@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

580519

รายละเอียด

580519_ธรรมาธรรมะสงคราม ไขรหัสพันธุกรรมของนามธรรม 3

พ่อครูว่า...วันอังคารที่ 19 พ.ค. 58 วันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 7 มีมะแม การเรียนปรมัตถ์ชัดเจน ที่ว่าชัดเจนคือเรากำลังเอาความจริง ความรู้ในสัจธรรม มาตีแผ่ เจาะลึกละเอียดเข้าไป จะมีโครงสร้างคล้ายกับวิทยาศาสตร์ที่เขาก็เรียนรู้ละเอียดลึกไปถึง DNA ถึง gene ถึง Genome เขาไปสุดทางที่ Genome มันเป็นพลังงานละเอียดที่มีอาการ ลีลา เป็นพลังงาน อย่างเช่น เขาบอกว่า Genome อยู่บน DNA จะเรียกว่าอยู่ใน แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ

 

ในสิ่งมีชีวิต ที่ชั้นสูง ก็ยิ่งเป็นจิตนิยาม ที่ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกเขาเข้าไม่ถึง เขาเข้าถึงแต่อุตุนิยาม ส่วนพีชนิยามเขาก็พอเข้าถึง สามารถแยกเพศได้ สามารถตัดต่อพันธุกรรมได้ รู้เพศพ่อ เพศแม่ สามารถที่จะนำมาเปลี่ยนพันธ์ได้ แต่พอถึงขั้นสัตว์เขาก็ไปไม่ค่อยได้เขาก็พยายามเปลี่ยนพันธ์ เขาแยกเพศ แล้วก็พยายามจะเป็นเจ้า ก็เพราะ Genome คือชุดของ DNA ทั้งหมดที่บรรจุใน นิวเคลียสของทุกเซลล์ มันละเอียดไปก็ยากที่จะรู้แล้ว

 

เขาก็รู้ว่า Genome อยู่ใน DNA เวลาเขาตรวจ DNA จะเป็นเป็นแถบ เขาชี้ได้ว่า นี่แถบนี้เพศชาย นี่เพศหญิง ถ้าจะเทียบกับ DNA ระหว่างสองคน จะเห็นว่า นับได้เลยตรวจได้เลย ถ้าเป็นเชื้อเดียวกัน กรรมพันธ์เดียวกัน ของสองคนจะตรงกัน ส่วนที่จะไม่ตรงกันคือเศษที่ไม่ใช่ความเต็มของเพศชายและหญิง เป็นเศษเล็กเศษน้อยที่เหลือจากตัวหลัก แต่เขาก็ยังจับไม่ได้ว่า Genome พวกนี้จะชัดเจนอย่างไร มันไม่คงที่ ไม่เหมือน gene และ DNA

 

คือ DNA นี่ เทียบได้กับ อนุสัย พลังงานทางชีวะของจิตเลย ซึ่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่รู้จักDNA นี้เขาค้นพบหลังจากพระพุทธเจ้านาน แต่พระพุทธเจ้าเจอมารู้มานานหลายพันปีแล้ว ท่านก็อธิบายยืนยันไว้

 

อนุสัยคือพลังงานตกผลึก เป็นตัวถาวร เป็นตัวยั่งยืน นิจจัง ทุวัง แต่ที่จริงมันเปลี่ยนได้ แต่เมื่ออวิชชาก็เปลี่ยนมันไม่ได้ DNA นี่จึงเทียบได้กับอนุสัยของพลังงานจิต ส่วน Gene คือพลังงานอาสวะ ผู้จะรู้อนุสัยอาสวะได้ต้องเรียนรู้ขั้นสูงจึงแยกได้ แต่ขั้นต้นก็แยกไม่ได้ ก็จะดูว่าเหมือนกันทั้งอนุสัยและอาสวะ แต่ผู้รู้สูงขึ้นจะรู้ว่า อนุสัย ต่างกับอาสวะ

 

อนุสัยมันเท่ากับ potential energy มัน Static มันนิ่งสงบ เกินกว่าระดับ gene เพราะ gene มันยังมีเคลื่อนไหว ส่วน DNA เป็น static energy

 

จาก Gene ก็มาเป็น Genome เป็นพฤติกรรมของพืชและสัตว์ ของพืชนี่ทำแล้วไม่สะสม ทำอยู่กับปัจจุบันแล้วจบ ไม่มีพลังงานที่มากพอจะไปตกผลึกเหมือนจิตนิยาม มันจึงไม่เกิดความก้าวหน้า จนถึงมีความรู้สึก อารมณ์ ซึ่งอารมณ์นี้แหละคือกิเลสของสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เซลลเดียว จนเป็นหลายเซลล์

 

เซลล์คือหน่วยของชีวะ พอเกิดแล้วมันก็แสดงอาการ มันมีพลังงานอยู่สองหน่วย เริ่มต้นคือพลังงาน 0 และ 1 เป็นธรรมะสอง คือ เทวฺ ธัมมา ก็ยังไม่มีเรื่องอะไรมาก แต่พอมาเป็น 1 กับ 2 ก็ชักมีพลังงานเป็นตัวตนมากกว่า 0  และ 1 แต่ก็ไม่ยึดมาก แต่พอมาเป็น 1 2 3 ก็จะมีอะไรมาก เป็น Gene แล้ว

 

0 กับ 1 ก็คือมีรูปกับนาม = กาย ซึ่งทางโลกเขารู้ 0 กับ 1 คือรู้ นิวตรอน กับ โปรตรอนในนิวเคลียส ซึ่งธาตุที่เขารู้สูงสุดคือเขารู้นิวเคลียส ที่ในนั้นมี โปรตรอน และนิวตรอน ยังไม่มี อิเล็กตรอนนะ มีแค่ 0 กับ1 ก็ไม่มีการเคลื่อนอะไรมากเลย

 

พลังงานทางจิตนี้ละเอียดกว่ามาก ไม่สามารถรู้ได้ ท่านใช้ศัพท์คำว่า ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต และการศึกษาต้องได้รับฟังอุเทส จากสัตบุรุษจากผู้รู้จริง จึงสามารถปฏิบัติพิสูจน์ตามได้ ไม่เช่นนั้นไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถหยั่งลงไปได้ แล้วต้องใช้ปัญญาที่มีสติมันโต มีองค์ประกอบพร้อมคือสุรภาโว มีครบอาการ 32 ( ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า  กับ มันสมอง ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร   หากเรานับรวม ปฐวีธาตุ และ อาโปธาตุ ก็จะได้ 32 อย่าง เราจึงเรียกว่า อาการ 32 ซึ่งตรงกับภาษาบาลีว่า ทวัตติงสาการ ) มันเป็นอาการที่รวมการปรุงแต่งทั้งร่างกาย ผม ขน ฟัน เล็บ หนัง กระดูก ไปจน น้ำเลือด น้ำหนอง ของเหลว ไปจนหมด แยกได้ 32 อาการ แล้วมันก็จะมีภาวะเคลื่อน เพราะมันเป็นชีวะแล้ว แล้วมันเคลื่อนด้วย จึงเรียกว่ามันมีอาการ จะเรียนรู้ต้องมีการกำหนดรู้ด้วยนามธรรมคือธาตุรู้เรา จากจิตวิญญาณที่ท่านเรียกว่า สัญญา

 

สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ หมายรู้ว่า อาการดิ้นอย่างนี้คืออาการ แล้วเราก็จับอาการนี้ได้ เราก็จะกำหนดหมายเองเองเป็น นิมิต จนรู้ว่าอาการนี้เป็นอย่างนี้ เช่นอาการโกรธ มันเป็นนามธรรม ถ้าโกรธแรงก็รู้ง่าย แต่โกรธน้อยๆไม่ค่อยรู้ ก็มีอาการที่มีเครื่องหมายบอกว่า อาการโกรธต่างจากโลภ ต่างจากกาม

 

เราแยกได้ว่าเป็นเพศแม่ เพศพ่อ หรือทางวิทยาศาสตร์แยกเป็นบวก ลบ หรือทางพุทธศาสนาก็แยกอาการที่มันมีในตัวของมันเองเป็นชีวะเป็นนิยามชีวิตแล้ว ทั้งผม ขน ฟัน เล็บ หนัง นี่ทำงานได้ทันทีเลย มันไม่ใช่ของแปลก ขนาดนั้นยังมีของแปลก เช่น เอาปอดคนนี้ไปใส่คนอื่น บางทีมันไม่รับไม่เข้ากันสนิท พอไปได้แต่ไม่เต็มที่ แต่ถ้าตระกูลเดียวกันก็รับกันได้ ในตัวอาการ 32 นี้ มันก็มีพลังงานในตัวของมันเอง ขนาดนั้นมันก็มี Genome ในตัวรูป นามของแต่ละเผ่าพันธุ์แต่ละตระกูล

 

ถ้าตระกูลใกล้กันก็ทำงานกันได้ แต่ถ้าต่างตระกูลกันต้องให้ใกล้เคียงกันมากจึงใช้ได้ ถ้าไม่เหมือนกันก็ใช้ได้ไม่นาน

 

นามธรรมก็มีสภาพคล้ายกัน มีทั้งรูป/นาม กาย/จิต ถ้าเป็นรูป ที่ไม่มีนามมาประกอบด้วย ก็เป็นรูปได้ อย่างมหาภูตรูป 4​ไม่มีนามเลย แต่พอมาเป็นปสาทรูป นี่แหละ ตับไตไส้พุง เลือด เซลล์ประสาท อันนี้แหละ เป็นองคฺ์ประชุมของกาย ถ้ามันมีรูปเฉยๆมีแต่มหาภูตรูป 4 ก็ไม่เรียกว่ากาย พอเป็นปสาทรูป อันนี้แหละมีช่องว่างที่มีพลังงานจิตนิยามเข้าไปร่วมด้วยได้ ในพีชะ มีได้ระดับหนึ่ง แต่พลังงานพีชะไม่เรียกว่าปสาทรูป แต่มันก็เป็นอุปกรณ์ให้ทำงานได้เช่นกัน ก็เรียกประสาทของพืช ก็ยังยาก แต่มันก็มีเส้นทางของมันไป มันมี protoplast มี cytoplast อีก แต่อาตมาไม่ได้ศึกษาละเอียดมาก

 

อุตุนิยาม มีแค่มหาภูตรูป แต่พอเป็นพีชะ จะมีปสาทรูปก็น่าจะไม่เหมือนกับที่ใช้กับปสาทรูปในจิตนิยาม

 

ในคำว่า ปสาทรูป นั้นเฉพาะปสาทรูป ก็เป็น gene ตัวหนึ่ง ที่ไม่มีพลังงานระดับ genome ไปช่วยแล้ว มันเต็มของมันแล้ว มีทั้ง ใน DNA และ gene คำว่า Genome คือกาย มีรูป/นาม แล้วอยู่ใน gene เป็นขันธ์ที่ลงตัวแล้ว

 

ขันธ์ _ธาตุ_ อาการ  คำว่าธาตุ นี่จับตัวกันแข็งกว่าขันธ์ ส่วนอาการ นี้คือรูปนามที่สังเคราะห์กันลงตัว DNA มีเลขได้ 1 ถึง 6 ได้ แต่ไม่ถึง 7 แต่ถ้าถึง 7 ก็ปัดไปทาง Gene แล้ว มันจะกลายเป็นเผ่าพันธ์ุนั้นในจิต แต่แค่ 1 2 3 ก็ยังบอกอะไรไม่ได้ แต่พอเป็น 4 ก็เร่ิมบอกเพศได้ อย่างในการก่อตัวของตัวอ่อน จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสามเป็นสี่ เป็นห้า มีปัญจสาขาก็จะบอกเพศได้

 

อย่างอัลตร้าซาวด์กำหนดรูปร่าง กำหนดด้วยเสียงก็วัดได้เป็นทางฟิสิกส์ แต่ทางนามธรรมต้องกำหนดจากอาการ แล้วก็แบ่งความต่างกันจากอาการ นี่คือศาสนาพุทธรู้ได้ถึงอาการ จนถึงแยกเพศได้ อิตถีลิงค์/ปุงลิงค์

 

อิตถีลิงค์ คือมีสภาวะพลังงานต่างจาก ปุงลิงค์  คำว่าปุงลิงค์คือแข็งแรงเป็นเอก เป็นหนึ่งได้ ร่วมกับอันอื่นได้ก็มีสอง มันจะเป็นพลังงานที่เป็นเจ้าหรือเป็นนาย แล้วเอกหรือหนึ่งนี่สูงกว่านั้นมันมี 0 ทางโลกเขาก็เดาได้ว่ามี 0 คือ นิวตรอน แต่มันก็ไม่เกิดอะไรไม่เกิดการผสมพันธ์ แต่พอจะแตกตัวอันนี้ได้ต้องใช้พลังงานมาก เคมีธาตุตัวไหนที่จะให้เปลี่ยนสภาพก็ต้องใช้พลังงานให้มากพอถึงจุดเปลี่ยนมันได้

 

นามธรรมก็เช่นกันต้องมีพลังงานปัญญาที่จะสามารถมีพลังงานลึกละเอียดไปแยกอาการได้ว่าเป็นเพศผู้เพศเมีย จนถึงหมดความเป็นแม้แต่ทำให้พลังงานเพศชายให้หมด ทำปุริสภาวะให้เป็นนปุงสกลิงค์ เป็นนิวตรอน นี่คือตัวจุดระเบิด คือตัวสุญญตา

 

 

ทางโลกเขาสามารถรู้นิวตรอนรู้ได้ด้วยความคิด เขาเข้าไม่ถึงมันได้ แต่พอเขาทำลายนิวเคลียส ที่มี 0 กับ 1 ได้ จะเกิดพลังงานมหาศาล มีกัมมันตภาพรังสีที่เขาควบคุมไม่ได้ มันเลยเป็นพิษร้ายแรง ไม่มีสิทธ์ป้องกันตัวจากพิษนี้ได้ นัยเดียวกัน ถ้าความเลวร้ายของพลังงานระเบิดทางนามธรรมที่เป็นความโกรธเต็มที่รักเต็มที่มันห้ามต้านไม่ได้เหมือนกัน ถ้าดูดก็กลืนกินเลย ถ้ารักมาก ถ้าชังมากก็แตกสลายอย่างไม่มีชิ้นดีเลย พลังสองอย่าง พลังผลักกับพลังดูด

 

ของพระพุทธเจ้านี้สามารถเรียนรู้อย่างสัมผัสของจริง มีอาการ 32 สัมผัส แล้วเรียนรู้พลังงานตัวร้าย ทำลายพลังงานตัวร้ายไปตามลำดับ วงจรความหมุนก็จะลดลงๆจนหยุดหมุนในเผ่าพันธุ์ใดเรียกว่าชีวะ จะเรียกว่า gene หรือ chromosome จึงทำลาย gene นั้น ทำลาย chromosome นั้นได้

 

ถ้าเป็นพลังงาน DNA ก็เป็นพลังงานนิ่ง อยู่ในนิวเคลียสที่เป็นองค์รวม แต่ในนั้นมี potential energy วิทยาศาสตร์เข้าไปเรียนรู้ไม่ถึง แต่เขารู้ว่ามี 0 กับ 1 มีโปรตรอนกับนิวตรอน แต่นามธรรมของพระพุทธเจ้ารู้แจ้งทั้งหมดได้ สามารถทำให้เป็นเอก ให้โปรตรอนกลายเป็น นิวตรอน เป็น 0 ได้ และขณะที่ทำให้กลายเป็น 0 ได้ ถ้าเผื่อว่าจะปรารถนาใช้งานอยู่ก็ใช้ได้เพราะควบคุม 0 ได้ อาศัย 0 ได้ อาศัย 1 ได้ สุดท้ายก็มีธรรมะสองได้ คือ 0 กับ 1 เมื่อทำให้เป็นเอกัคคตา ในธรรมะสองนี้เรียนจากอาการที่เป็นเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

 

ถ้าใครทำให้เวทนานี้กลายเป็น 0 ได้ ในผู้ปฏิบัติธรรมใด อาการของเวทนาเช่นอาการสุขเวทนา เกิดจากอะไร เกิดจาก genome ที่ชื่อว่า อกุศลจิต ก็ทำลายอกุศลจิตตัวนั้นเสีย เมื่อทำลายหมด เวทนาสุขทุกข์ก็หมดไป แต่เวทนาก็ยังมีอยู่ ในตราบที่มีชีวะ มันไม่ได้หายไปเพราะถูกทำลายหรือถูกแช่แข็งให้หยุดกิริยา แต่วิธีการเทวนิยมเขาหยุดกิริยา พานั่งสมาธิหลับตาให้จิตเอกัคคตาสะกดให้แช่แข็ง แต่ของพุทธไม่ได้แช่แข็ง แต่แยกแยะกุศล อกุศล ตัวใดไม่ดีก็ทำลาย ยิ่งทำลายอกุศลจิตเท่าใด พลังงานจิตก็ยิ่งเป็นพลังงานเต็ม ไม่ได้ถูกแช่แข็งไว้และเป็นพลังงานสติมันโต รู้ตื่น จึงทำลายพลังงานแทรกซ้อนที่เป็นอาคันตุกะที่เป็นผีร้ายนี้ออกไป เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพมาก ต่างจากเทวนิยมที่บังคับให้หยุดรู้ ไม่สามารถแยกเพศของ Genome ได้

 

เจตสิกนั้นก็คืออาการของอกุศลจิตที่แยกแยะออกไปได้มากมาย ในเจตสิกต่างๆมีชื่อเรียกอีกเยอะแยะ

 

อาตมาพูดมาถึงขั้นนี้แล้วสรุปได้ว่าเซลล์คือรูป/นาม เป็นหน่วยพลังงานชีวิตที่เล็กที่สุด เซลล์ปฐมภูมิ คือหน่วยชีวิตที่เกิดแล้วก็แสดงอาการในกาย อยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรมากเรื่อง ปฐมภูมิของเซลล์ ในเซลล์นี่มีสอง คือองค์ประชุมรูป/นาม ตัวเซลล์ปฐมภูมิคือ รูป คือprimary cell

 

ส่วนเซลล์ทุติยภูมิ มันเป็นหน่วยชีวิตที่มีการยึดตัวตนแล้ว คำว่า เทวฺ ธัมมะของพระพุทธเจ้านี่จับคู่ได้ทุกระดับ แม้แต่ในระดับที่ทางโลกเขาจำนน อย่างในนิวเคลียสเขาแยกได้ว่ามีโปรตรอน กับนิวตรอน เขาก็ได้แค่นั้น เขาก็แค่จะสลายนิวเคลียสนี้ได้ แต่พอสลายก็เกิดพลังงานร้ายแรง จับทิศมันไม่ได้ ไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าที่ค่อยๆลดพลังงานลง จนอาการอ่อนแรง จนคุมได้เลย คุมได้ว่าเป็น 1 ก็ได้ สุดท้าย 1 ก็อยู่กับ 0 จริงๆแล้ว พอมาถึง 1 นี้หมดเพศแล้ว เป็นเอกเพศ เพราะอิตถีเพศหมดไปแล้ว เหลือแต่ปุริสเพศ แล้วยังมีชีวะอีก แต่ชีวะต้องมี 2 ดังนั้นเอกบุรุษจึงอยู่กับ 0 เป็นอุตมปุริสสะ เป็นอุตมเพศ สูงสุด

 

ถ้าไปแข่แช็งนามธรรม สะกดจิตให้นิ่ง คุณจะไม่รู้ 1 ไม่รู้ 0

 

 1 ของพระพุทธเจ้าคือญาณปัญญา วิชชาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง 0 คือรู้ความไม่มี ความหมดอาการอินทรีย์ของชีวะ มาถึงขั้นเป็นเพศ 2 จนทำให้เพศเมียหมด เหลือแต่เพศผู้คือเพศเอก เป็นบุรุษเพศ

 

ถ้าขยับเขยื้อนอยู่ก็มี 2 แต่ที่รู้อยู่เป็น 1 คือญาณปัญญาทัศนวิเศษ​ ก็รู้ว่าเพศเมียที่ตายไปได้ คือ 0 เป็นเช่นนี้ เราดับพลังงานเพศอิตถีได้ ที่จริงมันมี 2 แล้วเราทำให้เหลือ 1 ได้ แต่ก็ยังมีส่วนสองนะ

 

จะเรียกว่าเพศ 0 กับ 1 เป็นเพศเดียวกัน เป็นแต่เพียง มันจะโตกว่ากันอันไหนแค่นั้น ถ้าเป็น 3 ก็ยังมีตัวตน แต่ถ้าเป็น 4 แล้วอยู่ไม่ได้หรอก จะต้องดิ้น แยกองศาออกไปอีก เกิดหน่วยที่สองคือ 4 5 6 แล้วก็เกิดสองหน่วยใหญ่ ที่จะแตกเป็น 7 ก็เริ่มหน่วยที่ 3 อีก พระพุทธเจ้าจับได้ว่าเมื่อมันเป็นหน่วยที่ 4​จะมี Genome เพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ พอเป็น 5  ก็เกือบแบ่งเพศแล้วแต่ 5 มันคือครึ่งหนึ่งของ 10 แต่ก็เกินครึ่งของ 9 ก็เกือบแล้ว จะเป็นหญิงหรือชายก็อยู่ที่ 5 มันเป็นตัวกลางของ  9 แต่ถ้าเป็น 10 จะหมุนเต็มตัวเลย

 

10 นี่คือเท่ากับ 1 2 3 ไม่ยอมใคร 1 ก็ไม่ยอม 2, 2 ก็ไม่ยอม 3

 

 

สรุปแล้ว สภาวะที่เล็กละเอียดก็แยกได้เป็นสองทั้งนั้น อันหนึ่งนิ่ง/เคลื่อน เบา/แรง นิ่ง/ดิ้น เมื่อไปถึงปุริสเพศ เป็นหนึ่งไม่มีเพื่อนสองเลย ศาสนาพุทธสามารถทำพลังงานจิตให้เป็นหนึ่งไม่มีเพื่อนสองเลย แม้แต่สามารถทำปุงลิงค์ให้เป็นนปุงสกลึงค์ได้ ทำ 0 ได้นั้นเอง

 

พระอรหันต์สามารถอยู่กับไตรลิงค์ ท่านจะเป็นอนุโลมเป็นเพศหญิงก็ได้ เพศชายก็ได้ ไม่มีเพศก็ได้ (ไตรลิงค์) อรหันต์จะมีความสามารถเช่นนั้น จึงเป็นผู้รู้แจ้งหมด รู้ละเอียดหมด พระพุทธเจ้าใช้คำว่า รู้คุณ รู้โทษ สมบูรณ์ รู้กิเลสหมด ทำกิเลสตายหมด เป็นเอกบุรุษ

 

อนาคามีก็นับว่าเป็นเอกบุรุษ เหลือเศษในตนเท่านั้น อนาคามีไม่เป็นพิษภัยกับใครแล้ว ไม่มีอปรโคยานแล้ว ถ้าอนาคามีตายจากร่างกายนี้ไป แล้วไม่ตั้งจิตต่อ มีแต่ค่อยๆเสื่อมๆๆ แล้วปรินิพพานเอง ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะสลายตัวหมดก็ไม่รู้ท่านแยกเป็น 5 แบบ ก็ต้องศึกษาตอนเป็นๆ

1.        อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.       อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.        สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.        อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.        อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

ผู้ตั้งจิตต่อคือผู้อยู่สุทธาวาส แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เลือกเป็นแบบนี้ ท่านถึงบอกว่าไม่เคยอยู่สุทธาวาส ท่านจะต่อภพภูมิ ตายแล้วเกิดมาทำงานต่อ ไม่ดักดานในสุทธาวาส อาตมาตั้งจิตมาเกิดอีก เราจะนิพพานก็ด้วยปณิหิตตังจิตตัง

 

สุญญตนิพพาน(ปรินิพพาน),  อปณิหิตตนิพพาน, และอนิมิตนิพพาน มีนิพพาน 3 แบบ

 

อาตมานั้นเกิดมารับหน้าที่ ถ้าจะเป็นspecialist ก็เฉพาะตาขวาไม่ค่อยเก่งตาซ้าย ทางสสารอาตมาไม่ค่อยนำมาใช้ อาตมาใช้ทางนามธรรมมากกว่า แต่ก็พอรู้ว่าตาซ้ายเป็นอย่างไร แต่ถนัดตาขวามากกว่า

 

ในธรรมะสอง ถ้าสามารถทำให้อิตถีเพศกลายเป็นบุรุษเพศ แล้วทำให้ถึงหมดบุรุษเพศ เป็น 0 ได้ อีก นี่คือสุดยอดแล้ว จะควบคุมอาการของนามธรรมได้ละเอียด รู้ตัวละเอียดที่เคลื่อนไหวในรูปธรรมที่เป็นชีวะ จนสุดท้ายรูปธรรมที่หมดความเป็นชีวะเป็น 0 จึงหมดชีวะ แล้วหมดชีวะในฐานะที่คุณยังไม่แตกสลาย คุณยังมีส่วนสอง คุณก็จะมี 0 กับ 1

 

ในจิตนิยาม มีอกุศล กุศล มีดี/ชั่ว และดี/ชั่วนี่แหละมันยึดสุข/ทุกข์ มันรู้เลว/ดี รู้ค่าของความต่าง ปัญญาที่รู้เลว/ดีชัด จึงหยุดเลว ชั่วสนิท แล้วดับให้ตายสนิทได้ ในจิตนิยาม ให้ทุกอาการใน genomeมันหยุด ไม่มีเกิดอีกในgenome อกุศล ของพุทธดับ genome ชั่ว ดับไม่รู้คือดับอวิชชา ไม่ใช่ดับอวิชชาแล้วยิ่งมืดไม่ใช่ แต่ยิ่งดับอวิชชายิ่งรู้เพิ่ม ดับอกุศลจิตได้จิตที่เหลือยิ่งฉลาด แต่วิชาที่ไปหยุดกิริยาไปหมด ให้ดับมืด อสัญญีไปหมด นึกว่าดับจบ นี่คือมิจฉาทิฏฐิ สายฤาษี ไม่กระจ่างในรายละเอียดทั้งหมด

 

ของพระพุทธเจ้ารู้ละเอียดทั้งหมดรู้ตัวเล็กที่สุดที่เป็นพลังงานชีวะ ส่วนพลังงานไม่ใช่ชีวะ เป็นอุตุมันไม่มีพิษ แม้แต่ชีวะระดับพีชะก็ไม่เป็นโทษภัยกับใคร เพราะมันไม่มีรูป/นามถึงตัวกูของกู มันรู้แค่ว่านี้ใช่ก็เอามา ถ้าแย่งกับเขาแย่งไม่ได้ก็ไม่โกรธ

 

ถ้าเราทำพลังงานจิต ที่มีสัญญา ที่รู้ว่าอันไหนจำเป็นต่อร่าง แต่มันไม่มีเวทนา ไม่มีอารมณ์ มีแต่ธาตุรู้ เจตนา จะบอกว่าอยากได้ก็ไม่มีอยาก ไม่ต้องการเป็นเราเป็นของเรา แต่มันต้องทำงานไปเรื่อยๆ ถ้ามีเหตุปัจจัยครบก็ทำงาน ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยครบก็อ่อนแรง ชรตา ถึงขีดพลังงานหมดก็ตาย แต่ถ้ามีเหตุปัจจัยก็มีแรงต่อทำงานต่อไปได้ แล้วมันจะต้องเป็นอุปจยะ สุดท้ายก็อยู่ที่อุปจยะหรือชรตาได้ พระพุทธเจ้าควบคุมสันตติได้ จะให้เกิดหรือตายก็ได้เป็นอมตบุคคล จะให้ genomeของเราเกิดหรือไม่ให้เกิดก็ได้ พลังงานไม่ดีท่านทำให้ตายหมดแล้ว เหลือแต่พลังงานดีให้ทำกรรมกิริยาน้อยหรือมาก จัดการทำได้อย่างลหุตา จะมากหรือน้อยก็ประมาณเอา แล้วมีมุทุตา มีกัมมัญญตา ท่านก็อาศัยวิการรูป(คือรูปที่มีการงานอย่างยิ่ง) ทำการงานอันดียิ่งประเสริฐไม่เป็นโทษ มีแต่ประโยชน์ ออกไปเป็น กายวิญญัติ กับวจีวิญญัติ ได้จาก วิการรูป 3 อย่างนี่แหละ

 

แม้แต่ลักขณรูป อาตมาก็อธิบายถึงปริเฉทรูปก็ตัดจบ คุณควบคุม วจีสังขารได้ ก็สามารถให้วจีสังขารออกไปแบบที่คุณจัดการได้ ก่อนจะออกไปเป็นวจีกรรมหรือกายกรรม ส่วนวจีสังขารเป็นมโนกรรมในจิต ผู้ปฏิบัติธรรม นิโรธจึงดับ วจีสังขารก่อน เกิดองค์รวมเต็มของพลังงานจิต จิตสังขารก็บริบูรณ์ เวลาจะให้เกิด จิตสังขารก็พาเกิด แล้วพาวจีสังขาร เป็นวจีกรรม กายกรรม เมื่อได้ผลนิโรธดับกิเลสได้จริง ถึง สังขาร 3 นี่ถึงขั้น genome ได้ พระพุทธเจ้าจัดการให้หมดเพศได้ ให้เป็นนปุงสกลิงค์ได้ เป็นสุญญตา ไม่มีเพศ ใช้เป็นพลังงานอาศัย ถ้ามีอยู่ก็ต้องมี 2 ทั้งนั้น แม้ในนิวเคลียสก็มี นิวตรอนกับโปรตรอน ทางวิทยาศาสร์หมดภูมิแล้วแม้แต่ในคำอธิบาย genome นั้น นอกจาก DNA หรือ gene ยังมีส่วน DNA ที่ไม่ใช่ gene อยู่อีกยังอยู่ในการศึกษา genome  จริงๆเขาไม่ไปเรียกในธาตุวัตถุ เขาเรียกแต่ใน พืช สัตว์ อยู่ในชีวะ เขาเข้าไปจัดการไม่ได้เพราะนิวเคลียสของทางฟิสิกส์ มันไม่สามารถเข้าไปจัดการโปรตรอน นิวตรอนของมันได้แต่ทางนามธรรม มันคือโปรตรอน นิวตรอนได้ แม้อิเล็กตรอนก็จัดการได้เพราะมันหยาบกว่า นิวตรอน โปรตรอน คือจัดการความดีดดิ้นของมันได้ ไม่ต้องแสดง woman touch เลย มีแต่บุรุษเพศแล้ว ก็คือจัดการกิริยาหญิง มารยาหญิงได้

 

อาตมาใช้ภาษาของเขามาเปรียบเทียบให้เข้าใจเพ่ิม

 

DNA เหมือน อนุสัย เป็น static energy หรือ พลังงานศักย์

Gene คือ อาสวะ เป็น kinetic energy หรือ พลังงานจลน์

Genome คือ กาย คือองค์รวมของรูป/นาม

 

เพราะกายนี้ละเอียดกว่า อนุสัย อาสวะ ทางโลกเขาศึกษาไม่ถึง genome แต่ทางนามธรรมนั้นพุทธศึกษากายได้ ละเอียด คือองค์ประกอบของรูป/นาม เป็น เทวฺ ธัมมา ถ้ากายลักษณะใดมีชีวิตินทรีย์เป็นอิตถีเพศต้องรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คุณเรียนภาษานี้แล้วไปเรียนรู้ศึกษา เราจะไม่ให้เกิดโอปปาติกสัตว์ไม่ให้มันหยั่งลง หรือดับเชื้อดับเหตุมันก็ไม่เกิด อย่าให้มันสังขารเลย คุณดับสังขารได้ ไม่ปรุงไม่แต่ง แม้มันจะสัมผัสกัน แต่ไม่สังขารไม่ปรุงแต่ง มันก็ไม่มีอะไรเกิดอยู่ด้วยกันได้ไม่สังขารไม่สืบพันธ์ไม่ต่อเผ่าพันธ์ุ แต่เอาพลังงานมาสร้างสรรได้ เปลี่ยนพลังงานมาใช้ประโยชน์

 

เรื่องกามก็ไม่ต้องเอามาใช้ เรื่องอัตตาก็ไม่ต้องเอามาใช้ เมื่อไม่ต้องใช้พลังไปกับกามกับอัตตาก็จะมีพลังงานเหลือมากไปใช้ได้อีกเยอะ วิธีของทางสายศาสนานั่งหลับตาสมาธิ เขาไปแช่แข็งจิต ไม่มีจิตวิเคราะห์รู้รูป/นาม อกุศลจิตที่หยาบถึงละเอียดถึงรูป ถึงอรูปได้ แต่ของพุทธนั้นเรียนรู้หมด มีลำดับ ถึงละเอียด มีการกระทบสัมผัสกับของจริง เราก็รู้ว่าอะไรคืออะไรแต่เราไม่ไปทำอันตรายกับใคร

 

เช่นในเหตุการณ์ที่เราอยู่ในสนามรบ ฝ่ายที่มาปราบตั้งใจเอาให้ตาย เขาเหนือกว่าทุกอย่าง เขาจะฆ่าไม่เลือก จนอาตมาเอง เขากลัวว่า เวลาเขาฆ่าจะฆ่าหัวหน้าก่อน เขาก็จะให้อาตมาหนี อาตมาก็ว่าอาตมาหนีไม่ได้หรอก อาตมาเคยผ่านชีวิตเป็นเจ็งกิสข่านมานะ เป็นผู้นำจะหลบได้อย่างไร ก็ต้องทำหน้าที่ก่อน ไม่ได้ตกใจตื่นเต้น ก็ยังพูดได้บอกได้ว่าให้ไปช่วยกัน

 

สรุปคือมีพลังงานพิเศษเรียกว่า พลังงานบารมี เราไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เขาถอยไป เราไม่ได้ตอบโต้ แต่มีแรงตอบโต้ไม่รู้ใครส่งมา ก็ไม่มีทั้งป็อบคอร์นนะ ทำไมเขาถอยไป เป็นอจินไตยที่อธิบายว่า

 

ถ้าจะมีก็มีพลังงาน อิทธิพลเหนือกว่าที่ทำให้เขาต้องถอยออกไป เราไม่รู้ว่าพลังงานแฝงนั้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าไม่มีพลังงานนี้ เขาไม่หยุด เขาเดินหน้าปราบเรียบเลย อาตมาเดาว่าตัวผู้บัญชาการสั่งให้หยุด แล้วทำไมเขาให้หยุด มีอำนาจเหนือกว่ามาสั่งหรือไม่?หรือตัวผู้สั่งการสำนึกได้เอง คือแม้ผู้บัญชาการสูงกว่าสั่งแต่เขาเห็นว่าเรานั่งพนมมือสวดมนต์ ทำให้เขาสำนึกได้สั่งให้ถอย แต่ก็อาจมีเหตุตำรวจเขาตายด้วย นี่คือพลังแฝง ทุกอย่างมีมาแต่เหตุ เหตุทั้งทางโลก เหตุทั้งเวลา โอกาส ที่ทำให้เขาหยุดได้ อาตมาไม่สงสัยและไม่สงสัยแม้กระทั่งว่า สมเด็จปู่แสดงฤทธิ์ ตำรวจเห็นแสงจากมือสมเด็จปู่ ไปหยุดเขา นี่ก็เป็นมโนมยอัตตาได้ เราควรตายแต่ไม่ตาย มันจึงเป็นปาฏิหาริย์ มันเป็นนามธรรมทั้งจิตวิญญาณและนามธรรมอรูปที่เราไม่สามารถรู้ได้

 

อาตมายังนึกเลยว่า ถ้าอาตมาจะตายเหมือนโมคคัลลานะก็ต้องตายนะ ตายไปอาตมาก็จะเกิดมาทำงานอีก แล้วก็จะดีกว่าเก่าด้วย ชาติหน้าได้อุปกรณ์ดีกว่านี้อีก กลัวทำไม? ไม่ใช่ของลึกลับ แต่เป็นของลึกล้ำลึกซึ้ง

 

อาตมาพยายามเปรียบเทียบให้เห็นบอกเทียบให้ฟัง ทางวิทยาศาสตร์เขาไม่มีนามธรรม แม้ในนิวเคลียสของวัตถุ ไม่รู้ 0 ไม่รู้1 ของมันเอง แต่ทางนามธรรมมี 1 มี0 แต่รู้ 0 รู้ 1 ของตน จึงมีพลังงานเหมือนรูปธรรม เพราะแม้ในรูปธรรม นิวเคลียสแตกตัวอย่าง E= mc2 นั้นก็ได้พลังงานมหาศาล แต่ทางนามธรรมนั้น E= mc2  + A ไปด้วย คือที่คุณสามารถใช้ได้อย่างไม่งมงาย ประมาณเองได้ด้วย จัดสัดส่วนให้พอดี อนุโลมปฏิโลมได้ ถ้าเสียไม่ทำ ประมาณให้ทำแล้วไม่เสีย แล้วไม่อวดดี ถ่อมตนไว้ด้วย เป็นสัจจะจริงๆ แล้วรู้ด้วยว่าอาการประมาทคืออะไร แม้ในกายกรรม วจีกรรม แม้ในวจีสังขารที่ประมาทก็ควบคุมได้ ผู้รู้จริง จริงใจ ท่านทำอย่างไม่ต้องอิงอามิสอะไร จะประมาททำไม ทำแค่นี้ก็พอ จึงรวมลงที่ ประโยชน์สูง_ประหยัดสุด ประหยัดแบบพอเหมาะด้วย

 

อาตมาจะสรุปให้ฟังอันหนึ่งที่ ท่านสมณะพิสุทธิ์ ส่งมาให้...

เทียบคำแปล วิโมกข์ 8 จากเล่มอื่นๆ

 

[66] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ 8 ประการเหล่านี้ 8 ประการเป็นไฉน คือ

[66]  อฏฺ  โข  อิเม  อานนฺท  วิโมกฺขา  ฯ  กตเม  อฏฺ  ฯ

 

1.

รูปี   รูปานิ   ปสฺสติ                                       อย   ปโม   วิโมกฺโข   ฯ  

 

- ผู้ได้รูปฌาน ย่อมเห็นรูป               นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1                         เล่ม10/66

- ภิกษุเห็นรูป                                                อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หนึ่ง ฯ          เล่ม10/101  

- บุคคลเห็นรูปทั้งหลาย                  อันนี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หนึ่ง ฯ          เล่ม11/350

- ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป                นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หนึ่ง.       เล่ม13/340

- บุคคลผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย           นี้เป็นวิโมกข์ ประการที่ 1  เล่ม23/163

ตกลงอาตมาอ่านทั้ง 5 สำนวนนี้แล้ว สำนวนที่ว่า บุคคลผู้มีรูป ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย อันนี้สมบูรณ์สุด

ยกตัวอย่าง คนตาบอด ย่อมไม่เห็นรูปทั้งหลาย คนตาบอดไม่ใช่ รูปี ดังนั้น รูปีคือ ต้องมีจิตวิญญาณนามธรรมที่รู้ได้

 

2.

อชฺฌตฺตอรูปสฺี   พหิทฺธารูปานิ   ปสฺสติ   อย   ทุติโย   วิโมกฺโข  ฯ  

 

- ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก

นี้เป็น วิโมกข์ข้อที่ 2                       เล่ม10/66      

- ภิกษุมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก

อันนี้เป็นวิโมกข์ ข้อที่สอง ฯ          10/101

- ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก

อันนี้เป็น วิโมกข์ข้อที่สอง ฯ          11/350

- ผู้ไม่มีรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอก

นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่สอง.       13/340

- คนหนึ่ง มี อรูปสัญญาในภายใน ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก

นี้เป็นวิโมกข์ประการที่ 2 23/163

 

อย่างคำว่า อปุญญาภิสังขาร ท่านแปลว่า ปรุงเป็นบาป อาตมาก็ว่าเจ๊งเลย แปลอย่างนี้ อาตมาว่า อภิสังขารคือปรุงให้เป็นบุญคือกำจัดกิเลสได้ จนกำจัดกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำปุญญาภิสังขารแล้วจึงเป็น อปุญญาภิสังขาร  ก็ทำให้แข็งแรงมั่นคงเป็นอเนญชาภิสังขาร ท่านจบแล้วเป็น ผู้ไม่ทำบาป ทำแต่กุศล บุญก็ไม่ต้องทำ ปุญญาปาปปริกขีโณ อรหันตฺ์ไม่ทำบุญทำแต่กุศล นี่เดาไม่ได้นะ ต้องมีสภาวะถึงเข้าใจแล้วอธิบายได้ ที่พูดนี่ไม่ได้ข่มเบ่งนะ แต่พูดด้วยสัจธรรม....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:06:23 )

580521

รายละเอียด

580521_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ กรรมคือพระเจ้า

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ค. 58 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม ซึ่ง นร.สัมมาสิกขาของทุกที่ มีการดำเนินตามแนวสัมมา คือแนวทางของพระพุทธเจ้า ต้องมีความรู้แบบพระพุทธเจ้า ขาดไม่ได้ โรงเรียนที่หลวงปู่ตั้งขึ้นมา เป็นรร.ที่ต้องเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วย ถือว่าบังคับในตัวเลยให้เรียน เพราะหลวงปู่เห็นว่าการเรียนในรร.ทั่วโลก เรียนแต่วิชาความรู้เทคนิคไป ทำมาหากิน แต่ไม่เห็นความสำคัญของธรรมะ มนุษย์จึงเสื่อมลงเพราะไม่เห็นความสำคัญของธรรมะ

 

ความรู้โลกๆก็มีประโยชน์ แต่ความรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ทั้งความรู้วิชาการทางโลกและความรู้ทางธรรมไปด้วยกัน ความรู้ของพระพุทธเจ้ารู้ทั้งโลกและธรรม ส่วนผู้ที่บอกว่ามุ่งนิพพานแล้วออกป่าเขาถ้ำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม อันนี้ผิดทางแล้ว ต้องเข้าใจให้ครบถ้วน ธรรมะของพระพุทธเจ้ารู้โลกด้วย สามารถทำมาหากินได้สุจริต มีคุณค่าประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติเลย เป็นคุณค่าประเสริฐเช่นนั้นทีเดียว ผู้มาเรียนที่นี่ เรียนธรรมะเป็นหลัก เรียนความรู้เทคนิคด้วย สร้างสรรประโยชน์ มีผลผลิตได้ ไม่ขาดตกบกพร่อง ถ้าจะว่าแล้วที่นี่พาทำเป็นงานยิ่งกว่าข้างนอกเขาอีก ที่ฝึกทำงานกับสังคมจริงที่ตนอยู่ร่วม แล้วแต่ว่านร.คนไหนจะขวนขวายเห็นดีเห็นงามอันไหน พอครูบาอาจารย์ พี่ป้าน้าอาพาทำกันก็ฝึกทำไป ที่อื่นเขาไม่ได้ฝึกทำการงานอย่างขนาดนี้ แต่ของเรานี่ฝึกให้ทำเป็น เป็นแล้วจบไปทำอาชีพได้ มีความรู้สามารถเลี้ยงชีวิตได้

 

ทุกวันนี้ข้างนอก จบม.6 ทำงานอาชีพเลี้ยงชีวิตไม่ได้ อย่าว่าแต่ม.6 เลย ป.ตรีก็ยังทำไม่ค่อยเป็นเลย มันเป็นความพร่องของความเป็นสัตว์โลก เพราะสัตว์เดรัจฉานมันก็หากินเป็น บางชนิดขุดดิน บางชนิดก็หากินตามประสา สร้างรวงรังได้ เขาก็ทำได้ทำเป็น อาศัยให้ชีวิตไปรอด

 

มาเรียนรู้ที่นี่แล้ว นอกจากจะพึ่งตนเองรอด ด้วยงานที่จำเป็นต่อชีวิต เราไม่สอนงานที่ผลาญพร่าทำลายเราไม่สอนไม่ส่งเสริมไม่แนะนำ แนะนำแต่งานสาระสำคัญจำเป็นต่อชีวิต และที่สำคัญคือธรรมะ

 

คนทุกวันนี้เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม แม้แต่พวกเราเป็นเด็กสัมมาสิกขา ก็ให้เรียนรู้ให้ดี คนเดี๋ยวนี้แม้จบวิชาการขั้นสูง จบป.เอก เขาก็ยังไม่เห็นคุณค่าว่าธรรมะเป็นเรื่องสำคัญของชีวิตทั้งเรื่องปัจจุบัน ยิ่งตายไปก็ต้องใช้ธรรมะ ถ้าเรามีอธรรมมันก็พาเราเป็นไป ให้อัตภาพ ที่เป็นธาตุสำคัญของแต่ละคน เป็นพลังงานประจำตัว จะสามารถฝึกฝนเรียนรู้ให้เป็นได้ก็สั่งสมในอัตภาพทั้งนั้น ถ้าทำตั้งแต่ตอนนี้เป็นตายไปก็ติดไป แต่ถ้าทำไม่เป็นตายไปก็ติดไม่เป็นไป ถ้าทำเลวตายไปก็ได้เลวไป ถ้าทำดีตายไปก็มีความดีสืบไป อัตภาพนี้พาเราเป็นไปจนกว่าอัตภาพเราจะแยกธาตุ เลิกไม่เป็นตัวเราอีกแล้ว เป็นพระอรหันต์ขึ้นไปก็ละลายอัตภาพของตนเองได้ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ สลายหมดเลย

 

ความสำคัญจึงมิใช่อยู่ที่ร่างกาย ซึ่งมันอยู่ได้ 100 ปีก็ยากแล้ว ตายแล้วร่างนี้ก็เปื่อยไป แต่ว่าสิ่งที่จะพาไปสร้างร่างใหม่ ถ้าชาตินี้เราไม่หล่อไม่สวยเราไม่เก่งไม่สามารถ ถ้าเราฝึกตนแต่เดี๋ยวนี้ ร่างกายเราไม่สวยไม่หล่อก็สร้างสมจากปางก่อน ชาตินี้เราก็ทำสิ่งที่ดีๆ ที่เป็นเรื่องงดงาม เป็นการสะสม ใส่อัตภาพไป เราก็ได้เป็นของเรา

 

คนที่ไปเกิดจากพ่อแม่ไหนก็ตาม คนที่จะได้เกิดจากพ่อแม่คนนี้ๆ มีDNA หรือมีรหัสพันธุกรรม จะมีส่วน ถ้าเราตายไป หากเราเองมีต้นทุนอัตภาพเราจะต้องเกิดในคนที่ไม่หล่อไม่สวย ก็จะไปเกิดในท้องพ่อท้องแม่ที่มี DNA ไม่สวย กรรมพาเกิด ทางเทวนิยมว่าพระเจ้าให้ไปเกิด แต่ทางพุทธเรานี่กรรมพาเกิด ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องลงตัวเช่นนั้น ใครเปลี่ยนไม่ได้

 

จึงมีส่วนของพ่อ/แม่ พ่อ/แม่ขาว ลูกออกมาก็ขาว ตามสายพันธุกรรม ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เป็นลูก ไม่ได้มีของตนเอง เอาแต่จากของพ่อ/แม่ ก็ไม่ใช่ จริงๆเราเองเป็นต้นทางของรหัสพันธุกรรมตัวแท้ ที่เราจะไปเกิดกับพ่อแม่ที่จะมีพันธุกรรมเช่นนี้ ขนาดนั้นยังแหกคอกเลย พ่อแม่ดำ ลูกออกมาขาว พ่อแม่เตี้ยลูกออกมาสูง พ่อแม่หล่อสวย แต่ลูกออกมาขี้เหร่ก็มี ซึ่งพันธุกรรมของตนเองแรง เป็นกัมมัสกะ กรรมของตนพาเกิด นี่คือนัยละเอียดที่ศาสนาพุทธเข้าใจรายละเอียด

 

แม้วิทยาศาสตร์เขาก็หาเหตุไป ว่าทำไมไม่มาจากพ่อแม่ เขาก็ว่ามาจากปู่จากทวด มันก็ไล่ไป ก็ต้องถูกสักคนแน่ มีมิวเตชั่นMUTATION ผ่าเหล่าผ่ากอไป แต่แท้จริงตัวที่อธิบายได้ชัดก็คือ ตัวกัมมโยนิ กัมมพันธุ เป็นตัวแท้จริงกว่ารูปธรรม เพราะตัวแท้ของนามธรรมนี่มันมีสะสมมานานกว่าชาติหนึ่ง มันมาไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปีแล้วเราสั่งสมมา

 

พระพุทธเจ้ายืนยันว่า กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ เราต้องอาศัยกรรมของเรา เราไม่ได้อาศัยกรรมพันธุ์ของพ่อแม่ กัมมโยนิ ก็ได้มาแต่ร่างที่พ่อแม่ให้กำเนิดรูปร่าง แต่ที่จริงมีการกำเนิดทางจิตที่สูงกว่า ที่เราเองพาเกิด

 

จิตวิญญาณพอมาเกิดเป็นลูก นิสัยใจคอก็เหมือนพ่อแม่ก็ได้ แต่ต่างก็เยอะ เพราะเป็นของเรา พาเกิด ตามที่เราต้องรับมรดกของเรา(กัมมทายาท) เพราะกรรมทุกอย่างเป็นของเรา สุกฏทุกตานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก ทำขี้โกงทำซื่อสัตย์ก็อยู่ในคลังสัญญาเรา ในhard disk นี้ไป แม้จะพัฒนาตนให้เป็นอาริยะ เป็นอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ในนี้แหละ

 

สิ่งที่เรามีเราเป็นตั้งมากมายที่มันไม่ไปไหน พิสูจน์ได้จากพระพุทธเจ้า ท่านพัฒนาตนเองจนสามารถหยั่งรู้ที่ท่านเกิดมาเก่าก่อน เรียกว่าบุพเพสันนิวาส (ที่อยู่เก่าก่อน ผ่านมาแล้ว) เกิดมากี่ชาตินับล้านชาติ ท่านมีบุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกย้อนได้ ก็ระลึกตามในฮาร์ดดิสก์ของท่าน ท่านมีปัญญากดเป็น

 

เหมือนคอมพิวเตอร์ที่กดรหัสเป็นก็เข้าไปดูได้หมด ท่านก็เอามาเล่ามากมาย บันทึกเป็นชาดกหรือไม่ได้บันทึก ท่านก็ได้ระลึกว่า ได้บำเพ็ญมาไม่รู้กี่ล้านๆชาติกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านระลึกแต่ละชาติ เรียกว่า รู้โลกวิทู พร้อมกับ ความเป็นสัตว์ มีทั้งเดรัจฉาน มนุษย์ เป็นจิตนิยาม พาเกิดหมุนเวียน ไปนับชาติไม่ถ้วน นี้คือผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าเป็น ก็จะได้มากขึ้นตามลำดับ ปฏิบัติไล่ไปจนใกล้เป็นพระพุทธเจ้าก็จะดึงเอาคลังฮาร์ดดิสก์ ออกมาใช้ได้ ซึ่งกรรมสั่งสมไปไม่มีวันหายไป

 

พระพุทธเจ้าท่านเอามาเล่าได้มากมาย เพราะรู้จากความจริง ไม่ได้เอานิยายอะไรมาเล่า ใครเคยอ่านชาดกของพระพุทธเจ้า ก็ยืนยันว่า เราทำอะไรไปมันยังอยู่ แคะกระปุกมาดูได้ แม้เราไม่เป็นอย่างที่เราผ่านมาแล้ว บางชาติเราทำชั่ว ชาตินี้เราไม่ทำชั่วอย่างนั้นแล้ว หรือทำดีอย่างนั้นมาก็ตาม ชาตินี้เราไม่ได้ทำ แต่มันก็จำได้ มันก็มีให้เรารู้ มันไม่ได้หายไปไหน มันยังอยู่ในนั้น มันมีสิทธิ์ออกฤทธิ์ไหม กรรมชั่ว มันจะออกมาเล่นงานเราได้ ถ้าเราไม่มีวิธีป้องกัน ไม่ให้มันมาเล่นงานเราได้

 

เราป้องกันผีร้าย กรรมวิบากร้ายของเรา ไม่ให้ออกฤทธิ์ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทำแต่สิ่งดี แล้วสร้างจิตวิญญาณให้เรียนรู้ดี/ชั่ว แล้วรู้เหตุที่พาทำชั่ว อกุศล บาป ดับให้ได้ อย่าให้เกิดในตัวเราอีก เรียนรู้พลังงานที่มาประกอบให้เกิด พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้จนระงับ ควบคุมได้ จนทุกปัจจุบัน จะไม่ปฏิบัติพลังงานหรือกรรมกิริยาที่ชั่ว ที่ไม่ดี ไม่ทำอีก ตลอดไปเลย จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธเจ้าที่ค้นพบ

 

ทุกปัจจุบันที่จะต่อไปอีกกี่ล้านๆปี ถ้าเราสามารถทำความจริงถึงที่สุดว่า กรรมต่อไปทุกปัจจุบันจะไม่ทำบาปอีกเลย เพราะไม่มีเชื้ออกุศลจิตเลย เป็นหลักประกัน ทำแต่ดี จะมีแต่ของดีเก็บในฮาร์ดดิกส์ สะสมไป ไม่ทำชั่ว ดันวิบากชั่ว ไปไกล ออกฤทธิ์ได้ยากขึ้นๆ

 

พลังงานดูด พลังงานผลัก พลังงานรัก/ชัง ก็อยากมาเป็นปัจจุบัน แต่พระพุทธเจ้าท่านมีวิธีทำให้ทุกปัจจุบันเป็นกลางได้ ไม่ได้หายไปไหนนะที่ทำไปแล้ว มันไล่มาก็ตาม แต่พระพุทธเจ้าทำให้มันไล่ไม่ทันหรือหมดฤทธิ์ที่จะไล่ทันได้ เมื่อไล่ทันไม่ได้ ก็เป็นความสมบูรณ์แล้ว เราไม่ทำสิ่งชั่ว แล้วเราทำแต่ดี อดีตก็เลยเป็นสภาพที่มันมีแต่สิ่งที่เป็นตัวกั้นไม่ให้ตัวไม่ดีมาเล่นงานเราได้ เราระงับแล้วไม่ทำอีกเลย เราทำแต่ดีถ่ายเดียว มันก็เลยห่าง แม้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังเหลือน้อยที่หลุดมาเล่นงานได้อีก หรืออย่างพระโมคคัลลานะก็ตาม ถูกฆ่าได้เลย

 

พวกเราฟังไว้ให้ดี จะได้เข้าใจ ไม่ไปทำกรรมที่ไม่ดี กรรมคือการกระทำ ทางกาย-วาจา-ใจ เลิกคิดไม่ดี เลิกพูดไม่ดี เลิกทำไม่ดี ความชั่วแม้น้อย อย่าทำเสียเลย ทำแล้วมันสั่งสมในฮาร์สดิสก์เราเลย เราจะลืมมันก็ยังอยู่กับเรา เราจะผลักไสมันมันก็ไม่ไป มันเป็นของเรา ไม่เอาไม่ได้ ไม่สูญหายไม่ระเหิดไปไหน เราต้องเป็นทายาทของกรรมที่เราทำไป เพราะเราสั่งสมเอง

 

ฟังดีๆแล้วให้เราสำนึกรู้ตัวเสมอ ใครทำก็เป็นกรรมวิบากไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ อย่าทำ พยายามเข้าใจให้ดีแล้วสังวรตน ดูว่า เวลาเราทำอะไรพูดอะไรคิดอะไรก็สังวรให้ดี

 

หลวงปู่นี่สอนให้รู้ลึกซึ้ง ให้รู้อะไรมากมาย อย่างพี่ป้าน้าอาที่มาทำจนมีชีวิตสุขสบายที่นี่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ....

 

ได้ยินข่าวชาวโรฮิงญา ไหม พวกนี้เป็นพวกทำวิบากบาปมาก บาปจนไม่มีดินให้เดิน ข้าวไม่มีกิน ตะวันมีส่องร้อนเอาร้อนเอากลางทะเลเลย แผ่นดินเกิดของตนก็อยู่ไม่ได้

 

ขณะนี้ รู้จักคุณทักษิณ ชินวัตรไหม เขาอยากอยู่เมืองไทยนะ เมืองไทยเขาก็ให้อยู่ได้ แต่เขาไม่มาอยู่ เพราะเขามีความผิด แล้วตนเองก็ไม่รับผิด ก็เลยเข้าเมืองไทยไม่ได้ ก็เลยไม่มีแผ่นดินอยู่

 

นี่ก็คือความไม่มีแผ่นดินอยู่สองชนิด ถ้าว่ากันจริงๆแล้วซับซ้อนใครเลวกว่ากัน แต่ชาติก่อนๆที่เขาทำมา ทั้งโรฮิงญา(ขออภัยไม่ได้พูดกระหน่ำย่ำยีโรฮิงญา แต่พูดเป็นวิชาการให้ฟัง) เพราะเขาทำวิบากบาปมาจนแผ่นดินจะอยู่ก็ไม่มี ต้องไปอยู่กลางทะเล ขึ้นแผ่นดินไหนก็ไม่ได้ มันอาภัพ อัปภาคขนาดไหน เขาไม่อยากอยู่นะ มันทรมานอดอยากไม่ได้เรื่องเลย เป็นวิบากบาปที่ทรมานมาก เราไม่เป็นชาวโรฮิงญาบ้างเราไม่รู้สึกหรอก ถ้าเราไปเป็นอย่างเขาจะรู้สึก ว่ามันสุดเศร้าสุดสังเวชขนาดหนัก

 

ถ้าคนรู้วิบาก แค่เป็นอย่างทักษิณนี่เราก็ไม่เอา เขาอยู่ได้กับสิ่งลวง ดูมีเงินทอง ซื้ออะไรมาบำเรอตนเองแต่ที่แท้ซัดเซพเนจรระเหเร่ร่อนดิ้นพราดๆๆ ทุกข์ทรมาน เกิดจากกรรมบาปที่เขาทำทั้งนั้นเลย

 

แล้วที่บอกว่าโรฮิงญาเป็น ก็แนวเดียวกันเขาทำชาติไหนก็ไม่รู้ ชาตินี้เลยเร่ร่อนเดือดร้อนกว่าทักษิณอีก ทรมานหนักกว่า แต่พฤติกรรมของเขามันไม่ร้ายกว่าทักษิณ เขารับวิบาก ก็เห็นว่าน่าสงสาร แต่ทักษิณนี้หลายคนเห็นแล้วไม่น่าสงสาร เพราะมันกลบด้วยโลกธรรม ไม่น่าสงสาร ซึ่งมันซับซ้อนว่า คนอย่างโรฮิงญาคนยังสงสาร แต่ทักษิณนี้คนไม่สงสารและไม่น่าสงสารทั้งที่มีอยู่มีกินนะ ขออภัยที่ต้องกล่าวนาม เอามาเป็นตัวอย่าง เจตนาชี้ปัจจุบันธรรมว่ามีสิ่งจริงที่เกิดจากกรรมของตนเป็นตัวพาให้เป็น จะบอกว่าพระเจ้าทำก็ได้ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าก็ได้ ส่วนศาสนาพุทธ ก็คือตนเองเป็นคนทำ

 

 

เราแก้อดีตไม่ได้ เรามีสิทธิ์แก้ปัจจุบันได้ อนาคตก็มาไม่ถึง เราต้องหยุดอย่าทำเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราไปลำบากชั่ว ทรมานอีก อย่าทำสะสมเข้าไปในฮาร์ดดิสก์ของเรา ก็เรานี่คือคนเปลี่ยนแปลง สั่งสมต้นทุนเก่าที่จะพาให้เกิดอนาคต ปัจจุบันนี่สามารถเปลี่ยนอนาคตได้ ถ้าต้นทุนเราต้องตกนรก แต่เราหยุดทำอกุศล ทำแต่กุศล จนมากพอ อนาคตเราก็เปลี่ยนแปลงได้ อดีตนี่คือพระเจ้าหรือพรหมลิขิต ที่จะบอกอนาคต แต่ใครฝืนดวงได้ฝืนพรหมลิขิตได้ เพราะเราทำกรรมปัจจุบันที่มีพลังงานแท้จริง จนอดีตเปลี่ยนแปลงได้ จนเปลี่ยนแปลงคำสั่งพระเจ้าได้

 

จริงๆแล้วพระเจ้าไม่ได้พาทำชั่ว พาทำวิบากบาป แต่คนชั่วเองทำเองก็เลยได้อนาคตเช่นนั้น พระเจ้าปรารถนาดีต่อคนทุกคนไม่อยากให้ตกทุกข์ได้ยากหรอก แต่ตนเองทำเองก็เลยตกทุกข์ได้ยาก ทางเทวนิยมก็เลยบอกว่าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วที่ไหนว่า พระประสงค์พระเจ้าให้ทุกคนพ้นทุกข์หรือเขาอาจว่า เพราะคนนี้ทำชั่ว พระเจ้าเลยลงโทษ จริงๆคำสอนของศาสนาเทวนิยมก็บอกว่า ใครก็ตามถ้าจะไม่ให้ตกทุกข์ได้ยากต้องช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วย ใครช่วยตนเองจนหมดพลังบาปที่จะไล่ทัน คนนั้นก็พ้นนรก ไม่ตกทุกข์ร้อนก็อันเดียวกับตนเองนั่นแหละเป็นตัวสำคัญ ทำกรรมของตนเอง

 

เราจึงต้องมาเรียนรู้กรรมให้ดี คนมีชีวิตเป็นอัตภาพแล้ว ทุกคนทุกตัว แต่คนในชาตินี้ ไปเกิดเป็นสัตว์ได้นะ หรือว่าร่างเป็นคนแต่ใจเป็นสัตว์ก็มีเยอะ หรือเลวกว่าสัตว์นรก เป็นสัตว์นรกตัวเลวๆด้วย คือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ

 

ถ้าผู้ใดสามารถเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า สำคัญที่เรียนอย่างไรให้เปลี่ยนจิตใจ การเปลี่ยนกาย วจีนั้นไม่ถาวร ไม่เด็ดขาด แต่ถ้าจะเสร็จเด็ดขาดต้องเปลี่ยนจิตใจ หลวงปู่สอนหรือพาทำก็พาทำตรงนี้แหละ ให้เปลี่ยนจิตใจ เรียกว่า ทำใจในใจ เปลี่ยนจากใจที่คิดชั่ว พูดชั่วทำชั่วเพราะมีเหตุชั่ว ก็ดับมันดับเหตุให้มันตายไปจากจิตเลย

 

ศาสนาพุทธรู้จักการทำสัตว์ชั่ว (สัตว์ทางจิตวิญญาณ  โอปปาติกะที่ชั่ว) จนฆ่ามันตายสิ้นชีวิตไปได้เลย ถ้าสัมมาสิกขาได้ทำเช่นนี้ได้ความรู้นี้ติดอัตภาพไปนี่จะดีมากเลย ได้เป็นตระกูลพระพุทธเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์แท้จริงของพระพุทธเจ้า)

 

เริ่มจะเป็นเผ่าพันธุ์ของพระพุทธเจ้าต้องเปลี่ยนจิตให้มีทั้งเจโตและปัญญาที่มีโลกุตระจิต เรียกว่าจิตวิญญาณเริ่มเข้าสู่กระแสโลกุตระ เข้าสู่โลกที่พระพุทธเจ้าไม่ว่าองค์ไหนก็พาเป็นเช่นนี้ ให้สามารถอ่าน ความเป็นโลกุตระคืออย่าไร เรียกว่า ปรโลก แล้วโลกเก่าเป็นอย่างไร แล้วเปลี่ยนไปสู่โลกุตระ

 

เริ่มเพาะเชื้อของพระพุทธเจ้า ของพุทธธรรม หน่วยของจิตนั้นต้องเป็นจริง ต้องมีปัญญาญาณรู้ทิศทางว่าโลกใหม่ของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ ผู้ใดศึกษาไม่ดีทำไม่ถึงความจริงเชื้อโลกุตระเกิดไม่ได้ ถ้าศึกษาแท้จริงเกิดได้ ซึ่งมีรายละเอียดของจิต มโน วิญญาณ คือธาตุรู้ ในอัตภาพของแต่ละคน ถ้าสามารถเรียนรู้ได้ เช่น

 

ยอมเสียเปรียบทั้งๆที่รู้คือ "ผู้เสียสละ"

 

จิตหรือใจของเรา มันโกรธ ตอนนี้เราโกรธแล้ว โกรธนี่ไม่ใช่มือโกรธแขนโกรธแต่ใจโกรธ เด็กๆฟังดู เคยใจโกรธไหม? เคยอ่านใจตอนมันโกรธไหม? นั่นแหละฝึก อ่านอาการเช่นนี้ ท่านเรียกว่ามีลีลา ของอาการโกรธ อาการอย่างนี้เรียกว่า อาการดีใจ เคยอ่านอาการดีใจได้ไหม? นี่คือการเรียนรู้จิตใจหรือจิตวิญญาณ แล้วก็อ่านต่ออีกว่าเราดีใจเพราะอะไร?เราดีใจเพราะได้ของที่เราชอบ เหตุเพราะเราตั้งจิตไว้ว่าอย่างนี้เราชอบ พอได้สมกับที่เราตั้งไว้ก็เลยดีใจ อาการดีใจอย่างนี้เป็นกิเลส

 

จนเห็นอาการกิเลสซ้อนในดีใจ ว่าถ้าเราอยากได้แล้วยิ่งอยากได้มากๆ เห็นอยู่หลัดๆว่าน่าได้เลย แต่เราคว้าเอาไม่ได้ จะทุกข์หรือสุข?.... ทุกข์ คืออยากได้แล้วไม่ได้ เห็นจิตทุกข์นี้คืออาริยสัจที่พระพุทธเจ้าสอนเรา เพราะมันอยากได้แล้วไม่ได้ ตัวอยากคือตัวการ ตัวอยากคืออย่างไร อ่านอาการมันให้ออก

 

พระพุทธเจ้าให้รู้อาการที่มันเกิด แล้วมันไม่อยู่นิรันดรหรอก ขณะที่มันเกิดจริงคือตอนสัมผัส หากไม่มีของจริงให้สัมผัสไม่ใช่ของจริง เราอยากได้ทองก้อนนี้ แต่เราไม่ได้สัมผัสก็ไม่จริง แต่ถ้าเราเจอทองคำที่มันตกอยู่ที่ถนน เราก็อยากได้เลย เห็นอาการมันเลย แต่ว่าทองคำนั้นมันมีเจ้าของทั้งนั้น มันเป็นของคนอื่น เราก็อยากได้ ถ้าไปเอาละเมิดนี้ผิด แต่ถ้าไม่เป็นของใครเราก็อยากได้มาก

 

แล้วทองนี้ถ้าไม่เป็นของใคร แต่มาเห็นพร้อมกันสองคนก็แย่งกันเลย ตีกันตายได้ แต่ถ้าเราไม่อยากได้ เขาจะเอาไปก็ไม่หวงแหน ไม่ได้เป็นของเราอยู่แล้ว ใจเราก็ไม่ทุกข์ ไม่ก่อเวร แต่ถ้าเราไปแย่ง สมมุติว่าสู้ไม่ได้ก็ก่อเวร คนได้ก็ดีใจ แต่คนไม่ได้ก็พยาบาท ของนี้เราเห็นก่อนนะ แล้วมาแย่งเราไป นี่คือเราอยากอะไรก็ทุกข์ทั้งนั้น

 

เราก็ทำของเราเองดีกว่า แม้จะทำจะปลูกจะสร้างสรรอะไรที่สุจริตก็ทำด้วยความสามารถตนเอง อย่าไปแย่งชิงของใคร อันนี้ปลอดภัยที่สุด อย่าไปเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา มันก่อเวรเป็นภัย เป็นหนี้ตามวิบากเลย ติดตัวเราไป อย่าทำ

 

ยิ่งอ่านจิตเราเป็น แล้วเราก็ลดความอยากได้เป็นเราเป็นของเราลง เช่นเราเห็นว่าน่าจะมีมะม่วง เราก็ปลูกมะม่วง ปลูกตามวิธีการถูกต้องหมดเลย โดยไม่ต้องอยากได้มะม่วง มะม่วงก็เกิดให้เราโดยไม่ต้องอยากได้มะม่วงเลย เราเห็นว่าอะไรน่าจะมีจะเป็น เราก็ไม่ต้องอยาก ก็ลงมือทำเลย สร้างหรือทำไม่ได้ก็เอาอันอื่นไปแลกหรือไปขายเป็นเงินอย่างสุจริตไปแลกเปลี่ยนได้ไม่เป็นบาป ถ้าเราไม่โกงในที เช่นไปขายเอากำไรมากๆกลับดีใจอีกพวกนี้บาปกินหัวนะเป็นหนี้ทางสัจธรรม

 

สัจธรรมนี่สุจริตที่สุด ซับซ้อนอย่างไรก็คิดละเอียดไว้หมด แต่คนเอาสิ่งทุจริตมาหลอกว่าเป็นสัจธรรม สังคมทุกวันนี้เอาเปรียบเอารัดหลอกกันเยอะ หลวงปู่เลย พาทำอย่างในหลวงว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คนไปเอาเปรียบเอากำไรเขาคือคนขาดทุนทุกการกระทำ ไม่ออกฤทธิ์ตอนนี้ตอนหน้า

 

เราเสียเปรียบทั้งๆที่รู้ เราไม่เรียกเสียรู้ เราเรียกว่า "เสียสละ" รู้ให้ได้ว่าเรามาเสียสละ บางทีเราจำนนเราไม่อยากเสียสละ แต่ถ้ามันจะเดือดร้อนกันก็ต้องยอมเสียสละ คนเอาส่วนที่ไม่ควรได้ก็เป็นบาปของเขา เราก็จำนน ทั้งที่ไม่อยากให้เขาทำชั่วก็ตาม เรารู้ให้ได้ว่าอะไรชั่ว แล้วอย่าทำ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ทุกปัจจุบัน ผิดมาแล้วหยุดอย่าทำอีก เพราะทำแล้วเป็นของเรา กรรมเป็นของๆตน เราต้องรับมรดกกรรม ทั้งชั่วและดี ถ้าทำชั่วมาก หนักเข้าก็จะไม่มีที่จะอยู่ ข้าวไม่มีกิน ดินไม่มีเดิน

 

ตอนนี้บ้านราชฯจะต้องใช้พลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ เป็นของฟรีที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของด้วย ถ้าใครพวกเรารู้ก็มาช่วยกันทำได้ก็ยิ่งดี

 

ต่อไปเป็นการถามตอบ
 

_น้องโมกข์(แก้วกลั่นพร หิรัญเขว้า) ....คนที่อยากเรียนสัมมาสิกขาแต่มาไม่ได้ กับคนที่มาได้แล้วแต่ต้องออกไป เป็นกรรมใช่ไหม?แล้วอะไรหนักกว่ากัน...

ตอบ...กรรมกิริยาที่เราลงมือหรือแต่ใจคิดก็เป็นกรรมแล้ว ทีนี้เรากระทำกรรมมีใจอยากเข้า เราก็มีกิริยาของใจแล้ว แต่มันเข้าไม่ได้เป็นกรรมของเราไหม ก็เราทำเหตุปัจจัยไม่ครบก็ไม่ได้เข้าหรอกก็เพราะกรรมของเราเอง แม้แต่เขาอยากแล้วเขาก็มาสอบเข้าแต่เขาเข้าไม่ได้ก็เพราะกรรมเช่นกัน สรุปแล้วเข้าได้หรือไม่ก็เพราะกรรม แต่คนเข้าได้แล้วออกนั้น อาการหนักกว่า เพราะว่าเข้าได้แล้วออกเองหรือที่นี่ให้ออก ก็มี คนที่เข้าไม่ได้เพราะเหตุปัจจัยไม่พอแต่คนเข้ามาได้เพราะมีเหตุปัจจัยพอ คนเขาเข้าใจว่ามีคุณภาพความดีพอก็เลยเข้ามาได้แต่มาแล้วล้มเหลวไม่จริงเขาก็เลยให้ออก แสดงว่าปลอม คนเข้ามาได้เขาอาจอยู่ได้เลยก็ได้ เหมือนคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดไม่ได้เขาก็ไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิด เรียนแล้วดีกว่าอีกก็ได้เยอะ เป็นนัยละเอียด คนที่เข้ามาแล้วต้องออกไป มีต้องออกไปเพราะถูกให้ออกนี้ต่ำว่าเกณฑ์ แต่คนที่มาแล้วออกไปเพราะตนเอง มีที่พระพุทธเจ้าว่า คนที่เห็นอันที่สัมมาทิฏฐิแล้วว่าดีแต่ว่าอยู่ไปกลับเห็นว่าไม่ดี เห็นอันอื่นดีกว่าแล้วออกไป ก็คือคนนี้พระพุทธเจ้าว่ามีอนันตริยกรรมด้วย คนนี้มีกรรมบาปหนักมาก

 

_อยากทราบว่าหลงรักคนมีแฟนแล้ว ตัวเองทุกข์ไม่ได้ดั่งใจ หลวงปู่พอจะมีทางแก้ไหมครับ?เพื่อให้สบายใจ

ตอบ....ไปทำเองแล้วเอางานมาให้หลวงปู่ ตัวเองไปรักเขาเขาไม่รักก็สมน้ำหน้าแล้วยังจะเอางานมาให้หลวงปู่ช่วย ....เรื่องความรักทางเพศนี้เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่ต้องรักเลยเรื่องเพศแต่มีรักที่สูงส่งได้มากขึ้นๆ แต่ที่ถามมานี่ตนเองทุกข์ก็สมน้ำหน้าแล้ว รัก 1 ทุกข์ 1 รัก 2ทุกข์ 2...รัก100ทุกข์100 ไม่รักแบบเพศเลยไม่ทุกข์เลย แต่ถ้าผู้บวชเป็นพระแล้วไปส่งเสริมให้คนเป็นผัวเมียกันนี่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสเลย จะให้หลวงปู่ไปโยงใยเรื่องนี้ไม่ได้ไม่ส่งเสริม ให้เลิกเสียหยุดเสีย

 

แล้วมีทางแก้ให้สบายใจไหม?...ก็ได้แต่ไม่ส่งเสริม ผิดวินัย เรื่องอาการเช่นนี้ทางจิตมันเป็นเรื่องของสัตว์โลก คนก็มีเป็นธรรมชาติ ยิ่งเราเป็นวัยฮอร์โมนยิ่งมีด้วยมาก ก็เป็นเรื่องติดยึดมากมานาน ยิ่งโลกทุกวันนี้ยิ่งคุมกำเนิด คนมันจะท่วมโลกแล้ว หรือไม่ก็เกิดมาดูแลยากมากแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าลูกเราจะดีหรือเลว หรือเรื่องเสพรสของเพศนี่ฟังดีๆ มันเป็นรสหลอก รสไม่มีจริง มันเป็นอุปาทาน สัตว์เดรัจฉานหลายประเภท มันบังคับร่วมเพศมัน บางทีตัวเมียมันฆ่าตัวผู้เลย มันไม่ใช่เรื่องสุขเรื่องทุกข์มันเป็นเรื่องธรรมชาติ จริงมันมีเชื้อจะต้องสืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่ถ้าเราไม่มีจิตไปกระตุ้นมัน มันก็อยู่แค่ธรรมชาติ จะเกิดจะมีจะเป็นก็ตามธรรมชาติไม่ได้ใหญ่โตอะไร ศาสนมพุทธสอนให้เลิกได้ พ้นทุกข์ ล้างตัวยึดว่ามันเป็นจริงคืออุปาทานได้ มันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา เป็นเรื่องเชื้อผสมไข่เกิดมาเป็นคนก็แค่นั้น ส่วนเรื่อง เป็นรสสุขอะไรมันก็ยึดเองว่ามี

 

นัยสืบต่อเผ่าพันธุ์นั้นนัยหนึ่งทำตามธรรมชาติถึงเวลาก็ผสม แต่อีกนัยคือมันมีความอยากมาผสม พระพุทธเจ้าให้ล้างความอยาก แต่ส่วนเรื่องธรรมชาติให้ปล่อยมันไปฝ่ายหญิงตกไข่ก็ให้มันหมดไปเอง ส่วนผู้ชายก็มีเชื้อไม่ได้ผสมมันก็จะออกมาหายไปเอง ผู้ชายมีเชื้ออสุจิพอถึงเวลามันคั่งมันเต็ม มันก็จะไหลออกเองเหมือนเยี่ยว ผู้หมดรสชาติแล้ว ก็ไหลออกเหมือนเยี่ยวไม่มีรสมีชาติ คนมีรสมีชาติอยู่เป็นอุปาทานทั้งสิ้น ถ้าโรงงานมันเต็มมันก็ไหลออก ส่วนมากมันไหลออกกลางคืนที่สติไม่ตั้งอยู่ ส่วนเวลาสติตั้งอยู่มันไม่ไหลออก แต่เวลาสติไม่ตั้งอยู่มันไหลออกไม่มีรส ไม่ต้องไปหลงไหลเป็นรสชาติ ไคลแมกซ์ แย่งชิงกันเลอะเทอะไปหมด

 

หลวงปู่อธิบายสัจธรรมให้ฟัง ในรายละเอียด สรุปคืออาการนี้เป็นธรรมชาติ แต่พวกเราไม่อยู่ในวัยสืบพันธุ์ เรายังเด็กมีอาการตามฮอร์โมนตามธรรมชาติ ก็ไม่ต้องไปอยากให้เสริมกับฮอร์โมนอีก ผู้ใดไม่มีอาการอยากมาก ไม่ต้องมีแฟน คนนั้นมีบารมีมาเก่า คนไหนมีอารมณ์อยากมีแฟนนี่เป็นคนชั่วมาเก่าเป็นคนมีกิเลสมาเก่า อย่าไปอยาก โดยเฉพาะพวกเรายังไม่อยู่ในวัย ถ้าอายุ 20 ขึ้นไปก็ค่อยว่ากัน แม้จะถึง20 ก็เรียนรู้ดีๆอย่างหลวงปู่ว่า ประชากรล้นโลกแล้ว อย่างเมืองจีนเขาไม่ให้มีลูกเกิน 1 คนนะ ต้องลักลอบมีกัน ทุกวันนี้คนเข้าใจกันว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องต้องมีติดยึดต้องได้ คนก็เลยแต่งงานไม่ใช่เพื่อสืบพันธุ์แต่แต่งงานเพื่อเสพกาม คนเช่นนี้จะติดรสกามไปอีกนาน  อย่างเราต้องการเรื่องเพศแล้วไปบำเรอมันมันก็ยิ่งโตขึ้น ใครไม่ทำได้ก็ไม่ต้องสะสม

 

 

คนเราหมุนเวียนในวัฏสงสาร มันมีเหตุปัจจัย มีคู่วิบากเยอะ แม้เราจะเป็นคู่วิบากมาแต่ชาติไหนๆก็เลิกได้ทุกชาติ พยายามเลิกอย่าไปต่อ อย่างหลวงปู่นี่ตั้งใจเลย จะเลิกเรื่องคู่ไปตลอดเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่มีเมีย จะพยายามลดวิบากนี้ไป จนไม่ต้องมีเมียเลย พระพุทธเจ้าหลายองค์ท่านไม่ต้องแต่งงานเลย  เป็นเรื่องที่อย่าไปก่อเลย ยิ่งเขามีแฟนอยู่แล้วเขาก่อทุกข์อยู่แล้ว แล้วเราก็ไปแทรกไปอีกให้ทุกข์ซ้อนทุกข์เข้าไปอีกจะไปแย่งเขาทำไม?

 

_ดิฉันอยากให้คุรุบอกเด็กในปกครองด้วย เคยเห็นนศ.ชายเหม่อลอย เปิดน้ำทิ้งไว้ พอเห็นดิฉันมาเขารีบปิดทันที?

ตอบ...สังคมเรามีลักษณะไม่ยึดมั่นถือมันไม่มีเป็นเราเป็นของเราดีแล้ว แต่มันมีของรวม เรามาอยู่กับองค์รวมสังคมก็ต้องช่วยกันดูแล ถ้าเราไม่ดูแลมันก็เสียหายสูญหายก็ยิ่งลำบากหากยาก ยิ่งอดอยาก ต้องมีปัญญาช่วยกันดูและเก็บงำ บูรณะดูแล เพราะเป็นของส่วนรวม เราอยู่ในส่วนรวม ถ้ามันพร่องหายก็ทุกข์ด้วยกันหมด

 

_ถ้าเราโดนคนอื่นกดขี่ข่มเหง แล้วเราทำอะไรไม่ได้จะทำอย่างไร?

ตอบ...คำว่ากดขี่ข่มเหง นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ บางทีเขาบอกแต่เราไม่ชอบใจ เขาไม่อยากทำตามที่เราบอก ก็ถือว่าอย่างนี้กดขี่ข่มเหงนะ ที่จริงสิ่งที่เขาบอกเราแรงหนัก เราก็รู้สึกเหมือนถูกข่มเหง ต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นสิ่งดีงามไหม? เขาไม่ได้กดขี่แต่เขาอยากให้เราเจริญ แต่สมมุติว่าเราไม่อยากทำ แต่เขามาให้เราทำ เราก็เลยถือว่าข่มเหง อันนี้ผิดแน่ๆเลย ยิ่งถ้าสิ่งที่เขาให้เราทำ เขาบังคับให้เราทำเป็นสิ่งดีประเสริฐถูกต้องเราไม่ทำต่างหากเป็นความเลว เขาอาจบอกแรง บังคับ แต่ไม่ได้ข่มเหง แต่ถ้าเขามาแกล้งเราทำร้ายเราทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรเขานี่คือถูกข่มเหง เราทำอะไรไม่ได้ก็ไปบอกผู้ใหญ่ อย่างความจริงไม่ใส่ไข่นะ

 

_จะรู้ได้อย่างไรว่า คนพาลกับบัณฑิต ต่างกันอย่างไร?

ตอบ....เอาเข้าใจง่ายๆคนพาลคือคนเกเรทำอะไรไม่ดี แต่บัณฑิตคือคนทำสิ่งดี นี่เอาง่ายๆ ส่วนสูงไปกว่านั้น คนพาลคือคนโง่ บัณฑิตคือคนมีปัญญา

 

_ผมไปทำบุญที่วัด ตักบาตรกับแม่ เจอฤาษีหนวดยาวผมเยอะ มาบิณฑบาต ในบาตรมีแต่เงิน หลวงปู่ว่าฤาษีมีคุณธรรมอย่างไร?เหมาะหรือไม่?

ตอบ...บิณฑบาตเงินนี่มันขอทานนะ จบ นอกจากขอทานแล้วใช้บาตรพระพุทธเจ้าด้วยก็ยิ่งบาป คำว่าบิณฑบาต แปลว่า ก้อนข้าวหล่นลงในที่รองรับเรียกว่าบาตร แต่ถ้าคำว่า ปาตะ คือ อาการตก อาการร่วง

 

คำว่าบิณฑบาตแปลว่าก้อนข้าวตกในนั้น ไม่ใช่ไปหาเงิน มันเป็นบาป แต่เขาเอาบาตรพระไปรับเงินนี้บาปกินหัว

 

_เพชรเมืองพระ(กระบวย) .... คนทะเลาะกัน คนหนึ่งใช้คำพูดว่า อีกคนหนึ่งใช้กำลังกับเพื่อนคนไหนมีบาปมากกว่า

ตอบ... ก็คนใช้กำลังสิ มันบาปกว่า แต่ถ้าจะพูดอีกก็ได้ คนใช้กำลังก็เจ็บแค่กาย แต่บางคนใช้ภาษาพูดนี่เจ็บใจได้มากกว่าอีกนะ แต่สรุปแล้ว ทางกายมันแรงกว่า ทางวาจามันเบากว่า

 

_หลงรักเพศเดียวกัน ทำอย่างไรฮะ

ตอบ...สรุปแล้วภาษานี้กระเทย ฟังดีๆนะ คนเป็นกระเทยนี่ มาบวช พระพุทธเจ้าไม่ให้บวช ไม่รับกระเทย แม้มาบวชแล้ว ภิกษุไม่รู้โดนกระเทยหลอกบวช แต่จับได้ภายหลังว่าเป็นกระเทยก็ให้สึก กระเทยไม่มีสิทธิ์เป็นพระ พระพุทธเจ้าตั้งกฎไว้เลย ที่ไม่ให้บวชเพราะกิเลสมันแย่ เลวร้ายหนัก คนในโลกไม่เข้าใจก็ไปหยวนกันให้แต่งงานกันได้ส่งเสริมอีกมันยิ่งแย่ บำเรอกิเลสหนักหนาเข้าไปอีก มันเกิดจากจิตวิญญาณ ...

 

คือ คนเรานี่ การสมสู่ มีเพศสัมพันธุ์ก็เพื่อสืบต่อเผ่าพันธุ์ไว้ เป็นธรรมชาติไม่มีรสชาติ บางทีเป็นทุกข์ด้วยซ้ำ สัตว์บางชนิดฆ่าคู่สมสู่ด้วยนะ สัตว์บางชนิดก็แย่งกันทรมานมาก สรุปคือมันเป็นทุกข์ไม่ได้สุขอะไร สุขจากการสัมผัสเสียดสีตามอุปาทาน ว่าได้สัมผัสเสียดสี ตามอาการ เย็นร้อนอ่อนแข็ง จนถึงจุดๆหนึ่งถึงที่สุดติดยึดเป็นของหลอก ต่อมาคนเห็นว่า การมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิง/ชาย จะมีกิเลสตามธรรมชาติมันหนักหนาแรงมากก็ทุกข์ก็ลำบากในตัวแล้ว ทั้งๆที่เป็นเพศชาย/หญิงสมสู่กันก็เป็นภาระหนักยุ่งยากแล้ว  แล้วคนเห็นว่า ที่สมสู่กันนี่เขาไม่ต้องการมีลูก จะเป็นภาระ แต่ต้องการเสพรส คนก็เลยมีความคิดวิตถาร ว่าอย่ากระนั้นเลย เราก็หาความสุขโดยไม่จำเป็นต้องมีต่างเพศไปก่อเชื้อ เพราะไปปฏิบัติกิจเช่นนั้นต้องมีลูก สมัยโบราณไม่มีการป้องกัน เขาก็เลยไปหาการสัมผัสเสียดสีเพศเดียวกัน จะได้ไม่ต้องมีลูก เขาก็มาเสพรสเพศเดียวกัน แสดงว่า กิเลสเสพรสมันวิตถาร มันข้ามมาเพศเดียวกัน จึงเป็นเรื่องกิเลสล้วนๆเลยไม่เป็นตามธรรมชาติ มีแต่อุปาทานยึดถือของตนเองอย่างเดียวเลย มันแรงและวิตถาร มันแก้ยากแก้ไม่ได้เลย มันเป็นกระเทยข้ามชาติมาเลย เขาก็เลยจำนน เหมือนคนติดเหล้าก็เอาเหล้าให้กินไปเรื่อยมันก็ยิ่งหนักสิ ฉันเดียวกัน ติดเรื่องเพศวิตถารก็ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ แต่มันไม่ใช่ธรรมชาติมันวิตถารนะ มันไม่ง่ายที่จะรู้ โลกทุกวันนี้เขาก็เรียกร้องอิสระแก่พวกนี้ ลึกๆเขารู้ว่าไม่ธรรมชาติ มันเป็นการเสพกาม ไม่ใช่การสืบเผ่าพันธุ์ มันไม่ธรรมชาติ ไม่เป็นความดีอะไรเลย ผู้ใดติดมาแต่ชาติก่อนต้องอดทนเอา ศึกษาธรรมะดีอย่าไปละเมิดทำอย่าให้กิเลสอ้วน ถ้าไม่เช่นนั้นหนักหนากว่าเก่าข้ามชาติเลย....จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:09:27 )

580522

รายละเอียด

580522_ธรรมาธรรมะสงคราม เรื่อง อะตอมคืออัตตา

พ่อครูว่า...วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2558ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีมะแม รายการธรรมาธรรมะสงครามจากราชธานีอโศก เริ่ม 18.05 น.

 

เราได้เรียนกันไปไกล ที่เรียนกันถึงแก่นแกนเลย เราเอาภาษาวิทยาศาสตร์มาเรียก ดูจากสภาวจิต เปรียบเทียบภาษาวิทยาศาสตร์หรือบาลีก็ตาม ก็เห็นถึงแก่นจริงๆของหน่วยของธาตุ

 

ในอะตอม เป็นพลังงานแยกแจกออกไป แม้แต่อะตอมเองก็แจกไปเป็น มีนิวเคลียส ที่มีโปรตรอนกับนิวตรอน อยู่ภายใน และมีอิเล็กตรอน ที่วิ่งอยู่รอบๆ นิวเคลียส และในนิวเคลียสนี่ ถ้ามันแตกตัว มีการเคลื่อนที่ แตกตัว เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ จากนิวตรอน กระทบนิวตรอนธาตุตัวอื่น มันจะเกิดแตกตัว เป็นพลังงานที่ออกมาอย่างมหาศาล หาที่สุดมิได้ อัปปมาณ นับอนันตังเลย เกิดเป็นธาตุใหม่ แปรรูปไป จำนวนนิวตรอนต่างๆที่ถูกกระแทกแตกกระจายเป็นลูกโซ่ ซึ่งไม่เสถียรเรียกว่า isotope ซึ่งมันจะมีปริมาณที่ลดลงเป็นเวลาหนึ่งๆ ที่ลดลงกึ่งหนึ่ง เรียกว่า half  life ซึ่งมันก็จะลดลงไปเรื่อยๆแต่จะไม่เป็นศูนย์ได้ มันแค่ลดลงกึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ แต่ไม่หมดไป

 

ทางรูปธรรมนี้มันไม่สามารถที่จะสูญได้จริง มันแตกตัวลดลงไปเรื่อยๆ จนเขาทิ้งไปแล้ว เหมือนมันไม่มีเลย เขาว่ามันจะแตกตัวไปอย่างไม่สิ้นสุด เป็นนิรันดร นี่คือเรื่องของธาตุวัตถุเป็นนิรันดร ไม่มีที่จบ ไม่มีวันสูญ แต่มันก็จะน้อยลงๆ

 

อันนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาเรียนรู้ถึงสภาวะที่พอสุดท้ายแล้วมันก็สูญทิ้งไปในตัวได้ เขาทำสูญไม่เป็น แต่สสารไม่มีสูญหายไป แต่มันแปรรูปไป จากสสารเป็นพลังงาน แต่ชีวะสามารถทำให้สูญได้สำหรับผู้มีความรู้ แต่ผู้ไม่มีความรู้ ก็เช่นเดียวกันกับสสาร ไม่สามารถจะสูญได้ เขาสามารถทำได้ในนามธรรม สามารถทำนิโรธแล้วเหมือนมันดับ เขาดับความรู้สึก ทำให้พลังงานตัวละเอียดเป็น potential energy ที่เขาไม่รู้ ไม่ทำให้สูญได้จริง แล้วเขาก็หลงว่าเหมือนมันดับไม่ทำงาน ทำจิตตนให้เป็นเหมือน potential energy ที่ตนเองไม่สามารถหยั่งรู้ ที่เขาเรียกว่านิโรธ แต่ที่จริงพลังงานข้างในมันทำงานอยู่ เรียกว่า อาสวะ ถึงเวลาหนึ่งมันก็กลับฟื้นคืนมาได้

 

ต่างกันของพระพุทธเจ้า ที่สามารถทำให้มันน้อยลง จนมันหยุด แต่ของพุทธทำให้จิตวิญญาณถึงขนาดนี้ได้เทียบกับพลังงานระดับอนาคามี แต่วัตถุไม่สูญ แต่อนาคามี นี้เหมือน isotope เหมือนจิตที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร จะไปอีกนานเท่านานเลย ทางโลกเขาบอกว่าสสารไม่มีทางสูญได้ แต่ทางธรรมนี้ ชีวะนี้ สามารถกลับลงไปเหมือนอุตุนิยามได้ อย่างอนาคามีนี้พลังงานเหมือนชีวนิยามแล้ว เพราะเป็นพลังงานไม่เป็นพิษภัยต่อภายนอกแล้ว จบอปรโคยานแล้ว ไม่มีกรรมวิบากกับอะไรใครอีก

 

แม้ว่า พลังงานจิตอนาคามี จะไม่จัดการ ไม่มาเกิดในชมพูทวีป เพื่อปฏิบัติประพฤติในมนุษย์ชมพูทวีปที่มีอาการ 32 พร้อมอาการ 33 เมื่อไม่มาเกิดมาใช้อุปกรณ์นี้มันก็น้อยลงๆ เหมือน isotope มันน้อยลงก็ได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

 

 

อนาคามี จิตที่เหลือเป็นพีชะ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถมีอมรโคยาน มันมีชรตาเสมอๆ เพราะมันไม่สันตติแล้ว สุดท้ายแล้ว มันก็มีการเกิด แล้วก็มีการต่อ สันตติ ถ้าผู้ใดไม่รู้จักการตัดสันตติ พลังงานก็จะหมุนไปตามธรรมชาติ หมุนไป สุดท้ายก็หมดสภาพของมันเอง แต่มันนานจนเขาบอกว่าไม่สูญ ไม่หายไปจากอุตุนิยาม มันแต่เปลี่ยนสถานะเท่านั้น แต่ว่า ความเป็นชีวะมันจบ มันลงไปสู่ความเป็นอุตุ ก็จบ

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเราเองปรินิพพานเป็นปริโยสาน เหมือนพวงมะม่วงหลุดจากขั้วแตกกระจาย ความเป็นชีวะของเราก็สูญ มะม่วงก็แตกกระจาย เหมือน H2O ที่แตกออกแล้วก็ไม่เป็นน้ำแล้ว เป็นธรรมะสองที่รวมลงเป็นหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เป็นจากหลายมาเป็นสอง แล้วจากสองก็กลายเป็นหนึ่ง เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

 

 

ถ้าเป็นจิตอวิชชา มันจะไม่หยุดปฏิฆผัสโส มีสภาพที่สัมผัสกระทบกัน ยิ่งกระทบกันข้างนอกก็ยิ่งจริง ไม่มีวันสูญ เลย ปฏิกิริยาแตกตัวไปเรื่อย แต่ถ้าจิตนิยามที่มีวิชชาก็จะสามารถหยุดปฏิฆผัสโส เรียกว่าผัสสะดับ ทุกอย่างดับหมด อายตนะดับ นามรูปดับ สังขารดับ อวิชชาดับ

 

 

นิวเคลียสมี genome ซึ่งมีลักษณะสองเพศ พุทธสามารถจัดการให้ความเป็นเพศนี้หมดไป คือความเป็นอิตถีเพศกับบุรุษเพศหมดไปได้ สูงสุดก็เป็นนิวตรอน คือพลังงานเข้มเข้มแข็งมากเลย มีพลังงานอัดในนั้นใครไปแตกระเบิดมันก็มีพลังงานมหาศาล แต่ของพุทธสามารถลดพลังงานลงตามลำดับ ไม่ใช่แบบสะกดไว้อัดไว้นะ ในทางโลกีย์ยิ่งกดดัน ยิ่งอัดไว้ยิ่งระเบิดแรง แต่ของพระพุทธเจ้าทำให้มันเล็กลงๆ หมดกิริยาไปเพราะตัดพลังงานเหตุ พลังงานบวกกับพลังงาน 0 นี่เป็นพีชะ เป็นอนาคามี ไม่มีพิษภัยกับใครแล้ว

 

พัฒนาพลังงานจากหญิงมาเป็นบุรุษเพศ ให้ลดลงๆ พอมาเป็นเอกบุรุษ ก็เจาะลงไปในวงวนซ้อนภายในก็จับคู่นิวเคลียสที่ซ้อนกันอีกวงหนึ่ง บุรุษเพศก็จะกลายเป็นอิตถีเพศอีก เป็นปุงลิงค์กับนปุงสกลิงค์ใหม่ พอ นปุงสกลิงค์เกิดใหม่ เจาะไปในวงวนซ้อนอีก นปุงสกลิงค์ก็กลายเป็นปุงลิงค์อีก ก็ทำให้เป็นนปุงสกลิงค์อีก จนเหลือคู่สุดท้าย คือธรรมะสอง ทำให้เป็นหนึ่งเสีย สุดท้ายก็เป็นเอก เป็นปุงลิงค์(+) กับนปุงสกลิงค์ (0) เป็นอุตตมโปริสสะ เป็นตัวสูงสุดคืออรหัตตผลยอดเลย

 

 

เป็นการดับที่มีธาตุรู้ จากอวิชชา เปลี่ยนเป็นวิชชาหมด รู้สภาพ 0 รู้สภาพมี พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ว่า มีแต่ความมีกับความไม่มี ท่านทำนปุงสกลิงค์ได้แล้ว 0ได้แล้ว แต่ท่านก็ยังยอมมีอยู่เพื่อทำงาน ท่านจะไม่มี จะสูญเมื่อไหร่ก็ได้

 

จะเรียกว่าอะตอม นิวเคลียสหรือgenome หรือ นิวตรอนที่เป็น isotope ก็รู้แจ้ง isotopeของนิวตรอนก็คือgenome ของนิวตรอน ถ้าคนไม่รู้นิวตรอนก็จับตัวเป็น gene จับตัวแข็งแรงเป็นเพศผู้เพศเมียแล้วgenome คือ DNA Gene และ Genome ก็หมุนเวียนอยู่ในโลก นี่คือลงท้ายที่สุด แล้วก็มีทางโลกทางวิทยาศาสตร์เขาไม่สามารถกำจัดกัมมันตภาพรังสีได้ เพราะเขาไม่สามารถทำให้มันดับได้

 

เขายิ่งทำให้มันกลายเป็นภาวะที่แข็งตัวเป็นธาตุหนัก เหมือนสร้างให้มันเป็น ยูเรเนียม เหมือนพวกนั่งสมาธิ ทำให้กลายเป็นธาตุที่แน่นมีพลังอัด ใครทำให้ยูเรเนียมระเบิดอีกก็ทำลายโลกได้ อาตมาพยายามเอาพยัญชนะทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบ พยายามเอามาเทียบวัดความเป็นวัตถุธาตุ มาเป็นโครงสร้างของนามธาตุ และอธิบายได้ดังที่อาตมาเทียบ ส่วนผู้รู้ที่ย่ิงกว่าอาตมา อันใดผิดพลาดช่วยให้ความรู้อาตมาด้วยจะขอบคุณยิ่ง

 

เมื่อทำให้ถึงนปุงสกลิงค์ก็หมดความเป็นชีวะก็จบ ส่วนจะเหลือเป็นอุตุนิยามหรือพีชนิยามก็หมดหน้าที่ของพิษภัยแล้ว แม้อนาคามีก็หมดพิษภัยแล้ว พลังงานนั้นหมดพิษภัย หน้าที่ของผู้ใดก็แล้วแต่ ถ้าจะทำแค่อนาคามี แล้วไม่ต่อภพภูมิ ตายไปแล้วไม่ขอเกิดมีขันธ์ 5 อีก ไม่เป็นมนุษย์ชมพูทวีปอีกก็ไม่เป็นไร ก็สามาถรสูญได้  แม้ไม่สูญจะไปเป็นพีชะก็ได้ อยู่กับพืชพันธ์ไหนก็เรื่องของคุณไม่เกี่ยวกับสภาพสัตว์โลกที่หมุนเวียนในมหาจักรวาลอีก ชีวะที่เป็นโทษภัยสุดคือจิตนิยาม

 

 

เมื่อได้พัฒนาพลังงาน ตั้งแต่อุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามมาเป็นจิตนิยาม เร่ิมตั้งแต่เซลล์เดียวพัฒนามาเรื่อยๆ มีแต่อันอื่นทำให้มันเปลี่ยนแปลง แต่พีชนิยามมันตัวของมันเองทำให้ตัวมันเปลี่ยนไม่มีพลังงานออกไปทำร้ายใคร genome ของมันไม่มีกัมมันตภาพรังสีไปทำร้ายอันอื่น แต่ในตัวของมันเองเป็นพิษภัยด้วยตัวของมันเองนะ ใครไปรับพิษจากมันก็เป็นพิษได้ บางอย่างถึงตายเลยก็ได้

 

เริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อะตอมของชีวะ ที่พระพุทธเจ้าสอน ทำให้จริงแล้วก็เหลือพลังงานแรงที่สุด คือนิวตรอนที่จะแตกตัว นี่ พลังงานนิวตรอนที่จะแตกตัวได้พลังงานมหาศาล แต่ทางพุทธนี้ก็สะสมพลังงานได้แค่ควบคุมได้อย่างจริง เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ เหมือนหมอที่เอาพิษมาทำยารักษาได้ จะเอาไซยาไนด์มาเป็นยาก็ได้ ถ้ามันปวดมากๆเขาจะให้อันนี้ ให้ steroid ก็ใช้ประโยชน์ได้แต่มากไม่ได้ จึงควบคุมได้ หรือจะใช้เป็นมอร์ฟีน เป็นวัคซีนก็ได้ คือสามารถควบคุม รู้จักประมาณ มัตตัญญุตา พลังงานที่มีความแรงความเบาอย่างไรก็ได้

 

ผู้ศึกษาก็จะรู้อาการของมัน รู้การของมันที่จะทำงานเรียกว่า วิการรูป จึงสามารถรู้ฤทธิ์ที่เบาที่สุด รู้ได้ประมาณได้ จึงเป็นผู้คุม ลหุธาตุได้ เบาแค่ไหนที่จะใช้ เมื่อสามารถรู้จักเบา ก็สามารถที่จะทำให้เอาไปทำงานเต็มรูป เกิดวงวน เต็มรูปมีมุทุตา เป็นตัวหมุนแล้ว เป็นตัวอะตอมแล้ว เป็นพลังงานแล้วจะมีธาตุบวก ธาตุลบ ธาตุ 0 ที่จะปรับเองได้ เร็วไว เมื่อสามารถคุมมุทุธาตุ ทำจิตหัวอ่อนได้ ทำอะตอมของจิตให้แก่ตน ตนเองทำได้ก่อนแล้วก็จะช่วยคนอื่นได้ อย่างไม่เป็นพิษ เพราะรู้สัดส่วนที่จะให้พอเหมาะ จึงเป็นหมอที่ทำให้คนหายทุกข์ได้ ทำให้มีกัมมัญญตาได้ดีที่สุด พลังงาน ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เป็นสามเส้าที่ทำงาน ออกมาเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ

 

จากสังขารในมาเป็นกายสังขารก็มาเป็นกายวิญญัติ ในวิการรูป 5 ก็สามารถควบคุม ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา  กายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ เป็นผู้ประมาณให้ออกมาเป็นพลังงาน ทำการได้อย่างวิเศษ เป็นผู้รู้กิริยาอาการทั้งหมด สุดท้ายจะอยู่ในลักษณะอุปจยะ ไม่ให้เกิด หรือให้ชรตา มันก็เสื่อม ถ้าถึงขีดอนาคามีภูมิขึ้นไปหรือเป็น isotope แต่ทางวัตถุรูป isotope ไม่สูญ แต่เปลี่ยนจากพลังงานเป็นสสาร แต่ของพุทธนี้ทำให้สูญได้ในพลังงานที่ไม่ดี แต่เป็นพลังงานสร้างสรรได้ประเสริฐสุด หรือจะเป็นอนาคามีแล้วปล่อยให้ไปเรื่อยๆก็สูญได้แต่ถ้าเป็นอนาคามีสดๆ ก็ทำให้เป็นอรหันต์เสียเลย จะทำงานให้โลกก็ไม่มีกิลมถะ ไม่มีอปายาสะ แม้จะทุกข์น้อยก็ตาม ก็ให้มันเหลือแต่ทรถะ เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็แค่นี้ จะอยู่ไปนิรันดรก็เชิญ

 

พลังงานในโลกนี้เป็นพีชนิยาม เป็นจิตนิยาม แล้วตัดตอนกันที่ไหน จากพีชะไปเป็นจิตก็ตัดกันที่การมีเวทนา ความเป็นจิตที่จะมีลักษณะพีชนิยาม คือการเป็นอนาคามี แล้วอนาคามีจะให้หมดอนาคามีก็ต้องมาเรียนรู้รูปภพ อรูปภพ รู้ปุงลิงค์ ทำให้เป็นนปุงสกลิงค์สดๆ มีprotoplasm กับ cytoplasm ทำสดๆไม่ใช่เดาอย่างสัญญาแห้งๆ ไม่เต็มสติมันโตสุรภาโว มันช้า แต่ถ้าทำมันสดๆปัจจุบันนี่จะพ้นไปเป็นอรหันต์ได้ง่ายกว่า

 

อัตตานี่คืออะตอม แล้วอัตตามีทั้ง โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา สำหรับคนอวิชชามีทั้ง 3 และกินตัวตลอด นอกจากนั้นยังมีกาย มีgenome อยู่มันก็มีกัมมันตรังสี เรียกว่า กาย กายนี่คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ ในโอฬาริกอัตตา เทียบได้กับ อิเล็กตรอน แล้วอิเล็กตรอนนี่คือเพศหญิง ส่วนมโนมยอัตตาคือ โปรตรอนคือเพศชาย ส่วนนิวตรอนคือพลังงานสูญมีนัยทั้งแบบสันติและเลวร้าย คนสามารถควบคุมอะตอมได้คือคนอภิสังขารได้ แปรตัวอกุศลเป็นกุศล ได้ ส่วนสายนั่งหลับตาทำให้พลังงานหยุดไปหมดเลย แต่ของพุทธแปรตัวจากพลังงานไม่ดีมาเป็นตัวดี จึงทับทวีต่างกัน

 

อะตอมของอวิชชาควบคุมอิเล็คตรอนไม่ได้ควบคุมเพศหญิงไม่ได้ ควบคุมโอฬาริกอัตตาไม่ได้จึงเกิดสภาพอะตอมที่เป็นปรมาณู เพื่อทุกข์ เพื่อความไม่สงบ คืออะตอมของอวิชชา ส่วนอะตอมของผู้อภิสังขารได้ จัดการตัวร้ายมาเสริมเป็นตัวดีได้ จึงเกิดพลังงานที่แม้แต่กัมมันตภาพรังสีก็เป็นสันติภาพได้ นี่คือปรมาณูเพื่อสันติแท้จริงแต่ไม่ใช่ทางวัตถุ แต่เป็นปรมาณูทางชีวะ เพราะฉะนั้นคนที่สามารถ เป็นเจ้าหน้าที่พลังงานปรมาณูของตนได้ จึงเป็นพลังงานปรมาณูเพื่อสันติได้อย่างแท้จริง เมื่อคนมีปรมาณูเพื่อสันติในตนก็จะไปควบคุมพลังงานปรมาณูเพื่อสันติของโลกได้ เพราะเป็นผู้มีพลังงานพระเจ้าที่ซื่อสัตย์ไม่ให้เกิดพลังงานมาร ซาตานแล้วท่านไม่มีแล้ว เพราะศาสนาพุทธรู้มาร ซาตาน แล้วฆ่าได้จริง ตายจริงหมดจริง จึงสามารถควบคุมมารทางชีวะได้ ส่วนวัตถุ เมื่อคนมีจิตวิญญาณไม่มีมาร ในชีวะ จึงควบคุมพลังงานทางวัตถุได้

 

เมื่อมีปฏิฆผัสสโส แตกตัว แม้ในทางชีวะหรือวัตถุ ทางวัตถุ ชีวะเป็นผู้ควบคุม เมื่อเราจัดการที่มนุษย์ตัวร้ายได้ เราหยุดสร้างระเบิดนิวเคลียร์กันเถิด เพราะมันทำลาย ตัวเราไม่สร้างแล้วก็ไปบอกให้คนอื่นไม่ทำด้วย ถ้าจะเป็นมหาอำนาจ ก็ไม่สร้างนิวเคลียร์แล้วช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก จะมีบุญคุณสูงสุด ก็บอกคนที่เขาเชื่อได้ว่าไม่ให้สร้างนิวเคลียร์ เพราะผู้เป็นที่พึ่งสูงสุดไม่สร้างนิวเคลียร์ แล้วก็ไปช่วยคนอื่นอีก

 

เหมือนขณะนี้หมู่บ้านหมู่ที่ 10 ราชธานีอโศก กับหมู่บ้านอื่น หมู่บ้านราชธานีอโศกพัฒนาเร็วโตเร็วกว่าเขาทั้งหมด แล้วก็ขอยืนยันด้วยว่า แม้แต่พฤติกรรมสังคม หมู่บ้านราชธานีอโศกก็ช่วยเหลือ

 

เช่นตอนนี้เราก็พยายามสร้าง 3 อาชีพกู้ชาติ อย่างเราจะช่วยทางสาธารณูปโภค เราไม่รวยแต่ก็พยายามช่วยกัน อย่างเราจะทำประปาจากน้ำธรรมชาติ เราได้นำ้ซับจากธรรมชาติ เราได้ใช้ในหมู่บ้านแล้วแต่เราก็จะทำเพื่อให้หมู่บ้านอื่นใช้ได้ด้วยเราไม่ได้ทำเพื่ออามิส แต่ทำเพื่อประโยชน์ต่อคนอื่น

 

เขาก็ว่าอาตมาทำมิจฉาทิฏฐิ เขาก็ว่าเอาตามของเขาทำ ส่วนอาตมาก็เห็นว่าที่อาตมาทำนี้ดี เขาก็ว่าของเขาดี ก็เหมือนนกเค้าท้วงตาแม่ หรือลูกปูท้วงแม่ปู ว่าเดินเอียง แล้วใครตัดสินว่าจริง ก็ตัวเราเอง แล้วอะไรเป็นตัวตัดสิน ก็คือปรมัตถสัจจะของแต่ละคน คุณเป็นอาริยบุคคลขั้นไหนก็มีปรมัตถสัจจะขั้นนั้นตัดสิน ย่ิงเป็นอรหันต์ก็ยิ่งมีปรมัตถสัจจะสูงสุดตัดสิน รู้แล้วไม่ต้องให้ใครเชื่อ ใครจะเชื่อคุณก็เชื่ออาตมาเอง อาตมาไม่คิดราคาค่าเชื่อ

 

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

_ใน DNA นี้ก็มีทั้งลบและบวกทำงานในนี้ มีเพศผู้และเมียทำงานในนี้ แล้วมี genome ที่เขาไม่รู้จักหน้าที่สมบูรณ์ของมันอีก แต่พุทธสามารถรู้genome แล้วจัดการให้มันเป็น 0 ได้ รู้จักเพศผู้เพศเมียได้ เป็นภาวะสองทำให้เป็นหนึ่งได้แล้วใช้แบบเป็นสองได้ ใช้พลังงานปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ ใครจัดการได้มากก็ทำได้มากเหมือนพระพุทธเจ้าท่านจะทำให้พระสุรเสียงส่งเสียงดังไปทั้งโลกธาตุนั้นท่านทำได้ตามบารมีแต่อาตมานี้ เป็นอนุเสียง คนฟังประมาณนี้ คนสนใจที่พอรับก็ได้เท่านี้ตามบารมี ต้องทำให้เกิดปโหติ(เหมาะควร) รู้จัก รูป/นาม มหาจัตตารีสก(40) จึงจัดได้เหมาะควรในการอยู่กับโลก ผู้จบแล้วเป็นผู้ทำสัมมัตตะ 10 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สัมมัตตะ10 คือมรรค 8 ผล 2  รู้เคหสิตเวทนา/เนกขัมมสิตเวทนา จัดการของตนได้แล้วประมาณในการอยู่กับโลก

 

_พระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธหรือไม่แล้วเป็นพระอรหันต์ด้วยหรือไม่?แล้วที่ตรัสนี้เป็นไปได้ไหม?

ตอบ....เป็นพุทธเป็นโพธิสัตว์ใหญ่ แล้วเป็นไปได้หรือไม่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปคิด คิดจะหัวแตกตายได้ เป็นอจินไตย

 

_ในน้ำคำ ฟังมาแล้วสงสัย ถามมา...genome กับ isotope เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?

ตอบ...genome คือพลังงานเล็กๆอีกส่วนหนึ่ง DNA คือตัวตนของตนเป็นเพศสมบูรณ์แล้ว ส่วน Gene ก็เป็นตัวตนอีกตัวตนแล้ว เป็นแต่เพียงว่าในธาตุเพศชายมีพลังงานสมบูรณ์เต็ม เพศหญิงยังไม่เต็ม แต่เพศชายนี่เต็มแต่ไม่แสดงออก ไม่อวดโอ่ ไม่มีลีลาฟุ้งกระจาย ไม่มีตัวแสดงออก จึงไม่มีลักษณะแสดงกิริยาแค่ woman touch เลย แต่gene นี่ก็ยังมีคู่ แม้แต่ genome ก็ยังมีคู่ แต่พระพุทธเจ้าค้นพบลักษณะของอิตถีภาวะ/ปุริสภาวะได้ และสามารถทำให้อิตถีภาวะเป็นปุริสภาวะ แล้วลงไปเป็นนปุงสิกลิงค์ หมดเพศเลยได้ นี่คือธรรมของพุทธ

 

genome ของนิวตรอน แปลว่าว่าว่าง คำว่าว่างนี้คือว่าง เช่นศาลานี้ว่างจากช้าง สูงกว่านั้นศาลานี้ว่างจากคน แต่ศาลานี้ยังมีเสา มีพื้น มีฝุ่น ก็ว่างลงไปอีก ตามฐานะแห่งบุคคล ตามฐานะของนิวตรอนแต่ละอย่าง แล้วพลังงานของนิวตรอนแต่ละขนาดแต่ละธาตุก็มีพลังงานเท่าของแต่ละฐานะ

 

genome กับ isotope เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?
พอนิวตรอนแตกตัวก็เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่มหาศาล พลังงานใดจะจับตัวเป็นเพศผู้หรือเมียก็แล้วแต่เป็น DNA กับ gene ส่วนที่เหลือคือ genome มีหลายหลาย  ซึ่ง isotopeนี้เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เขารู้แค่ว่ามันมีชีวิตแค่half life เขาจัดการมันไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้จัดการมันได้ ไม่ใช่แบบกดข่มพลังงานด้วย แบบที่เขาทำแบบฤาษีกดไว้ ให้พลังงานมันอัดไว้ ตายไปก็ยังเป็นมนุษย์พืช ตายแล้วไม่เน่า เล็บก็ยังงอก ผมก็ยังงอก เลยกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เกจิอาจารย์นี้ตายแล้วไม่เน่า จริงๆแล้วไม่มีความรู้ทางพุทธเลย ถ้าแบบพุทธจะไม่ยึดไว้แช่เป็นก้อนไม่ไปไหนอย่างนี้หรอก

 

กาย ขาดรูป/นาม ไม่ได้ หรือรูป/นามร่วมกันเป็น นิวเคลียสคือ 0 กับ 1 เป็นธรรมะ คือมนกับธรรมะ ที่ไม่มีอายตนะ ไม่มีปฏิฆผัสโส ไม่กระทบกระแทกจนเกิดพลังงานใหม่ เกิดแตกตัวเป็น isotope ก็เป็นนิวตรอนอยู่เช่นนั้นเป็น 0 กับ1 เป็นว่างกับ1 เป็นนิวตรอนกับโปรตรอนเท่านั้น

 

ในนิวตรอนนั้น มันจะจับตัวกันเองมาเป็น อิเล็คตรอนกับโปรตรอนแต่เมื่อไม่รู้ก็เป็นพลังงานศักย์ (นิวตรอน) ก็พอคุณไปกระแทกมันก็แตกระเบิดเป็นพลังงานมหาศาล ในนิวตรอนก็มี genome ในโปรตรอนก็มี genome เป็นพลังงานที่เล็กที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้าสามารถจัดการ พลังงานให้สูญสนิทได้ จนเป็นอรหันต์ได้สูงสุด ถ้าเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็น 0​ หรือนิวตรอนที่เข้มข้นขนาดไหน คือว่างหายไปเลย ยิ่งว่างกว่าว่าง ใสยิ่งกว่าใสอีก ก็ยิ่งกว่าเข้าไปนี่คือสัจจะแห่งสัจจะที่เดาไม่ได้แต่มีพลังงานนั้นจริง

 

ทางวัตถุเขาเอานิวเคลียสของธาตุที่เล็กๆๆเอามาใช้ได้ แม้แสงเขาก็เอามาใช้ได้ เสียง แม่เหล็กไฟฟ้าเขาก็เอามาใช้ได้ มันมีอะตอมต่างๆ ในอะตอม มี DNA มี Gene มี Genome พระพุทธเจ้าสามารถทำให้เป็นนิวตรอนได้ ทางโลกเขาควบคุมพลังงานระเบิดไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่มีหน้าที่ไปควบคุมพลังงานวัตถุ แต่พระพุทธเจ้าสามารถให้คนควบคุมพลังงานนามธรรมได้ เป็นพลังงานกรรมวิบากที่เป็นพลังงานจริง พอเป็นชีวะมันเกาะกุม แตกตัวยาก แต่พระอรหันต์สามารถทำให้แตกตัวได้สูงสุด จนเป็นอุตมโปริสสะ เป็นหนึ่งเท่านั้นกับเป็น 0 ถ้ามีชีวะก็อยู่ไป ทำงานเหมือนพืช แต่ไม่ใช้อปรโคยาน เป็นอมตะแล้วเป็นวิมุติแล้วเป็นการงานที่ไม่มีโทษภัยแล้ว เป็นธาตุอุตตมตาแล้ว ถ้ายังคุมไม่ได้ ธาตุนั้นเรียกว่า อตัมมยตา เป็นอปรโคยาน ถ้ามันคุมไม่ได้เราไม่เอา เราทำแต่ที่ควบคุมได้เป็นอุตตมตา ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:11:01 )

580524

รายละเอียด

580524_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรื่อง ประชาธิปไตยแบบพุทธวิทยาศาสตร์

.ฟ้าไทว่า...วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2558 ขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ปีมะแม รายการวิถีอาริยธรรม จากราชธานีอโศก....โลกทุกวันนี้เดือดร้อนหนัก แต่พ่อครูพาเรามาฝึกฝนธรรมะโลกุตระ ก็ไม่เคยได้ยินว่าที่ไหนมีแบบนี้ ที่เป็นโลกุตระลึกซึ้งเช่นนี้ แล้วก็สร้างสังคมหมู่กลุ่มชาวอโศก ในบรรดาการทำงานยากที่สุดคือ สอนวิชานามธรรม ให้ลดกิเลสเลย พ่อครูมีความสามารถมากที่ทำให้คนยินดีในการลดกิเลส  วันนี้พ่อครูจะได้เทศน์เรื่องการเมือง

 

พ่อครูว่า...วันนี้ง้างศรไว้แต่เมื่อวาน ว่าจะยิงศร หรือยิงปืน กดไกปืนยิงลูกกระสุนประชาธิปไตยออกไปสักลูก ที่ต้องพูดเพราะว่า มันเป็นภาษา คำว่าประชาธิปไตยนี่เป็นภาษาที่คนเข้าใจตื้นๆว่า ประชาชนมีอำนาจ แล้วก็เข้าใจตื้นไปอีก ว่าต้องคือประชาชนทั้งหมดมีอำนาจ แล้วประชาชนทั้งหมดจะมีอำนาจได้....ฝันไปเถอะ ประชาชนโลกไหนก็มีอำนาจหมดไม่ได้ เอาไปตัดคอร้อยทีก็เป็นไปไม่ได้

 

คำจำกัดความสภา หรือประชาชนที่ต้องใช้สมอง คนที่ประชาชนคัดเลือกไปในสภา เพื่อใช้สมอง ทีนี้พวกที่เขามีสมอง แต่ไม่ได้รับคัดเลือกไป ก็ดิ้นรนอยากใช้สมอง แต่ประชาชนที่มีสมอง แต่ไม่มีความรู้เขาก็ยอมรับสถานภาพนั้น แล้วคนที่ไม่ได้รับเลือกเขาก็ว่าอยากเข้าไปในสภาฯ เรียกว่าคนระดับกลาง มันก็แย่งกันเข้าไป จึงเป็นความไม่สมดุลระหว่าง คนได้รับเลือกเข้าไป กับคนที่เขามีสมองแต่ไม่ได้รับเลือกเข้าไปแต่อยากเข้าไปนั้นก็ยิ่งขัดแย้ง ยิ่งมีการโกงเข้าไปยิ่งมีปฏิกิริยาแรง มีทุกประเทศโกงมากโกงน้อยก็แล้วแต่

 

ความหมายของประชาธิปไตย คำว่า อธิปไตยคืออำนาจหรือแรงของประชาชน ต้องเป็นอำนาจหรือแรงของคนที่เป็นธรรมะ ซึ่งหมายถึงส่วนดี ส่วนถูกต้องมีคุณค่าประโยชน์ ถ้าอธรรมคือแง่ไม่ดี คนต้องมีธรรมะ สรุปลงไปตรงนี้ คนต้องมีธรรมะไปรวมกันในสภาจึงเรียกว่าสภาประชาธิปไตย แต่ที่ผ่านมาคนได้รับเลือกเข้าไปไม่มีธรรมะ จึงไม่เป็นสภาที่เป็นธรรม เขาไปหลงตัวว่าเป็น CEO ตลอดเวลา เขาก็หลงตนเช่นนั้น เพราะเขามั่นใจของเขาอยู่ แล้วคนที่เขาเป็นประชาชนหรือพลังงานที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ จำนนไม่น้อยเลย กว่าครึ่งนะ แต่ที่มาชนกันอยู่ก็มีแต่ฝ่ายเหลือกับแดง นอกนั้นทำไม่รู้ไม่ชี้

 

ฝ่ายเหลืองกับฝ่ายแดง ทุกวันนี้สรุปไปแล้วว่า ฝ่ายแดงถูกระงับด้วยอำนาจทหาร แต่ปฏิวัติอย่างพล.อ.ประยุทธ์นี่คือปฏิวัติอย่างเรียบร้อย ไม่ได้ขู่คำรามเลย พูดแค่ว่าผมขอยึดอำนาจแค่นั้นเอง ไปดูประวัติศาสตร์เลย ไม่มีปฏิวัติใดงามที่สุด นิ่มที่สุด พฤติกรรมนี้คือพฤติกรรมของจอมจักพรรดิ์ ไม่ใช้อำนาจบาทใหญ่แต่ใช้พระคุณในการปฏิวัติ ไม่ใช้สำเนียงดุดันด้วยในการพูด ผมขอยึดอำนาจ แล้วทุกคนก็เงียบสงบดุษณี นี่คือความงดงามของการรัฐประหารที่ดีที่สุด ยังไม่เคยมีมาในโลกประชาธิปไตยสมัยใหม่ ต้องเป็น Best Record นิ่มนวลสุภาพเรียบร้อยสวยงามทีี่สุด เป็นเหตุปัจจัยที่ครบพร้อมสุกงอมเต็มที่ เต็มสำนึกของประชาชนประเทศนั้นมันลงตัวหมดแล้ว มีคำตอบ ว่าใช่ อย่างนี้ถูกต้องที่สุด ดีที่สุด สวยที่สุดงามที่สุด ไม่มีอะไรกระดิกเลย นอกจากในหัวใจคนที่เสียประโยชน์ มีเสียงเล็กๆน้อยๆบ้างเท่านั้น

 

ประชาธิปไตยในมุมมองพุทธ

 

ประชาธิปไตยคืออะไร คือการรัฐประหาร ปฏิวัติ ก็ใช่ ซึ่งประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน คำว่าอำนาจนั้นต้องเป็นธรรมะด้วย อำนาจที่เป็นธรรมคืออย่างไร คือผู้ทำอำนาจต้องเป็นผู้ใช้อำนาจเพื่อประชาชน ไม่เพื่อพวกพ้อง ไม่เพื่อญาติโกโยติกา แต่เพื่อประชาชนเต็มๆที่สุด คืออำนาจที่บริสุทธิ์จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด นี่คือประชาธิปไตย แม้แต่เป็นรัฐประหาร ถ้าทำเช่นนี้ ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งเป็นประชาธิปไตย ตอนนี้มีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้ง คสช.และรัฐบาล มีมาตรา 44 ด้วย เรียกว่าเผด็จการสูงสุด แต่เป็นภาษานะ แต่พฤติกรรมที่คุณประยุทธ์ทำงานไป เป็นพลังงานที่กระจายไปเหมือน isotope

 

เผด็จการก็ตาม ถ้าทำเพื่อประชาชนเต็มที่แม้ตนเองก็ไม่คอรัปชั่น คอมมิชชั่นก็คือประชาธิปไตย ขอให้บริสุทธิ์สูงสุด ก็จบ แต่ความสามารถมีเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้น จะให้ดีก็ควรมีสามารถด้วย แต่ว่า เอาบริสุทธิ์มาก่อน อย่างขนาดคุณประยุทธ์นี่ไม่ด้อยเลยสามารถ แล้วต้องกล้าด้วย จะลูบหน้าปะจมูกไม่ได้ ตอนนี้เป็นโอกาสดีมาก พระเจ้าให้โอกาสดีที่สุดแล้ว จงรักษาเกียรตินี้ไว้

 

คอมมิวนิสต์ ก็เช่นเดียวกัน เป็นพลังงานกลุ่มหมู่ที่ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ เหมือนคนเดียว แต่มีหลายหัวหน่อย ถ้าหมู่กลุ่มนี้ทำงานเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์สะอาด ไม่คอรัปชั่น คอมมิชชั่น กลุ่มคณะนั้นก็ทำงานประชาธิปไตย จะชื่อว่าคอมมิวนิสต์ในภาษาแต่ทำเพื่อประชาชนจริง เท่าที่สามารถมี ตามโอกาส กาละ ไม่ว่าจะกลุ่มหรือคนเดียว ทำเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยความจริง คอมมิวนิสต์ก็คือประชาธิปไตย

 

โอกาสใดที่รัฐสภาได้มีคนรับเลือกเข้าไป แล้วไม่เป็นทาสเจ้าของพรรค ที่เขาซื้อไว้แล้วสั่งการได้ทุกอย่างนั่นคือเผด็จการแท้ แบบนั้นมันพรางลวง แต่ถ้าคนที่คัดเลือกเข้าไปทำเพื่อประชาชนแท้ นั่นคือรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยจริง แต่ถ้าสมาชิกรัฐสภาไม่ทำเพื่อประชาชน แต่ตกเป็นลูกกะโล่ของเจ้าของพรรค อย่างที่เกิดมาในประเทศไทยเท่าที่พัฒนาการทางการเมืองมากว่า 80 กว่าปี มันเหลวไหลเละเทะมากแล้ว

 

คำว่าประชาธิปไตยไปหลงใหลแค่เลือกตั้งแล้วมีกลวิธี สร้างค่ายกลไว้หมด มีหัวคะแนนตั้งแต่ ปลัดกระทรวง อธิบดี กรม กำนันผู้ใหญ่บ้าน ร้อยเป็นเครือแหของตนหมด ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย

 

และประชาชนแล้วต้องเป็นตัวของตัวเองไม่ตกในอำนาจโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญที่เขาเอามาจ้างเรา จะทำได้ต้องมาลดกิเลสให้คนไม่เห็นแก่ได้ไม่เห็นแก่ตัว แต่ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ ก็ถูกซื้อเสียงได้เสมอ

 

ไม่ว่าจะอยู่ในภาษาของเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมหรือประชาธิปไตย สัจจะความจริงอยู่ที่ทำงานเพื่อประชาชนหรือไม่? ถ้าทำงานเพื่อประชาชนก็คือประชาธิปไตย ส่วนตัวเองจะขี้โลภหรือไม่ก็เป็นนัยที่ต้องลดละ เอาเท่าที่ตนเองมีค่าที่เขาตั้งไว้ ไม่ได้โกงกิน แต่ระบบสังคมให้มา ตนเองก็มักน้อยสันโดษ ได้มามากตนเองก็เอาคืนกองกลางให้ประชาชนไป อย่างนี้คือจอมจักพรรดิ์ที่ทำงานเพื่อประชาชนแท้จริง

 

1.ทำงานเพื่อประชาชน 2.และเป็นคนมักน้อยสันโดษแท้จริง 3.ไม่ทำให้เกิดความรุนแรง ทั้งตนเองก็ไม่รุนแรงทำให้คนอื่นไม่รุนแรงได้ด้วย นี่คือ สามประเด็นนี้คือคุณสมบัติจอมจักรพรรดิ์แท้จริง นี่คือสุดยอดแห่งบุญญาวุธ การปกครองบริหาร

 

ถ้ามีธรรมาธิปไตยอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้นเป็นจอมนักประชาธิปไตย ตอนนี้ก็หลงทิศหลงทางกันในเทคนิค ในวิธีการ อยู่ในกฎระเบียบรัฐธรรมนูญ แม้แต่ที่สุดอยู่ในทิฏฐิความเห็นหรือในพฤติกรรมสังคมที่ยอมรับนับถือก็เป็นอยู่เช่นนั้น

 

อาตมานิยามคำว่าประชาธิปไตย 10 ข้อไว้

 

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว อย่างผู้ที่ทำงานรับใช้สังคม แต่ว่าตนเองไม่ได้ทำงานผลิตสิ่งกินใช้ แต่ว่าตนเองก็ทำงานรับใช้สังคม ก็อยู่ในฐานะที่ผู้อื่นเลี้ยงไว้ อย่างน้อยรัฐก็เลี้ยงไว้ เงินนั้นก็เงินประชาชนคือประชาชนเลี้ยงไว้เป็นปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา จนไม่ต้องคำนึงถึงเงินเดือนเลย อย่างอาตมาเป็นต้น ไปไหนก็ได้ คนเลี้ยงไว้เพราะกินน้อยใช้น้อยไม่ฟุ่มเฟือย อย่างคุณจำลองนี่ไปไหนก็ได้ แม้ต่างประเทศก็ยอมรับนับถือ ไปไหนก็ทำงานเพื่อประชาชน คนทำงานเพื่อประชาชนไม่ต้องห่วงชีวิตหรอก คนจะเลี้ยงไว้ ทำงานให้สังคมลูกเดียวไม่ต้องกลัวตาย ถ้าเขาไม่เห็นค่าเราเลยตายดีกว่า จะอยู่ไปทำไม...

  1. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  นักการเมืองต้องเป็นคนจน ในหลวงเราตรัสไว้แล้วทำไมคนไม่รู้เรื่อง สำหรับคนอวิชชา เมื่อไหร่จะตื่นสักที ก็พากันแต่ไปรวยๆๆ นิทานเรื่องนี้เก่าเน่าเฟะแล้ว ต้องมาจนรู้จักพอไม่สะสม เราได้บทเรียนจากคนรวยที่จะไม่โกง....น้อยๆ ... มาแล้ว
  2. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน โดยเฉพาะต้องพ้นมิจฉาชีพ 5

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

  1. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ ขอบอกคุณตู่ ว่า... อย่าไปพูดว่า นี่ผมไม่อยากทำนะ ผมจำนนนะ อย่าไปพูดเลย ให้เสียราศี ทำไปเถอะ ก้มหน้าก้มตาทำดีที่สุด เท่านั้นพอแล้ว ไม่ต้องบอกว่าจำนนจำใจหรือไม่อยากทำ อันนี้อย่าพูด อาตมาไม่เคยพูดเลยในชีวิตว่าไม่อยากทำงานนี้ แต่อาตมาบอกว่าอยากทำด้วยในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ยากไหม? ยาก ยิ่งกว่าเข็นภูเขาขึ้นครก อยากยิ่งกว่าเป่าควายใส่ปี แต่ก็ต้องทำเพราะมัน Born to be. Que Sera, Sera. What ever will be will be. ให้ตั้งใจเป็นจิตอาสา ตั้งใจทำงานเพื่อผู้อื่นนี่คือยอดหัวใจนักธรรมเลย คำว่าอาสาคือไม่ต้องการสิ่งตอบแทนแต่ถ้าต้องการลาภยศสรรเสริญ มันไม่ใช่การเมือง แม้เอาการเมืองเป็นอาชีพก็ไม่ใช่ ทำงานการเมืองเพื่อเลี้ยงตนก็ไม่ใช่ นักการเมืองต้องเป็นจิตอาสา คุณยังไม่มีจิตอาสาก็อยู่นอกรั้วก่อน ที่คุณตู่ทำทุกวันนี้อาตมาชื่นชม ทำอย่างปธน.อุรุกวัยหรือคานธีให้ได้เลย รับรองว่าดีแต่ถ่ายเดียว
  2. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) สิ่งที่ตัดสินความเป็นกลางคือไม่มีอคติ แล้วเข้าข้างคนดีที่ถูกต้อง ไม่เผด็จการหรอก อย่าเหยาะแหยะ เอาจริงเอาจังเลย อ่านใจตนให้ไม่มีอคติ แล้วทำงานเหมือนกรรมการ เหมือนผู้พิพากษา นั่นคือหน้าที่ของกรรมการ ผู้พิพากษาหน้าที่ของนักการเมือง
  3. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
  4. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

 

สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ เป็นประชาธิปไตยที่มีอำนาจในตน ไปในแคว้นไหน พระเจ้าแผ่นดินของแคว้นนั้นๆก็ยอมให้พระพุทธเจ้าท่านจึงไปคัดเลือกประชาชนในแคว้นนั้นๆมาเป็นพลเมืองของท่านได้ ในชมพูทวีป แล้วคนก็ยอมรับ คนมาเป็นอย่างท่านว่าก็หมดชั้นวรรณะหมดความเป็นทาส อิสระเลย ปลดชั้นวรรณะ ยุคนี้เราก็ปลดแอดความเป็นทาสทั่วโลก ยังเหลือคนที่ขบถ เป็นนายทาสอยู่แฝงๆอยู่ที่เหลือทุกวันนี้ ทั่วโลกไม่มีระบบสมบูรณายาสิทธิราชแล้ว ยุคนี้อาตมาถึงทำสาธารณโภคีให้ฆราวาสมาเป็นประชาธิปไตยได้

 

ทำไมเรียกว่าสาธารณโภคีคือประชาธิปไตย เพราะทุกคนมาถอดตัวตน ไม่มีการยึดเป็นตัวตน จึงอยู่โดยส่วนรวม ใครขี้เกียจก็เลว ใครทำให้คนอื่นมากสามารถคือเป็นคนขาดทุนแต่เป็นคนกำไร เขาเป็นคนมีความรู้ความสามารถมาก แล้วไม่เคยถือดีถือตัวว่าตนมีความสามารถมาก ก็กินใช้น้อยด้วย

 

ความเป็นประชาธิปไตยสูงสุดด้วยอุดมคติ อุดมการณ์ คำว่าอุดมคติอยู่ในจิตใจเป็นเป้าหมาย แต่อุดมการณ์คือได้ทำตามอุดมคติที่มีแล้ว

 

อุดมการณ์เป็นนาม / อุดมคติเป็นรูป ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นประชาธิปไตยถูกต้องจะมีพฤติ อาการ ออกมาเป็นจาก 1 คนเป็นร้อยคนพันคนก็เป็นพฤติกรรมของสังคมกลุ่มนั้นอย่างชาวอโศก มีทิฏฐิ จิตใจเช่นนั้น ตามความเป็นจริงที่เกิด คนเช่นนี้ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าโลกุตระคือจิตใจไม่ได้เป็นทาส โลกธรรมเหมือนโลกเขาเป็น แต่เป็นผู้พ้นจากโลกธรรม หมดไม่เป็นทาสเลย แม้สุขก็ไม่มี เพราะสุขโลกีย์เป็นสุขเท็จ แม้อุเบกขา ว่างๆสบายโล่งๆไม่ทุกข์ไม่สุข เป็นนิวตรอนจริงๆ แล้วไม่ยึดว่านิวตรอนนี่ไม่ว่าจะเป็นชีวะหรือสถานที่ไม่ว่าจะรูป/นาม เราก็ไม่ยึดว่าเป็นเราของเรานิรันดร แต่เราอาศัยใช้ให้เป็นประโยชน์เท่านั้น ก็จบ ถ้าไม่จบเป็นปริโยสานก็ต่อไปได้ สามารถควบคุมพลังงานที่เป็นพิษ

 

คือ จาก isotope มันมีปฏิกิริยาลูกโซ่แตกตัวไป ใครรู้ได้ก็จะรู้ว่ามันมีทั้งบวกและลบ แล้วสองชนิดนี้ อันใดเป็นพิษก็ได้ ในตามโอกาส บางครั้งเราต้องใช้ลีลาเพศหญิง บางครั้งต้องใช้ลีลาเพศชาย ต้องใช้พลังงานทั้งสองแบบ นี่คือความยาก ต้องมีปัญญารู้ว่าอันไหนเหมาะสม อันใดได้ประโยชน์สูงสุด อันนี้ควรใช้เพศหญิง อันนี้ควรใช้เพศชาย ผู้สามารถควบคุมทุกปรมาณูเพื่อสันติได้ คือควบคุมอิตถีเพศได้ เป็นเอกบุรุษได้

 

เอกบุรุษ(ปุงลิงค์) คือสภาพโปรตอน ส่วนสภาพนิวตรอนคือ นปุงสกลิงค์ สามารถคุมนิวเคลียสได้ สามารถดูแล มีอิทธิพลต่ออิเล็คตรอน คือคุม Big bomb ได้ นอกจากคุมอิเล็กตรอนแล้วยังคุมรังสีได้ทั้ง Fission และ Fusion ไม่ให้เกิดกัมมันตรังสีที่ทำลาย แต่เป็นกัมมันตรังสีที่มีประโยชน์ จึงควบคุมพลังงาน ทั้งบวกและลบได้ เป็นผู้ทำธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เป็นอะตอมหน่วยที่ไม่มีพิษ

 

จะเรียกว่านิวเคลียร์ก็ clear แท้จริง ไม่เป็น nucleus อย่างเก่า เพราะเป็นตัวนิวเคลียร์แล้ว ไม่ใช่ nucleus

 

สรุปแล้ว พลังงานที่หมุนคือโลกาธิปไตยคือพลังงานลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่ตนเองไม่ติดลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข แต่สามารถจัดสรรโลกธรรมให้พอเหมาะกับคนได้  อย่างไม่มีทะเลาะวิวาท อยู่กันอย่างขัดแย้งกันพอเหมาะ เกิดความต่างกันนี่ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยา แต่ถ้าทุกอย่างนิ่งสงบเฉยหมดเลยบื้อๆ แม้บวกกับลบอยู่ด้วยกันก็เฉย เหมือน XX ไม่มี XY

 

xx นี่คือกำลังสอง ที่มีฤทธิ์ เพราะเปลี่ยน Y เป็น X คือผู้ทำอิตถีภาวะให้เป็นปุริสภาวะได้ สามารถทำโปรตอนให้เป็นนิวตรอนได้อีกก็จบเลย จะใช้พลังงานก็มีสอง ควบคุมให้เป็นเอกได้ จะให้เหลือ 0 ก็ได้ รู้ตัวจบด้วย ในนิวเคลียส มี เอกบุรุษกับสุญญตาสูงสุดจบแล้ว

 

สรุปคือประชาธิปไตยคือตัวเรากับพลเมือง เราต้องทำให้ตัวเราเป็น 0 เป็นนิวตรอนก่อน แล้วทำให้พลเมืองอย่างแตกต่างกันมากนัก ให้ประสานกันเป็นหนึ่งได้ ทำให้สงบพอสมควรก็มีพลังงานธรรมดาที่มันไม่ขัดแย้งเกิน แต่ขัดแย้งพอเหมาะมีพลังงานสร้างสรรที่มาก ถ้าเปลี่ยนจากพลังงานพิษมาเป็นพลังงานคุณได้ ทำ Y ให้เป็น X ได้ทุกตัวก็ได้ XX ตลอดไป นี่คือค่าของ Isotope ที่เขาเองไม่สามารถจัดสรรได้ เขาว่าเขาไม่รู้ว่า isotope จะมีชีวะแค่ไหน นั่นคือความไม่รู้ แต่ของพระพุทธเจ้ารู้ ความมีชีวะมีสองอย่าง ให้เกิด บวกกับลบ แต่ถ้าไม่มีบวกลบไม่เกิดพลังงาน เมื่อใดไม่ให้เกิด ก็ทำ xx แล้วถ้าจะให้เกิดพลังงานก็ใช้ XY คนนี้ก็ชนะได้ทั้งรูป/นาม คือทำคนให้สูงสุดรู้พลังงาน/สสาร รู้ รูป/นาม เราจบแล้วจะทำเป็นศูนย์หรือความมีก็ได้

 

ในอะตอมมี นิวตรอน โปรตอน อิเล็กตรอนเป็นสามเส้า จะให้ตัวทำงานเป็นตัวทำประโยชน์เท่านั้นได้ นี่คือลักษณะของพลังงาน/สสารในโลกหรือในชีวะเป็นรูป/นามในโลกของชีวะ ในโลกที่อาตมาเกิดมานี้พอรู้ประวัติศาสตร์ อาตมารู้จักคานธีกับไอสไตน์

 

คานธีนี้มีลักษณะทำงานเหมือนนิวตรอน แต่ทำงานย่ิ่งใหญ่มาก สามารถกอบกู้เอกราชของประเทศที่ใหญ่ที่สุดได้ ส่วนไอสไตน์นั้นเป็นตัวทำงานที่โลกรู้ได้ กลายเป็นไอสไตน์นี้เกิดเป็นผลงานที่สร้างปรมาณู แต่คานธีกลับทำปรมาณูให้กลับเป็นความสงบได้ คานธีเหมือนนิวตรอน ไอสไตน์เป็นเหมือนโปรตอน คนที่เอาไปสร้างนิวเคลียร์ก็ขบถต่อไปไอสไตน์ เพราะไอสไตน์ต้องการความสงบไม่ต้องการทำระเบิด

 

ประชาธิปไตยจึงคือผู้ควบคุมตนเองได้ ไม่ใช้อำนาจตน มี XX ไม่มีความต่างในตนแล้ว แต่เป็นกำลังทด คือ XX เอามาทำงานกับโลกด้วย XY ในโลกที่แตกต่าง ไอสไตน์จึงเอาพลังงานปรมาณูไปควบคุมพลเมืองที่วุ่นวาย แต่X2 คือไอโซโทปที่แตกตัวได้ไม่รู้จบ จึงสามารถควบคุม Y ได้ เพราะปฏิกิริยาลูกโซ่นั้นไม่มีวันจบ แม้มันจะมี half life มีส่วนตายไปครึ่งหนึ่งแต่ก็มีส่วนเกิดตลอดเวลา จึงสามารถควบคุม Y ได้

 

ผู้จะทำงานการเมืองสูงสุดได้ตนเองต้องมีความจบ แล้วดูแลให้ประชาชนมีความขัดแย้งอันพอเหมาะ ให้ความขัดแย้งเป็นลหุตาได้ แล้วจัดการได้เร็วมากเป็นมุทุตาได้ รู้ได้เร็วไว จัดการได้เร็วไว จึงเป็นผู้สามารถทำให้เกิดกัมมัญญตาได้ เห็นกายวิญญัติวจีวิญญัติในชาวอโศกไม่มีอาละวาด มีแต่สงบเรียบร้อย มีแหลมบ้างก็น้อยมาก โดยเฉพาะกายวิญญัติไม่มีให้เลือดตกยางออก มีปากหอกบ้าง แล้วมีสภาพนี้จริง เป็น Phenomena คือปรากฏการณ์แท้จริง ถ้าเราทำชุมชนแบบนี้ได้คือการสร้างประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้าที่สูงสุด สาธารณโภคีไม่ได้มีแค่แกนกลางนะ แต่มีเครือแหไปกระจายกว้าง มันมีปฏิกิริยาซับซ้อนเหมือน isotope ดูเหมือนหมดไปแต่ก็กลับมามีอีกได้อย่างซับซ้อน

 

พลังงานมนุษย์นั้นมีพลังงานอุตุซ้อนในนี้มีพีชนิยามในนี้ ความเป็น Protoplasmของคุณนี่แหละในนั้นมีอุตุ มีพีชนิยามในนั้น ใครจะช่วยอาตมาทำชุมชนแบบนี้ก็มา ตอนนี้ภาวะแรงต้านแรงเสียดทานไม่ค่อยมี กำลังเป็นพลังทด มันต้องมีแรงเสียดทาน แรงต้านที่พอดี จะได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด ได้สัดส่วนเหมาะควรที่สุด ปโหติ คล่องตัวหมุนจัดสุด เป็นกัมมัญญตาที่สูงสุด เป็นพลังงานกัมมันตะที่สูงสุด มีจิตวิญญาณเป็นประธาน

 

ขณะนี้เรากำลังสร้างตัวเองให้เป็นนักประชาธิปไตยของประเทศของโลกของจักรวาลด้วย ที่จะอยู่ไปนานถึง 151 ปีก็เพื่อทำอันนี้ให้สูงสุดตั้งเป้าไว้ จะถึงเท่าไหร่ก็เอา  ถึง 151 ปีจริงๆ อาตมาว่าอาตมาไม่ขอต่ออายุหรอก ปลงอายุไว้แค่ 151 ปี ใครจะมาช่วยก็ขอขอบพระคุณสูงสุด

 

.ฟ้าไทว่า...ที่จริงท่านมาช่วยเราต่างหาก ไม่ใช่เรามาช่วยท่าน พ่อครูทำงานด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนนะ

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้ประเทศไทยมีพลังงานคุณธรรม มองตามปรากฏการณ์ที่เกิดนะ ซึ่งเราจะไม่พูดสิ่งนี้มันไม่ได้ ก็มีคนปรามมาว่า อาตมาไปวิเคราะห์หลวงพ่อคูณ​หลวงตาบัวนี่ อาตมาก็ว่าอาตมาเคารพ แต่ก็ต้องชี้สัจธรรม เขาว่าลูกศิษย์เขามีเยอะก็เป็นปฏิปักษ์กับเราเสียเปล่า อาตมาว่าอาตมายอมได้ อาตมาต้องการความกระจ่าง แม้ 1 ต่อ 100​อาตมาก็ยังจะเอา เพราะต้องการความรู้ในปรมัตถ์มีอุปสงค์สูงกว่ามากกว่าหลายเท่า อาตมาก็ยอมหนัก สิ่งที่พูดไปไม่ได้ดันทุรัง เพราะขนาดนี้ควรพูด มันมีเหตุการณ์

 

อาตมาก็ขอวิจัย หลวงพ่อคูณคนก็มองว่า มีฤทธิ์ สอนให้คนเป็นคนดีสอนง่ายๆพื้นๆ ความดี ท่านก็ทำ เป็นความจริง แต่มองท่านเหมือนซุปเปอร์แมน อาตมาก็มองเห็นว่า ซุปเปอร์แมนเป็นสิ่งหลอกเด็ก เขาช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก คนตกทุกข์ได้ยากมีมาก แต่คนตกทุกข์อย่างที่พระพุทธเจ้าช่วยนี้ ซุปเปอร์แมนช่วยไม่ได้ หลวงพ่อคูณก็ช่วยไม่ได้

 

ทำไมหลวงพ่อคูณฮือฮา เพราะเงินของหลวงพ่อคูณแตกตัวไปทำงานได้เยอะ แต่มหาบัวนี่แม้อาจได้เงินมามากกว่าหลวงพ่อคูณมาก แต่ว่าเอาไปทำปฏิกิริยาไม่มากเท่าหลวงพ่อคูณ ใน potential energy หลวงตาบัวมีมากกว่า แต่ในแนว kinetic energy หลวงพ่อคูณมีมากว่า คนก็จับได้ง่ายกว่า แต่หลวงตาบัวอาจมีพลังงานมากกว่าแต่ใช้แนวนิ่งค้ำจุนประเทศ ก็คือแนวที่ลึกที่ไม่มีใครวิเคราะห์ ตอนนี้ต้องใช้ตัวอย่างนี้ เพราะมีเหตุการณ์ให้คนรู้ได้ อาตมาจึงตีเหล็กในขณะร้อนๆ แม้จะต้องหนักหนา อาจต้องมีกระเซ็นกระสายบ้างก็ต้องยอม ไม่ได้ท้าทายลูกศิษย์หลวงตาบัวนะ กลัวด้วยซ้ำถ้าเขาจะมาทำลายเรา

 

ตัวฮีโร่ต่างๆ มันเก่งเขาสร้างมาเพราะไปช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก แต่คุณจะไปช่วยคนทุกข์อย่างทักษิณคุณก็ต้องไปรู้ทุกข์ของทักษิณแต่รู้ได้ยาก แต่พวกโรฮิงญาไปช่วยเขานี่ก็รู้ง่ายกว่า แต่ทักษิณกับโรฮิงญานี่คือพวกเดียวกันนะ ไม่มีที่อยู่เหมือนกัน ทักษิณมีเครื่องบินอยู่ไปไหนมาไหนสบาย แต่ใจทุกข์กว่าใจร้อนกว่าโรฮิงญานะ การช่วยเหลือแบบฮีโร่นี้อาตมาก็ว่าดีไม่ได้ลบหลู่นะ แต่เป็นทุกข์ตื้นๆ คนอื่นเข้าใจได้ง่าย เป็นเรื่องขี้ผงนะ อาตมาว่า ขนาดนี้ประเทศไทยก็เขาไม่มุ่งอยากมาอยู่ประเทศไทยหรอกพวกโรฮิงญา เขาว่าเป็นทางผ่านก็ให้เขาผ่านไปเถอะ เขาอยากไปอยู่แดนอิสลาม อย่างอินโดนีเซียมากกว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ทำไมเขาจะไม่มีปฏิภาณรู้

 

เหตุปัจจัยมันเกิด เป็นรูป/นาม ตลอดโลกแตก การเข้าใจนามนี่แหละสำคัญ เข้าใจ ก็จะจับจิต แจกจิต จัดการจัดสรร จิตของตนได้ แล้ว create ให้จิตเป็นตัวดีไปทำงานกับโลก ทำลายตัวเป็นพิษภัยไปให้ได้ ทำลาย Fission กับ Fusion ให้เป็นพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ

 

สรุปคือสามารถทำเศษตัวกัมมันตภาพรังสีให้หมดได้ เป็น XX เป็น X2

 

เราไปมีบทบาทในสงครามภายในประเทศ ยิงกันเองฆ่ากันเองภายในประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่าในชาวอโศกไม่มีใครตาย ขออภัยที่พูดเรื่องนี้ เราไม่ได้หนีไม่ได้ไปไหนด้วย เราก็ร่วมต่อสู้มาตั้งหลายปี ทำนาในทำเนียบก็มี อยู่ข้างถนน เขายิงฆ่ากันตาย ตกข้างๆชาวอโศกก็ไม่ตายด้วย มันเป็นสัจธรรมที่ทำมา เป็นปรากฏการณ์ที่โลกเขาบันทึกไว้ เขาจะสรุปผลว่าที่นี่เคร่งศาสนา

 

เขาสู้กัน เราเอาศาสนาไปสู้ เอาตัวตนเลยทั้งอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชายเข้าไปเห็นรูปร่างเลย ทำปฏิกิริยาให้เห็นเป็นรูปธรรม ผลที่เกิดจึงเป็นจริงดังที่เขาว่าเมืองไทยเป็นเมืองเคร่งศาสนาที่สุด จงทำต่อไปเถอะ มันมีเชื้อมันมีผล มีแก่นเกิดแล้วจงบูรณาการสิ่งนี้ไปให้เกิดประโยชน์ต่อโลก จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:13:32 )

580525

รายละเอียด

580525_ธรรมาธรรมะสงคราม  ปรมาณูเพื่อสันติ(หยุดบูชาซุปเปอร์แมน)

พ่อครูว่า....วันนี้จันทร์ที่ 25 พ.ค. 58 วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม วันนี้อาตมาตั้งใจว่าจะเอามหาจัตตารีสกสูตร มาอธิบาย แต่พอดีวันนี้มีโอกาสที่ อ.เอนก นาคบุตร จะมาเล่าเรื่องที่เราทำงานกับสังคม ที่ควรจะได้บอกกล่าวรู้กันทั่วไป เราก็ทำไปแก้กันไปบอกกันไป แต่ตอนนี้อ.เอนกยังมาไม่ถึง ฝนก็ตกใหญ่เลยตอนนี้ เราอยู่ใต้ฟ้าไม่กลัวฝน ฝนนั้นเย็นๆ

 

ก็มีคนเขียนถามมา ที่น่าจะได้ตอบ มีผู้ถามมาว่า...จากคุณผู้ใช้นามแฝงว่า เทวดาปู่ผู้บริสุทธิ์....ถามว่า

1.คนที่ยึดติด(อุปาทาน)ในเทวนิยมมานานแสนนาน ทำอย่างไรจึงจะวางอุปทานตัวนี้ได้เด็ดขาด

ตอบ.... “เทวนิยม” เป็นลัทธิหนึ่งที่เขานับถือกันมาก ตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนนับถือ ก็คือนับถือเทวะ จนมีศาสนาพระพุทธเจ้า จึงได้เปิดเผยความเป็นเทวะ  แล้วก็เกิดลัทธิใหม่ที่เรียกว่าลัทธิ “อเทวนิยม” ซึ่งอเทวนิยม ไม่ใช่ไม่นับถือพระเจ้า แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในพระเจ้า คือไม่อุปาทาน แต่แจ้งกระจ่างว่าพระเจ้าคืออะไร อยู่ไหน พิสูจน์ได้อย่างรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ลึกลับ ไม่มีใครแก้ไขได้ พระเจ้ามีสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว สร้างทุกส่ิงในจักรวาล แล้วท่านก็รักทุกสรรพสิ่ง

 

ก็มีพระพุทธเจ้ารู้ว่าเทวะคือพลังงานวิเศษยิ่งใหญ่ แล้วเรียนรู้ได้ตามทฤษฎีความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วจะละความยึดมั่นถือมั่น อุปาทานได้ ก็เรียนรู้ไป เข้าใจไปตามลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ทางที่จะรู้จักพระเจ้าคืออย่างไร แต่จนกว่าจะเป็นอรหันต์หมดความยึด จึงรู้จักพระเจ้าสมบูรณ์แบบ เป็นผู้สร้างโลก

 

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าโลกคือ ความหมุนวนระหว่าง 1 2 และ 3 หรือว่า 0 1 และ 2 ก็คือสามจุดนี่แหละที่หมุนวน บรรจุในโลก และคน คือผู้มีความรู้ที่จะรู้ตัวว่า ที่หมุนวนคือเรา เราคือธาตุรู้ ที่รู้ความหมุนวนได้ เรียกว่าตัวเราหรือตัวตน หรืออาตมัน หรืออัตตา ซึ่งพระเจ้าเขาก็เรียกกันนะว่าท่านก็คือ ปรมาตมัน  (บรม+ อาตมัน) ยิ่งใหญ่ท่านบงการทุกอย่างในมหาจักรวาล นั่นคือ เทวนิยม

 

พระพุทธเจ้าก็มาไขอาตมัน จนรู้ปรมาตมัน รู้เข้าไปที่สุด แม้ที่พระเจ้าสร้าง เราก็สามารถลบล้างอาตมันของเราให้สูญได้โดยไม่ต้องขออนุญาตพระเจ้า จะเป็นอย่างไรที่พระเจ้าประสงค์ ท่านมีสิทธิ์อยากให้คนไม่ทุกข์ร้อน พระพุทธเจ้าสามารถตรัสรู้การทำให้อาตมันของแต่ละคนเป็นเช่นนั้นเลย เป็นคนดีไม่ทำชั่วอีกเลยได้ ดังที่พระเจ้าประสงค์ และก็ไม่มีการกลับไปกลับมาฟื้นกลับได้อีกเลยในความชั่วนั้น

 

แต่คนไม่รู้ความจริงนั้นหมด จนทำให้ตนเองพ้นทุกข์อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คนที่ทำไม่ได้ คนอยู่ในลัทธิเทวนิยมนั้น ก็ยังทุกข์อยู่ ทั้งที่พระเจ้าท่านไม่ปรารถนาให้คนทุกข์นะ แต่ไม่มีใครบังอาจถามพระเจ้า ว่าทำไมต้องให้คนมีทุกข์ด้วย ท่านปรารถนาให้คนไม่ทุกข์นะ

 

เราไม่ได้ลบหลู่พระเจ้านะ แต่พุทธทำให้พระเจ้ากับเจ้าของอาตมัน นั้นเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ที่พูดนี้ไม่ได้ข่มเบ่งนะ แต่เป็นวิชาการความรู้

 

แล้วพุทธก็ไม่ใช่ว่าจะหมดความเป็นเทวนิยมไปหมดทันทีนะ แต่มีลำดับในการปฏิบัติลดละความเป็นเทวนิยมไปเรื่อยๆ ลดละตั้งแต่ความเป็นทาสของโลกที่เราไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เราหลุดพ้นจากโลกได้เลยอย่างสิ้นอุปาทาน แล้วก็สิ้นความติดในลัทธิเทวนิยม มาอยู่ในลัทธิอเทวนิยม ซึ่งรู้จักเทวะดี และก็เป็นเทวะเองได้ด้วย

 

2.พระโพธิสัตว์ 9 ระดับ พ่อครูนำมาจากไหน พอจะมีหลักฐานอ้างอิงไหม

ตอบ...ก็พอรู้กันนะความรู้นี้ เป็นนัยๆ เป็นลักษณะที่แม้แต่ภาษาพระโพธิสัตว์ ก็มีอยู่หลายแห่งในตำราต่างๆ ในพระไตรปิฎก ถ้าเข้าใจโพธิสัตว์จะรู้ว่าโสดาบันก็มีความเป็นโพธิสัตว์ ... และถามว่าหลักฐานมีไหม? ก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่คนเรียบเรียงไม่เป็น ก็ไม่สามารถเรียบเรียงได้ แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็จะสามารถเรียบเรียงได้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พอสื่อได้ แต่ก็สื่อได้ตามที่อาตมาเป็น สูงกว่านั้นก็สื่อไม่ได้ สื่อได้ในโพธิสัตว์ระดับ 7 และในพระไตรปิฎก เถรวาทไม่มีเป็นเรื่องเป็นราว แต่ได้ยินมาในมหายาน แต่ก็ไม่ได้ยินได้ฟังระดับของมหายานอย่างชัดเจนอย่างที่อาตมาเอามายืนยันนะ

 

แต่ทุกวันนี้มันเพี้ยนไปมาก ออกนอกขอบเขตพุทธไปไกล ขออภัย ที่ต้องพูดเรื่องที่น่าสังเวชใจ ขออภัยที่ต้องพูดกล่าวเรื่องนี้ ที่จะพูดคือกรณีหลวงพ่อคูณ​ ขอยืนยัน ที่อาตมาพูดไปก่อนหน้านี้ที่ว่า คนไปชอบนิยมซุปเปอร์แมนเป็นนิยายที่ให้เด็กชื่นชอบ อย่างไม่ได้หลอกนะ เป็นคุณธรรมของฮีโร่ต่างๆ ซุปเปอร์แมน สไปเดอร์แมน อุลตร้าแมน หรืออย่างอื่นก็ตาม ก็ขอพูดให้ชัดนะ แม้คนจะเกลียดไม่นับถืออาตมาก็ง่าย แต่ว่าจะไปนับถืออย่างหลวงพ่อคูณนั้นง่าย เหมือนซุปเปอร์แมนที่ช่วยคน รถจะชนเด็กก็ช่วยเด็กคนก็ชอบ เหมือนหลวงพ่อคูณทำเครื่องรางของขลังขาย หรือว่าช่วยคนก็ตาม ก็ไม่ใช่กิจที่พระจะทำเลย หรือจะเก่งทางนั่งทางในก็ตามไม่ใช่คุณธรรมของพระเลย แต่จะบอกว่าทำเรื่องดีก็ดี เป็นสิ่งที่ช่วยคนได้ซาบซึ้งกัน แต่ไม่ใช่พุทธ จึงไม่ตรงตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ กลายเป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์หรืออิทธิปาฏิหาริย์เลย พระพุทธเจ้าไม่เคยทำการสร้างโรงพยาบาลหรือโรงเรียนให้ฆราวาสเลย แม้ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่คุณธรรมของพระนะ

 

อาตมาสร้างโรงเรียนก็ให้ฆราวาสเขาดูแลก็ยังบอกเลยว่า ต้องช่วยกันดูแลนะ หรือสร้างโฮ่งปัวก็ทำตามแค่กฎหมายเขาให้ ให้ฆราวาสเขาทำ ไม่ใช่หน้าที่ของเราว่าตัวตั้งตัวตีทำเลย แต่มันเป็นความดีงาม มันซ้อนว่าอันไหนเป็นหน้าที่ของสงฆ์ ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า

 

ตอนนี้มีลักษณะเห่อ ตื่น นิยมกัน คนก็เลยยกเป็นยอดเทพเจ้า เป็นอย่างนั้นเลย แล้วอยู่ในคราบของศาสนาพุทธ ไปปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ลุกลามเช่นนั้นมันเป็นปรากฏการณ์มีอิทธิพลครอบงำดึงดูดให้ออกนอกเส้นทางสัมมาทิฏฐิ อาตมาก็เลยเห็นว่ามันจะหนักมากที่จะกอบกู้ให้เข้าทางสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาผล เพราะอย่างนั้นมันไปหลงว่า หลวงพ่อคูณเป็นผู้มีอำนาจ ยิ่งใหญ่ เป็นผู้วิเศษ​ กูให้มึง ยิ่งกว่าพระเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยว่าใช้แบบนี้เลย มันออกนอกลัทธิพระพุทธเจ้าหมด ขออภัยที่อาตมาพูดความจริง ก็ให้สติแก่วงการศาสนาพุทธ แก่พุทธศาสนิกชน อาตมาไม่ได้ดีหรอกที่พูดไป ก็มีคนชังด้วยซ้ำ แต่ศาสนาพุทธไม่ได้ให้มาเห่อลาภยศ ไม่มี ท่านให้มาจนด้วยซ้ำ เป็นศาสนาขัดเกลาจิตใจด้วย ทวนกระแสจิตโลกียะด้วย

 

ที่ไปหลงทำกันอย่างที่ยกกันเป็นผู้วิเศษให้เคาะหัว เป่าหัวให้ เป็นฤทธิ์เดช นั้นมันนอกพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ภิกษุทำเช่นนี้เลย แต่นี่มาติดยึดหลงใหลกัน พระพุทธเจ้าให้ละหน่ายคลายออก มันไม่ใช่ตื้นๆ อย่างซุปเปอร์แมนทำ แต่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.      นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ก็ขอตีเหล็กขณะร้อนๆ อาตมาก็อาจถูกลูกไฟกระเซ็นใส่ไม่น้อย แต่ก็จำเป็น ขอพูดกล่าวนะ ถ้าไม่มีใครพูดอันนี้ อาตมารับรองว่าไม่มีใครกล้าพูดหรอก และไม่มีใครจะชี้จุดบกพร่องหรอก อาตมาไม่ได้ลบหลู่หลวงพ่อคูณนะ แต่ท่านทำดีท่านเป็นคนดีนะ อาตมาไม่ได้ลบหลู่ แต่ท่านทำแบบไม่ใช่พุทธ ไม่ใช่สัมมาอาริยมรรค สัมมาอาริยผล เพราะของศาสนาไหนก็ทำเช่นนี้แหละ ช่วยคนได้โลกธรรมแค่นั้น ขออภัยพูดไปแล้ว หลายคนก็อาจหาว่าโพธิรักษ์อวดดี พูดหลบหลู่คน หาว่าคนอื่นผิด แล้วตนเองถูกอยู่คนเดียว ขออภัยอาตมาก็อยากเจอคนที่ถูก แล้วพูดจาโอภาปราศรัยกัน ท้วงกันได้ว่าอาตมาไม่ถูกตรงไหน ก็ดีเลยอยากทราบข้อบกพร่องที่มี นี่ก็ได้พูดสิ่งที่คิดว่า ควรพูด ส่วนจะมีผลอย่างไรก็รู้ได้ว่า จะมีคนตำหนิติเตียนไม่น้อย ก็จะมีคนเข้าใจได้บ้าง แต่จะจำนวนน้อยกว่าคนไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องวิสามัญ​ ไม่ใช่สามัญ

 

ตอนนี้ อ.เอนกก็มาถึงแล้ว จะมีรายละเอียดที่จะพูดก็เชิญเลย

.เอนก ... ก็ได้พูดคุยกันมาถึง ภารกิจทางประวัติศาสตร์ของชาวอโศก กับการเดินทางสู่อนาคต ก็ออกตัวว่ามีโอกาสมารู้เรื่องชาวอโศก จากตอนมีการทำกองทุนซิป(SIP.=Social Investment Fund) ก็เพิ่งมารู้จักระบบบุญนิยม ที่เป็นพ่อของคอมมิวนิสต์ มาร์กซิสต์น้ันฆ่าคน แต่พ่อท่านกระจายสมบัติเป็นสาธารณโภคีและไม่ฆ่าคน

 

เมื่อวานก็ฟังธรรมะพ่อท่าน เพิ่งได้ฟังว่า พลังปรมาณูก็คือที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แล้วไอสไตน์ก็ค้นพบด้วย ผมก็ปิ๊งเรื่องนี้ แล้วพ่อท่านอธิบายหน้าที่อะตอม ก็เลยเข้าใจเพิ่ม

 

เนื่องในโอกาสที่พ่อครูจะอายุครบ 81 ปี ก็ได้อ่านเอกสารที่คุณหนึ่งฟ้าให้มาแล้วพบว่า ที่นี่เป็นแหล่งอารยธรรมที่คนมาอยู่อย่างสงบสุข สร้างวัฒนธรรมอารยธรรมมานานหลายพันปี ที่เมืองอุบลฯนี้ แล้วชาวอโศกจะมาสืบทอดต่อ พ่อท่านมาปักหลักที่นี่ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง

 

ที่นี่ เจ้าคำผง มาตั้งเมืองอุบลฯ หลังกทม.แค่ 11 ปี ก็ก่อร่างสร้างตัวกันมา เป็นอจินไตย ,   ร.4 สร้างโรงเรียนครั้งแรกที่อุบลฯ, พระสายนักปราชญ์ก็มาอยู่ที่อุบลฯ

 

มันบ่งบอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร? พ่อท่านมาปักหลักที่ราชธานีอโศก ก็เป็นแหล่งของคนรักสันติ แล้วเจ้าคำผง ก็มาสร้างเมืองอุบลฯ แต่แปลกว่าที่นี่ไม่มีคูเมืองกำแพงเมือง แสดงว่าที่นี่ไม่มีสงคราม มีคนที่หนีจากสงครามมาปักหลักที่นี่  พ่อท่านก็มาฟื้นศาสนาพุทธที่นี่ด้วย

 

แม้แต่เศรษฐกิจบุญนิยม หรือประชาธิปไตยอาริยะ ก็ให้ถึงสาธารณโภคี มีการลดอัตตากันด้วยที่ไม่เห็นในการเมืองใด

 

พ่อครูว่า...ระบบของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำนี่ พิสูจน์กันในสังคมนี้ที่อยู่ในธรรมนูญ กฎเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ที่ชาวอโศกได้มาแล้วก็มาทำ คือทุกคนอยู่ในนี้เสียภาษี 100 % เป็นเครื่องชี้วัดว่า คือของประชาชนโดยประชาชนเพื่อประชาชนเลย

 

.เอนกว่าผมมองว่าโลกทั้งโลกจะมาใช้ทฤษฎีของพ่อครูนี้ โลกทุนนิยมไม่สามารถจัดการกัมมันตภาพรังสีเลย อิเล็กตรอนโลกแตกตัวกันมากมาย อย่างจีนก็แสดงออก อิเล็กตรอนประจุลบออกมามากมายวิ่งไปหมดเลย เขากำลังค้นพบธุรกิจเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมแต่เขาไม่เข้าถึงจิตถึงอัตตาที่ต้องใช้พุทธศาสนา และต้องใช้โปรตอน ที่เป็นตัวควบคุมอัตตา ได้

 

พ่อครูว่า สามารถรู้ตัวว่าตนเองเป็น XX แล้วไปควบคุม XY ได้

 

.เอนกว่าโลกยังไปไม่ถึงที่พ่อครูพาทำมานี่เลย แล้วดูเหมือนว่าทุนนิยมเป็นอิเล็กตรอนเคลื่อนตัว เขาไปรวยล้นฟ้านี่ก็จะยิ่งเหลื่อมล้ำไปเรื่อยๆ อย่างบิลเกตต์ ก็รวยมาก แต่บริจาคก็เพื่ออัตตา ผมได้ฟังพ่อท่านที่ค้นพบเรื่องวิทยาศาสตร์เชิงพุทธนี้มันเป็นคำตอบของโลกนี้  จะตอบโจทย์ของโลกนี้

 

พ่อครูว่า...อาตมาถึงมุ่งมั่นอยู่ไปอีกนาน จะเป็นกสิกรที่ปลูกต้นของอาริยธรรม ชื่อ ต้นอาริยธรรม ให้แก่โลกไว้เป็นพันธุ์

 

.เอนกว่า..ถ้าใช้โครงสร้างอะตอมมาอธิบาย ชาวญาติธรรมที่เคลื่อนตัวอยู่รอบนอก สมณะที่เหมือนโปรตอน เป็นนิวเคลียส ก็จะเจอกับคลื่นใหม่ โลกจะเปลี่ยนไป ซึ่งต้องการระยะทาง เวลา ในการสร้างเสริมต่อไป พระพุทธเจ้าศาสนาในรอบ 50 ปีนี้โคลงเคลงมาก ถ้าไม่มีตักศิลา อย่างอโศก จะไม่เข้าถึงแก่นศาสนาแล้วจะพาไปอีก สามพันปีได้อย่างไร

 

ผัสสะที่จะเข้ามาในอโศกคือโลก อย่างคสช.ที่เข้ามา เป็นอิเล็กตรอนที่เข้ามา มีไอโซโทป ที่ไปทำงาน ถ้าสมณะดูแลญาติธรรมได้ไม่พอก็จะไม่สมดุล ต้องการการปรับ ที่ผมมานี่แรงงานของชาวอโศกก็ขาดตลอด ชาวอโศกต้องถ่ายไอโซโทป ไปให้เพิ่มขึ้นอีก

 

พ่อครูว่า...อย่างอาตมาเห็นหลวงพ่อคูณก็เห็นว่าไม่น่าอย่างยิ่งที่ประชาชนคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนนะ แต่หลวงพ่อคูณไม่ได้ประกาศอะไรยิ่งใหญ่เลย หลวงพ่อคูณเป็นคนจริงนะ แล้วอาตมาก็เป็นคนจริงด้วย อาตมาประกาศโพธิสัตว์ ประกาศอรหันต์ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่หลวงพ่อคูณพูดอะไรนิดหน่อยคนก็เชื่อกันไปมากมาย

 

.เอนกว่า...ในโลกปัจจุบันคนจะเชื่อเรื่องพวกนี้น้อยลง มันอธิบายไม่ได้ แต่เรื่องที่พ่อครูพูดนี้มันมีคำอธิบาย มีคำตอบ ก็ต้องอาศัยญาติธรรม ทำงานให้หนักหน่อยในการแสดงทั้งกายธรรมและวจีธรรมออกไป ทำอย่างไรจะรับมือชนชั้นกลางที่จะเข้ามามากขึ้นมาพึ่งอันนี้ ทำอย่างไรจะให้ด้านลบมีน้อยลง ให้นิวตรอนทำงานเพิ่มขึ้น เป็นไอโซโทปที่ดีมากขึ้น

 

ผมเห็นแนวโน้มของโลกที่ไม่มีคำตอบ แต่ถ้าเราเอาจริงสัก 20 ถึง30 ปีก็จะมีคำตอบให้โลกได้มากขึ้น เพราะตอนนี้จีนกำลังลงทุนมากมาย แต่อีกสัก 30 ปีถึง 50 ปีก็จะล่มเหมือนกัน เพราะตอนเด็กผมเห็นอังกฤษเป็นมหาอำนาจก็ล่มแล้ว อเมริกา รัสเซียก็ล่มให้เห็นแล้ว

 

พ่อครูว่า...อาตมาขอบอกจุดสำคัญที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านเก่ง ยอดสุด ที่รู้สถานที่ควรยึดเป็นที่มั่นของความเป็นจริง ไม่ว่าจะระบบสังคมหรือคน มาอยู่จุดนี้มันโปร่ง เพราะมีคุณสมบัติที่วิเศษ​เป็นอุตริมนุสธรรม เป็นคุณวิเศษของมนุษย์ ตรงจุด  0 ตรงจุดที่เข้าถึง ได้อัตตา

 

พระพุทธเจ้าสอนว่าอัตตามี 3

1.      การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตปฏิลาโภ )

2.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา   ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตปฏิลาโภ )

3.      การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา

(อรูปอัตต ปฏิลาโภ) 

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

 

ส่วนคนที่ได้อัตตามาแล้วแต่ไม่รู้จักอัตตา เพราะเขาได้มาอย่างอวิชชา ก็เหมือนพลังงานอะตอม จนมาเป็นชีวะ พระพุทธเจ้าก็แยกให้เป็น อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ

 

กรรม คืออาการกิริยาทุกอย่างของมหาจักรวาล แม้แต่โปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน พระพุทธเจ้าควบคุมได้หมด อัตตา ก็คืออะตอม พระพุทธเจ้ารู้จักใช้ อะตอมเพื่อสันติเท่านั้นควบคุมได้ไม่ให้ไปทางร้ายได้ แต่ทางโลกเอาอัตตาเป็นอาวุธร้าย อะตอมเป็นอาวุธร้าย ทำระเบิดนิวเคลียร์ คนคุมระเบิดก็เอาอัตตาตนตัดสินว่าทุกอย่างในโลกเป็นของข้านะ ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่จะกระจายทุกอย่างให้เป็นของทุกคน จะเปิดอาเซี่ยน อาตมาว่ายังไม่พร้อมกันหรอกที่จะทำ

 

.เอนกว่า...ถ้าเอาแต่สสารจะคุมไม่ได้ แต่ต้องควบคุมนามธรรมได้  ผมก็มีประเด็นเดียวว่า อยากเห็นภารกิจอโศกรุกไปข้างหน้า เพราะคลื่นโลกาภิวัฒน์กับคลื่นคสช.จะเข้ามา ทำอย่างไรให้องค์กรอโศกรับมือได้อย่างดี วันนี้ผมก็ไปเจรจากับทางทหารที่จะทำเรื่องโซล่าฟาร์ม ก็อยู่กับทางโลกมากยังไม่มาถึงบุญนิยมครับ  แต่ตอนนี้เรามาทำถึงแดนบุญนิยมนามธรรมแล้ว ทำอย่างไรจะให้ไอโซโทปไปถึงข้างนอกไปถึงเขาได้

 

พ่อครูว่า...เราก็ต้องประมาณตนเอง ประมาณคนอื่น ประมาณสังคม องค์รวมทั้งหมด ขณะนี้ว่าไปแล้วอโศกในสังคมไทย ตอนนี้ อโศกอยู่ในฐานะของเถรสมาคมปกาศนียกรรมว่าอโศกเป็นหมาหัวเน่าในไทย เราไม่รู้จะไปไห นก็เป็นคนไทยก็อยู่ต่อแล้วพิสูจน์ว่าเราไม่ใช่นะ ท่านมีอุปาทานเอง ว่าเราเป็นหมาหัวเน่าที่จริงแล้วหมาหัวเน่าไม่ใช่เรา แต่ทางแพทย์ท่านว่ามีเสียงหลอน ภาพหลอน ก็เลยเชื่อภาพหลอนเสียงหลอนว่าจริง เราก็เลยพิสูจน์ไป แต่กลิ่นเน่าลดลงบ้าง

 

พระพุทธเจ้าสู้กับศาสนาอื่น ยิ่งใหญ่สุดยอด แต่อาตมานี่สู้ง่ายกว่า อาตมาแค่ระดับ 7 ก็เลยยาก ที่มันยากเพราะยุคสมัยนี้คือ มันเป็นผีเป็นมารกันเกือบทั้งโลก แม้ชาวพุทธแท้ๆก็ยังไปเป็นบริวารของมารไปหมดแล้ว อาตมาก็เลยต้องดึงกลับ จำเป็นต้องพูดวิจารณ์หลวงพ่อคูณก็ด้วยปรารถนาดีไม่ได้มีจิตอกุศลแม้นิดเลย เป็นจิตกุศลทั้งสิ้น ก็เข้าใจฐานะของหลวงพ่อคูณว่าท่านเกิดมาก็ต้องทำกิจของท่าน เหมือนพระพุทธเจ้าเข้าใจพระเทวทัตนะ แต่ท่านก็ต้องตำหนิเทวทัต แต่จิตท่านไม่ได้เกลียดชังเลยท่านเมตตาด้วย

 

เอาอะไรเป็นเครื่องวัดก็เอาพฤติกรรม ก็ดูรูปธรรม ที่เกิดจากนามธรรม มีพฤติทางกาย ของไม่ว่าจะคานธีหรือไอสไตน์ก็ตาม  นี่พูดไปก็อาจทำให้บางคนเกิดอาการเหมือนโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก ก็ไม่อยากให้เกิด คืออาการไม่ชอบใจสูงจนเกิดเช่นนั้น มันเกิดจากพลังงานทั้งหลาย อาตมาเข้าใจ

 

.เอนกว่า...ในแง่ของผมก็คิดว่า พลังงานด้านลบนี้แผ่ไปทั่วโลก อยู่ในอาการไม่เป็นเอกบุรุษ ไม่เป็นโปรตอน ที่มากล่าวหาพ่อท่านก็คือมันมีพลังงานลบมากไป เป็นไอโซโทป

 

พ่อครูว่า...มันเป็นกัมมันตภาพที่เขาควบคุมไม่ได้

 

คำว่ารังสี คือตัว Genome ใน DNA มีเพศพ่อเพศแม่ที่บ่งชี้ แล้วมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่บอกลักษณะ แต่DNA ของพ่อกับแม่ก็วัดได้ตรง แต่ตัวย่อยๆเขาไม่รู้ เขาก็เรียกว่าธาตุอื่น เขาก็เรียกว่า ไอโซโทปหรือ Genome ถึงวาระที่จะเอามาเรียกแทนกันก็ใช้ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าเรียก กายว่า จิต มโน วิญญาณ ผู้รู้ไม่ติดบัญญัติ แต่ว่าเอามาเรียกใช้ได้หมด ตอนนี้จะเรียกว่าอิเล็กตรอน หรือโปรตอนหรือนิวตรอน หรือ อะตอมคือมีครบสามอย่างนี้ ที่ต้องมาเทียบให้เข้าใจก็เพราะว่า เวลาปฏิบัติธรรม ถ้าเราสามารถรู้ภาษา แล้วระบุตรงสภาวะ สูงสุด พระพุทธเจ้าเรียกว่า อาการ ไม่ว่าจะเป็นอาการไอโซโทป หรือนิวตรอน

 

นิวตรอนนี้มีหลายฐานะ ขนาด เช่น โสดาบันก็มีนิวตรอนขนาดหนึ่ง โสดาบันได้ แต่ก็ต้องเรียนเข้าไปในอันนั้นที่จริงมันยังมีพลัง potential อยู่ มันเป็นอาสวะในอะตอม ที่ทำงานอยู่ โสดาบันต้องทำงานควบคุมฤทธิ์อิเล็คตอนได้ จนเป็นสกิทาฯ เป็นอนาคาฯ ก็ควบคุม อิเล็กตรอนได้หมด อนาคาฯไม่ใช่ไม่รู้โลก ไม่หนีโลก แต่รู้โลกหมด รู้ว่าแต่ละคนมีโลกแต่ละลูก มีอะตอมของตนเอง อิเล็กตรอนมี อปรโคยาน ดิ้นรนเยอะ ท่านก็จะช่วยให้แต่ละคนเรียนรู้ของตนเอง แล้วไปสังขารไปจัดการปรับปรุง อภิสังขาร มนสิการให้เรียบร้อยไปตามลำดับ

 

ผู้เป็นอนาคามีนี่ จะฟังที่อาตมาพูดนี่รู้เรื่องมากเลย จะรู้ว่าอิเล็กตรอนคือตัวร้ายในกามภพ จะเห็นรู้อย่างไม่หลับตา แต่ละหน่วยของแต่ละคนคือดาวแต่ละคน แต่ไม่ใช่ดาวธรรมาดานะ ก็รักษาสภาพของตน พยายามทำให้ตนเป็นพระอาทิตย์ในวงจรของตน ควบคุมดาวอื่นหมด แต่เขาย่ิงทำ เขายิ่งเป็นเอกเทศเป็นเดี่ยวๆ ตามใจตนเอง เขาจึงคืออุกกาบาตตัวร้าย วิ่งไปไม่มีเส้นทางโคจรตามใจกู ชนแหลก เพราะมีพลังมีแรง และมีบริวารอีกด้วย เป็นจักรวาลซ้อน ไม่ใช่มีแต่อุกกาบาต

 

แท้จริงแล้ว พลังอำนาจเขาอาศัยโลกที่มนุษย์ตกเป็นทาสโลก คือ กาม โลกธรรม อัตตา ที่โลกเขาอาศัยพวกนี้ ไว้ควบคุมโลก เป็นพระเจ้าอย่างที่เขาประสงค์ ให้คนอื่นหรืออย่างอื่นเป็นตามใจเขา ทุกคนไม่รู้ก็เลยทำตัวเป็นพระอาทิตย์แบบนี้ แล้วก็ตามใจกู กูคือพระอาทิตย์ซ้อนในโลก

 

ศาสนาพุทธนั้นคนละขั้วเลย จะต้องเป็นคนไม่กดดันใคร ให้อิสระ แล้วมารวมกันเป็นอิสระ จึงเป็นพลังงานที่รวม เป็นมวล เป็นจักรวาล ที่รวมกันได้ เป็นจักรวาล แผ่รังสีเย็น มีพลังปรมาณู เมื่อผู้ใดบรรลุธรรมเป็นเอกภาวะ ปุริสภาวะได้แล้ว โดยมีความรู้ทำตนให้เป็น 0 เป็นนิวตรอนได้ เป็นนิวเคลียสได้ มีโปรตอนกับนิวตรอน ผู้ทำตนให้เป็นนิวเคลียสได้จะคุมได้ทั้งโปรตอนและนิวตรอน

 

เมื่อเป็นเอกบุรุษแล้ว โลกรู้เหมือนกันว่านิวเคลียสเป็นเพศชาย เป็น XX แต่ก็ไม่รู้ค่า X เขาก็คุมไม่ได้ แต่ละคนจึงเป็นนิวเคลียสที่จะแตกตัวมีปฏิสสัมผัสโส แตกเป็นไอโซโทป ออกมาเป็นอิเล็กตรอนที่ออกไปกระจายทั่ว คุมได้ได้ก่อกัมมันตรังสีทั่วโลก

 

ผู้รู้ต้องมาช่วยกันทำนิวเคลียสที่แผ่กัมมันภาพรังสีที่ไม่ทำลายแต่เป็นพลังงานสุขเย็น

 

นิวเคลียสคือโปรตอนกับนิวตรอน ผู้อยู่เหนือทำนปุงสกลิงค์แล้วตนอาศัยปุงลิงค์ทำงาน กว่าจะควบคุมภายในได้ก็ต้องฝึกควบคุมภายนอกได้มาก่อน อนาคามี ควบคุมอิเล็กตรอนได้แต่ยังควบคุมนิวเคลียสไม่ได้ แต่อรหันต์ควบคุมได้หมด แล้วอรหันต์ก็คือ xx แล้วควบคุม XY ซึ่งมี genome อยู่ในนั้นหมด มันเป็นพลังงานยิ่งใหญ่ แต่ละฐานะมีภูมิถึงไหนก็มีพลังงานเท่าที่ตนเองมี ถ้าเผื่อว่าให้คนอื่นมาทำ โดยที่ตนเองอวิชชา มากระทบกระแทกให้ระเบิด พลังงานเท่าที่ตนมีก็มีไม่น้อย เพราะมันเป็นนิวเคลียส มีนิวเคลียร์ระเบิด

 

แต่ผู้ควบคุมได้แล้วกระแทกอย่างไรก็ไม่ระเบิดเพราะได้ทำการดับไปเป็นลำดับ มีปฏิฆสัมผัสโส ผู้คุมได้จะไม่ระเบิด แต่เมื่อมีสัมผัสก็จะรู้ประมาณ ประมาณตน บุคคล หมู่กลุ่ม เวลา เนื้อหาสาระที่จะทำ ไม่ว่าจะบวกหรือลบที่จะใช้ คือรูป และนาม เอามาจัดสรรให้กลมกลืนอยู่ได้สามัคคีกลมเกลียว ได้อย่างไรก็จัดสรรพลังงานให้เกิดแก่สังคม

 

วันนี้ที่พูดก็เป็นกัมมันตะ ให้สติแก่ประชาชนว่าที่ทำอยู่นี่ใช่หรือเปล่า? อาตมาไม่ได้ปฏิเสธความดีงามนะ หลวงพ่อคูณเป็นซุปเปอร์แมนคนหนึ่งที่เด็กที่ไม่เดียงสาต้องพึ่งพา ผู้อวิชชาคือผู้ยังไม่เดียงสาก็ต้องไปพึ่งพาก็ไม่ผิดหรอก แต่มันยังไปไม่ไกล พยายามตื่น แล้วตรวจดู  ให้ตื่นจากวัยไม่เดียงสาอยู่บ้าง ว่าเราจะไปศรัทธาแต่ซุปเปอร์แมนหรือ ต้องอาศัยซุปเปอร์แมนเท่านั้นหรือ คือต้องอาศัยหลวงพ่อคูณอยู่ ตลอดไป แต่หลวงพ่อคูณเสียแล้วก็ไปพึ่งเหรียญท่าน พระพุทธเจ้าท่านว่าให้พึ่งตนเอง และทุกคนต้องทำเองได้เองเป็นเอง ไม่มีใครทำให้ใครได้ ถ้าท่านสามารถกูให้มึงได้ ก็ให้ได้มากมายเลยแต่มันไม่ใช่ ตอนนี้เตลิดเปิดเปิงไปไกล ไม่ใช่แบบธรรมกายแต่ก็เป็นอีกแบบที่แตกไป ก็ขอให้สติกัน

 

จริงๆอาตมาเชื่อว่าเขาต้องไม่ชอบใจมากที่อาตมาพูดเช่นนี้ แต่อาตมาประมาณแล้วก็รอตั้งหลายวัน กว่าจะพูดไปนี่ 

 

จริงๆเด็กที่อยากเป็นซุปเปอร์แมน ซุปเปอร์แมนก็ช่วยได้แต่เด็กๆ ไปช่วยอย่างใช้นิยายเป็นวิมานในฝันเท่านั้น หลงวิมานหลงภพ หลงส่ิงไม่มีจริงคือเทวดาหลอก ที่ว่าเทวดามีฤทธิ์ก็เป็นของเก๊

 

พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้พลังงานที่อาตมาใช้ภาษาวิทยาศาสตร์มาเทียบให้ฟัง มีตัวสุดท้ายที่พลังงานพระพุทธเจ้าควบคุมถึง นิวตรอน ควบคุมเพศได้ ควบคุมกัมมันตรังสีได้ รู้ว่าจะแตกพลังงานอย่างไร ควบคุมรังสีร้ายได้หมด นี่คือสุดยอดแล้ว ควบคุมต้นทางแห่ง ตัวโรงงาน ที่มี generator ควบคุมได้จริง จึงใช้ได้ทุกแสงสี แม่เหล็ก ไฟฟ้า ทำให้เกิดธาตุนั้นนี้ ทั้งพลังงานเอาไปใช้ได้อย่างได้สัดส่วน ปโหติ เป็นกัมมัญญตา ที่พอเหมาะพอควร ได้สัดส่วน อย่างในหลวงที่ตรัสเศรษฐกิจพอเพียงอย่างพอดี

 

อาตมาสรุปแต่ไหนๆมาว่า คนเราสูญเสียพลังงานกรรมกิริยา ความคิด ทั้งทุนรอน วัตถุประกอบด้วย ไม่ว่าจะเงินทองข้าวของ เป็นผลร้าย มาประกอบเป็นจักรกล หุ่นยนต์ที่เป็นผีร้าย เพราะไม่ได้เอากัมมันตรังสีร้ายของมันออกในทุกหน่วยของอะตอมก็ยิ่งสะสมพิษภัยมากขึ้น

 

พระพุทธเจ้าจึงมีวิธีทำ ตั้งแต่ตัวเรานี่แหละ เรารู้มุมของกรรมกิริยาที่ไปเกี่ยวกับอะไร วัตถุ สัมผัสทางทวารนอก แล้วเกิดพลังงาน ก็อ่านเรียนรู้พลังงานทั้งหมดทุกอย่างรวมลงที่เวทนา ให้เรียนรู้การกระทบสัมผัสไม่ว่ากับอะไรจะเกิดเวทนา ท่านให้เรียนรู้เวทนา 108

ตั้งแต่เวทนา 2​คือ รูป/นาม หรือกาย/จิต

 

(แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)

-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ  (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม)

-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป).

 

แล้วจะเกิดซ้อนเป็นสาม มีการกระทบ ปฏิฆะ คือเป็นเรื่อง ตัว ฆ คือเป็นเรื่อง ถ้าจัดการเรื่องได้หมดก็เป็น สงฆ์ ควบคุมได้ ตัว ฆ ระฆังนี่แหละ สรุปคือเวทนามี เวทนา 2 3 5 6 เรียนรู้กับความจริง มีทุกอย่างครบ ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่จริงๆเราเกี่ยวข้องกับดวงดาวทั้งหมดแต่มันไกลไปเราก็เอา แต่ที่เราสัมผัสใกล้ๆ เราใช้ ไฟฌานที่จะไปดับอิเล็กตรอนที่เป็น ไฟราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็นสามหน่วย

 

ถ้าสามารถรู้เวทนา ที่เป็นตัวศึกษาไปถึงวิญญาณ ทีมีธาตุประกอบคือ เวทนา สัญญา สังขาร ต้องเรียนรู้เวทนา 108 ก็คือทั้งหมดของจิตที่มันรวมลง เป็นองค์รวมทั้งหมดเป็นเอกภพ มหาจักรวาล ในคนนี่แหละที่หมุนวน จะเป็นดาวหางหรือพระอาทิตย์ ที่จะเป็นบริวารของอันอื่นก็ได้ เช่น แดงเป็นบริวารทักษิณ เป็นต้น

 

เราอ่านเวทนาไปตามลำดับ ตั้งเกณฑ์ศีลไว้ อันอื่นเอาไว้ก่อน มีมหาจักวาลมากมายเราไม่เอาหมด เอาแค่จักรวาลของเรา พยายามควบคุมอิเล็กตรอนไม่ให้มีรังสี เอาแต่ส่ิงดีมาใช้ แม้แต่นิวตรอนก็มีตัวgenome ที่แตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซได้ มี ครึ่งชีวิตด้วย เรียกว่า half life ของแต่ละ isotope เขาก็รู้ว่าทุกอย่างมันก็ชรตา

 

พระพุทธเจ้าสรุปเรื่องรูปไว้ใน รูป 4 ตัวสุดท้าย คือ ลักขณรูป มี

อุปจยะ คือธาตุเกิด เรียกว่าเป็นภาษา มาตา ตัวนี้คือแม่ จริงๆแล้วตัวพ่อ คือตัวที่หยุดแล้ว ชรตา แต่ตัวพ่อถ้าควบคุมได้จะให้เกิดให้ต่อหรือให้ตายก็ได้ ถ้าหยุดก็ไม่ต่อไม่มีสันตติ ก็จบ แต่จะเกิดอีกก็เป็นอุปจยะ แล้วตัวเสื่อมก็คือชรตา

 

อรหันต์อยู่กับตัวเสื่อม เมื่อตายไปแล้ว มาเป็นมนุษย์ชมพูทวีป ก็ไม่มีอาการ 32 อีกแล้ว ไม่มีสุรภาโวอันนี้เลย อนาคามีจึงมีสภาพที่ไม่หมด แต่โปรตอนกับนิวตรอนของตนเองเหมือนพีชนิยาม ไม่มีพิษภัยกับใคร แต่จะแตกตัวเป็น isotope สำหรับตนเอง แล้วปฏิฆสัมผัสโสของอนาคามีนี้หมดแล้ว ตั้งแต่กามราคะ ปฏิฆะไม่มี ดังนั้นสัมผัสโสของอนาคามีจะมีแค่ มนายตนะกับธรรมายตนะ สัมผัสกันแต่ไม่มีทุกข์ร้อน มีพลังงานเหลือบ้างก็ทำแต่ของตนให้หมด พวกเราก็รู้แต่ว่า เวทนา 108 นี่ทำมโนปวิจาร 18 ให้อยู่ในฐานของเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาให้ได้ ไม่ใช่อย่างกดข่มด้วย ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:15:13 )

580527

รายละเอียด

580527_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 1

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2558 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีมะแม รายการธรรมาธรรมะสงคราม จากราชธานีอโศก  เริ่ม 18.20 น. จบ 20.20 น.

 

พ่อครูว่า...วันนี้จะได้เอามหาจัตตารีสกสูตร ที่ถือว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้อาตมาอธิบาย ถือว่าเป็นเพชรที่มีความหมดจดงดงาม มีเหลี่ยมมุมครบพร้อม เรื่องอาริยสัจ 4​ที่มีมรรคองค์ 8 แล้วมรรคองค์  8 นี้จะหยั่งถึง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ

 

เราได้ใช้ภาษาสื่อถึงสภาวะ ถ้ายังไม่มีสภาวะเราก็รู้ชื่อ (อธิวจนะ) ว่าอาการนี้ นามนี้ เจตสิกเป็นเช่นไร มีความแตกต่างกันอย่างไร จนอาตมาเอาชื่อทางวิทยาศาสตร์เขามาเรียก ชีววิทยาเรียกเพศ อย่างฟิสิกส์ก็เรียกบวก/ลบ เป็นเคมีก็ธาตุต่างๆ ใช้ชื่อ อธิวจนะไปเรียกแทนสภาวะที่อาตมามี อาตมามีเนื้อสภาวะ เพียงแต่ว่าไม่เก่งภาษาบัญญัติ แต่ก่อนนี้ภาษาก็ผิดพลาดเยอะ แต่ตอนนี้ก็ลงตัวมาเรื่อยๆ จนถึงวันนี้ก็ 45ปีมาแล้ว ที่ใช้ภาษาสื่อสภาวะ มาถึงขนาดต่อภาษาทางโลกกับทางธรรม

 

ภาษาที่ทางโลกเขาหมายอย่างนี้แล้วทางธรรมจะเป็นอะไร มันลงตัวหมด แม้ที่สุดรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อมีกระทบสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส ก็เกิดเข้าใจรู้แจ้ง เป็นเช่นนั้นเลย แม้เป็นนามธรรมเล็กละเอียดเท่าใด มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต จึงสามารถทำให้ชีวิตินทรีย์นี้หมดพลังงานชีวิตได้ ดับชีวิตคือดับชาติ ดับพลังงานชีวิต

 

พระพุทธเจ้าจะเรียนรู้ชีวิตเต็มๆจากหยาบ โอฬาริกอัตตา แล้วลดพลังงานโอฬาริกอัตตาลงไปถึงพีชนิยาม จนไปรู้พีชนิยามที่ประกอบด้วยธาตุสองธาตุ คือ โปรตอน กับนิวตรอน  ก็จะเกิดภาวะ 2 แล้วจะรู้ว่าอาการ คือโปรตอนกับนิวตรอนเป็นนิวเคลียสที่เล็กสุดท้าย มีอิเล็กตรอนวิ่งรอบๆ เราก็รู้มาตั้งแต่อิเล็กตรอนที่เป็นพาหะ (โคยาน)ที่จะว่ิงออกไปทำอะไรต่ออะไร เป็น potential energy พลังงานศักย์ แต่ถ้าโคจร(คือพลังงานจลน์ ก็สามารถเรียนรู้ทั้งพลังงานศักย์/จลน์

 

เมื่อมีอะไรกระแทก นิวตรอนจะแตกแทรกไปร่วมกับอิเล็กตรอนแล้วกลายเป็นตัววิ่งอปรโคยานไปเรื่อยๆ ผู้อวิชชาก็ไม่สามารถควบคุมตรงนี้ได้ เป็นอุกกาบาต คนก็ไม่เก่งในการกำหนดวงโคจรของตัวเอง แต่ถ้าเก่งมากมีอำนาจเหนือก็จับวงโคจรของตัวเองได้ เป็นวงรี เป็นดาวหาง นิวเคลียสคือหัวดาวหางวิ่งสะเปะสะปะไป ไปถามถึงใครต่อใครก็ว่าดาวหางมีอิทธิพลอย่างไรๆ

 

มันเป็นนิวตรอนที่วิ่งออกไป เมื่อไปจับตัวก็จะมีโปรตอนไปจับด้วย กลายเป็นชีวะที่มีครึ่งเดียว คือ half life ทั่วไปวิทยาศาสตร์เขาก็รู้แล้วว่ามันไม่เที่ยง อะไรก็ลงไปที่อนัตตาหมด

 

วิทยาศาสตร์รู้จักอนิจจัง อนัตตา แต่เขาจะไม่รู้ทุกข์ เพราะทุกข์เป็นอาการนามธรรม เกิดจากจิตนิยาม แม้แค่พีชนิยามไม่รู้จักทุกข์

 

พีชนิยามมีแต่ สัญญา กับสังขาร ซึ่ง มันก็มีปรุงแต่งตามกำหนดรู้ในสัญชาติญาณของเขา เขาก็เกิดชาติตามสัญญะ พีชะก็มีปรุงแต่งไปตามกรรมพันธุ์ เกิดเป็นขันธ์ของตนเอง ยังไม่มีเวทนา มีแต่ รูป สัญญา สังขาร สามตัวนี้ ก็เป็นรูปร่างสภาพพีชะ เป็นชีวะแล้ว

 

ศาสนาพุทธเรียนรู้จิตนิยาม จัดการทำลายตัวอปรโคยาน ตัวเคออส ที่วิ่งไปตามประสาพลังงาน ถูกอิทธิพลอื่นบังคับ ไม่มีอำนาจในตนพอที่จะยืนหยัดยืนยันของตนเอง แต่พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้ของตนได้ รู้พลังงานที่ออกนอกทาง แล้วจับให้มาอยู่ในทางเดียว ไม่ให้พลังงานแหกคอกใน chain reaction ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้ จึงจัดการพลังงานพวกนี้ได้ เหมือนที่เขาใช้พลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ทางนามธรรมนี้จับของตนเองได้

 

มีพลังงานไฟฌานที่เหนือกว่าพลังงานปัญญา ที่รู้ว่าเอ็งดิ้นไปนี้มีอุปาทาน ยึดติดหลงเทวดากินง้วนดิน ไปหลงนึกว่าง้วนดินมีรสชาติหอมหวน ก็แล้วแต่ มันก็มีรูปรสกลิ่นสัมผัสธรรมชาติ แต่คุณไปยึดติด พระพุทธเจ้าเลยให้ทำลายรสชาติที่ยึดติดพอใจชอบใจ ซึ่งไม่เหมือนกัน ของคนนั้นคนนี้ก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ตนถูกครอบงำ พอใจยึดเป็นเราเป็นของเราว่าน่าได้น่ามีก็เอามา แต่เมื่อไม่น่าได้ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น มันก็เป็นธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติ

 

มันรู้ธรรมะสองอย่างอันหนึ่งเป็นรสธรรมชาติ อันหนึ่งเป็นรสทิพย์สุขทิพย์ คุณก็ต้องการสุขทิพย์ให้ได้นานๆ ควบแน่นยึดให้ได้นานๆ ก็ติดยึดเข้าไป กลายเป็นสภาพที่สองธาตุที่ผนึกเข้าในอนุสัย

 

เอาของตนเองก็เป็น XX แต่เอาอย่างอื่นมาด้วยก็เรียกว่า XY แล้วผสมส่วนกันไปเป็น Geneเป็น DNA ไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้ารู้ท้นก็ไม่ได้เกิด ไม่ให้มันเป็นเพศ​ เพราะเมื่อเป็นเพศจะเสพรส แต่เมื่อไม่เป็นเพศ​เป็นเอกบุรุษก็ไม่เสพรส แม้เป็น xx ก็ไม่เสพรส เอาพลังงานมาใช้ได้ดี แม้ xy ก็ทำเป็น xx ได้ ทำอิตถีลิงค์มาเป็นปุงลิงค์ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ทำให้มันรวมตัวกันเป็นหนึ่งให้ได้ มันก็กลายเป็นชาติใหม่ แม้เรียกว่านิวตรอนก็เป็นตัวใหม่

 

หรือเป็น genome ตัวใหม่ ซึ่งเป็นเพศ บุรุษเพศ เป็นปุงลิงค์ เป็นบุรุษเพศ​เป็นสองหน่วย xx แล้วผู้ควบคุมได้จะทำ xy เป็น xx ได้ เป็นชีวะ ไม่ได้หยุดพลังงาน เพราะเรียนรู้แล้วทำให้มันเกิดภวันติ กลายเพศ​จากเพศหญิง มาเป็นเพศชาย จึงได้พลังงานปฏิภาคทวี

 

ส่วนสายดับไม่รู้จะดับทั้งเวทนาและสัญญาไม่มีบทบาท เป็นสัตว์ที่ไม่มีธาตุรู้ ไม่ตายไม่เปลี่ยนเพศด้วย ไม่มีพลังงาน แล้วก็หลงว่า การทำให้เกิดหยุดเวทนา หยุดสัญญา ก็เกิดความหนัก แน่น ข้น สะสมตัว กลายเป็น นิวตรอนที่แน่นๆๆๆๆ พอมีปฏิกิริยาตัวเองก็ควบคุมไม่ได้ หรือเป็นพลังงานกิเลสร้อนแรงข้างในมันต้องการมากพอมีเหตุปัจจัยกระทบปัง ถ้าพลังงานควบแน่นมาก กระทบนิดเดียวก็ระเบิด ความต้องการของตนเองออกมาอย่างแรงเป็นนิวเคลียร์ มีกัมมันภาพรังสีอันควบคุมไม่ได้ แต่ตัวไป ตนเองไม่มีความรู้ไปควบคุม ก็เลยแตกตัวซ้ำซ้อน นี่คือลักษณะพลังงานในโลก

 

แล้วพลังงานปัญญา เป็นพลังงานที่สูงมาก มีประสิทธิภาพมีความรู้ด้วย รู้อะไรควรไม่ควร รู้อะไรเป็นคุณเป็นโทษ ตัวไหนเป็นโทษก็ทำให้เป็นกลางได้ สามารถทำให้ y เป็น x ได้ เอามาเสริม จึงเป็นพลังงานปัญญาสุดยอด เป็นพลังงาน 4 อย่างสุดท้ายคือ

1.      ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)

2.      วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)

3.      อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)

4.      สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น) 

 

ผู้ใดเห็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้นั้นก็สัมมาทิฏฐิ

 

สรุปแล้วทั้งหลายแหล่ก็มีสภาพธรรมะสอง ถ้ามันแตะกันเฉยๆ ก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้าเกิดปฏิฆะ คือการทวนกระแสไปมากระทบกันไปกันมา ถ้ามันเป็นแค่พีชะจะไม่มีองศา ไม่เกิดวงวนอะไร แต่พอมี isotope แตกตัวไปอีกมาก ที่คุณจับได้รู้ไม่ได้ ก็เป็นพีชนิยาม มันไม่มีแรงมาก ไม่มีธาตุหนักอะไร ไม่เป็นธาตุแน่นอะไร เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ไม่ถึงนิวเคลียร์ฟิวชั่น

 

เราสามารถเข้าใจ isotope ที่แตกตัวนิวเคลียส ออกไปมีgenome ต่างๆ ของทางโลกเขาไม่มีวิธีการจัดการ genome หรือลืมๆทิ้งๆ แต่ไม่ได้เรียนรู้ว่าอะไรทุกอย่างก็อนัตตา แม้แต่ที่แตกตัวเป็น half life มันก็เป็นชรตา พระพุทธเจ้าถึงตัดสินตัวทายคือลักขณรูป ของตัวตน อณู ปรมาณู เป็นพลังงานนิวตรอนสุดท้ายแล้ว ที่แตกตัวจาก isotope ที่แตกตัวไปมีครึ่งชีวิตไปเรื่อยๆ แม้มันจะไม่มีทางสูญตลอด แต่มันก็มีแนวโน้มที่จะลดลงไปเรื่อยๆ หากแตะกันเบาไม่มีปฏิกิริยาลูกโซ่ตรงนั้น ก็เป็นทศนิยมที่น้อยสุดท้ายก็สูญ เท่ากับอนาคามีเป็น อันตราปรินิพพายี คือจะปรินิพพานในระหว่างไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าผู้ใดพอมีความรู้บ้างก็สามารถระงับหรือหยุดไม่ให้ไปไกล เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี ในอนาคามี 5 อย่าง

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว) อันนี้เป็นยอดแห่งพรหม เป็นยอดแห่งพระเจ้า จะตายหรือจะอยู่ต่อก็ได้ กำหนดวันตายวันเกิดได้

 

ถ้าไม่มีอาการ 32 มาใช้เป็นอุปกรณ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันมีแต่รูป ไม่มีนามมาต่อเชื่อมเลย มันพ้นรัศมีของปลายประสาทแล้ว เป็นวัตถุธาตุไม่เรียกว่า อาการนาม แต่เป็นอาการรูป ไม่มีธาตุรู้มาร่วมด้วย ไม่เรียกว่ารูปกาย เพราะคำว่ากายต้องมีนามมาประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่กาย สามารถรู้ได้ แต่มันเองไม่มีเจ็บปวด ไม่สุขไม่ทุกข์ สามารถยืนยันพิสูจน์ได้ ผมที่ยาวมานี่ตัดได้ ไม่เจ็บ  แต่มันยึดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ผู้หญิงนี่อิเล็กตรอนมันดีดดิ้น ผมก็ของกู เล็บก็ของกู หนังก็ของกู ประคบประหงมมัน ตกแต่งมัน รักษามัน ผู้ที่อยากร่ำรวย จงหาเรื่องหลอกผู้หญิง เอาเครื่องประเทืองไปขายก็รวยกันทั่วโลก เพราะผู้หญิงหลง วรรณะทิพย์ อายุทิพย์ หวงแหนเป็นชีวิตเลย ทั้งเล็บ ทั้งผิวทั้งผม ต้องให้สดเสมอ

 

สามารถรู้องค์ประกอบในการปรุงแต่งให้ได้สัดส่วนก็ค่อยๆรู้ไป แล้วจะได้ไปช่วยปรับปรุง ก็ไม่เป็นปัญหา สรุปคือพระพุทธเจ้าสามารถแยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามได้ สามารถทำความลึกของ x ธาตุ y ธาตุ ให้มาเป็นเพศชาย เป็นเพศที่มีพลังงาน ไม่มีอปรโคยาน สามารถทำให้เป็นเพศที่เป็นอปรโคยาน ควบคุมตนไม่ได้เคออส จนมารู้ว่าทุกหน่วยของพลังงานจะเกิดเป็น  0 1 2 หรือว่า 1 2 3 ก็ได้

 

0 กับ 1 คือนิวเคลียส 2 คืออิเล็กตรอน แต่ถ้าควบคุมนิวเคลียสไม่ได้มันก็มีพลังเหมือนดาวหางไปกระทบทั่ว แต่ถ้ากระทบได้ก็ไม่เป็นดาวหาง วนไม่เป็นวงรีก็มี cyclic order แต่ถ้าสะเปะสะปะ จะเป็นเคออส แล้วแต่อะไรมากระทบก็เบี้ยวไปกับเขา แต่เมื่อมีพลังงานตนจัดสรรให้เป็นวงวนที่เป็นระบบระเบียบ นี่คือพลังงานปัญญาที่รู้แล้วมีพลังเจโตที่จับ cyclic order สำเร็จ สามารถควบคุมได้ด้วย จะมีพลังงานที่ทำงานต่อไปได้ ก็ปล่อยให้เกิด 4 5 6 7 8 หรือ 9 ก็แล้วแต่บารมีของผู้มีบารมีน้อยหรือมาก ควบคุมการเกิดได้ ให้เกิดวงวน ที่เป็นลำดับๆไป ซ้อนๆ จนเป็นหลาย cyclic order เป็นจักรวาลใหญ่ที่มี 9 หน่วย เหมือนโลกเรามีดวงดาว 9 หน่วย เป็นนพเคราะห์ แล้วมีดวงดาวหมุนวนในวงโคจรของตนไม่สะเปะสะปะ ไม่เป็นเคออส

 

พลังรวมของพวกเราเป็นผู้มีปัญญา สามารถทำพลังงานระดับ นิวตรอน โปรตอน อิเล็กตรอน คือ 1 2 3  แล้วจัดโคจรให้มันไม่มีทิศทางนอกเส้นทาง แต่จะมีเส้นทางโคจร ไม่สะเปะสะปะ เป็นพลังงานเอกภาพที่สูงส่ง ใช้งานได้ดี มีประโยชน์มาก จะให้มีชีวะก็ได้ไม่ให้มีชีวะก็ได้ เพราะรู้จักความเป็นอมระ

 

จากอประ มาเป็นอมระ คือผู้ควบคุมให้สู่ cyclic order จะให้มันรีนิดหนึ่งก็ได้ จัดวงกลมสองอันให้มาสู่กันได้ ติดกันได้ หรือจะแยกกันก็ได้ สามารถควบคุม nuclear  fission หรือ fusion ได้

 

ตัว fission คือแบ่งกระจาย แล้วหายไปครึ่งหนึ่ง เป็นลูกโซ่ สุดท้ายคือ ชรตา

 

ส่วน นิวเคลียร์ fusion คือทำให้รวมตัวมีน้ำหนักได้ เป็นพลังงานที่รวมกัน หลอมกัน เรียกภาษาอย่างเร็ว ว่าหลอมละลาย รวมกันเป็นธาตุหนัก แต่ fission มันแตกกระจายมี half life ยังไงก็เข้าสู่ชรตา

 

มันมีปฏิกิริยาคือกลางๆ ปฏิฆะคือกระแทก ส่วนปฏิสัมพัทธ์คือharmony ไปด้วยกันอย่างดี เราจะรู้การดำเนินไปเราเรียนรู้ของจริง เรามีสิ่งที่ถูกรู้ คือรูป นามธรรมเราก็อ่านมันด้วย อาการ ลิงค นิมิตว่าอันนี้คือ จิตเจตสิก อันนี้คือรูป เป็นปสาทรูป สัมผัสแล้วเกิดอย่างไร ก็เข้าใจภาษาและอาการ

 

ปสาทรูป กระทบโคจรรูป ก็เกิดวิญญาณ เกิดธรรมะสอง เป็นภาวรูป 2เป็นอิตถีเพศหรือบุรุษเพศ มีชีวิตินทรีย์ขึ้นมาก็รู้ รู้หทยรูป รู้ชีวิตรูป รู้อาหารรูปที่เป็นอาหาร 4 อย่าง ถ้ามันอาศัยกามเป็นอาหารก็รู้ว่ามันยังหยาบอยู่ หรือในกามนี่แหละ มันเป็นอาการของความต้องการหยาบ มันมีเจตนา แล้วเจตนามันแรงเป็นกามตัณหา ก็รู้มันหยาบ ต้องฝึกฝนไม่ให้มันมีผลต่อเรา ถ้าเราอยู่เหนือกามภายนอกได้ ก็ควบคุมจัดการ รูปภพ อรูปภพได้ จัดการ xy ให้เป็น xx ได้ก็สมบูรณ์แบบ ไม่มีภวภพ เป็นวิภวภพได้ เจตนาที่มีจึงไม่เป็นพิษ ควบคุมได้สมบูรณ์แบบ

 

สามารถควบคุมได้ถึงพลังงานนิวเคลียร์ให้ทำงานเป็นกัมมันตะ เป็นรังสีที่คุมได้ เอามาใช้ได้ ไม่เป็นพิษ เป็นโทษ รังสีที่ออกไปเป็น isotope สุดท้ายก็จะเข้าสู่ชรตา ส่วนที่เอามาใช้ก็รวมพลังงานเป็นปฏิภาคทวี นี่คือ E = mc2 + A ซึ่ง A คือ Abstract เป็นอรูปที่มีพลังงานสูง จะเรียนรู้ได้ต้องรู้กรรม เกิดจากปฏิกิริยาการเคลื่อน ถ้าแตะกันเฉยๆ ก็เป็นธาตุสองที่อยู่เฉยๆ แต่ถ้ากระแทกมีปฏิฆผัสโส หรือมีปฏิกิริยา ถ้าทำให้ไม่เกิด ฆ ไม่เกิดแรงเป็นก้อนข้น คือ ฆ ระฆัง ยิ่งถ้าอวิชชาก็เป็นแรงทำลาย แม้แต่เป็นแรงเสพรสก็เป็นซาดิสม์หรือมาซูคิสม์ต้องแรงให้ถึง climax ต้องมีเวทนาที่แรงถึงจุด พวกนี้อำมหิตมาก

 

ซาดิสม์คือเห็นแก่ตัวอยู่ แต่มาซูคิสม์ไม่มีตัวตนเลย กูเจ็บนี่แหละกูมัน กู climax นี่คือสัจจะที่ทางโลกก็พอรู้ถึงมีศัพท์ ที่เป็นอารมณ์ที่พอรู้ได้แต่มันมีต้นทางอณูของชีวะ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ลีลาอาการที่จะเกิดกุศล/อกุศล การเกิดดีก็เรียกว่าสุข แต่เลวก็เรียกทุกข์ สุกฏทุกตานัง ทุกอย่างเกิดจากกรรม พระพุทธเจ้าควบคุมปฏิกิริยาพวกนี้ได้หมด จึงไม่มีปฏิฆะที่เป็นความแรงเป็นโทษ แต่ใช้แรงนี้เป็นธรรมฤทธิ์ เป็นบุญฤทธิ์ที่กำจัดกิเลสได้เป็นธรรมฤทธิ์เจริญขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมได้

 

ยิ่งเป็นปฏิกิริยาที่แรง เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติก็รู้ความแรงความเบาที่ควบคุมได้ จะให้เบา ลหุ หรือจะให้แรงขึ้นมาเท่าไหนก็ประมาณได้มีอำนาจของมุทุตา จะให้เบาให้อ่อนหนักข้นแรง ก็ทำได้หมด เพราะรู้ทุกสภาพของจิตวิญญาณ เป็นจิต มุทุ หัวอ่อน จะให้มีคุณสมบัติ สมรรถภาพอย่างไรก็ได้ ควบคุมต้นทางได้ ก็เป็นกัมมัญญตา ให้เป็นสุจริต ให้เป็นจรณะ ให้เป็นการดำเนินไปอย่างดี เดินสู่สุกฏะ แต่ถ้าทำชั่วก็ได้ทุกตทุกตานัง ผลังวิปาโก เป็นผลวิบากตกในอนุสัย อาสวะ

 

อนุสัยกับอาสวะต่างกัน อนุสัยเป็นพลังงานเพศผู้ ส่วนเพศเมียเป็นอาสวะ ยังมีโยนิ มีการเกิด มีที่เกิด เป็นตัวบ่อเกิด เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ที่ยังเกิด ส่วนอนุสัยเป็นส่ิงรวมตัวกันอยู่

 

อนุสัยคือสิ่งที่ยังตกเป็นตน โดยอวิชชา แต่ถ้าพ้นอวิชชา ตนก็เพียงอาศัย สย เพื่ออาหาร เพื่ออาศัยทำประโยชน์ ให้ทำงานไปได้ตลอด จบในตัวทำแล้วก็เสร็จ มีพรหมวิหาร 4 เมตตา ผู้ใดควรช่วยก็ช่วย กรุณาลงมือช่วย ช่วยได้เสร็จก็มุทิตา แล้วก็วางได้อุเบกขาไม่มีเรา เขา ไม่มีอาลัยไม่มีอาศัย แต่ถ้าอาลัยอยู่ก็ยังเป็นอนุสัย

 

ผู้สามารถวิเคราะห์วิจัยจิตได้จึงสามารถรู้แหล่งเกิด(โยนิ) ที่เกิด คือสัมภาวะ แต่ที่เกิดแหล่งที่เกิดคือโยนิ หรือโยนี สามารถที่จะแยก genesis doing ทำตัวเกิดเป็นชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติได้ก็ควบคุมการเกิดได้ แต่ผู้มีโยนิเองก็พร้อมให้เกิดมีรูปธรรมของแหล่งเกิด ส่วนผู้มีมีโยนิก็ไม่มีแหล่งเกิด แต่เป็นผู้เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิด ถ้าพลังงานสองพลังงานอวิชชา มีกามด้วย ก็ดิ้นทั้งเพศหญิง ชาย แสวงหาก็มีการเกิด แต่ถ้าเรียนรู้ สามารถไม่ให้เกิดปฏิกิริยา ปฏิฆสัมผัสโส จนเกิดแตกตัว เกิดอณูใหม่ก็ไม่เกิดตัวใหม่

 

ถ้าอยู่กันไปเฉยๆ เป็นปฏิกิริยาธรรมดาก็ไปได้สบาย อย่างที่อาตมาจับพยัญชนะชื่อต่างๆนี้มาให้รู้สภาวะ นัยพวกนี้มีเยอะ

 

ผู้สามารถมี psycho analysis สามารถจัดการ genome มี genesis doing ได้ ทำ genesis killing ได้ ประหารรากเหง้าของอกุศลจิตได้ ส่วนผู้เรียนรู้ไม่ได้ ก็ไม่สามารถจบ ไม่สามารถเอาพลังงานนี้มาใช้เป็นพลังงานดีได้ เพราะ isotope จะแตกตัวไปไม่สิ้นสุด เพราะกามคุณไม่ลด isotopeของคุณก็แตกตัวไปนับไม่ถ้วน ปฏิฆสัมผัสโส ทีหนึ่ง isotope มันแตกตัวไปมากมาย มีนิรันดร แต่ถ้าใครสามารถ genesis killing ก็จะได้จบ คนที่ทำ selfishness killing ได้ ก็คือจบ

 

 

ทำสมาธิ คือทำจิตให้รวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกบุรุษ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

อาตมามีหนึ่งเดียวทำให้มีหลากหลายได้มากขึ้น คือพวกเราได้นี่แหละแต่ระวังอย่างหลง รูปเรซิ่นหล่อนะ หลงว่าตนได้อนาคามีอรหันต์แต่ได้แค่รูปหล่อเรซิ่นนะ แต่ไม่ได้สภาวะจริง ก็ค่อยๆทำให้สมบูรณ์ ทำหลากหลายให้เป็นหนึ่ง

 

หลากหลายก็แตกตัวเป็นเวทนา ซึ่งเวทนานั้นเป็นตัวรวม ถ้าผู้ใดอ่านเวทนาไม่ออก ทั้งที่ตนมีแล้วหลงว่าต้องเสพ เวทนาสุข จนเป็นคนวิตถาร ไปหลงเสพเวทนาทุกข์ว่าเป็นสุข เป็นซาดิสม์หรือมาซูคิสม์ เกินขอบเขตนี้ถือว่าแรงแล้ว เป็นพลังงานเกินขอบเขต โดยเฉพาะเป็นพลังงานเป็นโทษ แต่ถ้าเป็นพลังงานมีประโยชน์แม้แรงก็ทำได้แต่ถ้าแรงมากไปกลายเป็นทำลาย แต่เป็นทางเสียยาก แต่ถ้าเป็นโทษนี่เสียเลยแม้น้อยหรือมาก ยิ่งมากยิ่งฉิบหาย สามารถรู้คุณโทษนี้ได้อย่างซื่อสัตย์ คนที่เห็นว่าสิ่งไหนผิดตนเป็นคนซื่อตรงก็ไม่ทำ แต่คนหลงผิดก็ทำผิดได้แต่คุณไม่หลงผิดก็ไม่ทำผิดหรอก

 

รู้ แล้วไม่อวิชชาด้วย สรุปแล้วต้องทำให้เป็นหนึ่ง เป็น X แล้วทำปุงลิงค์ให้เป็นนปุงสกิลิงค์หมดเพศเลยได้ แล้วเอาอะไรเติม เอา 0 เอา 1 ไปเติมได้ รู้ได้ว่า เอา 0 ไปเติมหน้าก็ลดค่า แต่ถ้าเอา 0 ไปเติมหลังก็เพิ่มค่า เป็นผู้รู้ 0 1 2 ที่เอาไปใช้ได้อย่างรู้ๆ คือเอาพลังงานที่ควบคุมได้แต่ละหน่วยที่เป็นวงวนไปใช้ได้ จะเติมอะไรก็ได้

 

0 นี่อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง แต่ถ้าเร่ิมเป็น 1 ก็มี ธาตุแห่งความเพียร 7 คือ ...​ เป็นพลังงานยิงลูกศรออกจากแล่ง เมื่อดึงลูกศรเต็มที่แล้ว อุปปักกัมมธาตุก็รู้ว่าจะดึงแรงเท่าไหร่ แรงมากไปไกลมากแรงน้อยก็ไปใกล้ๆ ก็กำหนดได้หมด จะให้ลูกศรไปไกลแค่ไหน ก็ตามพอควร เป็นสัปปุริสธรรมประมาณอย่างได้สัดส่วน กัมมัญญตา คือการงานที่เหมาะควร ส่วน กัมมนียะ คือภาคมรรคที่ฝึกคุมอยู่แต่พอได้ผลก็เป็นกัมมัญญตา เป็นกัมมัญญา เป็น ปริสุทธา ปรโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

ทำงานไปศึกษากรรมไป สามารถควบคุมกรรมได้สมบูรณ์แบบ กรรมพระพุทธเจ้าถึงรวบรวมไว้เป็น มรรคองค์ 8

          7.  มหาจัตตารีสกสูตร  (117)

         

[252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

          สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

         

 

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ

อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจัก

กล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

         

 

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ

อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมา

อาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง

ประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์

ประกอบบ้าง  ฯ

         

 

(พ่อครูแทรกว่า ...ในองค์รวมทั้งหมด ท่านรวมไว้ที่ 5 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

วิตก คือจิตตัวต้น ตัวแรกเลย เร่ิมดำริขึ้นมาใครสามารถจับได้ตัวต้นเท่าไหร่คนนั้นก็เก่งเท่านั้น เป็นวิตักกะ แต่ถ้าใครจับไม่ได้ก็เป็นตักกะคือความรู้ไม่หยั่งลงถึงความจริงเท่านั้น มีเหตุและผล มีตัวหนึ่งกับตัวหนึ่งเป็นปัจจัย จนสามารถจัดการสองตัวนี้ได้ เกิดตัวที่ 3 เป็นวิจาร แต่ถ้าไม่เกิดวิจาร คุมไม่ได้ก็เกิด วิกล เป็นเรื่องเสียไม่ควรเกิด แต่ถ้าทำให้ดีเป็นวิเศษ เป็นวิการที่วิเศษ เป็นวิกลก็เครื่องจักรดี ไม่เป็น genius  ก็เป็น idiot คือเป็น genius คืออย่างดี แต่ idiotคือเป็นอย่างไม่ดี สองอย่างนี้ใกล้กันมาก)

 

[254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา

ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ

ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

         

 

(พ่อครูแทรกว่า ต้องศึกษาอย่างไม่ตัดทวาร ต้องศึกษาอย่างเปิดทวาร แล้วรู้ทั้งส่ิงนอกและใน ประกอบกันเป็น สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ไม่ใช่ไปหลับตาไม่ทำอาชีพเลย หยุดนิ่งไม่ให้ทำกรรมกิริยาอะไรเลย แม้ความคิด สังกัปปะก็ไม่ให้คิดเลย เป็นคนเฉยเด๋อ ไม่ใช่ แต่ให้มีความคิดได้ จัดการดูแล  พูดก็ได้ ทำก็ได้   ผู้ที่รู้ความถูกของคนถูกว่าเป็นความผิด คนนั้นคือคนผิด  ผู้ที่รู้ความผิดของคนถูกว่าผิด คนนั้นคือคนถูก คนที่รู้ความถูกของคนผิดก็ตามความถูกของคนผิดก็รู้คนนั้นคือคนถูก)

 

[255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว

ไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว

แล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี

สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะ

รู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ(อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

 

พ่อครูแทรกว่า ผู้ที่รู้จะคอยบอกว่าอันนี้โลกียะ อันนี้ควรทำลายไปเสียในจิตเช่นนี้ อ่านจิตของตนให้ออกว่าจิตเราไปแบบกระแสโลก ก็ค่อยลดลงๆ ให้จิตเข้าสู่โลกุตระ รู้แจ้งในตนเห็นของตนอยู่ เห็นว่ามันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงไปทางโลกีย์ กระแสมันวิ่งไปทางโลกหรือจิตโน้มสู่โลกุตระ (อธิมุตโตหรืออธิโมกโข) มาสู่วิมุติหรืออธิมุติ หรือวิโมกข์ มาสู่เนกขัมมสิตเวทนา อย่างนี้มาทางโลกียะก็เป็นเคหสิตเวทนาก็อ่านอาการของจิต รู้ว่าจิตเป็นโลกีย์/โลกุตระ  อ่านจิตเราที่ได้ลดกิเลส ที่เป็นสักกายะ เราเสพบำเรอมันมันก็ไม่เที่ยงสมใจ/ไม่สมใจ มันไม่มีนิรันดร แต่คุณอยากให้อยู่นานอยากได้สัมผัสอยู่ แม้สัมผัสไว้ก็บางทีก็เบื่อหน่าย เอาออกไป ก็เบื่อแล้ว ถ้าคุณยึดก็อยากให้อยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน

 

เมื่อมีการปรุงแต่งให้ยึดไว้ ก็มีวิธีการแสดงว่าให้รักกันนานๆ ก็มาจูบกันให้ได้นานใครนานกว่ากันก็ชนะ ครอบงำความคิด ด้วยความไม่เข้าใจ อวิชชา แล้วคุณจะจูบกันไปได้นิรันดรไหม? บางคนปากเจ่อ ห้อเลือดเลย บ้า นี่คือความไม่รู้ อวิชชา แต่เขาก็ไม่เข้าใจ แสดงอาการกามก็ไม่รู้ว่าไม่ดี แสดงsexy อะไรก็ตาม เขาก็หาว่าอายมาพูดทำไม? ก็ต้องพูดฉีกหน้าว่าไม่น่าได้ไม่่น่ามีนะ

 

[256]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวสัมมา

ทิฐิเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง  1

สัมมาทิฐิของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ

 

 

สามารถทำให้กิเลสมันลดได้ โดยที่มันไม่เที่ยงในทิศทางลดลง เช่นเรารู้แล้วว่ากิเลสเรามีปฏิกิริยา 100 แต่บางทีมันมากขึ้น เป็น 200 เป็น 400 เลย เป็นปุถุชน ถ้าทำให้กิเลสลดลง จางคลายลงได้ก็รู้เห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี ตามเห็นเลย มีวิปัสสนา มีพฤติกรรมเห็นเลยว่ามันเกิดทุกข์ มีเหตุแห่งทุกข์ที่เราจับได้ เป็นกาม ราคะ โทสะ พยาบาทก็ตาม สราค หรือสโทส เป็นเจโตปริยญาณ คุณก็ทำให้มันเบาลง จางคลายลงได้ เห็นเข้าใจของจริง เห็นอาการ ลิงค นิมิต ของตนเลย ผู้อ่านรู้ความจริงตามความเป็นจริงของเจตสิกของเรา เราจับgenome ได้ แม้ว่ามันเล็กก็ตาม คุณสามารถทำให้มันลดด้วยสามารถ อุปปหัจจะ คุณก็รู้ยิ่งเห็นจริงว่ามันลด ทำให้ลดคือชำระได้ เรียกว่า “บุญ” คุณทำได้ส่วนหนึ่งก็เรียกว่า บุญภาค หรือส่วนแห่งบุญ หรือปุญญภาคิยา เป็นผลแก่ขันธ์ คำว่าขันธ์คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  สะอาดขึ้นจากกิเลส ผู้ทำได้ อันนี้เป็นสาสวะ ก็ลดลงไป แต่ถ้าเป็นอนาสวะก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นสภาพธรรมะสองที่ยังทำให้สมบูรณ์ไม่ถึง ก็ทำการอภิสังขารไปเรื่อยๆ ชำระไปเรื่อยๆตามลำดับ เริ่มต้น ก็ค่อยขยายความไป

 

[257]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์

เป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว  มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว

 มีผล  ผลวิบากของกรรมที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่  โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามี  บิดามี  สัตว์ที่

เป็นอุปปาติกะมี  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า

ให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลก  มีอยู่  นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ

ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ

         

ก็คือพบสมณะพราหมณ์ที่เป็นสยังอภิญญามีอยู่ แต่คนไม่เชื่อก็จะไม่แสวงหาไม่ได้ฟัง แต่ถ้าคนแสวงหากเจอผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วแต่ไปเห็นผิด ไปเชื่อผู้ที่มิจฉาฯว่าเป็นผู้ถูก ผู้นั้นก็คือผู้มิจฉาทิฏฐิ  ผู้ใดเห็นผู้ถูกเป็นคนผิด ผู้นั้นไม่มีทางได้บรรลุธรรม ผู้นั้นก็ยังผิดอยู่ก็ถูกแล้ว แต่คนที่เห็นคนถูกเป็นคนผิด เขาก็เห็นความถูกเป็นคนถูกไม่ได้ ผู้นั้นคือผู้ผิด

 

อาตมาไม่สงสัยว่าอาตมาเป็นผู้ถูก กำลังบรรยายแสดงความถูกพากันทำส่ิงถูก แต่คนที่เห็นว่าคนถูกเป็นคนที่ทำความผิดอยู่ คนนั้นคือคนผิด 100% ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:16:58 )

580528

รายละเอียด

580528_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 2

พ่อครูว่า....วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 28 พ.ค. 58 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม เราก็จะมาต่อกันเรื่อง "สมาธิ" เมื่อวานเราเอามหาจัตตารีสกสูตร ตั้งแต่ข. 252 มาพูด ซึ่งเป็นเรื่องสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้าโดยตรง ซึ่งต้องย้ำพูดบ่อยว่า สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนสมาธิทั่วไป ที่ต้องพูดย้ำ เพราะคนยึดผิด ทั้งทิฏฐิ และศีลพรต

 

ยึดความเห็นว่า เหตุปัจจัยเกิดสมาธิคือนั่งหลับตาทำใจเบาๆสบายๆ เพ่งกสิณเข้าไป กสิณ 40 หรืออะไรก็แล้วแต่ให้จิตนิ่ง เป็น hypnotize เป็นสะกดจิตธรรมดา สะกดจิตตนเอง เป็นวิธีการที่คนทั่วไปทำได้ทำเป็นซึ่งคนละเรื่องกับธรรมะพระพุทธเจ้า มันไม่ได้มรรคผล

 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้แม้คำว่าสมาธิ ก็ไปยึดนั่งหลับตาในภวังค์แล้ว อาตมาพูดมามากกว่า 40 ปีแล้วนะ อาตมาพูดสมาธิของพระพุทธเจ้ามีกรรมกิริยาสามัญกับคนธรรมดาไม่ได้ออกนอกชีวิตประจำวันเลย อาตมาเจอมหาจัตตารีสกสูตร นี่ยอดเยี่ยมเลย คนจะจมน้ำ อาตมาก็ได้อุปกรณ์ช่วยคนเข้าฝั่งได้ดีเลย อาตมาพูดถึง 45 ปีแล้ว กระแสหลักก็ตาม คนจบดร.ทางศาสนาก็ตาม ตำราพระไตรฯมีอยู่ก็ตาม ในมหาจัตตารีสกสูตร สัมมาสมาธิ ทำให้เกิดเอกัคคตาจิตนี้ ไม่ใช่ว่าไปนั่งสะกดจิตมีกสิณเป็นเหตุปัจจัยนะ แต่มันเกิดจากกรรมวิธีลึกซึ้งซับซ้อน กรรมวิธีต้องเข้าใจสัมมาทิฏฐิ หากไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่ได้สัมมาสมาธิ ก็จะไม่ได้ฌาน แบบพระพุทธเจ้า ไม่มีหวังเลย ไม่ได้กันด้วย แล้วก็ทำกันไป ตลอดเวลา เต็มบ้านเต็มเมือง ทำกันไปตลอด เจ้าลัทธิก็สอนกันอย่างมาก อาตมาโผล่มาหากไม่มีไตรปิฎกว่าไว้เช่นนี้อาตมาตายแล้ว เพราะเหมือนจรเข้ขวางคลอง ว่าสมาธิของพระพุทธเจ้ามียืน เดิน นั่งนอน มีการทำมรรค 7 องค์ตลอดเวลา เขาก็ไม่เคยเข้าใจ ไม่เห็นว่าน่าเชื่อถือเลย อาตมานี่พูดให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เขาก็เชื่อเช่นนั้น ไม่มีปรโตโฆษะ

 

เมื่อไม่มีปรโตโฆษะก็ไม่มีโยนิโสมนสิการ ก็อโยนิโสมนสิการกันเต็มบ้านเมือง เขาว่าอาตมาถือดีที่พูดเช่นนี้ ว่า อหังการ มมังการ พูดมาจะ 50 ปีแล้ว ก็ขอพูดอย่างถือดีอวดดียืนยันจริงๆ ว่าอาตมาเข้าใจถูก ท่านทั้งหลายลองตรวจสอบดีๆ ที่อาตมาเอามาขยายความ มีหลักฐานในพระไตรฯ ว่าปฏิบัติสมาธิแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้นั่งหลับตา ถ้านั่งหลับตาไม่รู้อะไรมากมาย มีแต่ดับหลับ ไม่ได้แตกปัญญา แล้วก็คิดว่าเกิดฌานสมาธิ ยกจิตสู่วิปัสสนานั้นขอยืนยันว่าแค่สัญญา ไม่ใช่ปัญญา

 

เมื่อเหตุปัจจัย และองค์ประกอบให้เกิดสมาธินั้นผิด คุณจะไปปั้นน้ำให้เป็นภูเขา ปั้นให้ตายก็ไม่ได้ ปั้นลมให้เป็นภูเขาไม่ได้ เหตุปัจจัยมันไม่ได้ มันไม่เกิด เหตุมันไม่ใช่

 

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ภิกษุทั้งหลายจงฟัง เราจะกล่าว สัมมาสมาธิของพระอาริยะ ว่ามีองค์ประกอบคือมรรค 7 องค์  ทำองค์ประกอบเหล่านี้แหละร่วมกัน ท่านว่ามีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ทำทิฏฐิให้ชัดเจนว่า อย่างนี้แหละคือสัมมา อย่างนี้แหละคือมิจฉา ก็ต้องทำเองศึกษา ว่าสัมมาคือเช่นนี้ อย่างนี้คือมิจฉาฯ ผู้เข้าใจสัมมาที่ถูกว่าเป็นสัมมาฯก็คือสัมมาฯ เข้าใจมิจฉาฯเป็นมิจฉาฯก็คือสัมมาฯ แต่เข้าใจมิจฉาฯเป็นสัมมาฯก็ผิด แล้วท่านว่ามิจฉาทิฏฐิเป็นเช่นใด ท่านก็แจงไว้ 10 ประการ

 

[257]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์

เป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว  มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว

 มีผล  ผลวิบากของกรรมที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่  โลกนี้มี  โลกหน้ามี  มารดามี  บิดามี  สัตว์ที่

เป็นอุปปาติกะมี  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้า

ให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลก  มีอยู่  นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ

ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ

 

 

เร่ิมตั้งแต่การทำทาน(อัตถิทินนัง) .... การไปเพ่งกสิณหรือหลับตาทำสมาธิ ไม่ใช่ทำองค์ประกอบทั้ง 7 นี้ ทำสมาธิคือทำใจของเราให้เป็นเอกัคคตา ซึ่งการทำใจก็คือมนสิการ ทำในขณะลืมตา ทำในขณะทำทาน ทำทานลืมตานะ เมื่อบ่ายนี้อาตมาไปเยี่ยมโยมเหินฟ้า  คนก็จับให้มือแกวางของที่ผ้าอาตมาวางไว้แต่แกไม่รับรู้แล้ว แกก็ไม่ปล่อยมือนะ อาตมาก็ทักว่ายังไม่ปล่อยนะยังไม่ได้ทานนะ แกก็เป็นญาติธรรมของเรา ที่เป็นคนขยัน เอาการเอางาน มีน้ำใจ มักน้อยสันโดษ แกก็บอกว่า ฉันตายไปก็จะไม่เกิดอีกแล้ว เบื่อหน่ายมาก ชัดเจนในสังสารวัฏนี้ ส่วนใจอยากจะไม่เกิดอีกได้ แต่ถ้าทำเหตุปัจจัยไม่ครบก็ต้องเกิดอีก จะไม่เกิดอีกก็ไม่ได้

 

การทำทานอย่างไรจะได้ผล อัตถิทินนัง จิตเราก็จะได้ผล ทานคือการสละออก สละความโลภ แต่ผู้สอนไม่รู้ธรรมะ เขาก็ไม่เคยพาทำใจในใจลดโลภ แต่เขาสอนให้ทำทานแล้วทำใจขอให้ได้ลาภ ได้ยศ ได้อะไรต่างๆทั้งนั้น ปรารถนาอะไรก็ขอให้ได้ดังใจ ดีไม่ดีทานแล้วจะได้รวยมากๆ ทำจิตตนตั้งใจตน อธิษฐานอยากได้มากๆ คืนมาจากการให้ข้าวทัพพีหนึ่ง คืนจากการให้เงิน สิบบาท ร้อยบาท หมื่นบาทหรือล้านบาท ให้ได้คืนกลับมามากกว่านั้นในอนาคต ก็ไม่รู้อีกว่าอนาคตเป็นอย่างไร ก็ทำใจไม่ถ่องแท้แยบคายถึงที่เกิดว่า จะได้เพิ่มโลภะหรือลดโลภะ ซึ่งเขามีแต่สภาพที่เอามาให้เราอีก เพ่ิมกิเลส นั่นคือทานแล้วไม่มีผล คือข้อที่ 1 ในการปฏิบัติฌานหรือสมาธิแบบพุทธที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ

 

เร่ิมข้อ 1 ก็ล้มเหลวแล้ว ทั้งๆที่ง่ายที่สุด ท่านคือการลดความโลภ แต่เขาสละวัตถุจริง แต่ใจโลภจัดกว่าเก่า เพราะทำใจไม่เป็น มนสิกโรติไม่เป็น ก็เลยไม่เกิดผล การทำจิตให้ลดกิเลสนี่แหละคือทำจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่าคือการทำจิตให้เกาะตัวแน่น หยุดนิ่งอันนั้นไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่สมาธิของพระพุทธเจ้าหมายถึงอกุศลจิต หรือกิเลส โลภ โกรธ หลง มันลดลง จนหมด สงบจากกิเลสไม่ใช่ว่าให้จิตนิ่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย นี่คือแบบเก่าแล้ว แต่ สงบแบบพระพุทธเจ้านั้นสงบอย่าง

1.      คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.      ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.      ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.      สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.      ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.      อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.      นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.      ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

ฟังเข้าใจง่ายดีนะ แล้วต้องทำให้ถูกเป็นผลด้วย ตามสัมมาทิฏฐิ 10

 

1.      ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.      ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) คือการทำกรรมทำพิธีการแล้วมีผลจิตลดกิเลสไหม?

3.      สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) สังเวยคือผล คือสิ่งที่จิตได้รับผล สำเร็จผล อย่างไร? ทำแล้วจิตเราลดกิเลสได้ผลหรือไม่?

4.      ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่   
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)  ซึ่งพวกมิจฉาทิฏฐิว่า ทุกอย่างไม่มีอะไร ไม่มีบาป/บุญ ดี/ชั่ว เอาดาบฟันคนก็คือฟันลงในที่ว่าง เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น นี่ก็พวกวาชรศพ หรือว่าทำกรรมแล้วมีผลเป็นบาป กรรมนี่เป็นผลจะให้เกิดเป็นกรรมที่ให้ผล สุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่กรรมของตน ถ้าไม่รู้เรื่องกรรมก็จะสะเปะสะปะ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้กรรมที่พาไปนิพพาน ไม่ใช่ว่าไม่พูดไม่ทำกรรมกิริยานี่คือพาไปนิพพาน นี่ไม่ใช่เลย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ก็สั่งสมผลวิบาก วิบากคือสั่งสมผลแล้วสำเร็จแล้ว เป็นผลชำระกิเลสจนสูญ สั่งสมสูญ คือสั่งสมความไม่มี จบ 0 คือ สูญถาวรเลย ทำอะไรอีกไม่มีให้ทำแล้วมีแต่ 0 แล้วก็ไม่ต้องทำอีก ไม่ต้องชำระอีก บุญเต็มแล้ว บุญหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำบุญอีกแล้ว ชำระหมดแล้ว การทำบุญจึงมีวันจบสิ้นได้มีการสิ้นบุญสิ้นบาป

 

เมื่อตัวเราผัสสะ แล้วเกิดบาป แม้ปฏิฆสัมผัสโสในจิตก็บาป ยิ่งกายกรรมวจีกรรมก็เป็นผลวิบากในจิต ถ้าไม่เข้าใจสัมมาสมาธิว่าคุณจะเพิ่มกิเลสหรือลดกิเลสก็เกิดจากกรรมทั้งนั้น

 

ทำกรรมเป็นผลดีขั้นโลกุตระ คือลดกิเลสได้ โลกุตระมีถึง 46 ซึ่งใน 9 ชื่อนี้เป็นการระบุผล เป็นมรรคและผล

 

แล้วอีก 37 ชื่อคือมรรค คือวิธีปฏิบัติ ตั้งแต่ กายในกาย อ่านรู้กายในกาย ที่มีองค์ประกอบขอบรูป/นาม ที่จะทำให้เกิดอกุศล หรือกิเลสในจิต ตัวที่ต้องกำจัดคือ โลภ โกรธ หลง ที่เกิดจากรูป/นาม มีปฏิกิริยา ของอีกส่ิงหนึ่งเป็น 3 อ่านกายในกาย แล้วอ่านวิญญาณที่มีเวทนา สัญญา สังขาร อ่านเวทนานี่แหละคือตัวสำคัญ  โดยใช้สัญญาเป็นตัวจิตที่กำหนดรู้ สังขารคือปรุงแต่งเป็นเวทนา อ่านเวทนาออก ซึ่งเวทนาที่ไม่ไปข้างไหนไม่บวกไม่ลบรู้ความจริงตามความเป็นจริงคืออุเบกขาไม่มีดูดไม่มีผลัก ไม่มีโลภโกรธ หลง คือฐานของนิพพาน คืออุเบกขาเวทนา คืออทุกขมสุขเวทนา ไม่มีอาการ ให้อ่านสิ่งนี้ด้วยการกำหนด อาการ เมื่อกำหนด อาการของจิตได้อ่านอาการออก ว่าอาการอย่างนี้แหละเป็นกิเลส อาการอย่างนี้เป็นสุข อาการอย่างนี้เป็นทุกข์ อย่างนี้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบเฉยๆ แบบที่ไม่ใช่ว่าหมดไปเอง แต่จิตรู้เลยว่า อย่างนี้คือดอกลีลาวดี มีสีมีรูปร่างนี้ รู้จริงตามจริง ใครมีประสาทตาดีก็เห็นเหมือนกัน ไทยจีนแขกฝรั่งลาวโรฮิงญาก็เห็นเหมือนกันหมด อันนั้นเป็นสามัญ​แต่ถ้าเห็นแล้วมันมีอาการอารมณ์แทรกซ้อน มีเวทนาที่ไม่เฉย แต่อยากได้ไม่อยากได้ชอบ/ไม่ชอบ นี่คืออารมณ์ผี ที่ติดยึดมาใครบอกสอนมานานแล้ว ไปถูกมารหลอกให้เชื่อ พระพุทธเจ้าก็ว่าอย่าไปหลงมารเลยมาเชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า มันของไม่จริง ถ้าของจริง ใครเห็นก็เหมือนกันหมดสิ ไทย จีน ฝรั่งแขก โรฮิงญาก็เห็นเหมือนกันแต่นี่เห็นแล้วก็มีบางคนชอบบางคนชัง แต่ที่ชอบนี่จะยึดเป็นตัวเป็นตนเป็นเจ้าของสิ แต่ที่จริงมันมีสภาวะเดียว มีของจริงอย่างเดียว สัจจะภาวะเป็นอย่างเดียว แต่ความไม่จริงคืออารมณ์ 

 

อารมณ์หนึ่งคืออารมณ์แท้  อีกอารมณ์คืออารมณ์ดิ้นไปจากความจริง แล้วแต่แต่ละคนจะยึดจะผูกไว้มากหรือน้อยกว่ากันก็เกิดมากน้อยต่างกันแต่ถ้าไม่มีอารมณ์นี้ก็จำแต่ความจริงไม่มีผี มีแต่ความสะอาดตามความเป็นจริง ว่าอย่างนี้เคยเห็นแล้ว เขาเรียกว่าดอกลีลาวดี ไม่มีชอบ/ชัง

 

ความชอบ/ชังนี่ทำให้ปั่นป่วน เกิดเป็นยอดนิยายของโลกในความเป็นมนุษย์ ที่พูดนี้ไม่ใช่ว่าเหมือนไก่ได้พลอยนะ หรือหมาไม่กินขี้นะ

 

เราไม่รู้อาการนี่แหละสำคัญ คำว่า อาการนี่ใช้ได้ทั้งรูปธรรม และนามธรรมนะ เกิดอาการแล้วคุณอ่านอาการได้ อ่านอาการของโปรตอน ทางโลกเขาวัดได้ ค่าของนิวตรอน เขาวัดไม่ได้ แต่อาการอิเล็กตรอนนี่วัดง่ายกว่าเพราะมันเคลื่อนไหวมากกว่านิวตรอน  และมันมีแรงด้วย เป็นความเคลื่อนไหวก็วัดได้ง่ายกว่า แล้วถ้าคุณทำให้มันน้อยลงๆ ก็จะวัดได้ยากขึ้นในความนิ่งไม่ใช่ว่าไม่มีแรงหนุนไม่มีแรงงานนะ ส่ิงที่นิ่งที่สุดเรียบร้อยที่สุดก็มีพลังงานสูงมากนะ ทางวิทยาศาสตร์เป็นรูปธรรม แต่ของพระพุทธเจ้านี้อธิบายได้มีรูปธรรมประกอบที่มีนามธรรมที่เกิดจากวัตถุธรรมไปเป็นพลังงาน เล็กละเอียดเข้าไปก็รู้ได้ยาก จนเป็นนามธรรมก็รู้ยาก แต่รู้ได้

 

พลังงานนามธรรนั้นเลยไปจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เขาจับนามธรรมไม่ได้แต่พระพุทธเจ้าจับอาการเคลื่อนไหวของนามธรรมได้ เราต้องรู้ของตนเอง คุณไปรู้อาการนามธรรมคนอื่นรู้ไม่ได้หรอก ไม่มีมิเตอร์ไหนไปวัดคนอื่นแล้วมาตอบของเราว่า เราเกิดความโลภเท่านี้ แล้วเอาแสกนตนเองแล้วไปวัดค่าคนอื่นไม่ได้หรอก ไม่มีเครื่องมือไหนไปวัดค่าความเคลื่อนไหวของจิตได้ การเคลื่อนไหวของพลังงานพีชะเขาก็พอวัดได้ เพราะมันเคล่ือนแนวระนาบมีสองหน่วยไม่เกิดสามหน่วยไม่มี cyclic มีแค่สองหน่วยไม่เกิดองศา

 

การเกิดความโค้ง องศานี่เร่ิมเป็นพีชะเป็นเซลล์ เริ่มจากสองหน่วยไม่มีการเกิดวงวนเลย มีแต่ไปมากหนักเบาสองหน่วยนี้ จึงเกิดชีวะ ศาสนาพุทธสามารถควบคุมแนวระนาบได้ ไม่เกิดกัมมันตภาพรังสี พอควบคุมได้ก็จะควบคุมกัมมันภาพรังสีได้ ศาสนาพุทธจึงใช้พลังงานจิตออกไปทำงานอย่างไม่เกิดโทษเลย สรุปคือ ผู้เป็นอรหันต์ใช้พลังงานเหมือนพีชะแต่จริงๆอรหันต์ใช้พลังงานวงกลมทุกองศาได้แล้วอนุโลมให้เป็นวงรีวงกลมขนาดไหนก็ได้ องศามาก็เป็นวงกลมมากขึ้น ความคล่องแคล่ว มุทุธาตุก็ยิ่งมาก ทั้งความเร็วและความลัด เส้นผ่านศูนย์กลางมันก็จะลัด กลมเท่ากันหมด เส้นผ่านศูนย์กลางสั้นที่สุดคือวงกลม ไม่มีสะดุดเลย เรียกว่าคล่องตัวสูงสุด เป็น กายปาคุญญตา  เป็นความคล่องแคล่วของเจตสิก 3

 

หรือกายกัมมัญญตา ก็คือความคล่องแคล่วของเจตสิก 3 อรหันต์จะทำได้ ควบคุมพลังงานให้อยู่ในอาณัติ เรียกว่าลหุตา ทำให้เกิดเป็นธาตุขนาดพอเหมาะภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่าธาตุเบา ไม่เกิดกัมมันภาพรังสีกระจายออกรักษาสภาพพอเหมาะ ควบคุมได้ถึงกัมมันตภาพรังสี

 

กัมมันตะคือการกระทำ ทุกอย่าง ทำให้กัมมันตะนี้เกิดรังสีที่เป็นส่วนที่ออกนอกตัวตนแล้วไม่เป็นพิษ ทางโลกควบคุมอันนี้ไม่ได้จึงกลายเป็นพิษ ควบคุมอย่างไรก็เหลือพิษ สรุปแล้วเรากำลังพูดถึงเรื่องกรรม กัมมันตะ การกระทำทางกาย วาจา มโนก็เคลื่อนที่แต่พระพุทธเจ้าสอนให้คนเคลื่อนที่แล้วอย่าให้เกิดกัมมันตภาพรังสีแต่เกิดกัมมันตภาพรังสีที่เป็นประโยชน์ เป็นฉัพพรรณรังสี  เป็นรังสีที่มีหกสี ทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นรังสีที่มีแต่ประโยชน์คุณค่าทั้งหมด ยิ่งใหญ่

 

อาตมาอธิบายถึงกรรม นะ ก็ทำกรรมต่างๆถึงเก่งควบคุมกัมมันตะได้ ผู้จะเป็นไปได้ขนาดนี้ต้องเป็นอรหันต์ขึ้นไป ก่อนจะเป็นอรหันต์ก็มารู้สัมมาทิฏฐิต่อ

 

5.      โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ โลกคือวงกลมหรือวงรีหรือวงอะไรก็ตาม มีการต่อกันเป็นวง เมื่อมีแรงก็เคลื่อนไป ในมหาจักรวาลนี้ก็อยู่ในหน่วยหนึ่งเรียกว่าเอกภพ จะอยู่อย่างไรก็เดาไม่ออกหรอก แต่มันอยู่อย่างไม่เที่ยงหรอก หดเข้าพองออกแล้วไม่มีอะไรออกนอกนี้ ถ้ามีอื่นนอกไปก็ไม่เกี่ยวกับเราก็ไม่ต้องพูดถึงได้ แต่ส่ิงที่เกียวเนื่องกันก็คือเอกภพ

 

มีน้ำร่วมกัน ดาวหางนี่พกน้ำไปเยอะ แล้วเอาเชื้อน้ำ ไปกระจายทั่วไป ส่ิงที่จับตัวกันเป็นก้อนจะมีเชื้อน้ำ อย่างอุกกาบาตไม่มีในวงโคจร แต่ก็อยู่ในมหาเอกภพนี้ มีแรงดูดจากอะไรดูดมันเข้าไปมันก็ไปใกล้ไปหาอันนี้ เพราะทุกอย่างมันเคลื่อนที่หมด อุกกาบาตนี่อะไรมาดึงมันก็ไปหาอันนั้นไม่แน่นอนเลย ยิ่งไม่มีแรงอื่นมันก็ถูกแรงนี้ดึงไปจนกระแทกกันเลย มันไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ไปกับแรงคนอื่นดูด/ผลัก แต่ก็ต้องอาศัยกัน เป็นหน่วย โดยเฉพาะต้องมี 3 หน่วยถึงมีอัตตาตัวตน แล้วมีเพิ่มหน่วยเป็น 3 4 5 จนถึง 9 ก็ซ้อนกันไป จนกระทบกันก็แตกตัวกันออกจากกัน แล้วก็รวมตัวกันอีก นี่คือเกิด นิวเคลียร์สองแบบคือ Fusion และ Fission

ฟิชชั่นคือแตกกระจายไปจนหมดสูญสลายไป

ฟิวชั่นคือรวมตัวกันเป็นก้อนรวมตัวกันได้มากถึงเป็น galaxy เลย แล้วมีอะไรซ้อนในนั้นเลย เราก็อยู่ใน galaxy ทางช้างเผือก เป็นหมู่กลุ่มดวงดาวอยู่ใน space หนึ่ง

 

ตั้งแต่สามหน่วยรวมกันก็จับตัวกันหมุนได้ เกิดแกนกลาง มีน้ำหนักอยู่ได้เป็นตัวของตัวเอง ยิ่งมีหน่วยรวมด้วยก็จะยิ่งซับซ้อน ยิ่งมีแกนกลางมากก็จะยิ่งดูดได้มาก มีการดูดการผลัก แล้วมีค่าบวกหรือลบเกิดอีกมาก ค่าที่บวกและลบจะรวมตัวกัน แต่บวกกับบวกจะผลักกัน จึงเกิดลิงคหรือเพศในอากาศ เกิดจากค่าบวก ลบนี่แหละ

 

ตั้งแต่โปรตอนกับนิวตรอนนี่ทำทีว่าอยู่ร่วมกันนะ แต่ข้างในอวิชชา ถ้าถูกกระแทกเข้าก็ปังเลย นิวตรอนนี่จวนจะระเบิดแล้วใครกดข่มนิ่งมากจะระเบิดง่ายระเบิดแรงเลย ยิ่งกดเข้าไปก็สะสมไปเรื่อยๆอย่านึกว่าข้างในไม่ทำงานนะ ในสภาพของพระพุทธเจ้าจึงไม่สะกดแต่เรียนรู้ไปทีละชิ้นแล้วทำให้ออก จนเข้าไปรู้หมดข้างในเลย บวกก็รู้ ลบก็รู้ โปรตอนนิวตรอนก็รู้ มีเพศมีลิงคต่างกันอย่างไรนี่สุดยอด

 

จะเอาความแตกต่างกันมาให้กลมกลืนร่วมกันได้อย่างไม่ให้เกิดกัมมันตภาพรังสีเป็นพิษได้ พระอรหันต์ทุกองค์คือศิลปินผู้จัดองค์ประกอบให้อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เป็นพิษมีพลังสูงด้วย

 

6.      โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

 

เรารู้ว่าอันไหนมวล ลบ หรือบวก มันต่างกัน แต่ทำไมมารวมตัวกัน ต่างกันในรูปของสภาวะ มันรวมกันเพื่อจะแตก ไอ้นี่รักสองสิ่ง แล้วมันก็อยู่กันไปสองส่ิงนี้ ดูดกันแล้วก็มีพลังงานดูดเอาอันอื่นมาเป็นมวลของตนเองด้วย แล้วมวลที่ฉลาด จะรวมตัวกันเอาตัวต่ำมาร่วมด้วย มวลที่โง่จะรวมเอามวลที่คล้ายกันมาร่วมกัน

 

โลกใหม่นี้เป็นโลกที่มีความรู้หรือไม่มีความรู้ ถ้าไม่รู้เป็นตามปกติก็จะรวมแล้วแตก เป็นพลังงานและสสารเช่นนี้อยู่ตราบนานเท่านานคือโลกีย์ธรรมดา อยังโลโก ถ้าได้เกิดมาเป็นชีวะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย รวมแล้วแตก แตกแล้วตายโดยไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่หรือไม่รู้ว่าจะรวมเท่าไหร่ให้ได้ขนาดเท่าที่ต้องการ แล้วอันไหนที่จะปล่อยก็ปล่อยได้อย่างไม่เป็นพิษด้วย

 

สรุปแล้วโลกใหม่นั้นรวมได้แตกได้ โดยไม่มีพิษ หรือโลกๆใหม่ อรหันต์จึงรวมเข้ามาเป็นสองได้ สองที่สมบูรณ์ที่ใช้งานได้ตลอดกาลคือ 0 กับ 1 หรือจะใช้เป็น 1 กับ 2 ก็ได้ หรือ 2 กับ 3 ก็ได้ คือคู่กับคี่ โดยการประมาณในการใช้ จะใช้ให้น้อยๆมากก็ใช้ 1 กับ 2 ก็ดำเนินไปได้ ถ้าดำเนินไปคือโคจร แต่ถ้าแค่เคลื่อนอยู่ก็คือโคยาน จึงควบคุมโคจร และโคยานได้ ผู้ควบคุมโคยานและโคจรได้เป็นอมรโคยาน เมื่อทำได้เป็นคนโลกใหม่ ซึ่งโลกทั่วไปคุมไม่ได้

 

คนคุมได้จะทำให้เกิด cyclic order ที่เป็นระเบียบ จะให้กลมดิกหรือให้เป็นวงรีอย่างไรก็มีวงโคจร เป็นดาวเคราะห์หรือจะให้เป็นดาวหางก็ได้ เป็นดาวหางที่สว่างมาก ซึ่งมีวงโคจรที่ไม่กลม เป็นวงรี หัวดาวหางนี่จะสว่างมาก แต่โลกใหม่นี่จัดการวงโคจรได้ ให้กลมได้ เป็นพลังงานที่พอเหมาะไม่มีรังสีเป็นพิษ เรียกรังสีไม่เป็นพิษนี้ว่า ลหุตา จะให้เล็กหรือใหญ่เท่าใดก็ได้ ไม่มีอะไรสะกิดให้ร้อนเลย เรียบร้อยเลยไม่ขบกับใครเลย จะหมุนเร็วหรือช้าก็ไม่เป็นไร ผู้สามารถทำได้คือผู้ทำโลกใหม่ได้ เป็นระเบียบ เป็นวงวน cyclic order ที่เป็นระเบียบ ไม่เกิดความร้อนหรือพิษภัย เป็นโลกใหม่ ผู้ทำโลกใหม่อย่างนี้ได้ จึงวิ่งได้เร็วหมุนได้เร็ว ไปได้ไกล โดยไม่มีกัมมันตภาพรังสีพิษเลย ต่างจากอุกกาบาต ที่มีแรงในตัว

 

อยังโลโกคือโลกเก่าที่เต็มไปด้วยอำนาจโลกธรรม ดูดหรือผลักเราเอง แล้วเราเองก็มีดูดมีผลักกลับไปด้วย ส่วนผู้โลกุตระก็รู้จักอันนี้ ไม่มีเวทนาที่เป็นพิษ เวทนาคือกัมมันภาพรังสี แต่ควบคุมได้ตามความจริงตามความเป็นจริง เช่นไทย จีนแขก ก็เห็นดอกลั่นทมเป็นดอกลั่นทมไม่มีอารมณ์ชอบเอามาเป็นของฉันหรืออยากทำลายก็ไม่มี แต่ที่มีชอบหรือชังคืออารมณ์ที่เป็นเวทนาไม่ดี ใครรู้แล้วก็รู้ว่านี่คือดอกลั่นทมเอาไปทำยาหรือทำอาหารได้ ก็เอาไปทำประโยชน์ตามที่มันมีธาตุที่ทำได้ ไม่ได้เอามาเพราะชอบที่มันสวยมันหอม ก็ไม่ใช่ เอามาตามหน้าที่ที่มันใช้ได้ประโยชน์ ผู้รู้ชัดเช่นนี้ไม่เกิดเวทนาเป็นพิษ แต่จะใช้ประโยชน์ได้อย่างตามความจริง ผู้ทำได้คือโลกโลกุตระ

แต่คนโลกก็จะหลอกกันว่านี่สวยนะ หอมนะ หายากด้วยนะ หรือแพงนะ อาจมีลีลาว่า ไม่ให้ดู นี่ของราคาแพงนะ ของหายากนะ ถ้าจะดูต้องเก็บเงินนะ สารพัดลีลาเลย

ผู้รู้จักว่าคือส่ิงธรรมดาสามัญโดยไม่มีความรู้สึกแปลกปลอมเข้ามาคือผู้ไม่ถูกหลอก

 

โลกนี้คือโลกของคนมีกิเลสสามัญ แต่โลกหน้าคือผู้ลดกิเลสได้จนหมดเลย ผู้นี้จะอยู่ได้อย่างไม่ดูดหรือผลักกับอะไรเลย เราก็หมุนอยู่ในโลกแต่ไม่ขัดแย้งกับใครเลย ก็หมุนอย่างดีด้วย แต่คนยึดคนตาถั่วเห็นแล้วผิดลูกกะตา เกิดชอบ/ชังเข้าคนนี้เกิดพิษแก่ตนเองแล้ว เพราะทุกอย่างก็มีความหลากหลายแตกต่างกันทั้งนั้น อะไรต่างที่เราเอามาใช้ได้ก็เอามาใช้แต่อันไหนใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องเกี่ยวข้อง จะไปห้าไม่ให้แตกต่างกันไม่ได้หรอก เท่านี้แหละเรามีหน้าที่ปล่อยวาง จะดูดอะไรมาใช้ก็ต้องรู้ว่าไม่เกิดกัมมันตภาพรังสีนะ

 

ใครจะเห็นว่าอรหันต์แปลกแตกต่างและไม่ดีก็แล้วแต่เขา เป็นเรื่องของเขานะ อรหันต์ไม่ได้มีแรงดูดหรือผลักอะไร แต่เขาอาจทำร้ายอรหันต์ด้วย ท่านก็ไม่ทำร้ายตอบ กัมมันตรังสีท่านไม่เกิด เขาก็รับพิษของเขาที่ออกมาเต็มๆ

 

พลังงานที่เกิดเช่นนี้มี Action และ Reaction พระพุทธเจ้าว่าคุณเอาอาหารให้เขาเขาไม่เอา อาหารนั้นเป็นของใคร ก็ของคุณเองนี่แหละ สมมุติว่ามีสองคนเท่านั้นนะ โลกนี้ที่เข้าใจง่ายคือโลกโลกุตระกับโลกียะ ผู้ใดทำให้เกิดโลกุตระให้แก่ตนได้คือผู้รู้โลกนี้โลกหน้า ต้องมีเหตุสองหน่วย คือขั้วบวกและลบคือพ่อและแม่ ที่มีสองส่ิงที่ต่างกันอย่างเหมาะสมจะเกิดสัตว์โอปปาติกะเป็นลูก

 

7.      มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.      บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

แม่ก็ทำให้เกิดอย่างหนึ่ง พ่อก็ทำให้เกิดอย่างหนึ่ง ร่วมกันแล้วก็ทำให้เกิดอีกอย่างหนึ่ง พ่อมี sperm แม่มีไข่ รวมกันก็เกิดตัวตน การมีสองหน่วยที่รวมกันแล้วเกิดอีกอย่างหนึ่งนั้น สองอย่างต้องมีความต่าง ถ้ามากระทบแล้วแตกก็เป็นอย่างหนึ่งแต่ถ้ารวมกันก็เกิดอันใหม่ จากแรงงานหรือปฏิกิริยาของสองสิ่ง ที่ต่างกัน อะไรมากหรือน้อยก็แล้วแต่ เชื้อแม่แรงหรือเชื้อพ่อแรงก็แล้วแต่ เกิดเป็นลักษณะเด่นในลูก

ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นแม่ ศีลคือหลักเกณฑ์ ปัญญาคือตัวเรียนรู้ปฏิบัติตามหลักศีล เกิดผลคือลูก ก็ร่วมกันระหว่างปัญญากับหลักเกณฑ์ ปฏิบัติให้เกิดผลของปัญญาได้ลูกมาเป็นโอปปาติกะ

 

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

 

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

 

ที่กำลังอธิบายคืออธิบายโลกนี้โลกหน้าก็เกิดปัญญากับศีล

[258]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ

เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปัญญา  ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

ความเห็นชอบ  องค์แห่งมรรค  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วย

อริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ

เป็นองค์มรรค  ฯ

          ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ  เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ  ความพยายามของเธอนั้น

เป็นสัมมาวายามะ  ฯ

         

 

ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้  มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่  สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ  ฯ

ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะสัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม

เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น  ฯ

         

 

ทุกกรรมกิริยาแม้อาการ 32 จนเป็นงานเพื่อเลี้ยงชีวิต แม้เคี้ยวอาหาร จนไปแสวงหาอาหารหรืออาชีพเลี้ยงชีวิต สรุปคือเกิดการเคลื่อนที่ในทุกกรรม อันไหนควรทำก็ทำ อันไหนไม่ควรทำเป็นวิบากไม่ดีก็ไม่ทำ ให้คิดดี พูดดี ทำดี แม้กระทำอาชีพก็ตาม ที่จะทำเพื่อตัวเอง ผู้สามารถทำทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงชีวิตเลย มีปรปฏิพัทธา เมชีวิกา คือผู้ยอดเยี่ยมเลย ทำตนให้ผู้อื่นเลี้ยงไว้ ไม่ต้องกลัวตายเลย ถ้าผู้อื่นไม่เลี้ยงไว้ก็ตายได้

 

องค์แห่งมรรค กับสัมมาทิฏฐินี้จะไปด้วยกัน ถ้าเห็นว่าอย่างนี้สัมมาเลย คิด พูด ทำเช่นนี้สัมมา รู้ว่าใช่ๆ ก็สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิตลอดเวลา เหตุคือคุณมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกแยะตัดสินได้ถูกด้วย สั่งสมเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ยิ่งขึ้น จบเป็นปัญญาพละ เกิดจากกรรมทุกอย่างเลย นี่คือโลกุตระเมื่อจบสุดแล้วไม่ต้องทำแล้วก็อนาสวะ ล้างพิษออกได้เกลี้ยงแล้ว ขณะที่ไม่เป็นอนาสวะ มีสาสวะก็ทำให้ได้ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ปุญญภาค เป็นส่วนแห่งการชำระรังสีพิษออก เวทนา สัญญา สังขาร รูป วิญญาณก็สะอาด  เป็นผลแก่ขันธ์ 5 นี้เพราะชำระได้สะอาด คำว่าบุญคืออาการชำระ ไม่ใช่กุศล แต่จะเป็นกุศลคือคุณงามความดีก็ได้ คือคุณงามความดีที่ประเสริฐสุด แต่ถ้าเอาแต่คุณงามความดีทั่วไปคือแบบโลกเก่า ปรุงแต่ง เป็นวิญญาณ เท่านั้น จนกว่าจะมารู้ตัว ทำหน่วยเล็กไปตั้งแต่ปริตตัง ทำที่สามส่วนนี้แหละมีการกระทบสัมผัสของรูป/นามแล้วก็ทำการปรุงแต่งให้เป็นบุญ ลดรังสีไม่ดี แต่ที่ปรุงแต่งกันทั่วไปก็จะเกิดชอบ/ชัง อิฏฐารมย์/อนิฏฐารมย์ไปเรื่อยๆที่ไม่จำเป็นต้องมีเลยเราก็ล้างรสพวกนี้ออกไปเรื่อยๆ ทำทีละปริตตังไม่ใช่ว่าทำอย่างไม่ประมาณเป็นอนันตังเลย อะไรดีก็จะทำหมดไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลย

 

เมื่อทำได้เป็นหน่วยๆประกอบกันก็จะใหญ่ขึ้นช่วยกันได้เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แต่ที่จริงมีอะไรซ้อนกันมากมาย ทีละ 1 2 3 ทีละ 1 2 3 ไปอีกขยายเป็น isotope ที่ไม่มีกัมมันตภาพรังสีเลย ไม่มีพิษจะขยายอีกเท่าไหร่ก็ได้

 

เมื่อมันเหลือเป็นธาตุวัตถุ เหมือนแตกตัวน้ำแล้วได้ H กับ O มันก็ไปอยู่กับโลกไป แต่ ชีวะของอันนี้ที่แตกตัวหายไปแล้ว พระพุทธเจ้าก็รับผิดชอบแค่นั้น ถ้า H กับ O จะรวมตัวอีกเกิดพลังงานใหม่ก็ไม่ใช่ของเดิมแล้ว ของเดิมจบแล้วสลายแล้ว

 

ตัวตนของสัตว์โลก ชีวะ จึงอาศัย พีชะ กับสัตว์บริสุทธิ์ มีกิริยาแค่พีชะ ไม่มีเวทนาลวง พวกพีชะไม่มีเวทนาแต่สัตว์โอปปาติกะที่พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นโลกใหม่ที่กำจัดกัมมันตรังสีแล้วเป็นอมรโคยานไม่เป็นอรปโคยานหรือจริงๆก็คือ เป็นตัวที่ควบคุมได้ เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นไม่เป็นฟิชชั่นที่ควบคุมการแตกตัวไม่ได้แต่นี่รวมตัวได้ แล้วรวมอย่างรักษาสภาพไม่มีกัมมันตรังสีด้วย นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทำได้ยิ่งใหญ่กว่าทางวิทยาศาสตร์โลก

 

เกิดทั้งพลังปัญญา ทั้งปัญญา หมายถึง พลังฟิวชั่นนี้ผู้เอามารวมกันแล้วใช้ได้ รู้จักรังสีพิษ พลังที่เป็นพิษก็กำจัดออกจากตัวได้โดยปัญญาที่เป็นธาตุรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันยิ่ง ปัญญาที่อยู่เหนือนิวเคลียร์ เป็นปัญญาที่เป็นโปรตอนรู้จักอิเล็กตรอน ควบคุมสามตัวนี้ได้ ให้อยู่ในระเบียบไม่เป็นเคออสได้ไม่เกิดแรงขัดแย้งที่ทำรังสีพิษ นี่คือจะขยายเป็น 6 แม้จะแตกเป็น 7 ก็ไม่เป็นพิษ จะเป็น 9หรือ10 ก็ไม่เป็นพิษ จะเป็นเลขคู่หรือคี่ก็ไม่เกิดพิษ​จะเป็นลักษณะต่างเป็นตัวใหม่ genome ที่มันเกิด ทาง biology เขาไม่รู้ที่เป็น genome ใหม่ที่เขาพอรู้ว่ามันต่างกันแต่ไม่รู้ว่าต่างอย่างไร วิธีเรียนชีวะของพระพุทธเจ้าจึงเรียนถึงอาการจิต รู้เพศผู้ เพศเมียของจิตได้เป็นความต่างของสองส่ิง เป็น เทฺว ธมฺมา สภาพสองอย่างมีปฏิกิริยากัน เกิดอะไรก็ต้องคุมให้ได้ จัดการให้ได้ จึงเรียกว่า เอกสโมสรณา เกิดจากอะไรก็เกิดจากเวทนา ท่านถึงรู้ว่า เวทนามี 3 คือ ผลัก ดูด เฉย  หรือ บวก ลบ กลาง  ก็ทำให้เป็นนิวตรอนเป็นอุเบกขาได้ นี่คือความสามารถของพระพุทธเจ้า แม้เป็นชีวะก็ทำพลังงานนี้ในแกนนิวเคลียส คุมอิเล็กตรอนได้ท่านรู้แล้วว่าอิเล็กตรอนไม่ได้หนีไปจากโปรตอนนิวตรอนนะ แต่ถ้ามันแยกไปจะเป็นอุกาบาตเลย กลายเป็นอะไรอื่นอีก อิเล็กตรอนแยกไปไม่ได้ต้องอยู่กับโปรตอน นิวตรอนแล้ว คือสองอันนี้รวมตัวกันแล้วดึงให้อิเล็กตรอนวิ่งวนอย่างเป็นวงวนที่สวยงามไม่ติดขัดเลยดีที่สุด

 

 

ใน ปัญญา  ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

ความเห็นชอบ  องค์แห่งมรรค  อาตมาเรียก 6 อย่างนี้ว่า สัมผัส 6 คือปฏิกิริยาอาการสภาพ 4นี้เกิดทั้งรวมและแยก อะไรแยกก็ไม่เอาอะไรจะให้รวมก็คือเอา ต้องมีธัมมวิจัยมาแยกแยะได้ ขาดธัมมวิจัยไม่ได้เลย ถ้าไปนั่งหลับตานิ่งก็คนละสูตรกับของพระพุทธเจ้าเลย ต้องตื่นเต็มทำตามพระพุทธเจ้า ธัมวิจัย เกิดผลตามที่เป็นอัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง อัตถิหุตัง.... ไปจนเป็นสัตตาโอปปาติกาเลย เป็นพลังงานตื่น เป็น protoplasm รวมในนี้หมด มี plasma ห้อมล้อม ในนี้มี cytoplasm คือพลังงานชีวะ พระพุทธเจ้าควบคุมพลังงานชีวะนี้ได้และทำให้ไม่เป็นพิษได้ด้วย

 

ใน โพชฌงค์ 7 มีส่วนที่ปฏิบัติคือ สติ ธัมวิจัย วิริยะทำได้ก็เกิดปีติ  ปีติเกิดเพราะกำจัดรังสีพิษได้ ก็ปีติดีใจเพราะเกิดสงบ ผีตายไป รังสีพิษออกไป ก็สงบลงเป็นปัสสัทธิ เป็นสมาธิ เป็นผลได้ ได้ความไม่ดูดไม่ผลักเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีพลังงานที่ดีเกิด เป็นมุทุภูตธาตุละเอียดเร็วไวกลม หมุนเร็วมีพลังงานมาก สลายอย่างอื่นก็ได้มากด้วย เป็นมุทุ เร็วทั้งปฏิภาณ ทั้งเจโตก็ปรับได้ไว

 

มันก็จะเกิดไปตามลำดับ ยิ่งปริสุทธา ปริโยธาตา จะทำงานกอย่างไรก็ไม่เกิดพิษภัยเพราะเป็นมุทุภูตธาตุจิตหัวอ่อนรู้เหตุผล รู้จัดสรร อภิสังขาร เป็นอเนญชาภิสังขาร อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมังได้ เป็นการผ่านปุญญาภิสังขารแล้วมีแต่เสริมอุเบกขาให้ควบแน่นยิ่งใหญ่ขึ้น มีมุทุกัมมัญญตาที่เหมาะควร เป็นการงานที่ไม่เสียหาย สภาพนี้จะสะอาดบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เป็น ประภัสสรา​ โชติช่วงชัชวาลเลย นี่เป็นการอธิบายธาตุวิภังค์สูตร แยกธาตุของอุเบกขาได้นะ เป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า คิดว่าพวกคุณลองไปทำกับอันใดอันหนึ่ง แล้วจะช่วยให้เราอยู่กับโลกได้อย่างดีมาก เราจะทำงานกับอะไรก็ไม่มัวหมอง สุดยอดแห่งธาตุอุเบกขา ที่มีกำลังมีพลังงานยอดเยี่ยม ไม่ใช่ว่าอุเบกขาเด๋อไม่ทำอะไรเลยนั่นคนละเรื่องเลย แต่อุเบกขาพระพุทธเจ้าทำงานกับโลกอย่างมีผลสูงเลย ไม่มีพิษภัยด้วย....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:18:13 )

580529

รายละเอียด

580529_ธรรมาธรรมะสงครามปฐมอโศก ตอบผู้เข้าอบรมของ สสส.

.กฤษฎาว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 29 พ.. 58 ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คงได้ฟังการแสดงธรรมของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ หลายท่านก็คงตื่นตาตื่นใจ รวมทั้งผมด้วย  ผมก็รอมานานว่าจะเจอพหูสูตรท่านใดที่จะมาอธิบายศาสตร์วิทยาศาสตร์กับธรรมะ  ไม่ว่าจะเป็น เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ที่นำมาอธิบายในพระพุทธศาสนา ในสมัยโบราณ ท่านใช้ภาษาเทวนิยมอธิบาย ในเวลานี้ พ่อครูก็ได้ใช้ภาษาปัจจุบันอธิบายให้เข้าใจกัน หลายคนอาจงงเรื่อง DNA gene genome แต่ถ้าพูดภาษาชาวบ้านว่า เป็นความสืบสันดานกันอย่างไร หลายคนก็อาจไม่เข้าใจ วันนี้ผมก็จะมาซักถามกันให้เพ่ิมความเข้าใจ

 

ทำอย่างไรเราจะทำการผ่าเหล่าผ่ากอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เหมือนอภิชาตบุตร ผมฟังธรรมช่วงที่ผ่านมาก็เลยมีคำถามว่า เราต้องมีการทำให้เกิดภาวนาให้เกิดผลเจริญขึ้น จึงจะฟังได้รู้เรื่อง ที่ผ่านมาเรารู้ว่า การผ่าเหล่าจะเกิดต้องมีตัวกระตุ้น ผมก็คิดว่าการฟังธรรมจากธรรมกถึก คือตัวกระตุ้นที่จะทำให้เราผ่าเหล่าผ่ากอ เป็นบัวเหล่าที่เจริญขึ้นไหม?

 

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้อธิบายธรรมะก็จะได้แจ้งข่าวสำคัญ คือมีญาติมิตรของเราเสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง คือคุณวัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ อายุ 65 ปี จะเรียกว่าเป็นชาวอโศกก็ได้ ทำงานเป็นนักร้องอยู่ข้างนอก แล้วป่วยเป็นโรคไตวาย ก็ล้างไตอยู่ อาจถึง 10 ปีก็เป็นได้ จนนอนกับที่ สิ้นชีวิตลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 พ.. 58 เวลา 17.00 น.โดยประมาณ เป็นโรคไตวายเรื้อรัง เส้นเลือดอักเสบ หัวใจล้มเหลว รักษามาอย่างทรหดอดทน สุดท้ายก็บอกหมอว่าไม่ไหวแล้ว ให้ลดการช่วยเหลือ ถอดเครื่อง ลดยาลง ผู้ดูแลกันอยู่มานาน ก็เรียกว่าคุณอ่าง ที่เป็นผู้เฝ้าใกล้ชิดที่ดูแลกันมาตั้งแต่แรกป่วยเล่าว่า

 พี่วัช ฝากกราบลาพ่อท่าน

 บอกหมอว่าสู้ไม่ไหวแล้วขอให้หมอถอดเครื่อง ลดยา ยอมแพ้แล้ว ไม่สู้แล้ว

 

 ผู้ดูแลร้องไห้ไปเล่าไปบอกว่า พี่วัชเป็นลูกพ่อท่านจริงๆ เข้มแข็งอดทนสู้มาตลอด จนมาระยะหลังๆนี้อาการทรุดลงๆหงุดหงิด เลย แต่ก็พยายามทนสู้

 

 พ่อท่านได้ยินว่าอาการไม่ค่อยดีตั้งแต่เดือนที่แล้ว แต่ติดประชุม จึงโทรเยี่ยม  พี่วัชพูดกราบพ่อท่าน เรียนพ่อท่านว่า ไม่เป็นไร พ่อท่านไม่ต้องห่วงวัชค่ะ ไม่ต้องมาค่ะ ไม่มีอะไร ไม่รบกวนพ่อท่านค่ะ  กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงค่ะ” 

 

พี่วัชกราบขอบพระคุณพ่อครู...

"พี่วัชไม่ติดต่อใครๆเลยนับสิบปีแล้ว"

คาดว่าผู้จะมาร่วมงานคงมีเพียงเพื่อนบ้านข้างเคียงเท่านั้น

 

กำหนดการฌาปนกิจ

ตั้งศพสวดฯที่วัดทุ่งสาธิต สุขุมวิท101

ตั้งแต่วันเสาร์-อาทิตย์-อังคาร

 

 สวด3วัน เว้นวันจันทร์เพราะเป็นวันวิสาขบูชา

 

ฌาปนกิจ ที่วัดเดียวกันนี้

ในวันพุธ ที่ 3/6/58 ท่านจันทร์จะไปเทศน์วันอาทิตย์

 

คุณวัชราภรณ์ก็ร้องเพลงที่ฮิตกันหลายเพลง แล้วก็ร้องเพลงให้ชาวอโศกด้วย บอกว่าเอาไว้แจกในงานศพ ให้ไว้ก่อนเลยก็มี ที่รวบรวมเพลงที่ร้องให้อาตมา เลือกมาลงแผ่นตั้งชื่อชุดว่า "แพรแก้ว" ก็เอาชื่อมาจากชื่อเขานั่นแหละคือ วัชราภรณ์

 

วิทยาศาสตร์คือ ศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ มีสิ่งยืนยันรับรองได้ ทีนี้ศาสนาพุทธก็เป็นสิ่งที่ยืนยัน พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก ตามหลักของภาษาเลย เชื้อเชิญให้มาดูได้ เป็นได้จริง ไม่ใช่ของลอยลม ตรรกะ หรือแค่จินตนาการ ตรรกะ หรือปรัชญาเพราะๆเท่านั้น แต่ให้คนบรรลุผลในจิตอย่างพิสูจน์ได้

 

เช่น จิตนิพพาน นี่คำตอบง่ายคือ สูญหรือ ตายสนิท สูญสนิทยิ่งกว่าสสารหรือพลังงาน ที่วิทยาศาสตร์บอกว่าสสารกับพลังงานไม่สูญหายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนสถานะ  แต่ของพระพุทธเจ้านี้ละเอียดลึกซึ้งกว่าอีก เพราะคำว่า สูญ นี่แหละ ศาสนาพุทธพิสูจน์คำว่า สูญ นี้ได้ คือความเป็นชีวะ

 

ชีวะนี้ มันต้องเกี่ยวข้องกับ จิตวิญญาณ นามธรรม พระพุทธเจ้าสามารถมีหลักสูตร ที่จะทำให้จิตวิญญาณ สูญ ได้อย่างนิรันดร แต่ทางโลกหรือวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่มีหรอก พลังงาน สสารไม่มีอะไรนิรันดร เพียงแต่เปลี่ยนสถานะเท่านั้น ในโลกในจักรวาลนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่แย้ง แต่คำตอบคือ พลังงานที่จับตัวเป็นเชื้อชีวะ

 

ท่านแบ่งชีวะเป็นสองอย่างคือ พีชนิยาม กับจิตนิยาม ส่วนอุตุนิยามเป็นเรื่องวัตถุธาตุ ตามวิทยาศาสตร์ยืนยัน แม้ชีวะ วิทยาศาสตร์ก็เรียน แต่ว่าเขายังไม่สามารถจะตอบได้ว่าจะทำให้ชีวะเป็น สูญ ได้อย่างไร นอกจากไม่ สูญ แล้ว หลายศาสนาบอกว่าจิตวิญญาณนิรันดร อาตมันนิรันดรไม่มีการสูญเลย แต่ศาสนาพุทธสามารถทำให้สูญได้ แต่ถ้าไม่ศึกษาปฏิบัติจริงก็ไม่สูญ ไม่สูญนานจนเชื่อกันว่านิรันดร อยู่ในโลกีย์ตกนรก ขึ้นสวรรค์นานเท่านาน forever จนพูดกันว่านิรันดร เพราะหาที่สุดมิได้ แต่ศาสนาพระพุทธเจ้ามีคำตอบที่หาที่สุดได้ แล้วล้มเลิก ความเป็นชีวะได้ สลายตัวหมด กลายเป็นสสาร พลังงานเท่านั้น

 

พลังงาน อุตุ สสาร นั้นเมื่อพัฒนามาเป็นพีชนิยาม ซึ่งมีความต่างจากจิตนิยามอย่างมีนัยสำคัญเลย ซึ่งแม้ตัวพีชะเองหรือพืชเอง เขาไม่สามารถพัฒนาตัวเขาเองมาเป็นชีวะสูงกว่าตามปรารถนาได้ แต่ว่าเป็นตามธรรมชาติ พอถึงเวลาก็จะเปลี่ยนแปลง (ภวันติ) มาเป็นส่ิงใหม่ เหมือนกับทางวิทย์ อธิบายว่า เมื่อเกิดการแตกตัวของอณูที่เล็กที่สุดคืออะตอม

 

ก็จะเกิดภาวะใหม่เกิดในอะตอมนั้น ทางชีวะเขาเรียกว่า genome แตกตัวเป็นส่ิงที่เล็กเรียกว่าปฏิกิริยาลูกโซ่ของนิวตรอนต่างๆ เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านสามารถเรียนรู้ genome เข้าไปถึงภาวะนิวตรอนได้ ซึ่งนิวตรอนก็มีภาวะซ้อนในนั้น แต่ทางวิทยาศาสตร์เขารู้ว่านิวตรอนมีพลังงาน เขาเอาพลังงานมาใช้ แต่เขาไม่สามารถควบคุมนิวตรอนได้ เพราะมันแตกตัวแล้วเกิดกัมมันตภาพรังสี

 

รังสีต่างๆนานา ที่เป็น isotope วิทย์ก็รู้ว่าเป็น นิวเคลียร์ฟิชชั่น(Nuclear Fission) กับนิวเคลียร์ฟิวชั่น(Nuclear Fusion) ซึ่งจะมีคุณลักษณะสองอย่าง ทางวิทย์เขาก็รู้แต่ควบคุมไม่ได้ เมื่อมีแตกตัวเป็นนิวเคลียร์ เป็น Chain reaction แตกตัวเป็นลูกโซ่ไป เขารู้แค่ว่าไปแล้วนี่ เขารู้แค่ว่ามันจะอยู่ได้แค่ครึ่งหนึ่งเรียกว่า Half life ซึ่งภาวะนั้น ศาสนาพุทธก็รู้ว่าเป็นสภาวะของการแตกเป็นธาตุเบาไปเรื่อยๆ กระจายเป็น นิวเคลียร์ฟิชชั่น ไปเรื่อยๆ ส่วนอีกส่วนหนึ่งจะเป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น แล้วก็เปลี่ยนแปลงจับตัวกัน มันหลอมละลาย เป็นธาตุหนักเกิดใหม่ ต่างจาก ฟิชชั่นที่ธาตุหนักแตกเป็นธาตุเบาหายไปเรื่อยๆ

 

ผู้ควบคุมได้ต้องมีสภาวะ 5 ของอุเบกขา คือ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา  จิตจะมีมุทุภูตธาตุ คือจิตหัวอ่อน มีปัญญาที่อ่อนไว เร็วไวไหวพริบ ดับได้ไวเปลี่ยนได้ไว ทำงานได้อย่างเหมาะควร เหมาะสมเป็นคุณค่าเจริญไม่มากหรือน้อยไป เป็นของได้สัดส่วนพอเหมาะ ทำด้วยปัญญา ความรู้ จิตมีพลังงาน 4 ควบคุม มีปัญญา วิริยะ อนวัชชะ สังคหะ ที่เป็นอุตริมนุสธรรมพิเศษ

 

.กฤษฎาว่า...โลกเอานิวเคลียร์มาใช้ แต่ควบคุมได้บางส่วน บางส่วนคุมไม่ได้ แล้วกระบวนการเกิดพลังงานที่สำคัญนี้ สิ่งนี้มนุษย์อยากเอามาใช้ อย่างพ่อครูอธิบายเมื่อถึงอุเบกขา เป็นฌาน 4 ก็เกิดพลังงาน กัมมัญญตา มีประสิทธิภาพต่อตน และเกิดพลังงานต่างๆ

 

วิทยาศาสตร์พยายามจับเอาพลังงานระดับปรมาณู นิวเคลียร์ กัมมันตภาพรังสีนี้ ผู้ตั้งชื่อตั้งได้ถูก กัมมันตะคือ การกระทำทุกอย่าง แต่กิริยาของดิน น้ำ ลม ไฟ หรือพืชก็ไม่เรียกกรรม เพราะเป็นวัตถุ ไม่มีวิญญาณครองไม่ถึงขั้นมีวิญญาณ เรียกว่าอนุปาทินกสังขาร แต่กรรมนี่จะอยู่กับอัตภาพ คนที่มีอัตภาพหรือเซลล์หนึ่งเกิดขึ้นมาเป็นจิตนิยาม เริ่มเป็นสัตว์แล้ว ก็เริ่มเป็นอัตภาพ แล้วไม่ใช่ตระกูลพืช แต่เป็นตระกูลสัตว์เร่ิมมีกรรมครอง จนพัฒนาวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์

 

แล้วมนุษย์ก็วิวัฒน์ พัฒนาปัญญา จะรู้จักกรรม เชื่อกรรมประกอบกรรมได้ ศาสนาคือมาเรียนรู้กรรม สั่งสมกุศลกรรม จนถึงธาตุสูงสุดของจิตวิญญาณคือธรรมะ คือทรงสภาพไว้ในจิตวิญญาณ ถ้าเกิดสภาวะของอัตตภาพคือมีอยู่ แต่ศาสนาพระพุทธเจ้าทำให้เกิดความไม่มีเกิดในจิตวิญญาณในธาตุที่ไม่ต้องการให้มี แต่ธาตุที่ต้องการให้มี ก็ใช้อาศัยได้ให้มีได้

 

อรหันต์นั้นแม้สาระที่ดีๆ ผู้ถึงวิมุติก็จะมีสาระที่ดี เป็นแก่นของจิตวิญญาณสูงสุด เรียกว่า สาระ ผู้ถึงวิมุติก็ได้สาระเป็นแก่น เป็นอมตบุคคลจะให้เกิด ให้ตายก็ได้ ทั้งชีวะระดับจิต และพีชะในตน จนหายจากความเป็นชีวะ ก็กลายเป็นอุตุ เหมือน พลังงาน H2O  คือน้ำ พอใครสามารถทำให้น้ำแตกตัวได้ ก็หมดความเป็นธาตุน้ำ น้ำก็หายไป กลายเป็น แก๊ส คือ Hydrogen กับ Oxygen เพราะฉะนั้น พลังงานชีวะ แม้ระดับพีชะก็หายไป กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ท่านทำอันนี้ได้ ที่ท่านเองถือว่าสามารถควบคุมพิษร้ายของอะไรทั้งหมด คือผู้อรหันต์สามารถควบคุมกัมมันตรังสี ตัวพิษได้ จัดการพลังงานตัวผีร้ายที่ทำลายนี้ได้

 

นี่คือหลักประกันของผู้ที่ได้ฝึกจากวิธีของพระพุทธเจ้า ก็จะรู้ กำจัดสิ่งไม่ดีนี้ได้หมด ด้วยใจซื่อบริสุทธิ์ รักษาจิตใจตนได้เลย ว่าจะไม่สร้างกัมมันตรังสีพิษนี้ ไม่ทำแล้ว ทำแต่พลังงานกัมมันตภาพรังสีที่เป็นคุณค่าประโยชน์ จึงเป็นหลักประกันว่าอรหันต์จะไม่สร้างพิษภัยแก่ชีวะใดๆเลย แต่คนไม่ได้เรียนรู้ก็จะสร้างกัมมันตภาพรังสีออกมาทุกคน ไม่มีเว้น ทำให้โลกแปรปรวน ทำโดยไม่มีความรู้ทั้งสิ้นเลย บาปที่สุด

 

.กฤษฎาว่า... อรหันต์นี้ท่านทำเพื่อโลกจริงๆ

 

พ่อครูว่า.. ท่านควบคุมสภาวะตัวเองได้ มีหลักประกัน ควบคุมปฏิกิริยาได้ คือท่านควบคุม ปฏิฆสัมผัส ปฏิกิริยา ปฏิปัสสัทธิ มีศัพท์ทางศาสนาอยู่ 3 คำ นี้ ปฏิฆสัมผัสคือกระทบแล้วแตกตัว เมื่อไม่มีภาวะกระทบอณูก็ไม่แตก แต่พอกระทบ ก็แตกตัว เกิด isotope เกิดพลังงาน ศาสนาพุทธเรียกพลังงานที่แตกตัวว่า เวทนา แจกเวทนาเป็น 108 ก็ควบคุมได้ คุมมโนปวิจารณ์ 18 ที่เป็นเคหสิตเวทนาได้ สามารถเปลี่ยน(ภวันติ) ให้เคหสิตเวทนา มาเป็นเนกขัมมสิตเวทนา 18 ได้ เป็นผู้จบกิจ มีเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา ยืนอยู่เป็นฐานะแท้ของอรหันต์ ทำงานกับโลก ผู้ที่สูงสุด เป็นอรหันต์แล้วไม่ยอมตายในโลก ก็จะวนเวียนกลับมาได้ โดยใช้พลังงานเมตตากับอุเบกขา ท่านคุมเวทนาได้ เป็นอุเบกขาเวทนา ไม่มีพิษภัย แต่ใช้พลังงานเมตตาคือ พลังงานพระเจ้าช่วยโลก ช่วยสร้างมนุษย์สร้างโลก

 

สร้างมนุษย์นี่แหละ แล้วมนุษย์จะไปสร้างสิ่งแวดล้อม แต่ปางนี้อาตมาต้องสร้างธรรมชาติเอง ไม่ไปแย่งใคร

 

ภาษาวิทยาศาสตร์หยาบกว่านามธรรม แต่เอามาใช้แทนกันพอได้ จะสอดร้อยกัน

 

.กฤษฎาว่า....ทำไมเราเกิดมาเป็นมนุษย์ถึงต้องฝึกฝนตนเอง ถ้าเราไม่สามารถหลุดพ้นในตอนเป็นมนุษย์ เมื่อเราจบชีวิตไป เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมาทำกระบวนการทำความหลุดพ้นได้เมื่อไหร่ เพราะมันจะกลับไปมานิจนิรันดร แต่ศาสตร์ของพุทธสามารถทำให้หลุดพ้นได้ ออกจากนิรันดรได้ เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีทำไมไม่ศึกษาแล้วปฏิบัติให้เข้าถึง

 

พ่อครูว่า...เป็นล้านๆๆชาติ เกิดมาได้ร่างนี้แล้ว ได้สุรภาโว คืออาการ 32 นี้ ที่มีมากับอาการ 33 คือดาวดึงส์ เป็นสุขหลอก แต่เราต้องออกจากสุขหลอกนี้  เป็นปฏิสรณะที่พึ่งอาศัยอันถาวร มั่นคงสมบูรณ์แล้ว ปฏิสรโณ มีฐานของปฏิปัสสัทธิ

 

ปฏิกิริยาที่มี คือยังไม่ถึงแตกตัว โดยมีฐานของปฏิสรโณ อาศัยอย่างมีปฏิสัมพัทธ์ แล้วมีปฏิปัสสัทธิ มีความสงบ แต่มีปฏิกิริยาตลอด ทวนไปทวนมา มี Action Reaction ตลอด พลังงานนี้เป็นพลังงานที่อรหันต์ควบคุมได้ โดยปรับปฏิฆสัมผัสอย่างพอเหมาะ ท่านว่าคือการกระทบกระแทกที่มีพลังงาน แล้วควบคุมการกระทบให้พอเหมาะไม่ให้เกิดแตกตัวมากเกินจนเป็นภัย เป็นพลังงานพิษทำร้ายใคร ก็คือ ควบคุม รูป/นามได้ ในระดับ ลหุตา ในระดับลหุตาทำได้ มีกัมมัญญตา มีมุทุตา คือ 3 หน่วยในอะตอม โดยอะตอมนี้ไม่ก่อพิษ จะมีกระทบสัมผัส กระแทกขนาดไหนก็ไม่เกิดกัมมันตรังสี เป็นพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ

 

.กฤษฎาว่า...หลายคนฟังคำว่าปฏิกิริยาพิษ หลายคนเห็นว่าปี 40 ก็มีพิษของต้มยำกุ้ง นี่คือพลังงานพิษที่เกิด แผ่ซ่านไปทั้งในและนอกประเทศ

 

พ่อครูว่า เป็นเรื่องที่มีผู้ต้องป้องกันรักษาไม่ให้เกิดพิษ แต่ผู้ไม่รู้ อวิชชาก็สร้างพิษภัยแก่โลก เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่เลยแตกตัวไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด

 

.กฤษฎาว่า...ผมก็เข้ามาตั้งแต่โครงการซิป กลายเป็นว่าชุมชนพุทธทั้งหลาย มีภูมิคุ้มกันตนเอง มีพลังงานคุ้มครองตนเอง เครือข่ายชาวอโศกเป็นที่ดูงาน หลายเครือขายในภาคใต้เป็นที่ดูงาน ทั้งที่ที่อื่นๆเขาเดือดร้อนฆ่าตัวตายกัน แต่เครือข่ายเหล่านี้อยู่ได้ ในส่วนของชาวพุทธมีพลังงานป้องกันตนเอง

 

พ่อครูว่า...เป็นสิ่งที่เป็นจริง เป็นปาฏิหาริย์ ที่มนุษย์ธรรมดาทำไม่ได้ มีพลังงานเหมือนกำแพงไร้สภาพ ที่คนไม่เห็น แต่มีอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าอยู่ๆเกิด มันต้องมีเหตุปัจจัยที่เกิดจากสัจจะ ก็จะมีพลังงานปาฏิหาริย์นี้ได้

 

พศ. 2540 เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ชาวอโศกที่หลุดพ้นวิกฤติได้ หลุดพ้นจากทุกข์ที่เขาวนกัน แต่อโศกไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงจรทุนนิยมนั้น เพราะอโศกมีวงจรบุญนิยมอยู่ มีความเป็นตัวของตัวเอง พึ่งตนเองได้ ไม่ตกเป็นทาสของผลกระทบปฏิกิริยาลูกโซ่ หรือโดมิโน่ทุนนิยม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราอยู่กันคนละโลก มันยัง over lab กันอยู่ แต่เชื่อมกันอย่างไม่ได้เป็นพิษต่อกัน แต่กลับอนุเคราะห์โลก รับใช้โลก เป็นผู้มี ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามที่ในหลวงตรัส สูตรของในหลวงเศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนคือกำไรหรือแบบคนจน เป็นสูตรสำหรับอาริยบุคคล ผู้มีโลกุตรธรรมจึงเอาความจริงนี้มาประกาศแก่โลกได้ คนไม่ได้เป็นคนเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้เป็นคนจนมหัศจรรย์ ก็จะพูดแบบนี้ ทำแบบนี้ไม่ได้ แค่คนจนที่ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก เป็นคนจนที่มีความดีงาม มีความขยันก็จะทำสะพัดแก่โลก เกื้อกูลโลกมีชีวิตพอเพียง ถึงขั้นอนาคามี ไม่มีบ้านช่องเรือนชาน แม้จิตไม่ถึง แต่หลายคนในชาวอโศกก็มาอยู่ได้ แบบอนาคามี เพราะมีระบบสาธารณโภคี จิตก็สามารถปฏิบัติรูปนอก แบบอนาคามี ไม่มีบ้านช่องเรือนชานของตน ใช้ส่วนรวมกินใช่ เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้จริง

 

.กฤษฎาว่า...วันนี้มีพี่น้องจิตอาสา ที่เข้ามาอบรมกับปฐมอโศก มาฝึกฝนจิตอาสา แต่คำว่าจิตอาสานี้เกิดมาภายหลังจากปี 2540 จากฟองสบู่แตก ก็เร่ิมมีกระบวนการใช้จิตอาสา การที่เราจะทำจิตอาสาให้ประสบผลสำเร็จ เป้าหมายคือเราต้องปรับปรุงตนเอง ควบคุมตนเองให้เกิดกัมมนิยะ ให้เกิดจิตอาสาเบื้องต้นควรทำอย่างไร?

 

พ่อครู..ว่า การจะทำการงานอันดีงามได้นั้น ไม่ว่าจะทำอาชีพก็เป็นสัมมาอาชีพ ไม่เป็นพิษต่อสังคม ไม่เป็นเครือข่ายทุนนิยม มาเป็นเครือข่ายบุญนิยม กัมมันตะคือ การกระทำทุกอย่าง ต้องทำให้เป็นสัมมา ไม่ว่าจะพูดหรือคิดหรือทำ ก็ให้เป็นสัมมา อาตมานำเอามหาจัตตารีสกสูตรมาอธิบายต่อ ตอนนี้ถึง สัมมาทิฏฐิส่วนที่เป็นอนาสวะ และสาสวะ คือได้ส่วนแห่งบุญ ได้ผลแก่ขันธ์

 

คำว่าบุญ นี้มีหน้าที่ชำระกิเลส บุญไม่ใช่กุศลนะ แต่บุญเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนกุศลเป็นลักษณะดีงามใดๆที่อาจเป็นบุญหรีิือไม่ก็ได้ เราทำบุญก็ได้ส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ จะสั่งสมผล ชำระกิเลสไปเรื่อยๆ ให้ผลแก่ขันธ์ 5 ของเรา เมื่อกำจัดกิเลสแล้วก็ไม่ต้องใช้บุญอีก จะเป็นอปุญญาภิสังขาร และเป็นอเนญชาภิสังขารสั่งสมผลต่อไป เป็นผู้มีสัพพปาปสอกรณัง มีแต่ทำกุศลให้ถึงพร้อม กุสลสูปสัมปทา ด้วยจิตที่สจิตปริโยทปนัง

 

คำถามจากผู้เข้าอบรม สสส.

 

_ตายไปแล้วมีวิญญาณไหม?

ตอบ....จิตวิญญาณของผู้ไม่ถึงปรินิพพาน เป็นปริโยสาน แต่ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปเท่านั้นจะตายสิ้นรอบได้ สลายจิตวิญญาณ แตกเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นสสารหรือพลังงานเท่านั้น แต่ผู้ไม่บรรลุถึงขั้นนี้ก็จะเหลือจิตวิญญาณ แต่ไม่ใช่ว่าวิญญาณจะล่องลอยไปสวรรค์นรก ไปพบเพื่อนที่สวรรค์นรก ก็ไม่ได้หรอก เอาตอนเราหลับ เราก็ไม่ได้ไปพบใครหรอก แต่เรามีภาพในใจเรา เราก็เลยปั้นฝันแต่งเอาเอง ทั้งเรื่องดีเรื่องร้าย บางทีดิ้นอึดอัด บางคนถึงตาย ไหลตายเลย มันฟื้นขึ้นมาเปิดทวารรับแบ่งเบาทุกข์ไม่ได้ก็ตายเลย  ผู้ที่ตายไปดิ้นรน คือนรกแท้จริง หลงอะไรเป็นสุขติดเป็นอุปาทานไปก็เป็นสวรรค์ลวง เพราะสวรรค์จะได้รสชาติเต็มที่ ต้องได้สัมผัสทางทวาร 5 แต่แค่ปั้นเอาในใจไม่ได้รสที่จริง พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้วิญญาณตอนเป็นๆ มีทวารนอกในครบ แต่ถ้าตายไปแล้วหรือไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ก็ไม่รู้ความจริงตามความเป็นจริงครบ ไม่ได้กระทบสัมผัสจริง การไปเรียนตอนตายไปแล้วไม่ได้ ความเป็นจริงของชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น แล้วเหลือเป็นสัญญาเป็นอดีตที่เป็นอุปาทาน ยึดติด คำว่าตายไปแล้วมีวิญญาณไหม ก็มีแต่ไม่ใช่ว่า เป็นวิญญาณล่องลอยออกไปนอกตัว แต่ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ แต่ผู้หมดอุปาทานแล้ว อย่างอรหันต์หมดสุขทุกข์แล้ว จิตอุเบกขาตลอด

 

_ทางชาวพุทธของเรา เวลาคนเสียชีวิตจะนำศพไปวัด สวดอภิธรรม วันสุดท้ายก็จะเผา ทำพิธีทอดผ้า ผมถามหลายคนแล้ว ว่าทำไมถึงทำการทอดผ้า เขาหมายถึงทอดให้ผู้เสียชีวิต แล้วคนตายเขาได้รับทราบหรือไม่ หรือผ้าที่ทอดไว้ เป็นการอุปโลกเอา คนตายรับรู้ไหม?

 

ตอบ...ตอบอย่างผ่าเลย เพราะมันบานปลายมากแล้ว กลายเป็นแหล่งหากินกับวัด กับการเผาศพ จนคนจนไม่กล้าตาย เพราะตายแล้วลูกหลานลำบาก บางคนทรมานมาก ตายแล้วไม่มีเงินทำศพ สรุปแล้วเป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่ อาตมาตีไม่แตกง่ายๆ เขาว่าส่งผลบุญ เขาก็ไม่รู้จักบุญแล้ว บุญนี่เป็นโลกุตรธรรมแบ่งกันไม่ได้ กุศลก็แบ่งกันไม่ได้ บุญคือการชำระกิเลสแบ่งกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ กรรมเป็นของๆตน กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ไม่ตกหล่นไม่ระเหิดระเหยเลยอยู่ในฮาร์ดดิสก์เราตลอด

 

คำว่าอุทิศคือเจาะจง ผู้ที่อาสาทอดผ้าบังสุกุล แล้วเอาไปให้ผู้ตาย แล้วคนรับอาสานี้ จะไปส่งที่ไหนรู้ได้อย่างไรว่าคนตายอยู่บ้านเลขที่อะไร มีแต่หลอกลวง ดีไม่ดีก็ว่าหยาดน้ำแล้วให้น้ำพาไป น้ำก็ไหลลงที่นั่นแหละ หรือว่าทานอาหารคาวหวาน จะให้ส่งไปถึงคนตาย ตอนคุณนอนหลับก็ไม่ได้กินหรอก แล้วตายไปจะกินได้อย่างไรหรือถ้ากินได้ ทำทานให้ไปนานทีปีหนแล้วมันไม่หิวตายไปนานแล้วหรือ? พูดไปก็ตลกนะเขาเล่นตลกเหมือนหลอกเด็ก

 

มันมีประโยชน์ไหม เป็นสังคมศาสตร์ ให้เห็นเสียสละ เสียเงินซื้อผ้ามาให้พระส่วนมากพระก็เวียนเทียน แปรไปเป็นเงิน

 

_ พวกผมมาในวันนี้เป็นจิตอาสาที่จะนำความรู้ที่เอาได้มาอบรม ไปปะติดปะต่อ หาแนวร่วมให้มีจิตอาสาสร้างความดีมีพลังขับเคลื่อนสังคม ท่านมีข้อแนะนำแก่พวกเราอย่างไร ให้เป็นรูปธรรมได้ผล ชุมชนที่ผมอยู่อยู่ในกทม. พื้นที่ดูแลประมาณ 112 ไร่มี 500 กว่าหลังคาเรือน ก็มีคนหลากหลายอาชีพ ฐานะ คนเหล่านี้ก็มีอีโก้สูงมาก เรานำเสนออะไรเขาก็จะว่ามารบกวนเขา เขามีสิทธิ์ส่วนตัวเขา หรือบางคนก็ว่าท่านทำไปแล้ว พวกผมไม่ค่อยมีเวลา แล้วคนที่อยู่ต่ำลงมาเขาก็ว่าหากินทุกวันจะมีเวลาไปทำอย่างคุณได้อย่างไร หรือบางคนก็หาว่าเสือก แล้วท่านจะแนะนำให้ผมทำให้เป็นผลสำเร็จอย่างไรดี

 

ตอบ.... ทำอย่างไรถึงจะช่วยเขาได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วพร่ำสอนคนอื่น จึงไม่มัวหมอง คนจะช่วยคนอื่นได้ต้องช่วยตนให้หลุดพ้นได้ จะหลุดพ้นได้ต้องมีอาริยธรรม ถ้าเผื่อว่าไม่เป็นอาริยธรรม จะมีความเห็นแก่ตัวซุกซ่อนเชิงแฝง มาในกลเม็ดเล่ห์เพื่อสะสมโลกธรรมแก่ตนไม่บริสุทธิ์

 

คนจะช่วยเขาได้ต้องปฏิบัติธรรมให้เขาลดตัวตน ที่คุณว่าคนมีอีโก้สูง แน่นอนหากไม่ลดตัวตนก็มีอัตตา พระพุทธเจ้าสอนให้ลดอัตตาให้เป็นอนัตตาไปตามลำดับ โสดาบันก็จะลดได้

 

คนเข้าใจผิดว่าโสดาบันหมดกิเลสแล้ว แต่ไม่ใช่ โสดาบันคือ หมดกิเลสระดับหนึ่งเท่านั้น เป็นคนที่ลดอีโก้ขั้นหยาบที่ถือตัวตนเยอะ  ตั้งศีล 5 ของตนตีกรอบที่จะทำเบื้องต้น แล้วปฏิบัติให้เกิดลดกิเลสเป็นสมาธิได้ โดยสูตรของพระพุทธเจ้าที่เป็นมรรคมีองค์ 8 นี่แหละ แล้วจะสั่งสมสัมมาสมาธิ

 

สรุปแล้ว คุณจะไปรับอาสาต้องมีคุณธรรมก่อน ถ้าไม่มีคุณธรรม ผลสำเร็จไม่สวย และก่อทะเลาะวิวาทด้วย จะต้องพยายามปฏิบัติ อาตมาพูดนี่ไม่ได้หลงใหลธรรมะ แต่ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นต่อทุกคนไม่ว่าศาสนาไหน ธรรมะให้คนลดอัตตา แล้วจะเห็นแก่คนอื่น หมดกามก่อนแล้วมาล้างอัตตาต่อ อย่างอนาคามีหมดกามแล้ว ไม่มีตัวตนในระดับโลกๆแล้ว หมดกาม หมดปฏิฆะแล้วก็ไม่มีรังสีพิษแล้ว อนาคามีไม่ใช่ว่าเป็นคนเหาะเหินเดินน้ำดำดิน ยิ่งเป็นอรหันต์นี่จะเหมือนคนปกติ แต่ท่านเป็นคนไม่สะสม อนาคามีไม่สะสมแล้ว เร่ิมแต่โสดาบันก็เป็นคนกินน้อยใช้น้อยสันโดษแล้ว มันลดลงมาได้ จากใช้เดือนละแสน ก็เหลือห้าหมื่นเหลือสองหมื่น ลดมาเรื่อยๆจนไม่ต้องใช้เงินของตนเลยให้สังคมเลี้ยงไว้ อย่างนายกฯนี่ไม่ต้องมีเงินของตนเลยให้คนอื่นเลี้ยงไว้ ตนทำงานให้สังคมไป ให้ทำให้ถึงจริงๆรับรองไม่ตาย มีชีวิตปรปฏิพัทธาเมชีวิกา จะช่วยสังคมได้มาก

 

_การที่มีวัดบางวัดจัดให้พระเดินธุดงค์ในเมืองให้เดินเหยียบดอกไม้ นี่เป็นเรื่องอย่างไร?

 

ตอบ...เป็นเรื่องอุตริ วิตถาร ผิดวินัยผิดศีล แม้แค่ศีล 8 ท่านไม่ให้ยุ่งกับเรื่องดอกไม้ของหอม แล้วเป็นเรื่องปรุงแต่ง ดราม่า เดินเหยียบดอกไม้ เปลืองผลาญ เป็นดราม่า เป็นการแสดงท่าทีลีลาองค์ประกอบ อาตมาอยากให้เลิก ผู้ใดให้ความร่วมมือก็เป็นบาป ไม่มีในทางพุทธศาสนา แม้คำว่าธุดงค์แปลว่า ศีลเคร่งที่ปฏิบัติได้แล้ว หรือกำลังปฏิบัติตามฐานะ ก็ต้องสมาทานไปตามลำดับ คำว่าธุดงค์ไม่ได้หมายถึงการเดิน แต่เป็นหลักเกณฑ์ของศีล แต่ของพระกัสสปะก็ไม่ได้มีการเดิน แต่มีข้อหนึ่งคือให้เดินบิณฑบาตไม่ข้ามฝั่งถนน นี่คือหนึ่งใน 13 ธุดงควัตร เพื่อที่จะไม่โลภมาก  แล้วธุดงค์ก็ไม่ใช่ออกป่าเขาถ้ำนะ

 

_ขณะมนุษย์อยู่ในครรภ์มารดา สภาวจิตจะเกิดตอนไหน?

 

ตอบ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า เมื่อมีเชื้อกับไข่ผสมกันต้องมีวิญญาณร่วมด้วยทันที ชีวะจึงเกิด แม้ว่าวิญญาณลงร่วมแล้ว แต่ไม่อยู่ร่วมเรียกว่าแท้ง ไม่ก่อนไม่หลัง เมื่อมีชีวะต้องมีพลังงานวิญญาณ การเกิดนี้เรียกว่า ชลาพุชโยนิ เป็นสัตว์มีมดลูกก็มีไข่มีเชื้อ ทำปฏิกิริยากัน ปฏิฆสัมผัสโสก็ร่วมกับวิญญาณ มีสามเส้าเกิดชีวิตสัตว์

 

_การเชิญชวนชาวบ้านให้บริจาคเงินที่สร้างพระพุทธรูปใหญ่ที่สุดในโลกเป็นกุศลไหม?

 

ตอบ...อาตมาคิดว่าอาตมาก็จะทำพระพุทธรูป ปางวิชิตอวิชชา อาตมาก็มีคนที่จะมารับ เขาก็ตะกละสร้างให้ใหญ่ แต่อาตมามีข้อแม้ว่าห้ามเรี่ยไรเงินเด็ดขาด อาตมามีกติกาว่าไม่รับเงินเรี่ยไรจากคนภายนอก หรือจะมาบริจาคก็ไม่รับ ใช้เงินของภายในเราเอง จะสร้างใหญ่ก็ไม่เบียดเบียนใคร พระพุทธรูปทุกวันนี้มีล้นแล้วในไทย แจกให้ทุกคนในไทยคนละ 10 องค์ก็เหลือ แต่สร้างแล้วมีประโยชน์หากใช้เป็น สร้างเพื่อจะยึดถือเป็นที่พึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ไม่ได้ใช้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างขลัง ไม่ใช่เอาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชานี่ก็ผิดพุทธนะ เป็นเดรัจฉานวิชชา

 

_การทำผิดศีล 5 จะได้รับวิบากอะไรรับโทษอะไร?

 

ตอบ...วิบากกรรมเป็นอจินไตย ก็อย่าทำก็แล้วกัน มันเป็นวิบาก แล้วแบ่งบาปบุญไม่ได้ด้วย อย่าไปทำเลย เป็นของตน ตนเป็นทายาทของกรรม

 

_พ่อครูรู้สึกอย่างไรกับมติของมหาเถรสมาคม กับวัดของคนรวยวัดหนึ่ง

 

ตอบ..วัดไหน? .ธรรมกาย ต้องกล้าบอก ว่าไม่ดีอย่างไร อย่าไปมีจิตโกรธเคือง แต่ว่ามันไม่ควรทำ เหมือนพ่อแม่เห็นลูกทำไม่ดีก็ต้องว่า เพื่อไม่ให้ทำอีก อาตมาพูดถึงเกิดสมีอุ้มสมีแล้ว จะไปช่วยอะไรได้

 

_ปุถุชนตั้งจิตสู่นิพพานอันใกล้ควรเริ่มอย่างไร

 

ตอบ..เริ่มที่ศีล 5 แล้วทำให้เกิด อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เกิดวิมุติ แล้วทำตามมรรคมีองค์ 8 เอาแค่ศีล 5 ก่อน

 

_ถ้าเราเอาของหวงคนที่ตายไปมาใช้เขาจะมาเอาคืนไหม

 

ตอบ...อะไรจำเป็นต้องใช้ก็ใช้เถอะ เขามาเอาไม่ได้หรอก คนตายมาหาคนเป็นไม่ได้หรอก

 

_การบูชาพระราหู สวดภาณยักษ์ มีในพระพุทธศาสนาไหม?

ตอบ..ไม่มี พวกที่ทำนี่ทำลายศาสนาด้วย

 

_วิธีทำให้ลูกฉลาดทำอย่างไร?

 

ตอบ...ปฏิบัติธรรมให้สัมมาทิฏฐิ

 

_การมีจิตเมตตาช่วยให้เป็นโพธิสัตว์ได้ไหม

 

ตอบ...มีส่วนช่วยสร้าง คุณรู้อาการเมตตาเจตสิกคือ ปรารถนาให้คนพ้นทุกข์ให้คนมีสุข คุณพยายามมีจิตเช่นนี้ก็สั่งสมจิตที่จะช่วยคนอื่น แล้วลงมือช่วยเป็นกรุณา แล้วก็ทำได้เสร็จได้ผลดีแล้วก็มุทิตา เมื่อดีแล้วช่วยเสร็จเขาพ้นทุกข์เป็นสุขดีแล้ว ก็อุเบกขา ปล่อยวางอย่าไปตั้งว่านี่บุญคุณฉันไปทวงบุญคุณ อย่าไปสร้างอัตตาเพิ่ม นี่คือพรหมวิหาร 4 หรืออัปปมัญญา 4 ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:19:15 )

580531

รายละเอียด

580531_วิถีอาริยธรรม เอื้อไออุ่นงานก้าวเข้าสู่ 25 ปี สัมมาสิกขาสันติอโศก

พ่อครูว่า....เจริญธรรมสำนึกดี ยังสำนึกดีกันหรือเปล่า? (มีการแจกภาพพ่อครูประกอบโศลกธรรม ให้กับศิษย์เก่าก่อนเทศน์พรที่ให้ไปกับภาพนี้ ก็เป็นการลงตัวทั้งสิ้น เมื่อวานก็มาเห็นภาพนี้ ที่เขาทำมาให้เพื่อจะแจกในงานนี้ เขาให้แจกงานอโศกรำลึก แต่พวกคุณนี่มาเป็นคิวอุกกาบาต แต่อาตมาก็รวมพลังงานได้ อาตมาเห็นโศลกธรรมที่ติดมากับภาพ เป็นพรสองอันนี้ ที่ยิ่งใหญ่มาก โศลกสองอันนี้เป็นโศลกที่ออกมาใหม่สุด สดที่สุด มี protoplasm กับ cytoplasm สดๆ

 

มีเจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์" โศลกนี้เป็นอิเล็กตรอน และ "ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด" โศลกนี้เป็น proton หรือ nucleus  จะแตกตัวออกไปได้อีกมหาศาล แต่ของพระพุทธเจ้าควบคุมได้ เป็นเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 แล้วท่านจะแจกเป็น เนกขัมมะกับเคหสิตะได้ ถ้าทำให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาได้ก็จบ ในอุเบกขามีนิวตรอนด้วย มีปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ปภัสสรา 

 

มีเจตนา นี่มีอิเล็กตรอนได้ แล้วอย่าอยากนี่คือ ควบคุมพลังงานได้ในนิวเคลียส ไม่ให้เกิดพิษภัยได้ ให้เต็มบริสุทธิ์ อาตมาเคาะข้อมูลใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ แล้วแต่ว่าพวกคุณจะกดออกมาใช้เมื่อไหร่ ไม่หายไปไหนแน่ นอกจากคนไม่รู้ค่าก็ปล่อยทิ้งไปเลย กลายเป็น isotope ของ fission แตกตัวสลายไปเป็น half life ไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้ 0 ไปเรื่อยๆ แต่พุทธศาสนาเอา 0 มาใช่เป็นชีวะได้สำเร็จ

 

สุดท้ายต้องถึง ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด

 

ถ้ายังมีpotential energy เป็นพลังงานแฝงที่คุณไม่รู้ ไม่สามารถทำลายได้ ก็จะเกิดพิษในที่สุด ตัวแฝงนี่คือ ตัวเมีย ตัวเพศหญิง ตัวนี้แหละตัวป่วนของทุกสภาพในมหาจักรวาล พอมาเป็นชีวะก็เป็นเพศหญิง นี่แหละตัวที่จะต้องคุมให้ได้ ผู้สามารถคุมตัวเพศหญิงได้ จะมีอำนาจคุม xy ได้ ซึ่งเขาถือว่า xy เป็นเพศชาย ส่วน xx คือเพศหญิง ใน y มี x ในนั้น ผู้รู้แจ้งจบจะแตก x ออกเป็น y ได้ จะรู้จักสภาพ 3 ในอะตอมได้ มี สามหน่วยในนั้น ถ้าทำให้สภาพสามหน่วยเป็น 0 1 2 ได้ หรือทำให้เกิด 1 2 3 แล้วคุม cyclic order ได้ ผู้นี้จะคุมอุกกาบาตได้ในมหาเอกภพ จับอุกกาบาตมาใส่วงโคจรได้สำเร็จ นั่นคือสามารถควบคุมเวทนา 108 ได้ คุมเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5

 

เวทนา 5 คือดีกรีของมัน ความหนักความเบา ความแรงของมัน เรียกว่าอินทรีย์ 5 คือน้ำหนักของมัน มีแรงที่เป็นสุข/ทุกข์ ละเอียดเข้าไปภายในเรียกว่า โสมมนัส/โทมนัส ทำให้เป็นกลาง นิวตรอนได้ ก็เป็นอุเบกขา ถ้ามีปัญญาอ่านเวทนา ตนเองก็ไม่เกิดเวทนาในตน ไม่มีสุข/ทุกข์ ส่วนจิตนิยามสามารถแตกเวทนาได้เป็นเวทนา 2 3 5 แล้วเวทนาทั้งหลายเกิดจากเวทนา 6 คือทางทวาร 6 กระทบสัมผัสกับรูป เกิดปฏิกิริยา หากคุมไม่ได้จะเกิดปฏิฆสัมผัสโส เป็นแรงเคลื่อน พอเกิดแรงเคลื่อนแล้ว ถ้าคนที่มีความรุนแรงจะเกิดเป็น ฆ คือคณะเป็นพลังงานสะสม พอกระแทกเข้าไป พลังงานนี้ในนิวเคลียส ถูกกระทบกระแทกเกิดพลังงานนิวเคลียร์ทำร้ายทำลายไปทั่ว แต่ของพระพุทธเจ้าควบคุมได้ เรียนรู้การกระทบสัมผัส 6 แตกตัวเป็น พลังงาน 3 สุข/ทุกข์/ไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วสามารถระงับทุกข์ได้ เหลืออุเบกขา มีความสามารถจริง จึงเป็นผู้จบนิวเคลียสได้

 

พลังงานเกิดมาเป็นอาการกิริยา ผู้มีปัญญาจะรู้อาการของแม้แต่ชีวะ รู้อาการได้ตลอดหมดเลย แบ่งแยกได้เรียกว่ารู้ลิงค แม้เพศเป็นสอง แล้วรวมให้เป็นหนึ่ง ให้กลายเป็นชาย หญิง หรืออะตอมนิวเคลียร์ได้หมดเลย เป็นภวันติ

 

ธาตุทุกอย่าง คุมได้หมด นิวตรอน โปรตอน อิเล็กตรอน คุมได้หมด จึงเป็นผู้สร้าง สิ่งที่มีในมหาเอกภพ พระเจ้าเป็นผู้สร้างหมด โดยเฉพาะตัวเรามีอัตภาพแล้วก็รู้อัตภาพ ควบคุมอัตภาพได้ ให้ตนสุข ทุกข์ หรือกลางๆได้ จบเลย ความเป็นชีวิตจึงอยู่ในมือของผู้คุมได้คือ เราเป็นพระเจ้าเอง จะให้เกิดหรือตายได้ จะให้เกิดมากหรือน้อยก็ได้ คุมได้ รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้นได้ จะเล็กละเอียดอย่างไรก็เรียกว่า รูป

 

สิ่งที่จบเลยพระพุทธเจ้าก็บอกไว้ 4 ลักษณะ มี อุปจยะ (เกิด) ชรตา(ตาย) สันตติ(ต่อเนื่อง) อนิจจตา(ความไม่เที่ยง)

 

ตัวชรตานี่คือ นิวเคลียร์ ฟิชชั่น กระจายออกไปจับไม่ติด แตกกระจายหายไป เขาก็เดาว่ามันอยู่ได้แค่ half life คือ ครึ่งชีวิต

 

ถ้าทำลายชีวะให้แตกเป็นธาตุ อุตุนิยาม หรือเป็นสสาร แม้จะมีพลังงานก็หมดชีวะแล้ว ไม่มีความเป็นชีวะแล้ว จบ วิทยาศาสตร์บอกว่าในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากพลังงานและสสาร เปลี่ยนสถานะเท่านั้น เราไม่ไปรับผิดชอบหน้าที่ธรรมชาติมันจะหมุนเวียนสสาร พลังงานอย่างไรเราก็ไม่เกี่ยว มันไม่มีสุข/ทุกข์ แต่พระพุทธเจ้านี้ท่านคุมชีวะ แม้ชีวะในระดับพีชะท่านก็คุมได้ เหมือนพืชมันไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีบาปไม่มีบุญ พลังพีชะนี้ผู้เป็นอรหันต์ใช้อาศัย แล้วให้มีชีวะตลอด สร้างprotoplasm แล้วทำให้สด cytoplasm ให้สดไม่ตาย จนแข็งตัวหรือสูญสลาย จึงเป็นผู้รู้พลังงานทั้งนามธรรมและรูปธรรม

 

ก็เรียนรู้ นิวเคลียร์ นิวเคลียส อะตอม นี่แหละ คือ อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน สามเส้านี่แหละ ถ้ามีแค่สามวนเวียน เป็น อารัพภธาตุ อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ  แค่วงวนแต่นี้ แต่ถ้ามี 4 หน่วยเพิ่มมาก็อาละวาดได้ แต่ถ้ามี 5 6 7 ก็ยิ่งอาละวาดใหญ่ พอมาเป็น 8 9 10 ก็ยิ่งมีพลังงานสูง พระพุทธเจ้าสร้างนิวเคลียสให้แก่อะตอมเกิดอย่างไม่มีพิษมีภัยได้

 

 

มาพูดถึงพวกเรา อาตมานี่นักจัดmeeting แล้วเป็นหัวโจกเสมอ แต่ตอนนี้หมดน้ำยาแล้ว ใครจะมาก็มา ใครตายไปได้ก็ไปงาน แต่ "ถ้าไม่ตายก็มาพบกันบ้าง" อาตมาใช้เป็นคำขวัญ แล้วมันก็ไม่ค่อยมาพบหรอก มาพบตอนงานก็ว่าดี แต่ว่าหลังนั้นก็ไปที่ชอบๆ เพราะว่ามาชอบทางนี้อาตมาขูดให้ละหน่ายคลาย มาทุกคน อาตมาก็สอนติดอาวุธ ให้มาลดละหน่ายคลาย แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ถ้าเป็นอรหันต์ แล้วก็จะอยู่กับโลก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

อาตมามาเกิดในเมืองไทยรู้อันนี้ของพระพุทธเจ้า อาตมาก็เป็นพระบุตรของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ที่จะนำโองการของพระพุทธเจ้ามาประกาศ อธิบาย (พูดภาษาเทวนิยม) ผู้ใดเห็นเชื่อเป็นจริงก็มาเอา หรือเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าก็มาเอา ได้แล้วเราก็เป็นคนทำประโยชน์สูงสุดแก่โลก อย่างไม่เห็นแก่ตัว โลกต้องการมาก

 

ตอนนี้มีคนพยายามไล่เบี้ยให้นายกฯประยุทธ ที่มีวรยุทธเก่งต่างๆ ทำงานสัประยุทธ์อยู่จริงๆ เมื่อไม่กี่วันก็สัประยุทธ์กับศัตรูนอกประเทศว่า ผมชนะแน่

 

ประยุทธในทางธรรมคือ ท่านพรหมคุณาภรณ์ ประยุทธทางโลกคือ พล..ประยุทธ ผู้ใดเป็นศัตรูของประยุทธ ถูกสับแหลกหมด แต่อาตมาไม่ได้เป็นศัตรูของประยุทธ แล้วอาตมาก็ไปในที่ว่างก็ไม่ถูกอาตมา แม้ท่านมีรังสีก็ไม่ถูกอาตมา อาตมาไม่มีตัวตนยิ่งกว่า invisible จึงไม่แตกตัว ก็เลย สบม. ทมด. ปกต.หห. จจ. มชยลล.

 

อาตมาไม่ได้มีผลอะไร อาตมายังทำงานได้ ก็ขอบคุณท่านพรหมคุณาภรณ์ที่ท่านยิงอาตมาด้วยกระสุน 3 ลูก คือท่านเขียนหนังสือถล่มอาตมา 3 เล่ม จนอาตมาถูกฟ้องร้องถูกจับ เขาก็พิจารณาคดีอาตมาว่าผิด ติดคุก ให้รอลงอาญา 2 ปี เขาก็มาคุมประพฤติสองหรือสามครั้งก็ไม่ได้มาอีก มากินมังสวิรัติด้วย แล้วก็หายไป จนครบ 2 ปีก็จบเรียบร้อย ท่านประยุทธท่านยิงมา 3ลูก แล้วทิ้งท้ายว่าจะมีลูกต่อไป แต่ท่านก็ไม่ได้เขียนต่ออีก ก็ขอบคุณท่าน อาตมาก็ไม่ได้ถือสาท่าน เขียนขอบคุณท่านไปตั้งแต่เล่มแรก จนสุดท้าย ท่านก็คงเข้าใจอาตมา เพราะท่านยังส่งหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ มาให้อาตมาใช้ ท่านรวบรวมไว้ดีมาก เป็น learned man ที่ดีมากต้องยอมรับนับถือ อาตมาก็เขียนจดหมายแสดงความเห็นใจที่ท่านป่วย ท่านก็ตอบมาที่อาตมาแสดงน้ำใจ แล้วท่านก็ส่งหนังสือให้อาตมา  ก็ได้ใช่อยู่

 

ทุกอย่างเกิดจาก เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ซึ่งสัตว์โลกที่เจริญสูงสุดคือมนุษย์ มนุษย์นี้ก่อเรื่องได้มากสุด และทำดีได้สูงสุด ทำดีมากได้คือ เป็นพลังงานพระเจ้า ศาสนาเทวนิยมเรียนความเกิด ไม่ได้เรียนความตาย แต่ศาสนาพุทธเรียนความตาย เรียนความเกิด ควบคุมความเกิดได้ ให้พอดี (ปโหติ) ผู้เรียนรู้จบ สัมมัตตะ 10 คือ มรรคองค์ 8 และผลอีก 2 คือ สัมมาญาณ และสัมมาวิมุติ เป็นผู้สร้างความเกิดด้วย สัปปุริสธรรม 7 อย่างปโหติ จึงพอเหมาะ ได้เป็นผลสอง คือ วิชชาและวิมุติ  ผู้ไม่ศึกษาไม่สามารถควบคุมอะตอมได้ คุมนิวเคลียร์ไม่ได้ แต่ผู้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิจะคุมได้และเป็นผู้สร้างโลก

 

 

วิทยาศาสตร์ตามศึกษานิวเคลียร์ฟิชชั่นไม่ได้ เขารู้แค่ half life แต่อีกส่วนที่เข้าสู่ 0 เขาตามศึกษาไม่ได้ จะเรียกว่า space and time of continuum  ซึ่ง space ของพระพุทธเจ้าคือ protoplasm คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ และช่องว่าง และวิญญาณ นักวิทยาศาสตร์ศึกษาได้แค่ช่องว่าง แม้เรียนชีวะก็ไม่รู้ลึกซึ้ง ถึง เวทนาเหมือนพระพุทธเจ้าที่รู้เวทนา 108 แล้วทำให้เป็นหนึ่งได้ จากอิตถีเพศมาเป็นบุรุษเพศ แล้วทำให้เป็นนปุงสกลึงค์ได้ วิทยาศาสตร์พยายามจับนิวเคลียร์มาใช้เพื่อสันติภาพ แต่เขาทำลายกากกัมมันตรังสีไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าทำลายกากกัมมันตรังสีได้สมบูรณ์แบบ

 

ที่เกิดนี่ ความรู้สึกร่วม คงไม่มีใครเกิดความรู้สึกลำบาก รังเกียจ หรือ อนิฏฐารมย์ ไม่เกิด adrenaline แต่เกิด endorphins ใช่ไหม นี่คือ อภิปโมทยังจิตตัง จิตเบิกบานร่าเริงสดชื่นเป็นชีวิตชีวะ คงไม่มีใครมางานนี้แล้วเกิดความรู้สึกเหี่ยว คงไม่มีใครมาแล้วเกิดรู้สึกลำบากไม่สดชื่น ห่อเหี่ยว แต่มาแล้วก็ต้องสดชื่นเบิกบาน อาตมาว่านะ หรืออาจมีจริงสำหรับคนทุกข์มากมายจมในโลกที่ทุกข์เศร้า คุณก็ไปฟังเพลงอาริยะ เขาจะหัวเราะคุณก็จะเศร้าอยู่ของคุณ ถ้าเราสามารถรู้อาการอารมณ์ ที่ต้องรู้ด้วยอิฏฐารมย์ อนิฏฐารมย์ แล้วเราก็อาศัยอารมณ์เบิกบานร่าเริงไว้ แล้วรู้ว่ามันไม่เที่ยง ยึดเอาไว้ไม่ได้ แต่ถ้าใครยึดไว้ ก็ไม่รู้ว่าจะยึดนานเท่าไหร่ แต่ที่ยึดไว้อย่างรู้มีปัญญาปล่อยวางได้อย่างแท้จริง ก็ปล่อยได้

 

 

พวกเราคงเกิดอารมณ์ชื่นใจ แต่ก็ยังมีครอบครัวตน มีแดนที่ต้องไปหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในตนอีก แม้มาอย่างนี้ก็ยังมีจิตไปอย่างนั้น รู้ไหมว่าเรารักอะไรมากที่สุด คือรักตัวตนของตนนี่แหละ คือตัวกูของกู อาตมาไม่ได้จัดอยู่ในความรัก 10 มิติเลยนะ เพราะมันแคบมากกกว่าความรักแบบคู่ มิติที่ 1 มีแต่เธอกับฉัน แม้แต่ลูกก็ไม่เอา ความรักแบบนี้นี่เลวที่สุด เช่นพวกที่เสพกามสมอยาก แล้วเกิดลูกก็ฆ่าลูกทิ้ง นี่คือเลวสุดๆ สัตว์เดรัจฉานยังไม่ฆ่าลูกเลย มันไม่ต้องการลูก

 

ขอพูดไปอีกหน่อย อย่าเหนียมกันนะ ก็คนติดแต่รสกาม แล้วแต่งงานก็เลยไม่ยอมมีลูก ก็คุมกำเนิดไปสิ แต่ขอเสพรสกามอย่างเดียว ตายไปแล้วก็ติดรส ถ้าไม่หัดวางหัดลดในชาตินี้ไม่มีสุรภาโว สติมันโต จะโง่เสพอารมณ์กาม หยาบสุดแล้ว ถ้าใครยึดจัดจ้านวิตถาร ก็ยิ่งหนัก ยิ่งกระเทยนี่รสกามแท้เลย ไม่ต้องคุมกำเนิดแล้วเพศเดียวกัน ไม่ต้องระวังอะไร เพศเดียวกันไม่มีลูกอยู่แล้ว คือวิตถารไปเลยไม่ใช่ธรรมชาติของโลก

 

พวกเราถ้าไม่เรียนรู้อารมณ์เสพกาม อารมณ์ติดรสพวกนี้ จนทำกามให้เป็นนิวตรอนได้ ศาสนาพุทธไม่มีอารมณ์กามแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเจตนา มีเจตนาได้แต่อย่าอยาก ถ้าเรามีเจตนาได้ มีมโนสัญเจตนา(กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา)

 

พระพุทธเจ้านี่ท่านมีความต้องการสร้างศาสนานะ แม้มารมาอาราธนาให้ตาย ท่านก็ว่ายังไม่ตาย ต้องสร้าง พุทธบริษัท 4 ให้แข็งแรงก่อน

 

มีเจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ แล้วความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด เอาไปท่องเอาไปพิจารณาทั้งวันทั้งคืน อย่างอิสลามเขาละหมาดวันละ 5 เที่ยว ของเราก็ให้ระลึกถึงให้มากขึ้นกว่าอีก

 

การมาสังสรรค์กันเท่ากับเอาสารพัดสัตว์มารวมกัน  ถ้าสัตว์ไหนมีแต่ตัวกูของกูก็จะมีแต่เขี้ยวกับงา แต่ตัวไหนมีแต่เพื่อนก็ดีจังเลย คนนั้นคนนี้ก็สังสรร ปรับทุกข์ปรับสุขกันไปเป็นลักษณะธรรมดา แต่เรามีลักษณะนี้ออกจากใจได้เลยไหม คือผู้ที่อยู่กับใครก็มีแต่พลังงานอบอุ่น อาตมาพยายามทำนี่นะพยายามบรรยาย พวกเราจะเกิดพลังงานอบอุ่นหรือเย็นเยียบ พลังงานเย็บเยียบคือไม่รู้เรื่อง แช่แข็ง พันองศา แต่ถ้าใครฟังแล้วอบอุ่นนี่คือ เอื้อไออุ่น ไม่อบอ้าว ที่จะทำให้อบอ้วกเลยนะ ถ้าแค่อาเจียนเป็นอาหารก็แค่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าอาเจียนออกมาเป็นโลหิตร้อน สำนวนพระพุทธเจ้านะ อันนี้ตายแหง๋ๆ นี่มี นพ.ร้อยตรี ชิม นี่จบหมอทหารบกมาแล้ว

 

ถ้าเกินอบอุ่น คืออบอ้าว แล้วทีนี้จะอบอ้วก แล้วถ้าเป็นโลหิตพุ่งจากปาก พลังงานมันขนาดไหน คนนี้ตายทันทีไม่ต้องหามไปรพ.เลย ให้หมอตรวจได้ว่าตายไหม? แล้วเอาไปเผาหรือฝัง

 

ที่พูดนี่เป็นพลังงานทั้งสิ้น ตายไปก็หมดชีวะ พลังงานอบอุ่น อบอ้วกเกิดจากพลังงานชีวะได้ โลหิตร้อนพุ่งจากปากนี่ช็อกเลยเหมือนจิวยี่รากเลือด

 

พวกเราก่อความอบอุ่นกับเย็นมากกว่าไม่ก่อร้อน ทุกวันนี้ meeting กัน เขาปลุกร้อนทางกามกัน แล้วเมากามจัด เกิดดำกฤษณา หรือว่าร้อนแรงทางโทสะไม่ชอบใจกันก็ตีกันทำร้ายกัน มันไม่อบอุ่น เป็นอบอ้วก อบอ้วก มากๆ ก็โลหิตร้อนออกจากปาก

 

ต่อไปศิษย์เก่าถามปัญหาพ่อครู

 

ถาม_ถ้าเราอยากรู้อดีตชาติ เพื่อเข้าใจปัจจุบัน เป็นบาปไหม?

 

ตอบ...ถ้าเราเข้าใจชาติ ว่าเป็นแบบที่มี ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันว่า เราเป็นสัตว์หมู หมา หรือเป็นคน เป็นคนฉลาด หรือคนidiot หรือเป็นคนฉลาดโกงมากๆ ซึ่งระลึกชาติแบบนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ถ้าระลึกชาติในชาตินี้ ว่ามีเรื่องราวมีกรรมกิริยาเหตุการณ์อะไร ระลึกได้นานเท่าไหร่ เท่าที่เราระลึกได้ ว่าเรากระทบกับเขาอย่างไร มีเกิดกิเลสหรือไปช่วยเขาเสียสละอะไร อ่านเหตุเช่นนี้ ว่าเหตุอะไรเราถึงไปทำลายเขา หรือช่วยเขา แล้วเหตุที่เราไปทำร้ายเขา เป็นโทษหรือเป็นคุณต่อมา ระลึกชาติแบบนี้แหละ อยากรู้อดีตอย่างนี้ไม่เป็นบาป จะมีประโยชน์ด้วย แต่ระลึกชาติแบบข้ามชาติตัวตนนี้ ไม่มีหลักฐาน อาจเป็นอุปาทานที่ปั้นเองหลงเองได้ บางคนว่าเป็นร.5 เป็นพระนเรศวรกัน ก็มีมากมายงามงายกัน ถ้าจะระลึกชาติให้เป็นตามคำสอนพระพุทธเจ้า ระลึกถึงวานนี้ เมื่อกี้นี้ที่เราทำพลาดไป เราไม่น่าทำกายกรรมวจีกรรมเช่นนี้ หรือแม้คุณคิดทัน กำลังคิดไม่ดีแล้วระงับได้ ไม่ปล่อยให้เป็นกรรมไม่ดี คนนี้ระลึกชาติได้เร็วมาก จัดการสิ่งไม่ดีได้เร็วมาก ระลึกว่ากำลังคิดความดี แต่ไม่ได้ทำก็ระลึกให้ดีว่าต่อไปคิดแล้วก็ควรทำ ถ้ามีโอกาสนะ เราจะไม่พลาดกุศล หรือโอกาสนี้คุณมีแต่ทำอกุศลคุณก็ได้บาป ไม่ได้บุญ เพราะบุญคือ การชำระอกุศล ถ้าระลึกชาติแล้ว สำรวมระวังได้ คือเป็นบุญ ดับบาปได้ ดับอกุศลได้ แต่ถ้าไม่ระลึกชาติแบบนี้มันเพ้อเจ้อ แม้แต่คุณระลึกชาติเป็นหมู หมา ลิง แต่แม้เป็นจริงคุณก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ให้ระลึกอดีต เพื่อแก้ไขปัจจุบันนี้แหละ แม้จะระลึก 3 วัน 7 วัน เดือนหนึ่งก็คือยังไม่ลืม มั่นใจว่าจริงกว่า ก็เอาอันนั้นสังวรระวัง แต่อันใหม่ให้ละเว้นชั่ว อะไรดีให้รีบทำให้ทัน

 

ถาม_ทำอย่างไรถึงจะได้เกิดเป็นคนแล้วอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีคะ

ตอบ....มันเป็นตามลำดับ คนที่เป็นสัตว์นรก อบาย คือเลวที่สุด ต่ำที่สุดในตัวเรา เมื่อเรารู้ว่ามีสิ่งเลวในเราเราต้องรีบฆ่า จัดการตัวเลวในตัวเรา หลักการพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อบาย ที่เราเกี่ยวข้อง แล้วเราไปติดยึด รักมาก หรือชังมากก็ตาม เป็นศีลข้อ 1 และ 2 ถ้าชังมากก็สายโทสะ เอ็งอยู่ที่ไหนข้าจะตามไปทำลายเอ็ง พวกจองเวรจองภัย เป็นอบายมุข ส่วนความรักก็รักจนหลง เลวร้ายเท่าไหร่ก็รัก ชั่วเท่าไหร่ก็รัก อันนี้เวรจริงๆเลย ไม่ใช่เวร 500 เขาเรียกว่าเวร 500 ละลาย พวกที่รักไม่รู้จักปล่อยก็ติดไปนานนับชาติ นี่คืออบายมุขตัวแรก ไม่ต้องรักมากหรอก รักต้องไม่ติดยึด เป็นรักมิติที่ 7 ขึ้นไป

 

สรุปแล้วจะเป็นคนได้ต้องรู้อบาย แล้วล้างเหตุแห่งอบายได้ ตามลำดับ ส่วนจะสูงได้นั้นก็ต้องล้างตัวเลวร้ายของตนได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นคนขึ้นมาได้ แล้วทำตามลำดับขั้นไป ล้างสิ่งที่เลวน้อยกว่าลงไปอีก การเกิดเป็นคนอีก จึงต้องรู้สิ่งที่เป็นคนที่เลวร้ายที่สุดคือ โลกอบาย แต่ต่อมากาม ก็ต้องล้างอีก จนล้างกามหมด ในโลกของปฏิฆะ ก็หมดกาม หมดปฏิฆะ เป็นอนาคามี เหลือแต่ส่วนในของตนที่เป็นกิลมถะ แต่ถ้าไม่ล้างก็ตาม ตัวที่เหลือในอนาคามีคือ นิวเคลียร์ฟิชชั่น มันก็จะแตกสลายไปในที่สุด แต่ของพระพุทธเจ้านี้เก็บหมด ทำให้หายไปได้เป็นสูญได้

 

1 2 3 4 คุมได้ คุม 4 ได้ที่จะออกไป ถ้าเป็นอุกกาบาตคุมไม่ได้ แต่ถ้าเป็น x นี่ก็คุมได้เป็นมาตรฐานเท่ากัน 1 2 3 4 ตัว xy ที่เรียนกันทางชีวะถือว่าเป็นพลังงานชาย แต่xx เป็นพลังงานหญิง แต่หญิงนี่คุมไม่ได้ เป็นเสแสร้าง pretender นึกว่าตนเองเป็นตัวนิ่ง แท้จริงตนไม่นิ่ง ตัว x นี่แรงครบ แต่คุมตนเองไม่ได้ อาละวาดเป็นอุกกาบาตไปทั่ว อย่างเก่งก็เป็นดาวหาง ไปเข้มข้นที่หัวดาวหาง เป็นฟิวชั่นธาตุหนัก แต่ฟิชชั่นนี่ธาตุเบานะ แต่แตกตัวไม่สิ้นสุด

 

ต้องลดอบายก่อน แล้วมาลดกาม ถ้าลดเรื่องกามได้อีกก็ลดหมด กามก็หมด คุณหมดกามหมดพยาบาทแล้ว ซึ่งมันเป็นพลังงานสลับกัน เราไม่มีรสชาติภายนอกแล้วแต่เรายังชัง เช่น คนปฏิบัติธรรม ลดความสวยความอร่อยของตนได้แล้วเราไม่ดูดแล้ว เจอข้างนอกถ้าผลักก็คือชัง อนาคามีไม่มีสุข มีแต่ทุกข์ ทุกข์นี่คือ ตัวชังต้องล้างให้ออก กำจัดสุขทุกข์ของตนกิลมถะให้หมด เมื่อหมดสุข/ทุกข์จึงสมบูรณ์

 

เป็นคนเป็นสัตว์อบายก็ล้างอบาย มาล้างกามอีก ล้างรักล้างชังในตนอีก อนาคามีไม่เป็นพิษภัยกับใครแล้ว สัมผัสกับใครก็ไม่รักไม่ชังไม่ดูดไม่ผลักแล้ว ควบคุมได้ก็ทำประโยชน์ได้เอานิวตรอนมาทำงานได้มาก มันมีพลังงานแน่นสูง ทางธรรมะเอามาใช้งานได้ ทำให้เป็น x ให้หมด ถ้าคุณว่า ชายเป็น xy ตัว y นี่เป็นตัวหลอก เป็นรูปโยนี เอกบุรุษสามารถทำให้ ขา x สองขามาเป็น y ได้ มีพลังงานดัดได้ หรือจะปล่อยให้เป็น x ก็ได้ ถ้าคุมได้เป็น cyclic order แต่ถ้าคุมไม่ได้เป็นเคออส(Chaos) กระทบไปเรื่อยๆ แตกตัวเป็น isotope เป็น chain reaction ไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าถึงให้ฝึกมีพลังงานไฟที่ควบคุมได้

 

ทำy อยู่ในอาณัติ ควบคุมได้ทั้งโปรตอน นิวตรอนได้ เอาไปใช้งานได้ คนเกิดมาต้องดับตั้งแต่อบาย มาดับกาม อีก แล้วรู้ดับอัตตาตัวร้ายได้ จะเป็นคนที่ใช้พลังงานได้ เป็นคนระดับโพธิสัตว์ก็ใช้ได้ ตามลำดับ ของพระโพธิสัตว์ระดับต่างๆ ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าเป็นระดับ 9 สูงสุดในความมีแล้ว พอเป็น 10 ก็เป็นอวตาร เป็นอย่างอื่นอีกได้

 

อนาคามีนี่เหมือนคนใจดำ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยเขาไม่ได้ก็แล้วไป ดูหางเสียงของคุณตู่ ประยุทธสิ คือผมก็ช่วยได้เท่านี้ คือรู้ตัวเราก็เท่านี้ รู้อัตตัญญุตา จะพูดให้เกินขอบเขตตนเองทำไม? นี่คือลักษณะคุณตู่ อาตมาเข้าใจ จึงสนับสนุนส่งเสริม ลักษณะอย่างนี้ ประมาณระดับนี้ต้องทำแบบอนาคามีเป็นต้นไป ถึงทำได้แบบนี้ อาตมาฟังสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล

ถาม_ศัลยกรรมตกแต่งให้สวยงามบาปไหม
ตอบ_บาป ยังหลงความสวยงาม หลงกาม คือบาป

 

ถาม...อโศกเจริญขึ้นแล้วทำไมคนในชุมชนต่างๆของอโศกถึงน้อยลง

ตอบ...ก็คุณไม่มามันก็เลยน้อยลง ขนาดพวกคุณติดชิปไปยังไม่มาเลย จะไปหวังจากคนที่ไม่เคยฟังเลยได้อย่างไร คุณก็ไปตามที่ชอบ แต่ที่จริงคุณควรชอบอันนี้ แต่คุณไม่เห็นสิ่งนี้มีค่า ก็ไปที่ชอบๆของคุณ  คุณเองรู้แล้วเข้าใจดียังไม่มาเลย แล้วจะไปหวังอะไรจากผู้ไม่เคยสดับธรรมเลย แต่คนที่สดับธรรมแล้วไม่มาก็พูดกันได้ แต่คนไม่เคยสดับ ถ้าได้ยินได้ฟังอาจเร็วกว่าพวกคุณ จริงๆแล้วคุณมองตื้นๆ อาจเป็นได้ที่มวลจำนวนเหมือนน้อยลง แต่ความจริงมันไม่น้อยลงหรอก ถึงแม้น้อยลงก็เจริญขึ้นในทางคุณธรรม อาตมาทำงานด้วยอาตมารู้ว่าหนักหรือเบาขึ้นกับพวกเรา ไม่ใช่ว่าเสื่อมลงในตัวใน แล้วไม่มีใครทำสถิติด้วย ว่าชาวอโศกที่ออกไปหลายคนไปใช้วิบากต้องไป ออกไปนี่ไปได้สองอย่าง 1.ไปเพราะใจสมัครไปกิเลสพาไป 2.อยากอยู่แต่ต้องไปเพราะต้องไปใช้วิบาก เป็นได้สองนัย เราไปรู้เขาได้ที่ไหน มันของใครของมัน มันไม่ลงตัว คนลงตัวจะมา คนอยู่ได้จึงเจริญขึ้น ผู้มีมรรคผลทนอยู่ได้ เขาอยู่จนไม่ต้องทน เขาอยู่เจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่พูดอย่างนี้ถ้าเข้าใจจะได้มา นี่เป็นอุกกาบาตวิ่งหลุดวงโคจรไปไหนๆ จะกลับมาถูกหรือไม่ไม่รู้ ดีไม่ดีฟาดฟันกับข้างนอกแตกแหลกมาไม่เหลือก็ได้

 

ถาม_พ่อท่านคะ ช่วยอธิบายวิบากของการดื่มสุรา อยากให้คนที่บ้านเลิกดื่ม

ตอบ...ก็แส่หาดีนัก อยู่โสดดีนัก ไม่เอาไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ที่ท่านว่า ผู้เป็นโสดท่านเรียกว่าบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่มีคู่ย่อมเศร้าหมอง ดีนะที่รู้โทษภัยของการกินเหล้า ดีที่เขาไม่เลี้ยงคุณด้วยลำแข้ง มันยากที่เราจะให้เขาหยุดหรือไม่ แต่เราก็ต้องเพียร อาตมาว่าทางสุดท้าย ถ้าคุณจำทนต้องอยู่ด้วย ก็ต้องทำดีที่สุด จะบอกเขาตอนไหนอย่างไร ไม่ให้เขาเกิดความรำคาญ หรือโกรธ ให้เขาสำนึกได้ก็ต้องบอกไป มีโอกาสให้เขารู้ว่า ต้องเป็นตับแข็ง เสียเงิน มีสารพัดโทษของการกินเหล้า นับโทษไม่ถ้วน อย่ามาแก้ตัวว่าต้องกินกับหมู่ อาตมาผ่านมาแล้ว นั่งกับวงเหล้าก็กินน้ำส้ม มันไม่กล้าไล่หรอก อาตมาปฏิบัติในวงการบันเทิง เพื่อนฝูงก็รักความสำราญกินสูบดื่มเสพ มันจะไปสำราญก็ฝากงานไว้ อาตมาก็รับไว้หมด มันก็เกรงใจอาตมาไม่กล้าว่าเราหรอก หรือจะไปกินร่วมด้วยอาตมาก็ซดน้ำเปล่า ซดน้ำหวานไปมันไม่กล้าว่าเราหรอก เพราะมาว่าเดี๋ยวไม่ช่วยรับงานนะ มีแต่คนเกรงใจเรา ถ้าคุณเห็นความจริงก็เลิกเลย ไปกับหมู่ก็ไป ส่วนมากเขาไปกินเหล้าจะไม่ชวนอาตมา แต่ว่าบางงานที่เลี่ยงไม่ได้อาตมาก็ไปนั่งด้วยได้ แล้วเขาก็อายนะเขารู้ว่าทำไม่ดี เราทำดีก็ให้ทำต่อ ทำดีให้ดีที่สุดแล้วเขาจะเกรงใจ ฉลาดที่ให้สัญญาว่านี่เป็นโทษนะ อย่าไปบอกชัดบอกแรง จะมีศิลปะบอกไปว่านี่โทษของการกินเหล้า หรือว่าเปิดโทรทัศน์ให้เขาเห็นแต่ต้องมีศิลปะนะ

 

ถาม_ศิษย์เก่ามีครอบครัวแล้วอยากมาช่วยงานสันติอโศกเต็มตัว จะมาอยู่ได้ที่ไหน อย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร
ตอบ...ได้อ่านก็ชื่นใจแล้ว อยากมากอยู่ก็ดีแล้ว มีเวลาบ้างก็เอา มาใกล้ขึ้นก็จะมาได้มากขึ้น มาได้มากขึ้นจะรู้ว่าจะอยู่อย่างไร จริงแล้วที่อยู่ข้างๆก็มีลูกหลานเยอะไป แล้วเอามาให้เลี้ยงก็มาก สันติอโศกไม่มีส่วนกลางเหมือนปฐมอโศก ราชธานีอโศก ถ้าอย่างโน้นก็ครอบครัวอยู่ได้ มีหลักแค่ว่า ศีล 5 ละอบายมุขกินมังสวิรัติ เท่านั้น ก็ไปอยู่ได้ แต่ที่สันติอโศกนี่มันที่ทางคับแคบ แต่ที่บ้านราชฯมีการเปิดให้จองที่สร้างบ้านได้ มีการสร้างธารน้ำ เมื่อคืน เทวดาก็บอกให้อาตมาบอกให้เขาหาบัวหลากชนิดมาปลูกในลำธาร เพราะเป็นเมืองอุบลฯเมืองดอกบัว มีน้ำตก นกร้อง ลำธาร

 

ถ้าคุณจะมาอยู่ข้างสันติอโศกก็มาอยู่ได้ แต่ถ้าจะมาอยู่จริงๆก็ต้องไปอยู่ตามที่แบบนี้ ก็มีศีล 5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้ ลูกเราก็จะมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายช่วยกันเลี้ยงมากมาย มีความรัก 10 มิติอยู่ครบเลย  เราอยู่กันอย่างสามัคคี มีความขัดแย้งกันพอเหมาะ

 

ถ้าความเห็นต่างที่ไม่พอเหมาะ มันแย้งมากไป หรือความเห็นต่างที่มันเบาไป มันยอมกันมากไป ก็ไม่เกิดผลดี หรือถ้าผิดมากจนผิดศีล ก็ต้องให้ออกนอกชุมชนไป ต้องให้พอเหมาะ ถ้าไม่พอเหมาะจะแตกแยก เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ ต้องพรากต้องห่างกันไป หรือลงโทษให้ออกไปตามระยะเวลา ในนี้เป็นสิ่งดี แต่ถ้าคุณไม่เหมือนหมู่ ก็คือสิ่งไม่ดี ก็ต้องให้เปลี่ยนแปลงตนเองก่อน ความขัดแย้งอันพอเหมาะ จึงจะทำให้เจริญได้ดี Unity of Diversity คือเอกภาพของความหลากหลาย คือความขัดแย้งอย่างพอเหมาะ ยิ่งหลากหลายแต่อยู่กันอย่างสบายกลมกลืนกันดี สนับสนุนกันไม่ตัดแข้งตัดขากัน ลีลาอาจเร็วแรง แต่สงบ เป็นลูกข่างนอนวัน

 

ถาม_ศิษย์เก่า ชิม ว่า จากการไปทำหน้าที่รักษาคนไข้ คนไข้ผู้ชายมักมาด้วยโรคจากการกินเหล้าหรือเนื้อสัตว์ แต่ผู้หญิงจะมาด้วยการกินเกินบริโภคเกิน ผมก็แนะนำให้เขางดกินเหล้า แล้วมากินมังสวิรัติ ผมก็อยากแจกหนังสือที่อธิบายวิถีชีวิตของชาวอโศก จะติดต่อใครดี ที่จะทำ

ตอบ....ก็มาที่ราชธานีอโศกหรือปฐมอโศก สันติอโศกก็ได้ เขาเป็นแพทย์ได้สะดุดคิดว่า ผู้ชายมีภัยจากเหล้า ผู้หญิงมีภัยจากการกินแหลกและสวยแหลก สองอย่าง ไขมันเยอะอ้วนไว ก็ติดต่อกันดู เรียบเรียงดีๆ จะได้ส่งโรงพิมพ์ ของเก่ามีบ้างแต่ไม่ตรงเป๊ะอย่างที่คุณพูด

 

_หลังจากรายการเอื้อไออุ่นเสร็จแล้ว พ่อครูได้จับฉลาก รายชื่อศิษย์เก่าที่จะได้รับภาพพ่อครู พร้อมลายเซ็นต์ที่พ่อครูจะเซ็นให้สดๆเมื่อจับฉลากได้ สร้างบรรยากาศอบอุ่นครื้นเครงเป็นอันมาก ....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:20:17 )

580601

รายละเอียด

580601_พ่อครูเทศน์เวียนธรรมวิสาขบูชา ปี 2558 สันติอโศก

พ่อครูว่า.... ก็ไม่ต้องพูดซ้ำซากเรื่องวิสาขบูชา ทุกคนคงพูดผ่านพาดพิงวิสาขบูชาหลายนัย อาตมาก็ขอย้ำที่ตัวพวกเราที่ได้ติดตามศึกษา จนวันนี้วันสำคัญของศาสนาพุทธที่โลกรับรองว่าเป็นวันสำคัญของโลก พวกเราก็เห็นดีมารวมกัน บางคนปีหนึ่งก็มาวันนี้วันเดียว ก็มีหลายคนอยู่ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ดี มาวันเดียวได้ก็ยังดี ส่วนผู้มาแล้วอยู่ประจำ ฝากผีฝากไข้ฝากตาย เหมือนโยมเหินฟ้า ที่เลือกวันตายได้เหมาะเหลือเกิน ตายเอาวันที่จะมีผู้มาสวดศพได้เป็น สิบสิบเลย จะมีใครมีกุศลได้อย่างนี้เลย ตายอย่างสงบ อาตมาไปเยี่ยมไม่รู้สึกตัวเลย จนสุดท้าย คงเป็นพลังงานชรตาที่เป็นแรงสุดท้ายแล้วของสัจจะทุกอย่างในลักขณรูป 4 อุปจย สันตติ ชรตา อนิจจตา ถ้าชรตาคือไปสู่เสื่อมสูญ ส่วนอุปจยะคือการเกิด แล้วจะต่อเนื่องสันตติไป ตามความสามารถที่จัดสรร ให้ได้ลหุตา มุทุตา และก็กัมมัญญตา ซึ่งเป็นลักษณะ 3 ซับซ้อน ยิ่งกว่าทางวิทยาศาสตร์ เพราะว่าลักษณะ 3 จะเป็นวิทยาศาสตร์ก็ได้

 

เช่นเป็นอะตอม มี อิเล็กตรอน วิ่งรอบโปรตอน นิวตรอน พลังงานของลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ซึ่งทำงานอยู่กับข้างนอกทั้งหมดเลยได้พอเหมาะพอดี เป็นกัมมัญญตา เป็นกายกัมมัญญตา คล่องแคล่วด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร เป็นกุศลทั้งสิ้น เพราะรู้ประมาณให้สุภาพที่สุด เป็นลหุตา อย่างสงบ เรียบร้อย สันติ (เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม) อย่างพอเหมาะ ให้มีลักษณะลหุตา มีมุทุตา ที่จิตสมบูรณ์ทั้งเจโตและปัญญา อาตมาให้ชื่อว่าจิตหัวอ่อน มีปัญญารู้เร็วไว เจโตก็ปรับได้เร็วไว ทำงานได้แคล่วคล่อง จิตเป็นตัวจัดการได้เอง ทำงานจิตสังขารออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม

 

อาตมาเอาวิทยาศาสตร์มาเทียบ ซึ่งเห็นได้ว่าชีวะเขาตามไม่ถึง แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรอบถ้วนแล้ว ในระดับพีชะ จิต ที่จะตัดแค่ไหนที่จะเป็นพีชะ หรือตัดตรงไหนจะตัดถึงบาปขั้น กามภพ หรือหมดรูปภพ อรูปภพ เป็นผู้มีพลังงานสมบูรณ์ มีสัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา

 

ตอนนี้ถ้าใครตามทันแล้วตามติดเข้าใจได้ ผู้นั้นมีหวังบรรลุธรรม ผู้ใดมีสภาวะนั้นก็จะเข้าใจได้แน่ ผู้ยังไม่ถึงก็ไม่มีปัญหา เรียนปริยัติ ปฏิบัติตั้งใจพากเพียรไป อาตมาเปิดเผยมา สำหรับอาตมาก็เปลือยเปิดหมดเต็มที่ไม่เหลืออะไรเลย ว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์อรหันต์ก็พูดหมด แล้วพูดได้ดี เพราะเงียบหมด พูดไปแล้วไม่มีผลสะท้อนตอบมา

เงียบเพราะคนรู้แล้วมั่นใจแล้ว ก็เลยสงบ ส่วนพวกข้างนอกก็ไม่กล้าจะตอบโต้อะไร เป็นเรื่องที่พอเหมาะพอดีแก่กาละ เหตุปัจจัย เราแสดงอะไรตามสัปปุริสธรรม ทั้งเราพูดในหมู่กลุ่มเล็ก ขยายหมู่กลุ่มโตขึ้นใหญ่ขึ้นจนถ่ายทอดออกโทรทัศน์ก็ตามเหตุปัจจัย ทั้งมัตตัญญุตา อัตตัญญุตา ว่าตัวเราก็เท่านี้แหละ เมื่อมีผลขนาดนี้อาตมาก็บอกว่าเมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป เป็นแหล่งอาริยธรรม มีมนุษย์อุตรกุรุทวีป เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่แท้ สัมมาทิฏฐิ เป็นคนสามารถลดกิเลสได้จริง อยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ สุขทั้งกามทั้งอัตตา เราจะได้ยืนยันว่ามนุษย์ต้องเป็นเช่นนี้

 

ผู้บรรลุธรรมไม่จำเป็นต้องมาเป็นนักบวชถึงบรรลุอรหันต์ แต่เป็นฆราวาก็บรรลุอรหันต์ได้ แล้วทำงานตามบารมีตามที่ควรทำ ไม่ต้องมาบวช แต่บวชก็ต้องมี ต้องมีผู้สืบสาน เลิกหน้าที่เลี้ยงตน เลิกเกี่ยวข้องกับญาติทางโลก ไม่รับผิดชอบแล้ว ทุกอย่างต้องออกมาอย่างแท้จริงก็สะดวกขึ้น แต่ถ้าเป็นฆราวาสต้องรับผิดชอบไม่มีสัญญาประชาคม จะนำพาตนให้บรรลุอรหันต์ไม่ง่าย เพราะมาบวชแล้ว เป็นทางสะดวกดุจสังข์ขัด เป็นชีวิตที่ให้ผู้อื่นเลี้ยงไว้ มันก็ง่ายขึ้น บริสุทธิ์ดุจสังข์ขัดโดยส่วนเดียว แต่เป็นฆราวาสเขาไม่ให้อภิสิทธิ์เลย ยิ่งทุกวันนี้พระนี่อภิสิทธิ์มาก พระนี่เขาให้เกียรติให้ยศต่างๆนานา แต่ไม่รู้ตัว ดีไม่ดีหลงกับส่ิงเหล่านั้นทำให้ซวยซ้ำ

 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)  ช่วยทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เมืองไทยจะเป็นเมืองอาริยธรรม เป็นเมืองธรรมะ แต่ก่อนนี้อินเดียวเป็นเมืองธรรมะ แต่ตอนนี้พ้นวาระที่อินเดียมาอยู่เมืองไทย อาตมาพูดตามความมั่นใจ ใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ตอนนี้เขาก็ยกให้เมืองไทยเป็นศูนย์กลางศาสนาพุทธโลกแล้ว เขาเฉลี่ยไว้หมด อย่างพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เขาจะเอาไปสังเคราะห์ เราก็เป็นมวลหนึ่งในเนื้อแท้ธรรมะ แม้ว่าสังคมจะพะอืดพะอม แต่ในเนื้อแท้นั้นเราไม่ได้ทำให้เดือดร้อน แต่กระแสต้านเราหนักๆก็ไม่มีแล้วก็มีไม่มากแล้ว

 

อาตมาก็จะให้สติพวกเราว่า อย่าไปหลงอยู่ใน ปปัญจรามตา แปลว่า อย่าหลงยินดีอยู่กับความเนิ่นช้า จงพยายามพากเพียรเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มให้เร็วที่สุดจะได้เกิดพลังสามัคคี มีพลังงานสนามแม่เหล็กที่มีพลังมากขึ้น มีแรงดูดแรงผลักหรือมีแรงที่จะเป็นพลังงาน เราไม่ต้องการไปปราบปรามใคร แต่เราต้องการให้สิ่งไม่ดีจะมีในใครก็ให้สูญหายไปจากตัวบุคคล มาเป็นคนมีพฤติกรรมดี มีกุศลจิตให้หมด มนุษยชาติควรเป็นเช่นนั้นในโลก แต่ตอนนี้ก็แย่ลง เพราะพลังงานค่ารวมสนามแม่เหล็กโลกมันแรง แต่พระพุทธเจ้าก็มีวิธี ให้จิตเป็นจิตที่ทนต่อโลกธรรม สัมผัสกระทบกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตเราไม่เสียพลังงานเลย เป็นเรื่องจริง จึงเป็นก้อนน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็ก ตามสำนวนท่านพุทธทาส แล้วจะเป็นปรอทที่ถ่วงโฟมไว้ เล็กแต่แน่น หนัก ไม่กินเนื้อที่มาก แต่มีน้ำหนักถ่วงโฟมได้ สังคมทุกวันนี้เป็นโฟม ฟรุ้งฟริ้ง ตามสำนวนสมัยใหม่ หลงระริกระรี้ระเริง แต่เน่าแสนเน่า เลวแสนเลว ซับซ้อนแย่มาก ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่เวทนาสงสาร เราไม่มีจิตอำมหิตซ้ำเติมเขา เพราะคนเหล่านี้น่าสงสารที่ต้องรับวิบาก เราไม่ต้องไปซ้ำเติมเขาเลย เราไปคิดซ้ำเติมเขาใจเราก็ชั่วไปเปล่า อย่าไปมีจิต เราต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต ออก

 

ทุกวันนี้พวกเราอ่าน อาการออก อาการนี้ใช้ได้ทั้งวัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ตลอดจนพลังงาน อ่านรู้ได้ด้วยอาการ คำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ได้ด้วย อาการ แล้วแยกออกว่าอาการนี้บวก ลบหรือโปรตอน นิวตรอน แม้ที่สุดแยกได้ว่านี่คือนิวเคลียร์ ฟิชชั่น นี่คือนิวเคลียร์ ฟิวชั่น

 

ฟิชชั่นนั้นแตกแล้วสลายไป แต่ฟิวชั่นนั้นรวมตัวกัน ศัพท์ของพระพุทธเจ้าคือจมกับลอย คือถีนมิทะ กับอุทธัจจะกุกกุจจะ ถ้าเป็นอาริยภูมิก็มี สังขิตตังจิตตัง วิกขิตตังจิตตัง ของพระพุทธเจ้าแม้จะฟุ้งก็จับมารวมตัวได้ครบเลย ส่วนที่รวมก็ครบเลย อาตมาพยายามเอาภาษาเทคนิควิชาการมาประกอบให้คนที่เขามีพื้นฐานพวกนี้ได้เร็ว ส่วนผู้ไม่รู้อาตมาก็พยายามขยายความอยู่แล้ว

 

ตอนนี้มันเข้ากับยุคสมัยหมด เราทำงานมาถึงวันนี้ ก็พอปะติดปะต่อ ทั้งยุคสมัย ระดับสูงของเขา แต่อาตมามีบารมีมาแบบปางนี้ พวกการศึกษาสูงๆเขาไม่ยอมรับหรอก เขาว่าพวกนี้ไม่ใช่รุ่นไม่เข้ารุ่น ไม่ใช่ตกรุ่นนะ อย่างอาตมานี่นักศึกษาธรรมศาสตร์ พศ. 2499 ไม่มีใครรู้จักสักคน อาตมาก็ไม่มีเพื่อนเท่าไหร่ มีเพื่อนน้อย อย่างเก่งไปถึงหน้าเตะฟุตบอลประเพณีก็ไปกับเขาแค่นั้น ไปทุกปี เฮฮากับเขา ธรรมศาสตร์ นอกนั้นก็อย่างนั้นแหละ สรุปแล้วไม่เอาถ่าน พูดไปก็ขายหน้าความไม่ดีของเรา จริงๆ อาตมาก็ไม่หัวขี้เท่อเท่าไหร่ อาตมาถ้าตั้งใจเรียนได้ที่ 1 ทุกครั้ง เอาจนได้แต่ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็ตก

 

ตอนนี้ที่บ้านราชฯให้จองที่อยู่กัน พวกเรามีเงินจองแต่ขอตัวไปอยู่ด้วย เพื่อจะให้มีมวลพอ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เพื่อพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ใช่ว่าเป็นพระก็รดน้ำมนต์ปลุกเสกพระ แล้วคนก็เห่อกัน แสดงให้เป็นภูมิปัญญาของชาวพุทธในไทยว่ามีปัญญาระดับไหน? จำเป็นไหมที่จะต้องกอบกู้สัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ กันไหม

 

ถ้าพวกเราไม่พยายามเอาใจใส่พากเพียรมันน่าสงสาร เพราะอัตตาการก้าวหน้าไปเสื่อมในสังคมไม่ใช่แค่คูณแล้ว แต่มันยกกำลังด้วย ไปไหนๆแล้ว ส่วนอัตราก้าวหน้าของทางอาริยะที่แท้จริงก็ระดับบวกน้อยด้วย เรานี่แหละต้องต่อให้เขามากเหลือเกิน เราจำเป็นต้องทุ่มแรงทุ่มทุนให้มาก ไม่อย่างนั้นจะช่วยคนได้น้อย นานช้า ทรมานทุกข์ร้อนก็จะมากขึ้น อาตมาพูดไปเพื่อเตือนสติ ผู้ใดพอสมควรมาได้ก็อย่าหลงในโลกธรรมในกามในอัตตา อย่าชะล่าใจปล่อยเวลาไป มาร่วมมือร่วมใจกัน งานเรามีมากลูกรัก แต่เราเล็กนักสุดเอ่ย .... มาช่วยกัน

 

แล้วงานเราเป็นงานยิ่งเสริมกุศล อาตมาออกโศลก ปีนี้ ก็คิดว่าจะใช้อีกนาน โศลกสุดท้ายที่ออกมาว่า มีเจตนาแต่อย่าอยาก มันลึกซึ้ง เพราะมโนสัญเจตนา มี 3​คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ถ้าผู้ใดทำจุดมุ่งไป มีสัญจิตจ หรืออากังขาหรือฉันทะ หรืออิจฉาวจร มีพลังงานมุ่งประโยชน์แต่อย่าให้เกินขีดว่าเราจะบำเรอกาม บำเรออัตตาให้ได้ลาภยศสรรเสริญ อย่าไปสร้างความอยากให้แก่ตัว แม้ทรัพย์สินเงินทอง แม้สิ่งโก้หรูหรือโลกธรรม เราทำให้ดี ทำให้อย่างมีเจตนา แต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด....เอวัง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:21:25 )

580602

รายละเอียด

580602_พ่อครูเทศน์งานศพคุณวัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์

พ่อครูว่า วันนี้วันอังคารที่ 2 มิ.ย. 2558 เป็นวันรองสุดท้ายของงานศพ วัชราภรณ์ สุขสวัสดิ์ 

วัชราภรณ์นี่ แต่เดิมที่อาตมารู้จักตั้งแต่เขาอายุตั้งแต่ 16 หรือ 17 ปี ตอนสุดท้ายที่เสียนี่อายุ 65 ปี เขาไปร้องเพลงกับอาตมา อาตมาทำงานกับโทรทัศน์ เขาก็ไปประกวดร้องเพลง เขาชอบร้อง อาตมาก็ช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ อาตมาเป็นผู้จัดการอยู่ อาตมาก็ถนัดทางนี้ ทำเพลง ทำรายการ ก็ตั้งแต่นั้นมา เขาทำงานเลี้ยงชีพทางนี้ตลอดชีวิต แม้อาตมามาบวชแล้วก็ให้เขามาร้องเพลง เยอะพอสมควร ก็ทำเป็นแผ่นอัลบัมไว้ ตอนเขาป่วย ตั้งชื่อไว้ว่า แพรแก้ว 2 แผ่น ก็วางตลาด แต่ของเขาเขาว่าจะเก็บเอาไว้งานศพ เขาบอกไว้แต่ต้นเลย 

เขาเป็นคนขี้เล่นสนุกสนาน ป่วยเป็นไตวายมา 17 ปี นานทรมานทรกรรมมาก ป่วยเป็นโรคไตนี่เขาเรียกว่า โรคกินเงิน ถ้าเงินไม่หมดไม่ตาย ถ้าเงินหมดตาย แต่ก็ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก พวกเรามีสมณะท่านถนอมคูณก็ล้างไตเป็น 10 ปีแล้วท่านออกกำลังกาย แข็งแรงอยู่ เขาเรียกว่าโรคกินเงิน แม้จะเปลี่ยนไตก็ช่วยได้ระยะหนึ่ง ถ้ามันไม่ยอมรับ โครโมโซมของมันละเอียด มันยอมรับได้ระดับหนึ่งแต่ไม่เต็มที่หรอก มันยาก เรื่องโครโมโซมของคนกับคน ถ้ายีนไม่ตรงกันก็อยู่ยาก ยีนต้องมาจากเชื้อสายเดียวกัน ถ้าคนละสายแม้ใกล้เคียงก็ตาม ก็ต่อต้านกัน

เป็นเรื่องของวิบากเก่ากับใหม่ คนเรามีพฤติกรรมชีวิตแล้วแต่ แล้วไปกระทบต่อตับ มีผลต่อตับ ทำให้ตับมันเสื่อม มันสู้ไม่ไหวก็เสื่อม ก็จะเป็นทั้งกรรมปัจจุบันเราไปหาเรื่องทำให้ตับเราเสื่อมเองก็ได้ วิบากกำหนดชีวิตมนุษย์ ถ้าชีวิตปัจจุบันเราไม่ได้หาเรื่องก็น่าสงสาร แต่ถ้าใครก็ตามไม่รู้จักชีวิต จะกินอยู่ก็รับอะไรมาเข้าร่างกายเรา ทั้งสัมผัส กายใจ ทั้งกลืนกิน แล้วไปรับสังเคราะห์เป็นชีวิต หากสิ่งไม่ดีก็พาเสื่อมไปเรื่อยๆ จึงต้องเรียนรู้ระมัดระวังให้ถูกต้อง อาตมาก็ไม่รู้ได้ที่เขาวัดกัน ที่จริงเขาชื่อว่า สุวัฒณา อาตมาเคยเปลี่ยนชื่อให้ว่าวัฒณา แต่เขามาหากินเขาเปลี่ยนชื่อเป็นวัชราภรณ์ 

เรื่องของศิลปะร้องเพลงนี่ที่จริงอาตมาก็มีความรู้ทางนี้ รู้โดยไม่ใช่พรแสวง เรื่องของการแสดง พระพุทธเจ้าสอนว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ถ้าการประกอบเพลง ดนตรี วรรณกรรม สถาปัตยกรรม อะไรก็แล้วแต่ หากไม่เข้าใจความเป็นศิลปะ สร้างมาแล้ว พระพุทธเจ้าว่าเป็นข้าศึกแก่กุศล ที่ไม่ควรเกี่ยวข้องสัมผัส ไม่ควรไปเสพ งานนั้นเป็นข้าศึกแก่กุศล เป็น วิสูกทัสสนา แต่ถ้าเป็นศิลปะ มีสัดส่วนที่เป็นได้มีองค์ประกอบที่ใครสัมผัสแล้วก่อนให้เกิดการเจริญในการลดละกิเลส เพื่อละหน่ายคลายสิ่งนั้นเป็นศิลปะ แต่ถ้าสิ่งใดคนสัมผัสแล้วเกิดเสริมราคะ โทสะ โมหะ งานนั้นเป็นข้าศึกแก่กุศล ให้ติดยึดรส หรือติดสนุกสนาน ไม่ว่าติดรสทางโทสะ เชิงบู๊ หรือว่าเชิงรัก หนังรัก จนผูกพันติดยึดในรสรักใคร่ ติดยึดลีลาอย่างนั้นอย่างนี้ สั่งสมเป็นกิเลส

คนประกอบงานศิลป์ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนี้งานที่ทำออกมาส่วนใหญ่จึงกลายเป็นงานเพิ่มกิเลสสั่งสม ราคะ โทสะ โมหะ หนังรักส่งเสริมราคะ หนังบู๊ส่งเสริมโทสะ งานจึงกลายเป็นงานมอมเมา อาตมาก็ขออภัยที่ต้องกล่าวว่าทั้งโลกไม่เข้าใจเรื่องนี้ 

อาตมาเคยคุยกับถวัลย์ ดัชนี เขาเรียนจบ ป.เอก โดยไม่ใช่กิติมาศักดิ์นะ แต่เขาไม่ค่อยแสดงตัวว่าจบป.เอกนะ อาตมาก็ถามว่าเรียนป.เอกต้องเรียนถึงขนาดไหน เขาก็ว่า ต้องจบถึงอภิธรรม เขาเรียนจบจาก เนเธอแลนด์นะ สถาบันศิลปะทางเมืองนอกก็ยังเข้าใจถึงอภิธรรม แต่อภิธรรมตามความหมายเขาไม่เหมือนของพุทธ 

อภิธรรมคือลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ แต่ละศาสนาก็ให้เจริญในทางธรรม งานศิลปะ หากใครสัมผัสแล้วไม่ว่าจะเป็นศิลปกรรม ปฏิมากรรม จิตรกรรม วรรณกรรม นาฏกรรมและดนตรีการ เดี๋ยวนี้เป็นศิลปะเนื้องอก เป็นการศิลปโฆษณา ศิลปะพาณิชย์ไปแล้ว เป็นศิลปะเหนือจริง ประหลาดมากมายก่ายกอง แต่อาตมาเรียนมา pure arts มีห้าแขนงเท่านี้นอกนั้นเป็นศิลปะเนื้องอกบานปลาย แม้แต่ 5 แขนงก็เป็นข้าศึกแก่กุศลได้ไม่เป็นมงคลอันอุดม 

อาตมามาบวชแล้วก็เลยเข้าใจเรื่องนี้เยอะขึ้น สมัยก่อนแต่งเพลงรักแต่ไม่เลวร้ายอย่างเขาทำ อาตมามีเกณฑ์แบ่งเพลงออกเป็น 5 ระดับ
1.ระดับลามก
2.ระดับราคะ
3.ระดับสาระ
4.ระดับธรรมะ
5.ระดับโลกุตระ

ถ้าระดับลามกนี่เขาว่าผิดกฎหมายนะ แต่บางประเทศมีเกณฑ์ที่ต่ำกว่าประเทศไทยมาก แล้วแต่แต่ละชาติ ข้อที่1 กับ2 นี่ถือว่าแย่ ถ้าลามกนี่คนรู้กันทั่ว ละคนลามก หนังลก เพลงลามก รูปเขียนลามก ก็รู้ได้ง่าย แต่ก็ซ่อนซ้อนนะ อาตมามีเกณฑ์ว่า ถ้างานของใคร จะชี้บ่งว่าเป็นข้าศึกแก่กุศลหรือเป็นศิลปะ ถ้างานใดคนสัมผัสแล้วรสราคะโทสะ หรือโมหะ  ก็เป็นมงคล แต่ถ้าสัมผัสแล้วเพ่ิมราคะ โทสะ หรือโมหะก็ไม่ใช่มงคล

ถ้ามีสุนทรียะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ชี้ชวน เติมนิดหน่อยแต่ไม่มอมเมาจัดจ้าน อย่างใช้ผงชูรสเข้าไป อย่างนั้นลามก แล้ว หรือลดกว่าลามกก็เป็นราคะ ซึ่งคนติดยึดโลกีย์มีอยู่ ก็ต้องช่วยเขาบ้าง แต่ต้องมีเนื้อหาสาระของชีวิตที่เป็นปัจจัยสามัคคี คุณธรรม โดยเฉพาะเป็นปัจจัยให้ลดละกิเลส ถ้าสาระพวกนี้มีอยู่บ้าง ไม่มอมเมาด้วยกามคุณจนเกิดการ แม้แต่เสริมใส่ความเป็นอัตตาอันนี้ลึกซึ้ง ศิลปินส่วนใหญ่เสริมอัตตาตัวตนทั้งนั้น

ถ้าลามกก็รุนแรงมาก ถ้าราคะก็รุนแรงน้อยลง แต่ก็เสริมราคะโทสะ เกิดรัก/ชังมากขึ้น เช่นลีลาที่เขาดูการชกมวยหรือเตะฟุตบอลเป็นศิลปะ พวกนี้ยั่วยุให้ติดยึด ในการให้เกิดเอาชนะคะคาน โดยแฝงเทคนิควิธีการ ชกเขาอย่างไรให้เขาม่อยกระรอก มันทำร้ายเขานะ คือเรียกว่าหมดความรู้สึกสลบไปได้ก็ชนะ หรือใช้เทคนิคเตะให้เข้าโกล โดยกระทบกระแทกน้อยสุด สุดท้ายก็ทนไม่ได้ต้องกระทบ แจกใบเหลืองใบแดงกันตะพึดตะพือ ทั้งนั้นใช้กลเม็ดกัน อย่างฟุตบอลนี่มันถึงตัว เตะโดนคางตายคาสนามเลยก็ได้ หรือเกมส์อื่นๆด้วย แต่ขึ้นหน้ามากคือมวยกับฟุตบอลนี่ทั่วโลก อย่างอื่นก็ไม่มากเท่า

ถ้าไม่เข้าใจในความหมายของการประกอบ เทคนิค วิธีการที่จัดองค์ประกอบการกระทำกิจนั้น ๆ ถ้าไม่ประกอบด้วยสภาพที่ผสมส่วนแล้วไม่ทำให้เกิดยุแหย่ให้เกิดราคะโทสะโมหะ ที่ผู้ทำตั้งใจก็ถือว่าเป็นงานศิลปะ แต่ถ้าเลยสาระไปแล้วก็เป็นธรรมะ

ธรรมะเป็นสิ่งดีงาม ศาสนาไหนก็เป็นไปเพื่อสิ่งดีงามแม้แต่เทศน์เป็นเทศน์ราคะได้ ให้ลามกก็ได้ ให้เป็นราคะก็ได้ เทศน์เป็นธรรมะก็ได้ เทศน์ให้เกิดลามกคือมอมเมาให้กิเลสมาก การสวดมอมเมา คำที่สวดโหยหวน ได้แต่รสของโหยหวนโอดโอยทำสุ้มเสียง กลายเป็นให้ติดในเสียงนั้นก็คือลามกแล้ว ติดจัดก็ลามก ติดรองลงมาก็ราคะ แม้แต่สวดก็ไม่มีธรรมะ กลายเป็นลามก ราคะ ติดดันไปหมด สวดงานใดก็ให้มีเสียงร้อง สวดหาเงิน เป็นพระเพณี สวดผะเหวด เอากัณฑ์นั้นกัณฑ์นี้มาสวด มีแทคติกในการหาเงินหาทอง อย่างนี้ไม่ใช่ศิลปะ ไม่ใช่ธรรมะ เป็นงานลามก ราคะแท้ๆ ให้เกิดกิเลสเต็มที่

คนที่หลงใหลรสชาติกิเลสก็ติดกัณฑ์เทศน์เหมือนติดนักร้องมีแฟนานุแฟน ส่ิงเหล่านี้คืออวิชชาไม่รู้แล้วทำทำให้ศาสนาเสื่อม 

เพราะฉะนั้นไมเคิลแจคสัน พุ่งเป้าก็ลามกชัดๆ พวกเรามีวัฒนธรรมก็รู้สึกทันที มันลามกไม่ใช่ศิลปะ กลเม็ดทำให้คนติดใจลีลาท่าทาง เปลือกๆผิวๆ สุ้มเสียงสำเนียง คีตะ วาทิตะ ให้ซาบซึ้งก่อเกิดผูกพันราคะ โทสะ ติดยึด มอมเมาให้เพิ่มกิเลสหนักหน้ามีแต่เติมราคะโทสะ โมหะ กันเต็มโลก ไม่ว่าหนังเรื่องใด

อย่างหนังเรื่องไตตานิค โกยเงิน ใช้กลเม็ดเด็ดพราย อาตมาเห็นว่าคนเราหนักหน้าก็เลย เขียนหนังสือมาเล่มหนึ่ง ก็วิจัยว่าหนังเรื่องนี้ทำเงินเพราะปรุงแต่งครบด้วย ราคะ โทสะ โมหะ กันในนั้นหมด ได้เงินได้ทอง

ใครทำซ่อนเชิงราคะโทสะโมหะ ให้เนียนเท่าใดก็ได้เงินมากเท่านั้นแต่ถ้าหยาบเกินมันไม่ผ่านเซ็นเซอร์ผิดกฎหมาย วัฒนธรรม ก็ไม่ทำ 

ความไม่รู้เรื่องนี้จึงเป็นศิลปลอมไม่ใช่ศิลปะ เรียกกันว่า abstract art คนไม่รู้ แล้วหลอกว่าเป็นอภิธรรมชั้นสูงต้องใช้จินตนาการ จิตวิญญาณ ความคิด ก็เลยหลอกกันเต็มไปหมด แม้แต่ในวงการศาสนาก็สร้างวิมานให้คนติด คนหลงรักก็สร้างวิมานรัก คนหลงรวยก็สร้างวิมานรวย หลงวิมานสุข หนักหนาสาหัสไม่มีของจริงมีแต่ลมๆแล้งๆ คนไม่รู้ก็หลงใหล คนฉลาดหาเรื่องหลอกคนก็ชอบ ติดยึดทั้งนั้น ติดยึดอิทธิฤทธิ์ก็ตามหรือติดยึดเชื่อว่ามีวิมานแล้วจะได้สมโลกธรรม  ฟรุ้งฟริ้งมาก อย่างสายธรรมกาย สร้างออกแบบ ยิ่งโทรทัศน์มียิ่งแย่ ทางด้านที่ไม่รู้เรื่องไม่มีรูปธรรมก็ฝันอย่างมืดๆ คือสายนั่งหลับตา ปั้นรูปภพ อรูปภพไป ไม่รู้ว่าคืออะไรก็ปั้นกันไป หลงว่ามีเป็นอำนาจวิเศษที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่แต่ก็ปั้นกันไป สารพัด จนหลงว่ามีอำนาจวิเศษในการช่วยให้รวยให้แคล้วคลาด

อาตมาเคยอธิบาย ว่าคนเราจะรวยก็อยู่ที่กรรมของเขา เขาทำให้สัดส่วนดี ทั้งวิบากเก่าและใหม่ก็รวยได้ไม่ใช่เกิดจากอำนาจอื่น เช่นไปบนบานศาลกล่าว จะมาแก้บนสัญญาไว้สารพัด เขาลือกันว่าขลังก็ไปบนบาน พอไปได้ดังที่ต้องการมากบ้างน้อยบ้างก็ว่าขลังก็มาแก้บน ที่ศาลนั้นเจ้านั้นหรือพระรูปนั้นยืนยันความขลัง ใครมาพบก็จะเห็นว่าพบคนที่มาแก้บน ก็เป็นคนได้ผลสำเร็จทุกคน สมมุติว่าเขามาบนไว้ 1000 คนก็ต้องสำเร็จสัก 100 คนก็ได้ แล้วก็มาแก้บน ใครมาไม่ว่าเก่าหรือใหม่ก็มาเจอคนแก้บน ก็เลยคิดว่าขลัง แต่คนที่ไม่ได้สำเร็จก็ไม่มาแก้บน ต่อให้มีมากเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ส่วนคนที่ถูกมาแก้บนก็เจอ พระรูปไหนก็ขลัง ศาลไหนก็ขลัง ความจริงมันไม่ใช่

อาตมาเคยบอกว่าถ้าขลังสำเร็จได้ดังประสงค์ ต่อให้ยิงไม่เข้าฟันไม่ออก ถ้าจริง อาจารย์ไหนไปเชิญมา ไปเอาไปให้นายกฯตู่ นี่แก้ปัญหาประเทศได้เลย อ.นี้ขลังทางรวย อ.นี้ขลังทางอยู่ยงคงกระพัน ก็สร้างสถาบันให้เลย ทำให้ทหารทุกคน ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก  ไปรบก็ไม่ต้องถือปืนเลย ไปเดินไปให้เขายิงฟันเลย มันฟันไม่เขาก็หนีไปแล้ว ยิงไม่ออกก็วิ่งหนีแล้ว เราก็เดินไปจิ้มลูกกะตาเลยไม่ต้องใช้อาวุธ หากขลังจริง แล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็เอาอ.เก่งๆมาใครอยากรวยก็มาเลย สร้างสถาบันใหญ่แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอเลยก็แก้ปัญหาได้สำเร็จสิ

อาตมาเล่านิทานให้ทานแสนดินฟัง ว่ารถยนต์ชนเปรี้ยง คนกระดอนจากรถ รถพังเลย ใครก็ว่าตายหมด แต่ว่ามีสองคนที่กระเด็นจากรถ มา คนไปช่วยก็ว่าเคล็ดยอกนิดหน่อยเอง ดูพระ หลวงพ่อคูณ ก็ว่าขลัง อีกคนหลวงพ่อทวด เขาไปกันสามคน สองคนมีหลวงพ่อคู​ณหลวงพ่อทวดก็ว่าขลัง แต่อีกคนตายคารถเลยก็ไปเอามา คนนี้ดูคอสิ ปรากฏว่าในคอมีทั้งหลวงพ่อคูณหลวงพ่อทวด เลย อยู่ในนั้น คนนี้มีหลายองค์เกินท่านก็เลยว่าคงทะเลาะกัน สาธุ เป็นพระอะไรจะมาทะเลาะกัน 

สรุปแล้วมันเกิดจากจังหวะเหมาะมันรอดออกมา ไอ้ที่ไม่รอดก็เหมาะแต่ไม่รอด ได้จังหวะเหมาะแต่ไม่รอด บางคนน่าตายแต่ไม่ตาย ถ้าเข้าใจสัจจะนะ ขนาดหลวงพ่อคูณเคยพูด ข้าไม่ได้ขลังอะไร ถ้านั่งรถไป เอ็งขับ 120 หรือ 200 กูก็กระโดดลงแล้ว กูไม่ไปด้วย นี่คือยึดติดอุปาทานกันไป

ความเข้าใจของสังคมทุกวันนี้เข้าใจสัจธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว กลายเป็นเรื่องเหลวใหล นอกรีตนอกทาง  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเกวัฏฏสูตร ท่านตรัสว่าปาฏิหาริย์มี 3 อย่าง 
     ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ 
    1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี เหาะเหินเดินน้ำ ดำดินเป็นต้น) 
    2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา) 
    3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา) 
พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์   
(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341) 

คำว่าอัฏฏิยามิ หรายามิ ชิคุจฉามิ คือ เป็นคำว่าคำเปรียบแรงๆ แต่ท่านส่งเสริมปาฏิหาริ์คือคำสอนที่ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา 

เช่นศีลข้อ 1 กายกรรมไม่ฆ่า วจีกรรมไม่ฆ่า มีแต่บอกให้เลิกฆ่า ใจก็มีแต่เมตตาไม่รุนแรง ตนเองไม่ฆ่าเอง ไม่เกี่ยวเนื่องกับการฆ่าทั้งนอกและในทำได้จริงๆ อย่างนี้คือปาฏิหาริย์ไม่ว่าจะวัดใด หากทำให้มีเมตตาได้จริง ตนเองต้องทำให้สำเร็จก่อน ตนต้องเมตตา ไม่รุนแรงต่อสัตว์แม้แต่การกินเนื้อสัตว์ก็งดเว้น ไม่ใช่เลี่ยงไปว่า คนเขาเอามาถวายก็กิน ก็ต้องบอกเขาว่าไม่ดี คนไปซื้อถือว่าไปจ้างเขาโดยตรงหรืออ้อมก็ตาม ก็คุณเป็นคนกำหนด คน 1 คนกินเนื้อเท่านี้ 5 คนก็ไปซื้อมากขึ้น ก็เป็นการกำหนดการฆ่า สมมุติว่า เขาฆ่าหมู 5 ตัวให้คน พันคนกิน แต่ว่าต่อมา ฆ่าหมูให้คนกินลดลงเป็น ห้าร้อยคน หมูก็เหลือ แล้ว 500​คนที่กำหนดให้เขาฆ่าหรือไม่ฆ่าได้ คนกินนี่เป็นตัวกำหนดผู้ฆ่า

การฆ่าสัตว์นี่มีนัยสองประการ
อันแรกคือฆ่าสัตว์ให้ครบองค์5 ปานาติบาติ คือสัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า ลงมือพยายามฆ่า สัตว์ตายลง ก็บาปเต็มรูปเลย

ส่วนอีกสูตรหนึ่งไปบอกว่าเอาสัตว์นั้นไปฆ่ามากิน 
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

เดี๋ยวนี้เลี่ยงบาลีกันเยอะ นี่ก็เทศน์ในวัด แต่มันเป็นสัจจะต้องพูด ก็ขอพูดสัจจะ อาตมาพูดไปนี่อาตมาไม่ได้เสียหายหรอก แต่ผู้ที่ไปร่วมวงจรบาปนี้ พระพุทธเจ้าว่าครบองค์ 5 ก็บาปแล้ว 

ในศีล 5 ข้อ1 ถ้าผู้ใดไม่ฆ่าสัตว์ไม่อยู่ในวงจรให้สัตว์ตายก็หลุดพ้นจากสายของวิบากบาปไปได้เลย รักษาศีลต้องให้เกิดการหลุดพ้น นัยเดียวกับศีลข้อ 2 ก็ไม่อยู่ในวงจรคนทุจริตที่ไปร่วมกันโกง คุณอยู่ในบริษัทเดียวกับเขาก็รับส่วนแบ่งไม่รอดหรอก ถ้าศึกษาศีลแต่ละข้อศึกษาให้ดี อย่าเกี่ยวกับอกุศลก็หลุดพ้นตามคำสอนอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าปลุกเสกเครื่องราง ของขลังเก่งอย่างไร อยู่ในข่ายที่พระพุทธเจ้าบริภาษทั้งนั้น แต่ถ้าสอนให้คนไม่ติดในอบายได้อย่างนี้คืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์จนจิตหลุดพ้น เป็นฌานเป็นสมาธิ เป็นวิมุติ หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาทั้งปวงอย่างนี้คือปาฏิหาริย์

บุคคลใดกาย วาจา ใจ หลุดพ้นไม่ทำผิดศีล คนนั้นคืออาริยะ เป็นได้ทั้งหมู่บ้าน อำเภอ ตำบล จังหวัดอาริยะ แต่ถ้าหลุดพ้นแค่กาย วาจา แต่ใจอยากได้ถ้าอยากแล้วไม่โกงก็ธรรมดา แต่ถ้าอยากได้แล้วทุจริตด้วย หาวิธีโกงจนสำเร็จก็ได้บาปสำเร็จ แต่ถ้าอยากแล้วแต่หาด้วยสุจริตไม่บาปทีเดียว แต่อัตตาของคุณโต ตัวตนกิเลสไง ได้สมใจถามว่ากิเลสอ้วนหรือผอม...อ้วน

แล้วกิเลสอ้วนขึ้นนี้ชีวิตเจริญหรือไม่​? นี่คือปุถุชน แปลว่าอ้วนใหญ่ โต มาก หลากหลาย คำว่าปุถุนี่ จึงเรียกว่าปุถุชนผู้อวิชชา แม้จะไม่ทุจริต ไม่โกง ถ้าโกงก็ยิ่งหยาบ แต่นี่ไม่โกง ทำสุจริตแต่บำเรอตัณหาคือปุถุชน 

ต้องศึกษาจิต อ่านจิตให้เป็น

ผู้ใดสามารถอ่านอาการจิตได้ ภาษาไทยคำว่าอาการ แม้อาตมาเอาไปอธิบายวิทยาศาสตร์ก็คือกิริยาของรูป/นาม ของสสาร/พลังงาน ถึงนิวเคลียร์นิวเคลียสก็มีอาการเคลื่อนไหวอันนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส พระไตรฯล.10 ข้อ 60 รู้รูปนามได้ด้วย 

อากาคือการเคลื่อนไหว ไม่ว่าของชีวะหรือสสาร/พลังงาน คนเรียนรู้อาการได้คือมีปัญญาญาณ แต่ทางวิทยาศาสตร์เขาก็เรียนรู้อาการในชีวิต ร่างกาย เรียนรู้ถึง ยีสน์ ดีเอ็นเอ โครโมโซม แยกเพศหญิงชายได้แต่เขาไม่รู้ที่สุดแห่งที่สุดของอาการ

โครโมโซมเป็นที่อยู่ของ ยีนส์ ดีเอ็นเอ พอลึกถึง DNA นี่เท่ากับ Atom เป็นสารสด เป็นอุปจยะ เป็นการเกิด ไม่ใช่สารแห้งที่เป็นชรตาที่เสื่อมไปหาสูญ ของพระพุทธเจ้าจับได้ถึงจุดกลางของการเกิดดับ มีจุดต่อเรียกว่าสันตติ พระพุทธเจ้าสอนให้อ่านอาการจนคุมการเกิด/ดับได้

อ่านการเคลื่อนไหวของชีวะ รู้อกุศลจิต ถ้ามีแนวโน้ม อันตา มาทางอุปจยะ ถ้าไม่ให้เกิดก็ไม่ต่อมันจะเสื่อมมาอันตาทางเสื่อม คุณก็ไม่อยากให้เสื่อมสูญ เช่นอรหันต์ท่านไม่อยากเกิดก็ปล่อยแต่ถ้าให้เกิดก็ต่อได้ ท่านกำหนดสันตติได้ ในพลังงานชีวะได้ ท่านจะไม่ให้เกิดอกุศลได้แล้วตลอดไป สุดท้ายท่านไม่ให้เกิดในกุศลเลยให้หมดสูญได้ การไม่ให้เกิดมันก็เสื่อมไปแล้ว 

ความรู้ของพระพุทธเจ้าอ่านได้แม้พลังงานในอะตอม คุณหยุดแรงงานมันก็เบาลง จนไม่ให้เกิดต่อมันก็เสื่อมลง ควบคุมพลังงานได้

พลังงานชีวะก็ได้ แม้พีชนิยามท่านก็คุมได้ พลังงานจิตนิยามท่านคุมไม่ให้เกิดอกุศลได้แน่นอน ถ้าเป็นอรหันต์ท่านจะให้เกิดอีกก็ให้เกิดแค่พีชะ เพราะอิเล็กตรอนไม่ออกไปข้างนอก ของฤาษีไม่ให้พลังงานจิตทำงานเลยกดข่มอันนี้ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าไม่กดข่มแต่เรียนรู้อกุศลไม่ให้อกุศลทำงานแล้วแปรมาเป็นกุศล นิวเคลียสของพระพุทธเจ้าจึงมีพลังงานสูง อะตอมนี่ถ้ากระแทกกระเทือนก็จะออกมาทำงาน ในนิวเคลียสมีโปรตอน นิวตรอน ซึ่งคุมได้อยู่แล้ว 

มันเป็น x กับ y ถ้า xx เป็นเพศหญิง แล้ว xy เป็นเพศชาย 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียนรู้วิทยาศาสตร์ทางจิต รู้จักอาการ แล้วจำสัญญาณได้ รหัสอย่างนี้ได้เรียกว่า นิมิต แล้วมันต่างกันอย่างไรเรียกว่า นิมิต มันต่างกันเท่าไหร่ก็อ่านค่าความต่าง ถ้าจับไม่ได้มันตีกินคุณหมดเลยสองหน่วยมันเป็นกุศลและอกุศล มันรวมหัวตีกินว่าเป็นกุศลหมด เราต้องแยกแยะให้ออก นี่เดาไม่ได้หรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าเดาไม่ได้หากไม่มีสภาวะจริงเดาเละเลยดำน้ำไม่โผล่ 

วิทยาศาสตร์ทางโลกเขาเข้าใจไม่ได้ขนาดนี้ที่จะระงับจัดการถึงพลังงานจิต จัดการจิตอกุศลไม่ให้เกิดอีก ทำได้ถึงอาการนี้ไม่เกิดในจิตได้นิรันดรเลย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นมุจเฉทปหาน ทำได้ปฏิปัสสัทธิปหาน นิสรณปหาน 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าทำให้ชีวิตคนเปลี่ยน ซึ่งเกิดจากพลังงานทางจิต ซึ่งเหนือว่าพลังงานสสาร เพราะเข้าถึง DNA ยีนส์ จีโนม ไปถึงไอโซโทป ถ้าเกิดการกระทบเกิดพลังงาน เป็นเพศชาย/หญิง ทางโลกเขาพอรู้ แม้แต่จับได้ เอามาใช้ได้บ้าง อย่างสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ก็ควบคุมพลังงานปรมาณู​แล้วเอาที่จะใช้ได้อามาใช้แต่เขากำจัดไม่ได้นะ แต่ของพระพุทธเจ้านี่ทำได้ แล้วจะแตกตัวหรือรวมตัว เป็นนิวเคลียร์ ฟิชชั่นที่สลายไปเรื่อย เขาก็รู้นะว่าหายไปเรื่อยๆ เขาก็เลยได้พลังงานนิวเคลียร์ได้ครึ่งหนึ่ง แต่เขาไม่สามารถจับมาใช้ได้หมด เขาทำลายไม่ได้ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้ารู้ว่าพลังงานเหล่านี้ ถ้าคนไม่ทำให้แรงถึงก็จะไม่เกิดกัมมันตรังสีเป็นพิษได้ ท่านก็คุมในความเบา ท่านจะสร้างรูปธรรมอะไรก็จบที่ ลหุตา มุทุกัมมัญญา ให้ใช้พลังงานเท่านี้ไม่เกิดกัมมันตรังสีเป็นพิษ​แต่เราจะเรียกว่า กัมมันตภาพรังสีนี้ มีรังสีพลังงานออกไปอย่างของพระพุทธเจ้าเรียกว่าฉัพพรรณรังสี แต่อาตมานี่เป็นรังสีที่ดูไม่ออกหรอก เป็นพลังงานสุดยอด วิทยาศาสตร์ก็อธิบายได้ ธรรมะก็อธิบายได้ 

เป็นผู้ควบคุมกัมมันตะได้ สุกฏทุกตานังกัมมานัง ผลังวิปาโก คุณจะให้เกิดวิบากสุขหรือทุกข์ ก็คุมได้ ทำไม่เกิดทุจริต ทำแต่ดีตลอดกาล ที่พูดนี้ต้องมีสภาวะนะ

การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้เกิดอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตอนนี้ก็อบอุ่นใจที่ผู้ดูแลพุทธศาสนาชักชวนกันมาให้ถือศีล 5​ แม้จะไม่ถึงปรมัตถ์ เกิดดับกิเลสได้ ไม่ใช่แค่ถือศีลได้แค่กาย วาจา แต่ถือศีลแล้วรู้ต่อเนื่องถึงจิต เช่นข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์เราก็อ่านใจเราด้วย เมื่อสัมผัสกับสัตว์เรารู้ว่าเขาก็ชีวิตเราก็ชีวิตเราก็ไม่เป็นเหตุทั้งตรงและอ้อมให้เกิดการลำบากหรือฆ่ากันตาย กินกัน นอกจากไม่กิน จิตก็ไม่มีกิเลสรัก/ชัง เป็นอุเบกขา

เราก็เข้าใจสัตว์คือสัตว์เขาก็มีวิบากของเขาเราก็มีวิบากของเรา คนด้วยกันก็มีการใช้วิบากกันมากมายแล้วเกิดเป็นผัวเมีย พ่อแม่ ก็เป็นวิบากทั้งกุศล/อกุศลที่ต้องชดใช้ทั้งสิ้น แต่ละคนรับผิดชอบของตนเอง ก็ให้ตัดวงจรที่ต้องไปรัก/ชัง โดยเฉพาะตัดกับคนก่อน ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เลย พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้เลี้ยงสัตว์ สัตว์บางตัวกลายเป็นคู่กรรมคู่เวร ดึงคุณเป็นเดรัจฉานไปด้วย 

อาตมาเห็นรางๆไรๆว่า โลกต้องการสิ่งสูงสุดที่ควบคุมพลังงาน พลังงานสูงสุดที่ไอสไตน์ค้นพบคือ E=mc2 แต่อาตมารู้ E=mc2+A อาตมาเทศน์มานานแล้ว ที่มช.ตอนนั้นตั้งชื่อหัวข้อเทศน์ว่า แพทย์คือเดรัจฉานวิชชา มีพวกแพทย์หรือวิศวะมากันเต็มห้องเลย อาตมาก็เทศน์สูตรนี้แหละ  E=mc2+A 

ตัว A คำนี้คือ abstract เป็นนามธรรม มาถึงวันนี้อาตมาเทศน์มา 45 ปีก็เพ่ิงเทศน์เรื่องนี้ ประยุกต์ภาษาวิทยาศาสตร์กับนามธรรม ตอนนี้กำลังอธิบายถึงโครโมโซม 

ตอนนี้โลกกำลังต้องการรู้ต้นเหตุแห่งความไม่สันติภาพ ก็คือคนนี่แหละที่ทำให้เกิดหรือไม่เกิดได้ ไม่ใช่อยู่ที่ปรมาณูลูกระเบิด ถ้าคนควบคุมตนเองได้ ก็จะก่อความสงบสันติภาพอย่างถาวรเจริญยืนนานเสถียรด้วย ทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้แหละยุคนี้อธิบายธรรมประยุกต์วิทยาศาสตร์จะรู้ได้ดี 

ตอนนี้พูดกันถึง เรื่องนิวเคลียร์ฟิชชั่น ฟิวชั่นนะ ซึ่งอาตมาพูดนี่ก็เพราะทำได้นะ ที่กำลังอธิบายก็อธิบาย  E=mc2+A    แล้ว  c ก็คือนาม,  m ก็คือรูป แล้วรูป/นามก็สลับกันไปมาได้ อาตมาอธิบาย xx คือชาย xy คือหญิง คุณก็สะดุด แล้วก็มาถกกับอาตมาก็ดีแล้วแต่ที่จริงมันสลับกันได้ จริงๆแล้ว xx นี่ก็เป็นหน่วยหนึ่ง xy ก็คืออีกหน่วยหนึ่ง แล้ว x นี่เป็นสภาพของจุด สี่ จุด คนไม่รู้ตัวที่ 5 อยู่ตรงกลาง พอคุมตัวที่ 5 ได้ ก็คุมทั้ง 4 จุดได้ สามารถเอาสองจุดนี้มารวมกันได้ เป็น y ซึ่ง y คือโยนี คือที่เกิด ไม่ได้พูดลามกนะพูดสัจจะ ก็กลายเป็น ห้าจุด แล้วใช้ได้ทั้งหมดห้าจุด แต่ฝ่ายหญิงนี่ x ใช้ได้แค่ สี่จุด ไม่สามารถใช้นิวตรอนที่อยู่กลางได้แต่อรหันต์นี่ใช้นิวตรอนได้คุมตรงกลางได้... พระมาแล้วจะสวดอภิธรรมศพก็จบแค่นี้ โปรดติดตามฉบับหน้า....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:23:29 )

580603

รายละเอียด

580603_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 3

พ่อครู ว่า...วันนี้วันพุธที่ 3 มิ.ย. 58 แรม 2 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม ปีนี้ อาตมาเกิดวันที่ 5 มิ.ย. เดือน 7 อีก 2 วันก็ครบรอบเต็ม 81 ขึ้น 82 เดือน 7 ตรงกัน แต่อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ วันนี้รายการก็ปกติที่อาตมาจะเอามหาจัตตารีสกสูตรมาสอนต่อ  เป็นสูตรที่สำคัญอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีสูตรนี้แล้วไม่มีศาสนาพุทธ หรือว่าสูตรอื่นที่มีเนื้อหาอย่างนี้นะ แต่สูตรนี้มีเนื้อหาเต็มกว่า เป็นสูตรของสัมมาสมาธิของพระอาริยะ

 

ท่านประกาศศาสนาหรือลัทธิของพระองค์ ในยุคนั้นเขาก็มีสมาธิกันดาษดื่นเต็มไปหมด เป็นแนวนั่งหลับตาสะกดจิตทั้งนั้น ขอบอกไว้ก่อนว่าการนั่งหลับตาเข้าภวังค์ ศาสนาพุทธก็รู้ก็เข้าใจ ก็ปฏิบัติ ไม่ใช่ว่าเราไม่นั่งสมาธิ เพราะนั่งสมาธิ เป็นอุปการะมาก แต่ไม่ใช่ทางเอก อาการจิตแม้แต่เกิดในภวังค์ก็ต้องหัดอ่าน ซึ่งอ่านง่าย หรือเกิดโลภ โกรธ หลง สบายใจไม่สบายใจก็ตาม อ่านอาการได้ คำว่า อาการ คำนี้ ถ้าผู้ใดศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่รู้จักอ่านสภาวะของอาการ โดยเฉพาะอาการทางจิต ถ้าไม่เรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตามมหานิทานสูตร ล.10 ข.60 ที่ท่านตรัสถึงธรรมะสองอย่าง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ใครจำสูตรนี้ได้จำเลย เพราะเป็นสูตรสำคัญ

 

อาตมาจะพารู้ความแตกของพลัง ของนิวเคลียร์ฟิชชั่นและฟิวชั่นก็คือพลังงานสอง แล้วใครที่เรียนรู้ธรรมะสองนี้ พลังงานสองนี้ จิตวิญญาณก็เป็นพลังงาน มีอาการของพลังงานที่เรารู้ได้ด้วยปัญญาญาณ อ่านเห็นอาการนั้นออกเลย อาการ ลิงค(ความต่าง) อ่านออกเลยเรียกว่า เพศ หรือลิงค

 

ประเทศฝรั่งเศสเขาแยกเพศกันหลายอย่าง เช่นมีดกับส้อมก็คนละเพศ ซึ่งอาการทางชีวะยิ่งชัดกว่าทางวัตถุ

 

พระพุทธเจ้าสอนเรียนรู้อิตถีลิงค์ ปุงลิงค์ จนทำให้เป็นนปุงสกลิงค์ได้ คือธรรมะสอง  เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ก็ทำให้สองสภาพนี้เป็นหนึ่ง ต้องเรียนรู้อาการต่างๆของเวทนา ทั้ง 108 อ่านของจริงเลย นั่นแหละคุณรู้จักพลังงาน ของอาการ คือชีวิตินทรีย์ คำว่าอินทรีย์คือแรงพลังงาน ถ้าอ่านอันนี้ไม่ออกคือไม่ใช่ของจริง ใครอ่านอันนี้ออกก็คือมีญาณทัสสนวิเศษ คือตาทิพย์ที่จะได้บรรลุธรรม เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต

 

วิทยาศาสตร์ทางโลกเขาก็เรียนเหมือนกัน อ่านเข้าไปในยีนส์ จีโนม โครโมโซมจะแยกเพศได้ สามารถเปลี่ยนเพศได้เรียกว่า ภวันติ วิธีเปลี่ยนจากเพศหญิงเป็นเพศชายได้ ธรรมดาโลกีย์ทำเพศชายให้เป็นเพศหญิง  เขาศึกษาโครโมโซม แยกออกมาได้ 23 คู่ คู่สุดท้ายเป็นโครโมโซมเพศ

 

ถ้าอ่านเวทนาไม่ออกไม่สามารถรู้ชีวะ ไม่สามารถทำจิตนิยามให้มีคุณภาพสูงสุด สูงสุดแล้วของจิตนิยามสามารถทำตนให้เป็นพีชนิยามได้ ไม่ใช่ทำตนเป็นอุกาบาตไปเละเทะ

 

มาเข้ามหาจัตตารีสกสูตร

 

สมาธิคืออะไร สมาธิคือสามารถจับจิตเราให้เป็นระบบระเบียบ อ่านจิตเราได้ ที่มีเยอะแยะปรุงแต่งอยู่ ก็แยกเป็นสองอย่างใหญ่คือ ธาตุจิตรับรู้ กับธาตุกิเลส  ซึ่งธาตุจิตนี่มันฉลาดได้มากโลกีย์แต่โง่ที่จะรู้ความจริงคือไม่รู้กิเลส มันไม่รู้ว่า จิตเรามีอาการชั่วเป็นนายบังคับจิตเรา แล้วทำชั่วสั่งสมกิเลสใหญ่ เป็นปุถุชน อ้วนหนาใหญ่โตมาก ทวีขึ้น เป็นปุถุ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้ทำไปทีละกรอบไม่ตะกละทำให้หมดทีเดียว ก็ทำตั้งแต่ศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่ติดอบายมุข ก็ตีกรอบให้เราก่อนแค่นี้ เรื่องเพศก็มีแค่ผัวเดียวเมียเดียวก็เอาไว้ก่อน แต่ไม่โกหก ควบคุมกายกับวาจา โดยเฉพาะใจเป็นตัวกำหนด นอกจากสกัดได้ก็ไม่ออกเป็นกรรมกิริยากายกับวาจา ข้างในใจเราต้องระงับให้มันจางคลาย ดีกรีมัน 100 หน่วยก็ให้มันลดลงๆ ตีกรอบให้มัน มันแรงแค่นี้ เราทำให้มันลดลงเหลือ 80 หรือ 70 หรือ50 ได้ ที่มันต่างก็คือเพศ น้อยกับมากก็คือเพศ พลังงานที่ต่างคืออินทรีย์อ่านอาการให้เห็นจริงไม่งมงาย การทำสมาธิคือการรู้จักจิตรู้อาการจิต จิตสะอาดขึ้น คือเป็นของจริงในนามธรรม มันไม่มีเส้นแสงสีเสียงอะไร แต่มันเป็นนามธรรมอ่านได้ นี่เรากำลังโลภอยู่ก็อ่านได้ทันที เราอ่านขณะสัมผัสนี่ไม่ใช่ของเรานะ เป็นของเขา เราอยากได้ก็รู้เลยเรากำลังโลภ

 

วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าต้องทำมรรคมีองค์ 7 แล้วก็จะเกิดผลให้เราสั่งสมเป็นจิตบริสุทธิ์เป็นสัมมาสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิด แล้วทิฏฐิมี 10 พระพุทธเจ้าว่าต้องรู้ให้ได้แล้วทำให้เป็น ถ้าไม่รู้ทำไม่เป็นก็มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติ

 

ถ้าเผื่อว่ารู้เข้าใจสัมมา แต่ปฏิบัติเป็นมิจฉาก็ต้องรู้ว่าเราไม่ตรงก็ต้องดัด ทวนอีกที สัมมาทิฏฐิ 10

 

ทานแล้วมีผลเป็นสัมมาหรือมิจฉาต้องชัดเจน ทำศีลพรตได้ผลอย่างไร แล้วขยายมาเป็นการกระทำ

 

สัมมาทิฏฐิ 3 ข้อแรกคือ ทาน ศีล ภาวนา

 

ทานคือการสละออก ศีลคือข้อปฏิบัติ ที่ต้องปฏิบัติ แล้วอ่านทั้งนอกและใน อ่านอาการใจที่เกิดกิเลสจับอ่านอาการจริง กิเลสนี่มันกำลังทำตามใจโลภ ราคะ หรือโกรธ พยาบาท แก้แค้น ก็อ่านออกชัดเจนไม่งมงาย เป็นสัจจะเกิดจากกรรมกิริยาอยู่ ในการทำงานทำการเลี้ยงชีพก็เกิดกิเลสได้ มีกัมมันตะครบกาย วาจาใจครบก็อ่านแยกแยะกิเลสได้ กำลังพูดก็เกิดกิเลส กำลังปรุงแต่งจิตสังขารอยู่เป็นตัวต้นทางสำคัญคุณก็จับได้แยกแยะออก นี่คือการเรียนรู้ขณะปัจจุบันธรรม สัมผัสสิ่งเหล่านี้อยู่ แยกแยะวิตกวิจาร

 

ที่อาตมาพูดเป็นบัญญัติภาษา เข้าใจแล้วก็ปฏิบัติ ไม่รู้หมดก็รู้โครงสร้างไว้ โดยเฉพาะรู้ว่าอาการกิเลสเกิด เป็นราคะ โทสะ ขณะกำลังกระทบ ยิ่งมีพลังปัญญา ตามเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี ให้มันจางจนมันดับเลย นิโรธานุปัสสี หลัดๆเลย เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

 

ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไรเลยไม่ใช่ แต่นี่เห็นๆรู้ๆ ปฏิบัติแล้วเกิดกุศลหรืออกุศลก็ได้ของเราเลย ทำให้กิเลสลดกิเลสตายก็เป็นบุญคือชำระกิเลสได้ ทำอกุศลจิตตายดับด้วยพลังปัญญา ไม่ใช่กดข่ม  เป็นความดีถึงปรมัตถ์ เป็นบุญคือฆ่ากิเลสได้ ก็ต้องเป็นกุศลด้วย เป็นประโยชน์สองด้าน

 

ข้อ 5, 6 โลกนี้โลกหน้า อยังโลโก ปโรโลโก จากโลกสมุทัยมาเป็นโลกนิโรธ อยังโลโกคือโลกสามัญที่บำเรอกิเลสอ้วนเป็นปุถุชนตลอด แต่ตอนนี้มาทวนกระแสฆ่ากิเลสลดกิเลสได้ส่วนแห่งบุญ ลดโลกียะ มาเป็นโลกนิโรธเป็นโลเกน อัตถิตา จนไม่มี นโหติ ไม่มีโลกโลกีย์ แต่มีโลกโลกุตระ คนละโลกจึงเรียกว่าอยู่กันคนละโลกจริงๆเลย ไม่จำเป็นต้องง้องอนนาซ่า ไปเอาจรวดมันแพงชะมัด แต่นี่ออกนอกโลก ไปสู่โลกโลกุตระเลย

 

จะเปลี่ยนได้ต้องอ่านจิตออก จิตท่านเรียกว่า สัตว์โอปปาติกะ ซึ่งต้องรู้แม่รู้พ่อ เป็นมาตาปิตาก่อน เป็นแม่พ่อท่างโอปปาติกะทำให้เกิดโอปปาติกโยนิ เกิดทางจิตวิญญาณ การเกิดโดยไม่มีเหตุไม่มีพ่อ ไม่มีแม่เป็นไปไม่ได้ แล้วเราเองก็เป็นแม่ เราเองเป็นพ่อ เหตุปัจจัยจากเราเอง เรากำหนดศีลเป็นแม่ ตั้งข้อกำหนดให้มันดิ้นแค่นี้ แล้วมีปัญญาเป็นพ่อ ทำให้จิตวิญญาณเกิดอุบัติเทวะ จาก  เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ให้ลดค่าอกุศลจิตให้ตายไป จิตสะอาดก็เกิด จิตบริสุทธิ์ขึ้นเกิด การทำเช่นนี้คือ สจิตตปริโยทปนัง โดยรู้จักธรรมะสอง ที่มีต่างๆนานา แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ไล่ตั้งแต่พลังงานสสารหยาบ จนถึง โปรตอน นิวตรอนของนิวเคลียส ที่มีโปรตอน นิวตรอนเป็นคู่สุดท้ายที่คือธรรมะสอง พระพุทธเจ้าสอนให้ทำเพศให้เป็นเพศชายอย่างเดียวคือปุงลิงค์ นี่แหละเกินวิทยาศาสตร์แล้ว ให้เป็นเพศชายอย่างเดียวนี่นะ

 

ของพุทธศาสนา

 

จาก 1 เป็น 2 นี่คือสภาวะทุกอย่างมี1​เป็น2 ถ้าเป็นพีชะจะมีแค่ 1 กับ 2 อะไรก็ตาม ถ้ามีสองอย่างก็จะมีความต่างกันทั้งสิ้น ถ้ามี1 เดียวก็ไม่มีความต่าง พอเป็น 3 ถ้าเป็นแนวระนาบจะแคบๆไม่หมุน ถ้าจะหมุนก็หมุนในแนวระนาบ หากองศาไม่สมดุลเป็นสามเหลี่ยมหน้าจั่วสมบูรณ์แบบมันก็ไม่สมดุล อยู่ในระบบเป็นcyclic order ที่เป็นวงรีเหมือนดาวหาว แต่ถ้ามันเป็นวงกลมก็จะมีรองวงกลม

 

2 นี่ถ้าสัมผัสแตะต้องกันก็จะเกิดอีกอันเป็น 3 แต่ถ้า 3 อยู่ในแนวระนาบก็เป็นเช่นนั้น เช่นเขาบอกว่า เพศชายเป็น xy ที่จริงใน xy มันเป็นอะตอมนะ เป็น potential energy มีพลังแสดงเพศชาย แต่มันมีเพศที่ถ้ามีปัญญานั้น x เป็นชายหมด ของพระพุทธศาสนา เป็นพลังงานสมบูรณ์แบบเป็น x ถ้าเป็น xy เป็นพลังงานเกิดใหม่เป็น จีโนม เป็นไอโซโทป มีปฏิกิริยาลูกโซ่เป็นพลังงานคู่ทั้งนั้น คนไม่รู้ก็แตกตัวเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ฟิวชั่น

 

แล้ว 3 เมื่อมีความนูนขึ้นมาก็เป็นรูปทรง และจะมีมุมด้าน มีจุดกลาง เหมือนปิรามิดสามด้าน แต่ถ้าเป็น xx นี่มันเป็น 4 ขุด เรามองข้างเหมือน 3 แต่ที่จริงมันซ่อน จุดที่ยอดมันขึ้นกลายเป็นหัวขึ้นไป ที่จริง x นี่มี 4​ ​จุดนะ จุดกลางคือปัญญา เป็นพลังงานสูงเป็นฌานเป็นปัญญา เป็นพลังองค์รวมรูปทรงขึ้น เหมือนสามเหลี่ยม 4 ด้านของปิรามิด ก็คุมได้หมด

 

เพศชายจริงๆจึงมี 5 หน่วย 4หน่วยรอบๆกับหน่วยหนึ่งอยู่กลาง เพศชายจึงเป็น y ที่มี xx อยู่ด้วยเมื่อเป็นวิชชา แต่ถ้าอวิชชาจะมองเป็นเพศหญิง เป็นพลังงานดิ้นเป็นอิเล็กตรอน แต่เพศชายเป็นนิวตรอน เขาเลยสลับกันว่านิวตรอนคือพลังเคลื่อนที่เย็นก็ได้

 

สภาพที่อาตมาทำเป็นรูปนี่เป็นขาที่คุมได้ทำให้เกิดได้ เรียกว่าโยนี เกิดเป็น y จับขามาชิดซ้อนกัน แต่มี จุดเช่นเดิม

 

xx มีสองหน่วย ที่เป็นโปรตอนกับนิวตรอน มีความต่างกันทำงานแล้วกระทบสัมผัสเป็น 3 ถูกกระแทกก็เกิดพลังงาน chain reaction ทางวิทยาศาสตร์เขายอมรับว่าไม่มีที่สิ้นสุด เขาว่ามันมี half life ลดลงเรื่อยๆ ก็จะเข้าหาสูญในที่สุด พพจ.ท่านก็ไม่ไปตามนับด้วย แต่ท่านตัดการเกิดของสิ่งไม่ดีที่เป็นกัมมันตภาพรังสีได้ ทางโลกทำให้ชีวิตตาย แต่ทางธรรมก็ให้กิเลสที่ตกนรกหมกไหม้เลวร้าย พพจ.คุมอันนี้ได้ รู้จักชีวะชีวิตินทรีของมัน กำจัดชีวิตินทรีย์ได้

 

ลดเหตุได้ ชีวิตินทรีย์จึงลดจนมันตายจริง พออกุศลจิต มีภวันติ คือกลายเป็น ไม่ได้หายไปไหนนะ พลังงานนั้นพอไม่ทำอย่างชั่วก็ทำแต่ดี มีแต่เพ่ิมไม่มีลด เป็นเรื่องวิเศษแล้วทำให้จริง จัดการได้เป็นสัจจะจริงจึงเป็นพลังงานเย็น เหลือโปรตอน นิวตรอนที่เป็นพลังงานพีชะ ถ้าพลังงานเป็นคู่มันจะเบา ถ้ามันคี่มันจะเป็นพลังงานเหวี่ยงเร็ว จะเรียกว่าเป็นแรงงานมีประสิทธิภาพสูงเพราะหมุนเร็วมันจะได้พลังงานของหน่วยแกนเป็นแม่เหล็กดูด

 

1 2 3 เป็นพลังงาน วงวน พอมีอีกอันหนึ่งก็มีองศา มีเป็นวงรีแต่ถ้าไม่เข้าในระบบก็จะถูกอันอื่นดึงไป แต่ถ้ามีพลังงานในตนเอง เช่นดาวหางมีวงโคจรในตนเอง แต่ก็โคจรไปไกลมากเป็นวงรี ไม่เข้ามารวมตัวกันแน่นในไม่ได้ ในพลังงาน 3 ที่จาก 2 พอบอก  เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ สามารถทำให้กลายเป็น 1 โดยส่วน 2 ก็จึงเกิดเป็น 3 แต่ 2 ก็ยังอยู่นะ ทวเยน ยังอยู่นะ เพราะทำให้มโนปวิจาร 18 เอาพลังงานโลกีย์มาเป็นเนกขัมมะอีก 18 อย่างที่อธิบายไป

 

สรุปแล้วในทิฏฐิ 10 จนถึงสัตตาโอปปาติกา ก็คือชีวิตินทรีย์ในจิตวิญญาณ พวกเราพอเห็นร่องรอยไหมว่า หลักการพวกนี้ พอเรียกชื่อก็พอมีสายโยงใยพอเข้าใจ แม้จะสับสนบ้างก็ตามมา อาตมาอธิบายกลับไปกลับมาด้วย เพราะพลังงานที่ควบคุมได้จะให้เกิดก็ได้จะให้หายไปก็ได้ ผู้บรรลุสูงสุดจะมีลักขณรูป 4 ที่เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น นิวเคลียร์ฟิชชั่น

 

ในลักขณรูป 4

อุปจยะ คนที่เป็นอุกาบาต คือไปไม่เป็นระบบหมุนไปตามแรงดึงดูดของอันอื่น กับโลกีย์ แต่พอควบคุมได้ จึงทำให้เกิดได้ หรือไม่ให้เกิดก็ไม่ต่อสันตติ ทุกอย่างก็อนิจจังไปสู่เสื่อม แต่ถ้าเผื่อว่า คุณยังควบคุมไม่ได้ จะกลายเป็นการเกิดโดยคุณไม่ได้เลือกให้เกิด เกิดเป็นพลังอวิชชา พลังโง่ มีแต่เคออสให้ตน โลกพาไปหลงสารพัดสารเพ ยิ่งผู้หญิงถูกหลอกสารพัด ผู้ชายก็ถูกหลอกอีกอย่าง แต่ผู้หญิงนี่ถูกหลอกมาก เอาขี้หมาทาสีมาก็หลอกได้ เห็นเขาแต่งตัวกันสารพัด ทำไมหนักหนาขนาดนี้  บางคนผ่าตัดลิ้นเป็นสองแฉกก็มี ไม่มีวงโคจรของตนที่คุมได้เลย ไปเป็นแบบเคออสแล้วแต่เขาหลอกกันไป แม้แต่รองเท้านี่เดี๋ยวก็ส้นสูงเดี๋ยวส้นเตี้ย กางเกงก็เดี๋ยวพองออกเดี๋ยวหุบเข้าหมุนเวียนไปตลอด สีอะไรก็เปลี่ยนตามสมัยนิยมไป วนไปก็หาสีเก่าอีก พวกคุณผ่านมากันจัดจ้านก็มี

 

อย่างเกร็ดดินเป็นนร.ฝรั่งเศส ไปเป็นคนเดินแบบนี่ ก็ผ่านมา นี่คือสัจจะไม่ได้ด่านะ แต่ใครโดนกระทบก็แล้วแต่คุณมี สรุปคือจิตวิญญาณมนุษย์หากอวิชชาก็เป็นเช่นนี้ ถ้าคุณทำสัมมาทิฏฐิ 9 ข้อนี้ได้ ก็จะเข้าสู่ภูมิอาริยะ ต้องมีฉันทะเป็นมูลตามมูลสูตร

1.      มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)

2.      มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ตรงนี้แหละที่จะต้องทำชีวิตินทรีย์ของอิตถีเพศให้ตาย เกิดเป็นบุรุษเพศ เป็น เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ แต่สองนี้ไม่ได้หายไปไหน

 

 

และสัมมาทิฏฐิข้อที่10 อาตมาคือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) อาตมาชาตินี้ไม่ได้เรียนกับอาจารย์ไหนเลย อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมาเป็นสยังอภิญญา

 

ถ้าสามารถฟังอาตมาพูดทิฏฐิ 9 อย่างนี้ฟังให้เข้าใจ ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิแล้วก็ไปต่อไม่ได้

 

เขาไปตีความว่า ถ้าอนาสวะจึงเป็นโลกุตระ แต่ถ้าสาสวะยังไม่ใช่โลกุตระอันนี้ก็ขัดแย้งกับของพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าสอนโลกุตระ 37 หรือโลกุตระ 46 ก็สอน ตั้งแต่กายในกาย ไปก็ล้วนแล้วแต่เป็นโลกุตรมรรค เป็นองค์แห่งมรรคทั้งนั้น

 

เป็นส่วนแห่งบุญคือชำระกิเลสไปตามลำดับ เป็นปุญญภาคิยา เป็นผลแก่ขันธ์ ขันธ์ก็สะอาดไปได้เรื่อยๆ

 

ในข้อ 258 นั้น การปฏิบัติไม่ใช่ไปนั่งหลับตาดูแต่สัญญา มันไม่ใช่ปัญญา ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ซึ่งต้องมีเกี่ยวข้องทั้งนอกและในตลอดเวลา แม้แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือ จิตคือมโน คือวิญญาณท่านจะตรัสเช่นนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าตาไม่กระทบรูป หูไม่กระทบเสียงก็ไม่ใช่ แต่กายต้องมีตลอด แต่ตอนนี้เอาใจเป็นหลัก กายก็กระทบไปเป็นหน้าที่ หูกระทบเสียงเป็นหน้าที่ แต่ตัวปฏิบัติต้องปฏิบัติที่ใจ ท่านให้เปลี่ยนแปลงที่ใจ โดยเฉพาะเปลี่ยนข้างนอกแล้วมาเปลี่ยนข้างใน ใจเปลี่ยนแต่ข้างนอกไม่ได้ขาดสัมผัสนะ แม้ที่สุดพระพุทธเจ้าว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณก็ไม่สับสน

 

หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่อวิชชา ตายไปแล้วก็ยังมีกาย คือพาลปัณฑิตสูตร ไม่ว่า คนพาลหรือบัณฑิตที่อวิชชา 

 

[258]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปัญญา  ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ความเห็นชอบ  องค์แห่งมรรค  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วย
อริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  ฯ

 

 

(ข้อสังเกตว่าทำไมอนาสวะแล้วต้องเป็นองค์แห่งมรรคอีก ก็คือผู้ที่ยังเป็นสาสวะ คือได้ส่วนแห่งบุญได้ผลแก่ขันธ์นั้นก็ต้องเจริญมรรค แล้วสั่งสมผลไปเรื่อยๆ ตามลำดับ จะได้ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดวิมุติ เป็นอธิมุติ(จิตโน้มไปหานิพพาน) จนถึงวิมุติ อธิมุติหรืออธิโมกโข คือพลังงานจิตโน้มสู่นิพพานได้เสมอๆ เมื่อเดินทางไปเช่นนี้)

          (ปัญญาเกิดจากเดินมรรค 7 องค์นะไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำเอา เดินทางด้วยสัมมาทิฏฐิ มีธัมมวิจัยเป็นตัวทำงาน แยกแยะเวทนา 108 ทำให้เป็นเอกบุรุษ เป็นเพศชายๆ จนเพศหญิงดับเหลือแต่เพศชายเป็นปุงลิงค์ ในหน่วยของนิวตรอนเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา ในตักกะ วิตักกะ สังกัปปะคืออิเล็กตรอน ซึ่งเป็นพลังงานลบ ทำให้เกิดลูกพลังงานของสองขั้วหรือสองเพศนี้ เกิดลูกที่เป็นโอปปาติกะ เป็นลูกชั้นดี เป็นอาริยะเกิดเสมอๆ เกิดจากองค์แห่งมรรค อันที่ 3 เพราะปฏิบัติองค์แห่งมรรคอยู่ ส่วนสมาธิเกิดจากผลการสั่งสมมรรค 7 องค์ ได้ผลเพ่ิมเรื่อยๆ จนสัมมาสมาธิจะบริบูรณ์ด้วยวิมุติและวิชชา เจริญด้วยญาณและวิมุติได้ ญาณคือปัญญา วิมุติคือจิตที่พ้นกิเลส เรียกว่าผลสอง คือญาณและวิมุติ ก็มีสัมมาสมาธิเป็นตัวกลาง จากปฏิบัติมัคคังคะ ปฏิบัติมรรค 7 องค์เกิดผลจิตคือญาณและวิมุติ

 

เมื่อปฏิบัติมรรเจริญเพิ่มก็เจริญเพราะธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อ่านอกุศลจิตทำอกุศลจิตให้ดับไปได้เรื่อย มีวิตก วิจัย วิจาร วิตกคือเร่ิมจิตดำริมาเร่ิมเกิด แล้วเราก็ทำการวิจัย แล้วจัดการเปลี่ยนพฤติให้เป็นจาระ เป็นกิริยาที่เป็นกุศลไม่มีอกุศล สัมมาทิฏฐิจะเจริญไปได้เรื่อยๆ สังกัปปะเจริญ สัมมาวาจาเจริ​ญ สัมมากันมันตะ สัมมาอาชีวะ เจริญ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานมีสัมมาวายามะกับสัมมาสติเป็นผู้ช่วย ก็เกิดสัมมาเสริมปัญญา ปัญญินทรีย์ตามหน่วยแห่งความเจริญสั่งสมเป็นปัญญินทรีย์ จนเป็นปัญญาพละ

 

ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เกิดจากการสั่งสมผลของไตรสิกขา ให้เกิดผล จากการปฏิบัติมัคคังคะด้วยโพชฌงค์กำกับ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ถ้าทำ pattern ให้มันหมุนจนเวียนหัวเลยแต่มันมีระเบียบของมันนะ เก่งกว่าผึ้ง ในผึ้งมีการทำหน้าที่ต่างๆกันแต่เราทำได้เก่งกว่าอีก

 

มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วมีสัมมาวายามะ กับสัมมาสติเป็นตัวช่วย เป็นพลังงานสามหน่วยที่เป็นแรงสูงสุดของอะตอม เกิดผลขึ้นสั่งสมเป็นอินทรีย์พละ ก็แยกชีวะของอกุศลจิต กิเลสได้ จึงทำให้เฉพาะกิเลสตาย พระพุทธเจ้าใช้คำว่าจุติกับอุบัติ การเคลื่อนกับการเจริญขึ้น จริงๆไม่ใช่มรณะ แต่เป็นอรณะ

 

สภาพของพลังงานที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆเสริมหนุน นี่คือปัญญาที่เกิดจากปฏิบัติโพชฌงค์ มรรคองค์ 8 ทางสัมมาทิฏฐิคือมรรค ส่วนการก้าวเดินคือโพชฌงค์ (คนเอาตัวตนบุคคลว่าพระพุทธเจ้าตัวตนมีขามาก้าว 7 ก้าวมีดอกบัวรองรับตอนเกิดมา อาตมาก็ถามว่าต่อจากก้าวที่ 7​แล้วท่านทำอะไรต่อ) มันไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา แต่เป็นการก้าวด้วยโพชฌงค์ เป็นการก้าวหน้าของพฤติการของธรรมที่พัฒนาเจริญขึ้น ตั้งแต่ สติ ธัมวิจัย วิริยะ สามเส้านี้ร่วมกันทำ ทำได้ก็เกิดปีติ ยินดีพอใจยิ่งกว่าได้เพชรพลอยอีก แล้วปีติได้ปัสสัทธิ กิเลสระงับไปเรื่อยๆ สั่งสมเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์สูงสุดที่อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน กลางแล้วไม่ซ้ายไม่ขวา อุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นตัวกลาง

 

สมาธิตัวสุดท้ายก็มีอุเบกขาเป็นตัวท้าย โพชฌงค์ก็มีอุเบกขาเป็นตัวท้าย ด้วยคุณสมบัติ 5 อุเบกขา เจริญไปเรื่อยๆ

 

ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ  เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ  ความพยายามของเธอนั้น
เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
         

 

ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้  มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่  สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะสัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น  ฯ
         

 

ผู้ละมิจฉาไปเรื่อยก็เป็นสัมมาทิฏฐิไปเรื่อยๆ แต่ก่อนมีแต่สติโลกียะ แต่ตอนนี้มีสัมมาสติที่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ คำว่าย่อมห้อมล้อม อาตมาแปลว่าทำงานเป็นคู่ขุนศึก เหมือนเปาปุ้นจิ้นมีหวังเฉา หม่าฮั่นเป็นคู่ขุนศึกนั่นเอง

 

[259]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาสังกัปปะว่ามิจฉาสังกัปปะ  รู้จักสัมมาสังกัปปะ
ว่าสัมมาสังกัปปะ  ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

[260]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาสังกัปปะเป็นไฉน  คือ  ความดำริในกาม  ดำริใน
พยาบาท  ดำริในความเบียดเบียน  นี้มิจฉาสังกัปปะ  ฯ

 

 

ตักกะของคุณเร่ิมดำริ เร่ิมต้น ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นั้นเร่ิมที่ดำริ(ตักกะ) ความดำริในกาม ในพยาบาท ความดำริในความเบียดเบียน(วิหิงสา) คือกิเลสคือมิจฉา ต้องอ่านอาการกามให้ออก นี่เราเร่ิมคิดนึก เป็นภาพเป็นลีลาจิต มันออกลีลากาม หรือพยาบาทต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต เหล่านี้ให้ออก อาตมาเอามาอุเทสให้ฟัง ต้องอ่านอาการกาม มันลิงค กับพยาบาทนะ คนละอย่างกันต่างกัน คุณก็จับอาการมันได้ หมายว่าอย่างนี้ อาการเช่นนี้กามอันนี้พยาบาทหรือว่าต่างกันด้วยอินทรีย์ กามกันแรง กามมันเบาก็ต่างกัน ก็ต้องรู้ความต่าง อย่างกามกับพยาบาทต่างกันคนละตระกูลก็แยกออก คุณก็กำหนดนิมิตของคุณเองนี่คือคุณเข้าใจปรมัตถ์ กระทบสัมผัสอยู่ขณะนี้เลย ทางทวาร 5 แล้วมันเกิดที่ใจนี่แหละเป็นตัวประชุมลง แล้วประชุมลงเป็นเวทนา เป็นสโมสรณา

 

ในการปฏิบัติจะมีผัสสะเป็นสมุทัย ซึ่งสมุทัยอันนี้ไม่ใช่สมุทัยในอาริยสัจนะ แต่เป็นสมุทัยแห่งมรรค แล้วรวมลงที่เวทนา สโมสรณา เวทนาจึงเป็นหน่วยที่สำคัญมาก หากไม่รู้เวทนาก็เจ๊งทำให้มโนปวิจาร​18 เป็นเนกขัมมะไม่ได้ก็เจ๊งไม่ได้เดินหานิพพานเลย

 

[261]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าว
สัมมาสังกัปปะเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
อย่าง  1  สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ

 

[262]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ
 ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน  คือความดำริในเนกขัมมะ  ดำริในความไม่พยาบาท(อพบาปาทสังกัปโป)  ดำริในความไม่
เบียดเบียน(อวิหิงสาสังกัปโป)  นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ

 

เราสัมผัสก็ปรุงแต่งด้วยอวิชชา ถ้าไม่สมใจกิเลสมันก็กระสันมีนรกดิ้นพราดๆ ดิ้นหนักอย่างพวกเสี้ยนยานี่ชักดิ้นชักงอเลย ฆ่าพ่อฆ่าแม่ได้เลยนะพวกนี้ ในกามก็ดีในพยาบาทก็ดี เรารู้อาการมันแล้ว ก็ใช้ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ แล้วเดินโพชฌงค์จะสั่งสมสัมมาทิฏฐิ

 

เมื่อเข้าใจรู้แล้วชำระกิเลส แยกเคหสิตเวทนามาเป็นเนกขัมมสิตเวทนาได้

 

[262]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ
 ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน  คือความดำริในเนกขัมมะ  ดำริในความไม่พยาบาท  ดำริในความไม่
เบียดเบียน  นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
         

 

[263]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความตรึก  ความวิตกความดำริ  ความแน่ว  ความแน่
ความปักใจ  วจีสังขาร  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึกมีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค
เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
         

 

ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ  เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ   ความพยายาม
ของเธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
          ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาสังกัปปะได้  มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่  สติ  ของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ  ฯ
          ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาสังกัปปะ  ของภิกษุนั้น  ฯ
         

 

ในการปฏิบัติธรรมสังกัปปะ 7 มีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา ทั้ง7 ตัวนี้เป็นพลังงานที่สำคัญมาก คือการเกิดสัตตักขัตตุปรมโสดา คือกรอบแห่งการเกิดอันยิ่งใหญ่  การเกิดกระแสโลกโกลุตระอันยิ่งใหญ่ ถ้าทำพลังงานทั้ง 7 ให้สมบูรณ์แบบนี้ไม่ถอยแน่

 

ถ้าเป็นจุดเดียวไม่เกิดอะไรเป็นนิวตรอน ถ้ามีสองจุดก็เป็นพลังงานที่เริ่มแตกออกมาเป็นระนาบเดียว ไม่ไปครบวงวน แต่ถ้ามีครบสามก็เป็นวงวนครบในตัวเอง แต่ถ้าเป็นสี่ก็แตกวงเพ่ิม

 

ต้องกระแทกถึงนิวตรอนจึงแตกปฏิกิริยาลูกโซ่ได้พลังงานมหาศาล นั่นคือตัวสัมพันธ์กันระหว่างตัวหยุดกับตัววิ่ง บวกคือตัวหยุด ลบคือตัววิ่ง คือ kinetic energy กับ potential energy แล้วพลังงานที่ไม่รู้นี่จะซ้อนลึกลึกลับ เป็น รหะ ไม่รู้ได้ง่ายๆต้องเรียนรู้ลึกเข้าไปจึงรู้พลังงานเหล่านี้ได้ แกนของอัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนาเป็นแกนบวก แต่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะเป็นพลังงานลบ ต้องมีการกระแทกปฏิฆสัมผัสโส

 

ถ้าจิตวิญญาณคุณมีอวิชชามีพลังงานที่ไปหากาม ไปหาพยาบาทไปเรื่อยๆ จะไปแย่งชิงหาโลกธรรมหรือรบกันผลักกัน แต่รักกันก็ดูดกัน แต่ถ้ารักกันง่ายก็สะดวก แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องต่อสู้เพื่อจะได้ ที่จริงคือพลังงานธรรมชาติธรรมดา แม่เหล็กไฟฟ้าก็เป็นเหมือนเช่นนี้มีดูดกับผลักคือกามกับพยาบาท

 

ในตัวตักกะ วิตักกะ สังกัปปะคือพลังงานแก่นแกน มันจะสั่งสมเองโดยอวิชชา หาไม่รู้ก็วิ่งไปทำตามกาม พยาบาท ได้สมใจก็สั่งสมตกผลึก อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือตกผลึกเป็นอนุสัย คือรูป ถ้าเป็นอาสวะคือสภาพของนาม ถ้าเรียกโดยสภาวะปรมัตถ์ สภาวะอวิชชา สภาพของอาสวะนั้นคือพลังงานลบ kinetic ,ส่วนอนุสัยคือพลังงานบวก static

 

อาสวะคือยีนส์ คือยีสต์แตกตัวตลอดเวลา คนไม่รู้ก็ไม่รู้แต่คนรู้จะเห็นได้ แต่ตัวที่ออกมาทำงานได้มากคือ kinetic energy ซึ่ง กลไกของสังกัปปะ 7​นี่จะไขความทุกอย่างไม่ว่า Atomic bomb หรือว่าพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ .....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:25:16 )

580604

รายละเอียด

580604_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 4

พ่อครูว่า...วันนี้วัน พฤหัสบดี ที่ 4  มิถุนายน 2558 แรม 3 ค่ำเดือนเจ็ด(7)ปีมะแม วันนี้วันสุกดิบของงาน ตามปกติ งานอโศกรำลึกเราเร่ิมวันที่ 6 แต่ปีนี้เป็นปีที่เราเปิด ร่วมกับสังคม ก็เลยเร่ิมจัดตั้งแต่วันที่ 5 มิ.ย. เลย เราร่วมกับสังคมข้างนอก แต่ก็ลึกเข้าหาใน เพราะงานนี้กลายเป็นการใช้แกนของเชื้อสาย ในการถือเป็นแกนเรื่องของงาน ใช้เป็นเครื่องผูกสังคมให้มาคบหากันเพื่อสร้างสิ่งดีๆให้แก่หมู่กลุ่ม เกิดสามัคคี รู้จักกัน สนับสนุนเอื้อเฟื้อเจือจานกัน เป็นการผูกมิตรกัน เป็นวิธีการของมนุษยชาติ ที่ไม่ว่ามนุษยชาติไหนก็ใช้แบบนี้ ก็มีประยุกต์ตกแต่งกันไปมากมายก่ายกอง เ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคมไม่ใช่ศาสนาปลีกเดี่ยว การจะได้เชื่อมโยงไปร่วมกับสังคมกลุ่มอื่นอีกที่มีแกนหลักสายธรรมะ เดินเข้าไปทางศาสนา 

ที่จริงอโศกรำลึกตั้งใจจะเทศน์โดยไม่ต้องเตรียมอะไร เพราะตอนนี้เอามหาจัตตารีสกสูตรมาขยาย เพื่อให้เห็นความสำคัญ ประโยชน์คุณค่าที่ยิ่งในธรรมะพระพุทธเจ้า

อาตมาจะได้บรรยายมหาจัตตารีสกสูตรต่อ มหาจัตตารีสก แปลว่า สี่สิบ 
[280]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็
สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ
    ผู้มีสัมมาทิฐิ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้  ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็น  อเนกบรรดามี
เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น  ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้วและกุศลธรรมเป็นอเนก
ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์  เพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย  ฯ
    

ผู้มีสัมมาสังกัปปะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...
ผู้มีสัมมาวาจา  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...
    ผู้มีสัมมากัมมันตะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...ผู้มีสัมมาอาชีวะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...
ผู้มีสัมมาวายามะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...
ผู้มีสัมมาสติ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้..
ผู้มีสัมมาสมาธิ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...
ผู้มีสัมมาญาณะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...
ผู้มีสัมมาวิมุตติ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้  ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็นอเนกบรรดามี
เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น  ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติสลัดได้แล้ว  และกุศลธรรมเป็น
อเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์  เพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย
    

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ด้วยประการนี้แล  จึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล  20  ฝ่ายอกุศล  20  ชื่อ  ธรรม
บรรยายมหาจัตตารีสกะ  อันเราให้เป็นไปแล้ว  สมณะ  หรือ  พราหมณ์  หรือเทวดา  หรือมาร
หรือพรหม  หรือใครๆ  ในโลก  จะให้เป็นไปไม่ได้  ฯ


[281]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สมณะหรือพราหมณ์  ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญที่จะติเตียน
คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้  การกล่าวก่อนและการกล่าว  ตามกัน  10  ประการ  อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้น  ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว

แค่สัมมาทิฏฐิ หากไม่รู้ว่าทานอย่างไรคือสัมมาทิฏฐิ ทุกวันนี้อาตมาบอกเรื่องนี้มา 45 ปีแล้ว ทั้งหนังสือโทรทัศน์ วิทยุ จนป่านนี้แล้ว ก็อยู่แค่นี้ นี่ถ้าอาตมาไม่มีพระไตรปิฎกยืนยันนะ อาตมาแบนไปนานแล้ว เขาก็อ่านอย่างเดียวกัน แต่เขาเข้าไม่ถึงเพราะไม่มีปรมัตถ์จริง 

สรุปคร่าวๆว่าสมาธิของพุทธไม่ใช่มีแค่หลับตา แต่ทำการงานได้มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมได้ ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตา ดูลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่ แต่ทำการงานได้ แล้วมีสมาธิแบบลืมตา ทำกรรม 3 ตื่นพร้อมอยู่ทุกทวาร มันเถียงไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่เชื่อ เพราะเขาสอนกันทั่วไป มีแต่สมาธิแบบชาวอโศกที่ทำแบบลืมตา ของพระพุทธเจ้านี่ท่านตรัสไว้ 2600 ปีมาแล้วนะ แต่ว่าจะให้เขามาเชื่ออาตมาได้อย่างไร เพราะไม่เห็นมีอาจารย์ที่ไหน จนอาตมาต้องพูดความจริงว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ เขาก็ยิ่งหาว่าอวดอุตริไปใหญ่ ก็ไม่เป็นไร เอาคนที่มีปัญญามา ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น อาตมาไม่มีปัญหา อาตมามีแต่ปัญญา ไม่ใช่พูดเล่นนะ เพราะเรื่องปัญหานี่อาตมาไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นปัญหา ไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง มันก็รู้ด้วยปัญญา 

สมาธินั้นเกิดจากมรรค 7 องค์ ปฏิบัติแบบ วิโมกข์8 ข้อที่ 2 อัชฌัชตังอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ คือมีการสัมผัสทั้งนอกและในกำหนดรู้ถึงสัญญา ไปถึงอรูปเลย มีบาลีกำกับในวิโมกข์ 8 ข้อที่2 

ประเด็นมรรค 7 องค์คือไม่ใช่นั่งอยู่กับที่ ไม่มีการงาน หรือนั่งไม่ให้นึกคิดอะไร ไม่ใช่ อย่างนั้นทำให้ความคิดแคบ ความคิดจม แต่ของพระพุทธเจ้าความคิดมีแต่เจริญรุ่งเรือง ชัดเจน ลึกซึ้งหลักแหลม รู้รอบถ้วนแล้วรู้จริงๆ ไม่ใช่ว่านั่งๆแล้วปัญญาจะโผล่มาเอง เป็นเรื่องลึกลับ มันไม่เข้าท่าเท่าไหร่ นี่คือประเด็นที่ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ แต่ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธตีทิ้งนั่งหลับตา แต่เข้าใจว่านั่งหลับตาสมาธิมีอุปการะ 4 อย่าง
1.ได้พักผ่อน หลับอย่างไม่หลับใหลไม่เสพติด ระวังไม่ให้เกิดกิเลส อ่านกิเลสภายใน มีกามหรือพยาบาทไหม ก็ทำให้ตื่น(ชาคริยา) ภายใน แต่ของพระพุทธเจ้าตื่นทั้งภายในภายนอก แต่การถูกครอบงำให้จมติดยึดอุปาทานหลงใหลเลอะเทอะหนักจัดจ้านหนักไปเรื่อยๆ เมื่อเราปฏิบัติผิดก็เป็นไป แต่ถ้านั่งสมาธิหลับตาได้พักได้สงบ ก็ได้
2.ได้ศึกษาจิตที่มันง่ายสะดวกเพราะปิดทวาร 5 แล้วรู้แต่ทวารใน ก็ไม่สับสน กำหนดรู้ใช้สัญญา กำหนดอ่านอาการจิต แต่เป็นอาการในภพไม่ชัด ไม่เหมือนตาสัมผัส แล้วอ่านรู้จะชัดกว่า 
3.ได้ทำเตวิชโช เป็นอุปการะมาก จะได้ตรวจสอบสิ่งที่ผ่านมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ผ่านมากี่ชม.กี่วันกี่สัปดาห์กี่เดือนมีเหตุนิทานสมุทัย ปัจจัยอะไร ตอนนั้นเราสัมผัสแล้วแสดงราคะ โทสะ เต็มรูปเลย เราอ่านไม่ทันไม่ได้รู้ตัวเลย โทสะมันกินตัวเรา โทสะก็ยิ่งอ้วนพี ราคะก็อ้วนพี เพราะปฏิบัติไม่ทัน แล้วเราได้ทำกิเลสดับไปไหม เป็นจุตูปปาตญาณ เราตรวจสอบว่าเราได้ทำไหม เราปล่อยปละละเลยขาดสติเราจะได้สำทับกับเราเอง มีอุปการะมาก ตรวจสอบแล้วจนอาสวะสิ้น อาสวักขยญาณ​ เจโตเราวิมุติก่อน แล้วเรามาตรวจอีกทีว่า กิเลสเราหลุดแล้วนี่ เกิดปัญญาวิมุติหลุดพ้น จบเป็นอรหันต์ มันจึงเป็นการตรวจสอบได้ประโยชน์มาก 
จริงๆมีอีกข้อหนึ่งเป็นโทษแต่เป็นไปได้
4.สร้างอิทธิปาฏิหาริย์ คือรวมพลังจิตแล้วจิตมีพลัง  เอาไปทำฤทธิ์เดชได้ คนก็ชอบก็จะทำ แต่มันเสริมกิเลส ศาสนาพุทธจึงไม่เอาเรื่องนี้ 
     ดูกร เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว  จึงได้ประกาศให้รู้   ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง  เป็นไฉน ?  คือ 
    1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี) 
    2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา) 
    3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา8 เป็นปัญญาสัมปทา) 
พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ)   ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์  แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ .  
(เกวัฏฏสูตร   พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 339-341) 

ของพุทธไม่เป็น meditation แต่เป็น concentration ไม่ใช่แค่นั้น ของพุทธเป็นconcentrate ที่พิเศษsupra concentration เป็นสมาธิที่วิเศษเหนือสามัญ สามารถอ่านจิตเจตสิกออกในขณะสามัญมีชีวิตลืมตา จะมีไฟฌาน (ไฟกองใหญ่)มีพลังงานอุณหธาตุ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถละลาย สลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ ฌานคือไฟ สามารถทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ 

ฌานจะมีปัญญาเป็นตัวหลัก ฌานใดไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาจะฉลาดเห็นว่าไม่ควรมีอะไรในเรา มันจึงปล่อยเปลื้องชัดๆด้วยปัญญา ไม่ใช่ว่าหลับดับปี๋ไม่รับรู้อะไร แต่ว่าปัญญาของพุทธกลับทำให้รู้รอบมากมาย ผลจึงต่างกัน

ถ้าเราฟื้นเอาสมาธิของพระพุทธเจ้าคืนมาไม่ได้ ศาสนาพุทธก็หมดสิ้น เพราะสมาธิคือทำให้จิตหมดกิเลสหมดทุกอาริยสัจจ์ ซึ่งกระแสหลักเขาไม่เอา ก็คือเสื่อมจากศาสนาพุทธ 

สัมมาทิฏฐิ 10 อันเป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา)
 
1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง) 
2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 
3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) 
4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 
5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ 
6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 
7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)
8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) 
9.     สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) จะบรรลุต้องเกิดที่จิต จิตเดิมที่มันหลงโลก ไปกับกิเลส เป็นอาการทางจิตที่เป็นสัตว์ อบาย (เปรต นรก เดรัจฉาน อติวินิบาต) แม้แต่เป็นสัตว์เทวดา หรือเทวดาอุบัติเทพท่านก็ไม่ให้ติดยึด จนกระทั่งรู้เป็นเทวดาถึงขั้นพรหม เรียกว่าวิสุทธิเทพ ก็รู้ว่าเราเป็นเทวดาชั้นพรหม ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นทุกอย่างเลย อาการของจิตท่านเรียกว่าโอปปาติกสัตว์ ไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา จะมีรูปมีนามประชุมกัน เป็นสภาวะของสัตว์เรียกว่า กาย ต้องเรียนรู้กำหนดรู้ว่ากายในองค์ประชุมของกาย กายอันนี้แหละรู้ยาก เพราะเป็นกายคือปรมัตถ์ไม่ใช่ว่ากายคือมีแต่ภายนอก เนื้อหนังมังสา ก็ใช่ กายนอกเป็นตัวหลัก แต่ก็ต้องลึกถึงภายใน ถ้ามีแต่ข้างนอกก็ไม่ใช่กาย แม้มีแต่ข้างในก็ไม่ได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า กายคือ จิต

พระไตรฯล.16 ข.
[57] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกายนี้ของคนพาล ผู้อัน
อวิชชาหุ้มห่อแล้ว ประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูปในภายนอกด้วย
ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้ จึงเกิดผัสสะ สฬายตนะ ซึ่งทั้ง
สองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องคนพาล เป็นเหตุให้เสวยสุขและทุกข์ กายนี้ของ
บัณฑิตผู้อันอวิชชาหุ้มห่อแล้วประกอบด้วยตัณหา เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ กายนี้ด้วย นามรูป
ในภายนอกด้วย ย่อมมีด้วยประการดังนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปทั้งสองนี้   จึงเกิดผัสสะ
สฬายตนะ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกต้องบัณฑิต เป็นเหตุให้เสวยสุข
และทุกข์ ฯ


[58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเรื่องนั้น จะแปลกกันอย่างไร จะมีอธิบายอย่างไร
จะต่างกันอย่างไร  ระหว่างบัณฑิตกับพาล พวกภิกษุกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ธรรมของพวก
ข้าพระองค์มีพระผู้มีพระภาคเป็นเดิม มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่งอาศัย
ขอประทานพระวโรกาส เนื้อความแห่งพระภาษิตนี้ แจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์เดียว
ภิกษุทั้งหลายได้ฟังแต่พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้นพวกเธอจงฟัง   จงใส่ใจให้ดีเถิด
เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ


[59] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใด
หุ้มห่อแล้ว และประกอบแล้วด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น   คนพาลยังละไม่ได้ และ
ตัณหานั้นยังไม่สิ้นไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความ
สิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปคนพาลย่อมเข้าถึงกาย เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้น
จากชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่า ยังไม่พ้นไปจากทุกข์
กายนี้ของบัณฑิตผู้ถูกอวิชชาใดหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้น
บัณฑิตละได้แล้วและตัณหานั้นสิ้นไปแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าบัณฑิตได้ประพฤติ
พรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไป บัณฑิตย่อมไม่เข้าถึงกาย เมื่อเขา
ไม่เข้าถึงกาย ชื่อว่าย่อมพ้นจากชาติ ชรา มรณะ  โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าว
ว่า ย่อมพ้นจากทุกข์ อันนี้เป็นความแปลกกัน อันนี้เป็นอธิบาย อันนี้เป็นความต่างกันของ
บัณฑิตกับคนพาล กล่าวคือการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ฯ
จบสูตรที่ 9
10. ปัจจัยสูตร


เวลาเราหลับฝันก็เหมือนเรามีรูปร่างเลย ตายไปก็เช่นกัน มันก็จะดิ้นรนเหมือนในฝัน ดินจะเอาแต่มันไม่มี เพราะแม้แต่ตอนมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรายังทุกข์ แต่ว่าตอนตายไม่มีทวาร 5 ก็จะดิ้นรนนั่นแหละนรก คนติดยาเสพติด ตอนนี้ดิ้นขนาดนี้ แต่ตอนตายจะดิ้นกว่านั้น คือคนพาลที่อวิชชาห่อหุ้ม หรือแม้แต่กายของบัณฑิตที่ถูกอวิชชาห่อหุ้มก็เหมือนกันกับพาล ตายไปแล้วก็เหมือนกัน ถ้าไม่ได้ล้างอวิชชา 

คำว่า กาย สูตรหนึ่ง ว่า กายเราเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ​ อีกสูตรหนึ่งบอกว่า ตายไปแล้วก็มีกาย คนไม่รู้ชัดก็เมาแน่ พระพุทธเจ้าพูดอะไรไม่รู้เรื่อง ว่างั้นเลยแน่นอน แต่คงไม่กล้าว่าพระพุทธเจ้า คุณนั่นแหละโง่ไม่รู้เรื่องต่างหาก

ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติจนเกิดจิตลดละหน่ายคลาย เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ องค์แห่งมรรค แล้วมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์มี psychoanalysis โดยเฉพาะวิจัยในเวทนา 

มาดูมหาจัตตารีสกสูตรกันต่อ

[259]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาสังกัปปะว่ามิจฉาสังกัปปะ  รู้จักสัมมาสังกัปปะ
ว่าสัมมาสังกัปปะ  ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ
    


ส่วนแห่งบุญคือกำจัดกิเลสเป็นส่วนๆ ตัวเลขเช่น โสดาบันกำจัดกิเลสได้ 25% สกิทาคามีกำจัดกิเลสได้ 50% อนาคามีกำจัดกิเลสได้ 75% อรหันต์ก็กำจัดได้หมด 100% เป็นผู้หมดบุญหมดบาป 

บุญเป็นเครื่องมือชำระกิเลส ไม่ใช่สิ่งที่ได้ที่มีที่เป็น ได้ส่วนแห่งการปฏิบัติบุญ คือได้ลดกิเลสเป็นส่วนๆ พอหมดบาป คือละบาป กำจัดบาป อกุศล แต่ทุกวันนี้เข้าใจผิดไป เข้าใจคำว่าบุญผิดไปก็ไม่มีอาริยบุคคลไม่มีเสขบุคคล มีแต่กัลยาณชน อะไรไม่ดีก็สะกดข่มไว้ ศาสนาไหนก็สอน ทำแต่ดีอย่าทำชั่วแต่ไม่รู้วิธีละกิเลส แค่คำว่าบุญคำเดียวก็ไม่รู้แล้ว รู้ผิดเพี้ยน 

ถามมาว่าคนที่ตายแล้วมีกาย ทำให้คนที่เชื่อว่าผีมีจริงเป็นตัวเป็นตน อาจมีส่วนสนองความเชื่อเรื่องผีข้างต้นไหม?
ตอบ...คนไม่โง่ก็คิดเช่นนั้น แต่ว่าคนมีปัญญาจะสะดุด แล้วจะศึกษาให้ดี 

ผีคือจิตที่มีกิเลส คืออาการปัจจุบัน ตายไปแล้วเรียนผีไม่ได้ เจอผีไม่ได้ มีแต่ตัวเองเป็นผี แล้วไม่รู้ตัวตน ไม่รู้สักกายะ แล้วเป็นผีคือตกนรก ตายไปแล้วตกนรกอย่างเดียว ไม่รู้ตัวหรอก อย่างไรก็ไม่รู้ ฟังแล้วคนก็เชื่อว่าผีมีจริงก็โง่สิ เป็นบัณฑิตยังตกนรกเลยหากไม่พ้นอวิชชา ก็คุณนึกว่า มีทวาร 5 อยู่ เหมือนตอนนอนหลับ ตอนนอนหลับยังมีทวาร 5 นะมันยังเชื่อมกันอยู่ บางครั้งคุณดิ้นแล้วตื่นก็มี แต่บางมีดิ้นแล้วตื่นยากเรียกว่าผีอำ จนบางคนต้องร้องออกมา หรือดิ้นมา คนเอาน้ำราดก็ออกมาได้ แต่ตายไปแล้วใครจะไปปลุกคุณ คุณยึดอย่างนั้น มันจมในนรกจริงๆ เป็นผีจริงๆ ยิ่งตายแล้วนึกว่าเป็นผี มีทวาร 5 ยิ่งแย่ ต้องมาล้างตั้งแต่ ทวาร 5 กระทบสิ่งใดแล้วเกิดกิเลสก็ล้างกิเลสตั้งแต่ตอนเป็นๆ ตอนเป็นไม่มีผี ตอนหลับก็ไม่มีผี ตายไปก็ไม่มีผี 


[260]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาสังกัปปะเป็นไฉน  คือ  ความดำริในกาม  ดำริใน
พยาบาท  ดำริในความเบียดเบียน  นี้มิจฉาสังกัปปะ  ฯ
    

[261]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าว
สัมมาสังกัปปะเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
อย่าง  1  สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ

[262]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ
 ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน  คือความดำริในเนกขัมมะ  ดำริในความไม่พยาบาท  ดำริในความไม่
เบียดเบียน  นี้สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
    

[263]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความตรึก  ความวิตกความดำริ  ความแน่ว  ความแน่
ความปักใจ  วจีสังขาร  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึกมีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค
เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
    ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ  เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ   ความพยายาม
ของเธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
    

ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาสังกัปปะได้  มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่  สติ  ของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาสังกัปปะ  ของภิกษุนั้น  ฯ


การไปนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีสัมผัสทางทวาร 5 ก็ไม่รู้จักของจริง ก็ได้แต่ยกสัญญามานึกคิด คำว่าตรึกแปลว่า จิตกำลังเกิดอาการแรกเร่ิม ตักกะ เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่เร่ิมดำริ นี่แตงโม เห็นแล้วอยากได้ อยากกินขอเถอะ ซื้อเถอะ ขโมยเถอะ หากอยากได้มากก็จะทุจริต ขโมยของเขาไม่อยากได้ก็หาวิธีเอามา ซื้อก็จะซื้อ พอได้มาก็กิน ดีด้วย อร่อยด้วย ก็บำเรอกามให้ กามก็โตขึ้น คุณก็เป็นสุข เพราะสมใจอยาก ไม่ได้ดับตัณหาเลย มันได้แต่สุข สุขนี่แหละตัวสำคัญ เป็นตัวหลอก เดี๋ยวกินอิ่มมากเป็นสุขแล้วก็นอน เดี๋ยวก็ไปเดิน เป็นสุข สุขมันแวบเดียว เหมือนน้ำค้าง ฟองคลื่น หยวกกล้วยไม่มีแก่นเนื้ออะไร แล้วก็อยากใหม่ แล้วก็มาถูกหลอกใหม่แล้วก็บันทึกไว้ในใจอีก คราวหน้าเอาใหม่ ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของจริง จำได้เลยว่านี่คือของที่น่าได้น่ามีน่าเป็น 

มันไม่ใช่ตัวจริง มันไม่มีตัวตนอะไร แต่คุณยึดมั่นใจในใจว่า อันนี้มีจริง พวกฝรั่งเมืองนอกมาเมืองไทย มาเจออาหารไทยมีพริกก็ว่าแสบเผ็ด แต่ว่าพออยู่นานไปถูกหลอกว่าพริกอร่อย ก็จำไว้ติดยึดไว้ในใจ เสร็จแล้วพอกลับไปจากเมืองไทย หมดเวลามาเป็นฑูต แต่เสร็จแล้วเมียต้องเรียนวิธีปลูกพริกให้สามีกินที่เมืองนอก มันไม่ใช่อะไร ที่สำคัญคือคุณมาเรียนรู้พิสูจน์จะรู้ว่าการติดยึดมีจริง อาตมานี่ คนอีสาน กินพริกเก่งนะ ยิ่งพริกขี้หนูสดๆยิ่งดีใหญ่เลย พริกขี้หนูสดๆ กัดกร๊อบกลิ่นฉุยออกจมูกเลย รสซ่า แสบ ก็ว่าอร่อย เดี๋ยวนี้อาตมาไม่ได้แล้วแตะไม่ได้เลย เผ็ด เรียกว่ากลายเป็นผลักเกินไป เดี๋ยวนี้ประสาทตรงคอก็ไม่ได้เลย เผ็ดนิดเดียวก็ไอเลย แล้วอร่อยอันนั้นมันหายไปจริงๆ จนลืมเลยว่า กินพริกมันอร่อยอย่างไร มันแสบๆ หลายอย่างอาตมาก็จำไม่ได้ว่าอร่อยอย่างไร บางอย่างก็จำได้แต่เข้าใจแล้วก็ธรรมดา นี่คือความจริงที่ยากจะเข้าใจ แต่ปฏิบัติแล้วมันจริง เป็นอุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุข จิตกลางๆอุเบกขา แต่รู้นะว่าอะไรดีไม่ดี รู้ว่าเขาสมมุติอะไร เขาชอบหรือชังอะไรก็รู้ 

มาขยายความตรงนี้ พอเป็นตัวอย่างเล็กน้อยนะ แล้วก็จะเว้นในงานอโศกรำลึก จบงานอโศกรำลึกจึงจะมาต่อ

สรุปว่า สังกัปปะ 7 นี่แหละ ตัวสำคัญ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

1.ความตรึก (ตักโก) ไม่ใช่แค่นึกคิดนะ แต่ว่า ต้องเป็นจิตเร่ิมมีอาการ ของสัมผัสแรก คือเกิดอาการ มันดำริในกาม มันเป็นการดำริไม่ใช่ตรึก มันเป็นการเร่ิมมีอาการ พออาการอย่างนี้คุณก็อ่านอาการกาม ต้องรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส แล้วต้องทำให้มันลด ที่มันตรึกในกามก็ต้องลดกาม คุณดำริมาเป็นเต็มรูปกามเลย ก็มีสภาพอยากใคร่ก็ต้องกำจัดตัวนี้ให้ได้ ถ้ากำจัดไม่ได้ มันก็มีกามอยู่กับจิตคุณตลอดไป เรียกว่าไม่มีผล ภาษานั้นเรียกว่า วิตักกะ (วิ  นี่แปลได้สองอย่าง คือแปลว่าไม่ กับแปลว่ายิ่ง) คนปุถุชนยิ่งมากหนาแน่นขึ้นด้วยกิเลส แล้วคุณบำรุงกิเลสก็ปุถุตลอด แล้วคุณก็หลงสุขนั่นแหละ คนที่ทำกิเลสให้อ้วนๆก็จะพ้นนรกได้อย่างไร ตายไปแล้วกิเลสยิ่งอ้วน ถ้ากิเลสคุณหนักตั้ง 300 กก. ตายไปแล้วจะทำอย่างไร คนส่วนใหญ่ตายไปจะไปสวรรค์นั้นยาก ส่วนมากได้นรกทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนตายไปแล้วจะไม่ตกนรกคือเท่ากับนิ้วจิ้มไปแล้วดินติดเล็บมาแค่นี้ แต่คนตกนรกเท่ากับดินทั่วปฐพีนี้ 

อาตมาสบายใจสอนแล้วมีคนมาได้แค่นี้ก็ยังดี แต่มามากกว่านี้ก็ดี แต่บังคับไม่ได้ อาตมาพยายามแต่ไม่หลอกล่อ เพราะว่าหลอกล่อแล้วมันเมื่อย เพราะได้คนที่ถูกหลอกมา แต่ว่าคัดคนฉลาดๆมายังยากขนาดนี้ อาตมาไม่ยอมโง่ไปหลอกคนไม่ฉลาดมา แต่คนที่หลอกคนโง่เพราะเขาได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เขาเลยหลอกกัน แต่อาตมาไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ​แล้วจะไปหลอกเขาทำไม ใครแน่จริงก็มา ไม่ง้อด้วย 

ในสังกัปปะ 7 นี่จำไว้ ฝ่ายปัญญาคือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ส่วนฝ่ายเจโต มี อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

ปัญญาคือรู้เข้าใจแล้วสร้างให้เป็นพลังปัญญา ส่วนเจโตคือสั่งสมตกผลึกควบแน่นมีกำลัง เรียกว่าธาตุหนัก ปัญญาเป็นธาตุเบา เจโตเป็นธาตุหนัก 

เป็นพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ไม่รู้จะเอาภาษาอะไรเปรียบ พลังงาน ที่มีฤทธิ์ สลายกิเลส ส่วนอันนั้นก็คือ พลังงานที่ตกผลึก สั่งสมตัวที่มีผล เรียกว่าเจโตสมาธิ มันก็ตกผลึก จากผลที่ได้สั่งสมควบแน่น มีพลังแบบ นิวตรอน 

ต้องแยกกิเลสแล้วเอามาเผาทำลายกิเลสให้ได้ คือไฟพิเศษที่เผาทำลายกิเลสได้ เผากาม เผาไฟราคะโทสะโมหะได้ เมื่อสามารถเกิดปัญญาก็เกิดพลังงาน เมื่อจิตดำริในกาม

ต้องพิจารณาเห็นว่ามันไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ปรมัตถ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ลักษณะหนึ่งมันไม่เที่ยง เห็นสัมผัสตอนนี้ อย่างแตงโมนี่มันอร่อยแค่ปัจจุบันนิดเดียว แต่คุณต้องการจะบำเรอทุกอิริยาบท แต่ไม่ได้ดับเหตุแห่งอวิชชาที่จะไปเสพรสมันทำไม แตงโมจะหวานกรอบอย่างไรก็ตาม ก็แล้วแต่คุณติดยึด คนละคนก็ต่างกันไป แล้วแต่จิตไปติดยึด อย่างนี้สวยอย่างนี้ไม่สวยก็แล้วแต่ติดยึด อย่างนี้เพราะอย่างนี้ไม่เพราะก็สมมุติเอง เมื่ออยากใคร่แล้วสมอยากก็เกิดอารมณ์สุข แต่ความเหน็ดเหนื่อยกว่าจะได้สุขนั่นแหละคือทุกข์คือภาระ ต้องใช้ทุนรอนแรงงานความคิด กว่าจะได้มาเสพรสที่ชอบใจ เขาว่าทุเรียนนี่ต้องกินใต้ต้นทุเรียนจึงอร่อย ทรมาน บางทีเขาว่าต้นนี้ได้ดูแล้วสวยมาก ชาตินี้ได้ดูแล้วโอ้โห เรียกว่า ตายไม่เสียชาติเกิด ไปนั่นแหละ อาตมาว่า ถ้าลนลานไปดูนั่นแหละอาตมาตายเสียชาติเกิด อาตมาโง่เง่า แต่อาตมาไม่โง่ก็ไม่ทำเช่นนั้น 

เร่ิมรู้ตั้งแต่เร่ิมดำริ มันเกิดแล้วรู้ว่าเป็นตัวกาม เราก็รู้ว่าเดี๋ยวเอ็งก็ไป อยู่ไม่นานหรอก ไม่มีตัวจริง อนัตตานั้นไม่มีหรอกความอร่อย อนัตตาคือไม่มีกิเลสนี่แหละ จนเหลือตัวน้อยนิดหน่อยบางเบาอย่างไรก็หมด ไม่มีเศษส่วนแห่งกิเลสเลย แล้วพลังงานปัญญามันแข็งแรงมาก เป็นอุณหธาตุที่ยิ่งใหญ่สามารถละลายกิเลสได้ มีประสิทธิภาพสูงสุดคือจบ

ลดได้ก็สั่งสมเป็นอัปปนา พยัปปนา ตกผลึกควบแน่นมีประสิทธิภาพสูง เป็นลักษณะพลังงานที่เป็นหลัก พลังงานเจโต แข็งแรง ควบแน่น

มาวันนี้อาตมามีนิรุติปฎิภาณเพิ่มขึ้น ก็มีภาพประกอบเคลื่อนไหว มีสายโครโมโซม แตกเป็นยีนส์ ดีเอ็นเอ แล้วโครโมโซมมี 23 คู่ ซึ่ง 22 คู่เหมือนกันเป็น xx หมด แต่ว่า โครโมโซมคู่สุดท้ายคู่ที่ 23 เป็นโครโมโซมเพศ​ มันเลยมีพลังงานซ้อน ถ้าเป็น x จะมีพลังงาน 5 จุดที่จะดิ้น จนกลายเป็นรูปทรง เป็น perspective เป็นสามมิติ แล้วเกิดการเคลื่อนไหวเคลื่อนตัว ถ้าดูในระนาบ x จะมีห้าจุด ซึ่งเป็นจุดพลังงาน 

พลังงานเพศชายมีพลังงานมาก พลังงานเพศหญิงมีพลังงานน้อย ซึ่งดิ้น เลยพลังงานน้อย พลังงานชายไม่ดิ้นเลยมีพลังงานมาก แข็งแรง นิ่ง ช้า แต่ถ้าให้ฝึกแล้วเร็วยิ่งกว่าฝ่ายหญิงอีก ก็จะเป็นคุณภาพวิเศษที่จะทวีเพิ่ม ถ้าเรียนรู้ทางธรรมจะกลับกันได้

เมื่อมีวิชชาจึงจะจริง เมื่อมีวิชชาจะรู้ว่า x มีห้าจุด แล้วเราสามารถคุมได้ คือคุมจุดศูนย์กลาง สามารถคุมได้จะให้เป็นหญิงก็ได้ เอาจุดสองจุดรวมเป็นหนึ่งก็กลายเป็น y เอา ขา x มารวมกันหนึ่งด้านก็เป็น y เป็นพลังงานควบคุมได้ ใช้งานได้เต็มที่ พลังงาน y จะเป็นพลังงานประเสริฐ พลังงาน x มีห้าจุดจะเป็นพลังงานที่ลงตัว พอจับขาสองขามารวมกันจะเห็นหนึ่ง แต่ก็ยังมี ห้าจุดนะ มันจุดสองจุดมาซ้อนกัน แต่คนไม่รู้ เป็นเพศหญิง จะเป็น y ซึ่ง y ไม่แน่น แต่ x กับ y มันซ้อนกัน เราควบคุมได้เอามาใช้งานได้  y ก็คืองานอิเล็กตรอน ทำงานเต็มที่ ได้อย่างแข็งแรงเพราะมีฐาน x กับ y เพราะฉะนั้น xy ไม่ได้มีแค่ x ตัวหนึ่งกับ y ตัวหนึ่งเท่านั้น ที่ไปเข้าใจว่า x ตัวหนึ่งเต็มรูป กับ y มีครึ่งเดียว ไม่ใช่ มันเป็น potential energy มีพลังแฝงอยู่ 

xx นี่เป็นเพศหญิง  แล้ว xy นี่เป็นชาย เมื่อคุณไม่รู้ xy ก็เป็นชาย  แต่ผู้รู้แล้วจะรู้ว่ามันเป็น x  แล้วมีพลังงานพิเศษ จริงๆแล้ว x ที่มีพลังงานยังคุมไม่ได้ เพราะทุกอย่างถ้ามี 1 มันจะนิ่ง ต้องมี 2 มันจึงเริ่มเกิด เป็นพลัง ลบ กับ บวก ถ้าตัวเดียวมันไม่เกิดอะไรหรอก

ตัวสภาพของ x คือเพศชายมี xx แต่วิทยาศาสตร์เขาเรียก xy เป็นทางชีวะยิ่งไม่รู้ใหญ่เลยในนาม มีแต่รู้รูป แต่ไม่รู้นาม ไม่รู้อารมณ์ จะแยกอารมณ์ปกติ กับอารมณ์ทิพย์ ที่มีอุตริมนุสธรรม นั่นแหละอารมณ์นั้น ล้างอารมณ์ที่เป็นตัวรสโลกีย์ออกหมด ดับเหตุหมดก็เหลือแต่รสธรรมชาติ หวานคือหวาน เปรี้ยวคือเปรี้ยว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็มีของมันตามธรรมดา ทุกคนเห็นสัมผัสเหมือนกันหมด เป็นหนึ่งเดียวไม่มีเพื่อนสอง จึงเป็น ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ทำให้สองคือธาตุคู่ให้เป็นหนึ่ง x จึงซ้อน x จึงเป็นสองที่ทำงานเป็นหนึ่ง รวมกันจริงๆแล้ว xy  นี่มี xx กับ y ซ้อนอยู่  มีทั้ง DNA ทั้ง Gene ทั้ง Genome เมื่อควบคุมได้ทั้งหมด genome คือปฏิกิริยาเกิดหลัง ถ้า DNA ก็เป็นแกนหลัก รวมทั้ง gene ที่ชี้การเกิด DNAคือเชื้อหลัก ส่วน gene คือแตกตัวออกไปเหมือนไข่กับเชื้อ มาเกิด พอเกิดก็ได้ตัวแกน แต่ก็มีพลังงาน genome อยู่ทั้งหมด อาตมาใช้ภาษาวิทยาศาสตร์อธิบายมันยังไม่ค่อยเก่ง แต่ก็คิดว่าไปได้เรื่อยๆ

genome คือตัวพลังงานปฏิกิริยาลูกโซ่ chain reaction คือปฏิฆสัมผัสโส แล้วแตกตัว เป็นนิวเคลียร์ มีสองอย่าง ฟิชชั่น กับฟิวชั่น

ฟิชชั่น แตกกระจายเป็นอุทธัจจะ แต่ฟิวชั่น เป็นการรวมตัวเป็นธาตุหนัก ก็เป็นถีนมิทธะ แข็งตัวยึดตัว แต่อีกอันแตกกระจายหายไป ที่เขาคำนวณไม่ได้ มันแตกตัวไปเรื่อยๆ เขาก็ว่าไม่สูญ มันเปลี่ยนสถานะไป พลังงานและสสารไม่สูญไปในโลกนี้  พพจ.ไม่รับผิดชอบอันนี้ ซึ่งไม่ผิด ถูกต้อง แต่มันหมดชีวะแล้ว อันนี้พพจ.รับผิดชอบ โดยเฉพาะชีวะของสัตว์นรกที่เป็นพิษเป็นภัย...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:26:46 )

580607

รายละเอียด

580607_ เสวนา ทิศทางการศึกษาเพื่อตอบโจทย์ชุมชน งานอโศกรำลึก 
ดร.อนันท์ งามสะอาด ผู้นำเสวนา  พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และ สมณะเดินดิน ติกขวีโร ร่วมเสวนาด้วย

ส.เดินดินว่า...รายการบ่ายวันนี้เป็นการเสวนา ซึ่งมีพ่อครูมาร่วมรายการด้วย คำเรียกพ่อครูนี่ มีคนก็ว่าเรียกแล้วเหมือนพ่อครูดูต่ำลงกว่าเดิม พ่อครูก็ว่าก็ถูกแล้ว เพราะทำให้พ่อครูดูเล็กลง เพราะท่านไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ท่านถูกคนดูหมิ่นดูถูกอย่างไรก็ผ่านมาหมดแล้ว คำว่าพ่อครูเหมือนบุญแรงแห้งรางวัล 

อีกท่านหนึ่งที่มาร่วมรายการคือ ดร.อนันท์ งามสะอาด ผู้เป็นนักการศึกษามือทอง ได้รับรางวัลเกี่ยวกับการศึกษามามากมาย ได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการการศึกษา เป็นผู้บริหารดีเด่น 

วันนี้เราตั้งหัวข้อไว้ว่า ทิศทางการศึกษาเพื่อตอบโจทย์ชุมชน 

พ่อครูว่า...นัยะการศึกษา ในความเห็นของอาตมา และไม่ใช่เห็นเฉยๆอาตมาก็พาทำมา ได้เกิดผลอย่างไรกับชุมชน อาตมาพูดก่อนตั้งโรงเรียนด้วยซ้ำ ว่าการศึกษาทุกวันนี้ล้มเหลวสิ้นเชิง เพราะว่าการศึกษาไม่ได้พาให้ตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม กลับเป็นการศึกษาเห็นแก่ตัวจัดขึ้น ได้เปรียบขูดรีด เอาเปรียบเอารัดผู้ด้วยการศึกษา ก็เป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เป็นการศึกษาที่เอาแต่ความรู้ใส่หัวอย่างเดียว ไม่ใช่การศึกษาที่ให้รู้มนุษยชาติ สังคม ให้มีสำนึกที่ดี จะทำประโยชน์อะไรต่อสังคม 

มันควรเป็นความรู้ที่ว่า เรามีความสามารถอะไรก็น่าจะช่วยสังคมได้ แต่กลับเป็นภาระชุมชน สังคมต้องจ่ายให้ สังคมต้องเดือดร้อน มันตรงข้ามกับสิ่งที่ควรจะเป็น สิ่งที่ทำคือการศึกษาที่เอามาจากต่างประเทศ มันเป็นการศึกษาที่ตัดความเป็นคนออกจากสังคม ก็สร้างแต่ความรู้ความฉลาด เรื่องศาสนาเขาก็เรียนพอเป็นพิธี เขาเรียนกันแยกส่วน บ้านก็ส่วนบ้าน วัดก็ส่วนวัด แต่สังคมเรามีวัดบ้าน โรงเรียนอยู่ได้อย่างกลมกลืน เป็นการศึกษาศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เราทำมา 20 ปียืนยันได้ว่าถูกต้องแล้ว นับวันเราเห็นผลว่าเด็กจบไปเราได้ผลอย่างไร เป็นไปได้ ไม่ด้อยกว่าสังคม เรียนต่อได้เกียรตินิยมด้วย เขาไม่เรียนต่อก็เยอะ เลี้ยงตนรอดมีสัมมาอาชีพ 


ดร.อนันท์.... ก่อนอื่นผมนำเรียนว่า พวกเราที่นั่งอยู่ตรงนี้ เหมือนอยู่ในเมืองอาริยะ  ผมมองว่าที่นี่และทุกจุดของชาวอโศก ไม่มีใครอยู่สบายมาก่อน แต่เป็นผู้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ มันเป็นเรื่องใหญ่  Asoka นั้นผมว่าย่อมาจาก  Active – Smart – Opportunity - Achievement  เป็นสถานที่ที่มี บ้าน วัด โรงเรียนครบพร้อม มีพุทธบริษัท 4 ทำอย่างไรจะต่อยอดไปได้อีก เราต้องใช้ problem base learning ต้องเกิดจากความร่วมมือของ บ้าน วัด โรงเรียน ผมเชื่อว่าวิธีคิดแบบชาวอโศกถูกต้องแล้ว ก็มาเรียบเรียงเป็น ระบบให้ถูกต้องเพ่ิมขึ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม ที่จะตอบโจทย์สังคมได้ 

มีประเด็นที่พ่อครูบอกว่าอัตลักษณ์ของสัมมาสิกขา คือ ตนพึ่่งตน จนเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ฟังแล้วมันประทับใจจริงๆเลย เราก็มากำหนดว่าอัตลักษณ์ที่จะให้พึ่งตนเอง ส่วนเอกลักษณ์คือ ทำดีมีธรรม ก็ครอบคลุมทั้งหมดเลย ขออนุญาตเรียนตรงๆว่านี่คือตัวตนที่สัมผัสได้ของชาวอโศก แล้วเด็กเราทำได้หมด เด็กมัธยมต้องเรียนอาชีวะให้หมดครับ ปรัชญา อัตลักษณ์ เอกลักษณ์ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้ต้องมาต่อยอดเพิ่มขึ้น 

ส.เดินดินว่า...เมื่อคืนนี้อ.พูดความเป็นห่วงของชุมชนเรา
1.มีผู้สูงวัยเพ่ิมขึ้น แต่เด็กที่จะมาถ่ายทอดต่อจากเราก็น้อยลงๆ อาตมาคิดว่าส่วนหนึ่งเรายังลงทุนทางการศึกษามากพอ ไม่ได้หมายความว่าไปซื้อรถเบนซ์ แต่เราเหมือนพ่อแม่คนรวยที่ไม่มีเวลาให้เด็ก มีแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานกัน วันทั้งวัน งานเราก็มากขึ้น ไม่มีเวลาให้เด็ก เด็กก็เลยหันไปคบกันเองก็ใช้ภูมิปัญญาของกันเอง ค่อยๆสุมหัวกันทำผิดกฎ โรงเรียนก็ไม่ต้องทำอะไรคอยแต่แก้ปัญหา คอยทำโทษ ท่านถิระฯ ท่านสรุปให้ฟังเลยว่า ชุมชนไหนเปิดโรงเรียนแล้วไม่มีเวลาให้เด็กชุมชนนั้นจะมีปัญหามากที่สุด ฟังแล้วก็คงต้องกลับมาตั้งหลักให้ใหม่

เรามีโครงสร้างเข็มแข็ง บ้าน วัด โรงเรียนอยู่แล้ว แต่แค่คุรุอย่างเดียวไม่พอที่จะรับมือกับเด็กที่เข้ามามาก ขนาดคนข้างนอกมาอบรมกับเรา 5 วันเราก็ยังทุ่มเทให้เลย แต่เด็กมาทุ่มเทให้เรา 6 ปีเรากำหนดให้ได้หมด ถ้าเราทุ่มเทเอาใจใส่ ร่วมไม้ร่วมมือกันระหว่างสามโครงสร้างที่อ.เน้นก็น่าจะดี ขนาดพ่อครูก็บอกว่าฝังชิปไว้ก่อน ได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่การศึกษาเราก็น่าจะหวังได้มากกว่านี้ทุกวันนี้เราทุ่มเทน้อย โรงเรียนไหน input น้อยก็ได้ผลน้อย โรงเรียนไหน input มากก็จะได้ผลมาก 

อ.บอกว่าอยากให้สองวิทยาลัย  8 โรงเรียนของเราได้ทำอะไรเพิ่มเติม

พ่อครูว่า...คลุกคลีกับการศึกษามาก็มาช่วยประเมินผล อาตมาคิดว่าลึกๆอาตมามั่นใจมาแต่ไหนแต่ไร เพราะอาตมาไม่ได้เป็นเจ้าของความคิดนี้ แต่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของความคิด อาตมาก็เอาความรู้ของพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ศึกษาอะไร นอกจากท่านศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม แล้วท่านก็รู้แจ้งส่ิงที่ดีที่สุดปลอดภัยที่สุด ประเสริฐที่สุด แล้วสังคมก็จะรวมตัวกัน 

คนๆหนึ่งทำตนให้ดี เป็นอรหันต์ได้ เราดีแล้วนี่แหละ เราจะทำอย่างไรให้สังคมเจริญเช่นนี้ไม่ใช่ว่าแข็งขืนไม่ฟังใคร ก็ต้องรู้ตนเองทำตนเองให้ดีที่สุด แล้วรู้จักสังคม ก็จะช่วยสังคมให้ดีขึ้นได้จริง เราทำตนเองให้ดีที่สุดพร้อมกับช่วยคนอื่น พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้แยกส่วน ทำตนให้ดีก็ช่วยสังคมได้ในตัวเลย เป็น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีนี่คือทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ แต่เขาเข้าใจผิดว่าปฏิบัติต้องปลีกเดี่ยวไปแต่ผู้เดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ตอนนี้อาจารย์มาให้อะไรมารับรองเราก็จะมั่นใจขึ้น 


อ.อนันท์ ...ก็ผมเองเป็นเด็กวัดมาก่อนที่รอดตัวมาได้ก็เพราะคำสอนของศาสนาพุทธ สำคัญสุดคือแนวคิดคำสอนของพ่อท่านที่ได้นำไปใช้ วันนี้ได้มารับใช้ก็ยินดีมาก 

พ่อครูว่า...ปีหนึ่งเข้ามาแล้วก็ต้องได้ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เรียนมาตั้งแต่อนุบาล ประถมมาแล้วเรียนมาไม่น้อย อย่างน้อยก็ 10 ปีมาเข้ามัธยมแล้ว ม.1 นี่ให้สัมพันธ์สัมผัสกับชาวบ้าน ที่เป็นเนื้อของคนในหมู่บ้านให้มาก ส่วนการเรียนเป็นนักศึกษาค่อยๆเร่ิมตอนปี 2 ปี 3 อาตมาว่าทัน ไม่ต้องตกอกตกใจกันมาก ถ้าเผื่อว่าเด็กได้เรียนตามระบบที่อาตมาว่า เป็นเด็กอยู่ในบ้านในสังคม ให้รู้ว่าเป็นสังคมอบอุ่นก็จะราบรื่นลงตัว พัฒนาอะไรได้ง่ายขึ้นแท้จริง

ขณะนี้เป็นแต่เพียงว่า พวกเราเข้าใจเชิงนิตินัยกับพฤตินัยไม่ได้ พฤตินัยก็อย่างที่พวกเราต้องการให้เป็น ส่วนนิตินัยคือทำตามหลักของกระทรวงศึกษาฯ ซึ่งเราก็รู้แล้วว่ามันล้มเหลวแล้วทางกระทรวง เราก็ไม่ต้องซีเรียส แน่นอนเขาก็ต้องสตริ๊ก แต่เราก็ทำพอไม่น่าเกลียด แต่ไม่ได้ไปตามใจเขาทุกอย่าง เราทำนี่แหละแล้วรู้จักศิลปวิธีเชื่อมโยง ให้เป็นไปได้ 

พวกเราที่ดูแลการศึกษา ก็กังวลเห็นว่าเขาเร่งรัดมา เขาก็เป็นอย่างนั้นของเขา แต่เราก็อย่าตามใจเขาทีเดียว เสียเราหมด เราจะทำอย่างนั้น เราก็ทำแบบเราไปทำไม ถ้าจะทำแบบข้างนอกอาตมาไม่ตั้งหรอก เขามีเงินทุนของรัฐทำกันเต็มแล้ว แต่นี่เราทำแบบไม่เก็บเงินเก็บทองทำเพื่อต้องการให้เกิดสิ่งดีที่น่าเป็นน่ามี ถ้าทำแล้วเอาตามเขา เราเลิกดีกว่า เราเสียเวลาแรงงานไปเปล่า ต้องเข้าใจให้ชัดเจน ก็ทะเลาะกันดึงดันกันไม่ค่อยเข้าใจกัน แต่ก็ค่อยเข้าใจเพ่ิมขึ้นหลายคนเคยเป็นครูเคยบริหารทำตามทางโน้นมาก่อน แต่เราจะทำอย่างมีศิลปะ ไม่ให้ทะเลาะเดือดร้อนกัน เราไม่ได้โกหกด้วย ก็พอเป็นไปได้ 

เดี๋ยวนี้เจ้าหน้าที่การศึกษาเขารู้พวกเราเยอะขึ้นแล้ว เขาก็พะอืดพะอมอยู่ เขาก็รู้ว่าอะไรดี แต่นอกจากคนอคติจริงๆ ก็ต้าน เราก็จำนน ในที่เราพูดถึงอัตลักษณ์ กับเอกลักษณ์ ที่เขาต้องให้ตั้ง แต่ละโรงเรียน อาตมาก็คิดว่าแบบนี้แหละ 

เอกลักษณ์ของเราคือ ทำดีมีธรรม 
อัตลักษณ์ของเราคือ พึ่งตนจนเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ 

อัตลักษณ์ของรร.สัมมาสิกขาที่เราได้แทรกเข้าไปคือ พึ่งตน จนเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ที่เรามั่นใจว่าเรารู้วิธี พระพุทธเจ้าให้อัตตาหิอัตโนนาโถ แล้วเราก็มีพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ให้พฤติกรรมให้ความเข้าใจ ให้เด็กเขาพึ่งตนเองได้ ไม่ใช่แค่รู้แต่ลงมือปฏิบัติของจริงด้วย เขาได้สัมผัส ได้ของจริง ข้าวของเครื่องใช้ข้างนอกเขาไม่ให้แตะหรอก แต่เด็กเราถ้าเห็นหน่วยก้านดีเราให้ใช้หมดและ ตัวเล็กตัวน้อยก็ตาม  อย่างช่างกล้องนี่ราคาเป็นแสนเป็นล้านที่อื่นเขาหวงของกันจะตาย แต่เราก็ค่อยฝึกกัน เราไม่กลัวของเสียเราต้องการให้คนได้ประโยชน์ เราก็ยอมให้ของเสียบ้าง คนโบราณว่าฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ เราก็ต้องเสียสละบ้าง เยาวชนเราได้ทำจริงปฏิบัติจริง ไม่ใช่ของปลอม ทำให้เสร็จ ออกไปเจอข้างนอกก็ทำได้เลย 

มั่นใจว่าต่อไป จะมีงานที่เด็กนร.สัมมาสิกขาหรืออาชีวะ ออกไปแล้วยิ่งกว่าเทคโนโลยี จะเป็นเรื่องเป็นราวได้ ปีนี้ก็อยากให้สร้างแพขนานยนต์ เป็นเรือขนส่งรถ 10 ล้อ ส่งอะไรต่างๆในน้ำมูนนี่แหละ ขนได้ เป็นแพที่รับน้ำหนักได้อย่างดี 
 
....


อาตมาใช้ภาษาทางวิทยาศาสตร์มาใช้กับสภาวธรรม ซึ่งภาษาทางวิทยาศาสตร์มีไม่ครบเท่าภาษาศาสนาหรอก เช่นอาตมาเอา DnA  gene genome มาใช้ก็พอได้แต่ว่ามันเปลี่ยนไม่ได้ DNA นี่เขาเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทางศาสนานี่เปลี่ยน DNA ได้ อาตมาเห็นภาษาบัญญัติที่จะต่อเชื่อมได้ จะเชื่อมระหว่าง พีชะ กับจิตนิยามได้อย่างไร อาตมาขอเวลาเรียบเรียงก่อน มันนามธรรมมากเลย 

เราจะได้เปลี่ยนกรรมพันธ์ DNA ซึ่งวิทยาศาสตร์เขาได้แค่เซลล์ทางเนื้อหนัง เขาไม่ได้เปลี่ยน DNA จริง ได้แค่พลังทางเนื้อหนังที่ไปสร้างอวัยวะต่างๆ ไม่ได้สร้างกรรมพันธ์ เขาเรียกกรรมพันธ์แต่ที่จริงเขาเปลี่ยนกรรมไม่ได้ เขาได้แค่เปลี่ยนสรีรพันธ์ ถ้าเปลี่ยน DNA ได้ เปลี่ยนกรรมพันธ์ได้จริง 

จะเปลี่ยน DNA ได้จริงๆ ตรงไหน ต้องมีญาณปัญญาอ่านจิตเจตสิกของเราให้ออก ถ้าไม่เรียนจนอ่านอารมณ์อ่านเวทนาได้ ตัวนี้สำคัญ คือจิตที่จะต้องอ่าน ถ้าอ่านเวทนาแล้วเปลี่ยนเวทนาไม่ได้ ไม่รู้จักเวทนา 108 ไม่สามารถเปลี่ยน DNA ได้ ที่นั่งหลับตาไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่สามารถเปลี่ยนจิตได้แท้จริง

จิตวิเคราะห์เกิดขณะมีผัสสะ ทวาร 5 กระทบ แล้วเกิดพลังงานทางวิญญาณ​พลังงานทางวิญญาณที่ละเอียดเรียกว่า ไอโซโทป ภาษาบาลีว่าต้องมีปฏิฆสัมผัสโส ต้องมีสัมผัสกระแทกนิวเคลียร์ให้แตก ก็คือนิวเคลียสกระแทกแตกไป จะด้วยตนเองหรือคนอื่นกระแทก ถ้าเรากระแทกด้วยตนจะกำหนดได้ ว่าจะให้มีลหุตาเท่าไหร่ ที่ตรงข้ามกับปฏิฆะ ลหุตากำหนดให้ได้สัดส่วน ต้องรู้ประมาณ ให้ได้พลังงานที่มีสัดส่วน ของทางวิทยาศาสตร์ก็เรียนพลังงานแต่ไม่ละเอียดเท่าของพระพุทธเจ้า 

เช่นที่ท่านแตกอาการจิตเป็น 121 ลักษณะอย่างพิสดาร แล้วในอาการจิตยังมีเจตสิกอีก 52 แล้ววิทยาศาสตร์มีอาการทางจิตถึงขนาดนี้หรือมีไม่เท่าหรอกแล้วยังมีละเอียดอื่นที่ไม่ได้รวบรวมไว้ โดยเฉพาะชื่อกิเลสอีกมหาศาล 

อาตมาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เรียนละเอียดจนจำได้ไปสอบเปรียญธรรมได้ก็ไม่ถึงอย่างนั้นหรอก แต่ขณะนี้อาตมาให้เรียนรูป 28 ให้ครบ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ตากระทบรูป ลืมตาก็เห็น เกิดวิญญาณเป็นธาตุรู้ 
วิทยาศาสตร์เรียนกว่าแสงกระทบวัตถุแล้ววิ่งมากระทบ ม่านตา แล้วประสาทเราก็รับรู้ จริงๆแล้วม่านตาไม่ได้เป็นตัวรู้แต่ว่าจิตวิญญาณเป็นตัวรู้ แม้แต่ว่าถ้าแสงสะท้อนวัตถุมาที่ตา แต่จิตคุณไม่รับรู้ร่วมกับการสัมผัส จิตมันไปคิดที่ไหนๆ จดจ้องอย่างอื่น คุณไม่เห็นภาพนั้นหรอกทั้งๆที่มันอยู่นี่ แต่คุณไม่เอาจิตมารับรู้ด้วยก็ไม่รู้ แม้แสงจะกระทบม่านตาอย่างไรก็ตาม คุณก็ฟุ้งซ่านในมโนมยอัตตากันไป 

อาตมามั่นใจว่าศึกษาตามพระพุทธเจ้านี่แหละจะทำให้เราเป็นคนศิวิไลซ์ได้ก่อนใครๆ เพราะเป็นการเจริญของประธานของชีวิต คือจิตวิญญาณ เจริญอย่างไม่เป็นภัยเป็นพิษต่อสังคม ทุกวันนี้มันไม่จริงจริงๆ มันจริงโกงๆ จริงแฝงๆ จริงมารยา คำว่ามารยานี่คือตัวแม่ของมารยาท ถ้าเรียกมีมารยานี่โกรธ แต่ถ้าเรียกมารยาทนี่ไม่โกรธ คนที่จริงใจไม่ใช่มารยาท คำว่ามารยาทคือจำนน ไม่เช่นนั้นมันไม่ดี ทางสังคมต้องทำ การเจริญแท้จริงต้องตามหลักธรรมอันลึกซึ้ง ทางเมืองไทยมีในหลวงที่ตรัสถึงโลกุตรธรรม ว่าคนต้องมาจน การไปคิดรวยนี่เป็นคนอนารยะ มันเก่ามากแล้ว เก่าจนหยาบเละแล้ว จะต้องมานั่งทำทำเนียบว่าคนรวยที่สุดในโลก อันนี้มันเก่าแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะตื่น

หากไม่รู้เท่าทันส่ิงประเสริฐอย่างในหลวงเราตรัสแต่คนไม่ค่อยตื่นกัน เขาก็พอรู้คร่าวๆ ตั้งแต่ท่านตรัสเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะการศึกษาต้องทำแล้ววางรากฐานให้ตั้งแต่เด็ก คนทันสมัยต้องมาจน คนไปรวยนี่ล้าสมัย ตกยุค ซึ่งอาตมาว่ามันอาจก้าวหน้าเกินไปหรือเปล่า แต่ก็ควรตื่นได้แล้วไม่เช่นนั้นส่วนกลางอย่างสหประชาชาติเขาไม่ถวายรางวัลเกียรติยศแก่ในหลวงหรอก เขามีปฏิภาณรู้แต่คนทั่วไปยากจะเข้าถึง ยิ่งท่านตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เขาก็หัวตีดินกันแล้ว ทำอย่างไรจะเจริญแบบนี้เป็นสังคมสงบสุข ซึ่งมีหลายระดับ เป็นสาธารณโภคีเป็นแก่นแกน 

สาธารณโภคีมีหลายระดับ อย่างแก่นแกนคือพ้นลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนทำงานให้แก่ส่วนรวม เราไม่รับมาเป็นของส่วนตัวเราเลย อย่างแต่ละชุมชนอโศกทำ ส่วนผู้จะมีส่วนตัวของตัวบ้างก็ยังมีบางคน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจมาสะสม ก็เป็นไปตามลำดับ จนกว่าจะมาร่วมบริจาคกับชุมชน แต่ก็ยังอยู่ข้างนอกหาเงินเต็มที่มีส่วนได้ของตน ก็ยังมีภาระวิบากที่เราทำมาเองก็มีหลายระดับขั้น ขั้นศรัทธาเลื่อมใสแต่ไม่เคยมาช่วยเหลือที่นี่ก็มี ขั้นศรัทธาบ้าง บริจาคให้แต่ว่าตนไม่มีเวลามีแต่ทำมาหากินไป ก็เป็นสาธารณโภคีไปตามลำดับไป ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องทำงานฟรีพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 

มิจฉาชีพข้อที่ 4 คือมอบตนในทางผิด แม้ในวงราชการก็คอมมิชชั่น คอรัปชั่นเยอะเลย บริษัทก็โกงภาษี โกงประชาชนทั้งนั้น นอกจากคุณจะทำงานส่วนตัว ถ้าศีลคุณบริสุทธิ์ก็ทำส่วนตัว แต่ถ้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มก็สบายเลย สาธารณโภคี หลายคนก็ใช้ส่วนตัวเราก็แบ่งกันให้คนข้างนอกบ้าง ในนี้มีน้ำใจแบ่งแจกเจือจาน ส่วนคนไม่วุ่นวายได้เท่าไหรก็ใช้เท่านั้น ค่ารถก็ส่วนกลางให้ใช้ไม่หมดก็คือ มันครอบครัวจริง ๆ ไม่มีกุหนา ลปนาเลย สองอันนี้ชั่วแน่ แต่เนมิตกตาก็ไปตามลำดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไปตามลำดับ ยิ่งสูงสุดหมดลาภแลกลาภเลย ยิ่งดี แต่จิตเราบางทีมาอยู่ในนี้มาช่วยทำงานค้าขายยังจะไปขูดรีดเอาแพงๆจากคนอื่นเลย เป็นตัวแทนขายสินค้าชุมชนอยู่ จิตยังตะกละอยู่มันมีหลายชั้นตอนหลายระดับที่เราจะศึกษา

ส.เดินดินว่า ส่ิงที่น่าคิดที่ดร.อนันท์มาให้แง่คิดแก่เราคือท่านไปดูงานมาหลายประเทศมาก แต่ท่านก็ให้คำรับรองว่ามาที่นี่สังคมเราที่นี่คิดว่าดีที่สุดแล้ว ที่ท่านมีประสพการณ์ เป็นชุมชนตัวอย่างหลายด้านทั้งเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งความสมดุล แล้วดร.อนันท์ท่านเน้นอีกอย่างหนึ่งคือการศึกษาตลอดชีวิต ของเรานี่ก็จะเป็นการศึกษาตลอดชีวิต เขาแปลกันว่า ศีลคือการควบคุมกาย วาจาให้เรียบร้อย แต่ใจจะโลภอย่างไรก็ไม่เกี่ยว คือการควบคุมกายวาจา หรือกายก็คือร่างกายไม่เกี่ยวกับจิตใจ การปฏิบัติเขาก็จะไปอีกทาง การศึกษาตลอดชีวิตที่พ่อครูมาตอกย้ำกับพวกเราคือให้พวกเราประพฤติให้ถูกต้องถูกตรงกัน พวกเรามาอยู่รวมกันทั้งคุรุ ชาวชุมชน นักบวชเราอยากให้เด็กเป็นแบบใด เราก็คงต้องถามตนเองว่า ต้นแบบของเราทุกวันนี้ เป็นที่น่าพึงพอใจหรือเปล่า? ชุมชนเราแม้จะมีคนยกย่องแต่เราต้องมีการพัฒนาต่อไปเพื่อหล่อหลอมให้เด็กเป็นทายาท ไม่ใช่ว่าหมดเราก็สูญไปหมด ถ้าในความคิดของดร.อนันท์คือทั้งสามส่วน บ้าน วัด โรงเรียนต้องมาช่วยกันสืบสานให้เกิดทายาท ไม่เช่นนั้นตายไปจะไม่มีใครหามไปเผา ตายไปอาจเน่าอยู่ที่บ้านก็ได้ แล้วคุรุของเราคงต้องไปสังเคราะห์กันต่อ ก็กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:27:50 )

580607

รายละเอียด

580607_ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 34 เรื่อง สุข-ทุกข์ ดี-ชั่ว มี-ไม่มี ที่ต้องสำนึก

พ่อครูว่า....เราไม่ทำหนี้ได้เราก็ไม่เป็นทุกข์ แล้วเราก็พึ่งพาตนเองได้

เราจะไม่สร้างส่ิงที่ไม่ดีทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม ที่เป็นตัวตั้ง ... จิตจะเป็นตัวบงการ เราจะรู้จิตเรา เราจะเข้าใจ พระพุทธเจ้าให้เราฝึกสังกัปปะ 7 ที่เป็นตัวต้นทางที่เป็นอภิสังขาร คนทั้งโลกไม่รู้จักสังขาร คนเกิดมามีสังขารเป็นปัจจัยปรุงแต่งทั้งสิ้น อยากร้องก็ร้องอยากกินก็กิน โตมาจิต สังขารก็เป็นตัวบงการ บำเรอใจไปเรื่อยๆ เด็กก็มีแต่อัตตา ต้องการของตนเป็นใหญ่ เดี๋ยวนี้เลี้ยงเด็กกันยิ่งกว่าสมัยโบราณ แต่ก่อนเขาให้ทำงานสมบุกสมบัน แต่เดี๋ยวนี้ยังไม่ทันคลานเลย ใส่ถุงเท้ารองเท้าให้แล้ว ดิ้นตีนถีบไปมา แล้วประคบประหงมกัน ไม่เข้าใจ

การฝึกจิตให้จิตแข็งแรง ได้รู้จักสัมผัส สังขาร รู้จักการกระทบต่างๆที่เป็นกรรมปัจจุบัน เป็นของจริง อดีตก็ผ่านไปแล้ว แล้วมีพลังให้ได้รับผลทุกข์สุข เจริญ/เสื่อมในปัจจุบัน ส่วนอนาคตเป็นเรื่องรับรอง ผู้ใดไม่ทำชั่วทุกวินาทีปัจจุบัน ขยันไม่ขี้เกียจเป็นต้น 

ใครไม่รู้บ้างว่า ขยันกับขี้เกียจ อะไรดีหรือชั่ว มีน้ำใจกับไม่มีน้ำใจใครไม่รู้ว่าอะไรดีหรือชั่ว ก็รู้กันทั้งนั้น การได้เสียสละช่วยเหลือ กับการดูดาย อะไรชั่วอะไรดี ใครไม่รู้ยกมือ เรามีชีวิตตื่นอยู่กับมนุษยชาติ ให้ทำดีแต่ดี ให้รู้ไปจะไม่มีใครเห็นดีด้วยไม่มีใครอุปถัมภ์เลยไหม​ ไม่ว่าจะหมู่ไหม แม้แต่หมู่โจร

ไม่ดูดาย / ไม่ขี้เกียจ / มีน้ำใจ อยู่กับหมู่โจร โจรจะฆ่าเราไหม จะไม่ให้ข้าวเราไหม ไม่ต้องห่วง ถ้ามาอยู่กับหมู่ดีก็ยิ่งดี แม้ไม่อยู่กับหมู่ดี หมู่กลางๆก็ได้หมด 

อาตมาได้อ่านบทความของมติชนสุดสัปดาห์ฉบับใหม่ คอลัมน์ ดังได้สดับมาของ วิเวกา นาคร เป็นความคิดของคนมีปัญญา ฉลาดก็มีความเข้าใจเช่นนี้

....ยังคงเป็น อนุสาสน์ อันมาจากากรศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง เก่า กับ ใหม่ ของเอดเวิร์ด คอนซ์ อันผ่านกระบวนการแปลของ นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์

เก่าคือ ความเข้าใจในแนวแห่ง เถรวาท ใหม่ คือ การตีความและทำความเข้าใจอย่างที่เรียกกันว่า มหายาน ในกาลต่อมาและกาลปัจจุบัน

ตอนนี้เข้าสู่ประเด็น โมกษะ ความหลุดพ้น

ความหลุดพ้นตามที่สกุลปัญญาใหม่เข้าใจ อาจสรุปได้ว่า เป็นการปฏิเสธ 3 ชนิด คือ ไม่บรรลุ ไม่กล่าวอ้าง ไม่วางใจ และกอปร ด้วย คุณสมบัติด้านบวกอีก 1 อย่าง คือ สัพพัญญู

มีการตั้งข้อโต้แย้งจำนวนมากเพื่อแสดงว่านิพพานเป็นส่ิงไม่อาจบรรลุได้ โมกษธรรมไม่อาจเกิดขึ้นได้จริงๆ

การต่อสู้อันหนักและยาวนานของพระโพธิสัตว์ที่จริงแล้วก็หาได้นำไปสู่อะไรไม่

ในความว่างย่อมไม่มีทั้งการบรรลุและการไม่บรรลุ 

สิ่งที่ปราศจากเงื่อนไข (อสังขตธรรม) นั้นโดยคำจำกัดความแล้วย่อมว่างจากสัมพันธภาพกับสิ่งใดอื่นทั้งสิ้น หรือดังที่พระสูตรกล่าวว่า ย่อมจะอยู่เป็นอิสระในความวิเวกอย่างเด็ดขาด

ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลจะไปมีความสัมพันธ์ไม่ว่าชนิดใดกับสิ่งนั้น ยิ่งถึงกับได้มากหรือบรรลุถึงสิ่งนั้นแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ขึ้นไปใหญ่ นอกจากนี้ คนที่บรรลุนิพพานแล้วย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่า ตนได้บรรลุแล้ว

ความว่างย่อมขาดคุณสมบัติทั้งปวง ปราศจากเครื่องหมายทั้งปวง ความว่างไม่มีอะไรที่จะใช้เป็นเครื่องกำหนดได้ว่านี่คือ ความว่าง ดังนั้น เราจึงไม่มีทางรู้เลยว่าเรามีความว่างอยู่แล้วหรือยัง

ความไม่บรรลุนั้น ที่จริงแล้วย่อมเป็นผลให้เกิดการดับเสียซึ่งตนเอง หรือการลืมตนเองด้วยการละวางอย่างสิ้นเชิง 

ลักษณะของสิ่งที่มีค่าสูงสุดทั้งหลายย่อมมีว่า เราไม่สามารถสำนึกถึงสิ่งเหล่านั้นโดยไม่สูญเสียมันไปได้

ความเป็นอยู่อย่างง่ายและความถ่อมตนก็เช่นกัน

ไม่มีใครสามารถใช้ชีวิตคามเป็นอยู่อย่างง่ายๆ โดยไม่ต้องฝึกเรียน หรือไม่มีใครที่จะสามารถคำนึงถึงความถ่อมตนของตนโดยไม่ชักตนเองไปในทางรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองได้ 

เราจึงไม่สามารถพูดได้ว่า เราได้บรรลุนิพพานแล้วโดยไม่สร้างข้อแตกต่างระหว่างตัวเราและนิพพาน ระหว่างภาวะที่เราเคยเป็นมาก่อนและภาวะปัจจุบัน ระหว่างนิพพานกับสิ่งที่ตรงข้ามกับนิพพาน

และบรรดาข้อแตกต่างเหล่านี้ย่อมเป็นเครื่องหมายแห่งตัวอวิชชาที่ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของโอฆสงสารได้

ที่จริงแล้ว การใช้ภาษานั้นมีอันตรายอยู่ในตัวของมันเอง ตรงที่ด้วยคำกล่าวอะไรก็ตาม จะทำให้ดูคล้ายกับว่าเรากำลังยืนยันการมีอยู่ของส่ิงใดสิ่งหนึ่ง

ในระบบความคิดที่ว่า การไม่กล่าวอ้างเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งของความหลุดพ้น 

เราต้องจำไว้เสมอว่า ระบบนั้นไม่ใช่การเสนอทฤษฎีอันแน่นอนหรือเป็นระบบของอภิปรัชญา คำสอนอันสูงส่งนี้มิได้เป็นเวทีการต่อสู้ของนักตรรกศาสตร์

คำสอนเกี่ยวกับความว่างมิได้สอนเพื่อจะสนับสนุนทฤษฎีของใครต่อต้านทฤษฎีของคนอื่น  แต่เพื่อขจัดทฤษฎีทั้งหลายไปด้วยกันให้หมด ดังนั้น จึงไม่เป็นธรรมแก่สกุลปัญญาใหม่ ถ้าเราไม่ถือว่า ความว่างเป็นปรมัตถ์อย่างหนึ่งที่อยู่เบื้องหลัง อสังขตธรรม (โลกที่มีเงื่อนไข) ทั้งหลาย ทำหน้าที่เหมือนเป็นรากฐานของสังขตธรรมเหล่านั้น หรือเป็นที่พักผ่อนบั้นปลายของเรา

ที่จริงแล้ว คำสอนของนิกายนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่อย่างแน่นอน

นิพพานหาได้แตกต่างจากการเวียนว่ายตายเกิดแม้แต่น้อยไม่ นิพพานไม่ใช่ความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่งซึ่งแยกไม่ออกจากโลก

(พ่อครูแทรกว่า เขาเป็นคนลอยๆ ไม่รับรู้ผลของการกระทำตนเองว่าทำแล้วมีผลอย่างไร ถึงขนาดอกิริยาทิฏฐิเลย เขาว่าเขาอยู่กับความว่างอย่างเดียวทุกอย่างไม่มีอะไร คำพูดก็ไม่มีกิริยาการกระทำก็ไม่มี น่าสงสารพวกนี้นะ)

และจะเป็นการผิดพลาดเท่ากันถ้าไปบรรยายนิพพานว่าเป็นลัทธิเอกนิยมของอภิปรัชญา มุ่งที่จะคัดค้านพหุนิยมของพวกสรวาสติวาท

จริงอยู่ว่าคำสอนของนิกายมาธยมิกมัก จะถูกใช้เป็นตัวแทนของพุทธศาสนาในตำราปรัชญาเสมอ อย่างไรก็ตาม การสถาปนาเอาสิ่งหนึ่งว่าเป็นจริงขณะที่ปฏิเสธสิ่งอื่นทั้งหมด

นั้นเป็นการขัดกับคำสอนของนิกาย ซึ่งพยายามหลีกเลี่ยงทวิภาวะ(dualism) อยู่เอง

ความคิดของนาครชุนย่อมลึกซึ้งกว่านักปรัชญา

ความว่างคือความไม่แตกต่างกันของใช่และไม่ใช่ และสัจจะย่อมเลี่ยงไปจากเรา เมื่อเราพูดว่า เป็นเช่นนั้น หรือพูดว่า ไม่เป็นเช่นนั้น สัจจะย่อมอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในระหว่าง 2 จุดนี้

คนที่อยู่ใน ความว่าง ย่อมไม่มีทัศนคติในเชิงชอบหรือชังแก่สิ่งใด

คำสนของนาครชุนมิได้เป็นลัทธิของทางอภิปรัชญาเลย แต่เป็นคำสอนที่บรรยายถึงทัศนคติที่ปฏิบัติได้ต่อความ ไม่กล่าวอ้าง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ได้มาซึ่งความสงบอันถาวร

ไม่มีอะไรที่เป็นปฏฺิปักษ์ต่อดวงปัญญาของบัณฑิตยิ่งไปกว่าการต่อสู้คัดค้านหรือสนับสนุนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความสงบของบัณฑิตเยี่ยงนี้เป็นหัวใจของทฤษฎีไดอะเลกติกแบบมาธยมิกแสดงไว้ในพระไตรปิฎกรุ่นก่อนหน้านาครชุนอย่างชัดเจน คือสุตตนิบาต(คาถาที่ 796-803) ซึ่งทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนไม่มีทางพลาด และเป็นสูตรที่เก่ามากในสังยุตตนิกายพระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า (พ่อครูว่า เขากล่าวอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้าแต่ความคิดของเขานั้นตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลย)

เราไม่ต่อสู้กับโลกแต่โลกต่อสู้กับเรา เพราะคนที่รู้ธรรมแล้วย่อมไม่ต่อสู้กับโลกเป็นอันขาด สิ่งที่นักปรัชญาในโลกถือว่ามีอยู่ เราก็สอนว่ามีอยู่ สิ่งที่นักปราชญ์ในโลกถือว่าไม่มีอยู่ เราก็สอนว่านั่นไม่มีอยู่

วิภาษวิธีแบบนาครชุนนั้นไม่มีจุดประสงค์จะได้บทสรุปอย่างใดเลย แต่มีจุดมุ่งหมายจะทำลายความเห็นทุกอย่างและลดความยึดมั่นถือมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งให้กลายเป็นความเหลวไหลเสีย

พ่อครูว่า....ถ้าธาตุน้ำ H2O แตกตัวไป ก็คืออรหันต์ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ถ้ายังไม่ปรินิพพานคือตายจากร่างนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ถ้าปรินิพพานคืออัตภาพแยกไปเหมือนน้ำที่แยกธาตุไปแล้ว ท่านก็แยกแตกไป สลายไปไม่เป็นพีชะหรือจิตนิยามแล้วแต่อรหันต์ถ้ายังอยู่ก็จะยังชีวิตเหมือนพีชนิยาม ไม่ทำโทษต่อใคร แต่ทำประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง ตนเองไม่มีอปรโคยาน พระอรหันต์เก็บกัมมันภาพรังสีเกลี้ยงเลย ตนเองไม่มีโทษ แม้แต่ปะทะก็ไม่รุนแรง มีปฏิฆสัมผัสโส ไม่ให้เกิดตัวนิวเคลียสแตกระเบิด ถ้าระเบิดจะต้องชำระล้างให้ออกไปหมดเลย เหมือนอย่างพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พยายามดูดดึงเอาของดีมาใช้ไม่ให้เกิดของเสีย แต่ที่ทำทำระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ เอาพิษเสียไปกระจายสู่คนอื่นไป


ก็จะยกตัวอย่างให้ถึงๆสักอัน

มีคนเคยถามอาตมาว่า เป็นพระสารีบุตรมาเกิดหรือไม่? อาตมาก็บอกว่าใช่....คนก็เลยนึกว่า อาตมาคือคนๆหนึ่ง ที่มีแม่ชื่อว่าสารีบุตโต (ในอดีตพระสารีบุตรมีแม่ชื่อสารี) อย่างแม่อาตมาชื่อบุญโฮม เขาก็เรียกอาตมาว่า ลูกแม่โฮม ในยุคพระพุทธเจ้าพระสารีบุตรก็เป็นคนๆหนึ่งมีแม่ชื่อสารีบุตร 

แล้วท่านก็มาเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า คนนั้นแหละคืออาตมา อาตมาก็ว่าดินน้ำไฟลมแท่งนี้ กับดินน้ำไฟลมกับรูปร่างพระสารีบุตรยุคโน้นเป็นคนละคนกับ เขาก็บอกว่าอาตมาเอาวิญญาณมาเกิด อาตมาก็ว่าดินน้ำไฟลมอาตมากับพระสารีบุตรมันคนละอันกันนะ เขาก็ แย้งธาตุรู้

อาตมาก็ว่า ธาตุรู้ในอดีตที่มันดับไปแล้ว พระสารีบุตรดับปรินิพพานไปแล้ว แยก H2O ไปแล้ว แต่ธาตุรู้ที่ยังเหลือนี้เป็นความจำ จำได้เป็นประวัติ แล้วประวัตินี้คือนามธรรม ที่แปรเปลี่ยนได้ง่าย แปรปรวนได้ง่ายแล้วนามธรรมใดที่ได้สำทับ ย้ำให้แน่นนานอยู่ได้มันก็นานมา ก็จะย้ำสำทับให้อันนั้นแน่นตกผลึก ให้จำให้ดี แต่จะนานช้าหรือเร็วก็ตาม ความหมายก็คือ ความรู้ เพราะมันเป็นความจำที่จำความรู้ เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมที่มีความรู้ จุดสำคัญคือ ความรู้ที่จำมาคือความรู้ (ผิดหรือถูกก็แล้วแต่จำมา) 

ความหมายก็คือ ความรู้นั้นคืออะไร ถ้าความรู้นั้นมันก็ไม่ใช่ของใคร ความรู้นี้ที่อาตมาได้มา ไม่ว่าจะเป็นพระสารีบุตรได้มา ของใคร ถ้าเราจะบอกว่าของนั้นของใคร ถ้าอาตมาจำความรู้นั้นมา หรือพระสารีบุตรท่านจำได้แล้วท่านก็แยกสลายไปแล้ว ถ้าอาตมาจะนำความรู้นั้นมา แล้วอาตมามาเกิดตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่ H2O ตอนนั้น อาตมามาเกิดกับแม่พ่อตอนนี้ ถ้าอาตมาเอาความรู้นั้นมา แล้วพระสารีบุตรเลิกแล้ว แล้วความรู้นี้เป็นของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่ของพระสารีบุตร ท่านแยกอัตภาพไปแล้วด้วย แต่ความรู้นั้นเป็นความรู้ของโลก พระพุทธเจ้าว่าในโลกนี้ความรู้นั้นก็มีของมันอยู่ เรามารู้ความรู้นั้นได้ 

ถ้าเราจะบอกว่าความรู้นั้นของใครก็บอกว่าของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นต้นธาตุต้นธรรม ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็เป็นต้นธาตุต้นธรรม พระพุทธเจ้าองค์ที่แล้วปรินิพพานไปก็จบ พระพุทธเจ้าองค์ไหนปัจจุบันก็เป็นเจ้าของสัมมาสัมพุทธะ องค์ไหนปรินิพพานแล้วก็หมดสิทธิ์(แต่สำคัญที่ความรู้ขององค์ที่ปรินิพพานไปแล้วก็เหมือนกันตรงกัน อย่างเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนกับของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) ไม่ผิดเพี้ยนกันเลยเหมือนกันเลยแต่คนละอันกัน ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนก็ปรินิพพานไปแล้ว มันอันเดียวกัน คนเลยสับสนระหว่างของพระสมณโคดม กับของพระกัสสปะพระพุทธเจ้าก็อันเดียวกันแต่ไม่อันเดียวกัน 

จะบอกว่าพระสมณโคดม เป็นพระกัสสปะพระพุทธเจ้ามาเกิดก็ไม่ได้ ก็ใช้ภูมิเช่นเดียวกันกับพระสารีบุตร ถ้าบอกว่าอาตมาคือพระสารีบุตรก็ต้องบอกว่าพระสมณโคดม เป็นพระกัสสปะพระพุทธเจ้า(ผมไม่ใช่พระสารีบุตรเพราะผมพัฒนาไปแล้ว) 

"จริง" อยู่ในปัจจุบันนิดเดียว ผ่านปัจจุบันไปแล้วหมดจริง แต่เราจะอาศัยจริงทุกจุด อนาคต คือสิ่งที่เดินทางและมีอยู่  อนาคตเดินทางมาถึงปัจจุบันก็เดินทางไป อนาคตก็เดินทางไปเรื่อยๆ ไม่ถึงเมื่อไหร่มันก็เป็นอนาคต แต่มาถึงเมื่อไหร่มันก็เป็นปัจจุบันทุกตัว อดีตก็มีประโยชน์ที่เราจะอามาใช้เป็นฐานการเรียนรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ดีก็เป็นตัวอย่างในการทำต่อ ที่ไม่ดีก็ไม่ให้เกิดในเราเลย เราต้องระวังปัจจุบันกับอนาคต แต่อดีตเราแก้ไม่ได้ กรรมปัจจุบันนี่แหละเป็นของจริง  จะดีหรือไม่ดีก็ตรงนี้แหละ ถ้าคุณรักษาดีในปัจจุบันต่อไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อยๆ อันนี้คือวิเศษที่สุด 

ปัจจุบันมีสิทธิ์มีกว่าอดีตกว่าอนาคต แล้วถ้าเรายืนยันที่ดี แล้วให้ดีเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ อนาคตไม่มีก็ได้ อดีตก็อยู่ที่ปัจจุบันดีได้เรื่อยๆ ปัจจุบันนี่แหละคือผล จะทุกข์หรือสุข จะดีหรือจะชั่ว อันนี้แหละ แต่อดีตก็มีประโยชน์ในการศึกษา 

ความจริงมีจริงในปัจจุบัน ถ้ามันยังมีต่อไปไม่หยุดก็คือความจริงที่ต่อไปเรื่อยๆ อาตมารักษาความจริงความดี อันไหนจริงดีอาตมาก็รักษาไว้ อันไหนไม่จริงก็ไม่เอา ถ้าทุกปัจจุบันสืบต่อไปก็จะมีเรื่อยๆ ต่อถึงอนาคต ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ หากคุณไม่ล้างสุข/ทุกข์ออกจากจิต มันก็มีอยู่กับคุณไป แต่ถ้าคุณล้างสุข/ทุกข์ จนไม่เกิดในจิตเลย จิตก็จะไม่มีอารมณ์สุข/ทุกข์ ดีหรือชั่ว คนปฏิบัติธรรมของพุทธ เอาที่ว่า ไม่มีสุข/ทุกข์เลย ส่วนดีหรือชั่ว เราไม่ยึดดีไม่ยึดชั่วและเราก็ทำจิตเราไม่สุข/ทุกข์ได้ คำว่าดี/ชั่วก็คือกรรมส่วนสุข/ทุกข์คืออารมณ์ จิตคุณก็ปราศจากความสุข/ทุกข์ไม่ยึดดี/ชั่ว นั่นคือจุดความเป็นอรหันต์ นิพพาน ไม่มีสุข/ทุกข์ ไม่มีชั่ว/ดี แต่รู้แจ้งภาวะเหล่านั้นอาศัยภาวะที่ควรที่สุด ดีที่สุดในปัจจุบัน สุขทุกข์ไม่มีแต่เห็นว่าอันไหนควรที่สุดดีที่สุด ปัจจุบันมี ดี/ควร ผ่านไปไม่มี อันนั้นยิ่งสูงลึกซึ้งกว่าไม่สุขไม่ทุกข์อีก 

แต่ถ้าคุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณก็ยังมีอยู่ ก็ต้องระวังดี/ชั่ว ไม่ว่าจะกรรมกาย วาจา ใจ ถ้าทำขึ้นมามันก็ต้องมีดี/ชั่ว พระอรหันต์คือ สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา 

คนไม่เข้าใจว่าอันนี้ก่อกิเลสอย่างไร ผู้จะทำให้ตนได้ต้องรู้ว่าจะก่อกิเลสอย่างไรแล้วกำจัดกิเลส อันนี้มันก่อทางกาย วาจา มันเกิดจากกิเลสในใจ คนนี้สามารถไม่ทำสิ่งชั่วได้หมดเลย แม้แต่ในใจก็ไม่มีกิเลส ผู้นี้ก็ปลอด ปราศจากอกุศลจิตหรือบาป คุณต้องมีปัญญาแยกแยะดีชั่ว อรหันต์ท่านจะไม่มีแอบแฝงเลย แต่ความรู้ของท่านมีเท่าใดท่านก็มีเจตนา มีประสงค์ เจตนาก็เป็นกรรม ส่วนจะเป็นบาปหรือบุญ ก็เอาผิดอรหันต์ไม่ได้ เพราะท่านไม่มีเจตนาชั่วเลย แต่จะไปบังคับคนไม่ได้จะให้อรหันต์ทำดีมากว่าที่ท่านมีไม่ได้ 

ยกตัวอย่างจะบังคับให้อาตมาเป็นนายกฯอาตมาไม่มีภูมิเลย อาตมาทำกับพวกเรากลุ่มเล็กๆยังพาเจริญอย่างพรวดๆไม่ได้ ยังช้ายังอืดด้วยนะ อาตมารู้ตัวว่าไม่เก่ง อาตมาไม่บ้าไปเป็นนายกฯหรอก เพราะรู้ตัวดี อย่างพาพวกเราทำสัมมาอาชีวะก็ได้แค่นี้ แต่ก็ดีไม่ฟ่ามเกินจนเชื้อโรคเข้ามาพัง

ในฐานะของคน เลยเห็นว่า คุณตู่นี่มีความกว้างกว่าเยอะ มีบารมี แต่อาตมาเด่นทางธรรมะที่ยากและลึก คนจะมาเอาก็ต้องน้อย 

ส่ิงดีสิ่งชั่วเป็นองค์ประกอบของเราเอง ที่พาสุข/ทุกข์  เป็นสิ่งที่นึกว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น คนชั่วที่เขานึกไปสารพัดว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น มันก็อยากได้ไปสารพัด คนชั่วก็ยังทุกข์เลย มันอยากได้ขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ใจอยากได้น่าได้เท่านั้นก็ทุกข์แล้ว เพราะฉะนั้นชั่ว/ดี นั้นเอาออกก่อน คุณยังหลงชั่ว/ดีว่าสุข มันก็มีอยู่นั่นแหละ คนชั่วเขาได้ทำชั่วสมใจเขาสุขนะ การไปหลงชั่ว/ดี ว่าสุขมันก็เป็นของหลอก เขาทำดีก็สมใจก็สุข แต่ผลเสียน้อยกว่าชั่ว เพราะฉะนั้น สุข/ทุกข์ กับชั่ว/ดีนั้นสำคัญ

ถ้าเราควรทุกข์ ควรทุกข์ในดีหรือชั่วก็ทุกข์ในดี ก็ดีกว่า คนเราจะทุกข์หรือสุขก็อยู่กับดี อย่าอยู่กับชั่ว แล้วเป็นอันนั้นให้ได้

ทุกข์/สุข นั้นไม่จริง แต่ดี/ชั่วนั้นเป็นสิ่งต้องมี แล้วควรมีแต่ดี สุดท้ายแม้แต่ดีก็ไม่สุข ส่วนทุกข์นั้นเอาออกก่อนเลย การได้ดีแล้วยึดดีเป็นกิเลสก่อสุข/ทุกข์ 

อดีตจะเกิดเพราะสุขอันนี้ สั่งสมเอาไว้อีกหรือทุกข์สั่งสมเอาไว้อีกก็ไม่มี เมื่อไม่สุขทุกข์ อดีตก็ไม่เกิดกับปัจจุบันอีก ทั้งสุข/ทุกข์ อนาคตก็ไม่เกิด มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น นี่คือจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบนามธรรมในปัจจุบัน

อ่านอารมณ์นี้ออก อาตมาจะได้อาศัยอธิบายในโอกาสต่อๆไป ถึงอารมณ์ว่าสุขว่าทุกข์นี่แหละ ซึ่งสุขทุกข์นี้ท่านใช้ชื่อเรียกว่า"เวทนา" อารมณ์หรือความรู้สึกมันสุขมันทุกข์ ถ้า"อ่าน"อันนี้ไม่ได้"ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์" จะว่าไปแล้วตั้งแต่เริ่มต้นไม่มีสิทธิ์เป็นอาริยะโสดาบันก็ด้วย แต่โสดาบันรู้สุขทุกข์อย่างหยาบๆแล้วเลิกสุขทุกข์หยาบๆกับเหตุปัจจัยหยาบๆได้ เหลือละเอียดเหลือสูงๆขึ้นไปอีกเท่าไหร่ๆก็ค่อยๆไล่ขึ้นไปตามลำดับ

อาตมาก็มาเรียนรู้ หรือว่ามาทำงานในสิ่งนี้สภาพอย่างนี้ แล้วก็จะทำต่อไป ในชีวิตนี้ที่จะมีอายุยาวยืนไป จะพยายามรักษาพากเพียรให้มีอายุต่อไปอีก อาตมาก็บอกอีกว่า อาตมาไม่ได้ทำเพื่อที่จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ให้คนมายกย่องชมเชย ให้ได้รับความนับถืออะไร ก็ไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะอยู่เสพกาม หรือความเป็นอัตตา อาตมาก็ศึกษา อาตมาว่าอาตมารู้อัตตา 3 แล้ว ไม่สร้างอัตตาให้ตนเองอีก แต่อัตตาคือตัวตนที่จะอาศัยเท่านั้น ก็สักแต่ว่าอาศัย ไม่ได้ยึดว่าเราต้องได้ต้องมีต้องเป็น ต้องประคบประหงมอะไรๆไว้เกินการณ์ เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ ยังชีพเพื่อมีชีวิตไปอยู่ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า"อัปปติฏฐัง อนายูหัง" คือเราไม่พักเราไม่เพียร นี่คือผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว

"เราไม่พัก" ก็คือ เพียร(อัปปติฏฐัง)
"เราไม่เพียร" ก็คือ เราพัก ถึงเวลาควรพักเราก็พัก(อนายูหัง)

จริงๆแล้วชีวิตก็มีเท่านี้เองในมนุษย์ อย่างอาตมาว่าอาตมาเข้าใจอันนี้อย่างชัดเจน และอาตมาก็อยู่อย่างไม่พักไม่เพียรนี่แหละ แต่เพียรมากกว่าพัก เพราะเวลาคนนี่ มันเพียรได้มากกว่า "พัก"มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก เราก็เลยต้องมีชีวิตอยู่เพื่องานนี้ เพื่ออันนี้ และเพื่อสร้างคน หรือเพื่อทำให้คนเป็นชนิดที่อาตมาได้มาจากพระพุทธเจ้าว่า คนที่จะเป็น"มนุษย์อุตรกุรุทวีป" เป็นคนอย่างนี้ เป็นคนอยู่ในโลกเหนือโลก เป็นคนที่เป็นครูของโลก หรือเป็นกุรุของโลก เป็นกุรุชนิดอุตระ ชนิดมีโลกแต่ไม่ได้ติดโลก ไม่ได้มีโลก ไม่ได้เอาโลกกับเขา ไม่ได้วนๆไปกับเขา ชัดเจน จะร่วมด้วยก็ร่วมด้วยเหตุปัจจัยเจตนา ร่วมได้แล้วก็จบ ไม่ได้ไปติดไปยึด ไปถือไปสาไปเอาอะไรด้วย

สรุปแล้วที่อาตมาทำงานอยู่ตอนนี้ ก็ขอยืนยันว่า แม้แต่จะไปเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไปสู่งานกับจังหวัด กับวัดหลวง กับประชาชนที่ไม่ใช่เป็นชาวอโศกทีเดียว ก็เพื่อที่จะสืบสาน เสริมสร้างให้เกิดคนชนิดนี้แหละ มนุษย์อุตรกุรุทวีปนี้แหละต่อไป ให้แก่โลกอีก ...

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) มันมีสองก็ทำอันหนึ่งให้หายไปก็ทำให้เป็นหนึ่ง แต่ทำหนึ่งได้แล้วคุณก็อยู่กับสอง อยู่อย่างดีสบายอุบอุ่นดีงาม

จิตวิญญาณเป็นพลังงาน อาตมาก็เอามาเทียบกับวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิทยาศาสตร์เขาจบที่ปฏิกิริยาลูกโซ่ของการสัมผัสเกิดแตกตัวไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งแตกตัวนี้ไปเป็นพลังงานบางเบาหรือแรงก็ได้ จบด้วย สองอย่างคือ fission กับ fusion คำว่า fission ไม่รับผิดชอบ มันหายไปเป็นธาตุเบา ส่่วน fusion รวมกันกลายเป็นธาตุหนัก ส่วน fission คือมีhalf life ที่มีชีวะครึ่งหนึ่ง ที่หายไปนี่คือชรตา ท่านไม่ตรัสว่า 0 แต่ท่านว่า ชรตา เพราะส่ิงนั้นยังมี ถ้าสิ่งที่ไม่มีเลยก็ไม่ต้องพูดเลย แต่บทความนี่เขาตีทิ้งวาทะแต่เขาก็ใช้วาทะนั้นเอง เขาว่าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ มีหรือไม่มีก็ไม่ใช่ แนวคิดเป็นปรัชญาใหม่เขาไม่เอาจุลสุญตสูตรของพระพุทธเจ้าว่า ศาลานี้ว่างจากช้าง ก็มีอย่างอื่น แต่ถ้าคนออกไปหมดก็ศาลานี้ว่างจากคน แต่ไม่ได้ว่างจากเสา จากอย่างอื่น ต้องรู้ว่าอะไรจะให้มีหรือไม่มี

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าไม่รู้ก็คืออวิชชา มันจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม คำว่าอรูป ไม่อยู่ในนามธรรมแล้ว อรูปเป็นสสาร พลังงานเป็นมหาภูตรูป ไม่เกี่ยวกับเวทนาด้วย อรหันต์คือผู้ศึกษานามธรรม รู้เนกขัมมะ กับเคหสิตะ ทำกิเลสให้ดับสูญได้จริง อยู่กับปรมังสุขัง ต้องรู้อาการทุกข์ละเอียด ทุกข์โทมนัส กิลมถะ หรือทรถะ คุณยังมีขันธ์ 5 มีทุกข์เลี่ยงไม่ได้อีกหลายอย่างก็ต้องจำนน แต่เราก็อยู่ทำประโยชน์ต่อสิ่งรอบข้างต่อคน การอยู่ว่างๆกับการทำสิ่งดีอะไรน่าทำกว่ากัน คนมีปัญญาพอสมควรก็พอเข้าใจแล้ว

ชีวิตสรุปแล้ว ตราบใดคุณมีขันธ์ 5 ไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะเห็นว่าควรอยู่หรือไป จะอยู่กับรูป 4 คืออุปจยะคือการเกิด จะไม่ต่อสันตติก็ไม่ต่อได้ไม่เกิดได้จริง ถ้ายังเกิดอยู่มันก็ต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป สิ่งใดเกิดมาไม่สูญไม่มี เป็นแต่เพียงคุณมีทศนิยมไม่รู้จบ มันก็ไม่สุดสิ้น ไม่สามารถทำความสุดสิ้นได้ พลังงานมันกระตุ้นให้เกิดอยู่ตลอด แล้วคุณไม่รู่ว่าคุณมีลหุตา เบาสูญที่จะลดละได้หรือไม่ คุณไม่ได้เรียนรู้อย่างต้น กลาง ปลาย ที่จะไม่ให้เกิดทศนิยมได้ ด้วยรายละเอียดอย่างยิ่งคุณก็ไม่จบ แต่ถ้าทำได้ก็จบ 

แม้เป็นนามธรรมเป็นอรูปขนาดไหนก็เรียนรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค  นิมิต อุเทส

ในลักขรูป 4มี ลหุตา คือบางเบา มุทุตาคือจิตเร็วไวหัวอ่อนปรับได้เร็ว มันไม่หนืดทื่อ รู้เร็วไว ปรับก็เร็วไว มุทุตา และทำกรรม คือ กัมมัญญตา ตามที่คุณกำหนด ลักษณะความแรงเบา ก็คือลหุตา คำว่าลหุตาคือสุภาพ เราจะทำอย่างประมาณกับบริษัทอย่างพวกเราอาตมาพูดแรงหยาบกับพวกเราได้ เพราะเขายังไม่เชื่อมั่นอาตมา เขายังต้องอ่านอาการ เขาตีอาการนี้ว่าหยาบ แต่อาตมานี่หยาบได้เพราะพวกคุณยอมรับว่าพวกคุณหยาบหนา อาตมาจะหยาบพวกคุณก็ไม่ว่า คุณไว้ใจเชื่อถือก็เลยแรงได้ก็ต้องประมาณอย่างเหมาะควร แต่ทว่า ขณะนี้ออกอากาศไป อาตมาพูดกับพวกคุณ และออกอากาศไป หลายคนอาจถือสา อาตมาก็ต้องรับวิบากนั้นเพื่อให้คุณได้รับมากขึ้น กับให้คนที่แสวงหาที่เขารับได้ ยิ่งเขาฟังหลายๆเที่ยวจะเข้าใจได้ 

เราเรียนรูป คือสิ่งที่ถูกรู้แม้เป็นนามธรรม ต้องเกียวกับมหาภูตรูปที่เป็นของจริงใช้ทวาร 5เป็นปสาทรูป 5 ทำงานแล้วมีโคจรรูป 5 ทำงานร่วมกันเกิดส่ิงที่ปรากฎเรียกว่าภาวรูป เป็นปาตุภาวะ เกิดเป็นชิ้นเป็นอันเป็น กายกรรม วจีกรรม เกิดเป็นภาษาแสดงความนึกคิด แสดงออกแก่กันและกัน แล้วไปเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ตามแต่เหมาะกับฐานะของเรา ตามฐานะศีลของเรา ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 26 

เมื่อเราเข้าใจ ลหุตา มุทุตาก็ทำให้เกิดวิการรูป คือวิที่วิเศษ อันที่ไม่ดีไม่ทำ ทำแต่สิ่งที่ดี เท่าที่จะเหมาะสมที่คุณประมาณก็ประกอบกัมมัญญตาออกมา แล้วจิตของคุณมีรูป 28 ที่ลงท้ายที่ความไม่เที่ยง ปัจจุบันอยู่ที่ปลายเข็ม ทางวิทยาศาสตร์เขาจบที่ควันตัมและโฟตอน ถ้าเคลื่อนก็เป็นควันตัม แล้วถ้าหยุดก็เป็นโฟตอน เขาก็เถียงกันว่าแสงเป็นควันตัมหรือโฟตอน ซึ่งมันกลับไปมาได้ แต่คุณแม่นสภาวะได้ก็จบเลย แล้วทุกอย่างที่เกิดแล้วไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง มีเที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน 

อุปจย(เกิด) ชรตา(เสื่อม) กับสันตติ  คุณกำหนดได้ จะให้เสื่อมก็ตัดสันตติคือชรตา คือนิวเคลียร์ fission เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปหาธาตุเบาไปหาสูญ คุณจับนามธรรม รูปธรรมมาเป็นตัวเป็นตนแล้วคุณต้องเลือกส่ิงดี ถ้าเลืิอกไม่เป็นก็เลือกผิด แต่ถ้าเลือกเป็นก็ให้ทุกปัจจุบันมีแต่ดี จนกว่าจะตายตายก็มาต่ออีก   จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงที่จะให้ไปก่อหรือสร้างอะไรก็อยู่ที่ปัญญาเห็นควรหรือไม่? 

เราอาศัยใช้ได้ แต่อย่าเอาไปทำชั่ว เช่นไอสไตน์ คิดนิวเคลียร์ เราก็เอามาใช้เพื่อสันติภาพ แต่นี่เอาไปทำระเบิดเอาไว้ขู่กันอีก....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:29:03 )

580608

รายละเอียด

580608_ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 34  สุข-ทุกข์ ดี-ชั่ว มี-ไม่มี ที่ต้องสำนึก ตอน 2

พ่อครูว่า....วันนี้วันที่ 8 มิ.ย. 2558  แรม 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม ...อาตมาอธิบายอะไรค้างไว้วานนี้ อธิบายเรื่องของ ความดี ความชั่ว ความสุข ความทุกข์ สี่ตัวนี้ ที่บอกกำชับให้พวกเราทำความเข้าใจให้ดี ว่า 4 ตัวนี้คือตัวไข การควบคุมกรรม กรรมคือพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ทั้ง 3 พฤติกรรมของคน ผู้สามารถจัดการคุมมโนกรรม 

จิต มโน วิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คือ กาย เรายืนยันในพระไตรฯล.16 ข.230 

วิญญาณเป็นองค์รวมใหญ่ พระพุทธเจ้าหมายวิญญาณว่าต้องมีครบพร้ององค์รวม วิญญาณเป็นสภาพที่มีทั้งรูป/นามครบ พระพุทธเจ้าเลยบอกว่า ถ้าตายไปแล้ว จะเป็นวิญญาณล่องลอย พระพุทธเจ้าว่าไม่ต้องไปคิดอันนั้น วิญญาณต้องมีผัสสะครบ 6​ทวาร แล้วเราจะรู้จักกาย 

พระพุทธเจ้าว่า ผู้เป็นบัณฑิตหรือพาลก็ตาม ถ้าไม่ได้ลดความไม่รู้ รูป/นาม ที่เป็นธรรมะสองแล้วทำให้เป็นหนึ่งได้ จะทำให้มากขึ้นก็ได้ในอิทธิวิธญาณ ที่บอกว่า  เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ 

หนึ่ง ขยาย เป็นมากเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เรากำหนด หรือให้หลากหลายรวมเป็นหนึ่งก็ได้ เป็นการคุมนิวเคลียร์ ฟิวชั่น ฟิชชั่นได้ ผู้เรียนรู้จิตเจตสิกต่างๆและวิญญาณที่สัมผัสรู้องค์ประชุม รูป/นาม รู้กระแส บวก/ลบ รู้สภาวะอิตถีภาวะ/ปุริสภาวะ คือรู้เพศชาย/หญิง หรือจะเรียกว่ารู้โปรตอน/นิวตรอน เป็นธรรมะสองส่วนสองสภาพ ถ้าจัดการสองสภาพนี้ได้ 

นิวตรอนคือผู้สามารถทำจิตตนให้มีฐานของอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีพลังงานศักย์ที่เข้าถึงเป็น potential energy เป็นพลังงานแฝง ผู้มีตาทิพย์ของพุทธรู้พลังงานแฝงได้ เริ่มต้นให้เป็นพลังงานนิ่ง รู้ถึงสิ่งที่แตกตัวเป็น genome เมื่อมันเคลื่อนไหวออกมาเป็นวจีวิญญัติหรือกายวิญญัติให้รู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

เราจะสามารถรู้นิวตรอนที่เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา รู้รูป 28 ที่เกิดมีปฏิกิริยา ปฏิฆสัมผัสโส มีการกระแทกออกมา เราเป็นผู้ควบคุม nuclear reactor สามารถรู้อนุโลมปฏิโลม จะไปซ้ายหรือขวา บนหรือล่างเราก็คุมได้ เหมือน x ที่เราควบคุมได้ จะให้บานออกนอกหรือว่าให้ไปเป็นปิรามิดสี่เหลี่ยม จับยอดกลางให้เป็นมุมได้หรือเป็นระนาบก็ได้ ดึงขึ้นให้เกิดเหลี่ยมมุม หรือให้เล็กลง กว้างขึ้น วนครบรอบเลยก็ได้ เพศชายจะมีพลังงานคุม xy ได้ คุมนิวเคลียร์ฟิชชั่นหรือฟิวชั่นได้ ให้เป็นวิการรูปที่ เบาเท่าไหร่ก็ได้ เป็นลหุตา ตามบารมีนะ ที่คุมได้เท่าใดก็แล้วแต่ของคนนั้น 

จะรู้พลังงานที่เคลื่อน โดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้ว่าจะทำเครื่องหมายขนาดนี้นะ จัดวงจรของมันอย่างเป็นช่างใหญ่เลย สามารถควบคุมต่อตรงนั้นเพ่ิมตรงนี้ขยายตรงนี้ได้หมด เก่งกว่า สตีฟ จ๊อบเลย สามารถคุมให้มากหรือน้อยได้ เมื่อชำนาญเมื่อสามารถทำเอกัคคตาจิต 

เมื่อสามารถควบคุมพลังงานบาปได้ จะสร้างจิตให้เกิด เป็นญาณเปลื้องปล่อยไม่ยึดถือไว้แล้วก็ปฏิบัติรักษาผลเป็นอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง จะชำนาญเกิดความรู้ ละเอียดในปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา จิตมุทุของคุณจะยิ่งแววไวละเอียดอ่อน รู้ก็เร็วไว เราควบคุมได้ด้วย ฝึกไปจะเก่งจะชำนาญได้อย่างแท้จริง 

เรารู้อาการจิต ที่จะมีพลังงานกระแสบวก/ลบ ในนิวตรอนกับโปรตอน=xy แต่ในผู้เป็นเอกบุรุษสามารถอนุโลมปฏิโลม โดยสามารถควบคุมได้ เป็นปริสัญญุตา ปุคคลปโรปรัญญุตา โดยเรารู้อัตตัญญุตา มีอัตถัญญุตา เราจะเอามาใช้เท่าไหร่ เรารู้ตัวเราว่าตัวเราก็เท่านี้จะอนุโลมไปกับเขาได้เท่าไหร่ เหมือนช่วยคนตกบ่อจะช่วยได้เท่าไหร่เราต้องรู้รอบ ทั้งเราเขา จะอนุโลมเท่าไหร่ โอกาสอย่างนี้ควรทำไหม ถ้ากาละนี้ควรทำเราจะอนุโลมได้อย่างไม่ประมาท เผื่อพอให้น้อยไว้ อย่ามากอย่าห่าม เราอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมฯ จะเป็นมวลสนามแม่เหล็ก 

หากเอาแต่ตนเองเป็นใหญ่โดยไม่เอาหมู่ที่จะช่วยคิดช่วยทำ ไปไม่รอด เราไม่ทำเช่นนั้น แต่เราจะทำงานเป็นทีม ทุกวันนี้สนามแม่เหล็กเราเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่สนามแม่เหล็กโลกีย์มันมหาศาล เราต้องรู้ว่าเราจะไปสู่สังคมได้ขนาดไหน หากมากไปไม่ได้ เราต้องกำหนดเขต รู้ประมาณ ที่เอาสังขยาเลข 1 ถึง 9 เราจะขยับเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าไหร่ ปิรามิดของสี่เหลี่ยม x ที่จะยืดหรือหดให้มากน้อยเท่าใด 

ถ้าเรามีความรู้ความเข้าใจในนามธรรมเรา เราสามารถฝึกฝนจิตเราตามกรรม เราคุมจิตเรา เพราะเราได้ฝึกในภาวะกระทบสัมผัส ทุกทวาร เราก็ฝึกกระทบเมื่อไหร่ก็เกิดพลังงาน แม้แต่พลังงานที่เป็นธรรมะสอง เป็นโปรตอน/นิวตรอน มีพลังงานรอบๆเป็น อิเล็กตรอน เราจะประมาณอิเล็กตรอนที่จะไปสัมพันธ์กับคนอื่น  เรากำหนดแรงงานภายนอกเท่าใดก็ได้ 

ผู้ปฏิบัติถึงจิตว่าง ในฐานอากาศ เข้าใจถึงฝึกฝนมา ถึงควบคุมจิตได้เป็นปริเฉทรูป ขั้นอากาศ ภาวรูป เมื่อกระทบสัมผัส ปสาทรูป โคจรรูป เกิดสัมผัสกันแล้ว เราก็จะจับที่วิญญาณ จิต มโน แล้วเราก็คุมตรงนี้ดูแลตรงนี้ในการทำสมาธิลืมตา แล้วเราก็อ่านจิตอ่านใจฝึกฝนปฏิบัติไป 

เมื่อมันเกิดสองสภาพ เกิดรูป/นาม เป็นภาวรูป  รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ psychoanalysis ด้วยการทำมรรค 7 องค์ไม่ใช่นั่งหลับตา ควบคุมกรรม ที่พาเกิดสุข/ทุกข์ เกิดดี/ชั่ว

สุข/ทุกข์เป็นภาวะปรมัตถ์ ดี/ชั่วคือภาวะสมมุติ 

สมมุติคือกุศล ส่วนสุข/ทุกข์คือบุญ/บาป ตัวทุกข์คือบาป ส่วนสุขคือบุญ ที่จริงคำว่า สุ นี่แปลว่าดี คำว่า ข นี่แปลว่า ว่าง มันไม่ใช่รสโลกีย์มันทำให้ว่างคือฐานว่างอากาสาฯ 

ให้ปรับมาสู่วิตกวิจาร คำว่า จาระ คือพฤติกรรม เราอ่านจิต เจตสิกเรามันเกิดแล้วเราก็จัดการ มันดำริอะไรเราก็ดับพยาบาทดำริ กามดำริ พลังงานไฟฟ้า ผลัก/ดูดนี่แหละ สังขิตตังจิตตัง/วิกขิตตังจิตตัง คุณควบคุมได้ มีเจโตปริยญาณ 16 ก็ทำให้ดียิ่งขึ้นอย่าให้จับกุมตัวจนแยกไม่ออก ไปนั่งหลับตาให้เป็นถีนังมิทธังหรือสังขิตตังอย่างเดียวหรือฟุ้งไปจับไม่ติดเลยวิกขิตตังจิตตังก็ไม่ได้ ต้องดูแลควบคุมไปตามลำดับตั้งแต่กำหนดข้อศีล 5 ไปเป็นอย่างน้อยให้เรารู้ขอบเขต 

ชีวิตเราตัวเราครอบครัวเดียวมีเงิน 10 ล้านนี่ก็มากเกินไปแล้ว ถ้าเกิน 10 ล้านนี่สะพัดสู่สังคมได้แล้ว แต่ทุกวันนี้รวบรวมไว้กับตน ไม่ปล่อย อย่างบิลเกต กับวอเรนบัฟเฟต นี่อาตมานับถือวอเรนมากว่าบิลเกต เพราะว่าบิลเกตเขาบำเรอตัวตนเยอะกว่าวอเรน ตัววอเรน บัฟเฟต เวลาสละทำทานนี่ แก่บริจาค 80 % เลย ของที่มี จิตมันต่างกันเลย 

โดยหลักเศรษฐกิจ เรามากักตุนไว้ เงินมันเป็นตัวเลขของกระดาษ ยึดเป็นเราเป็นของเราตะกละไม่เสียสละออก มันก็เป็นอำนาจเป็นของๆคุณ แต่ถ้าคุณสละออกไป นอกนั้นจะมีอีกเท่าไหร่ก็สะพัดออก แต่วิธีการเก่าๆเขาเอาใส่ตุ่มฝังดิน แต่สมัยใหม่นี่ มีกับตัวไว้เก็บไว้อย่างดี แล้วไม่เอาออกสะพัดนี่แหละตัวกูของกู เหมือนขี้แล้วไม่ให้หมารับประทาน กลิ่นก็ไม่ให้หมาดม มันคุม ไอโซโทปเลย ยึดปฏิกิริยานิวเคลียร์ไว้หมดเลย 

แต่เรามาทำแบบควบคุมนิวเคลียร์กัมมันตรังสีได้แบบเอาไปใช้ได้เป็นประโยชน์ต่อโลก เราจะทำแบบในหลวง ทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไม่ใช่ว่าเราได้มากๆคือความเจริญ ไม่ใช่ เราได้มากๆคือความเสื่อม ความชั่ว ได้มากๆไม่ใช่ความดี

เรารู้ อาการสุขที่เป็นโลกีย์แล้วเราไม่หลงสุข ที่ได้มามากแล้วสุขเราไม่เอา เราอยู่ที่ฐานความว่าง เราไม่ไปมีรสอย่างอารมณ์โลกีย์ อย่างการเล่นกีฬาที่คือการละเล่นที่ปรุงแต่งกันไป เป็นโอลิมปิก เอเชียนเกมส์ เขาค้าขายหาเงินกัน กิจการเช่นนี้เป็นกิจการนรกหายนะฉิบหาย 

อินเดียเขาไม่เก่งกีฬาหรือบันเทิง แต่เขาก็เก่งเรื่องเทคโนโลยีนะ เขาอนุรักษ์มากกว่าจีน จีนนั้นบานปลาย ไม่นานก็แตก ถ้าปล่อยให้ชีวิตบานปลายเช่นนี้ อะไรคืออบาย อะไรคือสบาย ก็ต้องเลือก คำว่า บาย แปลว่าประโยชน์ ถ้า อ แปลว่าไม่มี ถ้า ส ก็ประกอบส่วนประโยชน์ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ชีวิตนี้ควรมามักน้อยสันโดษ 

นักการเมืองไทยเราถ้าให้ตรวจสอบทรัพย์สิน อโศกนี่เป็นพรรคที่ไม่ต้องจดทะเบียน แม้มีพรรคเพื่อฟ้าดินก็ตั้งไว้เช่นนั้นแหละ เพราะคนจูงนำให้มาเกิดพรรคเพื่อฟ้าดินคือคนที่มีชื่อเป็นนิตินัย พรรคอโศกไม่ได้จดทะเบียนพรรคการเมืองแต่ทำงานการเมืองภาคประชาชน ทำงานสร้างสรรเสียสละ อโศกนี่นักธุรกิจชั้นหนึ่ง นักธุรกิจที่เดินตามพระราชดำรัสในหลวง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำตามพระราชดำรัสแท้จริง นี่แหละ ฟังให้ดีไม่ได้โมเมพูด 

พวกเรานี่แหละศึกษาธรรมะปรมัตถ์อาตมาพาศึกษาตั้งใจให้ดี ชีวิตนั้นสั้นนัก ใครจะอยู่ไปอีก 70 ปีอย่างอาตมาง่ายไหม?ไม่ง่าย ก็ต้องดูแลรักษา นี่ก็มี ศจ.นพ.อมร มาช่วยกันดูแลเรื่องไต ท่านถนัดเรื่องนี้ มีดร.อนันท์ก็มาช่วยเรื่องการศึกษา ชื่อดีๆทั้งนั้นจะมาช่วยเรา ก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป อาตมาว่ามาจองที่แล้วก็อย่าจองเปล่า ขออภัยไม่ได้บังคับ พูดไปเหมือนง้อนะ ยอมเสียเหลี่ยมลูกกำนัน อาตมาไม่มีเหลี่ยมแต่ก็ไม่ได้กลมลื่น แต่ว่ากลมเกลี้ยงเกลา

ที่อาตมามานี่มารวมพล ตะโกนเรียกญาติธรรมอยู่ไหนมารวมกัน จริงนะไม่ได้พูดเล่นนะ โพธิสัตว์มีลูกเป็นจำนวนมากเป็นอเนก 

อเนกนี่เหมือนนิวเคลีย์ฟิวชั่น อนันท์นี่เหมือนฟิวชั่นไม่มีที่สิ้นสุดไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องกำหนดขอบ 

เราต้องกำหนดของเขตได้ ผู้กำหนดขอบเขตได้คือ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คำว่า กำหนดรอบ สัตตะ=100 ผู้มีสภาวะของเลข 7 จะรู้จักความเป็นสัตว์ในจิตนิยาม เมื่อเราได้อาการ 32 มีอวัยวะ องคาพยพ ครบครัน แม้ขนาดสมอง หรืออวัยวะอื่นๆมาเป็นคนได้ก็เป็นอุปกรณ์แก่วิญญาณทำงาน อุปกรณ์ที่เป็นของช้างตัวใหญ่ก็ฉลาดหรือทำงานได้แค่ช้าง แม้สัตว์ตัวเล็กฉลาดกว่าช้างก็มี อย่างแมงเม่านี่ไม่ค่อยฉลาด แต่มันซื่อสัตย์นะ เป็นปลวกต่อไป พวกผึ้งปลวกทำงานซื่อสัตย์สุจริตเหมือนอินเดีย

เราเกิดมาเราควรมีสัมมาทิฏฐิ รู้ว่าแต่ละวันเราทำกรรมตามทิฏฐิ คือความเห็น หรือทฤษฎี ชีวิตคนเราอาตมาพูดคนก็หาว่าโต่งไป ที่ว่าให้มาเอาอริยธรรม แต่อาตมาก็ไม่ได้ห้ามกัลยาณธรรมนะ อาตมาสอนปรมัตถธรรม มาหาแก่นมาทำแก่น เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นยากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง สื่อสารฟังสี่คำความนี้ของอาตมาเขาก็ไม่รู้เรื่อง 

เราเน้นเนื้อเข้าหาเนื้อปรมัตถ์ เรารักษาแก่นไว้ ส่วนคนจะรักษาเปลือกก็เยอะแยะไป เขารู้ความดีงาม ก็ทำไป อาตมาไม่รับหน้าที่นั้น อาตมามีเวลาเท่ากับคุณ ชีวิตจะเอา 151 ปีก็แอคไว้ จะอยู่ถึงไหนก็ไม่รู้ เมื่อวานเขาก็มาตรวจไตรับรองอาตมาอีก ในชีวิตหนึ่งอาตมาก็เน้นเข้าหาแก่น ส่วนใครจะไปกว้างก็แล้วแต่ โดยเฉพาะอาตมากับธรรมกายนี่คนละกลุ่มเป้าหมายเลย ไอ้นั่นมันพวกขี้โลภ ขี้สวย ขี้งาม แต่พวกอาตมานี่ขี้ข้นขี้แค่น เขาก็บานทะโร่ไป หาโลก แต่เราเน้นเข้าหาแก่นเน้นมาเล็กน้อยไม่มากมาย 

มาเอาคุณค่าแท้จริงมาล้างสุข/ทุกข์แบบเปลี่ยนรากเหง้า DNA เลย ไม่ใช่เปลี่ยนแค่สรีระเซลล์นะ แต่เปลี่ยนกรรมพันธ์เลย ที่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงกรรม ของใครของมัน แม่ทำกรรมชั่วก็เป็นของแม่ ของพ่อก็ของพ่อ ของลูกก็ของลูก แบ่งกันไม่ได้ แบ่งได้แต่ข้าวของวัตถุธรรมภายนอก แบ่งกรรมแบ่งกันไม่ได้

ตับไตไส้พุง รวมทั้งประสาท เป็นอุปกรณ์ให้เกิดวิญญาณ ต้องมีการกระทบให้เกิด isotope ไปทั้งหมด ส่ิงที่เป็นน้ำ หรืออุณหธาตุ ธาตุไฟ เป็นพลังงานในตัว พลังงานอาศัยธาตุในร่างกาย มันสัมพันธ์หมด วิญญาณใช้หมดเลย พลังงานในระดับนิวเคลียร์นิวตรอน พระพุทธเจ้าแบ่งเป็น อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมนิยาม

ธรรมนิยามคือความดีจะให้เกิดอุตุ ที่เป็นเรื่องภายนอกวัตถุ คือสสารทั้งหมด ส่วนพีชนิยามเร่ิมมีชีวะ แต่ไม่ถึงจิตนิยาม เริ่มมี รูป สัญญา สังขาร มีสามหน่วยไปไหนไม่ค่อยออก แต่พอมาพัฒนาเป็น 4 5 6 และพอมี 7 ก็เป็นจิตนิยามแล้ว เป็นสัตตักขัตตุปรโสดาบันก่อน ควบคุมพลังงานได้

พระอรหันต์สามารถควบคุมอุเบกขาได้ ควบคุมการกระทบกระแทก ปริโยทาตา ควบคุมสังกัปปะ 7 มีทั้งเจโตและปัญญามี บวก/ลบ ต่อมาเป็นสังขารทำให้เกิดวจีสังขาร เป็นตัวกลางระหว่างกายสังขารกับจิตสังขาร เวลาจะดับก็ดับวจีสังขารก่อน เวลาจะเกิดก็เกิดวจีสังขารทีหลัง ถ้าเข้าใจจะเป็นระบบไม่เป็นอุกาบาตเป็นเคออส แต่จะมีวงโคจรของตน ผู้ได้อุเบกขามีวงโคจรกลมดิก เรียบราบเลย

เหมือนพื้นน้ำ นี้โลกนี้หุ้มด้วยน้ำทะเล แล้วผิวน้ำเรียบ แต่มีภูเขาแผ่นดินทำให้โลกขรุขระ น้ำนี่รักษาเรียบได้ดีกว่าเขา 

ทุกวันนี้พวกเรานี่ถ้าจะว่ากันแล้ว พวกเรานี่เทียบ 3 อย่าง 
1.จักรวาลน้อย 
2.ดาวหาง
3.อุกาบาต 

พวกเรานี่เหมือนดาวหาง วงโคจร ไกล นับยาก เป็นวงรีมีอโศกเป็นหัวดาวหาง ขออภัยนะในโลกใบนี้ มีวงโคจรตนเองแล้วแต่ไกลจนไม่รู้ว่ากี่ปีแสงค่อยมาจบ ต้องค่อยจัดวงโคจรให้เป็นวงกลมขึ้น

พวกเรานี่ก็อาตมาให้พยายามรักษาวัฒนธรรม หลักเบื้องต้นมีศีล 5 ละอบายมุข กินมังฯ เข้าใจอบายที่คือความหยาบหนาในโลกีย์ ให้รู้ตัวว่าเราหยาบอย่างนี้ โดยไม่ต้องดูถูกข่มกัน เราสงสารกัน เหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา อย่าไปทำใจว่าผู้ใหญ่แล้วทำไมไม่รู้ ก็ให้เมตตากันเหมือนเด็ก เลี้ยงไม่ไหวก็ส่งไปอโศก 2 

ไม่อยากง้อหรอก แต่ก็ให้พอเสียทีในการแสวงหาโลกีย์ แต่ก็ระวังคนไฟแรงเกิน บางคนมีภาระมีโน่นมีหนี้ ถ้ามีหนี้มาไม่เอานะ หรือว่าเป็นโรครักษาไม่หายเป็นเอดส์เป็นต้นเราไม่ไหว 

ของพวกเรามีบันเทิงหรือสบายกันไม่จัดจ้านหรอก ให้ประมาณให้ดีถ้าเห็นว่าอยู่ได้ก็มา เราต้องการพลเมืองที่ตั้งใจล้างกิเลสเป็นอาริยบุคคล เป็นคนเจริญแบบมาเป็นคนจนแล้วทำงานเป็นนักการเมืองผู้รับใช้โลกไม่ใช่แค่รับใช้ในประเทศไทย ศัตรูของอาตมานี่คือ ทุนนิยม ที่จะสู้ด้วยบุญนิยม

บุญไม่ระรานใคร แค่กุศลนี่ระรานกัน มันอยากได้ความดีเป็นตัวเป็นตน กุศลเป็นเครื่องอาศัย ส่วนอกุศลเป็นตัวร้ายของกุศล เรากำจัดกิเลสได้มากบุญก็เล็กลง จนกว่าหมดกิเลสบุญก็หมด ส่วนกุศลเป็นความดีที่กว้างๆ มีมากก็ยิ่งมากกว้าง ก็คนละอย่างกับบุญ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ปฏิบัติผิด บุญนี่เป็นแนวลึก บุญเป็นกุศลมหาศาลด้วย เขาเลยเอาบุญไปเป็นเครื่องมือทำมาหากินกันก็มี ถ้าเข้าใจคำว่าบุญกับกุศลไม่ได้ก็ล้มเหลวเลยนะศาสนาพุทธ 

พวกเราตระกูลบุญนิยมที่จะมาจนหมดตัวหมดตน จนหมดบุญเลย เป็นคนหมดบุญเลย ใช่กิเลสตายสิ้นเกลี้ยงเลย ปุญญปาปริกขีโณ 

gene คืออาสวะ แตกตัว ส่วน genomeคือกระจายอยู่ในgenomeนี่แหละต้องทำให้เป็นDNA ให้หมดให้อิตถินทรีย์เป็นปุริสสินทรีย์ให้หมด ควบคุมนิวตรอนได้ก็คุมความว่างได้คุม space ได้ทั้งเอกภพ เป็นเทวหวัตถุแท่งสว่าง หลบอุกาบาตดีๆ นอกนั้นก็รวมตัวจักรวาลน้อยใหญ่ให้เกิดgalaxyที่เป็นระเบียบไม่ใช่ไร้ระเบียบไปเรื่อยๆ ไม่มีวงโคจรตนเอง แต่เราจะมีวงโคจรของตนไม่เข้าวงโคจรอบายมุข/ทุนนิยม

ศีลข้อ 1 เราจะมีเมตตาต่อสัตว์ไม่ฆ่าจนถึงไม่กิน ข้อ 2​เราไม่เอาของคนอื่น ข้อ 3 เอาแค่ผัวเดียวเมียเดียว ข้อ4 ก็ไม่โกหกก่อน ส่วนหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อต้องเอาทีหลังแต่หยุดโกหกได้ก่อน ส่วนข้อ 5 ให้เอาอบายหยาบให้หมดก่อน 

เราควรมาอยู่กับหัวดาวหางนะ อย่าไปวิ่งหางดาว ชายขอบ จะถูกหมาป่าเอาไปกิน ให้มาอยู่กับหัวดาวหาง ไปไหนๆก็กระจายธาตุน้ำให้แก่โลก ธาตุน้ำก่อชีวิต ไม่มีน้ำเกิดชีวะไม่ได้ 

มีสมณะพวกเรามี หลวงพ่อขาว(สุทธิ)กับหลวงพ่อดำ(อาโป) หลวงพ่อขาวนี่อ่านพระไตรปิฎกมากมาย สุดท้ายหลุดไปจากวงโคจร ส่วนหลวงพ่อดีนี่คือ มนาโป คือ น้ำใจ เป็นผู้มีน้ำใจ แสดงออก เป็นมะเร็งอยู่ นานไปก็เก่ง อดทน ทำงานได้ สุดท้ายก็มรณภาพ

เราก็ยังไม่ถึงรวมตัวเป็นจักรวาลน้อยใหญ่ ตอนนี้ขอแค่ดวงดาวสัก 3 ดวง แล้วค่อยๆสร้างไป แล้วมาต่อดวงที่ 4 ออกมาเป็น y ที่ได้สัดส่วนไม่ขาเก เป็นเพศชาย คุม y ได้ 

ตัวเราเองให้ได้ฐานอุเบกขา ใช้เครื่องมือฆ่าความเป็นสัตว์นรก ใช้เครื่องประหารหัวหมา ตัดคอสัตว์นรกเรียกว่า สมุทเฉทปหานก็สร้างเสริมต่อเป็น ปฏิปัสสัทธิปหาน ทำอเนญชาภิสังขาร รักษาผล ภาวนาปธาน สามารถทำให้เกิดผลได้ก็พากเพียรต่อ แนวนี้ทำซ้ำให้มาก อาเสวนา ให้คุ้นเคยให้ชินชา เอาชนะให้ได้จนรู้ คำว่าชานี่คือเผา คำว่าชินคือชนะ 

ทำอภิสังขารคือสังขารอย่างยิ่งให้ชนะให้ได้ปุญญาภิสังขารได้ฐานอุเบกขาแล้วไม่หวั่นไหวต่อโลก อนุโลมปฏิโลมได้ คุมกัมมันตรังสีได้ เอาไปใช้เพื่อสันติภาพได้ 

ชาตินี้คุณรวยยังไม่พอหรือเสพกามคุณยังไม่พอ มีครอบครัวยังไม่หรืออย่างไร ถ้าอยู่กับครอบครัวเล็กนั้นแคบหนัก แต่อยู่กับครอบครัวใหญ่นี่เบากว่าส่วนกลางรับภาระไว้ มันซับซ้อน ของคุณดูเล็กแต่หนักนะ แต่มาอยู่กับครอบครัวใหญ่ แต่เบานะ ที่นี่แบ่งเบาภาระ อย่าขี้เกียจอย่าเห็นแก่ตัวเท่านั้น 

ขี้สองขี้นี่ ขี้เกียจกับขี้รังเกียจนี่ไม่เข้าท่า หากใครแก้สองขี้นี้ได้เจริญเร็วเจริญมาก 

องค์รวมท่าทีลีลา นัจจะคีตะวาทิตะนี่ คนเอามาใช้สื่อได้เก่งกว่าคนมาก อย่างนกแก้วนกขุนทองก็ใช้ได้แต่ไม่เก่งเท่าคน เหมือนนักการเมืองที่พูดแบบนกแก้วนกขุนทองเก่งมาก ใช้แต่วาทะมีแต่อัตตวาทุปาทานไม่เรียนรู้อัตตาตัวตน คนนี้ออกมาแสดงแล้ว look ของคุณ ก็รู้แล้วว่าองค์รวมเป็นอย่างไรสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล เห็นแล้วก็ตีราคาได้ตัดสินว่าเช่นนี้ จริงใจแค่ไหน เห็นแก่ตัวแค่ไหนพออ่านออก 

พระพุทธเจ้าท่านสอนการศึกษา 3 ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาไล่สูตรต่างๆในโลกสู้สิกขา 3 ไม่ได้ สิกขาอื่นก็มีประโยชน์แต่สู้อันนี้ไม่ได้ อาตมาแปลการศึกษา 3 ของพระพุทธเจ้ามาเป็นศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชาแล้วขยายมาเป็นศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา 

ศีลเต็มคือทั้งศีลปาติโมกข์ หรือหลักอื่นคุณทำได้บริสุทธิ์โดยไม่ยากไม่ลำบากแล้วศีลต่างๆทำได้ถึงให้ใจลดกิเลสเป็นอธิจิตสูงขึ้นได้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วมีความรอบรู้ปัญญาจะเข้าใจมีปัญญาลึกแหลม  

ถ้ารู้หลักสูตรของพระพุทธเจ้าแม้แต่ปฏิบัติสาสวะ มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค 

จิตคุณเจริญมี ฐานเจโตคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา มีฐานปัญญามี ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ

จัดการตักกะที่เป็นกามเป็นพยาบาทให้หายไป เป็นวิตักกะ การปรุงแต่งที่วิเศษ เป็นสังกัปปะ กรองผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นธรรมจักรของพระพุทธเจ้า ที่มีแค่ 7 คำ นี้ กลั่นกรอง สังขาร 3 ได้ เราคุมสังกัปปะ ได้ก็เพราะมีวิชชา ถ้าทำสังขารนี้จนจิตเป็นอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน คุณรู้สูตรทฤษฎี ตีกรอบได้เป็นปริตตัง อย่าตะกละอนันตังกำหนดขอบเขตไม่ได้หาที่สุดมิได้ มันไม่ได้ ต้องกำหนดของแต่ละคน จึงเป็นปริตตาภา ปริตตาสุภา ไปได้เรื่อยๆ เป็นอาภา เป็นรังสีที่สะอาด ทำงานมีแกนในแข็งแรงหลัก มีนิวเคลียส เป็นบวก อิเล็กตรอนเป็นลบอยู่รอบนอก ก็ช่วยกันทำงาน กับตัวแก่นแกน

ศาสนาพุทธรู้อะตอมของจิตวิญญาณ ต้องปฏิบัติให้ถึงอากาศ ในอาหารรูปต้องเรียนรู้รูป/นาม ที่จับตัวเป็นวิญญาณหรือบวก/ลบ ที่ทำปฏิกิริยากัน มีเพศชายหญิง มีแกนในเป็นหลัก ตัว y สี่ขาผู้รู้จักรวบขาสองขาให้เป็น y ได้เป็นรูปโยนีให้ทำงานสร้าง ไอโซโทป ควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ได้ ไม่เป็นพิษเป็นภัย เป็นปรมาณูเพื่อสันติภาพ ที่พวกเราเอาเพลงสันติภาพผี มาเปิด ทำอย่างไรเราจะให้เกิดสันติภาพประกาศิตกัน

อาตมาก็พูดไปวนไปวนมา สรุปแล้วให้มาหน่อยเถอะน่า ชีวิตนี้ขอสักชาติได้ไหม ก็ชีวิตเกิดมา เราเองไม่รู้จักระบบชีวิต เราไปติดโลกีย์ไปดูดดึงเอร็ดอร่อยเป็นนรกปหาสะ หมายความว่าติดรสอร่อยสนุกสนาเพลิดเพลินชื่นใจหรูหราเสียดสี เป็นรสที่เราพอใจ อิฏฐารมย์เราหลงยึดเองว่านี่น่าพอใจ เรายึดเองสมมุติเองก็อีรุงตุงนังเองไม่จบ นรกอเวจีเขาจะสร้างเท่าไหร่ ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะรู้ทันไม่หลงไปกับเขาชัดเจน มาเรียนรู้ว่า เราติดเท่าไหร่ แต่ละคนไม่เท่ากันของคนอื่นก็ของคนอื่น ของเราต้องรู้ตนเอง กำหนดขอบเขตปริตตัง 

ไม่ว่าสัตว์ไหนก็อย่าเบียดเบียนกันไม่ฆ่ากันไม่ทำร้ายกัน แต่ถ้าไม่เดือดร้อนนี่ก็จะลึกไปเพราะอย่างอาตมาพูดนี่ไม่ถูกใจเขาด้วยนะ แต่ละคนมาศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรเกิดมาก็หลงโลกนรกปหานะเพลิดเพลินพอใจ ที่จริงใจมันไม่สุขทุกข์หรอก มันได้ถ้าล้างความติดยึด การได้ดังใจคืออัตตาใครยึดว่าต้องได้สเปคนี้ๆ นั่นคือยึดมั่นถือมั่นเกิน เรายึด แต่ยึดอย่างมีหลักเกณฑ์ให้หมู่เห็นด้วย ถ้าหมู่ไม่เห็นด้วยก็พอ เยภุยสิกา แต่เขาจะใช้วิธีครอบงำ ล่อใจ ว่ามาคบข้านี่ได้ยศนะ ร้อยจมูกเขาไว้เป็นบริวาร สร้างอำนาจกันก็เละใหญ่ 

มันต้องมาลดอำนาจ โดยเฉพาะตัวเราไม่เบ่งอำนาจเลย มันต้องมีตามลำดับ อย่างบอกว่าไม่เห็นแก่ แล้วเราก็เห็นแก่อโศกก็ต้องเห็นแก่อโศก เขาก็ว่าทำเพื่อพวกตน แต่พวกเราก็คือพวกลดละทำเพื่อล้างตนเองให้มีฐานอาศัย 4 คือ กวฬิงการาหาร ผัสสาหารให้มีกรอบขอบเขต  ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:03:58 )

580608

รายละเอียด

580608_โอวาทพ่อครู ประชุมการศึกษา งานอโศกรำลึกครั้งที่ 34

อาตมาพูดย้ำว่า ชีวิตคือการศึกษา ถ้าไม่ศึกษาก็เหมือนเดรัจฉาน เกิดมากิน ขี้ สืบพันธ์ แล้วก็ตายไป แม้เป็นคนแล้วศึกษาแต่ศึกษาเป็นพิษ ฉลาด จบดร. แต่สร้างคู่อาฆาตได้เต็มบ้านเต็มเมืองใครอาฆาตเท่าไหร่แกก็ไม่หยุด หาเรื่องให้คนอาฆาตพยาบาทเพ่ิมตลอด มันหลงลาภยศสรรเสริญไป มันควรหยุดแต่เขาหยุดไม่ได้ เพราะการศึกษาเป็นพิษเขาเลยซวย
พวกเราได้มาศึกษาทางนี้จนเอาชีวิตมาทุ่มเทให้ทางนี้ ก็ตั้งใจทำ เราก็ทำไป เขายังไม่กล้ายอมรับเรา คนโลกๆเขาเต็มไปด้วยโลกีย์จัดจ้าน ขนาดว่าครูต้องมีศีล 5 ก่อน อย่างท่านฟ้าไทเอาเข้าไปเขาก็รับไม่ได้ บอกว่าไปไม่ได้ เราก็ต้องรู้กรอบขอบเขตว่าสุดวิสัย การศึกษา เราก็ต้องทำของเราให้เข้มข้นทำให้ได้ 

พวกเราต้องเป็นคุรุที่ลดกิเลสเป็นหลักแล้วพากเพียรทำไปจนกว่าจะตาย พวกเราคงจะอายุยืนกว่าข้างนอกนะ ข้างนอกเป็นทางมาแห่งโทษภัย โรคภัยเยอะ ข้างในนี้เราลดลงแน่นอน อายุจะยืนยาว แล้วยืนยาวอย่างไม่เป็นโทษภัยแก่โลก แต่มีประโยชน์คุณค่าแก่โลกด้วย
เข้ามาได้แล้วเป็นกุศลอันยิ่งของแต่ละคนแล้ว อาตมาก็เร่งรัดว่าอย่าช้านักเลย ใครจองที่ก็อย่าจองเฉยๆ รีบๆนำตัวเข้ามา แม้ไม่มีที่ไม่มีบ้านก็อยู่ได้ใครมาแต่ตัวกับหัวใจไม่มีสมบัติพัสถานมาก็ได้ ขอให้จริงใจมาช่วยกัน

การศึกษาทุกวันนี้มันแยกกันไปหมด ที่จริงมันต้องเอื้อกันสัมพันธ์กัน อาตมาจะตั้งชื่ออาคารการศึกษา คิดว่าจะให้ชื่อ ว.นบ. เป็นชื่อกลางๆ ส่วนว.สว. คำว่าว.นบ.ไม่ต้องไปขอนิตินัยเขาหรอก แต่ในการจดทะเบียนก็ว่ากันไป ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะได้ก่อน ตึกนี้จะเป็นของมัธยม วิทยาลัย สารพัด แต่เสร็จแล้วไม่รู้ว่าเป็นของอะไร 
พฤตินัยจะให้ทั้งมัธยม วิทยาลัย มหาวิทยาลัย อยู่รวมกันในตึกนั้น ที่จริงอยากจะสร้างสัก 5 ชั้น จะพอดี ตั้งแต่ประถม มัธยม วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ชั้นล่างก็รวม จะเอาเด็กสุดไว้ชั้น 5 หรือมหาวิทยาลัยชั้น 5 ก็แล้วแต่ มหาวิทยาลัยเราจะไม่กำหนดอายุ เราจะไม่แยกส่วนกันทำ ให้ร่วมประโยชน์กันได้ เพราะพวกเราได้ฝึกฝนจิตวิญญาณ หรือแม้วัตถุก็เป็นสาธารณโภคี เป็นหนึ่งเดียวกัน มันลดความเป็นตัวเราของเรา ลดตัวกูของกู การหวงแหนเป็นตัวกูของกูจะน้อยลง แม้นิตินัยเขาก็ไม่ให้ เขาว่าต้องแยกกันอยู่ คือไม่แยกมันจะกัดกันไม่ได้ทำอะไรกันพอดี 

อาตมาว่าอาตมาไม่ได้หลงตัวหลงตน อาตมาว่าอาตมารู้คนเดียวจริงๆ คนอื่นไม่รู้โดยเฉพาะเรื่องธรรมะแต่เรื่องวิชาการทางโลกอาตมาไม่ได้เก่งอะไรหรอก แต่เรื่องธรรมะอาตมาจะนำพาพุทธศาสนากลับฟื้นคืนมา ที่พูดออกสื่อสารไป มหาเถรสมาคมเขาไม่เชื่อหรอก ขนาดอาตมาประกาศไปหมดแล้ว โพธิสัตว์หรืออรหันต์เขาจะเชื่อแค่ไหน ถ้าเชื่อเขาก็เฮละโลมาแล้ว ก็มีแต่พวกคุณนี่แหละ มีอย่างหรือ?พระอรหันต์แท้ๆประกาศอย่างสำคัญเลย แล้วประกาศใครอยากได้อรหันต์ก็มาเลย ก็ไม่เห็นตื่นเต้นเลย ขนาดประกาศออกโทรทัศน์ก็เฉย แต่พวกเราไม่ตื่นเต้นก็ถูกแล้วพวกเราเจอจนชินชาแล้ว 
พระพุทธเจ้าสอนว่า เราต้องทำคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

ตอนนี้เราเน้นการงาน พอมาถึงอาชีวะ เขาก็ว่าน่าเป็นคำตอบมากว่าไปหลงสามัญ แต่ก่อนนี่อาชีวะต่ำต้อยน้อยหน้า สู้ทางสามัญเขาไม่ได้ ใครมาอาชีวะคือพวกนี้ไม่มีทางไป ด้อย ค่านิยมนี้น่าจะเปลี่ยน และเราก็ต้องแนะนำกันกว่าแม้ทางอาชีวะเราก็ไม่น้อยหน้าที่จะรู้ทันโลก แล้วทำเป็น เพราะอาชีวะต้องทำเป็น เราก็สามารถรู้กระทบไหล่ดาราได้ ว่าโลกเขาไปแค่ไหน เรามีโลกวิทู รู้จักโลกมากกว่าเขาด้วย แต่มันซ้อนตรงที่ว่า เราไม่อวดดี เราไม่อวดใหญ่ มันซับซ้อน อย่างพวกเราไม่สะสมไม่ใช่ว่าพวกเราไม่มี แต่ถ้าเราเอาที่เราสะสมไปสะพัด เราก็ไม่ได้เอาต้นทุนไปออกดอกออกผลในการลงทุนขยายงาน ขยายอำนาจทางธุรกิจให้มีฤทธิ์เดชให้มาก เราไม่ได้ทำต่อเราได้มาก็สะพัดออกไป เราก็มีต้นทุนน้อย นอกจากไม่เอาไปหาดอกเบี้ยแล้วก็ไม่เอาไปเสริมหาผลประโยชน์ใส่ตัว

แล้วไม่ใช่ว่าสมรรถนะพวกเราจะด้อยกว่าเขา แต่เราให้ประโยชน์สละออกทันทีมันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่เขาต้องสะสมก่อน แล้วได้มากเขาก็คิดว่าเขาได้สะพัด เขามีสาขามากมาย เขาหลงผิดว่าเขาเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างcp เขาไม่รู้หรอกว่าเขาฉลาดหรือเขาโง่ 

อาตมาไม่ได้พยากรณ์ตนเองไม่ได้หลงตนเอง ถ้าอาตมายังทำอยู่ทางโลก ของแกรมมี่ อาร์เอสไม่ได้เกิดหรอก จริง อาตมาถนัดทุกด้านเลย แต่อาตมามาทางนี้ก็ชัดเจนไม่ไปทางโลกหรอก มาทางนี้สบาย พวกคุณนี่แม้ไม่ได้เป็นครูมาก่อนแต่ตอนนี้ต้องเป็น แต่ก่อนอาตมาไม่อยากเป็นครูเลยแต่ก็ต้องมาเป็นครูตั้งแต่ฆราวาสเลย วิ่งรอกสอนหลายโรงเรียน ก็ทำไปต้องเป็นครูทั้งๆที่ไม่ชอบ จนทุกวันนี้เป็นพ่อครูแล้ว มันเป็นไปตามธรรมแล้ว มันก็ต้องไปสู่อุตรกุรุทวีป ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอาตมาคือกุรุ ก็ไม่เป็นไร ถึงต้องพยายามลากชีวิตไปถึง 151 ปี ยังไงๆ อายุ 100 พอจะถึงอยู่ แล้วอีก 20 ปีนี่เขาจะกระดิกหูกันไหม ถ้ากระดิกก็พอจะอยู่ไปอีก 151 ปี

ตอนนี้คงต้องเข้าใจว่าอาชีวะกับสัมมาสิกขาต้องประสานกันให้ดี อย่าเล่นแง่ ขบกันอยู่ แต่ละคนเก่งรู้แง่รู้เชิง อาตมาคิดไม่ทันเลย ไม่รู้จะวิจัยให้กลมกลืนอย่างไร แต่ละคนถือซะว่าเรามาลดอัตตา คนไหนแพ้ก่อนคนนั้นชนะ จริงก็ฟังก็พอเข้าใจนะ อย่ามานั่งยึดมั่นถือมั่น ก็ให้เกียรติกัน อาตมาว่าพวกเราหวังดีกันทั้งนั้น มีเครื่องคัดกรองกันทั้งนั้น มาด้วยจริงใจ ตามภูมิแต่ละคนก็ขัดกันธรรมดา อาตมาก็ปล่อยให้ขัดเกลากัน คนไหนยึดมั่นถือมั่นมากก็กระเด็นไป คนไหนยึดมากจะเอาของเราเอง คนนั้นกระเด็น หากหมู่เห็นเอาอย่างนี้ จะไปสลายเขาได้อย่างไรคุณคนเดียว แกะดำในหมู่แกะขาว เราก็ค้านแย้งไว้บ้างสุดท้ายแม้เราไม่เห็นด้วย แต่มติออกมาแล้วเราก็จบ 

เวลาจะใช้ Brain storm เมื่อมีอะไรก็เอาออกมาพูดให้ครบ อภิปรายกันแล้วก็ตัดสิน หากตัดสินได้อย่างลงตัวก็ดี แต่ถ้าไม่ลงตัวก็ต้องโหวต แม้จะแพ้แค่คะแนนเดียวครึ่งคะแนนก็ต้องเอาหมู่ที่ชนะว่า แล้ววางของเรา เลิกอย่ามาเอาของกูอยู่ไม่ต้อง ถ้าแพ้แล้วจบ เอาของที่ชนะไป เราก็รวมตัวไปด้วยกันเลย นี่คือถอดตัวถอดตน หาเป็นตัวกูของกูก็จะชักกะเย่อ ทำให้ช้าเกิดขัดสี เกิดความระแหง ความร้อนหนักเข้าก็เป็นนิวเคลียร์ระเบิดเท่านั้นเอง ไปไม่รอด

เรารู้ทันลดอัตตาให้ทัน มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีจะให้เราได้ลดกิเลส พวกเรานี่กาม พยาบาทกับโลกธรรมไม่หนักแต่มันหนักที่อัตตา ถ้าเราพยายามลดอัตตากันได้จะไปได้ดีกว่านี้ เพราะฐานพวกเราฐานสาธารณโภคีเป็นอนาคามีนะ ไม่ใช่แค่โสดาฯสกิทาฯ เรื่องอัตตาจะหนักให้รู้ฐานว่าเราต้องศึกษาระมัดระวังอันนี้ แต่ละคนก็ไม่รู้ว่าตนเป็นอนาคามี แต่คะแนนรวมของชุมชนเราคือฐานอนาคามีใม่ใช่ฐานโสดาฯสกิทาฯข้างนอกเขาถึงมองเราว่าสุดโต่ง

อีกหน่อยถ้าพวกนั้นมืดบอกฐานเราจะไปถึงอรหันต์ จะมีจักรที่หมุนเร็วใครมีจักรที่ปากมาก็จะเสียดเขาอีก จะหมุนเร็วอีกมาก มันไม่ทุกข์แล้วเอาภาระเอาเรื่องก็ได้เลือด แต่ตอนนี้ก็ระมัดระวังที่ไปสัมผัสภายนอก ขณะนี้คนบุกเบิกข้างนอกก็คือหนึ่งฟ้า อาตมาก็ค่อยจัดสรร อะไรๆที่เขาไปบุกแล้วก็ให้เขาไปเป็นตัวนั้น  เขา ไว เร็ว เอามาๆ ตอนนี้ก็หลายอย่าง กำลังแบ่งรับแบ่งสู้กันก็จัดสรรไป มันหน้าที่ของแต่ละคน พวกเราอย่าไปชังกัน ไม่ต้องไปชังไปเกี่ยงกัน 

มันต้องมีทั้งตัวขัดเกลา ตัวส่งเสริมถึงไปออกนำพากันไปได้ พวกเราก็มีได้ขนาดนี้ก็ค่อยๆเป็นไป ในหลักวิชาพวกเรารู้หมดแล้ว เหลือแต่จิตวิทยาเติมให้ ให้รับลูกรับเหลี่ยมกันไป เชื่อว่าคุณตู่นี่น่าจะรู้จักอาตมา แม้แต่ยิ่งลักษณ์ก็รู้จักอาตมา ไม่รู้ได้ไง นำพาไปประท้วงอยู่ เขาก็ต้องรู้จัก ทุกวันนี้เขาก็รู้ เป็นแต่เพียงว่าเขาจะเห็นความสำคัญไม่สำคัญแค่ไหน อาตมาก็ยังพูดอยู่นะเขาจะปล่อยปละละเลย หรือว่าน่าจะฟังบ้าง คุณตู่จตุพรเขาไม่ฟังเลย คุณตู่ประยุทธ์น่าจะฟัง ส่งซิกไปบ้างรับได้หรือไม่ก็แล้วแต่ เป็นหน้าที่ของอาตมาที่ต้องแทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนอย่างพระพุทธเจ้าว่า 

มันมีรูเล็กรู้น้อยก็ไม่ให้เขารู้ตัวค่อยซึมซับไป ก็เป็นวิธีการ อาตมาว่า หลายอย่างอาตมาจับได้ว่าเราส่งซิกไปนะ เขาก็เอามาใช้ แต่ไม่อยากตู่อาตมาไม่ได้ขี้ตู่ ว่าเขาเอาไป แต่มันมีผลบ้างถึงจะทำหรือไม่ทำก็ไม่เป็นไรทำดีไปเถอะ ทำดีไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ หากทำดีตรวจแล้วไม่ผิดก็ได้ตามบารมี พระพุทธเจ้าสอนว่าบาปแม้น้อยอย่าทำเสียเลย อดให้ได้ลดให้ได้เลิกอย่าทำเสียเลย ตั้งใจสังวรได้เท่าใดเจริญเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนโกหกทั้งๆที่รู้ไม่มีความชั่วใดที่เขาทำไม่ได้

อะไรที่เรารู้ว่าดีแล้วก็ไม่ทำ ก็นัยเดียวกัน สำหรับคนไม่รู้ก็แล้วกันไป ก็มุ่งมั่นทำดีไป ถ้าใครทำได้ก็มีแต่เจริญ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:04:42 )

580609

รายละเอียด

580609_ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 34 เรื่อง ความรักของไอสไตน์

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 9 มิ.ย. 2558  วันนี้แรม 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม 

ตอนนี้ถ้าใครตั้งใจฟังธรรม มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จะเสริมกัน คนเราเก่ง ใช้ภาษาสื่อความหมายจาก เวทนา สัญญา เจตนา  ซึ่งเวทนาก็เป็นผลของความต้องการเสพ ถ้ามีความอยากอยู่ แต่ถ้ารู้ว่าเวทนานี้เป็นการรับรู้ความจริงตามความเป็นจริง เวทนานี้คือปัญญา ไม่ได้มีอารมณ์แทรก ที่เป็นเวทนาจากอุปาทานที่ได้บำเรอตัณหา ที่เป็นอารมณ์ชอบ/ชัง

สัญญาเป็นตัวรู้ ที่รู้ปัจจุบันหรือรู้ไปหาอนาคต อาจสร้างวิมานไปตามเรื่อง ถ้าไม่กำหนดรู้ก็ไปตามอำนาจกิเลสหรือย้อนอดีตสู่ความจำที่บันทึกไว้ ทุกคนต้องมีการกำหนดหมาย สัญญา รู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา อะไรกับอะไร สำคัญมั่นหมายว่าหมายถึงอะไรกับอะไร นั่นเป็นความเก่งเชี่ยวชาญของสัญญา

ผู้สามารถรู้หน้าที่ต่างๆของส่วนเจตสิกของจิตใจ อาตมาจะลองอ่าน 

เจตสิก 52 ลักษณะอาการจิตที่เขารวมไว้ ว่ามีหน้าที่ต่างๆ ที่ประกอบด้วย

อัญญสมานาเจตสิก13

อัญญสมานาเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายกลาง ๆ ที่สามารถเข้าประกอบกับจิตได้ ทั้งกลุ่มกุศลจิต กลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มจิตที่ไม่ใช่กุศล / อกุศล (อัพยากตะจิต)

อัญญสมานาเจตสิกมี 13 ดวง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่


สัพพจิตตสาธารณะ7

หมายถึงเจตสิกที่เกิดกับจิตทั้งปวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตทั่วไปทุกดวง (89 หรือ121ดวง) เจตสิกกลุ่มนี้เวลาเข้าประกอบ จะเข้าพร้อมกันทั้ง 7 ดวง แยกจากกันไม่ได้ จึงเรียกเจตสิกกลุ่มนี้ว่า สัพพสาธารณะเจตสิก 7

    เอกกัคคตา ประคองจิตให้มีอารมณ์เดียว
    ชีวิตินทรีย์ เป็นใหญ่ในการหล่อเลี้ยงนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งหลาย
    มนสิการ กระทำไว้ในใจ (มโน)
    เวทนา
    สัญญา
    เจตนา
    ผัสสะ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ

ปกิณณกเจตสิก6

หมายถึงเจตสิกที่เรี่ยรายทั่วไป ไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่เข้าประกอบได้กับจิตทั่วไปเช่นกัน แต่เวลาเข้า ประกอบ จะเข้าไม่พร้อมกัน แยกกันประกอบตามลำดับ เจตสิกกลุ่มนี้เรียกว่า ปกิณณกะเจตสิก 6

    วิตก การนึก
    วิจาร การคิด
    อธิโมกข์ จูงจิตให้เชื่อ(ตามที่คิด)
    ฉันทะ ความชอบใจในสิ่งที่เชื่อ
    วิริยะ ความพยายามตามความเชื่อนั้น
    ปีติ ความอิ่มใจ เมื่อรับผลจากความพยายามนั้น

อกุศลเจตสิก14

อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น กลุ่มอกุศลจิต มี 14 ดวง
โลภะ3

    โลภะ (ตัณหาและราคะเป็นอารมณ์เดียวกับโลภะ)
    ทิฏฐิ
    มานะ

โทสะ4

    โทสะ
    อิสสา
    มัจฉริยะ
    กุกกุจจะ

โมหะ4

    โมหะ
    อหิริ
    อโนตตัปปะ
    อุทธัจจะ

ถีทุกะ 2

แยกเป็น2กลุ่ม คือ ทำให้ท้อแท้หดหู่(ถีนะมิททะ)

    ถีนะ
    มิทธะ

โสภณเจตสิก25

โสภณเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นกลุ่มที่ประกอบได้กับโสภณจิต (ยกเว้นกลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มอเหตุกจิตแล้ว จิตที่เหลือชื่อว่าโสภณะจิต) โสภณเจตสิกมี 25 ดวง แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้
สาธารณะ19

    สติ
    สัทธา
    หิริ
    โอตตัปปะ
    อโลภะ
    อโทสะ
    ตัตรมัชฌัตตา การวางจิตเป็นกลางต่ออารมณ์นั้นๆ

ที่เหลือจัดเป็น6คู่ คือการบังคับควบคุมกายและจิตที่ดี คือ

    กายลหุตา จิตตลหุตา (ทำกายจิตเบา)
    กายมุทุตา จิตตมุทุตา (ทำกายจิตอ่อน)
    กายกัมมัญญัตตา จิตตกัมมัญญัตตา (ทำกายจิตควรแก่การงาน คือพอประมาณ)
    กายอุชุตา จิตตอุชุตา (ทำกายจิตให้ตรง คือแม่นยำ ถูกต้อง)
    กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ (ทำกายจิตให้สงบ)
    กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา (ทำกายจิตให้คล่องแคล่ว)

วิรัตติ3

สัมมาวาจา 
สัมมากัมมันตะ 
สัมมาอาชีวะ

อัปปมัญญา2

กรุณา 
มุทิตา

ปัญญา1

ปัญญินทรีย์ หรีือ อโมหะ 

ทั้งหมดคือ เจตสิก 52 มันก็ไม่แปลกนะ พวกเราพอรู้ชื่อก็พอจะเข้าใจได้ เราก็ไม่ควรให้เกิดอกุศลจิต ควรให้เกิดจิต โสภณเจตสิก หรือ สัพพจิตตสาธารณะ7


ต่อไปเป็นเจตสิก 121

อาตมาจะไม่อ่าน เจตสิก 121 ให้ฟังหมด แต่จะยกตัวอย่าง เช่น

ก. โดยชาติประเภท
           1. อกุศลจิต 12
               - โลภมูลจิต 8
               - โทสมูลจิต 2
               - โมหมูลจิต 2
           2. กุศลจิต 21 (37)
               - มหากุศลจิต 8
               - รูปาวจรกุศลจิต 5
               - อรูปาวจรกุศลจิต 4
               - โลกุตตรกุศลจิต 4 (20)
           3. วิปากจิต 36 (52)
               - อกุศลวิบากจิต 7
               - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8
               - มหาวิบากจิต 8
               - รูปาวจรวิบากจิต 5
               - อรูปาวจรวิบากจิต 4
               - โลกุตตรวิบากจิต 4 (20)
           4. กิริยาจิต 20
               - อเหตุกกิริยาจิต 3
               - มหากิริยาจิต 8
               - รูปาวจรกิริยาจิต 5
               - อรูปาวจรกิริยาจิต 4

       ข. โดยภูมิประเภท
           1. กามาวจรจิต 54
               1) อกุศลจิต 12
                      - โลภมูลจิต 8
                      - โทสมูลจิต 2
                      - โมหมูลจิต 2
               2) อเหตุกจิต 18
                      - อกุศลวิบากจิต 7
                      - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8
                      - อเหตุกกิริยาจิต 3
               3) กามาวจรโสภณจิต 24
                      - มหากุศลจิต 8
                      - มหาวิบากจิต 8
                      - มหากิริยาจิต 8
           2. รูปาวจรจิต 15
               1) รูปาวจรกุศลจิต 5
               2) รูปาวจรวิบากจิต 5
               3) รูปาวจรกิริยาจิต 5
           3. อรูปาวจรจิต 12
               1) อรูปาวจรกุศลจิต 4
               2) อรูปาวจรวิบากจิต 4
               3) อรูปาวจรกิริยาจิต 4
           4. โลกุตตรจิต 8 (x ฌาน 5 = 40)
               1) โลกุตตรกุศลจิต 4 (20)
               2) โลกุตตรวิบากจิต 4 (20)

       หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บ ( ) หมายถึงจำนวนอย่างพิสดาร เมื่อนับจิตเป็น 121 (พึงสังเกตว่าจำนวนจะเพิ่มเฉพาะ โลกุตตรจิต อย่างเดียว คือ โลกุตตรจิต อย่างย่อมี 8 อย่างพิสดารจำแนกออกไปตามฌานทั้ง 5 เป็น 40)

       ต่อไปจะแสดง จิต 89 [122] ตามแบบภูมิประเภท (แบบชาติประเภทพึงกำหนดเอาจากแบบภูมิประเภทนี้ ตามหัวข้อที่แสดงไว้แล้ว)
       1. กามาวจรจิต 54 (จิตที่เป็นไปในกามภูมิ — consciousness of the Sense-Sphere)
           1) อกุศลจิต 12 (จิตอันเป็นอกุศล — immoral consciousness) อกุศลจิตมีแต่ที่เป็นกามาวจรนี้เท่านั้น คือ
               โลภมูลจิต 8 (จิตมีโลภะเป็นมูล — consc rooted in greed)
                      1. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      2. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      3. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      4. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      5. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      6. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      7. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      8. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ

                      1. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      2. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      3. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      4. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      5. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      6. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      7. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      8. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ

เป็นภาษาขยายบอกอาการจิตพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาไม่เห็นเขาเรียนกันแม้ในการเรียนอภิธรรม ก็ไม่ศึกษากัน ในพระไตรฯ ล.16 ข.60 ที่ท่านว่าธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  สามารถอ่านอาการ อ่านพลังงานจิตที่แยก นิวเคลียร์ฟิชชั่น กับฟิวชั่น ทางวิทยาศาสตร์เขาพอรู้ตามได้บ้าง เช่นฟิชชั่น แตกตัวเป็นธาตุเบา หายไป ส่วนฟิวชั่นจะจับตัวเป็นก่อน ก็มีสองลักษณะคือ วิขิตตังจิตตัง กับ สังขิตตังจิตตัง หรือดูดกับผลักเท่านั้น เราจะรับก็รับอย่างสุภาพ ปล่อยก็ปล่อยอย่างสุภาพ เราไม่พูดให้แรงว่าผลักหรือดีด หรือ kick it out เราก็ไม่พูดให้ดูแรง เราก็พูดอย่างสุภาพ เรียกว่าลหุตา นี่คือลักษณะที่เราจะศึกษาจิตของเราให้เป็นอย่างนั้น 

อย่างอาตมาปกติเราไม่ปรุงอย่างนั้น จิตเราก็ร่าเริงมีอภิปโมทยังจิตตังเราปรุงจิตเราได้ดีอยู่แล้วก็อยู่กับจิตสบายๆ แบบที่ท่านอธิบายไว้ในอานาปานสติ ต้องรู้ชัดเจนองค์ประชุมของกาย ที่คือจิต มโน วิญญาณนะ ก็เรียนรู้ รูป/นาม ในและนอก องค์รวม เรารู้ให้ละเอียด และระงับสิ่งควรระงับ พอทำกายสังขารังก็ทำจิตสังขารับ ปฏิสังเวทีให้ระงับ ปัสสัมภยัง แล้วเหลือจิต อภิปโมทยังจิตตัง 

ศาสนาพุทธไม่ใช่ทื่อๆ แต่ร่าเริงเบิกบานได้ เพราะไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองแล้ว  เป็นคนมีเจตนามุ่งหมายนะ แต่ไม่ได้มีอุปาทาน ตัณหาในเจตนานั้น เราล้างกาม ล้างภพหมด เป็นวิภวภพ แต่มีเจตนามีความมุ่งหมาย หรือตัณหาที่หมดภัยแล้ว (วิภวตัณหา) เป็นความต้องการที่ไม่มีภัย บางทีพูดกระแทกแรง ก็ลหุตาเท่านี้ แต่เขาไม่เข้าใจหาว่าอาตมาหยาบ พูดแทงเสียบด้วย แต่อาตมาจะว่าปากหอกก็ ok มีมุขสตี ก็มีปากที่จะบอกว่าเป็นปากหอกก็แทงเสียบตามภาษา ขนาดนี้ยังไม่ค่อยสะดุ้งสะเทือนเลย รู้ว่าแทง แต่ไม่รู้ว่าเรามีตัวตนอะไร 

ส่ิงที่เป็นอวิชชา ส่ิงที่ผิด คือพอมีกระทบแล้วเราถือตัวก็รู้สึกว่ามันแรง มันเป็นพลังงานทางความคิด ทางจิต ทางอารมณ์​ว่าได้รับฟังได้ยิน อย่างสมมุติคุณเป็นเจ้าคุณคนหนึ่งแล้วถือดีถือตัว แล้วมีคนไปบอกว่า นี่เจ้าคุณโพธิรักษ์ว่าท่านเจ้าคุณน่ะ พูดอย่างเบาๆเรียบร้อยด้วย ที่ไปพูดให้ฟังนะ รายงานธรรมดานะ เจ้าคุณขึ้นใหญ่เลย พลังงานจิตระเบิดเลย ยึดถือ อาตมาขออภัยไม่ได้ว่าใครนะ อาตมาสมมุติเรื่อง ให้เห็นจริง 

ถ้าพลังปัญญาคุณมีพอฟังแล้วจะบรรลุเลย แต่ถ้าไม่มีพอก็ต้องฝึกฝนต่อ อ่านรูป/นาม ที่เกิดการกระทบกระแทก แล้วมีอาการอะไร เช่นอาการสบาย โล่งว่าง ผ่านแล้วหรือว่า เกิดอาการโกรธ บางคนเป็นวันๆแล้วค่อยโกรธ หรือสำนึกว่าเราไม่น่าทำเช่นนั้นก็เป็นได้ 

วันนี้อาตมาได้รับ ข้อมูลอันหนึ่งมา เป็นเรื่องของ


นิยามคำว่ารักของ"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"  

ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า 

“ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน

พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้

มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 

หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

พ่อของลูก /Albert Einstein.... 
Credit: Rafael Téllez-Girón


วันที่ 9 มิ.ย. นี้คือวันที่เกิดสมณะชาวอโศก คือวันที่เป็นอิสระ ก็ได้เรื่องนี้มาวันนี้พอดี ไอสไตน์มาให้อาตมาประกาศ รัก เพราะอาตมาชื่อรัก ไอสไตน์มี DNA ของพระพุทธเจ้านะ 

สม.สัจฉิกตา แต่ก่อนก็อยู่กับจินดาหรือจินตนาการ แต่เดี๋ยวนี้ฟังธรรมบอกว่าแจ้งแล้ว ก็เปลี่ยนชื่อให้เป็นสัจฉิกตา ก็รับไปเลย ไอสไตน์นี่เป็นนักวิทยาศาสตร์ใต้หมวกจินตนาการ ส่วนอาตมาก็อยู่กับความจริง ที่เอามาสอนนี่ก็เอามาจากของเก่าที่มีจริงทั้งนั้น 

ความรักที่ไอสไตน์ว่านี่ต้องเป็นความรักมิติที่ 7 ขึ้นไปนะ รักทุกสรรพสิ่งเลย จดหมายฉบับนี้เป็นการเปิดเผยทฤษฎีนามธรรมที่ยิ่งใหญ่ อาตมาขอรับมาเพื่อไขความต่อ และจะได้บรรยายขยายความกันต่อไป 

เราได้พูดถึงสิ่งที่ลึกๆมาแล้ว ก็จะนำเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเรื่องธรรมะสองก่อน ทุกอย่าง เมื่อรวมตัวพลังทุกอย่างอยู่ที่นิวเคลียส ถ้าทำให้เกิดพลังงานได้ก็จะแตกตัวเป็นพลังงานสูงสุด ถ้าเป็นพลังงานดีก็จะรวมมนุษยชาติไว้ด้วยความรัก ความดีงาม แต่ถ้าระเบิดอย่างแรงประหัตประหารก็เป็นระเบิดนิวเคลียร์ มันมีสองทิศคือดูดกับผลัก สุดโต่งสองด้าน ทำลายกับยึดรวมก็เป็นสองทิศ ถ้าเรารวมด้วยพลังงานนิวเคลียร์กัมมันตภาพรังสี พลังงานสูตรเย็น อย่างพวกเรากำลังรวมตัวกัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เป็นสภาพปฏิสัมพัทธ์ อย่างไม่ได้ทำร้ายกัน 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาที่รวมลงเป็นหนึ่ง 

พลังเจโต จะกดข่มอย่างอื่นหมด เหมือนการให้เคโมเทอราพี ที่ฆ่าหมด ทำลายชีวะเหมือนระเบิดปรมาณู​ไม่ไว้หน้าทั้ง อุตุ หรือชีวะใดๆ ถ้าเราจะรวบรวมให้เกิดพลังงานอย่างมีสัปปุริสธรรม ต้องเป็นพลังงานปัญญา รู้จักจัดสัดส่วน อย่าลืมว่าตัวเราก็เท่านี้ 

ตัว c คือพลังจิตวิญญาณคือนาม และ m คือรูป พลังขึ้นกับสองอย่างนี้ อาตมาได้บรรยายแต่ต้นว่า 
E  = mc2 +A แต่ก่อนก็ไม่ค่อยได้ขยาย ตอนบรรยายที่คณะแพทย์มช. วิศวะก็มาแพทย์ก็มาฟังกันแน่นเลย ดร.มานะก็ได้ฟังเลย อาตมาก็อธิบายอันนี้ มันเป็นสัจจะ อาตมาก็ไม่ได้อธิบายมาก อธิบายแค่ว่า A คือ Abstract คือนามธรรม ที่จะมาต่อเชื่อมกับไอสไตน์ ยังไม่ได้เจอจดหมายรักฉบับนี้เลย แต่ก็พอรู้ ถึงได้ประกาศว่าไอสไตน์มี DNA โพธิสัตว์ เขาเข้าใจจิตวิญญาณด้วย ส่วนรูปธรรมเขาสำเร็จแล้ว เขาทำพลังงานระเบิดนิวเคลียร์ได้ ระเบิดนิวเคลียส เอานิวตรอนออกมาระเบิดได้ 

ที่แตกตัวทางวิทยาศาสตร์เรียกว่ามี half life คือสลายไปทีละครึ่งชีวิต ก็เหมือนชรตา ถ้าจะไม่ให้เกิดก็ตัดสันตติ คุณสามารถระงับไม่ให้ต่อได้ แต่ถ้าจะต่อถึงต่ออย่างไรมันก็ชรตาก็คือเสื่อมไป เหมือน half life จะมี isotope ต่อไป ก็เป็นธาตุเบาไปเรื่อยๆ เบาสุดก็ไป 0 

ใน DNA คือ genome ที่เป็นธาตุหนัก ส่วน gene คือ genome ที่เป็นธาตุเบา

ในขณะนี้พวกเราเรียนวิทยาศาสตร์ทางจิตที่กำลังจะเชื่อมวิทยาศาสตร์ทางโลก ถ้าแรงอันพอเหมาะพอดีได้สัดส่วนจะไม่เกิดรังสีพิษกระจายออก เราสามารถทำลายความเป็นพิษของมันก่อนให้มันเบามีลหุตา เราจะปล่อยพลังออกไปไม่ให้มีพิษ ถ้าเรามี 100 หน่วย นิวเคลียร์ฟิชชั่นครึ่งหนึ่ง นิวเคลียร์ฟิวชั่นครึ่งหนึ่ง เราเปลี่ยนแปลงพลังงาน จากที่จะทำลายเอามาให้เป็นประโยชน์ เช่นเราสอนโจรให้กลับใจเป็นคนดี พระพุทธเจ้าเปลี่ยนองคุลีมาลให้เป็นคนดีได้ เป็นถึงอรหันต์เลย พระพุทธเจ้าไม่ทิ้งของ คือเอานิวเคลียร์มาเก็บรวมตัวให้ได้มากที่สุด นอกนั้นก็ปล่อยสลายไป ยาหลายอย่างแม้เป็นพิษแต่ก็เอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ในขนาดที่พอเหมาะ เราต้องทำให้ลงตัวจะเป็นประโยชน์หมด 


ต้องทำให้พอเหมาะพอดี พอเพียงนี่แหละคือกลมกล่อม แกนต้องมีเศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน และขาดทุนของเราคือกำไรของเรา  อาตมาก็เอามาแตกขยายต่อเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อ 1-9 ถ้าจะต่อก็เป็น 0 1 2 ...9 ไปอีก จะบวกกันมากขึ้นก็คูณกับไปหรือยกกำลัง จะทำอย่างไรให้ตระกูลกุศลมารวมกัน เราไปห้ามอกุศลเขาไม่ได้หมด แต่เราทำให้เบาบางลง วิธีของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำลายฆ่าแกงกันแต่ทำให้พลังงานกุศลมีพรหมวิหาร ช่วยเขาด้วยปรารถนาดี เราต้องมีหลักที่เวลาเขาปะทะมาเราก็ไม่เปลี่ยนแปลงได้ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ  คือ  เรามีแรงเท่าใดต้องรู้มัตตัญญุตา เรามีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ถ้าคุณแข็งแรงพอ เขากระแทกเข้ามา เขาจะแตกเอง เขามาทำร้ายเราด้วยซ้ำ แต่เขาแพ้ภัยตัว เขาก็สลายตัวไปเรื่อยๆ half life ก็หมดไปเรื่อยๆ เขาก็ชรตาเข้าสู่ 0 

ตัวพลังงานทั้งหลายนี่ ติดตามฟังให้ดี เราสู้ทุกวันนี้สู้อย่างสุภาพ ไม่ได้ทำร้ายเขา แต่อาตมาพูดนี่เหมือนกระแทก ต้องรู้ ประมาณแรง action กับ reaction ที่แรงนี้คือคุณโต้ตอบเรา คุณไม่รับ ก็แรงไม่รับนี่มันออกมา เราก็ต้องมีแรงนี้ออกไปเพื่อให้ไม่ระเบิดให้นิ่ง เป็นการจัดสรรให้ได้สมดุลพลังงาน กลมกลืนอยู่ได้ไม่เกิดสงคราม 

ถ้าจะยกตัวอย่างรูปธรรม อย่างอาตมาพาพวกเราประท้วง แล้วมีคนช่วยยิงระเบิด เขายิงระเบิดทำลาย แต่เรายิงระเบิดสันติภาพ เขาก็จะทำให้ตาย ทำร้ายแต่เราทำให้เรียบร้อย สงบสยบรุนแรงมีผลสำเร็จมาตลอด แม้ 18 ก.พ. ก็เขาก็รุนแรงได้แค่นั้น จะด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ทำให้อันนี้หยุด ทำให้ความรุนแรงนี้จบ เป็นปาฏิหาริย์สูงสุด ใครจะขี้ตู่ว่าเราไปเอาของกปปส. ที่คุณสุเทพเขามีฤทธิ์แรงอยู่ก็ตาม อาตมาก็คือตัวนิ่งตัวนิวตรอน ส่วนโปรตอนก็เป็นสุเทพ ส่วนดาวหางก็อาละวาดไป ถ้าไม่หยุด พลเมืองจะขึ้นมากว่านี้ ถ้ารุนแรงกว่านี้พลเมืองจะมากกว่านี้ เหมือนทฤษฎี คอมมิวนิสต์ ว่า ตาย 10 เกิดแสน แต่มีฤทธิ์อยู่แค่นั้น แต่ว่าทุนนิยมเขามีมวลต้นทุนมากกว่าเยอะเลย และคอมมิวนิสต์ไม่มีจิตที่เป็นจริงด้วย เปลี่ยนแปลงได้ 

แต่สัจจะที่แท้จริงจะไม่เปลี่ยนแม้น้อยแต่มวลแน่น ถ้าจริงแล้วไม่เปลี่ยนด้วย คนมีอุดมการณ์จริงคือคนที่ตายแล้วจะไม่กลัวตาย อย่างอาตมาอยู่บนเวทีวันที่ 18 เป็นเป้าล่อ เขาจะยิ่งเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่มีใครยิงอาตมาหรอก อาตมาไม่มีความรู้สึกกลัวแม้สักนิด แต่ไม่ได้ท้าทายนะ มีแต่จิตเมตตา ต้องการให้ระงับ มันเกิดการบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ในภาษาอาตมาก็ว่า ไพรเมืองรีบเอารถเข็นไปช่วย เอาเตียงไปรับตำรวจ ไพรเมืองก็เอาเตียงไปรับตำรวจ เป็นของจริงที่เกิดจากจิตเมตตา อาตมาก็ต้องบอกให้ไปช่วยเขา จิตบริสุทธิ์ไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา มันมีพลังงานพิเศษ เป็นพลังแห่งความรักอย่างไอสไตน์พูด มิติที่ 7 นี่เป็นความรักมิติที่ไม่ใช่แคบๆ ก็เลิกเสียทีเถอะ มิติที่ 1 หรือ 2 ก็ไม่ใช่ว่าให้เลิกดูแลลูก หรือว่าคุณจะยังหวานก็เหมือนกินอ้อย จากโคนไปหาปลาย มาทางนี้สอนให้คุณกินอ้อยจากปลายไปหาโคน ที่พูดนี้ให้เข้าใจนะไม่ใช่ให้แค่ข้างใจ ต้องฟังให้เข้าใจ ให้ถึงใจ และระเบิดในใจเลย แต่เป็นระเบิดสันติภาพนะ ทุกอย่างมันอันเดียวกันหมด เป็นแต่เพียง ภวันติ ให้กลายจากอกุศลเป็นกุศล เราจะได้พลังงานพฤติกรรมมนุษย์มาใช้ ปี 2558​จะมีปฏิภาคทวีในระดับคูณได้ เพราะเป็นระดับบวกมานานแล้วตอนนี้น่าจะขึ้นคูณได้แล้ว....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:05:27 )

580609

รายละเอียด

580609_พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2558 

18.00 น. พ่อครูนำหมู่สมณะ สิกขมาตุ เดินธรรมยาตราสั้นๆ จากถนนหลังพระพุทธโต สู่ลานหน้าพระพุทธโต หรือแก่งสระโพธิ์ สมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรม นั่งเรียบร้อยอยู่บนลานแก่งสระโพธิ์ 

18.15 น. พ่อครูแสดงธรรมในพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ.....วันนี้ 9 มิ.ย. 2558 เป็นวันที่เราจะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งปีนี้เราจัดมาเป็นปีที่ 34 เรามีพระธาตุอยู่ที่พระวิหารพันปี เรามีพิธีตั้งแต่มีพระธาตุขึ้นสู่พระวิหาร ปีนี้ก็เป็นปีที่ 34 เป็นงานอโศกรำลึก ซึ่งพวกเราได้เดินทางมาในสายนี้ ประเพณีก็จะรำลึกถึงบรรพชน ถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ระลึกถึงสิ่งดีงามเป็นสิ่งประเสริฐอย่างหนึ่ง 

ถ้าคนเราไม่ได้รำลึกถึงอะไรเลย ไม่มีสาราณียะ ระลึกถึงสิ่งควรระลึกถึง ถ้ากลายเป็นคนปฏิบัติธรรม ชนิดตัดขาดไม่ต้องคิดถึงใครเลย พวกมิจฉาทิฏฐิสอนกันให้ไปนิพพานแบบไม่ให้นึกถึงอะไรเลยให้ขาดจากโลก ถ้ายังมีการโยงใยต่อเชื่อมไม่ตัดจะไม่ได้นิพพาน เขาเข้าใจเพี้ยนไป 

คำว่าสันตติ เป็นอาการส่วนในที่ซ้อนในจิต มีกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ไม่ใช่หมายความว่า ไม่ต่อไม่ติด ตัดสันตติ ตัดกายก็ตัดกาย เวทนาก็ตัดไม่รับรู้สึก หรือตัดจิตไม่มีธาตุรู้ทำงานเลย นี่พวกมิจฉาทิฏฐิ มีเยอะ เข้าใจ สติปัฏฐาน 4 ที่ลึกซึ้งนี้ผิดไป

อาตมาอธิบายถึงพลังงานทางจิต ที่เทียบกับทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขาไม่สามารถเข้าไปรับรู้ชีวิตินทรีย์ ที่มีพลังงานหยาบ กลาง ละเอียด อย่างของพระพุทธเจ้าอ่านเลยว่าชีวิตสัตว์โอปปาติกะ ที่เป็นสัตว์อบาย หรือชีวิตของพลังงานทางกิเลส ที่เป็นชีวะ เป็นนามธรรม แล้วก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของมันชัดเจน ถูกต้องแล้วตัดสันตติหรือดับเฉพาะสัตว์อกุศล สัตว์อบาย แล้วก็จะมีจิตกุศลอีกต่างหาก จิตเราต้องทำงาน ต้องสะอาด ส่วนจิตอกุศลให้ตัดสันตติ ให้ตัดขาดสนิท

นิโรธของพระพุทธเจ้าไม่พาซื่อเหมือนการแพทย์เขาฆ่ามะเร็ง ฉีดคีโมฯ เพื่อสะกัดเซลล์มะเร็งก็ฆ่าไปหมดเลย รอบข้างมันฆ่าแหลก ไม่ไว้หน้า ฉันเดียวกับปฏิบัติธรรม แบบดับจิต ดับเวทนาหมด หลับปี๋ ไม่ใช่เลย แต่นิโรธของพระพุทธเจ้าตื่นมีสติเต็ม รู้กิเลสตัวไหนตัวนั้น กำจัดให้กิเลสดับหายไปไม่มีอินทรีย์พละเลย ดับสนิท เหมือนพลังงานนิวเคลียร์ ที่มีกัมมันตภาพรังสี กัมมันตะ คือกรรม เป็นกรรมที่ละเอียดที่สุด บางเบากระจายออกไป เป็นรังสีด้วย

มีนิวเคลียร์ฟิชชั่น และนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นธรรมะสองที่จะต้องลดอิตถีภาวะสู่ปุริสสภาวะ ให้เป็นเอกปุริสสภาวะ ดับเฉพาะอาการที่เป็นอิตถีภาวะ  พอเป็นปุริสสภาวะที่เป็นเอก ก็ต้องเรียนรู้ ธรรมะสองสภาพอีก ในนิวเคลียสเป็นภาวะของสสารและพลังงาน เขาก็ค้นพบสุดยอดละเอียดที่สุดอีก จนกว่าจะสูญ ก็ระดับนิวเคลียส มีนิวตรอนที่ว่าง แล้วมีโปรตอนที่อยู่ด้วย เป็นสภาวะสองอย่าง ของพระพุทธเจ้าให้ทำลงไปอีกให้สูญ ชีวิตินทรีย์ ไม่ให้มีสอง ให้เป็นหนึ่ง และเป็น 0 เลยไม่ให้มีเพศเหลือเลย ความรู้ของพระพุทธเจ้าถ้าจะเรียกถึง นิวเคลียร์ฟิชชั่นหรือนิวเคลียร์ฟิวชั่น มีการกระทบแตกตัวเป็นไอโซโทป เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่แตกตัวไปเรื่อยๆกระจายจนหายไป ทีละ half life ตัดได้ครึ่งหนึ่งจนสลายไปสูญในที่สุด เรียกว่าชรตา

เมื่อมีการกระทบกัน แล้วแตกละเอียดลงไปๆๆ ก็จะชรตาเสื่อมสูญไป สุดทาง สู่ทางเสื่อมหายไปหมดไป ใน นิวเคลียร์ฟิชชั่นก็ปล่อยหายไปเลย เหลือแต่ นิวเคลียร์ฟิวชั่น ที่จัดกันเป็นธาตุหนักก็เอามาใช้ต่อไป ใช้หลักเดียวกันเลย กับของพระพุทธเจ้า

ผู้มีจิตอ่าน เจตสิก ได้จะรู้และควบคุมได้ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เป็นภวันติ เหนือพลังงานนี้ควบคุมพลังงานนี้ได้ อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามา ถึงวันนี้แล้วรู้สึกว่า อาตมากำลังมันเขี้ยว พูดอะไรก็ไม่พลาดถึงอันนี้เลย ก็รำลึก ที่อาตมาพูดนี่รำลึกพระคุณพระพุทธเจ้า ท่านประกาศธรรมะของท่านให้เราศึกษามาถึงทุกวันนี้แล้วมีผลจริง อาตมามั่นใจว่าชาวอโศกมีผลจริง จึงกล้าประกาศว่ามีอาริยะ พวกเรามีเยอะที่เป็นโสดาบัน สกิทาคามีก็มี เป็นลำดับ อนาคามีก็มี อรหันต์ก็มี แต่เราไม่ต้องอวดอ้าวอะไร ได้แล้วก็เป็นของจริงที่จะนำพากันเป็นแก่นแกนของมนุษยชาติ 

ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษาจิตเจตสิก รูปนิพพาน ทฤษฎีพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งสังคม อยู่กับสังคม ทำสัมมากัมมันตะ อาชีวะช่วยสังคมอยู่ รู้เท่าทัน ในการทำสัมมาวาจา กัมมันตะ สังกัปปะ เข้าใจเจตสิกพวกนี้ แล้วเรียนรู้กุศล/อกุศล อย่างอกุศลไม่เอา เอาแต่กุศลใช้อาศัยในชีวิตอย่างควบคุมได้เป็นของจริง

การศึกษาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่การศึกษาเห็นแก่ตัวปลีกเดี่ยว เอาตัวรอดแต่เพียงคนเดียว ไม่รู้จักมวลมนุษยชาติไม่ใช่เลย แต่เป็นธรรมะที่ โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) 

ตั้งแต่โสดาบันก็เหนือโลกอบายที่ต่ำๆแล้ว คนเขาไม่ศึกษาไม่รู้อบาย แต่พวกเราปิดอบาย ชุมชนพวกเราไม่มีอบาย สูงไปเป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพก็ต้องเรียนรู้ จนหมดสิ้นภพทั้งหมด เราอยู่เหนือภพทั้งหมด อยู่เหนืออย่างไม่เบ่งข่ม แต่รับใช้โลกด้วย จะรู้จักการงานในสังคม จะช่วยสังคมไปตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องอย่างที่เข้าใจผิดๆ หลงใหลออกป่าเขาถ้ำ ปฏิบัติสมาธิสะกดจิตนั่งหลับตานั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ไม่แยกส่วน 

มรรค 7 องค์สัมพันธ์กันแล้วสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ที่กำลังอธิบายอยู่ เราได้ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าเราก็ได้มีงานระลึกคุณพระพุทธ_ธรรม_สงฆ์ โดยมีพระบรมสารีริกธาตุเป็นจุดร่วม เราจะรำลึกที่ไหนก็ได้ เราไปทำพิธีกลางถนนราชดำเนิน หรือข้างทำเนียบก็ไป มีสองหนแล้วที่เราไปอโศกรำลึกกลางถนน เหมือนศาสนาอิสลามเขาจะละหมาดที่ไหนก็ได้ ระลึกถึงพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ถ้ามนุษย์เราไม่เข้าใจไม่เห็นความสำคัญไม่ทำเป็นจารีตประเพณีวัฒนธรรม เราก็ไม่มีสิ่งโยงใย ไม่มี convergence จูงนำไปสู่ที่สูงได้

งานต่างๆที่เราจัด เป็นงานที่หลอมรวมจิตวิญญาณของคนให้มาศึกษาเรียนรู้ให้เกิดความชำนาญ เป็นการสมานสามัคคีขัดเกลากัน 

ถ้าไม่เข้าใจกันไม่มีญาณปัญญาพอขัดเกลากันไม่ดีก็แตกหัก เสร็จงานก็แยกแตกกันไป แต่พวกเราไม่ พวกเรามีการปฏิบัติมีการขัดเกลากระแทกแล้วจับอาการจิตจัดกิเลสได้ มีสมถะ วิปัสสนาไป คือวิธีปฏิบัติ แม้เราจะมีกิจกรรมกิจการที่เราทำนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่าทำทำไม เราจ่ายค่าใช้จ่าย ใช้แรงงานเมื่อยนะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก แต่คุณประโยชน์ที่เราจะได้ สาระที่เราจะได้ เป็นจิตวิญญาณอันลึกซึ้ง  ไม่ใช่ว่าเราทำไปอย่างซังกะตาย ทินนัง ยิตถังที่เราทำนี่มีผลต่อจิตอย่างไร ซึ่งเราเข้าใจว่า เป็นอัฏฐิ ยิตถัง ทำแล้วมีผลให้จิตใจเจริญ

18.41 พ่อครู นำพาลูกๆ สวดมนต์ และกล่าวคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
คำกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก

อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ 
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร
ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ

ขอนอบยอบหมอบกราบคารวะ 
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม ของเหล่าข้าน้อยนี้

เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาทของสมเด็จพ่อ
ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มี “พุทธคุณ” ดังกล่าวข้างต้น
อย่างสุดเทิดสดบูชายิ่ง

เหล่าข้าน้อยทั้งหาย ขอน้อมบูชา
เทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้

ณ วาระศุภสมัยนี้ เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย 
ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ต่อพระพุทธาภิธรรมนิมิต

ณบัดนี้ว่า... เลือดและวิญญาณของเหล่าข้าน้อยทั้งหมดนี้
ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า 
จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน

ขอได้โปรดรับปณิธานนี้
ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อม 
เหล่าข้าน้อยเถิดเทอญ

สาธุ-สาธุ-สาธุ

จากนั้น เป็นรายการฉายข่าวเด่นอโศกในรอบปี 2557-2558 ซึ่งมีทั้งหมด 8 ข่าวด้วยกันคือ
 
พ่อครูไป "ศรีโคตรบูรณ์ ดินแดนสมบูรณ์ของคนมีศีล" ดูฮัปปุ๋ย (22 ต.ค. 2557)
ทัวร์พญาแร้งเสริมแรงโลกุตระธรรม(จากวัดป่าติ้วสู่สีมาอโศก) 5 ม.ค. 2558
พ่อครูสัญจรภาคเหนือและร่วมงานฉลองหนาว
ประชุมโครงการสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ไปดูบ่อหินดำและเร่ิมโครงการ(18 ก.พ. 58)
พ่อครูประกาศอรหันต์ งานพุทธาฯที่ศาลีฯ  (1 มี.ค. 58)
ถนน 11 สายและภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไปของบ้านราชฯ ขุดลำธาร ทำเกาะรัตนราชธานี 
งานตลาดน้ำอาริยะคืนชีวิตแม่มูน(13-15 เม.ย. 58)
โครงการเพื่อนเนปาล


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:06:35 )

580610

รายละเอียด

580610_ธรรมาธรรมะสงคราม มูลสูตรพาพ้นสุขคือเงาของทุกข์

พ่อครูว่า.....วันนี้วัน พุธ ที่ 10  มิถุนายน 2558  แรม 9 ค่ำเดือนเจ็ด(7)ปีมะแม
รายการธรรมาธรรมะสงคราม ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะที่ รู้สึกว่า บ้านเมืองที่ปล่อยให้บริหารแบบประชาธิปไตยที่ว่ามา 82 ปีมาแล้ว มันแย่เต็มที จนรู้สึกลึกๆเองว่า ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปบ้านเมืองบรรลัยจักร มีค่ายกลการเมืองที่ นักการเมืองสร้างเอาไว้แข็งแรง จนการเลือกตั้งที่เป็นกฎเกณฑ์สำคัญของประชาธิปไตยในการสรรหาผู้ไปบริหารประเทศ เป็นกฎสำคัญจริง แต่เมื่อประชาชนไม่เข้าใจประชาธิปไตย และค่ายกลนักการเมืองแข็ง จึงใช้เล่ห์กลได้อย่างเก่ง ยังไงๆ การเลือกตั้งก็จะเข้าสู่ทิศทางที่เขาต้องการ 

เขามีอำนาจมาก อิทธิพลมาก ค่ายกลแข็งแรง ยิ่งมีอำนาจในรัฐสภา หรือ ก็คือการได้อำนาจรัฐทั้งรัฐ นี่คือความไม่ฉลาดทางการเมือง ไปหลงว่า การได้อำนาจที่รัฐสภาก็เหมือนได้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งมันไม่ใช่

การได้อำนาจรัฐสภาคือมีสิทธิหน้าที่อำนาจ ทำตามกรอบกฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น ทำนอกบัญญัติผิดกม.เข้าคุกด้วย แต่เขาก็นึกว่าได้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ประชาชนไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง ซึ่งแม้จะเลือกตั้งอย่างไรก็ตาม ประชาชนคนเดียวก็มีสิทธิ์เรียกร้อง

อำนาจส่วนใหญ่ของประชาชนนั้น คุณไม่สามารถให้ประชาชนออกมาประท้วงมาก จนคุณโกงคะแนนเสียงมาได้ 10 ล้านคน แล้วทำไมประชาชนไม่ออกมาประท้วงให้คุณเป็น 10 ล้านล่ะ แล้วเมืองไทยก็ยากจน คนปากกัดตีนถีบ จะมีเวลามารวมตัวประท้วงได้ถึง 10 ล้านได้อย่างไร การชุมนุมที่ผ่านมา กปปส.ทำได้สูงสุดแล้ว มีคนเดาว่าคนออกมาถึง 10 ล้าน แต่ในกทม.นี่ได้หลายล้าน ซึ่งยังไม่เคยมีมาเลยในประชาธิปไตยไทย ออกมาด้วยใจซื่อสัตย์ไม่ได้ถูกจ้างหรือด้วยอำนาจอื่นใด ไม่เหมือนนปช.ที่จัดตั้งมา

อำนาจประชาชนนี่ ไม่ใช่ว่าจะเอาออกมาแสดงเป็นตัวเป็นตนได้ง่ายๆ ในฟิลิปปินส์ประชาชนออกมาประท้วงไล่มากอส มากที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย แต่ไม่ได้จำสถิติได้ ประชาชนเขามี 98 กว่าล้าน แม้จะออกมา 1 ล้านก็ไม่ถือว่ามากมาย 

คนเรามีปฏิภาณไหวพริบ คนไทยเรารู้แล้ว ในการแสดงออกตอนกปปส.ประท้วงอย่างสงบเรียบร้อย ผลที่คนไทยรู้จึงทำให้ทุกอย่างสงบ ทำให้เป็นการปฏิวัติที่สวยงามที่สุดในโลก เพราะคนจำนนแล้ว รู้แล้วว่าสุดทาง การปฏิวัติยึดอำนาจไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่คนไทยเห็นด้วยสวยกว่าครั้งที่พล.อ.สนธิ ยึดอำนาจอีก 

นี่ใช้ประโยคนิ่มนวล ผมขออนุญาตยึดอำนาจ คำปฏิวัตินี้ต้องตราไว้ในรัฐศาสตร์อีกนานเท่านาน อย่างกับโพธิรักษ์จะตำหนิอะไรก็ต้องบอกขอเกรงใจทุกครั้ง ตอนนี้พวกต้านก็ยึกยัก พล.อ.ประยุทธก็แสดงออกถึงความจริงใจมากมาย แล้วพวกยึกยักที่ออกมานั้น ทำให้พล.อ.ประยุทธยิ่งได้คะแนน ขออภัยที่ต้องชมว่า นัจจะคีตะวาทิตะของพล.อ.ประยุทธนี่สวยงามที่สุด สมยุค สมสมัย นัจจะก็ดูดี วาทิตะก็ดูดี สุ้มเสียงลีลา เป็น composition ที่สวยงาม มีทั้ง harmony มี highlight ที่เป็นไปได้ แต่ละครั้งที่ออกมามีจุดยอดนะ ด้วยลีลาหรือภาษาพูด มันน่าดูกว่าไปดูมวยแชมป์โลกอีก 

โดยสัจจะแล้ว โลกที่เจริญต้องติมากกว่าชม แต่โลกที่เสื่อมนั้นจะทนต่อคำตำหนิไม่ได้ ชมมากกว่าติด้วย แล้วไม่รู้ว่าคำตำหนิเป็นของควรดื่ม ผู้ใดทำคำตำหนิให้คนดื่มได้เป็นปิยวาจา เป็นคำที่ยอด น่าเอ็นดู น่ารัก น่านับถือ ตำหนิเขาแล้วเขาดื่มคำตำหนิได้ถือว่าเก่ง แต่ชมให้คนดื่มได้นี่ใครก็ทำได้

ด้านการเมืองดีขึ้นมากเลย แต่ด้านการศึกษายังไม่กระเตื้อง ยังไม่ค่อยเข้าใจไม่รู้ว่า จริงๆแล้วการศึกษาของพระพุทธเจ้า มีการศึกษา 3ที่มนุษย์ทุกคนควรศึกษา เป็นการศึกษาให้คนเป็นอาริยชน ถ้าใครไม่มีอันนี้ไม่ใช่พุทธ ไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ใช่พุทธ ปัญญาก็เป็นปัญญาเฉโก

ศีล 5 เป็นศีลพื้นฐาน คุณเกี่ยวข้องกับสัตว์ทั้งหลาย ไม่กินไม่ฆ่าไม่แกง ไม่ให้ฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่หรือใดๆ หรือไปรุนแรงโหดร้าย ทำตนให้เป็นผู้เกี่ยวข้อง เช่นรัฐบาลที่แล้วจำนำข้าวจนคนต้องฆ่าตัวตายไปหลายคน เขาก็ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นเหตุ ให้ถึงขั้นคนตาย

ปฏิบัติศีลนั้นมีอานิสงส์ 10 ข้อ (กิมัตถิยสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 1,  208)
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) ที่ยินดีเพราะจิตลดกิเลสได้ ไม่ใช่ยินดีเพราะได้สมโลกียะ 
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) 
4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 
6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) 
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) 
9. วิราคะ (คลายกิเลส) 
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  

การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าทุกวันนี้ศีลก็ไม่เข้าใจ สัมพันธ์กับสมาธิ กับปัญญาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แค่ศีล 5 ที่สัมผัสเกี่ยวข้องกับสัตว์ เราไปกระทบทำร้ายเขาจนฆ่าตัวตาย เราก็รู้จิตเราสำนึก ลดลง สังวร หรือรู้ในขณะมีเหตุการณ์นั้น เกิดอาการที่เราเกี่ยวกับการกระทบ โดยเราเป็นส่วนเป็นเหตุ เราอ่านผลกระทบได้ ที่ไปเบียดเบียนเขา ถ้าสามารถเข้าใจนัยเหล่านี้ที่เป็นความรู้ศาสนาพุทธ รู้ศีลรู้อธิศีล รู้อธิจิต ว่ากิเลสลด จนจิตแข็งแรงตั้งมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เขาก็ไม่รู้กัน  คำสอน พระพุทธเจ้าเพี้ยน จนสมาธิเหลือแค่การนั่งหลับตา อาตมาเลยเอามหาจัตตารีสกสูตรมาย้ำ ว่านั่งหลับตาไม่ใช่ทางเอกของศาสนาพุทธ ไม่ทำเลยได้ดี แต่มันก็ไม่ดีนัก แต่ไม่ใช่ว่าไปนั่งแล้วเกิดอิทธิฤทธ์อะไรไม่ใช่เลย ว่าเป็นอรหันต์ ที่เขาหลงพระอรหันต์ปลุกเสกเก่งนี่เป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้นเลย ที่สิ้นชีพไปก็ว่าเป็นอรหันต์ อย่างนี้เป็นอรหันต์ของพุทธหรือ? ขออภัยที่อาตมาพูดอย่างแข็งเลย อาตมาพูดมา 45 ปีแล้วก็ไม่กระเตื้องเลย แทนที่จะหันมาศึกษามหาจัตตารีสกสูตรกันหรือสูตรอื่นๆ 

ศึกษากันให้ดี คนไหนไม่เข้าใจมหาจัตตารีสกสูตรอย่าให้เปรียญเลยแม้สอบได้ โดยต้องรู้ปฏิบัติศีล ตั้งแต่ศีล 5 แม้เป็นภิกษุก็ปฏิบัติศีล 5 ที่อยู่ในจุลศีล และศีลธรรมนูญนี่เป็นของศาสนาพุทธ แต่เขาไม่รู้เรื่องแล้ว แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่เขากลับเอาวินัย 227มาเป็นศีล 

ศีลนี่เป็นธรรมนูญของพุทธ มีจุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล อีก 7 ข้อ แต่เขาก็ไม่ปฏิบัติกันแล้ว แล้วมีผู้บอกว่า ศีลเหล่านี้เป็นศีลของอาริยบุคคล ซึ่ง ก็คือยอมรับว่าคุณไม่มีอาริยบุคคล แล้วที่พระพุทธเจ้าว่าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากอรหันต์ล่ะ แต่แล้วกลับนับถืออรหันต์ที่เก๊กัน 

ทางโลกเขากระเตื้องแล้วแต่ทางธรรมทำไมไม่กระดิกหูกันไม่กระเตื้องเลย เป็นอย่างไร? วันนี้ดุหน่อยที่ดุคือดุผู้ดูแลศาสนา แล้วคนนับถือก็โง่ไปตามผู้นำ ถ้าศาสนาไม่กระเตื้องนี่ ยังจะดันทุรัง สมีอุ้มสมี ไม่รู้ตัวแล้วไม่สำนึกบาปไม่แก้กลับ อาตมาว่าไม่มีทางฟื้นแล้วนะ มีแต่จมกับจม จมไปหานรก ที่เป็นกรรมจริง คุณทำมันก็สะสมนรกไว้ นรกเป็นของจริง ไม่ใช่นรกไม่มีนะ 

สุขคือเงาของทุกข์

นรกสวรรค์นี่จริงกว่าชีวิตปัจจุบัน ชีวิตปัจจุบันนรกไม่เท่าไหร่ สวรรค์ก็นิดเดียว  ชั่วระยะที่มันมียามา มีกาละที่คุณประคองไว้ แล้วคุณก็ไปหาสวรรค์ไว้ สั่งสมในอนุสัยคือสวรรค์เท็จ แท้จริงคือทุกข์ ทุกข์คือเหตุให้หลงว่าสวรรค์ คือเหตุปัจจัยอันคือตัณหา ไม่ดับตัณหาก็ไม่สิ้นทุกข์สิ้นสุข เพราะทุกข์สุขเป็นคู่เคียง สุขเป็นเงาของทุกข์ แล้วก็ไล่จับเงากัน แล้วสั่งสมไว้ในอนุสัย ได้สัมผัสหลอกๆนึกว่าจริง แต่ตอนตายไปแล้ว ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็นึกว่าจะได้อาการเหมือนที่เคยเสพตอนมีอาการ 32 แต่ตายไปแล้วไม่มีตา หู จมูก ลิ้นกาย ก็เลยดิ้น นี่คือนรกจริง แต่สวรรค์จริงนั้นไม่มี สวรรค์มีแต่ในตอนเป็นๆ แล้วคุณก็พยายามรักษาไว้ให้นาน แต่มันอยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนไปหาสวรรค์ใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นสวรรค์เท็จไปเรื่อยๆ สวรรค์ก็เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ ตามเหตุ นิทาน สมุทัย สวรรค์มีแค่เหมือนพยับแดด ฟองคลื่่น สลายไปเร็วมาก ตายไปก็ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ได้รับคือสุขเท็จ แต่ไม่มีสวรรค์ให้คุณเสพ แล้วคุณก็จะดิ้นเหมือนบ้าเลย มีแต่นรกแท้ๆเลย อเวจีแท้ๆเลย ฟังดีๆให้ชัดๆ 

ปฏิบัติศีลให้บริบูรณ์ไปโดยลำดับ ตั้งแต่ศีล 5 แล้วไปศีล 8 แม้มีบารมีมา หรือเป็นภิกษุก็ต้องปฏิบัติศีล 5 ไม่ใช่ว่าไปข้ามไปศีลอื่นมากๆเลย ถ้าคุณเข้าใจศีล สมาธิ ปัญญา เข้าใจจรณะ 15 

ศีล 5 ก็มีกรอบ ให้ปฏิบัติลด โทสะระดับหนึ่ง โลภะระดับหนึ่ง ที่ต้องอ่าน กุหนา ลปนา ก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้ปฏิบัติเนมิตกตา สร้างกรอบปฏิบัติให้พัฒนาไปตามลำดับ มีสถิติในการปฏิบัติ เป็นเนมิตกตา มีลำดับขั้น จนบริสุทธิ์ไปตามลำดับของ มิจฉาอาชีวะ 5 แต่นี่พระกลับมีเงินเดือนเงินดาว ผิดกันตั้งแต่บวชแล้ว ถามว่าเป็นราชปัตโตไหม? เป็นจนท.รัฐมีเงินเดือนเงินดาวเสร็จ มันครบเครื่องความบรรลัยของศาสนาแล้ว ขอภัยที่พูดไม่ประนีประนอม ขอยืนยันว่าพูดด้วยเมตตาด้วยปรารถนาดี ไม่ได้พูดด้วยโกรธเกลียดแค้นเคืองใคร ใครทำผิดก็เป็นกรรมของเขา แต่อาตมาไม่ปรารถนาให้คุณหลงผิดอยู่ อันนี้ทำให้อาตมามีปรารถนา คุณไปทำผิดอยู่ทำไม ก็บอกก็ชี้ให้เข้าใจ ให้สำนึกแก้ไขปรับปรุง 

ทางด้านศาสนา หากกระเตื้องอีก แล้วสำนึก ปลงอาบัติ สิ่งผิดก็ยอมรับเสีย แก้ไข อย่ารักหน้าตัวเอง ถือศักดิ์ศรีถือยศ นึกว่ายิ่งใหญ่กว่าอาตมามากมาย ก็ให้คิดดีๆ ว่ายิ่งใหญ่กว่าอาตมาจริงไหม? ขออภัยที่พูดแบบนี้

ยิ่งใหญ่คืออะไร คือผู้มีสติมีปัญญา พวกคุณแปลเองในมูลสูตร10 มีสติเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นยิ่ง อาตมาก็หยิบสิ่งต่างๆมาอธิบาย เขาก็ว่ามั่ว แต่อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาร้อยมาลัย เอาดอกนั้นดอกนี้มาแซม อาตมาเป็นศิลปิน ร้อยมาลัยได้ชั้นหนึ่ง 

ยกตัวอย่างมูลสูตร นี่ถ้าเข้าใจได้คือเข้าใจศาสนาพุทธ
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)  ความยินดี ต้องยินดีเพื่อปฏิบัติเนกขัมมะ เพื่อออกจากกิเลสตัณหา นี่แหละคือ คุณยินดีอันนี้จะมีเค้ามูลในจิต แต่ถ้าคุณไม่รู้ เขาพาให้ออกจากโลกียะ คุณก็ว่าทำไม่ได้ คุณก็ไปมุ่นกับโลกีย์ก็อย่าหวังว่าจะทำใจในใจได้ เพราะไม่ง่าย ศาสนาพุทธนั้น คัมภีรา ฯ 

ฉันทะตัวแรกหากคุณไม่มีก็เมินเสียเถิดที่จะปฏิบัติศาสนาพุทธ คุณกลับไปยินดีใน กาม ในโลกียะ ไม่เรียนรู้สิกขา 3 ที่ขัดเกลาอกุศลจิตได้ ปหาน 5 อย่างไร ไม่เคยเรียนรู้เลย จบดร.มา บางคนสองใบ สามใบ ก็กอดคอกันสะสมโลกธรรม บางคนโกงเป็นแสนล้าน ชีวิตคุณไม่ได้นรกจะได้อะไร แล้วก็ไม่รู้ไม่ชี้บอกว่าไม่โกง ต่อให้คุณไม่โกงจริง แต่คุณร่วมมือสร้างโครงการนี้ กฎหมายจับคุณเข้าคุกทั้งนั้น ถ้าสืบได้ว่าเกี่ยวข้อง นี่ทางโลกนะ แต่ทางธรรมคุณได้นรกจริงแล้ว 

2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) 

3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะเป็นเหตุให้ปฏิยัติ เป็นภาคมรรค ต้องมีผัสสะเป็นสมุทัย คุณถึงจะทำใจในใจให้บรรลุธรรม แต่ไปนั่งหลับตาตัดผัสสะ 5 เหลือแต่ในใจ มันผิดตั้งแต่ยังไม่เดินทางเลย มันเข้าป่าตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าป่า จมในป่าตำแย หรือป่าทักษิณ อาตมาตั้งชื่อไมยราพยักษ์ว่าต้นทักษิณ งอกงามปราบยากมาก อาตมาเลยตั้งชื่อว่าต้นทักษิณ ถ้าไม่รู้ว่าปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นสมุทัยก็เมินเสียเถิดไม่มีผลอะไรหรอก ผิดทางแต่ต้นเลย เมื่อผัสสะไม่มีจะไปรู้เวทนาได้อย่างไร 

4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)  ที่สำคัญคือเวทนา 108 และโดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 ที่จะแยกชีวะในระดับจิตวิญญาณ ที่เป็นระดับจิตนิยาม มีชีวิตินทรีย์ รู้อันนี้ได้จะแยก โครโมโซม แยก ยีนส์ DnA ศาสนาพุทธรู้จักอันนี้จึงรู้จักอะตอม สามารถรู้จักระเบิดรัก 

ต้องอ่านวิเคราะห์ มี psychoanalysis จึงสามารถทำกัมมันตภาพรังสีให้เป็นปรมาณูเพื่อสันติภาพ ไม่ใช่ก่อรังสีเป็นพิษ ไม่ว่าจะมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร ก็คุมได้ ทั้งนิวเคลียร์ฟิวชั่นและนิวเคลียร์ฟิชชั่น เพราะรู้อาการลีลาการเคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านั้น อาการอย่างนี้เป็น male เป็น female เป็นธรรมะสองอย่าง

ถ้ามันแตกตัวเป็น กัมมันตรังสีพิษมันก็จะทำลายร้ายแรงมาก ถ้าไม่รู้จักเวทนา แล้วรู้จักมโนปวิจาร 18 ดับอกุศลจิต ให้เหลือจิตผ่องใส สจิตตปริโยทปนัง ฆ่ากิเลสลดกิเลสได้เรื่อยๆ จึงเป็นอธิจิตสิกขา เป็นพลังงานสะอาดขึ้น ไม่มีพิษ เป็น genome ที่ไม่มีพิษขึ้นเรื่อยๆ 

พลังงานนิวเคลียร์ก็ควบคุมได้ พลังงานเล็กที่สุดละเอียดที่สุดแรงที่สุด ร้ายที่สุดให้เป็นดีที่สุด ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำลาย แต่ภวันติ เปลี่ยนพลังงานร้ายเป็นพลังดี จึงได้กำไรเป็นสามต่อสี่ต่อ ไม่ใช่นั่งสมาธิหลับตาไม่รับรู้เลย นิ่งดับ เลยไม่รู้เรื่อง ทั้งที่มันมีพลังงานแต่คุณใช้มันไม่ได้ 

พวกวิทยาศาสตร์รู้แต่สรีระของชีวะแต่ไม่รู้จักนามของพีชะเหล่านั้น ไม่รู้ เวทนา สัญญา วิญญาณ อย่างเวทนา 108  นี่คือ จีโนมทั้งนั้นเลย จะรู้จักจับคู่มา เป็น จีโนมทั้งนั้นเลย ถ้าสามารถเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายเราจะใช้พลังงานทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ได้เลย ไอสไตน์ทิ้งไว้ให้อาตมาต่อ 
E = mc2 + A อาตมามาเติม A เป็น Abstract เป็นนามธรรม เป็นพลังงานทั้งฟิสิกส์และจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง อเมริกาเก่งออกนอกโลก เก่งทางวัตถุหรือความรู้ คิดคอมพิวเตอร์เก่ง หลอกเอาเงินคนทั้งโลก อย่านึกว่าเป็นบุญคุณแต่บาปต่างหาก แล้วมีผีอยู่ในของที่คุณสร้างมากมาย จริงๆมองในภาคความก้าวหน้าก็ดีแต่เอาไปใช้ทางลดกิเลสเป็นกุศลสิ แต่นี่เอามาใช้เสริมกิเลสก็เสื่อมเร็วสิ 
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) 
6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) จิตวิญญาณของมนุษย์มีสติ รู้สติมันโต รู้ทางทวาร 6 แต่ว่าอยู่เหนือมันได้ แต่ถ้านั่งหลับตามีสติแต่ในภวังค์ไม่ครบ แต่ของพระพุทธเจ้าสอนให้มีสติครบพร้อมทุกทวาร จึงรู้ทั้งโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย จึงมีสติเป็นใหญ่ให้ตนหมดพิษหมดอัตตา แล้วตนก็รู้โลก เฉลี่ยลาภให้ทั่วถึงอย่างหมดอัตตา เก่งกว่าประชาธิปไตย เก่งกว่าคอมมิวนิสต์ เป็นจอมเผด็จการด้วย เป็นจอมอำนาจที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย เห็นแก่มวลมนุษยชาติไม่ได้เห็นแก่ตัวสักนิดเลย รู้โลก โลกวิทู 

รู้ว่าเขาแย่งชิงกัน แต่เราช่วยเขาให้หลุดพ้น มีสติเป็นอธิปไตย ไม่ต้องพูดถึงอำนาจ ประชาธิปไตยหรือเผด็จการ แต่นี่แหละคือจอมอำนาจที่มีเมตตาจริง
7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด อยู่เหนือความเป็นโลก โลกียะ ลาภ ยศสรรเสริญ​สุข อยู่เหนือได้แต่ไม่ได้ไปทำร้ายหรือข่มเขา แต่จะช่วยเขาอย่างจริงใจ ช่วยให้เขามีวูปสโมสุขนะ ไม่ใช่ให้เขาสุขโลกีย์ ด้วยจิตที่เหนือโลกธรรม อัตตาทั้งหลาย แล้วช่วยคน จึงเรียกว่าปัญญาแท้ ไม่ใช่ฉลาดแกมโกง เอาลาภ ยศไปหลอกล่อเขา มีค่ายกลสารพัดไม่เอา ต้องมีปัญญาแท้ไม่ใช่แค่เฉกาปัญญาหลอก เมื่อได้แล้วจะมีแก่นสารของชีวิต มีวิมุติ
8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง คือแก่นของความจริงของสัตว์โลก เมื่อได้วิมุติก็เป็นอมตบุคคล 
9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน คือผู้ไม่ตายหรือจะทำให้ตายก็ได้ ทำให้คนตายหรือทำให้กิเลสในคนตาย ไม่ได้ผิดศีลข้อ 1 นะ 
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน 
(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58) 

สัมมาสมาธิของพุทธเรียกว่าอาริโยสัมมาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิสามัญทั่วไปเป็นspecial สมาธิ ไม่ใช่ general สมาธิ ก่อนอื่นสัมมาสมาธิเป็นประธานของมรรค 7 องค์ ปฏิบัติมรรค 7 องค์นี่แหละเป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบ ทั้ง 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน มีสัมมาสติ มีสัมมาวายามะ เป็นหวังเฉา หม่าฮั่น ก็เหมือนกับปัจฉาสมณะ คือช่วยท่านเปาทำงาน ยกตัวอย่างพวกนี้ประกอบให้เข้าใจสภาวธรรม

ทิฏฐิเป็นประธาน ทิฏฐิต้องสัมมา หากประธานไม่สัมมาก็พาหวังเฉาหม่าฮั่นตกท่อกันเลย สัมมาทิฏฐิเป็นประธานต้องรู้ชัด แล้วพระพุทธเจ้าแจกสัมมาทิฏฐิเป็น 10  หลัก ตั้งแต่ทำทานอย่างไร พิธีกรรมหรือวิธีการลดกิเลสทำอย่างไร หรือคือยิตถัง 
การนั่งหลับตาได้แต่สั่งสม รูปภพ อรูปภพไป ไม่ได้ศึกษามาตั้งแต่กามภพอย่างเป็นลำดับขั้น 

หุตัง ก็ไปแปลว่า สังเวยที่บวงสรวงแล้ว แล้วอะไรเป็นผล ก็คือทานและยัญพิธีนี่แหละได้ผลหรือไม่ให้จิตได้รับอาหาร เป็นอาหาร 4 ได้เสวยอาหารไหม ตั้งแต่อาหารคือคำข้าวก็ได้สอนกันไหมให้ลดกิเลส ในข้อวิกาลโภชนาหรือมัตตัญญุตา จ ภัตตสมิง ได้สอนรายละเอียดให้ลดกิเลสไหม ถ้าจิตได้ลดกิเลสก็เป็น อัตถิหุตัง แต่ถ้าไม่ได้ลดกิเลสก็เป็น นัตถิหุตัง

แล้วผลวิบากที่เกิดจากกรรมทั้งหลายที่เป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต้องเลิกตั้งแต่เลิกกุหนา ลปนาก่อนเลย ตั้งศีล 5 ก่อน ก็ให้รู้กรรมทุกอย่าง สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ศีลข้อ 

ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ทั้งกายก็ไม่ฆ่า วาจาไม่ส่งเสริมหรือใจก็ให้เมตตา
ศีลข้อ 2​ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา ลดโลภะ การไปโกงเงินของประชาชนทั้ง 67 ล้านคนนี่ เป็นเจ้าหนี้คุณหมดนะ คุณมีบาปไปแล้ว เป็นของจริงนะ ไม่ใช่ของเล่น 
กรรมต่างๆสั่งสมเป็นวิบาก ตามความเชื่อ 4 ประการ คือ เชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้าเชื่อก็ต้องเรียนให้ดี ศาสนาพุทธคือกรรม คือ god ที่จับต้องได้ ตั้งแต่ god เล็กๆ เทวดาองค์เล็กๆ ก็ต้องเป็นให้ได้ก่อน แล้วจึงพัฒนาเป็น god ที่สมบูรณ์แบบ จากกรรมทั้งนั้น รู้จักกรรม และไม่ทำอกุศลกรรมเลย มีแต่ทำดี เป็นgod อย่างเดียว สัพพาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา ไม่มีเชื้อของซาตานเลยมีแต่ พระเจ้า

ไล่ไปตั้งแต่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ผสมรวมกัน เป็นโลก อาตมาก็บรรยายไป

พระพุทธเจ้าท่านมารับผิดชอบโลกในตน ให้มีฉฬายตนะ คือความฉลาดให้เป็นปราชญ์ เป็นอารยะ ไม่ใช่ไปในทางเลวร้ายทางชั่วทางบรรลัย ฉลาดกร่อนมาจาก ฉฬายตนะ ความฉลาดเฉโกไปทางชั่วจะทำลายมนุษยชาติ พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่ไปเป็นคนแบบนั้นไปสร้างกัมมันตรังสีเป็นไฟราคะ โทสะ โมหะที่่จะไหม้ทั้งตนและไหม้ผู้อื่น ทุกวันนี้โลกใกล้กลียุค อาตมาก็ได้แต่ชะลอ ช่วยคนที่รับได้เท่าที่ได้ ไม่ต้องอาศัยนอสตราดามุส ก็ทำนายได้ว่าโลกจะบรรลัย โบราณทำนายว่าหยิบใบหญ้าหรืออะไรขึ้นมาก็เป็นอาวุธทำร้ายกันได้ 

จิตวิญญาณที่ไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบากศาสนาหลายศาสนาไม่สอนกรรมวิบากที่เชื่อมต่อไปอีกนานแสนนาน หลายศาสนาสอนว่าตายแล้ว พระเจ้าทำนายว่าจะไปนรกสวรรค์ก็จบ แต่พุทธสอนว่า นรกสวรรค์ก็คือคุณทำเอง ไม่รู้ก็ทำไปงมงาย อาตมาก็มาช่วยคนมีธุลีในดวงตาน้อย แต่ทุกวันนี้มีภูเขาในดวงตามากเหลือเกิน ขออภัย แม้แต่พระก็มีภูเขาในดวงตา เป็นเอเวอเรสต์ด้วยนะ หลงลาภ ยศ สรรเสริญสุขกันนี่คือดึงกันสู่นรกอเวจีทั้งนั้น 

การไปนั่งหลับตาดูเหมือนไม่แย่งโลกธรรม ข่มกามไว้ ข่มโลกธรรม ก็ยิ่งจมดิ่งหนัก ดึงขึ้นมาก็ยากก็เสียหาย ทั้งแบบจมก็ยาก หรือแบบลอยฟรุ้งฟริ้งก็ไปไกล ยากจะดึงลงมา  คุณก็ถูกโลกผลักไป ลาภตรงไหนดีก็ถูกถีบไปทางลาภ หรือยศตรงไหนมีก็ถูกถีบไป หรือชาตินี้ขอขึ้นหน้าหนึ่งนสพ.แล้วทำบ้าๆก็จบ หลงทำได้ ถ้าไม่มาศึกษาชาติหนึ่งๆที่มาเป็นชีวิตแล้ว คุณจะเป็นอุกกาบาตในวัฏฏสงสาร ถูกแรงดึงดูดของดาวต่างๆดึงไป แต่จนกว่าจะพัฒนามามีวงโคจรของตนเองเป็นดาวหาง แล้วก็พัฒนามาเป็นดาวที่มีวงโคจรเป็นของตนเอง น้ำแข็งก็จะแห้งไปๆ ....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:07:31 )

580611

รายละเอียด

 580611_ธรรมาธรรมะสงคราม ความรักอันยิ่งใหญ่ของโพธิสัตว์

พ่อครูว่า....วัน พฤหัสบดี ที่ 11  มิถุนายน 2558 แรม 10 ค่ำเดือนเจ็ด(7)ปีมะแม วันนี้มี นร.มาร่วมฟังด้วย วันนี้ก็ขอวรรค มหาจัตตารีสกสูตรไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่พ้นต้องพาดพิงหรอก ศาสนาพุทธทำจิตให้เป็นสมาธิทั้งนั้น แม้จะพูดคำว่า ความรัก ก็เป็นการสร้างสมาธิ เหมือนกัน ก็จะนำเอาจดหมายรักของ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ อีกที คิดว่าต้องเอามาขยายความอีก ต้องอธิบายกันอีกซ้ำแล้วซ้ำอีก

นิยามคำว่ารักของ"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"  

ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า 

“ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน

พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้

มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 

หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

พ่อของลูก /Albert Einstein.... 
Credit: Rafael Téllez-Girón

ประโยคสุดท้ายนี่เป็นการแสดงความรักต่อลูกอย่างบริสุทธิ์ ที่บอกว่าเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้ อันนี้ อาตมาเห็นว่าไอสไตน์ไม่ได้เปิดเผยต่อโลก แต่เปิดเผยต่อลูก แล้วค่อยเอาไปเปิดเผยต่อโลก ก็เผยแพร่มาจนถึงมือเรา ก็ยิ่งเห็นได้ชัด อาตมายิ่งเห็นลึกเข้าไปว่า ไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์แน่นอน เพราะคนธรรมดาพูดอย่างนี้ไม่ได้ แม้ศาสนาเทวนิยมเขาก็พูดความรักของพระเจ้าได้ยิ่งใหญ่ แต่ว่า ศาสนาคงไม่ได้เทียบกับวิทยาศาสตร์แบบนี้ไม่ได้มี E = mc2 อย่างนี้ แต่อาตมาตั้งแต่อธิบาย ก็บวก A เข้าไป เพราะ A คือ abstract คือนามธรรม E = mc2 + A

ไอสไตน์เปิดเผยอันนี้มา แกก็มีความรู้ทางนี้อยู่ แต่ไอสไตน์ไม่ถนัดแจกแจงด้านนี้ จึงพูดทิ้งไว้ให้คนที่จะมาต่อยอดคือ นายรัก รักพงษ์ หรือสมณะโพธิรักษ์จะเอาอันนี้มาขยายความ ผู้ได้ศึกษาความรัก 10 มิติจะได้เข้าใจเพ่ิมขึ้น อย่างเป็นวิชาการ

อาตมาได้ขยายความถึงลำดับมิติของความรัก ซึ่งจะมีนิวเคลียร์ รีแอคชั่น อย่างไอสไตน์ ได้เขียนถึงจิตที่เกิดในคน เป็นความเกลียดชัง ความโลก หรือราคะ ก็มีแรงผลัก กับแรงดูด เป็นหลัก ถ้าได้ศึกษาลำดับความรัก 10 มิติก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นว่า พลังงานเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสใน พุทธพจน์ 7 ก็ให้คนมี จิตมีอาการของความรัก

จะเห็นได้ด้วยอาหาร ว่านี่คือ

สวรรค์เท็จ นรกแท้

อาการกามราคะ คืออาการที่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่ต้องการเสพรส เป็นกามตัณหา เป็นความอยากใคร่ที่ต้องการเสพรส ซึ่งมันเฟ้อ มันล้างได้ หมดได้ ในจิตของคนไม่มีสิ่งนี้ได้ยิ่งประเสริฐ แล้วเขาก็เข้าใจกันได้ว่า ถ้าไม่มีอารมณ์กามแบบนี้ คนจะไม่สืบพันธ์ แล้วคนจะสูญพันธ์ จริงๆแล้ว การสืบพันธ์เป็นหน้าที่ ที่มีอาการของสรีระ ที่บังคับกระตุ้นให้ทำงาน เป็นความจริงให้ทำหน้าที่ให้เสร็จ สัตว์หลายชนิดมันก็ทำหน้าที่ของมันไปตามธรรมชาติ

ในเพศหญิงของสัตว์ไม่รู้กี่ชนิด มันไม่ได้ยินดี แต่มันก็ทำหน้าที่ ดีไม่ดีก็ถูกเพศผู้บังคับ คนก็เหมือนกัน บางทีก็ต้องทำหน้าที่ ไม่ได้ยินดีเท่าไหร่หรอก เป็นต้น แต่มาครอบงำความคิดกัน จนยึดติดเป็นอุปาทาน ว่าเป็นรสชาติ ว่าเป็นส่ิงที่ให้ความสุขยิ่งใหญ่ ครอบงำมาไม่รู้กี่ล้านปี คนก็เลยติดยึดว่าเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็น ได้สำเร็จความใคร่ เอาอะไรมาแลกก็ยอมแลก เพื่อผู้หญิงคนเดียวก็เสียบ้านเสียเมืองได้เลย เพราะแย่งผู้หญิง แย่งคู่เสพเมถุน ซึ่งมันเป็นความรุนแรงเลวร้ายที่ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องไม่มีความจริง เป็นสุขเท็จ ผู้เข้าใจจะเห็นได้ว่าอาตมาพูดนี่เป็นความจริง ที่ไม่ง่ายที่จะรู้ จะละเลิกเบาบางลงไปอย่างรู้ๆนะ ไม่ใช่กดข่มให้มันเลือนๆไปแบบกดข่มสมถะ ไม่ใช่แบบนั้น ของพระพุทธเจ้านี้ลดละอย่างมีปัญญาว่ามันไม่ใช่รสที่จะต้องไปเสพติดอะไร แต่เมื่อถูกครอบงำความคิด ยึดติดหลงใหลเป็นกิเลสก็เข้าใจไม่ได้ แล้วก็ต้องบำเรออารมณ์นี้ๆกัน ซึ่งสูญเสียเปลืองเปล่า ติดยึดเสียเรี่ยวแรงทุนรอนแรงงานมาก เสีย calorie เป็นนิยายในโลกเยอะ เพราะความรักจึงเกิดพยาบาทรุนแรงเยอะ 

แม้จะไม่ใช่เรื่องเสพรสของเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายก็ตาม แต่เป็นความใคร่อยากได้มาสมใจ ราคะนี่ต้องการเสพรสสัมผัสเสียดสี แต่ความโลภคืออยากได้มาเป็นตัวกูของกู เมื่อต้องการมาให้เสพรสหรือเอามาเป็นของกู ซึ่งมันไม่มีอะไรเป็นของใครหรอก ได้แค่ชาติเดียว ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ก็รู้กันแต่ก็ต้องเอาให้ได้ ต้องฆ่าแกงกัน อำมหิตโหดร้ายรุนแรง ยิ่งฝึกตนให้เก่งด้วยเรี่ยวแรง หรือเก่งด้วยฉลาดแกมโกง ใช้เล่ห์เหลี่ยมจนคนอื่นพายแพ้ เอามาได้ ใช้ทั้งความรุนแรงและเล่ห์เหลี่ยมด้วยเพื่อที่จะเอามาเป็นของกู กกไว้ หรือจะเอามาใช้ประโยชน์ หรือบางที่ไม่ได้ประโยชน์แต่โลภเอามาไว้ คนอื่นก็เดือดร้อน คนเหล่านี้ตกนรกหมกไหม้วนเวียนไม่รู้กี่ชาติ นานกี่นาน ทุกข์ทรมานโหดร้าย เพราะสมใจในสิ่งเท็จ สุขคือสิ่งเท็จ แต่นรกคืออาริยสัจ ส่วนสวรรค์คืออัลลิกะ คนก็หลงแต่สิ่งฉาบฉวย เขาเอาลาภ เอาอำนาจปัจจุบันมากลบเกลื่อน ให้ได้มาเป็นตัวกูของกู ก็ไม่เห็นมีอะไรเอาลาภ ไปแบ่งทับได้ เกิดเหตุนิทาน สมุทัย ปัจจัยที่เลวร้าย มีนิยายไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง เกิดจากเหตุเหล่านี้ ที่ไม่รู้ความจริง เรื่องสวรรค์เท็จ นรกแท้ 

มันต้องพิสูจน์กันจริงๆ ต้องปฏิบัติให้มีดวงตาปัญญาที่จะอ่านให้รู้อาการของจิต ว่าอาการอย่างนี้ราคะ อย่างนี้กาม อาการอย่างนี้จะทำร้ายทำลายเขา เป็นโทสะ พยาบาท จะโหดเหี้ยมรุนแรง ถ้าคนไหนอ่านสัจจะนี้ออก รู้ว่ามันเลวร้ายก็ทำให้มันจางคลาย โดยเห็นว่ามันเป็นช่วงเป็นพัก ไม่ได้อยู่ถาวรยั่งยืนเลย มีแต่ความยึดหลงผิด ฝังในอนุสัย เดี๋ยวก็ผ่านไป พอไม่ได้ก็พักยก ไปหาอันอื่นมาบำเรอใหม่อีกต่อไปเรื่อยๆ สร้างนิยายชีวิตไปตลอดกาลนาน โดยไม่รู้ว่าตนหลงเสพความสุขเสพความบำเรออารมณ์ 

ผู้ไม่ได้ศึกษาจึงทำเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัวตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าสอนให้ละตั้งแต่หยาบๆ ที่ไปเบียดเบียนทำร้ายใครมันไม่มีประโยชน์มีแต่โทษต้องละก่อน แล้วเรียนรู้ว่าของตนมีอันไหน มันไม่ได้ตั้งอยู่นานเลย มันไม่มีตัวตนเลย เป็นแต่เราไปหลงยึดติดว่ามันมี ก็ต้องพิสูจน์ให้เห็นจริงเลย 

นิพพานคือความไม่มี หรือว่า ความว่าง ที่อาตมาเอาบทความในนสพ. มติชนที่ เขาว่า ทุกอย่างมีแต่ความว่าง จนสุดโต่งเลยเถิด เป็นอุจเฉทิฏฐิ คนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์เรียนรู้เข้าถึงนิพพาน ที่ต้องเรียนรู้เป็นลำดับขั้น 

ที่ไอสไตน์กล่าวถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ แต่อาตมาพูดถึงความรัก 10 มิติ ไอสไตน์พูดถึงความรักยิ่งใหญ่คือความรักของพระเจ้า ก็ยิ่งใหญ่ ที่อาตมาพาพวกเราทำนี่ก็เพื่อสร้างความรักที่ยิ่งใหญ่ เราจะได้มีพลังงานเหล่านี้จริง ที่เราต้องทำหนักเพราะมันยังไม่มีตัวอย่างที่จริง ที่บริสุทธิ์ไม่มีซ่อนแฝง มันหายาก นอกจากจริงแล้วต้องมีปัญญา คนต้องมีจิตใจแบบนี้ ไม่มีตัวต้าน เห็นจริง จะมีอุตสาหะวิริยะ จะมีน้ำใจมีเมตตาเขา ลงมือช่วยเขา เพราะว่าเราได้พบแล้วได้สิ่งเหล่านี้แล้ว พ้นแล้วจากส่ิงที่ลำบากทุกข์ยาก ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจจริงเต็มใจทำ ช่วยเหลือมนุษยชาติ จะมีคุณธรรมที่เป็นพรหมวิหาร ที่เป็นอัปปมัญญา มีอยู่ตลอดเวลา ไม่จบสิ้น จึงเรียกว่าอัปปมัญญา 4 หรือพรหมวิหาร 4 

เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วทำตนให้มีจิตใจยิ่งใหญ่ เป็นความรักอันเดียวกันกับพระเจ้า แต่มันคนละอันกัน  

ผู้ใดทำได้เป็น หนึ่ง จากสอง ของคนนี้มีส่วนอดีต พระพุทธเจ้ากัสสปะเป็นอดีต พระพุทธเจ้าสมณโคดมเป็นปัจจุบัน แต่มีจิตที่มีคุณลักษณะอันเดียวกัน ถ้ามีลักษณะลึกซึ้งเท่าเทียมกัน อย่างสายเทวนิยมมีความรักยิ่งใหญ่ไม่ละเอียดลออ มีกายต่างกัน สัญญาเหมือนกัน เป็น พรหมวิหารเหมือนกัน แต่ของเทวนิยมไม่ชัดเจนเท่า และคุณภาพไม่จริงใจไม่สะอาดบริสุทธิ์เท่าด้วย และไม่มีรายละเอียด เท่ากัน ของพระพุทธเจ้ามีรายละเอียดมากว่าเยอะ เพราะเป็นความเกิดอย่างไอสไตน์ว่า

ความรักเป็นแสงสว่าง เป็นพลังงานที่จริงและยิ่งใหญ่ อาตมาก็จะนำเอาของไอสไตน์นี้มาประกอบอีกหลายที 

m = รูป และ c = นาม ซึ่งพลังงานที่เกิดเป็นพลังงานสันติภาพ ไม่ใช่แบบพลังทำลายเช่นระเบิดปรมาณู ที่ทำลายมากมาย 

หลวงปู่ได้อธิบายถึงพลังงานของคนสามารถเปลี่ยนจากความขี้เกียจเป็นพลังงานขยัน ขี้เกียจนี่มันถ่วงเราไม่ให้ทำงาน เราก็เปลี่ยนจากขี้เกียจ ปลดปล่อยพลังงานในตัวเอามาทำงาน ถ้าใจมียินดียิ่งเสริมพลังคูณเข้าไปอีก ก็จะมีพลังยิ่งใหญ่เราจะทำงานได้อย่างดีเลย 

พลังงานความยินดี พอใจ ความรัก ปรารถนาดีที่จะสร้างสรร การสร้างวัตถุที่เป็นประโยชน์คุณค่าเป็นปัจจัยสำคัญแก่ชีวิต ก็เป็นความประสงค์ที่เป็นความต้องการและเป็นคุณสมบัติที่วิเศษดีงามด้วย ก็ผลิตออกมา แล้วก็แจกจ่ายเจือจานแก่มนุษยชาติ ใช้พลังงานสร้างสรร ให้มนุษย์ได้ใช้สอย เป็นประโยชน์ แทนที่จะเอาไปทำร้ายทำลายฆ่าแกง เสียหาย ก็เอามารวมสร้างสิ่งประโยชน์คุณค่าก็ใช้พลังงานทั้งนั้น กับทิศเป็นโทษก็คนละทิศ

เราเปลี่ยนจากพลังงานเป็นพิษ มาเป็นคุณค่าประโยชน์เป็นสิ่งดีงามก็เป็นการสร้างสรร จะเป็นผลผลิตข้าวของ เอามาสร้างสรรแรงงาน ออกแรงกันสร้างสรรไม่ได้ออกแรงทำลาย สิ่งไหนไม่ดีก็ออกแรงทำลายไป เราก็มีแรงทั้งสร้างผลผลิตหรือทำสิ่งที่ควรมีหรือทำลายสิ่งที่ไม่ควรมี ก็เป็นความรักอันอบอุ่น อยู่กันอย่างกลมกลืนสามัคคี ช่วยบรรเทาทุกข์ อะไรเฟ้อเกินก็ช่วยบอกให้อยู่อย่างดี เบิกบานร่าเริง อยู่กันอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบแวดล้อมสมบูรณ์ครบครัน 

ถ้าเราเข้าใจอาการของจิต พลังงานจิต แล้วสามารถสร้างพลังงานที่ไปต้าน ไม่ให้เรามีพลังงานอันดี ทำเต็มที่ เราก็ต้องเรียนรู้จิตเรา กำจัดตัวต้านเหล่านั้นออกให้หมด ไม่ได้กดข่ม แต่ต้านด้วยความรู้ที่มีปัญญา ต้านไว้ก่อนแล้วปัญญาจะเข้าไปสลาย เป็นอุณหธาตุ เป็นพลังงานไฟ ความร้อนที่มีพลังงานไปสลายพลังงานกิเลส ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ อุณหธาตุพวกนี้ให้สลายกันอย่างมีปัญญา 

ให้ปัญญามันไปสลายกิเลส ให้ไฟฌาน เป็นไฟปัญญา ฌานกับปัญญาต้องมีด้วยกัน ไปสลายสิ่งเหล่านั้น ไปสลายความมีฤทธิ์ราคะ โทสะ หรือโมหะ สลายออกจากจิตเรา ผู้ทำได้จะรู้ว่าสลายได้เป็นแบบนี้

จากราคะโทสะก็มาเป็นความว่าง มันหายไปไม่เกิดโทษภัย ผู้ทำได้จะเห็นของจริงในจิตใจตน ว่ามันมีคุณค่าอะไร สังคมชาวอโศกกำลังสร้างคนมีคุณสมบัติจิตวิญญาณแบบนี้ ได้แล้วจะเป็นประธานของการกระทำการงานทั้งหมด คนก็มีจิตเป็นตัวประธานดีแล้ว จะนึกคิดก็ดี จะพูดก็ดี จะทำการงานก็ดี จนทำอาชีพก็ดี เป็นคุณค่าประโยชน์ไม่มีพิษภัย ได้มาก็แจกจ่ายเจือจาน ลดความเดือดร้อนแย่งชิง

ถ้าชาวอโศกมีคนมีอาริยธรรม มากเพียงพอ เราจะสร้างผลผลิตให้แก่ประเทศไทย แล้วพลเมืองไทยพอกินพอใช้ก็แจกไปสู่ต่างประเทศ จะเป็นการจำหน่าย จ่ายแจก ด้วยระบบบุญนิยม ที่ไม่ได้เจตนาจะเอากำไรหรือเอาเปรียบเขา แต่จำหน่ายอย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อย่างในหลวงตรัส

ลึกๆอาตมามั่นใจว่า เราจะเป็นได้ เราจะเป็นได้ เพราะต้นทุนของคุณสมบัติแบบนี้ อโศกเรามีแล้ว แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ไม่งอกงามมาก แต่มีจริงๆ อาตมาจึงพากเพียรอยู่ไปนานๆอีกหลายปีเพื่อพิสูจน์ให้ความจริงนี้แก่โลก มันยากแต่เป็นไปได้ แล้วโลกต้องการมากด้วย

พอผลิตเป็นสิ่งของมา ก็ขายอย่าง ของดี ราคาถูก ของดี มีน้ำใจ ดีไม่ดีแจกสดด้วยถ้ามีพอ ถ้าเมืองไทยคนเป็นอาริยะแบบนี้แล้ว อยู่อย่างรู้การกินการใช้ไม่เฟ้อเกิน แต่ความสร้างสรรมีเยอะ ถ้าพุทธในเมืองไทยนี่ 50% เข้าใจเช่นนี้เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ กินน้อยใช้น้อยแล้วทำผลผลิตให้มากจะมีเหลือไปเผื่อแผ่แจกจ่ายกันได้  ให้รู้จักกรรมกิริยา จารีตประเพณี แม้มีอีก 50% ที่ไม่ใช่อาริยบุคคล ก็จะถูกพลังงานสนามแม่เหล็กแห่งนามธรรม ไปคลอบคลุม ให้ละอายต่อบาป แม้จะมาเป็นอาริยะเต็มตัวไม่ได้ก็ตาม 

ถ้าเป็นจริงเช่นนี้ทรัพย์ศฤงคารส่ิงจำเป็นต่อชีวิตจะเหลือกินเหลือใช้ในเมืองไทย เราก็เอาไปแจกให้ต่างประเทศได้ เราก็เรียนรู้ความฟุ่มเฟือย ไม่ต้องพูดถึงฟรุ้งฟริ้งเลยมันเลยเถิดไปมากแล้ว เรามีมากเราก็เผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นได้มาก แจกฟรีได้เลยหรือขายขาดทุนก็ได้ถ้าไม่เก่งพอ ขาดทุนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เป็นระบบบุญนิยมไม่ใช่ระบบทุนนิยม

โลกทุกวันนี้มีปัญญา ฉลาดกันแล้ว และมีมารยาทสังคมกันมากทุกวันนี้ทั้งโลก ดราม่่ากันด้วยมารยาทกันทั้งนั้นเลย ใช่ไหม? มันรู้ทุกอย่างว่าอะไรดีก็แสดงท่าทีดีๆออกมาแต่ลึกๆเห็นแก่ตัวกัน เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี เขาก็เสแสร้งทำดีหรือ drama หรือ pretender กัน ทำเต๊ะท่าทำดีจะช่วยแต่ลึกๆแล้วจะมาเบ่งข่มมีอำนาจเหนือ แต่ลึกๆเขารู้ว่าไม่ดี เราก็ทำจริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมนี่แหละ ความบริสุทธิ์นี้มีอำนาจย่ิงใหญ่ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด เราทำแบบบริสุทธิ์ไปจะยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ เป็นพลังปรมาณูเพื่อสันติที่แท้จริงเลย 

ทุกวันนี้แม้ไม่ง่าย แต่ก็ง่ายในระดับหนึ่ง อย่างคุณว่าอเมริกาทุกข์ไหม? ก็ทุกข์ประเทศไหนๆก็ทุกข์ ต้องเพลาทุกข์ในประเทศตนก่อน อาตมาว่าประเทศที่ไม่ค่อยทุกข์ก็คงจะบรูไน ประชากรไม่มากทรัพย์สินของประเทศมีเยอะ คนเกิดมาก็มีทรัพย์สินมีอัตราส่วนได้กินใช้อย่างบำเรอได้ แล้วก็ยังคุมประเทศโดยไม่เอาวัฒนธรรมฟุ้งเฟ้อ เพราะศาสนาอิสลามเขาคุมได้ แม้แต่อบายมุข เขาคุมไว้ดีจะอยู่ได้อีกนาน เขามีต้นทุน 

แต่ของเราไม่เป็นเช่นนั้น ของเราเป็นประเทศไม่รวย อย่างในหลวงว่า เราจะไม่อุดมสมบูรณ์มากเหมือนบรูไนหรอก แต่พฤติกรรมสร้างสรรเราจะมีมาก ยืนยันพฤติกรรมมนุษย์ที่สร้างด้วยน้ำแรงน้ำมือ ไม่ใช่ขูดจากธรรมชาติ แต่สร้างจากน้ำมือเราไปแจก เขาก็จะรู้คุณค่า ยิ่งกว่ากันอย่างชัดเจน ส่ิงเหล่านี้เหมือนความเพ้อฝัน แต่มนุษย์นี่แหละต้องทำให้ได้ อันอื่นทำไม่ได้หรอก 

ทิศทางที่อาตมาพูดนี่จะพาพวกเราไป ใครฟังแล้วไม่น่าเอาก็ต้องรีบถอนแต่ถ้าใครฟังแล้วน่าเอาก็รีบมา แต่คนไม่พร้อมก็ไม่ควรมา แต่ถ้าพอได้ก็เข้ามา ที่นี่ยินดีต้อนรับ

อาตมาจะลองดูว่าอีก 10 ปีข้างหน้า มันจะมีอัตราการก้าวหน้าตามอุดมคติหรืออุดมการณ์หรือวิสัยทัศน์ของอาตมา จะมีรูปร่างเป็นจริงสักแค่ไหน มาช่วยกันสร้าง เราจะสามารถประมาณหรือประเมินจากต้นทุน ว่ามันน่าจะได้อัตตาก้าวหน้าเท่าใด อีก 10 ปี อาตมาว่า ไปดูพศ. 2568 กัน มันจะมีผลก้าวหน้าสักเท่าไหร่ จะมีรูปร่างความจริงอย่างที่อาตมาพูดไหม หรือจะล้มเหลวระเนระนาดหรือว่ามันจะช้าจนไม่ไหว มันจะรู้ ตอนนี้น้อยกว่า 10 ปีอย่างเพ่ิงวัดผลเลย เอาสัก 10 ปี 

พลังปัญญาจะช่วยขับเคลื่อน เป็น กำลังของ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จะมีความพากเพียรในทิศทางที่เรามี ใจจะมีความโถมให้ มีจิตตะ มีวิมังสา แท้ๆ จริงๆวิมังสาคือ เนื้ออย่างยิ่ง คำว่า มังสาคือเนื้อ จะได้เนื้อแท้ อย่างยิ่งเลย จากผลของอิทธิบาทนั่นแหละ 

ที่กำลังบรรยายธรรมะ กำลังลงถึงฟิสิกส์ของชีวะ ทั้งเคมีของชีวะ เป็นโครงสร้างของฟิสิกส์ เคมี สร้างธาตุจิตที่วิเศษ ที่จะมาร่วมทำงาน 

ความเป็นพีชะซ้อนในจิตนิยาม สั่งสมในคลังจิตวิญญาณ เราต้องเอาอกุศลกรรมออก จะเป็นธรรมนิยามเป็นคลังสมบัติที่ยิ่งใหญ่ นอกนั้นก็สร้างเป็น กาย เวทนา จิต ธรรม สั่งสมเป็นธรรมะ

กรรมที่จะสร้างกุศลอย่างเดียวต้องทอนอกุศลกรรมที่เป็นตัวเหตุ จิตในจิตเราต้องเรียนรู้อกุศลจิต อย่างรู้ตัวรู้ตนและมันแทรกในเวทนานี่แหละที่เราจะรู้ได้  จึงรวมลงที่เวทนา แล้วก็ทำไปเรื่อยๆเป็นธรรมะคู่ จะรู้แจ้งเป็นนามธรรม สิ่งที่ถูกรู้นี้เราเรียกว่ารูป จะรู้รูปแท้จิรงต้องมีผัสสะ เป็นปสาทรูป โคจรรูปกระทบแล้วเกิดวิญญาณ 

เป็นภาวรูป 2 เป็นอิตถีภาวะหรือปุริสสภาวะ เป็นพลังงานเพศชายหรือหญิง ต้องทำลานอิตถีภาวะ ให้กลายเป็นปุริสสภาวะให้หมดต้องรู้ ชีวิตินทรีย์ของมัน เป็นพลังงานชีวิตเพศหญิงที่ต้องล้างออกให้หมด พลังงานที่เหลือแปรตัวเป็นภวันติ เป็นพลังงานกุศล พลังงานดี สร้างสรร เราจะรู้ได้ในภาวรูป ชีวิตรูป ให้เป็นปุริสสินทรีย์ ต้องอาศัย อาหาร 4 อย่างอาหารูป เป็นเครื่องอาศัย พระพุทธเจ้าก็แจกให้รู้ เป็นอาหาร 4 เป็น กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

กวฬิงการาหารให้เรียนรู้กามคุณ 5 ในนั้นมีผัสสหาร ให้ทำตัณหาที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหาให้หมด ด้วยวิภวตัณหาที่เป็นความว่างทำไปอย่างเป็นปริเฉทรูป แต่ละกรอบของประมาณตามปริเฉทหรือปริตตังให้ได้ฐานความว่าง หรืออากาสาฯ แล้วทำงานสร้างกายวิญญัติ วจีวิญญัติให้แก่โลก ด้วยการควบคุมวิการรูป 5 ด้วยมีลักขณรูป 4 เพื่ออาศัยต้องรู้พลังงานลีลาความเคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านี้ จนตัดสันตติได้ จะปล่อยหรือจะต่อก็ได้ ให้สลายเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นหมด half life ไปจนสูญเลย เข้าหาธาตุเบาไปเรื่อยๆ เราก็เลือกเอาธาตุหนักที่เราทิ้งพลังที่เราไม่ต้องการให้สลายตัวหมดไปเองด้วยตัวของมันเอง นี่คือความรับผิดชอบของผู้เจริญ 

ในผู้กำหนดได้คือชีวะ เรามีจิตนิยามก็สร้างพลังงานอันนี้ ส่วนพลังงานวัตถุ คนที่อวิชชาก็สร้างส่ิงที่ฉิบหายวายป่วง จนบรรยากาศโลกทะลุแล้วก็ด้วยคนนี่แหละ โลกทุกวันนี้แกนโลกเสียสูญไปเรื่อยๆ ถ้าทำคนให้ดีก็จะเป็นคุณ ส่งเสริมให้เกิดส่ิงดีงามไม่เดือดร้อน เรามีธาตุรู้ที่จะไปจัดการ อย่างอุตุหรือพีชะจะไปรู้ได้อย่างไร แต่ตัวจิตที่โดยเฉพาะมาเป็นมนุษย์นี่สิ นี่จะทำลายโลกกัน ได้เก่งที่สุด 

ไม่ถอยแม้ 1 ก้าว ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา

จึงเป็นหน้าที่ถ้าเกิดเป็นคน อาตมาเห็นว่าคนต้องทำเช่นนี้ไม่ใช่เกิดมาเป็นตัวร้ายแล้วก็ต้องรับวิบากไป  ที่เกิดมาเป็นจิตนิยามเป็นมนุษย์นี่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว สุดยอดดีที่สุดแล้ว ผู้มีปัญญาอย่าเสียเวลาไปหลงเลอะเทอะอยู่เลย แม้แต่ในพวกเรา อาตมาพูดไปก็ไม่เคยจี๋จ๋า ไม่เคยเห็น อโศกฟีเวอร์เลย แต่ยุคหนึ่งเคยเห็นฟีเวอร์พระพยอมหรือยันตระ แต่ละสำนักเขามียุคฟีเวอร์แต่อโศกนี่ไม่มีฟีเวอร์เลย แล้วอาตมาไม่หวังฟีเวอร์กับคนภายนอกนะ ถ้ามาแล้วรับไม่ไหว อย่างเช่น คนรุมทึ้งเอลวิส อาตมาไม่ต้องการฟีเวอร์แบบป่าเถื่อนไม่เข้าท่านะ แต่ฟีเวอร์คือเห็นว่าสิ่งนี้น่าได้น่ามีน่าเอาต้องมาทำอย่างนี้ลดละ เมื่อไหร่หนอจะรู้สักที แต่อาตมาก็ไม่ได้หวังว่าจะเป็นได้นะให้แค่อัตราก้าวหน้าของคนเรียนรู้แบบนี้เป็นปฎิภาคทวีก็ดีแล้ว แต่ทุกวันนี้ดูทวี แต่ทำไมดูหนืดจัง อัตราก้าวหน้าทำไมแค่บวกเป็นจุดทศนิยมด้วย  จะมีอัตราก้าวหน้าสัก 1หรือ 2 % ก็พอได้นะ มันก็ช้าและน้อยอยู่ แต่ที่พูดไปนี่ไม่ได้ท้อถอยท้อแท้นะแต่พูดตามเนื้อผ้า ซึ่งยิ่งเห็นได้ว่ามันไม่ค่อยก้าวหน้าอาตมายิ่งพากเพียร แต่ไม่ใช่ว่าเห็นไม่ก้าวหน้าก็ท้อแท้ท้อถอยไม่ใช่ อาตมากลับเห็นว่ายิ่งต้องพากเพียรยิ่งขึ้น เพราะอาตมาเห็นว่าสิ่งนี้มันดีที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ก็ต้องยิ่งพากเพียรนะ อาตมาเห็นอย่างนี้เลยต้องทำ จะเห็นได้ว่าท้อแท้ท้อถอยอาตมาไม่มีหรอก เพราะว่ามันมีความชัดเจน ยิ่งไม่ค่อยจะได้ยิ่งน่าเห็นใจมากขึ้น ก็ต้องยิ่งช่วยมากขึ้น เป็นสัจจะ ทิศทางของกุศล ทิศทางที่ดีจะผนวกเสริมกันไป มันไม่มีท้อแท้ถอยทิ้งหรอก

อาตมาเป็นโพธิสัตว์ไม่มีเลือดการถอย เคยบอกแล้วว่าไม่พาถอยแม้ก้าวเดียวและไม่พาลงดินแม้แค่ครึ่งเมล็ดงา มันจะตีร่นให้เราถอยก็ต้องยืนหยัดไม่ถอยแม้ก้าวเดียว ก็ไม่ได้ถึงเสียก้าวนะแม้แต่เราแพ้คดี ต้องไปติดคุกรอลงอาญา คุมประพฤติ

อาตมาก็ตรวจสอบนะ คนที่เข้ามามีพฤติกรรมเช่นนี้ อาตมาก็มั่นใจว่า เป็นมนุษย์แล้วมาทำอย่างนี้น่ะดีที่สุดแล้ว ไปศึกษาเอาว่าทำอย่างไร มันไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ อาตมาว่าอาตมาเดินตาม รอยพระพุทธเจ้าแท้จริง แม้แต่ว่าเดินตามรอยพระมหากษัตริย์คนหนึ่งของไทยก็ใช่ แล้วคนเข้าใจได้เยอะแต่ยาก แม้แต่ต่างประเทศก็เข้าใจยาก แต่คนไทยนี่เข้าใจได้เยอะ คะแนนเสียงของในหลวงได้เยอะ เพราะไม่ได้เสแสร้งหรือดราม่ากัน แต่คนที่เพ่งโทสก็มีได้  อาตมาประมวลพระจริยวัตรทั้งหมดแล้วก็บอกว่าไม่นึกว่าจะได้พบกับ King of king ในโลก ซึ่งเป็นคำตรัสที่ยิ่งใหญ่มาก อาตมาเห็นใจพวกที่ไม่เข้าใจ ไม่เห็นค่า แล้วจะมาทำลาย พวกที่เขาทำอยู่ก็ตาม อาตมาก็ว่า มันก็บังคับปัญญาคนไม่ได้มันจะมองอะไรไม่เห็นก็เพราะความไม่รู้ของเขาก็ธรรมดาธรรมชาติ แต่เราน่าภาคภูมิใจที่ได้เห็นของจริง ไม่ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายในแต่ละสมัยนะ

เป็นสมัยที่ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ที่ต้องฆ่าแกงเลือดนองก็ไม่ใช่ แต่ยุคนี้ใช้คุณงามความดี แล้วพระมหากษัตริย์ไทยเราใช้คุณงามความดีที่ไม่เสแสร้งเลยแต่คนเราไม่เข้าใจจิตวิญญาณในหลวง ท่านอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ พิธีการที่ต้องอยู่ในขัตติยสารูป ซึ่งคนไม่ค่อยเข้าใจ เป็นสมณะก็ต้องมีสมณสารูป ที่เหมาะสมท่านเป็นกษัตริย์ก็ต้องมีขัตติยสารูป ย่ิงพวกที่ว่าต้องมีเสมอภาคกัน ก็ขำนะที่เขาทำเหมือนเด็กไม่เดียงสาทำกัน ดูช่างไร้เดียงสาจริงๆ ที่อาตมาต้องขำออกมา มันรู้สึกเช่นนั้นจริงไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ช่างไม่รู้เสียเลย ยิ่งกว่าลิงได้แหวน ไก่ได้พลอยนะ 

อาตมาได้ขยายความ ตอนนี้ลองติดตามที่อาตมาอธิบายสาธยาย ที่เป็นความรู้ชนิดใหม่ที่เอาชีวะ เอาเคมี เอาฟิสิกส์ผสมผสานกัน ก็มาติดตามฟังกันดู อาตมาว่าเรียนรู้ไปแล้วไม่เสียหลายหรอก เรียนรู้แล้วจะได้ประโยชน์สร้างสรรให้แก่ตนเองและสังคม

บทปฏิบัติของพระพุทธเจ้าที่สอนมา ให้เป็นอาริยะหรือคนโลกุตระ ศึกษาไปตั้งแต่บทแรกของโลกุตระ 37 ให้ได้โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล เป็นสกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล ก็ด้วยโลกุตระ หรือโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละ โดย สูตรหลัก เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่เหนือชั้นว่า E = mc2 ที่เป็นสูตรสัมพัทธภาพ เป็นไหนๆ จะเรียกว่าโลกุตรภาพหรืออาริยภาพดีนะ 

เราทำกันถึงบุญนิยมสาธารณโภคี ชุมชนชาวอโศกทำได้แล้วแต่คนข้างนอกเขาดูถูกไม่เห็นค่าว่าแอคทำเท่านั้นจะไปได้เท่าไหร่ แต่เขาไม่เชื่อว่าจะมี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ซึ่งเขาก็พยายามคิดสูตรที่ถาวรกัน แม้คสช.ก็พยายามร่างรธน.ให้ยืนยาวนานเหมือนดร.เอ็มเบดก้า ที่เขาร่างแล้วอินเดียก็ใช้มาไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาก็อยากทำให้ได้ยาวนาน แต่มันไม่ง่ายหรอก เพราะมันจะถาวรได้ต้องมีแก่น

ที่อาตมากล้าพูดว่าชาวอโศกทำได้เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้ว ใครจะมาตายที่นี่บ้าง ก็หมายความว่าแม้จะไม่ได้ก็ขอตายในฝั่งนี้ ไม่ไปตายในฝั่งโน้น คำถามนี่เป็นคำถามที่วัดความเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ลึกๆแล้วเกิดสัจจะความจริงแล้วเป็นได้ มันไม่เปลี่ยนแปรเป็นอื่นเลย หักล้างไม่ได้ อาตมาเห็นธาตุเหล่านี้ในตนเอง  45 ปีแล้วอาตมามาทางนี้แล้วไม่เห็นว่าทิศทางอาตมาจะคดงอไปไหน แม้มีอุปสรรคจะมาหักล้างมากมายก็ไม่เคยถอย อาตมาก็ดูมวลแล้ววัดค่า อย่างสิกขมาตุก็อยู่กันตายไปก็ไม่รู้กี่คนแล้ว ก็ตายไป ที่ออกไปมีเปอร์เซ็นต์น้อยทั้งที่แสนเข้มนะ สิกขมาตุเราไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่มีบ้านช่องเรือนชาน บวชแล้วไม่สะสม ก็อยู่กันมาตายไปหลายรูปแล้วก็จะอยู่กันไปอีก แล้วก็ไม่เห็นท่าว่าใครจะออกหรือหนี มีแต่จะให้เก็บศพกัน ผู้ชายก็อยู่กันเยอะ แต่ก็มีออกไปบ้างก็ไม่มาก เพราะไม่ใช่อยู่ได้ง่ายๆ อยู่อย่างพวกเรานี่นะ .... 

ขณะนี้ไม่ว่าทางโลก เราก็กำลังเชื่อมโยง เอื้อเอื้อเกื้อกว้าง เราก็ต้องการมวล บุคคลเพิ่ม เราต้องการคนอย่างเดียว งานตกคน ขาดคนที่มาทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อประเทศเพื่อมวลปชช.จริงๆ ไม่ได้ใช้ลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข มาที่นี่ไม่ได้ปิดบังบอกตรงๆเปิดเผย ว่าต้องการสิ่งนั้นจริงๆ ผู้ใดเห็นแล้วไตรตรองให้ดี ชีวิตนี้ไม่ได้ยาวนานนัก ชีวิตที่เหลือ มาเอาส่ิงที่เป็นพรของพระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบไว้ เป็นสัมมาปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็อย่าช้า มาร่วมกัน เราจะได้ช่วยตนเองช่วยสังคม ช่วยประเทศ แล้วช่วยโลก เดินทางเป็นเช่นนั้นต่อไป เพราะทิศทางจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ .... จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:08:32 )

580612

รายละเอียด

580612_ธรรมาธรรมะสงคราม  เรื่อง  A bomb of loveปิยกรณะ

พ่อครูว่า...วันนี้ วัน ศุกร์ ที่ 12  มิถุนายน 2558 แรม 11 ค่ำเดือนเจ็ด(7)ปีมะแม
วันเกิดก็ได้ใส่บาตรบ้าง นอกนั้นก็ทำงานตะพึดเลย ปีนี้ที่อาตมายอมให้ใช้วันเกิดก็เพราะมันจำนน วันอโศกรำลึกมันก็ไปวันที่ 6-10 มิ.ย. คนเราถ้าฉลาดไม่ได้ติดยึดอะไรก็เอามาใช้ประโยชน์ได้หมด ทรายเม็ดหนึ่ง หญ้าต้นหนึ่งก็ใช้ได้ ขยะกองหนึ่งก็เอามาทำประโยชน์ได้ แม้นิวเคลียร์ก็เอามาทำประโยชน์ เป็นนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพได้ แต่เอาไปใช้ทำลายก็มี ปัญญาคือคุมได้หรือไม่ แล้วกำหนดที่จะใช้มัน ตรงนี้อยู่ที่ปัญญาและความสามารถไม่ว่าจะวัตถุหรือจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณหากรู้ต้นทางที่มันจะเกิด จะก่อเหตุปัจจัย อย่างทางโลกฟิสิกส์เขาค้นพบกัน ไอสไตน์ค้นพบถึงนิวเคลียร์ มีอิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอน ถ้ามันกระแทกระเบิดขึ้นมา ภาษาบาลีเรียกว่าปฏิฆสัมผัสโส ท่านแปลว่าสัมผัสโดยการกระทบ ปฏิฆะ 

ฆ หมายถึงลักษณะจับตัวเป็นก้อน ปฏิ แปลว่าไปๆมาๆทวนไปทวนมา คำว่าปฏิ หมายความว่าเกิดพลังงานขึ้นมา เมื่อปฏิฆ เกิดพลังงานแล้วเร่ิมเป็นตัวตน ตั้งแต่รูปธรรมหรือนามธรรมที่ละเอียดเล็ก สัมผัสแล้วเกิดพลังงาน สิ่งที่เกิดจะมีสองเสมอ 

จาก 0 เกิด แล้วจะเป็น 2 จะมีอีกตัวหนึ่ง แต่ 0 แล้วเราไม่เรียก 0 ถ้า 0 แล้วมันไม่เกิด มันหายไปเลย แต่ถ้ามีเกิดต้องเร่ิมแต่ 1 แล้วจะมี 2 และ 3 ต่อ พระพุทธเจ้าค้นพบว่า เราทำให้เป็น 1 และเป็น 0 ได้ สุดท้ายเรามาถึงขั้นสามารถทำให้เป็นเอกสโมสรณา ภวันติ รวมลงเป็นหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงว่าทิ้งพลังงานนะ แต่ทำจาก 1 แล้วทำจาก 1 ให้กลายเป็น 0 คือ นปุงสกลิงค์ แต่จะเป็นสูญไม่ได้ เพราะเรายังมีชีวะ จะปฏิเสธตัวตนไม่ได้ อย่างที่คุณวิเวกา นาคร ท้าวความถึงคุณนิธิ ที่ว่าทุกอย่างไม่มีตัวตนอะไรเลย เป็นแต่ความว่าง

แต่ว่าความว่าง อย่างที่พระพุทธเจ้าหมายคือรู้ว่าอะไรที่จะทำให้ว่าง ให้เป็นเอกบุรุษ จับเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างดีอย่างสูง แต่ตนเองนิ่ง คือ0 แบบมีสภาพที่มีทั้งปัญญาและเจโต 
เจโตเป็น 0 มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แต่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นสามเส้า ซึ่งเจโตเป็นฐาน potential energy ที่มีพลังงานในนั้น นิ่งเป็นแก่นแกน คืออัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา อะไรที่หมุนวนไวได้ศูนย์จะนิ่งมาก แต่เคลื่อนเร็วไว 

พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งเหล่านี้โดยละเอียดที่ภาษาท่านตราไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร ที่ต้องมาศึกษา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ หากท่านไม่มีสภาวะท่านจะบัญญัติได้อย่างไร ไม่ใช่บัญญัติไปเรื่อย ไม่มีสภาวะรองรับ 

เวลาจะสืบทอดให้คนอื่น หากคุณไม่มีสภาวะรองรับ คุณก็จะสื่อความไม่มีสภาวะไปสู่คนอื่น คนอื่นรับไปก็ทำอย่างไม่มีสภาวะ ยิ่งตายข้ามชาติไปจะจำภาษาไม่ได้เลย แม้อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เลือนไปแล้ว แต่เหมือนจำได้ดี เพราะมีของเก่า คนก็จำนนอาตมาตรงนี้ แม้เขาเรียนภาษาบาลีมา แต่เรียนแล้วไม่มีสภาวะ มันไม่ได้จำง่ายเลย แต่อาตมาจำได้ ทั้งที่อาตมาเป็นคนไม่ช่างจำ จำไม่เก่ง

อาตมาพูดเรื่องนี้มามากกว่า 45 ปีตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว อาตมาบวช พศ. 2513 ตอน 7 พ.ย. ก็จะเต็ม 45 ปีเต็มในปี 2558 ก็พูดว่านั่งสมาธิไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าค้นพบไม่ใช่แบบนั่งหลับตาสมาธิที่มีในโลกอยู่นานแสนนาน ศาสนาไหนก็นั่งหลับตา นี่คือ meditation แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ไปนั่งหลับตาเช่นนั้น คำว่าสมาธิ คือจิตตั้งมั่น จิตมีแกนstatic เป็นแกนหลัก แกนนิ่ง แกนหยุด 

ไปนั่งหลับตาก็เกิดแกนนิ่งแกนหยุด แต่หยุดแบบดับเลย นิ่ง เลย คือ meditation แล้วจะบอกว่าเกิดปัญญา ได้พลังงานก็ใช่ ได้พลังงานของความแรงแต่ไม่มีปัญญาแท้จริงที่จะรู้รอบในสภาวะจริงๆของธรรมะสอง เทวธัมมา ถ้าเกิดแล้วจะมีสองทันที

1 แล้วจะเกิด 2 เกิด 3 ซึ่ง 0 เกิดไม่ได้ไม่มีอะไร ก็ต้องนับแต่ 1 2 3 แล้วเป็น 4 5 6 หรือ 7 8 9 เป็นเรื่องสำคัญของที่จะเกิดสภาวะของทุกอย่าง จะเกิดพลังงานร่วม ตั้งแต่พลังงานทางฟิสิกส์ เคมี มาเป็นจิตนิยาม ก็โครงสร้างเดียวกัน ถ้าเผื่อว่าสามารถรู้ลักษณะ แล้วจะเกี่ยวข้องกันอย่างไรที่เขาเรียนรู้ จนได้พลังงานระนาบ มีองศา มีพลังงานกลมรอบด้าน แล้วสัมพันธ์กันในมหาจักรวาลนี้ ดาวจะสัมพันธ์กัน แล้วมีชีวะเกิดในโลก สูงสุดคือเป็นมนุษย์ 

ในจักรวาลน้อย นพเคราะห์ นี่ถือว่าเป็นจักรวาลน้อย มีดาว 9 ดวง แต่ถ้าเป็นดาว 7 ดวงจะเป็นวงรี ไม่ได้ซ้อนเข้าไปในแกนกลาง ถ้าวงกลมจริงจะดึงดูดสู่แกนกลาง แต่ถ้าวงรีจะมีความขัดแย้งของมุมบ้างไม่ประสานเป็น cyclic order จะมีจักรวาลน้อยใหญ่ซ้อนกันในนี้ไม่รู้เท่าไหร่ สิ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเองไม่มีพลังงานของตนก็เหมือนอุกาบาต สะเปะสะปะ กระดอนไปถึงไหน ถ้าจักรวาลน้อยมีพลังก็ถูกดูดไป ถ้าอันอื่นมีพลังงานมากกว่าตนก็ถูกดูดไปอีก ที่ไม่มีวงโคจรของตนคืออุกาบาต มีไม่รู้เท่าไหร่ เราก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบ ไปแก้ไขมันไม่ได้เลย มันยิ่งใหญ่กว่าเรามาก แต่เราเกิดมาแล้วเป็นตัวการให้เกิดการเสียหายได้มาก แม้สัตว์ก็มีวงโคจรของการเกิด ตาย ที่เป็นพลังงานวิบากสั่งสมวิบาก แล้วกลายเป็นวิบากบาป หรือบุญ กุศล อกุศล เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วที่สำคัญคือพอมาเป็นสัตว์ระดับหนึ่งจะมีเวทนา มีความรู้สึกมีอารมณ์ ตัวนี้เป็นพลังงานที่วุ่นวายที่สุด เวทนาเป็นตัวสำคัญที่ต้องเรียนรู้อย่างสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าทุกอย่างรวมลงที่เวทนา ในมูลสูตร 10 แล้วก็มาจัดการ มนสิการที่ใจเรา
คนที่ไม่เต็มใจ รู้ว่าดีแต่ก็เอาไว้ก่อน ขาดฉันทะก็อยู่ห่างๆก่อน แต่คนมีฉันทะเต็มรู้ว่าดีก็ควรมา คนที่ขาดฉันทะอยู่รอบนอกก็จะไปกับสุขทุกข์ เหมือนฝันที่ อยากฝันดีตลอด แต่ก็ไม่มีทางทำได้ ในความรู้ที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี่ ถ้าผู้ใดมีฉันทะ ยินดีพอใจว่าชีวิตนี้ต้องมาศึกษาโลกุตรธรรม เป็นสุดยอดแล้วที่ได้ตราไว้ในโลก ขณะนี้โลกเริ่มเข้าใจแล้ว เร่ิมยอมรับในสหประชาชาติว่าให้เป็นวันสำคัญของโลก คนที่เป็นใหญ่ในสหประชาชาติส่วนใหญ่เป็นคริสต์ อิสลามไม่ค่อยมี เป็นพุทธก็ยังไม่ค่อยได้เป็น แต่ตอนนี้สหประชาชาติก็เห็นวันสำคัญ เอาวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก แล้วเขายอมรับว่ารายละเอียดของศาสนาพุทธมีรายละเอียดของจิตวิญญาณที่ท่านตรัสไว้ ชาติที่เจริญเขาศึกษา พบว่ามีเหตุผลที่แย้งไม่ได้ อาตมามาขยายความเป็นปฏิสัมพัทธ์ อย่างที่ไอสไตน์เขาใช้ สูตรแห่งสัมพัทธภาพ 

ของไอสไตน์เป็นสูตรสัมพัทธภาพทางวัตถุ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นสูตรสัมพัทธภาพทางจิตวิญญาณ ที่ยังไม่มีใครเอามาขยายความไว้ หรือมีน้อยอย่างอรรถกถาจารย์ต่างๆ อาตมาอ่านพระไตรปิฎกไม่มากแต่ก็หยิบมาเรื่อยๆ ในมูลสูตรอาตมาเห็นโครงสร้างที่รวมไว้หมด ตั้งแต่ฉันทะ แล้วมีมนสิการ เป็นแดนเกิดแดนตาย เป็นการเกิดที่ดีที่สุด อุปจยะหรือให้เป็นนปุงสกิลิงค์ก็ได้ อยู่ที่สัมภาวะ นี่แหละ หรือปภวะนี่แหละ คือแดนเกิด คำว่าปภาวะ กับสัมภวะ อันหนึ่งเป็นปุงลิงค์ อันหนึ่เป็นนปุงสกลิงค์

ต้องมีมนสิการที่ทำใจในใจเรา ต้องอ่านจิตออกด้วยอาการลิงคนิมิต แล้วก็ต้องได้รับมาจากสัตบุรุษที่ท่านได้สั่งสมมา แล้วเอาธรรมะอันเดียวกันกับของพระพุทธเจ้านี่แหละอย่างอาตมาอธิบายนี่เขาว่าอาตมาเป็นสารีบุตร แต่อาตมาว่าอาตมาไม่ใช่ แต่ธรรมะที่สอนก็อันเดียวกัน จะเป็นคนไหนก็ตาม จริงๆ อาตมาเป็นตั้งไม่รู้กี่คน เป็นคนก่อนๆพระสารีบุตรด้วย แต่ก็ไม่มีในตำนาน พูดไปก็สูญเปล่า ได้รับถ่ายทอดมาแล้วเปลี่ยนสภาวะมา อาตมาไม่เคยเรียนกับอาจารย์ไหน แล้วใครที่รู้อย่างที่อาตมารู้ อย่าว่าแต่ในเมืองไทยเลย ในโลกด้วย ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ที่อธิบายอย่างสัมพันธ์ได้อย่างอาตมา แล้วละเอียดเข้าไปร้อยมาลัยได้ 

อย่างมูลสูตรต้องมีฉันทะ แล้วมีการทำใจในใจ เมื่อมีผัสสะ จะต้องใช้ตัวรู้ ที่เป็นปัญญา มาเป็นวิชชา แล้วรู้รอบ ทฤษฎีสัมพันธภาพของนามธรรม แล้วเกี่ยวกับทุกอย่างด้วย เช่นอาตมาไปรู้การโคจรของดวงดาว เอกภพ อาตมาก็ไม่ได้เรียนดาราศาสตร์ แต่ก็อธิบายได้ หรืออย่างอาตมาค้นพบว่า แสงนี่ไม่ใช่เส้นตรง อาตมาก็ไปพูดว่าอาตมาค้นพบสิ่งที่ละเอียดมากเลย ไปพูดกับน้องเขย ที่เขาชื่อเล่นชื่อโป๊ บอกว่าอาตมาค้นพบว่าแสงนี่ไม่เดินทางตรง มันเส้นโค้ง แต่คนเห็นไม่ได้เพราะแสงเดินทางไกลมากเลย รอบมหาจักรวาล รอบมหาเอกภพเลย ความรู้สึกของคนก็รับรู้สึกว่ามันตรง

เช่นเดียวกับผิวน้ำ ไม่มีผิวน้ำที่ไหนตรงหรอก ผิวน้ำนี่โค้งตามผิวโลก แล้วหมุนตามแรงดึงดูดโลก แต่คนเห็นส่วนเดียวก็ว่าตรง อันเดียวกับแสงเลย อาตมาก็ไปบอกน้องเขย แต่เขาก็ว่า ไอสไตน์เขาค้นพบมาก่อนแล้ว ตอนนั้นอาตมายังไม่รู้จักไอสไตน์เลย เขาก็เลยไปหาหนังสือไอสไตน์มาก่อน เขามี E = mc2 แล้วอาตมาก็มาต่อ  E = mc2 + A เขาก็ว่าอาตมาฟุ้งไป แล้วยิ่งอาตมามาได้อ่านจดหมายที่ไอสไตน์ฝากทิ้งไว้กับลูกสาว แล้วจม.ฉบับนี้เก็บไว้ที่ม.ฮิบลู ที่มี A Bomb of love เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณที่ต้องมี ปิยกรณะ 

กรณะเป็นความหมายของบทบาท ของงาน ของการงาน การกระทำ อันปิยะ คือด้วยความรัก พลังงานอะไรที่ทำด้วยความรัก คำว่าปิยกรณะ คือนัยเดียวกับ A bomb of love ไอสไตน์ก็พูดในฐานะที่ค้นพบนิวเคลียร์ แต่พระพุทธเจ้าก็พูดตามนัยของท่าน คือกรรมหรือกรณะ ที่มีบทบาทที่ประกอบด้วยความรัก 

ในอะตอมที่มีความรัก ทั้ง อิเล็กตรอน โปรตอน นิวตรอนก็เป็นความรัก แม้จะถูกกระแทกกลายเป็นไอโซโทปก็ประกอบไปด้วยคุณสมบัติของความรักนี่คือ A bomb of love ไม่ใช่ภาษาพูดเล่นนะ ไอสไตน์พูดไว้แล้วว่าคนจะไม่เข้าใจง่ายๆต้องรักษาไว้อีกหลายปีจนกระเด็นมาหาอาตมาแล้ว อาตมารับลูกแล้ว นอนตาหลับได้ไอสไตน์เอ๋ย 

เป็นพลังงานที่เกิดจริง ผู้ใดสามารถมีของพระพุทธเจ้า มาขยายเป็นพลังงานแห่งความรัก เป็น สาราณียะ
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 

จะมีปัจยการ เป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ ผู้ใดสามารถเรียนรู้พลังงานจนเกิดผล จิตเป็นได้จริง เวลาปฏิบัติจนทำมนสิการ ให้โยนิโส ทำได้ทำเป็นแล้วจะเกิดผล สามารถจัดสรร พลังงานจิตตน โดยพยายามทำให้พลังงานพิษนี้หมดฤทธิ์แรง ไม่ใช่หมดแล้วสูญ แต่ให้พลังงานเสียกลายเป็นพลังงานดี ภวันติ แล้วจะสามารถศึกษาได้ที่ เวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) แล้วสามารถทำให้ธรรมะสองกลายเป็นหนึ่งได้

มูลสูตรมีเวทนาเป็นสโมสรณา แล้วทำให้เป็นหนึ่งได้ที่เวทนา ทำให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาได้ ไม่มีเพื่อนสองแล้ว เป็นจิตวิญญาณที่ ไม่มีกิเลส ตัณหา ทิฏฐิ ตัณหาที่เป็นกามตัณหา ภวตัณหาไม่มี เป็นแต่วิภวตัณหา ขอพูดอย่างใหญ่เลย ไม่มีใครอธิบายวิภวตัณหาว่าเป็นตัณหาแห่งคุณธรรม เป็นตัณหาวิเศษ​มีแต่อธิบายกันว่าต้องดับตัณหาให้หมด แล้วก็เลยกลายเป็นไม่ต้องมีเจตนาอะไรไม่คิดอะไรเลย ทางนั่งหลับตาก็ให้ไม่ต้องคิดอะไรอย่าส่งจิตออกนอก ถ้าให้ออกทางผิวหนังทางกายไม่ได้นะ ต้องให้คุมอย่าออกมาทางทวารนอกเลย ทางสายนั่งหลับตาก็ได้แต่แค่นั้น แต่ของพระพุทธเจ้านี่คุมได้หมด การไปนั่งหลับตาสมาธิก็จะได้แต่อยู่ข้างใน ไม่ได้สัมมาสมาธิหรอก 

ในมูลสูตร 10 มี
1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 
4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) 
5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) สั่งสมเป็นหัวหน้า เป็นจิตประมุขแท้เป็นโลกุตรจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ จะเรียกว่าเป็นดวงๆก็พอได้ เป็นสมาธิคือเร่ิมมีประมุขแท้ของจิตวิญญาณ​สมมุติว่าเร่ิมได้ 1 ดวง เป็นประมุขของอัตภาพของคุณเองสามารทำนิวเคลียร์ให้เป็นเพื่อสันติภาพได้ แล้วจะเจริญเป็นสติ เป็นปัญญาได้อีก 
6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) 
7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด  
8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง 
9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.  
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน 
(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58) 

สติ สมาธิ ปัญญา เป็นสามหน่วย คนที่มีสามหน่วยนี้เป็นอะตอมที่วิเศษ แล้วไปตรวจสอบดูสิว่าอันไหนเป็นอิเล็กตรอน โปรตอน หรือนิวตรอน ผู้ใดได้ วิมุติก็ได้แก่น ได้สิ่งวิเศษแล้วในการเกิดมาเป็นคน เป็นผู้มีธรรมะของพระพุทธเจ้า มีวิมุติเป็นแก่น ทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ มีโอคธา 

โอคธาเป็นความหมายที่สูงกว่า วิมุติ จะตายจริงก็ได้คือตายแล้วเกิดอีก หรือตายจริงๆเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานคือตัวที่ 10 ของมูลสูตร

อาตมาว่าอรหันต์ตายแล้วเกิดอีก เขาก็ต้องจัดว่าอาตมาเป็นเดียรถีย์ เพราะมันไปทำลายความยึดถือที่เป็นแก่นแกนของเขา ใช่ อรหันต์ตายแล้วไม่เกิด อะไรตาย คือกิเลสตาย อาตมาแปลอรหัตตผลว่า อัตตาที่ไม่มีความลึกลับแล้ว คือรู้รอบถ้วนหมดแล้ว จบกิจ ก็เป็นอรหัตตา หรืออรหัตตผลของแต่ละกิเลส กิเลสอันนี้จบ สมบูรณ์ก็สั่งสมไปเรื่อยๆ ตัวเดียวก็ได้ 

พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้ผู้ที่ทำไม่ตรงนัก อาสวะบางอย่างอาจสิ้นได้แต่มันไม่เป็นระบบระเบียบ คุณจะเอามาเรียบเรียงให้สอดร้อยไม่ง่าย คุณต้องมาทำใหม่หมดเสียเวลา ต้องเริ่มต้นให้ถูก มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายได้จะไม่เสียเวลา ผู้ใดเห็นถูกก็มาเลย 

ที่พูดนี้ไม่ใช่เรื่องเดาเลย มีระบบ ผู้มีความจริงจะพูดสอดคล้องกันเลยจะต่อกันด้วย แต่คนไม่จริงจะพูดขัดแย้งกัน แต่อาตมาพูดนี่มันจะเชื่อมกันหมด กลายเป็นอันเดียวกันหมด แต่ถ้าไม่ใช่จะขัดแย้งกัน ยิ่งมากเข้าก็ยิ่งขัดแย้งจนเละ ก็ตั้งใจเรียนกัน 

มาเข้าสู่มหาจัตตารีสกสูตร ที่ต้องเข้าใจโลกเก่า และโลกใหม่ 
มีเหตุปัจจัย สองหน่วยที่กระทบกันแล้วเกิดปัจจัยหน่วยที่สาม เป็นลูก เป็นมาตา ปิตา แยกเพศ​ได้ลูกออกมาเป็นลูกทางจิต กลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ ถ้าได้พบสัตบุรุษที่สัมมาทิฏฐิก่อน 

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ 
2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 
3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  
สามอันแรกทำให้ได้ โยนิโสมนสิการ 
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้  สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา คือทำใจในใจเป็น อาตมาพูดสอนทุกวันนี้คือสอนมนสิการ คือสอนทำใจในใจให้เป็น แล้วเอาไปปฏิบัติ มีสติ สำรวมอินทรีย์ จัดสรรกรรม 
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต 
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์ 
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ . 
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

อันนี้ก็ไม่ได้ท่อง อวิชชาสูตรนี้ อาตมาสัมผัสแล้วพบว่าเป็นโครงสร้างแห่งการปฏิบัติธรรม ต้องได้พบสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  แล้วเข้าใกล้เงี่ยโสตสดับ แล้วเอาไปทำการโยนิโสมนสิการให้เป็น 

ขนาดพวกเราฟังกันเข้าใจยังไปทำใจในใจไม่ค่อยเก่งเลย ขนาดทำธรรม นักรบธรรมนี่อวดเก่ง แต่ทำใจในใจไม่เก่ง กว่าจะทำใจได้เก่ง ชัดเจนบริบูรณ์มันไม่ง่าย แต่เข้าใจก็เอาไปปฏิบัติ แล้วจะเกิดผล ทุกอย่างก็จะเก่งชำนาญ เป็นภาวะจริงไปเรื่อยๆ สั่งสมเป็น สัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะ 

1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) 
2.    ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง) 
3.    ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง)  มีพลังงาน static แฝง 
4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) เป็น psychoanalysis 
5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น 
6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง
(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258) 

ที่อาตมาเติมให้ เป็นการทำให้เกิดผลตามอานิสงส์ของการฟังธรรม 5
1.    ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ) 
2.    ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ) 
3.    ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ) 
4.     ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) 
5.     จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ) 
(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202) 

ทำให้เกิดโพชฌงค์ตัวที่ 7 คืออุเบกขาสัมโพชฌงค์ แม้แต่สมาธิตัวสุดท้ายคือเจริญด้วยอุเบกขา สมาธิคือจบด้วยอุเบกขา ที่มีคุณสมบัติ 5 มีตัวมุทุ กัมมัญญา เป็นมุทุตา ที่มีลักษณะของ วิการรูป 4 มี ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา ที่เป็นสามเส้าแล้ว 

วิการรูป 3 นี่แหละเป็นตัวสามเส้า คุณควบคุมมุทุภูตธาตุ สามารถทำให้เกิดกัมมัญญตา ให้ไปกับโลกได้อย่างมีประโยชน์คุณค่าดีที่สุดโดยยึดถือเอาเข้ามาสู่ความสุภาพ เข้าหาความเบา หมัดอาตมามีน้ำหนัก 100 แต่อาตมาจะชก 70 ส่วน ต่ำกว่า 70 จะไม่มีพลัง จะใช้ 80เมื่อมีเหตุสำคัญแต่ไม่ชกถึง 100 เต็มเพราะจะแรงไป จึงคุมกายวิญญัติวจีวิญญัติ ได้เพราะมีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา 

ปฏิบัติไปจะไม่เป็นอนาสวะได้ทันทีหรอก ก็ได้สาสวะ ได้ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ คือจิตถูกขจัดชำระกิเลสไปเรื่อยๆ ขันธ์คุณก็สะอาดขึ้นเรื่อยๆ 

เวลาปฏิบัติจะมนสิการเป็นต้องรู้องค์ 7 ของสังกัปปะ
1.     ความดำริออกจากกาม (เนกขัมมสังกัปโป)
2.     ดำริในความไม่พยาบาท (อพยาปาทสังกัปโป)
3.     ดำริในความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสาสังกัปโป)
(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 262) ก็คือจัดการตัวดูดกับตัวผลักนั้นแหละ ก่อนเลย ต้องจับให้มั่น วิจิกิจฉาก็หายไป คุณลืมตาจะปฏิบัติกามกับพยาบาท แต่ถ้าหลับตาก็ปฏิบัติถีนมิทธะกับอุทธัจจะ แต่การนั่งหลับตาจะไม่ได้ทำเบื้องต้น คือกามกับพยาบาท แม้ถีนมิทธะกับอุทธัจจะ  กุกกุจจะก็เป็น เบื้องต้นได้ 

ถ้าสายเจโต ปฏิบัติจะได้ ยกตัวอย่างท่านหนักแน่นจะฟังแล้วจะได้แม่น ส่วนท่านแสนดินจะจำไม่แม่น สายหนึ่ง อุทธัจจังกิจจัง สายหนึ่งเป็น ถีนังมิทธัง ก็มีสองลักษณะ เข้ากับออก ก็ต้องเข้าใจ แม้คุณจะปฏิบัตินั่งหลับตาก็จะได้ สังขิตตังจิตตัง แต่ว่าถ้าวิกขิตตังจิตตังก็เข้าใจรู้แต่จำไม่ได้หรอก ส่วนสายเจโต จะรู้เป็นตัวๆจับได้ ก็ต้องฝึก เราเป็นสายไหน เป็นสายเจโตก็ต้องฝึกปัญญา ท่านหนักแน่นจะไม่ค่อยมาฟังธรรม  ส่วนท่านแสนดินจะมาฟังธรรม เก็บรายละเอียด ก็มีสองสายใหญ่ๆ เป็นธัมมานุสารีและ สัทธานุสารี

สายศรัทธา จากสัทธานุสารี จะได้สัทธาวิมุติ ได้กายสักขี ก็ไม่ได้บรรลุ ต้องได้ทำสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่สายปัญญา เริ่มจาก ธัมมานุสารี มาเป็นทิฏฐิปัตตะ มาเป็นปัญญาวิมุติ จะบรรลุได้เร็วกว่า เพราะว่า สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่เริ่มต้น 

อย่างพระพุทธเจ้า สาย
ปัญญาธิกโพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมี ทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
สัทธาธิกโพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมี โดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 
วิริยาธิกโพธิสัตว์คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 

ปฏิบัติไปจะได้ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ตั้งแต่กามภพ เราก็เรียนรู้ในกามก่อน ทำให้หมดจะได้โครงสร้างที่จะเรียนรู้ที่จะดับได้ แต่การไปนั่งหลับตาไม่เกิดปัญญาทำแต่ในสัญญาไม่ครบบริบูรณ์ไม่เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายที่เรียงร้อยอย่างสำคัญ ถ้าทำได้สัมมาทิฏฐิเป็นลำดับ คือประมาณกิเลสตน ในโลกสมุทัย เรามีสมุทัยก็จับสมุทัย 

อาตมาตั้งต้นให้เร่ิมแต่ ศีล 5 แม้แต่คุณจะบวชเป็นพระแล้ว ทุกวันนี้ศาสนาเพี้ยน เพราะไม่มีศีลแล้ว
พระพุทธเจ้าเก่งกว่าเอ็มเบดก้า เพราะท่านตรารธน. อันเดียวคือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ไม่มีใครไปบังอาจแก้ แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธให้เห็นเลยว่าเป็นศาสนาที่ไม่มีศีล มีแต่วินัยที่เป็นกฎหมายลูก เป็นของหยาบที่ต้องได้ต้องเอาก่อน ถ้าไม่มีวินัยคือไม่มีรั้วเลยก็ไม่เหลือบ้านแน่ แต่วินัยคือกฎชั้นรองของศีล 

มหาศีลนี้ยืนยันศาสนาพุทธว่าต้องไม่มีเดรัจฉานวิชชา แต่ทุกวันนี้เกือบทุกวัดมีจุดธูปเทียน รดน้ำมนต์เป็นเดรัจฉานวิชชาไปหมด  ในมหาศีลบอกเลยว่า ไม่ให้มี ทำพิธีบูชาไฟ    ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน    ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ   ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ    ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ   ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ   ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ   ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ    คุณบกพร่องแม้ข้อเดียวในมหาศีลก็คือด่างพร้อยในศาสนาพุทธ เป็นเครื่องชี้วัด 

ส่วน มัชฌิมศีลเป็นศีลที่ขยายรายละเอียดเพิ่มจากจุลศีล เป็นการเชื่อมกับสังคมส่วน จุลศีลเป็นหลักเกณฑ์ศีลเบื้องต้นเลย 

ต้องปฏิบัติศีลโดยอ่านเวทนา ที่เป็นมโนปวิจาร ต้องอ่านได้ อาการคุณมีสภาวะรองรับว่า เคหสิตอุเบกขากับ เนกขัมสิตอุเบกขามันต่างกันอย่างไร พวกคุณปฏิบัติมาแยกแยะได้ไหม ... 

อธิบายไปก็เป็นสัมพัทธภาพ กันหมด 

มาถึงภาคที่จะมนสิการกัน ก็ต้องที่ สังกัปปะ 7 เลข 7 คือเกิดเต็มรอบแล้ว แล้ว 8 คือเติมความเกิด เมื่อเป็น 9 ก็สมบูรณ์ แต่ถ้า 10 ก็คือ 0 แล้ว คนไม่รู้สังกัปปะ 7 ไม่มีสมาธิจริง ต้องรู้สองสถานะคือปัญญากับเจโต

ตัวเจโตคือ
4. ความแน่วแน่     (อัปปนา) 
5. ความแนบแน่น     (พยัปปนา) 
6. ความปักใจมั่น    (เจตโส อภินิโรปนา) เป็นความตั้งมั่นที่แข็งแรงมีโลกุตระ มีโลกวิทู โลกานุกัมปา เป็นความเยี่ยมยอดของการตั้งมั่น
7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร) 
(พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 263)

ส่วนฐานปัญญา เป็นพลังงานลบ เป็นอิเล็กตรอน ร่วมกันทำงาน 

ยกตัวอย่าง อาตมาขณะนี้มี หนึ่งฟ้าเป็นอิเล็กตรอน แล้วมีนิ่มเป็นโปรตอน แต่คนละขั้ว แต่จริงๆแกนเดียวกัน เป็นแม่เหล็กแกนเดียวกัน เข้าใกล้กันแล้วดีดออก

ตักกะ นี่คือ พยายามดู แล้วพอสัมผัสแล้วก็เกิดอารมณ์ นั่นแหละในอารมณ์คือจิตเร่ิมเกิดมีการสังขารแล้ววิเคราะห์ให้เร็ว มีกามไหม มีพยาบาทไหม? 

เมื่อมีกามวิตกก็รู้ มัน แล้วปฏิบัติ แบบ กดข่มก็เป็นสามัญ คนสามัญก็ระมัดระวัง รักษามารยาทภายนอก ก็ไม่ให้มันเกิด ยิ่งต่อหน้าคนก็ต้องควบคุม เป็นวิกขัมภนปหาน แต่การข่มโดยรู้นี่มีประโยชน์นะ ไม่ใช่เดรัจฉานที่แสดงออกเต็มที่เลย คนหน้าด้านๆก็แสดงออกเต็มที่เลย แสดงว่าตนเป็นแบบนี้ ก็ไม่ดี ก็ต้องข่ม เป็นธรรมดา ทุกคนทำเป็น เราก็รู้เสียว่านี่เป็นการข่ม การข่มไม่บรรลุ ต้องมีการเห็นทั้งนอกและใน เรียกว่าวิปัสสี ให้เป็นวิอะไรที่ไม่ควรให้มีอาการอยู่ ก็พิจารณาว่าอาการอย่างนี้มันเที่ยงไหม โดยเฉพาะอาการกามตัณหา พยาบาท มันพาไปหาทุกข์ พาไปเลวร้ายเสื่อม ยิ่งมีเหตุนี้เราเลยต้องไปรับทุกข์ ภาวะ แล้วก็เพื่อจะได้สมใจแล้ว ก็เกิดชินชา จืดจาง เบื่อเป็นพักๆหรือเปลี่ยนอันใหม่ ไปหาสุขใหม่อีก เป็นวรรคเป็นเวร หากมีรสติดยึดชอบใจสมใจ เมื่อได้สัมผัสอันนี้ เดี๋ยวคุณก็จะมันชักอิ่มเต็มก็หาอันใหม่อีก มันไม่ได้เป็นตัวจริงเลย เปลี่ยนไปยิ่งกว่าพยับแดด  พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมด

ให้คุณเห็นด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมเลย เห็นอนิจจังทุกขังอนัตตา สามพยัญชนะนี้ยิ่งใหญ่ มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน ถ้าคุณเกิดปัญญาญาณอันลึกซึ้งเลย เป็นไฟปัญญาที่สูงกว่าไฟราคะ โทสะ โมหะเลย เป็นฤทธิ์ของมโนมยิทธิ เป็นความเก่งหลากหลาย เก่งตัวแรก เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ จากหนึ่งเป็นหลาย จากหลายเป็นหนึ่งก็ได้ จากไม่มีเป็นหนึ่ง แล้วจากหนึ่งเป็นหลากหลายได้ โดยเฉพาะอาตมามาคนเดียวแล้วก็ค่อยเพิ่มมีลูกจำนวนพันเป็นเอนก นี่คือิทธิวิธญาณ ทุกคนมีความเจริญได้จริง

สายเจโตหรือปัญญาก็ต้องแก้ไขตน ให้เพิ่มสิ่งที่ตนขาด อย่าชังกันอย่าทะเลาะกัน แล้วจะเกิดความรวม ให้รู้แม้อาตมาเปิดเผยชื่อก็ให้เป็นประโยชน์ให้ปรับปรุง ก็ยกตัวอย่างคนที่คบหากัน มันยิ่งกว่าอาตมาจะอธิบายเป็นร้อยเป็นพันครั้งนะ คุณจะเห็นลีลาของสองคนที่อาตมายกมาหรือแม้แต่เจ้าตัวที่อาตมาพูดนี้ก็ตาม ก็จะได้ประโยชน์ เป็นของดี

อย่างพระเทวทัต ลึกๆแล้วพระพุทธเจ้าท่านขอบคุณพระเทวทัต มีพระเทวทัตทำให้พระพุทธเจ้าเด่นขึ้นมาทำให้คนเข้าใจได้มากขึ้นอีก ถ้าสังคมยุคนี้ไม่มีทักษิณ เราจะไม่รู้แนวลึกซับซ้อนของสังคมได้เลย ใครจะลงทุนมาทำเช่นนี้ อาจพูดว่าสวรรค์่ส่งมาให้เราศึกษา แต่จริงๆ นรกเอเวจีส่งมา ส่งเทวบุตรมารนี้มาให้เราได้ศึกษา ผู้ที่หลงเขาก็จะเห็นเป็นเทพบุตร แต่ผู้มีปัญญาจะเห็นเป็นมารได้ คนที่เข้าใจผิดจะเห็นเทวดาเป็นมาร แล้วเห็นมารเป็นเทพได้ เขาเก่งมากในการหลอกคน จริงๆอาตมาขอบคุณเขานะ แต่ไหนๆเขาหลอกอาตมาได้สนิท ครั้งแรกที่เขาซุกหุ้น อาตมายังเชียร์เขาเลยไม่นึกว่าจะเก่งฉิบหายขนาดนี้ อาตมาเคยให้ของเขาสองอย่างคือ เรือ และ กลด เขาเลยต้องไปล่องเรือไปไหนๆซัดเซพเนจรยิ่งกว่าซำเหมาอีก 

เราสามารถรู้สังกัปปะ 7 นี้ได้ 
สามเส้านี้แหละ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ และ สามเส้าอีกอันเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา สามเส้านี้จะเป็นนิวเคลียส เป็นเจโตและปัญญา ถ้าเป็นปุถุชนใด ไปคบหากับวจีสังขารได้เป็นสองหน่วย กลายเป็นนิวตรอน สองนี้จะกลายเป็นสาม คือ ปัญญา เจโต และวจีสังขาร (จะแบ่งเป็น  จีโนม เป็นยีนส์ เป็น DNA ) สามหน่วย ถ้าจะเทียบว่า
อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นยีนส์ หรือเป็น เพศหญิง 
DNA เป็นเพศชาย 
ส่วนอีกอัน อันนี้คือ genome 

เสร็จแล้วใครไปได้อะไร ทางอวิชชาจะหาให้ได้หาพวกให้ได้ เขาจะได้พลังงานสองหน่วย กับอีกหน่วยหนึ่ง มันก็จะมีพลังงานมากกว่า เพราะฉะนั้นที่ได้สองหน่วยจะเป็นพลังงานมากคือนี่แหละระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดนิวตรอน ถ้าเขาเลิก ไม่มาปฏิฆสัมผัสโส ก็จะทำให้เมืองไทยสงบเจริญทันตา แต่นี่เขาไม่เลิก แล้วคนที่ไปเกี่ยวข้องกับเขาก็มีสายโยงใยอยู่ แค่จะถอดยศก็ยากแล้ว แต่คนปฏิบัติธรรมจะมีสัปปุริสธรรม 7 จะประมวลได้ว่าตัวเราก็เท่านี้จะประมาณได้ทำงานได้อย่างจัดสัดส่วนได้ มัตตัญญุตาในการออกไปเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นการงานอันเหมาะควรที่สุด ...จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:09:56 )

580614

รายละเอียด

580614_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ธรรมะสองรวมเป็นหนึ่งที่เวทนา

ส.ฟ้าไทว่า...ตอนนี้ที่บ้านราชฯและชาวอโศก มีกิจกรรมธงเขียว ก็คือ 3 อาชีพกู้ชาติ และรณรงค์ขายปุ๋ยในราคาถูกให้แก่ประชาชนในฤดูกาลปลูกข้าว พ่อครูเคยมีดำริให้ทำโครงการข้าวแสนตัน แต่ทำยาก แต่ถ้าทำปุ๋ยแสนตันทำได้ คือต้องทำให้ดินดีก่อนแล้วต้นไม้ก็จะมีแล้วฝนจะตกตามฤดูกาลไม่แห้งแล้ง

เมื่อวานไปศีรษะอโศก มีพายุฤดูร้อน ต้นไม้หักแต่ไม่ค่อยมาทับบ้าน มันลงข้างบ้าน บ้านไม่เป็นอะไรสักหลัง อาตมาว่า 3 อาชีพกู้ชาติที่พ่อครูดำริ ถ้าเป็นอาตมาก็คิดไม่ออกว่าจะกู้ชาติได้อย่างไร แต่พ่อครูคิดออกได้ แสดงว่ามีญาณปัญญาอันยาวไกล ทุกวันนี้ก็เห็นชัดเจนว่าไปได้ คนต้องมาอาศัยสิ่งนี้ 

เรื่องสุขภาพดี อะไรก็ฮือฮา แล้วคนก็ต้องการของไร้สารพิษ ก็ต้องมากับปุ๋ยอินทรีย์ จึงไร้สารพิษ แล้วสุขภาพก็จะดี อย่างปัญหาขยะในกทม.เขาติดป้ายรณรงค์กัน ไม่ให้คนทิ้งขยะ เหมือนต่อว่า ไม่ควรทิ้งขยะลงในน้ำ ซึ่งสมัยโบราณ เขาต้องมีประเพณีไหว้พระแม่คงคา วันเพ็ญเดือน 12 ขอขมาที่เราได้ทิ้งอะไรลงแม่น้ำให้เน่าเสีย 

จนมาอีสาน มีปัญหาแห้งแล้ง ก็ใช้เงินเป็นแสนล้านเพื่อผันน้ำให้ทั่วถึงก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะได้หรือไม่ ก็มาดูว่าพ่อครูมีญาณปัญญาจะทำอย่างไรให้มนุษยชาติพ้นภัย เหมือนในหลวงที่พาทำเศรษฐกิจพอเพียงให้ไทยอยู่รอด แล้วโลกจะอยู่รอดด้วย ทำอย่างไรจะให้คนปฏิบัติโลกุตรธรรมได้ เหมือนอย่าพ่อครูบอกว่า สำนักอื่นก็มีฟีเวอร์ ขนาดนิกรก็มี เณรคำก็มี พระพยอมก็มี แต่พ่อครูไม่มีฟีเวอร์ แต่ถ้าฟีเวอร์คนมีปัญหามากมาย ไม่ใช่โลกุตระ แต่โลกุตระนี้จะไม่ฟีเวอร์ อาตมาก็ไม่รู้ว่าสมัยพระพุทธเจ้าฟีเวอร์ไหม? (พ่อครูแปลฟีเวอร์ว่าตื่นเต้นชื่มชอบรุนแรงจนคลั่งไคล้) ในสมัยโบราณสมัยพระพุทธเจ้าคงไม่มีใครคลั่งไคล้หรอก ก็ค่อยๆเป็นไป ขนาดเป็นอย่างพระพุทธเจ้ายังไม่มีฟีเวอร์เลย แล้วเป็นพระโพธิสัตว์ก็คงไม่มี เพราะเป็นเรื่องยาก แต่ทำได้ เอาง่ายๆอย่างชาวอโศกยังไม่เห็นฟีเวอร์พ่อครูเลย (พ่อครูว่า..ทำได้ผลแล้วจะสงบรำงับก็ไม่ตื่นเต้นเหมือนโลก) 

วันนี้พ่อครูคงมาได้พูดถึงธรรมะสองอย่าง หรือจะเป็นก๋วยเตี๋ยวกับไอติม เห็นว่ากินกันแล้วเหมือนไม่เคยพบไอศกรีม เด็กบางคนบอกว่าอโศกรำลึกไม่กินข้าวเลย การเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวกับไอติมนี่น่าจะเป็นผลเสียนะ อันนี้ธรรมะสองแบบไม่ได้เรื่อง มอมเมากัน แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูจะอธิบายคือธรรมะสองที่เป็นเวทนา แบบโลกีย์กับโลกุตระ 


พ่อครูว่า...อาตมาก็สอนไปบรรยายไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่อาตมาเลือกและมั่นใจว่า เป็นงานที่ดีที่สุดที่อาตมาคิดว่าดีแล้วได้แล้วเป็นแล้ว เป็นติดต่อกันมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้ก็มาทำต่อ พูดเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนหมั่นไส้ เหมือนระลึกชาติได้ 

ซึ่งคำสอนแบบนี้ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกถ้าไม่มีของเก่า โดยเฉพาะชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนธรรมะมาก่อนเลย แล้วเอาอะไรมาสอน ก็เอาของเก่าชาติก่อนมาสอน เพื่อจะยืนยันให้เห็นว่า คนสั่งสมได้ ถ้าถึงขั้นเร่ิมต้นจากจิตนิยามแล้ว เป็นพลังงานที่วิวัฒนาการจากอุตุ มาเป็น พีชะ มาเป็นจิตนิยาม

จิตนิยามคือสัตว์โลก แต่สัตว์เดรัจฉานไม่สามารถเรียนรู้ กรรมนิยาม ธรรมนิยามได้ พลังงานไม่มีคุณภาพพอจะเรียนรู้โลกุตรธรรมได้ อย่างว่าแต่สัตว์เลย แม้คนที่เกิดมาได้อาการ 32 แล้วก็ไปหลงในอาการ 33 ดาวดึงส์ เป็นเรื่องสุขใจพอใจชอบใจบำเรอใจตนแค่นี้ แล้วฉลาดก็เพื่อได้สิ่งบำเรอ ให้ตนได้รับเสพเสวยผลโลกีย์หนักหน้าไปเรื่อย เขาก็ว่าเขาฉลาด แต่จิตวิญญาณเขาไม่มีภูมิพอจะเรียนรู้สภาวะของ โลกุตระหรือที่เป็นกรรมที่เป็นธรรมะ โดยเฉพาะแยกโลกุตระกับโลกีย์ออก

แม้จะจบดร.มากี่สิบใบ ถ้าไม่มีบารมีสะสมมาก็แยกแยะโลกียะกับโลกุตระไม่ออก เรื่องจริงเป็นเช่นนั้น เกิดมาได้อัตภาพ เป็นจิตนิยาม ตั้งแต่เดรัจฉาน จนมาเป็นคน การได้พบพุทธศาสนาได้สัมผัสได้ฟังได้เรียนรู้ก็แค่นี้ก็เป็นเกณฑ์แห่งบารมีแล้ว มนุษย์ในโลก เจ็ดพันล้าน ได้ฟังได้ยิน แต่เขาก็ไม่สะดุดว่าอันนี้น่าได้น่ามีนะ หรือแค่ผ่านหู หรือจะไม่ได้สัมผัสเลยตั้งแต่เกิดจนตายในชีวิตว่าพุทธศาสนาเป็นเช่นไร นั่นคือสิ่งจริงของกรรมวิบากของสัตว์โลก 

บางคนได้ผ่านสัมผัสมีภูมิธรรมแล้ว แต่ได้ทำกรรมหนักถึงอนันตริยกรรม แม้จะได้สัมผัสหมู่กลุ่มก็มาร่วมไม่ได้ ร่วมได้ก็ต้องออกไป เป็นอจินไตยกรรมวิบากแท้จริง อาตมาสรุปได้ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วฟังเป็นเข้าใจได้รู้แล้ว ก็อย่าช้าเลย พูดไปเหมือนหลงใหลคลั่งไคล้ศาสนาพุทธ แต่ว่าถ้ารู้แล้ว มีเวลาแรงงานเท่าไหร่ก็มาทุ่มโถมปฏิบัติ เพราะชีวิตนี้มันวนเวียนในวัฏสงสารยาวนาน 

พระพุทธเจ้าว่า กัปหนึ่งคือเอาผ้าใยบัวมาพาดผ่านภูเขาปีละครั้งให้ภูเขาราบเรียบได้ คือเวลาที่ใช้ พูดแล้วไม่ต้องคิดเลยว่ายาวนานเท่าไหร่ มันเกิดที่เราจะคาดคิด วิทยาศาสตร์เขาคำนวณเวลา 1 ปีแสงคือ ระยะทางที่แสงเดินทางเป็นเวลา 1 ปี ก็ไม่รู้ยาวแค่ไหน ทางพระพุทธเจ้าท่านศึกษามาหมดแล้วทั้งวิทยาศาสตร์และทุกศาสตร์ ผ่านมาหมดแล้ว ขออภัยแม้อาตมาก็เคยผ่านมาแล้ว มาเป็นโพธิสัตว์ต้องมาศึกษาจริงๆ ตั้งแต่ขั้นต่ำที่เราไม่ควรเป็น ผ่านมาแล้วก็ศึกษาขั้นสูงที่เรายังไม่เคยพบเคยเป็น ต้องศึกษาทุกอย่างที่มนุษย์เป็นได้หรือสัตว์เป็นได้ในมหาจักรวาลนี้ ต้องศึกษาอย่างสัมผัสจริงเป็นจริงด้วย และพระโพธิสัตว์บางทีต้องไปเป็นเดรัจฉานหรือไปเกิดในหมู่คนเลวก็เป็น ต้องศึกษาจริงเป็นชาติ ๆ เป็นอจินไตยเกินกว่าคิดได้เดาได้  

พระพุทธเจ้าศึกษาโดยภาษาอาตมาเห็นว่าอันนี้จบแล้วคือ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) คำว่าภวันติคือกลายมาเป็น หรือรวมมาเป็น คือเวทนามารวมเป็นอันเดียวกัน ไม่ว่าธรรมะสองอย่างไหนก็แล้วแต่ ควรจะมาศึกษาที่เวทนานี้ ที่อาตมาบรรยายทุกวันนี้ ถึงขั้นเอาสองอย่างในนิวเคลียสคือโปรตอนกับอิเล็กตรอน ก็คือธรรมะสอง หรือว่านิวเคลียส กับอิเล็กตรอนก็คือสองอย่าง ในนิวเคลียสก็มีสองของมันแล้ว แล้วจากอะตอม พวกนี้แหละ ระเบิดออกมาอย่างที่ว่า ถ้าใครมาปฏิฆสัมผัสโส ได้ขีดแตกระเบิดออกมา ก็เป็นนิวเคลียร์รีแอคชั่น ไอโซโทป กระจายไปอย่างไม่สิ้นสุด 

ของพระพุทธเจ้าเน้นรับผิดชอบชีวะที่เป็นมนุษย์ ไม่ว่าโลกลูกไหนก็มีมนุษย์นี่แหละตัวร้าย ถ้าโลกไหนมีแค่ชีวะที่เป็นพืชกับสัตว์ ต่อให้สัตว์ใหญ่อย่างไดโนเสาร์มันก็ทำลายโลกไม่ได้มันก็สูญพันธ์ไปเอง แต่มนุษย์นี่แหละมันทำลายโลกให้แตกเลย โลกต้องแตกเพราะมนุษย์ไม่รู้กี่รอบ พระพุทธเจ้าจึงค้นพบจุดหยุดชั่ว เลวในความเป็นมนุษย์ได้ จึงมีบทสรุปว่า มโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง พลังงานที่สั่งสมเป็นนิวเคลียส เป็นธรรมะสอง ถ้ามีนิวตรอนตัวเลวร้าย

ในนิวตรอนมันก็มีสองอีก แตกออกมาเป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชั่นกับ ฟิวชั่น แตกกระจายร้ายแรงด้วย ทำลายทั้งวัตถุและชีวิต รู้กันดีแล้วก็เหลือแต่ว่าทำอย่างไรให้คนมีลักษณะของนิวเคลียร์เหมือนกันกับทางวัตถุ แล้วเป็นตัวกำหนดด้วย คนจะมาสร้างระเบิดนิวเคลียร์ไว้ ถ้าไม่มีคนไปกดระเบิดมันก็ไม่เกิดอะไร เพราะฉะนั้นหยุดมนุษย์ให้ได้ แต่ตั้งแต่ต้นทางแล้วก็หยุดที่ต้องอย่าสร้างระเบิด และต้องเริ่มที่ต้องไม่มีจิตรุนแรงเลวร้ายต่อกัน จึงจะไม่ไปสร้างสิ่งที่จะไปทำร้ายทำลายกันได้ แต่จะอยู่กันอย่างมี

สาราณิยธรรม 6
1.    เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
2.    เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
3.    เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
4.    แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)  
5.    มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา) 
6.    มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  (ทิฏฐิสามัญญตา)  (ล.22  ข. 282-283)
จุดสูงสุดของพระพุทธเจ้า คือจิตของคนที่มีหนึ่งเดียว แต่สังคมของคนที่อยู่อย่างสาราณียธรรม 6 ส่วนจิตของคนคือพุทธพจน์ 7 ก็เป็นธรรมะสอง นี่คือสุดยอดของความรู้พระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบและมาประกาศให้คนรู้

ธรรมะสองอย่างนี้คือนิวเคลียสของสันติภาพมีสองอันนี้ เมื่อเราแตกตัวนิวเคลียสสันติภาพจะกระจายออกเป็นสาราณียธรรม 6 ที่ไอสไตน์ว่าเป็น A bomb of love ของไอสไตน์นี่แหละ 

อาตมาพาทำสร้างสังคมที่มีพลังงานชนิดนี้ มีกัมมันภาพรังสีเพื่อสันติภาพ มีกระทบสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส อย่างควบคุมได้เป็นลหุตา แล้วก็ต้องมีมุทุตา จิตหัวอ่อน แล้วมีกัมมัญญตา มีกรรมกิริยา สามารถจัดให้เกิด ประมาณอย่างลหุตา ให้เบาไม่รุนแรงแต่ประมาณว่าแรงเท่านี้จึงเป็นการกระทบสัมผัสที่เกิดพลังงานได้ ประโยชน์สูง ประหยัดสุด 

แต่ต้องคำนึงว่าอย่าให้แรง คือลหุตา คือให้เบาแค่นี้ ผู้รู้จะเข้าใจว่าเบาแค่ไหน พอหลายๆเบาก็ควบแน่นเป็นธาตุหนักที่มีประสิทธิภาพ 

สุดจบเลย พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ รูป 28 ลักษณะแล้วทำได้ เมื่อทำได้หมดถึงขั้น 19 คือมีวิญญัติ มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แล้วลงมาเหลืออีกวิการรูป 5 และลักขณรูป 4 ก็เป็นเรื่องของผู้ที่ควบคุมการใช้ได้ 

เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่จากพระพุทธเจ้า ถ้าคนรู้จะต้องมาเอากัน แต่จะไม่มีการฟีเวอร์ตื่นเต้นใหญ่โตคลั่งไคล้เหมือนเอลวิส เพรสเลย์ แฟนๆมารุมกันทึ้งกันจนเสื้อผ้าขาดก็มี แต่ของศาสนาพุทธนี่ ขนาดอาตมาประกาศอรหันต์ยังเฉยเลยไม่เห็นตื่นเต้นเลย เขาไม่เชื่อ เขาไม่คิดว่าอรหันต์เป็นแบบนี้ เขาก็ตั้งสภาพอรหันต์ในใจเขาว่าเป็นอีกแบบ อาตมาเข้าใจ รู้ความจริงไม่แปลกอะไร ก็มีแต่มุ่งมานะอุตสาหะให้ได้มาเรื่อยๆ 

อย่างอาตมาพาพวกเราฝ่ากระสุนปืนในสนามรบทางการเมืองอันนั้นก็เป็นการใช้ความสงบ สยบความรุนแรง เขาก็ว่าโม้ แต่ว่ามันเป็นนามธรรม ที่ว่าทำไมเขาหยุด หรือใครเป็นคนสั่ง หรือเขากลัวอะไร ทั้งที่ผู้บังคับบัญชา ทั้งตนเองเหตการณ์ว่าต้องปราบให้เรียบแต่สุดท้ายมาเจอความสงบไม่ต่อสู้มีแต่นอนลง ยกมือไหว้ ช่วยเหลือศัตรูอีก เหตุปัจจัยดูเล็กน้อย แต่ว่าเป็นเครื่องแสดงชี้บ่งว่า ใครที่มีอำนาจต้องถอยต้องหยุดต้องสงบ ความสงบสยบความรุนแรงได้ นี่แหละคือ เอา A bomb of love ไประเบิดใส่ A bomb of Bad ที่ไม่สงบนี้ได้เลย 

มาเข้าสู่ความหมายของ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เวทนานี่คือตัวไข ให้ศึกษาให้ดี ให้ศึกษาให้ทะลุปรุโปรงทั้งเวทนา 108 ต้องทำเวทนาให้สูงสุด เป็นเอกบุรุษ เป็นเอกัคคตา ให้เป็นอุตตมโปริสสะ หรืออีกนัยคือจนกลายเป็นพลังงานนิวตรอนที่ภาษาพระพุทธเจ้าว่าเป็น นปุงสกลิงค์ มันไม่มีเพศ แต่เป็นเพศที่ควบคุมได้แล้ว จึงกลายเป็น cyclic order มีสองในนั้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงส่ง เกิด จิตที่เป็นพุทธพจน์ 7
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) 
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 

อย่างพวกเรานี่ไม่มีรั้วรอบมาก ให้คนเข้ามาได้แต่เขาก็เข้ามายาก เพราะหลายนัยยะ จะเข้ามาทำลาย จะเข้ามาปล้นก็ดี แม้แต่จะเข้ามาเอาสิ่งนี้ที่เห็นว่าดีก็ไม่ง่าย เปิดอิสระไม่ได้ปิดบังหรือกั้นรั่ว ดูแลควบคุมถือปืน มีกับระเบิดไม่ใช่เลย แม้แต่ควายเขาก็ไล่มาให้กินผักเรา ไร้สารพิษด้วย เขาก็ว่าทั้งงามทั้งดีไม่มีพิษ แม้วัว ควายก็ไม่มีพิษมันก็โดดใส่ คนก็สมรู้ร่วมคิด ก็ไล่ใส่เลย คนที่นี่ก็ไม่รุนแรง แต่ที่อื่นเขารุนแรงฆ่าตายหมด นี่คือนัยละเอียดที่เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น สอดประสานส่งเสริมหรือขัดแย้งรวมกันอยู่ ถ้าเราเองไม่รุนแรงอยู่ได้ ถ้ารุนแรงจะเกิดวิวาทะ ก็ขัดแย้งกันพอเหมาะจะอยู่ได้ จึงเกิดสามัคคี 

สามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ แต่สามัคคีถ้าไม่มีความขัดแย้งกันเลย อันนั้นไม่ใช่สามัคคี เป็นการบรรลัย มีแต่ไปหาชรตาที่่จะเย็นลงและเสื่อมลงเรื่อยๆ สูงสุดมันจะเสื่อมไปเอง ยิ่งมีปัญญาจะควบคุมความเสื่อมได้ อะไรควรเสื่อมก็ให้เสื่อมไป แต่ไม่ทำร้ายมัน เช่นนิวเคลียร์ฟิชชั่นก็ควบคุมได้ปล่อยพลังงานไปอย่างไม่เป็นพิษ มีไอโซโทปต่อกันไปไม่ถ้วน ลดลงเป็น half life จนไม่เหลือเลยก็จบ แม้นิวเคลียร์ฟิวชั่นก็เป็นสิ่งที่เลือกเอาไว้แล้วเอามาใช้เป็น xx เมื่อใช้ก็เป็น xy 

ผู้เป็นเอกบุรุษมีพลังงานสองอย่างคือ มี xx และ xy ทั้งสองอันนี้รวมเป็น ห้าจุด แล้วจะเป็น 6 หรือ7 หรือ8 หรือ9 ก็ควบคุมได้หมด 

ผู้สามารถควบคุมพลังงานสุดยอดที่เป็นพลังงานจิตนี่และพระพุทธเจ้ารับผิดชอบอันนั้น ส่วนอันอื่นเป็นธรรมชาติที่จะอยู่นานแต่ที่สุดก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แม้วิทยาศาสตร์ก็ว่า พลังงานกับสสารจะเปลี่ยนไปมานิรันดร ส่วนผู้ทำลายคือคน นอกนั้นก็ไปตามธรรมชาติ คือสุดยอดของความรู้ที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้

ลักษณะ 4 อุปจยะ(เกิด) สันตติ(ต่อ) ชรตา(เสื่อม) อนิจจตา(ไม่เที่ยง) ถ้าตัดสันตติก็ปล่อยให้หายไปทีละครึ่งเป็นhalf life ที่ลดลงจนสูญ ถ้าจะต่อก็ต่อให้มีสันตติ

ผู้ทำได้จะมีความรู้ใน ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ จะควบคุมไม่ให้มีชาติ แต่สัญชาติจะมีเป็นพื้นฐานของคนอยู่แล้วหรือสัตว์ก็ตาม มันอยู่ในอนุสัยลึก สั่งการอัตโนมัติ ส่วนโอกกันติคือหยั่งลงสะสม ถ้าสะสมอวิชชาก็คือกิเลส ตัวร้ายที่สั่งสม จนเป็นตัวร้ายสุดของโลก จะเกิดปรากฏชั่วคราวอย่างฮิตเลอร์เป็นต้น อย่างเมืองไทยก็มี ให้เห็นเป็นคราวๆ สั่งสมพลังงานทำชั่วร้าย

เมื่อควบคุมได้ มีวิชชา โอกกันติสั่งสมสิ่งเป็นพิษก็เป็นการเกิดที่เป็นอวิชชา ส่วนคนมีวิชชาจะสั่งสมส่ิงที่ดีไม่เป็นพิษ ควบคุมพลังงานได้ สั่งสมแต่คุณไม่มีโทษ ผู้ใดมีปัญญาหยุดพลังงานพิษได้คือ นิพพัตติ สร้างความเกิดสายนิพพาน ฝีมือผู้เป็นถึงอรหันต์ก็ทำให้เกิดอภินิพพัตติ แล้วเจริญเป็นโพธิสัตว์ไปตามลำดับ จะสร้างสิ่งเป็นประโยชน์สร้างความเกิดให้แก่โลก แต่ถ้าปรินิพพานก็แล้วแต่

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ถ้ามีสองแล้วก็จะมีส่วนต่างที่เป็นทศนิยมเสมอ ถ้าจะให้ไม่มีก็ลดทศนิยม ให้เหลือเป็น 0 ไปได้แต่ถ้าจะให้มีทศนิยม บวกอยู่ก็เป็นอุปจยะ ในลักษณะอุปจยะ สันตติ หรือชรตา จึงเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง จะลบหรือบวกจะ0 ก็ได้ ถ้าใครมีวิชชาก็ควบคุมได้ คนอวิชชาคุมไม่ได้ ลักขณรูป 4 นี้สมบูรณ์แล้ว 

คนอวิชชาควบคุมกิเลสไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าไม่ดี แต่ว่าคนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ดีแต่กลบเกลื่อนไปว่าเป็นสิ่งดี อันนี้ชั่วยกกำลังร้อยยกกำลังหมื่นเลยนะ อาตมาเห็นลีลาคุณยิ่งลักษณ์ พูดต่อหน้าบีบน้ำตา แต่ว่าลับหลังไปหัวเราะร่าเลย คนอย่างนี้ตกนรกไม่รู้เท่าไหร่เลย ขออภัยหากเขาฟังจะโกรธ แต่คุณจะตกนรกนานมากนะอย่าไปนับว่ากี่ปีแสง

แล้วธรรมะสองอย่าง รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง 

ธรรมะสองอย่างนี้ทั้งสองส่วนรวมลงที่เวทนา 

ในพจนานุกรม ก็แปลต่างกันไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นสองอย่างอะไรกับอะไร ในประดารูปกับนาม ในสสารกับพลังงาน หรือในโปรตอนกับนิวตรอนก็ตาม แล้วรูปกับนามจะกลับไปกลับมาด้วย แม้แต่องค์ประชุม รูป/นาม ที่เรียกว่า กาย ก็เน้นนามเป็นสำคัญ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมของมหาภูตรูปทั้ง 4 นี้ว่า กายบ้าง จิตบ้าง มโนบ้าง (ที่จริงคำว่าร่างกายนี้ บาลีมาจาก กาย) แต่คนอ่านก็งงสิว่า กายคือจิต มโน วิญญาณ​  

ดังนั้น ธรรมะสองส่วนรวมลงที่เวทนาจึงเป็นหลักการสำคัญมากของศาสนาพุทธ หากไม่สามารถพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม สี่คำนี้หากพิจารณาไม่เป็นไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะพิจารณา เวทนาในเวทนา ตามพระพุทธเจ้าทรงเน้นในความรวมลงเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง คือยังไม่ทิ้งสอง เพราะตราบใดยังมีคำว่ามี ก็ต้องมีสอง อย่างน้อยก็ 0 กับ 1

พระพุทธเจ้าไม่เรียกกาย อันเป็นที่ประชุมของมหาภูตรูปทั้ง 4 ว่าไม่ได้เรียกว่า สรีระ หรือร่างแต่อย่างใด ทั้งๆที่ระบุชัดๆว่าเป็นที่ประชุมของมหาภูติทั้ง 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเป็นสสารหรือวัตถุ อยู่แท้ๆเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ก็คือเป็นรูปอยู่โต้งๆ ที่จะรู้ได้ด้วยการสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ด้วยทวารปสาทรูป ประสาท องค์ประชุมภายนอก แต่กายนี้เป็นกึ่งนอกกึ่งใน ถ้าเอามาแต่รูปไม่เอานามก็ไม่เรียกกาย แต่ถ้าเอาแต่นามไม่เอารูปมีแต่นามคือสัญญาก็ไม่ใช่ของจริงเป็นแต่สัญญา พระพุทธเจ้าให้ศึกษาจัดการที่จะเป็นพิษข้างนอกก่อนแล้วจะศึกษาข้างในทีหลัง แต่แม้เป็นอนาคามีก็ต้องมีภายนอกอยู่ ท่านคุมพิษภายนอกได้ ทำงานไปนิวเคลียร์ฟิชชั่น อนาคามีจัดการพิษเสร็จหมดแล้ว แล้วทำงานกับที่ท่านอยู่กับตัวตั้งเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น เป็นชรตาไป หรือไปทำงานร่วมกับอันอื่นไม่เป็นพิษแล้ว

อันหนึ่งเป็นตัวรู้ อันหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ อวจรกับภายในภายนอก เป็นโคจรรูป ร่วมกับปสาทรูป ล้วนเป็นองค์รวมของรูป/นาม คือกาย เกิดภาวะสองให้เจ้าตัวได้เรียนรู้ปฏิบัติจัดการ เป็นอภิสังขาร คือคุมได้ แต่ถ้าคุมไม่ได้คุณก็สังขารด้วยอวิชชาไปกับโลก นี่คือเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยของรูป/นามทั้งหลาย

มีภาวะสองที่ผลักดันให้เกิดความเคลื่อนไหว เป็นความดันความแรง แม้คุณจะหยั่งไม่ถึงสิ่งพลังแฝงเป็นอนุสัยหรือเป็นอาสวะแตกตัวแต่คุณคุมไม่ได้มันก็ทำงานตามฤทธิ์ แต่ก็ไปควบคุมจัดการอย่าให้เป็นพลังพิษได้จริงก็จัดการสำเร็จ เป็น เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย สี่คำนี้เหมือน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส  ล.16 ข.60 นี่แหละ ที่เป็นธรรมะสอง

เมื่อมีผัสสะจะมีเวทนา มีการสัมผัสทางทวาร 6 ถ้าเราดับผัสสะเสีย ได้เวทนาจะเป็นไปได้ไหม? การดับผัสสะ จะไม่ได้หมายถึงว่าไม่เอาผัสสะ แต่ว่าผัสสะแล้วเกิดพลังงานร้ายก็จัดการพลังงานร้ายออก เป็นเคหสิตเวทนาตัวร้ายให้หมดฤทธิ์

เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง ในพระไตรฯว่าไว้ คนก็เลยหนีเข้าป่าเขาถ้ำ หนีไป ชีวิตก็ตายไปสะกดเข้าไว้ไม่เกี่ยวข้องมันก็ง่ายแล้วก็หลงว่าจบได้ แล้วก็มีอยู่เป็นนิรันดร คนไม่สามารถปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าโดยมีผัสสะเป็นสมุทัยตามมูลสูตร มีนิทานของชาวอาริยชน มีเหตุปัจจัยแก่กันและกัน เป็น 1 2 3 4 แตกตัวเป็น 5 6  7 8 9 คุมแล้วเป็นพลังงานที่ไม่เป็นพิษ 

ถ้าเข้าใจอันนี้ไม่ได้ การจะมารู้จักรูปกาย กับนามกาย 

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ(ลิงค) นิมิต อุเทส  เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทส นั้นๆไม่มี(คือคุณไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษาก็เท่ากับคุณไม่มี) คุณต้องรู้อาการของมันแล้วต้องรู้ความต่างใน 2 นี้แล้วก็กำหนด นิมิต เครื่องหมายเอาว่านี่คือเพศหญิง เพศชาย อันนี้เป็นโปรตอน นิวตรอนในนิวเคลียสกับ อิเล็กตรอน 

มันไม่มีเหมือนกัน ถ้ามีสองเป็นต้นไป คนจะรู้ความต่างของเพศ จึงต้องมาศึกษาภาวรูป 2 เมื่อเกิดปฏิกิริยามันก็จะเป็นภาวรูป 2 คือ เทว ธัมมา แล้วก็ต้องมาศึกษาอิตถีภาวะกับปุริสสภาวะ ทำอิตถีภาวะให้เป็นปุริสสภาวะให้สลายอิตถีภาวะ อันไหนไม่ให้เกิดก็ไม่ทำ ปล่อยไปมันก็เป็นไอโซโทปเป็น chain reaction ที่ไม่มีพิษติดตามไปแล้ว 

ในการบัญญัตินามกายต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส เมื่อ ไม่มี อาการ เพศ นิมิต อุเทส การสัมผัสแค่เพียงชื่อ (อธิวจนสัมผัสโส) ในรูปกาย จะเป็นไปได้หรือไม่?...ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้กำหนดรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คุณแยกไม่ออกเพราะไม่ได้ฟังอุเทสจากผู้รู้ แม้รู้แล้วไม่ไปทำการกำหนดก็ไม่มี แม้แต่ที่จะไปกำหนดเรียกชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏไหม เช่น คำว่า สังกัปปะ 7 นี่มันก็จะเป็น วจีสังขาร เป็นตัวรวม ยังไม่มีชื่อ แต่เป็นสภาวะ วจีสังขาร 

มันจะเกิดอะไรก็แล้วแต่ ถ้าดับกามวิตก พยาบาทวิตกได้ แล้วมาผ่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นพลังงานที่จะส่งออกเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติแล้ว ทำได้ปั๊ปก็เป็นผลของวจีสังขาร

ถ้าคุณจะผ่านนิโรธก็ต้องเกิดที่จิตสังขารก่อนแล้วค่อนจะออกไปเป็นวจีสังขาร ที่ประมาณแล้ว จะอนุโลมก็ได้ เรียกว่าชื่ออะไรคุณก็กำหนด เช่น ชื่อว่า เป็นแรง 50 ดีกรีหรือแรง 20 ดีกรี สภาวะ แรงเท่าใดคุณก็กำหนดขนาด ให้ลหุ อย่าให้เป็นพิษ เบาไว้เสมอ อาตมาทำงานจะชกแค่ 70 ส่วน ไม่ชก 80 หรือ90 เอาแค่นี้ก่อน ออกแรงไปแค่ 70% ก็พอแล้ว ส่ิงเหล่านั้นคุณจะเรียกพลังงานเหล่านี้ว่าอะไร จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ เป็นไทยก็ภาษาไทย เป็นแขกก็เป็นภาษาแขก หรือว่าเป็นภาษาวิทยาศาสตร์ แต่แม้ไม่มีชื่อมันก็ออกไปเป็นสภาวะอยู่ดี ถ้ารวมเป็นจิตสังขารแล้วก็ควบคุมเสร็จหมด มโนบุปปัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา 

อาตมาว่ายังไม่ค่อยเก่งที่จะสื่อออกไปต้องอาศัยสมณะปัจฉาฯที่ช่วยกันสื่อ ตามแต่ละจริต อาตมามีปัจฉาฯหลายรูปนะ 

ดูกรอานนท์การบัญญัติ รูปกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส ต้องกำหนดบัญญัติเป็นชื่อเรียกว่าอาการใดเช่น ร้อน/หนาว ชอบ/ชัง อิฏฐารมย์/อนิฏฐารมย์ จะบัญญัติได้ต้องรู้อาการก่อน ก็เป็นอธิวจนะคือการกำหนดชื่อ แต่นี่รูปกาย ก็ต้องรู้ด้วยอาการ เพศ​ นิมิต อุเทส แต่เมื่อ  อาการ เพศ นิมิต อุเทส ไม่มี การกระทบสัมผัส ด้วยปฏิฆสัมผัสโส จะเป็นไปได้ไหม?...ก็ไม่ได้ 

จะบัญญัติรูปกายแท้ๆต้องไปที่นามธรรม ข้างใน เช่นคุณจะเรียกนี่่ว่าโปรตอนหรือนิวตรอน แต่ถ้าจะกำหนดอธิวจนะก็ต้องมีการกระทบสัมผัส เกิดสภาวะของ ความดีคือบวก หรือพลังงานว่างหรือ0 ก็ต้องสัมผัสแล้วรู้ว่ามันต่างกันนะ จะกำหนดอธิวจนะหรือชื่อของมันได้ต้องสัมผัสแล้วแยกแยะว่าต่างกันอย่างไรได้ก่อน จึงจะใส่ชื่อเข้าไปได้ แต่พวกที่สร้างวิมานหลอกคนที่เขากำลังทำกันนี่มันนรกอเวจีแท้ๆเลย 

การบัญญัติ นามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส เมื่อ  อาการ เพศ นิมิต อุเทส นั้นๆไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ ก็ดี การสัมผัสด้วยการกระทบก็ดี ถ้ารูปกายต้องมีการกระทบส่วนนามกายนั้น มีแต่อธิวจนสัมผัสโส แต่ถ้ารูปกายต้องมีปฏิฆสัมผัสโส แล้วไม่มีการกระทบด้วย  อาการ เพศ นิมิต อุเทส จะเป็นไปได้ไหม? ก็ไม่ได้

เมื่อไม่มี  อาการ เพศ นิมิต อุเทส ผัสสะจะเป็นไปได้ไหม?...ก็ไม่ได้เลย 
เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แห่งผัสสะ คือนาม/รูป แต่ถ้ามันแตะกันนิ่งๆไม่เกิดอะไร แต่จะเกิดอารมณ์ความรู้สึกต้องมีผัสสะ มีสัมผัส ของสองสิ่งแล้วเกิดสิ่งที่สามหรืออาการที่ 3 ถ้าไม่เกิดอันที่สามก็มีแค่รูป/นาม หรือโปรตอน/นิวตรอนก็อยู่อย่างหมุนรอบตัวของมันมีพลังงานในตัว แต่ที่จริงมันทำงานแตกตัวมียีนส์ มันผสมพันธ์กันในตัว ถ้าเป็นอุปจยะจะแตกตัวเร็ว แต่ถ้าเป็นชรตาจะแตกตัวเป็น ไอโซโทป มีhalf life สลายไป ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าสามารถลดพลังงานได้มีปรินิพพานได้

ผู้มีอนาคามีผล กับอรหัตตผล ต่างกันที่ว่าควบคุมพลังงานเหล่านี้ได้ต่างกัน ถ้าอนาคามีแล้วคือเหลือพลังงานในระดับของ อนาคามี 5 ท่านถือว่าเสื่อม ชรตาแล้วจะค่อยๆหายไป แต่ถ้าเป็นอรหัตตผล ส่ิงเหล่านี้ เรียกว่าได้ว่าอรหันต์จะปรมาณะเอาที่อกนิฏฐาหรืออย่างเลวก็อสังขารปรินิพพายี ไม่ต้องทำอะไรมากไม่ต้องจัดการสังขารอะไรมากก็ 0 ได้ แต่ถ้าอกนิฏฐา คือสูงสุดแล้ว ก็ถือว่าปัดเศษให้เป็นอรหันต์ได้ แต่ถ้าเผื่อว่าเป็นสสังขาร หรืออุปหัจจะ(ต้องทำด้วยสามารถ)หรืออันตราปรินิพพายี(สูญตามยถากรรมไม่มีเวลาให้นับ น่ากลัวไม่รู้จะสูญเมื่อไหร่)  ก็ยังปัดไม่ได้ เป็นอนาคามีอยู่ ถ้าเหลือเศษน้อยก็ปัดได้ 

อนาคามีก็ทุกข์ระดับ กิลมถะ แต่ถ้าอรหันต์ที่ยังมีชีวะก็มีทรถะ คือทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้หรือใจก็รู้ว่าอันนี้มันหนักแต่ก็ไม่เป็นไร รู้ว่าลำบาก ทุกข์ โทมนัส กิลมถะ กับทรถะ ก็มีสภาวะต่างกัน แม้อนาคามีไม่ทุกข์ก็มีกิลมถะคือทุกข์ภายในแต่อรหันต์ท่านก็มีแต่ทรถะ 

ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เป็นหลักการสำคัญมากของพุทธหากไม่สามารถพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม โดยเฉพาะเวทนาในเวทนาที่พระพุทธเจ้าว่าคือธรรมะโดยส่วนสองนี้ ถ้าไม่สามารถรู้และทำสภาวะนี้ได้ก็ไม่สามารถบรรลุธรรม แต่แม้ไม่มีภาษาก็มีสภาวะได้ แต่มันยากที่จะทำสภาวะโดยไม่มีสภาวะแต่ถ้ามีพยัญชนะแล้วไปทำสภาวะจะง่าย คุณเรียนปริยัติ ปฏิบัติ แล้วก็จะได้ปฏิเวธ แต่ถ้าให้มีปฏิเวธแล้วค่อยเรียนปริยัติ ก็ได้แบบฟลุ๊กๆ 

คำว่ากายนี่ คนไทยเอามาใช้เป็นภาษาไทยว่า กายคือ ร่าง เป็นนิยามเด็ดขาดแล้วไม่ได้เข้าใจว่ามีนามไปร่วมด้วยคือเจ๊งกับเจ๊งเลย จะไปทำกายในกาย กายคตาสติ หรือสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็ทำผิด เพราะเข้าใจกายผิดไปแล้ว จึงเรียกว่า กรรมพันธ์ว่าเป็นของร่าง แต่ที่จริงกรรมเป็นการกระทำ กิริยาเป็นนาม กรรมเป็นรูป กิริยาเป็นนาม 

เขาหมายว่ากรรมพันธ์มาจากพ่อแม่ นี่คือรูปทั้งนั้น แต่ไม่มีกิริยาเลยมันแค่ดิน น้ำ ไฟ ลม ต้องเรียกว่า สรีรพันธ์ แต่กรรมนี้แบ่งกันไม่ได้ แม้จะอาศัยรูปนี้มาทำกิริยา แต่ของใครก็ของใคร ของพ่อแม่ไม่เกี่ยวกับกรรมของลูกเลย มีแค่สรีรพันธ์ที่มาเกี่ยวด้วย

ดิน น้ำ ไฟ ลมที่เป็นสสารจะถูกรู้ได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย โดยมีใจเป็นตัวรู้ที่อวจรอยู่ใน รูปภพอรูปภพ เกิดเป็นเวทนา 2 ให้เราใช้ปัญญาจัดการ คือเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยที่เร่ิมสร้างมาแต่อวิชชา พวกศิลปินนี่สร้างผลงานเป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยออกมาหากสร้างแล้วเป็นนิทาน หรือนิยายให้กิเลสเพ่ิมคือไม่เป็นมงคลอันอุดม แต่ถ้าทำให้กิเลสลดเป็นศิลปะ เป็นมงคลอันอุดม

ตั้งต้นแต่อวิชชา จนถึง ชรามรณะโศกปริเทวะ ฯ ล้วนเป็นอาการทางจิตใจทั้งสิ้น กายก็มีตัวจิตใจเป็นตัวผลักดันให้เกิดองค์ประชุมสร้างเรื่อง ชัดเจนไหม แม้จะยืนยันในองค์ประชุมกายทนโท่ว่ามี ดิน น้ำ ไฟ ลมประกอบอยู่ แต่กลายเป็น จิตวิญญาณ อันเป็นมโน เป็นเอกแต่ก็ประกอบด้วยมหาภูติ 4 แต่รวมลงเป็นหนึ่งที่เวทนา 

ไม่ทิ้งดิน น้ำ ไฟ ลมแต่ไปจัดการที่จิต มโน วิญญาณ​จัดการพลังงานเสีย โดยการอ่านแยก ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะว่า นี่กามวิตักกะ นี่พยาบาทวิตักกะนะ ทำการดับพยาบาทก็ดับได้ ทำการดับกามก็ดับได้ คุณตรวจด้วย อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาได้ เป็นวจีสังขาร หรือตรวจสอบแล้วว่าอันนี้อนุโลม เหยาะกาม เหยาะพยาบาทให้พอเหมาะแล้วให้เกิดปฏิฆสัมผัสโส อันนี้จึงจะแตก ทุกวันนี้อาตมาต้องผสมกาม พยาบาทเข้าไปพอเหมาะให้ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ตัดสินว่าใช้ได้แล้วค่อยออกมา แล้วก็ต้องรู้ว่าใครนะนี่โพธิรักษ์นะ ต้องรู้บุคคลนี้นั้นว่าขนาดไหน หากอันไหนไม่ให้ผ่านก็กรองไว้ 

ในสิ่งที่อาตมาหยิบพยัญชนะของพระพุทธเจ้าที่มีอธิวจนะ เป็น ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตสโสอภินิโรปนา เทียบเป็นศาล 3 ศาล คุณจึงคุมพลังงานธาตุทั้ง 7 นี้ได้กว่าจะเป็น ธาตุแห่งความเพียรอีก 7 ให้กลั่นกรองอีก คือ 
1.    อารัพภธาตุ (ดำริ) ความเพียรเป็นเหตุปรารภ (ริเริ่ม) 
2.    อารัมภธาตุ (ปรารภดำริ) 
3.    นิกกมธาตุ (พยายามดำริ) เพียรเป็นเครื่องก้าวไป 
4.    ปรักกมธาตุ (บากบั่นดำริ) ความเพียรก้าวไปข้างหน้า
5.     ถามธาตุ (ดำริมีกำลัง) ความเพียรเป็นกำลัง  
6.     ธิติธาตุ (ดำริตั้งมั่น) ความเพียรเป็นเครื่องทรงไว้ 
7.     อุปักกมธาตุ (ดำริสำเร็จเต็มรูป เหมือนลูกศรจะออกจากแล่ง พยายามที่จะกระทำให้เกิดกรรมออกมา) . 
(จาก อัตตการีสูตร ล.22  ข.309)  จบ....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:11:12 )

580615

รายละเอียด

580615_ธรรมาธรรมะสงคราม มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 5 (ศีลของพุทธ)

พ่อครูว่า...วัน จันทร์ ที่ 15  มิถุนายน 2558 แรม 14 ค่ำเดือนเจ็ด(7)ปีมะแม กลางเดือนมิ.ย.แล้ว อาตมาก็ 81 ปี กับอีก 10 วันแล้ว ยาวไปวันเวลาแต่เราก็ไม่ยอมแก่ คนที่จะมาฟังก็แล้วแต่ ไม่มีปัญหา อาตมาจะขยันบรรยายไป เพราะอาตมามีหน้าที่จะให้ ให้ไปเสียไป เท่ากับเราได้มา แน่นอน อาตมามั่นใจว่าเป็นส่ิงจริงน่าให้ด้วย น่าแจก เป็นสิ่งวิเศษสุด อันอื่นไม่เท่าอันนี้ เท่าที่อาตมามีอาริยทรัพย์มาแจก จะขยันแจกไปใครไม่เอาก็แล้วแต่ 

ในชีวิตกว่าจะตายไม่มีอะไรดีกว่าอันนี้แล้ว ตอนนี้เราเอามหาจัตตรีสกสูตร อาตมาถือว่าเป็นสูตรสำคัญสุด ยิ่งตอนนี้เขาหลงผิดกัน เลอะ เห็นผิดว่าถูก ยึดกันจนสนิทเนียน ว่าการทำสมาธิ ซึ่งไม่ใช่สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิทั่วไป เป็นเช่นนั้นมาตลอด มันไม่เข้าเรื่อง อาตมาก็เลยยืนยันอีกว่า มหาจัตตารีสกสูตรเป็นสิ่งที่เป็นสัมมาสมาธิ ที่เป็นมรรค 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ เป็นทางนี้ทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญโญ ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่ใช่ทาง ไม่มี มีทางเดียว 

วันนี้ก็ไปเจอคอลัมน์ สมาธิชาวบ้าน ก็จะนำมาวิจัยวิจาร ไม่ได้นำมาพูดเพื่อเถียงนะ แต่เป็นการศึกษากัน
คอลัมน์: สมาธิชาวบ้าน: การนำพลังจิตมาใช้ประโยชน์ให้รู้ธรรมเห็นธรรม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน 2558 อ.บูรพา ผดุงไทย พลังจิต คือความคิดที่มีพลัง การอบรมจิตคือ การอบรมให้จิตมีพลังเบื้องต้น เกิดเป็นพลัง จิตที่เป็นไปตามความคิด เหมือนการเล่นกล้ามฝึกฝนร่างกาย ก็จะมีพลังกายที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ได้ พลังจิตที่มีความ แข็งแรง ก็จะเกิดเป็นพลังความคิดที่สามารถสั่งให้จิตตามความคิดได้ เช่น มีคนหันหน้าอยู่ เราก็สามารถส่งจิตให้คนคนนั้นหันหลังกลับมาหาเราได้ หรือสามารถที่จะคิดให้คนที่อยู่ในที่ไกลๆ ติดต่อมาหาเราก็ได้ นี่คือผลของอำนาจพลังจิต การที่เราอบรมสมาธิก็เพื่อให้พัฒนาจิตนี้มีพลัง แต่พลังจิตจะถูกกั้นขวางด้วยกิเลสโลกได้เช่นกัน เมื่อฝึกใช้พลังจิตไปเรื่อยๆ มันจะมีผลที่เป็นคุณวิเศษ เมื่อใช้ไปมากๆ เข้า ผู้ใช้ก็จะเกิดกิเลสโลก ซึ่งตัวกิเลสโลกนี้มันจะรายล้อมจิตเราอยู่ เมื่อเราถูกกิเลสนี้ครอบงำ ก็จะเริ่มเอาพลังจิตนี้ไปสนองกิเลสที่รายล้อมจิตเราตามกิเลสของแต่ละคน อยากถูกหวยก็ไปนั่งเพ่งตัวเลขให้ถูกหวยเพื่อให้ได้เงิน อยากรู้อดีต อยากรู้อนาคต ก็นำพลังจิตไปพยากรณ์ในเรื่องต่างๆ เมื่อคนได้พลังจิต แล้วใช้พลังจิตนี้ไปในทางกิเลส โลกบ่อยๆ เข้า มันก็จะติดสุข สุขจากลาภสักการะ จากเกียรติยศชื่อเสียง ยิ่งทำให้ห่างไกลจากพระนิพพาน กู่ไม่กลับ เพราะคนที่มีพลังแล้วเหมือนมีทรัพย์สิน มียศถาบรรดาศักดิ์มากๆ เขาวางตรงนี้ไม่ได้ วางยากเพราะติดสุข เหมือนมีเพชร มีทองอยู่ในมือ แล้วมีคนบอกให้โยนทิ้ง มันก็ทำยาก เมื่อคนหลงรสชาติของกิเลส สนองความต้องการแล้วนั้นก็วางยากเช่นกัน ไม่สามารถรู้ธรรม เห็นธรรมได้ เหมือนนั่งเรือข้ามฝั่งแม่น้ำ เมื่อถึงฝั่งแล้วยังไม่ยอมทิ้งเรือ ก็ไม่สามารถไปต่อได้ จะแบกเรือไปด้วยก็ไปไม่ได้ไกล (อันนี้ไม่เหมือนของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้านี้จิตจะยิ่งว่างๆๆ ยิ่งทำได้เท่าไหร่จิตยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นๆ ไม่ใช่เหมือนเรือข้ามฟาก ไม่ใช่ เรือข้ามฟากของพระพุทธเจ้าคือบุญ คือเครื่องกำจัดกิเลส พอกำจัดกิเลสได้ก็หมดบุญหมดเครื่องมือ ถ้าหมดบุญแล้วหมดกิเลสเกลี้ยง ไม่ต้องใช้เรืออะไรเลย มันหายไปด้วยกัน เป็นการสมมุติที่มีแต่ตรรกะไม่ถูกสภาวธรรม) 

ยกเว้นแต่คนที่ ฝึกพลังจิตนั้นจะปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป และรู้เท่าทันพลังพิเศษเป็นระยะๆ ไป ก็จะไม่หลงโลก รู้จักใช้พลังที่ได้มาให้เกิดเป็นอำนาจจิตเพื่อการหลุดพ้น ให้เป็นพลังในการปฏิบัติต่อไป ไม่ติดยึดหลงอยู่ในฤทธิ์ว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก และปล่อยวางในที่สุด ก็จะสามารถรู้ธรรม เห็นธรรม และถึงนิพพานได้ เมื่อรู้ธรรม เห็นธรรมแล้ว จะนำฤทธิ์นั้นมาสร้างศรัทธา เพื่อนำคนมาปฏิบัติให้รู้ธรรม เห็นธรรมก็ได้เช่นกัน แต่ต้องไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตน นำคนปฏิบัติธรรมอบรมจิตให้เข้าไปรู้ธรรม เห็น ธรรมเช่นเดียวกับเรา ไม่ว่าจะใช้รูปแบบไหนก็ตาม การ ปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าถึงสมาธิด้วยการหายใจก็ดี ด้วยการภาวนาก็ดี ด้วยการเพ่งกสิณต่างๆ ก็ดี เมื่อถึงธรรมแล้วก็จะรู้เท่ากันหมด แต่ถ้าเราเกิดความหลง เราก็จะคิดว่าวิธีการที่เราฝึกนี้มันถูกกว่า ดีกว่าวิธีการอื่น ด้วยความเข้าใจผิด เราเลยหลงคิดว่าวิธีการที่เราฝึกอยู่นี้กลายเป็นของวิเศษไป แม้ กระทั่งสำนักที่สอนภาวนา คำภาวนาต่างๆ ยังกลายเป็นของวิเศษกว่ากัน เพราะความเข้าใจผิดคิดว่าช่องทางที่ตัวเองฝึกไปถึงสมาธินั้นวิเศษกว่า ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงช่องทางหนึ่งในการถึงสมาธิเท่านั้นเอง ซึ่งช่องทางนี้มีหลายช่องทาง แต่เมื่อถึงสมาธิแล้วมันเท่ากันหมด แต่ ทุกวันนี้เราติดอยู่แค่ช่องทางที่จะไปถึงเท่านั้น มีความหลงในวิธีการที่จะไปถึงสมาธิว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนั้นวิเศษไปกว่ากัน แต่ถึงสมาธิแล้วจะใช้สมาธิอย่างไรให้เข้าถึงธรรม ที่เป็นปัญญาพระนิพพานนั้นยังอีกไกล ยังไม่ไปถึงว่าจะใช้สมาธิที่ได้นั้นอย่างไร เมื่อจิตเดิมแท้รู้จักคำว่ารู้ต่างๆ แล้วสามารถที่จะพัฒนาไปสู่พระนิพพานซึ่งเป็นที่สุดของการปฏิบัติได้อย่างไร ถ้า ยังมัวแต่เถียงกันเรื่องวิธีทางปฏิบัติสมาธิ ก็จะไม่สามารถเข้าไปพัฒนาถึงธรรมะที่ซับซ้อนกว่า เพราะมัวไปปรุงแต่งจิตกับคุณวิเศษของวิธีการนั้นก่อนที่จะไปถึงสมาธิ จนเกิดเป็นอัตตายึดมั่นว่าเราดีกว่า วิเศษกว่า สร้างอัตตามาปิดช่องวิธีการที่จะทำให้เราไปถึงธรรม เกิดหลงทางเป็นปัญญาที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าใครจะปฏิบัติด้วยช่องทางใด วิธีการใดแล้ว เมื่อถึงพระนิพพานย่อมรู้เท่าถึงกันหมด เหมือนคนเดิน ทางไปเชียงใหม่ ไม่ว่าจะดินทางไปด้วยวิธีการใด จะขับรถ ขี่ม้า นั่งเครื่องบิน หรือเดินไป เมื่อถึงเชียงใหม่แล้วก็ถึงที่เดียวเหมือนกันหมดไม่ต่างกัน ต่างกันแต่เพียงตอนที่เดินทางเท่านั้น ผู้ที่ถึงธรรมแล้วไม่เคยมีใครมาเถียงกันเรื่องธรรม มีแต่คนที่เถียงกันเท่านั้นที่ยังไม่ถึงธรรม สมาธิไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราเข้าใจว่าเรามีกายมีใจจริงๆ กายเราก็รู้จักดีอยู่แล้วตามกลไกของมัน แต่ใจเราหรือความคิดในจิตใจของเรานั้นต้องอบรมมัน อบรมจิตให้แยกความคิดออกจากจิต ให้จิตดวงนี้พ้นจากอำนาจความคิดที่ครอบงำซึ่งเป็นสมมติบัญญัติ เป็นจิตอิสระ คือจิตเดิมแท้ ต้องแยกธาตุรู้จากกลุ่มสมมติบัญญัติ เป็นสมาธิ เมื่อจิตเดิมแท้พ้นจากอำนาจการครอบงำทางความคิดแล้วก็จะเกิดปัญญา ซึ่งเป็นความรู้อย่างใหม่ขึ้น เรียกว่าปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริง รู้แจ้งแทงตลอด เป็นธรรมะในขั้นภูมิวิปัสlนา เป็นภูมิธรรมที่บริสุทธิ์ ไม่ถูกครอบงำทางความคิด รู้จริงเรื่องโลก เรื่องธรรม เมื่อถึงธรรมแล้วก็รู้เท่ากันหมด การปฏิบัติธรรมในทุกยุคทุกสมัยก็ อบรมจิตกันแบบนี้หมด เพียงแต่ว่าผู้ที่ถูกอบรมจิตนั้นจะโชคดี ที่จิตได้รู้ความจริงหรือไม่รู้เท่านั้นเอง การปฏิบัติต่างๆ นั้นไม่มีการปิดกันทั้งวิธีการและสถานที่ ถ้าการปฏิบัตินั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อรู้ธรรมเห็นธรรมแล้วล้วนดีเหมือนกันหมด เมื่อไรที่อวิชชาหมดสิ้นไปจากใจเรา และปล่อยความเป็นเจ้าของไปได้ เราก็จะหลุดพ้นจากอำนาจการเกิดที่เป็นภพชาติต่างๆ เราก็จะถึงนิพพานซึ่งเป็นนิพพานในโลกุตรภูมิได้ในที่สุด. 

พ่อครูว่า...ที่นำมาวิจัยไม่ได้โกรธเกลียดกันนะ แต่สงสาร ที่เข้าใจไม่ถูกต้อง ก็นำเอาจากพระไตรฯมาอธิบาย แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นในศีลพรตที่ตนยึด โดยเฉพาะอาตมาไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีครูบาอาจารย์อีก เขายิ่งปฏิเสธ แต่อาตมาก็จำเป็น เพราะอาตมาเป็นสยังอภิญญา ตามมหาจัตตารีสกสูตร เขาอธิบายอย่างตรรกะ แต่ของอาตมามันมีปฏิจจสมุปบาทของมันจริงๆ เลยเหตุผล แต่ก็เป็นเหตุเป็นผล ทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่เป็นเหตุที่ไม่ใช่สมมุติสัจจะ

เช่นอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร อาตมาก็อธิบายเหตุ สังขารคือการปรุงแต่งทำให้เกิดอวิชชา ถ้าไม่รู้สังขาร สังขารก็มีอวิชชาเป็นปัจจัย ให้บานเป็นสังขารโลกไป แล้วจะรู้อาการของสังขารได้อย่างไร

สังขารก็มี กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร มันเป็นกิริยาของการปรุงแต่งแล้ว ปรับปรุง จัดการ มาเป็นสภาพ องค์ประชุมของรูป/นามที่ปรุงแต่งในสังขาร ถ้าไม่ชัดเจนว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ มี 28 ขั้นตอน ตั้งแต่มหาภูตรูป 4 แล้วมี อุปาทายรูปอีก 24 มันถูกรู้ก็เป็น ธรรมะสอง มีอิตถีภาวะและปุริสภาวะ เราจะทำอย่างไรให้เลิกอิตถีภาวะ ทำให้เป็นหนึ่งให้ได้ ทำอย่างไร 
หนึ่งดาวเขาเขียนถามมาว่า วิธีการทำ"โยนิโสมนสิการ"ทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนจิตให้มีกำลังเมื่อขณะกระทบสัมผัสนั้นๆให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาทำอย่างไรภาวรูป2จึงจะเป็นปุริสสินทรีย์คะ
ซึ่งมันไม่ใช่ตรรกะ แต่มันต้องมีปัญญาเห็นอาการ แยกรูป แยกนามออก นามธรรมเราเป็นอิตถีภาวะก็ทำให้เป็นปุริสภาวะก็ของเราเอง แล้วจะเห็นความจริงตามความเป็นจริง ที่อธิบายนี่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยาก 
ในดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นสิ่งที่ต้องอยู่ร่วมกัน มันจึงจะเป็นความจริง ถ้าไม่มีก็เป็นแต่ความจำ ไม่มีความจริง ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง ส่วนจำก็ต้องจำส่ิงที่เป็นความจริง จริงๆๆก็อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ผ่านปัจจุบันก็มีเหลือแต่ความจำ แต่ความจำก็ไปฟุ้งคิดใหม่แล้วนึกว่าเป็นจริงด้วย นึกว่าเราระลึกชาติได้ที่จริงตนฟุ้งซ่าน สร้างเป็นนรกสวรรค์อะไรมากมาย ไปกันใหญ่ 

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ความจริง เป็นเรื่องคิดฝัน นรกคือทุกข์ สวรรค์คือสุข สัมผัสได้ในเดี๋ยวนี้ เช่นสัมผัสอบาย มันเกิดอาการอย่างนี้ ได้สมใจก็สวรรค์ไม่ได้สมใจก็นรก นี่ต้องของจริงสัมผัสปัจจุบันหลัดๆ หากทำได้ตอนนี้ก็บรรลุเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะจำได้ ถ้าจะระลึกเอาก็ระลึกจากความจริง ไม่ใช่ไปสร้างเอาใหม่ 

คุณจะรู้เหตุ นิทาน สมุทัยปัจจัยว่า หมดนรกสวรรค์อย่างไร คุณทำมาเองก็จะมีเรื่องราวของคุณ สมบูรณ์แบบ คุณจะจำได้อย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่ตรรกะ แต่เป็นเหตุผลของความจริงมีเรื่องราวเกิดครบครัน ฟังดีๆชัดๆ ว่าต่างจากพวกนั่งเพ้อฝันเอง อย่างนั้นมันไม่มีใครรับรองได้

อย่างอาตมาเอาแต่ความจำมาพูด เขาก็เลยว่าไม่จริง ต้องได้นั่งสมาธิอย่างเขาสิ แต่อาตมาก็เคยนั่งมาได้อย่างเขา จะไปนรกสวรรค์เก๊แบบเขาก็ไปมาหมดแล้ว สัตว์นรก เทวดา พรหม อรูปพรหมก็ได้แล้ว นารายณ์ หรือศิวะก็คบมาแล้ว อะไรเลอะเทอะก็เป็นมาแล้ว ตอนเข้าทรงพระนารายณ์จะมีท่าที่ออกมาเลย แต่เดี๋ยวนี้ศึกษาของพระพุทธเจ้าแล้วก็พบว่าอย่างนั้นหลงเลอะเทอะ ส่ิงที่อาตมาผ่านมาไม่ใช่แต่ชาติก่อนที่พ้นแล้วแต่ชาตินี้ต้องมามีเหตุ นิทาน สมุทัยปัจจัย ก็ไปถามเพื่อนฝูงที่เคยเรียนมาทำกันมาด้วยกันก็จะยืนยันได้ว่าเราเล่น เรารู้ทั้งสองอย่าง อย่างที่เขาพูดกันอาตมาเล่นมาหมด
แม้ในทางวิทยาศาสตร์ของสำนักค้นคว้าทางจิต หมอจรูญ หมอวิเชียร อาตมาก็ไปคลุกคลีด้วย
เราได้พูดถึง..สัมมาทิฏฐิ-
 เมื่อปฏิบัติเป็นสัมมาปฏิบัติจึงจะเกิดผลเป็นสัมมาผล ที่เจริญอธิจิตสิกขาเข้าข่ายสัมมาสมาธิ แล้วจึงจะได้สัมมานิโรธ 
ซึ่งต้องมาจากวิชชาจรณสัมปันโนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  
วิชชาจรณสัมปันโนนี้ก็คือ สุดยอดแห่งความรู้อันประเสริฐในความเป็นมนุษย์(วิชชา) และสุดยอดแห่งความประพฤติอันประเสริฐในความเป็นมนุษย์(จรณะ) ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงค้นพบ และทรงบรรลุความจริงของผลธรรมนั้นๆชนิดที่มีของจริงปรากฏและมีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงธรรมะนั้นมาตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดแห่งที่สุดได้แล้วถึงพร้อมแล้ว(สัมปันโน)อย่างสัมบูรณ์ 
ผู้เขียนได้เอาพระวจนะมากมาย จากพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัส แม้แต่ที่พระเถรเจ้าในพุทธสมัยได้พูดไว้ มายืนยันทั้งได้อธิบายว่า การบรรลุฌานหรือสมาธิแบบพุทธที่ถูกต้องถ่องแท้ เป็นสัมมาทิฏฐิของพุทธธรรมที่เกิดพุทธคุณกันจริงๆนั้น คืออย่างไร ก็ได้สาธยายไปมากมาย
และที่ว่า จรณะ 15 วิชชา 8ตามที่พระธรรมคำสอนนั้น คือ การปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ทุกสูตร ทั้ง 13 สูตรในพระไตรปิฎกเล่มนี้ โดยเฉพาะสูตรที่ยืนยันว่า เป็นสามัญญผล ซึ่งคือไตรสิกขาที่จะเกิดผลเป็นสัมมาสมาธิอันเป็นอาริยะทีเดียว ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ตั้งแต่ข้อ 252 ถึง 281 ยืนยันชัดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ทุกสูตรด้วย คือ โครงสร้างของการปฏิบัติของศีล-สมาธิ-ปัญญาที่ครบครันชัดเจนยิ่ง ว่า เป็นผลธรรมอันเป็นอาริยะ
โดยเฉพาะ ศีลอันเป็นหลักสำคัญของการปฏิบัติธรรมของแต่ละคนทุกคนตามแต่ละฐานะ เท่าที่ตนมีบารมี แต่การปฏิบัติต้องเริ่มที่ต่ำสุดก็คือศีล 5 ข้อนี้เอง เป็นศีลพื้นฐานขั้นต้นของทุกคน ไม่ว่านักบวชหรือเป็นฆราวาสที่จะพึงปฏิบัติ ก็คือศีล 5 ข้อต้องปฏิบัติตั้งแต่ต้นทุกคน ไม่มีศีลกำหนดผลสมาธิแต่ละขั้น ไม่ใช่พุทธ
ผู้มีผลอธิจิต-อธิปัญญาเพียงพอ จึงจะเพิ่มอธิศีลเป็นศีล 8 แล้วจึงจะก้าวต่อไปศีล 10 แล้วจึงไล่ไปตามศีลโอวาทปาฏิโมกข์ คือ จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 
ซึ่งศีล 5ก็ดี ศีล 8ก็ดี ศีล 10ก็ดี ก็อยู่ในจุลศีล 26 ข้อนั่นแหละ ผู้ปฏิบัติพึงเพิ่มขึ้นๆไปตามบารมีของตน จนกว่าจะครบศีล 26 ข้อ แต่ละคนก็พึงทำของตนๆ
ถ้าผู้ใดมีบารมีบรรลุธรรมในศีล 5มาแต่ปางก่อนแล้วจริง แม้จะมาปฏิบัติศีล 5 ตอนนี้ชาตินี้ ก็จะไม่ยากเลย จะทำได้ง่าย จะสอบผ่านได้อย่างเร็วไปตามบารมีเองแหละ ไม่ต้องไปหลงถือตนว่าตนบวชเป็นภิกษุแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติศีล 5-ศีล 8-ศีล 10เพราะตนมีศีล 227แล้ว ไม่ต้องปฏิบัติศีล 5 ..อย่าไปคิดเห็นเช่นนั้น นั่นมันถือดี 
แม้จะเป็นภิกษุก็เริ่มปฏิบัติศีล 5 นี้แหละทุกคน และที่สำคัญต้องสัมมาทิฏฐิในวิธีปฏิบัติ ศีลจึงจะพาบรรลุสมาธิ-ปัญญา-วิมุตติไปตามขั้นตอนมีลำดับลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล จากหยาบไปกลางไปสู่ละเอียด จากขั้นต้นไปขั้นกลาง ไปสู่ขั้นปลายได้บริบูรณ์ 
227 นั่นมันวินัยไม่ใช่ศีล วินัยเป็นกฏหมายอาญา มีบทกำหนดโทษบทลงโทษ วินัยเป็นหลักเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นมาเพราะมีคนทำผิดแล้วพระศาสดาจึงบัญญัติขึ้นมาทีหลัง ซึ่งเป็นข้อห้ามข้อบังคับ จึงต่ำศักดิ์กว่าศีล
แต่จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลนี้คือศีลโอวาทปาฏิโมกข์ตัวแท้ ไม่ใช่หมายเอาแค่วินัย 227ที่ใช้สวดทบทวนกันสำหรับสงฆ์ทุกปักษ์เท่านั้นเป็นโอวาทปาฏิโมกข์ 
วินัย 227 นั้นเป็นโอวาทปาฏิโมกข์ชั้นรอง บัญญัติขึ้นทีหลังศีล เป็นกฏหมายลูก เป็นกฏหมายอาญา ที่ต้องมีบทลงโทษ ภิกษุทั้งหลายจึงกลัววินัยมากกว่าจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เลยเคร่งกันอยู่แต่วินัย 
ซึ่งศีลนั้นมีศักดิ์สูงกว่าวินัย โดยเฉพาะมหาศีล 7 ภิกษุจะต้องปฏิบัติยืนยันว่า นี้คือศาสนาพุทธ ไม่งั้นก็เป็นเดียรถีย์
เพราะจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลนี้เป็นโอวาทปาฏิโมกข์ที่เกิดมาเป็นแม่บทคือศีลธรรมนูญที่จะต้องปฏิบัติทั้งประโยชน์ตนก็จุลศีล 26เริ่มจาก 5 ข้อ แล้วจึงเพิ่มอธิศีลไปตามลำดับ ทั้งประโยชน์ศาสนาโดยรวมก็มหาศีล 7ทุกข้อ ถึงจะพาให้บรรลุเป็นผู้ไม่ทำบาปทั้งปวง, ทำแต่ดีให้ถึงพร้อม, โดยทำจิตในจิตสำเร็จสะอาดผ่องใสได้จริง    
จุลศีล 26 ข้อคือ หลักปฏิบัติเพื่อผลที่เป็นประโยชน์ตนตั้งแต่ขั้นต้นถึงขั้นปลาย
และมัชฌิมศีล 10 ข้อนั้นก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์สัมพันธ์กับสังคมยิ่งขึ้น เป็นอธิศีลละเอียดที่ขยายสูงขึ้นๆในการปฏิบัติ
ส่วนมหาศีล 7 ข้อนั้นเป็นศีลหลักใหญ่ของศาสนาพุทธ ซึ่งสงฆ์ในศาสนาพุทธทั้งหมด ภิกษุทุกรูปต้องปฏิบัติไม่ละเมิดมหาศีล 7นี้ เพราะเป็นเครื่องชี้บ่งสำคัญยิ่งว่า พุทธศาสนาเป็น              อเทวนิยมเช่นนี้ๆนะ!  
พระพุทธเจ้าทรงประกาศยืนยันศาสนาของพระองค์ว่าไม่เอาความเป็นเดรัจฉาวิชา อย่างที่ลัทธิอื่นเขามีเขาเป็นนั้นนะ จึงตราธรรมนูญมหาศีล 7นี้ให้รู้ว่า แบบนี้คือพุทธ
เนื่องจากศาสนาหรือลัทธิแบบเทวนิยมนั้นยังลึกลับ ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นเทวะเป็นเทวดาเป็นเทพเจ้าชนิดที่สัมผัสวิญญาณหรือพระวิญญาณกันจริงๆ
ส่วนพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่มีลัทธิแบบอเทวนิยม เพราะจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นเทวะเป็นเทวดาเป็นเทพเจ้าที่เป็นสมมุติเทพ ทั้งที่เป็นอุบัติเทพ ทั้งที่เป็นวิสุทธิเทพ(พรหม)อย่างไม่ลึกลับ(อรหะ)แล้ว นั่นคือ ความไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา เข้าถึง อรหัตตาหรืออรหัตตผลได้แท้ โดยรู้จักรู้แจ้งรู้จริงเทวดา-มาร-พรหมอย่างแจ่มแจ้งแทงทะลุ(ปฏิเวธธรรม)ทั้งอาตมัน-ปรมาตมัน(อัตตา-บรมอัตตา) และบรรลุผลจริง 
เพราะได้ศึกษาจนประจักษ์ความเป็นโอฬาริกอัตตา(อาตมันหรือตัวตนอย่างหยาบที่เกี่ยวกับภายนอก) มโนมยอัตตา(อาตมันหรือตัวตนทั้งภายนอกภายในใจทั้งหลายอย่างละเอียด) อรูปอัตตา(อาตมันหรือตัวตนขั้นอรูป) และบรรลุหลุดพ้นความเป็นอัตตาหรืออาตมันทั้งหมดอย่างประจักษ์สิทธิ์ ว่า อัตตา ปรมาตมัน คืออะไรกันแท้
จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อาตมัน-อัตตา- วิญญาณหรือจะเรียกกันว่าพระเจ้าก็ดี จะใช้อะไรเป็นสื่อเพื่อติดต่อนั้น ไม่จำเป็นเลย ถึงจะใช้ ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอาตมัน-อัตตา-วิญญาณ-พระเจ้าได้แท้
ไม่ว่าจะใช้น้ำเป็นสื่อ(สิญจนยัญ) เป็นต้นว่า อาศัยน้ำเป็นสื่อให้ถึงเทวดา ถึงพระเจ้า ด้วยการใช้น้ำเป็นสื่อ จะด้วยการหลั่งน้ำ รดน้ำ พรมน้ำ พ่นน้ำ อาบน้ำ แช่น้ำ เสกน้ำ หยาดน้ำ ด้วยการพ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ จะสวดมนต์แถมอีกอย่างไรก็ไม่มีทางถึงได้
การใช้น้ำเป็นสื่อ(สัญจนยัญ)จึงไม่มีในศาสนาพุทธของพระองค์ แต่ในพุทธศาสนาทุกวันนี้เป็นเดียรถีย์กันไปหมด ซ้ำหลงว่าศาสนาต้องมี ถ้าไม่มีเสียอีกหาว่าไม่ใช่พุทธ 
หรือการใช้ไฟเป็นสื่อ(อัคคียัญ) เป็นต้นว่าอาศัยไฟที่มีเปลวเป็นสื่อให้ถึงเทวดา ถึงพระเจ้า ด้วยการใช้ไฟเป็นสื่อ จะด้วยการจุดไฟบูชา ไม่ว่าจุดเป็นเปลว เช่น ทำให้ไฟเป็นเปลว ด้วยการใช้น้ำมัน ด้วยการใช้เนย ก็ไม่มีทางถึงเทวดา ถึงพระเจ้า แต่พุทธยุคนี้ใช้เทียน ถึงขั้นใช้ไฟฟ้ามีเปลวในหลอดเลย 
หรือไม่ว่าจะจุดให้เป็นควัน ด้วยการซัดแกลบเข้าไปในไฟให้เกิดควัน ด้วยการซัดรำเข้าไปในไฟให้เกิดควัน ด้วยการซัดข้าวสารเข้าไปในไฟให้เกิดควันเพื่อสื่อถึงเทวดา ถึงพระเจ้า พุทธเป็นอเทวนิยม ไม่ทำ
แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ได้ประยุกต์กันมาเป็นการจุดธูปเกิดควัน มีกันเป็นสามัญเป็นจารีตเลย ถือว่าต้องมีด้วย จึงจะเป็น ศาสนา ถ้าไม่มีเสียอีกหาว่าไม่ใช่พุทธ ไปโน่น
ข้ออื่นๆอีกที่เป็นเดรัจฉานวิชาเพื่อสื่อไปถึงอะไรที่ลึกลับ ซึ่งส่วนมากก็นึกว่าถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะบันดลบันดาลให้แก่ชีวิตตนได้ ซึ่งพุทธไม่ใช่ลัทธิแบบนั้นเลย พระพุทธเจ้าให้เว้นขาด(เวรมณี)เดรัจฉานวิชาด้วยซ้ำ ตามศีลที่บัญญัติไว้ยืนยันชัดเจนยิ่ง แต่พุทธยุคนี้ ศีลที่ว่านี้มีกันมั้ยล่ะ! 
ศาสนสาพุทธเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าให้พึ่งตน หรือมีตนเป็นที่พึ่ง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ใช่ไปพึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งไม่อยู่ในความจริงที่เป็นความรู้และความสามารถของเราเอง
ใครจะเป็นพุทธหรือไม่ใช่พุทธก็อยู่ตรงมหาศีล 7 นี้จะเห็นได้อย่างสำคัญ เพราะศาสนาพุทธไม่มีการประพฤติตามที่เดียรถีย์(ติตฺถิยะ)เขามีกัน  ใครประพฤติคือนอกพุทธ 
เดียรถีย์ก็คือ ลัทธิอื่นเขาต่างก็ปฏิบัติไปแบบเทวนิยม ซึ่งใช้เดรัจฉานวิชากันอยู่ ตามศีลที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ภิกษุ
ของพุทธเว้นขาด(เวรมณี)นี้แล พุทธจึงแตกต่างจากเดียรถีย์ เห็นได้ตามศีลนี้เอง
ดังนั้น ภิกษุพุทธที่ทำเดรัจฉานวิชาอยู่จึงเป็นเดียรถีย์ เป็นนักบวชนอกพุทธศาสนา แม้จะนุ่งห่มจีวรอยู่ในหมู่ภิกษุ แต่ประพฤติละเมิดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ... ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ... ทำพิธีบนบาน สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ... ฯลฯ  ขออภัยอย่างหลวงพ่อคูณเป็นต้น
ศาสนาพุทธยุคนี้มันได้กลายกลับไปเป็น เทวนิยมกันจนสนิทเนียนมากแล้ว แทบ ไม่เหลือความเป็นพุทธกันเลย ปานนั้นจริงๆ
เพราะไม่มีศีล ซึ่งเป็นศีลธรรมนูญ แท้ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงกำชับว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย
ศีลต่างจากวินัย วินัยซึ่งยึดถือกันว่า มี 227 ข้อ ส่วนศีลธรรมนูญของพุทธนั้นคือ จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ที่ภิกษุของศาสนาพุทธต้องยึดถือกันให้ได้ทุกยุคทุกสมัยจึงจะชื่อว่าพุทธ หากไม่ถือจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ก็ไม่มีศีล มีแต่วินัย
เมื่อศาสนาพุทธไม่มีศีลกันแล้ว ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เพราะศีลของศาสนาใดก็เป็นเครื่องกำหนดความเป็นศาสนานั้น
ขออภัยอย่างมากที่สาธยายมาถึงขนาดนี้ ล้วนเป็นความรู้ เป็นวิชาการ ไม่ใช่คำส่อเสียด หรือไม่ใช่คำตู่ที่จะไปจาบจ้วงละลาบละล้วงอื่นใด แต่เป็นความรู้ความเห็นที่ผู้เขียนว่าไปตามที่มั่นใจว่าควรทบทวนสัจธรรมของพุทธกันบ้าง ว่า ถึงวันนี้แล้ว มันยังเป็นไปตามพระอนุสาสนีของพระศาสดาอยู่หรือไม่...??   
แม้จะเป็นภิกษุแล้ว มีวินัย 227 ข้อ ก็ต้องเคร่งครัดในวินัย เพราะเป็นศีลอาชญาคือหลักเกณฑ์ที่มีบทลงโทษ และต้องปฏิบัติไปตามศีลหลักใหญ่ของหมู่คือมหาศีล 7   
ถ้าผู้มีสัมมาทิฏฐิ 10เป็นประธาน และมีสัมมาวายามะ กับสัมมาสติห้อมล้อมสัมมาทิฏฐิประพฤติปฏิบัติไปกับทิฏฐิที่เป็นประธาน ผลก็จะได้ตามสัมมาปฏิบัติก็จะเกิดอธิศีล-อธิจิต(สมาธิ)-อธิปัญญาไปตามลำดับ อย่างเป็นปฏิสัมพัทธ์มีมรรคผล 
เมื่อเช้านี้เทวดามาคุยเรื่องว่า เทวดามีกี่แบบ
1.เทวดาในโลกอบาย(เป็นสุขที่ชั่ว)
2.เทวดาเสพรสกามคุณ 5
3.เทวดาเสพโลกธรรม 8 
4.เทวดาทำความดี(เสริมอัตตา)สุขใจ
5.เทวดาที่เป็นสมมุติ จะสมมุติอย่างไรก็ได้แม้ สี่อย่างแรกก็เป็นสมมุติ 
6.เทวดาที่เป็นโลกุตระเริ่มจากอุบัติเทพ เรียนรู้ล้างความคิดยึดในจิตวิญญาณก็อุบัติใหม่ เป็นโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯ
7.เทวดาวิสุทธิเทพ(สูงสุด) คืออรหันต์
ใครเคยเป็นเทวดาอันดับหนึ่งบ้าง...ยกมือหมด ไม่เหลือเลย 
ใครเคยเป็นเทวดาเสพกามบ้าง...ยกมือหมดเลย....แต่ถามนิดหนึ่งว่า ได้ลดละกันบ้างหรือยัง? 
ไม่ว่าจะเป็นกามหรือโลกธรรม เราก็รู้ชัดว่าเราปลงวางลดละมา 
แล้วเทวดาทำความดีแล้วสุขใจ มันก็ยังยึดติดเป็นภพชาติ ถ้าหลงดีก็ยึดติด ไปซัดคนอื่น หยามคนอื่น ข่มคนอื่น เป็นเทวดานักรบ นักเลง อาละวาด มีไหมในพวกเรา เคยเป็นบ้างไหม? 
เทวดาสมมุติคือ เทวดาข้อ 1-4 นั่นแหละ คนที่เสพอบาย เขาไม่รู้หรอกว่าอบาย แต่ว่าเขารู้ว่าเขาชอบเขาหลงติด ทั้งที่ไม่น่าหลงติดในอเวจีนั้นแต่ก็หลงติดได้ 
พวกเรารู้เทวดาสมมุติแล้วก็ล้างเทวดาเหล่านี้ออกก็มาเป็นเทวดาอุบัติเทพ มันล้วนแต่เป็นสมมุติไม่น่าไปหลงใหลยึดติด เราก็ล้างมาเป็นลำดับๆจนเป็นวิสทธิเทพ ไม่เป็นคนงง สงสัยเรื่องเทวดา แต่ทำตนให้เป็นเทวดาถึงวิสุทธิเทพด้วย ไม่เอาเทวดาชั้นเลว แต่เอาเทวดาชั้นดี เป็นถึงพระเจ้าได้ มี ตรีมูรติ
1.กรุณาธิคุณ
2.ปัญญาธิคุณ
3.บริสุทธิคุณ 
จะเห็นว่า การปฏิบัติเพื่อให้เกิดฌาน-สมาธิ-นิโรธในทิฏฐิ 2 แบบนั้นแตกต่างกัน 
แบบสัมมาทิฏฐิจะเริ่มด้วยแต่ละคนต้องสมาทานศีลเป็นหลักข้อต้น ตามความเหมาะสมสำหรับตนแต่ละคน แล้วจึงจะปฏิบัติด้วยวิธีปฏิบัติที่ไม่ผิด 3 ข้อ(อปัณณกปฏิปทา) ได้แก่ สำรวมอินทรีย์ 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ที่พระบรมศาสดาของพุทธทรงยืนยันว่า ต้องแบบนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด(อปัณณกปฏิปทา)
และปฏิบัติสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ใช่วิธีหลับตาสะกดจิตเข้าไปในภวังค์แล้วหลงไปสู่การหลบอยู่ในภวังค์และได้นิโรธดำ(กิณหะ)
แต่ปฏิบัติในขณะมีโภชเนมัตตัญญุตา ในขณะเคี้ยวกินอาหารอยู่ ก็ปฏิบัติธรรมอยู่
ซึ่งต้องปฏิบัติในขณะมีความระมัดระวัง-ความตื่น(ชาคริยา)มีความรับรู้ทุกทวาร 
จึงจะเกิดสัมมาฌาน-สัมมาสมาธิและวิชชา-วิมุติของพระพุทธเจ้า หรือด้วยวิธีปฏิบัติมรรค 7 องค์ ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ-สัมมาสังกัปปะ-สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ-สัมมาวายามะ-สัมมาสติ 7 องค์นี้ต่างหากเป็นเหตุ(สอุปนิโส) เป็นองค์ประกอบ(สปริกขาโร)ของการปฏิบัติ จึงจะเกิดสัมมาสมาธิตามพระพุทธวจนะ(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 253) 
มิใช่หลับตาสะกดจิตเข้าไปๆในภวังค์เป็นเหตุเป็นองค์ประกอบสัมมาสมาธิในทุกวันนี้จึงหาได้ยากแล้ว หรือเกือบจะสูญหายสิ้นซากไปแล้วในความเป็นศาสนาพุทธ พ.ศ. 2558 นี้ เพราะเข้าใจปฏิปทา(วิธีปฏิบัติ)ในการปฏิบัติออกนอกขอบเขตพุทธไป ด้วยประการฉะนี้ 
ซึ่งผลแบบพุทธนั้นต้องบรรลุถึงขั้นเข้าสู่ภูมิมนุษย์อุตตรกุรุทวีป นักปฏิบัติในทุกวันนี้ก็เข้าใจความเป็นมนุษย์อุตตรกุรุทวีปไม่ได้กันแล้ว กลายเป็นเรื่องลึกลับ พิสดาร มีตัวตนพิลึกแปลกๆ กลายเป็นเรื่องที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา หรือเป็นแบบเทวนิยมตามปุถุชนพากันเข้าใจไปหมดแล้ว
แม้จะศึกษาปรมัตถธรรมกันจนเก่งปริยัติ ก็ยังเห็นความเป็นมนุษย์ชมพูทวีปก็ดี มนุษย์อุตตรกุรุทวีปก็ดี หรือยังเห็น (ปัสสติ)ความเป็นสัตว์โอปปาติกะที่ชื่อว่าดาวดึงส์ ไม่ได้ แม้ได้ก็ยังเป็นอัตตา ยังเป็นตัวตนกันอยู่ คือ ยังเห็นเป็นโอฬาริกอัตตา(อัตตาหยาบเป็นภายนอก)  หรือยังเป็นมโนมยอัตตา(อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต) ที่เป็นเรา(ยังมีตัวตน)และเป็นตัวตนของเราอยู่นั่นเอง ยังเห็นเป็นวิปัสสนา(รู้จักรู้แจ้งรู้จริง)ไม่ได้

เพราะยังไม่สามารถเห็น(ปัสสติ)รูปกายและนามกาย ด้วยอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศอันเกิดอยู่ในฌานลืมตาซึ่งปฏิบัติโดยมีมรรค 7 องค์เป็นเหตุ(อุปนิสา)เป็นองค์ประกอบ(ปริกฺขาราในการปฏิบัติอยู่ครบครันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281)  
หากสัมมาทิฏฐิแล้ว ปฏิบัติไปๆก็จะมีวิปัสสนาญาณคือรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกาย เริ่มตั้งแต่สามารถเห็นกาย(องค์ประชุมของรูปกับนาม)อันเป็นสัก(ของตน)ซึ่งเป็นองค์ประชุมของรูปกับนาม(กาย) ของตน(สัก) คือ กาย(องค์รวมของรูปกับนาม)ของสัก(ตนเอง)
ผู้สัมมาทิฏฐิในความเป็นรูปเป็นนามจึงจะสามารถแยกความเป็นรูปเป็นนามในกายของตนที่เป็นปรมัตถธรรม เมื่อปสาทรูปกับโคจรรูปมีสัมผัสกันขึ้นเกิดภาวรูป 2 เจ้าตัวก็ได้ศึกษาความเป็นชีวิตินทรีย์ในชีวิตรูป อันเป็นนามธรรมในองค์ประกอบของกาย แล้วมนสิกโรติ หรืออภิสังขารให้เป็นบุญ(การชำระกิเลส) 
เมื่อเครื่องชำระกิเลส(บุญ)มีประสิทธิ ภาพจนกระทั่งสามารถโยนิโสมนสิการเกิดผลถึงขั้นเด็ดขาด(สมุจเฉทปหาน) โดยจัดการกับอิตถินทรีย์ให้กลายเป็นปุริสินทรีย์ หรือเป็นเอกบุรุษ(จิตเป็นเอกัคคตาสำเร็จผล) 
นั่นคือ ธรรมสอง ได้แก่ เวทนา 2 คือ่เป็นสุข กับที่เป็นทุกข์(เทฺว ธัมมา) แล้วผู้ปฏิบัติสามารถทำให้้รวมลงกลายเป็นเวทนาหนึ่ง(ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ) คือ เวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นกลาง (อุเบกขาเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา) และเวทนาก็ยังมีอยู่ครบถ้วน เพียงแต่เปลี่ยนอาการของเวทนาไปเท่านั้น
เพราะสามารถทำใจในใจ(มนสิกโรติ) คือ ทำเวทนาที่เป็นธรรมสอง ให้เวทนาสองนี้รวมตัวกัน จึงเป็นหนึ่งในสองอย่างมีพลัง และพลังงานทั้งหมดก็ไม่ได้หายสูญไปไหน แต่พลังงานเลว(อกุศลเจตสิก)ได้ถูกปรับแต่ง(อภิสังขาร)ให้กลายมาเป็นพลังงานดี(กุศลจิต) จึงเกิดพลังงานที่เจริญยิ่งขึ้น เกิดปฏิภาคทวีตามบารมีของแต่ละคน
ผู้ทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ได้สำเร็จ[ทำใจในใจนะ ไม่ใช่ทำคนให้เป็นกระเทยจากที่คนที่เป็นเพศหญิงให้เป็นคนเพศชาย นั่นมันเดรัจฉานวิชา ที่พระพุทธเจ้าตรัสให้เว้นขาดในมหาศีล ข้อ 7] ซึ่งพระอาริยะของพุทธคือผู้สามารถเปลี่ยนเพศ(เปลี่ยนลิงค)ในตนได้แท้จริง นั่นคือ ทำใจในใจตนที่เป็นอิตถีลิงค์กลายเป็นปุงลิงค์ได้ ถึงปานฉะนี้ บัดนี้ ก็ได้ชื่อว่าอมตบุคคลหรือ เอกบุรุษ  
และสูงไปกว่านั้นสามารถทำจิตใจตนจากปุงลิงค์(เพศชาย)ให้เป็นนปุงสกลิงค์(ไม่มีเพศ) กระทั่งอนุโลม-ปฏิโลมในนปุงสกลิงค์ให้เป็นปุงลิงค์อีกก็ได้ กระทั่งเก่งแกล้วแคล่วคล่องว่องไวด้วยมุทุภูต(จิตหัวอ่อนที่ปัญญาก็มีไหวพริบแววไว เจโตก็ปรับให้เกิดให้ดับได้เร็วไม่แข็งทื่อดื้อกระด้าง)จึงชื่อว่าอุตตมโปริสสัมบูรณ์
เห็นไหมว่า ถ้าผู้้ใดไม่สามารถรู้แจ้งในความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ผู้นั้นไม่สามารถทำใจในใจบรรลุพุทธธรรมแน่ นี่คือสักกายตามสัมมาทิฏฐิที่เรียนรู้ปริยัติมา เมื่อปฏิบัติก็จะสัมผัสของจริงด้วยความรู้ที่สามารถรู้องค์ประชุมของรูปกับของนามที่เป็นกาย ซึ่งผู้ยังไม่มีภูมิพอเมื่อได้ยินพระพุทธศาสดาตรัสในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 ก็จะงงเต็กมึนตึ๊บแน่นอน  
เพราะกายตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 นั้นมีว่า ในร่างกายนั้น แต่ตถาคตเรียกร่างกาย อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง 
งงมั้ยล่ะ? กายทำไมท่านไปเรียกว่าจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง 
มันยังไง..???
หากรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกายไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถทำบุญแล้วจะได้บุญเป็นอันขาดเพราะในความเป็นกายนั้นผู้ปฏิบัติธรรมต้องแก้ไขจัดการกับจิต-เจตสิก-รูป(สิ่งที่ถูกรู้ในใจ)-นิพพาน ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม มิใช่สมมุติธรรม เท่านั้น
บุญคือ การชำระกิเลสในจิตใจให้สิ้นไป ไม่ใช่วิมานที่ใครๆจะได้เป็นภพเป็นชาติ 
จงอย่าเอาคำว่าบุญไปหลอกคน ว่า คนได้บุญคือ ได้วิมานที่ฝันเพ้อหลอกกัน บุญไม่ใช่วิมานใดๆเลย บุญเป็นวิมานไม่ได้ 
ดังนั้น ถ้าไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงคำว่ากาย อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถปฏิบัติให้สำเร็จความเป็นบุญได้อย่างเด็ดขาด  
ความเป็นกาย จึงต้องสัมมาทิฏฐิกันอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น เริ่มสักกายอันเป็นกายตัวแรกในสังโยชน์ข้อต้น ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ ไม่เกิดปัญญาที่จะพ้นสังโยชน์แม้แต่ข้อที่ 1 เป็นแน่  
ทุกวันนี้นักปฏิบัติธรรม แม้นักศึกษาพุทธศาสนาต่างไม่สนใจคำว่ากาย หรือไม่เห็นว่า กายคำนี้ เป็นคำสำคัญในศาสนาพุทธเพราะศาสนาพุทธมันผิดเพี้ยนไปยึดมั่นถือมั่นกันในการปฏิบัติสมาธิหรือการทำใจในใจ(มนสิการ) ตามแบบเดียรถีย์กันไปหมดแล้ว เป็นสมาธิแบบธรรมดาทั่วไป ที่หลับตาเข้าไปในภวังค์ ซึ่งมันมีอยู่ครองโลกปุถุชนตลอดกาล เป็นโลกียธรรมสามัญ
ชาวพุทธในยุคนี้จึงไม่สนใจหรือไม่เห็นสำคัญในคำว่ากาย ซึ่งเป็นธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติธรรมของพุทธมันได้หลงผิดไปเข้าใจกันสนิทใจแล้วว่า กายคือร่าง(สรีระ)ภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่ธรรม 2(เทฺว ธัมมา) ไปเข้าใจสนิทว่ากายคือธรรมหนึ่งเดียว คือ รูปภายนอกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับใจเลย กายจะไปหมายถึงอาการของจิตใจไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้น เมื่อได้เห็นหลักฐานพระวจนะว่า กายนี้ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จึงน่าจะสำเหนียกกันบ้างมั้ยว่า ทิฏฐิที่ยึดถือกันอยู่นั้นมันผิด 
เพราะเท่าที่เชื่อถือกันมานานหลายร้อยปีแล้วนั้น ไม่เห็นว่า มีการเป็นโสดาบันกันตรงไหนกันสักที มันมีแต่ไปโมเมกันว่า องค์นั้นอรหันต์ องค์นี้อรหันต์ ต่อเมื่อผู้นั้นตายลง ก็เห็นแต่มีกันอยู่อย่างนี้ 
โสดาบันเป็นอย่างไรกันแท้ รู้แจ้งรู้จริง กันบ้างไหม? ทำไมเมืองไทยเมืองพุทธจึงยืนยันกัน หรือพูดกัน สาธยายกันไม่ได้ 
มันน่าจะมีนะ!!! คนไทยเป็นพุทธกันตั้ง 95 % ทำไมมันจึงมีกันแต่อรหันต์เท่านั้น โสดาบันมันน่าจะมีมากกว่า โสดา ปัตติมรรค-โสดาปัตติผลเป็นอย่างไร มีใครบ้างเป็นต้น ให้รู้ของจริง ให้เห็นของจริงกันบ้าง หรือแม้ไม่บอกกันในตอนเป็นๆ ตายแล้ว ก็น่าจะบอกว่า คนนี้เป็นโสกดาบัน คนนั้นเป็นสกิทาคามี คนนี้เป็นอนาคามี กันบ้าง 
เห็นมีกันได้แต่อรหันต์ แปลกมั้ย!  
เบื้องต้น มันก็ไม่รู้กันแล้ว เบื้องปลายก็มีแต่เบื้องปลายโมเม หรือมิจฉาทิฏฐิ
มันมิจฉาทิฏฐิมาไกลแล้วจริงๆนะ ลดทิฏฐิของตนกันบ้าง ก็จะดีแท้ๆเลย  
ขออภัยที่พูดนี้ ไม่ใช่กล่าวตู่ หรืออวดดีแต่อย่างใดเลย เป็นความมั่นใจในความปรารถนาดีจริงๆ ที่พูดนี้จริงใจ ยุคนี้แหละคือ ยุคมิจฉาทิฏฐิที่ได้เกิดจริงเป็นจริงในศาสนาพุทธกันถึงที่สุดแล้ว  
ไปหลงกันอยู่แต่คำว่า จิตๆๆ หนักเข้าถึงกับสอนกัน ปฏิบัติกันแต่ว่า อย่าทำจิตให้ออกนอกตัว  และกายก็ปักใจมั่นว่า คือร่าง(สรีระ)ภายนอกเท่านั้น ไม่ใช่ธรรม 2 
ถือว่า กายเป็นเพียงวัตถุธรรมเท่านั้น กายไม่ใช่ธรรม 2 กายคือธรรมเดียว
นี่คือ มิจฉาทิฏฐิที่ปิดประตูนิพพาน
เพราะจะมีความเป็นรูปกายและนามกายให้เราได้ศึกษาเป็นธรรม 2(เทฺว ธัมมา) ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนเป็นอรหันต์ทีเดียว 
เช่่น ธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ของรูป 28 เป็นต้น ซึ่งจะเป็นกาย(องค์ประกอบของรูปกับนาม) ให้ผู้ปฏิบัติเห็น(ปัสสติ)อย่างรู้จักรู้แจ้ง
รู้จริง(วิปัสสนา) ตลอดสายแห่งการปฏิบัติ จึงเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริง(อัญญา,วิชชา) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างแท้จริง(science of consciousness) มิใช่ตรรกศาสตร์(logic) 
มิใช่การเปรียบเทียบ(comparison)
ดังนั้น หากไม่สัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ความเป็นกายที่หมายถึงองค์ประกอบของรูปกับนาม(องค์ประกอบของธรรม 2) ซึ่งพลังงานชีวภาพขั้น nuclear  ก็คือ genome นี่เอง ที่เป็นธรรม 2ของชีวิตรูป อันมี ชีวิตินทรีย์ที่ต้องจัดการ
ซึ่งก็คือ ธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ที่จะต้องศึกษาธรรม 2ตั้งแต่ต้นแห่งอินทรีย์ของชีวิต(ชีวิตินทรีย์) และจัดการ(อภิสังขาร)กับใจของตนจนกระทั่งสามารถทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ของตนได้ผล ถึงขั้นทำใจในใจของตนจากอิตถีลิงค์เป็นปุงลิงค์ได้สำเร็จ กระทั่งทำภาวะปุงลิงค์ให้เป็นนปุงสกลิงค์ ได้ถึงที่สุดขนาดนั้นเลย 
กล่าวคือ ทำ 2 ให้เป็น 1 สำเร็จหรือทำหลากหลายมากมาย ให้เป็น 1สำเร็จ (พหุทธา ปิ หุตวา เอโก โหติ)  
และที่สุดผู้นั้นทำ 1 ให้เป็น 0 ได้สำเร็จก็เป็นอมตบุคคล ผู้เจตนาสามารถทำหลากหลายให้เป็น 1 ก็ได้ ทำ 1 ให้เป็นหลากหลายก็ได้ (เอโก ปิ หุตวา พหุทธา โหติ)
และที่สุดทำ 1 ให้เป็น 0 ได้สำเร็จแน่แท้   
หรือในขณะที่ยังเป็นๆ มีชีวิตอยู่ ก็คือผู้สามารถตัดสันตติไม่ให้มีต่อไปก็ได้
ตรงนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 43 ที่ว่า โลกนี้โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 (อัตถิ) ความไม่มี 1 (นัตถิ) 
ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริง
แล้ว ความไม่มีในโลก(โลเก นัตถิตา) ย่อมไม่มี(น โหติ) 
หมายความว่า ผู้ที่มีปัญญาเห็นชอบตามเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความเป็นโลก ที่ยังมีเหตุหรือความวนเวียนที่เหตุยังมีอยู่(โลกสมุทัย)นั้น จะเป็นจริงว่า หรือชื่อว่า  ความไม่มีในโลก(โลเก นัตถิตา) ย่อมไม่มี(น โหติ) หรือย่อมไม่ได้(น โหติ) หรือย่อมไม่เป็นอย่างนั้น(น โหติ) ในผู้นั้น 
เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก(โลเก อัตถิตา) ย่อมไม่มี (น โหติ) หมายความว่า ผู้ที่มีปัญญาเห็นชอบตามเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าความเป็นโลก ที่เหตุดับหรือความวนเวียนที่ดับเหตุได้แล้ว จะเป็นจริงว่า หรือชื่อว่า ความมีในโลก (โลเก อัตถิตา) ย่อมไม่มี(น โหติ)หรือย่อมไม่ได้(น โหติ) หรือย่อมไม่เป็นอย่างนั้น ในผู้นั้นเห็นไหมว่า สุดท้ายคือ ความไม่มี(น โหติ)นั้น ต้องเป็นการดับโลก-ดับความวน (นิโรธ) จึงจะเป็นความไม่มีสูงสุดเป็นที่สุด

แต่นั่นแหละ สำหรับผู้ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปจากโลก(ยังไม่ตายชนิดสุดท้าย คือตายทั้งรูปทั้งนาม ยังไม่สิ้นซากไปจากโลก) ยังมีเรา ยังอยู่(คือยังมีอัตตา แต่เป็นอรหัตตาแล้วก็ตาม)ตราบใด ก็ยังชื่อว่าเป็นผู้อยู่ในความไม่มี โดยเฉพาะไม่มีกิเลสเกิดอีกเลยตลอดกาล
ดังนั้น ธรรม 2คือ อะไรก็ตาม หากผู้นั้นตัดสันตติแล้ว ในพลังงานใจของตน พลังงานที่ถูกตัดปล่อยไปแล้วก็จะกลายเป็น isotope ที่เหลือแต่ nuclear fission เท่านั้น ที่มีชีวิตครึ่งหนึ่ง(half life) หรือมีพลังงานครึ่งเวลา(half time) แม้จะแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ไปอีกเท่าใดๆก็ตาม ก็จางคลายเบาบางไปเรื่อยๆ ที่สุดก็สิ้นสุดเอง 
ภาวะเช่นนี้คือ ภาวะของชรตา ซึ่งโลกแห่งฟิสิกส์ ก็จะวนเวียนมีแล้วก็ไม่มี เปลี่ยนแปลงไปมาอยู่นิรันดร ระหว่างสสารกับพลังงาน ส่วนโลกแห่งวิญญาณ ผู้เป็นอมตบุคคลสามารถจะหยุดวนเวียนในความเป็นชีวะ ให้ทรงอยู่(ธรรมนิยาม)ในภาวะพีชนิยามก็ได้ จะให้อยู่ในภาวะจิตนิยามก็ได้โดยการจัดการหรือปรับแต่งคือ อภิสังขารตามความสามารถของแต่ละท่าน ด้วยการทำใจในใจ(มนสิการ) เพราะท่านสามารถปรับแต่งจัดการสังกัปปะ 7ได้จริง 
ในกระบวนการของสังกัปปะ 7นั้นมีธรรม 2คือ หมวดปัญญา(พลังงานจลน)คือ kinatic energy หรือ dynamic ได้แก่ ตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ นี้ธรรม 1 ส่วนหมวดของเจโต(พลังงานศักย) คือ potential energy หรือ static ได้แก่ อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา นี้อีกธรรม 1 อย่างนี้ก็คือธรรม 2หรือจะจัดธรรม 2เป็นว่า ตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ และอัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนานั้นคือธรรม 1 แล้วจัดเอาวจีสังขารเป็นอีกธรรม 1ก็ได้
หรือธรรม 2คือ อะไรก็ตาม หากผู้นั้นยังต่อสันตติอยู่ ในพลังงานใจของตน พลังงานที่เกิดอยู่หรือยังมีอยู่ สำหรับผู้เป็นอมตบุคคลก็จะกลายเป็น isotope ที่เหลือแต่ nuclear fusion ที่มีชีวิตเต็ม (full life) หรือมีพลังงานเต็มเวลา(full time) แม้จะแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ไปอีกเท่าใดๆก็ตาม ก็ยังเป็นผู้กำหนดควบคุมให้เป็นไปตามที่สามารถจะ
ประมาณเอาได้อย่างเหมาะสม(มัตตัญญู)ในที่สุดด้วยความสามารถ 
ภาวะเช่นนี้คือ ภาวะของอุปจยตา อมตบุคคลจึงเป็นผู้สามารถจะให้เป็นอุปจยะคือเกิดต่อไปก็ได้ หรือจะให้เป็นชรตาคือเสื่อมสลายไปในที่สุดดับ ก็สามารถทำได้เช่นนี้เองคือ ผู้มีที่สุดรู้จักรู้แจ้งรู้จริงลักษณะรูป 4(อุปจยะ-สันตติ-ชรตา-อนิจจตา) ซึ่งสัพเพธัมมา อนิจจัง ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง แม้ที่สุดอมตบุคคลก็สามารถเพียงแต่ควบคุมได้สูงสุดแค่อุปจยะ(ให้เกิดได้)-สันตติ(จะต่อก็ได้ แม้จะตัด ไม่ต่อแล้ว)ก็ทำได้แค่ชรตาคือปล่อยให้เสื่อมไปตามกาลเป็นที่สุดเท่านั้น จึงชื่อว่าอนิจจตาคือ สัพเพธัมมา อนิจจัง ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง
ท้ายสุดจริงๆ ในลักษณะรูป 4   เพราะฉะนั้นผู้มีทิฏฐิในความเป็นกาย ผิดเพี้ยนไปดังกล่าวมานั้น จึงไม่สามารถเป็นอาริยบุคคลได้เลยแม้แต่ขั้นต้นโสดาปัตติมรรค เริ่มตั้งแต่ข้อแรกคือ สักกาย เมื่อสักกายก็ยังไม่สามารถมีปัญญาญาณรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นกายของตน หรือรู้ผิดว่ากายคือธรรมเดียว เท่านั้น ไม่ใช่ธรรม 2((เทฺว ธัมมา) ก็เป็นอันหมดทางที่จะพิจารณากายในกายที่จะต้องเรียนรู้พิจารณาอบรมฝึกฝนของตนในตน แล้วจัดการ(อภิสังขารให้เป็นบุญ คือให้ชำระกิเลสออกจากใจได้)ได้บรรลุพุทธธรรมเป็นมรรคเป็นผล
ความเป็นกายจึงสำคัญยิ่งที่จะต้องสัมมาทิฏฐิ จึงจะศึกษาปฏิบัติเกิดปัญญา(อธิปัญญาสิกขา) รู้จักรู้แจ้งรู้จริงธรรมทั้งปวงเมื่อมีญาณเห็นความเป็นกายได้จริงจึงจะเริ่มเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่(กาเย กายานุปัสสี วิหรติ) ก็จะเป็นผู้เห็นกายในกายที่เป็นรูปภายนอกสัมพันธ์สัมผัสอยู่เห็นๆ(พหิทธารูปานิ ปัสสติ) กระทั่งต่อเนื่องเข้าไปเป็นอรูปในภายในด้วยการกำหนดรู้(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี) ซึ่งก็ยังมีภายนอก สัมพันธ์สัมผัสอยู่เสมอ ไม่ได้ขาดกัน ยังมีการสืบต่อกันอยู่(มีสันตติ) ยังสามารถเห็นอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เป็นองค์รวมร่วมอยู่ด้วยกัน(กาย) ไม่ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งจากกัน แม้จะเป็นการศึกษาถึงขั้นพิจารณาอรูปกาย
การปรับแต่ง “กาย” (อภิสังขารหรือมนสิการ)นั้นก็คือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง มิใช่ร่างกาย หรือส่วนที่เป็นดินน้ำลมไฟภายนอกแต่รูปซึ่งก็คือภาวะที่กำลังถูกรู้อยู่ในขณะนี้บัดนี้ เป็นภาวะที่มีอยู่ในภายใน เป็นภาวะไม่ใช่ดินน้ำไฟลมตรงๆแล้ว จึงมิใช่เราเห็น(ปัสสติ)ภาวะของดินน้ำไฟลม ทว่าเห็นภาพหรือรูปที่เป็นองค์ประชุม(กาย)ของมันจับกลุ่มกันขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติก็คือ เรียนรู้ขณะที่มีรูปที่เป็นภายนอกและนามที่เป็นภายในนั่นแหละ โดยไม่ต้องหลับตาปิดหูหรือดับการรับรู้ทางจมูก-ลิ้น-กายสัมผัสแต่อย่างใด จึงชื่อว่า มีกาย ให้เรียนรู้กายในกาย แล้วเรียนรู้จากกายที่มีรูป 28นั้นอยู่พร้อมให้เรียน แล้วปฏิบัติโดยจัดการ(อภิสังขาร)ให้เป็นไปสู่ภาวะที่มีรูปสะอาดจากกิเลสที่ยังอุปาทานอยู่ให้หมดสิ้นไปจากรูปขันธ์สำเร็จ จึงจะเป็นผู้พ้นอุปาทานในรูปขันธ์ หรือรูปขันธ์ปราศจากอุปาทานสิ้นเกลี้ยงแล้ว(เป็นผู้พ้นรูปูปาทานักขันโธ) แต่ผู้นี้ก็ยังมีรูปขันธ์ที่อาศัยอยู่
ต่างกันอย่างยิ่งกับการปฏิบัติในแบบหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ ซึ่งเป็นผู้ไม่มีกายให้ปฏิบัติ จึงเท่ากับผู้ไม่มีทางจะปฏิบัติให้บรรลุโลกุตรธรรมได้เลยตั้งแต่ข้อแรก
ข้อแรกในความเป็นโลกุตรธรรมนั้นคือ ผู้ปฏิบัติมรรคเริ่มจุดที่ 1 เลย ก็กายในกายนี่แหละ ที่เป็นโลกุตรธรรมข้อต้น ในโลกุตรธรรม 37 ซึ่งเป็นข้อที่ 1 ของสติปัฏฐาน 4 อันเป็นหนึ่งในโพธิปักขิยธรรม 37ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งมียืนยันในพระไตรปิฏก เล่ม 31 ข้อ 620 
การปฏิบัติแบบที่ไม่ใช่สัมมาสมาธินั้น เมื่อผู้ปฏิบัติหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ไม่มีความรับรู้ภายนอกแล้ว แม้แต่รับรู้อยู่กับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกภายนอกก็ไม่รู้อะไรในภายนอกแล้ว จิตรู้มีรู้อยู่แต่ในภายใน ฌานหรือสมาธิแบบหลับตาเข้าไปในภวังค์เขาจึงจะนับว่า เป็นการเข้าฌานหรืเข้าสมาธิ เขายึดถือกำหนดหมายกันอย่างนี้
เมื่อคลายจิตที่รู้อยู่แต่ภายในออกมามีสู่ความตื่นรู้จนออกมามีความรับรู้ภายนอกก็เรียกว่าออกจากฌาน ออกจากสมาธิ ผู้ที่หลับตาเข้าไปจนหมดสิ้นรู้แต่ในภายใน ไม่มีความรับรู้ต่อสัมผัสภายนอกแล้วสิ้นเชิงนั้น ก็คือ ผู้หมดสิ้นความเป็นกายที่เป็นความจริงแล้ว คนผู้ปฏิบัติ
อย่างนี้จึงไม่มีสัจธรรมหรือความจริงที่จะปฏิบัติเพื่อบรรลุสัจธรรมอย่างสิ้นเชิง   ถ้าเรายังมีรู้อยู่ แต่เป็นการรู้ภาพที่เราเห็นและจำจากภายนอกนั้นอีกมันก็ไม่ใช่ความจริงของดินน้ำไฟลมนั้นเราก็จะเห็นด้วยความจำ(สัญญา) หรือต้องเห็น ด้วยการกำหนดรู้(สัญญา)เอาเอง 
ยิ่งปั้นเองขึ้นมาในภายในจิตของเราเอง ไม่ใช่จากความจำด้วยซ้ำ คิดขึ้นมาใหม่ มันก็ไม่ใช่ความจริงในโลก เป็นของใหม่ที่ผู้นั้นคิดปั้นขึ้นมาแท้ๆใช่มั้ย?   
ความจริงที่สัมผัสเห็นในปัจจุบันนี้จึงไม่ใช่รูปอย่างที่มีองค์ประกอบหรือองค์รวมของดินน้ำไฟลมที่ประชุมกันขึ้นให้เห็นแต่เป็นรูปที่ไม่ใช่ภาวะแท้ของดินน้ำไฟลมภายนอกที่สัมผัสอยู่หลัดๆ ณ บัดนี้ 
มันคือการเห็นเพียงความจำ(สัญญา) หรือภาวะที่กำหนดขึ้นมาใหม่มิใช่ความจริงของดินน้ำไฟลมที่เป็นรูปให้เราสัมผัสและร่วมประชุมกันอยู่(กาย)กับธาตุรู้ของเราที่เห็นกันอยู่หลัดๆโทนโท่ รูปที่เห็นอยู่ ณ บัดนี้ จึงเป็นแค่เพียงความจำหรือรูปจำลองมาจากที่เราจำ มาเห็น ซึ่งเป็นรูป ที่เรากำหนดขึ้นมาใหม่แท้ๆเลย
เรียกด้วยศัพท์ทางวิชาการว่า มโนมยอัตตา(รูปที่สำเร็จด้วยใจสร้างขึ้นมา)  ไม่ใช่ความจริงแล้ว คือ ไม่ใช่รูปที่เห็นโต้งๆด้วยตาด้วยหูด้วยจมูกด้วย
ลิ้นด้วยกายภายนอกสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่หลัดๆกันแล้ว ภาวะที่เราสัมผัสจากภายนอกแล้วเกิดความรู้ขึ้น นั่นคือ รูป ความรู้ของเรา ณ บัดนั้นคือ นาม 
รูปกับนามที่ร่วมกันปรากฏเป็นกายให้เรารู้อยู่ ณ บัดนี้ คือ ความจริง หากรู้ความจริงตามความมีความเป็นจริงๆของภาวะนั้น ตรงกันทั้งของจริงภายนอก กับความรู้(ปัญญา)ที่เกิดภายในใจเราอยู่ ณ บัดนั้น ”ไม่มี” ความรู้อื่น(อัญญาณ)มาหลงเป็นความรู้สึก(เวทนา) ไปต่างๆ เกินกว่าความรู้สึกกลางๆ(อุเบกขาเวทนา) เช่น เป็นรสอร่อย-ไม่อร่อย หรือเป็นสุข-ทุกข์
ศาสนาพุทธมีพระเจ้าด้วย แล้วเป็นได้จริงกับตนไม่ต้องให้พระบุตรไปติดต่อ แต่ของพุทธรู้ความจริง เป็นจริงได้ 
อย่างที่หนึ่งดาวเขาถามว่า ทำอย่างไรจะเปลี่ยนจิตให้มีพลัง เมื่อขณะกระทบผัสสะ จิตจะเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้อย่างไร และทำอย่างไร ภาวรูปสอง จะเป็นปุริสสินทรีย์ได้
ตอบ...ก็อย่างที่อาตมาอธิบาย ให้มีสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ เมื่อสัมมาทิฏฐิก็มาเรียนรู้กาย รู้ภาวรูป ที่เกิดจากการสัมผัส ทาง ทวารทั้ง 5 ปสาทรูป 5 เมื่อเกิดบทบาท โคจระ ไปทำงานกระทบกัน ก็จะเกิดวิญญาณ เราก็มาแจกแจงเรียน เป็น จิต มโน วิญญาณ หรือเรียกว่า กาย ตามพระพุทธเจ้าตรัส ต้องเรียนรู้เทวดาที่เกิด เราจะต้องพ้นสมมุติเทวดาได้ โดยการอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรฯล.10 ข.60 เทวธัมมา ที่จะทำให้เรารู้องค์ประชุมของรูป/นาม ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส 
รูปที่ว่านี้ (สิ่งที่ถูกรู้) ที่ต่อเนื่องเข้าไปจากภายนอก คือรูปของจิต เป็นอาการนามธรรม ไม่มีีรูปร่างตัวตน แต่รู้ได้ด้วยอาการ เป็นอาการโกรธ โลภ ทุกข์ สุข ซึ่งศัพท์ภาษาไทยเรียกว่าอาการ ของบาลีก็เรียก อาการ รู้เพศคือลิงค แยกได้เป็นธรรมะสอง เสมอเลย เป็นอิตถีภาวะและปุริสสภาวะ ล้างตัณหาทิฏฐิ หมดเมื่อไหร่ก็เป็นเอก อยู่แต่ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง
เราก็มาปฏิบัติตามมหาจัตตารีสกสูตร  ต้องมีสัมมาทิฏฐิ แล้วรู้เหตุปัจจัยที่เป็นแม่และพ่อ ให้เกิดจิตวิญญาณที่เป็นโอปปาติกโยนิ เป็นอุบัติเทพ เปลี่ยนแปลง (ภวันติ) กลายจากจิตวิญญาณที่เคยเป็นสัตว์นรก มาเป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดาที่เกิดจริง ผุดเกิด ไม่มีซาก ตายแล้วไม่มีซากเหลือ ทันทีทันใด เปลี่ยนแปลงมาเป็นเทวดา ตั้งแต่เปลี่ยนทีละนิด แข็งแรงตั้งมั่นเป็นสมาธิไปเรื่อยๆ
[258]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปัญญา  ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ความเห็นชอบ  องค์แห่งมรรค  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  ฯ
ปฏิบัติ กาย เวทนา จิต ธรรมนี่แหละ ตัวเวทนาเป็นตัวสำคัญ เพราะแม้แต่พีชะก็ไม่มีเวทนา เป็นชีวิตินทรีย์ที่ไม่มีเวทนา ถ้าเราดับอาการที่เป็นกามเป็นพยาบาท ได้ จิตเราไม่อยากเป็นอยากมีอยากได้ ไม่มีกัมมันตภาพรังสีพิษ ที่เป็นนิวเคลียร์เป็นพลังงานพิษ จิตเราไม่มีอาการอย่างนั้นออกไป กระทบสัมผัสแต่ก่อนกระทบไพ่เราก็ดูด แต่ตอนนี้กระทบก็ไม่มีอาการดูด ไม่มีรังสีนี้ออกไป เห็นอยู่เราก็ไม่สุขทุกข์ ไม่มีกระแสของกาม ใคร่จะเล่น ดีไม่ดี ชังก็ไม่ชังเขา ก็เข้าใจเขาว่าเขาก็ส่งเสริมกันไป แต่เราก็ไม่น่าสงเสริม ก็น่าจะดุเขา เหมือนพ่อแม่ดุลูก ไม่ได้โกรธนะ แต่ก็เราก็ยึดว่าลูกเป็นของเรา ตัวเราก็เลยดุอย่างแรง ก็จะเรียกว่าโกรธก็ได้ เป็นอาการแรงต้องการให้ทำลายสิ่งนั้น ก็เสียพลังงานเราเช่นกัน ทั้งๆที่พูดแรงๆมันก็ใช้พลังงาน แถมอารมณ์โกรธก็ใช้พลังงานมหาศาลดีไม่ดีร้อนทั้งตัวเลย ถ้าเราดุเฉยๆไม่มีโกรธเสริม ก็ไม่ต้องใช้พลังงานมากมาย 
มันจะเกิดปฏิบัติตามมรรคองค์ 8 ตามข้อ 258 ก็ทำสัมมาอาชีวะ 
เลิกกุหนา ลปนา มาตั้งศีล เป็นเนมิตกตา เอาแค่ศีล 5 ก่อน เป็นปริตตัง เป็นลำดับ พัฒนาไป มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ใช้ โพชฌงค์ 3 เป็นตัวเดิน มีประธานเป็นสัมมาทิฏฐิ สติตัวนี้จะช่วยเป็นกำลังร่วมกับสัมมาทิฏฐิ เป็นโพชฌงค์เดินสู่การตรัสรู้ ปฏิบัติมัคคังคะ ด้วยกัมมันตะ อาชีวะ ที่เป็นสัมมา ทุกอย่างของกรรมรวมที่กัมมันตะที่ต้องให้พ้นมิจฉา 3
ตัวธัมวิจัยเป็นตัวสำคัญ​ต้องมีวิตก วิจาร วิจัย แล้วจะสามารถมีวิสังขาร ที่รวมเป็นวิการ ประมาณให้ได้ลหุตา ออกเป็นกัมมัญญตา คือวิการรูป 5 ออกไปเป็นวจีกรรม กายกรรม หรือกายวิญญัติ วจีวิญญัติ จากการผ่าน สังกัปปะ 7 
ที่มาฟังกันนี่ พวกคุณเป็นนักศึกษาขั้นปรมัตถ์ ฟังได้ฟังดี อาตมาก็นึกถึงทางบ้านที่กำลังดูอยู่ ก็ขอระลึกถึง อนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆ แล้วฟังรู้เรื่องไหม? ถ้าฟังรู้เรื่องอาตมาอนุโมทนาสาธุจริงๆ การบรรยายปรมัตถ์ แล้วเอาตำรามาเทียบเคียงด้วย อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง อาตมาทั้งติ และชมศาสนา โดยเฉพาะชมผู้รู้ธรรมะ แต่ตินี่มันแรง แล้วยุคนี้คนผิดมันเยอะ ติไปไม่มากแต่โดนแรง เพราะผิดจังๆ ยิ่งผู้ที่ดูแลอยู่อย่างสำคัญ​เป็นหัวหน้าใหญ่ พอยืนยันว่าผิดมันกระแทกแรงนะก็ขออภัยมันเป็นสัจจะ อาตมาก็ขออภัยหากคุณโกรธ โกรธคุณก็ซวยเอง อาตมาไม่ได้เจตนาให้โกรธ แต่ก็พูดความจริงมันก็โดน

พระพุทธเจ้าว่าเราพูดถึงสิ่งผิด อกุศล มันก็แรง แล้วเขาก็เข้าใจว่าถูกด้วยอาตมาก็ต้องมาแก้ไข ว่ามันเป็นสิ่งผิด เอาตำรามากาง เช่นที่พูดถึงเดรัจฉานวิชชาหรือศีล ถ้าไม่เอาอคติ ก็เถียงอาตมาไม่ได้หรอก อาตมาพูดมาถึง 45 ปีแล้ว ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่เกรงใจ แต่มันควรให้อาตมาพูดได้แล้ว มันแทบจะครึ่งศตวรรษแล้ว จะให้อาตมาไปรออีกเมื่อไหร่จะพูดเต็มที่
ที่พูดนี้เห็นว่าเป็นกาละอันควร เมื่อเราสามารถตรวจทานสอบทานนี่คือการสังคายนา ก็ถือหลักฐานตามพระไตรฯเล่มเดียวกัน ท่านเองก็เป็นผู้แปลด้วย แต่บางอย่างอาตมาเห็นว่าไม่ถูกก็ต้องเปลี่ยน เช่นคำว่าบุญนี่ ยังดีที่เหลือหลักฐานว่า คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ ก็ยืนยันกันไป จะเห็นด้วยเห็นดี อาตมาก็ไม่ถึงว่าต้องเห็นด้วยเห็นดีหรอก แต่อาตมาก็มีสิทธิ์แสดงความเห็น แต่ต่างสังวาสกัน นานาสังวาส มีศีลต่างกัน แม้ศีลข้อเดียวกัน ไม่รับเงินรับทองพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างเดียวแต่ก็ปฏิบัติไม่เหมือนกัน จนเกิดเรื่องน่าเกลีียดน่าอาย เป็นพระเป็นเจ้าแล้วให้คนมาตู่ว่าโกง อาตมาว่าปาราชิกแล้วยังมาโกหกซ้ำซ้อนอีก มันดูพฤติกรรมแล้วไม่โกหกไม่ได้เลย จะเลี่ยงไปอย่างไร เงินผ่านไปผ่านมาขนาดนี้แล้วบอกว่าไม่รู้ไม่แตะไม่เกี่ยว มีแต่เซ็นลูกเดียว โอโห เป็นคนซื่อ คุณคนซื่อ ซื่อจริงๆ  ขออภัยอาตมาพูดเป็นเชิงไม่เชื่อก็ขออภัย แต่ใครเชื่อบ้าง...ยกมือ

ความบริสุทธิ์เท่่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด ซึ่งก็ สุทธิ อสุทธิ ปัตจัตตัง ก็แล้วแต่นะ ก็ขอให้ปฏิรูป พุทธศาสนากันให้ได้ เป็นพุทธศาสนิกกว่า 95% ถ้าจะเปลี่่ยนโครงสร้างโลกๆโดยไม่เปลี่ยนปฏิรูปศาสนาอาตมาว่าล้มเหลว เพราะศาสนาเป็นประธานของอย่างอื่น ถ้าไม่แก้ไขปฏิรูปศาสนาก็ไปไม่รอด ..จบ
 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:12:32 )

580616

รายละเอียด

580616_ธรรมาธรรมะสงคราม มหาจัตตารีสกสูตร ตอน 6

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 16 มิ.ย.2558 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม....คนเขาเคยพูดกันว่า ธรรมะคือธรรมชาติ มันก็ไม่ผิด แต่ว่าธรรมะนั้นต้องบอกว่า เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นแนวคิดทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ก็ควรนิยามให้ชัดว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และตรัสรู้คือธรรมะที่เหนือธรรมชาติ เหนือโลกด้วย โลกก็คือธรรมชาติ 

แล้วจะเหนือธรรมชาติ ต้องรู้จักธรรมชาติไหม?ก็แน่นอน เราอยู่เหนือก็เหนืออะไรก็เหนือธรรมชาติ เหนือโลก นี่คือคำตอบที่แท้จริง เขาพูดกันไปว่า ธรรมะต้องเข้าหาธรรมชาติ ก็ใช่ และเราต้องเหนือธรรมชาติ จึงเป็นผู้บรรลุธรรม เหนือธรรมชาติไม่ได้ใช่การเบ่งข่มเบียดเบียนธรรมชาติ แต่จะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างดีไม่เบียดเบียนธรรมชาติ และเป็นผู้พึ่งตนเอง ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไปกับโลกที่โลกมอมเมาเป็นเรื่องฟุ้งเฟ้อ ฟรุ้งฟริ้งไป เราก็มาเรียนรู้ธรรมชาติ และรู้ว่าเราทำลายธรรมชาติไปเท่าไหร่ ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม ทำลายหมด ทำลายป่า เขา ลำเนาไพร ทำลายสิ่งแวดล้อม 

อย่างกทม.นี่ทำลายธรรมชาติเกลี้ยง กลายเป็นป่าคอนกรีต มีสะพานเส้นก๋วยเตี๋ยวเต็มไปหมด อาตมาเรียกตึกสูงๆแท่งๆว่า สุสาน กลายเป็นป่าช้าคอนกรีต ฝนตกมาก็ขังนองเต็มหมด ลมพัดเข้าไปก็หลงทางหมด กระแสผิดหมด อากาศอบอ้าววุ่นวาย ทุกอย่างเสียหมด อย่างนี้เป็นต้น นี่คือผู้ไม่รู้ธรรมชาติ แล้วหาว่า เจริญ​ แต่ความจริงคือความเสื่อม แล้วหาว่าตนเจริญ หลงว่าตนเจริญ 

การไม่รู้ว่าธรรมชาติคืออะไรก็ลำบาก ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียนรู้แล้วจะเกิดปัญญาญาณเรียนรู้โลก ที่เราอยู่ด้วยเกี่ยวข้องด้วย โดยไปยึดอะไรก็ไม่รู้ที่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเสียหาย หลงเลอะเทอะเกินกว่าความจำเป็นมากหนัก ให้รู้ตนเอง ว่าตนเป็นทานสิ่งเหล่านั้นก็เลิกมา ที่ไปหลงว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นแล้วเป็นสุข ไม่ได้ก็เป็นทุกข์ เราก็เลิกมาเป็นลำดับ เป็นผู้พ้นโลกตั้งแต่อบาย

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ล้างสิ่งติดยึดในจิตใจ ตั้งแต่เราทำอยู่มาก ทำเป็นประจำ ทำอยู่ในชีวิตก็เรียกกรรมนี้ว่า อาชีวะ ในสัมมาอาชีวะของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้มรรค 7 องค์ คือ สังกัปปะ  วาจา กัมมันตะ อาชีวะนี่แหละที่ต้องปฏิบัติ ในสัมมาทิฏฐิข้อ 4 สุกฏทุกตานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก จะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่กรรม ทำได้ก็สั่งสมเป็นผลวิบากในจิต การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติที่กรรม หากไม่รู้กรรมกิริยาที่ทำประจำ เช่นชีวิตเราเสพติดสิ่งนี้เราก็จะทำอยู่ประจำ อะไรก็ตามที่เราทำประจำคืออาชีวะแล้วก็เสพสุขอยู่ จะได้เงินหรือไม่ก็แล้วแต่ ถึงไม่ได้ก็เสพ 

เช่น คุณหญิง เป็นภรรยาขรก.ชั้นสูงหรือนักธุรกิจชั้นสูง ไม่ทำงานทำการอะไรหรอก เขายืนยันว่าตนเป็นอาชีพแม่บ้าน แต่คนรวยก็สั่งการเฉยๆ สมมุติว่าแม่บ้านคนนี้มีชีวิตแวะไปเล่นแต่ไพ่ แล้วเสียเงินได้เสียเงินดีก็เล่นไม่เก่ง แต่ชอบ ติดเล่นไพ่ เป็นอบายมุข เสียไปก็ไม่เป็นไร สามีหาเงินเก่ง อาชีพเขาเขียนว่าเป็นแม่บ้าน แต่ที่จริงอาชีพคือเล่นไพ่ ชีวิตเป็นสุขทุกข์ เป็นเรื่องราวกับการเล่นไพ่ นี่คืออาชีพ อาชีพไม่ได้คือการทำแล้วได้เงิน ไม่ใช่

อาชีพอาสาสมัคร ทำงานไม่ได้เงิน แต่เป็นอาชีพเขา เขารับใช้มนุษยชาติ ทำงานรับใช้สังคม เขาไม่ได้เงิน แต่อาชีพของเขา เป็นคนอาสา อยู่ในสังคม ทำเป็นประจำ ยินดีชื่นใจ เป็นสุข ชื่นชอบ แต่เป็นคุณค่า เขาทำงานดีทำงานรับใช้มวลชน ไม่ได้เงินได้ทอง คำว่าอาชีพไม่ได้หมายถึงว่าทำแล้วได้เงินเลี้ยงชีวิต

นักบวช ทำงานทั้งศึกษาปฏิบัติธรรม มีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมรรค 7องค์อย่างดี ไม่ได้เงินทองเลย มีอาชีพศึกษาตนให้หลุดพ้นแล้วช่วยมวลชน นี่คืออาชีพของนักบวชชาวพุทธ ก็ช่วยมวลชนไป ทำในหมู่เล็กอย่างอาตมาทำในหมู่เล็ก เพราะคนที่จะให้ช่วยก็มีเงื่อนไขที่ยาก เป็นโลกุตระ เป็นอาริยะ ขอยืนยันว่าเป็นประโยชน์ต่อมวลชนแท้จริง มีมากก็ดี แต่ไม่มากก็ไม่เป็นไร อาตมาทำมา 45 ปีก็ไม่ได้ทำเพื่อได้เงินทองอะไร แม้จะมีคนบริจาคก็ไม่ได้ใช้ส่วนตัว ตั้งปณิธานเด็ดขาดว่าเงินเหล่านั้นจะไม่ซื้อมาบำบัด เช่นบำบัดทุกข์ของตน เช่นป่วยก็ไม่ใช้เงิน มีชีวิต ให้คนอื่นเลี้ยงไว้ พิสูจน์ว่าเราเป็นคนมีประโยชน์ต่อประชาชน ให้เขาเลี้ยงไว้ ก็ไม่เคยอด นอกจากตั้งใจอดเอง ไม่ได้ทำเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุข

อาตมาภูมิใจว่าเราเป็นนักบวชของพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องการคนนับถือไม่ต้องการบริวาร ส่วนใครจะมารวมกันก็เชิญ แล้วก็ได้ช่วยคนอื่นต่อไป ไม่ใช่ให้มาบำรุงบำเรออาตมา ไม่ใช่ 

    ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ 
มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) 
มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) 
มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  
มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้ 
    ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ (พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21  ข้อ 25) 

    อาตมาไม่ได้ล้ม แต่เขาล้มไปแล้ว ศีลก็ล้มไป สมาธิก็ล้มไป ปัญญาก็ออกนอกทิฏฐิพุทธเป็นมิจฉาทิฏฐิไป ขออภัยที่พูดฟันธง ว่าเขาผิดเราถูก เหมือนยกตนข่มท่านเลย ยิ่งวิมุติ นิโรธยิ่งไปใหญ่เลย อาตมาพูดมา 45 ปีเสียงค้านก็ไม่เท่าไหร่ แต่ตอนโน้นจะปิดไม่ให้อาตมาแสดงธรรมเลย แต่โดยสัจธรรมเป็นไม่ได้ ก็เลยมาได้เป็นอย่างทุกวันนี้ ก็มีแต่จะทำอย่างไรให้เขาตื่นรู้ แก้ไข มันน่าสงสาร 

ถ้าธรรมะพระพุทธเจ้าจะกลายเป็นหมัน หมายความว่าคนไม่เกิดมรรคผลตามธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้า ก็ยังพอทำเนา แต่นี่นอกจากไม่มีมรรคผลแล้ว มันกลับกลายมาทำลายความเข้าใจ ทำลายลัทธิของพระพุทธเจ้าไปให้เข้าใจผิดอีกมากมาย แล้วหลอกคนว่าเป็นศาสนาพุทธอีก ขออภัยที่เหมือนว่ากันหนัก อาตมาก็ว่าทำไมอัตตาจัดไม่เห็นแก่สัจธรรม ทำไมติดยึดในศีลพรต อุปาทานกันในความเห็นความรู้ว่าต้องอย่างนี้ๆ ติดยึดในทิฏฐุปาทาน สีลลัพพตุปาทาน แล้วอัตตวาทุปาทาน แม้ภาษาบัญญัติก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ 

แม้ทินนังก็ไม่เป็นอัตถิ เป็นแต่นัตถิทินนัง มีแต่สอนให้ทานแล้วรวย ได้มากขึ้น สอนให้โลภมากขึ้น สร้างภพชาติ วิมานในชาติต่อๆไป แต่ชาตินี้ก็ไม่สามารถ ถูกปอกลอกจนหมดตัวตายไป ที่มีความสามารถก็ไปเร่งรีดนาทาเร้นคนให้มาบริจาค กู้มาบริจาคอีก 

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา). 
 
1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) 
2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 
3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง เพราะไม่รู้ว่ารูปกาย นามกาย คืออะไร แล้วคำว่ากายก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปหมด 
4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่    
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) . . 
5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ 
6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 

เป้าที่จะเป็นการปฏิบัติที่จิตคือสังกัปปะ 7 
[263]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความตรึก(ตักกะ)  ความวิตก(วิตักกะ) ความดำริ(สังกัปปะ)  ความแน่ว(อัปปนา)  ความแน่
(พยัปปนา)ความปักใจ(เจตโสอภนิโรปนา)  วจีสังขาร  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึกมีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค
เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาสังกัปปะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
    

ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาสังกัปปะ  เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ   ความพยายาม
ของเธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
    ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาสังกัปปะได้  มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่  สติ  ของเธอนั้น
เป็นสัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาสังกัปปะ  ของภิกษุนั้น  ฯ
    

[264]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาวาจาว่ามิจฉาวาจา  รู้จักสัมมาวาจาว่าสัมมาวาจา
ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ
    

[265]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาวาจาเป็นไฉน  คือพูดเท็จ  พูดส่อเสียด  พูดคำหยาบ
เจรจาเพ้อเจ้อ  นี้  มิจฉาวาจา  ฯ
    

[266]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวสัมมาวาจา
เป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  อย่าง  1
สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระเป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ
    

[267]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์
เป็นไฉน  คือ  เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ  งดเว้นจากการพูดส่อเสียด  งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ  นี้  สัมมาวาจา  ที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
    

[268]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาวาจาของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ   เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความงด(อารติ)  ความเว้น(วิรติ)ความเว้นขาด(ปฏิวิรติ)  เจตนางดเว้น (เวรมณี)

จากวจีทุจริตทั้ง  4  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญ
อริยมรรคอยู่  นี้แล  สัมมาวาจา  ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
    

ภิกษุย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาวาจา  เพื่อบรรลุสัมมาวาจาอยู่  ความพยายามของเธอนั้น
เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
    ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้  มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่  สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะสัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาวาจาของภิกษุนั้น  ฯ
    

[269]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉากัมมันตะว่า  มิจฉากัมมันตะ  รู้จักสัมมากัมมันตะ
ว่า  สัมมากัมมันตะ  ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ
    

[270]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉากัมมันตะเป็นไฉน  คือ  ปณาติบาต อทินนาทาน
กาเมสุมิจฉาจาร  นี้  มิจฉากัมมันตะ  ฯ


[271]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน  ดูกรภิกษุ  ทั้งหลาย  เรากล่าว
สัมมากัมมันตะเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
อย่าง  1  สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  อย่าง  1  ฯ
    

[272]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผล
แก่ขันธ์เป็นไฉน  คือ  เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต  งดเว้นจากอทินนาทาน  งดเว้นจากกาเม
สุมิจฉาจาร  นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็นสาสวะเป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
    

[273]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็น  อนาสวะ  เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรคเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความงดความเว้น  เจตนางดเว้น  จากกายทุจริต
ทั้ง  3  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่
นี้แล  สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
    

ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉากัมมันตะ  เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะ   ความพยายาม
ของเธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
    ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉากัมมันตะได้  มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่  สติ  ของเธอนั้น  เป็น
สัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะ   สัมมาสติ  ย่อม
ห้อมล้อม  เป็นไปตามสัมมากัมมันตะของภิกษุนั้น  ฯ
    

[274]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็
สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาอาชีวะว่า  มิจฉาอาชีวะ  รู้จักสัมมาอาชีวะ
ว่าสัมมาอาชีวะ  ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ
    

[275]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน  คือ  การโกง   การล่อลวง  การ
ตลบตะแลง  การยอมมอบตนในทางผิด  การเอาลาภต่อลาภนี้มิจฉาอาชีวะ  ฯ
    

[276]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย   เรากล่าว
สัมมาอาชีวะเป็น  2  อย่าง  คือ  สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
อย่าง  1  สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรคอย่าง  1  ฯ
    

[277]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผล
แก่ขันธ์  เป็นไฉน  คือ  อริยสาวกในธรรมวินัยนี้  ย่อมละมิจฉาอาชีวะ  เลี้ยงชีพด้วยสัมมา
อาชีวะ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  นี้  สัมมาอาชีวะที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผล
แก่ขันธ์  ฯ
    

[278]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาอาชีวะของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความงด  ความเว้นเจตนางดเว้น  จากมิจฉาอาชีวะ
 ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่  นี้แล
สัมมาอาชีวะของพระอริยะ  ที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ  เป็นองค์มรรค  ฯ
    ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาอาชีวะ  เพื่อบรรลุสัมมาอาชีวะ  ความ พยายามของ
เธอนั้น  เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาอาชีวะได้  มีสติบรรลุสัมมาอาชีวะอยู่  สติของเธอนั้น  เป็น
สัมมาสติ  ฯ
ด้วยอาการนี้  ธรรม  3  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  ย่อม
ห้อมล้อม  เป็นไปตามสัมมาอาชีวะของภิกษุนั้น  ฯ
    

[279]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา
ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  เมื่อมีสัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้  เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้  เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ  จึงพอเหมาะได้
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ    สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้  เมื่อมีสัมมาอาชีวะ   สัมมาวายามะจึงพอ
เหมาะได้ เมื่อมีสัมมาวายามะ   สัมมาสติ จึงพอเหมาะได้ เมื่อมีสัมมาสติ  สัมมาสมาธิจึงพอ
เหมาะได้  เมื่อมีสัมมาสมาธิ   สัมมาญาณะจึงพอเหมาะได้   เมื่อมีสัมมาญาณะ    สัมมาวิมุตติ
จึงพอเหมาะได้  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ด้วยประการนี้แล  พระเสขะผู้  ประกอบด้วยองค์  8  จึง
เป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยองค์  10  ฯ
    

[280]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็
สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ
    ผู้มีสัมมาทิฐิ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้  ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็น  อเนกบรรดามี
เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น  ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้วและกุศลธรรมเป็นอเนก
ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์  เพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย  ฯ
    

ผู้มีสัมมาสังกัปปะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสังกัปปะได้...
    ผู้มีสัมมาวาจา  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวาจาได้...
    ผู้มีสัมมากัมมันตะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉากัมมันตะได้...
    ผู้มีสัมมาอาชีวะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาอาชีวะได้...
    ผู้มีสัมมาวายามะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวายามะได้...
    ผู้มีสัมมาสติ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสติได้...
    ผู้มีสัมมาสมาธิ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาสมาธิได้...
    ผู้มีสัมมาญาณะ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาญาณะได้...
    ผู้มีสัมมาวิมุตติ  ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาวิมุตติได้  ทั้งอกุศลธรรมลามกเป็นอเนกบรรดามี
เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น  ก็เป็นอันผู้มีสัมมาวิมุตติสลัดได้แล้ว  และกุศลธรรมเป็น
อเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์  เพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ด้วยประการนี้แล  จึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล  20  ฝ่ายอกุศล  20  ชื่อ  ธรรม
บรรยายมหาจัตตารีสกะ  อันเราให้เป็นไปแล้ว  สมณะ  หรือ  พราหมณ์  หรือเทวดา  หรือมาร
หรือพรหม  หรือใครๆ  ในโลก  จะให้เป็นไปไม่ได้  ฯ
    

คือฝ่ายกุศล ก็มีกุศลเคหสิตะกับเนกขัมมะ(โลกุตระ)  และอกุศลของเคหสิตะและอกุศลโลกุตระ จึงเป็น 40 ก็ต้องปฏิบัติรู้ทั้ง สองฝ่าย 

พวกนั่งหลับตาสมาธิเขาจะสลัดมิจฉาญาณตรงไหน?... แล้วมิจฉาวิมุติเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าอันนี้วิมุติ อันนี้ไม่ใช่วิมุติ ไม่ได้สัมผัส หมากต้อง หมากทุเรียนว่าตนติดไหม? เขาก็นึกเอาสร้างภาพชาติ เป็นรูปภพ อรูปภพเอาทั้งนั้น 

[281]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สมณะหรือพราหมณ์  ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญที่จะติเตียน
คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้  การกล่าวก่อนและการกล่าว  ตามกัน  10  ประการ  อันชอบด้วยเหตุของสมณะหรือพราหมณ์ผู้นั้น  ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว  ถ้าใคร
ติเตียนสัมมาทิฐิ  เขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีทิฐิผิด  ถ้าใครติเตียน
สัมมาสังกัปปะ  เขาก็ต้องบูชาสรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสังกัปปะผิด  ถ้าใครติเตียน
สัมมาวาจา  เขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาจาผิด  ถ้าใครติเตียนสัมมากัม
มันตะเขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีการงานผิด  ถ้าใครติเตียนสัมมาอาชีวะ
เขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีอาชีวะผิด  ถ้าใครติเตียนสัมมาวายามะ  เขาก็
ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีความพยายามผิดถ้าใครติเตียนสัมมาสติ  เขาก็
ต้องบูชา  สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสติผิด  ถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ  เขาก็ต้องบูชา
สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสมาธิผิดถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ  เขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญ
ท่านสมณพราหมณ์ผู้มีญาณผิด  ถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ  เขาก็ต้องบูชา  สรรเสริญท่าน
สมณพราหมณ์ผู้มีวิมุตติผิด  ฯ
    

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง  พึงสำคัญที่จะติเตียน  คัดค้าน
ธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะนี้  การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน  10  ประการ  อันชอบด้วย
เหตุของสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น  ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิในปัจจุบันเทียว  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้พวกอัสสะและพวกภัญญะชาวอุกกลชนบท  ซึ่งเป็นอเหตุกวาทะ  อกิริยวาทะ  นัตถิกวาทะ
ก็ยังสำคัญที่จะไม่ติเตียน  ไม่คัดค้านธรรมบรรยายมหาจัตตารีสกะ  นั่นเพราะเหตุไร  เพราะ
กลัวถูกนินทา  ถูกว่าร้าย  และถูกก่อความ  ฯ
    

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล  ฯ
        จบ  มหาจัตตารีสกสูตร  ที่  7
        _______________

ต้องเข้าไปศึกษาตั้งแต่มีสภาวะแล้ว ทำการอธิวจนสัมผัสโส เพราะพระพุทธเจ้าการสัมผัสแม้แต่ชื่อของรูปกายจะปรากฎไหม? เพราะนามกายก็ไม่รู้  

รูปกายก็ต้องมีสัมผัสนอกแล้วข้างในก็เป็นนามกาย แม้อาตมาจะแสดงออกถึงกายวิญญัติวจีวิญญัติอย่างไร แต่คุณเข้าใจในนามกายแล้วก็จะเข้าใจได้ดี อาตมาแสดงธรรมกับพวกเราสบายมาก เพราะพวกเราเข้าใจ รูปกาย นามกาย มีบัญญัติกำกับ มีอธิวจนะ และเพราะคุณมีสภาวะชัดเจนก็จะไม่งงไม่สงสัยไม่ตู่ไม่ว่าอาตมา เห็นอาตมาแสดงอาการก็จะไม่ว่า แต่คนข้างนอกเขาดูแต่เพียงอาการ รู้จากอาการผิวเผินภายนอก 

เมื่อมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ หรือมีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานย่อมสลัดมิจฉาทิฏฐิได้ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ เพราะทิฏฐิเป็นความเห็นความรู้ ว่าทานก็ต้องทำใจอย่างนี้ ไม่ใช่ทานแค่กายหรือภายนอก ทานต้องทำที่ใจ แต่อธิบายกันทั่วไปอธิบายให้ทำใจกันอย่างไร? 

ต่อมาก็ต้องมาทำที่สังกัปปะ เพราะใจเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง จะทำให้อย่างอื่นเจริญไปหมดได้ สัมมาสังกัปปะ จะขอท้าวไปถึง สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

สังกัปปะเป็นตัวมโน หากปฏิบัติ สังกัปปะ 7 ให้รู้สภาวะในจิต พิจารณามีธัมมวิจัยในจิต แล้วจัดการ อภิสังขาร ตอนแรกตั้งแต่หยาบ ขั้นหยาบเรียกโอฬาริกอัตตา ในบรรดาสัมมาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะอะไรหยาบกว่ากัน ก็ลำดับหยาบสุดคือสัมมาอาชีวะ ละเอียดสุดคือสัมมาสังกัปปะ 

โอฬาริกอัตตา จะต้องพิจารณาตั้งแต่ต้นมาหาปลาย ก่อนอื่นต้องละความหยาบ โอฬาริกอัตตาก่อน นี้คือทิฏฐิ เมื่อเข้าใจเช่นนี้ มิจฉาอาชีวะ เป็นกรรมอันหยาบกว่าเพื่อน กรรมที่เลี้ยงชีพด้วยอบาย เลี้ยงชีพด้วยการโกง (กุหนา) เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง(ลปนา) อันนี้เป็นทุจริตหยาบ คุณต้องเจตนางดเง้น (เวรมณี)ก่อน เมื่อถือศีล กัมมันตะก็ดี อาชีวะ 5 นั้น กุหนา ลปนา หยาบ 

พอมากัมมันตะก็มี ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร เอาง่ายๆก่อนที่ปาณาติปาตากับอทินนานทานา อย่าฆ่าสัตว์กับอย่าลักทรัพย์คือลดโทสะกับโลภะหยาบก่อน แม้กัมมันตะที่หยาบรองจากอาชีวะคุณก็ต้องเลิกทุจริต ตั้งแต่กระทบชีวิตสัตว์ ไปโกง หรือไปพูดก็ตาม ในมิจฉาวาจา ก็เร่ิมที่กัมมันตะก่อน ก็ละเลิกทั้งกัมมันตะ 3​ที่ทุจริต ทั้งกุหนา ลปนาด้วย

ศีล 5 ปานาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร แล้วการทุจริตทางอาชีวะนี้เป็นอบายทั้งนั้นต้องเลิก แล้วก็มารู้อบายที่มันเป็นทุกข์เป็นสุขที่ไร้สาระมอมเมาจัดจ้าน ไร้ประโยชน์เป็นเพียงเสพรสเท่านั้น การละเล่นก็คือกีฬา ที่แปลว่าการละเล่นเลย การแสดงบันเทิงต่างๆที่จัดจ้านซับซ้อนเสพอารมณ์ตอนนั้น มันเป็นของหยาบ เป็นอบายรส โดยเฉพาะราคะรส ส่วนโลภะคือโลภมาให้แก่ตน ส่วนโทสะก็คือทำร้าย ด้วยการโกงหลอกลวง ต้องเลิกให้ได้ทั้งกัมมันตะ อาชีวะ แม้แต่ผู้จะไปเกี่ยวข้องอยู่ ก็ให้เลิก 

เราเป็นเหตุปัจจัยเชื่อมโยงอยู่หรือเราทำแล้วก็บอกว่าเราไม่ได้ทำ คุณผิดไปเกี่ยวข้องกับกุหนา ลปนาหรือ มิจฉากัมมันตะอยู่ คุณยังเกี่ยวข้องอยู่ก็ยังเลอะอยู่ แล้วพูดว่าไม่ได้เกี่ยวก็ยังหยาบทางวาจาด้วย หยาบต้องละก่อนแล้วมาถึงสังกัปปะ 

สังกัปปะ 7 นี่ เป็นธรรมะสอง 
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ นี่เป็นหมวดหนึ่ง กลุ่มหนึ่ง

อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา นี่ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ปฏิบัติสองอันนี้เป็นธรรมะสองที่ต่างเพศกัน

ทำให้มันเป็นหนึ่งให้ได้ เมื่อคุณดำริ มิจฉาสังกัปปะ ดำริในกาม ดำริในพยาบาท โดยเฉพาะที่คุณติดในกาม ในพยาบาท กับเรื่องใดก็ตาม เช่นคุณมีอาชีพทุจริต จะเป็นขรก.หรือธุรกิจ ก็ทุจริต คุณก็เลิก 

จะรู้การนึกคิดได้ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะจะไม่รู้เลยว่าคุณอยากหรือไม่อยาก นอกจากอยู่ไปนานๆเลยเกิดอยาก แต่ถ้ามีสัมผัสจะรู้ได้ทันที เช่นตั้งศีล 5 แล้วสัมผัสอะไรก็ตามที่เข้าข่ายกามหยาบๆของเรา พยาบาทของเรา คุณก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของจิตนั้นให้ได้ อ่านในขณะมีผัสสะไม่ใช่ปฏิบัติในขณะหลับตา อ่านในขณะมีผัสสะ 

ก็ต้อง ดู [60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสอง
ด้วยประการดังนี้แล ฯ
 อย่างอวิชชามันก็รวมเป็นผี(ทุกข์)หรือเทวดา(สุข) ก็รวมเป็นเวทนาโดยส่วนสอง คือเวทนานี่จะมีสองคือ เคหสิตเวทนากับเนกขัมมสิตเวทนา เมื่อคุณไม่มีความรู้จะเนกขัมมะ เวทนาคุณก็รวมลงเป็นเคหสิตเวทนาอย่างเก่งของคุณอยู่แล้ว ใครก็ทำได้เก่ง คือปุถุชนอยู่แล้ว ใครไม่เคยไม่มี อวิชชาเป็นประธานอยู่แล้ว ได้แล้วก็เสพ เสพแล้วก็ไปหาสุขใหม่ไปเรื่อยๆ อะไรต้องการก็ดันทุรังให้ได้ ถ้าสุดทางไม่ได้ก็ยอม หรือก็ดันเข้าไป ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ก็แย่งไปใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา

ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้
ต้องมีความพอใจที่จะปฏิบัติธรรมมีฉันทะเป็นมูล แล้งจะได้ทำใจในใจได้ถูก ต้องทำใจในใจ ที่มันรวมลงที่เวทนา ในเวทนา 108 แม้มนสิการไม่เป็นก็ไม่ได้ผล แต่เขาแปลมนสิการว่าแค่พิจารณาเท่านั้น ซึ่งได้แค่ความนึกคิด แต่อาตมาไม่แปลว่าทำไว้ในใจ แต่อาตมาแปลว่าทำใจในใจ จับเหตุที่ใจ แล้วทำกิเลสนี่แหละที่เป็นองค์ประชุมรูปนาม ทำตัวนี้ให้ออกหรือออกจากมันให้ได้ คือเนกขัมมะ 

ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เกิดเวทนา อารมณ์ที่คุณเกิดเวทนาในจิตที่เป็นความรู้สึกอารมณ์ที่เป็นผัสสะ คุณปั่นอารมณ์ built อารมณ์ ก็สร้างเอา นั่นไม่ใช่ความจริง คุณทำของคุณเองไม่ใช่ความจริงที่เกิดจากผัสสะแล้วเกิดอารมณ์ ฟังดีๆ อาตมาว่าอาตมาอธิบายละเอียด
 

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสอง
ด้วยประการดังนี้แล ฯ
      ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะ
ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก
แห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    

(เมื่อมีปสาทรูป กับโคจรรูป (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) กระทบกัน ก็จะเกิดภาวรูป 2 (อิตถีภาวะกับปุริสสภาวะ) เราก็ทำให้รวมเป็นหนึ่งเป็น ปุริสสภาวะอย่างเดียว )

 เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ
นั่นเอง ฯ

   ( inputเหตุคือ processนิทานคือ out put คือสมุทัย out come คือปัจจัย ผลก็คือ impact คือคุณได้สุขทุกข์ สวรรค์หรือนรก)   

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้
      

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต
อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง
ปรากฏได้บ้างไหม ฯ
      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      

ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการ
เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ
      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    
(นามกาย เช่น เวทนา ซึ่งเป็นธรรมะสอง ถ้าไม่มีผัสสะจะเกิดนามกายไหม? ก็ไม่เกิด กายคือองค์ประชุมรูปนาม ทั้งนามรูป ซึ่ง นามมี 5(เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) ส่วนรูป คือรูป 28)
แต่ไม่มีผัสสะก็ไม่ใช่ของจริง แม้คุณจะนั่งนึกแล้วคิดแวบไปหาสัญญา มันก็ไม่ใช่ของจริง อาตมาจึงเน้นให้ปฏิบัติกับปัจจุบันส่ิงจริงไม่ใช่ไปปฏิบัติกับความจำ ที่มีแค่ความคิด สังกัปปะท่านไม่ได้สอนให้แค่นึกคิด แต่ว่าให้มีผัสสะแล้วอ่านสังกัปปะ ที่มันจะมีวิตก_วิจัย_วิจาร_วิการรูป 5 

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ(อธิวจนสัมผัสโส)    ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส)
ก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      (เช่นไม่รู้อาการกาม เช่นตากระทบทุเรียนแล้วเกิดอาการอยาก ถ้าไม่ได้ผัสสะจะมีอาการเช่นนี้ไหม?ก็ไม่ได้เลย ทั้งการตั้งชื่อและการกระทบสัมผัส) 

อาตมาพยายามเจาะละเอียด เอาตามที่ท่านแปลก่อน ถ้ามันไม่ค่อยถนัดใจอาตมาก็ค่อยแถมเติมเข้าไปซึ่งยิ่งเห็นยิ่งละเอียดชัดเจนมาก อาตมายิ่งสนุก ใครไม่สนุกก็แล่วแต มันก็ยาก อาตมาก็เห็นใจแต่ยากอาตมาก็ต้องสอน อย่ามาห้ามเสียให้ยากเลย ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:14:33 )

580617

รายละเอียด

580617_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก เชิญฤาษีออกจากภพ เชิญกบออกนอกกะลา

พ่อครูว่า...เรื่องขายสดงดเชื่อนี้ ขอย้ำเลยว่าต้องทำให้ได้ทำไม่ได้ไม่ใช่เลือดอโศก ไม่อย่างนั้นไม่ได้หรอก เป็นเชื้อโรคร้ายทำให้คนติดนิสัย เป็นระบบทุนนิยมอันเลวร้าย

วันนี้มีคนนิมนต์ให้เทศน์กัณฑ์ "เชิญฤาษีออกจากภพ เชิญกบออกนอกกะลา"

เป็นลักษณะของคน ที่ในศาสนาเขาก็เข้าใจผิด ทางโลกก็เข้าใจผิด ที่ใช้ภาษาว่า ฤาษีออกจากภพ เชิญกบออกนอกกะลา ก็คือคนที่ไม่รู้จักภพ ไม่รู้สภาวะ ฤาษีนี้ไปติดยึดในภพ ส่วนมากจะไม่เอาถ่านสังคม ออกป่าเขาถ้ำ ไปอยู่แต่ผู้เดียว คือความสุดโต่งอย่างหนึ่งของศาสนา เหมือนกบในกะลา ไม่รู้เหนือใต้ ไม่รู้วันเวลา นิ่งเงียบดับ ไม่ได้ใช่กรรมให้เป็นประโยชน์คุณค่า อย่างกับกบในกะลา หรือ กบจำศีล มันอยู่ในดินที่เป็นโพรง 

ลักษณะเช่นนี้คือเห็นแก่ตัวเต็มรูปแบบ เห็นแก่ตัวเองเอาแต่ตัวเองเลย มันผิดลักษณะของสัตว์โขลง คนเป็นสัตว์โขลงที่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างเกื้อกูลกัน ถ้าจิตดีจะเป็นเช่นนั้น แต่จิตไม่ดีก็ทำร้ายฆ่าแกงกันเป็นสัจจะวนเวียน ตามยุค แต่ยุคนี้มาก ซับซ้อนหลอกหลวง ดราม่า ตนเองแสนอำมหิตแต่หลอกว่าตนเมตตา หลอกจนคนเชื่อ เลวร้ายแรงมากซับซ้อนมาก 

ศาสนาพุทธมีสองทิศ ทิศหนึ่งหลงฤาษีติดภพ แล้วอีกทิศเป็นเทวดาที่จะสุดโต่งอีกทาง คือเทวดาที่กว้างเกินเป็นเทวดาหลงขยายจักรวาลไม่สิ้นสุดนั่นก็สุดโต่งอีกแบบ

พวกติดภพคือศรัทธา เจโต ดูจะไม่เป็นภัยแก่ใคร แต่ทำตนให้เป็นสัตว์ไร้ค่าไปเลย พระพุทธเจ้าก็มาสอนเรื่องนี้ แม้จะอยู่กับสังคมก็ไม่เป็นเทวดาสร้างจักรวาลไม่สิ้นสุดก็ไม่เอา ตอนนี้พวกหลงจักรวาล star wars รบกันนอกโลกวุ่ยวายกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนเรื่องนี้ให้เลิกเรื่องนี้

พวกที่เป็นฤาษีเป็นกบก็ไม่คิดอะไรให้จิตนิ่งสงบที่สุด ไม่วุ่นวายแย่งชิงกับใคร ก็ยังอยู่ดีกว่าเทวดาที่ไปแย่งจักรวาลฆ่าแกงกัน มาถึงยุคนี้ความรู้ของพุทธกร่อนเหลือแต่ ดีที่สุดแค่กบในกะลา แม้จะดีที่สุดก็เอาแต่ของเราหมู่เราหรือยึดของเราเป็นเรานี่คือติดภพ 

ของพุทธเราจะทำพลังงานสองให้เป็นหนึ่ง ทำอิตถินทรีย์ให้เป็นปุริสสินทรีย์ แต่พวกฤาษีจะทำไม่ได้เพราะไม่มีการสัมผัส แม้แค่อธิวจนสัมผัสโสก็ไม่มีคือแม้แต่ชื่อก็ไม่เรียก แล้วยิ่งที่กระทบสัมผัสภายในก็ไม่ได้ศึกษา ก็ปิดประตูนิพพานเลย นั่งสงบฤาษีดับปี๋เป็นฤาษีหรือพรหมสุภกิณหะ นึกว่านิโรธ ซึ่งไม่ใช่ นิโรธของพระพุทธเจ้าคือดับกิเลส 

ติดคือยึดตกคือตกภพ ใครจะทำอะไรฉันก็ไม่เกี่ยว ฉันชอบอะไรก็ทำของฉัน นั่งแคะขี้เล็บ นั่งเกลาขี้กลาก ไม่สนใจใคร ใครจะเป็นจะตาย จะมีการงานอะไรก็ไม่ยุ่งเกี่ยว อยู่กับหมู่นี่แหละแต่ก็กินแรงหมู่ หมู่จะต้องใช้สะพัดช่วยโลกก็ไม่ช่วยเลย ตอนนี้เราลดราคาปุ๋ยเราลงเพื่อช่วยประชาชน ที่บ้านราชฯ ตอนนี้ขายถูกลงมาก เราต้องทำของดี ราคาถูก ขายสด งดเชื่อ

ระบบเงินเชื่อนี่เลวร้ายมาก ใช้ความเป็นเจ้าหนี้เป็นอำนาจ เราต้องเลิกระบบขายเชื่อซื้อเชื่อมันทำให้นิสัยเรามักง่าย เราพยายามพัฒนาทุกอย่างเพื่อช่วยประชาชน เราทำขยะที่มีทั้งขยะแห้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เราก็ทำลายทิ้ง ขยะอันไหนใช้ได้เราก็เอามาใช้ใหม่ อะไรหมดทางก็ reject ไป นั่นคือขยะวัตถุ

อาตมาเอาขยะมาพูดไว้เป็น 3 อาชีพกู้ชาติ หรือ 3 อาชีพเพื่อมนุษยชาติ

ผู้ที่เป็น ฤาษีติดภพ เป็นกบในกะลา นี่แหละคือ ขยะสังคม 

ขยะสังคม ขยะมันทำอะไรใครไม่ได้มันเป็นขยะแห้ง แต่ถ้าเป็นขยะเปียกนี่มันเน่าได้เกิดแบคทีเรียเป็นโรคระบาดได้ ขยะที่แตกตัวเป็นแบคทีเรียเราก็ไม่ทำ ขยะแห้งก็ไม่ให้เป็นกัมมันตภาพรังสี ถ้าเราไม่ทำถึงนิวเคลียร์ก็ปรับได้ แต่ถ้าถึงระดับนิวเคลียร์ก็ปรับยาก เพราะมันแตกตัวถึงกัมมันตรังสีพิษ ต้องมีความแรงมากของนิวตรอนที่แรงมาก แล้วเกิดปฏิฆสัมผัสโส กระทบกระแทก ถึงระเบิดออกมาก็แตกตัวเป็นภัย ที่จะเป็นภัยมาก็นิวเคลียร์ฟิชชั่นแตกตัวไอโซโทป เป็น chain reaction ไกลไม่มีที่สิ้นสุดแต่มันก็จางคลายลงเป็น half life ถ้าเราทำให้ระเบิดเราก็คุมให้ระเบิดได้สัดส่วน ถ้าเราคุมตัวพิษได้ ตัวพิษของวัตถุเราคุมไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำเลย เราจะไม่สร้างระเบิดนิวเคลียร์แม้จะทำได้ 

เรามาจัดการที่คน ไม่ให้คนมีใจจะไปสร้างระเบิดนิวเคลียร์ โดยการจัดการนิวเคลียร์ กำหนดค่าของพลังงาน ที่ถึงขั้นรู้จัก genome สูงสุด genome ของมนุษย์เป็นข้อมูลพันธุกรรม สามารถควบคุมถึง mitochondria genome

ในวัตถุเขาไม่รู้ genome หมด แต่ในชีวะเขารู้ genome มีพลังงานเกิดเคลื่อนไหวก็เป็นเชื้อของพลังงานจิต ที่เป็นต้นทางการเกิด chromosome อยู่ใน gene ใน DNA มี genome ศาสนาพุทธเรียนถึง genome เรียนถึงเวทนา 

ตัวเวทนานี่แหละคือ Atom มี สามพลังงานนี้ 

อิเล็กตรอนคือพลังงานอิตถีภาวะ(อิตถีลิงค์)
พลังงานโปรตอนเป็นปุริสสภาวะ (ปุงลิงค์)
พลังงานนิวตรอนเป็นนปุงสกลิงค์ คือไม่มีเพศ(นปุงสกลิงค์)

พระพุทธเจ้าให้อ่าน kinetin energy ที่มันเคลื่อนเป็นเพศชาย/หญิง หรือ บวก/ลบ เราสามารถรู้สภาวะนามธรรมในจิต ตั้งแต่กระทบสัมผัส มีพลังงานเกิดเป็นเวทนาก็เรียนรู้ เวทนาในเวทนา เป็นเวทนา 108 ตัวสำคัญคือ มโนปวิจาร 18 มีโลกียะ/โลกุตระได้ แล้วสามารถควบคุมพลังงานเคหสิตเวทนาที่เป็นพลังงานกัมมันตภาพรังสีพิษไม่ให้เกิด ให้เป็นพลังงานเนกขัมสิตเวทนา 

ควบคุมได้ก็เป็นเอกบุรุษ เป็นสัตตบุรุษ มีมัตตัญญุตา ควบคุมอย่างได้สัดส่วน แม้จะเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นก็ควบคุมพลังไม่ให้ไปรุนแรงต่อบุคคลใด แต่ให้เป็นพลังงานไปแก้ไขปรับปรุงคนได้ หรือปล่อยพลังงานต่อส่วนหมู่กลุ่มก็ไม่เป็นพิษ ทุกขนาด เพราะรู้จักอัตถะ ธรรมะ รู้จักองค์รวมหรือส่วนย่อย รู้พลังงานที่ดีที่สุด มีชีวิตชีวะอบอุ่นดีงามสดชื่น ภาษาของชีววิทยาเรียกว่า cytoplasm 

สรุปคือควบคุมพลังงานพิษได้ ไม่ว่า fission หรือ fusion เพราะรู้จักโครโมโซมทั้ง 46 แท่ง ซึ่งมีอยู่ 23 คู่ ซึ่ง 22 คู่นั้นเหมือนกันหมด เป็นรูปร่างเหมือนตัว X ซึ่งมันมีขาสั้นขายาว ขาบนมันสั้นขาบนมันยาว ก็มีชื่อเรียกต่างกันไป มันมี 23 คู่ แต่ 22คู่นี้ เป็นXX เหมือนกัน แต่มีคู่สุดท้ายที่ 23 นี้ต่างกัน
ของชายเป็น XY ของหญิงเป็น XX

มันมีแรงที่จะไปทำอะไรแก่คนอื่น พลังงาน XY นี้เป็นพลังงานซับซ้อนที่เป็น potential energy คนไม่รู้ก็รู้แค่ว่ามันต่างกัน แต่สุดท้ายเลย ทางวิทยาศาสตร์จึงปล่อยทิ้งเลย เขาทำอะไรพลังงาน XY นี้ไม่ได้ นี่คือพลังงาน genome ที่มีสองสภาพเหมือนกัน เขาแยกไม่ออกส่องกล้องไม่รู้ ตัว DNA นี้เป็นตัวควบแน่น ส่วน genome คือ sperm ส่วน gene คือ ไข่ 

อยู่ใน gene ก็เคลื่อนที่ดิ้นได้ คือ kinetic energy  ส่วน DNA นี้เป็น static energy จริงๆ DNA คือเพศชาย เป็น XY แต่จริงๆมันมี XX แล้วมี Y อีกหนึ่งเป็นของแถม เมือเรียนรู้ Y นี้ไม่ได้ควบคุมไม่ได้ก็เป็นกัมมันตรังสีพิษ ผู้คุมได้จะเปลี่ยนจากความรู้สึกร้ายมาเป็นความรู้สึกดี ความรู้สึกโทสะมาเป็นไม่มีโทสะ ความรู้สึกราคะรุนแรงมาเป็นความรักเพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นความรักมิติที่ 7 รับใช้มนุษยชาติ ทำงานเพื่อมนุษยชาติ พระเจ้านี่เหนื่อยที่สุด ยิ่งสังคมโลกตีกันมากพระเจ้ายิ่งเหนื่อยไปห้าม 

ผู้คุม XY หรือ XXY ได้ ในธาตุของชายจะมี XXY ไม่ใช่มีแค่ XY แต่คนอวิชชาจะมองไม่เห็น คิดว่าเป็นแค่ Y แต่ที่จริงมี X อยู่ มันมีมากกว่าเพศหญิงที่มีแค่ XX แต่เพศชายมี XXY นี่คือ genome ที่เป็นตัวแปรสำคัญ เราก็ทำ genome จากที่มันเป็นพิษไม่รู้ดีรู้ชั่วทำร้ายคน ก็ให้เป็นพลังงานดี มีพลังงานเปลี่ยน Y มาเป็น X โดยคลี่ขา Y ให้มาเป็น XX ก็ได้พลังงานเพิ่มมา 

ถ้าสามารถอ่านอาการเวทนาที่เป็นโทสะ เป็นกามที่รักที่ไม่รวมกันอย่างกลมกลืน แต่รักอย่างแน่นเกินไป หรือมันมาอาศัยรักกันแบบกาม สัมผัสเสียดสีก็ไม่มีแล้ว ส่ิงเหล่านั้นไม่มีแล้ว สรุปคือรักอย่างไม่เป็นกาม รักอย่างไม่เป็นภัยคือความรักมิติที่ 7 เป็นความรักที่เป็นโครโมโซมชีวิตที่ไม่เป็นพิษภัย สมบูรณ์แบบ

ผู้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าอ่านอาการจิต ที่เป็นพลังงานที่อ่านได้ เป็นอาการ ลิงค นิมิต จนสามารถ จัดการให้เป็นพลังงานสองให้กลายเป็นหนึ่งได้ มีสองขาก็ได้เป็นขาเดียวก็ได้ ไม่ทะเลาะกันอยู่ด้วยกันอย่างดี นี่คือสุดยอดพลังของพระพุทธเจ้า 

อาตมาทำงานมาครบ 45 ปีแล้ว กับอีก 12 วันพอดี ที่ขยายความวันนี้ละเอียดนะ ปรมัตถ์ลึกๆมักมาขยายที่ศีรษะอโศกเป็นที่แรก เป็นหัวสมองนะ ถ้าหัวสมองดีก็ดีไป แต่ถ้าเกเรก็แย่ 

ผู้ศึกษาจะรู้รายละเอียดพวกนี้หากเป็นฤาษีติดภพก็ไม่ได้เรียนรู้ ไม่สามารถทำให้พลังงานจิตตน บริสุทธิ์ สมบูรณ์ได้ พระพุทธเจ้ามีทฤษฎีเลย ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยไม่ใช่เอาแต่หลับตาเข้าภพ แต่การนั่งหลับตาสงบก็ใช้เป็นอุปการะได้ อาตาตอนเช้าๆก็ทำ คุยกับเทวดาในภพ เตวิชโช มีได้ทั้งของเก่าและส่ิงใหม่ที่เพ่ิมมาได้ วันนี้ที่ขยายความได้ถึงที่สุด ผู้มีปัญญาจะรู้ว่าคือพลังงานตัวจบ ถ้าใครควบคุมพลังงานนี้ได้จัดการตัวพลังงานโทษไม่ให้เกิดได้ เป็นอมตบุคคลควบคุมการเกิดการตายได้ เมื่อไม่ให้เกิดก็ไม่มีการตาย เป็นผู้ที่ใช้พลังงานแบบ อมรโคยาน คือพาหะที่จะดำเนินไป (โค) อย่างอมระคือไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่ให้เกิดการตาย 

ส่วนผู้ไม่รู้จะเป็นอปรโคยาน ปล่อยเป็นพิษไปอย่างอวิชชา ก็จะมีธาตุใหม่เป็นพิษที่คุมไม่ได้เกิดตลอด มนุษย์อุตรกุรุทวีปจะรู้อปรโคยาน อมรโคยานแล้วจะคุมการเกิดการตายได้ กำหนดการเกิดตายให้พลังงานได้ประมาณพลังงานให้แรงเท่านี้เป็นลหุตาได้ ในวิการรูป ให้เบาเท่าที่ควร แล้วให้มันทำงานอย่างกัมมัญญตาได้อย่างดีงาม เพราะจิตเป็นมุทุภูตธาตุ เป็นจิตที่ไวทั้งปัญญาทั้งจิต รู้ลึกเร็วมากแล้วปรับเป็นคุณได้หมดไม่เป็นโทษเลย ปัญญาก็ไว เจโตก็เร็วปรับได้ไม่กระด้าง ผู้ใดมีจิตแข็งเหมือนฤาษีติดภพ เหมือนกบในกะลา 

ถ้าดื้อโง่ก็ไม่รู้คือ ถีนังมิทธัง 

ถ้ารู้นะแต่ไม่เอาเรียกว่า อุทธัจจะกุกกุจจะ คือรู้นะว่าดีแต่ปล่อยหายไป รู้แต่กูจะดื้อ ส่วนพวกดื้อที่ไม่รู้คือพวกโง่ไม่รู้ตัว พวกดื้อไม่รู้นี่พอสงสารเพราะเขาไม่รู้จริงๆ ส่วนพวกปัญญาน่ะรู้ว่าอะไรผิดหรือถูก กูก็ไม่เอาด้วย กูจะขวางเช่นนี้ พวกนี้คบยาก คบไม่ได้ 

พวกกบในกะลาหรือฤาษีติดภพคือส่วนมากไม่รู้ ต้องออกมาให้รู้ ให้เขาแคะเขาตีให้แตกก็จะได้รู้ขึ้นมาไม่เช่นนั้นก็แข็งเป็นก้อนเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอน เจโตปริยญาณ 16

นอกจากรู้ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วให้ลด เป็นวีตราค วีตโทส วีตโมห ได้ถ้าลดได้ก็มีปัญญา เมื่อจัดแจงได้ตอนแรกก็ยังไม่ดีเป็นคู่ ถีนนังมิทธังกับอุทธัจจะ กุกกุจจะ ก็ได้เป็นสังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตตัง 

คือคนลดกิเลสได้แต่สายถีนังมิทธังคือสังขิตตจิตก็จะจับตัวเป็นก้อน ยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องทำต่อให้เป็นมหรรคตจิต เจริญขึ้น ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่เจริญต่อ 

สายอุทธัจจะก็เป็นวิกขิตตังจิตตังก็ฟุ้ง หากทำได้ต่อก็เป็นมหรรคตจิต เจริญเรื่อยๆเป็นสอุตตรจิต แล้วดีกว่านี้ยังมีอีก จนทำได้เป็นอุตตรังจิตตัง เป็นสมาหิตัง เป็นวิมุตจิต มีทั้งความรู้ตั้งมั่นแข็งแรงบริบูรณ์ เป็นเจโตปริยญาณ 16 ครบทุกอย่าง

ธรรมะพระพุทธเจ้ามีครบทุกอย่าง ก็อย่าติดภพ ถ้ารู้ว่าตนขี้เกียจไม่อยากไปช่วยกลุ่มก็ต้องฝืนตนเองออกมา คนไม่ค่อยเข้าประชุมก็ต้องหมั่นเข้าประชุม ยิ่งมีอำนาจในการจัดการ แล้วคนอื่นเขายอมด้วยแล้วไม่เข้าประชุมก็เอาแต่ความเห็นตนทำไปก็จะเสียหาย หรือเป็นกบในกะลาก็คือสวะของหมู่ เป็นปาราสิต เป็นตัวเกาะกินหมู่เท่านั้นเอง เราจะต้องมาร่วมกับหมู่อยู่กับหมู่ไปเรื่อยๆ อะไรรับไม่ได้ก็เอาไว้ก่อน อะไรรับได้ก็ทำ 

เจตนาให้เกิดปฏิกิริยาเกิดพลังงานกระทบกันเอง แล้วสามารถทำให้เกิดสงบรำงับ ปฏิปัสสัทธิ

โดยมี ปฏิฆสัมผัสโส-ปฏิกิริยา-ปฏิปัสสัทธิ แล้วมีวิการรูป จัดสภาพ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา อย่างมีกายวิญญัติ วจีวิญญัติที่คุมได้ ปล่อยออกมาสู่โลก

นิวเคลียสของชีวะก็มีโครโมโซมเป็นสาย 

ถ้าเป็นพลังงานฟิสิกส์แตกตัวเป็นพลังงานนิวเคลียร์ fission หรือ fusion แต่เขาคุมไม่ได้ ให้มันแตกตัวไปทำลาย ฮิโรชิม่า นางาซากิ เป็นพลังงานที่ไม่รู้ เป็นพิษแรง เป็นกัมมันตภาพรังสีที่ร้ายแรง เช่นเดียวกับนัยทางจิต อำมหิตมากๆระเบิดแรงฆ่าแกงกัน รักมากๆก็กลืนกินกันตายคาปากได้เลย มันรุนแรงก็เป็นเช่นนั้น

แต่ผู้รู้จะประมาณได้อย่างปโหติ จัดแจงตรงสังกัปปะ จัดสัดส่วนตั้งแต่ในใจ เมื่อปล่อยจากมโนสู่วจีก็พอเหมาะไปสู่กัมมันตะก็พอเหมาะ ไปสู่อาชีวะก็พอเหมาะ เลี้ยงชีพทั้งเราทั้งเขาก็พอเหมาะ จึงถือว่าวายามะและสติก็พอเหมาะ มีพลังงานพยายามเต็มเลย

อารัพธาต อารัมภธาตุ นิกกมธาตุ สามเส้า พอเป็น 4 คือปรักกมธาตุก็ไปเป็นอื่นถ้าคุมไม่ได้เป็นพลังงานผีทำร้ายคนอื่น แต่ถ้าคุมได้จะเป็นพลังงาน ถามธาตุ สูงขึ้น แล้วเป็นธิติธาตุ สองหน่วย แล้วก็ต้องเกิดเป็นสามเส้า พลังงานตัวที่ 7 เป็นพลังงานพยายามเรียกว่า อุปักกมธาตุ เป็น chain reaction ถ้าคุมไม่ได้เป็นนิวเคลียร์กัมมันตรังสี แต่ถ้าคุมได้เป็นพลังงานเอกัคคตา เป็นหน่วยหนึ่งหรือ 0 นี่แหละ เป็น 11 สุดท้าย 

โครโมโซม มี 44 แท่ง ที่เป็นส่วนทั่วไปอีกคู่ท้ายเป็นความต่างอีก เขาไม่สามารถทำให้เป็นหนึ่งได้เหมือนกันไม่ได้ แล้วก็คุม xy ไม่ได้ด้วย 

ตอนนี้ชั้นฟ้าลอยไปมากอย่างแก่นฟ้า ก็ให้ลดลงมาสู่ดินหน่อย เป็น fissionที่แตกกระจายไปเรื่อยก็ให้มารวมตัวช่วยกันคิด ฟังกันให้คนอื่นช่วยคิดช่วยทำ ไม่ใช่เอาแต่ของเราคนเดียว จริงๆแล้วเสียหายเราก็เป็นต้นตอ แล้วถ้าดีก็ดีคนเดียว แต่หลายหัวดีกว่าหัวเดียว ถ้าเจริญก็เจริญร่วมกัน ไม่เจริญก็ไม่เจริญร่วมกัน ไม่ใช่ว่าเจริญก็เอาแต่ของฉัน แต่ถ้าไม่เจริญก็ไม่เกี่ยวกับฉัน มันก็ไม่ดีนะ 

มาพูดถึงปัจจุบันสังคมที่ศีรษะอโศก ปฐมอโศก ราชธานีอโศก หรือที่อื่นก็ฟังได้หมด สีมาอโศก ภูผาฟ้าน้ำ หินผาฟ้าน้ำ อะไรก็แล้วแต่ ทะเลธรรมก็ตาม แม้จะเป็นชุมชนอื่นที่ไม่ตั้งเป็นพุทธ_สังฆสถานก็ตาม ก็ดูว่าหมู่รวมสังคมเราตอนนี้ อาตมาก็บังอาจจะพูดว่า 

สังคมอโศกยังเป็นตัวหลักตัวตั้งของสังคมที่จะรวมประเทศ ตอนนี้เขาก็รวมอาเชี่ยน ที่แต่ก่อนทางยุโรปเขารวมตัวมาแย่งทรัพยากรในเอเชียไปเยอะ แต่ต่อไปเอเชียจะเจริญไม่ต้องไปสร้างอาวุธจะมีเทคโนโลยีก็มาสร้างทางพัฒนา สิ่งเป็นประโยชน์ เป็นปัจจัย 4 มีคุณค่าช่วยสังคมประเทศชาติ ชาวอโศกเราต้องเป็นตัวอย่าง ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้หลงตัวหลงตน แต่เชื่อว่าเป็นความบริบูรณ์

พวกเราต้องสำนึกอย่าอวดตัวอวดตน แต่ที่พูดนี่ไม่่ได้อวดตัวอวดตนนะ อาตมาไม่มีสาเฐยจิต ที่เป็นอุปกิเลส 16 ตั้งแต่ อภิชาวิสมโลภะที่เป็นสายดูด สายกาม ท่านรวมไว้ที่อันนี้ ส่วนจากนั้น พยาปาทะ โกธะ อุปนาหะ .....ไปจน นี่คืออุปกิเลส 16 

ตัว 15 ตัวหลังคือสายโทสะ เป็นสาเฐยจิต มันรวมตระกูลใหญ่ของสายโทสะ 

พยาบาทคือความผูกโกรธรุนแรง ข้ามชาติเลย โกรธมีสองนัย นัยหนึ่งโกรธง่ายหายเร็วคือโกธะส่วนโกรธแล้วพยาบาทเรียกว่าอุปนาหะ ตัวโกรธแล้วผูกโกรธ ส่วนโกธะกับโทสะเป็นตระกูลไม่ผูก ส่วนพยาปาทะกับอุปนาหะเป็นสายโกรธแล้วผูกใจต่อ เราจะรู้อาการจิตที่เป็นเช่นนั้น ใครรู้ตัวไหมว่าโกรธง่ายหายเร็ว...ใครรู้สึกตัวไหมว่าโกรธแล้วอยากแก้แค้นต่อเหมือนหนังจีน

หนังจีนนี่สร้างกิเลสผูกโกรธต่อกันไปมากเลย ต้องแก้แค้น บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ นี่คือหนังจีนที่เลวร้ายอาละวาดไปทั่วโลก เป็นทุภาษิตที่เลวร้าย มันต้องมาอภัยไม่ผูกโกรธ 

จากนั้นไปเป็น มักขะ ปลาสะไป....

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้) 
2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา) 
3. โกธะ (โกรธ) 
4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ) 
5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) 
6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน) คือวิปลาส ไปแล้ว 
7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี) แต่คำว่าอิจฉา นี่เป็นคำกลางๆ แต่ถ้าอิสสาเป็นอุปกิเลสตัวร้าย คือไม่ต้องการให้ใครได้ดี 
8. มัจฉริยะ (ตระหนี่) คือตระหนี่ถี่เหนียวหวงแหน เราต้องเปลี่ยนจิต 
9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง) 
10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง) 
11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก) 
12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน) 
13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา) 
14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) 
15. มทะ  (มัวเมา) 
16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ) 
(พตปฎ.เล่ม 12  ข้อ 93) 

ขณะนี้มีคนลบหลู่คุณอาตมาเยอะนะ มันรู้ดีของตนเองได้อย่างไร คนอื่นผิดหมด ดีแต่ว่าอาตมามีพยัญชนะคือสยังอภิญญา ที่ไม่ใช่สยัมภู อาตมาคือสยังอภิญญาที่จะมาทำงานในยุคนี้ต่อไป เขาเข้าใจไม่ได้ก็ลบหลู่คุณ เขาเข้าใจผิด 

พอทำมา 45 ปีก็ลดคนลบหลู่ และยกตนข่มก็ลดไปเยอะ  อย่างมหาระแบบก็ตายไปแล้ว ตอนเจอกันครั้งสุดท้ายที่ห้องส้วมสนามบิน ก็เจอกัน อาตมาก็สบตาท่านหน่อยแล้วก็รีบหลบไม่สบตาต่อ แล้วได้ข่าวว่าท่านป่วยนอนอยู่กับที่ไม่ไปไหน ที่พูดนี้ไม่ได้โกรธเกลียดท่านนะ อามาไม่เก็บความโกรธหรือเกลียดชัง ก็ขอบคุณที่ท่านกระแทกกระทบกระเทือนนี่ทุกอย่างเลยเผยออกมา แม้อาตมาต้องรับวิบากบ้างก็ตาม ต้องไปขึ้นศาลตั้ง 6 ปี 6 เดือน 6 วัน ก็ไม่ได้ติดใจ ถือว่าเราได้สร้างความอดทนได้ประโยชน์ทางรูปธรรม นามธรรม จนถึงวันนี้ก็เป็นไปตามธรรม

หมู่บ้านเราก็เกิดหมู่บ้านอาริยบุคคล พูดอย่างเหมือนอวดตัวตน แต่พูดให้ชัดไม่ได้หลงเลอะ ไม่มีมายา สาเฐยยะ ไม่ได้หลอก ไม่เป็นดราม่า หรือ pretender อาจดูแข็งๆหน่อยเพราะจริงใจ ไม่มีจิตไม่ดีผสมส่วนในจิตเราก็ต้องอ่านให้ละเอียด ว่าราคะโทสะโมหะอย่างเบาแรงอย่างไรก็ให้ลด จนไม่มี อาตมาว่าอาตมาจิตสะอาดไม่มีหยิ่งผยองไม่มีมานะ อติมานะ มทะ ปมาทะแต่อย่างใด

มานะ คือถือดีถือตัวเป็นอติมานะเพิ่มขึ้น จนเมาตนเองคือ มทะ และก็มีเมาหลายระดับ หยาบ กลาง ละเอียด มทะคือรวมความเมาหมดตั้งแต่หยาบกลางละเอียด สุรา เมรยะ มัชชะ ส่วนมทะก็รวมหมด ถ้าใครยังมีมทะก็กลายเป็นปมาทะเท่าที่เราจะเมาหนัก คนที่สุราเมาหนักก็ประมาทจนไม่รู้ตัว คนเมายาเสพติดหนักเป็นดำฤษณา พ่อแม่ก็ฆ่าได้เป็นต้น

คนมีพยัญชนะก่อน มีอธิวนะ เมื่อมีการสัมผัส แล้วเกิดมีนามเรียก จากการกระทบปฏิฆสัมผัสโส กระทบกันแล้วเกิดสภาวะเรียกว่า ฆ หรือคณะเป็นกลุ่มก้อนตัวตน ปฏิกิริยาระหว่างสองอย่างเกิดลูกขึ้นมาเป็น ฆ ก็ให้อ่านให้รู้เรียน ไม่ใช่นั่งหลับตาปฏิบัติธรรมกัน

ต้องเจริญทางจิตใจก่อน แล้วจิตจะคุมวัตถุ ไม่สร้างสิ่งเป็นพิษ จะเป็นเครื่องมือหรือผลผลิต ก็ตาม ก็พยายามไม่ให้มีพิษภัย จึงเป็นผู้สร้างที่มีปัญญารู้จริงใจ เป็นพระเจ้า เป็นพระผู้สร้างที่สุดยอด ขออภัย สายพระเจ้านี่ สร้างเพศชายมาคืออดัมส์ แล้วก็สร้างอีฟมาอีกตน แล้วอีฟก็กลายตัวเป็นซาตานไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปคบกับงู ตัวซาตาน งูช่วยกินแอปเปิ้ล กินแล้วอร่อยก็เกิดกิเลส อร่อยก็เอามาให้อดัมส์กินด้วยก็อร่อย แต่อดัมส์ก็สำนึกได้ เกิดลูกกระเดือก ที่ชื่อว่า Adam's Apple คือใครทักก็ไม่รู้ ก็ติดคอ 

พระเจ้าก็เลยปล่อยเพราะไม่รู้ว่าพลังงานอะไรมาคุมอีฟให้กินแอปเปิ้ล ลูกหลานของอีฟคือ XX ก็คุมไม่ได้ออกมาทำลายโลกทุกวันนี้ 

แต่พระพุทธเจ้าให้ควบคุมจิต มโนปุพพังคมาธัมมาฯ แล้วจะปล่อยออกไปให้เป็น fusion หรือ fission ก็ตามก็ควบคุมได้หมด เป็นเวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ จากอิตถีเพศมาเป็นเอกบุรุษ สามารถทำให้เอกบุรุษนี่เป็นนปุงสกลิงค์ได้ คือเป็น 0 สุดยอดแล้ว สามหน่วยของพระพุทธเจ้านี้เป็นอะตอมที่เป็น 0 1 2 ไม่ใช่ 1 2 3 แต่ 0 1 2 นี่เป็นพีชนิยามไม่ออกไปอาละวาดใคร คุมได้ นี่อธิบายเป็นรูปร่าง 

ที่นี่เป็นศีรษะควรเป็นหัวดาวหาง ที่นี่โกอินเตอร์ก่อนเขาเลยนะ ทางนามธรรมอย่าแตกระแหง พยายามช่วยกันทำ มันไม่ล้มล้างหรอกอาตมากล้าพูดได้ว่าไม่ล้มล้างหรอกศีรษะอโศก 

อาตมาไม่มีการวางแผนล่วงหน้านะ แต่ว่าก็หลายคนก็ว่าอาตมามีญาณยาวไกล ก็มีจริงอย่างชื่อนี่อาตมาก็รู้ว่าทำไมเขาต้องชื่ออย่างนี้ๆ เช่นอย่างมหาระแบบทำไมไม่เชื่อระเบียบหรือระบอบ ก็เพราะเป็นระเบียบเกไง ก็ขออภัยที่วิจารณ์ท่าน ถ้าไม่มีท่านอโศกก็ไม่ได้พัฒนาเช่นนี้ เป็นที่รู้จักเช่นนี้นะ ก็ไม่ต้องคิดต้องสนใจมากเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แต่เอาส่ิงที่จริงที่ยืนยันได้ให้จำนนกันได้เลย

เช่นสังคม ผู้รู้น่าจะจำนนอาตมาที่ว่า อาตมาพิสูจน์ทฤษฎีในหลวง และพระพุทธเจ้าที่ให้มาเอาแบบคนจนหรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรานี่มันทำได้จริง ดีจริงนะ เราเข้าใจถูก เราพิสูจน์ว่าเราจริงใจขายขาดทุนให้สังคมจริงๆ ทุกวันนี้ตลาดอาริยะเราจัดเป็นประเพณี ปีหนึ่งทำใหญ่ครั้งหนึ่งก็ได้มากขึ้นๆ แต่นอกจากครั้งใหญ่ แล้วก็มีครั้งย่อยๆเพิ่มมาก็เจริญขึ้น เราไม่ได้ทำดราม่าหรือหาเสียง แต่เราทำอย่างรู้ๆว่าเราได้เสียสละนี่แหละคือเราได้กำไร หรือแม้แต่ขายอาหาร 0 บาทก็ทำอยู่ อย่างเชียงใหม่ทำมา 7 ถึง 8 ปีแล้ว คนก็มาอาศัยกินไปตลอดชีวิตเขาก็มี คนบางคนฉลาดแกมโกงตักทีละอย่างน้อยๆกินหมดก็กินอีกอย่างตักทีละอย่างก็ได้กินสองอย่างถ้าแบ่งท้องเป็นสามอย่างก็ได้กินอาหาร 3 อย่างก็ 0 บาทอิ่มเลย แต่มีคนละอายเข้าใจเห็นใจ ก็กินตักหลายอย่างจ่ายให้ก็มี

ใครเข้าใจแล้วมีปัญญา แม้แต่ชาวอโศกข้างนอกก็อย่าช้า อย่ารักสบายนัก ทั้งที่รู้ว่าเราเองหมู่ก็รับรองนะ เราก็ขยันพอตัว ก็ให้เข้ามาตอนนี้ที่บ้านราชฯก็จับจองที่กัน มากกว่า 200 หลัง ถ้ามีบ้านละ 2รือ 3 คนก็ทำให้บ้านราชฯเพิ่มมวล ถ้าเพิ่มอีก 300 คนบ้านราชฯนี่เสือติดปีกแน่

มาเถอะมาอย่าช้า อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม ก็อย่าเอามาตีมาฟันกันนะ เอามาทำรังสรรบ้านเมือง เพราะสังคมประเทศชาติต้องการลักษณะที่เป็นอาริยะ เป็นศิวิไลเซชั่นที่เจริญแท้จริง ศิวิไลซ์ทางโลกมันไม่จริงเป็นเสแสร้งหลอกลวงกันเต็มโลก เป็นภัย เรามาทำสิ่งบริสุทธิ์ใจ 

มี “เจตนา” แต่อย่า “อยาก” จง “พากเพียร” ให้เต็ม “บริสุทธิ์”  ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด เราสามารถปฏิบัติธรรมล้างกามภพ รูปภพ อรูปภพ มีแต่วิภวตัณหามีพลังงานประสงค์แต่มันรู้จักดับภพ จบชาติได้จริง ไม่มีอัตตามานะ เป็นตัณหาอุดมคติ ซึ่งคนปฏิบัติธรรมพาซื่อไปดับตัณหาหมดไม่ให้มีเจตนาเลยก็บื้ออยากอะไรก็ไม่ได้ก็โง่แต่ต้นทางแล้ว อยากได้นิพพานอยากได้ไหม? คนตัดความอยากได้นิพพานแต่ต้นเลยคนนี้ตัดเส้นทางนิพพานไปเลย 

อาตมาพูดมานานแล้วก็พากเพียรจนกว่าคนตาบอดเห็นได้ คนหูหนวกได้ยินเสียง คือตั้งใจทำไปแม้ยากเย็นก็จะทำให้เกิดผลที่ควรเป็นให้ได้ เพราะอาตมาไม่เห็นอะไรจะมีคุณค่ามากเท่านี้ จะไปเก่งทางโลกแค่ไหนก็ตาม เราก็ไม่ลบหลู่ ก็ใช้ที่พอใช้ได้แต่จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวงแม้ทางเทคนิคที่ออกมาก็ตาม ก็มีจิตเป็นประธาน ทั้งหมด

เป็นศิลปินที่จะทำองค์ประกอบทั้งหมดให้สู่ interest  point ที่คือจิตอารยะ โดยมี convergence ในการนำมุ่งไปสู่จุดหมาย อาตมาก็ใช้ศิลปะทั้ง 5 แขนง(จิตรกรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรม วรรณกรรม ปฏิมากรรม) ตอนนี้ผู้สร้างสถาปัตยกรรมหนักคือท่านคมคิด เกิดเป็นผาแหงน ต่อมาก็คงเป็น ภูคอนโด แล้วก็จะเป็นโมโนลิท เป็น คอมเพล็กซ์ แต่ไม่เหมือนทางโลกที่เรียกลูกค้ามามอมเมา แต่ของเราจะเรียกลูกค้ามาให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต 

ปฏิมากรรม เราก็มีบ้าง ตอนนี้เราก็มีพระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์แล้วก็จะมีปางวิชิตอวิชชาไป

ส่วนจิตรกรรม อาตมาก็เอาของพวกเราและคนอื่นมาใช้งาน อาตมาเรียนจิตรกรรมโดยตรงแต่ผลงานไม่เหลือเลย มีเหลือติดมา 1 ชิ้น ที่วิหารพระธาตุ นั่นคือสิ่งที่เหลืออยู่ ใช้สีทำจนเกือบเสียแต่ไม่เสีย ไม่ถึงเน่า ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:15:37 )

580618

รายละเอียด

580618_ธรรมาธรรมะสงคราม เรื่อง ยอดนิยายของโลกในความเป็นมนุษย์ 

พ่อครูว่า..วันนี้วัน พฤหัสบดี ที่ 18  มิถุนายน 2558 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม วันอาทิตย์เราประชุมชุมชนแล้ว ...อาตมารู้สึกสนุก ที่ได้บรรยายธรรมะขั้นนี้ ระดับนี้ กับหมู่ชนที่พูดกันแล้วก็ฟังกัน นั่งฟังแล้ว อาตมาก็ดูปฏิกิริยาตอบรับอยู่นะ การบรรยายหรือสอน ปฏิกิริยาตอบรับมันจะบอกเรา ถ้าเราบรรยายไปแล้ว คนฟังมีอาการอย่างไรจะรู้ได้ เห็นอาการ ลิงค นิมิต เครื่องหมายบอกเป็นนัยว่า อย่างนี้ฟังดีไหม สนใจไหม รับได้ยินดี 

เข้าท่า อย่างนี้หรือว่าไม่อยากฟังเลย เซ็งๆเบื่อๆ ดีไม่ดีหลับไป นั่นยิ่งดูง่าย สามารถรู้ได้ เป็นสภาพอธิวจนสัมผัสโส เป็นรูปกาย เป็นองค์ประชุมรูป/นามที่แสดงออกเป็นวิญญัติ มันบอกได้ มันจะมีชื่อบอกเรา เป็นภาษาไทยก็ได้ว่าอันนี้ยินดีฟังเรา หรืออันนี้ไม่ยินดี หรือฟังแล้วเข้าท่า หรือเวลาเราเกี่ยวข้องกับใครภายนอก มันจะค่อยเกิดญาณปัญญาหยั่งรู้ สามารถรู้ได้ด้วยรูปกาย เป็นกายวิญญัติแสดงออกว่าเขายินดีหรือไม่ยินดี ว่านี่เกิดอาการตอบรับ ว่าโกรธ หรือรักชอบแล้วนะ ก็เป็นสัญชาติญาณพอบอก แล้วก็จะมีอาการซ้อนว่าเสแสร้งก็มี จริงใจก็มี มันก็จะยากขึ้น 

ถ้าเผื่อว่าใหม่ๆ อย่างพวกคุณนี่ถ้าใหม่ๆมาพบครั้งแรก คุณเกรงใจอาตมาจะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ไม่หลับ จะต้องใช้พลังงานแข็งแรง ดีไม่ดีเชียร์ด้วย ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง เสแสร้งก็มี ยกยอปอปั้นก็มี ก็ค่อยเรียนรู้เราก็จะเข้าใจได้เรื่อยๆ 

ตอนนี้มาอธิบาย กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ที่ซ้อนกันอยู่นี่ แล้ววิธีการที่จะอ่านกายอ่านจิตนี่ ในพระไตรฯ ล.10 ข.60 

พระพุทธเจ้าว่า การสัมผัสทางรูปข้างนอก ไม่พร้อมด้วยอาการ มันไม่มีอาการเลย สัมผัสไม่มี อาการก็ดูไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าอาการข้างนอกไม่มีเลย การสัมผัสข้างใน จะมีไหม?...ในนามกาย...ก็มีไม่ได้ นามกายก็ดี รูปกายก็ดี ทั้งสองอย่างต้องพร้อมด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ถ้าอาการ ลิ นั้นไม่มี การสัมผัสด้วยอธิวจนสัมผัสโสหรือปฏิฆสัมผัสโส จะมีหรือไม่?...ก็ไม่มีให้เรารู้ได้ เพราะฉะนั้น นาม/รูป จึงต้องพร้อมด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส และผัสสะก็ไม่มี ถ้าผัสสะดับ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยก็ไม่เกิด 

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง
ด้วยประการดังนี้แล ฯ
  ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะ
ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุก
แห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหา สัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
  ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะ
นั่นเอง ฯก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้
      (ข้างในไม่เรียกสุข/ทุกข์ ท่านเรียกว่าโสมนัส/โทมนัส) 

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต
อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ(อธิวจนสัมผัสโส)ในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      
ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ
เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส) จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ   ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
     (บางอันไม่มีชื่อเรียกแต่มีสภาวะก็มีเยอะ แม้ไม่มีชื่อ แต่ก็รู้ได้ด้วยปฏิฆสัมผัสโส ถ้าคุณมีปัญญาแล้วอ่านอาการเป็นแต่ถ้าไม่มีผัสสะคุณก็ไม่รู้ หรือแม้มีผัสสะแต่ไม่ได้ศึกษาฝึกฝนก็ไม่รู้ได้ แม้มันจะแสดงอาการออกมา) 

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ   ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ (คำว่ากาย ขาดรูป หรือขาดนามก็ไม่ได้) เช่นในนามเกิดนิวรณ์ 5 เป็นอาการเจตสิก เราก็จะรู้เลย เราจะอ่านได้ แต่ถ้ามันไม่มีเลย คุณจะไม่สามารถรู้ได้ เช่นอาการที่ผัสสะกระทบแล้วก็มีเจตสิกเกิด เกิดเวทนา เกิดอารมณ์ ในเจตสิก 52     

เจตสิก 52 ลักษณะอาการจิตที่เขารวมไว้ ว่ามีหน้าที่ต่างๆ ที่ประกอบด้วย

อัญญสมานาเจตสิก13
อัญญสมานาเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายกลาง ๆ ที่สามารถเข้าประกอบกับจิตได้ ทั้งกลุ่มกุศลจิต กลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มจิตที่ไม่ใช่กุศล / อกุศล (อัพยากตะจิต)

อัญญสมานาเจตสิกมี 13 ดวง แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

สัพพจิตตสาธารณะ7

หมายถึงเจตสิกที่เกิดกับจิตทั้งปวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตทั่วไปทุกดวง (89 หรือ121ดวง) เจตสิกกลุ่มนี้เวลาเข้าประกอบ จะเข้าพร้อมกันทั้ง 7 ดวง แยกจากกันไม่ได้ จึงเรียกเจตสิกกลุ่มนี้ว่า สัพพสาธารณะเจตสิก 7

1)     เอกกัคคตา ประคองจิตให้มีอารมณ์เดียว
2)     ชีวิตินทรีย์ เป็นใหญ่ในการหล่อเลี้ยงนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งหลาย
3)     มนสิการ กระทำไว้ในใจ (มโน)
4)     เวทนา
5)     สัญญา
6)     เจตนา
7)     ผัสสะ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ

มันเป็นธาตุหนัก เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็น XX อันนี้ก็รวมตัวเป็นหนึ่ง เป็นชีวิตินทรีย์ที่รวมตัวควบแน่น ถ้าชีวะรวมตัวเป็นอิตถินทรีย์เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่น ถ้าเราศึกษาเราก็จะรู้ว่ามันไม่ดี เราก็ต้องทำให้เป็นปุริสสภาวะ เป็นหนึ่งอีกชั้นหนึ่ง ซึ่ง xx ก็เป็นหนึ่ง หนึ่งชั้นแล้ว แต่มันเป็นธาตุที่ไม่ดีนะ เราตรวจสอบแล้วว่าไม่ดีเราก็จะเอาออกได้ แล้วจะทำ xx เป็น xyได้ แล้วจะเกิด xx แถม y ด้วย เป็นสามหน่วย แล้วจะเกิดเป็นพลังงานดีด้วย แสดงออกเป็น 0 1 2 ถ้าจะให้ออกก็เป็น 4 5 6 ไป

สัพพจิตตสาธารณะ7 ในนาม 5 รูป 28 ถ้าหยั่งรู้ก็ทำให้เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาได้แต่ถ้าไม่รู้มันก็เป็นพระเอกได้ แต่มันเป็นพลังงานแรงไปทางไม่ดีทางเลวได้ 

ปกิณณกเจตสิก6

หมายถึงเจตสิกที่เรี่ยรายทั่วไป ไม่ได้เกิดกับจิตทุกดวง เป็นกลุ่มเจตสิกที่เข้าประกอบได้กับจิตทั่วไปเช่นกัน แต่เวลาเข้า ประกอบ จะเข้าไม่พร้อมกัน แยกกันประกอบตามลำดับ เจตสิกกลุ่มนี้เรียกว่า ปกิณณกะเจตสิก 6

1)     วิตก การนึก
2)     วิจาร การคิด
3)     อธิโมกข์ จูงจิตให้เชื่อ(ตามที่คิด)
4)     ฉันทะ ความชอบใจในสิ่งที่เชื่อ
5)     วิริยะ ความพยายามตามความเชื่อนั้น
6)     ปีติ ความอิ่มใจ เมื่อรับผลจากความพยายามนั้น

วิตกคือวิตักกะ คือจิตที่ยิ่งในทางที่ไม่ดี (วิ  นี่ดียิ่งหรือไม่ดีก็ได้) ตัวไหนไม่ดีให้เอาออก มันมีกามหรือพยาบาทก็เอาออกให้ได้ เป็นเนกขัมมะได้จิตคุณก็เป็นวิตักกะหรือสังกัปปะได้ ซึ่งมี 7 ด่าน ถ้าวิตักกะผ่านก็จะทำให้ตัวที่ไม่มีออกไปหรือหายไปได้ พฤติกรรมจิตสะอาด เป็นสังกัปปะที่ดี แล้วผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ผ่านเป็นวจีสังขาร ก่อนออกไปสู่กายกรรมวจีกรรม 

ผู้ที่เรียกชื่อไม่ถูก แต่ทำให้ถูกต้องตามธรรม ผ่านสังกัปปะ 7 ได้โดยไม่ต้องรู้ชื่อก็มีแต่ถ้ารู้ชื่อได้ก็ดี 

อธิโมกข์ คือจิตที่สามารถควบคุมได้ เป็นอธิจิต ถูกโน้มน้อมไป ให้ไปสู่ทิศทางเจริญ อย่างที่ในวิโมกข์ 8 ข้อ 3 เป็นสุภันเตว อธิมุตโตโหติ คือทำให้เจริญให้ดี ให้ดีที่สุดไปตามลำดับ อธิโมกข์ ไปจนถึงวิมุติ คุณจะมีสภาวะที่สามารถรู้ได้ 

วิริยะ เช่นคุณไปหาเห็น เจอหมู่เห็ดสวยเลย เป็นเห็ดโคนด้วยหมู่ใหญ่เลย คุณเห็นว่าได้ผลหาเห็ดได้หรือว่าคุณไปขุดเพชร เจอเพชร จะปีติ จะฉันทะไหม แม้ทางโลก คุณทำชั่วได้สำเร็จก็ปีติ วิริยะได้แต่นี่ไม่ใช่ปรมัตถ์เรื่องกุศล ส่วนอกุศลนั้นจะกลับกันไปเยอะ

อกุศลเจตสิก14

อกุศลเจตสิก หมายถึง เจตสิกฝ่ายอกุศล เป็นกลุ่มเจตสิกที่ประกอบได้กับจิตที่เป็นอกุศลเท่านั้น กลุ่มอกุศลจิต มี 14 ดวง

โลภะ3

1)     โลภะ (ตัณหาและราคะเป็นอารมณ์เดียวกับโลภะ)
2)     ทิฏฐิ
3)     มานะ

โทสะ4

1)     โทสะ
2)     อิสสา
3)     มัจฉริยะ
4)     กุกกุจจะ

โมหะ4

1)     โมหะ
2)     อหิริ
3)     อโนตตัปปะ
4)     อุทธัจจะ

ถีทุกะ 2

แยกเป็น2กลุ่ม คือ ทำให้ท้อแท้หดหู่(ถีนะมิททะ)

1)     ถีนะ
2)     มิทธะ

โสภณเจตสิก25

โสภณเจตสิก หมายถึง กลุ่มเจตสิกฝ่ายดีงาม เป็นกลุ่มที่ประกอบได้กับโสภณจิต (ยกเว้นกลุ่มอกุศลจิต และกลุ่มอเหตุกจิตแล้ว จิตที่เหลือชื่อว่าโสภณะจิต) โสภณเจตสิกมี 25 ดวง แบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้
สาธารณะ19

1)     สติ
2)     สัทธา
3)     หิริ
4)     โอตตัปปะ
5)     อโลภะ
6)     อโทสะ
7)     ตัตรมัชฌัตตา การวางจิตเป็นกลางต่ออารมณ์นั้นๆ

ที่เหลือจัดเป็น6คู่ คือการบังคับควบคุมกายและจิตที่ดี คือ

1)     กายลหุตา จิตตลหุตา (ทำกายจิตเบา) ถ้าคุณทำเบาได้ จะทำแรงได้ แม้ไม่รู้ชื่อก็ทำได้ ยิ่งถ้ารู้ชื่อจะคอยสังเกต มันจะออกไปแล้วสามารถควบคุมได้อย่างดี เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นที่แรงเบาได้ ส่วนนิวเคลียร์ฟิวชั่น เราจะรวมตัวมันให้ดี ที่จริงมันหลอมละลายด้วยคุณต้องเลือกเอาสิ่งดีมาหลอม อันไหนไม่ดีก็เอาออก เอาวิ ที่ดี ไม่เอาวิที่ไม่ดี คุณอ่านอาการของจิตกุศล อกุศลออก พลังงานตอนนี้ละเอียดเป็นนามธรรมมาก เป็นพลังงานระดับนิวเคลียร์นะ  สามารถทำ xy ไม่ใช่รู้ได้ง่าย คุณก็นึกว่าเป็นพลังงานพระเอก เพราะโลกเขารู้แค่ว่า xx คือหญิง xy คือผู้ชาย นึกว่าเป็นพระเอก แต่มันซ่อนจนทำให้ xx เป็น xy ได้ ถ้าไม่เก่ง ทำได้แค่ xx ก็ดีแล้ว ส่วน y มันเป็นตัวที่ทำงานต่อไป ถ้าเก่ง ทำ y ให้ดีหมด เป็น xxyเป็นธรรมสองที่เกิดปฏิกิริยา ถ้ามีอันเดียวไม่เกิดปฏิกิริยา แต่ถ้าเป็นแค่หนึ่งจะจมๆๆๆ แล้วเน่า ไม่ได้ประโยชน์ 
2)     กายมุทุตา จิตตมุทุตา (ทำกายจิตอ่อน)
3)     กายกัมมัญญัตตา จิตตกัมมัญญัตตา (ทำกายจิตควรแก่การงาน คือพอประมาณ)
4)     กายอุชุตา จิตตอุชุตา (ทำกายจิตให้ตรง คือแม่นยำ ถูกต้อง) คือองค์ประชุมรูป/นามที่ซื่อตรง คือความตรงของจิต 
5)     กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ (ทำกายจิตให้สงบ)
6)     กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา (ทำกายจิตให้คล่องแคล่ว) 

วิรัตติ3

1) สัมมาวาจา 
2) สัมมากัมมันตะ 
3) สัมมาอาชีวะ

อัปปมัญญา2

1) กรุณา 
2) มุทิตา

ปัญญา1

1) ปัญญินทรีย์ หรีือ อโมหะ 
ทั้งหมดคือ เจตสิก 52


ยกตัวอย่าง เจตสิก อื่นๆอีก เช่น

โลภมูลจิต 8 (จิตมีโลภะเป็นมูล — consc rooted in greed)
                      1. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ คือไม่มีอะไรชักนำอะไร 
                      2. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      3. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      4. โสมนสฺสสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      5. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      6. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตสมฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ
                      7. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ อสงฺขาริกํ
                      8. อุเปกฺขาสหคตํ ทิฏฺฐิคตวิปฺปยุตฺตํ สสงฺขาริกํ

                      1. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      2. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      3. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      4. จิตที่เกิดพร้อมด้วยโสมนัสสเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      5. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      6. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ
                      7. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีการชักนำ
                      8. จิตที่เกิดพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ มีการชักนำ

พยัญชนะพวกนี้ให้เราปฏิบัติก่อนได้สภาวะแล้วก็มาอ่านสภาวะพวกนี้ก็จะรู้ได้ง่ายขึ้น 

ธรรมะสองเรียกว่ากาย ถ้าธรรมะเดียวไม่เรียกว่า กาย เมื่อสามารถ 1 เรียกว่ารูป 2 เรียกว่านาม พอเราร่วมสัมผัสกับข้างนอกแล้วมีการกระทบสัมผัสแล้วเกิดอีกตัวหนึ่งขึ้นมาเป็นธาตุรู้ ถ้าเป็นอุปาทายรูป ท่านเรียกว่าสิ่งที่ถูกรู้เป็นธาตุรู้ ท่านเรียกว่า ภาวรูป เป็นภาวะสอง แต่ถ้าอวิชชา มันจะได้ผลสั่งสมกิเลส แม้จะเป็นยินดี แต่ยินดีด้วยมิจฉาทิฏฐิ เป็นอสังขาริกัง แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้จะไม่ได้กำหนดแต่ว่ามันสั่งสมมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว ยิ่งกำหนดด้วยกระทำด้วยก็ยิ่งสั่งสมมากขึ้น

ถ้าตอนนี้มันเป็นอิตถีภาวะคุณต้องทำให้เป็นหนึ่งอย่างยิ่ง เอกัคคตา เป็นเอกบุรุษให้ได้ ถ้ามันเป็นสองต้องทำให้เป็นหนึ่ง ถ้าแข็งแรงได้แล้วก็สามารถอนุโลมปฏิโลมให้เป็นสองได้ คุมพลังงานที่จะจ่ายได้ แต่ถ้าคุมไม่ได้ไม่รู้เลยก็เละ บางทีคุณก็ทำดีได้แต่ฟลุ๊คๆ มันซ้อนไปหลงว่าดี แม้จะรู้ว่าดีแล้วดีถูกต้องด้วยแต่คุณก็ทำเพื่อตัวตน คนไม่รู้ก็ทำดีเพื่อตัวตน 

ถ้าสามารถไม่ให้มีตัวตนแล้ว ทำเป็นเนกขัมมะเป็นวิตักกะที่ไม่แล้ว มีฐานปัญญาแหลมคม มีมุทุธาตุแล้ว มีปัญญาหน่วยละเอียด อัปปนา มีสภาวะสองอย่าง ถ้าอย่างสูงละเอียด ถ้าไม่ก็ไม่อย่างหยาบ ถ้าเก่งก็เก่งละเอียดอย่างสูง เหมือนกับไอ้โง่กับอัจฉริยะ มันใกล้กัน 

รูปกาย /นามกาย

มันสำคัญนะ ถ้ารู้ธรรมะสองนี่ แม้จะเป็นรูปหรือนามก็ดี ถ้ารู้ละเอียดหมดสามารถจัดการ มนสิการได้ จะคุมเกม เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยได้อย่างดีเลย 

เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยก็คือ system analysis
เหตุ  คือ input
นิทาน คือ process
สมุทัย คือ output
ปัจจัย คือ outcome 

เวทนา สัญญา  เจตนา  ผัสสะ มนสิการ นามห้าอย่างนี้ก็คือ system analysis 
เวทนานี้เป็นผู้เขียนเรื่อง จะเป็นพระพรหม ลิขิตได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไปตามโลก 
เจตนา มุ่งหมายจะให้เป็นอะไร จะให้มีกามหรือไม่มีกาม ทางโลกเขาก็มีกาม มีกิเลส แต่ทางธรรมไม่มีกิเลส ออกไปเป็นผัสสะไปกระทบกับภายนอก เป็นผีมือพระพรหมเรียกว่า มนสิการ 

อาตมาเอาภาษาสากลมาใช้อธิบายสภาวะ ถ้าเข้าใจว่า เคหสิตะหรือเนกขัมมะเป็นแบบไหนแล้วจะไปทำให้เป็นเนกขัมมะจะได้ไหม? แต่ถ้าไม่รู้จะแก้ไขเคหสิตเวทนาได้ไหม? อย่างน้อยฟังอาตมาก็พอเห็นวิธีการนะ ก็ลองเอาไปทำดู 

อาการจิตเหล่านี้เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถทำให้เกิดผลเป็น impact ได้จริง หากเราควบคุมเจตนาได้
มโนสัญเจตนามีอะไรบ้าง?... 
ในอาหาร 4 มีกามคุณ 5 แล้วผัสสะมีเวทนา 3 แล้วมโนสัญเจตนาหารมี ตัณหา 3 แล้ววิญญาณาหารมีรูป/นาม ถ้าไม่รู้รู้นามไม่รู้วิญญาณ คุณก็เป็นผีเป็นเปรตไปตลอดกาล

ต้องอ่านรู้รูปนามตอนผัสสะ ว่ามีวิญญาณอะไรเกิด อ่านตอนผัสสะแล้วเกิดเวทนา ถ้าไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด จะมีก็แต่สัญญา อยู่ภายใน ไม่ครบองค์ ก็ไม่จริง มีแต่ความจำ กับเพ้อเจ้อ เอาความจำกับความเจ้อ สร้างอะไรใส่จิตใจก็ไม่รู้ มันปรุงบ้าบอ แล้วนึกว่าดีก็ไปหลอกคน เป็นอธิวจนะเป็นภาษาให้ฟัง เช่นคำว่า ฟรุ้งฟริ้ง ก็มีสภาพจัดจ้าน มีภาษาอื่นๆอีกมาก จุงเบย พวกเจ้อนี่แหละ จัดจ้านกว่าเก่า มันหนักกว่าเก่า ร้ายกว่าเก่า ดัดจริตกว่าเก่า หรือจะน้อยกว่าเก่าก็มีในสิ่งดี นี่คือไม่ใช่ความจำแต่เป็นความเจ้อ สร้างกันจริงๆไม่มีวันจบ เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นแตกตัวไม่จบ 

ภาษาที่เอามากำกับจะได้ประโยชน์ ว่าไปทำทำไม นึกว่าสนุก ฟุ้งซ่านนี่แหละฟรุ้งฟริ้ง บ้าบอมากมาย 

มาอันนี้อีกจะยากน่าดู ต่อพระไตรฯล.10 ข.60 ต่อ
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ  ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูปนั่นเอง ฯก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา(มาตุกุจฺฉิสฺมึ ) นามรูป
จักขาด(สมุจฺฉิชฺชิสฺสถาติ)ในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดา(มาตุกุจฺฉิสฺมึ ) แล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่  จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ     (ภาษาที่เป็นสภาวะคือความโตใหญ่ เจริญวัยขึ้น ) เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ    ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    (นาม/รูปคือลิเกใหญ่ เป็นเรื่องราวทั้งหมด ก็เกิดจากนาม/รูปที่เกิดผัสสะ เป็นเหตุให้เกิดเวทนา ให้เกิดนาม/รูป เราก็ไล่ปฏิจจสมุปบาท 

 สังขาร วิญญาณ นาม/รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา 
สังขารของคนอวิชชา คนไม่รู้ก็ปรุงเป็นกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร (สังขาร3 )ที่เป็นตัวสัตว์เรียกว่าวิญญาณ โอปปาติกสัตว์ มันจะเป็นวิญญาณผีหรือเทวดาหรืออาริยบุคคล วิญญาณผีก็วิญญาณไม่ดี วิญญาณเทวดาก็วิญญาณดี ทีนี้คุณจะเรียนรู้วิญญาณต้องอ่านธาตุ 2 ของวิญญาณให้ได้คือ นาม/รูป 

ถ้าใครไม่รู้นาม/รูป ก็ปฏิบัติไม่ได้ นามคือตัวรู้เป็นนามธรรม ถ้ารูปนามคือธรรมะสองที่เกี่ยวข้องกับข้างนอก ถ้านามรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรม ถ้าคุณอ่านสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนามธรรม ขณะสัมผัสตาภายนอก หูสัมผัสภายนอกก็มีรูปกาย ด้วย คุณอ่านใจได้ก็รู้นามกาย คุณสามารถรู้ รูปกาย/นามกาย นี่เป็นธรรมะสองที่เป็นตัวละครตัวจริงที่เป็นบทบาทครบ รูป 28 ที่รวมกันเล่นเรื่องราวนิยาย ที่อาตมากำลังจะเขียน ยอดนิยาย

อารมณ์นี่แหละที่จะเป็นผี เป็นเทวดา เกิดจากสังขาร ถ้าคุณสามารถควบคุมสังขารได้ จิตคุณก็ลดความเป็นผีเป็นมารได้ จนไม่มีอกุศลจิตแล้วก็เป็นอปุญญาภิสังขาร ก็จะสามารถสังขารอย่างอเนญชา อย่างแม้จะถูกกระแทกกระทุ้งอย่างไรก็แข็งแรงไม่เป็นทาสโลกธรรม จะเอาเงินมาทุ่มหัวกระบานเราหมื่นล้านเราก็ไม่หวั่นไหว เราไม่ได้อยากได้ เป็นผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ 

ทำให้เวทนา เป็นตัวสำคัญเป็น  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ทำให้เป็นเอกบุรุษได้ ตัณหาเป็นเหตุอยู่ในเวทนา ถ้ากำจัดตัณหาได้ล้างตัณหาได้ทุกที เวทนาคุณก็เจริญ​เป็นเวทนาสะอาด ขันธ์ก็สะอาดขึ้น เป็นทุกอย่างรวมลงที่เวทนา เป็นเอกสโมสรณา ภวันติ ทำจนเป็นอัตโนมัติ 

ในปฏิจจสมุปบาททั้งสายทำให้เป็นวิสังขารได้ ให้เป็นวิการ โดยควบคุมลหุตา จิตเป็นมุทุตาทำให้เป็นกัมมัญญตาได้สำเร็จ จัดแจงเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ แล้วในวิการรูปก็มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ มีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตาได้ การทำงานของคนมีวิชชาก็ทำได้วิเศษ แต่ว่าอวิชชา คำว่าวิก็แปลว่าไม่ มันจะแรงเท่าไหร่คุณก็ไม่รู้ นิวเคลียร์คุณจะแรงอย่างไรก็ออกมา แล้วมุทุตาคุณก็ไม่เป็น แล้วกัมมัญญตาก็เป็นอกุศลกรรมไปตลอด กายวิญญัติ วจีวิญญัติก็เป็นเวรภัย

เราเรียนถึงปริเฉทรูป สามารถคุมวิญญัติ 2 ด้วยวิการรูป 5 ได้
ที่ไหนที่คุณจับอ่านอาการได้ก็คือ หทยรูป ไม่ได้อยู่ที่ใดเลย แล้วก็อ่านชีวิตรูปได้มี มีอิตถินทรีย์และปุริสสินทรีย์ที่มีชีวะอยู่เป็นภาวรูป 2 นี่แหละ เราต้องอ่านชีวะของสัตว์เปรตสัตว์ไม่ดีที่เราต้องทำลาย ทำให้ชีวิตมันลดแรงลง ลดพลังงานลง จนพลังงานของอิตถินทรีย์คือตัวพลังงานไม่สมบูรณ์ไม่เป็นเอกบุรุษ คุณทำได้

จากอาหารรูป 4​นี้แหละ ที่จะปฏิบัติ รู้ กามคุณ ที่คุณใคร่อยาก จะใคร่อยากในธรรมก็ควร ใคร่อยากในโลกีย์ก็ไม่ควร ต้องทำลายสิ่งเป็นโทษ อะไรเป็นคุณเราไม่ทำลาย 

เมื่อสามารถทำได้ กามคุณ 5 จากทวารนอก ที่เป็นสภาพความจริงไม่ใช่ความจำ แล้วสามารถกำจัดด้วยการอ่านเวทนา 3 ในผัสสาหาร คุณสามารถทำอุเบกขาได้ในมโนปวิจาร 18 ก็ทำสำเร็จ เป็นเนกขัมมสิตะได้เรื่อยๆ คือทำมโนสัญเจตนาหาร 3 ได้ ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา ที่เป็นรูปภพอรูปภพภายใน ทำขั้นต้นภายนอกก่อน ไม่ต้องหนีไม่ต้องหลับตา แต่มีสติเหนือมันเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระ เหนือมันได้ไม่ต้องหลับตา เป็นอนาคามีเหนือกามได้ แตะต้องก็ไม่เกิดกาม เป็นนิสรณปหานในตัวมันสลัดได้อย่างแตะก็หล่นเลย มันปหานได้สมบูรณ์มีปฏิปัสสัทธิปหานได้สมบูรณ์แบบ เป็นปหานได้อย่างสลัดออก เหมือนปลิงมาแตะเราก็ร่วงผล็อยเลย เหมือนก้อนน้ำแข็งกลางเตาหลอมเหล็ก อเนญชา ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ 

ในสังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ก็คือล้างตั้งแต่กามุปาทาน สีลพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน ทิฏฐุปาทาน มีอุปาทาน 4 

ก็ทำมาตั้งแต่กามภพ หมดแล้วก็อยู่เหนือมันแล้วก็ทำของตนเองภายใน เป็นสัตว์โอปปาติกะ อนาคามีคือสัตว์โอปปาติกะแท้ๆบ้าอยู่แต่กับของตน ก็ทำลายกายของสัตว์จนไม่มีสัตว์เลยทั้งรูป/นาม ที่เป็นสัตว์อกุศลที่เราไม่ต้องการ เมื่อทำอุปทานตั้งแต่กาม ตั้งแต่ทิฏฐิที่เป็นความรู้

กามุปาทานมีใคร่อยากในอธรรมก็ได้ ในธรรมก็ได้ ผู้ใคร่ในธรรมอันเป็นโลกุตระคุณก็ได้โลกุตรธรรม จนได้ตอนแรกจะมีปีติ ปัสสัทธิ สุข ตามระบบของศีล
1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) 
2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี) 
3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) 
4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส) 
5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข) 
6. สมาธิ (จิตมั่นคง) 
7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) 
8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) 
9. วิราคะ (คลายกิเลส) 
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)  
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208) 

เมื่อกำจัดอุปาทานได้ ในทิฏฐิความเห็น ทั่วไปผู้รู้เขายึดทิฏฐิ ทฤษฎีความเห็นของเขา ที่ได้มาจากอาจารย์เก่าๆ แต่โพธิรักษ์ไม่มีเครดิตความรู้เขาก็ไม่เชื่อ แต่ถ้าเขาทำถูกก็มีอรหันต์ไปตั้งนานแล้ว เขาประกาศอรหันต์อย่างอาตมาแล้ว แล้วใครจะประกาศอย่างอาตมาได้บ้าง (อาตมาไม่มีจิตสาเฐยนะ) แต่ก็พูดไปโดยโวหารความจริง

ทุกวันนี้คนติดยึดในทิฏฐิน่าสงสาร ถ้าฟังอาตมาบ้างก็จะได้ปรโตโฆษะ ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ว่าโพธิรักษ์ไม่มั่วนะ ยิ่งผู้ถือว่าปราชญ์เรียนมาสูงยิ่งดี ถ้าเปิดจิตรับอาตมา บางครั้งอาตมาอาจพูดบัญญัติผิด แต่ว่าสภาวะอาตมามี หากเข้าใจปฏิบัติก็จะมสิการเป็น ทำใจในใจเป็น ก็ได้ผล ตามลำดับ ไม่ใช่ไปอยู่แต่ทิฏฐิเก่าๆที่นั่งหลับตาทำปฏิบัติ แต่ปริยัติก็นั่งเรียนไม่ได้ใช้ปฏิบัติ สมาธิก็นั่งหลับตาทำ แล้วจะให้ปัญญาเกิดเองๆ ไม่เอาที่เรียนปริยัติมาทำเลย มันไปคนละทิศ 

สรุปแล้วยึดกาม ก็ไม่ขยายมากนะ แต่ทิฏฐิก็ยึดเช่นนี้ แล้วยึดศีลพรต ก็คือสายเจโต ได้กรรมฐาน วิธีปฏิบัติไปใหญ่เลย ดีไม่ดีไม่ให้เรียนปริยัติเลย นั่งสมาธิลูกเดียวคือสายศีลพรต ก็นั่งก้นแฉะก้นแตกถือว่าสามารถมาก ก็เป็นเช่นนี้
ไม่รู้จักอัตตา เป็นอัตตวาทุปาทาน ไม่รู้จักอัตตา 3 เลย ที่พระพุทธเจ้าให้ลดอัตตาตามลำดับตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และอรูปอัตตา 
มโนมยอัตตาคือสำเร็จด้วยจิต ถ้าอวิชชาก็อยู่กับความหลอก ไม่สำเร็จ แต่ถ้ามีวิชชาก็อยู่กับจิตของเรา สามารถทำจิตให้สำเร็จ จะเป็นรูป หรือนามก็สร้างได้สำเร็จอย่างไม่ติดยึด 

เมื่อสามารถดับอุปาทานได้หมด ภพก็ไม่มี ชาติก็กลายเป็นนิพพัตติ อภินิพพัตติ เป็นการเกิดอย่างผู้มีนิพพานไม่ใช่เกิดอย่างอวิชชา เป็นอปรโคยาน แต่เป็นผู้มีอมรโคยาน ควบคุมได้ เป็นอมตบุคคล เป็นคนที่สร้างญาณ ที่เป็นโคยาน ถ้าจบก็เป็นอมตบุคคล ไม่จบก็ทำไปจนกว่าจะจบ

ชาติก็ยังมี แต่โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะไม่เกิดเลยในคนๆนี้ เป็นชาติทีี่คุมการเกิดได้เป็นอภินิพพัตติ สามารถคุมการเกิดได้ 

ภพก็มี แต่เป็นวิภพ ภพที่วิเศษ คุมได้ เป็นภพได้อาศัยและให้คนอื่นได้อาศัยไม่ใช่ภพอย่างสวรรค์ลวง

อุปาทานคือสมาทาน คือการอาทานของสมณะ คำว่าสม แปลว่าสงบ เป็นสมาทานตัวผลแล้ว ไม่ใช่แค่มรรค ก็อนุโลมเป็นสมาทาน 
ตัณหาก็เป็นวิภวตัณหาเวทนาก็เป็นเนกขัมสิตเวทนา
ผัสสะ สฬายตนะ วิญญาณ นาม/รูป สังขาร ก็ยังมีอยู่ แต่อวิชชาไม่มีเลย มีแต่วิชชา มีวิญญาณพระเจ้า ควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชั่น ฟิวชั่นได้ เป็นพระเจ้าลิขิตนิทานให้ตนและคนอื่นได้ ตามบารมี 
πตัณหาก็เป็นตัณหา 6 ที่ควบคุมได้ เป็นวิภวตัณหาแต่โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะไม่เกิดเลยไม่เกิดเลยนิรันดร...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:16:55 )

580619

รายละเอียด

580619_ธรรมาธรรมะสงคราม วิทยาศาสตร์ทางนามธรรมของพุทธ ตอน​ 1 

พ่อครูว่า...มีคำถาม จากคุณ มุ่ย อยู่ ฮ่องกง ว่า... กราบฝากถามพ่อครูให้หน่อยนะคะ,เรื่องร่างกายของคนเรานั้นเกิดจากพ่อและแม่เอานี้เข้าใจค่ะ,แต่ดวงวิญญาณหรือจิตวิญญาณนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ???ขอกราบคารวะอย่างสูงนะคะ?
พ่อครูตอบ ...อยากรู้บัดนี้ก็ได้ ตากระทบรูป วิญญาณก็เกิดปั๊ป ที่ในจิตเรานี่แหละ เราต้องตามรู้ให้ได้ที่ไหน ก็ที่หทยรูป สภาวะของเราที่อ่านจิตออก  ใจเรา จิตเราเป็นอย่างนี้ๆ แล้วอ่านอาการออกจริงๆนะ จิตใจนั่นแหละคือวิญญาณ เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง นี่แหละวิญญาณแท้ๆวิญญาณสดๆซิงๆ เป็นความจริงในความจริงเมื่อมีญาณปัญญาอ่านออก ไม่ใช่ว่าไปเรียนไสยศาสตร์เข้าฌานแล้วเห็นวิญญาณเทวดา ผี หรืออื่นๆ เป็นของปลอม เป็นความจำเป็นสัญญาไม่ใช่ความจริง 

วิญญาณอยู่กับปัจจุบัน ต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คนตาทิพย์ต้องเห็นวิญญาณอย่างที่ว่า ถ้าใครไปนั่งหลับตาแล้วเห็นวิญญาณเป็นผี เป็นเทวดา เป็นสัตว์นรกอย่างนั้นน่ะหลอก ต้องเห็นวิญญาณอย่างนี้จึงตรงตามพระอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ 

ในวิญญาณจะแจกเป็นเจตสิก 3 คือเวทนา สัญญา สังขาร นี่คือเจตสิก 3 ของวิญญาณ แล้วเราก็ไปรู้รายละเอียดของ เวทนา สัญญา สังขาร

สัญญาคือความจำ ดีไม่ดีปั้นเองเองก็นึกว่าเป็นความจำ ไม่ได้มีหลักฐานอะไร แต่เดี๋ยวนี้ถ้าเห็นบักต้อง(กระท้อน)อยู่ตรงหน้าโทนโท่เลย หรือเห็นคนเห็นอะไรต่อหน้านี่แหละ ขณะนี้คือความจริง สุขทุกข์คือเป็นความจิรง แล้วก็จำไว้ในอนุสัยอาสวะ ยึดติดไว้นี่แหละคือความโง่ แล้วทำงานเป็นอาสวะแตกตัวไม่เลิกไม่คลายง่ายๆ เพราะไม่เรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ดี

พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติ  ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป  ไม่ใช่อื่น” 
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก  ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี.  (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12  ข.440)

วิญญาณคือสภาพรู้อย่างหนึ่งในชีวิต ชีวิตก็อาศัยวิญญาณนี่แหละเป็นสุขทุกข์ ฉลาดหรือโง่ ก็อยู่ที่จิตวิญญาณนี่แหละ บางทีท่านก็เรียกมโน เกิดขึ้นได้อย่างไร(วิญญาณ) เกิดขึ้นได้เพราะกระทบสัมผัส 

ตั้งแต่เป็นอุตุ เป็นพลังงานในโลก แล้วพัฒนาเป็นพีชะ เป็นพืช เร่ิมเป็นชีวะก็เป็นพลังงาน แล้วพัฒนามาเป็นจิตนิยาม ที่มีเวทนา มีวิญญาณ เกิดจากการกระทบสัมผัส เป็นภาวะ เรามีญาณหยั่งรู้ได้ เป็นธรรมะสอง 

สองอย่างนี่ วิทยาศาสตร์ก็แบ่งเป็นสอง ขนาดนิวเคลียร์ก็แบ่งเป็นฟิวชั่นกับฟิชชั่น เป็นสองอย่าง แล้วรวมธาตุแตกธาตุได้ ทางวิทยาศาสตร์เคมีเขาก็ทำได้ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นทางนามธรรมที่ลึกละเอียดมากกว่า

สรุปคือสิ่งที่เกิดมาในโลกก็เป็นไปตามยถากรรม แต่มนุษย์นี่เป็นตัวป่วนตัวทำลายโลกได้อย่างร้ายแรง จึงต้องเกิดศาสนามาแก้ไขมนุษย์ ทางเทวนิยมก็ได้ระดับหนึ่ง แต่แบบพุทธนี่แก้ได้ให้ดีตลอดไปไม่เวียนกลับ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ยืนยันว่าเที่ยงแท้เลย 

พระพุทธเจ้าสามารถเปลี่ยนจิตนิยามให้กลายเป็นพีชนิยาม จนกลายเป็นอุตุนิยามได้ ท่านทำได้ ท่านถึงตรัสว่าไม่รู้ที่ต้น ใครจะรู้ก็ว่ากันไป แต่ท่านรับผิดชอบจุดนี้ก็สุดประเสริฐแล้ว อาตมาว่าไม่จำเป็นต้องรู้ที่ต้น จริงเท็จก็ไม่มีใครตัดสิน 
ตอนนี้ธรรมะที่เรากำลังอธิบายกันอยู่ในขณะนี้ มันเป็นพุทธชีวะที่เอาฟิสิกส์และเคมีมาผนวกกันเพื่อไขความลับของอุตุนิยามที่จะกลายเป็น(ภวันติ)พีชนิยาม และกลายเป็นจิตนิยาม ผู้รู้ก็จะรู้ได้จากปฏิกิริยาของกรรมนิยามกับธรรมนิยาม
จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่ารหัสแห่งพันธุกรรมเท่านี้ๆยังเป็นพีชนิยาม ต้องมีจีโนมทำหน้าที่ถึงขั้นนี้จึงจะเป็นจิตนิยาม 
ผู้มีวิชชา(พ้นอวิชชา)แบบพุทธจึงจะรู้แจ้งรู้จริงข้อมูลในพันธุกรรม(จีโนม)ทั้งหมดรู้แจ้งรู้จริงเส้นแบ่งความเป็นเผ่าพันธุ์ของชีวะออกจากกันได้ จากจีโนมนี่เอง(เส้นแบ่งความเป็นผี เทวดา สัตว์นรก) 
จีโนมเป็นธรรม 2ที่ผู้อวิชชาก็จะไม่รู้ว่า มันคือ นิวตรอนที่เป็น potential energy อยู่โดยแท้ แต่สำหรับผู้มีวิชชาก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งความเป็นธรรม 2นี้ ถึงอาการที่เป็น kinetic energy ได้ 
ผู้ยังไม่รู้(อวิชชา) หรือยังมิจฉาทิฏฐิในอาการ-เพศ(ลิงค์=ความต่าง)-นิมิต-อุเทศของรูปธรรมกับนามธรรม โดยเฉพาะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการของความเป็นกาย ที่มีทั้งความเป็นรูปและเป็นนาม โดยเฉพาะรูปและเป็นนามของเวทนา และเวทนาในเวทนาทั้งหลาย 
จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นจีโนม(genome)หรือนามธรรมขั้นชีวะนี้ที่ทำหน้าที่แน่ชัด คือหน้าที่เป็นเพศแม่(มาตา) และหน้าที่เป็นเพศพ่อ(ปิตา)ในการแยกความเป็นสัตว์โอปปาติกะ(จิตนิยาม) กับความเป็นพืช(พีชนิยาม)ซึ่งรู้ได้จากความเป็นจีโนมอันมีหน้าที่ชัดเจนนี้แล  
DNA ก็ดี ยีนก็ดี จีโนมก็ดี ที่เป็นจีโนมระดับพีชนิยาม หรือระดับจิต
นิยามที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ยิ่งเห็นจริงจึงเป็นความตรัสรู้ของพระองค์ที่ทราบหน้าที่แน่ชัดทั้งหมด ถึงขั้นทรงยืนยันทฤษฎียิ่งใหญ่ได้ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา
การปฏิบัติธรรมของพุทธจึงสามารถเรียนรู้ไปถึงความเป็นอิตถีเพศหรือพลังงาน electron และต้องสามารถถึงขั้นมีการทำใจในใจ(มนสิการ)ของตน จนกระทั่งจัดการ(อภิสังขาร)ให้ความเป็นอิตถีเพศกลายเป็น(ภวันติ)ปุริสเพศหรือเอกบุรุษ อย่างถูกต้องถ่องแท้(โยนิโส)สำเร็จ(พหุทธา ปิ หุตวา เอโก โหติ_พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ)
นั่นคือ ต้องมีสัมมาทิฏฐิในข้อที่ 7 ได้แก่ ความเป็นเพศแม่(มาตา) และข้อที่ 8 ได้แก่ ความเป็นเพศพ่อ(ปิตา) ในความเป็นรูปและนามกันจริงๆ จึงจะปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะปฏิบัติมรรค อันมีองค์ 8ได้ผลจริง(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 เป็นต้นไป)
ความเป็นเพศแม่(มาตา) เพศพ่อ(ปิตา)ในขั้นนี้เป็นเรื่องอภิธรรมหรือปรมัตถธรรมกันแล้ว ผู้ที่ยังเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ยากที่จะปฏิบัติธรรมของพุทธบรรลุผลจริงได้กระทั่งจัดการทำความเป็นอิตถีลิงค์ (เพศแม่)ให้กลายเป็น(ภวันติ)ปุงลิงค์(เพศพ่อ) ได้สำเร็จ ไปตามลำดับ กระทั่งที่สุดจัดการทำความเป็นปุงลิงค์ ให้กลายเป็น(ภวันติ)นปุงสกลิงค์(ไม่มีเพศ คือพ่อขั้นพระเจ้า) ก็ถือว่า เป็นอุตตมโปริส(อุตตมบุรุษ) ซึ่งสูงถึงยอดสุด,ความเป็นของสูงสุด(อุตตมตา)
ต้องรู้สัมมาทิฏฐิเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติธรรมเลย และอาศัยอาหารในการคงอยู่ จะอาศัยศีลพรต หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เหมือนคนเดินทางไกลกันดาร พอเดินไป ก็เสบียงหมด ก็ฆ่าลูกกินเสียเลย แล้วก็บอกว่าลูกเราไปไหนหนอๆ มันมืดมัวโมหัน เลอะเทอะ ฆ่าลูกทำเป็นเนื้อย่าง ก็ยังไม่หมด ก็ถามหาลูก คิดถึงลูกนะ แต่ว่าอำมหิตสุดเลย เห็นแก่ตัวถึงขนาด ผู้จะเดินทางสู่นิพพานแล้วก็มาอ้างเช่นนี้

อย่างพระในศาสนาพุทธที่บวชมาทำหน้าที่เหมือนผู้รู้ แต่ทำหน้าที่เหมือนพนักงานรัฐ เป็น ขรก.นี่บวชไม่ได้นะ แต่ทุกวันนี้เป็นหมดแล้ว รับเงินประจำตำแหน่งกันแทบหมดแล้ว ขออภัยที่พูดนี้ให้ผู้รู้ถอนออกมาเสีย มันจะไม่เหลือแล้วศาสนาพุทธมันเน่าไปหมดแล้ว แต่เขาก็ว่าเขาก็เจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญกันจะหาว่าเน่าได้อย่างไร?  เพราะเมื่อไม่เข้าใจธรรมะสัมมาทิฏฐิก็ยาก

ผู้ใดไม่สามารถอ่านจิตอ่านภาวรูป ก็ยากจะปฏิบัติได้ผล ต้องอ่านอาการ ซึ่งเป็นกิริยาของนามธรรม ถ้าคุณอ่านไม่ออกจริงๆก็ไม่รู้จะสอนอย่างไร เช่นใจมันโกรธ มันไม่มีสีเส้นแสงนะ คุณต้องอ่านให้ออก อาการโลภ ราคะ หรือสุข/ทุกข์ เป็นเบื้องต้นเลย หากอ่านไม่ออกก็ไม่ต้องไปเรียนแล้วธรรมะพระพุทธเจ้า 
 
ยังมีความสามารถที่มีนัยสำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ ผู้เป็นโพธิสัตว์จะสามารถอนุโลมปฏิโลมเข้าอาศัยเพศแม่(อิตถีลิงค์)-เพศพ่อ(ปุงลิงค์)-ไม่มีเพศ(นปุงสกลิงค์) ซึ่งคือ สภาวะ 3 เพศ(ไตรลิงค์)ได้เท่าที่โพธิสัตว์แต่ละท่านจะสามารถทำได้ตามบารมี ก็มีอีกเป็นความพิเศษยิ่งๆขึ้นไปที่เป็นประโยชน์แก่โลก-แก่คนอื่นยิ่งๆขึ้น ซึ่งพ้นความเป็นประโยชน์ตนไปแล้ว(ไม่มีอััตตา=พลังงานอนัตตา)
อิตถีลิงค์คืออิเล็กตรอน ส่วนโปรตอนนี่มันเป็นปุริสภาวะเป็นตัวนิ่ง แต่มันแรงกว่านะ จะทำอย่างไรให้อิตถีลิงค์หรืออิเล็กตรอนมาเป็นลักษณะบวกหรือนิ่งแบบโปรตอนได้

ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องศึกษาเรียนรู้ภาวะรูป 2(ปุริสินทรีย์และอิตถินทรีย์) อันมีความแตกต่างกันหรือมีเพศ(ลิงคะ) หรือยัง
มีความเป็น 2 ด้วยนัยสำคัญ คือ ธรรมะ 2 (เทฺว ธัมมา)นี้กันจนสามารถสัมผัสรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวรูป 2ด้วยปัญญาอย่างมีของจริงหรือความจริง จึงจะชื่อว่า ผู้มีมรรคผล
เช่น เราต้องเรียนให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัญญาและ สังขาร(นี้คือ ธรรม 2) 
โดยเฉพาะเวทนา ซึ่งเป็นภาวะที่จะต้องมีให้ผู้ปฏิบัติธรรมเรียนรู้อย่างยิ่ง จึงจะบรรลุธรรมได้ หากไม่มีเวทนาหรือไม่มีความรู้สึก,อารมณ์ให้ศึกษาเรียนรู้ ก็หมดสิทธิ์จะรู้แจ้งความเป็นนิโรธหรือไม่ใช่นิโรธ(นิโรธนั้นแบบพุทธต้องมีเวทนามีความรู้สึก แต่ถ้าดับเวทนาก็ไม่ใช่นิโรธ) 
เพราะสัมมานิโรธของพุทธนั้น ไม่ใช่นิโรธที่เกิดในภวังค์หลับตาสะกดจิตจนดับดำมืด(กิณหะ) แล้วกลายเป็นพรหมลูกฟักกลิ้งโค่โล่ ไม่มีธาตุรู้ทำงานอยู่ในขณะนั้นเลย (เหมือนพ่อแม่ลูกเดินทางข้ามทางไกลกันดารนึกว่าไปนิพพาน แต่แท้จริงเดินไปหานรก เมื่อไหร่จะถึงนิพพาน มีลูกอีกแสนคนก็ฆ่าลูกกินหมด จะอีกกี่ชาติจะไปถึงนิพพาน)
อย่าไปหลงเอาแต่นั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์ แล้วก็ไปดับเวทนา กระทั่งเป็นคนไม่มีความรู้สึก เป็นคนไม่สามารถรับรู้อะไรเลย แล้วหลงผิดว่านี่คือ ภาวะความเป็นนิโรธของพุทธ  ทุกวันนี้ก็ยังยึดอย่างนี้  
อย่างนั้นมันมิจฉาทิฏฐิ ขอยืนยันนิโรธที่สัมมาทิฏฐิของพุทธนั้น มันมีเวทนาที่เป็นธรรมะ 2(เทฺว ธัมมา) และสามารถทำให้เป็นหนึ่ง(เอกัคคตา)อย่างเห็นๆ
ไม่ใช่ความดับอย่างไม่รู้ไม่เห็น แต่เป็นความดับที่รู้ๆเห็นๆอย่างแจ้งๆ(สัจฉิ)พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง(ตัณหาทุติโย ปุริโส) ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยืดยาวนาน(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 9) มีปรกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง(สทุติยวิหารี)เพราะผู้นั้นยังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง(ตัณหา หิสส ทุติยา)
ผู้สามารถดับตัณหาให้เป็นผู้มีปรกติอยู่ผู้เดียว(เอกวิหารี) ไม่มีเพื่อนสอง  เพราะจิตสิ้นตัณหาในธรรมะ 2นั้นแหละ(ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ)ได้สำเร็จจริง 
ในเวทนานี้นี่เอง(พตปฎ. เล่ม 10 ข้อ 60) อันเป็นแดนที่สามารถทำให้หลีกออกจากเพื่อนสองหรือหลีกออกจากหมู่ อยู่ผู้เดียว (เอโก วูปกัฏโฐ) ซึ่งก็คือ สามารถอยู่ด้วยความเป็นหนึ่ง(เอโก)หรืออยู่แต่ผู้เดียว(พตปฎ. เล่ม 18 ข้อ 66-70) ก็ปฏิบัติกันในความเป็นเวทนา รวมลงอยู่ในเวทนา นี่เอง
ซึ่งเวทนานี้แหละที่มีความเป็นเวทนา ต่างๆอันต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อย่างนี้คือเวทนา 2 อย่างนี้ๆคือเวทนา 3 อย่างนี้ๆเวทนา 5 อย่างนี้ๆเวทนา 6 อย่างนี้ๆเวทนา 18 อย่างนี้ๆเวทนาๆ 36 ถึงที่สุดอย่างนี้ๆเวทนา 108 ว่า มันคืออะไร? อย่างไร? ในจิตเรา และสามารถทำกับมัน-จัดการกับมันได้ (อภิสังขารหรือมนสิกโรติ) คือ ให้มันลดละ จางคลายลง(วิราคะ)กระทั่งที่สุดมันดับ(นิโรธ) อย่างรู้แจ้งเลย มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา(แสงสว่าง)คือจักขุมาปรินิพพุโพติ
นั่นคือ จิตนิยาม อันเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณของคน ผู้ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงถึงขั้นที่เรียกว่ากรรมนิยามและธรรมนิยาม เท่าที่มีปัญญาบารมีจริงพอ จึงจะสามารถจัดการกับเวทนาในเวทนาได้
ชัดมั้ยว่า เวทนานี้แลที่เป็นตัวการสำคัญ ซึ่งเป็นแดนที่จะเข้าไปจัดการ ต้อง มีการทำใจในใจให้ถ่องแท้(โยนิโสมนสิการ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา(เวทนัง ปฏิจจ ตัณหา ; พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 59)
พีชนิยามมีแต่สัญญาและสังขารจึงไม่มีพลังงานที่เป็นตัวการ(คือเวทนา)สำคัญที่ตนมีตนเป็น จนมีผลกระทบออกไปทำร้ายทำลายชีวิตอื่น พลังงานของมันต่ำลง สูงขึ้นในระดับที่ยังไม่มากพอจนเป็นผลเสียผลดีต่อชีวะอื่นเกินที่มันมี 
แต่กระนั้นก็ดี พลังงานของพีชนิยาม ทำงานไปก็ไม่ใช่ว่าจะคงที่อยู่เท่านั้นตลอดกาลทีเดียว ในจำนวนจีโนม(genome)ของมันก็ยังมีมากมีน้อยไปตามจริง แต่ยังไม่มีพลังงานสะสมที่มีความเข้มข้นของดีเอ็นเอ(DNA)ในนิวเคลียสของมันจนเป็นพิษภัยออกไปรบกวนนอกดีเอ็นเอของมัน 
พีชนิยามจึงยังไม่เป็นภัยแก่ชีวะอื่นเพราะมีแค่รูป-สัญญา-สังขารจึงเป็นชีวะในโลกที่ถือว่า ยังไม่มีโทษ  แต่มีคุณต่อโลก ต่อสัตว์ ต่อชีวะอื่น
พีชนิยาม คือ ชีวะที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่รูป-สัญญา-สังขาร(ไม่มีเวทนา)ส่วนโลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ ที่มีรูป,
เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ ที่บาลีว่า จิตนิยามนั้น ก็มีครบทั้งรูปและนามครบขันธ์ 5 ซึ่งมีเวทนาและมีวิญญาณ นี่เองที่เป็นตัวเลวที่ร้ายได้สุดๆ และเป็นตัวดีที่มีคุณค่าประโยชน์ได้สูงสุดวิเศษยิ่งจริงๆ
เพราะมีเวทนาและวิญญาณนี้แหละตัวการใหญ่ ที่ทำให้จิตนิยามถึงขั้นได้ชื่อว่า ผู้สร้างโลก-สร้างจักรวาล หรือผู้ทำลายโลก-ทำลายจักรวาล 
เวทนาและวิญญาณจึงเป็นจีโนม(genome)ที่เป็นรหัสในดีเอ็นเอ ซุึ่งบรรจุอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์[นิวเคลียสคือ ส่วนที่เป็นใจกลางของเซลล์, มวลที่มีประจุบวกภายในอะตอม ประกอบด้วยนิวตรอนและโปรตรอน] 
พลังงานหรือชีวิตินทรีย์ของ genome มี 2 แตกต่างกัน(เพศ=ลิงค์)เป็น 2 เสมอ ที่เป็นธรรม 2 ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ ด้วยอาการ-ลิงค์-นิมิต-อุเทศ และสามารถจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร) ความแตกต่างกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ถึงสภาวะของพลังงานทางจิตในตน และทำที่สุดจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร)ชีวิตินทรีย์ของเพศ(ลิงค์) จนหมดสิ้นความเป็นเพศ คือไม่มีเพศหรือเป็นกลาง(neutron)ได้จริง
นั่นคือ จัดการปรับแต่งได้ถึงพลังงาน neutron ใน nucleus สำเร็จ เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่เป็นธรรม 2ซึ่งเป็นพลังงานเวทนา 2ใน genome อันเป็นรหัสพันธุกรรมตัวละเอียดใน Chromosome
และเป็นผู้สามารถจัดการกับปริมาณ(มัตตัญญู)พลังงานของธรรม 2คือ nuclear fission (พลังงานที่กระจายออกไปเป็นธาตุเบา) และพลังงานของ nuclear fusion(พลังงานที่หลอมละลายกันเป็นธาตุหนัก) ซึ่งแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ออกไปเป็นพลังงาน nuclear fission กับ nuclear fusion  เมื่อได้รับการกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส)ให้อยู่ในสัดส่วนที่เป็นประโยชน์สูง-ประหยัดสุดได้ ด้วยความสามารถอย่างแท้จริง 
ผู้สามารถทำธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ให้รวมพลังกันกลายเป็นรวมตัวเป็นธรรมหนึ่งเดียว(เอกสโมสรณา) และที่สุดกลายเป็นพลังงานอุเบกขาเวทนาที่มีประสิทธิภาพยิ่ง(เอกัคคตา) ถึง 5 ประเภทคือ ปริสุทธา(ความสะอาด)-ปริโยทาตา(สะอาดอยู่ได้แม้จะถูกกระทบกระแทก)-มุทุ(จิตหัวอ่อน)-กัมมัญญา(การงานที่ทำได้อย่างดีวิเศษ)-ปภัสรา(สะอาดผ่องใสอยู่เสมอ)ได้สำเร็จจริง 
เพราะมีปัญญาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นคุณ(คุณะ)ความเป็นโทษ(อาทีนวะ)ของภาวะนั้นๆจริง และมีสติที่ทรงพลังอำนาจยิ่ง(อธิปไตย) มีปัญญาที่ทรงพลังเหนือภาวะนั้นๆ(อุตตระ) จึงกลายเป็นพลังงานทั้งปัญญาทั้งเจโต สามารถควบคุมพลังงานนั้นได้สำเร็จจริง 
ผู้จัดการกับเวทนาได้สำเร็จจริง จึงสามารถแปรพลังงานใน isotope ได้สำเร็จผู้ปฏิบัติมีมรรคผล จึงสั่งสมพลังงานเป็นอินทรีย์ 5(ศรัทธินทรีย์-วิริยินทรีย์-สตินทรีย์-สมาธินทรีย์-ปัญญินทรีย์) และที่สุดสำเร็จเป็นผลธรรมถึงขั้นมีพละ 5(ศรัทธาพละ-วิริยพละ-สติพละ-สมาธิพละ-ปัญญาพละ) อันเป็นโลกุตรภูมิ
เพราะขันธ์ 5ที่เป็นรูปูปาทานักขันธ-เวทนูปาทานักขันธ-สัญญูปาทานักขันธ-สังขารูปาทานักขันธ-วิญญาณูปาทานักขันธถูกชำระล้างอุปาทานออกไปสำเร็จจริงจนกระทั่งอุปาทานหมดสิ้นเกลี้ยงจากจิตรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ที่เป็นขันธ์ 5ของสัตว์ผู้ชื่อว่า อรหันต์ จึงเป็นปรมัตถธรรมต้องเรียนรู้กันอย่างสำคัญมาก เพราะละเอียดลึกซึ้ง(นิปุณา)ซับซ้อนยิ่ง
หากใครยังไม่สัมมาทิฏฐิ หรือแม้จะสัมมาทิฏฐิแต่ปฏิบัติยังไม่สามารถบรรลุผลบ้างแล้วอย่างเพียงพอ จึงยากมากที่จะพูดกันรู้เรื่อง 
ในยุคพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยุคปลายของ ภัทรกัปป์ของศาสนาพุทธแล้ว มนุษย์ที่มีพอจะบรรลุพุทธธรรมขั้นโลกุตระนั้นเหลือน้อยเต็มที จนพระองค์ปริวิตกว่าถ้าทรงประกาศศาสนาขึ้นแล้ว จะมิเสียของหรือ...!? พระพุทธองค์ทรงมีพระปริวิตกปานนั้น 
แต่ด้วยพระมหาเมตตา-กุรณาอย่างสูงยิ่ง(ดังที่พูดกันด้วยบุคคลาธิษฐานว่า มีสหัมบดีพรหมมาอาราธนาให้ทรงประกาศศาสนานั่นเอง)  จึงได้ทรงตัดสินพระทัยประกาศความเป็นศาสนาพุทธ
และพระองค์ตั้งพระทัยสอนคนแค่ให้บรรลุอรหัตตภูมิเท่านั้น คือ ทรงสอนแค่ใบไม้กำมือเดียว ไม่ทรงสอนพิสดารอย่างกว้างขวางลึกล้ำมากมายเป็นใบไม้ทั้งป่า
หมายความว่า พระองค์ทรงสอนเพื่อสร้างศาสนาให้มีพระอรหันต์เท่านั้น ไม่เจตนาสอนอย่างกว้างไกลลึกล้ำพิศดารมากมายหลากหลายเต็มพุทธภูมิสัมบูรณ์ 
ชัดๆก็คือ ทรงสอนให้คนบรรลุกันแค่อรหันต์เป็นหลัก ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะทรงสอนภูมิรู้ที่เป็นพุทธขั้นโพธิสัตว์ อย่างชัดเจนละเอียดไปจนกระทั่งครบโพธิสัตวภูมิให้รู้แจ้งกันสัมบูรณ์ทั้ง9 ภูมิ ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:18:06 )

580621

รายละเอียด

580621_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ A bomb of loss vs A bomb of love

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 21 มิ.ย. 2558 วันนี้พ่อครูจะมาแสดงธรรม เดี๋ยวนี้ในประเทศไทย ถ้าการกีฬาก็มีการแข่งขันพนันกันมากมาย ในประเทศไทย คนไทยพนันกันได้ทุกเรื่อง รถวิ่งมาก็พนันได้แล้ว อาตมาเรียนหนังสือก็เปิดหน้าหนังสือแข่งกัน จะทำอะไรก็เป็นเรื่องพนันขันต่อกัน ในพระธรรมนูญของพุทธ เป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งในจุลศีล มีข้อปฏิบัติของพระ ในนั้นมี ศีล 5 ศีล 8​มีหมด และในมัชฌิมศีล มีให้ภิกษุงดเว้นการเล่นการพนันด้วย เช่น เล่นหมากรุก เล่นหมากเก็บ เล่นโยนห่วง เล่นต่อไม้ เล่นหกคะเมน ฯลฯ 

ข่าวโด่งดังที่สุดตอนนี้หลายคนคงงงเป็นไก่ตาแตก คือผบ.ตร.สนับสนุนให้เปิดบ่อยคาสิโนถูกกฎหมาย เป็นเรื่องที่ขำไม่ออก จุก ประเทศชาติจะไปได้อย่างไร? 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาจะพาไปดูเรื่องที่เป็นกระแสสังคม เป็นเรื่องที่สำคัญ ผู้ที่พูดนั้นก็เป็นผู้ที่เป็นหัวหน้าหน่วยใหญ่ที่ต้องดูแลปราบปรามการพนัน แต่เสร็จแล้ว .. ก็ต้องขออภัยที่ต้องวิจัยท่านผบ.ตร.ขนาดนี้ที่ท่านมีพฤติกรรมสังคมออกมาแล้ว เพราะมีผลต่อสังคมอย่างมากด้วย ออกในสื่อสารมวลชนเต็มที่เลย แสดงความมั่นใจเต็มเหนี่ยวเลย จริงใจเชื่อมั่นเลย เห็นแล้วน่ากลัวมาก อาตมาถือว่าเป็น A bomb of loss เป็นระเบิดแห่งความฉิบหาย 

ถึงวาระที่แรงก็แรงสุดแบบเลว แล้วสิ่งที่ดีก็ต้องแสดงออกให้ที่สุดเหมือนกัน สิ่งดีมันมองยาก แต่คนมองสิ่งเลวเห็นง่ายกว่า แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเลวคืออย่างไร แล้วกลับมองกลับสิ่งเลวมาเป็นสิ่งดี อันนี้แหละสำคัญ เรื่องบ่อน การพนันเป็นอบายมุข ซึ่งรู้กันดี ในเราชาวพุทธ เสร็จแล้วก็เหลวไหลไปเรื่อย มันแสดงถึงความสิ้นไร้ไม้ตอกในการที่จะกำจัดอบายมุข

สองคือสิ้นไร้ไม้ตอกในการจะหาอะไรมาเลี้ยงประเทศชาติ มันสุดน่าอายว่าไม่มีอะไรทำแล้วหรือ ต้องเอาการพนันมาเป็นอาชีพ เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ มันสิ้นไร้ไม้ตอก ก็ต้องขออภัยท่านผบ.ตร.นะ ที่พูดก็พูดด้วยเมตตาปรารถนาดีที่ต้องวิจัยเหตุในสังคม ถ้าไม่ออกความเห็น อาตมาก็ไม่ใช่นักประชาธิปไตย 

ก็มีผู้เอารายละเอียดสิ่งที่เป็นหลักฐานของการเปิดบ่อนกาสิโนมาให้ว่า..

ว่าด้วยการเปิดบ่อนคาสิโน:-

(1)หากเข้าใจว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนกาสิโนอย่างถูกกฎหมาย ย่อมเป็นความเข้าใจผิดมหันต์

ในความเป็นจริง เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า “ขุนพัฒนสมบัติ” สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท

ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาท 

กระทั่งในปี พ.ศ.2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ ก็ยังมีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล

แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน

ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า การมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม ในความมั่นคงของประเทศชาติ

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ในพ.ศ.2453 แต่กว่าจะเลิกบ่อนกาสิโนในประเทศไทยได้ ก็แสนยากลำบาก

กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2460

พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ซึ่งพสกนิกรอย่างพวกเราน่าจะน้อมใส่เกล้า เช่น

 เมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติกาโล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆ ในกาสิโน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขา ดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ.2450 ความบางตอนว่า

“...ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจ ข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลย สนุกยิ่งกว่าอะไรๆหมด ถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้ว ฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไร จะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที"

นอกจากนี้ พระปิยะมหาราชยังทรงอรรถาธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไว้ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพลเอกพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ความบางตอนว่า

“การที่พระเจ้าแผ่นดินอนุญาตหรือทรงเห็นดีด้วยในเรื่องเล่นเบี้ย นี้ก็คงจะเป็นความจริง แต่คงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบางองค์... เพราะเหตุฉะนั้นถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจะมิได้เลิกธรรมเนียมยกหัว เบี้ยพระราชทาน ในเวลาตรุษเวลาสงกรานต์เสียก็ดี แต่ก็ไม่ได้โปรดให้เล่นเบี้ยในพระราชวังหรือทรงสรรเสริญการเล่นเบี้ยว่าเป็น การสนุกสนานอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

เพราะเหตุที่พระบรมราชวงศ์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินดำรงอยู่ในคุณความประพฤติดี 3 ประการ คือ
 ไม่ทรงประพฤติและทรงสรรเสริญในการที่เป็นนักเลงเล่นเบี้ยการพนันอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติในการดื่มสุราเมรัยและกีดกันมิให้ผู้อื่นประพฤติอย่าง 1 ไม่ทรงประพฤติล่วงในสตรีที่ เป็นอัคคมนิยฐานนี้อย่าง 1 เป็นความประพฤติซึ่งพระเจ้าแผ่นดินในพระบรมราชวงศ์นี้ได้ทรงงดเว้นเป็นชาติสืบๆ กันมา
 พระบรมราชวงศ์นี้จึงได้ตั้งปกครองแผ่นดินอยู่ยืนยาวกว่าบรมราชวงศ์อื่นๆ ซึ่งได้ปกครองแผ่นดินมาแต่กาลก่อนแล้ว บ้านเมืองก็เจริญสมบูรณ์ปราศจากเหตุการณ์ภายในซึ่งจะให้เป็นที่สะดุ้งสะเทือนหวาดหวั่นแก่ชนทั้งปวง

แต่การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระ เดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ กันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามที่จริง

 และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณทะนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ย ซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไปด้วยกำลังที่ช่วยกันมากๆ และเป็นแบบอย่างความประพฤติให้คนทั้งปวงเอาอย่าง

 ตามคำนักปราชญ์ย่อมกล่าวว่า การที่ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างง่ายกว่าที่จะสั่งสอนด้วยปาก ถ้าเจ้านายขุนนางประพฤติเล่นเบี้ยอยู่ตราบใด คนทั้งปวงก็ยังเห็นว่าไม่สู้เป็นการเสียหายมาก ผู้มีบรรดาศักดิ์จึงยังประพฤติอยู่

 ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ละเว้นเสีย ให้เห็นว่าความพยายามเช่นนั้นเป็นของคนต่ำช้าประพฤติแล้ว ถึงแม้จะเลิกขาดสูญไปไม่ได้ก็คงจะเบาบางลงได้เป็นแท้.."

พ่อครูว่า...ในประเทศไทยได้มีการแก้ไขปรับปรุงต่อสู้มาไม่ให้มีบ่อนการพนัน มาถึงยุคนี้อาตมาถึงว่าเป็นยุคสิ้นไร้ไม้ตอก อ่อนแอ เหลือแต่ประชาชนต้องมาช่วยกันหากไม่ออกมาก็เจ๊งแน่นอน เขาก็หาเสียงเปิดบ่อนเราก็หาเสียงไม่ให้เปิดบ่อนๆ ตอนนี้กำลังร่างรธน. ทำหลักเกณฑ์ประเทศชาติ สำคัญต้องทำให้ดี อาตมาเห็นว่าเป็น A bomb of loss จริงๆ เป็นระเบิดแห่งความฉิบหาย มีกัมมันตรังสีกินลึกถึงจิตเลย ตอนนี้เราอธิบายพลังงานละเอียดถึงกัมมันตรังสี ต้องเรียนรู้ถึงชนิดที่ร้ายแรงที่สุด และดีที่สุด พลังงานจิตวิญญาณเป็นตัวปัญญาชี้บ่งว่า อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ 

พอพูดถึงคนกำลังผลักดัน A bomb of loss แล้ว เราก็มาดูจดหมายรักของไอสไตน์เพื่อยืนยันว่า ไอสไตน์ก็มี A bomb เหมือนกัน แต่เป็น A bomb of love 

นิยามคำว่ารักของ"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์"  

ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า 

“ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน

พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้
มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 
เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก
พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 
เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 
หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง
หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 
เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 
พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

พ่อของลูก /Albert Einstein.... 
Credit: Rafael Téllez-Girón

พ่อครูว่า...ถ้าเราทำลายความรักที่เลว แล้วมีความรักที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงมิติที่ 7 เป็นปิยกรณะที่เป็นพระเจ้า รักทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาล แม้แต่คนเลวเราก็รัก ไม่ได้คิดทำลายเลย ของพระพุทธเจ้านี้แจกพลังงานรักละเอียดกว่าไอสไตน์มากเลย เช่น 
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 
เป็นอาการพลังงานความรัก 7 ชนิดที่มีความแตกต่างกันนะ เรามีไหม? เราระลึกถึงคนนั้นคนนี้ได้ แต่ที่เขาสอนว่าอย่าให้จิตออกนอกตัว ตัดความคิดออกไป นี่คือวิธีทำใจที่มิจฉาทิฏฐิ ให้นั่งสะกดจิต อย่าไปนึกถึงใคร อย่าให้จิตออกนอกตัวนี่คือความเห็นที่แคบ เห็นแก่ตัวที่สุดเลย พระพุทธเจ้าให้ลดละอาการที่เห็นแก่ตัวไปตามลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล 

เราได้ใช้ระเบิดรัก  A bomb of love ทุกวันนี้เราก็ได้ใช้อย่างน้อย พวกเราก็ได้ใช้พลังงานที่อาตมาพาพวกเราสร้างพลังงานรัก แล้วพวกเราก็ช่วยเผยแพร่พลังงานนี้ออกไป ระเบิดรักนี้มีแสนยานุภาพที่จะทำลายความโลภ ความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัวได้ 

อาตมาพาพวกเราทำงานด้วย ความรักอย่าง เมตตา มีพรหมวิหาร 4 อาตมามากอบกู้ศาสนาพุทธ จากความเป็นพุทธมหาศาลแล้ว ศาสนาพุทธกับพราหมณ์ จะกลับไปกลับมา คือเนื้อเดียวกัน แต่ว่าถ้าเสื่อมก็จะกลายเป็นพราหมณ์มหาศาล เป็นพุทธมหาศาลไป เหมือนตอนนี้ จากอาตมาทำงานไป 500 ปีเชื้อของพุทธก็จะล้มแล้ว จนไปอีกเกือบ 2000ปี ก็หมดศาสนาพุทธแล้ว เป็นเหมือนสามเหลี่ยมที่ด้านไม่เท่า ช่วยแรก 500 ปีจะมุมชัน แต่ว่าขาลงอีกพันกว่าปีก็จะลงยาวหน่อย

จดหมายไอสไตน์เปิดเผยแล้วคนไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้เรื่อง แต่อาตมาทำมาอย่างไอสไตน์ว่า คือความรัก 10 มิติ คือความรักของศาสนาพุทธที่เรียนรู้ตั้งแต่มิติที่ 1 จนถึง 7 ให้รู้ว่าสัมพันธ์อย่างไรกับสังคม มนุษยชาติ ถ้าความรักมิติที่ 0 อาตมาไม่ได้เขียนไว้คือพวกเห็นแก่ตัวจัด เอาแต่ตัวเอง หรือว่าพวกโลภจัด ดำฤษณา ที่จะเอาโลกมาไว้ใต้ฝ่าเท้าให้ได้เหมือนอย่างหลายคนคิด อย่างคนไทยบางคนหรือฮิตเลอร์ หรือยุคล่าอาณานิคม เพื่อจะมีอำนาจใหญ่สุดในโลก เป็นความเห็นแก่ตัวแบบโลกาธิปไตย ยึดโลกมาเป็นของกู ส่วนอัตตาธิปไตย ยึดตัวตนของกูอย่างไม่เกี่ยวกับใคร หนีเข้าป่าเข้ารู้เลยคือมิติที่ 0 อย่างนั่งหลับตาอาตมาก็ไม่พูด นิโรธดับปี๋ก็มีอยู่แล้ว พูดไปว่าให้หยุดเถอะ ถ้าไม่หยุดมีแต่จมกับจม ส่วนพวกฟูพวกลอยก็พอพูดกันได้ อาตมาไม่มีพลังไปขุดพวกจม แม้อาตมาตายไปก็จะมีสำนักที่จมกับความดับ แม้อาตมาจะอายุ 151 แล้วก็ตาม จำคำนี้ไว้ จะมีคนเห็นดีมากับอาตมาไม่น้อยแต่ว่าไม่ต้องพูดกับคนที่จมเลย ถ้าคนมีความฟูความลอยก็พอคุยกันรู้เรื่อง

เริ่มจากมิติที่ 1 ก็เริ่มจากความรักที่เห็นแก่สัมผัสเสียดสีทุกทวาร ทาง ทวาร 5 รวมในความโง่ของจิต สัมผัสเสียดสีนี้ เป็นสัญชาติญาณของสัตว์โลก ต้องเอาความสัมผัสเสียดสีที่จะต้องให้เกิดลูกเกิดเผ่าพันธ์ุ แล้วเอารสของการสัมผัสเสียดสีกัน ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวแตกตัวมา ก็ไม่มีรสชาติอะไร มีแต่สัญชาติญาณสืบเผ่าพันธุ์ ลึกๆสัตว์โลกจะต้องทำ สัตว์โลกจะต้องมีอัตตาตัวนี้ที่ต้องสืบพันธุ์ จนมีความแฝงความเมามาเรื่อยๆ หวงแหนแย่งชิงกัน นอกจากหวงแหนแค่เพศ นี่เพศผู้หวงเพศเมีย มันหวงแหนว่าต้องเป็นตัวผู้ที่ต้องแพร่พันธ์ุได้มากที่สุดในโลก ก็เห็นแก่ตัว สร้างความโง่ จนมาเป็นมนุษย์ก็โง่ต่อบานปลายเป็นพลังงาน 
E=mc2+ A(ชั่ว) ทุกวันนี้การเสพกามคุณมากไป หลงรสปั้นแต่ง รสสนุก รสอร่อยต่างๆนานา รสชาติที่เสพเข้าไปก็ตั้งชื่ออธิวจนะ ว่าความอร่อย ความสนุก ความเพลิดเพลิน สมใจ มีน้ำหนัก มีลีลา สมมุติประกอบเข้าไปในอะไรต่างๆนานา เป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดพลังงานนี้ให้แก่ตน แล้วหลงว่าเป็นจริงจังเป็นของแท้ หลงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น ถ้าไม่ได้ก็เดือดร้อนมาก เป็นอาการสนุก ดีใจขอบใจสารพัด ที่หลงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็นของชอบ ถ้าได้สัมผัสเสียดสี ปฏิฆสัมผัสโสตามรสนิยมที่อุปาทานไว้ว่าถ้าได้จะดี จะต้องได้อย่างนี้ จนขนาดเป็นฮ่องเต้ หลงมา แม้หลายยุคสมัย เป็นหัวหน้าเผ่าก็หลงเรื่องเหล่านี้ สำหรับบางองค์นะ

ตามประวัติศาสตร์หลงบ้าๆบอๆ หลงเรื่องนี้จนเขายิงกันตูมๆ จะฆ่าแกงกัน อำมาตย์ไปบอกว่าเขาจะมายึดบ้านเมืองก็ยั้งไม่ยอมออกจากห้องหอนะ นี่คือวิชาการไม่ได้หมิ่นฯนะ ให้เป็นการศึกษา เพื่อจะให้รู้ว่ามีลักษณะเช่นนี้ คนที่หิริโอตตัปปะน้อยก็แสดงเช่นนั้น มันไม่ไหว มันถึงขนาดนั้นมันไม่ไหว เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสุดยอด แห่งรสโลกียรส จึงเรียกอันนี้ว่า ไคลแมกซ์ climax จะสัมผัสเสียดสีรวมกัน ทั้ง 5 รวมกันก็มารวมลงที่ climax อันนี้ นี่คือสิ่งที่ติดที่ยึด 

การหลงติดยึด รสสนุกสนานรื่นเริง มาถึง A bomb of loss ที่กำลังพูดกันในสังคมไทย เป็น ลูกระเบิดที่กำลังจะเกิดในประเทศไทย จะก่อฉิบหาย อาตมาก็ขอแสดงความเห็นค้านไม่เห็นด้วยที่จะมีสิ่งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจหรือรัฐศาสตร์ ไม่เห็นด้วยอย่างมากที่ว่า เชื้อชั่วของคนตอนนี้ก็แก้ไขยากอยู่แล้วให้มาเป็นอาริยะนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าเผื่อว่าเมืองไทยเดินตามครรลองของในหลวง ร. 5 ทรงทำมาตลอด ส่งเรื่องมาถึง ร.6 ร.7 ร.8 ร.9 ก็พยายามแก้ไข แต่เปลี่ยนการปกครองกลายเป็นเรื่องเละเทะ ผู้ดูแลกลายเป็นคอรัปชั่น คอมมิชชั่นกัน เอาแค่เรื่องบ่อนการพนันก็ได้

ประเทศไหนจะมีบ่อนเพื่อแก้ปัญหาสังคมเศรษฐกิจก็ให้เขาทำ แต่เมืองไทยนี่ขอไว้เถอะ จริงๆพูดไม่ผิดหรอกว่า การพนันอยู่ในสายเลือดคนไทยแล้วก็จะไปเติมทำไม ก็ต้องช่วยกันสิทำไมใจดำอำมหิต ทุกวันนี้ที่บ่อนการพนันมีอยู่ก็เพราะตำรวจไม่เอาจริง เอาจริงก็ปราบสิ อย่าลูบหน้าปะจมูก ที่ว่าใหญ่เท่าไหร่ก็จะจับ เอาเลย รับรองตีกลองเชียร์เลย 

เมืองไทยนี่พระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสถึงสูตรที่ยิ่งใหญ่ของโลก เป็นสูตรทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ของโลกเลย
แบบคนจน
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร  พออยู่ได้ แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า   จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือน คนที่ทํางานตามวิชาการจะต้องพึ่งตํารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี”  แต่ไม่บอกว่าให้ทําอย่างไร ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา  ปิดตําราแล้วไม่รู้จะทําอะไร    ลงทายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่  เปิดหน้าแรกก็..เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเขาคลอง  แต่ถ้าเราใช้ตํารา“แบบคนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกันตํารานั้นไม่จบ..  เราจะก้าวหน้า “เรื่อยๆ” 
(พระราชดํารัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534) 

ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

พ่อครูว่า...สองสูตรนี้ของในหลวง จะเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ของโลก ต่อไปสหประชาชาติ สังคมโลกที่รวมกันเพื่อรวมพล ยกสิ่งที่ดี จัดการสิ่งไม่ดีแก่โลก จะค่อยๆเข้าใจ ว่าเศรษฐกิจพอเพียง เขาให้ถ้วยแก่ในหลวงมาแล้ว แต่อาตมาว่า สหประชาชาติไม่เข้าใจว่า แบบคนจนจะมาแก้ปัญหาประเทศอย่างไร ยิ่งหนักกว่าคือขาดทุนของเราคือกำไรของเราก็ยิ่งยาก เหมือนไอสไตน์ว่า สูตรของในหลวงคือ A bomb of love ที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อย่างอโศกเราแก้ไขปัญหาด้วยสาธารณโภคี ด้วยการปรับแต่งจิตเราด้วยอภิสังขารจนสามารถทำได้อย่างพระพุทธเจ้าสอน ตัวพลังงานสำคัญสุดคือ เวทนา 

ทุกอย่างมีสภาพสองทั้งนั้น ในวิทยาศาสต์ก็สอนเรื่องนี้ แม้ในนิวเคลียสที่นิ่งแล้วในนั้นก็มีสองคือโปรตอน นิวตรอน แล้วมีอิเล็กตรอนวิ่งรอบๆ มีพลังงานที่เป็นอะตอม มีความเป็น 
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
ท่านแตกสภาวะกุศลทั้ง 7 อย่าง ผู้สามารถทำพลังงานนี้ได้ก็เป็นพลังงานที่ซ่อนซ้อนในโคมโมโซมแห่งชีวะเรา รวมกันหมด สร้างได้เก่งก็ได้ DNA ไป แล้ว DNA นี่คู่กับ gene ที่เป็นพลังงานตัวจักรที่ทำงานให้เกิดอะไรต่อ ส่วนตัวบงการจริงคือ DNA จริงๆแล้วที่ซ้อนอยู่ก็คือ 

มิติที่ 9 กับ 7 เกิดอะไร ที่สลับซับซ้อน ตอนนี้ในหลวงร.9 เราก็มีพลังงานออกมา จะให้โลกได้ใช้อีก เป็น A bomb of love ในสาราณียธรรม 6 พวกเราก็มีจริง มีมากหรือน้อยก็ตามแต่ละคน ในลักษณะสาราณียธรรม 6 เกิดเป็นพุทธพจน์ 7 เป็นคุณธรรมแบบนี้จริงๆ จะมีคุณภาพมากเท่าใดก็แล้วแต่ ต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต ว่าเราเกิดหรือไม่ อย่างไร มีดีกรีเท่าไหร่ สูตรเหล่านี้เป็นสูตรยิ่งใหญ่ เป็นคำตอบของคุณสมบัติจิตวิญญาณ มี 
1.    เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
2.    เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
3.    เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง 
4.    แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . . 
5.    มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา) 
6.    มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ทิฏฐิสามัญญตา)  (ล.22  ข. 282-283)

1 อย่าเป็นหนี้ อาตมาต่อต้านเรื่องเป็นหนี้บ้าง ตอนนี้ยิ่งเจริญอย่างซ่อนเร้น โดยการทำหนี้ อย่างบริหารประเทศ สร้างหนี้แล้วไม่มีทางออก ใครก็ไม่ให้กู้อีก ก็เลยออกพันธบัตรมาให้ปชช.ซื้อ ก็คือกู้ปชช.มา แล้วใครจ่ายหนี้ก็ปชช.อีก ผู้บริหารก็ค่อยใช้หนี้ไปก็คือเอาเงินปชช.มาหมุน ผู้บริหารไม่มีฝีมือ สร้างหนี้มาแล้วแก้ไม่ตก ต้องเล่นซ่อนเชิง บอกว่าดอกเบี้ยสูงนะ แต่ก็เงินปชช.อีกนั่นแหละ เพราะผู้บริหารทำไม่เป็นไปสร้างหนี้ แล้วแก้ปัญหาด้วยการออกหวย ทำพันธบัตร 

ถ้าผู้บริหารคณะใด รัฐบาลใดสามารถล้มหวยได้หมดเลย อาตมาจะสร้างถ้วยทองคำให้เลย ไม่มีเงินก็จะให้ปชช.ช่วยทำให้  1. อย่าเป็นหนี้ 2.ช่วยตนให้รอด 3.สร้างให้มากให้เกินตนกินตนใช้ 4.เอาที่เหลือไปแจกจ่ายแก่ปชช. คือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ด้วยสมรรถนะสร้างสรรของเราตนใช้เหลือก็ไม่เอาไปเอาเปรียบ แต่เอาไปให้ปชช.

ถ้าปชช.ทำได้สังคมทำได้ แม้ธุริจของไทยใหญ่ๆ ธุรกิจปีนี้ขาดทุนเท่านี้ พนักงานรายได้ 0 บาท แจกหุ้นให้แก่สมาชิก ลูกน้องต่อไป ก็มีแต่คนจนกระจุก รวยกระจาย สังคมจะเป็นรูปน้ัน เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่ในอนาคต นี่คือ A bomb of love เป็นพลังงานยิ่งใหญ่ เป็นเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่สุดยอด 
ดาวหางคือพลังงาน 7 ที่จะมีธาตุน้ำ คืออาโป จะมี 1 2 3 มาเป็น 4 แล้วมาเป็น 56 7 
ทุกวันนี้จิตเขาฝังลึกอยู่กับอบายมุข อยากจะได้รวยๆๆๆ เขามีมากมาย ให้ริบไปครึ่งก็กินใช้ไม่หมด มันเกินไปแล้ว ตัวอย่างในประเทศไทยนี่มันครบ ทั้งดีและชั่ว ผู้ใดไม่สำนึกไม่สำเหนียกไม่รู้ตัวยังหลงมอบตนไทยทางผิด เป็นนิปเปสิกตา แม้ตนสะอาดได้ก็ไม่ยอม 

นิปเปสิกตาคือตนเองไม่ทำชั่วแล้วแต่ตนเองก็ยังไปร่วมกับงานเขา ไปช่วยเขา เช่นตนเองบริสุทธิ์แล้วแต่ตนก็ไปอยู่กับบริษัทชั่ว คุณไม่ทุจริตแล้วนะ ตรงทุกอย่างสุจริตทุกอย่าง แต่ก็ร่วมกับบริษัทที่โกงกินทุจริต ก็รับเงินจากบริษัทนี้คือไม่พ้นนิปเปสิกตา ยังมอบตนอยู่รวมกับผู้ผิด ไปส่งเสริมอยู่ 
อาชีพ 5 ข้อแรก คือ การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง อย่างประชานิยมหลอกชาวบ้านก็อยู่ระดับนี้ ทั้งหลอกลวง เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่าช่วยเขา อย่างธรรมกาย หลอกจนขนาดหากไม่มีเงินทำทานก็มีบริษัทให้กู้ เงินไม่ผ่านมือตนเลย ถูกหลอกว่าจะได้สวรรค์วิมานอะไร นี่ก็คือคนโง่ที่อาตมาไม่เคยเห็น เขานึกว่าเขาเก่งมากนะ แต่เขาชั่วมากๆที่หลอกคนได้ขนาดนี้ ไปเรียกตนว่า ธรรมกาย คำว่ากายคุณยังไม่รู้จักเลย กระแดะเรียกตนว่าธรรมกาย ซึ่งธรรมกายคือชื่อเรียกพระพุทธเจ้า คำว่ากายนี่ถ้าไม่รู้แล้วเรียกตนว่าธรรมกายก็ไม่ถูก ในประเทศไทยมีดีสุดเลวสุดหมดเลย
ขอให้พวกเราสร้าง bomb of love ที่จะมาล้มล้าง bomb of loss นี้ให้ได้...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:19:16 )

580622

รายละเอียด

580622_ธรรมาธรรมะสงคราม วิทยาศาสตร์ทางนามธรรมของพุทธ ตอน 2

พ่อครูว่า...วัน จันทร์ที่ 22  มิถุนายน 2558 ขึ้น 7 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม พวกเราจะตั้งใจใส่ใจเรียนกันไป ก็มีกันเท่านี้นะ ได้อย่างนี้สัก 5 ปี ได้อรหันต์ เอาไหม? เอานะ ก็ตั้งใจ อาตมาจะตั้งใจลองดู อีก 5 ปีอาตมาก็อายุ ย่าง 87 ปี ไม่มีปัญหา 

เรามาต่อกัน เรากำลังเน้นย้ำที่เวทนา ที่เป็นธรรมะสอง แม้แต่อรหันต์แล้วท่านก็มีอาการของความรู้สึก ท่านจบมีมรรคผลแล้ว ท่านถึงขั้นไม่มีแล้วแต่ท่านก็ยังมี ท่านทำให้เป็นเอกได้แล้ว แต่ท่านก็ยังมีสองอยู่ คือมีตัวเราเป็นตัวรู้กับ ตัวถูกรู้คือนาม สภาวะก็ถูกรู้ได้ แม้แต่สัญญา เวทนา แม้แต่วิชชาก็ตาม มันไม่หมดในความเป็นภาวะสองไปได้เลย แต่เราต้องเรียนรู้ทำภาวะ 1 ให้สำเร็จ

แม้แต่ซ้อนในภาวะ 1 ที่ทำให้จากอิตถีภาวะ มีพลังงานของเพศหญิง แล้วก็ทำให้เป็นเพศชาย ที่เป็นเอกบุรุษ เป็นหนึ่งแล้วก็ตาม เราก็สามารถทำให้หมดปุงลิงค์(เพศชาย) ไปเป็น นปุงสกลิงค์เป็นไม่มีเพศได้ ถ้าทำให้เป็น 0 กับปุงลิงค์ได้ ก็คือนิวเคลียส คือมีโปรตอนกับนิวตรอน ตัวนิวตรอนก็เป็น 0 ส่วนโปรตอนก็เป็น + หรือเป็นเอก เป็นหนึ่ง

แต่จริงๆแล้วใน นิวตรอนมันก็ยังมีภาวะ 2 ในภาวะ 2 นี้ ถ้าถูกกระแทกออกมา ก็เป็นพลังงานที่เก็บกักไว้เต็มเลย พลังงานต่างๆจะมารวมที่ต้นตอขั้วใหญ่ที่นิวตรอน ถ้าเป็นพลังงานที่ทะเลากันเหมือนคนก็จะเป็นนิวตรอนไม่ค่อยมีพลัง แต่วัตถุไม่มีการทะเลาะกัน นิวตรอนเลยมีพลังงานสูง ได้ทำเป็นระเบิดนิวเคลียร์เลย 

คนก็เช่นกันหากเรียนรู้ตามธรรมะพระพุทธเจ้า เก็บรายละเอียดไป วิธีการพระพุทธเจ้าทำพลังงานตัวเลวหายไป พลังงานไม่ได้หายไปด้วย แต่ภวันติ จากชั่วมาเป็นพลังงานดีแทน ก็จะสะสมแต่พลังงานดีเข้าไปในนิวตรอน จึงมีพลังงานเสริมที่มหาศาล 

ทางวิทยาศาสตร์ทางโลกก็เรียนเมื่อกระแทบปั๊ป นิวตรอนจะทำงาน ออกมาเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ต่อไปไม่สิ้นสุด ในนั้นก็ยังมีสอง ภาวะที่จับตัวกับการกระจายตัว

การกระจายตัวคือนิวเคลียร์ฟิชชั่น ภาวะกระจายตัวก็คือนิวเคลียร์ฟิวชั่น แล้วพระพุทธเจ้าเรียนรู้ภาวะของจริงทางจิตวิญญาณ อ่านได้จับได้ไม่ได้หายไป ไม่เหมือนพลังงานวัตถุที่หายไปกับบรรยากาศไป แต่พลังงานทางจิตนี่ เมื่อมีตัวอ่านรู้เป็นตัวปัญญา วิปัสสนา แปลว่าเห็นอย่างยิ่ง 

ตัวไหนควบคุมได้ก็ดี ตัวไหนคุมไม่ได้ก็ปรับเปลี่ยน ให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เดือดร้อน ได้รสมาก็ให้เรียนรู้ว่าสุขไม่จริง เป็นสุขเท็จ ถ้าเราปล่อยไปมันก็จะเป็นอนุสัยประจำอัตตาเราไป แล้วอาการมันก็พักยก อาการสุขมันก็หายไป หายแล้วยังอยากได้อาการสุขนั้นอีก เพราะมันจำไว้ พยาบาทไว้ว่าจะต้องได้อีกเที่ยว หรือพักยกไว้ เหมือนคนกินอิ่มแล้วไม่อยากกินอีก ต้องพิจารณาของจริงไม่ใช่เหตุผล ตรรกะ ที่อาตมาพูดนี้ พวกเราฟังก็ได้ตรรกะ แต่ต้องไปเห็นด้วยตนเอง แม้ที่สุดหลักของพระพุทธเจ้า ให้เรารู้ว่านี่คือกิเลส ก็ตั้งกฎ ตั้งศีลไว้ว่าไม่ให้มันสมใจ จะสัมผัสกระแทกกระเทือนอย่างไรก็ไม่ให้มัน มันจะดิ้นอย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ต้องยอม จะเห็นได้ว่าเอ็งไม่แน่จริงหรอก กิเลสนี่ แม้แต่พวกติดยาที่ยึดแล้วไม่ได้ ประชดตนเองจนขาดใจตายไปก็มี แต่มีน้อยคน 

คนเอาจริงปฏิบัติจริงจะเห็นว่ากิเลสมันตาย เราไม่ตายหรอก พวกเราก็ไม่ได้ติดหนักหนาอะไร เช่นจะต้องฆ่าถึงจะสมใจพวกเราไม่ทำแล้ว ต้องสู้ให้ขาดดิ้นก็ยังไม่ชัด ต้องเห็นด้วยปัญญาว่ามันไม่เที่ยง เราไปหลงสุขๆทุกข์ ติ๊งต่อง ปริเทวนาการอยู่ทำไม ต้องทำให้เด็ดขาด เราทำจนเห็นว่ามันไม่ใช่เรา หมดอาการของชีวิตินทรีย์ของกิเลสตัวนั้น ไม่ใช่ดับหยุดไปหมด แต่ทำเฉพาะตัวนี้แหละ ติดมังคุดก็ทำกับมังคุด แต่ไม่ใช่ว่าเราติดอะไรต้องทำทุกตัว แต่มันทำได้อันนี้จะมีพลังงานทำแทนได้ มันกิเลสตระกูลเดียวกัน มีพลังปัญญาที่มีฤทธิ์แรง เป็นญาณของวิปัสสนา หรือปัญญาของวิปัสสนา เป็นไฟฌาน เป็นพลังงานไฟปัญญา มันสามารถที่จะดับไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ หรืออุณหธาตุก็ได้ 

สรุปแล้ว หนึ่ง ธรรมะจะมีสองเสมอ แม้จบแล้วก็มีสอง คุณจะทำให้เป็นนปุงสกลิงค์ เวลาจะทำงานปรุงแต่งก็มีเป็น 0 แล้ว คุณจะอนุโลมปรุงแต่งก็ทำได้ หรือจะพักอยู่ 0 ก็ได้ แล้วธรรมะสองนี่แหละอยู่ที่อาการอารมณ์ของความรู้สึกยึดติด 

เวทนามันมีสองในตัวมันเอง หนึ่ง มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง เรียกแยกเป็นเวทนาเท่านั้น จริงๆก็คือตัวเดียวกับสัญญาและก็ตัวเดียวกับปัญญา ส้มโอมันลูกเขียวๆผิดขรุขระ มังคุดผิวมันสีม่วงดำ ฟักข้าวสีแดง ใครเห็นก็สัมผัสได้ ใครมีประสาทตาไม่ตาบอดสีก็เห็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าชาติไหน นอกจากมีอธิวจนะเรียกต่างกันไป แต่ความเป็นจริงอันเดียวกันหมด เป็นเวทนาแท้ 
ส่วนเวทนาเทียม เวทนาโกหกที่เป็นเวทนาสุข/ทุกข์ น้ันเป็นเท็จ เช่นอันนี้เราชอบจากอุปาทานมา ถ้าคุณไม่เคยอุปาทานมาก็จะเห็นแล้วเฉยๆ พอคนมาบอกว่ารสดี กลิ่นดี ก็อาจชอบ แต่ถ้าไม่รู้สึกว่าดีเหมือนที่ตนยึดก็ไม่ชอบ หรือนานไปเขาบอกบ่อยๆหรือสัมผัสบ่อยก็รู้สึกชอบได้ ก็ถูกหลอกให้ยึดเป็นสุขเมื่อได้ ก็เพิ่มขึ้นๆ นานนับอย่าง เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เกิดได้ด้วยประการฉะนี้ 

พวกเราต้องอ่านอาการสองนี้ให้ได้ ใครรู้พระพุทธเจ้าเรียกว่ามีโสตทิพย์ เป็นวิชชาข้อที่ 4 อันหนึ่งเป็นเสียงจริง อันหนึ่งเป็นเสียงปลอมเป็นเวทนาสุขทุกข์ ใครทำได้ก็คือแยกมโนปวิจาร 18 ได้ ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 6 เส้นทางแล้วก็มีสุขทุกข์อุเบกขา รวมเป็น 18 พระพุทธเจ้าให้จัดการตัวต้นเหตุคือตัณหา 6 (ตัณหาทางทวารทั้ง 6) เราจึงต้องมาอ่านเวทนา ซึ่ง “เวทนา”นี้แหละที่มีความเป็นเวทนา ต่างๆอันต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า อย่างนี้คือเวทนา 2 อย่างนี้ๆคือเวทนา 3 อย่างนี้ๆเวทนา 5 อย่างนี้ๆเวทนา 6 อย่างนี้ๆเวทนา 18 อย่างนี้ๆเวทนาๆ 36 ถึงที่สุดอย่างนี้ๆเวทนา 108 ว่า มันคืออะไร? อย่างไร? ในจิตเรา และสามารถทำกับมัน-จัดการกับมันได้ (อภิสังขารหรือมนสิกโรติ) คือ ให้มันลดละ จางคลายลง(วิราคะ)กระทั่งที่สุดมัน “ดับ”(นิโรธ) 

ต้องพิจาณาก็ใช้ แต่พิจารณาคือ เห็นความจริงแล้วตัดสิน ว่าอย่างนี้ไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นทุกข์ มันไม่เที่ยงที่มันน้อยลง หรือมันไม่เที่ยงแต่มันเพิ่มขึ้น เมื่อแยกเนกขัมสิตะ กับ เคหสิตะได้จริงๆ ตอนแรกมันก็อาจเคร่งคุม ระมัดระวังคุมแจอยู่ นั่นคืออาการของฌาน 1 เป็นโทมนัสซ้อนใน มีปีติอยู่ที่เป็นสุขทางเนกขัมมะ เมื่อชำนาญขึ้น เราก็ไม่ไปติดปีติ เพราะถ้าไม่ได้แรงขนาดนี้ก็ไม่ถึงใจที่ติดปีติอีก ไม่เอาถึงอุพเพงคาปีติ แต่ให้มีผรณาปีติ เลี้ยงไว้เล็กน้อย ก็ต้องเข้าใจตั้งแต่ 
1.    ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) 
2.    ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) 
3.    โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) 
4.    อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย) 
5.    ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) 
(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

ในอนุปุพพิกถา คือธรรมะที่เป็นลำดับ เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ทานให้สัมมาทิฏฐิ มีศีลที่สัมมาทิฏฐิ จะรู้สัคคะ ว่าสวรรค์คือความลวง จะเกิดอาทีนวญาณ อย่างเห็นของจริงไม่ใช่ของจำ 
1.ทาน การสละ  การให้ 
2.ศีล  การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น 
3.สัคคะ (สวรรค์) .
4.กามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง 

5.โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย 
เนกขัมมะ อานิสัง  อานิสงส์การออกจากกาม 

แล้วโลกุตระนี้คิดเองไม่ได้ ต้องรับฟังจากผู้เป็นสัตบุรุษที่รู้มาก่อนๆจึงจะได้ ทำให้จนถึงอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน ได้แล้วก็ทำสั่งสมเพิ่มพลังไป ทำให้มากทำให้บ่อยรักษาผลไป เกิดอเนญชาภิสังขาร การทำคืออาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างที่เคยได้ผลนี่แหละ ทำให้มากทำให้บ่อย สั่งสมเวทนา 36 ทุกปัจจุบัน ตกผลึกเป็นอดีต 36 เป็นผลที่ได้เป็นต้นทุน เป็นอาริยทรัพย์ ผลอดีต 36 กับผลปัจจุบัน 36 แข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลง มันมาอย่างไรก็มั่นใจว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นตถตา

นั่นคือ  “จิตนิยาม” อันเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณของคน ผู้ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงถึงขั้นที่เรียกว่า “กรรมนิยาม”และ “ธรรมนิยาม” เท่าที่มีปัญญาบารมีจริงพอ จึงจะสามารถจัดการกับ “เวทนาในเวทนา”ได้

ชัดมั้ยว่า  “เวทนา”นี้แลที่สำคัญสุด ซึ่งเป็น “ตัวการแท้ๆ”ที่จะต้องเข้าไปจัดการ ให้มี “การทำใจในใจจนถ่องแท้”(โยนิโสมนสิการ) พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะ “อาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา”(เวทนัง ปฏิจจ ตัณหา ; พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 59) นี่แหละคือ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ได้แล้วก็เป็น 0 แต่ก็มี 1 ได้ คือมีสองได้ จะให้เป็น 0 นปุงสกลิงค์ก็ได้ แต่จะปรุงอิตถีลิงค์มาทำงานโดยสัจจานุโลมญาณได้ คุณจะอนุโลมได้ต้องไม่เปลี่ยนแปลงไม่เสียรังวัดไม่ตกต่ำต้องมั่นใจในพลังของคุณจริงๆไม่เช่นนั้นเตี้ยอุ้มค่อม อวดดิบอวดดีไม่ประมาณตน อาตมาทำงานนี่เอา 70% จะเป็นพลจึงทำ ไม่จ่ายพลังหมด คนที่ไม่ต้องการได้หน้า หรือได้อะไรแลกเปลี่ยนเขาไม่ทำหรอก คนอยากได้อะไรแลกเปลี่ยน อยากได้อัตตา พวกนี้ตกกระป๋องไปเยอะแล้ว หัวทิ่มบ่อ ไม่รู้นักหนักโลกีย์ที่ดึงไป ต้องคำนึงสิ่งนี้ให้ดี แต่กิเลสมันมักห่าม คนที่ทำงานกับสังคม เห็นท่าไม่ดีก็ถอยดีกว่า อย่าอวดดี จนกว่าเราจะแข้งแรงเต็มที่

 “พีชนิยาม”มีแต่ “สัญญา”และ “สังขาร”จึงไม่มีพลังงานที่เป็น “ตัวการ”(คือเวทนา)สำคัญในในตัวมันที่มันเป็นอยู่ จึงไม่มีฤทธิ์ร้ายใดออกไปทำร้ายทำลายชีวะอื่น คุณสมบัติของ “พีชนิยาม”ไม่มี “ตัวตน”ถึงขั้นที่จะเห็นแก่ตัวมาบำเรอ “เวทนา”ของตน DNA ของ “พีชนิยาม”จึงไม่มี “นิสัยเสีย”ที่เป็นผลร้ายต่อชีวะอื่นเกินที่มันมี ตามประสาชีวะของมัน

อรหันต์ทำพลังงานให้เหลือแค่พีชะได้ แต่ไม่ได้ทำอย่างพวกนั่งสะกดจิต จนตายแล้วก็ยังมีพลังงานเหลืออยู่ เป็นมนุษย์พืช มันมีจิตสั่งสมในอนุสัยไม่ปล่อยชีวะของตน ก็เลยมี โมเมนตัม ออกมาเลี้ยงได้อยู่ เหมือนมนุษย์ผัก แต่ในรพ.เขาไม่ยึดอย่างฤาษี แต่พวกฤาษียึดกว่ามาก ตายแล้วเป็นพีชะก็ไม่ปล่อย ตายแล้วไม่เน่า เล็บยังยาว ผมก็ยาว ก็กราบก็ไหว้กันหลงกันไปเยอะ หลงไป เพราะไม่ได้เรียนรู้ความจริง 

พลังงานที่อยู่ในโครโมโซมสั่งสมมาก็คือ genome ทั้งนั้น แล้วสั่งสมมาเป็นพลังงานเพศหญิง เรียกว่า gene ทำงานอยู่ ส่วนพลังงานสมบัติแท้เรียกว่า DNA แล้วมี genome อยู่ทั้งหมด ในโครโมโซม 22 คู่มีพลังงานทั้งหมด เป็น 44 แท่ง จะต่างกันในคู่สุดท้ายที่เป็น XX และ XY 

อย่างพีชะไม่มีพลังงานไปอาละวาดได้
จีโนมเป็น Y หรือ อิเล็กตรอน ส่วน ยีนส์และ DNA เป็น นิวเคลียส หรือ XX แต่ในนิวเคลียสนั้นโปรตอนคือยีนส์ ของนิวเคลียส เป็น Potential energy ส่วน

แต่กระนั้นก็ดี พลังงานของ “พีชนิยาม” ที่ทำงานไปก็ไม่ใช่ว่าจะคงที่อยู่เท่านั้นตลอดกาลทีเดียว ในจำนวน “จีโนม”(genome)ของมันก็ยังมีมากมีน้อยไปตามจริง แต่ยังไม่มีพลังงานสะสมที่มีความเข้มข้นของดีเอ็นเอ(DNA)ในนิวเคลียสของมันจนเป็นพิษภัยออกไปรบกวนนอกดีเอ็นเอของมัน 

 “จีโนมในโครโมโซม”หนึ่ง  “ยีน”หนึ่ง และ “ดีเอ็นเอ”อีกหนึ่ง ทั้ง 3 สภาพนี้ประกอบกันเป็น “อะตอม”ของ “พีชนิยาม”จึงมีฤทธิ์แรงมาก มีได้เต็มที่เหมือนอะตอมทั้งหลายแต่เป็นฤทธิ์แรงที่สุภาพ ไม่ระรานชีวะอื่นใด  

 “พีชนิยาม”จึงยังไม่เป็นภัยแก่ชีวะอื่นเพราะมีแค่ “รูป-สัญญา-สังขาร”เท่านั้นจึงเป็น “ชีวะ”ในโลกที่ถือว่า ยังไม่มีโทษ  แต่มีคุณต่อโลก ต่อสัตว์ ต่อชีวะอื่นพีชนิยามคือ ชีวะที่หมุนวนเป็น “โลก”อยู่ใน “วัฏฏะ”ที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่รูป-สัญญา-สังขาร(ไม่มีเวทนา) เป็น “อนุปาทินนกสังขาร” คือ สังขารที่ไม่มี “กรรม”ครอง หรือสังขารที่ไม่มีวิญญาณ(ใจ)ทรงไว้(ธรณ)ในนั้น

ส่วน “โลกชีวะที่ถึงขั้นวิญญาณ” ที่มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ ที่บาลีว่า  “จิตนิยาม”นั้น ก็มีครบทั้ง “รูปและนาม”ครบ “ขันธ์ 5” ซึ่งมี “เวทนา”และมี “วิญญาณ” นี่เองที่เป็นตัวเลวที่ร้ายได้สุดๆ และเป็นตัวดีที่มีคุณค่าประโยชน์ได้สูงสุดวิเศษยิ่งจริงๆ

เพราะมี “เวทนา”และ “วิญญาณ”นี้แหละ “ตัวการใหญ่”(ตัวการแห่งเหตุที่สร้างนิทานสมุทัยและปัจจัยอยู่ในโลก) ที่ทำให้ “จิตนิยาม”ถึงขั้นได้ชื่อว่า  “ผู้สร้างโลก-สร้างจักรวาล” หรือ “ผู้ทำลายโลก-ทำลายจักรวาล" แต่มันออกไปไหนไม่ได้ไกลไม่ได้นานหรอก มันก็หมดยุคแล้ว ออกไปจาก นพเคราะห์ดาวทั้ง 9 นี้ก็ยังไม่ได้เลย 

มนุษย์ในโลกนั้น ตกเป็นทาส “เวทนา” อย่างมาก เวทนาที่ว่านี้คือ “อาการ”ของจิตที่เรียกว่า  “สุข” ซึ่งเป็น “สุข”ที่ปรุงแต่งขึ้นมาครอบงำกันและกัน มันเป็น “สุขเท็จ”แท้ๆ(สุขัลลิกะ)ที่หลงเสพ อยู่เสมอตลอดเวลา แม้ไม่เรียกชื่อ อธิวจนะให้มัน มันก็มีอยู่แล้วตั้งแต่เกิดเลย ไม่ว่าชาติใด แต่ก็เรียกชื่อกันไปตามแต่ละภาษาที่ตั้งกัน เรียกสุข happy ฯลฯ

เสพทุกอิริยาบถ ทุกสัมผัส ถ้ามันทนอยู่ได้ก็ทนไป ตามเรื่องตามราว หากไม่มีเรื่องอะไรต้องทนก็เปลี่ยนอิริยาบถเพื่อหาสุขมาเสพทั้งนั้นละเอียดมากเลย เพื่อบำเรอตัวสุขที่ว่าชอบใจ ทั้งนั้นเลย

ผู้ “อวิชชา”หลงสนิทว่าเป็น “ความจริง” ซึ่งเป็น “อาการต่างๆทางจิต” เช่น อาการอร่อย อาการสนุก อาการเพลิดเพลิน อาการชอบใจ อาการตื่นเต้น อาการพอใจสารพัด อาการที่หลงยึดว่าอย่างนี้ๆแหละที่จะต้องได้ ต้องเป็น ต้องมี ต้องสัมผัส เป็นของชอบ ฯลฯ ถ้าได้สัมผัสกระทบเสียดสี(ปฏิฆสัมผัสโส) ตามรสนิยมดั่งที่ตนยึดไว้นั้นเต็มที่ก็เรียกว่า จุดสุดยอดแห่งอาการที่สมใจ(climax) มนุษย์จึงเต็มไปด้วยอาการอะไรบ้าๆบอๆต่างๆที่ยึดถือกันว่า น่าได้ น่ามี น่าเป็น เต็มอนุสัยซึ่งเป็นของ “สมมุติ”ขึ้นมาแล้วหลงว่าเป็น “สัจจะ”(ความจริง) จึงเรียกว่า สมมุติสัจจะ

ผู้ศึกษาสัจจะที่เป็น “ปรมัตถ์” รู้จัก “อาการ”ของ “เวทนา”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงสามารถกำจัดชำระล้าง “สมมุติ”ต่างๆนั้นออกจากจิตใจได้สำเร็จ ก็รู้แจ้งจริงด้วยตนว่า  “อาการ”ความปราศจากความรู้สึก(เวทนา) “สุขหรือทุกข์”นั้นมัน “มีอยู่จริง”

เพราะได้กำจัดมันออกไปจาก “อาการของเวทนา”หมดสิ้นแล้ว มันก็ไม่มี “อาการ”นั้นอยู่ในจิตเรา อยู่ใน “เวทนา”ที่เหลืออยู่ของเรากันอีก ผู้นี้ก็ไม่มีภาวะที่เป็น “สุข-ทุกข์”นั้น  นี้คือ ภาวะของนิพพานหรืออนัตตา หรือหลุดพ้นจากภาวะที่มนุษย์ปุถุชนเขามีกัน เรียกว่า  “วิมุติ” 

เพราะเวทนาเป็นต้นเหตุนี่แหละทำให้เกิดการทะเลาะกัน

เพราะอาศัย  เวทนาจึงเกิดตัณหา เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา   
เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ
เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง
เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่
เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ   ย่อมเกิดขึ้น

ทุกวันทุกเวลาทุกนาที คนที่ยังไม่สิ้น “อวิชชา”ต่างก็ “สังขาร”(ปรุงแต่ง)หรือ create สารพัดภาวะขึ้นมามอมเมามนุษย์ให้ติดยึดมาเรื่อย เพื่อให้คนหลงติด “อยากได้”มาเป็นมามี”ในตน ปัจจุบันนี้สิ่งปรุงแต่งที่ครอบงำมนุษย์จึงมีมากมายจนสุดจะกล่าวแล้วประดาคนที่อวิชชาก็ได้แต่หลงสิ่งปรุงแต่งที่ต่างก็สรรสร้างกันขึ้นมาไม่หยุดหย่อนนั้นกัน แล้วก็ยึดติด(อุปาทาน)ใส่ในอนุสัยเป็น  “เวทนา”ที่จะน่าได้ น่าเป็น น่ามี “เวทนา”และ “วิญญาณ”จึงเป็น “จีโนม”(genomes)ที่เป็นพลังงานใน “ดีเอ็นเอ” ซึ่งบรรจุอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์[นิวเคลียสคือ ส่วนที่เป็นใจกลางของเซลล์, มวลที่มีประจุบวกภายในอะตอม ประกอบด้วยนิวตรอนและโปรตอน]  

พลังงานหรือชีวิตินทรีย์ของ genome มี 2 แตกต่างกัน(เพศ=ลิงค์)เป็น 2 เสมอ ที่เป็น “ธรรม 2” ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ” โดยเฉพาะความเป็น “อาการ”นี่เองที่จะต้อง “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ให้ได้ 

และสามารถจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร) ความแตกต่างกันตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ถึงสภาวะของพลังงานทางจิตในตน และทำที่สุดจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร)ชีวิตินทรีย์ของ “เพศ”(ลิงค์) จนหมดสิ้นความเป็น “เพศ” คือ “ไม่มีเพศหรือเป็นกลาง(neutron)”ได้จริง

หมายความชัดๆคือ จัดการหยุดหรือดับความเป็น “พลังงาน”เราหลงติดยึด แต่มันเป็นอาการหรือพลังงานที่เลวร้าย อัน “แตกต่างจากพลังงานที่ดี”นั่นเอง นั่นคือ ธรรม 2 หรือภาวะ 2 ที่มีภาวะแตกต่างกัน ให้ชัดเจนถ่องแท้(โยนิโส) ว่ามันเป็นธรรมดาที่มีภาวะ 2 หรือธรรม 2 ย่อมเป็นธรรมดาที่มันจะต้องแตกต่างกัน อย่าไปเห็นเป็นว่า มัน “แตกต่าง” มันเป็นคนละเพศ  แล้วไปหลงรักหลงชัง

ต้องจบในใจว่า มันก็ต้องเป็นของมันอยู่เช่นนั้นเอง(ตถตา)  นั่นคือ จัดการปรับแต่งได้ถึงพลังงาน neutron ใน nucleus สำเร็จ เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่เป็น “ธรรม 2”ซึ่งเป็น “พลังงานเวทนา 2”ใน genome อันเป็นรหัสพันธุกรรมตัวละเอียดใน Chromosomes

และเป็นผู้สามารถจัดการกับปริมาณ(มัตตัญญู)พลังงานของ “ธรรม 2”คือ nuclear fission (พลังงานที่กระจายออกไปเป็นธาตุเบา) และพลังงานของ nuclear fusion (พลังงานที่หลอมละลายกันเป็นธาตุหนัก) ซึ่งแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ออกไปเป็นพลังงาน nuclear fission กับ nuclear fusion  เมื่อได้รับการกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส)ให้อยู่ในสัดส่วนที่เป็น “ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด”ได้ ด้วยความสามารถอย่างแท้จริง ก็จบ 

เราสามารถควบคุมพลังงานกัมมันตรังสีของเราเองได้ อย่างกัมมันตรังสีของวัตถุเขาก็ควบคุมได้ ซึ่งพลังงานแม้ละเอียดมากเท่าใด ถ้ามีสองเมื่อไหร่ย่อมมีความแตกต่างกันเสมอ เราคุมได้ให้เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดได้เสมอๆ 

ซึ่งถ้าร่วมกันอยู่ หรือถ้าสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ แล้วจะเกิด “รส”จากการกระทบสัมผัสเสียดสีกัน(ปฏิฆสัมผัสโส)นั้น  “รส”ที่ว่านั้น มันคือความเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง อันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดในความรู้สึกตามลักษณะแห่งสิ่งที่มีที่เป็นนั้นเท่านั้น เย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง เป็นต้นนี้เท่านั้น ที่เป็นภาวะจริงของ physic
 
“อารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์”มันไม่มีจากไหนๆหรอก แต่คนไปสร้าง “สุข-ทุกข์”ขึ้นมาใส่จิตตนให้เป็น “ความรู้สึกหรืออารมณ์เท็จ” 

ถ้าไป “สมมุติ”ว่า เย็นอย่างนั้นชอบใจ เมื่อได้ เมื่อมี เมื่อเป็น แล้วสุข นี่แหละเท็จ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เกิดในตนอยู่ ยังไม่หมดไปจากอนุสัยเย็นอย่างนี้ไม่ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็น แล้วทุกข์  “เวทนา”นี้แหละ “เท็จ”(อลิกะ) 

ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็เกิดในตนอยู่ ยังไม่หมดไปจากอนุสัย  
หรือร้อนอย่างนี้... หรืออ่อนอย่างนี้.... หรือแข็งอย่างนี้ ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็น แล้วสุขไม่ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็นแล้วทุกข์

ทุกข์นั้นเรียกทุกข์อาริยสัจ เพราะมันฝังไว้ในอนุสัย มันอยู่กับเรานาน เดี๋ยวนี้คุณก็ยังมี มันอยู่กับเราทำไมไม่หมดสักที แต่สุขนั้นมันหายไปหมดแล้วเมื่อเช้ากินข้าวอร่อยไหม? ไปไหนหมด เอาใส่ปี๊ปมาสิ ? แต่ว่าไปจำไว้ใส่จิตไว้ อุปาทานไว้ว่าต้องได้อย่างนี้ๆนะ 

พอบอกว่าวันนี้ผัดกระเพรามาให้พี่หน่อย แต่ว่าผัดมาแล้วไม่เหมือนเก่าก็เป็นมนุษย์ร่อนจานบินเลย

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น หรือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็ต้องเกิด ต้องมีอยู่ในอนุสัยตนเท่านั้นเอง   ผู้รู้แจ้งจริง และทำได้จริง จนกระทั่งไม่มี “อาการสุข-อาการทุกข์”(เวทนา)เกิดขึ้นในจิตอีกเลยตลอดไป ก็ย่อมไม่มี “อยากได้-อยากมี-อยากเป็น” หรือไม่มี “ไม่อยากได้-ไม่อยากมี-ไม่อยากเป็น”กันอีก  นี้คือ  “อาการหนึ่งเดียว”ที่เป็นอาการรู้แจ้งในภาวะที่เราสัมผัสอยู่นั้นเท่านั้นว่าคืออะไรตามที่มันมีอยู่จริง  “เวทนา”(ควมรู้สึก)ที่เหลือของเราก็รู้แค่ “อาการแท้”ของภาวะนั้น
หรือแม้เป็น “อาการ 2”ขององค์ประชุมรูปกับนาม(กาย)ก็ไม่มีสุขและไม่มีทุกข์แล้ว อย่างสนิทแห่งอาการ(อุเบกขาเวทนา) นั่นเอง  

ผู้สามารถทำ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)ให้รวมพลังกันกลายเป็น “รวมตัวเป็นธรรมหนึ่งเดียว”(เอกสโมสรณา) และที่สุดกลายเป็นพลังงาน “อุเบกขาเวทนา”ที่มีประสิทธิภาพ”ยิ่ง(เอกัคคตา) ถึง 5 ประเภทคือ  “ปริสุทธา(ความสะอาด)-ปริโยทาตา(สะอาดอยู่ได้แม้จะถูกกระทบกระแทก)-มุทุ(จิตหัวอ่อน)-กัมมัญญา(การงานที่ทำได้อย่างดีวิเศษ)-ปภัสรา(สะอาดผ่องใสอยู่เสมอ)”ได้สำเร็จจริง

หรือทำให้ “สูญ”สิ้นไปเป็นอื่นหมดเลย ไม่เหลือ “ตัวตนของภาวะเก่า”นั้นอีกนิรันดร์

อาตมาเห็น 5 คำนี้ พระไตรฯเขาแปลว่าจิตบริสุทธิ์ ผุดผ่อง  อ่อน การงานที่เหมาะควร ผ่องแผ้ว อาตมาก็เลยไปค้นดูบาลี ก็เลยระลึกชาติได้เลย ว่าสุดยอด 5 ตัวนี้คือคุณสมบัติอุเบกขา ของเก่าอาตมาก็ขึ้นมา อธิบายให้พวกคุณได้ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้หรือฟุ้งซ่าน เราทำได้อย่างมีเหตุผล หลักฐานเดี๋ยวนี้ก็ยังสะอาดขาวผ่อง กระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง คงเดิม จิตแววไว เจโตก็ปรับได้เร็ว เอาไปทำงานได้อย่างเยี่ยม แล้วจิตประภัสสรตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง เลยจากความรู้ฟิสิกส์เขามากเลย...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:21:13 )

580623

รายละเอียด

580623_ธรรมาธรรมะสงคราม วิทยาศาสตร์ทางนามธรรมของพุทธ ตอน 3

พ่อครูว่า...วัน อังคารที่ 23  มิถุนายน 2558 ขึ้น 8 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม วันนี้เราก็มาต่อ พระพุทธเจ้าเน้นศึกษานามธรรม แล้วจะเข้าใจในวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น เคมี ฟิสิกส์ ชีวะก็ตาม เพราะมันคลุมหมดเลย มันเป็นธรรมะสอง ในโลกเขาก็มีสองคือ พลังงานกับสสาร หรือ รูปกับนาม หรือ กายกับจิต แม้ทางโลกเขาก็ทิ้งพลังงานละเอียดที่ถึงขั้น 2 ไปเลย แม้แต่นิวเคลียร์ฟิวชั่นที่กระจายทิ้งไปเลย และเขาก็ไม่สามารถสลายพลังงานหรือสสารได้เด็ดขาด เขารู้ว่ามันไม่หายไปไหนมันเปลี่ยนสภาพไปเท่านั้น

ของพระพุทธเจ้ารู้ว่า พลังงานเมื่อเกาะตัวถึงเป็นชีวะ ที่ถึงจิตนิยามแล้ว ถ้าไม่มีพลังงานพิเศษที่เรียกว่า ไฟฌานเข้าไปสลาย ก็ไม่สามารถสลายการจับตัวของพลังงานจิตนิยามได้ ของพระพุทธเจ้าเป็น

พลังงานสำคัญที่ถึงจิตนิยามมันต่างกับอุตุ กับพีชะ นั้นตรงที่เวทนา แล้วเวทนานี่แหละเป็นธรรมะสอง แม้เราดับเวทนาในเวทนาจนสุดแล้ว จบ เวทนาที่ควรดับดับสิ้นไปแล้วก็เหลือเป็นอรหันต์ เป็นคุณภาพจิตที่มี อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสนา เป็นพลังงานพระเจ้าที่รู้ชัด ไม่เหมือนเทวนิยมที่ไม่รู้ชัด ก่อนจะมาเป็นเวทนาสะอาดก็จะมีพลังงานทางกาย ที่เรียกอีกอย่างว่า genome อาตมามองว่า genome มาจากคำว่า gene + one คือ gene ที่เป็นหนึ่ง 

ในนิวเคลียสของเซลล์มีพลังงาน gene + DNA + genome ซึ่ง genome คือเหมือนเวทนา ถ้าดับ genome ที่ไม่สะอาดไป ก็เหลือ genome ที่สะอาดเหลืออยู่ ทำให้เป็นหนึ่งได้จากสอง แล้วก็มีโดยส่วนสองได้ จึงกลายเป็น X และ Y ได้โดย ทำได้ทั้งสองแบบ 

เพศหญิงคือ XX ส่วนถ้าเป็นเพศชายจะเป็น XX แล้ว แถม Y ด้วย ผู้ควบคุม Y ได้ ก็ให้ขา X หด กลายเป็น Y ได้ แล้ว ตัว Y นี้จะมีสัญลักษณ์ เพศชาย และหญิงในนั้น 

ถ้ามีสองอย่างจะไม่เป็น 0 กับ 0 แต่จะเป็น 0 กับ 1 ขึ้นมา เพราะ 0 ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ผู้ถึงสุญญตา สามารถปรับแต่งเพศ จนหมดเพศได้ เป็นนปุงสกลิงค์ เรียกว่าเป็นกลาง เหมือนกับไม่มีเพศ​ ไม่ใช่แบบกระเทยนะ แต่เป็นกลาง เป็น นิวตรอน เป็นนปุงสกลิงค์ การทำให้เป็น 0 กับ 1 นี่ทำได้เฉพาะสายพระพุทธเจ้า และรู้ว่า 0 นี้เรียกลำลองนะ ก็ต้องมี 1 อยู่ด้วย แต่ว่าถ้าแตกสลายไปก็ไม่มีอะไรเหลือเลยนะ เป็นชีวะที่ 0 ได้ เป็นสสารและพลังงานของโลกเลย ไม่มีทางจะกลับมาอีกเลย แต่พลังงาน สสารก็พัฒนากลับไปกลับมาได้ จากอุตุมาเป็นพีชะหรือเป็นจิตนิยาม ก็เป็นของใหม่ ไม่มีของเก่าแล้ว จะมีมของเก่าก็คือมีกิเลสคล้ายๆอันเดิมน่ะ ไม่ใช่ของเดิม

อย่างพระพุทธเจ้าท่านจากพระเวสสันดร แล้วมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มาเป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่อันเดียวกันนะ ในรูปธรรมก็ไม่ใช่อันเดียวกัน ตัวตนบุคคลเราเขา อาการ 32 คนละแท่งเนื้อ แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่ใช่อันเดียวกัน จะเรียกลำลองว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด จะเรียกระลึกชาติก็ได้ มันก็ฝังในธาตุสัญญา ก็ระลึกได้ แต่ต้องรู้ว่าองค์ประกอบเปลี่ยนไปแล้ว ในขณะเราทำกรรมปัจจุบันก็เป็นวิบากใหม่ แล้วบวกลบ คูณหารกับวิบากเก่า รวมกันแล้วก็อันใหม่ ไม่ใช่อันเก่า

แต่อันที่จะเป็นอดีตแล้วกลายเป็นอนาคตต้องผ่านปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นตัวแปรสุดยอดแล้ว จะเที่ยงแท้หรือสะเด็ดยาดก็อยู่กับปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันใช่ อดีตก็ใช่ แล้วอนาคตก็ใช่แน่นอน เป็นสูญแน่นอน ทำสูญเป็นอดีตแล้วก็หายไป แต่มันยังไม่หายคือ ถ้าสามารถมีพลังงานไม่ยอมหยุดหรือหยุดไม่เป็นมันก็อยู่เช่นนั้น จนกว่าจะสามารถทำพลังงานของตนให้หยุดเป็น แล้วหยุดจริง เลิก ตัดสันตติ มีแต่ชรตาไป ไม่จับตัวแล้วไม่มีฟิวชั่น มีแต่ฟิชชั่นที่เหลือน้อยมากเพราะจัดการได้ตั้งแต่ปัจจุบัน แม้อนาคามีก็เข้าหาสูญ แต่จะอยู่ไปก็ตามฐานะ คือ สุทธาวาส 5
1.    อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ) 
2.    อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ) 
3.    สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ) 
4.    อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก) 
5.    อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว) 

พระพุทธเจ้าก็ไม่เกิดในภพสุทธาวาสนี้ อาตมาก็ปฏิบัติแบบนี้มาตลอด พระพุทธเจ้าตรัสเลยว่า สุทธาวาส 5 นี้พระพุทธเจ้าไม่เอา แต่ถ้าคุณจะเอาสุทธาวาสนี้ก็จะอยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งใน ห้านี้ แต่ถ้าจะตั้งใจพากเพียรไปก็หมดได้ ในฐานะ 5 นี้ 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้เรื่องรูป นาม หรือสสารและพลังงานนี่แหละ เราปรับแต่งนิวตรอนหรือนิวเคลียส สำเร็จ เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ธรรมะสอง 

เวลาจะทำงานจะเกิดการเคลื่อนที่ ยิ่งมีอะไรมาปฏิฆสัมผัสโส เราก็จะต้องทำงานร่วม หากไม่สัมผัส นิ่งเฉยๆเราก็ไม่ได้ทำอะไร ถ้าออกมาทำงานโดยมีปัญญาสูง ก็จะประมาณออกมาได้อย่างประโยชน์สูง ประหยัดสุด 

และเป็นผู้สามารถจัดการกับปริมาณ(มัตตัญญู)พลังงานของ “ธรรม 2”คือ nuclear fission (พลังงานที่กระจายออกไปเป็นธาตุเบา) และพลังงานของ nuclear fusion (พลังงานที่หลอมละลายกันเป็นธาตุหนัก) ซึ่งแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่(chain reaction)ออกไปเป็นพลังงาน nuclear fission กับ nuclear fusion  เมื่อได้รับการกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส)ให้อยู่ในสัดส่วนที่เป็น “ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด”ได้ ด้วยความสามารถอย่างแท้จริง ก็จบ 

ซึ่งถ้าร่วมกันอยู่ หรือถ้าสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ แล้วจะเกิด “รส”จากการกระทบสัมผัสเสียดสีกัน(ปฏิฆสัมผัสโส)นั้น  “รส”ที่ว่านั้น มันคือความเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง อันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิดในความรู้สึกตามลักษณะแห่งสิ่งที่มีที่เป็นนั้นเท่านั้น เย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง เป็นต้นนี้เท่านั้น ที่เป็นภาวะจริงของ physics
 
“อารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์”มันไม่มีจากไหนๆหรอก แต่คนไปสร้าง “สุข-ทุกข์”ขึ้นมาใส่จิตตนให้เป็น “ความรู้สึกหรืออารมณ์เท็จ” 

ถ้าไป “สมมุติ”ว่า เย็นอย่างนั้นชอบใจ เมื่อได้ เมื่อมี เมื่อเป็น แล้วสุข นี่แหละเท็จ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็เกิดในตนอยู่ ยังไม่หมดไปจากอนุสัยเย็นอย่างนี้ไม่ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็น แล้วทุกข์  “เวทนา”นี้แหละ “เท็จ”(อลิกะ) 

ความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็เกิดในตนอยู่ ยังไม่หมดไปจากอนุสัย  
หรือร้อนอย่างนี้... หรืออ่อนอย่างนี้.... หรือแข็งอย่างนี้ ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็น แล้วสุขไม่ชอบใจ ถ้าได้ ถ้ามี ถ้าเป็นแล้วทุกข์

ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น หรือไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ก็ต้องเกิด ต้องมีอยู่ในอนุสัยตนเท่านั้นเอง  ถ้าทำให้มันไม่มีไม่อยาก หรือไม่มีอยากได้ คือมันไม่ดูดไม่ผลัก หรืออันไหนที่ควรร่วมด้วยที่เป็นประโยชน์คุณค่าก็ทำ อย่างไม่ได้เสพรสอะไร พอตรวจดูได้ไหมในชีวิตเรา นอกจากเราไม่สุขไม่ทุกข์แล้วเรายังรู้ว่าอันนี้ควรทำ อันนี้ไม่ควรทำ แต่ถ้าจำนนว่าอันนี้ไม่ควรทำแต่ต้องทำ เพราะอยู่ในอำนาจบังคับ เหมือนทาส ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ควร เช่น เอ็งเป็นทาส จงเอาหัวจิ้มขี้ควายก็ต้องทำ เป็นต้น สารพัดจะทำ หรือว่าในสังคม อันนี้เรารู้ว่าไม่ควรทำ รู้ว่าจะเสีย แต่หมดสิทธิ์ที่จะขวางไม่ให้เขาทำก็มี เราจะอยู่อย่างจัดสรรได้ดี

ผู้รู้แจ้งจริง และทำได้จริง จนกระทั่งไม่มี “อาการสุข-อาการทุกข์”(เวทนา)เกิดขึ้นในจิตอีกเลยตลอดไป ก็ย่อมไม่มี “อยากได้-อยากมี-อยากเป็น” หรือไม่มี “ไม่อยากได้-ไม่อยากมี-ไม่อยากเป็น”กันอีก 

นี้คือ  “อาการหนึ่งเดียว”ที่เป็นอาการรู้แจ้งในภาวะที่เราสัมผัสอยู่นั้นเท่านั้นว่าคืออะไรตามที่มันมีอยู่จริง  “เวทนา”(ควมรู้สึก)ที่เหลือของเราก็รู้แค่ “อาการแท้”ของภาวะนั้น

หรือแม้เป็น “อาการ 2”ขององค์ประชุมรูปกับนาม(กาย)ก็ไม่มีสุขและไม่มีทุกข์แล้ว อย่างสนิทแห่งอาการ(อุเบกขาเวทนา) นั่นเอง  

ผู้สามารถทำ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)ให้รวมพลังกันกลายเป็น “รวมตัวเป็นธรรมหนึ่งเดียว”(เอกสโมสรณา) และที่สุดกลายเป็นพลังงาน “อุเบกขาเวทนา”ที่มีประสิทธิภาพ”ยิ่ง(เอกัคคตา) ถึง 5 ประเภทคือ  “ปริสุทธา(ความสะอาด)-ปริโยทาตา(สะอาดอยู่ได้แม้จะถูกกระทบกระแทก)-มุทุ(จิตหัวอ่อน)-กัมมัญญา(การงานที่ทำได้อย่างดีวิเศษ)-ปภัสรา(สะอาดผ่องใสอยู่เสมอ)”ได้สำเร็จจริง

หรือทำให้ “สูญ”สิ้นไปเป็นอื่นหมดเลย ไม่เหลือ “ตัวตนของภาวะเก่า”นั้นอีกนิรันดร์

ผู้สามารถควบคุม nuclear ได้ จึงเป็น nuclear reactor (อาริยบุคคล) ที่แท้จริง ผู้สามารถใช้งาน “อุเบกขาธาตุ”ที่มีคุณสมบัติอันวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม) 5 ประการดังกล่าวนั้นทำงานอยู่อย่างมีคุณค่าอันวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม) ไม่มีโทษ มีแต่คุณ อยู่ในสังคม   

ในมูลสูตร 10
1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . . 
2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) . . . 
4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) . 
5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . . 
6.      มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . . 
7.      มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด  
8.      มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง 
9.      มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.  
10.     มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน 
(พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 58) 

ปัญญาเป็นภาวะลึกแหลมตัดสิน วินิจฉัย หรือธัมวิจัยเป็นตัวบงการ ส่วนสติคือตัวรู้ทันได้รอบได้เร็วได้ทันได้ครบ ส่วนตัวปัญญาเป็นตัวเลือกเฟ้น คัดเลือกตัดสิน วินิจฉัย สั่งการ จึงเป็นอนุตตรธรรม เป็นธรรมะที่เหนือกว่าคนอื่นเขา ที่เป็นโทสะไม่ทำทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็นคนทำอะไรอยู่เหนือมนุษย์เขา 

อมตบุคคลนี่คือพระเจ้าที่แท้จริง แต่ไม่ได้สั่งการใครนะ ใครทำชั่วก็ได้ชั่วได้นรกของเขาเอง ไม่มีการสั่งใครลงนรกได้เหมือนพระเจ้า แต่จะช่วยเขาด้วยหากช่วยได้ 

เพราะมี “ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “คุณ”(คุณะ)ความเป็น “โทษ”(อาทีนวะ)ของภาวะนั้นๆจริง และมี “สติ”ที่ทรงพลังอำนาจยิ่ง(อธิปไตย) จึงรู้ทันภาวะนั้นๆ และมี “ปัญญา”ที่ทรงพลังเหนือภาวะนั้นๆ(อุตตระ)” อย่างมีประสิทธิภาพ “อยู่เหนือ”ได้จริง จึงกลายเป็น(ภวันติ)พลังงานทั้งปัญญาทั้งเจโต สามารถควบคุมพลังงานนั้นได้สำเร็จจริง ผู้จัดการกับ “เวทนา”ได้สำเร็จจริง จึงสามารถจัดการพลังงานใน isotope ได้สำเร็จ

ผู้ปฏิบัติมีมรรคผล จึงสั่งสมพลังงานเป็น “อินทรีย์ 5”(ศรัทธินทรีย์-วิริยินทรีย์-สตินทรีย์-สมาธินทรีย์-ปัญญินทรีย์) และที่สุดสำเร็จเป็น “ผลธรรม”ถึงขั้นมี “พละ 5”(ศรัทธาพละ-วิริยพละ-สติพละ-สมาธิพละ-ปัญญาพละ) อันเป็นโลกุตรภูมิ

เพราะ “ขันธ์ 5”ที่เป็น “รูปูปาทานักขันธ-เวทนูปาทานักขันโธ-สัญญูปาทานักขันโธ-สังขารูปาทานักขันโธ-วิญญาณูปาทานักขันโธ”ถูกชำระล้าง “อุปาทาน”ออกไปสำเร็จจริงจนกระทั่ง“อุปาทาน”หมดสิ้นเกลี้ยงจากจิต “รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ” ที่เป็น “ขันธ์ 5”ของสัตว์ผู้ชื่อว่า อรหันต์ จึงเป็น “ปรมัตถธรรม”ที่เรียนรู้กันอย่างสำคัญมาจนจบ ซึ่งละเอียดลึกซึ้ง(นิปุณา)ซับซ้อนยิ่ง

หากใครยังไม่สัมมาทิฏฐิ หรือแม้จะสัมมาทิฏฐิแต่ปฏิบัติยังไม่สามารถบรรลุผลบ้างแล้วอย่างเพียงพอ จึงยากมากที่จะพูดกันรู้เรื่อง แม้รู้ก็เพียงตรรกะ(รู้เหตุผล)เท่านั้น 

ในยุคพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นยุคปลายของ ภัทรกัปป์ของศาสนาพุทธแล้ว มนุษย์ที่มีพอจะบรรลุพุทธธรรมขั้นโลกุตระนั้นเหลือน้อยเต็มที จนพระองค์ปริวิตกว่าถ้าทรงประกาศศาสนาขึ้นแล้ว จะมิ “เสียของ”หรือ...!? 

พระพุทธองค์ทรงมีพระปริวิตกปานนั้น แต่ด้วยพระมหาเมตตา-กุรณาอย่างสูงยิ่ง(ดังที่พูดกันด้วยบุคคลาธิษฐานว่า มีสหัมบดีพรหมมาอาราธนาให้ทรงประกาศศาสนานั่นเอง)  จึงได้ทรงตัดสินพระทัยประกาศความเป็นศาสนาพุทธ

และพระองค์ตั้งพระทัยสอนคนแค่ให้บรรลุ “อรหัตตภูมิ”เท่านั้น คือ ทรงสอนแค่ “ใบไม้กำมือเดียว” ไม่ทรงสอนพิสดารอย่างกว้างขวางลึกล้ำมากมายเป็น “ใบไม้ทั้งป่า”

หมายความว่า พระองค์ทรงสอนเพื่อสร้างศาสนาให้มี “พระอรหันต์”เท่านั้น ไม่เจตนาสอนอย่างกว้างไกลลึกล้ำพิศดารมากมายหลากหลายเต็ม “พุทธภูมิ”สัมบูรณ์ ชัดๆก็คือ ทรงสอนให้คนบรรลุกันแค่ “อรหันต์”เป็นหลัก ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะทรงสอน “ภูมิรู้ที่เป็นพุทธขั้นโพธิสัตว์” อย่างชัดเจนละเอียดไปจนกระทั่งครบ “โพธิสัตวภูมิ”ทั้งหลายให้รู้แจ้งกันสัมบูรณ์ทั้ง 9 ภูมิ

พระองค์จึงไม่ทรงเสียเวลาพยากรณ์หลายสิ่งหลายอย่างก่อน ให้เนิ่นช้า เช่น พยากรณ์เรื่องอัตตา เรื่องโลก เรื่องชีวะ ฯลฯ ก่อน ทรงสอนให้เริ่มต้นรู้ขั้นต้นของการปฏิบัติ และขั้นกลาง ขั้นปลาย ที่จะบรรลุ “อรหันต์” แล้วพาปฏิบัติให้ “ดับอัตตา-ดับโลก” รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ชีวะ”ให้ได้บรรลุอรหันต์กันเร็วๆ ให้เพียงพอที่จะนำพาพระพุทธศาสนาไปได้ตามเหมาะสมกับยุคปลายสุดท้ายของภัทรกัปป์นี้เท่านั้น  

ซึ่งก็ปฏิบัติเพื่อ “ดับอัตตาในตน” เพื่อ “เปลี่ยนโลกในตน” เพื่อ “กำจัดอินทรีย์แห่งชีวะในตน”นั่นแหละ พระองค์จึงมุ่งสอนให้ “สัมมาทิฏฐิ”เป็นเบื้องต้นแล้วให้เริ่มปฏิบัติเพื่อกำจัด “อัตตา”ในตนกันเลย ดับ “โลกที่เป็นโลกียะ”ในตนกันเลย จัดการกับ “ชีวิตินทรีย์(พลังงานของความมีชีวิต)ของอกุศลจิต”ของตนกันเลย กระทั่งสามารถบรรลุธรรมมีสภาวะรองรับเพียงพอ เมื่อมีพื้นฐานพอนั้นแหละ

พระองค์จึงจะพยากรณ์ความเป็น “อัตตา”ก็ดี ความเป็น “โลก”ก็ตาม ความเป็น “ชีวะ”ก็ตาม อย่างพิสดารสู่ฟังตามสมควร ไปตามลำดับ

พระพุทธสมณโคดมจึงตรัสว่า พระองค์ทรงสอนแค่ “ใบไม้กำมือเดียว” ไม่กว้างลึกพิสดารเป็น “ใบไม้ทั้งป่า” ความรู้ใน “ภูมิโพธิสัตว์”จึงไม่ค่อยบริบูรณ์เหมือนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยุคต้น-ยุคกลางของภัทรกัปป์

พระพุทธสมณโคดมจึงมุ่งให้เร่งเริ่มต้น “ปฏิบัติ”กันเป็นหลัก ไม่เนิ่นช้าแม้เพราะเพื่อเรียนรู้ปริยัติหลากหลายก่อน

พุทธศาสนานั้น ต้องปฏิบัติไปตามลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย จึงจะบรรลุธรรม ซึ่งเป็นลำดับที่ลาดลุ่ม ลึกเหมือนมหาสมุทรไม่โขลกเขลก อย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง นี่ก็สำคัญมาก ที่ทุกคนจะต้อง “ปฏิบัติ”ให้เป็น “ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”กันจริงๆ ตามที่พระวจนะในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109จึงจะสามารถ “เห็น”(ปัสสติ) ด้วยการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “โลก” และความเป็น “อัตตา”อย่าง “สัมมาทิฏฐิ”แท้จริง แล้วจะสามารถเกิด “สติ”เป็น “อธิปไตย”(อำนาจที่เป็น “ใหญ่”กว่าโลก-กว่าอัตตา”เป็นคุณลักษณะของอำนาจโดยธรรม) และเกิด “ปัญญา”เป็น “อุตตระ”(ความรู้ที่พิเศษ “ยิ่ง”ที่สูงกว่า-พิเศษกว่าความรู้ปุถุชนสามัญ)ได้จริงตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส “มูลสูตร 10”(พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)ไว้เป็นหลัก  
 เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 

หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

พ่อของลูก /Albert Einstein.... 
Credit: Rafael Téllez-Girón

“อธิปไตย”หรืออำนาจที่เป็น “ใหญ่”กว่าโลก-กว่าอัตตา”เป็นคุณลักษณะของ “อำนาจโดยธรรมคืออำนาจที่เป็นธรรม” (ธรรมาธิปไตย)ที่ผู้สัมมาทิฏฐิจริงจะได้จริง และ “อุตตระ”หรือความรู้ที่พิเศษ “ยิ่ง”ที่สูงกว่า-พิเศษกว่าความรู้ปุถุชนสามัญ นี้ ผู้สัมมาทิฏฐิจริงจะได้จริง จึงจะเป็น “ธรรมาธิปไตย”(อำนาจที่เป็นคุณธรรมพิเศษ ซึ่งเป็นคุณ เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง)จากการปฏิบัติธรรมแบบพุทธซึ่งเป็น “คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม)ที่เป็น “คุณสมบัติ”เหนือสามัญในความเป็น “มนุษย์ชมพูทวีป”ขั้นสูงสุดถึงขั้นอรหันต์ ซึ่งมีได้เป็นได้ในบุคคลที่มี “สูร”(ภาวะหรือกาย)  “สติมันโต”(มีสติตื่นเต็มทั้งภายนอกภายใน)  “โลกนี้”ที่นี่เท่านั้น ที่จะบรรลุพรหมจรรย์สู่ “ปรโลก”(โลกอื่น โลกอีกแบบหนึ่งที่ต่างจากโลกปุถุชน ที่พ้นไปจากโลกปุถุชน)อย่างสัมมาทิฏฐิได้(อิธ พรหมจริยวาโส) 

 “โลกนี้”ที่นี่เท่านั้น ที่จะปฏิบัติให้บรรลุพรหมจรรย์สู่ “ปรโลก”ได้(อิธ พรหมจริยวาโส) ที่อื่นทวีปอื่นที่มนุษย์จะปฏิบัติให้เป็น “มนุษย์อุตตรกุรุทวีป”สูงสุด ไม่มี และ “สัมมาทิฏฐิ”แท้ที่อาตมาว่ามานั้น ก็คือ “สัมมาทิฏฐิ 10” อันเป็นประธานของการปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วย “มรรค 7 องค์” จึงจะเกิด “สัมมาสมาธิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “มหาจัตตารีสกสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281)  

 “โลก 2”ที่มีมากหลากหลายแบบ ดังที่ยกอ้างมาให้ดูกันแล้ว  โลก 3 -โลก 6 ต่างๆที่กล่าวถึงมาทั้งหลาย และอธิบายเพื่อเข้าใจ ไปปฏิบัติได้ มาพอสมควร

“โลก” คือ  “โลกธรรม 8” นั้นแหละที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยในโลกที่ผู้ยังอวิชชาหลงติดยึด และวนเวียนเป็น “โลก” ไม่หยุดวน เพราะไม่มี “ธรรมะที่เป็นหนึ่ง”(เอกกัคคตา) จึงยังมีภาวะ 2 ที่จะมี “สังขาร”เป็น “อารมณ์สุข-อารมณ์ทุกข์” หากจะมี “อารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์”)(อทุกขมสุข)ก็เป็นแบบ “พักยก”เท่านั้น ยังไม่พ้นอวิชชา คือ “เคหสิตอุเบกขาเวทนา” 

ซึ่งยังไม่ได้ปฏิบัติอย่าง “สัมมาทิฏฐิ”จนกระทั่งเป็น “อารมณ์ไม่ทุกข์-อารมณ์ไม่สุข”ที่ “ไม่สุขไม่ทุกข์คืออุเบกขา”แบบสิ้นเหตุแห่งทุกข์แห่งสุข(เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา)สัมบูรณ์แท้จริง ชนิดที่เที่ยงแท้(นิจจัง)ยั่งยืน(ธุวัง)ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนแปลงอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) ตามที่อาตมาเคยพูดเป็นคำบาลี 6 คำนี้มาบ่อยๆ ซ้ำซากจนน่าเบื่อ

ดังนั้น ผู้ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “โลก” ไม่มี “โลกวิทู”(ความรู้แจ้งในความเป็นโลก) ตามทฤษฎีอันวิเศษพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่หมด “โลก”ในตน ยังไม่สิ้นความเป็น “โลก”กระทั่งเป็นผู้ประเสริฐสุดสิ้นทุกข์ สิ้นภัยในโลก อยู่เป็นผู้มี “โลกนิโรธ”ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิไม่ตกเป็นทาส “โลก”หรือ “โลกีย์”ที่มี “ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขโลกีย์”เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ “หลง”(โมหะ)ผู้ “ติดอยู่”(อุปาทาน)เขาย่อมเสพ ย่อมแสวงหา ย่อมหวงแหน ย่อมแย่งชิง ย่อมต่อสู้มาให้ตน จนร้ายจนแรง

ส่วน “อัตตา”หรือ “ตัวตน”นั้น ก็คือภาวะของ “จิตใจ”นั่นแหละเป็น “ตัวตนจริงๆ” ซึ่งจะต้องเรียนรู้ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ให้ได้จนสำเร็จ จาก “รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ” อันเป็นอยู่อย่างมีเหตุมีสมุทัยเป็นปัจจัยต่อกันและกันที่เกิด “ปฏิจจสมุปบาท”ทั้งสาย อนุโลม-ปฏิโลมกันอยู่ 

มันก็เหมือนสายของ chromosomes   อันเป็น “ธรรม 2”ของ “ชีวะ”ที่เรียกว่า เพศชาย กับเพศหญิง หรือใน chromosomes ก็สามารถแยกเป็น 2 คือ autosome(โครโมโซมในร่างกาย) กับ sex chromosome(โครโมโซมเพศ) โดยโครโมโซมจะเป็นการจับคู่กันของโครโมโซม 2 ตัว ที่มีลักษณะต่างกันคือ โครโมโซม x เป็นตัวกำหนดเพศหญิง และโครโมโซม y เป็นตัวกำหนดเพศชาย ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าโครโมโซม x      

ปุถุชนใช้ X ไม่เป็นก็ใช้ข่มผู้หญิง แต่ผู้เป็น XY ที่เป็นอาริยบุคลจะใช้ พลังงาน Y ได้ อย่างลหุตา ถ้าเป็น เลข 7 จะเป็นตัวทำงาน แต่ถ้าเป็นตัวเต็มคือเลข 9 ในประเทศไทยมีทั้งเลข 7 และเลข 9         

นี่คือ  “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)ซึ่งมีส่วนที่แตกต่างกัน และเป็น “นามธรรม”ขั้นปรมัตถธรรม พระพุทธเจ้าทรงแยกเป็น “รูป”กับ“นาม”  “รูป”หมายถึง  “ภาวะที่ถูกรู้”(เป็น object) ส่วน “นาม”หมายถึง  “ธาตุรู้หรือภาวะที่เข้าไปรู้”(เป็น subject) นั่นคือ จะต้องรู้จัก “นามรูป”(ภาวะนามธรรมของเราเองที่ “ถูกรู้” ซึ่งจะรู้ได้ด้วยสัญญาหรือปัญญาของตนเองนั่นเอง) 

และจะสามารถเรียนได้จาก “นาม 5”
คือ เวทนา-สัญญา-เจตนา-ผัสสะ-มนสิการ กับ “รูป 28”คือ มหาภูรูป 4 กับ อุปาทายรูป 24 (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 14) ในตัวเราของเรานี่เอง อันเป็น “ธรรม 2”หรือเรียกว่า“กาย”(องค์ประกอบของ “รูป”กับ “นาม”)เราจึงจะสามารถได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “เซลล์เพศหรือกายของชีวะ”ที่ถูกสร้างขึ้นมาแต่ละ “อัตตา”จะมีโครโมโซมเพศคือโครโมโซมที่ต่างกัน(ลิงค์)เพียงชุดเดียว 

โดยที่เซลล์เผ่าพันธุ์ของเพศชาย(สเปิร์มหรือ kinetic energy)จะมี “เซลล์เผ่าพันธุ์” ซึ่งชีวิตของคนเขาค้นพบว่ามีโครโมโซม 2 ชนิดคือ 22 + x หรือ 22 + y ส่วนชีวิตของสัตว์นั้น สัตว์แต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปทั้งในความเป็น “รูปธรรม”และ “นามธรรม” ก็ขอผ่าน เรามาพูดเฉพาะเรื่องของมนุษย์
มนุษย์นั้นเซลล์เผ่าพันธุ์ของเพศหญิง(ไข่หรือนิวเคลียสของเซลล์)จะมีโครโมโซมได้เพียง
ชนิดเดียว คือ 22 + x  ดังนั้น โอกาสในการเกิด “ชีวิตินทรีย์”ของเพศหญิง(โครโมโซม 44 + xx)ก็ดี  “ชีวิตินทรีย์”ของเพศชาย(โครโมโซม 44 + xy)ก็ดี จึงเท่ากันในส่วนที่เป็น xx ทั้ง 22 คู่
คู่ที่ 23 เท่านั้นที่ต่างกันของเพศชาย เพศหญิง คือเพศชายก็ xy เพศหญิงก็ xxในแบบ “เทวนิยม”ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง “เวทนาในเวทนา”ได้ หรือผู้ยังไม่รู้(อวิชชา)ความเป็น “โลกุตรธรรม” แม้แต่ชาวพุทธที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ก็ไม่สามารถจัดการกับ “เวทนา”ให้เป็น “เนกขัมมสิตเวทนา”ได้(ยังไม่สัมมาทิฏฐิใน“เวทนา 108”) ไม่สามารถทำ “กายในกาย”ให้เป็น “ธรรมกาย”ได้ [การสะกดจิตเข้าไปในจิต มีแต่รูปจิต-อรูปจิต] ไม่สามารถทำ “จิต”เป็นโลกุตรธรรมได้ แม้แค่ทำ “เนกขัมมสิตเวทนา”ก็ไม่ได้ 

ผู้ไม่มี “ธรรมกาย”จึงอย่าอวดโอ่พล่อยๆ ตราบใดที่ใครยังไม่มีพลังหรืออำนาจที่เหนือชั้นสามัญ(พลังงานที่เป็นโลกุตรธรรม) คนผู้นั้นก็ไม่สามารถทำพลังงานที่เป็น “นิวเคลียสของชีวะ”ในตนที่มีการสัมผัสกระทบกระแทก(ปฏิฆสัมผัสโส)ให้ภาวะโลกียะนั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นภาวะ “โลกุตระ”ได้ ก็ไม่เป็นธรรมกาย

เพราะฉะนั้น จึงขึ้นอยู่กับ kinetic energy ที่เป็นพลังงานเข้าทำปฏิกิริยากับนิวเคลียสของชีวะว่า จะเป็นพลังงานอันมีคุณวิเศษที่เป็นพลังงานขั้น “สัตบุรุษ”หรือไม่ ต้องเป็นพลังงานของ “สัตบุรุษ”จริงจึงจะเข้าไปทำการกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส) นิวเคลียสนั้น จนมีพลังเปลี่ยน genomes(จีโนมส์)ใน chromosomes ไปจนถึงใน gene ใน DNA ทำอิตถินทรีย์กลายเป็นปุริสินทรีย์ได้ จาก “ธรรม 2”กลายเป็น(ภวันติ) “เวทนาที่รวมลงเป็นหนึ่ง”[เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวันติ] 

นั่นคือ จากเคหสิตเวทนา(โลกียธรรม) สุขเวทนา-ทุกขเวทนากลายเป็น “เนกขัมมสิตเวทนา”(โลกุตรธรรม) ถึงขั้นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา หรืออารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์ ชนิดที่เป็นพลังงานของ “คุณวิเศษอาริยบุคคล”แท้ๆไม่ใช่แค่ “เคหสิตอุเบกขาเวทนา”แน่ๆ

และการเปลี่ยน “เพศ”(ลิงคะ)นี้ย่อมไม่ใช่การกระทำของหมอที่แปลงเพศให้กระเทยแต่นี่เปลี่ยนแปลงจิตใจด้วยคุณธรรมอันวิเศษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวะทางนามธรรมเลยทีเดียว แล้วเป็นชีวะขั้นจิตนิยามด้วย ไม่ใช่แค่พีชนิยาม ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:22:43 )

580624

รายละเอียด

580624_เทศน์ก่อนฉัน ที่ร้านเกศตะวันทองมังสวิรัติ จ.ขอนแก่น

09.51 น. พ่อครูเริ่มเทศน์ก่อนฉัน ที่ร้านเกศตะวันทองมังสวิรัติ จ.ขอนแก่น ...นานแล้วไม่ได้มาขอนแก่น วันนี้ฤกษ์งามยามดี พระสุริยาท่านก็ไม่จัดจ้าน ฝนฟ้าท่านก็ไม่ตก ท่านประนีประนอมดีมาก แสดงว่าทุกอย่างลงตัวดีมาก มาเป็นครั้งแรกเลย มังสวิรัติตะวันทอง ก็ขอบคุณที่เก็บตะวันไว้ให้ อาตมามาตั้งแต่ตีสี่ มาถึงก็ 9 โมงแล้ว เห็นหน้าอาตมาทางโทรทัศน์ไหม

ใครก็ตามได้ทำงานถึงขั้นนี้ แจกอาริยทรัพย์ แจกฟรี นั่นแหละเป็นที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มีงานไหนดีเท่า 

อาริยทรัพย์คืออะไร คือคุณสมบัติของมนุษย์พึงเป็นพึงได้ ควรเป็นควรได้ น่าเป็นน่าได้ ไม่มีสมบัติอะไรดีเท่าอาริยทรัพย์ แม้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่เป็นสุขเท็จ สุขไม่จริง สุขโกหก หลอกลวงกันจนคนเห็นว่าจริง มันยากมากที่จะรู้ว่าสุขไม่จริง คนใดที่สามารถอ่านอาการสุขออก ว่านี่คืออาการสุข เหตุแท้ที่เป็นอาริยสัจของสุขคือทุกข์ 

สุขคืออัลลิกะ คือของเท็จ ส่วนทุกข์คืออาริยสัจ คือผู้มีปัญญารู้ยิ่งรู้จริง จะรู้ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แล้วทุกข์นี้คือจอม หลอกลวงว่า นี่คือของจริงนะ ใครยังติดยึดอารมณ์ เวทนา สุขเมื่อได้รับตากระทบรูป สวย หูกระทบเสียงนี้ กลิ่นได้กลิ่นอย่างนี้สุข ได้กระทบลิ้นรสสัมผัสเช่นนี้ก็สุข สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็งก็ว่าสุข  สุขสุดยอด ซึ่งเป็นเท็จ เป็นอัลลิกะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงว่าเป็นอุปาทานของมนุษย์ หลงเป็นเหตุปัจจัย เลยสร้างเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย เป็นนิยาย ชาดก มานานนับไม่ถ้วนไม่รู้กี่ล้านๆๆๆชาติ มีทั้งบู๊หั่นแหละ มีทั้งรักสุดซึ้ง แย่งชิงฆ่าแกง มีทั้งช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีสองบทบาทใหญ่ มีนิทานนิยาย แล้วมาสร้างนวนิยายให้สมใจ พวกขอบซาดิสม์ก็ชอบหนังบู๊ พวก โรแมนติกก็ชอบนิยายรัก 

ถ้าได้รสอย่างที่ถูกหลอกว่าจริงก็สมใจเป็นสุข แท้จริงมันหมดอารมณ์เช่นนี้อย่างนี้ไปจากใจได้ เมื่อเช้าอาตมาคุยกันในรถก็พูดกันว่า เมื่อก่อนเราก็หลงรสอร่อย แต่ก่อนนี้อาตมาชอบกินเผ็ด ข้าวคำ พริกคำนี่อร่อย แซบ ติดยึดจริง แต่เดี๋ยวนี้แตะรสเผ็ดไม่ได้เลย ไอทันที สำลักร้อนไม่ไหว แต่อารมณ์ที่เมื่อก่อนอร่อยว่ากินพริกมันอร่อยแซบอย่างไร ตอนนี้นึกไม่ออกเลย ไม่ว่าจะรสพริกหรือรสอื่นๆมันลดลงไป ตอนนี้ไม่มี มีแต่รสจริงของมัน พริกก็เผ็ด น้ำตาลคนไทยว่ารสหวาน ฝรั่งว่า sweet รสก็เช่นนั้นใครก็ตามรับรสก็ได้เหมือนกันหมด 

นี่มีภาพแจก มีโศลกธรรมอยู่ข้างหลัก ให้ไปปฏิบัติให้ได้ตามนี้ แต่ภาพนี้ใครเห็นภาพก็จะเห็นเหมือนกันหมด แต่ว่าคนไทยอาจเรียกอย่างหนึ่ง ต่างชาติก็เรียกอีกอย่าง ใครประสาทตาไม่เสียก็เห็นเหมือนกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คนสัมผัสแล้วมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน เป็นเอกธัมโม แค่คนไปโง่ อย่างหนึ่งเป็นความจริง อีกอย่างเห็นเป็นความชอบไม่ชอบ นั่นแหละคือกิเลส

ความจริงคือเห็นเป็นสิ่งเดียว เป็นเอโกธัมโม ไม่ว่าชาติไหนเห็นเหมือนกันหมด แต่ว่าคนไปชอบไปชังก็เกิดการดูดผลัก ถ้าชังมากก็จะทำลายให้หายไปจากโลกเลย นั่นแหละคือตัวทำลาย ไม่จริง

อารมณ์คนมันแปรปรวน ไม่ใช่สิ่งภายนอกคือเหตุ แต่ว่ามันอยู่ที่ใจเราต่างหากที่มันเกิดชอบไม่ชอบ การเห็นว่ามันดีไม่ดี มีประโยชน์ไหมก็เห็นได้ทุกคน แต่ว่าที่ต้องไม่ให้มีคือความชอบไม่ชอบ ตามแต่อุปาทานที่มันฝังลึกอยู่ในใจ แต่ว่าพอมันได้สัมผัสก็เคลื่อนออกมาทำงานเป็นตัณหา ความอยาก อยากได้มากๆก็ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา หวงแหนกัน ไม่ได้ก็อาจฆ่าได้หมดไม่เหลือ พวกไม่เห็นด้วยก็ปราบให้เกลี้ยง อำมหิต เป็นเช่นนั้นโดยอวิชชา พอมารู้แล้วก็มาลดกิเลส ที่มันเป็นของหลง โมหะ 

ผู้ใดเห็นสุขเป็นจริง คนนั้นอวิชชา คนไหนเห็นทุกข์เป็นอาริยสัจ คนนั้นเป็นคนประเสริฐ

ผู้อ่านอาการอารมณ์ได้ คนนั้นจับจุดเพื่อไปนิพพานได้ ตัวเวทนาเป็นตัวหลักที่ไขสู่ทุกอย่าง เดี๋ยวนี้อาตมาใช้ภาษาวิทยาศาสตร์มาไขด้วย เป็นพลังงานและสสาร 

ถ้ามันมีธาตุสองอย่าง ก็มีแนวระนาบ วิ่งอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม ถ้าเป็นธาตุที่วิ่งโค้งก็เร่ิมไม่ตรงมีองศา จนมีธาตุ สามหน่วยก็จะเป็นวงวน แต่ถ้ามีแค่สองจะไม่มีธาตุโค้งไม่โกง พีชนิยามไม่มีธาตุโค้งมีแต่ตรง พอเป็นจิตนิยามจะเป็นความโค้งมีสามจุด แล้วจะเกิดวงวน มีการหมุนจะเกิดพลังงานเข้าหาแกนกลาง

พลังงานของจิตก็เกิดต้นแบบมาจากอุตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม จับตัวกัน จากนิ่งแล้วมีการเคลื่อนมีวงโคจร เกิดเส้นวงโคจร รวมกันหลายอันเป็นจักรวาล พลังงานเหล่านั้นพัฒนามาเป็นชีวะ สะสมตนเองมากเข้าจนกระทั่งมันมากได้ขีดหนึ่งก็จะเกิดตัวเอง 

ในระดับพีชะก็เกิดตัวเองได้ระดับหนึ่ง เหมือนเขาสร้างหุ่นยนต์ ก็ให้สัญญามัน ปรุงแต่งตัวเองได้ ออกมาเป็นรูปร่าง พีชะก็มี รูป สัญญา สังขาร สามจุดเกิดเป็นตัวตน เป็นสัญญา มีชีวะก่อรูปร่าง จนเกิดตระกูลของพีชะต่างๆ พัฒนามาเรื่อย จนเกิดลักษณะ โค้งขึ้นมา มีรัศมีแตกมา จนกระทั่งเป็น 4 เป็น 5 เป็น6 เป็น 7 เป็น 8 เป็น 9 จนมีพลังงานพัฒนาที่ยึดตัวตนก็เป็น เวทนาขึ้นมา  

ถ้าเป็นพีชะไม่ออกจากถิ่นที่ของมัน มันจะไปก็ด้วยตามสิ่งแวดล้อมพามันไป ลม น้ำ สัตว์พาไป แต่พอมาเป็นชีวะก็เป็นสัตว์หลายเซลล์มากขึ้น เป็นจิตนิยามก็เคลื่อนที่ได้ หมุนโคจรไปสารพัด เป็นอุกกาบาต ถูกพลังงานดูดรวมตัวกันเข้า นั่นคือพลังงานของตั้งแต่จุดเล็กขนาดไหน มหาปรมาณูเล็กขนาดไหนก็คือจิตนิยาม ที่มีเวทนา ที่เป็นธาตุรู้ 

จริงๆสัญญาก็เร่ิมรู้สภาวะว่าอันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ ที่จะเอามาปรุงแต่งสังเคราะห์กัน มันรู้ว่าธาตุนี้จะเอาธาตุนี้ไม่เอา พอมาเป็นจิตนิยาม เป็นตัวเองที่จัดจ้านแล้ว ผลักแรงกว่าพีชะ 

พีชะนี่ดูดเป็นหลัก ผลักเป็นรอง จะไม่มีพลังงานไปแรงกับภายนอกไม่เป็นพิษภัยกับภายนอก แรงออกไปก็เป็นพลังงานฟิชชั่น(นิวเคลียร์) กระจายไปไม่มีแรงมาก มีแต่ชรตาไป เป็นพลังงานที่ค่อยๆเสื่อม ทางวิทยาศาสตร์เขาก็ตั้งเป็น half life 

ธาตุจิตวิญญาณเรียกว่า มี genome แล้วพัฒนาตนมาเป็น gene เป็น DNA ในสายโครโมโซม นี่คือจิตนิยามที่มีพลังงานสูงกว่าพีชะ มันเร่ิมยึดตัวตน แล้วพัฒนามาหลงตัวตน หลงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น เป็นยอด creator เลย เป็นยอดนักสร้างสรรค์ จนบานปลายออกมาหลอกกัน คนก็หลงไปหมด ติดรูปอย่างนี้สวย อย่างนี้ดีวิเศษ พวกศิลปินขี้หลอกก็หลอกว่ารูป เทคนิค ลีลา สีสันเช่นนี้จะดี ตอนนี้เขาพบรูป ปีกัสโซ่ รูปสุดท้ายขายกันจะได้เป็นร้อยล้านแล้ว เป็นรูปที่ดูไม่ออกกัน เอาไปติดบ้านโก้ กินก็ไม่ได้ แล้วหลอกว่าของหายาก เป็นศิลปินเอกทำมาก แต่ถ้ามันให้ประโยชน์ใครดูแล้วเกิดแรงบันดาลใจให้เกิดการพัฒนานี่คือศิลปะโลกุตระ แต่ถ้ายิ่งดูยิ่งกิเลสขึ้นนี่คืออนาจาร เป็นข้าศึกแก่กุศล ได้แต่ความหลงติดไป 

ทุกวันนี้ศิลปินหลอกคนเยอะ แม้แต่ศิลปินร้านอาหาร ปรุงหลอกคนเยอะก็เป็นบาป ไม่ต้องหลงติดกันหรอก อาหารก็กินกัน ทุกวันนี้อาตมากินอาหารอย่างสบาย กินอาหารที่มีธาตุเลี้ยงร่างกาย ถ้าเราหมดติดหมดยึดก็กินสบาย ไม่ดูดไม่ผลัก แต่ถ้าติดยึดมันจะมีแรงดูดผลัก ถ้าล้างได้ก็จะไม่ติดยึด แต่รู้ว่าอันนี้ควรอาศัยได้ก็กิน อาศัยเพื่อยังชีพ อาศัยออกกำลังกายให้ร่างกายหมุนเวียน เกิดให้ร่างกายเราดีก็ทำไป แล้วเราก็รู้ประโยชน์ที่จะอยู่กับสังคม ว่าเราจะทำอะไร

ถ้าเราเอามาเป็นของเรานี่ เราชั่ว ถ้าเราทำแล้วเราก็อาศัยกินใช้กับสิ่งนั้นด้วย แล้วยิ่งเราล้างกิเลสก็กินใช้เฉพาะส่ิงสาระ สิ่งเฟ้อไม่เอาก็เลยกินไม่มาก เหลือก็เผื่อแผ่กัน มันไม่เปลืองไม่ผลาญ เหมือนกับที่คานธีบอกว่าทรัพยากรในโลกนี้มีเหลือพอให้คนทุกคนในโลก แต่มันไม่มากพอสำหรับคนขี้โกงขี้โลภ เพียงคนเดียว 

เกิดจากอาการอวิชชา โง่ นั่นแหละ หากเรามาเข้าใจว่า ส่ิงใดจำเป็นต้องใช้ในชีวิตเราก็อาศัยใช้ ไม่ต้องสะสมหรอก เรามีแรงงาน เดรัจฉานมันยังเลี้ยงตนรอด แต่ว่าคนพึ่งตนเลี้ยงตนไม่รอดได้อย่างไร คนนี่สร้างสรรได้เก่งกว่าเดรัจฉานเยอะ เราก็ทำปัจจัยจำเป็นต่อชีวิตมาใช้ อะไรเป็นพิษภัยเราก็เข้าใจแล้วลดลง อันไหนเราอยากได้มาสัมผัสเสียดสีตน พอได้มาก็สัมผัสเสียดสี ปฏิฆสัมผัสโส แล้วชอบใจ นี่คือกามราคะ แต่ถ้ายึดมาไว้กับตนโดยหวงแหนมาเป็นของกู นี่คืออาการโลภะ 

ความเป็นของตนนี่ไม่ต้องไปยึดไว้กับตนหรอก อย่างชาวอโศกมีทรัพย์สินส่วนกลาง ทุกคนก็ทำผลผลิต ทำงานแล้วเอาไปรวมกันกับกองกลาง แล้วแต่ละคนลดความโลภ ความโกรธ กินเพียงพออาศัยใช้สอยก็เลยมีส่วนเหลือมาก แต่ทุกวันนี้คนพัฒนาสมองให้ตนกินแรงคนอื่น ใช้คนอื่นทำให้ตน บำเรอทั้งโลภ และกามราคะของตน ใช้คนอื่นทำให้ตนหาให้ตน ยึดมาเป็นของตนแล้วสัมผัสเสียดสีให้ตนบำเรอกามกับโลภ โดยใช้ความฉลาดเฉกาของตน คนทุกวันนี้พัฒนาฉลาดเฉโกทั้งนั้นไม่ได้พัฒนาฉลาดปัญญาที่ลดความเห็นแก่ตัว คำว่าเฉกา กับคำว่าปัญญานั้นต่างกัน

คนที่ไม่ฉลาดจริงๆก็เอาไปใช้ในทางผิดแล้วหลงว่าใช้ปัญญา ที่จริงเป็นการเฉกาที่เอาเปรียบเอารัด ขี้โกง ทุจริต เล่ห์เหลี่ยม ไปเรียนสูงๆ จบดร.มา 10 ใบก็เรียนเอาเฉกาทั้งนั้นไม่ได้สอนให้เกิดปัญญาเลย ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนๆ แต่ไม่เอาอย่างมหาวิทยาลัยนาลันทา มหาวิทยาลัยของพุทธศาสนาที่สอนให้มีปัญญาลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัวได้จริง จนหมดตัวหมดตน เป็นอรหันต์ก็เป็นผู้ลดกิเลสหมด แต่ก็รู้ทุกอย่าง อาศัยสิ่งควรอาศัย สร้างสิ่งควรสร้าง ขยัน สร้างสรร ไม่พักไม่เพียร ควรพักก็พัก ชีวิตควรเพียรให้มาก แต่อย่างให้สุขภาพเสีย เป็นความรู้สมบูรณ์แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมาสอน ให้ละกิเลส แล้วจะเป็นคนไม่เป็นภัยแก่ใคร มีแต่ประโยชน์คุณค่าแก่โลกแก่สังคม นี่คือการสอนของมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้า

เดี๋ยวนี้ยังเหลือความรู้โลกุตระหรืออาริยะนี้อยู่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เป็นการเพี้ยนเป็น อารยะ (หลงวัตถุ)หรืออริยะ(หลงอัตตาเห็นแก่ตัวเต็มบ้อง) เขาเข้าใจผิดว่า ปฏิบัติธรรมต้องออกไปอยู่แต่ผู้เดียว แต่แท้จริงคำว่าเอกา ที่ว่านี้คือไม่มีเพื่อนสองคืออยู่แต่ผู้เดียว แม้จะอยู่กับโลกท่ามกลางผู้คน ทุกฐานะแต่ก็ไม่มีกิเลสเลยนี่คืออยู่แต่ผู้เดียวไม่มีเพื่อนสอง ศาสนาพุทธทุกวันนี้เพี้ยนไปเป็นศาสนาฤาษีดาบสของเก่า 

หรือมาเรียนรู้ให้เป็นเอโกธัมโม ล้างกิเลสที่เป็นเพื่อนสองจากจิตให้หมด ก็เป็นเอกบุรุษ เป็นพลังงานระดับหนึ่งเดียว เป็นปุงลิงค์(เพศชาย) ถ้ามีพลังงานอื่นก็เป็นอิตถีลิงค์ 

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้เดี๋ยวนี้คนไม่เข้าใจได้ เป็นคนโง่ต่อความฉลาด คือโง่ตือฉฬายตนะ (เพี้ยนมาเป็นคำว่าฉลาด) คำว่าฉฬายตนะคือความฉลาดทาง 6 ทวาร คือฉลาดต่อความจริง กระทบรูป มะพร้าวก็รู้ว่า รูปเช่นนี้ ถ้าผ่าออกก็จะมีเนื้อเช่นนี้ไม่มีรสชอบหรือชัง แต่ถ้าเริ่มรู้สึกว่า น้ำนี่หอมดี รสอร่อยดีก็คือโง่ทางอายตนะ 6 แล้ว เกิดหวงแหน ของข้าใครอย่าแตะนี่คือโง่ในฉฬายตนะ 

เป็นพลังงานอวิชชา เฉกตา แทนที่จะเป็นพลังงานซื่อๆชัดๆไม่หลงก็กลายเป็นโง่หลงหมด คำว่าฉลาดในภาษาไทยคือคำกลางๆที่แปลว่ารู้เท่าทันในอายตนะทั้ง 6 แล้วคนที่เรียนรู้อาริยธรรมไม่ได้ก็คือพวกอเวไนยสัตว์ เรียนรู้ลดกิเลสไม่ได้ แม้จะรู้ภาษาบัญญัติได้ฉลาดรู้หมด แต่ปฏิบัติไม่ได้ก็มีเยอะแยะเลย หอบหวงสมบัติไว้กับตน จนตายไป แต่สร้างจิตตนให้มีวิบากบาปติดไปนานเท่านาน 

สรุปแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้านี่ ต้องการสอนสัจธรรมที่ครองโลก จะกี่กัป กี่กัลป์ ก็ทันสมัยใหม่เสมอ แม้เก่าก็เก่าสมัยใหม่เสมอ ไม่มีคร่ำคร่า ยิ่งหายากตามหลักเศรษฐศาสตร์ยิ่งมีค่ามาก แพงมาก ทุกวันนี้ยิ่งแพงมากค่าสูงมาก อาตมาสร้างโรงเรียน พุทธชีวศิลป์เพื่อให้คนมาได้รับความรู้อันนี้ ได้มาสักคนหนึ่งนี่ราคาแพงมาก มีค่ามาก เพราะเป็นคนลดกิเลสเห็นแก่ได้ เป็นคนไม่มีพิษภัยต่อสังคม ช่วยสังคมได้ เป็นโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้นี่คือมนุษย์ประเสริฐแล้วช่วยโลกได้ 

แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยเมืองพุทธถูกโลกีย์ครอบงำไปหมด แม้อาตมาเอาธรรมะมาประกาศเขาก็นึกว่า เป็นคนเพี้ยน แรกๆจะปราบอาตมาให้ตายเลย แต่อาตมาก็ใช้ ธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรมได้ ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง อยู่มาได้ แต่ถ้าอาตมาไม่ได้อยู่ในเมืองพุทธนะก็เผยแพร่ไม่ได้ เพราะคนศาสนานั้นยึดมาก สมัยโบราณ ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าไม่ถูกศาสนาที่ตนเชื่อนะก็ฆ่าได้เลย อย่างสมัยก่อนเขาเชื่อว่า โลกแบน พอกาลิเลโอบอกว่าโลกกลมเขาฆ่ากาลิเลโอเลยนะ

ดีที่อาตมาอยู่ในเมืองไทยที่เป็นเมืองพุทธ และดีที่มีพระไตรปิฎก ที่เขายึดถือเคารพกัน อาตมาก็เอาอันนี้มาเป็นหลักฐานยืนยันเลย ใครมาเถียงอาตมาก็เอาพระไตรปิฎกยัน เขาก็เถียงไม่ค่อยออก จึงเป็น ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง และอาตมาก็อธิบายสัจจะตามที่อาตมาเข้าใจ แล้วพิสูจน์มา ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยก็เริ่มเข้าใจ ได้มาปฏิบัติได้หมู่มวล ที่มีจิตลึกๆที่ฝังรากลงไปในจิตแล้ว ท่านเรียกว่าแก่นของอาริยธรรมจุดแรก เหมือนโกณทัญญะที่มีปัญญาอันนี้ฝังเข้าไปได้ พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าอัญญาสิวัตโพโกญทัญโญ แม้แต่ข้างนอกจะไม่ได้แต่ว่ามีแกนจิตที่หยั่งลึกแล้ว นี่คือแกนจิตโสดาบัน แล้วค่อยพัฒนาตนไป ผู้ใดพากเพียรปฏิบัติก็จะได้เร็ว แต่ผู้ใดผลัดผ่อนก็จะช้า ไม่ใช่ช้าชาติเดียวนะ จะช้าไปหลายชาติ

แต่ละชาติคนมีศัตรู คู่รักคู่ชังมหาศาล แต่ละชาติๆกว่าจะผ่านด่านมาก็ไม่น้อย ถ้าใส่ใจธรรมก็จะเอียงมาทางธรรมแต่ถ้าออกนอกธรรม จะเจอคู่รักคู่ชังที่พาออกไป แล้วจะแค้นกับไปต่อๆ หรือดูดดึงรักกันไปต่อๆ แล้วไม่มีคู่เดียว ว่ากันไปเรื่อย นิยายของคุณจะไม่จบ เหตุ นิทาน ปัจจัยจะมากขึ้น มันต้องมาหยุดอาฆาต หยุดรักไปเรื่อยๆ เกิดมาแต่ละชาติมีอยู่แล้ว คู่วิบาก ของเก่าก็ยังไม่หมดแต่ก็ไปทำของใหม่เพ่ิมไปอีก โง่ไม่เสร็จ สร้างคู่รักคู่ชังตลอดกาล แล้วหาพวกหาคนเชียร์คนทำร่วมอีก ไปร่วมเบียดเบียนเขาอีก ใครหาพวกเก่งแล้วร่วมกันเป็นคณะใหญ่ ทำร้ายทำเลวไปเป็น นปช. 

ขนาดตั้งใจหยุดมันยังไม่ง่ายต้องมาล้างพลังรัก/ชังไปเรื่อยๆ ลดคู่วิบากไปเรื่อยๆ ถ้าเราลดแล้ว เราหมดแล้ว แต่คู่รักมันยังไม่หยุดก็ยังมีวิบากเลย แต่ก็ดีกว่าเป็นการตบมือข้างเดียว แต่ถ้าไม่หยุดก็เป็นฉิ่งอัตโนมัติที่ตีกันไปตลอดกาล 

คนจะมาได้ฟังธรรมะอาตมา เป็นธรรมะโลกุตระ ต้องมีบารมี ถ้าไม่มีบารมีฟังธรรมะอาตมาไม่เข้าหูหรอก ไม่ต้องพูดถึงเข้าใจเลย ยิ่งจะเข้าถึงการบรรลุอันนั้นไม่ต้องหวังเลย เขาผ่านมาไม่เข้าหูหรอก เขารำคาญด้วย โกรธ ไม่ชอบด้วย 

แต่ถ้าคุณเข้าหู ก็จะเข้าใจ ปฏิบัติตามจนบรรลุเป็นสัมปัตติเลย คนจะมีบารมีฟังเข้าหูฟังเข้าใจยาก อาตมาตั้งโทรทัศน์มา 8 ปีแล้ว เช็คดูว่าดูกันเท่าไหร่? คนดูเรือนหมื่นอย่างเก่ง ธรรมดาประจำเรือนพัน แต่ทางโลกเขาดูกันหลายล้าน อัตราก้าวหน้าโลกียะมันเร็วกว่ามาก แม้พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาคนก็เข้าใจได้แค่นั้น แล้วมายุคอาตมานี่มาเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านแล้ว เป็นยุคปลายศาสนาแล้ว 

พระโพธิสัตว์มีลูกเป็นพันเป็นเอนก อาตมาก็มาเก็บตกมาตามหาญาติ เรื่องของต้นแบบต้นทุน ต้นเชื้อมีจริงในทางจิตวิญญาณ 

ทางจิตวิญญาณที่เป็นต้นทาง จิตนิยามเป็นพลังงานชีวะ พอเกิดแล้วก็ปักมั่น ญาติธรรมที่เป็นอาริยะของพระพุทธเจ้านี่ อย่างที่อาตมาอธิบายโสดาปัตติมรรค มีเชื้อแล้ว ก็จะได้เพิ่มจากอุตสาหพากเพียร แต่ถ้าไม่พากเพียรก็จะเนิ่นช้า แต่ผู้ใดเอาใจใส่ก็จะได้เร็ว จุดเชื้อจุดนี้เป็นจุดก่อเกิด เรียกว่าเชื้ออริยธรรมหรือโลกุตรธรรม ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรก สืบเชื้อมาจนบัดนี้ก็ไม่หมด อาตมานี่เชื้อพระพุทธเจ้านะ เพราะอาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ คนฟังแล้วหลงเชื่อนะ ถ้าหลงเชื่อในสิ่งเลวก็บาป แต่ถ้าเชื่อในสิ่งดีนั้นไม่หลงหลอก เพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้านี้ยาก คนจะเชื่อจึงต้องมีปัญญาจริงว่าอย่างนี้ใช่ ถูกต้อง จะเป็นเชื้อจริง เร่ิมก่อหวอด

เมื่อขยายตัวขึ้นมา ตั้งแต่อยู่ในส่ิงที่คนไม่รู้เรียกว่านิวตรอน ก็มีธรรมะสอง นิวตรอนถ้าใครกระทบก็จะแตกเป็นสองเพศ ทางฟิสิกส์รู้ว่าใครทำให้นิวตรอนแตกตัวก็จะกลายเป็น isotope แตกไปกระทบกันไปเรื่อยๆ ส่วนที่จับตัวกันก็มี ถ้าพากเพียรจะแตกตัวเรียนรู้นิวเคลียร์ฟิชชั่น กลายเป็นธาตุเบา แต่อีกอย่างก็เป็นฟิวชั่นรวมตัวกันเป็นธาตุหนัก เป็น ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) รวมพลังงานให้เป็น โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ทำได้ถึงจริงเป็นจริงได้

อาตมามีเชื้อนั้นข้ามชาติ อาศัยดินน้ำ ไฟลม ร่างกายข้ามชาติมาเรื่อยๆจนมาเป็นโพธิรักษ์ในชาตินี้ แล้วอาตมาชาตินี้ไม่ได้เรียนจากใครเลย เอาของเก่ามาสอน พาพวกเราปฏิบัติได้ผลจนเกิดสังคมสาธารณโภคี มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ทุกคนไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ถือศีล 5 อย่างต่ำ ตอนนี้พัฒนามีมวลมากระดับหนึ่ง ตอนแรกจะตั้งแผ่นดินพุทธที่ปฐมอโศก แต่ว่าไม่เกิดมวลมากพอ ก็ไม่เกิด แต่ว่าตอนนี้มีที่ราชธานีโศก ก็มีองค์ประกอบพอ เลยประกาศว่า เป็นแผ่นดินพุทธ 

ใครฟังธรรมแล้วรู้ว่าดี ก็เอาไปทำให้ดี อย่าเอาไปทิ้ง แล้วนี่เป็นแก่นอโศกนะ เหลือแก่นไหม หรือว่าทิ้งแก่นไปหมดหรือผุพังไปหมดแล้ว....ก็พยายามรวมตัวกันขึ้น แก่นอโศก เป็นโรงสีแรกของชาวอโศก ตอนนี้เหลือซากอยู่ไหม? ...กลายเป็นโรงปุ๋ยไปแล้ว ปุ๋ยนี่อีสายเรียกว่า ฝุ่นนะ คือจากแก่น นี่ กลายเป็นฝุ่นเลย มันไม่ควบแน่นเลยนะ

อะไรที่ดีแล้วทำได้ให้ทำอย่าช้า เพราะสนามแม่เหล็กโลกีย์มันแรงมาก ....


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:24:00 )

580624

รายละเอียด

580624_พ่อครูเยือนแก่นอโศก (บ้านสวนและโรงสีขอนแก่น)

พ่อครูและสมณะสิกขมาตุ มาถึง บ้านสวน จ.ขอนแก่น เวลา 14.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2558 มาถึงพ่อครูก็เปรยว่า ไม่เหลือเค้าโครงเก่าๆเลย จากนั้นก็พากราบพระพุทธาภิธรรมนิมิต ที่ศาลาส่วนกลาง

พ่อครูให้โอวาทแก่ชาวแก่นอโศกว่า....พวกเราอยู่อย่างมีพฤติกรรมสังคม เราไม่เบียดเบียนกอบโกยเอาเปรียบจากสังคม อย่างพวกเรานี่ จะดีจะเสียอย่างไรก็ไม่ได้ทำเสียหายเลวร้าย ถ้ามารวมกันจะเห็นพฤติกรรมที่รวมตัวเป็นรูปธรรม ถ้าแยกย้ายจะไม่เห็นรูปธรรมกัน หากต่างคนต่างทำ มันจะกระจัดกระจาย ไม่ใช่อยากอวดนะ แต่ของเรามีดี ถ้าเขาไม่สะดุดตาก็ไม่เห็น ต้องมารวมหน่วยกัน

อาตมายังมีความหวังว่า สังคมจะรับส่ิงเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นสุจริตกรรม ที่จะเกิด ไม่อย่างนั้นเหลือแค่ 2 คน 3 คนก็น่าเสียดาย ตั้งต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอนานไปเป็นบ้องกัญชา แต่ละที่อาตมาก็ไปไม่ไหว ใครมีเรี่ยวแรงโอกาส เห็นว่าน่าจะมาร่วมกันสร้างสรรก็พากเพียรกัน คิดดีๆ ว่าจะเอาอะไรกันชีวิตนี้ เราก็เดินเข้าหาหลุมฝังศพกัน เพชรนิลจินดาอะไรกันหนักหนัก ข้าวของหรืออะไรนักหนา เงินทองทรัพย์สมบัติอะไรก็สู้กรรมไม่ได้ กรรมที่เสียสละสร้างสรร ไม่ใช่กรรมที่เป็นหนี้นะ

แล้วนี่ชาวขอนแก่นจริงๆมีเท่าไหร่? ...ยกมือกันเกินสิบคน ...พ่อครูว่าถ้ามากันหมดนี่ จะเจริญกว่าศรีโคตรบูรณ์เลย ที่ทางก็มี มีทั้งหมด 6 ไร่ พ่อครูว่า 6 ไร่ก็มาอยู่ได้ 60 ครอบครัว อาตมาก็ได้แต่ย้ำ ว่าจะรออะไรกันนักกันหนา ตนเองก็จะได้ก่อนเลยนะ ถ้ามา ส่วนสังคมก็จะได้จากเรา เราเป็นตัวต้น จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆเอง เรามีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตาอยู่แล้ว แต่ว่าเรารวมกันประพฤติปฏิบัติ นี่ศาลาก็ไม่ใช่เล่นๆนะ ไม่มีที่อยู่ก็มานอนศาลานี่สบายจะตาย ที่อยู่กว้างขวางขนาดนี้

ต้นไม้ก็ใหญ่ ต้นไผ่ก็มี เก็บหน่อไม้ไม่หมด หน้าเห็ดก็เห็ดมีให้เก็บ พวกเรานี่อะไรก็พร้อม เหลือแต่ให้มากัน เราก็บังคับกันไม่ได้ เกิดมาชาตินี้เอาดีไม่ได้ตายเสียดีกว่า ชีวิตถ้าเอาจริงก็ไม่น่ามีปัญหา เรามีร่องรอยต่างๆที่ทำกันมาแล้ว หากทำไม่เป็นก็ไปดูงานที่ชุมชนอื่นของชาวอโศกนะ ค่อยๆทำไป... 

ที่ดินของโรงสียังไม่ได้ทำการมอบให้เป็นส่วนกลางทั้งหมดสมบูรณ์ (ตั้งแต่ปี พศ.2532) ...วันนี้จะทำการมอบให้ส่วนกลางโดยสมบูรณ์ พ่อครูบอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากเป็นที่ดินส่วนกลางคนก็อยากจะมาช่วยทำ ช่วยอยู่ แต่หากเป็นของส่วนตัวคนอื่นก็จะไม่ค่อยอยากเข้ามาช่วย 


14.40 น. พ่อครูและคณะมาเยือน โรงสีสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม ขอนแก่นอโศก ที่อยู่ห่างจากบ้านสวนประมาณ 1 กม. แต่ตอนนี้ไม่ได้สีข้าวแล้ว เลิกทำกิจการโรงสี แต่หันมาขายปุ๋ยงอกงามแทน โดยที่นี่รับปุ๋ยงอกงามมาจากบ้านราชฯจำนวน 392 ตัน จำหน่ายไปแล้ว 209.7 ตัน (เฉลี่ยขายได้วันละ 10 ตัน) ขายในราคาที่บ้านราชฯกำหนด 240 บาทต่อกระสอบ โอนเงินไปบ้านราชฯ ทั้งหมด ประมาณ 6 แสนบาท  ต่อมาได้รับการติดต่อจากส่วนกลางว่า ปุ๋ยที่เหลือให้ขายกระสอบละ 200บาท ส่วนกลางจะคิดเงิน 180 บาท เป็นการลดราคาลงอีกให้ช่วยเหลือเกษตรกร

พ่อครูให้โอวาทหน้าร้านแก่นบุญ....ว่า...พวกอโศกเราจะมีนโยบาย ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ อันนี้เป็นเจตนาอาตมาแต่ไหนแต่ไรเลยว่า เงินเชื่อเป็นอาวุธร้ายแรงของทุนนิยม นายทุนเป็นเจ้าของเงินใช้เงินเป็นอำนาจ เป็นวิธีการซับซ้อนหลายอย่าง ซื้อของเราให้ของไปจ่ายเงินสดก็จบ การใช้เงินสดนี่ทำให้รู้หลายอย่าง เช่นร้านค้านี้อยู่ย่านนี้ จะเป็นการตรวจสอบว่าจะขายของให้ลูกค้าย่านนี้ได้เท่าไหร่ แต่ว่าถ้าเชื่อนี้ไม่ต้องคิด คือเชื่อมาขายไม่หมดก็คืน มันไม่มีกำหนด เราจะรู้พลังซื้อ เราจะไม่ค้างไปถึงต้นทางการผลิตจะรู้ยอดการผลิตยอดทั้งหมดได้ ไม่อย่างนั้นจะทำเกินหรือทำฟรี ของทิ้งไว้มากไปขายไม่หมดก็เน่า เน่าไปถึงต้นทางเลย เงินเชื่อนี่บรรลัยจักร แต่ถ้าเงินสดนี่ประหยัดประโยชน์มากมายเร็วด้วย แต่เพราะนายทุนต้องหาทางเอาเปรียบและมีอำนาจ ก็ใช้เงินเชื่อมันเป็นนายทุน เป็นเจ้าหนี้ก็มีลูกหนี้เป็นใต้อำนาจ 

การทำการค้าอาตมาพากเพียรทำงานให้เป็นเงินสดให้ได้ เราทำได้มากแล้ว เดี๋ยวนี้อโศกเราประสพผลสำเร็จที่แต่ละชุมชนไม่มีหนี้ข้างนอกแล้ว อย่างมากก็เงินเกื้อเงินหนุนในหมู่ชุมชนพวกเราเอง บางแห่งหลายสำนัก อย่างปฐมอโศก สันติอโศกไม่ได้เป็นหนี้ไม่หนุนใคร มีแต่เกื้อกูลน้องๆรุ่นหลังเป็นแบบอย่างไป 

เรามีเงินสดเราก็จัดสรรเท่าที่มี จะไม่ประมาท รู้กำหนด เราซื้อมาเท่านี้เราก็จ่ายเท่านี้ ต้องขายให้หมดมันบังคับเราให้ประมาณอย่างพอดี ไม่ใช่ว่าขายไม่หมดก็คืนได้ดีไม่ดีก็โกงกัน เพราะขายไม่หมดบางทีก็ไม่มีเงินคืนด้วยเพราะเงินเอาไปหมุนอื่นๆ ก็ยุ่งไปหมด อาตมาเห็นว่าปัญหานี้เป็นหลักการเลยว่า 
1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนรอด 3.ทำให้มากให้เหลือ 4.แบ่งแจกผู้อื่น ก็อย่าช้า แก่นอโศกเกิดแน่....

จากนั้นพ่อครูจึงเดินทางต่อไปยังชุมชนดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี ในเวลา 15.10 น.


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:24:51 )

580624

รายละเอียด

580624_พ่อครูเอื้อไออุ่นชาวดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี 

พ่อครูว่า...ดินหนองแดนเหนือถ้ามีคนสักเท่านี้ จะดีมาก ป่านี้จะอบอุ่น น่ารื่นรมย์ขึ้นมา ตอนนี้ได้ข่าวว่าอาตมาจะมาที่นี่ ทหารก็มาเยี่ยมก่อนเลยนะ เขาถามว่ามาทำไม?...ทำไมไม่บอกว่ามาชุมนุม นานๆมาที แล้วเขาได้ข่าวไวนะ ได้ข่าวทางไลน์ ซึ่งพ่อครูว่า ถ้าเขาจะทำเรื่องไม่ดีเขาก็ปิดบังสิ (มีโยมบอกว่าตอนแรกเขาได้ข่าวว่า พระธัมมชโยจะมาที่นี่ แต่ดิฉันว่า ฉันไม่ยอมมาหรอก เขาก็เอาไลน์มาให้ดู ดิฉันก็เห็นว่า เขียนว่าพ่อครูสมณะโพธิรักษ์จะมา แต่เขาก็ว่า พระธัมมชโยจะมาอีก) ....

พ่อครูว่า คนหนึ่งรวยจะตาย อีกคนจนจะตาย มันคนละฟากฟ้าแดนดินเลย.... เดี๋ยวนี้อาตมากลายเป็นเป้า ขนาดทางการก็ได้ข่าว ที่จริงผู้ใหญ่ก็รู้ว่าใคร แต่ทหารก็ดูอย่างไรว่าเป็นใครมา ไม่ใช่ธัมมชโย แม้ในไลน์ก็เขียนว่าโพธิรักษ์ ก็แสดงว่าชัดเจน เขาจะเกรงว่า เราจะทำอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจ แต่ที่จริงเราเชียร์อย่างกับอะไรดี 

แต่อย่างไรก็ดีตามประสาอาตมา ความก้าวหน้าของชาวอโศกทำให้ผู้บริหารประเทศเข้าใจได้มากขึ้น แม้จะดูระแวงแต่ในแนวลึก อาตมารู้ว่ามีกระแสที่เขาเข้าใจเราเพิ่มขึ้นเยอะ เราทำแต่สิ่งที่ดี แม้เขาจะเข้าใจเปลือกๆว่าเราไปประท้วงทางการเมือง แต่เราก็ประมาณแล้วที่ออกไปประท้วงในนามกองทัพธรรมหรืออโศก ที่มานี่เขาก็รู้ แต่พวกเรามีน้ำหนัก 

น้ำหนักนี้มีรวมไปทางธรรมะ ไปในทางที่ลึกๆเขาอาจจะรู้ว่าน้ำหนักนี่เป็นพลังชนิดหนึ่งของมวลชน แต่เขาไม่รู้ละเอียดถึงพลังมวลชนของเราว่าเราไม่เหมือนพวกโลกๆที่ทำให้ปั่นป่วน เราไปชุมนุมนี่เราไปทำให้สงบ ทหารเขาไม่น่าจะเกรงความสงบ เพราะว่าเรายืนหยัดยืนยันว่าเราทำสงบ อาตมาก็เห็นผลของความสงบสยบความรุนแรง ครั้งนี้ชัดเจนว่าคราวข้างทำเนียบ เราทำกับตำรวจ แต่ครั้ง 18 กพ.ดูชัดกว่า ครั้งที่แล้วก็ดูสงบแต่ครั้งนี้ก็ชัดอีก รุนแรงยิงกันตายจริง เสร็จแล้วก็สงบหยุด อย่างเราไม่ได้ตอบโต้ด้วยสิ่งเป็นพิษภัยเลย คนจะดูออกว่าเราต่อสู้ด้วยสวดมนต์สงบ เราไปช่วยเขาอีกด้วย ไม่ได้มองเขาเป็นศัตรูด้วย ทางฝ่ายโน้นบาดเจ็บเราก็ไปช่วยเขาขึ้นรถเข็นด้วย เป็นส่ิงบอกปัญญาอันประเสริฐลึกซึ้ง คนมีภูมิปัญญาจะรู้

เขารู้ว่าเรามีน้ำหนักมีมวลแน่น แต่ลึกๆ บางคนเขาก็จะรู้ว่า นี่เป็นสิ่งประเสริฐแม้เขาไม่รู้ชัด เพราะคนเราเข้าใจไม่ได้ว่า ความสงบสยบความรุนแรง เขาว่ามีแต่ในหนังจีน เพราะในชีวิตเขาเข้าใจแค่ว่า ต้องรุนแรงกว่าสยบรุนแรงเท่านั้น แต่นี่เราทำได้มีความจริง ไม่ใช่แบบฝันๆเพ้อๆลอยๆ แต่เป็นเรื่องจริง

คนก็อาจไม่ชัดนัก อาจว่ามีเหตุอื่น ที่สงบลงไม่ใช่ว่าเราแสดงความสงบหรอก ที่ยุติสงครามได้มันมีเหตุ ก็แน่นอน ว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่จะเหตุอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือพลังธรรมะให้เขาหยุด เลิก ถอย ทั้งที่เราไม่ได้ทำร้ายเขาตอบเลย ฟังดีๆ ถ้าใครอยู่ในเหตุการณ์จะเข้าใจ ว่าทำไมเขาหยุดถอยออกไป ไม่ใช่ว่าฝ่ายเราเป็นฝ่ายยิงเขาตอบจนเขาแพ้ไปไม่ใช่เลย แต่เรามีแต่มือเปล่าเลย เขาถอยหนี จะมีอะไรอีกเล็กน้อยสมมุติว่ามีคนมาแทรกยิงตอบ จะมีสักกี่คน แต่ทางโน้นเขายิงเอาๆ แต่ทำไมถ้าจะมีคนยิงตอบก็มีไม่กี่คน ทำไมเขามีอาวุธมีคนเยอะกว่าถึงหนีไปล่ะ มันมีเหตุที่เหนือกว่า จะอะไรก็แล้วแต่ ส่วนที่เขาเองออกมาขนาดนี้ต้องทำให้สำเร็จ ไม่สำเร็จก็เสียหน้า ไม่มีใครทำหรอกถอยหนีแบบนี้ 

จะมีสิ่งที่เหนือกว่าทำให้เขาถอย นี่คือธรรมะ เพราะไม่ได้เอาความโหดไปชนะ ไม่ได้เอาความรุนแรงหรือเลวร้ายไปชนะ อาตมาว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่คนจะวิจัยในอนาคต หลายคนมองไม่ออกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ความสงบสยบความรุนแรงได้ เขายังไม่เข้าใจ เขารู้ว่ามันหยุด เพราะคนปฏิบัติเขารุกรานแล้วถอยไปเอง คนก็ไม่ค่อยรู้สึกมหัศจรรย์เขาก็รู้ว่ามันหยุดแต่ไม่รู้ว่านี่คือมหัศจรรย์ เขาเอาไปว่ามีผู้ใหญ่มาสั่งให้หยุด แล้วที่มายิงนี่ผู้ใหญ่สั่งไหม? แล้วผู้ใหญ่ไหนอีกสั่งให้หยุด 

อาตมาว่าเขาไม่ได้ถอยกลับเพราะเราตอบโต้จนเขากลัวลนลานไม่ใช่ มันมีอะไรเหนือกว่านั้น ที่มันไม่รู้ เป็นพลังธรรมะ ที่ลึกซึ้ง พลังสงบไม่รุนแรง เป็นคำสั่งใครก็แล้วแต่ แต่เขาถอยไปอย่างไม่เป็นระบบเลย ถอยทั้งหมดพร้อมกันเลย แสดงว่าได้รับคำสั่งจากผบ.ว่าให้ถอย ไม่ได้แพ้แบบสู้ไม่ได้กลัวหนีไม่ใช่ ไม่ใช่แพ้เพราะกลัวตายหรอก เขาแบกปืนออกมากลัวตายก็ขายหน้าตายเลย เขาไม่ทำหรอก ปืนก็อยู่ในมือ แล้วที่วิ่งหนีไปก็หนีคนไม่มีปืน น่างงไหม? ถือปืนมายิงเขา แล้วถือปืนวิ่งหนี หนีใคร ก็หนีคนไม่มีปืนก็ดูงงงง 

สิ่งเหล่านี้คือธรรมชนะอธรรมไปเรื่อยๆ อาจจะยังไม่มากไม่ชัดไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆค่อยๆเป็นค่อยๆไป ทุกวันนี้อาตมาเทศน์หนัก แรง กระทบคนผิดด้วย เป็นการทดสอบด้วยว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่เขาก็เงียบ ที่เงียบเพราะเป็นสัจจะความจริงที่ไม่อาจโต้ตอบ โต้แล้วตนเสีย นี่คือสัจจะ 

สรุปที่อาตมาพูด ธรรมะชาวอโศกกำลังเดินไปดี ธรรมะที่เห็นชัดเจนอีกฝ่ายก็คือ ธัมมชโย ก็โดน เขาทำของเขาเอง เราไม่ได้ไปอะไรเขาหรอก เป็นส่วนรวมสังคม เขาก็โดนไป นี่คือเครื่องชี้บ่งอันหนึ่งว่า ธรรมะอันไหนก้าวหน้า ธรรมะอันไหนถอยหลัง เราดูด้วยปฎิภาณปัญญา จะเห็นได้ว่า ชอบกลๆ เขาทำพฤติกรรมต่างๆนานา เป็นเรื่องเสียหายเลวร้ายดื้อดึง แสดงส่ิงไม่น่าทำไม่น่าเกิดเลย 

อย่างอาตมาพาทำธรรมะนี้ เขาจับอาตมาตั้งข้อหา ข้อหาอะไร? ข้อหาว่าผิดอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมันไม่ได้เป็นความผิดอกุศลเลย เป็นความผิดที่เขาตั้งข้อหาขึ้นมาเองทั้งนั้น เช่น สั่งให้อาตมาสึก แล้วอาตมาไม่สึก เป็นความผิด ...ข้อหาสึก ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อวดอุตริมนุสธรรมเป็นต้น

อาตมาก็ยืนยันว่า ธรรมะของเราถูก ธรรมะของเขาผิด เขาก็ว่าเราผิด แต่ไม่มีใครตัดสิน แล้วเขาจับอาตมาด้วยข้อหาไม่ใช่เรื่องธรรมะ ที่อาตมาแพ้แล้วติดคุก ก็คือ เขาสั่งให้สึกแล้วไม่สึกภายใน 7 วันมีความผิด อันนี้เป็นมาตราให้อำนาจพระสังฆราช ก็ตั้งขึ้นมาเอง กฎหมายสงฆ์ 2505 แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าไม่สึก จะเอาธรรมะมาสึกอาตมาก็ไม่ได้อาตมาไม่ได้ผิดธรรมวินัย ก็พูดถึงเรื่องข้อหาธรรมะ พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่อง ให้ฆราวาส จะเป็นผู้พิพากษาใหญ่ขนาดไหน มาตัดสินอธิกรณ์ของพระ มันมีแบบอย่างที่ไหนในโลก เขานั้นแหละทำผิดวินัย ทำไม่ได้ เขาก็เลยมาตัดสินอาตมาด้วยข้อกฎหมายแล้วมีแค่นี้ อาตมาก็จับประเด็น อาตมาก็แพ้คดีนะ ไม่สึก เพราะยืนยันว่าอาตมาเป็นพระ เป็นภิกษุ เป็นนักบวชอยู่ เพราะศาลรับรองนะ อาตมาไม่สึกก็เลยยังเป็นสมณเพศเหมือนเดิม ไม่ได้สละเพศ ศาลรับรองด้วย อาตมาอยู่ได้ เขาเถียงไม่ได้ว่าอาตมาเป็นพระ 

อาตมาไม่แพ้เพราะอาตมาไม่ใช่พระ แต่แพ้เพราะกฎหมายคุณตั้งมาเอง มาใช้กฎหมายสั่งให้สึก แล้วอาตมาไม่สึก ส่วนรายละเอียดในด้านธรรมะสวยงามหมดทุกอย่าง เราตอบไปหมด แม้แต่หลักฐานที่เราลาออกมา ทางโน้นไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องอธิกรณ์เราได้ ในข้อธรรมวินัยเราสวยงามเขาไม่กล้าเถียง แม้อาตมาเดินเรื่อง เขาตัดสินให้อาตมาแพ้ อาตมาก็เขียนหนังสือยืนยันว่าเราไม่ได้ผิด ออกไปเป็นหมื่นเล่ม หนังสือ ประนีประนอมด้วยนานาสังวาส ก็บอกหลักฐานรายละเอียดชัดเจน ออกไปเขาก็เงียบไม่มีเสียงค้านเลย ทั้งที่เขาโดนว่าเสียแต้ม เสียรังวัดมากนะ เพราะระบุว่าเขาผิดตลอดสาย 

มาถึงวันนี้อาตมาว่าธรรมะได้หยั่งลงในประเทศไทย หลักธรรมพระพุทธเจ้าจะเป็นไปตามสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แม้ในหลวงตรัสหรือแบบเราทำนี่ก็ตาม เดินไปในทิศทางนี้ทั้งนั้น ที่ในหลวงตรัส อาตมาประกาศสองทฤษฎีในหลวงว่าจะเป็นทฤษฎีที่ย่ิงใหญ่ในอนาคตของโลก

จะต้องทำอย่างไรให้คนมาเข้าใจการอยู่รวมกันแบบมาจนคือเจริญ ถ้าไปรวยนี่ไปเสื่อม มาลดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ลดการสะสมแต่มากด้วยการสะพัดแจกจ่ายเกื้อกูลออกไป นี่คือสัจธรรม ความเจริญของสังคมมนุษย์นั้นต้องคนมีสำนึกว่าอย่าไปกอบโกย เอาเปรียบกันนะ แต่ให้มาเสียสละ มาเกื้อกูลช่วยเหลือกันนี่สิคือสิ่งประเสริฐ คนตั้งใจทำแบบนี้คือคนเจริญ แต่คนเอาแต่รวย ปลุกเร้ากันไปรวยมาก รวยไม่สิ้นสุด อย่างบางสำนักคือพวกอวิชชา โมหะ เพราะเขาเร่งเร้าปลุกเร้า ก็อยากรวยแย่งรวยก็เดือดร้อนสิ ค้านแย้งในหลวงตรัสคนละขั้วเลย มันเป็นไปไม่ได้โลกจะสงบด้วยแบบนี้

ยุคต่อไปคนจะเป็นปัญญาชน เขาแสวงหาทฤษฎี ให้มาอยู่กับสังคมคนจน สร้างสรรเสียสละ เป็นสาธารณโภคี แต่เขาอาจไม่เชื่อว่าเป็นได้จริง แต่พวกเราพิสูจน์ทำมาจริงได้ แม้จะเป็นชุมชนที่ไม่ใหญ่โตอย่างชุมชนนี้ ปริมาณคนอาจไม่มากทันตา แต่ก็แน่น คนเข้าใจที่รู้ก็มากขึ้นอยู่ เห็นได้จากการอ่านพฤติกรรมสังคม เจริญขึ้น มันจะยืนหยัดยืนยันทฤษฎียิ่งใหญ่ขึ้น คอยดูต่อไป อาตมาไม่ได้พูดเล่น รักษาชีวิตให้ดีๆ คือทฤษฎี ขาดทุนคือกำไร และแบบคนจนนี่แหละ

คนเอาเปรียบสังคมนี่ดีหรือ แต่คนมาเสียสละทั้งๆที่รู้นี่คือประเสริฐกว่า เป็นความจริง เราทำได้อย่างอยู่ได้ด้วย เราขาดทุนให้สังคมได้ แล้วไม่อดอยากเดือดร้อน เป็นทฤษฎีทวนกระแสโลกที่ลึกซึ้งประเสริฐ คนที่มีปัญญาดีๆก็เข้าใจได้ ยิ่งเห็นจริงแล้วมาอยู่ได้คือคนเข้ากระแสอาริยะ

เรามีสถานที่่ส่วนกลางรอเรามาอยู่ผู้ใดเห็นจริงก็อย่าช้า มาช่วยทำให้เกิดแล้วช่วยกอบกู้สังคม อาตมาบอกว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ใช่พูดเล่นนะ เป็นเรื่องไม่ใช่เล่นๆนะ ถ้าไม่จริงอาตมาไม่พูดหรอก ที่บอกว่าไอสไตน์ คานธี ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์นะ 

หนังสือประวัติไอสไตน์อาตมาก็ไม่ได้อ่านมากมาย รู้เผินๆ แต่ว่าจับพฤติกรรมแนวคิดเขา ว่าคนธรรมดาไม่ได้หรอก ต้องระดับโพธิสัตว์ ยิ่งอาตมาเอาหลักฐานมาเรื่อยๆ อย่าง จดหมาย A bomb of love ที่ได้มาล่าสุด ยิ่งเห็นสื่อว่าไอสไตน์เป็นพระโพธิสัตว์ ทิ้งจดหมายไว้ให้ลูกแล้วรู้ว่าสังคมยังไม่เข้าใจตอนนี้ ต้องรอเวลา อย่าง E=mc2 ที่ยิ่งใหญ่คือพลังงานแห่งความรัก A bomb of love 

อาตมาเอามาอธิบายต่อได้เลย พวกเรากำลังทำอะไร อาตมาก็หยิบมาอธิบาย ว่าพวกเรากำลังทำส่ิงที่โลกต้องการอย่างยิ่ง ต้องการอย่างมาก แล้วสิ่งที่โลกต้องการ ก็แน่นอนใครก็ต้องการสิ่งประเสริฐยอดเยี่ยม และก็คืออันนี้แหละ เป็นพลังงานแห่งความรัก ที่ไอสไตน์พูด อาตมานี่เป็นเจ้าแห่งรัก รู้หรือเปล่าว่าอาตมาชื่ออะไร รัก รักพงษ์ คือรักพงษ์เผ่าด้วยนะ 

อาตมามีนามปากกาว่า รัก พงษ์มงคล คำว่ามงคลคือสิ่งประเสริฐ รักสิ่งประเสริฐ แล้วอาตมาก็ทำจริงไม่ใช่พูดเล่น ทำสิ่งประเสริฐจริง พวกคุณก็รู้ อาตมาไม่ได้แจกเพชรแจกทองนะ แต่แจกความประเสริฐ ฟังดีๆจะได้ปัญญา ชวนมาบูรณะดินหนองแดนเหนือให้เป็นแดนอาริยะ มีที่ดินตั้งเป็นร้อยไร่ แต่ให้ต้นไม้อยู่ คนไม่มา ก็ต้องเข้าใจธรรมะให้ดี ว่าชีวิตนี้จะเอาอะไร ใครสงสัยอีกว่าจะต้องสะสม ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้เท่าไหร่แล้วตายไปจะเอาไปอย่างไร ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใส่ปี๊บไว้หรือยังหรือว่าส่งไปโลกหน้าแล้ว คิดให้ดี ลาภก็ดี ยศก็ดี สรรเสริญก็ดี สุขก็ดี มันเป็นเท็จ ลาภ ยศ สรรเสริญเป็นเหตุให้คนหลงติด แล้วเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแก่พระอาริยะแม้พระอรหันต์ โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯก็เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด

ผู้ใดมาไม่ต้องสะสมลาภ ยศ สรรเสริญ คือคนจน โลกเขาจะเอาไปเสพสุข เขาก็ล่า แย่งชิง ทำให้บ้านเมืองสังคมแย่งชิงฆ่าแกง ทำให้สังคมไม่เจริญ ต้องมาเอาแบบในหลวงตรัส แต่คนเข้าใจยาก ก็ไปหลงแบบโลกๆหมด อาตมาก็เอามาเปิดเผย ก็ได้เท่านี้ ยุคนี้แล้ว แม้สมัยพระพุทธเจ้าคนก็เสื่อมมากแล้ว มายุคนี้ยิ่งเสื่อมหนักกว่าอีก ผู้ใดมีปัญญาอย่าช้า ถ้ายังมีผู้สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกจะไม่ว่างจากอรหันต์

ตั้งแต่โสดาบัน เราก็จะรู้ว่า เรามีอำนาจเหนือโลกหรืออัตตาอันใด โลกหรืออัตตาไม่มีอำนาจต่อเรา เราอยู่เหนือ ถ้าปฏิบัติได้จริง เป็นคุณสมบัติของอาริยบุคคลก็เป็นจริง อยู่ได้อย่างไม่เป็นพิษภัยต้องกราบเคารพบูชาสรรเสริญ

คนไม่แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ขยันทำขยันสร้างไม่เอาเปรียบ จะมีมากก็ไม่เอาไปขายแพงได้เงินมากๆเอาไปออกดอกผลก็ไม่ใช่ แต่ได้มาก็แจกจ่าย เรากินใช้แค่นี้ก็พอแล้ว น้อยลงไปอีกก็สบายเพ่ิม อีก ยิ่งไม่สะสมเลยก็ยิ่งสบาย คุณจะพิสูจน์ได้เลยอย่างเห็นชัด ที่พูดนี้เป็นสัจจะว่าเป็นได้จริง

อาตมาก็ประกาศตนหมดในอาริยะ ก็ไม่เห็นตื่นเต้นอะไร ถ้าเผื่อว่ามันไม่มีธรรมฤทธิ์ ประกาศไปอย่างนี้ฝ่ายที่เขารักสัจธรรม แต่เขาต้องยอมนะ ทั้งที่เขาเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ หากเขาไม่เชื่อจะหาว่ามาลบหลู่ เขาก็ว่าเราทำแบบนี้มันไม่ใช่อาริยะ แล้วมาตู่ความเป็นอาริยะของเขาก็เท่ากับลบหลู่ มาประกาศละเมิดลิขสิทธิ์ของอาริยะที่เขาเข้าใจ มันไม่ใช่ก็เป็นของปลอม แล้วมาประกาศอาริยะหรืออรหันต์ปลอม เขาก็ตื่นตัวฟ้องร้องเอาตาย เพราะมาปลอมความเป็นอาริยะยิ่งใหญ่ของเขา เราประกาศว่าเราเป็น เขาก็จะว่าของปลอม เขาเอาตายแล้วแต่ก็เงียบ ปล่อยให้อาตมาปลอมอยู่ได้ คือเขาไม่เชื่อ แต่เขาไม่กล้า ถ้าจะเถียงฟ้องร้องจะแพ้ไหมก็ไม่กล้า เพราะถ้าฟ้องครั้งนี้ต้องเถียงด้วยธรรมนะไม่ใช่เอากฎหมายมาพูด 

เขาฟังแล้วแม้เขาไม่รู้เรื่องเขาก็ต้องงงว่า ทำไมอธิบายได้ลื่นไหล แล้วถ้าเขาจะอธิบายบ้างก็จะตกม้าตายได้ อาตมาพูดอย่างไม่ได้เหลิงด้วย เขาจึงเงียบ อาตมาประกาศไม่รู้กี่ครั้งแล้วด้วย ส่วนพวกเราเงียบเพราะไม่ต้องประกาศก็รู้อยู่แล้ว ก็เลยเงียบเช่นกัน เงียบทั้งสองแบบ 

แม้แต่อาตมาลาออกมา อาตมาก็ไม่ได้ทำผิด เขาหาเรื่องอาตมาแท้ๆ จับอาตมาขึ้นศาล จริงๆแล้วเป็นเหตุการณ์ที่ดีมาก ได้พิสูจน์ความจริงทุกอย่าง จนถึงวันนี้แล้ว ที่อาตมาเขียนหนังสือว่า เถรสมาคมผิดทั้งยวง ออกหนังสือไปก็เงียบเลย ที่พูดนี้ไม่ได้เหลิงใจนะ แต่เป็นการอธิบายสัจธรรม ว่าความจริงควรชนะความไม่จริง 

มีผู้ถามว่า ปีนี้พ่อท่านอายุ 82 ปี พ่อท่านเอาพละกำลังมาจากไหน?
พ่อท่านว่า...เคยดูหนังแซมซั่นไหม หรือเฮอคิวลิส เอาพลังมาจากไหนนะ เป็นพระเจ้าแห่งพลัง นัยเดียวกันอาตมาได้พลังจากพระเจ้า เป็นพลังแห่งความรักมวลมนุษยชาติตามไอสไตน์บอกไว้ว่าเป็น A bomb of love เป็นพลังแห่ง 

ออกบาทบาทให้เห็นว่า มีเมตตากายกรรมไหม มีเมตตาวจีกรรม มโนกรรมไหม มีสาธารณโภคี มีศีลสามัญตามีทิฏฐิสามัญตาไหม? ที่ทำงานออกไป อาตมาว่าอาตมาทำงานดี แล้วก็มีใจที่ได้จากการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ใจก็เลยมีกำลัง อยากได้ไหมใจแบบนี้ อยากได้ก็มาเข้ามาเลย มาเป็นมวลสมาชิกของที่นี่จะได้กำลังชนิดนี้จริง มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ไม่ใช่เรื่องนิยายประโลมโลกนะ แต่จะได้จริง ได้พลังเหมือนเฮอคิวลิส แซมซั่น เขาว่าได้จากพระเจ้า แต่อาตมาสะสมความเป็นพระเจ้าเอง มีความรักมิติที่สูงขึ้นๆ ได้จริง อ้างอิงทั้งสูตร ไอสไตน์และสูตรพระพุทธเจ้า เข้าใจไหมว่าได้พลังจากไหน? บอกแล้วอยากได้ต้องปฏิบัติเอา 

โลกเขาเอาพลังอะไรทำงาน เขาเอาอามิส ลาภ ยศ สรรเสริญสุขมาเป็นตัวล่อให้อยากได้แล้วมีพลังไปทำงาน มีเครื่องล่อ เหมือนลาโง่ คนหลอกให้เดินตามหญ้าปลอมผูกไว้หน้าลา มันก็เดินตามกินหญ้า แต่หญ้ามันก็นำหน้าตลอด นี่คือพวกคนอวิชชา เหมือนลาโง่ ต้องได้หญ้าถึงมีกำลังเดิน ถ้าไม่ได้หญ้านี้มันไม่มีแรงเดินหรอก แต่คนไม่ได้เอาอะไรมาล่อแล้ว ทำด้วยปัญญาเข้าใจ ทำด้วย เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา ที่เป็นพลังของพระพรหม 

อาตมาไม่ได้เสแสร้งแกล้งนะ แต่ก็เอาตามเหมาะควร โหลดมากก็ไม่ดี เราไม่พักเราไม่เพียร เราทำตามควร ....สาธุ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:25:43 )

580625

รายละเอียด

580625_เทศน์ก่อนฉัน ดินหนองแดนเหนือ จ.อุดรธานี

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาเดินสายมาจนถึงดินหนองแดนเหนือ ไม่ได้มาเสียนานเลย จนมาถึง ย่าเรณูอุทานดีใจจริงๆ 10 กว่าปีแล้วไม่ได้มาดินหนองแดนเหนือ ย่าเรณูอายุตั้ง 87 ปีแล้ว เรณู ดิสโยธิน อาตมาเข้าไปก็เปลี่ยไปเยอะ เมื่อเช้าอ.ชูชาติพาไปเดินดู ต้นหมากรากไม้ ของให้รักษาสภาพป่นี้ไว้ 127 ไร่ แล้วพวกเรากมอายู่กันให้แน่น มาอยูกันอย่างถางป่าแต่อย่าตัดต้นไม้ ไปคิดให้ออก นี่เป็นสำนวน ถางป่าแต่อย่าตัดต้นไม้

คือเราจะต้องเลือกถากถางส่ิงที่ต้องถากถางออก อย่าไปโค่นต้นไม้ เรารักษ์ต้นไม้แต่เราจะถากถางส่ิงควรเอาออก ต้นไม้ก็เหมือนกัน อะไรควรรักษาไว้ ให้ประโยชน์สูงประหยัดสุด สัก 50 ปีข้างหน้า ยูนิเซฟ ก็คงจะมายกที่นี่ให้เป็นมรดกแห่งชาติ นี่ปลูกมาตั้งแต่พศ. 2526 ก็ 32 ปีแล้ว แต่อีก 50 ปีก็คงจะขนาดนี้ แล้วมันเยอะ มันเต็ม แล้วก็แย่งกันสูง เป็นป่าที่แข่งแย่งแสงแดดกัน อุดมสมบูรณ์ ต้นไหนแข็งแรงก็รอด ต้นไหนแกรนก็ถึงตาย

ตอนนี้ธรรมชาติของโลกมันหากยากไปเรื่อยๆ เสื่อมทรุด เพราะคนไม่เห็นคุณค่า แต่ที่นี่คนก็ถามว่าทำไมถึงไม่คึกคัก ไม่เหมือนชุมชนที่อื่นที่มีพัฒนาการ พฤติกรรม activities ต่างๆที่เป็นบทบาทกิริยาการงานผลผลิตไปสู่ข้างนอก ก็เห็นว่าคนอุดรนี่ยังไม่อุดรจริง อุดรแปลว่าเหนือ แต่นี่ยังถูกโลกกดหัวไว้อยู่ยังทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญ สุขไม่ได้ ยังไม่เข้ากระแสโสดาบันนะ

เข้ากระแสโสดาบันคือรู้ว่าทิศทางโลกุตระกับโลกียะมันคนละทิศทาง ผู้ใดมองออกจุดแบ่งทิศทางโลกุตระกับโลกียะ ตัดสินใจได้ แม้จะไม่ได้มาร่วมกับหมู่กลุ่มปฏิบัติคนเดียวก็จะแข็งแรง มีสภาวะ ที่จะต้องหากิเลสที่ตนติดหลงสุข ต้องรีบจัดการมันให้ตาย วิธีการปฏิบัติอาตมาก็ตอนนี้สอนกระทั่งเอาวิทยาศาสตร์มาจับ ก็อาศัยแผนผังลีลาเดียวกัน ทุกสิ่งในโลกมีสองอย่าง ถ้าอย่างเดียวมันจะนิ่งไปหาเสื่อม

ถ้านิ่งไม่มีปฏิกิริยาภายใน ถ้าสองอย่างนิ่งทั้งคู่ไม่มีปฏิกิริยาก็นับว่าจะเสื่อม เช่นเดียวกับไข่ของเพศหญิง XX ไม่มีอะไรมาเป็นปฏิกิริยาร่วมสุดท้ายก็จะออกมาเป็นระดูทิ้งไป คำว่าระดูนี่ภาษาบาลีเป็นอุตุ เป็นกาละที่ครบรอบของธาตุ ไม่ว่าดิน น้ำ ไฟลม ครบรอบมันก็จะสลาย ระดูของผู้หญิงเวลาหมดระดู ก็ละลายออกมาทิ้งเลิกจบ ไม่มีภาวะอะไรเกิดต่อ ไม่มีพลังงานมาผสม ไม่มีพลังงาน Y มาผสมก็ออกมา จบอุตุนี้ สลายไป พลังงานนี้กำลังจะก่อเป็นต้นทางพีชะ จากพีชะเป็นตัวตน ถ้าเป็นจิตนิยามเป็นไข่ของพืชก็จะเป็นชนิดนั้น ถ้าเป็นไข่ของสัตว์จะเป็นจิตนิยาม ถ้าเป็นไข่ของพืชหรือสปอร์ โดยไม่มีอะไรมาผสมก็ฝ่อไป ทั้งพืชทั้งสัตว์ไข่จะฝ่อไป ละลาย 

ทางฟิสิกส์ก็บอกว่า มีพลังงานและสสารสองอย่าง สุดท้ายก็มีนิวเคลียร์ แล้วสองอย่างของนิวเคลียร์ที่เขาตัดสินก็เรียกว่า กัมมันตภาพรังสี เอามาใช้งานได้ เช่นองค์กรพลังงานปรมาณูเพื่อสันติของไทยก็ทำ อย่างสม.สัจฉิกตา เคยทำงานอยู่ ก็เพื่อดึงพลังงานกัมมันตรังสีส่วนดีไปใช้ เอาประโยชน์ได้

แล้วพลังงานนามธรรมจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าก็รู้ทุกอย่าง หลักของท่านในพระไตรฯล.10 ข.60 ที่ว่า ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) นี่คือสูตรสำเร็จเหมือนกับ E = mc2 ก็มีสองสภาพที่ทำปฏิกิริยากัน หรือคู่บวก ลบ หรืออิเล็กตรอนกับนิวเคลียส พอเข้าไปในนิวตรอนจะมีพลังงานแฝง พอได้รับการกระทบสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส ถ้ากระทบแล้วก็จะแตกเป็นกัมมันตรังสี สองแบบ แบบหนึ่งเป็นพลังงานจับตัวลึก รวม เป็น นิวเคลียร์ฟิวชั่น อีกแบบเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ที่แตกตัวกระจายออกไป ไม่สิ้นสุด อย่างที่ฮิโรชิม่า นางาซากิ เขาทำไปก็มีบาปกรรมมากเลย

มันจะเกิดสร้างมนุษย์ให้เปลี่ยนจิตวิญญาณพัฒนาเป็นจิตวิญญาณที่ดี เอาพลังงานไม่ดีออกไปได้จริง เอาอกุศลจิตออกได้จริงๆ ที่เป็นตัวร้ายตัวเลว แล้วมีวิธีการขจัดเรียกว่าไฟฌาน พวกฤาษีไม่เข้าใจฌาน รู้แค่ว่าทำจิตให้สงบ แต่ไม่รู้ว่าฌานคือไฟกองใหญ่ สามารถกำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะที่เป็นพลังงานเกาะตัวเป็น ธาตุราคะ โทสะ โมหะ มีพลังงานพฤติกรรมของมัน มีลิงค หรือความแตกต่างกัน ก็สามารถอ่านความต่างของอาการเหล่านี้ได้ รู้อาการ ราคะ โทสะ ต่างกันได้ แล้วสามารถกำหนดสภาวะของอาการได้เรียกว่า นิมิต รู้การทำความหมาย กำหนดรู้ว่าอันนี้หมายถึงอันนี้ (แปลว่า หมายถึง) ผู้อ่านปรมัตถ์ได้เป็นอาริยบุคคล 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเสื่อม อาตมาเอามาพูดเขาหาว่าเสื่อมด้วย พระเป็นพระมหาศาลไปหมดแล้ว เปรียบเทียบก็คือพราหมณ์มหาศาลในสมัยพุทธกาล มีอำนาจมาก ทรัพย์มาก มีเมียมากด้วย มีคนหนึ่งที่พยายามค้นคว้าติดตามพุทธศาสนาในเมืองไทย ชื่อสกุลเมืองแกบอกว่าผมไปมาหมดแล้วทุกวัด ไม่มีวัดไหนเลย เจ้าอาวาสไม่มีเมีย แกก็พูดตามประสาแก อย่างนี้มันน่าเศร้าไหม ขออภัยที่อาตมาพูดชัดพูดตรง มันแสดงหลักฐานข้อมูลถึงความเสื่อม อาตมาพูดถึงว่า ตอนนี้กระแสเป็น สมีอุ้มสมีแล้ว

สมีนี่ปาราชิก 4 โดยเฉพาะเรื่องการเงิน แค่โกงเงิน 5 มาสกก็ปาราชิกแล้วอาตมาว่าหมดทุกวัดแล้วในเมืองไทยเพราะว่าไปรับเงิน มันพลาดได้ง่ายๆนะ ปาราชิกข้อนี้ ถึงขั้นว่า โกงกันเห็นๆก็อุ้มกัน สมีอุ้มสมี อาตมาพูดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า  โกงเงินส่วนรวมนี้ปาราชิก ถ้าใครคบหา เดินไปด้วยกันแค่ระยะบ้านหนึ่งก็ปาราชิกด้วย มีที่ปาราชิกเพราะผู้หญิง อาตมาไม่ลงลึกรายละเอียด ไม่ใช่แค่เพศหญิงนะ แม้แต่สัตว์ก็ตาม ผู้นี้ปาราชิกด้านเพศ มีที่ฆ่าคนก็ปาราชิก 

อันที่สี่นี่ปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ถ้าตนไม่มีแล้วไปอวดชื่อว่าปาราชิก แต่ผู้มี ถ้าอวดโดยใจลามก มีสาเฐยจิต ไม่บริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงใจทำด้วยเมตตา ทำด้วยเห็นแก่ประชาชน เพื่อเปิดเผยว่าอรหันต์มีได้นะในยุคนี้ ถ้าบอกไม่ได้ก็เลยกลายเป็นอรหันต์เดา หลอกกันด้วยส่งเดชไป ส่งผลให้คนเข้าใจผิด จิตตก อย่างนี้ท่านก็ถือว่าปาจิตตีย์ ปรับโทษได้ ถ้าเกิดผลคนเขาฟ้องร้องทำให้จิตคนเสื่อมสารภาพก็แค่ปาจิตตีย์ ให้ประมาณใหม่ให้ดี สังวรให้ดี หัดประมาณ มันผิดพลาดได้ แม้อรหันต์ก็ผิดพลาดได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ปรับอาบัติอรหันต์ ยกให้เป็นสติวินัย 

ที่ประมาณไม่ดีก็ทำให้เสียหายได้ แต่ถ้าประมาณดีแล้วทำไปเลยไม่เสียหายหรอก มันก็เจริญ เพราะมันของดี อะไรควรจะเปิดเผยไปมากว่าอาริยธรรม คือสิ่งสูงสุดแล้ว คุณมีเพชรทองก็อวดกันได้มันจะเท่าไหร่กันนะ แต่นี่อุตริมนุสธรรม น่าจะอวดมากกว่า ถ้าอาตมาแจกได้ ระหว่างเพชรทองกับอุตริมนุสธรรม คุณจะเลือกอะไร พวกเราก็เลือกอุตริมนุสธรรม แต่คนไม่รู้ก็เลือกเพชร มันขึ้นอยู่กับทิฏฐิ เหมือนลิงได้เพชร มันเอากล้วยดีกว่า ตาบอดได้แว่นก็ไม่รู้เอาไปทำไม เอาข้าวดีกว่า 

ไอสไตน์คิดสูตร E = mc2 อาตมาก็มาบวก A ให้เป็น E = mc2 + A ตัว A คือ Abstract คือนามธรรม เป็นนาม เช่นเวทนา 

ของพีชะมันมีแค่สัญญา สังขาร กับรูป สัญญาของพีชะมันก็มีอัตโนมัติได้ของมันรู้จักธาตุนี้เอามาให้ของมัน ธาตุไหนเข้ากับมันมันก็รับมา ไม่เข้ากับมันมันก็ไม่รับ แล้วแต่ชนิดของพืชแต่ละชนิด มันซื่อสัตย์นะ  ขนาดสัตว์เดรัจฉานต่ำๆมันก็ซื่อสัตย์นะ ควายนี่นะเอาลูกชิ้นเนื้อสัตว์ไปให้มันมันไม่กิน เอาเนื้อแดงให้มันมันไม่กิน มันซื่อสัตย์นะ แต่คนนี่กินแหลกเลย ทั้งที่คนไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเลย คนมีฟันกรามมากกว่าเขี้ยว น้ำย่อยของสัตว์มันมีมากกว่าคนเรา เรามีเล็บเหมือนควายช้างม้า ไม่เหมือนพวกสัตว์กินเนื้อ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยัน แม้แต่ลำไส้ของสัตว์กินพืชมันก็ยาวกว่าสัตว์กินเนื้อ พวกนี้เขารู้ทั้งนั้น คนนี่เป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่สัตว์กินเนื้อเลย แม้แต่หมอก็รู้นะว่ากินเนื้อสัตว์เป็นพิษภัย แค่ด้วยความติดยึดหมอก็กินอยู่ หมอยังสูบบุหรี่อยู่เลยทั้งที่รู้โทษภัย บอกคนไข้ให้เลิกสูบ แต่ตนยังสูบพวกนี้ไม่ใช่ยถาวาทีตถาการีก็ยังไม่จริง 

ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องละเอียดทั้งพลังงานและสสาร ถึงชั้นชีวะสุดยอด รู้ถึงธรรมะสอง ที่ละเอียดถึงนิวเคลียร์ แล้วจับรังสีนิวเคลียร์มาจัดการได้ พุทธรู้พลังงานพวกนี้ โดยรู้พลังงานถึงนิวเคลียร์ของจิตวิญญาณ กัมมันภาพรังสีที่แตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ออกไป เป็นฟิวชั่น ฟิชชั่น 

อาตมาสามารถหยุดอาการของมัน ระงับอาการของมันหรือจะให้มันทำงานได้เท่าไหร่ก็ได้ จัดการของเราเอง อันนี้เป็นอาการที่จะให้เกิด มันเคลื่อนเป็นอุปจยะ เป็นลักขณรูป 4 เราจะให้มันดับก็ตัดสันตติ แต่ถ้าจะให้เกิดมันก็เป็นฟิชชั่น แล้วสลายเป็นชรตา แต่ถ้าเป็นฟิวชั่นก็รวมตัวกันเป็นอุปจยะ นี่คือของพระพุทธเจ้าสุดท้าย แล้วตัวสำคัญของอนิจจตา ในรูป 28 สุดท้ายจบที่ลักขณรูป 4 อาตมาพูดเอาไว้เพื่อให้ศาสนาพุทธต่อไปให้ถึงห้าพันปี ตอนนี้เลยครึ่งอายุขัยศาสนาพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาประกาศเมืองไทยคือชมพูทวีป ทำจิตวิญญาณชมพูทวีปที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าได้เป็นมนุษย์อาริยะถึงอุตรกุรุปทวีปได้ สามารถแบ่งแจกจำแนกสอนเผยแพร่ ปรับปวาทะได้ เป็นคุรุหรือครู ที่จะสืบทอดอาริยธรรมได้ เป็นมนุษย์ที่มีอุตรกุรุ แล้วอยู่ในแดนนี้คือทวีป

อาตมาไม่ได้เพ้อนะ ศาสนาพุทธมีในไทยตั้งแต่ก่อนเกิดเมืองไทยเลย ศาสนาพุทธเกิดก่อนประเทศไทย พุทธศาสนามาหยั่งในแดนนี้ตั้งแต่ สองพันปีแล้ว มาถึงวันนี้เสื่อมจนเกือบไม่เหลือ นี่พูดด้วยวิชาการนะ อย่างชังอย่าเกลียดอาตมา อาตมารู้ว่าอาตมาเป็นผู้ 
เอาโลกนี้ที่เป็นเคหสิตเวทนามาเป็นโลกหน้าที่เป็นเนกขัมสิตเวทนา มาเปิดเผยให้เอาอารมณ์โลกีย์ออกให้เหลือแต่เวทนาสะอาด จนหมดเวทนูปาทานักขันโธ มาเป็นเวทนาปริสุทโธ ให้บริสุทธิ์

อาตมาประกาศว่าชาวอโศกมีอรหันต์มีอนาคามี แล้วก็เสียไปแล้วทั้งสององค์ สมควรประกาศอาตมาก็ประกาศ ยังไม่สมควรก็ยังไม่บอก ไม่ใช่ศาสนาเดาๆสูญเปล่า ดำน้ำด้นไป ไม่ใช่ แต่เป็นศาสนาที่มีของจริง ยืนยัน จนเราทำสังคมสาธารณโภคี บุญนิยม

ที่ดินของดินหนองแดนเหนือมีหนองน้ำ ต้นไม้ถึงเจริญดี มีน้ำพอใช้ จึงตั้งชื่อว่าดินหนองแดนเหนือ แต่เสร็จแล้วมาถึงปีนี้ เกิดมาตั้งแต่ปีพศ. 2524 ปลูกต้นไม้มาจนโต คนก็ร่อยหรอลงเหลือไม่กี่คน เสียดาย เก็บกินต้นไม้กินชั่วชีวิตไม่หมด ศาลานี่ปูแกรนิตอย่างดีแต่ให้มดแมลงมาอยู่ก็น่าเสียดาย

มันก็ยาก คนยังไม่มีปัญญาเห็นว่า ถิ่นเสนาสนสัปปายะ มันควรมาอยู่ มันดีนะ อาตมามาคราวนี้จะเรียกว่าปลุกเร้าก็ปลุก ให้เราตื่น เลิกเสียทีตื่นเสียทีจากโลกีย์ เข้าใจ เข้าหูไหม? ใครจะไม่อยากอยู่ดินหนองก็มีให้เลือกที่อื่นทุกภาค สาธารณโภคีเป็นของพวกเราทั้งนั้น 

พวกคอมมิวนิสต์เขาก็พยายามทำให้มีคนจัดสรรทรัพยากรส่วนกลางให้เท่าเทียมทุกคน รีดภาษีมาแต่เขาไม่เต็มใจมันก็ยาก เกิดมาได้ 72 ปีก็เลิกแล้ว ที่เหลือก็เซไปไหนๆแล้วปรับตัวกันไปหมดแล้ว คนที่ได้รับเบี้ยสวัสดิการ หนักเข้าก็ขี้โกงขี้เกียจ เพราะกินเงินรัฐ ขี้เกียจหนักเข้าไม่ทำงานก็ปล้นจี้เอา ลักเอา มันไม่ได้สร้างนิสัยสร้างจิตวิญญาณที่ดีมันบังคับไปไม่รอด

แต่สาธารณโภคีของชาวอโศกมีมาแล้ว คนข้างนอกเสียภาษีให้รัฐส่วนกลางผู้บริหารก็ได้ภาษีแล้วหาทางทำรายได้เอง ตามแต่ละที่ เช่นเทศบาลก็เก็บภาษีอีกหลายอย่าง หาทางเอา ตลกที่สุด เงินรัฐบาลเก็บภาษีจากข้าราชการมาคืนอีก ก็เงินรัฐนี่แหละเอาให้ข้าราชการแล้วเก็บภาษีจากข้าราชการอีก สิ้นไร้ไม้ตอกจนคิดจะเอาคาสิโนมาหารายได้ เอาอบายมุขมาทำเพื่อหารายได้เลี้ยงประเทศ อาตมาไม่อยากอยู่แล้ว 

อย่างสาธารณโภคีนี่ใครตั้งใจเสียภาษี 100 % มาอยู่ได้ใครยังไม่เต็มใจก็ยังไม่ต้องมา เราทำกันมาได้หลายสิบปีแล้ว มีหลายแห่ง ที่ราชธานีเราก็ให้เป็นแหล่งใหญ่ของชาวอโศก ตอนนี้มีเนื้อที่ประมาณ เป็นพันๆไร่แล้ว กำลังบูรณะพัฒนา จึงเป็นเด็กกินจุ พี่ๆก็ต้องช่วยเลี้ยง แต่ก็เป็นไปอุดมสมบูรณ์ เป็นบ้านใหญ่ พรั่งพร้อมไปด้วยน้ำ แล้วทำต้นหมากรากไม้ ให้เหมือนดินหนองแดนเหนือ  แล้วที่จะทำให้เป็นองค์ประกอบศิลป์ให้คนทางโลกสนใจก็จะทำ แต่ไม่มอมเมา ใช้เป็นเครื่องหมาย เช่นทำใหญ่ ทำสวย ทำแปลก ให้เกิดสัมปวังโก ให้เป็นสิ่งแวดล้อมสมบูรณ์อบอุ่น สงบ พัฒนาเจริญ อย่างอาริยะ ไม่ใช่เจริญอย่างปุถุชนฉลาดแกมโกง แต่ฉลาดปัญญา ถูกต้องตามธรรมพระพุทธเจ้า

ศาสนาพระพุทธเจ้าที่อาตมานำมาพิสูจน์ก็มีอัตราก้าวหน้าตามธรรม ตอนนี้บ้านราชฯเปลี่ยนแปลง landscape ไปมากเลย ถ้าใครไม่ได้ไปสัก 5 ปีก็หลงทางเลย มีเกาะรัตนราชธานีเกิด มีน้ำตก ลำธาร แก่ง ยังไม่เต็มรูป อาคารเราจะสร้างอาคารที่เป็นธรรมชาติ แต่ก่อนสร้างส้วมตอไม้ 

สัปปายะ 4 (สถานที่ อาหาร บุคคล ธรรมะ) 
มีสถานที่ สัปปายะนี่ ดินหนองแดนเหนือนี่เพียงพอ แต่ว่า ขาด บุคคลสัปปายะ แต่ที่ราชธานีอโศก บุคคลสัปปายะพร้อม ที่ปฐมอโศกครบพร้อมทั้ง 4 อย่างเลย ปฐมอโศกไม่มีหนี้ เลี้ยงตนรอด มีสัมมาอาชีพ ไม่มีมิจฉาอาชีวะกุหนา ลปนาไม่มีแน่ ก็ปฏิบัติ เนมิตกตา ทำงานอย่างลาเภนลาภังนิชิงคิงสนตา พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ไม่ทำงานลาภแลกลาภ ก็พัฒนาชุมชนไป เหลือเฟือ ปฐมอโศกให้อาตมาเดือนละล้านมาหลายเดือนแล้ว เสร็จแล้วราชธานีกินหมด เป็นเด็กตานขโมยพุงโต แต่พยายามดูแลไม่ให้ป่วยไข้ ตอนนี้เราสร้างวัตถุ แล้วมีรอยไรว่าจะเกิดสมเด็จปู่ฯ ที่ชาวพุทธนับถือพระพุทธรูป เราออกแบบสมสมัย ยุคนี้ต้องเอาพลังงานมาปราบมนุษย์ มาปราบมารเลวทรามในโลกต้องใช้อันนี้ ไม่ต้องใช้อาวุธแพงๆที่เขาสร้างมาพัฒนาโลกไม่ได้หรอก ตอ้งเอาภูมิธรรมปัญญามาพัฒนาโลก 

ปางวิชิตอวิชชานี้ ไปอยู่ประท้วง ตำรวจถอยกรูดไปเลย ออกศึกมาแล้ว อาตมาพยายามร่างแบบ อาตมาเรียนจิตรกรรมมาทั้งแสงศิลป์ด้วย เรียนจิตรกรรม แต่เขาทำงานปั้นได้ดีมาก อย่างพระวิหารพันปีนี่ฝีมือแสงศิลป์เขาล่ะ ตอนนี้ปรับปรุงโมเดลอยู่ อาตมาตั้งชื่อว่าสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เป็นสิ่งสมมุติในโลกที่เขาเคารพบูชา คนเขาทึ่งสิ่งใหญ่ ก็เลยสร้าง อย่างดูไป พวกนี้เขาก็วิ่งเต้นกันอะไรมากไปก็ชะลอหน่อย มีคุณผ่านฟ้าเป็นตัวหลักทำได้สารพัด ทำเสร็จแล้วก็มีพระพุทธาภิธรรมนิมิตแล้วสูง เจ็ดเมตรนะ มีเรืออีกที่ขนกันไป ใช้งบฯมากที่สุดเลยในการซ่อมเรือ 

ฝากบอกไปยังบ้านราชฯ ที่จะทำหลังคายื่นจากอาคารเฮือนศูนย์สูญ ก็ตอนแรกจะทำให้เป็นปลีกไม้แต่ว่าตอนนี้จะทำเป็นสวนตกแต่ง แต่ไม่เอาแบบแข็งนะ เป็นสวนธรรมชาติ ฝากข่าวถึงเปียหม่องที่จบศิลปศาสตร์บัณฑิตมา ท่านคมคิดด้วย ให้แทนที่จะเป็นหลังคาทั่วไป แต่พื้นนี่ไม่เอาแบบหญ้าๆนะ แต่เอาแบบพลาญหิน ตรงไหนดาวนาอยากปลูกพืชก็ให้ปลูก มีหินมีต้นไม้ เป็นหลังคาธรรมชาติให้เดินลงมาได้จากชั้น 2 เฮือนศูนย์สูญ 

เราไม่ได้ทำใหญ่โตเหมือนธรรมกาย แม้แต่เจดีย์เขาก็ทำแบบจานบิน ในอนาคตเขาไปอวกาศแน่นอน ตอนนี้อาตมาอธิบายอวกาศคือ space เชื่อมถึงไอสไตน์ มี space and time of continuum ตัว สันตติคือ continuum ที่จะเชื่อมต่อรูปกับนาม สสารกับพลังงาน อาตมามาอธิบายพลังงานชีวะระดับจิตวิญญาณ เป็นปรมัตถธรรม ไอสไตน์อธิบายพลังงานรูปธรรม 

ตอนนี้อธิบายบุญนิยมมีหลายด้าน ทุกอย่างมีบุญนิยม พาณิชย์บุญนิยม การศึกษาบุญนิยม ฯ แม้แต่ขยะก็บุญนิยม เป็นสัปปายะ แม้แต่อาหารก็เป็นสัปปายะ บุคคลก็มีพร้อมให้เป็นส่ิงพัฒนาให้พาเจริญไม่พาเสื่อม อาหารนี่เป็นทั้งอาหารภายนอกและภายใน อาหารภายนอกคือสถานที่และเครื่องนุ่มห่ม อาหารภายในคือยาและอาหาร ถ้าเราเข้าใจอาหาร 4 มี 

ตอนนี้เจาะไปในวิญญาณาหารซึ่งวิญญาณประกอบด้วยนามและรูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือธาตุรู้ หากมันฉลาด ต้องฉลาดแบบฉฬายตนะ หากมีอวิชชาประกอบก็กลายเป็นเฉกา หรือเฉโก (ฉลาดแกมโกง ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ) ต้องเปลี่ยนมามีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่ิงใดเป็นโทษก็เอาออก มีสัปปายะ 4 (เสนาสนสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ) ธรรมะสัปปายะต้องนิยามว่าเป็นส่ิงดี อันไหนไม่ดีเรียกว่าอธรรม ส่ิงใดมีอยู่ทรงไว้เรียกว่าธรรมะ ไม่แตกสลายก็คือธรรมะ แต่ส่ิงใดแตกสลายไปเช่นธาตุน้ำ สลายเป็นไฮโดรเจน ออกซิเจนก็เป็นแก๊สหายไปแล้ว แต่พอรวมตัวอีกก็เป็นน้ำอีก แต่ปรุงแต่งมากกลายเป็นน้ำหวาน น้ำเปรี้ยว น้ำเค็ม น้ำนี่เป็นกษัย ตัวเชื่อมสำคัญสุดในชีวะ ศาสนาพุทธสลายความเป็นธาตุน้ำให้กลายเป็น ไฮโดรเจนออกซิเจนสำเร็จ ในจิตวิญญาณมีอาโปเป็นธาตุหลัก หากทำลายอาโปนี้ได้ชีวะก็ไม่เกิด 

อาตมาเป็นสยังอภิญญา เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์นะ จะมากอบกู้พุทธศาสนา วันนี้พูดใหญ่ต่อสถานที่ใหญ่คือดินหนองแดนเหนือ แต่จะให้ใหญ่ได้ต้องมีคนมาอยู่ให้มาก อ.ชูชาติ นาแสวงได้แต่พูดก็ไม่เข้ามาเต็มตัว ตนเองเป็นคนบอกให้มาปลุกเร้าให้คนมาอยู่ อาตมาก็ว่าไม่ปลุกคนอื่นก่อน ก็ปลุกอ.ชูชาติก่อนเลย นี่ดร.ก็มี ดร.วัลลภ เข้ามา เรียนมาทำไมดร. เรียนมาทำงาน ทำงานฟรี วันนี้พูดด้วยจริงใจนะ เพราะอาตมามองไม่เห็นทางว่ามนุษยชาติอะไรจะทำให้คืนมาสู่ดีได้

อาตมารู้แต่ว่าในโลกบัดนี้จนกว่าจะถึงการล้างโลก ก็จะมีโนอาห์มาช่วยเก็บพันธุ์สัตว์โลกไว้ เอาไปอย่างละคู่ เพื่อไปเป็นสุดท้าย อพยพสัตว์โลกไป น้ำจะท่วมโลกก็ท่วมไปเราก็จะเป็นโนอาห์เก็บพันธุ์ไว้ แม้แต่ที่ราชธานีอโศกเราก็ไม่คิดว่าจะมีเรือมากอย่างนี้ แล้วก็จะมีคณะต่อเรือ เป็นโรงเรียนเป็นวิทยาลัยเลยตอนนี้มีเด็กมาสมัครแล้ว แต่ครูยังไม่พรักพร้อม ก็ให้ท่านพอแล้วเป็นครูสอน

เราทำอย่างในหลวง ที่ท่านเป็นโพธิสัตว์ ที่แท้จริง ท่านตรัสว่าให้บริหารแบบคนจน ไม่ใช่ว่าให้ไปรวยแล้วเอาเงินไปฟาดหัวประเทศอื่นอย่างนั้นเขาไม่ทำกันแล้วแบบเก่าแล้ว ต้องใช้คุณงามความดีไปช่วยเขา ต้องมาทันสมัย สมัยนี้ต้องเอาคุณงามความดี ความเกื้อกูลอย่างไม่ประชานิยม ทำด้วยจริงใจ ใครอกตัญญูช่างมัน เราไม่ได้เรียกร้องให้เขามาตอบแทน เราทำให้อย่างเดียว ใครกตัญญูก็เป็นกุศลของเขา

พ่อครูไอ ...อาตมาจะพยายามรักษาอาการไอ ด้วยพลังงานภายใน ทางแพทย์แผนปัจจุบัน เขาว่ามีกระเปาะที่ยื่นออกมา อาตมาเรื้อเรื่องเจโตไปนาน ตอนนี้จะกลับมาใช้พลังงานทางจิตนี้มารักษาอาการไอ อย่างท่านเจ้าคุณนอฯ ท่านมีมะเร็งที่คอ ท่านอดทนได้มากกว่าคนอื่นๆหลายเท่าเลย อาตมาเคยใช้พลังงานทางจิตติดต่อกับท่านเจ้าคุณนอฯ ตอนที่อาตมาเป็นฆราวาส จนท่านยืนคุยโดยที่แต่ก่อนท่านปิดกุฏิแล้วจะไม่ออกมานะ สุดท้ายคุยกันท่านก็บอกว่าให้ได้นิพพานเร็วๆ คนที่พาอาตมาไปตอนนั้นก็ตกใจ 

อาตมาใช้ทางปัญญาเยอะ เลยดรอปเจโตไป ถ้ามีมวลมาช่วยทำงานให้มาก อาตมาก็จะได้ฟื้นเจโตมาฟื้นพยาธิอันนี้ก่อน อยากให้อาตมาหายไหมก็มาอยู่ๆ ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าบ้านราชฯ หรือที่อื่นก็ต้องการมวล สมาชิกชาวอโศกอยู่ที่ไหนเอ๋ย ขานรับบ้าง แม่งูเอ๋ยอาบน้ำบ่อไหน ต้องมาอาบน้ำบ่ออโศก มาช่วยกัน

โดยเฉพาะดินหนองแดนเหนือเอง สังคมโลกน่าสงสาร มีทางนี้ทางเดียว ไม่มีทางอื่น คือมรรคองค์ 8 ต้องเรียนรู้ทฤษฎีหลักเหมือนกับ E = mc2  คือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ จะเป็นสมาธิพิษ เป็นปัญญาพิษ เป็นอปรโคยาน เป็นโคยานเป็นพาหะที่จะออกไปสู่ทิศทางชั่วทางเสื่อม จะแตกตัวเป็นอันอื่นไปเรื่อยๆ เราจะเอาปรหรือตัวอื่นๆนี่มาเป็นอมรโคยาน นำสู่ที่ๆไม่ตาย ไม่มีชาติ ชรามรณะ โดยเฉพาะไม่มีโศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสได้เด็ดขาด แม้เหลือการเกิดก็เป็นนิพพัตติ อภินิพพัตติ เราจะทำให้เป็นเอกบุรุษสูงสุด อุตตมโปริสสะที่จะให้เกิดตามสัปปุริสธรรม 7 ประการ พลังงานที่จะออกไปมีการผ่านสังกัปปะ 7 แล้วจะมีวิการรูป 2 เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แล้วจะออกไปเป็นกายกรรม วจีกรรม ไปสู่ความเป็นมนุษย์ 

ผู้ที่รู้จักสังกัปปะ 7 เป็นสัตตักขัตตุปรมโสดาบันและเป็นเอกพีชีที่ยิ่งใหญ่ (โสดาบันมี 3 ขั้น) 
1.    เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย) 
2.    โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) 
3.    สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพหรืออริยชาติอีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้) (พตปฎ. เล่ม 20  ข้อ 528) 
สัตตักขัตตุปรโสดาบัน ถ้าเป็นของโสดาบันก็เป็นอย่างหยาบ แต่ถ้าเป็นสัตตักขัตตุปรโสดาบันของพระอรหันต์ ก็มีอรหัตตมรรค ต้องมีความรู้สังกัปปะ 7 นี่แหละ ที่มีทั้งพลังเจโตและปัญญา 

สองหน่วยของพลังงานทั้งหมดของชีวะ ตั้งแต่genome มาเป็นสาย DNA ในโครโมโซม 

genome คือพลังงานทั้งหมด เป็นพลังงานนิวเคลียร์ จะให้แตกตัวเป็นกัมมันตภาพ คนควบคุมพิษของพลังงานได้คือผู้รู้พลังงานเจโตและปัญญา จิตเร่ิมดำริ เร่ิมตรึกคือตักกะ พอตรึกแล้วก็ไตร่ตรอง แล้วเอาจิตที่เหมาะควร อะไรที่จะทำเท่านี้มัตตัญญุตาเท่านี้บางอย่างต้องเอาโลกีย์มาผสมเป็นสุนทรียศิลป์ก็มีบ้าง เหมือนเราเป็นแม่ครัวปรุงให้เขาพอมีกษัย ฐานรสเท่านี้กลิ่นเท่านี้ อย่ามอมเมาให้เขาจัดไปมาก เพราะกิเลสจะมากขึ้น ลงนรกท่าเดียว ต้องทำให้เขาจางคลายไป เป็นแม่ครัวที่ไม่มอมเมาเต็มที่ เหมือนคนเสี้ยนยามากต้องให้บ้าง ไม่ปล่อยให้เต็มที่นะ ให้ตั้งตนบนความลำบาก ให้พอกินลง อร่อยไหมอร่อยบ้างพอกินได้ไม่ฝืดคอ

ส่วนแม่ครัวเองกินง่ายๆ ไม่ปรุงแต่งก็ได้แต่เวลาทำให้เขาต้องปรุงบ้างให้เขาน้อยๆลงๆ จนไม่ต้องปรุงแต่งสังขารให้ได้เนื้อแท้อย่างเดียวเลย เมื่อถึงเวลา เมื่อถึงเวลาอนุโลมให้มีรูป รส กลิ่นเสียง เราก็ทำได้ให้เขา แต่เราไม่เป๋ไม่เสียท่า ไม่ยอมตกต่ำไปกับเขา ต้องแน่ใจ แล้วประมาณมักน้อยไว้ อาตมาทำงานต้องประมาณ ถ้ามั่นใจก็อนุโลมให้ประมาณ 70 % เหมือนเราช่วยคนตกบ่อต้องคำนวณไม่ให้เราตกบ่อไปด้วยกับน้ำหนักเขา ต้องรู้ประมาณให้น้อยไว้ อย่าทำอวดดีอย่าทำเกิน พวกคะนองชอบทำเกินตายมาเยอะแล้ว หลงโลกีย์มอมเมา เสร็จอีด่าง สุวานคาบไปแด๊กซ์ 

ผู้อนุโลมต้องรู้ ธาตุแห่งความเพียร 7 ที่มี ที่เป็นอุปักกมธาตุเหมือนศรกำลังออกจากแล่ง ผู้เข้าใจและมีสภาวะจะเข้าใจ รู้ ในบัญญัติธาตุแห่งความเพียรทั้ง 7 นี้ (เป็นคำกล่าวของอัตถกถา) 
1.    อารัพภธาตุ (ดำริ) ความเพียรเป็นเหตุปรารภ (ริเริ่ม) 
2.    อารัมภธาตุ (ปรารภดำริ) 
3.    นิกกมธาตุ (พยายามดำริ) เพียรเป็นเครื่องก้าวไป 
4.    ปรักกมธาตุ (บากบั่นดำริ) ความเพียรก้าวไปข้างหน้า
5.     ถามธาตุ (ดำริมีกำลัง) ความเพียรเป็นกำลัง  
6.     ธิติธาตุ (ดำริตั้งมั่น) ความเพียรเป็นเครื่องทรงไว้ 
7.     อุปักกมธาตุ (ดำริสำเร็จเต็มรูป เหมือนลูกศรจะออกจากแล่ง พยายามที่จะกระทำให้เกิดกรรมออกมา) . 
(จาก อัตตการีสูตร ล.22  ข.309) 

สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน ผู้ไม่เก่งก็ทำให้เป็นเอกพีชีไม่ได้ เอกคือหนึ่ง พืชนี่ผู้เป็นอรหันต์มีชีวิตเหมือนพืชแต่ทำงานรับใช้อย่างพระ เป็นคนรับใช้อย่างมีเกียรติ แต่รับใช้ที่ผิดคือรับใช้แบบมีค่าจ้างเอาสิ่งแลกเปลี่ยนใครไปเทศน์เอาตังค์อยู่ก็ไม่พ้นมิจฉาชีพ แต่รับใช้นี่คือให้เขาได้ธรรมะได้ความรู้สูงสุด แต่ถ้าไปเอาค่าตอนแทนคือถือว่าเป็นพระไปรับใช้ฆราวาส รับของทานเป็นค่าจ้าง แต่ผู้ใดที่ไม่ได้รับใช้ฆราวาสทำงานอย่างเสียสละไม่เอาค่าจ้าง เราไม่รับบริจาคง่ายๆนะ บิณฑบาตก็ไม่รับค่าจ้าง แต่เดี๋ยวนี้มีเยอะก็รับมากกว่า 3 บาตร ก็คนละยุค

ปัญญากับเจโต สองอย่าง เมื่อไตร่ตรองสุดท้ายได้เนื้อ (วิมังสา) ในอิทธิบาท เป็นผู้มีสามเส้าทำงาน ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ทำงาน คือทำอย่างมีฉันทะ มีวิริยะมีความทุ่มโถม เมื่อจิตดำริ มีกามวิตก มีพยาบาทวิตกร่วมด้วยไหม เป็นสสังขาริกัง กามมันเป็นตัวนำพาให้หาพยาบาท ให้หากาม หาแรงผลักแรงดูดมาเพื่อตน มาเสพรสแก่ตน หรือไปทำร้ายมาเพื่อตนชนะ อาการจิตแบบนั้นถ้ามีก็คือตัวเอา อย่างนี้คือกามจะเอามา อีกอันนี้คือพยาบาทอยากเอาออกทำลายทิ้ง ถ้าจิตแรงเช่นนั้นก็ลดลง

ต้องทำปหาน 5 ทำลายกิเลส ทำได้อย่างวิเศษ เรียกว่าวิตักกะ แล้วสังกัปปะคือองค์รวมของวิตก วิจัย วิจาร ทำใจในใจให้เป็น อ่านรู้แยกเวทนาในเวทนา ทำให้ตัณหามันดับได้ปหาน 5 จนแคล่งคล่อง เมื่อสำเร็จได้ตามฐานะบารมีแล้วก็ผ่านไปสู่ด่านตรวจสอบ คืออัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ไปศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา แล้วไปสู่ วจีสังขาร เป็นสภาวะก่อน เช่นอันนี้เป็นรสหวาน เอาที่ชอบ/ชังหวานออกได้ สำเร็จเป็นหนึ่งเดียวเป็นเอกพีชีแล้ว เป็นตัวแท้ เรียกว่าหวาน ที่จะชอบหวาน ชังหวาน สุขทุกข์เพราะหวานไม่มีแล้ว เป็นธรรมรส รสเดียว ถ้าบอกว่ารสหวานนี่แหละจะส่งออกไปเราเรียกภาษาไทยว่าหวาน ภาษาฝรั่งว่า sweet ก็อธิวจนะตั้งชื่อให้มันตามแต่ละภาษา เรียกองค์รวมว่า แซบก็ได้ มันบำเรอใจ มันนัวก็ได้ สะอาดบริสุทธิ์แล้วพร้อมเป็นกายกรรม วจีกรรมออกนอก ส่งเป็นกัมมันตะ อาชีวะสู่นอก นี่คือพระอรหันต์ รู้จักเอกพีชี รู้จักสัตตักขัตตุปรโสดาบัน รู้พลังงานศักย์(เจโต) รู้พลังงานจลน์ (ปัญญา)  แล้วจัดการองค์รวม ไม่เสียพลังงานทั้งสองแบบนะ ล้างพิษออกหมด แล้วทำพลังงานสองรวมให้เป็นหนึ่งเป็นพลังงานที่ออกไปทำการงาน เป็นกัมมันตะ พร้อมเป็นพลังงานวิเศษ เหลือรังสีก็เป็นรังสีบริสุทธิ์มีประโยชน์ เป็นปรมาณูเพื่อสันติ 

นี่คือส่ิงย่ิงใหญ่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาได้พยัญชนะเติมมาเรื่อยๆ ติดตามให้ดี เอาอย่างนี้ ถ้าดินหนองแดนเหนืออยู่กันอย่างดี อย่างน้อย 20 ครอบครัวนะ ต้องมาอยู่ประจำเลยนะ ไม่ใช่มาแบบทำเวลานะ ที่นี่ก็นัยเดียวกัน ถ้าอยู่กันถึง 20 ครอบครัว อาตมาจะมาปีละครั้งให้ 

มีโยมว่า... จุดสำคัญคือแม้ว่าพ่อท่านจะไม่มาก็ควรมีสมณะประจำ 
พ่อครูว่า....สมณะก็ไม่พอหามาบวชยาก ที่เก่าก็ยังไม่พอเลย แล้วจะให้ไปที่อื่นอีกไม่ได้ จนใจสุดวิสัยเป็นไปไม่ได้ต้องให้ฆราวาสมารวมตัวกันก่อนอย่ามาต่อรอง ถ้าอาตมามาไม่ได้ก็จะให้สมณะมาเพิ่มเติมถ้ามีถึง 15 ครอบครัวถึง 20ครอบครัว ตอนนี้สถานที่ดีแล้ว อาหารก็เกิดจากคน ต้องมีคนที่สัปปายะมาอยู่ จะเป็นอาหาร ที่พัก ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม มาอยู่ร่วมกันจะเป็นผัสสะ พวกเราเก่งนะที่จะผัสสะกัน บางคนเก่งแบบไม่พูดกันได้หลายเดือนนะแต่ไม่ตบทีทะเลาะกัน ไม่ใกล้กันเลย แหมอยากจับมาเขกหังให้บวมทั้งคู่เลย อุตส่าห์มาทางนี้แล้ว 

เรามีสัญญากันแล้วนะ พวกเราพยายามอยู่ ตอนนี้คนจะมาบวชก็เข้าใจอยู่ สิกขมาตุนั้นแล้วแต่สมณะถ้ามีมาก สิกขมาตุก็บวชได้เพิ่ม หากยังมีสมณะไม่ถึง 100 รูป ก็ต้องใช้อัตราส่วน 3 ต่อ 1 แต่ถ้าสมณะถึง 100 รูป ก็ใช้อัตราส่วน 2 ต่อ 1 ได้ อาตมาไม่น้อยใจหรอก ถ้ามีบารมีก็ถึงเอง อย่างพระพุทธเจ้านี่สาวกก็มาเอง แม้แต่ลูกเศรษฐี พระยสะก็มาเอง มาบวชพร้อมกัน 60 องค์แรก ต่อมา 1,250 รูป เพิ่มมาเรื่อยๆ เป็นเรื่องจริงต้องมีบ้าง แต่ไม่อยากบอกว่าใครเป็นใคร ยังรวมบารมีกันอยู่ แย่งกันอยู่บ้าง ยังไม่เข้าวิน แต่เห็นชัดๆว่ามีเรื่อย เป็นอจินไตยที่อธิบายไม่ไหว มีตัวตนหลักฐานครบบริบูรณ์ด้วย เป็นเรื่องวัฏสงสารที่ยาวไกล ชาตินี้พวกที่มากับอาตมาไม่มาเกิดก็มี ตามมาจะมาเกิดใหม่ก็มี ขอร้องอย่ามาตู่ว่าคนนั้นคนนี้มาเกิด อย่าไปเดา ให้เขาเป็นไปตามธรรมชาติมันจะลำเอียง ดีไม่ดีลูกผีมาเกิดก็มี เราดูดีกว่าดูไป อย่าดูไบ 

ในขณะนี้เรากำลังสร้างบ้านแปลงเมืองไม่ได้สร้างบ้านแปลงเมือไง้เพื่อตัวเราของเรา แต่สร้างไว้ให้มวลมนุษยชาติ ก็ช่วยกันทำให้พัฒนามีชีวิตที่เจริญขึ้นเรื่อยๆ เรามีวิชชาของพระพุทธเจ้าที่ได้ประกาศมา 2,600 ปี ตอนนี้ต้องมาช่วยฟื้นฟูวิชชาของพระพุทธเจ้าเรียกว่าวิชชาจรณสัมปันโน ให้ดีด้วยวิชชา ทั้ง 8 ให้เป็นจริงเป็นจังให้ได้เป็น A bomb of love ที่ไอสไตน์ฝากมาให้ถึงอาตมา ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:26:39 )

580625

รายละเอียด

580625_พ่อครูเอื้อไออุ่นเลไลย์อโศก จ.เลย

พ่อครูเดินทางออกจากดินหนองแดนเหนือในช่วงบ่ายภายหลังจากฉัน ในเวลาประมาณ 13.30 น. วันที่ 25 มิ.ย. 2558 เพื่อเดินทางไปที่ ชุมชนเลไลย์อโศก จ.เลย โดยก่อนจะถึงเลไลย์อโศกได้แวะเยี่ยมบ้านของญาติธรรมชื่อคุณโดดเด็ด ที่ได้สร้างบ้านใหม่ เป็นบ้านเรือนไทย เพื่อให้พ่อครูแวะเข้าห้องน้ำ บ้านหลังนี้เป็นบ้านทรงไทยที่สวยงามมีวิวทิวทัศน์หลังบ้านที่งดงาม มีทุ่งนามีคนทำนา และมีภูเขาหินที่มีถ้ำเอราวัณ ให้มองเห็นพระพุทธรูปในถ้ำอยู่ไกลๆ 

พ่อครูมาถึงเลไลย์อโศกในเวลาประมาณ 15.15 น. มีญาติธรรมมารอรับพ่อครูประมาณ 50 คน พ่อครูนำลูกๆกราบพระพุทธาภิธรรมนิมิตที่ศาลาส่วนกลาง แล้วโอภาปราศรัยแก่ชาวจ.เลย

คุณพันราศี เมื่อก่อนชื่อประภาพันธ์ พ่อครูเปลี่ยนชื่อให้เป็นพันราศี รายงานว่าที่เลไลย์อโศก มีผู้อยู่ประจำจำนวน 2 คน มีพ่อทูลอยู่เป็นหลัก 

พ่อทูลเล่าว่า...พี่น้องทั้งตายทั้งหนี ทั้งไม่เอาภาระ ก็เลยปล่อยให้รกไป  จากเดิม 80 กว่าชีวิต ตอนนี้เหลือ 2 ชีวิต 

พ่อครูว่า...ขาดทุนแทบไม่เหลือเลย มีเชื้อเหลืออยู่เล็กน้อย แล้วที่เลยลัดล่ะ มีใครเหลืออยู่ .... 

แม่ของศิษย์เก่า กบแดนไทว่า....ก็เมื่อก่อนเราก็อยู่รวมกัน แล้วก็พอดีมาแยกไปทำสวน ตอนแรกอยู่ร่วมกันที่นี่ อยู่ดี แต่ว่าต่อมามีคนคิดว่าต้องมีแหล่งทำอาหารก็เลยแยกไปหาที่กัน ได้ที่เลยลัด หลวงปู่อมโรฯก็อยากให้เกิดที่นั่น ก็เลยกู้กองบุญมาคิดว่า 5 ปีจะได้ผล แต่ปลูกอะไรหญ้าก็ขึ้นท่วม ตอนแรกมีกัน 3 คน มีลุงวิเชียร จ่าประสิทธิ์ เป็นต้น แต่ปลูกเท่าไหร่ หญ้าก็ขึ้นท่วมเพราะคนไม่พอ จัดอบรมก็ที่นั่น สุดท้ายก็คืนเงินไม่ได้ ต่อมาดำริว่าจะขายที่ไปเสีย แต่ก็ฮึดสู้กันไป ก็มาเกาะกลุ่มกันอีก 7หรือ 8 คน ไปสร้างสวนปาล์มกัน ไปลุยสร้างได้ 4 ปีก็ลุยทำมาได้ใช้หนี้ไปบ้างเป็นบางปี แต่ช่วงนี่ลุยมา 4 ปี โยมก็เลยออกมาอยู่บ้านได้ 1 ปี แต่ก็มีคนไปเฝ้า ปาล์มเร่ิมออกลูกเยอะ เข้าไปที่ 6 แล้ว เลยลัดห่างจากที่นี่ 36 กม. 

มีญาติธรรมที่มีใจสละทานให้กับพ่อครู ดังนั้นพ่อครูจึงเทศนาให้สัมมาทิฏฐิต่อ.....การเกิดจิตใจเสียสละเป็นทานให้แก่ผู้ที่ควรสละให้ ก็มีปฏิคาหกกับทายก เป็นพฤติกรรมมนุษย์ที่ดี สมณะนี่เป็นปฏิคาหก เป็นผู้รับจากผู้ให้ โดยผู้ให้เกิดจิต เป็นจาคะจิตบริจาค ให้เรียกว่าทาน จิตที่เกิดจาคะ คือจิตที่จะสละออก การสละออกนี่ เป็นจุดสำคัญอย่างย่ิงของจิตมนุษย์ มนุษย์มันโลภ มันยึดจะเอาเป็นของตน มันจะไม่เอาออก ไม่ได้ดังใจก็โกรธ ถึงฆ่ากันเลยแย่งกันให้มีอำนาจเบ่งใหญ่ จิตที่มีจาคะ เป็นจิตที่จริง เท่านี้ไม่ใช่ว่าเราให้อะไรเพื่อได้อะไรตอบแทน นี้คือไม่ได้ให้ นั่นเป็นการต่อรอง เสี่ยงทายซื้อขาย จิตเช่นนั้นไม่ใช่กุศล กิเลสมากกว่าเก่าอีก เช่นสอนว่าทำทานเท่านี้จะรวยกว่าเก่า สอนแบบนั้นมิจฉาทิฏฐิ สอนให้คนมีจิตโลภ พาลงนรกหมด เต็มบ้านเต็มเมือง นี่คือการสอนผิดของคนมิจฉาทิฏฐิ

ถ้าสอนกันแค่นี้เท่ากับไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นลัทธิที่พากันลงนรก อาตมาเทศน์แรงนะ อาตมามานี่พวกเราเกิดจิตจะบริจาคก็อนุโมทนาสาธุ

ปฏิคาหกเป็นนาบุญ เป็นคนที่ใครมาบริจาคแล้วท่านก็ไม่มีจิตอยากได้หวงแหนยึดถือเป็นเราเป็นของเรา ก็นำสิ่งนี้มาทำประโยชน์ ต่อไป แม้จะมายึดถือเป็นเอาบำเรอประโยชน์่ส่วนตนไม่เอา ถ้าผู้รับยังบำเรอมาเป็นของตนก็คือเป็นอัตตา ยิ่งโลภหวงแหนให้ก็เป็นอกุศลจิตเยอะแยะ จิตตัวสำคัญคือจิตบริจาคแก่ผู้ควรบริจาค เป็นจิตทาน จิตมีความรู้ที่เป็นผู้ประเสริฐถ้าทานให้ท่านแล้วท่านไม่อัตตา แม้จะให้ท่านได้ยังชีพ ยิ่งทานมีพอส่ิงยังชีพเหลือท่านก็ไม่กักตุน เอาไปงอกให้แก่คนอื่นกระจายต่อ เหมือนนา ปลูกข้าวดำไปกอเดียวจะแตกออกไปหลายต้น มีเมล็ดอีกที่จะงอกต่อไปอีก เป็นนากุศลที่จะไปอีก แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด เขาทำทานเป็นบาป

ในสัมมาทิฏฐิ ทานแล้วมีผลอย่างไร? พระพุทธเจ้าให้เกิดผลละหน่ายคลายกิเลส แต่ว่าถ้าได้กิเลสเพิ่มก็เป็นความผิดเพี้ยนไป และที่ทำทานวันนี้ ได้เห็นว่าอาตมาเป็นทักขิเนยบุคคล อาหุเนยบุคคล เป็นคนควรให้ของทาน ควรลุกรับ เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะให้ของให้สมบัติพัสถาน ท่านก็ไม่เอาเป็นของตนให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็ให้ยังชีวิตไป ให้มีเรี่ยวแรงทำงานรับใช้ปชช.เรื่อยๆ มันเป็นประโยชน์คุณค่าสัจจะที่ถูกต้อง แต่เดี๋ยวนี้กิเลสเป็นตัวร้ายแม้แต่นักบวชก็ไม่ได้มีจิตใจเช่นนี้แต่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ สะสม แสดงตามอำนาจกิเลส ไม่เกิดคุณค่าที่ถูกต้องมีแค่ออกนอกรีตนอกทาง 

ก็พยายามทำใจในใจ (โยนิโสมนสิการ) ให้ถูกต้องถ่องแท้ เราเรียนปรมัตถ์ทำใจในใจเป็น ให้ถูกต้องเป็นผลสำเร็จจริง เป็นประโยชน์ ถ้าจิตใจไม่ถูกต้องก็ไม่เกิดประโยชน์ จุดมุ่งหมายคำสอนพระพุทธเจ้าให้ลดกิเลส ไม่สะสมสมบัติ มีชีวิตให้ผู้อื่นเลี้ยงดูไว้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา เราทำดีเขาก็ให้ข้าวกินดูแลอุดหนุนจุนเจือ ให้เราทำประโยชน์ให้ยิ่งขึ้น ด้วยเชื่อมั่นว่าเป็นปฏิคาหกที่ทำประโยชน์ต่อได้

อาตมาพาทำตามพระพุทธเจ้าให้เกิดจิตเช่นนี้เป็นจุดหมาย เราก็ทำได้จริงมาเรื่อยๆ แต่พวกเรานี่ อาตมายังไม่เก่ง โทษพวกเราไม่ได้ ฟังไม่ค่อยเข้าใจ ให้เห็นเนื้อแท้อาริยะของพระพุทธเจ้า

จากทายก ต่อไปก็มากลายเป็นผู้รับเป็นปฏิคาหก ที่จะงอกเงยเป็นนาบุญหมุนเวียนต่อไป ตอนนี้อโศกเราเกิดสัจจะนี้จริง ตอนแรกก็รวมตัวกันยากเย็น จนเกิดเรื่องราว อาตมาก็จะไม่สืบสาวหาอดีต ตอนนี้เหลือเท่าไหร่ ทางส่วนกลางที่เชื่อมโยงอยู่ ญาติโยมก็ตาม เขาก็ยังนึกว่า เลไลย์อโศกและเลยลัดที่เป็นส่วนหนึ่งก็เป็นอันเดียวกันเป็นสถานที่ของชาวอโศก ที่เลไลย์อโศกอยู่กันสองคน ที่เลยลัดอยู่กันสี่คน ที่ก็หลายร้อยไร่ มันน่าเสียดายเสียของ ที่ไม่อยู่เพราะเราไม่มีปัญญาไม่เข้าใจว่าที่นี่เป็นเสนาสนสัปปายะ ควรรวมตัวให้มีบุคคลสัปปายะ แม้อาตมาไม่มา สมณะไม่มาก็มีสื่อสารส่งมาตลอด โทรทัศน์มองเห็นไม่ชัดก็ซื้อจอใหญ่ๆมาเลย รับสื่อสารที่เป็นสัจธรรมให้ได้ เราเช่าดาวเทียมถ่ายทอดตลอด 24 ชม.เลยนะ 

อาตมามั่นใจว่าเป็นความประเสริฐ ไม่มอมเมานะ โทรทัศน์เราตั้งมาเพื่อให้ธรรมะ เป็นโรงเรียนธรรมะแท้ๆเลย แต่คนไม่ให้ค่า คนไปดูโรงนรก ดาวเทียมมีเป็นร้อยๆช่องมอมเมาให้คนกิเลสหนาเยอะ ทุกช่อง ขอยืนยัน และไม่สัมมาทิฏฐิ แม้แต่ช่องศาสนาก็ไม่สัมมาทิฏฐิ เรี่ยไร เป็นพระบวชมาทำมาหากินสร้างฐานะ โลกธรรมเลี้ยงตน ศึกษาไม่ได้ปรมัตถ์ มีคนพากเพียรพยายามแต่ไม่สัมมาทิฏฐิ ไปเชื่อคนนอกทางพุทธ ก็วนเวียนเช่นนี้ 

อาตมาทำงานมา 45 ปีแล้ว เท่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาจะดันทุรังทำงานไปอีก 70 ปี แล้วพวกเราจะมาอยู่รวมตัวกันไหม? แล้วที่หินผาฯนี่ก็จะต่อกันไหม สถานที่สัปปายะมีแล้ว เป็นป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ยิ่งเลยลัด เลไลย์มีที่ให้ทำอาชีพ ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยเกินไปก็พออยู่พอกิน ไม่ไปมอมเมาตนเองมากนัก ชีวิตก็เช่นนี้ แต่จิตวิญญาณได้แต่สะสมกิเลสหนาติดยึด ถ้าศึกษาดีๆก็จะได้ลดกิเลส ตายไปก็จะได้กิเลสลดบ้างหรือเป็นอรหันต์ในชาตินี้ได้เลย ชีวิตต้องดำเนินเช่นนี้ถึงได้ชื่อว่ามนุษย์ผู้มีใจสูง

สถานที่มีแล้วเป็นส่วนกลางแน่ๆ คนไม่มีสิทธิ์แบ่งไป เป็นนิติบุคคลแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้มีเงินหนุนไม่ใช้คืนส่วนกลางเท่าไหร่? ตั้งแต่อ.วิเชียรมาจนป่านนี้มีเท่าไหร่?.... ที่เหลือนี่นายดาบ คงไม่ชักดาบแบบโลกๆนะ (ดาบตำรวจ ปรีชาพล ประชาโชครายงานว่า ปัจจุบันเหลือ 1 ล้าน ห้าแสนบาท) ...พ่อครูว่าก็ไม่น้อยนะ แต่ก็พากเพียรตั้งใจดีๆ ก็คงหมดในชาตินี้ ใช้เดือนละหมื่นปีหนึ่งแสนสอง ก็แค่ 10 กว่าปี ก็ดีแล้วพากเพียรไป เราตั้งใจดีๆ 

ดาบตำรวจ ปรีชาพล ประชาโชค รายงานต่อกิจการตอนนี้มีที่ส่วนปาล์มทำกันสองครอบครัวที่อยู่ประจำสวนปาล์ม ที่ผ่านมาตัดเดือนละสองรอบ แต่หน้าแล้วก็เริ่มลดลง เดือนนี้เหลือแค่สามตันกว่า มันเร่ิมออกใหม่ทยอยออก เพราะว่าสวนไหนก็ขาดแคลน หมดรอบที่จะออก พอหน้าฝนก็จะเยอะอีก แต่หน้าฝนราคาลดลง มีปาล์ม สองพันกว่าต้นใน 120 ไร่ แต่ระบบน้ำยังใช้ไม่ได้ อาศัยเฉพาะน้ำฝนอย่างเดียว กิจการที่ทำนอกจากปาล์มก็มีทำนาด้วย มีคนข้างนอกขอทำด้วย เราขาดแรงงานก็เลยให้เขาทำโดยเราออกทุนให้

พ่อครูว่าคนไม่พอด้วยนะ ถ้าคนพอจะช่วยกันได้ เมื่อขาดแคลนมันแรงงานที่จะไปเกื้อหนุนไม่สมดุลมันขาดตอน ไม่พอใช้ไม่พอดี ก็ไม่เกิดความสมดุลก็ค่อยทำไป เราทำไม่ได้บังคับ ทำอยู่กันไปเกื้อกูลกัน ไม่ใช่เอาเปรียบหวงแหนกัน ถ้าไม่ได้เกเรกันก็ช่วยกันไป ชีวิตก็แค่นี้
1.เลี้ยงชีพ 2.พัฒนาชีพ
เลี้ยงชีพคือให้ชีวิตสร้างผลผลิตกินใช้ เพียงพอ สองก็ลดกิเลส แต่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ เขาทำอยู่ทำกินแล้วไม่ลดกิเลส โง่ไปหาอะไรเฟ้อเกินอีกโลกมอมเมาว่าอันนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น แล้วแสวงหามาให้ตนได้ เป็นการบำเรอสุขเท็จ มากเต็มอนุสัยตกผลึกในจิต เป็นเช่นนั้นตลอดกาลนาน ก็ไม่พอกิน ก็ยิ่งโง่กินมากใช้มาก เสพติด ทั้งอยากอวดโอ่ มีทั้งกิเลสจริงทั้งอัตตา คนอวิชชาไม่รู้ก็ทำอยู่ทำกินกับทำบำเรอกิเลสให้อ้วนพี คือชีวิตอวิชชา คนไม่รู้ แล้ว 3.เบียดเบียนแย่งชิงเติมกิเลสหนาตลอดเวลาเรียกว่าปุถุชน กิเลสหนาตลอดเวลาโดยอวิชชา 

อาตมาเอาสัจธรรมพระพุทธเจ้ามาชี้บอก คนมีดวงตาปัญญาก็มาเอา พวกเรามาเอานี่มีปัญญา ไม่เอาอย่างโลกพาโง่ หลอกกินให้กิเลสหนา หลงบันเทิงเริงรมย์ไม่ใช่ ที่อาตมาพูดให้ฟังเป็นส่ิงที่ชีวิตควรได้ เป็นปรมัตถ์ มีต้น กลาง ปลายให้ทำไป สมณะสิกขมาตุก็ช่วยบอกด้วย

อาตมาว่าเป็นเรื่องมีบารมีมาก็เลยมาได้ฟังกัน คนที่อื่นเขาฟังแล้วบอกว่าเป็นบ้า เขาไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าหูไม่เข้าท่าเลย คนที่ฟัง แล้วเข้าหู แล้วไปเข้าใจ แล้วไปปฏิบัติจนเข้าถึง เป็นสัมปัตตะ 

ทุกวันนี้อาตมาทำงาน คนที่ตาไม่ดีก็ไม่แลไม่เอาผ่านเลย แล้วตีทิ้งหาว่าเราเป็นคนขวางโลกอีก ด่าทอเอาอีก อาตมาก็เห็นก็ไม่ได้โกรธเคืองเพราะเขาไม่รู้จริงๆ เหมือนอาตมาไม่เคยโกรธหมาที่เห่ากัดเอา มันไม่รู้เรื่อง เราไปโกรธหมา เราก็โง่กว่าหมา เขามาด่าเราก็เพราะเขาไม่รู้เหมือนหมาที่คิดว่าเราไปแย่งของมัน มันก็เห่าก็กัด เราก็ไม่ไปเห่าหมาไปกัดกับหมดตอบหรอก 

สัจจะทุกวันนี้คนไม่ค่อยได้ พวกเราได้แล้วทำดีๆ ท่านวินฯ ท่านถ่องแท้ก็มาให้กำลังใจ ทำให้ดีๆเถอะ เราจะได้ฟื้นปลุกขึ้น มาครั้งนี้พอจะกระเตื้องขึ้นไหมนี่ 

อาตมาขึ้นต้นว่า เสนาสนะก็ดีแล้ว ยังเหลือบุคคล เสนาสนะพาเจริญเป็นของส่วนกลาง ศาลาก็มีบ้านก็มี ไม่ต้องลงทุนเลย ครัวก็มี อะไรก็พอสมควร มาอยู่สบายแล้วสถานที่ให้ เหลือแต่บุคคลสัปปายะ มีพลังสร้างสรรพากเพียร ก็จะเกิดส่ิงอาศัยเป็นอาหารสัปปายะ ตั้งแต่อาหารคือคำข้าง และอาหารนอก เสื้อผ้าก็พอมี ใครไม่มีก็ไปติดต่อสขจ. เครื่องอาศัยต่างๆเราต้องเรียนรู้ถึงอาหาร 4 เรื่องกาม เวทนา ตัณหา รูป/นาม เป็นอาหาร 4ที่ต้องสัมผัสแตะต้อง แม้เรื่องอาหารสัมผัสแล้วเกิดกาม ทางตา ทางหู ทางจมูก ลิ้น กาย เรียนรู้กามแล้วลดกาม 
พอเกิดผัสสะแล้วเกิดเวทนา เป็นตัวสำคัญที่เรียนรู้ เป็นที่สโมสรณา เวทนานี่มันรวมลงที่นี่ แล้วศึกษาเวทนา 108 ที่เป็นโลกีย์กับโลกุตระเป็นมโนปวิจาร 18 ทำให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนาเป็นฐานนิพพาน จิตไม่มีโลภ รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตเป็นกลางเป็นอุเบกขาฐานนิพพานแล้ว

ตัวกิเลสคือตัณหาก็อ่านเจตนาเราว่ามันมุ่งเอากาม เอาพยาบาทก็ลดลง เหลือรูปภพ อรูปภพ ก็เหลือวิภวตัณหา คนเหลือวิภวตัณหาในใจก็เป็นอรหันต์ กว่าจะเรียนรู้พวกนี้ต้องอ่านรู้รูป/นาม ก็คือวิญญาณ เรียนวิญญาณตอนกระทบสัมผัสก็อ่านจิตเราที่เป็นอาการกิเลส นั่นแหละรูป ปัญญาเรารู้กิเลสนั่นแหละนาม 

เราปฏิบัติธรรมนอกจากจะมีคนรวมกันเป็นมิตรดีฯ ผู้จะบอกสอนก็มี ญาติมิตรสหายก็มี ถึงเวลามีวัฒนธรรม ประเพณีจารีต ชุมชนอโศกเชื่อมโยงเครือแห ไปโน่นมานี่ล้วนแล้วพาเจริญ อโศกจัดงานมีแต่พาเจริญให้ลดกิเลส แม้พาชุมนุมประท้วงก็ไปให้ประโยชน์ไม่ได้ไปเอาอะไรจากเขา เขาไม่เข้าใจกัน อนาคตหากเขาตื่นก็จะรู้ เวลา 45ปีที่อาตมาทำเขายังไม่รู้ อาตมาก็จะต่อไปอีก เพื่อพายืนยันสัจธรรม ใครจะไปด้วยยกมือ!!

นี่อาตมาจะพยายามฝืนไปทำจริงให้จนคนตาบอดเห็นได้ ดูว่าเมืองไทยจะตาบอดไปอีกนานแค่ไหน ธุลีในดวงตาจะออกไหม มาช่วยกันก็เป็นบุคคลสัปปายะ จะเกิดอาหารสัปปายะ จะเกิดธรรมะสัปปายะ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วย ที่เกิดจริงเป็นจริง ถ้ามีสัปปายะ 4 ก็มากัน อย่าไปเสียเวลามากมาย คนเก่าแก่ ไปนอนคิดสักคืน คนเก่าแก่ไปนอนคิดสักคืน พรุ่งนี้รื้อบ้านมาอยู่นี่ ไม่รื้อก็ค่อยบอกขาย ไปคิดดีๆชีวิตจะเอาอะไร 

ถ้าเผื่อว่าอาตมาจะมีก้อนเพชรก้อนทองก้อนเท่านี้ กับนิพพานก้อนเท่านี้คุณจะเอาอะไร?...เอานิพพาน ก็รู้กันนะ แม้ขายไม่ได้ก็สุดยอดประเสริฐกว่า ดีแล้วที่ตอบถูกต้อง จะเอาอะไร ไปหลงอีกกี่นาน ลองพากัน อาตมาว่าจะอยู่ 151 จะอยู่ไปได้ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไหม? อย่าปักใจเชื่อนัก ผลัดวันไปอย่าคิดเช่นนั้น เร่งรัดกัน อาตมามาคราวนี้ก็ไม่เคยเร่งรัดอย่างนี้ 

เพราะว่าธรรมะของอโศกกำลังเจริญ ตัวชี้วัดคืออาตมาว่าเขาแรงนะ ที่เทศน์ไปเมื่อกี้นี้ก็ตาม แต่เขาไม่กล้าเถียงอาตมา ไม่กล้าแย้งอาตมาหรอก เพราะเขารู้ว่าอาตมาทำมา 45 ปีเป็นเรื่องถูก เอาพระไตรปิฎกมากางพูดกันเลย อาตมาไม่ได้ท้าทายแต่พูดให้เข้าใจ ที่อาตมาพูดนี้จริง กระตุกเบาๆไม่ได้ต้องทิ่มอย่างนี้ แม้แต่พวกเราก็หนังเหนียวจัง ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก ฟันเมื่อไหร่ก็เฉย มีดบานหมดแล้ว 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:27:30 )

580626

รายละเอียด

580626_เทศน์ก่อนฉัน เลไลย์อโศก จ.เลย

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 26 มิ.ย. 2558 แล้ว อาตมาก็ทัวร์ยาวมา แล้วมาสิ้นสุดที่เลไลย์อโศก เป็นปลายทาง ไปที่ขอนแก่น อุดรฯ แล้วมาเลยนี่ สามแห่งใหญ่ๆ การทำงานของอาตมามาถึงวันนี้เป็นขั้นเชื่อมต่อระหว่างรูปกับนาม หรือจิตวิญญาณกับมวล โดยเฉพาะมวลมนุษย์ บุคคลต่างๆที่เกิดเป็นหลักแล้ว จะเป็นธาตุหนัก ส่วนพลังงานนั้นเป็นธาตุเบา

ตัวคนเป็นธาตุหนัก แล้วตัวพลังงานก็เกิดจากคน กระจายไปเป็นธาตุเบา พลังงานของคน มีทั้งเจโตและปัญญา พลังงานเจโตคือพลังงานแก่น พลังงานปัญญาคือราศีรังสี เป็นประสิทธิภาพของพลังงานเอง สรุปคือเจโตคือแรง ปัญญาที่เป็นอีกหน่วยคือพลังงานที่แสดงตัวออกไปจากตัวตน เจโตคือตัวตน พลังงานปัญญาคือพลังแสดงออกจากตัวตน

หากตัวตนอวิชชา แก่นแกน ซึ่งทางวิทยาศาสตร์คือนิวตรอนที่มีพลังงานล้อมรอบเรียกว่าโปรตอน เป็นสองส่ิงรวมตัวกันอยู่ตรงกลางเรียกว่านิวเคลียส แล้วมีอิเล็กตรอนล้อมอยู่ แสดงราศีรังสีออกไป นิวตรอนกับโปรตอนคือก้อนแก่นแกน เจโตก็คือก้อนนิวตรอนกับโปรตอน ทีนี้คนที่ไม่มีปัญญาแยกออกคือ XX คือฝ่ายหญิง ไม่รู้ความแตกต่างของนิวตรอนที่ต่างกับโปรตอน หรือนิวเคลียสกับอิเล็กตรอนก็คือสอง 

ทุกอย่างที่มีแล้วจะมีสองเสมอ เช่นนิวตรอนก็มีแตกตัวได้เป็นสองอย่างฟิวชั่นกับฟิชชั่น ทางโลกเขารู้แต่เขาคุมพลังงานไม่ได้ คุมนิวเคลียร์ที่แตกตัวไม่ได้ เขาให้มันเบาลงลหุตาไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้ามีลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา ทำให้เป็นวิการรูป 5 ได้สำเร็จ จิตวิญญาณมีลักษณะเหมือนทางฟิสิกส์ ไอสไตน์รวมพลังงานให้ใช้คือ E = mc2 แต่คนเขาเอามาใช้ได้บ้าง ทางสันติ แต่ทุกวันนี้เขาเอาไปใช้ทางทำลายเสียเยอะ ระเบิดปรมาณู แล้วเอาไปข่มคนอื่น แต่ละประเทศที่มีก็ไม่ไว้ใจกัน 

พระพุทธเจ้าคุมพลังงานได้ ตั้งแต่อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ที่ทางโลกเขาก็คุมไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าสำเร็จทำพลังงานจิตให้ นิจจัง ทุวังสัสตังฯได้สำเร็จ แต่ว่าทางโลกเขาปล่อยให้ไปตามยถากรรม ทางโลกไม่สามารถเรียนรู้จิตนิยามที่จะให้สำเร็จเช่นนี้ได้ ต้องสายพระพุทธเจ้าเท่านั้น อาตมาเป็นสายของพระพุทธเจ้า มาถึงวันนี้ถึงรอบต้องรวมตัวกันแล้ว เชื่อว่าพวกเราจะมีปัญญารู้ส่ิงควรส่ิงไม่ควร รู้คุณรู้โทษ อย่างหินชนวนนี่ชาวเลยแท้ๆ เคยทำมา เสร็จแล้วก็กระจายกระเด็นออกข้างนอก

พื้นที่เลไลย์อโศก 37 ไร่ มีทั้งที่เป็นหมู่บ้านแล้ว แล้วมีที่ๆจะทำกิจการได้อีก 200 ไร่ ทำได้อย่างดีเลย เราเคยทำแล้ว เคยเป็นที่อบรม มีหนังสือประวัติทำไว้โก้เลย อ่านดูก็ไม่ใช่เล่นเลย แต่เดี๋ยวนี้มันเก๊แล้ว ไปพักหนึ่ง ต้องกู้ กลับมาโก้ใหม่ เลิกเก๊ที กู้ได้ทีนี้ก็เก๋เลย ถ้าอยากให้เลไลย์อโศกอยู่ในสภาพเก๋บ้างไหม?

ก็คือพวกเราแต่ละคนรวมตัวกัน ต้องพยายามเห็นให้ได้ อาตมาผ่านมาตั้งแต่ขอนแก่นก็ปลุกเร้าให้ตื่นจากหลับใหลเลอะเทอะ สำนึกสำเหนียกกันใหม่เอาดีๆ ชีวิตคนเราต้องการอะไร อาตมาสมมุติให้ฟังแล้ว ถ้าเอาแท่งทองคำแท่งเท่านี้กับธรรมะโลกุตระแท่งเท่านี้ ใครจะเอาซ้ายหรือขวา ...ยกมือ ส่วนใหญ่ยกเอาโลกุตรธรรมทั้งนั้น 

คำสอนพระพุทธเจ้าบัญญัติภาษาว่า สุขขัลลิกะคือสุขเท็จ ทุกขอาริยสัจ คือผู้มีอาริยธรรมจะเห็นเป็นทุกข์ ทั้งทุกข์และสุข เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นธรรมะสอง แต่คนเราโง่ ก็เลยยึดส่ิงที่อยากได้อยากมีอยากเป็นเอาไว้ในอนุสัย อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยึดไว้ในอนุสัย ก็เลยเป็นของที่เป็นธาตุหนักเอาไว้ ส่วนสุขเป็นของหลอกชั่วแวบ ชาวอีสานเผ็ดเป็นสุขแต่ฝรั่งมาเผ็ดเป็นทุกข์ พริกเม็ดเดียวกัน อีสานบอกแซบอีหลี แต่ฝรั่งบอก ซวยอีหลี ทุกข์สุขเกิดจากสมมุติทั้งนั้น มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คุณก็ไปหาสุขใหม่เรื่อยๆ ไปนั่งไปนอนสุข เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าต้องได้บำเรออาการเช่นนี้จึงสุข ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์เป็นอนิฏฐารมย์ ตั้งแต่นิดน้อย จนกลางๆ จนจัดจ้าน 

คนไหนมีจริตต้องแรงๆ ปฏิฆสัมผัสโสแรงๆ เผ็ดก็ต้องเผ็ดจัด ร้อนก็ต้องร้อนจัด เย็นก็ต้องเย็นจัด ก็เป็นพวกรุนแรง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เกิดต้องเรียนรู้ว่าอย่าเป็นความรุนแรงเลย อะไรสัมผัสแรงก็รู้แรง อะไรสัมผัสเบาก็รู้เบา จ่ายพลังงานแค่นี้ก็พอแล้ว หน่วยเล็กที่สุด ก็สูญเสียเปล่าบำเรออารมณ์ไว้ เอาที่หลงผิด แทนที่จะเสพบำเรออารมณ์ก็เอามาทำสิ่งดีเลี้ยงดูเพื่อนมนุษย์ดีกว่า นี่คืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า

พลังงานเหล่านี้เกิดเข้าใจผิด รวมตัวเป็นอวิชชา ชื่อว่าฤทธิ์แรง ภาษาบาลีว่าอิทธิ ภาษาสันสกฤษเรียกว่าฤทธิ์ มีพลังงานมาก มีอิทธิฤทธิ์ ภาษาไทยเอามารวมกันเลย ทีนี้ฤทธิ์ต่างๆมันแรงก็เกิดผลอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเกินคาดคิด เป็นคนก็เหาะได้ ดำดิน เดินบนน้ำ เสกให้อย่างหนึ่งเป็นหลายอย่างได้ หลายอย่างเป็นอันเดียวได้ มันก็จริงเป็นพลังงานพิเศษ มันทำได้ยาก แต่พระพุทธเจ้าว่าพลังแรงที่ไม่รู้จักทิศทาง หากเอาไปทำสิ่งไม่ดีก็แย่ ต้องเอาไปทำสิ่งดี แล้วรู้จักคุณหรือโทษหรือไม่ ต้องเรียนรู้ ถ้าไม่คุมไม่ได้ก็เป็นโทษภัยเลวร้าย ถ้าคุมได้ก็เป็นประโยชน์

อย่างนี้เรียกว่าอิทธิปาฏิหาริย์ อย่างนี้เรียกว่าอาเทสนาปาฏิหาริย์ อย่างนี้เรียกว่าอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ 

ดูในเกวัฏฏสูตร เล่ม 9  
1. อิทธิปาฏิหาริย์
            
[484]    เกวัฏฏะ  ก็อิทธิปาฏิหาริย์เป็นอย่างไร  คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้
แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง  คือ  คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้  หลายคนแสดงเป็นคน
เดียวก็ได้  แสดงให้ปรากฏหรือให้หายไปก็ได้  ทะลุฝา  กำแพง(และ)ภูเขาไปได้ไม่ติด
ขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้  ผุดขึ้นหรือดำลงในแผ่นดินเหมือนไปในน้ำก็ได้  เดินบนน้ำ
โดยที่น้ำไม่แยกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้  นั่งขัดสมาธิเหาะไปในอากาศเหมือนนก
บินไปก็ได้  ใช้ฝ่ามือลูบคลำดวงจันทร์ดวงอาทิตย์อันมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากก็ได้
ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้
            

เพราะเหตุนั้น  ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีศรัทธาเลื่อมใสเห็นภิกษุนั้นแสดงฤทธิ์ได้หลาย
อย่าง  คือ  คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้  ฯลฯ  ใช้อำนาจทางกายไปจนถึง
พรหมโลกก็ได้  ผู้นั้นจะบอกแก่บุคคลผู้ที่ยังไม่มีศรัทธายังไม่เลื่อมใสว่า  ‘น่าอัศจรรย์
จริง  ไม่เคยปรากฏ  สมณะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากเหลือเกิน  ข้าพเจ้าเพิ่งเคยเห็น
ท่านนี้ที่แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง  คือ  คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้  ฯลฯ  ใช้
อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้’
           

เมื่อเป็นเช่นนั้น  ผู้ที่ยังไม่มีศรัทธายังไม่เลื่อมใสจะพูดกับผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใส
ว่า  ‘ท่าน  มีวิชาประเภทหนึ่งเรียกว่าคันธาริ1  ภิกษุรูปนั้นแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง  คือ
คนเดียวแสดงเป็นหลายคนก็ได้  ฯลฯ  ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้
เพราะมีวิชานั้น’
            

เกวัฏฏะ  ท่านเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร  ผู้ที่ยังไม่มีศรัทธายังไม่เลื่อมใสจะพูด
กับผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างนั้นหรือไม่”
   เขากราบทูลว่า    “ต้องพูดแน่    พระพุทธเจ้าข้า”
            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  “เกวัฏฏะ  เราเล็งเห็นโทษในอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้
จึงเหนื่อยหน่าย    ระอา    รังเกียจเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ 

2. อาเทสนาปาฏิหาริย์
{340}[485]    เกวัฏฏะ  ก็อาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นอย่างไร    คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ทายจิต  ทายเจตสิก  ทายความวิตกวิจารของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า  จิตของท่าน
เป็นอย่างนี้    เป็นไปโดยอาการอย่างนี้    เป็นดังนี้
            

เพราะเหตุนั้น  ผู้ใดผู้หนึ่งที่มีศรัทธาเลื่อมใสเห็นภิกษุนั้นทายจิต  ทายเจตสิก
ทายความวิตกวิจารของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า  จิตของท่านเป็นอย่างนี้  เป็นไป
โดยอาการอย่างนี้  เป็นดังนี้  ผู้นั้นจะบอกแก่บุคคลผู้ที่ยังไม่มีศรัทธายังไม่เลื่อมใสว่า
‘น่าอัศจรรย์จริง  ไม่เคยปรากฏ  สมณะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากเหลือเกิน  ข้าพเจ้า
เพิ่งเคยเห็นท่านนี้ที่ทายจิต  ทายเจตสิก  ทายความวิตกวิจารของสัตว์อื่นของบุคคล
อื่นได้ว่า    จิตของท่านเป็นอย่างนี้    เป็นไปโดยอาการอย่างนี้    เป็นดังนี้’
            เมื่อเป็นเช่นนั้น  ผู้ที่ยังไม่มีศรัทธายังไม่เลื่อมใสจะพูดกับผู้มีศรัทธาเลื่อมใสว่า
‘ท่าน  มีวิชาประเภทหนึ่งเรียกว่ามณิกา1  ภิกษุรูปนั้นทายจิต  ทายเจตสิก  ทายความ
วิตกวิจารของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นได้ว่า  จิตของท่านเป็นอย่างนี้  เป็นไปโดยอาการ
อย่างนี้    เป็นดังนี้    เพราะมีวิชานั้น’  เกวัฏฏะ  ท่านเข้าใจเรื่องนั้นว่าอย่างไร  ผู้ที่ยังไม่ศรัทธายังไม่เลื่อมใสจะพูดกับ
ผู้ที่มีศรัทธาเลื่อมใสอย่างนั้นหรือไม่”
 เขากราบทูลว่า   “ต้องพูดแน่    พระพุทธเจ้าข้า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  “เราเล็งเห็นโทษในอาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างนี้  จึงเหนื่อยหน่าย ระอา  รังเกียจเรื่องอาเทสนาปาฏิหาริย์

พ่อครูว่าสมัยก่อน ตอนพระโมคคัลลานะ ที่มีคนท้าทายให้เหาะไปเอาบาตรไม้จันทน์ ท่านโมคคัลลานะกับพระปิณโทณฯก็เหาะไปเอาบาตรไว้ ด้วยจะให้รู้ว่าอรหันต์มีจริง พระพุทธเจ้าก็ได้รู้ก็เรียกไปบริภาษ ว่าอย่าไปแสดงความเก่งแบบนั้นไม่เอามันน่าอาย แล้วท่านก็บัญญัติวินัย ถ้าใครมีฤทธิ์ก็ตามหากแสดงต้องอาบัติทุกฎ จะมีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างไรก็ไม่ให้แสดง แสดงอย่างไรก็เป็นปาจิตตีย์ ถ้าละเมิดก็ทุกฎ หรือถ้าไม่มีในตัวจริงก็ปาราชิกได้เลย 

ส่วนของพระพุทธเจ้าคืออนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมพร่ำสอน อย่างนี้ๆว่า จงตรึกตรองอย่างนี้ 
 3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์
 {341}[486]    เกวัฏฏะ  ก็อนุสาสนีปาฏิหาริย์เป็นอย่างไร  คือ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพร่ำสอนอย่างนี้ว่า  ‘ท่านจงตรึกตรองอย่างนี้  อย่าตรึกตรองอย่างนั้น  จงใส่ใจ
อย่างนี้  อย่าใส่ใจอย่างนั้น  จงละสิ่งนี้จงเข้าถึงสิ่งนี้อยู่เถิด’  นี้จัดเป็นอนุสาสนี-
ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
{342} ยังมีอีก  เกวัฏฏะ  ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้  เป็นพระอรหันต์  ตรัสรู้ด้วยตนเอง
โดยชอบ  ฯลฯ1  (พึงนำข้อความเต็มในสามัญญผลสูตรมาใส่ไว้ในที่นี้)  ภิกษุชื่อว่า
สมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล  ฯลฯ  บรรลุปฐมฌานอยู่  นี้จัดเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์
อย่างหนึ่ง
 ฯลฯ  บรรลุทุติยฌานอยู่  บรรลุตติยฌานอยู่  บรรลุจตุตถฌานอยู่  ฯลฯ  น้อม
จิตไปเพื่อญาณทัสสนะ  ฯลฯ  นี้จัดเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง  ฯลฯ  รู้ชัดว่า  ...
ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป  นี้จัดเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง เกวัฏฏะ  เราทำให้แจ้งปาฏิหาริย์  3  อย่างนี้ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วจึง
ประกาศให้รู้กัน


อาตมาก็ใช้อสุสาสนีย์อย่างพระพุทธเจ้าสอนแต่ว่าพุทธไทยเดี๋ยวนี้ทำแบบเดรัจฉานวิชชา ประโคมกันว่าตะกรุดคนนี้ขลัง น้ำมนต์คนนี้ดี ไม่ได้สอนกันว่าอย่างนีคือวิมุติญาณทัสนะ อย่างนี้คือวิมุติ แต่ไปนับถือกันในพระกัมมฐานที่ถือว่าเคร่ง ในป่าเขาถ้ำ หรือไปนับถือคนปริยัติมาก แต่คุมนิวเคลียสของตนไม่ได้ ก็เลยออกไปอาละวาดมากมาย ไม่ได้สอนให้มีการไม่สะสม อปจยะ ให้มีวรรณะ 9 เลย แต่สอนตรงกันข้ามเลย ไปชื่มชมยินดีกับการเดินเหยียบดอกไม้ มันทำลายศาสนาของพระพุทธเจ้าเลย 

ต้องมาสอนให้ลดละ พฤติกรรมเหล่านี้เลย สายปัญญารู้พฤติกรรมที่รู้ว่าจะบำเรอกาม บำเรอโลกธรรม ส่วนสายสว่างก็พาไปใส่สว่าง อาภัสรา แต่กายต่างกัน แต่สัญญาว่าสว่างเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าสว่างๆนี่มันต่างกันนะ ที่จริงมันแค่สว่างกับมืด อาภัสรากับกิณหะ เป็นพลังงานโลกๆธรรมดา ไม่ใช่เรื่องนามธรรม นามธรรมนั้นสว่าง แต่ว่าแสงสว่างอย่างปัญญาก็มี นัตถิปัญญา สมาอาภา ไม่ใช่สว่างอย่างวัตถุว่าสว่างอย่างนี้โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็ได้กายที่สว่างตามมโนมยอัตตา เป็นของเท็จ เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต ไม่ใช่นาม พระพุทธเจ้าสอนให้รู้นามเป็นความรู้สึก รู้สึกทุกข์สุข ดับเหตุแห่งทุกข์สำเร็จก็สงบ

ฝ่ายดำฝ่ายมืดไม่รู้ โลก ไม่เอาโลก ไปดับดิ่งดับปี๋ด้วยอวิชชาก็เป็นทุภกิณหะ ไม่ใช่สุภกิณหะ ทีนี้พระพุทธเจ้าก็รู้ว่าดำมืดคืออะไร หลงสวรรค์วิมานไปอย่างมืดๆ แต่ปั้นไม่เก่งเท่าแบบสว่างนะ พวกมืดไม่ค่อยมีปัญญาซับซ้อน เหมือนคนโลกๆที่ไม่ค่อยเฉกาฉลาดแตกฉานลวงคน ฝ่ายมืดหลงดับมืด แล้วนึกว่าที่ได้มืดดับนี่ดีคือนิพพาน อีกพวกก็ไปใสสว่างเป็นนิพพาน หรือไปปั้นรูปในจิตเป็นพุทธเกษตรเป็นแดนนิพพานไป นี่ก็งมงายกันคนละอย่าง สายสว่างก็ศรัทธา ฝ่ายดับก็ศรัทธา แต่ว่ามีไปคนละอย่าง หากไม่เข้าใจก็เทเอียงโต่งทั้งสองทิศ จริงๆสว่างก็มี มืดก็มี ยกตัวอย่างง่ายๆ

คุณหลับตานี่ให้สนิทจะไม่มีแสง แต่ถ้ามีแสงทะลุเปลือกตาได้ก็พอรู้ แต่ถ้าไม่มีแสงเลย ในถ้ำมืด หลับตาก็มีแต่มืดอย่างเดียว นี่คือสัจจความจริง แต่ถ้าใครหลับตาแล้วมีแสงสว่างวูบวาบมากก็คือคนมีมโนมยอัตตา มีแต่ความหลอก หลับตามันก็จะมีเรื่องรูปภาพ ย่ิงกว่าAnimation เลย แต่ว่ามันไม่เที่ยงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในฝันหลงว่าเป็นของจริง นั่นก็คือเป็นภาพหลอก หรืออยากจะตกแต่งอย่างไรจับบิดเบี้ยวบิดพิกลพิการไปตามเรื่อง คืออวิชชา 

เมื่อสามารถดับรูปเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้าเหลือในอนุสัยก็ให้มีปัญญารู้้ว่าของหลอก จนมันจางลง ไม่เป็นรูปเรื่อง แต่ก็มีแสงมีวูบวาบบ้าง จนมืดคือมืด แสงคือแสง ถ้าหลับตาก็ไม่มีแสง แต่ถ้าจะให้ปั้นก็ได้เป็นมโนมยอัตตา เราอนุโลมให้เกิดได้ ก็เป็นคนคุมพลังงานได้ ใช้ตามที่ต้องการ คือความสามารถความรู้ของพระพุทธเจ้าหากปฏิบัติตามพระอนุสาสนีย์นี้ ได้พลังงานทางจิตที่ลดกิเลสก่อน ก็จะเกิดความเก่งความสามารถตามมา 

คุณต้องทำตนให้ลดกิเลสก่อนแล้วมาสร้างปาฏิหาริย์อื่นตามหลัง แม้ไม่สร้างก็จะได้เองไปตามลำดับ โพธิสัตว์รู้เอง เหมือนฝั่งทะเล ได้ตามสัดส่วนไม่ลักลั่น นี่คือรายละเอียดของพลังงานจริง เอามาสรุปแล้วสอนให้ฟัง เราเริ่มต้นเรียนอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์มาลดละเลิกอย่างนี้ ไม่ต้องกลัวจะไม่มีปาฏิหาริย์อื่นมันได้แล้วจะรู้แล้วทำงาน แต่ถ้าไปทำอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ก่อนก็อาจถูกกิเลสหลอกเราได้ มันจะทำได้ยากกว่าและมันไม่เป็นลำดับโขลกเขลกไปนานช้ามาก 

ใครอยากได้คุณสมบัติที่ดีเร็วไว หรือใครอยากได้ช้าๆ ไม่มีใครอยากได้ช้าหรอก 

ถ้าคุณปฏิบัติจริงจะทำได้ เอโกปิ หุตวา พหิทา โหติ หรือ พหุทาปิ หุตาวา เอโก โหติ  ทำคนเดียวให้เป็นหลายคนได้ ไม่ใช่ว่าอย่างอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คือพระพุทธเจ้าสามารถสร้างคนให้มีคุณธรรมแบบท่านนี้ได้อีกหลายคน นี่คือทำคนเดียวให้เป็นหลายคนได้อย่างสัมมาทิฏฐิ 

ทำให้ปรากฎก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ ไม่ใช่ว่าเสกของได้เหมือนไสยบาบาแต่ของพระพุทธเจ้าคือทำกิเลสที่มีให้หายไปได้ตลอดกาลเลย อนุโลมขึ้นมาจะให้มีก็ได้ แสดงให้ปรากฏให้หายไปก็ได้ ให้อาศัยอย่างเหมาะควร แล้วรู้ว่านี่คือเครื่องอาศัยไม่ใช่สิ่งจริงที่จะอยู่เที่ยงแท้ถาวรไม่ ไม่ได้งมงายว่าอยู่นิรันดร 

ทะลุภูเขากำแพงก็ได้ ไม่ใช่ว่าเดินทะลุกำแพงภูเขาได้ จะได้จริงเราไม่รับรอง แต่ของพระพุทธเจ้าคือกำแพงภูเขากิเลสมอมเมาคนเหลือเกิน ตอนนี้ประเทศไทยมีมากมายทั้งแบบโลกีย์และเดรัจฉานวิชชา แต่ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเดินผ่านสบาย ส่ิงเหล่านี้ทำอะไรเราไม่ได้ เอาเราไปเป็นพวกไม่ได้ เราเป็นตัวนิวตรอนเป็นตัวภาวะที่หมดดูดหมดผลัก สะอาดบริสุทธิ์ นี่คือคุณสมบัติที่อยู่ในที่ว่าง ภาษาท่านพุทธทาสว่าเป็นก้อนน้ำแข็งกลางเตาหลอมเหล็ก คือผู้มีพลังสามารถชำแรกอยู่ในความร้อน แข็ง ในความจัดจ้านของโลกีย์ได้ ของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้แต่ว่าอย่างที่เดินทะลุภูเขาได้นี่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าเดินผ่านทะลุภูเขาลาภ ยศ สรรเสริญโลกีย์มีให้ดูได้เลย แล้วเป็นประโยชน์ด้วยแต่ของอิทธิปาฏิหาริย์นี้เอาไปทำเป็นโทษภัยได้

เดินบนน้ำได้ ดำดินได้คือไม่หลงใน โลกีย์ทั้งหลาย ที่ท่วมทับเราเราก็ไม่จมน้ำ เราเหนือน้ำได้ 

นั่งสมาธิแล้วลอยได้ก็มีคนส่งภาพมาดูให้อยู่นะ อาตมาไม่เคยเห็นกับตานะ แต่เห็นในภาพ เห็นว่าหลวงพ่อจรัญก็ทำได้นะ แต่ถ้าทำได้ก็เป็นมนุษย์จรวด ถ้าเก่งก็ลอยเหมือนฤาษีสมัยโบราณ เหาะลอย พอผ่านสระในวังมีสนมแก้ผ้า ฤาษีเห็นเข้าก็กิเลสขึ้นตกมาเลยเหาะไม่ได้ต้องเดินหงอยไปเลย เป็นจริงได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องได้ถาวร 

อาตมาก็เคยนั่งสมาธิ เล่นพลังพวกนี้ อาตมาไม่รู้ว่าตนเหาะได้ไหมนะ คืนหนึ่งก็ตั้งสมาธินั่ง แต่พอออกมาแล้วก็ไม่ได้นั่งอยู่ที่เก่า เป็นหลายทีนะ จนเดี๋ยวนี้อาตมาก็ไม่รู้นะว่าเป็นอย่างไร ตอนนั้นก็ตั้งจิตเหาะอยู่นะ แต่ทำแล้วมันเป็นอย่างนี้ก็มันเคลื่อนที่อยู่นะ แต่เรื่องเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม

อย่างอาเทสนาปาฏิหาริย์อาตมาก็ใช้บ้างไม่ปิดเลยแต่ว่าอิทธิปาฏิหาริย์อาตมาปิดเลยแต่เรื่องไอนี่ หมอเขาก็รักษาไม่สำเร็จ อาตมาก็เลยว่าต้องใช้พลังเจโตช่วยแล้ว เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ช่วย หรือพยาธิอันนี้จะปะทุจนเอาเราตายก่อนก็ไม่รู้อาตมาก็ระวังไว้

แม้ว่าใช้ฝ่ามือลูบคลำพระอาทิตย์ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้ คำว่าใช้ฝ่ามือลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ คือฤทธิ์โลกีย์มันจัดจ้านร้อนมาก หรือเป็นดวงจันทร์เขาหลงใหลทนได้ เหมือนคนจีนหัดกินน้ำร้อนแต่พวกคุณไปซัดดูปากพองเลย เขาทนได้ฉันเดียวกัน เขาทนอำนาจโลกีย์จัดจ้านมาก ในโลกธรรม เขารู้สึกว่าเย็น ได้ลาภ ก็รู้สึกเย็นใจ ไม่ได้ลาภมาก็รู้สึกร้อนต้องแย่งมาให้ได้ ขนาดนั้นอำมหิต แต่ผู้มีอำนาจเหนือ สามารถเอามือลูบคลำพระอาทิตย์พระจันทร์ด้วยฝ่ามือ มีพลังงานอยู่เหนือโลกีย์ จะร้อนอย่างไรกิเลสก็ไม่ขึ้น เงินจะแสนล้านใจเราไม่กระดิกเลย เรามีสิทธิ์เอาได้ด้วยนะ แต่ก็ไม่ทำได้ ใจเราสบายได้ไม่ต้องเอาเลย นี่คือภาษาธรรมไม่ใช่ภาษาคนไม่มีปัญญา อันนี้พิสูจน์ได้ แต่ใครจะไปเอามือไปลูบพระอาทิตย์นั่นเป็นไปไม่ได้ พูดกันเพ้อเจ้อ ยิ่งใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลก เป็นพรหมกายเป็นธรรมกายยิ่งสุดยอด

รู้จักคำว่าพรหมหรือกาย แล้วทำให้ความเป็นไปมีวัฏฏะ หมุนเวียนเป็นธรรมาธิปไตย เป็นพรหมาธิปไตยเป็นอัปมัญญา เป็นคุณสมบัติวิเศษอันไม่มีประมาณ นี่คือพระพุทธเจ้าสอนให้ทำอันนี้บรรลุอันนี้ 

คุณควบคุมลักขณรูป 4 ได้ ให้เป็นการเกิดอุปจยะ หรือให้ต่อเป็นสันตติ ให้เสื่อมลงเป็นชรตา ทุกอย่างก็อนิจจตาทั้งนั้น แต่อาตมานี่จะเนรมิตเลไลย์อโศกไม่รู้จะได้ไหม ว่าไงหินชนวน 

เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นธรรมสองที่รวมลงให้เป็นอย่างเดียวกันได้ อยากจะได้แบบไหน ถ้าได้แบบธรรมะจะทำให้สังคมเป็นสุข เราไม่ก่อบาปกรรม เป็นอรหันต์แล้วจะอยู่ช่วยโลกไปเท่าไหร่ก็ได้ ถึงวันนี้อาตมาเปิดหมดแล้วนะ อาตมาประกาศอย่างมีสิ่งรองรับ บุคคลรองรับ มีคนที่อยู่อย่างไม่ต้องการ โลกธรรม ทั้งนักบวชและฆราวาส อยู่ยืนยันมีองค์รวมอยู่อย่างไม่โลภ แล้วอยู่รอดไหม? รอด ก็มาทำให้ปรากฎเพ่ิมขึ้นให้เป็นรูปธรรม นามธรรมให้โลกเห็นว่าอันนี้จริง ทฤษฎีของในหลวงแบบคนจนจะได้ปรากฎ ผ่านมาที่ดินหนอง มีคนชื่อเศรษฐี เอานามสกุล จนอีหลีไป เขาก็รับใส่หัวเลย บอกว่าผมเอา คำว่าเศรษฐีคือผู้เจริญ แต่ว่าพวกที่รวยแบบไม่ดีคือกฎุมพี 

อาตมาพยากรณ์บอกเลยว่าทฤษฎีนี้ ของในหลวง จะเป็นสิ่งที่โลกยอมรับ ตอนนี้สหประชาชาติรับรองเศรษฐกิจพอเพียง ยังเหลือแต่แบบคนจน และแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ถ้าคนไทยไม่เป็นหนี้ พึ่งตนรอด ทำให้เหลือแล้วไปแจกจ่ายช่วยเหลือประเทศอื่น ไทยจะเป็นมหาอำนาจทางคุณธรรม ไม่ใช่มหาอำนาจที่เอาเปรียบคนอื่น อย่างที่เขาเป็นกัน ขอยืนยันว่าจะเป็นทฤษฎีที่บริสุทธิ์ที่สุดที่จะเอาชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

พวกเรามีอยู่แล้ว คนที่เลิกร้างไปก็ไปคิดให้ดี คนเก่าก็มีคนใหม่ก็มี คนเลยนี่ เมื่อวานเด็กๆจบจากปฐมฯสันติฯก็มาอยู่ที่นี่ตามภูมิลำเนาเดิม ก็ฝากเสียงไปถึงหน่อย ก็อย่าคะนองว่าตนยังหนุ่ม ผมยังดำก็ไปสร้างเวรกรรมอย่าหาว่าไม่เตือนนะ มีเสนาสนสัปปายะแล้ว ก็มารวมให้เกิดบุคคลสัปปายะแล้วจะเกิดอาหารสัปปายะให้อาศัย 

มีคนเขียนว่า พ่อครูอยากเนรมิตเลไลย์อโศกให้ได้ ญาติธรรมบอกว่ามีเงินถึงทำได้ หรือว่าแบบมีคนถึงทำได้ อย่างไหนถูกกว่า

พ่อครูว่า...คนบอกว่ามีเงินก่อนถึงทำได้คนนี้ไปเลยอย่ามา แต่คนที่บอกว่าคนมาก่อนก็มาเลย ขอให้มีตัวกับหัวใจก็มาเลย แล้วมีเงินก็จะใช้ได้ เราจะสิ้นไร้สมรรถภาพขนาดนั้นเชียวหรือ อาตมาว่าได้ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก ระบบความคิดเอาเงินนำหน้าคือแบบทุนนิยม ที่เขาให้กู้ก่อน แล้วก็ให้ไปลงทุน  

เงินมันเกิดจากคน มีทั้งแบบทุจริตแล้วแบบสุจริต เราต้องทำแบบขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง ที่ผ่านมาเพราะเงินเชื่อนี่แหละทำให้บรรลัยไปเยอะแล้ว โลกเขาทำกันทำให้ฉิบหายไปเยอะ  คนไหนว่าถ้าจะมีเงินก้อนใหญ่ที่เขาให้ทำโดยไม่มีเงื่อนไข ทำแล้วมันจะหมดสูญ ก็อย่ามาคิดว่าจะต้องได้เป็นของตน อย่ามาคิดดอกด้วย แม้เราไม่ได้ผลดี เงินสูญก็ไม่ต้องคิด แม้จะเจริญก็ไม่คิดว่าเป็นของตน ไปปรึกษาหารือกันใครตั้งใจอย่างไรก็เชิญเลย 

มันมีโอกาสวาระแล้ว ที่จะให้เจริญ ตอนนี้อาตมาเชื่อมต่อมีจิ๊กซอว์ที่มาต่อคือ A bomb of love ของไอสไตน์ คนเขาให้ข้อมูลมา แต่อาตมาไม่เคยเห็นหรอก ไอสไตน์เขาฝากอันนี้มาถึงคุณรัก ก็เพ่ิงมาถึงมือ อาตมาได้รับแล้วจะทำ bomb of love บ้างยกมือ ...

มันถึงเวลา เราจะช่วยสังคมโลก ด้วยทฤษฎีอื่นไม่สำเร็จขอยืนยันต้องทฤษฎีในหลวง แบบพระพุทธเจ้า แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แบบคนจน มาลดละตัวตนจนหมดอัตตาได้ เป็นสาธารณโภคีแบบอโศกเราทำได้จริง อาตมาประกาศอย่างมั่นใจว่าเมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป เกิดมนุษย์อุตรกุรุปทวีปจริง นี่คือทวีปดินแดนแห่งมนุษย์อุตระ กุรุ ในแดนชมพูทวีปนี้ ที่มีสุรภาโว สติมันโต อิทธพรหมจริยวาโส ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นกายของพระพุทธเจ้าคือนามธรรม ไม่ใช่ว่านั่งหลับตาเห็นพระพุทธเจ้าอยู่พุทธเกษตรไม่ใช่ แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ว่านี่คืออกุศลกรรมของมนุษย์แล้วเลิกพฤติกรรมอกุศลกรรมได้ถึงจิต แล้วสร้างกุศลกรรม นี่คือพรหม นี่ต่างหากคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มโนมยอัตตาที่ใครรู้ด้วยไม่ได้ แต่เป็นผู้มี สาราณียธรรม 6 เห็นเต็มๆโทนโท่เพราะมีจิตที่เป็นพุทธพจน์ 7 ได้จริง 

เป็นการยืนยันพิสูจน์ความจริงนี่แหละธรรมกาย แต่อย่างเขาทำมันธรรมกลาย ธรรมโกง ธรรมเก๊ พูดอย่างนิคคัณหะนะ อยากให้เลิก เหมืิอนแม่ด่าลูก ด่าหยาบเลยแต่ก็ให้เลิกสิ่งไม่ดี หวังดีนะ เขาทำต่อก็บาปของเขา อาตมาไม่ได้ด้วยนะ 

คนนี่แหละจะมีธรรมะได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พาลบัณฑิตสูตร ที่บอกว่าพาลก็ดี บัณฑิตก็ดี ตายไปแล้ว ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ยังมีกาย แต่อีกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่ากายคือมโน คือวิญญาณ คือจิต บ้าง แต่คนไปยึดว่ากายคือร่าง แล้วพระพุทธเจ้าว่าตายไปแล้วเอาไปด้วยอีก ก็คือเอาร่างไม่ได้ เอาไปได้แต่จิต มโน วิญญาณเท่านั้น 

อาตมากำลังสร้างปิยกรณะที่เป็น  A bomb of love ที่สามารถคุมได้จัดการพิษได้ จะปล่อยออกไปก็เป็นพลังงานกำจัดพิษแล้วมีแต่พลังงานกุศล เท่าที่ความสามารถจะมี ใครที่สามารถทำได้ก็เป็นบุญ(ชำระกิเลส กำจัดพิษได้) ได้แล้วก็เป็นกุศล เป็นคุณงามความดีก็อาศัยกุศลที่ทำให้เจริญไปเรื่อยๆ ส่วนบาปไม่ทำเลยอย่างจริงใจ เป็นพรหมผู้มีอัปมัญญาบริสุทธิ์บริบูรณ์ช่วยโลก 

ไอสไตน์ก็เป็นโพธิสัตว์ ยิ่งมีหลักฐานอันนี้ก็ย่ิงชัด ไอสไตน์ถึงบอกเอาไว้ว่า 

มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 

พ่อครูพูดต่อ....อาตมาคิดอย่างนี้ ที่เลไลย์นี่จะเอาแน่ เพราะเป็นของส่วนกลาง อาตมาก็จะส่งคนมายึด ถ้าพวกเราไม่มาเอา คนที่อยู่ย่านนี้ไม่เอา ก็เอาคนที่อื่น อาตมามีคนนะ ถ้าพวกคุณจะมาอยู่เป็นแกนก็ทำ คนที่อื่นก็จะเอามาช่วยก็จะมีทั้งสมณะ สิกขมาตุ มา ทำแน่ทั้งที่ดินหนองฯด้วย มีป่าเป็นร้อยไร่ คอยดูนะ จะส่งคนมายึดเหมือนกัน ที่ขอนแก่นก็เหมือนกัน เราต้องสร้างบ้านแปลงเมือง ต้องมีองค์บริษัท ไม่เช่นนั้นเราช่วยประเทศชาติไม่ได้ เราช่วยประเทศชาติไม่ได้เราช่วยโลกไม่ได้ด้วยนะ

ไอสไตน์บอกอีกว่า....หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็น เมตตา กาย วจี มโน ที่รวมกันอยู่เป็นสาธารณโภคี ที่เป็นลาภโดยธรรม เรามีหลักเกณฑ์ ศีลสามัญตา มีอุดมคติ เป็นทิฏฐิสามัญตา...จบ
 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:28:19 )

580627

รายละเอียด

580627_เอื้อไออุ่นงานคืนสู่เหย้า นศ.ปธ. ครั้งที่ 12 สวนบุญผักพืช 

เวลา 18.25 น. พ่อครูเร่ิมเทศนา ...ใครจำปีเกิด นศ.ปธ.ได้ไหม ... 34 ปีผ่านมา หลายผู้หลายคนอายุยืนยาวมา แต่ละคนมีอายุเลย 40 แล้วก็มี 50 ขึ้นแล้วก็มี ไม่น่าเชื่อนะ อาตมายังไม่เชื่อเลยว่าอาตมาอายุ 80 ปี แต่ว่าวันนี้ ปีนี้ เราก็จัดกันมาหลายปีที่นี่ วันสำคัญที่รวมกัน สังคมเราจะจัดมีการรวมกัน อย่างนั้นอย่างนี้ งานขึ้นบ้านใหม่ งาน meeting งานตาย งานแต่ง ก็เพื่อให้มารวมกัน คนเป็นสัตว์โขลง เสร็จแล้วกิเลสมันพาแยกออกไปเพราะกลัวคนอื่นจะแย่งไปทำ ก็เลยหอบไว้เป็นของตน ก็มีนิสัยแยกไปบ้างด้วยความเห็นแก่ตัว

แรกๆก็เป็นญาติพี่น้องตระกูลกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน คนอื่นมาผสมก็แตกกอไป เป็นชนเผ่า แรกเริ่มเหมือนสาธารณโภคี กินใช้รวมกันหนักเข้ากิเลสก็เข้า ว่าอย่างนี้ของฉัน หมกเม็ดไว้ หนักเข้าก็แยกกันคนละบ้าน อย่างเก่าก็เหลือแต่ลูกหลานตน แต่สัญชาติญาณก็มารวมกันสร้างสรร ทีนี้มันรวมกันเข้าก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้งด้วยที่ชอบๆ 

นักกีฬาก็รวมกันนักกีฬา นักเต้น นักร้อง นักกินก็ไปรวมกันของแต่ละที่ชอบ นักนอกไม่ค่อยรวมกัน เลยกลายเป็นกลุ่มรวมกัน แต่ถ้ารวมกันหลากหลาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ มันก็รวมกันเป็นหนึ่งดี เรื่องพวกนี้เกิดจากจิตใจคน จิตวิญญาณคนเป็นตัวตั้ง ก็มีคิดอย่างนั้นอย่างนี้ กิเลสก็พาไปพิลึกพิเรนทร์ 

คิดดีก็มี คิดไม่ดีก็มี ก็เลยหลากหลาย ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันก็มี คิดแยกก็เยอะ สรุปแล้วมันต้องมีจิตร่วมรวมกันเป็นความสามัคคีอบอุ่น ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่โลภโมโทสันไม่อยากให้คนอื่นได้ ไหม่ให้มีเท่าเราก็เลยแตกแยก อันนี้เป็นจิตเลว จิตไม่ดี เหมือนเรามารวมกัน ร่วมกินร่วมใช้ สมัยโบราณใครมีอะไรก็เอามารวมกันกินกันใช้ ก็สนุก แต่ตอนนี้ไปให้ร้านเหมาเลย ต่างคนเอาเงินมารวมกันก็จ่าย

สรุปแล้วลึกๆอยากรวมกันอยู่ แต่กิเลสก็ดึงออกไป เห็นแก่ตัว แต่มารวมกันก็รู้สึกดีทุกที 

ไอสไตน์ทิ้ง A bomb of love ให้อาตมานี้ดีมากเลย ทางโลกจับต้องได้อย่างไอสไตน์คิด พลังงานทางวัตถุได้สูงสุด แกเข้าใจว่าถ้าพลังงานรวมกันแล้ว แล้วเอาพลังงานรวมมาใช้ก็ได้ Energy ก็เกิดจาก มวล ทั้งหมด แล้วแก่ก็ได้สูตรสำเร็จถึงอุตุนิยาม เป็นพลังงานสสารที่รวมกัน เป็นธรรมะสอง คือพลังงานกับสสาร อยากได้ E ก็เอา มวลคูณกับพลังงาน แล้วอะไรเร็วสุดก็คือ แสง ความเร็วก็มีแรงด้วย พลังงานแสงนี้แรง ถ้ารวมกัน ถ้าจะให้แรงจริงก็รวมกัน เช่นให้แสงพระอาทิตย์รวมตัวกันก็ไหม้เลย เขาตั้งชื่อว่าเป็นสูตรหรือทฤษฎีสัมพันธภาพ Relation วัตถุที่รวมกันดีที่สุด แรงงานทางโลกก็เอาไปใช้ประโยชน์หรือโทษได้ ทีนี้จิตก็เช่นกัน ถ้าแรงพลังทางจิตรวมกัน ถ้าจิตดี เอาไปใช้ประโยชน์มหาศาล แล้วทำใช้เป็นโทษก็มหาศาลเช่นกัน เหมือนที่เอาทำระเบิดนิวเคลียร์ 

ไอสไตน์เขามีสูตรที่เขาสรุปคือ Space and time of continuum อาตมาก่อนที่จะได้สูตร Bomb of love อาตมาก็ว่าไอสไตน์กับอาตมาเป็นสายโพธิสัตว์เช่นกัน แต่ว่าไม่รู้จะเชื่อมอย่างไร แต่พอได้ จดหมายของไอสไตน์ถึงลูกนี้ เป็นพินัยกรรมบันทึกที่ทำไว้อย่างเชื่อมั่น เรียกพลังงานอันนี้ว่า A bomb of love 

ไอสไตน์ให้ลูกสาวเก็บไว้ก่อนหลายปี ไม่เปิดเผย เพราะว่ารอให้สังคมพอจะเข้าใจได้ เป็นพลังงานความรักที่ประเสริฐตั้งแต่มิติที่ 7 ขึ้นไป ส่วนมิติที่ 9 เป็นการเรียนรู้ความรักที่จริง และให้เป็นความรักที่ดีที่สุด ความรักมิติที่ 7 เป็นความรักที่ดีที่สุด 

ความรักมิติที่ 1 เป็นความรักเรื่องกาม เมถุนนิยม แล้วหลงว่ามีความสุขอยู่แค่สองเรา ก็เสพสัมผัสเสียดสีเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น มีลูกก็ไม่รัก เอาไปฆ่าทิ้ง ให้คนอื่น หรือทิ้งไปก็มี มีตัวอย่างให้เห็น

กว้างมานิดก็เผื่อแผ่ให้ลูก กว้างมาหน่อยก็เอาญาติ แล้วเผื่อแผ่ให้สังคม ก็กว้างต่อมาเป็นรัฐนิยม จนกว่างถึงสากลนิยม ทั้งโลก จนถึงมิติที่ 9 เลย เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวมีแต่ความอบอุ่นให้กันและกัน ไอสไตน์ได้เขียนไว้ถึงพลังงานแห่งความรักนี้ ที่ยิ่งใหญ่ แต่ว่าเขาก็เกรงว่าคนจะไม่รู้เรื่อง ก็ให้เก็บไว้นานหน่อย จนกว่าคนจะรู้เรื่อง ก็ค่อยเปิดเผย 

ปลายทศวรรษ 1980 Lieserl Einstein ลูกสาวของ Albert Einstein ได้บริจาคจดหมายของพ่อให้แก่มหาวิทยาลัยฮีบรู หนึ่งในนั้นเป็นจดหมายถึงเธอ มีใจความว่า 

“ตอนที่พ่อนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพออกไป ไม่ค่อยมีใครเข้าใจพ่อหรอก สิ่งที่พ่อจะเปิดเผยในเวลานี้เพื่อสื่อถึงมนุษยชาติ ก็จะปะทะกับความเข้าใจผิดและอคติในโลกด้วยเช่นกัน

พ่อขอให้ลูกรักษาจดหมายเหล่านี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่จำเป็น หลาย ๆ ปี หลาย ๆ สิบปี จนกว่าสังคมจะก้าวหน้าพอที่จะยอมรับสิ่งที่พ่อจะอธิบายต่อไปนี้

มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก
(ทฤษฎีของไอสไตน์เป็นสัมพัธภาพ ทั้งนั้น เช่นเดียวกับทฤษฎีทางธรรมะทางนามธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะโพธิปักขิยธรรม ก็ตาม ไม่ว่าจะมรรคองค์ 8 ก็ตาม มูลสูตรก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่มีสัมพัธภาพทั้งนั้น)
พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 
พ่อครูว่า..ใช่ มนุษย์ยังไม่มีวิธีขับเคลื่อนได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ค้นพบวิธีควบคุมได้หมด ทางวิทยาศาสตร์เขารู้ถึงโครโมโซม เขาสมมุติชื่อที่จะใช้เรียกชื่อพลังงาน มันมีสองเสมอ ถ้าอยู่เดี่ยวไม่เกิดพลังงาน ต้องมีสองขึ้นไปทำปฏิกิริยากัน มีปฏิฆสัมผัสโส มีการเคลื่อนที่เคลื่อนไหว สัมผัสโส เป็น Reaction จะเกิดพลังงาน ถ้าพลังงานใดเกิดกระทบแล้วแตกตัว พลังงานนิวเคลียสหรือนิวตรอน ซึ่งนิวตรอนเขาเรียกว่า 0 แต่ที่จริงไม่ใช่ 0 แต่มีสอง พอแตกตัวเรียกสอง เป็นนิวเคลียร์ฟิวชั่นหรือฟิชชั่น มีลักษณะแตกกระจายหรือรวมตัวกันแน่น มันมีการกระทบกันไปเรื่อยๆ ปฏิฆสัมผัสโส คำว่า ฆ คือการกระทบสัมผัส มีหน่วยมารวมกัน ถ้ากระแทกแรงก็แตกมีพลังงานออกมาตามที่อัดไว้ ไอสไตน์เรียกว่า A bomb of love เขาอธิบายให้ลูกฟังว่า 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น 
E (พลังงาน) = mc2 มวล x (ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด 

(พ่อครูว่า แสงมีทั้งความเร็วและความแรง ความรักที่ทั้งเร็วและแรง นัยของพระพุทธเจ้ามีครบทั้งเร็ว และแรง มีแสงสว่างก็คือปัญญาด้วย คือความเร็วและความแรงของแสงสว่าง (อาโลกา)คือปัญญา จะเกิดจักษุที่จะเห็นแสงที่เป็น จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา(แสงสว่าง) เป็นการตรัสรู้อย่าง จักขุมาปรินิพพุโพติ มีปัญญา ญาณ วิชชา ที่เป็นความรู้แต่ละระดับ แต่ละลักษณะที่แตกต่างกันบ้าง 

พระพุทธเจ้าก็สอนไว้หมดละเอียดกว่าไอสไตน์พูดนิดๆหน่อยๆด้วยซ้ำ สรุปแล้วความเร็วแสงคือจิตมุทุภูตธาตุ มีปัญญาเฉียบแหลม มีจิตหัวอื่น มีมุทุตา หรือมุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตที่สำเร็จสมบูรณ์ ผู้เป็นอาริยบุคคลจะเริ่มมีมุทุภูตธาตุ พระอรหันต์จะใช้พลังงานอย่างซื่อสัตย์ไม่ให้ออกไปทำชั่ว อย่างเป็นอัตโนมัติ มันเป็นปัญญาที่รู้เลยว่าไม่ดี ไม่ทำ ไม่ให้เกิดพลังงานไม่ดี ทำให้เต็มที่เต็มแรงเท่าไหร่ก็ได้ กำหนดได้เราจัดการให้ออกได้ พระอาริยะถึงอรหันต์ทำได้สมบูรณ์แต่ก็ทำได้ตามฐานะของแต่ละอรหันต์ อรหันต์ที่มีโลกวิทูไม่เท่ากันอีก อาตมาเอามาอธิบายต่อ)

...หลังจากที่มนุษยชาติประสบความล้มเหลวในการใช้และควบคุมพลังงานอื่น ๆ ในจักรวาลที่ขัดขวางเราแล้ว จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เราจะหล่อเลี้ยงตัวเองด้วยพลังงานอีกประเภทหนึ่ง

หากเราต้องการให้ species ของเราอยู่รอด หากเราต้องการค้นหาความหมายของชีวิต หากเราต้องการช่วยโลกและสิ่งมีชีวิตที่มี sense รับรู้ซึ่งอาศัยอยู่ในโลกแล้วละก็ ความรักคือคำตอบเดียวที่มี 

(พ่อครูว่า...ผู้ใดที่จิตเข้ากระแสอาริยะมีเชื้อเผ่าพันธุ์อาริยะจริง หากเราต้องการ species ที่จะอยู่รอดต้องเป็นอาริยะ)

เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา

(พ่อครูว่า...หลายคนคงได้ยินว่าอาตมาไม่เคยคิดเกลียดชัง ไม่เคยโกรธ ไม่เคยชังเขาไม่ถือสาเขา อาตมาก็พูด เคยได้ยินไหมก็พูดบ่อย ไม่ว่าใครเคยทำร้ายอาตมาก็ตาม มันเป็นความจริง ทุกวันนี้อาตมาเปิดเผยหมดแล้ว เพื่อใช้อธิบายความจริงว่ามนุษย์เป็นได้ มันถูกระเบิดแห่งรักที่พระพุทธเจ้าสร้างให้อาตมา ทำลายความเกลียดชังจากใจอาตมาไปหมดแล้ว ทำลายความเห็นแก่ตัวและความโลภ )

เมื่อเราเรียนรู้ที่จะให้และรับพลังงานจักรวาลนี้ เราก็จะพิสูจน์ได้ว่าความรักพิชิตทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถก้าวข้ามทุกอย่างไม่ว่าสิ่งใด ทั้งนี้เพราะความรักคือแก่นแท้แห่งชีวิต 

พ่อเสียใจที่ไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพ่อ ซึ่งเต้นเพื่อลูกอยู่เงียบ ๆ มาตลอดชีวิต ออกมาได้ บางทีอาจจะสายเกินกว่าจะขอโทษ แต่โดยที่เวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์ พ่อจึงต้องบอกลูกว่า พ่อรักลูก และเพราะลูกพ่อจึงบรรลุคำตอบขั้นสุดท้ายนี้ได้!” 

ไอสไตน์เขาสรุปไว้เป็นภาษาว่า Space and time of continuum คำว่า continuum คือความต่อเนื่องที่เป็นอนุกรมมา หรือเรียกว่า สันตติหรือปฏิจจสมุปบาทก็ได้ อาตมาเคยประกาศไว้ว่า ชีวิตก็คือ กรรมกับกาละ หรือว่าจะเรียงภาษาก็คือ Khama and time of continuum 

กรรมก็คือ doing หรือ deed คือการกระทำ หรือพลังงานที่เกิดการเคลื่อนไหว เกิดจากมีประธานแล้วมีสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยต่อ พระพุทธเจ้าถึงว่าคือ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย 

เหตุกับปัจจัยเป็นสองอย่างเป็นเค้าเรื่อง แล้วจะรวมตัวแล้วก่อเป็นนิทาน ไปเรื่อยๆ

ความรักที่คนลึกๆแล้วยอมรับนับถือบูชาสุดยอด ถ้าเราบอกว่าเราบูชาความรักของพระพุทธเจ้านี้ คนก็ยังไม่ชัด เราก็รู้ว่าสุดยอด แต่ว่าเรานึกสภาพไม่ชัด ความรักที่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังนี้ก็คิดว่าน่าจะใช้ ถ้านึกไม่ออกเลยก็นึกถึงความรักของประชาชนไทยที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 นี้ลองนึกดู เป็นพลังงานองค์รวมที่ทุกคนให้เอง ท่านไม่เคยบังคับไม่เคยใช้อำนาจเบ่งเลย ไม่มี ท่านทรงงานทรงเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไปตลอดพระชนม์ชีพ ท่านได้ความรักอันยิ่งใหญ่นี้แหละ 

แต่ปางนี้อาตมาเห็นพระทัยในหลวง พูดด้วยสำนวนคนธรรมดาคือเห็นใจท่านมากๆ ท่านยากที่จะตรัสอะไรมากกว่านี้ ยกตัวอย่างท่านมีความรู้ว่าทฤษฎียิ่งใหญ่ที่จะบริหารบ้านเมืองได้คือ ทฤษฎีแบบคนจน แต่ท่านก็ไม่ได้ขยายความมาก เพราะจะกระทบ คนที่กำลังเยอะแยะ คือคนที่อยู่ในสังคมทั้งใกล้พระองค์ด้วย 

ขออภัยที่พูดว่า โพธิรักษ์นี้เอามาใช้ได้ ที่เป็นแบบคนจนนี่แหละ ก็เกิดพลังงานรวมกัน อย่างนี้แหละ เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ท่านแยกวิจัยย่อยว่า จิตของคนที่เป็นสูตรดีแล้วก็มีเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็แสดงออกจริงใจ มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ใครจะมีเมตตาคุณภาพสูงก็แล้วแต่ จนที่สุดอยู่รวมกันกินใช้รวมกันเป็นสาธารณโภคี สร้างลาภที่กินใช้ร่วมกันเป็นลาภธัมมิกา มีหลักที่จะอยู่รวมกันได้เป็นศีลสามัญตา เร่ิมต้นพื้นฐาน ศีล 5 ถ้าทำได้ในเมืองใด คือเมืองที่ย่ิงใหญ่ที่สุดในโลก ประเทศนี้ถือศีล 5 หมด คุณคิดดูสิว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทำไปโดยสุจริตไม่ถึงกับฆ่าแกงทำร้ายกัน 

ศีลข้อ 2 ก็รู้ว่าของใครๆก็เกื้อกูลกัน ไม่ต้องแย่งชิงไม่ต้องลักขโมย เรื่องกิเลสกามเราก็ไม่จัดจ้าน ลดลง แค่ผัวเดียวเมียเดียวก็ทุกข์แล้ว ถ้าไม่มีกามก็ยิ่งเจริญ ไม่พูดปด แม้พูดปดสีขาวก็ไม่เอา ไม่หลงใหลอบายมุข ถูกครอบงำ เราถือว่าจัดจ้าน ไร้สาระเป็นโทษด้วย แล้วล้างกิเลสไป ห้าข้อนี้ย่ิงใหญ่ ถ้าหลักสูงกว่านั้นก็ลดความรักความชังลง เหมือนไอสไตน์ว่า ลดความเห็นแก่ตัว ลดความโลภได้ มากเข้าไปเท่าไหร่ หมดความเห็นแก่ตัวได้ก็แจ๋ว หมดความชังเลยก็ยิ่งดี เป็นอาริยะที่สูงขึ้น 

ตอนนี้อาตมาก็มาขยาย Khama(กรรม)  of time of continuum  มันจะต่อเนื่องไปเรื่อย ไม่มีอะไรที่ขาดจากกันหรอก คำว่าระลึกถึงกัน สาราณียะ คือความสัมพันธ์อันไม่ขาดตอน คือสาราณียธรรม ธรรมะอันไม่ขาดจากกัน ระลึกถึงกัน ระลึกถึงอย่างมีประโยชน์อย่างมีความรักปรารถนาดี

เหมือนพระพุทธเจ้าตื่นมาท่านก็ระลึกถึงว่าน่าจะไปช่วยใครดี หรือหาสิ่งที่จะต้องช่วย อย่างพระพุทธเจ้านี้ท่านไม่หาส่ิงที่ต้องช่วยเลยท่านแจกแต่คำสอน แจกความรู้อย่างเดียว ส่วนอาตมาต้องพาสร้างพาก่อเหมือนกันแต่ก็เน้นที่คำสอนเช่นกัน มาถึงวันนี้แล้ว 45 ปี ก็มีโชคที่มีพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐที่เอามาใช้ได้ดี มาวันนี้ได้หลักฐานอันนี้มาอีก 

อาตมาเรียนวิทยาศาสตร์มาน้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรู้วิทยาศาสตร์ไม่ได้ อาตมารู้ถึงนิวเคลียร์ฟิชชั่นและฟิวชั่นได้ เป็นปฏิกิริยาอย่างไร วิทยาศาสตร์เขารู้ว่า มันแตกกระจายไปไม่มีวันจบ ก็เลยตัดครึ่งเป็น half life 

ของพระพุทธเจ้านี้ควบคุมได้ ไม่ให้มีกัมมันตรังสีพิษไปเลย พระพุทธเจ้าไม่ให้กระแทกแรงจนเกิดรังสีพิษออกมา จะกระแทกก็เพียงให้พอเหมาะไม่ให้เกิดความเป็นพิษ อย่างเช่น สารที่เอามาทำยาคือสารสกัด หากมากเกินขีดก็ตายทั้งนั้น ถ้าได้พอเหมาะเป็นยาทั้งนั้น เป็นส่ิงสร้าง แต่ถ้ามากไปเป็นสิ่งทำลาย ตายได้ไม่ตายก็ทรุดเสื่อม แก้ไขไม่ได้ก็ตาย 

พระพุทธเจ้าสอนให้คนเรียนรู้จิตตน จนเรียนรู้ที่จะเคลื่อนพลังงานออกไปอย่างไร ในระดับที่ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา แล้วถึงเคลื่อนเป็นวิญญัติ เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ คือวิการรูป 5 ที่ท่านสอนไว้ในอุปาทายรูป 24 นี่คือพลังงานนิวเคลียร์ของชีวะของจิตนิยาม คือ พลังงาน Bomb of love นิวเคลียร์ของวัตถุ ก็เป็น A bomb of loss 

อาตมาถือโอกาส ฉวยโอกาสพูดอันนี้ให้ฟัง ฟังแล้วรู้สึกว่าหนาวหรืออุ่นหรือร้อน ต่อไปให้ใครจะถามก็ถามมาเลย

_ทิดคู่ฟ้าถามว่า...พ่อครูเวลาแปลคำว่า กรรม ใช้คำว่า กรรมคือAction หรือ Doing แต่เคยได้ยินพ่อครูแปลว่า Working 
ตอบ...ก็ใช้ได้ ทั้งสองแบบ

_ตายแน่... พ่อครูถามว่าร้อนหรือเย็น ผมก็มีวจีกรรมว่าเห็นดีเห็นด้วย เห็นตาม อย่างที่พ่อครูขยายออกไป

_ใช้พลังงานที่ตรงกันข้ามกับ A bomb of love ให้เป็น A bomb of Damage ก็ได้นะ 

_ลมระริน ที่พ่อครูว่า จะก่อภูเขาทุกลูก จะสร้างลำธารทุกสาย จะสยายสายรุ้งให้เต็ม  
ตอบ...แต่ก่อนอาตมาเอาคำมาร้อยเรียงให้สวยงามแต่เดี๋ยวนี้มีแต่คำขวานจัดตอก

_ผมใช้เวลาป.1-ป.6 เพื่อวันเดียว คือวันสอบเข้าม.1 แล้วใช้เวลาเรียนมา ม.1- ม.6 เพื่อวันเดียว คือวันสอบไล่เข้ามหาวิทยาลัยที่ชอบ แล้วใช้เวลาเรียนจบปริญญา ปี 1- ปี 4 เพื่อวันเดียวเท่านั้น ขอถามว่าเราใช้เวลาปฏิบัติธรรมเพื่อวันไหน เพื่อวันที่ตายอย่างมีสติหรือเปล่า?
ตอบ... คุณคิดว่า คนเราควรตายอย่างมีสติ สงบ หรือว่าตายอย่างดิ้นรนไม่มีสติเลย เร่าร้อน ตายเพื่อเช่นนั้นไหม? ทีนี้คนจะตายอย่างมีสติและสงบ พวกเราฟังแล้วก็รู้เลยว่าจะต้องปฏิบัติธรรม เพื่อหมดความห่วงหาอาวรณ์ ที่จะไม่ต้องกังวลต่อส่ิงต่างๆนานาที่พาเร่าร้อนไม่สงบ เพื่อวันสุดท้ายคือวันตาย ผู้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วอย่าว่าแต่วันสุดท้ายเลย แม้ขณะปัจจุบันขณะก็สบาย มีคนใหม่มาถามอาตมาว่า ท่านสบายดีไหม?...อาตมาก็เลยบอกว่า คุณหาคนที่สบายกว่าอาตมามาให้ดูหน่อยสักคนหนึ่ง มันจริงใจนะที่พูดไม่ได้พูดเก๋ๆเท่ๆนะ คือมันสบาย ไม่ห่วงหาอาวรณ์แต่ก็ระลึกถึงปรารถนาดี ทุกวันนี้ไม่ห่วงกังวล แต่มีความเชื่อมต่อที่ว่าเราอย่าเพิ่งตาย ก็ระลึกถึงสิ่งที่ควรทำแก่สังคม ก็ระลึกถึงสิ่งนี้ แล้วเวลานอนก็นอน มีปณิหิตตัง ในจิตคือตั้งไว้ในจิต แม้เราจะบอกว่าพักเถอะก็มีตัวตั้งอยู่ ควรพักก็พักเสียก่อน เราก็หยุด ตัดสิ่งอื่นไป พอพักในเวลาพอควรก็จะรู้สึกตัว สิ่งที่ตั้งไว้จะทำงานต่อโดยอัตโนมัติ เราไม่ได้ตัดทิ้งไม่ได้หยุด 

ถ้าเราว่าพักไม่พอ ก็จะหยุดสิ่งที่ขึ้นมา ก็พักต่อ แต่พอพักไปพอควรแล้ว ส่ิงที่ตั้งไว้ก็ขึ้นมาทำงาน อาการที่อาตมาพูดไปนี่เป็นจริง สบาย ไม่ได้ห่วงว่าเราจะต้องไปเอาอย่างนั้นไปได้อย่างนี้ไปมีอย่างโน้นไม่ต้อง ไอ้โน่นก็อยากได้อยากมีอยากเป็น ก็ไม่มีจิตไปดิ้นรน แม้แต่อยากกิน อยากได้ยิน อยากสัมผัสก็ไม่มี 

มีคนถามอาตมาว่า ท่านหิวข้าวแล้วทำอย่างไร?...คุณก็คงคิดว่าหิวก็กินสิ แต่คำตอบของอาตมาคือ ไม่เคยหิวข้าวเลย แม้แต่หิวน้ำก็ไม่เคยหิวน้ำเลย คนเขาเอามาให้ดื่มก็ดื่ม บางทีออกกำลังกายเหงื่อออกไม่มีน้ำมาก็ไม่ได้ดื่ม เอามาให้ดื่มก็ดื่ม แม้แต่อดข้าวก็ไม่ได้อยากกินข้าว แต่ว่ามันจะมีภาวะโหย หากนานวันเข้า 

แล้วง่วงหากธรรดาไม่ง่วง แต่ว่าถ้าเราใช้พลังงานไปไม่สมดุลมากไปก็จะง่วงหรือว่าใช้พลังงานควรพักได้ก็ง่วง หรือว่าบางทีก็ฝืนไม่ให้ง่วง ไม่ได้ติดรสอร่อยของการง่วง การฝึกก็คือไม่ให้ติดรสอร่อยของความง่วง อาตมามีเพื่อนที่บอกว่า ความง่วงนี้อร่อย หลับไปอร่อย แล้วก็ปวดฉี่ ก็ไม่อยากตื่นก็เลยประคองความง่วงไว้ ค่อยคลำทางไปไม่ลืมตากว้างกลัวหายง่วง ไปห้องน้ำ อีกพวกคือพวกติดไปเต้นไปดีดก็ไม่อยากหลับนอน แต่พวกติดนอนก็นอนได้เป็นวันเป็นคืน คนที่จะเรียนรู้เรื่องนอนก็หัดอ่านอัสสาทะของรสติดนอนนี่แหละ ใครติดนอนก็ฝึกอันนี้ ฝืนอย่างเดียวไม่ได้ผล ต้องรู้อาการนี้ 

_ส.ลานบุญ ได้ฟัง สูตรของไอสไตน์ อยากเล่าเรื่องที่เคยได้ไปเดินตามพ่อครูออกกำลังกายบนพระวิหาร แล้วแต่ละรอบท่านปัจฉาฯก็หยอดนับรอบ แล้วประทับใจที่พ่อครูพยายามเพิ่มรอบของการเดิน วันนี้มาฟังพ่อครูใช้คำว่า Khama and time ก็เข้าใจเพิ่ม แล้วเอา E = mc2 ก็ชัดขึ้นอีก อยากให้พ่อครูขยายที่ว่า + A 
c คือพลังงานทางจิต m คือวัตถุธรรม เป็นหน่วย เช่น คนหนึ่งคน มีกายกรรม วจีกรรม แล้วมีจิตคือมโน สัมพันธ์กันสองหน่วย ถ้าคนไหนหนักไปทางหน่วยของร่างกายตัวตน พลังงานไม่ค่อยสูง คนนั้นอืดขี้เกียจ หนักแผ่นดินมีแต่เบียดเบียนแย่งชิงคนอื่น ผู้ใดมีพลังงานแล้วใช้พลังงานจิตให้มากกว่ามวลที่ตนอาศัย ถ้ามวลมากขึ้น แล้วมีพลังงานสอดคล้องจะมีพลังงานมาก แล้ว mc เป็นพลังงานวัตถุ แต่ว่าพลังงานทางศาสนาคือจิตคือมวล มวลก็คือคนแต่ละคน มารวมกันก็มากๆ แล้ว C คือนามธรรม ยิ่งยกกำลังสองย่ิงได้มาก ยกกำลังสองยังน้อยไป ยิ่งเป็นอาริยธรรมที่ในสังคมมีค่าสูงย่ิงสูง แม้จะให้ค่าปกติก็ยกกำลังมากกว่าสองอีก กุศลจิตนี่ 

อโศกเรามีมวลเท่านี้ แล้วจิตเรามีกุศลมากกว่าอกุศล คุณอาจขี้เกียจบ้างแต่ก็มาคือจิตกุศล มานี่ไม่ได้พาเสียเลย กินมากก็ท้องแตก ขี้ไหล ต้องกินยาระบายเท่านั้น อาหารก็เป็นอาหารดี ก็มาสังสรรมีกิจกรรมมีประโยชน์กว่าของโลกเขา 

พลังงานทั้งหลายเป็นตัวบทบาทถ้ามีแต่อันเดียวเป็นหินนิ่งๆไม่เกิดพลังงานไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ถ้าเอาไปถมถนนก็ได้ประโยชน์หรือว่าถ้ามันเคลื่อนที่ หินเคลื่อน อากาศก็เคลื่อน มีการแตกตัวของอาการแก๊สที่นับไม่ถ้วนที่เราไม่รู้ก็มี คือสิ่งละเอียดมาก ที่รวมลงที่ Space and time 

space คือทุกส่ิงทุกอย่างในมหาจักรวาลเรียกว่า เทหวัตถุแท่งทึบ มีทุกอย่างในกรอบแห่งเอกภพนี้ ใน space ที่บรรจุในนี้ คือส่วน เช่นในอะตอมก็มีโปรตอน นิวตรอน และอื่นๆอีก หรือในprotoplasm ก็มี cytoplasm หรือในไข่ก็มีนิวเคลียสแตกตัวเป็นโครโมโซม เป็นต้น เป็นลักษณะที่ถ้าเข้าใจโครงสร้างทุกอย่างจะเข้าใจทะลุเลย เข้าใจง่าย โครงสร้างที่รวมและแยกอย่างไรอาตมาเข้าใจทั้งนั้น  

_ส.ลานบุญว่า พ่อครูพยายามใช้อิทธิบาทให้อายุยืนยาวไป อย่างน้อย 151 ปี เห็นว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะคนที่ทำเพื่อคนอื่นอายุจะยืนยาวแต่ว่าคนทำเพื่อตนเองจะอายุสั้น
ตอบ...จริง อันนี้เป็นสัจจะ คนทำเพื่อตนเองเห็นแก่ตัวจัดจะตายไว

_ทิดคู่ฟ้า... พ่อครูประกาศอรหันต์ เมื่อกี้นี้พ่อครูว่า ไม่หิวข้าว ผมก็ไม่เข้าใจ แต่ผมอยากให้พวกเราคิดว่า ใครคือพระอรหันต์ เห็นส่ิงเปรี้ยวๆ เช่นมะม่วง ใครคิดว่าอรหันต์จะน้ำลายไหล ยกมือ ใครคิดว่าน้ำลายไม่ไหล ยกมือ? อีกคำาถาม นึกถึงตึกสูงๆ สองตึก มีไม้กระดานพาด ให้พระอรหันต์เดิน จะรู้สึกเสียวไหม?
ตอบ... อันนี้จริง เป็นอย่างที่คู่ฟ้าตั้งคำถาม มันเป็นความซับซ้อนลึกซึ้งหลายชั้น ถ้าปณิหิตตังจิตตัง การตั้งจิตให้อันนี้ทำงานเป็นต้นทาง เหมือนเรามีเครื่องยนต์ที่อุ่นตลอด ไม่เย็นเลยนะ เครื่องของผู้ติดเครื่องของจิตวิญญาณ จิตท่านเจตนาจะติดเครื่อง อย่างพระพุทธเจ้าท่านจะสร้างศาสนา ท่านว่าผู้จะเห็นสรีระของพระตถาคตผ่องใสที่สุด ก็มีสองกาละเท่านั้น คือเร่ิมตรัสรู้หนึ่ง เริ่มตรัสรู้ท่านไม่ได้ตั้งจิตอะไร ไม่มีปณิหิตตังจิตตัง แม้มารมาอาราธนาให้ท่านตาย ท่านก็ว่าต้องสร้างศาสนาก่อน ก็คือท่านตั้งแล้ว ก็เร่ิมผิวหมองแล้ว ก็จะหมองเพิ่มขึ้นเมื่อท่านทำงานก็มีตะกอนเกิด เชื่อมต่อไป ความผ่องใสที่ว่าก็จะไม่มีอยู่ ครั้งที่สองคือท่านปลงอายุสังขาร คือหยุดงานทุกอย่างปล่อยแล้ว 

ฉันเดียวกันกับอาตมา ตอนนี้แสดงอาการเหมือนคนใช้อารมณ์ คนดูด้วยอาการเขาไม่เชื่อหรอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ แต่พวกคุณเชื่อเพราะมีหลักฐานหลายอย่าง อาตมาไม่ได้ตกใจแปลกใจเลย อาตมาทำงานทุกวันนี้ไม่ประเล้าประโลมไม่หาบริวาร อาตมาไม่ทำ อาตมาปรุงแต่งก็เหมือนคนมีอาการโลภ โกรธ อาตมามีการตั้งจิตอนุโลมกับพวกเรา ก็จะมีเหมือนค้างบ้าง ไม่ได้ปล่อยทิ้งไปหมด อรหันต์คือมีน้ำลายไหลได้ เสียวได้ตอนเดินที่สูง 

_ผมรู้สึกว่าเมื่อ 34 ปีที่แล้ว ผมเจอพ่อท่านที่งานวิสาขบูชา ก็ประทับใจรู้สึกว่าพ่อท่านคือผู้ที่ให้เราทำงานด้วย ก็อยู่ในวงอิเล็กตรอนก็มีความมั่นคงศรัทธารู้ว่าพ่อท่านคือใคร เป็นคนสำคัญอย่างไรตอนแรกที่ฟังพ่อท่านแสดงธรรมที่เกาะลอย สวนลุมฯ
ตอบ...ก็มีหลายคนมีsense อย่างคุณ แต่หลายคนก็รู้สึกชังได้ อาตมาก็สงสารเขา ย่ิงเขามาทำร้ายเรา ก็ยิ่งสงสารเขา คุณมาทำร้ายเราก็ไม่ดีอยู่แล้ว คุณไม่รู้ว่าเรามีสิ่งที่ดีให้คุณนะ แต่คุณไม่รู้เสียเลย ก็น่าเห็นใจสงสารเขา 

_ถึงวันนี้แล้วผมอยู่ทางโลกทำมาหากินมีเงิน เที่ยวเล่นอย่างโลกที่เขาว่าสุขแต่ผมก็จืดๆ ผมรู้สึกว่าวันหนึ่งต้องเข้ามาอยู่กับพ่อท่าน คนมีจิตเช่นนี้ควรทำอย่างไรต่อไป
ตอบ...ที่พูดนี้ให้จริงเถอะ ก็เป็นคนดีแล้วมันอุเบกขา อทุกขมสุข สามัญ มันเป็นลักษณะรู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่างคู่ฟ้าถามว่าน้ำลายจะไหลไหม ก็เป็นปฏิกิริยากับรสเปรี้ยว มันไม่เหมือนเผ็ด เผ็ดมันก็หายง่าย ขมก็หายง่าย แต่หวานนี่นานระริกระรี้นานกว่าจะหายขาด ส่วนเปรี้ยวนี่มันไม่รู้อย่างไรมันเป็นอาการที่แหย่ลึกๆ มันจึงยากกว่า แต่หวานนี่อาตมาก็ไม่มีปัญหา อย่างเผ็ดขมเฝื่อนมันก็ง่ายไม่ต้องดูดมา อาการเฉยนี่มีเฉยอุเบกขา แบบพักยกได้ มีแบบที่อิ่มแล้วก็เฉย ไม่ดูดดึงเพียงพักไว้ นานไปก็อยากอีก ถ้าผู้ที่มีเคหสิตอุเบกขาเช่นนี้ไม่ได้มีปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง ต่างกับคนที่เนกขัมสิตอุเบกขาที่มีปัญญาได้อย่างถาวร 

พวกนั่งเจโตทำลืมกดข่มได้นานก็สร้างความแข็งตัวตกผลึกแน่นได้ ฝึกได้มากก็หลงตัวว่าตนได้ ได้นาน ต่อสู้ได้แข็งแรงด้วยแต่ก็เวียนกลับได้ คุณเอาแต่นั่งหลับตากดข่มทำลืมก็ได้แต่ไม่นานเวียนกลับ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายที่มีทั้งนอกและใน กายจึงคือจิตบ้าง มโน บ้าง วิญญาณบ้าง ในพระไตรฯล.16 ข.230 ท่านตรัสไว้ 

กายนี่คือจิต แต่ขาดข้างนอกไม่ได้ ถ้ามีแค่ภายในมีแต่ความจำ ไม่ใช่ความจริง แล้วไม่มีหลักฐานด้วย คือของที่อุปาทานไว้ ดึงออกมาก็นึกว่าเป็นความจำก็มีทั้งที่คิดเป็นมโนมยอัตตาใหม่ก็มี ความรู้สึกเฉยๆก็ต้องมาศึกษาให้ดี แล้วก็เข้าใจก็ควรเข้ามาได้แล้ว 

_ 3 อาชีพกู้ชาติคือ A bomb of love ใช่ไหม
ตอบ...ใช่ คืออาชีพที่ปลอดภัยที่ดีที่พาทำ เช่นขยะ เขาไม่รู้ว่าตนได้ทำขยะให้แก่โลก เช่นคนรวยสร้างบ้าน 10 หลังก็คือขยะแล้ว บางคนมีทรัพย์สมบัติมากมายก็มีไว้กับตน คนก็ขาดมือ นั่นแหละคุณคือขยะสังคม สมัยก่อนเขาฝังดินไว้แต่สมัยนี้เอาไปออกดอกผลเอาเปรียบคนอื่นอีก ขี้โลภคือขยะจิตวิญญาณ โลภ โกรธ หลงนี่คือขยะจิตวิญญาณ 

เราพิสูจน์มา เก็บขยะมาทำให้เป็นประโยชน์ มี Reuse Repair Recycle Reject การเก็บขยะก็ทำให้โลกเกิดที่ว่างที่เป็นประโยชน์ขึ้นมาแล้ว คนเขาไม่รู้ว่าเขาทำขยะให้สังคม ไม่ว่าจะสั่งสมอะไรมาก แม้ธนบัตรหากเก็บไว้เฉยๆก็ไร้ค่าแต่ถ้าเคลื่อนไปช่วยคนอื่นก็มีค่า  แต่ถ้าเก็บไว้ไม่ทำอะไร แม้แบงค์ละพันก็ไร้ค่าแต่ถ้าเอาไปห่อเกลือก็เกิดค่าแล้ว แต่ถ้าเอาไปใช้ตามค่าที่กำหนด ใช้หนี้ก็ได้ประโยชน์ที่สูงตามค่าที่ตั้งไว้ 

_อเมริกาตอนนี้พิมพ์กระดาษออกมาเป็นเงินอย่างไม่มีทองคำคำ้ประกันไว้ 
ตอบ..อเมริกันก็เป็นชาติที่เบ่งใหญ่ ใครไม่กล้าไปตรวจว่าอเมริกามีระเบิดนิวเคลียร์หรือไม่แต่อเมริกาไปตรวจสอบประเทศอื่นมากมายเลย สักวันหนึ่งคนจะกล้า เพราะอเมริกาล้มละลายแล้ว เราเองจะไม่ได้อยู่ในวงจรของความเสื่อมของเขา แม้วิกฤติต้มยำกุ้งเราก็ไม่เดือดร้อนไปกับเขา 

_เห็นสมณะมาร่วมงาน 9 รูป มีสิกขมาตุ  9 รูป จะมีพลังงานที่ช่วยได้มาก
ตอบ...ใช่ วันนี้แม้คนไม่มากแต่นั่งดูก็จะเกิดความรู้สึกที่ดีเพ่ิมขึ้นนะ ความเร็วและความคล่องตัวที่สุดภาษาของพระพุทธเจ้าเรียกว่ามุทุตา

_หลวงปู่ผิวผ่องใสครั้งแรกเมื่อใดครับ
ตอบ...อาตมาไม่ได้ดูไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้หมด ที่ท่านบอกเพราะพระอานนท์สังเกตเห็น

_หลวงปู่คิดว่าบ่อนกาสิโนจะมีในเมืองไทยไหม
ตอบ...นายกฯพูดแล้วว่า คานิโนจะไม่มีในยุคที่ผมเป็นนายกฯ ถ้าเกิดแล้วจะล้มละลายฆ่าแกงกัน 

_การมีสติอยู่กับผัสสะในปัจจุบันขณะทำให้เราเห็นไตรลักษณ์ในอารมณ์ แต่พอขาดสติก็จะตัดมันดื้อๆ ควรมีสติอย่างไรกับการภาวนา
ตอบ..เรียนแล้วฝึกปฏิบัติ ไปหาเอาจากห้างไหนๆก็ไม่ได้ แบ่งคนอื่น แย่งคนอื่นไม่ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรก็ ค่อยๆปฏิบัติ

_มาตอบคำถามข้อที่สองของคำถามแรก ว่าต้องเตรียมจิตอย่างไรจะตายสงบ ไปเกิดในถิ่นพุทธศาสนามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติขอบสั่งสอนเราอีก
ตอบ...จะเกิดกับพุทธศาสนาอีกมีหนึ่งคือคุณมีจิตผูกพันมาศรัทธามากแม้ไม่ได้มีสภาวะจริง หรือสองคุณต้องสั่งสมสภาวะที่เพียงพอจะเป็นน้ำที่ไหลไปหาน้ำ น้ำมันไปหาน้ำมัน หรือว่า แม้ไม่อยากมาพบเลย แต่ว่าถ้าคุณมีพลังงานที่จริงอย่างพอเพียงก็จะมาเอง แบบหนึ่งถ้ามีแรงเหนี่ยวนำสูงแม้ไม่มีเนื้อสัจธรรมก็จะมา หรือสอง คุณทำให้มีเนื้อประมาณหนึ่งแล้วคุณจะมาได้ พร้อมกับจิตต้องคิดว่าจะมาได้ ไม่ต้องอยากเหมือนแบบแรกด้วย และสามไม่อยากมาด้วยซ้ำไม่ได้คิดอ่านจะมาเลยแต่ก็เป็นเนื้อแท้ไปไหนไม่รอด ก็ต้องมาดีๆ 

อย่างอาตมาไม่ได้อยากเป็นครูเลย จริงๆ แต่ทุกวันนี้รู้แล้วจำนนแล้ว เต็มใจรู้ดีไม่ได้อยากเลย แต่เป็นลักษณะที่ต้องมาก็พากเพียรให้เกิดจิตมุ่งมั่น เผื่อไว้ว่าคุณยังไม่มีเนื้อ ก็ถามตนเองว่ามาแบบไหน 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:29:13 )

580628

รายละเอียด

580628_วิถีอาริยธรรม สันติฯ เอื้อไออุ่นงาน 35 ปีศิษย์เก่าพุทธธรรมสันติอโศก

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้ได้โอกาสในงานบุญ เป็นงาน 35 ปีแห่งโรงเรียนพุทธธรรม สันติอโศก มีญาติธรรมที่มาร่วมกิจกรรม ต่อเนื่องจากสวนบุญผักพืช พ่อครูดำเนินกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง จากขอนแก่น ไปอุดรธานี แล้วไปสู่จ.เลย จากนั้นมาแสดงธรรม ที่สวนบุญผักพืช แล้วมาแสดงธรรมที่สันติอโศก กทม. 

วันนี้พ่อครูจะสำเสนอประเด็นสมถะและวิปัสสนา เป็นประเด็นเก่าแต่จะนำเสนอแบบใหม่ อาตมาเรียกว่าวิปัสสนาโน อาตมามีถ้อยคำของท่านเจ้าคุณประยุต ปยุตโต ว่าคนปัจจุบันมักจะใช้กล้ามนิ้วมากกว่ากล้ามเนื้อ พ่อครูก็มีถ้อยคำต่อไปอีกว่า จนกล้ามเน่า ก็เป็นประโยคที่รวมกันระหว่างของท่านเจ้าคุณปยุตฯ กับพ่อครูว่า คนปัจจุบันมักจะใช้กล้ามนิ้วมากกว่ากล้ามเนื้อ จนในที่สุดกล้ามก็เน่า 

พ่อครูเคยให้ประโยคทองหนึ่งคือ Every things happen for the best. ก็เลยอยากฝากบอกท่านทั้งหลายว่า วิปัสสนาคือการใช้ปัญญา เข้าถึงความจริงในจิต อ่านกิเลสรู้จัดการกิเลสได้ จะเป็นการวิปัสสนาอย่างหนึ่งได้ใช่หรือไม่?

พ่อครูว่า..คำนี้หยิบขึ้นมาพูดตอนนี้ดีเหมือนกันเป็นคำเก่า ที่ทางศาสนาพุทธทั่วไปใช้กันหมด สองคำนี้คือ สมถะ กับ วิปัสสนา ก็มีนิยามกันพอสมควร เขาหยั่งไม่ถึงความจริง และไม่ครบรอบถ้วน อาตมาจะไขความดู 

คำว่าสมถะ กับวิปัสสนา 
สมถะคือพลังงานจิตชนิดหยุด ส่วนวิปัสสนาคือพลังงานเคลื่อนที่ หรือสมถะคือเจโต ส่วนวิปัสสนาคือปัญญา หรือวิชชา เป็นพลังงานสองขั้วสองแบบที่คนจะต้องมีสองอย่างสองแบบนี้ไม่ขาดกัน เพราะธรรมะที่เป็นความมีชีวิตคือมีธาตุรู้ แต่ถ้าความไม่มีชีวิตก็มีอย่างเดียว ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรอยู่หนึ่งเดียว ถ้ามีหนึ่งเดียวก็ไม่มีความมี มันก็เป็น 0 จะเรียกว่า 0 กับ 1 หรือ 1 กับ 2 ก็ตาม จะเรียกเพศชายกับหญิงหรือบวกกับลบ ชอบกับชัง ผลักกับดูดก็เป็นธรรมะสอง เทวธัมมา 

ถ้าเป็นจิตนิยาม ศึกษาได้ แต่พีชนิยาม มีสองอย่างในตัวแต่เขาไม่มีฉฬายตะเรียนรู้ได้ต้องเป็นจิตนิยามถึงมีทวาร 6 รับได้ทั้งนอกและใน โดยเฉพาะมาเป็นคน 

สรุปแล้วเป็นคน นั้นสำคัญที่ธาตุรู้ เป็นเอกเป็นหนึ่งเลย ทีนี้รู้ไปก็รู้มาก รู้มากก็ยากนาน เลวร้าย รู้มากเป็นพิษภัยต่อโลกต่อสังคมมนุษยชาติทั้งนั้นเลยทุกวันนี้ โลกมันไม่เดือดร้อนทุกอย่างเพราะคนรู้มาก คนไม่รู้จริงๆนี่ไม่ค่อยทำลายอะไร มันทำอะไรไม่เป็น แต่คนรู้มากทำลายอะไรบรรลัยหมด 

คำว่า สมถะ แปลว่านิ่งหยุด ส่วนวิปัสสนาแปลว่าเคลื่อน จนมีบทบาทธาตุรู้มากขึ้นเรียกว่าปัญญา แต่ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าคำว่าปัญญาแปลว่ารู้ความจริงตามความเป็นจริง ฉลาดซื่อสัตย์มีประโยชน์ตน_ท่าน แต่ว่าฉลาดอีกแบบหนึ่งที่บาลีท่านเรียกว่าเฉกา ไม่ใช่ปัญญา เป็นฉลาดไม่มีปัญญา เป็นทุจริต ชั่ว เก่งได้เหมือนกันอาตมาเรียกว่าเก่งฉิบหาย แต่ปัญญาแท้จริงนี้เก่งมีประโยชน์คุณค่าพัฒนา พวกเก่งชั่ว นั้นยังหลอกคนอื่นว่าตนเองดีอีกต่างหาก แต่ที่จริงใช้ค่ายกลทำให้เกิดทำร้ายตนเองและผู้อื่น

คนมีกิเลสเห็นแก่ตัวก็ใช้ความฉลาดเฉโก แต่ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในคำว่าวิปัสสนาเลย คำว่าปัสสะแปลว่าเห็น หรือรู้ มันเป็นการรู้จากการสัมผัส กระทบ ตากระทบรูป เห็น หูกระทบเสียงได้ยิน รู้ทั้งนั้น รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสเสียดสี รู้ทางใจสัมผัส เกิดการสัมผัสเรียกว่ามีปฏิกิริยา เริ่มมีปฏิกิริยาแล้วสัมผัสกัน กระทบกันไปกันมารอบเดียวก็เกิดreaction เป็นปฏิฆสัมผัสโส เป็นการเคลื่อนที่กระทบกันแล้วเกิด Action – Reaction ทวนไปทวนมา อันนี้แหละเกิดเรื่อง จากปฏิกิริยาก็มีเรื่องมีเหตุ มีนิทานมีสมุทัย ปัจจัยต่อไปยาวไปในโลก 

พวกไม่รู้ก็เลยดับหมด ตาก็ไม่ให้รู้ หูไม่ได้ยิน แม้จิตก็ดับให้หยุดหมดเลยไม่คิดนึก ไม่รับรู้อะไรเลย นิ่งบื้อดำหมด ให้จิตสงบ เขาก็เรียกว่านิโรธ นี่นิโรธของพวกสมถะ 

นิโรธกับสมถะต่างกัน สมถะแปลว่าสงบ ส่วนนิโรธคือดับฆ่าให้ตายไปเลย แต่ความไม่ละเอียดของคนก็ไปทำความสงบโดยดับ นิโรธ แต่สมถะคือสงบหยุด ส่วนนิโรธคือดับ ดับอะไร ก็ไปดับจิตทั้งจิต ธาตุรู้ทั้งหมด ในพวกนั่งหลับตาสมาธิ มันก็ไม่รู้อะไร สงบหยุดอย่างไม่มีวิปัสสี ไม่รู้เห็นอะไรเลย ก็คนละเรื่องกับวิปัสสนา

ผลสำเร็จของ วิปัสสนาคือนิโรธลืมตา แต่ของพวกดับคือไปดับทั้งหมด แบบหลับตา เขาดับได้แต่เวทนาและสัญญาของตนเท่านั้นเอง  ไม่ให้ธาตุจิตทำหน้าที่ แต่มันก็สังขารไปตามพลังงานที่มี พลังงานของชีวะแม้จะดับมันอย่างไร หากไม่ฆ่ามันให้ตายให้มันหายไปจากจิตเลย ถ้าแค่ดับไปสะกดไว้ พลังงานนั้นมันก็จะเป็นพลังงานถูกกดไว้ แต่ไม่ใช่มันไม่ทำงาน มันแตกตัวของมันอยู่ แม้จะเป็นนิวตรอนก็ทำงานของมัน แล้วเป็นนิวเคลียสมันก็ทำงาน ยิ่งเป็นอะตอมมีอิเล็กตรอนก็ทำงานอยู่เป็นพลังงาน 3 หรือพลังงาน 4 คือนิวตรอนมีทั้งfusion และ fission มีทั้งแบบแตกกระจายและแบบจับตัวกัน  

ของพุทธนั้นดับได้ มีอายตนะเชื่อมต่อได้แม้อยู่แต่ใน คำว่าธรรมะคือธาตุที่ทรงไว้ซึ่งนามธรรม ผู้ที่สามารถทำให้จิตเกิดดับหรือนิโรธ โดยรู้ๆ ไม่ใช่กดข่ม แต่ดับโดยล้างตัวเหตุ ที่เป็นอกุศลเจตสิก คืออาการจิตอกุศล คุณสัมผัสรู้มันเลย แล้วปหาน 5 ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน  สมุจเฉทปหาน นิสรณปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน

คำว่าสมุจเฉทปหานคนมักเข้าใจไม่ได้ ไปแปลว่าขาด อย่างในพระไตรฯล.16 

ถ้าวิญญาณไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา ถ้ามีมีวิญญาณ นาม/รูปจะขาดในท้องแห่งมารดาไหม?....ก็ตอบว่ามีไม่ได้เลยพระเจ้าข้า นาม/รูปก็หยั่งลงไม่ได้ เพราะวิญญาณไม่หยั่งลง คนไทยฟังแล้วก็จะใช้คำว่านามรูปจะมีได้ไหมก็เข้าใจง่าย แต่ว่าใช้คำว่าขาดนี้ คนก็จะงง มันน่าจะแปลให้ง่ายว่า จึงไม่มีนามรูปใดมา เมื่อวิญญาณไม่หยั่งลง นาม/รูปก็ไม่หยั่งลง ก็ไม่มีอะไรจะขาด เพราะไม่มีแต่ต้นแล้วจะเอาอะไรมาขาด ไปฉีกความว่างจะขาดได้อย่างไรมันต้องมีอะไรอยู่ ถึงฉีกได้


การมีปัสสติ หรือวิปัสสะ คำว่าวิคือยิ่ง คนที่อวิชชาก็ไม่รู้อย่างย่ิง เป็นนรกได้เลย แต่คนมีวิชชาก็รู้อย่างย่ิง เป็นอย่างยิ่งอย่างดี 

คำว่าวิปัสสนานั้นมีสมถะไหม ก็มีความสงบ กิเลสตัวใดตายไปก็คือสงบจากกิเลสตัวนั้น กิเลสตายอย่างไม่กลับมาเลย ถาวร อย่างรู้ๆเห็นๆไม่ได้กดข่มไว้ เป็นการเปิดทั้งในและนอก นอกขาดแล้วก็ไปล้างต่อภายใน ในรูปภพ อรูปภพอีก นั่นคือสมถะของพระพุทธเจ้า แต่พวกนั่งสมาธิกดข่มไม่รู้จักสมุทัย เขาได้แต่กับจิตไปทั้งยวง เหมือนเขาเองเขานึกว่าเขาจับโจรในบ้านหลังใหญ่ เขาก็เลยเผาบ้านหลังใหญ่ เขานึกว่าเขาทำลายโจรเสร็จแล้วแต่ว่าโจรไปอาละวาดที่อื่น ไม่รู้ว่าโจรไปไหนๆ แต่ว่าเผ่าบ้านโจร ที่จริงคือกดข่มไว้ แต่นามธรรมจิตวิญญาณมันทะลุไปไหนๆได้ จับมันไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้จับตัวได้เลย รู้เลยว่านี่แขน หรือขา อันไหนก็รู้ ถูกตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม มีมนสิการละเอียด ลงไปถึงจุดเกิดคือสมุทัยแล้วฆ่า 

ตทังคปหานคือทำกิเลสให้สูญได้แต่ละขณะๆ องค์แห่งแต่ละๆๆ ทำนี่แหละจับตัวแม่นๆ อย่าเอามาก จัดทีละปริตตัง ไม่เอามามากแต่ไม่ได้อะไร แต่เอาแน่นๆเนื้อๆให้มันตายทีละอันเลย ผู้ใดสามารถกำจัดได้อย่างถูกจริง กำจัดได้อย่างปัญญารู้ๆเห็นๆ มันอ่อนแรงจางคลาย จนดับ มันดับได้ทีหนึ่งไม่ดิ้นแล้วคือสมุจเฉทปหาน มันไม่ดิ้นแล้วทำได้ครบ คุณทำมาอย่างไร วิธีปฏิบัติให้ดับอย่างเห็น นิโรธต้องทำให้แจ้งไม่ใช่ทำให้ไม่รู้เรื่องดับไปแล้วว่าตนได้นิโรธอันนี้ไม่ใช่ของพุทธ อาตมาพูดมา 45 ปีแล้วก็ไม่เห็นมีสักรายที่ว่าตนทำผิดมา 

ความต่างของสมถะสายวิปัสสนากับสมถะของสายเจโตสายดับ อาตมาเรียกว่า รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

รู้จักคือเผชิญหน้ากันมา เคยสัมผัส เคยเห็นเคยรู้ 
รู้แจ้งคือรู้ให้ครบเพ่ิมขึ้นๆ จนในที่สุดรู้จริง แต่ของสมถะฤาษีจะไม่รู้จักเลย แม้แต่สมถะแท้ๆก็ไม่ถูกต้อง ไปหลงสมถะแบบสะกดจิตไม่รับรู้ในภวังค์คือสมถะ ส่วนลืมตา ก็สงบได้แต่มันรู้พร้อม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รู้ครบพร้อม รู้ความหมุนความวนของมัน รู้วิสัย รู้นิสัยของมันหมด มันเอานิสัยเอาวิสัยมาทำกับเราก็ไม่ได้ ให้เราเป็นทาสมันไม่ได้ เราคือโลกุตระมีพลังงานเหนือพลังงานที่มันหมุนจัดมา มันจะควงดาบปืนมาก็สู้เราไม่ได้ พระพุทธเจ้าว่าลูบคลำพระอาทิตย์ได้ด้วยฝ่ามือ มือเราอยู่เหนืออำนาจโลกีย์ฤทธ์แรงอย่างไรก็ไม่ระคายเราเลย นี่คืออุตตระหรืออนุตตระ เป็นอำนาจอยู่เหนือด้วยปัญญา มีสติเป็นอธิปไตย มีความรู้รอบพร้อม ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตื่นรู้พร้อมไม่ใช่นิโรธแบบสติไม่รู้เลย แต่สติมันโตมี รู้นอกในพร้อมตื่นทุกอาการ 32 ทุกเซลล์ ทุกอวัยวะ สัมผัสตรงไหนถึงกันหมด เป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพของพระพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีลึกซึ้ง ต่อเนื่องเป็นอิทัปปจยตา อาการ 32 มีธาตุรู้คืออาการ 33 แต่ผู้ปฏิบัติไม่รู้หรอกว่าไต ตับเราทำงานอย่างไร แต่ผู้รู้จะมีพลังงานพิเศษรักษาโรคภัยหรือความไม่สมดุลในอวัยวะภายในได้ เช่นเป็นเนื้องอกที่ตับ ก็ใช้พลังงานจัดการออกไปได้ 

พวกเจโตก็รักษาอาการพวกนี้พอได้ ส่วนวิปัสสนา สามารถรวมพลังเจโตนี้ไปใช้ได้จะยิ่งชัดกว่าสายเจโตอีก ปัญญาจะใช้พลังงานได้ตรงกว่า ส่วนเจโตไม่ค่อยตรงเป่าถ้าละเอียดก็ยากจะยิงให้ตรง แต่จะเปลี่ยนสถานะพลังงานได้ นั้นถ้ามันน่ิงจับตัวแน่นแข็งจะเปลี่ยนยาก แต่ของพระพุทธเจ้าให้กระจายมันออก เหมือนศัพท์ฟิสิกส์เรียกว่า ฟิวชั่น คือละลายแล้วหลอมเอาสิ่งที่ดีมารวมกันใช้งานได้แต่พวกอวิชชาก็เอามาใช้ไม่ได้ มันจึงได้ส่ิงนี้เกิดโดยตนเองจัดสรร ไม่ใช่ว่าให้ธรรมชาติจัดสรร โดยศัพท์ง่ายๆคืออุทธัจจะกุกกุจจะ กับถีนังมิทธัง 

ถ้าเรียนรู้เจโตปริยญาณ 16 ก็ใช้ศัพท์ว่า สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง คือรวมเป็นธาตุหนักที่ขจัดธาตุที่เลวออกไปแล้วได้ รวมตัวกันเข้าเรียกว่าสมถะ มันกระจายออกไปเรียกว่า ถ้าตาคุณเห็นก็เรียกว่าปัสสนา ถ้าตาไม่เห็นก็กระจายหายไป อย่างฟิชชั่นนี่กระจายไปเรื่อยๆมันก็เล็กลงๆ ทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า half life แม้จะแตกกระจายออกไปเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่มันก็หายไปทีละครึ่ง สุดท้ายมันก็สูญ แต่เขาไม่รู้ว่าสูญตรงไหน มันเล็กละเอียดลงไปเรื่อย ฃ

แบบสมถะที่เขาทำกันทั่วไปมีตลอดโลกอยู่นี้ มีแต่พุทธเท่านั้นที่มีสมถะที่เป็นนัยของวิปัสสนา หมดศาสนาพุทธ ก็จะมีสมถะนัยเดียวเท่านั้น

คำว่าวิปัสสนานั้น ต้องอย่างลืมตา ไม่ใช่แบบหลับตาดับไม่มีสัมผัสเลย วิปัสสนาต้องรู้นามธรรม รู้รูปธรรม ต้องรู้ว่ามันมาปรุงแต่งอย่างไร แล้วกำจัดมันได้คือวิปัสสนา แล้วพอกิเลสตายก็คือสมถะ ตายเห็นๆเลย นิโรธแบบสัจฉิกรณะ สัจฉิกตาเลย มันตายต่อต่อหน้าต่อตาแจ้งๆ กระทบอย่างแรงเลยแต่กิเลสไม่เคลื่อนไหวเลย อาการกิเลสไม่มีเลย มันเหลือน้อยหรือมากก็รู้ 

คำว่าอาการต้องรู้ตั้งแต่อาการข้างนอก มือไกว ขาเดินอย่างไรก็ต้องรู้นี่คือกายภายนอก แล้วต้องรู้ไปถึงจิตภายในรวมเรียกว่า กาย  ด้วย พระพุทธเจ้าว่าถ้าทำได้ตั้งแต่ตอนเป็น ตายไปก็ไม่มีกาย แล้วถ้าทำได้ให้มีจิตว่างจากกิเลสเราก็มีญาณรู้ว่าจิตเราว่างจากกิเลสแล้ว เช่นเราไปติดมะม่วง แล้วเขาก็บอกราคา แพงเท่าไหร่เราก็จะซื้อ อย่างไม้ร่มนี่มีคนจะซื้อภาพของเขา ให้คิดราคาเท่าไหร่ก็จะสู้ ไม้ร่มก็เลยบอกว่าเท่าไหร่ก็ได้นะ ฝรั่งก็ว่าเอา ไม้ร่มก็เลยตีราคารูปละ 1 บาท แต่เขาก็ไม่กล้าซื้อ 1 บาท เขาก็ให้เท่าที่ควรให้

วิปัสสนาคือข้างนอกรู้ด้วยแล้วข้างในก็ดับด้วย มีสมถะในตัว นี่จบ แต่ถ้าข้างนอกสัมผัสครบ แล้วคุณก็ยังดับไม่ได้ ข้างนอกครบนี่คือความจริง แต่ถ้าไม่มีข้างนอกนี่ไม่ใช่ความจำ บางทีเป็นความเจ้อด้วย เพราะไม่ได้มาจากสัญญาจริง แต่เพ้อเจ้อฟุ้งไปเอง ความจริงต้องมีครบ พอนิโรธข้างนอกได้ ข้างในยังมีเศษรูปราคะ อรูปราคะ เป็นอนาคามี มีนิโรธแล้ว คนก็มีภาษาว่าต้องภูมิอนาคามีจึงเข้านิโรธได้ก็เลยไปนั่งหลับตาเข้านิโรธ แต่ว่าที่จริงคือลืมตานี่แหละแต่สังโยชน์ 5 ไม่มี มีแต่กิเลสภายใน มีองค์ประชุมทั้งนอกและในมหาภูตรูปและครบรูป 28 กิเลสก็ไม่มี อย่างนี้เรียกว่าสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แม้ข้างนอกจะไม่มีแล้วเหลือแต่นามกาย เหลือกายที่นามธรรมเท่านั้นอยู่เหนือรูปกาย

ลืมตาก็สูญ หลับตาก็สูญ ตายไปก็ไม่มีรูปกาย มีแต่นามกายที่เหลือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ที่เหลือ แต่ถ้าดับ รูปภพ อรูปภพ แม้เศษ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาก็ไม่เหลือ คนๆนี้ก็ไม่มีกายแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้คนพาลหรือบัณฑิตหากอวิชชาตายไปก็จะมีกาย คนที่สำคัญผิดว่ากายเป็นแต่เพียงดิน น้ำ ไฟ ลม คนนี้ก็ตีลังกาว่าพระพุทธเจ้าพูดผิดว่า ตายแล้วก็มีกายอยู่ 

รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ แม้ภายในนามก็ถูกรู้ได้ นามก็กลายเป็นรูป เป็นนามรูป อนาคามีก็มีอยู่

แต่เมื่อยังไม่หมดภาวะร่างภายนอก สัมผัสภายนอกก็กิเลสศูนย์ แต่ว่าอนาคามีก็มีกิเลสภายใน ส่วนอรหันต์สงบทั้งนอกและใน ทั้งหมดก็อย่างตื่นๆรู้นี่แหละไม่ได้หลับใหล ผู้ที่เป็นปุถุชนจะยึดถือทั้งข้างนอกและในการฝันจึงเลวร้าย เป็นฝันร้าย แต่อนาคามีไม่มีการปรุงกับภายนอกแล้ว หลังจากนั้นอนาคามีไม่มีวิบากส่วนเหลือที่รุนแรงหรือไม่แรง ถ้ามีวิบากแรง ในฝันก็จะมีส่วนพลังงานดึงเอาสัญญามาปรุงแต่งสังเคราะห์สังขาร คุณไม่มีอำนาจคุมมันได้หมด อันไหนแรงก็คุมไม่ได้อันไหนคุมได้มากก็ดับไป จนกว่าจะดับไปหมด อนาคามีก็มีฝันที่แรงได้บ้างแต่ไม่ได้ฝันอะไรมากมันจะค่อยดับไป ไม่ฝันร้าย 

อรหันต์ตอนตื่นหากไม่กดปุ่มเดินเครื่องมันก็ไม่ติด แต่ถ้าหลับแล้วมันก็เดินเครื่องอยู่แต่จะเหลือฝันอยู่แต่ฝันเบามาก ถ้าฝึกวิปัสสนาญาณ ญาณที่คุมข้างนอกได้มากๆ พลังงานข้างนอกที่เป็นพลังงานใหม่ อรหันต์ตอนนอน ถ้าตั้งจิต

ส.เพาะพุทธว่าที่พ่อครูได้พูดอยู่บ่อยๆว่า มีเทวดามาบอก 

พ่อครูว่า...เทวดาคือพลังงานเรื่องดี ส่วนที่ไม่ดีคือมารที่ชวนไปเลว แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังมีมารมาชวนไปเลว เข้าใจแล้วจะรู้ว่ามีเศษเหลือ แต่พระพุทธเจ้าท่านมีพลังมากกว่ามาร มารก็ทำอะไรไม่ได้ แม้อรหันต์ก็มีมารมากวน จะกวนได้ก็ในฝันเท่านั้น  ถ้าผู้ใดนั่งสมาธิหลับตา จะกดจิตคุณหมดเลยไม่ให้รับรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพลังงานข้างล่างหมาไล่เนื้อจะไม่มี มันก็ไล่คุณแต่ว่าคุณหลบมันอยู่ มันวิ่งไล่เพื่อทวงวิบาก คุณดับมันก็คือหลบเลี้ยวไม่ให้เห็น ก็คือดับ หลับก็ไม่ฝันด้วย แต่คุณทำกำบังหลบก็ไม่ฝันร้าย นั่งเก่งตลอดชีวิตก็ไม่มีฝันร้ายกวนเลย ดีไม่ดีนึกว่าตนเป็นอรหันต์ด้วยเขาบำเพ็ญได้แค่นี้ เขาไม่ได้เข้าถึงpotential energy ที่เป็นพลังงานแตกตัวอยู่ตลอดเวลา มันยิ่งไม่ได้มันยิงอาฆาตมากขึ้น 

เป็นอรหันต์ลืมตาเป็นๆล้างหมดไม่มีกิเลสกวนแม้ในฝัน มารที่จะช่วนไปเลวก็น้อยลงๆ มีแต่จะคบกับส่ิงดี อรหันต์เจโตเก่งก็หลับไม่ฝันเลยหรืออนาคามีดับได้ส่วนหนึ่ง ถ้ามีเจโตสมถะดี ไม่เปิดจิต หลับก็ไม่ฝันแต่ถ้าอนาคามีไม่ใช้เจโตเปิดจิตมันก็จะทำงานในฝัน คุณนอนนี่สติตื่นไม่มีมันไปเต็มที่ ชวนปรุงแต่งเต็มที่เลย

ในอรหันต์ อาตมาพูดได้สะดวกใจเพราะอาตมาประกาศอรหันต์ไปแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่อาตมาไม่เดือดร้อน  อรหันต์แล้วจิตฝันไหมก็ฝัน เขาไม่เรียกฝัน เขาเรียกว่านิมิต ตั้งเครื่องเปิดไว้มันก็เกิด อาตมานี่เปิดไว้ตลอดเลย เพื่อได้นิรุติมาสอนพวกเรา อย่างอาตมาตอนเริ่มนอนให้หลับสนิทก็หลับสนิท แต่ว่าพอถึงเวลาที่ตั้งใจ จิตก็เดินเครื่อง ย่ิงพักได้พอก็จะทำงานได้เต็มที่ พระพุทธเจ้าก็คุยกับเทวดา แต่มารก็มาทวง แล้วท่านเป็นเทวดาแท้จริง ไม่เป็นมารแล้ว อรหันต์ไม่มีมารแล้ว อนาคามีมีแต่มารในตนกวนแต่ตนเองเท่านั้น 

แม้แต่ผู้อรหันต์ก็ฝันเพราะปณิหิตตังจิตตัง ตั้งเป็นฝัน แล้วเอามาใช้งาน อาตมาตอนใหม่ๆก็ไม่ได้มีงานมาก ก็สบาย ตอนเร่ิม สงบสนิทสบาย แต่พอมาทำงานแล้วทำงานยากด้วย ต้องตั้งเตาปฏิกรปรมาณูเพื่อสันติที่ใหญ่กว่าของนาซ่าอีก เพื่อทำพลังงานกัมมันตภาพรังสีที่เป็นปรมาณูเพื่อสันติภาพ ในโทรทัศน์มีเพลงสันติภาพตั้งสามเพลง เพลงสันติภาพผี สันติภาพผี ชี้ใครหลอกคน มันมีสันติภาพจริงอยู่ไหน หากันอยู่ไหน หรือไกลสุดกู่ แล้วมีสันติภาพประกาศิต คั้นมาเป็นบุญด้วย ส่วนสันติภาพกลางๆก็ว่ากันไปทั้งโลกและธรรม ต้องใช้โพชฌงค์ 7 

อาตมาเลยต้องตั้งเตาปฏิกรปรมาณูเพื่อสันติ ใหญ่กว่าที่ไหนๆ ไม่ได้ใช้พลังงานฟิสิกส์แต่เอาพลังงานของกรรมมาใช้ ของไอสไตน์ Space and time of continuum. แต่ของอาตมานั้น Khama and time of continuum 

ถ้าพลังงานทางไฟฟ้าแม่เหล็กแสงเสียงก็ไปทางนั้นอีกอย่าง แต่ของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านรวมลงที่เวทนา เป็นสูตรของพระพุทธเจ้าที่เอามาเป็นตัวหลักได้เลย ถ้าไอสไตน์เอามาใช้ก็จะได้แต่เราทำคนละทางกัน 

ผู้รู้อาการของพลังงาน ยิ่งรู้พลังงานระดับจิต หรือพีชะ ยิ่งรู้พลังงานที่มี Khama and time of continuum ถ้าคุณไม่เคลื่อนก็ไม่รู้ตัว คนอื่นเขาพาเคลื่อน แต่ถ้าคุณเคลื่อนเองก็จะกำหนดได้เอง คนไหนจะเคลื่อนต้องรู้ทั้งตัวเองและหน่วยของพลังงาน ทางฟิสิกส์เขาก็ยังไม่ชัดจะเรียกแสงว่าโฟตอนหรือควันตัม อะไรเป็นตัวนิ่งอะไรเป็นตัวเคลื่อน เขาก็เถียงกันอยู่ เอาอะไรมากั้นแสง แล้วแสงลอดได้ถ้ามันบังไม่หนาพอ ก็ทะลุได้ แต่ถ้ามันหนาทึบมากก็ไม่ทะลุ เรื่องวิทยาศาสตร์มันเกิดตามเหตุปัจจัยไปคุมมันไม่ได้ ถึงที่สุดพลังงานนิวเคลียร์เขาก็ไม่สามารถคุมได้สำเร็จหมด เขาก็รู้แต่ว่ามันมีสองอย่างคือฟิชชั่นกับฟิวชั่น 

ของพระพุทธเจ้าให้รับผิดชอบเฉพาะจิตวิญญาณเรา ตัวไหนเป็นพลังงานพิษที่ไปทำลายอย่างอื่น เช่นสิ่งแวดล้อมเสียก็เพราะคนนี่แหละมันทำให้เสียเร็วโลกอายุสั้นเพราะคน โลกใบไหมไม่มีสัตว์คนเกิดโลกนั้นอายุนาน แต่ถ้าโลกไหนเกิดคนที่เรียกว่าเจริญแต่ที่จริงคือเสื่อม เป็นหายนธรรมไม่ใช่วัฒนธรรม มันเกินเวอร์ทำลาย พลังงานของวัตถุให้มันอยู่ตามธรรมชาติแล้วจะไปตามอายุ เหมือนกับคน ที่เซลล์เจริญถึงขีดแล้วจะเสื่อมมันก็มีอายุของแต่ละสัตว์โลกทั้งนั้น 

ถ้ามันสมดุลก็ไม่ต้องทำอะไรมันก็จะอยู่นาน หากไม่สมดุล จัดจ้านไปทางไหนก็เสื่อมเร็ว ถ้าชรตาก็เสื่อมลง ถ้าธรรมชาติมันเป็นของมันเองแต่ถ้าเป็นคนมันไม่หยุดการเร่ง ตัณหาคือตัวเร่ง ย่ิงเร่งมาบำเรอชีวิตก็ยิ่งสั้น มีสปาร์คทั้งรักและชังทำให้อายุสั้น พระพุทธเจ้าให้รับผิดชอบชีวะของเรา ซึ่งชีวะระดับพีชะจะมีสองหน่วยไม่เคลื่อนที่ แต่ถ้าเป็นชีวะที่เคลื่อนที่ได้ ใหญ่มาเรื่อยๆ แม้พีชะก็มีอัตโนมัติในตนมีสัญญา สังขาร มันไม่ไปรังแกใคร ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น มันไม่เอาเกินมันหรอก ธาตุพีชะนี่ ถ้าปุ๋ยมากก็เกินไป มันตายเลย พีชะไม่เป็นภัยต่อข้างเคียง 

พระพุทธเจ้ารู้จักจิต ที่มีสามหน่วย ครบวงวน เป็นวงรี สามเหลี่ยมไม่เท่ากันก็ตาม แต่พอเร่งแรงให้หมุนก็พาเคลื่อน เช่นดาวหางมันมีวงโคจรเป็นวงรี ดาวหางคือองค์รวมของอาโป ไปแจกธาตุน้ำให้แก่ดวงดาวให้เป็นเชื้อของชีวะที่จะเกิดพืชสัตว์ต่อไป ระดับพืชไม่เป็นพิษภัยอรหันต์จะทำพลังงานของตนให้เป็นระดับพืชแต่แถมว่ามีความฉลาดด้วย มีปัญญาด้วย มีพลังงานส่วนเหลือ

เพศชายนี่มีพลังงานแฝง ไม่ใช่แค่ XY แต่มี XXY แฝงอยู่ แต่คนไม่ศึกษาก็ไม่รู้ ว่าชายมี XXY แล้ว Y ที่เป็นอาริยะนี่เหนือชั้นกว่า 4 กว่า 5 ผู้เป็นอรหันต์แล้วมี XX แล้วยังมี Y อีกที่ใช้งานได้เป็นสี่ ทำเป็น X ก็ได้ เป็น Y ก็ได้ เป็นพลังงานที่ปรับเป็นกุศลหมดแล้ว ถ้าไม่รู้ฝ่ายชายมีพลังงานแรงกว่าหญิง แต่ถ้าอวิชชา Y ก็ไม่ได้สัดส่วน แต่หญิงนี่ x ได้สัดส่วน เพราะฉะนั้นหญิงที่เร็วไวไหวพริบเร็วกว่าหญิงอวิชชา 

ชายที่ Y ดีก็เป็นช้างเท้าหน้า เมื่อเรียนรู้หมดชายจะได้ XXY แล้ว Y นี่มีพลังงานจะให้เป็น X ก็ได้ Y ก็ได้ มีพลังงานเหนือกว่า X อีก

วิปัสสนาคือกำจัดตัวรวนได้ ไม่ได้ฆ่าทำลายด้วย แต่เปลี่ยนจากพลังงานเลวมาเป็นพลังงานดี มีพลังงานเสริมไม่ใช่พลังงานสูญ แต่สมถะนั้นพลังงานมีแต่ก็มัดแขนขาฝังดินอีก แต่มันก็ไม่ได้สูญไปไหนเลย เสียเวลาเปล่าไปนั่งหลับตาสะกดจิต ให้มาเรียนตามลำดับ ได้แล้วนั่งหลับตาก็ได้ศึกษา ได้เรียนรู้ถูก

อุภโตภาควิมุติ ได้ทั้งสองแบบ ได้ทั้งภายนอกภายในครบ รู้จักนามกายที่ไม่สัมพันธ์กับรูปกายแล้ว เรียนรู้สร้างสติ ปัญญา ผู้อรหันต์อุภโตภาค ได้ฝึกจิตทั้งนอกและใน สวนอรหันต์ที่ฝึกนอกอย่างเดียวจะไม่เก่งภายใน แม้อรูปภพ รูปภพ ขณะสัมผัสกับของจริงก็ไม่มีอาสวะ แต่ว่าอนุสัยจริงๆ เป็นอรหันต์แล้วนะถือว่าอรหันต์ระดับหนึ่ง เป็นอรหันต์หรืออรหัตตมรรค มีสัตตักขัตตุปรมโสดาบันของอรหันต์ จะมีเชื้อตระกูลสุดท้ายที่จะดับเรียกว่าเอกพีชี จะให้เกิดเต็มครบ 7 อรหันต์จะทำพลังงานครบ 7 ที่อาตมาหยิบมาดูเป็นปิรามิด 3 ขาสองตัวต่อกัน เอาตรงจุดกลางรวมกันเป็นแกนหมุน เป็นอัปปนาเจตสิก ทำงานด้วย 7 แต่ถ้า 9 แล้วหยุดเลย หรือถ้าไม่หยุดก็สุดสงบ หมุนได้สงบมาก ทศนิยมของความไม่ได้สัดส่วนน้อยมาก หากหมดทศนิยมไม่หมุนเลย ถ้าไม่มี 1 เลยเอาแต่หยุดท่าเดียว ไม่มีโมเมนตัมเลยมันหยุดดื้อๆเลย 

สรุปแล้วอรหันต์จะทำงานท่านเป็นอมตบุคคลท่านอนุโลมเท่าที่รู้อัตตาคืออะไร พลังงานจะมาฉุดมีเท่าไหร่ท่านไม่ได้รักหน้าตาแล้ว ท่านก็ประมาณได้ถูก ท่านตั้งจิตทำงาน อย่างอาตมานี่ตั้งจิตเปิดเครื่องตลอด ซึ่งโลกมันแรงมาก ก็ต้องมีพลังงานที่แข็งแรงพอ เพื่อสู้แรงโลกธรรมได้ 

อาตมาประมาณแล้วออกไปทำงานไม่เสี่ยงหรอก ถ้าไม่แน่ใจว่าถึง 70หรือ 80 % ไม่ทำ ถ้าไม่ถึงก็จะเสียของเปล่า ส่งข่าวถึงพล.อ.ประยุทธ ให้ทำในโอกาสที่ควร อาตมาทำมา 45ปี แล้วแคล้วคลาด มีวิบากพอควรถือว่ากำลังพาพวกเราฝึก ได้วิบากขนาดหนึ่งพอควร 

ถ้าเป็นพุทธที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ จะได้ลำดับได้สัดส่วนดี ถ้าผู้ที่ผิดจังหวะดีไม่ดีถอยหลังด้วย ไม่เข้าร่องเข้ารอยพวกวิตักกะจริต พวกศรัทธานี่เป็นอย่างไรก็ตั้งหลักเดินท่าเดียว คุณตั้งหลัก จะไปส่วนไหนของโลก ให้สั้นที่สุดเร็วที่สุด ตั้งแล้วเดินไปเดี๋ยวก็ถึงแต่พวกวิตักกจริตเดียวก็ไปทางโน้นทางนี้ ไปแล้วก็เปลี่ยนทางอีก ก็เลยไม่ถึงสักที 

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้ได้ฟังประเด็นอรหันต์แล้ว คนไหนที่ควบคุมกรรมของตนได้คนนั้นคือเจ้าของเวลาที่แท้จริง คนผู้เข้าถึงกาลเวลาที่แท้จริงคืออรหันต์ และสมถะของพุทธโดยแท้จริงเป็นเรื่องเสริมไม่ใช่เรื่องสูญ เป็นการเปลี่ยนอกุศลเป็นอกุศล

พ่อครูว่าถ้าอรหันต์จริงอนุสัยหมด แล้วกลับมาอาศัยอนุสัย คำว่าอนุแปลว่าน้อยๆ สยะคือมีอยู่ คือไม่ได้เอาตัวตนมาอาศัย ไม่ได้ยึดว่าเป็นตัวตน ไม่ได้เอาตัวตนมาเป็น แต่ขอเป็นตัวตนเพื่อใช้งาน เรียกว่าอรหัตตา พ้นความลึกลับแล้ว 
วิกขัมภนปหานคือกดข่มแล้วกำจัดกิเลสไม่สำเร็จด้วยแต่สมุจเฉทปหานนี่ทำได้สำเร็จ กำจัดกิเลสได้สำเร็จ อรหันต์นี่จิตไม่น่ิงนะ เพราะท่านตั้งจิตทำงาน 

ส.เพาะพุทธว่า..อรหันต์นั้นท่านมีพักในเพียร แล้วในเพียรก็มีพัก ใช่หรือไม่?
 
พ่อครูว่า..ถ้าบอกเช่นนั้นก็เป็นโวหาร เพราะท่านจะประมาณไม่ให้เกินกว่านั้น ความร้อนไม่ให้เกิดมากเกินท่านประมาณไม่ให้เกิดพลังงานเกินไป สิ่งที่ท่านไม่ให้เกิดความร้อนมากนั่นคือท่านพักแล้วท่านสมถะแล้ว

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน คือพ่อครูบอกว่าอรหันต์คือทำให้พลังงานตนเป็นแบบชีวะ แต่ทว่าแต่ต่างที่ท่านมีจิตวิญญาณ แต่พีชะจริงไม่มีเวทนา แต่ไม่เอาส่วนเกินไม่รุกรานคนอื่น พระอรหันต์นี่เอาคุณสมบัตินี้มาใช้ แล้วให้ประโยชน์แก่คนอื่นด้วย 


พ่อครูว่า..มีผู้ถามเรื่อง ดีชั่ว สุขทุกข์ ที่เป็นธรรมะสองมีคำอธิบายอย่างไร? 
ตอบว่า....ใช่ ที่ติดยึดนี่ ในดีชั่วแล้วจะต่อไปที่สุข ทุกข์ก็ขอไว้โอกาสหน้า

_ดิฉันเข้าใจว่า กายมีรูปนามถ้าทางพลังงานคือนิวเคลียสมีภาวรูป 2 คือปุริสภาวะนิวตรอน ด้วยอิตถีภาวะด้วยคือโปรตอน โปรตอนคือปุริสภาวะ ถ้าทำงานกับอิเล็กตรอนที่เป็นอิตถีภาวะ ที่เป็นพลังงานที่ดี ถ้าไม่สามารถควบคุมภาวะนิวตรอนได้ อิตถีภาวะคืออิเล็กตรอนก็เป็นตัวเลวได้ แต่ถ้าคุมได้ก็ใช้เป็นพลังงานดีได้ เป็นสามหน่วยที่ไม่ทำพิษภัยกับใคร

_เนื่องจากดิฉันเคยเป็นครูพุทธธรรมวันอาทิตย์แล้วจะมีอีกหรือไม่
ตอบ...ก็ตอบไม่ได้ว่าจะมีไหมแต่ตอนนี้เรามีโรงเรียนเป็นนิตินัยแล้วแต่รร.พุทธธรรมก็คนมาทำน้อย 

ความหมายที่ชัดแจ้งของพุทธธรรมคือธรรมะที่ทรงไว้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในตัวเรานี่แหละมีธรรมะ ซึ่งมีคุณลักษณะที่ต้องดี ต้องจริง เป็นต้น ผู้มีส่ิงไม่ดีแม้น้อยก็คืออธรรม แล้วต้องสัมมาทิฏฐิแบบของพุทธด้วย ถ้าได้แต่บัญญัติแต่ไม่มีส่ิงทรงไว้ก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีสิ่งทรงไว้แล้วแม้จะไม่มีบัญญัติก็ไม่เป็นไร ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:29:48 )

580629

รายละเอียด

580629_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก  ก้าวข้ามความรักและชังอย่างยั่งยืน

อ.กฤษฎาว่า...ปีนี้พ่อครูออกเดินสายไปหลายๆที่ ส่ิงที่สำคัญที่สุด เวลาผมจัดรายการผมชอบถอดรหัส เพื่อเจริญรอยตามพระอรหันต์ พ่อครูอายุ 82 ปีแล้ว ผมว่า คนอายุเท่าพ่อครูส่วนใหญ่ไม่ได้มีสภาพร่างกายดีอย่างพ่อครู และก็สภาพความคิดพลังสมอง พ่อครูมีอยู่อย่างมากมาย เป็นพลังของ  A bomb of love หรือไม่? ผมเองก็ถามตัวเองว่าทำไมพลังของเรามันติดๆดับๆ ทำอย่างไรจะให้มันต่อเนื่อง ยั่งยืน ยาวนาน sustainable จะทำอย่างไรจะเดินตามรอยพ่อครูได้ 

พ่อครูว่า...ทำอย่างไรจะมีความยั่งยืน โดยเฉพาะมีเงื่่อนไขว่าทำงานอย่างมีอิทธิบาท แล้วมีเงื่อนไขในอิทธิบาทอีกว่าเป็นความรัก เป็นความรักที่มิใช่มิติต้นๆด้วย แต่เป็นความรักเพื่อเกื้อกว้างไปอีกมาก ไม่ใช่แค่เห็นแก่ชาติ แก่สากลอีก แต่เป็นความรักอันยิ่งใหญ่ ที่หาประมาณมิได้ ไม่ได้มีความเห็นแก่ตัวเลย มิติที่ 7 เป็นความรักสมบูรณ์แบบ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อาตมาก็ไม่รู้ว่าทำไมอาตมาถึงได้ชื่อว่ารัก แต่ในใบเกิดอาตมามีชื่อว่า สไมย์ เขาก็ตั้งเล่นๆ ไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองชื่อสไมย์ คุณลุงก็ไปให้ท่านติสโส(อ้วน) สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ตั้งชื่อให้ ท่านก็ตั้งว่า มงคล ต่อมา อาตมาก็ตั้งชื่อเองว่า รัก ก็ใช้ชื่อว่า รัก มาตลอด แล้วตอนมาบวช จะใช้ชื่อว่าอะไรดี ตอนนั้นมีนามปากกาธรรมะ ชื่อว่าโพธิรักษ์ แต่จะเอารัก หรือรักษ์ ดี ชื่อเราก็ไม่มี ษ์ มันก็คนละความหมาย ก็ใช้ชื่อว่า รัก ต่อมา

มันเป็นอจินไตยที่อาตมาต้องมาอธิบายเรื่องความรัก ตั้งแต่เขียนความรัก 10 มิติ ก็มีมาจากภูมิรู้เก่า มาถึงทุกวันนี้ ยิ่งมารัก จาก ไอสไตน์ที่ฝากไว้อีก เป็น A bomb of love ที่ให้มาอีก อาตมาก็จะมาขยายความต่อ ตั้งแต่ E = mc2 + A แล้ว อาตมาเติม A เข้าไป ก็ตอนนี้ขยายความได้มากขึ้น

แล้วทำไมอาตมาถึงมีอิทธิบาท มั่นคง มีกำลังวังชา แข็งแรงมั่นคง ถามว่าทำอย่างไรจะได้อย่างนี้ ก็ตอบว่า ปฏิบัติธรรมให้ได้มรรคผล แล้วจะได้ตามนี้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆก็คิดเอา อาตมาไม่ได้ฝืนนะที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นทุกข์ แต่ทำอย่างเต็มใจ สบายใจ มีฉันทะที่จะทำ เหนื่อยก็พัก ไม่เหนื่อยก็เพียรเราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป 
เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท 
เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ) 

ถามว่าทำอย่างไรจะได้ ไปซื้อที่ไหนไม่มีหรอก ไปเอาจากคนอื่นไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้นต้องฝึกฝน ปฏิบัติให้เกิดอาริยสมบัติของแต่ละคน

อ.กฤษฎาว่า... ที่พ่อครูไปเดินสาย เป็นการสร้างเหตุปัจจัย ให้เกิดข้ึน เช่นที่เลไลย์อโศก การไปทำและจัดทำเรื่องต่างๆ เพ่ือเหตุแหล่งปัจจัยและผลที่จะตามมา ซึ่งถือเป็นกรรมที่เป็นกุศล เรียกว่า วิสัยทัศน์ เป็นเชิงบวก แต่ว่า บางคนอยู่ในเมืองไทยใหญ่มาก ไม่ได้เกิดเหตุในไทย แต่ไปเกิดเหตุในต่างประเทศ เป็นกรรมวิบากอย่างไร

พ่อครูว่า...ผู้ที่ทำกรรมใด ก็ต้องได้รับผลตอบแทน แม้จะผลัดไป หรือกลบเกลื่อน ให้พ้นไปก็ชั่วระยะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรม เป็นอันทำ ตั้งแต่เริ่มคิด ดำริ เป็นกุศล/อกุศล ทั้งสิ้น เมื่อเร่ิมมีอาการในจิตก็เป็นกรรมแล้ว ยิ่งออกมาเป็น กาย วาจา ก็เต็มที่ สั่งสมเป็นผลวิบาก ศาสนาพุทธ มีกรรมที่ย่ิงใหญ่เหมือน God หรือพระเจ้า 

ของเทวนิยม พระเจ้า เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เขาขยายความไม่ออก ส่วนกรรมนี่ อาตมาบอกแล้วว่าอันเดียวกับ God แล้ว God มีพฤติกรรมเช่นไร วิเศษอย่างไรได้นั่นแหละ กรรม ท่านให้เกิดการงาน การกระทำของพระเจ้าได้ พระเจ้าไม่ทำสิ่งชั่วเลย ทำแต่ส่ิงดี พระพุทธเจ้าเอากรรมที่คือพระเจ้านี่มาสอน แต่จะให้เกิดเป็นพระเจ้าเองเลย โดยไร้ที่มาไม่ได้ ต้องทำกรรมนี้ให้เป็นคุณวิเศษที่จะเป็นพระเจ้า เกิดจากกรรม พระพุทธเจ้าหยิบเอากรรม มาสอน ให้ประพฤติอย่างเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย จนสุด 

คุณสมบัติของ God คือพระพรหม คือมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา เป็นคุณสมบัติที่เรียนรู้ได้ ประพฤติได้ คือพระพรหม คุณสมบัตินั้นเกิดอย่างจริงใจหรือจะกดข่ม พยายามทำใจให้เมตตาไว้ คุณทำขึ้นมาเมื่อไหร่ดีทั้งนั้น แม้จะกดข่มอย่างไร ให้ออกมาเป็น กาย วาจา ใจ ที่เป็นพรหมวิหารได้จริง แล้วถ้าปฏิบัติถึงจิตก็จะไม่ฝืนเลยในการทำพรหมวิหารจิต

_เมตตาคือเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ แล้วก็อยากให้เขาพ้นทุกข์หรือเป็นสุข เราก็ช่วยเขาบอกเขา 
_กรุณาคือลงมือทำ พาทำ ถ้ามีแต่เมตตาก็จบในใจไม่ได้ลงมือเลย เช่นนั้นมันก็เป็นเพียงความต้องการทางใจ แต่กรุณามีความลงมือทำ (กรณะ) ทำอย่างที่พาทำได้ จะทำจนไปจับกิเลสออกให้เขาไม่ได้หรอก แม้พระพุทธเจ้าก็ทำได้เพียงชี้ทาง ซึ่งอาศัยองค์ประกอบต่างๆ มิตรดี สหายดี สังคมฯดี ที่เดินสายก็เป็นพรหมวิหาร
_มุทิตา ก็รู้สึกเป็นสุขเมื่อเห็นเขาพ้นทุกข์ ยินดีกับเขา ก็จึงทำ
_อุเบกขา ก็ปล่อยวางเลิกไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ทำจบก็จบ 

พรหมวิหาร 4 จึงเป็นอัปปมัญญาที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณ ผู้ใดทำได้อย่างไม่ฝืน ไม่มีการพากเพียร ให้อย่างอัตโนมัติ เป็นจริงเป็นจังก็เหมือนอย่างที่คุณว่า ทำได้อย่างไร ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ทำได้มากมาย ก็เหนื่อยเมื่อยได้ ก็พัก หายก็เพียรทำไป ไม่มีปัญหาอะไร 

แล้วเรื่องวิบากกรรม กรรมเป็นอันทำ เช่นตอนนี้คุณตีหัวคน ผลวิบากคุณทำให้เกิดความเลวร้ายต่อคนอื่น หากเขาโกรธ ก็แก้แค้นตอบโต้ ทันที หรือสองคุณทำผิดกฏหมายก็ต้องรับโทษ แล้วที่บอกว่ามันติดตัวไป มันต้องใช้หนี้บาป มันยังไม่ออกผลทันทีก็เป็นได้ เรื่องที่ว่าจะมีกรรมเสริมต่อ นี่มันมีจริง มีมากหรือน้อย ต้องปฏิบัติธรรมเป็นชาติๆได้ จะมีลักษณะกรรมเช่นนี้ มันลดลงๆ หรือมันจะทำกับเราได้ มีน้ำหนักอย่างไร แม้แต่ในชาตินี้ อย่างอ.เป็นต้น ท่านตาบอด ท่านก็วางได้ ว่าท่านได้ใช้หนี้กรรม ทั้งที่ท่านตาดีมาก่อน แล้วมาตาบอด ท่านก็ระลึกได้ว่าท่านได้ไปจิ้มลูกตาสัตว์ไว้มาก หลายคนก็จะรู้สึกมีลักษณะเช่นนี้ แต่มันจะตรงหรือไม่ แต่มีเหตุปัจจัยร้อยเรียงได้ 

คนที่หักขาไก่หรือหักคอสัตว์มา แล้วตนก็ถูกบาดเจ็บที่คอก็ได้ แต่คนที่ไม่ได้มีผลกรรมออกผลชาตินี้เลยก็ได้ หรือออกในชาติอื่นก็ไม่ตรงก็ได้ เมื่อคุณปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆจะรู้ว่าผลอย่างนี้ๆ มันสนองเรา อย่างเป็นกุศลหนุน หรือเป็นวิบากบาปตามทัน เราก็จะเข้าใจขึ้น มันจะมีร่องรอยให้เราเห็น ว่าเห็นอย่างนี้สดๆ หรือระลึกไม่ได้หรือได้บ้างก็จะมีเค้า 

บางอย่างไม่น่าเจอทางร้ายหรือทางดีเช่นนี้เลย เพราะชาตินี้เราก็ไม่ได้ทำกรรมร้ายอะไร แต่ร้ายก็มาถึงเรา หรือดี ชาตินี้เราก็ไม่ได้ทำดีมากจนต้องน่าจะได้รับผลดี แต่มันก็ได้รับผลอานิสงส์อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นบารมี ก็เป็นไป มันน่าอัศจรรย์ ไม่น่าไปคิด อย่างอาตมาไม่ได้คิดหลายอย่าง มีบารมีมาเอง ไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่อ แต่เป็นไปได้ ก็พยายามอธิบายเท่านั้น เพราะพระพุทธเจ้าว่าเป็นอจินไตยนะ

เดินตามรอยพระอรหันต์ สลายความรักและความชังอย่างยั่งยืน

อ.กฤษฎาถามพ่อครูว่า... เรื่องวิบากกรรมมีจริง แล้วกรณีที่ตำรวจใหญ่ที่มีข่าวถูกจับอยู่ต่างประเทศ แล้วมีพระสงฆ์ที่อยู่วัดเบญฯก็โพสต์ให้เห็นเลยว่า ช่วงชุมนุม คนนี้สั่งปิดทางไม่ให้พระบิณฑบาต นี่ก็เลยเป็นกรรมที่ทำกับพระกับเจ้า ก็เราเป็นสังคมพุทธ ก็เลยทำให้คิดว่า เป็นเช่นนี้ได้ แล้วมันเกิดในเมืองนอก จึงเกิดได้ แต่ถ้าในเมืองไทยไม่เกิดได้หรอก เพราะมีอำนาจ มันเป็นบทเรียนสอนได้ว่า การระเบิดของคนนี้บางคนคิดเชิงลบ มันก็ทนไม่ได้ เหมือนท่านนายกฯพูดว่าใหญ่จนเคยตัวหรือเปล่า

พ่อครูว่า...เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริง แต่เราไปไล่จับแพะชนแกะไม่ได้หรอก แต่ว่ามันต้องมีเหตุ จึงมีผล อย่างที่อธิบายว่า แต่ก่อนเราหักขากบขาเขียด เราก็เลยถูกบาดเจ็บที่ขาก็มีรูปเรื่องที่เป็นเหตุผล แต่ถึงอย่างไรอาตมาก็ไม่อยากให้ซ้ำเติม คนที่ได้รับวิบากแล้ว อาตมาจะพูดถึงคนที่ทำไม่ดีแต่ยังไม่รับวิบากก็จะพูดให้หยุด แต่คนที่รับผลวิบากแล้วก็ไม่อยากพูดเหมือนซ้ำเติมถึง ส่วนผลดีก็ไม่อยากพูดถึง ส่วนผลร้ายนี่ก็ไม่ได้คิดจะให้คนที่ทำกับอาตมาได้รับผลร้าย อาตมาก็ห้ามทุกคนที่ไปนึกเช่นนั้น มันเหมือนกับเราคิดแค้นเคือง สะใจ พยาบาท คิดเช่นนั้นไม่ดี มามีเมตตากันดีกว่า เขาได้รับวิบากกรรม ทำไม่ดีก็รับไม่ดี อย่าไปนึกสะใจที่เขาได้รับผลตอบแทน สมแค้นเรา เหมือนใจเรามีอัตตาเห็นแก่ตัว ปรารถนาร้ายต่อคนอื่นก็ไม่อยากให้คิดเช่นนั้น

อ.กฤษฎาว่า... ในวันมาฆบูชา ตอนนั้นเราชุมนุมอยู่ เป็นวันใกล้มาฆบูชา แล้วเกิดเหตุด้วย พอเกิดเหตุพ่อครูก็ใช้โทรโข่ง บอกว่าให้ไปช่วยคนเจ็บ ตอนนั้นพ่อครูมีเมตตา กรุณา หรือพ่อครูว่าเขาได้รับวิบากแล้วก็จงอย่าไปซ้ำเติมเขา ผมก็เหมือนถูกสอนมา ว่าเวรกรรมมีจริง กรรมมันทันตาเห็นนะ แต่พอมาวันนี้เราเรียนรู้ปรมัตถ์อีกขั้นหนึ่ง คือเราต้องยกสภาวจิตตนให้สูงขึ้น ให้มีจิตแห่งพรหม พ่อครูแสดงธรรมใกล้ๆก็ท่านเป็นพรหม ไม่ได้คล้อยตามที่ผมเสนอ แล้วขัดแย้งกับเรา ถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรมก็รู้สึกว่าพ่อท่านแย้ง แต่เราปฏิบัติธรรมก็รู้สึกว่า พ่อท่านสอนเรานะ ท่านตรึงหมุดมั่นไม่บิดจากตรงนี้ไป สิ่งเหล่านี้ที่ผมได้เรียนรู้จากที่นี่ ให้มีหลักจะอยู่กับสังคมได้อย่างไม่ถูกดึงไปตกต่ำ 

พ่อครูว่า..ถ้ามันมีอาการต้องอ่านใจ ถ้าเรามีภาวะสะใจ ถ้าเขาได้รับทุกข์แล้วเราสะใจ เราก็ไม่ดี ถ้าเขาพ้นทุกข์แล้วเรายินดีก็น่าจะดีกว่า ถ้าเขาทุกข์แล้วเราสะใจใจเราก็สะสมความรุนแรงในใจ ทำใจไม่ต้องยินดียินร้ายได้ดีที่สุด ให้เป็นอาการอุเบกขา กลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงอันนี้ก็ดี ส่วนที่จะให้ยืนยันก็ว่า วิบากก็เป็นของคน จะออกผลก็เป็นจริง คนไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อวิบาก ไม่เชื่อว่ากรรมเป็นของๆตน ไม่เชื่อว่าวิบาก(ผลของกรรม)มีจริง ไม่เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีวิปากทุกข์ เป็นพระพุทธเจ้าแล้วยังมีเศษวิบาก พระเทวทัตกลิ้งหิน มีสะเก็ดหินกระทบพระบาท ห้อพระโลหิตอีกได้

ผู้ไม่เชื่อกรรมวิบากว่าเราทำกรรมแล้วเป็นของเรา ไม่เอาไม่ได้ ทำแล้วจะเป็นเหตุปัจจัยติดไปในอนาคต มีผลวิบากจริง ถ้าใครไม่เชื่อกรรมก็เท่ากับไม่เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ผู้ศึกษาดีๆ จะรู้ว่ากรรมคือ God คือส่ิงยิ่งใหญ่ เป็น Bomb of love ที่อาตมาใช้อธิบายต่อ

ไอสไตน์ค้นพบ Space and time of continuum ส่วน continuum  คือส่วนอนุกรมของการต่อเนื่อง เรื่อยๆ ทุกสิ่งที่ไอสไตน์ค้นพบ คือทุกส่ิงทุกอย่างอยู่ในเอกภพ คนไม่รู้ก็เรียกว่ามีช่องว่างที่มีอะไรบรรจุในนั้น แล้วมีการดำเนินเป็นอนุกรมเชื่อมโยงหมุนไปกับกาลเวลา and time นี่คือส่ิงที่ไอสไตน์สรุปผล พลังงานกับสสาร 

มีส่ิงที่อยู่ในเอกภพในช่องว่างนี้เชื่อมโยงเป็นอนุกรมกันทั้งนั้น ส่ิงที่ไม่อยู่ในระบบเช่นอุกาบาตก็จะแตกสลายไปในที่สุด 

ส่วนอาตมาก็พูดมาก่อนที่จะรับของไอสไตน์ ว่า Kamma and time of continuum หรือ God and time of continuum แล้วกรรมนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด ผู้ใดศึกษากรรม คือการกระทำผู้นี้ศึกษา God กรรมคือ doing ,deed ,action เราต้องปรับกรรมที่เราเคยทำแล้วรู้ว่าเป็นกรรมชั่ว หรือเราวนเวียนทำอยู่เดี๋ยวเลิกเดี๋ยวทำอยู่ เราต้องตั้งศีลให้หยุดทำแล้วล้างเหตุที่พาติดยึดหลงว่ามันน่าได้น่ามีน่าเป็น สุขสะใจ จนรู้ว่ามันเรื่องหลอกไม่จริง ล้างกิเลสได้ ก็หมดกรรมที่ต้องไปสังสัคคะกับมันไม่ต้องเกี่ยวข้อง แม้สัมพันธ์แล้วก็ลึกซึ้งซับซ้อน แม้กระทบสัมผัสกับเรา แต่จิตเราไม่มีกระแส กรรมกิริยาที่แม้เขาเจตนาให้เราตอบสนองเราด้วย เพื่อให้เราโกรธ โลภ รักหรือชัง เราไม่มีอาการนั้นในจิตเลย เราก็ทำกรรมพระเจ้า เราไม่โกรธเกลียดเขาแล้ว ถ้าบอกได้เราก็บอกเขา ถ้าบอกแล้วเขาตอบโต้แรงเราก็อย่าบอกเขา แต่ถ้าเราบอกแล้วเขาย่ิงทำชั่วหนักเราก็ไม่ควรทำ ถ้าเราว่าเขาติเขา ดีไม่ดีว่าเขาแรงๆ เขาลดได้ก็น่าทำ หรือเขาลดกิเลสได้ก็ดี หรือถ้าบอกไม่ต้องแรงเขาก็ปรับได้ ก็ยิ่งดีใหญ่

ผู้ใดสามารถเข้าใจได้ ทุกอย่าง คือ  Kamma and time of continuum อาตมาเคยให้โศลกว่า ชีวิตคือกรรมกับกาละ ชีวิตคนหากเรียนรู้กรรม มันก็เดินไปกับกาละทุกกาละเราก็รู้กรรม ตั้งแต่คิด เราก็รู้ทัน พูดออกมาก็รู้ทัน องค์ประกอบรวมคือกาย  พระพุทธเจ้าว่ากายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ มีทั้งนอกและใน คือองค์ประกอบของรูปและนาม ถ้าอวิชชาอยู่ แม้คนพาลหรือบัณฑิตก็ตามหากมีอวิชชาอยู่ ตายไปก็ยังมีกาย เพราะไม่ได้ล้างความยึดติด สรุปแล้วต้องเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า

เราทำกรรมตลอดเวลา หากศึกษาเข้าไปปฏิบัติธรรม กรรมเราจะไม่มีบาปเวร ชั่วโดยไม่ต้องฝืนหรือบังคับเลย มันออกจากจิตเราอย่างสมบูรณ์ แล้วออกมาทางกาย วาจา เพราะล้างเหตุได้สิ้นเกลี้ยง มาจาก มโนปุพพัง คมาธัมมา มาจากจิต สมบูรณ์แบบเลย

ที่ถามว่า อายุตั้งย่าง 82 แล้วทำไมถึงดูมีความแข็งแรงดี อาตมามั่นใจว่าชีวิตคือการงานที่ดี พระพุทธเจ้าว่าเราไม่พักเราไม่เพียร มันมีเวลาโอกาสที่เราทำสิ่งดีเป็นประโยชน์ได้ก็ทำสิ อาตมาไม่ได้ทำเพื่อคนมานับถือหรืออวดเก่ง หรือสร้างลัทธิตนไปทำลายลัทธิอื่นไม่ใช่ อาตมาทำเพื่อสื่อถึงคนที่จะมารับได้ ทำแล้วก็จบ ทำเต็มที่เลย  

อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูประกาศเป็นพระอรหันต์ ผมมีโอกาสใกล้ชิดพ่อครู ความเป็นอรหันต์กับเราที่กำลังหันไปทางไหนดี ทำอย่างไรจะให้ถูกทิศทาง ผมก็จะพยายามทบทวนตัวเอง เรามีความเป็นไปอย่างไรกับชีวิต เราก็เห็นว่าสุขอัลลิกะ แต่ทุกข์มันอาริยสัจ ผมก็เบื่อตัวเอง เบื่อชีวิต เดี๋ยวเราก็ไปเจอสภาวะเดิมที่เข้ามา มันก็เห็นความเบื่อ ก็ต้องคิดแบบบวก positive thinking แล้วคิดอย่างเดียวมันก็ไม่เกิดอะไร เหมือนเดินขาเดียว 

พ่อครูว่า การปฏิบัติต้องไล่เรียงตามลำดับ เอาตนเป็นหลัก เรามีอะไรที่พยาบาทมาก ผลักมากหรือรักมากต้องให้เราไปบำเรออารมณ์ให้สมรัก สมโกรธ เราต้องรู้ตัวเอง มีเหตุอะไรเราก็ต้องอ่านรู้

การพยาบาทอาฆาตเพื่อแก้แค้น กับการพยาบาทแบบไม่อาฆาต แต่ว่าเขาว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ มันไม่ใช่เราติดยึดพยาบาท เพราะเรามีใจพยาบาทก็เลยว่าเขาย้ำซ้ำซากมันไม่ใช่ จะทำเร่ิมต้นอย่างไร หลักของพระพุทธเจ้า คือไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เป็นหลักยิ่งใหญ่ที่ให้ปฏิบัติแล้ว เราก็เอากรอบขอบเขตที่เรากำหนด หรือจะเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ หรือเอาศีล 5 เป็นเบื้องต้น ครบแล้วทั้งกายวาจาใจ 

ศีลข้อ 1 ให้ลดพยาบาทแรงๆ เรากระทบสัมผัสกับชีวะ ชีวิต ไม่ว่าจะสัตว์เดรัจฉาน อยู่กับสัตว์ทั้งหมดเราต้องมีสติสัมปชัญญะ ไม่รุนแรงโหดร้ายให้เขาถึงตาย ยิ่งคนเราก็ยิ่งต้องรู้ค่า หรือศีลข้อ 2 ก็ระวังอย่าบำเรอความโลภ ส่ิงที่ไม่ใช่ของเราอย่าเอา อย่าทุจริตรู้ให้ได้ ตอนนี้เราอาจต้องเอาเปรียบบ้าง เราต้องใช้สอยอยู่ก็พอทำ แต่ว่าโกงการหลอกลวงเราไม่ทำ หรือเรื่องเพศก็กำหนดแค่ผัวเดียวเมียเดียว จัดจ้านก็ให้ลดลงมา ก็ได้ ค่อยๆรู้ความหมายกรอบขอบเขต 

ถ้าเราทำได้แล้วก็ดี แต่ถ้าเรายังมีอยู่ก็พยายามสังวรศีล ให้กาย วาจา เราไม่ผิดศีลก่อน เมื่อกระทบสัมผัสสิ่งใด อันนี้เป็นสัตว์เรายังอยากทำร้ายมันเราก็สังวรว่าอย่าทำ หรือของคนอื่นเราไม่ทุจริต หรือราคะก็ตาม โกหกก็ตาม แม้อบายมุข ที่ยังเสพสนุกอร่อยกับอบายมุข มันหยาบมากต้องเลิกให้ได้ โดยเฉพาะสมใจในลาภที่ได้ทุจริตหรือสมใจในการแก้แค้น หรือตะกละมากอยากมากก็คืออบายมุข หรือพยาบาทมากอยู่ในใจแรงๆ ก็คืออบายมุข ส่ิงที่จัดจ้านก็คืออบายมุข หรือแม้แต่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจัดจ้านเราก็ต้องลดละเลิก

คนเป็นนักธุรกิจ เอาเปรียบเขาสะสมเป็นหมื่นล้านแสนล้าน ไม่รู้ว่านี่คืออบาย แทนที่จะได้สะพัดให้คนอื่น แล้วมีมากก็ยังไปโลภดูดมาให้กับคนอีก จะได้รวยเป็นอันดับโลก คือความบ้า โหดเหี้ยม เลวที่สุด ยั่วยวนให้คนเอาเปรียบกัน แม้จะออกกฎก็ให้ตนเองได้เปรียบ เช่นจะซื้อที่ แต่มีกฎหมายจะเลิกจบภายในวันนี้ ก็ออกกฎหมายให้ไม่เป็นวันหยุดจะได้เซ็นสัญญาได้ อันแบบนี้เลวสุดแล้ว ไม่เข้าใจสัจจะก็ทำชั่วทำบาป ถ้าไม่เรียนรู้ธรรมะชัดเจน พวกที่สอนให้ไปรวยไม่หยุดนี่บาปมาก 

_มีคำถามว่า กระผมเห็นว่าพระธัมมชโย ผิด มีปาราชิกแล้ว แต่กรรมการมหาเถรสมาคม บอกว่าไม่ผิด จะมีความผิดอย่างไร
ตอบ...อาตมาก็ว่าปาราชิกเหมือนกันไปอุ้มกันไม่ได้ ไม่ให้มาเกี่ยวด้วย ปาราชิกนี่ตายไปจากศาสนาพุทธ 1 ชาติเลย ในศาสนาพุทธ มีพรหมทัณฑ์เป็นสูงสุดแล้ว คือไม่สอน เหมือนเขาไม่มีตัวตนในโลก ไม่บอกไม่สอนไม่กล่าวไม่ตำหนิ นี่คือลงโทษหนัก ส่วนปาราชิกนี่โทษเลวร้ายกว่าพรหมทัณฑ์ นอกจากไม่บอกไม่สอนแล้วปิดกั้นการสอนด้วย เช่นอาตมาแสดงธรรมนี่ ถ้าเห็นสมีมานี่ก็ต้องหยุดเทศน์เลย ให้เขาไปไกลไม่ได้ยินก็ค่อยสอน ถ้าเราเห็นก็ห้ามเด็ดขาด เหมือนตาลยอดด้วน ตายไปแล้วไม่ฟื้น ไม่ใช่แค่บวชไม่ได้ เป็นฆราวาสสมีก็ไปสอนธรรมะอีก แค่ปาราชิกก็ไม่เข้าใจแล้วไปอุ้มกัน ทั้งมหาเถรสมาคมก็หมดแล้ว

อาตมาถึงเวลาทำนานาสังวาสออกมา เพราะมันเป็นไปยากมาถึงวันนี้ย่ิงโจ่งแจ้งชัด ว่าคณะที่ทำอยู่เป็นเช่นนี้ อาตมาก็ไม่คิดว่าปลาดี ไม่มีในข้องนั้น แต่ปลาเน่า ตัวเดียวก็เน่าทั้งข้อง อาตมาถึงลาออกมา ที่พูดนี้ให้แก้ไข ยืนยันสัจจะด้วยเมตตา ถ้าไม่พูดคุณก็นึกว่าตนถูก ไปหลงผิด บอกว่าเทวดาทั้งที่คือสัตว์นรก 

อ.กฤษฎาว่า...การปฏิรูปศาสนา ถึงเวลานี้คนที่ออกมาทำก็โดนกระแส

พ่อครูว่า...อาตมาก็ส่งเสริมให้แรงใจให้กำลังใจคุณไพบูลย์ นิติตะวัน แต่อาตมาไม่มีน้ำหนักเท่าหรอก ให้คุณไพบูลย์ทำไปเลย อนุโมทนา เรื่องศาสนาพุทธในเมืองไทยมันแย่มากต้องปรับปรุงกัน 

พูดชัดๆว่า ธัมมชโยทำบาปมากเกินเหมือนทักษิณที่เราต้องไปต้าน แล้วเขาไม่หยุดทั้งคู่ ทำอย่างไรเขาจะสำนึก อาตมาก็ว่าจะหยุดก็ดูจะใจดำ เขาก็ทำต่อ อาตมาก็เป็นแรงหนึ่งที่ออกไปช่วย ถ้าอาตมาหยุดคนอื่นหยุดด้วยก็แย่สิ พูดแล้วเหมือนพูดโกรธเพราะอาตมาลงน้ำหนัก

คนที่ทำกับอาตมา อาตมาไม่เคยไปโทษเขาสักคน ไม่ซ้ำเติมเขา เขาทำก็บาปของเขาแล้ว ถ้าอาตมาไม่มีบารมีก็เป็นเป้าให้เขายิ่ง อย่างในวันที่ 18 อยู่บนเวที เขาจะปราบก็ต้องปราบหัวก่อน เด็ดหัวก่อนเลย แต่อาตมาต้องทำงานเห็นว่าควรทำ อาตมาก็ว่า ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร แต่คนอื่นเห็นว่าน่ากลัวแต่อาตมาไม่กลัวเลย สรุปคือที่ตำหนิไปก็ด้วยปรารถนาดีไม่ได้ริสยาเลย

ก็ขอตอบประเด็นว่าผิดตามธรรมวินัยอย่างไรก็สมีอุ้มสมีไม่ได้ มีหลักฐาน ว่าโกงเงินมาเป็นของตน เป็นทุจริตกรรมแล้วเขาจับได้ก็ขอคืนเงิน มันมีที่ไหนในกฎหมายหรือว่าในวินัย ท่านว่าแค่เคลื่อนออกจากฐานก็ปาราชิกแล้ว  ขณะนี้ผู้ที่มีหน้าที่จะจัดการทางกฎหมายแต่ไม่ทำ ก็ผิดมาตรา 157 นะ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งที่ทำได้ ถึงเวลาทำ แล้วควรทำอย่างยิ่งแล้วไม่ทำก็ผิดมหาศาลนะ 

เรื่องศาสนาหรือปราบคอรัปชั่น ขณะนี้ควรทำอย่างย่ิงไม่อย่างนั้นแก้ปัญหาไม่ตก เวลาทำหน้าที่คนเสียหายคนผิดเขาก็ต้านก็แย้ง ไปฟังเขาได้อย่างไร โอกาสนี้ถึงเวลาขอให้ทำให้ดีมีธรรมาภิบาล ถ้าถูกต้องแล้วควรเด็ดขาด ไม่ใช่แค่ช่วยไทย จะช่วยโลกด้วย

ไทยเรามีปฏิวัติที่สวยงามที่สุด เป็นโอกาสสุดยอด พระเจ้าส่งมาแล้ว อย่าขบถต่อสัจธรรม ขออภัยที่พูดเหมือน command นายกฯท่าน ขออภัย

คำถาม

_เรื่องบ่อนคาสิโน ที่จะเปิดเสรีจริงๆ พ่อครูจะพาไปประท้วงไหม?
ตอบ...ถ้าถึงเวลาต้องทำก็ต้องทำ ถ้ารัฐเห็นด้วยแล้วส่งเสริมก็ต้องคัดค้าน เพราะว่ามันเป็นส่ิงเลวร้ายมาก นึกว่าเสือร้ายนี้เราจะเอามาเลี้ยงได้นะ มันอวดดีมากๆ แต่ก็ดูท่านนายกฯท่านเบรกไปแล้วก็คงไม่มีปัญหามาก 

_ถ้าเพื่อนทำร้ายกัน เราก็ไปมีจิตยินดีในการทำร้ายกัน แต่เราจับจิตเราได้ เราจะบาปไหม?
ตอบ...บาป 

_มีคำถามว่า พระอรหันต์ดับจิตได้แล้วจึงไม่เกิดใช่ไหม? 
ตอบ... การดับจิตหรือพลังงานได้แล้วของอรหันต์ แล้วเพราะอะไรถึงดับจิตได้หรือเพราะไม่ทำบาป ก็ใช่ คือล้างกิเลสตนออกไปหมด กิเลสนี่คือบาป แล้วบาปที่ทำจะมาตามทวงหนี้ แต่ถ้าจะปฏิบัติต้องทำการล้างบาปปัจจุบัน เกิดเหตุตรงนี้แล้วดับได้ ผู้จะทำได้ต้องอ่านจิตเป็น เช่นจิตยินดีในการเห็นการทำร้ายกันนี่อ่านจิตออกแล้ว แล้วจะกดข่มไว้ก็ตาม ก็ต้องวิปัสสนาว่าจิตร้ายหรือจิตดีก็เป็นของไม่เที่ยงหรอก ก่อนอื่นเอาจิตร้ายให้หยุดก่อน ไม่ให้มันเกิดในใจเราได้ มันไม่เกิดอีกหรอกไม่เที่ยงไม่มีตัวตน แต่มันเกิดเพราะเราไม่มีพลังงานไปดับหรือตัดมัน เราต้องเข้าใจให้ดีใช้ปัญญาในการไปดับมัน กดข่มก็ได้ชั่วคราว เราลดมันได้ แม้มีอยู่เราก็ทำให้มันดับได้ อย่างเห็นๆหลัดๆ คุณนิโรธได้ก็รู้เลย คือโจรตายทันที อกุศลจิตตัวนี้มันหยุด ให้คุณเห็นนิโรธ เห็นความดับของจิต แม้จะกดข่มให้มันดับ มันก็ฟื้นได้ก็ได้อุปการะ แต่ถ้าเห็นได้ด้วยปัญญาว่าเอ็งเป็นตัวร้าย ตัวทุกข์ ต้องมีไฟฌานที่ไปล้างไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ พลังงานปัญญานี้เหนือกว่าพลังงานกิเลส ไปทำลายกิเลสได้จริง ถ้าทำได้ ทำให้จิตราคะ โทสะมันดับได้ ก็รู้ว่ามันดับ 

ทำอย่างไรก็ดับ ก็คือตัดวงจรไฟฟ้า ถ้าไม่ตัดมันก็เกิดลีลา เคลื่อนตัวเป็นกรรมกิริยา แต่เราทำให้มันไม่มีอีก ดับกรรมกิริยามัน เพราะพลังปัญญาเราเห็นจริงทำให้ดับได้ นี่คือเราทำให้กรรมตัวนี้ดับ แต่ไม่ได้หมายความว่ากรรมอันอื่นไม่เกิด แต่มีกุศลอย่างยิ่งเกิดได้ด้วย ต้องเข้าใจให้ดี 

ถ้าเรามีปัญญา มีพลังงานทำให้ดับจางคลายเช่นนี้ให้เห็นถึงกิเลสที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์จนหมดกิเลสหมดตัวตน ไม่มีพลังงานเคลื่อนไหวเลย ดับ มีนิโรธ 

อ.กฤษฎาว่า...ตอนเราเห็น เราจะทำอย่างไรให้หายทุกข์ เพราะมันทุกข์ เราเห็นว่าเราโมโห หัวใจเราเต้นแรง ขึ้นมาเลย มันมีอาการ อาการตรงนี้เรามองทันแล้ว เราก็บอกตนเองว่าอย่าโกรธ สติมันมาแล้ว แต่กว่ามันจะเข้าที่ ก็รู้สึกว่าทรมาน จะทำอย่างไรให้สั้นลง สลัดทิ้งไป ปหานให้ขาดเลย เรารู้ทันแต่ค้างอยู่

พ่อครูว่า..ก่อนอื่นคุณหยุดความอยากให้ได้อารมณ์ดีนั้นก่อน ให้ทำไปตามลำดับ มันอยากให้ได้ ออกไซด์ คุณทำถูกแล้วอยู่ในขั้นเนกขัมสิตโทมนัสเวทนา แต่มีกิเลสซ้อนอยากให้ได้เร็ว แต่คุณทำเหตุปัจจัยไม่ครบ ก็ทำอย่างอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง อย่างมีจิตซ้อนว่าอยากให้เร็วให้สั้นลง ใจเย็นๆ คุณทำได้แล้วก็ทำต่อไป ถ้ามันแค่กดข่มก็ไม่เทียง แต่ถ้าใช้ปัญญาทำดีแล้วก็ทำอาเสวนา พาวนา พหุลีกัมมัง ทำให้มากทำซ้ำ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ เราไปอยากให้ได้ไวก็เป็นการทำทุกข์ซ้อนทุกข์

_ผมเคยนั่งสมาธิจนสร้างรูปได้ อย่างนี้ไม่ใช่สมาธิพุทธใช่ไหมครับ สมาธิพุทธคือตื่นรู้ รับรู้ใช่ไหม 
ตอบ...ใช่ ไม่ใช่สมาธิพุทธ  ที่บอกว่าสร้างรูป คือมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต ไม่ใช่ของจริง การหลับตาก็มีแต่ความมืด ไม่มีรูป เป็นตามสัจจะ แต่เห็นรูปตอนหลับตา เห็นในใจก็คือล้วนเป็นของที่คุณสร้างขึ้นเองมโนมยัง สำเร็จด้วยจิต การหลับตามีแค่ความมืด การเห็นอะไรก็มีแค่สัญญา เพื่อดูเฉยๆ ต้องรู้ว่าไม่ใช่ของจริง 

พระพุทธเจ้าถึงสอนว่าไม่ให้ไปหลับตาทำ แต่ให้ปฏิบัติขณะมีผัสสะ 6 เป็นปัจจัย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีองค์ประกอบครบ พหิทารูปานิปัสสติ ทุกวันนี้ไปนอกรีต นั่งหลับตาสมาธิเห็นอะไรนอกพุทธ มันแค่ meditation แต่สมาธิพุทธเป็น supra meditation ทำการลืมตาในชีวิตแต่ฆ่ากิเลสให้ได้จะมีความแข็งแรงในจิต 

การไปปฏิบัติแบบหลับตาก็ได้สองแบบคือ แบบมืด สุภกิณหะหรือว่า อาภัสรา แบบสว่างก็มีสองแบบใหญ่ๆ ซึ่งเป็นมโนมยอัตตา อรูปอัตตาทั้งนั้น 

ของพุทธกิเลสดับไป อย่างลืมตาเห็นๆ มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่สายสว่างแบบธรรมกายสว่างแบบอ.มั่น กับพวกสายดับแบบฤาษีไม่รับรู้เลย มีสองแบบ

_อธิศีลหมายถึงอะไร?
ตอบ...คือศีลที่เจริญย่ิงขึ้นไปตามลำดับ มีอธิจิต อธิปัญญา ศีล 5 เจริญจิตทำได้ตามสมาทานศีล เช่นใจเราไม่โหดร้าย ลดรุนแรงลง ใจเราโลภลดลงเรื่อยๆ เราก็เพ่ิมอธิศีล เช่นศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์เราก็เพ่ิมเป็นไม่กินเนื้อสัตว์ หรือแต่ก่อนกินไม่มีมื้อกินทุกอย่าง ก็มากำหนดเหลือวันละ 3 มื้อ ต่อมาลดเหลือ 2 มื้อต่อวัน จนเหลือ 1 มื้อได้ต่อวันเป็นต้น 

_ผมโดนเพื่อนแกล้งบ่อยมากๆครับแต่ผมก็ต้องทนเอา แต่เวลาทนไม่ได้ก็เลยระบายอารมณ์ในที่เงียบๆ ผมควรทำอย่างไร ผมทนมาพอแล้วหรือยัง?
ตอบ...ก็ทนต่อไปแต่ก็ไม่ต้องไปหลบหรอก เพื่อนแกล้งเราเพราะเพื่อนรักเรา แกล้งมีสองอย่าง แกล้วให้เสียหายเลวร้ายก็มี แต่ถ้าเพื่อนแกล้งแหย่เล่นคือเขารักเรา ถ้าเขาไม่รักเราเขาไม่เล่นกับเรานะ ต้องเข้าใจให้ดีเพื่อนแกล้งน่ะเพื่อนรัก อย่าถือตัวว่าแกล้งไม่ได้ การเล่นกันเป็นมิตรสหายดี ถ้าคนเกลียดกันจะไม่แกล้งถ้าจะตบก็ตบจริงเลย ทำให้เสียหายเลย จำไว้ ถ้าเขาแกล้งนะเขารักเรา

_ทำไมตายแล้วต้องเกิดใหม่ด้วยครับ
ตอบ..อันนี้เป็นอจินไตย มาเรียนรู้ธรรมะจะรู้ว่าทำไมต้องเกิดใหม่ ทำไมชาตินี้หลวงปู่ไม่ได้เรียนศึกษาธรรมะมาแต่รู้เองรู้ของเก่า จึงยืนยันความจริงว่าชาติก่อนมี ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มากเลยนะ พอวันเพ็ญเดือน 6 ก็ระลึกได้ชัด คือชาติก่อนที่ได้บำเพ็ญมา มาเล่าเป็นชาดกไง

_คู่เวรคู่กรรมมีจริงไหม ถ้าคู่กันชาติหน้าก็ได้เจอกันส่ิงเหล่านี้เป็นจริงหรือยึดติดคะ
ตอบ..จริง แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าถ้าชาตินี้มารักผูกพันหรือชังเกลียดกันก็ให้เลิกเสียทั้งสองแบบ แม้ชาติก่อนเป็นชาตินี้มาเจอกันก็ล้างเสีย ไม่ต้องไปสร้างของใหม่ ถ้าเจอคู่รักก็ให้เลิกรัก ถ้าเจอคู่ชังก็ให้เลิกชัง

_การเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิด จะปฏิบัติอย่างไร?
ตอบ...ก็ปฏิบัติดี 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:30:30 )

580630

รายละเอียด

580630 พิธีไหว้ครูสัมมาสิกขาสันติอโศก ปี 2558

07.30 น. ตัวแทนนักเรียนสัมมาสิกขา ออกมามอบพานไหว้ครูให้กับคุรุตามแต่ละชั้นปี จากนั้นตัวแทนนักเรียนออกมากล่าวความหมายของพานที่นำมามอบให้ครู 
08.00 น. ตัวแทนคุรุ กล่าวเปิดใจ ตามด้วยตัวแทนนักเรียน กล่าวเปิดใจ
08.30 น. นร.ร่วมร้องเพลงมาร์ชสัมมาสิกขาสันติอโศก และเพลง พระคุณที่ 3 
08.50 น. พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ให้โอวาทเนื่องในวันไหว้ครู สัมมาสิกขาสันติอโศก ปี 2558 

พ่อครู...เราก็มีพิธีไหว้ครูกัน ทางเอเชียเรามีประเพณีวัฒนธรรมที่ดีอย่างนี้ เพราะเรามีคุรุกรณะ มีการเคารพ ซึ่งทางพวกหัวเอียงซ้ายมากๆ เขาว่าจะไปกราบทำไมครู ครูก็มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่เด็ก จะมาให้กราบทำไม เป็นศักดินา เขาไม่รู้จักการเคารพกันตามฐานะ ไม่มีคุรุกรณะ เขานับถือกันด้วยความรู้ความสามารถชั้นฐานะ แม้ที่สุดเคารพกันด้วยคุณงามความดี คนมีปัญญาลึกซึ้งเคารพกันด้วยคุณงามความดี อันเป็นสิ่งมีค่ายิ่งในมนุษย์แต่เขาทำกันไม่ได้ อันเป็น กายกรรม วจีกรรม เมตตากัน ถ้าคนมีได้ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นคุณงามความดีครบ 3 ทวาร เราก็เคารพกันทางคุณธรรม มันมีค่าสูงยิ่งกว่าเพชรพลอย 

คนทางตะวันตก ฝ่ายเอียงซ้ายเขาถืออิสรเสรีภาพ เป็นความเห็นแก่ตัวเต็มรูป เขาจะให้เท่ากันหมดเสมอภาคกันหมด มันทำไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าทำได้ พระพุทธเจ้าเกิดมานิ้วของท่านเท่ากันหมด ในมหาปุริสลักษณะของท่าน นี่คือสิ่งสุดยอดยิ่งใหญ่ที่สุด 

ท่านมีความเสมอภาคแล้วทำตามลำดับ ท่านถือว่าทำตามลำดับนี่แหละยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ทำอย่างลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล รู้ว่าอันไหนต่ำไหนสูงไหนมากไหนน้อย คนจะมีปัญญารู้ต่ำสูง คนนั้นสุดยอด มีปัญญาญาณ แล้วก็ทำงานกับเขา รับลูกคนนี้น้อยไปก็รับอย่างหนึ่ง คนนี้มากไปก็รับอย่างหนึ่ง

สรุปแล้วการไหว้ครูนี่เป็นความเข้าใจว่า ครูหรือคุรุเป็นผู้ทำงานหนักที่นี่ครูให้ความรู้ดูแลจริง ไม่ใช่ครูรับจ้าง เป็นครูไม่มีเงินเดือน สอนพวกเราดูแลเหมือนพ่อแม่ ดูแลกันกินอยู่หลับนอน เหมือนพ่อแม่ ก็จุกจิกด้วย เพราะเราต้องการให้เป็นคนดี ไม่ใช่รับจ้างทำตามหน้าที่ ที่นี่เป็นครูจริงๆ 

เราต้องเข้าใจสิ่งควรคารวะเคารพ ที่อื่นเขาอาจทำไม่เต็มรูปเท่าที่นี่ แต่ครูที่นี่ เป็นครูจริง ไม่ใช่จ้างมา สมัครใจมาทำ สืบทอดมา กี่ปีก็ตาม ก็สอนทุกอย่าง สอนอย่างลูกหลาน ไม่ใช่สอนอย่างมือปืนรับจ้าง ก็ขออภัยที่พูดถึงครูข้างนอก เขาก็ต้องมีเงินเดือนเลี้ยงชีพ มีรายได้ก็จำเป็น แต่ของเรามีระบบสาธารณโภคี เราก็ไม่ต้องมีส่วนตัว เป็นระบบพวกเรา 

มาดูเรื่องนามธรรม เราไม่ใช่จะรู้ได้ง่าย แค่ครูที่มาอาสาสมัครสอน ไม่คิดเงินคิดทอง สอนฟรีไม่เอาค่าจ้าง ดีไหม?....ดี เป็นคุณค่าแล้ว เราก็เข้าใจ เพราะฉะนั้น การมองนามธรรมที่จิตใจเสียสละมันมองไม่ออกเห็นไม่ได้ แต่คนมาทำนี่เราไม่ได้บังคับมาทำ  ถ้าบังคับทำไม่ได้ เราไม่ทำด้วย อย่างมากก็ขอร้อง ว่าให้มาช่วยสอน ก็มีบ้าง แต่ก็น้อย ส่วนมากสมัครใจ 

เมื่อมาเรียนแล้ว คุรุต่างๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ แม้แต่พี่ป้าน้าอาที่เป็นผู้ใหญ่ที่นี่ก็แนะนำคำสอนบอกกล่าวทั้งการทำงานศีลธรรม คนนั้นนิดคนนี้หน่อยก็ช่วยเอาภาระ ไม่ใช่ว่ามีแค่ครูบรรจุเท่านั้น แต่คนที่เอาภาระก็มีแล้วแต่ เป็นจิตวิญญาณครูที่สมัครใจสอน จะมีเนื้อมีค่ามากกว่าครูที่จ้างสอน สอนในชั้นเรียนแล้วก็ไปเปิดสอนพิเศษอีก เอาเงินนักเรียน นี่ก็เป็นวิธีการชั่ว 

เด็กเราไปเรียนที่สวนบุญผักพืช จะเห็นได้ว่าครูเราเอาจริงเอาจัง เป็นงานเต็มรอบ จัดเต็มเลย จะเรียนตำราก็สอนได้ จะให้ทำสวนทำนา ทำงานก็พาทำ ฝึกเป็นคนอยู่ในถิ่นแดนจริง ครูก็รับผิดชอบเต็มที่ อย่างครูไพรเมือง (สุรเดช) ครูพลอยไพรก็ตามก็อยู่สอนจริง เด็กๆเราลึกๆก็รู้กัน แล้วที่นี่ไม่ได้หลบหนีไปไหนได้ เห็นกันอยู่ตลอดเวลาจะรับซับซาบว่า ครูจริงๆเป็นเช่นนี้ เหมือนพ่อแม่ ปู่ย่าเรา สอนแนะนำอบรมช่วยเหลือให้เราได้รับความรู้ชำนาญได้นำไปใช้ต่อไป ที่นี่เราไม่มีอบายมุขให้เสียเวลา แต่เราฝึกให้นร.ลดละ มันวิเศษ ได้ความเจริญ

คนที่ยังไม่มีวิสัย ไม่ติดมาในสันดาน ไม่ได้มาทางธรรมก็ยาก แม้จะรู้แล้วก็ยังไม่ค่อยอยากทำ คือไม่ติดมาในสันดาน มันไม่เอาธรรมะ แล้วเพื่อนทางโลกเขามากด้วย มีแรงโน้มถ่วงทางโลกเยอะ แต่ทางเรานี่แรงดึงมันน้อย สนามแม่เหล็กสัจธรรมมีน้อยกว่าสนามแม่เหล็กโลก เราออกไปอยู่คลอง 13 ก็ค่อยยังชั่วก็ง่ายหน่อย แต่อยู่ที่นี่แรงทางโลกมันมากยั่วยวน แต่ถ้าใครมีสติสัมปชัญญะ ว่าเราต้องสู้ ต้องอดทน มีปัญญาต่อสู้ไม่โน้มตามไปง่ายๆ สามัญสำนึกก็พอเข้าใจ ว่าอย่าไปตามใจกิเลส ที่นี่สอนให้คนเจริญไม่ให้ไปทางอบายทางเสื่อม เด็กๆทุกคนเป็นกุศลมากที่ได้มาอยู่ในแวดวงการศึกษาที่นี่ เราไม่ต้องเสียเงินเสียทองในการเรียน เรียนฟรี อย่างเก่งต้องมาคัดเลือกหน่อย ถ้าไม่เหลือเกินก็พอรับได้ แต่คนก็ไม่ค่อยมา แสดงให้เห็นว่าคนโง่ ของฟรี สอนฟรี ไม่เอา เปิดฟรีด้วยไม่ได้เสียค่าผ่านประตูเลยไม่เอา แสดงให้เห็นว่าสังคมไม่รู้ว่าอันไหนแดนสวรรค์อันไหนแดนนรก 

ในสัญขาติญาณมีลึกๆรู้ว่าดีก็มา แต่คนไหนสันดานไม่มีเลือดธรรมก็ต้องสู้ ทนสู้ให้ได้อยู่ตลอด ฟังหลวงปู่ไว้อย่าท้อแท้ ไม่มีใครเรียนจบม.6 แล้วตาย ก็กัดฟันสู้ไป ที่นี่คนที่มีปัญญาดีๆเข้าใจ ก็จะได้ดีไป ได้นิสัยที่ดี อย่างหลานครูจุ๋ม หลานของดินนา สองคนนี่(คืนฟ้านวล กับชวนฟ้าชม) มีคนหนึ่งคนถามว่า ทำไมคนรุ่นเดียวกันนั้นหนูไม่ไปเหมือนคนอื่น ไม่เที่ยวไม่แต่งตัว หนูผิดประหลาดหรือไม่ พ่อครูว่า เขาก็มีสิ่งดีมาจากจิตลึกๆ แต่ก่อนเขาเป็นเด็กสมุนพระรามเรียนบ้านราชฯแล้วออกไปข้างนอก เขาก็มีของเก่า ได้มา แต่ไม่ได้สะสมมาแล้วอยากได้ จะไปซื้อตามร้านขายยาไม่มีหรอก ต้องสั่งสมเป็นอาริยทรัพย์

แต่ถ้าเราไม่มีก็ต้องสร้างใส่ อย่างหลานของป้าดินนามีแล้ว เราก็อย่าสะสมนิสัย ที่เกิดจากพฤติกรรม นิสัยคือตัวปฏิบัติ ส่วนวิสัยเป็นตัวตกผลึก สะสมเป็น DNA พวกเราพาสั่งสมเป็นนิสัยจนเป็นวิสัย เป็นของดีที่นี่ไม่เอาของที่เป็นอาสวะอนุสัยใส่เข้าไปหรอก 

ให้ตั้งใจฝึกฝนศึกษาให้ดี ตอนนี้เรามีโรงเรียน นักเรียนดี โรงเรียนก็ดีไปได้ยาว ให้ศึกษาให้ดีมากขึ้น โรงเรียนก็มีคุณค่า ทางกระทรวงมาดูตอนนี้เขาก็พอรับได้บ้าง แต่ก่อนเขาไม่ค่อยเข้าใจ ก็ว่าแปลก แต่หลวงปู่ก็พาทำให้พวกเราเป็นคนดี พยายามทำจนบัดนี้เขาก็ยอมรับมาบ้าง แต่เขาก็พูดมากไม่ได้ มาเอาตามเราหมดไม่ได้ แต่เขาเห็นว่าน่าจะสร้างโรงเรียนวิถีพุทธ พอเราเสนอว่าให้ครูมีศีล 5 ก่อน ก็ล้มกระดานเลย ไปไม่รอด จบ ก็เหลือแต่พวกเราให้พากเพียร อย่าว่าแต่ศีล 5 เลย เด็กๆพวกเราหลายคนก็รู้ตัวถือศีล 8 ได้ อย่างเด็กพวกเราไม่ให้ใช้เงินด้วย คนแอบมีก็เป็นบาปเอง ส่วนใหญ่เราไม่ทำด้วย

เด็กๆกลัวไหมไม่ได้ใช้เงิน 6 ปีจะโง่ ใครกลัวไหม อยู่ข้างในใช้เงินไม่เป็น กลัวใช้โทรศัพท์ไม่เป็น อย่างหลวงปู่ ไม่เคยมีโทรศัพท์ใช้เลยสักเครื่อง ตั้งแต่เขามีเครื่องใหญ่โมโตโรล่า ก็เอามาให้ หลวงปู่ก็ไม่เอา เดี๋ยวนี้เล็กนิดเดียว หลวงปู่ไม่มีหรอก ใช้ก็ไม่เป็น เขาส่งมาให้ฟังก็ฟัง กดปิดไม่เป็น หลวงปู่ก็ไม่เห็นโง่เง่าอะไร ก็บอกได้สอนได้ ได้รับการยอมรับอยู่ ที่นี่สอนไม่ใช้เงินสอนไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่ใช่ว่าเราแกล้งพวกเรา หรือให้พวกเราโง่ แต่ให้เราหัดยอมแพ้ศึกษาฝึกฝนให้ทำอย่างนี้จะดีกว่า ฝึกฝนหลายๆอย่างที่ดีๆ  

เด็กออกไปจบจากที่นี่ต่อไปก็จะมีมากเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน ก็จะออกไปทำหน้าที่ในสังคม ตอนนี้สูงสุดเรามีอายุ 40 กว่าแล้ว ถ้าอาุยุประมาณ ย่าง 50 จะเป็นตัวจักรสำคัญของสังคม ถ้าเด็กๆของเราจบไปทำหน้าที่ในสังคม อีก 30 ปีก็จะมีปริมาณของเด็กเราที่ได้ผ่านไปเป็นคนสำคัญของสังคมจะมีมากขึ้น เราผลิตได้ทีละน้อย ก็จะทำให้ประเทศไทยไปลิ่วไปรอดเลย เด็กพวกเราจะไปเป็น activist ของสังคม 

หลวงปู่มั่นใจว่าไม่เสียหลายที่ทำ บางคนก็ทำงานในนี้เลย ก็ส่งเสริม เมื่อเช้าก็พูดกันว่า ครูก็น่าจะมีทั้งครูวิชญ์และครูชาญ เราต้องคัดเลือกว่าเป็นผู้ชำนาญการจริงๆ แต่คนเรียนมาแล้วทำไม่เป็นมีเยอะ คนชำนาญนี่หายาก สอนได้ด้วย ทำเป็นด้วย ไม่ใช่ว่าทำไม่เป็นมาสอนมาควบคุมก็ล้มเหลวเสียหาย  

ก็ขอบคุณผู้ใหญ่ที่มาช่วยอบรมสั่งสอนนำพากันไป ก็ตั้งใจพากเพียร 

การทำพิธีไหว้ครูทางเอเชียเราเป็นวัฒนธรรม ทางตะวันตก ยุโรปเขาไม่มีวัฒนธรรมเช่นนี้ เขาจึงเลยเถิด ว่านิ้วมือมันไม่เท่ากันหรอก หน้าที่คนละหน้าที่ก็ต้องเคารพคารวะกัน คนที่ดีรองลงมาก็เคารพคนดีกว่า ไม่ดีเลยก็ไม่ต้องเคารพก็เป็นตามธรรมดา แม้การไม่เคารพเราก็ไม่ไปย่ำยีทะเลาะวิวาท 

การคารวะเคารพ นอบไหว้ เป็นการรักษาวัฒนธรรม เราจะได้ยินพวกหัวเอียงซ้ายพูดกันหนัก จะลบล้างประเพณีเอเชียก็ปล่อยเขาไป จะไปว่าเขาเขาก็ไม่ฟัง เรารู้แล้วเราก็ทำของเราไป สรุปแล้วการไหว้ครูต้องเห็นความสำคัญว่าเราต้องทำให้ดี เราทำด้วยใจ ทุกวันนี้ข้างนอกเขาก็ทำเพื่อรักษาวัฒนธรรม แต่เขาทำเล่นๆหัวๆไป แต่ของเราทำด้วยใจที่เห็นคุณค่าสาระ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:31:26 )

580630

รายละเอียด

580630_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ อรหันต์ดับอาสวะ-อนุสัยหมดหรือไม่

วันนี้วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2558 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม มีคนชมว่าอายุมากแล้วยังเดินสาย เหมือนคนหนุ่มแน่น ทำอย่างไรได้ ถึงเวลาชีพจรลงเท้าก็ไป ก็มีคนส่งประเด็นมาถามก็เอามาบรรยายธรรมะ เจ้าแรกนี่ จากคุณเจนี่โรส ...ถามว่า ใกล้วันเกิดแม่ เราพาแม่ไปถวายสังฆทาน ทำบุญโลงศพ เราจะได้บุญจริงๆรึเปล่าคะ

ตอบ...เราจะได้บุญจริงๆต้องรู้ว่าบุญคืออะไร ถ้าเราไม่รู้ว่าบุญคืออะไร เราจะไปทำที่ไหนก็แล้วแต่ก็ทำผิด ทำผิดก็ไม่ได้บุญ นอกจากไม่ได้บุญแล้วก็ได้บาป ฟังดีๆ เพราะเดี๋ยวนี้ทำบุญแล้วได้บาปเยอะ บาปคืออะไร บาปคือกิเลส จิตวิญญาณมีบาป ถ้าสามารถเข้าใจความเป็นบุญถูกต้องสัมมาทิฏฐิ แล้วรู้วิธีปฏิบัติถูกต้องทำให้จิตลดกิเลสได้ คนนั้นก็ได้บุญ ได้บุญคือเราใช้ตัวเรานี่แหละมีความรู้ความสามารถมีมรรควิธี สัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 ทำแล้วกิเลสลดได้จริง นั่นคือได้บุญ นี่พูดกันอย่างวิชาการ 

ทีนี้ทุกวันนี้ ที่พูดว่าทำบุญ ก็คือทำทานเสียส่วนใหญ่ ทำแล้วก็ทำการลดกิเลสในใจไม่เป็น จะทำทานอย่างไรก็แล้วแต่ อย่างที่ถามว่าจะทำสังฆทาน เอาโลงศพไปถวาย จะได้บุญหรือไม่ จะได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทำใจในใจเป็นหรือไม่ 

แล้วการทานล่ะ ก็ขอตอบเพิ่ม การทำทาน ถ้าไม่รู้จักวิธีการทำใจในใจ ไม่สามารถทำใจของเราให้กิเลสลดลงได้ ใจเราก็ไม่ลดกิเลส ได้แต่กิเลสเพิ่ม จิตก็ได้บาป แต่ได้กุศลไหม? ทำทานก็ได้กุศล จิตเราได้มีความเข้าใจว่าเราได้ให้ แต่เราทำใจในใจไม่เป็น ในสามัญสำนึกรู้ว่าเราได้ให้ของวัตถุ แต่ใจไม่ได้ให้ นอกจากใจไม่ให้แล้วใจยังเอาอีก นี่คือกิเลส ทำทานแล้วขอว่าจะได้ คือพยัญชนะภาษากับกิริยาของจิต ไม่ถูกต้อง 

ไม่รู้ความหมายว่าต้องทำใจอย่างไรจึงได้บุญ คือต้องทำใจให้กิเลสลด กิเลสคือความอยากได้ ความโกรธ แม้ว่าคุณทำทานแม้ไม่อยากได้ พื้นฐานคุณอยากให้วัตถุไป แต่ใจคุณไม่ได้ให้วัตถุแบบจิตคุณให้ไปโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน แต่แทนที่จะทำใจเฉยๆ แต่ลึกๆแม้คุณไม่อยากได้อะไรก็ยังดี แต่ก็ลึกๆในจิต ก็ว่าทำทานเช่นนี้ก็คงจะได้อย่างนี้อย่างน้อยอยากได้บุญ เราจะได้บุญจริงหรือไม่? บุญเป็นรูปร่างหนึ่ง กุศลคือความดี ให้ทานเป็นการเสียสละ ในโลกเขาก็ทาน ก็ให้คนอื่น คนก็นิยมชมชื่น อนุโมทนา โดยเฉพาะทางกาย วาจา เห็นๆ แต่ใจไม่ได้ให้ ใจมันจะแลกเปลี่ยน ดีไม่ดีตั้งไว้ว่าอยากได้อะไรมากๆ ขอให้ได้อย่างโน้นอย่างนี้ ตะกละ จิตขี้โลภ จะโลภหรือไม่อยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่มือหรือภายนอก คุณทำใจในใจให้โลภ อันเนื่องต่อจากการทำทานนี้ แล้วก็สร้างโลภใส่จิตอีก มันตรงข้ามเลย ที่คุณทำทานก็ต้องการให้จิตลดโลภ ไม่ใช่เพิ่มโลภ

ถ้าคุณให้แล้วทำจิตให้ลดความโลภได้ เราให้ไป ถ้าจะให้พูดให้ละเอียด ของที่จะทำทานมันราคา 100 ก็ขอคืนมา 50 คุณก็ได้ทานไป 50 ใจก็ให้ไป 50 แต่นี่เขาทาน 100 จะเอาคืนเป็นแสนเป็นล้าน หรือไม่มีกำหนดขอบเขตเลย เป็นการตั้งความโลภไว้ปากเปิด มีเท่าไหรเอาหมด ได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี 

ถามมาก็ตอบไป 

การทำกุศลก็เป็นความดีงามชนิดหนี่ง แต่เรื่องของการปฏิบัติธรรมที่จะเป็นกุศลจริงๆ ทำตามโลกเขานับถือ ก็ได้กุศลทั้งนั้น ทำไม่ดีก็อกุศล กุศลแปลว่าฉลาด ทำส่ิงที่ปรารถนาดี อย่าให้จิตคิดชั่ว จะชั่วแบบไหนดีแค่ไหนก็เท่าที่คุณเข้าใจ ส่วนจะชั่วที่คนทั่วไปเขาเข้าใจก็เป็นหลัก ว่าอย่างนี้ดีอย่างนี้ไม่ดี อย่างโลกเขาเข้าใจก็ได้กุศล แต่ทำดีแล้วทำใจในใจเป็นหรือไม่?

ศาสนาพุทธเน้นให้รู้ใจ รู้จิต เจตสิก รู้รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ เรารู้ รูปกาย หรือนามกาย กระทบแล้วเกิดรูป ก็อ่านสภาวะรูปนั้นเป็น ก็ฝึกฝนได้ แต่ถ้าอ่าน นามรูป ไม่เป็นฝึกฝนธรรมะไม่ได้ ได้แต่สะกดจิต สะกดจิตจิตก็หยุด เป็นการทำทั่วไปเรียกว่าสมาธิ สะกดจิตเก่งก็ทำได้เร็วได้มากได้นานแต่ไม่ได้หมายความว่าล้างกิเลสอะไร สะกดให้เกิดกาม เกิดโทสะได้ มีเรี่ยวแรงสะกดได้จริงก็มี แต่ไม่ได้ล้าง

ต่อมามาดูคำถามอื่นอีก มีคนถามค้างที่ไม่ได้ตอบ เรื่องธรรมะสองอย่าง เทวธัมมา เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ก็มีสองสภาพแล้วเกิดพลังงาน ทางโลกก็มีสองสภาพ บวกกับลบ ทำปฏิกิริยากัน ทางจิตก็เหมือนกัน จนเกิดแรงงาน พลังงานได้สูตรที่สูงที่สุดเรียกE = mc2 + Aมีคนถามว่า จะให้อธิบายว่าเอามาใช้ประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างไร

จิตนิยามคือพลังงาน พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้จิตวิญญาณ ศาสนาอื่นเขาก็ทำใจ แต่ทำใจให้หยุดได้เก่ง เป็นความรู้ทั่วไป ที่แม้แต่ศาสนาพุทธทั่วไปก็ได้แค่นี้ ไม่รู้ว่าจิตแยกเป็นเจตสิก มีอาการต่างๆ แค่แจกออกมาว่า อาการกาย อาการเวทนา อาการจิต อาการ ธรรมะ 4 อย่างนี้ แยกให้เห็น

พลังงานวัตถุ คือ  ตัวm คือมวล c คือความเร็วของแสง ยกกำลังสองก็ได้ E สูงสุดหากไม่เร็วเท่าแสง ก็จะไม่ได้พลังงานมากเท่า คำว่ายกกำลังสอง คือพลังงานสภาพที่คนเรานี่ หรือสภาพธรรมก็ตาม กระทบแล้วจะเกิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็เรียกว่ายกกำลังสอง มีปฏิกิริยาลูกโซ่ แล้วเขาก็ตีราคาว่า เอาครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน มันจะมากจนเขานับไม่ได้ก็เลยคูณแหลกเลย ก็คือยกกำลังสอง นี่คือทางวิทยาศาสตร์เขาคิด แล้วทางธรรม พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องธรรมะสอง ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) อยู่ในมหานิทานสูตร ล.10 ข.60 

ประโยคนี้อาตมาถือว่าเป็นหัวใจธรรมะทั้งหมดเลย เหมือนทางโลกเขาใช้ E = mc2ถ้ามันมีหนึ่งมันไม่มีพลังงานอะไรเกิดขึ้น มันต้องมีสองหน่วย เมื่อสองหน่วยจะมีลักษณะลีลาอะไรอีก อันนี้ตรงกันทางโลกเขาบอก พลังงานที่เอามาใช้ หากรู้จักจัดสรรค่าของพลังงานก็คำนวณได้ 

แล้วทางศาสนา พระพุทธเจ้าท่านสรุปผลของท่านว่า ถ้าสามารถรู้ลักษณะ 2 มันทำงานแล้วก็มีจิต จิตที่ท่านตั้งชื่อ(อธิวจนะ)เรียกว่า เวทนา  นี่แหละอาการอย่างนี้ให้รู้ให้ได้ ก็จะสามารถใช้ ความเร็วของจิต นี่เร็วกว่าความเร็วของแสง ใช้งานได้เหมือนกันเลย เร็วกว่าแสง ถ้าสามารถควบคุมได้ ให้หยุดได้ให้เบาลงได้ ให้ช้า หรือให้แรงได้ 

ทีนี้ลึกไปกว่านั้นพระพุทธเจ้าสอน แม้ในเวทนา มันมีอาการในเวทนาก็ยังแยกอาการในเวทนาไปอีกเยอะ ลีลาเป็นสุข เป็นทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นต้น นี่เป็นหัวใจของศาสนา ก็ต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ ซึ่งคนไม่ค่อยอธิบายว่าทุกข์นี่เป็นตัวเหตุให้เกิดสุข แต่อาตมาอธิบาย เหตุแห่งทุกข์คือตัณหา หากไม่ได้ดังใจก็เกิดแย่งชิงเดือดร้อนกัน 

อ่านให้รู้เห็นอาการมัน อาการที่เป็นอกุศล มันเห็นความจริงว่าไร้สาระ พาให้ทุกข์ ไม่มีดีเลย ไม่เข้าท่า มันก่อทุกข์เกิดความลำบากปัญญามันรู้อย่างมีนัยเหมือนเด็กจับไฟแล้วร้อน ก็หนีเลยไม่จับ ถ้าเราไปยุ่งแล้วมันเกิดทุกข์อย่างนี้มันเหมือนจับไฟแล้วร้อนก็หยุด นี่คือปัญญามีอำนาจเช่นนี้ มันเกรงก็มีความรู้ระดับหนึ่ง เกรงกิเลส แต่ถ้ามีพลังสูงถึงโอตตัปปะก็กลัวเลย เหมือนคนโตที่รู้ว่าจับไฟมันร้อนใครจะไปจับ มันร้อนมันทุกข์ก็ฉันเดียวกัน พระพุทธเจ้าจึงให้สร้างพลังปัญญา ให้เห็นความจริงตามความเป็นจริงว่า เราไปหลงมัน แล้วสุขเพราะได้สมกิเลส มันชั่ว ก่อทุกข์ คนที่เกิดปัญญาชัด เหมือนเด็กจับไฟ แล้วทุกข์ไม่จับอีก จะทำอย่างไรให้ปัญญาเรามีเช่นนี้

เอาอย่างชัดๆในอบาย ความหลงในสิ่งที่ไม่เจริญสูญเปล่าผลาญพร่า เสพอารมณ์สุขเฉยๆ แล้วเปลืองทุนรอนเวลา ก่อเวรภัยไม่เข้าเรื่องไม่เกิดคุณค่าประโยชน์ตั้งแต่หยาบๆทำไป จนมีปัญญาเกิด แล้วทำตามลำดับมาเรื่อยๆ ก็สามารถควบคุมพลังงานทางจิตได้ โดยเฉพาะศาสนาพุทธเลือกทำลายเฉพาะอกุศลจิต ส่วนตัวดีที่จะสร้างสรรไม่ต้องทำลาย 

แต่การไปนั่งสะกดจิตก็ทำลายหมดทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ได้ทำแบบอ่านอาการจิตได้เลยขณะผัสสะว่า อย่างนี้คือตัณหา ต้องการทำร้ายแย่งชิง เราก็เรียนรู้พวกนี้ ลดความเร็วของจิตได้ นั่นคือเราลดกำลังงานของจิต ให้ช้าลง ไม่อยากเกิด เกิดน้อยลง จางลง เบาลง จนหมด ไม่เกิด นั่นคือคุณทำให้เกิดความดับของตัวกิเลสที่เป็นอกุศลจิต จนมันดับสนิทเลย ก็ทำให้มันไม่เกิดเคลื่อนที่เลย ถ้าเป็นแสงก็หยุดแสงเลย เราเทียบเคียงให้ฟัง

ไอสไตร์มีสูตรE = mc2 อาตมาก็บวก A เข้าให้ A ก็คือ mc2 นี่แหละ แต่เป็น Abstract คือนามธรรม ถ้าเราเข้าใจก็เข้าใจ E = mc2 พวกนี้จะประยุกต์ไปทางฟิสิกส์ก็ทำได้ หรือเอาไปใช้กับธรรมะได้ เป็น  ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา เป็นหนึ่งในเวทนา (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) 

ของพระพุทธเจ้าเกิดได้ด้วยกรรม มาจากพฤติกรรม กาย วาจา ส่วนจิตคือมโน วิญญาณเป็นตัวหลักเลย ครบพร้อมทั้งนอกและใน กระทบสัมผัส ส่วนมโนคือคำกลางๆ แต่ถ้าวิญญาณต้องเกิดด้วยผัสสะ เป็นพลังงานจิตที่เกิดสดๆ ปัจจุบันเลย เกิดอาการเช่นนี้แล้วอ่านสภาวะจะเห็นอาการที่แท้ มันกระทบแล้วอยากได้ ก็เกิดตัณหาแล้ว อยากได้สดๆ อยากได้แล้วสามารถเอาได้ด้วย ย่ิงรู้ว่าเขาหวงด้วยเอาไม่ได้นะ อย่างนี้เป็นต้น เราก็อ่านสภาพจริงแล้วฝึก นี่คือการเรียนรู้พลังงานจิต ตามสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ถ้าเข้าใจแล้วไม่ได้ต่างกันเลย เป็นแต่เพียงสภาวะทางวัตถุก็ไปจัดการพลังงานวัตถุ แต่ของพระพุทธเจ้ามาจัดการพลังงานทางใจ จะเกิดเป็นคนดีมีผลเกิดได้

ทางวัตถุเขาใช้ในแนวทางทำลายได้  A bomb  of damage ทำลายเลย แต่พระพุทธเจ้ามาทำ Bomb of love ที่ไอสไตน์เขียนไว้ ไอสไตน์รู้แต่แจกแจงเป็นทฤษฎีทางจิตไม่ได้ แกพอรู้ ยิ่งชัดเจน อาตมาก็รู้ว่าแกเป็นโพธิสัตว์ ย่ิงมามีหลักฐานอันนี้เป็น A bomb of love ก็ยิ่งชัด 


_มีคำถามอีกจากคุณปิ๋ม ฝากกราบเรียนถามพ่อท่านด้วยค่ะว่า พ่อท่านเคยเทศน์ที่งานศพสิกขมาตุ
ผุสดีว่าสิกขมาตุท่านบรรลุอรหันต์แล้ว แต่เนื่องจากท่านเป็นสายเจโต  ท่านจึงไม่ทราบว่าท่านบรรลุอรหันต์แล้ว คำถามดิฉันคือ อะไรทำให้พ่อท่านเข้าใจว่าสิกขมาตท่านไม่ทราบว่าท่านได้บรรลุอรหันต์คะ ท่านอาจทราบว่าท่านได้บรรลุอรหันต์แล้วแต่ท่านไม่ได้ประกาศให้ผู้อื่นทราบก็ได้ค่ะ ที่ถามนี่ไม่ใช่ว่าไม่เคารพพ่อท่านนะคะ แต่ต้องการเข้าใจจริงๆค่ะ 

ดิฉันสังเกตดูสิกขมาตุมาเสมอ และก็เห็นสิกขมาตุมีความตื่นเเละเบิกบานอยู่เสมอ 
ไม่เคยเห็นท่านแสดงอาการอึดอัดขัดเคือง หรือมีอัตตามานะเลยค่ะ ดิฉันก็สัมผัสได้ว่าท่านมีความสงบเย็นจริง จึงดีใจเมื่อพ่อท่านยืนยันว่าท่านบรรลุอรหันต์ เพราะทำให้ดิฉันแน่ใจว่าตัวเองมีดวงตา ปัญญาและญานพอที่จะมองสิ่งดีๆออก ชึ่งจะช่วยเสริมศรัทธาให้ตัวเอง

ตอบ...อาตมาไม่เคยได้ยินเขาพูดหรือแสดงท่าที แต่ท่าทีก็พอรู้กัน ท่าทีข้างนอกจนสามารถอ่านจิตได้ โดยไม่เดาไม่ใช่ของพูดเล่น พูดไปแล้วก็มีคนมาให้ข้อมูลทีหลัง ว่าสม.ผุสดี เคยถามว่า เธอว่าฉันนี่เป็นอรหันต์หรือเปล่า? ตอนอยู่ปราการอโศก ถามสม.สัจฉิกตา อยู่ดีๆจะไปกล้าถามได้อย่างไร เชื่อไหมว่าฉันเป็นอรหันต์ แสดงว่าสม.ผุสดีรู้ว่าตนเองเป็นอรหันต์ แต่อาตมาก็ไม่ได้รับคำยืนยันจากเขา เพราะสม.ผุสดีเป็นสายเจโตไม่ใช่สายปัญญา แต่อาตมาก็เก็งว่าเป็นอรหันต์

เป็นอรหันต์มีได้สองแบบ เป็นระดับปัญญาวิมุติหรืออุภโตภาควิมุติ

ก็เอามาขยายให้ลึกซึ้งที่จะลึกมาก ที่อาตมา

คืออรหันต์นี้ดับอาสวะสิ้น เป็นอรหันต์แต่อรหันต์ที่ยังไม่ถึงอุภโตภาควิมุิตก็ดับได้แค่อาสวะสิ้น แต่อนุสัยไม่หมด อนุสัยนี่มี 7 อาสวะมี 10 ในสังโยชน์ 10 

สังโยชน์ 10 มี 
สักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา
สีลลัพพตปรามาส
กามราคะ
ปฏิฆะ
รูปราคะ
ปฏิฆะ
มานะ
อุทธัจจะ
อวิชชา 

หากหมดนี้ก็ดับอาสวะ พระอรหันต์ได้ชื่อว่าหมดอาสวะได้สิ้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าปัญญาวิมุตินี้อาสวะสิ้น ยังไม่ถึงอุภโตภาควิมุติ ซึ่งคือเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อรหันต์มีปัญญาวิมุติ แต่เจโตยังไม่วิมุติ ต้องทำเจโตวิมุติต่อ

เจโตวิมุติไม่ใช่เจโตสมถะอย่างที่คนคิดตื้นๆเช่นไปนั่งดับจิตสงบๆ เป็นสมถะคือจิตสงบ อาจดับถึงนิโรธ แต่ก็ไม่ใช่เจโตวิมุติ แต่เป็นเจโตสมถะ แต่เจโตวิมุติมีเจโตสมถะ อรหันต์เจโตวิมุติ ยังทำเจโตสมถะไม่ได้ 

แต่ถ้าเจโตวิมุติดับอนุสัยก็เป็น อุภโตภาควิมุติ 

ปัญญาวิมุตินับเป็นอรหันต์แล้ว เป็นผู้รู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่ในนามกาย เจโตยังไม่สุด เป็นเจโตวิมุติ การเรียนรู้ให้หลุดพ้นแบบปัญญาของพระพุทธเจ้าต้องเป็นวิมุติ โดยดูจากวิโมกข์ สัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกาย จนถึงนามกายตัวสุดดับได้ จิตสงบ อย่างถาวรเลยไม่ใช่สะกดไว้ แต่เป็นแบบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)กระทบอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ คือส่ิงเที่ยงแท้ถาวร ใครปฏิบัติได้ของตนจะชัดเจน ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้ายืนยันพิสูจน์ได้เป็นสวากขาตธรรม โสดาบันก็ไม่ง่ายที่มนุษย์สามัญจะได้ 

ฟังอีกที

ปัญญาวิมุตินั้นสามารถมีความดับ สงบเพราะทำให้กิเลส อกุศลจิตดับได้ด้วยปัญญา ที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าจนสิ้นอาสวะ แต่ ปัญญาวิมุติยังไม่ถึงอุภโตภาควิมุติ คืออนุสัยยังไม่สิ้น 

ส่วนอุภโตภาควิมุติมีทั้งเจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ 

ส่วนเจโตสมถะไม่เป็นโลกุตระเลยก็ได้ ได้แต่สะกดไว้อาจไม่มีปัญญาล้างกิเลสได้เลย เพราะไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ 

เจโตสมถะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคล ปฏิบัติธรรมมี 4แบบ

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ    แต่ไม่ได้โลกุตระ 

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ      แต่ไม่ได้เจโตสมถะ ต้องชัดเจนว่าเจโตสมถะไม่มีวิมุติ ต้องดับอาสวะอนุสัยจึงเป็นเจโตวิมุติ โสดาบันเก่งๆ ดับอนุสัยของอบายภูมิตนเองได้ อนุสัยมี 7 คือ 
1.กามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย ภวราคานุสัย
อวิชชานุสัย มันมีความเหลื่อม ขอเทียบภาษาวิทยาศาสตร์

คำว่า genome DNA gene 
DNA เป็นตัวธาตุแท้สมบูรณ์แบบ เป็นวิสัย ส่วน gene คือนิสัยเป็นตัวเคลื่อนและ genome คือจรณะ คือพฤติกรรม คือกรรมกิริยา ที่ลงตัวเป็น gene ควบแน่น แต่จะมีความเคลื่อนไหวในระดับหนึ่ง แต่ DNA เป็นตัวต้นเชื้อเลย 

อาสวะเทียบกับ  Gene ส่วน อนุสัยคือ DNA อาตมาพาทำแบบพระพุทธเจ้านี่ให้เปลี่ยนถึง DNA นะไม่ใช่เปลี่ยนแค่ gene 

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ     และได้ทั้งโลกุตระ 

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ 


ไอสไตน์ทิ้ง พินัยกรรมเอาไว้ฝากไว้กับลูกสาว ตกมาถึงอาตมา
มีพลังที่มีอานุภาพมหาศาลอย่างหนึ่งซึ่งจวบจนขณะนี้วิทยาศาสตร์ยัง ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นทางการ เป็นพลังที่รวมและควบคุมพลังอื่น ๆ ทั้งปวงเอาไว้ กระทั่งอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในเอกภพและเรายังไม่ได้ทำการระบุเสียด้วย  พลังจักรวาลนี้คือความรัก 

เมื่อนักวิทยาศาสตร์มองหาทฤษฎีรวมของจักรวาล เขาลืมพลังที่มองไม่เห็นซึ่งมีอานุภาพสูงสุดนี้ไปเสีย ความรักคือแสงซึ่งให้ความสว่างแก่ผู้ให้และผู้รับ ความรักคือแรงโน้มถ่วง เพราะมันดึงดูดคนบางคนเข้าหาคนอื่น ความรักคืออำนาจ เพราะมันทวีคูณสิ่งที่ดีที่สุดที่เรามี และช่วยให้มนุษยชาติไม่ดับสูญไปในความเห็นแก่ตัวอย่างมืดบอดของตนเอง ความรักคลี่คลายเผยตัวออกมา เรามีชีวิตอยู่และตายเพื่อความรัก ความรักคือพระเจ้าและพระเจ้าคือความรัก

พลังนี้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างและให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือตัวแปรที่เรามองข้ามมาเนิ่นนานจนเกินไป ที่เรากลัวความรักอาจเป็นเพราะมันเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวในจักรวาลที่ มนุษย์ยังไม่รู้จักขับเคลื่อนได้ตามใจปรารถนา 

เพื่อให้มองเห็นภาพความรักได้ พ่อจึงขอแทนค่าสมการที่ขึ้นชื่อที่สุดของพ่ออย่างง่าย ๆ แทนที่จะเป็น E (พลังงาน) = mc2 (มวล x ความเร็วแสง)2 ถ้าเรายอมรับว่าพลังงานที่จะเยียวยาโลกได้สามารถได้มาโดยผ่านความรักคูณด้วย ความเร็วแสงยกกำลัง 2 เราก็จะได้ข้อสรุปว่า ความรักเป็นพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดที่มีอยู่ เพราะมันไม่มีขีดจำกัด(จิตวิญญาณมันเร็วกว่าแสง) 

พ่อครูว่า ความรักของพระเจ้าที่แพร่สู่ทุกสรรพสิ่ง ให้อยู่กันอย่างดีสุขสงบ เราจะทำความสุขสงบได้ เราต้องฆ่าพลังงานผี ซาตานในตนให้หมด ไอสไตน์ว่า เราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะผลิตระเบิดรัก ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีแสนยานุภาพพอที่จะทำลายความเกลียดชัง ความเห็นแก่ตัว และความโลภ ซึ่งย่ำยีโลกได้อย่างราบคาบ แต่ทุกคนก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็ก ๆ อันทรงพลังอยู่ในตัว ซึ่งรอคอยการปลดปล่อยพลังงานออกมา อาตมาก็มีเครื่องกำเนิดความรักเล็กๆนะ ใครได้เห็นบ้าง 

สรุปแล้ว ใครจะรู้ได้ พลังงานสองอย่างที่อาตมาหยิบมาอธิบาย เมื่อพลังงานนี้ได้ รับปฏิฆสัมผัสโส ตแตกตัวเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่นับไม่ถ้วน มันกระแทกจาก 1 เป็น 2 ก็เรียนรู้ธรรมะสองที่มันเกิดกระทบกันในมหานิทานสูตร ธรรมะสอง รวมลงไปในเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เมื่อกระทบแล้วเกิดชอบหรือไม่ชอบ พระพุทธเจ้าว่าให้หยุดได้ ด้วยเหตุที่กระทบอันนี้ นี่ชอบ ดอกลีลาวดี ถ้ามีคนแย่งก็ไม่ชอบใจ คือเหตุปัจจัยบำเรอตนเอง ได้ก็สุขไม่ได้ก็ทุกข์ ดิ้นรนแสวงหาป้องกัน 

ถ้าทำให้หยุดได้รวมเป็นหนึ่งเป็นเอกสโมสรณา เป็นหนึ่ง ยิ่งใหญ่ สำเร็จองค์ ฌานทั้ง 4 เป็นเอกัคคตา ใช้บัญญัติเรียก(อธิวจนะ) 

เมื่อไม่รู้ทุกคนก็มีธรรมะสอง สร้างเหตุ นิทานปัจจัย สร้างเรื่อง มีนิทาน เป็นวิบาก บาปอกุศล เกี่ยวข้องผูกพันในทางดีและไม่ดี อย่างที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องกันอาตมา แม้มาจากชาติก่อนก็มา แล้วสะพัดออกไป เป็นธรรมะสอง มีเจตนาเช่นนี้ สัมพันธ์แล้วอยากได้ธรรมะ อาตมาก็แจกให้ ก็เลยเป็นนิทานช่วยกันสร้างศาสนาธรรมะ ส่วนเรื่องรักเรื่องโกรธก็เป็นนิยายน้ำเน่าเต็มโลกเลย เกิดจากเหตุปัจจัยธรรมสองนี้ เป็นเหตุแห่กันและกัน หากปฏิฆสัมผัสโส แล้วไม่เกิดพลังงานกิเลส พลังงานโง่ พลังงานที่ไม่ดีไม่เกิด เฉพาะตัวเราไม่เกิด เรารับผิดชอบตัวเองก่อน อะไรเป็นโทษหรือคุณเรารู้ 

ถ้าคนอื่นมาสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส มีAction reaction ก็จะเกิดตอบรับ เราสามารถตอบรับให้เกิด ลหุตา ทำได้เร็ว จนกระทั่งเร็วถึงกำหนดว่า กระทบปั๊บหยุดปุ๊บไม่เกิดเลย มุทุตา เป็นจิตหัวอ่านเร็วไว ทำได้ด้วย หรือค่อยๆกระทบแล้วเกิดอนุโลมค่อยๆเคลื่อนออกคุมได้ ค่อยปล่อยให้พลังงานออกมาเป็นประโยชน์ได้ หรือแม้จะเร็วได้ก็ชะลอเวลาได้ ควบคุมพลังงานจิตตนได้ 

ระดับวิการสามารถทำได้วิเศษ ให้จิตทำงานได้อย่างเบาอย่างเก่ง แล้วค่อยทำให้เป็นกรรมการงานออกไปเป็นกัมมัญญตาอย่างเหมาะควรที่สุด นี่คือพระพุทธเจ้าสามารถฝึกหัดเรียนรู้คุมจิตได้

ส่ิงที่ถูกรู้คือรูป รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสิ่งที่ถูกรู้ อาการลหุตาคืออย่างไร คุมให้เบาที่สุดแล้ว จะให้เกิดการเคลื่อนตัว สุภาพที่สุด เราควบคุมให้ออกไป เราจัดการได้เร็วมีพลังปัญญาจัดการได้เร็วมีอภิสังขาร ให้พลังงานออกไปอย่างดีที่สุด สมควรที่สุด เหมาะควรที่สุดคือความสามารถที่ยิ่งใหญ่ ออกไปทางกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อาตมาปรุงแต่งทำไม้ทำมืออยู่นะ ทำเสียงสำเนียงก็ทำอยู่นะ ออกมาเป็นกรรม 

ถ้าเจโตวิมุติก็ดับอาสวะได้ แต่ไม่ได้ดับอนุสัย แล้วนามกายขั้นอนุสัย ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติลืมตา เช่น เพราะนามรูป เป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เธอจงทราบความนี้ การบัญญัตินามกาย ต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ(ลิงค) นิมิต อุเทส คำว่าอุเทสคือการบรรยาย อย่างที่ฟังอาตมาก็คือได้รับอุเทสแล้วไปอ่านอาการ ว่าอย่างนี้คือรูป อย่างนี้คือนาม ต่างกันอย่างไร กุศล อกุศลต่างกันอย่างไรแม้อาสวะหรืออนุสัยต่างกันอย่างไร สมถะกับวิมุติต่างกันอย่างไรก็ต้องอ่านรู้

เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทส ไม่มี หรือมีคุณก็ไม่ได้อ่านอาการ หรือไม่มีผัสสะหรือนิ่งหยุดสงบจนกระแทกอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส จิตสงบน่ิงไม่เคลื่อนไหวเลย ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ถูกโลกธรรมกระทบ เอาไปเลยงบแสนล้านให้ทำงบลับทำงานเราก็ไม่ทำ ทำงานเหลือเงินก็คือไม่โกง จิตมันไม่ทุจริต 

เมื่ออาการคุณก็ไม่รู้แต่มันไม่มีอาการทุจริตเลย แล้วการสัมผัสแต่เพียงชื่อ (อธิวจนสัมผัสโส) นามกายนี่พอมันไม่มีอาการทางใจที่เกิดเลย การสัมผัสแต่เพียงชื่อ แล้วจะบอกว่าอะไรเกิด บอกชื่อบอกนามมาสิ ว่าอันนี้คืออาการอย่างไร อาการไม่เกิด อาการไม่มี ไม่กระดิก ไม่เคลื่อนไหวมันน่ิง สัมผัสอาการนี้ แล้วรูปกายจะปรากฎไหม แต่มันไม่มีอาการ มันเฉย ก็เรียกได้ทุกภาษา แต่มันไม่มีอะไรอยู่เฉยๆว่างๆ อาการไม่มี ไม่มีอาการ แต่ชื่อจริงๆมันไม่มี เราเรียกด้วยภาษาว่าเฉยว่าว่าง 

คำว่าว่างนี้ เช่นถ้วยเปล่านี้มันก็ว่างได้ เช่นที่นี่่ว่างจากช้างแต่ไม่ได้ว่างไปด้วยคน เมื่ออาการมันไม่มีแล้ว คืออาการอุเบกขา มีอากาสาฯไม่มีสุขทุกข์ หรืออาการกิเลสตัณหามันไม่มี ก็ระบุชื่ออย่างไรล่ะ ก็มันไม่มีชื่อเฉพาะ ก็กล่าวโดยแวดล้อมหรือสมมุติได้ แต่นามธรรมคุณรู้แล้วว่ามันว่าง 

การบัญญัตินามกายต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส การสัมผัสโดยการกระทบ (ปฏิฆสัมผัสโส) แม้จะเรียกรูปกาย จะบัญญัติรูปกาย ถ้าจะบัญญัติ รูปกายต้องมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส แต่ทีนี้มันไม่มีอาการ มันสูญทั้งนอกและใน จะเรียกภาษาว่าอย่างไร มันไม่มีภาษาให้เรียก พอมาข้างนอกโดยการกระทบสัมผัส เอานี่มากระทบจมูกสิ ภาษามันบอกว่าหอมก็บอกได้คุณก็รู้ว่ากระทบแล้วมันหอมก็รู้ อาการเช่นนี้องค์ประกอบทั้งนอกและใน ทั้งรูปและนามรวมกัน มีรูป 24 รูป 28 คุณทำถึงปริเฉทรูป ถึงอากาสาฯหรือว่ายังทำไม่ได้ ยังดิ้นรนอยากได้ความหอมนี้ก็ต้องเรียนรู้

แต่ถ้านามกายมันก็ไม่มีแล้ว รูปกายถึงออกมากระทบสัมผัสเป็นรูปเรื่อง อาการนั้นก็ไม่มี มันก็ว่าง แม้จะมีบทบาทพฤติกรรมออกมาข้างนอกมีกระทบสัมผัสภายนอกมันก็ไม่มีอิตถีภาวะ ตอนนี้ไม่มีถึงนปุงสกลิงค์แม้ปุงลิงค์ก็ไม่มี ก็รู้ว่าหอมไม่ได้อยากได้เลย กลิ่นนี้เขาสมมุติกันว่าหอม แต่ถ้าหอมแล้วชอบอยากได้ แต่ไม่มีเงินซื้อก็ขโมยเถอะก็เป็นนิทานยาวนาน ก็คิดง่ายๆคนชั่วก็ขโมย แต่คนดีจะไม่คิดเช่นนั้น คนมีภูมิระดับหนึ่งก็ว่าอยากได้ก็ขอซื้อ นิทานเหล่านี้พวกคุณเคยเกิดทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไม่สูญเปล่าไม่ใช่จำเอาไปสอบเปรียญธรรม แต่มันต้องทำให้เกิดผลได้จริงมันจึงเกิดประโยชน์จริง เป็นสภาวะจริง จนทำให้หยุดได้อนุโลมให้เกิดได้ จะเกิดน้อยเกิดมากก็ได้ ถ้าไม่ให้เกิดเลย ไม่อนุโลมเลยไม่ยอมทำงานกับคนอื่นเลย เช่นฉันไม่เอาฉันไม่ชอบ ฉันเฉยแล้วกลางๆ ไม่ชอบก็ไม่มีชอบก็ไม่มี แต่อาการแสดงทางกายก็ไม่ตอบ วาจาก็ไม่ตอบ เอาไหม?...หรือหูหนวก ถามก็ไม่พูดไม่แสดงอาการไม่รู้สึกรู้สาอะไร จะใช่คนไหม? บางที ไปพูดกับควายว่าเอาไหม? ควายมันอาจจะเอา แต่พูดกับคนนี่ ได้ยินไหม? 

คนเรามันต้องมีการตอบรับกัน เช่นแม้ไม่อยากเอาก็ตอบรับ เขาปรารถนาดีก็ตอบรับ เช่นเขาเอาของมาถวายอาตมา แม้อาตมาไม่กินก็รับด้วยยิ้มรับ ไม่ใช่หน้าบึ้งรับ จะกินไม่กินก็เรื่องของอาตมา หรืออนุโลมกินให้หน่อยทั้งที่กินยากจะตาย หวานไป เผ็ดไป นี่คืออยู่กับโลกต้องอนุโลมปฏิโลม อาตมาลงไปทำงานกับการเมืองก็ไปช่วยเขา อาตมาไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ ก็ทำงาน

อาตมาไปทำงานการเมือง คนเขาก็เข้าใจว่าศาสนาพุทธไม่ยุ่งกับการเมือง อาตมาก็ขอขยายความว่า การเมืองเป็นงานเพื่อพลเมือง คนใดที่เป็นนักก็คือคนทำประจำ ก็ต้องทำงานกับพลเมือง โดยมีเงื่อนไขหลักว่าช่วยคน ช่วยประชาชน คือคน ก็คืองานการเมือง ช่วยนะไม่ใช่ทำเพื่อได้ส่ิงแลกเปลี่ยน ถ้าทำเพื่อได้แลกเปลี่ยนไม่ใช่ช่วยเขานะ แต่ทำเพื่อส่ิงตอบแทน ได้ สรรเสริญ ได้ลาภ ได้ของแลกเปลี่ยน คือผู้รับใช้ 

ผู้รับใช้ประชาชน คือไปทำงานกับปชช.แต่เอาส่ิงตอบแทนแลกเปลี่ยน ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตาก็ยังมีมิจฉาอาชีวะอยู่ ไม่สุจริต ลูกพระพุทธเจ้าต้องทำงานไม่เอาอะไรตอนแทน ไม่เอาลาภแลกลาภ แม้ทำด้วยยากเสี่ยงตายด้วย เขาแบกปืนมายิง เขากลัวอาตมาถูกยิงตาย ที่อาตมาถือโทรโข่งพูดบนเวทีเลย 

การทำอย่างพ้นมิจฉาชีพสูงสุดเลย ก็เป็นการอนุเคราะห์เกื้อกูลจริง เป็นสิ่งประเสริฐที่ดีก็ไม่เรียกว่ารับใช้ แต่ผู้ไม่เข้าใจก็ว่าทำไมห้ามกั้น จะห้ามกั้นคือผู้ภูมิไม่ถึง ปัญญาไม่ถึง จะไปทำแล้วก่อความเสียหายไม่มีฝีมือ เหมือนเด็กที่บางงานไม่เหมาะจะทำ แต่ถ้าคุณโตก็จะทำได้อย่างอาตมาโตแล้วก็ทำได้ อาตมาพาทำแล้วก็จนเกิดผลสำเร็จ ถือว่าความสงบสยบความรุนแรง อาตมาว่าพิสูจน์คำสอนพระพุทธเจ้าได้พิสูจน์หนังจีนด้วย เอาความสงบสยบความรุนแรงได้ เอานิทานเรื่องจริงมาพูดนะ เราไปช่วยทำให้เกิดสงบได้จริง เราทนต่อความร้อนความลำบากได้จริง ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากก็เป็นฌาน บางคนก็ทำได้อย่างสบายๆด้วย รู้ว่าร้อน หนาว ก็มี แต่ไม่หงุดหงิดรำคาญเลย คนใดมีลักษณะเช่นนี้ก็สงบ แล้วไปแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นให้เกิดความสงบได้ เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง แม้แต่เราไม่ตอบโต้เขาแล้วเรายังนั่งสงบ ยกมือไหว้ สิ่งเหล่านี้เป็นกรรมกิริยาที่เขาสัมผัสแล้วต้องคิด ก็คนน่ะ เขาไม่เป็นศัตรูกันตรงๆด้วย เขานั่งไหว้ทำไม เขาก็กลัวเรานะ จิตคนดีก็จะคิดว่าเรากำลังทำร้ายใครเขาสงบนะ เขาไม่โต้ตอบเลย ไม่น่าจะทำอะไรเขาเลย หมานี่นะหมาตัวใหญ่ไม่ทำอะไรหมาตัวเล็กที่มันยอมให้นะ หมามันยังสุภาพ ไม่รังแกกัน เขาไม่ได้สู้ไม่ได้ตอบโต้นะ หมามันยังมีความรู้สึกนี้ได้ คนทำไมจะไม่มี 

อาตมาพาพวกเราทำความสงบสยบความรุนแรง หากต่อไปมีอีกจะไปไหม?...ไป ประมวลแล้วอาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็รู้นิยายเหล่านี้ เอามาอธิบายให้ฟัง คนเราหาจิตบรรลุธรรม จะรู้โทษรู้คุณ รู้ส่ิงที่ควรเป็นไปอย่างไร รู้สมบูรณ์แล้วก็จบ ต้องมีปัญญารู้คุณ โทษ สมบูรณ์แบบ 

พฤติกรรมคนเรามีทั้งดีและชั่ว แต่อาตมามั่นใจว่าพาทำส่ิงที่ดี แล้วก็ฝึกฝนจิตใจเราไป ขอให้ทำส่ิงที่ควรทำ อาตมาก็พาทำส่ิงที่ควรทำเป็นสัจธรรม ใครเห็นดีงามก็มาช่วยกัน แต่มันต้องเสียสละ ต้องสร้างจิตเสียสละใครจะไปด้วยกันยกมือ....จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:32:53 )

580701

รายละเอียด

580701_ธรรมาธรรมะสงคราม สุดโต่งของอาริยะกับปุถุชน

พ่อครูว่า วันนี้วันพุธที่ 1 ก.ค. 2558 ... อาตมาก็ได้ไปอ่านคอลัมน์ ฝากไว้ให้คิด ในหนังสือพิมพ์​มติสวรรค์ ที่พาดพิงถึงเรามา เราก็คงจะไปวิจารณ์หนังสือพิมพ์ไม่ได้ แต่ก็จะวิจารณ์ข้อเขียนในหนังสือพิมพ์ที่มีว่า ...ในมุมมองของครูบาอาจารย์ในวงการนักเขียน ที่มีคุณธรรมมากประสพการณ์ ท่านได้เขียนไว้น่าอ่านมาก ท่านบอก...ระหว่างพระธุดงค์ปิดถนนกับพระนำม็อบตั้งกรวย ตั้งการ์ด คุณเลือกใคร ขอเป็น "สองไม่เอา" ได้ไหม หรือสามไม่เอา สี่ไม่เอา ฯลฯ แต่ยังเป็นพุทธอยู่

“พุทธอยู่ที่ใจ" ไม่ต้องพึ่งพระ ท่องคาถานี้ไว้ เพราะเหลือพระให้พึ่งได้น้อยเต็มที ถามจริง พระกระแสหลักที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่สันติอโศก แต่ พระปลุกเสกพระแก้ชงนั่นไง พระสร้างเหรียญสร้างพระเครื่องขายได้ร้อยล้านพันล้าน สุดยอดธุรกรรมเก็งกำไร

กระแสถล่มธรรมกายที่กำลังแรงในวันนี้ คำถามคือต้องการปฏิรูปพุทธศาสนาจริงหรือ แล้วแนวทางปฏิรูปคืออะไร คือทำลายธรรมกาย แล้วเปลี่ยนผู้มีอำนาจในมหาเถรสมาคม แล้วได้ผลจริงไหม?

พ่อครูแทรกว่า ...ที่จริงนี่การปฏิรูปอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นการปฏิรูปสิ่งที่มีบทบาทต่อสังคม ทุกคนในสังคมมีสิทธิ์ปฏิรูปทั้งนั้น ใครมีส่วนต่อสังคมมากเท่าไหร่ก็มีส่วนปฏิรูปมากเท่านั้น ทีนี้พูดถึงศาสนา ผู้มีส่วนในสังคมก็มีส่วนปฏิรูปทั้งนั้น แม้แต่อโศกก็ตาม แล้วอโศกต้องการปฏิรูปจริงไหม​ จริง แล้วทำกันจริงจังทำตลอดเวลาไม่ได้เว้น ถือว่าอย่างนั้น ส่วนจะบอกว่ามีพลังกับสังคมอย่างหวือหวา ทำว่าจะปฏิรูปใช้อำนาจสังคมให้เปลี่ยนได้เลย เขาคงหมายถึงตรงนี้

พูดอย่างนี้ ไมได้นิยามชมชื่นลัทธิจานบิน ไม่ได้ปกห้องมหาเถรสมาคม เพราะผมเห็นพ้องกับพระไพศาล วิสาโล ว่าธรรมกายคือภาพสะท้อนปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งกว่าของวงการพุทธศาสนาไทย เปรียบไปก็เหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่โผล่มาหลายครั้งแล้ว ตั้งแต่กรณีสันติอโศก ยันตระ ภาวนาพุทธโธ อิสระมุนี หรือเณรคำ แต่คนที่เล่นงานธรรมกายกำลังเล่นแค่เปลือก ซ้ำยังเอาการเมืองเรื่องสีเสื้อเข้ามาพัวพัน เช่นโยงธรรมกายเข้ากับทักษิณ ทั้งที่ธรรมกายก็ถูก "นักวิชาการแดง" จำนวนมากวิพากษ์เช่นกัน ไม่ยักมองพวกตัวบ้าง นุ่งผ้าเหลืองเดินนำพระสวนโมกข์วัดชลประทานฯ มัวหมองไปถึงท่านพุทธทาส ท่านปัญญาที่มรณภาพไปตั้งนาน ไม่ควรเอาท่านมาพัวพัน

จะว่าไปก็ตลกนะครับ สังคมไทย เพราะพวกรักธรรมกาย พวกเกลียดธรรมกายบางคนก็อาการหนักไม่แพ้สงครามสี หรือ "ป่วย" กว่าด้วยซ้ำ 

พูดอย่างนี้ไม่ได้บอกว่า อย่าเอาผิดธัมมชโยเดี๋ยวสังคมแตกแยก เพียงแต่ต่อให้ชี้ว่าธัมมชโย ปาราชิก คุณก็ล้มธรรมกายไม่ได้ ต่อให้ยึดจานบินเขาก็ออกไปเป็นลัทธิแบบสันติอโศก ซึ่งยังขยายสาวกได้มากมายพร้อมกับพันธมิตร ล้างพิษตับไส้

พ่อครูว่า ขอแย้งตรงนี้นิดหนึ่ง ถ้าธรรมกายถูกยึดจานบิน ก็จะออกมาเป็นลัทธิสันติอโศก ตอนนี้เขาเรียกสันติอโศกว่าเป็นลัทธิเลย เพราะแยกออกมาเด็ดขาดแล้ว ถ้าธรรมกายต้องถูกขจัดออกแบบนี้ก็จะมาเป็นเหมือนสันติอโศกอันนี้ขอแย้งคุณลมใต้ปีก ว่าคุณไม่มีความรู้ศาสนาพุทธ ถ้าธรรมกายถูกล
โทษ ธรรมกายแยกออกมา ถ้าจะมาตั้งคณะจริงๆ จะเป็นลัทธิ แต่สันติอโศกไม่เป็น สันติอโศกลาออกมาถูกธรรมวินัย ลาออกมาก่อนที่เถรสมาคม (มส.)จะมาเล่นงาน ทำทีว่าจะขจัดใช้อำนาจหลักเกณฑ์ มาทำน่ะทีหลังที่สันติอโศกได้ลาออกจากมส.แล้ว ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 เป็นอิสรเสรีภาพ นานาสังวาสตั้งแต่ 7 ส.ค. 2518 แต่ต่อมาพศ.2532 มหาเถรสามาคมก็มาเล่นงาน จากนั้นอีก 10 ปี ซึ่ง การทำนานาสังวาสก็ถูกต้องตามธรรมวินัย มีเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ พร้อม ที่จริงพระพุทธเจ้าให้ขอแยกโดยปากก็สำเร็จแล้ว แต่เรามีรายลักษณ์อักษรด้วย แล้วเขาก็ส่งถึงมหาเถรสมาคมรับรู้หมด ตั้งแต่พศ.2518 แต่มาถึงพศ.2532 เกิดกินยาผิดมาบอกว่าสันติอโศกอยู่ในการปกครอง 

พระไปล้างพิษตับได้แต่เป็นผู้ไปทำไปรักษาไม่ได้ แต่ก็ไปกันมากไปหน่อยก็ขอปรามไว้ตรงนี้

อะต๊ะ ไม่ได้บอกว่าท่านโพธิรักษ์ เลวร้ายอะไร สันติอโศกแข็งปั๋ง เรื่องวัตรปฏิบัติ เพียงแต่สุดโต่งไปอีกข้างคือพาสาวกไปสร้าง "คอมมูน" ที่ "ล้น" ไปจากวิถีชีวิตคน

ทำไมธรรมกายใหญ่โต ก็ต้องถามว่า ทำไมเกิดสันติอโศก ยันตระ ลักษณะร่วมกันคือสามารถสกัดวาทกรรมจากคำสอนของพระพุทธศาสนา มานำเสนอในแนวทางของตน แล้วมันจับใจคน โดยเฉพาะคนชั้นกลา ซึ่งกำลังเสื่อมศรัทธาพฤติกรรมของพระสงฆ์อย่างเณรคำ พระปลุกเสกพิธีกรรม พุทธพาณิชย์ที่มีเกร่อ

ลักษณะเดียวกันนี้ ที่คนชั้นกลางเลื่อมใส ท่านพุทธทาส ท่านปัญญา พระประยุทธ์ ปยุตโต หรือท่าน ว.วชิรเมธี ซึ่งนำสารธรรมของท่านพุทธทาส มาอินเทรนด์กับวัฒนธรรมป๊อปอีกที เพียงแต่คำสอนของสันติอโศกกับธรรมกายฉีกไปคนละด้าน

สังเกตให้ดี ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา หนังสือธรรมะขายดิบขายดี  สำนักสงฆ์พระรุ่นใหม่มีมการศึกษา ผุดขึ้นรอบกรุงเทพฯ สนองความเติบโตของทุนนิยม ที่ทำให้คนเคว้งคว้าง ศีลธรรรมเก่าปะทะสังคมใหม่ ค่านิยมเก่าปะทะวิถีชีวิตใหม่ ทำให้คนจำนวนมาก ต้องการที่พึ่งทางใจ พระสงฆ์ทั่วไป ซึ่งมาจากชนบท บวชเรียนตั้งแต่เด็ก สวดภาษาบาลีสันสกฤติ สัพพีติโย สนองอาการทางจิตของสังคมไม่ได้

แล้วธรรมกายมาจากไหน พระวัดพระธรรมกาย จบปริญญาตรีขั้นต่ำ เข้าใจเข้าถึงคนชั้นกลาง รู้จักใช้ระบบบริหารการตลาด พัฒนาองค์กร จัดกลุ่มเป้าหมายลูกค้า เทียบวัดธรรมดาคือ MBA กับโชห่วยเทียบได้ที่ไหน ฉะนั้นต่อให้มหาเถรไล่ธรรมกายออกไปลัทธิจานบินก็อยู่ได้ หรือก็มีลัทธิใหม่

นี่เป็นปัญหาของวงการพุทธศาสนา ที่จะต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ เป็นปัญหาของสังคมไทย ที่จะต้องปฏิรูปความคิดความเชื่อ ค่านิยม ศีลธรรม ให้สอดรับกับชีวิตสมัยใหม่ ไม่ใช่มุ่งบังคับแข็งขืนให้เป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่ออกกฎหมายคุ้มครองศาสนา ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ใช่ผูกอำนาจทุกอย่างไว้กับพระ 20 รูปในมหาเถรสมาคม

ฉะนั้น ใครที่วิจารณ์มหาเถรสมาคม ก็ควรมองให้ไกลกว่าต้องการให้มหาเถรมีมติถูกใจ หรือต้องการให้พระรูปนั้นรูปนี้เป็นใหญ่ แต่มองให้เห็นว่าระบอบการปกครองสงฆ์แบบ "อาณาจักร" ที่ใช้มาตั้งแต่สมัยเผด็จการสฤษดิ์ แก้ปัญหาไม่ได้ เราปฏิรูปประชาธิปไตยเพื่อกระจายอำนาจ ไม่ใช่รวมศูนย์อำนาจ ศาสนาก็เช่นกัน พระผู้ใหญ่ 20 ท่านเราเคารพนับถือ แต่จะให้ท่านตัดสินทุกเรื่องไม่ได้ ทำอย่างไรจะปฏิรูปให้เป็น "พุทธอิสระ" ที่ไม่ใช่แค่ฉายาคนห่มผ้าเหลือง แล้วก็ต่อสู้กันจริงจังในเรื่องความคิดปรัชญาพระธรรมวินัย

สุดท้ายนี้มีหลายท่านส่งข้อมูลเตือนแบบทิ้งท้ายว่า การปฏิรูปพระมิใช่ทำเป็นคึกคักสนุกสนาน เหมาเอาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าภาษาบ้านๆ เขาเรียก คาดเดา ตู่เอา โมเม และปรามสุดท้าย อย่าทะลึ่งวิจารณ์ มส. มันบาปรู้มั๊ย!!! 
...ลมใต้ปีก...

พ่อครูว่า...สรุปแล้วที่เขียนมาคือผู้ป้องกันให้มส.นั่นเอง ก็วิจารณ์แทบทุกสำนัก เว้นบางสำนัก

มาดูปริเฉทแรกว่า พระธุดงค์ปิดถนน กับพระนำม็อบ ตั้งกรวยตั้งการ์ด ปิดถนน จะเลือกแบบไหน หรือไม่เอาสองอย่างเลย ต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง อาตมาคาดว่า เขาเลือกเอาเดินธุดงค์ปิดถนนมากกว่ามั้งคงไม่เอาพระม็อบตั้งกรวยตั้งการ์ด 

แล้วบอกว่าพุทธอยู่ที่ใจ ก็ใช่ ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว พุทธคุณอยู่ที่ใจ ใจเป็นตัวบรรลุ นี่พูดถูก ที่จริง อวิชชาก็อยู่ที่ใจ มีวิชชาก็อยู่ที่ใจ เพราะว่าเหลือพระให้พึ่งน้อยเต็มที พระที่พึ่งไม่ใช่ธรรมกายหรือสันติอโศกด้วย แต่ไปพึ่งพระปลุกเสกฯ แก้ชง ขายพระได้ร้อยล้านพันล้าน ที่จริงเขาพูดถูกนะ คนไทยทุกวันนี้พึ่งอันนี้ 

แต่อาตมาก็เห็นว่า คนพึ่งธรรมกาย มีมากนะ เป็นล้านเลย แข่งกับพวกพระปลุกเสกฯได้เลยนะ เพราะพระปลุกเสกฯพระนี่เขาแจกรายหัวได้น้อยกว่าธรรมกายเลยนะ แล้วคุณลมใต้ปีกบอกว่าปฏิรูปคืออะไร เขาก็ท้วงเลยว่า  คำถามคือต้องการปฏิรูปพุทธศาสนาจริงหรือ แล้วแนวทางปฏิรูปคืออะไร คือทำลายธรรมกาย แล้วเปลี่ยนผู้มีอำนาจในมหาเถรสมาคม แล้วได้ผลจริงไหม?

สรุปคือ อาตมาดูว่า เขาก็ว่าธรรมกายเป็นการสะท้อนปัญหาร้ายแรงยิ่งกว่าอย่างอื่น สันติอโศกก็อยู่ในนั้นมียันตระ เณรคำ อิสรมุณี เขาก็นับเขาไปด้วย เขามีสิทธิ์ว่า เราก็มีสิทธิ์ชี้แจงว่าเราไม่ใช่

คุณลมใต้ปีกว่า ธรรมกายเป็นแค่ส่วนบนภูเขาน้ำแข็ง แล้วก็ว่า ไปเอาเรื่องสีเสื้อ มาเกี่ยวอีก แล้วทีผู้ห่มผ้าเหลืองเดินนำพระสวนโมกข์ หรือพระวัดชลประทาน อย่างนั้นทำไมไม่ว่า ก็ชัดเจนว่า คือพระสุเทพ ที่เขาพาดพิงถึง 

คุณลมใต้ปีกมั่นใจว่า ธรรมกายไม่ล้มหรอกแม้จะยึดจานบินหรือว่าให้ธัมมชโยปาราชิก แต่ขอยืนยันว่าสันติอโศกกับธรรมกายไม่เหมือนกัน แล้วคุณลมใต้ปีกว่า ธรรมกายจะเหมือนสันติอโศก ก็ขอยืนยันว่าไม่เหมือนกันเลย มันคนละขั้ว เราไม่ได้ผิดด้วย เราจำยอมที่คุณมีอำนาจใหญ่ แล้วผู้เซ็นฟ้องก็เอาสังฆราชมาเซ็นฟ้องด้วย อาตมาก็รู้ว่ายังไงก็แพ้ ทั้งๆที่อาตมา ขออภัยอาตมารู้อย่างนี้ด้วย ว่าสู้ความเสร็จนี่อาตมาไม่ได้แพ้ด้วย ผู้พิพากษากำลังจะอ่าน แต่แล้วไม่อ่าน ผู้พิพากษาก็หลบไปข้างหลังแล้วอ่านใหม่ มาอ่านใหม่ก็อ่านให้อาตมาแพ้ ซึ่งอาตมาก็ยอมรับไม่ได้ดื้อดึง แต่นี่พูดเท่าที่มีข้อมูลให้ฟัง มันมีอะไรก็ตาม อาตมาพูดถึงไปบ้างตามวาระ 

ขอสรุปว่า สันติอโศกกับธรรมกาย ถ้าจะออกมาออกคนละอย่าง ธรรมกายไม่ได้ทำนานาสังวาส อย่างธรรมวินัยเหมือนสันติอโศกแต่กรณีสันติอโศก มหาเถรสมาคมกลับไปกลับมาใช้อำนาจรังแกสันติอโศกเราตัวน้อยเราหมาน้อย เราก็แพ้ เราแพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจทรงความมั่นคง ทางโน้นทำขัดแย้งกับธรรมวินัยด้วย อาตมาไม่ได้อยู่ในข่ายปาราชิก แล้วให้ใครมาสั่งสึกได้ อันนี้นอกเหนือธรรมวินัยไม่ตรงกับธรรมวินัย กฎหมายสงฆ์ 2505 ก็ใช้ไม่ได้ ขัดแย้งกับธรรมวินัยก็โมฆะ  เราไม่ได้จับประเด็นนี้เป็นหลักในการสู้คดี พูดไปบ้างแต่เขาไม่ใช้อันนี้ อาตมาไม่ได้ผิด สันติอโศกไม่ได้ผิดถึงขั้นจะสั่งสึกได้แต่มาทำกันเกินเหตุ ฆราวาสไม่มีสิทธิ์พิพากษาธรรมวินัยพระด้วย แต่พระนั่นแหละทำผิดธรรมวินัย ตั้งแต่รื้อฟื้นให้ฟ้องก็ตาม ไปอ่านในหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสที่อาตมาเขียนเอาไว้ก็แล้วกัน

ผู้วิจารณ์ธรรมะหากวิจารณ์สิ่งที่ถูกโดยสัจจะเป็นสิ่งผิด คนนั้นทำบาป ขอเตือนไว้ ควรศึกษาดีๆก่อนวิจารณ์ แล้วไม่รู้ก็ไปวิจารณ์ผิด ยกคนผิดไปข่มคนผิดอีก ก็บาปหนัก 

แล้วสันติอโศกจะยืนยาวต่อไป เราไม่แค่ล้างพิษตับไส้ แต่เราล้างพิษออกจากใจจากจิตวิญญาณแท้จริง ไม่มีสำนักไหนลอกเลียนแบบได้ด้วย ทำอย่างไรก็ไม่เหมือนสันติอโศกล้างพิษ โปรดติดตาม อย่ากระพริบตา 

คุณลมใต้ปีกบอกว่า ไม่ได้บอกว่าท่านโพธิรักษ์ เลวร้ายอะไร สันติอโศกแข็งปั๋ง เรื่องวัตรปฏิบัติ เพียงแต่สุดโต่งไปอีกข้างคือพาสาวกไปสร้าง "คอมมูน" ที่ "ล้น" ไปจากวิถีชีวิตคน
พ่อครูว่า อันนี้หนักมาก ที่ว่าล้นไปจากวิถีชีวิตคน ก็ถูกอย่างคุณลมใต้ปีกพูด เพราะอโศกพาคนออกจากวิถีชีวิตคน(ปุถุชน) แต่มาเป็นวิถีชีวิตพรหม (คนอาริยะ)ที่แท้จริง ขอยืนยันว่าออกมาไม่ได้ง่าย แต่สันติอโศกออกมาได้จริงๆ 

คำว่าสุดโต่ง อาตมาก็ขอยืนยันว่าอโศกยังไม่ได้พาคนมาสุดโต่งจริงๆเลย คนสุดโต่งคือคนทำเลยสัจจะไป คุณลมใต้ปีกก็คงเห็นว่าเราทำเกินกว่าชีวิตคนควรเป็น อาตมารับอย่างหนึ่งรับที่คุณลมใต้ปีกว่า อาตมาพาออกไปจากชีวิตคน ก็คือออกไปจากชีวิตคนปุถุชน มาเป็นอาริยชน ถ้าเห็นว่าอย่างนี้อาตมารับด้วยความเต็มใจ แต่คุณลมใต้ปีกคงไม่ได้หมายเช่นนี้ แต่หมายไปในทางเสียหาย อาจหาว่าบ้า มองไปแง่ลบเสียหาย ก็อธิบายความสุดโต่งให้ชัด 

ศาสนาพุทธพาให้คนเจริญ จุดที่จะเจริญคือจุดที่เป็นจุดกลางที่ถ้าผู้ใดศึกษาศาสนาพุทธ ได้คุณธรรมแล้วจากจุดกลางจะเดินทางไปทางที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นทางนิพพาน นี่คือการก้าวหน้าที่ดีที่จริง แต่จุดที่คุณลมใต้ปีกว่า คือตนเองยืนอยู่ ก็ยืนอยู่โน่น คือได้เดินออกไปจากจุดกลางโลกุตระ เดินออกไปไกล เหมือนปากกรวยไปโลกีย์ปุถุชน ไปทางอบาย แล้วก็เลยมองหันไปมอง ไปมองที่โพธิรักษ์พาคนเดินทางไปนิพพาน 

คุณลมใต้ปีกและพรรคพวกเดินไปไกล ก็เห็นโพธิรักษ์พาคนเดินไปอยู่ไกลลิบเลย แล้วก็บอกว่ามันโต่งไป เขายืนอยู่ตรงปลายทางอบายมุขตกกรอบไปทางปากกรวย เป็นปุถุชนกิเลสหนาขึ้นมากขึ้น จนเดี๋ยวนี้ใกล้กลียุคแล้ว ไปไกล ความไกลคือเดินผิดทาง ออกไปสู่ทางกิเลสหนายิ่งขึ้นๆ ก็เลยไกล แล้วไปพูดถึงความไกล โดยการมองตนเองกับจุดที่อาตมาพาคนสันติอโศกไปเป็นอาริยะแบบที่ศาสนาพุทธพาเป็น มันก็เลยเห็นไกล ก็เลยตีขลุมว่า มันไปไกลสุดโต่ง ทั้งๆที่อาตมาพาคนไปนิพพานได้แค่นั้นแหละ ได้อย่างรูปที่เห็นนั่นแหละ 

เพิ่งจะมาได้แค่นี้เอง ทางที่จะพาหมู่ไปนิพพานนี้ยังมีอีกไกล ทางเส้นประ นั่นยังไม่ถึง ออกไปได้นิดเดียวยังไม่ไปไกลถึงไหนเลย แต่ถูกตู่ว่าสุดโต่ง แต่ตนเองนั้นสุดโต่งไปในทางไม่ควรจะเป็น เดินไปหาอบายมุข หาโลกธรรม ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุข ทั้งกามทั้งอัตตา ตกในอบายมุขก็ไม่รู้ตัว ไปหานรกอเวจี 


ขออภัยที่พูดเป็นวิชาการ พระพุทธเจ้าสอนปฏิโสตัง กระแสไปโลกุตระนั้นอย่างหนึ่ง กระแสโลกียะก็อย่างหนึ่ง  อาตมาพาไปทางโลกุตระถูกแล้ว แล้วก็ได้เท่านี้เอง เขาก็หาว่าสุดโต่ง นี่ยังไม่ได้ไกลถึงไหนเลย แต่ตนเองโต่งไปหาโลกียรส โลกียธรรม ซับซ้อนมุ่งแย่งชิงหมุนรอบเชิงซ้อน อย่างไม่เห็นว่ามีทางแก้ จึงได้ลาออกมา เป็นนานาสังวาส ถ้าขืนตกภายในอำนาจมหาเถรสมาคม อาตมาก็พาคนไปทางโลกุตระไม่สำเร็จแต่ จึงได้ขอลาออกมาเป็นคณะเล็กเป็นนานาสังวาสที่ทำได้สองแบบ คือหมู่เล็กขอออก หรือหมู่ใหญ่ขับออกไป ได้ทั้งสองนัย แล้วเราก็ทำได้ถูกต้องตามธรรมวินัย แต่มหาเถรสมาคมทำผิดพลาด ไม่ได้แก้ตัว แต่ขอเปิดเผยเผยแพร่สัจธรรม ได้เขียนหนังสือออกมา 

ในพรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าว่า  ถ้าเราไม่เป็นอย่างว่าให้แก้ไข ใครมาตู่เราว่าผิดเราก็ต้องแก้ไขได้ ยืนยันว่าให้บอกได้ ไม่ใช่ว่าเรามาพูดเพราะทนไม่ได้ แต่พูดให้รู้ความถูกต้อง แล้วใครจะเชื่อถือ

เรานี่ เดิน เดินจากจุดที่มองเห็น ตั้งแต่เร่ิมรู้กระแสโลกุตระ จุดแบ่งโลกุตระคือจุดกลางขาว ทิศโลกุตระกับโลกียะมันคนละทาง ทวนกระแสกัน ปฏิโสตัง ก็ต้องรู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็เร่ิมเข้ากระแสโลกุตระ ทำไปยังได้ไม่เท่าไหร่เลย ก็ถูกตู่มาก ว่าพวกเรานี้สุดโต่ง เราก็ว่ายังๆๆ แต่มีที่ได้นิพพานได้อรหันต์ แต่ค่ารวมยังไม่สูงส่งเลย เราก็ได้ไม่มากมาย แต่คุณสิเดิทางไปทางโลกียะ ไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่สุขด้วยการบำเรอกามกับอัตตา จนกลายเป็นความโลภ ความโกรธ แค้นเคือง กอบโกยแย่งชิงกัน  ยินดีในโลกธรรม ไกลสุดโต่งไปมาก ยิ่งขึ้น ภาษาบาลีเรียกว่าปุถุ แปลว่ามาก ใหญ่ หนา โต อ้วน ไปไกล เหมือนปากกรวย แล้วหันมามองเรา แล้วก็หาว่า เดินนี่เราเข้าป่าแล้ว ไปไกลแล้ว ไม่ใช่ทางคนเดิน ทางโลกียะ แต่ทางนั้นมันยิ่งพากิเลสหนา อบายคือกิเลสหนา กิเลสหยาบ แล้วมองเราว่าสุดโต่ง 

ต่อมาในประเด็นคนชั้นกลาง คุณลมใต้ปีกว่า คนชั้นกลาง คือเช่นนี้ก็เลือกเอาคนละส่วนของช้างเท่าที่ตนเห็น แล้วก็บอกว่าคนชั้นกลาง คือคนกำลังเอาช้างคนละส่วนไม่เอาช้างทั้งตัว อาตมาก็ว่าถึงเดาก็ไม่ถูกหมด เพราะว่าสันติอโศกมีความรู้ทั้งหมดส่วนของช้าง แต่คุณลมใต้ปีกก็ว่า เลือกคนละส่วน แต่สันติโศกขอยืนยันว่ารู้ทั้งตัวของช้าง รู้ถึงปรมัตถ์ ถึงจิตเจตสิก รูปนิพพานด้วย แล้วรู้ถึงข้างนอก ที่บัดนี้เอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเทียบเคียงให้เห็นด้วย สันติอโศกรู้ช้างทั้งตัวและรู้เป็นส่วนด้วยแล้วเอามาใช้ประโยชน์ได้จนทำเป็นคอมมูน ที่ถึงสาธารณโภคีที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ยิ่งใหญ่ว่า คอมมูนทางโลกที่คุณลมใต้ปีกรู้จัก

คุณเข้าใจถูกที่รู้ว่าสันติอโศกใช้คอมมูน แต่คุณลบหลู่คอมมูน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าคอมมูนยิ่งใหญ่กว่าทางโลกด้วย คอมมูนของมาร์ก ของเลนิน จนถึงเหมาเจ๋อตุง ก็เอามาผสมส่วนไม่ใช่ของคาร์ลมากซ์โดยตรง เขาก็ทำได้แค่ผิวเผินของคอมมูนไม่ได้หัวใจของคอมมูน คุณลมใต้ปีกไม่ชัดเจนว่าคอมมูนจริงๆพระพุทธเจ้าตรัสว่าคือสาธารณโภคี คอมมูนคือรวมกันแล้วแจกจ่ายให้ทั่วถึง นัยเดียวกับปชต. แต่ปชต.ไม่ถือว่าทั่วถึงจริงเพราะปชช.เสียภาษีไม่หมดไม่มาก แต่คอมมิวนิสต์ก็รีดมาได้มากขึ้น ก็คือทำให้ส่วนกลางมีมากแล้วเฉลี่ยให้ทั่วถึงก็เป็นแนวคิดดี ถูก แต่วิธีทำให้สำเร็จ ในลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่สำเร็จ ตั้งมา 70 กว่าปีก็ล้มระเนระนาด ประเทศไทยก็ล้มไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ เพราะเป็นเมืองพุทธที่แข็งแรงแม้เป็นเดรัจฉานวิชชามากก็ตาม

คอมมูนของพระพุทธเจ้าสาธารณโภคีคือหัวใจแท้ของคอมมูน คุณลมใต้ปีกบอกว่าล้นไปจากวิถีชีวิตของคน การล้นการโต่งอธิบายไปแล้วว่าไม่ได้โต่ง แต่ได้ลักษณะคอมมูน ที่โลกทั้งโลกต้องใช้นะ เป็นสูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าทำสำเร็จในยุคของท่านทำได้แต่ในวงสงฆ์ แต่ของอโศกยุคนี้เหตุปัจจัยทำได้ถึงในวงฆราวาส ไม่ได้บังคับด้วย ใครจะมีปัญญาพอใจยินดีที่จะมาร่วมคอมมูนอันนี้ ใจเห็นดีเห็นงามก็มาเอา คอมมูนอันนี้กับคอมมูนของคอมมิวนิสต์ต่างกันที่ไม่เป็นอิสระเท่ากัน คอมมูนของคอมมิวนิสต์ไม่มีอิสรเสรี แต่ของพุทธมีอิสรเสรี เพราะใจไม่ยึดติด ลดละกามลดอัตตาไปตามลำดับ จนหมดตัวหมดตนไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้งแรงงานทั้งชีวิตมอบให้ศาสนา ยืนยันได้เป็นอกาลิโก แม้กระแสโลกแรงมากก็ยังทำได้สำเร็จ เป็นสังคมเป็นชุมชน จะเรียกว่าลัทธิก็ตาม เขายกย่องนะเพราะมีวัตรปฏิบัติที่เป็นของตน จนคุณลมใต้ปีกยืนยันว่าพวกเราเคร่งธรรมวินัย แข็งปั๋งในวัตรปฏิบัติ เขาก็มองออก

ที่แข็งปั๋งเพราะทุกคนเต็มใจทำก็ไม่ยากไม่ฝืนไม่ลำบาก แล้วถ้าตนอยู่ไม่ไหวก็ออกไป แต่ผู้มีมรรคผลจึงทนอยู่ได้ก็เป็นจริง นี่จึงขัดแย้งจากคุณลมใต้ปีกวิจารณ์มากจะบอกว่าคอมมูนหรือสุดโต่งก็ตาม 

อย่างที่คุณลมใต้ปีกบอกว่า ถ้าอโศกนี่ ไม่เข้าใจในความเป็นโลกุตระ แล้วเดินทิศทางที่คุณลมใต้ปีกบอกว่าสุดโต่ง แต่ว่าผลที่ได้มันยังได้แค่นี้ เราก็ยังไม่ได้หลงตนว่าได้มากนะ ข้อสำคัญคือเดินไปทางโลกุตระนั้นคุณลมใต้ปีกไม่รู้จริงๆ ที่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ มั่่นใจว่าคุณลมใต้ปีกไม่รู้ ใครที่มองว่าอโศกสุดโต่ง คนเหล่านั้นไม่รู้กระแสโลกุตรธรรม เพราะเราพึ่งออกไปได้นิดหน่อยเอง แต่คุณอยู่ไปทางนรกอเวจีก็เลยมองเราว่าสุดโต่ง ไปทำไม พวกคุณไม่ไปก็ของคุณ แต่อาตมาพากันไป แต่พึ่งได้แค่นี้ วันนี้คงเข้าใจเรื่องนี้ ที่ใครมาว่า พวกสันติอโศกเป็นพวกสุดโต่งคนนั้นไม่เข้ากระแสโลกุตระเลย 

คุณว่าอโศกเจริญรุ่งเรืองมีมวลมาก ก็ดูตามตื้นๆเผินๆก็มีเล็กนิดเดียว แต่มีความแน่นในธรรม มวลไปได้ไม่เท่าไหร่เลย ซึ่งคนไทย 75 % น่าจะมาเป็นอโศกสัก 1 ล้านคนนะ เพราะมันเป็นของแน่นเป็นปึกแผ่น เป็นเอโกธัมโม คนจึงมองภาพอโศกว่าพวกนี้มันแข็งๆมันแน่น ปึกแผ่น ทั้งที่ไม่มากไม่ใหญ่ แต่เป็นปึกแผ่นมีน้ำหนักแข็งแรง เป็นคุณลักษณะที่แท้จริง 

ที่บอกว่าคนชั้นกลางมาอโศกมากก็น่าจะไม่ใช่ เพราะว่าคนมาอโศกไม่ใช่คนการศึกษาสูงหรือมีหน้าที่การงานสูงหรือร่ำรวย น้ันมีไม่มากหรอก คนอโศกไม่ใช่ชั้นกลาง จะเรียกว่าคนชั้นต่ำก็ได้ถ้ามองตื้นๆ จะบอกว่าคนชั้นกลางชั้นสูงก็ย่ิงน้อย แต่คนมาอโศกมีคุณธรรมสูง มีปัญญาสูง มีความลึกซึ้งในปรมัตถ์สูง จะแบ่งชั้นอย่างไรก็ต้องเข้าใจคนชั้นกลางในทางธรรมให้ดี คนส่วนใหญ่ในสังคมเข้าใจอโศกไม่ได้มากหรอก 

ถ้าจะหมายถึงคนชั้นกลาง เพราะคุณเอาไปเทียบกับสังคมทั่วไป เรียกว่าคนชั้นกลาง คณะอื่นๆสำนักอื่นๆ เรียกว่าคนชั้นกลางมาได้เยอะก็อาจจริง แต่สำนักอื่นๆน่ะจะเป็นคนชั้นกลางและคละเยอะ แต่ธรรมกายนี่คนชั้นต่ำเยอะ แล้วเขาเลือกเอาคนชั้นสูง ยศสูง ฐานะดีๆ เขาก็เรียกคนชั้นสูง หรือแม้แต่สำนักท่านพุทธทาสหรือท่านประยุต ปยุตโตนั้นคนชั้นกลางมาก แต่อโศกนี่คนชั้นกลางน้อย ยิ่งสำนักท่านประยุต ก็ต้องคนมีการศึกษาแสวงหาความรู้จึงจะเอา แต่คนชั้นไม่มีการศึกษาสูง ชั้นกรรมกร ก็เข้าใจสำนวนท่านยาก เพราะเป็นภาษาวิชาการ 

เรื่องคนชั้นกลางที่คุณลมใต้ปีกว่า ที่สำนักอื่นๆ มีวาทกรรมของแท้หรือตรรกศาสตร์ ที่สมบูรณ์มีคุณภาพ คือมีวาทะ ได้วาทะ เป็นอัตตา อัตตวาทุปาทานกันทั้งนั้น ไม่ได้เข้าใจอัตตา 3 ที่เป็นมโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตา อรูปอัตตา อาตมาไม่เห็นสำนักไหนสอนนะ มีแต่วาทะที่ให้จิตว่างเท่านั้น แล้วมีคุณภาพทางเหตุผล ทางตำราชั้นหนึ่งเลย แต่ไม่เข้าถึงกายในกายด้วยซ้ำ ไม่เห็นสักกายะ ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงเป็นตรรกะเท่านั้น เข้าใจผิดว่า กายคือส่ิงภายนอก ที่จริงกายต้องมีสอง มีอย่างเดียวไม่ได้ นอกจากจะเรียนรุ้ทำสองให้เป็นหนึ่ง รวมลงที่เวทนา แล้วจะเป็นหนึ่งที่เวทนา เป็นเอกัคคตา แต่ก็ยังอยู่ในส่วนสอง ในพระไตรฯล.10 ข.60

ถ้าไม่เข้าใจกายก็ไม่เข้าใจธรรมะสอง แล้วรวมลงเป็นเวทนาที่เป็นหนึ่งไม่ได้ แต่ถ้ารวมเป็นหนึ่งอย่างอรหันต์ไม่มีเพื่อนสองแล้ว เป็นผู้อยู่ผู้เดียว เอโก แต่ทำงานต้องมีสอง 

ที่ว่าคำสอนของสันติอโศกกับธรรมกายไปกันคนละด้านจริงที่สุด ของธรรมกายไปหลงเทวบุตรมาร เป็นเทพบุตรใหญ่เท่าไหร่เป็นมารมากเท่านั้นส่วนสันติอโศกไปโลกุตระแท้ๆ รู้จักความเป็นเทวดา เป็นมาร 

ผู้ที่โต่งนั้นคือไกลสุดโต่งจากทิศทางโลกุตระของพระพุทธเจ้า เข้าใจจุดกลางตรงนี้ไม่ได้ ในทฤษฎีพระพุทธเจ้า เวทนารวมลงเป็นหนึ่งต้องเข้าใจ มโนปวิจาร จิตที่มีพฤติกรรม ที่เป็นโลกียะอย่างไร ต้องอ่านพฤติกรรมกายวาจาใจออก ถ้าอ่านจิตไม่ออกว่าอย่างนี้คือโลกียะ(เคหสิตเวทนา) อย่างนี้เป็นโลกุตระ(เนกขัมสิตเวทนา) ถ้าอ่านไม่ออกแยกไม่ออกก็ทำแบบโมเม ไม่มีทางเดินสู่ความบรรลุผล เพราะไม่ได้เข้าใจจุดที่แยกระหว่างเนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา เป็นจุดแบ่ง เป็นสภาวธรรม 

ถ้าไม่เข้าใจแล้วเห็นของตน คนนั้นโมเมทั้งนั้น อาตมาอธิบายความเข้าใจพ้นวิจิกิจฉาตั้งแต่โสดาบัน ก็ทำสังโยชน์ให้พ้นอนุสัย จนพ้นวิจกิจฉาในระดับอนุสัย ในอนุสัย 7 วิจิกิจฉาอยู่ในข้อ 4 
1.    กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) 
2.    ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) 
3.    ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) 
4.    วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) ต้องขั้นอนาคามีไปหาอรหัตตมรรคไม่ใช่วิจิกิจฉาชั้นตน
5.     มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6.     ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
7.     อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)

ในทฤษฎีที่แต่ละคนเข้าใจน้ัน มันเข้าใจกันไม่สัมมาทิฏฐิ แม้ข้อที่ 1 ในสัมมาทิฏฐิ 10​ คือคุณต้องพบสัตบุรุษ คุณต้องฟังธรรมที่ต่างจากคุณยึดถือ(ปรโตโฆษะ) แล้วจะรู้ว่าโยนิโสมนสิการที่ถูกเป็นเช่นไร ต้องได้ฟังจากสัตบุรุษ นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อต้น 

ผู้ใดทุกวันนี้ไม่ได้ตั้งใจฟังอาตมา แล้วก็จะรู้โยนิโสมนสิการ แล้วปฏิบัติด้วยการมีผัสสะเป็นสมุทัย หากไม่มีผัสสะแล้วไปนั่งหลับตาทำในภพ ไม่ใช่แบบของพระพุทธเจ้า ไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา เพราะธรรมทุกอย่างรวมลงที่เวทนา ต้องทำ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) จึงสั่งสมมีมรรคผลไปตามลำดับ มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นคุณสมบัติของสมาธิ

คุณมีสัมมาทิฏฐิเพราะมีปรโตโฆษะยอมรับศีลพรตของคนอื่นที่ต่างจากคุณ ขอยืนยันว่าทิฏฐิ ศีลพรตที่คุณยึดถือไม่สัมมา หากคุณรับอาตมาไม่ได้ก็จะมิจฉาทิฏฐิไปตลอดกาล แม้แต่สัมมาทิฏฐิข้อที่ว่าต้องปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ คุณก็ไม่มี

สัมมาทิฏฐิต่อไปคุณต้องรู้สัมมาทิฏฐิ 10 ถ้าไม่รู้ก็ไม่มีผล คุณก็ไปทำนั่งหลับตาว่าเป็นทางเอก นั้นไม่ใช่แบบพุทธ แบบพุทธลืมตาปฏิบัติเป็นหลัก ส่วนจะนั่งหลับตาก็ทำบ้าง เพื่อเตวิชโช ได้ศึกษาสัญญา สัมมาทิฏฐิต้องเข้าใจถึง แบ่งโลกียะกับโลกุตระให้ออก เพราะอาตมาเห็นจริงเห็นชัดเลยแยกได้ เพราะอาตมาเป็นอย่างที่ว่า สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)  แล้วจะมีเหตุปัจจัยให้เกิดโอปปาติกสัตว์ในตน จนพ้นสัตตาวาส 9 ต้องพ้นสัตตาวาส 9 คือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นอสัญญีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้สองอย่างนี้เลย คือทำความเป็นสัตว์ให้ตายไปสนิทเลยก็ไม่ต้องสัญญาเรื่องนี้อีก ก็เรียกว่า อสัญญีสัตตายตนะ

ทิฏฐิข้อสำคัญแรกคือต้องมีทิฏฐิ 2​คือปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ แล้วต้องเข้าใจทิฏฐิ 10 แล้วก็เข้าใจทิฏฐิ 6 ที่อาตมาเรียกทิฏฐิ เพราะตัวทิฏฐิจะเป็นตัวไข
1.    ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) 
2.    ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง) 
3.    ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง)  มีพลังงาน static แฝง 
4.    ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค) 
5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น  
6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง  (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 258) 

ตัวสัมมาที่เกิดขึ้น เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ที่เปลี่ยนตัวเจริญไปเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ...

ส่วนสัมมาทิฏฐิอีกที่เป็นชั้นสูงละเอียด คือคุณต้องรู้ถึงอาสวะอนุสัย เมื่อคุณมีภูมิไปถึงขั้นนั้น ตอนนี้พูดนำไปบ้างว่า อาสวะกับอนุสัยต่างกัน ทิฏฐิที่สำคัญคือ  ทิฏฐานุสัย คือทิฏฐิในอาสวะ คือทิฏฐิที่คุณต้องรู้ว่า อาสวะต่างกันอนุสัยอย่างไร นี่คือทิฏฐิ 1 ที่คุณต้องทำ มีทิฏฐิ 2 ทิฏฐิ 10​ทิฏฐิ 6 ทิฏฐิ 1 ปฏิบัติได้จะเข้าใจทิฏฐิ 62 

ผู้ไม่เข้าใจก็ยึดทิฏฐิเป็นทิฏฐุปาทานอยู่แค่ทิฏฐิ 2 ไม่มีปรโตโฆษะก็จมกับทิฏฐิคุณตลอดกาลอาตมาอธิบายก็ฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียก อย่าฝันเลยจะมีทิฏฐิ 6 หรือทำทิฏฐานุสัยได้ก็เมินเสียเถิด จะได้บรรลุธรรม....จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:34:02 )

580702

รายละเอียด

580702_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ถึงกาละรอบ่ได้

พ่อครูว่า...วันนี้ พฤหัสบดี ที่ 2 กรกฎาคม 2558 แรม 2 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม วันนี้รายการธรรมาธรรมะสงคราม ที่บ้านราชฯ มีนร.สัมมาสิกขามานั่งฟังด้วย นร.ที่นี่เป็นนักเรียนที่ต้องถือศีล มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ คงไม่มีรร.ไหนที่ให้นร.ถือศีลอย่างนี้ แล้วถือกันจริงจังด้วยคนไหนผิดศีล ถึงขนาดก็ต้องพิจารณาให้ออกไป เราเห็นความสำคัญว่าการฝึกฝนตนเองให้มีศีลมีธรรม นี่มันเกิดประโยชน์จริงๆ เด็กๆเชื่อไหมว่าดี 

ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ ศีลข้อ 3 ก็ต้องฝึกหัด เราไม่ต้องให้เกิดคู่รักอะไรก่อนวัย เรียนรู้หัดทำใจอย่างไรจริงๆ เป็นการฝึกหัดลดละจางคลายกิเลสให้แก่ชีวิต ส่วนศีลข้อ 4 ให้งดพูดปด แต่ก็มีคนละเมิดนะ ก็ต้องหักคะแนนบ้าง 

ส่วนข้อ 5 ให้เลิกไม่ติดส่ิงที่ไม่ควรไปติด เป็นอบายมุข คือของที่ไม่น่าไปเสพติด เหล้า ยาบ้า แม้แต่บุหรี่ เราก็ไม่มี ในรร.เราปลอดยาเสพติดอย่างแท้จริง เราเปิดโรงเรียนมา 10 ถึง 20 ปี แล้ว รร.เราปลอดยาเสพติดได้ แต่ทุกวันนี้เขาไม่เชื่อกันแล้วว่า รร.ในประเทศไทยมีที่ไหนไม่ติดยาเสพติด เขาก็มีตำรวจที่บอกเลยว่า ไม่มีรร.ไหนในประเทศไทยไม่มีคนติดยาเสพติด แต่ของเราก็มีได้จริง

อย่างน้อยได้ฝึกฝนอบรมมาถึง 6 ปีหรือตั้งแต่ประถมถึงมัธยมก็ไม่ต่ำกว่า 10 ปี แล้วยิ่งได้สอนได้อบรม ก็มีความรู้ละเอียดอย่างแท้จริง รร.นี้ สัมมาสิกขา ก็ได้พากันฝึก เข้มกันจริง ส่วนการเรียนตามกระทรวงกำหนด เราก็ให้ได้มาตรฐานเขาจริงๆ อาตมาเห็นชัดเจน ว่า สังคมโลกมันเสื่อม เดือดร้อนวุ่นวาย บริหารปกครองลำบาก เพราะคนเลวลง เสื่อมลง ไม่ใช่อื่น ขอยืนยัน ไม่มีอย่างอื่น แต่ทำไมเขาไม่สำนึก

ก็พูดกันนะว่าศีลธรรมมันถดถอยแย่ลง เขาพอรู้ จนเห็นแตกแยกในศาสนามากเรื่องมากราว ยึดถือกันไป กลายเป็นทะเลาะกัน คนก็สงสัยว่า พุทธทำไมไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมแตกแยก ก็เพราะไม่ได้ควบคุมจัดสรรให้เป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นว่าองค์รวมกระแสหลักพุทธ ผิดเพี้ยนไปแล้ว เหมือนอย่างที่เขาวิจารณ์วิจัยเมื่อวานนี้ 

ก็จะลองอ่านดูนะ ว่า ในมุมมองของครูบาอาจารย์ในวงการนักเขียน ที่มีคุณธรรมมากประสพการณ์ ท่านได้เขียนไว้น่าอ่านมาก ท่านบอก...ระหว่างพระธุดงค์ปิดถนนกับพระนำม็อบตั้งกรวย ตั้งการ์ด คุณเลือกใคร ขอเป็น "สองไม่เอา" ได้ไหม หรือสามไม่เอา สี่ไม่เอา ฯลฯ แต่ยังเป็นพุทธอยู่
(คุณธรรมแปลว่า ไม่ประพฤติชั่ว ทุจริตทางกายวาจาใจ ทำแต่ดี) 
ม็อบนี่คือการออกไปชุมนุมประท้วง ภาษาอังกฤษว่า mob แปลว่า ออกไปชุมนุมแล้วก่อวุ่นวาย ก่อเหตุ ไม่สงบดีไม่ดีฆ่าแกงกัน คณะไหนที่ออกไปชุมนุมแล้วตนเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย คณะนั้นคือม็อบ ดีไม่ดีไปแฝงว่าเป็นการเมืองด้วยก็มี แต่หลวงปู่ไม่ได้พาพวกเราไปก่อม็อบ แต่พวกเราเป็นกลุ่มชุมชน ปชต. ออกไปทำงานการเมืองปชต. ตามสิทธิหน้าที่ของปชช. ไปชุมนุมประท้วงอย่างถูกต้องตามกฎหมายของสากลโลก ไม่ได้เป็นตัวการไปทำร้ายทำให้เกิดการรุนแรง ไม่ได้พาทำเลย พวกเรามีบางคนบางครั้งอดไม่ได้ทนไม่ได้ก็ทำออกไปรุนแรงบ้างถือว่าเป็นข้อบกพร่องเล็กน้อย แต่โดยองค์รวมแล้วหลวงปู่ทำสำเร็จ ไม่ได้เป็นต้นเหตุก่อความรุนแรง การออกไปชุมนุมแบบเรา ถือว่า เป็นการชุมนุมที่ให้เกิดผลทางการเมือง ภาษาอังกฤษเรียก rally หรือ demonstrate หรือเรียกว่า protest คือคำที่เราใช้เรียกพวกเรา เราทำออกไปเสียสละสร้างสรร ให้เกิดพลังรวม ทั้งพวกเรา และคนข้างนอก ทั้งกายกรรม วาจา และจิตใจ รวมเป็นธรรมฤทธิ์ 

และคำว่าธุดงค์ คือข้อปฏิบัติที่เคร่งครัด อย่างพระมหากัสสปะท่านมีข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดที่สุด เรียกว่า ธุดงควัตร 13 
หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับจีวร)

1.) การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คือการใช้แต่ผ้าเก่าที่คนเขาทิ้งเอาไว้ตามกองขยะบ้าง ข้างถนนบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง นำผ้าเหล่านั้นมาซัก ย้อมสี เย็บต่อกันจนเป็นผืนใหญ่แล้วนำมาใช้ งดเว้นจากการใช้ผ้าใหม่ทุกชนิด (บังสุกุล = คลุกฝุ่น)

2.) การถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร คือการใช้ผ้าเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อันได้แก่ สบง(ผ้านุ่ง) จีวร(ผ้าห่ม) สังฆาฏิ(ผ้าสารพัดประโยชน์ เช่น คลุมกันหนาว ปูนั่ง ปูนอน ปัดฝุ่น ใช้แทนสบง หรือจีวรเพื่อซักผ้าเหล่านั้น ปัจจุบันภิกษุไทยมักใช้พาดบ่าเมื่อประกอบพิธีกรรม) 

หมวดที่ 2 ปิณฑปาตปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับบิณฑบาต )

3.) การถือบิณฑบาตเป็นวัตร คือการบริโภคอาหารเฉพาะที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น ไม่บริโภคอาหารที่คนเขานิมนต์ไปฉันตามบ้าน

4.) ถือการบิณฑบาตตามลำดับบ้านเป็นวัตร คือจะรับบิณฑบาตโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยคนจน ไม่เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มีใครใส่บาตรก็รับไปตามลำดับ ไม่ข้ามบ้านที่ไม่ถูกใจไป

5.) ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียว เมื่อนั่งแล้วก็ฉันจนเสร็จ หลังจากนั้นก็จะไม่บริโภคอาหารอะไรอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม

6.) ถือการฉันในบาตรเป็นวัตร คือจะนำอาหารทุกชนิดที่จะบริโภคในมื้อนั้น มารวมกันในบาตร แล้วจึงฉันอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ติดในรสชาดของอาหาร

7.) ถือการห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อรับอาหารมามากพอแล้ว ตัดสินใจว่าจะไม่รับอะไรเพิ่มอีกแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้มีใครนำอะไรมาถวายเพิ่มอีก ก็จะไม่รับอะไรเพิ่มอีกเลย ถึงแม้อาหารนั้นจะถูกใจเพียงใดก็ตาม

 

หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับเสนาสนะ )

8.) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส

9.) ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง

10.) ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุงบังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัย

11.) ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไปอาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท

12.) ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันที

ถือการนั่งเป็นวัตร คือจะงดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ใน 3 อิริยาบทเท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลย ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน

แต่ที่เขาทำธุดงค์ปิดถนน แบบนั้นมันเป็นการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ไม่สมควร ผิดศีลอีกด้วย ส่วนพระที่ตั้งกรวยตั้งการ์ดเพื่อที่จะป้องกันตัวเอง และการออกไปประท้วงต้องประมาณตนว่าออกไปทำให้เกิดความสงบหรือว่าออกไปแล้วเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นซึ่งหลวงปู่พาทำมาหลายครั้งก็ได้ผล เกิดความสงบ หากไม่มีพวกเราเข้าไปก็จะเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่อยากทำเพื่อโก้เก๋ ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องอยากเด่นดังแต่อย่างใด แต่ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง เป็นการกระทำที่แปลกใหม่ ชุมนุมกันตั้งเท่าไหร่ แม้เสียชีวิตบาดเจ็บก็เข้าใจ ทำได้อย่างยาวนาน มีประสิทธิภาพในการอยู่ได้ แม้ที่สุดล่าสุด ตำรวจจะมาเข่นฆ่าก็แสดงตัว สุดท้ายเหตุปัจจัยก็ทำให้เขาหยุดไป เป็นสิ่งเกิดผล ยืนยัน ที่พูดนี้ไม่ได้มาอวดตัวตนว่าฉันทำได้ประหลาดพิสดารนะ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ 

มันมาประท้วงกันก็ตั้งที่นอนตั้งเต็นท์ตั้งครัว กะจะอยู่กันจริงจังเลย เขาก็จะมาทำลายก็ว่าเรากินเหล็กกินไหลหรืออย่างไร เราก็มีธรรมฤทธิ์ให้เขาสงบได้ จะอภิปรายอย่างไรก็ทำกัน บางคนก็พูดแรง เราก็บอกกันให้ลดลง ค่ารวมอาตมาว่าสอบได้ 80-90% เลย เป็นประวัติศาสตร์รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ที่ทั้งโลกต้องมาศึกษา เรามีการเก็บบันทึกไว้เกือบครบเลย เป็นวิวัฒนาการของมนุษยชาติ

หลวงปู่ตั้งใจว่าจะอยู่ไปให้ได้ อีก 70 ปี พวกเราก็จะอายุปาเข้าไป บางคนก็จะเกือบ 90 

พวกเราฟังไว้นะ ของพุทธเหนือกว่าปชต. เหนือกว่าคอมมิวนิสต์ หรือสังคมนิยม หรือเผด็จการ ที่เขาเป็นกัน ของพุทธนี่เสียสละให้ส่วนรวมทำงานให้ส่วนรวม เสียภาษี 100 % เหนือกว่าทุกระบอบเลย 
แล้วมีจิตใจทำงานเพื่อปชช.อย่าง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างบริสุทธิ์ใจ แล้วก็มุ่งมั่นอยู่ แล้วก็มีคนถามว่าพ่อท่านจะพาออกประท้วงอีกไหม...ก็ตอบเลย ว่าไป หากถึงเวลากาละที่เหมาะควร เราเป็นพลเมืองไทยมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ นั่นคือคำวิพากษ์วิจารณ์ของคุณลมใต้ปีก ก็ขอบคุณบทความของเขา 

อ่านต่อ...
“พุทธอยู่ที่ใจ" ไม่ต้องพึ่งพระ ท่องคาถานี้ไว้ เพราะเหลือพระให้พึ่งได้น้อยเต็มที ถามจริง พระกระแสหลักที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ธรรมกาย ไม่ใช่สันติอโศก แต่ พระปลุกเสกพระแก้ชงนั่นไง พระสร้างเหรียญสร้างพระเครื่องขายได้ร้อยล้านพันล้าน สุดยอดธุรกรรมเก็งกำไร

พ่อครูว่า ...พระอยู่ที่ใจก็จริง แต่เราก็ต้องรู้ทั้งนอกและใน เราอยู่ในสังคมต้องมีสมมุติสัจจะ ศาสนาทุกวันนี้น่าเห็นใจ อาตมาถึงว่าจะขออยู่ไปให้นาน ที่จะพากเพียรทำงานให้ได้ประโยชน์ทางศาสนา เพราะศาสนาจะยกฐานะมวลมนุษยชาติ ที่จะแก้ไขปัญหาทางรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ได้จริง ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้งดงามเรียบร้อยหรอก ต้องมีจิตเป็นประธาน

แต่ละคนที่มาอยู่กับชาวอโศก ที่มาช่วยกันนี่ อาตมาก็ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ได้เอาตัวมาพิสูจน์ ทุกคนไม่ว่าผู้เล็กผู้น้อย ผู้ทำประจำก็แน่นอนต้องขอบคุณอย่างล้นเลย อาตมาดูว่าประเทศไทยทุกวันนี้กระเตื้องขึ้นเรื่องธรรมะ จนอาตมาได้พยากรณ์แล้วว่า เมืองไทยเป็นชมพูทวีปแล้ว มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส

มนุษย์ที่มีภาวะสติแข็งกล้า รู้รูปนาม ที่รวมกันมีอาการ 32 อยู่ในร่างมีทั้งรูปและนาม ในเลือด ในน้ำหนอง เสลด อวัยวะต่างๆ พระพุทธเจ้าไล่มาหมด เป็นอาการ 32 ท่านไม่เรียกว่าสิ่ง แต่เรียกว่าอาการ ไม่ว่าตับไตไส้พุง ทั้งน้ำเลือดน้ำหนอง ก็เรียกอาการ เพราะเป็นองค์ประกอบที่มีรูปและนาม พร้อม มีธรรมะสอง 

อาตมาพูด เล็บไม่ใช่กาย ผมไม่ใช่กาย มันตัดได้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ส่วนที่ไม่รับรู้สึกนั้นคือไม่ใช่กาย ไม่ใช่อาการ แต่ส่วนที่ต่อเนื่องก็มีอาการได้ อุจจาระที่อยู่ในร่างถือว่าเป็นกาย แต่ถ้าอุจจาระออกมาข้างนอกถ่ายออกไปก็ไม่ใช่กาย อุจจาระภายในทำพิษได้ มีนามธรรมไปจับเคลื่อนได้ คนที่มีพลังจิตดีๆ ท้องไส้ไม่ดี อุจจาระไม่เคลื่อนก็ใช้พลังงานทางจิตรักษาได้ เพราะอุจจาระยังอยู่ในร่างกายผู้นั้น 

สภาวะกาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้แยกกัน เป็น relative แล้วเวลาทำปฏิกิริยาต้องมีการผัสสะ แล้วรวมลงที่เวทนา แยกเคหสิตะกับเนกขัมมะได้ เลิกจากเคหสิตะได้ มาเป็นเนกขัมมะได้ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้สมบูรณ์แบบ

ทิฏฐิ 2​ต้องมีปรโตโฆษะ กับโยนิโสมนสิการ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิก็จะไม่รู้วิธีทำใจในใจได้อย่างถูกต้อง แล้วมาต่อทิฏฐิ 10 เข้าใจแล้วก็ปฏิบัติจนเกิดทิฏฐิ 6 แล้วจะเป็นผลสูงส่งไปถึงเป็น ทิฏฐิเหลือ 2​หรือ 1 จนถึงทิฏฐานุสัย หรือทิฏฐาสวะ 

มีคนถามว่า 0857308xxx เจโตวิมุติคืออย่างเดียวกับหรือเป็นสายศรัทธานุสารีหรือไม่อย่างไรคะ 
ตอบ... เป็นหรือไม่ เจโตวิมุติ ก็อธิบายไปบ้างว่า คำว่าเจโตวิมุติ เจโตนิโรธ เจโตสมถะ และเจโตสมาธิมีนัยต่างกัน

เจโตสมถะคือจิตสงบ อย่างไม่สัมมาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิก็ได้ การไปนั่งหลับตา meditation เป็นมิจฉาทิฏฐิ การมีเจโตสมถะอย่างเดียวไม่มีโอกาสวิมุติ ไม่มีเจโตนิโรธ

เจโตนิโรธก็มีสองนัย แบบมิจฉาทิฏฐิคือดับแบบไม่รู้ แต่แบบสัมมาทิฏฐิคือดับกิเลส

เจโตวิมุติคือหลุดพ้นอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วสายสัทธานุสารี จะมาเป็น สัทธาวิมุติ แล้วมาเป็นกายสักขี แต่พระพุทธเจ้าไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์ ต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก่อน ไปตามลำดับ อย่างสายปัญญา อาสวะจะหมดสิ้นเหลืออนุสัยเป็นอรหัตตมรรค ถ้าไม่ลืมตาปฏิบัติจะไม่ได้แบบนี้ ไม่สามารถเรียนรู้ปฏิบัติจนเหลืออายตนะที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่จะกลายเป็นอสัญญีสัตว์ไป 

สายศรัทธา นั้นต้องมาทำสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไปตามลำดับจึงจะหลุดพ้นจริง เป็นอุภโตภาควิมุติได้ เป็นอรหันต์ได้ 


สายธัมมานุสารีย์(สายปัญญา) ปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายตั้งแต่ต้น บรรลุเป็นทิฏฐิปัตตะ อาสวะดับไปตามลำดับ พอเป็นปัญญาวิมุติก็อาสวะสิ้นหมด แต่ยังไม่มีเจโตวิมุติ ตัวอนุสัยสุดท้ายยังมีอยู่ เป็นอวิชชานุสัย ต้องเรียนรู้ให้พ้น อวิชชานุสัยจึงเป็นเจโตวิมุติตัวปลายสุด 

ผู้ที่รู้จักเจโตสมถะ รู้จักเจโตวิมุติชัดเจนก็ปฏิบัติตั้งมั่น เป็นเจโตสมาธิ ตั้งมั่นเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นฝ่ายเจโต ส่วนฝ่ายปัญญาก็มีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะที่มีคุณสมบัติ อย่าง มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา 

เจโตวิมุติ นั้น ถ้าเข้าใจวิมุติไม่ใช่แค่ของสัทธานุสารี หรือสายศรัทธาอย่างเดียวก็แต่เอียงมาทางสายศรัทธา แต่ทางธัมมานุสารี ก็บรรลุเป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วเป็นปัญญาวิมุติ อาสวะหมดสิ้น พอทำเจโตวิมุติตัวสุดท้ายสมบูรณ์ด้วยเจโตสมาธิก็เป็น อุภโตภาควิมุติ 

ศาสนาพุทธในเมืองไทยทุกวันนี้เป็นชมพูทวีป มีชาวอโศกปฏิบัติได้ มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงอรหันต์ได้ แต่ไม่ได้ชี้บุคคล พยายามรู้ตัวเอง อย่าหลงตัวเอง สังคมไทยมีกระแสทางโลกดีขึ้นเรื่อยๆ ที่มีคุณธรรมประกอบ ขนาดสหประชาชาติ มองเข้าใจหลายอย่าง ทั้งๆที่ในสหประชาชาติไม่ใช่พุทธมีเยอะ กรรมการเป็นเทวนิยมส่วนมาก เขาก็พอเข้าใจ ว่าทิศทางความเจริญสูงสุดมาอยู่ตรงนี้ 

ที่อาตมาตั้งใจอยู่อีก 70 ปีไม่ใช่พูดเล่น อยู่เพื่อจะเป็นผู้พิพากษา พูดเหมือนอวดดีแต่ต่อไปอาตมาจะเป็นผู้ที่บอก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย อาตมาไม่ได้อยากมีชื่อเสียง แต่จะเป็นไปเอง ตามสัจจะ เพราะคนทุกคนมาจุดนี้ทั้งนั้นไม่ไปไหน ในสายมหายาน เขาพูดถึงขนาดว่าทุกคนต้องเป็นอรหันต์หมดไม่มีใครจะไม่เป็น มันเป็นตามบารมี เขาพูดตีขลุม ใช่ อีกไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชาติ แต่คุณจะอยู่ไปอีกหรือ ไม่เบื่อหรือไง 

กระแสถล่มธรรมกายที่กำลังแรงในวันนี้ คำถามคือต้องการปฏิรูปพุทธศาสนาจริงหรือ แล้วแนวทางปฏิรูปคืออะไร คือทำลายธรรมกาย แล้วเปลี่ยนผู้มีอำนาจในมหาเถรสมาคม แล้วได้ผลจริงไหม?

อาตมาเพิ่งแต่งโคลงมาใหม่...ชื่อยาวหน่อย

ถึงกาละรอบ่ได้ ท้อบ่ได้ ถอยบ่ได้แน่ๆ มีแต่ทำเต็มบริสุทธิ์ให้จบเท่านั้น 


(1) ทั้งดวงดาวประจบแล้ว             มงคลฤกษ์

ขุดเหตุถอนรากเพิก                     พิษร้าย

ชั่วช้าหนักเอิกเกริก                     เกินกล่าว แล้วแฮ

เลวสุดหลักฐานท้าย                    สุดนั้นเต็มมือ


(2) อย่ายื้ออย่ายึดให้                      เป็นเวร ภัยเลย

สัตว์วิปริตพิษเกินเกณฑ์                ชัดแท้

กัดบ่หยุดมันเดน                          นรกเกิด มารา

นี่แหละสัตว์จริงแล้ว                     ฤทธิ์ร้ายจริงจริง


(3) อย่าประวิงด้วยเหตุ                   ใดใด อยู่เลย

คนชั่วบ่หยุด ไข                         สัจจ์แล้ว

คนสัตย์ซื่อกล้าใจ                        บริสุทธิ์

ธรรมย่อมคุ้มครองแคล้ว               คลาดพร้อมบุญญา


(4) กาละรอบ่ได้                             พึงตรอง เถิดเทอญ

ท้อบ่ได้พึงสนอง                        ฤกษ์ฟ้า

ยิ่งถอยบ่ใช่ของ                            ควรเกิด แน่แฮ

จิตอ่อนแอบ่กล้า                          ยิ่งร้ายฤกษ์เสีย


(5) เพลียล้ากันมากแล้ว                เกินรอ ท่านเอย

ประมาทสัตว์กุนจอ                       บ่ได้

สัตว์เง่าแง่ทำหงอ                        ไป่สุด เล่ห์นา

อย่าสะดุดปยุตต์ให้                      ฤกษ์ร้ายมงคลเสีย


(6)​ เจียรกาลนานหนักแล้ว             คนไทย

รอประชาธิปไตย                         ที่แท้

ประชาธิปไตยไฉน                       ลืมโลก ไปเลย

ไทยก็ไทยจริงแล้ว                       อิสระแท้เมืองไทย


(7) อธิปไตยพุทธดั้ง                     เดิมมา

สุดยอดคือประชา-                      ธิปัตย์แท้

อย่าเลยอย่าไปหา                       ลัทธิอื่น

ลัทธิพุทธสุดแล้                         ยอดแท้อธิปไตย.


“สไมย์ จำปาแพง" 2 ก.ค​. 2558


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:34:40 )

580703

รายละเอียด

580703_ธรรมาธรรมะสงคราม  เจโตสมถะกับเจโตวิมุติต่างกันไฉน

พ่อครูว่า...วันศุกร์ ที่ 3 กรกฎาคม 2558 แรม 3 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม วันนี้อาตมาก็คิดว่ายังจะเท้าความ และอธิบาย ขยายความ ความเห็นของผู้ที่เขามองเราจากข้างนอก อย่างคุณลมใต้ปีกที่เขาเขียนไว้ เขาก็ประมวลเราไว้ เทียบเคียงกับท่านพุทธทาส ธรรมกาย ท่านประยุต ว.วชิรเมธี ก็ว่าไป ก็ขยายความไปหลายมุมแล้ว

ชื่อหัวบทความเขา ว่า เตือน อย่าวิจารณ์ มส. ในนสพ.มติสวรรค์ประจำเดือนเมษายน 2558 
มีประเด็นความสุดโต่ง ที่เขามองเรา ศาสนาพุทธเราถือว่ามัชฌิมา พอดี ปานกลางไม่โต่งไปหาข้างใด การโต่งถือว่าผิด 

คนเดินไปโลกีย์ไปทางปากกรวย รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสจัดจ้าน บำเรออารมณ์ที่ไม่มีจริงหรอก ไปไกลจากจุดกลางจุดขาวไปมาก ผู้ใดรู้จักจุดแบ่งระหว่างเนกขัมมะกับเคหสิตเวทนา จับอ่านแยกออกได้ สามารถทำเวทนาเราให้ลดจากความเป็นโลกียะหรือเคหสิตะไปได้ ไม่ใช่มีแค่ตรรกะแต่เป็นสภาวะด้วย 

ชาวอโศกเรานำพากันมาได้ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นค่ารวมที่มีถึงอรหันต์ของชาวอโศก มีอนาคามี สกิทาคามี โสดาบันมีหมด แต่องค์รวมไปได้ไม่เท่าไหร่ในมวล เขาดูองค์รวมของมวล แต่เขาดูลักษณะว่าไกล ไม่เป็นกลาง แต่เขาเห็นไกลจริง เขาสุดเอื้อมที่จะมาเอาโลกุตระ เขาอยู่ฝั่งฟากโลกียะที่หยาบมาก อารมณ์ชาวโลกีย์ใกล้กลียุค มันเต็มไปด้วยโลกธรรม อบาย กาม มันเต็มไปด้วยอัตตา โลกีย์ที่ซับซ้อนไปด้วยเหลี่ยมคู  จนไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เป็นลิงแก้แหด้วย เขายืนอยู่จุดของเขาแล้วมองมาทางเรา เขาว่า จุดกลางของเขาคือ ดีกับชั่ว หารสอง เขาไม่เข้าใจกระแสโลกุตระที่ ปฏิโสตัง อ่านสักกายะเป็น กายคือจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง จับสภาวะได้ จากกายในกาย มาเป็นเวทนาในเวทนา แล้วเป็นจิตในจิตที่มีราคะโทสะ ออก อ่านออกจับออก เป็นกามหรือมิจฉาหรือวิหังสาสังกัปปะ อ่านออกว่าอาการอย่างนี้คือกิเลส อ่านของเราเอง เป็นอาการ ลิงค นิมิต ของเราเอง จับอาการได้ เรียกว่าเห็นสักกายะ แล้ววิจัยถึงสมุทัย คือกาม หรือพยาบาท 

เห็นแล้วก็ทำการปหาน ได้ลงมือปหาน จึงจะเดินทางสู่โลกุตระ ผ่านสักกายทิฏฐิสังโยชน์ คือมีความรู้เข้าใจ แล้วมาเห็นของจริง คือสักกายะ องค์รวมของรูป/นาม ของตน จนชัดเจน พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ แล้ว ทำปฏิบัติจนพ้นสีลลัพพตปรามาส อ่านตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มีสภาพที่ดำริในกาม ในพยาบาท ก็รู้ จัดการอาการให้จางหรือดับได้ ปหานได้ จนเห็นความจางคลาย เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวจริง ไม่เที่ยง จะมีปัญญาเข้าใจ ปัญญาจะมีพลัง ทำให้ไฟราคะ โทสะ โมหะลดลงได้ เป็นไฟฌาน สามารถอ่านออกเรียกว่าทำฌาน สามารถลดกิเลสได้ ลืมตาปฏิบัติมีผัสสะ 6 ไม่ใช่ไปหลับตา อย่างmeditation แต่เป็น supra concentration เป็นสมาธิพิเศษเฉพาะของพระพุทธเจ้าจริงๆ เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปแล้ว 

ใครมองเรามาว่า เรามาทางศาสนา เป็นนักการศาสนาที่สุดโต่ง ผู้นั้นยังไม่เข้าใจโลกุตรธรรม ผู้ใดมีความรู้สึกอโศกสุดโต่ง คนนั้นตราหน้าได้เลยว่าไม่เข้าใจเส้นแบ่งโลกียะกับโลกุตระ เพราะเอาความเห็นตื้นๆง่ายๆมา เอาความดี ความชั่ว สองปลาย ที่ตนนึกเอา กับต้นทางมามาหารสองก็คือความเป็นกลาง เขาไม่รู้เส้นแบ่งโลกียะกับโลกุตระ เขาไม่รู้ 

ไม่รู้เนกขัมสิตกับเคหสิตเวทนา ที่มีเส้นแบ่ง เขาจะมองอโศกนี่เป็นโลกุตระอย่างไร เขามองไม่ออก เหมือนอย่างบทความของสุจิตต์  วงเทศก็บอกว่า พุทธแท้ไม่มีหรอก พุทธแท้อยู่ที่ไหน ใครรู้บ้าง ใครอย่ามาเอาคำว่าพุทธแท้มากดขี่คนอื่น 

ถ้ามวลโลกุตระของเรามีมากพอ คนจะรู้สึกเลยว่า พวกเรามีธรรมฤทธิ์พาโลกไปได้อย่างดี อาตมาถึงอยากอยู่ดูอัตราความก้าวหน้าของมนุษยชาติ แม้ยุคนี้ก็เดาไม่ได้ มันมีโลกียะครอบงำมาก แต่พอเขาได้โลกุตระบ้าง จะเกิดอาการตื่นเต้นเหมือนทางโลกียะไหม? เฮละโลกันแรง 

ซึ่งโลกุตระได้หยั่งลงแล้ว แต่ทุกวันนี้โลกียะมันมีแต่เกิดแล้วเกิดอีก หนาแล้วอ้วนอีก มากมาย ผู้มีดวงตา จึงไม่ประมาท เป็นขั้นที่ 1 เลย มีดวงตาแท้จริงมีสภาวะ ผู้ไม่มีสภาวะแท้จะไม่กล้าทิ้ง โลกีย์ที่ตนติดยึดได้เลย ผู้ใดกล้าทิ้งมาได้ก็จะรู้ จิตเราเฉยๆ ไม่คิดอยากได้เพ่ิม ไม่เสียดายไม่โหยหา ในส่ิงที่เป็นไป 

คนไม่เคยมีเงินล้านก็ตั้งหน้าหา แต่คนเข้าใจแล้วไม่โหยหา ไม่ต้องแสวงหา ทิ้งที่ตนมีได้ด้วย คือคนที่มีความหยั่งลงสู่โลกุตระ โอกกันตะ มีสัตตาโอปปาติกะ เกิด เป็นการเกิดแบบนิพพัตติ เข้ากระแสโลกุตระ จนถึงอภินิพพัตติ ถึงนิพพาน  มีการเกิดและการตาย มีการดับความเกิดแบบโลกียะ จึงเกิดความเป็นโลกุตระ ถ้าคนคิดง่ายๆ ว่าดับแล้วจะเกิดได้อย่างไร มารถึงบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว กิเลสตายก็ตายเสียสิ พระพุทธเจ้าก็ว่า เรายังไม่ได้สร้างศาสนาเลย จะบอกว่าพระพุทธเจ้ามีความต้องการ เป็นตัณหา ก็เป็นวิภวตัณหา

ซึ่งคำว่าวิภวตัณหา อาตมาแปลก็ไม่ได้เหมือนที่เขาแปลกัน แม้แต่ที่สุดมาถึง อาตมาอธิบายคำว่า อปุญญาภิสังขาร กับปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร คนมองตื้นไม่สามารถแยกความต่างของสังขารชั้นสูง และไม่เข้าใจคำว่าบุญ จึงแปบคำว่า อปุญญาภิสังขารเป็นบาป เลยวนกับที่ ระนาบเดียว ไม่รู้ความลึกซึ้ง


ในอาริยชน เหมือนก้นหอย ดูเหมือนวน แต่ต่างกับสภาพวนของคนไม่รู้โลกุตระที่วนในแนวระนาบเดี่ยว แต่คนมีปัญญาโลกุตระจะวนเหมือนก้นหอยขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ วนไปวนมาแต่เจริญไปสู่จุดสูงสุดถึงนิพพาน เรียกว่าอาริยชน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลดความเป็นโลกียะจนสิ้นเกลี้ยง

ส่วนโลกียะก็วนเหมือนกันแต่วนไปสู่ความเสื่อมต่ำ บานปลายไปหาปากกรวยไปเรื่อยๆ 

ส่วนอีกแบบวนไปวนมา เช่นระหว่างบาปกับบุญ คือเขาแปลอุปญญาภิสังขาร กับปุญญาภิสังขาร และโลกียะเขาก็ปรุงแต่ง แต่ไปทางอบาย ไปหาปากกรวย วนสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ทุกวันนี้เขาวนจะไม่ใช่แนวเดียว เขาบานปลายเรื่อยวนลงต่ำ วนซับซ้อน วนเป็นหลายมิติซ้อนกันไป จนตนไม่รู้ยิ่งกว่าลิงแก้แห เขาไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหนเป็นอะไร แต่บานเป็นปากกรวยลงต่ำไปเรื่อยๆ ยิ่งหนายิ่งต่ำยิ่งมาก  แต่ของโลกุตระนี่วนขึ้นสูง จนที่สุดไปถึงยอด ส่วนคนไม่เข้าใจก็แปล อปุญญาภิสังขารว่า ปรุงแต่งเป็นบาป ก็ได้แค่ในระนาบเดียว คือไม่บุญก็บาป ไปๆมาๆ ไม่มีการวนขึ้นสูงเหมือนของโลกุตระ

การไปแปล อสัญญีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ คำว่าเนวสัญญา คือมีสัญญา แล้วมีอายตนะรู้สภาพอยู่ จริงๆ สัญญานี้ยังมีความเป็นสัตว์ใน ขั้นที่ 9 ของสัตตาวาส 9 แต่คือการใช้สัญญาอ่านรู้ดับความเป็นสัตว์โดยมีอายตนะ ดับความเป็นสัญญาของสัตว์ จนเป็นอสัญญีสัตตายตนะ ซึ่งก็เหมือนกับอปุญญาภิสังขาร เป็นสัญญาที่พ้นแล้ว เป็นความนิโรธแล้ว เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ มีสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ที่ว่างแล้ว ทำให้เวทนาบริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา แล้วทำให้อุเบกขาเจริญไปอีกจนหมดสิ้นอรนุสััยเลย เป็นแนวลึก

อาสวะนั้นยังไม่ถอนรากถอนโคน แต่อนุสัยถอนรากถอนโคน 
อนุสัย 7 เหมือเริ่มกามราา
1.    กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) 
2.    ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) 
3.    ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) 
4.    วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) 
5.     มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6.     ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
7.     อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)
ผู้จะทำถึงอนุสัย 7 ต้องตั้งแต่อนาคามีเป็นต้นไปคือ เหลือสังโยชน์เบื้องสูง จนพ้น รูปราคะ อรูปราคะแล้วถึงเข้า มานะ อุทธัจจะ อวิชชา พอหมดอนาคามี เข้าอรหัตตมรรค กามราคานุสัย ก็เหลือนิดหน่อย ปฏิฆานุสัยก็จะเหลือเบาบาง 

อาสวะ 4
1.    กามาสวะ 
2.    ภวาสวะ 
3.    ทิฏฐาสวะ 
4.    อวิชชาสวะ 
(พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 961)

มันจะเหลื่อมกันบ้างซ้อนๆๆๆกันอยู่ แล้วก็จะหมด ผู้ที่เข้าใจการปฏิบัติของชาวอโศก จะรู้ว่าชาวอโศกไปได้ไม่เท่าไหร่เลย แต่คนโลกียะ จะมองอโศกว่า ไปไกลลิบแล้วตกโลก สุดโต่งแล้ว

ที่มีคนถามว่า เจโตวิมุติคืออย่างเดียวกับสัทธาวิมุติหรือไม่?
ถ้าสายศรัทธา 

กายสักขี อาสวะบางอย่างไม่หมด แต่ว่า ปัญญาวิมุตินั้น อาสวะหมดสิ้นได้ ถ้าไม่รู้วิธีปหานก็จะไม่ได้ สายศรัทธาจะเก่งทางตทังคปหาน เก่งสมถะแต่ว่าไม่ถนัดใช้ปัญญา แม้สมถะก็ไปทางสะกดจิต พากเพียรทางหลับตา ในพระไตรฯท่านบอกไว้ว่า พระสาวกองค์ใด พากเพียรไม่ประมาทไม่ช้าก็บรรลุอรหันต์ เขาก็นึกว่า การพากเพียรคือนั่งทั้งวันทั้งคืน แต่กลับกัน ต้องตื่นทั้งวันทั้งคืน ออกมาสัมผัส 6 กันตลอด มันคนละความเห็นก็จะไปคนละแบบ เพราะเข้าใจทุกวันนี้เอียงไปทางศรัทธา เจโต หลับตา ยิ่งเข้าใจว่าหลับตาดีก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ กาย เวทนา จิต ธรรม อาสวะจะสิ้นสักเรื่องก็น้อยมาก เป็นจริต เป็นความเข้าใจที่ยาก

ส่วนสายปัญญา เป็นธัมมานุสารี ก็จะเข้าใจง่ายไปได้ถูกทาง 

[236] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธัมมานุสารีบุคคลเป็นไฉน  
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะบางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา 
คำว่า ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์ อันละเอียด คือบาลีว่า นเหวะ ซึ่งไม่ใช่ว่าท่านไม่ต้องสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย ซึ่งไม่ใช่เลย ท่านมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย 

 [237] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัทธานุสารีบุคคลเป็นไฉน  
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้  ไม่ได้ถูกต้องวิโมกข์อันละเอียด คืออรูปสมาบัติล่วงรูปสมบัติด้วยกายอยู่  แต่อาสวะ
บางเหล่าของผู้นั้นสิ้นไป เพราะเห็น (อริยสัจ) ด้วยปัญญา 
     อนึ่ง  บุคคลนั้นมีเพียงความเชื่อความรักในพระตถาคต  อีกประการหนึ่ง ธรรมะเหล่านี้ย่อมยังมีแก่ผู้นั้นอยู่  คือ  สัทธินทรีย์  วิริยินทรีย์   สตินทรีย์  สมาธินทรีย์  ปัญญินทรีย์   บุคคลนี้เรากล่าวว่าเป็น สัทธานุสารีบุคคล    กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท  ย่อมยังมีแก่ภิกษุแม้นี้  เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้  เสพเสนาสนะที่สมควร  คบหากัลยาณมิตร  ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่  พึงทำซึ่งที่สุด ฯลฯ 
สายศรัทธาถ้าไม่มีความเหนี่ยวแน่นของศรัทธามากพอก็จะไปได้ไม่นาน 

แล้วคำว่าเข้าสมาบัตินี่ ไม่ใช่ว่าหลับตาเข้า แต่ว่าต้องเข้าสู่มรรผลของธรรมะไม่ใช่เข้าๆออกๆเหมือนเดินเข้าออกประตู แต่โลกุตระคือได้คุณธรรมไปเรื่อยๆ ได้แล้วก็มั่นคง ท่านเรียกว่า สมติกมะ

ลักษณะของแบบฤาษีจะวนอยู่ในระนายเดียว ไม่บุญก็บาป คือแปบอปุญญาภิสังขารว่าบาป ก็ไปๆมาๆ แต่แท้จริง อปุญญาภิสังขารคือไม่ต้องชำระบาปแล้ว ก็จะเจริญขึ้น เป็นภาวะสูงขึ้นๆ เป็นก้นหอยที่วนขึ้นไปหาจุดสุดยอด ที่เป็นนิพพานได้ ส่วนโลกียะก็จะวนเหมือนกันแต่วนแล้วไปหาปากกรวย วนลงต่ำ ไปหาอบายมุข หากไม่เข้าใจแยกสภาวะโลกุตระออก ไม่เข้าใจเส้นแบ่งโลกียะกับโลกุตระ ไม่เข้าใจไม่รู้อาการเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา 

ว่ารสโลกีย์กับรสโลกุตระต่างกันอย่างไร อารมณ์ของอาริยะกับอารมณ์ปุถุชนต่างกันอย่างไร อ่านตรงนี้ไม่เป็น ถ้าอ่านออก ไม่แปลผิดหรอก จะรู้จักจุดแบ่ง ไปอ่านเอาแบบ เจโตสมถะ แบบนั่งหลับตาสะกดจิต มันไม่มีจิตวิเคราะห์ อ่านเวทนาก็ไม่ออก จะอ่าน เวทนา 1 อ่านเวทนา 2 ก็ไม่ออก

เวทนา 2
(แบ่งเป็น 2 เวทนา  ได้แก่..)
-เวทนาที่มีกายเป็นเหตุ  (กายิกเวทนา อาศัยมหาภูตรูป+นาม) 
-เวทนาที่มีใจเป็นเหตุ  (เจตสิกเวทนา อาศัยนามรูป)

ถ้าเขาไม่รู้จักกาย เขาจะอ่านกายยิกเวทนาไม่ออก แม้จะสุขจะทุกข์เขาก็จะอ่านว่ามันปวดกระดูก กล้ามเนื้อ เจ็บผิวหนัง ก็ตาม ได้แค่รู้ตรงนี้ เพราะเขานั่งสมาธิมากก็เลยว่าปวดขา ก็เลยบอกปวดขานี่คือปวดกาย ซึ่งไม่ใช่อ่านกายตามที่พระพุทธเจ้าสอน

ต้องอ่านไปถึงนามธรรมที่เนื่องมาจากผัสสะภายนอก ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง 
แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..  
1.สุขเวทนา 
2. ทุกขเวทนา .  . 
3. อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์  อุเบกขา). 
อันนี้คนทั่วไปก็พออ่านออก แต่ไม่ชัด แล้วโดยเฉพาะไปมีผัสสะ ทีนี้อ่านอาการสิ จะไม่ละเอียดแล้ว จะพออ่านออก ถ้ายิ่งไม่ได้เรียนเช่นนี้มาไม่ได้เรียนเวทนา 5 
(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
1.สุขินทรีย์ 
2.ทุกขินทรีย์ 
3.โสมนัสสินทรีย์ 
4.โทมนัสสินทรีย์ 
5. อุเบกขินทรีย์ 

เวทนา 6 (แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา
โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู
ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น
กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย
มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

ตากระทบรูปแล้วเกิดสภาพเป็น กายในกาย เขาจะไม่เข้าใจแล้ว ว่ากายในกายคืออย่างไร ตอนนี้สุขทุกข์ คือกายในกายแล้วนะ เขาจะอ่านไม่ออกว่า ที่สุข ทุกข์นี้เกี่ยวโยงกับ กายภายนอกต่อเนื่องไปภายใน กายในกายของคนไม่รู้ก็จะเห็นเป็นภาพเป็นรูปร่างตัวตนภายใน เป็นมโนมยอัตตาไป ยิ่งนั่งสมาธิเก่งก็จะเห็นเหมือนลืมตาได้ จิตตนปั้นได้สำเร็จ มันไม่ใช่กาย มันแค่รูป แต่กายในกาย นี่คือมโน คือจิต คือวิญญาณเป็นความรู้สึกแล้ว เป็นจิต เจตสิกรูปนิพพาน เป็นปรมัตถ์แล้ว องค์รวมของกาย ต้องเนื่องจากภายนอก ที่เกิดจากการสังขาร เกิดสุข ทุกข์นี่คือสังขารแล้ว แม้อุเบกขาก็สังขาร แต่อธิบายยาก อารมณ์เวทนานั้นเป็นสุขเท็จ สัขขัลลิกะ เป็นทุกข์อาริยสัจ ถ้าเห็นทุกข์คือเห็นทุกข์อาริยสัจ ที่ไม่สมใจ เป็นอนิฏฐารมย์ ตั้งแต่
[59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ 
เพราะอาศัยเวทนา จึงเกิดตัณหา 
เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา 
เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ 
เพราะอาศัยลาภ จึงเกิดการตกลงใจ (วินิจฉโย)
เพราะอาศัยการตกลงใจ จึงเกิดการรักใคร่พึงใจ 
เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง 
เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ (ปริคโห)
เพราะอาศัยความยึดถือ จึงเกิดความตระหนี่ (มัจฉริยะ) 
เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน 
เพราะอาศัยการป้องกัน จึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น
อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามก มิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ ด้วยประการฉะนี้แล

ทั้งหมดเกิดจากอาการทางอารมณ์ที่เขาไม่ได้ศึกษา เขาหวงแหน ไม่ปล่อย เอาเป็นเอาตาย ถือเป็นตัวกูของกูยอมเสียชีวิตแลกเปลี่ยนได้เลย แม้ไม่สมเหมาะสมควร อย่างขนมหม้อแกงชิ้นเดียวก็ฆ่ากันตายเลย แย่งผู้หญิงคนเดียวก็ฆ่ากันตายด้วย ไม่คุ้มหรอก แม้จะเสียเงินทองข้าวของอะไร พระพุทธเจ้าก็ว่า เราควรต้องเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม มันก็ซับซ้อนอยู่

อาตมาอธิบายถึงทิฏฐิ เจโต ปัญญา แม้วิมุติ นิโรธ มันก็เยอะ 

เจโตวิมุติ กับปัญญาวิมุติต่างกันอย่างไร

ปัญญาวิมุตินั้นมันไม่มีปัญญาสมถะหรือปัญญาสมาธิก็ไม่มี หมายถึงว่าปัญญาตั้งมั่นแข็งแรง ปัญญาก็คือจิต จิตตั้งมั่นแข็งแรงเป็นปัญญาสมาธิได้ ซึ่งท่านเรียกว่าปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นความควบแน่น แต่เจโตมีความควบแน่น แต่ถ้าแน่นเป็นแบบไม่รู้ก็จะเป็นสมถะ แต่ถ้ารวมควบแน่นได้ก็เป็นสมาธิ 

แต่ถ้าได้แค่สมถะ คำว่า ปัญญาสมถะ ใครก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนนะคำนี้

_มีคุณเจนี่โรส อยากให้พ่อครูอธิบายคำว่า ชาล้นแก้ว แปลว่าอะไร?
ตอบ...ชาล้นแก้ว คือยึดถือความรู้ตนเอง ว่าตนเองมีความรู้เต็มเปี่ยม รับความรู้คนอื่นไม่เข้าแล้ว ถ้าใครเอาชามาเติมอีกมันล้นออกนอกถ้วยเลยไม่รับ อาตมาทุกวันนี้ก็ยังยินดีรับความรู้จากผู้อื่น แม้จะเป็นความรู้ทางโลกก็ตาม แต่ถ้าคนชาล้นถ้วยก็อย่าไปอธิบายหรือให้เขาเลย เราก็ฟังเขาอย่างเดียว 

เช่นในคำว่า ปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ ถ้าคุณไม่เข้าใจโยนิโสฯอย่างสัมมาทิฏฐิถ้วนก็ไปไม่รอด มนสิการไม่เป็น คำว่ามนสิการ ในมูลสูตร ต้องเป็นก่อนอื่นเลย ในมูลสูตรจึงอยู่ในข้อ 2 เป็นมนสิการเป็นแดนเกิด
1.    มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) 
2.    มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) ต้องอ่านแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่ออกก็ปฏิบัติไม่ได้ 
3.    มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) 
4.    มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)  
5.    มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) 

นามที่พระพุทธเจ้าสอน มี 5 อย่างให้ปฏิบัติคือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าไม่รู้มนสิการอย่างโยนิโสฯก็ไม่ได้ ต่อให้คุณพบสัตบุรุษ ฟังธรรม เกิดศรัทธา ก็จะเข้าหาโยสิโสมนสิการ ก็จะถ่องแท้แยบคายถึงที่เกิดแท้จริงหรือไม่ ก็อยู่ที่สัตบุรุษจะสอนสัทธรรมให้คุณว่าเป็นสัทธรรมแท้หรือไม่บริบูรณ์หรือไม่ 
อาหารสู่วิชชา วิมุติ 
1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ .
2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 
3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต 
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์ 
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ . 
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

ไม่สามารถปฏิบัติได้เพราะไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ทำทานก็ทำใจในใจไม่เป็น ไปทำใจในใจให้ปรารถนา เกิดโลภเพิ่มขึ้น แทนที่จะทำใจให้ลดกิเลส ให้ไป 100​แต่ใจเอามากกว่า 100 ไม่ได้ลดโลภเลย ตะกละเป็นล้านเลย เอาหมดบ้านหมดเมือง ก็คือทำใจในใจไม่เป็นแม้แต่ทานเบื้องต้น 

แม้แต่ศีลพรต การปฏิบัติ จะไปทำใจในใจเป็นก็ยากยิ่งกว่า ทำไปก็ทำมิจฉาทิฏฐิ นั่งสะกดจิต 

แม้หุตัง เสวยผล ถ้าปฏิบัติก็จะได้ผล จะรู้จิตของคุณเกิดผลอย่างไร เห็นความจางคลายของจิต เร่ิมเห็นอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี ก็ไม่ได้อ่าน จนเป็นความดับได้ เป็นนิโรธานุปัสสี มันดับอย่างสมุทเฉทปหาน มันดับได้อุเบกขาว่าง ไม่มีอาการ ลิงค นิมิต เห็นอาการอุเบกขาไม่ไปไม่มาเฉยๆกลาง ไม่ใช่ดำมืดแบบสายหลับตา ที่เขาว่านิโรธคือดับเป็นกิณหะ ไม่มีอนุปัสสี 4 ปฏิบัติแล้วไม่เห็น เขาได้ความดำเป็นสิ่งที่น่าได้ (สุภะ) ดำมืด เขาได้จริงๆ 

ในวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9  สัตว์บางพวก 
1.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่นพวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า  
2.    สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น . 
3.     สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) . 
4.     สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .

กายที่ได้ต่างกัน การไม่มีนิวรณ์ 5 ของสายหลับตาคือดำมืด เป็นสุภกิณหะ ของพุทธก็ไม่มีนิวรณ์แต่ไม่มีอย่างรู้มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง สัมผัสปัจจุบันลืมตาอยู่เลย อาโลกาเลย มีรูปนาม นอกในที่อภิสังขารอยู่ มีของจริง แม้แต่แตะต้องที่ลิ้น ก็รับรู้รส แต่ไม่มีกิเลสชอบหรือชัง ไม่มีสวรรค์หรือนรก อุเบกขา แต่นิโรธของหลับตาไม่แตะอะไรเลย ข้างนอก แม้ข้างในก็ดับให้ดำมืด ตัวที่ 4 ของสัตตาวาส 9 นี้อธิบายยาก

กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ซึ่งองค์ประชุมของกายมิจฉาทิฏฐิ กับสัมมาทิฏฐิแท้จริงต่างกัน พวกเข้านิโรธหนักๆแน่นๆนี่ ไปแงะออกจากท่านั่งไม่ออกเลย กลิ้งไปได้เลยไม่เปลี่ยนท่า เป็นพรหมลูกฟัก แข็งเป็นก้อนติดแน่น เป็นเช่นนั้น ไม่รับรู้สึก แต่ทรงสภาพอย่างที่เขาเป็น 

ถ้าเข้าใจไม่จริงไม่สัมมาทิฏฐิ จะอธิบาย วิญญาณฐิติ 7 หรือสัตตาวาส 9 ไม่ออกอธิบาย กายไม่ได้ 

กายต่างกัน สัญญาต่างกัน คนไม่เรียนรู้ กายก็ต่างกันไป สวรรค์นรก ก็ของแต่ละคนต่างกันไปหมด อารมณ์ดาวดึงส์ สวรรค์นรกก็ของฉันทั้งนั้น การกำหนดรู้ก็ตามแต่ตนเองกำหนด คล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน พอมาเรียนรู้ก็ได้แบบที่สอง คือกายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ก็สัญญาว่าฌาน 1 คือไม่มีนิวรณ์ 5  มีวิตกวิจาร ต้องไม่มีกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ก็ไม่ว่าสายลืมตาหรือหลับตาก็ไม่มีนิวรณ์ได้ หรือฌาน 2 ก็อาจตื่นได้ ฌาน 3 ฌาน 4 ก็ตื่นได้ พอเข้านิโรธ ทีนี้ สายหลับตาเขาต้องดับ ดับเวทนาสัญญาไม่ให้รับรู้ตามที่เขามีสัญญาไว้ เขาอ่านว่าไม่มีนิวรณ์ เขาก็วิตกวิจารออก ว่ามีการฟุ้งไปได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นกาม พยาบาท ได้ เขาก็ระงับไม่ให้ฟุ้ง เขารู้แต่กามในสัญญาไม่ได้รู้กามตอนมีผัสสะ เขาตีรวมว่าอาการกามเป็นเช่นนี้ เขานึกเอา จึงเรียกว่าสัญญาอย่างเดียวกันแต่กายต่างกัน องค์รวมต่างกัน เพราะแม้ทวารนอกคุณก็ไม่เปิดแล้ว สภาพองค์รวมรูป/นามที่ได้ก็ต่างกับผู้ลืมตาปฏิบัติแต่ไม่มีนิวรณ์ 5 

ส่วนอันที่ 3 กายอย่างเดียวกันแต่สัญญาต่างกัน จะมีสองสาย สายหนึ่งดับดำมืด อีกสายหนึี่งก็ใสๆๆๆ อาภัสรา การใสของเขาจะต่างกัน แต่องค์ประกอบที่ได้ใสหรือมืดอย่างเดียวกัน คนสัมมาทิฏฐิ แค่หลับตาก็มืดตื๋อ ถ้าไม่ฟุ้งซ่าน นั่งหลับตาแล้วก็จะมืด ไม่มีแสงสว่างอะไร แสงอะไรที่เกิดมาคือมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิตทั้งนั้น ส่วนสว่างก็เหมือนกันหมด แต่สว่างของคนที่ไปสัญญากำหนดหลงสว่างเขาก็สว่างอย่างเดียวกับมืด อย่างหนึ่งเปิดทวารรับวิถี ดับอยู่ข้างในก็ไม่รับรู้ แต่สายสว่าง กายอย่างเดียวกันคือสว่าง แต่สัญญาของสว่าง ว่าใสเช่นนี้โสดาฯ ใสอย่างนี้สกิทาฯ ใสอย่างนี้อนาคาฯ ใสอย่างนี้ อรหันต์ แล้วก็เลยดันไปว่าพระพุทธเจ้าก็ใส เขากำหนดเช่นนั้นจริงๆ สัญญากำหนดหมายเช่นนั้น เอาแค่ฌาน 4 ก็ไม่มีนิวรณ์แล้ว คุณจะอากาสาฯก็ต้องกำหนดใสอีก ให้มันว่างก็นั่งปั้นภพที่ว่าง พอรวมตัวก็เกิดได้ ไม่มีอารมณ์กาม พยาบาท แล้วก็หลุดไปไม่รู้เรื่องเลย มีแต่อารมณ์ว่าง...... อาตมาก็เคยทำเหมือนหลุดออกนอกอวกาศเลย อาการมันต่างกันนะ มันจะตั้งอย่างนั้นเลย มันจึงเหมือนหลุดโลกออกไป อาตมาไม่ได้สงสัยหรอกที่มหาบัวบอกว่าหลุดปึ๊งออกไป อาตมาก็ปึ๊ง แต่จะได้ครั้งเดียว มันจะรู้แล้ว ครั้งต่อไปไม่ได้แล้ว เหมือนกับคนไม่เคยออกนอกโลก พอออกไป ในขณะคุณอยู่กับความว่าง ก็ไม่รู้ตัวหรอก แต่เมื่อคุณเร่ิมรู้ตัวว่าคุณอยู่ในภพนี้ สภาพนี้ก็คือคุณได้วิญญานัญจายตนะ 

แต่ของสัมมาสมาธิไม่ได้เป็นแบบฤาษีตามที่อธิบายมาแต่อย่างใด 

อากาสานัญจายตนะ เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่งที่เป็นความว่างสว่าง พอวิญญานัญจายตนะก็รู้ตัว อยู่กับความว่างนั้นแต่เรียนมาด้วยทิฏฐิว่า การมีสภาพสว่างอยู่ก็ไม่นิโรธไม่ดับ ก็ดับไปอีก ตัวเวทนาสัญญาอีก ก็ได้อากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่ให้มี ก็พากเพียรดับ ไม่รู้ตัว ดับสัญญา เวทนา อาฬารดาบสได้แค่นี้ จะสะกดจิตอย่างไรก็แวบรู้ตัว จนรู้มากขึ้น พอแวบเดียวก็ดับ จนไม่รู้ว่ามีแวบแต่อุทกดาบสก็รู้อาการแวบนี้ แต่ก็ดับต่ออีก เพราะสัญญาก็ว่าต้องดับถึงนิโรธ จึงเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ได้เหลือแค่สอง คือดับกับเกิดนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง สุดท้ายนิโรธของเขาคือดับมืด เขาจะไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธที่เคล้าเคลียอารมณ์ถึงเวทนา 108 อย่างลืมตาสัมผัสรู้ 

ถ้ามาเรียนรู้ทฤษฎีพระพุทธเจ้ามีสติปัฏฐาน 4 บ้างก็อาจดับอาสวะบางอย่างสิ้นได้ แต่ไม่เข้าใจกายไม่เข้าใจวิโมกข์ก็ไม่ได้ ผู้สายหลับตาต้องมาทำศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ใหม่ หากมีบารมีพอก็จะไปได้เร็ว พระพุทธเจ้าก็นึกถึงอาฬารดาบสกับอุทกดาบส แต่ก็ตายแล้วก็เลยไปโปรดปัญจวัคคีย์ 

พอสอนเรื่องความโต่งขอกาม ของอัตตา อธิบายอนัตตา โกณทัญญะก็ชัดเจนถึงทางแยกใน 5 ก็ได้คนเดียว.... จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:36:47 )

580705

รายละเอียด

580705_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ประชาธิปไตยที่ดีที่สุด+กรณีที่ดินคำกลาง

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 5 ก.ค. 2558 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 มีมะแม เป็นวันคล้ายวันเกิดลุงจำลอง ศรีเมืองด้วย ครบ 80 ย่างเข้า 81 ปี เป็นบุคคลที่น่าเคารพสรรเสริญ​เสียสละต่อสังคมตลอดมาค่อนชีวิตแล้ว เท่าที่อาตมาได้รู้จักมา ก็ได้เห็นว่าเป็นบุคคลเสียสละ ถ้ามีบุคคลเช่นนี้สักร้อยคนพันคน ประเทศไทยก็น่าจะดีกว่านี้

การเสียสละเพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือบ้านเมือง พ่อครูบอกว่า งานที่มีคุณค่าคือเสียสละให้มาก เอาให้แก่ตนน้อย แต่ที่สำคัญคือจิตวิญญาณได้ลดกิเลส แล้วความเป็นบัณฑิตจะมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย งานที่ดียิ่งคือเสียสละและใจได้ลดกิเลสด้วย 

ทุกวันนี้มีคนเรียกร้องว่าไทยเราไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นเผด็จการ เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออย่างไร

พ่อครู...ว่า วันนี้จะได้อธิบายนัยของประชาธิปไตย ว่ามีความหมายอย่างไร ซึ่งตอนนี้มีความเห็นของศิลปินแห่งชาติสองท่านที่มีข้อเขียนปะทะกันมา คือคุณหงา คาราวาน กับ"สิงห์สนามหลวง" สุชาติ สวัสดิ์ศรี

ซึ่งความเห็นของแต่ละคน ก็มีความหลากหลาย ทุกคนมีสิทธิ์เห็นว่าของตนถูกที่สุด ก็ทำไป แต่ตนเองที่ตัดสินแล้ว รู้ความจริงแล้ว อย่างอาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นความหลายหลายเป็นปกติ ไม่เคยฮึดฮัดโกรธคนที่เห็นต่าง หรือดึงดันจะเอาชนะใคร ใครอยากเอาชนะก็ชนะไป ใครอยากเอาถ้วยใบเท่าภูเขาเอเวอเรสต์แข่งกันก็ไป ก็แค่นั้นเอง ใจเราเท่านั้นเรารู้ความจริงแค่นั้นว่านี่แตกต่าง มากบ้างน้อยบ้าง เขายึดอย่างไรก็ทำเช่นนั้น เขามั่นใจว่าดีเป็นสุขก็ทำ แต่ถ้าผิดพลาด เป็นเวรภัยมากก็เรื่องของเขาเอง แต่ถ้าดีมากกว่ามันก็ดี 

หรือดีไม่มีผิดเลย แล้วใครเป็นคนตัดสินล่ะ มันไม่มีคนตัดสินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล นอกจากไม่มีใครรู้ด้วยก็คือพระเจ้า เขาว่าตายแล้วไปนรกสวรรค์ก็แล้วแต่ แต่ของพระพุทธเจ้าว่า เอาคนนี่แหละตัดสิน ใครเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ทุกข์ร้อน เราก็ทำใจในใจให้สบายใครเห็นต่างเราก็ไม่ทุกข์ร้อน

ศิลปินปะทะศิลปิน(อีกรอบ) "หงา"ไม่เชื่อในการนำของ"สิงห์"

14 นักศึกษานักกิจกรรม ที่ถูกคุมขังในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ยังคงเป็น "ประเด็นร้อน" ซึ่งไม่ใช่เฉพาะการนำประเด็นดังกล่าวไป "ต่อยอด" เคลื่อนไหวเพื่อขับไล่ "คสช.ออกไป" เท่านั้น

หากแต่ยังกลายเป็น "ประเด็นวิวาทะ" ถามหาจุดยืนทางการเมืองของกันและกัน ทั้งในแวดวงสื่อสารมวลชน วงการนักกิจกรรมนักเคลื่อนไหว แวดวงนักวิชาการ ไม่เว้นแม้แต่ "เหล่าศิลปิน" ก็มีการขยับขับเคลื่อนให้เห็น แต่ดูเหมือนเป็นไปในทิศทาง "เส้นขนาน" โอกาสที่ปลายทางจะบรรจบพบกันแทบเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว!

"สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์เมื่อปี 2554 นักเขียนเจ้าของนามปากกา "สิงห์ สนามหลวง" ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ไว้เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โดยสื่อสารไปยัง " เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ วิทยากร เชียงกูล สุรชัย จันธิมาธร" ว่า "กลับบ้านเถอะ ยังไม่สายเกินไป เผด็จการก็คือเผด็จการ ไม่ว่ามันจะมาขัดตาทัพหรือไม่ก็ตาม มันก็คือรัฐประหารที่ใช้อำนาจเป็นธรรม มันมาก็เพื่อจะล่มจม แต่หลักการ "ประชาธิปไตยใหม่ " ในเชิงโครงสร้างของสังคมทั้ง 5 ประการต่างหาก คือความจริงและความใฝ่ฝันแสนงามที่เราควรมาทำความเข้าใจร่วมกันกับนักศึกษาหนุ่มสาว รัฐประหารมันก็แค่ชั่วคราว ไม่จีรัง แต่มิตรภาพต่างหากที่ควรจีรัง เราควรมองตากันได้เต็มตาอีกครั้ง

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม เวลา 9.00 น. กลุ่มกวี นักเขียน ศิลปิน บรรณาธิการ จะไปเยี่ยมนักศึกษาหนุ่มสาวทั้ง 14 คนที่เรือนจำกรุงเทพมหานคร ถนนงามวงศ์วาน ไปเยี่ยมเพื่อนเราด้วยกันนะ
เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ "

ต่อมาช่วงเที่ยงวันนี้(4 กรกฎาคม) "สุรชัย จันทิมาธร" หรือ "หงา คาราวาน" ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2553 ได้โพสต์แคปเจอร์ภาพ และข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ท.เสน สัญจร" ระบุว่า " พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!" และ "อย่างไรก็ตาม ผมไม่เชื่อในการนำของพี่ ขอไปอีกทางได้ไหม (นามสกุลผมพี่ยังเขียนผิดแน่ะ)"

"หงา คาราวาน" ยังได้โพสต์บทกลอนด้วยว่า

"คนเรามีหลายวิถี
วิธีย่อมมีแตกต่าง
แต่ละจุดหมายปลายทาง
ถึงบ้างไม่ถึงบ้างช่างปะไร
กลุ่มก๊วนมันชวนทะเลาะ
จงเจาะแม่น้ำสายใหญ่
เรือแพจะได้ล่องไป
ฟืนไฟจะได้ล่องตาม
รู้สึกว่ามีคุณค่า
ถูกด่าถูกดาบหยาบหยาม
ขากถุยชุ่ยเลวประณาม
เหมือนความมักง่ายถ่ายเท
คนเราโตขึ้นไม่ได้
ถ้าไม่เคยผ่ายหักเห
นักคิด ถ้าพาลเกเร
เพื่อนเพ กะเพี้ยง นักเลง

อาตมาก็ขอร่วมสำแดงความเห็นของตนเองบ้างอันนี้ ก่อนจะได้สำแดงความเห็น เรื่องประชาธิปไตยในความยึดมั่นถือมั่นของตนเอง ต้องว่าอย่างนั้นเลยนะ ก่อนอื่นก็จะขออ่านกวีที่ได้ตกแต่งใหม่

                    ถึงกาละรอบ่ได้ ท้อบ่ได้ ถอยบ่ได้แน่ๆ มีแต่”ทำเต็มบริสุทธิ์”ให้จบเท่านั้น

                (1) ทั้งดาวดวงประจบแล้ว    มงคลฤกษ์    
                ขุดเหตุถอนรากเพิก        พิษร้าย
                ชั่วช้าหนักเอิกเกริก        เกินกล่าว แล้วแฮ
                 เลวสุดหลักฐานท้าย        สุดนั้นเต็มมือ
                 (2) อย่ายื้ออย่ายืดให้        เป็นเวร ภัยเลย        
                สัตว์วิปริตพิษเกินเกณฑ์    ชัดแท้
                กัดบ่หยุดมันเดน        นรกเกิด มารา 
                นี่แหละสัตว์จริงแล้        ฤทธิ์ร้ายจริงจริง
                (3) อย่าประวิงด้วยเหตุ    ใดใด อยู่เลย
                คนชั่วบ่หยุด ไข        สัจจ์แล้ว
                คนสัตย์ซื่อกล้าใจ        บริสุทธิ์ 
                ธรรมย่อมคุ้มครองแคล้ว    คลาดพร้อมบุญญา        
                (4) กาละรอบ่ได้        พึงตรอง เถิดเทอญ
                ท้อบ่ได้พึงสนอง        ฤกษ์ฟ้า
                ยิ่งถอยบ่ใช่ของ        ควรเกิด แน่แฮ        
                จิตอ่อนแอบ่กล้า        ยิ่งร้ายของเสีย
                (5) เพลียล้ากันมากแล้ว    เกินรอ ท่านเอย
                ประมาทสัตว์กุนจอ        บ่ได้
                สัตว์เง่าแง่ทำหงอ         ไป่สุด เล่ห์นา 
                อย่าสะดุดปยุตต์ให้         ฤกษ์ร้ายมงคลเสีย    
                (6) เจียรกาลนานหนักแล้ว    คนไทย
                รอประชาธิปไตย        ที่แท้
                ประชาธิปไตยใด        ทั้งโลก ทิ้งเลย
                ไทยนี่ไทยจริงแล้        อิสระเรื้องเมืองไทย            
                (7) อธิปไตยพุทธดั้ง        เดิมมา
                สุดยอดคือประชา-        ธิปัตย์แก้ว
                อย่าเลยอย่าไปหา        ลัทธิอื่น
                ลัทธิพุทธสุดแล้ว        ยอดแท้ประชาธรรม.    
    
                        สไมย์ จำปาแพง”    2 ก.ค. 2558
        [นัยปก”เราคิดอะไร” ฉบับ 301 ประจำเดือน สิงหาคม 2558]                                
ประชาธิปไตยที่เป็นของพุทธที่รู้จักโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และสร้างตนให้พ้นโลกพ้นอัตตาได้ คือประชาธิปไตยที่เป็นธรรม และผู้นี้จะทำประชาธิปไตยให้เป็นประชาธิปไตย จะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม จะเป็นเผด็จการ หรือสมบูรณาญาสิทธิราช ตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหง เป็นประชาธิปไตยที่เลี้ยงดูประชาชนเหมือนลูกหลานเลย อยู่อย่างสงบเรียบร้อยท่านถึงได้รับการยกย่อง เป็นแต่อยู่ในคราบเผด็จการ ราชาธิปไตย แต่พฤติกรรมของท่านนั้นเป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยในความหมายของอาตมาคือเพื่อประชาชนอย่างเป็นจริง ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเป็นจริง 

ส่วนว่าจะโดยประชาชนหรือจะโดยคนเดียว หรือจะใช้คำว่า ของ ก็ได้ ประชาชนก็ได้รับเป็นของประชาชนจากผู้ปฏิบัติผู้ถืออำนาจแน่นอน แม้ระบอบคอมมิวนิสต์คือกลุ่มเผด็จการ ที่ปกครองใช้อำนาจของคณะนี้ แต่ถ้าคณะนี้บริหารอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพื่อประชาชนจริง นั้นคือประชาธิปไตย​จะอยู่ในชื่อคอมมิวนิสต์ก็ตาม แต่ถ้าใจจริงทำเพื่อประชาชน ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่พวกพ้องอย่างแท้จริงก็คือประชาธิปไตย หรือจะใช้ชื่อว่าปชต​.โดยให้ประชาชนทั้งหมดเป็นเจ้าของแล้วมาบริหาร มันทำไม่ได้ก็เลยออกแบบให้ประชาชนมาลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง แล้วไปเลือกคณะไปทำงานในรัฐสภา 
    
การให้ประชาชนเลือก ยิ่งยุคนี้ ประชาชนมีกิเลสเป็นเจ้าเรือน เขาก็ไปเลือกคนที่เขาชอบ เขาไม่เป็นกลาง แต่ถ้าประชาชนคืออรหันต์ทั้งหมดไปเลือก อาตมาเอาด้วย แม้แต่เป็นอาริยะส่วนมาก เป็นอนาคามีหรือสกิทาคามีหรือเป็นโสดาบันส่วนมากก็ไม่ใช่ แล้วจะให้ประชาชนส่วนมากที่กิเลสหนาไปเลือก มันก็ไม่ใช่ เขาเลยหากลวิธีที่หลอกล่อ ใช้อามิสหรือหลอก จนเขาทำสำเร็จ จนเขาพูดเย้ยว่า ส่งเสาไฟฟ้าก็ได้รับเลือก เขาสร้างค่ายกลการเมืองไว้แล้ว มีวิธีบังคับ หลอกล่อ ซื้อไว้ ด้วยอำนาจโลกธรรม 

วิธีการเลือกตั้งที่เกิดจากอำนาจโลกธรรมจึงไม่ใช่ประชาธิปไตย แล้วก็โหยหาเรียกร้องให้เลือกตั้ง นี่คือไม่เข้าใจเนื้อแท้ของประชาธิปไตยว่าเพื่อประชาชน

พระพุทธเจ้าทำให้คนหมดกิเลส ถ้าหมดกิเลสคืออรหันต์ อนาคามีเหลือเศษกิเลสในตน ที่ต้องล้างต่อในรูปภพ อรูปภพก็บำเรออารมณ์ในใจตน แต่ข้างนอกคนจะแย่งโลกธรรมอย่างไรแย่งกามอย่างไรท่านไม่ไปแย่งกับเขาแล้ว     สกิทาคามีก็ลดลงมาตามสัดส่วนตามลำดับ ส่วนโสดาบันก็เร่ิมรู้ทางเริ่มทำไปตามลำดับก็เป็นสกิทาคามีไปตามลำดับ จนหมดโลกธรรม เป็นอนาคามี ส่วนปุถุชนไม่รู้เรื่อง ก็มุ่งแต่หา จะเอาโลกธรรม กามคุณ แม้เรียนรู้มาแต่ปฏิบัติไม่เอาจริงก็ไม่ได้ผล แล้วรู้มากแต่ภาษาบัญญัติความหมาย แต่พูดโก้ๆล่อหลอกจนคนเชื่อ 

ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ อาตมาเชื่อมั่นว่าลดละล้างได้ ออกจนหมดได้ อาตมาก็ประกาศตนว่าตนเป็นอรหันต์ ไม่ได้มีรสชาติอัสสาทะไม่มีอาการจะเกี่ยวจะข้องกับโลกธรรม หรือกามคุณ หรืออัตตา อาตมาถึงพูดอย่างเต็มใจ แล้วก็เหมือนข่มคนอื่น ก็ธรรมดา ความดีก็ต้องข่มความชั่วเป็นธรรมดาแล้ว จะให้ความดีอยู่เหนือความชั่วได้อย่างไร ความไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเหนือกว่าความเห็นแก่ตัว 

คนบริสุทธิ์ลดกิเลสทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ คำพูดของลินคอน คือโดยประชาชนเพื่อประชาชนของประชาชน แต่ถ้าไม่ลดกิเลสก็จะทำเพื่อกิเลส จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นหรอก จะทำเพื่อตัวเอง ต้องคนจริงๆๆ จึงไม่เอา พูดจริงไม่หลอก คนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่พูดว่าจริง ก็พูดได้ทั้งคนจริงและหลอก 
           
สรุปว่า ประชาธิปไตยคือเพื่อประชาชนอย่างเป็นจริง ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเป็นจริง มีสองเงื่อนไขหลัก คุณต้องรู้ว่าความไม่เห็นแก่ตัวคืออะไร ต้องทำความเห็นแก่ตัวออกไปจนหมดเป็นอรหันต์ 

แล้วพระพุทธเจ้าพาทำมาก่อน ท่านยอดเผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เป็นผู้ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)ที่แท้จริง

อาตมาปางนี้มาเปิดเผยสัจธรรม อย่างไม่ต้องมีปริญญาใดรับรองเลย รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ไม่มียศศักดิ์ใดๆ เพื่อพิสูจน์สัจธรรม อาตมาเหนื่อยมาก แต่ก็ได้ทำสิ่งที่เป็นสัจธรรม ได้มาขนาดนี้ไม่ตายกลางทางไม่บาดเจ็บกลางทางก็ดีแล้ว แค่ 45 ปีไม่พอ ขออีก 70 ปี 
        
           
ต่อไปจะเป็นเรื่องของความเห็นความยึดถือเป็นตัวกูของกู คือเรื่องที่ดิน ที่เป็นของราชธานีอโศก ซึ่งซื้อมาจากกรมบังคับคดีที่เขาขายทอดตลาด เป็นของหลวง ศาลก็จัดการขาย ถ้าของนี้เป็นของไม่ควรขาย ศาลก็ไม่เอาออกมาขาย แต่เมื่อศาลขาย เราก็ไปซื้อมาถูกต้องตามกฎหมาย แล้วเราก็ทำประโยชน์ ในสาธารณโภคี แต่อยู่มาๆ เราใจดี ว่ามีชาวนา ที่ทำกินในพื้นที่นี้ เราก็ได้ตกลงกับเขาว่าทำก็ทำไปแต่ขอให้ทำสัญญาว่าเราเป็นเจ้าของ ก็เซ็นสัญญา เราก็ว่าเราให้ใช้พื้นที่คิดค่าเช่าถูกมาก แต่จริงๆแล้วไม่ได้เอาสักบาท คุณก็หักเอาข้าวให้เราบ้างก็ไม่มีกฎอะไรมาก มีชาวนามาทำหลายสิบคน พอทำไปแล้วเสร็จก็มีคนมาให้ความเข้าใจใหม่ ...ที่ผิดๆ แล้วเกิดการแย่งชิง เราก็ว่าของเราสุจริต แต่เขามีิวิธีสารพัด ไปหาเสียง ฟ้องหน่วยงานมากมาย เราก็ไม่ได้หาเสียงก็บอกไปกลางๆ แต่ก่อนไม่มีกระบอกเสียงก็ถูกเขามาไล่ข่มขู เอามีดมาไล่ฟัน วิ่งหนีเลย คนก็อยู่เยอะแยะเลย ซึ่งบังอาจมาก เราไม่เคยไปทำร้ายทำลายเขาเลย แต่ทุกวันนี้จบที่ศาล แล้วศาลฎีกาก็บอกว่าฏีกาไม่ได้แล้วด้วย เขาก็บอกว่าจะฎีกาได้อีก เขาอุทธรณ์ฎีกา เขาไม่ยอมหยุด ฟ้องประชาชนตลอดเวลา 

คุณเมธชัย คำแผ่น เขาก็เขียนในเฟสบุ๊ค
ใครที่แม่งเลื่อมใสไอ้พวกไม่กินเนื้อไอ้พวกไม่ใส่รองเท้า พวกมึงมันเห็นแต่รูปภาพที่มันแสนดี แต่กูแม่งเห็นใส้เห็นพุงมันหมดแล้วชาติชั่วใจหมาปีศาจที่หลุดมาจากนรก วันๆกูได้ยินแม่งเทศด่าแต่นักการเมืองอีกฝ่าย มึงมันจะปฏิบัติธรรมหรือพวกมึงจะปลุกระดมคน กูฝากแม่งไอ้คนที่แม่งหูหนวกตาบอดคิดว่ามันดีมาดูให้เห็นกับตาตัวเองด้วยเรื่องนี้กูไม่เกี่ยวกับการเมืองไม่มีนักการเมืองคนใหนมาหาข้าวให้กูกิน แต่แม่งดันไปให้ข่าวว่าเสื้อแดงหนุนหลังกู พ่อมึงไอ้พวกตาถั่ว"กูคือประชาชน" — รู้สึกโมโห

ส.เดินดินว่า...เราเจอโจทย์นี้ก็ไม่ง่าย เหมิือนกับรัฐบาลเจอกับนศ.ตอนนี้ ภาพเป็นเช่นนั้น เหมือนกับเราที่ต้องเจอกับชาวนา ที่เขาว่าเราคืองูเห่า เขาไปร้องเรียนมาหลายหน่วยงาน อย่างเฟสบุคที่เขาด่านี้ ว่าเรื่องที่เกิด เพราะว่ามีเหตุแล้วว่า...กรณีพิพาทที่ดินสาธารณะประโยชน์(พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก)ถูกกลุ่มนายทุนร่วมกับผู้นำท้องถิ่นในขณะนั้นทำการทุจริตต่อหน้าที่ และได้นำพากลุ่มปฏิบัติธรรมไร้ศาสนาเข้ามาเพื่อเหยียบย่ำพี่น้องประชาชนเมื่อปี 2533 โดยที่บรรพบุรุษเราได้อาศัยทำมาหากินมาเป็นเวลา 120 ปีแต่วันนี้มันแทบจะไม่เหลือพื้นที่ส่วนรวมให้ชาวบ้านใช้วิถีชีวิตเดิมอีกแล้วครับ เพราะข้าราชการบางกลุ่มในสมัยนั้นคบคิดกันกระทำความชั่ว และสิ่งนี้ที่จะเป็นบาดแผลในใจชาวบ้านจนวันตาย 

เราอยู่กันมา ไม่ได้มีเรื่องเหล่านี้เลย แล้วว่าชาวบ้านอยู่กันมา 120 ปี ก็อยากให้ดูแผนที่เก่า ว่าของเดิมไม่ได้มีอะไรเลยมีแต่ที่โล่งว่างเปล่า มีป่าไม่มาก มีน้ำท่วม ไม่มีคนมาใช้ทำกินแล้วที่ว่า 120 ปีเขาว่าชาวบ้านทำมาหากินก็เป็นภาพดาวเทียมที่ไม่มีอะไรเลย ในอดีต ทั้งสองฟากฝั่ง เป็นที่น้ำท่วม ไม่มีใครมาอยู่หรอก แล้วเรามาอยู่กันก็ปรับปรุงพื้นที่มาเรื่อย เทียบกับแผนที่ปัจจุบัน 

เรื่องคดีนั้นยุติแล้วเมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินให้กองทัพธรรมชนะ ให้ผู้บุกรุกออกจากพื้นที่แล้ว ก็ต้องถือว่ายุติ เพราะว่าการฎีกา นั้นกรณีนี้เป็นคดีเล็กๆ ค่าเสียหายไม่มาก เป็นคดีที่ห้ามอุทธรณ์ฎีกา ถ้าจะฎีกาต้องยื่นเรื่องก่อนแต่ว่าทนายเขาไม่ได้ยื่นคำร้องของฎีกา เขาลืมทำหนังสือขออนุญาตฎีกา พอเขาจะฎีกา ศาลชั้นต้นก็ลืมอีก ไปอนุญาตให้เขาฎีกา ทนายเราก็เลยยื่นว่า คดีนี้ฎีกาไม่ได้นะ เพราะค่าเสียหายมันน้อย ศาลชั้นต้นก็เลยแทงเรื่องว่าศาลชั้นต้นผิดหลง จึงไม่สามารถฎีกาได้ เขาเลยขออุทธรณ์คำสั่งอีก  คดีนี้จบที่ฎีกาไม่ได้ กรมบังคับคดีก็ต้องจัดการตามศาลอุทธรณ์สั่ง ศาลก็ให้ตำรวจมาแล้วให้ชาวบ้านออก หากไม่ออกก็ต้องติดคุก ชาวบ้านก็ยอมออก แล้วทำพิธีมอบให้เสร็จสรรพ แล้วเราก็ไปปรับพื้นที่ ให้ชัดเจนว่าตรงไหนที่กองทัพธรรม ตรงไหนเป็นที่สาธารณะ ทุกอย่างก็ยุติแล้ว ถ้าเขาเข้ามาอีก กรมบังคับคดีก็ต้องมาอีก 

แต่เขาก็ไม่หยุดไปร้องนายกฯอีก ไม่หยุด แต่ชาวบ้านก็คงได้คิดว่า ต่อสู้ไปก็มีแต่เฉียดคุกไปเรื่อยๆจนหัวหน้าเขาก็มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการเงินที่ได้รับมาอีกข่าวว่าเช่นนั้น เราเองไม่ได้ไปทำอะไรเขาเลย 

อาดินดอนว่า....ผมฝากสารรักถึงคุณเมธชัย ว่าผมได้ติดตามเฟสบุคท่าน แล้วอยากบอกว่า แผ่นดินนี้ไม่เหมือนที่อื่นเพราะเป็นที่ดินพระโพธิสัตว์ ก่อนจะได้มีคำตัดสิน เราได้ผ่านกระบวนการมายาวนาน เราไกล่เกลี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งก่อนฟ้อง ตอนฟ้อง หลังฟ้องก็ไกล่เกลี่ยอีก เพื่อให้ชาวนาเข้าทำนาได้ตามเดิม เราก็ยอม แต่ให้รู้ว่าเป็นที่กองทัพธรรม แต่เขาก็รุกไล่เราไม่ยอมอีก แต่ตลอดมาเราก็ยังคิดช่วยชาวนามาตลอด มีพวกเราเสนอพ่อท่านว่าสงสารเขา เราน่าจะจัดพื้นที่ให้เขาใช้ได้มีที่ทำนา แต่ว่าท่านเมธชัย ท่านทำให้วิธีการของเราไม่มีช่องทางทำได้ ในขณะเราจะช่วย ท่านก็ไปร้องเรียนว่าไม่ใช่แค่ที่ตรงนี้ทั้งหมดต้องเป็นที่สาธารณะ แต่จะให้หมู่บ้านเราทั้งหมดเป็นที่สาธารณะ การคิดจะช่วยให้ชาวบ้านมีที่ทำกินก็เลยพับไป แล้วแสดงว่าคุณเมธชัยที่นำชาวนานี้ท่านไม่ได้รักชาวนาเลย เราเปิดช่องทางให้มาคุยไกล่เกลี่ยตลอดเลย 

ส.เดินดินว่า...มุมนี้ทางเมธชัยอาจถูกทนายหลอกก็ได้ เพราะทนายอาจบอกว่าน่าชนะๆๆ ก็เลยต่อสู้ต่อไป

อาดินดอนว่า...คุณเมธชัยถ้าปรารถนาดีต่อชาวนาต้องรู้ว่าควรจะประนีประนอมกันอย่างไรยอมอย่างไร

สม.กล้าข้ามฝันว่า...เวลาเห็นชาวนาไปร้องเรียนใจก็สงสารชาวนา เห็นว่าคนรวยน่าเป็นคนเอาเปรียบ เพราะได้รับสื่อสารมาเช่นนั้นแต่พอมาอยู่ที่จริงๆ กับที่นาชาวอโศก ทำไมไม่เป็นเช่นนั้นเลย คนจนน่าจะซื่อสัตย์และน่าเห็นใจแต่ว่า ของจริงไม่ใช่ ชาวนากลับกลายเป็นคนที่แสดงเก่ง สื่อให้คนไม่รู้เรื่องสงสารได้ ถ้าดิฉันไม่ใช่คนรู้เรื่องที่นา จะมองเลยว่ากองทัพธรรมเป็นนายทุน เบียดเบียนคนจน แล้วคนมาช่วยชาวนาก็เป็นNGO ไม่มีผลประโยชน์อะไร มันมีน้ำหนักน่าเชื่อถือนะ ก็เลยได้แง่คิดว่าความจริงในโลกไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น ไม่ใช่ว่าคนถูกรังแกเป็นชาวนาเป็นคนจน คนจนหลอกคนไม่เป็นไม่ใช่ ภาพบางอย่างเป็นภาพลวงตา คนจนๆอาจไม่ได้คิดว่าจะโกงแต่ว่าให้เราทำนาได้ก็พอ แต่ที่มันเป็นที่น้ำท่วม พ่อแม่ปู่ย่าก็ขายไป ก็เลยตกทอดมาถึงเรา เราก็ทำการปรับที่ให้ทำตลาดอาริยะจะช่วยคนได้สะดวก แต่กลับมีคนบอกชาวนาว่า ถ้าต่อสู้ก็จะชนะได้ที่คืน ต่อสู้จะได้ทั้งที่ดินคืน ทั้งที่ขายไปแล้วนะ แล้วทำภาพน่าสงสารๆ สังคมจะได้เชื่อถือ มันตรงข้ามกับความจริง เป็นแค่การสร้างภาพ ภาพกองทัพธรรม ก็เอาภาพรถแบคโฮล เอาโรงปุ๋ยมาใส่ ทั้งที่มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย มีการสร้างภาพที่คนจนๆไม่น่าจะสร้างภาพได้ขนาดนี้ 

เผอิญหมู่บ้านคำกลางก็มีญาติธรรมเราอยู่ด้วยเขาเล่าว่า ที่จริงหมู้บ้านคำกลางเป็นคนดีมาก นับถือคริสต์ ตั้งโรงบุญกัน เป็นญาติกัน แต่หลายคนเวลาเขาจะรวมคนไปออกทีวี ไปศาล ก็จะมีคนต้อนคนไป ประกาศให้ไปกัน ชาวบ้านบางคนต้องหาวิธีแกล้งป่วย มีธุระไม่อยากไปเวลาเขาประกาศให้ไป ถ้าคนไม่พอเขาก็เอามาจากหมู่บ้านอื่นอีก น่าสงสารพี่น้องที่เขาเอาไปประท้วง ไปกทม.ไปไหนก็ไป หลายคนที่ไปไม่ใช่คนทำนาด้วย กลุ่ม NGO เขาก็เอาไปพูดวิเคราะห์ ระดับอาจารย์ก็ต้องมาฟังคนปั้นแต่งเรื่อง แปลกนะ เมตตาไม่มีประมาณจะพบคนพาลทั่วเมือง ขนาดเราเมตตาแล้วก็ยังพบคนพาลเลย แม้วัวควายก็มากินผักในที่เรา

ส.เดินดินว่า...ธรรมกายเขามีภาพมาเหมือนกันว่า ไปถือปืนไล่ชาวนา แต่ของเรามีแต่ชาวนาถือมีดมาไล่เรา เป็นสิ่งที่ล้อเลียนกัน ชาวบ้านเขาไปร้องเรียนไทยพีบีเอส ก็ได้รับการร่วมมือ แม้เขาจะชนะตรงนี้ ไปสภาทนายความเขาก็เห็นใจชาวบ้าน เขาก็รู้สึกว่าทำสำเร็จ ก็เลยเป็นแรงให้มาบดขยี้เรา คิดถึงจะขับเราออกจากพื้นที่ สุดท้าย ไม่เป็นอย่างใจเลย ทำไปใกล้จะติดคุกอีก ก็เลยไปไม่เป็น ก็ไม่กล้ามาขอให้เราให้เขาทำนาอย่างเก่าเลย เราก็ไม่รู้ว่าจะต่อให้เขาอย่างไรแล้วตอนนี้ ก็ให้กรรมจัดสรรไป

พ่อครูว่า..ขอสรุปสองเรื่อง คือเรื่องประชาธิปไตยกับสุจริตธรรม

เรื่องสุจริตธรรมเป็นเรื่องความจริงใจ อโศกเราคือชาวนา ทั่วไปเขาเห็นใจชาวนา แต่ว่าอโศกเราก็เป็นชาวนา ก็มาดูได้ ก็ว่ากันไปตามจริง จะออกอย่างไรก็ว่าไป เขายืนยันจะเอาเช่นนี้ๆ แต่เป็นเพื่อบำเรอกิเลสก็เลยไปไม่ได้

หลักประชาธิปไตยของลินคอนนั้นเพื่อประชาชนนั้นใช้ได้แล้ว แต่โดยประชาชนนี้ ปัจจุบันประชาชนมีกิเลสซับซ้อนมาก ไม่ได้แน่ถ้าโดยประชาชน อย่างประชาธิปไตยของอเมริกานั้นก็ล้มเหลว อังกฤษเป็นประชาธิปไตยเป็นต้นแบบประชาธิปไตยจนทุกวันนี้เขาก็รักษาประชาธิปไตยได้ดีได้งาม รัฐบาลเขาไม่มีรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องจารีต ประเพณีวัฒนธรรม ไม่ต้องเขียนรัฐธรรมนูญ แต่เป็นประชาธิปไตยแท้จริง เป็นประชาธิปไตยสองขา คือมีจิตวิญญาณกับวัตถุ ทุกอย่างต้องมีธรรมะสอง ในโลกมีอย่างเดียวอยู่ไม่ได้หรอก คุณธรรมของประชาธิปไตยนี่เป็นอย่างพระเจ้าแผ่นดินของไทยเป็นนักยอดประชาธิปไตยของโลก ท่านบริหารภายในกรอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ แต่ท่านบริหารเองจริงๆเลย ท่านทำจริงๆ ทำเพื่อประชาชน​แต่ไม่ใช่โดยประชาชน​แต่โดยผู้เดียว ไม่ได้บังคับ ไม่มีพรรค การบังคับให้สังกัดพรรค ต้องหาเสียง นั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย 

พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษคือควีนอลิซาเบทจึงอุทานว่า ไม่คิดว่าจะได้เจอ King of King ทุกวันนี้แม้มีรัฐประหาร ก็ไม่เห็นมีนายกฯคนไหนเหมือนพล.อ.ประยุทธ ที่ยืนยันทำเพื่อประชาชน พฤติกรรมลดแข็งกร้าวลง เห็นความก้าวหน้ามาก 

สรุปคือประชาธิปไตยของไทยนี่เป็นประชาธิปไตยแท้ บริสุทธิ์ไม่มีอะไรแอบแฝง ถ้าศึกษาให้ดี ไทยเราจะใช้ประชาธิปไตยแบบพุทธศาสนา อย่างบ้านคำกลางที่มานี้ เราจับได้จากที่เขาโพสต์มานี่ ลงท้ายเขาบอกว่า คงอีกไม่นาน ที่เขาจะประกาศว่าจังหวัดเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา (ของเขาครับ) เขาเป็นคริสต์ ก็บ่งบอกว่าจิตของเขา มันไม่ใช่เรื่องของที่ดินทีเดียว แต่คุณเอาศาสนามาเกี่ยวด้วยทำไม นี่คุณเอาศาสนามารุกรานนะ อาตมาเคารพศาสนาไม่ได้เอามาเกี่ยวด้วยนะ....จบ


ประเทศไทยนี่ ทำไมนะ ไม่ให้คุณจำลองเป็นนายกฯนะ แต่เขาอาจเห็นว่าคุณจำลองแข็ง แต่ถ้าไม่แข็งก็ไม่ได้ แต่คุณจำลองก็มีความอ่อนโยนในตัวนะ วันนี้เป็นวันเกิดคุณจำลอง


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:37:39 )

580706

รายละเอียด

580706_ธรรมาธรรมะสงคราม ความวนแบบโลกียะกับแบบโลกุตระ

พ่อครูว่า...วันจันทร์ ที่ 6 กรกฎาคม 2558  แรม 6 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม วันนี้คงจะได้ขยายที่ได้อธิบายมาก่อนหน้านี้ ...อาตมาได้พยายามพูดกว้างถึงโลกต่างๆ แล้วก็เจาะลึกถึงโลกอัตตา ถึงอำนาจ ที่เป็นพลังงานทั้งหลายในโลก ที่อาตมาได้นำมาเทียบเคียง ว่าโลกก็มีพลังงานเขาก็ค้นพบ แล้วเอามาใช้ประโยชน์ แล้วพลังงานทางจิตก็มีแน่นอนแล้วรู้จักโลกด้วย ทางธรรมจึงรู้ทั้งทางโลกและทางจิต 

แล้วสามารถใช้ได้ด้วย จริงๆแล้วพลังงานทางโลกเขารู้สุดถึงนิวเคลียร์ ทำลายนิวเคลียสออกมาเป็นพลังงานนิวเคลียร์แต่คุมไม่ได้ ทำลายล้างสูง แต่พลังงานจิตก็เช่นกัน ทำลายนิวเคลียส แล้วมีพลังงานแตกตัว เป็นนิวเคลียร์แต่จับได้ควบคุมได้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ 

พลังงานหรือเรียกว่าอธิปไตย เป็นพลังงานของสังคม มนุษยชาติ มีจิตวิญญาณของมนุษยชาติเป็นตัวหลัก พลังถึงกัมมันตรังสี ละเอียดมาก คุมยาก เหมือนพลังงานสสารกัมมันตรังสีก็ควบคุมยาก พลังงานนามธรรมก็คุมได้ยาก เป็นกัมมันตภาพหรือรังสี เกิดจากกรรม ไอสไตน์ค้นพบ Space and time of continuum เป็น chain reaction ไปเรื่อยๆ 

พลังจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน สามารถแตกตัวเอาไปทำงาน เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ควบคุมได้

ของไอสไตน์คือ  Space and time of continuum ของพระพุทธเจ้าเป็น  Kama and time of continuum

จิตเร็วกว่าแสง ทางโลกแสงเร็ว= c แต่จิตเร็วกว่าแสง ถ้าทำความเร็วได้เท่ากับแสง ยกกำลังสอง เป็น A bomb of love. ของไอสไตน์ ที่เขียนจนหมายทิ้งไว้ เพราะเปิดเผยตอนนั้นคนไม่เข้าใจ 

โลกสอง คือโลกโลกียะกับโลกโลกุตระ 

โลกคือความหมุนวน เกิดแรงเคลื่อน มีแรงดูดและแรงกระจาย สองสภาพ แล้วโลกที่ว่าเกี่ยวกับคน คือโลกธรรม 8 เป็นเหตุเป็นปัจจัยในโลก ที่ผู้ยังอวิชชาหลงติดยึดแล้วก็วนเวียนในโลก เขามีวิธีให้หยุดวน แต่หยุดอย่างดื้อๆ เฉยๆ วิธีนี้รู้กันทั่วโลก มันก็หยุดได้บ้างชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่รับรองว่าอนาคต หรือชาติต่อไปจะหยุดได้ บางที่เอามากว่าเก่าเหมือนคนอดเหล้า 

จนกว่าจะมาเกิดญาณปัญญาว่ามันเป็นของเท็จ แต่เรายึดไว้มันไม่ถอดถอน ในทุกข์อาริยสัจ หากจะมีอารมณ์สุข ทุกข์มันพักยกไว้ ก็ไม่พ้นอวิชชา ไม่พ้นความไม่รู้อย่างสมบูรณ์มันแค่เคหสิตอุเบกขา หยุดได้ไม่สมบูรณ์ ซึ่งยังไม่ได้ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ จนเป็นอารมณ์ไม่สุขไม่ทุกข์(อุเบกขา) แบบสิ้นเหตุแห่งสุขทุกข์ได้ มีธรรมรส และจะชัดเจนในโลกียรส เพราะมันต่างกัน อ่านออกเห็นด้วยปัญญาอันยิ่ง ว่ารสโลกียะกับรสโลกุตระต่างกัน เดินสวนกัน 180 องศา ปฏิโสตัง ทำไปตามลำดับ เรากำหนดเขต ปริตตัง ว่าเราวนอยู่กับเรื่องนี้ เช่นกินเหล้า สูบยา กามคุณ 5 เราจับให้ได้ ไม่ใช่ทำอย่างไม่ประมาณ อะไรก็กิเลสหมด ไม่ใช่รู้อย่างหลวมๆ แต่รู้แจ้งรู้จริงตามลำดับ จะได้รูปแบบโครงสร้างละเอียดลออ  

แม้เป็นนามธรรมที่รู้ยากก็รู้ได้ แจ้งจริง คนทำได้จะรู้ว่ามันหยุดจริงๆ ถาวร อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงตามพระพุทธเจ้าสอน ก็ไม่หมดโลก จนเป็นผู้ประเสริฐสุด อย่างสิ้นทุกข์ สิ้นภัยในโลก เราอยู่กับโลก โลกเขามีเขาเป็นกันติดยึดกัน อย่างสัมมาปฏฺิบัติ ไม่ไปหลงติดกับโลกนั้นอีก ที่เขายังสังสัคคะกัน แต่เราอสังสัคคะ เราออกมาไม่เป็นสมาชิกอย่างเด็ดขาด โลกระดับโลกธรรมก็คือของปุถุชน เขาก็ย่อมหวงแหน แย่งชิง จนเกิดการทะเลาะวิวาทกัน เวทนามันต้องการสุข มันก็มีตัณหาคือเหตุ เกิดการแสวงหา จึงเกิดลาภ ถ้าไม่ได้สะดวกโดยสุจริตก็ทำทุจริต แม้สุจริตก็หามาบำเรอชีวิต หากไม่มีรสโลกีย์นี้ชีวิตอยู่ไม่ได้ 

เวลาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างปริตตาภา คือรู้กำหนดกรอบขอบเขต อ่านออกว่าจิตเราติดยึดอย่างนี้ กรอบนี้ เราก็เรียนรู้อาริยสัจ จนทำลายกิเลสที่เป็นมารออกไปได้หมด จิตสะอาดก็เป็นพรหม เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ มีอธิไปตามลำดับ เป็นต้น กลาง ปลายที่งดงามมาก ของพระพุทธเจ้านี่ 

เพราะอาศัยเวทนา จึงเกิดตัณหา 
เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา 
เพราะอาศัยการแสวงหา  จึงเกิดลาภ 
เพราะอาศัยลาภ จึงเกิดการตกลงใจ 
เพราะอาศัยการตกลงใจ จึงเกิดการรักใคร่พึงใจ 
เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง 
เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ 
เพราะอาศัยความยึดถือ จึงเกิดความตระหนี่ 
เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน 
เพราะอาศัยการป้องกัน จึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น
อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามก มิใช่น้อย คือ
การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง 
การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง 
การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

ผู้สามารถรู้เหตุมันเกิดเลวร้ายเพราะจิตมันเป็นเช่นนี้ มันอยากได้ กาม โลกธรรม อัตตา เมื่อมาเรียนรู้ก็จะค่อยลดละปลดปลงไป จนหมดรอบนอกไม่เป็นภัยกับใคร ไม่ต้องมีความอยากมาบำเรอภายนอกแล้ว เราไม่เอาไม่ต้องแล้ว ก็เป็นอนาคามีภูมิ เหลือแต่อัตตาแท้ๆ แม้เหลือรูปภพ อรูปภพก็ยึดเป็นเราเป็นของเรา ยึดขันธ์ 5 อยู่ ถ้ายึดอยู่ก็เป็นเหตุปัจจัยต่อกันและกัน มันไม่มีอันเดียวต้องมีสองทั้งนั้น กระทบกันให้เกิดเวทนา มันรวมกันที่เวทนา เป็นสุขนี่แหละ 

เมื่อสัมผัสแล้วเกิดอาการ ถ้าไม่มีอาการก็อ่านรู้ไม่ได้ คนตั้งชื่อเรียกสิ่งภายนอกเยอะแยะ แต่ว่านามธรรมนี่มีชนิดมากกว่ารูปธรรมมาก แต่มีการตั้งชื่อน้อยกว่ารูปกายคือส่ิงภายนอกเยอะเลย แต่เรียนรู้แล้วเอาไปทดแทนได้โดยปริยาย คือมีอาวุธอันนี้ฆ่าช้างได้ก็ฆ่าควายได้ ฆ่าอย่างอื่นได้ แต่ถ้าสัตว์เล็กถึงจุลินทรีย์ก็ฆ่าไม่ได้แล้ว ก็ต้องหาอาวุธละเอียดกว่านั้นไปจัดการมัน 

ผู้ใดไม่เข้าใจโลกก็ติดโลกต่อไปก็คือยังติดในอัตตา พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในปฏิจจสมุปบาท ที่เรียงไว้อย่างดีแล้ว แต่ต้องมีสัมผัส ให้มันมีการเคลื่อนจึงรู้อาการได้ แต่ว่ามันนิ่งก็รู้ไม่ได้ มันนิ่งรู้ไม่ได้จึงอาศัยสัมผัส ซึ่งไม่เสียหาย ให้เรียนรู้อ่านอาการ กำหนดให้แม่นตามที่เรียนมา อย่างที่เรากำลังพูดนี่ เป็นระดับจิตนิยาม 

มันก็มีธรรมะสองตั้งแต่ genome ถูกกระแทกก็เป็นสายพลังงาน เป็น isotope ก็เป็นพลังงานสอง มีfusion กับ fission คือแบบรวมตัว กับแบบกระจาย เราไม่เก่งก็จับตัวที่รวมกันก่อน เมื่อเก่งก็จับตัวกระจาย มันมีสอง มีศัพท์เลยว่า Autosome กับ sex chromosomes

ของพระพุทธเจ้านี้รู้ว่าสิ่งที่ยังมีจะเป็นธรรมะสองตลอด และจะไม่เหมือนกันด้วยสองอันนี้แม้จะเล็กแค่ไหน มันมีลิงค ต้องอ่านความต่างนี้ให้ออก พระพุทธเจ้าเรียกว่า รูปกับนาม ตั้งแต่่ว่ามีตัวเราเป็นนาม แล้วมีอีกส่ิงหนึ่งที่ถูกรู้ นามกับรูปนี่พอมันอยู่ด้วยกันเรียกว่ากาย ต้องมีปฏิกิริยาด้วยจึงเรียกว่า กาย ถ้าไม่มีปฏิกิริยาก็ไม่มีกาย กายไม่ใช่รูปร่างสรีระ กายจริงๆคือกรรมกิริยา เป็นตัวการใหญ่ Kama and time of continuum 

รูปหมายถึงภาวะที่ถูกรู้ เป็น object ไม่ว่าส่ิงนอกแล้วมีนามเรามี ทวาร 5 ไปรับรู้ ส่วนที่ไปรู้คือนามของผู้เรียนผู้รู้ แม้ไม่เรียนก็รู้ แต่รู้อย่างตามประสา หาทุกข์ใส่ตัวไป พัฒนามาไม่รู้กี่ล้านๆปี จนพัฒนามาเป็นอัตภาพที่เรียกว่ามนุษย์ วนเวียนในนรก/สวรรค์ นานนับล้านชาติ 

ขนาดเจโตนี่นะ ใครเคยอ่านประวัติอ.มั่น เคยบอกว่าระลึกรู้ว่าตนเคยเกิดเป็นหมา 500 ชาติ คำว่า 500​ชาติคือสำนวน แต่แท้จริงมากมาย ถ้าเป็นสำนวนบาลีจะใช้ 84,000 คือมากมาย 


ส่ิงที่ถูกรู้ คือObject ส่วนตัวรู้เรียกว่า Subject เราต้องรู้นามรูป สองอย่างนี้ โดยการเรียนรู้เราต้องใช้ตัวที่ไปทำงาน เรียกว่า สัญญา เป็นพนักงานหลักเลย เรามีการกำหนดหมายรู้แล้วก็จดจำไว้ แล้วก็ใช้สัญญาอ่านเวทนา และอ่านสังขาร ที่แจกสังขารเป็น (เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

เจตนาคือมุ่งหมาย มีสองทิศ คือเพิ่มความเป็นโลกียะหรือออกจากโลกียะ คือเนกขัมมะ ผู้ปฏิบัติจะแยกออก ทีนี้เราจะรู้ได้ชัดๆต้องมีผัสสะเป็นเหตุเกิด ผัสสะเป็นสมุทัย 

ปฏิบัติจากพรหม ปริตตาภา มาเป็น อัปปมาณาภา จนเป็นอาภัสราคือแสงแห่งความรู้ว่าจิตลดกิเลสได้สะอาดขึ้นๆ ส่วนโลกีย์สายหลงสว่างอาภัสราเช่นกันแต่ว่าไม่สิ้นสุด อย่างธรรมกาย หลงใส ผิดทางไปสร้างภพชาติ เป็นอุปาทาน มโนมยอัตตา ไม่ได้อาภัสราใสสว่างจากหมดกิเลส 

ส่วนอีกสายก็ไปปิดแสงสว่าง สายนี้ตรงข้ามกับอาภัสราก็เรียกว่า ปริตตสุภาภูมิ อัปปมาณสุภาภูมิ แล้วได้ผลเป็น สุภกิณหาภูมิ หากสายดับก็เป็นอสัญญีสัตว์ต่อไป สายสว่างก็เป็นเวหัปผลา คือผลแห่งเวหา เป็นเจ้าเวหาเลย สรุปแล้วมีสองทิศทาง เป็นพรหมโลกีย์ ปั้นเป็นเทวนิยม รูปร่างตัวตน แทนที่จะบรรยายเป็นวิมุติ อย่างมหัปผลาคือผลใหญ่ ดับทางนิโรธ เป็นผลที่ดับกิเลสได้สนิทจริง  

มันต่างกันที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ จากนั้นก็เป็น สุทธาวาสอีก 5 
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
 ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ คือต้นรากของอัตตา ตัวตน 
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
 ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

ผู้สามารถรู้ นาม 5 วิธีปฏิบัติจับเจตนาโลกียะกับเจตนาโลกุตระได้แล้วทำออกจากโลกียะสู่โลกุุตระได้โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วทำมนสิการ ปรับแต่งใจตนได้ ผู้ใดทำมนสิการไม่เป็นทำไม่ถึงที่เกิด 

ส่ิงที่สัมผัสออก ถูกรู้ได้ แม้เป็นจิต เจตสิกก็คือรูป ยิ่งดิน น้ำ ไฟ  ลม ภายนอก แล้วเรามีปสาทรูปไปรู้ได้ รูป_นามท่่านก็แจกเป็น รูป 28  อาการองค์ประชุมของรูปและนามเรียกว่า กาย ขาดจากนามธรรมไม่ได้ 

นักปฏิบัติธรรมทางดับก็ไป สร้างภพชาติภายใน เป็นอาการ 33 เป็นสุขภายใน เป็นดาวดึงส์แล้วให้ยาวนานที่สุดคือยามา อย่างเป็นมหาราชคือจาตุมหาราชิกา มีอำนาจ โบราณจึงเขียนภาพเป็นยักษ์เขี้ยวใหญ่ถือกระบอง อาวุธ ตาโปนๆ แล้วก็ได้มาก็เสพรสเป็นดาวดึงส์จะให้นานคือยามา ได้แล้วก็พักยกเป็นดุสิต (สงบ) เสร็จแล้วก็สร้างเก่งเป็นนิมมานรดี เป็นปริมินิตวสวตี คุณรู้แล้วก็เลิกมีเขี้ยวเล็บตาโปน วางอาวุธ เลิกเสพติดไปตามลำดับ อาการที่ 33 ที่เป็นสุข จึงเข้าหาสุขสงบที่แท้จริง เป็นดุสิตที่แท้จริง 

แม้ในเทวดา 6 เหล่าก็อธิบายโลกุตระกับโลกียะก็ได้ อ่านอาการลิงค นิมิต อุเทสได้ อุเทสคือที่อาตมายกหัวข้อมานี่ เทวดา 6 พรหมอีก 16 อรูปอีก 4​ไม่ได้อธิบาย

อรูปพรหมโลกีย์ก็อธิบายได้ แต่พุทธลืมตา แต่เข้าใจความว่างจากกิเลส ตามพระพุทธเจ้าอธิบายในจุลสุญตสูตรว่า ควรว่างจากอะไร

คำว่า สุ แปลว่าดี คำว่า ข แปลว่า ว่าง ความว่างนั้นแหละดี แต่เขาหลงเป็นสุขเท็จ อัลลิกะ พยัญชนะยืนยันสภาวะ แล้วก็รู้ว่าหลงอย่างไรก็มาแจก 

สรุปแล้วเราจะรู้ปรมัตถ์ จิตเจตสิก โดยเฉพาะรูป 28 คือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเราก็เกี่ยวข้องสัมผัส กับมหาภูตรูป ก็เกิดภาวรูป 2​ชนิด คือธรรมะสอง แตกเพศเป็นเพศหญิงชายแล้วแตกเผ่าพันธุ์ไป จนฆ่ากินลูกไปก็ไม่รู้ มีลูกมาอีกก็ฆ่าอีกตลอดทางไม่รู้กี่ชาติ ต่อกี่ชาติ นิทานที่พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างมากับกวฬิงการาหาร ก็หลงเสพ โลกีย์ กามคุณ โลกธรรมอัตตาไปตลอดกาล แล้วไม่รู้เรื่อง กินลูกตัวเองก็ไม่รู้ นิทานของพระพุทธเจ้านี่สุดลึกสุดซึ้งเลย เพราะไม่รู้อาหารคือเวทนา ที่เป็นอารมณ์ 3 ไม่รู้จักเจตนา 3 อยากในกาม อยากในภพ รูปภพ อรูปภพไม่รู้จัก

เมื่อรู้จักก็ล้างเจตนาเลวไปเรื่อยๆเพราะรู้นามรู้รูป วิญญาณคือกาย คือองค์ประกอบของนามรูป คือจิตบ้างคือมโนบ้าง เกิดจากผัสสะ 3 มีรูปนามกระทบกันจึงเกิดวิญญาณ มีภาวรูป 2 เป็นธรรมะสองแล้วทำให้เป็นเอกสโมสรณา หยุดปรุงเป็นรสโลกีย์ แต่รับรู้ของจริงตามความเป็นจริง แต่ไม่มีอารมณ์พิเศษรสทิพย์เสียงทิพย์ รู้ความจริงตามความเป็นจริงที่ทุกคนทุกชาติรู้รวมกันได้ แต่อารมณ์ที่เสริมมาว่าชอบหรือไม่ชอบคือที่เป็นโลกีย์ ตนเองหลงเสพเป็นสุขทุกข์ จนรู้ทันดับเหตุแห่งทุกข์ได้ สุขก็ดับไปด้วย 

ผู้ใดรู้โครงสร้างทำ อิตถินทรีย์ให้เป็นปุริสสินทรีย์จนหมดเพศเป็นนปุงสกลิงค์ ต่อไปเป็นชีวิตรูป แล้วทำให้มันหมดชีวิตชีวา หมดความเคลื่อนไหว นิ่ง ไม่แฝงด้วยไม่มีpotential energy ชัดเจนมันหมดชีวะแล้ว นั่นคือเป้าหมายที่ต้องทำ ต้องหาจุดที่ทำให้ได้เรียกว่าหทยรูปแล้ว ดูอาหารรูป ทั้งสิ้นคืออาหาร 4 แล้วมาเรียนรู้จับตัวจุดที่อยู่ในเรา หทย จับอาการ ลิงค นิมิต นี่คือบทบาทของเจตสิก ไม่มีสถานที่ นอกตัวเราแต่อยู่ใน กายยาววา หนาคืบกว้างศอกนี่แหละ ไม่ต้องถึงหลับตาดู แต่ใช้ธัมวิจัยอ่านจับตัวมันได้ ให้มันจบไปเป็นตอนๆบทๆวรรคๆ ไปเรื่อยเป็นปริเฉทะ ให้มันเกิดจบเรียกว่า อากาสธาตุ ก็เสร็จสำเร็จ 

ผู้นี้ก็อ่านออกมา เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อ่านเข้าถึงมโน จัดการมันให้ได้ วิตกวิจาร วิจัย ทำให้เป็นถึงวิการได้ เป็นวิการรูป จะให้เบาแค่ไหนเป็นลหุตา จนจิตสามารถควบคุมได้ เป็นจิตหัวอ่อน ปัญญาไว ปรับตัวได้ง่าย มุทุตา จนมีฐานมุทุตาเป็นตัวเอกเลย เป็นจิตเอก สามารถให้เกิดกรรม ก็เป็นกัมมัญญตา การงานอันเหมาะควร เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะมาจากสัมมาทิฏฐิ เป็นประธานที่ทำออกมาได้ ทำแล้วเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ วิการรูปจึงมี 5 

จนสุดท้ายเหลือลักษณะที่จะมีอยู่ตลอด เราก็ควบคุมได้ ให้เกิด อุปจยะได้ ถ้าเกิดแล้วจะต่อก็สันตติ แต่จะต่ออย่างไรมันก็จะมีความเสื่อม แม้นิวเคลียร์ฟิชชั่นก็เสื่อมลง เป็น ครึ่งชีวิตลงไปเรื่อยๆ T1/2  แต่จิตวิญญาณมีแต่จะเพิ่มกิเลสให้หนาขึ้นอย่างไม่รู้ 

เจตสิกไม่ต้องเรียนให้ปวดหัวหรอก แต่เรียนไว้ก็ดี แต่รูป 28 หากไม่รู้ก็จัดสรรไม่ได้ คุณต้องมีนามธรรมไปรู้รูป 28 นี้

เราสามารถเรียนรู้กาย รูป และจัดการนามธรรมของเราเองให้มันจบ บริบูรณ์ให้ถึงจุดสำเร็จได้เราก็จะรู้จักความจริงตั้งแต่ภาวรูป เพราะเรามีปสาทรูปแล้วก็มีกรรมกิริยา เป็นโคจรรูปตลอดเวลา เมื่อมีภาวรูปก็มีเพศต้องทำให้เป็นบุรุษเพศให้ได้ เป็นเซลล์เพศ ต้องทำให้เป็นหนึ่งหยุดปฏิกิริยาที่มันหาทางทำลูกอยู่เรื่อย 

เราต้องอ่านความต่างของนามธรรม ที่ถูกญาณปัญญาของเราไปรู้ได้ มีเจโตปริยญาณ ที่ท่านให้รู้สัตว์อื่น บุคคลอื่น ไม่ได้หมายถึงไปรู้ใจคนอื่นหรือสัตว์อื่น (ท่านแปลในพระไตรฯแบบเป็นตัวตนทำให้เข้าใจผิดได้) ซึ่งความเป็นสัตว์เช่นสัตตาวาส หรือสัตว์นรกสัตว์พรหม ความเป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ต่างหากไม่ใช่สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขาแต่อย่างใด แต่ให้รู้สัตว์โอปปาติกะ(สัตว์ทางจิต)

1.สัตว์ปุถุชน คนทั่วไปก็เป็นเช่นนี้สัตว์หลงโลก แต่เรามาเป็นสัตว์อื่น ปรสัตตานัง เป็นสัตว์อื่น ปรสัตตานัง หรือเป็นบุคคลอื่น ปรปุคคลานัง แต่ไม่ใช่แยกไปของคนอื่น แต่ของเรานี่แหละ นี่แจกให้ฟังอย่าง เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ 

ผู้สามารถอ่านลักษณะของเพศ เป็นอิตถีเพศ ก็สร้างสัตว์ที่จะต้องออกลูกตลอด มาเป็นบุรุษเพศ​กำความเป็นผู้พาเกิดให้ได้ แล้วอิตถีเพศก็ไม่มีสิทธิ์เกิด เจ้าของเผ่าพันธ์คือบุรุษไม่ใช่สตรี เซลล์เจ้าของเผ่าพันธุ์คือ XY ไม่ใช่ XX

ผู้ไม่รู้ก็ตกเป็นทาสอำนาจหญิง ครอบงำ ต้องไปร่วมให้เกิด ไม่สามารถเป็นเอกบุรุษไม่ต้องให้เกิดทางโลกียะได้ แต่ให้เกิดเป็นชีวิตโลกุตระได้ดีกว่า ปล่อยให้เขาไม่รู้จักภาระวนเวียนกันไปในโลก แล้วมันมีวิบากคู่มากนับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเกิดมาไม่มีใครเป็นพ่อแม่ลูกกัน ก็คือเป็นคู่สืบพันธ์ุมาแล้วก่อวิบากกันมานับไม่ถ้วน ไม่รู้ใครต่อใครผสมผเสปนเปนับไม่ถ้วน จะไปหลงยึดมั่นถือมั่นกันทำไม มันน่าหยุดนะ อีกนานนับชาติ ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มาเรียนรู้ลดอาการใคร่อยากอีกก็วนเวียนต่อไป 

ชาตินี้อาตมาบอกตรงๆไม่เคยคิดจะไม่มีคู่ ไม่เคยคิดหยุด แต่มันเป็นความหลุดพ้นของอาตมาโดยธรรม ทำให้แคล้วคลาด แม้แฟนสามคนก็จากกันด้วยดีหมด คนแรกเขาทำตัวเขาเองแล้วก็ไป คนที่สองก็อยู่กันจนเลิกไป คนที่สามก็ยังตุ้งติ้ง เขาก็มาปฏิบัติด้วยไม่ได้ จากพบกันอาทิตย์ละครั้ง มาเป็นสองอาทิตย์ครั้ง แต่มาเป็นเดือนละครั้ง แล้วก็สองเดือนครั้งไม่กี่เดือนก็ว่าไม่ต้องนับแล้ว เขาก็ปล่อยมา เขาก็ยังคิดอยู่ว่าอาตมาจะกลับไป เขาก็รออาตมา 6 ปี แล้วก็ไปแต่งงานกับฝรั่งไปอยู่เมืองนอก มีลูกชายคนหนึ่ง จบดร.แล้ว เขาไปเป็นตำรวจหญิงอยู่เมืองนอก อยู่ที่นี่ทำงานอยู่ UN กับฝรั่ง นอกนั้นก็ง่าย แต่คนสุดท้ายนี้พ่อกับแม่เขาไม่ชอบอาตมา ก็ลำบากลำบน อาตมาเขาไม่ชอบหน้า เพราะฐานะไม่ดี 

เป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ผู้ใดรู้ควบคุมความเป็นเพศได้สำเร็จหยุดความเป็นเพศที่ไปสร้างเผ่าพันธุ์ได้ หยุดสร้างเผ่าพันธ์ุโลกียะได้มาเป็นเผ่าพันธ์ุของพระพุทธเจ้ามามีลูกทางจิตวิญญาณโลกุตระ มีลูกเป็นพันเป็นเอนก แล้วอาศัยกรรมที่ไม่ต้องไปต่อเผ่าพันธ์ุโลกียะที่ไม่หมดง่ายหรอกในแต่ละชาติ ขนาดเป็นพระพุทธเจ้ายังมีคู่เลย อาตมาจึงตั้งจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีคู่ แต่มันก็ไม่ค่อยสวยมีวิบาก มันยังไม่เรียบร้อย มีคู่รักเปิดเผยทีละคนก็ 3 คน แต่นอกนั้นก็มีไม่เป็นตัวตนก็มีเรื่องก่อเหตุมา กรรมมันบันทึกไว้หมด ไม่มีหกตกหล่น พระพุทธเจ้าว่ากรรมชั่วแม้น้อยนิดอย่าทำเสียเลย ไม่เช่นน้ันไปไม่รอด พยายามทำให้ถึงอรหันต์ให้เร็วจะได้มีหลักประกัน อย่างน้อยก็อนาคามี เรื่องเพศก็ตบมือข้างเดียว ขนาดนั้นก็ยังมีวิบากมาเลย อย่างอาตมาคิดว่าต้องแต่งงานนะตอนเป็นฆราวาส ดีแต่เป็นคนดีจึงรอดมาได้ 

คนเราเกิดมาแต่ละชาติเอากรรมมาชุดหนึ่งมาเกิดไม่ได้เอามาทั้งหมด คู่วิบากกับคู่รักไม่ได้มาพร้อมกันหมด เพราะมันนับไม่ถ้วนไม่มาเกิดพร้อมกัน ส่วนหนึ่งแล้วคุณก็โง่ไปหาใหม่อีก เวรของเก่ายังไม่หมดดันโง่อวิชชาไปหาใหม่อีกต่างคนต่างโง่ไปสร้างใหม่อีก มีคู่วิบากไม่รู้หยุดหย่อน พอทีเถอะ แต่ละคนกว่าจะเกิดมาได้พบทางออก ทุกคนเละเทะลงนรกขึ้นสวรรค์นับไม่ถ้วนแล้ว ตายเป็นตายมาอุตสาหะวิริยะให้เต็มที่เลย ไม่ได้บังคับนะ 

เราสามารถลดคู่ต่อสู้หรือสงครามไม่ว่าเรื่องแย่งลาภยศสรรเสริญ หรือเรื่องเพศ เรื่องโทสะก็ตาม เราสามารถมีปรมัตถ์ที่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานได้ คุณอ่านไม่ละเอียดไปอรหันต์ไม่ได้หรอก ต้องรู้ว่ามันมีการเคลื่อนไหว แม้มันเป็น potential energy คุณก็ค่อยทำให้มันขึ้นมาตามลำดับไม่ต้องทำให้ขึ้นมาหมดหรอก จนทำให้มันไม่เคลื่อนไหว แม้จะมีอะไรมากระทบก็ตามก็ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ คุณก็ได้ XX เต็ม ซึ่งในเพศชายมี XY แต่ Yตัวนี้สามารถปรับให้เป็นตัวไหนก็ได้มีมุทุภูตธาตุ พระอรหันต์จึงมี XXY คือ C2 คือพลังยกกำลังสอง จะเรียกว่า Xxy แต่ xxของเพศหญิงไม่มีกำลัง แต่XX ของเพศชายนี่มีพลังงานพิเศษ​เป็นอัตราก้าวหน้ายกกำลังสอง กำลังสี่ กำลังแปดได้เลย 

ก็ใช้ภาษาวิทย์ ภาษาบาลีอธิบาย ถ้าเป็นโลกียะเปลี่ยนเวทนาในเวทนาไม่ได้แต่ พระพุทธเจ้าว่า เวทนาคือที่ประชุมลง ต้องเรียนรู้เวทนา 2 3 5 6 18 36 108 นี่เป็นจุดสำคัญ โดยเฉพาะแยกเพศได้ว่าเป็นเนกขัมสิตะกับเคหสิตะ แบบโลกีย์ไม่สามารถเปลียนเพศได้ ชาวพุทธทุกวันนี้ไม่สามารถจัดการเวทนาให้รวมเป็นหนึ่งได้ เพราะไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถทำกายในกายให้เป็นธรรมกายได้ ผู้ใดเห็นธรรรมผู้นั้นเห็นพรหม ผู้นั้นเห็นพระเจ้า เป็นองค์ประชุมรูปนามที่เป็นพรหมจริง การสะกดจิตเข้าภวังค์มีแต่รูปจิตอรูปจิตไม่สามารถทำให้เกิดโลกุตระได้ ผู้ไม่มีธรรมกายจึงอย่าอวดโอ่เลย มันบาป หลอกของตนผิดเองก็บาปแล้ว แล้วก็แถมไปหลอกคนอื่นพาคนลงนรกอีกด้วยกันที่บอกจะเอามากๆเป็นล้านๆ อาตมาได้แต่สงสาร ความไม่รู้ของคนสร้างนรกให้แก่ตนอย่างอัปมัญญา ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ใครไม่มีอำนาจเหนือสามัญที่เป็นโลกุตระ ก็ไม่สามารถทำปฏิฆสัมผัสโสที่นิวเคลียส จากโลกียะเป็นโลกุตระได้ 

พลังงานของสัตบุรุษจริง จึงจะทำปฏิฆสัมผัสโส ทีนิวเคลียสของตนจนเปลี่ยน genome gene DNA ทำอิตถินทรีย์ให้เป็นปุริสสินทรีย์ได้ทำให้กลายเป็นเวทนาที่รวมเป็นหนึ่งได้ จากเคหสิตเวทนา กลายเป็นเนกขัมสิตเวทนา ถึงเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา เปลี่ยนเพศจากเพศที่ไม่เที่ยงเป็นหญิงบ้างชายบ้าง จนทำให้ไม่มีเพศได้ นปุงสกิลิงค์ก็สุดยอด ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:38:22 )

580708

รายละเอียด

580708เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก ถึงกาละนี้ที่คนดีต้องลงดาบ 

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 8 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปี 8 (ปีมะแม) พศ.2558 แม้แต่ คศ.2015 รวมกันก็เป็น 8 และ 2558 นี่ใครบวกลบกันออกมาจะได้ 5 + 5 = 10 และ 10-2 = 8 

8 นี่เป็นเลขชนะ ส่วน 7 เป็นเลขสู้ทนบุกบั่นหนัก อุตสาหะวิริยะอดทน แข็งแรง 
7 เป็นปางราม ต่อสู้กับยักษ์ ส่วนปาง 8 เป็นกฤษณะ ปราบเรียบ ซึ่งคณะรัฐบาลมาในปีนี้เป็นปีชนะแล้ว เลข 5 ก็เป็นเลขก้าวหน้า เจริญ 
ถ้านับเลข 0 ก็เป็นเลขครึ่ง ส่วนถ้านับ 9 ก็ข้ามเขตเกินครึ่งแล้ว มีแต่ไปหา 0 
มีเลข 5 สองตัว ส่วนเลข 2 ก็เป็นเลขสนับสนุน เป็นปีที่ชนะ หากอุตสาหะวิริยะในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งไม่ดีต้องแพ้ สิ่งที่ดีต้องชนะ ระวังฤกษ์เสียนะ ปีหน้าจะลดหย่อนได้ 

                    กาละที่เป็นขณะสำคัญสมควรยิ่ง

            (1) กาลัญญูรู้ชัด        ในขณะ        
            ที่ใช่ในวาระ            แน่แท้
            ว่าควรยิ่งที่จะ            ลงดาบ            
            ไม่เช่นนั้นต้องแพ้        แก่ผู้ศัตรูพาล
            (2) ถึงกาลกำจัดแล้ว         สัตว์พิษ
            เมื่อสัตว์วิปริต            ชัดแท้
            กัดบ่หยุด จักคิด        ใดอีก 
            นี่แหละสัตว์จริงแล้        ฤทธิ์ร้ายหายนะ
            (3) ต้องปยุตต์ประโยชน์ให้    เด็ดขาด
            สัตว์ย่อมยิ่งอาฆาต        ไม่แล้ว
            มีอำนาจบ่ฉลาด        เสียศักดิ์
            อสุรกายไม่แคล้ว        จักได้ในตน            
            (4) ทุกคนเรียนอ่านได้        จริงตาม จิตเฮย
            องค์ประชุมรูปนาม        เพ่งรู้
            เห็นกายเกิดพ่ายกาม        นั่นแหละ อสูรแล        
            จิตอ่อนแอไป่สู้            บ่กล้าทำดี
            (5) บัดนี้โอกาสแล้ว        จำนน ใดฤา
            กาละบ่รอคน            โง่แท้
            สัตว์เง่ากัดแหลกชน         ไป่สุด 
            ผู้หยุดปยุตต์แล้        เมื่อรู้กาลควร
            (6) สำนวนสำนึกรู้        ในธรรม
            สัปปุริสธรรมสำ-        เร็จได้
            กาลัญญุตากำ-        หนดจุด ไว้แฮ
            ผ่านจุดวิกฤติไซร้        พลาดแล้วชวดเลย                
            (7) ไทยเอ๋ยถึงจุดแล้ว    บริบูรณ์
            เผด็จศึกกอบคุณคูณ        แด่ไท้
            กาลัญญุตาพูน        เพียบแน่ แล้วนา
            ทำชนะกาละให้        อย่าแพ้ภัยตัว.    
    

                        สไมย์ จำปาแพง             
                            2 มิ.ย. 2558
        [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 300 ประจำเดือน กรกฎาคม 2558]                                
               
    
กาละนี้เป็นกาลควรกตัญญูต่อบ้านเมืองต่อในหลวง ท่านทรงงานมาตลอดพระชนม์ชีพ ลุยตลอด เมืองไทยท่านไปมาหมด ใครว่าเป็นนักเที่ยวก็ไปไม่เท่าท่าน แต่ท่านไม่ได้เที่ยวท่านทรงงานนะ แล้วลงพื้นที่ที่ควรไปด้วยไม่ใช่ที่เที่ยวเสพเสวยอารมณ์ แต่ท่านไปดูเพื่อจะช่วยเหลือ

อาตมาไม่จำเป็นต้องประจบประแจงในหลวงหรอก สถาบันใหญ่ของศาสนาแสตมป์อาตมาแล้วว่าเป็นพวกนอกรีต ดังนั้นสถาบันอื่นก็ต้องเกรงใจด้วย อาตมามีวิบากเช่นนี้ ถ้าไม่มีวิบากเช่นนี้ รับรองว่าอาตมาไม่แน่จริง โพธิรักษ์ต้องมีวิบากกับสถาบันหลักขนาดนี้ ตอนนี้อาตมาว่าอาตมามีหมัดแย็บ หมัดฮุก หมัดตรง อัปเปอร์คัท หมัดสวิง ...

ตอนนี้ไทยถึงเวลาต้องเผด็จศึก สร้างคุณค่าประโยชน์ยิ่งใหญ่ ทูลเกล้าถวายแด่ในหลวง ที่ทรงงานมา ให้ไทยเราเป็นประชาธิปไตยสองขา มีทฤษฎียิ่งใหญ่ที่คนไม่รู้เท่าท่าน สอดคล้องกับไอน์สไตน์ที่บอกว่ามี A bomb of love. แต่นี่เป็นความรักของพรหมอันยิ่งใหญ่สุดยอด น้ำพระทัยนี้ไม่ได้มีง่ายในมนุษยชาติ เราต้องกตัญญุตา ต่อประเทศชาติ ต่อพระมหากษัตริย์ 

ดาบที่ได้ตอนนี้ประชาชนให้สิทธิ์คือม.44 แต่ตอนจอมพลสฤษดิ์ ตั้งอำนาจเองใช้ ม.17 ซึ่งตอนนี้อำนาจที่ได้มาได้มาอย่างเรียบร้อย เป็นเหตุปัจจัยอิ่มตัวสุกงอม ครบเหตุปัจจัย ไม่มีการปฏิวัติประเทศไหนๆที่จะปฏิวัติสวยงามสงบเรียบร้อยสุภาพที่สุด ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอยึดอำนาจ  ตอนนี้ได้ดาบอาญาสิทธิ์ที่ต้องทำอย่างสะอาดเรียบร้อยเป็นสัจจะ ไม่เช่นนั้นต้องแพ้แก่ศัตรูพาล ถึงกาลต้องกำจัดสัตว์พิษ เมื่อสัตว์วิปริตชัดแท้ มีเหตุผลหลักฐานหลักการ กฎหมาย ชัดแท้ 

กัดบ่หยุด แม้วินาทีนี้ ลมหายใจเฮือกนี้ก็กัดตลอด จะคิดใดอีก นี่แหละสัตว์จริงแล้ว ฤทธิ์ร้ายหายนะ 

ต้องประยุทธ์ประโยชน์ให้เด็ดขาด คือทำให้เสร็จประโยชน์ครานี้ให้เด็ดขาด สัตว์ย่อมยิ่งอาฆาตไม่จบไม่แล้วหรอก มีอำนาจแต่ไม่ใช้ก็ไม่กตัญญู ยิ่งมีเลือดทหารอยู่ด้วยก็ยิ่งสมบูรณ์แบบที่ควรทำ ถ้าไม่ทำก็คือจิตตนเป็นอสุรกาย ไม่กล้า 

ทุกคนควรเรียนรู้อ่านจิตตน จิตอสุรกายไม่น่าทำ มันควรกล้าหาญ มีสุรภาโว และเป็นกาลที่ควรแสดงกตัญญุตาคุณ ใครศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าอ่านกาย อ่านองค์ประชุมรูปนามของตน หากพ่ายกิเลสก็คืออสูร พ่ายแพ้อำนาจโลกธรรม เป็นอสุรกาย จิตอ่อนแอไม่กล้าสู้ทำดี แต่ตอนนี้โอกาสแล้วจำนนอะไร? 

สัตว์เง่า กัดแหลกชน ไม่หยุด ผู้จะหยุดอะไรต้องรู้จักการทำให้เสร็จ (ประยุทธ์) ต้องมีความจริงแท้ รู้กาละควร ตรวจทั้งสำนึกในตน โดยเฉพาะความสำนึกของประชาชนในประเทศ ทุกวันนี้อาตมาว่า ประชาชนสำนึกแล้วว่า 83 ปี ประชาธิปไตยมาถึงลมหายใจเฮือกนี้ เป็นประชาธิปไตยสุกงอมเต็มที่ ในไทยเราแสดงความเป็นประชาธิปไตยสองขาที่งามที่สุด ที่พระเจ้าแผ่นดินต้นแบบของประชาธิปไตยอังกฤษ เปล่งอาสภิวาจาว่า พระเจ้าแผ่นดินของไทยเป็น King of Kings 

ประชาชนถ้าได้มีความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การบริหารที่ดีเยี่ยมก็จะดีประชาชนก็ไม่เดือดร้อน  ส่วนประเทศที่มีมวลชนเป็นประชาธิปไตยไม่ได้แล้วจะทำให้เป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร เพราะผู้บริหารริบอำนาจเป็นเจ้าอำนาจ ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ สร้างค่ายกลจนต้องใช้วิธีเลือกตั้ง เขาทำค่ายกลได้เก่งมาก เลือกอย่างไรเขาก็ได้เอาเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้รับเลือก เอาเศษเงินโปรยให้เล็กๆน้อยๆเรียกประชานิยม ยิ่งกว่าคึกฤทธิ์ที่ใช้เงินผัน แต่นี่ประชานิยมทำให้ประเทศเป็นหนี้ เกิดมาก็เป็นหนี้แล้ว หัวละเกือบสองแสนแล้ว หนี้ที่คาอยู่ตอนนี้ 

ประเทศไทยมีking แห่งประชาธิปไตยสุดยอด มีบทบาทจริงทรงงานจริง เพื่อประชาชนอย่างจริงๆ นับวันนับคืนมา ที่เอาพระทัยใส่มวลประชาชนมาตลอด จนทรงพระชราก็ยังห่วงหาประชาชนอยู่เลย แต่ผู้มีอำนาจทางประชาชนคือนายกฯ ได้มาโดยธรรม ไม่ต้องเลือกตั้งหรอก จนประชาชนให้ ไม่เห็นมีใครแย้ง มีแต่พวกตามืดตาบอด ไม่มีปัญญารู้ก็กวนอยู่นั้นแหละ เป็นธรรมชาติ ที่ต้องมีดำ มีขาว ให้เปรียบเทียบ 

ถ้าไม่มีแรงต้านที่พอเหมาะจะไม่เกิดความดีได้ขนาดนี้ อาตมาว่าถ้าผ่านจุดที่ดีที่สุดนี้ไป ก็กู้ไม่กลับแล้วนะ เพราะศัตรูรู้แล้วว่าขืนหย่อนอีกครั้งเขาตาย ถ้าเขาฮึดมาได้อีกครั้งรับรองว่าพลังศัตรูจะเหนี่ยวนำเต็มที่เลยฆ่าไม่เหลือ เขาจะแสดงนักเลงโตสมบูรณ์แบบเลย 

ก็เป็นการบรรยายเปิดการชนะ ใน วันที่ 8 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปี 8 (ปีมะแม) พศ.2558 แม้แต่ ค.ศ.2015 รวมกันก็เป็น 8 และ 2558 ได้ 5 + 5 = 10 และ 10-2 = 8 

อาตมาไม่ใช่โหราจารย์ แต่เป็นโหราอากะละมัง เลยนะ 
 
สิ่งที่ถ้วนเต็ม ถึงจุดวิกฤติบริบูรณ์สุกงอมเต็มที่ ทำให้ได้อย่างนี้คือ ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก...ในที่สุด สิ่งที่ผ่านมามีด่างมีพร้อยก็เป็นวิบากอดีต ตั้งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันหยุดทำไม่ดี ทำแต่ดีไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวอดีตล่าเรา เราก็ทำกุศลปัจจุบัน สร้างบวกขึ้นมาใหม่ เช่นสมมุติว่าใครก็แล้วแต่ไปรับสินบน ประชานิยมเขาไว้ก่อน ได้ดีเพราะพี่ให้มาก็ตามก่อนแล้ว เขาให้มานั้นเป็นทุจริต สินบน เป็นการซื้อเราไว้ คุณจะขายตัวหรือ ให้พอแล้วให้สำนึกรู้ในธรรม แล้วคุณจะไปอกตัญญูต่อคนดี ไปกตัญญูต่อคนชั่วได้อย่างไร อย่าทำ ..ให้ทดแทนคุณในหลวงดีกว่า กรรมที่ทำไปแล้วแก้ไม่ได้ ต้องหายใจเฮือกนี้ต่อไปไปหาอนาคตต้องทำกรรมดี ทำกรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ละล้าละลังไปกตัญญูต่อคนเลว ทั้งที่ควรกตัญญูต่อคนดี คุณไปทำดีต่อคนชั่ว มันผิดหรือถูกเล่า ที่อธิบายนี้ไม่ยากเลยนะ 

สิ่งที่แล้วให้จบไป อย่าไปนึกกตัญญูต่อเขา เขาให้สิ่งชั่วเขาซื้อคุณไว้ หากคุณจะตอบแทนก็คือขายตัวต่อไป ต้องหลุดความเป็นทาสตั้งแต่บัดนี้ ทำให้เต็มที่บริบูรณ์หน้าที่เลย เป็นกาละสำคัญสมควรยิ่ง 

คนไทยส่วนใหญ่ไม่โง่ แต่คนโง่ที่มีน้อยถูกร้อยจมูกไว้เหมือนควายแล้ว คนไทยส่วนใหญ่รู้ดีว่าคืออะไร ในหลวงเรา แม้แต่ทั่วโลกก็ยกย่อง กษัตริย์ภูฏานก็ยกย่อง แม้กษัตริย์ประเทศใหญ่อย่างอังกฤษก็ยกย่อง ถึงกาละนี้ธรรมะต้องชนะ ไม่ใช่แค่ควรนะ เป็นภาษา command เป็นอาชญาเลย ต้องเป็นเช่นนั้น อาตมาว่าทุกอย่างลงตัวหมดเลย ทั้งรูปและนาม ทั้งธรรมะ อัตถะ อัตตา กาละ ยุคสมัย และหมู่กลุ่มมวลประชาชน บริษัท ทั้งแต่ละคน ปุคคลปโรปลัญญุตาครบเนื้อหาคืออัตถะ องค์รวมก็พร้อม อย่างการยึดอำนาจครั้งนี้ งามมาก องค์ประกอบพร้อม จะมีครั้งที่สองอีกก็จะหาไม่ได้อีกแล้ว แม้ในไทยก็ตามที ครั้งนี้อย่าให้เสียของเชียว สุดยอดแล้ว แม้แต่ ม.44 กับม.17 ของสฤษดิ์ก็มีนัยต่างกัน แล้วการใช้ของบุคคลที่ใช้ ม.17 ไม่มีคสช. ม.17 เผด็จการเต็มรูป แต่ม.44 มีคสช. ซึ่งต่างกันนะ 

ที่ทำมานี้เหนือกว่ารัฐบาลก่อนหน้าที่ทำมา 28 รัฐบาล ขออภัยอาตมาไม่ได้มาป้อยอนายกฯนะ พวกอาตมาพึ่งตนเองรอดแล้ว ตอนนี้เป็นกาละสมบูรณ์แบบแล้ว

ตอนนี้มาของชาวอโศกบ้าง ...พวกเราก็มีธรรมาธรรมะสงคราม เป็นธรรมชาติ ก็ปรับเปลี่ยนกันไป ก็ช่วยกัน เรื่องผิดเรื่องถูกเป็นสมมุติสัจจะ สัญญา ย นิจจานิ แต่เรื่องสามัคคีธรรมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ละอย่างก็รวมตัวกันไม่เหมือนกันหรอก สามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ อย่าไปทำให้เกิดการสปาร์ค พลังงานสูญเสียไปเปล่า ก็เอาพลังงานมารวมกัน ความต่างก็รวมกันได้ แต่ไหนแต่ไรก็รวมกันด้วยความต่าง แต่ถ้าเหมือนกันรวมกันก็จะฝ่อ สุดท้ายก็เน่าก็สูญ ความต่างทำให้เกิดทศนิยม เป็นความร้อนให้เกิดการสร้าง แต่ความเย็นมีแต่แข็งตัว นิ่งเน่าหายไป ส่วนร้อนอย่างพอเหมาะจะดี ร้อนมากไปก็ละลาย ท่านใช้พลังงานเหมาะสม คือ ละลายในความหลอม หรือหลอมแล้วละลาย เป็น fusion แต่ถ้าเป็น fission จะไปไม่มีเส้นโค้งเลย แตกตัวไปแล้วเบาลงเป็นครึ่งชีวิตที่ลดลงๆๆ ไปหา 0 ไม่เกิดอะไรต่อ ส่วน fusion มีความโค้ง ถ้าใครทำโค้งได้เล็กเท่าไหร่ก็พลังสูงมากเท่านั้น ส่วนโค้งมากก็ไปกว้าง อโศกเรายังไม่กว้างได้มากก็อย่าไปโค้งอ้อมมากไป อย่าไปยึดถือยศศักดิ์ อโศกเราไม่แย่งชิงเรื่องลาภ เท่าไหร่ แต่ยังมีอัตตา มียศศักดิ์สรรเสริญลึกๆมี อย่าแข่งกันเลย ใครอยากเป็นหัวก็ไปให้เป็น ไม่อยากเป็นก็เป็นหางก็ได้ เบาดีด้วย เป็นหัวนั้นหนักจะตาย ถ้าเป็นหัวต้องมีคนช่วยยก ไม่เช่นนั้นหนัก ต้องมีมวลช่วยยก อย่างอาตมามีคนช่วยยกเลยไปได้ ไม่อย่างนั้นตายไปแล้ว ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เหตุการณ์ผ่านไป เกิดการแตกตัวเปลี่ยนแปลง เป็นธรรมดาธรรมชาติของทุกอย่าง 

ที่ปฐมอโศกเปลี่ยนแปลงก็ดีขึ้น มีกิจกรรมกิจการที่ทำได้ดี แม้โรงค่างัว(คั่วงา)เขาทำได้ดี ส่งเข้าวังด้วยนะ ปฏิรูปได้ดีก็เป็นพี่คนโต หมดภาระ เลี้ยงน้องๆได้ ก่อนหน้านี้ทำไมเบี้ยหัวแตก ทั้งที่โรงงานก็เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้จัดสรรได้แล้ว ก็ดีเลย จนอาตมาได้รับอานิสงส์ด้วย 

ที่นี่ก็มีโรงงานที่มีขึ้นมาคือ ปัจจัยชีวี คือสำคัญที่ปัจจัย 4 เรื่องข้าวเรื่องอาหารเป็นหลัก ไม่ใช่เหมือนธรรมกาย ที่เป็นบริษัทใหญ่ ค้าภพ ขายชาติ ที่จะไปทั่วโลก ครอบงำไปทั่วโลก ให้คนหลงเป็นบริวาร หลงเชื่อให้เขาร้อยจมูก ให้เป็น ช่องนี้ช่องเดียว สร้างภพมา แม้กามภพเขาก็ไม่รู้เรื่อง ฟรุ้งฟริ้งมากมาย แม้รูปภพ อรูปภพก็ไม่รู้ หลอกสร้างตนก็หลงคนอื่นก็หลงไปด้วย ถ้ารู้ก็จะรู้ว่าไม่ควร 

ไม่รู้ ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตตา อภินิพพัตติ ไม่รู้กาย ไม่รู้สัตตาวาส 9 แม้สัตตาวาสที่ 1 ก็ไม่รู้แล้วแต่สัตตาวาส 2 ก็ต้องรู้การหมดนิวรณ์ 5 อย่างสัมมาทิฏฐิ ไปทำไม่ให้มีนิวรณ์ แต่กดข่มไว้ไม่รู้จักหน้าตานิวรณ์ ไม่รู้กายกลิ เป็นบริษัทค้าภพขายชาติที่แย่จริงๆ สิ่งที่หยั่งลงเป็นอนุสัยอาสวะมีแต่กิเลสไม่ได้รู้โลกุตระโลกียะที่จะต้องแยก จนหยุดโลกียะสร้างแต่โลกุตระให้หยั่งลง สร้างได้ก็เกิดนิพพัตติ เกิดโลกุตระได้ เขาไม่มีปัญญารู้ที่อาตมาพูดนี้หรอก แม้ชาติ 5 

ชาติ เป็นคำกลางๆ ชาติปิทุกขา การเกิดไม่ว่าใดๆทุกข์ทั้งสิ้น 
สัญชาติ คือการเกิดในสัญญาที่จะออกมาโดยไม่รู้ตัว เกิดโดยอาศัยของเก่าที่เป็นอนุสัยอาสวะพาเกิด
โอกกันตะ เป็นการหยั่งลง หากอวิชชาก็มีแต่อกุศลหยั่งในจิตอวิชชา คุณเสพสุขก็กิเลสหนา คุณมีทุกข์ก็ก่อพยาบาทจองเวรจะเอาให้ได้ ไม่ว่าทุกข์หรือสุขก็สั่งสมกิเลสในจิต ปุถุชน อวิชชาไม่รู้ เมื่อมาเรียนรู้มีวิชชา แยกแยะกิเลสแล้วหยุดกิเลสอกุศล ล้างกิเลสได้ จึงหยั่งลงเป็นโลกุตรธรรมในจิตใหม่ เมื่อทำได้ก็เป็นนิพพัตติ 

นิพพัตติเป็นการเกิดของโลกุตรธรรม จนครบ ยิ่งเป็นอภินิพพัตติ โสดาบันก็อภินิพพัตติขั้นหนึ่ง สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็อีกขึ้นหนึ่งจนเป็นโพธิสัตว์แต่ละระดับไป 

ถ้าเป็นรูปกายก็อย่างหนึ่ง แต่ถ้าเป็นนามกายก็ละเอียด ในรูปธรรมเขาเรียนรู้ตั้งชื่อชีวะมากมาย แม้จุลินทรีย์ก็มีชื่อเรียก 

อาตมาพาพวกเราทำความรักที่มีมิติที่สูงขึ้นๆ เป็นตำราความรัก 10 มิติ คือตำรา A bomb of love ที่ไอน์สไตน์ฝากไว้ให้อาตมา สมการ E=mc2 + A ตัวA คือ Abstract คือนามธรรม อาตมาก็มาขยายให้ใช้ได้จริง พวกเราคือลูกหลานเหลนโหลนของพระพุทธเจ้า จริง จะกี่รุ่นกี่ชั้นก็ตาม เราก็เอาเชื้อแท้ของพระพุทธเจ้าให้เกิดโอปปาติกจิต อาตมาให้สูตรเชื้อพ่อ และแม่ให้ไปกำเนิดจิตวิญญาณให้สร้างสัตว์โอปปาติกสัตว์ในตน มีศีลเป็นพ่อ ปัญญาเป็นแม่เป็นต้น ให้คลอดเป็นโอปปาติกโยนิ เกิดเป็นโลกุตระ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติให้ได้ 

อาตมาเอาตำราพระพุทธเจ้ามาอุเทส แสดงความหมายให้ได้รู้ได้เรียนกัน ก็จะได้สิ่งที่ได้จากพระพุทธเจ้าแท้จริง บอกโดยจริงใจ  พูดฟรีบอกฟรี ไม่ขอสิ่งแลกเปลี่ยนก็ทำให้เกิดการรู้แล้วเอาไปสร้างผลให้เกิดจริงเกิดจัง 

อโศกเรากำลังปรับตัวปรับสภาพ ที่เดินทางไปเลยไปอุดรฯขอนแก่น ผ่านมา จะผนึกรวมกันแค่ไหนก็ไม่รู้ ก็น่าตื่นตัวนะ ที่เลยลัดมีปาล์มที่ให้ผลแล้วเราจะเชื่อมโยงอย่างไร ให้เกิดผลดีขึ้นมา เอาไปขายคนอื่นก็ได้แค่นั้น แต่ถ้าเรากลั่นน้ำมันเอง เราทำให้ดี โดยไม่เห็นแก่เงินทองอะไร เรามีใจสะอาดจริงทำเถอะ จะได้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ให้มันดีจริงเป็นสิ่งประเสริฐดีงาม เราก็ทำสิ่งมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ มันใกล้จะคลอดหรือยังโรงงานวิสาหกิจ ปัจจัยชีวีนี่ แก่นฟ้าก็ไปหลงแต่หินแต่ผา ปล่อยให้ฟ้าร่มเย็นหัวฟู ที่จริงหัวฟูนี่คือน้อยแต่ตอนนี้หัวแฟบแล้ว

เหตุการณ์ในศีรษะอโศก ก็ขอร้องว่าถึงอย่างไรพวกเราก็ช่วยกันทำงาน ให้ถือว่าเป็นน้องเป็นพี่ เป็นลูกเป็นหลานกัน เราก็ช่วยกันทำ มีองค์ประกอบพร้อมแล้ว จะศึกษาป่าก็มีป่า จะศึกษานาก็มีนา สวนก็มีสวน โรงงานก็มีพอควร ทางด้านโรงสีเป็นอย่างไร 

อโศกต้องเป็นจ้าวแห่งข้าวให้ได้ คือไม่ใช่แบบทุนนิยมแต่เป็นข้าวดีไร้สารพิษมีมากพอสะพัดได้ ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวงปวดท้อง ขอให้ระวังเรื่องเงินเชื่อ เป็นความเลวร้าย เรื่องเครดิตให้เชื่อเงินแล้วมีดอกเบี้ยเป็นเรื่องเลวมาก เราหยุดแล้วเรามีแต่ช่วยไม่มีเชื่อ มีแต่เกื้อไม่มีกู้ มีแต่หนุนไม่มีหนี้ ไม่อย่างนั้นจะบรรลัยจักร คนจะทำได้ต้องมีใจไม่โหดร้าย ต้องลดกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ลง

สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็แล้วไป เปลี่ยนไม่ได้ปล่อยให้วิบากทำงาน ปัจจุบันปรับใหม่ทุกอย่างไม่ให้ผิดไม่ให้เสียหาย หยุดสิ่งที่พลาดไปแล้ว ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บกัน เอาพลังงานมาสร้างสรร เป็นญาติกัน เป็นกงสีใหญ่สาธารณโภคี โลกเขากำลังรวมกัน เอเชียก็จะเป็นอาเซี่ยน รวมกันแล้วยุโรปสู้ไม่ได้หรอก เพราะเราใหญ่กว่า จับมือกับจีนเข้าไปอีก ยุโรปก็ยุโรปเถอะ อเมริกาก็อเมริกาเถอะ ที่พูดเหมือนเป็นศัตรูกันแต่เป็นการพูดโดยโวหาร ทุกวันนี้ โลกาภิวัฒน์แล้ว ถึงกันหมด แวบเดียว ..... 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:44:49 )

580709

รายละเอียด

580709-ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ บารมีโลกียะกับบารมีโลกุตระ 
พ่อครูว่า... วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2558 วันแรม 9 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม…
คนที่ฟังธรรมกับคนอธิบายธรรม ถามว่าใครน่าจะขยันกว่ากัน...คนสอนน่าจะขยันกว่า คนฟัง ส่วนใหญ่ก็ตอบเช่นนั้น คนฟังนี่ ที่จริงควรจะเป็นผู้ได้รับ คนให้โดยเฉพาะให้โดยไม่มีค่าแลกเปลี่ยน ใครน่าจะขยันกว่า ….คนรับน่าจะมาเอามากกว่า เพราะคนสอนไม่ได้รับอะไร แต่คนฟังได้รับฟังไปฟรีๆ นี่คือความจริง หากใครเห็นว่าตนไม่เห็นความสำคัญในการมาฟัง คนนั้นก็ไม่รู้จักความควรที่จะมารับ 

อีกประเด็นสำคัญคือว่า คนฟังกับคนอธิบาย ถ้าคนฟัง มารับฟังเห็นความสำคัญด้วยใจจริง ด้วยปัญญาว่าน่ามาฟัง ได้ฟรีด้วย คนนั้นถ้ามีปัญญาเห็นจริงก็จะขยัน แม้แต่คนสอน ถ้าเห็นว่าเป็นสิ่งดี สิ่งสำคัญ จำเป็นควรให้คนมาฟัง เขาจะขยัน เป็นสัจจะ

บารมี มีสองอย่าง 1.บารมีทางโลก โลกีย์ และ 2.บารมีทางโลกุตระ บารมีคือ สิ่งดีที่สะสมมา ส่วนสิ่งชั่วสะสมมาก็คือ บาป หรือ อกุศล บารมีที่เป็นโลกุตระ นั้นยากหน่อย ผู้ที่มีบารมีที่เป็นบุญ คือผู้ที่ไม่ได้อะไรยิ่งขึ้น แต่ยิ่งได้ละ ยิ่งลด ยิ่งหมดบาป หมดอกุศลจิต หมดไปๆ ไม่ใช่ได้ แม้แต่กุศลก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีกุศลโลกียะด้วย เช่น ทำทาน ได้มีของ ของเราเองให้เขา อันนี้เป็นกุศล เป็นความดีงามทางวัตถุ โลกียะ ก็คือกุศล แล้วผู้ให้ทานนี้ทำใจในใจลดล้างกิเลส ลดโลภ ไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลยได้ คนนี้ก็ได้ บุญ คือเบาบางกิเลส กุศลที่ได้ก็ได้ทานด้วย ได้ทั้งบุญ และกุศล ส่วนบุญนั้นไม่ได้ของ ได้ชำระกิเลส

คนที่ทำทานแล้วทำใจในใจไม่เป็น ให้ของเขา ก็ได้ทานของ เป็นกุศล ส่วนใจตนทำใจในใจไม่เป็น ก็ไม่ได้บุญ​ แถมได้บาป เพราะทำใจเพิ่มความโลภ แต่ได้กุศลด้วย เป็นกุศลโลกีย์ แต่จิตไม่ได้บุญแล้วส่วนมากได้บาปด้วย ไปทำใจในใจเพิ่มความโลภในจิต 

คนที่ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้ทำความดีงามให้ใครเลย แต่มีชีวิตปกติ มีผัสสะธรรมดา เราก็รู้ทัน สัมผัสแล้วจับกิเลสตนได้ แล้วลดละล้างกิเลสได้ อย่างสมถะ(ไม่เที่ยง) อย่างวิปัสสนา(ค่อยๆเที่ยงแท้) อันนี้ได้แต่บุญ ไม่ได้กุศล 

คนที่มีบารมี มีทั้งกุศล และบุญก็มีอีก มีข้อมูลที่ว่า คนนี้ชื่อว่า Chuck Feeney ชายขี้เหนียวมาก! ซึ่งบริจาคเงินไปแล้วกว่า 1.3 แสนล้านบาท !!
ชายชราที่ดูธรรมดา แต่สิ่งที่เขาทำ มหาเศรษฐีของโลกยังต้องเอาอย่าง Bill Gates และ Warren Buffett ได้รับ อิทธิพลจากเขาเช่นเดียวกัน เขาเป็นใครกันนะที่ทำให้ทุกคนยกย่องนับถือได้?

นี่คือผู้สูงอายุที่ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน ไม่มีนาฬิกาแบรนด์เนม เขาอายุ76 ปี เช่าบ้านอาศัยอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกกับภรรยาของเขา เขาไม่เคยสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม แว่นตาทรุดโทรม สวมใส่นาฬิกาธรรมดา เขาไม่ได้ชอบทานอาหารหรู ที่เขาชอบที่สุดคือแซนวิชชีสย่างมะเขือเทศที่ราคาไม่แพง เขาไม่รถขับ แต่มักจะขึ้นรถบัส กระเป๋าที่เขาใช้ก็เป็นกระเป๋าผ้าถูกๆ
ยากจนไม่พอ แต่ยังขี้เหนียวมาก!
หากคุณและเขาก็ไปร้านเหล้าเพื่อดื่มเบียร์ เขาจะตรวจสอบบิลอย่างละเอียด หากคุณอาศัยอยู่ในบ้านของเขา ก่อนที่จะเข้านอน เขาจะเตือนให้คุณปิดไฟอย่างแน่นอน
คนที่ยากจนและขี้เหนียว คุณรู้ไหม ก่อนเขาอายุ 76 เขาได้ทำอะไรมาบ้าง?
เขาได้บริจาคเงิน 588,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยคอเนล บริจาค 125,000,000 เหรียญสหรัฐ ให้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และบริจาค 60,000,000 เหรียญสหรัฐให้มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ต
เขายังได้ลงทุน 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐเพื่อปรับปรุงมหาวิทยาลัยอีก 7 แห่ง และอีก 2 แห่งในไอร์แลนด์เหนือ เขาได้มีการจัดตั้งกองทุนการกุศล ให้ค่ารักษาพยาบาลฟรีสำหรับเด็กปากแหว่งในประเทศที่กำลังพัฒนา
เขาได้บริจาคเงินทั้งสิ้น 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ และยังมีอีก 4,000,000,000 เหรียญสหรัฐ รอที่จะบริจาค
ชายชราผู้นี้เป็นใครกันแน่?
Chuck Feeney เขาเป็นผู้ก่อตั้งกองทุน DFS ที่ใจกว้างมาก เขารักการหาเงินแต่ไม่ชอบที่จะใช้เงิน
ขณะนี้Chuck Feeneyมีความปรารถนาว่า ก่อนปี 2016 เขาจะบริจาคเงินที่เหลือให้หมด จะได้ไม่ตายตาไม่หลับ ขณะนี้เงินที่เหลืออยู่ได้ไหลไปทั่วโลกให้พื้นที่จำเป็น ในอัตรา 400,000,000 เหรียญสหรัฐ ต่อปี
เขาเป็นตัวอย่างสำหรับคนรวย "ในขณะที่มีความสุขกับชีวิตให้แบ่งปันความสุขนี้ให้กับผู้อื่นด้วย"
การกุศลของChuck Feeneyเป็นที่โด่งดังมาก ผู้สื่อข่าวจำนวนมากเดินทางมาถึงบ้านของเขา ทุกคนล้วนแปลกใจ และถามว่า "Chuck Feeney อยู่กับทรัพย์สินมากมาย ทำไมถึงไม่ไปมีชีวิตที่สวยหรู"
เพื่อเผชิญกับข้อสงสัยของทุกคน Chuck Feeney ยิ้มและบอกเล่าเรื่องราว:"สุนัขจิ้งจอกเห็นไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้ อยากจะเข้าไปในไร่เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่ แต่มันอ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน และแล้วตัวมันก็ผอมลง และมุดผ่านรั้วไปได้!เมื่อกินอิ่มเป็นที่พึงพอใจแล้ว แต่…ตอนที่จะกลับออกไปกลับออกไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เมื่อไม่มีทางเลือกมันเลยต้องอดน้ำอดอาหารอีกสามวันสามคืน สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"
เมื่อเล่าเสร็จ Chuck Feeneyกล่าวว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็ จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งและชื่อเสียงไปได้!" สื่อถามChuck Feeney ทำไมบริจาคไปทั้งหมด คำตอบของเขาง่ายมากและไม่มีใครคาดถึง เขากล่าวว่า "เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า"
ที่จริงแล้วความจนของเขาเกิดจากการบริจาคเงินมหาศาล เขาช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สิ่งที่เขาได้มาได้ส่งให้คืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมด มันทำให้มีความสุขมากกว่า!

นิทานของเขาชัดเจนมาก สวรรค์ไม่มีธนาคาร ต้องรีบแจกให้หมดก่อนตาย เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋า … ถ้าเผื่อว่า Chuck Feeney ได้เรียนรู้อย่างชาวบุญนิยม จะทำเจ๋งกว่านี้อีก แต่นี่เขาก็ทำได้ดีลึกซึ้งมากแล้ว เขาทำแบบคนจน แล้วก็มีเงินบริจาคไปเรื่อยๆ เขาทำแบบทุนนิยม ก็ได้เงินทบต้นมาก แบบทุนนิยมนี่ได้เปรียบมาก นายทุนอยู่ยาวนาน เพราะทุนนิยมสายยาวมาก คนไม่เปลี่ยนมาโลกุตระนี้ง่ายๆหรอก พัฒนาไม่ทัน แต่ก็ทำให้บรรเทาทุกข์ในสังคม 

คนอย่าง Chuck Feeney เขามีบารมีกุศล ก็จะได้เพิ่ม กุศลเขายิ่งทับทวี เพราะเขาได้มาก็ยิ่งทำทาน ชาติหน้าเขาจะมีมากกว่านี้รวยกว่านี้ แล้วนิสัยก็กลายเป็นวิสัยได้ สั่งสมเป็นกรรมกิริยาลึก ตกผลึก ควบแน่น เป็นต้นฐานเป็นความแน่น เป็นธาตุหนักของพลังงาน ไม่เปลี่ยนง่ายๆ หากไม่เรียนรู้ปรมัตถ์ก็ไม่เปลี่ยนง่ายๆ คนมีต้นทุนแบบนี้จะง่ายมาก ที่จะมาเรียนรู้โลกุตระ เขาทำอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงทำใจในใจให้เป็น เขาจะยิ่งทำได้ทับทวี โลกุตระจะยิ่งเพิ่มทับทวีอีก มันจะเป็นต้นทุนซับซ้อนยกกำลังยิ่งกว่า mc2 เป็นรูปธรรมอันสูงส่ง ทางฟิสิกส์เอาความเร็วแสง แต่จิตนั้นเร็วมากกว่าแสง จะมีค่ามากกว่าทางโลกอีก ตามแต่ผู้ใดจะทำได้ดี มีมุทุภูตธาตุ เร็วไวขนาดไหน 

จิตคนที่มีความเร็วคูณกับมวล นี่คือนัยะของคนจริงมีจริง แต่นัยะของบุญนิยมนี่ จะเป็นคนจนได้ยิ่งกว่า Chuck Feeneyแล้วรวยได้ยิ่งกว่า Chuck Feeney เป็นเศรษฐีเงินถัง แต่สตังค์ไม่มี อย่างชาวอโศกเหมือนบริจาคน้อย มีตัวเงินไม่มากหรอก ไม่เป็นกอบก้อนเหมือนเศรษฐีใหญ่ที่บริจาคเป็นร้อยล้านพันล้าน ชาวอโศกก็เสียสละตลาดอาริยะ แต่ก่อนแค่ล้าน สองล้าน แต่ตอนนี้ถึง สิบล้าน 

แต่ทว่า การบริจาคของบุญนิยม เป็นการบริจาคที่สะอาด และไม่มีหนี้หรือไม่มีค่าเป็นลบ ในส่วนต้องการ ลาภ ยศ ​สรรเสริญ​ สุข ที่จะมาหักลบได้เลย เป็นค่าของพลังจิตที่ยิ่งใหญ่ แล้วเราก็ทำทานได้เร็วด้วย ไม่ใช่รวบรวมเป็นก้อนค่อยทำทาน แต่นี่เรามีก็ให้ทานแล้ว ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็จะได้ไปเปลี่ยนมือหลายเจ้าเท่าไหร่ ก็เป็นประโยชน์แก่คนอื่นเท่านั้น พวกนี้เราตามไม่ได้ก็นับค่าอีกมหาศาลนับไม่ได้ แต่ถ้ากักตุนไว้ นานเท่าไหร่ก็ค่าต่ำลง แต่ยิ่งสะพัดเร็วก็ยิ่งมีค่ามาก ตามสัจจะ 

การทำกุศล เรื่องที่เราจะได้ของชาวบุญนิยมจึงสูงมาก อย่างที่ทำทุกวันนี้ ถ้าทำได้ตามบุญนิยม แต่ละคนใจสะอาดบริสุทธิ์ ก็ยิ่งมีกุศลสูง มีบุญสูงด้วย เพราะลดกิเลสได้จริง ยิ่งลึกซึ้งซับซ้อนเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนสูงยิ่ง เป็นเรื่องของบุญและทาน เป็นเรื่องของกุศลอกุศลที่แท้จริง คนมีกุศลโลกีย์จะโหงวเฮ้ง ทางโลกหน่อย ส่วนพวกทางธรรมจะผอมๆแห้งๆเหลืองๆ จะคนละอย่างกัน คนที่ชินเรื่องโลกีย์เห็นคนนี้ ก็จะคิดว่าคนโหวงเฮ้งอย่างนี้ถึงมีบารมี แต่อาตมาก็ประมาณไม่ให้ทรุดโทรมลงไป เพราะจะอยู่อีก 70 ปี เพื่อพิสูจน์ผลการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ว่ามีธรรมฤทธิ์พิสูจน์ได้

มีคำถามจากเฟสบุค รวมธรรมะว่า....กราบนมัสการพ่อท่านโพธิรักษ์ครับ พอดีวันนั้นกระผมนั่งอ่านพระไตรปิฎกอยู่ แล้วอยู่ดีๆก็นึกถึงธรรมขึ้นมาสองหัวข้อ ได้แก่ 1.การพิจารณารูปนาม4 (อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ)
อ่านอาการกิริยาของรูป ของนามไม่เป็น อาการของรูป กับอาการของนาม เห็นนามกาย ก็เห็นอาการกิริยาของสภาพสัมผัสสัมพันธ์กันเป็นปฏิฆสัมผัสโส ในนามนี่เยอะ ถ้ารู้จักจะอ่านอาการได้
้ ในพระไตรปิฎก ท่านอธิบายเรื่องรูปเรื่องนามไว้ เช่นที่บอกว่า อานนท์ เธอพึงทราบข้อความโดยปริยายแม้นี้ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ วิญญาณก็เป็นนาม ดูกรอานนท์การบัญญัติโดยนามกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ คือต้องอ่านอาการออก นอกจากอ่านอาการออกแล้ว ก็ต้องเทียบเคียงกันได้ เช่นทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ทุกข์อย่างกิลมถะกับทุกข์อย่างทรถะ(ไม่เรียกทุกข์แล้วเป็นของอรหันต์) แต่อนาคามีเรียกกิลมถะ แต่ระดับต่ำกว่าอนาคามีก็เรียกทุกข์ โทมนัส หยาบแรงกว่า ยิ่งไปรวมกับข้างนอก เรียกทุกข์โดยตรงเลย ซึ่งต่างกันหมด ทุกข์ โทมนัส กิลมถะ ทรถะ ล้วนต่างกันหมด หากไม่รู้ความต่างขององค์ประชุมนามธรรม คุณเอง ไม่รู้ปฏิฆสัมผัสโสหรอก จะเรียกการสัมผัสให้เกิดแม้ไม่มีชื่อ ไม่มีอธิวจนะ ถ้าสามารถที่จะ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทสไม่มี การสัมผัสแต่เพียงชื่อ(อธิวจนสัมผัสโส)ในรูปกาย (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้) รู้แล้วอ่านเป็นจากผัสสะนี้ เรียกว่าอย่างนี้ๆ จะถึงปรากฏไหม ไม่ได้เพราะ แม้มีอาการแต่คุณไม่รู้จักอาการ แล้วคนปฏิบัติธรรมหากไม่ได้รู้อาการ โดยเฉพาะอาการทางจิต อันนี้หากนักปฏิบัติธรรมไม่เรียนรู้ ยิ่งเป็นนักปฏิบัติที่เอาแต่ภายใน ที่รู้ได้ยากแสนยากแล้วไม่สดด้วย มีแค่ความจำ บางทีก็ปั้นขึ้นมา ไม่ได้เกิดผลอะไรที่จะพาบรรลุด้วย ถ้าไม่เรียนรู้สัมมาทิฏฐิ ตามลำดับ ไม่บรรลุอย่างลาดลุ่ม อย่างมหัศจรรย์ 

จะเรียกชื่อหรือไม่เรียกชื่อ แต่จะรู้ได้ทันที รู้ได้จากปฏิฆสัมผัสโส คือทวนไปทวนมา สัมผัสกัน แล้วเกิดสภาพ ฆ คือคณะ หรือองค์รวม เหมือนกับฟิวชั่น เป็นพลังงานแตกตัว เป็น chain reaction ที่รวมตัวกัน ฆ คือรวมเป็นธาตุหนัก ฆ คือธาตุหลอมรวมเป็น ฟิวชั่น กระทบกันไป มา แอคชั่น รีแอคชั่นเกิด ฆ 

อย่างปฏิสนธิ 5 มี ปฏิสนธิ จาก  กลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ  จากเปสิเกิดเป็นฆนะ  จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม (ปัญจสาขา)

การพิจารณา รูป นาม คืออาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตัวอาการต้องอ่านให้ช่ำชองเลย ซึ่งลิงค คือความแตกต่างกัน ทรถะ คือทุกข์ระดับอรหันต์ คุณก็เดาเอาไม่ได้ กิลมถะคือทุกข์ของอนาคามีเป็นต้น

ส่วน นิมิต คือทำเครื่องหมายเอา ยิ่งเป็นนามธรรมยิ่งยาก เป็นการทำสัญญากำหนดรู้ของแต่ละคน ซึ่งธรรมดาคนเรามีธาตุรู้ก็ทำงาน แต่ถ้าให้ละเอียดขึ้น พอคนศึกษาดีๆ ก็รู้ว่าทุกข์คือเช่นนี้ อาการสุขเป็นเช่นนี้ หรือทุกข์มาก หรือทุกข์น้อย สุขมากกับสุขน้อย คุณจะรู้ความจริงของตนเองได้ ว่าเรานี่อยู่ในระดับไหน ของจริงได้แค่ไหน 

อุเทศ คือคำอธิบาย อาตมาก็อธิบายยกหัวข้อธรรมะมาให้ตลอด

แล้วท่านผู้นี้ก็ถาม  2. สติปัฏฐาน4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) กระผมรู้สึกว่าเป็นธรรมที่สอดคล้องกันมาก เลยลองวิเคราะห์ และขยายความออกมาเป็นตัวอักษรลองดู ได้ใจความว่า เมื่อเราเรียนรู้อาการ ก็เหมือนเราพิจารณากายในกาย เป็นการสังเคราะห์กันทั้งนอกใน พิจารณาสิ่งที่เข้ามากระทบ เมื่อพิจารณาจนรู้แล้ว จับอาการได้แล้ว รู้จักอาการแล้ว รู้แจ้งกองลมทั้งปวงแล้ว ระงับกายสังขารได้ เรียกว่าเรานั้น "เห็นกายในกาย" เมื่อเห็นอาการ(กายในกาย) ดังนี้แล้ว ก็นำอาการนั้น มาวิเคราะห์แยกแยะประเภท แยกลักษณะ เรียกว่าลิงคะ(เพศ) ก็ต้องมาดูที่เวทนา แยกเวทนาออกมาตามลำดับ ตั้งแต่เวทนา2 / เวทนา3 /เวทนา5 /เวทนา6/ เวทนา18 / เวทนา36 / เวทนา108 จนรู้แจ้งปีติ รู้แจ้งสุข รู้แจ้งจิตสังขาร ระงับจิตสังขาร เรียกว่าเรานั้น "เห็นเวทนาในเวทนา" เมื่อแยกลิงคะ(เวทนาในเวทนา)ได้แล้ว ก็จะเกิดเครื่องหมาย ที่เป็นเครื่องรู้เฉพาะ ถึงรูปนาม เครื่องหมายนี้เรียกว่า"นิมิต" เมื่อเกิดเครื่องหมายเช่นนี้แล้ว รู้นามแล้ว รู้รูปแล้ว ก็จะรู้แจ้งจิต ทำจิตให้ร่าเริง จิตเราจะตั้งมั่น และ เปลื้องจิตให้หลุดพ้นจากกิเลส เรียกว่าเรานั้น "เห็นจิตในจิต" - เมื่อเห็นอาการ(กายในกาย) - แยกแยะลิงคะได้(เวทนาในเวทนา) - จนเกิดนิมิต(เห็นจิตในจิต) - เราก็นำธรรมที่เราได้สดับมาจากสัตบุรุษ เป็นธรรมแท้ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมที่เราสดับมาจากสัตบุรุษนั้นเรียกว่า "อุเทศ" เมื่อนำอุเทศนั้นมาวิปัสนา เมื่อเราถ่องแท้ แยบคาย ในอุเทศนั้นๆ จนสามารถพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของกิเลส ความคลายกำหนัด เห็นความดับกิเลส เห็นความสลัดทิ้งจากกิเลส เรียกว่าเรานั้น "เห็นธรรมในธรรม" กระผมขอเรียนถามพ่อท่านว่า สิ่งที่ดำริขึ้นมาในใจของกระผมนี้ ถูกหรือผิด เป็นมิจฉาหรือสัมมา หรือบกพร่อง ผิดพลาดตรงไหนขอให้พ่อท่านช่วยแนะลูกคนนี้ด้วยนะครับ กราบนมัสการ พ่อท่านครับ
ตอบ...คุณเรียบเรียงได้ดีมาก คะแนนเต็มสิบให้สิบห้าเลยใช้ภาษาเรียบเรียงได้ไม่ขัดแย้งเลยหากปฏิบัติได้ดังนี้คุณบรรลุธรรม

ปฏิบัติได้จะค่อยไล่ มาตามลำดับ แต่จะเหลื่อมกันไปตามลำดับ เรียกว่า อย่างไอสไตน์บอกว่าเป็น สิ่งที่เป็นปัจจยการไปตลอด continuum or relative ของพระพุทธเจ้าสุดที่คุณจะตัดหรือจะต่อจะให้เกิดหรือจะตัด ถ้าให้เกิดก็เป็นอุปจยะ มีสันตตะ แม้จะอุปจยะอย่างไรก็อนิจจัง ต้องให้พลังงานเสริม หากไม่ให้พลังงานเสริมก็จะชราตาไปตามครึ่งชีวิต ก็ต้องสันตติต่อไป อย่างมี chain reaction มีทศนิยมที่มีอุปจยะ ต้องมีกรรมกิริยาที่ดำเนินไปเรื่อยๆ จะถึงชรตา การผ่อนลงก็ทำได้จะทำให้หนักหรือเบา ก็ชรตาเร็วขึ้น 

อรหันต์หรือโพธิสัตว์จะรู้ลักขณรูป 4 นี้ แล้วส่วนที่คำนวณไว้ คือวิการรูป 5 ทำให้ลหุตาไว้ ให้เบาไว้อย่าให้เกิน คือคำนึงให้เบาไว้อย่าให้โตให้ใหญ่ ถ้าอาตมาไม่มั่นใจถึง 70% ไม่เอา 

ผู้ใดจัดสรรให้ลหุตา ให้เบาเป็นหลัก แล้วก็ทำได้ตามมุทุตา ที่คุณจะทำได้เร็ว แรง ทั้งคุณภาพสมรรถนะ ก็อยู่ที่เจโต ปัญญาของคุณทำได้ทั้งเร็วทั้งไว ในมุทุตา แล้วก็เอามาทำงานเป็นกัมมัญญตา เป็นการงานที่เหมาะสมที่ดีได้สัดส่วน แล้วออกไปเป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ในวิการรูป 5 

ผู้จบจากปริเฉทรูป มีอากาสธาตุเป็นหลัก มีฐานของจิตว่าง อนันโต อากาโสติ ก็ประมาณของแต่ละคน จะให้มีเท่าไหร่ไม่มีเท่าไหร่ อากิญจัญญายตนะ ทำอย่างดีทำอย่างสัญญาเวทยิตะตรวจสอบสัญญา เวทนาให้ดี คือมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ คือนาม5 ประมาณให้ดี สิ่งที่เป็นกรรม ประมาณตั้งแต่มโนสังขารหรือจิตสังขารแล้วถึงเป็นวจีสังขาร

คนมีนิโรธแล้วทำจิตสังขารก่อน แล้ววจีสังขารจึงตามหลัง (ผู้นิโรธนั้น วจีสังขารดับก่อน แล้วจึงกายสังขารแล้วจึงเป็นจิตสังขาร) 

ก็จะชัดเจนปรมัตถธรรมอันยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องจิตวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งมาก เรียนแค่ภาษาก็พอรู้ แต่ถ้าไม่มีสภาวะรองรับก็จะยาก แต่แม้มีสภาวะก็กลับไปกลับมาได้ เพราะธรรมะนี่จะกลับไปกลับมา อย่างเพศสองเพศ หญิงกับชายนี่ก็กลับไปกลับมาได้ อย่างเหมาะควร คนที่ไม่รู้จัก ผู้เป็นสัตบุรุษที่มีอาการ ลิงค นิมิต อุเทศที่ท่านปรุงแต่งออกมาเป็น สำเนียงสุ้มเสียงเพื่อสื่อศิลปะให้คนอื่นรับรู้ให้เป็นประโยชน์ที่ดี

คนที่เดาตามอาการที่ประเมินไปตามบัญญัติจะเดาผิด เดายาก ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านจะปรุงแต่งอะไรไม่กลัวเสียหน้า ท่านจะรักษาสมณสารูปให้พอเหมาะกับบริษัท เช่นอาตมาอยู่กับพวกคุณก็ปรุงแต่ง แสดงได้เต็มที่ ออกไปทางโทรทัศน์ คนก็อาจถือสาได้ แต่อาตมาเอาประโยชน์ที่พวกคุณได้ แล้วผู้ฟังข้างนอกก็ได้คัดคน ใครไม่แหลมคมลึกซึ้งพอก็รับไม่ได้ อ่านเอาตามอาการจะมาตีความไม่ได้ หรือยิ่งตีความตามพยัญชนะแต่ก่อนอาตมาไม่ชำนาญภาษา เขาก็มาตีทิ้งอาตมาเลย ก็ไม่มีปัญหา เข้าใจเขา

ยากที่จะรู้ว่าอรหันต์คือคนเช่นไร? อาตมาก็ว่าคือ คนธรรมดา ท่านก็ประมาณตามที่ควร  อย่างอาตมาก็ทำตามที่อาตมาอธิบาย เอาประโยชน์ ผู้เชื่ออย่างกาลามสูตร เชื่อโดยตรึกเอาตามอาการ  คิดนึกเอา 

อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)

กาลามสูตรนั้น ดูแล้วก็จะให้เชื่ออะไร ... ก็คือเชื่อตามข้อสุดท้ายคือข้อ 11 ว่า ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น 
ต้องไม่ประมาทนั่นเอง ต้องประมาณให้ดี ผู้ประมาณได้ดีนั้นต้องเป็นอรหันต์ แต่อรหันต์ก็ประมาณผิดได้ แต่อย่าเอาผิดทางวินัยท่าน เพราะท่านทำอย่างไม่มีกิเลส แม้บางทีข้อมูลไม่ครบก็ผิดพลาดได้  พระพุทธเจ้าไม่ให้เอาผิดท่าน ใครไปเอาผิดก็เป็นบาป ไม่ใช่เรื่องไม่ยุติธรรมอะไร 

ต่อไปเป็นการตอบปัญหา
-
ตอบ...เกิดจากตัวเราไม่ได้ฝึก คนที่ฝึกมากๆ จำเก่ง จำได้ยาว เป็นนิสัย ฝึกได้ หรือคุณเองมีวิชชา บุพเพนิวาสานุสติญาณ ฝึกย้อนอดีตข้ามชาติไปได้มากๆ จำได้เยอะ ความจำสั้นเกิดจากความไม่เอาถ่าน อาตมานี่สิ่งที่ไม่คิดจะจำ แม้สั้นๆก็ไม่จำ เพราะจะสงวนพลังงาน สิ่งไม่จำเป็นก็ไม่เปลืองพลังงาน สิ่งที่ไม่ควรจำ ก็ไม่จำ พยาบาลถามว่าไอกี่ครั้ง อาตมาไม่ได้ฝึกเรื่องจำแต่ไหนแต่ไร แต่เอาปัญญาเป็นตัวจำ อันไหนดีก็จะจำได้ดี เช่นจำพระบาลี เพราะมีฉันทะที่จะจำ ส่วนที่ไม่จำก็ทิ้งไปเลย 

-หนูอยากรู้ว่า 1 กัป เท่ากับกี่ปี 
ตอบ..คำว่า กัป คือรอบของที่กำหนดอันนั้น เช่นอายุขัยของคน ทางโลกเขาก็ประมาณค่าเฉลี่ย ผู้หญิงจะอายุยืนกว่าชาย เขาว่าผู้หญิงแก่ง่ายตายช้า ผู้ชายแก่ช้าตายเร็ว ก็รอบหนึ่ง ทางโลกเขาก็ประมาณ ตอนนี้ 70 กว่าก็ตายกันแล้ว แต่ถ้าหมายถึงที่ท่านว่ากัปหนึ่งคือ เวลาที่ยอดเขาสึกลงไปจนราบ โดยการเอาผ้าใยบัวไปพาดกับภูเขานี้ 100ปีต่อครั้ง นั่นก็อีกแบบ แต่ว่าของเราก็คือกับหนึ่งก็ชั่วอายุคนนั่นเอง

-ผมสงสัยในตนเองว่า... เวลาผมฟังท่านเทศนา ผมฟังด้วยความเคารพ ฟังรู้เรื่อง ฟังดีตาม ผมไม่เคยเห็นต่างหรือแย้งอะไรท่านเลย แต่ทำไมผมจึงทำแล้วปฏิบัติตามไม่ได้เท่าที่ควรเป็นแล้วเข้าใจครับ 
ตอบ... มันไม่ลงตัวกัน คุณบารมีไม่พอก็ยากบ้าง ข้อสำคัญคือเราอย่าไปฮึดฮัด เราอย่าอภิชัปปา เป็นตัณหาล้ำหน้าอยากจะเป็นอยากจะได้อยากจะมี อยากจะทำได้ไม่ว่าใครก็ตาม มาปฏิบัติธรรมก็อยากทำได้ทุกคน แต่จะไปอยากทำไม เป็นแต่เพียงว่าคุณรู้ตัวว่าได้สัมมาทิฏฐิ ได้สัมมาปฏิบัติไหม ปฏิบัติ อปัณกปฏิปทาไหม? แค่ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ได้ทำไหม หากทำได้ปฏิบัติไม่ผิด เป็นสู่การเป็นอรหันต์ได้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องไม่ต้องอยากเลย อยากไปทำไม หากคุณเองกินข้าวหากถึงเวลากินก็กินโดยไม่ต้องอยาก กินตามปริมาณที่ต้องกิน ก็ได้ประโยชน์เต็มที่ กินเกินหรือกินน้อยไปก็ไม่ดี โดยไม่ต้องอยากเลย อย่างอาตมาก็กินโดยไม่ได้อยากอะไร ก็กินตามควร ก่อนเที่ยง ขนาดน้ำนี่ก็ไม่ได้อยากเลย เห็นควรดื่มก็ดื่ม เราทำตามจริงตามเหตุก็จะได้ผลเอง รู้แล้วก็มีจุดมุ่งหมาย มีมโนสัญเจตนาก็ทำไป โดยไม่อยากเลย 
นอกจากเราจะทำงานก็เสริมความอยากหน่อย เสริมมโนสัญเจตนา ผู้อยากโดยไม่มีวิภวตัณหาก็ไม่มีภัยอะไร ในตัณหา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เขาก็พาซื่อว่าอย่าไปมีตัณหาอะไร ก็เลยไม่คิดไม่นึกอะไรไม่เกิดความเพียร ไม่เกิดการเรียนรู้วิจัยวิจารณ์อะไร ก็ไม่มีเหตุปฏิบัติที่ครบก็ไม่ได้ผลดี
อย่างอปัณกปฏิปทา 3 หากไม่เข้าใจก็ไม่รู้คุณค่า แต่หากเข้าใจปฏิบัติไม่ตกหล่น สัมผัสกระทบอะไรก็ได้เรียนรู้ จะแปลว่าโภชเนมัตตัญญุตาไม่ใช่แค่การกิน ก็มีการใช้สอยด้วย กระทบสัมผัสเครื่องใช้ไม้สอย คนก็ใช้ร่วมกัน กระทบสัมผัสสิ่งบริโภคก็อ่านเวลาสัมผัส ทางตาจมูก ลิ้น กาย ซึ่งเสียงอาจไม่เกี่ยวนักเรื่องการกิน แต่บริโภคเกี่ยวกับสิ่งของบุคคลเยอะแยะ ถ้าพิจารณาสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา  แล้วมีสติมันโต คือสติตื่นเต็มไม่ได้นอนหลับ โดยเฉพาะตื่นลืมตา มีสติมันโต แต่เวลานอนหลับคุณไม่มีสติมันโตหรอก นอนหลับคุณก็เจตนาหลับตา อาการ 32 มันลดลงเยอะแล้ว มันไม่พร้อมหรอก ไม่ใช่วาระที่ควรปฏิบัติตอนหลับ แต่ก็นอนหลับให้มีสติแข็งแรงได้ ก็ดี อาตมาก็ฝึกมานัก การมีสติตอนนอน นอนตะแคงขวาจนตะโพกด้าน หมอก็ว่าให้ นอนมาหลายปี สีหไสยาสน์ ก็ทำได้ ตื่นตามที่กำหนดได้ นอนเคาะระฆัง ทุก 1 ชั่วโมง ตั้งแต่นอนจนถึงเช้า แต่ก่อนตื่นตีสามครึ่ง ตีสี่ แต่เดี๋ยวนี้ตื่น หกโมง เขาก็จะให้นอนให้มากๆ  ซึ่งชาคริยานุโยคะ ก็ไม่ได้แค่ตอนตื่นและหลับ แต่ว่ามีความหมายถึงการตื่นรู้องค์ประกอบทั้งหมด โดยเฉพาะครบในขณะตื่นธรรมดา ในชีวิตประจำวันนี่แหละ 

ก็ทำไปตามกรอบขอบเขต ปริตตัง ไม่ใช่เอาหมดเลอะเทอะ เราทำได้แล้วก็ค่อยเพิ่มไปอธิศีล อธิปัญญา อธิวิมุติ ไปตามลำดับ

-หนูอยากรู้ว่าชาติหน้าจะได้เกิดมาอยู่กับครอบครัวเดิมไหม ถ้าไม่ได้อยู่ทำอย่างไรจะให้อยู่กับครอบครัวเดิม
ตอบ...คนเกิดกับครอบครัวไหนก็เป็นวิบาก และจิตของเราด้วย หากเราผูกพัน เป็นเหตุสำคัญ คนผูกพันกัน ผูกกันได้สองนัย รักกันมากอยากอยู่ร่วมกันมากก็มีพลัง และชังกันก็ทำให้เกิดร่วมกันได้ บางคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กเพื่อแก้แค้นกันเป็นได้ มีทั้งรักและชัง แต่ที่สำคัญ บารมีสิ่งที่เราสะสม ถ้าเป็นความต้องการของเราที่มีกุศลร่วมก็จะได้ แต่ถ้าความต้องการของเราไม่มีกุศลร่วม อยากให้ตายก็ไม่เกิด คนที่ถามมาอยากเกิดร่วมก็คงไม่ได้เกิดมาเพื่อแก้แค้น คือน่าจะเป็นกุศล แล้วจริงๆแล้วผู้มีกุศล ยังจะเกิดรวมเป็นพ่อแม่กันอีกหลายชาติ ธรรมดา เพราะฉะนั้นการที่จะได้เกิดร่วมจะให้ดีจริงๆแล้ว จะเป็นไปโดยอัตโนมัติ ก็คือโลกุตรธรรม ผู้มีโลกุตรธรรม จะมีแรงร่วมรวมกันได้มาก มีความบริสุทธิ์ใสสะอาด มีพลังให้มาร่วมกันได้ ไม่เหมือนโลกียะมีแรงดูด/ผลัก ทำให้เป็นไม่ได้เยอะ แต่ถ้าโลกุตระนี่จะรวมกันได้มากกว่า แล้วยิ่งเป็นเลย ยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าให้ตายอย่างไรก็ต้องมาร่วมกัน ยิ่งกว่าครอบครัวทางสายเลือดเลย อย่างพวกเราเป็นญาติธรรม จะพึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้  นั่นคือญาติ เกิดมาจากสายเลือดสรีระ ที่เรียกผิดๆกันเป็นกรรมพันธุ์ มันพึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันไม่ได้เท่าญาติธรรมหรอก ญาติธรรมนี่แหละ ญาติยิ่งกว่าสายเลือด พึ่งเกิด แก่เจ็บตายกันได้ยิ่งกว่าญาติทางสายเลือด เรื่องจริง 

ความเป็นญาตินี่มันจะมาหากัน จะมาเกิดร่วมกันโดยสัจจะแท้จริง อย่างพระพุทธเจ้าเป็นต้นไม่นานก็มีอัครสาวกแต่ละรูปมา พระพุทธเจ้าท่านรู้ก่อนด้วยซ้ำ ก็จะมาไม่ไปไหน ไปไหนไม่ได้หรอก ข้อสำคัญพวกคุณอยากเกิดมาร่วมกันไหม ไปซื้อหาไม่ได้ ต้องปฏิบัติให้มีมรรคผลเป็นผลวิบาก ที่ตัดกิเลสได้จริงๆ เป็นตระกูลอาริยบุคคลได้ ยิ่งใหญ่กว้างใหญ่มาก ถ้าถึงขีดหนึ่งก็จะมา แล้วสองวิบากคุณไม่มากพอ คุณก็มาเลย ยิ่งวิบากน้อยก็ยิ่งมาได้เร็ว เป็นสัจจะที่ต้องศึกษาให้ดี

สรุปว่า วันนี้มีการศึกษาที่ให้เด็กๆพอเข้าใจบ้าง.... 

คำว่า กาย ฟังดีๆ ฟังซ้ำฟังซากหลายนัยะ คำว่า กายต้องมีสองเสมอ นี่คือประเด็นหนึ่ง ต้องมี รูปกับนาม หรือไม่ก็มี นามกับนาม มีแต่รูปกับรูปไม่ใช่กาย อย่างขวดนี่ไม่เกี่ยวกับใคร มันเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่มีนามไปร่วมด้วยไม่เรียกว่ากาย 
และอีกอย่าง คือ ต้องมีนามร่วมด้วย ต้องมีนาม แม้แต่จะมีนามกับนาม ต้องมีนามไปรู้นาม เช่นอนาคามี ไม่เกี่ยวข้องกับภายนอกได้ ท่านอยู่เหนือมันแล้ว เป็นอัตโนมัติ สัมผัสแล้วไม่เกิดกิเลส ท่านก็อ่านแต่จิตท่าน แต่ท่านก็รู้นอกไม่ได้ขาดนะ แต่ก็อยู่กับภายนอก ไม่ต้องพิจารณานอกมากก็อ่านแต่ภายใน มีแต่นามกับนาม อนาคามีก็อ่าน นามรูป ไปตลอด หรือเป็นนามกาย แต่คำว่ากายนั้นต้องทิ้งนอกไม่ได้ แต่ถ้านามรูปนั้น ทิ้งนอกได้ 

ดูกรอานนท์การบัญญัตินามกายต้องพร้อมด้วย อาการ เพศ นิมิต อุเทส เมื่อ อาการ เพศ นิมิต อุเทส นั้นไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกาย จะพึงปรากฎได้บ้างไหม? … 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:45:45 )

580710

รายละเอียด

580710_ธรรมาธรรมะสงคราม รู้นามรูปอย่างพิสดาร

พ่อครูว่า...วันศุกร์ ที่ 10 กรกฎาคม 2558 แรม 10 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม ...เราก็มาเสริมเติมความรู้ธรรมะกันอีก อาตมาคิดว่าการที่ได้เรียนๆรู้ธรรมะพระพุทธเจ้ามันเป็นสิ่งประเสริฐสุดแล้วในชีวิตของคนที่เกิดมาเป็นคน ไม่ว่าจะเกิดมาชาติใดๆก็แล้วแต่ ตราบใดที่เราไม่บรรลุถึงอรหันต์ เราต้องเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอรหันต์ให้ได้ เพราะเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐสุด

ใครจะว่าอาตมาหลงธรรมะ คลั่งไคล้ธรรมพระพุทธเจ้าก็ยอม งมงายก็ได้ ไม่เป็นไร อาตมารู้อยู่ว่าอาตมามีสติสัมปชัญญะปัญญารู้ว่าอะไรคืออะไร เพราะสิ่งที่ได้ที่มีที่เป็น อาตมาประกาศไปแล้วว่าอาตมาได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมา ได้แล้วเป็นสิ่งสุดประเสริฐจริงๆ เป็นสิ่งบริสุทธิ์สะอาด สบาย มีคุณค่า

อาตมารู้ว่าคนทั้งโลกพยายามเหน็ดเหนื่อย พากเพียรอุตสาหะวิริยะมาตลอดคืออะไร อาตมาก็เคย ที่จะบากบั่นทำ ก็เคยมา ก็กล้าพูดได้ว่าเคยมาไม่รู้กี่ชาติ มันพอรู้พอเห็นจริงอยู่ บอกไปก็ไม่มีใครรู้ด้วยกับอาตมา ยืนยันไม่ได้ด้วยไม่มีหลักฐานอะไร แต่ก็บอกด้วยจริงใจ ในสิ่งจริง จึงนำมาย้ำยืนยันให้พวกเราได้ฟัง จะเชื่อตามหรือไม่ก็บังคับใครไม่ได้หรอก 

แต่ที่ต้องพูดต้องบอกเพราะว่า สงสารทางโลกที่แย่งชิง หน้ามืดตามัว มันหลงยิ่งกว่า ก็เรามาต่อกันในรายละเอียดธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ย้ำหนักคือคำว่า กาย คำนี้เป็นคำที่ ชาวพุทธ ได้เข้าใจคำว่ากาย โดยเฉพาะคนไทย เมื่อกายเป็นภาษาไทยแล้ว ซึ่งผิดไปจากความหมายของธรรมะพระพุทธเจ้าก็เลยไปกันใหญ่ พอปฏิบัติธรรม คำว่ากาย คำนี้เป็นคำสำคัญมาก

เพราะเป็นคำที่รวมธรรมะสอง คำว่ากายนี่นะ เทฺวธัมมา ซึ่งจะต้องศึกษาอย่างสำคัญเลย ความจะเป็นชาวพุทธที่เข้ากระแส หยั่งลงสู่โลกุตระ มีข้อต้นเลยของโพธิปักขิยธรรม 37 ที่ต้องเรียนรู้เข้าไปในกาย ท่านตรัสไว้เป็นสำนวนว่า กายในกาย ต้องรู้ให้ทะลุหมด กายในกายทั้งหมด คือธรรมะสองนี่แหละตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็สามารถทำให้สองนี่ กลายเป็นหนึ่งเดียวได้ หรือที่สุดของที่สุดทำให้เป็น 0 ได้ จบ เป็นสุญญตธรรม นี่ก็สรุปตัวสำคัญให้ฟังเลย

คนที่ไม่เข้าใจคำว่ากาย หรือเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิจะล้มเหลวในการปฏิบัติธรรมจริงๆ

ในพระไตรปิฎก ล.10 ข้อ 60 อ่านทวนอีก อย่าเบื่อ ถ้าเบื่อแล้วไม่ได้เรียนรู้ต่อ 

[60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง  ด้วยประการดังนี้แล ฯ
      
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขนี้เป็นสุขเท็จ เป็นสุขขัลลิกะ เราเอาออกได้ ไม่ต้องมีความเท็จ ก็ไม่ต้องสุข แล้วก็ไม่ต้องทุกข์ด้วย เพราะสุขกับทุกข์เป็นธรรมะสอง มีสุขทุกข์เป็นของคู่กัน แล้วเราก็ทำให้เป็นหนึ่ง  ที่จะเรียกว่าอุเบกขา ก็ได้หรือจะยืมภาษาเรียกสุขก็เป็นแบบโลกุตระ ต้องศึกษาอ่านเจตสิก ที่เป็นอารมณ์อาการ ใช้อธิวจนะเรียกซ้อนเข้าไปอีก เรียกอารมณ์ที่มีอาการให้ศึกษา อาการคือมีลีลาให้รู้ เราเน้นอาการของเวทนา เรากำลังศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ถ้าผัสสะดับ เวทนาก็ไม่มี หรือมีก็เป็นหนึ่งที่เป็นโลกุตระ ไม่ใช่หนึ่งโลกียะ 

เราเรียนรู้บัญญัติว่าชื่อนี้เรียกว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ที่เป็นนามธรรม 5 เป็นอย่างไร เราก็ต้องสัมผัสชื่อไปก่อนก็ได้ การสัมผัสชื่อท่านเรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส ในรูปกาย 

รูปแปลว่าสิ่งที่ถูกรู้ เสียงที่ได้ยินก็เป็นรูปที่ถูกรู้ กลิ่นที่เราได้รับก็เป็นรูปที่ถูกรู้ รสก็เช่นกัน รู้ได้ด้วยการสัมผัส แม้กายสัมผัสเสียดสีต่างๆ ส่วนใดๆก็แล้วแต่ที่มีอาการ 32 สัมผัสอยู่ก็ล้วนเป็นกายทั้งนั้นมีอาการของรูป นามทั้งนั้นในอาการ 32 อันใดที่พ้นมา เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พ้นกายแล้วไม่มีปสาทรูปไปร่วมก็ไม่ใช่กาย รับความรู้สึกไม่ได้ หรือหลายอย่างที่หลุดออกมาจากร่าง เช่นอุจจาระ ปัสสาวะก็เป็นอาการ น้ำลาย น้ำมูก หรือเลือด ไหลออกมาข้างนอกแล้ว ประสาทก็ร่วมไม่ได้ อุจจาระปัสสาวะอยู่ภายในก็เป็นอาการนะ อุจจาระในท้อง น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองก็เช่นกัน มันอยู่ภายในมีปสาทรูปร่วม วิญญาณธาตุรู้ร่วมด้วยเป็นอาการ 32 เป็นกาย แล้วปรุงแต่งเป็นนามธรรม เป็นดาวดึงส์

ชาวอโลกเขาสมมุติแดนดาวดึงส์เป็นสิ่งที่เขาต้องการทั้งนั้น ในผู้ไม่ได้สดับธรรมะพระพุทธเจ้าหรือได้ฟังสิ่งไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้เรื่อง กลายเป็น เหตุ นิทาน สมุทัยปัจจัย เป็นนวนิยายเต็มไปหมด มีพลังของโลภ โกรธหลงเป็นตัวบงการให้เกิดนิยาย สามารถเอามาเล่ามาเขียนมาบอกกล่าวนับไม่ถ้วน เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยเกิดเพราะหลงเวทนาที่เป็นดาวดึงส์นี่แหละ 

ท่านเริ่มจากจตุมหาราชิกา คือนักล่าจะต้องได้ ราชะ (แปลว่ารสโลกๆ) เขาจะต้องได้รสของโลกๆ โลกียรส อย่างเต็มภาคภูมิ อย่างมหาราช หมดทั้ง 4 ทิศทั่วโลก ให้ได้หมด จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณจตุมหาราชิกา เป็นผู้ต้องเอาให้ได้ เมื่อได้มาก็หลงเป็นแดนสวรรค์ดาวดึงส์ ตาวติงสา ก็มีอาการสุขหมดตัวพร้อมทั้งอาการ 32 เรียกว่าทวัตติงสาการ เป็นอาการ 32 ก็เป็นสุขทุกข์กับอาการนี้ 

แล้วสุขทุกข์อีกอันที่เป็นมโนมยอัตตาที่คนหลงงมงายต้องได้เสพ ถ้าเป็นชาวโลกุตระจะไม่ล่าไม่เป็นจตุมหาราชิกาไม่แย่งใคร และไม่ต้องมีดาวดึงส์ ที่ต้องมีอายุทิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ 
อายุก็คือยามา จะต้องเสพสุขให้ได้นาน กาละ คือยามา ได้ช่วงไหนกาละไหนก็เอา คือกาละของเขา พอได้เป็นอาการจิตที่สร้างขึ้นมาจนสำเร็จเป็นอาการ 33 เป็นยามา แต่จะให้นานเท่าไหร่มันก็ต้องพักต้องหยุด เป็นสันตุสิตเทพ แล้วเขาจะใช้จิตปั้นได้สร้างได้ แล้วหลงว่าเป็นจริง ก็มีบัญญัติตั้งขึ้น อธิวจนะ เมื่อผู้มีผัสสะอันนั้นเขาก็จะได้ 

ในช่วงที่ท่านว่า ลองฟังอันนี้ ที่กำลังอธิบายคือเวทนาทั้ง 6 
หนึ่งมันก็จะเกิดตามที่เรารู้แล้วยึดว่าจริง และ
สองมันจะเรียนรู้โลกุตระก็จะรู้ว่าจริงตามสมมุติที่ยึดกันแท้จริงมันเท็จ ธรรมะเป็นจริงเป็นสิ่งทรงอยู่แต่สิ่งที่ทรงอยู่เป็นสุขเท็จมันก็จริงสำหรับคนติด แต่คนล้างได้ก็มีธรรมะอย่างไม่ต้องสุขเช่นนั้นจะเหลือก็คืออทุกขมสุข แล้วก็อยู่กับโลก ก็รู้ว่าโลกเขาหลงอะไรกัน เป็นจริงเป็นจังกับอะไร แต่ก่อนเราก็พลอยทำไปกับเขา เป็นลูกน้องเขาทำไป มอบตนไปกับเขา ก็รับส่วนไม่เท่าเขา แต่ก็ร้ายไปตามหัวหน้าที่ร้าย 

คำว่า ธรรมะสอง แล้วก็รวมลงเป็นหนึ่งโดยส่วนสอง นี่เข้าใจเพิ่มขึ้นไหม เพราะมันยังมีแต่ก็ไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯล.16 ข.43 เมื่อเราไม่มีกิเลสแล้วก็ยังอยู่กับโลกเขาที่เขาก็มีกิเลสเต็มไปหมด มันไม่หายไปหรอก ยิ่งกลียุคอบายยิ่งมาก ผู้ออกมาได้จะเห็นของจริง อย่างพวกเราออกมาได้ ชาตินี้ไม่เสียหลาย เราไปร่วมไม้ร่วมมือกันโกงเขา คืออบาย โกงมากซับซ้อนมากฉลาดมากยิ่งเป็นผีร้ายอบายมหาอบาย อเวจีเลย เขาไม่รู้ไปเรียนกันแค่อบายมุข 6 คือ เสพสิ่งเสพติด คบคนชั่ว เกียจคร้านการงาน เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น ยุคพระพุทธเจ้ามีแค่นี้แต่ยุคนี้มันไม่นอนเลย กลางคืนก็เที่ยว กลางวันก็ทำงาน หรือเสียงาน 

คำว่าอบายมุขนั้นเดี๋ยวนี้การโกง นี่แหละคือมหาอบายมุข ในอบายภูมิ หรือนักใช้อำนาจบาทใหญ่ แผ่อำนาจให้คนอื่นเสียเปรียบตลอด อยู่ใต้บาทา นั่นคืออบายมุขตัวร้าย สิ่งเสพติดการพนัน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ธรรมดา การพนันหุ้นนี่เลวร้ายขนาดหนัก มันรวบอำนาจไว้กับพวกนายทุน ไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไรมากมาย เป็นธนาคารก็เหมือนกันคือแหล่งอบายมุข เขามองว่าคือแหล่งสะพัดเงิน ประกันชีวิตสินเชื่อสารพัดวิธีการ 

แม้แต่การละเล่น เดี๋ยวนี้กีฬาการละคน เพลงการ มันยิ่งกว่ามหาอบายมุข แล้วติดยึดแรง ต้องจ่ายเงินซื้อที่เรียกว่าเป็นความสุข จ่ายกันแพงแสดงถึงความเสื่อมของสังคม อาตมาพาพวกเราตื่นรู้มาแล้ว เราไม่รู้สึกว่ามีรสแล้ว แต่ก่อนเราจี๋จ๋าเลย แต่ตอนนี้เบาบางมากเลย เพลงมันก็มีศิลปะได้แต่เดี๋ยวนี้มันมอมเมามาก อาตมาแบ่งระดับของเพลงมา 5 ระดับ คือ 
เพลงลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ มีห้าระดับ ระดับลามก ราคะ คือเป็นข้าศึกแก่กุศลไม่เป็นศิลปะหรอก แต่เร่ิมเป็นสาระนี่ก็เร่ิมมีศิลปะ แล้วสูงมาเป็นธรรมะคือเข้าไปหาธรรมแม้จะเป็นโลกียะก็เป็นธรรมะได้ จนเป็นศิลปะระดับโลกุตระที่เขาต้องเรียนกันในปริญญาเอก ระดับอภิธรรม พวกเราก็ออกจากอบายมาเยอะเป็นสาธารณโภคี แต่ก่อนติดอบายกันจัดจ้าน ปรุงแต่งสังขาร แล้วถือว่าอย่างนี้เป็นชั้นสูงของสังคม อย่างพวกเราเขาถือว่าหลังเขา เราก็เข้าใจเขา เขาไม่เข้าใจเรา 

เราเคยอวิชชาเช่นนั้นมามากมาย ตอนนี้เราเข้าใจแล้ว 

ธรรมะสองมีรูปและนามแล้วต้องมีผัสสะกัน เกิดเป็นสาม จึงเกิดเป็นความหมุนวนเป็นโลก ถ้ามีสองก็เคลื่อนในแนวระนาบ ต้องเป็นสามจึงหมุนได้

พระพุทธเจ้าว่า...ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
 (ปฺาเยถาติ   ฯ )

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
( โน  เหต  ภนฺเต  ฯ) 
     

พ่อครูว่าตกลงดับผัสสะเลยใช่ไหม เขาเข้าใจตื้นๆว่าต้องดับผัสสะ วิธีเขามีกันทั่วไปคือนั่งปิดทวาร เข้าไปอยู่ในจิต ในจิตก็ปิดจิตอีก นั่นเขาว่าได้นิโรธ เขาว่ามันก็ง่ายๆ ทำได้ก็ถือว่าสำเร็จ

แต่อาตมาว่าไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้าแบบนั้นของฤาษีดาบสที่รู้กันทั่ว มันไม่ใช่แบบของพระพุทธเจ้า หากไม่รู้สัมมาทิฏฐิตรงนี้ก็ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้  

นัยะที่ว่าดับผัสสะเสียเวทนาก็ไม่มี ถ้าเรียนไม่ถูกปฏิบัติไม่ได้นะ ในธรรมะสองที่ว่ารวมลงเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง นี่แหละ เป็นภวันติได้ เมื่อเข้าใจแล้วในเวทนานี่ทำจากสองรวมเป็นหนึ่งในเวทนาได้แล้วก็มีอยู่โดยส่วนสองนี่อยู่ มันไม่มีภาษา เรียกกว่านี้แต่ต้องรู้วิธีทำ จนพิสูจน์ได้ว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองแล้ว ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป เมื่อดับไม่ได้ก็มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยเกิดตลอดกาล

เพราะไม่รู้ว่าเวทนาคืออย่างไร แล้วมันมีสัจจะเป็นโลกุตระกับโลกียะอย่างไร ก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ธรรมะสอง 


เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะนั่นเอง ฯ

  ก็คำนี้ว่า

เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้

      

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า 
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ 

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ 

เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี 

การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

     
 ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      
พ่อครูว่า พอมีผัสสะ แล้วเกิดนามรูป เกิดนามธรรม เราก็รู้ตัวนามธรรมได้ เมื่อมันเกิดมาก็ใช้สัญญากำหนดรู้ เมื่อกำหนดรู้ก็ต้องรู้ความแตกต่างของสองอย่าง อย่างต้นคือ เวทนา กับสัญญา ก็เป็นธรรมะสอง เกิดนามรูปแล้ว ตัวเวทนาเป็นตัวถูกรู้คือรูป แล้วตัวรู้คือสัญญาที่จะเจริญเป็นปัญญา 

ในนามต้องเรียนรู้นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เราก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้เวทนา

กายในกายก็คืออาการ อาการเช่นนี้เกิดขึ้น สองอย่างนี้เกิด จนกระทั่งเป็นวิญญาณหรือเป็นสภาพสังขาร อวิชชาไม่รู้สังขารไม่รู้นามรูป ไม่รู้อายตะ ไม่รู้ผัสสะไม่รู้เวทนา 

ถ้ามันเกิดวิญญาณของเทวดาก็สุข เกิดทุกข์ก็เป็นวิญญาณสัตว์นรก ก็เห็นความต่างของมัน เราจะรู้ได้ต้องมีนามรูป คือธรรมะสอง ทั้งใช้ตัวนามของสัญญา แล้วตัวเวทนากลายเป็นรูป สัญญากลายเป็นนาม

แล้วลึกถึงสังขาร สังขารที่เป็นองค์รวมกันเรียก กายสังขาร ที่ปรุงแต่งอยู่เรียกว่า กายสังขาร ในกายสังขารนั้นยังมีข้างนอก ต้องมีรูป 28 แต่ตอนต้นเรียนรู้มันก็ไม่รู้เรื่องหรอก จาก มหาภูตรูป มีปสาทรูปโคจรรูป กระทบแล้วมีภาวรูป เกิดสภาวะของวิญญาณหรือจิตหรือมโน เรียกว่า กายตามที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯล.16 ข.230 ที่ท่านตรัสว่า กายคือจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง กายคือจิต เราเข้าใจถูกต้อง กายนี้เป็นนามธรรม คือองค์ประชุมของ เวทนา สัญญา สังขาร (วิญญาณ)

ในสังขารอาตมาแยกเป็น ท่านแตกเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ ส่วนวิญญาณก็แตกเป็นนาม 5 เราอ่านหยั่งลงถึงเจตนา คืออาการจิต หรือเจตโส อาการของจิต แตกไปอ่านอาการจิต ในเวทนานี้คือจิต แล้วมีเจตสิกอะไรบ้าง เจตสิกก็มีผู้รู้แยกเจตสิก 52
เช่น สัพพจิตตสาธารณะ7
เอกกัคคตา ประคองจิตให้มีอารมณ์เดียว 
ชีวิตินทรีย์ เป็นใหญ่ในการหล่อเลี้ยงนามธรรม คือจิตและเจตสิกทั้งหลาย 
มนสิการ กระทำไว้ในใจ (มโน) 
เวทนา 
สัญญา 
เจตนา 
ผัสสะ อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ 
ปกิณณกเจตสิก6
วิตก การนึก 
วิจาร การคิด 
อธิโมกข์ จูงจิตให้เชื่อ(ตามที่คิด) 
ฉันทะ ความชอบใจในสิ่งที่เชื่อ 
วิริยะ ความพยายามตามความเชื่อนั้น 
    ปีติ ความอิ่มใจ เมื่อรับผลจากความพยายามนั้น 
ถ้าคุณรู้ชื่อ แล้วถ้าคุณมีกายเกิด มีอาการรู้ได้ก็จะรู้ได้ว่าอาการนี้เป็น เวทนาอาการนี้เป็นสังขาร ก็จะมีอธิวจนะปรากฏให้เราเรียนรู้ได้

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ 

เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี 

การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ (ปัญญาเยถาติ) ถ้าไม่มีอาการนามกายที่จะเรียนรู้ ทั้งที่มันมีแต่คุณไม่ได้เรียนรู้ มันก็เกิดอยู่ของมัน คุณอวิชชา หรือเรียนไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้กำหนดรู้เหล่านี้ นี่คืออานิสงส์ของการฟังธรรม
1.    ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ) 
2.    ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ) 
3.    ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ) 
4.     ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ)  
5.     จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ) 
(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202) 

จะเห็นการสัมพันธ์ของ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ เกิดไปตามลำดับ ก็ทำโพชฌงค์ 7 นี่แหละ ทำให้สัมมาทิฏฐิตรงขึ้น เมื่อปฏิบัติจะมีสัมมาสติ สัมมาวายามะห้อมล้อม พอปฏิบัติ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะสูงขึ้น 

เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ 
ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ 

เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ นั้นๆ ไม่มี 

การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ (ปัญญาเยถาติ   ฯ )

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ ( โน  เหต  ภนฺเต  ฯ)


แม้ว่าบางคนอาจเรียกชื่อไม่ถูกแต่ว่า มีตัวรู้ที่รู้อาการได้ ก็สามารถมนสิการได้ จัดการใจ กำหนดหมายว่ามันไม่เที่ยงมันพาทุกข์ มันอนัตตา พิจารณาไตรลักษณ์ มันจะเที่ยงอย่างไรมันก็หายไปได้ สวรรค์เหมือนพยับแดด ฟองคลื่นหยวกกล้วย ไม่เที่ยง แล้วมันหลอกสุขมันไม่จริง แต่มันอุปาทานว่ามันต้องได้ต้องมีต้องเป็น ใส่อนุสัยไว้ แต่ที่ฉาบฉวยคือผัสสะ แล้วก็เก็บในสัญญา แล้วดันยึดมั่นสิ่งในสัญญาว่าจริง จำไว้ไม่ลืมเลย ดีไม่ดีเป็นทาสมันหามาเสพ เหมือนพวกติดสิ่งเสพติด เดี๋ยวเสพก็สุขแล้วก็เฉยอุเบกขาแล้วอีกเดี๋ยวก็ควักมาเสพอีก ก็วนอยู่เช่นนั้น มันไม่ได้อยู่กับคุณเป็นร่องเป็นรอย แต่ยิ่งคุณยิ่งบันทึกไว้ว่ามันต้องได้อย่างนี้ปรุงแต่งเพิ่มอีกสารพัดจะหลอกตนเอง หลอกคนอื่น ใส่พริกเข้าไปอีกต้องเปรี้ยวมากขึ้นต้องมีรอยเว้าเช่นนี้ พูดก็เมื่อยแล้ว

แม้ไม่ได้เรียนไม่ได้กำหนด แต่อาการมันก็เกิดตลอดเวลา แต่คุณไม่ได้กำหนดรู้มัน ด้วย อาการ ลิงค นิมิตอุเทส มันก็ไม่มีนามกายตั้งแต่ต้น 

ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี 
การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ
 ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ


เมื่อนามกายไม่ทำงานมาแต่ต้น สัมผัสโดยการกระทบ มีปฏิฆะ จากแสงกระทบรูปมาสู่ตา เสียงกระทบหู แล้วก็เกิด สภาพที่เรียกว่า ฆ ที่เป็นการสัมผัสภายนอกจะมีไหม สรุปแล้ว นามกายคุณก็ไม่มีผัสสะเพราะไม่มีมาแต่ต้น ทั้งๆที่มันมีผัสสะนะ แต่นี่แหละคือผัสสะดับ มันดับอย่างโง่ อวิชชา มันไม่ใช่ผัสสะดับแต่เวทนาไม่เกิดนะ แต่นี่ผัสสะมันมีแต่ไม่รู้แล้วเป็นเวทนาสัตว์นรกสัตว์สวรรค์เทวดาปลอมด้วย เพราะนามรูปเป็นปัจจัย คุณไม่ได้เรียนนามรูป 

นามรูปจึงสำคัญมาก เป็นธรรมะสอง หรือเป็นรูปนาม เป็นธรรมะสอง ที่ท่านเรียก นามรูป คือเน้นสิ่งที่ถูกรู้ที่เป็นนาม ถ้าไม่มีนามที่เป็นมโนปุพพังคมาธัมมาก็ไม่ได้บรรลุ ใครดับผัสสะไม่มีเวทนาทั้ง 6 ก็อยู่นอกเขตเทศบาลพุทธ 

คือต้องมีทั้งรูปกาย และนามกาย ขาดธรรมะสองไม่ได้ กายต้องมีองค์ประชุมของนามกับรูป 

การสัมผัสแต่เพียงชื่อก็อาจปรากฏ แต่ว่ามันเป็นสัตว์นรกสัตว์สวรรค์ คุณไม่ได้ดับผัสสะเลย แต่ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิก็จะได้ดับให้ถูกตัวแต่นี่คุณไปดับผัสสะอย่างปิดทวารเลย ดับด้วยอวิชชาก็ไม่มีผัสสะ แต่นี่พุทธลืมตารู้เลยแล้วมีผัสสะ ดับผัสสะที่เกิดสัตว์นรกสัตว์สวรรค์ แล้วจนผัสสะนี้แล้วไม่เกิดสัตว์เทวดาสมมุติไม่เกิดสัตว์นรกเลยเป็นอุเบกขา เป็นหนึ่งหรืออยู่ถึงขั้นเฉยๆอย่างเจตนาให้เฉยเป็นอากาสธาตุ เป็นนปุงสกลิงค์ เหนือกว่าอีก เป็นอนันโตอากาโสติ ทำอรูปฌาน จนจิตคุณได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 เป็นอนันโตอากาโสติ ว่างตลอดเวลา สัมผัสอย่างไรก็ว่าง ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ สมมุตินี้ในโลกคุณสัมผัสอย่างไรก็ว่าง เท่าที่คุณกำหนดเป็นปริตตังเป็นส่วนๆ เป็นปริเฉท แล้วทำสำเร็จไปเป็นส่วนๆ จนถึงอากาศๆๆ 

ทำสำเร็จก็สร้างเป็นวิญญัติในรูป 28 จากภาวะสอง กำหนดรู้มันอยู่ในจิตเราเป็นหทยรูป แล้วกำหนดรู้ชีวะสัตว์นรกหรือเทวดาปลอม เมื่อดับเหตุดับชีวะจากการปฏิบัติอาหาร 4 เป็นกวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เพราะคุณรู้วิญญาณ นามรูปในวิญญาณาหาร ปฏิบัติมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อาศัยการผัสสะให้เกิดอาการจริงของสัตว์นรกเราก็ฆ่าสัตว์นรกได้ เทวดาก็หายไปด้วย เป็นฐานอุเบกขาแบบเนกขัมมะ แล้วสั่งสมเป็น องค์คุณ 5 อุเบกขายิ่งขึ้นๆ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา 

ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   
เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี 
การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ขณะที่คุณมีตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็มีรูปกาย มีองค์ประชุมของกายที่ถูกรู้ หากคุณอวิชชาก็จะเห็นเป็นของจริงหมด เป็นสวรรค์หมด หนีนรกให้เป็นสวรรค์ปลอมหมด การสัมผัสโดยการกระทบของคุณก็มี อาการมันมีแต่คุณอวิชชา การบัญญัติรูปกายก็กำหนดว่าเป็นสวรรค์ คุณก็มีสวรรค์ แต่พระอรหันต์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก โสดาบันก็ดับนรกสวรรค์อบาย สกิทาคามีก็ลดที่ตนติดอีก ในอนาคามีหมดสวรรค์หรือนรกในกามาวจร เหลือแต่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะส่วนตนแล้ว ข้างนอกอยู่เหนือมันได้

การบัญญัตินั้นหากคุณไม่ได้เรียนก็เรียกชื่อไม่ได้ คุณก็กระทบแต่ไม่รู้ ไม่กำหนด ก็อวิชชาคือไม่กำหนดอาการ ลิงค นิมิต อุเทส คุณไม่รู้คุณอวิชชา นามรูป นามกายคุณก็มีแต่ไม่รู้ ตายไป ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิตที่อวิชชาตายไปก็มีกายอยู่ 

(ล.16 ข.57 พาลปัณฑิตสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ว่าตายไปแล้วก็มีกาย หากอวิชชาไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต)


ตายไปแล้วไม่มีสุขจริง เพราะไม่มีอาการ 32 ให้เสพ ตายไปแล้วจะรู้สึกอยากแรงกว่าที่ตอนเป็นอีก แล้วจะงงตนเองว่าทำไมไม่ได้สักที มันไม่เหมือนมันไม่เต็มรสเหมือนตอนตื่นๆ ไม่ชัด มันก็อยากจะได้รสเท่าที่อุปาทานไว้ มันก็จะยิ่งดิ้นรนแรง

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ  เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี  ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
(ปัญญาเยถาติ   ฯ )

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

พ่อครูว่า...มันปรากฏทั้งนั้น แต่ว่าคุณไม่ได้กำหนดรู้ แต่ถ้าเรากำจัดสัตว์นรกแล้ว สัมผัสหรือผัสสะอย่างไรก็ไม่เกิดสัตว์นรกนั้น ท่านใช้คำว่า ผัสสะไม่ปรากฏ(ปัญญาเยถาติ   ฯ )
คือ ไม่ใช่ผัสสะดับทั้งก้อนนะ ผัสสะยังมีอยู่ ถ้าปฏิบัติไม่ถูกก็ไม่มี (ปัญญาเยถาติ   ฯ )
ไม่ปรากฏ นั่นต่างหาก   


มูลสูตร 10​จะเป็นตัวชี้วัดว่าคุณได้ผลถึงไหน?
ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้ 
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลง   ในท้องแห่งมารดา นามรูป
จักขาด(บางเล่มแปลว่าก่อตัว(สมุจฺฉิชฺชิสฺสถาติ))ในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ      

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงง(โวจฺฉิชฺชิสฺสถ)ในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป  นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
  ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
      

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่ จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ
      
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
 
     
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณ
นั่นเอง ฯ
      ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
      
อ่านแล้วเหมือนหมดแล้ว แต่คนปฏฺิบัติไม่ได้ตามลำดับ ไม่กำหนดรู้นามรูป เกิดวิญญาณก็เป็นอวิชชา เพราะวิญญาณอาศัยนามรูปผัสสะจึงเกิดได้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม ฯ
     
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ


พ่อครูว่า...ตอบเช่นนี้ก็ถูกต้อง แต่ไม่ถูกต้อง ตั้งแต่ต้นทางเลย ไม่มีนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา แล้วผัสสะก็ไม่มี เวทนาก็ไม่มี ...การบัญญัติตามกายต้องด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เมื่อไม่มีตั้งแต่นามกายจะไปกำหนดรูปกายได้อย่างไรมันไม่มี คุณไม่ได้ศึกษานามรูปที่ต้องอ่านนามให้เป็นตัวที่ถูกรู้ เมื่อไม่มีนามให้ศึกษาก็ไม่มีองค์รวมของนามให้ศึกษา ต่อให้ตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็ไม่มี รูป นาม  มันไม่มีทั้งนั้น แต่มันมีด้วยอวิชชา 

แต่ว่า ภิกษุตอบว่า ถ้าวิญญาณไม่ได้อาศัยนามรูปแล้ว ก็ไม่เกิด ชาติ ชรา มรณะฯ ...ก็เหมือนว่าคุณไม่มีแต่มันมีนะ เพราะคุณไม่ได้กำหนดรู้เลย ดีไม่ดีนั่งหลับดับปี๋ก็เหมือนไม่มีชาติชรามรณะฯ นะแต่ว่ามันก็ยังมีอยู่แต่นิ่งไม่ทำงาน แช่แข็งไว้ คุณไม่ได้เรียนรู้ชาติ 5 ที่เป็น ชาติ สัญชาติที่จะมีการกระทบแล้วมีการหยั่งลง(โอกกันตะ)หากอวิชชาก็หยังลงเป็นสัตว์นรก เทวดาปลอมโอกกันติได้ ถ้าเรารู้ทันไม่ให้มันมาหยั่งลงก็เกิดใหม่เป็นนิพพัตติสูงสุดเป็นอภินิพพัตติ 

สัญชาติคือชาติที่ฝังในสัญญามาเป็นสัญชาติญาณเป็นต้น ก็เรียนรู้ในสัญญา ล้างในสัญญาแล้วใช้สัญญากำหนดรู้ให้หยั่งลงเป็นโลกุตระในปัจจุบันให้เป็นนิพพัตติ อภินิพพัตติ สัญชาติญาณเก่ามันมีอยู่ แต่เราเรียนรู้ใหม่ว่าสัญชาติญาณเดิมเป็นโลกียะ สัญชาติญาณดิบให้มันลดลงๆๆ แต่ก็มีสัญชาติญาณที่เหลืออยู่คือ วาสนา เป็นจริตนิสัยที่ล้างยากอันเก่าที่มีโมเมนตั้มก็ล้างยากบ้าง แต่ทุกปัจจุบันคุณดับหมดแล้ว คุณจบไม่มีแล้ว เพราะคุณได้ปฏิบัติเวทนา 108 อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 แล้วทำทุกปัจจุบันให้เป็น 0 สั่งสมเป็นอดีตที่0 จนแข็งแรงตั้งมั่นเที่ยงแท้แน่นอนว่าต้นทุนจิต 0 กับปัจจุบัน อนาคตไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น ทุกปัจจุบันกำหนดว่าเป็น 0 ....จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:46:58 )

580712

รายละเอียด

580712_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อธิปไตยประชาชนที่สุดวิเศษ

ส.ฟ้าไทว่า....วันนี้พ่อครูจะได้มาพูดเรื่องของประชาธิปไตย เรื่องอธิปไตยประชาชนที่สุดวิเศษ เป็นอย่างไร

พ่อครูว่า.... อาตมาได้พูดเรื่องประชาธิปไตยทำเรื่องประชาธิปไตยมาตั้งแต่ออกไปชุมนุม มีหลักฐานที่มีบันทึกไว้ เมืองไทยมีศาสนาพุทธที่เป็นประชาธิปไตยแท้ แต่คนไทยกลับไม่มีปรมัตถ์ที่เข้าถึงศาสนาพุทธที่แท้ได้ ก็เลยยาก นั่งขบคิดก็ยังยาก จะไปเข้าถึงสภาวะแท้ก็ยิ่งยาก

อาตมาได้พูดเสมอว่า ประชาธิปไตยต้องมีสองขา ต้องมีจิตวิญญาณและมีดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เป็นมหาภูตรูป ประกอบกันด้วย ถ้ามีแต่ขาเดียว มันก็เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ยกตัวอย่าง ประเทศที่มีพลเมืองมากสองประเทศคือจีน กับอินเดีย มีพลเมืองพันกว่าล้าน

ประเทศที่มี ประเทศที่มีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณจึงจะมีประชาธิปไตยที่หยั่งถึงจิตวิญญาณ ถึงสัญชาติ เช่นอินเดียวจะอยู่กลมกลืนมาก อิสรเสรีภาพมาก จราจรอินเดียนี่มีอิสระ วัวควายเดินกลางถนน ใครจะบีบแตรก็ได้ก็บีบไป ทะเลาะกันก็ทำท่าทางแค่นั้นใช้คำพูดเสียส่วนใหญ่ แต่ไม่ลงไม้ลงมือ เขาก็ไม่รู้หรอก แต่ทุกอย่างมาแต่เหตุ ที่สั่งสมไว้ ส่วนประเทศจีนพลเมืองพันกว่าล้าน แต่เป็นเผด็จการ และเป็นประชาธิปไตยรวมหมู่ แล้วลวงโลกว่าเป็นอำนาจบริสุทธิ์ ก็เป็นคอมมิวนิสต์แล้วก็ล้มเหลวกำลังจะกลับเป็นประชาธิปไตย ไม่ยั่งยืนหรอก แต่อินเดียนี่มั่นคงกว่า มีเลือดประชาธิปไตยหนาแน่นมั่นคง 

นักรัฐศาสตร์เชิญศึกษาเลย ถ้าบอกว่าประชาธิปไตยขาเดียวที่เด่นที่สุดก็คงเป็นอเมริกา ที่ยอมรับกัน เพราะอเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาวเดียวมาแต่สร้างประเทศ ไม่มีกษัตริย์ เขาก็พยายามไปทำเด่น เพราะเป็นความเอียงของมนุษยชาติ เป็นตัวกูของกู เป็นอัตตาเต็มที่ มันไม่อิสระนะ แต่มันซ้อนที่คนเข้าใจธรรมะไม่ได้ มาถึง 200 กว่าปีแล้ว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัว สถาบันสังคม สถาบันชาติก็ตาม เป็นสถาบันที่เห็นแก่ตัวอย่างจัดจ้าน อย่างอเมริกา 

ฝรั่งเศส ปฏิวัติ ไม่มีระบอบกษัตริย์มานานแล้ว แต่ว่ามีข่าวนี้ปรากฏไม่นานมานี้

ฝรั่งเศสเรียกร้องให้นำระบบกษัตริย์กลับมา ตำหนิความล้มเหลวของประชาธิปไตย
ข่าวนี้น่าสนใจมาก… วันนี้ (8 ก.ค.58) Sputnik news พาดหัวข่าวเรื่องหนึ่งว่า “Long Live the King: French Minister Misses Monarchy, Slams Democracy” แปลว่า “ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน: รัฐมนตรีฝรั่งเศสคิดถึงระบอบกษัตริย์ จวกระบอบประชาธิปไตย” อ่านพาดหัวข่าวแค่นี้ถึงกับ ตะลึงงึงงันไปเลย เป็นไปได้ไงนี่! นี่เขาล้อเล่นหรือจะเอาจริงกันแน่? อย่าพึ่งวิจารณ์ อ่านต่อนะ… สื่อฯรัสเซียพาดหัวข่าวรองว่า “นาย Emmanuel Macron รมว.กระทรวงเศรษฐกิจของฝรั่งเศสให้สำภาษณ์กับนิตยสาร Le 1 Hebdo อ้างโดยหนังสือพิมพ์รายวัน Le Figaro ของฝรั่งเศสว่าฝรั่งเศสจำเป็นต้องหวนกลับไปใช้ระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ (monarchy) เนื่องจากระบบประชาธิปไตยไร้ความสามารถและนำพาประเทศดิ่งเหว” (ว้าววว! นี่ไม่ใช่คำพูดของนักวิจารณ์ นักวิชาการทั่วไปนะ แต่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดปัจจุบันของฝรั่งเศสซะด้วยสิ)
รัฐมนตรี Emmanuel Macron บอกว่ารู้สึกเสียใจที่ระบอบกษัตริย์หายไปจากการเมืองของฝรั่งเศส และหนังสือพิมพ์ Le Figaro อ้างคำพูดของเขาว่า “ประชาธิปไตยมักจะหมายถึงความไม่สมบูรณ์บางอย่าง เนื่องจากมันไม่เพียงพอในตัวเอง” (Democracy always implies some kind of incompleteness because it isn’t sufficient in itself.) 
Emmanuel Macron กล่าวต่อว่า “ชีวิตทางการเมืองของฝรั่งเศสกำลังสูญเสียภาพ (บุคคล) ที่เข้มแข็งไป (เรื่อยๆ) คนบางคนที่มีความเด็ดเดี่ยวในการนำพาฝรั่งเศส มันเป็นช่วงเวลาที่นโปเลียนใหม่จะปรากฎขึ้นมา” (French political life is missing a strong figure, someone who could decisively lead France. It’s the moment a new Napoleon appears) (กษัตริย์ในรูปแบบที่นักการเมืองชาวฝรั่งเศสคนนี้โหยหานั้น ไม่ใช่พระมหากษัตริย์นักพัฒนาแบบพ่อหลวงของพวกเราชาวไทย แต่เขาต้องการแบบนโปเลียน กษัตริย์นักรบผู้รุกรานประเทศอื่น)
Emmanuel Macron กล่าวกับนิตยสาร Le 1 Hebdo อีกว่า “นับตั้งแต่การจากไปของนายพล Charles de Gaulle ประชาชนชาวฝรั่งเศสได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับภาวะความเป็นผู้นำในรูปแบบการ ปกครองแบบประธานาธิบดี และลักษณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของฝรั่งเศส”
รายงายข่าวบอกว่า Emmanuel Macron ไม่ใช่นักเมืองฝรั่งเศสคนแรกที่ออกมากวิพากษ์วิจารณ์ความอ่อนแอและการไม่ กล้าตัดสินใจของประธานาธิบดี Francois Hollande ของฝรั่งเศสคนปัจจุบันอย่างเปิดเผย Valery Giscard d’Estaing อดีตปธน.ของฝรั่งเศสก็ได้วิพากษ์วิจารณ์ปธน. Hollande ว่าถูกจูงจมูกโดยกรุงวอชิงตัน และทำตามที่ทำเนียบขาวสั่งให้ทำ แทนที่จะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติของตัวเอง
เป็นอย่างไรบ้างครับ กระแสการเมืองของตะวันตกในสมัยนี้ ทำไมมันถึงได้พลิกขั้วกันได้ถึงขนาดนั้น? หรือว่านี่คือยุดเสื่อมของประชาธิปไตยจอมปลอมซะแล้ว ฝรั่งเศสจะกลับไปใช้ระบบประชาธิปไตยแบบของกรีกโบราณหรือของอังกฤษในปัจจุบัน ที่มีระบบกษัตริย์รวมอยู่ด้วย แต่เอ… ของอังกฤษเขากันไม่ให้กษัตริย์ (พระราชินี) เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองแล้วนะ ตอนนี้กลุ่มที่กุมอำนาจทางการเมืองและการบริหารประเทศก็คือฝ่ายอีลิทนายทุน ทั้งหลายต่างหาก (แต่มักจะอ้างประชาชนบังหน้าเสมอ) รูปแบบกษัตริย์ที่ Emmanuel Macron ต้องการนั้นคือแบบ “นโปเลีียน” คือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เต็มฉบับเลยหละ
อาตมาเห็นข่าวนี้ก็เข้าใจสัจธรรมตามที่อาตมาเข้าใจเต็มๆ เหมือนกันว่าประชาธิปไตยไม่ถึงจิตวิญญาณถึงแก่น เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่อิ่มไม่ถ้วนไม่เต็ม ประชาธิปไตยไม่ได้อำนาจจริง อำนาจยังเป็นของผู้บริหาร ไม่ว่าจะคนเดียวหรือกลุ่มหมู่ก็ตาม อย่างอเมริกาเป็นอำนาจของพรรคการเมือง แต่อเมริกาไม่มีกฎหมายว่าให้พรรคการเมืองจดทะเบียน เป็นการเกิดพรรคตามธรรมชาติ ประเทศใดที่ออกกฎหมายว่า พรรคการเมืองต้องจดทะเบียนพรรค นั่นไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว 

อย่างชาวอโศกนี่คือพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ไม่ใช่พรรคเพื่อฟ้าดินนะ พรรคเพื่อฟ้าดินเป็นเพียงเขาให้จดทะเบียนไม่ใช่พรรคการเมืองแท้ แต่อโศกเป็นพรรคการเมือง ที่คนจะเข้าออกก็มีอิสรเสรีภาพ 

ทุกวันนี้รู้สึกขึ้นมามาก อย่างฝรั่งเศสร้องออกมา ประกาศแก่ทั่วโลกโดยไม่กลัวขายขี้หน้าเลย ว่าประชาธิปไตยล้มเหลว อยากได้ประชาธิปไตยมีกษัตริย์ ที่เขาบอกว่าอยากได้อย่างนโปเลียน เขาเข้าใจแค่อำนาจทาง Force ไม่ใช่อำนาจ Authority ซึ่งอำนาจแท้จริงคือ  Authority ไม่ใช่ force 

(1) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด
                ครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้
                อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ 
                ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ 
                ก็คือ การใช้อำนาจนั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ
                นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม   
                ซึ่งเป็นอำนาจ ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล 
                อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขาตกอยู่ใต้อำนาจ 
                เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ 
                ผู้ที่ยังมีพฤติที่สร้างอำนาจเป็นความชอบธรรม 
                นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่า
                ตนคือผู้มีอำนาจ นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force
                ซึ่งเรียกว่ายังเป็นเผด็จการอยู่มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง 
                คนฉลาดในโลกจะสร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว 
                จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง
                จึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม

(2) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม 
                ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม  
                จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม
                ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น
                แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือ
                จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น
                อย่างอิสรเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย 
                นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ 
                ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร                             เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คนยอมยกอำนาจนั้น 
                ให้แก่ผู้น่าเคารพ นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority = 
                right power หรือจะเรียกว่าเผด็จการโดยธรรมก็ได้ ถ้า                            ไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา 
                พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น 
                ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น 
                ดังนั้น ผู้น่าเคารพ จึงเป็นเสมือนผู้มีอำนาจ
                ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะ
                เชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา 
                นี่คือ ผู้มีพฤติที่สร้างความชอบธรรมเป็นอำนาจ 
                เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว
                ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว 
                จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง 
                จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม

จิตประชาธิปไตยสุดยอดคือมีคุณธรรม สาราณียธรรม 7
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 
คุรุกรณะ รู้จักส่ิงควรเคารพคารวะแท้จริง เหมือนอย่างในหลวงเรา ใครไปบังคับให้เคารพในหลวงก็ไม่มี ไม่มีใครมีคะแนนเสียงเท่าในหลวงเรานะ ท่านเป็น king of kings อย่างที่พระราชินีอังกฤษตรัสไว้ 

ผู้ใดทำเพื่อประชาธิปไตยแท้จริง 100% คือนักประชาธิปไตยแท้จริง แต่ทุกวันนี้เขาว่าทำเพื่อประชาชนกันแต่ว่าเขาไม่รู้ว่าเขามีกิเลสอยู่ ผู้จะหมดกิเลสคืออรหันต์ขึ้นไปคือนักประชาธิปไตยแท้ จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นนักประชาธิปไตยสุดยอด ท่านเผด็จการเลย แต่ทำเพื่อผู้อื่นแท้จริง ไม่ทำเพื่อตัวเองหรือพรรคพวกตนเองเลย ที่เขาพูดว่าประชาธิปไตยคือโดยประชาชนเพื่อประชาชน ของประชาชน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าประชาชนเป็นผู้มีประชาธิปไตยแท้จริงก็ทำเพื่อประชาธิปไตยที่เป็นจริงโดยแท้จริง ของประชาชนต้องถามว่า ประชาชนเป็นนักประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบไหม​? ถ้าทำได้ก็คือของประชาชนโดยประชาชน จึงจะเป็นเพื่อประชาชนแท้จริง

แต่นี่ประชาชนยังไม่เป็น โธ่เอ๊ย ไม่อยากพูด... มันยังเป็นประชาธิปตาย มันยังไม่ได้เข้าเรื่องประชาธิปไตยขี้หมาแล้วทำแอ็คว่าเพื่อประชาชน น่าสงสารเด็กๆที่ตื่นเรื่องประชาธิปไตย มันก็ไม่ค่อยเดียงสา ก็ไปตามเรื่องตามราว ตกเป็นเครื่องมือของเขาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้กาละยุคสมัยว่ายุคนี้ควรแสดงไหม

ถ้าเหตุปัจจัยรวมแล้วไม่ควรแสดง แม้คุณจะถูกต้องไม่ผิด ในความหมายที่คุณยึดถือ ว่าไม่ผิด อย่างอาตมารู้ว่ามีสิ่งที่ถูกกว่าแต่กาละนี้ต้องอนุโลมให้เขาทำได้ แต่ถ้าไม่เข้าใจ คุณเอาสิ่งที่ถูกต้องมาใช้ในกาละที่ไม่ควร ไม่ใช่มหาปเทส คุณก็ผิด เสียผล แม้คุณจะถูกต้องว่าเป็นประชาธิปไตยแท้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ ก็ยังไม่ควร ต้องศึกษาให้ดี

อย่างอาตมาอธิบาย สาราณิยธรรม 6 เพื่อเกิดพุทธพจน์ 7 
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) . 
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 

สังคหะเป็นตัวกลาง ส่วนสามอันแรกเป็นภายใน ส่วนสามอันหลังเป็นคุณสมบัติองค์รวมของสังคม เป็นปึกแผ่น ไม่วิวาท อย่างที่ของเรา เมื่อวานนี้เขาก็มาถือมีดพร้ามาหาเราเลย เรากำลังไปสำรวจหลักเขตหมู่บ้าน เขาก็มาท้วงว่าเป็นที่เขา ที่เขาดูแลเป็นสาธารณะ ทำเป็นกร่างทำใหญ่ทำรู้ว่าตนถูกต้อง ทั้งที่ศาลก็ตัดสินแล้ว อาตมาเห็นว่าคุณไม่ควรทำบาป ไม่ควรทำกรรมไม่ดี แม้จะคนละศาสนาก็ขอพูดสัจธรรมให้ฟัง

ในลักษณะอวิวาทะเราก็ไม่ใช้ แม้เขาจะมายั่วยุอย่างไรก็ตาม 
ขอปรามพวกเราว่าอย่าใช้อาวุธ ตายในขณะไม่มีอาวุธ นั้น ไปสู่สุคติ ดีกว่าตายตอนเราใช้อาวุธใช้ความรุนแรง ศาสนาอิสลามยกย่องคนตายเพื่อพระเจ้านี่ไปอยู่กับพระเจ้านะ ให้ตายดีกว่าผิด ไม่ต้องกลัวตาย อย่าให้เกิดวิวาทะ ชาวอโศกเรามีอวิวาทะ สามัคคีพร้อมเพรียงกัน

ปิยกรณะ รักกันไม่ใช่แค่มิติต่ำๆเห็นแก่ลูกหรือเห็นแก่ครอบครัวหรือประเทศตน แต่เห็นแก่สรรพสัตว์เลย มีคุรุกรณะควรเคารพส่ิงควรเคารพ เมืองไทยมีสัญชาติญาณลึกมองเห็นความจริง โดยเฉพาะในหลวงเราที่ท่านมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างสุดยอด ยิ่งนานวันย่ิงได้รับความยอมรับ ท่านทรงงานมากว่า 60 ปี จนประชาชนปฏิเสธไม่ได้ ไม่ต้องหาเสียงเลย ท่านทรงพระจริยวัตรท่านเอง ท่านเป็นนักประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ท่านให้ประชาชนมีประชาธิปไตยในตนจะได้เป็นอำนาจของตน แล้วจะได้แสดงอำนาจที่จะช่วยประเทศชาติ 

อาตมาบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยมาแต่ยุคของท่าน คำว่า โลกานุกัมปายะ แปลว่าเป็นผู้รับใช้โลก ทำประโยชน์เพื่อมวลชนเป็นอันมาก ทำได้มากก็ทั้งโลก แม้ทำได้ให้จริงแต่เขาปฏิเสธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ก็มี

เนื้อแท้ของประชาธิปไตย
...ประชาธิปไตยพระพุทธเจ้าประกาศว่าต้องเรียนรู้โลกาธิปไตย(นอก) กับอัตตาธิปไตย(ใน)  มันก็มีนอกและใน เรียนรู้นอกและใน ให้ไม่ติดยึดอำนาจโลกและอัตตา โดยเฉพาะอำนาจ โลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ​ โลกียสุข เป็นอำนาจที่เป็นสมบัติผลัดกันชม เป็นสุขเพราะบำเรออัตตา ที่ฉาบฉวย หลงว่าเป็นจริงไม่มีก็ได้ ไม่ต้องมีรสสุขเพราะได้ลาภ ได้สรรเสริญ แล้วมีอาการสุขใจ ได้กามคุณ 5 แล้วอาการสุขใจ ได้สมclimax ซึ่งเป็นสมมุติทั้งนั้น แล้วหลงยึดเป็นอุปาทาน คนไหนไม่ยึดอุปาทานก็หมดสุขหมดทุกข์ จะไปหลงเสพ อย่างหยาบ กลาง ละเอียดแค่ไหนก็คือต้องทุกข์สุขอยู่ แต่หมดสิ้นเกลี้ยงได้ก็เป็นอรหันต์

ส่วนอัตตาแม้ไม่มีเหตุผลก็จะเอา แม้มีเหตุผลอื่นก็ไม่เอา เพราะอัตตาเข้าตาแล้ว มันเอาหมด ผู้ที่ล้างยึดโลกแล้ว โลกมันก็มีเป็นธรรดา แต่เราไม่สุขไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เลย แต่ที่มีอยู่คือคนยึดอยู่ อรหันต์ขึ้นไปไม่มีเลย อาตมาพูดความจริงของใจตนเอง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม 

ผู้รู้ความเป็นโลกเป็นอัตตาแล้วล้างเสีย จนหมดความเป็นชีวิตินทรีย์ จนชีวะของความเป็นทาสของโลกและอัตตาหมดไปเลยไม่มีชีวะของกิเลสกระดุกกระดิกเลย แม้กระทบกระแทกโลกธรรมก็ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ไม่หวั่นไหวเลย คือจิตที่มีธรรมาธิปไตย เพราะไม่มีโลก ไม่มีอัตตาในจิตผู้นั้นจริง ผู้นั้นคือผู้เป็นประชาธิปไตย เพื่อมวลมนุษยชาติเสมอ ไม่ว่าจะทำกรรมกิริยาอะไร ท่านไม่ถูกครอบงำด้วยกามหรืออัตตา อามิสเหล่านั้นท่านไม่มี ไม่เป็นรสเป็นชาติ อะไรไม่สุขเพราะโลกธรรม หรือกามคุณใดๆ  ท่านถึงอยู่ในโลกอย่างเป็นผู้มีพุทธพจน์ 7
จะเคารพด้วยวัยวุฒิ สมมุติวุฒิ คุณธรรม แม้อาตมาก็ต้องเคารพพระที่บวชก่อนแม้ท่านจะไม่มีคุณธรรมอะไร ต่อหน้าสาธารณะก็ต้องเคารพ แม้นานาสังวาส พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าไม่เคารพก็ได้ ถ้าจิตไม่เคารพก็ไม่ต้องทำ หรือจะอนุโลมทำตามโลกก็ได้ ตามสมมุติวุฒิ ว่าเขาเป็นใหญ่เขามีตำแหน่งฐานะ แต่ถ้าจะไม่เคารพก็ตามนานาสังวาส แต่ถ้าสังวาสเดียวกันต้องเคารพ 

สมมุติว่ามีพระปาราชิกในหมู่ใหญ่ เป็นถึงพระผู้ใหญ่หรือสังฆราช แต่ปาราชิก หมู่ใหญ่เขาต้องเคารพ แต่อาตมานานาสังวาสไม่ต้องเคารพก็ได้ไม่ผิดวินัยแต่จะเคารพก็ได้ตามสมมุติ นี่คือคนรู้สมมุติ แต่อย่างอเมริกา เขาไม่มีสมมุติเรื่องนี้ต้องเท่ากันหมด ไม่มีสัมมาคารวะ แม้แต่ศักดิ์ฐานะชั้นสมมุติก็ตามเขาไม่จริงใจ เพราะเขาแยกไม่ออกว่าสมมุติกับสัจจะแท้คืออะไร เขาแยกไม่ได้หรอก จุงเคารพไม่ถูก ก็น่าสงสาร ในความรู้และแม้แต่ตำราวิชาการก็สอนไม่ครบสมบูรณ์ ยิ่งความรักที่ลึกกว่านั้น เพราะความรักนี่ลึกกว่า แค่เคารพกัน 

ความรักนี่เป็นเรื่องจิตวิญญาณ และถ้าเข้าใจความรัก 10 มิติจะทำให้เหมาะสมก็ยาก คนเราต้องมีน้ำใจต้องมีสาราณียะ 

รวมแล้วส่ิงที่ตัดสินว่าเป็นประชาธิปไตยคือสังคหะ คือให้ผู้อื่นแสดงออกเพื่อผู้อื่น แม้ใจคุณอาจเป็นตัวกูของกูไม่ให้จริง แต่ว่าทางภายนอกให้เขาก็เป็นประชาธิปไตยที่รูปแบบแล้ว ยิ่งใจคุณให้แก่คนอื่นเต็มร้อยอีก ประชาธิปไตยก็เต็มร้อย ประชาธิปไตยจึงต้องเพื่อผู้อื่น แค่รูปแบบก็เป็นแล้ว คนจึงมีมารยาทสังคม ก็กดข่มไปสิ แต่แท้จริงจะยึดเป็นตัวกูของกู อย่างมหาอำนาจทั่วโลกตอนนี้ไม่เป็นมหาอำนาจจริง เมืองไทยต้องสร้างให้เป็นมหาอำนาจแท้จริง เหมือนในหลวงเราทำ ที่พระราชินีอังกฤษต้องยกให้เป็น King of kings แม้ในหลวงเราจะอายุน้อยกว่า ครองราชย์ก่อนเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ถือว่าอังกฤษใหญ่กว่ายืนยาวกว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ไทยเราเกิดไม่ถึงพันปีเลย อังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจมาหลายพันปีแล้ว 

กษัตริย์ของอังกฤษที่มีจิตลึก ตั้งแต่อนุสัย สืบมาเป็นชาติ สัญชาติ มีความสำคัญที่สัญชาติที่มีส่วนที่ลึกอยู่ในจิตแล้ว อย่างอินเดียกับจีนเป็นต้น 

อาตมานิยามประชาธิปไตย
1.แบบทุนนิยม 2.แบบบุญนิยม

แบบทุนนิยมคือสามัญโลกีย์ที่คนทั่วไปเป็นกัน อยู่ใต้อิทธิพล โลกธรรม รู้ว่าสวยงามเพื่อประชาชนคืออะไรแต่จิตคุณมีกิเลส คุณข่มมันแล้วแสดงออกมาหลอกคนอื่น นี่คือโลกียะ แบบทุนนิยม 

ส่วนแบบบุญนิยมคือแบบวิสามัญของคนได้โลกุตระ คือจิตจริงของคนได้โลกุตระ ตั้งแต่โสดาฯถึงอรหันต์ ฆราวาสก็มีอรหันต์

เมืองไทย มี DNA ที่เป็นชมพูทวีปแล้ว...จริง....ที่อาตมาเข้าใจนี้อีก 500 ปีจึงจะเข้าใจที่อาตมาพูดหมด อีก 500 ปีจะมีพลังทางสังคม ในยุคนั้นจะมีอเวไนยสัตว์เยอะ แต่จะมีเวไนยสัตว์ที่นำพาสังคมได้โดยโลกุตรธรรรม และอีก 500 ปีจะเจริญถึงพีคสูงสุดของสังคมโลก จากนั้นจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่มีอะไรขึ้นมาอีกจนกว่าจะกลียุค 

ถ้าไม่เข้าใจไม่รู้ทางออกในการออกจากโลกออกจากอัตตาที่ตนติด ไม่รู้จนถึงอนุสัย ก็จะมีอยู่ตลอดกาล จนกว่าจะรู้จักวิธีล้างออก รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางที่จะทำทุกข์ให้ออกไป แล้วต้องเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายให้ดี ถ้าจับต้นไม่ได้ก็นานเท่านานกว่าจะได้มรรคผลสมบูรณ์ สลับไปก็ต้องกลับมาทำซ้ำเสียเวลา 

ที่นี่เรามีเบื้องต้น เข้ามาก็ต้องอยู่ในกรอบศีล 5 ละอบายมุข กินมังฯ อาตมาเอาเลือดของพระเทวทัตมาใส่ ตอนนั้นพระเทวทัตเสนอให้พระพุทธเจ้าออกกฎให้พระไม่กินเนื้อสัตว์พระพุทธเจ้าไม่เอาด้วยเพราะยุคนั้นพระส่วนใหญ่ไม่กินเนื้อสัตว์แม้พระเทวทัตก็ไม่กินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าไม่ต้องตั้งกฎอีก เขาไม่กินเนื้อสัตว์กันปกติ พราหมณ์ชั้นสูงเขาไม่กินเนื้อ พระพุทธเจ้าก็ไม่กิน 

บุญ คือเครื่องชำระกิเลส ไม่ใช่กุศล บุญนิยมเป็นเครื่องชำระ เป็นอาวุธฆ่ากิเลส เป็นอาวุธฆ่าตัวเอง ฆ่าอัตตาของตัวให้หมด เป็นของที่ไม่ควรมีในตนเอง มีอยู่ก็ใช้ ใช้เสร็จก็ไม่ต้องมี พระอรหันต์ไม่ต้องการบุญหรอก อาวุธนี้ใช้ฆ่าตัวเองไม่ใช่ฆ่าคนอื่น ฆ่าอัตตาตัวตนตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา นี่คือบุญ หมดกิเลสก็ไม่ต้องใช้บุญ สำหรับอรหันต์ บุญเป็นสิ่งที่ไม่ควรมี คนไม่ใช่อรหันต์ต้องมีแล้วใช้ให้เป็น 

บุญคือสิ่งที่ใช้ฆ่าตนเอง และเป็นสิ่งที่ไม่ควรมี

ฟังแล้วแสลงหูไหม?...​คนเข้าใจก็จะยิ่งได้ลึกซึ้ง ทุกวันนี้เขาเอาคำว่าบุญไปหลอกคน สร้างวิมานหลอกคน บาปไม่รู้กี่ชั้นเขาทำสิ่งไม่ถูกต้องเป็นบาปเวรภัยของตนเอง เมื่อเราสามารถทำให้เกิด บุญ สำเร็จ เป็นบุญนิยม บุญที่จริงเที่ยงแท้(นิยม) และทุนนิยมเขาก็เที่ยงของเขา คนเป็นบุญแล้วก็ไม่ต้องมีทุน ทุนคือกองสะสม ตั้งแต่หนึ่งหน่วยสองหน่วย...ถ้าไม่มีทุนก็คือ 0 หมดทุน ผู้ไม่ 0 มีอยู่เท่าไหรก็มีทุนเท่านั้น แม้แต่ .00001 ก็ยังมีอยู่ 

ผู้ไม่รู้ก็ดำเนินไป ยิ่งยุคใกล้กลียุค เขาว่าการเมืองรัฐศาสตร์คือการได้อำนาจ แต่ว่าอำนาจที่จะสะสม เราไม่ได้สะสมของตนเอง เป็น Authority ไม่ใช่ Force แต่เป็นพุทธพจน์ 7 ที่เป็นอำนาจที่วิเศษยิ่ง ซึ่งช่วยมนุษยชาติแท้จริง

อาตมานิยามงานการเมืองไว้ว่า
1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล (เพื่อประชาชน) 
2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้ เพื่อให้อำนาจเพื่อประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยที่แท้แม้จะเพื่อประเทศชาติก็ยังไม่จริง ต้องเพื่อมวลมนุษยชาติ 
3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)  
4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว 
5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  
6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน  
7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ 
8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) 
9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน 
นักประชาธิปไตยที่แท้จริงจะสอนประชาชนให้มีประชาธิปไตย แต่เขาฟังกันไม่เป็น ประชาชนก็ต้องขวนขวายศึกษา ไม่ใช่นักการเมืองครอบงำประชาชนให้เป็นบริวารโดยประชานิยม ให้ประชาชนเป็นทาส ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย 

แล้วคนรวยแล้วไม่โกงไม่มี เพราะคนหมดกิเลสแล้วจะไม่รวย อย่าว่าจะโกงเลย คนมีบารมีจะได้มามากเกิน ตนเองทำงาน 10 มันได้มาเป็น 100 โดยสัจธรรมเขาไม่ได้ต้องการเลยก็จะสละออก เพราะตนพึ่งตนรอดแล้ว ก็จะไม่สะสมไว้หรอก  แล้วมีจิต อาสา คือเราเสนอตัวขอทำงานที่เห็นว่าดี โดยไม่เอาค่าตอบแทนเลย จึงเป็นงานอาสาเสียสละแท้  อาตมานิยาม การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ไว้ตั้งแต่ก่อนชุมนุมอีก

แล้วสวัสดิการไม่ต้องมีให้ก็ได้ เพราะโลกไหนก็มีสวัสดิการอยู่แล้วนอกจากเรามีวิบาก ทำดีแล้วก็ไม่ได้ เราก็ทำดีต่อไป ทำดีแล้วไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ อย่างอาตมาพอได้แม้เรื่องเงินทองปางนี้อาตมามีมาน้อย คุณจำลองยังมีมากกว่าอาตมาเลย 

ส.ฟ้าไทว่า...พวกผมไม่มีบารมีก็เลยเป็นอย่างนี้ไหม หากมีมาก พวกผมจะเสียคนได้ครับ

พ่อครูว่า...ลึกซึ้งดีที่เข้าใจ แล้วแม้แต่กรีซ ที่เขาทำนี่นี่ป่าเถื่อนยิ่งกว่าไทย ไทยเพิ่งผ่านไป พวกแดงที่ทำนี่ เขาเข้าใจแล้ว ต่อไปจะไม่มี จึงเป็นประวัติการณ์ที่เป็นรัฐประหาร( Coup d'état ) ที่สวยสุด นิ่มนวล 
ผมขอยึดอำนาจ แต่พอทำแล้วคนก็ยอมรับหมด แม้เขาอาจต่อต้านได้ในทุกวงการ แต่นี่ทุกคนหยุดหมดไม่กระเพื่อมเลย อาตมาว่า เป็น Best record ที่จะไปอีกนานหลายแสนปี ทำกลางวันแสกๆเลย ต่อหน้าต่อตาไม่ต้องใช้อาวุธเลย คนคิดไม่ถึงเลย

คำว่าอำนาจคือ พลัง power, energy, authority, force, sovereignty=soverein power =supreme =independence =อำนาจใหญ่,อธิปไตย 
ภาษาอังกฤษเขามีมานานกว่าภาษาไทยก็เลยมีคำเรียกคำว่าอำนาจนี้มากหน่อย

ผู้มี Authoritative คือมีบารมี มีคุณธรรมอันเป็นอำนาจโดยธรรม คนนั้นแหละเป็น authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ  อย่างในหลวงเรา ประชาชนยกให้ท่านเลย ท่านไม่ต้องหาเสียง เพราะคนเห็นคนรู้คนมีปัญญาก็ยกให้ นอกจากคนไม่มีปัญญาตามืดบอดก็ธรรมดาที่เขาไม่รู้ และลบหลู่ได้ 

อาตมาเป็นคนไทย แต่อาตมาถูกสถาบันศาสนานี่ตราไว้แล้วว่าเป็นพวกนอกรีต แม้ท่านจะมีใจที่อยากจะช่วยอาตมาอย่างไร ท่านก็แสดงออกไม่ได้ ถ้าท่านไม่ช่วยอาตมาอาตมาอาตมาจะยิ่งเคารพท่าน ถ้าท่านช่วยอาตมาจะอ่อนแอ ทำอย่างอาตมาไม่ได้เต็มที่ ถ้าในหลวงช่วยอาตมาท่านก็เสีย อาตมาก็เสีย ต่างคนต่างรู้ อาตมาก็ไม่ประสงค์จะให้ทำ เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อทั้งมวลชนและอาตมา อาตมาเห็นว่าท่านทรงพระจริยวัตรงามที่สุด ท่านทรงบำเพ็ญ พระเตมีย์ใบ้ กับพระมหาชนก 

แม้ในหลวงจะตรัสถึง เศรษฐกิจพอเพียง เขาก็รับลูกไม่ได้ มาเป็น แบบคนจน เขาก็ยิ่งทำได้ยากหนัก แต่มาขาดทุนของเราคือกำไรของเร

ประชาธิปไตยแท้จริงไม่ยกให้ใครเป็นใหญ่ ประชาชนจะตั้งเอง แม้ของพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ให้ใครเป็นใหญ่ แต่ให้ธรรมวินัยเป็นใหญ่ การบริหารของพระพุทธเจ้าท่านเอาเลข 4 ท่านไม่เอาสามเส้า จะเริ่มเดินต่อต้องเป็น 4 แต่ถ้าปัญจสาขา 5 นี่เกิดแท้แน่นอน การบริหารที่จะใช้พลังที่จะใช้ในสงฆ์ต้องมี 4 ถ้าไม่ 4​ไม่ได้ แม้จะสมมุติก็ต้อง 4 ​ถ้าจะสงฆ์ครบสมบูรณ์ต้องมี 4 (โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์) สงฆ์จะเป็นสภาได้อย่างต่ำต้องมี 4 บางอย่างใช้ 5 บางอย่างใช้ 10 บางอย่างใช้ 20 แต่อย่าตั้งใครถาวร แต่ถ้าอยู่รวมกันก็เลือกกันขึ้นมาทำงาน แล้วองค์สงฆ์ต้องเป็นปกตัตตะ ไม่มีชนักหากจะมาเป็นสมาชิกสภาสงฆ์ คือคนบริสุทธิ์ไม่มีอาบัติ นี่คือวิธีบริหารของพระพุทธเจ้า เขาไม่เข้าใจกันเพราะศาสนาพุทธเสื่อมมาก กระแสหลักก็ไม่รู้เรื่องกับรัฐศาสตร์บทนี้ การบริหารของพระพุทธเจ้าเป็นโครงสร้างประชาธิปไตยที่ย่ิงใหญ่สุด

ยิ่งสาธารณโภคีคือประชาชนเสียสละเต็มที่ เสียภาษี 100% ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษี มีคนค้นคำพูด ที่พล.อ.ประยุทธ ว่า ขอโทษนะผมขอยึดอำนาจ นี่เป็นภาษาที่นุ่มนวลมาก 

การแยก Authority กับ Forceถ้าแยกลิงค มันไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าตนเองมีอำนาจอะไร อาตมาว่าอาตมาเป็นคนไม่ใช้ Force ใช้ Authority เสมอ แม้จะออกลีลาท่าทีเหมือนแข็ง แต่ก็เพราะยุคสมัยhard rock ไม่ใช่ยุค pop ยุคนี้ซาดิสม์ จะมานั่งโรแมนติกไม่ได้ ต้องเข้ากับสมัย ....จบ 

ที่มา ที่ไป

580712_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ อธิปไตยประชาชนที่สุดวิเศษ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:48:58 )

580713

รายละเอียด

580713_ธรรมาธรรมะสงคราม บุญ คืออะไรกันแน่? 

พ่อครูว่า... วันนี้ วันจันทร์ ที่ 13 กรกฎาคม 2558 แรม 13 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม ..เมื่อวานนี้ได้เทศน์ไปแล้วก็มีคนไลน์ออกไป ก็มีเกิดการถก การถาม ถึงขั้นเถียง ว่าบุญคืออะไรกันแน่?

อาตมาก็ขอย้ำว่าที่ปฏิบัติบุญแบบที่เข้าใจกันนั้นมันผิด เข้าใจคำว่าบุญอย่างนี้จึงไม่บรรลุธรรม บุญไม่ถูกต้องตรงจริงตามความเป็นจริงของคำว่าบุญที่มีความหมายตามสัจจะสัมมาทิฏฐิแท้คืออย่างไร อาตมาก็พูดเรื่องบุญมาเป็นปีแล้ว ก็น่าเห็นใจเพราะแม้ศาสนาอื่นก็นำไปใช้

คำว่าบุญเป็นคำของศาสนาโลกุตรธรรม ศาสนาอื่นไม่มีสิทธิ์ใช้เลย คำว่าบุญนี้ไม่มีคำอื่นแทนได้เลย เอาคำอื่นมาใส่แทนไม่ได้  บุญนี่มีในศาสนาพุทธเป็นศาสนาเดียวที่มีโลกุตรธรรม

ข้อความที่แชร์กันไปมีว่า 

"บุญ" เป็นอาวุธฆ่าตัวเอง ฆ่าอัตตาในตัวเองให้หมด

"บุญ" เป็นของไม่ควรมีในตน

"บุญ" เป็นเครื่องมือประหารกิเลส หมดแล้วก็โยนทิ้งไป

“หมดกิเลสก็หมดบุญ" 

ฟังแล้วเขาหูหักสองข้างแน่  อาตมาแน่ใจว่าปราชญ์ทางศาสนาเขาไม่พูดเช่นนี้แน่ แล้วอาตมาจะพูดต่อไปได้ไหม? อาตมาอธิบายจะหักลำกลับไปคนละทิศเลย ในช่วงพันปีก่อนหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานก็มีอยู่ จนเลยพันปีหลังก็หันหลังกลับมาเป็นพันปีก็กลายเป็นโลกียะอย่างเก่า ตอนนี้เลยครึ่งศาสนาพุทธของพระสมณโคดมแล้วก็ออกอาการสาหัสนัก

คนอ่านประโยคที่ว่า บุญเป็นของไม่ควรมีในตน

๏  “บุญ”คือ อะไรกันแน่?
     “บุญ”เป็นของไม่ควรมีในตน  อาตมาได้เทศน์ไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค. 58 ที่ผ่านมาแล้ว ก็มีผู้เอาไปไลน์์กัน แชร์กันไปแล้วกว้างขวาง ก็เป็นประเด็นที่เกิด “เควชั่นมาร์ค”ขึ้น
    เพราะตัดเอาแค่ข้อความสั้นๆ ว่า  “บุญ เป็นของไม่ควรมีในตน”
    ไม่มีพลความอื่นอีกที่อาตมาสาธยายอธิบายด้วยมากมาย เมื่อตัดเอาเพียงสั้นๆไปอย่างนี้ ก็ตีความกันจากประโยคแค่นี้ จึงเกิดปัญหาขึ้นว่า น่าจะผิด หรือ ไม่ผิดก็ไม่น่าจะพูด 
    ซึ่งที่จริง  “บุญ เป็นของไม่ควรมีในตน”นี้ สั้นมาก ชัดเจนมาก จริงที่สุดแล้ว
     “บุญ”นั้นเป็น “อาวุธ” เป็นของไม่ควรมีในตนเป็นที่สุด 
     “บุญ”ไม่ใช่อาหาร ไม่ใช่ลาภ,ยศ,สรรเสริญ ไม่ใช่แม้แต่ “อารมณ์”ที่จะต้องมี
    อาตมามี “มโนสัญเจตนา”พูดประโยคนี้ให้แก่ คนทั้งระดับต้น ทั้งระดับกลาง ได้ประโยชน์ แม้แต่ระดับปลายก็ได้ประโยชน์ยิ่ง ที่ได้ยินย้ำอย่างนี้ จึงยิ่งแน่ใจในความถูกต้องที่สุดแล้วจริงๆ
    โดยเฉพาะประโยชน์แก่ คนระดับต้นที่ยังไม่รู้คำว่า  “บุญ”อย่างสัมมาทิฏฐิ เพราะยังหลงผิดว่า  “บุญ”เป็นสมบัติที่ควรสะสมให้มีมากๆๆๆใส่ตน ...จึงหลงผิดคำว่า “บุญ” แล้วเอาคำว่า
 “บุญ”ไปใช้ “ผิดๆ” ทำให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดว่า “บุญ”เป็น “อาหาร”ที่ใช้เลี้ยงชีพ ซึ่งไม่ใช่เลย หรือหลงผิดว่า “บุญ”เป็น “อามิส”คือ ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุขที่เป็นสมบัติโลกีย์ ปุถุชนก็เลยยิ่งหลงใหลคลั่งไคล้กอบโกยแย่งชิง อยากได้มาสะสมไม่หยุด ไม่พอ อยู่ตลอดกาลที่ยังอวิชชา
    ผู้ที่ต่างก็ “อวิชชา”ด้วยกัน ก็เอาคำว่า “บุญ”มาใช้ “ผิดๆ” หลอกคนว่า เป็น “วิมาน”อันแสนรวย แสนสวย แสนดี แสนหรู แสนสุข สารพัดที่คิดปั้นสร้างขึ้นมากล่าวหลอกว่า ถ้า “ได้
บุญ”ก็คือ ได้รวยยิ่งขึ้น ได้สวยยิ่งขึ้น ได้ดียิ่งขึ้น ได้หรูยิ่งขึ้น ได้สุขยิ่งขึ้น ซึ่งการได้สมใจใน
 “กาม”หรือได้ตามที่ “ใคร่อยาก”มีอิฏฐารมณ์เช่นนี้พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “สุขัลลิกะ”ที่ความหมายคือ  “สุขเท็จ”แท้ๆ จึงพากันกอบโกย “บาป”หาบหามกิเลสไปด้วยกัน ก็เลยยิ่งงมงายกันไปใหญ่
    ซึ่งทั้งได้ “อารมณ์เท็จ”และเป็นความรู้ที่ไม่พาไปสู่การพ้นทุกข์ หรือไปสู่การหน่ายคลายเลย
    และหลอกอีกแง่หนึ่งก็โน่น จะได้ก็อยู่ในอนาคตโน่น ซึ่งไม่มีใครรู้ว่า จะมี “วิมาน”นั้นจริง
หรือเปล่า อนาคตนั้นอยู่ไหน เมื่อไหร่ ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันความจริงนี้ได้เลย แต่ก็ยังมีคน “กล้า
โกหก”ดันทุรังให้หนักหน้าต่อไปอีก ว่า อยู่ใน “วิมาน”ที่ฝันเพ้อพกอยู่ชั้นนั้น ชั้นนี้ ซึ่งลมๆ
แล้งๆทั้งสิ้น ชนิดที่ “ไม่รู้จริง”หรือ “อวิชชา”ไปตั้งแต่ต้นทางมาแล้ว แล้วก็หลอกกันต่อไปอีก  
    จึงเป็น “วิมาน”ลมๆแล้งๆแท้ๆ เป็น “วิมาน”ที่หลอกลวงกันอยู่ชัดๆ ด้วยประการฉะนี้   
    ทุกวันนี้จึงมีคนค้า “บุญ”ขาย “บาป” ค้า “ภพ”ขาย “ชาติ” คือเอาคำว่า “บุญ”มาล่อให้กิเลส
 “โลภบุญ”ที่เป็นวิมานลอยลมยิ่งๆขึ้นไปไม่มีสิ้นสุด  “บุญ”จึงกลายเป็นสินค้า “ก่อกิเลสโลภ”ตลอดที่ยังหลงผิดอยู่อย่างนี้เอง  
    คนซื้อ “บุญ” ก็เสียทรัพย์ไปให้แก่พ่อค้า “ผู้บาปอวิชชา” คนผู้หลอก “ขายบุญ”ก็ได้
ทรัพย์ที่ผู้ซื้อจ่าย “ซื้อบุญเก๊”ไป อย่างน่าสงสารทั้งผู้ซื้อ และน่าสมเพชทั้งผู้ขายอย่างยิ่ง
    ฟังดีๆอีกที  “บุญ”เป็นเครื่องมือของโลกุตระ ที่ใช้ “ฆ่า”หรือประหาร “กิเลส”เท่านั้น เมื่อใช้ “ฆ่า”กิเลสหมดแล้ว  “บุญ”ก็ไม่ต้องใช้อีกแล้วตลอดไปตลอดกาล เป็นคนผู้ “สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว”เด็ดขาด ที่พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอง พระอรหันต์ก็พูดชัดๆว่า ท่านเป็น “ผู้สิ้นบุญสิ้นบาป
แล้ว”ทั้งนั้น เพราะได้ชำระกิเลสจากสันดานสะอาดหมดจดแล้ว(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ) และพยัญชนะที่ว่า “สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว”ก็คือ  “ปุญญปาปปริกขีโณ” ไม่ใช่ไม่มีหลักฐานรับรองความจริงนี้   
     “บุญ”จึงไม่ต้องมีอีกแล้ว  อาตมาจึงใช้ “โวหาร”พูดว่า  “บุญ เป็นของไม่ควรมีในตน” เพื่อผลดังกล่าวมาแล้ว
     ดังนั้น คำว่า “บุญ”ที่อาตมาจงใจพูดว่า  “เป็นของไม่ควรมีในตน”จึงหมายให้เป็นประโยชน์ทั้งคนปุถุชนขั้นต้น และเสขบุคคลขั้นกลาง และคนอนาคามีหรือคนขั้นอรหัตมรรคท้ายสุดด้วย
    1) ให้เป็นคำกระตุกใจสำหรับคนที่ยังไม่เริ่ม “โลกุตระ”ตั้งแต่ขั้นต้น เพราะแปลกหูมาก อะไรกัน  “บุญ..เป็นของไม่ควรมีในตน” !!! ..???? ใครๆเขาก็ล้วนอยาก “สะสมบุญ”กันทั้งนั้น  (คำว่านักบุญของที่อาตมาเคยนิยาม ก็จะเป็นพระอนาคามีเป็นต้นไป)
    2) แม้คนขั้นกลางที่กำลังแสวงหา หรือกำลังพอมีความรู้บ้างแล้ว ก็จะเกิดฉุกใจว่า เอะ! ยังไง พุดยังงี้ มันยังไง ก็จะได้หันมาทำความเข้าใจเพิ่มเข้าไปอีกยิ่งขึ้น มันน่าแปลกอยู่นะ! 
    3) ขั้นปลายนั้นบอกแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินก็ยิ่งจะย้ำความจริงชัดเจนซ้ำเข้าไปอีกอย่างวิเศษ  
    ก็ขออธิบายขยายความกันให้ชัดเจน หรือใครจะไปหาฟังจากการสาธยายไว้แล้วในวันที่ 12 ก.ค. 58 นั้นก็ได้ ก็คงจะไม่สับสน หรือคงจะเข้าใจได้ดีกว่าที่ได้ฟังแค่สั้นๆนั้นแน่
    ขอย้ำอีกทีว่า  “บุญ”นั้น เป็น “อาวุธ”ของโลกุตรธรรม  ใช้สำหรับประหารกิเลสเท่านั้น 
 “บุญ”ไม่ใช่เครื่องใช้เลี้ยงตน  “บุญ”เลี้ยงตนไม่ได้  “บุญ”ไม่ใช่สมบัติที่อาศัยอยู่อาศัยกิน ไม่ใช่เครื่องอาศัยเสพสุข แต่เป็นเครื่องใช้ “ฆ่ากิเลส”แท้ๆ เป็นเครื่องมือของชาว “โลกุตระ”เท่านั้น 
    ชาวโลกียะนั้นยังไม่มี “บุญ” ยังมีไม่ได้ ถ้าชาวโลกียะมี “บุญ”ใดขึ้นมา ก็จะกลายไปเป็นชาวโลกุตระไปทันที นั่นคือ “บาป”หรือ “อกุศลจิต”ของผู้นั้นก็จะเสียไป หรือลดลงไปกี่หน่วยก็คือ “เสียไป” ไม่ใช่ “ได้มา” ไม่ใช่ได้ “กุศลจิต”ใดๆมา เพราะ “บุญ”ไม่ใช่ภาวะที่มี “ตัวตน”ที่จะได้มาเป็น “ตัวตน” เป็นข้าวของ แม้แต่เป็นความรู้สึก เพราะ “สิ้นบุญ”ก็คือจบสิ้นความรู้สึกนั้น   
    แต่คนไม่เข้าใจคำนี้ว่าเป็น “โลกุตระ” เมื่อใจยังคิดได้แต่เชิงโลกียะ มันก็ตื้นๆง่ายๆแบบ
โลกียะ แล้วยิ่งคนไปสร้างความหมายใหม่ขึ้นมาเป็นว่า  “บุญ”นี่คือ “กุศล” บุญคือคุณงามความดีที่เป็น “ตัว”เป็น “ตน” เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นข้าวเป็นของ แม้แต่เป็น “อาหารหรืออารมณ์ที่พอใจอยากได้อยากมี” อันจะต้องได้มาเป็น “ของตน”(อัตตาตามลักษณะโลภะ) ได้มาเสพ “สุข”(อัตตนียาตามลักษณะราคะ)ใส่ตน  “สุขเก๊”นั้นก็ฝังลงไว้เป็น “อุปาทาน”ตกผลึกไว้ใน “อนุสัย”ด้วยอวิชชา 
    จึงต้องศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ  “บุญ”เป็นเครื่องมือประหารกิเลสที่เป็น “อาการ”ของคนซึ่งต้องเรียนรู้ว่าเป็น “รูปกาย”และเป็น “นามกาย”อย่างไร แล้วจะมี “วิชชา”รู้จริงว่า  “บุญ”คือเครื่องมือหรือ “อาวุธ”ที่ทำหน้าที่ “ฆ่า”กิเลสเท่านั้น  “บาป”หรือกิเลสหมด “บุญ”ก็หมดด้วย
     “บุญ”คือ “กรรม” คือ “การกระทำของใจ”เท่านั้น เป็นแค่ “กิริยาทางใจ”เท่านั้น ที่เกิดจากเจ้าตัวคือคนผู้นั้นมี “การกระทำใจของตนขึ้นมาในใจ”(มนสิการ) แล้วสามารถ “กำจัดกิเลส”ที่เป็น “อาการ”ของใจเช่นเดียวกันได้จริง 
     “บุญ”ไม่ใช่ “กรรมภายนอก”ไม่ว่า “กายกรรม”หรือ “วจีกรรม”  “มโนกรรม”เท่านั้นที่
 “เป็นตัวกรรมทำการฆ่ากิเลส”  
     “บุญ”คือพลังงานทาง “นามธรรม”แท้ๆที่เป็น “ไฟวิเศษ”ของ  “มโนกรรม”โดยเฉพาะ เรียกว่า  “ฌาน” เป็นไฟพิเศษที่วิเศษยิ่ง ซึ่งมีประสิทธิภาพกำจัด “ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ”ที่เป็น “พลังงานทางใจ”เช่นกัน แต่เป็น “กิเลส” พลังงานที่มีฤทธิ์ประสิทธิละเอียดเล็กเกินจะใช้เครื่องมือทางวัตถุใดจับได้นี้ จึงต้องใช้ “ใจคน”เท่านั้นเป็นองค์ประกอบของ “เครื่องมือ”ที่เรียกว่า “บุญ” เข้าไปจัดการกับ “ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ”ได้

วิชาที่พระพุทธเจ้าสอนนี้เป็นทั้งวิศวะกร เป็นทั้งแพทย์ เป็นนักรัฐศาสตร์ นักนิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เพราะเครื่องมือกำจัดกิเลสของท่านนี้ มีประสิทธิภาพมาก

    ไม่ใช่สสาร ไม่ใช่พลังงานแค่ทางฟิสิกส์เท่านั้น  “จิต”หรือ “วิญญาณ”หรือ “มโน”ละเอียดลึกล้ำยิ่งกว่านั้น คนยังไม่สามารถใช้พลังงานทางวัตถุ ทางสสาร หรือแม้แต่พลังงานในระดับที่
ฟิสิกส์ค้นพบและนำมาใช้ได้ก็ยังไม่สามารถใช้ “กำจัดพลังงานที่ชื่อว่า “กิเลส”ได้  
    ความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสามารถค้นพบความจริงนี้แล้ว และได้ประกาศให้แก่โลกรู้จักรู้แจ้งรู้จริงตาม และมนุษยชาติในโลกก็ได้เรียนรู้และนำมาปฏิบัติพิสูจน์ได้เป็นจริงตาม 
    เครื่องกำจัดอันเป็น “นามธรรม”ที่เรียกว่า “บุญ” จึงเป็นของพุทธศาสนาตาม “ความรู้”และ “ความจริง”ที่ได้สาธยายมาคร่าวๆนี้
    ผู้สนใจก็ติดตามศึกษาหา “ความรู้-ความจริง”นี้ได้ โลกปัจจุบันนี้ยังไม่เสื่อมสิ้นเนื้อหาแห่ง “ความรู้-ความจริง”อันสามารถเข้าไป “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”กิเลส และกำจัดกิเลสได้จริง
    ผู้ที่เอาตัวเองเข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติเอง จะสามารถรู้จริงบรรลุถึง “ความจริง”นั้นได้เอง(สันทิฏฐิโก) 
ด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ “บุญ”เป็น และ “กิเลส”ถูก “บุญ”ชำระออกได้จริง
    เพราะ “บุญ”เป็นของใครของมันเท่านั้น  “บุญ”นอกตนเองไม่มี  “บุญ”แบ่งออกไปจากตนเองไม่ได้  “บุญ”เป็นเพียง “อาการ”ที่เกิดขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวทำ “กรรม”นั้นเท่านั้น เสร็จหน้าที่ของ “กรรม”ที่เป็น “บุญ”นั้นแล้ว  “บุญ”ก็หายไป ไม่ตั้งอยู่ ณ ที่ใดๆเลย 

บางทีใช้บุญแล้ว ก็แพ้กิเลสก็มี ไม่สำเร็จ พอหยุดทีใดเครื่องมือก็หายไป เสร็จงานหมดหน้าที่ก็หายไป

     “บุญ”ตั้งอยู่ไม่ได้ ณ ที่ใดๆ เช่นเดียวกันกับ “อายตนะ” ซึ่งเป็นภาวะที่มีขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยเพื่อทำ “หน้าที่”เท่านั้น เสร็จหน้าที่แล้ว “บุญ”หรือ “อายตนะ”ไม่เหลืออยู่ ไม่มีอยู่ ไม่ตั้งอยู่ในที่ใดๆเลย  “บุญ”เมื่อจบกิจเป็นอรหันต์แล้วจึง “สิ้นไป”(ปริกขีโณ)เลย ไม่มี ไม่เหลือ ไม่ตั้งอยู่     
     “บุญ”ทำหน้าที่แล้ว ได้ผลหรือไม่ได้ผล จบ “กรรม”ที่เป็น “บุญ”เสร็จลง “บุญ”ก็หายไปทันที         คนผู้มี “การทำใจในใจ”(มนสิการ)เป็น “สัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ” จึงจะมีประสทธิภาพของ “เครื่องชำระ”ที่ “ชำระกิเลสจากสันดานให้สะอาดหมดจด”(สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ) นี่คือ  “บุญ”
     “บุญ”คืออะไร ผู้สนใจต้องศึกษาให้ “สัมมาทิฏฐิ”ก่อน ผู้นั้นจึงจะปฏิบัติ “กรรม”ที่เป็น
 “บุญ”อย่างถูกต้องชนิดที่เป็นไปได้ และมีประสิทธิผลอย่างเป็นจริง.   

มีคนถามมา คือคุณแรงพุทธ ...​ สงสัยว่า ทำไมเป็นพระอรหันต์จึงฆ่าตัวตาย ก็น่าคิดน่าศึกษา 

  2.  ฉันโนวาทสูตร  (144)
    

[741]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน  อันเคยเป็นสถานที่พระราชทาน
เหยื่อแก่กระแต  เขตพระนครราชคฤห์  สมัยนั้นแล  ท่านพระสารีบุตร  ท่านพระมหาจุนทะ
และท่านพระฉันนะ  อยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ  เฉพาะท่านพระฉันนะอาพาธ  ทนทุกขเวทนา  เป็น
ไข้หนัก  ฯ
    

[742]  ครั้งนั้นแล  ท่านพระสารีบุตรออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น  เข้าไปหาท่าน
พระมหาจุนทะยังที่อยู่  แล้วได้กล่าวกะท่านพระมหาจุนทะดังนี้ว่าดูกรท่านจุนทะ  มาเถิด  เรา
จะเข้าไปหาท่านพระฉันนะยังที่อยู่  ไต่ถามถึงความไข้ท่านพระมหาจุนทะรับคำท่านพระสารีบุตร
แล้ว  ต่อนั้น  ท่านพระสารีบุตรและท่าน  พระมหาจุนทะ  ได้เข้าไปหาท่านพระฉันนะยังที่อยู่  แล้ว
ทักทายปราศรัยกับท่าน  พระฉันนะ  ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว  จึงนั่ง  ณ
 ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะท่านพระฉันนะ ดังนี้ว่า
ดูกรท่านฉันนะ  ท่านพอทน  พอเป็นไปได้หรือ  ทุกขเวทนาทุเลา  ไม่กำเริบ  ปรากฏความทุเลา
เป็นที่สุด  ไม่ปรากฏความกำเริบหรือ  ฯ
    ฉ.  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  กระผมทนไม่ไหว  เป็นไปไม่ไหว  ทุกข  เวทนาของกระผม
หนัก  กำเริบ  ไม่ทุเลา  ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด  ไม่ปรากฏ  ความทุเลาเลย  ฯ
    

[743]  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  ลมเหลือประมาณกระทบขม่อมของกระผม  เหมือน
บุรุษมีกำลังเอาของแหลมคมทิ่มขม่อม  ฉะนั้น  กระผมจึงทนไม่ไหว  เป็นไปไม่ไหว  ทุกขเวทนา
ของกระผมหนัก  กำเริบ  ไม่ทุเลา  ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด  ไม่ปรากฏความทุเลาเลย  ฯ
    

[744]  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  ลมเหลือประมาณเวียนศีรษะของกระผมอยู่  เหมือน
บุรุษมีกำลังให้การขันศีรษะด้วยชะเนาะอย่างมั่น  ฉะนั้น  กระผมจึงทนไม่ไหว  เป็นไปไม่ไหว
ทุกขเวทนาของกระผมหนัก  กำเริบ  ไม่ทุเลา  ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด  ไม่ปรากฏความทุเลาเลย  ฯ


[745]  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  ลมเหลือประมาณปั่นป่วนท้องของ  กระผม  เหมือนคน
ฆ่าโค  หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด  เอามีดแล่โคอันคมคว้าน  ท้อง  ฉะนั้น  กระผมจึงทนไม่ไหว
เป็นไปไม่ไหว  ทุกขเวทนาของกระผมหนักกำเริบ  ไม่ทุเลา  ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด
ไม่ปรากฏความทุเลาเลย  ฯ
    

[746]  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  ความร้อนในกายของกระผมเหลือประมาณ  เหมือน
บุรุษมีกำลัง  2  คน  จับบุรุษมีกำลังน้อยที่อวัยวะป้องกันตัวต่างๆแล้ว  นาบ  ย่าง  ในหลุมถ่านเพลิง
ฉะนั้น  กระผมจึงทนไม่ไหว  เป็นไปไม่ไหวทุกขเวทนาของกระผมหนัก  กำเริบ  ไม่ทุเลา
ปรากฏความกำเริบเป็นที่สุด  ไม่ปรากฏความทุเลาเลย  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  กระผมจักหาศาตรา
มาฆ่าตัว  ไม่อยากจะได้เป็นอยู่เลย  ฯ
    

[747]  สา.  ท่านฉันนะอย่าได้หาศาตรามาฆ่าตัวเลย  จงเป็นอยู่ก่อนเถิด  พวกเรายัง
ปรารถนาให้ท่านฉันนะเป็นอยู่  ถ้าท่านฉันนะไม่มีโภชนะเป็นที่สบาย  ผมจักแสวงหามาให้
ถ้าท่านฉันนะไม่มีเภสัชเป็นที่สบาย  ผมจักแสวงหามาให้ถ้าท่านฉันนะไม่มีคนบำรุงที่สมควร
ผมจักคอยบำรุงท่านเอง  ท่านฉันนะอย่าได้หาศาตรามาฆ่าตัวเลย  จงเป็นอยู่ก่อนเถิด  พวกเรา
ยังปรารถนาให้ท่านฉันนะเป็นอยู่  ฯ
    

[748]  ฉ.  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  ไม่ใช่กระผมไม่มีโภชนะเป็นที่สบาย  ไม่ใช่ไม่มี
เภสัชเป็นที่สบาย  ไม่ใช่ไม่มีคนบำรุงที่สมควร  ก็แหละกระผมได้ปรนนิบัติพระศาสดามาตลอด
กาลนาน  ด้วยความพอพระทัย  มิใช่ด้วยความไม่พอพระทัย  ความจริงการที่ภิกษุปรนนิบัติ
พระศาสดาด้วยความพอพระทัย  มิใช่ด้วยความไม่พอพระทัย  นั่นเป็นการสมควรแก่สาวก
ข้าแต่ท่านพระสารีบุตรขอท่านจงทรงจำไว้อย่างนี้ว่า  ฉันนภิกษุจักหาศาตรามาฆ่าตัว  อย่างมิให้
ถูกตำหนิได้  ฯ
    สา.  พวกเราจักขอถามปัญหาท่านฉันนะสักเล็กน้อย  ถ้าท่านฉันนะเปิดโอกาสพยากรณ์
ปัญญาได้  ฯ
    ฉ.  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  โปรดถามเถิด  กระผมฟังแล้วจึงจักรู้  ฯ
    

[749]  ดูกรท่านฉันนะ  ท่านพิจารณาเห็นจักษุ  จักษุวิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยจักษุ
วิญญาณว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเราหรือ    ท่านพิจารณาเห็นโสต  โสตวิญญาณ  ...
    ท่านพิจารณาเห็นฆานะ  ฆานวิญญาณ  ...
    ท่านพิจารณาเห็นชิวหา  ชิวหาวิญญาณ  ...
    ท่านพิจารณาเห็นกาย  กายวิญญาณ  ...
    ท่านพิจารณาเห็นมโน  มโนวิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยมโนวิญญาณว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา
นั่นอัตตาของเราหรือ  ฯ
    ฉ.  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  กระผมพิจารณาเห็นจักษุ  จักษุวิญญาณธรรมที่รู้ได้ด้วย
จักษุวิญญาณว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ
    กระผมพิจารณาเห็นโสต  โสตวิญญาณ  ...
    กระผมพิจารณาเห็นฆานะ  ฆานวิญญาณ  ...
    กระผมพิจารณาเห็นชิวหา  ชิวหาวิญญาณ  ...
    กระผมพิจารณาเห็นกาย  กายวิญญาณ  ...
    กระผมพิจารณาเห็นมโน  มโนวิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยมโนวิญญาณว่านั่นไม่ใช่ของเรา
 ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ
    

[750]  สา.  ดูกรท่านฉันนะ  ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในจักษุ  ในจักษุวิญญาณ
 ในธรรมที่รู้ได้ด้วยจักษุวิญญาณ  จึงพิจารณาเห็นจักษุ  จักษุ  วิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยจักษุวิญญาณ
ว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ
    ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในโสต  ในโสตวิญญาณ  ...
    ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในฆานะ  ในฆานวิญญาณ  ...
    ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในชิวหา  ในชิวหาวิญญาณ  ...
    ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในกาย  ในกายวิญญาณ  ...
    ท่านเห็นได้อย่างไร  รู้ได้อย่างไร  ในมโน  มโนวิญญาณ  ในธรรมที่รู้ได้  ด้วยมโนวิญญาณ
 จึงพิจารณาเห็นมโน  มโนวิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยมโนวิญญาณว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ

    ฉ.  ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร  กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในจักษุ  ในจักษุวิญญาณ
ในธรรมที่รู้ได้ด้วยจักษุวิญญาณ  จึงพิจารณาเห็นจักษุ  จักษุวิญญาณ   ธรรมที่รู้ได้ด้วยจักษุวิญญาณ
ว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่เรา  ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ
    กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในโสต  ในโสตวิญญาณ  ...
    กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในฆานะ  ในฆานวิญญาณ  ...
    กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในชิวหา  ในชิวหาวิญญาณ  ...
    กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในกาย  ในกายวิญญาณ  ...
    กระผมเห็นความดับ  รู้ความดับในมโน  ในมโนวิญญาณ  ในธรรมที่รู้ได้ด้วยมโนวิญญาณ
 จึงพิจารณาเห็นมโน  มโนวิญญาณ  ธรรมที่รู้ได้ด้วยมโนวิญญาณว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา  ไม่ใช่เรา
ไม่ใช่อัตตาของเรา  ฯ
    

[751]  เมื่อท่านพระฉันนะกล่าวแล้วอย่างนี้  ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าว  กะท่านพระ
ฉันนะดังนี้ว่า  ดูกรท่านฉันนะ  เพราะฉะนั้นแล  ท่านควรใส่ใจคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคนั้น
ไว้ตลอดกาลเนืองนิตย์แม้ดังนี้ว่า  บุคคลผู้อันตัณหาและทิฐิ  อาศัยอยู่แล้ว  ย่อมมีความหวั่นไหว
สำหรับผู้ไม่มีตัณหาและทิฐิอาศัย  ย่อมไม่มีความหวั่นไหว  เมื่อไม่มีความหวั่นไหว  ก็มีความสงบ
เมื่อมีความสงบ  ก็ไม่มี  ตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ  เมื่อไม่มีตัณหาตัวน้อมไปสู่ภพ  ก็ไม่มีการมาเกิด
ไปเกิดเมื่อไม่มีการมาเกิดไปเกิด  ก็ไม่มีจุติและอุปบัติ  เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ  ก็ไม่มีโลกนี้
ไม่มีโลกหน้า  ไม่มีระหว่างกลางทั้งสองโลก  นี่แหละที่สุดแห่งทุกข์  ครั้นท่านพระสารีบุตร
และท่านพระมหาจุนทะ  กล่าวสอนท่านพระฉันนะด้วยโอวาทนี้แล้ว  จึงลุกจากอาสนะ  หลีกไป  ฯ


[752]  ครั้งนั้นแล  ท่านพระฉันนะ  เมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาจุนทะ
หลีกไปแล้วไม่นาน  ได้หาศาตรามาฆ่าตัวเสียทันทีนั้น  ท่านพระสารีบุตร  จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคยังที่ประทับ  แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  นั่ง  ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  พอนั่งเรียบร้อย
แล้ว  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ท่านพระฉันนะหาศาตรามาฆ่าตัว
เสียแล้ว  ท่านจะมีคติ  อย่างไร  มีสัมปรายภพอย่างไร  ฯ
    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรสารีบุตร  ฉันนภิกษุพยากรณ์  ความเป็นผู้ไม่ควรตำหนิต่อหน้า
เธอแล้วมิใช่หรือ  ฯ

สา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  มีบ้านในแคว้นวัชชีนามว่าปุพพชิระ  ที่หมู่บ้านนั้น  ท่าน
พระฉันนะยังมีสกุลมิตร  สกุลสหาย  และสกุลคนที่คอยตำหนิอยู่  ฯ
    

[753]  พ.  ดูกรสารีบุตร  ฉันนภิกษุยังมีสกุลมิตร  สกุลสหาย  และ  สกุลที่คอยตำหนิ
อยู่ก็จริง  แต่เราหาเรียกบุคคลว่า  ควรถูกตำหนิด้วยเหตุเพียงเท่านี้ไม่  ดูกรสารีบุตร  บุคคลใดแล
 ทิ้งกายนี้และยึดมั่นกายอื่น  บุคคลนั้นเราเรียกว่า  ควรถูกตำหนิ  ฉันนภิกษุหามีลักษณะนั้นไม่
ฉันนภิกษุหาศาตรามาฆ่าตัวอย่างไม่ควรถูกตำหนิ  ฯ
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ท่านพระสารีบุตรจึงชื่นชมยินดี  พระภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคแล  ฯ
       จบ  ฉันโนวาทสูตร  ที่  2


คนไม่เข้าใจกาย คำเดียวก็จะงงมากเลย เพราะบุคคลที่ตายแล้วจะมีกายได้อย่างไร?ก็จะงง สรุปคือพระฉันนะเป็นพระอรหันต์ ดับกายได้ มีแต่สุญญตนิพพาน อัปปณิหิตตนิพพาน แต่ตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว อรหันต์ก็ฆ่าตัวตายได้ พระพุทธเจ้าก็ปวดนั้นปวดนี่ ก็ทิ้งกายแล้วก็จะไม่มีกายที่เหลืออีก พระอรหันต์จะฆ่าตัวตายเพราะมีเหตุอันควร ไม่ควรถูกตำหนิ 

อาตมาเคยพยากรณ์ท่านพุทธ คนก็ท้วงว่าเป็นอนาคามีได้อย่างไร พยากรณ์สม.ผุสดีว่าเป็นอรหันต์ เขาก็ว่า ทำอย่างนี้ได้อย่างไรอรหันต์

กรณีท่านพุทธ ท่านเป็นอนาคามี ท่านเจโตสูงก็ทนได้มาก แม้มะเร็งกินกระดูกเชิงกรานไปมาก ท่านก็รักษา จนคิดว่าท่านวางปล่อย ท่านก็เลยไม่ยึดมั่นถือมั่นในกาย ก็ปล่อย ก็มีผู้หญิงมาทำจัดโน่นนี่ ท่านน่านฟ้าก็ไปเห็น ก็เลยบอกว่าแสดงออกทางกามก่อนจะตาย ซึ่งไม่ใช่ ท่านปล่อยขันธ์ เพราะท่านสมณสารูปท่านดีนะท่านพุทธ ผ้าครองท่านไม่เคยให้เสียสมณสารูปนะ ส่ิงที่เห็นด้วยอาการเล็กๆน้อยๆแล้วสงสัย ที่จริงไม่ใช่ท่านน่านฟ้าเห็นหรอก แต่คนอื่นมาเล่า ว่าท่านพุทธยังมีกาม ให้ผู้หญิงไปจับตัว

แล้วสม.ผุสดี มีอยู่วันหนึ่ง สม.จะออกบิณฑบาต แล้วเด็กผู้หญิงที่ดูแลห้าม ท่านก็เลยตบให้ จะแรงจะเบาเท่าไหร่ไม่รู้ เขาก็เลยว่าท่านเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ตบคนได้

เป็นได้สองนัย ถ้าอรหัตตมรรค ใยสุดท้ายจะหลุดก็จะแรง แล้วปล่อยออกไปก็สิ้น หรืออีกอย่างท่านประมาณเอง พระพุทธเจ้าว่า อย่าไปอธิกรณ์อรหันต์ ถือว่ามีสติวินัย เราไม่รู้เหตุปัจจัย ที่จริง  สม.ผุสดี เคร่งนะ แม้ป่วยก็ออกบิณฑบาต เราอย่าเพิ่งไปเดา

ต่อมาอีกสูตรหนึ่ง

5. วักกลิสูตร
         

ว่าด้วยการเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า
    

[215] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ใกล้พระนครราชคฤห์. สมัยนั้นแล ท่านพระวักกลิอาพาธ มีทุกข์ เป็นไข้หนัก ได้รับทุกข-เวทนา พักอยู่ที่นิเวศน์ของนายช่างหม้อ. ครั้งนั้น ท่านพระวักกลิ เรียกภิกษุผู้อุปัฏฐากทั้งหลาย
มาแล้ว กล่าวว่า มาเถิดอาวุโส ท่านทั้งหลาย จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ จงถวาย
บังคมพระยุคลบาทด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเราแล้ว ทูลว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุอาพาธ
เป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา ท่านถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า และ
พวกท่านจงทูลอย่างนี้ว่า พระเจ้าข้า ได้ยินว่า ท่านขอประทานวโรกาส ขอทูลเชิญพระผู้มีพระภาค
ทรงอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปหาท่านวักกลิถึงที่อยู่เถิด. ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านวักกลิ
แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลว่า พระเจ้าข้า วักกลิ
ภิกษุอาพาธ เป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา ท่านถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ด้วยเศียร
เกล้า และทูลอย่างนี้ว่า พระเจ้าข้า ได้ยินว่า ท่านขอประทานพระวโรกาส ขอทูลเชิญพระผู้มี
พระภาคทรงอาศัยความอนุเคราะห์ เสด็จเข้าไปหาวักกลิภิกษุถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับ
นิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
    

[216] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงครองผ้าแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้า
ไปหาท่านพระวักกลิถึงที่อยู่ ท่านพระวักกลิ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ครั้นเห็น
แล้ว ก็ลุกขึ้นจากเตียง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระวักกลิว่า อย่าเลย วักกลิ
เธออย่าลุกจากเตียงเลย อาสนะเหล่านี้ ที่เขาปูลาดไว้มีอยู่ เราจะนั่งที่อาสนะนั้น. พระผู้มีพระ
ภาคประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้. ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระวักกลิว่า ดูกรวักกลิ
เธอพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนานั้น ปรากฏว่าทุเลาลง ไม่กำเริบ
ขึ้นหรือ. ท่านพระวักกลิกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ไม่สามารถ
ยังอัตภาพให้เป็นไปได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์แรงกล้า มีแต่กำเริบขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย ทุกข
เวทนาปรากฏว่ากำเริบขึ้น ไม่ทุเลาลงเลย.
     พ. ดูกรวักกลิ เธอไม่มีความรำคาญ ไม่มีความเดือดร้อนอะไรบ้างหรือ?
     ว. พระเจ้าข้า ที่แท้จริง ข้าพระองค์มีความรำคาญไม่น้อย มีความเดือดร้อนอยู่ไม่น้อย
เลย.
     พ. ดูกรวักกลิ ก็ตัวเธอเอง ไม่ติเตียนตนเองได้โดยศีลบ้างหรือ?
     ว. พระเจ้าข้า ตัวข้าพระองค์เอง จะติเตียนได้โดยศีลก็หาไม่.

     พ. ดูกรวักกลิ ถ้าหากว่า ตัวเธอเองติเตียนตนเอง โดยศีลไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น
เธอจะมีความรำคาญและมีความเดือดร้อนอะไร?
     ว. พระเจ้าข้า จำเดิมแต่กาลนานมาแล้ว ข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาค แต่ว่าในร่างกายของข้าพระองค์ ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคได้.
     พ. อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร? ดูกรวักกลิ
ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม. วักกลิ
เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเราก็ย่อมเห็นธรรม. วักกลิ เธอจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
     ว. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
     พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
     ว. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
     พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
     ว. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
     พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
     ว. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
     พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
     ว. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
     พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
     ว. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า.
     พ. เพราะเหตุนั้นแล ฯลฯ อริยสาวกเห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมทราบชัดว่า ฯลฯ
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอน ท่านพระวักกลิ ด้วยพระโอวาทนี้แล้ว ทรงลุก
จากอาสนะ เสด็จไปยังภูเขาคิชฌกูฏ.

    
[217] ครั้งนั้นแล พระวักกลิ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ได้เรียก
ภิกษุอุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้ว กล่าวว่า มาเถิด อาวุโส ท่านจงช่วยอุ้มเราขึ้นเตียงแล้ว หามไป
ยังวิหารกาฬสิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ก็ภิกษุผู้เช่นกับเรา ไฉนเล่า จะพึงสำคัญว่าตนพึงทำกาละ ใน
ละแวกบ้านเล่า? ภิกษุอุปัฏฐากเหล่านั้น รับคำท่านวักกลิแล้ว อุ้มท่านพระวักกลิขึ้นเตียง หาม
ไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ที่ภูเขาคิชฌกูฏตลอด
ราตรีและวันที่ยังเหลืออยู่นั้น. ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดา 2 องค์ มีฉวีวรรณ
งดงาม ทำภูเขาคิชฌกูฏให้สว่างทั่วไปทั้งหมดแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า
วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น. เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า
ก็วักกลิภิกษุนั้นหลุดพ้นดีแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่แท้. เทวดาเหล่านั้น ได้กราบทูลอย่างนี้แล้ว
ครั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้ว ก็หายไป ณ ที่นั้นเอง.
    

[218] ครั้นพอราตรีนั้นผ่านไป พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มา
เถิด ภิกษุทั้งหลาย จงพากันเข้าไปหาวักกลิภิกษุถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจงบอกวักกลิกภิกษุอย่างนี้ว่า
อาวุโส วักกลิ ท่านจงฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคและคำของเทวดา 2 องค์ อาวุโส
ณ ราตรีนี้ เมื่อปฐมยามผ่านไปแล้ว เทวดา 2 องค์ ผู้มีฉวีวรรณงดงาม ทำภูเขาคิชฌกูฏให้
สว่างทั่วไปทั้งหมด เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า
วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า
ก็วักกลิภิกษุนั้น หลุดพ้นดีแล้ว จักหลุดพ้นได้แน่แท้. อาวุโส วักกลิ แต่ว่าพระผู้มีพระภาค
ตรัสกะท่านอย่างนี้ว่า อย่ากลัวเลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ จักมีความตายอันไม่ต่ำช้าแก่
เธอ จักมีกาลกิริยาอันไม่เลวทรามแก่เธอ. ภิกษุเหล่านั้น รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
เข้าไปหาท่านพระวักกลิถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านวักกลิว่า อาวุโส วักกลิ ท่านจงฟัง
พระดำรัสของพระผู้มีพระภาค และคำของเทวดา 2 องค์.
    

[219] ครั้งนั้นแล ท่านพระวักกลิเรียกภิกษุอุปัฏฐากทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า มาเถิด
อาวุโส ท่านจงช่วยกันอุ้มเราลงจากเตียง เพราะว่า ภิกษุผู้เช่นกับเรานั่งบนอาสนะสูงแล้ว จะพึงสำคัญว่า ตนควรฟังคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคนั้นอย่างไรเล่า? ภิกษุเหล่านั้น รับคำของ
ท่านพระวักกลิแล้ว ก็ช่วยกันอุ้มท่านพระวักกลิลงจากเตียงแล้ว กล่าวว่า ณ ราตรีนี้ เมื่อปฐม
ยามล่วงไปแล้ว เทวดา 2 องค์ ฯลฯ ได้ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว
เทวดาองค์หนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุ คิดเพื่อความหลุดพ้น
เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระเจ้าข้า ก็วักกลิภิกษุนั้น หลุดพ้นแล้ว
จักหลุดพ้นได้แน่แท้. อาวุโส วักกลิ แต่ว่าพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถึงท่านอย่างนี้ว่า อย่ากลัว
เลย วักกลิ อย่ากลัวเลย วักกลิ จักมีความตายอันไม่ต่ำช้าแก่เธอ จักมีกาลกิริยาไม่เลวทราม
แก่เธอ. พระวักกลิกล่าวว่า อาวุโส ถ้าเช่นนั้น ท่านจงช่วยถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มี
พระภาคด้วยเศียรเกล้า ตามคำของผมด้วยว่า พระเจ้าข้า วักกลิภิกษุอาพาธ เป็นไข้หนักได้รับ
ทุกขเวทนา เธอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า และยังได้สั่งมา
กราบทูล อย่างนี้ว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใด
ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์. ข้าพระองค์
ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณไม่เที่ยง ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ความพอใจก็ดี กำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้าพระองค์ ดังนี้. ภิกษุเหล่านั้น
รับคำท่านพระวักกลิแล้วหลีกไป ครั้งนั้น เมื่อภิกษุเหล่านั้น หลีกไปไม่นาน ท่านพระวักกลิก็
นำเอาศาตรามา.
    

[220] ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วักกลิภิกษุอาพาธ
เป็นไข้หนัก ได้รับทุกขเวทนา ท่านของถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า
และยังได้สั่งมากราบทูลอย่างนี้ว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า รูปไม่เที่ยง ไม่
สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์  มีความแปร
ปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่ข้า
พระองค์. ข้าพระองค์ไม่เคลือบแคลงว่า เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณไม่เที่ยง ไม่
สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สงสัยว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ความพอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักใคร่ก็ดี ในสิ่งนั้น มิได้มีแก่
ข้าพระองค์ ดังนี้.
    

[221] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า มาไปกันเถิด
ภิกษุทั้งหลาย เราจะพากันไปยังวิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ ซึ่งเป็นที่ที่วักกลิกุลบุตรนำเอาศาตรา
มา. ภิกษุเหล่านั้น รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไปยัง
วิหารกาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ พร้อมด้วยภิกษุเป็นจำนวนมาก. ได้ทอดพระเนตรเห็น ท่าน
พระวักกลินอนคอบิดอยู่บนเตียงแต่ไกลเทียว. ก็สมัยนั้นแล ปรากฏเป็นกลุ่มควัน กลุ่มหมอก
ลอยไป ทางทิศบูรพา ทิศปัจจิม ทิศอุดร ทิศทักษิณ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ.
ลำดับนั้นเอง พระผู้มีพระภาคก็ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมองเห็น
กลุ่มควัน กลุ่มหมอก ลอยไปทางทิศบูรพา ฯลฯ และอนุทิศหรือไม่? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
เห็น พระเจ้าข้า.
 พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นั่นแหละคือมารใจหยาบช้า ค้นหาวิญญาณของวักกลิกุลบุตร
ด้วยคิดว่าวิญญาณของวักกลิกุลบุตร ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งไหนหนอ? ดูกรภิกษุทั้งหลาย วักกลิกุล
บุตรมีวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ ปรินิพพานแล้ว.
     จบ สูตรที่ 5.

พ่อครูว่า...ประเด็นก็คือมีภาษาคำว่าร่างกาย ไม่มีกำลังไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าจะทวนคำสอน พระวักกลิก็ไม่มีปัญหา หมดสงสัย เป็นอรหันต์แล้ว แต่กายทนไม่ไหวจริงๆ ทนไม่ไหวก็ฆ่าตัวตาย แล้วพระพุทธเจ้าก็รับรองว่า พระวักกลิ เห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเป็นกายที่เป็นธรรม เป็นพรหม ก็คือเห็นพระพุทธเจ้า 

คำว่ากาย คือองค์ประชุมของความเป็นธรรม และพรหม ผู้ใดเข้าใจกาย ที่เป็นธรรมะสิ้นกิเลส จึงชัดเจน รู้แจ้งของตน นี่คือเครื่องตัดสินผู้รู้กายที่เป็นธรรม ผู้รู้กายที่เป็นพรหม 

มาดูอีกสูตรหนึ่ง

โคธิกสูตรที่ 3
    

[488] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทาน
เหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์ ฯ
    ก็สมัยนั้นแล ท่านโคธิกะ อยู่ที่กาลศิลาข้างภูเขาอิสิคิลิ ฯ
    

[489] ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้
บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ ภายหลังท่านโคธิกะได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้ง
ที่ 2 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร  มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
แม้ในครั้งที่ 2 ก็ได้เสื่อมจาก   เจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 3 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่
ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 3 ก็ได้เสื่อม
จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 4 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิต
มั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 4 ก็ได้เสื่อม  จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
นั้น แม้ครั้งที่ 5 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติ
อันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 5 ก็ได้เสื่อม จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 6 ท่านโคธิกะ
เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีจิตมั่นคงอยู่ ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์ แม้ในครั้งที่ 6
 ก็ได้เสื่อม จากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์นั้น แม้ครั้งที่ 7 ท่านโคธิกะเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
มีจิตมั่นคงอยู่ ก็ได้บรรลุเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์อีก ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านโคธิกะได้เกิดความคิดอย่างนี้ว่า เราได้เสื่อมจากเจโตวิมุติอันเป็นโลกีย์
ถึง 6 ครั้งแล้ว ถ้ากระไรเราพึงนำศัสตรามา ฯ
    

[490] ลำดับนั้นแล มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่าน โคธิกะด้วยจิตแล้ว
จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่าข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ มีเพียรใหญ่ มีปัญญามาก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และ
ยศ ก้าวล่วงเวรและภัยทั้งปวง ข้าพระองค์ขอถวายบังคมพระบาททั้งคู่
ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรใหญ่ สาวกของพระองค์อันมรณะครอบงำแล้ว
ย่อมคิดจำนงหวังความตาย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรือง ขอพระองค์จงห้ามสาวกของพระองค์นั้นเสียเถิด ฯ
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้ปรากฏในหมู่ชน สาวกของพระองค์ยินดีใน
พระศาสนา ยังไม่ได้บรรลุพระอรหันต์อันตัดเสียซึ่งมานะ ยังเป็นพระ
เสขะอยู่ ไฉนจะพึงกระทำกาลเสียเล่า ฯก็เวลานั้น ท่านโคธิกะได้นำ
ศัสตรามาแล้ว ฯ
    

[491] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาป จึง ได้ตรัสกะมาร
ผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
ปราชญ์ทั้งหลายย่อมทำอย่างนี้แล ย่อมไม่ห่วงใยชีวิต โคธิกะภิกษุ ถอน
ตัณหาพร้อมด้วยราก นิพพานแล้ว ฯ
    

[492] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย
เรามาไปสู่กาลศิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ อันเป็นที่โคธิกกุลบุตร  นำศัสตรามาแล้ว ฯ
 ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุหลายรูปได้เข้าไปยังกาลศิลาข้างภูเขา
อิสิคิลิ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นโคธิกะมีคออันพลิกแล้ว นอนอยู่บนเตียงที่ไกล
เทียว ก็เวลานั้นแล ควันหรือหมอกพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้
ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ ฯ
    

[493] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวก
เธอเห็นไหม ควันหรือหมอกนั้นพลุ่งไปสู่ทิศตะวันออก ทิศ ตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศ
เบื้องบน ทิศเบื้องต่ำ และอนุทิศ เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลรับพระดำรัสแล้วจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย นั่นมารผู้มีบาปเที่ยวแสวงหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ด้วยคิดว่า วิญญาณของโคธิก
กุลบุตรตั้ง อยู่ ณ ที่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย โคธิกกุลบุตร มีวิญญาณอันไม่ตั้งอยู่แล้วปรินิพพาน
แล้ว ฯ

[494] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปถือพิณมีสีเหลืองเหมือนมะตูมสุก เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
ข้าพระองค์ได้ค้นหาวิญญาณของโคธิกกุลบุตร ทั้งในทิศเบื้องบน ทั้ง
ทิศเบื้องต่ำ ทั้งทางขวาง ทั้งทิศใหญ่ ทิศน้อยทั่วแล้ว มิได้ประสบ
โคธิกะนั้นไป ณ ที่ไหน ฯ
    

[495] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
นักปราชญ์ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยธิติ มีปรกติเพ่งพินิจ ยินดีแล้วในฌานทุก
เมื่อ พากเพียรอยู่ตลอดวันและคืน ไม่มีความอาลัยในชีวิต ชนะเสนา
ของมัจจุราชแล้ว ไม่กลับมาสู่ภพใหม่ นักปราชญ์นั้นคือโคธิกกุลบุตร
ได้ถอนตัณหาพร้อมด้วยราก ปรินิพพานแล้ว ฯ
     พิณได้พลัดตกจากรักแร้ของมารผู้มีความเศร้าโศก ในลำดับนั้น ยักษ์  นั้นมีความโทมนัส
หายไปในที่นั้นนั่นเอง ฯ

พ่อครูว่า...ก็หมายความว่าผู้เป็นอรหันต์ก็ฆ่าตัวตายได้ ถ้าขันธ์ที่อาศัยมันสุดทน แล้วท่านก็ไม่ได้ห่วงหาอาวรณ์จริงๆ เหมือนพระโมคคัลลานะ ถูกทุบจนแหลก ท่านจะชุบตัวใหม่ก็ได้มีฤทธิ์แต่สุดท้ายท่านก็ยอมตาย แม้ท่านไม่เจ็บไม่ปวด แต่วิบากท่านมีอนันตริยกรรม จะต้องตายด้วยเหตุนี้ ความตายของพระอรหันต์นั้นเราจะเอาแค่เหตุปัจจัยเล็กๆน้อยๆไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่ 3 นี้ไม่ชัดว่าเกี่ยวกับกายโดยตรง

ในสองสูตรต้น พระฉันนะ กับพระวักกลิ เป็นผู้ไม่มีกายแล้ว ประเด็นพระวักกลิ ท่านหลงรูปของพระพุทธเจ้า แต่ได้ศึกษาจนเข้าใจคำว่ากาย หรือคำว่ารูป จนสุดท้ายเห็นธรรมกาย พรหมกาย เห็นกายของพระพุทธเจ้าแท้จริง แม้ทรมานก็เป็นร่างกาย ตายแล้วก็ไม่มีกาย เพราะหมดอวิชชาแล้ว เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสใน พาลบัณฑิตสูตรว่า แม้บัณฑิตหรือคนปุถุชน หากอวิชชา แม้ตายไปก็มีกาย

ถ้ากายของสัตว์อบาย เราลองทบทวนว่า ใครเคยมีกายของสัตว์อบาย แล้วตอนนี้เราก็ไม่มีกายของสัตว์อบายแล้ว เราไม่มีแล้ว กายของสัตว์อบายในจิตเราเป็นๆมันไม่มีแล้ว พวกเราเป็นไหมมีไหม?...มี 

ถ้าเราเข้าใจคำว่ากาย ที่ต้องรู้ได้ด้วยวิญญาณฐีติ ถ้าสมบูรณ์เป็นอรหันต์ต้องผ่าน อสัญญีสัตตายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้าผ่านวิญญาณฐีติ 7 ก็คืออนาคามีกับอรหัตตมรรค เราทำความจบ จนไม่ต้องกำหนดหมายในสัญญาแล้ว อสัญญีสัตตายตนะ คือไม่ใช่ว่าดับสัญญา แต่ว่าสัญญานี่ทำงาน ได้ แต่หมดความเป็นสัตว์ในสัญญาแล้ว มีวิโมกข์ 8

เช่นข้อ 2 อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ คือผู้นี้ต้องเรียนรู้มีกาย ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีองค์ประกอบครบรูป นาม ทั้งทวาร 6 แล้วรู้ทั้งภายนอกและภายใน คำว่าอรูปสัญญี ฉบับหลวงไปแปลว่าไม่กำหนดหมายในอรูป แต่ที่จริงต้องแปลว่า สัญญา กำหนดรู้ทั้งนอกและใน ทั้งอรูปและรูป อย่างเห็นๆแจ้งๆ สามารถกำหนดรู้ได้หมด ต่างหาก 

เมื่อไม่เข้าใจคำว่าสัญญานี้หมายถึงสภาวะอย่างไร ก็ไม่เข้าใจได้ ถ้าบอกว่าอสัญญีก็หมายถึงว่าดับ ที่จริง อสัญญีสัตว์แปลว่าดับ  จนไม่มีอายตนะ อสัญญีสัตว์ในสัตตาวาส 9 ข้อที่ 5 แต่อสัญญีสัตว์ไม่ใช่อสัญญีสัตตายตนะ (เป็นสัตว์มีอายตนะ)​ แต่อสัญญีสัตว์ดับสัญญาและอายตนะ ไม่มีเวทนา ไม่มีการรู้จิตวิญญาณเลย แต่อสัญญีสัตตายตนะนั้นมีการรู้ทั้งภายนอกภายใน ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ครบทวาร 6 รู้ทั้งกิเลสภายนอก รูปีรูปานิปัสสติ รู้ทั้งอาภัสสรา และสุภกิณหะ ว่าเป็นพรหม หรือวิสุทธิเทพ แยกแยะโลกียะกับโลกุตระได้

ถ้าไม่เข้าใจกายจะไม่รู้ วิญญาณฐีติ 7 และอายตนะ 2 พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ 

กายต่างกันสัญญาต่างกัน คือของปุถุชนหมด ไม่ว่าจะโลกียะหรือโลกุตระ ทั้ง สัตว์นรก เทวดา มนุษย์ ก็ต่างกัน แม้ภายนอก ปุถุชนก็ต่างไปหมด ข้อนี้ยกไว้หมดเลย 

ในอันต่อมา ผู้มีปฐมฌาน มีกายต่างกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน มิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิก็รู้เหมือนกันสัญญาเหมือนกันว่าไม่มีนิวรณ์ แต่มิจฉาทิฏฐิได้กายที่อยู่ในภพ ดับปี๋ แต่สัมมาทิฏฐิได้กายแบบลืมตา  องค์ประชุมรูปนามครบ ส่วนมิจฉาทิฏฐินั่งหลับตาในภพ แต่ไม่มีนิวรณ์กำหนดหมายเหมือนกัน ....จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:50:08 )

580714

รายละเอียด

580714_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 ให้เป็นลำดับ

พ่อครูว่า... วันนี้วันอังคารที่ 14 ก.ค. 2558  ....อาตมานี่พ้นโลกทางโน้นเขามา 45 ปีแล้ว ก็พูดๆๆๆ จนกระทั่งไปหาทางพูด ไปจ่ายตังค์เดือนหนึ่งหลายล้าน ถ่ายทอดคำพูดให้คนอื่นได้ฟัง จนแสนจนก็ยังอุตหาห์กระจายคำพูดนี้ไป คนก็ฟังน้อยอีก ก็ไม่เป็นไร จะฟังมากหรือน้อยก็แล้วแต่ คนไม่สนใจจริงๆ ยุคนี้เขาก็หลงงมงายกับสุขโลกีย์ที่เป็นสุขเท็จอยู่

อาตมาซาบซึ้งในหลวง ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ท่านตรัสชัดเจน ว่าคนเกิดมาจะไปหลงรวยกันหมดไปไม่รอด จะบริหารบ้านเมืองให้รวยกันหมดไม่ได้ ต้องมาเป็นแบบคนจน 

อาตมานี่พูดอย่างไรคนก็ไม่ฟัง แต่ในหลวงท่านตรัสไว้ เอาก็เอาไม่เอาก็แล้วไป คนไม่กระดิกหูเลย อาตมาเดาไม่ออกนะ ว่าคนที่ได้ฟังพระราชดำรัสในหลวง ที่ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ท่านก็กระจายไปตามพระวิสัยของท่าน เขาไม่เข้าใจก็นิ่งแสดงว่าต้องการคำอธิบายก็อธิบายต่อ จะบริหารประเทศแบบคนจน เขาก็ว่าจะบริหารได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา มันนึกไม่ออก หาทางแก้ไม่ได้ ที่แท้ว่าจะต้องมาแก้ที่ตนเอง ต้องเอาโลกุตระมาปรับใช้กับตน ก็น่าเห็นใจว่า โลกุตระก็หาได้ยาก แม้กระแสหลักก็ไม่รู้โลกุตระ ทำไม่ได้ ก็เห็นใจว่าเขาไม่สามารถรู้ได้ ก็พากเพียรไป 

อาตมาก็จะอยู่ไปอีก 70 ปีเพื่ออยู่พิสูจน์ทฤษฎีที่ว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ที่บอกว่าบริหารแบบคนจนทำอย่างไร 

เมื่อวานนี้ได้พูดถึงพระฉันนะ พระวักกลิ พระโคธิกะ ซึ่งพระโคธิกะท่านไม่ได้ป่วยหนักอะไร แต่ท่านบวชแล้วสึก คือได้เจโตโลกียะ บวชสึกถึง 6 ครั้ง 

ซึ่งคำว่า กาย แล้วทิ้งกายนี้ และยึดมั่นกายอื่น กายคือธรรมะสอง ต้องทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่งได้ ในสอง ซึ่งเวทนานั้นจากเวทนาสอง ก็ทำให้เป็นหนึ่งได้ ทำให้เป็นเอกบุรุษ คือปุริสสินทรีย์

ต้องเข้าใจเวทนา 108 ซึ่งก็คือเจตสิกต่างๆ แจกละเอียดเป็นเจตสิก 52 เจตสิก 89 แล้วก็เรียนรู้รูป 28 เรียนรู้องค์ประชุม รูปนาม นามก็คือ นาม 5 อย่าง และรูป 28

นามที่เรียกว่า นามกาย และรูปที่เป็น รูปกาย

องค์ประชุมของนาม คืออาการจิต ตนเองก็อยู่กับอาการความรู้สึกนั้นเรียกว่า นามกาย 

ส่วนรูปกาย คือองค์ประชุมของรูปนาม ที่เราไปรู้นามนั้นเข้า สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป รูปที่มีนามประชุมอยู่ เรียกว่า รูปกาย ทั้งนามกายและรูปกาย ต้องรู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส หากไม่มีอาการไม่มีทางรู้ 

อาการมันมีจริงในจิต แต่คุณไม่ได้เรียน เรียนไม่ถูก เรียนแล้วก็ปฏิบัติแบบอ่านไม่ออก แม้จะผัสสะแล้ว มีปฏิฆสัมผัสโสแล้ว มันเกิดเป็นการปฏิ คือ Action  และ Reaction เกิดการควบแน่นคือ ฆ คือนามธรรม ที่มีอาการควบแน่น สัมผัสโส เรียกว่า นามกาย 

แม้แต่แปลคำว่า ปฏิฆะไม่ใช่ความโกรธนะ แต่เป็นอาการสะท้อนไปสะท้อนมา ไม่นิ่งกระทบกระแทกกันอยู่ ไม่สบาย ร้อนใจคือปฏิฆะ แต่ถ้าสภาพราคะมันชื่นใจไม่ร้อนใจมันดูดด้วย 

ที่แปลภาษาซ้อนคือเอาจากสภาวะที่เป็นจริงมาขยายให้ฟัง คุณจะอ่านปฏิฆสัมผัสโสต้องอ่านอาการจริงนั้นได้ คุณจะรู้อาการจากปฏิฆสัมผัสโส จากผัสสะแล้วอ่านนามธรรมของเรา เช่นสุขเวทนา คือความรู้สึกสุขต้องอ่านอาการนี้ออก แม้อาการนี้ ไม่มี 

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต
อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง
ปรากฏได้บ้างไหม ฯ
      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

แม้จะเรียกชื่อว่า เวทนานี้คือสุข ทุกข์ก็ไม่ได้เพราะไม่ได้กำหนดรู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

ไม่รู้อาการของนามกาย ที่เป็น สุข เป็นทุกข์ แม้แต่อาการตัณหา อาการกาม มันก็เป็นของมันเอง ในนามกาย เราต้องรู้มีญาณปัญญาหรือสัญญาเข้าไปเรียนรู้กำหนดรู้เวลามันเกิดจริงสัมผัสจริง เป็นปฏิฏสัมผัสโส ถ้าไม่มีชื่อเราก็จะขานชื่อของมันได้ ว่าอ๋อ อย่างนี้เอง อาการสุขเวทนา อาการนี้ทุกขเวทนา อาการอย่างนี้โกรธ เป็นโทสะมูล อย่างนี้ราคะ โลภะ ก็จะรู้จักอธิวจนะ กำหนดชื่อเรียกชื่อได้ 


เรามาทวน สัตตาวาส 9 หรือวิญญาณฐิติ 7 ล.10

[65] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2 เหล่านี้ วิญญาณฐิติ 7    เป็นไฉน
คือ
      1. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวกพวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 1

แต่ก่อนเราไม่รู้ว่าจิตเรา เป็นอย่างไร ดีอย่างโลกียะก็เป็นสมมุติเทพ ที่มีความสุข เขาถือว่าดีกว่าความทุกข์ คือสุขทุกข์โลกีย์ สุขได้สมใจกิเลส ได้ภาคภูมิใจ แม้แต่ได้ทำคุณงามความดีโลกีย์ ส่วนเป็นเทพจิตวิญญาณ เป็นอุบัติเทพ เป็นเทพที่รู้จักทิศทางเข้ากระแส โดยเฉพาะอ่านมโนปวิจาร 18 ว่าอาการมันเข้ากระแสโสตาปฏิปัณนะ ทวนกระแสใจที่แม้จะกดข่มก็รู้ จะเกิดปัญญาก็รู้ว่าเข้ากระแสง่ายกว่า จะอ่านอาการเหล่านี้ออก เห็นของตนเองเลย 

จิตมนุษย์คือจิตสูง หากเป็นอบายก็รู้ แม้แต่จิตเราเป็นจิตดี มีกตเวทิตา เสียสละ เป็นกัลยาณธรรมก็รู้อาการ แต่ไม่รู้จิตเจตสิกที่เป็นปรมัตถ์ แต่รู้ความดีต่างๆ ขยันอดทน เสียสละ กตัญญู ก็พอรู้ว่าดี ก็ทำได้ แต่เป็นปรมัตถ์ต้องไปอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นกิเลสที่เป็นสักกายะ แล้วทำให้กายของสัตว์โอปปาติกะตายได้ เช่นสัตว์อบาย แต่ก่อนมีอินทรีย์กำลังแรง แต่ตอนนี้มันลดลง แล้วมันห่างไปเบาลง มีความถี่ลดลง เราจะรู้ลิงค ความแตกต่างพวกนี้ มันช้า หรือเร็ว ห่างหรือใกล้ เราจะเกิดจริงเป็นจริงในใจเราหมด 

จะอ่านออกว่าสัตว์นรก วินิปาตะ เปรต อสุรกาย แจกเป็นอบายภูมิ 4 ก็รู้ หากนรกก็ร้อนเร่ารุนแรงหนัก ถ้าเป็นเปรตก็อยากตัณหาแรง ถ้าแรงก็เป็นสัตว์นรก หากไม่รู้ก็เป็นเดรัจฉาน หากรู้แต่ไม่กล้าทำดีก็เป็นอสุรกาย เราก็รู้อาการทั้ง 4 นี้ให้รู้ลิงคะ เราก็จะอ่านออก ผู้ที่มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน

สัญญาของคนอวิชชามันก็ไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะคนอวิชชา กายเขาก็เข้าใจว่าคือร่าง ส่วนใจไม่รู้เรื่องเลย อาการทางใจ แต่บางพวกอ่านอาการทางใจออกแต่มิจฉาทิฏฐิ จึงเห็นกายต่างกันสัญญาต่างกัน

ใครที่สัญญาว่า กายของเทวดาต้องมีรูปร่าง ถ้าของไทยใส่ชฎาด้วย ถ้าของฝรั่งก็มีมงกุฏ ถือไม้วิเศษก็แล้วแต่จะสัญญากำหนดหมายไป ก็กำหนดหมายรูปว่าต่างกัน คำว่า นามก็เข้าใจไม่ได้แม้แต่คำว่ากายกัน เขาเข้าใจว่าคือรูปร่างไม่ใช่อาการทางใจนะ

ผู้เรียนมิจฉาทิฏฐิก็เข้าใจว่า กายคือเป็นรูปร่างไม่ได้ฟังสัทธรรม จากสัตบุรุษ ไปฟังแต่บุรุษที่เป็นสัตว์ ก็เลยไม่รู้เรื่อง ไม่มีทางรู้กายที่เป็นปรมัตถ์ เพราะมิจฉาทิฏฐิ 

2. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย 4 นี้เป็นวิญญาณ  ฐิติที่ 2


มารู้ปฐมฌานขั้นที่ 1 สามารถลดกิเลส ทำให้กิเลสนิวรณ์ 5 หมดไปได้ พวกสายนั่งหลับตาก็พอรู้อาการของนิวรณ์ 5 ได้ พวกมิจฉาทิฏฐิ เป็นแต่ในรูปภพ อรูปภพ ที่ไปนั่งหลับตา แต่ว่าพวกที่สัมมาทิฏฐิจะเห็นตั้งแต่กามภพ เห็นรูปภพ อรูปภพได้ด้วย แม้จะขั้นที่1 ก็สามารถเห็นนามรูปว่าเป็นองค์ประชุมที่ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้

3. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร   นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 3

สายมิจฉาทิฏฐิ ก็เห็นว่า กายจะได้สว่างเหมือนกัน แต่สัญญากำหนดหมายต่างกัน สว่างเหมือนกัน องค์ประชุมรูปนามก็ต่างกัน พวกนี่นั่งหลับตาให้เจอความใสก็ใสลึกเข้าไปๆ ไม่รู้ว่าจะใสต่างกันอย่างไร ใสจนว่าคือพระพุทธเจ้า แต่จะใสอย่างไรก็มีหัวปุ่มกับไม่ปุ่ม เลยแตกเป็นสองกลุ่ม ก็เพราะเห็นกายต่างกัน ไปเห็นกายหัวปุ้มกับหัวแหลม เห็นใสเป็นพระพุทธเจ้าต่างกัน

แต่ของพระพุทธเจ้านี้สว่างแบบ มีตานอกตาในพร้อม มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา ซึ่งก็สัญญาว่าสว่างเหมือนกัน แต่กายที่ได้ต่างกัน เขาก็นั่งปั้นให้เห็นอาภัสรา โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ฯ จนเป็นพระพุทธเจ้าก็อาภัสราต่างกันไปอีก ก็ปั้นเอาทั้งนั้น 

วิธีจำ กายต่างกันสัญญาต่างกัน_ กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน_ กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน_ กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน นี่วิธีจำ สัตตาวาส 4 ข้อแรก

 4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ   ชั้นสุภกิณหะนี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4

ทั้งคู่ได้สิ่งน่าพึงใจทั้งคู่คือไม่มีอาการของสิ่งไม่น่าพึงใจ เป็นการดับ คือนิโรธ ของฝ่ายมิจฉาทิฏฐิก็ดับมืดดำ ไม่มีไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลยไม่รู้สึกอะไร นี่คือสุภกิณหะ 

ส่วนสายสว่าง  ได้นิโรธด้วยบอกว่าเป็นเทพที่เป็นความงดงาม  ของท่านประยุตต์บอกว่า เป็นพวกมีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า  ส่วนพวกอาภัสราท่านแปลว่าเป็นพวกมีรัศมีสุกปลั่งซ่านไป 

พวกมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจสภาวะไม่ได้ก็จะแปลไปตามพยัญชนะ คำว่ากิณหะ แปลว่าดำชั่ว ส่วนสุภะแปลว่าดีงามน่าพึงใจพอใจผู้ที่มีสัญญาว่าได้นิโรธก็ได้นิโรธทั้งคู่ น่าพึงใจทั้งคู่ แม้พวกมิจฉาทิฏฐิไปได้ความดำเขาก็ว่าเขาสุภะ เพราะเขาสัญญาเช่นนั้นจริง เขาว่าจะต้องได้ดับเวทนาหมดไม่เหลือ ดับสัญญาด้วย สัญญาเวทยิตนิโรธเขาก็ว่าดับทั้งเวทนาและสัญญา กายเขาก็ได้นิโรธดับดำมืด แต่ไม่ใช่กายกับสัญญาต่างกับพวกสัมมาทิฏฐินะ แต่ต่างกันตรงทิฏฐิที่สัมมากับมิจฉา

กายที่เขาได้ก็ได้อย่างที่เขาหมายคือดำ แต่ของสัมมาทิฏฐิได้นิโรธก็ดับ แต่ดับเวทนาอีกส่วนหนึ่งในเวทนาสอง ให้กลายเป็นหนึ่ง ดับส่วนที่ควรดับ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสูตรนี้แหละ 

ล.10 ข.63

[63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไร
ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา ถ้าเวทนา
ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา    

อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตา   ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้อง
เสวยเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น   อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่าง
นั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนา
 มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็ง
เห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา 

อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวย
ทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ ใน สมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้   เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คง
เสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ใน
สมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
      

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขม  สุขก็ดี
ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความ คลาย และความดับ
ไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนา
อันนั้นดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็น
ว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อ  ทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไป
แล้ว เมื่อเสวย อทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนา
 อันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า  เวทนาเป็นอัตตา
ของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง     เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ
อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่
กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึง
 ถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ใน  รูปขันธ์นั้น ยัง
จะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ
 ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ


เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนา ไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำดังกล่าว แล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่  ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวย
เวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็
เพราะเวทนาจะต้อง   ดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
 เวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว ฯ
 ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ
เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า  เวทนาไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำ    ดังกล่าวแล้วนี้ ฯ

(นี่คือดับเวทนาในส่วนที่ควรดับคือเคหสิตเวทนา เหลือเวทนาในส่วนที่ควรเหลือคือเนกขัมสิตเวทนา)

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวงนี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

ขั้นนี้ผ่านรูป มาถึงอรูปแล้วก็ผ่านจากอุเบกขา จิตว่างแล้ว คือฌาน 4 แล้วล่วงสู่อรูปฌาน 1 คือบรรลุอากาสานัญจายตนะ คือโดยการทำใจในใจ 

ใครเคยนั่งหลับตา ถึงอุเบกขาไม่มีนิวรณ์แล้วแต่มันไม่ใสก็กำหนดหมาย สัญญาต่อ แล้วจะหลุดสู่อากาศเลย มันไม่มีขอบฟ้า ว่างหาที่สุดมิได้เลย นี่คือพวกนั่งหลับตามิจฉาทิฏฐิ 

สูงกว่า อุเบกขา คืออากาสานัญจายตนะ คือว่างเบายิ่งกว่าอุเบกขา คุณทำใจในใจ(มนสิการให้ได้) อาการนี้ให้ได้ คือว่างจากตัณหา ว่างจากภพ ที่เป็นกามภพ ภวภพ  แม้จะมีกระทบสัมผัส(ปฏิฆสัมผัสโส)แบบไหนๆก็ตาม ไม่เกิดกิเลส โดยไม่ต้องทำใจในใจอีกเลยเพราะว่าทำได้โดยปกติอัตโนมัติแล้วนั่นเอง คือไม่ต้องทำเพราะผ่านได้แล้ว 

จากรูปภพ มาสู่อรูปภพแล้ว ลักษณะของปฏิฆะ จะไปแปลว่าแค่ความไม่สบายใจก็จะได้ไม่ครบ ต้องมีทั้ง Action and reaction เกิด สภาพ ฆ คือปฏิกิริยากัน 

ไม่ต้องทำใจแม้แต่ นานัตตะ คืออัตตาต่างๆ (นานะ + อัตตา) ในระดับที่ผ่านมาขั้นนี้ไม่ต้องแล้ว มันเป็นอรูปอัตตาแล้ว ที่ผ่านมาขั้นโอฬารกอัตตา มโนมยอัตตา ผ่านขั้นรูปมาแล้ว เหลืออรูป เป็นรูปที่ละเอียดกว่ารูป มันก็มีรูป เหมือนเวทนาจะบอกว่าไม่มีรูป มันก็มีรูปอยู่นะ ถ้าไม่มีสภาวะจริงก็จะเมาได้เลย 

อสัญญา หรืออมนสิการ หรืออสังขาร อปุญญะ ถ้าแปลระนาบเดียวไม่ได้ หรือจะแปลอสัญญีสัตตายตนะว่า ไม่มีสัญญา นั้นไม่ได้ แต่ว่าต้องมีสัญญาที่ไม่ต้องทำให้หมดกิเลสอีกแล้ว

ถ้าผ่านมาถึงอากาสาฯก็คือผ่าน มาถึงปริเฉทรูปแล้ว ตั้งแต่ปสารูป กับโคจรรูป มาเป็นภาวรูป 2 ทำให้เป็นเอกสโมสรณาได้ เป็นหนึ่งได้ จนมาถึงขั้นว่า อากาสาฯ ที่เป็น 0 แต่ก็ยังมี 1 นะเพราะอยู่โดยส่วนสองเราก็ยังไม่ตายนะแต่รู้สึกว่าง กว่าอุเบกขาแล้ว 
นานัตตะสัญญาโดยอัตตาต่างๆ อัตตาต่างๆคือทำให้ตัวยากหมดแล้วเหลือแต่อัตตาที่เหลือ เช่นทำจากหลายให้เป็นหนึ่ง ทำให้เป็นปุงลิงค์ได้แล้ว กำลังจะทำให้เป็น นปุงสกลิงค์  

6. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 6
      
แม้หลับตาทำฌานที่ 5 ได้คือวิญญานัญจาฯ คือตั้งแต่ อากาสาฯ ตนเองจะรู้สึกว่าว่าง แต่ไม่รู้ตัวเอง แต่ว่าถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราอยู่กับความว่างคือรู้ตัวคือวิญญานัญจายตนะของนั่งสมาธิหลับตา รู้สึกตัวว่าเราทำไมเบาว่าง ไม่อยากจะออกจากตรงนั้นเลย แต่คนเข้าใหม่ๆจะอยู่ไม่นาน แต่คนทำบ่อยทำเก่งก็อยู่ได้นาน พอเข้าถึงอากาสาฯ คนที่ได้ใหม่ๆจะรู้ตัวช้า แต่คนที่ทำได้แล้วหลายทีจะรู้ตัวเร็วเป็นวิญญานัญจาฯเร็ว 

ส่วนของสัมมาทิฏฐิ อากาสาฯ วิญญานัญจาฯจะไม่เหมือนในภพของนั่งหลับตา ของสัมมาทิฏฐิจะไม่มีภพ มันว่างโดยเป็นลำดับ โสดาบันก็ว่างจากอบายภูมิ อย่างรู้ว่าอบายภูมิมีเหตุปัจจัยจากปสาทรูป โคจรรูป มาเป็นภาวรูป ในอาหารรูป 4 หทยรูป จนถึงปริเฉทรูป(อากาศ) ก็ได้หมด ไปถึงอากาสาฯ เป็นลืมตาเห็นหมดทุกอย่างว่าเป็นวิญญาณใสสะอาด ซึ่งกายไม่ได้เหมือนกับของมิจฉาทิฏฐิ ทั้งกำหนดสัญญาก็ต่าง กายก็ต่าง แต่ไม่ใช่อย่างวิญญาณฐิติข้อ 1 แต่นี่เป็นข้อหลังแล้ว 

ของมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นอุปาทานว่าว่าง แต่ไม่ได้ว่างจากอาการของกิเลสตัณหา มันอยู่ในภวังค์เป็นภพภูมิที่ว่าง แต่ว่าของพุทธว่างจากสิ่งที่เราจะให้ว่าง เช่นศาลานี้ว่างจากสัตว์ใหญ่เช่นไดโนเสาร์ แต่ไม่ว่างจากช้าง แต่ต่อมาเราก็ให้ช้างหมดไปอีกก็เหลือสัตว์ต่อไป มีลำดับความว่า โดยกำหนดได้ว่า อากาศคือรูป ส่วนวิญญาณคือนาม ก็ได้

7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7
อาตมาแปลว่า คือทำใจในใจไม่ให้มีอะไร... 

พวกที่นั่งสมาธิหลับตา พอผ่านอากาสาฯ วิญญานัญจาฯก็ยังสว่างในภพอยู่ แต่ก็เรียนมาว่าต้องดับถึงจะดี ก็จึงดับมันอีก ทั้งอาฬารดาบสและอุทกดาบส ดับดำกิณหะเลย อาฬารดาบสดับได้แค่อากิญจัญญายตนะ ส่วนอุทกดาบสดับได้ละเอียดกว่า อาฬารดาบสเพราะมันรู้สึกแวบว่ายังมี 

แล้วก็ดับเข้าไปอีก เลยไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ ในของฤาษี ซึ่ง สัญญาเวทยิตนิโรธจะมีแต่ของพุทธเท่านั้น
ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
พวกนั่งหลับตาจะไปต่อสองอย่างนี้ไม่ได้ ต้องของพุทธเท่านั้นถึงจะมี อายตนะอีก 2 นี้ได้

อสัญญีสัตตายตนะมีอายตนะสัมผัสอยู่ แต่ท่านพ้นแล้ว พ้นความเป็นสัตว์แล้วไม่ต้องศึกษาไม่ต้องกำหนดอีก หรืออาจบอกว่าไม่ต้องมนสิการแล้วก็ได้เพราะท่านได้มนสิการมาจนเสร็จจบแล้ว 

เนวสัญญานาสัญญายตนะคือทำสัญญาให้ทะลุหมดเลยไม่ว่าไม่รู้หรือรู้ต้องรู้ให้หมด แทงทะลุหมดเลยจนไม่ต้องสัญญาคืออสัญญี อายตนะ 2 นี้กลับไปกลับมาเฉพาะ มนายตนะกับ ธรรมายตนะ จิตกับธรรมทรงไว้ซึ่งความไม่เป็นสัตว์ ทรงไว้ซึ่งสัญญาที่ต้องล่วงพ้น ต้องผ่านเนวสัญญานาสัญญายตนะ ต้องรู้จนพ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชาสังโยชน์ จึงจะจบอายตนะ 2 

วิญญาณฐีติต้องครบอายตนะ มีผัสสะ 3​จึงจะมีนามรูปของวิญญาณ มีนาม 5 (เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ) 

จิตของคุณมีนิวเคลียสเป็น 0 กับ 1 โดยมีนิวตรอนกับโปรตอนทำงานกับอิเล็กตรอน ในนิวตรอนมีธรรมะสองแต่ไม่ทำงาน แต่ถ้ามีปฏิกิริยาก็จะแตกตัวมาทำงานเป็นจีโนมเป็นสาย เอกบุรุษโปรตอนเป็นตัวทำงานอย่างสุภาพ แต่อิเล็กตรอนทำงานอยู่รอบนอกเป็นอิตถีภาวะ ตัวทำงานเป็นโปรตอน ตัวพักคือนิวตรอน นิวเคลียสมี 0 กับ 1 ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงไม่มีตัวกวนรวนเร หากมีอิเล็กตรอนด้วยจะเบี้ยวได้

แต่ทำงานอย่างมีอุเบกขา 5 และมีวิการรูป 5 ให้เบา ลหุตา โดยมีจิตมุทุตา หัวอ่อน เชิงปัญญาแววไว เชิงโจโตก็ปรับได้ง่ายตามบารมี แล้วกำหนดทำกรรมการงานได้อย่างเหมาะควรให้กายวิญญัติ วจีวิญญัติได้ตามกำหนด เป็นวิการรูป คือการงานอันวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรมสูง นี่คือลักษณะของรูปที่เกือบสุดท้ายแล้ว สุดท้ายก็เป็นลักขณรูปอีก 4 ที่มีเกิด มีต่อ มีเสื่อม และไม่เที่ยงคืออุปจยะ สันตติ ชรตา และอนิจจตา ....จบ 


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:51:00 )

580716

รายละเอียด

580716_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ พุทธาวตารปราบมารในตน

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 16 ก.ค. 2558 ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8(2) ปีมะแม ... มาอยู่ฉากน้ำตกอโศก  ในประเทศไทย บางแห่งเขาแห้งแล้งกัน เห็นก้นน้ำตกเลย เราเองก็มีกำหนดการจะไปภาคใต้ ทัวร์ใต้ ก็ไปถึงพะโต๊ะ จ.ชุมพร ทุกทีจัดกันที่ตรัง แต่ตอนนี้ ย้ายไปจัดที่ ธรรมชาติอโศก พะโต๊ะ จ.ชุมพร ก็จะเวียนไป จัดที่ทะเลธรรม และที่ชเลขวัญ ซึ่งไปปีนี้ไม่ได้ไปนานหลายปี

ตอนนี้ต้นไม้มันคงใหญ่โตมาก มีผลไม้ ให้คนมาเก็บกิน คนข้างนอกมาเก็บกินก็ไม่เป็นไร เรามาปฏิบัติธรรมจิตใจจะไม่คับแคบ ไม่หวงแหน อาตมาเห็นพัฒนาการจิตใจพวกเรา เป็นผลพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่าคือสัมมาทิฏฐิแน่นอน แต่คนไม่ค่อยสนใจ มาถึงยุคนี้แล้ว

ของฮินดู เขาแบ่งยุคเป็นยุคเป็น 10 ยุค 

อวตารทั้งสิบปางของพระวิษณุประกอบด้วย

    มัตสยาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นปลาชื่อ "ศผริ" เพื่อช่วยเหลือพระมนูให้รอดจากโลกาวินาศในช่วงพรหมราตรีจนกระทั่งไว้ตั้งวงศ์มนุษย์ขึ้นมาใหม่ และสังหารอสูรหัยครีวะซึ่งลักเอาพระเวทไปจากพระพรหม เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์มัตสยะปุราณะ
    กูรมาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นเต่าเพื่อรองรับเขาสมุทรมันทรในพิธีกวนเกษียรสมุทร เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์กูรมะปุราณะ
    วราหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นหมูป่า เพื่อประหารยักษ์หิรัณยากษะ ซึ่งได้ลักเอาแผ่นดินโลกไปจากพื้นสมุทร เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วราหะปุราณะ
    นรสิงหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นนรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์) เพื่อประหารพญายักษ์หิรัณยกศิปุ ผู้ซึ่งกระทำทารุณกรรมต่อประหลาทกุมารซึ่งภักดีต่อพระวิษณุ
    วามนาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์หลังค่อมชื่อวามนพราหมณ์ เพื่อปราบพยศของพญายักษ์มหาพลี เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วามนปุราณะ
    ปรศุรามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์ชื่อปรศุราม ("รามผู้ถือขวาน") เพื่อปราบกษัตริย์ผู้มีพันกรชื่อกรรตวิรยะอรชุน ซึ่งกระทำการเบียดเบียนข่มเหงแก่คนวรรณะพราหมณ์อย่างหนัก และกวาดล้างเชื้อวงศ์วรรณะกษัตริย์ที่เป็นบุรุษจนหมดสิ้นทั้งโลก
    รามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระราม กษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา วีรบุรุษในมหากาพย์เรื่องรามายณะ
    กฤษณาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ กษัตริย์แห่งกรุงทวารกา ผู้เป็นตัวละครหลักในคัมภีร์ภควตปุราณะ มหากาพย์มหาภารตะ และอนุศาสน์ภควัทคีตา อย่างไรก็ตาม ในทศวาตารฉบับดั้งเดิมนั้นกล่าวว่าพระพลรามซึ่งเป็นพี่ชายของพระกฤษณะเป็นอวตารปางที่แปดของพระวิษณุ ส่วนพระกฤษณะนั้นคือต้นธารแห่งอวตารทุกปางที่ปรากฏในโลก[9]
    พุทธาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระโคตมพุทธเจ้า[10] ศาสดาในศาสนาพุทธ ความเชื่อนี้มาจากคัมภีร์ภาควตปุราณะซึ่งเรียบเรียงขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ 9[11]
    กัลกยาวตาร - ในอนาคตกาลเมื่อถึงปลายกลียุค พระวิษณุจะอวตารมาเป็นบุรุษขี่ม้าขาวชื่อกัลกิ ("นิรันดร", "กาลเวลา", หรือ "ผู้บำราบความเขลา") เพื่อปราบยุคเข็ญ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในกัลกิปุราณะ

ปางนี้ขณะนี้โลกใกล้กลียุคแล้ว จะบอกว่าเป็นศาสนาไหนๆ เขาก็มีการพยากรณ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งเหลวไหลทีเดียว นำเอามาใช้ประโยชน์ได้แต่คนติดยึดในความรู้ก็ปฏิเสธคนอื่นไปหมด พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ส่ิงดี สิ่งไม่ดี รู้ดีมากดีน้อย เอาไปใช้ได้จริง ทั้งวัตถุและจิต โดยเฉพาะจิตเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง จะปางไหนก็ตาม ก็มีลักษณะความรู้ที่เอามาใช้ได้ เพราะถ้าเป็นลัทธิขึ้นมา ก็จะมีความดีงามอยู่ เพราะถ้าไม่ดีงามก็เป็นลัทธิไม่ได้ เพราะมนุษย์มีความรู้อยู่ 

พระพุทธเจ้ารู้เรื่องมนุษย์กับสังคม แม้เป็นปางต่างๆก็อธิบายได้  อธิบายถึงลักษณะของจิตคน บางคนมันแย่เหมือนปลาเหมือนเต่า เหมือนหมู เหมือนหมา มันก็เป็นจริงหรือแม้จะเป็นปางที่ 4 ของจิตวิญญาณคน ที่งมงายโง่เง่า เหมือนเต่าเหมือนปลา เหมือนหมูเหมือนหมาเลวชั่ว จนกระทั่งยิ่งพอเป็นมนุษย์สิงห์ก็กัดไม่เลือกเลวร้ายรุนแรง จนมาเป็นมนุษย์ก็พอรู้บ้างเป็นวามนาวตาร 

หรือเป็นเทวบุตรมาร ที่เป็นคนแต่จิตวิญญาณเลวร้าย ยิ่งกว่าสัตว์ร้ายรวมกันอีก เป็นกฤตยุค หรือวิกฤติยุค เพราะจิตวิญญาณมันซับซ้อนกลับไปกลับมา เป็นจิตสัตว์แต่เป็นมนุษย์ที่ซ้อนเอาจิตสัตว์มาใช้แล้วชั่วได้หนักกว่าอีก สังคมโลกแต่ละชาติล้วนแล้วแต่จะแสดงท่าทีให้คนมองว่าฉันดีฉันประเสริฐ แต่ในใจโหดเหี้ยมลึกที่สุด เห็นแก่ตัวจัดจ้านที่สุด 

มาถึงยุคนี้ถือว่าอเมริกาเป็นมหาอำนาจใหญ่ในโลกมีอำนาจทางอาวุธ ทางเศรษฐกิจสังคม แล้วก็อยากจะฆ่า หาเรื่องฆ่า ไปถล่มอิรักเขาดื้อๆ หาว่าเขาสะสมอาวุธนิวเคลียร์ จับได้ว่าหาเรื่องเขา เขาไม่มี แล้วก็ไม่มีใครทำอะไร แล้วก็ยอมรับนับถือกันอยู่ ประเทศไทยหากยอมรับนับถือคนไม่ดี ก็จะพลิกฟื้นกลับมาไม่ได้ มันถึงยุคที่ต้องให้คนดีมาบริหารบ้านเมือง เหมือนในหลวงเราตรัสไว้ ต้องรับใส่เกล้าเลย เราไม่โหดร้ายต่อเขาแต่ไม่ให้เขามาเป็นใหญ่ ให้คนดีจริงใจมาบริหาร 

ตอนนี้เดือดร้อนกันหนัก เนปาลก็แผ่นดินถล่ม มันไปกว้างกว่าซึนามิอีก ตอนนี้เมืองไทยก็เจอหางเลขแล้ง แต่ที่บ้าราชฯนี่แปลก แม่นำ้ก็มี แต่ฝนตกฉำ่ ต้องระบายน้ำ แล้วเราก็ทำนากันเยอะเลย ให้ต้นข้าวเขียวรอบราชธานีอโศกเลย หลายร้อยไร่ มีคนทำงานหลักเรียกว่า น้อย(ร้อยหล้า) เขาเรียก ร้อยไร่ หรือตอนนี้เรียกว่า น้อย ห้าร้อยไร่ พวกเราก็ลงแขกกันทำนา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ช่วยกันทำนา ให้เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต จิตวิญญาณมนุษย์ลึกๆ นำพากัน ถ้าเป็นจิตเป็นเช่นนี้เห็นดีด้วยแกนของจิต ลึกๆมีพลังเหนี่ยวนำ ดึงดูดสูง รวมเป็นเอกีภาวะ เป็นไปตามลำดับ อย่างอินเดียนี่จิตลึกๆเขาเป็นเช่นนี้เปลี่ยนแปลงยาก ทำลายไม่ง่าย ไปสลายแม้เรื่องวรรณะ 4 ของเขา (พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ สูทร) แม้ไม่มีกษัตริย์แล้วแต่เรื่องวรรณะเขาก็มีอยู่ ให้เปลี่ยนหรือละเมิดเขาไม่ทำ เขายอมรับจริงๆ 

ขณะนี้เขาเดือดร้อนอาตมาเห็น แต่คราวนี้ เขาจัดให้มีบูชาดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะทำพิธีกันฟื้นพิธีกัน อาตมาเคยพาบูชากันด้วยภาษาไทย เคยเขียนคำบูชาเอาไว้ อาตมายังจำได้ ในวันที่จะบูชา ปีไหนจำไม่ได้อาตมาไม่ได้เตรียมเลยนะ ก็เอากองไฟมา ให้เอาน้ำใส่กะละมังใส่น้ำมา แล้วก็เขียนคำบูชาตรงนั้นเลย ไม่ได้แก้ไขเลย ตอนหลังก็เอามาใช้อีก 

            บูชาดินน้ำลมไฟ

    เราเกิดมาจาก ดิน แท้ๆ
    เราเกิดมาจาก น้ำ แท้ๆ
    เราเกิดมาจาก ไฟ แท้ๆ    
    เราเกิดมาจาก ลม แท้ๆ
        เราอาศัย ดิน มีชีวิตอยู่จริงๆ
        เราอาศัย น้ำ มีชีวิตอยู่จริงๆ
        เราอาศัย ไฟ มีชีวิตอยู่จริงๆ
        เราอาศัย ลม มีชีวิตอยู่จริงๆ
            ในตัวเรานี้ ก็คือ ธาตุดิน แท้ๆ
            ในตัวเรานี้ ก็คือ ธาตุน้ำ แท้ๆ
            ในตัวเรานี้ ก็คือ ธาตุไฟ แท้ๆ
            ในตัวเรานี้ ก็คือ ธาตุลม แท้ๆ
    เราจะขอรัก ดิน แนบใจ
    เราจะขอรัก น้ำ แนบจิต
    เราจะขอรัก ไฟ แนบชีวิต
    เราจะขอรัก ลม แนบชีวัน
        เราขอระลึกถึงบุญคุณของ ดิน ด้วยความนบนอบ
        เราขอระลึกถึงบุญคุณของ น้ำ ด้วยความเทิดทูน
        เราขอระลึกถึงบุญคุณของ ไฟ ด้วยความบูชา
        เราขอระลึกถึงบุญคุณของ ลม ด้วยความคารวะสุดหัวใจ
            ขอกราบ ดิน ด้วยความสำนึกบุญคุณอันยิ่งใหญ่
            ขอกราบ น้ำ ด้วยความสำนึกบุญคุณอันล้นพ้น
            ขอกราบ ไฟ ด้วยความสำนึกบุญคุณอันมากมาย
            ขอกราบ ลม ด้วยความสำนึกบุญคุณอันสุดสูง
    ขอให้ ดิน น้ำ ไฟ ลม บริสุทธิ์ผ่องใสไปชั่วกาลนานเทอญ. 
    
มหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วเราก็อยู่กับสิ่งที่ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมตัวประกอบมาเป็นพืช จนพัฒนามาเป็นมนุษย์ จนเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่ดีที่ประเสริฐได้ มีศาสดามากองค์ที่คิดค้น พัฒนาตนชาติแล้วชาติเล่า วนเวียนกันไป โดยตนเองต้องเป็นจริงด้วยไม่ใช่แค่รู้ ทั้งกาย วาจา ใจ แล้วใจเป็นประธานด้วย ถ้าผู้ใดไม่เรียนเรื่องจิต จะให้ตนเป็นผู้ประเสริฐจริงแท้ได้อย่างไร

พระพุทธเจ้าคัดไว้เป็นคนอาริยะเป็นคนอีกโลกที่ไม่เป็นทาสโลก ซึ่งเขารู้ดีกันสรุปว่า เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่สุขด้วยกาม (สุขขัลลิกะ) และสุขด้วยอัตตา(อัตตทัตถสุข) คือต้องเป็นภาระความลำบาก แม้จะหมดกิเลสที่เขาต้องแย่งชิงอยากได้ ได้มาก็สุข เมื่อโลภมากก็แย่งมาก ทำร้ายคนอื่นไม่ซื่อสัตย์ รุนแรงโหดร้าย แต่ทุกวันนี้ปัญญาฉลาดรู้ว่ารุนแรงไม่ดี แต่โลภจัดที่ต้องการ อำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญซ้อน กลายเป็นคนอำมหิตเลือดเย็น

พระพุทธเจ้าศึกษาสูงสุด จนไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา ที่เป็นความใคร่อยากในโอฬาริกอัตตา เป็นบ้านเมือง เป็นวัตถุ เป็นเจ้าโลกเลย หลงผิด เป็นจอมคนสมัยโบราณ ล่าอาณาจักรที่เขาว่าเป็นจอมจักรพรรดิ์ เจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์ นโปเลียน ล่ากันหยาบๆฆ่าแกงกัน ต่อมาก็ไม่ทำแบบนั้นแล้วรู้ว่าไม่ดีก็ทำทีเป็นช่วยเหลือ แต่ขูดรีดให้เขาเป็นทาสอย่างสนิทสนม ภาษาสมัยใหม่คือ ประชานิยม

ใช้ประชานิยมเป็น หายนาวุธ แปลเป็นไทยว่าอาวุธฉิบหาย อาตมาเกิดมายุคนี้พาพวกเรามาได้ขนาดนี้ ปอกลอกพวกคุณได้ขนาดนี้ ปอกลอกแล้วไม่ได้เอามาใส่ให้อาตมา แต่ปอกลอกให้เอาไปสู่สังคม ก็ใช้ภาษาให้ถึงๆ แต่จริงๆไม่ได้ปอกลอกแต่ให้มาละล้างไม่หวงแหนไม่โลภ ไม่เห็นแก่ได้ รวมเป็นพฤติกรรมรวม เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้ได้ พิสูจน์สาราณิยธรรม 6 จิตเราเป็นจิตพระเจ้าเป็นพุทธาวตาร สูงสุด แต่เขาจะสูงไปเป็นกัลกยาวตาร  เป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่สุดไม่มีใครเข้าถึง บันดาลทุกอย่าง คนอย่าบังอาจ ท่านจะส่งพระบุตรมา คนเป็นไม่ได้ศาสนาเทวนิยมเป็นเช่นนี้ใหญ่ที่สุดสูงที่สุด 

แต่ของพระพุทธเจ้าเอาไม่เอากัลกยาวตาร เพราะพิสูจน์ไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าคือพุทธาวตารที่เป็นจริงพิสูจน์ได้มากกว่า แล้ว กัลกยาวตาร  ก็โน้มเอนไปทางอาตมันหรืออัตตา เพราะมันดีแต่ไม่เข้าใจรายละเอียด ว่าจะทำอย่างไรให้เรียนรู้พฤติกรรให้ดีแล้วเป็นโดยไม่รู้เหตุ ไม่เป็นอาริยสัจ 4 ทุกอย่างมาแต่เหตุ และทุกอย่างมาแต่ใจ 

ก็ต้องมาศึกษาที่ใจ เร่ิมแต่เหตุหยาบชั่ว ก่อนแล้วจัดการ ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือศาสนาปราบ ปราบกิเลส แต่เป็นพระเจ้าช่วยคนอื่นด้วยใจจริง แล้วเป็นคนที่ปราบ ก็คือ ปางปราบเขามีอยู่สามปาง เรียกว่า ตรีมูรติ

1.ปางสร้าง ปางรามหรือนารายณ์ วิศนุ
2.ปางปราบ คือปางศิวะหรืออิศวร
3.ปางพรหม คือปางที่ย่ิงใหญ่ 

เมื่อสามารถทำจิตให้มีตรีมูรติ คือเป็นนักปราบจริง แต่ไม่ได้ปราบคนอื่นศีลข้อ 1 พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำร้ายใคร ปราบกิเลสตนที่เป็นโอปปาติกสัตว์ เรียนรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายได้อย่างเป็นลำดับ มหัศจรรย์ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล เรียนรู้จิตตนที่หยาบที่สุด ได้แล้วได้โครงสร้างที่ล้างได้ก็จะเข้าใจความหนัก เบา ต้น กลาง ปลาย มีอธิ รู้ระดับ Adaptation มีระดับ จะมีปัญญาญาณรู้

แล้วปราบอย่างเด็ดขาด ตายอย่างไม่เกิดอีก ตายอย่างสูญเลยในลักษณะของจิตนิยาม พลังงานของสัตว์โลกระดับ จิตนิยาม ปราบอย่างชนิดแยกส่วนตายเลย ตายอย่างแยกส่วนของนามธรรมไม่มารวมกันอีก จากโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็จบ ศาสนาพระพุทธเจ้า ปราบแล้วสร้าง ช่วยคนอื่นด้วย มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาจริง  มี สาราณิยธรรม 6

ในโลกนี้มีคนต้องช่วยอยู่ คือ เด็ก คนแก่ เด็กเราก็ให้เขาโตขึ้นเป็นคนดี ส่วนคนแก่ก็เลี้ยงดูไปจนตายกัน ไม่ต้องรังเกียจ เราจะดูแลกันไปจนตาย อย่างที่ปฐมอโศกมีคุณน้ำดินที่เอาใจใส่ช่วยดูแลคนแก่มีคนช่วยหลายคน อาตมาชื่นชมน้ำใจ ทีี่ทำสิ่งดีงาม ที่อื่นก็มีแต่ไม่เด่นเท่าน้ำดินไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา ทุกคนเห็น ไม่ใช่เรื่อง ดราม่า แต่เป็นสัจจะจริง

และคนป่วยก็ต้องช่วยกัน คนพิการก็ต้องช่วยด้วย คนอีกแบบ คือคนไม่สมประกอบทางสมอง เป็นบ้าไม่เต็มแล้ว ก็ช่วยตนเองไม่ได้ ดีไม่ดีอาละวาดด้วย เขาไม่อยากเป็น แต่มันมีในมนุษย์โลกจริง 

และมีอีกพวกหนึ่งเป็นพวกปลิงคือ พวกขี้เกียจกับขี้โกง ต้องช่วยไม่ให้เขาเป็นเช่นนี้ต้องปราบ ไม่ได้ฆ่าแกง แต่ต้องกันไม่ให้เขาทำชั่ว แล้วพัฒนากันไป สองชนิดนี้มันก็มีตลอดในสังคม มากหรือน้อย ถ้าน้อยได้สังคมก็ดีกว่า เราต้องพัฒนาตนให้เจริญสูงสุด เป้าหมายของคนให้เป็นอรหันต์ 

อาตมาพาทำนี่ มั่นใจว่าพวกเรามีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แต่เขาไปเข้าใจว่าอรหันต์คือต้องเข้าป่าเขาถ้ำกัน อรหันต์คือคนที่อยู่อย่างธรรมดา แต่ท่านจะมีสมณสารูป เขาก็จะยกให้ ใจเขาต้องการกราบอย่างนั้นจริงๆ เอาเท้าไปลูบหัวเลยอาตมาต้องระวัง หลายคนอยากทำก็เกรงใจไม่อยากให้เกิดลักษณะเช่นนี้ มันมากไป เป็นที่จิตวิญญาณเป็น อย่างในหลวงเรา คนเคารพท่านเพราะท่านเป็นผู้บริหารสุดประเสริฐในยุคปชต. ท่านเข้าใจพฤติกรรมสังคมด้วย ไทยเราเป็นปชต.มาตลอดยิ่งกว่าประเทศใดๆ แต่คนไม่เข้าใจปชต. ที่จริง กลับไปรู้แค่ปชต.หลอกๆ 

ลักษณะของพระอรหันต์ อาตมาพยายามแจกให้เห็น อาตมาแยกได้ 14 ประการ
เป็นคนหมดทุกข์อาริยสัจ
เป็นคนไม่มีภัยไม่มีโทษต่อผู้อื่น
เป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งต่อมนุษยโลก 
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ไม่ได้ทำเพื่อตนหรือครอบครัวหรือพรรคพวกตน
เป็นคนไม่โลภ โกรธ หลง
เป็นคนมีเมตตาจริง กรุณาจริง
เป็นคนมีมุทิตาที่บริสุทธิ์(จิตที่ได้มีเมตตากรุณามาก่อน แล้วเขาได้ดีพ้นทุกข์ จิตนั้นก็ยินดีด้วย
เป็นคนที่มีอุเบกขาที่จริงแท้ มีคุณสมบัติอุเบกขา 5 มีพลังงานเหนือโลก แข็งแรง มีโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) 
เป็นคนหมดสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปอีกแล้ว (ปุญญาปาปริกขีโณ)
เป็นคนไม่ทำบาปทั้งปวงอีกแล้ว 
เป็นคนทำแต่กุศลไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว
เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว 
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก และนิพพาน ถูกถ้วน
เป็นคนรู้จักนิพพานสัมบูรณ์ 
นี่คือคนที่เป็นอรหันต์ หมดทุกข์อาริยสัจ แต่เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็ยังมีอยู่ ก็ต้องหาอาหารมาเลี้ยงร่างกาย มีทุกข์ประจำวัน ปวดอุจจาระปัสสาวะ ท่านไม่ละเมิดศีลแต่ แต่วินัย เป็นส่ิงที่ต้องยกให้ท่าน

อนาคามีไม่มีโทษกับสังคมแล้ว หมดภัยกับสังคมมีแต่ประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ เหลือแต่กิเลสส่วนตนที่ต้องล้างให้สนิท ไม่เช่นนั้นเสียเวลา ก็ต้องวางของตน นี่คือคนอาริยะ ที่โลกต้องการไม่ว่าศาสนาไหน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้แก้ไขถึงราก ถึงจิตเลย แก้ได้จนเป็นอนาคามี อรหันต์ เร่ิมเป็นโสดาบันก็เร่ิมรู้จิต รู้จิตเต่าปลาปู สัตว์ร้ายหมูหมา ที่จัดในยุคเดรัจฉาน ไม่กระเตื้อง จนมาเป็นไตรดายุคก็มาเป็นคน ที่เข้าท่าขึ้นมา จนเป็นปรศุรามาวตาร แต่ก็ยังโหดร้ายเป็นคนป่า อย่างอเล็กซานเดอร์ ก็ฆ่าแกงกันคนเขายกย่องกันอย่างนั้น ในยุคที่ว่าปรศุรามาวตาร  

จนกระทั่งเข้าใจดีมาเป็น  รามาวตาร  กฤษณาวตาร เป็นจอมจักพรรดิ์ที่ไม่โหดร้าย เป็นคนที่ต้องนำกระดูกใส่เจดีย์ ที่มีคน 4 แบบ คือ พระพุทธเจ้า ปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จอมจักรพรรดิ์ อย่างในหลวงเราคือจอมมหาจักรพรรดิ์ ทรงงานอย่างมีผลงานจริงสุดประเสริฐคือนักปชต.สุดยอด ท่านตรัส แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คือบุญนิยม ที่สร้างสรรแล้วเสียสละแจกจ่าย มารวมกันทำ อย่างตลาดอาริยะที่เราจัด เราไม่ได้ทำเล่นแต่เราทำเพื่อเกื้อกูลปชช. 

เป็นผู้รู้โลกจริง มีจิตเหนือโลกจริง รวมมวลคนมีจิตเหนือโลกธรรม ไม่ได้ดูถูกส่ิงที่โลกต้องอาศัย แต่เราสร้างสิ่งสุจริตส่ิงดีเอาไปแจกจ่าย ผู้มาอยู่จิตเป็นเช่นนี้ได้จะรู้จริง

ท่านแบ่งโลกของอบาย เป็น กามคุณ เป็นโลกธรรม เป็นอัตตา เร่ิมต้นแต่อนาคามีเป็นผู้ที่มีปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ในสังคมสาธารณโภคี ประกอบมีองค์รวมสมบูรณ์พร้อม เราก็อาศัยกินใช้อย่างสุจริต ทุกคนไม่มักมาก มักน้อยไปสู่ทิศทางเดียวกัน เกื้อกูลกัน เป็นสังคมที่เจริญที่สุด ศิวิไลซ์ที่สุด จะเกิดในกลียุค กับพุทธาวตาร อาตมาประกาศแผ่นดินพุทธ 

พระพุทธเจ้าท่านรู้เรื่องมนุษย์กับสังคมได้สมบูรณ์แบบ สังคมควรสร้างระเบียบแบบแผนอย่างไรท่านก็มีให้ อาตมาก็เอามาทำ ยิ่งในหลวงเราเป็นพระโพธิสัตว์นำพา ก็ต้องทำเนินให้ได้ ถ้าเราเข้าใจตรงกัน จิตเป็นจริง คนมีคุณธรรมคุณวิเศษ เข้ากระแส ดับโลกีย์ ดับโลกสมุทัยได้ มีโลกนิโรธได้ ก็มีธรรมะสอง เราก็จะรู้สิ่งที่มีกับไม่มี เราไม่มีกับเขาแล้ว 

หรือจะมีอย่างทุจริตอกุศลเราไม่มีได้เลย อาศัยเป็นขั้นตอน เช่นโสดาบันต้องให้เขารวย เป็นคนนักผลิต ต้องมีโรงงาน มีที่ดิน ต้องทำงานผลิตให้แก่โลก โสดาบันให้รวยที่สุด นักผลิต แล้วต้องไม่ชั่ว

ขั้นที่สอง นักบริการ เป็นคนนำไปต่อไปขายไปแจก ก็ต้องให้รวยบ้างเป็นอันดับสอง เป็นฐานสกิทาคามี ก็รู้ว่าโสดาฯนักผลิตเขาหนักมาก กรรมกร จนมาเป็นฐานคนบริการ 

จนเป็นนักบริหาร เป็นผู้ดูแลผู้ผลิต ผู้บริการ แล้วตนเองไม่มีข้าวของมากจิตสะอาด เป็นอนาคามี มีน้อยที่สุดสะสมน้อยมาก

ส่วนนักบุญคือผู้ไม่มีสมบัติเลย ผู้อยู่ยอดเป็นนายใหญ่ แต่ก่อนมีหุ้นเยอะเป็นนักผลิต แต่มีความสามารถเผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นมาเป็นนักบริการแล้วมาเป็นนักบริหาร จนเป็นนักบุญไม่สะสม แต่ทุกคนเต็มใจเลี้ยงไว้ เป็นเรื่องสัจจะ สังคมเช่นนี้เกิดไม่ง่าย แต่ต้องเกิดได้ เพราะต้องมีพุทธาวตาร

ต่อไปขอตอบคำถาม   คำถาม10-15 ก.ค. 58 (จากสังคมก้มบ้า)

_กราบคารวะพ่อครู และกราบมนัสการท่านสมณะเจ้าค่ะ. ขอรบกวนถามคำถามนี้กับพ่อครูได้ไหมค่ะ?   เรื่องผู้หญิงผู้ชาย. ...แม้ไม่ได้นอนด้วยกันแล้ว ...แต่ผู้ชายยัง อยากจะกอดหอมอยากใกล้ชิดอยู่ แต่ผู้หญิงอยากจะถือศีลไม่ข้องเกี่ยวใดๆๆแล้ว.... แม้แต่อยู่ใกล้ใกล้ชิด... หรือแตะเนื้อตัวก็ไม่อยากให้มีอีก.  แต่ด้วยภาระ หน้าที่แม่  ...ทำให้ไปไหนไม่ได้  ...   ต้องอยู่ฝืนอยู่ไปเพื่อลูก. ... อย่ากันแล้วค่ะ. แต่ยังอยู่เพื่อลูกค่ะ...  อย่างนี้เขายังจะยังมีสิทธิอยู่ไหมค่ะ?  อยู่กันตามสมมุติโลกค่ะ. ...
ตอบ...สังคมเช่นนี้มีอยู่ไม่น้อยไม่ว่าประเทศไหนๆ ตอบเป็นทางการว่าเมื่อหย่าแล้วเขาไม่มีสิทธิ์ นอกนั้นก็ต้องอนุโลมปฏิโลมกันอย่าให้เกินไป ต้องใช้ศิลปะอย่างยิ่ง คนที่กิเลสลดไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้แล้ว บุญหัวจริงๆ ต้องพยายามไป วิบากคุณมีต้องมีศิลปะ อย่าเปิดโอกาส ต้องฉลาดในการใช้โอกาส ลูกหรืองานก็เป็นเกราะกำบัง ต้องฉลาดในการอยู่ร่วมให้เป็นความดีของเราไม่ใช่เราใจแคบให้เขารู้โดยสมมุติ คนเราก็มีสำนึกกันนะหากไม่ใช่คนเลวร้ายมาก สรุปแล้วต้องใช้ศิลปะในการเป็นไปรอด 
1.ใช้ศิลปะ 2.ฝึกจิต อดทนปล่อยวาง กดข่มก็ได้แต่ต่อมาก็ต้องปล่อยวางเป็นมีละเมิดก็ปล่อยได้ แต่คุณต้องหลุดพ้นได้ด้วยนะไม่ใช่ให้ละลาบละล้วงมากขึ้น

_0893867xxx ในพระตปฎ.ปุญญกิริยาวัตถุสูตร22/215พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องการทำบุญไว้3ประก.บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน,ศีล,ภาวนาและ ขยายในส่วนอรรกถาอีก7ประกอบ อันมีอปจายนมัย,เวยยาวัจจมัย,ปัตติทานมัย,ปัตตานุโมทนามัย,ธัมมัสสวนมัย,ธัมมเทสนามัย,ทิฏฐุชุกัมม์ 7ข้อนี้ทำบุญด้วยศีลไม่ต้องใช้ปัจจัยใดเลยถูกไหม?
ตอบ...ก็ใช่ สามอันต้นคือบุญกิริยาวัตถุแท้ ทานออกไป ทั้งวัตถุ แรงงาน ความคิด ทานออกไปโดยไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนเลย อย่างอาตมาทานธรรมะ อาตมารวยมากนะ โลกุตรธรรม  ซึ่งทางศีลภาวนาต้องให้จิตเกิดผลลดกิเลส ก็เป็นบุญ 

อปจายนมัยคืออ่อนน้อม คือปฏิบัติธรรมได้แล้วไม่ข่มคนอื่น ไม่ยกตนข่มคนอื่น
เวยยาวัจจมัยคือยิ่งได้ดียิ่งขวนขวาย 
ปัตติทานมัยคือ ได้เข้าถึง
ปัตตานุโมทนามัยคือยินดีในผลที่เราได้ลดกิเลส
ธัมมัสสวนมัย เป็นคนที่ยิ่งฟังธรรม เป็นประโยชน์จริง จิตขวนขวายจริง 
ธัมมเทสนามัย ได้แล้วเราก็ควรบอกกล่าวคนอื่น มีผู้ให้ผู้รับ 
ทิฏฐุชุกัมม์ ทั้งทิฏฐิและกัมมันตะต้องถูกตรง

_0893867xxx กราบเรียนพ่อครูกำลังปฏิบัติธรรมเรื่องธัมมเทสนามัยคือการทำบุญด้วยการสั่งสอนธรรมะใช่ไหม? ส่วนผู้น้อยกำลังทำบุญด้วยการฟังธรรมะคือธัมมัสสวนมัยอันเป็นบุญในปุญญกิริยาวัตถุสูตรเป็นบุญทางโลกียะฤาโลกุตระ?skk
ตอบ...ต้องอ่านออกว่าใจเราเป็นโลกียะหรือไม่ สำหรับผู้ฟัง แต่ผู้เทศน์ต้องมีโลกุตระจริง ไม่ใช่ไปท่องจำ เราไม่ได้บรรลุแล้วไปเทศน์ไม่ได้ ต้องมีของจริงก่อนมีศีล จนเป็นพหูสูตรคือมีพหุสัจจะคือมีความจริงสูงขึ้นๆ มีศีลให้บริบูรณ์ แล้วก็จะมาเป็นพหูสูตรที่บริบูรณ์ ถ้ามีพหูสูตรแล้วก็จะเป็นธัมมกถึก ถ้าไม่เป็นพหูสูตรบริบูรณ์จะไม่เป็นธัมมกถึกที่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น โสดาบันก็สอนได้อย่างโสดาบัน เป็นโพธิสัตว์ระดับโสดาบัน สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไปตามลำดับ แล้วก็จะเป็นผู้กล้าเข้าสู่บริษัท บริษัทเล็กๆก่อนเป็นโสดาบัน แล้วก็เข้าบริษัทที่ใหญ่ขึ้น จนแกล้วกล้าอาจหาญเข้าบริษัท แล้วก็จะเป็นผู้ทรงวินัย แล้วยินดีในเรือนว่าง เสนาสนะป่า ไม่ใช่ออกป่านะเพราะท่านให้เข้าสู่บริษัท แต่จิตต้องยินดีในความสงบคือป่า เป็นเรือนว่างคือจิตเรายินดีพอใจในจิตสงบจากกิเลส ว่างจากกิเลส ไม่ใช่ยินดีในตัวตนบุคคลเราเขา เป็นป่่าเขาถ้ำ หรือแม้แต่ป่าจริงเราก็ยินดีแต่เราสร้างป่าในเมืองได้เลย 

_0857308xxx ดูเหมือนว่าในที่สุดไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในทิฎฐิใดๆใช่หรือไม่คะ
ตอบ...ถูกต้อง ทิฏฐิคือ ความเห็นความรู้ ความเข้าใจ หรือลัทธิ อย่ายึดติดลัทธิแม้อโศกก็ตาม ทำให้ได้ก็แล้วกัน เป็นได้แล้วไม่ต้องยึด ของข้าใครอย่าแตะอย่าละเมิดไม่ได้ ไม่ฮึดฮัดหากไม่ยึด 

_จากไลน์ คุณ Sayan ทานที่ให้โดยหยาดเหงื่อแรงงานมีมูลค่าน้อย กับ ทานที่มีมูลค่ามากเป็นแสนล้าน แต่ได้มาโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม อย่างไหนมีอานิสงค์มากกว่ากันคะ
ตอบ...ก็อย่างหยาดเหงื่อแรงงานน้อยที่ใช้ความพยายามนี่สิได้อานิสงส์มากกว่า อย่างเช่นคุณไปฆ่าสัตว์แล้วมาทำทาน หรือว่าเอาผ้าไปชุบน้ำขี้โคลนแล้วซัก เมื่อไหร่จะสะอาด คนจะมีเงินมากต้องโลภ ะเอาเปรียบคนอื่นมา แต่คนที่ให้ตลอดเวลาจะไม่รวยหรอก คนหาเงินได้พันส่วนใหญ่ก็ไม่ให้มากหรอกให้คนอื่นน้อยมาก คนที่ให้อย่างขาดทุนของเราคือกำไรของเรานี่แหละไม่ต้องเอาของใคร เราสร้างเองแล้วให้นี่แหละสุดยอด 

_0837277xxx ทำไมพระเกจิอาจารย์บางรูปยังสูบบุหรี่ฉันหมากอยู่เลยแต่นั่งสมาธิได้เก่งจัง!?/สามเดียว
ตอบ...สมาธิคือจิตสะอาด แต่เอาจิตติดหมากติดบุหรี่ออก ล้างจิตติดหมากติดบุหรี่นี่และคือจิตเป็นสมาธิ อาจต้องต่อสู่ในช่วงแรกต้องเรียนแล้วเลิกให้ได้ การไปเคารพอรหันต์ติดหมากพลูติดน้ำหวานนี่ไม่ได้เรียนรู้เลย

_0897926xxx การจองเวรข้ามภพชาติเรียกว่าวิภวตัณหาใช่ไหมครับ
ตอบ...ไม่ใช่ แต่นั้นคือมีภพชาติมากขึ้นต่างหาก การจองเวร คือจองรักหรือจองชังกันมีสองทิศทาง คุณล้างกิเลสกาม พยาบาทที่เป็นภพได้นั่นคือวิภวตัณหา

_0819181xxx กราบนมัสการพ่อคูรที่เคารพค่ะ อ่างขอกราบขอบพระคุณพ่อคูรที่ท่านได้กรุณาเมตตางานพี่วัชรมาตลอดอ่างกราบขอบพระคุณจากหัวใจแทนพี่วัชรค่ะ
จบ...


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:52:05 )

580717

รายละเอียด

580717_เทศน์ก่อนฉันเปิดตลาดอาริยะ โรงปุ๋ยควรธรรม 

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาสัญจรมาถึงชุมพร ที่นี่มีตลาดอาริยะ ที่เป็นบุญญาวุธอันหนึ่งที่เราใช้สร้างสังคมให้เป็นอาริยะ สังคมเจริญ มีความพัฒนาถาวร เป็นมนุษยชาติที่อยู่ในขั้นสูง ที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ ท่านก็สร้าง ทฤษฎีเอกให้แก่โลก แก่มนุษยชาติ เมื่อได้ทฤษฎีแล้วคนก็เอามาใช้ เกิดประโยชน์คุณค่าในสังคม พระพุทธเจ้าก็รู้ทางไป นานเข้า คนมารับช่วงก็ค่อยๆเพี้ยนไปจากของพระพุทธเจ้า จนผิดไปเลย มันก็ไม่เกิดผลที่ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้า เมื่อไม่ได้ผลก็เพราะเป็นทฤษฎีปลอม หนักขึ้น ตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่ศิวิไลซ์แต่เป็น uncivilized เป็นอนารยธรรม 

อนารยธรรมในกลียุค เป็นสังคมเลวร้ายที่ซับซ้อน ซับซ้อนตรงที่มันฉลาดด้วยกัน คนเลวก็ฉลาดมาก ฉลาดหลอกใช้เล่ห์ ใช้วิธีการซับซ้อนเอาเปรียบเอารัด เอาอำนาจทรัพย์สินเงินทองแล้วก็ใช้ประชาชนเป็นเหยื่อ เขาทำสำเร็จได้อย่างเก่งจริงๆ เก่งฉิบหายเลย

กลียุค เป็นหลักของศาสนาฮินดู เป็นศาสนาเก่ามาก ไม่รู้ว่าใครเป็นศาสดา เก่าเป็นแสนปี ล้านปีเลย หลักการนี้เป็นหลักการใหญ่ ผู้มีปัญญาจะเข้าใจได้ แต่คนไม่มีปัญญาจะเข้าใจเพี้ยนจากสัจธรรมไป คนสายปัญญาจะเข้าใจทะลุทะลวง แต่สายเจโต ศรัทธาจะทำแบบพาซื่อ เจโตนี่ฉลาดได้สูงสุดและฉลาดเลวสุดได้ด้วย คนเลวที่เลวสุดๆคือฉลาดสุดๆ แต่คนโง่นี่โง่ได้สุดๆฉลาดไม่ได้

เจโต ศรัทธา เป็นสายซื่อไม่คดหรอก แต่ปัญญานี่มีคดด้วย มีซื่อได้ด้วย สูงสุดหากมีปัญญาจะซื่อ ไม่คด และมีปัญญา ส่วนเจโต ถ้าจะฝึกใช้ปัญญาจะต้องฝึกหนักกว่ามาก พวกศรัทธาจะบรรลุธรรมสูงสุด ใช้เวลา 40 แสนอสงไขย์มหากัปป์ ส่วนฝ่ายปัญญาปฏิบัติถูกต้องเป็นลำดับ สัมมาทิฏฐิ แค่ 20 แสนอสงไขย์มหากัปป์  แล้วกัปป์หนึ่งก็นานเท่านานไม่ต้องนับเลย 

แล้วยิ่งพวกวิตักกจริต ก็ใช้เวลานานกว่า 80 แสนสงไขยมหากัปป์ สายสัทธานุสารี ใช้เวลานานกว่า ในบุคคล 7 สายศรัทธาต้องใช้ 4 ลำดับ สัทธานุสารี ศรัทธาวิมุติ กายสักขี และอุภโตภาควิมุติ แต่สายปัญญานี่ ธัมมานุสารี ทิฏฐิปัตตะ ปัญญาวิมุติ ก็ได้อรหันต์ แต่ไม่ได้อุภโตภาควิมุติเป็นอรหันต์ดับอาสวะได้สิ้น เหลือเศษอนุสัยที่เป็นวาสนาเท่านั้น อันนี้เป็นเรื่องอจินไตย ของโพธิสัตว์ ปัญญาวุมิต กับกายสักขี ต่างกันอย่างไร ก็ต้องเป็นภูมิโพธิสัตว์อธิบายได้

อนาคามีนี่ตายแล้วก็ปรินิพพานได้ไม่ต้องเกิดมามีร่างอีกก็ได้ สูญเชื้อปล่อยได้ แต่อรหันต์อุภโตภาคสูงสุด โพธิสัตว์มี 9 ระดับ ระดับที่ 9 เป็นพระพุทธเจ้า 

ระดับที่ 1 เป็นโสดาบัน มีจิตมีปัญญา มีศรัทธามีปัญญาที่รู้กระแสโลกุตระกับโลกียะว่าคนละทางกัน 180 องศาเลย มันปฏิโสตัง ทวนกัน มันไม่ได้ทั้งสองอย่าง มันต้องได้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่จริงๆได้ แต่ไม่เอา  จิตปล่อยวางไม่เอาเป็นของตน แต่มีของตนได้ อันนี้พวกใช้เลห์กลซ้อน รู้ทั้งรู้ว่าจิตเราก็เอา ชอบดูดดึงเป็นเราเป็นของเรา แต่โกหกคนอื่นว่าตนไม่ติดยึด คนนี้นี่บาปหนัก เป็นการโกหกขั้นปาราชิก ขั้นโลกุตระ โกหกระดับน้ำหนักความบาปสูง 

ผู้ที่เป็นอาริยะชั้นสูง สูงสุดจะเกิดเป็นสามัญ สูงสุดคือสามัญ พระอรหันต์จริงๆ โดยเฉพาะอรหันต์ตั้งแต่อนุพุทธะจะเหมือนคนสามัญ ปรับตัวเหมือนโลก แต่ใจท่านไม่ยึดไม่เอา ถ้าเป็นโพธิสัตว์โสดาบันก็ได้ระดับหนึ่ง จนเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ จนเป็นอรหันตโพธิสัตว์ ต่อไปเป็นอนุพุทธโพธิสัตว์ก็เร่ิมมีสัจจานุโลมมิกญาณอย่างดี ถ้าเป็นโสดาบันไม่มีแรงถ่วงโลกหรอก ต้องระวังในการไปช่วยโลก สู้แรงโลกไม่ได้ เพราะโลกีย์มันใหญ่ สกิทาฯก็ดีขึ้น อนาคาฯก็ได้มากขึ้น อรหันต์นี่อนุโลมได้มากขึ้น ถ้าเป็นอนิยตโพธิสัตว์ก็ช่วยได้มากขึ้น จนเป็นนิยตโพธิสัตว์ อนุโลมได้มากขึ้นอีก อย่างอาตมาเป็นนิยตโพธิสัตว์ ก็อนุโลมได้มาก แต่ก็ได้ไม่มากเท่าไหร่ โลกธรรม เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดมาก จนกว่าจะขึ้นไปถึงระดับ 8 เป็นมหาโพธิสัตว์ 

อันดับ 9 ก็เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้า อนุตรสัมมาสัมพุทธะ เป็น 9 ขั้น ส่วนขั้นที่ 10 เป็นขั้น 0 ศาสนาพระพุทธเจ้าสอนเรื่อง 0 เป็นหลักไม่สอนความนิรันดร แต่รู้ความนิรันดร ผู้เข้าใจแล้วว่าสิ่งไหนมีสิ่งไหนไม่มี (โหติ กับนโหติ) ในพระไตรฯล.16 ข.43 คนรู้ความไม่มีแล้วก็จะได้ผลเป็นโลเกอัตถิตา ได้แล้วจะรู้อนุโลมว่าอะไรควรให้มีอะไรไม่ควรมี ควบคุมความมีและไม่มีได้ 

ส่วนผู้ไม่มีมรรคผล(โลเกนัตถิตา) เป็นคนไม่มีภูมิอนุโลมปฏิโลกได้ มีแต่เป็นภัยแก่โลก คนที่ไม่เป็นอาริยะ เป็นภัยต่อโลกหมด ทุกคน นั่งอยู่นี่หากไม่เป็นอาริยะเป็นภัยต่อโลกหมด เพราะความเห็นแก่ตัวมันเอาเปรียบโลก นั่นคือภัย การได้เปรียบนี่ใครได้เปรียบมาให้แก่ตนคนนั้นเป็นภัยต่อโลก เป็นข้าศึกแก่กุศล ต้องเริ่มลด

เป็นโสดาบันเร่ิมลดแต่ก็มีภัยอีกมาก ก็ยังเอาเปรียบโลกอยู่ ต้องลดลงต่อ จนกว่าจะเป็นสกิทาฯเต็มรูปจะลดได้อีก 2 ต่อ ก็ยังเอาเปรียบโลกอยู่ จนกว่าจะเป็นอนาคามีขึ้นไป จึงจะเป็นคนไม่มีภัยต่อโลก เป็นคนหมดตัวตนในกามภพ ไม่มีแย่งใครแล้วในโลกธรรม เหลือแต่ส่วนเศษในตน คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็จะเป็นอรหันต์สุดยอด เป็นคนไม่เป็นภัยต่อโลกบริบูรณ์ แม้อนาคามีก็มีตัวตนส่วนหนึ่ง แต่ไม่แย่งใคร ต้องใช้เวลาทำของตัวของตน ที่ยังเสพอยู่ จนถึงอรหันต์แล้วไม่เสพ แม้ของตัวของตนก็สละให้หมด และไม่เสพความเป็นตัวตน จึงจะถือว่าบริบูรณ์สุด พอเป็นอนุโพธิสัตว์ก็ช่วยโลก เป็นโลกานุกัมปายะ 

แม้โสดาบันก็ช่วยโลก แต่ลำบากในการอนุโลม ประคองตนก็แย่แล้ว สกิทาฯก็เบาลง อนาคาฯก็เบามาก มีสัจจานุโลมมกิญาณดี อรหันต์ก็ไม่เอาเป็นเราเป็นของเราแล้วก็จะอนุโลมช่วยโลกได้มากขึ้นอีก มีโลกวิทู รู้โลก ช่วยโลก เป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นก็มากอบกู้โลก ใครไม่หมั่นไส้อาตมามาก ก็ขอบอกว่าอาตมาปางนี้เกิดมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ7 ก็มากอบกู้ศาสนาพุทธ คนไม่รู้ก็มาต่อต้าน ปราบอาตมาด้วย ตอนต้นปราบแรง ตอนขอแยกจากคณะใหญ่ ตามประวัติ เพราะคณะใหญ่แก้ไขไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ต้องปล่อยให้ตายเองเหมือนไดโนเสาร์เตาล้านปี 

กรรมจะทำในที่ลับหรือที่แจ้งก็เป็นของตนเสมอ กว่าจะหมดอัตภาพ จนไม่เหลือเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่เหลือเศษเลย เหมือนธาตุน้ำมีไฮโดรเจนกับออกซิเจน จับตัวกันเป็น H2O ผู้ที่แยก ไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกได้ ธาตุน้ำ ที่เป็น ฆ ก็ไม่มี หรือตัวตนของน้ำไม่มีแล้วสูญ อัตตาของน้ำไม่มีแล้ว แต่น้ำเป็นอุตุไม่รู้เรื่องหรอก อาตมาเอามาเปรียบเทียบกับธาตุจิต 

สรุปแล้ว ทฤษฎีพระพุทธเจ้าสอนคนให้อยู่เป็นสุข พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ แต่พลโลกส่วนใหญ่ก็ทุกข์ร้อน เป็นทาสของโลกธรรม มีนายทุนควบคุมตกใต้อำนาจ หลายประเทศเป็นใหญ่มีอำนาจควบคุมประเทศไทย ไทยดูหยิ่งผยองไม่เป็นเมืองขึ้นแต่ต้นไม้แผ่นดินไม่รู้เรื่องหรอก แต่ว่าคนนี่และที่ยอมยกอำนาจให้ประเทศอื่นมาอยู่เหนือประเทศไทยได้ ทุกวันนี้ไทยก็ตกใต้อำนาจประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม 

ทาสวัฒนธรรมนี่แหละเป็นทาสของต่างชาติ เขาสร้างอะไรมาก็ชอบ ยิ่งยุคสื่อสารไร้พรมแดน เขามีอะไรก็รับมา แล้วเป็นทาสเผยแพร่ต่อ ออกข่าวต่อ ยกตัวอย่างข่าวการละเล่น ข่าวกีฬา เขารุ่งเรืองกันในโลก การกีฬาเป็นอบายมุขจัดจ้าน ส่วนการออกกำลังกายนั้นเพื่อรักษาร่างนี้ อย่างเหมาะควร แต่ที่แข่งขันกันต้องเอาอามิส ค่าตัวนักกีฬาแพงมากยกย่อง  บางประเทศให้เป็นเซอร์ นี่คือไม่เข้าใจอบายมุข จัดจ้านด้วย จะมากขึ้น เสพรสกัน ออกข่าวกันทุกไม่กี่นาที ส่งข่าวกันกอดคอกันกับทุนนิยม หากทางเอาเงิน เอาบริวารให้คนตกเป็นทาสอัสสาทะพวกนี้เต็มรูป ผู้ใดรู้ทันแล้วจะไม่ตกใต้อำนาจโลกอบาย ที่ได้เสพสุขสนานเพลิดเพลิน สะใจ คืออารมณ์ที่เหมือนพยับแดด ฟองคลื่น ชั่วเดี๋ยวเดียวก็หายไป ไม่มีจริง แล้วลงทุนสูงนะ

ในเมืองไทยตอนนี้ต้องซื้อตั๋วไปนั่งฟังเพลง สองชม.เป็นราคาหมื่นบาทขึ้นไป มันมีได้ ก็งงเลย อาตมาอยู่ในวงการเพลง ตอนนั้นแต่่งเพลงขายได้เพลงละ 1200 บาทแล้วต้องจ้างนักร้อง นักเรียบเรียง อัดแผ่นขาย เราต้องทำหมด เสร็จแล้ว เพลงละ 1200 เหลือรายได้เพลงละ 300 บาท อย่างสุเทพนี่ร้องเพลงอาตมาต้องจ่าย 50 บาท หลังสุด ก่อนออกบวชยังจ่ายเงินให้ชรินทร์ นันทนาคร เพลงฟ้าต่ำแผ่นดินสูงเขาร้องจ่ายให้ 500 บาท 

คนไม่รู้จักอบายมุข เขาก็ส่งเสริมกันอย่างหนัก อบายมุขในความเพลิดเพลิน แล้วก็มีอบายมุขด้านอำนาจ มีบริวารที่สั่งชี้ใช้ให้ไปตายแทนได้แล้วเขาไม่รู้ว่ามีอำนาจใหญ่ แต่เป็นอำนาจบาปมาก บาปในทางเลวร้ายที่เขาแสวงหา มีความสามารถได้อำนาจจริง แล้วก็ได้บาปมหาศาลจริง เขาก็ไม่เข้าใจว่าได้อะไรเสียอะไร 

ไทยเรามีโพธิสัตว์แท้ อย่างในหลวงเรา ท่านบริหารประเทศแบบคนจนสอนให้คนมาขาดทุน เพราะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ย้ำยืนยันว่าคือความรู้ของอาริยบุคคล ของโพธิสัตว์แต่คนไม่มีภูมิรับได้ว่าขาดทุนคือกำไรได้อย่างไร ไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา แต่ให้คนมีจิตเช่นนี้จริงคือเราได้เสียสละได้ขาดทุนให้เขานี่เรามีประโยชน์คุณค่าต่อคนอื่น ฟังก็คงรู้นะเข้าใจ แต่กิเลสมันไม่ยอมเท่านั้น ก็พากเพียรให้เห็นจริงเลย ครั้งนี้ตลาดอาริยะ ย่อยๆ 

กัลกยาวตาร คือพลังงานพระเจ้าที่จะอยู่กับโลกนิรันดร เป็นผู้ดูแลโลก ควบคุมโลก แต่พระเจ้าเองนี่ทำอะไรไม่ได้มีแต่อุดมคติ ปรารถนาให้ทุกคนพ้นทุกข์ เป็นสุข เป็นคนดี แต่ทำเองไม่ได้ต้องใช้พระบุตร ต้องใช้คนเข้ามาร่วมงาน พระพุทธเจ้าจึงเป็นคนที่เอาอุดมคติของพระเจ้ามาสร้าง จึงเรียกว่าพุทธาวตาร 

สายศรัทธารู้จักพระเจ้าไม่จริงก็เลยต้องเอาคำสอนระดับโลกียะมาสอนก็เป็นคนดีได้ระดับหนึ่งที่ต้องมาเอาความรู้โลกุตระมาต่อ คนก็เสียสละได้แต่ไม่รู้จิตเจตสิก รูปนิพพานได้ แยกแยะเวทนา 108 สยเจโตศรัทธาพระเจ้า สายฤาษีจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ต้องมาศึกษาสัมมาทิฏฐิ จึงเป็นพุทธะได้ สายศรัทธาพระบุตรมีสิทธิ์จะรับจากพระเจ้าได้แล้วคนอื่นก็ทำตามก็แล้วกัน จึงไม่แพร่หลายได้แค่สัทธาวิมุติและกายสักขีบางส่วน เป็นศาสดาของเทวนิยมเท่านั้น

ความเป็นพุทธาวตารโดยบัญญัติเหมือนเป็นผู้ต่ำว่าพระเจ้า กับ กัลกยาวตาร จริง เพราะพระเจ้าเป็นขาเดียว ไม่มีสองขา เช่นประชาธิปไตยขาเดียวไม่เป็นธรรมะสอง มีแต่รูป ไม่มีวิญญาณ 

ประชาธิปไตยสองขาเร่ิมที่อังกฤษ มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม แล้วแตกไปเป็นอเมริกากลายเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีผู้นำทางจิตวิญญาณ มาถึงกลียุคก็เกิดล่มสลาย ตอนนี้ศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาที่นำสัจจะประชาธิปไตยย่ิงใหญ่ที่สุดในโลก ระบบพุทธาวตาร เป็นประชาธิปไตยสองขา ส่วนอันโน้นไม่ใช่ขั้น  กัลกยาวตาร แต่เป็นกฤษณาวตาร ขาเดียว

พระกฤษณะคือผู้ยิ่งใหญ่แข็งแรงเชี่ยวชาญ อุ้มชูโลก เป็นจอมจักรพรรดิ์ เป็นปางแรง เก่ง ฉลาด แต่ฉลาดแกมโกง จึงเป็นผู้ใช้แรงอย่างที่ว่าเป็นเจ้าโลกเอาเปรียบคนอื่นเป็นใหญ่ ขบถต่อพระเจ้าถ้ามิจฉาทิฏฐิจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิ จะเป็นผู้ช่วยโลกอย่างจอมจักพรรดิ์ ถ้าใครนึกภาพจอมจักรพรรดิ์ไม่ออกให้นึกถึงในหลวงของเราตอนนี้ ท่านปกครองประชาธิปไตยสองขา แต่ถ้าเป็นเผด็จการราชาธิปไตยขายเดียวก็จะสืบทอดต่อไปรับรองไม่ได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามราชวงค์ แม้กษัตริย์จะเยี่ยมยอดทำงานเสียสละเพื่อมวลมนุษย์ ก็ได้ของตนเอง ส่วนลูกหลานช่วงต่อไปรับรองไม่ได้ ราชาธิปไตยจึงรักษาความเป็นประชาธิปไตยไว้ไม่นานจะเปลี่ยน ถ้าประเทศนั้นไม่มีพุทธะไม่มีความรู้ทางวิญญาณที่สมบูรณ์แบบจะรักษาไว้ไม่ได้ ประเทศไทยรักษาไว้ได้ แต่จะรักษาไปอีก ห้าพันปี ศาสนาพุทธจะหมด ตั้งแต่นี้ไป อาตมามาบูรณะศาสนาพุทธต้องใช้เวลาอีก 500 ปีจึงจะสูงสุด แล้วจะลดลงไปอีก ครบ 5000 ปีจะไม่เหลือเนื้อความเป็นพุทธ อาตมาพูดไว้ ใครจะพิสูจน์ก็อยู่ให้ได้นะ 

ในโลก มีประเทศฝรั่งเศส เรียกร้องให้เอาระบอบกษัตริย์กลับมา เขาปฏิวัติให้ไม่เหลือระบอบกษัตริย์เหลือแล้ว คนไม่มีคุณธรรม จะมีอัตตา เห็นแก่ตัว โลกต้องเป็นของกู ประเทศอื่นต้องเป็นอาณานิคมของกู ให้เต็มเหนี่ยว มีทั้งสมบัติและอำนาจ คือโลกธรรม 100% หากไม่สร้างสัจธรรมที่เป็นจิตวิญญาณบริบูรณ์ที่ได้ละล้างความเห็นแก่ตัวอย่างเป็นลำดับได้น่าอัศจรรย์ ต้องมาเลิกละล้างกิเลสได้อย่างถูกตัวตนได้จริง เป็นอาริยบุคคลจริง เป็นอาริยบุคคล 4 บุคคล 8 แล้วจะช่วยโลกได้อย่างแท้จริง 

ไทยเรามีการปฏิวัติที่สวยงาม เรียบร้อยที่สุดในโลก ได้อำนาจมาเป็นคสช. ที่ทำงานได้ดี แต่ก็มีผู้กระแนะกระแหนมา ท่านพล.อ.ประยุทธ์ก็บอกว่า ให้หยุดวันนี้ได้ก็จะทำนะ แต่มันเป็นหน้าที่จะต้องทำ ไม่มีกิเลสอยากจะหาอำนาจ แต่ลูกบอลวิ่งมาเข้าเท้า ติดเท้านี่เอาออกไม่ได้เลย จะสลัดออกก็ใช่ที่เพราะมีปัญญารู้ว่าควรทำ ก็ทำไปเถอะอย่างน้อยมีอาตมาให้กำลังใจ

ประชาธิปไตยตั้งมา 200 กว่าปีที่อเมริกาและประเทศยุโรปหลายที่ทำประชาธิปไตยขาเดียวมา

ประชาธิปไตยมีคำเดียวคือ เพื่อประชาชน ส่วนโดยประชาชนของ ประชาชนเป็นส่วนเสริม ถ้าคนนี้จะให้ประชาชนทำเพื่อประชาชนต้องให้คนมีประชาธิปไตยก่อน จึงจะให้ประชาชนมาทำเพื่อประชาชนได้ ถ้าอยู่ดีๆคนไม่มีประชาธิปไตย แล้วจะให้คนมาทำประชาธิปไตยก็จะเก๊ หลอก ต้องเลือกตั้ง แล้วเอ็งต้องเลือกข้าเลือกหมู่ข้านะ สร้างค่ายกล แล้วหลงว่า ทุกคนมาลงคะแนนเสียงเลือกตน ตนก็เลยเผด็จการทางสภาก็เสร็จเลย

พระพุทธเจ้าสร้างคนให้เป็นอาริยะ สูงสุดเป็นอรหันต์ได้ แล้วอรหันต์ไม่ได้ต้องเป็นนักบวช แต่ฆราวาสเป็นได้ ท่านจะไม่ติดใจในโลก ใครไม่รู้ว่าท่านเป็นอรหันต์ท่านก็ไม่ถือตัวไม่ต้องโพนทะนา ท่านก็ช่วยมนุษยชาติได้ ยุคนี้จะมีฆราวาสเป็นอรหันต์เป็นอนาคามี เป็นอาริยชนจริง จะทำงานช่วยโลกได้จริง อย่างรวมตัวเป็นมวลหมู่ ขออภัยอย่างชาวอโศกนี่ ทำได้ ทำงานเพื่อประชาชน ทำได้แล้วก็เหลือกิเลสให้ลดเท่าที่ตนมีบารมีแล้วมีมวลมากพอ เป็นคะแนนเสียงที่โดยประชาชนเพื่อประชาชนจริง ถ้ายังไม่จริงพูดให้ตาย โดยประชาชนของประชาชนก็หลอก มีแต่เอาคำว่าเพื่อประชาชนมาหลอก ต้องปฏิบัติตนให้เพื่อประชาชนจริงตามลำดับ บุคคล 4

อรหันต์ก็จะมีลักษณะ 14 ประการดังนี้

เป็นคนหมดทุกข์อาริยสัจ
เป็นคนไม่มีภัยไม่มีโทษต่อผู้อื่น
เป็นคนที่มีคุณค่ายิ่งต่อมนุษยโลก 
เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว ไม่ได้ทำเพื่อตนหรือครอบครัวหรือพรรคพวกตน
เป็นคนไม่โลภ โกรธ หลง
เป็นคนมีเมตตาจริง กรุณาจริง
เป็นคนมีมุทิตาที่บริสุทธิ์(จิตที่ได้มีเมตตากรุณามาก่อน แล้วเขาได้ดีพ้นทุกข์ จิตนั้นก็ยินดีด้วย
เป็นคนที่มีอุเบกขาที่จริงแท้ มีคุณสมบัติอุเบกขา 5 มีพลังงานเหนือโลก แข็งแรง มีโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) 
เป็นคนหมดสิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปอีกแล้ว (ปุญญาปาปริกขีโณ)
เป็นคนไม่ทำบาปทั้งปวงอีกแล้ว 
เป็นคนทำแต่กุศลไม่ต้องทำบุญอีกแล้ว
เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว 
เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก และนิพพาน ถูกถ้วน
เป็นคนรู้จักนิพพานสัมบูรณ์ 

เป็นลักษณะของคนที่รับใช้ประชาชน ที่เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นอกจากอรหันต์แล้ว แม้อนาคามีก็เป็นนักบริหารที่ช่วยประชาชน ทำงานเข้าขากันแท้จริง ไทยเราจะยืนยันประชาธิปไตยสองขา ถ้าไม่มีทฤษฎีจิตวิญญาณที่คนทำได้จริงก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียวที่ขาเป๋ อาจอยู่นานกว่าคอมมิวนิสต์ ก็จริง แต่ประชาธิปไตยขาเดียวอย่างอเมริกาที่ประเทศอื่นทำตามก็จะล่มสลายอีกไม่นาน แม้ฝรั่งเศส มีกษัตริย์องค์สุดท้ายคือพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ครองราชย์อยู่นานถึง 20 ปี (ค.ศ.1851-71) 

ก็ขอจบรายการเทศน์แต่เพียงเท่านี้.... จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:53:02 )

580717

รายละเอียด

580717_เอื้อไออุ่น งานภราดรภาพฯ ณ ธรรมชาติอโศก ปี 2558

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคนที่มาในงานภราดรภาพซาบซึ้งใจ รำลึกธรรมชาติอโศก วันที่ 17-19 ก.ค. 2558 เป็นงานประเพณีทางใต้ของเรา ในสถานทีส่วนกลางของชาวอโศก แต่แรกก็มีแห่งนี้แหละที่เป็นแห่งแรก ตั้งชื่อว่าธรรมชาติอโศกเป็นป่า เรามาลงต้นไม้ที่กินได้แซมเข้าไป เป็นที่ที่ไม่ร่มเขาซื้อทิ้งไว้ นอกนั้นเราก็ซื้อเพิ่มขึ้นๆ ที่ตอนนี้ก็กว่า 200 ไร่ เป็นป่าเก่า บนควนนี่ ต้นไม้ใหญ่ ยังอยู่ 

เป็นที่ๆยังเป็นธรรมชาติที่ต้องรักษาดูแลไว้ อาตมาเอง ตั้งแต่ออกมาบวช แม้แต่ตอนเป็นฆราวาส ก็ซื้อของมาตกแต่งบ้านตั้งแต่บ้านเช่า จนมามีบ้านของตนเองก็สร้างนำตก สร้างสวน ทั้งที่มีที่อยู่แค่ 60 ตรว. ปลูกต้นตะแบกใหญ่อยู่ไม่ได้กวนบ้านอื่นต้องตัดทิ้ง ทำหินทำดิน ทำต้นไม้ เล็กๆน้อยๆ 

พอมาบวชก็สร้างธรรมชาติ ที่ปฐมอโศก สันติอโศก มีป่าไม้ มีน้ำตกร่มเย็น ใครเข้าไปที่สันติอโศกจะเห็นว่าคนละเรื่องกับเมืองเลย ไม่ได้ไปบุกป่าละเมิดป่าสาธารณะ เราไม่ทำ อาตมาพาทำสร้างธรรมชาติ แม้แต่ที่นี่ มีคนเห็นดีเห็นงาม อย่างไม้ร่มเขารักธรรมชาติมาก ก็มาทำ ที่นี่หรือที่ภูผาฟ้าน้ำก็พยายามรักษาธรรมชาติ จนกระทั่งชาวป่ามานี่ไว้ใจอโศก ถ้าอโศกอยู่ตรงไหนเขาไม่ต้องมาตรวจเลย ว่าเราปลูกเสริมให้ ทุกแห่งที่เราไปอยู่ แม้แต่ที่ศีรษะอโศก มันมีป่าช้าอยู่ เราก็ยังเสริม แล้วเขาก็มายึดป่าช้าไป ไล่เราออก แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เสื่อมโทรม แต่ตอนนี้ก็ให้ศีรษะอโศกมาดูแลอย่างเก่า เราก็ดูแลต่อ 

เรื่องธรรมชาติไม่ได้หมายเอาแค่แผ่นดิน ภูเขา ต้นไม้ นั่นคือส่วนประกอบส่วนหนึ่งแน่นอน แต่จริงๆธรรมชาติคือมนุษย์ ทุกวันนี้เขาเข้าใจธรรมชาติ เป็นอธรรมชาติ คำว่าธรรมะ คือตั้งขึ้นแล้วทรงไว้ ส่ิงใดจะทรงไว้เราต้องศึกษาให้ทรงไว้อย่างมีประโยชน์คุณค่าอย่างดี ทั้งที่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้งองค์ประกอบทุกอย่าง ทั้งสัตว์ทั้งคน ที่มี ณ ที่นั้น มีส่ิงนั้นทรงอยู่ เป็นองค์ประกอบรวมแล้วต้องอยู่อย่างเป็นสุข เจริญ อุดมสมบูรณ์ไม่มีพิษภัย แต่เดี๋ยวนี้คนไม่เข้าใจพิษภัย อย่างป่าคอนกรีตในเมืองในกทม. ป่าเส้นก๋วยเตี๋ยว คือสะพานต่างๆมากมาย เขาว่าคนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า แต่อาตมาไม่แก่นะ เพียงแต่อายุเยอะ คนก็ทักว่าอาตมายังหนุ่มอยู่ ตามที่เขาว่า ก็เชื่อเขา อาตมาพยายามทำให้เป็นธรรมชาติอันดี ทรงไว้อันดี

แม้แต่ชีวิตร่างกาย มีทั้งจิตและนาม มีทั้งรูปธรรม ตอนนี้ความรู้โภชนาการ การประกอบด้วยธาตุวิตามินครบพร้อมเราก็พยายามศึกษาแล้วทำให้ได้สัดส่วนพอดี ก็พยายามไป จนรวบรวมได้เป็น 8 อ. ก็คิดว่าสมบูรณ์ อาตมาก็พยายามดูแลใช้ 8 อ.จริงๆ 

อาตมามาเรียบเรียงเห็นความสำคัญมากคือ อ. อิทธิบาท เขาก็ตั้งกัน 3อ 4อ. อาตมาก็เอามาเรียบเรียงเป็น 8 อ.
อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ ครบ 8 อ.
เอนกายคือพักผ่อนให้สมดุล ก็คือให้รู้จักพัก นอกนั้นก็เข้าใจง่าย คนจะเข้าใจยากอยู่ 2 อัน และคนเข้าใจแต่ไม่ลึกซึ้งอยู่ 1 อัน คนเข้าใจยากคืออิทธิบาทกับอาชีพ มันจะดีได้อย่างไร กับสุขภาพ อีกอันที่ลึกซึ้งคือ อารมณ์ อาตมาเอาอิทธิบาทเริ่มเลย เพราะขาดอิทธิบาทไม่สำเร็จ ต้องเห็นความสำคัญเอาใจใส่ที่จะดูแลชีวิต อันไหนเราพร่องใน 8อ ก็ต้องพยายามทำ 

ต้องยินดี วิริยะอุตสาหะ เอาใจใส่พิจารณาเอาเนื้อหา วิมังสา ส่วนอารมณ์นี้ลึกซึ้ง คำว่าอารมณ์หรือเวทนา ที่สำคัญที่สุด สัจจะพระพุทธเจ้าย่นย่อที่เวทนา หากทำเวทนาแยกเวทนา เคหสิตะกับเนกขัมมะไม่ออกคุณไม่เหนือโลกีย์ได้หรอก ธรรมชาติก็ทรงไว้ซึ่งโลกีย์คือความเสื่อมไม่ลงตัว จนถึงทำลาย เรียกว่าธรรมชาติที่ฉิบหาย หายนะ มันผิดแล้ว ไปเรื่อยๆเสื่อมเพี้ยนไปเรื่อยๆ คนจะอายุสั้นลงทุกที ทุกวันนี้คนอายุยาวขึ้นเพราะเทคโนโลยีไม่ให้ตาย วิทยาศาสตร์การแพทย์เก่ง ถ้าถอดปลั๊กก็ตายแล้ว แต่ชีวิตที่อยู่เพราะเครื่องกลนี้เลี้ยงไว้ ทรมานทั้งคนอยู่และคนตาย ก็เรียกกันว่ามนุษย์พืช ไม่ใช่จิตนิยามแล้ว ไม่ใช่สัตว์โลกแล้วมันตายแล้ว

เรื่องอารมณ์นี้อาตมาพาศึกษาเวทนาในเวทนา แล้วจะเจริญ จะทำอารมณ์ของเราให้ดีไม่สูญเสีย คนเราโกรธก็ดี รักก็ดี เสียพลังงานมาก แม้ธรรมดา ก็มีอารมณ์เช่นนี้อยู่บ้างก็เสีย แต่ยิ่งไคลแมกซ์ โกรธสุดยอดรักสุดยอด สปาร์คแล้วเสียพลังงานเยอะ ผู้ใดไม่ติดยึดต้องเสพสุขทุกข์ โกรธมากรักมาก สปาร์คเล็กน้อยจนสูงสุด climax ก็เปลืองพลังงาน ทั้งนั้น มาศึกษาธรรมแล้วรักน้อยลง โกรธน้อยลงก็ไม่สปาร์คสูญเสียฟรี ก็จ่ายให้แก่ธรรมชาติเป็นพลังผลักพลังดูดอย่างพอดีไม่ผลาญ แต่คนมีอารมณ์เดี๋ยวรัก ชังมาก็เสียพลังงานมากทั้งนั้น รักษาอารมณ์ได้ชีวิตจะยืนยาว เป็นนิพพานสุขเย็นได้

อาหาร อาตมาก็จะไม่อธิบายมาก เพราะพวกเราศึกษาดีกว่าอาตมาเยอะแยะ ทุกวันนี้อาตมาปล่อยชีวิตให้คนเอาอาหารมาให้กิน ทุกคนปรารถนาดีเอามาให้กินก็ดีแล้ว 

นอกนั้นก็ออกกำลังกาย อากาศ อย่างอาตมาพาทำปลูกต้นไม้ มีภูเขา น้ำตก จะสดชื่นมีการหมุนเวียนของธรรมชาติ น้ำตกมีการหมุนเวียนของไอน้ำมีการแตกตัวของออกซิเจน อย่างสันติอโศก น้ำตกกระทบก้อนหิน แตกตัวเพิ่มออกซิเจน มีไอน้ำ แล้วต้นไม้ก็จะรับไป เกิดการหมุนเวียนสังเคราะห์กัน เราจะสร้างอย่างเหมาะกับให้คนอยู่ แต่อย่างป่าดงดิบมันจะเกินที่คนจะอยู่ ไม่เหมือนสัตว์ที่จะอยู่ได้ แต่คนป่าก็อยู่ได้ คนอยู่กับสวนกับป่า ชาวเขาชาวป่าเขาอยู่ได้ดี ชาวหรรษาอายุยืน 

ธรรมชาตินี่แหละตอนนี้ป่าคอนกรีต เขาถางป่าทิ้ง จนหมด ดินไม่มี ไม่ซึมซับมีแต่หินแต่ปูน มันไปหมด ดินก็พิการ น้ำก็พิการ แต่ก่อนนี้กทม.มีคลองให้น้ำไหล ไม่เน่ามากมาย แต่เดี๋ยวนี้เน่าหมด ฝนตกน้ำไม่มีทางไป หลงทางหมด คลองก็ถม อุดตัน มีที่กั้นไปหมด หลงทิศหลงทาง ธรรมชาติอยู่ไม่ได้เลย อากาศเน่าเสียหมด เขาตรวจสอบอากาศพิษในกทม.เยอะไปหมด มีเชื้อโรคด้วย น้ำไม่ไหล น้ำไม่ได้จัดการธรรมชาติของมัน จะต้องเจือจางในส่ิงจัด มันจะสังเคราะห์ของมันหากมันมีมากพอ รับแดด ลม น้ำจะสังเคราะห์ทัน แต่นี่ไม่ทันเพราะคนเติมส่ิงเน่าเสีย เป็นพิษลงไป คลองในกทม.มีแต่น้ำเสีย นั่นแหละเขาเรียกว่าเมืองเจริญ หรือบางจังหวัดมีเมืองที่เขาว่าเจริญ ก็เจริญแบบเดียวกันคือแบบโลกีย์ ป่าคอนกรีต แดนทำลาย เป็นอธรรมชาติ ไม่รอด ในเรื่องของอากาศก็รวมถึงธรรมชาติ 

ออกกำลังกาย อันนี้อาตมาก็ว่ามันขี้เกียจกันจัง ไม่อยากออกกำลังกาย ยิ่งอายุมากขึ้นมันจะดีดดิ้นอะไรน้อยลง แต่ถ้าคนทำกรรมกรไม่ต้องออกกำลังกายเพราะทำอยู่แล้ว แต่คนเมืองหรือคนทำงานนั่งโต๊ะกับที่มีเยอะ แล้วไม่คำนึงการออกกำลังกาย ตีนไม่ติดดิน เพราะใส่รองเท้า เสียหมดเลย แม้แต่จะขึ้นที่นอนก็ใส่เกือก เกิดมาก็หาเกือกใส่ให้เลย ต้องพยายามคือใจเราต้องเห็นความสำคัญ แล้วก็ทำ ใจมันจะไม่ต้าน มันไม่ชอบก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าใจมีฉันทะก็จะมีวิริยะอย่างไม่ต้องเพียรมาก จะเอาใจใส่ได้มาก เราออกกำลังกาย วันละไม่กี่นาที 20 นาทีต่อวันก็ยังทำได้ยากเลยคน อย่างอาตมาทำแค่ 10 หรือ 20 นาทีมันไม่เต็มที่ ไม่พอเหมาะพอดี อาตมาก็เลยออกกำลังกายเฉลี่ยเอา วันไหนติดงานก็ว่างเว้นไป ก็ไม่ให้ขาดนานไป ก็ทำให้สม่ำเสมอ อาตมาออกกำลังกายมีเดิน โยคะ และถีบเครื่องปั่นจักรยาน ครั้งละ 1 ชม. ก็ควรออกจริงๆ ยิ่งอายุเยอะแล้วก็ควรออก ต้องพยายาม ไม่หางานทำก็ออกกำลังกาย ให้เหงื่อไหลก็ดี อาตมาก็พยายามอยู่อันไหนทำได้ก็ทำ

พักผ่อน อาตมานี่มีคนจี้ให้พัก เขาว่าขยันเกิน มันมีงานก็ต้องทำ อาตมาก็ว่าไม่ได้ฝืนอะไร มาตรฐานสมดุล แต่ละคนไม่เท่ากันหรอก อาตมาว่าอาตมาทำพอสมควรก็ยังไม่รู้สึกว่า ออกกำลังกายที่ทำมากคือ ที่สมอง ทำเยอะ มันควรพักให้นอนพักมันก็จะหยุด ถ้าตื่นจะใช้พลังสมอง เขาก็พยายามให้พัก อาตมาก็ว่าอาตมาสมดุลอยู่พอได้ สำคัญคือพวกเราเอามาตรฐานตนเองมาวัด มันก็ไม่เป็นไปตามอาตมาประมาณ 

เอาพิษออก อาตมาก็เดี๋ยวนี้คนก็อยากจะให้ไปเอาพิษออก แต่อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้มีพิษอะไรมากมาย ก็พอๆดู เขาฮิตกันเอาพิษล้างพิษ อโศกเป็นเจ้าใหญ่ ทำกันทั่วประเทศเลยดัง เป็นกิจการรุ่งเรืองอู้ฟู่ ก็เอาพิษออกมีตั้งหลายวิธี ก็ทำกันอยู่ ออกกำลังกายให้เหงื่อออกก็เอาพิษออก จะกัวซา จะสวนทวาร ตอนนี้ก็น้ำมันมะกอกให้เกิดการขับก็ว่ากันไป ก็ระมัดระวังอย่าให้เวอร์เกิน ได้ข่าวว่าคนไม่บันยะบันยัง เท่านั้นแก้ว เท่านี้แก้ว ก็เรียกไม่ถูกอีก ทั้งที่ควรเรียกว่า จอก 

จะกินกันให้มากเกินไป ไม่รู้กี่จอก ใจมันรู้สึกดีก็จะโถมเวอร์ จนบางเจ้าก็ท้วง เพราะถ้าเสียมันจะเสียทั้งอโศก หากตายไป เป็นข่าวขึ้นศาลมาจะยุ่ง รับรองว่าพังเลยนะอโศก เป็นเรื่องต้องขึ้นศาล คนกลัวจะเสียผลก็ต้านไว้ ให้ใช้เวลานานดีกว่าอย่ารีบร้อน เพิ่มจอก หรือนานเกินก็ไม่ดีอีก เรานึกว่าดีอาจไม่ดี

ในร่างกายของคนมันจัดการตัวมันเองเสมอ ทุกอย่างมันรักษาตัวเองทั้งนั้นไม่ว่าดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์เดรัจฉานไม่เวอร์หรอก มันไม่โง่ไปถูกหลอก คนหลอกกันเก่งก็เลยผิดธรรมชาติ โทรมเสื่อมง่ายชีวิตสั้นลง 

อาชีพ พวกอาชีพที่ล่อแหลม ต่อกฎหมายก็อายุสั้น อาชีพอยู่กับสารพิษก็อายุสั้น อาชีพถูกหลอกให้กินผิดนอนผิดอยู่ผิดก็อายุสั้น แล้วตอนนี้มีอาชีพที่หลงผิด อย่างดารา ได้แต่ผ่านั้น ดูดนี่ เติมอะไรเข้าไปทำให้อายุสั้น หรืออาชีพนักกีฬา เล่น มันเกินความเป็นจริง ไม่ต้องพูดถึงมิจฉาชีพที่ล่อแหลม สร้างศัตรูสร้างคนรักคนแค้นมาก ยิงกันตายเยอะ ด้วยความโลภ โกรธ เป็นอาชีพไม่เข้าใจสัจธรรม 

พวกเรามาปฏิบัติธรรมแล้วชาวอโศกมาอยู่ในสัมมาอาชีพ จะไปสร้างความรักความแค้นกับคนน้อยลง จะไปเอาสารพิษ เชื้อโรคจากภายนอกก็น้อยลง รู้จักพักรู้จักเพียร มันไม่มีตัวอยากได้อยากมีอยากเป็นไม่overload ก็จะอายุยืน คำว่าอาชีพนี่คำเดียวอาตมาว่าชาวอโศกจะอายุยืน ทำงานทำการกับชาวอโศกไป ถ้ายังไม่พร้อมกับหมู่กลุ่ม คุณว่าชาวอโศกนี่ขยันเกินไหม ไม่เกินหรอก ชีวิตไม่ทรุดโทรมหรอก มีแต่เลี่ยงไปเลี่ยงมา พักมาก ทำให้อายุสั้น แต่ขยันนี่ไม่พาชีวิตสั้นหรอกในชาวอโศก แต่ขี้เกียจขี้เลี่ยงจะพาชีวิตสั้นในชาวอโศก นี่บอกไว้ให้ชาวอโศกไปพิจารณา ...จบ


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 19:54:48 )

580801

รายละเอียด

580801_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ เรื่อง อย่าเชื่อมงคลตื่นข่าว 

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ ที่ 1 สิงหาคม 2558แรม 2 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม ก็จะได้มาต่อจากที่หนึ่งฟ้าเขาได้เรียบเรียงมา ก็จะค่อยอธิบายไป ว่าปฏิบัติธรรมนี่ พยัญชนะหรือปริยัติต่างๆจะนำให้เราปฏิบัติได้เร็ว ได้รู้จักที่มาที่ไป ร้อยเรียงได้เป็นปัจจยการ จะได้ไม่ขาดวิ่นตกหลุมบ่อ ขาดวิ่น กระฉึกกระฉัก จะไม่ราบรื่นเหมือนฝั่งทะเล ไม่มี Road map ดีไม่ดีพาไปตกเหวเลย

ก่อนจะได้ต่อ อาตมาก็จะมีสิ่งที่แทรก มีคนที่เปรยมาหลายทีก็เลยอดไม่ได้เขียนมา ไม่ออกชื่อดีกว่า

ฉบับหนึ่งเขียนมาว่า 
ฝากเรียนถามสมณะด้วยค่ะ  
น่าสงสารปฐมอโศก  สมณะใส่ใจเรื่องสุขภาพมาก  แต่ไม่ใส่ใจในประเพณีเดิมของการเข้าพรรษา
การตั้งตบะธรรมที่เคยมีเงียบหาย  ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า ทำไมไม่ทำเหมือนทุกปี  
 คุณอยากทำคุณก็ติดต่อประสานเองอาตมาไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ อาตมาไม่ทราบ 
ถามองค์โน้นถามองค์นี้  เงียบ 
สุขภาพมาแรง กลบความนิยมในการตั้งตบะธรรม จะฟ้องใครดี
ทำไมมันเป็นเช่นนี้ จะจัดสรรสุขภาพกับประเพณีให้ไปพร้อมกันไม่ได้หรือ  หรือว่าเป็นหน้าที่ญาติโยมจะต้องมาเป็นหลักในเรื่องนี้

เคี่ยวเข็ญให้คนไปเกาะสมุย
ถ้าคุณไม่ไปคุณไม่ต้อง........
อาตมาจะไม่ช่วยเหลือคุณ
เอาการไปเกาะสมุยมาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิต  นปธ

เชื่อเขาไปหมด เขาเก่ง เขามีของเก่า เขาทำนายถูกทั้งหมด
ใครเคยกินเหล้า เป็ดไก่ เขารู้หมด  ใครนิสัยอย่างไรรู้หมด
ทำนายยังกับตาเห็น 
 เป็นโรคอะไรก็รักษาได้หมด  อาตมาเห็นทางออกแล้ว  ปฐมอโศก อันตรายมากถ้าสมณะมีความเห็นยึดมั่นอย่างนี้

ฝากกราบเรียนพ่อท่านในความรู้สึกนี้ด้วยค่ะ
หากผู้นำไม่ชัดเจนในการดูแลจิตวิญญาณ ญาติโยม
พาญาติโยมไปในทิศทางที่ฝืดมากกว่านี้  จะแก้ลำบาก

การกินอาหารเป็นคำตอบของสุขภาพและจิตวิญญานล้างพิษตับไม่ใช่คำตอบ

คนที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหารกินน้ำมันมะกอกกันใหญ่ แก้วที่ 5 แล้ว เย็นนี้แก้วที่ 6 และจะโชว์ความแกร่งแข่งกันว่าเก่ง  กินได้หลายแก้ว น่าสงสารคนป่วย  ใครว่าอะไรดีเอาหมดเพราะอยากหายป่วย เพราะคำตอบอยู่ที่ล้างพิษตับ


สมณะควรจะวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้  ไม่ใช่เชียร์สุดๆ  ท่านทำของท่านไป แต่การมาต้อนญาติโยมไปสมุย  มันมากไปค่ะ .......

กราบขอบพระคุณค่ะ
โยมปกติแล้วค่ะ จิตใจปกติ  ทีแรกตอนที่เขียนจิตไม่ดีค่ะ หลังจากทบทวนแล้วก็สรุปได้ว่า
ถูกต้องแล้วที่เขียนให้ข้อมูล แต่ไม่ถูกต้องที่จิตขุ่นเคืองค่ะ

เมื่อวานโยมคุยกับนักเรียนแล้วสามารถปรับบันเทิงจากการดูหนัง มาเป็นการฟังธรรมของพ่อครูแล้วพาสวดมนต์ ทำวัตร ทำสมาธิก่อนนอน ใช้ช่วงที่เด็กนั่งสมาธิ อบรมธรรม ก่อนนอน

ทบทวนดูแล้ว หน้าที่ในการเป็นผู้นำ ปรับเปลี่ยน สอดแทรกธรรมนั้น จะรอสมณะไม่ได้หรอก
โดยเฉพาะกับเด็กๆ เป็นหน้าที่ของครู  เพราะเด็กฟังครู  ยอมให้ครูมากกว่าสมณะ
เขาจะยอมให้เฉพาะคนที่สอนเขาและสมณะที่ดูแลอบรมเขา
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ครูต้องกลับไปทบทวนตนเองว่า เราสอนเด็กอย่างไร ครูเคารพนอบน้อมสมณะเป็นแบบอย่างให้เด็กดูหรือไม่
การจัดกิจกรรมตั้งตบะธรรมของทุกปี  ที่จริงเป็นการจนขวายของฆราวาสค่ะ  ดิฉันเองและใจดิน ทำเรื่องนี้มาตลอด  ใจดินจะขวนขวายและมีไฟมาก แต่พอมีคอร์สเด็กแล้ว ทุกคนก็เกรงใจคอร์ส

คนผิดควรเป็นดิฉัน ดิฉันเห็นว่ามันเป็นประเพณีแล้ว แต่บางคนไม่ได้คิดอย่างดิฉัน
เมื่อวานถ้าดิฉันขวนขวายซักถามตั้งแต่เช้า พอรู้ว่าจะไม่มีกิจกรรมนี้ตั้งแต่เช้า ดิฉันจะมีเวลาชักชวนโน้มน้าว สมณะ สิกขมาตุ คุรุ ให้จัดกิจกรรมนี้ได้ แต่ดิฉันถามหมู่ช้าไป มาถามหมู่ตอน 17.00 น  และตนเองก็มาเรียน เมื่อดิฉันอยู่นอกพื้นที่ก็ไม่สามารถประสานให้เกิดกิจกรรมนี้ได้
ควรโทษตนเองมากกว่า

คุณอยากมีกิจกรรมคุณก็ประสานเอง  อาตมาไม่ทราบ
ประโยคนี้แหละที่ทำให้ดิฉันขุ่นเคืองใจ

เพราะเท่ากับว่าท่านโยนลูกให้ดิฉัน  อยากให้หมู่สมณะช่วยทบทวนเรื่องนี้ค่ะ การประชุมของสมณะในแต่ละครั้งน่าจะมีหัวข้อว่า
1.ในสัปดาห์นี้ จะมีกิจกรรมพิธีกรรมใดบ้าง  และสมณะรูปใดรับผิดชอบ
2 หัวข้อธรรมใดบ้างที่ควรเทศนาในช่วงนี้  ควรตักเตือนเน้นยำญาติโยมในเรื่องใด
3. จัดรายการให้โยมแสดงความคิดเห็น  ขอความเห็นในการพัฒนาหมูกลุ่มให้ความสำคัญในเรื่องการเพิ่มอธิศีล

เสนอผ่านทางนี้เลยนะคะ

อีกเจ้าหนึ่งเขียนมาว่า ...  กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ

       การล้างพิษที่เกาะสมุยมีการทำนาย....โดยการดูอุจจาระ เจ้าสำนักดูอุจจาระรายหนึ่งบอกว่ารายนี้ดูจากอุจจาระแล้วอยากพบแกมากเลย สมณะเจ้าของอุจจาระรู้สึกทึ่งแล้วบอกไปว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาอยากพบคุณ อันนี้แล้วแต่วิจารณญานว่านี่ไม่ได้เกี่ยวกับสุขภาพ กลายเป็นทายใจโดยผ่านทางอุจจาระ (อาเทศนาปาฏิหาริย์หรืออย่างไร) ดูแล้วพ่อครูและพระผู้ใหญ่จะติงอย่างไรสุดแล้วแต่จะโปรดพวกเขาด้วยเถิด ดูจะจิตอ่อนกันไปหมด ต้องล้างพิษสุขภาพจึงจะดีกลายเป็นต้องไปให้เขาดูอุจจาระถึงเกาะสมุย เขาเจาะตลาดนักบวช ฆราวาสก็ต้องเชื่อเพราะนักบวชนำ กลายเป็นไม่พึ่งตน ต้องพากันล้างพิษและที่แย่คือชวนกันไปล้างถึงเกาะสมุย ฝากท่านกรุณาแจ้งพ่อท่านและพระผู้ใหญ่ด้วยค่ะ

พ่อครูว่า...อาตมาก็ดูกระบวนการนี้ เป็นลำดับก็เห็นว่าเวอร์ เป็นอาการที่ในภาษาพระเรียกว่ามงคลตื่นข่าว คือมีข่าว เช่นเขาว่ามีต้นตะเคียนวิเศษก็กรูกันไป เก่งช่วยคนได้ หรือมีคนมาแสดงอย่างโน้นอย่างนี้ก็ไปกัน ตื่นข่าวกันไป เป็นการรักษาผนวกกับอาเทสนาปาฏิหาริย์ ทายอุจจาระได้ด้วย มันต้องทึ่งสิ ทายได้ผ่านอุจจาระคนก็ต้องทึ่ง


พ่อครูว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องมงคลตื่นข่าว หลงตื่นเต้นยินดีว่าเป็นเรื่องพิเศษ​พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้วแม้จะเป็นเรื่องวิเศษตามที่ทิฏฐิตนเห็นจริงใจเลยก็จริง ถึงอย่างนั้น เรากล่าวว่า สมณะเหล่านั้น ข้ามชาติ ชราไม่ได้ แม้มงคลตื่นข่าวจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม แต่มีจิตใจหลงมงคลตื่นข่าวก็เป็นภัยแก่พรหมจรรย์ 

เอาเฉพาะข้อมงคลตื่นข่าว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งหมดแล้วว่า ต่อให้มงคลตื่นข่าว แล้วข่าวนั้นเป็นจริงด้วยก็อย่ามีใจไปตื่นเต้นหลงจนลืมกิจน้อยใหญ่ เสียการงานหรือการปฏิบัติธรรมอันพึงทำ กลับไปเห็นว่าอันโน้นเป็นเรื่องเด่น ผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้ดีก็ดีแล้ว ช่วยคนได้ก็ดีแล้ว มันเป็นการซับซ้อน ถ้าเป็นเรื่องเห่อ ฟีเวอร์ เราเป็นนักปฏิบัติธรรมก็ต้องพยายามสังวร เพราะคนทางโลกไม่ได้ศึกษาอาการแฝงในใจ มันปรารถนาดี จะมีอะไรแฝงหรือไม่ก็ได้ แต่มันจะมากจะแรง จนเราไม่ถ่วงดุลไว้บ้างมันจะพากันหลงคลั่งไคล้มากเกินไป 

เช่นปีติ 5 อย่าง การตื่นเต้นดีใจ ถ้าดีใจเกินไปเป็นโทษ อย่างอุพเพงคาปีติ เสียกิริยา เสียสุขภาพ ปีติจนน้ำหูน้ำตาไหล น้ำลายไหลยืด ร้องไห้ ดีดเต้นกันอย่างคนโลกๆทำกัน สารพัดจะเป็นโดยไม่เรียนรู้ระงับให้พอดี

ขุทกาปติ  แล้วมีขณิกปิติคือ ปีติเป็นตามเวลา ยาวบ้างนานบ้างขณะหนึ่งๆ ก็เป็นการชี้บอกว่าอาการปีติ เป็นการเกิด ส่วนโอกกันติกาปีติ คือปีติที่หยั่งลงในจิตแล้วเราไปยึดถือ มันเป็นอุปกิเลส แม้จะดี แต่ถ้าสั่งสมมากจะเป็นอุพเพงคาปีติ เสียหายเป็นภัยต่อชีวิตพรหมจรรย์อย่างแท้จริง ส่วนทางโลกเขาไม่รู้ก็แสดงออกเวอร์ๆ กรี๊ดๆๆ ล้วนเป็นอาการปีติ โลกสมัยนี้มีเยอะ หนักเข้าก็แย่งกันตีกัน ยึดถือแรงก็เป็นภัยเป็นโทษ ในวงการของการบำบัดอารมณ์ ที่ชื่นชอบใจ การละเล่นมหรสพ บันเทิงเริงรมย์เดี๋ยวนี้มีให้มาก จนวิปริต วิตถาร เกินพอดีที่มนุษย์ควรแสดงออก ไม่ได้ศึกษาจิตก็จะหนักหน้าไปเรื่อยๆ 

พระพุทธเจ้าสอนให้มีปีติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้ทำแค่ ผรณาปีติ ใน ปีติ 5 อย่างก็เอาแค่พอควร ปีติไม่ใช่ของเสียหาย ยิ่งเป็นปุถุชนหรือเป็นผู้ไม่สูงพอจะไม่อาศัยปีติ ซึ่งก็ควรอาศัย แม้ในอานาปานสติ ก็ให้ทำจิตสงบรำงับก็ให้มีอภิปโมทยังจิตตัง หรือจิตเป็นฌานก็มีปีติ มีสุข เป็นอุปกิเลสในจิต พระพุทธเจ้าว่าไม่ให้ดับหมด แบบไม่เหลือปีติในชีวิตเลย หรือจะเป็นสุขในฌานก็ตาม อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน ส่วนปีติหรือสุขเป็นอุปกิเลสบ้าง ถ้าไม่รู้จักระงับจะเป็นภัย 

ปีติ พระพุทธเจ้าอธิบายไว้ว่า เราเรียนรู้ว่าอาการปีติ เราพยายามให้เบา แผ่ซ่าน ผรณาปีติ เปรียบดับช่างสรงสนาน มีจุนสี ไม่มีเอกเทศไหนๆที่จุนสีจะไปแผ่ซ่านไปถึง ไม่ได้ตีทิ้งหมด แต่ให้แผ่ซ่านบางเบาได้อาศัยใช้ทำงานไป ไม่ใช่เหี่ยวแห้ง เล่นอุเบกขาเฉยกลางอย่างเดียว เรามีชีวิตต้องอาศัยปัจจัยเครื่องใช้ต่อชีวิตให้พอเหมาะ ไม่ใช่ว่าทำแบบพาซื่อ ไม่กินก็ไม่กินเลย ตั้งตบะพาซื่อตายเปล่า เป็นภาระคนอื่นด้วย เราต้องขวนขวายเพื่อสิ่งพอเหมาะพอดี ถ้าหลงไปทางมากเกินไปแล้วมาเยอะ เราก็ต้องมาเรียนรู้ลดละ ให้พอเหมาะพอดีได้ จึงเป็นผู้รู้ความพอเหมาะพอดี

สิ่งที่เกิดกรณีที่เกิดนี้ ถ้าใครเข้าใจว่า อันนี้เป็นมงคลตื่นข่าวก็คงจะเข้าใจ แล้วทำให้เสียกิริยาเกิดการงาน แล้วมีสองคนมองในแง่เดรัจฉานวิชชา อีกคนว่าเสียกิจน้อยใหญ่ที่ควรทำ กลายเป็นบกพร่องเสียการเสียงาน เสียสิ่งที่ควรเป็นก็เกิดความเสื่อมได้

อาตมาก็อธิบายได้อย่างนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ว่าก็ดี ที่รักษาสุขภาพ แต่คนก็ตั้งข้อสังเกต ว่าระวังอย่าไปเกินไป เราไม่รู้ระยะยาว ในระยะสั้นก็เห็นว่าดี แต่เราก็ไม่รู้จักหยุดจักพอ หลงเพลิดไป อีกหน่อยก็จะต้องกินน้ำมันมะกอกร้อยแก้ว พันแก้วก็จะเกินขอบเขตจนถึงตายได้ ก็ให้สติไว้ว่า เราควรรู้กาลควรว่าแค่ใดๆ ไม่หลงเตลิดเปิดเปิง ตอนนี้เห็นว่าผลว่าน่าทึ่งก็น่าทึ่ง มีพิเศษสำคัญก็ควรมีการวิจัยในหลักวิชา มันมีอะไรพิเศษอย่างหนึ่งเหมือนกัน ผู้มีอะไรพิเศษ ไม่ต้องพูดอะไรแค่ อาตมามีสิ่งพิเศษในตนเอง ที่คนไม่ค่อยเข้าใจ

ถ้ามงคลตื่นข่าวในเรื่องโลกๆโลกีย์เดรัจฉานวิชชา คนก็กรูเกรียว แต่อาตมามีสิ่งพิเศษที่หาไม่ได้ง่ายๆ ที่จะเป็นผู้รู้ธรรมลึก เขาไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เป็นมงคลจริงๆ ก็จะกรูเกรียว อาตมาก็ไม่ใช้วิธีโปรโมท แต่อาตมาใช้วิธีไม่ง้อ ดีไม่ดีแสดงกระด้างเลย เช่นถ้าอาตมาแสดงอาการอย่างที่เคยมาก่อนๆ รับรองว่างดงาม สงบ สุภาพ สวย สง่า ไม่เหมือนลิงค่างตอนนี้หรอก ถ้าอาตมาทำแบบโน้นรับรองป่านนี้กรูเกรียวแล้วอาตมาได้พิสูจน์มา 45 ปี ขนาดพวกคุณนี่คัดเฟ้นมายังไม่ได้อรหันต์เลย ดีไม่ดียังไม่ได้เรื่องเลย อาตมาต้องมาว่าความกันอยู่เลย มันไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่เรื่องตื้นๆ 

มงคลจริงๆนี่คุณมาตื่นดีกว่าไปตื่นเรื่องเดรัจฉานวิชชาโลกีย์นะ แต่เขาไม่รู้ก็ดีแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น เอลวิส เขาตื่นกันลงจากเวทีเขาฉีกเสื้อผ้ากระจุย มันมีโรคเห่อโรคบ้าในโลกก็มีจริง คำว่ามงคลตื่นข่าวต้องรู้ว่า มงคลจริงหรือมงคลไม่จริง มงคลอันอุดม มี 38 ข้อ แต่ถ้าตื่นข่าวในอันใดอันหนึ่ง เช่น ตื่นคนพาล กลัว อยู่ไม่ได้แล้วสังคมนี้ ต้องไปหาประเทศอื่นอยู่ ก็บ้าเท่านั้นเอง
ตื่นข่าวบัณฑิต ก็เห่อไป โดยที่บัณฑิตก็ไม่รู้จักประมาณ ถูกทึ้งอย่างกับเอลวิสก็ตายพอดี นี่คือมงคล ที่มี 38 ข้อทุกข้อเป็นมงคล แต่ถ้าไม่เข้าใจหลงเห่ออะไรก็ผิดหมด ก็ต้องเอาอย่างพอควร ที่จริงมงคลจริงจะเอายาก ส่วนมากเห่ออมงคล หลงโลกีย์กัน 

มาเข้าสู่หมวดธรรม ที่หนึ่งฟ้าเขาเขียนมา หยิบเอาคำสองคำ คือ กาย กับ สัญญา สองคำนี้ผู้จะหยิบเอาคำสองคำนี้ ในการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าว่าเป็นสิ่งสำคัญ จึงเอามาเป็นตัวตั้ง อันนี้ก็มองได้อ่านได้รู้ได้ว่าผู้ฟังธรรมเข้าใจ รู้ความสำคัญในความสำคัญ 

ถ้าเข้าใจกายไม่ได้ ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุธรรม กายคือองค์ประชุมของรูปกับนาม รูปกับนามไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ตั้งแต่รูปรูป รูปกาย นามกาย นามรูป แต่นามนาม ไม่ต้องพูดกัน ซึ่งมันเป็นสภาวะสอง คือธรรมะสอ เทวธัมมา แล้วธรรมะสองนี้จะลงที่อารมณ์คนคือเวทนา สังขารเสร็จก็มารวมที่เวทนา ในขันธ์ 5 สัญญาก็เป็นตัวสำคัญที่ต้องใช้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่ต้นจนจบ 

ต้องกำหนดรู้ รูป นาม ต้องใช้สัญญา เป็น ใช้สภาวะที่เรียกว่า อาการ หน้าที่ ความสามารถของสัญญา คือจิตที่มีหน้าที่กำหนดรู้ รู้ชัดก็จำใส่ฮาร์ดดิสก์ไว้ จะเป็นตัวทำงานกำหนดรู้ ในปัจจุบัน แต่คนเราใช้สัญญาอย่างสัญชาติญาณ คนธรรมดา หรือสัตว์ทุกตัวใช้สัญชาติญาณ คือตัวกำหนดรู้ที่เกิดประจำชีวะ แล้วไม่ได้ควบคุมระวัง เรียนรู้ว่าต้องกำหนดจัดการ หรือสังขาร ปรับแต่งเป็นอภิสังขาร ให้มันทำงานตามที่เราต้องการ 

สัญญา คำนี้จึงเป็นตัวทำงาน นามธรรมสำคัญที่จะทำไปกับรูปและองค์ประชุมทั้งนามและรูป ประชุมกันเข้าทีไรก็คือกาย แล้วคำว่ากายนี้ได้ทั้งกายสัตว์นรก กายเทวดาเก๊ กายเทวดาจริง จนถึงที่สุด เป็นกายบริสุทธิ์หรือเรียกอีกทีว่า รูปนามนั้น ประชุมกันแล้วมีธาตุรู้ที่เป็นปัญญาญาณถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธ 

เป็นสัญญาที่ต้องเรียนรู้กาย ของตน องค์ประชุมรูปนามของตน เรียกว่า สักกายหรือสักกายะนี้เป็นทิฏฐิข้อที่ 1 ที่คุณปฏิบัติเร่ิมต้นต้องมีสัญญา อ่านรู้ กาย ของตนเอง เป็นทิฏฐิข้อที่ 1 เรียกว่าสักกายทิฏฐิ เป็นข้อต้นที่ต้องรู้ ถ้าไม่สามารถพ้นทิฏฐิที่ต้องรู้อย่างสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติแล้วต้องอ่านตัวนี้เป็นตัวต้น หากไม่รู้จักสักกายของตน อย่างพ้นวิจิกิจฉาเลย แล้วก็ปฏิบัติศีลพรต ให้ร่อนเอาตั้งแต่อารมณ์สุข เป็นเทวดาเก๊หรือเป็นสัตว์นรก ก็ต้องรู้เหตุที่มันทำให้เกิด ต้องรู้สมุทัย จับอาการสมุทัยได้ ที่พาดิ้นรน ออกอาการทุจริต รุนแรงทำร้ายเลวร้ายต่างๆนานา แล้วเราก็รู้ว่าตัวนี้คือต้นเหตุ คือตัณหา คือทิฏฐิที่ต้องรู้สัมมาทิฏฐิแต่ต้น โดยการเข้าใจ อย่างที่หนึ่งฟ้าเรียบเรียงว่า

ต้องรู้ ทิฏฐิในแสงอรุณทั้ง 7 จึงจะรู้ ทิฏฐิในสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะเอาตัวนี้เป็นทิฏฐิข้อที่ 1 ก็ได้ แล้วจะสามารถมีทิฏฐิสัมปทา ถ้าไม่พบสัตบุรุษจริงก็ยากที่จะได้สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นมิตรดี อย่างทุกวันนี้น่าสงสารจริง เขาไม่รู้จักสัตบุรุษ พูดจนกระทั่งเป็นโรคไอ ประจำตัวป่านนี้ พูดมา 45 ปีแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าพบสัตบุรุษหรือยัง แล้วจะมาเข้าใกล้ พบสัตบุรุษ แม้พบแล้วฟังแล้วแต่ไม่ตรงกับทิฏฐิที่เขายึดเสียแล้วเขาก็ไม่รับฟัง เขาก็ว่าเรามีใบรับรองไหมว่าเป็นบัณฑิต ไม่มีอะไรเลย ก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกัน ถ้าไม่มีปรโตโฆษะ ไม่เปิดจิต กลายเป็นผู้ยึดมั่นทิฏฐิ อย่าเป็นคนชาล้นถ้วย แม้เป็นชาที่ดีก็ควรรินของตนเองออกเสียบ้าง...พ่อครู 1 ส.ค.​58

ถ้าไม่มีปรโตโฆษะ ไม่ตั้งใจฟังอย่างบริบูรณ์ เงี่ยโสตสดับอย่างบริบูรณ์

ถึงที่เกิดหทยรูป เกิดผัสสะ 3 ที่เป็นอาการของสัตว์นรก จับได้แล้วมันอยู่ตรงนี้ ไม่มีสถานที่ตัวตนรูปร่างให้รู้แต่จะรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คนที่โยนิโสมนสิการเพราะไม่รู้รูปไม่รู้นามไม่รู้จักกาย เพราะใช้สัญญาวิปลาส
วิปัลลาสสูตร
         [49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4ประการนี้ 4
ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง 1 ใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข 1 ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน 1 ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม 1 สัญญาวิปลาส
 จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส4 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส
ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง 1 ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ 1ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน 1
ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม 1 สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ

สัญาวิปลาสเพราะทิฏฐิวิปลาสมาก่อน ทิฏฐิวิปลาสเพราะว่าไปยึดถือความรู้เก่าของอาจารย์ที่มิจฉาทิฏฐิมาก่อน อาตมาทำงานยุคนี้ก็ยาก ที่เขามีอุปทาน 4 อยู่เต็มบ้อง เขาไม่รู้จัก กามสุขขัลลิกะ และอัตตกิลมถะเลย เป็นธรรมะสองเขาไม่รู้หรอก อาตมาทำไปก็ไม่ท้อ อย่างน้อยมีพวกคุณมาให้เข็นให้ทำงาน มีแค่นี้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามีเพ่ิมเติมก็ดี 

ทิฏฐินี้ต้องเข้าใจเข้าถึง บรรลุความเป็นทิฏฐิก่อนจึงเรียกว่าสัมมาจริงๆ ว่าทิฏฐิคือเช่นนี้เอง เราฟังสัตบุรุษเป็นมิตรดีแล้ว ก็เข้าใจ แล้วปฏิบัติ รู้ในแสงเงินแสงทอง 7
[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 
[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 
[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  
[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 
[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค ที่เป็นองค์ธรรม 6 ของสัมมาทิฏฐิอนาสวะ เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ 
[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 
[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

ทิฏฐิ 2 คือปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ แล้วก็ต้องมาเข้าใจทางเดินมรรค โพธิปักขิยธรรม 37 จึงเกิดผลเป็นโลกุตรธรรม 9 เข้าใจตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา ไล่ไปโพชฌงค์ 7 มรรค 8 เข้าถึงจิตอุเบกขาในโพธิปักขิยธรรม จะปฏิสัมพััทธ์ ร้อยเรียงเกิดเป็นโลกุตรธรรม 8 ไล่ไปจากการปฏิบัติมรรค 37 สภาพนี้แหละร้อยเรียงเป็น บุคคล 8 จนถึงนิพพาน เป็นโลกุตรบุคคลที่ 9 เป็นลำดับ ผู้มีสภาวธรรมเห็นรูปรอยธรรมะงามสอดร้อยกัน ปฏิสัมพัทธ์กันอย่างวิเศษ 

โดยเริ่มจากความเข้าใจคำว่า “กาย”ในสติปัฏฐาน 4 แล้วเมื่อลงมือปฏิบัติด้วยการกำหนดพฤติกรรมที่เป็นสักกายะของตนเอง ที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของตนเองโดยส่วนตน และหรือที่มีปัญหากับคนอื่นหรือหมู่กลุ่ม แล้วนำมากำหนดเป็นพฤติกรรมที่จะสังวรศีล ในจรณะข้อ 1 


เรารู้สักกายะ แล้วรู้ว่าจะปฏิบัติกายในกาย เราต้องมีทิฏฐิรู้ว่ากายคืออะไร แล้วอ่านสักกายะให้ออก ว่านี่อาการ ลิงค นิมิต เช่นนี้คือสักกาย แล้วพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนาก็มีอกุศลจิตตัวผีที่ต้องจับให้ได้ จนเป็นจิตในจิตธรรมในธรรม ธรรมะก็สะอาดขึ้นๆ ตามลำดับ

และทำตามลำดับความสัมพันธ์ในจรณะ 15 วิชชา 8 ในข้อ 1-10 เกิดเป็น “ปัญญา” ในจรณะข้อ 11 นี่ก็แสดงว่า ปฏิบัติธรรมจะได้สภาวะไปตามลำดับ อาจจะถือศีล 5 เช่นกันแต่ตัวผีคนละตัว เราไม่ฆ่าสัตว์ก็ไม่ฆ่าสัตว์คนละตัว บางคนสัตว์ตัวนี้อยากฆ่า แต่อีกตัวไม่อยากฆ่า อาตมาเคยมีเพื่อนเกลียดงู ไม่ฆ่าจะนอนไม่หลับ 

โดยพฤติกรรมที่นำมา “สังวรศีล” 

เป็นพฤติกรรมที่ต้องการปรับเปลี่ยนให้มีผลพัฒนาการไปตามลำดับในสัมมาทิฏฐิ 10 แล้วสั่งสมอินทรีย์พละเพิ่มในอินทรีย์ 5 เกิดผลเป็นพละ 5 ที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนในโพธิปักขิยธรรม 37 ส่งผลให้สามารถยกระดับจากสัมมาทิฏฐิ 10 ไปเป็นสัมมาทิฏฐิอนาสวะ 6 ได้


ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามีอปัณกปฏิปทา คือทางปฏิบัติที่ไม่ผิด มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ... พยายามเรียนรู้เมื่อสัมผัสแล้วเกิดกิเลส เรามีสติตื่นรู้ชาคริยานุโยคะ พิจารณาในกายเวทนาจิตธรรม หรือสัมมัปปธาน 4 ปหานกิเลสให้ได้เกิดผลเป็นภาวนาปธานเกิดรักษาผลด้วยอนุรักขณาปธาน สอดร้อยร้อยเรียงกันอยู่ แล้วจะเกิดจิตที่สั่งสมไว้อีก 7 ชนิด มี

ศรัทธา ที่เป็นการเชื่อนี้ไม่ใช่เกิดจากเชื่ออะไรเละเทะ อย่างมงคลตื่นข่าวนี้ไม่ใช่เลย ต้องเกิดศรัทธาจากได้ผลการปฏิบัติของตน แล้วจะเกิดหิริโอตตัปปะ แต่ก่อนเราฆ่าสัตว์โดยไม่ละอายเลย ฆ่าเพราะเห็นมันควรฆ่า มันทำลายข้าวของทำร้ายเรา มดปลวกก็ขยี้เลย ไม่รู้เรื่องว่าชีวิตเขาก็ชีวิต เราก็มีชีวิต หรือฆ่าด้วยโกรธ ก็ฆ่า หรือฆ่าด้วยชอบก็ฆ่า คือฆ่ามากิน ไม่เคยสำนึกสังวร ไม่รู้เรื่องเลย ก็จะได้รู้เลยว่า การปฏิบัติกับชีวิตนี้ มันควรเมตตาเกื้อกูลเผื่อแผ่กันไม่ใช่คิดร้ายปรารถนาร้ายต่อกัน จะเกิดจิตประเสริฐจิตดี 

ของๆคนอื่นในศีลข้อ 2 ก็จะรู้ว่าของคนอื่น เราแย่งเขามาเอาอำนาจบาทใหญ่ ดีไม่ดีเอาอาวุธจี้ปล้นมาเลย แม้ไม่หยาบแบบนั้นแต่ก็เบียดบังมาเอามาทำไม มันควรสร้างของตนเองแล้วเหลือเผื่อคนอื่น สัตว์เดรัจฉานมันยังหาเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัวได้ เราก็จะไม่ติดยึดเกิดความละอาย ในสิ่งไม่ควรติดยึด เสียเวลาแรงงานทุนรอนในสิ่งไร้สาระคุณค่า เป็นอบาย ควรทำในที่ลับเป็นของไม่ควรเปิดเผย ไม่ควรปฏิบัติ แต่ก็ไปติดสนุกเอร็ดอร่อย แต่ก่อนเราไม่ประสีประสาโง่เง่า เกิดหิริโอตตัปปะ โดยเฉพาะกับข้อศีลที่เราสมาทาน ไม่ต้องเอานัยลึกมากก็ได้ ทำไปตามลำดับ เช่นแต่ก่อนตะกละแย่งเอาของคนอื่นไม่ละอายหรือฆ่าสัตว์โดยไม่ละอาย แต่ว่าถ้าปฏิบัติธรรมได้ผลจะเกิดจิตสำนึกดี มีหิริโอตตัปปะ ละอายจนถึงกลัวบาปเลย ก็เกิดพหูสูตร 

เจริญพัฒนาอย่างยิ่ง เป็นพาหุสัจจะ เป็นสัจจะที่มากขึ้นๆ พหูสูตรคือรู้ยิ่งอย่างบรรลุธรรม ไม่ใช่แค่ปริยัติ แต่ได้ปฏิบัติ ศีล อปัณกธรรม แล้วบรรลุธรรมมากขึ้นก็เป็นพหูสูตร หรือพาหุสัจจะ ก็เจริญขึ้น 

ตั้งแต่เกิดศรัทธา  หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร วริยะ ก็จะเจริญ มีสติ ปัญญา ซ้อนเป็นสภาพหมุนรองเชิงซ้อน มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา มีสติเจริญขึ้น มีชาคริยาตื่นขึ้นอีกเยอะ วิริยะ สติ ปัญญา เกิดเป็นปัญญาในจรณะข้อ 11 ปัญญาที่มีหิริโอตตัปปะ พหุสัจจะ มีวิริยะ สติ ในนี้มีอินทรีย์ 5 ไม่มีแค่สมาธิ เพราะในสัทธรรม 7 เกิดจิตสั่งสมเป็นจิตดี เป็นฌาน 1-4 จากสัทธรรม 7 ก็เป็นฌาน 1-4 อาการนี้เกิดเป็นศรัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์  สตินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ขาดแต่สมาธินทรีย์   ซึ่งก็คือรวม 7 ตัวนี้แหละเป็นสมาธินทรีย์ ซ้อนเป็นฌาน 1-4 แล้วขยายปัญญา ฌาน นี้เป็น วิชชา 8 นี้คือวิชชาจรณสัมปันโน คือจรณะ15 วิชชา 8 ร้อยมาลัยเป็นพวง โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์

ไม่ใช่ว่าใสเป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ แต่เป็นมาลัยที่ร้อยสวยงามเป็นลำดับ
สั่งสมอินทรีย์พละเพิ่มในอินทรีย์ 5 เกิดผลเป็นพละ 5 ที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนในโพธิปักขิยธรรม 37 ส่งผลให้สามารถยกระดับจากสัมมาทิฏฐิ 10 ไปเป็นสัมมาทิฏฐิอนาสวะ 6 ได้


มีสติสัมโพชฌงค์ มีวิริยะ มีปีติ เกิดผล แล้วจิตระงับเป็นปัสสัทธิ แล้วเป็นสมาธิ เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์  สมาธิสูงสุด สั่งสมเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เจริญในองค์ 5 อุเบกขาปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ซ้อนไปเรื่อยๆ  ทำสั่งสมทุกปัจจุบัน 36 สั่งสมเป็นอดีต 36 ที่เป็นสูญ อุเบกขาแข็งแรง ในองค์ธรรม 5 อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา   ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ เป็นอเนญชาภิสังขารอย่างสมบูรณ์แบบ สัมผัสกับโลกเขาอย่างไรก็นิจจัง ทุวังสัสตังตลอดเวลาจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลกก็จะรู้โลกมากขึ้น อนุโลมปฏิโลม ด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ช่วยโลกได้มากขึ้น จิตปัญญาก็แววไว เจโตก็ปรับได้ง่าย จิตหัวอ่อน ทำการงานอันดีได้สัดส่วน พอเหมาะ  ในอุเบกขา 5 องค์ธรรมนี้เราจะเกิด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

 ถ้าไม่รู้สัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะปฏิบัติให้เกิดทิฏฐิของอนาสวะ 6 ไม่ได้ ต้องเข้าใจตัวทิฏฐิที่ขึ้นต้นตัวแรกเลย 
1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) 
2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 
3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) จิตเสวยผล ที่ได้ส่วนแห่งบุญ ชำระกิเลสออกได้เป็นส่วนๆ ปุญญภาคิยา หรือปุญญภาค ชำระกิเลสได้ส่วนแห่งบุญได้ผลแก่ขันธ์ 
4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) จะรู้โลกโลกียะโลกุตระ 
5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .
6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 
7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) 
8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)
9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) เป็นอุบัติเทพ แล้วเป็นวิสุทธิเทพไปตามลำดับไม่หลงไปกับสมมุติเทพที่คือสมมุติกันไปต่างๆนานา สัตว์นรกสัตว์สวรรค์ตายทันทีไม่มีซาก แล้วก็เกิดเป็น อุบัติเทพทันที คนนั้นจะรู้การเกิดการตายของสัตว์โอปปาติกะ เราเห็นของจริงโดยตนเองเอโกเลย ไม่ต้องเชื่อใครว่าสัตว์ในตัวเราตายก็เกิดเป็นเทวสัตว์พรหมสัตว์ไม่ได้มีตัวตนบุคคลเราเขาแต่เป็นนามธรรมเกิด เป็นโอปปาติกโยนิ
10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

คำว่าสยังอภิญญา พระพุทธเจ้าระบุตรัสเป็นเงื่อนไขหลักความจริงว่า สยังอภิญญาไม่ใช่แค่ภูมิปัจเจก

เราปฏิยัติได้ก็เป็นปัจจัตตัง เห็นการเกิดการตายของโอปปาติสัตว์ในปัจเจกของตน จนคนนี้สั่งสมจนเป็นของตนเป็นสยังอภิญญา มีความรู้ยิ่งอันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาปัญญาของพระพุทธเจ้าเพราะเป็นผู้อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา พอเกิดมาชาตินี้ไม่ได้เรียนจากใครเลยก็มีของตน แต่ไม่ใช่สยัมภู เป็นสาวกภูมิอยู่ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้อ 10 นี้ท่านตรัสเอาไว้ว่าจะมีคนชนิดนี้ให้คนได้เห็นได้ศึกษา พูดไปแล้วก็เหมือนอวดตัวเอง ก็ขออภัยหากเกิดอาการไม่ดี แต่มันเป็นเวลาอธิบายวิชาการ ธรรมะพระพุทธเจ้าว่ายุคนี้ต้องมีคนมาแบบนี้

ในขณะเดียวกันก็ต้องตรวจทิฏฐานุสัย(ทิฏฐิ 1)

ให้ตรงชัดยิ่งๆขึ้น กล่าวคือ ต้องไม่ตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิ 62 ที่ไม่เป็นทั้งอดีต 18 และ อนาคต 44 (ยังมีอีก 5 ทิฏฐิ ของนิพพาน) และเมื่อก้าวข้ามมิจฉาทิฏฐิ 62 มาได้ ก็จะเป็นการสั่งสมญาณต่างๆมาตามลำดับในญาณ 67 ของสาวกภูมิ และอีก 7 ญาณ สำหรับนิยตโพธิสัตว์ ขึ้นไปที่เป็น สยังอภิญญา ที่จะยกระดับไปเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป รวมเป็น 73 ญาณ


คนที่ยังยึดในทิฏฐิ อดีต 18 และ อนาคต 44 นั้นยังไม่สัมมาทิฏฐิ ต้องปฏิบัติในปัจจุบัน สัตว์นรก เทวดาต้องเกิดปัจจุบัน หากทำได้เป็นวิสุทธิเทพปัจจุบันก็เป็นจริงได้ ถ้าทำปัจจุบันไม่ได้ตายไปก็ไม่ได้ โลกปัจจุบันเท่านั้นที่จะปฏิบัติได้ โลกอดีตกับอนาคตได้ใช้ศึกษาแต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องปฏิบัติ ต้องรู้ นิพพานที่ยังมีภพอยู่นี้จริงหรือ นี่คือตัวที่จะเรียนรู้ไม่ใช่ยึดที่ อดีต 18 และ อนาคต 44 ไม่ใช่ ผู้ที่นั่งหลับตามีแต่อดีตทั้งนั้น เพราะใช้สัญญากำหนดรู้ไม่มีความจริง ส่วนพวกอนาคตก็ฟุ้งไป อย่างธรรมกายนี้ไปอีกนาน อาตมาว่าจะยิ่งกว่า 44 นะ นักฟุ้งซ่านสร้างวิมานสารพัด เป็นอนาคตว่าจะรวยๆๆ จะยิ่งใหญ่ๆๆ สร้างภพอนาคต ไม่ใช่เรื่องปฏิบัติธรรม มันต้องปฏิบัติที่ปัจจุบัน 

ผู้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจว่าปัจจุบันเท่านั้นที่จะปฏิบัติให้สำเร็จผล ยิ่งไปหลงกามหลงอัตตาเป็นนิพพานก็ไปที่ชอบๆเลย แม้ทิฏฐิถูกแต่ไปหลงเทวดาในขั้นฌาน 1 หรือ2 ก็เป็นเมถุนสังโยค 7 จะปฏิบัติธรรมเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งทั้งนั้น แม้ติดที่ฌาน 4 อุเบกขาไปติดอยู่กับอุเบกขาก็เป็นวิปัสนูปกิเลสทั้งนั้น 

และเมื่อก้าวข้ามมิจฉาทิฏฐิ 62 มาได้ ก็จะเป็นการสั่งสมญาณต่างๆมาตามลำดับในญาณ 67 ของสาวกภูมิ และอีก 7 ญาณ สำหรับนิยตโพธิสัตว์ ขึ้นไปที่เป็น สยังอภิญญา ที่จะยกระดับไปเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป รวมเป็น 73 ญาณ


ญาณที่พระสารีบุตร รวบรวมไว้ก็มี 73 ญาณ ในพระไตรฯล.31 ในมาติกาเลย

1.4 อาสวะ 4 อนุสัย 7

1)การพ้นอาสวะ 4 ทำให้เกิดปัญญาวิมุติ
 

คำว่าเจโตสมถะ นั้น ก็คือเจโตที่ทำให้จิตตนสงบได้ จะสงบอย่างมิจฉาทิฏฐิเดี๋ยวนี้เยอะ แต่ไม่สะกดจิตแต่ลืมตาปฏิบัติก็ทำให้จิตสงบได้ ก็ทำให้จิตรู้ น่ิงเฉยได้ ตัดแบบสมาธิลืมตา อย่างติช นัทฮันท์ เป็นต้น แม้แต่ท่านคำเขียน ท่านอ.เทียน เป็นเรื่องสมถะลืมตา ไม่ได้มีรายละเอียดปรมัตถ์ที่อาตมาอธิบาย ไม่ได้มีอภิธรรมแท้ จะไปเรียนได้แค่สมถะ คำว่าเจโตสมาธิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็จะได้เจโตสมถะที่แข็งแรงตั้งมั่นเก่งเลย เป็นสมาธิเจโตสมถะ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิจะเป็นเจโตสมาธิที่เป็นสัมมาปฏิบัติได้สัมมาผล 

เจโตสมาธิสัมมาทิฏฐิจะได้เจโตวิมุติ ถ้าเจโตสมาธิมิจฉาทิฏฐิ จะได้เจโตสมถะ ในบุคคล 4 ที่ได้แต่เจโตสมถะ ก็ได้แต่สมถะ แต่ว่าถ้าสัมมาทิฏฐิจะหลุดพ้นได้เป็นเจโตวิมุติ 

แล้วมาที่ 2) การพ้นอนุสัย 7 ทำให้เกิดเจโตวิมุติและส่งผลให้เกิดอุภโตภาควิมุติ (เดิมเข้าใจว่า บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ ในบุคคล 4 คือผู้ได้เจโตวิมุติ)


ปัญญาวิมุติคือผู้อาสวะสิ้น ส่วนกายสักขี ท่านมีเงื่อนไขว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายรู้ด้วยปัญญาอันย่ิงจึงทำลายอาสวะสิ้น พ้นสังโยชน์ 10 หรือพ้นอาสวะ 4 คือกามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ เรียกอาสวะก็คือฐานข้างใน

เร่ิมแต่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลลัพพตปรามาส นั้นเป็นตัวนอก ที่ทุกคนที่เริ่มปฏิบัติต้องเข้าใจต้องปฏิบัติ ชัดเจน จนถึงตัวใน ที่เป็นกามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ก็เตือนไปถึงท่านผู้บริหารแผ่นดินว่า อย่าไปประมาทกับเชื้อโจรพวกนี้นะ มันฟื้นคืนได้นะ มีลูกมีหลานด้วย

สังโยชน์ 10 ขั้นต้น เมื่อเร่ิมปฏิบัติได้ก็จะเร่ิมพ้นตั้งแต่กามราคะ กามาสวะ เร่ิมตั้งแต่กามราคานุสัยในอนุสัย 7 
1.    กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) 
2.    ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) 
3.    ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) ไม่ใช่ตัวเดียวกับสัมมาหรือมิจฉาทิฏฐิตัวที่ 1 ของสังโยชน์ เป็นทิฏฐิขั้นอนุสัย 
4.    วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) 
5.     มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6.     ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด) 
7.     อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)

ต้องอ่านละเอียดถึงตัวใน จบแล้วก็ยังต้องตรวจ ภวราคานุสัยอีก คือความยินดี แม้ความยินดีในธรรมที่เรียกว่า ธัมมกาโม เป็นกามในขั้นธรรมะ เป็นความต้องการปรารถนาอยากใคร่ซึ่งเป็น ความรู้ในขั้น หมดภาษาพูดแล้วเป็นปฏินิสสัคคะเป็นขั้นตีกลับ ผู้เป็นอมตบุคคลที่สูงถึงระดับที่ท่านจะใช้วินิจฉัยขอท่านเห็นเหมาะควรจะทำเพื่อประโยชน์ของคนข้างนอกด้วยความอยากใคร่ก็ไม่มีตัวตน อาจประมาณผิดได้ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดของอรหันต์หรืออาริยะชั้นสูง ท่านไม่มีเจตนาร้ายเลยแต่ท่านไม่เก่ง ประมาณไม่พอดี ผู้มีความประมาณไม่เก่ง พระพุทธเจ้าถึงว่า ผู้ทำผิดพลาดอย่างนี้ไม่ควรถูกตำหนิ แม้อรหันต์ที่ไปฆ่าตัวตายก็ตาม 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:53:12 )

580802

รายละเอียด

580802_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ การเมืองเป็นเรื่องธรรมะ 

ส.ฟ้าไทว่า...เจริญธรรมสำนึกดี ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขารณรงค์ ปั่นเพื่อแม่ แต่ที่บ้านราชฯมีกิจกรรมขายปุ๋ยถูกๆเพื่อแม่ ราคากระสอบ 50 กก. กระสอบละ 180 บาท(ยกเอง) หรือ190 บาท (ยกให้) ขายที่ชุมชนราชธานีอโศก 1-16 ส.ค. 58 ในช่วงเข้าพรรษา ก็เชิญมาเข้าวัดฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เราก็คิดกันว่าในช่วงเข้าพรรษาอาจให้ชาวอุบลฯได้มาเข้าวัดฟังธรรม ถืออุโบสถศีลกัน เดือนละครั้งจะดีไหม หรือให้ชาวราชธานีอโศกที่ถือศีล 5 อยู่แล้วมาถือศีล 8 กันดีไหม ได้ยกระดับจิตวิญญาณกัน

ส่วนวันนี้พ่อครูจะนำเสนอเรื่องการเมือง การเมืองเป็นเรื่องของธรรมะ ก็อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกัน เพราะความไม่ดีมันเยอะมาก เมื่อไหร่จะเปลี่ยนแปลงกันได้ กาละนี้เป็นความเหมาะสมหลายอย่างนะ ที่จะทำดีได้ ไม่ได้มีกาละเช่นนี้ได้บ่อยนะ

พ่อครูว่า...วันนี้ตั้งใจพูดเรื่อง การเมืองเป็นเรื่องธรรมะ แต่คนปัจจุบันเข้าใจกันว่า ธรรมะก็อย่าไปยุ่งกับการเมือง การเมืองก็อย่าไปยุ่งกับธรรมะ อาตมาคิดว่าการคิดเช่นนั้นเป็นการกีดกัน ป้องกัน ขจัดของนักการเมืองหรือเปล่า นักการเมืองขจัดธรรมะออกจากวงการการเมือง จนกระทั่งคนหลงลมสำเร็จ ไม่ให้นักธรรมะไปยุ่งกับการเมือง การเมืองก็ละเลงเละเทะ มันถึงฉิบหายกันอย่างนี้ ฉิบกายกันอย่างน่าเศร้า 

ถ้าเผื่อว่า ความเข้าใจที่ผิดไปเช่นนั้นไม่กลับคืนมาสู่สัมมาทิฏฐิ มาเข้าใจให้ถูกต้องว่า การเมืองคือเรื่องของธรรมะแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของการไร้ธรรมะ เป็นเนื้อแท้ของเรื่องการเมืองเลย สำหรับการมีธรรมะ คนไม่มีธรรมะ ไปเป็นนักการเมืองบ้านเมืองถึงได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี่ คนที่จะบอกว่าตนเองมีธรรมะ มันไม่ใช่การบอกด้วยปาก มันต้องมีธรรมะที่แท้จริง แล้วยุคนี้เป็นยุคที่กิเลสร้ายแรงหยาบคาย หนักหนาสาหัส 

มันจึงต้องใช้ธรรมะเข้มข้น ใช้ธรรมะขั้นสูงมาช่วย ถ้าธรรมะชั้นกัลยาณธรรมแบบโลกๆ สู้ไม่ได้หรอก สู้การเมืองในระดับเสือสิงกระทิงแรดระดับพวกนี้ไม่ได้ ระดับที่เรียกว่า เสือสิงห์กระทิงป่าที่โหดเหี้ยมเลวร้ายซับซ้อน ซ่อนเล็บ ซ่อนร้าย ซ่อนผิด ซ่อนเล่ห์ หลอกว่าตนเองดี ประชานิยม ทำเพื่อประชาชน เขาหลอกเช่นนั้น แล้วก็ใช้กุ้งฝอยตกปลากะพงกันเต็มเหนี่ยว คนได้กุ้งฝอยก็หลงว่าเขาจริงใจมาช่วย เป็นเทวดา ม้าขาวมาช่วยแล้ว สร้างค่ายกลการเมืองที่ร้ายแรงกว่าหนังจีน จนกระทั่งแก้ไขไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ลำบากลำบนที่สุด 

อาตมาก็ขอยืนยันว่า การเมืองเป็นเรื่องของธรรมะ มิใช่เรื่องไร้ธรรมะ 

ขออ่านกวี      ถึงกาละรอบ่ได้ ท้อบ่ได้ ถอยบ่ได้แน่ๆ มีแต่”ทำเต็มบริสุทธิ์”ให้จบเท่านั้น

                (1) ทั้งดาวดวงประจบแล้ว    มงคลฤกษ์    
                ขุดเหตุถอนรากเพิก        พิษร้าย
                ชั่วช้าหนักเอิกเกริก        เกินกล่าว แล้วแฮ
                 เลวสุดหลักฐานท้าย        สุดนั้นเต็มมือ
                 (2) อย่ายื้ออย่ายืดให้        เป็นเวร ภัยเลย        
                สัตว์วิปริตพิษเกินเกณฑ์    ชัดแท้
                กัดบ่หยุดมันเดน        นรกเกิด มารา 
                นี่แหละสัตว์จริงแล้        ฤทธิ์ร้ายจริงจริง
                (3) อย่าประวิงด้วยเหตุ    ใดใด อยู่เลย
                คนชั่วบ่หยุด ไข-        สัจจ์แล้ว
                คนสัตย์ซื่อกล้าใจ        บริสุทธิ์ 
                ธรรมย่อมคุ้มครองแคล้ว    คลาดพร้อมบุญญา        
                (4) กาละรอบ่ได้        พึงตรอง เถิดเทอญ
                ท้อบ่ได้พึงสนอง        ฤกษ์ฟ้า
                ยิ่งถอยบ่ใช่ของ        ควรเกิด แน่แฮ        
                จิตอ่อนแอบ่กล้า        ยิ่งร้ายของเสีย
                (5) เพลียล้ากันมากแล้ว    เกินรอ ท่านเอย
                ประมาทสัตว์กุนจอ        บ่ได้
                สัตว์เง่าแง่ทำหงอ         ไป่สุด เล่ห์นา 
                อย่าสะดุดปยุตต์ให้         ฤกษ์ร้ายมงคลเสีย    
                (6) เจียรกาลนานหนักแล้ว    คนไทย
                รอประชาธิปไตย        ที่แท้
                ประชาธิปไตยใด        ทั้งโลก ทิ้งเลย
                ไทยนี่ไทยจริงแล้        อิสระเรื้องเมืองไทย            
                (7) อธิปไตยพุทธดั้ง        เดิมมา
                สุดยอดคือประชา-        ธิปัตย์แก้ว
                อย่าเลยอย่าไปหา        ลัทธิอื่น
                ลัทธิพุทธสุดแล้ว        ยอดแท้ประชาธรรม.    
    

                        สไมย์ จำปาแพง”             
                                    2 ก.ค. 2558
        [นัยปก”เราคิดอะไร” ฉบับ 301 ประจำเดือน สิงหาคม 2558]                                
ครั้งนี้เป็นการรัฐประหารที่สวยงาม เรียบร้อยที่สุด ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์บันทึกมา แล้วจะเป็น Best record ไปอีกยาวนานเลย เพราะเมืองไทยมีคนไทย เป็นเมืองพุทธ แม้ว่าทฤษฎีโลกุตรธรรม จะเลือนไป ไม่สามารถประกาศได้มาก อาจงงๆกัน แต่เนื้อแท้คุณธรรม อาริยธรรม มันหยั่งรากในคนไทยมายาวนาน ไม่ใช่แค่พุทธจะหยั่งมาแค่ตั้งเมืองไทยมา แต่ว่าพุทธศาสนาหยั่งลงในแคว้นสุวรรณภูมิมาตั้งสองพันปีแล้ว ยิ่งต้นๆ แรกๆยิ่งเป็นโลกุตรธรรม ฝังรากโลกุตรพันธ์ุ มาเช่นเดียวกับอินเดียวที่เป็นชาติที่มีพันธุ์ของฮินดู แน่น ลึกมาก ทุกวันนี้พลเมืองเขาสามพันล้าน ประชากรเขาก็รวมตัวกันได้ด้วยเนื้อแท้ธรรมะเชิงเทวนิยมฮินดู แต่เรื่องศาสนาคือพลังรวมสังคม การประพฤติใดที่ไม่เป็นพลังที่รวบรวมสังคม ส่ิงนั้นไม่ใช่ศาสนา จะเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยมก็ตาม       

ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อปฏิบัติตนให้เป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งเหมือนลัทธิหรือศาสนาเทวนิยม ที่มีตรีมูรติ เรื่องของเทวะหรือพระเจ้าคือเรื่องจิตใจ เป็นพลังงานมีในสัตว์โลกหรือมนุษย์เป็นความดีงาม ใช้เป็นพลังรวมสังคม ถ้าเป็นเทวนิยมก็จะเป็นพลังที่เยี่ยมยอดในปาฏิหาริย์ทั้ง 3 อย่าง ถ้ายุคใดควรใช้อิทธิปาฏิหาริย์ ก็ใช้ ถ้ายุคใดควรใช้อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ แต่ยุคนี้ควรใช้แต่ อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์คือทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าให้ได้สำเร็จผลนั่นเอง

อเทวนิยมมีคุณสมบัติวิเศษ คำว่าจิตวิญญาณมีพลังอำนาจ ผู้ใดสร้างพลังแบบที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นพลังงานแบบอเทวนิยม Atheism ให้คนแต่ละคนสามารถประพฤติสั่งสมอำนาจนี้แก่ตนได้ด้วยการกระทำ หลักการสร้างก็ทำทั้ง คิด พูด ทำ อาชีพ ทั้งหมดทั้งสิ้น เรียกว่า กัมมันตะ หรืออาชีวะ  รู้ไปถึงกรรมดีกรรมเลวที่ทำแล้วรู้ตัวมารร้ายที่แฝงในการกระทำทุกกรรมกิริยา สั่งสมเป็นกรรมวิบาก ผลังวิปาโก จึงเกิดพลังอำนาจที่เรียกว่า อเทวนิยม 

ของพุทธศาสนา พลังอเทวนิยมคือ กรรม เชื่อถึงขั้นรู้แจ้งในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามคำนี้ไตรลักษณ์เป็นคำที่ย่ิงใหญ่ ทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน ทางโลกฟิสิกส์เขาก็พิสูจน์ได้ในวัตถุ แต่เขาไม่รู้จิตวิญญาณ ไม่รู้อาการของทุกข์ ไม่รู้ปัจจยการ ของทางโลกเขาเป็น space and time of continuum แต่ของพุทธเป็น Kama and and time of continuum  รู้การเกิดตายของสัตว์ทางจิตวิญญาณ ทำให้ตายได้สนิทเที่ยงแท้ถาวรได้เลย ที่เป็นสัตว์ทางชีวิต เป็นสัตว์ในจิตนิยาม ศาสนาพระพุทธเจ้ารู้พลังงานละเอียดอ่อนของจิตวิญญาณว่า อาการเช่นนี้เป็นจิตเจตสิกต่างๆ เช่นเจตสิก 52 หรือ 79 ที่จริงมีมากกว่านั้นนับเป็นล้านๆ แต่เท่าที่พระพุทธเจ้าบัญญัติก็เพียงพอ ที่ถ้าเข้าใจลักษณะอาการของจิตว่า อย่างนี่คืออาการจิตเลวร้าย ก็พัฒนามาดีขึ้น จนดี จนดีสุดยอด แล้วก็สามารถเลิกล้มทุกอย่างได้เลย ไม่เหลือเชื้อของความเป็นชีวะ ในจิตวิญญาณได้เลย เลิกกันไปได้นิรันดร เหมือนแยกน้ำ H2O ออกเป็น Hydrogen and Oxygen ได้ 
            
ธาตุอุตุคือดินน้ำไฟลม แล้วพัฒนามาเป็นพีชนิยาม ที่เห็นอยู่บนโต๊ะคือผลผลิตของชาวอโศก แล้วพีชนิยามก็พัฒนามาเป็นจิตนิยาม พระพุทธเจ้าก็รู้ได้ จนพัฒนาจากสัตว์เซลล์เดียวเป็นหลายเซลล์เป็นสัตว์จนเป็นคน แล้วก็พัฒนาเป็นคนเจริญสูงสุดตอนเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ตอนนี้คนก็เลวลงมากแล้ว คนที่พัฒนาสูงสุดของคนคือพระพุทธเจ้า มีคนเดียวในแต่ละยุคกาล บางยุคศาสนาพุทธยืนยาวเป็นล้านปี แต่ยุคนี้ยุคพระสมณโคดมยุคนี้อยู่ได้ ห้าพันปี ซึ่งก็มีพระสมณโคดม เจริญพัฒนาเป็นคนที่สูงสุดได้คนเดียว 

นิยามทั้ง 5 ก็จะหมุนเวียนเกิดดับไป จนถึงเวลาที่มีไฟไหม้โลก แม้ศาสนาเทวนิยมก็มีพยากรณ์ไว้ จะมีศาสดามาช่วย ศาสนาเทวนิยมก็ช่วยคนได้ ศาสนาอเทวนิยมก็ช่วยคน ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาตมาพูดด้วยความมั่นใจว่า สิ่งจริงนี้จะเป็นไป เมืองไทยจะเป็นเมืองพุทธที่สืบเชื้อของพระพุทธเจ้า ประกาศคุณค่าจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติเป็นธรรมะตามหลักพุทธศาสตร์ แล้วจะช่วยมนุษย์ให้เป็นคนดีคนประเสริฐให้แก่ปลายกลียุค หยั่งลงที่เมืองไทยเพราะเมืองไทยเป็นแดนชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส จะมีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้ ทุกวันนี้เกิดแล้ว 

ตอนนี้ได้เวลาจะมาผนวกกัน เพราะทุนนิยมกับพลังงานอำนาจทางการเมืองมันได้กอดคอกันทำลายประเทศชาติมวลมนุษยชาติมาสุดขั้วแล้ว บรรลัยจักรแล้วแต่เมืองไทยยังไม่ถึงขั้นเหมือนหลายประเทศที่ต้องฆ่าแกงกันกว่าจะตั้งหลักได้ เมืองไทยมีพลังงานพิเศษอยู่ มันเป็นมงคลฤกษ์ที่ยิ่งใหญ่แล้วที่ประเทศไทยจะได้ขุดเหตุถอนรากถอนโคนพิษร้าย ว่ามันชั่วช้าหนักเกินกล่าวแล้ว     
              
ประชาธิปไตย คือ เพื่อประชาชน คำเดียวนี้แหละอาตมาให้นิยาม ซึ่งลินคอนให้หลักประชาธิปไตยไว้ คือเพื่อประชาชนโดยประชาชน ของประชาชน 

ซึ่งจะเป็นคนเดียวหรือเป็นคณะก็ตาม หากเป็นเผด็จการ แต่ทำอย่างสุจริตเพื่อประชาชนจริงๆ นั่นคือประชาธิปไตยไม่ได้เห็นแก่ตัวไม่ได้เห็นแก่ชีวิตตนเองเลย ตายเป็นตายแต่เก่ง แม้ยุคเถื่อนก็ปกครองดูแลบริหาร ทำเพื่อประชาชนได้ หรือจะตั้งคณะเป็นคณะคอมมิวนิสต์แต่จริงใจเสียสละเพื่อประเทศไม่ได้เอาเปรียบเอารัด เพื่อตนเองหรือพรรคพวกตนเอง แต่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ คอมมิวนิสต์นั้นก็คือประชาธิปไตย ความหมายคำว่า เพื่อประชาชนนี้คือประชาธิปไตย จะอยู่ในระบอบใดก็ตามก็คือเพื่อประชาชน 

แล้วถามหน่อยประชาชนในโลกที่ว่าเป็นประชาธิปไตย คนเหล่านั้นมีพฤติกรรมที่จะทำเพื่อประชาชนยิ่งกว่าตนยิ่งกว่าครอบครัวตนจริงหรือ? พูดมาถึงตรงนี้กล้าพูดได้ว่าชาวอโศกที่เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำแล้วล้างความเห็นแก่ตัวได้ จนถึงบัดนี้มีพลเมืองกระหยิบมือหนึ่งก็ตาม แต่เป็นคนจริงใจ เพราะเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาใช้ แล้วชำระได้เป็นบุญ เป็นปุญญะ ชำระกิเลสจากจิตได้จริง รู้จักจิต เจตสิก รูปนิพพาน รู้จักอาการของสัตว์โอปปาติกะที่เห็นแก่ตัว แล้วล้างออกได้เป็นอาริยบุคคลไปตามลำดับได้จริง คนทุกวันนี้ไม่รู้จักพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์แล้ว 

ความเป็นจริงของทฤษฎีที่จะชำระจิตสันดานให้หมดจด สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ คือชำระกิเลสได้ ไม่ใช่สิ่งโลกียะ แต่บุญคือเครื่องมือเท่านั้น ใช้แล้วเสร็จก็จบ เลิกไม่ต้องใช้บุญต่อ บุญไม่ใช่ส่ิงสะสม บุญเป็นสิ่งทำลายกิเลสออกจากตนได้ ไม่ใช่กุศลที่เป็นส่ิงอาศัยยังชีพ ส่วนบุญเป็นเครื่องบุกเบิกชีวิต เมื่อล้างบาปเกลี้ยง สัพพปาปสอกรณัง หมดแล้วเกลี้ยงแล้วไม่ฟื้นอีก อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ชีวิตอยู่ต่อก็มีแต่ทำกุศล กุสลสูปสัมปทา พระอรหันต์หมดบาปหมดบุญ ปุญญาปาปปริกขีโณ 
แต่สัจจะเรื่องบุญได้เพี้ยนไปจนเขาเอาบุญมาเป็นวิมานหลอกคน ทั้งที่บุญคือเครื่องมือประหารกิเลสอย่างคมชัดแม่นแท้ มีประสิทธิภาพ เมื่อคนสามารถล้างกิเลสได้จริงชัดเจน เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต คนล้างกิเลสได้ จึงมีจิต อุเบกขา มีสัปปุริสธรรม 7 

คนเอาธรรมะมาหลอกคนนี่บาปกินหัวมากนะ เพราะคนเชื่อว่าธรรมะเป็นส่ิงดี แต่มาหลอกชั่วซับซ้อนก็เลยยิ่งพัง คนที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าหมดตัวหมดตนแล้วก็จะไม่มีแฝงอำพราง แต่อย่างฤาษีสะกดจิตไม่ได้หมดกิเลสเป็นขั้นตอนมาตั้งแต่ อบายในกามภพ มาล้างกามภพ แล้วมาล้างรูปภพ อรูปภพอีก อย่างมีของจริงสัมผัสมีผัสสะ 3 จนหมดตัวตนหมดความเห็นแก่ตัวได้ เป็นพระอาริยบุคคลสูงขึ้นก็จะหมดตัวตนเพ่ิมขึ้น หมดตัวตนแล้วก็จะเห็นว่าต้องช่วยคนอื่นไม่ใช่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ จะเห็นว่าเป็นสิ่งควรทำ เป็นคนรู้กรรมกิริยาต่างๆแล้วมีกรรมกิริยาที่เป็นผลวิบาก เป็นกุศลกรรมที่อาศัยได้จริงๆอย่างมีปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์อย่างไม่มีเหตุผล แต่จะมีคุณสมบัติที่จะรองรับเอง เป็นธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรมตามบารมีของแต่ละคน

ก็ขึ้นกับวิบากกับบารมีที่จะสังเคราะห์กัน ต้องพ่ายแพ้หรือชนะตามสัจจะ ชีวิตอาตมามีเหตุการณ์เห็นอยู่ชัดๆ อาตมารอดพ้น วันที่ 18 ก.พ. 57 ไม่ถูกเขายิง ทั้งที่เป็นเป้าที่เขายิงได้ง่ายเลย ไม่มีอะไรป้องกัน แต่มันมีอะไรหลายอย่างมากมายที่อาตมาไม่อยากพูด  แต่มันเป็น ธัมโม หเวรักขติ ธัมมจาริง

มาพูดถึง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อันนี้เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธ เป็นเรื่องเกิดจริงได้ ในจิตวิญญาณและการกระทำของมนุษย์ โดยไม่มีอะไรอำพรางแฝงซ้อน ไม่มีอาการไม่ดีแฝงอยู่เลย สิ่งเหล่านี้ยังเหลือเชื้อคุณธรรม คุณวิเศษของพระพุทธเจ้ายังเหลือเชื้อ แม้ในปลายกลียุคแล้ว


ผู้ประกาศประชาธิปไตยคือในหลวงของเราเอง พูดจากความรู้ของตนจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูดนะ พระองค์มาเป็นองค์ยืนของศาสนาพุทธ ทรงงานประชาธิปไตยมาทั้ง 60 กว่าปี ประชาธิปไตยแท้ๆ เป็นการสร้างงานสร้างสิ่งที่จะให้มนุษยชาติเอาอย่างตาม ในไทยก็ได้มาบ้าง 

ท่านบอกว่าให้ปิดตำราทั่วโลก อย่าไปหลงตำรา เพราะอ่านแล้วก็แค่นั้น เขาทิ้งไว้ว่าอนาคตยังมีแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร จบ อ่านแล้วอ่านอีก เปิดใหม่ก็เริ่มใหม่เหมือนเดิมวนในอ่าง อย่างนี้คือตำราของเขา พระเจ้าอยู่หัวจึงบอกว่า เราเลยบอกว่าถ้าจะแนะนำก็ได้ ว่าต้องทำแบบคนจน ซึ่งรมต.เกาหลีก็ขอคำแนะนำว่าจะบริหารบ้านเมืองแบบไหน ท่านก็บอกว่าเอาแบบคนจน

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534

ชาวอโศกได้คุณสมบัติของพระพุทธเจ้าอันนี้มาก็ยังได้ไม่มาก เราก็ถูกลิดรอน ถูกข่มเราไม่มีอำนาจทางประเทศของตระกูล หรือทางเงินตรา หรือความรู้โลกๆ ที่เป็นดร.เป็นราชบัณฑิตที่เขายอมรับกันทางโลก เราไม่มี แต่เราก็ไปเรียนกันไว้เพื่อได้ใบรับรองไว้ใช้ แต่เรามีความเป็นแบบคนจนนี่แล้ว

แบบคนจน เป็นอย่างไร

แบบคนจนนี่อาตมาตั้งชื่อของอาตมาเองว่า แบบบุญนิยม ก็สอดคล้องกับแบบคนจน คือให้มาหมดเนื้อหมดตัว บุญนิยมที่สมบูรณ์ อาตมาแยกไว้ถึง 11 ข้อ 

ข้อที่ 1 บุญนิยมจะทวนกระแสทุนนิยมแต่ไม่เป็นศัตรูกับทุนนิยมนะ

2. ต้องเข้าเขตโลกุตระ
3. ทำได้ยาก แม้ยากก็ต้องทำ ยกเว้นผู้มีบารมีจริงจะทำได้ง่าย
4. เป็นไปได้ ไม่ใช่เรื่องฝันเฟื่อง จะเอาความจนมากอบกู้บ้านเมืองเป็นได้
5. เป็นสัจธรรมคือของจริงของแท้สำหรับมนุษย์และสังคม
6. กำไรหรือรายได้หรือผลประโยชน์สำหรับตนในบุญนิยมคือ สิ่งที่ให้ออกไป คุณค่าที่เราได้สละจริงเพื่อผู้อื่นเพื่อมวลมนุษยชาติและสัตว์โลกทั้งหลาย คือรายได้ Our loss is our gain.
7. สร้างคนให้ประสพผลสำเร็จเป็นหลัก วัตถุเป็นรอง เงินทองเป็นของรองลงไป 
8. ต้องศึกษาฝึกฝนจนจิตเกิด จิตเป็น บรรลุธรรมไปตามลำดับจึงชื่อว่าเกิดผลจริง
9. ความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ไม่ได้อยู่ที่ส่วนบุคคล แต่เป็นของส่วนกลาง ส่วนบุคคลนี้จน 
10. เชิญชวนให้มาพิสูจน์ได้ดุจเดียวกับวิทยาศาสตร์ 
11. จุดสัมบูรณ์คือ อิสรเสรีภาพ อิสรภาพ ภราดรภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

ผู้ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าได้มรรคผลจะมีคุณสมบัติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ให้คนมีวูปสโมสุข ที่ไม่ใช่สุขขัลลิกะสุขเท็จ ที่เหมือนพยับแดด หยวกกล้วยมีแล้วก็หายไม่เที่ยง แวบๆๆ แต่คนไม่เข้าใจหลงว่ามีจริงสั่งสมเป็นอนุสัย จิตโลภ  อยากได้อยากมีอยากเป็นตามสิ่งที่เขาเห็นว่าน่าพึงใจพึงมี เป็นสุภะทั้งที่เป็นสิ่งไม่น่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นอสุภะ แต่ทั้งที่มันไม่จริงเลย อันหนึ่งคนอาจว่าอร่อย แต่อีกคนก็ว่าอร่อยมากกว่าอีก ทั้งที่กัดกินสิ่งเดียวกันแต่ อาการ "รสอร่อย" ก็คืออารมณ์ที่ปั้นเอาเองทั้งนั้น มันหลอกย่ิงกว่าหมาแทะกระดูกกินน้ำลายตนเอง ไม่มีอะไรเป็นอุปาทาน รสอร่อยนี่มันสำเร็จด้วยจิตทั้งนั้น มาปฏิบัติธรรมแล้วมีแต่รสธรรมชาติ ตามเป็นจริงที่คนสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แต่สมมุติปรุงแต่งกันไปก็ของตนเองแต่ละคนไม่เท่ากัน เท่านั้นเองมันของปลอม จึงเรียกว่าสุขขัลลิกะ  พิสูจน์สิ อาตมาอยากให้พวกคุณเข้าใจแล้วทำกัน ชีวิตจะได้ไม่ไปปรุงแต่งกับเขา ไปติดหลงกับเขา เช่นติดอบายมุขกัน ก็ไปหลงให้เงินให้ทองเขาแต่ไม่ได้แอ้มพวกเราหรอก แล้วก็ได้เงินมากมายมาข่มเบ่งกัน 

อาตมาเองเกิดความรู้สึกว่า คนนี้ไปเสียเงินทำไม ตั้งพันห้า เพื่อไปเสพผู้หญิง 1 ครั้งเสียดายฉิบหายเลย อาตมาเคยเกิดความรู้สึกกับเพื่อน อะไรนักหนา แต่ก่อนนี้พันห้านี้เยอะนะ หลายสิบปีผ่านมาแล้ว อาตมาความรู้สึกนี้เกิดจริง ก็ไปเสพผู้หญิงคนเดียวเสียตั้งพันห้า แล้วนี่ก็เห็นมีพ่อเจ้าบุญทุ่ม ให้เงินให้รถให้บ้าน มันไปหลงทำไมกัน แต่ก่อนเราคิดเช่นนี้ แต่เราก็จะไปพยายามมีอารมณ์แบบเขา เจ้าชู้ไก่แจ้ แต่เพื่อนมันบอกว่าไม่มีฝีมือเลยก็ว่าไป โลกโลกีย์มันอย่างนั้นจริงๆ อาตมาเข้าใจเช่นนี้เป็นความจริงใจที่อาตมากล้าพูด แล้วบอกแก่กันและกัน 

ส.ฟ้าไทว่า... พ่อครูบอกว่าตอนนี้ ฤกษ์ฟ้าแล้ว มงคลฤกษ์ รอบ่ได้ ท้อบ่ได้แล้ว ทำจบให้ได้ เรามาทำให้จบอรหันต์กันดีไหม จะเป็นพระเจ้าตัวจริงด้วย ศาสนาพุทธมีเทวนิยมได้แต่ไม่ติดเทวนิยม เทวนิยมจะมาเป็นกรรมที่รองรับเราเอง...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:54:08 )

580803

รายละเอียด

580803_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ว.นบ.การศึกษาในวงจรอาริยะ

พ่อครูว่า...ขณะนี้ 18.26 น. จะอธิบายต่อเลย ถึงที่หนึ่งฟ้าเขาได้พยายามรวบรวมองค์ประกอบไปสู่การบรรลุธรรมสั้นๆคร่าวๆ อาตมาก็เอามาอุเทสต่อ เขาเริ่มตั้งแต่กายกับสัญญา

สัญญาใช้เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่กำหนดรู้องค์ประกอบรูปกับนาม เมื่อรูปนามประชุมกันเป็นสามเส้า เกิดธาตุรู้ ก็ถ้าอวิชชาแต่ต้นก็ปรุงแต่ง สังขารกัน เป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เทวดาเก๊ทันที สัตว์เดรัจฉานก็คือพวกร้าย เทวดาเก๊คือพวกหลอก ปุถุชนจะเห็นด้วยอวิชชาหลอกเช่นนี้ 

ใครจับสภาพสัตว์โอปปาติกะ ไม่ได้ผู้นั้นก็ไม่ได้ศึกษา ที่รวมเรียกว่าเวทนา หรือสังขาร ที่เป็นสัตว์นรกหรือเทวดาปลอม ลึกไปกว่าสัตว์ก็คือเทวดาปลอม ลึกไปกว่าเวทนาก็คือจิต จิตที่ทำงานที่ทำให้เกิดสัตว์นรก เทวดาคือตัณหา เราก็ต้องเรียนรู้ร้อยเรียง 

ผู้ใดใช้สัญญาไม่เป็น ต้องมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ ที่เป็นตัวสำคัญ มีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ทำงานเร่ิมเห็นกิเลส จับตัวผี เทวดาปลอมที่เป็นสักกายะได้ก็มีปีติแล้ว จนชอนไชถึงเหตุที่ทำให้เกิดสัตว์นรกก็จัดการให้สัตว์นรกอ่อนแรงจนตายไปได้เรื่อยๆ ทำได้ก็สงบลงก็มีปัสสัทธิ สั่งสมเป็นสมาธิ อุเบกขา 

ก็ทำทุกการกระทำ ตั้งแต่หายใจเข้าออก กระพริบตา มีอิริยาบถทุกอย่างก็คือกรรม ทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็เป็นกรรม มีสติกับความพยายามก็เป็นสัมโพชฌงค์ วิจัยให้รู้จุดสำคัญที่ต้องปหานให้สำเร็จให้ได้ผลไปเรื่อยๆ ต้องมีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวประธานแต่ต้น หนึ่งฟ้าก็หยิบเอาทิฏฐิ ที่เป็นทิฏฐิสัมปทาในแสงอรุณ 7

ก็ขอแวะวิจัยโครงสร้างของ บ้าน วัด โรงเรียนก่อน 

อย่างว.นบ.เป็นโรงเรียนที่ครบบริบูรณ์ในสัมมาสิกขา ในไตรสิกขา เรียบร้อย เกิดผลเป็นญาณ เป็นวิมุติ จนถึงวิมุติญาณทัสนะบริบูรณ์ โรงเรียนศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา หรือศีลเก่ง เคร่งงาน ชำนาญวิชา จนถึง ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา 

ที่นี่สัมมาอาชีวะก็พ้น เพราะพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 กุหนา ลปนาไม่มี ไม่ได้มอบตนในทางที่ผิด มีมิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีศีล คุณมาด้วยฉันทะของคุณ แล้วก็มาด้วยอัตตาของแต่ละคนก็จะได้เริ่มรู้ทิฏฐิ แล้วก็ใครประมาทก็แล้วแต่ของใคร ก็ทำโยนิโสมนสิการไปได้แต่ละคน

ในหมู่บ้านคือโรงเรียนแล้วในโรงเรียนมีสังคม ทุกอิริยาบถ มีการศึกษา มีทั้งตำรวจ มีทั้งครู มีผู้ช่วย มีคนช้อนรับ มีทั้งผู้โขก มีผู้ทำแผลให้ ของเรามีหมด กินอยู่หลับนอน ตื่นเช้ามา ก็มีขอเชิญ ว.นบ. อยู่กลุ่มไหนไปทำงานไหนๆ แม้จิตใจไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป ได้ล้างอัตตา ขัดเกลาตนแล้วใครดึงดันก็ทำตามอัตตา แต่ใครทำได้ตามหมู่ก็ล้างอัตตา เพราะที่นี่เป็นปัญญาชนมากัน ก็มีคนคอยดูแลติงเตือนว่า ทำอย่างไหนจะเหมาะ อันไหนทำมากไป ก็เตือนกัน อย่างวันก่อน ปฐมอโศกก็ว่าระเบิดลง แต่ระเบิดลงแล้ว แต่ก็หลายคนก็ว่ามาอีกว่า ที่พ่อท่านว่ามานี้มีคนส่อเสียดมา ก็ฟังแล้วก็มองไปแง่นี้ไม่ปรับปรุงอีก คือคนของเราฉลาดแกมโกงก็ยังมีแฝงๆ 

ขณะนี้พวกเราก็อยูในโรงเรียนที่พร้อม เป็นนร. 24 ชม.​นร.ที่เรียนศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา ก็เข้าห้องเรียนบ้าง ไปทำงานอยู่กับศีลธรรม มากกว่า 40% ทำงาน 354 ส่วนปริยัติก็ 25% ได้สัดส่วนมาก เป็นโรงเรียนที่บริบูรณ์มาก เด็กๆที่มาเรียนเป็นบุญกุศลของเขามาก แต่เขาไม่ค่อยเข้าใจก็ดื้อบ้าง แต่พวกเราโตแล้วก็เข้าใจไม่หลบเลี่ยงก็ศึกษาฝึกฝนไป นี่เป็นบ้าน วัด โรงเรียนที่สมบูรณ์แบบแล้ว

คนก็อาจไม่เข้าใจ ที่นี่เรียนฟรี ช่วยกันเป็นแรงงานนี่แหละ สร้างสรรทำไป อาศัยกินใช้ไป มีส่วนเหลือเกินก็สร้างสรร พวกเราอยู่ในรุ่นบุกเบิกก็สร้างบ้านแปลงเมืองก็ใช้ทุนเยอะหน่อย จนสร้างได้ก็ใช้น้อยลง จนได้อาศัยใช้สอย เหลือแต่ซ่อมแซมรักษา ครบสภาพ คนมีคุณ บุญมีค้ำ กิจกรรมมีผลเจริญ 

คนทางโลกจะยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ ว่าพวกเราได้สร้างสรร เป็นโรงเรียนที่น่าจะมาเอาส่ิงดี ไปทางโลกมีแต่มอมเมา เขาไม่เข้าใจ ไปเสียเงินเรียน รร.นานาชาติ ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหัวสูง มาที่นี่มามักน้อยสันโดษ ขยันหมั่นเพียร ไปโน่นมีแต่หัวสูงหยิบโหย่ง เขาเอาเงินไปถมไปเสีย ไปนิยมทางโน้นกัน แต่ทางนี้ไม่แลกัน ไม่เห็นคุณค่ากันก็เป็นกาละของยุคสมัย

อาตมาไม่กลัวเลย ที่อาตมาพาทำทฤษฎีพระพุทธเจ้าหรือทฤษฎีในหลวง แบบคนจนหรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทำแบบกระจอกๆแบบเรา อาตมาไม่เคยกลัวว่าจะไม่รุ่งเรือง มันจะก้าวหน้าไปเองตามลำดับดีมากแล้ว

สังคมที่ไม่เป็นของส่วนตัว แต่อุดมสมบูรณ์ อาตมาเห็นว่าราชธานีอโศก ต่อไปจะครบวงจรธรรมชาติ พลังงานก็ไม่ต้องซื้อ ได้จากพระอาทิตย์ได้เต็ม 

เหลืออย่างเดียวพวกเราอย่าเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ให้เก็บงำรักษา ต้องเรียนรู้อนุรักขณาปธาน ผู้ใหญ่จะเป็นตัวอย่างแก่เด็ก ก็คือฝึกความเป็นนักศึกษาในขยะวิทยา 

อาตมาไม่อยากให้นักท่องเที่ยวมายุ่งที่นี่ แต่นักท่องเที่ยวจะมา ถ้านักศึกษามาเรายินดี แต่นักท่องเที่ยวคือคนเที่ยว เป็นคำต่ำ 

มาพูดถึงเรื่องการศึกษาต่อ อาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ก็เคยคุยกับแฟนว่าหากมีโอกาสจะตั้งโรงเรียนชื่อวังชีวิต ก็คือเป็นความคิด ความฝัน แต่พอมาบวช ก็ได้มาตั้ง มหาลัยวังชีวิต ก็มาเป็นอะไรต่อมาก็ตกที่ ว.นบ. แต่จะเป็นรูปเรื่องได้ ก็ขึ้นอยู่กับพวกคุณ แม้จะสร้างสถานที่ห้องหับมากมาย แต่ไม่มีคนก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้ามีคนก็จะเกิดได้อย่างเป็นสัดส่วนได้ ก็ต้องใช้ทุนเหมือนกัน ก็ให้การศึกษาเขาสะสมเงินการศึกษาไว้ ก็ว่าทำไมไม่ถึง 30 ล้านเสียที เพราะการสร้างอาคารเรียนก็ต้องใช้เงินมากเลย

ตึกการศึกษานี้จะเป็นตึกว.นบ. แต่ว.นบ.จะไม่เอานิตินัย แต่อย่างอื่นการศึกษาอื่นก็มารวมไว้ในนี้หมด เกิดประโยชน์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะอยู่กันอย่างมีสัมมาคารวะ จะได้ฝึกสัมมาคารวะ พวกเรามีกันบ้างแต่ไม่ดีไม่งดงามพอ ไม่ต้องบังคับกัน แต่ให้สำนึกด้วยปัญญา ให้เคารพด้วยจริงใจ ไปบังคับให้เขาเคารพไม่ได้น่าภูมิใจเลย แต่เขาเคารพด้วยจริงใจนี่ดีกว่า 

ความรู้ทางโลกเราก็จะรู้ไปกับเขาอันที่จำเป็นและสำคัญ เช่นความรู้เมื่อก่อน วัตถุไม่เจริญก็ใช้พลังงานทางจิต มีอิทธิปาฏิหาริย์ตาทิพย์หูทิพย์ เหาะได้ ดำดินได้ เขาก็ต้องใช้ด้วยจำเป็น แล้วเขาก็มีจริง แต่ยุคนี้เป็นยุคปัญญา อย่างอาตมานี้ ไม่ได้ดีเลยในความสามารถทางจิต ที่เป็นเทวนิยม แต่ก่อนนี้ได้พอสมควรแต่เดี๋ยวนี้ไม่เอา ก็เคยเล่าว่าหนังเหนียวอย่างไร เราก็ไม่ได้ทำแบบนั้นแล้ว เราก็ทำความจริงตามยุคสมัยไป ยังใช้ไม่เก่ง วันนี้ก็จะเปลี่ยนระบบคอมฯ ที่จะเปลี่ยนระบบ มันก็ต้องเรียนรู้ใหม่จะดีขึ้น สะดวกขึ้น ส่ิงเหล่านี้หมุนไปตามวัฏสงสาร 

แต่ละคนมีชีวิตไม่ได้แคบๆสั้นๆ แต่ว่ามีชีวิตไปตามการศึกษา แต่อีกพวกก็มีชีวิตยาวแต่ไม่ได้มีการศึกษา ก็จะจมไปกับนิทานโลกีย์ เป็นตัวละคนหนึ่งที่ทุเรศทุรังการเยอะ โดยไม่รู้ตัวหรอก หลงตัวว่าเก่ง ดีวิเศษ แต่ที่จริงเลวสุดๆ แต่เราเข้าใจแล้วก็จะลดลงมา ชีวิตเราหากยาวไปก็จะได้ความประเสริฐ ส่วนทางโน้นก็จะกลายเป็นมนุษย์อบายไป 

ยุคนี้คนมีปัญญาดีจึงจะมาเอา คนไม่มีปัญญาก็จะเป็นเหยื่อโลกีย์ สัตว์นรก หมู่ใหญ่ แต่หมู่ใหญ่ก็คือมีสิ่งที่เป็นพฤติกรรมเลวร้าย แม้หมู่เล็กคนดีคนประเสริฐก็มีคุณธรรมเหมือนปรอทกับโฟมก็ถ่วงกันได้ พวกเราเหมือนปรอท แต่พวกที่ซับซ้อนหลอกกันเป็นเทวบุตรมารก็จะมีเยอะ เหมือนโฟม มันเป็นสัจจะวัฏสงสารที่จะหมุนเวียนไปนิรันดร 

อาตมายังไม่รู้มาก รู้เอามาพูดได้ไม่มาก อาตมาไม่ใช่ปาง 7 ที่สูงส่งเท่าไหร่ อีกนานกว่าจะถึงปางแปด พากเพียรไป จะได้เห็นความจริง

อย่างที่อาตมาบอก แบบคนจน ที่ในหลวงตรัสจะยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เฉพาะในไทย แม้ต่างประเทศก็จะยอมรับ เพราะสังคมสาธารณโภคีเป็นสังคมเต็มรูปแบบแล้ว เป็นทั้งปชต.​ทั้งสังคมนิยม ทั้งคอมมิวนิสต์เป็นทั้งราชาธิปไต เป็นแบบที่หมดเชื้อหมดตัวตนทำเพื่อผู้อื่นหรือเพื่อมวลมนุษยชาติได้ จิตจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ จะเป็นภาษาที่เรียกว่าเผด็จการก็ตาม แต่พระพุทธเจ้านี่ยอดเผด็จการเลย ท่านตราวินัย ธรรมนูญของศาสนา ท่านบัญญัติคนเดียวแล้วห้ามแก้ด้วย แม้กฎหมายลูกคือพระวินัยท่านก็ตั้งเอง แล้วทุกคนก็ยอมให้เพราะท่านไม่มีตัวตน ท่านใช้ปัญญา สัจจะทำอย่างซื่อสัตย์ที่สุด เป็นกลางที่สุดไม่เข้าใครออกใครเลย แต่ทุกวันนี้เขาออกความเห็นออกกฎหมายเพื่อตัวกูของกูทั้งนั้น 

หลักใหญ่เพื่อผู้อื่นเพื่อมวลประชาชนเพื่อมนุษยชาติ ถ้าจริงก็นี่แหละปชต.นี่แหละคอมมิวนิสต์นี่แหละเผด็จการ แต่เขาเถียงกันไป เนื้อแท้ก็คือเพื่อปชช.​ส่วนของปชช.โดยปชช.ก็ดูว่าพวกที่ไปทำงานบอกว่าทำเพื่อปชช.แต่เพื่อปชช.จริงไหม  จิตสะอาดบริสุทธิ์จริงหรือ ไม่หรอก ไม่รู้กิเกลส สักกายะ อนุสัย อาสวะ เขาไม่รู้หรอก แต่ลึกๆ ก็แฝงด้วยความเอียงอคติ 4 

ความจริงอยู่ที่คนจะล้างกิเลสเกลี้ยงเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ก็จะได้มาเป็นคนรับใช้สังคมได้เท่านั้น มาร่วมกัน มีอัตตาก็ง้องแง้งกันบ้างก็ลดละไป ชาวอโศกรวมกันเป็นชุมชน แม้ราชธานีอโศกก็ 20 กว่าปีแล้ว ไม่เห็นมีคดี โทสมูลหรือราคมูลก็ไม่ได้หยาบคายอะไร มีบกพร่องบ้างตามสมควร เราก็ต้องทำให้ดียิ่งขึ้น ไม่มีทางอื่นนอกจากทางที่พระพุทธเจ้าพาทำนี่แหละ เชื่อไหมว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุดในมนุษย์ อาตมาก็พยายามทำตามพระพุทธเจ้าก็ได้เท่านี้ พวกคุณก็พยายามพัฒนากันมาก็สืบทอดกันไปตามลำดับ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดถึงเวลาหรือกาละ แต่ละคนๆ มันเกิดนับชาติไม่ถ้วนหรอก ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ทำปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นความจริง อดีตหรืออนาคตเป็นมิจฉาทฺิฏฐิทั้งสิ้น อย่างที่หนึ่งฟ้าเขาเขียนต่อ 
ในทิฏฐิ 62 มีอดีต 22 และอนาคต 44 แล้วมีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิอีก 5 คือกาม และฌานอีก 4 ที่เป็นฌานแบบมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิก็ได้

แม้ทิฏฐิว่ากามคือความสุขสุดยอด ก็เป็นกามเทพ นอกนั้นก็ไปทางอัตตา ก็ ฌาน 1 2 3 4 ใครหยุดได้แค่ไหนก็เป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น แม้ฌาน 4 ก็ติดอุเบกขา เป็นวิปัสนูปกิเลส แม้จะติดก็ยังจริง ทิฏฐิปัจจุบัน 5 ก็มีทั้งกามสุขขัลลิกะกับอัตตกิลมถะแค่นี้ ก็เป็นความจริงกว่าอดีตหรืออนาคต ถ้าทำเสร็จในปัจจุบัน จะดีหรือชั่วก็ปัจจุบัน ถ้าไม่มีปัจจุบันก็ไม่มีสิทธิ์พัฒนาได้ ก็จะไปตามวิบาก เราอย่าผัดวันประกันพรุ่ง แต่อย่าทำเกินตัวให้หนักไปแรงไป มันไม่ดี ทำลายตัดแรงก็ไม่ดี ดีไม่ดีเจ็บป่วยเสียสุขภาพร่างกายพิการได้ อย่าให้เกินไป คนเราจะออเซาะตัวเอง นิดๆหน่อยๆก็ขี้เกียจไม่อยากอุตสาหะวิริยะ บางทีมันก็ยาก ต้องกระทบกระเทือนบ้างก็ไม่อยากจะให้มีสิ่งเหล่านี้ทำให้เราไม่แข็งแรงไม่เป็นนักสู้นักพากเพียร ก็จะออเซาะตัวเองโอ๋ตัวเองมากนัก ให้เป็นผู้ตั้งตนบนความลำบากกุศลธรรมเจริญยิ่ง

พวกเรากว่าจะมาลงตัวเป็น ว.นบ.ก็นานเลย แม้ขณะนี้ก็มีวิทยาลัยลำลองอีกอันคือ ว.บบบ.ก็เข้าท่าอยู่ นอกนั้นก็เป็นนิตินัยได้ แต่ว.นบ.และว.บบบ.จะเป็นพฤตินัย 

พูดถึงความจริงอย่างไม่ ขณะนี้พวกเราได้เข้าสู่วงจรอาริยะ เป็นการศึกษาเล่าเรียนกันจริง การศึกษาเล่าเรียนก็ศึกษากันนานนับชาติ อาตมาก็ศึกษา พวกคุณก็ศึกษาเล่าเรียนกัน หรือใครเรียนจบอรหันต์แล้วจะไม่เรียนต่อคุณมีสิทธิ์ทำได้ ปรินิพพานได้ แต่จะต่อก็ได้ อรหันต์แยกอัตภาพได้ อนัตตาได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แต่จะศึกษาต่อก็ตัวใครตัวใคร อย่างอาตมารู้ตัวเองเข้าใจตัวเองว่าอาตมาก็มีความคิดไม่อยากจะต่อหรอก เมื่อเห็นทุกข์ของการเกิดมาเป็นร่างมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตาย 

เมื่อเร่ิมเป็นอรหันต์ต้นๆ เห็นทุกข์จนถึงขนาดให้คนฆ่าตนเองตายหรือฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าว่าผู้มีจิตถึงนี้เป็นได้ แต่เป็นผู้ไม่ควรตำหนิ เป็นอจินไตย เป็นอรหันต์สายปัญญา พุทธนี่เป็นสายปัญญาแท้ เมื่อเป็นอรหันต์หากจะไม่อยากเกิดอยากต่อ แต่เมื่อเป็นอรหันต์แล้วจะต่อภพภูมิส่วนใหญ่ เมื่อได้อุภโตภาควิมุติจะมีสำนึกมีปัญญา เพราะหนึ่งทุกข์ก็ไม่มี แล้วสองก็มันน้อยสันโดษได้แล้วไม่กลัวอดอยากแน่ แล้วสามเราสำนึก เราได้วิชาสุดยอดจากศาสนาเราจะไม่ทดแทนบุญคุณศาสนาเชียวหรือตัวกตัญญูกตเวทีนี้สำคัญ 

กายกับสัญญาเป็นหลักที่จะเรียนรู้ปฏิบัติในสัตว์เบื้องต้น ในสัตตาวาส 9 จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ จนครบเวทนา 108 ทุกปัจจุบัน รู้จักอดีตและอนาคต ในอวิชชาข้อที่ 5 ข้อ 6 และข้อ 7

อวิชชาในข้อที่ 5 กับ 6 ไม่เที่ยงคือทั้งอดีตและอนาคต ผู้พ้นอวิชชาจะรู้ความเป็นจริงของส่ิ่งตั้งอยู่ในเหตุปัจจัยของอัตภาพที่ไม่ลึกลับแล้ว เป็นอรหัตตา ทำให้อัตตาตนเองเป็น 0 ได้ทั้งอดีตและอนาคตไม่ผิดเพี้ยนได้ ทำนายตนเองได้ว่า 0 แน่นอนตลอดกาล มีต้นทุนของอดีตที่ 0 อนาคตที่ 0 ทุกปัจจุบันได้พิสูจน์ เวทนา 108 ปัจจุบัน 36 อดีต 36 อนาคต 36 ก็ 0 แน่ ในอวิชชาข้อ 5-8 จึงไม่มีปัจจุบันมีแต่อดีตกับอนาคต คือข้อ 5 และข้อ 6 และทั้งอดีตและอนาคตในข้อ 7 ในทิฏฐิ 62 หรือปัญญา 67 และเป็นโพธิสัตว์จะเติมปัญญาเป็นพระพุทธเจ้า อีก 

พวกนักสร้างวิมาน จะปั้นฟุ้งฟริ้งไปในอนาคตได้มากกว่าอดีต อีกมาก ผู้นั่งหลับตาสะกดจิต แล้วไม่สัมมาทิฏฐิ ถ้าผู้ใดกำหนดหมายสัญญาไม่เป็น แล้วไม่เรียนรู้กายตั้งแต่ต้นจนจบ กายที่ประชุมเป็นสัตว์นรกตั้งแต่อบาย ที่เป็นกาย รูปนามของเราต้องไม่ปรุงแต่งแบบนั้นอีก วิญญาณก็สะอาดจากกายสัตว์นรกอีก สูงกว่านั้นเป็นสกิทาคามี มีกามสัตว์ในภพ ตั้งแต่เบื้องต้นเป็นองค์ประชุมรูปนามเป็นสัตว์นรกของสกิทาคามี ก็ทำให้หมดกายสัตว์นรกของสกิทาคามีอีก หมดรูปนามที่ปรุงแต่งในจิตเป็นสามเส้า ก็เป็นลำดับกามภพหมดเป็นอนาคามี ก็มีกายในความเป็นสัตว์ในกามภพก็ไม่เกิดในจิตอีก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่รู้จักกามภพ แต่มีกามาวจร มีสัมผัสอยู่กับโลกเหมือนคนอื่นเขา แต่ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ไม่มีแม้แต่เศษธุลีหมองธุลีเริง อโศกะ วิรชะ พวกเรานี่พวกอโศกะ ไม่ถึงขั้นวิรชะ ไม่ถึงขั้นธุลีเริง แต่เป็นพวกธุลีหมอง พวกเราจะไม่อยู่ในสภาพงามตาไม่เป็น แต่เพียงไม่เศร้าหมองก็ดีแล้ว อโศก อยู่ในแค่ขั้นนี้แหละ ยังไม่ถึงวิรชะ หรอกที่จิตเบิกบานร่าเริง จิตอยู่เหนือโลกีย์มีคุณสมบัติพออาศัยมีสัจจานุโลมมิกญาณ พวกเราเจียมตัวไว้อย่าไปหลงโลกีย์ที่ล่อหลอก เราอยู่ในสังคมสัจธรรมของพระพุทธเจ้า อยู่ในฐานะอโศกะเท่านั้น 

เร่ิมจากทิฏฐิสัมปาทา เป็นแสงอรุณข้อที่ 5 เราต้องศึกษาอันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นตัวทิฏฐิที่บุกเบิก เมื่อเริ่มต้นที่ทิฏฐินี่ คุณก็ต้องมีมิตรดี ขณะนี้สังคมเรามีแล้ว แล้วมีศีล สังคมเรามีแล้ว มีศีล 5 ศีล 8 ศีล 1​0 แต่ละฐานะ ใครจะทำก็ได้ เพิ่มอธิศีลของแต่ละคน แม้นักบวชก็ฉันเดียวกัน นักบวชจะมีวินัย ส่วนศีลเป็นองค์รวม อย่างมหาศีลชาวอโศกไม่มีเดรัจฉานวิชชาไม่รับแกะไก่สุนัขสุกร พวกเราไม่รับอยู่แล้วไม่เลี้ยงสัตว์ด้วย แม้ฆราวาสก็ไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่พัวพันเกี่ยวข้อง เพราะสัตว์นั้นไปเกี่ยวข้องแล้วไปมีวิบากร่วม หลายสัตว์นั้นเราต้องลดวิบาก แต่บางคนไปฆ่าสัตว์เพิ่มพยาบาทอีก บางคนไปรักสัตว์ก็เพ่ิมวิบาก เราก็จะเกื้อกูลสัตว์ตามสมควร ไม่เอามาเลี้ยงดู เราไม่ใจดำแต่เรามีเมตตา เราเห็นสัตว์ควรช่วยก็ช่วยไปตามควร คนไม่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตั้งมาทำไมไม่รับสัตว์ต่างๆ 

แล้วมาเรียนรู้อัตตา อัตตาตัวแรกคือสักกายะ คือกายตัวแรกที่คุณจะเรียนรู้ แต่ก่อนเราไม่เรียนรู้นะ สัตตาวาส ข้อที่ 1 เราก็ต่างคนต่างสมมุติไป เทวดาสัตว์นรกคนละแบบ ต่างคนต่างได้ยินมาต่างกัน ตอนนี้เราชอบอันนี้ อันไหนยึดก็ชอบนานหน่อย แต่เดี๋ยวก็เปลี่ยน ไม่เที่ยงหรอก มันกายต่างกันสัญญาต่างกัน แล้วมันไม่รู้ว่าต้องมีกายอย่างนี้สัญญาอย่างนี้ ก็กำหนดหมายไปตามผีเข้าผีออก ตามลมเพลมพัดของตนเอง กายบางทีก็ผอมบางทีก็อ้วนไปตามแต่ เพราะอวิชชา ก็ต้องมาตั้งหลัก สัตตาวาสข้อ 2 ต้องมาเรียนรู้เวทนา

กายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน ก็ต้องเรียนรู้เวทนาผี ที่เป็นกามเป็นพยาบาท หรือตัวถีนมิทธะและอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำเท่านั้นแต่ลืมตานี่แหละที่จิตจะจมไป ปิดจิต อย่าให้จิตออกนอกตัวไม่ระลึกถึงใครเลย จิตจะฟุ้งเกินไป ไม่รู้เรื่องกระจาย หรือมันนิ่งหนึ่งเดียวเกินการ นั่นคือถีนนังมิทธัง ก็ต้องให้ทำให้จริง จนพ้นวิจิกิจฉาว่า อาการ ลิงค นิมิตอุเทส คืออาการนิวรณ์ 5 เมื่อรู้แล้วก็มากำหนดเรียน ไม่ใช่แค่นั่งหลับตา แต่ลืมตานี่แหละจิตเกิด นิวรณ์ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ แล้วรู้อย่างไม่วิจิกิจฉาเลย

พวกนั่งหลับตาเหมาเข่งไม่ให้เกิดนิวรณ์เหมาเข่ง ก็ให้จิตมันดับก็ง่าย ให้จิตอยู่กับกสิณหนึ่งเดียว สะกดจิตไม่ให้ไปอยู่กับนิวรณ์จิตใสดิ่ง ก็เป็นฌานไม่มีนิวรณ์ได้ นั่งหลับตาก็ไม่มีนิวรณ์ได้ เห็นชัดเจนไม่สงสัยก็เป็นฌาน 1 แต่ต้องควบคุม วิตกวิจาร ต้องระมัดระวัง ทำให้เก่ง นั่งหลับตาเก่งก็คุมได้ง่าย คือวิตกวิจารลดลงก็สบาย นั่งเข้าฌานหลับตาว่าง เกิดปีติ แล้วก็คนสอนว่าปีติคืออุปกิเลสก็ลดลงเป็นสุข อยู่ในภพภูมิสร้างรูปภพอรูปภพ ให้ตนอาศัยจนอุเบกขาได้เขาก็ได้นิวรณ์ไม่มี นี่คือสัตตาวาส ข้อที่ 2 สัญญาว่าไม่มีนิวรณ์เช่นกัน แต่ลืมตาอย่างพระพุทธเจ้าก็รู้กาม พยาบาท ในปัจจุบัน ฟุ้งเกินไป หรี่เกินไปก็รู้ รู้ความเป็นกลางระหว่างถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ไม่มีนิวรณ์เป็นฌานได้แต่อย่างลืมตาเห็นเหตุปัจจัยต่างๆ 

แต่พอพวกนั่งหลับตา ว่าไม่มีนิวรณ์ได้แล้วเดี๋ยวปัญญามันจะเกิดเอง มันจะรู้หมด ปัญญานั้นก็คือ หนึ่งคิดเอง สังขารเอง ปรุงแต่งเป็นความเฉลียวฉลาดเอาเรื่องราวมาขบคิดเอง ไม่มีอะไรกวนก็เข้าใจได้ลึก หลงว่าเป็นปัญญา หรือสอง สัญชาติญาณเดิม ปัญญาเดิมมีภูมิธรรมเดิม พอระลึกทวนก็เกิดขึ้นมา จึงมีปัญญาตามที่ตนเองมีจริง เพราะส่ิงที่ตนเองมี บางที่มีแต่ไม่รู้ อย่างคนเข้าทรงนี้มีสมาธิอยู่กับความเป็นอันนั้น บางทีแสดงออกมีฤทธิ์เลย แต่เป็นของตนที่มี ที่แสดงออกไม่มีวิญญาณผีหรือเทพมาสิงหรอก แต่เป็นวิญญาณของตนเอง บางคนมีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของตนเอง ไม่มีของคนอื่นทั้งสิ้น แต่ที่เสียหายคือคิดเองปั้นเองปรุงเองกลายเป็นตนเองหลง กลายเป็นหลอกคนอื่น ทั้งกายและวจี เพราะตนเองไม่รู้ความจริง ไม่มีสติที่จะรู้ภายนอก ไม่มีปัญญาด้วย มีแต่สัญญาที่ทำงาน กำหนดหมายเอง ปั้นเองสร้างเอง ออกมาเป็นเรืิ่องราว ดีไม่ดีออกมาเป็นพฤติกรรมด้วย พลังงานพวกนี้ซับซ้อนเยอะ พระพุทธเจ้าว่าให้มารู้อย่างมีสติสัมปชัญญะ เรียนรู้ของจริง

สัตตาวาสข้อ 2 มีกายต่างกันแต่ไม่มีนิวรณ์คือสัญญาอย่างเดียวกัน ไม่มีนิวรณ์ กายไม่มีนิวรณ์ของพวกนั่งหลับตาเป็นภพภายใน ส่วนพวกลืมตากายไม่มีนิวรณ์ในชีวิตประจำวันกระทบสัมผัสเหมือนคนตื่นเต็มแต่ไม่มีนิวรณ์ องค์รวมกายของรูป 28 ต่างกันหมด ระหว่างพวกหลับตาทำกับพวกลืมตาปฏิบัติธรรม ที่ต่างกันคือพวกหนึ่งสัมมาทิฏฐิ อีกพวกหนึ่งไม่มีสัมมาทิฏฐิ

การปฏิบัติแบบพุทธ ทำแบบลืมตาปฏิบัติ แต่ไม่ทิ้งหลับตานะ แม้ว่า ตากระทบรูป แต่ว่าไม่ได้เอาสัญญาไปกำหนดรู้เลย หรืออย่างคนหลับใน ตาลืมแต่ข้างในนี้ ก็ตรวจสอบสิ่งที่คิดค้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ ทำเตวิชโช ก็ได้หรือหลับตาทำก็ได้ ทำได้ง่ายเลย ก็ไม่จำเป็นต้องนอนหลับหรือนั่ง ยิ่งควบคุมความฟุ้งซ่านได้ดีก็เตวิชโชได้ง่าย เรียกว่าลงบัญชีการศึกษา หากใครไม่ลงบัญชีจะรู้ไม่ได้ง่าย ถ้าลงบัญชีจะรู้ว่าตนได้ อธิศีล อธิปัญญา อธิวิมุติได้ขนาดไหน อย่าไปทิ้งนั่งหลับตาไม่ดี มันไม่มีอะไรช่วย ถ้านั่งหลับตาด้วยเป็นอุปการะช่วยจะได้ทั้งสองส่วนได้ทั้งนอกและใน ละเอียดได้มาก 

อาตมาไม่ได้ตีทิ้งนั่งหลับตาแต่ต้องสัมมาทิฏฐิกับการนั่งหลับตา หากไม่สัมมาทิฏฐิจะหลงแบบฤาษีไม่เป็นอุปการะ ไม่เป็นเตวิชโช การนั่งหลับตามีอานิสงส์ 4 อย่าง
1.ได้พัก
2.ได้ศึกษาจิตในภพ ตัดจากภายนอกไป ก็ศึกษาได้ดี เป็นการทำใจในใจในภวังค์
3.ได้เตวิชโช
4.ได้อิทธิฤทธิ์ จิตรวมพลังเป็นความควบแน่น เอาไปทำอิทธิปาฏิหาริย์อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่ต้องฝึกตอนนี้หรอก ไปฝึกตอนเป็นอรหันต์แล้วจะฝึกได้ง่าย  

สัตตาวาสข้อที่ 3 คือ กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน  สัญญาว่าเราจะได้เทวดาที่จิตว่าง จิตสว่าง จิตสะอาด จะลืมตาหรือหลับตาก็ตาม ก็กำหนดให้จิตว่างใส อย่านึกคิดก็ทำให้จิตว่างขณะลืมตา ได้ความใสสว่าง ส่วนใสสว่างหลับตาก็สร้างอย่างสายธรรมกายใสสว่าง บางสายก็ให้ใสก่อนแล้วค่อยไปดับทีหลัง แต่ว่าธรรมกายนี้ให้ปั้นสว่างใสไปไม่รู้จบ อัปปมาณาภา อาตมาเย้าว่า เป็นพระพุทธเจ้าจะใสขนาดไหนนะ ก็อุปาทานสร้างไปตามเรื่องตามราว 

การกำหนดกายได้เป็นกายใส สว่าง เหมือนกันหมด กายอย่างเดียวกัน แต่ใสของคุณเขาว่าโสดาบันใสขนาดนี้ สกิทาฯใสขนาดนี้พวกนี้สัญญาใสกันคนละอย่างกำหนดเอาเอง ไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัด 

แต่แบบพุทธ การกำหนดกายที่สว่างก็สว่างเท่ากัน เพราะใช้ตาเห็นตามความเป็นจริง รับรู้แสงสว่างทางทวารนอกเลย แต่แสงสว่างที่กำหนดเอาเองตามสัญญาของแต่ละคนก็ต่างกันไป 

ผู้ที่ติดยึดในแสงสว่าง ก็ใสสว่างในภพของเขา ซึ่งก็ต่างกันตามภพของใครจะปั้นเอา แต่ว่าแสงสว่างจริงในชีวิตก็จะเห็นตรงกันได้

สัตตาวาสข้อ 4 กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน คือกายที่ไปได้ความดับ ดับอย่างไม่มีอาการนี้เลยในจิต สายหลับตา นั่งหลับตาเข้าไป พอฌาน 4 มันจะไม่มีนิวรณ์ รู้อาการนิวรณ์ไม่มีก็อุเบกขา อทุกขมสุข เขาก็ตั้งภพว่าอาการสูงกว่านี้คืออากาศมันว่างกว่าภพภูมิธรรมดาที่ไม่มีนิวรณ์ที่เขาทำได้อย่างไม่มีวิจิกิจฉา แต่เขาก็เรียนต่อว่าจากอุเบกขาก็มีอรูปฌาน ก็กำหนดภพที่ว่างกว่าอุเบกขาอีก แล้วแต่คนจะกำหนด ก็จะกำหนดแสงสว่างได้ อย่างธรรมกาย อันนี้คาบเกี่ยวกับข้อที่ 3​ของสัตตาวาส กำหนดความไม่มี คือไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแล้วไม่มีอาการมาปรุงแต่งกับจิตได้เลย อันนี้จะเลยเถิดไปไม่รู้ แต่ในอากาสานัญจายตนะก็ไปหลงอาภัสรา สว่างไม่มีที่สิ้นสุดจะไม่ดับ เขาจะได้แสงสว่างกับวิญญาณ เป็นอนัญโตอากาโสติ กับ อากาโสวิญญานัญติ อากาโสคือความว่าง ส่วนวิญญาณคือธาตุรู้

พวกที่แยกได้คือสามารถแยกได้ว่าความว่าง แล้วเราก็อยู่ในแดนความว่างเป็นรูปภพ อรูปภพ มันว่างเหลือเกิน รู้ว่าตัวเราไม่มีนิวรณ์ 5 ก็สร้างภพใหม่เป็นรูปภพที่ไม่มีรูปจึงเรียกว่าอรูปภพ สูงไปกว่านั้นคือวิญญาณเป็นธาตุรู้ ถ้าสามารถสร้างภพให้ตนเสวยภพ มันก็ได้เป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาที่ตัวเองสร้างเอง สำเร็จด้วยจิตของตน ขณะเป็นอากาศจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่เสวยแต่อารมณ์ว่าว่าง แต่ไม่รู้ตัวตน พอรู้ว่าโอ้ เราอยู่ภพนี้หรือ เมื่อนั้นคือวิญญานัญจายตนะ รู้ว่าเราเสวยอยู่ในภพนี้ จะไม่นานระหว่างอากาสาฯกับวิญญานัญจาฯ​คนไหนทำได้ซ้ำได้เก่งก็จะเป็นวิญญานัญจาฯที่เสวยภพอากาศจะรู้ตัวเร็ว ผ่านอากาศได้เร็ว เร็วจนกระทั่ง บางทีพอผ่านไปวิญญานัญจาก็ใสเหมือนหนึ่งเดียว นี่คือสภาพของพวกใสว่าง แต่เรียนมาแล้วว่าดับ ก็ถ้ามันสว่างใสก็ไม่ดับสิ ความดับก็ต้องไม่รู้อะไรไม่มีส่ว่างสิ ยิ่งมีตัวเราเสวยความว่างก็ไม่หมดตัวตน ต้องดับไม่ให้รู้อะไร นี่คือทิฏฐิของคนนิโรธเข้าภพ ก็ไปสร้างภพหลับตาเต็มรูป 

เพราะหลับตาไปหากไม่สร้างมโนมยอัตตาก็มีแต่มืด แต่เขาก็ไปสร้างภพมโนมยอัตตาไม่ให้มีแสง ไม่ให้รู้ตัวเราไม่รู้ความว่าง อาฬารดาบสทำสำเร็จดับได้ เป็นนิโรธ ตัวนี้คือสัตตาวาสข้อที 5 ดับสัญญาดับเวทนา แต่ภูมิของอาฬารดาบส อารมณ์ของอาฬารดาบสเป็นอารมณ์แล้วกำหนดดับได้แต่ดับอย่างไรมันก็จะต้องมีแวบให้รู้ มีตัวเราที่รู้ได้ แต่อาฬารดาบสไม่มีภูมิรู้อันนี้ได้ทั้งที่แกดับแต่ไม่รู้ตัวแวบนี้ เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คือจะไม่รู้ก็ไม่ใช่รู้ก็ไม่ใช่ คนรู้ต้องมีภูมิ อาฬารดาบสไม่มีภูมิรู้แวบนี้ได้ แต่อุทกดาบสก็รู้ได้ แต่ว่าสัญญาว่าดับคือนิโรธ เขาก็ไปดับมันอีก แต่ว่าเขาไม่ใช่พุทธก็ไม่ได้สัญญาเวทยิตนิโรธ มีแต่กิณหะ ดับดำมืด แต่ของพุทธจะได้สัญญาเวทยิตนิโรธ แต่พวกฤาษีได้อสัญญีสัตว์ ซึ่งไม่เกี่ยวกับวิญญาณฐีติ ไม่มีวิญญาณเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่อสัญญีสัตตายตนะด้วย 

เป็นอสัญญีสัตว์โดยตรง ไม่มีการกำหนดรู้อะไรด้วย เพราะดับสัญญาดับเวทนา ฤาษีไม่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ มีแต่พุทธถึงมีสัญญาเวทยิตนิโรธ อาตมาก็ทำอย่างอสัญญีสัตว์เลยตอนเป็นฆราวาสทำสมาธิหลับตาก็เป็นอสัญญีสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นอสัญญีสัตว์หรือเนวสัญญาฯหรืออกิญจัญฯก็เป็น กิณหะภพ แต่พวกทิฏฐิผิดก็นึกว่าของน่ามีน่าได้น่าเป็น ก็เป็นสุภกิณหะ เขาได้แต่เขาไม่มีความรู้อย่างอาตมาอธิบายเลย การกำหนดหมายของเขาคือนิโรธดับ ลืมตาเขาไม่มีนิโรธ ต้องหลับตาทำนิโรธ แต่ของพระพุทธเจ้าไม่มีเข้าหรือออกนิโรธ อย่างท่านภิกษุณีธัมมทินนาอธิบายให้อุบาสกวิสาขา 


 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:55:32 )

580804

รายละเอียด

580804_ธรรมาธรรมะสงคราม พ่อครู+อ.เอนก แบบ บวร และสัญญา 10

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 4 ส.ค.​2558 วันแรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม วันนี้อาตมาก็จะไขความต่อจากวานนี้ แล้ว อ.เอนก นาคบุตรก็จะได้มาร่วมรายการด้วย 

การศึกษาของเรา อาตมามั่นใจว่าลงตัวแล้วในการศึกษาระดับอุดมศึกษา ผู้ที่ได้ศึกษาเป็นนิสิต คือผู้อยู่ศึกษาประจำอยู่ในแหล่งศึกษาเลย แล้วเป็นแหล่งศึกษาชาวอโศก การศึกษาเราเป็น บ้าน วัด โรงเรียน เป็นการศึกษามีองค์รวมของ เสนาสนสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมสัปปายะครบ นิสิตเราเป็นผู้อยู่ประจำ เป็นสมาชิกหมู่บ้าน แล้วปฏิบัติไปครบครันมรรคองค์ 8 มีสัมมาอาชีพร่วมกัน สัมมากัมมันตะ ของชุมชน มีการพูดการคิดที่เป็นสภาพ นอกนั้นก็เป็นสติปัญญา กับความพยายาม ร่วมกับสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นตัวหลักที่ค่อยๆพัฒนาทิฏฐิไป จนถึงที่สุดแห่งที่สุด สมบูรณ์แบบในอนาคต จนกว่าจะถึงอรหัตตมรรค เป็นตามลำดับ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิตัวเดียวก็จบไม่ใช่แต่จะพัฒนาไปตามลำดับ

การศึกษาที่ครบองค์ 8 ของมรรค มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นองค์รวมของศาสนา สถานศึกษาของพวกเราอาตมาว่าครบพร้อมกว่า นาลันทา ที่เป็นสถานศึกษาของพุทธที่ใหญ่ที่สุดแต่ก็ล้มไปแล้ว แต่ของเราไม่ได้กินอาณาขตใหญ่โตเหมือนนาลันทา แต่รูปรอยเข้ารอบ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา สูงขึ้นเป็นศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา จนเป็นศีลเต็ม เข้มงาน สืนสานวิชชา วันนี้อ.เอนกจะได้พูดถึงการศึกษาที่เป็นระบบทางสากลเขา ก็เอามาผนวกกัน ของเรามีหลักสิกขา 3 ของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว อย่างอื่นมาเพ่ิมก็ดี 

ว.นบ.อาตมาก็สอน พุทธชีวศิลป์ สรรค่าสร้างคน และความรัก 10 มิติ ซึ่งก็เป็นความรักที่มีระดับต่างๆไป 
อ.เอนก ก็พูดถึงการศึกษาที่อ.เอนกพยายามทำให้ออกจากกรอบเก่าๆที่ติดยึดกัน

พ่อครูว่า...อาตมาชัดมากว่าของเราเป็นเรื่องปรากฏการณ์พฤติกรรมจริง ให้กาย วาจา ใจ เป็นต้นทางความรู้ การศึกษาต้องถึงขั้นเปลี่ยนแปลงทิฏฐิ แล้วพัฒนาเป็นชั้นต้น กลาง ปลาย อาตมาชัดเจนก็ทำมา อาตมาเห็นความล้มเหลวของการศึกษาทั้งโลก แล้วเมืองไทยก็เอาการศึกษาของโลกๆมา แทนที่จะเอาการศึกษาของพระพุทธเจ้ามาบูรณาการก็ไม่ทำ อันนี้เป็นความสูญเสีย ยิ่งมาได้ยินพระเจ้าอยู่หัวตรัส ตอนแรกท่านตรัสกลางๆเพราะท่านต้องทำงานกับทุกประเทศทุกศาสนา ท่านต้องตรัสมีกรอบขอบเขต แต่อาตมาก็ขอพูดตามที่เข้าใจว่า ความหมายของพระเจ้าอยู่หัวเราครบแล้ว คือตำราทางโลกนั้นปิดเสียเถิด เราต้องมาเรียนของพุทธนี่แหละ คนไทยมีหลายศาสนา ทุกคนก็เป็นคนไทย ก็เลยต้องตรัสเช่นนั้น 

คนไทยมีตำราพิเศษของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พระไตรปิฎกก็แข็งแรงแต่เถรวาทเพี้ยนไปไกลจากพระพุทธเจ้าไม่เหลือโลกุตรธรรม เหลือแต่โลกียธรรม แล้วเป็นโลกียธรรมที่หนักไปทางเดรัจฉานวิชชาไป มีเทวนิยมกลืนกินเสียอีก อาตมาว่า 80 % เป็นรูปแบบ เทวนิยมทั้งนั้น การศึกษาก็จะไม่มีระบบศีลสมาธิ ปัญญา ตามพระพุทธเจ้าเลย ขอยืนยันว่าไม่ใช่เลย เขาแยกปฏิบัติหมด กลายเป็นนิกาย ปัญญา นิกายเจโตก็เสื่อมขาดวิ่นใหญ่ 

อ.เอนก ว่า อโศกมีจุดเด่นคือ องค์ความรู้ของศาสนาที่พ่อครูชำระจากพระไตรปิฎก เป็น พุทธชีวศิลป์และสรรค่าสร้างคน ความรัก 10 มิติ แง่องค์ความรู้นี้พ่อท่านได้ให้ อีกประการคือเอาปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มาบูรณาการ ในบ้าน วัด โรงเรียนอย่างไปด้วยกัน แล้วตอนนี้ พวกแม่ๆ ของโฮมสกูลก็เร่ิมที่อยากให้เป็นบวร. อีกอันที่เขาขาดวิ่น คือเอาวัดออกไป แต่การที่ท่านเอาวัดมาเป็นแก่นกลางแล้วมีบ้านมีโรงเรียนร่วมด้วย ผมว่ายังไม่เคยมีในโลกเลย อโศกควรมีตัวชี้วัดของตัวเอง ไม่ควรตามของกระทรวง แล้วสถาปนา องค์ความรู้ขึ้นมา ให้ต่างกับทางโลก 

พ่อครูว่า...หลักสูตรของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาก็ได้นำมาทำ แล้วก็ได้ขยายความว่า พวกเราเป็นตัวอย่างของการศึกษาสัมมาอาชีพ พ้นมิจฉาอาชีวะข้อที่ 5 คือพ้น ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ใครมีชีวิตในราชธานีก็เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อาชีพของชาวพุทธ นี่คืออาชีพทำงานฟรี ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางเรียกภาษาทางโลกว่าเสียภาษี 100% ไม่มีใครคิดค่าตัว แม้เบี้ยประชุมก็ไม่มี เป็นความเป็นอยู่กับส่วนกลางที่เป็นความปรารถนาของคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการที่ต้องการแจกจ่ายให้ปชช.ได้มีกินใช้ทั่วถึงก็ตาม จนมาเป็นคอมมิวนิสต์ มีคณะทำงานแม้จะแข็ง เปลี่ยนจากปชต.ที่ไม่ค่อยได้ดังใจไปเป็นคอมมิวนิสต์ก็ให้ได้ดังใจ ใครทำได้มากก็เก็บภาษีมาก แต่ขาดวิญญาณ แต่ปชต.ขาเดียวก็ทำเหมือนคอมมิวนิสต์แต่ไม่บังคับเหมือนคอมมิวนิสต์ก็เลยอยู่ได้นานกว่าคอมมิวนิสต์ 

ปชต.ขาเดียวไม่มีวิญญาณเต็มที่ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนปุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณเป็นประธานของส่ิงทั้งปวง อาตมาขอยืนยันเลย วิญญาณหรือจิตนิยมเป็นใหญ่กว่าวัตถุนิยม แต่มีเงื่อนไขว่า ผู้มีจิตนิยมต้องเป็นจิตสะอาด ไม่เห็นแก่ตัว ล้างกิเลสจริง จึงเป็นจิตนิยมที่เหนือกว่าวัตถุนิยมจริง  ปชต.ขาเดียวไปไม่รอดหรอก 


ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ไม่สัมพันธ์กับโลก แบบขาดเมตตา ไม่มีสาราณิยะ ไม่สมบูรณ์เหมือนความรู้ของพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นศาสนาขาเดียว ไม่เป็นศาสนาที่มีครบพร้อมทั้งเจโตกับปัญญา หรือจิตวิญญาณกับวัตถุ แต่จิตเหนือวัตถุได้ เป็นจิตเป็นจริง อย่างศาสนาเทวนิยมที่ไม่มีหลักสูตรโลกุตระของพระพุทธเจ้า เขาก็รู้ปริยายองค์รวมว่าไม่เห็นแก่ตัวนั้นดีที่สุดแต่เขาไม่รู้จักจิตวิญญาณที่เป็นอาตมัน ปรมาตมัน ภาษาของพุทธคือ อัตตา กับปรมัตถ์ หรือปรมัตถตา เทวนิยมไม่รู้จักอัตตา 

มาถึงวันนี้พุทธก็เพี้ยนจากอเทวนิยมก็กลายเป็นเทวนิยม ไม่รู้จักปรมัตถตา ไม่รู้จักเนื้อแท้ของอัตตา 

หลักสูตรของพุทธนั้นมีครบพร้อม อาตมาได้พาทำมา แม้อ.เอนกหรือหลายคนก็เข้าใจก็มาประสาน แล้วมีพวกเราเข้าไปร่วมเสนอ จนนำความรู้นี้ไปเสนอเพื่อทำเป็นวิทยานิพนธ์หรือวิจัยถึงปริญญาเอก และเอาเนื้อโลกุตระแบบที่อาตมาเป็นตัวหลักเลย จริงๆก็เพิ่งจะเกิดขึ้นได้สองคน นอกนั้นก็มีประปราย เอาส่วนย่อยไป 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้เพี้ยนไปมาก มีพวกสายคันถธุระกับสายวิปัสสนา ซึ่งที่จริง วิปัสสนาคือจิตและปัญญา ส่วนคันถธุระนั้นมีแต่ตรรกะเฉกา รู้มาก learned man เป็นเหตุผล ปรัชญาเกิน เหมือนมหายาน เยอะมากมาย มาถึงวันนี้แล้ว ความรู้ของพุทธกำลังจะฟื้น อาศัยพวกเราให้อุตสาหวิริยะกันหน่อย ขอพูดอันนี้อีกทีว่า "ขอสักชาติได้ไหม?” 

แต่ละคนที่เอาชีวิตมาเรียนเต็มที่บ้างไม่เต็มที่บ้าง ขอตัดคำว่าไม่เต็มที่ออกได้ไหม ให้เต็มที่ เหมือนเราอยู่ทางโลก แต่ก่อนตื่นมาเราก็จะไปแสวงหาโลกธรรม หาอะไรกินเสพ ได้ลาภ ได้ยศ บำเรอกามคุณ 5 หมุนเวียนเป็นโลกียะอยู่เช่นนั้น เสร็จแล้วเรามาทางนี้ อาตมาพูดนะว่าพวกคุณไม่ได้ใช้พลังงานเหมือนอยู่ทางโลกหรอก ทางโลกเขาเหนื่อยกว่านี้เยอะ เพราะเขาหลอกกันด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ​ได้เสพสัมผัสกามคุณก็ชื่นใจ จึงรู้สึกเหมือนไม่เหน็ดเหนื่อยหนักหนา มันเป็นปัจเจกสัจจะบรรเทาแต่ไม่ค่อยเข้าใจ มันบำบัดแล้วเหมือนไม่ได้หนัก แต่มาทางนี้มันไม่มีสิ่งบำเรอแบบนั้นเต็มที่ แล้วไม่พาทำด้่วย ก็เลยกลายเป็นเหมือนจมในความทุกข์ทรมานกดดัน อันนี้พระพุทธเจ้าท่่านก็ยอมรับ ท่านว่าตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง เมื่อเราอยู่ตามสบาย ยถาสุขังอัตตานัง โขเม วิหรโต อกุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง กุศลธรรมย่อมเสื่อม แต่เมื่อเราเริ่มตั้งตนบนความลำบาก ทุกขายะ อัตตานัง ปนเม วิหารโต กุศลธรรมย่อมเจริญยิ่ง 

ของพุทธนี้ลำหน้าโลกตลอดเวลา จนเขาเมา เห็นพวกเราล้ำหน้าไปไกลนึกว่าเราสุดโต่ง แต่เขาเองนั้นอยู่ปลายขุมนรกที่มองมาหาสวรรค์นิพพาน เขาไม่รู้จุดแบ่งระหว่างโลกียะกับโลกุตระ ที่เป็นมโนปวิจาร 18 หากคนเห็นไม่ได้ก็จะเดินไปทางนาลมริยา ไปหานรกไกลจากเรามาก เขาเห็นว่าเราอยู่ห่างจากเขามาก เราเองไปได้ไม่ไกล แต่เขาไกลจากจุดกลางมากเลย ก็เลยนึกว่าเราบ้าสุดโต่งไปไกลมาก มันโต่งไปแล้ว 

ในเมืองไทยมีท่านพุทธทาสเอาโลกุตรธรรมาประกาศก็เป็นเนื้อแท้อาริยะของท่าน ท่านพุทธทาสพูดย้ำว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอะไรท่านสอนเรื่องอาริยสัจ ให้พ้นทุกข์

ถ้าคนมีจิตเห็นทางแยกของโลกุตระกับโลกียะจริงๆ อย่างท่านพุทธทาสท่านมีอัญญา เป็นผู้ที่เข้าถึงโลกุตระแล้วแต่ก็รายละเอียดไม่สมบูรณ์ท่านก็ตีทิ้งเลย ท่านถึงได้ว่าอภิธรรมเขาเสียเลย ก็เป็นบุญคุณของประเทศที่มีท่านพุทธทาสเกิดมา นอกนั้นอาตมาก็เคารพอีกท่านคือท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านเป็นผู้เก็บเรียบเรียงความรู้ของพระพุทธเจ้าและอรรถกถาจารย์มาไว้มาก อาตมาได้อาศัยความรู้มากเพราะในบรรดาอรรถกถาจารย์หลายท่านก็เป็นอาริยะ 


ก็มีคนที่ติดตามการเทศน์อาตมา เอาจริงเอาจัง ก็ส่งคำถามมาว่า  กราบนมัสการค่ะ เนื่องจากตอนนี้พ่อครูเทศน์เน้นการปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม37 โดยเน้นกายกับสัญญา ดิฉันเคยจำได้เมื่อหลายปีก่อนพ่อครูเคยอธิบายสัญญา10 ซึ่งตอนนั้นฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ(แต่จดไว้) ช่วงนี้ได้ฟังที่พ่อครูเอาของคุณหนึ่งฟ้ามาขยาย เรื่องกายกับสัญญา ดิฉันขอความกรุณาพ่อครูช่วยขยายสัญญา10 ให้พิสดาร(มีตัวอย่างประกอบ) แล้วโยงการสัมพัทธ์กับวิญญาณฐีติ7 สัตตาวาส9 (เพราะพ่อครูบอกว่าองค์ธรรมต่างๆจะสอดร้อยเป็นมาลัยได้หมด ไม่ว่าเราจะเอาพระสูตรใดมาอธิบาย) ในหนังสือธรรมพุทธสุดคำหน้า174 พ่อครูจะเทศน์เมื่อไหร่ก็ได้นะคะ เพราะดิฉันตามฟังตามอ่านของพ่อครูทุกตอนอยู่แล้วค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ (ถือว่าเป็นจดหมายจากผู้ฟังทางบ้าน เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ)

พ่อครูว่า...คุณจะรู้จักกายได้ต้องมีสัญญาไปกำหนดหมายรู้ รู้แล้วมันก็จำ อย่างคอมพิวเตอร์นี่มันไม่รู้แต่มันก็รู้ตามที่คนไปกดอะไร มันไม่รู้หรอกว่ามันบันทึกอะไร แต่มันรู้ว่ามันบันทึก คอมพิวเตอร์ก็คล้ายกัน อาตมาไม่ห่วงหรอก ว่าเด็กๆที่มานี่ได้ยินได้เห็นไปก็บันทึกไว้แล้ว ตั้งแต่เกิดมาได้ยินผู้ใหญ่พูด ก็บันทึกในฮาร์ดดิสก์ตลอด ไม่ได้รู้หรอกว่าเขาพูดอะไร จนกว่าอวัยวะพูดเป็นแม้จะทำได้ไม่ครบอ้อแอ้ เขาก็มีเยอะกว่าที่เขาพูดสื่อออกมาได้ พอพูดได้ชัดขึ้นมาเด็กมันพูดได้หมด บางคนพูดเหมือนต่อยหอยเลย สิ่งเหล่านี้คุณฟังไปเถอะ มันบันทึกไว้ ถึงเวลาจะใช้มันก็จะออกมาได้ ใครไม่เอาใจใส่ปริยัติก็ไม่ได้ เป็นเบื้องต้น เหมือนเด็กที่เกิดมาจะบันทึก จนถึงเวลาพูดได้ก็จะค่อยพูดได้ประสานกับสังคมได้ บัญญัติภาษาที่เขาอยู่ด้วย คุณไปเกิดเมืองอื่นก็ไปรู้ภาษาอื่นทุกอย่างต้องใช้ภาษาเข้าไปในฮาร์ดดิสก์ 

แม้คุณเป็นเชื้อชาติไทยแต่ไปเกิดประเทศอื่นก็ไม่เข้าใจภาษาไทย แต่ก็จะรู้ตามที่ซึมซับมา ซึ่งซึมซับทุกอิริยาบถ คุณฟังซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเด็กที่เขาได้ฟังมา คำนี้ใช้ลีลาอย่างนี้ละเอียดครบหมดเลย เกินกว่าจะขยายความ การมาเถอะ ถึงอย่างไรก็มีเวลาคนพูดให้ฟังดีๆ พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าเจอสัตบุรุษให้เข้าใกล้ คบสัตบุรุษให้บริบูรณ์แล้วจะได้ ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์แล้วจะได้ศรัทธาบริบูรณ์แล้วจะได้โยนิโสมนสิการได้บริบูรณ์ 

เขาสอนโยนิโสมนสิการกันไม่ครบ เพราะแท้จริงต้องทำใจให้ได้จึงเป็นโยนิโสมนสิการ ในมูลสูตรข้อที่ 2 ถ้าคุณทำใจในใจไม่เป็น นอกจากไม่เป็นแล้วไม่ถ่องแท้ไม่โยนิโสฯก็เจ๊งกระบ๊ง ทำใจในใจไม่เป็นแต่ต้นไม่ได้ คนทำใจในใจเป็นแต่ไม่สัมมาทิฏฐิก็พวก ทำใจแต่ได้สติๆ แต่รายละเอียดการทำใจในใจไม่สัมมาทิฏฐิไม่บริบูรณ์ ฟังธรรมไม่บริบูรณ์ ศรัทธา โยนิโสมนสิการไม่บริบูรณ์ หรืออย่างพวกทำใจได้แต่ว่ารู้น่ิงเฉยก็ไม่สมบูรณ์แยกแยะมโนปวิจาร 18 หรือวิจัยเวทนา 108 ไม่ได้ ไปถามอาจารย์ใหญ่ๆเลยว่า เขาแยกแยะมโนปวิจาร 36 ได้ไหม รู้อารมณ์เนกขัมมะที่ดับเหตุได้ รู้จักเหตุ รู้จักสมุทัย จะรู้ได้ต้องมีผัสสะ ในมูลสูตรว่าไว้ มีผัสสะเป็นสมุทัย 

การกำหนดรู้สัญญาจึงสำคัญ

สัญญา 10 
1.     อนิจจสัญญา         2. อนัตตสัญญา 
3.     อสุภสัญญา         4. อาทีนวสัญญา 
5.     ปหานสัญญา      6. วิราคสัญญา 
7.     นิโรธสัญญา         8. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา 
9.     สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา 
10.     อนาปานัสสติ       (อาพาธสูตร  ล.24  ข.60) 

อนิจจสัญญา      กำหนดรู้ความไม่เที่ยง อันนี้ยิ่งใหญ่นะ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ในมหาจักรวาลนี้ นอกจากนิพพาน นิพพานเที่ยงคือจิตคุณนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

สัพเพ อนิจจัง แต่นิพพานกลับเที่ยง ดังนั้นนิพพานถึงนัตถิอุปมา ไม่มีอะไรเทียบได้ เช่นจิตของเราได้ฝึกฝนจากเคยติดยึด แล้วก็หัดพราก มันก็กลับไปกลับมาในเบื้องต้น จนคุณทำได้แล้ว ก็นึกว่าได้แล้ว นึกว่าจะคงทนแล้ว นึกว่าจะเที่ยงแล้ว มันก็ยังไม่เที่ยง บางทีหายไปนานก็กลับมาได้อีก จริงๆแล้วนี่ในทางวัตถุ จะรู้ง่าย พวกฟิสิกส์จะรู้ว่าไม่มีอะไรเทียง มีแต่สสารกับพลังงานหมุนเวียน 

อนัตตสัญญา ทางวัตถุก็รู้แต่เขาไม่รู้จักทุกข์ วิทยาศาสตร์เขารู้แค่อนิจจังกับอนัตตา ไม่รู้ทุกข์ แต่การไม่มีตัวตนคือ สภาพอารมณ์เวทนา เช่นอารมณ์อร่อย อารมณ์เพลิดเพลิน อารมณ์สนุกสนานคุณอ่านอาการของส่ิงเหล่านี้ให้ได้ แล้วแม้ภายนอกจะกดข่มทำทีเหมือนอรหันต์แต่ภายในมีอารมณ์ หยาบ กลางละเอียดได้ ของคุณเอง ถ้ามันหมดมันก็ไม่มีสภาพ เป็นกลางๆ รู้แต่ความจริงกับความไม่จริง หรือรู้ความเป็นจริงที่เป็นจริงของมัน มันเป็นเช่นนี้ เช่นนักฟุตบอลมีลีลาเก่งอย่างไร ก็รู้แต่เราไม่มีอารมณ์ชอบ เราทำไม่ได้หรอก แต่รู้ว่าเก่ง อันนี้รสเปรี้ยวหวานมันเค็มก็รู้ แต่ไม่มีรสอร่อย ถ้าเราหมดรสกามเราจะไม่แสวงหาไม่ลงทุน แต่กินเข้าไปยังจำได้อยู่ มันมีอารมณ์นิดๆถึงอรูปหรือรูปก็รู้ เข้าใจว่ามันยังมีเชื้ออยู่ 

แม้จะอารมณ์กลางจนไม่รู้สึก ถ้าระดับอรูปภพ รูปภพ จะไม่แสวงหา มีมาก็เอาได้ ไม่แย่งเขาหรือละอายก็ไม่เอาก็มี หรือแม้เอาสัมผัสแตะต้องแล้วพิจารณาเห็นว่าผีหลอก เห็นรสชาติว่ามันยังมี คุณก็เขกหัวกิเลสคุณเองต้องเห็นให้ได้ว่า ความสุขมันยิ่งกว่าหยดน้ำพยับแดด ยิ่งกว่าอะไรแล้วคนก็จะพยายามลากให้ยาวนาน มันยิ่งกว่าจุดแหลมเล็กยิ่งกว่าปลายเข็ม แต่ถ้าจุดให้ต่อเนื่องก็เหมือนยาวนาน หรือมีอะไรใหม่ก็อร่อยใหม่ไปเปลี่ยนไปมีอะไรอื่นทดแทน คุณนั่งอยู่สบาย แล้วบอกว่าไม่สบายแล้วก็ยืน เดี๋ยวก็นอนดีกว่าเดี๋ยวก็กินดีกว่า คือทุกอิริยายถมันแทนที่ความไม่พอใจ ให้เกิดความพอใจต่อเนื่อง คนไม่เห็นความไม่พอใจ หรือความทุกข์ได้ยาก เพราะคนแสวงหาความพอใจบำเรอบำบัดทุกข์ตลอดเวลา ก็พยายามให้จุดแหลมเล็กนี้ถี่ยิบจนคุณนึกว่าไม่มีช่องว่าง

เพราะฉะนั้นตัวไม่เหลือนี้จะเหลือสุขหลอกอยู่ พระพุทธเจ้าถึงให้มองว่าทุกสิ่งไม่น่าพึงใจไม่น่าได้ไม่น่าเป็น เป็นอสุภะ ให้พิจารณา แค่พระพุทธเจ้าสอนว่าอันนี้เน่าเปื่อยเปลี่ยนแปลง ไม่มีตัวตนสลายหายไปสารพัดของเปื่อยเน่าของร่างกายคือนัยว่ามันไม่เที่ยงเปลี่ยนสภาพไป ตั่งแต่หยาบ แต่คนไม่รู้ปรมัตถ์ที่ว่าจิตต่างหากที่ไม่เที่ยง กิเลสก็ไม่เที่ยง 

แม้ผม ขน เล็บ ฟัน หนังก็ไม่ใช่กาย พอมันเป็นสภาพที่ไม่ใช่กายก็ไม่เที่ยงแม้เป็นกายก็ไม่เที่ยง อันไหนไม่เป็นกายก็ไม่มีสุขทุกข์ ถ้าอาตมาไม่นำอันนี้มาพูดนี้อาตมาว่ากรรมฐานที่เขาเรียนกันนี้พิจาณาไม่ถูกหรอก จะพิจารณาแบบไม่ใช่สัตว์แล้ว เล็บยาวมาก็หมดความเป็นกายแล้ว ถ้าอาตมาไม่เอามาพูดก็ไม่รู้กัน

คนมากินแตงไท ถ้าเขาไม่ชอบก็ไม่ชอบ ก็อุปาทานไม่ชอบ ส่วนคนอุปาทานว่าชอบก็บันทึกไว้ในสัญญาชอบหนักก็บันทึกหนัก ชอบน้อยก็บันทึกน้อย เกิดจากคุณได้รับรู้ว่ามันน่าได้น่ามีน่าเป็นแล้วรับมาปรุงเป็นอารมณ์ เป็นเทวดาสมมุติที่คุณจะอยู่กับมันตลอด ให้เป็นสิ่งที่น่าพึงใจต้องแสวงหาในทุกอิริยาบถ ถูกหลอกให้หลงจัดหนักเข้าไปอีก ได้สัมผัสนี้ได้ดมอันนี้ได้รับรสอันนี้ ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้บำเรออัตตาก็คือได้เป็นเราเป็นของเราหมด มันก็ละเอียดขึ้นในระดับอนาคามีไม่ไปทางรสโลกีย์แล้วก็เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะ มีอัตตาที่มี

โลกนี้ไม่มีอะไรน่าพึงใจนอกจาก 0 แต่0 หากติดยึดก็เป็นอุปกิเลสไม่น่าติดยึด ก็ค่อยว่ากัน พูดถึงภูมินั้นค่อยว่ากัน 

มันเป็นสิ่งไม่น่าพึงใจไม่น่ามีไม่น่าเป็น คำว่าสุภะ เขาแปลว่าโชค ว่าดี ว่าน่าพึงใจแต่ที่จริงมันเป็นสิ่งอสุภะ ไม่น่าพึงใจไม่น่ามีน่าเป็นเลย

อสุภสัญญา  คือเห็นว่ามันไม่ใช่คุณนะ มันเป็นโทษ คำว่าเป็นเราเป็นของเราจะละเอียดค่อยๆ ปลดปล่อยไป เป็น 0 หรือเป็นไม่มีไม่ยึดแล้ว สัมผัสก็กลางเฉย ใครจะเอาไปก็เอาไป เราเอาอันอื่นทดแทนไม่ได้ก็เป็นวิบากเราเท่านั้น เราก็เห็นโทษภัยมากว่าคุณ

ปหานสัญญา ต้องเห็นการทำลายตัวเหตุ เช่นปหาน 5 ตั้งแต่กดข่มวิกขัมภนปหาน จนทำให้เป็นสายปัญญา เห็นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตนจะเป็นญาณปัญญาที่เห็นเข้าใจจริง แล้วจะมีญาณปลดปล่อยมุลจิตตุกัมมยตาญาณ แตะแล้วไม่ติด สักแต่ว่าแตะ หากจะใช้ร่วมกันได้แต่ไม่ดูดดึง เราก็จะอ่านอาการพลังงานแม่เหล็กดูดนี้ได้ 

วิราคสัญญาคือมันค่อยๆจางคลายจนนิโรธ มันดับเลย มีอนุปัสสี กำหนดรู้อาการจางคลายแต่ก่อนมันอยากได้มากสุขมาก แต่ตอนนี้ลดลงจางลงจนดับได้ ไม่มีอาการเลยหรือมีมาอีกก็ต้องอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ให้มีสิ่งจริงพิสูจน์ไปนานๆ ไม่ใช่หนีหายไม่รู้เรื่องลืมสนิทเลย นานไปเป็นร้อยปีก็ได้แต่ไม่บรรลุธรรม

สัพพโลเกอนภิรตสัญญา  มันก็คล้ายกับอสุภสัญญา คือมันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้นไม่น่าไปติดยึดอะไร

สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ก็คือสังขารปรุงแต่งที่ไม่น่าเอามาปรุงแต่งในจิตเลย คุณจะไม่ปรุงแต่งเช่นนั้นอย่างโลกๆ เช่นก๋วยเตี๋ยวนี้ตักพริกใส่หน่อยเพราะฉันติดรส แต่คนไม่ติดรสแล้วก็อาจเอาใส่เอาธาตุพริกใส่ เอาธาตุน้ำส้มใส่ก็เป็นได้แต่ต้องรู้ของตน อ่านให้ละเอียดว่าจริงๆมันอยากได้รสนี้กลิ่นนี้สัมผัสนี้อยู่นะ หยาบกลางละเอียดของใครของมัน ต้องอ่านอย่าโกหกตนเอง ไม่ปรุงแต่งใส่ตน มันไม่น่ายินดี

อนาปานัสสติ   ไม่มีคำว่าสัญญา แต่เป็นการรวมความรู้ทั้งหมด 9ข้อ มีสติศึกษาทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่อานาปานสติที่ตัดเอาแค่เหลือแต่ลมหายใจเข้าออก อันนั้นมันแบบฤาษีทำกันมานานแล้วไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีกาย ลมหายใจเข้าออกก็คือกาย อย่าขาดลมหายใจเข้าออก จนตกภพภวังค์จะไม่ใช่การปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้า ตัดทวาร 5 ภายนอก ไปอยู่แต่ทวาร ใน แม้ผิวหนังก็ไม่รู้สึก ถ้าไม่มีกายแม้ลมหายใจเข้าออกไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้าไม่ใช่มรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 

ไม่เข้าใจว่าแม้นั่งหลับตาอานาปานสติ เขาก็ให้รู้แค่ลม เอาลมเข้าๆออกๆ เล่นกสิณลมก็ไม่ใช่พุทธเลย ที่จริงขาดกายเขาก็ไม่รู้จัก 
สรุปว่า อนาปานัสสติ  คือมีชีวิตประจำวัน จงมีสติพิจารณาทั้ง9 ข้อนี้ให้บรรลุธรรมบรรลุอรหันต์ให้ได้  ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตาแต่นั่งหลับตาก็เพื่อศึกษาจิตได้หรือได้พักผ่อนหรือเตวิชโช คำว่าอนาปานัสสติจึงไม่มีคำว่าสัญญาแต่ว่าให้ทำสัญญา 9ข้อทุกลมหายใจเข้าออกเลย ขณะลืมตาทำชีวิตประจำวันทุกอย่าง...เอวัง


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:56:52 )

580805

รายละเอียด

580805_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ อนุสัย 4​ อาสวะ 7 

วันนี้วันพุธ ที่ 5 ส.ค.​58 แรม 6 ค่ำ เดือน8 ปีมะแม... ทุกวันนี้อาตมาอะไรก็ไม่แพงเท่าราคา ก่อนจะต่อวันนี้ได้มีข่าวคราวจากเพื่อนชุมชนชาวเชียงใหม่ ก็ชมร.เชียงใหม่จะครบรอบวันคล้ายวันแก่ คนไปหลงติดเรียกวันที่เราเกิด วันเดียว แต่พอมาปีต่อมาวันที่ซ้ำกันกับที่เราเคยเกิดมาวันเดียว แต่วันอื่นในปีต่อไปเป็นวันแก่ 

ความเคลื่อนไหว ในรอบ 1 ปี ของชมร.เชียงใหม่ ( ปี 2557-2558 )
1. ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ หรือ ชมร.ชม. ได้เปิดมา ตั้งแต่ปี 2535-2558  วันนี้ จึงเป็นวันครบรอบคล้ายวันแก่ 23 ปี ของชมร. เชียงใหม่
2.  การดำเนินการ กิจการทุกวันนี้ สามารถพิสูจน์พาณิชย์บุญนิยม 4 ระดับว่าเป็นไปได้จริง  คือ 1. ขายต่ำกว่าท้องตลาด  2.ขายเท่าทุน 3. ขายต่ำกว่าทุน และระดับที่ 4. แจกฟรี โดยเฉพาะบุญนิยมระดับที่ 4 คือการแจกฟรี หรือ 0 บาทก็ทานได้  เราได้ทำมาแล้วประมาณ 9  ปี ตั้งแต่ปี   2549 – 2558 ค่ะ
3.  ชมร.เชียงใหม่ ได้รณรงค์ต่อเนื่องเรื่องการงดใช้ถุงพลาสติกใส่อาหารและถุงพลาสติกหูหิ้วสำหรับใส่ของทำได้ 100 % มาแล้วประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ส่วนถุงพลาสติกบรรจุอาหารได้งดใช้มานานกว่า 10 ปี
ทุกอิริยาบถนั้นคนอวิชชาก็ต้องการแต่ความสุข ทุกปัจจุบันที่ต่อเนื่องเป็นจุดๆไป หาความพอใจเป็นอิฏฐารมย์อยู่ทุกเวลา นอกจากนอนหลับจิตตกภวังค์ไม่ได้ควบคุมภายนอก กาย วาจา ใจ ไม่ได้ถูกควบคุมที่จะต้องไปหาเสพบำเรอตามต้องการ มันบำเรอความต้องการตลอดเวลา เป็นความปรารถนาของผู้ไม่ได้ศึกษาธรรมะ ว่ากิเลสความต้องการมันต้องการบำเรอตลอดเวลา

แต่ผู้ปฏิบัติธรรมจะเรียนรู้อาการที่จะต้องการเสพ ได้มาบำเรอกาม อัตตา ก็เรียนรู้เวลาเกี่ยวข้องสัมผัส ยิ่งเป็นรูปร่างเป็นตัวตนก็ยิ่งรู้ง่าย ต้องใช้เรี่ยวแรงกำลังสมองแย่งชิงแสวงหามา แล้วก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งไร้สาระ เปล่า เท็จ สิ่งที่เรียกว่าความสุข มันไม่มาแบบคนขี่ช้างสูบยามา ไม่มีตัวตนไม่มีหัวมมีหาง แต่เป็นอารมณ์ลมๆแล้งๆ ก็นานกว่าจะเข้าใจว่า เป็นสุขบำเรออารมณ์ คว้าลม ว่ารูปต้องแบบนี้ เสียงต้องแบบนี้ กลิ่นต้องแบบนี้ นี่คือเกิดตัวเราของเรา ต่างกันหรือคล้ายกัน อาจคล้ายกันจนเกือบเหมือนกันต้องแย่งชิงกันเลย หรือไม่อยู่กับกามภพทางทวารนอก แต่มีที่ใจ เป็นวิมาน เป็นส่ิงไม่มี ไม่เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียงอะไร แต่สมมุติเกินกว่านั้นมากกว่ากามคุณ 5 ไปอีกด้วยซ้ำ 

คนที่หลอกสร้างวิมาน จนคนหลงเชื่อ วิมานจึงมากมาย ไม่ว่าสำนักไหนๆ ยิ่งไม่เป็นพุทธยิ่งสมมุติไปมากมาย แม้พุทธ พระพุทธเจ้าสอนแล้วก็ยังมีคนไปสร้างวิมานหลอกคนกันไม่รู้กี่สำนัก เช่นธรรมกายเป็นต้น สอนให้ปั้นความใส ให้ยิ่งกว่าใส่เป็นอรูป ไม่มีตัวตนแล้วนะความใส คนไม่รู้จักความจริงตายไปก็มีกาย

ยิ่งศาสนาพุทธในเมืองไทยนี่มันยอดนิยายเลย สร้างมอมเมากันมหาศาล ความเป็นคนที่ตายไป ตายไปแล้ว อาตมาจะอธิบายสภาพตายของพระอาริยะ

พระอรหันต์ที่ไม่จบภพชาติ ตายไปแล้ว ภพชาติอรหันต์อยู่อย่างไร  อยู่ที่สงบเรียกว่าดุสิตา คือไม่มีเรื่องอะไร เพราะไม่มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสภายนอก จิตท่านไม่มีอัตตาแล้ว ท่านก็รู้ว่าการเกิดมาต้องมีปสาทรูป แต่ตายไปก็มีแต่จิต อรหันต์ท่านรู้แล้วว่า รูปภพ อรูปภพเป็นอย่างไร รูปมันก็เป็นสภาวะจะสมมุติปั้นเป็นมโนมยอัตตา ทุกคนเคยมี  หลับตาไปแล้วยังมีรูปร่างตัวตนสีสัน แล้วเขาก็ถือว่ามันเป็นของจริง 

บางคนว่า ตายไปแล้วมันไม่มีอะไร คนที่ไม่ได้ล้างอัตตา ตายไปก็จะนึกเช่นนี้ คนอุจเฉทิฏฐิ เขาจะนึกว่าตายไปแล้วไม่มีอะไร แต่เขาไม่ได้ล้างอุปาทานเลย แต่เขานึกว่าไม่มีนรกสวรรค์ เขาก็จะยิ่งก่อบาปหยาบช้า ตะกละ เขาไม่รู้ ทำโดยเข้าใจผิด แต่ก็ได้บาปไปแล้ว โดยสัจจะที่มีในปัจจุบันอรหันต์เท่านั้นที่จริง แม้อนาคามีก็เหลืออัตตา ที่ต้องไปล้างเป็น 

ที่จะพูดให้ฟังนีี้ ถ้าไม่อาจเข้าใจผิดว่า ของจริงมีแต่ในปัจจุบัน แต่ตายไปแล้วจะนรกยิ่งกว่าปัจจุบัน แต่สวรรค์นั้นมีแค่ปัจจุบัน ตายไปแล้วไม่มีสวรรค์จริง มีแต่นรกกับนรก

เช่นคุณนั่งหลับหรือนั่งนึกฝันไปตอนกลางวัน พอตื่นมาอาจได้ไปเสพตามฝันได้ด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่นเพ้อว่า เราไปร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้จะให้เขาปรุงมาให้อร่อยเลย เราชอบแบบนี้ พอลืมตาก็ไปร้านก๋วยเตี๋ยว แต่คนตายไปแล้วไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยว มันจะฝันเพ้อแต่ไม่มีร้านก๋วยเตี๋ยวก็จะดิ้นสุดฤทธิ์สุดเดช แล้วก็จะหลงปั้นร้านก๋วยเตี๋ยวมาซ้ำซ้อนอีก เหมือนกับ ปั้นความใส ใสของพระโสดาบันอย่างนี้ ใสอย่างนี้สกิทาฯ ใสอย่างนี้อนาคาฯ ใสอย่างนี้ อรหันต์ก็ปั้นไป สร้างภพชาติ อย่างเดียว 

คนไม่รู้นี่หลอกว่าใสหรือว่าหลอกเป็นรูปร่างตัวตน จะนึกเอาอย่างไรก็ได้ นิยายสวรรค์นรก จึงมีมากมาย คนก็ปั้นกันได้มากมาย แม้ผีกระสือก็ปั้นกันไปได้คนก็เชื่อว่ามี

ตายไปแล้วไม่มีความจริงเลย ความจริงมีแต่ปัจจุบันที่สัมผัสอยู่ แต่ตายไปแล้วจะมีแต่นรกยิ่งกว่านรกของอุปาทาน แต่พวกอุจเฉทิฏฐิจะประมาทได้ ถ้าฟังเผินแบบนี้ คนก็ว่าไม่จริงแล้วจะกลัวทำไม เขาไม่รู้จักอุปาทาน ขนาดพวกเรารู้แล้วว่ามันอุปทานไม่ใช่ แต่ยังล้างยากล้างเย็นเลย ไม่ว่าจะของมากหรือน้อยก็ตาม อันนี้สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาก็รู้ว่าสุขทุกข์โลกีย์มันไม่มีหรอก โดยบัญญัติ แต่เราก็รู้ว่าเราติดยึดอยู่ ก็พิสูจน์ล้างตั้งแต่อบายภูมิ ให้ถึงญาณทัสนะวิเศษ ให้ล้างได้ ขนาดมีของจริงโลกุตระแล้วมันยังไม่ง่ายจะทำให้หมดเลย 

ในอนาคต มีทิฏฐิ 44 แบบที่ไปได้ ที่จริงมากกว่า 44 อีก แต่แค่ 44 ทิฏฐินี้ก็ทุกมุมเหลี่ยมต่างๆแล้ว แต่ทุกวันนี้มันมากกว่า 44 ยิ่งกว่ายุคพระพุทธเจ้ามากมาย คนก็ไปหลง คืออนาคตไม่เคยมี จากอดีต มีทิฏฐิ 18 กับอนาคต 44 ที่พระพุทธเจ้ารวบรวมไว้ ทิฏฐิ ทั้ง 62​นี้ จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด ความจริงจึงมีอยู่แค่ ทิฏฐิ 5 กับทิฏฐธรรมนิพพาน แต่ก็สมมุติไปสิ เป็นกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นคือสวรรค์นรกจริงในปัจจุบัน ภพกามนั้นอบายก็อยู่ในกาม 

อบายคือกามภพที่ต่ำมาก อภิมหาบรมนรก ซับซ้อนจัดจ้านเกินกว่ายุคพระพุทธเจ้าอีกเยอะเลย เมื่อคนเหล่านี้ไม่รู้ สั่งสมไว้ในอนุสัยตายไปก็ไม่มีให้เสพ ตามที่เคยรักเคยชังไว้ เขาก็นึกว่าจริงหมดตอนที่อยู่เป็นๆ แต่อดีตกับอนาคตไม่เป็นจริง แต่คนไปยึดอดีตกับอนาคตเป็นอนุสัย อวิชชา ตายไปก็ยึดสิ่งเหล่านี้ไปด้วย หลายอย่างพวกคุณแม้ไม่อยากได้ภพนั้น หรืออยากได้ก็ตาม เช่น ชาตินี้เราจะต้องมีเงินพันล้านให้ได้ แล้วก็พากเพียรเพื่อให้ได้เงินพันล้าน ก็ไปแย่งชิงเอามา จนได้ฟังธรรมะเข้าใจ ต้องหยุดไม่เอาแล้ว แล้วคุณก็ได้ล้างทิฏฐิที่อยากจะเอาพันล้านนี้ให้หมด ...ล้างได้หมดไหม...หลายคนก็ไม่หมด เหตุผลเยอะ ไม่ง่าย 

ป่วยการไปกล่าวถึงคนที่ไม่เคยสดับ หรือสดับแล้วไม่เข้าใจ กว่าอาตมาจะพูดกับพวกคุณนี่พวกคุณมีพื้นฐานมาไม่น้อยแล้ว ความจริงกับความไม่จริงเป็นของยากที่จะเข้าใจ ความมีและความไม่มีเป็นของยากจะเข้าใจ กลับไปกลับมามาก พระพุทธเจ้าให้ตั้งหลักกับสวรรค์จริงของตน แล้วเห็นว่าเป็นทุกข์มากภาระมาก ถ้าไม่มีมันได้ก็จะเบา แล้วพิสูจน์ล้างจิตว่าไม่มีก็ได้ ตั้งแต่อบายภูมิของตนเอง ที่หยาบชัดว่าไม่น่าได้น่ามีน่าเป็น ก็พอ ตั้งหลักเพื่อล้างลด จนคุณลดได้ คุณก็จะเห็นความจริงว่า อารมณ์เป็นสุขทุกข์ มันไม่มีเลย เป็นเช่นนี้เอง ตถตา จิตหมดอัตตาเกลี้ยงแล้วเป็นเช่นนี้เอง 
 
มาถึงตอนนี้ก็ขออ่านของหนึ่งฟ้าที่สรุปมาเพ่ิมว่า
*****ความเข้าใจเพิ่มเติมหลังจากได้รับคำชี้แนะจากพ่อครูเรื่อง ปัญญา กับ เจโต และความสัมพันธ์ระหว่าง อาสวะ4 อนุสัย 7 และ สังโยชน์ 10 ในวันที่ 30 กค. 58 ดังนี้

      ถ้าแบ่งโลกุตรบุคคลเป็น 4 ระดับ คือ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์
      1) การพ้นกามาสวะ ในอบายมุขในฐานโสดาบัน เป็นการพ้นรูปราคะสังโยชน์ บรรลุผลเป็นปัญญาวิมุติในพระโสดาบัน เป็นโมเดลที่ 1 
           การพ้นกามานุสัย และปฏิฆานุสัย ในอบายมุข  เป็นการพ้นอรูปราคะสังโยชน์ บรรลุผลเป็นเจโตวิมุติในพระโสดาบัน
       2) เช่นเดียวกับข้อ 1 คือ
            ถ้าพ้นกามาสวะ ในฐานกามภพ(กามคุณ5) เป็นการพ้นรูปราคะสังโยชน์ บรรลุผลเป็นปัญญาวิมุติในพระสกิทาคามี พร้อมๆไปกับการสั่งสมการพ้นมิจฉาทิฐิในอนาคต 44 และค่อยๆอ่านรู้ทิฐิ 5 ในปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดปัญญาญาณในระดับต่างๆในญาณ 67 ของสาวกภูมิ
            ถ้าพ้นกามานุสัย ในฐานกามภพ(กามคุณ 5) เป็นการพ้นอรูปราคะสังโยชน์ และก้าวข้ามมิจฉาทิฐิในอนาคต 44 บรรลุผลเป็นเจโตวิมุติในพระสกิทาคามี
       3) ภวาสวะ ทิฐาสวะ ปัญญาวิมุติในพระอนาคามี พ้นมิจฉาทิฐิในอดีต 18  และอ่านรู้ทิฐิ 5 ในปัจจุบันได้ชัดขึ้นดีขึ้นตามลำดับ
            ทิฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย เป็นตัวเปลี่ยนผ่านในการยกระดับปัญญาในแต่ละระดับ ทำให้สัมมาทิฐิเพิ่มในสัมมาทิฐิอนาสวะ 6  บรรลุผลเป็นเจโตวิมุติในพระอนาคามี พ้นมานะสังโยชน์ และอุทธัจจะสังโยชน์
       4) อวิชชาสวะ ทิฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย ในระดับที่สูงขึ้นตามสัมมาทิฐิที่มีการยกระดับในสัมมาทิฐิอนาสวะ 6 บรรลุผลเป็น ปัญญาวิมุติในพระอรหันต์ 
            ภวราคานุสัย อวิชชานุสัย บรรลุผลเป็น เจโตวิมุติในพระอรหันต์ พ้นอวิชชาสังโยชน์ 
            แล้วตรวจสอบด้วยอรูปฌาน 4 อายตนะ 2 สุดท้าย
       การบรรลุผลเป็นปัญญาวิมุติ ส่งผลให้บรรลุเจโตวิมุติ เกิดอุภโตภาควิมุติในแต่ละระดับ ทำให้สามารถยกระดับของสัมมาทิฐิอนาสวะ 6ได้ แล้วส่งผลให้ยกระดับฐานศีลได้ สมกับคำกล่าวที่ว่า "ที่ใดมีศีล ที่นั่นมีปัญญา"
         การยกระดับฐานศีล จึงสัมพันธ์กับการเดินสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 ที่ต้องยกระดับสัมมาทิฐิไปตามลำดับในสัมมาทิฐิอนาสวะ 6 
         การปฏิบัติตามสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 ที่มีการยกระดับสูงขึ้นไปตามมฐานศีล ทำให้สามารถอ่านรู้ญาณต่างๆในญาณ67 ของสาวกภูมิ และ อีก 6 ญาน ของพระนิยตโพธิสัตว์ที่เป็นสยัง อภิญญา ขึ้นไปจนถึงพระพุทธเจ้าได้ชัดขึ้นไปตามลำดับ ที่สัมพันธ์กับความชัดเจนในทิฐิปัจจุบัน 5 ไปตามลำดับ*****

ฟังเข้าใจไหมว่า ความสำคัญในปัจจุบันเป็นฐานปฏิบัติที่แท้จริง อย่าไปเพ้อกับอนาคนหรืออดีต ถ้าคนชัดเจน ปัจจุบันธรรมเป็นสำคัญ แต่พวกอุจเฉทิฏฐิว่า ไม่มีอะไรเลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ไม่มีหรอกอัตตา ไม่มีอัตตาแล้วจะเอาตัวตนที่ไหนมาปฏิบัติอีกเขาก็จะพูดแบบเฉโกเช่นนี้ 

ที่อาตมาหยิบเอาที่หนึ่งฟ้าเรียบเรียงมาก็เป็นความเข้าใจในธรรมะระดับภูมิธรรมที่สูง อาตมาก็เช็คว่าพวกเราเข้าใจแค่ไหนก็ดูว่าจะเข้าใจได้มากอยู่

สังโยชน์ 10 มี 
โอรัมภาคิยสังโยชน์
1.สักกายทิฏฐิ 
2.วิจิกิจฉา
3.สีลลัพพตปรามาส
4.กามราคสังโยชน์ 
5. ปฏิฆสังโยชน์
นี่คือตัวปฏิบัติ แท้ เป็นกลไกปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็ล้างกามภพกับพยาบาทภพ รักกับโกรธสองภพนี้ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ หยาบ กลาง ละเอียด ในทวาร 5 ภายนอกที่เรามีสัมผัสเป็นปัจจัย ตั้งแต่ล้างอบาย ก็มาล้างกามคุณ 5 จนกระทั่งสัมผัสภายนอก ไม่ว่าจะ ลาภ ยศ สรรเสริญ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพารมย์ และแม้แต่อัตตาก็ซ้อนในกาม ยึดเป็นตัวกูของกู การมาล้างกามไปได้ก็คือลดอัตตาด้วย จนหมดอัตตาภายนอก 5 คือ ทางทวารนอก 5 กระทบแล้วไม่มีกาย ก็เป็นสังโยชน์เบื้องต้น พ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ก็มาจัดการ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์

แล้วสังโยชน์เบื้องสูง อุทธัมภาคิยสังโยชน์อีก 5 คือตั้งแต่รูปราคะ อรูปราคะ ไป พระอนาคามีพ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์จึงเป็นโอปปาติกะแท้ๆ 
อาสวะ 4
1.กามาสวะ 
2.ภวาสวะ 
3.ทิฏฐาสวะ 
4.อวิชชาสวะ 

อนุสัย 7
1.กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) 
2.ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) 
3.ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) 
4.วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า) 
5. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)
6. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด)
7. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)
อนุสัย 5-7 เป็นตัวเจโตที่ต้องล้างถึงได้เจโตวิมุติ
อรหันต์ หมดรูปราคะ อรูปราคะก่อน เหลืออนุสัย มานะ เป็นรูปราคะขั้นละเอียดของอรหันต์ขั้นต้น 
ตัวอวิชชาสวะกับอวิชชานุสัยจึงไม่เหมือนกัน อรหันต์ที่จะเป็นอุภโตภาควิมุติต้องสิ้นอวิชชานุสัย 

สู่แดนธรรมเจอหลักฐานว่า...
[263] คำว่า อาสวะ ความว่า อาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่านั้น คือ
กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ ฯ
    อาสวะเหล่านั้นย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้น กามาสวะ ภวาสวะอวิชชาสวะ อันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย ย่อมสิ้นไปเพราะโสดาปัตติมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไป
ในขณะโสดาปัตติมรรคนี้ กามาสวะส่วนหยาบ ๆ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะ
นั้น ย่อมสิ้นไปเพราะสกทาคามิมรรคอาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะสกทาคามิมรรคนี้ กามาสวะ
ทั้งสิ้น ภวาสวะอวิชชาสวะ ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น ย่อมสิ้นไปเพราะอนาคามิมรรค
อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอนาคามิมรรคนี้ ภวาสวะ อวิชชาสวะทั้งสิ้น ย่อมสิ้นไปเพราะ
อรหัตตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอรหัตตมรรคนี้ ฯ
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญ ในอินทรีย์3 ประการ โดยอาการ 64 เป็น
อาสวักขยญาณ ฯ
    

สรุปว่า อนุสัย 7 มานานุสัย จึงมีขั้นหยาบ กลาง ปลาย จนถึงมานะในอุทธัมภาคิยสังโยชน์ไปตามลำดับ ผู้เป็นอนาคามีจะมีมานะไม่มาก แต่ไม่ใช่มีมานะมากถือดีถือตัวถือตนมาก แต่กระนั้นก็เป็นอาสวะ ถ้าพ้นอวิชชาสวะก็เป็นอรหันต์ ก็เหลือเศษของอรหันตตมรรค เหลืออนุสัยเท่านั้น ท่านจะไปมีปัญหาอะไร 

ภวราคานุสัย กับอวิชชานุสัย จึงคืออุทธัจจะ กับ อวิชชา สุดท้ายจริงๆของอรหันต์อุภโตภาค มานะเป็นตัวกลางที่เป็นตัวตน ถือตัวตน 

ที่เรียกว่านิพพาน แต่เขาหลงว่าเป็นสุขอย่างยิ่งตามที่ได้ยินมา ก็คือเข้าใจว่านิพพานคือความพอใจสุขใจ แต่คนมีปฏิภาณก็เข้าใจว่า ถ้าไปแย่งชิงอบายก็ไม่เอาแล้ว บอกว่าชั้นต่ำ ก็สะกดจิตเอา ลืมทิ้งไปเลย สายมหายานมีแบบนี้เยอะ แต่ไม่ได้ล้างกิเลสเลย  สายนั่งหลับตาเอาง่ายยังติดส้มตำแซบๆ ติดบุหรี่มวนโตฉุนๆ ก็ยังมีเลย

ในกามภพ ก็มีอบายคือที่ต่ำของแต่ละคน เมื่อหมดอันนั้นแล้ว อบายของเราในกามภพ ต่อจากกามภพ ที่มันต่ำก็คืออบายของเรา ในรูปภพก็มีอบาย  จนเป็นอรูปภพก็มีอบาย ที่เป็นอบายของ อนาคามี จนอรหัตตมรรค ก็มีอบายที่ต่ำของเรา จะเทียบคนอื่นไม่ได้ ให้ชัดของตน ก็รู้อารมณ์ อาการ ศึกษาพระพุทธเจ้าย่นย่อลงที่เวทนา อาการของอารมณ์ 

สมมุติว่ากิเลส 1 ตัวก็มีเหตุปัจจัยของรูปนาม แล้วมีการสัมผัส จะตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็ตาม หรือไม่เกี่ยวกับทวาร 5 ก็ตาม เช่นสรรเสริญ​ไม่มีตาหู จมูก ลิ้น กายด้วย หรือยศชั้นก็คือตั้งค่าขึ้นมาเฉยๆ แม้แต่คำว่า ลาภ ก็ตาม กามคุณ 5 จึงแยกจาก โลกธรรม ได้สุขสมใจในกามคุณ 5 กับโลกธรรม ก็เป็นกามสุขขัลลิกะ กับอัตตทัตถสุข ที่จริงอัตตาก็ไม่มีสุข กามก็ไม่มีสุข แต่ใช้ภาษาเท่านั้น

ที่จริงสุขก็เรียกสุขขัลลิกะในหยาบๆ แต่ว่าละเอียดไปเป็นอัตตาก็ไม่เรียกสุข เป็นอัตตกิลมถะ ในอนาคามีไม่มีสุขหรอก แม้อรหันต์ก็พูดว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป 

ผู้ใดไม่ได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษได้บริบูรณ์ ก็จะไม่ได้ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์ ...ให้ยึดอย่างสมาทาน ไม่ใช่อุปาทาน 
1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ 
2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 
3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  
4.     การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5.     สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 
6.     ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต 
7.     สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์ 
8.     สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ 
9.     โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

เมื่อเข้าใจการอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อ่านอาการของเวทนา ที่เป็นอารมณ์ของสัตว์นรกสัตว์เทวดา หรืออารมณ์กลางๆ ที่เป็นโลกีย์ก็มี หรือเป็นโลกุตระก็มี อุเบกขาที่เป็นโลกีย์คือพักยก อุเบกขาเก ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่อุเบกขาจากที่ได้ล้างกิเลสออกไป มีคุณสมบัติ 5 ของอุเบกขา ที่มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา       

ต้องรู้รูปนาม ในรูปมี รูป 28 ตั้งแต่ดินน้ำ ไฟลม จนถึง ปสาทรูป และโคจรรูป สัมผัสมีปฏิกิริยาแล้วเกิดวิญญาณเป็นธาตุรู้ ที่เกิดจากต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แล้ววิญญาณนี้คือ เวทนา สัญญา สังขาร ตัวปฏิบัติสำคัญคือสัญญา ส่วนเวทนาจะเป็นตัวเป็น เป็นตัวถูกรู้ เวทนาคืออารมณ์ที่เกิดจากสังขาร มาเป็นเทวดาเก๊หรือสัตว์นรกหรือเปรตที่ต้องการเอามาให้ได้ เราจะต้องแยกแบ่งเรียนไปตามลำดับ เอามาเพื่อเป็นตัวอย่างของเราที่จะเรียน อันนี้เป็นเหตุที่เราติดในกามคุณ 5ใดๆ หรือติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็เอามาสักเรื่อง กำหนดกรอบขนาด เป็นปริตตัง มันมีมากมาย เป็นอัปปมัญญา เอาหมดไม่ไหวก็เอาไปตามลำดับ ความเป็นลำดับจึงเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมา ไม่ว่าจะศาสนาไหนๆ ก็ไม่ง่าย 

ต้องหยั่งลงถึงที่เกิด ที่หทยรูป ตาสัมผัสรูป เกิดปรุงแต่งเป็นสัตว์นรก เราต้องจับที่หัวใจสัตว์นรก ได้ จนพ้นวิจิกิจฉา จับได้มั่น พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ มีศีลพรต อ่านกำจัดด้วยปหาน 5 ด้วยการกดข่มไว้ก่อน ตามสัญชาตญาณ สัตว์โลก มันรู้กดข่มได้ทุกคน หรือเดรัจฉานบางอย่างก็ไม่ทำเลย มันมีความอายอยู่ ถ้าไม่ข่มกิเลสไว้รับรองดูไม่เบื่อเลย 

อาการคือกิริยาของนามธรรมหรือรูปธรรม แต่รูปธรรมมีอาการไม่เป็นปรมัตถ์ ต้องอ่านรู้อาการของนามธรรมที่เป็นปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน คำว่ารูปนี้จึงไม่หมายถึงรูปธรรม วัตถุ แต่ผ่านพ้นมาถึงนามที่ถูกรู้ ตั้งแต่อบายภูมิที่เป็นสัตว์นรกก็ตาม คุณค้นพบสัตว์นรก สัตว์อบายปหาสะ ที่สุขกันใหญ่โต สุขโลกีย์ ที่ทุกวันนี้น่าสงสาร จัดจ้านมาก อาตมาว่าคอยดูในกีฬาที่แย่งเอาชนะเลิศ เกียรติยศยิ่งใหญ่เป็นไปได้ ค่าตัวมันมากมาย หลายร้อยล้าน อย่างเจ้าฟรอยด์ชกที่หลายร้อยล้าน หรือว่า ดารานักร้องแสดงชั่วโมงเดียวได้เป็นร้อยล้าน คนก็เอาอย่างสิ ติดยึดกันสิ อย่างการกีฬา เช่นฟุตบอล วันหนึ่งมันจะช็อคคาสนามฟุตบอลตายกัน แม้แพ้หรือชนะก็ช็อคได้ 

รูป 24 นี้ตัวปฏิบัติจริงคือภาวรูป มีอิตถีภาวะก็ต้องทำให้เป็นหนึ่งทำให้เป็นปุริสภาวะแล้วให้เป็นนปุงสกิลิงค์ เป็นเครื่องอาศัย แล้วใช้ 0 กับ 1​นี้ทำงาน ทำไปจะมีทักษะสามารถเพิ่มในการช่วยคนอื่น ก่อนช่วยคนอื่นต้องรู้ชีวิตรูปก่อน เช่นชีวะของสัตว์นรกที่มันยังแรง เอามันลงยาก จนมันอ่อนจางคลาย กระทบสัมผัสแล้วจนกระทั่งมันจวนจะตายแล้ว จนมันตายสนิท แต่เวทนาเราก็มีเป็นธรรมดา 

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ล.10 ข.[63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไร
ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา ถ้าเวทนา
ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา  อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตา ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้อง
เสวยเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่าง
นั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า 

อาวุโส เวทนา
 มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็ง
เห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวย
ทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ 

ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
      

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขมสุขก็ดี
ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย และความดับ
ไปเป็นธรรมดา 

เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนา
อันนั้นดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว 

เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็น
ว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อ  ทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไป


แล้ว เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนา
 อันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า  เวทนาเป็นอัตตา
ของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยงเกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ
อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่
กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ในรูปขันธ์นั้น ยังจะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ

      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ
      

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนา ไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำดังกล่าว แล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวย
เวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็
เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
 เวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว ฯ
      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ
      

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า  เวทนาไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ฯ

จิตเราต้องเสวยอารมณ์ก่อน คุณยังไม่ได้เสวยอารมณ์ตลอดเวลา รูปขันธ์ที่ไม่มีผัสสะก็อยู่ของมันอย่างนั้นจะอหังการว่าของๆเราทั้งที่ไม่ได้สัมผัส ก็ไม่ได้อหังการ แต่ถ้ายึดว่าเป็นของๆคุณใครมาเอาไปนี่ของๆฉันนะ หากหวงมากยึดมากก็ไม่ให้ใคร ก็แย่งกันทะเลาะกัน ขนมหม้อแกงชิ้นเดียวก็ฆ่ากันได้ 

ถ้าเวทนานี้คุณไม่ยึดเป็นเรา โดยตรรกะแล้วคุณจะไปยึดว่าตัวคุณไม่มีอัตตา เพราะฟังมาแล้ว่า สัพเพธัมมาอนัตตา พวกนี้คิดลมๆแล้งๆเท่านั้น ไม่ได้มีผัสสะสัมผัสจริง ล้างอัตตาได้จริงเลย พวกสายเซ็นหรือสายหลับตานี้น่าสงสาร สายมหายานเป็นเช่นนี้มาก 

สรุปคือเวทนาส่วนหนึ่งที่คุณต้องอาศัยจนกว่าจะได้อรหันต์ แต่เวทนานี้ไม่ได้ปรุงแต่งกับโลกแล้ว แต่จะอนุโลมไปช่วยคนได้ เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก อนุโลมไป เพื่อช่วยเขา เราต้องฉลาดแทรกโอสถทิพย์เข้ารูขุมขน นี่คืองานพระโพธิสัตว์ที่ยากมาก....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:57:36 )

580806

รายละเอียด

580806_ธรรมาธรรมะสงคราม ทำบุญแต่ได้บาปคืออย่างไร

พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันครบรอบ ที่มีการทิ้งระเบิดAtomic bomb ที่ฮิโรชิม่า วันที่ 6 สิงหาคม 2558 เป็นวันครบรอบ 70 ปี เหตุการณ์เมืองฮิโรชิมาถูกถล่มโดยระเบิดนิวเคลียร์จากกองทัพสหรัฐอเมริกาและวันนี้ก็เป็นวันครบรอบการประกาศนานาสังวาสจากมหาเถรสมาคมตั้งแต่ 6 ส.ค.​2518 จนถึงวันนี้ก็ครบ 40 ปีที่เราลาออกจากมหาเถรสมาคม เป็นวันที่เราลาออกมาจากมหาเถรสมาคมอย่างเป็นหลักเป็นฐาน ต่อหน้าพระสังฆาทิการ 180 รูป 

ก็เหมือนพศ.2518 คนตายเป็นเบือหลายแสนคน แต่ของเราลาออกจากมหาเถรสมาคม เหมือนการเกิด เราลาออกมาอย่างเรียบร้อยมีรายลักษณ์อักษณ์มีเจ้าหน้าที่ของกรมการศาสนา มีเจ้าคณะจังหวัดรับเรื่องไป เจ้าคณะอำเภอเป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่ปีนเกลียว ก็รับเรื่องเรียบร้อย เจ้าคณะจังหวัดส่งให้มหาเถรสมาคมรับทราบ เป็นเรื่องสัจจะที่รับทราบ แต่วัดร้ายคืนร้ายมหาเถรสมาคมก็มาลากเราไปอีก แล้วก็มาอธิกรณ์เรา ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้รื้อฟื้นแต่เป็นเรื่องที่รำลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นที่ฮิโรชิม่าหรือที่เราก็ตาม

ที่จริงเป็นเรื่องดีนะที่เขามาฟ้องร้องเรา จนเรื่องจบสมบูรณ์แบบแล้ว ทำให้เห็นความเสื่อมของศาสนาพุทธมันร้ายแรงมาก อาตมาไม่ได้โกรธเคืองนะ อาตมาเข้าใจเหตุปัจจัยว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น แล้วก็เป็นเรื่องจริง เพราะเหตุที่มหาเถรสมาคมเป็นเช่นนั้นอาตมาจึงลาออกมา ทำให้เห็นว่าอาตมาลาออกมานั้นถูกแล้ว อโศกลาออกจากมหาเถรสมาคมนั้นถูกแล้ว 

มีคำถามมา ...ดิฉันมีคำถามอยากกราบเรียนถามพ่อท่านฯ เกี่ยวกับธรรมะเรื่องหนึ่งคือ
" ตามพุทธประวัติที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา
ดิฉันเข้าใจดีว่าเป็นบุคคาธิษฐาน แต่ยังไม่กระจ่างในธรรมาธิษฐานเรื่องนี้ "
ในโอกาสช่วงเข้าพรรษาและเดือนแห่งวันแม่นี้ จึงอยากขอนิมนต์พ่อท่านอธิบายธรรมะเรื่องนี้
เพื่อจะได้เป็นอานิสงส์ให้เพิ่มพูนปัญญาและเสริมพลังตบะในการบำเพ็ญธรรมในช่วงเข้าพรรษานี้แก่ผู้ที่ได้สดับฟังพร้อมกันด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ   พิมพ์เพชรรุ้ง

พ่อครูว่า..ก็มีเรื่องราวตำนานว่ากันมาว่าเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าไปโปรดพุทธมารดา จะบอกว่าเป็นบุคคลาธิษฐานเป็นเรื่องราวตัวตนบุคคลมีรูปร่างตำแหน่ง ก็เป็นเรื่องของ ธรรมาธิษฐานส่วนปุคคลาธิษฐานจริงๆมันไม่มีหรอก ไม่มีคืออะไร ฟังดีๆนะ

โดยสัจจะความจริงแล้ว คนที่ตายไปแล้วไม่ว่าใครทั้งนั้นจะเป็นพุทธมารดา เมื่อตายไปแล้วก็ไปรับวิบากตามจริง ก็พูดกันว่า พุทธมารดาไปอยู่ดาวดึงส์ก็สมมุติกันไป จะอยู่เทวดาชั้นไหนก็ตาม จะไปเป็นพรหมหรือสัตว์นรกก็เป็นเรื่องของวิบาก จิตวิญญาณของคนตายไปแล้วก็ไปรับวิบากทั้งสิ้น คือจิตวิญญาณจะไปจมอยู่ในอารมณ์ เหมือนคนนอนหลับแล้วร่างกายไม่ทำงานอะไร ไม่มีคำสั่งจากจิตให้ร่างกายทำงาน ก็จมในภพในภวังค์ 

จิตวิญญาณคนที่นอนหลับแม้นอนหลับก็ไม่เกี่ยวกับทวารทั้ง 5 ภายนอก แต่ยังมีปสาท ยังมีสิ่งเชื่อมโยงไม่ตัดขาด ยังมีความรู้สึกร่วม มีอาการร่วม ถ้ามีอะไรมาสัมผัสกระตุกแรงๆเสียงดังๆก็ออกมาสู่กามภพ หรือรับกระทบทางอื่นก็ตาม 

คนตายไปแล้วโดยสัจจะ ไม่เกี่ยวกับใคร มันเป็นอัตภาพ มันเป็นภพแห่งตนของตนเท่านั้น เหมือนนอนหลับ เราหลับอยู่ไม่เกี่ยวกับใครภายนอกเลย ถ้าเราไม่ออกจากภพมาก็ไม่รู้เลย แต่เดากันไปว่า จะมีโลกอีกโลกหนึ่งไปเจอกันที่นรกนั้น คิดเหมือนกับสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ไปเจอกัน อาตมาขอยืนยันว่าในฐานะที่อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามั่นใจเรื่องปรมัตถ์ ว่ามันไม่มีหรอก นรกใครนรกมัน เป็นอนุสัยของตน ที่จริงเพราะเป็นอนุสัยอาสวะ จิตที่ตกผลึกก้นบึ้งจิต มันจะเหมือนฝันแต่จริงยิ่งกว่า มันดิ้นรนในฝัน ฝันไปนรกฝันร้ายเราก็ดิ้นขนาดนั้น แต่ตายไปแล้วจริงๆ นรกมันจริงกว่านั้นหลายเท่ามาก อย่างเราทุกข์ในฝันเท่าหนึ่ง ตายไปจริงแล้วทุกข์ตกนรกในความจริงเป็น 10​เท่า บางคนหนักว่าตอนเป็นๆ ร้อยเท่า แล้วมันมีภาพเรื่องราวไหม ก็ฝันมันก็มีภาพมีเรื่องราว แต่โดยปรมัตถ์แล้วมันไม่มี ผู้ที่ล้างกิเลสแล้วไม่มีหรอกฝัน อย่างพระอรหันต์นี่ไม่มีฝัน 

ไม่ว่าจะสายปัญญาหรือเจโต แต่สายปัญญาจะมีนิมิตเยอะ เพราะรู้ว่าเรายังมีขันธ์ 5 มีการเชื่อมต่อกับสังคม ไม่ตายขาดไป ดีไม่ดีทำงานเครื่องติด มีนิมิตเรื่องราว แต่ไม่ได้เป็นฝันหรอก 

ส่วนสายเจโตจะมีทิฏฐิต่างหาก ไปเข้าใจว่าจิตต้องไม่คิดนึกว่านิโรธ จะไม่ค่อยฝัน ดับปี๋ไป ตายไปก็นึกว่าเราจะไปสู่ที่สงบก็ดับได้เท่าที่ดับ อย่างอาฬารดาบส แล้วก็จริงยิ่งกว่าตอนทำนิโรธฤาษีเป็นๆอีก แต่ตายไปจะอยู่ในภพเป็น เจ็ดร้อยเจ็ดพัน เจ็ดหมื่นปีเลย 

คนที่ตายไปไม่มีใครสอนใครได้ ไม่มีใครพบใครได้ ไม่มีเวลามาพบ มันเหมือนคุกแต่คนติดคุกเป็นๆยังไปเยี่ยมได้แต่นี่ตายไปไม่มีใครเยี่ยมได้เลย ...พ่อครู 6 ส.ค. 58

ทีนี้มาเข้าใจว่า มารดาคือใคร มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา มารดาหรือแม่คืออะไร อันนี้จริงในภพปัจจุบัน เข้าพรรษาพระพุทธเจ้าอยู่กับภิกษุอยู่กับหมู่ แล้วจะไปหามารดาในสวรรค์จะไปอย่างไร สัตตาหะไปหรือ? 

มารดาคือผู้ให้กำเนิด พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดพุทธศาสนา เมื่อท่านทำให้จิตคนเกิดเป็นโอปปาติกโยนิ เกิดทางจิตวิญญาณ ท่านก็เป็นมาตา คือสอนอย่างจู้จี้ สอนมากมาย แม่คือสงฆ์ทั้งหมด โดยมีพระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะเป็นแม่นม พระพุทธเจ้าก็โปรดแม่ โปรดภิกษุทั้งหมด ภิกษุทั้งหมดคือแม่ของศาสนาพุทธ แม่ทางจิตวิญญาณ ทำให้เกิดเป็นคนอาริยะ เป็นคนในพุทธศาสนาตลอดสามเดือนอย่างสำคัญ ไม่ไปไหน พรักพร้อม จะสอนต่อเนื่องเป็นกิจลักษณะ เหมือนว.นบ.ที่เรากำลังเรียนกัน ต่อเนื่องกันไปเป็นซีรีย์ สอนกันเต็มไม้เต็มมืออยู่ร่วมกันตลอดภรรษา จึงเป็นผู้ให้เกิดลูกทางพุทธธรรมอย่างมากมาย

ในตำนานยังมีบอกอีกว่าไปโปรดพุทธมารดาก็ต้องมาบอกพระอานนท์เสมอ และก็ยังบอกอีกว่า เมื่อโปรดพุทธมารดา พระสารีบุตรก็นั่งอยู่โคนเขาสิเนรุฟังเสมอ แล้วก็ถ้าพระพุทธเจ้าจะมาบอกพระอานนท์แล้วพระสารีบุตรแอบฟังอีก แต่พระสารีบุตรคือพุทธบุตรที่มีสาระธรรมก็จะเก็บรายละเอียดของธรรมะได้ทุกเม็ด เป็นภาษาธรรมลึกซึ้งมาก 

พระพุทธเจ้าเป็นพ่อและก็เป็นแม่ด้วย ก็ต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะแบบแม่กับแบบพ่อ หากเข้าใจแล้วก็จะจัดได้ถูกต้อง แต่หากเข้าใจเป็นปุคคลาธิษฐาน หากเล่าแล้วเกิดเพ่ิมกิเลสหรือสร้างความไม่เข้าใจอาตมาก็จะห้ามปรามด้วย ส่วนเรื่องใดให้ประโยชน์ทางธรรม ก็ไม่กระไรก็ผ่านไป แต่เรื่องใดร้ายเลวก็ต้องหยิบมาพูดกัน

พระมารดาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า พระนางสิริมหามายา  แปลว่าผู้มีความดีงามอันยิ่งใหญ่ของการเป็นมายา คำว่ามายาแปลว่าตัวแปลง ไม่ใช่ตัวจริง เป็นความซ้อน หากแปลไปในทางเสียหายก็เป็นผู้มีจริตหลอกลวง แต่ถ้าแปลเอาเนื้อหาสาระคือยังไม่สำเร็จเป็นตัวจริง แม่เป็นเพียงให้กำเนิดพระพุทธเจ้า สิริมหามายาคือผู้ที่จะมาให้กำเนิดตัวจริง แต่ท่านไม่ใช่ตัวจริง

_มี sms ของคุณ 0893867xxx ถ้าใช้ความเข้าใจแบบชาวบ้าน!อันที่จริงจิตที่คิดว่ามี ดวงแก้วไอ้ความคิดที่ว่ามี มันมาจากตรงไหน?ก็ตรง นั้นละคือจิตถูกไหม?
ตอบ...ประเด็นแรกถามว่า ที่เกิดเห็นดวงแก้วในภวังค์ อาตมาอธิบายมามากว่าเป็นมโนมยอัตตา ปั้นเอง สำเร็จด้วยจิต ของตนปั้นเอง แล้วคนสงสัยว่า ดวงแก้วคือได้เห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราเขาก็เลยเอารูปพระพุทธรูปแก้ว ให้เห็นว่าใส ให้เข้ากับลัทธิของตนเอง แล้วปั้นจนเห็นขึ้นมาในจิตก็ถือว่าบรรลุธรรมเลย ซึี่งเป็นเรื่องการสร้างอุปาทาน เป็นอุปาทานแท้ๆ

แล้วก็สร้างปั้นสวรรค์วิมาน โดยเฉพาะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็ปั้นมาเยอะ อย่างดวงแก้วที่ปั้นในสำนักธรรมกายเป็นเรื่องโกหก ขออภัยที่พูดตรง เป็นของสร้างมาไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้าเลย แล้วก็บอกว่าเห็นธรรมกายเสียอีก แล้วคำว่ากาย คำเดียวนี่เขาสัมมาทิฏฐิหรือยังเล่า 

ผู้สัมมาทิฏฐิอ่านองค์ประชุมรูปนามของตน เห็นสักกายะ เห็นรูปนามประชุมกันเป็นกาย หรือธาตุวิญญาณเป็นภาวรูปถูกรู้โดยผู้ปฏิบัติ ผู้สามารถอ่านรู้เป็นสักกายของตนเอง กายของตนเองเร่ิมเป็นธรรมกายแรกเลย เป็นโลกุตระข้อแรกเลยในโพธิปักขิยธรรม 37 เห็นกายในกายข้อต้นเลย เรียกว่ารู้จักจิตเจตสิก รูปนิพพาน รู้จักธรรมขั้นอภิที่เป็นกายแรกของพระพุทธเจ้า หรือเรียกว่าพรหมกาย หรือธรรมกายพระพุทธเจ้าก็ว่าคือเราตถาคต

เขาก็เอาคำสวยๆคำดีๆ คำโก้ๆมาเรียก แต่ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้าเลย เป็นของหลอกของเท็จที่สร้างมา สร้างสวรรค์วิมานมากมาย ตัวตนบุคคลเราเขาที่ปั้นเองมากมาย แล้วทำสะกดจิตให้มีขึ้นมาได้เลยอันนั้น ไม่ได้เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างพระอนุสาสนีย์ที่นำมาปฏิบัติจนเกิดธรรมะ

ธรรมะที่ปรุงแต่งกันที่ต้องรู้อันแรกคือสักกายะ โดยต้องรู้เรื่องกาย เป็นนามกายต้องอ่านอาการมันออก รู้ว่านิมิตอย่างนี้คือกาย แล้วอ่านอาการออกว่า อาการสุข ทุกข์เป็นอย่างไร สุขสมมุติเทพที่ปรุงอย่างโลกีย์ ที่เราต้องรู้ก่อน นี่แหละคือผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นธรรมกาย ไม่ใช่เห็นลูกแก้วลูกกลิ้งอะไรไม่ใช่ 

ตอนแรกท่านเจ้าคุณวัดปากน้ำ ทำลูกแก้วกลมๆ แล้วก็ให้ปั้นในจิต ต่อมาเขาก็ให้ปั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้าใสๆ อย่างที่เห็นในโทรทัศน์ แต่สองแบบของธรรมกาย ต่างคนต่างเห็น ว่าพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งหัวปุ้มอันหนึ่งหัวแหลมต่างคนต่างก็ว่าของตนจริงกว่าก็แตกคอกัน แยกเป็นสองวัดเลย


การรู้จักกาย อันเป็นตัวปฏิบัติตัวแรกในโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นเริื่องสำคัญ ที่จะปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมต่อไป ในสัมมัปปธาน 4 ก็เสริมกายพระพุทธเจ้า มีอิทธิบาทเป็นพลังอีกก็เสริมเกิดกายของพระพุทธเจ้า เกิดธรรมะทรงเป็นรูปนามสั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 จากหลักโพชฌงค์ 7 มรรคองค์ 8 สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ได้อุเบกขาฐาน อันเป็นฐานนิพพาน เกิดคุณธรรมโลกุตระ 9 คือบุคคล 8 และนิพพานอีก 1 ก็ครบ โลกุตระ 46  

ไม่ใช่ว่า ไปปั้นความใสแบบไม่สิ้นสุด อาภัสรา เอาสิ่งเหล่านี้มาตกแต่งลัทธิตน ขายอุปาทานกันไปค้าวิมานกันไป ขออภัยที่พูดนี้ ก็ต้องพูดเรื่องจริง หากพาไปหลงก็บาปเปล่าๆ แล้วอ่างพระพุทธเจ้าอีกบาปซ้ำซ้อน 

สรุปคือ ความคิดที่ว่ามีดวงแก้วมันมาจากไหนก็จากจิตตนปั้นมาเองทำเอง นิมมานรดี สร้างเองยินดีในสิ่งที่ตนสร้างจนสำเร็จ ถามว่าเป็นจิตไหมก็เป็นจิตที่มีมโนมยอัตตา 

_แล้วถามอีกว่าก็พ่อครูเคยกล่าวที่เป็นมโนกรรมอันเป็นประธานสำคัญเพราะจิตเป็นปธ.สิ่งทั้งป วงต้องเป็นสัมมาจิตที่ปรับสัมมาสังกัปปะลดละกามวิตกพยาบาทวิตกวิหิงสาวิตกได้จนเกิดกัมมโยนิถูกไหม

ตอบ..ก็ถูกต้อง ก็คือกรรมโยนิ กรรมพาเกิด สุกฎทุกตานังกัมมานังผลังวิปาโก เกิดทางจิตวิญญาณ ผู้ปฏิบัติถูกตามพระอนุสาสนีย์คือกำจัดสิ่งที่ไม่ใช่ของดีออกไป ลดออกไป ให้หายออกไปจนหมดไปจากจิต เรียกว่าดับไป สูญไป คือกาม พยาบาทและวิหิงสา ล้างให้เกลี้ยง เป็นพระโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ไปตามลำดับ

_ทีนี้ท่านสมณะบินก้าว สมณะอิทธิภาโว ชาวหินฟ้า
คำถาม... ความเข้าใจแบบนี้ หลวงพ่อเห็นเช่นไร ?
"....คนไหนฆ่าสัตว์คนนั้นก็บาป คนไหนสั่ง คนนั้นก็บาป ทั้งผู้ลงมือฆ่าและทั้งผู้สั่ง ถ้าหากว่าเราไม่สั่ง เขาฆ่ามาขาย กินเท่าไรเราก็ไม่บาป เพราะไม่เป็นบาป พระพุทธเจ้าจึงไม่ห้าม
ที่ไม่ห้ามเพราะว่าเขาฆ่าเป็นปกติอยู่แล้ว
....คำว่าบาปนี่แปลว่าชั่ว บุญแปลว่าดี ทำชั่วเรียกว่าบาป ทำดีเรียกว่าบุญ ทีนี้ชีวิตเขามีอยู่เราไปฆ่าเขา ชีวิตของเรา เราก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเขาฆ่า ถ้าเราไปฆ่าเขาเราก็เป็นคนชั่ว
....ฉะนั้น ถ้าเขาไปฆ่ามาแล้ว เราไปซื้อกิน อันนี้ไม่ชั่ว เพราะไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า...."
.*******************************
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
------------------------------------
ที่มาจาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม 2 หน้าที่ 34
ฉบับอินเตอร์เน็ต.... โดย....หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี


ตอบ....ก็เป็นความคิดที่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการฆ่าสัตว์หรือเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นบาปไม่เป็นบุญ ไม่ได้ชำระกิเลสเลย เป็นเรื่องหลงผิดเป็นอันมาก
พระพุทธเจ้าสอนองค์ 5 ของปาณาติบาต 
สัตว์มีชีวิต 
รู้ว่าสัตว์มีชีวิต 
เจตนาฆ่า 
ลงมือฆ่า 
สัตว์ตายลง
แรงมันยังรู้เลยว่า สัตว์มีชีวิตมันจะไม่กิน อาตมาเคยเห็นแร้งมารอเด็กที่กำลังจะตาย เหมือนตายนิ่งผอม แต่ไม่ตาย แร้งก็ไม่กิน จนกว่าคนจะตายหรือสัตว์จะตาย ตายเอง

แล้วยังมีอีกสูตรพระพุทธเจ้าตรัสว่าทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ 
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส 
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

ก็ชัดเจนในเรื่องของเจตนาที่จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระ ถวายพระพุทธเจ้า หรือสาวกตถาคต ไม่ได้กุศลได้บุญอะไรเลย 

อาตมาจะอ้างประเด็นเดียว ที่คุณอ้างว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ อาตมาบอกเลยว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์แม้แต่สาวกพระพุทธเจ้าส่วนมากไม่ฉันเนื้อสัตว์ แม้พระเทวทัตที่ว่าร้ายก็ยังไม่ฉันเนื้อสัตว์เลย แล้วจะให้มาออกกฎว่าไม่ให้ฉันเนื้อสัตว์เลย ท่านก็ไม่เอาไม่บังคับ 

จากสีหสูตร ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป ครั้งนั้นแล สีหเสนาบดีเรียกชายคนหนึ่ง
มาบอกว่า พ่อมหาจำเริญ พ่อจงไปหาเนื้อเลือกเอาเฉพาะที่ขายทั่วไป พอล่วงราตรีนั้น สีห
เสนาบดีสั่งให้จัดขาทนียโภชนียาหารอันประณีตไว้ในนิเวศน์ของตนแล้ว ให้ไปกราบทูลเวลาภัตตาหารแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้วพระเจ้าข้า ภัตตาหารในนิเวศน์
ของท่านสีหเสนาบดีสำเร็จแล้ว ฯ
     ครั้งนั้น ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จ
เข้าไปยังนิเวศน์ของสีหเสนาบดี ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ก็สมัยนั้น
 นิครนถ์เป็นจำนวนมาก พากันประคองแขนคร่ำครวญตามถนนต่างๆ ตามสี่แยกต่างๆ ในกรุง
เวสาลีว่า วันนี้ สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์อ้วนพีปรุงเป็นภัตตาหารถวายพระสมณโคดม พระสมณ
โคดมทั้งที่รู้ทรงฉันอุทิศมังสะที่เขาอาศัยตนทำ ฯ
     ลำดับนั้น บุรุษคนหนึ่งเข้าไปหาสีหเสนาบดีกระซิบบอกว่า พระเดชพระคุณได้โปรด
ทราบ นิครนถ์เป็นจำนวนมากเหล่านี้ พากันประคองแขนคร่ำครวญตามถนนต่างๆ ตามสี่แยก
ต่างๆ ในกรุงเวสาลีว่า วันนี้ สีหเสนาบดีฆ่าสัตว์อ้วนพีปรุงเป็นภัตตาหารถวายพระสมณโคดม
พระสมณโคดมทั้งที่รู้อยู่ทรงฉันอุทิศมังสะที่เขาอาศัยตนทำ ฯ
     สีหเสนาบดีกล่าวว่า อย่าเลย เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่พระคุณเจ้าเหล่านั้น ใคร่จะ
กล่าวโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ท่านเหล่านี้ไม่กระดากอายเสียเลย ย่อมกล่าวตู่พระ
ผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตไม่ ลำดับนั้น สีหเสนาบดีได้อังคาส
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วย
มือของตน และเมื่อพระผู้มีพระภาคฉันเสร็จแล้ว ชักพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว สีหเสนาบดี
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจง สีหเสนาบดีผู้นั่งเรียบร้อยแล้ว
 ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากที่นั่งหลีกไป ฯ

ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ พวกนิครนธ์จึงไปเดินประท้วงโพนทะนา เพื่อให้คนเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ จะได้ดิสเครดิตพระพุทธเจ้า แต่ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ จะไปตะโกนหาเสียงแบบนั้นทำไม 

แม้พระพุทธเจ้าห้ามการค้าไว้ 5 ประการ
1.    การค้าขายอาวุธ  (สัตถวณิชชา) 
2.    การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา) 
3.    การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา) 
4.    การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา) 
5.    การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา) 
(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177) 
นี่สำหรับฆราวาสนะ ท่านไม่สอนให้ค้าสัตว์ทั้งเป็นและตาย ก็คือท่านก็ไม่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์ ถ้าไม่มีใครขาย เราไม่ฆ่าเอง จะเอาสัตว์ที่ไหนมากิน ไม่ฆ่าไม่ขาย จึงเกิดปวัตมังสะ 2​อย่าง โอกาสที่พระจะฉันเนื้อสัตว์ได้ ก็ยังมีอยู่อีกประการคือ เนื้อสัตว์ที่เป็นของเหลือทิ้งแล้ว จากการถูกฆ่าตาย ด้วยสัตว์ ดิรัจฉานอื่นๆ

ดังนั้นหากชาวบ้านได้เนื้อเดนสัตว์ หรือเนื้อบังสุกุล(เนื้อทิ้งแล้ว)มา ย่อมสามารถนำมาทำเป็นอาหาร ถวายพระ ได้โดยปลอดภัย ไร้โทษบาปเวรใดๆ มิหนำซ้ำยังเป็นบุญกุศลอีกด้วย

เรื่องเบี้ยวบาลี มีอีก เขาว่า

พระพุทธองค์ตรัส (4)

"ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังทรงฉัน เนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้

ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า กล่าวตรงกับที่เรากล่าวก็หามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง

เรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ 3 ประการคือ
1. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้เห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
2. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
3. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้รังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

และเรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า ไม่ควรเป็นของบริโภค ด้วยเหตุ 3 ประการคือ
1. เนื้อสัตว์ที่ตนเห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
2. เนื้อสัตว์ที่ตนได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
3. เนื้อสัตว์ที่ตนรังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)
(พระไตรปิฎก เล่ม 13 "ชีวกสูตร" ข้อ 57)

แต่เขาเลี่ยงบาลีไปเป็นว่า ต้องเจาะจงว่า สัตว์ชื่อนี้มาให้พระรูปนี้คือการเจาะจง กินเนื้อสัตว์นั้นไม่ได้ เช่นต้องระบุว่า ไก่ตัวนี้ ฆ่าเพื่อคนๆนี้ ถือว่าเป็นอุทิสมังสะ อันนี้เบี้ยวบาลีชัดๆ

คนเราต่างคนต่างเกิดมาแล้วได้อัตภาพเป็นจิตนิยาม จะเกิดมาเพื่อเรียนรู้ล้างอัตตาของจิตวิญญาณ เพื่อเลิกละลายสูญไป ให้เป็นอัตภาพที่อย่างน้อยที่สุดก็ให้รับบาปรับเวร พระพุทธเจ้าค้นพบวิธีว่าแม้มีจิตวิญญาณก็อย่าให้ทำชั่วทำบาป จนไม่ทำบาปเลยสัพพปาปสอกรณัง แล้ว ทำกุศลให้ถึงพร้อม กุศลสูปสัมปาทา อรหันต์แล้วหยุดทำบาปทั้งปวง ถ้าจะมีกรรมกิริยาต่อไปมีแต่กุศลถ่ายเดียว แต่บุญไม่มีอีกแล้ว เพราะสจิตติปริโยทปนังแล้ว 

พระอรหันต์แล้วไม่เบียดเบียนสัตว์แล้วแน่ ไม่ต่อเชื้อให้เป็นวิบากกับสัตว์กับคนอีก เมื่อคุณไม่ทำบาปอีก ทำแต่กุศล เป็นพลังความดีก็จะเป็นกำแพงกั้นไม่ให้บาปหรือวิบากตามทัน บาปพระพุทธเจ้าให้หยุดทำ แต่อดีตทำไปแล้วถือว่าเป็นอันทำ แต่กรรมอันใดที่เป็นอนันตริยกรรมก็ยากที่จะไม่มาถึงเรามันมีแรงฤทธิ์มาก อย่าไปทำ แม้บาปแม้น้อยก็อย่าทำ บาปสั่งสมเป็นกิเลส อกุศลคือสิ่งไม่ดี อย่าไปก่อทั้งบาปและอกุศล ทำแต่ดี ดีนั้นเป็นโลกียะ แต่ปุญญะคือโลกุตรธรรม คือชำระกิเลส ไม่ใช่โลกียะ ส่วนกุศลเป็นโลกียะ เป็นสิ่งดีงามได้อาศัย เราไม่อาศัยบาป ต้องทำกำแพงกุศลกั้น จนกว่าเราจะปรินิพพาน ผู้เป็นอรหันต์วิบากบาปก็ตามมาได้ตามฐานะ อย่างพระโมคคัลลานะก็มีวิบากที่เคยฆ่าพ่อแม่ เลยถูกวิบากตามมาทัน ถูกฆ่าเลย 

พระพุทธเจ้าเองยังเหลือเศษซากมาถึงได้ ใครไม่หยุดบาปก็จะมีวิบากตามมาได้มาก พระพุทธเจ้าว่าต้องทำให้สัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา ต้องทำทานให้ได้บุญ ไม่ใช่ได้แต่กุศล เอาแต่กุศลไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ  ทานก็ได้แต่กิเลสหนา คือบาปนะ ถ้าเข้าใจกุศลกับบุญไม่ได้ ปฏิบัติบุญไม่ได้ก็จะวนเวียนไม่จบ ไม่มีทางบรรลุอาริยธรรม โลกุตรธรรม ถึงอรหันต์ได้หรอก ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงไม่ง่าย คัมภีรา ทุทสา ทุรนุโพธา

พระพุทธเจ้าว่าต้องทำคุณอันสมควรก่อนค่อยพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิจะยากที่จะมีโลกุตรธรรมหรือรักษาโลกุตรธรรมได้ พระพุทธเจ้าว่าไว้ ว่าต่อไปคนจะไม่ฟังโลกุตรธรรมที่ขัดเกลา แต่จะฟังแต่ธรรมะที่ประเล้าประโลมเอาใจไม่ขัดใจหรอก ไม่ฟังสัจธรรม

ธรรมะสัจจะ
ของพุทธศาสนา
1. สัจธรรม (เป็นธรรมที่เป็นความจริงแท้)
2. สัลเลขธรรม (มีความขัดเกลา)
3. นิยยานิกธรรม (พ้นทุกข์ได้จริง)
4. สันติธรรม (สงบ เรียบร้อย ราบรื่น ง่าย งาม)

คบหาแต่ผู้เป็นบัณฑิต ที่ตำหนิเก่งๆ พระพุทธเจ้าว่า อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม 
เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด 
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ 
(พุทธพจน์จาก พตปฎ.เล่ม 14  ข้อ 356) 

บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4 ประการ  เป็นบัณฑิตเฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ   ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ เป็นผู้หาโทษมิได้  ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียนและย่อมประสบบุญเป็นอันมาก  ธรรม 4 ประการ เป็นไฉน คือ...  
1. ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน  (นิคคัณเห นิคคหารหัง) .
2. ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว กล่าวสรรเสริญผู้ที่
ควรสรรเสริญ (ปัคคัณเห ปัคคหารหัง)
3.ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่ เลื่อมใสให้เกิด  ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส 
4.ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว  ยังความเลื่อมใส ให้เกิด  ในฐานะที่ควรเลื่อมใส  
ขตสูตร  พตปฏ.  เล่มที่ 13   ข้อที่ 3
เช่นไปเลื่อมใสคนรวยไม่ส่งเสริม ไปเลื่อมใสคนจนมักน้อยสันโดษ ส่งเสริม ไม่หลงสวรรค์ ที่เป็นข้อ 3 ของอนุปุพพิกถา 

คนที่ไปนิยมสวรรค์เป็นคนถูกหลอก คำว่าอสังสัคคะ คือเขาแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่อยู่แต่ผู้เดียว แต่ที่จริงคือ ไม่ประกอบด้วยสวรรค์(อสังสัคคะ) แม้อนุปุพพิกถาข้อ 4 ก็ไปยินดีกับกาม ที่แท้จริงมันคือโทษนะ คุณได้เสพกามคุณกามารมณ์ เป็นกามสุขขัลลิกะ แต่มันเป็นโทษไม่ได้เป็นคุณแก่ตน ถ้าไม่เข้าใจสวรรค์โลกีย์แล้วมาดับเหตุแห่งสวรรค์โลกีย์ที่เป็นเท็จ ที่จริงอสังสัคคะคือไม่คลุกคลีกับสิ่งที่ประกอบให้เกิดกิเลส   


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 14:58:39 )

580807

รายละเอียด

580807_ธรรมาธรรมะสงคราม อ.พรรณชฎา สัมภาษณ์เรื่องพรรคเพื่อฟ้าดิน

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 7 ส.ค. 58 แรม 8 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม ปี 8 เวลาตอนนี้ 18.08 น. วันนี้ก็มี ผศ.ดร.พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้ทุนวิจัยจาก ประเทศเยอรมัน ให้วิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ก็ทำวิจัย มากับ ลูกศิษย์ที่กำลังทำป.เอกด้วย  ก็จะมี นส.หนึ่งฟ้า นาวาบุญนิยมที่จะมาช่วยเสริมอีกด้วย เพราะเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นผู้ปฏิบัติจริงกว่าอาตมาแน่นอน 

ขอแนะนำ ดร.พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์ และหนึ่งฟ้า ก็มาพร้อม ที่จริง หนึ่งฟ้าก็เป็น ดร. แต่อาตมาก็จะไม่ได้ใส่ชื่อว่าดร.เท่าไหร่ ก็เป็นดร. ที่พวกเรานี่ เป็น ดร.กันหลายคนแต่พวกเราไม่ได้ออกชื่อนำหน้าเท่าไหร่  ทางโลกเขาใส่เป็นธรรมดา ชาวอโศกเราจะเป็นผู้ที่ไม่แสดงสิ่งเหล่านี้มากนัก

หนึ่งฟ้าว่า... ดิฉันได้รับการติดต่อจาก ดร.พรรณชฎา ผ่าน คุณติดดิน ว่าได้รับงบฯวิจัยจากประเทศเยอรมัน ทำวิจัยเกี่ยวกับพรรคการเมือง อ.ได้เลือกพรรคปชป.และไม่น่าเชื่อว่า อ.ได้เลือกพรรคเพื่อฟ้าดิน ก็จะมาทำเรื่องใดก็ให้อ.อธิบายต่อไป

พ่อครูว่า...ก็ดีนะสัมภาษณ์กันก่อนว่าทำไมเลือกพรรคเพื่อฟ้าดิน ที่เป็นพรรคเล็กๆ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร อาตมาเชื่อว่า ไปพูดที่สนามหลวงว่า พรรคเพื่อฟ้าดิน เป็นพรรคที่ตั้งมา10กว่าปีแล้วใครก็คงไม่เชื่อ

หนึ่งฟ้าว่า... ดิฉันก็คิดว่าพรรคเพื่อฟ้าดิน น่าสนใจแน่นอน และไม่เหมือนใครในโลก อาจารย์ต้องเตรียมคำถามมาทุกแง่มุม เราก็จะพยายามตอบคำถาม พรรคการเมืองเป็นเพียงนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมาย เรามีนิติบุคคลมากหลายอัน แต่สิ่งที่เราทำเหมือนกันคือ กิจกรรมของชุมชน บ้าน วัด โรงเรียน แล้วอาจารย์ก็ว่าจะมาคุยที่สันติอโศกได้ไหม ดิฉันก็ว่าไม่ได้ เพราะที่สันติฯ เป็นเพียง office เป็นเมือง จะไปที่ปฐมอโศกก็ไม่สมบูรณ์ ก็เลยแนะนำให้อาจารย์มาที่นี่บ้านราชฯ

อ.พรรณชฎาว่า... ดิฉันเองส่วนใหญ่ที่มหิดลก็เรียกดิฉันว่า อ.อาร์ท ดิฉันทำงานด้านการเมือง จบ.ตรี  โท เอกมาทางรัฐศาสตร์มาตลอด พรรคเพื่อฟ้าดิน ดิฉันได้ยินชื่อมานานแล้วตั้งแต่ทำวิทยานิพนธ์เล่มแรกตอน 10 ปีก่อน ตอนนั้นทำเรื่องสาขาพรรค ตอนนั้นเน้นพรรคปชป. แล้วก็ได้ศึกษาสาขาของพรรคเพื่อฟ้าดิน ดิฉันได้หาข้อมูลไม่เคยเห็นวิจัยที่ได้ทำเรื่องพรรคเพื่อฟ้าดิน ไปที่ต่างประเทศเขาก็ว่า ทำไมมีแต่วิจัยพรรคใหญ่ไม่มีวิจัยพรรคเล็กๆบ้าง ก็เลยได้คิดถึงพรรคเพื่อฟ้าดิน 

ผลการวิจัยนี้ ได้รับทุนจากเยอรมัน จะต้องทำเป็นภาษาอังกฤษ หลังจากเสร็จแล้วก็จะแปลเป็นภาษาไทยด้วย เปรียบเทียบกับพรรคปชป.แล้วพรรคเพื่อฟ้าดินมีความเหมือนหรือต่างกัน แต่จะนำเสนอที่ต่างประเทศเป็นหลัก ก็น่าจะมีโอกาสได้นำเรื่องของพรรคเพื่อฟ้าดิน ไปนำเสนอในนานาชาติ 

หนึ่งฟ้าว่า...อ.พรรณชฎาตั้งใจจะมาอยู่เพื่อหาข้อมูลสัมภาษณ์ให้ได้มากที่สุด ในเวลาอันสั้นที่สุด สิ่งที่ดิฉันได้กระทำคือ ให้เอกสารอ่านข้อมูลอย่างเดียวเลย 
 
จากหนังสือที่อ่านมา ก็ได้สกัดคำถามมาให้พ่อครูได้ตอบ เป็นแนวคิดการเมืองชาวอโศก

อ.พรรณชฎาว่า...คำถามแรก คือ เหตุใดแนวคิดใดที่นำมาซึ่งการก่อตั้งพรรคเพื่อฟ้าดินเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ปีที่ก่อตั้งจริงๆคือปีที่เท่าไหร่

พ่อครูว่า...เราไม่เคยคิดตั้งพรรคการเมือง เพราะในความเข้าใจความรู้ของอาตมา ว่า การบังคับให้ตั้งพรรคโดยนิตินัย มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยแท้จริง ไม่ใช่อิสรเสรีภาพมันมีการบังคับ อาตมาก็ไม่สนใจเท่าไหร่ แต่ต่อมาก็มีคนเอาชื่อพรรคที่กำลังดำเนินการจัดตั้งก็จะให้ตั้งพรรค ต้องการสมาชิก ห้าพันคน เขาหาไม่ได้ เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะหมดอายุ ผู้ที่ตั้งพรรคนี้เขาตั้งชื่อว่าพรรคสหกรณ์ ผู้เดินเรื่องทำงานคือ ร้อยตำรวจเอก ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ก็มายัดเยียดให้ชาวอโศก เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นผู้ที่ทำตามอุดมการณ์เขาได้ อาตมาก็หาได้สมาชิกห้าพันคน เราทำได้ แต่เขาทำไม่ทัน เขาก็เป็นสมาชิกคนที่ 1 เลยของพรรคสหกรณ์ ตั้งมาแล้วเสร็จ ทางสมาพันธ์สหกรณ์ก็ว่าเอาชื่อสหกรณ์ไปตั้งพรรคไม่ได้ ก็ท้วงเรามา เราก็เลยคิดชื่อใหม่ คัดเลือกได้ชื่อ สองชื่อคือ บุญนิยมกับ เพื่อฟ้าดิน ตัดสินออกมาก็ได้ พรรคเพื่อฟ้าดิน หลายคนบอกว่าออกมาจากหนังกำลังภายในเลย 

เรื่องแนวทาง อาตมาก็เลยมาคุยกัน พวกเราก็ตั้งคณะกรรมการชาวอโศก คุยกันไปก็ร่างระเบียบพรรค ได้แนวคิดแบบบุญนิยม คือแบบที่จะต้องเกี่ยวกับธรรมะ การเมืองกับธรรมะนั้น แนวคิดอาตมาคือ ธรรมะกับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน ธรรมะเป็นเรื่องทำเพื่อประชาชน การเมืองก็เป็นเรื่องทำเพื่อประชาชน แล้วก็ต้องทำงานร่วมกัน อาตมาก็รู้ว่าเขาไม่ให้ทำร่วมกัน แยกกัน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผิด ซวยมาก ที่แยกธรรมะกับการเมือง

ถ้าจะแยกก็คือ ว่าถ้าใครก็ตามที่อยู่ในสายธรรมะ หากไม่มีคุณธรรมจริงก็อย่ามาทำงานการเมืองเลย เพราะจะกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมือง ถ้าไม่มีคุณธรรมที่จะทานอำนาจนักการเมืองได้ ก็เป็นลิ่วล้อนักการเมืองแน่ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า

หัวใจของธรรมะพระพุทธเจ้า หัวใจศาสนาพุทธคือ เพื่อประชาชน คำเดียว ผู้ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธศาสนา จะมีจิตใจ จิตวิญญาณ การกระทำทำเพื่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้ 

เขาก็ทำตราสารพรรค ระเบียบพรรค เป็นแนวทางของบุญนิยมทั้งนั้น

อ.พรรณชฎาว่า..บุญนิยมกับแนวทางประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอย่างไร

พ่อครูว่า...เกี่ยวข้องกันอย่างสนิทแนบเป็นอันเดียวกันเลย ขยายความแปลคำว่าบุญ 

คำว่าบุญในศาสนาพุทธ คนเข้าใจผิด เป็นอวิชชา มิจฉาทิฏฐิไปเลย บุญแปลว่า อุปกรณ์ เครื่องมือชำระกิเลส (สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ) เป็นคำแปลรากศัพท์เดิม เป็นภาษาบาลี ซึ่ง สันตานัง คือกิเลสในสันดาน ปุนาติ คือการชำระ วิโสเทติ คือให้สะอาดหมดจน ได้ความว่า ชำระกิเลสจากสันดานให้หมดจด แต่เดี๋ยวนี้เอาคำว่าบุญไปใช้เสียหมด ทั้งที่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องดีมากแต่เพราะคนละกิเลสไม่ได้ ก็เลยทำให้สังคมเลวร้าย คำว่าบุญละกิเลสได้จึงยิ่งใหญ่ เขาก็เลยเอาคำว่าบุญมาใช้ไปเรื่อย

ฉันเดียวกับคำว่าฉลาดกับเฉโก รากศัพท์คำว่าฉลาดคือ ฉลาดทางปัญญา แต่เขาเอาไปใช้ผิดหมด คำว่าฉลาดทางปัญญานั้นยิ่งใหญ่ แต่ก็เอาไปใช้เป็นคำที่ฉลาดเฉโกไปได้เสียอีก เช่นเดียวกับคำว่าบุญ เอาไปใช้หลอกคน ปนกับคำว่ากุศล 

เรื่องบุญ ก็ขอสรุปสั้นๆว่า เมื่อใช้คำว่าบุญนี้ผิดก็เสียคุณค่า แต่อาตมาก็มาสอนให้ใช้ได้ถูก จนได้บุญกัน บุญนี่ชำระกิเลส เมื่อกิเลสเป็น 0 ก็หมดบุญ ไม่ต้องใช้บุญ เพราะการละกิเลสในศาสนาพุทธนั้นถาวรยั่งยืน ก็โยนเครื่องมือทิ้งได้ เช่นจบอรหันต์แล้วก็ทิ้งเครื่องมือ ไม่ต้องทำบุญทำบาป เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป มีหลักฐานในภาษาบาลีคือ ปุญญปาปปริกขีโณ คือผู้หมดบุญหมดบาป 

เมื่ออาตมาเอาคำว่าบุญมาปฏิบัติถูก ก็เกิดคนที่ชำระกิเลสได้ มารวมกันเป็นชาวอโศก อาตมาก็ขอพูด  พรรคการเมืองที่ถูกต้องแท้จริงที่สุดคือ พรรคการเมืองที่เกิดโดยธรรมชาติ ไม่ต้องวุ่นวายทางนิตินัย เช่น พรรคดีโมแครต หรือพรรค รีพับริกัน ของอเมริกา เขาก็ไม่ได้มีการบังคับนิตินัย จดทะเบียน หรือแม้แต่อังกฤษก็ไม่มีพรรคที่จะจดทะเบียน ไม่มีเขียนรัฐธรรมนูญ 

ชาวอโศก โดยตัวเองเป็นพรรคการเมืองอยู่แล้ว แล้วพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดตามธรรมชาติ เป็นพรรคการเมืองแท้ๆ ส่วนพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือ พรรคประชาชนไทย ที่มีในหลวงเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ต้องจดทะเบียนแล้วเป็นโดยจิตวิญญาณมีสมาชิกมากที่สุด แล้วยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าพรรคอโศก เลือกเมื่อไหร่ก็ถาวร นิรันดร โดยไม่ต้องหาเสียง เป็นต้น

หากเข้าใจนัยะนี้ที่อาตมาอธิบายซ้อน ที่ต้องขอพระบรมราชานุญาติที่เอาพระนามท่านมาอธิบายเป็นความรู้สัจจะ

สรุปพรรคบุญนิยมคือ พรรคที่มีสมาชิกพรรค เป็นคนชำระกิเลสมารวมกันเป็นพรรค

หนึ่งฟ้าว่า... ตอนนี้พ่อครูกำลังสอนเรื่องหมวดธรรม ที่เชื่อมทางโลกกับทางธรรม มุมมองทางโลกกับทางธรรม
1.ความเข้าใจ สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ ในชาวพุทธมีทิฏฐิว่าจะลดกิเลสเป็นหลัก แต่ทางโลกเขาสร้างพอกเพ่ิมลาภยศสรรเสริญให้กับตนเอง เป็นการไปคนละทิศทางกัน ชาวบุญนิยมว่าขอให้ลดละกิเลสมากขึ้น จะได้ลดตัวตนได้มีเวลาทำงานช่วยคนอื่น แต่ว่าชาวโลกก็จะนิยามว่าเจริญคือได้ลาภ ยศสรรเสริญสุข ก็ไปกันคนละทางกัน 
2.การกำหนดความหมายของความเข้าใจทางการเมืองของคำว่าประชาธิปไตย คำว่าอำนาจ คำว่าเจริญรุ่งเรืองความสุขของปชช
3.คนที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคก็จะมาลดละกิเลสเป็นหลัก การจะลดกิเลสได้ต้องรู้จักกิเลส ต่างกันชาวโลกที่เพ่ิมกิเลสเป็นหลัก

พ่อครูว่า...ที่หนึ่งฟ้าพูดมาก็ได้ชัดเจนในความแตกต่าง ในประชาชนที่ไม่สามารถเข้าใจบุญนิยมได้ 

คำว่าบุญนิยมนี้อาตมาตั้งขึ้นมาเอง เจตนาให้ล้อเลียนกับคำว่า ทุนนิยม โดยตรงเลย เพราะทุนนิยมพอกเพ่ิมแต่กิเลส อย่างที่หนึ่งฟ้าพูด แต่บุญนิยมนี่ตรงกันข้ามเลย 180 องศา 

แต่ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติธรรมของพุทธ หมดพฤติกรรม หมดความรู้ที่จะทำงานให้สังคม แต่จะทำงานได้ดีขึ้น เพราะลดความเห็นแก่ตัวลงได้ แต่จะทำงานอย่างดี อย่างสุภาพ ก่อความสงบอบอุ่นได้อย่างแท้จริงเลย 

ทุนนิยมกับบุญนิยม ฟังแล้วเหมือนคนละตระกูล คนละขั้วเลย แต่จริงๆ แล้ว บุญนิยมกับทุนนิยมไม่ได้ขัดแย้งกันเลย ทุนนิยมต้องการได้มาก บุญนิยมต้องการสละก็ไปด้วยกันได้ไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย ทุนนิยมมุ่งไปรวย บุญนิยมมุ่งมาจน ไม่ได้ขัดแย้งเลย เรามาลดโลกีย์ แต่ไม่ได้หมายความไม่ขยันพากเพียรสร้างสรร รับใช้สังคม ไม่ใช่ แต่ยิ่งทำได้ดีไม่แย่งชิงด้วย

อ.พรรณชฎาว่า...ถ้าจะเอาบุญนิยมมาใช้กับรัฐศาสตร์ปัจจุบัน จะแตกต่างกันไหม

พ่อครูว่า..อาตมาฟังว่าเขาสอนรัฐศาสตร์ว่า การเมืองคือการแสวงหาอำนาจ อาตมาก็ว่าเวรแท้ๆ ความเห็นของนักรัฐศาสตร์หากเห็นว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ มันกลับทิศ 180 องศากับบุญนิยม แล้วเป็นความเห็นที่เป็นภัยต่อรัฐศาสตร์อย่างยิ่งเลยเป็นความเห็นอวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่งเลย

อาตมาแม้ไม่ได้ศึกษาวิชารัฐศาสตร์แต่เขาเรียนกันมาว่า รัฐศาสตร์คือการแสวงหาอำนาจการปกครอง 

พ่อครูว่า..แท้จริงไม่ได้แสวงหาอำนาจ แต่มีพลังทำงานรับใช้ประชาชนได้สูง แข็งแรง แล้วคนก็ยอมให้เขามีอำนาจ ยอมให้นักการเมืองผู้ซื่อสัตย์ เสียสละมีอำนาจ อย่างประชาชนยกให้เองเลย ยิ่งเป็นนักธรรมะ คนจะยิ่งยกให้อย่างอ่อนน้อม คนได้อำนาจก็ยิ่งอ่อนน้อมไม่ใช่ได้อำนาจแล้วเบ่งขี้แตกเลย ทิฏฐิมันคนละเรื่องกันเลย

อ.พรรณชฎาว่า...แนวคิดก็จะต่างกันสิ้นเชิงเลย ... อย่างหนึ่งที่จะได้เห็นท่านพูดว่า เวลาทำงานการเมืองอย่าเสนอตัวเอง แต่ก็ให้ทำความดีให้มากจนกว่าคนจะเห็นเอง แล้วเชิญเราไปทำงาน คำถามก็ว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ระยะเวลาทำงานทำดีอาจใช้เวลายาวนานมาก ช่วงเวลาที่หายไปก็อาจเสียประโยชน์ แทนที่เราจะได้ไปช่วยบ้านเมือง ถ้าจะทำอย่างไร ให้คนเห็นความดีเรา แล้วให้คนมาปฏิบัติตามได้

พ่อครูว่า...คนโลกๆจะคิดเช่นนี้ นักธรรมะเข้าใจว่าต้องการเร็ว กลัวจะเสียโอกาส แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่รอได้ ท่านว่ากิเลสล้ำหน้า คืออยากได้เกิดผลเร็วตามที่อยาก แต่ศาสนาพุทธสอนให้ทำเหตุปัจจัยให้ครบก็จะเกิดผลได้ ไม่ต้องเอาตัณหาความอยากมาใช้เลย เข้าใจเจตนาชัดว่า ถ้าเรามี 1 แล้วสร้าง 1 อีกอันก็จะเป็นสองโดยไม่ต้องอยากได้ 2 เลย เราต้องรู้ว่าเรามี 1 หรือไม่ ตั้งใจสร้าง 1 ให้เป็นทุน แล้วก็สร้างอีก 1 ก็จะได้สองเอง เป็นวิธีที่วิเศษสุด แล้วจะเร็วที่สุดด้วย 

สังคมทุกวันนี้เขาร่างโครงการเสร็จก็จะมีคาดว่าผลจะได้ ในอีกกี่ปี ก็เอาผลมาเป็นตัวตั้งบีบรัดตัวเองให้ทำ แต่ก็จะไม่ได้ตามที่คิดตามลูกคิดรางแก้ว หรือเดินบนพรหมกุหลาบ แต่ในที่สุด 5 ปี ผลก็ไม่ได้จริงก็เลยโมเมเขียนผลไปเกินจริง นี่คือการทำงานของทางโลกของสังคม ที่เป็นความล้มเหลว สรุปคือเราไม่ต้องอยาก แต่ศึกษาวิธีปฏิบัติรู้เนื้อแท้ว่าเราต้องทำอะไร แล้วทำไปจะได้ผลเอง 

ทุกวันนี้ชาวอโศกหรือพรรคเพื่อฟ้าดิน ทำงานเพื่อประชาชนตลอดเวลา เราจะทำการเมืองภาคประชาชน ไปอีกนาน ไม่ขอไปทำการเมืองในสภา แต่ก่อนเราจะไม่สมัครสส.จนกว่าประชาชนจะมาขอให้เราลงสมัคร เช่น หมู่บ้านนี้ คนจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน คนประมาณเป็นส่วนมากก็ไปขอให้คนนี้ไปลงสมัคร ไม่ใช่ไปขอสมัครเอง แล้วหาเสียงไป มันปลอมทั้งนั้นเลย ไม่จริง วิธีคิดอาตมาคิดเห็นเช่นนี้ จึงเรียกว่าเนื้อแท้ประชาธิปไตย เราก็ทำงานให้ประชาชน เรารู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร สรุปก็คือการเมืองคืออะไร งานการเมืองคืออะไร อันนี้อาตมามั่นใจว่า คำว่างานการเมืองอันเดียว หากเข้าใจผิด คอมมิวนิสต์ เผด็จการ หรือประชาธิปไตยก็ผิด เพราะตนเองอวดอ้างว่าทำเพื่อประชาชนเป็นหลัก คอมมิวนิสต์หรือเผด็จการหรือประชาธิปไตยก็ไม่กล้าพูดว่าทำเพื่อประชาชน แต่ก่อนนี้ผู้ปกครองเขาทำงานเพื่อประชาชนจริง เสียสละชีวิตเลือดเนื้อเพื่อประชาชนจริงคือการทำงานการเมือง คือประชาธิปไตยแท้จริง  แต่ถ้าแม้ชื่อว่าประชาธิปไตยแต่ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ....

เราอยู่หมู่บ้านราชธานีอโศก เราก็ทำงานการเมืองเพื่อประชาชน เช่น สาธารณูปโภคของชาวบ้านใกล้เรือนเคียงมีปัญหา เราก็ทำให้ เราก็ไปช่วยเขา ไม่ได้อาศัยเงินจากรัฐบาลด้วยซ้ำ เราก็ช่วยเขา นี่คือทำงานการเมืองอย่างแท้จริง 

ทำไมชาวอโศกถึงไปยุ่งอะไรกับการเมืองเขา เช่นออกไปร่วมชุมนุมประท้วงเหมือนเล่นการเมือง แต่อาตมาบอกว่าเราไม่เล่นการเมือง แต่เราทำจริง เอาชีวิตจริงไปทำ 

อาตมาเห็นว่าเราน่าจะได้ไปทำเพื่อประชาชน เรามีสมาชิกที่มีกำลังปัญญาในการไป ไม่ได้ทำเพื่ออยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อาตมาว่าเราไปชุมนุมเป็นพฤติกรรมการประท้วงแบบใหม่ เป็นการทำลายสถิติโลกนะ ยืนหยัดยืนยัน สามร้อยกว่าวัน อาตมาตั้งใจให้เป็นการประท้วงอย่างวิเศษ เข้าประเด็น ประนีประนอมไม่รุนแรง แต่ใครมาทำรุนแรงเราเสียหายเราก็ยอมได้ เราเจ็บก็เจ็บ ตายก็ตาย ของเราก็มีตาย มีอ้อย_ดินตะวันตายตอนชุมนุม ที่ราชดำเนิน เราก็ไม่ได้ไปประท้วงวุ่นวาย บาดเจ็บก็รักษากันไป เราสมัครใจ 

เราออกไปเพราะมีมวลพอและมวลเข้าใจ แล้วก็เพราะว่าถึงกาละที่ควรไปช่วย แล้วประการที่สามคือ เราเข้าใจว่าการเมืองคืออะไร เราไปประท้วงอย่างไร เราก็เข้าใจ ว่าต้องไปอย่างไร เอามาศึกษาได้เลย มีการบันทึกไว้หมด ว่าเนื้อของชาวอโศกเป็นอย่างไรแท้ๆ เราทำตามปัญญาที่เรารู้ ว่าประชาธิปไตยคืออย่างไร

อ.พรรณชฎาว่า..สมาชิกพรรค ตั้งแต่เริ่มตั้งพรรคก็ดูจะต่อเนื่องมาตลอดเวลา ทำไมสมาชิกพรรคถึงอยู่ได้ต่อเนื่องยาวนาน แล้วมีสมาชิกเพ่ิมขึ้นด้วย

พ่อครูว่า...เป็นคุณธรรมแท้ของคนที่มาปฏิบัติธรรมแล้วชำระกิเลสได้ อย่างเป็นของจริง เป็นเรื่องจริงที่ว่าคนมาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าจะมีปัญญารู้ว่าอันนี้คืออะไร เรามาร่วมทำอะไร เรากำลังทำอะไรที่เรากำลังทำนี้เพื่ออะไร เป็นประโยชน์ดีสมควรอย่างไร สรุปคือมีปัญญารู้ว่าเราทำเพื่ออะไรอย่างไร
สัจจะที่เรามีในแต่ละตัวบุคคล มีตามเนื้อแท้ธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็เป็นมวลของพุทธบริษัทจริงๆ คืออุบาสก อุบาสิกาแท้ที่เป็นอาริยบุคคล มีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ (พุทธบริษัทคืออาริยบุคคล) แต่พุทธมามากะคือ ผู้ศรัทธาเลื่อมใสจะมาขอเข้ารีต ส่วนพุทธศาสนิกชนคือ เป็นพุทธแต่ยี่ห้อ ทำอย่าง สีลัพพตุปาทาน สีลัพพตปรามาส 

พวกเรามีแต่พุทธบริษัท เห็นว่าเรามีมวลพอ คุณภาพพอ ก็เลยออกไปทำงานการเมืองคืองานเพื่อประชาชน อย่างที่พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เปิดตัวตั้งแต่พศ.2549 จนประกาศเลย เวลาใดเหมาะควรที่จะออกไป ชาวอโศกก็จะออกไปชุมนุมประท้วงอีกจริงๆ 

อ.พรรณชฎาว่า...ได้อ่านหนังสือ คำว่าการเมืองใหม่คำนี้คืออย่างไรในนิยามของพ่อครู ที่เขาร่างรัฐธรรมนูญ จะนำไปใช้อย่างไรได้นะ

พ่อครูว่า..ที่อาตมาใช้ภาษานี้ในหนังสือ ว่าเราไปประท้วงแบบใหม่ ก็เลยอธิบายแบบใหม่นี้หลายนัยะ อาตมาก็เห็นว่า การเมืองตามความหมายของอาตมา ได้นิยามไว้แต่ก่อนประท้วง อาตมาก็มีนิยามคำว่าการเมืองใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ ที่จริงพระพุทธเจ้าเป็นนักการเมืองเบอร์ 1 เป็นเผด็จการแท้ๆ ออกกฎ ออกวินัยเองหมด นี่คือนักเผด็จการเบอร์หนึ่งในโลก ทำเพื่อประชาชนอย่างไร้อคติเลย เป็นนักคอมมิวนิสต์เบอร์หนึ่งเลย มีคณะบริหารของท่าน เป็นประชาธิปไตยด้วย ท่านไม่เคยตั้งผู้ใดหรือคณะใดเป็นใหญ่ถาวร แต่ทุกอย่างจะเกิดโดยเหตุปัจจัย เช่นครั้งนี้มีพระสงฆ์ 20 รูป ในสังฆกรรมครั้งนี้ หรือกิจครั้งใดต้องการสงฆ์ตั้งแต่กี่รูปก็เลือกกันไปทำ แล้วก็ใช้หลักนี้ไว้โดยไม่ระบุบุคคล เอาผู้เหมาะสมตามเหตุการณ์ นี่คือหลักประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ที่ประชาธิปไตยของโลกอยู่ห่างไกลมากเลย

การเมืองใหม่ ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ 
งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล
นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น)  ไม่ใช่หลอกประชาชนให้โง่ๆจะได้ปกครองง่ายๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ
นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน  
งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ 
นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4) 
นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน 

อ.พรรณชฎาถามเกี่ยวกับเงินเดือน

พ่อครูว่า...อย่างหนึ่งฟ้านี่ ทำงานฟรี ไม่มีรายได้ ไม่มีเงินเดือน

อ.พรรณชฎาว่า... ทั้ง 10 ข้อนี้ข้อไหนจะนำไปใช้

พ่อครูว่า..ทั้ง 10 ข้อนี้อาตมาว่ายื่นเข้าไปถูก reject หมด อาตมาก็ว่าต้องทำงานไป ใช้เวลา อาตมาจะต่ออายุตนเองให้ถึง 151 ปีเพื่อพิสูจน์ผล พวกเราก็มาช่วยกันโดยไม่มีการจ้างเลย อาตมาสร้างคน ให้รับการศึกษาผึกปรือ เป็นคนชนิดนี้ของสังคมประเทศ โดยอาตมาสร้างตลอดเวลา นักเรียนนักศึกษาที่อาตมาพาทำไม่มีกำหนดเวลา ได้ผลบรรลุธรรมตลอดเวลาได้ผลก็ไปทำงานการเมืองอย่าง ที่มี อย่างแท้จริง ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ก็ไม่จริง อาตมาก็มีมวลที่จะไปทำกิจ ในที่ไม่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ แม้กฎหมายบางข้อลิดรอนสิทธิ์ เราก็ต้องยอม แม้เราจะรู้ว่าเราไม่ผิด แต่เราไม่มีอำนาจแก้ไขกฏหมายเราก็ทำตามไม่ผิดกฎหมาย

อ.พรรณชฎาว่า...พรรคเพื่อฟ้าดินเป็นพรรคเล็กที่อยู่ได้ยาวนานมา 
พ่อครูว่า..ตอนนี้อยู่ในลำดับ 7 แล้ว

อ.พรรณชฎาว่า... ทำอย่างไรถึงอยู่ยืนยงยาวนา
พ่อครูว่า...อาตมามั่นใจว่าพรรคเพื่อฟ้าดินจะอยู่ยาวนาน 15 ปีที่ตั้งมา ตั้งแต่ลำดับ 40 กว่าตอนนี้มาอยู่ลำดับ 7 แล้วแต่ต่อไปจะอยู่เบอร์ 1 แน่ และก็จะเป็นพรรคเล็กๆ แต่แน่นเป็นปึกแผ่นทำงานจริง อย่างที่คุณเห็นว่าไม่แตกแยก เสถียร ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะคงทนต่อการพิสูจน์ เราก็จะให้ความรู้ความจริงต่อมวลประชาชนไป 
1.โลกต้องการคนชนิดนี้ไหม อย่างคุณภาพที่เราว่า แม้ไม่ดีเด่นอะไรก็ต้องการใช่ไหม แน่นอนไม่ล้มง่ายๆหรอก โลกทุกวันนี้มีปัญญารู้กัน ประชาธิปไตยนี้จะสากลทั่วโลกต้องการแบบนี้ จะยั่งยืน ขอให้เราเป็นจริงได้จริง ก็ไม่เห็นว่าตราบใดที่อาตมาทำเนื้อแท้ได้ แม้ชื่อระบอบจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ตาม บุญนิยมนี้จะอยู่ได้หรือสมมุติว่าเป็นเผด็จการเลย หรือเป็นประธานาธิบดี หรือสมบูรณายาสิทธิราช อโศกจะอยู่ได้ถาวรยั่งยืน เพราะไม่เป็นภัยต่อใคร บุญนิยมไม่เป็นภัยต่อทุนนิยม มันคนละตระกูล แต่ไม่ค้านแย้งกัน สอดคล้องกันช่วยกัน เราช่วยเขาจะอยู่ได้ยั่งยืน

อย่างไปชุมนุมเราไม่ได้ทำร้ายใครเลย ไม่ได้ไปแย่งอำนาจด้วย แต่เราไประงับสิ่งที่เขาต้องการ แล้วความต้องการของเขา เราเห็นว่าเป็นเรื่องผิด ไม่เคยพอ คนมีปัญญาจะรู้ว่าเราทำสิ่งถูก เขาก็ทำร้ายเรายาก เขามีguilty อยู่นะ สิ่งนี้ลึกซึ้ง เช่นที่อาตมาพูด อาตมาไปชุมนุม แล้วเกิดเหตุการณ์สองครั้งที่ เอาความสงบ สยบความเคลื่อนไหว เอาความสงบ สยบความรุนแรง เราไปทำ ไม่ได้ต้องการโลกธรรมหรืออำนาจโลกๆ แล้วตอนนี้เขาแตกแยกกัน พันธมิตรอยู่มัฆวาน ส่วนเราอยู่ชไมยมรุเชษฎ์ เหมือนคนละส่วน พันธมิตรก็มีพฤติกรรมพันธมิตร ของเราก็มีมวลที่แน่นอน แล้วเขาก็จะเอาความรุนแรงมาปราบปรามโดยผู้การแต้ม เอาพลตำรวจมาพร้อมอาวุธ พอตีสองก็มา อาตมาก็พากันลงนั่ง สมณะ สิกขมาต นั่งอยู่หน้าเลย นั่งสงบ ประนมมือ ตำรวจก็มาพรึ่บเป็นแผงเลย เขาคงวางแผนไว้หมด ว่าจะจัดการอย่างไร เราก็มีแต่นั่งสมาธิ สวดมนต์ เสร็จแล้วปรากฏว่าคณะจะมาปราบเรา พอฟ้าสางหน่อย เขาก็ควักห่อข้าวออกมากิน กินเสร็จก็เดินทางกลับไป นี่คือครั้งแรกที่อาตมาถือว่า เอาความสงบ สยบความรุนแรง เขามีกำลังทำลายแต่ไม่ได้ทำ แล้วเขาไม่ได้มากวาดล้างพันธมิตร แต่มากวาดล้างเรา แต่มาแพ้ความสงบ แต่ถ้าไปทางพันธมิตรรับรองว่าได้ลุยแน่ 

ครั้งที่ 2 วันที่ 18 ก.พ. 57 ที่ผ่านฟ้า อาตมาเห็นเขายิงกัน อาตมาก็อยู่บนเวที อาตมาก็ไปพูดให้เขาสงบ ไม่โต้ตอบ เอาความสงบ จริงใจ เขามุ่งมั่นว่าต้องปราบให้เรียบร้อย เหตุการณ์ร้ายแรงมาก ต้องการจัดการเด็ดขาดเลย จะทำลาย ยิงตูมตามๆ ยิงจริง แต่พวกเราไม่ได้ทำร้ายเขา พวกเรามีแต่นั่งประนมมือ เป็นครั้งที่สองที่ความสงบ สยบความรุนแรงได้ สิ่งเหล่านี้อาตมาจะพาทำ ก็จะอยู่ไปจนอายุ 151 เพื่อยืนยันว่า คนเราต้องเอาความดีชนะความชั่ว หากเอาความชั่วไปชนะความชั่ว ก็เลยชั่วซับซ้อนไปเรื่อยๆ ลึกๆ สร้างอำนาจให้แก่ตนเองทั้งนั้น ส่ิงเหล่านี้อาตมาไม่อยากให้มนุษย์เกิดอย่างนี้ อาตมาก่อนจะตายก็ต้องทำเต็มที่จะเรียกว่าการเมือง ธรรมะหรือสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์หรือศาสตร์ไหนๆ  คำตอบเดียวคือ เพื่อมวลมนุษยชาติ จบ 

หนึ่งฟ้าว่า...อยากถามว่าอ.พรรณชฎา เป็นชาวพุทธไหม 

อ.พรรณชฎาว่าเป็นชาวพุทธ ..ก็เคยเรียนเรื่องศาสนาตอนเป็นเด็กบ้าง แต่ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก ครอบครัวไม่ได้เคร่งศาสนา 

หนึ่งฟ้าว่า... ดิฉันก็มาฟังธรรมพ่อท่านดูเหมือนจะรู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรมาก เดินทางมา 30 กว่าปีแล้วก็กว่าจะมาเข้าใจว่า แม้จะทุกศาสตร์ในโลก เป็นชุดความรู้ของการกำหนดนิยามของภาษาในการอยู่่ร่วมกับสังคม ทำไมเราฟังธรรมแต่ไม่รู้เรื่อง ก็เพิ่งรู้แล้วปลดล็อคตัวเองว่า ความเข้าใจทิฏฐิที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ว่าชาวพุทธมีสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิคือมุ่งลดละกิเลส แต่มิจฉาทิฏฐิมุ่งเพิ่มกิเลสก็คนละทางกันเลย แล้วก็ความเข้าใจเรื่องนิยาม คำว่า อาการ ของกิเลสแล้วก็การลดละกิเลส ....

อ.พรรณชฎาว่า...ได้อ่านหนังสือที่พี่หนึ่งฟ้าให้มาก็เลยทำให้เข้าใจส่ิงที่พ่อครูพูด ถ้าไม่ได้อ่านก็คงไม่เข้าใจแน่ ก็ต้องรอตอนเขียนเสร็จแล้วก็ให้พ่อครูตรวจ เพื่อเผยแพร่ต่อไป 

หนึ่งฟ้าว่า... กว่าดิฉันจะเดินทางมาถึงตอนนี้ก็ใช้เวลามาก กว่า 30​ปี ก็เลยเห็นใจคนที่กำลังจะแสวงหา เราก็อยากช่วยคนอื่น ที่พูดมานี่คืออยากจะบอกว่า เรียนมามากทำไมฟังพ่อครูไม่รู้เรื่อง จนกว่าปลดล็อคได้ว่า ทิฏฐินั้นสัมมาหรือมิจฉาฯกันแน่ ถ้าไม่เข้าใจก็เดินทางต่อไม่ได้ เช่นคำว่ากาย เกิดตอนที่เรากระทบสัมผัส แล้วเกิดความรู้สึก เกิดกายแล้วเราอ่านอาการได้อย่างไร ..

อ.พรรณชฎาว่า...ทุกอย่างหากจะลงมือศึกษาต้องรู้เบื้องหลังมาก่อน ไม่อย่างนั้นจะยากมาก ดิฉันอยู่ต่างประเทศมานาน พอมาเมืองไทยก็เห็นเลยว่าหลายอย่างมันคนละแนวคิด ต้องรู้ background ก่อนถึงจะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น ดูในหลายเว็บไซด์ก็พบว่าข้อมูลไม่เหมือนกัน ก็เลยต้องไปหากกต. และติดต่อโดยตรงเลย 

หนึ่งฟ้าว่า...เรื่องมิจฉาทิฏฐิกับสัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องใหญ่มาก การกำหนดความหมายบัญญัติต่างกัน ทางธรรมมุ่งอ่านกิเลสลดกิเลสตน แต่ทางโลกไม่สนใจ ก็ให้เห็นว่านักวิชาการโลกตกอยู่ในห้วงเหวลึกของอวิชชาเลย อ.พรรณชฎาก็เป็นความหวังว่าจะได้เชื่อมต่อองค์ความรู้กับทางโลกได้ไหม แล้วจะเอาองค์ความรู้ทางศาสนาไปใช้ได้ไหม น่าสนใจจะปฏิบัติไหม

อ.พรรณชฎาว่า...ก็ถ้าเท่าที่พ่อครูอธิบายก็พอจะเชื่อมต่อ และก็น่าสนใจจะปฏิบัติ

พ่อครูว่า...เป็นอันว่า ได้รู้ได้เห็นได้ฟัง สิ่งที่มันก็พัฒนาการมาถึงจุดนี้ เกิดจากเหตุปัจจัย มีผลมาตามลำดับ มีระยะก้าว ก็จะช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาตมาคิดว่าผู้มีจิตดี ใฝ่ความเจริญ​หากใส่ใจศึกษา ถ้าเป็นของดีมีจริงๆในโลก คนที่แสวงหาจริงๆ ก็ควรได้พบ ถ้าได้พบแล้วสะดุดใจ ว่าอันนี้ดี ก็ขอแนะนำ ถ้ารู้สึกเช่นนี้ขอแนะนำว่า ให้ทบทวนเลยว่า สิ่งนี้มันดีจริงๆหรือไม่ ทบทวนแล้วแน่ใจแล้วว่า เราเห็นว่าเป็นสิ่งน่ามี น่าได้ น่าเป็น ขั้นต่อมา อาตมาว่าชีวิตเราควรจะทุ่มให้สิ่งนั้น แต่ต้องมั่นใจจริงๆ ส่วนคนหลักลอยที่แสวงหาไป แสวงหาโลกธรรม แต่ตนเองตลอดชีวิตก็ปล่อยไปเถอะ แต่ว่าถ้าเป็นอย่างที่ว่า แสวงหาสิ่งที่ควรได้ให้แก่ชีวิตจริงๆ เมื่อเจอแล้วก็ตรวจสอบให้ชัดเจนให้สำคัญจนแน่ใจแล้ว ก็ทุ่มเทเถิดชีวิตนี้ 

นี่คือข้อแนะนำที่อาตมาให้ เอาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ หรือจะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อาตมาก็ไม่ได้มีสิทธิ์บังคับใครได้ แล้วไม่มุ่งหวังว่าจะได้หรือไม่ได้ คนเราบางคนแม้จะมีอะไรพิเศษ​โลกีย์ แต่ไม่มีความพิเศษโลกุตระก็ไม่ได้หรอก เช่นคนนี้ทำไมรวยมากรวยเร็วบางคนโลกธรรมเยอะเร็ว คนก็จะตื่นเต้นตรงนั้น แต่ทางโลกุตระทวนกระแส คนไม่ค่อยรู้จักหรอก ยกตัวอย่าง คนโลกุตระต้องมาจนหรือ ไม่ใช่ไปรวย แค่นี้ก็ยังยากเลย ขณะนี้เมืองไทยมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาว่าท่านตรัสออกมานั้น อาตมาเอามาใช้ได้ผลจริง เช่นบริหารบ้านเมืองแบบคนจน อาตมาว่าเขาไม่กระดิกหูกันนะ ย่ิงแถมไปอีกว่า ขาดทุนนี่คือกำไรของเรา Our loss is Our gain. คนไทยนั้นยากและน้อย กว่าจะมั่นใจว่าต้องมาแสวงหาความจนนี้ใช่ ไม่ใช่สามัญเลยที่จะเข้าใจ อาตมาถึงไม่แปลกใจ ไม่น้อยใจ ไม่เสียใจเลย มันยาก แม้ 45 ปีที่อาตมาทำงานมา 

คนทางโลกีย์ก็ทำ อาตมาว่าถ้าอาตมาทำงานทางโลกอาตมาก็จะต้องเป็นคนที่ไม่พ่ายแพ้ทางโลกเลย อาตมาออกมาทางศาสนานี่ ไม่ใช่ว่าสู้ที่จะไปแย่งโลกธรรมเขา หรือจบดร. อาตมาก็ต้องพยายามเอาให้ได้ เพื่อแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขกับเขา แต่ว่าอาตมาจะต้องมาทางนี้ 

แล้วมาแล้วก็ไม่ได้ประหลาดใจว่าทำไมมหาเถรสมาคมต้องหาเรื่องทำลาย หากมหาเถรสมาคมไม่มาจัดการ นั้นคือ อาตมาต้องเข้าใจผิด ที่อาตมาลาออกคืออาตมาไม่เอามหาเถรสมาคม คำตอบคือ อาตมาต้องถูก มหาเถรสมาคมต้องผิด ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่แยกตัวนะ ไม่ง่ายที่จะแยกตัวนะ แต่อาตมาต้องเห็นว่ามหาเถรสมาคมนั้นผิด แล้วทุกวันนี้ก็เห็นผลแล้ว่า มหาเถรสมาคม สมีอุ้มสมีเขาก็ทำได้ อาตมาไม่แปลกใจเลย ที่เป็นเช่นนี้ ย่ิงย้ำยืนยันว่าอาตมาคิดถูกแล้ว

ขอจบว่า 1.เรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องของส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่การเมืองเป็นเรื่องเพื่อประชาชน อย่างหมดความเห็นแก่ตัว อาตมาจะพาพรรคเพื่อฟ้าดิน ไปอย่างมีอุดมคติ จะถึงเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ สุดยอดความคิด คือพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่จะทำงานเพื่อบ้านเมืองจะต้องเป็นอาริยชน กิเลสลด ถ้าเป็นไปได้นายกฯต้องเป็นอย่างน้อยอนาคามีหรืออรหันต์ จะมีอรหันต์คนเดียวเป็นนายกฯ ​แต่หากไม่มีมวลอาริยะมากพอก็ทำไม่ได้ จะทำได้ต้องมีอาริยบุคคลเป็นส่วนมาก แล้วบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่ได้จะไปตะโกนว่าทำเพื่อประชาชน แต่ไม่ลดกิเลสจริงก็หลอกกันไปตลอดกาล อาตมาก็ทำไปฝึกฝนไป 

เห็นอัตราการก้าวหน้าทั้งพฤติกรรมมนุษย์ สังคมที่ทำอยู่มีอัตตาการก้าวหน้าอยู่ ชนะรายทางมาเรื่อยๆ แต่บางทีเขาก็มองว่าเราแพ้ แต่เรามองชนะแพ้แนวลึก ชนะของอาตมาคือก้าวหน้าโดยสัจธรรม 1 ตัวเราได้ลดกิเลส 2 เราได้ทำเพื่อประชาชนแท้จริงหรือไม่ นี่คือหลักง่ายๆตื้นๆ แต่สุดวิเศษ

เสียสละความเห็นแก่ตัวจริงหรือเปล่าแล้วทำเพื่อประชาชนจริงหรือเปล่า นี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริง 

ขอบคุณมากที่อ.ได้มาตั้งคำถามให้อาตมาได้อธิบาย... จบรายการเพียงเท่านี้... 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:00:36 )

580809

รายละเอียด

580809_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เปิดโลกนรกสวรรค์ที่เป็นปรมัตถ์

ส.ฟ้าไทว่า วันนี้ตรงกันวันที่ 9 แม่ก็อยู่กับเราตลอดทุกวันแต่เราคิดถึงแค่วันเดียว กราบเฉพาะวันเดียว แล้ววันอื่นไม่ยอมกราบเลย มันอย่างไร วันที่ไปกราบแม่ก็ยังอายอีก กราบแม่ทำไมต้องอาย แล้วถ้าทำวิบากกรรมกับพ่อแม่นั้นเป็นอนันตริยกรรม อย่างเช่นพระโมคคัลลานะ เป็นต้น ถูกทุบจนกระดูกแตกละเอียดเป็นเมล็ดข้าวสารเลย หลายครั้งแม้มีฤทธิ์มากกลับคืนมาได้แต่ก็ถูกทุบอีกหลายที จนต้องยอมตายในที่สุด

พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน อาตมาก็คงต้องพูดจนปากเปียกปากแฉะหรือจนปากฉีกถึงท้ายทอย เพราะคนเราจะรู้กันด้วยการสื่อภาษาได้ลึกได้ชัดได้เยอะที่สุดกว่าอย่างอื่น แสดงกิริยาทางกายก็ยังยาก ท่าทีลีลา นัจจะคีตะมันก็ยาก แต่ถ้าคำพูดเป็นภาษาบัญญัติซึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งหลายคนเก่งกว่าสัตว์อื่น รู้จักประกอบเสียงให้เป็นภาษามากหลาย สัตว์ก็ใช้เสียงส่งให้เข้าใจกันได้ในแต่ละชนิดสัตว์ แต่ภาษามีน้อย แต่คนนี่เก่งมาก ประดิษฐ์ประดอยใช้กัน จนไม่รู้กี่ภาษา มีภาษาเก่าหายไป ภาษาใหม่มีอีก 

อาตมาก็ต้องพูดเพราะเจตนามาทำงานนี้ งานสื่อสัจธรรมแก่มนุษยชาติ อย่างสื่อสัจธรรม แล้วใช้สัจธรรมนี้ที่เป็นส่ิงประเสริฐสำหรับตน และสำหรับมนุษย์โลก และทุกส่ิงแวดล้อมด้วย อย่างไม่เป็นพิษภัยต่อทุกส่ิงทุกอย่างในโลก

คำว่าเป็นพิษเป็นภัยต่อโลก ก็มีประเด็นจากศิษย์เก่า
คำถาม จาก ศิษย์เก่าปฐมอโศก 
ท่านคะหนูอยากฝากคำถามถึงพ่อท่านตอบในรายการ
หนูบอกว่า หนูกินมังฯเนื่องจากไม่อยากเป็นต้นเหตุของการฆ่าชีวิต เพราะสัตว์เหล่านั้นก็ล้วนแต่เจ็บปวดและทรมาน
ก็มีคนถามหนูมาว่า
รู้หรือเปล่า ว่าเวลาผักหรือต้นไม้ถูกตัด ถูกดึง ถูกเด็ดหรือถูกถอน มันก็เจ็บนะ มีเสียงกรีดร้องเหมือนกัน เพียงแต่คนไม่ได้ยิน เคยอ่านบทความเจอ จำไม่ได้ว่านักวิทยาศาสตร์ประเทศใดเป็นคนค้นพบ
แล้วทำไมการเปิดเพลงแต่ละแนวให้พืชหรือต้นไม้ฟังหรือแม้แต่การพูดจาดีหรือพูดไม่ดีกับพวกมัน จึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของพวกมันล่ะ
นี้คือคำถามที่หนูถูกถาม ซึ้งหนูเองก็ไม่เคยฟังคำตอบที่ชัดเจน แต่สำหรับหนู หนูมองว่า สัตว์คือสิ่งมีชีวิต ที่มีจิตวิญญาน เสมือนกับมนุษย์ แต่พืชไม่มีจิต วิญญาน อันนี้ถูกมั้ยคะ
แต่หนูตอบเขาไปวันนั้นว่า เหมือนเคยฟังมาว่า มนุษย์และสัตว์ คือสิ่งที่มีจิตวิญญาน แต่ พืช ไม่มีจิตวิญญาน
แล้วย้อนถาม คนที่ถามเธอกลับว่า.... อันนี้พี่ต้องการให้หนูยอมรับว่า พืชก็มีชีวิตและจิตวิญญานใช่มั้ยคะ พี่กำลังจะถามต่อว่า ละทำไมหนูจึงกินพืช อืม!!เดี๋ยวหนูไปถามพ่อท่านให้นะคะ เพราะหนูมีเพียงจิตใจที่ไม่อยากกินแต่ความรู้นั้นโง่เขลามากที่จะพูดอะไรเป็นเชิงความรู้
หนูไม่อยากพูดอะไร ที่รู้ไม่ชัด แต่หนูเห็นคนถามเรื่องผักก็มีชีวิตนี้หนูก็พูดละคะ ขี้เกียจพูด
คนคิดตรงกันคุยกันรู้เรื่อง คนคิดไม่เหมือนกันพูดไปก็ไม่เป็นผล
**********************
อยากจะได้คำสรุปเพื่อตอบง่าย ๆ เข้าใจทันที เวลาถูกถามจะได้จำไปตอบ ขอบคุณเจ้าค่ะ

ตอบ....สัตว์เป็นพลังงานระดับจิตนิยาม แต่สัตว์เป็นพลังงานระดับจิตนิยาม สรุปง่ายๆเบื้องต้นก่อนว่า เผ่าพันธุ์หรือกรอบขอบเขตของพีชะ ที่เป็นชีวะชนิดหนึ่ง สัตว์ก็เป็นชีวะชนิดหนึ่ง ส่วนดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ถือว่าเป็นชีวะ มันไม่มีความรู้สึก ดินน้ำ ไฟลม ไม่มีความรู้สึก พืชก็ไม่มีความรู้สึก ระดับจิตวิญญาณขึ้นไปจึงจะมีความรู้สึก 

เมื่อไม่มีความรู้สึกก็ไม่มีความเจ็บปวด ไม่เดือดร้อนเรื่องความรู้สึก แต่มันมีธาตุรู้ไหม มี จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้แน่ แต่พืชมีธาตุรู้ที่เป็นขั้นต่ำ มันกำหนดรู้ได้ แล้วมันปรุงแต่งตนเองเป็นตัวเองได้ พลังงานเหล่านี้สร้างตัวเองตามเผ่าพันธ์ เช่นแตงโมก็ต้องการธาตุไหนมาปรุงมาสร้างให้เป็นแตงโม ตัวมันเองมีพลังงานสังขารในตัวมันเองแล้วมีสัญญากำหนดหมายรู้ได้ พีชะรู้ได้แค่กำหนดหมายว่าอันนี้เอาไว้ใช้ในร่างก็เอา อันไหนไม่ใช้ก็เอาออก เอาไม่ออกเป็นพิษต่อร่างสุดท้ายอาจตายได้ สรุปคือพืชมีแต่สัญญากับสังขาร มันปรุงแต่งแต่เผ่าพันธุ์ชีวะของมัน แต่ไม่มีเวทนา

สัตว์มีทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ชัดเจน  ส่วนพืชไม่มีเวทนา ไม่มีอุปาทาน มันทำตามหน้าที่พลังงานตามสัญญา จะมีพลังงานดูดกับพลังงานสลาย 

พลังงานที่ดีคือพลังงานความรู้ที่ไม่มีความเห็นแก่ตัว ซึ่งซึ่งเป็นพลังงานที่จิตนิยามต้องรู้ว่า พลังงานที่มีความรู้ไม่เป็นพิษภัยกับใครไม่เห็นแก่ตัว นี่คือพลังงานวิเศษ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนอย่ามีพลังงานสัตว์เดรัจฉานที่มีพิษภัย ไม่รู้ดีชั่ว มีอัตตาตัวเราเยอะ 

พืชกับสัตว์นั้นสัตว์มีพลังงานระดับจิตนิยาม พืชมีพลังงานพีชะนิยามเท่านั้น พลังงานพีชะไม่เกี่ยวข้องข้ามชาติ พระพุทธเจ้าให้มนุษย์สร้างพลังงานที่ลดพลังงานโกรธหรือรัก พระพุทธเจ้าจึงมาแยกให้ละเอียดว่า ลักษณะนี้เรียกว่าพยาบาทจองเวร ผูกพันทำร้ายกัน ส่วนรัก ราคะนั้นผู้พันเพื่อจะเสพรส ดูดดึง พระพุทธเจ้าให้มาสร้างพลังงานที่ไปทำงานพลังงานเหล่านี้ออกจากจิต ไม่สร้างพลังงานเหล่านี้ใส่จิตอีก ทำได้จนเป็นอาริยะ ทำได้สมบูรณ์แบบเป็นอรหันต์ได้ครบ ไม่มีพลังงานชั่วในตนเอง ไม่มีรักไม่มีชัง มีแต่องค์รวมตระกูลสัตว์โลกที่มี DNA พิเศษ เป็น DNA เผ่าพันธุ์พุทธที่ไม่มีพลังงานพยาบาทและรักผูกพันเพื่อเสพรสกับเอามาเป็นตัวกูของกู พระพุทธเจ้าทำหมันเสร็จให้แก่พระอรหันต์ จะเกิดอีกกี่ชาติก็เป็น DNA ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงเลย ปราศจากโลภ โกรธ หลง ไม่มี ราคะโทสะโมหะเลย 
1.ไม่มีโลภโกรธหลงอีกเลย
2.สามารถตัดต่อ ชีวะได้ จะตัดหรือต่อก็ได้ ตัวต่อได้คือสันตติ จะตัดต่อได้สมบูรณ์ต้องเป็นอรหันต์ แต่แม้อนาคามีก็มีเชื้อตัวปลายสุด ไม่รู้สันตติตัวปลายสุด หรืออรหันต์ดับอาสวะแต่ไม่ดับอนุสัยสิ้นก็ดีก็จะเหลือตัวปลายสุดของการตัดต่อนี้ 

...
ความรู้อย่างโลกีย์นั้น ในหลวงท่านว่าให้หยุดเถอะ อาตมาขอขยายจากในหลวงมาก มาใช้ตำราโลกุตระเถอะ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตำรานี้ได้เรียนกันไหม เอามาใช้บริหารปกครอง แบบคนจน เหมือนอย่างอโศกเรามาสร้างหมู่กลุ่มมวลมนุษย์ให้เป็นแบบคนจนให้มันรู้เสียบ้างว่าคนจนนี่แหละจะช่วยโลก ส่วนคนรวยไม่สิ้นสุดก็จะไม่ช่วยโลก เขาทำแบบประชานิยมหรือกุ้งฝอยตกปลากะพง

ถ้าจะตอบว่าทำไมกินพืช ก็เพราะพืชไม่มีบุญหรือบาป ไม่มีกุศลอกุศล ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่มีเราไม่มีเขา มันมีแต่รู้ที่จะยังชีพเท่านั้น ส่วนสัตว์มีบุญหรือบาป มีกุศลอกุศล  มีทุกข์มีสุข  ยึดตัวตน มีตัวตน ไม่เหมือนพืช ศาสนาพุทธตัดรอบความรู้ชัดเก่งว่าชีววิทยาแบบสากล แล้วตัดต่อพลังงานได้ ให้หมดพลังงานเห็นแก่ตัวเลย เหมือนพืชไม่ขี้เกียจด้วย ทำงานไปเพื่อโลก สัตว์ก็ยังขี้เกียจก็มี พืชเป็นชีวะที่ไม่มีปาปไม่มีบุญต่อกัน ส่วนสัตว์มีวิบากมีเวรภัยต่อกันเยอะ ความรู้ของพระพุทธเจ้าทำให้จิตนิยามกลายเป็นพลังงานหมดพิษภัยต่อโลก แล้วก็จริงใจทำเพื่อคนอื่นจริงๆเพราะหมดความเห็นแก่ตัวได้ เป็นความรู้สูงสุดของพลังงานทั้งหมดในมหาจักรวาล

คนในระดับโลกีย์รู้ดีชั่วตามสมมุติ ความสูงความต่ำตามสมมุติ ก็สมมุติกันไปต่างแต่ละสังคม

ปัญญาของพวกโลกไฮโซจะไม่รู้ของชาวโลกุตระ แต่ปัญญาของชาวโลกุตระจะรู้ทั้งโลกุตระและโลกียะไฮโซ

จริงๆแล้วคนนั้นสัญญาวิปลาสไปเยอะ เลยกลายเป็นจิตวิปลาส แล้วก็เป็นความรู้วิปลาส เช่น ความจริงนั้น "รสอร่อย" มันไม่มี มันมีแต่ "รสจริง" ระกำก็เปรี้ยว กล้วยก็หวาน กะทิก็มัน สะเดาก็ขม คือ "รสจริง" แต่คนโง่หลงผิดวิปลาสไปติดไปชอบ ก็เลยมี "รสอร่อย" อย่างสะเดานี้ขมก็ว่าอร่อย ทั้งที่สะเดากินยากกว่าหวานะ ถ้ารสจืดก็กินง่ายกว่าปกติ แต่ว่ารสที่จัดเกินไปก็กินยาก เป็นธรรมชาติ อรหันต์ก็รู้ได้ มันไม่ใช่ธรรมดา ไม่พอดีกลางๆ มันเข้มมันจัดไปตามปฏิกิริยา 

ในความหมายของสัจธรรมที่ไปอร่อยหรือสนุกเพลิดเพลินอยู่คือคนวิปลาส ไม่ปกติทั้งนั้น สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส เป็นวิปลาส 3 แล้วแยกเป็นวิปลาสอีก 4 

เช่นไปเข้าใจว่า 
1.ความไม่เที่ยงเป็นสิ่งเที่ยง 
2.เข้าใจว่าทุกข์เป็นสุข ทั้งที่สุขมีแต่อัลลิกะ ใครเข้าใจว่าสุขมันมีคนนั้นวิปลาส คนใดหมดสุขก็หมดวิปลาส (วิปลาสคือคนบ้า) ปุถุชนคือคนบ้าทั้งนั้น พระอรหันต์ที่เจอความจริงจบก็เลยบอกว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 
3.ความไม่มีตัวตนก็เห็นว่ามันมีตัวตน
4.มันเป็นอสุภะก็กลับไปเห็นว่าเป็นสุภะ เป็นของน่ามีน่าได้น่าเป็น ทั้งๆที่มันไม่ใช่ของน่าได้น่ามีน่าเป็นเลย  คำว่าสุภะกับอสุภะก็มีระดับ เช่นถ้าคุณต้องกำหนดสุภะของตนเช่นพอเพียงพอดีพออาศัย ก็สุภะ น้อยไปหรือมากไปก็ไม่ดี เขาแปลสุภะว่าเป็นโชคก็ดี ไม่ใช่โชคก็ดี งามก็ดี อสุภะก็คือไม่งามก็เลยกลายเป็นกามไป โชคก็เป็นความโลภ งามก็เป็นกามไป ถ้าแปลให้ดีก็ควรแปลว่า ควรพึงใจหรือไม่ควรพึงใจ ในสุภะนั้น ที่ควรพอเพียงพึงใจ มากไปน้อยไปไม่ดี 

สรุปแล้วปุถุชนคือมนุษย์วิปลาส มนุษย์บ้าทุกคน ขนาดอนาคามีก็มีเชื้อบ้าในตน อรหันต์เท่านั้นคือผู้หมดความบ้า แต่ถ้าบ้าแบบปุถุชนเข้าใกล้ไม่ได้ยิ่งกว่าหมาบ้านะ แตะไม่ได้เลย ฉันเดียวกัน ปุถุชนนี่ยิ่งกว่าหมาบ้า แล้วคุณจะไปเป็นเผ่าพันธุ์ของหมาบ้าด้วยไหม 

580807 คำถามจาก พิมพ์เพชรรุ้ง

กราบนมัสการค่ะ

ดิฉันได้ฟังพ่อครูฯ อธิบายธรรมเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงโปรดพระมารดาในช่วงเข้าพรรษาแล้ว เกิดความปีติ เพิ่มความบันเทิงในธรรมยิ่งขึ้นจึงใคร่ขอกราบเรียนรายงานสภาวะ และความเข้าใจต่อ พ่อครูฯ ดังนี้ค่ะ

ดิฉันกราบขอบพระคุณพ่อครูฯ ที่ได้ไขข้อข้องใจเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในช่วงเข้าพรรษาดิฉันได้นำมาพิจารณา ทำใจในใจ จนเกิดความปีติและเห็นสมควรที่จะใช้ช่วงเวลาเข้าพรรษานี้ในการศึกษาธรรมะอย่างเคี่ยวเข้มขึ้น ตามอย่างที่เปรียบเทียบไว้ในพุทธประวัติ 
ดิฉันยังเห็นกระจ่างขึ้นถึงความหมายของ การแสดงธรรมโปรดเหล่าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในการนี้ด้วย จากที่เคยฟังธรรมะจากพ่อครูฯ. เกี่ยวกับ ความต่างของอาการ 32 และ 33 

นอกจากนี้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสอนเทวดาในช่วงเข้าพรรษาบนดาวดึงส์ คือ พระอภิธรรม นั้นแต่เดิม ดิฉันเคยพยายามศึกษา แต่ไม่เคยเข้าใจและคิดเอาเองอย่างนี้ว่า พระอภิธรรมนั้น พระพุทธเจ้าทรงใช้ตรัสสอนเทวดาบนสวรรค์เท่านั้นเราเป็นมนุษย์ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แบบนี้ คงเรียนรู้ยาก.ในครั้งนี้จากการที่ได้ฟังธรรมะจากพ่อครูฯ มา เข้าใจในระดับหนึ่ง จึงคิดว่าจะศึกษาพระอภิธรรมดู ตามที่กำลังสติปัญญาของตัวเองจะพอมีถ้าพ่อครูฯ จะเมตตานำ พระอภิธรรม มาสอนบ้างในระหว่างเข้าพรรษานี้ ดิฉันก็จะถือว่าเป็นโชคลาภของตัวเองที่ได้ฟัง 

และท้ายที่สุดนี้ ถึงแม้จะยังไม่ถึงเวลาออกพรรษา แต่ดิฉันก็ขอฝากคำถามถึงพ่อครูฯ ไว้ก่อนว่า เมื่อครบ 3 เดือน ออกพรรษาตอนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับมานั้น ทรงเปิดโลก ให้เห็นโลกทั้งสาม นัยยะนี้ หมายถึงอะไรคะ  กราบขอบพระคุณพ่อครูฯ ที่ได้เมตตาชี้แจงธรรมะแท้ๆให้ลูกๆ ได้เกิดปัญญา เพิ่มพลังในการบำเพ็ญคุณความดีเพื่อประโยชน์ทั้งปวงต่อไปค่ะ

พิมพ์เพชรรุ้ง

พ่อครูว่า..โลกทั้ง 3 มีโลกอบาย(นรก) โลกเทวดา โลกพรหมเปิดโลกคือเปิดความโง่ในจิตวิญญาณคนให้เข้าใจว่าอาการจิตเราเป็นสัตว์นรก เมื่อผู้ใดมีญาณอ่านจิตตนได้ว่า จิตตนเป็นสัตว์นรก กำลังสัมผัสกับสัตว์นรก คือเห็นแดนนรก ใครคือสัตว์นรกก็กูเอง คือเปิดโลก ได้สัมผัสสัตว์นรกของตน มีอาการ ลิงค นิมิต อย่างไร มันกำลังโกรธคือสัตว์นรก มันกำลังสุขคือสัตว์เทวดา หลอกมากเป็นสัตว์เท็จ ตอนแรกให้อ่านสัตว์เทวดากับสัตว์นรกให้ออก สูงไปกว่านั้นให้อ่านสุขเป็นสัตว์เทวบุตรมาร สุขเท็จ เป็นอารมณ์วิปลาส แปรปรวนที่คนเขาหลอกกันทั้งโลก แล้วอุปาทานยึดติดว่าจริง ต้องได้ต้องมีต้องเป็น แล้วก็เป็นทาสสัตว์นรกเทวบุตรมาร ผู้ใดรู้จักสัตว์นรกในตน แล้วรู้เทวดาปลอมในตน คือกามคือเอามาเสพรส โลภคือเอามาเป็นของตน 

1.รู้จักสัตว์นรก 2.รู้จักสัตว์เทวดา 3.รู้จักเทวดาแท้ที่เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพคือสัตว์พรหม ที่สะอาดจากโลกอบาย โลกกาม รูปโลก อรูปโลก จนสะอาดหมดเป็นอรหันต์ ก็รู้จักโลกของพรหมจากการหมดสัตว์นรก สัตว์เทวดาที่หลงเสพสุขต่างๆ 

การเปิดโลก 3 โลก ผู้มีญาณรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นสัตว์นรก เทวดากามาวจร พรหม ที่หมดความเป็นสัตว์เป็นวิสุทธิเทพ หมดความเป็นโลกสูงสุด

การเปิดโลกคือพระพุทธเจ้าสอนอภิธรรมจบ 3 เดือน เขาอธิบายเป็นบุคคลาธิษฐานว่า นี่คือสัตว์นรก พรหม เทวดา ต่างชี้บอกกันไปมาที่แท้ก็ชี้ตนเองที่แท้เราก็หลง เราก็มีเห็นหน้าสัตว์นรกเทวดาพรหมเห็นกัน รู้แล้วแต่ไม่ได้ทำให้เป็นพรหม มีพระพรหมตัวอย่างอันเดียว นอกนั้นเป็นเทวดาปลอมมากกว่าสัตว์นรก เพราะไปสร้างเทวดาวิมานปลอมเยอะแล้วไปหลอกให้คนสร้างวิมานตาม อย่างธรรมกาย สร้างมโนมยอัตตา เป็นภพชาติมากมาย 

สัจจะความจริงมีแต่สังขารปรุงแต่งทั้งสิ้น 

ตอนนี้ไขความที่ว่า สัตว์นรกหรือเทวดาหรือพระพรหม อาตมาพูดตอนต้นว่า สัตว์นรก มนุษย์ เทวดา ถ้าเรียกมนุษย์คือภูมิกลางๆ มีดินน้ำไฟลม ขันธ์ 5 เป็นที่รวมของสัตว์นรก เทวดา พรหม เรียนรู้ได้ในนี้ ถ้าไม่รู้ในนี้ไม่รู้สัตว์ 3 อย่างในนี้ก็ไม่รู้ได้ ผู้ตกนรก ถ้าเสพทุกข์ก็ไม่มีสุขไม่มีอทุกขมนุข ผู้เสพสุขก็ไม่มีทุกข์ไม่มีอทุกขมสุข แต่ถ้าเสพอทุกขมสุขก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์อย่างพวกนั่งหลับตา แต่ถ้าพวกไม่ได้ฝึกนั่งหลับตาจะทุกข์สุขอย่างไม่พักยก ตายไปแล้วไม่มีพระอาทิตย์ขึ้นหรือลง ไม่มีแสงสว่างหรือที่มืด มีแต่อุปาทาน ปั้นเองสร้างเองหมด ในสายมืดจะมัวๆ สายสว่างก็สร้างแต่สว่างมากมายไม่มีอะไร จะสมมุติอะไรให้ติดยึดก็จะมีอันนั้น

สายกิณหะก็ไปสู่ความดับดำมืด สายอาภัสราก็ไปปั้นใส มีวิมานใสเต็มไปหมด 

แล้วภูมิสวรรค์เป็นของสด ถ้าจะสร้างสวรรค์โดยระลึกถึงอารมณ์ดีๆที่เสพด้วยตัวของคุณ บางคนก็ถนัดทำแบบนั้นก็เป็นสวรรค์ปลอมๆ ถ้าใครมาสะกิดก็หายไปแล้ว สวรรค์เช่นนั้นมันปลอมเร็ว พังง่ายมาก สวรรค์จริงมีแต่ตอนสัมผัสเท่านั้น ตายไปที่จะได้รสอร่อยเหมือนตนมีร่างไม่มี ส่วนมากอุปทาน อนุสัยมีแต่อยาก อยากได้ลาภ ยศ เพชรนิลจินดา ทองคำ ธนบัติ อยากได้เยอะๆ ตายไปไม่มีทั้งนั้น แต่ความอยากของคุณมีเยอะมาก ตายไปคุณไม่รู้ตัวหรอกว่ามันไม่มี แต่คุณก็ดิ้นหา คุณคิดดูว่า ดิ้นหาในส่ิงไม่มีจะรู้สึกอย่างไร ตอนเป็นๆ คุณได้เปรี้ยวหวานมันเค็มตาที่ยึดก็สุขแต่่ว่าตายไปไม่ได้สิ่งเหล่านั้นแต่อยากจะดิ้นมากมายอย่างไร ตายไปมีแต่นรกดิ้นของจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณมีตัวตนรูปร่างไหม?... ตายไปนี่ คุณยังไม่ตายก็ระลึกสร้างมโนมยอัตตาก็เห็นได้เป็นรูปร่าง ยิ่งไปสอนกันว่าหลับตาสมาธิจะเห็นสัตว์นรก เทวดา แท้จริงไม่มีสักอย่าง แต่ในจิตคุณเต็มไปด้วยสัตว์นรก สวรรค์เพ้อ สวรรค์นี่แวบเดียวสร้าง แต่คุณอยากได้มันไม่มีให้คุณ คุณจะดิ้นด้วยอวิชชาไป คุณจะไม่มีเวลามีสวรรค์เลย ผู้ตกนรกจะไม่มีอารมณ์สวรรค์ ผู้ได้สุขก็จะไม่ทุกข์ ผู้นั่งสมาธิมีนิโรธดับจิตดับเวทนาตายไปก็เท่าที่ตนจะสร้างความควบแน่นของจิตได้ อย่างอาฬารดาบส อุทกดาบสตายไปก็จะตกในห้วงนั้นนานมาก ตอนเป็นนิโรธดับได้ 7 วันแต่ตอนตายไปจะเป็นแบบนั้น 7 หมื่นปี เพราะไม่มีอะไรหมุนเวียน จิตคุณไม่มีอะไรสะดุดเลย ไม่มีไก่มาขันปลุกเอกอี๋เอ๊กๆ คุณจะจมในนั้นนานมาก น่าเกลียดน่ากลัว สำหรับคนนั่งสมาธิแบบนี้ พระพุทธเจ้าว่าเราไม่ไปในภาพของสุทธาวาส ไม่ว่าจะสุทธาวาสดับหรือสว่างก็ตาม มีสองแบบสุทธาวาส 
นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ
ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

มีอวิหาผลา กับสุภกิณหา(อสัญญี) สองอย่าง ส่วนสุทธัสสากับสุทธัสสีนั้นก็เร่ิมมีภูมิขึ้นมามีปัญญาขึ้นมา ทัสสาแปลว่าเห็นแปลว่ารู้ 

ส่วนอกนิฏฐาคือผู้มีฐานในการปฏิบัติธรรม ถ้าเป็นพุทธก็จะพักที่อกนิฏฐา ที่สัมมาทิฏฐิ จะไม่หลงกับกับสุทธาวาส 5 นี้ ก็คืออนาคามี 5 อันเดียวกัน

สมมุติว่าคนนี้สร้างมโนมยอัตตาเก่ง แต่เมื่อมารู้พุทธแล้วก็รู้ว่า มโนมยอัตตาไปสร้างไปติดไม่ดี แต่ก็จะสร้างใช้ได้ เป็นสายเจโต แต่สายปัญญาจะสร้างไม่เก่ง แต่พอสัมมาทิฏฐิ บรรลุแล้วก็จะไม่สร้างมโนมยอัตตาเลย พอหลับตาก็จะดำมืด แต่ถ้าลืมตาก็เจอสว่าง ก็เท่านั้น เศษเหลือของปัญญาวิมุติจะไม่มีค้างเป็นตัวภาพตัวรูปอะไรเลย ที่หลงเหลือในก้นครัว ห้องเก็บของรกเลอะ แต่ถ้ามีอยู่ก็จะขึ้นมากวนตอนหลับบ้างแต่ถ้าเผื่อว่าไม่เอาใจใส่มันมันก็จะหายไปๆ จนกระทั่งสายปัญญาจะชอบทำงานชอบปรุง นอนไปก็จะมีแต่ธรรมะ ในภพมีแต่ธรรมะต่างๆ ก็คือเทวดาคุยกับธรรมะกับเทวดา แล้วเป็นเทวดาที่ถูกต้องด้วย

นรกคืออารมณ์ทุกข์สวรรค์คืออารมณ์สุขเป็นของไม่มีจริง ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วหมดสัตว์นรกหมดสัตว์สวรรค์ เมื่อดับความเป็นสัตว์สวรรค์สัตว์นรกก็หมดไปด้วย จริงๆแล้วนรกก็เท็จ ผู้พ้นแล้วซึี่งอาสวะอนุสัย จะรู้หมด ไม่มีไม่รู้ก็ไม่ใช้รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ ต้องรู้ให้เต็มชัดสมบูรณ์สิ้นความไม่รู้ อวิชชา สิ้นระดับอาสะหรือสิ้นระดับอนุสัย หมดอวิชชานุสัยเลยเกลี้ยงไม่เหลือ 

นรกกับสวรรค์นั้นจริงๆมันไม่มี มันมีก็เพราะคนไปยึดว่ามันมีสวรรค์มีนรก พืชนั้นไม่มีสวรรค์นรก พระพุทธเจ้าจึงให้ทำจนไม่เกิดตัวตนของสวรรค์หรือนรกเลย อรหันต์จึงมีธาตุรู้เต็มย่ิงกว่าพีชะเอามาใช้ได้อย่างไม่มีนรกสวรรค์ เหมือนพืิชแต่วิเศษกว่าพืชมากเลย แต่ฐานอาศัยคือฐานพืช ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอุเบกขาที่เป็น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา ทำการงานได้วิเศษจิตก็ยิ่งประภัสสรไปเรื่อยๆ ยิ่งขึ้นๆ 

สายปัญญาเซ็นคิดว่าพ้นได้ง่ายๆ ไปหยิบอันนี้ทีอันนี้ทีเลยสับสน ไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายตามลำดับ เป็นความมหัศจรรย์อันไม่เคยมี แต่มีในศาสนาพุทธ

คุณมาเรียนเบื้องต้น อย่าไปนึกว่าตนสูงให้นึกว่าตนต่ำเสอม ถ้าคุณมีบารมีที่บรรลุมาแต่ปางไหนก็ตาม คุณมีบารมีได้แล้วก็จะพาสชั้นได้เลย อย่าไปทรนงตนว่าตนเป็นผู้สูงแล้ว จงอยู่กับภูมิต่ำแล้วทำไป สัจจะผู้บรรลุแล้วจะไม่ว่าตนสูงจะอยู่กับหมู่ต่ำได้สบาย เพราะหมู่ต่ำจะเป็นโจทย์ให้เราอย่างไม่ได้จ้างเลย คนมาด่าเราไม่ได้จ้างเลยแต่ถ้าจ้างคนมาด่าก็เลยตั้งตัวทัน แต่ถ้ายิ่งมาด่าตอนเราไม่ตั้งตัวก็มีราคาสูงมากเลย อย่าไปกลัวโจทย์แต่ถ้ารู้ว่าสู้แล้วแพ้ยับเยินก็หนีก่อน อย่าประมาทแต่ถ้าสู้ได้ก็สู้อยู่จนเขาเปลี่ยนเลยก็เป็นได้

เทวดาสมมุติก็คือเสพสุขเป็นเทวดากามาวจร แต่เทวดาหรือสััตว์พรหมคือลดกิเลสได้เป็นลำดับ คือพรหมที่แท้แต่พรหมกลายเป็นฮินดูคือพุทธที่หลงตนเอง ศาสนาพราหมณ์กับพุทธคือศาสนาเดียวกันพอลืมตัวก็เป็นพราหมณ์ พอรู้ตัวก็มาเป็นพุทธ แม้เป็นพราหมณ์ก็มีกัลยาณธรรม มีอยู่ครองโลกตลอดเวลา ส่วนพุทธนั้นมีเป็นวาระ ถ้าคนไม่มีภูมิธรรมจะสอนได้เป็นเวไนยสัตว์พระพุทธเจ้าไม่มาอุบัติหรอก ยุคของพุทธคือยุคกลางๆ ไม่ใช่ดีเลิศจนไม่ต้องสอนกันเลย หรือไม่ใช่เลวสุดจนสอนไม่ได้ ส่วนเทวนิยมมีอยู่ทุกยุค อย่าไปลบหลู่เทวนิยมเขา เพราะเขาคือพี่ คือพ่อ พ่อของพ่อ...ส่วนที่ไม่มีพุทธเกิดเรียกว่ายุคพุทธันดร 

มีคำถามมาอีกจากคุณ รุ่งโรจน์ อนันต์เจริญกิจ  16 ก.พ. 58

1. ฝากหลวงพ่อ วิธีที่จะทำให้ไวไว จะต้องนำประชาชนทั่วไปเข้าหุ้น คือ คนทั่วไปขาดศิล5 ก็จะต้องใช้เงินเพือดึงกิเลส และมีปันผล เช่นแบ่งเงินส่วนกลางออกมาเพือเดินธุระกิจ พาประชาชนเข้าซื้อหุ้นโดยมีปันผล พอทุกคนที่โลภได้รับผล ก็จะฟังธรรมมากขึ้น และการที่เราเข้าหุ้นในบริษัทต่างๆ ก็จะช่วยเป็นเงินออมทางออม จริงอยูว่า สันติอโศกไม่หวังผล แต่ประชาชนทั่วไปยังหวังผล ถ้าเอาประชาชนพวกนั้นเอามาใกล้ธรรมได้ วัน1ก็อาจจะขัดเกลาเขาได้เช่นกัน ผู้ที่มีผลประโยชน์ ก็จะคอยป้องกันพวกเราอีกชั้น แต่จะต้องแบ่งภาคให้ชัดเจน

2. กราบนิมนต์ พ่อครู เปิดนรกสวรรค์ ในวันออกพรรษา / โดยทุกคนจะต้องเข้าสมาธิฟัง และสร้างมโนภาพ นรกสวรรค์ ตามคำพูด ก็เท่านั้น ผู้ใดทำได้ก็จะเห็น นรก และสวรรค์ จะได้เข้าใจ นรกสวรรค์ของตน

พ่อครูว่า...มันเป็นนโยบายที่เขาคิด ที่จริงคนมีศีล 5 นี่จะรวยนะเพราะขยันหมั่นเพียรสร้างสรร คนมีเครดิต ไม่มีอบาย คือโสดาบันจะรวย รวยโดยสุจริต ให้คนเป็นโสดาบันแล้วจะรู้เองว่า ตนมีกิจการใหญ่นี่เกินไป ก็จะลดเอง เขาจะปฏิบัติเลื่อนเป็นสกิทาฯ อนาคาฯ จนถึงอรหันต์จะไม่มีหุ้นเลย แต่จะแจกแบ่งให้กับพนักงานหมดเลย แต่พนักงานจะกตัญญูรู้คุณ ตายไปเขาจะทำพิธีศพให้ยิ่งใหญ่เลย อาตมาไม่มีเวลาพิสูจน์แต่ต่อไปจะมีคนมาทำบริษัทแบบที่อาตมาว่านี้ ถ้าอายุถึง 151 อาตมาก็จะได้ช่วยเขาสร้างบริษัทแบบนี้ จะเป็นพุทธบริษัทที่จริงไม่เหมือนธรรมกายที่หลอกคนเดือดร้อนฟุ่มเฟือยเสพอบาย แล้วติดสินบน เอาเงินฟาดหัว จ่ายให้หมดถ้ามา ก็สร้างอำนาจมวล คนก็หลงสิ่งเหล่านี้ มันซับซ้อนนะ

เขาเข้าใจว่าอโศกทำงานไม่หวังผลได้จริง การมีมโนสัญเจตนานี่คือวิสัยทัศน์ในอนาคตว่าจะมีอะไรเกิด เช่นมี 1 สร้างอีก 1ก็เป็น 2 ถ้าสร้างอีก 1 ก็เป็น 3 ก็ไม่ต้องไปอยากได้ 3 ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ต้องหวังว่า3จะเกิดเลย แต่ทำเหตุปัจจัยให้ครบ 3 ก็จะมาได้ แต่ทุกวันนี้สอนกันร่างโครงการ 5 ปีคาดว่าผลจะได้ แต่ทำแล้วผลไม่ได้ดังหวังก็เลยเขียนผลหลอก ได้ยอดมาเหมือนตามเป้าแต่ข้างในหลวมหลอกกันเละเลย พระพุทธเจ้าว่าให้กำหนดหมายกรอบของตนตามปริตตัง อย่าไปหลงอัปปมัญญา ให้เอาไปตามลำดับ เมื่อสร้างเหตุครบก็จะมีทุนต่อไปตามลำดับ ไม่ใช่ทำแบบฟ่ามๆหลอกๆ 

ในการทำงานที่อาตมาให้โศลกว่า มีเจตนาแต่อย่าอยาก จงพากเพียรให้เต็มบริสุทธิ์ ต้องประมาณให้ดีอย่าเฟ้อ ปริตตังคือน้อยไส้ อย่าอัปปมาณาภา ไม่มีประมาณ 

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูได้ถามปัญหาเกี่ยวกับการกินมังสวิรัติ และพ่อครูได้อธิบายวิปลาส 3 และวิปลาส 4 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:01:34 )

580810

รายละเอียด

580810_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ วิปลาส 3  

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 10 ส.ค. 58 วันแรม 11 ค่ำเดือน 8 ปีมะแม...วันนี้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องลึกๆ เพราะใกล้จะถึงวันแม่แห่งชาติ คนไทยดูตื่นเต้นกันดี ก็เป็นลักษณะจิตวิญญาณ ในโลกสมัยนี้มีความซับซ้อนเขาหลงความรู้ของตนเอง หลงตนที่ยิ่งใหญ่คือ หลงว่าตนเองต้องเป็นหนึ่ง นี่คือความหลงตนเองที่ยากจะรู้ ตนเองต้องเป็นหนึ่ง จะต้องไม่เป็นสอง สำหรับคนอวิชชาจะหลงดิ่วไปว่าตนเป็นหนึ่งยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งตนเป็นใหญ่แล้วจะหลงตนว่าตนใหญ่ที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสรูว่าย่ิงรู้ว่าตนเองใหญ่ ก็ต้องให้สิ่งที่ถูกต้อง ให้หมู่เป็นใหญ่ ต้องไม่ยึดตัวยึดตนเป็นใหญ่ มันกลับกันกับโลก ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าตัวตนไม่มี ตัวตนไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ยิ่งตนรู้ว่า ความใหญ่เป็นความใหญ่ของส่ิงเดียวคือองค์รวม ไม่ใช่เราใหญ่ ถ้าเราถือดีว่าเรารู้เก่งใหญ่ เป็นหนึ่งยิ่งผิดใหญ่เลย ถ้ารู้จริงแล้วจะยิ่งลดตัวตนลงไม่ได้ยึดว่าเป็นเรา ในโลกนี้คือสิ่งที่จะอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวที่สมานสามัคคี ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง รู้ว่าไม่เท่ากันก็ต้องพยายามผสมผสานกันไปให้ดีที่สุด เมื่อสมมุติว่าอย่างไหนถูกก็เป็นเรื่องสมมุติสังคม ใครยึดผิดยึดถูกก็ทะเลาะกันไป ต้องเป็นธรรมะสองเสอม 

ผู้พ้นอวิชชา คือรู้ว่า สองนี้คือเขายึดว่าตนเป็นหนึ่ง แต่ถ้าปฏิบัติตนไม่มีตัวตนก็จะรู้ว่าความเป็นหนึ่งคือมวลหมู่ที่อยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ....

ชาวโลกที่อาตมาว่าต้องมาเอาแบบคนจน และขาดทุนคือกำไรของในหลวงที่อาตมานำมาเผยแพร่ คนเขาฟังก็อาจไม่เข้าใจได้ เขาก็ไม่กล้าท้วงเพราะว่าเราเอาพระราชดำรัสในหลวงมายืนยัน แต่เขาก็ยากจะเข้าใจ ที่ว่าแบบคนจน ที่คนต้องมามักน้อยสันโดษสละออกจนหมดตัวตน จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ที่อบอุ่นประเสริฐ เป็น civilizationที่โลกต้องการ แต่เขานึกไม่ออกว่าสังคมแบบนี้มีด้วยหรือ แล้วจะสงบสุขอย่างไร มันเป็นอจินไตย อตักกาวจรา ไม่อาจนึกคิดด้วยเหตุผล หากปัญญาญาณไม่พ้นเขตโลกียะ สู่โลกุตระที่เป็นธรรมะเหนือโลกได้ก็ไม่อาจรู้ได้ มันทวนกระแส ปฏิโสตัว กลับดับเป็นขาว หันกลับคนละทิศทาง 

อาตมาแม้ประกาศตนหลายอย่าง เขาอาจเห็นว่าอาตมาผิด แต่ลึกๆเขาจำนนเอาผิดไม่ได้เพราะอาตมามีหลักประกันคือพระไตรปิฎก และความจริงที่อาตมาอธิบายขยายความ และมีคนปฏิบัติได้เห็นๆ และเขาเองก็มีภูมิปัญญาลึกๆรู้ว่าถูก มาเอาแบบจนนี่ เขารู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้สังคม เขาจนแต่เขามีอยู่มีกิน เผื่อแผ่แจกจ่ายคนอื่น พฤติกรรมนั้นย้อนแย้ง เขาจึงจำนนต่อลักษณะจริง ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาเลยอยู่รอดนี่คือ ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง 

อาตมาขอขยายความอุตริมนุสธรรม ซึ่งมีหลายแง่เชิง 
ผู้ไม่มีอุตริมนุสธรรมในตนแล้วบวชเป็นเรื่องผิดที่ร้ายแรง อวดแล้วเป็นกรรม รู้ทั้งรู้ว่าตนไม่มีแล้วอวดว่าตนเองมีตนเองเป็น มันเป็นเวรกรรม เป็นนรกจริงๆ ไม่เอาไม่ได้ 
1.ไม่มีในตน คนส่วนใหญ่ไม่รู้ง่ายมีไหมในตน ก็ไม่มีวันเป็นบุคคล 4 ได้ แม้แต่ตัวธรรมะเอง ธรรมะที่เป็นอุตริมนุสธรรม เช่นฌาน สมาธิ สงบสมถะ หรือวิปัสสนา พวกนี้อุตริมนุสธรรมทั้งนั้น แต่ตนเองไม่มีในตนหรอก แต่ไปคุยโม้ว่ามีในตน หรือไม่รู้ 
2.รู้ว่าไม่มีในตน 
3.หลงว่ามีในตน มันนึกว่าตนเองมี แต่ตนเองที่จริงไม่มี เช่นฉันรู้ดีในสมถะ ในฌานในสมาธิ เขาก็หลงได้ หลงสิ่งที่รู้ผิดๆ คือหลงสิ่งที่ผิดว่าถูก หรือแม้แต่หลงสิ่งที่ถูกว่าผิด 
4.รู้ว่ามีในตนแล้วอวดด้วยใจอยาก อันนี้มีอุปกิเลส ก็ยังดีไม่บาปหนัก อย่างพวกไม่มีในตน หรือพวกหลงว่ามีในตน แล้วหลงผิดว่ามีก็ไปอวดทั้งที่ตนไม่มี อย่างนั้นจริงๆแล้ว ยังบาปน้อยกว่ารู้ว่ามีในตนแล้วก็ไปอวดอย่างใจอยากอีก 
5.รู้ว่ามีในตนแล้วแสดงออก อธิบายอย่างประมาณผิด เช่นผิดกับอนุปสัมปัน ไม่ควรพูดกับคนกลุ่มนี้หรือเปล่าการประมาณผิดไม่ได้บาป แต่มันเสียสังคม ตนเองบรรลุแล้วด้วยมีธรรมะแล้ว แล้วไปแสดงอย่างปรารถนาดี อธิบายมากไป ขาดไป บ้าง ก็ไม่ควร เป็นความผิดพลาด พระพุทธเจ้าก็ว่าไม่พอดี ควรทำให้พอดี ท่านก็ปรับปาจิตตีย์ 
6.รู้ว่าในตนมีแสดงออกกับคนไม่ควรแสดง ก็อาบัติปาจิตตีย์ 
7.รู้ว่าในตนมีแสดงออกกับคนไม่ควรแสดงอย่างใจอยากด้วยก็ผิดสองต่อ 
8.รู้ว่ามีในตน แล้วประมาณอย่างเหมาะควร แสดงแก่คนที่เหมาะควร อันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุด ไม่มีอาบัติอะไรเลย 

ก็อาจยากหน่อยแต่ก็ต้องพยายามเข้าใจ เพราะว่าพวกเรามีอาริยบุคคล เวลาจะเผยแพร่ สรุปคือถ้าอยากอวดอย่าแสดงเลย พยายามอย่าแสดงเลย อยากแสดงกับหมู่กลุ่มหรือคนใดคนหนึ่งก็ตาม หากรู้ว่าอยากก็ระงับไว้ อย่าแสดง หรือว่าถ้ามีคนเซ้าซีให้แสดงมากๆก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าแสดงโฉ่งฉ่าง แต่คนมีใจไม่อยากอวดก็จะระวังสังวร แต่คนที่อวดดีมีอัตตาใจอยากแสดง แม้เหมาะไม่เหมาะก็อย่าแสดง นั่นเป็นประเด็นแรกเลย สองจะแสดงก็ต้องดูว่าเหมาะควรไหมตามสัปปุริสธรรม 7 
ประมาณอัตถะ ธรรมะ เนื้อแท้จุดลึกซึ้ง หรือจะแสดงกว้างขวางแค่ไหน
อัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ 
กาลัญญุตา ทั้งเวลาปัจจุบัน และองค์รวม ยุคสมัย ทั้งโอกาสนั้น
กับหมู่กลุ่ม ปริสัญญุตา ประมาณมวลหมู่มีผู้เป็นอุปสัมบันส่วนใหญ่ แม้มีอนุปสัมบันบ้างแต่ถ้าหมู่ที่จะเข้าใจมีมากก็บอกได้ อย่างเขาเพ่งอาตมาพูดออกทีวีก็มีคนไม่เข้าใจฟังนะ แต่ว่าเราก็ต้องเอาตามกาลที่จะมีคนรู้ได้ให้บอก ไม่เช่นนั้นขาดประโยชน์ต่อส่วนใหญ่
กับแต่ละคนเลยว่าเราควรแสดงไหม

อาตมาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย ใช้ปัญญาประมาณในการแสดงออกอยู่ให้พอดี คนยุคนี้ฉลาดมีมาก แม้คนชั่วจะมีก็ตาม เขาได้ยินอาตมาอธิบายเขาก็จะไม่เชื่อแต่เขาฟังก็รู้ ได้ยิน เหมือนคอมพิวเตอร์ถูกเคาะ ในคอมพิวเตอร์เขา จะเป็นสมบัติเขา แม้เขาไม่ใช้ก็มีอยู่ แต่บางอย่างเราไม่อยากเคาะใส่เพราะเปลืองเนื้อที่แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ อย่างเด็กที่เขาซึมซับ โตขึ้นจะเอาไปใช้ได้ อาตมาก็เห็นเช่นนั้น


วันนี้ตั้งใจพูดเรื่อง "วิปลาส"  
คำว่าวิปลาสคือผิดไปจากความจริง ที่เป็นความจริงขั้นอาริยสัจ สัจจะอันประเสริฐ ไม่ใช่สมมุติสัจจะ

พระพุทธเจ้าตรัส ในพระไตรฯล.21   วิปัลลาสสูตร
         [49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4ประการนี้ 4
ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง 1 ใน
สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข 1 ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน 1 ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม 1 สัญญาวิปลาส
 จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส4 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส
ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง 1 ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ 1ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน 1
ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม 1 สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ
     

เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญ
ผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่ง
ที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
และสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อ
ว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษม
จากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสาร
ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด
ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้
เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา
 ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ได้จิตของตน
ควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็น
สิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความ
เป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน    ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม     สมาทานสัมมาทิฐิ จึง
ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ ฯ

และมีท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ อธิบายไว้ว่า  วิปลาส มี 3 ระดับ คือ
       1. สัญญาวิปลาส (สัญญาคลาดเคลื่อน, หมายรู้ผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนตกใจเห็นเชือกเป็นงู - distortion of perception)
       2. จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้าเป็นอาหาร - distortion of thought)
       3. ทิฏฐิวิปลาส (ทิฏฐิคลาดเคลื่อน, ความเห็นผิดพลาดจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเชื่อถือไปตามสัญญาวิปลาส หรือจิตตวิปลาสนั้น เช่น มีสัญญาวิปลาสเห็นเชือกเป็นงู แล้วเกิดทิฏฐิวิปลาส เชื่อหรือลงความเห็นว่าที่บริเวณนั้นมีงูชุม หรือมีจิตตวิลาสว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีผู้สร้าง จึงเกิดทิฏฐิวิปลาสว่า แผ่นดินไหวเพราะเทพเจ้าบันดาล - distortion of views)

       วิปลาส 3 ระดับนี้ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นไปใน 4 ด้าน คือ
       1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง (to regard what is impermanent as permanent)
       2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข (to regard what is painful as pleasant)
       3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน (to regard what is non-self as a self)
       4.. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม (to regard what is foul as beautiful)
คนเข้าใจโลกุตระไม่ได้จะเอาโลกียะมาแปล เช่น คำว่า เห็นเชือกเป็นงู เข้าใจแบบนี้เป็นโลกียะ ซึ่งคนจะเอาไปปฏิบัติแบบโลกุตระไม่ได้ มันไม่ใช่เห็นปรมัตถ์ที่พระพุทธเจ้าว่า เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นความทุกข์ว่าสุข เป็นต้น เห็นความไม่มีตัวตนเป็นตัวตน อย่างนี้คือวิปลาส จากอาริยสัจ การจะเห็นความไม่เที่ยงนั้นไม่ง่ายในระดับปรมัตถ์  

วิปลาสนี้หากแยกแยะระหว่างโลกุตระกับโลกียะไม่ได้ก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ จะไม่เข้าใจกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่เที่ยงก็ทำยาก โลกุตระเริ่มที่กาย ที่เวทนาว่า มันไม่เที่ยงอย่างไร มันเป็นทุกข์แต่คุณหลงว่าสุข ทั้งที่สุขที่มีองค์ประกอบที่หยาบแล้วโลกเขาก็สุข เขาก็เกิดอารมณ์สุข แต่เราก็เห็นว่ามันไม่พาเจริญเลยเช่นหลงอบายมุข เช่นไปให้ผู้ที่สร้างอารมณ์บันเทิงเริงรมย์เสียเวลาแรงงานทุนรอนหลงกีฬา รสบันเทิงเริงรมย์เป็นต้น ถ้าเรื่องหยาบเรื่องเสพติดแต่เขาไม่เข้าใจว่าเสพติดรสอร่อยกีฬาบันเทิง จัดจ้านมาก ต้องแพงต้องสูง บางทีติดมากๆไม่ดูในจอ มันต้องไปดูของจริง ค่าชมต้องล้านบาท ไปดูเจ้าฟรอยด์ชกกัปปาเกียว เป็นต้น เสียเวลาแรงงานทุนรอน เอาเงินออกนอกประเทศอีก เขาไม่รู้นี่คือความหลงผิด เป็นความหลงผิดระดับโลกุตระแต่เขาไม่เข้าใจ 

สัญญาวิปลาส เช่นไปเข้าใจว่า กาย คือร่างที่ไม่มีนามไปร่วม เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ก็กำหนดกายได้แค่มหาภูตรูป 4 จะกำหนดเกินนั้นไม่ออก ไม่รู้ปสาทรูป ไม่รู้โคจรรูป ไปกระทบสัมผัสกัน จึงเกิดนามธรรม จากรูปเป็นนาม แล้วคุณต้องมาเอาปรมัตถ์ที่นามธรรมถูกรู้ กายอันนี้จึงมาเป็นนามธรรม พระพุทธเจ้าว่ากายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ เป็นองค์ประชุม แล้วจะกำหนดอันนี้เป็นกาย กายที่กำหนดอันนี้มันข้ามเขตของดิน น้ำ ไฟ ลม เลยเขตปสาทรูปมาแล้วแต่ถ้าปสาทรูปไม่ทำงานหรือพิการก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่พิการ แต่โคจรรูปไม่ทำงานไม่ดำเนินทำการปฏิฆสัมผัสโสกัน ก็ไม่เกิดภาวรูปให้คุณได้รู้ เมื่อกระทบสัมผัสแล้วจึงเกิดนามธรรม เป็น วิญญาณขึ้นมา แล้วจึงวิจัยลงไปในวิญญาณว่า เวทนา สัญญา สังขาร

องค์รวมที่เป็นกายคือวิญญาณที่เกิดจากธรรมะสอบ ปสาทรูป+โคจรรูป= วิญญาณ เป็นมโนต่อไป เป็นภาวรูป รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ในจิต อยู่ที่หทยรูป จะกำหนดนอกหรือในก็แล้วแต่ แต่ไม่ขาดจากกันทำงานร่วมกันเป็นภาวะแล้ว ลึกลงไปอีกจากรู้แล้วเกิดจากตัวคุณ หทยรูปของคุณไม่ใช่ไปวุ่นวายกับใครแล้วนะ อาการเกิดเป็นอาการทางนาม ไม่ได้หมายว่าขาดไปจากกายที่เป็นองค์ประชุม มันปรุงแต่งกันอยู่ภายใน  คุณก็อ่านเจาะลงไป ในเวทนา ในอารมณ์ความรู้สึก

ความรู้สึกแรกเลยคือเราจะต้องอ่านเวทนาทั้งหมดเลย ที่แจกไว้ 108 คำว่าเวทนาคือจุดสำคัญที่สุดในจิต หทยรูปคือจิต ขาดดินน้ำไฟลม ไม่ได้ ต้ององค์รวมครบ เมื่อได้หทยรูป ก็ได้ชีวิตรูป อ่านอาการของมัน ที่จะแยกย่อยไปอีกเยอะเลย อาการเหล่านั้นคือจิตต้องอ่านจิตให้แม่น ว่าเป็นพลังงานแบบโลกีย์ หรือเป็นโลกุตระหรือเนกขัมมะ มันเป็นอาการเวทนาอย่างไร คุณก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจากโลกียะมาสู่โลกุตระได้เพราะทิฏฐิคุณวิปลาส คือเข้าใจผิดคำว่า กาย กำหนดกายผิด ผิดแล้ว จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส

เพราะทิฏฐิคุณวิปลาส ก็เลยสัญญาวิปลาส เพราะไม่ได้เรียนรู้สัมมาทิฏฐิ ไปรู้แต่มิจฉาทิฏฐิใช้สัญญาใช้ทิฏฐิไม่เป็น กำหนดกายก็ไม่เป็นทิฏฐิวิปลาสไปหมด ไม่มีทิฏฐิเบื้องต้น ท่านเอาทิฏฐิไปไว้ข้อ 3 นี้เพื่ออธิบาย แต่ความจริงแล้วคุณต้องมีทิฏฐิก่อน เหมือนทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คุณต้องศึกษามรรควิธีก่อนแล้วจะไปอ่านทุกข์ สมุทัย นิโรธได้

อาตมาได้คำตอบที่พูดไปขณะนี้ว่า ต้องพูดแล้ว คนดูทุกคนวิปลาสทั้งนั้น เพราะคุณไม่เข้าใจว่าทุกข์คือสุข ไปเห็นว่ารสอร่อยมี ทั้งที่ตัวตนความอร่อยไม่มี มันมีแต่รู้ตามจริง สิ่งที่ปรุงแต่งเกินจริงคือวิปลาส คุณเหลือเศษความอร่อยอยู่คุณคือคนวิปลาส มันน่ากลัวมากเลย ผู้ที่ไม่วิปลาสจริงๆคืออรหันต์ขึ้นไป แม้เป็นอนาคามีก็วิปลาสส่วนตัวงมงายในส่วนตัวของตน แต่ก็รู้แล้วล้างไป สกิทาคามีก็รู้เพ่ิม โสดาบันก็รู้ตัว

ธรรมะพระพุทธเจ้าที่เป็น 
1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง) 
2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) 
3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) 
4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)  
5.     ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) 
6.     อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) 
7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) 
8.     ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ไม่ใช่ความสงบอย่างปลีกหนีคน ออกไปอยู่ที่ป่าช้า ที่ป่าเขาถ้ำ ท่านตรัสกับพระอุบาลีว่าพระอุบาลีปรารถนาจะไปอยู่ป่า  และราวป่าอันสงัด พระพุทธองค์ตรัสว่า...  ป่าและราวป่าอันสงัดอยู่ลำบาก  
ทำความวิเวกได้ยาก   ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว.    ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย 

ที่ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ว่า จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้าเป็นอาหาร - distortion of thought) นั้นไม่ใช่เรื่องของปรมัตถ์ มันเป็นเรื่องโลกีย์ เป็นเรื่องโลกๆ คนไทยเอาหญ้าหลายชนิดมาเป็นอาหารเป็นยาได้หลายอย่างเลย หมอชีวกฯก็เอามาเป็นยาได้ มันไม่ใช่วิปลาส จิตวิปลาสคือ รวมแล้วจะเป็นจิตสังขาร (องค์รวมภายใน) 

ตอนตายไปแล้วสมมุติว่าคุณล้างกิเลสจากสัปรด ที่อยู่ข้างหน้านี้ คุณสัมผัสสัปรด ตอนเป็นๆนี้ไม่ติดยึด ถ้าควรได้อาศัยก็รู้ตามจริง รู้เปรี้ยวหวาน ไม่มีอัสสาทะเลย ตอนเป็นๆ ตายไปไม่มีสัปปรดให้สัมผัสหรอก ไม่มีในจิตเลยอัสสาทะไม่มี ตายไปจิตวิญญาณก็ไม่มีนรกสวรรค์กับสัปรดเลย แต่อาการในในโลกที่คุณต้องสุขทุกข์กับมัน ตายไปคุณก็ต้องสุขทุกข์กับมัน ถ้าไม่พ้นอวิชชาตายไปก็ยังมีกายอยู่เลย เป็นองค์ประชุมของผีบ้าอยู่เลย

ต้องปฏิบัติขณะมีวิญญาณครบนี้ จะเรียก กาย จิต วิญญาณก็ตาม ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยังมีสิ่งที่มีแต่ถ้าคุณสามารถแยกมันได้เป็นๆ ตายไปก็ไม่มีกาย ความสำคัญคือต้องให้กายมันหมดไปแต่ปัจจุบัน แล้วก็จะไม่มีกาย จิต มโน  ถ้ารู้ว่ากายมีดินน้ำไฟลมจะปฏิบัติไม่ได้เลย ต้องรู้องค์รวมที่เป็น 

จิตสังขาร เราไม่เรียกว่า วิญญาณสังขาร แม้มโนสังขารก็ไม่มี เมื่อในจิตล้างสังขารจิต จนหมดอาการปรุงแต่ง จะเหลือละเอียด จนสุดท้ายเหลือแต่ความลำบากเล็กๆน้อยๆ แล้วก็จะต้องสนิทไปหาจิตลึกๆภายในเรียกว่า มโนหรือมนะ จะทำงานร่วมกันเรียกว่า อายตนะ เป็นมนายตนะกับธรรมายตนะสองอันสุดท้ายที่จะต้องรู้ชีวิตินทรีย์สัตว์สุดท้ายคือ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ คุณกำหนดรู้สัตตายตนะตัวนี้จนดับความเป็นสัตว์พ้นแล้วอสัญญีก็จบสัตตายตนก็หมด ความเป็นสัตว์หมดไปจากอายตนะได้ ความเป็นสัตว์อยู่ที่อสัญญีสัตตายตนะ 

ต้องใช้สัญญากำหนดเรียนรู้จนละเอียดถึงเนวสัญญานาสัญญา แปลว่าสัญญาที่กำหนดรู้ไม่หมดไม่จริง มีส่วนไม่ครบรู้ ต้องรู้จนไม่มีไม่รู้เลย จนหมดเกลี้ยงสิ้นไม่มีความไม่รู้เหลือแม้ธุลีละอองเหลือ จนพ้นเนวสัญญา นาสัญญา จะสัญญาอะไรก็ตามต้องรู้หมด จนเป็นสัญญาเวทยิตตัง คือเคล้าเคลียเวทนา เพราะได้ทำมาตั้งแต่ต้น ในรูปฌาน อรูปฌาน ตรวจสอบจนพ้นอวิชชาสวะ จนพ้นอวิชชานุสัยสมบูรณ์สุด จึงใช้สัญญาสำคัญจนหมดวิปลาสได้ เพราะจิตของเราหมดวิปลาส ทิฏฐิของเราก็เป็นปัญญาสมบูรณ์แบบถ้วนเลย

ทิฏฐิแปลว่าลัทธิ ศาสนา ความเป็นปัจจุบัน ในทิฏฐิ 62 มี 18 เป็นอดีต มี 44 เป็นอนาคต รวมแล้วเป็นมิจฉาทิฏฐิหมด เป็นวิปลาสทั้งนั้น มีแต่ กามกับฌานอีก 4 ที่เป็นจริง

คนใดเห็นว่ากามเป็นทิฏฐิที่ต้องเอาก็คือคนกามโลกๆ แต่ถ้าเป็นฌานแบบฤาษีก็สะกดจิตระงับกามด้วยพลังงานสะกดไว้ วิกขัมภนะ สะกดไว้แต่ไม้ได้มีความรู้จิตเจตสิก ปรมัตถ์ต่างๆ 

คำว่าวิปลาสนี่คือจิตบ้า ไม่รู้จักอาริยสัจ อาริยะสูงสุด แม้ไม่เข้าใจอาการโลกียะกับโลกุตระก็ยังยาก จะไปกำหนดรู้สัญญา เวทนา ว่าเป็นโลกียะกับโลกุตระอย่างไรก็ยากแล้ว สัญญาคือตัวกำหนดหมายองค์รวมของจิต ส่วนทิฏฐิคือความรู้ความเข้าใจ เป็นส่วนสำคัญ ถ้าทิฏฐิไม่รอบไม่ครบสมบูรณ์ในสัมมาทิฏฐิก็ยาก

เช่นทิฏฐิ 62 อดีตก็วิปลาสหากคนไม่รู้ก็ยาก พวกอนาคตก็สร้างวิมานไป ไม่มาสัมผัสทวาร 5กระทบสัมผัสเป็นปัจจุบันก็ไม่รู้ ดังนั้นทิฏฐิ 5 จึงเป็นทิฏฐิปัจจุบันที่ถูกต้อง ที่ต้องเป็นแดนปฏิบัติให้เกิดผลเลย 

คนที่หลงไปอดีต อดีตมีไม่มากเท่าอนาคต อดีตมีทิฏฐิแค่ 18 แต่อนาคตมีทิฏฐิมาก 44 ทุกวันนี้มีมากกว่ามากเกินกว่ายุคพระพุทธเจ้าอีก แต่อดีตกับอนาคตไม่ใช่สิ่งที่คุณจะเอามาปฏิบัติ อดีตทำไปแล้วเป็นวิบากต้องรับวิบาก หรือจะมีวิธีการของพระพุทธเจ้าที่หนีวิบากไปได้ ส่วนอนาคตไม่เกิดแต่ก็วาดวิมานมากมาย พวกที่ไปปั้นว่าบุญคือสิ่งที่จะได้ในอนาคตนี่ทำบาปมาก บุญคือสิ่งที่เสีย ไม่ใช่สิ่งที่จะได้ เพราะว่าบุญเป็นตัวชำระกิเลส ไม่ใช่กุศลที่เป็นความดีที่อาศัย แต่เอากุศลมาแปลงเป็นบุญหลอกคน บุญเลยเสียไป ไม่เหลือเครื่องมือชำระกิเลสเลยในตลาดโลก แม้ศาสนาอื่นก็เอาคำว่านักบุญไปใช้ ทั้งที่ไม่ได้เรียนรู้ปรมัตถ์เลย แม้แต่คนโลกๆก็เรียกเขาว่าคนมีบุญ ทั้งที่ไม่รู้จักบุญเลย

บุญ ถ้าของเปาปุ้นจิ้นคือ เครื่องประหารหัวหมา คุณมีหรือยัง คุณมีเอาไว้ใช้ตัดหัวหมาทุกหัวหมา สมมุติว่าคุณมีหมากี่ตัวก็ถ้าตัดหัวหมาหมดก็ไม่ต้องใช้มันอีก เหมือนเราพายเรือข้ามน้ำได้แล้วก็ไม่ต้องแบกเรือไปอีก บุญก็คืออย่างนั้น แต่ไปสัญญากำหนดหมายหรือทิฏฐิผิดว่าบุญคือกุศลก็วิปลาสไป เพราะทิฏฐิผิดก็ไปกำหนดหมายผิด ก็เจ๊งกระบ๊งเลย 

ในความละเอียดลออลึกซึ้งตามที่บรรยายนี้ อาตมาบอกมาแต่ต้นว่า วิปลาสในภาษาไทยว่าคือคนบ้า แต่พอฟังวันนี้จะรู้ว่า แท้ๆตัวเราก็คือคนบ้าคนวิปลาสคนหนึ่งนะนี่ ไม่ใช่คำตื้นๆเลยนะ 

_ป้ามิ่งหมายสงสัยว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน 5 เป็นอย่างไร?
ตอบ... ก็ต้องใช้เวลาอธิบาย อันนี้รวมหมดเลย ทั้งสิ่งที่มิจฉา สัมมา แล้วแยกกามสุขขัลลิกะกับอัตตกิลมถะ 
การหลงว่ากามคือนิพพาน คำว่านิพพานคือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ที่พึงได้ แต่ไปเข้าใจผิดว่าได้กามกับอัตตา ในความเป็นอัตตาหากไม่สัมมาทิฏฐิแต่ต้นไปนั่งหลับตาทำก็ได้อัตตา ที่ไม่ครบสมบูรณ์ในรูป 28 ก็ได้นั่งเป็นสัญญาวิปลาส คนไปนั่งหลับตาปฏิบัติคือคนสัญญาวิปลาส ไม่มีกายที่ครบ สำหรับปฏิบัติแต่ต้น กลาง ปลาย แต่นี่ไม่ได้ปฏิบัติตามลำดับเลย ที่ต้องครบทั้งนอกและใน เป็นอรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิปัสสติ เมื่อดับกิเลสในปัจจุบันตั้งแต่อบายภูมิ ดับได้แล้วอยู่ข้างนอกก็จริง ไปข้างในก็จริง หากดับอบายภูมิดับกามภูมิได้ แม้ตอนเป็นๆ ตายไปก็ไม่มีกามภพ ไม่ต้องดิ้นมาก เช่นอนาคามีเป็นต้น แต่คุณเป็นๆนี่ต้องอาศัยข้างนอกและใน ปฏิบัติล้างทั้งรูปราคะอรูปราคะ กำจัดหมดทั้งนอกและในหมดสิ้นเกลี้ยงเลย ตรวจสอบด้วยอรูปฌาน จนสัญญาเวทยิตนิโรธ ปัจจุบันหมด ตายไปก็นิโรธหมด จะมาเกิดอีกก็แล้วแต่คุณ จะปรินิพพานก็เรื่องของคุณ 

เวลาแยกกาม นี่แหละคนไม่รู้จักความรู้จักอยากใคร่ ถ้าคุณอยากใคร่ในธรรมคือธรรมกาโม แต่ถ้าใคร่อยากในรสโลกโลกีย์เป็นสิ่งสวยงามอร่อยได้มากได้มี สมบัติโลกีย์มีแต่มากกับมากคือกาม แล้วมีบางพวกปฏิบัติแบบเสพกามให้เต็มที่เลยถึงจะเบื่อหน่ายบรรลุเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าว่าไม่สอนแบบนี้ 

ในกามคือเหตุปัจจัยที่มีปัจจุบันนั้นๆกับสิ่งนี้ ครบพร้อมทั้งนอกและใน มหาภูตรูป จะเกิดในยุคไหนจะสมมุติอย่างไร เป็นวัตถุเป็นอรูปอย่างไรก็ศึกษา หมดกามภายนอกแล้วก็เหลือภายในให้ล้างอีก จนเหลือแต่ภายใน แม้กระทบสัมผัสมันก็จะออกมาให้รู้ แต่ถ้าไม่สัมผัสมันก็จะจมอยู่ในอนุสัย ต้องสัมผัสกระทบตลอดเพื่อให้ล้าง ถ้ากระแทกแรงๆ คุณสู้ไม่ได้ก็ตาย คุณก็ถูกมันลากคอลงนรก แต่ถ้าว่าไม่ไหวกระแทกอย่างนี้ไม่ไหวก็แบ่งทำไป ไม่งั้นไปไม่รอด เราเอาตามปริตตังไป 

กาม หรือนั่งหลับตา นั่งหลับตาไม่มีปัจจุบัน การนั่งหลับตาตัดออกไปได้เลยไม่ใช่แบบพุทธ หรือไปนั่งสร้างภพเองก็บ้าบอได้ ปั้นเนรมิตเอาตามใจ ไม่มีของจริงเลย ทั้งอดีตและอนาคตเกิดในสัญญา จึงต้องปฏิบัติในปัจจุบัน จะได้ทั้งหมดกามและอัตตาที่เหลือ แม้ในอนาคามีก็ตาม ตัดกาม ตัดรูปภพ อรูปภพเหลืออัตตาสุดท้ายตัดอีกก็ก็เป็นนิพพานในปัจจุบัน 

_หนึ่งดาวถาม....วิปลาส 3 ทำไมเร่ิมที่สัญญาวิปลาสก่อน 
ตอบ...ทิฏฐิคือความรู้ที่เบื้องต้นต้องรู้องค์รวม และการจะมีทิฏฐิที่ถูกต้องจะต้องได้ฟัง แล้วจึงจะเอาไปใช้ สัญญาคือตัวใช้งาน ส่วนทิฏฐิคือความรู้รวม ส่วนสัญญาเอาไปใช้กำหนดรู้ ตามทิฏฐิ สัญญาและทิฏฐิก็เป็นจิต จิตเป็นภาษากลางๆ แล้วทำไมเอาทิฏฐิไว้ปลาย ก็เหมือนกับที่อาริยสัจ 4 เอามรรคมาไว้ท้ายสุด 

เวลาใช้จริงๆเมื่อเรามีวัตถุจะใช้จึงเกิดการเรียนรู้จากผู้รู้ก่อน ทิฏฐิิเป็นประธานของมรรค เมื่อทิฏฐิถูกก็จะใช้สัญญาได้ถูก จะต้องเรียนรู้ทิฏฐิก่อนแล้วไปใช้สัญญา ต้องคบสัตบุรุษก่อนจะได้ประธานของมรรค เพื่อปฏิบัติ ในตัวกำหนดครบมรรคองค์ 8 มีทิฏฐิเป็นประธาน เวลาปฏิบัติต้องใช้ทั้ง 8 แต่ให้เรียนสัมมาทิฏฐิก่อน แต่เวลาใช้จริงใช้ทั้ง 8 คือรู้ทุกข์รู้เหตุ แล้วรู้นิโรธ ปฏิบัติล้างเหตุ ตัวปฏิบัติจริงคือสัญญาแต่ตัวที่ต้องรู้ก่อนคือทิฏฐิ จะต้องสัมมาทิฏฐิก่อนจึงปฏิบัติถูก 

ต้องมีสัมมาทิฏฐิที่รู้ว่า ต้องปฏิบัติในปัจจุบันนะ คำว่า ทิฏฐ หรือทิฏฐิ แปลว่าลัทธิหรือแปลว่าปัจจุบันนะ 

_เกร็ดดิน ถาม ...ถ้าวิปลาส 3 ต้องต่อด้วย วิปลาส 4 
ตอบ... เอาไว้วันหลังมาอธิบายต่อ วันนี้หมดเวลาแล้ว...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:02:17 )

580811

รายละเอียด

580811_เทศน์ก่อนฉัน ศีรษะอโศก ความเป็นแม่เป็นพ่อเนื่องในวันแม่แห่งชาติ

พ่อครูว่า….วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ 11สิงหาคม 2559 วันนี้ถือเป็นวันแม่ สำหรับที่นี่ เราก็ชัดเจนในเจตนา จุดมุ่งหมาย ให้คมชัดแม่น ก็ใช้ได้

ถ้าเราเข้าใจสภาวะสองที่แตกต่างกัน คือ แม่กับพ่อ เป็นธรรมะสองที่จะก่อให้เกิดสิ่งที่สามคือลูก

สองอย่างที่มีความต่างกัน อย่างฟิสิกส์ nuclear fusion กับ nuclear fission บางทีเราก็ให้ fission​เป็นพ่อ fusion เป็นแม่ บางทีเราให้ fissionเป็นแม่ fusion เป็นพ่อ

ที่แตกกระจายไปไม่สิ้นสุดเรียกว่า fission ส่วนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนคือ fusion

สภาวะที่เป็นเอกคือพ่อ เอาไปใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพก็ถือว่าเป็นภาวะพ่อ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มีมากมีเยอะ มีจุดสำคัญเยอะกว่านะ แล้วแน่กว่าดีกว่าสูงกว่าก็เป็นการใช้คุณค่าของมีมากกว่าเยอะกว่าตัดสินก็ชนะได้ เรียกว่า เยภุยสิกา ใช้คะแนนข้างมากเอาชนะ  ซึ่งบางทีเราก็ใช้คะแนนส่วนมากตัดสิน บางทีเราก็ใช้ส่วนมากให้ชนะไม่ได้เสียทีเดียว ก็มีองค์ประกอบและเจตนารมณ์และมีผล ที่ชัดเจนว่าเราต้องการสัจจะอะไรกันแน่ เป็นความลึกซึ้งมากที่จะตัดสินว่าอะไรคือที่หนึ่งสุดยอด

สิ่งที่เราจะศึกษาเราต้องมีญาณสัมผัสรู้ สิ่งที่ถูกรู้คือรูป ปัญญาคือสิ่งที่รับรู้เข้าใจ บางทีเราเรียกปัญญาเป็นพ่อ เจโตเป็นแม่ บางทีเราเรียกว่า เจโตเป็นพ่อ ปัญญาเป็นแม่ ก็ได้ อยู่ที่รายละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องเดา ต้องกำหนดหมายฝึกสัญญากำหนดหมาย

ขณะนี้อาตมาอธิบายธรรมะ รูปเป็นหลักยังไม่ได้อธิบายในนามที่แจกแจงไปมาก

เร่ิมที่รูป 28 รูปก็มีสอง มหาภูตรูป 4 กับอุปาทายรูป 24

นามต้องมีรูปประกอบด้วยเสมอ ส่วนรูปมันไม่มีนามก็อยู่ของมันได้

มีปสาทรูป กับโคจรรูปทำงานมีปฏิกิริยาร่วมกัน เกิดภาวรูป 2 คืออิตถินทรีย์กับปุริสินทรีย์  ต้องจับอาการที่ หทยรูป1 = 12 (หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป) ที่จะต้องรู้ชีวิตรูป1 = 13)ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส

เราก็เรียนรู้ในอาหารรูป1 = 14)กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร เราก็ทำให้อาหารรูปที่มีอะไรซ้อนในนี้คือกิเลส จัดการได้ทีละปริเฉทรูป1 = 15)อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง

วิญญัติรูป2 = 16)กายวิญญัติ  17)วจีวิญญัติ ไหวให้รู้ วิการรูป = 18)ลหุตา  19)มุทุตา  20)กัมมัญญา ลักขณรูป4 =      21)อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป 

สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง

ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม

อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ

 

การระงับเรื่องราวที่มีปัญหา พระพุทธเจ้ามีหลักเกณฑ์ไว้ครบหมด

 

อธิกรณสมถะ 7 คือการระงับอธิกรณ์ มี 7 อย่าง คือ

1. ความระงับอธิกรณ์ทั้ง 4  นั้น  ในที่พร้อมหน้าสงฆ์  ในที่พร้อมหน้าบุคคล  ในที่พร้อมหน้าวัตถุ  ในที่พร้อมหน้าธรรม  เรียกว่า สัมมุขาวินัย

2. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้สมมติแก่พระอรหันต์ ว่า  เป็นผู้มีสติเต็มที่  เพื่อจะยกไว้ไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติ  เรียกว่า สติวินัย 

3. ความที่สงฆ์สวดประกาศให้ยกเว้นแก่  ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว เพื่อจะไม่ให้ใครโจทด้วยอาบัติที่เธอทำในขณะเป็นบ้า   เรียกว่า อมูฬหวินัย

4.      การปรับเอาผิดตามคำสารภาพของจำเลย  รับเป็นสัตย์  เรียกว่า ปฏิญญาตกรณะ

5.      การลงโทษแก่ผู้ผิด  เรียกว่า ตัสสปาปิยสิกา

6.      ความตัดสินเอาตามคำของคนหมู่มากเป็นประมาณ  เรียกว่า เยภุยยสิกา 

7.     ความให้ประนีประนอมกันทั้ง 2  ฝ่าย  โดยกลบปัญหาไว้ไม่ต้องชำระความเดิม เรียกว่า ติณวัตถารกวินัย

 

ประเด็นที่อาตมาจะพูดคือเอาเสียงส่วนมากชนะ ที่ตอนนี้เข้าใจกันได้ยากหน่อย

ตอนนี้เรื่องประชามติที่ลงคะแนน ที่ไม่รับก็มีสองฝ่ายคือพวกที่มีเจตนาอยากให้ลุงตู่อยู่ กับคนที่ไม่รับเพราะไม่อยากให้ลุงตู่อยู่ ขออภัยที่อาตมาขอบอกว่า อภิสิทธิ์ไม่รับเพราะไม่อยากให้ลุงตู่อยู่ ตนจะได้ครองบัลลังก์ ขออภัยอาตมาใช้ปัญญาอาตมาตัดสินเลย

เมืองไทยเราเป็นตัวอย่างของระบบปชต.สองขา ส่วนปชต.ขาเดียวอเมริกาสร้างมา ออกไปจากปชต.ต้นแบบสองขาคืออังกฤษที่มีกษัตริย์ด้วย

จริงอยู่ที่รธน.นี้ไม่สมบูรณ์แย้งได้ แต่ถ้าให้นายกฯตู่สัก 5 ปี มีอัตราการก้าวหน้าว่าทำได้ดีมากแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ คนก็ต้องให้นายกฯตู่อยู่ต่ออีก หากไม่มีตัวเด่นกว่านี้ แต่ถ้าเห็นว่ามีดีกว่านายกตู่ก็แล้วไป แต่ตอนนี้ไม่มีคู่แข่งเลย เพราะฉะนั้นนายกฯตู่จะอยู่ไปอีก 5 ปีเพราะรธน.นี้ก็สมแล้ว

ยิ่งลักษณ์บอกว่าขอปชต.ที่แท้จริง อาตมาขอบอกว่าปชต.ที่แท้จริงเขาไม่รู้ แล้วปชต.ที่แท้จริงก็ไม่เที่ยงขึ้นกับเหตุการณ์และกาละเวลาที่เหมาะสมในปัจจุบันนั้นๆ กาละเวลาจริงๆแล้วเป็นหนึ่งแท้ แต่เหตุปัจจัยเป็นสองแล้วทำให้เกิดสาม รวมเป็นสามเส้านี้ตลอด ตัวแปรอยู่ที่ 1ใน2นี้ พระพุทธเจ้าให้พิจารณาจากรูป นาม เสมอ

7.     ความให้ประนีประนอมกันทั้ง 2  ฝ่าย  โดยกลบปัญหาไว้ไม่ต้องชำระความเดิม เรียกว่า ติณวัตถารกวินัย อันนี้นี้หมกไว้ก่อนไม่มีปัญญาตัดสินหรือว่า ไม่มีผลมากก็ปล่อยไปได้ เป็นต้น

ภาวะพ่อกับแม่ นี้ ถ้าภาวะแม่ยอมไม่รวนยอมตามภาวะพ่อก็จะทำให้ไปได้ราบรื่น สามเส้านี้อาตมาชาตินี้มาทำงานก็มี ประยุทธสองอย่าง คนหนึ่งทางธรรมอีกคนหนึ่งทางโลก ทำงานไปอาตมาก็เลยสบายๆ เป็นธงชัยไปเลย  อาตมารู้น้อย แต่ท่านปยุต รู้มากเขียนมาก ท่านเป็นเจโต อาตมาเป็นปัญญา แต่ท่านเจโตแต่ท่านทำ

ขณะนี้อาตมาเป็นปุริสภาวะ นายกตู่เป็นอิตถีภาวะที่ทำงานไป

ยกตัวอย่างไชยบูลย์รวบรวมพลเมืองได้มากกว่าโพธิรักษ์แต่พลเมืองของไชยบูลย์เป็นพลเมืองที่ถูกสะกดจิต ถ้ายังสะกดจิตนี้ไม่ใช่ปชต.แต่โพธิรักษ์นี้ใช้ปัญญาตัดสินเป็นปชต.กว่า อาตมาว่าไชยบูลย์นี้ไม่เคยเรียนวิชาสะกดจิต แต่เขามีมาแต่ชาติก่อนๆ เอามาใช้สะกดจิต ชาตินี้อาตมาเรียนวิชาสะกดจิตแต่ไม่ได้เอาไปใช้หรอก อาตมารู้ ทำเป็น แต่ไม่ทำ อาตมาจึงเหนือกว่าเพราะรู้ว่า การให้ปัญญานั้นเหนือกว่าสะกดจิต อาตมาจึงอยู่ในภาวะที่ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ทำได้สำเร็จ อาตมาไม่เอาสะกดจิตเหมือนฝูงควาย แต่อาตมาเอาคนที่มีปัญญาจริง ได้น้อยก็พอใจ เอาปัญญาบริสุทธิ์มาอยู่ข้างอาตมาได้เท่าไหร่เท่านั้น อาตมาจะสู้อย่างบริสุทธิ์หากระแวงอยู่ก็ไม่ต้องมา มั่นใจก็มา ไม่มั่นใจก็ไม่ต้องมา ได้เท่าไหร่อาตมาทำเท่านั้น มีเท่าไหร่อาตมาทำเท่านั้น

ใครก็ตามที่ทำลักษณะ 0 ได้ ตลอด หรือจะให้มีปุงลิงค์ก็ทำได้เด็ดขาดสูงสุด ไม่มีระแวง

ตอนนี้การเมืองจะขึ้นบทใหม่ รธน.ที่จะใช้นี้ เป็นฉบับไม่ถาวร ร่างมาให้นายกฯทำงานต่ออีกหน่อยแล้วให้ปชช.เลือกตั้ง ตอนนี้เขาขอสว.ทำงานก่อน

 

ขณะนี้อาตมานำความรู้มาสาธยายให้พวกเรา อาตมาก็ให้การศึกษาแก่พวกเราตามภูมิ แล้วแน่นอนพวกเราก็มีภูมิ แต่คุณมีภูมิไม่เท่าอาตมา คุณจึงมารับใช่ไหม? ถ้าคุณมีภูมิมากกว่าอาตมาคุณก็มาสอนอาตมาด้วยซ้ำสิ หรือไม่คุณก็มาช่วยอาตมา แต่นี่คุณมีภูมิไม่เท่าอาตมาคุณก็มารับ หรือคุณไม่มีภูมิเท่าอาตมาหรอก แต่คุณหลงแอคนึกว่ามีภูมิมากกว่าอาตมาคุณก็ต้านอาตมา ก็แย้งอาตมาเถียงอาตมา อาตมาก็ไม่สงสัย ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แย้งก็แย้ง อาตมาก็เอาเหตุผลหลักฐานที่แย้งมาศึกษา อะไรที่เข้าท่าอาตมาก็เอามาใช้ อาตมาไม่ได้เสียประโยชน์นะ แต่วิบากของใครก็ของมัน

คุณมาแย้งอาตมานั้นสมควรไหมล่ะ ถ้าคุณมีสิ่งที่ไม่สมควรมาแย้งผู้ที่เหนือกว่า อย่างไปแย้งพระพุทธเจ้า คุณจะมีวิบากไหม หรือคุณมาแย้งผู้ที่เหนือกว่าคุณ ที่มันไม่ถูกสัจจะ คุณก็ต้องมีวิบากของคุณไป อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องสัจจะ ไม่มีปัญหาอะไร

 

พลังงานจิตวิญญาณที่มีความซื่อสัตย์คนนั้นก็เป็นอาริยะหรือคนนั้นเป็นส่วนของพระเจ้าทำงานให้กับสังคมด้วยความซื่อสัตย์ไปตามภูมิธรรม ผู้เป็นอรหันต์ขึ้นไปมีสติวินัยท่านไม่ประมาทหรอก เพราะท่านรู้กรรมรู้วิบาก ถ้าฉลาดเราจะก่อกรรมอกุศลให้แก่ตัวเองไหม คนที่ฉลาดแล้วก็จะไม่ก่อวิบากให้กับตนเอง คนที่ไปก่อวิบากกับตนเองต่อไปก็ไม่ใช่อรหันต์แน่ ผู้ที่ทำอยู่ทำสิ่งไม่ลงตัวเป็นพิษภัยก็ไม่ใช่อรหันต์ ถ้าคุณใช่แล้วคุณไม่ทำ แน่นอนย่ิงกว่านอนแน่

 

สาธารณโภคีคือปชต.สุดยอด ปชต.แท้ ทำงานเสียภาษี 100% ให้มาอ่านที่ใจตน ถ้าทำงานให้ส่วนกลางโดยไม่ได้คิดเอาอะไรจากกองกลางเป็นส่วนแบ่งเลย ผู้นั้นมีจิตอรหัตตผล ไม่คิดหักภาษีได้ส่วนนั้นส่วนนี้ ถ้าส่วนกลางจะให้ก็ให้มาเอง จะอนุเคราะห์เกื้อกูลเขาก็จะทำให้ เราไม่เรียกร้อง อย่างนี้เป็นผู้เสียภาษี 100% ที่สะอาด แต่ถ้าใจคนนี้ยังไม่บริสุทธิ์ยังอยากได้กลับมาอยู่ก็ไม่เสียภาษี 100% ก็ต้องอ่านใจตนเองว่ามีอาการพวกนี้ไหม ถ้าไม่มีอาการพวกนี้ก็เป็นคนของสาธารณโภคี 100% 

อาตมาไม่กลัวว่าชาวอโศกจะมีน้อยกว่านี้ เพราะหลักประกันคือคนกินน้อยแต่ทำมาก ทำให้ส่วนกลางมากแล้วจะไม่เหลือได้อย่างไร นี่คือลัทธิสาธารณโภคี อาตมาไม่กลัวสาธารณโภคีจะจน เพราะคนเหล่านี้มุ่งมาจน ยินดีจ ตั้งใจจน เต็มใจจนจริงๆ เพราะเรารู้ว่าจนคืออะไร จนคือไม่มีอะไรมาก ดีไม่ดีอยู่กับ 0 อยู่กับ 0 ก็ได้ คนที่มั่นใจว่าอยู่ตรง 0 ก็ได้ แล้วพึ่งแรงเราเอง หนึ่งแรงเรามีไหม สองสมรรถภาพเรามีไหม สามความรู้เรามีไหม? สามเส้าเลย มีอภิมหาทรัพย์ของตนเอง เราทำกินทำใช้เองเลย เราก็กินน้อยใช้น้อยไม่ได้ผลาญพร่า

สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มีเท่าไหร่ก็มารวมกัน ในชาวอโศกเรามีอันนี้แล้วจะเผยแพร่ไปเพื่อสร้างตัวอย่าง ให้แก่สังคมมนุษยชาติเอาไปใช้ ไปอาศัย ต่อไป ชาวอโศกจะเป็นชาวที่สร้างตำนานของมนุษยชาติ ของบุคคลอาริยะ สังคมอาริยะ สร้างสรรทำงานไป

ในเมืองไทยมีพรรคการเมืองชื่อพรรคเพื่อฟ้าดินที่แสนสงบเงียบ มีฐานะนิติบุคคลถูกต้อง แต่ทำงานภาคปชช.ไม่เผยอไปสู่ภาคสภาฯ ไม่ต้องลงเลือกตั้ง รอจนกว่าเขาจะเอาวอมาหามไปขึ้นสภา วอมาหามคือเขาเชิญไปลงเลือกตั้ง ปชช.จะเชิญลงเลือกตั้ง

แต่ตอนนี้มีพรรคการเมืองของคุณไพบูลย์ นิติตะวัน พรรคนี้มีคุณไพบูลย์

 

ดี ดีกว่า ดีขึ้น ดีแท้ ดีมากๆ ดีครบถ้วน ดีที่สุด ดีสัมบูรณ์

 

ดีที่สุดคือ ถูกที่สุด เร็วที่สุด งามที่สุด ทนที่สุด

ถูกนี่ยังมีสองอย่างคือ ไม่แพง กับถูกตรงไม่เบี้ยวบิด

 

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

จักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่

เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว

เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

(ภาษาไทย) สี. ที. 9/43-44/90

 

ขอยืนยันว่าเมืองไทยกำลังมีสัจจะที่ดีเกิดขึ้น อาตมาพยายามรวบรวมทั้งพฤตินัยและนิตินัย แม้แต่การศึกษาก็ส่งเสริมนิตินัย เอามาตรฐานเขามา แม้แต่กาเมือง เราเป็นนักการเมืองแม้ไม่มีนิตินัยก็ทำช่วยปชช.เต็มที่ แต่เราก็ต้องมีนิตินัยกัน ก็ส่งเสริมให้ไปเรียนกัน


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2563 ( 15:08:26 )

580811

รายละเอียด

580811_เทศน์ก่อนฉันวันแม่ที่ศีรษะอโศก วิปลาส 4 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 11 พรุ่งนี้วันที่ 12 สิงหาคม ก็เป็นวันแม่แห่งชาติ

การเกิดของดวงดาว เอกภพ หรืออะไรก็ตาม เกิดดวงดาวเกิดวงโคจร แต่ละดวงดาวก็ได้พัฒนาเกิด ดิน น้ำ ลม ไฟ มีชีวะมีพืชมีสัตว์ ก็พัฒนาเกิดมาแต่ละขั้นแต่ละตระกูลแต่ละระดับ เกิดเป็นมนุษย์แล้วยังมีการเกิดทางจิต เป็นโอปปาติกโยนิอีก ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ดีชั่ว จนรู้ดีชั่ว สร้างได้เก่ง จนเป็นพลังงานชีวะ จากพืชเป็นสัตว์มีจิตนิยาม แล้วก็ยังพัฒนาเป็นระดับๆ เป็นตระกูลเป็นขั้นๆ จนเฉลียวฉลาด เป็นคน ที่เป็นสัตว์อเวไนยสัตว์กับ เวไนยสัตว์ 

อเวไนยสัตว์จะพัฒนาให้รู้จักดีชั่ว ไม่ได้ แต่มาเป็นเวไนยสัตว์ที่เป็นกัลยาณชนรู้ดีชั่วได้ จนมาเป็นเวไนยสัตว์ที่พัฒนาได้เป็นโลกุตรบุคคล พัฒนาลดความเห็นแก่ตัวได้ ศาสนาพุทธพัฒนาถึงเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการพลังงานจิต ว่าอาการนี้เรียกอกุศลหรือบาป อย่างนี้เรียกกุศลหรือบุญ

กุศลคือความดีงามความเจริญ ความฉลาดที่รู้เกินสามัญไปเรื่อยๆ จนข้ามเขตโลกียะ ฉลาดแยกโลกียะกับโลกุตระออก พลังงานมันต่างกันอย่างไร โดยรู้จักอาการเชื้อโลกียะที่ยังหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นของน่ามีน่าได้น่าเป็นเรียกว่า สุภะ พึงยินดี พึงได้พึงเป็น มันก็หลงไป จนกระทั่งสามารถวิจัย ความเป็นสุภะหรืออสุภะ มันไม่น่าได้ไม่น่ามี เป็นแค่รสชาติทางจิต เป็นอัตตาของตน

เป็นตัวเห็นแก่ได้ มีทั้งได้มาเป็นของตน เป็นชิ้นเป็นอันเรียกว่าโลภ ได้มาเสพสัมผัสในอารมณ์สมกาม สมราคะนั้น เป็นอาการสัมผัสเท่านั้นเอง สัมผัสแล้วเกิดอารมณ์ชนิดหนึ่ง แล้วสมมุติอารมณ์นั้นว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น จริงๆเป็นเพียงภาวะสองอย่างสัมผัสกันแล้วเกิดอีกอย่างขึ้น ที่มีทั้งเป็นจริง แต่อารมณ์เสริมมีหลอกขึ้นมา ที่เป็นของไม่จริงของเท็จ เป็นอุปาทาน เป็นอารมณ์ที่คนหลอกกันมา เป็นความยินดีพอใจ หลอกกันขึ้นมาจัดจ้านขึ้น แล้วหลงว่าต้องมีมากมาย จัดเยอะ ว่าเราเป็นคนได้มีเป็นขึ้นมา

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องเหล่านี้แล้วมาบอกสอนอธิบายให้คนรู้ส่ิงเหล่านี้ ผู้สามารถฉลาดอ่านอาการของจิต หรือเจตสิกหรือรูป คืออาการพลังงานภายในที่เป็นรวมๆว่าจิต จิตก็ใช้เรียกพลังงานเต็มๆของแต่ละคน หากมีรู้ครบทั้งภายนอกภายใน ทั้งกามภพ ทั้งรูปภพก็เรียกว่าวิญญาณ

แต่ถ้าเอาแต่จิต เอาธาตุรู้มารู้เฉพาะตัวมันเรียกว่าจิต ในจิตก็แตกเป็นเจตสิก เป็นมโน เป็นรูปจิต อรูปจิต ตัวรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ของจิต ภายในเรียกว่านามธรรม นามที่ถูกรู้จึงเรียกว่า นามรูป ตั้งแต่ของหยาบที่ตากระทบเรียกว่ารูป เสียงกระทบหูก็เรียกว่ารูป ลิ้นกระทบรสก็เรียกว่ารูป สัมผัสแม้แต่ภายในกันเองก็เรียกว่ารูป มีญาณปัญญาตั้งแต่สัญญาไปกำหนดรู้ก็เรียกว่ารูป 

คนเรามีองค์ประชุมของธรรมะสอง สิ่งที่มีสองนี้ไม่มีอะไรจะเท่ากัน จะต่างกันเสมอ แล้วจะเกิดปฏิกิริยากัน ไม่ผลักก็ดูด การที่จะให้เกิดสองสิ่งแล้วมันไม่ผลักไม่ดูดโดยธรรมชาติมันก็เป็น บางภาวะอาตมาเรียกว่า พักยกหรือเคหสิตอุเบกขา ต่างคนต่างอยู่ เป็นคราวๆเรียกว่าพักยก ถ้าเกิดอาการของตนทำปฏิกิริยากันก็เกิด เป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เป็นเรื่องราว คือเรื่องที่จะผสมผสานกันมากขึ้นยาวขึ้น เหลี่ยมมุม มีพลังงานผลักกับดูด รักกับชัง จนแรงร้ายกาจ ดูดก็ดูดดึงไม่ปล่อยง่ายๆ ตายเป็นตาย ตายไปก็จิตไม่ยอมปล่อย ข้ามชาติไปอีกได้ไม่ปล่อย ตามเจอก็ว่าของกู เอาอีก ถ้าคนอื่นเอาไปก็แย่งชิง ดีไม่ดีฆ่ากันเลย นี่คือนิยายของโลก

จะต้องมาทำการละล้าง จัดสัดส่วนอย่างพอดี ไม่ทำทีเดียวหมด เป็นปริตตัง แล้วสั่งสมผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นามธรรมจนถึงวัตถุธรรม ที่เป็นธรรมะสอง

ตั้งแต่วัตถุ มาจนพืชก็มีเพศ ถ้าเป็นวัตถุก็รู้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ พระพุทธเจ้าสามารถผสมพันธ์ของจิตวิญญาณไม่ใช่แค่สัตว์ชั้นต่ำ แต่แม้จิตวิญญาณชั้นสูงเรียกว่าปรมัตถ์เรียกว่าอาริยธรรม จากความหมายธรรมะสองนี่แหละ พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่สมสู่ไม่เสพรสแต่ร่วมกันสร้างสรร ไม่เสพรสที่จะทำให้เกิดเชื้อสายทางรูปธรรมอีกเลย แต่ให้เกิดแต่เชื้อสายทางนามธรรมเท่านั้น ทางจิตวิญญาณเท่านั้น จึงเกิดความเป็นเพศแม่เพศพ่อขึ้นมาเป็นมาตา ปิตา ร่วมกันสร้างเป็นธรรมะสอง ร่วมสร้างให้เกิดความไม่ผลักไม่ดูดแต่ร่วมสร้างสรรอย่างมีภูมิปัญญาพิเศษ เป็นเนกขัมสิตะ อย่างถาวรไม่ใช่แค่พักยก สร้างสภาวจิตตนให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้ กลางๆได้ ไม่สืบเชื้อทางวัตถุธรรมหรือมหาภูตรูปอีกแล้วแต่สืบเชื้อนามธรรมเป็นมหาภูตรูป เป็นความวางไม่สมสู่กันทางวัตถุแต่สัมพันธ์กันให้เกิดลูก เป็นสัตว์วิสุทธิเทพ เป็นพรหมสัตว์ สัตว์ที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตที่สร้างและช่วยไม่ทำร้ายใคร 

การช่วยที่ลึกซึ้งที่สุดคือ ช่วยกำจัดหรือทำลายหรือขจัดหรือฆ่า แต่ฆ่าโดยวิธีปล่อยให้เขาไม่มีพลังงานไปร่วมเชื่อมต่อพัฒนาจนเขาฝ่อตายไปเอง นี่คือการฆ่าหรือกำจัดที่ดีที่สุด คือพยายามรวบรวมพลังงานมาอยู่ในส่วนหนึ่งของบัณฑิต แล้วไม่มีพลังงานไปร่วมกับหมู่พาล แยกหมู่พาลกับบัณฑิตออกได้ หมู่พาลเขาก็ทำไปรุนแรงเราไม่ร่วม จนรวมพลังงานหมู่บัณฑิตได้ ช่วยเขาให้รู้ให้หยุดชั่ว หยุดเลวร้ายให้เขารู้สิ่งที่เขาควรเป็น ช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

คนพาลไม่รู้ส่ิงควรหรือไม่ควร เขาก็จะสร้างทั้งส่ิงควรและไม่ควร หนักเข้าเขาจะสร้างสิ่งไม่ควรหนัก แต่ผู้รู้จะสร้างสิ่งควร ไม่มีอกุศลเลย โดยสัจจะของธาตุมนุษย์ลึกๆจะรู้ความจริงนี้ แต่กิเลสมันแรงกลบความรู้หมด มีตัวไม่รู้ออกมาทำงานมากกว่า แต่เขาก็พอรู้มีตัวรู้เป็นเชื้อบ้าง คนไหนที่เขารู้จนเขาหยุดเองหรือพวกพาลจะทำลายกันเอง ก็มี บัณฑิตก็จะช่วยคนพาลได้  มีลักษณะจริง มีความซื่อสัตย์สุจริตจริง 

ในมหาจักรวาลนี้ยังมีพลังงานที่ดีนี้อยู่ ผู้สร้างจิตวิญญาณให้มีพลังงานดังกล่าวจึงได้ชื่อว่าผู้วิเศษสุด ความรู้เหล่านี้ยังตกทอดมาถึงบัดนี้อาตมารับมาแล้วก็ส่งต่อให้พวกคุณ 

อาตมาพาพวกคุณปฏิบัติให้เกิด อาตมาก็มาทำในลักษณะแม่ แล้วมีอะไรเป็นพ่อ พ่อคือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านทำไว้ให้ อาตมาก็ใช้เชื้อเดิมกับความสามารถของอาตมา ทั้งกายกรรม วจีกรรม ผสมส่วนของรากเหง้าเป็นต้นรากเลย Origin หรือเรียกว่า Genesis อาตมาก็นำมาสังเคราะห์ให้เกิดจิตวิญญาณใหม่เป็นโอปปาติโยนิ

ด้วยธรรมะสอง คือพ่อและแม่ ก็ได้จิตวิญญาณใหม่ โดยผู้สร้างเรียกว่าพระพรหม มีพลังงานตรีมูรติ คือพลังงานผู้สร้าง พลังงานผู้ปราบ กับผู้ประนีประนอม  ในสังคมโลกนี้ก็มีการใช้พลังงานสามอย่างนี้ทั้งนั้น สร้างสิ่งมีพลังมากำจัดสิ่งร้ายเลวออก หรือจะให้ไม่ทะเลาะกันแตกคอกัน สร้างสรรสิ่งควรก็มี ทั้งทางวัตถุหรือชีวะแล้ว จนเป็นคน ก็ตาม จนเป็นหลักการสังคม จะเรียกว่าพลังงานศิวะ ราม พรหม ก็ได้

ทำโดยมีเจตนาเลยก็มี ทำโดยที่ว่าไม่มีเจตนาแต่ว่ามีเหตุปัจจัยครบเราก็ทำไปได้ สรุปแล้วเร่ิมต้นที่เราควรเรียน คือเรียนความเป็นพ่อ แม่ ที่เป็น 1 กับ 2 เพื่อสร้างอีกสิ่งคือ 3 ทั้งนามธรรมและรูปธรรมจะเกิดสามเส้า จับตัวกันก็จะเกิดการหมุน โคจร ดำเนินไป เคลื่อนที่ ไปได้กว้างไกล รอบ ถ้ามีสองส่ิงจะไปได้ไม่ไกลได้แค่ยาวกับกว้าง 

เร่ิมต้นก็ต้องมี พ่อ แม่ ลูก ถ้าตระกูลใดมีสามส่ิงนี้ที่เจริญ สังคมนั้นวิเศษ แล้วพ่อแม่ลูกที่เจริญเป็นเช่นไร 

อาตมาเป็นพ่อ แล้วมีผู้มีความรู้โลกุตรธรรมตั้งแต่นักบวช หรือฆราวาสที่มีคุณธรรม โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ช่วยกันเป็นแม่ อาตมาเป็นพ่อ ลูกก็คือทุกคนที่มาร่วมกันสร้างสรร มีจิตวิญญาณที่รู้ในตรีมูรติ ต้องมีสามอย่างในคติในโลกที่โคจรอยู่นี้ โดยเป็นพ่อเป็นแม่ที่ข้ามขั้นกามนิยม ไม่มาร่วมสมสู่ทางเพศที่เป็นรสอร่อย รสอันนี้ไม่แล้ว จะมาสร้างลูกส่ิงที่เกิดทางจิตวิญญาณถ่ายเดียวไม่ต้องไปรับผิดชอบการสมสู่เป็นตัวตนขึ้นมา เอาแต่จิตวิญญาณ เป็นนักผสมพันธ์ุทางจิตวิญญาณ เป็นกัมพันธุที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สรีรพันธ์ุ

แม้แต่ชีวะที่เป็นพีชะก็มีพันธุ์ของมัน จนเป็นสัตว์ก็มี แต่ว่าเป็นรูปธรรม จนมาเป็นคนที่พัฒนาแล้วไม่ต้องสืบพันธ์ทางรูปธรรมแต่สืบพันธ์ุทางนามธรรม นามธรรมจะเกิดพันธุ์ได้ด้วยกรรม เรียกว่ากรรมพันธุ์ แต่ที่เขาเรียก genetic ว่ากรรมพันธุ์นั้นผิด พวกดินน้ำไฟลม ที่เป็นพีชะมันก็ผสมกันโดยธรรมชาติสัตว์ก็ได้ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย ก็เป็นได้แต่พอมาเป็นอาริยะในระดับรู้แล้ว อนาคามีเป็นต้นไปไม่ต้องผสมพันธุ์แล้วเป็นสกิทาคามีก็รู้แล้ว ให้คนอื่นเขาผสมแล้วเอาลูกเขามาสร้างนามธรรมให้เป็นพรหมสัตว์ โดยหน้าที่ที่จะผสมพวกนี้ตั้งแต่พืช สัตว์ก็ทำเป็นแล้วหยุดไม่ได้ ถ้าไม่มีความสามารถพิเศษจนเป็นอนาคามีก็หยุดเลิก สกิทาคามีก็ลดละลง ไม่ต้องผสมพันธ์ุทางวัตถุ มีแต่ผสมพันธุ์ทางนามธรรมให้เกิดลูกทางจิตวิญญาณ 

คนที่เจริญแล้วก็จะหยุดสืบพันธ์ุทางรูปธรรม จะได้เวลา ทุนรอน แรงงาน กลับคืนมา เราก็จะเอาสิ่งที่เขาทำนั้นมาสร้างสรรได้อีกเยอะ ยิ่งคนเป็นโสดยิ่งทำประโยชน์ได้เยอะ แต่คนมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบนั้นเลว ต้องสอนให้เขาดี หากสอนให้เขาเลวก็เป็นพ่อแม่ที่เลวแล้ว ไม่รับผิดชอบไม่ได้ ผิดแล้วสามัญเดรัจฉานก็รับผิดชอบ เมื่อมีต้องรับผิดชอบเป็นชิ้นส่วนของเราหากเขาไม่ดีเรารับผิดชอบด้วย เราเป็นผู้สร้างมา หากสอนผิดก็ยิ่งเลวร้ายซับซ้อน

หากคนโสดก็ย่อมยินดีในการไปช่วยสร้างลูกคนอื่นให้ดี แต่เราไม่ต้องรับผิดชอบเพราะว่าเราไม่ใช่พ่อแม่เขา อาตมาก็พยายามสร้างคนให้ดีแต่คนก็ไม่ค่อยเชื่อถือให้สร้าง เพราะมาสอนให้คนจน หัดจน หัดเอาน้อยมีน้อยแต่สร้างสรรเสียสละมากๆ แต่คนไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าต้องได้มากโลภมาก 

คนที่อยู่ในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน สุดยอดเลย เป็นคนที่จะมีคุณค่าประโยชน์แก่โลกมากที่สุด 

วงการศาสนาพุทธทั้งโลกไม่เป็นโลกุตระแล้วแต่พอได้ยินท่านพุทธทาสที่ได้พูดเรื่องโลกุตระก็ดีแต่ท่านก็ได้แบบท่าน อาตมาก็มาต่อยอดโลกุตระให้ชัดเจน จนสามารถผสมพันธ์ุโลกุตรพันธ์ุได้ แม้หลายศาสดาหลายลัทธิก็ทำได้แต่ละฐานะของศาสดา ส่วนพระพุทธเจ้านั้น ไม่เอาแล้วแบบกัลยาณธรรม แต่ท่านเอาแต่นามธรรม จะได้คนมีแต่อิสรเสรีภาพ จะรู้คนได้กว้างที่สุด จึงมีลัทธิตั้งตนเป็นคนโสดที่ชัดเจน แล้วล้างเหตุที่จะทำให้มีความอยากจะต้องได้เสพรสทางสัมผัสเสียดสีที่เป็นอารมณ์สมสู่มีการร่วมเพศ หรือมีความรู้สึกกามารมณ์ ลดเหตุของกามารมณ์ได้ จนหมดฤทธิ์แรงของกามารมณ์ อนาคามีเป็นผู้หมดกามารมณ์ โดยไม่ต้องกดข่ม เป็นฌาณ ใช้ศัพท์ไทยว่า ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากหรือไม่ต้องทน 

พระพุทธเจ้าสอนให้ลด แม้แต่มีภาวะระริกระรี้เป็นรูปราคะก็ลดเหตุในรูปภพ จนเหลืออรูปภพ ไม่มีจิตอยากไปสมสู่ทางรูปธรรมสิ้นเกลี้ยงแต่ทางนามธรรมรู้ว่าตนมีเชื้อ อย่างอนาคามีก็มี ต้องทำต่อ จนหมดรูปราคะ อรูปราคะ เป็นอรหัตตมรรค เหลือแต่อนุสัย 

อาสวะนั้นแม้แต่กามราคะ กับกามราคานุสัยก็หมดได้ ปฏิฆานุสัยก็หมดได้ จนมีความรู้ใหม่เรียกว่าทิฏฐานุสัย หมดทิฏฐาสวะเหลือทิฏฐานุสัยแล้วก็ถึงรอบอนุสัยสุดท้ายเหลือวิจกิจฉานุสัย มานานุสัย ภวราคานุสัย จนถึง อวิชชานุสัยสุดท้าย ต้องทำความเข้าใจในอนุสัยสุดท้ายแล้วล้างไป จึงรู้ว่าจะไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างไร ลดมานานุสัย เป็นส่ิงสูญเสียออกไปก็ทำจนหมดภวราคานุสัย กับอวิชชานุสัย ที่เป็นเทวธัมมา คือมานานุสัย หรือเป็นมนายตนะกับธรรมายตนะสุดท้าย เป็นอจินไตยของพระอรหันต์ในระดับสูงสุด อาตมายังไม่ถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ เมื่อหมดอนุสัยสุดท้ายจริงๆ นับยอดได้คืออรหันต์ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าอนุสัยสุดยอดที่เป็นภวราคานุสัยกับอวิชชานุสัยสุดยอด ไม่ใช่อวิชชาสวะนะ

คำว่าอาสวะท่านเทียบเหมือนกับน้ำหมักดอง มันมีเชื้อแตกตัวอยู่มันขยายพันธุ์ได้เร็วละเอียด แตกตัวเองได้ แม้บางทีแตกตัวเองได้ ละเอียดมาก ในนัยะความรู้เหล่านี้อาตมาศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าเลยมาพูดได้ ในตำราไม่มีหรอก แต่อาตมาเกิดมาปางนี้เพื่อพิสูจน์ธรรมะอย่างท้าทาย ตัวคนเดียวเลย 

ก่อนหน้ามีไอสไตน์ที่เป็นโพธิสัตว์ทางวัตถุ แต่ก็ตายไปแล้ว เหลือในหลวงที่ท่านเป็นโพธิสัตว์แต่ก็ร่วมกันไม่ได้โดยสังคมศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามแต่ว่าเรื่องสัจศาสตร์ก็ช่วยกันแน่ โดยรูปใครก็เห็นว่าอาตมาช่วยในหลวงอยู่ แต่ในหลวงจะแสดงออกไม่ได้เลยโดยสังคมศาสตร์ 

คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นส่ิงสุดยอดเป็นสุดแย่ อาตมาก็นัยนั้น เขาเห็นว่าสุดแย่สุดโต่ง อาตมาไม่แปลกใจ หากคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นว่าอาตมาบ้า อาตมาก็เกิดผิดยุค เพราะอาตมาต้องมาช่วยคนบ้า

คำว่าบ้า ภาษาบาลีเรียกว่า วิปลาส

ในพระไตรฯล.21 ข.49 
พระพุทธเจ้าตรัส ในพระไตรฯล.21   วิปัลลาสสูตร
         [49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4ประการนี้ 4ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง 1 
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข 1 
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน 1 
ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม 1 

สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส4 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาสทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง 1 ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ 1ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน 1ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม 1 สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ
     
เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตนและสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสารก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด
ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ได้จิตของตนควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ 

4 นัยะนี้จะเห็นว่าการเห็นทุกข์เป็นสุขนี้จะรู้ได้ง่ายที่สุด ถ้าคุณเห็นว่าอร่อยเป็นส่ิงน่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นสุภะ ก็ต้องเป็นทาสมัน ไปแสวงหาอยู่ คนที่มีอาการ 4 อย่างใหญ่นี้เป็นโลกุตรธรรม ทั้ง สัญญาวิปลา ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาสก็เป็นโลกุตรธรรมทั้งสิ้น แต่จะอธิบายแค่โลกียธรรมก็ได้แต่ว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านให้ความเห็นของท่านไว้

วิปลาส มี 3 ระดับ คือ
       1. สัญญาวิปลาส (สัญญาคลาดเคลื่อน, หมายรู้ผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนตกใจเห็นเชือกเป็นงู - distortion of perception)
       2. จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้าเป็นอาหาร - distortion of thought)
       3. ทิฏฐิวิปลาส (ทิฏฐิคลาดเคลื่อน, ความเห็นผิดพลาดจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเชื่อถือไปตามสัญญาวิปลาส หรือจิตตวิปลาสนั้น เช่น มีสัญญาวิปลาสเห็นเชือกเป็นงู แล้วเกิดทิฏฐิวิปลาส เชื่อหรือลงความเห็นว่าที่บริเวณนั้นมีงูชุม หรือมีจิตตวิลาสว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีผู้สร้าง จึงเกิดทิฏฐิวิปลาสว่า แผ่นดินไหวเพราะเทพเจ้าบันดาล - distortion of views)

       วิปลาส 3 ระดับนี้ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นไปใน 4 ด้าน คือ
       1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง (to regard what is impermanent as permanent)
       2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข (to regard what is painful as pleasant)
       3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน (to regard what is non-self as a self)
       4.. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม (to regard what is foul as beautiful)


วิปลาสคือสัญญาหมายรู้ผิดไปจากความเป็นจริง(ที่เป็นโลกุตระกับโลกียะก็ได้) เช่นท่านแปลว่าคนตกใจเห็นเชือกเป็นงู ก็แค่เรื่องวัตถุ ไม่ใช่โลกุตระ ใครก็เป็นได้หากตั้งสติไม่ดี ก็ธรรมดา เราก็ต้องพยายามมีสติสัมปชัญญะให้พร้อม รวบรวมสัญญาให้รู้เร็วไวทันถูกต้องสัญญาก็จะไม่ค่อยวิปลาส จนไม่วิปลาสเลย สัญญาสติก็ต้องแววไว

หากสัญญาวิปลาสแบบโลกุตระ ก็จะไม่ใช่แบบโลกียะ แต่ถ้าเอามาเป็นแค่โลกียะก็เป็นวิปลาสชนิดหนึ่งแล้ว คนก็เลยพลอยซวยไม่เอาโลกุตระ แม้อาตมาแจกโลกุตรธรรมแต่คนไปบอกว่าเป็นโลกียธรรมเละเทะ คนเชื่อก็เลยซวยเลย ไม่เอา 

จิตวิปลาส คือจิตคลาดเคลื่อน ท่านอธิบายว่า ความคิดผิดพลาดจากความจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้ามาเป็นอาหาร อันนี้คือโลกียะธรรมดาที่จริงชาวอโศกเอาหญ้ามาเป็นอาหารอย่างดีหลายชนิดแม้หญ้าที่เรียกว่าข้าวก็เอามาใช้กันมานาน

ความวิปลาส 3 คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส นั้นเป็นโลกุตระ คือต้องเห็นจิตเจตสิกต่างๆ เช่นไปเห็นว่าความสุขนี่เที่ยง แล้วก็จะยืนยันยืนหยัดว่าเป็นสิ่งที่ต้องมี ก็ไม่มีปัญญาหรอกที่จะกำจัดความสุขนี้ออกไป เพราะยึดว่าสุขนี้ต้องมี ยึดเป็นตนเป็นของตนเลย 

อันที่ 4 นั้นอธิบายว่าเมื่อหลงว่าเป็นสิ่งน่ามีน่าได้น่าเป็นก็มีมากอีก 3 อย่างนี้ เช่นเห็นว่าเที่ยงต้องอยู่กับเรานิรันดรก็ยึดถือต่อไป แล้วก็ดันหลงว่ามันเป็นสุขอีก แล้วก็ไม่เอาทุกข์อีก แต่สุขกับทุกข์เป็นเทวธัมมา ต้องล้างทั้งสุขและทุกข์ ที่เป็นธรรมะสองให้เป็นหนึ่งให้ได้ ศาสนาพุทธสอนให้หมดแม้ 1ที่เป็นปุงลิงค์ให้เป็นนปุงสกลิงค์เลย  ต้องรู้ว่า ที่เห็นว่าเที่ยง เท่ียงแล้วก็เห็นว่าสุข สุขตัวนี้คือสภาวะที่เป็นตัวตน แต่มันไม่เที่ยงมันเคลื่อนไว สุขเป็นรสอร่อยอัลลิกะ แต่ปัญญาคุณรู้ว่าทีไรมันก็อร่อย สุข เพลิดเพลินทุกที รสนี้เกิดทุกทีแสดงว่าเป็นตัวตน ก็อยากให้อยู่นานๆไม่ปล่อยฝังอยู่ตลอดไป 

แล้วสองมันไม่ใช่สุข ผู้ใดเห็นว่าไม่ใช่สุขก็มาหัดล้างจนหมดตัวตน หมดตัวตนก็จะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งน่ามีน่าได้น่าเป็น สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นสุภะเลย สุภะแต่เพียงสมมุติว่าน่าได้ตามคนอื่นเขายึด เราหมดความน่ามีน่าได้น่าเป็น แล้วแต่เรายังมียังทรงสภาพก็ร่วมกับเขาเราก็รู้ว่าเขายึด เราอยู่เมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามเข้าบ้าง ถ้าไม่ทำตามก็ถูกแตะออกไป

ต้องมาลดเหตุแห่งความสุขลง ความเหลือตัวตนก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะดับเหตุที่จะให้เกิดสุข พอลดลงได้ ความเที่ยงก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสุข ความเป็นตัวตนไม่เที่ยง พอลดเหตุได้ก็เที่ยง จนเที่ยงแท้สูงสุดคือนิพพาน คือ 0  นอกนั้นไม่มีอะไรเที่ยง ความไม่มีคือนิพพาน ถ้ามีเมื่อไหร่ก็ไม่เที่ยง 

ต้องมาเข้าใจ 4 หลักนี้คือ ไม่เที่ยง ความทุกข์ ความเป็นตัวตน ความงาม สิ่งเหล่านี้เห็นผิดก็วิปลาสทั้งนั้น ชี้หน้าได้เลย เป็นมนุษย์วิปลาสทั้งนั้น แต่ข้างนอกย่ิงอภิมหาบรมวิปลาส พวกเรานี้ดีกว่าพวกที่หยาบหนากว่าเราอีกเยอะ ไม่ได้ไปยกตนข่มใคร แต่ว่าสาธยายวิชาการอยู่ 

คำว่าวิปลาสจึงย่ิงใหญ่ที่สุดที่ต้องรู้ว่า วิปลาสคือคนบ้า คุณบ้าจนคุณสัญญากำหนดหมาย คนเขากำหนดหมายว่าอย่างไหนควรหรือไม่ควรคุณก็ไม่รู้ สัญญาในปัจจุบันขณะนั้นเขาวิปลาส แล้วพลังงานตัวคนนี่เป็นมโนปุพพัง คมาธัมมา จิตเขามีความยึดความรู้แบบนี้เขาก็ทำออกมาตามนั้น แล้วทิฏฐิคือความรู้ปัจจุบัน เขานึกว่าเขาเป็นตัวถูกต้องที่สุด เขาแสดงความจริงที่สุด เขาจริงใจนะ เขาไม่รู้หรอกว่าไม่ควร หากใครรู้ว่าไม่ควรก็ไม่แสดงออก ยิ่งอาการเลยในตนก็ต้องรู้ 

คนที่ 1 สัญญากำหนดไม่ได้ จิตเขาไม่เข้าใจสมบูรณ์และปัจจุบันเขาไม่รู้องค์ประกอบเลย ทิฏฐิปัจจุบันเขาก็ไม่รู้ น่าสงสารเขาก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ 

เมื่อรู้ว่าไม่น่าเป็นก็ทำใจให้ไม่เป็นได้ก็เป็นเจโตได้สำเร็จ หากทำไม่สำเร็จก็ต้องหัด ต้องกำหนดถูกในสัญญาแล้วให้เป็นอุภโตภาควิมุติ หากยังไม่ได้ต้องใช้สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน จนกว่าจะสั่งสมเป็นอุภโตภาควิมุติ มีเจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบและเป็นปัญญาวิมุติด้วย 

ในวิปลาส 3 และ4 นี้ พวกเราก็เอาไปศึกษาฝึกฝนให้จิตเราเป็นผู้ทำความเกิด โอปปาติกโยนิให้จิตวิญญาณเกิดสะอาดจากความวิปลาส ตั้งแต่อบายมุข ของมันไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็นเลยแต่ไปหลงว่าสุข น่าได้น่ามีน่าเป็นก็เลย เสียเวลาทุนรอนแรงงานความคิด เช่นติดอบายมุขบันเทิงการละเล่น การพนัน เสียเวลาเล่นหุ้น หุ้นนี่เป็นการพนันของคนขี้โลภ ทุนนิยมเลวร้ายมาก เพราะสร้างอำนาจด้วยทุน มนุษย์ตกเป็นทาสอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ยอม ไปเล่นการพนันหุ้น รวมเงินก้อนโตไปตีคนอื่นแล้วเป็นนายทุน ไปชื่นชม romanticism หรือ sadism คนละขั้วกัน กับการโลภให้ตัวตน เช่นเสี่ยงทายเล่นหุ้นเล่นการพนัน ประกันชีวิต อะไรที่เป็นแนวคิดได้เปรียบแบบทุนนิยมทั้งสิ้น สามอบายมุขใหญ่ คือ 1. romanticism 2. Sadism 3. Capitalism คือทุนนิยม 

สามซึ่มนี่ คืออบายมุข เขาไม่เข้าใจ ว่าโลกทุกวันนี้จมอบายมุข 3 นี้หนักมาก อาตมางงที่เขาซื้อตั๋วราคาเป็นล้านบาทไปดูมวย เสพแค่นิดเดียวแล้วก็สั่งสมเป็นอนุสัยอีก ซวยจริงมหาซวยเลย ไปดูความรุนแรงกัน คนรู้แล้วก็มาลดลง การลด capitalismนั้นง่ายกว่าอันอื่นเพราะเป็นการลดทางวัตถุ 

ชาวอโศกเราไม่แย่งชิงลาภ ข้างของเงินทอง แม้โลกธรรมก็ลด เหลือแต่  1. romanticism 2. Sadism แต่ไม่จัดจ้านนัก

ในอนาคต อโศกจะเป็น Land lord แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้แบบคนเดียวแต่เจ้าของจะเยอะ แต่ใครคนใดคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์แยกไปเป็นของตน แผ่นดินกองกลางจะเยอะ แม้แต่กองสมบัติวัตถุกองกลางก็ตามไม่มีใครแบ่งออกไปได้ของตน แม้คนมีลูกหลานก็มาอาศัยได้ แต่ถ้าคนมีปัญญาไม่ต้องมีลูกหลานทางวัตถุหรอก แต่มีลูกหลานทางจิตวิญญาณเป็นเชื้อแท้ของพุทธเป็น จิตที่บริสุทธิ์ด้วย เห็นพรหม เป็นความรักในมิติที่ 7 คือตัวผู้รู้เป็นความรักมิติที่ 9 ความรักนั้นยืนอยู่บนฐาน 9 พระพุทธเจ้าจึงเป็น ปางหรืออวตารที่ 9 เป็นปาง 9 ปาง 8 หรือปาง 7 ผู้เป็นปาง 8 คือผู้ศึกษาสะสมความเป็นเจ้าของจิตวิญญาณความรักบริสุทธิ์ ไม่เห็นแก่ตัวเป็นปิยกรณะ ไม่ใช่ความรักอย่างเปมัง หรือความรักอย่างกามราคะ เป็นความรักที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ประสงค์ให้เกิดความสงบสุข ให้เกิดให้มากพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

อยู่กันอย่างอบอุ่น พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ จะเป็นคนมีพฤติกรรมดังกล่าว พึ่งแก่ เจ็บตายกันได้ มีคุณสมบัติองค์ 7 เป็น ผลของสาราณียธรรม 6 คือพุทธพจน์ 7
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 

ยุคที่มีความเลวร้ายและความดีพอประมาณก็จะมีคนมาต่อเชื้อศาสนาพุทธจะช่วยคนได้ประมาณหนึ่ง อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาตาม สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ในมหาจัตตารีสกสูตร 

สุดยอดในความรู้ของมนุษย์ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบดีที่สุดเท่าความรู้นี้ เพราะมนุษย์เดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัวมาก คนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือคนที่ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ หรือฆ่ากันด้วยหยาดน้ำผึ้ง เลวที่สุด คือฆ่าคนอื่นด้วยเกสรดอกไม้และหยาดน้ำผึ้ง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่า ได้รับหยาดน้ำผึ้งหรือดอกไม้แต่แท้จริงคือการฆ่า นี่คือการฆ่ากันอย่างเลือดเย็น หลอกจนไม่รู้ว่าอันนี้ร้อนแรงร้าย หลอกลวงพรางสูงสุด ประเทศไทยที่เดือดร้อนทุกวันนี้เพราะหลงหยาดน้ำผึ้งและเกสรดอกไม้ที่เป็นยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดคือสิ่งที่ต้องเข้าใจแล้วอย่าทำ 

คนไม่รู้ก็หลอกสร้างน้ำผึ้งและเกสรดอกไม้ ที่ตนสร้างหลอกคนอื่นโดยตนไม่รู้แต่หลอกตนเองเป็นหลัก คือ Triple โง่ ....จบ

คนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือคนที่ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้หรือหยาดน้ำผึ้ง...พ่อครู 11 ส.ค. 58

พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่สมสู่ไม่เสพรสแต่ร่วมกันสร้างสร ...พ่อครู 11 ส.ค. 58


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:02:56 )

580811

รายละเอียด

580811_เทศน์ก่อนฉันวันแม่ที่ศีรษะอโศก วิปลาส 4 

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 11 พรุ่งนี้วันที่ 12 สิงหาคม ก็เป็นวันแม่แห่งชาติ

การเกิดของดวงดาว เอกภพ หรืออะไรก็ตาม เกิดดวงดาวเกิดวงโคจร แต่ละดวงดาวก็ได้พัฒนาเกิด ดิน น้ำ ลม ไฟ มีชีวะมีพืชมีสัตว์ ก็พัฒนาเกิดมาแต่ละขั้นแต่ละตระกูลแต่ละระดับ เกิดเป็นมนุษย์แล้วยังมีการเกิดทางจิต เป็นโอปปาติกโยนิอีก ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานไม่รู้ดีชั่ว จนรู้ดีชั่ว สร้างได้เก่ง จนเป็นพลังงานชีวะ จากพืชเป็นสัตว์มีจิตนิยาม แล้วก็ยังพัฒนาเป็นระดับๆ เป็นตระกูลเป็นขั้นๆ จนเฉลียวฉลาด เป็นคน ที่เป็นสัตว์อเวไนยสัตว์กับ เวไนยสัตว์ 

อเวไนยสัตว์จะพัฒนาให้รู้จักดีชั่ว ไม่ได้ แต่มาเป็นเวไนยสัตว์ที่เป็นกัลยาณชนรู้ดีชั่วได้ จนมาเป็นเวไนยสัตว์ที่พัฒนาได้เป็นโลกุตรบุคคล พัฒนาลดความเห็นแก่ตัวได้ ศาสนาพุทธพัฒนาถึงเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส รู้อาการพลังงานจิต ว่าอาการนี้เรียกอกุศลหรือบาป อย่างนี้เรียกกุศลหรือบุญ

กุศลคือความดีงามความเจริญ ความฉลาดที่รู้เกินสามัญไปเรื่อยๆ จนข้ามเขตโลกียะ ฉลาดแยกโลกียะกับโลกุตระออก พลังงานมันต่างกันอย่างไร โดยรู้จักอาการเชื้อโลกียะที่ยังหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นของน่ามีน่าได้น่าเป็นเรียกว่า สุภะ พึงยินดี พึงได้พึงเป็น มันก็หลงไป จนกระทั่งสามารถวิจัย ความเป็นสุภะหรืออสุภะ มันไม่น่าได้ไม่น่ามี เป็นแค่รสชาติทางจิต เป็นอัตตาของตน

เป็นตัวเห็นแก่ได้ มีทั้งได้มาเป็นของตน เป็นชิ้นเป็นอันเรียกว่าโลภ ได้มาเสพสัมผัสในอารมณ์สมกาม สมราคะนั้น เป็นอาการสัมผัสเท่านั้นเอง สัมผัสแล้วเกิดอารมณ์ชนิดหนึ่ง แล้วสมมุติอารมณ์นั้นว่าน่ามีน่าได้น่าเป็น จริงๆเป็นเพียงภาวะสองอย่างสัมผัสกันแล้วเกิดอีกอย่างขึ้น ที่มีทั้งเป็นจริง แต่อารมณ์เสริมมีหลอกขึ้นมา ที่เป็นของไม่จริงของเท็จ เป็นอุปาทาน เป็นอารมณ์ที่คนหลอกกันมา เป็นความยินดีพอใจ หลอกกันขึ้นมาจัดจ้านขึ้น แล้วหลงว่าต้องมีมากมาย จัดเยอะ ว่าเราเป็นคนได้มีเป็นขึ้นมา

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องเหล่านี้แล้วมาบอกสอนอธิบายให้คนรู้ส่ิงเหล่านี้ ผู้สามารถฉลาดอ่านอาการของจิต หรือเจตสิกหรือรูป คืออาการพลังงานภายในที่เป็นรวมๆว่าจิต จิตก็ใช้เรียกพลังงานเต็มๆของแต่ละคน หากมีรู้ครบทั้งภายนอกภายใน ทั้งกามภพ ทั้งรูปภพก็เรียกว่าวิญญาณ

แต่ถ้าเอาแต่จิต เอาธาตุรู้มารู้เฉพาะตัวมันเรียกว่าจิต ในจิตก็แตกเป็นเจตสิก เป็นมโน เป็นรูปจิต อรูปจิต ตัวรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ของจิต ภายในเรียกว่านามธรรม นามที่ถูกรู้จึงเรียกว่า นามรูป ตั้งแต่ของหยาบที่ตากระทบเรียกว่ารูป เสียงกระทบหูก็เรียกว่ารูป ลิ้นกระทบรสก็เรียกว่ารูป สัมผัสแม้แต่ภายในกันเองก็เรียกว่ารูป มีญาณปัญญาตั้งแต่สัญญาไปกำหนดรู้ก็เรียกว่ารูป 

คนเรามีองค์ประชุมของธรรมะสอง สิ่งที่มีสองนี้ไม่มีอะไรจะเท่ากัน จะต่างกันเสมอ แล้วจะเกิดปฏิกิริยากัน ไม่ผลักก็ดูด การที่จะให้เกิดสองสิ่งแล้วมันไม่ผลักไม่ดูดโดยธรรมชาติมันก็เป็น บางภาวะอาตมาเรียกว่า พักยกหรือเคหสิตอุเบกขา ต่างคนต่างอยู่ เป็นคราวๆเรียกว่าพักยก ถ้าเกิดอาการของตนทำปฏิกิริยากันก็เกิด เป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย เป็นเรื่องราว คือเรื่องที่จะผสมผสานกันมากขึ้นยาวขึ้น เหลี่ยมมุม มีพลังงานผลักกับดูด รักกับชัง จนแรงร้ายกาจ ดูดก็ดูดดึงไม่ปล่อยง่ายๆ ตายเป็นตาย ตายไปก็จิตไม่ยอมปล่อย ข้ามชาติไปอีกได้ไม่ปล่อย ตามเจอก็ว่าของกู เอาอีก ถ้าคนอื่นเอาไปก็แย่งชิง ดีไม่ดีฆ่ากันเลย นี่คือนิยายของโลก

จะต้องมาทำการละล้าง จัดสัดส่วนอย่างพอดี ไม่ทำทีเดียวหมด เป็นปริตตัง แล้วสั่งสมผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่นามธรรมจนถึงวัตถุธรรม ที่เป็นธรรมะสอง

ตั้งแต่วัตถุ มาจนพืชก็มีเพศ ถ้าเป็นวัตถุก็รู้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ พระพุทธเจ้าสามารถผสมพันธ์ของจิตวิญญาณไม่ใช่แค่สัตว์ชั้นต่ำ แต่แม้จิตวิญญาณชั้นสูงเรียกว่าปรมัตถ์เรียกว่าอาริยธรรม จากความหมายธรรมะสองนี่แหละ พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่สมสู่ไม่เสพรสแต่ร่วมกันสร้างสรร ไม่เสพรสที่จะทำให้เกิดเชื้อสายทางรูปธรรมอีกเลย แต่ให้เกิดแต่เชื้อสายทางนามธรรมเท่านั้น ทางจิตวิญญาณเท่านั้น จึงเกิดความเป็นเพศแม่เพศพ่อขึ้นมาเป็นมาตา ปิตา ร่วมกันสร้างเป็นธรรมะสอง ร่วมสร้างให้เกิดความไม่ผลักไม่ดูดแต่ร่วมสร้างสรรอย่างมีภูมิปัญญาพิเศษ เป็นเนกขัมสิตะ อย่างถาวรไม่ใช่แค่พักยก สร้างสภาวจิตตนให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาได้ กลางๆได้ ไม่สืบเชื้อทางวัตถุธรรมหรือมหาภูตรูปอีกแล้วแต่สืบเชื้อนามธรรมเป็นมหาภูตรูป เป็นความวางไม่สมสู่กันทางวัตถุแต่สัมพันธ์กันให้เกิดลูก เป็นสัตว์วิสุทธิเทพ เป็นพรหมสัตว์ สัตว์ที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีจิตที่สร้างและช่วยไม่ทำร้ายใคร 

การช่วยที่ลึกซึ้งที่สุดคือ ช่วยกำจัดหรือทำลายหรือขจัดหรือฆ่า แต่ฆ่าโดยวิธีปล่อยให้เขาไม่มีพลังงานไปร่วมเชื่อมต่อพัฒนาจนเขาฝ่อตายไปเอง นี่คือการฆ่าหรือกำจัดที่ดีที่สุด คือพยายามรวบรวมพลังงานมาอยู่ในส่วนหนึ่งของบัณฑิต แล้วไม่มีพลังงานไปร่วมกับหมู่พาล แยกหมู่พาลกับบัณฑิตออกได้ หมู่พาลเขาก็ทำไปรุนแรงเราไม่ร่วม จนรวมพลังงานหมู่บัณฑิตได้ ช่วยเขาให้รู้ให้หยุดชั่ว หยุดเลวร้ายให้เขารู้สิ่งที่เขาควรเป็น ช่วยได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น 

คนพาลไม่รู้ส่ิงควรหรือไม่ควร เขาก็จะสร้างทั้งส่ิงควรและไม่ควร หนักเข้าเขาจะสร้างสิ่งไม่ควรหนัก แต่ผู้รู้จะสร้างสิ่งควร ไม่มีอกุศลเลย โดยสัจจะของธาตุมนุษย์ลึกๆจะรู้ความจริงนี้ แต่กิเลสมันแรงกลบความรู้หมด มีตัวไม่รู้ออกมาทำงานมากกว่า แต่เขาก็พอรู้มีตัวรู้เป็นเชื้อบ้าง คนไหนที่เขารู้จนเขาหยุดเองหรือพวกพาลจะทำลายกันเอง ก็มี บัณฑิตก็จะช่วยคนพาลได้  มีลักษณะจริง มีความซื่อสัตย์สุจริตจริง 

ในมหาจักรวาลนี้ยังมีพลังงานที่ดีนี้อยู่ ผู้สร้างจิตวิญญาณให้มีพลังงานดังกล่าวจึงได้ชื่อว่าผู้วิเศษสุด ความรู้เหล่านี้ยังตกทอดมาถึงบัดนี้อาตมารับมาแล้วก็ส่งต่อให้พวกคุณ 

อาตมาพาพวกคุณปฏิบัติให้เกิด อาตมาก็มาทำในลักษณะแม่ แล้วมีอะไรเป็นพ่อ พ่อคือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ท่านทำไว้ให้ อาตมาก็ใช้เชื้อเดิมกับความสามารถของอาตมา ทั้งกายกรรม วจีกรรม ผสมส่วนของรากเหง้าเป็นต้นรากเลย Origin หรือเรียกว่า Genesis อาตมาก็นำมาสังเคราะห์ให้เกิดจิตวิญญาณใหม่เป็นโอปปาติโยนิ

ด้วยธรรมะสอง คือพ่อและแม่ ก็ได้จิตวิญญาณใหม่ โดยผู้สร้างเรียกว่าพระพรหม มีพลังงานตรีมูรติ คือพลังงานผู้สร้าง พลังงานผู้ปราบ กับผู้ประนีประนอม  ในสังคมโลกนี้ก็มีการใช้พลังงานสามอย่างนี้ทั้งนั้น สร้างสิ่งมีพลังมากำจัดสิ่งร้ายเลวออก หรือจะให้ไม่ทะเลาะกันแตกคอกัน สร้างสรรสิ่งควรก็มี ทั้งทางวัตถุหรือชีวะแล้ว จนเป็นคน ก็ตาม จนเป็นหลักการสังคม จะเรียกว่าพลังงานศิวะ ราม พรหม ก็ได้

ทำโดยมีเจตนาเลยก็มี ทำโดยที่ว่าไม่มีเจตนาแต่ว่ามีเหตุปัจจัยครบเราก็ทำไปได้ สรุปแล้วเร่ิมต้นที่เราควรเรียน คือเรียนความเป็นพ่อ แม่ ที่เป็น 1 กับ 2 เพื่อสร้างอีกสิ่งคือ 3 ทั้งนามธรรมและรูปธรรมจะเกิดสามเส้า จับตัวกันก็จะเกิดการหมุน โคจร ดำเนินไป เคลื่อนที่ ไปได้กว้างไกล รอบ ถ้ามีสองส่ิงจะไปได้ไม่ไกลได้แค่ยาวกับกว้าง 

เร่ิมต้นก็ต้องมี พ่อ แม่ ลูก ถ้าตระกูลใดมีสามส่ิงนี้ที่เจริญ สังคมนั้นวิเศษ แล้วพ่อแม่ลูกที่เจริญเป็นเช่นไร 

อาตมาเป็นพ่อ แล้วมีผู้มีความรู้โลกุตรธรรมตั้งแต่นักบวช หรือฆราวาสที่มีคุณธรรม โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ก็ช่วยกันเป็นแม่ อาตมาเป็นพ่อ ลูกก็คือทุกคนที่มาร่วมกันสร้างสรร มีจิตวิญญาณที่รู้ในตรีมูรติ ต้องมีสามอย่างในคติในโลกที่โคจรอยู่นี้ โดยเป็นพ่อเป็นแม่ที่ข้ามขั้นกามนิยม ไม่มาร่วมสมสู่ทางเพศที่เป็นรสอร่อย รสอันนี้ไม่แล้ว จะมาสร้างลูกส่ิงที่เกิดทางจิตวิญญาณถ่ายเดียวไม่ต้องไปรับผิดชอบการสมสู่เป็นตัวตนขึ้นมา เอาแต่จิตวิญญาณ เป็นนักผสมพันธ์ุทางจิตวิญญาณ เป็นกัมพันธุที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สรีรพันธ์ุ

แม้แต่ชีวะที่เป็นพีชะก็มีพันธุ์ของมัน จนเป็นสัตว์ก็มี แต่ว่าเป็นรูปธรรม จนมาเป็นคนที่พัฒนาแล้วไม่ต้องสืบพันธ์ทางรูปธรรมแต่สืบพันธ์ุทางนามธรรม นามธรรมจะเกิดพันธุ์ได้ด้วยกรรม เรียกว่ากรรมพันธุ์ แต่ที่เขาเรียก genetic ว่ากรรมพันธุ์นั้นผิด พวกดินน้ำไฟลม ที่เป็นพีชะมันก็ผสมกันโดยธรรมชาติสัตว์ก็ได้ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย ก็เป็นได้แต่พอมาเป็นอาริยะในระดับรู้แล้ว อนาคามีเป็นต้นไปไม่ต้องผสมพันธุ์แล้วเป็นสกิทาคามีก็รู้แล้ว ให้คนอื่นเขาผสมแล้วเอาลูกเขามาสร้างนามธรรมให้เป็นพรหมสัตว์ โดยหน้าที่ที่จะผสมพวกนี้ตั้งแต่พืช สัตว์ก็ทำเป็นแล้วหยุดไม่ได้ ถ้าไม่มีความสามารถพิเศษจนเป็นอนาคามีก็หยุดเลิก สกิทาคามีก็ลดละลง ไม่ต้องผสมพันธ์ุทางวัตถุ มีแต่ผสมพันธุ์ทางนามธรรมให้เกิดลูกทางจิตวิญญาณ 

คนที่เจริญแล้วก็จะหยุดสืบพันธ์ุทางรูปธรรม จะได้เวลา ทุนรอน แรงงาน กลับคืนมา เราก็จะเอาสิ่งที่เขาทำนั้นมาสร้างสรรได้อีกเยอะ ยิ่งคนเป็นโสดยิ่งทำประโยชน์ได้เยอะ แต่คนมีลูกแล้วไม่รับผิดชอบนั้นเลว ต้องสอนให้เขาดี หากสอนให้เขาเลวก็เป็นพ่อแม่ที่เลวแล้ว ไม่รับผิดชอบไม่ได้ ผิดแล้วสามัญเดรัจฉานก็รับผิดชอบ เมื่อมีต้องรับผิดชอบเป็นชิ้นส่วนของเราหากเขาไม่ดีเรารับผิดชอบด้วย เราเป็นผู้สร้างมา หากสอนผิดก็ยิ่งเลวร้ายซับซ้อน

หากคนโสดก็ย่อมยินดีในการไปช่วยสร้างลูกคนอื่นให้ดี แต่เราไม่ต้องรับผิดชอบเพราะว่าเราไม่ใช่พ่อแม่เขา อาตมาก็พยายามสร้างคนให้ดีแต่คนก็ไม่ค่อยเชื่อถือให้สร้าง เพราะมาสอนให้คนจน หัดจน หัดเอาน้อยมีน้อยแต่สร้างสรรเสียสละมากๆ แต่คนไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าต้องได้มากโลภมาก 

คนที่อยู่ในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน สุดยอดเลย เป็นคนที่จะมีคุณค่าประโยชน์แก่โลกมากที่สุด 

วงการศาสนาพุทธทั้งโลกไม่เป็นโลกุตระแล้วแต่พอได้ยินท่านพุทธทาสที่ได้พูดเรื่องโลกุตระก็ดีแต่ท่านก็ได้แบบท่าน อาตมาก็มาต่อยอดโลกุตระให้ชัดเจน จนสามารถผสมพันธ์ุโลกุตรพันธ์ุได้ แม้หลายศาสดาหลายลัทธิก็ทำได้แต่ละฐานะของศาสดา ส่วนพระพุทธเจ้านั้น ไม่เอาแล้วแบบกัลยาณธรรม แต่ท่านเอาแต่นามธรรม จะได้คนมีแต่อิสรเสรีภาพ จะรู้คนได้กว้างที่สุด จึงมีลัทธิตั้งตนเป็นคนโสดที่ชัดเจน แล้วล้างเหตุที่จะทำให้มีความอยากจะต้องได้เสพรสทางสัมผัสเสียดสีที่เป็นอารมณ์สมสู่มีการร่วมเพศ หรือมีความรู้สึกกามารมณ์ ลดเหตุของกามารมณ์ได้ จนหมดฤทธิ์แรงของกามารมณ์ อนาคามีเป็นผู้หมดกามารมณ์ โดยไม่ต้องกดข่ม เป็นฌาณ ใช้ศัพท์ไทยว่า ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากหรือไม่ต้องทน 

พระพุทธเจ้าสอนให้ลด แม้แต่มีภาวะระริกระรี้เป็นรูปราคะก็ลดเหตุในรูปภพ จนเหลืออรูปภพ ไม่มีจิตอยากไปสมสู่ทางรูปธรรมสิ้นเกลี้ยงแต่ทางนามธรรมรู้ว่าตนมีเชื้อ อย่างอนาคามีก็มี ต้องทำต่อ จนหมดรูปราคะ อรูปราคะ เป็นอรหัตตมรรค เหลือแต่อนุสัย 

อาสวะนั้นแม้แต่กามราคะ กับกามราคานุสัยก็หมดได้ ปฏิฆานุสัยก็หมดได้ จนมีความรู้ใหม่เรียกว่าทิฏฐานุสัย หมดทิฏฐาสวะเหลือทิฏฐานุสัยแล้วก็ถึงรอบอนุสัยสุดท้ายเหลือวิจกิจฉานุสัย มานานุสัย ภวราคานุสัย จนถึง อวิชชานุสัยสุดท้าย ต้องทำความเข้าใจในอนุสัยสุดท้ายแล้วล้างไป จึงรู้ว่าจะไม่ให้เกิดความสูญเสียอย่างไร ลดมานานุสัย เป็นส่ิงสูญเสียออกไปก็ทำจนหมดภวราคานุสัย กับอวิชชานุสัย ที่เป็นเทวธัมมา คือมานานุสัย หรือเป็นมนายตนะกับธรรมายตนะสุดท้าย เป็นอจินไตยของพระอรหันต์ในระดับสูงสุด อาตมายังไม่ถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ เมื่อหมดอนุสัยสุดท้ายจริงๆ นับยอดได้คืออรหันต์ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่าอนุสัยสุดยอดที่เป็นภวราคานุสัยกับอวิชชานุสัยสุดยอด ไม่ใช่อวิชชาสวะนะ

คำว่าอาสวะท่านเทียบเหมือนกับน้ำหมักดอง มันมีเชื้อแตกตัวอยู่มันขยายพันธุ์ได้เร็วละเอียด แตกตัวเองได้ แม้บางทีแตกตัวเองได้ ละเอียดมาก ในนัยะความรู้เหล่านี้อาตมาศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าเลยมาพูดได้ ในตำราไม่มีหรอก แต่อาตมาเกิดมาปางนี้เพื่อพิสูจน์ธรรมะอย่างท้าทาย ตัวคนเดียวเลย 

ก่อนหน้ามีไอสไตน์ที่เป็นโพธิสัตว์ทางวัตถุ แต่ก็ตายไปแล้ว เหลือในหลวงที่ท่านเป็นโพธิสัตว์แต่ก็ร่วมกันไม่ได้โดยสังคมศาสตร์เป็นเรื่องต้องห้ามแต่ว่าเรื่องสัจศาสตร์ก็ช่วยกันแน่ โดยรูปใครก็เห็นว่าอาตมาช่วยในหลวงอยู่ แต่ในหลวงจะแสดงออกไม่ได้เลยโดยสังคมศาสตร์ 

คนไม่มีปัญญาก็จะเห็นส่ิงสุดยอดเป็นสุดแย่ อาตมาก็นัยนั้น เขาเห็นว่าสุดแย่สุดโต่ง อาตมาไม่แปลกใจ หากคนส่วนใหญ่เขาไม่เห็นว่าอาตมาบ้า อาตมาก็เกิดผิดยุค เพราะอาตมาต้องมาช่วยคนบ้า

คำว่าบ้า ภาษาบาลีเรียกว่า วิปลาส

ในพระไตรฯล.21 ข.49 
พระพุทธเจ้าตรัส ในพระไตรฯล.21   วิปัลลาสสูตร
         [49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 4ประการนี้ 4ประการเป็นไฉน คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส 
ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง 1 
ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข 1 
ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน 1 
ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม 1 

สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฐิวิปลาส4 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาสทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้ 4 ประการเป็นไฉน คือ สัญญาไม่วิปลาส จิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง 1 ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ 1ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าไม่ใช่ตน 1ในสิ่งที่ไม่งามว่าไม่งาม 1 สัญญาไม่วิปลาสจิตไม่วิปลาส ทิฐิไม่วิปลาส 4 ประการนี้แล ฯ
     
เหล่าสัตว์ผู้ถูกมิจฉาทิฐิกำจัด มีจิตฟุ้งซ่าน มีความสำคัญผิด มีความสำคัญในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข สำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตนและสำคัญในสิ่งที่ไม่งามว่างาม สัตว์คือชนเหล่านั้น ชื่อว่าประกอบแล้วในเครื่องประกอบของมาร ไม่เป็นผู้เกษมจากโยคะ มีปรกติไปสู่ชาติ และมรณะ ย่อมไปสู่สงสารก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้กระทำแสงสว่างบังเกิด
ขึ้นในโลก พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ย่อมประกาศธรรมนี้เป็นเครื่องให้สัตว์ถึงความสงบทุกข์ ชน เหล่านั้นผู้มีปัญญา ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว ได้จิตของตนควรแปลว่า (กลับได้ความคิดเป็นของตัวเอง) ได้เห็นสิ่งไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ได้เห็นทุกข์โดยความเป็นทุกข์ ได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตน ว่าไม่ใช่ตน ได้เห็นสิ่งที่ไม่งามโดยความเป็นของไม่งาม สมาทานสัมมาทิฐิ จึงล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ 

4 นัยะนี้จะเห็นว่าการเห็นทุกข์เป็นสุขนี้จะรู้ได้ง่ายที่สุด ถ้าคุณเห็นว่าอร่อยเป็นส่ิงน่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นสุภะ ก็ต้องเป็นทาสมัน ไปแสวงหาอยู่ คนที่มีอาการ 4 อย่างใหญ่นี้เป็นโลกุตรธรรม ทั้ง สัญญาวิปลา ทิฏฐิวิปลาส จิตวิปลาสก็เป็นโลกุตรธรรมทั้งสิ้น แต่จะอธิบายแค่โลกียธรรมก็ได้แต่ว่าไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่างท่านพรหมคุณาภรณ์ท่านให้ความเห็นของท่านไว้

วิปลาส มี 3 ระดับ คือ
       1. สัญญาวิปลาส (สัญญาคลาดเคลื่อน, หมายรู้ผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนตกใจเห็นเชือกเป็นงู - distortion of perception)
       2. จิตตวิปลาส (จิตคลาดเคลื่อน, ความคิดผิดพลาดจากความเป็นจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้าเป็นอาหาร - distortion of thought)
       3. ทิฏฐิวิปลาส (ทิฏฐิคลาดเคลื่อน, ความเห็นผิดพลาดจากความเป็นจริง โดยเฉพาะเชื่อถือไปตามสัญญาวิปลาส หรือจิตตวิปลาสนั้น เช่น มีสัญญาวิปลาสเห็นเชือกเป็นงู แล้วเกิดทิฏฐิวิปลาส เชื่อหรือลงความเห็นว่าที่บริเวณนั้นมีงูชุม หรือมีจิตตวิลาสว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีผู้สร้าง จึงเกิดทิฏฐิวิปลาสว่า แผ่นดินไหวเพราะเทพเจ้าบันดาล - distortion of views)

       วิปลาส 3 ระดับนี้ ที่เป็นพื้นฐาน เป็นไปใน 4 ด้าน คือ
       1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง (to regard what is impermanent as permanent)
       2. วิปลาสในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข (to regard what is painful as pleasant)
       3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เป็นตัวตน ว่าเป็นตัวตน (to regard what is non-self as a self)
       4.. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม (to regard what is foul as beautiful)


วิปลาสคือสัญญาหมายรู้ผิดไปจากความเป็นจริง(ที่เป็นโลกุตระกับโลกียะก็ได้) เช่นท่านแปลว่าคนตกใจเห็นเชือกเป็นงู ก็แค่เรื่องวัตถุ ไม่ใช่โลกุตระ ใครก็เป็นได้หากตั้งสติไม่ดี ก็ธรรมดา เราก็ต้องพยายามมีสติสัมปชัญญะให้พร้อม รวบรวมสัญญาให้รู้เร็วไวทันถูกต้องสัญญาก็จะไม่ค่อยวิปลาส จนไม่วิปลาสเลย สัญญาสติก็ต้องแววไว

หากสัญญาวิปลาสแบบโลกุตระ ก็จะไม่ใช่แบบโลกียะ แต่ถ้าเอามาเป็นแค่โลกียะก็เป็นวิปลาสชนิดหนึ่งแล้ว คนก็เลยพลอยซวยไม่เอาโลกุตระ แม้อาตมาแจกโลกุตรธรรมแต่คนไปบอกว่าเป็นโลกียธรรมเละเทะ คนเชื่อก็เลยซวยเลย ไม่เอา 

จิตวิปลาส คือจิตคลาดเคลื่อน ท่านอธิบายว่า ความคิดผิดพลาดจากความจริง เช่น คนบ้าคิดเอาหญ้ามาเป็นอาหาร อันนี้คือโลกียะธรรมดาที่จริงชาวอโศกเอาหญ้ามาเป็นอาหารอย่างดีหลายชนิดแม้หญ้าที่เรียกว่าข้าวก็เอามาใช้กันมานาน

ความวิปลาส 3 คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส นั้นเป็นโลกุตระ คือต้องเห็นจิตเจตสิกต่างๆ เช่นไปเห็นว่าความสุขนี่เที่ยง แล้วก็จะยืนยันยืนหยัดว่าเป็นสิ่งที่ต้องมี ก็ไม่มีปัญญาหรอกที่จะกำจัดความสุขนี้ออกไป เพราะยึดว่าสุขนี้ต้องมี ยึดเป็นตนเป็นของตนเลย 

อันที่ 4 นั้นอธิบายว่าเมื่อหลงว่าเป็นสิ่งน่ามีน่าได้น่าเป็นก็มีมากอีก 3 อย่างนี้ เช่นเห็นว่าเที่ยงต้องอยู่กับเรานิรันดรก็ยึดถือต่อไป แล้วก็ดันหลงว่ามันเป็นสุขอีก แล้วก็ไม่เอาทุกข์อีก แต่สุขกับทุกข์เป็นเทวธัมมา ต้องล้างทั้งสุขและทุกข์ ที่เป็นธรรมะสองให้เป็นหนึ่งให้ได้ ศาสนาพุทธสอนให้หมดแม้ 1ที่เป็นปุงลิงค์ให้เป็นนปุงสกลิงค์เลย  ต้องรู้ว่า ที่เห็นว่าเที่ยง เท่ียงแล้วก็เห็นว่าสุข สุขตัวนี้คือสภาวะที่เป็นตัวตน แต่มันไม่เที่ยงมันเคลื่อนไว สุขเป็นรสอร่อยอัลลิกะ แต่ปัญญาคุณรู้ว่าทีไรมันก็อร่อย สุข เพลิดเพลินทุกที รสนี้เกิดทุกทีแสดงว่าเป็นตัวตน ก็อยากให้อยู่นานๆไม่ปล่อยฝังอยู่ตลอดไป 

แล้วสองมันไม่ใช่สุข ผู้ใดเห็นว่าไม่ใช่สุขก็มาหัดล้างจนหมดตัวตน หมดตัวตนก็จะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งน่ามีน่าได้น่าเป็น สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นสุภะเลย สุภะแต่เพียงสมมุติว่าน่าได้ตามคนอื่นเขายึด เราหมดความน่ามีน่าได้น่าเป็น แล้วแต่เรายังมียังทรงสภาพก็ร่วมกับเขาเราก็รู้ว่าเขายึด เราอยู่เมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตามเข้าบ้าง ถ้าไม่ทำตามก็ถูกแตะออกไป

ต้องมาลดเหตุแห่งความสุขลง ความเหลือตัวตนก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะดับเหตุที่จะให้เกิดสุข พอลดลงได้ ความเที่ยงก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะความสุข ความเป็นตัวตนไม่เที่ยง พอลดเหตุได้ก็เที่ยง จนเที่ยงแท้สูงสุดคือนิพพาน คือ 0  นอกนั้นไม่มีอะไรเที่ยง ความไม่มีคือนิพพาน ถ้ามีเมื่อไหร่ก็ไม่เที่ยง 

ต้องมาเข้าใจ 4 หลักนี้คือ ไม่เที่ยง ความทุกข์ ความเป็นตัวตน ความงาม สิ่งเหล่านี้เห็นผิดก็วิปลาสทั้งนั้น ชี้หน้าได้เลย เป็นมนุษย์วิปลาสทั้งนั้น แต่ข้างนอกย่ิงอภิมหาบรมวิปลาส พวกเรานี้ดีกว่าพวกที่หยาบหนากว่าเราอีกเยอะ ไม่ได้ไปยกตนข่มใคร แต่ว่าสาธยายวิชาการอยู่ 

คำว่าวิปลาสจึงย่ิงใหญ่ที่สุดที่ต้องรู้ว่า วิปลาสคือคนบ้า คุณบ้าจนคุณสัญญากำหนดหมาย คนเขากำหนดหมายว่าอย่างไหนควรหรือไม่ควรคุณก็ไม่รู้ สัญญาในปัจจุบันขณะนั้นเขาวิปลาส แล้วพลังงานตัวคนนี่เป็นมโนปุพพัง คมาธัมมา จิตเขามีความยึดความรู้แบบนี้เขาก็ทำออกมาตามนั้น แล้วทิฏฐิคือความรู้ปัจจุบัน เขานึกว่าเขาเป็นตัวถูกต้องที่สุด เขาแสดงความจริงที่สุด เขาจริงใจนะ เขาไม่รู้หรอกว่าไม่ควร หากใครรู้ว่าไม่ควรก็ไม่แสดงออก ยิ่งอาการเลยในตนก็ต้องรู้ 

คนที่ 1 สัญญากำหนดไม่ได้ จิตเขาไม่เข้าใจสมบูรณ์และปัจจุบันเขาไม่รู้องค์ประกอบเลย ทิฏฐิปัจจุบันเขาก็ไม่รู้ น่าสงสารเขาก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ 

เมื่อรู้ว่าไม่น่าเป็นก็ทำใจให้ไม่เป็นได้ก็เป็นเจโตได้สำเร็จ หากทำไม่สำเร็จก็ต้องหัด ต้องกำหนดถูกในสัญญาแล้วให้เป็นอุภโตภาควิมุติ หากยังไม่ได้ต้องใช้สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน จนกว่าจะสั่งสมเป็นอุภโตภาควิมุติ มีเจโตวิมุติอันไม่กลับกำเริบและเป็นปัญญาวิมุติด้วย 

ในวิปลาส 3 และ4 นี้ พวกเราก็เอาไปศึกษาฝึกฝนให้จิตเราเป็นผู้ทำความเกิด โอปปาติกโยนิให้จิตวิญญาณเกิดสะอาดจากความวิปลาส ตั้งแต่อบายมุข ของมันไม่น่ามีไม่น่าได้ไม่น่าเป็นเลยแต่ไปหลงว่าสุข น่าได้น่ามีน่าเป็นก็เลย เสียเวลาทุนรอนแรงงานความคิด เช่นติดอบายมุขบันเทิงการละเล่น การพนัน เสียเวลาเล่นหุ้น หุ้นนี่เป็นการพนันของคนขี้โลภ ทุนนิยมเลวร้ายมาก เพราะสร้างอำนาจด้วยทุน มนุษย์ตกเป็นทาสอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็ยอม ไปเล่นการพนันหุ้น รวมเงินก้อนโตไปตีคนอื่นแล้วเป็นนายทุน ไปชื่นชม romanticism หรือ sadism คนละขั้วกัน กับการโลภให้ตัวตน เช่นเสี่ยงทายเล่นหุ้นเล่นการพนัน ประกันชีวิต อะไรที่เป็นแนวคิดได้เปรียบแบบทุนนิยมทั้งสิ้น สามอบายมุขใหญ่ คือ 1. romanticism 2. Sadism 3. Capitalism คือทุนนิยม 

สามซึ่มนี่ คืออบายมุข เขาไม่เข้าใจ ว่าโลกทุกวันนี้จมอบายมุข 3 นี้หนักมาก อาตมางงที่เขาซื้อตั๋วราคาเป็นล้านบาทไปดูมวย เสพแค่นิดเดียวแล้วก็สั่งสมเป็นอนุสัยอีก ซวยจริงมหาซวยเลย ไปดูความรุนแรงกัน คนรู้แล้วก็มาลดลง การลด capitalismนั้นง่ายกว่าอันอื่นเพราะเป็นการลดทางวัตถุ 

ชาวอโศกเราไม่แย่งชิงลาภ ข้างของเงินทอง แม้โลกธรรมก็ลด เหลือแต่  1. romanticism 2. Sadism แต่ไม่จัดจ้านนัก

ในอนาคต อโศกจะเป็น Land lord แต่ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้แบบคนเดียวแต่เจ้าของจะเยอะ แต่ใครคนใดคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์แยกไปเป็นของตน แผ่นดินกองกลางจะเยอะ แม้แต่กองสมบัติวัตถุกองกลางก็ตามไม่มีใครแบ่งออกไปได้ของตน แม้คนมีลูกหลานก็มาอาศัยได้ แต่ถ้าคนมีปัญญาไม่ต้องมีลูกหลานทางวัตถุหรอก แต่มีลูกหลานทางจิตวิญญาณเป็นเชื้อแท้ของพุทธเป็น จิตที่บริสุทธิ์ด้วย เห็นพรหม เป็นความรักในมิติที่ 7 คือตัวผู้รู้เป็นความรักมิติที่ 9 ความรักนั้นยืนอยู่บนฐาน 9 พระพุทธเจ้าจึงเป็น ปางหรืออวตารที่ 9 เป็นปาง 9 ปาง 8 หรือปาง 7 ผู้เป็นปาง 8 คือผู้ศึกษาสะสมความเป็นเจ้าของจิตวิญญาณความรักบริสุทธิ์ ไม่เห็นแก่ตัวเป็นปิยกรณะ ไม่ใช่ความรักอย่างเปมัง หรือความรักอย่างกามราคะ เป็นความรักที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ประสงค์ให้เกิดความสงบสุข ให้เกิดให้มากพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

อยู่กันอย่างอบอุ่น พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ จะเป็นคนมีพฤติกรรมดังกล่าว พึ่งแก่ เจ็บตายกันได้ มีคุณสมบัติองค์ 7 เป็น ผลของสาราณียธรรม 6 คือพุทธพจน์ 7
1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ) 
2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)  
3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) 
4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) 
5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) 
6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) 
7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) 
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283) 

ยุคที่มีความเลวร้ายและความดีพอประมาณก็จะมีคนมาต่อเชื้อศาสนาพุทธจะช่วยคนได้ประมาณหนึ่ง อาตมามั่นใจว่าอาตมาเป็นสยังอภิญญาตาม สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ในมหาจัตตารีสกสูตร 

สุดยอดในความรู้ของมนุษย์ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบดีที่สุดเท่าความรู้นี้ เพราะมนุษย์เดี๋ยวนี้เห็นแก่ตัวมาก คนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือคนที่ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ หรือฆ่ากันด้วยหยาดน้ำผึ้ง เลวที่สุด คือฆ่าคนอื่นด้วยเกสรดอกไม้และหยาดน้ำผึ้ง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่า ได้รับหยาดน้ำผึ้งหรือดอกไม้แต่แท้จริงคือการฆ่า นี่คือการฆ่ากันอย่างเลือดเย็น หลอกจนไม่รู้ว่าอันนี้ร้อนแรงร้าย หลอกลวงพรางสูงสุด ประเทศไทยที่เดือดร้อนทุกวันนี้เพราะหลงหยาดน้ำผึ้งและเกสรดอกไม้ที่เป็นยาพิษที่ร้ายแรงที่สุดคือสิ่งที่ต้องเข้าใจแล้วอย่าทำ 

คนไม่รู้ก็หลอกสร้างน้ำผึ้งและเกสรดอกไม้ ที่ตนสร้างหลอกคนอื่นโดยตนไม่รู้แต่หลอกตนเองเป็นหลัก คือ Triple โง่ ....จบ

คนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคือคนที่ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้หรือหยาดน้ำผึ้ง...พ่อครู 11 ส.ค. 58

พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือไม่สมสู่ไม่เสพรสแต่ร่วมกันสร้างสร ...พ่อครู 11 ส.ค. 58


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:03:54 )

580811

รายละเอียด

580811_พ่อครูให้โอวาทคณะนักวิชาการการศึกษา จาก อบจ.อุบลราชธานี 

พ่อครูว่า...หลังจากฟังที่หนึ่งฟ้าสรุปเรื่องราวของหมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศกให้ฟังแล้ว ฟังๆดูแล้วเหมือนเรามีจุดเด่นมากมาย จริงๆเป็นแนวคิดสองแนว คือแนวคิดของผู้ที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษาเพื่อลดกิเลส ไม่ได้ละการเห็นแก่ตัว มีแต่กอบโกยสะสมความรู้ความสามารถได้เปรียบ ทิศทางโลกีย์เป็นเช่นนั้น มีความรู้สามารถมากต้องได้เปรียบ เป็นความรู้สึกที่ ผิดเป้าหมายชีวิต แนวคิดเช่นนี้เป็นภัยต่อสังคม

แต่แนวคิดของเรายิ่งเรียนรู้ยิ่งละความเห็นแก่ตัว แต่ไม่ได้ละความสามารถ เพราะพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติแล้วละความสูญเสียสามประการ คือ เวลา ทุนรอน แรงงานที่ ได้กลับคืนมา เหลือจากที่ไปโง่ถูกสังคมพาเป็นไป เอามาเรียนรู้ฝึกฝนทำงาน เพราะศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนหนีเข้าป่าเขาถ้ำ ศาสนาพุทธเสื่อมไปเยอะเพราะว่าสอนกันแบบนั้น อาตมาถึงอยู่กับมหาเถรสมาคมไม่ได้ต้องลาออกมา

การศึกษาฝึกฝนจึงได้คนสองแบบแบบนี้ อาตมาออกมา 45 ปีแล้วทั้งพาการศึกษา การเป็นอยู่กับชีวิต ทั้งงานที่ทำประโยชน์สัมมาอาชีพเราทำ แต่ไม่สัมมาอาชีพเราไม่ทำ แล้วเป็นสัมมาอาชีพถึงระดับที่ทำฟรี แล้วก็เป็นจริงได้ทั้งหมู่บ้าน

เราตั้งโรงเรียนมาให้เรียนฟรีมา 20 กว่าปีก็ไ่ม่ได้เกิดผลเดือดร้อนอะไร ก็ขยายผลมา ตั้งแต่ โรงเรียนเดียว จนตอนนี้เป็น 9 โรงเรียนก็มีนโยบายเรียนฟรี แม้จะถึงอุดมศึกษาก็ให้เรียนฟรี เหมือนรัฐบาลทำ ก็เจตนาช่วยประชาชน เป็นการเมืองภาคประชาชน โดยไม่ต้องมีนิตินัยอะไร เราก็เข้าใจเหตุหลักที่เขาต้องการให้คนมารวมกันแล้วทำงานเพื่อสังคม เราก็ทำตามนั้น 

การศึกษามีการศึกษาในระบบ กับการศึกษาตลอดชีวิต การศึกษาในระบบก็มีใบรับรอง แต่ของเราทำไปตลอดชีวิต ได้ใบรับรองมาก็เพื่อใช้เชื่อมกับสังคม การศึกษาเป็นต้นทาง ของเราศึกษาแบบนี้ อาตมาพูดอย่างไม่เกรงใจกว่าการศึกษาทุกวันนี้พาคนไปเห็นแก่ตัว ไม่ได้พาคนลดละกิเลสพาคนลดความเห็นแก่ตัว จนอาตมาออกม็อตโต้ว่าการศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

อาตมาก็พาพิสูจน์ว่าการศึกษาที่พาลดกิเลส พาลดความเห็นแก่ตัว แล้วทำสมรรถภาพให้ดีไม่ได้ด้อยด้วย แต่อาจด้อยในวิธีการปฏิบัติศึกษา เพราะเรามีหลักศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เราเอาคุณธรรมมาก่อน ลดกิเลสลดละตัวตน แล้วก็ต้องเป็นงานไม่ใช่ว่าแค่รู้ศึกษาเต็มหูเต็มหัวในวิชาการ แต่ไม่ได้ทำเป็นจริง แต่ความรู้วิชาการเราก็สอนให้ ตามหลักสูตรเขาเราก็เรียนถ้าตั้งตามนิตินัย เราไม่ขัดข้องอะไร แต่ขนาดนั้นเราก็ยังตั้งของเราโดยไม่ได้ขึ้นกับนิตินัย ว.บบบ. , ว.นบ. เป็นต้น เราก็ทำกันจริง มีนักศึกษามาเรียนจริง ตามที่เราเห็นว่าควรให้การศึกษาทั้งศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แม้เด็กประถม มัธยมก็ใช้หลักนี้ เราก็ได้คนได้มาเป็นหมู่กลุ่ม เป็นวัฒนธรรม เป็นองค์ประกอบการปฏิบัติให้แก่ชีวิต อาตมาเห็นแนวลึกที่เกิดผลทางจิตวิญญาณ 

เราได้เรียนรู้ศึกษาการศึกษาที่ให้ผลทางจิตวิญญาณจริงๆ ทางโลกเขาก็มีเรียนจิตวิทยาบ้าง แต่อาตมาว่าสู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ซึ่งทำมาแล้วเป็นแนวลึก อย่างที่สังคมเราเกิด เป็นสังคมชุมชนหมู่บ้านที่ได้รับการศึกษาแบบนี้ ตอนนี้ก็มีหมู่บ้านชุมชนแบบชาวอโศกเกิดทั่วประเทศ เล็กบ้างใหญ่บ้าง แล้วเป็นหมู่บ้านที่ถึงขั้นสาธารณโภคี แปลว่า เป็นพ่อของคอมมูน หมายความว่ามันเป็นคอมมูน แต่ยิ่งใหญ่กว่าคอมมูน ตัวคอมมูนยังบังคับเสียภาษีแก่กองกลาง แต่ของเราทุกคนสมาชิกชุมชนเสียภาษี 100 % โดยไม่ต้องออกกฎหมาย เกิดจากการศึกษาที่ทำให้สำรอกกิเลสได้ เป็นสังคมพี่น้องพึ่งแก่ เจ็บ ตาย กันได้ เป็นวัฒนธรรมสังคมชาวอโศก ทุกชุมชนทุกหมู่บ้าน เป็นชุมชนหมู่บ้านนิตินัยได้ 2 ที่คือที่ศีรษะอโศกกับที่นี่ ที่บ้านราชฯ 

เราก็อยู่ในหลักเกณฑ์นิตินัย เราก็ทำได้ แล้วอาตมาเห็นนัยละเอียดเยอะแยะเพราะความจริงใจของมวลสมาชิกหมู่บ้านกับสมาชิกหมู่บ้านอื่น มันแตกต่างกัน มันมีสัมพันธ์สังคมช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเจือจาน อาตมาว่าอาตมาพอมีปฏิภาณปัญญาว่าเห็นความแตกต่างกันอย่างไร ยกตัวอย่างง่ายๆไม่ได้พูดเอาโก้เอาสวยอะไร เช่นหมู่บ้านเราช่วยเหลือหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างไม่ได้เอาหน้าอะไร เช่นสร้างสาธารณูปโภคที่ร่วมกันใช้สอย เราทำด้วยความจริงใจ ราชธานีเราสร้างมาประมาณ 20 ปี ในพศ.2539 ก็ได้อนุมัติเป็นหมู่บ้านตามนิตินัย เราสร้างหมู่บ้านจากความไม่มีอะไรเลย เป็นที่ๆเขาทิ้งแล้ว เป็นที่น้ำท่วมเราก็ซื้อที่แล้วก็ทำเป็นหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านที่แปลก คือเราต้องซื้อทุกสตางค์เลย ในพื้นที่ แล้วซื้อมาแล้วเป็นของชาวหมู่บ้านนี้ทั้งหมดไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่งเลย เป็นเรื่องซับซ้อนหลายเชิงเลยในหลักสังคม 

ถ้าเผื่อว่ามาถึงวันนี้แล้วพวกคุณทั้งหลายได้มองเห็นว่ามันน่าจะมาร่วมมือ หรืออย่างน้อยก็มาเป็นไส้ศึก เข้ามาล้วงตับไส้ ว่าคนพวกนี้มาทำอะไรแฝงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจะมีในจิตคน เช่น เรามาอยู่ที่นี่เราก็ได้น้ำซับ แต่พื้นที่บ้านราชฯเจาะบาดาลได้แต่น้ำมีสนิมใช้ไม่ได้ ไปได้ที่หมู่บ้านคำกลางมีที่แปลงหนึ่ง เราก็ทำเป็นบ่อน้ำซับ ไหลออกมาทิ้งวันและเป็นแสนคิว เราก็ซื้อที่นั้นไว้ เราก็เลยเอาน้ำทำบ่อขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำ สูบน้ำมาใช้ที่บ้านราชฯ เป็นน้ำแร่น้ำซับ เขาบอกว่าใช้ไปร้อยสองร้อยปีก็ไม่เป็นปัญหา เราทำขึ้นตอนแรก มันได้วันหนึ่งแสนกว่าคิว แต่ในหมู่บ้านนี้ใช้น้ำประมาณ 4 พันกว่าคิว น้ำก็เหลือเยอะ เราก็เลยคิดว่าเราจะสร้างแทงค์ประปาสูง จะให้หมู่บ้านคำกลางด้วย แล้วเราจะต่อมาใช้ที่นี่ด้วย เราก็เสนอต่ออบต.เขาไปว่าเราจะสร้างแทงค์ให้แล้วให้คุณต่อท่อเอาน้ำใช้ เพียงแต่ขอแค่จ่ายค่าไฟสูบน้ำเท่านั้น น้ำเรามันเหลือก็ให้ใช้ร่วมกันเราเสนอเขาไป ทางอบต.พิจารณาเสร็จก็บอกว่าไม่เอา เราก็งง แทงค์เราก็สร้างให้นะ ในที่ของเรา แต่เราสร้างขึ้นเพื่อให้สูงจะได้มีแรงส่งทั้งสองหมู่บ้าน แต่เขาไม่เอา ทำไมเขาไม่เอาทั้งที่ใจเราบริสุทธิ์ อาตมาก็เดาว่า น่าจะเป็นความระแวง ว่าเรามีนัยะอะไรซ่อน เพราะทุกวันนี้ทุนนิยมสามานย์ทำแบบนี้คือของฟรีไม่มีในโลก ให้ไปนี่ก็เพื่อจะได้อะไรมามากกว่าเก่า เขาเป็นเช่นนั้นกันส่วนใหญ่

ตกลงเราก็ตั้งแต่แทงค์เล็กให้ใช้น้ำในหมู่บ้านเราพอ แต่เราก็ต่อท่อไว้นะ ถ้าเขาจะยินดีเอาก็ให้ได้ แต่เราก็ใช้น้ำนั้นมา ตกลงน้ำกินน้ำใช้น้ำล้างส้วมดื่มได้หมด ตรวจค่าแล้วเป็นน้ำแร่ น้ำเหมาะใช้อุปโภค ไม่ต้องใช้คลอรีนเลย ตอนแรกเราจะทำขายด้วย แต่ไปดูตลาดแล้วก็สู้ไม่ได้ก็เลยไม่ทำ เราขี้เกียจไปรบกับสังคม 

หรืออีกเราจะทำถนน อย่างถนนไปกุดระงุมเราก็ทำขึ้นมาได้้ใช้กันทุกวันนี้ ก่อนจะทำถนนกุดระงุม เราก็ว่าเสนอจะให้ทำถนนไปคำกลาง เขาก็ตอบมาทันทีว่าไม่เอา เราก็ว่าเอ๊ะ บ้านคำกลางเป็นอย่างไร แต่ที่กุดระงุมเราก็ทำให้ จนที่บล็อคคอนเวิร์ท ที่ทางไปกุดระงุม ก็มาขอร้องให้เราทำให้ เราก็ว่าเป็นสาธารณูปโภคที่ใช้ร่วมกัน ทุนเขาให้มาไม่ถึงแสน แต่ว่าทำทั้งหมดเป็นล้านเราก็ทำให้ หรือที่ถนนข้างโรงเรียนกุดระงุม เราก็ทำให้หมดไปหลายแสน 

ที่พูดนี้เราไม่ได้รื้อฟื้นอะไร แต่พูดเพื่อให้ศึกษาว่าเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในหมู่บ้านเรา เป็นคุณค่าของสาธารณโภคี เป็นพ่อของคอมมูนอีก ได้ผลกว่าอีก แล้วก็จริงใจ ที่เราทำนี่เราไม่ได้ทำแบบสังคมโลกแบบการเมืองหาเสียงหาพรรคพวกได้ลาภ ยศ สรรเสริญซับซ้อนที่จะได้มา เราไม่ได้คิดเช่นนั้น แต่เราได้จิตวิญญาณ อย่างกุดระงุมถ้าไฟฟ้าเสียก็มาเรียกพวกเราไปช่วยแก้ไข นี่เราก็ว่าจะทำประปาให้กุดระงุมใช้กัน มันมีที่อีกแปลงที่เป็นน้ำซับได้ดี 

จิตใจเช่นนี้เกิดจากจิตใจบริสุทธิ์ที่เห็นว่ามนุษย์ต้องอยู่รวมกัน เกิดจากการศึกษาแบบของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์ แม้ศาสนากระแสหลักจะบอกว่าอาตมาเป็นพวกนอกรีต ก็เข้าใจเขา เพราะเขาเข้าใจผิด อาตมาก็เลยอยู่กับพวกเขาไม่ได้ ก็เลยออกมาพาทำแบบนี้ อาตมาก็เห็นว่าแบบนี้เป็นของพระพุทธเจ้าพาให้มนุษย์เกิดเช่นนี้ได้ ที่เกิดเช่นนี้ได้ เกิดจากการศึกษา ถ้าประเทศไทยเห็นดี เอาระบบการศึกษานี้ไปใช้ได้ ที่ในหลวงว่าจะบริหารประเทศแบบไหน ก็บริหารประเทศแบบคนจน อาตมาว่าสำเร็จ อาตมารับรองว่าในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ที่ไทยทำตามได้ยากเพราะเป็นประชาธิปไตยขี้โกง ในหลวงถึงยอมให้การเมืองในประเทศไทยใหญ่กว่าในหลวง จนบางทีในหลวงท่านก็ต้องเซ็นให้เวลาเขาทูลเกล้าขึ้นไป อาตมาเห็นพระทัยท่านมาก บางอย่างเราก็ว่าไม่น่าลงพระปรมาภิไธยแต่ก็ต้องเซ็น เท่าที่ดูมีอยู่ไม่กี่ครั้งที่ท่านไม่เซ็น แต่ท่านเป็นนักประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งของโลก ทรงงานเพื่อประชาชน ทำเพื่อประชาชน แต่คนไทยไม่เอาแบบอย่าง ท่านทำโครงการหลายพันโครงการให้ประชาชนทำโมเดลด้วยนะ ถ้าเกิดว่าพวกเราเข้าใจแล้วก็มาลองดู เร่ิมต้นก็มาเป็นไส้ศึก ก็ดูเอา อย่าเพิ่งเชื่ออย่าเพิ่งหลง ที่นี่ไม่มีพรางไม่มีหลอก จริงใจบริสุทธิ์ เข้ามาอยากรู้อยากเห็นอยากร่วมก็เข้ามาได้อย่างสะดวก อาตมาก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะเข้ามา ก็ช่วยกันดูว่าอะไรจะพัฒนาการบูรณาการได้ 

เอาแค่ความป่วยเจ็บของมนุษย์ ทั้งที่มนุษย์ไม่น่าป่วยเจ็บง่าย แต่มันถูก ครอบงำความคิด มอมเมากัน จนกระทั่งเสียหมด เสียนิสัยแล้วโง่ ถูกเขาหลอกกินใช้จ่ายเที่ยวมีพฤติกรรมชีวิตเป็นภัยต่อสุขภาพตนเอง จึงป่วย แม้แต่การเป็นอยู่ การแสวงหาความเป็นอยู่ที่ควรเป็นแล้วก็เรียกว่าความสุข จนเกินขอบเขต แล้วที่สำคัญคือสร้างเชื้อให้เป็นเชื้อโรค เชื้อโรคที่มนุษย์สร้าง จนเชื้อโรคบอกว่ามนุษย์นี่สร้างเชื้อโรคได้เก่งกว่าเชื้อโรคสร้างตัวมันเอง จนเป็นโรคแปลกใหม่ ไวรัสเมอร์ส มันจะมีมาอีกเรื่อยๆ ตั้งแต่ HIV เป็นต้น แล้วมันเกิดอย่างไร เกิดมาอาตมาก็อายุ 80 กว่าแล้วก็เพ่ิงเคยได้ยินโรค HIV เป็นต้น ก็เหลือเกิน สักวันมันจะตามมา โรคมะเร็งมันมีมาเก่า อิสานเรียกว่าโรคขี้มะเฮ็ง เดี๋ยวนี้มันวิวัฒนาการมา ก็ร้ายแรงกว่าของเดิม ตายลูกเดียว แต่ก่อนก็ตายเหมือนกันแต่ไม่รุนแรงมากเท่าทุกวัน สรุปแล้วการศึกษากับวิถีชีวิต ที่จะรู้เท่าทันแล้วก็ทำให้ตนเองปลอดจากโรค 

อาตมาเคยบอกชาวอโศกว่า ต่อไปชาวอโศกจะเป็นผู้ที่อายุยืนเป็นกลุ่มชนที่อายุยืนที่สุดในโลก
 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:04:34 )

580812

รายละเอียด

580812_ธรรมาธรรมะสงคราม ตอบแทนคุณแม่อย่างไรให้บริบูรณ์

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 12 ส.ค. 2558 แรม 13 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม วันนี้ทุกคนก็คงอยู่ในสำนึกกันว่าเป็นวันแม่แห่งชาติ ของชาวไทยเรา ซึ่งเรื่องของแม่นี่ ในความหมายทางโลกก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราจะต้องมาทำเป็นจารีต ประเพณีบูชาพระคุณแม่ มันเป็นเรื่องที่ แม้จะไม่ใช่ปรมัตถ์แต่เป็นเรื่องสังคมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าคนเราไม่ได้นึกถึงบุญคุณของพ่อของแม่ ผู้บังเกิดเกล้า ผู้ให้ชีวิตเรา มันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ก็คงเป็นคนชั่วได้ขนาดทีเดียว

พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้อันหนึ่งที่ว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลก 3 อย่างใน พระไตรฯล.20 ข.554 เขียนไว้ใน ทุลลภสูตร
         [554] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล 3 จำพวกหาได้ยากในโลก บุคคล 3
จำพวกเป็นไฉน คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 1 บุคคลผู้แสดงธรรมวินัยที่พระ
ตถาคตประกาศแล้ว 1 กตัญญูกตเวทีบุคคล 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความปรากฏแห่งบุคคล
3 จำพวกนี้แล หาได้ยากในโลก ฯ

ผู้ที่กตัญญูกตเวทีจริงๆ มีใจเป็นกตัญญูกตเวทีจริงๆ มีพฤติกรรมจริง คือเป็นผู้รู้จักบุญคุณคน ตอบแทนบุญคุณคน สนองบุญคุณท่าน รู้จักคุณท่านที่เราต้องตอบแทนอย่างจริงจัง ผู้นั้นเป็นผู้มีจิตใจประเสริฐ จึงจัดเข้าใจ 3 ข้อเข้ากับ พระพุทธเจ้าเลย ในข้อ 1

และผู้แสดงธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าประกาศแล้ว ถ้าหมายเอาคนบรรยายธรรมะ ก็มีอยู่ดาษดิื่น แต่ต้องพูดให้ชัดว่า บุคคลที่แสดงธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว ต้องเอาธรรมวินัยพระพุทธเจ้าประกาศต้องเป็นธรรมวินัยที่ตรงตามพระพุทธเจ้า อย่างนี้คือบุคคลที่หาได้ยาก ถ้าสักแต่่บรรยายก็หาไม่ยากหรอก ยิ่งทุกวันนี้เป็นยุคใกล้กลียุค และอาตมาก็พูดแล้วพูดอีก ที่ว่า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเสื่อมมาก แล้วแม้นแต่พุทธกระแสหลักเองก็เพี้ยน วิปลาสไปแล้ว อาตมาก็พยายามอธิบายวิปลาสเพ่ิมอีก เป็นเรื่องสำคัญ ในพระไตรฯล.21 ข.49 เมื่อวานนี้ก็เอามาขยายความ

ถ้าไม่รู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิถูกตรง คนนั้นยังไม่ใช่ผู้อธิบายธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ในหมวดบุคคลที่หาได้ยาก 3 ประการดังที่พระพุทธเจ้ากล่าวเลย 

ส่วนผู้กตัญญูนั้นหาได้ยาก ที่จริงใจจริงๆ แต่เอาเถอะในด้านสังคมศาสตร์ แม้แต่วันแม่ที่พวกเราก็เอาพ่อแม่มาไหว้กัน แม้อยู่ที่บ้านไม่ได้ไหว้กันก็มาไหว้ที่นี่ ผู้จริงใจก็น้ำตาไหลซาบซึ้งกัน เป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน แต่เป็นคนแล้วโดยเฉพาะเป็นคนที่อยู่ในขีดควรจะเป็น แต่คนชั้นต่ำก็ไม่รู้บุญคุณพ่อแม่ เป็นอเวไนยสัตว์ เราก็ยกไว้ แต่คนสามัญเข้าใจอยู่ว่าอันนี้ควรเข้าใจว่า แม้แต่พ่อแม่เราจะชั่วไม่ดีก็ตาม เราก็ต้องไม่ไปย้ำยี ทำร้ายทำลายท่านเพิ่มเติมเราไม่ส่งเสริมแต่อย่างน้อยต้องเลี้ยงดูให้ท่านมีชีวิตที่ดี ต้องฉลาด ยิ่งฉลาดถึงขั้นทำให้ท่านเป็นผู้มีคุณธรรม มีสัมปรายิกธรรม 4 ประการ คือศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ก็ยิ่งประเสริฐใหญ่ ก็ต้องช่วยท่านจนท่านดีท่านมีธรรมะ มีอาริยทรัพย์

คำว่า แม่ ทางโลกีย์ คือตัวตน บุคคลเราเขา เป็นกัลยาณธรรม เป็นเรื่องกุศล ก็แน่นอน ที่เราต้องเคารพช่วยเหลือ ตอบแทนท่าน ต้องระลึก เพราะว่าเราเองอย่างน้อยต้องอาศัยสายเลือด ถ้าไม่ได้สายเลือดแม่คนนี้อาจเข้าท้องหมา แต่นี่อาศัยท้องท่านเกิดมาเป็นคน หากจิตใจเราไม่ย่ำแย่ต่ำทรามพูดกันไม่รู้เรื่องก็แล้วไป แต่เรารู้เรื่องก็ต้องทำให้ลึกซึ้ง

เรื่องการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ อาตมาจำไม่ได้อยู่ในพระไตรฯเล่มไหน ท่านตรัสถึงว่าการทดแทนบุญคุณพ่อแม่นี่นะ ท่านตรัสเนื้อหาประมาณว่า การทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่จะถือว่าทดแทนบุญคุณนี้ ต่อให้ทดแทนบุญคุณท่านด้วยการอุปถัมถ์วัตถุ ปัจจัย 4 ให้ครบ เรียกว่าวัตถุสมบัติย่ิงใหญ่ขนาดไหนให้ท่านก็ยังไม่ถือว่าทดแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือต่อให้เอาพ่อแม่มาแบกไว้บนบ่า ขี้เยี่ยวรดบนบ่าเลยก็ทำขนาดนั้น แบกไว้เลยตลอดเวลา 

พระไตรฯล.20  [278] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง 2 ท่าน
ทั้ง 2 คือใคร คือ มารดา 1 บิดา 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดา
ด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขา
พึงปฏิบัติท่านทั้ง 2 นั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่าน
ทั้ง 2 นั้น พึงถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำ
อย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย (พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าไม่ได้ตีทิ้งเลย เป็นเพียงโลกียะก็ตามก็ต้องทำในเบื้องต้นในการช่วยเหลือด้านวัตถุ ปัจจัย 4 การดูแล) 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ
7 ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้ว
แก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดง
โลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธา
สัมปทา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว
และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ

พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่าจะทำอย่างไรให้พ่อแม่เข้าถึง อาริยธรรม ในอาริยทรัพย์ 4(ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา) หรืออาริยทรัพย์ 7 (ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา) กัลยาณมิตร อะไรก็ไม่เลิศยอดเท่า สัมปรายิกัตถประโยชน์(อาริยทรัพย์ 4 ) นี้ หรือจะเรียกว่า อาริยทรัพย์ 7 ซึ่งในสัทธรรม 7 นั้นไม่มีศีลเพราะว่าศีลเป็นข้อที่ 1 ในจรณะ 15 แล้วในสัทธรรม 7 จึงมี ศรัทธา ศีล พหูสูตร วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา 

แม้แต่ผู้มีบุญคุณใดๆ หรือพ่อแม่นั้นแหละ เราควรมีการตอบแทนได้อย่างดี เราจะทำอย่างไร 
1.เราต้องบรรลุ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เราจึงจะช่วยพ่อแม่ได้ ถ้าเราไม่มีทองก่อน เราจะแจกก้อนทองแก่พ่อแม่ได้อย่างไร ก็ไปทุจริตมาไม่ใช่ของจริง ต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่น จะช่วยพ่อแม่ต้องมีสัมมาคารวะ การสอนพ่อแม่ไม่ใช่ง่าย ถ้าไม่สามารถทำตนให้เป็นอาริยะ มีศรัทธาพระรัตนตรัย เข้าถึงศรัทธาสัมปทา ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราศรัทธาแก้วประเสริฐของศาสนาพุทธก็มีสามสิ่งนี้ 

เราจะศรัทธาก็เพราะเรามีของจริง เป็นการบรรลุปรมัตถ์ ตอบแทนท่าน แต่แม้ว่าเราไม่มีความเป็นอาริยะก่อน เราก็ต้องเสาะหาผู้ที่เป็นอาริยสงฆ์ เป็น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

ต้องเสาะหาผู้เป็นอาริยะ ตั้งแต่ปัจเจก คือบรรลุในตน ว่าธรรมะปรมัตถสัจจะตนปฏิบัติได้แล้ว มีแล้วในตน ขั้นใดขั้นหนึ่งขึ้นมา ผู้ใดยังไม่มีก็ต้องไปหาผู้ที่มี พึงแสวงหาแล้วก็พาพ่อแม่ไปพบ ไปให้ได้สิ่งเหล่านี้ มันยิ่งกว่าหาราชสมบัติ หรือเลี้ยงพ่อแม่ไว้บนบ่าเลย คือให้ท่านได้ศรัทธา รัตนตรัย แล้วปฏิบัติศีลมีผลเป็นอาริยะไปตามลำดับ ต้องพ้นศีลพตุปาทาน ถึงขั้นพ้นศีลพตปรามาสได้เลย แต่ศีลทุกวันนี้สอนกันแต่ควบคุมกาย กับวาจา ใครๆก็สอนได้ ศาสนาไหนๆก็สอนได้ ไม่รู้กี่ศาสนาก็สอนกันนะ อย่าไปโกหกนะ อย่าไปเสพติดนะ มันก็พื้นๆ ศาสนาไหนใครก็สอน ไม่ได้ต่างกันในเรื่องความรู้ แต่เรื่องของการบรรลุสิต่างกัน ของพระพุทธเจ้ารู้จิตเจตสิก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส โดยรู้อย่างยืนยันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต 

รู้ในปัจจุบันนี้เลย เราเจอสัตว์ตัวนี้ จิตเราคิดร้ายคิดไม่ดีแล้ว หรือจะไม่ชอบใจ จนคิดร้ายจะฆ่าแกงมันเลย ต้องอ่านอาการจิตให้ออก รู้จักองค์ประชุมรูป/นาม มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง กายสัมผัส โผฏฐัพพะ พอรู้แล้วว่าเกี่ยวกับสัตว์นี่สมมุติศีลข้อ 1 คืออาการกิเลสเป็นโทสะมูลหรือราคะมูล 

หรือเห็นสัตว์ตัวนี้แล้วชอบมันอยากเอามาต้ม เอามายำ ชอบจนอยากจะเอามากลืนกินเลย ชอบจนปานจะกลืนกิน หรือชอบจะเอามาเป็นเราเป็นของเราก็ตามแล้วก็เอามาเลี้ยงดูจนทำมันเสียสัตว์ เสียวิบาก ไปตัดรอนวิบากสัตว์ เป็นอจินไตย การไปเอาสัตว์มาเลี้ยง ก็ตามธรรมชาติเล็กน้อยๆ อย่าให้เป็นการมีจิตผูกพัน อาตมาอธิบายไว้บ้าง 

คือคนติดหมานี่นะ เลี้ยงหมา จะมาวัดก็ไม่มีใครดูหมา คุณเอ๋ย หมามันดึงคุณไม่ให้ได้อาริยทรัพย์ คุณเห็นหมาราคาแพงกว่าอาริยทรัพย์ อาตมาไม่ได้โกรธเกลียดหมานะ แต่คุณน่าจะรู้ว่าอะไรมีค่า แต่ทิ้งหมาไม่ได้มาบวชไม่ได้ ทิ้งหมาไม่ได้ รอให้มันตายก่อนแต่ว่ามันก็ออกลูกมาอีก

คุณรักหมาชาตินี้ ผูกพันกัน มีหอมดมกอดฟัดเหวี่ยงกัน จนสุดท้ายแล้วคุณระวังเถอะ ชาตินี้ก็เผลอไผลได้ เป็นการละเมิดอะไรต่างๆนานา หรือก็อาจพอรู้สึก อาจจะต้องสมสู่กับหมาเลย มันไม่ดีเลยไม่ได้เรื่องเลย แต่ถ้าอย่างนี้มันก็พอรู้ว่าไม่น่าทำ แต่ถ้าชาติหน้าสัตว์หมาตัวนี้เกิดมาเป็นคน เป็นคู่วิบากคุณก็ต้องได้คู่เป็นหมา แล้วหมาตัวนั้นจะมีภูมิธรรมแค่ไหนมันก็คือหมา คุณก็ได้ผัวเป็นหมามาเกิด อย่างนี้เป็นต้น หรือผู้ชายก็ได้เมียที่เป็นหมามาก่อน มันซับซ้อนมาก อาตมาพูดให้ฟังไม่หมด มันน่าเกลียดกว่านี้เยอะ อจินไตย 

สัตว์เกิดมามี 2 ชนิด ชนิดแรกเป็นสัตว์ป่า หรือสัตว์ไม่เกี่ยวกับคน มันก็เป็นสัตว์พเนจรไป แต่มันมีภาวะเกี่ยวเนื่องก็ต้องผูกพันกันก็จะยิ่งมากขึ้นๆ แล้วสัตว์มันไม่รู้หรอกว่าคนจะผูกพัน เพิ่มกรรมวิบาก มาฆ่ากันก็ตามมารักกันก็ตาม มันเป็นวิบากทั้งคู่ มันไม่ควรต้องมาผูกพันกัน เฉพาะวิบากคนด้วยกัน ทั้งรักและชังก็นับไม่ถ้วนต้องมาใช่วิบากกันหนักหนาสาหัส ไม่พอหรือไง ต้องไปหาสัตว์มาเพ่ิมวิบากอีกทำไม

เราตัดวิบากกับสัตว์ก่อนเลย แม้มันจะเคยมีวิบากร่วมกันแต่ชาตินี้ต้องปล่อยวาง เหมือนคู่วิบากที่เป็นคน เราก็ต้องเลิก เขาจะชังเราทำร้ายเราเราก็ไม่ตอบ เขารักเราเราก็ไม่รักตอบ เขาแค้นเราเราไม่แค้นตอบ มันจึงจะเลิกหยุด แต่แค่คนนี้มีรักมีชัง คุณต้องล้มเลิก รักก็ไม่ต่อโกรธแค้นก็ไม่ต่อ ตัดทั้งคู่ ขนาดคนด้วยกันก็มีนิยายไม่รู้กี่เรื่อง มันไม่พอมือหรือ อย่าไปแถมสัตว์

สัตว์เขาเกิดมารับวิบากของเขา อาจไปถูกทำร้ายด้วยสัตว์ด้วยกันหรือคน จะอีกกี่ชาติที่เขาไม่ตัดวิบากก็แล้วแต่เขา แต่เราศึกษาให้ได้แล้วอย่าไปทำ ที่พูดนี้ไม่ได้มีจิตไม่เมตตาสัตว์ คำว่าเมตตาไม่ได้หมายถึงรักผูกพันนะ รักคืออาการผูกพันดูดดึง แต่เมตตาเป็นคุณสมบัติรักที่สูงขึ้น เป็นปิยกรณะ ไม่ใช่เปมะที่รักด้วยเชื้อกาม ดูดดึงมาเป็นของตน แต่รักคือปรารถนาดีให้เขาพ้นทุกข์เป็นสุข

จะเรียกว่า เมตตา  แต่คนเราแยกเมตตากับ รัก ไม่ค่อยออก ศาสนาเทวนิยมเขาใช้ภาษาว่ารักเลย พระเจ้ารักคนทุกคน พระเจ้ามีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา พยัญชนะก็แยก แต่ว่า เขาก็ปนกัน ทั้งที่เมตตาคือความรักที่ปรารถนาดีต่อกัน ไม่ใช่ความรักขั้นต่ำ 

แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่ต้องรักผูกพันกันไป จะผูกพันกันไปอีกกี่ชาติ แต่อย่างไรคุณต้องมีพ่อแม่อีก ตามบารมี แต่ถ้าบารมีไม่ดีก็ได้พ่อแม่เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือได้พ่อแม่เป็นคนไม่ดี ตระกูลไม่ดีแต่ถ้าบารมีดีก็จะได้พ่อแม่เป็นคนดี ตระกูลดี เป็นการคำณวนของสัจจะ ที่คิดค่าละเอียดเป็นอจินไตย

ถ้าเราทำใจเป็นกลางแล้วเรียนรู้การปลดปล่อย อย่าฆ่าแกงทำร้ายหรือดูดดึง จะเป็นวิบากต่อกัน ในระหว่างจิตนิยามต่อกัน ไม่ว่าสัตว์หรือคน ส่วนพีชนิยามไม่มีปัญหา มันไม่มีพลังงานเวทนา ไม่มีรัก/ชัง ไม่ทุกข์/สุข สิ่งที่ประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในนิยามชีวิต 5 อาตมาว่าไม่ใช่คนธรรมดาจะคิดได้ อาตมายังไม่เจอในพระไตรฯนะ มีแต่คำว่า ธรรมนิยาม คำเดียว คนธรรมดาไม่มีใครมีสิทธิ์คิด นิยามชีวิต 5 อย่างนี้ได้ ตั้งแต่อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ

จิตนิยามมีรายละเอียดอีกว่า คนเชื่อกรรมวิบากกับคนไม่เชื่อกรรมวิบากอีก แม้ชาวพุทธทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจกรรมวิบากหรอก พระพุทธเจ้าว่ากรรมชั่วแม้น้อยอย่าทำเสียเลยแต่ทุกวันนี้กรรมชั่วหยาบอย่างไรก็ทำ อย่าว่าจะแยกกุศลโลกียะกับโลกุตระอีก ส่ิงที่เป็นธรรมะคือสิ่งรวมทรงไว้ของทุกอย่างเลย 

จิตนิยามเป็นธาตุรู้ จะรู้จักกรรม รู้จักธรรม ระดับอเวไนยสัตว์นี่ ไม่ใช่เดรัจฉานนะที่สมองหรืออาการ 32 ไม่เต็มเหมือนคน มันไม่มีอาการ 32 ไม่ครบเหมือนคนหรอก คนต่อให้อาการ 32 ครบ แต่คุณสมบัติคุณธรรมก็ไม่ขึ้นถึงเวไนยสัตว์ เวไนยสัตว์ระดับคนดีสอนให้ทำดีได้ละชั่วได้ แต่ถ้าไม่ใช่เวไนยสัตว์โลกุตระที่สั่งสมกรรมถึงขีดโลกุตระได้ ต่อให้ฉลาดเฉลียวเท่าไหร่ก็ยากจะข้ามพ้นได้ แต่คนดูเหมือนไม่ฉลาดแต่คุณสมบัติถึง เป็นเวไนยสัตว์ เข้าใจกรรมวิบาก เข้าใจปรมัตถ์ เป็นอรหันต์ได้แม้ไม่เฉลียวฉลาดโลกีย์ เขาไม่เก่งอะไรเลย

อย่างชาวอโศกที่มานี่ไม่ใช่คนฉลาดส่วนมาก แต่เป็นคนที่มีบารมีธรรม เป็นเวไนยสัตว์ หากไม่ใช่เวไนยสัตว์เขาไม่ยินดีไม่เห็นค่า อาจเห็นว่าพวกเราบ้าด้วย คนข้างนอกเขาหาว่าอาตมาบ้า พูดอยู่ได้ทุกวัน เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาไม่รู้อาการจิตเขา แค่อาการจิตเขาเป็นจริง

เขาไม่เข้าใจว่าอันนี้คือธรรมที่น่าเงี่ยโสตสดับ น่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นโลกุตรธรรมนะ ไม่ง่าย เราไปบังคับความฉลาดทางอาริยะไม่ได้หรอก แม้บังคับให้ฉลาดโลกีย์ยังยากเลย จะให้ข้ามมาโลกุตระไม่ได้เลย

ถ้าฟังแล้วจิตใจไม่ดีก็ชิงชังโกรธด้วย เพราะเขารู้ว่าอาตมาพูดกระทบเขา เขาเป็นสิ่งไม่ดี มีความผิดนั้นจริง อาตมาก็เป็นคนปากชัด จนเขาหาว่าเป็นคนปากจัด 

ยุคนี้อาตมาให้เกียรติคน ถือว่าคนฉลาด เขาก็บอกกันว่า อาตมาสอนอย่างไรให้คนตามมาลดละจนเป็นหมู่กลุ่มได้ จนกลายเป็นสังคมอาริยะได้ เขาก็ถามอาตมาก็บอกว่า อาตมามีหลักสำคัญคำเดียวว่าอาตมาจะพูดความจริง อย่าให้ออกนอกความจริงได้ นี่เป็นหลักใหญ่ อาตมาพูดความจริง อยู่ในโลกของความปลอม เยอะแยะมากมาย เมื่อพูดความจริงก็ต้องบาดเสียดแน่ 

อาตมาต้องพูดความจริง เพราะอาตมาคัดเลือกภูมิปัญญาของคนที่คัดเลือกความจริงออก อาตมารู้ตัวว่าอาตมาไม่เก่ง เช่นมีคนแนะนำว่า อาตมาเล่นเดรัจฉานวิชชาเป็น เขาก็บอกว่าก็ทำไสยศาสตร์แสดงฤทธิ์เดชได้ ทำแล้วคนเขาชอบ แล้วเขาเข้ามาเราก็ค่อยสอน ก็จริงคนอาจมา แต่เขาเอาเดรัจฉานวิชชา อาตมาจะสอนโลกุตระมันจะได้หรือมันคนละ Target คนละกลุ่มเป้าหมายเลย อาตมาไม่ทำ ไม่ต้องการหรอก อย่าว่าแต่ทำอย่างนั้นเลย แม้การประเล้าประโลมมีอามิส อาตมาก็ไม่ทำ 

ถามจริงๆ ชีวิตปกติอาตมาเป็นคนแรงๆ จิ้มๆหรือก็ไม่ อาตมาเป็นคนตลก สนุกสนานด้วย เด็กเล็กๆก็ไม่กลัวอาตมา แต่อาตมาสอนคนนั้นก็เหมือนพระพุทธเจ้าเข้าสิง จริงจังแล้วก็แรง คนกลัว แต่ชีวิตจริงอาตมาไม่เป็นคนน่ากลัว คนไม่กลัว แต่จะเกรง เพราะเขารู้จักภูมิธรรมคน 

ความเป็นแม่ (มาตา) เป็นข้อต้นของทิฏฐิที่ต้องเข้าใจคำว่าแม่ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ก่อนจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ หากไม่มีสัมมาทิฏฐิที่เป็นประธานของมรรคองค์ 8 หากไม่มี ปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่บรรลุ สัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องสุดยอด ทิฏฐิเป็นข้อหนึ่งในแสงอรุณ 7 (มิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตา ทิฏฐิ อัปปมาทะ โยนิโสมนสิการ) ทิฏฐิต้องมาก่อนมรรค จะปฏิบัติมรรคมีผลได้ต้องมีทิฏฐิเป็นเบื้องต้นเป็นแสงอรุณ

และในมรรคองค์ 8 ข้อแรกต้องทำทิฏฐิให้สัมมาก่อน สัมมา 10ข้อ 
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา) 
 
1.    ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) 
2.    ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง) 
3.    สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)  จิตที่ได้รับผลแล้ว 
4.     ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่ 
(อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 
5.     โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ คือโลกโลกียะ
6.     โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ 
7.     มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)
8.     บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) 
9. .    สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) 10 สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)
      (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257) 

เทวนิยมเข้าใจโลกนี้ว่าคือเกิดในชาตินี้ พอโลกหน้าคือตายจากโลกนี้ไปโลกหน้า แค่นี้เข้าใจแค่นี้ก็ปฏิบัติมรรคองค์ 8 ไม่ได้หรอก แค่ประเด็นของคำว่าโลกก็เข้าใจแค่นี้ ผู้ที่สอนกันอย่างมิจฉาทิฏฐิ อย่าว่าแต่ตายเลย โลกที่ลืมตาสัมผัสทั้ง 6 ก็เป็นโลกชนิดหนึ่ง แต่โลกที่ขาดสัมผัสทั้ง 6 มีแต่ในภพ ก็ไม่มีความจริง เป็นสุรภาโว สติมันโตไม่ได้หรอก ต้องพร้อมทั้ง ทวาร 6 กระทบสัมผัสแล้วเกิดสามเส้าเกิดเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าต้องมีครบโลกทั้ง 6 ทวาร ไปตัดออกไม่ได้อันใดอันหนึ่ง  แค่นี้หากไม่เข้าใจก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ อยังโลโก ปโรโลโก แค่นี้ ถ้าเข้าใจว่าตายเกิดทางร่างก็ไม่ต้องใช้ภูมิพระพุทธเจ้าก็รู้ แค่นี้ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้ 

โลกสอง คือโลกของกาย กับโลกของจิต คำว่า กายคือสัมพันธ์กับรูป นามขันธ์ 5 แต่โลกของจิตคือมีแต่ในภพ ในจิต ต้องแยกให้ออก ต้องใช้โลกที่มีทั้งนอกก่อนแล้วค่อยเลื่อนเข้าหาปฏิบัติในจิต 

โลกสามคือโลก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือว่าโลก เทวดา สัตว์นรก และจิตบริสุทธิ์ แดนกลางเรียกว่าแดนมนุสโส สามารถปฏิบัติเปลี่ยนจากสัตว์นรกเทวดาเก๊เป็นเทวดาอุบัติเทพได้ 

โลกสองมีอีกหลายอย่าง มีทั้งโลกุตระกับโลกียะ ก็สำคัญมาก ถ้าอ่านปรมัตถ์อ่านอาการจิตไม่ออก แล้วแยก จิตที่มีสมุทัย ซึ่งเกิดจากการสัมผัสเป็นโลกสาม แล้วก็สามารถสัมผัสเห็น เข้าใจ วิจัยออกได้แยกได้ว่าอันนี้คือตัวเหตุในโลกที่มีการเป็นอยู่ สัมผัสสัมพันธ์กันแล้วมีอาการชีวิตินทรีย์ของโอปปาติกสัตว์นี้เกิดเลย ถ้าไม่เห็นแจ้งจริงก็กำจัดอย่างโมเม ไม่ถูกตัว เพราะไม่รู้จักกาย คือองค์ประชุมของรูป/นาม ก็ไม่สามารถกำจัดได้ถูกตัว

ผ่านคำว่าโลกนี้โลกหน้าไปก่อน ไปดูที่มาตา ปิตา สัตว์โอปปาติกา
คำว่ามาตา คำนี้เป็นแม่ทางปรมัตถ์ แม่ทางจิตวิญญาณ แม่ของสัตว์โอปปาติกาไม่ใช่แม่ตัวตนบุคคลเราเขา เป็นผู้ให้กำเนิดโอปปาติกะ แม่ชนิดนี้ที่เราต้องเรียน

อาตมาเคยใช้ ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อมีธรรมะสอง ต้องมีสองเสอม แล้วก็ร่วมกันทำให้เกิดอีกอันหนึ่ง จะมีโอปปาติกโยนิ ต้องรู้การเกิดการตายทางจิตวิญญาณที่เป็นอาการคู่ แล้วต้องทำให้เป็นหนึ่งอย่างย่ิงใหญ่คือเอกัคคตา ดำเนินไปอย่างเยี่ยมยอด อย่างเลิศ จนสำเร็จเป็นสโมสรณาในจิตเรา

ทำแล้วจากธรรมะสองเป็นหนึ่งได้ อันหนึี่งตายหยุดไปตายดับสนิท อาการจิตที่มันตายดับสูญถึงขั้นนั้น แต่จิตคุณไม่ได้ดับไปทั้งหมด แต่ว่าคุณต้องรู้อย่างมีปัญญาว่ามันตาย ตราบใดคุณยังเป็นนักปฏิบัติธรรมพระโยคาวจรต้องมีธรรมะสองเสมอ จะมีปัญญาธาตุรู้ที่รู้ย่ิงขึ้นๆ ตราบใดที่ไม่ปรินิพพาน ก็ต้องมีสองทั้งสิ้นแล้วคุณต้องทำให้เกิด 1 เอกสโมสรณา ต้องทำที่เวทนานี่  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) 

แม้เป็นอรหันต์เป็นอมตบุคคล มีวิมุติเป็นแก่นแล้ว ถ้าไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็จะต้องมีธรรมะสองเสอม พระพุทธเจ้าว่ามีเทวดาบอกว่า คนบรรลุแล้วเป็นไง พระพุทธเจ้าก็เลือกตอบว่า 
เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป 
เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท 
เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ) 

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้ 
เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้ 
เราไม่พัก เราไม่เพียร  ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล ฯ  
(พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2) 

พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระอัครสาวกเป็นแม่ ท่านสอนพระภิกษุ คือพวกอยู่ดาวดึงส์ สบายแล้ว เขาให้อภิสิทธิ์เยอะ ข้าวไม่ต้องปลูกไม่ต้องหุง เขาก็ให้กินแล้ว เป็นต้น อย่างน้อยไม่รู้ดีหรือชั่วเขาก็ไหว้หมด บางทีเขาว่าก็พระไม่น่าไหว้แต่ไหว้ผ้าเหลือง 

อย่างโพชฌงค์กับมรรคองค์ 8 อะไรเป็นพ่ออะไรเป็นแม่ ก็โพชฌงค์เป็นพ่อ มรรค เป็นแม่ ทำไม?
แม่คือมรรรจะอยู่กับเราตลอดเวลา แต่โพชฌงค์นี่จะปฏิบัติก็ใช้สามตัวแรก คือจะรู้จักพ่อนี่น้อยเป็น XY  แต่ถ้าแม่นี่ต้อง XX แต่ที่จริง พ่อมี XXY พ่อจริงๆนะ ถ้าพ่อปลอมๆ y จะเป็นตัวเกเร 

การร่วมกันให้เกิดลูกต้องมีอย่างน้อยสอง มีเดี่ยวๆไม่เกิด ถ้าโยนิโสมนสิการเป็น ก็มีสติสัมปชัญญะกับสำรวมอินทรีย์ การสำรวมอินทรีย์กับสติสัมปชัญญะอะไรเป็นพ่ออะไรเป็นแม่.... สติเป็นพ่อ สำรวมอินทรีย์เป็นแม่
อาหารสู่วิชชา-วิมุติ
1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ 
2.    การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์ 
3.    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์  
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ 
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต 
7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์ 
8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ 
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์     (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61) 

สติปัฏฐาน 4 เป็นแม่ เป็นตัวปฏิบัติ แต่ โพชฌงค์ 7 เป็นพ่อ เพราะเป็นตัวผลเกิด  ไม่ง่ายที่จะรู้ได้ แต่เรารู้ว่าคือองค์ประกอบ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ศีลกับปัญญาที่ต้องทำงานคู่กัน 

ข้อสังเกตอาการที่เป็นแม่คือผู้หญิง ทำมากจุกจิกแต่ได้ผลน้อย ส่วนพ่อนี่ทำงานน้อยแต่ได้ผลมากพ่อสงบมากแต่แรง แต่แม่นี่ดูเหมือนไม่สงบแต่เบา มันกลับไปกลับมาได้ 

คนก็เขาบางทีว่า ผู้หญิงกิเลสมากผู้ชายกิเลสน้อย แต่คนเขาก็ว่า ผู้ชายกิเลสมากกว่า แต่แท้จริง ผู้หญิงมารยามากอายต้องปกปิด แต่ที่จริงกิเลสเยอะ แต่ผู้ชายไม่มีมารยาก็เลยแสดงออกเหมือนมีกิเลสเยอะ แต่ผู้หญิงมารยาเยอะกิเลสเยอะ ผู้หญิงเป็นตัวการกิเลส ผู้ชายถ้าเป็นผู้ชายจริงนะ แต่ถ้าู้ชายมีจริตผู้หญิง กิเลสเยอะกว่าผู้หญิง กระเทยเลยมารยาเยอะกว่าผู้หญิง ห้าหมื่นเกวียน 

สรุปต้องมีองค์สองทำปฏิกิริยาให้เกิดองค์ที่ 3 คือมีพ่อมีแม่แล้วมีลูก ต้ององค์ 3 นี่แหละคือโลก ถ้ามีแค่สองก็ไม่เกิดเรื่องเท่าไหร่ เช่นมีมนายตนะกับธรรมายตนะ สองอย่างนี้ไม่เกิดเรื่องอะไรมาก แต่ถ้ากระทบมาต้องมีเหตุ ก็มีนิทานเป็นเรื่อง ถ้าไม่มีตัวเหตุ ไม่มีอะไรชักจูง ไม่มีสสังขาริกัง ไม่มีเหตุนำให้เกิด เหตุจริงๆคือสมุทัยอาริยสัจ ถ้าไม่มีเหตุ มนายตนะกับธรรมายตนะก็ทำงานอย่างอมตบุคคลทำงานด้วยจิตว่างจากกิเลส ตามบารมี มีการสร้างอายตนะโดยเจตนา มีวิภวตัณหามีฉันทะ มีอากังขาวจร อิจฉาวจร ปรารถนายินดีต้องการทำสิ่งนี้ แล้วทำโดยจิตไม่มีกิเลสไปร่วม ไม่มีสสังขารริกัง เป็นจิตอสังขาริกัง ไม่มีเหตุให้เกิดเรื่อง

ถ้าไม่่ต่างกันไม่เกิดเพศสัมพันธ์ไม่มีโอปปาติกโยนิ ถ้าผู้สามารถทำไม่ให้เกิดซ้อนในใจตนได้ก็สามารถมีการสัมผัสที่จัดจ้านมากขึ้น เป็นพหูสูตร เป็นธัมมกถึกเข้าสู่สังคมไปตามลำดับ แกล้วกล้าเข้าสู่สังคมไปตามลำดับ ตามสัทธา 10 ที่ไปตามลำดับ ถ้าไม่เป็นสัทธาที่บริบูรณ์ไปตามลำดับ มีศีลสมบูรณ์ก็เป็นผู้มีพหูสูตร ตามสัทธาสูตร 
1.    ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น) 
2.    ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15) 
3.    พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) 
4.    เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง) 
5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)   
6.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท 
7.     ทรงวินัย มีหลักเกณฑ์สำคัญขึ้น 
8.     อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) 
9.     ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4  
10.    ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ 
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง 
(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8) 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:05:24 )

580813

รายละเอียด

580813_ธรรมาธรรมะสงคราม ตอบแทนคุณแม่อย่างไรให้บริบูรณ์ ตอน 2

พ่อครูว่า... วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 13 ส.ค. 2558 เมื่อวานนี้เป็นวันแม่แห่งชาติเพิ่งผ่านไป ที่จริงเขาฉลองทั้งเดือนนะ เมื่อวานอาตมาได้อธิบายความเป็นแม่ไปหลายนัย ได้เห็นความเกี่ยวโยงทางสังคม ทางสายเลือด และทางนามธรรม อาตมาได้อธิบายไปบ้างว่ามันก็มีแม่มีพ่อเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงความเป็นแม่เป็นพ่อทางจิตวิญญาณ ภาษาบาลีเรียกว่า โอปปาติกะ 

ได้ขยายความถึงการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ต้องทดแทนให้พ่อแม่มีอาริยธรรม ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ซึ่งทุกวันนี้เขาอธิบายกันแค่กัลยาณธรรม แต่ของพุทธเน้นโลกุตรธรรม อันเป็น ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ประเด็นที่จะเข้าถึง เปลี่ยนจากโลกียะ เป็นโลกุตระนี่ เป็นกรอบขีดคั่น ที่จะต้องศึกษาหยั่งรู้ถึงจิต เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนตระกูล DNA เลย จากตระกูลโลกียะ มาเป็นโลกุตระเลย เป็นเรื่องวิเศษ ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่นำมาประกาศ ศาสนาอื่นใดก็ไม่รู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ยาก แต่เข้าใจได้ 

แต่พุทธศาสนาทุกวันนี้ไม่เข้าถึงปรมัตถ์นี้ แล้วก็หลงทิศทาง ประเด็นสำคัญแม้แต่ภาษาก็เอามาใช้ปนกันไป มันไม่ชัด แต่ถ้าชัดจะไม่คาบเกี่ยวกัน มีการตัดรอบ ตัดขาดจากกันได้ว่า อย่างนี้โลกียะ อย่างนี้โลกุตระ ศาสนาพุทธเป็นโลกุตรธรรม ที่เมื่อพัฒนาจิตให้เกิดเป็นโอปปาติกโยนิ จนมาเป็นคนตระกูลใหม่ เปลี่ยน DNA มาเป็นคนเจริญจริงๆ เป็นความเจริญที่ดี อย่างมีหลักประกัน เพราะกิเลสมันดับมันลดจากจิตที่เป็นตัวประธาน อย่างมีหลักประกันไม่เปลี่ยนแปลง กิเลสถูกล้างออกไปจากจิตไม่มีแล้ว จิตพัฒนามาเป็นลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ 

เป็นเรื่องถอดตัวตน สำหรับ DNA โลกุตระหรือรหัสพันธุกรรม คำนี้ถูกต้องแต่มันผิด ที่ถูกคือเปลี่ยนจากพันธุกรรมมาเป็นพันธ์แบบพระพุทธเจ้า เปลี่ยนทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เปลี่ยนทางสรีระ ที่ทางโลกใช้ผิดว่าเป็น พันธุกรรมไปเสีย 

สัตว์เดรัจฉาน คนก็พยายามเปลี่ยน DNA สรีรพันธุ์ ของสัตว์ แต่ก็กลัวจะเปลี่ยนของคนอีก แต่ก็เป็นแค่เรื่องการเปลี่ยนสรีระ ให้มันสังเคราะห์เปลี่ยนรูปร่างกาย ตามที่ตนต้องการ เขาก็มีความรู้พอได้ แต่จริงๆไม่ใช่เปลี่ยนกรรมพันธ์ ที่ต้องศึกษาเปลี่ยนกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม อันเป็นต้นเชื้อเลย ที่เป็นเชื้อสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เป็นสัตว์โอปปาติกะ 

ศาสนาพุทธรู้แจ้งเห็นจริงเลยว่า สัตว์โอปปาติกะ สัตว์เดรัจฉานนี้เป็นอย่างไร ให้จิตเจริญจิตสูงขึ้นเป็นอย่างไร เปลี่ยนข้ามพันธ์ุกัน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่เที่ยง ทางโลกียะเปลี่ยนได้อัตโนมัติ เช่นเปลี่ยนจากสัตว์นรกเป็นสัตว์เทวดาเก๊ แล้วก็เปลี่ยนเป็นสัตว์นรกใหม่ ได้มาเสพก็เป็นเทวดาเก๊อีก เดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนอีก ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเทวดาจริง มันเป็นตัวหลอกไม่เที่ยง การมีจิตยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานในอนุสัย ที่ปุถุชนเข้าไม่ถึง ผู้เรียนรู้พุทธศาสนาก็ยังไม่เกิดญาณปัญญาที่เหมือนกล้องส่องให้เป็นสภาวะสัตว์เหล่านี้ แล้ววิธีแก้คือลดสัตว์เหล่านี้ ออกไปจิตก็สูงขึ้น ฆ่าสัตว์เหล่านี้จิตจะเป็นปัญญาชัดเจนรู้ว่ามันเจริญเพราะเหตุนี่ ไม่หลงใหลได้ปลื้มเช่นนี้ ไม่ไร้สาระเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงพาเราทุกข์เสียเวลา แล้วจะทำได้ถาวรด้วย ข้ามพันธ์ุมาเป็นสัตว์โลกุตระ เป็นเทวดาอุบัติเทพ ส่วนเทวดาโลกีย์เป็นสมมุติเทพ ทุกคนเป็นโดยสัญชาติญาณ ตามประสาปุถุชน สัตว์ทั่วไป

พระพุทธเจ้าท่านมาเปลี่ยนพันธ์ุแล้วเป็นแบบที่สืบทอดกันได้ ส่วนโลกียะสืบทอดกันโดยธรรมชาติ โดยสัญชาติ ทางสรีระ ทางเซลล์ที่เป็นเชื้อพันธ์ุ ทาง DNA หรือ Chromosome ส่วนข้ามชาติเขาก็เปลี่ยนจากชาติของทวดของตาของยายสืบทอดมาสู่เหลนโหลน ไม่เปลี่ยนพันธุ์ง่าย แต่ทางมนุษย์นี่เขาห้ามเปลี่ยนพันธ์ุกัน แต่ถ้าคนไปผสมพันธุ์กันเอง เช่นพันธ์มองโกเลี่ยนผสมนิโกรเลี่ยน หรือมองโลเลี่ยน ผสมกับคอร์เคเซี่ยนได้อยู่ แต่คนอย่าจับเอาเชื้อเหล่านี้มาเปลี่ยนนะ เขาว่า เสียจริยธรรม แล้วเขาไม่แน่ใจว่า การเอาของพืชมาใส่สัตว์ เอาของสัตว์มาใส่พืชจะมีความเสียหายไหมเขาก็กลัว

แต่พระพุทธเจ้านี่เปลี่ยนพันธุ์ทางจิตวิญญาณ ได้อย่างวิเศษ ไม่เสียหาย จากพันธุ์โลกียะมาเป็นพันธุ์โลกุตระ เป็นคุณแก่ตนและแก่โลกจริงๆ เปลี่ยนสำเร็จ เปลี่ยนแล้วไม่คืนกลับด้วย แม้แต่โสดาบันก็มีนิยตะ เที่ยงแท้ โสตาปันนะ เข้ากระแส แล้วเจริญเป็นอวินิปาตธรรม จนข้ามถึงนิยตะก็ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

แล้วเราจะรู้จักความเป็น แม่เป็นพ่อที่จะร่วมกันเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ได้ เช่นศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เพื่อให้เกิดจิต หรืออธิจิต ศีลกับปัญญาสร้างให้เกิดจิตใหม่ เป็นจิตโสดาบัน จิตสกิทาคามี จิตอนาคามี จิตอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วยังต่อภพภูมิได้อีก เป็นยอดแห่งความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ซึ่งยาวกว่า ตอนจะเป็นอรหันต์อีกเยอะ เปลี่ยนเผ่าพันธ์ุได้จริง ที่พูดนี้เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ พูดได้อย่างไม่ได้เดาเลย เราได้ผ่านของจริงพวกนี้มีของจริงพวกนี้ ผ่านชาติต่างๆที่ได้สะสมความรู้เหล่านี้มา ก็ต้องขออภัยคนที่เห็นว่าเรื่องเหล่านี้อวดไม่ได้ แต่อาตมาไม่มีจิตอยากอวดแล้วมีของจริงก็อวดได้ เจตนาให้รู้ว่ามีจริง คนจริงๆเป็นได้ 

ผู้ใดได้บรรลุอาริยธรรมจริงๆ อย่างเด็กๆนี่ถ้าได้มาเรียนรู้ อาตมาสอนไม่เก่ง หากเรียน 6 ปีควรได้โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จบแล้วได้อรหันต์ก็เรียนโพธิสัตว์ต่อ แล้วเอาความรู้เทคนิคมาช่วยคน จะเรียนรู้ศาสตร์ไหนก็จะเป็นเครื่องมือช่วยโลกอย่างวิเศษ น่าเสียดาย ไทยเราเป็นไม่ได้อย่างว่า แม้ไม่ได้อย่างว่ามัธยมไม่ได้ก็น่าจะได้ป.ตรีหรือจบป.เอกน่าจะเป็นอรหันต์นะ จบป.เอกเป็นอรหันต์แล้วไปบริหารบ้านเมือง จะสงบสุขมากเลย แต่นี่เขาไม่เห็นคุณค่าและไม่ส่งเสริมด้วย 

ทุกวันนี้เรายังไม่ลงตัว ต้องทำต่อไปจนกว่าเราจะมีเวลาว่าง เป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย อาตมาจะพาเสวยอารมณ์ได้ แต่ตอนนี้ไม่มีหลักประกัน ไปเสวยอารมณ์แล้วติด ดำดิ่งเป็นดำฤษณา ว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็นตามรสโลกียรสโลกๆ ติดยึดดูดดึงว่าต้องได้ต้องมีต้องเป็น แม้โลกียะไร้สาระก็เอาสิ่งที่เราเหน็ดเหนื่อยหาไปแล้ว ที่ทำงานหนักกว่าจะได้ผลผลิตแล้วไปหลงติดดำฤษณา ต้องดูมวย ต้องเสพอบายมุข พวกนี้ 

ตอนแรกอาตมาไม่พาบันเทิงอะไรเลย แต่ต่อมาก็พอได้ก็นำโทรทัศน์นำบันเทิงมาบ้าง ใหม่ๆก็ต้องคุมเคร่งกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นอะไรกันนักหนานอกจากเด็กๆ ที่เห่อซีรีย์ก็เห่อกันเป็นเรื่องๆ แต่ก่อนอาตมาเซ็นเซอร์เองด้วย เหน็ดเหนื่อยนะ

ก็ไม่เห็นคนติดมากก็มีบางคนที่หลงไปบ้าง แต่ก็มีคนเป็นแกนไม่หลงไป ก็ระวังคนที่หลงว่าอย่าไปหลงเพลิดไป มันเป็นเรื่องเล่นๆสมัครเล่น ไม่ใช่เรื่องของชีวิต ไม่ใช่เรื่องอาชีพ สังคมใดหากเอาอบายมุขสิ่งเสพติดการละเล่นมาเป็นอาชีพ สังคมนั้นคือสังคมเสื่อม ไปส่งเสริมเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นงานหลักของชีวิต อาตมาว่าเป็นสังคมเสื่อม  โลกทั้งโลกเขาไม่รู้ 

ต้องขอพูดถึงในหลวงที่ท่านอาจหาญแกล้วกล้าพูดคำยิ่งใหญ่ The great word ที่ตรัสออกสู่สาธารณโลกเลย 

พวกเราเกิดเชื้อทางจิตวิญญาณโลกุตระ เชื้อเหล่านี้ก็จะแพร่เชื้อ เป็นแม่เป็นพ่อ ต่อๆไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้อาตมาก็อธิบายต่อเลย

_มี sms มาว่า ทุกสิ่งอย่างที่ท่านเทศน์เป็นโมเดลใหม่ความคิดใหม่ของโลก เมื่อไหร่โลกหายนะจะระลึกถึงโมเดลใหม่ของท่าน 

พ่อครูว่าก็คนนี้เขาเข้าใจนะ แท้จริงคือของพระพุทธเจ้าเป็นโมเดลที่เก่าสมัยใหม่เสมอ 

_พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดพุทธมารดามีพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ไหม 
ตอบ...ก็อาตมาไม่ได้ไปเรียนกับเขาก็ขอตอบตามที่รู้ว่า พพจงโปรดพุทธมารดาก็คือโปรดแม่ที่จะร่วมต่อเชื้อของพุทธต่อไป แล้วอภิธรรม 7 คัมภีร์ เป็นการเรียบเรียงไว้ 7 คัมภีร์ความจริงแล้วที่ท่านสอนนี้อภิธรรมทั้งนั้น คือโลกุตระ ธรรมะที่จะพาไปโลกุตระทั้งนั้น ภิกษุทุกรูป พระพุทธเจ้าสอนให้บรรลุอภิธรรมทั้งนั้น ท่านโปรดมารดาคือโปรดภิกษุที่จะมาเป็นผู้เผยแพร่ธรรมะนั่นเอง

_ถ้าใครว่าเราโง่บ้าก็ย้อนมาดูว่าเราเคยหลงโกรธคือโง่หลงโมโหคือบ้าตอนไหน?แล้วก็ต้องดับสังขารไอ้ตัวปรุงแต่งกิเลสตัณหาอุปาทานให้ได้

_ถามว่าพ่อครูเคยบอกว่า พ่อครูเคยบอกกายคือรูป1 ในขันธ์5!ส่วนจิตคือนามขัน ธ์มีเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ!

ตอบ...อาตมาไม่เคยบอกเช่นนั้นนะ คำว่า กายคือองค์ประชุมของรูปกับนามแล้วนามขาดกายไม่ได้ นามใดที่ขาดกายคือขาดรูปที่ต้องร่วมรับรู้เป็นองค์ประชุมของรูป/นามอันนั้นไม่ใช่แบบพุทธ 

_ เวทนารับรู้อะไรมาก็ส่งมาให้สัญญาเกิดความจำถ้าหยุดที่สัญญาไม่ส่งต่อมาให้สังขารตัวปรุงแต่งให้เกิดโลภโกรธหลงก็คงไม่เกิดถูกไหม
ตอบ...มันก็ถูกขั้นหนึ่ง เป็นขั้นสมถะ เวทนารับรู้สึกถือว่าเป็นนามตัวแรกก็ได้แต่ที่จริงมันสังขาร ปรุงเป็นผีหรือเทวดาหรือเฉยๆ เป็นเวทนาเลย มันปรุงแล้วเป็นสังขาร สังขารกับเวทนานี่จริงๆคือตัวเดียวกัน แต่เวทนาคือตัวที่ปรุงเสร็จ หากอวิชชาก็ปรุงด้วยอสังขารเต็มรูปเลยเป็นเวทนาเต็มรูปที่ถ้าออกมาเป็นอิฏฐารมย์ก็สุขหรือชอบ หรือถ้าเป็นอนิฏฐารมย์ก็ไม่ชอบหรือเป็นไม่สุขไม่ทุกข์เฉยๆ 

เวทนา สัญญา สังขาร ตัวสัญญาก็จะเป็นตัวไปเรียนรู้ เวทนาหรือสังขาร แล้วอย่างนี้เรียกว่าเวทนา อย่างนี้เรียกว่าสังขาร คนแยกไม่ได้กายสังขารจิตสังขาร  วจีสังขาร แค่นี้ก็แยกไม่ออกแล้วไม่ต้องเรียนถึง เวทนา 108 แล้ว ต้องแยกถึงเหตุคือกุศลจิต อกุศลจิตในมโนสังขาร แล้วเราก็ค่อยลดลง ในมโนสังขารท่านไม่เรียก แต่ท่านเรียกจิตสังขาร แต่เป็นสังขารขั้นมโนหรือมนะแล้ว นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พาเรียน ปฏิบัติ จนรู้ว่ามีสมุทัยเป็นเหตุผีร่วม จนกำจัดสัตว์อกุศลในจิตได้ จนปล่อยเป็นสังขารที่ดีออกมาข้างนอกแบบไร้สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานได้ กว่าคนจะรู้วจีสังขารไม่ง่ายต้องเข้าใจรู้ สังกัปปะ 7 

คนทั่วไปจะรู้แค่ วจีกรรม กายกรรม แต่ไม่รู้ถึงมโนกรรม 

สิ่งที่เป็นอาริยะที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอันนี้เป็นอาริยทรัพย์ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือมิตรสหายที่เป็นกัลยาณมิตรที่เป็น ทิฏฐธัมมิกัตถประโยขน์ มี กัลยาณมิตตา คือมิตรที่ได้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เป็นคุณในสัมปรายิกกัตถประโยชน์ ในโลกใหม่โลกโลกุตระ คือศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เราจะคบกับกัลยาณมิตรก็ต้องเป็นมิตรที่มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา 

อาตมาพูดนี่คนไม่ค่อยสนใจ ผิดกับอีกพวกหนึ่งสำนักหนึ่งที่เขามีคนไปเยอะแยะ แต่เยิ้มไปด้วยโลกียะ เสริมเติมแต่ง คนก็ชอบเข้ากับรสนิยมคนโลกๆ ในสังคมหากไม่มีเขามอมเมาว่าช่องนี้ช่องเดียวสะกดจิตด้วย อาตมาก็เลยยิ่งยากที่จะบอกคนให้หันมาทางนี้ เขาสะกดจิต อาตมาเรียนมาก่อนก็รู้วิธีการ 

ศรัทธาคือความเชื่อ พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงศรัทธาไว้ 10 หลักใหญ่ๆ 
1.ศรัทธาต้องมีศีล หากไม่มีศีลบริบูรณ์ยังไม่ชื่อว่าศรัทธา ศีลคือหลักเกณฑ์สำหรับตน ปฏิบัติ ผู้ใดมีศีลแล้วปฏิบัติจนเกิดปัญญา เกิดวิมุติก็เป็นพหูสูตร แต่ถ้ามีศีลแต่ไม่เป็นพหูสูตรก็ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เมื่อเป็นพหูสูตร มีผลทางจิตที่บรรลผลก็จากศีล สมาธิ ปัญญา พหูสูตรเป็นคนที่ไม่ใช่แค่เรียนรู้มากท่องจำได้แต่ต้องเป็นผู้บรรลุธรรม แล้วก็ค่อยสอนคนอื่นเป็นธัมมกถึก เป็นผู้พร่ำสอนตนก่อนพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง แล้วก็ตอนแรกเทศน์ในหมู่เล็กๆ ต่อมาก็เข้าสู่หมู่กลุ่มอื่นๆขยับไป แล้วแกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัทอื่นให้บริบูรณ์ แล้วก็จะรู้หลักกฎวินัยที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้ออกไว้ เพื่อไม่ผิดพลาดเสียหาย ต้องดูว่าจิตตนเป็นจิตยินดีในความสงบจากกิเลส สิ่งแวดล้อมจะเป็นป่าเป็นเมืองก็มีจิตสงบได้ คืออยู่ป่าเป็นวัตร แล้วเราก็มั่นใจในคุณธรรมที่ได้ ศรัทธาในพุทธธรรม เมื่อได้ผลก็ทรงธรรมในตน เราเป็นสงฆ์ ที่ทำได้ตรงสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า เราศรัทธา 3 อย่างนี้ พระพุทธ พระธรรม เราทรงไว้เป็นสงฆ์เลย เราได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 

เริ่มจากควบคุมสังวรเรียกว่าวิตกวิจาร เบื้องต้นแม้ต้องระมัดระวัง แต่ก็ทำให้จิตไม่มีกิเลสได้ จนดีขึ้นๆ ไม่ต้องดูแลควบคุมเป็นพ้นวิตกวิจารก็มีภาวะดีใจยินดีเป็นปีติ แล้วก็สงบลงเป็นสุข ทำได้แคล่วคล่อง จนเป็นฌาน 4 อุเบกขาไม่มีผลักไม่มีดูด อย่างแท้จริง ก็สบายเบา เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหาสถานที่เลย เช่นจิตเราตอนนี้ต้องวิตกวิจารกับอันนี้ ต่อหน้าธารกำนันที่แตกต่างเราต้องสังวรระวังเยอะ ได้แล้วก็มีปีติยินดี หรือจิตเราฟูก็ควบคุมอย่าให้มีอุปกิเลสซ้อนไม่มีเลยยิ่งดี ก็เรียนรู้ซ้อน ฝึกฝนให้ชำนาญตั้งมั่นเก่งในฌาน 4 จนกว่าเราแข็งแรงก็อนุโลมใช้ฌาน 4 หรือใช้ฌาน 3 หรือฌาน 2 ได้เลย จะปีติก็ได้หรือสุขก็พอ หรือจะใช้อุเบกขาเลยก็ได้ แคล่วคล่องสูงมีอำนาจในฌาน 

แล้วก็ถึงที่สุดในศรัทธาสมบูรณ์แบบคือ บรรลุ วิมุติ วิมุติญาณทัสนะได้ นี่คือสุดยอด

ส่วนศีล ก็คือหลักเกณฑ์ปฏิบัติตามฐานะเอาแค่เล็กๆเป็นปริตตัง เร่ิมแต่อบายภูมิที่เราเคยติดหลงใหลเลอะเทอะ เสียเวลาแรงงานทุนรอน ไม่เข้าท่ามันโง่เราก็รู้ของเราว่าพอแล้ว จำกัดขอบเขตเรียกว่าปริตตังในประไตรฯฉบับหลวงเรียกว่ากามาวจร ปฏิบัติศีลให้เกิดฌาน เรียนรู้โพธิปักขิยธรรม มีจรณะ 15 ก็คือทำ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 มีพลังสัจธรรมเกิดขึ้น ศีลก็ทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ สมบูรณ์เป็นวิมุติญาณทัสนะ 

เรียนรู้ ศีล และจาคะ คำว่าจาคะคือสละออกเอาออก แต่ของศาสนาอื่นไม่ชัดเจนเหมือนพุทธที่มีความลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล สละออกตั้งแต่อบายมุข แม้สัมผัสก็ตัดจิตไม่ดูดไม่ดึงไม่ปรุงแต่ง มีแต่รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง จนจาคะบริบูรณ์ เอาออกจากจิต ล้างกาม พยาบาทออกจากจิต ล้างอาการ ลิงค นิมิต อุเทส โดยปหาน 5 จนเอาออกได้บริบูรณ์ในขณะปฏิบัติทั้งหมด ในศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ก็มีปัญญาตรวจสอบใช้สัญญากำหนดรู้มีสัมมาทิฏฐิเพิ่มขึ้น มีอานิสงส์การฟังธรรม 5 ประการเกิด โดยการอ่านเห็นความจริงหมดเรียกว่าปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ในการปฏิบัติมรรคังคะ เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์จนหมดไม่ต้องชำระอีก ขยายอีกก็มีหิิริโอตตัปปะ จนเกิดผลเจริญเป็นพหูสูตร หรือพาหุสัจจะ สังสมด้วยวิริยะสติปัญญา เป็นสัมมาสมาธิไปเรื่อยๆ

การปฏิบัติศีลอย่างมีศรัทธา มีหลักของศีลแล้วสละจาคะออกได้มีผลจริง เจโตลดได้ ปัญญาก็เห็นจริง จนครบอุภโตภาควิมุติ ปัญญาก็รู้แจ้งเห็นจริงว่าตนได้ผลบริบูรณ์ เรียกการเปลี่ยนจิตแบบนี้ว่าโอปปาติกโยนิ ด้วยกรรม 3 สมบูรณ์เสมอๆ 

คุณมาฟังอาตมาก็มีการฟังธรรมที่บริบูรณ์ ได้ความศรัทธาที่บริบูรณ์ ได้การทำใจในใจให้ถ่องแท้โยนิโสมนสิการ ให้วิจัยถึงที่เกิดคือหทยรูป คือสัมภวะจับตัวกิเลสมีชีวิตของกิเลสแล้วกำจัดกิเลสให้หมดแรงลง ลดอินทรีย์ของสัตว์กิเลสที่เราจะกำจัด กำจัดมันลงไปๆ คุณทำโยนิโสมนสิกการได้วิธีปฏิบัติคือมีสติสัมปชัญญะ สำรวมอินทรีย์แล้วทำให้กรรม 3บริบูรณ์ ตัวโยนิโสมนสิการ มีสติเป็นตัวต้นที่มีสติสัมผัสแล้วต้องรู้ สัมปชัญญะ สัมปชาโน สัมปัชชลติ ก็เกิดสภาวะของการเจริญเป็นสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 และเกิดวิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ไปเรื่อยๆ 

หรือแม้แต่มูลสูตร 10 ก็มีฉันทะเป็นมูล มีความยินดีนำ ที่เป็นแสงอรุณข้อที่ 1 เลย หากไม่มีมิตดี ไม่มีศีล ไม่มีฉันทะ ไม่รู้จักอัตตา ก็ไม่ได้เรื่อง แล้วต้องไม่ประมาทในการโยนิโนมนสิการให้ได้เสอมจึงจะบรรลุธรรมได้ 

ในมูลสูตรมีฉันทะเป็นมูลแล้วทำใจในใจให้เป็นโดยรู้จักที่เกิด โดยการปฏิบัติมีผัสสะเป็นสมุทัยในการปฏิบัติ แล้วทำให้เป็นเอกสโมสรณา ประชุมลงเป็นหนึ่ง คือเวทนาเป็นที่ประชุมลง ในธรรมะสองแล้วมีเวทนาที่เราต้องทำให้เป็นเอกสโมสรณา โดยที่มีส่วนสองอยู่ เวทนาที่ดับไปก็ดับไป อีกเวทนาหนึ่งก็คือเวทนาที่สะอาด เป็นเวทนาที่ได้ชำระกิเลสออกไปแล้วขาดสะอาดแล้วตามขั้นตอน ทำในเวทนา 108 ทำให้จิตเจริญเป็นสมาธิก็เป็นประมุขของจิต โดยการทำผลให้เกิด เป็นสมาธิสั่งสมเป็นสมาธิ สิ่งที่ประกอบสำคัญคือสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตระคือเหนือโลก จนบริบูรณ์ขั้นใดก็เป็นสาระเป็นวิมุติหลุดพ้น ได้แก่นสารเป้าหมาย หลุดพ้นคือทำให้กิเลสดับ คือกิเลสไม่มีแล้วก็พ้นสภาพ พ้นได้แล้วจริงก็ถาวรเป็นอมตบุคคล ไม่มีตายไม่มีเกิดอีกแล้ว กิเลสนั่นเองไม่ตายไม่เกิด จนกว่าคุณจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน หากไม่ปรินิพพานก็เป็นอมตบุคคล โพธิสัตว์นี้รู้ดีที่จะอยู่ไปอีกนานเพื่อสั่งสมสัมมาสัมโพธิญาณ 

อรหันต์บางองค์เก่งถึงขนาดกำหนดวันตายได้ อย่างพระพุทธเจ้าท่านปลงอายุสังขาร เมื่อมารมาทวงท่านก็บอกว่าเราจะตายเมื่อใดที่ไหนท่านก็กำหนดได้ แม้บางอรหันต์กำหนดว่าจะตายในท่าไหนได้ด้วย อรหันต์บางองค์บอกว่าเดินไปจะตายในก้าวที่ 7 เป็นต้น 

อรหันต์จี้กง ก็คนอาจเข้าใจยาก กินเหล้าแต่ไม่เมา อาตมาเองชาตินี้กินเหล้ากินเบียร์เท่าไหร่ตอนเป็นฆราวาสก็ไม่เคยเมาเสียสติเลยสักครั้งแม้กินมากเท่าไหร่ อาตมาถึงรู้ว่าอรหันต์จี้กงไม่เคยเมา แล้วก็อาตมาเคยเข้าทรงแต่ไม่เคยหมดสติไม่รู้ตัวเลย อาตมาเข้าทรงไม่กล้าตัดลิ้นเพราะรู้ตัวเองอยู่

จุดหมายเราคือเรียนรู้แล้วลดจนหมดกิเลสตัณหา เราจะไม่งงไม่สับสนเลย จะรู้ว่า ใครพูดสลับไปสลับมาโดยไม่เสียหาย มีเจตนาสลับด้วยซ้ำก็ไม่งง แต่คนติดบัญญัติก็จะงง

พวกเราอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมส่ิงแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก 

มิตรคือจิต สหายคือประโยชน์ สัมปวังโกคือองค์รวมทั้งหมด อย่างพวกเรามีองค์รวมพร้อมสัปปายะ 4

สหายคือผู้ร่วมประโยชน์ จงเห็นความสำคัญของทั้งสามอย่าง พยายามเข้าใจให้ได้ว่าเราโชคดีแล้วที่เรามีทุกอย่างตามพระพุทธเจ้าสอนมีหลักฐานยืนยัน 

ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาคือเนื้อแท้เนื้อธรรมเป็นเทวธรรมที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นเราได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความมั่นใจ ศรัทธาในส่ิงนี้จริง โดยมีปัญญาประกอบไม่งมงายไม่ถูกครอบงำความคิดหรือสะกดจิตหรือเห่อตามเข้า ไม่ใช่ แต่ศรัทธาอย่างอิสรเสรี มีสิ่งควรศรัทธาอย่างยิ่งไม่มีใครบังคับ ไม่ล่อหลอกไม่หว่านล้อมไม่ง้องอน 

เรามาเจอหมู่ดีแล้ว เราเองยังมีความอยากที่จะสุขด้วยกามด้วยอัตตาไม่พอหรือ ยังอยากอีกหรือ ถ้าชัดเจนว่าเราน่าจะพอได้แล้ว ไม่ว่าจะลาภ ยศ สรรเสริญ หรือกาม หรืออัตตาก็มีแต่ภาระไม่เป็นสิ่งที่จะหอบไปได้แต่อย่างใดอะไรก็หอบไปไม่ได้ กามกับอัตตา ยิ่งมีชอบใจยินดีฝังในอนุสัยโง่ต่ออีก ก็ต้องมาถอดปล่อยวางเลิกเถอะ คนที่จะมีญาณปัญญาเข้าใจอย่างที่อาตมาว่าไม่ง่าย ยิ่งยุคนี่แล้วก็ยากที่จะไปปลุกให้เขาตื่นรู้ได้ง่ายๆ 

คิดดูสิ 45 ปีอาตมามีมวลผู้ที่จะมาพอได้แค่นี้นะ ในอนาคตอาตมามั่นใจว่ามันไม่ทรุดไม่เซไปกว่านี้หรอก เพราะโลกกับสังคมมันยิ่งแย่ไปทุกทีทั้งโลกเลย แล้วเราก็มีของจริงแล้ว ทางโลกเขาทุกข์ทรมานเดือดร้อนทุกที 

คนจะต้อง
หันมาเอา
กับระบบ
บุญนิยม เพราะ.. 

1. คนทุกข์มากขึ้น สาหัสมากขึ้น  เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น  ไร้ความไว้วางใจ  หวาดระแวงกันมากขึ้น  ทำร้ายกันรุนแรงยิ่งขึ้น  ทุจริตหยาบคายยิ่งขึ้น
2. ทรัพยากรของโลกร่อยหรอลง  ขาดแคลน  ไม่พอกันจริงๆ 
3. ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว
4. มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดในทิศทางนี้.. ให้ดูเป็นการยืนยัน ได้แล้วจริงๆ 
5.  ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ  จนคนต้องเชื่อในที่สุด

อนาคตสังคมเราจะเป็นหลักให้แก่สังคมอื่น ยุคนี้เป็นยุคปัญญา คนทุกข์มาก คนแสวงหาก็จะมาก คนที่จะมาเอาสิ่งเหล่านี้เขาจะต้องมาเอาหรือแม้ไม่มาเอาคนของเราจะอยู่ คนได้แล้วจะเสถียรยั่งยืน พวกเราจะเป็นหลักเรื่อยไป แม้แต่เด็กเราก็มี20กว่ารุ่นแล้ว เด็กรุ่นแรกๆอายุถึง 40 ก็มีแล้ว ทางตะวันตกว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 พวกนี้ได้รับการติดชิปไปแล้ว เขารู้โดยองค์รวมว่าอโศกคืออะไร แล้วยิ่งจะต่อไป เขาจะเกิดปฏิภาณรู้ว่าที่นี่เขาอยู่มา 6 ปีกับข้างนอกคืออะไร ทำไมที่นี่ยังอยู่ จนกว่าพวกเราแก่เฒ่าตาย พวกเขาก็จะรู้ ผู้แสวงหาจะเพิ่มขึ้นก็จะมา คือสิ่งที่อาตมาเห็นว่าพพจ.ตรัสรู้สิ่งประเสริฐเรื่องมนุษย์กับสังคม ที่เขาเรียกว่า ศิวิไลเซชั่น ความเจริญที่เขาต้องการ แต่ของโลกุตระเป็นเรื่องเหนือโลกทวนกระแส เขาจะเข้าใจเศรษฐกิจบุญนิยมนี้ยาก ก็อยู่พิสูจน์กันสำหรับผู้มั่นใจ อาตมาไม่บังคับ...จบ 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:06:05 )

580814

รายละเอียด

580814_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 1

พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาจะได้เอาหนังสือเล่มใหม่ที่เขียน มาอ่านให้พวกเราฟัง ทุ่นเวลาพวกเราด้วย ก่อนจะได้อ่านก็มี sms มาอ่านก่อน

0893867xxx ถ้าความเลื่อมใสอันบริบรูณ์เป็นธรรม10ประก.ของภิกษุฯพละ5ก็เป็นธรรมอันเป็น กำลังของฆราวาสใช่ไหม?
ตอบ...แน่นอนใช้ เพราะกำลังความควบแน่นของพลังธรรมะ มันเกิดจริงจากการเรียนรู้กรรม 3 ฝึกปฏิบัติสั่งสม มีของจริง กรรมเป็นอันทำ ใครเข้าใจซาบซึ้งจะไม่ประมาทว่า ผู้ที่ทำกรรมอะไรก็รู้สึกว่า นี่กรรมนะ เป็นอธรรมสั่งสมเป็นกรรมของตน เราต้องรับมรดกกรรมของตนนะ ไม่ระเหย ไม่ระเหิดนะ ตามเราไปจนปรินิพพานเลยนะ เราเองจะกั้นอกุศลกรรมที่ติดตามเราได้อย่างไร พระพุทธเจ้ามีวิธีครบสมบูรณ์ 

ผู้มีศีลบริบูรณ์จึงมีศรัทธาบริบูรณ์ แล้วถึงจะเป็นพหูสูตรบริบูรณ์ แล้วจะเป็นพระธัมมกถึกบริบูรณ์ แล้วก็เนื่องต่อไปอีกสามารถที่จะบรรยายกับหมู่กลุ่มสังคมได้ เผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับรู้เห็นจริงว่าเราทำมาก่อน สอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง จนแกล้วกล้าอาจหาญแสดงธรรมได้อย่างมีอนุโลมปฏิโลม มีสัปปุริสธรรม 7 กับหมู่ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะทรงวินัยมากขึ้น จิตเราจะเป็นจิตที่มีความสงัดตลอดไป บริบูรณ์ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 เชี่ยวชาญแคล่งคล่อง มีเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะไม่ได้ นั่นคือความศรััทธา 10 ประการ ก็ทำให้พละ 5 อย่าว่าแต่ของภิกษุเลย แม้ฆราวาสก็ได้ผลเหมือนภิกษุ เป็นแต่เพียงว่าผู้มาบวชมาอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ส่วนฆราวาสก็จะเจือปนกับคนทั่วไป มาบวชแล้วก็เหมือนมีทางบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด มีคนช่วย มีสัปปายะ 4 

ถ้าจะว่าไปแล้วฆราวาสโจทย์เยอะกว่าภิกษุ ถ้าบรรลุธรรมจะแข็งแรงกว่าภิกษุด้วย 


0893867xxx พละ5อันมีศรัทธาวิริยะสติ สมาธิปัญญาเป็นอินทรีย์5คือธรรมอันเป็นใหญ่ในหน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาใช่ไหม?
ตอบ...ปัญญาเป็นยาดำที่แทรกอยู่ทั่ว และไม่ใช่แต่ของนักบวช ของฆราสก็เช่นกั

0893867xxx ผู้น้อยสงสัยอีกแหละ!พระ สูตรทั้งหลายในพระตปฏ. จริงๆแล้วเป็นธรรมะสำหรับภิกษุฤาฆราวาสญาติโยม?
ตอบ...ไม่ละเว้นว่าจะเป็นฆราวาสหรือญาติโยม ถ้าใส่ใจก็ศึกษาได้เป็นของกลางเลย คัดมาทำให้ตรงกับภูมิของตน แล้วจะได้ดี

0893867xxx พระตปฏ.บางข้อบัญญัติ ไว้สำหรับภิกษุแต่เป็นธรรมะที่มีปย.ต่อฆราวาสญาติ ธรรมเอามาใช้ฝึกปฏิบัติ ธรรมจะเป็นอะไรไหม?
ตอบ...มันก็จะเจริญ ดีไม่ดีเป็นอรหันต์ได้ แต่ต้องให้เหมาะสมกับฐานะของเรา จะฝึกสัปปุริสธรรมได้มากกว่าเป็นภิกษุด้วยซ้ำไป

0893867xxx ผู้น้อยกราบขออภัยที่มีโทษวิจิกิจฉา5อยู่เรื่อย

0857308xxx การปฏิบัติธรรม=ผัสสะ_เกิดเวทนา_ใช้สูตรต่างๆในการลดละ ตัดกิเลส_เกิดวิโมกข์8 วิมุติ_สมาธิ_นิพพาน พอจะถูกไหมคะ
ตอบ...ถูกต้อง

0837277xxx ขอกราบคารวะพระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบทุกรูปทุกนาม

0893867xxx พระอรหันต์จี้กงแสร้งทำเป็นวณิพกขี้เมาลวงตาเวไนยสัตว์!มีแต่ผู้ปฏิบัติธรรมเท่า นั้นที่รู้ว่าในขวดน้ำเต้าที่ ท่านดื่มเป็นน้ำอมฤตไม่ใช่ น้ำเมา!
ตอบ...ต้องเข้าคบคุ้นกับท่านถ้าคนมีปัญญาจะรู้ว่าท่านเป็นอรหันต์ แต่ว่าพระที่เขาว่าเป็นอรหันต์ แต่ว่าติดน้ำหวานน้ำเปรี้ยว เราก็รู้ว่าไม่เป็นอรหันต์

0837277xxx อยากให้พ่อครูอธิบายอุปักกิเลส10ในหนังสือทางเอกและวิสุทธิ7 อยากฟังอยากรู้มากๆครับ
ตอบ...อุปักกิเลส 10 มี ... โอภาส ปีติ ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐาน อุเบกขา นิกันติ 
ในความหมายของมันก็คือ ผู้ปฏิบัติธรรม แม้ในเรื่องของฌาน สมาธิ แล้วเกิดอุปกิเลส ที่เป็นฌานหลับตาก็มีสิ่งเหล่านี้ แม้ฌานพุทธก็มีสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน ยิ่งฌานนั่งหลับตายิ่งมีมากกว่า อาตมาว่า อรรถกถาจารย์จะไปเห็นอุปักกิเลส 10 แบบมิจฉาทิฏฐินั่งหลับตาหรือเปล่า 

ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิแล้ว โอภาสไม่ได้หมายถึงแสงสว่างเป็นรูปร่างแสงสี แต่ว่าเป็นปัญญา ยิ่งปฏิบัติได้ก็มีปีติ ฟูใจ ถ้าไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิจะยึดอยู่ในภูมินี้ ติดแล้วมีปีติมากขึ้นๆ รู้สึกดีแล้วยึดมั่นถือมั่น หากไม่ได้ก็ไม่ยอม ต้องเอาให้ได้ ได้แล้วก็มีปีติ เป็นอุพเพงคาปีติ เป็นพิษภัยต่อชีวิต ดีไม่ดี ดีใจจนช็อคตายเลยก็ได้ มีอาการวิปริต ต่างๆ 

ญาณ ปฏิบัติก็จะได้ญาณได้ความรู้ แล้วก็จะสงบ ปัสสัทธิ สายมิจฉาทิฏฐิก็สงบนิ่ง สายพุทธจะรู้ว่ากิเลสสงบ สายนั่งหลับตาก็เกิดนึกคิดอะไรได้เร็ว เพราะจิตไม่มีอะไรกวน ว่าง ขบคิดก็มีประสิทธิภาพสูงก็หลงว่าอันนี้เป็นญาณปัญญา 

อธิโมกข์ คือจิตโน้มไปสู่ความหลุดพ้น แต่มิจฉาทิฏฐิก็โน้มออกไปจากผลที่สัมมา ก็ออกนอกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าสัมมาก็จะเข้าสู่ความหลุดพ้น แต่ถ้าไปติดก็จะไม่หลุดพ้น ต้องเพียร คือปัคคาหะ แต่ต้องเพียรให้พอดีไม่เสีย ต้องประมาณให้ดี คือเรียกว่าใช้อุปปัฏฐาน คือต้องรู้ฐานะที่เกิด เขาแปลอุปปัฏฐานว่า สติชัด สติแก่กล้า 

อุเบกขามิจฉาทิฏฐิก็จะได้แค่เฉยๆ ว่างไป กลายเป็นเฉยเด๋อ เฉยขาเก แต่ของพุทธเฉยอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่โน้มไปหาอกุศล เป็นความกลาง อุเบกขา จิตไม่อคติส่วนไหน โน้มไปด้านใดที่ดีก็ได้ แต่พอไม่เข้าใจอุเบกขาสมบูรณ์ไปติดแค่นี้ ไม่เข้าใจว่าอุเบกขาก็เจริญได้ ในคุณสมบัติอุเบกขา 5 ประการ เราเจริญด้วยการเราไม่พักเราไม่เพียร แม้จะบรรลุแล้วก็เจริญได้อีก คำว่าเจริญเราก็จบกิจ พระอรหันต์จบกิจที่ละกิเลส แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องศึกษาอีก ก็ใช่ กิจที่ต้องล้างกิเลสตนก็หยุดจบ แต่ก็ต้องศึกษาเพื่อช่วยคนอื่นได้อีก โลกวิทู โลกานุกัมปา โลกุตรจิตก็แข็งแรงขึ้น จนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ 

นิกกันตะ แปลว่า ความติดใจพอใจ ไปติดในข้อไหนใน 9 ข้อนี้เป็นนิกกันติหมด 

ต่อไปก็เข้าสู่ ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์

อธิบายชื่อก่อน นิยายนิทาน สมัยพระพุทธเจ้าเรียกชาตกะหรือชาดกคือสิ่งที่แต่ละชาติของคนเกิดมามีเรื่องราวแต่ละตอนของเรา แยกแยะไป นิทานหรือนิยาย อาตมาไม่ใช้คำว่า นวนิยาย เขาเอาคำว่านวมาเติมให้เท่ คำว่า นว คือใหม่ ให้หรูหรา 

ยอดนิยายของโลกคือเรื่องราวของคนทุกคนที่ไขความเป็นมนุษย์ของทุกคน แต่ละคนก็มียอดนิยายของตน คนอื่นก็ศึกษาเพ่ิม แต่จริงๆต้องแก้ไขนิยายของคน 
            ยอดนิยายของโลก
            ที่ไขความเป็นมนุษย์
              ***
        [เริ่มเขียนเสาร์ที่ 25 เม.ย. 2558]
    
(1)   “นิยาย” คือ อะไร? ใครเป็นผู้เขียนบท?
    ใครบ้างเอ่ยที่ได้ยินมา หรือได้ซาบซึ้งกับประโยคที่ว่า 
    โลก คือ ละคร     
    ชีวิต คือ ละคร
    ซึ่ง..ละคร ก็คือ นิยาย นั่นเอง
    โลกก็ดี ชีวิตก็ดี จึงคือ นิยาย ทั้งนั้น
    ที่พูดมาข้างบนนั้นมันก็จริงที่สุด 
    แล้ว  “ละคร” คือ อะไร?  “นิยาย” คือ อะไร?
    ถ้าสรุปง่ายๆว่า  “นิยาย”ของใคร ก็คือ  “ชีวิต”ของคนแต่ละคน ที่เป็นเรื่องเป็นราว ดำเนินไปอยู่ในโลก
    แล้วใครล่ะ ที่เป็นผู้เขียนบท หรือกำหนดชีวิตเรื่องราวของมนุษย์แต่ละคนให้ดำเนินไปอยู่ในโลก.........???
    [ต่อจากตรงนี้ไป เป็นคำวิจัยเพื่อการศึกษาเท่านั้น ขออภัยอย่างยิ่ง ถ้าท่านผู้ใดจะรู้สึกว่า มีเชิงลบหลู่อะไรประมาณนั้นเกิดขึ้น ขอยืนยันว่าคำวิจัยต่อไปนี้เพื่อความรู้อย่างจริงใจบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเชิงลบหลู่ใครผู้ใดแม้แต่น้อย โดยเฉพาะ “พระเจ้า” เพราะอาตมาเคารพ “ความเป็นพระเจ้า”อย่างสูงสุด และเคารพบูชา  “พระเจ้า”ยิ่ง ด้วยความรู้ที่เข้าใจจริงและจริงใจอยู่
ทุกเวลา ไม่เว้นวินาทีเลย
    นี่เป็น “ความจริง”ที่อาตมาเชื่อมั่นจึงพูดออกมาเช่นนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์เลย ที่จะบังคับให้ใครเชื่อ และเชื่ออย่างยิ่งว่าคงจะมีคนไม่เชื่ออาตมาอยู่ไม่น้อย เพราะสิ่งที่จะยืนยันภาวะที่จะกล่าวถึงนี้ มันไม่ง่ายเลยที่คนจะเชื่อ] 

(2)   “อำนาจสูงสุด”เป็นของ “พระเจ้า”จริงหรือ?
    ผู้กำหนดชีวิตคนแต่ละคน คือใคร? 
    จริงหรือ ที่เชื่อกันว่า คือ “พระเจ้า” หรือ “พระพรหม” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นผู้กำหนด 
    ศาสนาที่นับถือ “เทวนิยม”ก็เชื่อยิ่งและยืนยันแน่มั่นเด็ดเดี่ยวว่า “พระเจ้า”เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่เป็นผู้เขียนบทหรือกำหนดชีวิตให้เกิดนิยายของมนุษย์ทุกผู้ทุกคนในโลก
    ไม่ใช่เพียงแต่ความเป็นมนุษย์เท่านั้น พระเจ้าสร้างโลกทุกดวง  พระเจ้าเป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนดทุกสรรพสิ่งใน มหาจักรวาล ตามแบบที่พระเจ้าต้องการแต่ผู้เดียวด้วย 
    และใครก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดพระประสงค์ หรือบังอาจบงการพระเจ้า อำนาจสูงสุดอยู่ที่ “พระเจ้า”ทั้งหมด นิรันดร 
    มนุษย์จึงจะต้องเป็น และมีหน้าที่ทำตามพระเจ้าเท่านั้น
    เพราะพระเจ้าคือ ผู้ลิขิตทุกสรรพสิ่งแต่ผู้เดียว
    เมื่อพระเจ้าคือ พระพรหม ทุกสรรพสิ่งในโลกใน
มหาเอกภพจึงเป็นของพระเจ้า และมี “พระพรหมลิขิต”แต่เพียงผู้เดียว
    นี้คือ ฐานะของผู้มีความเชื่อแบบ “เทวนิยม”

(3) ต้องขอ “อภัย”อย่างสูงสุดในการวิจัยทั้งหมดต่อไปนี้
    อาตมากำลังจะ “วิจัยสัจธรรม”ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆตามภูมิปัญญาของอาตมาเท่าที่ตนเองมี และตั้งใจมุ่งหวังเพื่อแจกแจง เพื่อค้นคว้าเหตุผลในการศึกษาหาความรู้และพิสูจน์เข้าไปให้ถึงความจริงกันให้ได้ให้มากที่สุดด้วยเจตนาดีปรารถนาดี อาตมาจะพยายามที่จะให้สุภาพที่สุด เท่าที่อาตมาจะพากเพียรอุตสาหะทำได้ 
    เพราะอาตมาไม่มีเจตนาจะลบหลู่ ดูถูกดูแคลน ข่ม เบ่งกดขี่ย่ำยีหรือมีจิตที่เป็นเชิงยกตนข่มท่านซึ่งเป็น  “ความรู้สึกต่ำทราม”อย่างนั้นแต่อย่างใดเลยแม้แต่นิดน้อย
    ขอเถิด แม้ใครๆก็อย่าได้มี “ความรู้สึก”ดังกล่าวนั้นเลย   
     “ความมุ่งมั่น”ของอาตมานั้นตั้งใจจะแสดงความรู้ เหตุผล หลักฐาน วิชาการให้เห็นแง่เชิงของ “ความเห็น”ของอาตมาว่า อาตมา “เห็น”อย่างนี้จริงๆ ซึ่ง “ขัดแย้ง”หรือ “เห็นต่าง”กับความเห็นของ
ชาว “เทวนิยม”แน่นอนที่สุด
    เพราะ “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ของฝ่ายเทวนิยม กับฝ่ายอเทวนิยมนั้นต่างกันโดยปรมัตถสัจจะอย่างสิ้นเชิง 
    ที่สำคัญก็คือการวิจัยนี้อาตมาในฐานะที่เป็น “พุทธ” 100 % ย่อมจะมองเห็นความเป็น “อเทวนิยม”ที่เป็นทิฏฐิของชาวพุทธนั้นถูกต้อง-สูงกว่า-สัมมาทิฏฐิกว่า หรือเหนือกว่า “เทวนิยม”แน่ยิ่งกว่าแน่  
    ดังนั้น ยิ่งอ่านก็ยิ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกว่า มีเชิงข่ม มีเชิงลบหลู่ มีเชิงดูถูกดูแคลน ขึ้นมาได้
    ก็จึงต้องเกริ่นกล่าว ขอความเห็นใจในกรณีนี้ หากพึงจะเกิดกับผู้ใด ก็กราบขออภัยอย่างสูงอย่างมากจริงๆ 
    มันคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ให้เห็นความแตกต่าง-ข้อแตกต่าง และที่สำคัญยิ่งก็คือ การชี้ว่าส่วนใดดี ส่วนใดไม่ดี อย่างใดสูง-อย่างใดต่ำ แม้จะดีกว่ากันมาก-ดีกว่ากันน้อย สูงกว่ากันมาก-สูงกว่ากันน้อยก็จำเป็นที่จะต้องสาธยายไว้ในที่นี้ด้วย จึงเป็นความจำเป็นเหลือเกินที่จะต้องกราบขอภัยอย่างจริงใจที่สุด 
    กรุณาถือเสียว่า เป็นไปเพื่อ “การศึกษา”ด้วยเถิด    
 
(4)   “พระเจ้า”ริบความเป็น “อิสระ”ของมนุษย์หมดสิ้น
    อาตมาขออนุญาตบรรยายและวิจัยต่อไปเถิดนะ
    ดังนั้น เมื่อชาวเทวนิยมที่นับถือพระเจ้า-พระพรหม หรือพระเจ้าในชื่ออื่นอีกมากมายที่เห็นอย่างแน่มั่นว่า พระเจ้าบันดาลหรือสร้างและกำกับบงการทุกสรรพสิ่งดังกล่าวนั้น 
     “เหตุ-นิทาน(นิยาย,เรื่องราว)-สมุทัย-ปัจจัย”ทั้งหลายจึงละล้วนเป็นหน้าที่ของพระเจ้ากำหนดทั้งหมดทั้งสิ้น 
    นิยายของโลก หรือเรื่องราวของชีวิตแต่ละคน ใครๆในโลกจึงหมดสิทธิ์ที่จะแปรเปลี่ยนชีวิตตนให้เป็นอื่นไป จากพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ไม่ว่าอำนาจอะไรทั้งนั้นในมหาจักรวาลแม้แต่อำนาจของตนเองก็หมดสิทธิ์ เพราะ “อำนาจ”เป็นของพระเจ้าแต่ผู้เดียวเสียแล้วไม่มีใครล่วงล้ำแทรกแซง “อำนาจ”นี้ได้เลยเด็ดขาด แม้แต่น้อยนิด 
      “เหตุ”ทำให้เกิด “นิยาย”ของโลกที่จะไขความเป็นมนุษย์ จึงลึกลับที่สุด ไม่มีใครบังอาจเข้าไปล่วงรู้ในหัวใจพระเจ้า และไม่มีใครบังอาจแก้ไขปรับปรุง หรือแปรเปลี่ยนเป็นอื่นไปได้เลย ด้วย  “อำนาจ”ใดๆ
    ไม่ว่า “อำนาจโลกหรืออำนาจนอกตัวเรา”(โลกาธิปไตย) 
    หรือ “อำนาจตนเองหรืออำนาจในตัวตน”(อัตตาธิปไตย)
    เพราะทั้ง “เหตุ”ก็ดี  “สมุทัย”ก็ดี  “ปัจจัย”ก็ดี ล้วนตกอยู่ใน “อำนาจ”ของพระเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น
     “นิยายของโลก”และของแต่ละคนจึงเป็น “พรหมลิขิต”  
    เพราะเชื่อถือกันแน่วแน่สนิทใจมั่นจริง ว่า พระเจ้าเท่านั้นคือผู้มี “อำนาจ”เบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่กุมความลึก และความลับนั้นไว้ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่มาก ที่เชื่อว่า  “พระเจ้า”(สิ่งลึกลับที่สุด)เป็นผู้
ควบคุมบงการ
     “อำนาจ”หรือ “อธิปไตย”เป็นของ “พระเจ้า”หมดสิ้น
     “อิสระ”ในความเป็นคนจึงเป็นของ “พระเจ้า”สิ้นหมด
    มนุษย์ทุกคนจึงหมดสิทธิ์ในความเป็น “ตัวเอง”หรือใน “ตัวตน”(อัตตา)สิ้นสนิท พระเจ้ากุม “อำนาจ”ไว้หมดแล้ว
    ผู้ยังอวิชชาใน “พระเจ้า”จึงตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้า

(5) พระเจ้าริบทั้งความเป็น “โลก”ใช้อำนาจบงการไปหมด
    แม้แต่ความเป็น “โลก” ซึ่งมีความหมายมากมาย และลึกล้ำยิ่งในคำว่า “โลก”เพราะมันมีตั้งแต่ “โลก”ที่หมายถึงดาวเคราะห์ในมหาจักรวาล(globe) ที่มนุษย์อาศัยอยู่บนนี้  
     “โลก”อีกอย่างหมายถึง แผ่นดิน มวลมนุษย์ในโลก, สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลก,เรื่องของโลกโลกีย์และความหมายอื่น อีกมากมาย(earth) 
     “โลก”ที่หมายถึง องค์ประกอบของสรรพสิ่งทั้งมวลและสังคมของมนุษยชาติ(world wide)ที่คนเกี่ยวของอยู่ทั้งกว้างทั้งลึกเช่น  “โลกธรรม”อันหมายถึง ลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุข ที่สำคัญใหญ่ยิ่งในนิยายของมนุษย์ 
     “โลกทรรศน์”อันหมายถึงระบบความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไปของโลก
     “โลกนาถ”ผู้เป็นที่พึ่งของโลกหมายถึง พระพุทธเจ้า 
     “โลกบาล”ผู้มีอำนาจในโลกทั้งสี่ทิศ(จตุโลกบาล) ที่มีทั้งชนิดเป็นโลกีย์ มีทั้งชนิดที่เป็นโลกุตระ(คือวิญญญาณคน)   
     “โลกบาลธรรม” หิริ,โอตัปปะ ธรรมที่คุ้มครองโลก  
        “โลกวัชชะ”ข้อเสียหายที่ทางโลกติเตียนว่า ไม่เหมาะสม ไม่ควรจะเป็น ไม่ควรจะทำ
     “โลกวิทู”หมายถึงความรู้ในความเป็น"โลก"ทั้งหลายอย่างถูกต้องดียิ่ง จนกระทั่งสามารถอยู่กับ “โลก”นั้นๆชนิดที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือไม่ติดยึดอย่างหลงโมหะหรืออวิชชา
      “โลกันต์”คือ ผู้หลงโลกธรรมมาก ถึงมากที่สุด จึงเป็นผู้มีทุกข์มากที่สุด นั่นแหละผู้อยู่ในขุมนรกที่ลึกร้อนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นนรกในชีวิตปัจจุบัน หรือยิ่งตายไปก็ยิ่งจะเป็นนรกที่จริง
ยิ่งกว่าในชีวิตเป็นๆอีกหลายเท่า
     “โลกาธิบดี”ผู้ที่คนยอมรับว่าเป็นใหญ่ในสังคมในโลก
     “โลกาธิปไตย” อำนาจของโลก ทั้งที่เป็นอำนาจของลาภ,
ยศ,สรรเสริญ,สุข ของโลกียะ ทั้งที่เป็นอำนาจของคนผู้มีอำนาจเหนือกว่าตน ที่ปุถุชนตกเป็นทาสอยู่ 
     “โลกานุวัตร” ความประพฤติตามโลก
     “โลกาภิวัตน์” โลกไร้พรมแดน, กระแสโลกที่มีทั้งพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งทางการเมือง ทางสังคม ทางวัฒนธรรม และอื่นๆ แผ่กระจายออกไปทั่วโลกอย่างหาประมาณมิได้ ทั่วถึงกันหมดไม่มีขีดกั้นขั้นได้ 
     “โลกัตถจริยา” การบำเพ็ญประโยชน์ต่อมนุษยโลก
     “โลกายัต” ลัทธิที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ลัทธิที่เป็นวัตถุนิยมจัด เชื่อว่า "นามธรรม"มีแต่ในปัจจุบันนี้ 
     “โลกกามิส” เครื่องล่อใจของโลก
     “โลกียทรัพย์” ทรัพย์แบบที่ปุถุชนหลงใหลนับถือกัน
     “โลกหน้า” ผู้มิจฉาทิฏฐิเห็นว่า  “โลกหลังจากที่คนตายแล้ววิญญาณออกจากร่างไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไม่รู้อยู่ที่ไหน"แต่ผู้สัมมาทิฏฐิเห็นว่า  “โลกของจิตใจในปัจจุบันนี้เองที่เจริญพัฒนาพาเกิดเป็นอาริยบุคคล”(โอปปาติกโยนิ) ที่จริงแท้
      ซึ่ง “โลกหน้า”(สัมปรายภพ) หรือ  “โลกอื่น”(ปรโลก)อันเป็น “โลกใหม่,โลกอาริยะ”(โลกุตระ)ที่เป็น “โลกศิวิไลซ์”(civilization)แท้จริงมนุษย์ทุกคนน่าจะมาศึกษาให้ “สัมมาทิฏฐิ”อย่างสำคัญสำหรับ
ผู้ปรารถนาความเจริญรุ่งเรืองของโลกมนุษยชาติ 
     “โลกใหม่”โลกียะหมายถึงดินแดนใหม่แผ่นดินพื้นที่ใหม่ อันเป็นมหาภูต 4 เป็นต้น ส่วนโลกุตระนั้นหมายถึง โลกทางจิตใจที่ “มีอำนาจในตน ไม่เป็นทาสโลกีย์”

(6)  “โลกอื่น”ที่มีนัยะเกินกว่าพระเจ้าริบไปนั้นมีอีกมาก
     “โลก”นัยะที่สำคัญมากก็คือ หมายถึง  “จิตใจคน”ที่มันมี “ความหมุนวนไปมา”สัมผัสสัมพันธ์กัน  “ปรุงแต่อยู่ในจิต”(สังขาร) มี “ความหมุนวนไปมา”เป็นความรู้สึกสุขบ้าง-ทุกข์บ้าง-ไม่สุขไม่ทุกข์
บ้าง อยู่ในจิตใจ(เวทนา) เป็นต้น
    โลกจึงเป็น “ความหมุนวนไปมา”เป็น “อาการ”อยู่ในจิตของ “ธรรม 2”บ้าง  “ธรรม 3-4-5 ฯลฯ”บ้าง ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นสังขารมากมาย นับไม่ถ้วน จัดอยู่ใน “รูปกาย-นามกาย” ซึ่งมี “อาการ”
ปรุงแต่งวนกลับไปมา “ไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-ไม่ใช่ตัวตน” ก็คือ ความสัมพันธ์ที่หมุนเวียนนั่นเอง(relation)  
    ซึ่งเป็น “อาการ”ปรุงแต่งกันขึ้นเป็น “นิยาย”ของโลก อันมี “มนุษย์”เป็นตัวแสดง และมีคนกว่าครึ่งโลกเชื่อกันว่า  “พระเจ้า”ทั้งเขียนบท ทั้งกำกับควบคุมบงการอยู่ในโลก 
    แต่ก็มีคนไม่น้อยในโลก ที่ศึกษาฝึกฝน จนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “โลกหรืออัตตา”ที่เป็น “องค์ประชุมของรูปกายและนามกาย”(ธรรม 2 = เทฺว ธัมมา)ล้วนเกิดจาก “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”
ที่จะต้องศึกษาปฏิบัติให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ความไม่เที่ยง-ความทุกข์-ความไม่ใช่ตัวตน”นั้นเป็น “อาการ”ของ “โลก”หรือความหมุนวนไปมาของจิตในตนเอง และสามารถบรรลุความจริงแท้นี้ได้เป็นที่สุดสำเร็จสัมบูรณ์ ถ้าผู้นั้นสัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ-สัมมาปฏิเวธ
    และยังมี “โลก”ในนัยะอื่นๆอีกมากมาย
    ซึ่ง “โลก”ทั้งหลายทั้งหมด ดังกล่าวมาก็ดี ยังไม่ได้กล่าวก็ดี ในศาสนาแบบ “เทวนิยม”นั้นถือว่า  “พระเจ้า”สร้าง ยกให้ “พระเจ้า”มี “อำนาจ”บงการแต่ผู้เดียว
    คนที่เชื่อตาม “เทวนิยม”จึง “หมดสิทธิ์”ที่จะมีการศึกษาพบทฤษฎีที่เข้าไปหยั่งรู้ “ความเป็นจริง”ของชีวิต หรือของ “ตน”(อัตตา) และของ “โลก”  
     “ชีวิต”แต่ละคนจึงเป็น “นิยาย”ที่ “พระเจ้า”เขียนบท กำกับการแสดง ชี้ตายชี้เป็นเองทั้งสิ้น

(7)   “ชีวิต”คือ “นิยาย”ตามพระประสงค์ของ “พระเจ้า”
    เพราะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ตัวเอง”คือไม่รู้จัก “อัตตา”(อาตมัน) ไม่สามารถเข้าถึง “ความเป็นตัวเอง”
    เฉพาะอย่างยิ่งไม่รู้ “เหตุ”ที่เกิด “ตัวตนของตัวเอง”(อัตตา)
     “พระเจ้า”จะอาศัยคน ที่เกิดขึ้นมาในโลกผู้หนึ่ง ที่เรียกกันว่า “พระศาสดา” หรือฉายานามว่า “พระบุตร” เป็นผู้นำบัญญัติ นำบัญชา นำโองการของพระเจ้ามาสู่มนุษย์
     “พระบุตร”ก็แค่มีหน้าที่นำบัญชาจากพระเจ้ามาบอกแก่มนุษย์ในโลกให้รู้ว่านี้คือ  “ความดี”บ้าง นี้คือ  “ความสุข”บ้าง เป็นต้น ที่ “พระเจ้า”เป็นเจ้าของ “ความจริง”ทั้งหลายนี้ และยืนยันว่า นี้คือ  “ความจริง”ของพระเจ้านิรันดร    
    มนุษย์มีสิทธิ์แค่ “รู้” และ “ปฏิบัติตาม” ไม่มีสิทธิ์แย้งใดๆ หรือวินิจฉัยใดเด็ดขาด และมนุษย์จะเป็นอย่าง “พระเจ้า”หรือ “พระบุตร”เป็น...ไม่ได้ หมายความว่า วิญญาณคนจะมี จะเป็น
อย่างพระเจ้ามี พระเจ้าเป็น...ไม่ได้ 
    เชื่อพระเจ้า ทำตามพระเจ้าก็ได้ “ความดี” ก็ดียิ่งแล้ว 
    ซึ่งอย่างนี้ก็จริงที่สุดแหละเพราะพระเจ้ามีปณิธานให้คน “ดี” เป็นสุข นั้นแน่ยิ่งกว่าแน่อยู่แล้ว ไม่มีใครแย้งเลย

(8)   “ชีวิต”ของชาว “เทวนิยม”จึงอยู่กับ “พรหมลิขิต”
    เพราะ “พระเจ้า”คือ ความดี ความบริสุทธิ์ ความรู้สูงสุดที่ “พระบุตร”แต่ละท่าน จะพึงนำมาถ่ายทอดให้มนุษย์
     “พระเจ้า”ไม่มีพระประสงค์ร้ายใดเจือปนอยู่เลยแม้แต่เท่าเศษละอองธุลี มีแต่ประสงค์ดีต่อมนุษย์ถ่ายเดียว
    แต่ละชีวิตจึงต้องเป็นไปตาม “นิยาย”ที่พระเจ้ากำหนด
    ชีวิตจะสุขที่สุด ถ้าทำได้บริบูรณ์ตามที่ “พระบุตร”นำมาจาก “พระเจ้า”  มาให้มนุษย์ทุกประการ
    และที่พระเจ้าทรงประทานมาให้นั้นก็มีแต่ “ดี”ทั้งสิ้น
    นี้ก็เป็น “ความจริง”สูงสุดของแต่ละศาสนา   
    และที่สำคัญยิ่งที่สุดก็คือ ความทุกข์ก็ดี-ความร้ายก็ดี จะหนักทรมานสุดสาหัสปานใด ที่เกิดขึ้นกับผู้ใดก็ตามหากปรากฏในโลก กับคนผู้ใด ก็ยอมรับกันอย่างสนิทใจ ว่า นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
    ก็จงอยู่กับความทุกข์นั้น รับความทรมานแสนสาหัสโดยดี แม้จะทรมานทรกรรมหนักสุด สุดหนักยิ่งปานใดๆ ก็คือ พระประสงค์ของพระเจ้า 
    นี้คือ ทฤษฎีสูงสุดของ “เทวนิยม” 
    ไม่มีใครสามารถจะแก้ “นิยาย”แห่งชีวิตของตนๆได้ เพราะชีวิตทุกชีวิตในโลกเป็นของ “พระเจ้า”ทุกสรรพสิ่งเป็นของพระเจ้า  ทุกอารมณ์ของคนก็น่าจะเป็นของพระเจ้า และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งนั้น
    แต่ละคนจึงมี “นิยาย”แห่งชีวิตของตน ในโลก ที่ชาวเทวนิยมมีชีวิตมาให้ “พระเจ้า”เขียนบทและกำกับการแสดงกันอยู่ตลอดกาลนาน    
    เรียกกันในภาษาเก่าแก่ว่า “พรหมลิขิต”(พระเจ้าลิขิต)
    
(9) ความลึกล้ำที่่ชาวเทวนิยมเอง ก็ควร “ฉงน” 
    มันน่า “ฉงน”จนงงจนเมามั้ยล่ะว่าทำไมพระเจ้าผู้ปรารถนาดีต่อมนุษย์ทุกผู้ทุกคนในโลก และอย่างที่สุดด้วย ที่จะให้มวลมนุษย์ในโลกทั้งหลายอยู่เย็นเป็นอยู่สุขเป็นคนดี อย่างถ้วนหน้า พระองค์มีความปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ  
    ใช่มั้ย.......?? 
    แต่ทำไม  “พระเจ้า”ปล่อยให้มนุษย์ “ชั่ว”ขึ้นมาได้ในโลก หรือยอมให้มนุษย์บางคนเลวร้าย และเต็มไปด้วยทุกข์ทรทมาน ขึ้นมาในโลกได้เล่า
    เมื่อมี “ชั่ว”ก็ต้องเกิด “ความไม่ดี-ไม่งาม”เป็นพฤติ เป็นกรรมของคนชั่วขึ้นมา ผลชั่วก็ต้องกระทบคน กระทบสังคมในโลก เมื่อเหตุชั่ว ผล “ทุกข์”ก็ต้องเกิดขึ้นในโลกแน่นอน แล้วเหตุ “ชั่ว”
มันโผล่มาจากไหน เกินพระเจ้าสร้าง เพราะชั่ว ย่อมทำเสียหาย ทำลาย ทำฉิบหาย แรงร้าย โหดร้าย เจ็บปวด ทรมาน อำมหิต คนคือลูกพระเจ้าก็ต้องพากันทุกข์ เห็นไหมเล่า?  
     “อำนาจพระเจ้า”มีเหนือกว่าอะไรหมดทุกสรรพสิ่งนี่นา
    แล้วสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้สร้างคือ  “ชั่ว” มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
    มนุษย์ชั่ว มนุษย์ก็ก่อร้าย-ก่อเลว-ก็เกิด  “ทุกข์”ขึ้นมาในโลก เพราะ “ความเลว-ความร้าย” หรือ “ความแรง”ที่เกิน “พอดี” ก็ทุกข์  “ความขาดแคลน”ที่มากไป ก็ “ทุกข์” ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้อำนาจอื่น มา “ละเมิดอำนาจ”ของพระองค์ได้ พระเจ้าจะชื่อว่า ใหญ่ยิ่งที่สุดจริงหรือ?  
    ทำไมจึงมี “อำนาจ”อื่นมาทำมนุษย์บางคนให้ “ชั่ว” ก่อทุกข์ขึ้นในโลก  
    ในเมื่อพระเจ้ามีพระปณิธานให้มนุษย์ทั้งหลายเป็นคน “ดี”ทั้งหมด เป็น “สุข”ทุกคนไม่ใช่หรือ?
     “ชั่ว”ที่พระเจ้าไม่ได้สร้าง  “ทุกข์”ที่พระองค์ไม่ได้บันดาลให้เกิด มีขึ้นมาในโลกในมหาเอกภพ ได้อย่างไร?

(10) ขออภัยที่ “ฉงน”เพราะยิ่งใกล้กลียุคมันยิ่งน่า “ฉงน”
    แล้วเลี่ยงไปพูดว่า พระองค์ “มีพระประสงค์ลงโทษเขา” เพราะ “เขา”คนนั้นทำผิด ทำชั่ว
    ทำไม...  “พระเจ้า”ไม่ใช้อำนาจให้คนทุกคนทั้งโลกไม่ทำ“ผิด” ไม่ทำ “ชั่ว”เสียเลย พระองค์จะได้ไม่ต้องมาลงโทษเขา 
     "ความผิด-ความชั่ว"เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? ทั้งๆที่ “พระเจ้า”ไม่ได้ทรงสร้าง ...ใช่มั้ย? 
    ก็ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกในมหาเอกภพพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างทั้งนั้น...ทั้งสิ้น และ “พระเจ้า”ก็ไม่ได้สร้าง “ความผิด-ความชั่ว”ด้วย  แล้วมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? 
    ก็อีกแหละ มีเสียงบอกว่า"ซาตาน"(มาร)เกิดแฝงขึ้นมาในโลก พาคนผิด-คนชั่ว 
    ทั้งๆที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างมาร ไม่ได้สร้างซาตานเลย มิใช่หรือ..?
    แล้ว “มาร-ซาตาน”นั่น มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง? 
    ก็เลี่ยงไปอีกว่ามัน “แฝง”  
    มารมัน “แฝง”มาได้ยังไง?
    ซึ่งความสามารถของ “ซาตาน”นั้นทำแบบ “ขัดแย้ง”กับ “พระเจ้า”อยู่โต้งๆ  “มาร”หรือ “ซาตาน”สามารถให้คนทำ “ชั่ว” ให้คน “ทุกข์”ได้อย่างเป็นจริง 
     “พระเจ้า”ใหญ่ที่สุดในมหาเอกภพ  ไม่ใช่เรอะ? 
    ทำไม?...มี “ซาตาน”บังอาจแย่งหรือแข่ง “พระเจ้า”ขึ้นมาได้    “อำนาจ”ใคร ใหญ่กว่ากันแน่?
    และยิ่งยุคนี้ ความเลวร้ายยิ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์ 
ความชั่วความเลวร้ายยิ่งรุนแรง อย่างที่เป็นที่เห็นอยู่
     “พระเจ้า”ก็ยิ่งถูก “มาร”เบ่งอำนาจหนักขึ้นๆ
    ทำไม  “อำนาจ”มารยังเบ่งอยู่ได้..!!!????

(11) ที่ “ฉงน”หนักก็คือ มารข้ามหน้าพระเจ้าได้ยังไง?
    มาร(ซาตาน)มาจากไหน? 
    เกิดขึ้นมาทำให้คนชั่ว คนทุกข์ ข้ามหน้า “พระเจ้า” เกิน “อำนาจ”พระเจ้าได้อย่างไร..?
    มารโผล่มาเอง โดยไม่มีใครสร้าง มาได้ยังไง..? 
    ทำไมปล่อยให้มาร(ซาตาน)มีอำนาจพาคนชั่ว พาคนทุกข์ พาให้สังคมมนุษย์สุดเลวร้าย จนจะเผาโลกกันอย่างนี้
    และพระเจ้าก็มีพระปณิธานให้คนดี ให้คนเป็นสุขทั้งหมด ด้วยซ้ำ มันย้อนแย้งจนต้อง “ฉงน”ยิ่งจริงๆ
    ทำไม “อำนาจพระเจ้า”จึงไม่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงกระทั่งสามารถไม่ให้มี “อำนาจอื่น”เกิดมา “เบ่งอำนาจ”เกินหน้า 
    ทำให้คนต้อง “ชั่ว” ต้อง “ทุกข์”ต้องร้อนซึ่งขัดแย้งกับที่ “พระเจ้า”ต้องการให้มนุษย์ทุกคนเป็น “สุข”ทั้งหมด เป็น “คนดี”ทั้งนั้น 
    มันไม่ลงตัวกันเลยกับความเป็นหนึ่ง มันเป็นสองที่ขัดแย้งกันอยู่ชัดๆ
    พระเจ้ามีพระปณิธานมุ่งมั่นเป็นหนึ่งเดียวที่จะช่วยคนให้เป็นสุขไปทั้งโลก ให้คนเป็นคนดีถ้วนทุกคนด้วยเมตตา  
    แต่ทำไม มารจึงมีอำนาจทำให้ทุกข์ให้ชั่วมีในคนได้ 
    แล้วอำนาจมารหรืออำนาจซาตานยิ่งใหญ่มาจากไหน มาใช้อำนาจเกินหน้าพระเจ้า ให้คนทุกข์ร้อนบ้าง บังคับให้คนทำชั่ว-ทำร้ายบ้าง ทำไม่ถูกต้องบ้าง ฯลฯ 
    ทำไม? ทำไม? ทำไม? 
    เห็นได้ชัดมั้ย ว่า มันน่า “ฉงน”!!!!?????
    มารเกิดขึ้นในโลกจนโลกต้องมี “นิยาย”โศกปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาส ก็เห็นกันอยู่ทั่วโลก 
    เกินความปรารถนาดีของพระเจ้าที่ต้องการให้มนุษย์เป็น “สุข”ทั่วโลก ตามพระปณิธานของพระองค์เองแท้ๆ ได้อย่างไร?
    ใคร.. เป็นผู้รับผิดชอบ ความบกพร่องผิดพลาดนี้?

(12)  “มาร”ก็มี “อำนาจ”เก่งเกิน “พระเจ้า”หนะซี้..! 
    มารหรือซาตานบังอาจมี “อำนาจ”ขึ้นมา “นอกเหนือ”หรือ “เกินเก่ง”ไปยิ่งกว่า “อำนาจพระเจ้า”ได้อย่างไร?
    ทำไมพระเจ้าไม่ใช้อำนาจของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่เหนือสรรพสิ่งที่สุดแห่งที่สุดแท้ๆ ทำลายความทุกข์ ทำลายมารให้หมดสิ้นไปจากโลก ไม่ต้องให้คนใดๆในโลกมี “ทุกข์” มี “ชั่ว”  
    ทำไมไม่ทำ? ทำไม?? หรือทำไม่ได้??? 
    ไม่เป็นความลำบากของพระเจ้าเองหรือ ที่ปล่อยให้มีคนชั่วหรือให้มีมารมาทำให้คนเลวเกิดขึ้นในโลก จนเป็นภาระ
    แล้วพระองค์ก็ต้องมา “ช่วย”ผู้ตก “ทุกข์”อีกทีเพราะมารมาทำความทุกข์แก่มนุษย์ขึ้นในโลก ให้พระองค์ต้องใช้คำว่า “ต้องช่วยมนุษย์” ต้องใช้คำว่า “รับความทุกข์แทน”
    ก็เนื่องจากปรารถนาให้มวลมนุษย์เป็น “สุข”
     แม้ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องใช้คำว่า  “ให้พระบุตรสละชีวิตไถ่บาปแทนมวลมนุษย์”
    มวลมนุษย์จะได้หมดบาป หมดชั่วหมดทุกข์
    ซึ่งน่าฉงนก็ ...พระบุตรได้สละชีวิตไปแล้ว 
    แล้ว “มาร”หมดไปมั้ย? คนยังชั่ว-ยังทุกข์อยู่มั้ย?
    ก็ยังเห็นทุกข์ เห็นชั่วกันอยู่เต็มโลก
    พระบุตรเสียสละชีวิตไถ่บาปทำไมไม่ได้ผลชงัดเลย
    มันยังไงกันแน่..?!..!!?? 
    ผู้คิดไม่ออกจึงต้อง “ฉงน”

(13) ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่นำเรื่องนี้ขึ้นมาวิจัย
    ต้องขออภัยจริงๆนะ ที่อาตมาวิจัยวิจารณ์  แต่ด้วยความจริงใจที่ “ฉงน” ซึ่งหมายใจให้เป็นการศึกษาสำหรับผู้ควรได้รู้ และผู้แสวงหาความรู้ความจริง อันมีอยู่มากมายในโลก รวมทั้งอาตมาก็ผู้แสวงหาที่สุดแห่งความรู้ความจริงจริงๆ ดังที่ได้เกริ่นแจ้งมาแต่ต้นแล้วด้วยความคารวะ เกรงใจยิ่ง
    กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่า อาตมาลบหลู่ดูถูกแต่อย่างใดเลย
    อาตมามีความรู้เท่านี้ และรู้สึกอย่างนี้จริงๆ  
     “ฉงน”อย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้อย่างจริงใจ จริงๆ
    หากใครใดมีความรู้ในความจริงที่ถูกต้องยิ่งกว่านี้ ก็กรุณาเถิด เสริมหนุนให้อาตมาได้รู้ความรู้ความจริงนั้นด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง
    อาตมาไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด ไม่ได้ลบหลู่ดูถูกใดๆเลย อาตมาเคารพเชิดชูศาสนาทุกศาสนา ว่าท่านมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติทุกศาสนา แต่ละศาสนา เท่าที่ท่านมีให้แก่
มนุษยชาติกันอยู่ตลอดมา
    อาตมาขออภัยอีกครั้ง และขอคารวะ ขอโอกาสแสดงความรู้อันเท่าที่อาตมามีนี้ด้วยเถิด     

(14) มันไม่เป็น “คำแก้ตัว”หรอกหรือ? 
    อาตมาขออนุญาตวิจัยต่อนะ
    เท่าที่อาตมามี “ความรู้” ก็คือ  “พระเจ้า”นั้นยิ่งใหญ่ สร้างโลก สร้างมหาเอกภพ สร้างทุกสรรพสิ่งประดามี 
    แล้วทำไม  “พระเจ้า”ไม่สร้างมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบทุกคน และไม่สร้างโลกให้มีแต่ความสุขมีแต่ความดี ตามที่พระองค์มีปณิธาน สร้างความไม่ขาดตกบกพร่อง หรือไม่ให้ด่างพร้อยด้วยเศษละอองธุลีทุกข์ อันไม่น่าให้มีแม้ธุลีหมองขึ้นมาขัดแย้งกับความสุขเสียเลยให้หมดเรื่อง ทำไมจึงมี “มาร”(ซาตาน)บังอาจแฝง “อำนาจ”แย้งพระเจ้า
    และก็ยืนยันว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้าง “มาร”(ซาตาน)
    แล้ว “มาร”คือ สรรพสิ่งหนึ่งในมหาเอกภพได้อย่างไร?
     “อำนาจ”ที่จะให้อะไรเกิดอะไรเป็น ในโลก ทำไมไม่อยู่ในพระเจ้า “เต็มอำนาจ”ในพระองค์เด็ดขาดองค์เดียว ทำไมไม่ทำความสุข-ความดีให้เสร็จสิ้นในตัวเป็นหนึ่งเดียวแก่มนุษย์ 
    แล้วปล่อยให้ “มาร”แอบสร้างทุกข์สร้างชั่วได้อย่างไร
    มันเกิด “ทุกข์”ขึ้นมาในมนุษย์ มันขัดแย้งกับ “สุข” มันเกิด “ชั่ว”ขึ้นมาในมนุษย์ ขัดแย้งกับ “ความดีงาม”
    มันค้านแย้งกับพระปณิธานของพระเจ้ามิใช่หรือ?
    ทำไมต้องให้มี “มาร”ขึ้นมาขัดแย้ง “พระเจ้า”ได้ 
     “มาร”เกิดมาได้ยังไง?   “ทุกข์-ชั่ว”เกิดขึ้นมาได้ยังไง? 
    ก็ในเมื่อ “พระเจ้า”เป็นพระผู้ประทาน “ความสุข-ความดีงาม”ให้แก่มวลมนุษยโลกแท้ๆ
     “พระเจ้า”ไม่สร้างความทุกข์แน่ๆ-ไม่สร้างความชั่วจริงๆ และ “ความจริง”นี้ก็เป็นความจริงจริงๆ
    คนทุกคนจึงรักบูชาเทิดทูนพระเจ้าเพราะเหตุนี้
    และ “พระเจ้า”เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สร้างหรือบงการทุกสรรพสิ่งให้เกิดขึ้นได้ หรือให้มีอยู่ในโลก ในมหาเอกภพ
    แล้วทำไม   “สิ่งอื่น”ที่เกินกว่าพระเจ้าทรงสร้างจึงเกิดได้
    เมื่อสรรพสิ่งที่เกินกว่า “พระเจ้า”สร้าง คือ “ชั่ว” คือ “ทุกข์” ซึ่งในโลกทุกวันนี้ทั้ง “ชั่ว” ทั้ง “ทุกข์”นั้น ดูจะยิ่งมียิ่งมากหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นๆๆ ท้าทาย “พระเจ้า”หรือเปล่า? 
    พระเจ้าจะทำให้ “ทุกข์”ทั้งหลาย  “ชั่ว”ทั้งปวงหมดไปอย่างถาวรยั่งยืน ไม่เกิดอีกใน “คน”ผู้นั้นๆ ได้จริงหรือ? 
    และพระเจ้าซึ่งทรงช่วยมนุษย์อยู่ตลอดเวลา จะช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกข์ พ้นชั่ว ได้อย่างไร? เมื่อไหร่?
    คำว่า "ต้องช่วยมนุษย์" คำว่า  "รับความทุกข์แทน" คำว่า "ให้พระบุตรสละชีวิตไถ่บาปแทนมวลมนุษย์"เหล่านั้น มันจะพ้นจาก"คำแก้ตัว"ของ"พระเจ้า"ไปได้ไหม?
    พระเจ้าคือผู้มี"อำนาจ"เหนือทุกสรรพสิ่ง มิใช่หรือ? 

(15) ทุกสรรพสิ่ง คืออะไร? 
    มาร-ความทุกข์-ความชั่วเกิดขึ้นในโลก มันก็เลยฉงน
    พระเจ้าคือ ผู้ “สร้าง” หรือผู้ “บันดาล”ทุกสรรพสิ่ง 
    มิใช่หรือ? 
    พระเจ้ามีพระประสงค์ให้มวลมนุษย์เป็น “สุข”ทั่วถ้วน ให้ “คนดี”ถ้วนทั่ว 
    มิใช่หรือ?
    แล้วทำไมพระเจ้าไม่สร้างแต่ความดี-สร้างแต่ความสุข 
    แล้วทำไมพระเจ้ายังปล่อยให้ “มาร”มี “อำนาจ”ทำคนให้มี “ความชั่ว” ทำให้คนมี “ความทุกข์”
    พระเจ้าเป็นพระผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในเอกภพ ในทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาลนี่นา 
    ยังไงกันแน่ พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ “ความทุกข์”เกิด ให้ “ความชั่ว”เกิด  หรือไม่ประสงค์ให้เกิด?            
     “ความทุกข์”เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่?
     “ความสุข”เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่?
     “ความดี”เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่?
     “ความชั่ว”เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่? 
     “ความอิสระ”เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่?
    มารก็ดี ซาตานก็ดี เป็นหนึ่งในสรรพสิ่งหรือไม่?  
    หรือเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเองอีก ที่จะให้ความทุกข์เกิด ความชั่วเกิด ให้มารหรือซาตานเกิด
    ถ้าพระเจ้าบันดาล หรือเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างจริง และมีพระปณิธานที่จะให้คน “ไม่ทุกข์” ให้คนมีแต่ “สุข”อย่างจริงใจของพระเจ้า มีพระประสงค์ที่จะให้คน “เป็นคนดี” มีแต่คุณงามความดีในความเป็นคนของโลก 
    แล้วให้ “ความชั่ว” ให้ “ความทุกข์”เกิดมาในโลกได้ยังไง?
     “พระเจ้า”บันดาลทุกสรรพสิ่งอย่างไรกันแน่

(16)   “พระเจ้า”บันดาลให้คนเป็นไปตามที่ขอได้จริงหรือ
    แม้ในโลกถึงปัจจุบันนี้ก็เห็นความจริงอยู่ชัดๆ ว่า ในสรรพสิ่งมี “ความชั่ว”เกิดในคน  มี “ความทุกข์”เกิดในคน 
    ยิ่งเป็นกาละที่ใกล้กลียุคเช่นสังคมทุกวันนี้ทั้ง “ความชั่ว” ทั้ง “ความทุกข์”มันทั้งเลวร้าย โหดร้าย ทารุณ แสนสาหัส อีกทั้งมากมาย จนไม่รู้จะกล่าวอย่างไรกันแล้ว 
    ทำไมพระเจ้าปล่อยให้สิ่งที่พระเจ้ามีพระปณิธานจะช่วยมนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ เป็นคนดีแท้ๆ แต่ทำไมจึงปล่อยให้คนทั้งหลายต้องยิ่งหนักหนาสาหัสไปกับ “ความชั่ว”และ “ความทุกข์”
อยู่เล่า 
    นั่นก็คือ พระเจ้าก็ไม่สามารถช่วยคนที่เขาอ้อนวอนร้องขอให้ตน “พ้นทุกข์”ได้อย่างเป็นจริง ให้ตน “เป็นคนดี”ได้อย่างเป็นจริง ตามที่คนอ้อนวอนร้องขอ หนะสิ!
    ทำไมพระเจ้าไม่บันดาลให้ทุกคนที่อ้อนวอนร้องขอได้ทุกสรรพสิ่งทันทีตามที่ขอ เพราะพระเจ้ามี “อำนาจเต็ม” เด็ดขาดที่สุดแห่งที่สุดนี่นา 
    และพระปณิธานของพระองค์ก็ตรงกับทุกคน “อยากดี-อยากสุข”กันทั้งนั้น  
    หรือจะปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่มีพระปณิธานให้คนเป็นคนดี ให้คนเป็นคนมีสุข 
    ซึ่งที่จริงนั้น เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนในโลก มิใช่หรือ? เมื่อพระเจ้ามีพระปณิธานประสงค์ที่จะให้คนทุกคนในโลกเป็นสุขเป็นคนดี แล้วทำไมพระเจ้าไม่กำจัดความทุกข์หรือความชั่วออกไปให้หมดโลก หรือไม่ต้องให้มี “ความทุกข์” ไม่ต้องให้มี “ความไม่ดี”อยู่ในโลกเลยเสียล่ะ

(17) ต้องขออภัยอีกครั้งเถิด ที่ยังพูดถึงเรื่องนี้ยืดยาว
    ขออภัยเป็นอย่างมากเลยนะ ที่พูดกันถึงอย่างนี้นั้น ก็ไม่ได้คิดจะลบหลู่"พระเจ้า"แต่อย่างใดเลย ขอยืนยันจริงๆ
    ไม่ได้เจตนาจะยกตนข่มท่าน หรืออวดดี อวดใหญ่ เลย
    เจตนาพูดให้เข้าใจได้ชัดๆ เจาะเข้าไปถึง “ความเป็นจริง”ให้ครบให้ลึกให้รอบถ้วนอย่างง่ายๆตรงๆไม่โค้งไม่พราง ซึ่งมันต้องเจาะเข้าไปที่ “ความจริง”อันมีจริงและจะต้องพูดถึงนั่นเอง ที่ทำให้เปิดเผย “ความจริง”จนดูเปลือยให้เห็นทุกภาวะแห่งความจริงล่อนจ้อน 
    ลักษณะที่อาตมาประพฤตินี้ จึงดูเป็น “คนไร้มารยาท” แสดงออกเกินสามัญปกติไป   
    ก็ต้องขออภัยซ้ำซาก เหมือนไม่จริงใจ
    แต่ขอยืนยันจริงๆ ว่า เป็นความจริงใจที่สุดจริงๆ
    เจตนาแน่มั่นของอาตมาคือ คนจะต้องศึกษาหา “ความจริง”  

(18) อะไรคือ  “อำนาจแท้”ที่ทำให้ “คน”เป็นไปตามที่เป็น
    เพราะอาตมาเห็นว่า ถ้าจะไปพูดว่า  “อำนาจ”ที่ยิ่งใหญ่จนสร้างโลกทั้งโลก สร้างมหาเอกภพทั้งมหาเอกภพ และสร้างทุกสรรพสิ่งในมหาเอกภพจริงๆเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ผู้เดียวในมหาเอกภพนั้น มันต้องไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เพราะผู้สร้างก็เป็นผู้เดียว ความประสงค์ของตนก็ผู้เดียว 
    ถ้าจะนับว่า  “พระเจ้า”คือ  “ธรรมชาติ” ก็พอนับกันได้ และยอมรับกันไปได้ 
    แต่หากจะพูดว่า  “ธรรมชาติ”เป็นผู้สร้าง ก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะสร้างพฤติกรรมสร้างนิสัย-วิสัยของคนของมนุษย์
    เพราะ “อำนาจแท้”ที่ทำให้คนเป็นไปตามที่เป็นนั้น ไม่ใช่“ธรรมชาติ”แน่  “ธรรมชาติ”ทำให้คน “พ้นทุกข์” หรือ “อำนาจธรรมชาติ”สร้างให้คน “ทำดี”หรือ “ทำชั่ว”ไม่ได้ 
    เพราะ “จิตใจ”ของคนแต่ละคน เป็น “อิสระ”ของเขาเองแท้ๆ
    และสูงสุดเป็น “อรหันต์”สามารถใช้ “อำนาจ”อย่าง “อิสระของตน”ได้เองแท้จริง
    ถ้ายังไม่บรรลุถึงขั้น “อรหันต์”ก็ยังมี “อำนาจ”ที่เหนือกว่า “ตน”(อัตตา)อยู่แท้ๆ จึงยังไม่ “พ้นความเป็นทาส”สัมบูรณ์
     “อรหันต์”มี “อำนาจแท้”สูงสุดเด็ดขาด จึงเป็น “ของตน”หรือของ “อัตตา”(อาตมัน) อย่าง “อิสระเสรี”ที่สุด ที่ตนจะให้เป็นไป 

(19)  “ความอิสระ”เป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคน
    คนแต่ละคนจึงมีสิทธิ์ที่จะมอบ “ความอิสระ”ให้ใคร หรือไม่ให้ใครก็ได้ เพราะความอิสระเป็น “ของตนๆ”แต่ละคนอย่างแท้จริง  
    ส่วนใครจะมอบ “อิสระเสรีภาพของตน”ให้แก่ “พระเจ้า”ก็เป็น “ความอิสระ”ของผู้นั้นเขาพึงทำได้ เพราะ “ความอิสระ”เป็นของเขา
    ดังนั้น จึงมีคนไม่น้อยเลยในโลกที่ไม่ยอมมอบ “อิสระเสรีภาพ”ของตนให้แก่ “พระจ้า” แม้จะมีคนกว่าครึ่งค่อนโลกเชื่อว่า “พระเจ้า”เป็นใหญ่ที่สุดในโลก มี “อำนาจ”ยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล เหนือสรรพสิ่งทั้งปวงในเอกภพ มี “อำนาจ”อยู่เหนือชีวิตคน
    จึงมีคนที่มอบ “ความอิสระ”ของตนให้แก่ “พระเจ้า”บันดาล
    แต่ก็ยังมี “คน”ในโลกอีกมาก ที่เห็นว่า  “ความอิสระ”เป็นของตนๆ  “พระเจ้า”จะมา “ริบ”เอา “ความเป็นอิสระของตน” ไม่ได้ 
    ตนมีสิทธิ์ทำ “กรรม 3”(กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม)ของตนเองตาม “อิสระเสรีภาพ”ของตน ไม่ยอมให้ “พระเจ้า”มาควบคุม “กรรม” หรือบงการ “กรรม”ของตน  
     “ความอิสระ”จึงคือ แต่ละคนมี “กรรม”เป็นของตนเอง
     “ความอิสระ”ของคนนี้แลใหญ่ยิ่งนัก มันอิสระยิ่งใหญ่จนกระทั่ง “พระเจ้า”ไม่สามารถบงการ 
    คนแต่ละคนมี “อัตตา”หรือ “อาตมัน”ของตนเอง มี “อิสระเสรีภาพ”เป็นของตนเองโดยแท้
    คนจะดี คนจะพ้นทุกข์เพราะตัวเขาเอง  “ทำเอง”ด้วยตัวเอง เพราะคนทุกคนมี “อัตภาพ”หรือมี “อัตตา”เป็นของตนเอง
     “อัตตา”หรือ “อาตมัน”ตัวนี้แหละที่คนจะต้องเรียนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ภาวะแห่งความจริง”นี้ให้ได้แล้วจึงจะเห็นแจ้งแทงทะลุถึงขั้นบรรลุสัจธรรมว่า “อาตมัน”หรือ “อัตตา”นี่เองคือ “ตัวการ”ในการสร้างชั่วสร้างดีสร้างทุกข์สร้างสุข ในความเป็นมนุษย์ ขึ้นมาให้แก่ตนแก่สังคมจริงๆ ไม่ใช่ “พระเจ้า” บงการคนให้ทำ 
     “อัตตา”หรือ “อาตมัน”คือตัวของตัวเองในความเป็นมนุษย์แต่ละคน ทั่วทั้งโลก
    ซึ่ง “อัตตา”หรือ “อาตมัน” ไม่ใช่ของ “พระเจ้า”
    ขออภัย ความจริงใจของอาตมาเห็นอย่างนี้จริงๆ 

(20) อาตมันหรืออัตตาของตนก็ของตน มิใช่ของพระเจ้า
     ถ้า “พระเจ้า”จะมีความเป็น “อัตตา”ของตน ก็เป็นของพระเจ้าเองไปเถิด จะยิ่งใหญ่ปานใด ขนาดไหน นั่นก็เป็นเรื่อง“ปรมาตมัน”หรือ “บรมอัตตา”ของพระเจ้าเอง
    ส่วน “อัตตา”ของแต่ละคน ไม่ใช่ “ของพระเจ้า”แน่ๆเด็ดขาด
    และ “พระเจ้า”ไม่มีสิทธิ์ “ริบ”ความเป็น “อัตตา”หรือ “อำนาจ”ของมนุษย์คนใดมาเป็น “ของพระเจ้า”  
     “อัตตาหรืออำนาจของใคร”ต้องเป็นของเขาเจ้าตัวเอง  
    เพราะ “ตัวตน”(อัตตา)ของใครก็ย่อมมีความเป็น “ตนของตน”   ใครอื่นจะมาเป็น “ตนของตน”ย่อมไม่ได้
     “ความเป็นอิสระ”ของคน ต้องเป็น “ของตนเอง”
     “ตัวตน(อัตตา)ของใคร”ก็ต้อง “ของคนนั้นเป็นเจ้าของ” ย่อมมีอิสระในความเป็น “ตน”ของตนเต็มบริบูรณ์ มิใช่ “ทาส”ของใคร แม้แต่่ “พระเจ้า”  “ตนเอง”ก็ต้องมี “พระเจ้า”คือ  “จิตใจของตนเอง”
    นั่นคือ  “จิตใจ”ของใคร  “จิตใจ”(วิญญาณ)นั้นก็ต้องเป็น “ของเขา”คนนั้น จึงจะไม่ชื่อว่า “ทาส” หรือชีวิตเป็นอิสระเสรีแท้ 
    นี่คือ ความจริงที่จะต้องศึกษาให้ถ่องแท้ถึงที่สุด

(21) ใครจะเป็น “ทาส”ก็เป็นเรื่อง “ใจตน”(อาตมัน,อัตตา)
    ซึ่งเป็นการรู้แจ้งรู้จริง “ความจริง”ว่า  “อัตตา”คือ “เจ้าของ”ความเป็นมนุษย์หรือเป็นคนแต่ละคนที่มี “อิสรภาพ”แท้
    มี “สติ”เป็น “ใหญ่”หรือเป็น “อธิปไตย”ในความเป็นชีวิต
    และ “ปัญญา”เป็น “ยิ่ง”หรือเป็น “อุตตระ”ในความเป็นชีวิต
    สำหรับผู้มี “สติ-ปัญญา”ที่ได้ปฏิบัติธรรมจนสามารถทำ “มูลราก”(genesis,origin)แห่งชีวิตให้สะอาดจาก “มาร” ชำระ “จิตใจ”ของตน หรือกำจัด “กิเลส”ในใจตนได้อย่าง “สัมมาทิฏฐิ” 
    ผู้นั้นก็จะมีชีวิตตาม “สติ-ปัญญา”ที่เป็น “อาริยะ”ของตน ด้วย “อิสระเสรีภาพ”สูงสุด (อันติมะ,ultimate)สัมบูรณ์สุด(absolute)
    ส่วนใครจะยอมเป็น “ทาส” คือ มอบอิสระของตนให้แก่ “ใคร” ก็เป็นเรื่องของ “ตน” 
    ซึ่ง “ตน”ก็คือ “อัตตา”หรือ “อาตมัน”นั่นเอง 
    เช่น เราจะมอบ “อิสรภาพ”ของตนให้แก่ “พระเจ้า” หรือขอเป็น “ทาส”ของพระเจ้า นั่นก็เป็นเรื่องของ “ตน”(อัตตา)จริงๆ
    ซึ่งก็ควรเป็นอย่างยิ่ง เพราะ “พระเจ้า”แท้ๆนั้นจะไม่มี “ส่วนเศษใดๆ”แม้แค่ธุลีละอองของความเป็นเศษชั่ว เศษทุกข์ แม้แต่เศษธุลีละอองแห่ง “ความหลงผิด”(โมหะ)ใดๆ สำหรับศาสนาพุทธ
    และเป็นพุทธผู้ “มีพระเจ้า”ในตนเองแท้จริงที่ “สัมมาทิฏฐิ” 
    ถ้าหากมี “ชั่ว”แม้แค่เศษธุลีชั่ว มี “ทุกข์”แม้แค่เศษธุลีทุกข์ มี “ความหลงผิด”แม้แค่เศษธุลีแห่งความหลงผิด นั่นก็คือยังมี “อำนาจมาร”หรือ “อำนาจซาตาน”ที่บังอาจแฝงแข่ง “อำนาจพระเจ้า”
อยู่ ดังที่ได้วิจัยกันมาคร่าวๆแล้ว 
    จึงเป็นปัญหาอยู่แค่ว่าจะทำอย่างไรให้ “พ้นอำนาจมารหรือซาตาน”อย่างเด็ดขาดสัมบูรณ์ ไม่ให้ “มาร”แฝงตัวใน “ตน”หรือใน “อัตตา”ของเราจนปราศนาการไปสิ้นเกลี้ยง แล้ว “มาร”(ซาตาน)ก็
ไม่มีอำนาจคอยบังคับเราทำชั่ว หรือมีทุกข์ หรือหลงผิด ได้ต่อไป 
    จนกระทั่งเรา “อิสระเสรีภาพ”สูงสุดสัมบูรณ์  
    ความสำคัญยิ่งจึงอยู่ที่ว่า  “พระเจ้า”จะขจัดมารหรือซาตานในตัวของเราได้มั้ย?  หรือว่า เราเองจะขจัด “มาร”(ซาตาน)ในตัวของ  “ตน”(อัตตา)เองได้ 
    สำหรับพุทธนั้นพึ่ง “ตนเอง”มีอิสระในตนเองแน่แท้  

(22) พุทธเห็นจริงใน “กรรม”เป็นอำนาจของตน(อัตตา)
    ซึ่งในศาสนาพุทธนั้นใครจะมอบตัวเป็น “ทาส”ของ “พระเจ้า” หรือจะมอบตัวเป็น “ทาส”ของ “พระพุทธเจ้า” ก็เป็นเรื่องของ “ตน” เป็นเรื่องของ “อัตตา”ก็คือ “ตน”นั่นเองสมัครใจ ตัวใครก็มี “อิสระ”เต็มที่ของตนๆ จะถึงขั้นมอบอย่างศิโรราบ หรือจะไม่ขนาดนั้น จะแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของ “ตน”(อัตตา)ทั้งสิ้น
    เป็น “อิสระ”ของแต่ละ “อัตตา”(อาตมัน = ตน)จะพึงทำของตน
    ไม่มีใครเป็น “เจ้าอัตตา”ใคร นอกจากใครจะยอมมอบ “อิสระเสรีภาพ”ของตนให้แก่ใคร นั่นเป็นเรื่องของตนเองโดยตรง
     “การยอมมอบอิสรภาพ”ของตนให้แก่สิ่งใด ให้แก่ใคร ก็เป็น “การกระทำ”หรือ “กรรม”ของตนเองโดยแท้ ไม่มีใครอยู่ “เหนือตน” 
    นอกจาก “ตน”ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “อัตตาตนเอง”เพียงพอ
    เพราะ “กรรม”เป็นของตนเอง ใคร “กระทำ”  “กรรมนั้นก็เป็นของของตน”(กัมมัสสกะ) ของผู้กระทำนั้นเอง แบ่งใครไม่ได้
     “อิสระ”จึงเป็น “ของตน”หรือเป็น “ของอััตตา”แท้จริงที่สุด 
    ซึ่ง “พระพุทธเจ้า”ก็ไม่เคย “ริบ”อิสรภาพของใคร 
    พระศาสดาของพุทธตรัสชัดเจนยิ่ง ว่า ไม่ให้ปักใจ “เชื่อ”แม้แต่ผู้เป็น “ครู”ของเรา หรือผู้สอนเรา-ผู้ให้ “ความจริง”แก่เรา ดังที่มีปรากฏใน “กาลามสูตร”ให้เรานำมาอ้างอิงยืนยันได้ 
    เพราะฉะนั้น “ความจริง”ใดๆ โดยเฉพาะ “ความเป็นพระเจ้า” ผู้มี “อำนาจ”เบ็ดเสร็จ ก็จงพิสูจน์ด้วยตนเอง ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า  “พระเจ้า”คืออะไร? อยู่ที่ไหน? มี “อำนาจ”เหนือตัวเราได้อย่างไร?     

(23)  “อิสรภาพ”หรือ “ทาส”จึงเป็นใจของ “ตน”(อัตตา)        
    ดังนั้น ใครจะเป็น “ทาส”อย่างศิโรราบก็เป็น “ใจของตน”ที่ยอมมอบตนเป็นทาส”ด้วยตนเอง 
    ไม่ใช่ถูกสั่ง ถูกบังคับ ถูกกำหนดมาโดยบัญญัติให้ต้องเชื่อ หรือเชื่อตามๆกันมา  
    พุทธนั้นแค่นับถือบูชาเคารพ-เชื่อแค่ฟังเอาคำสอนของท่านมาเรียนรู้อบรมฝึกฝนตาม ต่อเมื่อเกิดผลที่ควรเชื่อ เราจึงจะเชื่อ
    ซึ่งต้องผ่าน “กรรม”ที่ตนเองนั่นเอง “กระทำเอง-ประพฤติด้วยตนเอง”(กัมมัสสกะ)หรือ “กรรมที่เราทำนั่นเองเป็นตัวทำให้เกิด”(กัมมโยนิ)โดยไม่ต้อง “เชื่อ”ใครเลยนอกไปจาก “ตนเอง”ที่อิสระแท้ 
    แต่ “เชื่อผลของกรรมของตนเองทำ” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรรมชั่วหรือกรรมดีที่ตนทำลงไปล้วนสั่งสมลงเป็นผลที่ตนทำทั้งสิ้น(สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก)
    หรือ “เชื่อว่าการกระทำนั้นต้องเป็นอันทำ คือเชื่อกรรม(กัมมสัทธา) ไม่ใช่พวกที่มีความเห็น “อกิริยทิฏฐิ” ซึ่งเชื่อว่าการกระทำไม่เป็นอันทำ คือสูญเปล่า ทำแล้วจบแล้วก็ไม่มีอะไร เป็นเพียงกิริยา  
     “เชื่อการกระทำมีผลของการทำ คือเชื่อวิบาก”(วิปากสัทธา)
     “เชื่อการกระทำของตนต้องเป็นของตน คือเชื่อกรรมเป็นของของตน”(กัมมัสสกตาสัทธา)
     “เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง(ตถาคตโพธิสัทธา)
    การจะ “เชื่อ”หรือ “ไม่เชื่อ”ก็เป็นเรื่องของ “ตน”อีกแหละ
    จึงเป็นเรื่องของ “อัตตา”หรือเรื่องของ “ตน”แต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็เจ้าของ “อัตตา”ของตนเท่านั้นอันเป็นอิสระในความเป็น “ตนของตน”โดยชอบ โดยแท้    
     “อัตตา”คือ  “จิตใจ”ของคนแต่ละคน ซึ่งเป็นพลังงานขั้น “จิตนิยาม” ไม่ว่าใครจะ “ทำ”อะไร จะ “พูด”อะไร แม้แต่จะ “คิด”อะไรก็ล้วนเป็น “กรรม”ที่สั่งสมลงไปใน “ตน”หรือใน “อัตตา”นั่นเองทั้งสิ้น 
     “กรรม”ที่คนผู้ใด “ทำ”จะทำทางกาย-ทางวาจา-ทางใจ ไม่ว่า “กรรม”ใดทั้งนั้น  “ทำ”เมื่อใดก็เป็นของตนทั้งสิ้นเมื่อนั้น(กัมมัสสกะ)ทันที ทันใดต่อติดกันไปไม่ขาดตอน ไม่มีอะไรขาดหกตกหล่นไป
จากตน หรือจากการเป็น “ของตน”เลยตลอดกาล

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:07:06 )

580816

รายละเอียด

580816_วิถีอาริยธรรม บ้านราช  ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 2

ส.ฟ้าไทว่า....เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว พ่อครูก็ได้ตอบเกี่ยวกับการกินพืช ที่มีศิษย์เก่าเขาถามมา ว่า การกินพืชจะบาปไหม พ่อครูก็ได้ตอบไปส่วนหนึ่ง

พ่อครูว่า...กระแสหลักล้มเหลวหมดแล้ว จนถึงขั้นพฤติภาพออกมาหมดแล้วถึงขั้นสมีอุ้มสมี หรือว่าองค์กรศาสนาพุทธหลักทั่วประเทศตกอยู่ในอำนาจของสมี ซึ่งมันหมดท่าเลย ถ้าพลิกฟื้นอันนี้ไม่ได้ อาตมาว่า ศาสนาพุทธจบเห่เลย ให้โลกนี้ครองโลกด้วยมารไปเรียบร้อย อาตมาก็ต้องฮึดประกาศสัจธรรมความจริงต่อไป

ที่กล่าวไปเป็นความลึกซึ้งของสิ่งมีชีวิตที่เป็นชีวะ พระพุทธเจ้าตรัสถึงอุตุนิยาม พีชนิยาม

ชีวะนี้มีพีชนิยามกับจิตนิยาม เมื่อพัฒนาข้ามจากอุตุนิยามมาเป็นพีชนิยามก็คือชีวะขั้นต้น แล้วก็จะพัฒนาสู่ จิตนิยาม แล้วก็พัฒนาสู่จิตนิยามที่เป็นเวไนยสัตว์เป็นผู้ที่อบรมโลกุตรธรรมได้ แยกแยะโลกียะกับโลกุตระได้ รู้จักกรรม

กรรมนี่แหละเป็นพลังงานทางจิต กระทำลงไปสั่งสมเป็นพลังงานจิตทุกกรรม (กาย วจี มโน) สั่งสมเป็นพลังงานจิต จิตนี่จะเป็นตัวสั่งกายกรรม วจีกรรมให้ปฏิบัติ แต่คนเราอวิชชา ไม่สามารถหยั่งรู้จิตนี้ ผู้ศึกษาแล้วจะควบคุมได้ เรียนรู้สังกัปปะ 7 สามารถเรียนรู้ถึงวจีสังขาร แยกวจีกรรมออกจากมโนกรรม ส่วนกายกรรมนั้นหยาบกว่า วจีกับมโนกรรมย่อมรู้ได้ง่ายกว่า 

แยกวจีสังขารกับจิตสังขารออกได้ ในมโนแยกเป็นธรรมะสอง เป็นมโนหรือมนะ แล้วพัฒนาให้เป็นมโนที่บริสุทธิ์แล้วจึงมาปรุงแต่งเป็นวจีสังขารได้ มโนที่ไม่ปรุงแต่งก็ทรงไว้เป็นมโนธรรม ต้องแยกมโนกรรมที่เป็นวจีสังขารที่ยังไม่ออกมาเป็นวจีกรรม ก็ปรุงแต่งอยู่ภายในเป็นวจีสังขาร ไม่ออกมาภายนอก วจีสังขารก็ต่างกับวจีกรรม

(44)  “กรรม”คือ  “อำนาจแท้”สร้างมนุษย์-เทวดา-สัตว์นรก 
     “กรรม”จึงเป็นผู้สร้างมนุษย์ตัวแท้สำหรับชาวพุทธ  “กรรม” เป็นผู้ให้กำเนิด(กัมมโยนิ)ตัวจริง ไม่ใช่ “อำนาจ”สิ่งยิ่งใหญ่ใดไหนเลยที่ทำให้คน “เกิด” หรือให้คนเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้ ให้เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นสัตว์นรก เป็นสุข-ทุกข์ เป็นคนดี-ชั่ว ฯลฯ 
    จึงชัดเจนยิ่งว่า  “กรรม”นี่เองที่เป็น “พระเจ้าตัวจริง
     “กรรม”นี่เองคือ ผู้ให้กำเนิด พาเป็นไปแท้ๆ(กัมมโยนิ) 
     “กรรมของตน”จึงยิ่งใหญ่ที่สุดเป็น “อำนาจแท้”ในตนกว่า “อำนาจ”ใดๆในมหาเอกภพ  “กรรม”จึงคือ “พระเจ้า”แท้ เป็นผู้ให้กำเนิดทาง “จิตวิญญาณ”จริง ที่สามารถเรียนรู้ และปฏิบัติของ
ตนเอง พิสูจน์ “ความจริง”อย่างสัมบูรณ์ เป็นวิทยาศาสตร์
    การถ่ายทอดเชื้อพันธุ์ของสัตวโลกที่เป็น “สัตว์”ทาง “จิตนิยาม” จึงต้องถ่ายทอดเชื้อพันธุ์กันทาง “กรรม”(deed,การกระทำ)คือ ทางการปฏิบัติหรือทางการประพฤติ(จรณะ) นั่นเอง ไม่มีทางอื่น
    หมายความว่า เราจะถ่ายทอดพันธุ์หรือสืบทอดพันธุ์กันอย่างแท้จริง  “พันธุ์”ที่ว่านี้คือ  “เผ่าพันธุ์”ที่เป็นเชื้อแท้ของพุทธ หรือสืบทอดความเป็น “พุทธ”กันจริงๆ และเป็น “เชื้อแท้-เชื้อที่ถูกต้อง” ไม่เป็น “พุทธเก๊” ไม่เป็น “พุทธเพี้ยน” ไม่เป็น “พุทธปลอม” ไม่เป็น “พุทธนอกรีต” ไม่เป็น “พุทธกลายพันธุ์” ไม่เป็น “พุทธเสื่อม”อย่างทุกวันนี้
    เราได้ศึกษามาแล้วว่า  “อุตุนิยาม”นั้นธาตุที่ยังไม่เป็น “ชีวะ” แม้ “อุตุนิยาม”ที่เป็น “พลังงาน” จะดี จะเก่ง จะวิเศษแค่ไหน ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็น “ชีวะ”
    จนกว่า “พลังงาน”ขั้น “อุตุนิยาม”จะพัฒนา หรือมีเหตุปัจจัยประกอบกัน สังเคราะห์หรือสังขารกันมี “คุณภาพ”เข้าขั้นเป็น “ชีวะ” ซึ่งก็ต้องนับเอาความเป็น “พลังงาน”ใน “ธาตุ”นั้นๆ ที่เกิดที่เป็นจริง เป็นตัวชี้บ่งว่า เป็น “ชีวะ” หรือยังไม่เป็น “ชีวะ” ไม่ใช่หมายเอาแค่ “สสาร”หรือภายนอก 

(45) พลังงานจะพัฒนาจาก “อุตุนิยาม”เป็น “พีชนิยาม”ก่อน
    เริ่มต้นที่ “ธาตุ”นั้นโดยเอาที่ “พลังงาน”เป็นสำคัญว่า พลังงานของธาตุนั้นได้พัฒนามีคุณสมบัติใน “นิช”(Niche)มีความเจริญเข้าขั้น “เซลล์”(Cell)หรือยัง? ถ้าเข้าขั้น “เซลล์”ได้จริงก็เริ่มนับเป็น “ชีวะ”
     “นิช”(Niche) หมายถึง ช่องว่างหรืออากาศ(space) ซึ่งเป็นสถานที่ก็ดี สถานที่เริ่มต้นให้ “ชีวะ”เกิดเรียกว่า “คัพภะ” หรือความเล็กละเอียดของตัว “ธาตุ”ที่เริ่มตัวของ “ชีวะ”เรียกว่า “กลละ”ก็ดี ที่เหมาะสมแล้วที่จะเกิดความเป็น “ชีวะ” 
    ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิด “ชีวะ”เริ่มแรก ติดอยู่กับที่ก่อน ยังอวจรหรือโคจรไปไหนด้วยพลังงานตนเองอิสระลอยตัว ไม่ได้ แต่เริ่มเป็น “ชีวะ” เริ่มเป็น “เซลล์”(cell) ขั้นเริ่มต้นชั้นต่ำอยู่ จึงต้องเชื่อมต่อสืบสายโยงชีพอยู่กับมวลเดิม ยังตัดขาดแยกตนออกไปเป็น “ตนเอง” อย่างอิสระพึ่งตนเอง เลี้ยตนเองรอดยังไม่ได้ ยังเป็นแค่ “ชีรานุปาทิ”ซึ่ง “ชีวะ”เหลือแค่ “ชรตา” 
     “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ” ถ้าไม่มี “สันตติ” ก็คือ “ชรตา” ที่จะเสื่อมต่อไปหา “สูญ” หรือเสื่อมสลายจนสิ้นตัวตนไป 
    ส่วน “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ”ถ้ามี “สันตติ”ก็เป็น “ชีวานุปาทิ” ซึ่ง “อุปจยะ”นั้นก็จะมี “ปัจจยาการ”สืบต่อไปเป็น “การเกิดใหม่”(โอกฺกันติ) เป็นธาตุใหม่ของ “อุปจยธาตุ”ใหม่ไปเรื่อยๆ สะสมพลังงานที่มี “ความเป็นตน”(อัตตา)เริ่มก้าวหน้าขึ้นสู่ความมี “ชีวา”พัฒนาต่อไป
    แต่ถ้าไม่มีพลังงานที่ “สืบต่อ”(สันตติ)เพื่อเกิดต่อไป ก็จะเป็นได้แค่ “ชีรานุปาทิ” ตนเองไม่สามารถช่วยตนเองให้ “สืบต่อชีวะ”ของตนต่อไปได้อีก มีแต่จะเสื่อมไปหาสูญ หรือเสื่อมสลายจนสิ้น
ตัวตนไป ภาวะนี้ก็ชื่อว่า  “ชรตา” 
     “พลังงาน”ที่ชื่อว่า  “อุปจยะ” ต้องมี “ชีวานุปาทิ”จนกระทั่งมี “ชีวะ”เป็นของตนเองแล้ว และพึ่งตนเองได้ด้วย อย่างอิสระที่จะพัฒนา “ชีวะ”ของตนเองให้เจริญเติบโตต่อไปได้เอง    
    จนกว่าจะพัฒนาขึ้นไปเป็น “ชีวะ”ที่มีความเป็น “ธาตุแท้ของความเป็นตนเอง”(self) พึ่ง “ความเป็นชีวะ”ของตนเองได้ จึงชื่อว่า “พีชนิยาม” ที่เกิด “ความอิสระ”จาก “ธรรมชาติ”แห่ง “อุตุนิยาม”ไปได้ 
    หรือนำตัวเองเคลื่อนออกจากสถานที่ ที่ตนเองเกาะอาศัยอยู่นั้น แยกตัวออกไปเป็น “อิสระ”ได้ หรือลอยตัวออกไปผสมพันธุ์นอกภาวะที่ตนเองติดอยู่นั้นได้ จึงจะชื่อว่า ชีวะขั้น “พีชนิยาม”

(46) แล้วจึงจะเป็น “จิตนิยาม”ที่มี “กรรม”มี “วิบาก”
    จาก “พีชนิยาม”จึงจะพัฒนาธาตุที่เป็น “ตนเองขึ้นไปอีก จากมี “พลังงาน”ของตนเองขั้นหนึ่งมาแล้ว ในความเป็น “ชีวะ”ที่เรียกว่า “พีชนิยาม”ให้เกิด “พลังงาน”ข้ามขั้น “พีชนิยาม”ไปเป็น “จิตนิยาม” 
     “พลังงาน”ที่เป็น “พีชนิยาม”นั้นจะมีพลังงานปรุงแต่งตนเอง(สังขาร)ที่เป็น “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) คือ มี “สัญญากับสังขาร”ปรุงแต่งกันเป็น “พีชนิยาม” เป็น “นามขันธ์ 2” ยังไม่มี “เวทนากับวิญญาณ” พลังงานขั้นนี้จึงยังไม่ชื่อว่า “อนุปาทินนกสังขาร”(สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง หรือสังขารที่ไม่มีวิบากกรรมครอง) จึงยังไม่เข้าขั้น “สัตว์”
    (คนเขากำลังพัฒนาหุ่นยนต์ให้ได้มีเวทนา อาตมาก็ว่าเขาจะทำได้ไหมหนอ แต่อาตมาว่าเขาทำไม่ได้หรอก เขาไม่เข้าใจเรื่องนิยามชีวิตเลย แม้แค่ทำให้หุ่นยนต์ที่เป็นอุตุฯข้ามมาเป็นพีชะก็ยังยากเลย อาตมาเลยสงสารเขา เขาจะทำไปสูญเปล่าไปแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ไม่เก่งเท่าธรรมชาติหรอกแต่ก็ไม่ดูถูกเขาทำไป เพราะอย่างน้อยเอาความละเอียดลึกซึ้งนี้มาใช้ประโยชน์ได้ นาซ่าก็ทำอะไรที่มีประโยชน์ได้)
    ขึ้นชื่อว่า “สัตว์” จะมี “นามขันธ์ 4” คือ มีทั้งเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ทำงานอยู่ใน “พลังงาน”ที่เรียกว่า “จิต”(จิตนิยาม)   
    ดังนั้น  “พลังงาน”ขั้น “พีชนิยาม”หากพัฒนาเจริญขึ้นถึงขั้นที่เรียกว่า “เวทนา”เพราะมี “กาย”(องค์ประกอบของ “ธรรม 2” ที่มีทั้งภาวะของรูปและภาวะของนามทำงานร่วมกัน) ที่มี “นามธรรม” เริ่มเป็น “ความรู้สึกหรือเป็นอารมณ์ในตนเอง” เรียกภาษาวิชาการว่า  “เวทนา” ยังไม่ได้ 
     “เวทนา”จึงได้แก่ พลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังงานแห่งชีวะที่มีพัฒนาการถึงขั้นเมื่อ “การสัมผัส”กันของ “รูปภายนอก”กับ “พลังงานภายใน”แล้วมี “อาการ”ใน “พลังงานภายใน”ถึงขั้น “รู้สึก”เป็น “รสอัสสาทะ”ด้วยอวิชชา หรือความหลง(โมหะ) จึงยังมี “อัสสาทะ”อยู่
     “อัสสาทะ”นี้แหละตัวร้ายที่เป็น “รสโลกียะ”ที่คนโง่ คนหลง
     “อัสสาทะ”คือ รสนิยม อารมณ์ที่พึงใจ ความรู้สึกที่รัดรึงใจ ความรู้สึกที่ไปยึดเอา “ความรู้สึกใหม่”ที่เกินความเป็นจริงตามธรรมดาของภาวะนั้นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ “วิปลาส”กว่าความรับรู้ในการสัมผัสรู้ตาม “ธรรมดาของจริง”นั้นที่สัตว์โลกผู้อวิชชา “มี”กัน (ใครมองไม้ร่มแล้วเห็นรูปร่างภายนอกก็อย่าว่าเป็นคนวิปลาส เพราะเมื่อคุยกับเขาแล้วเขาคุยรู้เรื่อง บางทีรู้เรื่องละเอียดดีกว่าเราอีกก็ได้ แต่เขาจะยึดการแต่งตัวแบบนี้ ทั้งผูกทั้งขาดใส่แบบนี้ เพื่อให้คนใส่ใจสนใจ เป็นสุนทรียศิลป์ ชี้ชวนให้คนสนใจมาศึกษา เป็นส่ิงที่จริงที่ยาก ถ้าเอาสุนทรียศิลป์ไปในเชิงลบก็ยาก อาตมาก็ใช้คล้ายไม้ร่ม แต่ละเอียดกว่าไม้ร่มเยอะคนถึงเข้าถึงยาก อาตมาไม่ได้หยาบถึงต้องใส่เสื้อผ้าขาดแล้วมีหนวดเครา ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น ไม้ร่มกับอาตมานี่สัมผัสภายนอกรู้เลยว่าใครบ้าแต่อาตมาแสดงกิริยาท่าทาง นัจจะคีตะวาทิตะ ตอนนี้มันก็เกินสภาพคนที่ยึดมั่นถือมั่นไป ที่เขายึดว่าอาริยะต้องไม่แสดงท่าทางเช่นนี้ มันเกินสมณสารูปที่เขายึดถือ 

แค่ character ของหนึ่งฟ้าในหมู่พวกเราก็รับได้ยากแต่ภายนอกก็รับได้จึงติดต่อภายนอกมาหาภายใน แต่ภายในเราก็มีทั้งผู้ที่รับได้และรับไม่ได้)

     “อัสสาทะ”จึงเป็น “รส”ที่คนรับรู้สึกที่ใหม่ขึ้นมาจากความเป็นจริง  “รส”นี้จึงคือ  “รสที่ไม่มีจริงในความจริง” เป็น “รสเท็จ”(อลิกะ) (จึงมี Creative ถีบออกมาเยอะแยะ ปั้นมาหลอกคน ขี้หมาทาสีเขาก็ซื้อ ซื้อแพงๆด้วย ไม่ขายแพงก็หาว่าของไม่ดีอีก)
    ซึ่งเป็นความรู้สึกเกินกว่าที่ “ความเป็นจริงของความจริงธรรมดา”ตามภาวะธรรมชาตินั้นมันมีจริง แล้วหลงยึด “รส”นั้นเป็น “อุปาทาน”หยั่งลงเป็น “อภินิเวส” จึงเกิดเป็น “ตัวตน”(self)ที่มี “ความเป็นตนเอง”เลยเถิดกว่า “พีชนิยาม”อีก 
    อย่างนี้แลที่ “จิตนิยาม”สำหรับคนผู้อวิชชาจะมีกันมากขึ้นๆ 
    แล้วก็สร้าง “กรรม”สร้าง “วิบาก” ให้เป็น “นิยาย”ของโลก เต็มโลก เป็นโลกแห่งสงครามอัสสาทะ”กันไม่รู้จบ

(47) พีชนิยามมีแค่สัญญากับสังขารจึงยังไม่มีรสเท็จ (แค่ควายเอาลูกชิ้นให้มันกินมันยังไม่ถูกหลอกเลย) คนนี่โง่มากเลย พีชะไม่มีรสเท็จรสเก๊ในตน อนัตตาก็เพราะว่า ผู้ที่มีอัสสาทะก็เป็นรสเท็จหรือรสเก๊ รสอร่อยของโลก ที่ไม่มีตัวตนไม่ใช่ของจริง เป็นอนัตตา ก็เพราะมีวิปลาส 3 (สัญญาวิปลาส จิตวิปลา ทิฏฐิวิปลาส) จะมีวิปลาส1 หรือหลายอย่างทำให้เกิดอัสสาทะนั้น สำหรับพีชนิยามยังไม่มีวิบากที่ติดไปกับความจำหรือการกำหนดรู้(สัญญา) แล้วนำไปปรุงแต่งตนเอง(สังขาร) ตามความจำได้จนจำได้ถึงขั้นข้ามภพข้ามชาติ 

เพราะถ้ารูปธรรมของพีชนิยามมันแหลกสลาย เช่นกล้วยหอม ผลไม้ พืชต่างๆ แตกสลายไม่เหลือรูปทรงที่มีองคาพยพบริบูรณ์พร้อมพอแล้ว พลังงานอุตุของมันก็หมดสิ้นไป พลังงานก็ไม่มีตัวตนของมันใดๆข้ามภพชาติเลย หมดจบอยู่ในชาติเดียว ไม่มีสันตติ พีชนิยามจึงไม่มีบาป ไม่มีเวรข้ามภพข้ามชาติ กรรมที่สั่งสมลงเป็นวิบากข้ามภพชาติยึงไม่มี เพราะการยึดเอา(อาทาน) ของพีชนิยาม มันยึดถือแค่ชาติเดียว  ภพเดียวเท่านั้น

48. ความรู้ของอัตตานั้น ขั้นอธิจิตจึงจะสามารถรู้ตนเอง

ผู้มีญาณ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นพีชะนั้น แท้ๆสัมมาทิฏฐิจึงรู้ธรรมะขั้นเอกพีชี หรือเอกคตจิตได้จริงแท้ สัมมาทิฏฐิจริง ซึ่งเป็นความรู้ขั้นอธิจิตหรือญาณ จึงมีภูมิแยกภาวะแห่งเอกพีชีนั้น แตกต่างจากโกลังโกละ หรือสัตตักขัตตุปรมะ อย่างไร เอกพีชีคือเชื้อชาติหนึ่ง แล้วสัตตักขัตตุปรมะคือ 6 

เอกพีชี ที่มีเชื้อเหลืออีก 1 ชาติ แตกต่างจากสกิทาคามี คือยังเป็นผู้ยึดตัวตนคืออัตตาในกามภพอีก 1 ชาติ อันหนึ่งในความเป็นพีชะ(เอกพีชี)กับอีกอันหนึ่งในความเป็นอัตตา(สกิทาคามี) 

เอกพีชี คือพีชะเชื้อชีวิตินทรีย์ ที่รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ภายใน เป็นส่วนละเอียดของนามธรรม ที่ไปแปลกันว่าเอกพีชีคือเกิดอีกชาติเดียว ก็ต้องรู้ว่าหมายเอาชาติของอะไรแค่ไหน ส่วนสกิทาคามีก็ไปแปลว่าเกิดอีกชาติเดียวเหมือนกัน แต่สกิทาคามีนี้คือบุคคลไม่ได้หมายถึงพีชะที่เห็นอัตตาโอฬาริกอัตตา หยาบ ก็ต้องรู้อัตตาขั้นนี้ว่า หมายเอาความเป็นกาย ที่ครบพร้อมองค์รวมของรูป/นาม อันเป็นภาวะที่หมายถึงองค์ประกอบของทั้งรูป/นาม(กาย)ที่เกี่ยวข้องทั้งภายนอกและภายใน(จิตใจ) เป็นโอฬาริกอัตตาเต็มๆ จึงเป็นเรื่ององค์รวมที่หมายถึงบุคคล ดังนั้น สกิทาคามีจึงแตกต่างจากเอกพีชี ตรงที่ หมายถึงมโนมยอัตตา อรูปอัตตา 

เอกพีชีนี้หมายเอา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา 

สกิทาคามีต้องรวมเอาโอฬาริกอัตตา ถึง อรูปอัตตาอันเป็นปรมัตถธรรมคือหมายเอาจิตเจตสิกรูปนิพพาน ต้องศึกษา โอกกันติ อ่านความเกิดของจิตในภายใน ต้องรู้ธรรมนิยาม 5 ชัดเจนสัมมาทิฏฐิ

ต้องแยกโอฬาริกอัตตา กับมโนมยอัตตา และอรูปอัตตาออก 

ผู้ปฏิบัติต้องอ่าน รูปกาย นามกาย ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทสได้ จึงจะทำความดับความเกิดสำเร็จ ต้องเข้าใจภาวะความเกิด 5 (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) ในพระไตรฯล.16 ข.7 แล้วผู้ปฏิบัติก็จัดการการเกิดให้ถึงนิพพัตติ อภินิพพัตติได้ บริบูรณ์ให้ได้

ความหยั่งลง สัญชาติ คือความเกิดที่หยั่งลงแบบเก่า สั่งสมสัตว์เดรัจฉานก็สั่งสมความเป็นเดรัจฉานมา คนก็หยั่งลงแบบคน 

ชาติคือการเกิดทั่วไป คำกลางๆ ชาติปิทุกขา (ความเกิดใดๆเป็นทุกข์) เป็นต้น

โอกกันติ คือความเกิดที่สามารถเรียนรู้ได้ หยั่งลงในจิต แยกแยะได้ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ว่าเกิดเช่นนี้เป็นโลกียะ อย่างนี้เป็นโลกุตระ แยกเนกขัมมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนาได้ อันนี้เอาอัสสาทะออกหรือลดได้ เป็นโลกุตระ ต้องอ่าน อาการ ลิงค นิมิตอุเทสเหล่านี้ออกให้ได้ แยกได้ก็มีโอกกันตะ ได้เป็นนิพพัตติมาเรื่อยๆ จนถึงอภินิพพัตติก็สัมบูรณ์ขึ้นมา สมบูรณ์รอบ 1 เป็นโสดาบัน รอบ 2 เป็นสกิทาฯ...

ความรู้อธิจิตขั้น พีชนิยามจึงจะรู้โอปปาติกโยนิ คือการเกิดของพลังงานจิต เพราะรู้ความเป็นพลังงานพีชะแตกต่างกับความเป็นอัตตาอย่างมีนัยสำคัญ ตัวตนขั้นพีชะเป็นนิยามที่ไม่ถึงขั้นจิต โดยรู้จักปริมาณและคุณภาพ โดยรู้จากปริมาณและคุณภาพ เพราะพีชะเป็นพลังงานที่สั่งสมตัวตน อย่างมีปริมาณและคุณภาพไม่มากไม่ควบแน่นเสถียรเกิน 7 ชั้นขึ้นไป (7 คือสัตตัก) 

ส่วนอัตตานั้นมีทั้งที่สะสมตัวตนมากและควบแน่น ถ้าอัตตาข้ามไปถึง 7 ก็ข้ามเส้าที่ 2 ซึ่งเลยเส้าปฏิภาคทวีคู่ใหม่ สัตตักขัตตุง จึงเป็นเขตที่จะผ่านไปถึงระดับขั้นสูงสุดได้ แต่ถ้าลดลงกว่า 7 ก็ยังมีพลังไม่แรงมากพอ ไม่ถึงรอบปฏิภาคทวีที่แปลไปเป็นวัฏฏะอื่น 

ผู้มีญาณรู้ตนเอง(อัตตา)จึงจะสามารถรู้พลังงานพีชนิยาม

พลังงานพีชะไม่มีความรู้สึกผูกพันยึดติด ขออนุโลมใช้ภาษาว่า มันยังไม่ติดใจ คือพีชะยังไม่ถึงขั้นมีธาตุกำหนดรู้ได้แล้ว แล้วก็สามารถยึด(อาทาน)ได้ มันสามารถยึดได้แต่ไม่ยึดแรงจัดมาก จนเก่งถึงขนาดพลังงานจิต ไม่เก่งขนาดนั้น ที่ยึดแรงหนักเหมือนพลังงานจิต 

ความรู้สึกของมันไม่ยึดหนักถึงขนาดรักหรือชัง ไม่เข้าขั้นมาตรฐานที่เป็นเวทนานั้นเอง ไม่ดูดดึงไม่ผูกพันมาให้ตน มาเป็นตน หรือถึงขั้นจองเวรที่ชังหรือแค้นอยู่ ซึ่งเป็นการยึดเอามาผนวกเข้ามาเป็นพลังงานของตน กระทั่งข้ามภพข้ามชาติ ผ่านองคาพยพแห่งรูปธรรมจนเป็นตน เพราะพลังงานพีชะไม่มีอาการหนัก แรง จัด ด้วยปริมาณและคุณภาพ ในความเป็นธาตุรู้ของมันเอง จนมีปริมาณหรือคุณภาพมากถึงปานฉะนั้น

มันยึดแค่เอามาปรุงแต่งเป็นองคาพยพในชาตินี้ ไม่เอามาเกินการกำหนดรู้ที่ตนมีหรือไม่บำเรอความรู้สึกว่าเป็นลาภของเราแล้วหนอ ที่มีความรู้สึกใหม่ แปลกใหม่จากที่มีอยู่เดิมแล้วหลงยินดีความใหม่นี้ใส่เข้าไปเป็นอัตตา   (ที่หลอกกันทั่วโลกคือความรู้สึกแปลกใหม่นี้แหละ) ปริมาณ คุณภาพที่เข้าไปใหม่นี้ไปเพิ่มความรู้สึกยึดติด จนกลายเป็นจิตตนจนได้ มีอัสสาทะขึ้นมา 

ควายมันไม่ยินดีในลูกชิ้นปิ้งก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้าไปติดลูกชิ้นปิ้งมันก็ทุกข์ ...พ่อครู 16 ส.ค.58

เมื่อเหตุปัจจัยครบถึงขีดของจิตนิยาม แล้วหากผู้มีจิตนิยามนี้มีอวิชชาอยู่เมื่อใด ก็จะมีความวิปลาส ให้แก่ตนอีกนาน จนกว่าจะมีวิชชาของพุทธ ถ้าพีชะใดยังมีคุณสมบัติไม่ถึงขั้นเป็นเวทนา มันมีแค่สัญญากับสังขาร พลังงานของมันยังไม่มีปริมาณและคุณภาพข้ามมาเป็นจิตบริบูรณ์ มีแค่สัญญากับสังขาร ก็ยังไม่นับว่าเป็นวิญญาณธาตุก็ยังเป็นแค่ อนุปาทินกสังขารเท่านั้น 

พีชะมีแต่ตนเองแต่ไม่เป็นภัยกับใคร จะไม่รู้สึกทุกข์/สุข จึงไม่มีบาป หรือไม่ต้องมีบุญ พีชะมีพลังงานสร้างตัวเอง ตัวตนของมันเท่านั้น (Self) มันแค่มีตัวตนตามอัตโนมัติ (Self abuse) ยังไม่มีความเห็นแก่ตัว(selfish) มันมีแต่สร้างตัวเองทำตัวเอง(self made) ให้เพียงพอ (self sufficiency) นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง แม้แต่การป้องกันตนเอง การยกอ้างอะไรมาป้องกันตนเอง (self defense) แม้แค่นี้พืชยังทำไม่ได้เท่ากับสัตว์เลย

มันวิ่งหนีได้ไม่คล่องแคล่วเท่าสัตว์ สัตว์ที่มีจิตนิยามจะมีความอิสระ แม้ในความเป็นองคาพยพภายนอกก็จะมีมากกว่า พีชนิยามยึดสิ่งที่่จะมาใช้กับตนเพียงชาติเดียว จบชาตินั้นไม่มีพลังงานสืบต่ออีก ไม่ผูกพัน ไม่สืบต่อไปไหนๆอีก จบพลังงานชีวะของมันชาติเดียว ชีวิตพีชะจบเมื่อใด องคาพยพก็ดี พลังงานของมันก็ดีแตกแยกสลายไม่มีเชื้อพีชะใดเหลืออยู่อีก ...

ส.ฟ้าไทว่า..วันนี้เรียนวิทยาศาสตร์จิตภาพ ชีวภาพด้วย 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:08:03 )

580817

รายละเอียด

580817_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 17 ส.ค. 58 น้ำก็ไม่มายังนิ่ง บางแห่งก็น้ำแล้ง แปรปรวน แต่ใจเราก็อย่าให้วิปลาส มาตอบประเด็นปกิณกะก่อน 

_จากคนชอบฟังธรรม เรามีงานเยอะจริงๆข้องใจ
ตอบ..ก็ตอบคำนี้ก่อนเลย สังคมที่งานเยอะจนงานตกคน คือสังคมเจริญ สังคมที่คนเยอะจนคนตกงานคือสังคมล้มเหลว โดยเฉพาะงานเราไม่ใช่งานที่ฟุ้งเฟ้อฟรุ้งฟริงเลย แต่เป็นงานมีสาระมีเนื้อ ขนาดนั้นงานก็มากจนตกคน เราต้องขยันหมั่นเพียรเพิ่ม ก็ถามแล้วว่าพวกเราขยันที่สุดหรือยังก็ว่ากันยังไม่ ยังมีขี้เกียจแทรกอยู่

_เรื่องกัมมารามตา เรื่องเอาภาระ เรื่องรับผิดชอบ คือยินดีในการงาน ท่านบอกเป็นความเสื่อมนะ ยินดีในการทำงาน(กัมมารามตา) ยินดีในการคุย(ภัสสารามตา) ยินดีในการนอน(นิทรารามตา) ยินดีในการเพลิดเพลินในหมู่(สังคนิการามตา) หรือมีความปรารถนาลามก (ปาปิจฉตา)เป็นความเสื่อม ,ีมิตรบาป(มปาปมิตตา), อันตราดวสานมา(ความท้อถอยหยุดยั้งเสียในระหว่างด้วยการบรรลุคุณวิเศษแค่ชั้นต้นๆเท่านั้นก็เลยท้อแท้ นอนใจ ได้แค่นั้น)

_คำต่างๆนี้ก็มีสาระ มีหมู่กลุ่ม ข้องใจเรื่องกัมมันรามายตา เรื่องเอาภาระ เรื่องรับผิดชอบ สาระ หมู่กลุ่ม อัตตา งานศาสนา ศรัทธา คำเหล่านี้วนๆมาให้คิดเสมอ

อาตมาว่าคำเหล่านี้ยิ่งเอามาขบคิดก็ยิ่งยุ่งนะ อาตมาว่า เอาคำเหล่านี้วางลงไปแล้วหมู่ให้ไปที่ไหนไปทำอะไรที่มีสาระดีก็ไป อย่าไปกังวลเลยภาษาเหล่านี้ไม่เช่นนั้นจะสับสนไปหมด อะไรก็ดี หนักเข้าก็ไม่ใช่คำหนึ่งแล้วนี่ เป็นคลำหัวที่โนที่ปูดเลย ไปไม่ออกแน่ 

จริงๆก็ขยายความอีก คำว่า รามตา แปลว่าความหลงใหลยินดี แม้ภัสสารามตา ยินดีในการพูดคุย ก็เลยไปคิดว่าไม่ต้องนอน ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องไปกับหมู่เลย ก็เลยไปเข้าใจเช่นนั้น เนสัชชิ (ไม่นอนแต่นั่งหลับ) นี่คือความสุดโต่งที่เข้าใจผิด ความจิรง รามตาคือไปหลงติดยึดเกินไปจัดไปในงานก็ดี ในพูดก็ดี คนเราต้องมีงานต้องพูด คนเราต้องนอน คนเราต้องอยู่กับหมู่กลุ่ม ทั้ง 4 คำนี้แหละ พอเลยเถิดคือสุดโต่งไป ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้สุดโต่งไป

เราก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้แต่อย่าให้เลยเถิดหลงยึดเอาเป็นเอาตาย ใครมาแตะไม่ได้เลย พังไปหมด งานก็ไม่ได้ตัวเองก็เสีย ถ้าเข้าใจผิดพลาดในความหมายภาษาธรรมเหล่านี้มันเพี้ยนไปหมด 

มาที่ Sms บ้าง 580816_คำถาม

1.คุณหนึ่งพุทธส่งมาทางไลน์.... ยังติดใจนิยามบุญกุศล ชวนสับสนว่ากุศลไม่ได้ลึกถึงตัดกิเลส เหมือนอย่างคำว่าบุญ แต่ในกิมัตถิยสูตร ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังให้ลุอรหัตผลโดยลำดับ แสดงว่ากุศลหมายกว้างกว่าบุญประมาณนั้นไหมครับ?
ตอบ...เราต้องแยกให้ชัดกว่าบุญคือการกำจัดกิเลสตัดกิเลสแต่กุศลคือความดีทั้งหมด แม้แต่บุญก็เป็นความดีที่สุดยอดเลย ถ้ากุศลเราทำแล้วตัดกิเลสได้ก็ดี ไม่มีปัญหา กุศลคลุมไปหมดเลย เป็นแต่เพียงคำว่าบุญเฉพาะเป็นหน้าที่เป็นกรรมกิริยาเลย ของนามธรรมเพื่อทำงานตัดกิเลส ทำงานเสร็จจบเครื่องมือนี้ก็ไม่ต้องทำอีกเลย ก็หมดบุญหมดบาปได้ แต่กุศลไม่มีหมด สะสมไปจนกว่าเราจะเลิก ทำปรินิพพาน

2. คุณ Uri Pretov Maroev (ชื่อในเฟสบุค) ขอเรียนถามง่ายๆ แต่คงตอบไม่ง่าย

- สัตว์หรือคนตัวแรกเกิดขึ้นมาบนดาวโลกดวงนี้ได้อย่างไร กรุณาอย่าตอบว่ามันเป็นอจินไตย หรือรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์
ตอบ..อย่างน้ำนี่ จริงๆยังไม่มีใครตรวจสอบได้ว่า อะไรเป็นต้นตอเลย แม้อยู่ในโลหะก็มีน้ำอยู่ในอะไรก็มีน้ำแฝงตัวอยู่ ลึกจนใครเอาออกได้ไม่หมด สรุปมหาจักรวาลนี้อยู่ด้วยกันหมด หากคุณสมบัติหนึ่งลดอีกอันหนึ่งก็เพ่ิม เช่นถ้าเราร้อนก็คือเย็นน้อยลงนั้นเอง เป็นต้น
แล้วคนตัวแรกล่ะ...ก็เหตุปัจจัยของมันรวมตัวกันได้ก็เกิด ได้อย่างไรก็ได้อย่างพอเหมาะมันก็เกิดเลย สัดส่วนพอเหมาะที่ว่า  คืออุตุนิยาม สสารและพลังงานที่พัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่ง ก็เกิดสภาวะของดินน้ำ ไฟลม จนถึงขีดหนึ่งปรากฏภาวะน้ำขึ้นเป็นพลังงานตัวแรกเลย มีเซลล์ตัวแรกของพืชเกิดก่อน (วันนี้จะอธิบายในภายหลัง

- จิตนิยามเดินทางเป็นระยะทางไกลๆได้หรือ(เคยติดตามอ่านเจอว่า คนเราเมื่อตายแล้วพลังงานไปไหนได้ไม่ไกล((อันนี้ไม่แน่ใจนะครับ จำลิ๊งค์ไม่ได้แล้วด้วย ขออภัย))
ตอบ...อาตมาขอยืนยันว่า คุณอย่าไปคำนวณเลย ตัวที่มันเดินทางได้ไกลก็ไกล  ตัวไหนเดินทางไปได้ไกลก็ไกล มันมีเหตุเรื่องราวเยอะ เช่นวิบากของคุณจะเดินทางไกลไปเกิดที่เอธิโอเปียคุณก็ต้องไป เป็นต้น แต่ถ้าคุณยังไม่มีวิบากเช่นนั้นก็ไม่ไป แต่ความจริงที่จริงที่สุดคือคุณไม่รู้หรอก ตอนเป็นจิตวิญญาณ คุณไม่รู้หรอกว่าจิตวิญญาณคุณเดินทางไปไหนไกลหรือใกล้มันไม่รู้ คุณเดินทางไปถึงไหน ไปแค่ตัวเองก็ใกล้นิดเดียว ตอนตายแล้วนะ แต่มันจะไปเป็นระยะทางแค่ไหนคุณไม่รู้หรอก คนที่ตกนรก ตายปุ๊ปตกนรกมันใกล้มาก ตายปุ๊บลงนรกเลย เสร็จแล้วก็อยู่ในนั้นแหละ ไปไกลไม่ได้หรอก มันเป็นความรู้สึก แค่ความรู้สึก จะเอาความรู้สึกมาวัดกับสภานที่ไม่ได้หรอก ความรู้สึกมีแค่แรงกับเบาไม่มีใกล้หรือไกล จัดจ้านหรืออ่อนแรงเท่านั้น 

- ถ้าดาวโลกดวงนี้แตกดับไปแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นแน่ คน,สัตว์ที่ตายพลังจิตนิยามที่สะสมพลังงานไว้จะไปแตกตัวเกิดที่ไหนต่อ
ตอบ...มันยิ่งกว่าพระพุทธเจ้ายกตัวอย่างคนถูกลูกศรยิง ก็ไปถามว่า ใครยิง ลูกศรมาจากป่าไหน มียาพิษอะไร กว่าจะสืบทราบยาพิษมันกินคุณตายก่อนเลย ก็คล้ายกับคุณที่ถามมา อาตมาจะตอบก็เท่านั้นไม่ตอบก็เท่านั้น เมื่อกี้นี้ก็ตอบถ้าเข้าใจ 
จะสะสมไปเกิดที่ไหน...ทุกจิตวิญญาณเป็นพลังงานและเป็นพลังงานของวิบาก ถ้าไม่ปรินิพพานก็อยู่ อย่างอรหันต์นี่ก็อยู่ได้ ทุกจิตวิญญาณก็มีสุคติ กับทุคติ เป็นผลวิบาก จะต้องเกิดในโลกที่ทุกข์ทรมาน ในมหาจักรวาลมีโลกนับไม่ถ้วน พอเหมาะที่ไหนคุณต้องไปเกิดที่นั่นไม่มีอะไรเบี้ยวสัจธรรมได้ จะอำพรางโกหกก็ยิ่งแย่ ไปทับถามส่ิงที่เบี้ยวจากสัจธรรม ยิ่งบาปซ้ำซ้อน โทษตนเองอย่าไปโทษใคร อย่าไปทรยศต่อสัจธรรม ดีคือดี ชั่วคือชั่ว ถูกคือถูก ผิดคือผิด ซื่อสัตย์ต่อสัจธรรมมีแต่ดีถ่ายเดียว

- ระบบการเกิด ตาย กรรมต่างๆ ย่อมเกิดขึ้นเองไม่ได้ต้องมีใครสร้างขึ้น ทุกอย่างต้องมีการผิดพลาด ต้องมีช่องโหว่ให้เจาะ นิพพานในโลกนี้แล้วใช่ว่าจะจบ อาจข้ามไปเกิดในโลกใหม่ที่มีระบบ หรืออารยธรรมแปลกๆอีกก็ได้ใครจะรู้ ไม่ได้ลบหลู่หรือดูหมิ่นแต่เป็นความสงสัย หลุดพ้นจากโลกนี้แล้วไม่กลับมาเกิดทั้งตัวและเวทนาปลอมอีก แต่อาจถูกระบบนำพาไปเกิดในโลกใหม่ไปเจอโจทย์ใหม่ และต้องใช้ความรู้ใหม่ในการเจาะระบบใหม่อีกหรือเปล่า อาจไม่มีวันจบสิ้นก็ได้..
ตอบ..ก็ตอบว่าคุณอยู่กับความอาจจะของคุณไปอีกนานเถิด พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับเวทนาที่เกิดทางทวาร ทั้ง 6 แล้วเจาะลึกอ่านวิญญาณของตน แล้วจะจบไปอย่างไม่เพ้อเจ้อเลย แต่คุณได้แบบนี้ก็ต้องอยู่ในโลกของความอาจจะไปอีกนาน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนิสัยเช่นนี้ให้ตนเองปฏิบัติเป็นขนาดๆไป ก็จะลดความสงสัยลง

- ขอบคุณครับ (อาจจะเพี้ยน แต่ไม่บ้า)

3. sms วันที่ 14 ส.ค. 58
0893867xxx นมก.กราบขอบคุณพ่อครูฯ สณ.สม.ญตธ.บุญนิยมที่เม ตตาตอบข้อสงสัยในธรรมให้เข้าใจชัดแจ้งยิ่งขึ้นสาธุ๊!seufaasin
0893867xxx ธรรมะเรื่องพระเจ้าที่พ่อครูแสดงมีในหนังสือเล่มไหน?พ่อครูจะพิมพ์แจกญตธ.เพิ่ มไหม?ผู้น้อยอยากได้เอา มาศึกษาเพิ่มเติม!skk


(45) พลังงานจะพัฒนาจาก “อุตุนิยาม”เป็น “พีชนิยาม”ก่อน
เริ่มต้นที่ “ธาตุ”นั้นโดยเอาที่ “พลังงาน”เป็นสำคัญว่า พลังงานของธาตุนั้นได้พัฒนามีคุณสมบัติใน “นิช”(Niche)มีความเจริญเข้า ขั้น “เซลล์”(Cell)หรือยัง? ถ้าเข้าขั้น “เซลล์”ได้จริงก็เริ่มนับเป็น “ชีวะ” 

“นิช”(Niche) หมายถึง ช่องว่างหรืออากาศ(space) ซึ่งเป็นสถานที่ก็ดี ที่เริ่มต้นให้ “ชีวะ”เกิดเรียกว่า “คัพภะ”(กุจฺฉิ)หรือ Protoplasm ที่กำลังจะมี “ชีวะ”เล็กละเอียดยิ่งของ “ธาตุ”เริ่มเป็นตัวของ  “ชีวะ”เรียกว่า “กลละ”ก็ดี หรือ primary cell(เซลล์ปฐมภูมิ) อันเป็น “เชื้อหรือหน่วยชีวิต”แรกที่ “พลังงาน”พัฒนาตัวเองได้สัดส่วนเหมาะสม แล้ว จนถึงขั้นความเป็น “ชีวะ”จะเริ่มขึ้น      

ถ้า “เชื้อแรก”นี้ไม่ติดอยู่ หรือไม่ดำเนินต่อไป ไม่มี “พลังงานของ primary cell”สืบต่อ(สันตติ) ก็เป็นอัน “ชีวะ” ก็หมดสิ้นไป ไม่มี “เชื้อชีวิตินทรีย์”ก่อตัวขึ้น(สมุจฺฉติ,สมุจฺฉิสฺสถ)ต่อไปได้อีก หรือ “เชื้อ ชีวิตินทรีย์”ก็จะ “ขาด”ภาวะของชีวะลงไปตรงนั้น ณ บัดนั้น     

ไม่ว่าจะเป็น “ชีวะ”ระดับ “พีชนิยาม”หรือ “จิตนิยาม”ก็จะมี ภาวะของ “ธาตุชีวะ”ที่จะ “สืบต่อ”(สันตติ)  “สืบทอดการเกิด”(สันตติ) นัยะเยี่ยงเดียวกัน เป็นแต่ว่า  “ชีวะ”ของ “องค์รวม”ของมันละเอียดซับซ้อนมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปอีกหลากหลายสภาพ     

ดังนั้น เมื่อ “เชื้อหรือหน่วยชีวิต”หน่วยที่ 1 ตั้งอยู่ก่อนแล้วนี้ “ขาดลง”(สมุจฺฉิสฺสถ) จึงไม่มีเชื้อหน่วยที่ 2 (seccondary cell) สืบทอดต่อเชื้อออกไปอีก การ “ก่อตัวขึ้น”(สมุจฺฉิสฺสถ)ของเชื้อชีวะ”จึง ไม่มี ด้วยประการฉะนี้     

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า  “เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้  เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องมารดา(วิญญาาณัญจ  อานนฺท มาตุ กุจฺฉิสฺมิง น โอกฺกมิสฺสถ) นามรูปจะก่อตัวขึ้น(ขาด) ในท้องมารดาได้บ้างไหม”(คำว่า สมุจฺฉิสฺสถ จากคำว่า สมุจฺฉติ ฉบับหลวงแปลว่า “ขาด” ส่วนฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม 10 ข้อ 115 แปลว่า ก่อตัวขึ้น)       

“วิญญาณ”คือ  “ธาตุรู้”ที่เกิดจาก “ปสาทรูป 5 ที่สัมผัสกับ โคจรรูป 5 ก็เกิดเป็น “ภาวรูป 2”นี่คือ “ธรรม 2 ของ รูปและนาม” (เทฺว ธัมมา) เป็นองค์ประกอบกันอย่างถึงขั้นครบสัดส่วน จึงจะเกิด พลังงาน “วิญญาณ”ขึ้นมาได้      

ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิด “ชีวะ”เริ่มแรก ติดอยู่กับที่ก่อน ยัง อวจรหรือโคจรไปไหนด้วยพลังงานตนเองอิสระลอยตัว ไม่ได้ แต่เริ่มเป็น “ชีวะ” เริ่มต้นเป็น “เซลล์”(cell)ขั้นแรก จึง “ต้องเชื่อมต่อสืบสายโยงชีพอาศัยชีวิตอยู่กับ “ผู้อื่นที่ให้เชื้อชีวิต”(ปรทัตตูปชีวี) ยังตัด ขาด แยกตนออกไปเป็น “ตนเอง” อย่างอิสระพึ่งตนเอง เลี้ยงตนเองรอด ยังไม่ได้ ยังเป็นแค่ “อุปาทิ”(เชื้อ) ที่จะต่อ “ชีวานุปาทิ”ต่อไป โดยการอาศัยเกาะติดอยู่กับ “ชีวิต”ผู้อื่นให้สิ่งที่จะใช้อาศัยแก่ตนได้     

หากขาดจาการได้อาศัยผู้อื่นให้ “ชีวิต”ก็สูญชีวิตไปเลย  หรือถ้ามี “เชื้อชีวิตในตน”บ้างแล้ว มากกว่า 2 ขึ้นไป และหาก “สันตติ”ตัดขาดจะด้วยกรณีใดก็ตาม  “เชื้อชีวิต”นี้ก็ชื่อว่า  ชรตา นั่นคือ เชื้อนั้นก้มีแต่จะเสื่อมไปๆ จนที่สุด “สูญสิ้น”เลย  ถ้าแม้นไม่มีเหตุปัจจัยใดมาเสริมเติมให้กลับฟื้น “ก่อเกิดขึ้น”ต่อไปอีก    

(46)  “ปรทัตตูปชีวี”คือ พลังงานกำลังจะก่อ “ตัวตน”เท่านั้น     
คำว่า  “ปรทัตตูปชีวี”คือ พลังงานขั้นเริ่มกำลังจะก่อเกิด  “ตัวตน”ขั้นต้น ไม่ว่า “ตัวตน”ของ “พีชนิยาม”หรือของ “จิตนิยาม” ความเป็น “ตัวตน”(อัตตา)ก็จะมีเหตุมีปัจจัยที่เป็น “สมุทัย”ต่อเติมขึ้น เสมอ หาก “สมุทัย”ไม่มี หรือสมุทัยดับ ชีวะหรือนิทานนั้นก็ดับไปเลย หรือเสื่อมไปไม่ตามกาละด้วยเหตุปัจจัยอื่น         

ฉะนี้แลคือ พลังงานขั้น “ปรทัตตูปชีวี” ซึ่งไม่ใช่ไปหมายเอา พลังงานที่มี “ตัวตน”(self)ที่โตที่ใหญ่เป็น “เชื้อชีวิต”ตั้งขึ้นแล้ว ยิ่งเป็น “พีชนิยาม”แล้วก็ดี เป็น “จิตนิยาม”แล้วก็ตาม ที่ไปเรียกกันว่า  “สัตว์เปรต”อันเป็น “พลังงาน”ถึงขั้น “ปิตฺตวิสัย”แล้ว มันยังไม่ปานนั้น     

พลังงานของ “ปรทัตตูปชีวี”นี้ มันแค่ “พลังงาน”ขั้นเริ่มจะก่อ “ชีวะ” จะก่อจาก “อุตุนิยาม”ขึ้นเป็น “พีชนิยาม”ก็พลังงานชั้นหนึ่ง หรือจะก่อจาก “พีชนิยาม”ขึ้นเป็น “จิตนิยาม”ก็พลังงานอีกชั้นหนึ่งยิ่งขึ้นไป       
“ปรทัตตูปชีวี”คือ  “พลังงาน”ที่กำลังจะก่อตัวพัฒนาตนขึ้น ไปอีก “รอบ”หนึ่งของความเป็น “ธรรมนิยาม”แต่ละ “นิยาม”เท่านั้น  ยังไม่ใช่ “พลังงาน”ของความเป็น “ตัวตน”(อัตตา,self)  นี่มันแค่ขั้นก่อเกิดพลังงาน “จุดเริ่มต้น”ของ “ชีวะ”ต่างหาก  มันแค่พลังงานขั้น primary cell ปฐมภูมิแห่งกลละหรือเซลล์เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น secondary cell เลย  

(47) พลังงาน “ชีวะ”เป็นได้ทั้ง “อุปจยะ”หรือ “ชรตา”      
ถ้า “ชีวะ”เหลือแค่ “ชรตา” ก็คือ พลังงานที่มีแต่จะเสื่อมไปสู่ “สูญ”สิ้นสภาพของมัน กระทั่งหมดสิ้นภาวะของ “ตน”ไป    “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ” ถ้าไม่มี “สันตติ” ก็คือ  “ชรตา”ที่เป็น “ชีรานุปาทิ” ซึ่งจะเสื่อมสลายไปเรื่อยๆจนสิ้นตัวตนบ้าง หรือจะ “ดับ”(นิโรธ)เป็นสูญในที่สุด หรือในทันทีบ้าง      

ส่วน “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ”ถ้ามี “สันตติ”ก็เป็น  “ชีวานุปาทิ” ซึ่ง “อุปจยะ”นั้นก็จะมี “อุปปัจจยาการ”(เกิดขึ้นต่อเนื่อง กันไป)สืบต่อไป เป็น “การเกิดใหม่”(โอกฺกันติ) เป็นธาตุใหม่ของ  “อุปจยธาตุ”ใหม่ไปเรื่อยๆ สะสมพลังงานที่มี “ความเป็นตน”(อัตตา) เริ่มก้าวหน้าขึ้นสู่ความมี “ชีวา”พัฒนาต่อไป     

ถ้าชีวะใด “เกิด”เป็น “โลกุตระ”ก็สะสมลงเป็น “การเกิด”ที่เรียกว่า “นิพพัตติ”และจะเจริญสูงขึ้นๆ จนถึงที่สุดก็เป็น “อภินิพพัตติ” แต่ถ้าไม่ใช่ “โลกุตรภูมิ”ก็เป็นสามัญ “โลกียภูมิ”ทั่วไป ไม่ว่า  “พีชนิยาม”หรือไม่ว่าจะเป็น “จิตนิยาม”      แต่ถ้าไม่มีพลังงานที่ “สืบต่อ”(สันตติ)เพื่อเกิดต่อไป ก็จะเป็นได้แค่ “ชีรานุปาทิ” ตนเองไม่สามารถช่วยตนเองให้ “สืบต่อชีวะ” ของตนต่อไปได้อีก มีแต่จะเสื่อมไปหาสูญ หรือเสื่อมสลายจนสิ้น ตัวตนไป ภาวะนี้ก็ชื่อว่า  “ชรตา”  แม้แต่ “อุปจยตา”หรือ “ชรตา”ก็ล้วนยังเป็น “อนิจจตา”ทั้งสิ้น     

 “พลังงาน”ที่ชื่อว่า  “อุปจยะ” ต้องมี “ชีวานุปาทิ”จนกระทั่ง มี “ชีวะ”เป็นของตนเองแล้ว และพึ่งตนเองได้ด้วย อย่างอิสระที่จะพัฒนา “ชีวะ”ของตนเองให้เจริญเติบโตต่อไปได้เอง  จนกว่าจะพัฒนาขึ้นไปเป็น “ชีวะ”ที่มีความเป็น “ธาตุแท้ของ ความเป็นตนเอง”(self) พึ่ง “ความเป็นชีวะ”ของตนเองได้ จึงชื่อว่า  “พีชนิยาม” ที่เกิด “ความอิสระ”พ้นจาก “ธรรมชาติ”แห่ง “อุตุนิยาม”ไป     

หรือนำตัวเองเคลื่อนออกจากสถานที่ ที่ตนเองเกาะอาศัย อยู่นั้น แยกตัวออกไปเป็น “อิสระ”ได้ หรือลอยตัวออกไปผสมพันธุ์นอกภาวะที่ตนเองติดอยู่นั้นได้ จึงจะชื่อว่า ชีวะขั้น “พีชนิยาม”

(51)  “พีชะ”มีแค่ “ตนเอง”(อัตตา)แต่ไม่เป็นภัยต่อใคร      
พลังงานของพีชะยัง “ไม่รู้สึก”ทุกข์หรือสุข จึงไม่มีบาป หรือไม่ต้องมีบุญ พีชะมีพลังงานสร้าง “ตัวตน”(self)ของมันเท่านั้น มันแค่ “มีตัวตนตามอัตโนมัติ”(self-abuse) ยังไม่มี “ความเห็นแก่ตัว” (selfish) มันมีแต่ “สร้างตัวเอง-ทำด้วยตัวเอง”(self-made) ซึ่งแค่เลี้ยงตนเองได้-พอเพียงแก่ตนเอง(self-sufficient)      

แม้แต่ “การป้องกันตนเอง-การยกอ้างอะไรขึ้นมาป้องกันตน เอง”(self-defense)มันยังทำไม่ได้เท่ากับสัตว์ทำเลย มันวิ่งหนี หรือมันเคลื่อนไหวไม่ได้คล่องตัวเท่าสัตว์  ซึ่งความเป็น “สัตว์”ที่เริ่มมี “จิตนิยาม”นั้น จะมี “ความอิสระ” แม้ในความเป็น “องคาพยพ”ภายนอกของมัน ก็จะมีมากกว่ากันแล้ว      
“พีชนิยาม”มันยึดสิ่งที่มันกำหนดรู้มาใช้ในตนเพียงชาติเดียว คือ “ชาติ”(ชีวิต)ที่มันมี “องคาพยพ”ที่เป็นรูปร่างตัวตนของมันเท่าที่ ความเป็นพืชที่มันเป็นนั้นเท่านั้น จบชาติเดียวนั้น มันไม่มีพลังงานสืบต่อ(สันตติ)อีก จบชีวิตแล้วมันไม่มีอะไรผูกพันกับอะไรอีกเลย แม้แต่ตนเองก็ไม่มี “พลังงานความเป็นตน”ไปสืบต่ออยู่ที่ไหนอีก     

จบชีวิต “พีชะ”ลงเมื่อใด ทั้งองคาพยพของมันก็ดี  พลังงานของมันก็ดี แตกแยกสลายไปทั้ง 2 ภาวะ ไม่มีเชื้อ “พีชะ”ใดเหลืออีก  

(48) พีชนิยามหรือจิตนิยาม มี “ปรทัตตูปชีวี”ของตนๆ      
“ปรทัตตูปชีวี”จะพัฒนาตนเอง ไม่ว่า “พีชนิยาม”ก็ดี  “จิต นิยาม”ก็ดี ในตนเอง ก็เจริญในความเป็น “ตัวเอง”ไปจนกว่าจะสามารถพัฒนาข้ามชั้น “ธรรมนิยาม”ที่ตนเป็นอยู่ไปสู่ “ธรรมนิยาม”ที่ดีขึ้น  สูงขึ้นๆ หรือไม่ก็เสื่อมลง ต่ำลงๆ เป็นอนิจจตาได้เสมอ     จาก “พีชนิยาม”จึงจะพัฒนาธาตุที่เป็น “ตนเอง" ขึ้นไปอีก จาก มี “พลังงาน”ของตนเองขั้นหนึ่งมาแล้ว ในความเป็น “ชีวะ”ที่เรียกว่า  “พีชนิยาม”ให้เกิด “พลังงาน”ข้ามขั้น “พีชนิยาม”ไปเป็น “จิตนิยาม”       

“พลังงาน”ที่เป็น “พีชนิยาม”นั้นจะมีพลังงานปรุงแต่งตนเอง(สังขาร)ที่เป็น “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) คือ มี “สัญญากับสังขาร”เป็นต้นปรุงแต่งกันเป็น “พีชนิยาม” เป็น “พลังงาน 2”       

“พลังงาน”ที่ยังไม่มีคุณสมบัติถึงขั้น “เวทนากับวิญญาณ”  พลังงานขั้นนี้จึงยังไม่ชื่อว่า “อุปาทินนกสังขาร”(สังขารที่มีวิญญาณครอง  หรือสังขารที่มีวิบากกรรมครอง) จึงยังไม่เข้าขั้น “สัตว์”หรือขั้น “จิตนิยาม”  ที่จะไป “รู้”ความเป็น “กรรม” หรือ “รู้”ความเป็น “ธรรม”ในพลังงานตน     

ถึงกระนั้น  “จิตนิยาม”ที่ได้ร่างเป็นคนแล้วก็ดี ก็ใช่ว่าจะรู้เรื่อง “กรรม”และเรื่อง “ธรรม”กันได้ง่ายๆ แม้จะ “ฉลาด”ปราดเปรื่องในโลกสารพัด แต่ถ้ายังไม่ “ฉลาด”ในความเป็น “ปรมัตถธรรม” คือ  “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”อย่างสัมมาทิฏฐิตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สามารถจะทำ “กรรม”ให้หลุดพ้นจากบาป จาก ชั่วของตนได้จริงแท้ อยู่ในโลกในสังคมยั่งยืนตลอดไปเด็ดขาด      

“พีชนิยาม”มันทำตนให้ “ฉลาด”ไม่ได้ เพราะมันไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ” ที่เป็น “ขันธ์ 5”บริบูรณ์ แต่มันก็สามารถพัฒนา  “ตัวตน”(self)ของมัน โดยเริ่มจาก “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวมันเองให้เจริญ ก้าวหน้าจนเป็น “ธรรม”ขั้น “จิตนิยาม”ได้  “พลังงาน”ของมันจึงสามารถมี “ปรทัตตูปชีวี”ของมัน     

ส่วน “จิตนิยาม”นั้นแน่นอนย่อมมี “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวเองอยู่จริงทุกคน แต่ถ้าใครไม่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้ง รู้จริงความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”ของตนได้ แถมจะ “วิปลาส”ในความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”กันได้ง่ายๆเอาด้วย เพราะมันขั้นละเอียดยิ่งลึกมาก  คนไปคิดเองปรุงแต่งเองว่า ปรทัตตูปชีวีเป็นตัวตนเปรต 

(49)  “ปรมัตถธรรม”ขั้น “เวทนา”นี้แลที่สำคัญยิ่งในตน     
ขึ้นชื่อว่า “สัตว์” จะมี “พลังงาน 4” คือ มีทั้งเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ทำงานอยู่ใน “พลังงาน” ที่เรียกว่า “จิต”(จิตนิยาม)  ต่างจาก “พืช” ซึ่งมี “พลังงาน 2”ของมัน ก็เรียกได้ว่า มี แค่ “สัญญา”กับ “สังขาร”  “พลังงาน”มีคุณสมบัติแม้ “เวทนา”ก็ยังไม่ถึง      

ดังนั้น  “พลังงาน”ขั้น “พีชนิยาม”หากพัฒนาเจริญขึ้นถึงขั้นที่เรียกว่า “เวทนา”ใน “องค์ประกอบของธรรม 2” ที่มีทั้งภาวะของรูป และภาวะของนามทำงานร่วมกันที่เรียกว่า “กาย” จนมี “พลังงาน”เริ่มเป็น “ความรู้สึกหรือเป็นอารมณ์ในตนเอง” เรียกภาษาวิชาการว่า   “เวทนา” ยังไม่ได้ ก็ยังไม่ชื่อว่า มี “พลังงาน”เข้าขั้น “จิตนิยาม”      

เขียนมาถึงตรงนี้ อาตมานึกถึงนักวิทยาศาสตร์ที่เขาพยายาม จะสร้าง “หุ่นยนต์”ให้มี “ความรู้สึก”ขั้น “เวทนา” คือนอกจากจะมีอัตโนมัติในตนเองทุกสิ่งอย่างได้แล้ว ก็ยังมี “พลังงาน”ในตัวมันเอง “รู้สึก”รัก-ชัง-สนุกสนานยอด-เศร้าสร้อยยิ่ง หรือมีทุกข์-มีสุขได้  เยี่ยมกว่าสัตว์เดรัจฉาน คือเหมือนคน มันยากยิ่ง จะเป็นไปได้รื้อ!      พลังงานในหุ่นยนต์นั้นแค่ขั้น “พีชนิยาม”ก็ชื่อว่า “ชีวะ”แล้ว  แล้วจะทำหุ่นยนต์ให้ไปเป็น “ชีวะ”ขั้น “พีชนิยาม”ก่อนเถอะ จะได้ไหม  

ถ้าไม่ได้ หุ่นยนต์ก็มี “ชีวะ”ก้าวข้ามขึ้นไปมี “เวทนา”เป็น  “จิตนิยาม”ไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่ อย่าเสียเวลาเลย แต่ถัาจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีประโยชน์ใช้สอยดีวิเศษอย่างไรก็จงทำเถิด แต่อย่าเสียเวลาให้มันเป็น “ชีวะ” และนำไปสร้างหนังหลอกคนเลย มันครอบงำทางความคิดให้คนงมงาย  

(50) มาเรียนรู้ “สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ”กันก่อนเถอะ     
เรื่อง “ความจริง”หรือสัจจะนั้น มีความจริงยิ่งใหญ่ 2 อย่าง คือ  “สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ”
 เราต้องเรียนรู้ในทางปริยัติก่อน จึงจะไปปฏิบัติแล้วสัมผัสอ่าน “ความจริง”ที่เป็น “เวทนา”ในตนออก  และแยกได้ว่า “ความจริง” อย่างนี้คือ  “สมมุติ” อย่างนี้คือ “ปรมัตถ์”  

จึงจะสามารถปฏิบัติเข้าไปเรียนรู้แยก “เวทนาในเวทนา”ได้ว่า ความจริงของเวทนาที่เรากำลัง “สัมผัส”อยู่จริงในขณะที่ปฏิบัติปรากฏภาวะของ “เวทนา”ในตนได้ว่า นี้คือ  “เวทนา” แล้วเรียนรู้ “เวทนาใน เวทนา” กระทั่งเรียนรู้มี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” แยกแยะ “เวทนาในเวทนา”ได้จริง         
สามารถปหานได้ แม้เป็นวิกขัมภนปหาน กดข่มไว้ได้ แต่มันยังไม่ตายง่ายๆนะ พวกนี้

เพราะว่า พระเจ้าแผ่นดินบอกอำมาตย์ว่าเอามันไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า ตอนกลางวันก็ถามว่าเรียบร้อยแล้วไหม มันยังไม่ตาย ก็เอาไปฆ่าอีก จนตอนเย็นก็เจออีกก็ว่ายังไม่ตายก็ต้องเอาไปฆ่าอีกมันตายยากตายเย็นจริงๆ เราเองยิ่งไม่รู้ตัวมันแล้วก็จะปหานอย่างไม่รู้เรื่องจะฆ่าได้อย่างไร ได้ข่าวว่าโจรอยู่ในเรือไตตานิกก็เผาเรือเลย ฉิบหายหมด แล้วโจรตัวจริงอาจไม่ตายโดดน้ำหนีได้แต่ที่ตายกลับไม่ใช่โจร นี่คือวิกขัมภนปหาน 

พระพุทธเจ้าว่าต้องรู้สักกายทิฏฐิ แล้วใช้ทั้งวิกขัมภนปหาน ก็สามัญก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ต้องพิจารณาจริงๆ เห็นเลยว่าไม่ใช่ของที่อยู่กับร่องกับรอย ไม่มีเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ มันไม่เที่ยง แล้วมันก็ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นทุกข์ แล้วอย่าไปหลงว่ามันเป็นสุภะ โชคของเราแล้วหนอที่ได้ความอร่อย หรือได้ความสวย ได้สุภะในวิปลาส 4 นี้แหละ ยังไม่หายไปหรอก คนทุกคนที่เป็นปุถุชนคือคนวิปลาส(บ้า)ทั้งนั้น จนกว่าจะเป็นอรหันต์ ฟังแล้วโดนว่าเป็นคนบ้าไปหมด ไม่รู้ตัวเลย

ต้องอ่านรู้เวทนาในเวทนาจึงจะถึงขั้นไปรู้ได้ว่า  “สมมุติสัจจะ”นั้นอย่างนี้ สุขของ สมมุติสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้  ต่างจาก “ปรมัตถสัจจะ”ว่า สุขของปรมัตถสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย       

นี่สัมผัสแต่ก่อนนี้เห็นเลยว่าเจอแน่นอนขึ้นแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่ขึ้น ก็จะเชื่อโดยตนเอง ไม่ได้เชื่อตามกันมาไม่ได้เชื่อเพราะว่าเป็นครูเราตามกาลามสูตร 

เพราะรู้ใน “ฌาน”ก็ดี รู้ใน “สมาธิ”ก็ดี รู้ใน “นิโรธ”ก็ดี หรือรู้  ว่า  “ความสงบ”ขั้นปรมัตถธรรม คุณวิเศษของพุทธนั้นเป็นอย่างนี้ๆ ที่จะไม่ “วิปลาส”ไปจาก “พุทธสัจจะ”นั้น คนฉลาดอัจฉริยะ ในโลกแท้ๆ ยังยากยิ่งที่จะ “พ้นจากวิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิต วิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส)ไปได้ 

...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:09:15 )

580817

รายละเอียด

580817_โอวาทพ่อครูให้โอวาทนร.บ้านราชฯ โชคดีอย่างไรได้เป็นสัมมาสิกขา

พ่อครูว่า...วันนี้หลวงปู่ก็ตั้งใจ ว่าจะพยายามหาเวลามาพบกับพวกเราให้ได้บ้าง เดือนละครั้งก็ยังดี ได้มากกว่านั้นก็ยิ่งดี เพราะเราน่าจะได้พูดกัน สื่อหัวใจแก่กันและกัน ถ่ายทอดความจริงแก่กันและกัน

หลวงปู่เป็นลูกทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เพื่อที่จะสืบเชื้อของพระพุทธเจ้าต่อไป สืบเชื้อที่เป็นพลังงานที่ลึกซึ้งมาก มันละเอียดมาก เป็นพลังงานระดับวิญญาณหรือจิตที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แล้วมีจริง เป็นจริง เป็นเชื้อ เชื้อความรู้ธาตุรู้ พลังงานที่เกิดธาตุรู้ละเอียดลึกซึ้ง เริ่มจากความไม่มี แล้วมีที่เล็กที่สุด ละเอียดยิ่งกว่าธาตุรู้ตัวแรกอีกด้วย ยิ่งเป็นธาตุรู้ระดับพระพุทธเจ้าก็ยิ่งละเอียดมาก ยิ่งจะไม่เห็นตัว ยิ่งรู้ได้ยาก ตามจับสภาวะได้ยาก นี่เป็นคุณสมบัติแท้ๆที่ซับซ้อนในความเป็นพลังงานทั้งหมด

ถ้าเป็นพลังสานแสงเสียงก็ยิ่งเล็กก็คล้ายพลังงานจิต พลังงานจิตเชื้อแรกก็ยังไม่ค่อยเก่ง แต่ยิ่งละเอียดยิ่งเล็กเร็วมีประสิทธิภาพสูง เป็นสิ่งวิเศษ

สรุปคือเชื้อเหล่านี้เป็นเชื้อที่แท้จริงของชีวิต เป็นเชื้อทางจิตวิญญาณ หลวงปู่สืบทอดเชื้อทางจิตวิญญาณไม่ใช่เชื้อที่หยาบเป็นวัตถุ แต่ก็จะประกอบกันมาจากเล็กไปหาใหญ่ จนมีอาการ 32 ครบ 

หลวงปู่นำเชื้อเหล่านี้มาต่อภพภูมิสืบทอดศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาที่มีคุณค่าต่อมนุษย์มาก ทุกชีวิตที่รู้ค่า หลวงปู่สร้างโรงเรียนมาไม่ได้ทำเพื่อหาเงิน แต่เลี้ยงดูเหมือนลูกหลาน ยิ่งกว่าลูกหลาน แต่ว่าเป็นพ่อก็ไม่ได้ไปใกล้ชิดเหมือนพ่อ ที่อย่างคุรุหรือสมณะหลายองค์ก็ใกล้ชิดพวกเราจุกจิกจู้จี้มากกว่าหลวงปู่ แต่หลวงก็เป็นเชื้อให้พวกเราได้ไป เป็นเชื้อแห่งพุทธะ

ไม่ง่ายที่จะเข้าใจและเห็นความสำคัญ พวกเรามีโอกาสเกิดที่นี่เรียนรู้ที่นี่ ได้มาเพาะบ่มเชื้อพลังงานทางจิตวิญญาณ เราจะไปเป็นพุทธที่มีคุณภาพ คุณสมบัติวิเศษ ต้องรู้ความโชคดีที่ได้เข้ามาต้องระลึกให้ได้ ว่าเราโชคดีจริงๆที่ได้เข้ามา แค่เมืองไทยนี่คนตั้ง 67 ล้านคน มีเด็กที่จะมาเข้าโรงเรียนสัมมาสิกขานี่ ต้องมีบารมีมีสิ่งที่ได้สะสมมาจริงๆพอสมควรจึงจะได้เข้ามา เข้ามาแล้วได้รับการคัดเลือกเข้ามา มันเป็นโชคอันดีที่สุดแล้ว ต้องตั้งใจบ้าง อบรมไปอุตสาหะอดทนเอา ฝึกฝน 

เพราะที่นี่ตั้งใจอบรมพวกเราสั่งสอนให้ความรู้เลี้ยงดูให้เป็นคนประเสริฐจริง ไม่ได้ต้องการอื่นเลย แม้พวกเราจบไป 20 กว่ารุ่นแล้ว บางคนก็ได้ฐานะร่ำรวยยศศักดิ์ไป เขาก็ไม่ได้นึกถึงที่นี่เลยก็ไม่ได้ว่า เราไม่เคยทวงบุญคุณกับใคร ขอให้เขาไปดี เป็นคนดีของโลก ของสังคมของประเทศก็ดีแล้ว แต่ส่วนใครจะระลึกบุญคุณก็เป็นคุณงามความดีของส่วนตนก็ดีไป ก็ไม่ได้ทวงไม่ได้ว่า ก็เป็นจิตจริงของแต่ละคน 

สำคัญที่สุดก็คือหลวงปู่อยากให้พวกเราได้รู้ว่า พวกเราได้เข้ามาอยู่ที่นี่เป็นโชคอันวิเศษมหาศาลแล้ว แม้ว่าจะบกพร่อง คนที่ให้ความรู้ คุรุ ป้าน้าอา บางคนจะดุ จะจู้จี้ มีนิสัยที่เราไม่ชอบก็เป็นของแต่ละคน แต่ละคนก็พยายามศึกษาปรับปรุงตัวเองเรียนรู้ หลายคนก็ตั้งใจเรียนที่นี่ไปจนตาย ให้เราเผาให้ ก็เผาไปหลายคน จนกว่าจะเป็นอรหันต์ แล้วก็เรียนต่อได้อีก

นี่คือโรงเรียนที่เราตั้งใจให้กับมวลมนุษยชาติ ไม่เหมือนโรงเรียนทางโลก เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ บางแห่งอาจมีที่ตั้งใจให้เด็กเป็นคนดี แต่ก็ไม่ได้รู้รอบลึกซึ้งเหมือนที่นี่ ที่นี่ทั้งสมณะ สิกขมาตุ คุรุ พี่ป้าน้าอา ที่บางคนอาจจู้จี้บ้างแต่ก็ต้องการให้เราเป็นคนดี ไม่ได้จ้างเลยสักคน ส่วนคนที่ปล่อยปละละเลย พวกเราจะดื้อจะซน อย่างไรก็ปล่อยพวกเราทำ ผู้นั้นก็ไม่เอาภาระไม่มีน้ำใจเลยที่จะมาท้วงติงแนะนำบอกกล่าว่า ว่าพวกเราผิดพลาดอย่างไร เราก็ไปว่าเขาไม่ได้ ผู้ที่ใจดำอย่างนั้น แต่ก็มีไม่มากหรอก 

สรุปแล้วพวกเราจะมีพี่น้อง พ่อแม่ ปู่ย่าตายยาย ที่ช่วยกันเลี้ยงพวกเราให้เป็นคนดี จะเห็นได้ว่าที่นี่ไม่ได้โหดร้ายรุนแรงเกินการณ์ อย่างที่อื่นมีการลงโทษกันหนักหนาสาหัส อย่างเก่งที่นี่ก็ให้ออกจากที่นี่ไป นั่นถือว่าร้ายแรงที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่ให้ออก อยู่ไป หลายคนก็ไม่สู้ เรียกว่า วางมือ ไม่สอน พรหมทัณฑ์ จะมีชีวิตอย่างไรก็แล้วแต่แก ตัวใครตัวมัน นั่นคือพรหมทัณฑ์ ที่เป็นโทษร้ายแรงกว่าให้ออกไป ส่วนนอกนั้นจะตบตีรุนแรงไม่ทำ แต่ตีก็ตี มีกฎเกณฑ์ จะรู้ได้ว่าที่นี่ตีอย่างไม่ได้ด้วยโกรธ หรือชัง ไม่ได้ตีขณะมีอารมณ์ ไม่เอา แต่ถ้าครูคนไหนทำเราก็มาพิจารณาคดีเหมือนกัน ถ้าคดีแรงก็ลงโทษไป 

เราตั้งโรงเรียนมา 20 กว่าปี ยังไม่มีคดีร้ายแรงจนถึงขีดที่ไม่น่าดู เราก็ทำได้ประมาณอย่างนี้ นี่คือโรงเรียนสัมมาสิกขา ตั้งใจอดทนเลี้ยงดูให้พวกเราเป็นคนประเสริฐไม่ใช่มือปืนรับจ้างหารายได้จากพวกเราเลย ช่วยกันด้วยเจตนาดีจริงๆ

ในความมุ่งหมายที่ดีเช่นนี้พวกเราก็น่าจะตั้งใจรับ ผู้ที่ให้ก็ตั้งใจมาลงแรงลงทุน ให้พวกเราให้เป็นคนดีคนประเสริฐ เราเป็นผู้รับก็น่าจะรู้ว่า เขาเป็นผู้ให้ เราเป็นนักเรียนเป็นผู้รับ ก็น่าจะเห็นว่าเขาปรารถนาดี ไม่ได้แลกอามิสนะ ช่วยเราแท้ๆ ก็น่าจะสังวรระวังตนเอง ระมัดระวังตนเองให้ตั้งใจเอาใจใส่ ในการบอกการสอนการเรียน เวลาเล่นพวกเราก็มี ไม่ใช่ว่าเอาแต่เรียนไปตลอดก็ไม่ใช่ มีเวลาสนุกสนานก็มี

ก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนเรียนมั่งพักมั่ง ก็อยากจะเตือนพวกเรา ให้ระมัดระวังสังวรตนอง สำนึกที่เราได้มีโอกาส แต่ละเวลานาทีที่ผ่านไป ถ้าเราตั้งใจ ว่าอยู่ที่นี่ ที่นี่จะพาทำสิ่งที่ฝึกฝนก็เป็นส่ิงที่ดีมีคุณค่าประโยชน์นะ ไม่ได้ทำสิ่งไร้สาระ แม้แต่สิ่งที่ไม่ดีก็พาทำให้ดีเช่นขยะเป็นต้น แม้แต่เศษอาหารเราก็เอามาทำประโยชน์ดัดแปลงปรับปรุงให้เป็นสิ่งดีมีประโยชน์ แต่สุดท้ายมีพิษภัยเราก็ขจัดออก ก็ต้องช่วยกันดูและ กระเหม็ดกระแหม่ ทุกอย่างเป็นของเราแต่ไม่เป็นของเรา เราต้องดูและรักษาก็ใช้สอยร่วมกัน มันเป็นการสร้างนิสัย

นิสัยนี่ซื้อหาไม่ได้ ไปแย่งไปแบ่งจากใครก็ไม่ได้ เข้าใจไหมว่านิสัยคืออะไร นิสัยคือความประพฤติส่วนตัวเองโดยตรง เราต้องฝึกฝนนิสัย สร้างนิสัยของเราให้เป็นคนดี เป็นสิ่งที่ติดกับชีวิต เมื่อเราทำไม่เป็นเราก็ทำให้เป็น เป็นนิสัยช่ำชองในตนเลย จนกลายเป็นวิสัย ซึ่งเป็นสิ่งอาศัยในตัวเราเลย เปลี่ยนแปลงยากแล้ว นิสัยก็อยู่ในตัวเราระดับหนึ่ง แล้วก็ได้อาศัย แล้วก็เป็นวิสัย คำว่า สัยคือเป็นเราเป็นตัวเรา

เราจะเอาอะไรมาเป็นพฤติกรรมใส่ตัวเรา พฤติกรรมดีจะเอาใส่ตัวเราเราก็ฝึกอันนั้น อาศัยสร้างใส่ตัวเรา เป็นนิสัย จากนิสัยจึงไปเป็นวิสัยสั่งสมปักมั่นในตน เป็นอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ดีที่เราทำ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็แก้ยากเช่นกัน เป็นวิสัยที่ชั่ว ติดสันดานไป 

พวกเราที่เข้ามาในนี้ หลวงปู่คิดว่า คงไม่มีคนมีนิสัยเลวแก้ยาก ถ้าไม่มีบารมีพอก็เข้ามาไม่ได้ในนี้ ก็ให้พาทำสิ่งที่อาศัย ที่อยู่นี่ ให้สั่งสมเป็นนิสัยให้ได้ จนที่สุดถึงวิสัยในสิ่งที่ดี เราก็ต้องรู้ว่า อะไรที่ไม่ดีในตนที่มี หรือนิสัยของเราที่ไม่ดี ต้องรู้ตัวเองให้ได้ อย่าทำเลิกออกล้างออก มาพากันอาศัย ให้ตัวที่เราอาศัยนี่กลายเป็นนิสัยให้ได้ แล้วพัฒนามาเป็นวิสัยที่ดี

สังคมพวกเราคนยังไม่มาก คนไม่มาก แต่งานมาก ที่นี่เราไม่หวงแหนที่จะฝึก ใครมีน้ำใจที่จะฝึก ผู้ใหญ่เห็นแล้วก็ให้ทำ ที่อื่นไม่มีหรอกที่จะให้มาใช้เครื่องมือเป็นแสนเป็นล้าน เขาไม่ทำเขาไม่กล้า ไม่มีน้ำใจเหมือนที่นี่ ที่นี่หากเราอยากทำสิ่งดีก็สนับสนุน แต่บางคนเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ไม่ให้ทำ แต่ถ้าเหมาะสมก็ให้ทำทั้งนั้น พวกเราจะเป็นคนที่เจริญหรือเก่งเกินตัว เกินที่อื่นๆ ในเรื่องทำอะไรต่างๆ เราฝึกให้ทำเป็นจริงๆ ต้องมาช่วยกันฝึกฝนตนเองทำงาน เราจะได้กำไร ได้ศึกษากว้างขวาง ยิ่งเน้นเราเป็น โรงเรียนอาชีวะ ต้องตั้งใจศึกษาให้ได้ อาชีวะกสิกรรม อาชีวะช่าง อาชีวะต่อเรือ 

อาชีวะต่อเรือนี่ตอนนี้ในประเทศไทย เรื่องต่อเรือ เรือไม้นี่มันจะหมดแล้ว ที่นี่เราเพิ่งเร่ิมต้น ไม่มีคนรับผิดชอบ แต่มันมีเรือ หลวงปู่ให้พากันไปขนมา แต่ก็มันพังไปต่อหน้าต่อตาเลย สุดวิสัย จบเลย ลำตถตาลำใหญ่โตหมอบพังแยกส่วนให้เห็นคาตาเลย ตอนนี้มีนายขวัญเมืองราชฯ เป็นนักเรียนอาชีวะต่อเรือเบอร์หนึ่งเลย ก็มีคนอื่นอีก 4 คน ที่เรียนต่อเรือ

ที่นี่เป็นบ้านราชฯเมืองเรือที่แท้จริง เป็นยานพาหนะที่แท้จริง เขามีเรือรบ แต่เราไม่สร้างหรอก เราจะสร้างเรือใหญ่เหมือนไตตานิก ก็ฝันไปได้

ยิ่งเรื่องโรงสี เรื่องการทำปุ๋ย เราไม่ได้ใช้แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทำพืชพันธ์ุธัญญาหาร หากขาดก็ตายลูกเดียว แล้วปุ๋ยสำคัญไหม ก็สำคัญ ทุกวันนี้ดิน น้ำ ไฟ ลม วิปริต เสียหาย ช่วยตัวเองไม่ได้ คนยังหาอาหารมาให้มัน อย่างพืชนี่ มันช่วยตัวเองไม่ได้ เราช่วยมันมันได้ปุ๋ยได้อาหารมันก็ช่วยสร้างอาหารให้เรา มันทำหน้าที่ตามธรรมชาติ แต่มันเป็นชีวะอย่างหนึ่ง

ที่นี่มีคุรุมีผู้ที่จะให้ความรู้เป็นทั้งพ่อและแม่กันหลายคน เช่นมีแม่ตรงเตือน พ่อดินดอน หรือตอนนี้จะมีแม่พิมพ์ผ่องฟ้ามาเป็นผอ. ไม่ได้มีสินจ้างรางวัลในการทำ แต่เป็นการใช้ชีวิตให้เป็นคุณค่าประโยชน์ หลวงปู่ก็พยายาม จะบอกพวกเราให้รู้ ที่พูดไปนี่ พูดความจริงใจ แล้วพูดส่ิงที่ควรให้พวกเราได้ฟัง ใครรับได้ก็เอาไปพากเพียร ใครรู้ไม่ได้ก็ค่อยบอกกันไป บางคนฟังแล้วไม่เข้าใจยังไม่มีภูมิ แต่ถ้าฟังแล้วเข้าใจก็เอาไปพัฒนาตนเอง ตนเองได้ สังคมก็จะได้ด้วย แต่ถ้าตัวเราแต่ละคนไม่ได้สิ่งดี มีแต่สิ่งเลวร้ายใส่ตน สังคมก็ได้รับพลังงานเลวร้ายจากเราเช่นกัน เกิดจากต้นทุนของเราแต่ละคน ที่จะคิดดี 

ถ้าคิดดี มีกายกรรมวจีกรรมที่ดี ก็จะเป็นผลต่อสังคมที่ดี ก็ค่อยๆฟัง ค่อยๆได้ยิน ตั้งใจทำ ตั้งใจเรียน ที่เราเรียนกันอยู่นี่ถ่ายทอดให้ทั้งทางศีลธรรม 40 ทางการงาน 35 ทางวิชาการ 25 % ซึ่ง 25 นี่ก็ไม่ได้ด้อยกว่าข้างนอกเลย พิสูจน์กันมามากกว่า 20 ปี ของเขาเรียนแต่วิชาการ แต่ศีลธรรมผิวเผิน เป็นงานเขาก็มีห้องแล็บเล็กๆน้อยๆ แต่นี่เราทำกับของจริงเลย พังไปหลายก็มี ก็ระวังรักษากันอยู่ก็ได้แค่นี้ 

ที่นี่แม้มาตรฐานวิชาการ เราตั้งใจก็แล้วกัน คุรุจะสอนวิชาการ ในขณะที่เราเตรียมงานปฏิบัติงานก็มีภาควิชาการร่วมด้วย ถ้าสอนเป็นแนะนำเป็น ได้ทันทีทันใด ในโรงเรียนเรา คุรุก็ดี ถ้าเราทำนี่ ถ้าคุรุที่ฉลาดมีปฏิภาณก็จะสอดแทรกให้เราได้วิชาการด้วย อย่างน้อยอันนี้ชื่อนี้ทำงานอย่างนี้แล้วเรียบเรียงเขียนออกมา ก็จะรู้ว่าเราเข้าใจ หรือว่าเราทำได้แต่อธิบายไม่ออกก็ไม่กว้างไม่เจริญไม่ถ่ายทอด แต่ถ้าเราทำเป็นแล้วก็ถ่ายทอดได้มันก็ส่งเสริมให้เจริญไปเรื่อยๆ เป็นของดี สรุปแล้ว แต่ละคนที่มีชีวิตแล้วได้โอกาส ได้เข้ามาอยู่ในหมู่ชุมชนชาวอโศกก็ขอย้ำว่า พวกเราก็มีโชค มีบารมีที่ได้เข้ามาอยู่รวมกันได้มาเป็นลูกเป็นหลานได้มาเติมเชื้อพุทธะอันประเสริฐสำหรับมนุษย์ เป็นสิ่งที่ดีก็ขอให้พวกเราได้ตั้งใจอุตสาหะพากเพียร

พวกเราอายุเท่านี้ จริงๆแล้วหลวงปู่อายุ ย่าง 82 ปีแล้ว หลวงปู่จะใช้อิทธิบาทต่ออายุให้ถึง 151 ปี ก็ไม่มีปัญหาถึงก็ดีไม่ถึงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ได้อยู่เพื่อจะแย่งลาภ ยศ สรรเสริญกับใคร แต่จะอยู่ถ่ายทอดเชื้อของพุทธนี่ต่อไป เพราะทุกวันนี้เชื้อพุทธกลายเป็นเชื้อร้ายต่อศาสนา เราต้องพยายามแก้ไขปรับปรุงรักษา หลวงปู่ชื่อโพธิรักษา เป็นหมอรักษาศาสนาตั้งใจรักษาศาสนาพุทธ รักษาโรคให้ศาสนาพุทธที่เป็นโรคร้ายแรง ถ้าไม่ตั้งใจก็ถึง 0 แน่ หมดพุทธชีวีแน่นอน หลวงปู่เลยต้องมาต่อพุทธชีวีนี้ให้ฟื้นให้เป็นประโยชน์ต่อโลกให้ได้

พวกเราอายุเท่านี้ ถ้าหลวงปู่ต่ออายุไปอีก 70 ปีนี่ พวกเราก็ปาเข้าไปตั้ง 90 กว่าแล้ว ก็อยู่ให้ได้จะได้ดู จะได้เห็นนะ ตายก่อนไม่ได้เห็น อย่าเพิ่งรีบตาย ต้องรู้ว่าจะทำตัวอย่างไรจะมีชีวิตยาวยืน แต่ถ้าอยากอยู่ยาวยืนแต่ไม่รู้วิธีชีวิตก็สั้น ตายเร็ว หากเราเรียนรู้ก็พอเป็นไป มนุษย์นี้เรียนได้ รู้จักเข้าใจวิธีแล้วพากเพียร หากเราทำความประพฤติให้ดีขึ้น อย่างหลวงปู่ตั้งใจทำชีวิตให้ดีขึ้น พยายามที่จะกระเสือกกระสนให้ชีวิตยาวยืน มันยากกว่าที่จะให้มีความรู้ความสามารถเท่านั้น จะต่ออายุให้เกินกว่าอายุขัยมันยากนะ เก่งกว่าแพทย์ที่ต่ออายุแบบต่อสายให้เป็นแค่มนุษย์พืช แต่หลวงปู่ไม่เอาวิธีนั้น แต่ให้มีชีวิตเต็มๆ ให้ปกตินี่แหละ ไม่เอาแบบปอดหัวใจอยู่ข้างนอกแล้วตัวเองนอนเป็นมนุษย์พืช อย่างนั้นไม่เอา เป็นภาระวุ่นวาย แต่ถ้าจะอยู่ก็ต้องอยู่แบบนี้มีเรี่ยวแรงกำลังทำงาน อย่างนี้อยู่

การจะทรงชีวิตให้มีอาการ 32 กายขันธ์นี้อยู่อย่างไม่เป็นพิษ มีพลังงานร่วมกันทำงานเป็นอาการ 32 ทำงานกันคนละหน้าที่ประสานกัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อาการ 32 ทำงานไป ก็จะมีบกพร่องชำรุด บางอย่างฟื้นยาก แต่บางอย่างก็ฟื้นได้

สรุปอีกทีก็อยากจะสำทับว่า พยายามเถิดนะพวกเรา ที่จะเห็นคุณค่าของโอกาสที่มีภาษาวิชาการว่าเป็นสัปปายะ 4 
1.เป็นสถานที่สัปปายะ คือนี่แหละทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม พื้นดินสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เราอาศัย 
2.บุคคลสัปปายะ มีพี่ป้าน้าอาคุรุ สมณะสิกขมาตุ ที่ปรารถนาดี แต่ละคนเป็นผู้พยายามจะช่วยเหลือพวกเรา พาอยู่พาเป็นพาดำเนินชีวิตให้เจริญให้ดี ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ใช่ พวกเราไม่ใช่คนใจดำ ที่ครอบครัวใครครอบครัวมันไม่ใช่ ของเรานี่ต้องเกื้อกูลกัน สังเกตให้ดีว่าสังคมพวกเรากับสังคมข้างนอกไม่เหมือนกัน 
3.อาหารสัปปายะ มีเครื่องอาศัย ทั้งที่อยู่ที่กิน อุปโภค บริโภคที่อุดมสมบูรณ์ คนผอมมาก็จะอ้วนขึ้น คนอ้วนมาก็ผอมลง ที่นี่แปลก ได้สัดส่วนสันทัดคน ที่นี่ไม่มีใครอ้วนเกินหรือผอมเกิน มีบ้างที่เกินแต่น้อย อ้วนเกินไปหน่อย พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เข้าตัวอยากลดแต่ไม่ได้ เช่นพี่ดาวชิดเดือนเป็นต้น ก็พยายาม มันเป็นวิบากหลายอย่าง แต่เราก็พากเพียร วิบากเปลี่ยนแปลงได้  หลวงปู่ก็เปลี่ยน 
4.ธรรมะสัปปายะ ทั้ง 4 อย่างครบพร้อมในที่นี้ที่พาเราเจริญ มันเป็นโชคของเราแล้วหนอ สำนึกตรงนี้ พวกเราตั้งใจเอาดีให้ไดั อย่าให้เสียเปล่า อย่างน้อย 6 หรอื 12 ปี ถ้าเราต่อไป ป.ตรี โท เอก ก็ 16 ปีอย่างน้อย หรือ 20 ปีขึ้นไปเลย 

เราเองเห็นว่าอันนี้เป็นคุณค่าของมนุษยชาติของสังคมจริงๆ เป็นเจตนาของหลวงปู่จริงๆว่าเราต้องมาสร้างคน อย่างอื่นวัตถุเขาก็ช่วยกันแล้ว แต่เรื่องสร้างคนนี่ยากมาก ให้เป็นคนดีคนประเสริฐ เป็นอาริยบุคคลยิ่งยาก ท้าทายความสามารถมาก แต่มันดีที่สุด คนอย่างพระพุทธเจ้าเลือกงานนี้ พระโพธิสัตว์ถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้าก็จะมาทำงานนี้ 

มีคำถามไหม?

_รุ่นพี่ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีของรุ่นน้อง เช่นห้ามเอาขนมมากินที่เรือที่พักหรือที่ชั้น 4 รุ่นพี่ทำทั้งนั้น 
ตอบ...พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ยถาวาที ตถาการี ตถาการี ยถาวาที แหลว่าเราพูดอย่างไรเราทำอย่างนั้น เราทำอย่างไรเราพูดอย่างนั้น อย่าเป็นคนโกหกตลบแตลง 

_ผู้ชายพี่ๆที่เกเร ข่มขู่น้อง น้องคนไหนไม่ทำตามตนในทางไม่ดีหรือให้ข้อมูลสมณะคุรุก็จะโดนแกล้งโดนขู่ โดนเยอะเย้ยว่า มันจะทำดีได้กี่น้ำ ดูถูกการทำดี เหมือนไม่อยากให้ที่นี่ดีขึ้นมา อยากให้ที่นี่เสื่อมหรืออย่างไร แล้วพี่ๆเขามาเรียนทำไมกัน

_ศีลข้อ 3 แสดงออกไม่อายใคร สังเกตว่า เวลาหลวงปู่เทศน์จบพี่ๆฝ่ายชายก็จะเดินไปทางเขตหญิง เดินคลอเคลียกันไป ไม่อายเลย
ตอบ...เดี๋ยวไปถ่ายคลิปมา พวกเราก็พยายามอยู่แล้ว เรื่องนี้หลวงปู่เข้าใจว่า เกิดมาโตขึ้นจะมีฮอร์โมน แต่ก็ต้องระวังสังวร อย่างวัฒนธรรมเอเชียเราถือว่าเป็นเรื่องน่าอาย ของตะวันตกก็เขาว่าไม่อายแต่ของเรามันต้องระวัง ปฏิภาณของพวกเราแต่ละคนก็รู้ ก็สังวรหน่อยก็ได้แล้ว

_มีนร.ที่มีพฤติกรรมหนีเรียนเรียนโดดเรียน ไม่เข้างานไม่เข้าฐาน ไม่่ส่งงานไม่กลัวทำโทษ 
ตอบ..ถ้ามีครบเครื่องอย่างนี้สงสัยอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว หนักหนาสาหัส อาการ อยากให้หลวงปู่ถามเขาว่า จะมาเรียนที่นี่ทำไม ให้สถาบันเขาเสื่อมเสียไม่อยากอยู่ก็ออกไปเสีย 

_ทำไมคนที่ชอบขโมยของคนอื่นบ่อยๆ ทำไมไม่มีจิตสำนึกบ้าง ทั้งที่ที่นี่สอนให้มีจิตสำนึก สอนศีล 5 ทำไม?
ตอบ...เพราะชั่ว จับได้เอามาพิจารณาลงโทษ ผิดศีลมันติดเป็นนิสัยแล้วจะติดเป็นวิสัย แล้วก็ติดเป็นสันดาน อย่าสะสมเลย ก็รู้แล้วว่าทำเช่นนั้นมันไม่ดี เอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตน อย่าทำ หยุดให้ได้

_พระสามารถกราบแม่ได้ไหม
ตอบ...ไม่ได้ แต่ทีนี้ก็พาซื่อใจ คนเราถ้าบอกว่ามาเป็นพระแล้ว ระลึกถึงบุญคุณแม่ หรืออยากจะแสดงความนอบน้อมแม่ที่เป็นฆราวาสก็ดี แต่สมมุติต้องเป็นสมมุติ หากเราไม่รู้สมมุติก็สับสน พระพุทธเจ้าท่านให้รู้สมมุติ เช่นพระที่มาบวชก่อน อายุจะน้อยกว่า คุณธรรมไม่สูงก็ตาม ผู้บวชทีหลังแม้เป็นอรหันต์ก็ต้องกราบผู้บวชก่อน หรือแม้แต่วรรณะสูงกว่ามาบวชทีหลังก็ต้องกราบผู้มีวรรณะต่ำกว่าที่มาบวชก่อน โดยสมมุติสัจจะโลกต้องรู้ว่าอะไรควร ไม่แสดงออกที่ผิดสมมุติ แม้ใจเราจะเคารพแต่ก็ต้องระวังให้ถูกสมมุติ ก็มีคลิปออกมาให้เห็น ....จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:10:28 )

580818

รายละเอียด

580818_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 4

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 17 ส.ค. 58 เรามาสาธ ยายกันต่อ
 (45) พลังงานจะพัฒนาจาก “อุตุนิยาม”เป็น “พีชนิยาม”ก่อน
    เริ่มต้นที่ “ธาตุ”นั้นโดยเอาที่ “พลังงาน”เป็นสำคัญว่า พลังงานของธาตุนั้นได้พัฒนามีคุณสมบัติใน “นิช”(Niche)มีความเจริญเข้าขั้น “เซลล์”(Cell)หรือยัง? ถ้าเข้าขั้น “เซลล์”ได้จริงก็เริ่มนับเป็น “ชีวะ” (นิยามชีวิต 5 นี้ ถ้าไม่ใช่ภูมิรู้ระดับพระพุทธเจ้าแล้วก็คงไม่สามารถแยกแยะได้ขนาดนี้ 
     “นิช”(Niche) หมายถึง ช่องว่างหรืออากาศ(space) ซึ่งเป็นสถานที่ก็ดี ที่เริ่มต้นให้ “ชีวะ”เกิดเรียกว่า “คัพภะ”(กุจฺฉิ)หรือ Protoplasm ที่กำลังจะมี “ชีวะ”เล็กละเอียดยิ่งของ “ธาตุ”เริ่มเป็นตัวของ “ชีวะ”เรียกว่า “กลละ”ก็ดี หรือ primary cell(เซลล์ปฐมภูมิ) อันเป็น “เชื้อหรือหน่วยชีวิต”แรกที่ “พลังงาน”พัฒนาตัวเองได้สัดส่วนเหมาะสมแล้ว จนถึงขั้นความเป็น “ชีวะ”จะเริ่มขึ้น 
    ถ้า “เชื้อแรก”นี้ไม่ติดอยู่ในครรภ์ หรือไม่ดำเนินต่อไป ไม่มี “พลังงานของ primary cell”สืบต่อ(สันตติ) ก็เป็นอัน “ชีวะ” ก็หมดสิ้นไป ไม่มี “เชื้อชีวิตินทรีย์”ก่อตัวขึ้น(สมุจฺฉติ,สมุจฺฉิสฺสถ)ต่อไปได้อีก หรือ “เชื้อชีวิตินทรีย์”ก็จะ “ขาด”(สมุจฺฉติ,สมุจฺฉิสฺสถ)ภาวะของชีวะลงไปตรงนั้น ณ บัดนั้น
    ไม่ว่าจะเป็น “ชีวะ”ระดับ “พีชนิยาม”หรือ “จิตนิยาม”ก็จะมีภาวะของ “ธาตุชีวะ”ที่จะ “สืบต่อ”(สันตติ)  “สืบทอดการเกิด”(สันตติ)นัยะเยี่ยงเดียวกัน 
    เป็นแต่ว่า  “ชีวะ”ของ “องค์รวม”ของมันละเอียดซับซ้อนมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปอีกหลากหลายสภาพ
    ดังนั้น เมื่อ “เชื้อหรือหน่วยชีวิต”หน่วยที่ 1 ตั้งอยู่ก่อนแล้วนี้ “ขาดลง”(สมุจฺฉิสฺสถ) จึงไม่มีเชื้อหน่วยที่ 2 (secondary cell) สืบทอดต่อเชื้อออกไปอีก การ “ก่อตัวขึ้น”(สมุจฺฉิสฺสถ)ของเชื้อชีวะ”จึง
ไม่มี ด้วยประการฉะนี้
    ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า  “เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้ 
    ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องมารดา(วิญญาาณัญจ อานนฺท มาตุ กุจฺฉิสฺมิง น โอกฺกมิสฺสถ) นามรูปจะก่อตัวขึ้น(ขาด)ในท้องมารดาได้บ้างไหม”(คำว่า สมุจฺฉิสฺสถ จากคำว่า สมุจฺฉติ ฉบับหลวงแปลว่า “ขาด” ส่วนฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม 10 ข้อ 115 แปลว่า ก่อตัวขึ้น) 
     “วิญญาณ”คือ  “ธาตุรู้”ที่เกิดจาก “ปสาทรูป 5 ที่สัมผัสกับโคจรรูป 5 ก็เกิดเป็น “ภาวรูป 2”นี่คือ “ธรรม 2 ของ รูปและนาม”(เทฺว ธัมมา) เป็นองค์ประกอบกันอย่างถึงขั้นครบสัดส่วน จึงจะเกิดพลังงาน “วิญญาณ”ขึ้นมาได้ 
    ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิด “ชีวะ”เริ่มแรก ติดอยู่กับที่ก่อน ยังอวจรหรือโคจรไปไหนด้วยพลังงานตนเองอิสระลอยตัว ไม่ได้ แต่เริ่มเป็น “ชีวะ” เริ่มต้นเป็น “เซลล์”(cell)ขั้นแรก จึง “ต้องเชื่อมต่อสืบสายโยงชีพอาศัยชีวิตอยู่กับ “ผู้อื่นที่ให้เชื้อชีวิต”(ปรทัตตูปชีวี) ยังตัดขาด แยกตนออกไปเป็น “ตนเอง” อย่างอิสระพึ่งตนเอง เลี้ยงตนเองรอด ยังไม่ได้ ยังเป็นแค่ “อุปาทิ” (เชื้อ) ที่จะต่อ “ชีวานุปาทิ”ต่อไป โดยการอาศัยเกาะติดอยู่กับ “ชีวิต”ผู้อื่นให้สิ่งที่จะใช้อาศัยแก่ตนได้
    หากขาดจาการได้อาศัยผู้อื่นให้ “ชีวิต”ก็สูญชีวิตไปเลย
    หรือถ้ามี “เชื้อชีวิตในตน”บ้างแล้ว มากกว่า 2 ขึ้นไป และหาก “สันตติ”ตัดขาดจะด้วยกรณีใดก็ตาม  “เชื้อชีวิต”นี้ก็ชื่อว่า ชรตา นั่นคือ เชื้อนั้นก้มีแต่จะเสื่อมไปๆ จนที่สุด “สูญสิ้น”เลย ถ้าแม้นไม่มีเหตุปัจจัยใดมาเสริมเติมให้กลับฟื้น “ก่อเกิดขึ้น”ต่อไปอีก  

(46)  “ปรทัตตูปชีวี”คือ พลังงานกำลังจะก่อ “ตัวตน”เท่านั้น
    คำว่า  “ปรทัตตูปชีวี” คือ พลังงานขั้นเริ่ม กำลังจะก่อเกิด “ชีวะ”ขั้นต้นเท่านั้น ไม่ว่า “ชีวะ”ของ “พีชนิยาม”หรือของ “จิตนิยาม” ความเป็น “ชีวะ”(cell)ก็จะมีเหตุมีปัจจัยที่เป็น “สมุทัย”ต่อเติมขึ้นเสมอ หาก “สมุทัย”ไม่มี หรือ “สมุทัย”ดับ ชีวะหรือนิทานนั้นก็ดับไปเลย หรือเสื่อมไปตามกาละ เพราะไม่มีเหตุปัจจัยอื่น    
    ฉะนี้แลคือ พลังงานขั้น “ปรทัตตูปชีวี” ซึ่งไม่ใช่ไปหมายเอา พลังงานที่มี “ตัวตน”(self)ที่โตที่ใหญ่เป็น “ชีวิต" เต็มตัวตั้งขึ้นแล้ว ยิ่งเป็น “พีชนิยาม”แล้วก็ดี ก็ยังไม่ใช่ “ตัวตน”ขนาดนั้น ยิ่งเป็น “จิตนิยาม”กันเลย ที่ไปเรียกกันว่า “สัตว์เปรต”อันเป็น “พลังงาน”ถึงขั้น “ปิตฺติวิสัย”(ภูมิแห่งเปรต)แล้ว ยิ่งไม่ใช่เลย มันยังไม่ปานนั้น
    พลังงานของ “ปรทัตตูปชีวี”นี้ แค่ “พลังงาน”ขั้นเริ่มจะก่อชีวะ จะก่อจาก “อุตุนิยาม”ขึ้นเป็น “พีชนิยาม”ก็พลังงานชั้นหนึ่ง หรือจะก่อจาก “พีชนิยาม”ขึ้นเป็น “จิตนิยาม”ก็พลังงานอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งขึ้นไป 
     “ปรทัตตูปชีวี”คือ  “พลังงาน”ที่กำลังจะก่อตัวพัฒนาตนขึ้นไปอีก “รอบ”หนึ่งของความเป็น “ธรรมนิยาม”แต่ละ “นิยาม”เท่านั้น ยังไม่ใช่ “พลังงาน”ของความเป็น “ตัวตน”(อัตตา,self)ที่มากกว่าเซลล์ปฐมภูมิ(primary cell)
    นี่มันแค่ขั้นก่อเกิดพลังงาน “จุดเริ่มต้น”ของ “ชีวะ”ต่างหาก  
    มันแค่พลังงานขั้น “เชื้อชีวะขั้นผลิ”แท้ๆ primary cell หรือปฐมภูมิแห่งกลละเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 seccondary cell หรือขั้นทุติยภูมิแห่งอัมพุชะเลย 

(47) พลังงาน “ชีวะ”เป็นได้ทั้ง “อุปจยะ”หรือ “ชรตา” 
    ถ้า “ชีวะ”เหลือแค่ “ชรตา” ก็คือ พลังงานที่มีแต่จะเสื่อมไปสู่ “สูญ”สิ้นสภาพของมัน กระทั่งหมดสิ้นภาวะของ “ตน”ไป    
     “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ” ถ้าไม่มี “สันตติ” ก็คือ “ชรตา”ที่เป็น “ชีรานุปาทิ” ซึ่งจะเสื่อมสลายไปเรื่อยๆจนสิ้นตัวตนบ้าง หรือจะ “ดับ”(นิโรธ)เป็นสูญในที่สุด หรือในทันทีบ้าง 
    ส่วน “พลังงาน”ขั้น “ชีวะ”ที่เป็น “อุปจยะ”ถ้ามี “สันตติ”ก็เป็น “ชีวานุปาทิ” ซึ่ง “อุปจยะ”นั้นก็จะมี “อุปปัจจยาการ”(เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป)สืบต่อไป เป็น “การเกิดใหม่”(โอกฺกันติ) เป็นธาตุใหม่ของ
 “อุปจยธาตุ”ใหม่ไปเรื่อยๆ สะสมพลังงานที่มี “ความเป็นตน”(อัตตา)เริ่มก้าวหน้าขึ้นสู่ความมี “ชีวา”พัฒนาต่อไป
    ถ้าชีวะใด “เกิด”เป็น “โลกุตระ”ก็สะสมลงเป็น “การเกิด”ที่เรียกว่า “นิพพัตติ”และจะเจริญสูงขึ้นๆ จนถึงที่สุดก็เป็น “อภินิพพัตติ”
    แต่ถ้าไม่ใช่ “โลกุตรภูมิ”ก็เป็นสามัญ “โลกียภูมิ”ทั่วไป ไม่ว่า “พีชนิยาม”หรือไม่ว่าจะเป็น “จิตนิยาม” 
    แต่ถ้าไม่มีพลังงานที่ “สืบต่อ”(สันตติ)เพื่อเกิดต่อไป ก็จะเป็นได้แค่ “ชีรานุปาทิ” ตนเองไม่สามารถช่วยตนเองให้ “สืบต่อชีวะ”ของตนต่อไปได้อีก มีแต่จะเสื่อมไปหาสูญ หรือเสื่อมสลายจนสิ้น
ตัวตนไป ภาวะนี้ก็ชื่อว่า  “ชรตา”  
    แม้แต่ “อุปจยตา”หรือ “ชรตา”ก็ล้วนยังเป็น “อนิจจตา”ทั้งสิ้น
     “พลังงาน”ที่ชื่อว่า  “อุปจยะ” ต้องมี “ชีวานุปาทิ”จนกระทั่งมี “ชีวะ”เป็นของตนเองแล้ว และพึ่งตนเองได้ด้วย อย่างอิสระที่จะพัฒนา “ชีวะ”ของตนเองให้เจริญเติบโตต่อไปได้เอง    
    จนกว่าจะพัฒนาขึ้นไปเป็น “ชีวะ”ที่มีความเป็น “ธาตุแท้ของความเป็นตนเอง”(self) พึ่ง “ความเป็นชีวะ”ของตนเองได้ จึงชื่อว่า “พีชนิยาม” ที่เกิด “ความอิสระ”พ้นจาก “ธรรมชาติ”แห่ง “อุตุนิยาม”ไป
    หรือนำตัวเองเคลื่อนออกจากสถานที่ ที่ตนเองเกาะอาศัยอยู่นั้น แยกตัวออกไปเป็น “อิสระ”ได้ หรือลอยตัวออกไปผสมพันธุ์นอกภาวะที่ตนเองติดอยู่นั้นได้ จึงจะชื่อว่า ชีวะขั้น “พีชนิยาม”

(48) พีชนิยามหรือจิตนิยาม มี “ปรทัตตูปชีวี”ของตนๆ
     “ปรทัตตูปชีวี”จะพัฒนาตนเอง ไม่ว่า “พีชนิยาม”ก็ดี  “จิตนิยาม”ก็ดี ในตนเอง ก็เจริญในความเป็น “ตัวเอง”ไปจนกว่าจะสามารถพัฒนาข้ามชั้น “ธรรมนิยาม”ที่ตนเป็นอยู่ไปสู่ “ธรรมนิยาม”ที่ดีขึ้น สูงขึ้นๆ หรือไม่ก็เสื่อมลง ต่ำลงๆ เป็นอนิจจตาได้เสมอ
    จาก “พีชนิยาม”จึงจะพัฒนาธาตุที่เป็น “ตนเอง”ขึ้นไปอีก จากมี “พลังงาน”ของตนเองขั้นหนึ่งมาแล้ว ในความเป็น “ชีวะ”ที่เรียกว่า “พีชนิยาม”ให้เกิด “พลังงาน”ข้ามขั้น “พีชนิยาม”ไปเป็น “จิตนิยาม” 
     “พลังงาน”ที่เป็น “พีชนิยาม”นั้นจะมีพลังงานปรุงแต่งตนเอง(สังขาร)ที่เป็น “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) คือ มี “สัญญากับสังขาร”เป็นต้นปรุงแต่งกันเป็น “พีชนิยาม” เป็น “พลังงาน 2” 
     “พลังงาน”ที่ยังไม่มีคุณสมบัติถึงขั้น “เวทนากับวิญญาณ” พลังงานขั้นนี้จึงยังไม่ชื่อว่า “อุปาทินนกสังขาร”(สังขารที่มีวิญญาณครอง หรือสังขารที่มีวิบากกรรมครอง) จึงยังไม่เข้าขั้น “สัตว์”หรือขั้น “จิตนิยาม” ที่จะไป “รู้”ความเป็น “กรรม” หรือ “รู้”ความเป็น “ธรรม”ในพลังงานตน
    ถึงกระนั้น  “จิตนิยาม”ที่ได้ร่างเป็นคนแล้วก็ดี ก็ใช่ว่าจะรู้เรื่อง “กรรม”และเรื่อง “ธรรม”กันได้ง่ายๆ แม้จะ “ฉลาด”ปราดเปรื่องในโลกสารพัด แต่ถ้ายังไม่ “ฉลาด”ในความเป็น “ปรมัตถธรรม” คือ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”อย่างสัมมาทิฏฐิตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่สามารถจะทำ “กรรม”ให้หลุดพ้นจากบาป จากชั่วของตนได้จริงแท้ อยู่ในโลกในสังคมยั่งยืนตลอดไปเด็ดขาด
     “พีชนิยาม”มันทำตนให้ “ฉลาด”ไม่ได้ เพราะมันไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ” ที่เป็น “ขันธ์ 5”บริบูรณ์ 
    แต่ “พีชนิยาม”ก็สามารถพัฒนา “ตัวตน”(self)ของมัน โดยเริ่มจาก “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวมันเอง ให้เจริญก้าวหน้าจนเป็น “ธรรม”ขั้น “จิตนิยาม”ได้  “พลังงาน”ของ “พีชนิยาม”จึงสามารถมี “ปรทัตตูปชีวี”สำหรับตัวมันเองได้เช่นเดียวกันกับ “จิตนิยาม”
    ส่วน “จิตนิยาม”นั้นแน่นอนย่อมมี “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวเองอยู่จริงทุกคน แต่ถ้าใครไม่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”ของตนได้ แถมจะ “วิปลาส”ในความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”กันได้ง่ายๆเอาด้วย เพราะมันขั้นละเอียดยิ่งลึกมาก  
    ดังนั้น คำว่า “ฉลาด”ที่ “พีชนิยาม”มันทำตนให้ “ฉลาด”ไม่ได้ เพราะมันไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ” ที่เป็น “ขันธ์ 5”บริบูรณ์ จึงเป็นเงื่อนไขหลักที่ยืนยัน “ความฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” 
    ส่วน “ความฉลาด”ที่ไม่เกิดจากการ “สังขาร”ของ “รูปกับนาม”ครบความเป็น “กาย”ก็ไม่ชื่อว่า “ฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” เป็น “ความฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า “เฉกหรือเฉกา”เท่านั้น 

(49) ภาษาไทยคำว่า “ฉลาด”มาจากคำว่า “ฉฬายตนะ”
    คนผู้จะมีพลังงานจิตชื่อว่า  “ฉลาด”นั้น ต้องมีปัญญาที่เกิดจาก “อายตนะ 6” อันเกิดจาก “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ”สังขารกันก่อเชื้อ “ปัญญา”ขึ้นได้ ซึ่งเป็น “ความฉลาด”ที่ประกอบกันขึ้นจากอายตนะ “ภายนอกและภายใน”ครบความเป็น “กาย”เสมอ 
    เพราะเกิดจาก “วิญญาณ 6”ที่มี “ใจ”กับภายนอก ซึ่งอาจจะเกิดจากทวารใดทวารหนึ่งก็ตาม หรือหลายทวารก็ตาม เป็นเหตุปัจจัยทำงานสัมผัสกันแล้วเกิด “วิญญาณ”(สัมผัส 3) ปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นสภาวะจริงครบองค์ จึงจะถือว่าเป็น “พลังงาน”ของ “วิญญาณ”บริบูรณ์ ชื่อว่า“วิญญาณ” ตามพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ
    นั่นคือ  “วิญญาณ”นั้นต้องมี “การสัมผัสวิโมกข์ 8”ด้วย “กาย”
     “กาย”คือ มี “องค์ประกอบของรูปกับนาม”เสมอ ไม่ขาดสิ่งใด และที่สำคัญคือ ต้องมีการสัมผัสอยู่พร้อมทั้งภายนอกและภายใน 
    ส่วน “วิโมกข์ 8” นั้นคือ  
    1. ต้อง “มีรูป”(รูปี) และต้องเห็น “รูป”เป็นสิ่งอันบุคคลพึงได้(รูปานิ ปัสสติ) หรือ “รูป”เป็นผล(รูปานิ ปัสสติ) 
    2. ต้องพร้อมด้วย “การเห็น “(ปัสสติ) ที่ผู้ปฏิบัติ “เห็น”ได้ ด้วยญาณทัสสนะของตน คือ เห็นทั้ง “ภาวะภายนอก”(พหิทธา)และ “ภาวะภายใน”(อัชฌัตตา) และสามารถ “กำหนดหมายรู้”(สัญญา) เข้าไปรู้แจ้งได้หมดจากตั้งแต่ขั้น “กาม”แล้วจึงลึกเข้าไปขั้น “รูป”แล้วลึกถึงขั้น “อรูป”ทีเดียว โดยตนเองของตนเอง(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก) 
    3. ภาวะของจิต “มี”ความโน้มน้อมไปสู่สิ่งที่น่าพึงใจ(สุภ) เป็นความเจริญก้าวหน้า จนถึงที่สุดนั่นแล (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ)
    สำหรับ “วิโมกข์ ข้อที่ 4 ไปถึงข้อ 8”นั้น ก็เป็นรายละเอียดสู่สภาวะขั้น “อรูป” และถึงที่สุด “สัญญา เวทยิต นิโรธ” ขอไม่อธิบายต่อ
    ทั้ง 3 ข้อนี้แหละที่ระบุชัดแล้ว ว่า การปฏิบัติจะต้องมี “องค์ประชุมของรูปและนาม”(กาย) และต้องมีทั้งภายนอกและภายในทำงานร่วมกันเสมอ ขาดไม่ได้ 
    นั่นคือ ต้อง “ลืมตาปฏิบัติ” ขืนหลับตา ปิดหู ฯลฯ เป็นต้น ไปหลงยึดการปฏิบัติด้วย “วิธีปิดทวารภายนอก”นั้น ไม่ใช่ของพุทธ
     “ความรู้”ที่เรียกว่า “ปัญญา”ต้อง “มีฉฬายตนะ 6”จึงจะชื่อว่า  “ความฉลาด”ขั้นปัญญา  “ความรู้”ที่ไม่มี “กาย”ไม่เรียกว่า “ปัญญา”      
    เพราะความรู้ที่ฉลาดหากไม่ได้เกิดจากการพัฒนาพลังงานจิตที่อภิสังขารจาก “อายตนะ 6” ความรู้อย่างนั้น แม้จะเรียกว่า “ฉลาด” และฉลาดปานใดๆก็ตาม ก็แค่ฉลาดที่ต้องเรียกว่า  “เฉกหรือเฉโก” 
    ผู้ไม่มี “ฉฬายตนะ”(อายนะ 6)ทำงานสังขารกันเกิด ก็เกิดแค่ความฉลาดที่มี “กิเลส”หรือ “อวิชชา”เป็นตัวการบ่งการให้ฉลาด

(50)  “คน”จึงยังหลงอยู่กับ “ความฉลาด”ที่เฉกาส่วนมาก
    แค่ “ความฉลาด”นี่แหละ ถ้าคนแยกไม่ได้ ก็จะหลง “วิปลาส” ไปกับ “ความฉลาด” และหลงไปสร้าง “จิต”ตนให้ฉลาดอย่าง “เฉโก”ทำ “เฉกา”ใส่ “จิต”ตนไป เพราะ “วิปลาส”ในคำว่า “ปัญญา”กับ “เฉกา” 
    แม้ “พีชนิยาม”จะยัง “รู้”ไม่ถึงขั้น “ฉลาด” เพราะมันยังไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ” มันมีแต่ “พลังงานรู้”ตามประสาในฐานะของมัน 
    แต่มันก็สามารถพัฒนา “ตัวตน”(self)ของมัน โดยเริ่มจาก “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวมันเอง ให้เจริญก้าวหน้าจนสามารถข้ามขีดขั้น “พีชนิยาม”ขึ้นไปเป็น “จิตนิยาม”ได้ เยี่ยงเดียวกัน
     “ปรทัตตูปชีวี”จึงมีทั้งในความเป็น “พลังงาน”ของ “พีชนิยาม” และทั้งในความเป็น “พลังงาน”ของ “จิตนิยาม”
    พลังงาน “อุตุนิยาม”กว่าจะพัฒนามาเป็น “ธาตุรู้”ก็ต้องผ่านความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”จึงจะได้ก้าวข้ามขึ้นมาเป็น “พีชนิยาม” และ “พีชนิยาม”ก็ต้องก้าวขั้นสู่ “ปรทัตตูปชีวี”ขั้นสูงของพลังงานระดับ
“พีชนิยาม”เองอีกที จึงจะข้ามขึ้นสู่ “จิตนิยาม”ได้สำเร็จ
    ส่วน “จิตนิยาม”นั้นแน่นอนย่อมมี “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวเองอยู่จริงทุกคน แต่ถ้าใครไม่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ปรทัตตูปชีวีของตนได้ แถมจะ “วิปลาส”ในความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”กันได้ง่ายๆเอาด้วย เพราะมันขั้นละเอียดยิ่ง-ลึกมาก
    คนที่ยังมีภูมิไม่สูงพอจึงรู้จากขั้นหยาบไปหาละเอียด จากขั้นตื้นไปหาขั้นลึก เป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อความรู้ยังไม่พอจึงไปยึดได้แค่ความหยาบ-ความตื้น จึงเห็น “ปรทัตตูปชีวี”เป็นพลังงานที่หยาบเป็นตัวตนของ “ธาตุรู้”ที่มี “วิสัย”หรือ “อนุสัย”ต่ำหยาบขั้นหนึ่ง 

(51) ตัวตนที่ยึด “ตนเอง”มีทั้ง “พีชนิยามและจิตนิยาม” 
    ความเป็น “วิสัย”ก็ดี หรือเป็น “อนุสัย”ก็ดี คือ ความยึดความเป็น “ตนเอง” ซึ่งคำว่า  “สัย”ตัวนี้หมายถึง  “ตนเอง หรือเอง หรือโดยตนเอง” หรือ “สก,สัก”ก็ความหมายเดียวกัน
     “สัย”หรือ “สย”นี้ ที่เป็น “อนุสัย”ก็ดี  “อาสัย”ก็ดี  “นิสัย”ก็ดี  “วิสัย”ก็ดี มีความหมายที่น่าจะได้เรียนรู้ เพราะล้วนสำคัญในคน
    ซึ่งความเป็น “ตนเอง”(สย)นี้ ตนเป็น “ผู้ทำเอง”(สยังกร)  “ทำด้วยตนเอง”(สยกตะ)  “เกิดจากตนเอง”(สยชาติ)  “เป็น “ผู้เลือกเอง”(สยังวร) ทั้งนั้น หากสัมมาทิฏฐิ และพากเพียรปฏิบัติให้สัมมาปฏิบัติ ก็จะเกิดผล จนถึงขั้นเป็น “สยัง อภิญญา”ได้ทีเดียว 
    และสูงสุดแห่งที่สุดของความเป็นคนทำได้ถึงขั้นเป็น “สยัมภู”
    ดังนั้น ถ้าได้เรียนรู้พุทธธรรม แล้วสามารถ “สำรวมตนเอง,ควบคุมตนเอง”(สยตัตตะ) อย่างสัมมาทิฏฐิ 
     “พีชนิยาม”พลังงานของมันที่ยึดเป็น “ตนเอง”ไม่ถึงขั้น “อนุสัย” เพราะมันไม่มี “ธาตุรู้”ได้ถึงขั้น “อวิชชา” ปุถุชนคนโลกีย์ก็ทำให้มันหมดสิ้นความเป็น “ตนเอง”ของ “พีชนิยาม”ได้ 
    ส่วนความเป็น “จิตนิยาม”นั้น มี “อนุสัย”นี่เองที่เป็น “ตนเอง”ตัวร้าย ซึ่งจะต้องกำจัดให้สิ้นซาก สิ้นธุลีละออง ซึ่งต้องด้วยตนเอง 
     “อนุสัย”หมายถึง สิ่งที่ฝังใส่ตัวเองไว้เอง อยู่ในรากลึกของพลังงานในตน ตนเองของผู้มี “จิตนิยาม”จะเป็นผู้ศึกษา “ตนเอง”จนเกิด “วิชชา 8”ได้ จึงจะสามารถละล้าง “ตนเอง”ให้หมดไปได้ โดย
การรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ธรรมนิยาม 5”อย่างสัมมาทิฏฐิ ไปตลอดความเจริญถึงที่สุดจนที่สุด 
    เพราะผู้มี “จิตนิยาม”สามารถมีภูมิรู้ถึงขั้น “กรรมนิยาม”และ “ธรรมนิยาม”ในขั้น “โลกุตรธรรม”ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะกำจัดละล้าง “อนุสัย”ของ “ตนเอง”(สย)ได้หมดสิ้นเกลี้ยงสำเร็จจริง 
 
(52)  “ตนเอง”เท่านั้นกำจัด “อนุสัย”ของตนได้หมดสิ้นแท้
     ส่วนคำว่า “อาสัย”นี้ คนไทยจะเขียนเป็น “อาศัย” หมายถึง  “ที่อาศัย” หรือภาวะรูปกับนาม หรือกายกับใจที่ตนเองอาศัยเป็นชีวิต ที่มี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ทั้งหลายนี้แล
    หรือ “พลังงาน”ที่เป็น “จิตนิยาม”นี้แหละตัวสำคัญที่เราจะได้อาศัยเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ได้อาศัยดีหรือชั่ว ได้อาศัยเป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระ ได้อาศัยเป็นคุณหรือเป็นโทษ ก็ “จิตนิยาม”นี้เองที่ “ตนเอง”จะต้องจัดการเอง
    ผู้ “สัมมาทิฏฐิ”ที่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โพธิปักขิยธรรม 37” และสามารถแยกแยะ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ได้แท้ จึงจะสามารถสร้าง “พลังงาน”อันเป็น “นามธรรม”ให้
 “ตนเอง”ใช้ “อาสัย”ได้จริง และหากเจริญพัฒนาขึ้นเป็น “อาริยธรรม”ขั้น “โลกุตรธรรม” แล้วสั่งสมลงไปใน “ตนเอง”เป็น “นิสัย”
     “นิสัย”หมายถึง จิตตนเองที่ได้สั่งสม “พลังงานดีหรือชั่ว “ เป็น “โลกียะหรือโลกุตระ”ลงไปใน “ตนเอง” จนมันตกผลึกไปตามลำดับ มากพอสมควร กระทั่งมีอำนาจในตนไปตามเท่าที่มันมีมันได้ แล้วกำกับตนเองให้มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นส่วนมาก
     “นิสัย”สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าความเป็น “วิสัย”     
    ถ้าสั่งสมลงถึงขั้นเป็น “วิสัย”ของตนแล้ว จะแก้ไขยากมากๆ จนถึงขั้นต้องใช้เวลาแก้ไขกันเป็นร้อยกัปป์ พันกัปป์ หมื่นกัปป์ทีเดียว 
     “นิสัย”แตกต่างจาก “วิสัย”อยู่เท่านี้เอง
    นั่นคือ  “พลังงาน”ของจิตนิยามใน “ตนเอง” ที่เรียกกันเป็นภาษาว่า  “อนุสัย”ก็ดี  “อาศัย”ก็ดี นิสัย”ก็ดี  “วิสัย"ก็ดี ที่คนเรียนรู้ได้ทุกคน และปรับปรุงแก้ไข “ทั้ง “อนุสัย-อาศัย-นิสัย-วิสัย”ให้เจริญสูงสุดได้ด้วยความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมาประกาศให้มนุษย์รู้ตาม เรียนตามปฏิบัติตาม บรรลุได้จริงๆตาม 
    แม้ทุกวันนี้ สังคมเข้าข่ายกลียุคแล้ว ก็ยังมี “สัมมาทิฏฐิ”ที่สามารถปฏิบัติให้บรรลุได้ตาม อย่างสามารถพิสูจน์ได้เป็นอกาลิโก 

(53)  “ปรมัตถธรรม”ขั้น “เวทนา”นี้แลที่สำคัญยิ่งในตน
    ขึ้นชื่อว่า “สัตว์” จะมี “พลังงาน 4” คือ มีทั้งเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ทำงานอยู่ใน “พลังงาน”ที่เรียกว่า “จิต”(จิตนิยาม)  
    ต่างจาก “พืช” ซึ่งมี “พลังงาน 2”ของมัน ก็เรียกได้ว่า มีแค่ “สัญญา”กับ “สังขาร”  “พลังงาน”มีคุณสมบัติแม้ “เวทนา”ก็ยังไม่ถึง 
    ดังนั้น  “พลังงาน”ขั้น “พีชนิยาม”หากพัฒนาเจริญขึ้นถึงขั้นที่เรียกว่า “เวทนา”ใน “องค์ประกอบของธรรม 2” ที่มีทั้งภาวะของรูปและภาวะของนามทำงานร่วมกันที่เรียกว่า “กาย” จนมี “พลังงาน”เริ่มเป็น “ความรู้สึกหรือเป็นอารมณ์ในตนเอง” เรียกภาษาวิชาการว่า  “เวทนา” ยังไม่ได้ ก็ยังไม่ชื่อว่า มี “พลังงาน”เข้าขั้น “จิตนิยาม” 
    เขียนมาถึงตรงนี้ อาตมานึกถึงนักวิทยาศาสตร์ที่เขาพยายาม จะสร้าง “หุ่นยนต์”ให้มี “ความรู้สึก”ขั้น “เวทนา” คือนอกจากจะมีอัตโนมัติในตนเองทุกสิ่งอย่างได้แล้ว ก็ยังมี “พลังงาน”ในตัวมันเอง “รู้สึก”รัก-ชัง-สนุกสนานยอด-เศร้าสร้อยยิ่ง หรือมีทุกข์-มีสุขได้ เยี่ยมกว่าสัตว์เดรัจฉาน คือเหมือนคน มันยากยิ่ง จะเป็นไปได้รื้อ! 
    พลังงานในหุ่นยนต์นั้นแค่ขั้น “พีชนิยาม”ก็ชื่อว่า “ชีวะ”แล้ว แล้วจะทำหุ่นยนต์ให้ไปเป็น “ชีวะ”ขั้น “พีชนิยาม”ก่อนเถอะ จะได้ไหม ถ้าไม่ได้ หุ่นยนต์ก็มี “ชีวะ”ก้าวข้ามขึ้นไปมี “เวทนา”เป็น
 “จิตนิยาม”ไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่ อย่าเสียเวลาเลย
    แต่ถัาจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีประโยชน์ใช้สอยดีวิเศษอย่างไรก็จงทำเถิด แต่อย่าเสียเวลาคิดทำให้มันเป็น “ชีวะ” จนคนหลงตามนำไปสร้างหนังหลอกคนเลย มันครอบงำทางความคิดให้คนงมงาย 

(54) มาเรียนรู้ “สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ”กันก่อนเถอะ
เรื่อง “ความจริง”หรือสัจจะนั้น มีความจริงยิ่งใหญ่ 2 อย่าง คือ  “สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ” เราต้องเรียนรู้ในทางปริยัติก่อน จึงจะไปปฏิบัติแล้วสัมผัสอ่าน “ความจริง”ที่เป็น “เวทนา”ในตนออก 
และแยกได้ว่า “ความจริง” อย่างนี้คือ  “สมมุติ” อย่างนี้คือ “ปรมัตถ์” 
    จึงจะสามารถปฏิบัติเข้าไปเรียนรู้แยก “เวทนาในเวทนา”ได้ว่า ความจริงของเวทนาที่เรากำลัง “สัมผัส”อยู่จริงในขณะที่ปฏิบัติปรากฏภาวะของ “เวทนา”ในตนได้ว่า นี้คือ  “เวทนา” แล้วเรียนรู้ “เวทนาในเวทนา” กระทั่งเรียนรู้มี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” แยกแยะ “เวทนาในเวทนา”ได้จริง    
    จึงจะถึงขั้นไปรู้ได้ว่า  “สมมุติสัจจะ”นั้นอย่างนี้ สุขของสมมุติสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ 
    ต่างจาก “ปรมัตถสัจจะ”ว่า สุขของปรมัตถสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย  
    เพราะแค่รู้ใน “ฌาน”ก็ดี รู้ใน “สมาธิ”ก็ดี รู้ใน “นิโรธ”ก็ดี หรือรู้ว่า  “ความสงบ”ขั้นปรมัตถธรรม คุณวิเศษของพุทธนั้นเป็นอย่างนี้ๆ
    ที่จะไม่ “วิปลาส”ไปจาก “พุทธสัจจะ”นั้น คนฉลาดอัจฉริยะในโลกแท้ๆ ยังยากยิ่งที่จะ “พ้นจากวิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส)ไปได้  

(55) คนจึงรู้ “ตนเอง”ว่า ตน “วิปลาส”หรือไม่..ยากยิ่งนัก
    ซึ่งยากสุดยากมาก ที่คนจะไม่ “วิปลาส”
    ปุถุชนคือ คนที่ยังวิปลาสอยู่ทุกคนนั่นแหละ 
    แม้แต่ผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น “อรหันต์” ก็คือ ผู้ที่ยังเหลือเชื้อแห่ง “วิปลาส”อยู่ เท่าที่ยังมีเศษเหลือของ “อนุสัย”นั้นๆ นั่นแล
    และประเด็นแท้ที่คนปุถุชน “วิปลาส”นั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนยิ่งแล้ว ว่า ผู้ที่มี “สัญญา”ก็ดี  “จิต”ก็ดี  “ทิฏฐิ”ก็ดี 
    ใน “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
    -สิ้งที่เป็นทุกข์ว่าสุข
    -สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน
    -สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
     “ความรู้สึก”หรือเวทนาของใครก็ตาม ที่ยังมี “อาการ”ดังว่านั้น คือ ยังรู้สึกว่า  “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง-สิ้งที่เป็นทุกข์ว่าสุข-สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน-สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
    เริ่มต้นตั้งแต่ “ความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็น”ของผู้ใด คือ ทิฏฐินั่นเอง ยังมีความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็นว่า  “สุข”ที่เป็น “ความสุข”จากการได้โลกธรรมมาสมใจก็ดี หรือได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วยัง “อร่อย, สนุกสนาน, เพลิดเพลิน”อยู่ก็ดี ก็ล้วนคือ ยังมี “อาการ “วิปลาส”อยู่ทั้งสิ้น 
    ผู้ยังมี “ทิฏฐิวิปลาส”อยู่อย่างนี้ ก็ย่อมมีชีวิตใช้ “สัญญา” คือย่อมกำหนดหมาย(สัญญา)เอามาให้ตนไปตาม “ทิฏฐิ”คือความเข้าใจของตนที่เป็นอย่างนั้นอยู่นั่นแหละ ใช่มั้ย?
    นี่คือ ผู้ยังมี “จิตวิปลาส”อยู่ทั้งนั้น เหลือใครสักคนมั้ย???
    อย่าตกใจเป็นอันขาด ว่า เรายังมีความติดยึดอยู่ตั้งมากมาย แล้วเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด หรือหมดเกลี้ยงไปได้สักทีเล่า
    เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำคัญขนาดนี้นี่เอง
    พระพุทธเจ้าจึงให้ค่อยๆลดละไปตั้งแต่ส่วนน้อย(ปริตตัง) ไปตามลำดับ เป็นขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย อย่าไปเล่นเหมาหมด อะไรก็จะลด อะไรก็จะละหมด โดยไม่มีขอบเขต-ไม่มีกำหนด(อัปปมัญญา)
    ท่านให้กำหนดเอาไปตามลำดับขั้นของ “ศีล” คือข้อกำหนดประมาณเอาตามแต่ใครจะพอทำได้ หรือตาม “กรรมฐาน”คือ ตามที่ตนตั้งจิตกำหนดเอาเท่าที่จะปฏิบัติพอเหมาะกับตน

(56)  “กรรมฐาน”คือ หลักปฏิบัติของโพธิปักขิยธรรม
     “กรรมฐาน”หมายความว่าอย่างนี้ ไม่ได้ไปแปลกันให้พิลึกพิลือ ปฏิบัติทรมานกรกรรม ออกนอกรีตศาสนาพุทธนั่นหรอก
    เมื่อมี “กรรมฐาน”แล้วก็ปฏิบัติตามหลัก “โพธิปักขิยธรรม 37”อันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อ “โลกุตรธรรม 37” เริ่มตั้งแต่ “สติปัฏฐาน 4”
    เรียนรู้ตั้งแต่ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ไปเลย ซึ่งปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา โดยมี “สติปัฏฐาน 4-สมัปปธาน 4-อิทธิบาท 4”เป็น 3 เส้าของการปฏิบัติ 
    แล้วจะสั่งสมผลเป็น “อินทรีย์ 5”ไปตามลำดับจนเป็น “พละ 5”ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
    โดยมี “โพชฌงค์ 7”เป็น “การก้าว” กับ “มรรองค์ 8”เป็น “ทางแห่งการก้าว”ไปสู่นิพพาน ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตา ดังที่เข้าใจผิดกัน 
    ผู้สัมมาทิฏฐิในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”จึงจะปฏิบัติบรรลุนิพพานได้อย่างแท้จริง
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า  “ธรรม 2 นั้นแหละ จะรวมลงเป็น 1 ในเวทนา ในธรรม 2 นั่นเอง” (เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) ชัดเจนยิ่ง
     “เวทนา”จึงได้แก่ พลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังงานแห่งชีวะที่มีพัฒนาการถึงขั้นเมื่อ “การสัมผัส”กันของ “รูปภายนอก”กับ “พลังงานภายใน”แล้วมี “อาการ”ใน “พลังงานภายใน”ถึงขั้น “รู้สึก”เป็น “รสอัสสาทะ”ด้วยอวิชชา หรือความหลง(โมหะ) จึงยังมี “อัสสาทะ”อยู่
     “อัสสาทะ”นี้แหละตัวร้ายที่เป็น “รสโลกียะ”ที่คนโง่ คนหลง
     “อัสสาทะ”คือ รสนิยม อารมณ์ที่พึงใจ ความรู้สึกที่รัดรึงใจ ความรู้สึกที่ไปยึดเอา “ความรู้สึกใหม่”ที่เกินความเป็นจริงตามธรรมดา ของภาวะนั้นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ “วิปลาส”กว่าความรับรู้ในการสัมผัสรู้ตาม “ธรรมดาของจริง”นั้น ที่สัตว์โลกผู้อวิชชา “มี”กัน 
     “อัสสาทะ”จึงเป็น “รส”ที่คนรับรู้สึกที่ใหม่ขึ้นมาจากความเป็นจริง  “รส”นี้จึงคือ  “รสที่ไม่มีจริงในความจริง” เป็น “รสเท็จ”(อลิกะ) 
    ซึ่งเป็นความรู้สึกเกินกว่าที่ “ความเป็นจริงของความจริงธรรมดา”ตามภาวะธรรมชาตินั้นมันมีจริง แล้วหลงยึด “รส”นั้นเป็น “อุปาทาน”หยั่งลงเป็น “อภินิเวสส” จึงเกิดเป็น “ตัวตน”(self)ที่มี “ความเป็นตนเอง”เลยเถิดกว่า “พีชนิยาม”อีก 
    อย่างนี้แลที่ “จิตนิยาม”สำหรับคนผู้อวิชชาจะมีกันมากขึ้นๆ 
    แล้วก็สร้าง “กรรม”สร้าง “วิบาก” ให้เป็น “นิยาย”ของโลก เต็มโลก เป็นโลกแห่งสงครามอัสสาทะ”กัน ไม่รู้จบ

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:11:25 )

580819

รายละเอียด

580819_ธรรมาธรรมะสงคราม  ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 19 ส.ค. 58 ก่อนอื่นก็ขออ่าน Sms ของคนที่ส่งมา 
0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกพุทธสถ.อโศก!
0893867xxx ผู้น้อยทิ้งกล่องเก่ามาซื้อกล่องสัญญ.ใหม่ที่ใจกว้างเปิ ดรับช่องบุญนิยมให้ดูบอกรุ่นบ่ได้เด๋วโดนอิทธิพลมืดแกล้งอีก!
0893867xxx อดฟังธรรมะหลายวันจะตามทันไหมมิรู้?ศึกษาธรรมะมีแต่คำว่าเพียรบ่มีคำ ว่าท้อขอบคุณช่างร้านทรูที่ใส่ใจบริการดี!

0893867xxx ปรทัตตูปชีวีที่พ่อครูกล่าวถึงคือเปรตในร่างมนุษย์ที่เรียกว่ามนุสสเปโตที่สามารถรับอามิสพลีธรรมพลีจากผู้อื่นที่ตนอาศัยอยู่ได้ใช่ไหม? 
ตอบ...ความรู้เดิมๆของคนทั้งหลายชาวพุทธเป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขาไปไม่ถึงปรมัตถ์ เรียกมนุสสเปโตเลย อามิสพลี ก็ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วในภพ ที่มีดิน น้ำ ไฟ ลมด้วยนะ เป็นวัตถุธาตุเลย ที่ว่า ปรทัตตูปชีวี เข้าใจมีทิฏฐิความเห็นเช่นนั้น หรือว่าธรรมพลี ได้จากผู้อื่นที่ตนอาศัยอยู่ ความหมายของปรทัตตูปชีวี คือผู้ได้ชีวิตจากผู้อื่น ผู้ที่ได้รับอามิสพลีตอนตายไปแล้วเหลือแต่นามธรรมรับไม่ได้ รับไปแล้วจะเอาไปทำอย่างไร มันคนละอันคนละธาตุจะรับได้อย่างไร แล้วตายไปแล้ววิญญาณไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แค่ดมยังไม่ได้เลย ไม่ต้องพูดถึงกินหรือเคี้ยวเลย นี่คือสัจจะ คนไปประดิษฐ์คำมาเอง ที่เคยได้ยินมีมนุสสภูติ คือธาตุจิตของมนุษย์น่ะ หมายถึงอาการกลางๆของจิต ตอนเป็นๆด้วย

0893867xxx ธรรมพลีอันมีศรัทธาศีลจาคะปัญญาเป็นอาริยะทรัพย์ที่ดีที่สุดที่ลูกควรนำมาแทนคุณบิดามารดาดีกว่าอามิสพลีทรัพย์อื่นใดถูกไหม?
ตอบ...ถูกต้อง แล้วก็ต้องเข้าใจให้ดีนะ คำว่าธรรมพลีที่จะได้คือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ก็ต้องได้ในร่างเป็นๆนี้ หรือที่พระพุทธเจ้าท่านเน้นตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า อามิสต่างๆพึงควรหาให้แก่พ่อแม่ตามควรก็ดี แต่ท่านไม่เน้น

0893867xxx คนเหาะได้บ่เคยเห็นๆแต่กายกรรมกระโดดสูง!วิชา วัดเส้าหลินกระโดดไกลจนดูเหมือนลอยได้ทำได้จริงมิใช่ปาฏิหารย์ใดๆนอกจากการฝึกฝนทักษะ!

0857308xxx เพราะเหตุใดมนุษย์จึงไม่เกิดมาโดยบริสุทธิ์เลยจะได้ไม่มีนิยายมากมายให้เดือดร้อนกันทั่วคะ
ตอบ...เพราะว่าเกิดมาตั้งแต่เป็นกลละ หรือเป็นเชื้อชีวิตเดิม ก่อนจะพัฒนาจากพีชนิยามมีวิวัฒนาการที่กว่าจะมีจุดเปลี่ยนแปลงเข้าขั้น จิตนิยามได้นี่มันอวิชชามาก่อนทั้งนั้นเลย จนเป็นคนแล้วก็มีอวิชชา เป็นอเวไนยสัตว์ก่อนเลย กว่าจะมาเรียนรู้โลกุตรธรรม ก็หลายชั้นเลย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตนเองมีวิวัฒนาการเองเลย ก็อยู่ที่พลังงานทางจิตวิญญาณของแต่ละชีวะ หากเขาไม่พากเพียรก็เรื่องของเขา จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยครบได้สัดส่วนจึงมาได้ 

0857308xxx เหตุใดการพัฒนาจนเป็นจิตนิยามขั้นมนุษย์จึงมีอวิชาที่ต้องล้างนานนับกัปป์กัลป์
ตอบ..และก็เพราะไม่รู้ มีอวิชชาก็เลยยิ่งสะสมอวิชชา อาจเรียนรู้ว่าความซื่อเป็นอย่างไร แต่ก็เอาความซื่อมาอำพรางซ้อนความอวิชชาในตนอีกก็มี

0878324xxx ปาฏิหาริย์ของพุทธไม่ใช่การเหาะเหิน เดินบนนำ้ ดำดิน แต่คือการชำระล้างกิเลสออกจากจิตวิญญาณโดยใช้บุญเป็นเครื่องมือจนหมดสิ้นจากธงรบ ขออภัยค่ะที่คิดอยากรู้มากกว่าการใส่ใจตัดกิเลสปัจจุบัน

0824883xxx WH0 DESTROY THAI THEIR LIFE WILL BE RUINED RADM MINT

เรามาต่อใน ยอดนิยายของโลกฯกันต่อ

เรื่อง “ความจริง”หรือสัจจะนั้น มีความจริงยิ่งใหญ่ 2 อย่าง คือ  “สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ” เราต้องเรียนรู้ในทางปริยัติก่อน จึงจะไปปฏิบัติแล้วสัมผัสอ่าน “ความจริง”ที่เป็น “เวทนา”ในตนออก 
และแยกได้ว่า “ความจริง” อย่างนี้คือ  “สมมุติ” อย่างนี้คือ “ปรมัตถ์” 
    จึงจะสามารถปฏิบัติเข้าไปเรียนรู้แยก “เวทนาในเวทนา”ได้ว่า ความจริงของเวทนาที่เรากำลัง “สัมผัส”อยู่จริงในขณะที่ปฏิบัติปรากฏภาวะของ “เวทนา”ในตนได้ว่า นี้คือ  “เวทนา” แล้วเรียนรู้ “เวทนาในเวทนา” กระทั่งเรียนรู้มี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” แยกแยะ “เวทนาในเวทนา”ได้จริง    
    จึงจะถึงขั้นไปรู้ได้ว่า  “สมมุติสัจจะ”นั้นอย่างนี้ สุขของสมมุติสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ 
    ต่างจาก “ปรมัตถสัจจะ”ว่า สุขของปรมัตถสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย  
    เพราะแค่รู้ใน “ฌาน”ก็ดี รู้ใน “สมาธิ”ก็ดี รู้ใน “นิโรธ”ก็ดี หรือรู้ว่า  “ความสงบ”ขั้นปรมัตถธรรม คุณวิเศษของพุทธนั้นเป็นอย่างนี้ๆ
    ที่จะไม่ “วิปลาส”ไปจาก “พุทธสัจจะ”นั้น คนฉลาดอัจฉริยะในโลกแท้ๆ ยังยากยิ่งที่จะ “พ้นจากวิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส)ไปได้  

(55) คนจึงรู้ “ตนเอง”ว่า ตน “วิปลาส”หรือไม่..ยากยิ่งนัก
    ซึ่งยากสุดยากมาก ที่คนจะไม่ “วิปลาส”
    ปุถุชนคือ คนที่ยังวิปลาสอยู่ทุกคนนั่นแหละ 
    แม้แต่ผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น “อรหันต์” ก็คือ ผู้ที่ยังเหลือเชื้อแห่ง “วิปลาส”อยู่ เท่าที่ยังมีเศษเหลือของ “อนุสัย”นั้นๆ นั่นแล
    และประเด็นแท้ที่คนปุถุชน “วิปลาส”นั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนยิ่งแล้ว ว่า ผู้ที่มี“สัญญา” ก็ดี  “จิต”ก็ดี  “ทิฏฐิ”ก็ดี 
    ใน “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
    -สิ้งที่เป็นทุกข์ว่าสุข
    -สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน
    -สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
     “ความรู้สึก”หรือเวทนาของใครก็ตาม ที่ยังมี “อาการ”ดังว่านั้น คือ ยังรู้สึกว่า  “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง-สิ้งที่เป็นทุกข์ว่าสุข-สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน-สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
    เริ่มต้นตั้งแต่ “ความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็น”ของผู้ใด คือ ทิฏฐินั่นเอง ยังมีความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็นว่า  “สุข”ที่เป็น “ความสุข”จากการได้โลกธรรมมาสมใจก็ดี หรือได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วยัง “อร่อย,สนุกสนาน,เเพลิดเพลิน”อยู่ก็ดี ก็ล้วนคือ ยังมีอาการ “วิปลาส”อยู่ทั้งสิ้น 
    ผู้ยังมี “ทิฏฐิวิปลาส”อยู่อย่างนี้ ก็ย่อมมีชีวิตใช้ “สัญญา” คือย่อมกำหนดหมาย(สัญญา)เอามาให้ตนไปตาม “ทิฏฐิ”คือความเข้าใจของตนที่เป็นอย่างนั้นอยู่นั่นแหละ ...ใช่มั้ย?
    นี่คือ ผู้ยังมี “จิตวิปลาส”อยู่ทั้งนั้น เหลือใครสักคนมั้ย???
    อย่าตกใจเป็นอันขาด ว่า เรายังมีความติดยึดอยู่ตั้งมากมาย แล้วเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด หรือหมดเกลี้ยงไปได้สักทีเล่า
    เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำคัญขนาดนี้นี่เอง
    พระพุทธเจ้าจึงให้ค่อยๆลดละไปตั้งแต่ส่วนน้อย(ปริตตัง) ไปตามลำดับ เป็นขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย อย่าไปเล่นเหมาหมด อะไรก็จะลด อะไรก็จะละหมด โดยไม่มีขอบเขต-ไม่มีกำหนด(อัปปมัญญา)
    ท่านให้กำหนดเอาไปตามลำดับขั้นของ “ศีล” คือข้อกำหนดประมาณเอาตามแต่ใครจะพอทำได้ หรือตาม “กรรมฐาน”คือ ตามที่ตนตั้งจิตกำหนดเอาเท่าที่จะปฏิบัติพอเหมาะกับตน

(56)  “กรรมฐาน”คือ หลักปฏิบัติของโพธิปักขิยธรรม
     “กรรมฐาน”หมายความว่าอย่างนี้ ไม่ได้ไปแปลกันให้พิลึกพิลือ ปฏิบัติทรมานทรกรรม ออกนอกรีตศาสนาพุทธนั่นหรอก
    เมื่อมี “กรรมฐาน”แล้วก็ปฏิบัติตามหลัก “โพธิปักขิยธรรม 37”อันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อ “โลกุตรธรรม 37” เริ่มตั้งแต่ “สติปัฏฐาน 4”
    เรียนรู้ตั้งแต่ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ไปเลย ซึ่งปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา โดยมี “สติปัฏฐาน 4-สมัปปธาน 4-อิทธิบาท 4”เป็น 3 เส้าของการปฏิบัติ 
    แล้วจะสั่งสมผลเป็น “อินทรีย์ 5”ไปตามลำดับจนเป็น “พละ 5”ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
    โดยมี “โพชฌงค์ 7”เป็น “การก้าว” กับ “มรรองค์ 8”เป็น “ทางแห่งการก้าว”ไปสู่นิพพาน ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตา ดังที่เข้าใจผิดกัน 
    ผู้สัมมาทิฏฐิในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”จึงจะปฏิบัติบรรลุนิพพานได้อย่างแท้จริง
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า  “ธรรม 2 นั้นแหละ จะรวมลงเป็น 1 ในเวทนา ในธรรม 2 นั่นเอง” (เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) ชัดเจนยิ่ง
     “เวทนา”จึงได้แก่ พลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังงานแห่งชีวะที่มีพัฒนาการถึงขั้นเมื่อ “การสัมผัส”กันของ “รูปภายนอก”กับ “พลังงานภายใน”แล้วมี “อาการ”ใน “พลังงานภายใน”ถึงขั้น “รู้สึก”เป็น “รสอัสสาทะ”ด้วยอวิชชา หรือความหลง(โมหะ) จึงยังมี “อัสสาทะ”อยู่
     “อัสสาทะ”นี้แหละตัวร้ายที่เป็น “รสโลกียะ”ที่คนโง่ คนหลง
     “อัสสาทะ”คือ รสนิยม อารมณ์ที่พึงใจ ความรู้สึกที่รัดรึงใจ ความรู้สึกที่ไปยึดเอา “ความรู้สึกใหม่”ที่เกินความเป็นจริงตามธรรมดา ของภาวะนั้นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ “วิปลาส”กว่าความรับรู้ในการสัมผัสรู้ตาม “ธรรมดาของจริง”นั้น ที่สัตว์โลกผู้อวิชชา “มี”กัน 
     “อัสสาทะ”จึงเป็น “รส”ที่คนรับรู้สึกที่ใหม่ขึ้นมาจากความเป็นจริง  “รส”นี้จึงคือ  “รสที่ไม่มีจริงในความจริง” เป็น “รสเท็จ”(อลิกะ) 
    ซึ่งเป็นความรู้สึกเกินกว่าที่ “ความเป็นจริงของความจริงธรรมดา”ตามภาวะธรรมชาตินั้นมันมีจริง แล้วหลงยึด “รส”นั้นเป็น “อุปาทาน”หยั่งลงเป็น “อภินิเวส”(ความยึดมั่นอย่างปักใจ) จึงเกิด
เป็น “ตัวตน”(self)ที่มี “ความเป็นตนเอง”เลยเถิดกว่า “พีชนิยาม”อีก 
    อย่างนี้แลที่ “จิตนิยาม”สำหรับคนผู้อวิชชาจะมีกันมากขึ้นๆ 
    แล้วก็สร้าง “กรรม”สร้าง “วิบาก” ให้เป็น “นิยาย”ของโลก เต็มโลก เป็นโลกแห่ง “สงครามอัสสาทะ”กัน ไม่รู้จบ

(57)  “พีชนิยาม”ยังไม่มี “กรรม”ยังไม่มี “วิบาก”ข้ามชาติ
     “พีชนิยาม”ยังไม่มี “อวิชชา” เพราะมันยังไม่ใช่ “จิตนิยาม”  “พลังงาน”ของมันยังไม่มี “เวทนา” พีชนิยามมีแค่ “สัญญา กับสังขาร” เท่านั้นจึงยังไม่สามารถมี “รสเท็จ” เพราะมัน“รู้สึก”อย่างนั้นยังไม่เป็น 
    ผู้ที่มี “อัสสาทะ”ซึ่งเป็น “รสเท็จ”หรือ “รสเก๊ที่ไม่มีตัวตน-ไม่ใช่ของจริง”(อนัตตา)นั้น ก็เพราะมี “วิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส) จะมีอันใดอันหนึ่งวิปลาส จะวิปลาส 2 อย่าง
หรือวิปลาสทั้ง 3 อย่างก็ตาม ทำให้เกิด “อัสสาทะ”ได้ทั้งนั้น 
    สำหรับ “พีชนิยาม”นั้นยังไม่มี “กรรม”ยังไม่มี “วิบาก” ซึ่งเป็นความยึดถือที่ติดไปกับ “ความจำ-ความกำหนดรู้”(สัญญา) แล้วนำไป “ปรุงแต่งตัวเอง”(สังขาร)ตามความยึดมั่นจนถึงขั้น “ข้ามภพ-ข้ามชาติ”
    เพราะในตอนที่เป็น “พีชนิยาม”นั้น มันก็มี “รูปกับพลังงาน”ของมันปรุงแต่งกันอยู่ เมื่อมันแหลกสลายไม่เหลือ “รูปธรรม”อันมีองคาพยพที่ไม่เกาะกุมกันแล้ว  “พลังงานอุตุ”ของมันก็หมดสิ้นไป
กับความแตกสลายของรูปธรรม เพราะ “พลังงานของอุตุนิยาม”อันเป็น “ตัวตน”ตามสภาพของมัน(self)ยังไม่มีอุปาทาน  “พลังงานที่ยึด” ของมันยัง “ไม่มั่น-ไม่แน่น”เหมือน “พลังงานจิตนิยาม”  “พลังงานอุตุนิยาม”จึงไม่มีข้ามภพข้ามชาติใดๆเลย หมดจบอยู่ในชาติเดียว
     “พีชนิยาม”จึงไม่มี “บาป”ไม่มีเวรข้ามภพข้ามชาติ  “กรรม”ที่สั่งสมลงเป็น “วิบาก” ข้ามภพข้ามชาติยังไม่มี เพราะ “การยึดเอา”(อาทาน)ของพีชนิยาม มันยึดถือแค่ชาติเดียว ภพเดียวเท่านั้น

(58) ความรู้ของ “อัตตา”ขั้น “อธิจิต”จึงจะสามารถรู้ตนเอง
    ผู้มี “ญาณ”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “พีช”นี้ที่สัมมาทิฏฐิ  จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะแห่งธรรมขั้น “เอกพีชี”หรือ “เอกัคคตจิต”ได้จริงแน่ “สัมมาทิฏฐิ”จริงแท้ซึ่งเป็น “ความรู้”ขั้นอธิจิตหรือ “ญาณ” 
    จึงมีภูมิแยกภาวะแห่ง “เอกพีชี”นั้นแตกต่างจาก “โกลังโกละ”หรือต่าง “จัตตักขัตตุงปรม”ไฉน แม้แต่ “เอกพีชี”(ยังมีเชื้อ “พีชะ”อีกหนึ่งชาติในความเป็นพีชะ)นั้น แตกต่างจาก “สกิทาคามี”(ผู้ยังยึดตนในกามภพอีกหนึ่งชาติในความเป็นอัตตา) อย่างไร ได้ชัดเจนจริง
     “เอกพีชี”นั้นหมายถึง  “พีชะ”เชื้อชีวิต อันเป็น “ชีวิตินทรีย์” ซึ่ง “ญาณ”ที่จะรู้ก็รู้ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ภายใน จากส่วนละเอียดของ “นามธรรม”ว่า  “เชื้อชีวิต”ขั้นพีชะนั้นเป็นไฉน เท่าไร 
    ที่ไปแปลกันว่า  “เอกพีชี”คือผู้จะ “เกิดอีกชาติเดียว” สำหรับ “เอกพีชี”ก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า หมายเอา “ชาติ”ของอะไร? แค่ใด? เท่าไหร่? ในพลังงานของความเป็น “พีชะ” ซึ่งความเป็น “ชาติ” ของ “พลังงานพีชะ”ไม่ใช่ “พลังงาน”ที่เป็น “ชาติ”ของความเป็นบุคคลตัวตนร่างกายแต่ละชาติแน่ มันเป็นเพียง “พลังงานขั้นอรูปธรรม”เท่านั้น  
    ส่วน “สกิทาคามี”ก็แปลกันว่า  “ผู้เกิดอีกชาติเดียว”เช่นกัน แต่สกิทาคามีนี้ คือ  “บุคคล”ซึ่งเป็น “อัตตา”ที่ครบ “โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา”ทีเดียว ไม่ใช่หมายถึง “พีชะ”ซึ่งเป็น “อัตตา”แค่ “พลังงานขั้นอรูปอัตตา”เท่านั้น  “พีชะ”นั้นยังไม่ถึงขั้นมโนมยอัตตาเลย ยิ่งขั้น “โอฬาริกอัตตา”ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงหรอกเพราะ “โอฬาริก อัตตา”นั้นต้องประกอบไปด้วยดินน้ำไฟลม และตาหูจมูกลิ้นกายใจ  
    ก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”ของ “สกิทาคามี”นั้นว่า หมายเอา ความเป็น “กาย”ที่ครบพร้อมทั้ง “องค์รวมของรูปกับนาม” อันเป็นภาวะที่ต้องมี “องค์ประกอบของทั้งรูปและนาม”(กาย) ที่เกี่ยวข้องทั้งภาวะภายนอก(ตาหูจมูกลิ้นกาย)และภายใน(จิตใจ) เป็น “โอฬาริกอัตตา”เต็มๆ จึงเป็นเรื่องของ “การเกิด”องค์รวมที่หมายถึง “คน”แล้ว

(59) การรู้จักรู้แจ้ง “ชาติ”ของ “อธิจิต”ที่เป็น “อัตตา 3”
    ดังนั้น  “สกิทาคามี”จึงแตกต่างกับ “เอกพีชี”ตรงที่หมายถึง  “มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา”อันเป็นขั้นปรมัตถธรรม คือหมายเอา “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ภายใน ต้องศึกษาปฏิบัติไปถึงความเกิด
ระดับ “โอกกันติ”อันผู้ปฏิบัติต้องสามารถอ่าน “ความเกิดของชาติ”ขั้น “จิตในจิต”กันเข้าไปในภายใน ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “พลังงาน”ขั้น “ธรรมนิยาม 5”(อุตุ-พีช-จิต-กรรม-ธรรม)อย่างชัดเจนสัมมาทิฏฐิ 
    และต้องเข้าใจความเป็น “ชาติ 5”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 7) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อน ชาติ 5 นั้นได้แก่ ชาติ-สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ 
    ซึ่งทั้ง “5 ชาติ”นั้น มีอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ ที่ต้องเรียนรู้ปริยัติที่เป็น “อุเทศ”จากสัตบุรุษเสียก่อน แล้วจึงจะไปจับ “นิมิต”เอาเองของตนๆในจิตตน จาก “อาการ”นั้นๆของจิต-เจตสิก-รูป-
นิพพาน ที่ตนมีตนได้ตนบรรลุถึงจริง เท่าที่ตนปฏิบัติถึงขั้นนั้นๆ ของตนๆ ทุกความเป็น “ชาติ”ทั้ง 5 นั้น ล้วนยังมี “ทุกข์”ตาม “ธรรม” (ความทรงอยู่) อันยังมี “ชาติ”แต่ละ “ชาติ”ที่ต่างกันนั้นๆอยู่ทั้งนั้น
    จึงต้องมาเรียนรู้ “ทุกข์”ที่มันมี “ชาติ”(ความเกิด)อยู่ใน “ธรรม” ของตนๆ ที่เรียกว่า “ธรรมชาติ” ในธรรมชาติของ”จิต “หรือ “อัตตา”ขั้น “จิตนิยาม”จึงยังมีทุกข์มีสุข เพราะ “พลังงานจิต”ถึงขั้นมี “นาม
ขันธ์ 4”แล้ว โดยเฉพาะขั้น “เวทนา”ซึ่งนับเป็นธรรมชาติขั้นจิต ถ้ายังอวิชชา ก็จะยังมีทุกข์ มีสุข ด้วยความ “วิปลาส 3”อยู่แน่ 
     “อัตตา”(self)ขั้น “จิตนิยาม”วิจิตรกว่า “อัตตา”ขั้น “พีชนิยาม” ตรงที่ “พลังงาน”ได้พัฒนาขึ้นมาเป็น “เวทนา”  “จิต”จึงยึด “ตัวตน”ยิ่งกว่า “พีชะ” และจิตนั้นหลง “ตัวตน”(อัตตา)ยิ่งกว่าพีชะ อัตตาขั้น “จิต”จึงเห็นแก่ตัวยิ่งกว่า “พีชะ” เพราะยัง “อวิชชา”จึงยัง “หลง”(โมหะ) ดังนั้นจึงยัง “วิปลาส”ไปยิ่งกว่า “พีชะ”
    จึงต้องศึกษาเรียนรู้ “ความเกิด”(ชาติ)ของ “จิตวิปลาส”ของตน ให้มี “ความเห็นถูก”(สัมมาทิฏฐิ)ก่อนอื่น จะได้ฝึกฝน “ความกำหนดหมายรู้”(สัญญา)ของตน ลด “ความวิปลาส”ในอัตตาของตนลงไปจนหมด “สิ้นความวิปลาส”ได้หมดเกลี้ยง  “อัตตา”ของตนจึงจะดีวิเศษ    
     “จิตนิยาม”ต้องเรียนรู้ความหลงใน “อัตตา”ของตน ซึ่งมีองค์ประกอบในความเป็น“อัตตา”ของ “จิตนิยาม”นี้ถึง 3 ลักษณะ ได้แก่ โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา แล้วศึกษา “จิต”ของตนทำ
 “จิต”ของตน(มนสิกโรติ)ให้เจริญเป็น “อธิจิต”ขึ้นไปให้ได้
     “อัตตา”ขั้น “จิตนิยาม”จึงจะมี “พลังงานพิเศษ” ที่ไม่มีพลังงานชั่ว ไม่มีโทษ แต่พลังงานจิตที่มีนั้นกลายเป็น(ภวันติ) “พลังงานดี”ไป  “อัตตา”ใหม่จึงเป็นพลังงานเจริญหรือกำไรขึ้นมาอย่างวิเศษ..ชัดมั้ย?

(60)  “ความดับ”จึงจะมีได้แท้จริงถ้วนทั้ง “ภพ 3”สัมบูรณ์
    ต้องแม่นยำให้ดีนะ ว่า  “พีชนิยาม”ไม่มี “โอฬาริกอัตตาและมโนมยอัตตา” เพราะไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกาย” จะมีก็แต่ “อรูปอัตตา”
    เห็นมั้ยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงต้องให้ปฏิบัติเรียนรู้ลดละกิเลสในขณะมี “กาย”(พร้อมองค์ประชุมของรูปกับนาม)หรือในขณะมี “สัมผัส 3” เช่น ต้องมี “ตาสัมผัสกับรูป หูสัมผัสกับเสียง” ฯลฯ จึงจะเกิด “วิญญาณ”หรือ “จิต”ให้เราเรียนรู้ของจริงที่เป็น “โอฬาริกอัตตา” 
    เมื่อผู้ใดสามารถ “ดับกิเลส”ในภพที่มี “สัมผัสภายนอก”ได้สำเร็จแข็งแรง ก็สามารถ “อยู่เหนือ”(อุตตระ)ภาวะนั้นได้แน่แท้ ทั้งภายนอกและภายใน ก็จบกิจเด็ดขาด 
    จะมีชีวิตอยู่หรือจะตายไป ก็ไม่มี “อัตตา”แน่ๆ อนัตตาจริงๆ 
    แต่ถ้าผู้ที่ไม่เรียนรู้ “โอฬาริกอัตตา”ในขณะมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ตน “จบกิจ”ในการกำจัด “โอฬาริกอัตตา”อย่างเป็นของจริงของเราหรือยัง? เพราะไม่ได้ “สัมผัส”จริง ไม่ได้ฝึกจริง และไม่เคยรู้ผลว่า เราทำได้จริงหรือเปล่า?!!
    จึงไม่มี “ปัญญา”อันยิ่ง เต็มสภาพที่รู้ยิ่งทั้งภายนอกและภายใน ว่า “มโนมยอัตตา”ที่เรา “สำเร็จในจิตนั้น” มันเป็น “ปัญญาภายนอก”ด้วยหรือมีแค่ “สัญญาภายใน”เท่านั้น เพราะตนไม่มีปัญญาที่เป็น “ปัญญา” อันเกิดจากการปฏิบัติครบมี “องค์ธรรม 6”คือ ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในมหาจัตตารีสกสูตร
     “อินทรีย์ 5”ของปัญญาก็ไม่มี  “พละ 5”จึงไม่มีเด็ดขาด 
    เพราะไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติมี “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”หรือได้ปฏิบัติ “จรณะ 15”ที่มี “โพธิปักขิยธรรม 37” บริบูรณ์ อย่างแท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตราไว้ให้ปฏิบัติ จึงไม่เกิด “ปัญญา”ในตน ก็มีแต่ “สัญญา”เท่านั้นที่ตนได้ปฏิบัติ เนื่องจาก “ทิฏฐิ”ไม่สัมมา จึงฝึกอยู่แต่ “สัญญา” ที่มี “ทิฏฐิวิปลาส”ยึดอยู่อย่างเดิมๆ
     “ทิฏฐิ”ไม่ได้เห็นใหม่ ไม่ได้เข้าใจใหม่ จึงไม่ได้รู้ยิ่งของใหม่ ภาวะใหม่ไม่ได้เกิด เพราะไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สัมผัสของจริง 
     “จิต”จึง “วิปลาส”อยู่ตามเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง 
    จึงตายไปแล้วก็ไม่ “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ว่า การมี “สัญญา”ที่กำหนดรู้ของตนนั้น มันเป็น “ปัญญา” หรือเป็น “สัญญา” ภพที่เรากำลังเป็นอยู่ขณะนั้น แยกไม่ออกว่าเป็น “กามาวจร”หรือเป็น “รูปาวจร” เพราะไม่ได้ปฏิบัติในขณะมี “กามาวจรภูมิ”จริง และได้ “ดับอัตตา”ไปสิ้นแล้วในขณะที่อยู่ใน “กามภพ”มาแล้ว ตนจึงยัง “อวิชชา”อยู่ ยัง “หลงภพ”(โมหะ)อยู่แน่นอน
    ส่วนผู้ที่ได้ฝึกมาจริง และได้มรรคผลมาจริง จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “อาการ”ของจิตว่าตน “มีกามราคะ”ในจิตมั้ย มี “รูปราคะ”ในจิตมั้ย หรือยังมี “อรูปราคะ”ในจิตมั้ย ก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงใน 3 ภพแน่ๆ

(61) สภาพจริงของคน “ตกนรก” เป็นเช่นนี้ๆเอง
    ดังนั้น ผู้ได้ปฏิบัติจริงใน “กามาวจร” จนสามารถ “ดับกามตัณหา”ไปสิ้นใน “กามภพ”แล้ว เมื่อเข้าไปอยู่ใน “รูปภพ” กามตัณหาก็ไม่มีใน “รูปภพ”  “อาการจิต”ของคนผู้ไม่มี “กามตัณหา”แล้วจริงใน “รูปาวจร”จึงต่างกัน(ลิงคะ)กับผู้ยังมี “กามตัณหา”อยู่ใน “รูปาวจร”อย่างยิ่งจริงจัง เพราะเหตุนี้ใน “ความรู้”จึงต่างกัน ใน “ความรู้สึก”ก็ต่างกัน ในความหลงดิ้นรนของความไม่รู้(อวิชชา)ก็ต่างกัน อื่นๆอีก ฯลฯ
    เพราะผู้ “ดับกามตัณหา”ได้ในขณะมีการฝึกเรียนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “กามภพ”จริง ก็จะไม่เหลือ “กามตัณหา”ของ “กามภพ”จริง ดังนั้นแม้จะอยู่ในภาวะ “รูปาวจร”จึงรู้ชัดเพราะตน “ไม่มีกามตัณหา” แล้ว
    ส่วนผู้ไม่ได้ปฏิบัติในสภาพ “กามาวจรภูมิ” จึงหลงตน ไม่รู้ความจริง ไม่รู้สภาพจริง ก็จะดิ้นรน เหมือนคนเสพติดยาบ้าที่อาการหนัก เมื่อมันเกดิอาการอยากแรงๆขึ้น หรือตกอยู่ใน “อาการอยากแรงจัด”เมื่อใดก็จะดิ้นหน้ามืดดำฤษณา ไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้อะไรเป็นอะไรทั้งสิ้น เยี่ยงเดียวกันนี้แล 
    นี่คือ สภาพจริงของคน “ตกนรก” จะเป็นเช่นนี้ๆเอง     
           
(62) ผู้ “ดับอัตตา 3”สำเร็จจึงจะชื่อว่า ผู้บรรลุ “อนัตตา”
     “พีชนิยาม”มันไม่มี “ทุกข์” พลังงานของ “พีชะ”ยังไม่มี “เวทนา” จึงยังไม่รู้จัก “ทุกข์” ไม่รู้จัก “สุข” เพราะ “อัตตา”ของมันยังไม่วิจิตร ยังไม่มี “ธาตุรู้”ที่เป็น “อัตตา”ขั้นสูงขึ้นมาถึงขั้น “จิตนิยาม”  
     “ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่เป็น “อัตตา 3” และได้กำจัด “อัตตา 3”ไปจากจิตหมดสิ้นสนิทได้จริง คนผู้นั้นก็ชื่อว่า ถึงภาวะ “อนัตตา” คือผู้บรรลุ “ความไม่มีตัวตน”นั้นๆ(เฉพาะอัตตาตัวที่ตนได้กำจัดมาแล้ว)  “อวิชชา”ก็กลายเป็น “วิชชา”ในความเป็น “อัตตา”นั้นๆ
    เมื่อยัง “อวิชชา” คนอาศัย “จิตนิยาม”จึงชื่อว่า “อัตตา”อยู่ทั้งนั้น แต่ผู้ศึกษาสััมมาทิฏฐิแล้วนั้นได้ชำระ “อัตตา”ที่ควรกำจัดออกไปกระทั่งหมดสิ้นไปตามลำดับ จนสิ้นเกลี้ยงความเป็น “อัตตา”ที่เป็นอกุศลจิต ที่ไม่ควรมี จบเสร็จ เรียกว่า  “อรหันต์” คือ ผู้มี “ความไม่ลึกลับในอัตตา 3 สูงสุดแล้ว” และได้จัดการ “ดับอัตตา”สิ้นหมดทั้ง 3 อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะมีภาวะ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” บริบูรณ์ กระทั่งหมดสิ้นเกลี้ยง “อัตตา 3”แล้ว
    เป็นผู้มี “วิมุติเป็นสาระ”แล้ว จึง “หยั่งลงสู่ความเป็นอมตะ”  อยู่เป็น “บุคคลอมตะ” ที่ยังเหลือ “อรหัตตา”นั้นทำประโยชน์ให้ แก่สังคมแก่โลกต่อไป(พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ)  
    เพราะมีความสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “พลังงาน”ของ “ธรรมนิยาม 5”แท้จริง แล้วจัดการกับ “พลังงาน”ของ “ธรรมนิยาม 5” ทุกขั้นตอน ตามที่ต้องจัดการปรุงแต่ง(อภิสังขาร)ให้สำเร็จบริบูรณ์ 
     “ธรรมนิยาม 5”ก็คือ อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรม นิยาม-ธรรมนิยาม นั่นเอง 
    แต่ยัง “อาศัยอัตตา”ที่เป็น “ขันธ์ 5”นั้นอยู่ ตราบที่ยังไม่ทำ “ปรินิพพาน”เป็น “ปริโยสาน”ขั้นสุดท้ายปลายจบไม่เหลืออัตตาใดอีก ตามพระพุทธเจ้าตรัสใน “มูลสูตร 10”พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58
       
(63) อัตตาหรือเวทนา “ดับ”แล้ว อัตตา-เวทนาก็ยังอยู่..!
    สุดท้ายจึงเหลือแต่ “อัตตา”ที่เป็น “อธิจิต”ที่ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม เพราะได้ชำระจิตได้ผ่องแผ้วแล้ว(สัพพปาปัสส อกรณัง-กุสลัสสูปสัมปทา-สจิตตปริโยทปนัง)
    นั่นคือ ได้ “ดับอัตตา 3”ในจิตใจของตน ที่เป็น “อกุศลจิต”ไปสิ้นเกลี้ยงแล้วบริบูรณ์ จบกิจใน “ธรรมนิยาม 5”สัมบูรณ์
    และยังเป็นผู้มี “อัตตา”ที่อาศัยอยู่เป็นธรรมดา เมื่อได้ “ดับเวทนาในเวทนา”สำเร็จจริงแล้ว เพราะ “อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา”(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 63)   
63] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี ประมาณเท่าไรก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตา ของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา    

อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย จะว่าอัตตา   ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น   อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น 3 อย่างนั้น ผู้ที่กล่าว    อย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนา มี 3 อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา 3 ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา อานนท์ ในสมัยใด อัตตา  เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น อานนท์ ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้   เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คง
เสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียว    เท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็นอทุกขม  สุขก็ดีล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความ คลาย และความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่านี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเรา ดับไปแล้ว เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อ  ทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว เมื่อเสวย       อทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนา

 อันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า  เวทนาเป็นอัตตา
ของเรานั้น เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง     เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์
มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็น  อัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ
อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะ     เล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่
กล่าวอย่างนี้ว่า     ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึง
 ถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ใน  รูปขันธ์นั้น ยัง
จะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ
      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ
      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนา ไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำดังกล่าว แล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเราไม่  ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวย
เวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของ       เรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็
เพราะเวทนาจะต้อง   ดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ
 เวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับ    ไปแล้ว ฯ
      ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ
      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า  เวทนาไม่เป็นอัตตา
ของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำ    ดังกล่าวแล้วนี้ ฯ

[64] ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่    เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนา  อยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้     ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่      สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน ทั้งรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอานนท์  ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย   สัตว์ไม่มีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย   สัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้ กะภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร ฯ
      ข้อนั้น เพราะเหตุไร
      ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ บัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ  การแต่งตั้งทางที่กำหนดรู้ ด้วยปัญญา วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตราบใด วัฏฏสงสาร ยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้นเพราะรู้ยิ่ง วัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึงหลุดพ้น ข้อที่มี   ทิฐิว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นภิกษุผู้หลุดพ้น เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น  นั้นไม่สมควร ฯ


_ทิวเมฆเขาถามมาว่า พ่อครูใช้กรรมฐานอย่างไร เพราะที่เขาพูดกันนั้นมันผิดครับ
ตอบ...กรรมฐานคือศีล นี่เข้าหลักวิชาเลย ตัวใครก็มีศีลของตน ตัวหลักคือศีล ส่วนตัวปฏิบัติคือกิน อยู่ หลับ นอน สรุปคือ จรณะ 15 คือศีล กิน อยู่ หลับนอน คือสภาพที่ให้สงบหลับนอนคือการพัก การอยู่คือปฏิบัติปัจจุบัน กินคือระมัดระวัง 

_ผู้ถือศีล 8 หรือศีลสูงขึ้น ได้อะไร ช่วยชาติช่วยสังคมได้อย่างไร
ตอบ...ผู้ผ่านศีล 5 หรือศีล 8 คือผู้ไม่ทำร้ายใครไม่เอาของใคร ไม่ผิดในกาม ไม่พูดปดไม่เสพสิ่งเสพติดแล้ว ไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำเลวทำรุนแรงอย่างมีโทสะมูลศีลข้อ 2 โลภะมูล ศีลข้อ 3 ราคะมูล นี่ประโยชน์ต่อโลกได้ทันที ยิ่งสูงเป็น ศีล 8 กินใช้น้อยลงก็เหลือให้สังคมสิ 

คนทุกวันนี้กินเกิน รพ.ทุกวันนี้เกิดแล้วเกิดอีกจนมีการรักษานอกระบบมากมาย อาตมาก็ปรามไปแล้วเรื่องของล้างพิษตับ พูดไปแล้วก็ถามมามากเลย เพราะว่าไปห้ามเข้า ว่า ชุมชนชาวอโศกอย่ามาทำเป็นทางการ ส่วนตัวก็ทำไป ก็แย้งมาว่า สัญญากับเขาไว้แล้ว ต่างๆนานาสารพัด อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร 

คือพวกเราไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ท่านแสนดินก็รวบรวมหลักฐาน จากของเราสองศพพวกเราที่ไม่ควรตายก็ตาย แล้วคนอื่นที่ได้รับบาดเจ็บมีผลกระทบ มันมีอย่างนี้ต้องควรระวัง อย่าไปเห็นแก่ได้เห็นแก่อะไรเลย คนไหนจำเป็นที่สุดก็ทำไป ที่ไหนมีฐานรับรองก็ทำไป อย่างกอบ อย่างหมอเขียว อย่างรร.ผู้นำก็ทำไป แต่ของเราไม่ได้เป็นหลักเป็นฐานรับผิดชอบกัน ก็ขอปรามเอาไว้

แจ้งข่าวดีถึงชาวเมืองอุบลฯ รบกวนช่วยขึ้นตัววิ่งให้ด้วยค่ะข้อความดังต่อไปนี้. "โครงการส่งเสริมการปฏิบัติธรรม" ขอเชิญสมัครเข้าค่ายปฏิบัติธรรม "สัมมาอาริยมรรค" ครั้งที่ 1  เริ่มวันศุกร์ที่ 21 ส.ค.2558 เวลา 17.00น.ถึงวันอาทิตย์ที่ 23 ส.ค.2558 ณ พุทธสถานราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี สนใจเข้าค่ายโทรสมัครได้ที่ สม.ตรงธรรม 091_506_3130


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:12:32 )

580820

รายละเอียด

580820_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ตอบปัญหาเติมสัมมาทิฏฐิ

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 20 ส.ค. 58 ก็มีเด็กๆนั่งฟัง ก็จะอธิบายธรรมะให้ค่อยๆไป เพราะเรื่องที่เราพูดกันมันลึกละเอียดมาก ก่อนจะเข้าถึงเรื่องลึกซึ้งก็เอา sms มาอ่านก่อน 

0893867xxx จิตเกิดใหม่ต้องเป็นจิตที่เกิดแบบโอปปาติโยนิจึงจะเป็นจิตอาริยะแท้
ตอบ...กว่าจะเกิดใหม่ได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เกิดจากปรโลก(โลกที่คนทั่วไปอยู่) ถ้าเป็นโลกทางจิตวิญญาณต้องไปเกิดใหม่ในโลกของจิตวิญญาณอยู่ ก็เป็นความเข้าใจตื้นๆของคนทั่วไป เขาว่า จิตวิญญาณ เกิดต้องเกิดแบบคลอดออกจากท้องพ่อท้องแม่ ถ้าสัตว์ที่มีมดลูกเกิดลูกออกมาเป็นตัว เรียกว่า ชลาภุชโยนิ มีน้ำคร่ำหล่อเลี้ยงไว้ เวลาเราอยู่ในท้องแม่ไม่คลอดออกมานี่เรามีน้ำหล่อเลี้ยงไว้นะ พระพุทธเจ้าแบ่งการเกิดไว้ 4 อย่าง 

การเกิดที่ฟักตัวในมดลูก โตมาแล้วก็คลอดมาเป็นรูปร่างตัวตนเลยทันที ท่านเรียกว่า ชลาภุชโยนิ เกิดออกมาเป็นตัวตนเลย อีกชนิดนี่เกิดมาเป็นไข่ก่อน อย่างนก หรือสัตว์เลื้อยคลาน ก็เกิดมาเป็นไข่ก่อนแล้วก็ค่อยฟักเป็นตัว เรียกอีกอย่างว่า อัณฑชโยนิ เกิดเป็นไข่ก่อนแล้วค่อยเกิดมาเป็นตัว 

ส่วนอันที่สามเกิดแบบแตกตัว อย่างแบคทีเรีย แยกตัวได้ เรียกว่า สังเสทชะโยนิ 

อีกอย่างหนึ่งคือการเกิดทางจิตวิญญาณ โอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ อันนี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่รู้ และยากที่จะรู้ ศาสนาพุทธก็เรียนกันแต่ไม่สัมมาทิฏฐิ หากเข้าใจก็จะทำให้ตัวเราเกิดใหม่เป็นโอปปาติกโยนิได้ เกิดสู่โลกใหม่(โลกอุดร) หรือเหนือโลกโลกียะ เป็นปรโลกของศาสนาพุทธโดยตรง แต่แม้ชาวพุทธเองทุกวันนี้ก็เข้าใจปรโลกอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ 

เขาเข้าใจว่าจะมีโอปปาติกโยนิต้องตายไปก่อน ใครเข้าใจเช่นนี้ก็ตัดทางนิพพานเลย เป็นทิฏฐิวิปลาสเลย ไม่มีทางได้นิพพาน 

จิตที่อยากได้เกินกว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่นอยากได้ชนะ ถ้าได้ชนะก็ดีใจ อย่างนี้บำเรออัตตา หรือว่าไปหลงว่าฉันมีศักดิ์ศรี ใครมาลบศักดิ์ศรีฉันก็เสียใจโกรธ ใครมายกย่องศักดิ์ศรีฉันก็ดีใจ อันนี้เป็นการบำเรออัตตา หรือการบำเรอ กามคุณ 5 ก็ดีใจ เป็นการสร้างอัตตาซ้อนเข้าไปอีกที ในกามจึงมีทั้งอัตตาและกาม กามคุณ 5 นี่มีอัตตาคู่อยู่ด้วย ใครลดละกิเลสกามได้ต้องรู้จักอัตตา 3 อ่านอัตตา ได้ ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา สัมผัสทวาร 6 แล้วเสพรส กิเลสกามนี่เราล้างได้ จะใช้วิกขัมภนปหาน และใช้ปัญญาล้าง เห็นจริงว่ากิเลสจางคลาย 

ผู้ใดทำกิเลสกามลดลงได้ กิเลสอัตตาก็ลดลงด้วย เป็นอัตตาที่ซ้อนอยู่ในกาม ภาษาบาลีเรียกว่า กามมสุขขัลลิกะ ส่วนทางอัตตาเรียกว่า อัตตทัตถสุข ไปหลงผลได้ผลกำไรเป็นของตน เป็นตน สุขที่นึกว่าตนได้ ผู้ใดล้างกามได้ อัตตาในฐานกามก็ลดลงได้ แต่ก็มีส่วนเหลืออยู่นะเป็นรูปอัตตา อรูปอัตตาอีกทีหนึ่ง อนาคามีจึงเหลืออัตตาเป็นรูปราคะ อรูปราคะ เหลือเป็นภายในจิต

ในความซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนหากไม่เข้าใจก็แยะไม่ออกล้างยาก ไม่รู้ความเป็นจริงของกามสัตว์ รูปสัตว์ อรูปสัตว์เป็นอย่างไร ก็ขอย้ำตรงที่ว่า ถ้าผู้ที่รู้จักโอปปาติกโยนิ ต้องรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน จับตัวเหตุได้ เรียกว่าจับสมุทัย แล้วกำจัดเหตุคือตัณหา ใครลดกามตัณหาได้ จิตก็เกิดใหม่ ในร่างตอนเป็นๆ ไม่ใช่ตอนตายแล้วนะ 

จะบังคับให้มันหยุดได้ก็ชั่วคราว มันไม่ได้ทำความเกิด การจะทำความเกิดได้ต้องทำคามดับ จิตที่เป็นกิเลสตัณหาต้องตาย ให้จิตที่เหลืออยู่เกิดหรือสะอาดขึ้น สะอาดจากตัวสกปรกก็เป็นจิตใหม่คือจิตอุบัติเปลี่ยนเป็นจิตใหม่จิตเก่าหมดไปแล้ว นี่คือความง่ายชัดเจนในการอธิบาย

จิตเกิดใหม่ จึงมีสองแบบ 
แบบหนึ่งที่คนเข้าใจว่าต้องเกิดหลังจากตาย คือกายแตกตายไป แล้วเกิด อย่างนี้แบบเทวนิยม ที่รู้กันทั่วไปไม่ใช่แบบพุทธ แบบนี้แก้ไขจิตไม่ได้ ก็เป็นการเกิดใหม่อีกแบบ แต่แบบนั้นแก้ไขไม่ได้ แบบนี้พระพุทธเจ้าไม่สอน แต่คนก็อยากรู้จังเลย 

ส่วนอีกแบบคือการเกิดตายของจิตวิญญาณแบบพุทธต้องมีญาณรู้จิต จิตตัวที่ถูกรู้เรียกว่ารูป เป็นอัตตาของจิตที่เป็นอาการเป็นตัวตนอยู่ให้เรารู้ได้สำเร็จ ผู้ใดรู้ได้ผู้นั้นมีญาณหยั่งรู้มโนมยอัตตา มันถูกรู้โดยญาณทัสสนะ ถูกรู้โดยฌานของเรา จิตเกิดใหม่ต้องเกิดอยู่ในร่างกายเป็นๆจึงจะสัมมาทิฏฐิ ถ้าไปเข้าใจว่า ตายแล้วเกิดที่ไหนๆคนนั้นมิจฉาทิฏฐิ 

อ่านรู้ได้ถึงจิตแบบโลกๆเคหสิตเวทนา แล้วทำการเปลี่ยนแปลงจิตให้เกิดใหม่ได้ เป็นจิตที่ไม่มีอาการแบบเก่าแล้ว เป็นเนกขัมสิตะเป็นการออกจากกามออกจากพยาบาท ที่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง แบบคนทั่วไป จิตแบบเดิมไม่เกิดอีกแล้วตลอดไป เป็นจิตอาริยะที่แท้ อย่างสัมมาทิฏฐิ 

มีคำถามอีก จาก sms ว่า ....0893867xxx จะดับกามตัณหาต้องดับที่สังขารหยุดการปรุงแต่งได้!ที่ยึดถือว่าเป็นของตน(อัตตา)ก็ไม่มี!ทุกข์ที่เกิดจาก ตนก็ไม่มี!แต่ก็ยังมีทุกข์ที่เกิ ดจากวิภวตัณหาอยู่อีกใช่ ไหม?
ตอบ...เบื้องต้นก็ตอบว่าใช่ หมดกามตัณหาก็ต้องล้าง รูปภพภายในต่อไป แล้วก็เหลืออรูปภพอีกภายใน ก็ต้องมีวิภวตัณหาเป็นขั้นๆ รูปภพดับไปก็หมดอีก เหลืออรูปภพก็ต้องมีตัณหาดับภพ เป็นวิภวตัณหานี้ พอหมดอรูปภพก็เป็นผู้ไม่มีตัณหา เป็นผู้ดับภพ เป็นคนไม่มีภพแล้ว คนที่ดับภพก็ยังมีภพที่ต้องอาศัย เรียกว่า ภพของขันธ์ 5 ที่อาศัย แต่ก็ต้องมีตัณหาที่จะอยู่มีชีวิต เป็นตัณหาของผู้มีวิภวภพก็เป็นผู้มีตัณหาอยู่ ท่านแยกเป็น 10 ภาวะของทุกข์ 

ภพที่ยังเหลืออยู่ท่านเรียกว่า เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกข์ที่หมดไปคือทุกข์ที่เลี่ยงได้ เป็นทุกข์ทางจิตที่ดับได้ เลี่ยงได้ มีปกิณกทุกข์ สันตาปทุกข์ สหคตทุกข์ วิวาทมูลกทุกข์ 4 อย่างนี้ดับได้หมด แต่ทุกข์ที่เหลืออยู่ เป็นภาราหเวปัญจขันธาก็คือ 
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) 
1.    สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ  ตาย 
2.    นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน  หิว  กระหาย  ปวดอุจจาระ  ปวดปัสสาวะ 
3.     อาหารปริเยฏฐิทุกข์  ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน  
4.    พยาธิทุกข์  อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ 
5.     วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
6.     ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5  อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ 
ขันธ์ที่เราไปติดมันมาก ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร ขันธ์ วิญญาณ แต่แม้อรหันต์ก็ยังมีทุกข์ในขันธ์ 5 นี้เลย 

ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้) 
7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ  ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาสะ  เมื่อพรากจากคนที่รัก  หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น) 
8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ  ไฟโทสะ  ไฟโมหะ  แผดเผา) 
9. สหคตทุกข์  (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก  เช่น  ลาภ  ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) 
10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า) 

แม้ตอนเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังมีการปฏิบัติธรรมที่ผิด เป็นทุกรกิริยา แต่ว่าการตั้งตบะธรรมหรือการปฏิบัติตั้งตนบนความลำบากก็ไม่ใช่แบบทุกกรกิริยา พระพุทธเจ้าว่าตั้งตนบนความลำบาก กุศลกรรมเจริญย่ิง ถ้าตั้งตนบนความสบาย อกุศลกรรมเจริญยิ่ง การทรมานตนก็เห็นว่าลำบากก็เลยไปบำเรอลาภยศ ตั้งตนบนความสบาย ยถาสุขังโขเม วิหารโต อกุศลกรรมก็เจริญเอาร่างกายอ้วนพุ่งป่องเต็มเลย 

วิวาทมูลกทุกข์ นี้คือสงครามวิวาท ผู้ใดจะวิวาทผู้นั้นผู้นี้คนนั้นก็ทุกข์แน่นอน แต่การถกเถียงกันเพื่อปัญญามันไม่ใช่วิวาท ในการที่จะสากัจฉาก็ไม่ใช่วิวาท แม้ถกกันแรงกันจัด ว่าคนนั้นผิด ปฏิกโกสนา ประท้วงคัดค้านหน้าดำหน้าแดงก็ได้แต่ใจไม่ได้โกรธ อย่างหลวงปู่จริงจังคนเลยหาว่าดุ แต่ใจไม่ได้ดุไม่ได้โกรธเกลียดเลย แม้คนจะมาทำร้ายเรา ที่เขาทำร้ายเราก็เพราะ
1.เป็นวิบากที่เขาขอคืน หรือ 2.คนเขาหาเรื่องเราเลย เราก็หลบเสีย ไม่ต้องโกรธเกลียดชังหรือถือสา ใครจะมาทำร้ายหลวงปู่ ๆก็ไม่ถือสา

อาหารปริเยฏฐิทุกข์เป็นทุกข์ที่ต้องแสวงหาอาการ แต่หลวงปู่ทำงานมา 45 ปีกว่าก็ไม่ได้ท้อเลย แม้จะมีผลเท่านี้ก็เอา ไม่ได้มากเพราะมันยาก ได้ขนาดนี้ก็ยังทำอยู่ 

0893867xxx จะดับภวตัณหาต้องจัดการที่สัญญาทำให้เกิดดับแค่สัญญาไม่ส่งต่อไปถึงสังขาร!ถูกไหม  
ตอบ...คือดับกามตัณหาแล้ว ก็คือไม่ให้มีสัญญา ตรงนี้ยังวิปลาสอยู่ไม่ตรงทีเดียว ไม่ใช่ดับสัญญา สัญญายังทำหน้าที่อยู่ ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ แม้ถึงเนวสัญญานาสัญญายตน ขึ้นสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ ก็ตั้งแต่ต้นจนจบสัญญาก็ไม่เคยดับเลย แต่ดับอุปาทานในสัญญา สัญญาเป็นตัวทำงานตั้งแต่ ต้น กลาง ปลาย กำหนดรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ให้สัญญาหายวิปลาส จนเป็นสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ เมื่อนั้นสัญญาก็บริบูรณ์ ไม่ต้องทำงานตรวจสอบดับกิเลสอีก 

แล้วที่เข้าใจว่า จัดการสัญญาทำให้เกิดดับแค่สัญญาไม่ใช่ ต้องดับเหตุ ต้องใช้สัญญากำหนดรู้เหตุปรุงแต่งในสังขาร แล้วก็ดับที่เวทนา มันปรุงแต่งเป็นสัตว์ผีที่สังขาร ต้องล้างผีให้หมด เวทนา สังขารก็สะอาดไปตามลำดับ สุดท้ายดับเหตุแล้ว สังขารก็เป็นอภิสังขารอยู่ เป็นอเนญชาภิสังขาร หรืออปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องชำระกิเลสอีกแล้ว 

สรุปแล้วการจะดับต้องดับเชื้อกิเลสให้หมดสสังขาริกัง เป็นอสังขาริกังเลย สัตว์ตัวที่ 9 คือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ต้องดับสัตว์ตัวนี้ให้เกลี้ยงจึงเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ มีอายตนะ 2 เป็นที่อาศัย คืออสัญญีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ

0893867xxx เรียนเรื่องโลกภายนอกก็ว่ายากแต่โลกภายในตนยิ่งยากกว่าอีกเฮ้อเอวัง!

_มีอีกข้อความว่า....อัตตาเป็นธรรมดาในที่นี้คือ อัตตาของผู้ที่ยังมีชีวิต แต่ไม่มีกิเลส เพียงอาศัยทำคุณต่อสังคม...ตอบ...ก็ชัดนะใช่ คืออัตตามันก็เป็นธรรมดาอย่างที่เราอ่านในพระไตรฯล.10 ที่ว่าอัตตามันก็มีเป็นธรรมดา จะบอกว่าอัตตาไม่มีก็ไม่ได้ เวทนาก็ย่อมมีเป็นธรรมดา แต่ส่วนที่ซ้อนในอัตตาในเวทนา ที่เป็นตัวอุปาทานไม่สะอาดต้องมาล้างออกให้หมด พระพุทธเจ้าว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ คืออัตตาเป็นอัตตาที่เป็นอรหัตตา ไม่ลึกลับแล้ว แต่ในอัตตาก็มีขันธ์5 อยู่เป็นสิ่งธรรมดา ก็อยู่เป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นนักประชาธิปไตยเบอร์หนึ่งแก่โลกรับใช้โลก ทุกวันนี้เราก็รับใช้อยู่แต่เขานึกว่าเราไปวุ่น ไปทำนอกหน้าที่นักธรรมะ 

เขาไม่รู้ก็เลยทำร้ายเรา ไม่รู้ว่าเราไปช่วยไปรับใช้ เขาไม่รู้เลยเอาระเบิดเอาปืนมายิงเราเลย 

พวกเราทำงานให้แก่สังคม เป็นนักการเมืองเบอร์หนึ่ง โดยไม่ต้องไปเป็นนิตินัย แต่เป็นประชาชนมีสิทธิ์ทำงานการเมืองตามระบบปชต.ของพระพุทธเจ้า ในเมืองไทยยังหาว่าอาตมาไปยุ่งไปวุ่นวายอีก

_มีคำถามของเด็กๆมาแทรกว่า....
_พระกฤษณะ และพระวิษณุมีจริงไหม?
ตอบ...มันเป็นภาษาธรรม มาเรียกเป็นตัวตนบุคคล เป็นมหากาพย์ พระวิษณุ นัยหนึ่งคือพระนารายณ์ เป็นผู้สร้างและผู้ทำลาย มีพระพรหมเป็นผู้เป็นกลางประนีประนอม พระวิษณุ หรือพระรามณ์หรือพระนารายณ์ เป็นผู้ปราบหรือบางที่ก็เรียกว่าผู้สร้าง อย่างพระนารายณ์เป็นผู้สร้างอย่างเรียบร้อยค่อยๆทำ แต่ถ้าประวิษณุคือสร้างอย่างรวดเร็วแข็งแรงเลย รวดเร็ว ปราบ

ยุคนี่ต้องใช้แม้นิ่มนวลก็ต้องหนักลงแรงหน่อย เป็นยุคง่านโด้ ที่ถามว่าพระวิษณุ พระนารายณ์มีจริงไหมก็มีธรรมะจริง คนใดที่มีคุณลักษณะเช่นนั้น เช่นถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม มีจริง ผู้ใดสร้างความเป็นพุทธะในตนได้มีธรรมะได้ก็มีความเป็นพระพุทธเจ้า แต่ถ้าได้สูงสุดเลยก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ ธรรมะไม่สงวนลิขสิทธิ์  

_คนขี้เกียจ หลอกหลวง เอาเปรียบ เอาแต่ของคนอื่นไปใช้โดยไม่เกรงใจ ใช้ตังค์เปลือง ชอบโกหกไม่เกรงใจ จะได้รับผลกรรมอย่างไร
ตอบ...ถามผลกรรม เป็นอจินไตย ตอบไม่ได้คำนวณไม่ได้ ก็ตอบกลางๆว่าได้รับกรรมบาป เพาะที่ถามมาก็เป็นอกุศลทั้งสิ้น ก็ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ทำอกุศลกรรมก็ได้ตามนั้น 

_อยากรู้ว่าทำไม ภาพที่หนูทำไม่ดี ทำผิดถึงปรากฏอยู่ นานเท่านานก็ปรากฏเห็น
ตอบ...เป็นสัญญาที่ตกค้างมันกินใจ ความไม่ดีที่เราทำนี้มันไม่คลายก็พยายามล้างมัน ด้วยวิธีที่หลวงปู่สอน จะเหลือความจำได้ก็มีอยู่บ้างก็ไม่เป็นไร พระพุทธเจ้่าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า เรื่องสัญญาเป็นส่ิงที่ล้างได้ยาก
....จบ 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:13:34 )

580821

รายละเอียด

580821_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไข   ความเป็นมนุษย์ 6

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 21 ส.ค. 58 เราก็มาเร่ิมต้นศึกษาธรรมะกันต่อวันนี้จะขยายความคำว่า ฉลาด ฉฬายตนะ และเฉโก ก่อนจะได้บรรยายก็จะได้อ่าน Sms 

0837277xxx เขามีส่วนเลวช่างหัวเขา@จงเลือก(เฟ้น)เอาส่วนดีที่(เขา)มีอยู่เป็นประโยชน์ตนบ้างยังน่าดู@ส่วนที่ชั่วรู้แล้วอย่าทำตาม/
ตอบ...ของท่านพุทธทาสก็ว่า ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย อาตมาก็มีความเชื่อที่ต่างกันบ้าง พระพุทธเจ้าไม่ให้ดูดาย เพราะคนชั่วหรือความชั่ว นี่เราต้องทำงานกับเขาอย่างสำคัญ หากเราตีทิ้งคนชั่วแล้วโลกนี้ก็น่าสงสาร คนชั่วก็ยิ่งแย่ลง สังคมก็ยิ่งแย่ลง พระพุทธเจ้าให้ยกคนดี ต้องข่มคนชั่ว ก็ต้องช่วยกันข่ม กำหราบ สั่งสอนเขา เป็นความสำคัญมาก ในเรื่องความชั่ว ที่เขาต้องรู้ความชั่วก่อน โดยเฉพาะชั่วของเราเอง โดยสัจจะแล้ว ความดีที่เรามีอยู่แล้วไม่ต้องไปรู้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่ามันพาเราดีอยู่แล้วใครมีธาตุดีเขาก็ทำดีงามอยู่แล้วก็เจริญต่อตน ต่อผู้อื่นเรื่อยไป ไม่เร่งร้อนแต่เรื่องความชั่วสิเร่งร้อน พระพุทธเจ้าว่าเหมือนมีผ้าชุบน้ำมันอยู่บนหัวไหม้ไฟ เราต้องรีบรู้แล้วเอาออกอย่างเร็ว แต่ถ้าพูดอย่างท่านพุทธทาสว่า ก็เป็นเรื่องชั่วดีธรรมดา แต่ของพระพุทธเจ้าที่ถ้าเห็นว่าจิตชั่วต้องรีบจัดการ

0837277xxx อยากให้พ่อครูอธิบายทุกขขันธ์หรือทุกข์รวบยอดคือทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ทั้ง5ใช่หรือไม่ทำไมหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ?
ตอบ...ทุกข์ขันธ์ที่เลี่ยงไม่ได้เพราะเราต้องอาศัยขันธ์ 5 นี้อยู่ ที่เรามี มันเป็นทุกข์ ทุกข์ที่ต้องอาศัยมัน ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว จนเป็นพระพุทธเจ้านี่ขันธ์ 5 ต้องอาศัยแม้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นภาระต้องดูแลต้องใช้มัน ยิ่งมันมีอุปาทานในขันธ์ 5 เราต้องเรียนรู้แล้วล้างให้หมด ล้างหมดแล้วเราก็ยังต้องหาข้าวหาน้ำให้มัน บริหารให้แข็งแรง มีประโยชน์จึงเป็นภาระ มันเลี่ยงไม่ได้ 

มันก็คล้ายกับสภาวทุกข์ ที่มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายในตัวของมันด้วย ในรูปขันธ์ ส่วนวิญญาณขันธ์นั้น มีซ้อนลงไปว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันก็ไม่เที่ยงของรูปธรรม อย่างรูปธรรมพระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ในนามธรรมนั้นเลี่ยงได้ ภาวะเกิดแก่เจ็บตายของโอปปาติกโยนิ เราจะทำให้แก่โดยมีอมตะ โดยมีการกำหนดรู้ทำต่อ ให้เกิด อุปจยะ หรือไม่ต่อก็จะชรตา ส่วนในการตายอย่างกิเลสดับ เป็นนิพพานนั้นก็ลึกซึ้งอีก

เลี่ยงไม่ได้เพราะเราต้องอาศัยมัน 

มาเข้าสู่บทเรียน คำว่า ฉลาด มันเป็นภาษาไทยที่ก่อน มาจากภาษาบาลีว่า ฉฬายตนะ หรือฉลาด +ยตนะ ที่ไปที่มานี้ คำว่า ปัญญา กุศล แปลว่าฉลาด แต่กุศลแปลว่าฉลาดกลางๆไปในเชิงดี แต่ถ้าอกุศลก็เป็นเชิงไม่ดี ส่วนจะเรียกว่า อปัญญา หรืออัปปัญโญ เข้าหาปรมัตถ์ คำว่าเฉกาก็เป็นความฉลาดทางปรมัตถ์ คือความฉลาดจากฉฬายตนะทั้งคู่ กุศลก็รวมไว้หมด จะฉลาดเฉกาหรือปัญญาก็ใช่หมด 

ส่วนเฉกา เป็นการใช้ทวารทั้ง 6 อายตนะ 6 เกิดจิตเกิดธาตุรู้ เกิดแล้วมันไปใช้ทางเลว เป็นโลกีย์ เป็นธาตุโลกธรรม เป็นฉลาดชั่ว สรุปเป็นจริงที่ฉลาดชั่ว ในความหมายทุกวันนี้มีท่านผู้รู้เป็นราชบัณฑิต ท่านก็บันทึกว่าเฉโกคือฉลาดแกมโกง 

ศีลที่เป็นกุศล ย่อมยังอรหัตตผลให้ได้โดยลำดับ ศีลที่เป็นกุศลไม่ได้เป็นที่กาย วาจาเท่านั้น แต่ทีี่ใจด้วย จากอวปฏิสาร ก็จะเป็นปราโมท ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ยถาภูตญาณทัสนะ นิพพิทา วิราคะ วิมุติญาณทัสนะ

คนหมดบาปหมดบุญก็ไม่ต้องทำบาปทั้งปวงอีกแล้ว ทำแต่กุศลต่อไป ไม่ต้องทำบุญ เพราะว่าบุญจบแล้ว อย่างในอภิสังขาร 3 คำว่า ปุญญาภิสังขารคืออภิสังขารให้เกิดผลของบุญ เป็นสังขารของอาริยะ จนหมดแล้วก็ไม่ต้องมีบุญ เป็นอปุญญาภิสังขาร (ไม่ใช่แปลว่าบาป) 

(49) ภาษาไทยคำว่า “ฉลาด”มาจากคำว่า “ฉฬายตนะ”
    คนผู้จะมีพลังงานจิตชื่อว่า  “ฉลาด”นั้น ต้องมีปัญญาที่เกิดจาก “อายตนะ 6” อันเกิดจาก “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ”สังขารกันก่อเชื้อ “ปัญญา”ขึ้นได้ ซึ่งเป็น “ความฉลาด”ที่ประกอบกันขึ้นจากอายตนะ
 “ภายนอกและภายใน”ครบความเป็น “กาย”เสมอ 
    เพราะเกิดจาก “วิญญาณ 6”ที่มี “ใจ”กับภายนอก ซึ่งอาจจะเกิดจากทวารใดทวารหนึ่งก็ตาม หรือหลายทวารก็ตาม เป็นเหตุปัจจัยทำงานสัมผัสกันแล้วเกิด “วิญญาณ”(สัมผัส 3) ปรุงแต่งกันขึ้นมาเป็นสภาวะจริงครบองค์ จึงจะถือว่าเป็น “พลังงาน”ของ “วิญญาณ”บริบูรณ์ ชื่อว่า“วิญญาณ” ตามพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ
    นั่นคือ  “วิญญาณ”นั้นต้องมี “การสัมผัสวิโมกข์ 8”ด้วย “กาย”
     “กาย”คือ มี “องค์ประกอบของรูปกับนาม”เสมอ ไม่ขาดสิ่งใด และที่สำคัญคือ ต้องมีการสัมผัสอยู่พร้อมทั้งภายนอกและภายใน 
    ส่วน “วิโมกข์ 8” นั้นคือ  
    1. ต้อง “มีรูป”(รูปี) และต้องเห็น “รูป”เป็นสิ่งอันบุคคลพึงได้(รูปานิ ปัสสติ) หรือ “รูป”เป็นผล(รูปานิ ปัสสติ) 
    2. ต้องพร้อมด้วย “การเห็น “(ปัสสติ) ที่ผู้ปฏิบัติ “เห็น”ได้ ด้วยญาณทัสสนะของตน คือ เห็นทั้ง “ภาวะภายนอก”(พหิทธา)และ “ภาวะภายใน”(อัชฌัตตา) และสามารถ “กำหนดหมายรู้”(สัญญา) เข้าไปรู้แจ้งได้หมดจากตั้งแต่ขั้น “กาม”แล้วจึงลึกเข้าไปขั้น “รูป”แล้วลึกถึงขั้น “อรูป”ทีเดียว โดยตนเองของตนเอง(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก) 
    3. ภาวะของจิต “มี”ความโน้มน้อมไปสู่สิ่งที่น่าพึงใจ(สุภ) เป็นความเจริญก้าวหน้า จนถึงที่สุดนั่นแล (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ)
    สำหรับ “วิโมกข์ ข้อที่ 4 ไปถึงข้อ 8”นั้น ก็เป็นรายละเอียดสู่สภาวะขั้น “อรูป” และถึงที่สุด “สัญญา เวทยิต นิโรธ” ขอไม่อธิบายต่อ
    ทั้ง 3 ข้อนี้แหละที่ระบุชัดแล้ว ว่า การปฏิบัติจะต้องมี “องค์ประชุมของรูปและนาม”(กาย) และต้องมีทั้งภายนอกและภายในทำงานร่วมกันเสมอ ขาดไม่ได้ 
    นั่นคือ ต้อง “ลืมตาปฏิบัติ” ขืนหลับตา ปิดหู ฯลฯ เป็นต้น ไปหลงยึดการปฏิบัติด้วย “วิธีปิดทวารภายนอก”นั้น ไม่ใช่ของพุทธ
     “ความรู้”ที่เรียกว่า “ปัญญา”ต้อง “มีฉฬายตนะ 6”จึงจะชื่อว่า  “ความฉลาด”ขั้นปัญญา  “ความรู้”ที่ไม่มี “กาย”ไม่เรียกว่า “ปัญญา”      
    เพราะความรู้ที่ฉลาดหากไม่ได้เกิดจากการพัฒนาพลังงานจิตที่อภิสังขารจาก “อายตนะ 6” ความรู้อย่างนั้น แม้จะเรียกว่า “ฉลาด” และฉลาดปานใดๆก็ตาม ก็แค่ฉลาดที่ต้องเรียกว่า  “เฉกหรือเฉโก” 
    ผู้ไม่มี “ฉฬายตนะ”(อายตนะ 6)ทำงานสังขารกันเกิด ก็เกิดแค่ความฉลาดที่มี “กิเลส”หรือ “อวิชชา”เป็นตัวการบ่งการให้ฉลาด
    ต้องทำการกำหนดรู้ให้ครบรอบถ้วน รูปฌาน จนถึงอรูปฌาน ต้องผ่านการตรวจสอบด้วย เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา จึงจะดับ เนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ได้ หรือผ่านภูมิเนวสัญญานาสัญญายตนภูมินี้ให้ได้ จึงจะเป็น วีติกมะคือล้วงพ้น 
    การนั่งสมาธิก็มีประโยชน์นะ เช่นเป็นการตรวจสอบ แม้อยู่ในภวังค์ในภพ เช่นหน้าเธอลอยมา หรือขนมลอยมา แล้วเราก็ศึกษาไปสิ จะให้หยุดก็ได้หรือจะศึกษา การทำเจโตสมถะก็มีประโยชน์ ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้นั่งเจโต แต่ก็ตอนนอนไป สักตีสอง เทวดาก็จะมาสนทนา ก็เป็นของตนเอง ไม่ใช่ของคิดเอาเองหรือตรรกะ 

(50)  “คน”จึงยังหลงอยู่กับ “ความฉลาด”ที่เฉกาส่วนมาก
    แค่ “ความฉลาด”นี่แหละ ถ้าคนแยกไม่ได้ ก็จะหลง “วิปลาส” ไปกับ “ความฉลาด” และหลงไปสร้าง “จิต”ตนให้ฉลาดอย่าง “เฉโก”ทำ “เฉกา”ใส่ “จิต”ตนไป เพราะ “วิปลาส”ในคำว่า “ปัญญา”กับ “เฉกา” 
    แม้ “พีชนิยาม”จะยัง “รู้”ไม่ถึงขั้น “ฉลาด” เพราะมันยังไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกายใจ” มันมีแต่ “พลังงานรู้”ตามประสาในฐานะของมัน 
    แต่มันก็สามารถพัฒนา “ตัวตน”(self)ของมัน โดยเริ่มจาก “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวมันเอง ให้เจริญก้าวหน้าจนสามารถข้ามขีดขั้น “พีชนิยาม”ขึ้นไปเป็น “จิตนิยาม”ได้ เยี่ยงเดียวกัน
     “ปรทัตตูปชีวี”จึงมีทั้งในความเป็น “พลังงาน”ของ “พีชนิยาม” และทั้งในความเป็น “พลังงาน”ของ “จิตนิยาม”
    พลังงาน “อุตุนิยาม”กว่าจะพัฒนามาเป็น “ธาตุรู้”ก็ต้องผ่านความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”จึงจะได้ก้าวข้ามขึ้นมาเป็น “พีชนิยาม” และ “พีชนิยาม”ก็ต้องก้าวขั้นสู่ “ปรทัตตูปชีวี”ขั้นสูงของพลังงานระดับ
 “พีชนิยาม”เองอีกที จึงจะข้ามขึ้นสู่ “จิตนิยาม”ได้สำเร็จ
    ส่วน “จิตนิยาม”นั้นแน่นอนย่อมมี “ปรทัตตูปชีวี”ในตัวเองอยู่จริงทุกคน แต่ถ้าใครไม่ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิก็ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”ของตนได้ แถมจะ “วิปลาส”ในความเป็น “ปรทัตตูปชีวี”กันได้ง่ายๆเอาด้วย เพราะมันขั้นละเอียดยิ่ง-ลึกมาก
    คนที่ยังมีภูมิไม่สูงพอจึงรู้จากขั้นหยาบไปหาละเอียด จากขั้นตื้นไปหาขั้นลึก เป็นธรรมดา ดังนั้น เมื่อความรู้ยังไม่พอจึงไปยึดได้แค่ความหยาบ-ความตื้น จึงเห็น “ปรทัตตูปชีวี”เป็นพลังงานที่
หยาบเป็นตัวตนของ “ธาตุรู้”ที่มี “วิสัย”หรือ “อนุสัย”ต่ำหยาบขั้นหนึ่ง

(51) ตัวตนที่ยึด “ตนเอง”มีทั้ง “พีชนิยามและจิตนิยาม” 
    ความเป็น “วิสัย”ก็ดี หรือเป็น “อนุสัย”ก็ดี คือ ความยึดความเป็น “ตนเอง” ซึ่งคำว่า  “สัย”ตัวนี้หมายถึง  “ตนเอง หรือเอง หรือโดยตนเอง” หรือ “สก,สัก”ก็ความหมายเดียวกัน
     “สัย”หรือ “สย”นี้ ที่เป็น “อนุสัย”ก็ดี  “อาสัย”ก็ดี  “นิสัย”ก็ดี  “วิสัย”ก็ดี มีความหมายที่น่าจะได้เรียนรู้ เพราะล้วนสำคัญในคน
    ซึ่งความเป็น “ตนเอง”(สย)นี้ ตนเป็น “ผู้ทำเอง”(สยังกร)  “ทำด้วยตนเอง”(สยกตะ)  “เกิดจากตนเอง”(สยชาติ)  “เป็น “ผู้เลือกเอง”(สยังวร) ทั้งนั้น หากสัมมาทิฏฐิ และพากเพียรปฏิบัติให้สัมมาปฏิบัติ ก็จะเกิดผล จนถึงขั้นเป็น “สยัง อภิญญา”ได้ทีเดียว 
    และสูงสุดแห่งที่สุดของความเป็นคนทำได้ถึงขั้นเป็น “สยัมภู”
    ดังนั้น ถ้าได้เรียนรู้พุทธธรรม แล้วสามารถ “สำรวมตนเอง,ควบคุมตนเอง”(สยตัตตะ) อย่างสัมมาทิฏฐิ 
    คำที่หมายถึง  “เองหรือตนเอง”หรือ “ของตน”นี้ มีอยู่หลายคำ สกหรือสัก ก็ใช่ สยหรือสัย ก็ใช่ สว ก็ใช่ 
    เช่น สักกาย, อาสัย, อาสวะ เป็นต้น
    คำว่า  “สักกาย”นั้นก็หมายถึง กายของตน, องค์ประกอบของรูปกับนามของตน ผู้ยังไม่เรียนรู้ “กาย”ซึ่งมีกิเลสประกอบอยู่ด้วยก็มี “กิเลส”เป็นตัว “จัดการตน”ไปตามธรรมดาสามัญของคน  
     “อาสัย”ก็หมายถึง ที่พัก, ที่พึ่ง, สภาพจิตที่นอนอยู่[รากศัพย์เหมือน “อนุสัย”], กิเลสที่ไหลไป ซึ่งก็คือ ชีวิตที่ยังมีกิเลสพักอยู่กับตน และตนก็พึ่งอยู่ มันก็ย่อมพาเราเป็น พาเราไปกับมันอยู่นั้นแหละ 
     “อาสวะ” ก็หมายเอา สิ่งที่ไหลออกหรือสู่, น้ำหมักดอง, กิเลสหมักดอง ซึ่งต่างหมายถึงว่า ภาวะนั้นหยาบใหญ่ขึ้นถึงขั้นเป็น “ธาตุน้ำ”(จากอากาสเริ่มเป็นอาโป)กันแล้ว แต่ก็ยังเกี่ยวกับ “ภาวะสำคัญในตัวคน เป็นพลังงานออกฤทธิ์กับตนเอง”นั่นเอง
    ทุกคำจึงล้วนหมายถึงภาวะที่เกี่ยวกับ “ตนเอง”ทั้งสิ้น
    ทุกคำในที่นี้ คือ  “อาการ”ของ “ธาตุเล็กละเอียดยิ่ง”ทั้งนั้น 
    ไม่ว่าจะเป็น “พีชนิยาม”หรือ “จิตนิยาม” มีการเริ่มต้นด้วยภาวะที่เล็กละเอียดยิ่งของตนตามฐานะของตนๆ ที่จะยึดเป็น “ตนเอง”ทั้ง “พีชนิยาม”ทั้ง “จิตนิยาม” 
    เพียงแต่ฐานะของ “พีชนิยาม” หรือฐานะของ “จิตนิยาม”นั้น มันมีปริมาณคนละปริมาณ(quantity) มีคุณภาพคนละคุณภาพ(quality) ซึ่งมีมากมีน้อย มีดีมีไม่ดี มีสูงมีต่ำต่างกันไปแล้วเท่านั้น

(52) ภาวะที่เริ่มก่อตัวเป็น “ตัวตน”หรือ “ตนเอง”ยิ่งๆขึ้น    
    เริ่มแค่  “ส”ก็คือ  “ของตน, ตัวเอง”แล้ว ซึ่งหมายถึง กับ, เป็นไปกับ, มี, ประกอบด้วย, เหมือนกับ, เป็นไปกับภาวะนั้นภาวะนี้ที่ประชุมกันเข้าเกิดภาวะ “ตนเอง” ออกฤทธิให้กับตนเองนั่นเอง 
     “พีชนิยาม”พลังงานของมันที่ยึดเป็น “ตนเอง”ไม่ถึงขั้น “อนุสัย” เพราะมันไม่มี “ธาตุรู้”ได้ถึงขั้น “อวิชชา” คนปุถุชนหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมันเอง ก็ทำให้มันหมดสิ้นความเป็น “ตนเอง”ของ “พีชนิยาม”ได้ 
    ส่วนความเป็น “จิตนิยาม”นั้น มี “อนุสัย”นี่เองที่เป็น “ตนเอง”ตัวร้าย ซึ่งจะต้องกำจัดให้สิ้นซาก สิ้นธุลีละออง ซึ่งต้องด้วยตนเองเท่านั้นที่จะกำจัด “อัตตา”ของตนเองได้สำเร็จ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เด็ดขาด
     “อนุสัย” คือ ความเป็น “ตนเอง” ที่เริ่มเล็กยิ่ง ละเอียดลึกยอด และสุดท้ายลับเหลือหลาย ผู้อื่นจึงไม่มีสิทธิ์จะรู้จะสัมผัสได้เลย
     “อนุสัย”หมายถึง ตัวแรกด้วย และตัวปลายด้วย 
     “อนุสัย” ภาวะที่เริ่ม “อาศัย”มีทั้งตัวแรกทีเดียว ก่อนใดอื่น 
    แล้วจึงสะสมกันเพิ่มขึ้นๆ ซึ่งมันก็จะปรุงแต่งกัน หรือหมักดองกันเข้า แตกตัวออกไปๆเพิ่มยิ่งๆขึ้น เป็น “ตัวของตนเอง” ไปตามลำดับเป็น “นิสสัย” สั่งสม “นิสัย” ตกผลึก ควบแน่นกันเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่สุดแนบแน่น แน่วแน่ ปักมั่น ก็ชื่อว่า  “วิสัย”     
    และ “อนุสัย”เป็น “ตัวปลายสุดด้วย ถ้าหมายถึง “ตัวปลายสุด” ก็คือ สิ่งที่ฝังใส่ตัวเองไว้เอง อยู่ในรากลึกของพลังงานในตน ตัวนี้ยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียด ยิ่งลับ ยิ่งมีฤทธิ์แรงแกร่งแน่นหนักสุดๆ 
     “ตนเอง”ของความเป็น “จิตนิยาม”จะเป็นผู้ศึกษา “ตัวเอง”จนเกิด “วิชชา 8”ได้ จึงจะสามารถละล้าง “ตนเอง”ให้หมดไปสำเร็จ โดยการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ธรรมนิยาม 5”อย่างสัมมาทิฏฐิ ไปตลอดความเจริญถึงสุดจนกระทั่งเป็นที่สุด สุดๆ 
    เพราะผู้มี “จิตนิยาม”สามารถมีภูมิรู้ถึงขั้น “กรรมนิยาม”และ “ธรรมนิยาม”ในขั้น “โลกุตรธรรม”ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะกำจัดละล้าง “อนุสัย”ของ “ตนเอง”(สย)ได้หมดสิ้นเกลี้ยงสำเร็จจริง
    จึงจะชื่อว่า การอภิวัฒน์พัฒนา “จิตในจิต”ตามแบบพุทธ 
 
(53)  “ตนเอง”เท่านั้นกำจัด “อนุสัย”ของตนได้หมดสิ้นแท้
     ส่วนคำว่า “อาสัย”นี้ คนไทยจะเขียนเป็น “อาศัย” หมายถึง  “ที่อาศัย” หรือภาวะรูปกับนาม หรือกายกับใจที่ตนเองอาศัยเป็นชีวิต อันมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ทั้งมวล ซึ่งแสนวิเศษก็เหลือหลาย-สุดสาหัสวิตถารก็หลากล้น ประดามีอยู่ในโลก ในสังคมมนุษยชาติ
    หรือ “พลังงาน”ที่เป็น “จิตนิยาม”นี้แหละ ตัวสำคัญที่เราจะได้ “อาศัย”เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ได้ “อาศัย”ดีหรือชั่ว ได้ “อาศัย”เป็นคุณหรือเป็นโทษ ได้ “อาศัย”เป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระ หรือได้เป็นแค่กุศลขั้นกัลยาณธรรมหรือเป็นได้ถึงกุศลขั้นอาริยธรรม ก็ “จิตนิยาม”
นี้เอง ที่ “ตนเอง”จะต้องจัดการเองของตนเองในตนเองด้วยตนเอง
    ผู้ “สัมมาทิฏฐิ”ที่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โพธิปักขิยธรรม 37” และสามารถแยกแยะ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ได้สัมมาทิฏฐิแท้ จึงจะสามารถสร้าง “พลังงาน”อันเป็น “นามธรรม”ให้ “ตนเอง”ใช้ “อาสัย”ได้จริง และหากเจริญพัฒนาขึ้นเป็น “อาริยธรรม”ขั้น “โลกุตรธรรม” แล้วสั่งสมลงไปใน “ตนเอง” ก็ก้าวหนัาขึ้นเป็น “นิสัย”ไปตามลำดับ ยิ่งขึ้นๆๆๆ
     “นิสัย”หมายถึง จิตตนเองที่ได้สั่งสม “พลังงานดีหรือชั่ว “ เป็น “โลกียะ”แค่นั้น ยิ่งๆขึ้น ก็เป็นการเจริญได้เพียง “กัลยาณธรรม” หรือจะก้าวข้าม “โลกียะ”ขึ้นเป็น “โลกุตระ”ได้ คุณธรรมต้องถึงขั้นเป็น “อาริยธรรม” แล้วสะสมเข้าไปใน “ตนเอง” จนมันตกผลึกไปตามลำดับ น้อย แล้วก็มากขึ้นๆ กระทั่งมีอำนาจในตนไปตามเท่าที่มันมี-มันได้
    แล้วสั่งสมทั้งมาก ทั้งแน่น ทั้งแกร่งกล้า ทั้งมีประสิทธิภาพ ยิ่งๆขึ้น ก็เข้าขั้นเป็น “วิสัย” 
     “วิสัย”หมายความว่า  “นิสัย”ที่สั่งสมลงเป็น “ความมาก ความแน่น ความแกร่งกล้า ความมีประสิทธิภาพ”ยิ่งๆขึ้น จนเป็นความยั่งยืนเที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่มีอะไรหักล้างได้ ไม่กลับกำเริบอีกแล้ว ตลอดกาล นิรันดร
     “อนุสัย”จึงเป็น “ของตนเอง” ทำเอง สั่งสมเอง และต้องละล้างเอง กำจัดเอง ปรุงแต่งเอง เจริญเอง เสื่อมเอง ทั้งสิ้น 
    ไม่มีใครจัดการกับ “อนุสัย”ของตนเองได้เลยเป็นอันขาด

(54)  “สย”เป็น “อนุสัย”ทั้งในขั้นแรกเริ่ม ทั้งขั้นปลายสุด
    ถ้า “วิสัย”นี่แหละที่ยิ่งๆขึ้นหนักจัด สูงส่งมาก แล้วจะใช้ศัพท์เรียกขานกันว่า  “อนุสัย”อีกที ก็หมายความว่า ความเป็น “ตนเอง”ที่มีความเป็น “อนุ”หรือ “อณุ”หรือ “อณู”คือ น้อย,เล็กน้อย และ “อนุสัย”นี้ก้าวหน้าถึงขั้น “ปรมาณู”(อะตอม, Atom ซึ่งแปลว่า เล็กยิ่งๆขั้นยอด)
    ความเป็น “ปรมาณู”ที่ชาว “โลกียะ”ไปใช้ในทางเลวร้ายนั้น มันก็ร้ายเลวกันอย่างที่สังคมโลกเห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจาก “ปรมาณู”ของชาว “โลกุตระ”อย่างตรงกันข้ามทีเดียว
    ความเป็น “อนุหรืออณู”ขั้น “ปรมาณู”ของ “โลกุตระ”จึงพิเศษสุด
    ยิ่งเป็น “อนุสัย”ขั้น “ปรมาณู”ก็ยิ่งสุดวิเศษยอดประเสริฐ ยิ่งมีประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างสุดประมาณทีเดียว (ความวิเศษยอดประเสริฐสุดประมาณของ “โลกุตรธรรม”นี้ จะขยายความในโอกาสต่อจากนี้ไป ตอนนี้พูดถึง “อนุสัย”แรกเริ่มกันก่อน อ่านต่อๆไปเถิดก็จะขยายต่อไปเอง)
     “อนุสัย”แรกเริ่มนั้น คือ  “พลังงาน”แรกเริ่มก่อตัวขึ้น ยังไม่เป็น “ตัว” ถ้าเป็น “ชีวะ”ก็แค่ขั้น “เซลล์ปฐมภูมิ”(primary cell) เป็นเซลล์ที่หนึ่งเซลล์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นพลังงานขั้น “วิญญาณขั้น
อนุสัยในช่องว่าง”(คัพภ,niche) ที่เล็กมากขั้นแรกคือ  “กลละ”ที่เกาะอยู่ในมดลูก เป็นต้น และต้องติดอยู่เกาะอาศัยอาหารจากที่นี้เท่านั้น ยังไม่เป็นอิสระในตนเอง ยังอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพอยู่ ยังลอยไปไหนโดยอิสระในตัวเองไม่ได้ 
     “อนุสัย”นี้จึงไม่สามารถมีความร้าย-ความแรงอะไรกับใครได้ 
    ไม่ว่าจะเป็น “พีชนิยาม”หรือ “จิตนิยาม”ก็มีภาวะของ “เชื้อชีวะ”
ที่มี “พลังงานแรกเริ่ม”ที่มีภาวะ “เชื้อชีวะ”แต่ละชนิด ซึ่งยังไม่เป็น “ตัวตน”(self) มีแค่ “พลังงาน”ยังไม่เป็น “ธรรม 2”เลย
    นี่คือ  “ปรทัตตูปชีวี” ที่ชาวพุทธทุกวันนี้หลงผิด “เชื้อชีวะ”ที่ยังอาจจะไม่ได้เป็น “ชีวะ”ต่อไปก็ได้ 
    แต่ผู้ที่หลงผิดเพี้ยน ภาวะเรียกว่า  “ปรทัตตูปชีวี”นี้ไปเป็น “ตัวตน”ของความเป็น “สัตว์”ที่มีองคาพยพประกอบกันมากกว่า “หนึ่งเซลล์”(ปฐมภูมิ,primary cell)นี้ไป จึงหลงผิดและพาลวิปลาส
    จึงเป็น “ความวิปลาส”ที่หมดทางที่จะเรียนรู้ปฏิบัติถึงนิพพาน
    ฉะนี้คือ  “อนุสัย”ที่เริ่มต้นแรกสุด
    และ “อนุสัย”ขั้นต้นนี้ก็จะเป็น “อาสัย”อวิชชาก่อ “นิสัย”ไปจนกระทั่งเกิด “วิสัย” และสูงสุดก็เป็น “อนุสัย”ขั้นปลายที่สุดร้ายสุดเลวมหามหันต์จนได้ 
     “อนุสัย”จึงเป็นได้ทั้งขั้นต้นแรก และเป็นได้ทั้งขั้นปลายสุด
    เป็นได้ทั้งเลวร้าย และเป็นได้ทั้งดีวิเศษ 

(55)  “อนุสัย”ที่เป็นขั้นปลายสุดนั้น สุดๆทั้งร้ายและทั้งดี
    และถ้า “อนุสัย”เป็นขั้นปลาย หากมีฤทธิ์แรงที่เลว ก็เลวสุดๆ หากมีฤทธิ์แรงที่ดี ก็ดีสุดๆ 
    สำหรับ “อนุสัย”ขั้นปลายสุดนั้น ถ้าเป็น “โลกียธรรม”ก็ยากจะแก้ไข แม้จะศึกษาเล่าเรียนจนสัมมาทิฏฐิ ก็ยังจะต้องกำจัด “พลังงาน”ที่ได้สั่งสมกระทั่งเป็น “อนุสัย”นี้กันอีกยากและนาน
    พอได้ยินคำว่า ยากและนาน ผู้ที่ยังเป็นโลกียชนอยู่ก็อย่าท้อเสียล่ะ เพราะจะอย่างไรมันก็ต้อง “เริ่มต้น” จึงจะสามารถทำให้หมดสิ้นได้
    ไม่มีอะไรที่ไม่เริ่มต้นโดย “ตนเอง”ในความเป็น “ตน”
    ขืนไปท้อแล้ว “ไม่ฮึด”เริ่มต้นกันสักที เลยยิ่งเติม “โลกียธรรม”ใส่ตนหนักหนา หนักหน้าขึ้นไป อีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แล้วจะรอเมื่อไหร่กันเล่า จึงจะเริ่มฮึดสู้...??????? 
    มันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ ใช่มั้ย? 
    คนฉลาด ที่เข้าใจได้จริง จึงไม่รอช้าแน่นอนเด็ดขาด
    ก็เพราะไม่ยอมฉลาดกันเสียทีนี่เอง จึงยังสั่งสม “อนุสัย”ที่ยิ่งร้าย ยิ่งแรง ยิ่งลึก ยิ่งลับ แม้แต่ตนเองก็ยิ่งไม่รู้สีรู้สาหนักเข้าไปใหญ่
    จึงยิ่งน่าสงสารคนผู้ไม่รู้สีรู้สา ที่ว่านี้จริงๆ
    ส่วนคนที่ “รู้สีรู้สา” หรือเข้าใจ๊เข้าใจดี แต่ไม่เริ่มสักทีนั้น มันก็สุดที่จะสงสารแล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไป ที่ชอบๆกันเท่านั้นแหละ
    ความร้ายและความแรงของฝ่ายเลว ฝ่ายไม่ดีจึงยากยิ่งด้วยประการฉะนี้ 
    โลกจึงยังมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิดขึ้นในโลกอยู่ร่ำไป ยิ่งโลกใกล้กลียุคนี้ ยิ่งอภิบรมมหายากเย็นจริงๆ
    ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:14:28 )

580823

รายละเอียด

580823_วิถีอาริยธรรม สาธารณโภคีคือประชาธิปไตย(ยอดนิยายฯ 7)

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 23 ส.ค. 58  วันนี้ พ่อครูจะได้นำเสนอเรื่องปชต.

พ่อครูว่า...ชาตินี้อาตมาไม่ได้เข้าไปเป็นนักศึกษาตามระบบ ไม่ได้มีทุนทางสังคมทางที่โลกยอมรับ แต่อาตมาก็มีสิ่งมีจริงตามที่มีมาแต่ดั้งเดิม หลายชาติมา เป็นเรื่องที่คนก็อาจเข้าใจยาก ในเรื่องวิบากกุศลบารมีเหล่านี้ ความจริงแล้วมีจริง อาตมาก็อาศัยมาทำงาน ก็เป็นการพิสูจน์โพธิสัตว์ว่า ใช้ธรรมะแท้ๆ ที่ไม่ต้องอาศัยสมมุติโลก ไม่ต้องมีโลกธรรม ไม่มีอลังการอะไรที่เขายอมรับนับถือ ก็ใช้แต่ธรรมะเพียวๆ ซึ่งมันลึกซึ้ง มาถึงวันนี้ใกล้ 45 ปีเต็ม ถ้าพฤศจิกายนก็จะเต็ม 45 ปีแล้ว 

ก็ทำได้แค่นี้ ก็พยายามเร่งรัดพัฒนาไม่ท้อไม่เหนื่อย พยายามเร่งรัดพัฒนา ให้สืบต่อสิ่งดีด้วยมุ่งมั่น รักษาร่างนี้ให้ยืนยาว พิสูจน์ความรู้ของพพจ.ด้วย 

ก็ได้ผลมา เราก็ได้ตั้งใจให้ความรู้เพิ่มเติมแก่ชาวที่อยู่ใกล้ๆนี้ ก็เร่ิมเป็นครั้งแรก มาจากกทม. 1คน ขึ้นเครื่องบินมาแล้วก็กลับไปแล้ว มาจากอุบลฯมาใหม่ 2 คน ก็น้อยนิด แต่อาตมาไม่ท้อ พพจ.เร่ิมด้วย 5 คน ท่านก็ทำมาจนเป็นศาสนา ใช้เวลา 45 ปี อาตมาก็ใช้เวลา 45 ปีก็ก่อหวอดมากกว่าปัญจวัคคีย์ ก็มีอัตราก้าวหน้า แต่ก็เดินหน้าถอยหลัง ก็มีอัตราก้าวหน้าไปอยู่ไม่ทรุด

เราจะพากเพียรอีก ครั้งที่ 2 ต่อไปก็ประกาศล่วงหน้าให้มารวมกันมากขึ้น อาตมาก็ไม่ได้มาร่วมด้วย เตรียมหนังสือที่จะออกมา

ที่เราทำนี้เป็นระบบสาธารณโภคี ก็เป็นบัญญัติภาษาซึ่งก็คือ ปชต.คือเผด็จการก็ได้ แต่ยุคนี้เขาก็ว่าไม่เหมาะสมที่จะทำ แต่ก็ต้องมีความแรงที่พอเหมาะพอดีกับยุคกาล เห็นใจท่านประยุทธ์จริงๆ ว่าทำอย่างไรให้พอเหมาะ ยกตัวอย่างปฏิวัตินี่ สังคมยอมรับได้นะ ตอนนี้เป็นนายกฯ เป็นหัวหน้าคสช.ด้วย มีอำนาจ

สังคมทุกวันนี้ซับซ้อนมาก ต้องมีอะไรที่พิเศษอันหนึ่งที่มาช่วยเหลือได้ ก็มั่นใจว่า คุณธรรมของพุทธเป็นปชต.ยิ่งใหญ่ ซึ่งคน 1 คนที่ได้นำระบบนี้มาเปิดเผยคือ พระพุทธเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่เปิดเผยได้คนแรก คนอื่นไม่มีสิทธิ์

แม้แต่ลินคอนที่นิยามปชต.ว่า คือของปชช.โดยปชช.เพื่อปชช.แต่อาตมาก็ว่า เพื่อปชช.ต้องมาก่อน เป็นเป้าหมายแท้ แม้แต่ปชช.คนเดียวเขาทำเพื่อคนอื่นทำเพื่อมวลชนแท้ เขาก็คือปชต. คนยิ่งมากขึ้นรวมตัวเป็นเครือแหทำเพื่อปชช.นั่นคือปชต.แล้ว 

ปชช.จะเป็นคนเดียวหรือคณะร่วมกันทำอย่างสงบเรียบร้อยสวยงาม เมื่อเช้าก็ดูทีนิวส์ รายงานข่าวการประท้วงที่หาดใหญ่ ธรรมกายเขาก็จัดตั้งจะมีจำนวนคนไป มากกว่า คนที่ไปประท้วงด้วย อาตมาก็ชมเขาอย่างหนึ่งว่าเขาทำได้สงบ มวลชนที่ออกไปมีน้อยกว่า เป็นการปะท้วงอย่างปชต.มีสงบเรียบร้อย แม้ขณะนี้มีกฎอัยการศึก ก็ยังออกมาอย่างอาริยะขัดขืน ก็ออกมาตามกฎหมายไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ทำตามหลักสากล ทางรัฐก็เข้าใจ ทหารตำรวจก็ออกมาควบคุม เหตุการณ์เรียบร้อยมาก เป็นตัวอย่างของนักปชต.ที่ย่ิงใหญ่ สงบเรียบร้อยสวยงาม ปชช.บอกว่า อย่ามาอีกนะ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ ถ้ามาอีกครั้งหน้า ปชช.จะมามากกว่านี้ เขามั่นใจว่า ธรรมกายทำผิด แม้เขามีมวลน้อยก็ตาม แต่เหมือนยุคพพจ.ว่าคนโง่ก็มีมากกว่าคนฉลาดวิชชา คนฉลาดอวิชชามีมากกว่าแน่นอน เป็น Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิชชา

คอลัมน์ อ่านเอาเรื่อง โดย ผักกาดหอม (ไทยโพสต์)
ประชาธิปไตยอะไรกัน
ช่วงนี้คนที่ต่อต้านระบอบทักษิณมักถูกอีกฝ่ายตราหน้าว่าเป็นพวกทำลายประชาธิปไตย เย้ยหยันว่าฝักใฝ่เผด็จการ เพราะสนับสนุนรัฐบาลรัฐประหาร

ก็ได้แต่ฟังมานาน จนได้เห็นนักประชาธิปไตยบางคนถูกจับคาบ่อน บางคนลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาล คสช.เพราะพ่อแม่ขายลอตเตอรี่ และส่อว่าขาดทุนเพราะถูกบังคับให้ขาย 80 บาท

บางคนมาในคราบนักวิชาการ แต่แช่งให้ประเทศไทยล่มจมในยุครัฐบาล คสช.

หรือแม้กระทั่งเด็กนักเรียนลงทุนกามิกาเซ ยอมกินไข่วิชาหน้าที่พลเมือง เพื่อต่อต้านค่านิยม 12 ประการที่สอนให้เด็กทำดีเพื่อชาติ

ล่าสุดนักประชาธิปไตยถูกศาลจังหวัดเชียงรายสั่งจำคุก เพราะอุตริจะแบ่งแยกประเทศไทย

ผมรู้สึกประหลาดใจที่นักประชาธิปไตยทั้งหลายมีระบอบทักษิณไว้พิงหลัง แม้จะอ้างกันว่าไม่ฝักใฝ่การเมืองสีใดสีหนึ่ง แต่หากติดตามข่าวสารคนกลุ่มนี้มักไปโผล่ในสื่อที่ซูฮกระบอบทักษิณอยู่ร่ำไป

การประโคมว่าตนเองต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เกิดขึ้นหลังจากมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ก่อนนั้นคือช่วงรัฐบาลทักษิณ คนที่พิงอยู่กับระบอบทักษิณในวันนี้ ไม่มีใครพูดเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทำราวกับว่ายุคสมัยนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่เบ่งบานแล้วจริงๆ

คำก็ประชาธิปไตย ซื้อเสียง โกง ก็อ้างประชาธิปไตย แต่เมื่อหันกลับไปมองการต่อสู้ของคนในระบอบทักษิณ เหมือนจำลองมาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต

ก็แหงล่ะครับ หัวขบวนจำนวนหนึ่งเป็นคนเดือนตุลานี่นา

การต่อสู้ด้วยอาวุธสงครามไม่ใช่เรื่องใหม่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีตก็ต่อสู้กับรัฐไทยด้วยอาวุธสงคราม

ยุทธวิธีในการชุมนุมของเสื้อแดง มีมวลชนเป็นฐาน ขับเคลื่อนด้วยแกนนำที่มาจากพรรคการเมือง มีกองกำลังติดอาวุธชุดดำ ใช้อาวุธสงครามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ

ล้วนลอกแบบมาจากอดีต!

ทฤษฎี "แนวร่วม" ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยประธานเหมาเจ๋อตง กำหนดหลัก 3 ประการ หรือแก้ว 3 ดวง คือ พรรค แนวร่วม และกองกำลังติดอาวุธ ที่ "พี่กี้ อริสมันต์" เอามาปราศรัยกับคนเสื้อแดง ว่ามีแก้ว 3 ประการ พรรค-มวลชน-กองกำลัง พร้อมสรรพแล้วนั่นแหละครับ

ก่อนที่จะปลุกระดมเรื่อง นำขวดแก้วมาคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมันหนึ่งล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิง

หากใครได้อ่าน นโยบาย 66/23 จะทราบว่า ให้ความสำคัญกับทฤษฎี "แนวร่วม" เป็นอย่างมาก เพราะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของประเทศในเวลานั้นนั่นเอง

การต่อสู้ของคนเดือนตุลาในอดีต มีเหตุผลที่เข้าใจได้ว่าเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยโดยไม่มีผลประโยชน์อย่างอื่นแอบแฝง

แต่วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยปากมันที่ไม่เคยพูดถึงรัฐบาลคอร์รัปชัน ซึ่งอาจหาญถึงขั้นจะเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศ กำลังปลุกมวลชนขึ้นมาใหม่โดยให้เด็กๆ เดินนำหน้า

ส่วนความเคลื่อนไหวในภูมิภาค ภัยแล้ง เศรษฐกิจตกต่ำ คือเงื่อนไขหลักที่นำไปใช้ปลุกปั่นกันมาพักหนึ่งแล้ว

เงียบๆ แบบนี้วางใจไม่ได้ ก็เหมือนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เคยพูดเอาไว้ หากเกิดความขัดแย้งอีกครั้ง มันคือสงคราม.

คราวนี้หากไม่ใช้อาญาสิทธิ์ที่มีอยู่ เชือดไก่ให้ลิงดูเสียบ้าง แต่นี่ไม่ทำ ก็ไปแต่จับเห็บหมัด แล้วเมื่อไหร่มันจะกลัวกัน มันไม่ทันการณ์หรอก จริงๆ จะต้องจับตัวใหญ่ ใหญ่ขนาดไหนก็ประมาณให้ดี อย่างน้อยอาตมาว่ารีบถอดยศ รีบริบเครื่องราชฯ รีบออกกฎหมายมา

ขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธเป็นปชต. มีเป้าหมายคือเพื่อปชช. ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ครอบครัวเรา พรรคพวกเรา หรือไม่แม้แต่คนทีี่เราเกรงอำนาจ แต่ต้องเพื่อปชช.จริงๆ พพจ.เลยรวมคำไว้ว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) สามคำนี้คือแก่นแท้ปชช.ย่ิงกว่าที่ลินคอน อธิบาย เพราะรวมความไว้หมดครบที่สุด และในสาราณิยธรรม 6 ก็มีแก่นปชต. 

รูปธรรมคือพฤติกรรม ทางกาย วาจา ใจ และพฤติกรรมโลกีย์ที่ประกอบด้วยโลกธรรม คนที่อาศัยโลกธรรมอย่างเป็นธรรมเรียกว่า ลาภธัมมิกา ได้มากอย่างเป็นธรรมแล้วอาศัย อาศัยในชนิดที่ รวมกันอาศัย รวมกันเรียกว่า สาธารณะ เป็นของกลางส่วนกลางแล้วบริโภคร่วมกัน ลาภที่ได้โดยธรรมเอามาอาศัยใช้สอยเรียกว่าสาธารณโภคี 

ต้องขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างที่เป็นจริงในไทยอยู่แล้วคือชาวอโศกที่เกิดแล้ว มีเนื้อแท้สัมมาทิฏฐิจริง มีสาธารณโภคีทั้งรูปนอกและใน เราอยู่กันอย่างเสียภาษี 100% ทำงานฟรีทุกชุมชนชาวอโศก เราปลอดหนี้ไม่มีดอกเบี้ย 

จิตจะมีความระลึกถึงกัน รักกัน เคารพกัน อยู่อย่างเกื้อกูลสงเคราะห์กัน แบ่งแจกกินใช้ ไม่เห็นแก่ตัว พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ มีการทำงานช่วยเหลือรักษา เผยแพร่สู่ภายนอกทำงานเอื้อภายนอกด้วย ไม่วิวาทกัน อวิวาทะ มันเป็นธรรมดาที่แต่ละคนอาจไม่หมดกิเลส แต่อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง จะแย้งกัน ขัดกันไม่ชอบใจ หรือทะเลาะกันอย่างไม่รุนแรง หยาบคาย เป็นจริงมา 40 ปีแล้วได้ 

เป็นคุณสมบัติ 7 ประการที่ย่ิงใหญ่ยอดเยี่ยม การศึกษาธรรมะพพจ.ศึกษาเพื่อให้เกิดจิต และไม่ได้ทิ้งวัตถุ รูปธรรมภายนอก แต่เน้นเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เกิดผลที่จิตเป็นหลัก เป็นการศึกษาที่ได้ทั้งนอกและในตามสัดส่วน ปฏิภาคทวีไปตามลำดับ เป็นการศึกษาที่ยิ่งใหญ่ที่พพจ.เรียบเรียงสอนได้สุดยอด ไม่ว่าเชิงการศึกษาก็ยิ่งใหญ่ 

เริ่มตั้งแต่ สย เป็นเรา เป็นไปตามลำดับ เป็น สกะ เป็น สยะ แล้วเป็น สวะ ถึง สวะ และก็เป็น สยะอีกที เป็นตนอันละเอียดลึกเรียกว่าอนุสัย มีตั้งแต่เร่ิมต้น จาก สกะ ยังไม่เป็นสองเป็นตัวเองแค่ 1 พอเริ่มมี 2 เรียกว่า สยะ แล้วมีปฏิกิริยาก็เป็น 3 มีความหมุน กระทบสัมผัสสร้างเพิ่ม ขยายผลไปตามลำดับ เป็น สวะ 

ในปุถุชน เคหสิตะก็แตกตัวเช่นนี้เป็นตัวตนอวิชชา มันก็ต้องแตกตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง คุณสมบัติไปกองที่ สยะ ที่เล็กกว่าอนุสัย สยะตั้งแต่ตัวเร่ิมต้นเกิด จน อาศัย ไปสะสมไป เป็น นิสัย ตกตะกอนนอนเนื่องเป็น อนุสัย หรืออนุสยะ ที่มีขั้นต้น กลาง ปลาย มีทั้งดีและร้าย ดีก็ดีสุด ร้ายก็ร้ายสุด เพราะเป็นประธาน มโนบุพพัง คมาธัมมา

(55) “อนุสัย”ที่เป็นขั้นปลายสุดนั้น สุดๆทั้งร้ายและทั้งดี
    และถ้า “อนุสัย”เป็นขั้นปลาย หากมีฤทธิ์แรงที่เลว ก็เลวสุดๆ หากมีฤทธิ์แรงที่ดี ก็ดีสุดๆ 
    สำหรับ “อนุสัย”ขั้นปลายสุดนั้น ถ้าเป็น “โลกียธรรม”ก็ยากจะแก้ไข แม้จะศึกษาเล่าเรียนจนสัมมาทิฏฐิ ก็ยังจะต้องกำจัด“พลังงาน”ที่ได้สั่งสมกระทั่งเป็น “อนุสัย”นี้กันอีกยากและนาน
    พอได้ยินคำว่า ยากและนาน ผู้ที่ยังเป็นโลกียชนอยู่ก็อย่าท้อเสียล่ะ เพราะจะอย่างไรมันก็ต้อง “เริ่มต้น” จึงจะสามารถทำให้หมดสิ้นได้
    ไม่มีอะไรที่ไม่เริ่มต้นโดย “ตนเอง”ในความเป็น “ตน”
    ขืนไปท้อแล้ว “ไม่ฮึด”เริ่มต้นกันสักที เลยยิ่งเติม “โลกียธรรม”ใส่ตนหนักหนา หนักหน้าขึ้นไป อีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แล้วจะรอเมื่อไหร่กันเล่า จึงจะเริ่มฮึดสู้...??????? ถ้ามั่นใจว่าจะเอาโลกุตระก็ไม่ต้องรอ มาให้เขาเอาตีนลูบหน้าก็ยังได้ ถ้าปล่อยไปก็ถูกโลกีย์หลอกต่อไป 
    มันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ ใช่มั้ย? 
    คนฉลาด ที่เข้าใจได้จริง จึงไม่รอช้าแน่นอนเด็ดขาด
    ก็เพราะไม่ยอมฉลาดกันเสียทีนี่เอง จึงยังสั่งสม “อนุสัย”ที่ยิ่งร้าย ยิ่งแรง ยิ่งลึก ยิ่งลับ แม้แต่ตนเองก็ยิ่งไม่รู้สีรู้สาหนักเข้าไปใหญ่
    จึงยิ่งน่าสงสารคนผู้ไม่รู้สีรู้สา ที่ว่านี้จริงๆ
    ส่วนคนที่ “รู้สีรู้สา” หรือเข้าใจ๊เข้าใจดี แต่ไม่เริ่มสักทีนั้น มันก็สุดที่จะสงสารแล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไป ที่ชอบๆกันเท่านั้นแหละ
    ความร้ายและความแรงของฝ่ายเลว ฝ่ายไม่ดีจึงยากยิ่งด้วยประการฉะนี้ 
    โลกจึงยังมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิดขึ้นในโลกอยู่ร่ำไป ยิ่งโลกใกล้กลียุคนี้ ยิ่งอภิบรมมหายากเย็นจริงๆ
    ความร้ายของ “อนุสัย”ที่เลวนั้น มันไม่เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มันจะต่างคนต่างยึดของตน แล้วก็หาอื่นๆ แปลกๆ  ใหม่ๆ ออกไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่เหมือนกันออกไปเรื่อยๆ ไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มี “เอกภาพ”ที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ สุดท้าย “ตนหนึ่งเดียว”จะรวยประโยชน์จากมวลมนุษยชาติในโลก 
    จะ “เห็นแก่ตัว”เต็มบริสุทธิ์ เพราะอะไรๆก็จะยึดเป็น “ของตัวของตน”ยิ่งๆไม่มีจบ
    จึงไม่มี “เสียสละ”อย่างจริงใจ-บริสุทธิ์ใจ-สมัครใจ-เต็มใจ-ชื่นใจ-อิ่มเอมใจ เหมือนๆกัน จะต่างก็แยกแปลกแผกต่าง มี “โทษพิเศษ”มากหลายลึกลับซับซ้อนกันยิ่งๆขึ้นอย่างหาประมาณมิได้
    โลกจึงแหลกเหลวประลัยกัลป์ด้วย “อนุสัย”เลวร้ายฉะนี้แล
 
(56) “อนุสัย”ที่เป็นโลกุตระนั้นมี “ปรมาณู”วิเศษสุดทึ่ง
    ส่วน “ปรมาณู”ของ “โลกุตรธรรม”นั้นจะเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนกันเข้าไปเรื่อยๆ เป็นหนึ่งเดียว และสุดท้ายก็เป็น “หนึ่งเดียว”อย่างมี “เอกภาพ”ที่มีทั้งปริมาณ(quantity)และคุณภาพ(quantity)ที่ยิ่งใหญ่ มีประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติในโลก 
    กล่าวคือ ล้วน “ไม่เห็นแก่ตัว” เพราะล้วนพยายามลดความเห็นแก่ตัวจริง กระทั่ง “หมดตนของตนเอง” เข้าไปสู่ “สูญ”เช่นเดียวกัน 
    จึง “เสียสละ”อย่างจริงใจ-บริสุทธิ์ใจ-สมัครใจ-เต็มใจ-พอใจ-ชื่นใจ-อิ่มเอมใจ-สุขใจไปทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะมีต่างกันก็คือ ต่างมี “คุณธรรม”ที่เป็นโลกุตระมากน้อยกว่ากันตามธรรมดาแห่งสัจจะ
    แต่ต่างก็มี “คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม)อย่างเดียวกันยิ่งๆขึ้น เป็น “สามัญญตา”(ความปกติของผู้ใฝ่ความสงบ)ในสังคมมนุษย์ ที่ต่างก็ “สมานัตตตา”(การทำตัวให้เข้ากันได้)ไปตามยถาภูตญาณของแต่ละคน
    “ผล”ที่เกิดแก่มนุษย์ส่วนรวมที่จะมีในสังคมตามพระพุทธเจ้าประมวลลงเรียกว่า “พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ” นั่นเอง ที่เป็นคุณสมบัติขั้นคุณวิเศษของความเป็น “ประชาธิปไตย” อันพึงประสงค์ของคนทั้งโลกแท้ๆ
    “ยอดนิยายของโลก”ก็จะเกิดจริงเป็นจริงได้ จาก “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เพราะมี “คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม)อย่างเดียวกัน “ที่ไขความเป็นมนุษย์”ให้แก่ “โลก” ซึ่งเป็น “ความลับสุด”ในห้วงปรารถนาแสนลึกของมนุษย์ที่มี “ความเป็นมนุษย์”ทุกคน
    ยกเว้น “อมนุษย์”(คนผู้มีจิตใจที่ยังไม่ใช่ “มนุษย์”แท้จริง)
    จริง!!!.. “ความวิเศษ”นี้ ในสังคมโลกปัจจุบันจะ “สุดทึ่ง”หรือจะ“ไม่เชื่อ”ว่า จะมีได้ เป็นได้จริง ก็เป็น “ภาวะวิเศษ”ที่เกินจินตนาการของคนแน่นอน โดยเฉพาะคนในยุคนี้
 
(57) ธรรมะของพระพุทธเจ้า มิใช่เรื่องเพ้อเจ้อ-เพ้อฝัน
    แต่ “คุณธรรมอันวิเศษ”ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ไม่ใช่เรื่อง
เพ้อเจ้อ หรือเพ้อฝันแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดียิ่งแล้ว จริงยิ่งแล้ว ซึ่งเพียงแต่ลึกล้ำเกินคนคิดเท่านั้น ทว่าเป็นความเป็นไปได้จริงๆ ในยุคที่ถึงขั้นต้องเป็นไปได้ เพราะเป็น “สวากขาตธรรม”คือ พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริง จริงไม่มีวันผิด 
    ซึ่งเป็น “สันทิฏฐิโก-อกาลิโก-เอหิปัสสิโก-โอปนยิโก-ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”แน่นอนที่สุด
    สันทิฏฐิโก คือ คนผู้เอาตนเองเข้ามาปฏิบัติจริงกับสังคมอาริยะ
    อกาลิโก คือ คุณวิเศษนี้เกิดในคนในสังคมได้ไม่จำกัดกาละใด
    เอหิปัสสิโก คือ มีความเป็นไปได้ที่เชิญมาดูมาเห็น พิสูจน์ได้ 
    โอปนยิโก คือ เป็นของสูงที่ควรโน้มน้อมเอามาใส่ใจใส่ตนให้ได้
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือ วิญญูชนจะรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่พลอยรู้ตามเห็นตามได้ง่าย เหมือนผู้ลิ้มรสเองจะรู้รสนั้นเอง 
    จึงจะเกิดสังคม “สาราณียธรรม 6”อย่างเป็นจริงตามคำสอน
    ซึ่งสังคมที่เป็น “สาราณียธรรม”ดังกล่าวนี้ ในยุคพระพุทธเจ้าก็สามารถทำได้กับสังคมของคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น ยิ่งถึงขั้น “สาธารณโภคี”แล้ว ในยุคพระพุทธเจ้าแท้ๆยังทำได้แค่ในหมู่มวลชนที่เป็นภิกษุเท่านั้น 
    เพราะยุคนั้นยังเป็นยุคของคนที่ยังไม่พ้นสมบูรณายาสิทธิราชย์ และเป็นยุคทาสทั้งโลก คนยังไม่รู้เรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ที่สำคัญคนทั้งหลายยังใช้ “สิทธิ”ต่างๆมากมายไม่เป็นกันเลย 
    แต่สังคมโลกยุคนี้ มันไม่ใช่ยุคโน้น มันเปลี่ยนไปสุดเจริญในความเป็นมนุษย์เป็นสังคมแล้ว กระทั่งถึงขั้นเสื่อมสุดแล้วเช่นกัน
    เพราะฉะนั้น จึงสามารถสร้างสังคม “สาราณียธรรม”ที่ถึงขั้นเป็น “สาธารณโภคี”ได้ ในหมู่มวลชนที่เป็นฆราวาสด้วยได้อย่างมีภาวะแห่งการหมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสสัคคะ,คัมภีราวภาโส)ของคุณธรรมหลากหลายชั้นของมนุษย์ ที่สนิทเนียนเป็นความมหัศจรรย์พิเศษยิ่ง
    จึง “น่าทึ่ง”สุดๆจริงๆ สำหรับผู้ยังคิดไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้
    สังคมที่มี “นิยายน่าทึ่ง”ของโลกจึงจะเกิดขึ้นให้แก่โลก จนกว่าจะสิ้นสุดโลก ไปตามสัจจะ อันมีมนุษย์อีกแหละที่จะเผาผลาญโลกจนเกิดไฟประไลยกัลป์ จริงที่สุด
    แต่โลกก็ยังมี “เรือโนอา”(นาวาบุญนิยม) ช่วยมนุษย์และสัตว์โลกเอาไว้จำนวนหนึ่งแน่นอนที่สุด  ????????
 
(57) “อนุสัย”ที่เป็นโลกุตระจริงสร้าง “ประชาธิปไตย”ได้แท้
    ซึ่งประดาคนที่ยังเข้าใจไม่ได้ ก็ยังยากที่เขาจะเชื่อกัน ว่าความเป็น “ประชาธิปไตย”นั้น “โลกุตรธรรม”นี่แหละที่จริงยิ่งที่สุด
    เพราะมวลคนที่มี “โลกุตรธรรม”ยังมีน้อย แม้จะมียืนยันพิสูจน์ให้เห็นแล้วก็ตาม และต้องยืนยาวนานพอด้วย 
    จึงต้องมาช่วยกันศึกษาและฝึกฝนตนให้เป็น “โลกุตรบุคคล”กันให้มากๆ ให้เพียงพอ 
    เรื่องจริงที่ “โลกุตรธรรม”สามารถพิสูจน์ต่อความจริงได้ก็คือ “โลกุตรธรรม”นั้น “ตนเอง”ถูกกำกับให้มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันตามคุณวิเศษของตนเอง แต่ละคนเท่าที่ตนมี ด้วยความสังวร อยู่จริง ดำเนินตาม “โพธิปักขิยธรรม 37”อยู่จริง จึงเป็นองค์รวม
ของ “คุณวิเศษ”ที่เป็น “เอกภาพ”(เอกีภาวะ) เป็นคุณธรรมสำคัญยืนยัน  
    แม้จะเป็นส่วนน้อยก็มีสภาพ “ยั่งยืน”จริง ยิ่งถ้าเป็นส่วนมากก็ยิ่งจะมีน้ำหนักสูง ได้ผลเร็วแน่นอน
    เพียงแต่ในโลกนี้ยังมีคนเป็นได้ส่วนน้อยอยู่เท่านั้น จึงเป็น“เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิด “นิยาย”ของโลก ในความเป็นมนุษย์ ตามฐานะของแต่ละคน เรื่องราวก็แตกต่างกันไปบ้างตาม “ฐาน
วิบาก”ของแต่ละคน ทว่า “นิยาย”จะมีส่วนเป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่สังคมจริง แม้จะเริ่มจากน้อยไปก็ตาม เพราะ “โลกุตรธรรม”มีความตั้งมั่น ที่เที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยน
แปลงไปอีกแล้ว(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) อย่างแท้จริง   
    ถ้าเป็น “โลกียธรรม” “ตนเอง”ก็ถูกกำกับให้มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันส่วนมาก ก็เป็นแบบโลกีย์ มี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิด “นิยาย”ของโลก ในความเป็นมนุษย์ ต่างๆของแต่ละคน มากมายหลากหลายเรื่องราว เต็มโลก ไม่เป็น “เอกภาพ”เด็ดขาด
    เพราะ “โลกียธรรม”นั้น มันแตกต่างกันไปคนละทาง ยิ่งมากมันก็ยิ่งมี “ความแตกต่าง”ที่หลากหลายพิลึกกึกกือ ซับซ้อนซ่อนเชิงก็สุดยอด อำมหิตโหดก็สุดสาหัส 
    ไม่ว่าจะเป็น “ความเห็นแก่ตัว” หรือลีลาของความโลภ-โกรธ-หลง ล้วนแตกแยกแผกต่างกันไปไม่สามารถประมาณนับกันได้
    จึงยิ่งเป็นภัยร้ายยิ่งๆ ตรงกันข้ามกันกับ “โลกุตรธรรม”ที่ยิ่งเป็นคุณวิเศษยอดอันหาที่เปรียบไม่ได้ ไปคนละทิศทาง 180 องศา ด้วยสัจจะความจริงอย่างนี้เอง 

(57) “นิสัย”แก้ไขได้ง่ายกว่า “วิสัย”จึงต้องรีบแก้
    “นิสัย”สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าความเป็น “วิสัย” จึงจะต้องรีบแก้ อย่ามัวปล่อยปะละเลยเป้นอันขาด 
    เพราะ “นิสัย”มันเดินทางด้วย “อาศัย”ไปเรื่อยๆ สู่ความเป็น“วิสัย”แน่นอน และสั่งสมลงเป็น “อนุสัย”จริงๆ 
    ยิ่งเป็น “อนุสัย”ที่เลวร้าย โลกก็มี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ร้ายเลวเป็นอิทัปปัจจยตาต่อไปเป็นความจริงที่แก้ไม่ได้เลย     
    ถ้าสั่งสม “อาศัย”ให้เป็น “นิสัย” และตกผลึกลงถึงขั้นเป็น“วิสัย”ของตนแล้ว จะแก้ไขยาก มากๆ จนถึงขั้นต้องใช้เวลาแก้ไขกันเป็นร้อยกัปป์ พันกัปป์ หมื่นกัปป์ทีเดียว 
    แม้จะเป็น “อนุสัย”ถ้าใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าก็แก้ไขได้ ต้องเริ่มต้นก็แล้วกัน ถ้าไม่เริ่มต้นสักที ก็แน่ยิ่งกว่าแน่ว่า หมดหวัง
    ดังนั้นจึงต้องแก้ “นิสัย”ให้ได้ คนเรานั้นมีชีวิตประจำวันเป็นอยู่ด้วย “นิสัย” โดยมี “วิสัย”และ “อนุสัย”เป็นต้นทุน 
    “ทุนนิยม”แก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ ด้วย “บุญนิยม”ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่แหละ ได้แน่ๆเด็ดขาด
    “บุญนิยม”จะสามารถเปลี่ยน “พลังงาน”ของจิตนิยามใน “ตนเอง” ที่เรียกกันเป็นภาษาว่า “อนุสัย”ก็ดี “อาศัย”ก็ดี นิสัย”ก็ดี “วิสัยก็ดี ที่คนเรียนรู้ได้ทุกคน และปรับปรุงแก้ไข “ทั้ง “อนุสัย-อาศัย-นิสัย-ส่วน “ความฉลาด”ที่ไม่เกิดจากการ “สังขาร”ของ “รูปกับนาม”ครบความเป็น “กาย”ก็ไม่ชื่อว่า “ฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า “ปัญญา” เป็น “ความฉลาด”ที่เรียกด้วยภาษาว่า “เฉกหรือเฉกา”เท่านั้น 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:15:56 )

580824

รายละเอียด

580824_ธรรมาธรรมะสงคราม  ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 8

พ่อครูว่า...เราก็มาฟังธรรมะที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าถ่ายทอดมา อันมีคำสอนคนอื่นหาเทียบปานได้ไม่ เพราะว่าคนที่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วเข้าใจ เกิดธรรมรส ปีติอิ่มใจคนนั้นเป็นคนที่วิเศษแล้ว อาตมาก็เอาที่เขียนเป็นหนังสือมาบรรยายให้พวกเราฟังด้วย พวกเราก็ตั้งใจเล่าเรียนอยู่ อาตมาถือว่าเป็นคำสอนในระดับที่ เป็นเรื่องลึกซึ้งหลายชั้น คนที่ฟังไม่รู้เรื่องก็บอกว่า เอาอะไรมาปนเละ สับสนมาก

พวกเราฟังก็น่าจะมีปีติถึงได้ทนได้อยู่ได้  ก็มีคนเขียนมาถาม...ผมขอเรียนถามพ่อครูครับว่า สมมุติว่าพ่อครูนั้นนั่งอยู่ในเรือลำเล็กๆ ลอยอยู่ในทะเล ในเรือมีอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเนื้อสัตว์อยู่ด้วย พ่อครูไม่ได้รับอาหารเข้าสู่ร่างกายมาหลายวันแล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจจะถึงแก่ชีวิตในไม่ช้า แต่ถ้าพ่อครูฉันอาหารที่อยู่บนเรือ จะทำให้พ่อครู มีชีวิตต่อและอยู่รอดจนถึงฝั่ง และได้ช่วยมนุษย์ให้เป็นอรหันต์ได้ ห้าหมื่นรูป หรืออาจมากกว่านั้น ผมขอเรียนถามว่า พ่อครูจะเลือกฉัน อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เพื่อมีชีวิตรอดต่อไปช่วยผู้อื่นหรือไม่ครับ?

ส่วนผม ผมเลือกที่จะกิน เพื่อให้มีชีวิตต่อไปช่วยคนอื่นครับ เพราะผมคิดว่า ผมมีภูมิฐานระดับที่อาจใช้ว่าผมอนุโลมได้แล้ว แต่ถึงแม้ว่า ภูมิฐานไม่ถึงแต่ผมาว่ามันก็คุ้มกับการที่เรายอมรับว่าตกต่ำ แล้วทำให้ชีวิตคนอื่นนั้นสูงขึ้น มาได้อย่างมากมาย ผมเองอยากทราบว่าเท่าที่ผมคิดนี้ถูกต้องไหมครับ กราบนมัสการครับ

ตอบก็โดยองค์รวมความคิดก็ใช้ได้คือไม่เห็นแก่ตัว และไม่ยึดมั่นถือมั่น คือกินเนื้อสัตว์ให้มีชีวิตรอดไปช่วยคนอื่น แล้วมาถามอาตมา ก็จะตอบดู

ถ้าเป็นอาตมานะ ในความเป็นอาตมาทุกวันนี้ อาตมาไม่มีปัญหาจริงๆหากจะกินเนื้อสัตว์ เพราะถ้าอาตมากินเนื้อสัตว์จะมีเชื้อวิบาก ที่ต่อไปถึงจิตวิญญาณสัตว์บ้าง ซึ่งยาวไกลไม่ตรงทีเดียว เพราะว่าไม่ได้ฆ่าเอง หรือเห็นอยู่หลัดๆ ก็ห่างพอสมควร ก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่นักก็อนุโลมได้ เราก็รับวิบากนั้นได้ แต่วิบากนั้น กับเรา ถ้าจะยังชีพ รอดชีวิตเพื่อมาทำงานช่วยคน อีกอย่างหนึ่ง อาตมาแม้จะกินเนื้อสัตว์ กิเลสก็ไม่เติมมาอีกแล้ว อาตมาก็ไม่มีปัญหา อย่างอรหันต์จี้กงกินเหล้า เสียสละไป เพื่ออนุโลมเขา 

แล้วถ้าคุณเอง มีภูมิคุ้มกันน้อย มันตายง่ายๆด้วยนะ แต่ท่านที่มีภูมิคุ้มกันสูงแล้วพิษพวกนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ มันมีนัยอื่นอีกที่อาตมาก็ไม่สามารถอธิบายได้ครบ ก็เท่าที่คิดได้ในปัจจุบัน 

ปัญหาที่ถามมานี่ ก็เป็นประโยชน์ไกลอาตมาว่า

แล้วที่อาตมาเอาเรื่องซ้ำๆนี้มาพูดก็เพื่อดูว่าพวกเรามีมานะอัตตาหรือไม่ คนที่กินอาหารซ้ำซากแต่อร่อยก็กินได้กินดี ท้องจะแตกก็กินได้เป็นต้น

(52) ภาวะที่เริ่มก่อตัวเป็น “ตัวตน”หรือ “ตนเอง”ยิ่งๆขึ้น    
    เริ่มแค่  “ส”ก็คือ  “ของตน, ตัวเอง”แล้ว ซึ่งหมายถึง กับ, เป็นไปกับ, มี, ประกอบด้วย, เหมือนกับ, เป็นไปกับภาวะนั้นภาวะนี้ที่ประชุมกันเข้าเกิดภาวะ “ตนเอง” ออกฤทธิให้กับตนเองนั่นเอง 
     “พีชนิยาม”พลังงานของมันที่ยึดเป็น “ตนเอง”ไม่ถึงขั้น “อนุสัย” เพราะมันไม่มี “ธาตุรู้”ได้ถึงขั้น “อวิชชา” คนปุถุชนหรือสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมันเอง ก็ทำให้มันหมดสิ้นความเป็น “ตนเอง”ของ “พีชนิยาม”ได้ 
    ส่วนความเป็น “จิตนิยาม”นั้น มี “อนุสัย”นี่เองที่เป็น “ตนเอง”ตัวร้าย ซึ่งจะต้องกำจัดให้สิ้นซาก สิ้นธุลีละออง ซึ่งต้องด้วยตนเองเท่านั้นที่จะกำจัด “อัตตา”ของตนเองได้สำเร็จ คนอื่นไม่มีสิทธิ์เด็ดขาด
     “อนุสัย” คือ ความเป็น “ตนเอง” ที่เริ่มเล็กยิ่ง ละเอียดลึกยอด และสุดท้ายลับเหลือหลาย ผู้อื่นจึงไม่มีสิทธิ์จะรู้จะสัมผัสได้เลย
     “อนุสัย”หมายถึง ตัวแรกด้วย และตัวปลายด้วย 
     “อนุสัย” ภาวะที่เริ่ม “อาศัย”มีทั้งตัวแรกทีเดียว ก่อนใดอื่น 
    แล้วจึงสะสมกันเพิ่มขึ้นๆ ซึ่งมันก็จะปรุงแต่งกัน หรือหมักดองกันเข้า แตกตัวออกไปๆเพิ่มยิ่งๆขึ้น เป็น “ตัวของตนเอง” ไปตามลำดับเป็น “นิสสัย” สั่งสม “นิสัย” ตกผลึก ควบแน่นกันเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่สุดแนบแน่น แน่วแน่ ปักมั่น ก็ชื่อว่า  “วิสัย”     
    และ “อนุสัย”เป็น “ตัวปลายสุดด้วย ถ้าหมายถึง “ตัวปลายสุด” ก็คือ สิ่งที่ฝังใส่ตัวเองไว้เอง อยู่ในรากลึกของพลังงานในตน ตัวนี้ยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งละเอียด ยิ่งลับ ยิ่งมีฤทธิ์แรงแกร่งแน่นหนักสุดๆ 
     “ตนเอง”ของความเป็น “จิตนิยาม”จะเป็นผู้ศึกษา “ตัวเอง”จนเกิด “วิชชา 8”ได้ จึงจะสามารถละล้าง “ตนเอง”ให้หมดไปสำเร็จ โดยการรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ธรรมนิยาม 5”อย่างสัมมาทิฏฐิ ไปตลอดความเจริญถึงสุดจนกระทั่งเป็นที่สุด สุดๆ 
    เพราะผู้มี “จิตนิยาม”สามารถมีภูมิรู้ถึงขั้น “กรรมนิยาม”และ “ธรรมนิยาม”ในขั้น “โลกุตรธรรม”ที่สัมมาทิฏฐิ ก็จะกำจัดละล้าง “อนุสัย”ของ “ตนเอง”(สย)ได้หมดสิ้นเกลี้ยงสำเร็จจริง
    จึงจะชื่อว่า การอภิวัฒน์พัฒนา “จิตในจิต”ตามแบบพุทธ 
 
(53)  “ตนเอง”เท่านั้นกำจัด “อนุสัย”ของตนได้หมดสิ้นแท้
     ส่วนคำว่า “อาสัย”นี้ คนไทยจะเขียนเป็น “อาศัย” หมายถึง  “ที่อาศัย” หรือภาวะรูปกับนาม หรือกายกับใจที่ตนเองอาศัยเป็นชีวิต อันมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ทั้งมวล ซึ่งแสนวิเศษก็เหลือหลาย-สุดสาหัสวิตถารก็หลากล้น ประดามีอยู่ในโลก ในสังคมมนุษยชาติ
    หรือ “พลังงาน”ที่เป็น “จิตนิยาม”นี้แหละ ตัวสำคัญที่เราจะได้
 “อาศัย”เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ได้ “อาศัย”ดีหรือชั่ว ได้ “อาศัย”เป็นคุณหรือเป็นโทษ ได้ “อาศัย”เป็นโลกียะหรือเป็นโลกุตระ หรือได้เป็นแค่กุศลขั้นกัลยาณธรรมหรือเป็นได้ถึงกุศลขั้นอาริยธรรม ก็ “จิตนิยาม”นี้เอง ที่ “ตนเอง”จะต้องจัดการเองของตนเองในตนเองด้วยตนเอง
    ผู้ “สัมมาทิฏฐิ”ที่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โพธิปักขิยธรรม 37” และสามารถแยกแยะ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ได้สัมมาทิฏฐิแท้ จึงจะสามารถสร้าง “พลังงาน”อันเป็น
 “นามธรรม”ให้ “ตนเอง”ใช้ “อาสัย”ได้จริง และหากเจริญพัฒนาขึ้นเป็น “อาริยธรรม”ขั้น “โลกุตรธรรม” แล้วสั่งสมลงไปใน “ตนเอง” ก็ก้าวหนัาขึ้นเป็น “นิสัย”ไปตามลำดับ ยิ่งขึ้นๆๆๆ
     “นิสัย”หมายถึง จิตตนเองที่ได้สั่งสม “พลังงานดีหรือชั่ว “ เป็น “โลกียะ”แค่นั้น ยิ่งๆขึ้น ก็เป็นการเจริญได้เพียง “กัลยาณธรรม” หรือจะก้าวข้าม “โลกียะ”ขึ้นเป็น “โลกุตระ”ได้ คุณธรรมต้องถึงขั้นเป็น “อาริยธรรม” แล้วสะสมเข้าไปใน “ตนเอง” จนมันตกผลึกไปตามลำดับ น้อย แล้วก็มากขึ้นๆ กระทั่งมีอำนาจในตนไปตามเท่าที่มันมี-มันได้
    แล้ว “โลกุตระ”ก็สั่งสม “คุณวิเศษ”เข้าไป ทั้งมาก ทั้งแน่น ทั้งแกร่งกล้า ทั้งมีประสิทธิภาพ ยิ่งๆขึ้น ก็เข้าขั้นเป็น “วิสัย” 
     “วิสัย”หมายความว่า  “นิสัย”ที่สั่งสมลงเป็น “ความมาก ความแน่น ความแกร่งกล้า ความมีประสิทธิภาพ”ยิ่งๆขึ้น จนเป็นความยั่งยืนเที่ยงแท้ถาวรไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ไม่มีอะไรหักล้างได้ 
ไม่กลับกำเริบอีกแล้ว ตลอดกาล นิรันดร
     “อนุสัย”จึงเป็น “ของตนเอง” ทำเอง สั่งสมเอง และต้องละล้างเอง กำจัดเอง ปรุงแต่งเอง เจริญเอง เสื่อมเอง ทั้งสิ้น 
    ไม่มีใครจัดการกับ “อนุสัย”ของตนเองได้เลยเป็นอันขาด
 
(54)  “สย”เป็น “อนุสัย”ทั้งในขั้นแรกเริ่ม ทั้งขั้นปลายสุด
    ถ้า “วิสัย”นี่แหละที่ยิ่งๆขึ้นหนักจัด สูงส่งมาก แล้วจะใช้ศัพท์เรียกขานกันว่า  “อนุสัย”อีกที ก็หมายความว่า ความเป็น “ตนเอง”ที่มีความเป็น “อนุ”หรือ “อณุ”หรือ “อณู”คือ น้อย,เล็กน้อย และ “อนุสัย”นี้ก้าวหน้าถึงขั้น “ปรมาณู”(อะตอม, Atom ซึ่งแปลว่า เล็กยิ่งๆขั้นยอด)
    ความเป็น “ปรมาณู”ที่ชาว “โลกียะ”ไปใช้ในทางเลวร้ายนั้น มันก็ร้ายเลวกันอย่างที่สังคมโลกเห็นกันอยู่แล้ว ซึ่งแตกต่างจาก
 “ปรมาณู”ของชาว “โลกุตระ”อย่างตรงกันข้ามทีเดียว
    ความเป็น “อนุหรืออณู”ขั้น “ปรมาณู”ของ “โลกุตระ”จึงพิเศษสุด
    ยิ่งเป็น “อนุสัย”ขั้น “ปรมาณู”ก็ยิ่งสุดวิเศษยอดประเสริฐ ยิ่งมีประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างสุดประมาณทีเดียว (ความวิเศษยอดประเสริฐสุดประมาณของ “โลกุตรธรรม”นี้ จะขยายความในโอกาสต่อจากนี้ไป ตอนนี้พูดถึง “อนุสัย”แรกเริ่มกันก่อน อ่านต่อๆไปเถิดก็จะขยายต่อไปเอง)
     “อนุสัย”แรกเริ่มนั้น คือ  “พลังงาน”แรกเริ่มก่อตัวขึ้น ยังไม่เป็น “ตัว” ถ้าเป็น “ชีวะ”ก็แค่ขั้น “เซลล์ปฐมภูมิ”(primary cell) เป็นเซลล์ที่หนึ่งเซลล์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นพลังงานขั้น “วิญญาณขั้น
อนุสัยในช่องว่าง”(คัพภ,niche) ที่เล็กมากขั้นแรกคือ  “กลละ”ที่เกาะอยู่ในมดลูก เป็นต้น และต้องติดอยู่เกาะอาศัยอาหารจากที่นี้เท่านั้น ยังไม่เป็นอิสระในตนเอง ยังอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพอยู่ ยังลอยไปไหนโดยอิสระในตัวเองไม่ได้ 
     “อนุสัย”นี้จึงไม่สามารถมีความร้าย-ความแรงอะไรกับใครได้ 
    ไม่ว่าจะเป็น “พีชนิยาม”หรือ “จิตนิยาม”ก็มีภาวะของ “เชื้อชีวะ”ที่มี “พลังงานแรกเริ่ม”ที่มีภาวะ “เชื้อชีวะ”แต่ละชนิด ซึ่งยังไม่เป็น “ตัวตน”(self) มีแค่ “พลังงาน”ยังไม่เป็น “ธรรม 2”เลย
    นี่คือ  “ปรทัตตูปชีวี” ที่ชาวพุทธทุกวันนี้หลงผิด “เชื้อชีวะ”ที่ยังอาจจะไม่ได้เป็น “ชีวะ”ต่อไปก็ได้ 
    แต่ผู้ที่หลงผิดเพี้ยน ภาวะเรียกว่า  “ปรทัตตูปชีวี”นี้ไปเป็น “ตัวตน”ของความเป็น “สัตว์”ที่มีองคาพยพประกอบกันมากกว่า “หนึ่งเซลล์”(ปฐมภูมิ,primary cell)นี้ไป จึงหลงผิดและพาลวิปลาส
    จึงเป็น “ความวิปลาส”ที่หมดทางที่จะเรียนรู้ปฏิบัติถึงนิพพาน
    ฉะนี้คือ  “อนุสัย”ที่เริ่มต้นแรกสุด
    และ “อนุสัย”ขั้นต้นนี้ก็จะเป็น “อาสัย”อวิชชาก่อ “นิสัย”ไปจนกระทั่งเกิด “วิสัย” และสูงสุดก็เป็น “อนุสัย”ขั้นปลายที่สุดร้ายสุดเลวมหามหันต์จนได้ 
     “อนุสัย”จึงเป็นได้ทั้งขั้นต้นแรก และเป็นได้ทั้งขั้นปลายสุด
    เป็นได้ทั้งเลวร้าย และเป็นได้ทั้งดีวิเศษ 
 
(55)  “อนุสัย”ที่เป็นขั้นปลายสุดนั้น สุดๆทั้งร้ายและทั้งดี
    และถ้า “อนุสัย”เป็นขั้นปลาย หากมีฤทธิ์แรงที่เลว ก็เลวสุดๆ หากมีฤทธิ์แรงที่ดี ก็ดีสุดๆ 
    สำหรับ “อนุสัย”ขั้นปลายสุดนั้น ถ้าเป็น “โลกียธรรม”ก็ยากจะ
แก้ไข แม้จะศึกษาเล่าเรียนจนสัมมาทิฏฐิ ก็ยังจะต้องกำจัด “พลังงาน”ที่ได้สั่งสมกระทั่งเป็น “อนุสัย”นี้กันอีกยากและนาน
    พอได้ยินคำว่า ยากและนาน ผู้ที่ยังเป็นโลกียชนอยู่ก็อย่าท้อเสียล่ะ เพราะจะอย่างไรมันก็ต้อง “เริ่มต้น” จึงจะสามารถทำให้หมดสิ้นได้
    ไม่มีอะไรที่ไม่เริ่มต้นโดย “ตนเอง”ในความเป็น “ตน”
    ขืนไปท้อแล้ว “ไม่ฮึด”เริ่มต้นกันสักที เลยยิ่งเติม “โลกียธรรม”ใส่ตนหนักหนา หนักหน้าขึ้นไป อีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    แล้วจะรอเมื่อไหร่กันเล่า จึงจะเริ่มฮึดสู้...??????? 
    มันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสเข้าไปใหญ่ ใช่มั้ย? 
    คนฉลาด ที่เข้าใจได้จริง จึงไม่รอช้าแน่นอนเด็ดขาด
    ก็เพราะไม่ยอมฉลาดกันเสียทีนี่เอง จึงยังสั่งสม “อนุสัย”ที่ยิ่งร้าย ยิ่งแรง ยิ่งลึก ยิ่งลับ แม้แต่ตนเองก็ยิ่งไม่รู้สีรู้สาหนักเข้าไปใหญ่
    จึงยิ่งน่าสงสารคนผู้ไม่รู้สีรู้สา ที่ว่านี้จริงๆ
    ส่วนคนที่ “รู้สีรู้สา” หรือเข้าใจ๊เข้าใจดี แต่ไม่เริ่มสักทีนั้น มันก็สุดที่จะสงสารแล้ว ก็ต้องปล่อยเขาไป ที่ชอบๆกันเท่านั้นแหละ
    ความร้ายและความแรงของฝ่ายเลว ฝ่ายไม่ดีจึงยากยิ่งด้วยประการฉะนี้ 
    โลกจึงยังมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิดขึ้นในโลกอยู่ร่ำไป ยิ่งโลกใกล้กลียุคนี้ ยิ่งอภิบรมมหายากเย็นจริงๆ
    ความร้ายของ “อนุสัย”ที่เลวนั้น มันไม่เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มันจะต่างคนต่างยึดของตน แล้วก็หาอื่นๆ แปลกๆ  ใหม่ๆ ออกไปเรื่อยๆ ยิ่งไม่เหมือนกันออกไปเรื่อยๆ ไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่มี “เอกภาพ”ที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ สุดท้าย “ตนหนึ่งเดียว”จะรวยประโยชน์จากมวลมนุษยชาติในโลก 
    จะ “เห็นแก่ตัว”เต็มบริสุทธิ์ เพราะอะไรๆก็จะยึดเป็น “ของตัวของตน”ยิ่งๆไม่มีจบ
    จึงไม่มี “เสียสละ”อย่างจริงใจ-บริสุทธิ์ใจ-สมัครใจ-เต็มใจ-ชื่นใจ-อิ่มเอมใจ เหมือนๆกัน จะต่างก็แยกแปลกแผกต่าง มี “โทษพิเศษ”มากหลายลึกลับซับซ้อนกันยิ่งๆขึ้นอย่างหาประมาณมิได้
    โลกจึงแหลกเหลวประลัยกัลป์ด้วย “อนุสัย”เลวร่ายฉะนี้แล
 
(56)  “อนุสัย”ที่เป็นโลกุตระนั้นมี “ปรมาณู”วิเศษสุดทึ่ง
    ส่วน “ปรมาณู”ของ “โลกุตรธรรม”นั้นจะเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน เหมือนกันเข้าไปเรื่อยๆ เป็นหนึ่งเดียว และสุดท้ายก็เป็น “หนึ่งเดียว”อย่างมี “เอกภาพ”ที่มีทั้งปริมาณ(quantity)และคุณภาพ(quality)ที่ยิ่งใหญ่ มีประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติในโลก 
    กล่าวคือ ล้วน “ไม่เห็นแก่ตัว” เพราะล้วนพยายามลดความเห็นแก่ตัวจริง กระทั่ง “หมดตนของตนเอง” เข้าไปสู่ “สูญ”เช่นเดียวกัน 
    จึง “เสียสละ”อย่างจริงใจ-บริสุทธิ์ใจ-สมัครใจ-เต็มใจ-พอใจ-ชื่นใจ-อิ่มเอมใจ-สุขใจไปทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะมีต่างกันก็คือ ต่างมี “คุณธรรม”ที่เป็นโลกุตระมากน้อยกว่ากันตามธรรมดาแห่งสัจจะ
    แต่ต่างก็มี “คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม)อย่างเดียวกันยิ่งๆขึ้น เป็น “สามัญญตา”(ความปกติของผู้ใฝ่ความสงบ)ในสังคมมนุษย์ ที่ต่างก็ “สมานัตตตา”(การทำตัวให้เข้ากันได้)ไปตามยถาภูตญาณของแต่ละคน
     “ผล”ที่เกิดแก่มนุษย์ส่วนรวมที่จะมีในสังคมตามพระพุทธเจ้าประมวลลงเรียกว่า  “พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ” นั่นเอง ที่เป็นคุณสมบัติขั้นคุณวิเศษของความเป็น “ประชาธิปไตย” อันพึงประสงค์ของคนทั้งโลกแท้ๆ
     “ยอดนิยายของโลก”ก็จะเกิดจริงเป็นจริงได้ จาก “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เพราะมี “คุณวิเศษ”(อุตตริมนุสสธรรม)อย่างเดียวกัน  “ที่ไขความเป็นมนุษย์”ให้แก่ “โลก” ซึ่งเป็น “ความลับสุด”ในห้วงปรารถนาแสนลึกของมนุษย์ที่มี “ความเป็นมนุษย์”ทุกคน
    ยกเว้น “อมนุษย์”(คนผู้มีจิตใจที่ยังไม่ใช่ “มนุษย์”แท้จริง)
    จริง!!!.. “ความวิเศษ”นี้ ในสังคมโลกปัจจุบันจะ “สุดทึ่ง”หรือจะ “ไม่เชื่อ”ว่า จะมีได้ เป็นได้จริง ก็เป็น “ภาวะวิเศษ”ที่เกินจินตนาการของคนแน่นอน โดยเฉพาะคนในยุคนี้
 
(57) ธรรมะของพระพุทธเจ้า มิใช่เรื่องเพ้อเจ้อ-เพ้อฝัน
    แต่ “คุณธรรมอันวิเศษ”ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น ไม่ใช่เรื่อง
เพ้อเจ้อ หรือเพ้อฝันแต่อย่างใด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดียิ่งแล้ว จริงยิ่งแล้ว ซึ่งเพียงแต่ลึกล้ำเกินคนคิดเท่านั้น ทว่าเป็นความเป็นไปได้จริงๆ ในยุคที่ถึงขั้นต้องเป็นไปได้ เพราะเป็น “สวากขาตธรรม”คือ พระธรรมอันพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เป็นความจริง จริงไม่มีวันผิด 
    ซึ่งเป็น “สันทิฏฐิโก-อกาลิโก-เอหิปัสสิโก-โอปนยิโก-ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ”แน่นอนที่สุด
    สันทิฏฐิโก คือ คนผู้เอาตนเองเข้ามาปฏิบัติจริงกับสังคมอาริยะ
    อกาลิโก คือ คุณวิเศษนี้เกิดในคนในสังคมได้ไม่จำกัดกาละใด
    เอหิปัสสิโก คือ มีความเป็นไปได้ที่เชิญมาดูมาเห็นกันเลย มาพิสูจน์ได้ ทั้งที่เป็นส่วนตนแต่ละคน ทั้งที่เป็นชุมชนสังคมกลุ่มหมู่ อันเป็นได้ถึงขั้นหมดสิ้นความเป็นทาสทั้งของ “โลก” และเป็นได้ถึงขั้นหมดสิ้นความเป็นทาส “ตนเอง”ที่เป็นคนที่ไม่ทำเพื่อ “ตนเอง”(อัตตา) จึงมีแต่ “ทำ”เพื่อส่วนรวม เพื่อประชาชน เพื่อผู้อื่นอย่างสุขสงบ ที่พิสูจน์ได้ แม้ในกาละที่เสื่อมหนักเช่น “ยุค”นี้ จึงไม่ใช่เพียงธรรมะที่เป็น “คุณวิเศษ”ในความเพ้อฝัน-เพ้อเจ้อเท่านั้น มีให้ดูได้แท้  
    โอปนยิโก คือ เป็นของสูงที่ควรโน้มน้อมเอามาใส่ใจใส่ตนให้ได้
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือ วิญญูชนจะรู้เฉพาะตน ผู้อื่นไม่พลอยรู้ตามเห็นตามได้ง่าย เหมือนผู้ลิ้มรสเองจะรู้รสนั้นเอง 
    เพราะคำตรัสที่พระพุทธองค์ตรัสไว้นั้นเป็น “สวากขาตธรรม”ทั้ง 6 นั้นแท้จริง จึงเกิดสังคมมนุษย์ “สาราณียธรรม 6”อย่างเป็นจริงตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เชิญให้มาดู แม้ในโลกยุคนี้ พ.ศ. 2558 นี้ได้ ว่า เกิดได้จริง เป็นได้จริง ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยกิเลสร้าย กิเลสแรงกันในสังคมจัดจ้านแท้ๆ นี้แล    
 
(58) ประชาธิปไตยที่แท้ต้อง “ปลดแอก”ให้แก่มนุษย์
    ซึ่งสังคมที่เป็น “สาราณียธรรม”ดังกล่าวนี้ ในยุคพระพุทธเจ้าสามารถทำได้แล้ว แต่ทำได้กับคนที่เป็นสังคมพุทธศาสนาเท่านั้น ยิ่งถึงขั้น “สาธารณโภคี”แล้ว ในยุคพระพุทธเจ้าแท้ๆยังทำได้แค่ใน
หมู่มวลชนที่เป็นภิกษุเท่านั้นด้วย เพราะมนุษย์ยังไม่เจริญถึง “ยุค”ศิวิไลซ์เพียงพอ เหมือนอย่างที่ถือกันว่าเจริญ “ศิวิไลซ์” เช่น  “ยุค”นี้  
    ยุคโน้นยังเป็นยุคของคนที่ยังไม่พ้นสมบูรณายาสิทธิราชย์ และเป็นยุคทาสทั้งโลก คนยังไม่รู้เรื่อง “สิทธิมนุษยชน” ข้อนี้สำคัญยิ่ง คนทั้งหลายยังไม่รู้จักว่า  “มนุษย์”นั้น มี “สิทธิในความเป็นมนุษย์” แม้สิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็น “มนุษย์”ของโลก อันมีอิสระเสรีภาพ
    ใน “ยุค”พระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้านี้แหละที่ “ปลดแอก”ความเป็น “มนุษย์”ให้ “อิสระเสรีภาพ”แก่ทาส และแก่ผู้ยังตกอยู่ใต้อำนาจ “วรรณะ” นี้เป็น “รูปธรรม”ที่มหัศจรรย์ยิ่งแล้วใน “ยุค”พระองค์
    ประชาชนคนพึงมี “อธิปไตย”ได้วิเศษยิ่งกว่านั้น ก็คือ ผู้ “ปลดแอก”ได้ด้วยทฤษฎีวิเศษ(สัมมาทิฏฐิ)ของพระพุทธเจ้า
    จึงจะเป็นประชาชนคนผู้มี “อธิปไตย”จริงยิ่งในโลก ในสังคม 
    กล่าวคือ เป็นผู้ “หลุดพ้น”จากแอกของโลกีย์ พ้นอำนาจ “โลก” ได้แก่ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขโลกีย์ทั้งหลาย 
    และที่สำคัญสุดๆเป็นประธานแห่งความหลุดพ้นจากแอกที่ยิ่งใหญ่ ก็คือ พ้นอำนาจ “อาตมันหรืออัตตา” ได้แก่  “ตนเอง”ที่เป็นพลังงานในตนในความเป็น “จิตวิญญาณ”นี้แหละ ที่คนไม่ใช่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันได้ง่ายๆ   
 
(59) ยุค “โลกีย์รุ่งเรือง”สุดๆนี้ นี่แหละ “โลกเสื่อม”สุดๆ
    แต่สังคมโลกยุคนี้ มันไม่ใช่ยุคโน้น มันเปลี่ยนเป็น “เจริญรุ่งเรือง”แบบโลกีย์(civilize)ยิ่งยอด ฉลาดเลิศไปสุดๆในความเป็นมนุษย์เป็นสังคมโลกีย์กันแล้ว แต่นี่แหละคือ โลกขั้นเสื่อมสุดแล้วเช่นกัน
    เพราะฉะนั้น จึงสามารถสร้างสังคม “สาราณียธรรม 6”ที่ถึงขั้นเป็น “สาธารณโภคี”ได้ ในหมู่มวลชนที่เป็นฆราวาสด้วยได้อย่างมีภาวะแห่งการหมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสสัคคะ,คัมภีราวภาโส)ของคุณธรรมหลากหลายชั้นของมนุษย์ ที่สนิทเนียนเป็นความมหัศจรรย์พิเศษยิ่ง
    จึง “น่าทึ่ง”สุดๆจริงๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยคิดว่า โลกนี้จะมีด้วยหรือ “ความน่าทึ่งปานฉะนี้” หรือคิดไม่ถึงว่า จะเป็นไปได้จริงๆ
    สังคมที่มี “นิยายน่าทึ่ง”ของโลกปานฉะนี้ นี่แหละ จะเกิดขึ้นให้โลกทึ่งได้จริงๆ จนกว่าจะสิ้นสุดโลก ไปตามสัจจะ
    และตามสัจจะอีกแหละ ใน “ยุค”เดียวกันที่มนุษย์มีภูมิธรรมสามารถสร้างสังคม “สาธารณโภคี”ได้จริงขึ้นมานี้เอง สังคมส่วนใหญ่ก็จะเสื่อมสุดด้วย ถึงขั้นทำลายแบบเผาผลาญกันจนเรียกเปรียบเปรยกันว่า มีไฟบรรลัยกัลป์ไหม้โลก หรือมีน้ำท่วมโลก ก็จริงที่สุด ไปตามสัจจะเช่นกัน
    แต่โลกเลวร้ายขนาดน้ำท่วมโลกตายกันเป็นเบือหมดโลกปานนั้น โลกก็ยังมี “เรือโนอาห์” (นาวาบุญนิยม) ได้แก่  “สาธารโภคี”นี้แล ที่ช่วยมนุษย์และสัตว์โลกเอาไว้จำนวนหนึ่ง แน่นอนที่สุด
    จะมีมนุษย์จำนวนหนึ่ง น้อยนิด ที่ขึ้นเรือโนอาห์ หรือเรือ “นาวาบุญนิยม” รอดชีวิตจากความเลวร้ายมหาประลัยกัลป์นี้ได้  
 
(60)  “ปัญญา”ที่เป็นโลกุตระแท้สร้าง “ประชาธิปไตย”ได้แท้
    ซึ่งประดาคนที่ยังเข้าใจไม่ได้ ก็ยังยากที่เขาจะเชื่อกัน ว่า   “โลกุตรธรรม”นี่แหละที่เป็น “ความจริง”ยิ่งที่สุด ที่สามารถพาคนเข้าสู่ความเป็น “ประชาธิปไตย” ปลดแอกได้จริง มี “อิสระเสรีภาพ”แท้จริง
    เพราะมวลคนที่มี “โลกุตรธรรม”ยังมีน้อย แม้จะมียืนยันพิสูจน์ให้เห็นบ้างแล้วก็ตาม และต้องยืนยาวนานพอด้วย 
    จึงต้องมาช่วยกันศึกษาและฝึกฝนตนให้เป็น “โลกุตรบุคคล”กันให้มากๆ ให้เพียงพอ 
    เรื่องจริงที่ “โลกุตรธรรม”สามารถพิสูจน์ “ความจริง”ได้ท่ามกลางโลกประชาธิปไตย แม้ในปัจจุบันนี้ ก็คือ  “ความอิสระเสรีภาพ” แท้ ที่ความเป็น “ตนเอง”มีอิสระเอง แต่สมัครใจเอง เข้ามาอยู่ในหมู่ให้หมู่กำกับ มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันไปกับหมู่ ตามความรู้อัน “สัมมาทิฏฐิ”ของตน และเท่าที่ “คุณวิเศษ”ของตนเองแต่ละคนมี 
    เรายอมอยู่กับหมู่ ซึ่งเราจะอยู่ หรือจะออกไปจากหมู่เมื่อใดก็ได้ ไม่มีใครมายุ่งกับ “อิสระเสรีภาพ”ของเราเลย แต่เราก็มอบ “อิสรภาพ”ของเราให้แก่หมู่ ดังกล่าวแล้ว 
    นี้คือ ความเป็น “ประชาธิปไตย”ให้หมู่เป็นใหญ่ มิใช่เอาตนเป็นใหญ่ ที่เป็นจริง พิสูจน์ได้ ในสังคมคนที่เป็น “โลกุตระ”
    ซึ่งเกิดจาก “ปัญญา”ของตนที่เป็นโลกุตระแท้ ด้วยความสังวรอยู่จริง ดำเนินตาม “โพธิปักขิยธรรม 37”อยู่จริง จึงเป็นองค์รวมของ “คุณวิเศษ”ที่เป็น “เอกภาพ”(เอกีภาวะ) เป็นคุณธรรมสำคัญยืนยันทั้งความเป็นอิสระ ทั้งความเป็นประชาธิปไตย ทั้งความเป็นผู้พากเพียรที่จะไม่ให้มี “ตนเอง”มี “อัตตา”หรือมี “ตน”ของตนเข้าไปเป็นคนเผด็จการ จะสำนึกสังวรตนไม่ให้ความเป็น “ตน”เข้าไปเป็นใหญ่กว่า “ความเป็นหมู่”อยู่เสมอ จนกว่าจะหมด “ตัวตน”ที่เป็นปรมัตถ์
     “หมู่ใหญ่”หรือมวลประชาชน จึงเป็นใหญ่กว่าเราอยู่จริง
    นี้แล คือ ประชาธิปไตยที่เป็นจริง พิสูจน์ได้เป็นสวากขาโต 
 
(61) โลกุตระนั้นมีความเสถียรยืนยันแม้จะเป็นส่วนน้อย
     “โลกุตระ”นั้นมีความเสถียรยืนยัน แม้ขณะนี้จะมีเป็นส่วนน้อยก็มีสภาพจริงของความ “ยั่งยืน” และมีความ “ยั่งยืน”จริง ไม่หวั่นไหวต่อสังคมโลกีย์ที่เป็นหมู่ใหญ่ห้อมล้อมเรา ดังนั้น ยิ่งถ้าเป็นส่วนมากก็ยิ่งจะมีน้ำหนักสูง ได้ผลเร็วแน่นอน
    ที่สำคัญมีความเป็น “เอกภาพ” อย่างเหนียวแน่นจริง
    เพียงแต่ในโลกนี้ยังมีคนเป็นได้ส่วนน้อยอยู่เท่านั้น จึงเป็น “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิด “นิยาย”ของโลก ในความเป็นมนุษย์ ตามฐานะของแต่ละคน เรื่องราวแตกต่างกันไปบ้างตาม “ฐานวิบาก”ของแต่ละคน ทว่า “นิยาย”จะมีส่วนเป็นคุณค่าประโยชน์ให้แก่สังคมจริง แม้จะเริ่มจากน้อยไปก็ตาม เพราะ “โลกุตรธรรม”มีความตั้งมั่น ที่เที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนแปลง ไปอีกแล้ว(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) อย่างแท้จริง   
    ถ้าเป็น “โลกียธรรม”  “ตนเอง”ก็ถูกกำกับให้มีพฤติกรรมในชีวิตประจำวันส่วนมาก ก็เป็นแบบโลกีย์ มี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”เกิด “นิยาย”ของโลก ในความเป็นมนุษย์ ต่างๆของแต่ละคน มากมายหลากหลายเรื่องราว เต็มโลก แต่ไม่เป็น “เอกภาพ”เด็ดขาด
    เพราะ “โลกียธรรม”นั้น มันแตกต่างกันไปคนละทาง ยิ่งมากมันก็ยิ่งมี “ความแตกต่าง”ที่หลากหลายพิลึกกึกกือ ซับซ้อนซ่อนเชิงก็สุดยอด อำมหิตโหดก็สุดสาหัส 
    ไม่ว่าจะเป็น “ความเห็นแก่ตัว” หรือลีลาของความโลภ-โกรธ-หลง ล้วนแตกแยกแผกต่างกันไปไม่สามารถประมาณนับกันได้
    จึงยิ่งเป็นภัยร้ายยิ่งๆ ตรงกันข้ามกันกับ “โลกุตรธรรม”ที่ยิ่งเป็นคุณวิเศษยอดอันหาที่เปรียบไม่ได้ ไปคนละทิศทาง 180 องศา ด้วยสัจจะความจริงอย่างนี้เอง 

(62)  “นิสัย”แก้ไขได้ง่ายกว่า “วิสัย”จึงต้องรีบแก้
    คนที่เห็นแก่ตัวนั้นมาจาก “นิสัย-วิสัย-อนุสัย” มาแก้ “ภัยร้าย”ที่มันพาคนชั่ว พาสังคมทุกข์ยากทรมานกันตรงนี้เถิด 
    อาตมาอธิบายเรื่องความเป็นอนุสัย-อาศัย-นิสัย-วิสัย-อนุสัยมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็น “พลังงาน”ของจิตใจคน ที่เจ้าตัวคนทุกคนต้องเรียนรู้และต้องแก้ไขให้แก่ “ตนเอง” มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของชีวิตคนจริงๆ ไม่ว่ายุคไหน กาละใด
    ยิ่งใหญ่สำคัญสุด เพราะเป็นต้นตอในการแก้ไข “ตน” แก้ไข “สังคม” แก้ไข “การเมือง” แก้ไข “เศรษฐกิจ”ให้ดีวิเศษ อย่างเรื่อง “ความจริง”หรือสัจจะนั้น มีความจริงยิ่งใหญ่ 2 อย่าง คือ  “สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ” เราต้องเรียนรู้ในทางปริยัติก่อน จึงจะไปปฏิบัติแล้วสัมผัสอ่าน “ความจริง”ที่เป็น “เวทนา”ในตนออก และแยกได้ว่า “ความจริง” อย่างนี้คือ  “สมมุติ” อย่างนี้คือ “ปรมัตถ์” 
    จึงจะสามารถปฏิบัติเข้าไปเรียนรู้แยก “เวทนาในเวทนา”ได้ว่า ความจริงของเวทนาที่เรากำลัง “สัมผัส”อยู่จริงในขณะที่ปฏิบัติปรากฏภาวะของ “เวทนา”ในตนได้ว่า นี้คือ  “เวทนา” แล้วเรียนรู้ “เวทนาในเวทนา” กระทั่งเรียนรู้มี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” แยกแยะ “เวทนาในเวทนา”ได้จริง    
    จึงจะถึงขั้นไปรู้ได้ว่า  “สมมุติสัจจะ”นั้นอย่างนี้ สุขของสมมุติสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ 
    ต่างจาก “ปรมัตถสัจจะ”ว่า สุขของปรมัตถสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย  
    เพราะแค่รู้ใน “ฌาน”ก็ดี รู้ใน “สมาธิ”ก็ดี รู้ใน “นิโรธ”ก็ดี หรือรู้ว่า  “ความสงบ”ขั้นปรมัตถธรรม คุณวิเศษของพุทธนั้นเป็นอย่างนี้ๆ
    ที่จะไม่ “วิปลาส”ไปจาก “พุทธสัจจะ”นั้น คนฉลาดอัจฉริยะในโลกแท้ๆ ยังยากยิ่งที่จะ “พ้นจากวิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส)ไปได้  


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:16:45 )

580824

รายละเอียด

580824_พ่อครู พบนักเรียนบ้านราชฯ 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ต้องพยายามหาโอกาส หาเวลา ถ้าเผื่อว่ามาขอใช้เวลานี้บ้างสัก 1 ชม. แม้จะเป็นวันหยุดก็น่าจะต้องฉวยเวลานั้น ก็ไม่อยากไปแย่งเวลาในตารางสอนวันธรรมดา เขาว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดหลวงปู่ก็เลยเอาเวลานี้ ก็ขอสักชม.หนึ่ง เพื่อมาบอกกล่าวมาเตือนด้วยปรารถนาดี

พวกเรานี่ ลองใช้ปัญญาตรองๆดูดีๆว่า ไอ้ความปรารถนาดีนี่ มันดีไหม โดยเฉพาะความปราถนาดีที่จริงใจ 

ปรารถนาดีที่จริงใจคืออะไร ฟังดีๆ ความปรารถนาดีที่จริงใจคือความปรารถนาดีที่ต้องการเพื่อผู้อื่น ให้ผู้อื่น ให้พวกเราได้เป็นคนดี อันนี้เน้นเฉพาะเลย ให้เป็นคนดี ไอ้เป็นคนมีความรู้นั้นก็ด้วย แต่หลวงปู่นี่ขอยืนยันว่า คนมีความดีนี่ ดีกว่าคนมีความรู้  เพราะคนที่มีความรู้มากๆแต่ไม่มีความดี ยิ่งเลวมากเท่าไหร่ คนเลวที่มีความรู้มากนั้นจะเอาความรู้ไปทำเลว มันก็เลยยิ่งซับซ้อน ทำให้ตนเองได้ทำเลวจัด กระทบคนอื่น กระทบสัมคมได้มากขึ้น จัดขึ้น ความรู้ที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย ความรู้กับความเก่งที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย จำไว้เลยตลอดตาย 

จำไว้ ความดีนี่สำคัญกว่าความรู้ ความเก่ง จะเก่งอย่างไร รู้อย่างไร แต่ถ้าไม่มีความดีนี่ มันรู้ฉิบหาย เก่งฉิบหาย  ที่รู้นี่ไม่ได้พาให้ไปดีได้หรอก ถ้ามันไม่ดี ยิ่งไม่ดีมากเท่าไหร่ชั่วมากเท่าไหร่  ความรู้กับความเก่งนั้นยิ่งพาฉิบหาย มากเท่านั้น

ต้องสำนึกถึงคุณธรรม ชีวิตเรา ว่าจะดีก่อนเก่งหรือเก่งก่อนดี จะดีก่อนรู้หรือรู้ก่อนดี คิดดีๆอย่าสับสน ความดีจึงเป็นความสำคัญกว่า ความรู้ ความเก่ง นึกให้ดีเถอะ เพราะฉะนั้นที่รร.เรา เอาเด็กมาสอน เอาเด็กมาเลี้ยงมาอบรมสั่งสอน แล้วใช้นิตินัย หลักสังคมประเทศมาประกอบเลย จะได้ไปด้วยกันทั้งความรู้ ความเก่ง และความดี โดยเฉพาะขาดความดีไม่ได้ 

เจตนาของรร.นี้คือเอาความดีเป็นหลัก ดีนั้นคือมีศีลมีธรรม ขอให้ระลึกถึงความดีก่อนอื่น ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องส่ิงที่ดีก่อนเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่ดีขึ้น นี่คือความปรารถนาดีของรร.สัมมาสิกขาทุกแห่ง ไม่ได้ทำเพื่อค้าขายหาเงินทอง ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สอนมาหลายสิบรุ่นไม่ได้เรียกร้องอะไรจากพวกเราเลยมีแต่อบรมสั่งสอนให้ดี ตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการด้วย จบไปเด็กสัมมาสิกขาสู้เขาได้ ดีไม่ดีได้เกียรตินิยมด้วย ไม่น้อยเลยที่ได้ ไปเรียนต่อ ไม่ต้องกังวลหรอกหลักสูตรสัมมาสิกขา ขอยืนยันเลยว่าไม่ได้ด้อยกว่าข้างนอก แต่แถมด้วยความดีเป็นหลัก หรือเป็นงานด้วย

พวกเราก็ต้องหนักหน่อย เหนื่อยหน่อย แต่เด็กๆนี่กำลังเจริญวัย ถ้าได้ฝึกความดีก็ตาม ความเป็นงานก็ตาม มันเสียไหม เราสอนให้ความดีแล้วเป็นงานจะเสียไหม เราไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยจะตายแล้วเมื่อไหร่ ก็รู้อยู่ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง พากเพียรดีๆ ขยันดีๆ 6 ปีที่อยู่ก็ตั้งใจดีๆ หรือแม้แต่ยิ่งอยู่ในอนุบาล ทั้งปฐมด้วย ยิ่งตั้ง 12 ปียิ่งดีใหญ่เลย ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนไป จะได้สิ่งที่ได้ไปจริงๆเลย ที่นี่เจตนาให้ส่ิงดีติดตัวไป ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองลาภยศ สิ่งตอบแทนอะไร ส่วนใครจะมีกตัญญูกตเวทีอยากจะทดแทนบุญคุณก็เป็นความดีงาม ประเสริฐของมนุษย์ แต่ไมได้บังคับใครก็แล้วแต่

สิ่งนี้ที่หลวงปู่พูดนี้ไม่ได้มาบังคับหรือทวงบุญคุณอะไรเลย แต่มาบอกความจริงให้ทราบว่าที่เราตั้งโรงเรียนขึ้นมา ของชาวอโศก 9 แห่งที่ทำนี่ก็เจตนาปรารถนาดีสร้างพลเมือง สร้างคนให้เป็นคนดีของสังคมของประเทศไม่ได้มีอื่นเลย ต้องตั้งใจ 

หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าพวกเรามาเรียนที่นี่เป็นกุศลเป็นโชคของเราจริงๆที่ได้มาเข้าเรียนที่นี่ เงินทองจากพ่อแม่ก็ไม่ต้องเสีย พ่อแม่ก็ไว้ใจได้ด้วย เราเอาตาดูหูแล ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ขนาดนั้นยังยากเลยที่บกพร่องเสียหายไปบ้าง ไม่ได้ส่งเสริมเลย พยายามอย่างยิ่ง ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย แต่อวิชชา ความชั่วในตัวที่มีมาทำให้เราบกพร่องเสียหาย หลายคนร้ายกาจจนแก้ไม่ได้ต้องให้ออก เราช่วยไม่ได้ เราไม่รุนแรง แต่รู้สึกว่า พี่ป้า น้าอา รุนแรง คุรุรุนแรง ที่นี่ไม่มีนะ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเกินเหตุเลย ให้สำนึกให้ดี มันเป็นโอกาสที่ดีของเราแล้ว อดทน ฝึกฝนเอา สำนึกดีๆ 

ถ้าขี้เกียจไม่อยากทำก็ระลึกถึงหลวงปู่เสมอ เข้าใจไหมที่หลวงปู่เตือนไม่ยากเย็นอะไร ก็ตั้งใจให้ดีเอาใจใส่ 

_มีการเขียนแสดงออกมา....กราบนมัสการเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ฟังว่าพ่อครูของเวลาพบนักเรียน วันจันทร์นี้ 1 ชม. ผู้ใหญ่จะซาบซึ้งใจที่พ่อครูให้เวลาพบลูกหลานซึ่ง นร.ที่อื่นเขาไม่มีโอกาสเช่นนี้เลย แล้วนร.สสธ.จะรู้สึกอย่างไร วันหยุดเราจะได้ทำตามหัวใจเรียกร้อง ทำตามส่วนตัว ทำตามสิ่งที่เราต้องการบ้างสิครับ/คะ หลวงปู่คะ ความเป็นส่วนตัวนี่มันดีหรือมันเลี่ยงไม่ได้อย่างไรคะ พวกหนูเรียน กิน นอนอยู่ด้วยกัน หากความเป็นส่วนตัวดีทำไมสัมมาสิกขาจึงจัดให้เราอยู่รวมกันทั้งหลับและตื่นด้วยคะ ตกลงความเป็นส่วนตัวนี้ดีหรือเปล่า? 

พ่อครูว่า.......ไม่ดี ความเป็นส่วนตัวคือความเห็นแก่ตัวไม่ได้ยากอะไร ศาสนาพุทธมาให้ล้างความเห็นแก่ตัว ชัดๆเลย 

_แล้วการอยู่ส่วนรวมนี่มันดีอย่างไรคะ?.... ถึงจัดให้เรามาอยู่รวมกันแทบจะทั้งหลับและตื่นเลย...เพื่อนรุ่นพี่หนูบางคนมีแฟน แฟนนี่ใช่เพื่อนส่วนตัวหรือเปล่าคะ...

พ่อครูว่า.. มันก็เพื่อนส่วนตัวสิ แบ่งกันได้หรือ? ถามมาได้.... งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสี่ยง จะไม่ดีสิคะ 
การมีเพื่อนส่วนรวมนี่ดีกว่านะ การมีเพื่อนส่วนตัวก็ช่วยเพียงส่วนตัว แต่การมีเพื่อนส่วนรวมก็จะได้ช่วยส่วนรวม ประเสริฐวิเศษกว่า ได้กับประโยชน์ส่วนรวม เราไปช่วยเพื่อนส่วนรวมดีกว่า ส่วนรวมหลายคนมาช่วยเราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นเข้าใจยากเลย 

_งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสียงที่จะไม่ดี หนูก็ว่ามีเพื่อนหลายๆคนไม่เป็นส่วนตัวก็ดีนะคะ ...
พ่อครูว่าก็ดีสิ 
_หนูเห็นผู้ใหญ่คุยกันว่า เป็นห่วงเด็กน้อยสมุนพระรามตัวโตจะเป็นสาวแล้ว ไปเล่นน้ำ เด็กๆไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร โดยเซนส์ของผู้ใหญ่ก็เห็นลูกกะตาวาวๆของแมวขโมยจ้องๆอยู่ระวังเด้อ จะผิดศีล หากแพ้ใจตัวจะไม่ได้อยู่วัดนะ หนูว่าอยู่รวมกันก็ดีอย่างนี้กระมังคะ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด 

_ผู้ใหญ่เขาฝากเตือนแมวขโมย รุ่นพี่หนูบางคนมีบ้าน มีผู้ปกครองในชุมชนก็ได้กลับบ้านซักผ้า ผ่อนคลายหรือแอบไปใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของผู้ปกครองที่บ้าน หนูฟังแล้วทีแรกก็ริสยา แต่หนูไม่มีบ้านที่นี่ พ่อแม่พามาฝากให้ที่นี่ดูและ หนูเคราะห์ดีหรือโชคดีคะ ....

พ่อครูว่า...มองให้ดีว่านี่เป็นโชคของเรานะที่เราไม่มีบ้านอยู่นี่เราจะได้ขัดเกลาใจตนเองไม่ได้ทำตามใจ แต่คนมีบ้านอยู่นี่เลยได้ทำตามใจชอบ คนที่มีบ้านอยู่นี่ก็อย่าไปทำตามใจบำเรออัตตาตัวเอง แม้มีบ้านในนี้ก็ต้องพยายามทำเหมือนคนไม่มีบ้านในนี้ ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องไปช่วยงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไปเพื่อหาเรื่องบำเรอใจตนอันนั้นไม่ดี คนไม่มีบ้านนี่ดีแล้วไม่มีเครื่องล่อ คำตอบคือ ถ้าทำให้เป็นเคราะห์ก็เป็นเคราะห์ทำให้เป็นโชคก็เป็นโชค ทำให้ดีก็แล้วกัน มันแล้วแต่แต่ละครอบครัว หรือวิบากของแต่ละคน วิบากบางคนพ่อแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่มีอะไรเอื้ออำนวย แต่ตนเองทำไม่ดีจะมีวิบาก 

_คนที่แอบไปโทรฯคุยส่วนตัว ไปทำอะไรก็ตาม ก็ตื่นเต้น ยิ่งได้เล่นไลน์หรือเล่นอื่นๆ ก็ดูจะสนุกนะ แต่โรงเรียนไม่ได้อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ในโทรศัพท์มีส่ิงดีเหมือนกันคะ เห็นผู้ใหญ่ก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้
พ่อครูว่า...แล้วมันคุมตัวเองให้ทำงานไม่ให้ทำอย่างอื่นที่เสียหายได้ไหม อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ให้ฝึกจิตใจให้มีพลังงานแข็งแรงพอจะใช้มันได้ก่อนค่อยใช้ 

_ตอนหนูอยู่บ้าน แม่จะดูและเครื่องนอน เสื้อผ้าสารพัด หนูแทบไม่ต้องรับผิดชอบ แต่มาอยู่ที่นี่ห้องน้ำก็ต้องขัดถูทุกวัน อะไรก็ต้องทำเอง ข่าวว่าพี่ๆฝ่ายชายผู้ใหญ่บอกว่าที่เฮือน 0 สุดยอดสกปรกเลย แล้วพี่ๆเขาอยู่กันเยอะแยะ ไม่มีใครทำความสะอาดเลย หนูว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ พี่ๆเขาอยู่กันอยู่อย่างวัยรุ่น บางทีก็ส่งเสียงดังไปถึง เรือสมณะเลยค่ะ อย่างนี้ควรต้องลดวอลลุ่มหน่อย หนูดีใจที่มีพี่ๆอาชีวะเยอะเป็นฝูงเลย ยิ่งได้เห็นว่าพี่ๆอาชีวะได้ช่วยชีวิตลุงคนหนึ่ง โอ้โห หนูงี้ปลื้มมากเลย พี่ๆหนูทั้งเป็นคนเก่งและเป็นคนดี 

_แล้วเวลากินข้าวที่ศาลาเห็นพวกพี่ๆอาชีวะ ช่วยอาๆเก็บหางล้างภาชนะชิ้นโตๆ หนูประทับใจมากๆเลยค่ะ ผิดกะที่ข้างบ้านหนูที่บ้านน่ะค่ะ ลูกๆเขาก็เรียนอาชีวะ แต่พูดกะพ่อกะแม่ไม่สุภาพเลย เอาแต่ใจตัว สูบบุหรี่ด้วย หนูเห็นเพื่อนๆเขามาหา พฤติกรรมแย่มาก พูดมึงพูดกู กิริยาท่าที เหมือนจิ๊กโก๋ หรือนักเลงหัวไม้ พวกชอบมองหน้าหาเรื่องตีกัน ทำร้ายกันน่ะค่ะ 

พี่ๆอาชีวะโรงเรียนที่ราชธานีอโศก มีสาระดีกว่าเยอะเลยค่ะหลวงปู่ 

แต่บางครั้งหนูเห็นพวกเขาก็ขับรถเร็วจังนะคะ หนูกลัวชนหรือเกิดอุบัติเหตุจังเลยค่ะ พ่อครูเตือนพี่ๆหนูหน่อยนะคะ 

หลวงปู่คะ โรงเรียนเราจะมีเรียนถึงปริญญาไหมคะ

_รร.เราเปิดโอกาสผู้ที่เหมาะสม นร.ทั้งหญิงและชาย ก็ให้ขับรถ อย่าว่าแต่ขับรถยนต์เลย แม้แต่เครื่องกลหนัก ถ้าผู้ใหญ่เห็นหน่วยก้านก็ให้ทำอยู่แล้ว โดยไม่หวงแหนข้าวของ ที่อื่นเขาไม่ให้ทำเหมือนที่นี่ เด็กที่นี่ได้เปรียบข้างนอกเยอะ การขับรถเร็วนี่อย่าสร้างนิสัย แม้มันจะได้เสียงได้อะไรที่หวาดเสียว หลวงปู่นี่ขับรถมาเยอะเลย สมัยนั้นเบนซินลิตรละ 1.25 บาทยังใช้ค่าน้ำมันเดือนละ 1500 บาท หลวงปู่ใช้รถวิ่งทำงานเยอะ ถ้าเผื่อว่าขับรถเร็ว เอาแต่ใจป่านนี้หลวงปู่ตายไปนานแล้ว ไม่เคยขับรถชนคน แต่มีแต่เขาขับรถมาชน เคยขับชนท้ายรถ เพราะรถชบาบานเบรคไม่อยู่ เลยชนเขาท้ายบู้เลย  แล้วที่จะเร็วก็ต้องดูสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ดีหรอก มีอุบัติเหตุง่าย ขับรถเร็วนี่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าไม่จำเป็นขนาดต้องส่งคนไปรพ.ใกล้จะตายแล้วก็ค่อยว่า อย่างอื่นไม่มีความจำเป็นอะไร จิตเราอยากขับเร็ว อยากเท่ ซึ่งคิดโง่ๆไม่ปลอดภัย จำไว้ ถ้าจำเป็นควรเร็วมีความต้องการจำเป็นค่อยทำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเร็วทำไม เด็กเก่งและดีจะไม่ขับรถเร็ว

_โรงเรียนเราจะมีถึงปริญญา ก็พยายามอยู่ ตอนนี้เราได้ ปวส.แล้ว เราจะทำให้ถึงป.เอกเลย การรู้สึกว่าเราไม่อยากไปเรียนข้างนอกนี่ดี

_ถ้าเด็กนร.มีความคิดและการกระทำที่่ว่า ถ้ามีเพื่อนพี่น้องทำผิดศีล ผิดระเบียบโรงเรียน ซึ่งตนเองก็ได้เป็นผู้รู้เห็นการกระทำของเขา แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร หรือช่วยปกปิดการกระทำผิดของเพื่อนไว้ เพราะกลัวเพื่อนถูกลงโทษ รวมถึงบางครั้งตนก็ได้ร่วมทำผิดไปด้วย

เช่น แอบมีโทรศัพท์มือถือหรือแทบเล็ต แล้วรู้รหัสไวไฟร์ส่วนกลาง แอบใช้เล่นเฟสบุค ติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้ใจต่างพุทธสถาน เมื่อตนเองทำผิดไป กับเพื่อนด้วย ย่อมไม่กล้ารายงานต่อคุรุและผู้สมควร หรือแม้แต่ตนเองไม่ได้ทำผิดด้วย แต่ก็มีใจสงสารเพื่อรักเพื่อนที่ทำผิด เลยช่วยกันปกปิดความผิด

การคิดและทำเช่นนี้ มีผลดี ผลเสียอย่างไร จะเป็นการคิดและการทำผิดไหมหากไปเปิดเผยความผิดเขา แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนกล้าที่จะเปิดเผยความผิดของตนหรือของเพื่อน  

พ่อครูว่า...คนที่เห็นว่าเพื่อนทำผิดแล้วช่วยเพื่อนปกปิดความผิด แล้วความผิดนั้นจะได้แก้ไหม ...พระพุทธเจ้าว่า ความผิดความชั่วถ้าไม่เปิดเผยจะเน่าใน พระพุทธเจ้าว่าให้เปิดเผย จะน้อยจะมากก็ให้รับผิดแล้วรับโทษ แล้วตั้งใจใหม่ที่จะแก้ไข ให้เพื่อนรับรู้ เพื่อนจะได้ช่วยป้องกันให้เราด้วย มิตรดีสหายดีที่รวมกันมีประโยชน์ช่วยกันได้เยอะเลย วิธีการของพระพุทธเจ้าชาญฉลาด 

การเปิดเผยความผิดเขา ไม่ผิดหรอก เราไม่ได้ไปประจานเขานี่ แต่มาบอกผู้ใหญ่ให้ช่วยดูและ แต่ถ้าผิดถึงลงโทษต้องยอมรับ เราจะได้แก้ไข เพราะการสารภาพผิดรับผิดแล้ว ให้คนอื่นช่วยแก้ความผิดเรามันดีหรือเลว คิดให้ดี มันไม่ใช่สิ่งดีหรือเสียหาย แต่มันอยากปกปิดความชั่วเพราะมันอายเขา มันเลยพาให้หมักหมม พระพุทธเจ้าว่าการปกปิดความผิดความชั่วมันหมักหมมเน่าใน 

แล้วทำอย่างไรถึงกล้าจะเปิดเผย คือทำปัญญาให้ฉลาดให้ชัด เป็นสิ่งควรทำ แต่เราไม่เปิดเผยเพราะเราอาย เราก็อย่าไปทำผิดสิจะได้ไม่อาย ลองสิ ว่าถ้าเราได้สารภาพผิด ใจเราจะโล่งเลย ใครเคยไหม สารภาพผิดกับผู้ใหญ่หรือผู้ที่ควรสารภาพ จะโล่งเลย ปิดบังไว้มันอึดอัดทรมาน การเปิดเผยความผิดของเพื่อนเป็นสิ่งควรทำควรกล้าด้วย

_พฤติกรรมที่นร.บ้างคนทำ ที่อยากให้แก้ไขเพื่อให้เป็นคนดี คือเอาภาชนะส่วนกลางไปใช้แล้วไม่เอามาคืน ไปวางไว้ที่อื่นเช่นผาแหงน เป็นต้น 
_มีการทิ้งเศษเปลือกผลไม้ กากอ้อยที่กินเสร็จ ตามกระถางปลูกต้นไม้ ที่ชั้น 2 และชั้น 3 โดยเฉพาะกระถางที่หน้าต่าง ทางเดินและทางออกห้องสมุด 
_ตอนนี้ส้วมชายผาแหงนชั้น 3 อุดตัน ห้องน้ำชั้น 4 อุดตัน เพราะเศษพลาสติกเศษต่างๆอุดตัน ที่เกิดจากความมักง่ายของนร.ชาย 
พ่อครูตอบ...ทำเช่นนี้ดีหรือเลว ....เลว แล้วก็การทิ้งขยะ ที่มันย่อยไม่ได้ ไม่ละลายอย่าใส่ลงไป แต่ขี้เรานี่ใส่เข้าไปในท่อส้วมแล้วละลายได้ หลวงปู่ได้ยินมาว่า ห้องนร.ชาย ได้ยินมา เคยผ่านๆไปดู มันชักเลอะเทอะ ไม่มีระเบียบ ลองรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จัดแจงให้ดี อย่ายึดเป็นส่วนตัว แต่จัดให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง ลองทำดูสิ น่าจะดีขึ้น ถ้าเราทำให้มันดีแล้วเราก็อยู่อาศัย มันดีทั้งนิสัยเรา แล้วสิ่งแวดล้อมที่เราทำขึ้น ดีทั้งผู้มาเห็น ใครมาเห็นก็ชื่นชม แต่ถ้าทำไม่ดีสกปรก เราอยู่ก็เป็นคนไม่ดี นิสัยไม่ดี นิสัยนี่สร้างเถอะสร้างนิสัย 

อาศัย คือสิ่งที่เราเป็นอยู่อาศัยด้วย ทุกกรรมกิริยา ทุกวินาที เราก็มีกรรมกิริยาทำให้ดี พอสะสมกรรมกิริยาดีจัดข้าวของให้ดีก็เป็นนิสัย 

นิสัยนี่เราอบรมได้ ด้วยอาศัย เวลา การกระทำ อบรมฝึกฝน แล้วสั่งสมเป็น นิสัย จากนิสัยจะตกผลึกเป็น วิสัย แล้วจะควบแน่นเป็น อนุสัย ตนเองทำเองทั้งนั้น หากเรารู้จักกรรมของเราในการอาศัย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันดี มันก็จะสั่งสมเป็นนิสัย ตกผลึกเป็นวิสัย เสร็จแล้วก็ผนึกเป็นของตนเองอย่างลึก แก้ยากเป็นอนุสัยสุดท้าย นี่เป็นการค้นพบของพระพุทธเจ้า อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย หากเราสั่งสมเป็นพระอาริยะ ก็จะได้เป็นอรหันต์และพระพุทธเจ้า 

หลวงปู่ก็ได้ใช้เวลา 1 ชม. ขอสรุป...เรามาเรียนที่นี่ สังวรให้ดีว่า เราเป็นคนโชคดี ที่ได้มาเรียนที่ๆอบรมเราให้เป็นคนดีแท้ๆ การจะเป็นคนดีต้องอดทนฝึกฝนอบรม ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบาย ยถาสุขังโขเมวิหารโต การปล่อยตัวตามสบาย อกุศลธรรมเจริญย่ิง .... เอาไปปฏิบัติไปทำ ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ...เจริญธรรมทุกคน 

580824_พ่อครู พบนักเรียนบ้านราชฯ 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ต้องพยายามหาโอกาส หาเวลา ถ้าเผื่อว่ามาขอใช้เวลานี้บ้างสัก 1 ชม. แม้จะเป็นวันหยุดก็น่าจะต้องฉวยเวลานั้น ก็ไม่อยากไปแย่งเวลาในตารางสอนวันธรรมดา เขาว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดหลวงปู่ก็เลยเอาเวลานี้ ก็ขอสักชม.หนึ่ง เพื่อมาบอกกล่าวมาเตือนด้วยปรารถนาดี

พวกเรานี่ ลองใช้ปัญญาตรองๆดูดีๆว่า ไอ้ความปรารถนาดีนี่ มันดีไหม โดยเฉพาะความปราถนาดีที่จริงใจ 

ปรารถนาดีที่จริงใจคืออะไร ฟังดีๆ ความปรารถนาดีที่จริงใจคือความปรารถนาดีที่ต้องการเพื่อผู้อื่น ให้ผู้อื่น ให้พวกเราได้เป็นคนดี อันนี้เน้นเฉพาะเลย ให้เป็นคนดี ไอ้เป็นคนมีความรู้นั้นก็ด้วย แต่หลวงปู่นี่ขอยืนยันว่า คนมีความดีนี่ ดีกว่าคนมีความรู้  เพราะคนที่มีความรู้มากๆแต่ไม่มีความดี ยิ่งเลวมากเท่าไหร่ คนเลวที่มีความรู้มากนั้นจะเอาความรู้ไปทำเลว มันก็เลยยิ่งซับซ้อน ทำให้ตนเองได้ทำเลวจัด กระทบคนอื่น กระทบสัมคมได้มากขึ้น จัดขึ้น ความรู้ที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย ความรู้กับความเก่งที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย จำไว้เลยตลอดตาย 

จำไว้ ความดีนี่สำคัญกว่าความรู้ ความเก่ง จะเก่งอย่างไร รู้อย่างไร แต่ถ้าไม่มีความดีนี่ มันรู้ฉิบหาย เก่งฉิบหาย  ที่รู้นี่ไม่ได้พาให้ไปดีได้หรอก ถ้ามันไม่ดี ยิ่งไม่ดีมากเท่าไหร่ชั่วมากเท่าไหร่  ความรู้กับความเก่งนั้นยิ่งพาฉิบหาย มากเท่านั้น

ต้องสำนึกถึงคุณธรรม ชีวิตเรา ว่าจะดีก่อนเก่งหรือเก่งก่อนดี จะดีก่อนรู้หรือรู้ก่อนดี คิดดีๆอย่าสับสน ความดีจึงเป็นความสำคัญกว่า ความรู้ ความเก่ง นึกให้ดีเถอะ เพราะฉะนั้นที่รร.เรา เอาเด็กมาสอน เอาเด็กมาเลี้ยงมาอบรมสั่งสอน แล้วใช้นิตินัย หลักสังคมประเทศมาประกอบเลย จะได้ไปด้วยกันทั้งความรู้ ความเก่ง และความดี โดยเฉพาะขาดความดีไม่ได้ 

เจตนาของรร.นี้คือเอาความดีเป็นหลัก ดีนั้นคือมีศีลมีธรรม ขอให้ระลึกถึงความดีก่อนอื่น ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องส่ิงที่ดีก่อนเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่ดีขึ้น นี่คือความปรารถนาดีของรร.สัมมาสิกขาทุกแห่ง ไม่ได้ทำเพื่อค้าขายหาเงินทอง ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สอนมาหลายสิบรุ่นไม่ได้เรียกร้องอะไรจากพวกเราเลยมีแต่อบรมสั่งสอนให้ดี ตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการด้วย จบไปเด็กสัมมาสิกขาสู้เขาได้ ดีไม่ดีได้เกียรตินิยมด้วย ไม่น้อยเลยที่ได้ ไปเรียนต่อ ไม่ต้องกังวลหรอกหลักสูตรสัมมาสิกขา ขอยืนยันเลยว่าไม่ได้ด้อยกว่าข้างนอก แต่แถมด้วยความดีเป็นหลัก หรือเป็นงานด้วย

พวกเราก็ต้องหนักหน่อย เหนื่อยหน่อย แต่เด็กๆนี่กำลังเจริญวัย ถ้าได้ฝึกความดีก็ตาม ความเป็นงานก็ตาม มันเสียไหม เราสอนให้ความดีแล้วเป็นงานจะเสียไหม เราไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยจะตายแล้วเมื่อไหร่ ก็รู้อยู่ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง พากเพียรดีๆ ขยันดีๆ 6 ปีที่อยู่ก็ตั้งใจดีๆ หรือแม้แต่ยิ่งอยู่ในอนุบาล ทั้งปฐมด้วย ยิ่งตั้ง 12 ปียิ่งดีใหญ่เลย ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนไป จะได้สิ่งที่ได้ไปจริงๆเลย ที่นี่เจตนาให้ส่ิงดีติดตัวไป ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองลาภยศ สิ่งตอบแทนอะไร ส่วนใครจะมีกตัญญูกตเวทีอยากจะทดแทนบุญคุณก็เป็นความดีงาม ประเสริฐของมนุษย์ แต่ไมได้บังคับใครก็แล้วแต่

สิ่งนี้ที่หลวงปู่พูดนี้ไม่ได้มาบังคับหรือทวงบุญคุณอะไรเลย แต่มาบอกความจริงให้ทราบว่าที่เราตั้งโรงเรียนขึ้นมา ของชาวอโศก 9 แห่งที่ทำนี่ก็เจตนาปรารถนาดีสร้างพลเมือง สร้างคนให้เป็นคนดีของสังคมของประเทศไม่ได้มีอื่นเลย ต้องตั้งใจ 

หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าพวกเรามาเรียนที่นี่เป็นกุศลเป็นโชคของเราจริงๆที่ได้มาเข้าเรียนที่นี่ เงินทองจากพ่อแม่ก็ไม่ต้องเสีย พ่อแม่ก็ไว้ใจได้ด้วย เราเอาตาดูหูแล ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ขนาดนั้นยังยากเลยที่บกพร่องเสียหายไปบ้าง ไม่ได้ส่งเสริมเลย พยายามอย่างยิ่ง ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย แต่อวิชชา ความชั่วในตัวที่มีมาทำให้เราบกพร่องเสียหาย หลายคนร้ายกาจจนแก้ไม่ได้ต้องให้ออก เราช่วยไม่ได้ เราไม่รุนแรง แต่รู้สึกว่า พี่ป้า น้าอา รุนแรง คุรุรุนแรง ที่นี่ไม่มีนะ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเกินเหตุเลย ให้สำนึกให้ดี มันเป็นโอกาสที่ดีของเราแล้ว อดทน ฝึกฝนเอา สำนึกดีๆ 

ถ้าขี้เกียจไม่อยากทำก็ระลึกถึงหลวงปู่เสมอ เข้าใจไหมที่หลวงปู่เตือนไม่ยากเย็นอะไร ก็ตั้งใจให้ดีเอาใจใส่ 

_มีการเขียนแสดงออกมา....กราบนมัสการเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ฟังว่าพ่อครูของเวลาพบนักเรียน วันจันทร์นี้ 1 ชม. ผู้ใหญ่จะซาบซึ้งใจที่พ่อครูให้เวลาพบลูกหลานซึ่ง นร.ที่อื่นเขาไม่มีโอกาสเช่นนี้เลย แล้วนร.สสธ.จะรู้สึกอย่างไร วันหยุดเราจะได้ทำตามหัวใจเรียกร้อง ทำตามส่วนตัว ทำตามสิ่งที่เราต้องการบ้างสิครับ/คะ หลวงปู่คะ ความเป็นส่วนตัวนี่มันดีหรือมันเลี่ยงไม่ได้อย่างไรคะ พวกหนูเรียน กิน นอนอยู่ด้วยกัน หากความเป็นส่วนตัวดีทำไมสัมมาสิกขาจึงจัดให้เราอยู่รวมกันทั้งหลับและตื่นด้วยคะ ตกลงความเป็นส่วนตัวนี้ดีหรือเปล่า? 

พ่อครูว่า.......ไม่ดี ความเป็นส่วนตัวคือความเห็นแก่ตัวไม่ได้ยากอะไร ศาสนาพุทธมาให้ล้างความเห็นแก่ตัว ชัดๆเลย 

_แล้วการอยู่ส่วนรวมนี่มันดีอย่างไรคะ?.... ถึงจัดให้เรามาอยู่รวมกันแทบจะทั้งหลับและตื่นเลย...เพื่อนรุ่นพี่หนูบางคนมีแฟน แฟนนี่ใช่เพื่อนส่วนตัวหรือเปล่าคะ...

พ่อครูว่า.. มันก็เพื่อนส่วนตัวสิ แบ่งกันได้หรือ? ถามมาได้.... งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสี่ยง จะไม่ดีสิคะ 
การมีเพื่อนส่วนรวมนี่ดีกว่านะ การมีเพื่อนส่วนตัวก็ช่วยเพียงส่วนตัว แต่การมีเพื่อนส่วนรวมก็จะได้ช่วยส่วนรวม ประเสริฐวิเศษกว่า ได้กับประโยชน์ส่วนรวม เราไปช่วยเพื่อนส่วนรวมดีกว่า ส่วนรวมหลายคนมาช่วยเราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นเข้าใจยากเลย 

_งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสียงที่จะไม่ดี หนูก็ว่ามีเพื่อนหลายๆคนไม่เป็นส่วนตัวก็ดีนะคะ ...
พ่อครูว่าก็ดีสิ 
_หนูเห็นผู้ใหญ่คุยกันว่า เป็นห่วงเด็กน้อยสมุนพระรามตัวโตจะเป็นสาวแล้ว ไปเล่นน้ำ เด็กๆไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร โดยเซนส์ของผู้ใหญ่ก็เห็นลูกกะตาวาวๆของแมวขโมยจ้องๆอยู่ระวังเด้อ จะผิดศีล หากแพ้ใจตัวจะไม่ได้อยู่วัดนะ หนูว่าอยู่รวมกันก็ดีอย่างนี้กระมังคะ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด 

_ผู้ใหญ่เขาฝากเตือนแมวขโมย รุ่นพี่หนูบางคนมีบ้าน มีผู้ปกครองในชุมชนก็ได้กลับบ้านซักผ้า ผ่อนคลายหรือแอบไปใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของผู้ปกครองที่บ้าน หนูฟังแล้วทีแรกก็ริสยา แต่หนูไม่มีบ้านที่นี่ พ่อแม่พามาฝากให้ที่นี่ดูและ หนูเคราะห์ดีหรือโชคดีคะ ....

พ่อครูว่า...มองให้ดีว่านี่เป็นโชคของเรานะที่เราไม่มีบ้านอยู่นี่เราจะได้ขัดเกลาใจตนเองไม่ได้ทำตามใจ แต่คนมีบ้านอยู่นี่เลยได้ทำตามใจชอบ คนที่มีบ้านอยู่นี่ก็อย่าไปทำตามใจบำเรออัตตาตัวเอง แม้มีบ้านในนี้ก็ต้องพยายามทำเหมือนคนไม่มีบ้านในนี้ ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องไปช่วยงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไปเพื่อหาเรื่องบำเรอใจตนอันนั้นไม่ดี คนไม่มีบ้านนี่ดีแล้วไม่มีเครื่องล่อ คำตอบคือ ถ้าทำให้เป็นเคราะห์ก็เป็นเคราะห์ทำให้เป็นโชคก็เป็นโชค ทำให้ดีก็แล้วกัน มันแล้วแต่แต่ละครอบครัว หรือวิบากของแต่ละคน วิบากบางคนพ่อแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่มีอะไรเอื้ออำนวย แต่ตนเองทำไม่ดีจะมีวิบาก 

_คนที่แอบไปโทรฯคุยส่วนตัว ไปทำอะไรก็ตาม ก็ตื่นเต้น ยิ่งได้เล่นไลน์หรือเล่นอื่นๆ ก็ดูจะสนุกนะ แต่โรงเรียนไม่ได้อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ในโทรศัพท์มีส่ิงดีเหมือนกันคะ เห็นผู้ใหญ่ก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้
พ่อครูว่า...แล้วมันคุมตัวเองให้ทำงานไม่ให้ทำอย่างอื่นที่เสียหายได้ไหม อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ให้ฝึกจิตใจให้มีพลังงานแข็งแรงพอจะใช้มันได้ก่อนค่อยใช้ 

_ตอนหนูอยู่บ้าน แม่จะดูและเครื่องนอน เสื้อผ้าสารพัด หนูแทบไม่ต้องรับผิดชอบ แต่มาอยู่ที่นี่ห้องน้ำก็ต้องขัดถูทุกวัน อะไรก็ต้องทำเอง ข่าวว่าพี่ๆฝ่ายชายผู้ใหญ่บอกว่าที่เฮือน 0 สุดยอดสกปรกเลย แล้วพี่ๆเขาอยู่กันเยอะแยะ ไม่มีใครทำความสะอาดเลย หนูว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ พี่ๆเขาอยู่กันอยู่อย่างวัยรุ่น บางทีก็ส่งเสียงดังไปถึง เรือสมณะเลยค่ะ อย่างนี้ควรต้องลดวอลลุ่มหน่อย หนูดีใจที่มีพี่ๆอาชีวะเยอะเป็นฝูงเลย ยิ่งได้เห็นว่าพี่ๆอาชีวะได้ช่วยชีวิตลุงคนหนึ่ง โอ้โห หนูงี้ปลื้มมากเลย พี่ๆหนูทั้งเป็นคนเก่งและเป็นคนดี 

_แล้วเวลากินข้าวที่ศาลาเห็นพวกพี่ๆอาชีวะ ช่วยอาๆเก็บหางล้างภาชนะชิ้นโตๆ หนูประทับใจมากๆเลยค่ะ ผิดกะที่ข้างบ้านหนูที่บ้านน่ะค่ะ ลูกๆเขาก็เรียนอาชีวะ แต่พูดกะพ่อกะแม่ไม่สุภาพเลย เอาแต่ใจตัว สูบบุหรี่ด้วย หนูเห็นเพื่อนๆเขามาหา พฤติกรรมแย่มาก พูดมึงพูดกู กิริยาท่าที เหมือนจิ๊กโก๋ หรือนักเลงหัวไม้ พวกชอบมองหน้าหาเรื่องตีกัน ทำร้ายกันน่ะค่ะ 

พี่ๆอาชีวะโรงเรียนที่ราชธานีอโศก มีสาระดีกว่าเยอะเลยค่ะหลวงปู่ 

แต่บางครั้งหนูเห็นพวกเขาก็ขับรถเร็วจังนะคะ หนูกลัวชนหรือเกิดอุบัติเหตุจังเลยค่ะ พ่อครูเตือนพี่ๆหนูหน่อยนะคะ 

หลวงปู่คะ โรงเรียนเราจะมีเรียนถึงปริญญาไหมคะ

_รร.เราเปิดโอกาสผู้ที่เหมาะสม นร.ทั้งหญิงและชาย ก็ให้ขับรถ อย่าว่าแต่ขับรถยนต์เลย แม้แต่เครื่องกลหนัก ถ้าผู้ใหญ่เห็นหน่วยก้านก็ให้ทำอยู่แล้ว โดยไม่หวงแหนข้าวของ ที่อื่นเขาไม่ให้ทำเหมือนที่นี่ เด็กที่นี่ได้เปรียบข้างนอกเยอะ การขับรถเร็วนี่อย่าสร้างนิสัย แม้มันจะได้เสียงได้อะไรที่หวาดเสียว หลวงปู่นี่ขับรถมาเยอะเลย สมัยนั้นเบนซินลิตรละ 1.25 บาทยังใช้ค่าน้ำมันเดือนละ 1500 บาท หลวงปู่ใช้รถวิ่งทำงานเยอะ ถ้าเผื่อว่าขับรถเร็ว เอาแต่ใจป่านนี้หลวงปู่ตายไปนานแล้ว ไม่เคยขับรถชนคน แต่มีแต่เขาขับรถมาชน เคยขับชนท้ายรถ เพราะรถชบาบานเบรคไม่อยู่ เลยชนเขาท้ายบู้เลย  แล้วที่จะเร็วก็ต้องดูสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ดีหรอก มีอุบัติเหตุง่าย ขับรถเร็วนี่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าไม่จำเป็นขนาดต้องส่งคนไปรพ.ใกล้จะตายแล้วก็ค่อยว่า อย่างอื่นไม่มีความจำเป็นอะไร จิตเราอยากขับเร็ว อยากเท่ ซึ่งคิดโง่ๆไม่ปลอดภัย จำไว้ ถ้าจำเป็นควรเร็วมีความต้องการจำเป็นค่อยทำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเร็วทำไม เด็กเก่งและดีจะไม่ขับรถเร็ว

_โรงเรียนเราจะมีถึงปริญญา ก็พยายามอยู่ ตอนนี้เราได้ ปวส.แล้ว เราจะทำให้ถึงป.เอกเลย การรู้สึกว่าเราไม่อยากไปเรียนข้างนอกนี่ดี

_ถ้าเด็กนร.มีความคิดและการกระทำที่่ว่า ถ้ามีเพื่อนพี่น้องทำผิดศีล ผิดระเบียบโรงเรียน ซึ่งตนเองก็ได้เป็นผู้รู้เห็นการกระทำของเขา แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร หรือช่วยปกปิดการกระทำผิดของเพื่อนไว้ เพราะกลัวเพื่อนถูกลงโทษ รวมถึงบางครั้งตนก็ได้ร่วมทำผิดไปด้วย

เช่น แอบมีโทรศัพท์มือถือหรือแทบเล็ต แล้วรู้รหัสไวไฟร์ส่วนกลาง แอบใช้เล่นเฟสบุค ติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้ใจต่างพุทธสถาน เมื่อตนเองทำผิดไป กับเพื่อนด้วย ย่อมไม่กล้ารายงานต่อคุรุและผู้สมควร หรือแม้แต่ตนเองไม่ได้ทำผิดด้วย แต่ก็มีใจสงสารเพื่อรักเพื่อนที่ทำผิด เลยช่วยกันปกปิดความผิด

การคิดและทำเช่นนี้ มีผลดี ผลเสียอย่างไร จะเป็นการคิดและการทำผิดไหมหากไปเปิดเผยความผิดเขา แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนกล้าที่จะเปิดเผยความผิดของตนหรือของเพื่อน  

พ่อครูว่า...คนที่เห็นว่าเพื่อนทำผิดแล้วช่วยเพื่อนปกปิดความผิด แล้วความผิดนั้นจะได้แก้ไหม ...พระพุทธเจ้าว่า ความผิดความชั่วถ้าไม่เปิดเผยจะเน่าใน พระพุทธเจ้าว่าให้เปิดเผย จะน้อยจะมากก็ให้รับผิดแล้วรับโทษ แล้วตั้งใจใหม่ที่จะแก้ไข ให้เพื่อนรับรู้ เพื่อนจะได้ช่วยป้องกันให้เราด้วย มิตรดีสหายดีที่รวมกันมีประโยชน์ช่วยกันได้เยอะเลย วิธีการของพระพุทธเจ้าชาญฉลาด 

การเปิดเผยความผิดเขา ไม่ผิดหรอก เราไม่ได้ไปประจานเขานี่ แต่มาบอกผู้ใหญ่ให้ช่วยดูและ แต่ถ้าผิดถึงลงโทษต้องยอมรับ เราจะได้แก้ไข เพราะการสารภาพผิดรับผิดแล้ว ให้คนอื่นช่วยแก้ความผิดเรามันดีหรือเลว คิดให้ดี มันไม่ใช่สิ่งดีหรือเสียหาย แต่มันอยากปกปิดความชั่วเพราะมันอายเขา มันเลยพาให้หมักหมม พระพุทธเจ้าว่าการปกปิดความผิดความชั่วมันหมักหมมเน่าใน 

แล้วทำอย่างไรถึงกล้าจะเปิดเผย คือทำปัญญาให้ฉลาดให้ชัด เป็นสิ่งควรทำ แต่เราไม่เปิดเผยเพราะเราอาย เราก็อย่าไปทำผิดสิจะได้ไม่อาย ลองสิ ว่าถ้าเราได้สารภาพผิด ใจเราจะโล่งเลย ใครเคยไหม สารภาพผิดกับผู้ใหญ่หรือผู้ที่ควรสารภาพ จะโล่งเลย ปิดบังไว้มันอึดอัดทรมาน การเปิดเผยความผิดของเพื่อนเป็นสิ่งควรทำควรกล้าด้วย

_พฤติกรรมที่นร.บ้างคนทำ ที่อยากให้แก้ไขเพื่อให้เป็นคนดี คือเอาภาชนะส่วนกลางไปใช้แล้วไม่เอามาคืน ไปวางไว้ที่อื่นเช่นผาแหงน เป็นต้น 
_มีการทิ้งเศษเปลือกผลไม้ กากอ้อยที่กินเสร็จ ตามกระถางปลูกต้นไม้ ที่ชั้น 2 และชั้น 3 โดยเฉพาะกระถางที่หน้าต่าง ทางเดินและทางออกห้องสมุด 
_ตอนนี้ส้วมชายผาแหงนชั้น 3 อุดตัน ห้องน้ำชั้น 4 อุดตัน เพราะเศษพลาสติกเศษต่างๆอุดตัน ที่เกิดจากความมักง่ายของนร.ชาย 
พ่อครูตอบ...ทำเช่นนี้ดีหรือเลว ....เลว แล้วก็การทิ้งขยะ ที่มันย่อยไม่ได้ ไม่ละลายอย่าใส่ลงไป แต่ขี้เรานี่ใส่เข้าไปในท่อส้วมแล้วละลายได้ หลวงปู่ได้ยินมาว่า ห้องนร.ชาย ได้ยินมา เคยผ่านๆไปดู มันชักเลอะเทอะ ไม่มีระเบียบ ลองรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จัดแจงให้ดี อย่ายึดเป็นส่วนตัว แต่จัดให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง ลองทำดูสิ น่าจะดีขึ้น ถ้าเราทำให้มันดีแล้วเราก็อยู่อาศัย มันดีทั้งนิสัยเรา แล้วสิ่งแวดล้อมที่เราทำขึ้น ดีทั้งผู้มาเห็น ใครมาเห็นก็ชื่นชม แต่ถ้าทำไม่ดีสกปรก เราอยู่ก็เป็นคนไม่ดี นิสัยไม่ดี นิสัยนี่สร้างเถอะสร้างนิสัย 

อาศัย คือสิ่งที่เราเป็นอยู่อาศัยด้วย ทุกกรรมกิริยา ทุกวินาที เราก็มีกรรมกิริยาทำให้ดี พอสะสมกรรมกิริยาดีจัดข้าวของให้ดีก็เป็นนิสัย 

นิสัยนี่เราอบรมได้ ด้วยอาศัย เวลา การกระทำ อบรมฝึกฝน แล้วสั่งสมเป็น นิสัย จากนิสัยจะตกผลึกเป็น วิสัย แล้วจะควบแน่นเป็น อนุสัย ตนเองทำเองทั้งนั้น หากเรารู้จักกรรมของเราในการอาศัย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันดี มันก็จะสั่งสมเป็นนิสัย ตกผลึกเป็นวิสัย เสร็จแล้วก็ผนึกเป็นของตนเองอย่างลึก แก้ยากเป็นอนุสัยสุดท้าย นี่เป็นการค้นพบของพระพุทธเจ้า อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย หากเราสั่งสมเป็นพระอาริยะ ก็จะได้เป็นอรหันต์และพระพุทธเจ้า 

หลวงปู่ก็ได้ใช้เวลา 1 ชม. ขอสรุป...เรามาเรียนที่นี่ สังวรให้ดีว่า เราเป็นคนโชคดี ที่ได้มาเรียนที่ๆอบรมเราให้เป็นคนดีแท้ๆ การจะเป็นคนดีต้องอดทนฝึกฝนอบรม ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบาย ยถาสุขังโขเมวิหารโต การปล่อยตัวตามสบาย อกุศลธรรมเจริญย่ิง .... เอาไปปฏิบัติไปทำ ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ...เจริญธรรมทุกคน 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:17:53 )

580824

รายละเอียด

580824_พ่อครู พบนักเรียนบ้านราชฯ 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ต้องพยายามหาโอกาส หาเวลา ถ้าเผื่อว่ามาขอใช้เวลานี้บ้างสัก 1 ชม. แม้จะเป็นวันหยุดก็น่าจะต้องฉวยเวลานั้น ก็ไม่อยากไปแย่งเวลาในตารางสอนวันธรรมดา เขาว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดหลวงปู่ก็เลยเอาเวลานี้ ก็ขอสักชม.หนึ่ง เพื่อมาบอกกล่าวมาเตือนด้วยปรารถนาดี

พวกเรานี่ ลองใช้ปัญญาตรองๆดูดีๆว่า ไอ้ความปรารถนาดีนี่ มันดีไหม โดยเฉพาะความปราถนาดีที่จริงใจ 

ปรารถนาดีที่จริงใจคืออะไร ฟังดีๆ ความปรารถนาดีที่จริงใจคือความปรารถนาดีที่ต้องการเพื่อผู้อื่น ให้ผู้อื่น ให้พวกเราได้เป็นคนดี อันนี้เน้นเฉพาะเลย ให้เป็นคนดี ไอ้เป็นคนมีความรู้นั้นก็ด้วย แต่หลวงปู่นี่ขอยืนยันว่า คนมีความดีนี่ ดีกว่าคนมีความรู้  เพราะคนที่มีความรู้มากๆแต่ไม่มีความดี ยิ่งเลวมากเท่าไหร่ คนเลวที่มีความรู้มากนั้นจะเอาความรู้ไปทำเลว มันก็เลยยิ่งซับซ้อน ทำให้ตนเองได้ทำเลวจัด กระทบคนอื่น กระทบสัมคมได้มากขึ้น จัดขึ้น ความรู้ที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย ความรู้กับความเก่งที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย จำไว้เลยตลอดตาย 

จำไว้ ความดีนี่สำคัญกว่าความรู้ ความเก่ง จะเก่งอย่างไร รู้อย่างไร แต่ถ้าไม่มีความดีนี่ มันรู้ฉิบหาย เก่งฉิบหาย  ที่รู้นี่ไม่ได้พาให้ไปดีได้หรอก ถ้ามันไม่ดี ยิ่งไม่ดีมากเท่าไหร่ชั่วมากเท่าไหร่  ความรู้กับความเก่งนั้นยิ่งพาฉิบหาย มากเท่านั้น

ต้องสำนึกถึงคุณธรรม ชีวิตเรา ว่าจะดีก่อนเก่งหรือเก่งก่อนดี จะดีก่อนรู้หรือรู้ก่อนดี คิดดีๆอย่าสับสน ความดีจึงเป็นความสำคัญกว่า ความรู้ ความเก่ง นึกให้ดีเถอะ เพราะฉะนั้นที่รร.เรา เอาเด็กมาสอน เอาเด็กมาเลี้ยงมาอบรมสั่งสอน แล้วใช้นิตินัย หลักสังคมประเทศมาประกอบเลย จะได้ไปด้วยกันทั้งความรู้ ความเก่ง และความดี โดยเฉพาะขาดความดีไม่ได้ 

เจตนาของรร.นี้คือเอาความดีเป็นหลัก ดีนั้นคือมีศีลมีธรรม ขอให้ระลึกถึงความดีก่อนอื่น ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องส่ิงที่ดีก่อนเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่ดีขึ้น นี่คือความปรารถนาดีของรร.สัมมาสิกขาทุกแห่ง ไม่ได้ทำเพื่อค้าขายหาเงินทอง ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สอนมาหลายสิบรุ่นไม่ได้เรียกร้องอะไรจากพวกเราเลยมีแต่อบรมสั่งสอนให้ดี ตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการด้วย จบไปเด็กสัมมาสิกขาสู้เขาได้ ดีไม่ดีได้เกียรตินิยมด้วย ไม่น้อยเลยที่ได้ ไปเรียนต่อ ไม่ต้องกังวลหรอกหลักสูตรสัมมาสิกขา ขอยืนยันเลยว่าไม่ได้ด้อยกว่าข้างนอก แต่แถมด้วยความดีเป็นหลัก หรือเป็นงานด้วย

พวกเราก็ต้องหนักหน่อย เหนื่อยหน่อย แต่เด็กๆนี่กำลังเจริญวัย ถ้าได้ฝึกความดีก็ตาม ความเป็นงานก็ตาม มันเสียไหม เราสอนให้ความดีแล้วเป็นงานจะเสียไหม เราไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยจะตายแล้วเมื่อไหร่ ก็รู้อยู่ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง พากเพียรดีๆ ขยันดีๆ 6 ปีที่อยู่ก็ตั้งใจดีๆ หรือแม้แต่ยิ่งอยู่ในอนุบาล ทั้งปฐมด้วย ยิ่งตั้ง 12 ปียิ่งดีใหญ่เลย ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนไป จะได้สิ่งที่ได้ไปจริงๆเลย ที่นี่เจตนาให้ส่ิงดีติดตัวไป ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองลาภยศ สิ่งตอบแทนอะไร ส่วนใครจะมีกตัญญูกตเวทีอยากจะทดแทนบุญคุณก็เป็นความดีงาม ประเสริฐของมนุษย์ แต่ไมได้บังคับใครก็แล้วแต่

สิ่งนี้ที่หลวงปู่พูดนี้ไม่ได้มาบังคับหรือทวงบุญคุณอะไรเลย แต่มาบอกความจริงให้ทราบว่าที่เราตั้งโรงเรียนขึ้นมา ของชาวอโศก 9 แห่งที่ทำนี่ก็เจตนาปรารถนาดีสร้างพลเมือง สร้างคนให้เป็นคนดีของสังคมของประเทศไม่ได้มีอื่นเลย ต้องตั้งใจ 

หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าพวกเรามาเรียนที่นี่เป็นกุศลเป็นโชคของเราจริงๆที่ได้มาเข้าเรียนที่นี่ เงินทองจากพ่อแม่ก็ไม่ต้องเสีย พ่อแม่ก็ไว้ใจได้ด้วย เราเอาตาดูหูแล ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ขนาดนั้นยังยากเลยที่บกพร่องเสียหายไปบ้าง ไม่ได้ส่งเสริมเลย พยายามอย่างยิ่ง ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย แต่อวิชชา ความชั่วในตัวที่มีมาทำให้เราบกพร่องเสียหาย หลายคนร้ายกาจจนแก้ไม่ได้ต้องให้ออก เราช่วยไม่ได้ เราไม่รุนแรง แต่รู้สึกว่า พี่ป้า น้าอา รุนแรง คุรุรุนแรง ที่นี่ไม่มีนะ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเกินเหตุเลย ให้สำนึกให้ดี มันเป็นโอกาสที่ดีของเราแล้ว อดทน ฝึกฝนเอา สำนึกดีๆ 

ถ้าขี้เกียจไม่อยากทำก็ระลึกถึงหลวงปู่เสมอ เข้าใจไหมที่หลวงปู่เตือนไม่ยากเย็นอะไร ก็ตั้งใจให้ดีเอาใจใส่ 

_มีการเขียนแสดงออกมา....กราบนมัสการเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ฟังว่าพ่อครูของเวลาพบนักเรียน วันจันทร์นี้ 1 ชม. ผู้ใหญ่จะซาบซึ้งใจที่พ่อครูให้เวลาพบลูกหลานซึ่ง นร.ที่อื่นเขาไม่มีโอกาสเช่นนี้เลย แล้วนร.สสธ.จะรู้สึกอย่างไร วันหยุดเราจะได้ทำตามหัวใจเรียกร้อง ทำตามส่วนตัว ทำตามสิ่งที่เราต้องการบ้างสิครับ/คะ หลวงปู่คะ ความเป็นส่วนตัวนี่มันดีหรือมันเลี่ยงไม่ได้อย่างไรคะ พวกหนูเรียน กิน นอนอยู่ด้วยกัน หากความเป็นส่วนตัวดีทำไมสัมมาสิกขาจึงจัดให้เราอยู่รวมกันทั้งหลับและตื่นด้วยคะ ตกลงความเป็นส่วนตัวนี้ดีหรือเปล่า? 

พ่อครูว่า.......ไม่ดี ความเป็นส่วนตัวคือความเห็นแก่ตัวไม่ได้ยากอะไร ศาสนาพุทธมาให้ล้างความเห็นแก่ตัว ชัดๆเลย 

_แล้วการอยู่ส่วนรวมนี่มันดีอย่างไรคะ?.... ถึงจัดให้เรามาอยู่รวมกันแทบจะทั้งหลับและตื่นเลย...เพื่อนรุ่นพี่หนูบางคนมีแฟน แฟนนี่ใช่เพื่อนส่วนตัวหรือเปล่าคะ...

พ่อครูว่า.. มันก็เพื่อนส่วนตัวสิ แบ่งกันได้หรือ? ถามมาได้.... งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสี่ยง จะไม่ดีสิคะ 
การมีเพื่อนส่วนรวมนี่ดีกว่านะ การมีเพื่อนส่วนตัวก็ช่วยเพียงส่วนตัว แต่การมีเพื่อนส่วนรวมก็จะได้ช่วยส่วนรวม ประเสริฐวิเศษกว่า ได้กับประโยชน์ส่วนรวม เราไปช่วยเพื่อนส่วนรวมดีกว่า ส่วนรวมหลายคนมาช่วยเราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นเข้าใจยากเลย 

_งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสียงที่จะไม่ดี หนูก็ว่ามีเพื่อนหลายๆคนไม่เป็นส่วนตัวก็ดีนะคะ ...
พ่อครูว่าก็ดีสิ 
_หนูเห็นผู้ใหญ่คุยกันว่า เป็นห่วงเด็กน้อยสมุนพระรามตัวโตจะเป็นสาวแล้ว ไปเล่นน้ำ เด็กๆไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร โดยเซนส์ของผู้ใหญ่ก็เห็นลูกกะตาวาวๆของแมวขโมยจ้องๆอยู่ระวังเด้อ จะผิดศีล หากแพ้ใจตัวจะไม่ได้อยู่วัดนะ หนูว่าอยู่รวมกันก็ดีอย่างนี้กระมังคะ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด 

_ผู้ใหญ่เขาฝากเตือนแมวขโมย รุ่นพี่หนูบางคนมีบ้าน มีผู้ปกครองในชุมชนก็ได้กลับบ้านซักผ้า ผ่อนคลายหรือแอบไปใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของผู้ปกครองที่บ้าน หนูฟังแล้วทีแรกก็ริสยา แต่หนูไม่มีบ้านที่นี่ พ่อแม่พามาฝากให้ที่นี่ดูและ หนูเคราะห์ดีหรือโชคดีคะ ....

พ่อครูว่า...มองให้ดีว่านี่เป็นโชคของเรานะที่เราไม่มีบ้านอยู่นี่เราจะได้ขัดเกลาใจตนเองไม่ได้ทำตามใจ แต่คนมีบ้านอยู่นี่เลยได้ทำตามใจชอบ คนที่มีบ้านอยู่นี่ก็อย่าไปทำตามใจบำเรออัตตาตัวเอง แม้มีบ้านในนี้ก็ต้องพยายามทำเหมือนคนไม่มีบ้านในนี้ ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องไปช่วยงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไปเพื่อหาเรื่องบำเรอใจตนอันนั้นไม่ดี คนไม่มีบ้านนี่ดีแล้วไม่มีเครื่องล่อ คำตอบคือ ถ้าทำให้เป็นเคราะห์ก็เป็นเคราะห์ทำให้เป็นโชคก็เป็นโชค ทำให้ดีก็แล้วกัน มันแล้วแต่แต่ละครอบครัว หรือวิบากของแต่ละคน วิบากบางคนพ่อแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่มีอะไรเอื้ออำนวย แต่ตนเองทำไม่ดีจะมีวิบาก 

_คนที่แอบไปโทรฯคุยส่วนตัว ไปทำอะไรก็ตาม ก็ตื่นเต้น ยิ่งได้เล่นไลน์หรือเล่นอื่นๆ ก็ดูจะสนุกนะ แต่โรงเรียนไม่ได้อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ในโทรศัพท์มีส่ิงดีเหมือนกันคะ เห็นผู้ใหญ่ก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้
พ่อครูว่า...แล้วมันคุมตัวเองให้ทำงานไม่ให้ทำอย่างอื่นที่เสียหายได้ไหม อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ให้ฝึกจิตใจให้มีพลังงานแข็งแรงพอจะใช้มันได้ก่อนค่อยใช้ 

_ตอนหนูอยู่บ้าน แม่จะดูและเครื่องนอน เสื้อผ้าสารพัด หนูแทบไม่ต้องรับผิดชอบ แต่มาอยู่ที่นี่ห้องน้ำก็ต้องขัดถูทุกวัน อะไรก็ต้องทำเอง ข่าวว่าพี่ๆฝ่ายชายผู้ใหญ่บอกว่าที่เฮือน 0 สุดยอดสกปรกเลย แล้วพี่ๆเขาอยู่กันเยอะแยะ ไม่มีใครทำความสะอาดเลย หนูว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ พี่ๆเขาอยู่กันอยู่อย่างวัยรุ่น บางทีก็ส่งเสียงดังไปถึง เรือสมณะเลยค่ะ อย่างนี้ควรต้องลดวอลลุ่มหน่อย หนูดีใจที่มีพี่ๆอาชีวะเยอะเป็นฝูงเลย ยิ่งได้เห็นว่าพี่ๆอาชีวะได้ช่วยชีวิตลุงคนหนึ่ง โอ้โห หนูงี้ปลื้มมากเลย พี่ๆหนูทั้งเป็นคนเก่งและเป็นคนดี 

_แล้วเวลากินข้าวที่ศาลาเห็นพวกพี่ๆอาชีวะ ช่วยอาๆเก็บหางล้างภาชนะชิ้นโตๆ หนูประทับใจมากๆเลยค่ะ ผิดกะที่ข้างบ้านหนูที่บ้านน่ะค่ะ ลูกๆเขาก็เรียนอาชีวะ แต่พูดกะพ่อกะแม่ไม่สุภาพเลย เอาแต่ใจตัว สูบบุหรี่ด้วย หนูเห็นเพื่อนๆเขามาหา พฤติกรรมแย่มาก พูดมึงพูดกู กิริยาท่าที เหมือนจิ๊กโก๋ หรือนักเลงหัวไม้ พวกชอบมองหน้าหาเรื่องตีกัน ทำร้ายกันน่ะค่ะ 

พี่ๆอาชีวะโรงเรียนที่ราชธานีอโศก มีสาระดีกว่าเยอะเลยค่ะหลวงปู่ 

แต่บางครั้งหนูเห็นพวกเขาก็ขับรถเร็วจังนะคะ หนูกลัวชนหรือเกิดอุบัติเหตุจังเลยค่ะ พ่อครูเตือนพี่ๆหนูหน่อยนะคะ 

หลวงปู่คะ โรงเรียนเราจะมีเรียนถึงปริญญาไหมคะ

_รร.เราเปิดโอกาสผู้ที่เหมาะสม นร.ทั้งหญิงและชาย ก็ให้ขับรถ อย่าว่าแต่ขับรถยนต์เลย แม้แต่เครื่องกลหนัก ถ้าผู้ใหญ่เห็นหน่วยก้านก็ให้ทำอยู่แล้ว โดยไม่หวงแหนข้าวของ ที่อื่นเขาไม่ให้ทำเหมือนที่นี่ เด็กที่นี่ได้เปรียบข้างนอกเยอะ การขับรถเร็วนี่อย่าสร้างนิสัย แม้มันจะได้เสียงได้อะไรที่หวาดเสียว หลวงปู่นี่ขับรถมาเยอะเลย สมัยนั้นเบนซินลิตรละ 1.25 บาทยังใช้ค่าน้ำมันเดือนละ 1500 บาท หลวงปู่ใช้รถวิ่งทำงานเยอะ ถ้าเผื่อว่าขับรถเร็ว เอาแต่ใจป่านนี้หลวงปู่ตายไปนานแล้ว ไม่เคยขับรถชนคน แต่มีแต่เขาขับรถมาชน เคยขับชนท้ายรถ เพราะรถชบาบานเบรคไม่อยู่ เลยชนเขาท้ายบู้เลย  แล้วที่จะเร็วก็ต้องดูสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ดีหรอก มีอุบัติเหตุง่าย ขับรถเร็วนี่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าไม่จำเป็นขนาดต้องส่งคนไปรพ.ใกล้จะตายแล้วก็ค่อยว่า อย่างอื่นไม่มีความจำเป็นอะไร จิตเราอยากขับเร็ว อยากเท่ ซึ่งคิดโง่ๆไม่ปลอดภัย จำไว้ ถ้าจำเป็นควรเร็วมีความต้องการจำเป็นค่อยทำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเร็วทำไม เด็กเก่งและดีจะไม่ขับรถเร็ว

_โรงเรียนเราจะมีถึงปริญญา ก็พยายามอยู่ ตอนนี้เราได้ ปวส.แล้ว เราจะทำให้ถึงป.เอกเลย การรู้สึกว่าเราไม่อยากไปเรียนข้างนอกนี่ดี

_ถ้าเด็กนร.มีความคิดและการกระทำที่่ว่า ถ้ามีเพื่อนพี่น้องทำผิดศีล ผิดระเบียบโรงเรียน ซึ่งตนเองก็ได้เป็นผู้รู้เห็นการกระทำของเขา แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร หรือช่วยปกปิดการกระทำผิดของเพื่อนไว้ เพราะกลัวเพื่อนถูกลงโทษ รวมถึงบางครั้งตนก็ได้ร่วมทำผิดไปด้วย

เช่น แอบมีโทรศัพท์มือถือหรือแทบเล็ต แล้วรู้รหัสไวไฟร์ส่วนกลาง แอบใช้เล่นเฟสบุค ติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้ใจต่างพุทธสถาน เมื่อตนเองทำผิดไป กับเพื่อนด้วย ย่อมไม่กล้ารายงานต่อคุรุและผู้สมควร หรือแม้แต่ตนเองไม่ได้ทำผิดด้วย แต่ก็มีใจสงสารเพื่อรักเพื่อนที่ทำผิด เลยช่วยกันปกปิดความผิด

การคิดและทำเช่นนี้ มีผลดี ผลเสียอย่างไร จะเป็นการคิดและการทำผิดไหมหากไปเปิดเผยความผิดเขา แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนกล้าที่จะเปิดเผยความผิดของตนหรือของเพื่อน  

พ่อครูว่า...คนที่เห็นว่าเพื่อนทำผิดแล้วช่วยเพื่อนปกปิดความผิด แล้วความผิดนั้นจะได้แก้ไหม ...พระพุทธเจ้าว่า ความผิดความชั่วถ้าไม่เปิดเผยจะเน่าใน พระพุทธเจ้าว่าให้เปิดเผย จะน้อยจะมากก็ให้รับผิดแล้วรับโทษ แล้วตั้งใจใหม่ที่จะแก้ไข ให้เพื่อนรับรู้ เพื่อนจะได้ช่วยป้องกันให้เราด้วย มิตรดีสหายดีที่รวมกันมีประโยชน์ช่วยกันได้เยอะเลย วิธีการของพระพุทธเจ้าชาญฉลาด 

การเปิดเผยความผิดเขา ไม่ผิดหรอก เราไม่ได้ไปประจานเขานี่ แต่มาบอกผู้ใหญ่ให้ช่วยดูและ แต่ถ้าผิดถึงลงโทษต้องยอมรับ เราจะได้แก้ไข เพราะการสารภาพผิดรับผิดแล้ว ให้คนอื่นช่วยแก้ความผิดเรามันดีหรือเลว คิดให้ดี มันไม่ใช่สิ่งดีหรือเสียหาย แต่มันอยากปกปิดความชั่วเพราะมันอายเขา มันเลยพาให้หมักหมม พระพุทธเจ้าว่าการปกปิดความผิดความชั่วมันหมักหมมเน่าใน 

แล้วทำอย่างไรถึงกล้าจะเปิดเผย คือทำปัญญาให้ฉลาดให้ชัด เป็นสิ่งควรทำ แต่เราไม่เปิดเผยเพราะเราอาย เราก็อย่าไปทำผิดสิจะได้ไม่อาย ลองสิ ว่าถ้าเราได้สารภาพผิด ใจเราจะโล่งเลย ใครเคยไหม สารภาพผิดกับผู้ใหญ่หรือผู้ที่ควรสารภาพ จะโล่งเลย ปิดบังไว้มันอึดอัดทรมาน การเปิดเผยความผิดของเพื่อนเป็นสิ่งควรทำควรกล้าด้วย

_พฤติกรรมที่นร.บ้างคนทำ ที่อยากให้แก้ไขเพื่อให้เป็นคนดี คือเอาภาชนะส่วนกลางไปใช้แล้วไม่เอามาคืน ไปวางไว้ที่อื่นเช่นผาแหงน เป็นต้น 
_มีการทิ้งเศษเปลือกผลไม้ กากอ้อยที่กินเสร็จ ตามกระถางปลูกต้นไม้ ที่ชั้น 2 และชั้น 3 โดยเฉพาะกระถางที่หน้าต่าง ทางเดินและทางออกห้องสมุด 
_ตอนนี้ส้วมชายผาแหงนชั้น 3 อุดตัน ห้องน้ำชั้น 4 อุดตัน เพราะเศษพลาสติกเศษต่างๆอุดตัน ที่เกิดจากความมักง่ายของนร.ชาย 
พ่อครูตอบ...ทำเช่นนี้ดีหรือเลว ....เลว แล้วก็การทิ้งขยะ ที่มันย่อยไม่ได้ ไม่ละลายอย่าใส่ลงไป แต่ขี้เรานี่ใส่เข้าไปในท่อส้วมแล้วละลายได้ หลวงปู่ได้ยินมาว่า ห้องนร.ชาย ได้ยินมา เคยผ่านๆไปดู มันชักเลอะเทอะ ไม่มีระเบียบ ลองรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จัดแจงให้ดี อย่ายึดเป็นส่วนตัว แต่จัดให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง ลองทำดูสิ น่าจะดีขึ้น ถ้าเราทำให้มันดีแล้วเราก็อยู่อาศัย มันดีทั้งนิสัยเรา แล้วสิ่งแวดล้อมที่เราทำขึ้น ดีทั้งผู้มาเห็น ใครมาเห็นก็ชื่นชม แต่ถ้าทำไม่ดีสกปรก เราอยู่ก็เป็นคนไม่ดี นิสัยไม่ดี นิสัยนี่สร้างเถอะสร้างนิสัย 

อาศัย คือสิ่งที่เราเป็นอยู่อาศัยด้วย ทุกกรรมกิริยา ทุกวินาที เราก็มีกรรมกิริยาทำให้ดี พอสะสมกรรมกิริยาดีจัดข้าวของให้ดีก็เป็นนิสัย 

นิสัยนี่เราอบรมได้ ด้วยอาศัย เวลา การกระทำ อบรมฝึกฝน แล้วสั่งสมเป็น นิสัย จากนิสัยจะตกผลึกเป็น วิสัย แล้วจะควบแน่นเป็น อนุสัย ตนเองทำเองทั้งนั้น หากเรารู้จักกรรมของเราในการอาศัย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันดี มันก็จะสั่งสมเป็นนิสัย ตกผลึกเป็นวิสัย เสร็จแล้วก็ผนึกเป็นของตนเองอย่างลึก แก้ยากเป็นอนุสัยสุดท้าย นี่เป็นการค้นพบของพระพุทธเจ้า อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย หากเราสั่งสมเป็นพระอาริยะ ก็จะได้เป็นอรหันต์และพระพุทธเจ้า 

หลวงปู่ก็ได้ใช้เวลา 1 ชม. ขอสรุป...เรามาเรียนที่นี่ สังวรให้ดีว่า เราเป็นคนโชคดี ที่ได้มาเรียนที่ๆอบรมเราให้เป็นคนดีแท้ๆ การจะเป็นคนดีต้องอดทนฝึกฝนอบรม ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบาย ยถาสุขังโขเมวิหารโต การปล่อยตัวตามสบาย อกุศลธรรมเจริญย่ิง .... เอาไปปฏิบัติไปทำ ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ...เจริญธรรมทุกคน 

580824_พ่อครู พบนักเรียนบ้านราชฯ 

พ่อครูว่า...อาตมาก็ต้องพยายามหาโอกาส หาเวลา ถ้าเผื่อว่ามาขอใช้เวลานี้บ้างสัก 1 ชม. แม้จะเป็นวันหยุดก็น่าจะต้องฉวยเวลานั้น ก็ไม่อยากไปแย่งเวลาในตารางสอนวันธรรมดา เขาว่าวันจันทร์เป็นวันหยุดหลวงปู่ก็เลยเอาเวลานี้ ก็ขอสักชม.หนึ่ง เพื่อมาบอกกล่าวมาเตือนด้วยปรารถนาดี

พวกเรานี่ ลองใช้ปัญญาตรองๆดูดีๆว่า ไอ้ความปรารถนาดีนี่ มันดีไหม โดยเฉพาะความปราถนาดีที่จริงใจ 

ปรารถนาดีที่จริงใจคืออะไร ฟังดีๆ ความปรารถนาดีที่จริงใจคือความปรารถนาดีที่ต้องการเพื่อผู้อื่น ให้ผู้อื่น ให้พวกเราได้เป็นคนดี อันนี้เน้นเฉพาะเลย ให้เป็นคนดี ไอ้เป็นคนมีความรู้นั้นก็ด้วย แต่หลวงปู่นี่ขอยืนยันว่า คนมีความดีนี่ ดีกว่าคนมีความรู้  เพราะคนที่มีความรู้มากๆแต่ไม่มีความดี ยิ่งเลวมากเท่าไหร่ คนเลวที่มีความรู้มากนั้นจะเอาความรู้ไปทำเลว มันก็เลยยิ่งซับซ้อน ทำให้ตนเองได้ทำเลวจัด กระทบคนอื่น กระทบสัมคมได้มากขึ้น จัดขึ้น ความรู้ที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย ความรู้กับความเก่งที่ไม่มีความดีกำกับนี่มันเป็นภัย จำไว้เลยตลอดตาย 

จำไว้ ความดีนี่สำคัญกว่าความรู้ ความเก่ง จะเก่งอย่างไร รู้อย่างไร แต่ถ้าไม่มีความดีนี่ มันรู้ฉิบหาย เก่งฉิบหาย  ที่รู้นี่ไม่ได้พาให้ไปดีได้หรอก ถ้ามันไม่ดี ยิ่งไม่ดีมากเท่าไหร่ชั่วมากเท่าไหร่  ความรู้กับความเก่งนั้นยิ่งพาฉิบหาย มากเท่านั้น

ต้องสำนึกถึงคุณธรรม ชีวิตเรา ว่าจะดีก่อนเก่งหรือเก่งก่อนดี จะดีก่อนรู้หรือรู้ก่อนดี คิดดีๆอย่าสับสน ความดีจึงเป็นความสำคัญกว่า ความรู้ ความเก่ง นึกให้ดีเถอะ เพราะฉะนั้นที่รร.เรา เอาเด็กมาสอน เอาเด็กมาเลี้ยงมาอบรมสั่งสอน แล้วใช้นิตินัย หลักสังคมประเทศมาประกอบเลย จะได้ไปด้วยกันทั้งความรู้ ความเก่ง และความดี โดยเฉพาะขาดความดีไม่ได้ 

เจตนาของรร.นี้คือเอาความดีเป็นหลัก ดีนั้นคือมีศีลมีธรรม ขอให้ระลึกถึงความดีก่อนอื่น ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องส่ิงที่ดีก่อนเลย ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราไม่ดีขึ้น นี่คือความปรารถนาดีของรร.สัมมาสิกขาทุกแห่ง ไม่ได้ทำเพื่อค้าขายหาเงินทอง ไม่ได้ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ สอนมาหลายสิบรุ่นไม่ได้เรียกร้องอะไรจากพวกเราเลยมีแต่อบรมสั่งสอนให้ดี ตามหลักของกระทรวงศึกษาธิการด้วย จบไปเด็กสัมมาสิกขาสู้เขาได้ ดีไม่ดีได้เกียรตินิยมด้วย ไม่น้อยเลยที่ได้ ไปเรียนต่อ ไม่ต้องกังวลหรอกหลักสูตรสัมมาสิกขา ขอยืนยันเลยว่าไม่ได้ด้อยกว่าข้างนอก แต่แถมด้วยความดีเป็นหลัก หรือเป็นงานด้วย

พวกเราก็ต้องหนักหน่อย เหนื่อยหน่อย แต่เด็กๆนี่กำลังเจริญวัย ถ้าได้ฝึกความดีก็ตาม ความเป็นงานก็ตาม มันเสียไหม เราสอนให้ความดีแล้วเป็นงานจะเสียไหม เราไม่ได้ทำงานจนเหนื่อยจะตายแล้วเมื่อไหร่ ก็รู้อยู่ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง พากเพียรดีๆ ขยันดีๆ 6 ปีที่อยู่ก็ตั้งใจดีๆ หรือแม้แต่ยิ่งอยู่ในอนุบาล ทั้งปฐมด้วย ยิ่งตั้ง 12 ปียิ่งดีใหญ่เลย ก็ได้รับการอบรมสั่งสอนไป จะได้สิ่งที่ได้ไปจริงๆเลย ที่นี่เจตนาให้ส่ิงดีติดตัวไป ไม่ได้ทำเพื่อเงินทองลาภยศ สิ่งตอบแทนอะไร ส่วนใครจะมีกตัญญูกตเวทีอยากจะทดแทนบุญคุณก็เป็นความดีงาม ประเสริฐของมนุษย์ แต่ไมได้บังคับใครก็แล้วแต่

สิ่งนี้ที่หลวงปู่พูดนี้ไม่ได้มาบังคับหรือทวงบุญคุณอะไรเลย แต่มาบอกความจริงให้ทราบว่าที่เราตั้งโรงเรียนขึ้นมา ของชาวอโศก 9 แห่งที่ทำนี่ก็เจตนาปรารถนาดีสร้างพลเมือง สร้างคนให้เป็นคนดีของสังคมของประเทศไม่ได้มีอื่นเลย ต้องตั้งใจ 

หลวงปู่เคยบอกแล้วว่าพวกเรามาเรียนที่นี่เป็นกุศลเป็นโชคของเราจริงๆที่ได้มาเข้าเรียนที่นี่ เงินทองจากพ่อแม่ก็ไม่ต้องเสีย พ่อแม่ก็ไว้ใจได้ด้วย เราเอาตาดูหูแล ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย ขนาดนั้นยังยากเลยที่บกพร่องเสียหายไปบ้าง ไม่ได้ส่งเสริมเลย พยายามอย่างยิ่ง ระมัดระวังไม่ให้เสียหาย แต่อวิชชา ความชั่วในตัวที่มีมาทำให้เราบกพร่องเสียหาย หลายคนร้ายกาจจนแก้ไม่ได้ต้องให้ออก เราช่วยไม่ได้ เราไม่รุนแรง แต่รู้สึกว่า พี่ป้า น้าอา รุนแรง คุรุรุนแรง ที่นี่ไม่มีนะ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงเกินเหตุเลย ให้สำนึกให้ดี มันเป็นโอกาสที่ดีของเราแล้ว อดทน ฝึกฝนเอา สำนึกดีๆ 

ถ้าขี้เกียจไม่อยากทำก็ระลึกถึงหลวงปู่เสมอ เข้าใจไหมที่หลวงปู่เตือนไม่ยากเย็นอะไร ก็ตั้งใจให้ดีเอาใจใส่ 

_มีการเขียนแสดงออกมา....กราบนมัสการเรียนหลวงปู่ที่เคารพ ฟังว่าพ่อครูของเวลาพบนักเรียน วันจันทร์นี้ 1 ชม. ผู้ใหญ่จะซาบซึ้งใจที่พ่อครูให้เวลาพบลูกหลานซึ่ง นร.ที่อื่นเขาไม่มีโอกาสเช่นนี้เลย แล้วนร.สสธ.จะรู้สึกอย่างไร วันหยุดเราจะได้ทำตามหัวใจเรียกร้อง ทำตามส่วนตัว ทำตามสิ่งที่เราต้องการบ้างสิครับ/คะ หลวงปู่คะ ความเป็นส่วนตัวนี่มันดีหรือมันเลี่ยงไม่ได้อย่างไรคะ พวกหนูเรียน กิน นอนอยู่ด้วยกัน หากความเป็นส่วนตัวดีทำไมสัมมาสิกขาจึงจัดให้เราอยู่รวมกันทั้งหลับและตื่นด้วยคะ ตกลงความเป็นส่วนตัวนี้ดีหรือเปล่า? 

พ่อครูว่า.......ไม่ดี ความเป็นส่วนตัวคือความเห็นแก่ตัวไม่ได้ยากอะไร ศาสนาพุทธมาให้ล้างความเห็นแก่ตัว ชัดๆเลย 

_แล้วการอยู่ส่วนรวมนี่มันดีอย่างไรคะ?.... ถึงจัดให้เรามาอยู่รวมกันแทบจะทั้งหลับและตื่นเลย...เพื่อนรุ่นพี่หนูบางคนมีแฟน แฟนนี่ใช่เพื่อนส่วนตัวหรือเปล่าคะ...

พ่อครูว่า.. มันก็เพื่อนส่วนตัวสิ แบ่งกันได้หรือ? ถามมาได้.... งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสี่ยง จะไม่ดีสิคะ 
การมีเพื่อนส่วนรวมนี่ดีกว่านะ การมีเพื่อนส่วนตัวก็ช่วยเพียงส่วนตัว แต่การมีเพื่อนส่วนรวมก็จะได้ช่วยส่วนรวม ประเสริฐวิเศษกว่า ได้กับประโยชน์ส่วนรวม เราไปช่วยเพื่อนส่วนรวมดีกว่า ส่วนรวมหลายคนมาช่วยเราคนเดียว มันเห็นแก่ตัว ไม่เห็นเข้าใจยากเลย 

_งั้นการมีเพื่อนส่วนตัวก็เสียงที่จะไม่ดี หนูก็ว่ามีเพื่อนหลายๆคนไม่เป็นส่วนตัวก็ดีนะคะ ...
พ่อครูว่าก็ดีสิ 
_หนูเห็นผู้ใหญ่คุยกันว่า เป็นห่วงเด็กน้อยสมุนพระรามตัวโตจะเป็นสาวแล้ว ไปเล่นน้ำ เด็กๆไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร โดยเซนส์ของผู้ใหญ่ก็เห็นลูกกะตาวาวๆของแมวขโมยจ้องๆอยู่ระวังเด้อ จะผิดศีล หากแพ้ใจตัวจะไม่ได้อยู่วัดนะ หนูว่าอยู่รวมกันก็ดีอย่างนี้กระมังคะ ตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอด 

_ผู้ใหญ่เขาฝากเตือนแมวขโมย รุ่นพี่หนูบางคนมีบ้าน มีผู้ปกครองในชุมชนก็ได้กลับบ้านซักผ้า ผ่อนคลายหรือแอบไปใช้โทรศัพท์ส่วนตัวของผู้ปกครองที่บ้าน หนูฟังแล้วทีแรกก็ริสยา แต่หนูไม่มีบ้านที่นี่ พ่อแม่พามาฝากให้ที่นี่ดูและ หนูเคราะห์ดีหรือโชคดีคะ ....

พ่อครูว่า...มองให้ดีว่านี่เป็นโชคของเรานะที่เราไม่มีบ้านอยู่นี่เราจะได้ขัดเกลาใจตนเองไม่ได้ทำตามใจ แต่คนมีบ้านอยู่นี่เลยได้ทำตามใจชอบ คนที่มีบ้านอยู่นี่ก็อย่าไปทำตามใจบำเรออัตตาตัวเอง แม้มีบ้านในนี้ก็ต้องพยายามทำเหมือนคนไม่มีบ้านในนี้ ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องไปช่วยงานก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าไปเพื่อหาเรื่องบำเรอใจตนอันนั้นไม่ดี คนไม่มีบ้านนี่ดีแล้วไม่มีเครื่องล่อ คำตอบคือ ถ้าทำให้เป็นเคราะห์ก็เป็นเคราะห์ทำให้เป็นโชคก็เป็นโชค ทำให้ดีก็แล้วกัน มันแล้วแต่แต่ละครอบครัว หรือวิบากของแต่ละคน วิบากบางคนพ่อแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ คนที่มีอะไรเอื้ออำนวย แต่ตนเองทำไม่ดีจะมีวิบาก 

_คนที่แอบไปโทรฯคุยส่วนตัว ไปทำอะไรก็ตาม ก็ตื่นเต้น ยิ่งได้เล่นไลน์หรือเล่นอื่นๆ ก็ดูจะสนุกนะ แต่โรงเรียนไม่ได้อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ในโทรศัพท์มีส่ิงดีเหมือนกันคะ เห็นผู้ใหญ่ก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้
พ่อครูว่า...แล้วมันคุมตัวเองให้ทำงานไม่ให้ทำอย่างอื่นที่เสียหายได้ไหม อย่ามาพูดให้เหม็นขี้ฟันเลย ให้ฝึกจิตใจให้มีพลังงานแข็งแรงพอจะใช้มันได้ก่อนค่อยใช้ 

_ตอนหนูอยู่บ้าน แม่จะดูและเครื่องนอน เสื้อผ้าสารพัด หนูแทบไม่ต้องรับผิดชอบ แต่มาอยู่ที่นี่ห้องน้ำก็ต้องขัดถูทุกวัน อะไรก็ต้องทำเอง ข่าวว่าพี่ๆฝ่ายชายผู้ใหญ่บอกว่าที่เฮือน 0 สุดยอดสกปรกเลย แล้วพี่ๆเขาอยู่กันเยอะแยะ ไม่มีใครทำความสะอาดเลย หนูว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ พี่ๆเขาอยู่กันอยู่อย่างวัยรุ่น บางทีก็ส่งเสียงดังไปถึง เรือสมณะเลยค่ะ อย่างนี้ควรต้องลดวอลลุ่มหน่อย หนูดีใจที่มีพี่ๆอาชีวะเยอะเป็นฝูงเลย ยิ่งได้เห็นว่าพี่ๆอาชีวะได้ช่วยชีวิตลุงคนหนึ่ง โอ้โห หนูงี้ปลื้มมากเลย พี่ๆหนูทั้งเป็นคนเก่งและเป็นคนดี 

_แล้วเวลากินข้าวที่ศาลาเห็นพวกพี่ๆอาชีวะ ช่วยอาๆเก็บหางล้างภาชนะชิ้นโตๆ หนูประทับใจมากๆเลยค่ะ ผิดกะที่ข้างบ้านหนูที่บ้านน่ะค่ะ ลูกๆเขาก็เรียนอาชีวะ แต่พูดกะพ่อกะแม่ไม่สุภาพเลย เอาแต่ใจตัว สูบบุหรี่ด้วย หนูเห็นเพื่อนๆเขามาหา พฤติกรรมแย่มาก พูดมึงพูดกู กิริยาท่าที เหมือนจิ๊กโก๋ หรือนักเลงหัวไม้ พวกชอบมองหน้าหาเรื่องตีกัน ทำร้ายกันน่ะค่ะ 

พี่ๆอาชีวะโรงเรียนที่ราชธานีอโศก มีสาระดีกว่าเยอะเลยค่ะหลวงปู่ 

แต่บางครั้งหนูเห็นพวกเขาก็ขับรถเร็วจังนะคะ หนูกลัวชนหรือเกิดอุบัติเหตุจังเลยค่ะ พ่อครูเตือนพี่ๆหนูหน่อยนะคะ 

หลวงปู่คะ โรงเรียนเราจะมีเรียนถึงปริญญาไหมคะ

_รร.เราเปิดโอกาสผู้ที่เหมาะสม นร.ทั้งหญิงและชาย ก็ให้ขับรถ อย่าว่าแต่ขับรถยนต์เลย แม้แต่เครื่องกลหนัก ถ้าผู้ใหญ่เห็นหน่วยก้านก็ให้ทำอยู่แล้ว โดยไม่หวงแหนข้าวของ ที่อื่นเขาไม่ให้ทำเหมือนที่นี่ เด็กที่นี่ได้เปรียบข้างนอกเยอะ การขับรถเร็วนี่อย่าสร้างนิสัย แม้มันจะได้เสียงได้อะไรที่หวาดเสียว หลวงปู่นี่ขับรถมาเยอะเลย สมัยนั้นเบนซินลิตรละ 1.25 บาทยังใช้ค่าน้ำมันเดือนละ 1500 บาท หลวงปู่ใช้รถวิ่งทำงานเยอะ ถ้าเผื่อว่าขับรถเร็ว เอาแต่ใจป่านนี้หลวงปู่ตายไปนานแล้ว ไม่เคยขับรถชนคน แต่มีแต่เขาขับรถมาชน เคยขับชนท้ายรถ เพราะรถชบาบานเบรคไม่อยู่ เลยชนเขาท้ายบู้เลย  แล้วที่จะเร็วก็ต้องดูสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่ดีหรอก มีอุบัติเหตุง่าย ขับรถเร็วนี่ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ถ้าไม่จำเป็นขนาดต้องส่งคนไปรพ.ใกล้จะตายแล้วก็ค่อยว่า อย่างอื่นไม่มีความจำเป็นอะไร จิตเราอยากขับเร็ว อยากเท่ ซึ่งคิดโง่ๆไม่ปลอดภัย จำไว้ ถ้าจำเป็นควรเร็วมีความต้องการจำเป็นค่อยทำ ถ้าไม่เช่นนั้นจะเร็วทำไม เด็กเก่งและดีจะไม่ขับรถเร็ว

_โรงเรียนเราจะมีถึงปริญญา ก็พยายามอยู่ ตอนนี้เราได้ ปวส.แล้ว เราจะทำให้ถึงป.เอกเลย การรู้สึกว่าเราไม่อยากไปเรียนข้างนอกนี่ดี

_ถ้าเด็กนร.มีความคิดและการกระทำที่่ว่า ถ้ามีเพื่อนพี่น้องทำผิดศีล ผิดระเบียบโรงเรียน ซึ่งตนเองก็ได้เป็นผู้รู้เห็นการกระทำของเขา แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร หรือช่วยปกปิดการกระทำผิดของเพื่อนไว้ เพราะกลัวเพื่อนถูกลงโทษ รวมถึงบางครั้งตนก็ได้ร่วมทำผิดไปด้วย

เช่น แอบมีโทรศัพท์มือถือหรือแทบเล็ต แล้วรู้รหัสไวไฟร์ส่วนกลาง แอบใช้เล่นเฟสบุค ติดต่อกับเพื่อนหรือคนรู้ใจต่างพุทธสถาน เมื่อตนเองทำผิดไป กับเพื่อนด้วย ย่อมไม่กล้ารายงานต่อคุรุและผู้สมควร หรือแม้แต่ตนเองไม่ได้ทำผิดด้วย แต่ก็มีใจสงสารเพื่อรักเพื่อนที่ทำผิด เลยช่วยกันปกปิดความผิด

การคิดและทำเช่นนี้ มีผลดี ผลเสียอย่างไร จะเป็นการคิดและการทำผิดไหมหากไปเปิดเผยความผิดเขา แล้วจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนกล้าที่จะเปิดเผยความผิดของตนหรือของเพื่อน  

พ่อครูว่า...คนที่เห็นว่าเพื่อนทำผิดแล้วช่วยเพื่อนปกปิดความผิด แล้วความผิดนั้นจะได้แก้ไหม ...พระพุทธเจ้าว่า ความผิดความชั่วถ้าไม่เปิดเผยจะเน่าใน พระพุทธเจ้าว่าให้เปิดเผย จะน้อยจะมากก็ให้รับผิดแล้วรับโทษ แล้วตั้งใจใหม่ที่จะแก้ไข ให้เพื่อนรับรู้ เพื่อนจะได้ช่วยป้องกันให้เราด้วย มิตรดีสหายดีที่รวมกันมีประโยชน์ช่วยกันได้เยอะเลย วิธีการของพระพุทธเจ้าชาญฉลาด 

การเปิดเผยความผิดเขา ไม่ผิดหรอก เราไม่ได้ไปประจานเขานี่ แต่มาบอกผู้ใหญ่ให้ช่วยดูและ แต่ถ้าผิดถึงลงโทษต้องยอมรับ เราจะได้แก้ไข เพราะการสารภาพผิดรับผิดแล้ว ให้คนอื่นช่วยแก้ความผิดเรามันดีหรือเลว คิดให้ดี มันไม่ใช่สิ่งดีหรือเสียหาย แต่มันอยากปกปิดความชั่วเพราะมันอายเขา มันเลยพาให้หมักหมม พระพุทธเจ้าว่าการปกปิดความผิดความชั่วมันหมักหมมเน่าใน 

แล้วทำอย่างไรถึงกล้าจะเปิดเผย คือทำปัญญาให้ฉลาดให้ชัด เป็นสิ่งควรทำ แต่เราไม่เปิดเผยเพราะเราอาย เราก็อย่าไปทำผิดสิจะได้ไม่อาย ลองสิ ว่าถ้าเราได้สารภาพผิด ใจเราจะโล่งเลย ใครเคยไหม สารภาพผิดกับผู้ใหญ่หรือผู้ที่ควรสารภาพ จะโล่งเลย ปิดบังไว้มันอึดอัดทรมาน การเปิดเผยความผิดของเพื่อนเป็นสิ่งควรทำควรกล้าด้วย

_พฤติกรรมที่นร.บ้างคนทำ ที่อยากให้แก้ไขเพื่อให้เป็นคนดี คือเอาภาชนะส่วนกลางไปใช้แล้วไม่เอามาคืน ไปวางไว้ที่อื่นเช่นผาแหงน เป็นต้น 
_มีการทิ้งเศษเปลือกผลไม้ กากอ้อยที่กินเสร็จ ตามกระถางปลูกต้นไม้ ที่ชั้น 2 และชั้น 3 โดยเฉพาะกระถางที่หน้าต่าง ทางเดินและทางออกห้องสมุด 
_ตอนนี้ส้วมชายผาแหงนชั้น 3 อุดตัน ห้องน้ำชั้น 4 อุดตัน เพราะเศษพลาสติกเศษต่างๆอุดตัน ที่เกิดจากความมักง่ายของนร.ชาย 
พ่อครูตอบ...ทำเช่นนี้ดีหรือเลว ....เลว แล้วก็การทิ้งขยะ ที่มันย่อยไม่ได้ ไม่ละลายอย่าใส่ลงไป แต่ขี้เรานี่ใส่เข้าไปในท่อส้วมแล้วละลายได้ หลวงปู่ได้ยินมาว่า ห้องนร.ชาย ได้ยินมา เคยผ่านๆไปดู มันชักเลอะเทอะ ไม่มีระเบียบ ลองรวมตัวกัน ปรึกษาหารือกัน จัดแจงให้ดี อย่ายึดเป็นส่วนตัว แต่จัดให้เป็นระเบียบเป็นที่เป็นทาง ลองทำดูสิ น่าจะดีขึ้น ถ้าเราทำให้มันดีแล้วเราก็อยู่อาศัย มันดีทั้งนิสัยเรา แล้วสิ่งแวดล้อมที่เราทำขึ้น ดีทั้งผู้มาเห็น ใครมาเห็นก็ชื่นชม แต่ถ้าทำไม่ดีสกปรก เราอยู่ก็เป็นคนไม่ดี นิสัยไม่ดี นิสัยนี่สร้างเถอะสร้างนิสัย 

อาศัย คือสิ่งที่เราเป็นอยู่อาศัยด้วย ทุกกรรมกิริยา ทุกวินาที เราก็มีกรรมกิริยาทำให้ดี พอสะสมกรรมกิริยาดีจัดข้าวของให้ดีก็เป็นนิสัย 

นิสัยนี่เราอบรมได้ ด้วยอาศัย เวลา การกระทำ อบรมฝึกฝน แล้วสั่งสมเป็น นิสัย จากนิสัยจะตกผลึกเป็น วิสัย แล้วจะควบแน่นเป็น อนุสัย ตนเองทำเองทั้งนั้น หากเรารู้จักกรรมของเราในการอาศัย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันดี มันก็จะสั่งสมเป็นนิสัย ตกผลึกเป็นวิสัย เสร็จแล้วก็ผนึกเป็นของตนเองอย่างลึก แก้ยากเป็นอนุสัยสุดท้าย นี่เป็นการค้นพบของพระพุทธเจ้า อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย หากเราสั่งสมเป็นพระอาริยะ ก็จะได้เป็นอรหันต์และพระพุทธเจ้า 

หลวงปู่ก็ได้ใช้เวลา 1 ชม. ขอสรุป...เรามาเรียนที่นี่ สังวรให้ดีว่า เราเป็นคนโชคดี ที่ได้มาเรียนที่ๆอบรมเราให้เป็นคนดีแท้ๆ การจะเป็นคนดีต้องอดทนฝึกฝนอบรม ไม่ใช่ปล่อยตัวตามสบาย ยถาสุขังโขเมวิหารโต การปล่อยตัวตามสบาย อกุศลธรรมเจริญย่ิง .... เอาไปปฏิบัติไปทำ ฟังธรรมแล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ...เจริญธรรมทุกคน 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:17:54 )

580825

รายละเอียด

580825_ธรรมาธรรมะสงคราม  ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 9

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 25 ส.ค. 2558 เราก็มาดู sms ที่ส่งเข้ามาก็เป็นการเช็คผลด้วย 

0857308xxx มีความยินดีในการฟังธรรมมากเพราะยิ่งฟังยิ่งเข้าใจยิ่งขึ้นๆค่ะ

0837277xxx คนที่เป็นอรหันต์ในร่างของฆราวาสนั้นจะสังเกตได้อย่างไรหรือมีอะไรเปืนที่สังเกตุ??

พ่อครูว่า...ที่จริง อรหันต์ในร่างฆราวาสนี้จะดูง่ายกว่า อรหันต์ในคราบนักบวช เพราะฆราวาสไม่ถูกพรางด้วยรูปแบบเหมือนนักบวช ก็จะแสดงออกถึงกายวิญญัติวจีวิญญัติของอรหันต์จะดูได้ และจะมีคุณลักษณะอรหันต์ที่อาตมาได้แยกออก คุณลักษณะ 12 ประการของพระอรหันต์ไว้
1. เป็นคนหมดทุกข์ . (ดับทุกข์อริยสัจ) 
2. เป็นคนไม่มีภัย 
3. เป็นคนมีคุณค่า  
4. เป็นคนทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว 
5. เป็นคนไม่โลภ  ไม่โกรธ  ไม่หลง 
6. เป็นคนมีเมตตาจริง 
7.     เป็นคนมีอุเบกขาจริงแท้ 
8.     เป็นคนไม่ทำบาปแล้ว 
9.     เป็นคนทำแต่กุศล 
10.    เป็นคนได้ประโยชน์ตนครบแล้ว  
    ไม่มีประโยชน์ตนที่ต้องทำให้ตนอีกแล้ว 
11.     เป็นคนรู้จักสวรรค์ นรก นิพพาน ถูกถ้วน 
12.     เป็นคนรู้จักและมีนิพพานสัมบูรณ์ 

มีประเด็นที่คนเข้าใจยากมากคือ เรื่องความเป็นกลาง คนเป็นกลางคือคนที่แสดงตนชัดเจนว่า อยู่ข้างคนดี คนที่ถูกต้อง แม้ว่าจะเป็นผู้พิพากษาหรือกรรมการใดก็ตาม ก็แสดงออกให้เข้าข้างคนดีเลย แต่ในขณะทำงานนี้เป็นกลาง แต่โดยเฉพาะจิตหลังตัดสินแล้วต้องเข้าข้าง หลังตัดสินรู้ความแล้ว คนเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี 
เรื่องความเป็นกลางแบ่งเป็น
1.ไม่รู้ 
2.มีความกลัว
3.เห็นผิดคิดว่าเป็นกลางคืออย่าเข้าข้างฝ่ายไหนเลยคือมิจฉาทิฏฐิ
4.คนมีปัญญารู้ว่าอะไรผิดหรือถูกโดยไม่อคติ

0818557xxx กราบนสก.พ่อท่านคะ พ่อท่านสุดยอด คิดได้ไงคะ หนังสือเสร็จเมื่อไรป้าเจจะขอซื้อไปแจกเพื่อนๆคะ
ตอบ...ที่เรียบเรียงออกมานี่ไม่ได้คิดนะ คิดไม่ได้เป็นเรื่องอจินไตย ถ้าไม่มีภูมิความจริงคิดเอาไม่ได้หรอก มันเป็นความจริง แล้วเอามาจากไหนค่อยบอกได้หน่อย คือถามว่า คิด ถ้าคิดมันเป็นเรื่องปรุงแต่งขึ้นมา มันเป็นการสร้างความรู้ความเห็น แต่เอารากฐานความจริงที่มีนามธรรมสภาวะที่หยั่งลงไปถึงได้ แล้วพยายามอ่านออกมาเป็นภาษา เอาอัตถะ ธรรมะ นิรุติ ปฏิภาณออกมา ไม่ใช่ขบคิดเอาฟุ้งฟริ้งไปไม่ใช่

0893867xxx นมก.พ่อครูฯผู้น้อยไม่รำคา ญถ้าพ่อครูพูดวนเทศน์ซ้ำ สอนกลับไปกลับมา!เพราะ การเรียนรู้ไม่ว่าเรื่องใดถ้า ไม่เข้าใจก็ต้องย้อนกลับไ ปทบทวนซ้ำใหม่อยู่ดี

0893867xxx ถ้ายังมีกิเลสจากอนุสัยที่เหลือถูกกระทบด้วยสัมผัสจากทวาร5จะทำให้รู้เห็นทิฏฐานุสัยมานานุสัยวิกิจฉา นุสัยภวราคานุสัยอวิชชานุสัยแล้วทำให้ดับได้ด้วยฌานถูกไหม?
ตอบ...ถูกต้อง อนุสัย มี 7  แล้วดับได้ด้วยฌาน ขั้นอรูปฌานด้วยซ้ำ 

0893867xxx โพธิปักขิยธรรม37คือการ ทำจิตวางเฉยตามแนวทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าฯผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?
ตอบ...ถูกต้อง การวางเฉยของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เคหสิตอุเบกขาเวทนา อาตมามีจิตยินดีในเสนาสนป่า ไปอยู่ไหนก็พาสร้างป่า ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 เป็นความแคล่วคล่องจะใช้งานในฌานระดับไหนก็ได้ ซับซ้อนลึกซึ้งมาก คนที่ยังไม่เก่ง ใช้งานสภาพจิตฌาน 1 จะคุมเคร่งไม่คล่องตัว พอเก่งขึ้นจะราบรื่นขึ้น เหลือสุข แต่พอเหลืออุเบกขาจะคล่องเร็วไว มีสุข มีปีติ เลี้ยงจิตอย่างเก่ง ตามบารมีของผู้ปฏิบัติ สรุปคือผู้ใช้ฌานในชีวิตประจำวันไม่ได้ไปนั่งหลับตา จะมี มุทุตา ปรับได้ไว รู้ได้ไว มีกัมมัญญตา ทำงานได้ดีเหมาะควรถูกต้องมีมหาปเทส 4 มีปภัสสรา จิตผ่องแผ้วไม่เปลี่ยนแปลง เป็นการเจริญสภาพธรรม เจริญด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เจริญขึ้นหมดทั้งเจโตและปัญญา คือจิตวางเฉยตามแบบของพระพุทธเจ้า

0893867xxx สติปัฏฐาน4สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4อินทรีย์5พละ5 โพชฌงค์7มรรคมีองค์8ทั้งหมดคือการปฏิบัติไปสู่การหลุดพ้นวัฏฏะฤาพระอรหันต์ฤานิพพาน
ตอบ....ถูกต้อง

0893867xxx ถ้าใช่ทำไมแนวทางการปฏิบัติเพื่อการบรรลุธรรมอันสูงสุดมันเยอะจัง!เฮ้อเอวัง
ตอบ...ก็ใช่สิ ศาสนาพุทธลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่นั่งหลับตาก็บรรลุก็ง่ายสิ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องอธิบายธรรมะเยอะแยะเลย ต้องรู้หลักใหญ่โพธิปักขิยธรรม แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ

ถ้าชีวิตไม่เร่ิมต้นจะมาทางโลกุตระคุณจะเร่ิมต้นเมื่อไหร่ ยิ่งได้พบศาสนาพุทธ ได้พบสัตบุรุษก็ยิ่งดีใหญ่ หรือได้พบพระพุทธเจ้าแล้วไม่เอาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร 

(62) นิสัยแก้ไขได้ง่ายกว่าวิสัยจึงต้องรีบแก้
    คนที่เห็นแก่ตัวนั้นมาจากนิสัย-วิสัย-อนุสัย ดังนั้นต้องแก้ภัยร้ายที่มันพาคนชั่ว พาสังคมทุกข์ยากทรมานกันตรงนี้เถิด 
    อาตมาอธิบายเรื่องความเป็นอนุสัย-อาศัย-นิสัย-วิสัย-อนุสัยมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นพลังงานของจิตใจคน ที่เจ้าตัวคนทุกคนต้องเรียนรู้และต้องแก้ไขให้แก่ตนเอง มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของชีวิตคนจริงๆ ไม่ว่ายุคไหน กาละใด 
    โลกุตระเหมือนปรอทที่แม้มีน้อยก็ถ่วงโลกียะที่เหมือนโฟมได้
    ยิ่งใหญ่สำคัญสุด เพราะเป็นต้นตอในการแก้ไขตนแก้ไขสังคมแก้ไข การเมืองแก้ไขเศรษฐกิจให้ดีวิเศษ อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยพลังโลกุตระนี้แหละ ซึ่งเข้าใจกันไม่ได้ง่ายๆ 
    มันก็ต้องแก้ไขอนุสัย-อาศัย-นิสัย-วิสัย-อนุสัยนี้สำคัญสุด ไม่ใช่อื่น แม้แก้กฎหมายกันให้ดีวิเศษเท่าใดๆ ก็ยังไม่ถูกเป้าของการแก้ปัญหาชีวิต แก้ปัญหาสังสม อย่างยั่งยืนหรอก
    แก้กฎหมายก็ต้องแก้ ก็ต้องทำอยู่ ก็แก้กันไป แต่มันก็สู้นิสัยของคน อันมีวิสัย มีอนุสัยที่ยิ่งลึก ไม่ได้ 
    ขึ้นชื่อว่าโลก ว่าสังคมนั้น มีเจ้าวิสัย-อนุสัยนี้แหละตัวร้าย ที่ร้ายสุด หรือตัวดีที่ดีสุด เพราะมันเก่งเหนือชั้นกว่ากฎหมายได้จริงๆ  ต่อให้กฎหมายดีเยี่ยมเก่งปานใดขนาดไหนก็เถอะ
    คนนิสัยเลว วิสัยชั่ว อนุสัยทราม นั้น มันทำได้ทุกอย่างที่เลว ต่อกฎหมาย ด้วยความชั่ว ความทราม ก็เห็นๆกันมาตลอดในประวัติศาสตร์ 
    แก้อะไรอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบของชีวิต ของสังคมที่สำคัญก็ต้องทำ แต่นิสัย-วิสัย-อนุสัยนี้ ทิ้งไม่ได้เลย ปล่อยปละละเลยไม่ได้เลย ที่จำเป็นยิ่งกว่าอะไรหมดจะต้องแก้ จนกว่าเราจะเป็นอรหันต์ ขอยืนยัน 
    นิสัยแก้ง่ายกว่าวิสัย โดยเฉพาะวิสัยของสังคม จึงต้องรีบแก้นิสัยของตนนี้แหละสำคัญสุด ก่อนจะแก้อะไรอื่นๆ

(63) คนไม่บริสุทธิ์แม้แต่ศีล 5 อย่าให้ไปแก้อะไรเลย
    และคำสอนของพระบรมศาสดาของพุทธ ก็สอนอย่างสำคัญยิ่งอยู่แล้วเป็นทฤษฎีวิเศษ คือ ไตรสิกขา ผู้ที่เกิดเป็นคนที่ยังไม่จบกิจแห่งการศึกษา จะต้องศึกษาอบรมตนแก้ไขตนอยู่
ตลอดเวลาให้ดีก่อน แล้วจะทำอื่นได้ดีตาม 
    ถ้าหากศีล-จิต-ปัญญาของใครยังไม่ดีจริง แล้วจะมัวไปแก้อะไรอื่น ให้ดีอย่างบริบูรณ์ และยั่งยืนถาวรนั้น ไม่ได้ ต่อให้จบปริญญาเอกมาหลายใบก็ไม่จบกิจ จบกิจต้องเป็นอรหันต์
    การศึกษาไตรสิกขา คือให้ตนมีศีลมีหลักที่จะทำพัฒนาตนแล้วทำให้เกิดผล วิมุติเป็นผล ไตรสิกขาเป็นมรรค จะมีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา สั่งสมเป็นวิมุติไปเรื่อยๆ
    โดยเฉพาะจิตของคน อันเป็นประธานของทุกสิ่งทุกอย่าง(มโนปุพพังคมา ธัมมา ฯ) ยังวิปลาสจากความจริง วิปลาสจากสัจจะอยู่ 
    ประชาธิปไตยของโลก มีให้เราศึกษา เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่มันแสดงผลไว้แล้ว ให้เราสามารถศึกษารู้เห็นได้มีมากมาย 
    คนผู้ที่มีนิสัย-วิสัย-อนุสัยเลวชั่วทรามนั่นเอง ที่ใช้คำว่าประชาธิปไตยนี้แหละ มาเป็นเครื่องมือหลอกประชาชนได้อย่างเก่งกาจที่สุด ไม่เห็นหรือ? ทั้งเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่ผ่านกาละมาแล้ว ไม่ว่าในอดีต หรือปัจจุบันนี้ เขาอ้างประชาธิปไตย ใช้คำว่าประชาธิปไตยนี้แหละ ที่ทำลายความเป็นประชาธิปไตยแท้ๆลงไปอย่างหน้าด้านที่สุด 
    ใช้อำนาจที่มีแก้กฎหมายเพื่อตนก็ทำ ใช้อำนาจหมู่แก้กฎหมายเพื่อตนก็ทำ ทำผิดกฎหมายมันดื้อๆนี่แหละ ใครจะทำไม เย้ยหยันกันเห็นๆ ก็ทำ แล้วทำอะไรคนนิสัยชั่วนั้นไม่ได้ เห็นบ้างไหมล่ะ มีตัวตนคนจริงทำให้เห็นชัดเจนอยู่โต้งๆ  
    เห็นความจริงที่มีหลากหลายบทเรียนกันบ้างมั้ย? 

(64) โลกุตรธรรมเป็นเรื่องของคน ที่ทำได้ทุกยุคสมัย
    มาช่วยกันส่งเสริมการศึกษา จัดการกับตนเอง ศึกษาให้เกิดโลกุตรธรรมให้มีผลกันเถอะ จะได้แก้นิสัย-วิสัย-อนุสัยของคน แล้วจะประสบผลสำเร็จไปได้ตามที่เราต้องการอยู่ขณะนี้ได้ อย่างไม่น่าเชื่อ   
    โลกุตรธรรมเป็นไปได้ เป็นเรื่องดีจริง ไม่ใช่เรื่องลึกลับดังที่หลงเข้าใจผิดกันอยู่ ไม่ใช่เรื่องเกินวิสัยคน ที่จะเป็นได้ ไมใช่เรื่องยากเลย ถ้ารู้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ เพราะมีขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย เริ่มกันตั้งแต่ประพฤติศีล 5 อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วจะเกิดมรรคผลที่สัมมาทิฏฐิเป็นโลกุตระจริงๆ แล้วจะแก้นิสัยได้จริงดีขึ้นเรื่อยๆ  ไปตามลำดับ
    ซึ่งเป็นโลกุตรธรรมจริงๆ แต่สามารถแก้ได้ด้วยทฤษฎีของพระพุทธเจ้า  ทำได้ทุกยุคทุกสมัย ขอให้สัมมาทิฏฐิเป็นสำคัญ
    นิสัย สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าความเป็นวิสัย จึงจะต้องรีบแก้ อย่ามัวปล่อยปละละเลยมันเป็นอันขาด
    ถ้าปล่อยปละละเลย นิสัยมันจะก้าวหน้าไปไม่หยุด 
    เพราะนิสัยมันเดินทางด้วยอาศัยไปเรื่อยๆ สู่ความเป็น วิสัยแน่นอน และสั่งสมลงเป็นอนุสัยจริงๆ 
    ยิ่งเป็นอนุสัยที่เลวร้าย โลกก็มีเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยร้ายเลวเป็นอิทัปปัจจยตาต่อไปเป็นความจริงที่แก้ยากขึ้นเรื่อยๆ

(65) โลกุตรธรรมก็มีได้ เกิดได้ด้วยการกระทำ    
    คนทำกรรมทุกขณะ พุทธนี้แก้ที่กรรม[สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก = การกระทำ(กัมมานัง) จะดีหรือชั่ว จะลดกิเลสหรือเพิ่มกิเลส(สุกตทุกกฏานัง) ล้วนเกิดจากกรรม(การรกะทำ) แล้วสั่งสมลงเป็นผลวิบาก] ก็การกระทำของตนนี้แหละ คือกรรมของตนเอง ทำเอง 
    แก้กรรมของตนได้ ไม่มีอื่น แม้จะแก้จากโลกียะ ให้ตนมีโลกุตระ ซึ่งมันเป็นคนละโลกเลยก็ตาม ยุคนี้ก็ตาม ยังทำให้เกิดโลกุตระให้แก่ตนเองได้ 
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ก็หมายความว่า หากยังมีสัมมาทิฏฐิอยู่ตราบใด การกระทำให้เกิดโลกุตระยังทำได้ทุกยุค 
    โดยการแก้ที่การกระทำของตน ด้วยตนเอง ได้เอง เป็นเอง 
    แก้กันที่ทุกกรรม ทุกกิริยา ที่เราทำ เราสังวร และปรับปรุงแต่งเติม(อภิสังขาร) ทุกกรรมกิริยาในทุกปัจจุบันที่เราอาศัยไปนี่เอง
    คนสั่งสมด้วยอาศัยการกระทำก็เป็นนิสัย หากตกผลึกลงถึงขั้นเป็นวิสัยของตนแล้ว จะแก้ไขยากขึ้นๆจริงๆ ยิ่งขั้นอนุสัยก็ยิ่งจะต้องใช้เวลาแก้ไขกันเป็นสิบกัปป์ ร้อยกัปป์ พันกัปป์ หมื่นกัปป์ แสนกัปป์ทีเดียว
    การกระทำจึงแก้ได้ทั้งนิสัย-วิสัย-อนุสัย และรู้แจ้งเห็นจริง และเป็นโลกุตระจริง

(66) การกระทำจึงยิ่งใหญ่เป็น God แท้ๆของชาวพุทธ
    การกระทำ(กรรม)จึงยิ่งใหญ่ที่สุด ในศาสนาพุทธเท่ากับ God แต่เห็นจริง แตะต้องได้จริง จึงเป็นจริง มีจริง ทำได้จริงยิ่งกว่า God โดยฉพาะกรรมคือการกระทำในปัจจุบันนี้แลจริง
    เพราะการกระทำที่เป็นปัจจุบัน มันแตะต้องได้จริง เมื่อครบองค์ของกรรมที่มีสัมผัส 6ด้วยภายนอกและภายในอยู่ในบัดนั้น
    ทิฏฐธรรมซึ่งเป็นธรรมที่มีอยู่ในปัจจัน จึงเป็นธรรมที่เห็นได้จริง สัมผัสได้จริง แม้แต่นิพพาน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) ซึ่งพิสูจน์กันในปัจจุบันนี้ทั้งสิ้น จึงจะชื่อว่าสัมมาทิฏฐิที่เป็นทิฏฐธรรมคือ มีอยู่เป็นอยู่ แตะต้องอยู่ ยืนยันได้ทั้งตน ทั้งผู้อื่น
    พระศาสนาจึงทรงจัดกรรมส่วนอดีตกับกรรมส่วนอนาคต เป็นมิจฉาทิฏฐิ และจัดสัมมาทิฏฐิอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้นที่พบได้ เห็นได้ ทั้งตน และผู้อื่น จึงจะยืนยันกันได้ว่า นี่..เป็น นี่..มี(โหติ)
    เพราะอดีตและอนาคตนั้นมันไม่จริง เท่าปัจจุบัน
    ปัจจุบัน(ทิฏฐกาล=เวลาที่พบ,เวลาที่เห็น)นั้นเป็นได้ทั้งสมมุติสัจจะและเป็นได้ทั้งปรมัตถสัจจะที่ยืนยันพร้อมกันได้ ทั้งกับตนเอง ทั้งกับผู้อื่น  ไม่ใช่เรื่องลึก ไม่ใช่เรื่องลับ เพราะสัมผัสได้อยู่โทนโท่ หลัดๆ โต้งๆ 
    ไม่ว่าอาการที่เป็นกามที่คนหลงกันว่า สุข(กามสุขัลลิกะ) ว่า  เที่ยงหรือไม่เที่ยง มีตัวตนหรือไม่มีตัวตน น่าพึงใจหรือไม่น่าพึงใจ
    หรือไม่ว่าอาการที่เป็นฌาน 1-2-3-4ที่หลงกันว่า สุข (อัตตทัตถสุข) ทั้งๆที่เป็นกิลมถะแท้ๆ 
    กิลมถะ คือ ภาวะที่ได้รับรู้มา ได้ยินมา จากอื่นเท่านั้นแท้ๆ แล้วมันก็รบกวนเราให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพราะไปยึดมาเป็นเรา ยึดไว้ในเรา ถ้าเราโง่(ยังมีอวิชชา จะเหลือเท่าไร ก็ยังมีกิลมถะเท่านั้น) เราก็คือ ผู้ถูกย่ำยีเพราะยังหลงยึดอยู่เอง ว่าเป็นเรา
    ผู้ไม่ยึดแล้ว หมดความเป็นเรา สนิท ก็ไม่ถูกย่ำยี เพราะไม่มีอวิชชาแล้ว
    ผู้พ้นอวิชชาแล้วก็...หมดสิ้นความเป็นเรา หมดสิ้นความโง่ 

(67) วิสัยในความเป็นฌาน-เป็นพุทธ จึงเป็นอจินไตย  
    พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้ชัดว่า วิสัยนั้น ไม่ให้คิดคาดกันเลย หรือค้นคิดเอาอย่างไรก็รู้จริงไม่ได้ เพราะมันมีคุณสมบัติที่เกินที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาพของมันได้ด้วยความคิด-ความคาด
    โดยเฉพาะ คิดเอาว่า ฌานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น อย่าไปคิดเอาคาดเอา ขบคิดให้หัวแตกอย่างไรก็ไม่เข้าใจได้อย่างเป็นจริงหรอก แม้แต่แค่ฌานแบบหลับตาที่เกิดผลของฌานโลกีย์แบบ
นั้น ก็ยังต้องทำเองเลย จึงจะรู้ภาวะจริงของจิตที่เป็นฌานแบบนั้น
    ยิ่งเป็นฌานแบบพุทธ ที่เป็นฌานลืมตาเกิดผลสมาบัตินั้น ยิ่งคาดคิดภาวะเอาไม่ได้ใหญ่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสยืนยันยันว่า ฌานนั้นเป็นอจินไตย 1 ใน 4 อย่าง เรียกว่า ฌานวิสัย เป็นเรื่องไม่ควรคิดเอา คาดคะเนเอา มันคิดเอาอย่างไรก็ไม่ได้ความจริง
    ยิ่งเป็นพุทธวิสัย ก็ยิ่งเป็นอจินไตยที่ยิ่งกว่าฌานเสียอีก
    ผู้เข้าถึงความเป็นฌาน หรือบรรลุความเป็นฌาน ไม่ว่าฌานแบบโลกียะก็ดี หรือฌานแบบโลกุตระก็ดี หรือเข้าถึง ความเป็นพุทธธรรม-บรรลุความเป็นพุทธธรรมก็ดี ต้องผู้เข้าถึงเอง หรือบรรลุเองเท่านั้น จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นฌาน หรือความเป็นพุทธธรรม ได้จริง อย่างเป็นจริง
    ยิ่งพุทธวิสัยที่หมายถึงความเป็นพระพุทธเจ้ากันไปโน่น ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเลยก็ได้ ใครอย่าบังอาจจะคาดคิดว่าตนเองรู้ได้แท้ อย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยวิธีใดๆเป็นอันขาด นี่แหละเป็นอจินไตยแท้
    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อจินไตยคือ สิ่งที่คนรู้ไม่ได้ 
    รู้ได้แน่นอน สำหรับผู้เข้าถึงจริง บรรลุจริง

(68) วิสัยของใคร ก็ต้องถ่ายทอดด้วยกรรมของตน   
    คุณสมบัติของจิตนิยามขั้นวิสัยปานฉะนี้ ไม่ว่าจะเป็นฌาน หรือเป็นพุทธธรรม ก็สามารถเกิดได้ด้วยกรรมหรือการกระทำของตนเอง ที่ทำเอง ได้เอง เท่านั้น(กัมมโยนิ) ผู้อื่นทำให้ บันดาลให้ ไม่ได้เด็ดขาด 
    เพราะเป็นกรรมพันธุแท้ๆ(กัมมพันธุ) ไม่ใช่สรีรพันธุ 
    นิสัยของจิต วิสัยของจิต จึงถ่ายทอด หรือสืบทอดกันได้ด้วยธาตุทางจิตนิยาม ซึ่งมิใช่ธาตุทางมหาภูต 4เลย(ดินน้ำไฟลม)
    ที่ใช้คำว่ากรรมพันธุไปยืนยันกันว่า รูปร่างหน้าตาผิวพรรณสรีระของคนนั้น ถ่ายทอดหรือสืบทอดกันทางกรรมพันธุ จึงเป็นการพูดผิด เข้าใจผิด ส่วนนั้นมันสืบทอดหรือถ่ายทอดกันได้ทางสรีระต่างหาก ไม่ใช่การถ่ายทอดทางจิตใจหรือจิตวิญญาณ
    แต่การถ่ายทอดทางวิญญาณธาตุนี้ไม่ใช่สรีระ ต้องถ่ายทอดทางกรรมเท่านั้น และกรรมเป็นของของตน(กัมมัสสกะ) ตนเท่านั้นที่จะเป็นผู้รับมรดกกรรมของตน(กัมมทายาท)ได้ 
    การถ่ายทอดหรือสืบทอดของจิตนิยามจึงทำได้ด้วยกรรม(การกระทำ)เท่านั้น ทางอื่นไม่มี
    แม้จะเป็นอนุสัย ซึ่งควบแน่น ผนึกแน่น กินลึกยิ่งกว่าวิสัยก็ตาม ก็ล้วนสืบทอด-ถ่ายทอดกันข้ามภพข้ามชาติกันได้แต่เป็นตนเอง เป็นของตนๆเท่านั้น ใครจะข้ามไปถ่ายทอด-สืบทอด หรือแก้วิสัยแก้อนุสัยของผู้อื่นไม่ได้เด็ดขาด
    ตนเองคือ ความเป็นสยเท่านั้นที่จะถ่ายทอดวิสัย-อนุสัยของตน โดยตนเอง(สยัง) ด้วยกรรมของตนเอง
    แม้จะเป็นอนุสัยนี้แหละ ก็แก้ไขได้ ถ้าใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ ย้ำนะว่าต้องสัมมาทิฏฐิ ขอให้เริ่มต้นก็แล้วกัน ถ้าไม่เริ่มต้นสักที ก็แน่ยิ่งกว่าแน่ว่า หมดหวัง
    ดังนั้นจึงต้องแก้ ตั้งแต่อาศัยกรรมทั้ง 4 คือ อาชีวะ-กัมมันตะ-วาจา-สังกัปปะ นั่นเอง ตามหลักมรรค องค์ 8ซึ่งก็คือ ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37นั้นแล ก็จะแก้นิสัยได้มาเป็นลำดับๆ
    คนเรานั้นมีชีวิตประจำวันเป็นอยู่ด้วยนิสัย โดยมีวิสัยและอนุสัย เป็นต้นทุนที่หนุนหนักอยู่ แต่จะเจริญพัฒนาตามทฤษฎีของพระพุทธศาสดา เปลี่ยนแปลงนิสัย-วิสัย-อนุสัยของตนได้จริงๆ

(69) ทฤษฎีบุญนิยมแก้ไขทุนนิยมได้สำเร็จจริงแท้ 
    การแก้ที่อาสัย(ที่เป็นอยู่,เจตนา,ความมุ่งหมาย)ทุกกรรมที่ตนอาศัย(สังกัปปะ-วาจา-กัมมันตะ-อาชีวะ ในมรรค 8) อย่างสัมมาทิฏฐิ ด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 ก็จะสามารถเปลี่ยนนิสัย แล้วจึงจะก้าวไปถึงการเปลี่ยนวิสัยได้ 
    ซึ่งทุกการประพฤติปฏิบัติตน เราก็ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นเป็นบุญ นั่นคือ การทำใจในใจ(มนสิการ)ของตน ถึงขั้นโยนิโสมนสิการ(การทำใจในใจที่ถ่องแท้ ชำระกิเลสลงได้) ให้จิตใจของเราได้รับการชำระกิเลสจากจิตสันดาน(สันตานัง ปุนาติ)บุญของเราก็เป็นผล คือ ชำระกิเลสเป็นผล ทฤษฎีที่สามารถชำระกิเลสจากสันดานได้จริงนี้จึงชื่อว่า บุญนิยม 
    บุญนิยมที่สัมมาทิฏฐิ สามารถแก้ไขทุนนิยมได้สำเร็จแน่ๆ ถ้าเข้าใจพุทธธรรมสัมมาทิฏฐิได้จริง     
    ทุนนิยมแก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ ด้วยบุญนิยมตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่แหละ ได้แน่นอนเด็ดขาด
    บุญนิยมจะสามารถเปลี่ยนพลังงานของจิตนิยามในตนเอง ที่เรียกกันเป็นภาษาว่า อนุสัยก็ดี อาศัยก็ดี นิสัยก็ดี วิสัยก็ดี ที่คนเรียนรู้ได้ทุกคน และปรับปรุงแก้ไขทั้งอนุสัย-อาศัย-นิสัย-วิสัยให้เจริญสูงสุดได้ด้วยความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนำมา
ประกาศให้มนุษย์รู้ตาม เรียนตามปฏิบัติตาม บรรลุได้จริงๆตาม 
    แม้ทุกวันนี้ สังคมเข้าข่ายกลียุคแล้ว แต่ก็ยังมีสัมมาทิฏฐิที่สามารถปฏิบัติให้บรรลุได้ตาม อย่างสามารถพิสูจน์ได้เป็นอกาลิโก
    ค้นคว้า ตามหาดีๆเถิด อย่าช้ากันอยู่เลย แล้วคุณจะได้จริงๆ 

(70) ปรมัตถธรรมขั้นเวทนานี้แลที่สำคัญยิ่งในตน
    ขึ้นชื่อว่าสัตว์ จะมีพลังงาน 4 คือ มีทั้งเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ทำงานอยู่ในพลังงานที่เรียกว่าจิต(จิตนิยาม)  
    ต่างจากพืช ซึ่งมีพลังงาน 2ของมัน ก็เรียกได้ว่า มีแค่สัญญากับสังขาร พลังงานมีคุณสมบัติแม้เวทนาก็ยังไม่ถึง 
    ดังนั้น พลังงานขั้นพีชนิยามหากพัฒนาเจริญขึ้นถึงขั้นที่เรียกว่าเวทนาในองค์ประกอบของธรรม 2 ที่มีทั้งภาวะของรูปและภาวะของนามทำงานร่วมกันที่เรียกว่ากาย จนมีพลังงานเริ่มเป็นความรู้สึกหรือเป็นอารมณ์ในตนเอง เรียกภาษาวิชาการว่า เวทนา ยังไม่ได้ ก็ยังไม่ชื่อว่า มีพลังงานเข้าขั้นจิตนิยาม 
    เขียนมาถึงตรงนี้ อาตมานึกถึงนักวิทยาศาสตร์ที่เขาพยายาม จะสร้างหุ่นยนต์ให้มีความรู้สึกขั้นเวทนา คือนอกจากจะมีอัตโนมัติในตนเองทุกสิ่งอย่างได้แล้ว ก็ยังมีพลังงานในตัวมันเอง
รู้สึกรัก-ชัง-สนุกสนานยอด-เศร้าสร้อยยิ่ง หรือมีทุกข์-มีสุขได้ เยี่ยมกว่าสัตว์เดรัจฉาน คือเหมือนคน มันยากยิ่ง จะเป็นไปได้รื้อ! 
    พลังงานในหุ่นยนต์นั้นแค่ขั้นพีชนิยามก็ชื่อว่าชีวะแล้ว แล้วจะทำหุ่นยนต์ให้ไปเป็นชีวะขั้นพีชนิยามก่อนเถอะ จะได้ไหม ถ้าไม่ได้ หุ่นยนต์ก็มีชีวะก้าวข้ามขึ้นไปมีเวทนาเป็นจิตนิยามไม่ได้ แน่ยิ่งกว่าแน่ อย่าเสียเวลาเลย
    แต่ถ้าจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้มีประโยชน์ใช้สอยดีวิเศษอย่างไรก็จงทำเถิด แต่อย่าเสียเวลาคิดทำให้มันเป็นชีวะ จนคนหลงตามนำไปสร้างหนังหลอกคนเลย มันครอบงำทางความคิดให้คนงมงาย

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:19:10 )

580826

รายละเอียด

580826_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 10

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 26 ส.ค. 58...เรามาตอบ sms ก่อน
0857308xxx ข้อ55กับ56รู้สึกว่าสัมพันธ์กับสัตตาวาส9และวิญญานฐีติ และวิโมกข์8มากแต่ตีความไม่ออกค่ะ
ตอบ...ในวิโมกข์ 8 ต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่ว่าจะสัตตาวาส 9 วิญญาณฐิติ 7 หรืออายตนะ 2 ต้องมีกายให้สัมผัส จึงจะได้ แต่ทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว โลกุตรธรรม พูดถึงสัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ หรือวิโมกข์ 8 เขาก็ปฏิบัติกันอย่างไรก็ไม่รู้ ต่อให้เป็นพาลหรือบัณฑิต ตายไปแล้วก็มีกาย พระพุทธเจ้าตรัสเช่นนี้ แต่เขาก็งงสิ ตายไปจะมีกายได้อย่างไร 

0818557xxx กราบนมส.พ่อท่าน การพูดซ้ำๆบ่อยในเรื่องเข้าใจยาก เรื่องสำคัญ ไม่เบื่อเลยเจ้าค่ะ ชอบมาก และพยายามดูซ้ำบ่อยๆตามที่รายการจัดเท่าที่มีเวลา พ่อท่านจัดไปเลยค่ะ

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯเมตตาตอบข้อธรรมให้เข้าใจดียิ่งขึ้น!
0893867xxx นมก.สณ.สม.จรธ.ญตธ.บุญนิยมทุกพุทธสถ.อโศก!ถึงธรรมะจะมีมากมายผู้น้อยก็จะเพียรไปจนกว่าจะห มดลมหายใจหากยังไม่บ รรลุฯ
0893867xxx พ่อครูไอน่าเป็นห่วงจนผู้น้อยมิกล้าถามมาก!เกรงใจญ ตธ.คนอื่นที่มีธรรมะอยาก จะถามอยากฟังท่านด้วย!
0893867xxx บุญนิยมน่ามีไมโครโฟนหุ้มสมุนไพรช่วยดูแลลำคอหลอดเสียงให้พ่อครูเทศน์คล่องบรรยายธรรมลื่นไหลนิ
0893867xxx ถึงรู้จักกฏม.แต่บางทีปกป้องคนดีกำหราบคนเลวไม่ ได้เพราะผู้ใช้กฏม.ไม่รู้ซึ้ง ถึงกฎแห่งกรรม!
0893867xxx มีแต่คนที่มีจิตปริโยทาตาฤาบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ให้ส่วนรวมพบสันติสุขสำเร็จ!
ตอบ...จิตปริโยทาตาคือจิตบริสุทธิ์หรือทำให้จิตบริสุทธิ์ กำลังทำงาน สังขาร สังเคราะห์กับสังคม ทำงานเพื่อสังคมโดยการประมาณกับสังคม โดยตนก็มีวสีของการมีจิตสะอาดได้ด้วย แล้วแกล้วกล้าแสดงธรรมสู่สังคมไปเรื่อยๆ เป็นคุณลักษณะจิตผู้มีศรัทธามีผลปฏิบัติ จริงคนที่มีจิตบริสุทธิ์แล้วมาทำงานมันจะซักซ้อม สามารถเก็บผล รักษาผลสั่งสมผลลงให้เกิดความควบแน่นตั้งมั่นแข็งแรงยิ่งขึ้น รักษาความผุดผ่อง อย่าเผลออย่าพลาด ผู้ที่มีคุณสมบัตินี้เป็นอาริยะแล้วก็ต้องรักษาผล แต่เป็นอรหันต์แล้วก็จะแข็งแรงได้มาก แต่ก็อย่าประมาท แม้ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดของพระอรหันต์ขีณาสพได้ ตั้งแต่โสดาบันก็มีแต่มีน้อยก็ต้องระวัง สกิทาคามีก็แข็งแรงขึ้น อนาคามีก็ยิ่งแข็งแรง แม้อรหันต์แข็งแรงแต่ก็ต้องไม่ประมาท

0893867xxx มีแต่คนที่มีจิตปริโยทาตาฤาบริสุทธิ์ผุดผ่องเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ให้ส่วนรวมพบสันติสุขสำเร็จ!

0893867xxx ที่พ่อครูสอนเรื่องอนุสัยวิสัยนิสัยอยากให้ขยายความเรื่องวัตถุวิสัยobjectivityจิตตวิสัยฤาอัตตวิสัยsubjectivityจะได้ไหม ?

ตอบ..วัตถุวิสัยเกี่ยวกับข้างนอก ส่วนจิตวิสัย นั้นหมายถึงภายในจิต แต่อัตวิสัย กินความลึกกว่าจิตวิสัย เพราะถึงขั้นยึดทั้งวัตถุและจิตเป็นตน 

(71) มาเรียนรู้ “สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ”กันก่อนเถอะ
    เรื่อง “ความจริง”หรือสัจจะนั้น มีความจริงยิ่งใหญ่ 2 อย่าง คือ  “สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ” เราต้องเรียนรู้ในทางปริยัติก่อน จึงจะไปปฏิบัติแล้วสัมผัสอ่าน “ความจริง”ที่เป็น “เวทนา”ในตนออก และแยกได้ว่า “ความจริง” อย่างนี้คือ  “สมมุติ” อย่างนี้คือ “ปรมัตถ์” 
    จึงจะสามารถปฏิบัติเข้าไปเรียนรู้แยก “เวทนาในเวทนา”ได้ว่า ความจริงของเวทนาที่เรากำลัง “สัมผัส”อยู่จริงในขณะที่ปฏิบัติปรากฏภาวะของ “เวทนา”ในตนได้ว่า นี้คือ  “เวทนา” แล้วเรียนรู้ “เวทนาในเวทนา” กระทั่งเรียนรู้มี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” แยกแยะ “เวทนาในเวทนา”ได้จริง 
    ขยายได้ถึงเวทนา 108 ทำให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา อย่างไม่กดข่ม เห็นอย่างมีวิปัสสี เรียกว่า อนิจจานุปัสสี แล้วทำในขณะลืมตาทำด้วย ทุกลมหายใจเข้าออก ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไปตลอดเวลา เห็นวิราคานุปัสสี มีนิโรธานุปัสสี อย่างเห็นๆเป็นปัจจุบัน ให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา อาการมันต่างจากเคหสิตเวทนาอย่างไร เราต้องรู้เอง ชัดๆ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ 
    กิเลสตัวไหนทำมันจนดับ อรหันต์จะไปไหนเสีย ใครยังสงสัยไหม เข้าใจแล้วปฏิบัติ 
    เนกขัมสิตเวทนาก็มีโสมนัส หรือโทมนัส การโสมนัสแบบนี้ไม่ใช่แบบที่ได้สมใจแล้วดีใจ นั้นเป็นเคหสิตโสมนัสเวทนามีปีติแต่เพราะบำเรอกิเลสให้อ้วน แต่นี่เราทำลดกิเลสได้จึงมีปีติ ที่โสมนัส ส่วนโทมนัสเพราะลำบากอยู่ เคร่งคุมอยู่ เหมือนหัดขี่จักรยานใหม่ๆ มันรู้ว่าเป็นคลองแต่ก็ลงคลองเลย มันยังไงมันถึงไม่ลงก็ต้องฝึก    
    จึงจะถึงขั้นไปรู้ได้ว่า  “สมมุติสัจจะ”นั้นอย่างนี้ สุขของสมมุติสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ 
    ต่างจาก “ปรมัตถสัจจะ”ว่า สุขของปรมัตถสัจจะนั้นเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ อุเบกขาเป็นอย่างนี้ นั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย  
    เพราะแค่รู้ใน “ฌาน”ก็ดี รู้ใน “สมาธิ”ก็ดี รู้ใน “นิโรธ”ก็ดี หรือรู้ว่า  “ความสงบ”ขั้นปรมัตถธรรม คุณวิเศษของพุทธนั้นเป็นอย่างนี้ๆ
    ที่จะไม่ “วิปลาส”ไปจาก “พุทธสัจจะ”นั้น คนฉลาดอัจฉริยะในโลกแท้ๆ ยังยากยิ่งที่จะ “พ้นจากวิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส)ไปได้  

(72) คนจึงรู้ “ตนเอง”ว่า ตน “วิปลาส”หรือไม่..ยากยิ่งนัก
    ซึ่งยากสุดยากมาก ที่คนจะไม่ “วิปลาส”
    ปุถุชนคือ คนที่ยังวิปลาสอยู่ทุกคนนั่นแหละ 
    แม้แต่ผู้ที่ยังไม่ถึงขั้น “อรหันต์” ก็คือ ผู้ที่ยังเหลือเชื้อแห่ง “วิปลาส”อยู่ เท่าที่ยังมีเศษเหลือของ “อนุสัย”นั้นๆ นั่นแล
    และประเด็นแท้ที่คนปุถุชน “วิปลาส”นั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนยิ่งแล้ว ว่า ผู้ที่มี “สัญญา”ก็ดี  “จิต”ก็ดี  “ทิฏฐิ”ก็ดี 
    ใน “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
    -สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข
    -สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน
    -สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
     “ความรู้สึก”หรือเวทนาของใครก็ตาม ที่ยังมี “อาการ”ดังว่านั้น คือ ยังรู้สึกว่า  “สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง-สิ้งที่เป็นทุกข์ว่าสุข-สิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าตน-สิ่งที่ไม่งาม(ไม่น่าพึงใจ=อสุภ)ว่างาม(น่าพึงใจ=สุภ)” 
    เริ่มต้นตั้งแต่ “ความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็น”ของผู้ใด คือ ทิฏฐินั่นเอง ยังมีความรู้-ความเข้าใจ-ความเห็นว่า  “สุข”ที่เป็น “ความสุข”จากการได้โลกธรรมมาสมใจก็ดี หรือได้สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วยัง “อร่อย,สนุกสนาน,เพลิดเพลิน”อยู่ก็ดี ก็ล้วนคือ ยังมีอาการ “วิปลาส”อยู่ทั้งสิ้น 
    ผู้ยังมี “ทิฏฐิวิปลาส”อยู่อย่างนี้ ก็ย่อมมีชีวิตใช้ “สัญญา” คือย่อมกำหนดหมาย(สัญญา)เอามาให้ตนไปตาม “ทิฏฐิ”คือความเข้าใจของตนที่เป็นอย่างนั้นอยู่นั่นแหละ ...ใช่มั้ย?
    นี่คือ ผู้ยังมี “จิตวิปลาส”อยู่ทั้งนั้น เหลือใครสักคนมั้ย???
    อย่าตกใจเป็นอันขาด ว่า เรายังมีความติดยึดอยู่ตั้งมากมาย แล้วเมื่อไหร่มันจะสิ้นสุด หรือหมดเกลี้ยงไปได้สักทีเล่า
    เพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำคัญขนาดนี้นี่เอง
    พระพุทธเจ้าจึงให้ค่อยๆลดละไปตั้งแต่ส่วนน้อย(ปริตตัง) ไปตามลำดับ เป็นขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย อย่าไปเล่นเหมาหมด อะไรก็จะลด อะไรก็จะละหมด โดยไม่มีขอบเขต-ไม่มีกำหนด(อัปปมัญญา)
    ท่านให้กำหนดเอาไปตามลำดับขั้นของ “ศีล” คือข้อกำหนดประมาณเอาตามแต่ใครจะพอทำได้ หรือตาม “กรรมฐาน”คือ ตามที่ตนตั้งจิตกำหนดเอาเท่าที่จะปฏิบัติพอเหมาะกับตน

(73)  “กรรมฐาน”คือ หลักปฏิบัติของโพธิปักขิยธรรม
     “กรรมฐาน”หมายความว่าอย่างนี้ ไม่ได้ไปแปลกันให้พิลึกพิลือ ปฏิบัติทรมานกรกรรม ออกนอกรีตศาสนาพุทธนั่นหรอก
    เมื่อมี “กรรมฐาน”แล้วก็ปฏิบัติตามหลัก “โพธิปักขิยธรรม 37” อันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อ “โลกุตรธรรม 37” เริ่มตั้งแต่ “สติปัฏฐาน 4”
    เรียนรู้ตั้งแต่ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ไปเลย ซึ่งปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา โดยมี “สติปัฏฐาน 4-สมัปปธาน 4-อิทธิบาท 4”เป็น 3 เส้าของการปฏิบัติ 
    แล้วจะสั่งสมผลเป็น “อินทรีย์ 5”ไปตามลำดับจนเป็น “พละ 5” ได้บริบูรณ์สัมบูรณ์เป็นที่สุด
    โดยมี “โพชฌงค์ 7”เป็น “การก้าว” กับ “มรรองค์ 8”เป็น “ทางแห่งการก้าว”ไปสู่นิพพาน ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตา ดังที่เข้าใจผิดกัน 
    ผู้สัมมาทิฏฐิในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”จึงจะปฏิบัติบรรลุนิพพานได้อย่างแท้จริง
    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า “ธรรม 2 นั้นแหละ จะรวมลงเป็น 1 ในเวทนา ในธรรม 2 นั่นเอง” (เทฺว ธัมมา ทฺวเยน เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) ชัดเจนยิ่ง
     “เวทนา”จึงได้แก่ พลังงานที่มีองค์ประกอบของพลังงานแห่งชีวะที่มีพัฒนาการถึงขั้นเมื่อ “การสัมผัส”กันของ “รูปภายนอก”กับ “พลังงานภายใน”แล้วมี “อาการ”ใน “พลังงานภายใน”ถึงขั้น “รู้สึก”เป็น “รสอัสสาทะ”ด้วยอวิชชา หรือความหลง(โมหะ) จึงยังมี “อัสสาทะ”อยู่
     “อัสสาทะ”นี้แหละตัวร้ายที่เป็น “รสโลกียะ”ที่คนโง่ คนหลง
     “อัสสาทะ”คือ รสนิยม อารมณ์ที่พึงใจ ความรู้สึกที่รัดรึงใจ ความรู้สึกที่ไปยึดเอา “ความรู้สึกใหม่”ที่เกินความเป็นจริงตามธรรมดา ของภาวะนั้นๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ “วิปลาส”กว่าความรับรู้ในการสัมผัสรู้ตาม “ธรรมดาของจริง”นั้น ที่สัตว์โลกผู้อวิชชา “มี”กัน 
     “อัสสาทะ”จึงเป็น “รส”ที่คนรับรู้สึกที่ใหม่ขึ้นมาจากความเป็นจริง  “รส”นี้จึงคือ  “รสที่ไม่มีจริงในความจริง” เป็น “รสเท็จ”(อลิกะ) 
    ซึ่งเป็นความรู้สึกเกินกว่าที่ “ความเป็นจริงของความจริงธรรมดา”ตามภาวะธรรมชาตินั้นมันมีจริง แล้วหลงยึด “รส”นั้นเป็น “อุปาทาน”หยั่งลงเป็น “อภินิเวส”(ความยึดมั่นอย่างปักใจ) จึงเกิด
เป็น “ตัวตน”(self)ที่มี “ความเป็นตนเอง”เลยเถิดกว่า “พีชนิยาม”อีก 
    อย่างนี้แลที่ “จิตนิยาม”สำหรับคนผู้อวิชชาจะมีกันมากขึ้นๆ 
    แล้วก็สร้าง “กรรม”สร้าง “วิบาก” ให้เป็น “นิยาย”ของโลก เต็มโลก เป็นโลกแห่ง “สงครามอัสสาทะ”กัน ไม่รู้จบ

(74)  “พีชนิยาม”ยังไม่มี “กรรม”ยังไม่มี “วิบาก”ข้ามชาติ
     “พีชนิยาม”ยังไม่มี “อวิชชา” เพราะมันยังไม่ใช่ “จิตนิยาม”  “พลังงาน”ของมันยังไม่มี “เวทนา” พีชนิยามมีแค่ “สัญญา กับสังขาร” เท่านั้นจึงยังไม่สามารถมี “รสเท็จ” เพราะมัน“รู้สึก”อย่างนั้นยังไม่เป็น 
    ผู้ที่มี “อัสสาทะ”ซึ่งเป็น “รสเท็จ”หรือ “รสเก๊ที่ไม่มีตัวตน-ไม่ใช่ของจริง”(อนัตตา)นั้น ก็เพราะมี “วิปลาส 3”(สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส) จะมีอันใดอันหนึ่งวิปลาส จะวิปลาส 2 อย่าง
หรือวิปลาสทั้ง 3 อย่างก็ตาม ทำให้เกิด “อัสสาทะ”ได้ทั้งนั้น 
    สำหรับ “พีชนิยาม”นั้นยังไม่มี “กรรม”ยังไม่มี “วิบาก” ซึ่งเป็นความยึดถือที่ติดไปกับ “ความจำ-ความกำหนดรู้”(สัญญา) แล้วนำไป “ปรุงแต่งตัวเอง”(สังขาร)ตามความยึดมั่นจนถึงขั้น “ข้ามภพ-ข้ามชาติ”
    เพราะในตอนที่เป็น “พีชนิยาม”นั้น มันก็มี “รูปกับพลังงาน”ของมันปรุงแต่งกันอยู่ เมื่อมันแหลกสลายไม่เหลือ “รูปธรรม”อันมีองคาพยพที่ไม่เกาะกุมกันแล้ว  “พลังงานอุตุ”ของมันก็หมดสิ้นไป
กับความแตกสลายของรูปธรรม เพราะ “พลังงานของอุตุนิยาม”อันเป็น “ตัวตน”ตามสภาพของมัน(self)ยังไม่มีอุปาทาน  “พลังงานที่ยึด” ของมันยัง “ไม่มั่น-ไม่แน่น”เหมือน “พลังงานจิตนิยาม”  “พลังงานอุตุนิยาม”จึงไม่มีข้ามภพข้ามชาติใดๆเลย หมดจบอยู่ในชาติเดียว
     “พีชนิยาม”จึงไม่มี “บาป”ไม่มีเวรข้ามภพข้ามชาติ  “กรรม”ที่สั่งสมลงเป็น “วิบาก” ข้ามภพข้ามชาติยังไม่มี เพราะ “การยึดเอา”(อาทาน)ของพีชนิยาม มันยึดถือแค่ชาติเดียว ภพเดียวเท่านั้น

(75) ความรู้ของ “อัตตา”ขั้น “อธิจิต”จึงจะสามารถรู้ตนเอง
    ผู้มี “ญาณ”รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “พีช”นี้ที่สัมมาทิฏฐิ  จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะแห่งธรรมขั้น “เอกพีชี”หรือ “เอกัคคตจิต”ได้จริงแน่ “สัมมาทิฏฐิ”จริงแท้ซึ่งเป็น “ความรู้”ขั้นอธิจิตหรือ “ญาณ” 
    จึงมีภูมิแยกภาวะแห่ง “เอกพีชี”นั้นแตกต่างจาก “โกลังโกละ”หรือต่าง “จัตตักขัตตุงปรม”ไฉน แม้แต่ “เอกพีชี”(ยังมีเชื้อ “พีชะ”อีกหนึ่งชาติในความเป็นพีชะ)นั้น แตกต่างจาก “สกิทาคามี”(ผู้ยังยึดตนในกามภพอีกหนึ่งชาติในความเป็นอัตตา) อย่างไร ได้ชัดเจนจริง
     “เอกพีชี”นั้นหมายถึง  “พีชะ”เชื้อชีวิต อันเป็น “ชีวิตินทรีย์” ซึ่ง “ญาณ”ที่จะรู้ก็รู้ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”ภายใน จากส่วนละเอียดของ “นามธรรม”ว่า  “เชื้อชีวิต” ขั้นพีชะนั้นเป็นไฉน เท่าไร 
    ที่ไปแปลกันว่า  “เอกพีชี”คือผู้จะ “เกิดอีกชาติเดียว” สำหรับ “เอกพีชี”ก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า หมายเอา “ชาติ”ของอะไร? แค่ใด? เท่าไหร่? ในพลังงานของความเป็น “พีชะ” ซึ่งความเป็น “ชาติ”ของ “พลังงานพีชะ”ไม่ใช่ “พลังงาน”ที่เป็น “ชาติ”ของความเป็นบุคคลตัวตนร่างกายแต่ละชาติแน่ มันเป็นเพียง “พลังงานขั้นอรูปธรรม”เท่านั้น  
    ส่วน “สกิทาคามี”ก็แปลกันว่า  “ผู้เกิดอีกชาติเดียว”เช่นกัน แต่สกิทาคามีนี้ คือ  “บุคคล”ซึ่งเป็น “อัตตา”ที่ครบ “โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา”ทีเดียว ไม่ใช่หมายถึง “พีชะ”ซึ่งเป็น “อัตตา”แค่ “พลังงานขั้นอรูปอัตตา”เท่านั้น  “พีชะ”นั้นยังไม่ถึงขั้นมโนมยอัตตาเลย ยิ่งขั้น “โอฬาริกอัตตา”ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงหรอกเพราะ “โอฬาริกอัตตา”นั้นต้องประกอบไปด้วยดินน้ำไฟลม และตาหูจมูกลิ้นกายใจ  
    ก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”ของ “สกิทาคามี”นั้นว่า หมายเอา ความเป็น “กาย”ที่ครบพร้อมทั้ง “องค์รวมของรูปกับนาม” อันเป็นภาวะที่ต้องมี “องค์ประกอบของทั้งรูปและนาม”(กาย)ที่เกี่ยวข้องทั้งภาวะภายนอก(ตาหูจมูกลิ้นกาย)และภายใน(จิตใจ) เป็น “โอฬาริก
อัตตา”เต็มๆ จึงเป็นเรื่องของ “การเกิด”องค์รวมที่หมายถึง “คน”แล้ว

(76) การรู้จักรู้แจ้ง “ชาติ”ของ “อธิจิต”ที่เป็น “อัตตา 3”
    ดังนั้น  “สกิทาคามี”จึงแตกต่างกับ “เอกพีชี”ตรงที่หมายถึง  “มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา”อันเป็นขั้นปรมัตถธรรม คือหมายเอา “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ภายใน ต้องศึกษาปฏิบัติไปถึงความเกิด
ระดับ “โอกกันติ”อันผู้ปฏิบัติต้องสามารถอ่าน “ความเกิดของชาติ”ขั้น “จิตในจิต”กันเข้าไปในภายใน ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “พลังงาน”ขั้น “ธรรมนิยาม 5”(อุตุ-พีช-จิต-กรรม-ธรรม)อย่างชัดเจนสัมมาทิฏฐิ 
    และต้องเข้าใจความเป็น “ชาติ 5”(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 7) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ให้เข้าใจชัดเจนเสียก่อน ชาติ 5 นั้นได้แก่ ชาติ-สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ 
    ซึ่งทั้ง “5 ชาติ”นั้น มีอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ ที่ต้องเรียนรู้ปริยัติที่เป็น “อุเทศ”จากสัตบุรุษเสียก่อน แล้วจึงจะไปจับ “นิมิต”เอาเองของตนๆในจิตตน จาก “อาการ”นั้นๆของจิต-เจตสิก-รูป-
นิพพาน ที่ตนมีตนได้ตนบรรลุถึงจริง เท่าที่ตนปฏิบัติถึงขั้นนั้นๆของตนๆ ทุกความเป็น “ชาติ”ทั้ง 5 นั้น ล้วนยังมี “ทุกข์”ตาม “ธรรม” (ความทรงอยู่) อันยังมี “ชาติ”แต่ละ “ชาติ”ที่ต่างกันนั้นๆอยู่ทั้งนั้น
    จึงต้องมาเรียนรู้ “ทุกข์”ที่มันมี “ชาติ”(ความเกิด)อยู่ใน “ธรรม”ของตนๆ ที่เรียกว่า “ธรรมชาติ” ในธรรมชาติของ”จิต “หรือ “อัตตา”ขั้น “จิตนิยาม”จึงยังมีทุกข์มีสุข เพราะ “พลังงานจิต”ถึงขั้นมี “นาม
ขันธ์ 4”แล้ว โดยเฉพาะขั้น “เวทนา”ซึ่งนับเป็นธรรมชาติขั้นจิต ถ้ายังอวิชชา ก็จะยังมีทุกข์ มีสุข ด้วยความ “วิปลาส 3”อยู่แน่ 
     “อัตตา”(self)ขั้น “จิตนิยาม”วิจิตรกว่า “อัตตา”ขั้น “พีชนิยาม” ตรงที่ “พลังงาน”ได้พัฒนาขึ้นมาเป็น “เวทนา”  “จิต”จึงยึด “ตัวตน”ยิ่งกว่า “พีชะ” และจิตนั้นหลง “ตัวตน”(อัตตา)ยิ่งกว่าพีชะ อัตตาขั้น “จิต”จึงเห็นแก่ตัวยิ่งกว่า “พีชะ” เพราะยัง “อวิชชา”จึงยัง “หลง”(โมหะ) ดังนั้นจึงยัง “วิปลาส”ไปยิ่งกว่า “พีชะ”
    จึงต้องศึกษาเรียนรู้ “ความเกิด”(ชาติ)ของ “จิตวิปลาส”ของตน ให้มี “ความเห็นถูก”(สัมมาทิฏฐิ)ก่อนอื่น จะได้ฝึกฝน “ความกำหนดหมายรู้”(สัญญา)ของตน ลด “ความวิปลาส”ในอัตตาของตนลงไปจนหมด “สิ้นความวิปลาส”ได้หมดเกลี้ยง  “อัตตา”ของตนจึงจะดีวิเศษ    
     “จิตนิยาม”ต้องเรียนรู้ความหลงใน “อัตตา”ของตน ซึ่งมีองค์ประกอบในความเป็น“อัตตา”ของ “จิตนิยาม”นี้ถึง 3 ลักษณะ ได้แก่ โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา แล้วศึกษา “จิต”ของตนทำ
 “จิต”ของตน(มนสิกโรติ)ให้เจริญเป็น “อธิจิต”ขึ้นไปให้ได้
     “อัตตา”ขั้น “จิตนิยาม”จึงจะมี “พลังงานพิเศษ” ที่ไม่มีพลังงานชั่ว ไม่มีโทษ แต่พลังงานจิตที่มีนั้นกลายเป็น(ภวันติ) “พลังงานดี”ไป  “อัตตา”ใหม่จึงเป็นพลังงานเจริญหรือกำไรขึ้นมาอย่างวิเศษ..ชัดมั้ย?

(77)  “ความดับ”จึงจะมีได้แท้จริงถ้วนทั้ง “ภพ 3”สัมบูรณ์
    ต้องแม่นยำให้ดีนะ ว่า  “พีชนิยาม”ไม่มี “โอฬาริกอัตตาและมโนมยอัตตา” เพราะไม่มี “ตาหูจมูกลิ้นกาย” จะมีก็แต่ “อรูปอัตตา”
    เห็นมั้ยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงต้องให้ปฏิบัติเรียนรู้ลดละกิเลสในขณะมี “กาย”(พร้อมองค์ประชุมของรูปกับนาม)หรือในขณะมี “สัมผัส 3” เช่น ต้องมี “ตาสัมผัสกับรูป หูสัมผัสกับเสียง” ฯลฯ จึงจะเกิด “วิญญาณ”หรือ “จิต”ให้เราเรียนรู้ของจริงที่เป็น “โอฬาริกอัตตา” 
    เมื่อผู้ใดสามารถ “ดับกิเลส”ในภพที่มี “สัมผัสภายนอก”ได้สำเร็จแข็งแรง ก็สามารถ “อยู่เหนือ”(อุตตระ)ภาวะนั้นได้แน่แท้ ทั้งภายนอกและภายใน ก็จบกิจเด็ดขาด 
    จะมีชีวิตอยู่หรือจะตายไป ก็ไม่มี “อัตตา”แน่ๆ อนัตตาจริงๆ 
    แต่ถ้าผู้ที่ไม่เรียนรู้ “โอฬาริกอัตตา”ในขณะมีชีวิตอยู่ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า ตน “จบกิจ”ในการกำจัด “โอฬาริกอัตตา”อย่างเป็นของจริงของเราหรือยัง? เพราะไม่ได้ “สัมผัส”จริง ไม่ได้ฝึกจริง และไม่เคยรู้ผลว่า เราทำได้จริงหรือเปล่า?!!
    จึงไม่มี “ปัญญา”อันยิ่ง เต็มสภาพที่รู้ยิ่งทั้งภายนอกและภายใน ว่า “มโนมยอัตตา”ที่เรา “สำเร็จในจิตนั้น” มันเป็น “ปัญญาภายนอก”ด้วยหรือมีแค่ “สัญญาภายใน”เท่านั้น เพราะตนไม่มีปัญญาที่เป็น “ปัญญา” อันเกิดจากการปฏิบัติครบมี “องค์ธรรม 6”คือ ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคัง(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258) ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในมหาจัตตารีสกสูตร
     “อินทรีย์ 5”ของปัญญาก็ไม่มี  “พละ 5”จึงไม่มีเด็ดขาด 
    เพราะไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติมี “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”หรือได้ปฏิบัติ “จรณะ 15”ที่มี “โพธิปักขิยธรรม 37”บริบูรณ์ อย่างแท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตราไว้ให้ปฏิบัติ จึงไม่เกิด “ปัญญา”ในตน ก็มีแต่ “สัญญา”เท่านั้นที่ตนได้ปฏิบัติ เนื่องจาก “ทิฏฐิ”ไม่สัมมา จึงฝึกอยู่แต่ “สัญญา”ที่มี “ทิฏฐิวิปลาส”ยึดอยู่อย่างเดิมๆ
     “ทิฏฐิ”ไม่ได้เห็นใหม่ ไม่ได้เข้าใจใหม่ จึงไม่ได้รู้ยิ่งของใหม่ ภาวะใหม่ไม่ได้เกิด เพราะไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สัมผัสของจริง 
     “จิต”จึง “วิปลาส”อยู่ตามเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลง 
    จึงตายไปแล้วก็ไม่ “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ว่า การมี “สัญญา”ที่กำหนดรู้ของตนนั้น มันเป็น “ปัญญา”หรือเป็น “สัญญา” ภพที่เรากำลังเป็นอยู่ขณะนั้น แยกไม่ออกว่าเป็น “กามาวจร”หรือเป็น “รูปาวจร” เพราะไม่ได้ปฏิบัติในขณะมี “กามาวจรภูมิ”จริง และได้ “ดับอัตตา”ไปสิ้นแล้วในขณะที่อยู่ใน “กามภพ”มาแล้ว ตนจึงยัง “อวิชชา”อยู่ ยัง “หลงภพ”(โมหะ)อยู่แน่นอน
    ส่วนผู้ที่ได้ฝึกมาจริง และได้มรรคผลมาจริง จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “อาการ”ของจิตว่าตน “มีกามราคะ”ในจิตมั้ย มี “รูปราคะ”ในจิตมั้ย หรือยังมี “อรูปราคะ”ในจิตมั้ย ก็สามารถรู้แจ้งเห็นจริงใน 3 ภพแน่ๆ

(78) สภาพจริงของคน “ตกนรก” เป็นเช่นนี้ๆเอง
    ดังนั้น ผู้ได้ปฏิบัติจริงใน “กามาวจร” จนสามารถ “ดับกามตัณหา”ไปสิ้นใน “กามภพ”แล้ว เมื่อเข้าไปอยู่ใน “รูปภพ” กามตัณหาก็ไม่มีใน “รูปภพ”  “อาการจิต”ของคนผู้ไม่มี “กามตัณหา”แล้วจริงใน “รูปาวจร”จึงต่างกัน(ลิงคะ)กับผู้ยังมี “กามตัณหา”อยู่ใน “รูปาวจร”อย่างยิ่งจริงจัง เพราะเหตุนี้ใน “ความรู้”จึงต่างกัน ใน “ความรู้สึก”ก็ต่างกัน ในความหลงดิ้นรนของความไม่รู้(อวิชชา)ก็ต่างกัน อื่นๆอีก ฯลฯ
    เพราะผู้ “ดับกามตัณหา”ได้ในขณะมีการฝึกเรียนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “กามภพ”จริง ก็จะไม่เหลือ “กามตัณหา”ของ “กามภพ”จริง ดังนั้นแม้จะอยู่ในภาวะ “รูปาวจร”จึงรู้ชัดเพราะตน “ไม่มีกามตัณหา”แล้ว
    ส่วนผู้ไม่ได้ปฏิบัติในสภาพ “กามาวจรภูมิ” จึงหลงตน ไม่รู้
ความจริง ไม่รู้สภาพจริง ก็จะดิ้นรน เหมือนคนเสพติดยาบ้าที่อาการหนัก เมื่อมันเกดิอาการอยากแรงๆขึ้น หรือตกอยู่ใน “อาการอยากแรงจัด”เมื่อใดก็จะดิ้นหน้ามืดดำฤษณา ไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้อะไรเป็นอะไรทั้งสิ้น เยี่ยงเดียวกันนี้แล 
    นี่คือ สภาพจริงของคน “ตกนรก” จะเป็นเช่นนี้ๆเอง     
           

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:20:57 )

580827

รายละเอียด

580827_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ เรื่อง โอปปาติกสัตว์

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 27 ส.ค. 58 วันนี้มีเด็กนร.มาฟังด้วย สมุนพระรามก็มาฟังด้วย จะอธิบายคำใหญ่ๆอธิบายแบบย่อยๆดู

คำว่าชาติ คำว่า อัตตา เคยได้ยินไหม... แล้วคำว่า นรก ก็เคยได้ยินกันนะ จะอธิบายคำใหญ่ๆ ลองดูว่าหมายถึงอะไร ลองฟังดู แล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้จักคำว่าชาติ เป็นอย่างไร แล้วจะปฏิบัติให้เกิดผลเป็นคนมีคุณธรรม คุณสมบัติเจริญเป็นอาริยบุคคลได้อย่างไร

ชาติคือ ความเกิด การเกิด  มีกี่อย่างนะ 

คำว่า ชาติ เป็นการพูดแบบรวมๆ คือการเกิด ที่รวมทั้งหมด เช่นการเกิดอย่างการแบ่งเชื้อ เรียกว่า โยนิ เช่นชาติไทยเกิดมากี่ร้อยกี่พันปี เป็นต้น 

แบ่งชาติเป็น 4 อย่าง
1.    ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์) 
2.    อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ) 
3.    สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) 
4.     โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที     เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พตปฎ.เล่ม 11   ข้อ 263) โอปปาติกโยนิ ต้องอ่านโดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส มันไม่มีตัวตน แต่ว่า ก็อ่านได้ หัดอ่าน อาการใจเราเกิดสุข อาการอย่างนี้เกิดทุกข์ เราเกิดมาในตัวเรา อย่าปล่อยปละละเลย มันเกิดต้องอ่านมัน ว่ามันสุขเป็นเช่นนี้ เราไปติดยึดมันอย่างไร อย่างนี้มันทุกข์นะ ว่าอาการทุกข์มันไม่น่ามี อาการสุขยังพออาศัย แต่มันก็เป็นตัวหลอกเต็มๆเลย มันตัวร้ายเหมือนกันนะ หัดอ่านอาการ 

จะอ่านได้เราต้องกำหนดหมายว่า อาการเช่นนี้เป็นสุข/ทุกข์ มันไม่มีเส้นสีเงาแสง ต้องอ่านขณะมันเกิด ไม่มีอาการเกิด มันอ่านไม่ได้นะ ถ่ายเก็บในเครื่องใดๆก็ไม่ได้ อาการสุข ทุกข์ โลภ โกรธ ของใครก็ของมัน อ่านเอาเองเรียนรู้เอาเอง จึงยาก มันไม่ตรงกันด้วย มันอาจคล้ายกัน อาการโกรธ คนนั้นคนนี้ก็เป็น คล้ายกัน แต่ของใครของมัน จะเอามาวัดมาเทียบกันจริงๆไม่ได้

อาการมันเคยแรง แล้วเราทำให้มันเบาลง มันหายไป หรือมันกลับมาแวบๆอีก จะกำหนดหมายได้ เรากำหนดเครื่องหมายเอง ทำเครื่องหมายของเราไว้เองว่า โลภ โกรธ หลง มากหรือน้อย อย่างนี้ดีใจ อย่างนี้เสียใจ อย่างนี้หมั่นไส้ อย่างนี้น่าชื่มชม อ่านให้ละเอียด อาการมีชื่อเรียกอีกเยอะ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ 

เกิดอาการอย่างนี้เราเรียกว่าชาติด้วย จิตมันเกิดแบบโยนิ เรียกรวมๆว่าชาติ รวมถึงเหตุปัจจัยภายนอกด้วย เรียกว่า ธรรมชาติ 

เราไปหลงอะไรมัน หลงมี
1.หลงลืม 2.หลงผิด 3.หลงใหล 4.หลงเหลือ 5.หลงตัว 6.หลงลืม
มันมีลักษณะต่างๆกันไป หลงตัวนี่เราไม่รู้ตัว ว่าหลงใหลอะไร แต่หลงเหลือคือทำให้มันลดจนเหลือน้อยได้เท่าใดๆ การยึดตัวเอง เรียกว่าหลงตัวเอง ยึดตัวไม่ดีเป็นตัวเองด้วย ยึดอย่างชั่วด้วยหรือแม้ตนเองทำดีแต่ยึดดีเป็นของตน เที่ยวอวดอ้างอวดเบ่ง เอาบุญคุณกับใคร เรียกว่ามานะอัตตาเป็นการหลงตัว การหลงลืม หลงใหล หลงเหลือ ผลผิด หลงตัว หลงลืม ในแต่ละกิเลส เช่นในโลภะ ในโทสะ 

พระพุทธเจ้าท่านเรียนทางโอปปาติกโยนิเป็นหลัก ส่วนการเกิดอื่นก็ให้คนทั่วไปเขาเรียนกัน เกิดเป็นสัตว์นรก เทวดา พรหม เป็นต้น 

1.แบบสัตว์นรก เป็นจิตชั่ว จิตต่ำ จิตเสื่อม จิตเลว เรียกว่าสัตว์นรก 
2. จิตที่เป็นสุข ชอบใจดีใจเรียกว่า สัตว์เทวดา
3. สัตว์ที่ได้ลดละกิเลส สร้างจิตเจริญไปหาสงบ ท่านเรียกว่า พรหมสัตว์ 

นี่แบ่งหมวดหมู่ง่ายๆเช่นนี้ รวมสามอย่างเรียกตัวกลางๆว่า มนุษย์ เป็นคำกลางๆ ถ้ามนุษย์ชั้นต่ำเรียกว่าอมนุษย์ ส่วนคนที่พัฒนาจิตได้เป็นเทวดา เป็นพรหมได้เรียกว่า มนุษย์ ส่วนต่ำกว่านั้นเป็นอมนุษย์ 

สัตว์นรก แบ่งเป็น 4 แบบ
1.สัตว์นรก รุนแรงดิ้นแรง ดีไม่ดีทำร้าย มันไม่ไปทำดีหรอก เป็นสัตว์ชั้นต่ำ หน้ามืดทำอะไรบ้าบอได้
2.สัตว์เปรต อาการอยากๆๆ อยากแย่งชิง มุ่งหมายเอามาให้แก่ตนเอง
3.สัตว์เดรัจฉาน จิตวิญญาณที่โง่ไม่เจริญ ขวางทางเจริญ ทางพระนิพพาน
4.สัตว์อสุรกาย  สัตว์ที่ไม่กล้าทำดีทั้งปวง ไม่กล้าเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ 

ถ้าเรียกเต็มๆว่า อปายทุกคติวินิปาตะ ถ้าเรากำจัดสัตว์เหล่านี้ได้จะเกิด องค์คุณส่วนดับของพระโสดาบัน  
ก.) ส่วนที่สิ้นไปจากจิต . . 
1.    ขีณนิรยะ (สิ้นจากนรก, ปิดนรก ดับความเร่าร้อนได้) 
2.    ขีณปิตติวิสยะ (สิ้นจากวิสัยความอยากอย่างเปรต)  
3.    ขีณติรัจฉานโยนิ (สิ้นจากความโง่ ที่ขวางเจริญ) 
4.    ขีณาปายทุคติวินิปาตะ (สิ้นจากอบาย ทุคติ วินิบาต) คือสัตว์ชั้นต่ำไปทางต่ำ จนไม่มีที่จะตกแล้ว มันตกต่ำถึงขั้นสุดแล้ว เป็นขั้นที่รวมประดาความต่ำของสัตว์ทั้งหลาย หรือมันไม่กล้าทำดีสักอย่าง เป็นอสุรกาย 

เด็กๆเคยไปชุมนุมไหม เขาเขียนหัวเป็นสัตว์แต่ตัวเป็นคน ว่าเทียบจิตใจแล้วคนพวกนี้เหมือนเสือ เหมือนลิง เหมือนหมา เหมือนเหี้ยด้วย เขาเขียนเป็นภาพศิลปะสื่อได้ ว่าคนนี่แหละ มีจิตวิญญาณเป็นสัตว์ 

เทวดาก็มีสามแบบ
1.สมมุติเทพ คือเป็นคนมีความสุขความดีทั่วไป อย่างนี้เป็นเทวดาสามัญ 
2.อุบัติเทพ คือเทวดาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจิตใจเลย อุบัติเลย เกิดเลย ทางโอปปาติกโยนิ จากสัตว์โลกีย์เป็นโลกุตระ หรือจากปุถุชน เป็นอาริยชน พระพุทธเจ้าแบ่งเทวดาออกเป็น 3 ชื่อ 
จิตลดกิเลสได้ เป็นโสดาบัน สกิทาคามี มีคุณธรรมอาริยชนมากขึ้นๆ ก็ถึงที่สุดก็เรียกว่า วิสุทธิเทพ คือลดกิเลสลงก็เรียกว่าจิตวิสุทธิ สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นจากกิเลส สูงสุดเรียกว่าวิสุทธิเทพ เรียกว่าพรหม 

แล้วเทวดาสมมุติเทพ ท่านเรียกว่า เทวดากามาวจร อยู่ในกามภพ เป็นความสุข อย่างดีก็เป็นความดีอย่างกัลยาณชน ไม่เที่ยง วนเวียนไปมา ดี ชั่ว ไม่ได้ฆ่าต้นเหตุไม่ยั่งยืน ไม่เป็นจิตเกิด แต่มีวิธีการไม่ให้เกิดได้ชั่วคราว อาจได้นานน้อยหรือมากแต่ไม่หมดเชื้อกิเลส เวียนกลับได้ สังกุปปัง กำเริบได้ พระพุทธเจ้าจึงแบ่งให้ชัดแยกให้ชัด ควรจะอ่านจิตตนให้ออกว่า สมมุติเทพ เจริญไปก็เป็นอุบัติเทพ 

ที่เป็นโลกีย์ เป็นสมมุติเทพ เป็นเทวดาชั้นหรือเทวดาเสพสุข ไม่ได้เสพก็คลั่งทำร้ายจะเอาให้ได้ หรือได้เสพก็สุขสวรรค์หอฮ่อ สมมุติเทพนี่กิเลสขึ้นทั้งขาขึ้นขาล่อง อยากเป็นเปรตกิเลสก็โต ได้บำเรอสมใจกิเลสก็โต 

เทวดาโลกีย์ ท่านแบ่งเป็น 6 ชั้น
จตุมหาราชิก ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวตี 

จตุมหาราชิก คือมหาราช 4 ทิศ เป็นคนที่จะล่ามาให้แก่ตนเอง ถ้าล่าได้ก็เป็นจิตเทวดา เขาปั้นรูปเป็นยักษ์ มีเขี้ยว สี่หน้าถืออาวุธไล่ล่า ในขณะที่ไล่ล่าก็เป็นสัตว์นรก ตาโตเขี้ยวงอก อย่างที่วัดพระแก้วตั้งไว้ 4 ทิศเลย เป็นเทวดาดุ แย่งชิง พอได้ก็เป็นจตุมหาราชิกา เป็นตัวแรกที่อยากได้มาให้แก่ตน ได้ก็เป็นเทวดา ไม่ได้ก็เป็นยักษ์ ทำร้ายผู้อื่น ใช้เขี้ยวใช้งา หน้าดุ แยกเขี้ยวยิงฟัน เป็นศิลปะของคนที่เขาคิดปั้นสื่อให้รู้ ว่าหมายถึงเช่นนี้ นี่คือจิตวิญญาณของคน แต่เป็นสัตว์อย่างนั้นในโลกมันไม่มีหรอก แต่คนที่ไม่รู้ก็ไปปั้นเป็นรูปร่างตัวตน 

จิตเป็นยักษ์ แต่ว่าแปลงตัวเป็นรูปเทวดา เป็นเทวบุตมาร ได้รสมาเสพเรียกว่าอาการที่ 33 หรือเทวดาดาวดึงส์ ชั้นต่อมาจากล่าได้มา จิตเราเองล่าได้มาก็แปลงตัวเป็นดาวดึงส์ จากนั้นก็ต้องการให้นานๆเรียกว่ายามา

แล้วดุสิต คำว่า สิต แปลว่า พอ แปลว่าพักยก สันตุสิต ก็พักหยุด เวลาเสพแล้วมันก็ไม่ได้ตลอดไปหรอกต้องมีการพัก แดนพักเรียกดุสิต ก็วนอยู่แค่นี้ ถ้าเก่งขึ้นเรียกว่า นิมานรดี เก่งทางแย่งเขา เบียดเบียนโลก พอได้เสพสุขก็นึกว่าเป็นสิ่งดีของจิต นึกว่าตนเจริญ ได้รับลาภ ได้คำชมเชย ยกย่อง พวกเทวดาโลกีย์ก็ยกย่องกันใหญ่ สรรเสริญกัน ก็ได้สุข เพราะได้บำเรอกิเลส 

นิมมานนรดี แปลว่าสร้างสิ่งที่ยินดี พอใจชื่นใจ ที่เราสร้างได้สำเร็จ เป็นอำนาจ จิตที่มีฤทธิ์อำนาจ 

เราต้องมาล้างความเป็นสัตว์เหล่านี้รวมๆเรียกว่าสัตว์หน้าหมาคือเทวดากามาวจร ล่า โลกธรรม มีเงินทอง มียศอำนาจ นี่คือเทวดา 6 ชั้น 

ทีนี้เทวดา 6 ชั้นนี้ อธิบายเป็นโลกุตระได้ไหมก็ได้ แต่ฝากไว้ก่อน 

ส่วนเทวดาชั้นสูงเรียกว่า พรหม มีรูปพรหม 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 5 

ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ   (ท่านพรหมฯ แปลว่า พวกบริวาร 
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ  (เป็นหัวหน้าพรหม เป็นอาจารย์ใหญ่)
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ (เป็นหัวหน้าพรหมทั้งสองข้างบนนี้)

ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ  เรียกว่าพวกมีรัศมีน้อยๆ เขาว่ากันเป็นรูปร่างแสงสีกัน
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ  แบบนี้ก็เป็นแสงที่ไม่มีประมาณ 
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ เป็นหัวหน้าของพวกชอบแสงสว่าง

หมวด 3 
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา  (คำว่า ภา แปลว่า ความเจริญ) เรียกว่าดียิ่งขึ้น 
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา ก็เจริญทางสว่างอย่างไม่มีประมาณ 
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ มีลำรัศมีงามกระจ่างจ้า พวกดับนามขันธ์เขาก็ว่าเป็นสุภะหรือโชคของเขา เป็นสิ่งน่าพึงได้พึงเป็นของเขา แต่ของโลกุตระก็ลดกิเลสได้เป็นโชค เป็นสิ่งพึงได้พึงเป็นเช่นกัน แต่คนละอย่างกัน 
ชั้นที่ 10 เวหัปผลาภูมิ เป็นพวกลอยมา (เขาแปลกันว่ามีผลไพบูลย์)คือสายยิ่งใหญ่ลอยฟ่อง 
ชั้นที่ 11 อสัญญีสัตตาภูมิ  เป็นพวกดับเวทนา เป็นพวกนิโรธ แต่นิโรธมิจฉาทิฏฐิคือดับสัญญา ดับเวทนาเลย ส่วนโลกุตระนั้นเป็น อสัญญีสัตตายตนะ เป็นสัตว์ที่ไม่มีสัตว์ กำหนดรู้อายตนะ 2 เรียนรู้กายกับสัญญา เป็นผู้ไม่ต้องมีสัญญา เพราะมีอายตนะที่กำจัดกิเลสกำจัดสัตว์ได้หมดแล้ว  

ชั้นที่ 12 อวิหาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 13 อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 14 สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 15 สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
ชั้นที่ 16 อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ
ชั้นสุทธาวาสนี้ พพจ.ท่านไม่ไปข้องแวะไม่ไปเป็นด้วยเลย เพราะว่าจะนานช้ามาก 

ชั้นที่ 17 อากาสานัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ 18 วิญญาณัญจายตนภูมิ
ชั้นที่ 19 อากิญจัญญายตนภูมิ
ชั้นที่ 20 เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
เป็นอรูปพรหมอีก 4 ถ้าอธิบายแบบนั่งหลับตาก็จะเป็นแบบมโนมยอัตตา 

อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตไม่เคยมี โลกนี้มีเพียง กาม กับฌาน เท่านั้น พพจ.สอนทิฏฐธรรมนิพพาน ใครหลงว่ากามเป็นสุข ก็ยึดกามเป็นนิพพาน พวกมิจฉาทิฏฐิก็ยึดเอาฌานฤาษีดับหลับตาเป็นนิพพานอีก นิพพานคือแดนสุดสูงสุด
ผู้ได้กามเป็นสุขสูงสุด ก็คือ กามสัขขัลลิกะ 

ส่วนพวกนั่งหลับตาก็ไปหลงฌาน หรืออรูปฌาน ที่เป็นแบบมิจฉาทิฏฐิ อรูปฌานทั้งจัดเข้าใน ทิฏฐิอนาคต ในทิฏฐิ 62 แล้ว ในปัจจุบันก็มีนิพพานแค่ 5 ส่วนอดีตมี 18 อนาคต 44 

ความจริงมีอยู่แค่ 5 อันนี้ คือไม่หลงกามก็หลงอัตตา ต้องทำปัจจุบันให้เป็นนิพพาน พ้นทั้งกามทั้งอัตตา นี่คือนิพพานแท้ของพพจ.อย่างสมบูรณ์แบบ 

หลวงปู่เทศน์เพื่อเปิดโลกเทวดา มาร พรหม ก็ต้องเห็นของตนเอง ไปเห็นของคนอื่นไม่ได้หรอก เห็นความเป็นสัตว์ของตนๆ 

ที่หลวงปู่ขยันพากเพียรอธิบายเพื่อให้เข้าใจสภาวะ มีเจตนาใช้ภาษาสื่อเข้าหาสภาวะ หากสามารถหยั่งถึงตามภาษาที่หลวงปู่พยายามใช้ ถ้าเข้าใจก็สามารถปฏิบัติให้เกิดอย่างที่หลวงปู่อธิบายได้ เป็น roadmap เหมือนแผนที่ ถ้าไม่มีแผนที่ก็ไปไม่ถูก ก็ต้องพยายามพูดให้รู้เหลี่ยมมุมทุกอย่าง พยายามใช้ภาษา จากของพระพุทธเจ้าหรืออรรถกถา ก็เอามาใช้หากมีประโยชน์ หลวงปู่ไม่ได้บัญญัติใหม่เท่าไหร่ มีนิดหน่อย นอกนั้นใช้ของเขามาสื่อของจริง พยายามไม่นำสิ่งผิดมาพูดมาบอก ถ้าทำให้เข้าใจผิดนั้นเสียธรรม มันบาป ไปทำลายศาสนา ต้องพยายามที่สุด หากไม่แน่ใจว่าถูกก็ยังไม่พูด แต่ถ้าแน่ใจแล้วพูด 

ก็มีนิรุติปฏิภาณ มีนิรุติคือภาษา ส่วนปฏิภาณคือความแววไว ปัญญา แล้วใช้ธรรมะ อรรถะ คือเนื้อหาที่มีแก่นที่มีออกไปชี้ให้สมบูรณ์ ด้วยทั้ง อรรถะ ธรรมะ นิรุติ ปฏิภาณ มาใช้ 
จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:23:14 )

580828

รายละเอียด

580828_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 11

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 28 ส.ค. 2558 วันนี้วันโกน ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม เราก็มาเรียนกันต่อ เรียนจนพวกเราเป็นอรหันต์กันให้ได้ แม้เป็นอรหันต์แล้วก็เรียนต่อ มีนิรุติปฏิภาณเรียนต่อไปอีกได้

อาตมาตั้งแต่อยู่นอกวงการหรือในวงการศาสนา ก็ได้ยินเขาพูดกันเรื่อง อนัตตา แต่ไม่ได้ยินเขาพูดกันเรื่องอัตตา  จนกระทั่งอาตมามาเห็นในพระไตรฯ ว่าอัตตานี้ท่านตรัสแต่ในสูตรแรกของพระไตรฯเลย ข้อแรก โลกหรืออัตตา ใช่หรือไม่ใช่ ชีวะก็อย่างนั้นอัตตาก็อย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านช่วยไว้ ว่าท่านไม่ตรัส แต่ท่านก็อธิบายไว้ละเอียดลออ อย่างในอัมพัฏฐสูตรเป็นต้น ซึ่งเขาไม่เรียนรู้อัตตามาก่อน จะมาให้หมดอัตตาเลยมันจะได้อย่างไร มันไม่มีขั้นตอนในการลดละอัตตาเลย 

แม้แต่คำว่า อรหัตตา มันเป็นอย่างไรอาตมาก็ชัดเจน เรามาต่อกันในยอดนิยายฯ

(79) ผู้ “ดับอัตตา 3”สำเร็จจึงจะชื่อว่า ผู้บรรลุ “อนัตตา”
     “พีชนิยาม”มันไม่มี “ทุกข์” พลังงานของ “พีชะ”ยังไม่มี “เวทนา” จึงยังไม่รู้จัก “ทุกข์” ไม่รู้จัก “สุข” เพราะ “อัตตา”ของมันยังไม่วิจิตร ยังไม่มี “ธาตุรู้”ที่เป็น “อัตตา”ขั้นสูงขึ้นมาถึงขั้น “จิตนิยาม”  
     “ปัญญา”ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงพลังงานที่เป็น “อัตตา 3” และได้
กำจัด “อัตตา 3”ไปจากจิตหมดสิ้นสนิทได้จริง คนผู้นั้นก็ชื่อว่า ถึงภาวะ “อนัตตา” คือผู้บรรลุ “ความไม่มีตัวตน”นั้นๆ(เฉพาะอัตตาตัวที่ตนได้กำจัดมาแล้ว)  “อวิชชา”ก็กลายเป็น “วิชชา”ในความเป็น “อัตตา”นั้นๆ
    เมื่อยัง “อวิชชา” คนอาศัย “จิตนิยาม”จึงชื่อว่า “อัตตา”อยู่ทั้งนั้น แต่ผู้ศึกษาสััมมาทิฏฐิแล้วนั้นได้ชำระ “อัตตา”ที่ควรกำจัดออกไปกระทั่งหมดสิ้นไปตามลำดับ จนสิ้นเกลี้ยงความเป็น “อัตตา”ที่เป็นอกุศลจิต ที่ไม่ควรมี จบเสร็จ เรียกว่า  “อรหันต์” คือ ผู้มี “ความไม่ลึกลับในอัตตา 3 สูงสุดแล้ว” และได้จัดการ “ดับอัตตา”สิ้นหมดทั้ง 3 อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะมีภาวะ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”บริบูรณ์ กระทั่งหมดสิ้นเกลี้ยง “อัตตา 3”แล้ว
    เรามีศีลเป็นกรอบ แล้วปฏิบัติให้มีมนสิการเป็นแดนเกิด โยสิโสมนสิการให้เป็น ลดละจากวิญญาณ เจาะลงไปจนถึงสักกายะจริง กำจัดได้ รวมลงที่เวทนา 
    เป็นผู้มี “วิมุติเป็นสาระ”แล้ว จึง “หยั่งลงสู่ความเป็นอมตะ” อยู่เป็น “บุคคลอมตะ” ที่ยังเหลือ “อรหัตตา”นั้นทำประโยชน์ให้แก่สังคมแก่โลกต่อไป(พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ-โลกานุกัมปายะ)  
    เพราะมีความสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “พลังงาน”ของ “ธรรมนิยาม 5”แท้จริง แล้วจัดการกับ “พลังงาน”ของ “ธรรมนิยาม 5” ทุกขั้นตอน ตามที่ต้องจัดการปรุงแต่ง(อภิสังขาร)ให้สำเร็จบริบูรณ์ 
     “ธรรมนิยาม 5”ก็คือ อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม นั่นเอง 
    แต่ยัง “อาศัยอัตตา”ที่เป็น “ขันธ์ 5”นั้นอยู่ ตราบที่ยังไม่ทำ “ปรินิพพาน”เป็น “ปริโยสาน”ขั้นสุดท้ายปลายจบไม่เหลืออัตตาใดอีก ตามพระพุทธเจ้าตรัสใน “มูลสูตร 10”พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58
       
(80) อัตตาหรือเวทนา “ดับ”แล้ว อัตตา-เวทนาก็ยังอยู่..!
    สุดท้ายจึงเหลือแต่ “อัตตา”ที่เป็น “อธิจิต”ที่ไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม เพราะได้ชำระจิตได้ผ่องแผ้วแล้ว(สัพพปาปัสส อกรณัง-กุสลัสสูปสัมปทา-สจิตตปริโยทปนัง)
    นั่นคือ ได้ “ดับอัตตา 3”ในจิตใจของตน ที่เป็น “อกุศลจิต”ไปสิ้นเกลี้ยงแล้วบริบูรณ์ จบกิจใน “ธรรมนิยาม 5”สัมบูรณ์
    และยังเป็นผู้มี “อัตตา”ที่อาศัยอยู่เป็นธรรมดา เมื่อได้ “ดับเวทนาในเวทนา”สำเร็จจริงแล้ว เพราะ “อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา”(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 63)   
    ผู้ทำความเกิด(ชาติ) และพร้อมทั้งทำความตาย( “อรณะ”จึงชื่อว่าตายอย่างนิพพาน)ได้จริง จนกระทั่งมี “การเกิดใหม่”สัมบูรณ์เป็นผู้มี “อภินิพพัตติ”(การเกิดของภาวะนิพพานในจิตใจ)แท้ ฉะนี้คือ ผู้เห็น “ความตาย-ความเกิด”หรือเห็น “ความเกิด-ความดับ”จริงๆ ด้วยสภาวะจริง และรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย “ปัญญา”ของตนอย่างแท้จริง
    มิใช่การเห็นความเกิด-ความตายแบบตรรกะ หรือแบบเดาๆด้วยการประมาณเอา หรือด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้งยิ่งๆ เท่านั้น 
    แต่เป็นผู้ “สัมผัสความจริง”ของ “รูปนาม”ที่เป็น “อุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยาม”ทั้ง “ธรรมนิยาม 5”จริงๆ
    เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ความตาย-ความเกิด”ของ “พลังงาน”ในจิตนิยาม และได้ทำ “ความตาย-ความเกิด”ในความเป็น “สัตว์”(โอปปาติกะ)ใน “จิต”ตนเองอย่างเป็นผลจริงที่เห็นด้วยปัญญาตน
    ในไตรลักษณ์นั้น มีเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คนไหนๆก็คะเนได้ แต่ปรมัตถ์คือ ชี้ที่ตัวกิเลสมันเกิดขึ้น เราก็ทำให้มันดับไป จนไม่เกิดอีก จนมันหมดตัวตนไปเลย เป็นปัจจัตลักษณ์ ผู้มีจริงเป็นจริงจะชัดเจน ไม่ใช่เห็นความเกิดความตายแบบตรรกะหรือเดาเอา ว่าลึกซึ้งซาโตริแล้ว สายเซน พวกนั้น คือคิดจนชัดเจนวนแล้ววนอีกลงตัวก็เลย ซาโตริ มันบรรลุด้วยความคิดไม่ได้เป็นสภาวธรรม 

(81)  “ชาติ”นั้น  ไม่ว่า “ชาติ”อย่างใดๆก็ยังเป็น “ทุกข์”
    ชาติ คือ ความเกิดกลางๆ การเกิดทุกชนิดทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการเกิดของอะไรทั้งนั้น ซึ่ง “การเกิด”นี้พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า  “ชาติ ปิ ทุกขา” แปลว่า การเกิดใดๆล้วนเป็นทุกข์ แม้จะเป็น
การเกิดขั้น “อภินิพพัตติ”ถึงขั้น “นิพพานธาตุ”แล้ว ก็ยังมี “ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้”อยู่เลย แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็เลี่ยงไม่ได้ ตราบที่มี “นิพพาน” แล้ว แต่ยังเหลือ “ขันธ์ 5” ก็ยังมี “ทรถะ”ซึ่งเป็น “ทุกข์”ของพระอรหันต์ อันเป็น “อจินไตย” อย่าไปคิดเอาเอง-คาดเอาเองเลย คิดคาดเอาอย่างไรๆ ก็ไม่ตรงตามสภาวะของ “ความเป็นจริง”นั้นได้
    เช่น สภาวทุกข์(ทุกข์เพราะ เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย) -นิพัทธทุกข์(ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ)  -อาหารปริเยฏฐิทุกข์(ทุกข์เพราะการทำงาน,แสวงหาอาหาร) -พยาธิทุกข์(ทุกข์เพราะอวัยวะเจ้าการทำหน้ที่ไม่ปกติ) -วิปากทุกข์”(ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้ วิบากตามมาทันแล้วเล่นงานเอา) -ทุกขขันธ์(ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยชีวิตอยู่)” ซึ่งแม้จะเป็นอรหันต์แล้วก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ยังมีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้นี้อยู่ 
    อย่างพระพุทธเจ้าหรือพระอัครสาวก เช่นพระโมคคัลลานะ พระพาหิยะทารุจริยะเป็นต้น มีวิบากมากเลย ดูแล้ววิบากของพวกเรานั้นมันไม่เท่าไหร่หรอก อย่าไปท้อเลย 
    ส่วนทุกขอริยสัจที่ทำให้ดับหมดสิ้นได้คือ ปกิณกทุกข์(ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส) -สันตาปทุกข์(ทุกข์คือ ความร้อนเผาใจ อันเนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะแผดเผา) -สหคตทุกข์(ทุกข์ไปด้วยกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) -วิวาทมูลกทุกข์(ทุกข์เพราะมีสงครามวิวาทเป็นรากเหง้า)
    อย่างที่ๆบ้านราชฯเราซื้อมาถูกกฎหมายแต่ก็ถูกรุกราน แม้เรามีอำนาจแต่เราไม่ใช้แบบรุนแรงเรามีแต่จะยอมและก็ทำดีกับเขา เราไม่ได้ไปก่อมูลที่จะวิวาท เรามีแต่หนีหลบเลี่ยงเอา แม้ศาลตัดสินสุดท้าย ก็ไม่รู้จะหยุดหรือไม่ เราก็ไปตามสุจริตธรรม 
     “ทุกข์”ที่ดับ จึง “ดับ”เฉพาะ “ทุกขอาริยสัจ”เท่านั้น อันเป็นทุกข์ทาง “จิตนิยาม”แท้ๆ เป็น “เจตสิกทุกข์” ส่วน “กายิกทุกข์” หรือทุกข์ที่เกิดจาก “สรีระ”ซึ่งยังเป็น “พีชนิยาม”มันก็ยังไม่มี “เวทนา”มันจึงไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์หรอก แม้ “พลังงานที่ตกลงไปถึงความเป็นพีชนิยามในตัวคน” (เช่น คนที่ “จิต”ตกลงไปถึงขั้น “มนุษย์พืช”เป็นต้น หรือถูกฉีดยา ถูกวางยาสลบ แม้จะยังไม่ตายก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนา) 
    แม้ “ทุกขอาริยสัจ”จะดับไปได้หมดสิ้นแล้วในผู้นั้น แต่ความเป็นคนยังอยู่ มันก็ยังเหลือ “ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้”อันเกิดอยู่ 6 ประเภทเป็นต้นนั้นไง ที่มันก็ยังมี “ชาติ”คือ “การเกิด”อยู่ ยังไม่สูญหมดเกลี้ยง
    
(82)  “ความไม่รู้สึก”นัยสำคัญต่างกันของโลกีย์-โลกุตระ
    ดังนั้น ในองคาพยพคือ “อาการ 32” ส่วนที่ยังเป็น “พีชนิยาม”
ของคนก็ตาม ก็ไม่มี “ความรู้สึก” ไม่มี “เวทนา” ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ชอบไม่ชัง อันนี้เฉพาะคนที่ “ความรับรู้ไม่มี” หรือถูกสะกดประสาทไว้เท่านั้น ถ้าสภาพอย่างนี้ ก็แค่ชื่อว่า  “เจโตสมถะ” ยังไม่ใช่ “เจโต
วิมุติ” ถ้าเรียกในนามของสมาธิก็แค่สมาธิชั่วคราว(มิจฉาสมาธิ)ที่สะกดจิตให้สงบได้ อาจจะอยู่ได้นานไปทั้งชีวิต แต่ยังไม่ใช่ “สัมมาสมาธิ”ที่กำจัด “ตัวกิเลส”ออกไป “ถูกตัวตน”จริง แล้ว “สงบเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป...”(นิจจัง,ธุวัง,สัสสตัง...อวิปริณามธัมมัง,อสังหิรัง,อสังกุปปัง)   
    ส่วน “อรหันต์”หรือ “อาริยบุคคล”ที่มีโลกุตรภูมินั้น มีการรับรู้อยู่เหมือนคนสามัญ มีความรู้สึกในสภาพนั้นๆ เป็น “ความรู้”เช่นเดียวกันกับคนที่มีประสาทรับรู้สามัญทั้งหลายเขารู้สึกหรือเขารู้กันทุกคน แต่ท่านไม่มี “เคหสิตเวทนา”ที่เป็นอารมณ์โลกีย์นั้นแล้วเท่านั้น ท่านจึง “รู้สึกกลางๆ-เฉยๆ”ที่ไม่เป็น “ความรู้สึกชอบหรือชัง” หรือไม่ใช่อารมณ์ตามที่ชาวโลกีย์เป็นกัน จึงเป็นผู้ “ไม่มีอารมณ์”เฉพาะแค่ “ความรู้สึกที่เป็นรสโลกีย์”เท่านั้น  สายนั่งหลับตานั้นไม่มีอรหันต์หรอก ไปบอกกันว่าใช่ แต่แท้จริงไม่ใช่ ไปเคารพส่ิงที่ผิดก็เพี้ยนไปสิ ในสายอ.มั่น อาตมายกให้เจ้าคุณเทพ สูงสุดแต่ไม่บอกระดับไหน ส่วนใหญ่พระสายนั่งหลับตาไม่ใช่อาริยะเลย บรรลุธรรมไม่มีในการนั่งหลับตา
    การบรรลุธรรม มีในการฟังธรรม ทบทวนธรรม ตรึกธรรม แสดงธรรม เป็นต้น ผู้ที่บรรลุแล้วเป็นเจโตวิมุติ แล้วมาเตวิชโช เหมือนพระพุทธเจ้าท่านนั่งทบทวนสัญญาเท่านั้น 
    ส่วนท่านพระอัครสาวกนั้น ท่านเป็นโพธิสัตว์แล้วทั้งนั้น มาช่วยพระพุทธเจ้าทำงานสร้างศาสนา ท่านก็ไม่ต้องเทศน์มากเหมือนอาตมา
    ซึ่งเป็น “ความไม่รู้สึก”(ไม่มีเวทนา)ของผู้มี “โลกุตระ”แท้ๆนี้ จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก ที่ละเอียดลึกใน “ความไม่รู้สึก”(ไม่มีเวทนา)เฉพาะส่วนที่เป็น “โลกียรส”เท่านั้น อันเป็น “ความรู้สึก”พิเศษเฉพาะผู้มี “เนกขัมมสิตเวทนา” แต่ยังร่วมมี “ความรู้สึก”ตามความมีของธรรมชาตินั้นๆอยู่เหมือนคนผู้อื่นเขา “มี”ความรับรู้ได้เป็นสามัญ
    เช่นกระท้อนนี้หวาน ไม่ว่า ไทย จีน แขก ฝรั่ง ได้กินก็ได้รับรสอันเดียวกันหมด แต่รสที่ชอบหรือไม่ชอบ อร่อยหรือไม่อร่อย มันเกิดแล้วอันนั้นไม่ใช่ของจริง เป็นความรู้สึกจากกิเลส ที่เราต้องล้าง ถ้ามันชอบคุณก็สุข ไม่ชอบคุณก็ทุกข์ ส่วนเวทนาที่เหมือนกันหมด ตา หู จมูก ลิ้น กายกระทบเหมือนกันหมด แต่ที่ไม่เหมือนคือของพิเศษ ท่านเรียกว่า เป็นผู้มีทิพย์ คือผู้มีความรู้ชัดๆว่า ตัวนี้คือตัวไม่ใช่ธรรมแท้ แต่เป็นธรรมที่เกิด ชาติ แล้ว เราต้องทำให้ไม่มีการเกิด ไม่มีชาติ ให้เหลือแต่ธรรมแท้ๆ เพราะการเกิดเป็นทุกข์ 
    อารมณ์ที่อุปาทานทำให้เราสุข ทุกข์ ผลักดูด นั่นแหละ อาการที่มีตาทิพย์หูทิพย์ โสตทิพย์ นั้น ก็มีรสทิพย์รสสามัญ สองเสียง เสียงหนึ่งคือเสียงแท้ อีกอันหนึ่งไม่ใช่ อันนั้นแหละที่เราต้องจัดการให้ไม่มี นี่คือผู้มีโสตทิพย์ 
    ทำความเข้าใจกันดีๆ ใน “ความไม่รู้สึก”ที่ชาว “โลกียะ”ผู้ทำได้แค่ “เจโตสมถะ” อันมีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกล้ำมาก กับความเป็น “เจโตวิมุติ”ของชาว “โลกุตระ”ที่สามารถทำได้
    ทั้งคู่ต่างก็มี “ความไม่รู้สึก” แต่ “ความไม่รู้สึก”ของทั้งคู่นี้ ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมากพิเศษ
    ชาวโลกียะ “ไม่รู้สึก”เพราะประสาทถูกสะกดไว้ หรือสะกด “จิต”ไว้เท่านั้น ส่วนชาวโลกุตระ “ไม่รู้สึก”เพราะกำจัด “กิเลส”ที่เป็น “อกุศลจิต”(บาป)ตัวนั้นออกไปจาก “จิต”ได้อย่างแท้จริง ชาวโลกุตระจึงหมดสิ้น “อกุศลจิต”ไปแท้ๆ แต่ใน “เวทนา”หรือ “ความรู้สึกนั้นรู้ตามที่คนทั่วไปยังมี “ความรับรู้”อยู่ทุกประการ 
จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:24:37 )

580830

รายละเอียด

580830_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก ต้องแก้วิปลาสพุทธศาสนาในไทย

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้ พ่อครูจะมาสาธยาย ถึงธรรมที่เป็นปริยัติศึกษา ปฏิบัติศึกษา จนถึงปฏิเวธศึกษา

พ่อครูว่า...คำว่าเชื่อถือนี้ก็เชื่อถือนะ ศาสนาพุทธ ใครแตะไม่ได้ เลื่อมใสสูงส่งเลยนะ
2.เชื่อฟัง ที่ว่าปริยัติคือฟังเข้าใจไป คำว่าปริยัตินี้ดีกว่า พุทธศาสนิกทั่วไปที่เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่เคยเรียนปริยัติเลย ไปขอหวยสะเดาะเคราะห์กับพระไปเรื่อย จนศาสนาพุทธเละเทะ

เครื่องชี้บ่งถึงความเสื่อมหรือความเจริญของพุทธศาสนา 
เชื่อแต่ไม่ปฏิบัติ ได้แต่รู้ๆๆ จนเป็นเปรียญ 9 เป็นดร. เป็นศจ.เกียรติคุณกันเยอะเลย เก่งแต่แค่ปริยัติ แต่ปฏิบัติไม่เก่งหรือไม่สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติน้อยๆยังเกิดผลเลย

แล้วที่ว่าเชื่อฟัง คนเราเชื่อฟังแล้วก็จะทำตามคือปฏิบัติ 

นิยายเรื่องนี้เกิดตั้งแต่ เทวธัมมา คือธรรมะสอง มีการกระทบสัมผัส มีปฏิฆสัมผัสโส จึงเกิดเรื่องราว ไม่เช่นนั้นหากอยู่ด้วยกันแต่ไม่กระทบกัน ก็ไม่เกิดเรื่องอะไรเลย แต่ถ้ามีปฏิฆสัมผัสโส แต่ถ้าแค่ อธิวจนสัมผัส มันแค่สัมผัสเกิด มีอะไรพอเรียกชื่อได้เท่านั้น เช่นนี่ คนไทยเรียกว่า ขวด คือคนไทย

รูปกาย นามกาย ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

ไทยโพสต์ ฉบับวันอาทิตย์(ต่างจังหวัด)หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พุธที่ 26 สิงหาคม 2558 
อัตถ์ อัตนัยคุยแล้วได้บุญ (ฮา)
เรียน คุณอัตถ์ ที่นับถือครับ

วันนี้ผมไม่อยากคุยเรื่องเศรษฐกิจครับ เพราะท่านรองนายกฯ ดร.สมคิดพร้อมคณะมาแล้ว ต้องให้เวลาท่านวางแผน ลงมือทำงานแล้วค่อยว่ากันอีกที แต่คิดว่าคงไม่นาน (ฮา)

ดังนั้นมาคุยเรื่องพระกันสักวัน เผื่อจะได้บุญกุศลกันบ้าง ฮ่าๆๆๆๆๆ จากตัวเลขสถิติในปี 2557 ในประเทศไทยเรามีวัดอยู่ทั้งสิ้น 39,276 วัด เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1,503 วัด ว่ากันว่าส่วนใหญ่ เป็นสำนักสงฆ์สายวัดป่าที่เข้ามาจดทะเบียนให้ถูกต้อง สำหรับจำ นวนพระกับสามเณรมีทั้งสิ้น 349,659 รูป ลดลงไป 5,636 รูป

ผมมาพิจารณาดูสัดส่วนของจำนวนพระภิกษุสามเณรกับอัตราประชากรไทย ที่มีประมาณ 63 ล้านคนในปัจจุบัน คุณอัตถ์ครับ เรามีพระกับสามเณรเพียงแค่ 0.56% ของจำนวนพลเมืองทั้งประเทศ แถมด้วยจำนวนเฉลี่ยของพระเณรแค่ 9 รูปต่อวัด น้อยมากนะครับ นอกจากนี้เห็นว่าจำนวนวัดร้างในภาคอีสานก็ยังคงมีอยู่บ้างพอสมควร

ผมเคยสนทนาธรรมกับท่านมหาเปรียญ 6 ประโยคท่านหนึ่ง ท่านบอกน่าเป็นห่วงสถานการณ์ในอนาคตของพุทธศาสนาบ้านเรา โดยเฉพาะในด้านบุคลากร เพราะในขณะนี้ทั้งพระเณรรุ่นหนุ่มๆ ที่จะมาทดแทนพระผู้ใหญ่ในอนาคต นอกจากไม่ค่อยอยากจะบำเพ็ญความเพียรเหมือนพระเณรในอดีตแล้ว ยังไม่ค่อยมีจิตมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการสานต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนามากนัก แถมยังมีการ กลายพันธุ์เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอีกเพียบ

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่วางเป้าหมายในการออกไปใช้ชีวิตในทางโลก มากกว่า มิเว้นแม้แต่ท่านผู้ศึกษาธรรมจนถึงเปรียญ 9 ซึ่งในปัจจุ บันหลายต่อหลายท่านต่างมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท เอก ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทั้งในและนอกประเทศเพื่อสร้างวิทยฐานะทางการศึกษา รวมทั้งเพื่อเตรียมการไปใช้ชีวิตในทางโลกต่อไปในอนาคต

ในอดีตที่ผ่านมานั้น ด้วยความยากจนเด็กหนุ่มๆ ในยุคกึ่งพุทธกาลในภาคอีสานของเรา ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาทางโลก ในเบื้องต้นได้ จึงต้องเข้ามาพึ่งพิงวัดด้วยการบวชเรียนตั้งแต่สาม เณรเพื่อศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมควบคู่กันไป รวมทั้งมีส่วนหนึ่งที่มาศึกษาต่อในกรุงเทพฯ ทั้งในระดับมัธยม วิทยาลัย จนถึงระดับอุดมศึกษา เท่าที่ผมจำได้ในยุคนั้นสถานศึกษายอดนิยมของพระเณรเหล่านี้คือวิทยาลัยครูต่างๆ ครับ โดยเฉพาะในระดับ ปกศ.ที่เรียกกันในอดีตว่า ปกศ.เตี้ยกับ ปกศ.สูง (ฮา) ซึ่งบางท่านก็ไม่ได้ลาสิกขา บวชต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ยุคนี้สมัยนี้พฤติกรรมของพระเณรรุ่นใหม่เปลี่ยนไป การศึกษาพื้นฐานส่วนใหญ่ก็เข้าถึง แถมยังมีเงินกู้ กองทุนให้หยิบยืมเพื่อการศึกษา เด็กหนุ่มในชนบทจึงไม่มีความจำเป็นต้องมาพึ่งพิงพุทธศาสนาในการศึกษาเหมือนสมัยก่อน

นอกจากหลวงพี่มหาท่านจะกังวลในเรื่องบุคลากรที่ว่ามาแล้ว ท่านยังเป็นห่วงในเรื่องที่พระสงฆ์บางส่วนในกรุงเทพฯ มุ่งมั่นในการทำมาหากินกับรายได้จากการบริจาคของพุทธศาสนิกชนที่ดูเหมือนจะมีมากเป็นกอบเป็นกำมากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร บริจาคทำบุญที่วัดโดยเฉพาะในวันพระ กิจนิมนต์ทั้งฉันเช้า ฉันเพล รวมไปถึงงานสวดศพในยามค่ำคืน ท่านว่ามีรายได้ดีกว่าเงินเดือนข้าราชการเสียอีกด้วยครับ ยิ่งอาหารการกินด้วยแล้วเลือกฉันได้ตามอัธยาศัยเพราะมีให้เลือกมากมาย ส่วนข้าวถุงแกงถุงที่นิยมจัดกันเป็นชุดตามตลาดสด หน้าวัด ท่านๆ เหล่านี้ไม่ฉันหรอกครับ แถมบางแห่งยังมีการเอาออกมาหมุนเวียนขายกันหลายรอบหน้าวัดหน้าตลาดอีกด้วย รวมทั้งเครื่องสังฆทานต่างๆ ทั้งราคาถูกและแพง ที่ว่ากันจริงๆ พระเณรใช้ไม่ค่อยได้หรอกครับเพราะไม่มีคุณภาพเลย

สรุปอย่างง่ายๆ คือ จำนวนวัดมีมากขึ้น แต่พระเณรมีจำนวนลดลง ในอนาคตยิ่งจะลดลงไปอีกเพราะพระประสบความสำเร็จทางการศึกษา มีฐานะมั่งคั่งจากการบริจาค จะสามารถไปต่อยอดในการดำรงชีวิตในแบบฆราวาสได้สะดวกขึ้น

ปัญหาก็คือใครจะมาช่วยดูแลกิจการสงฆ์ ใครจะมาช่วยเผย แผ่พระศาสนา ใครจะมาทำนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ฯลฯ ในอนาคตครับ คุณอัตถ์ครับ เอ...หรือว่าเราไปบวชตอนแก่กันดีครับ ฮ่าๆๆ.
ขอแสดงความนับถือ
ซันนี่

สงสัยเพราะอัตราการเกิดคนไทยลดลง ทำให้ทุกวงการมีคนใหม่ๆ ลดลงไปโดยอัตโนมัติหรือเปล่า? วงการสื่อก็ลดลงเช่นกันครับ สมัยนี้หาเด็กจบใหม่มาทำงานหนังสือพิมพ์ยากเต็มทน หน้าตาดีหน่อยไปเป็นดาราหน้าจอกันหมด แต่ไปว่าเขาไม่ได้หรอกครับ เพราะมันเป็นเส้นทางเดินของคน

ขอนอกเรื่องหน่อยครับ แต่ไม่ถึงกับออกทะเล วันก่อนผมได้รับหนังสือมากะตั้กใหญ่ ส่งมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นรายงานสรุปของคณะกรรมการด้านต่างๆ ที่สภาปฏิรูปตั้งขึ้นมาเพื่อไปศึกษาหาแนวทางการปฏิรูป มีอยู่ชุดหนึ่งน่าสนใจนั่นคือ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์ กิจการพระพุทธศาสนา สรุปรายงานทั้งสิ้น...........9 หน้า นั่นแสดงให้เห็นว่าปัญหาการปกป้องพิทักษ์ กิจการพระพุทธศาสนามีน้อยมากใช่หรือไม่ แค่ธรรมกายเรื่องเดียวผมว่าต้องสรุปปัญหากันเป็นตั้งๆ แล้ว นี่มีแค่ 9 แผ่น สรุปสภาพปัญหาแบบคลุมๆ เหมือนพูดกันแบบผ่านๆ ก็ขอเถอะครับ หากจะปฏิรูปเรื่องนี้กันจริงๆ ต้องลงให้ถึงรากของปัญหา ไม่ใช่ฉาบฉวยกันแบบนี้.
ไม่มีอำนาจจับกุม?
เรียน คุณอัตถ์ อัตนัย ที่นับถือ

พ่อครูว่า...ก็ขอวิจัยต่อจากคุณอัตถ์เลย...ว่า ต้องลงให้ถึงรากของพุทธศาสนา นั้นถูกแล้วแต่ว่า คนทุกวันนี้ไม่มีแล้วรากของศาสนา มีแต่รากแตกรากแตน ขอยืนยันว่าไม่เหลือแล้วรากของศาสนา ขอแปลความว่า แม้แต่เทวนิยมก็มีรากของเขา แต่ศาสนาเทวนิยมนั้นรากยาวลึก แข็ง นานและนิรันดร คือรากของศาสนาที่ยึดถือนามธรรม อรูป แล้วเชื่อว่ามีพลังงานที่บันดาลให้เป็นไป เรียกว่าพระเจ้า คือองค์สุดยอดเทวะนี่แหละ ไม่เห็นแต่ว่ามีผลต่อมนุษย์ ที่มนุษย์ต้องเชื่อถือว่ามี คนก็นับถือมากกว่าพุทธ แม้ยุคพระพุทธเจ้าก็ยังมากกว่า 

คนที่จะมีธรรมะอเทวนิยมของพระพุทธเจ้ายุคนี้มีน้อย ไม่ใช่แสนน้อย แต่เป็นล้านน้อยเลย เพราะมันใกล้ปลายกลียุคแล้ว คนก็จึงอยู่ในพลังงานของจิตวิญญาณส่วนใหญ่ครอบงำไว้ เหมือนสนามแม่เหล็ก ที่มีพลังงาน พอเหล็กอ่อนแท่งใดตกลงมาก็ถูกดึงดูดเข้าไปสู่สนามแม่เหล็กเลย ต้องเป็นเหล็กอ่อนที่มีพลังต้านสนามแม่เหล็กโลกได้ พระพุทธเจ้าว่า ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้ อย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป พอมาถึงตรงนี้แล้ว ศาสนาพุทธศาสนาเดียวในมหาจักรวาล ถึงมีบุคคล 4 ในมหาจักรวาลนี้ ศาสนาอื่นไม่มีโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ไม่มีบุคคล 8 ไม่มีนิพพาน เป็นโลกุตระ 9 ศาสนาอื่นไม่มี

ถ้าผู้นั้นเรียนรู้ตั้งแต่กาย ที่เป็นตัวแรกของโพธิปักขิยธรรม 37 ชาวพุทธไม่รู้กาย กายคือธรรมะสอง(เทวธัมมา) ศาสนาพุทธสอนรายละเอียดของพลังงานจิตนิยาม ที่ละเอียดกว่า พีชนิยาม อุตุนิยาม

ส่วนจิตนิยามก็แบ่งเป็นพวกที่สอนโลกุตรธรรมไม่ได้ เรียกว่า อเวไนยสัตว์ เช่นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น หรือคนที่หลงโลกีย์มากจนสอนโลกุตระไม่ได้ก็มี สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้ มันเป็นสัจจะของมัน ความยากของธรรมะก็มีอยู่ แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนได้กับคนที่เป็นเวไนยสัตว์เท่านั้น จึงต้องมาพยายามสอน เอามาประกาศให้คนได้รับรู้รับฟัง คนไหนแสวงหาพากเพียรจะได้ ยุคนี้เป็นเรื่องยาก ต้องอนุโลมหยาบเยอะ ถ้าให้พระพุทธเจ้าเกิดยุคนี้ก็ไม่ได้ 

สมัยแรกที่อาตมาบวช ก็มีสารูปที่เรียบร้อย สำรวม งดงาม แต่ทุกวันนี้ อาตมานั้นต้องอนุโลมไปมากเลย อย่างคนปัจจุบัน ปรุงแต่งไปมาก คนก็หลงกับเรื่องเหล่านี้มาก จะปรุงไปไม่รู้จบ สรุปแล้วในคนที่จะศึกษาศาสนาพุทธ ขอย้ำแล้วย้ำอีกว่า ศาสนาพุทธตรัสรู้โลกุตรธรรม ต่างกันตรงรากของจิตต้องเห็นจริง ว่า มาจนดีกว่ามารวย แล้วไม่ใช่ฟังแค่ปริยัติ แต่เอาไปปฏิบัติ จนกว่าจะได้ แทงทะลุดรอบเป็นปฏิเวธไม่ใช่ง่าย

อาตมาก็ต้องประกาศตนมา เป็นโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ แล้ว ก็ขอลุยต่อเลย ซึ่ง ทุกวันนี้เขาปรุงแต่งเป็นเทวดาขิฑฑาปโทสิกะ ที่บัญญัติสมมุติโลกว่าเลิศ ที่จะพูดต่อไปนี้ก็ต้องขออภัยท่านที่ทนฟังไม่ไหว แต่ถ้าท่านรู้เจตนาว่าอาตมาไม่มีเจตนาร้ายหรือสาเฐยจิตเลย ก็ขอพูดสำหรับผู้สำนึกตนเอง แต่ดีไม่ดีอาตมาต้องกล่าวชื่อ เพราะไม่อ้อมยาวเสียเวลา มีตัวอย่างให้เห็นชัด

อาตมามาทำสิ่งที่ถูกต้อง อาตมาเห็นแล้วว่าเถรสมาคมนั้นแก้ไม่ไหวแล้ว อาตมาไปบวช บวชแล้วก็เห็นว่าเขาไม่ไหว ทำงานไม่ได้เลย ถูกอำนาจเถรสมาคม กดข่มบังคับ ปิดทาง อาตมาก็เห็นว่าก็ทำงานไม่ได้ก็ต้องประกาศแยกตัว นานาสังวาส ขอทำงานส่วนเราเอง ก็เป็นพุทธด้วยกัน แต่วันร้ายคืนร้ายเขาก็ดึงอาตมาเข้าไปอีกแล้วฟ้องร้อง เขาทำผิดพระธรรมวินัยเลย เพราะเขาก็ยอมรับพวกอโศกว่าไม่ใช่อยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคม มีหลักฐาน ว่า เราจะขึ้นรถไฟ เขาก็ไม่ให้ขึ้นฟรีเขาว่าเราไม่ใช่พระ ทางการรถไฟก็ส่งหนังสือไปที่มหาเถรสมาคม เขาก็มีหนังสือตอบผอ.การรถไฟ ว่า อโศกไม่ได้อยู่ในการปกครองของมหาเถรสมาคมแล้ว แต่เขาก็มาประชุมกันทั้งธรรมยุติและมหานิกาย บอกว่าอาตมาผิด ข้อหาไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นต้น เป็นข้อหาเล็กน้อย ไม่เคยเรียกเราไปพิจารณาต่อหน้าเลย เป็นการพิจารณาลับหลับ ผิดสัมมุขาวินัย เร่ิมต้นรวมกลุ่มกันเพื่อทำสังฆกรรมพิจารณาอธิกรณ์โพธิรักษ์ก็ผิดแล้ว 

แต่ท่านปฏิบัติกับธรรมกาย นั้น ต่างกับปฏิบัติกับโพธิรักษ์อย่างยิ่งเลย เขาไม่รู้จักธรรมกายด้วยซ้ำ พระพุทธเจ้าว่าเราคือพรหมกายหรือธรรมกาย แต่กายยังไม่รู้จะไปเป็นธรรมกายได้อย่างไร ให้เห็นว่า เถรสามาคม อุ้มสมี แล้วไปจัดการกับผู้มีอุตริมนุสธรรมจริง ที่พูดนี้อาตมามีหลักฐานว่ามีผู้มาลดละได้ อย่างอาตมาพูดถึงมหานิทานสูตร เป็นต้น ยืนยันได้

ศาสนาพุทธทุกวันนี้วิปลาสไปหมดแล้ว ตั้งแต่เป็นลัทธิ เรียกว่าทิฏฐิวิปลาส มีลัทธิต่างๆในศาสนาพุทธเมืองไทยไม่รู้กี่ลัทธิ เช่นพระป่า พระบ้าน พระบ้านก็ขึ้นกับธัมมชโย ส่วนพระบ้านก็ขึ้นกับอ.มั่น ก็เข้าป่าทั้งคู่

พระป่าก็ปฏิบัตินอกรีตกันไป หนักเข้าก็เล่นเดรัจฉานวิชชา ลึกลับ magical ไป ไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่ส่ิงสัมผัสได้แบบพุทธ

ทางฝ่ายพระบ้านก็ขึ้นกับธัมมชโย มหาเถรสมาคมก็เป็นเบ๊ ธัมมชโย สายฉลาดเอาวัตถุเป็นวัตถุนิยม ไปใหญ่กับลาภ ยศ สรรเสริญ เสพกามเป็นนิพพาน อย่างเก่งก็เสพฌาน 4 เป็นนิพพานอยู่ในปัจจุบัน ก็จมอยู่ในอดีต อนาคต แล้วหลงงมงายในปัจจุบัน สายพระป่าก็จมในฌาน 4 สายบ้านก็จมในกามเป็นสุขทางทิฏฐธรรมคือธรรมะปัจจุบัน บำเรอกาม อัตตา ไป 

มิจฉาทิฏฐิกันทั้งสองฝั่งในศาสนาพุทธทุกวันนี้ จึงเต็มไปด้วยเรื่อง magical ทางสายป่า เป็นมโนปโทสิกะ คือบำเรอใจตนอัตตาตน แล้วอีกแบบก็เต็มไปด้วยวัตถุธรรมโลกธรรม เฟื่องฟูหรูหรา อิ่มเอมเปรมปรี เป็น ขิฑฑาปโทสิกะ คือบำเรอสุขชอบใจทางกาม ทางอัตตา ทั้งที่พระพุทธเจ้าว่านิพพานสิ้นทุกข์สุข เป็นอุเบกขา เนกขัมสิตะ

ยังเป็นที่หวังได้ว่า พุทธศาสนิกชนกว่า 95% จะมาร่วมกันสืบสานศาสนาพุทธให้ยืนยาวจนถึงห้าพันปีได้ไหม อาตมาก็จะต่ออายุตนเอง เพื่อจะทำงานอันนี้ แล้วยุคนี้ก็มีนายกฯที่มีคาแรคเตอร์แรง แต่ว่า นายกฯคนอื่นนั้นไม่กล้าแรงอย่างนายกฯประยุทธ เพราะจิตไม่แกล้วกล้าอาจหาญเหมือนนายกฯประยุทธ 

ทุกวันนี้ พระไปทำบ้านให้ศิริมงคลคือไปสวด พรมน้ำมนต์ แล้วรับซองกลับวัด ผิดศีลของพุทธทุกประการ แม้แต่การสวดบทมนต์ตั้งแต่สองรูปไปต่อหน้าฆราวาสก็ผิดปาจิตตีย์ คือการสวดบทมนต์ เกือบทุกศาสนาก็มีกันหมด มีแต่ศาสนาอิสลามก็แยกไปสวดเดี่ยว นอกนั้นสวดเป็นหมู่ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติให้พระภิกษุไม่เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้าไปสวดพร้อมกันสองรูปต่อหน้าโยม แต่ถ้าเป็นบทประณามคาถาก็ให้สวดได้ ไม่ใช่คำสอน ธรรมบทโดยตรง เช่นมงคลสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร หรือสูตรใดๆ สวดพร้อมกันสองรูปต่อหน้าฆราวาสก็ผิดวินัย เพราะจะกลายเป็นเรื่องmagical ว่าได้พลังพิเศษอะไรบานปลาย แต่พระพุทธเจ้าให้สวดพร้อมกันได้ในพระสูตร ในกรณีสวดเพื่อท่องจำในหมู่ อย่าไปสวดกับชาวบ้าน แต่ถ้าเอาไปสวดเดี่่ยว หรือสาธยายธรรมได้ แต่ต้องคนเดียวนะ อิสลามจึงมีเชื้อนี้อยู่ เขาไม่เอารูปเคารพเป็นต้น มีนัยซับซ้อน จึงแข็งแรง

แล้วที่บอกว่า ภิกษุสามเณรน้อยไปนั้นอาตมาว่ามากไป มีมากแล้วทำลายศาสนา ภิกษุต้องคัดเลือก ไม่สมควรไม่ให้บวช ต้องซักแล้วซักอีก อย่างน้อยพวกเราต้องมาศึกษาอย่างน้อยสองปีขึ้นไป ส่วนมากสองปีไม่ได้หรอกต้องเข้าสู่หมู่ให้หมู่ซักฟอกก่อน 

แต่ทุกวันนี้ภิกษุในศาสนามีแต่เดรัจฉานวิชชา มีแต่เดรัจฉานกถาไปหมด ละเมิดหมด จนกระทั่งอาตมาพูดว่าเดี๋ยวนี้พุทธไม่มีศีล มีแต่วินัย 227 เขาไม่พูดเรื่อง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่พูดเพราะถ้าพูดจะเข้าตัว ก็วัดไหนไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟ ไม่มีรดน้ำมนต์เลยมีไหม สมาธิก็เอาแต่หลับตา แต่ไม่ใช่สัมมาสมาธิที่พระพุทธเจ้าให้มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วจัดการกิเลสทีเกิด

ไม่รู้จักศีลอันเป็นอาริยะที่ต้องเร่ิมรู้จักกาย คำว่ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็ไม่ต้องพูดถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าไม่ถึงหรอก ต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี้ก็งงกันสิ หรืออย่างบอกว่า ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต ถ้าอวิชชาตายไปแล้วก็มีกาย เขาก็งงสิ 

ขณะนี้จิตมันวิปลาส เห็นผิดเป็นถูกต้องทิฏฐิวิปลาสเป็นประธานก็ให้สัญญาวิปลาส ทำงานผิดไป ทั้งสามตัวทำงานผิดพลาด จะพูดธรรมะอย่างไรก็พูดเอาโก้ ไม่ได้เป็นจริงเลยก็ยังเห็นว่า สิ่งไม่น่าพึงใจเป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีน่าเป็น เห็นสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน คนหลงทุกข์เป็นสุข 

ถ้าไม่ยอมรับว่าเข้าใจผิดไปก็ยาก ได้แต่ตรรกะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน แต่คุณอ่านทุกข์ได้จริงไหม เช่นความร้อนกับความเย็น ความเย็นคือความร้อนที่น้อยลงๆ เป็นต้น

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ให้อำนาจใครเป็นหนึ่ง อย่างสมเด็จพระสังฆราชสั่งสึกอาตมานี้ แม้มหาเถรสมาคมเอาไปให้ท่านเซ็นท่านก็ยังต่อว่าเลยว่า พิจารณาดีหรือยังว่าท่านผิด ซึ่งพระพุทธเจ้าว่าให้หมู่สงฆ์เป็นคณะพิจารณาไม่ใช่ให้คนเดียวมีอำนาจ  ท่านก็โมฆะตั้งแต่รื้อคดีที่จบแล้วก็ผิด เอาสงฆ์สองนิกายมารวมกันทำสังฆกรรมก็ผิด อาตมาก็แพ้ ก็แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคงอยู่ อาตมาก็แพ้กฎหมายเท่านั้น ไม่ได้ผิดธรรมวินัย กฎหมายนั้นย้อนแย้งธรรมวินัยพระพุทธเจ้าไม่ได้ 

ตอนนี้เขาพยายามให้มีการตรวจสอบพระ เช่นออกกฎหมายให้ตรวจสอบพระ อย่างพระห้ามมีเงินไว้ส่วนตัว ก็ต้องให้ตรวจสอบ แล้วพระไม่ให้มีเงินก็ให้ไวยาวัจกรถือเงิน แล้วก็ต้องมาดูอีกว่า ไวยาวัจกรคือใคร อย่างศุภชัยเป็นได้ไหม เขาก็ไม่ให้ปฏิรูป อาตมาก็ส่งเสริมผู้ตั้งใจบูรณะส่ิงที่พังทลายไปมากแล้วนี้ 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ยังเป็นที่หวังได้นะ เมืองไทยมีชาวพุทธกว่า 95% เนื้อแท้พุทธโลกุตระมีอยู่ ก็คณะอาตมานี่แหละพูดอย่างไม่มังกุ ถ้ายังไม่แน่ใจก็มาพิสูจน์ได้ ว่าเป็นเนื้อจริงไหม หากเป็นเนืิ้อจริงก็มาช่วยกันขยาย ไม่เช่นนั้นกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ จะไม่เหลือเลย ตอนนี้ คสช.ก็ทำงานตั้งใจดี พยายามให้ผิดพลาดน้อยที่สุด อาตมาก็ชม แต่คนช่างติก็เยอะ ยุคนี้ปชต.ให้ติได้ แต่อาตมาส่งเสริมสนับสนุน

ก็ขอให้ข้อคิดว่า หันมาหาธรรมะ การศึกษานั้นและ ให้หันมาหาการศึกษาดีแล้ว แต่ถ้าการศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

ขิฑฑาปโทสิกะ  คือวัตถุเป็นโทษ ส่วนมโนปโทสิกะ คือจิตเป็นโทษ 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:25:35 )

580831

รายละเอียด

580831_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก อิทธิบาท 4 โดยพิสดาร 

31/8/2558 18:27:46 อ.กฤษฎาว่า...วันนี้ผมก็มาดำเนินรายการอีกครั้งหนึ่ง วันนี้มีอาทิวเมฆกับคณะก็ไปทำงานเรื่องช่วยประชาชน เกี่ยวกับการทำกสิกรรมการใช้จุลินทรีย์ 

31/8/2558 18:27:58 พ่อครูว่า...ก็เป็นจิตวิญญาณของนักการเมือง คือจิตวิญญาณช่วยคน ทำงานรับใช้ประชาชนทำงานเพื่อประชาชน นี่คือจิตวิญญาณการเมืองเราก็ไปทำ พรรคการเมืองเราก็มี ภาคประชาชนเราก็มี เราไม่ได้ประกาศอะไรที่พูดนี้ไม่ใช่หาเสียงอะไร แต่พูดถึงความจริงคืออะไร ตอนนี้เขาพูดกันไปใหญ่จนเสียการเมืองแล้ว อาตมาก็นิยามว่า การเมืองคือเพื่อประชาชน ทำอย่างไม่เห็นแก่ตัวเลย จะกี่คนก็แล้วแต่ออกมา

31/8/2558 18:28:16 อ.กฤษฎาว่า...ที่มาเลเซียก็มีการประท้วง ใส่เสื้อเหลืองด้วย 
พ่อครูว่ามันแพร่ไปหมดแล้ว ทั่วไป คือเรื่องของการชุมนุมประเทศไทยเกิดมาแล้วตั้งแต่พศ. 2549 ทำเพื่อประชาชน จนมาหลายครั้งมีผลเกิดขึ้น เป็นการชุมนุมประท้วงที่วิวัฒน์พัฒนาการที่สู่การชุมนุมถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยสูงสุด มีผลสูงสุดให้ประเทศไทยมีการปฏิวัติที่สวยงามที่สุด ใครจะหาว่าขี้ตู่อย่างไรก็ตาม

อ.กฤษฎาว่า ประเด็นที่ประชาชนออกมาคือเรื่องคอรัปชั่น 

พ่อครูว่า... ถ้ามีการเห็นแก่ตัวคอรัปชั่นไม่ใช่การเมือง 

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:30:17 ทบทวนนิดหนึ่งตอนนี้จะเข้าสองปีแล้ว ตอนนั้นกองทัพธรรมไปร่วมประท้วง เอาวิถีชีวิตอาริยะไปสู่ประชาชน ให้ความรู้ความเข้าใจ หลายคนมักพูดว่า เป็นกุสโลบายของพ่อท่านที่จะออกมาเพื่อโน่นนี่นั่น เหมือนว่าผมมาถอดรหัสว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่พุทธศาสนิกชนควรทำ โดยไม่ได้คาดหวังจะได้อะไรกลับมา

พ่อครูว่า...31/8/2558 18:32:16 ธรรมะก็เพื่อประชาชน การเมืองก็เพื่อประชาชน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสนิยามของประชาธิปไตยคือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

อ.กฤษฎาว่า..31/8/2558 18:33:30 ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช "พระพุทธศาสนาเปรียบเหมือนเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง" ในอดีตกาลเกิดอะไรขึ้นมา ตัวพระเจ้าอโศกมหาราช ก่อนเจอพระพุทธศาสนา ชีวิตก็วิปลาส แต่อยู่ๆสามารถปรับกระแสตนเองได้ 

พ่อครูว่า... ก็มีสองคำ คือวิปัสสนา กับวิปลาส คำว่า วิปลาสคือผิดเพี้ยนไปจากสัจจะ หยาบ กลาง ละเอียด หมายถึงคนที่มีสิ่งที่ยังไม่เป็นความจริงที่สมบูรณ์บริบูรณ์สูงสุด ผู้ที่พ้นความวิปลาสสูงสุดคืออรหันต์ ผู้ไม่ใช่อรหันต์ก็มีวิปลาสเหลือ ยิ่งปุถุชนทุกคนคือคนวิปลาสทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสชัดในนิยามของวิปลาสคือ วิปลาส 3 คือ สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส นี่คือตัวที่เป็นวิปลาสหลักของสำคัญ พอวิปลาส 3 นี้แล้วก็ไป วิปลาสโดยธรรมะ มีวิปลาส 4 ก็มี 
1.ไปเห็นสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง 2.ไปเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข 3.ไปเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน 4.ไปเห็นสิ่งไม่น่าพึงใจว่าน่าพึงใจ รวมหมดเลย ในวิปลาสทั้งหลายที่ยังไม่เป็นอรหันต์ 


อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:37:04 ผมขับรถมาเห็นป้ายเขาติดว่าให้ไปวิปัสสนากัน 9 วัน มันเป็นการวิปลาสหรือไม่ เพราะจะไม่วิปลาสต้องอยู่กับปัจจุบัน แต่นี่เพี้ยนไปแล้วนะครับที่ว่าต้องไปทำกระบวนการเช่นนี้ 9 วัน ชีวิตมันถึงจะดี มันวิปลาสหนักในภาษาคนที่เราเข้าใจ วิปลาสคือคนเพี้ยน คนบ้า แต่ทุกวันนี้ เอามาใช้ในธรรมะเขาเพี้ยนกันไปใหญ่

พ่อครูว่า...เอาความหมายง่ายๆว่า วิปลาสคือความวิปริตผิดเพี้ยน ส่วนวิปัสสนาคือมีญาณปัญญาเห็นแจ้งเห็นรู้ชัด คนละทางเลยกับวิปลาส ถ้าจะพูดไป เขาวิปัสสนากันทุกวันนี้คือวิปลาส ไม่ใช่วิปัสสนา ความเป็นวิปัสสนาคือความเห็นตั้งแต่ เห็นตัวแรกสุดคือ เห็นกาย วิปัสสนาตัวแรกที่จะเป็นโลกุตระคือเห็นกาย หรือเห็นความเป็นกายของตน เป็นโลกุตระตัวแรกในโพธิปักขิยธรรม 37 เป็นกายในกาย ของสติปัฏฐาน 4 เป็นญาณ เป็นโลกุตระตัวแรกด้วย ผู้เริ่มต้นรู้จักกายของตน กายคือเหตุปัจจัยของรูปและนามประชุมประกอบกันอยู่ ปรุงแต่งกันอยู่ มีรูปกับนาม ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เป็นภาวะธรรมะสองเสมอ ทำงานร่วมกันอยู่ แล้วเกิดตัวที่ สามคือตัวเรียนรู้ มันจะมาเป็นธาตุรู้อีกตัวหนึ่ง เรียกว่า สังขาร

31/8/2558 18:40:58 คนไม่ได้เรียนรู้ธรรมก็มีสังขารเช่นกันแต่เขาไม่รู้ตัว มีกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร เขาก็หลงไปกับวิปลาส
อ.กฤษฎาว่า..ติดในรสชาติ ไปเสพรสของมัน
พ่อครูว่า...ก็คือมันอวิชชาไปหมด 
อ.กฤษฎาว่า...เราไปเสพ มโนมันเสพตัวมโนเอง 
พ่อครูว่า...กายในกาย มันปรุงแต่งตั้งแต่สองอย่าแล้วเกิดตัวที่สามเรียกว่าสังขารก็ได้ เรียกว่าเวทนาก็ชัด เป็นอารมณ์รวม แล้วศึกษาอารมณ์นี้มันมีเหตุในจิต คำว่าเวทนานี่พระพุทธเจ้าให้ศึกษาต้นจนจบเลย ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ คือสภาพสองนี้  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ทำให้เป็นหนึ่งให้ได้

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:43:08 ต้องมีสติรู้เท่าทัน
พ่อครูว่า..มีผัสสะเป็นปัจจัย ทำในปัจจุบัน เป็นทิฏฐธรรม ไม่ใช่ไปนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติ ได้แต่เปลือกไกลมาก แต่ก็ให้มาทำเป็นลำดับ แต่ก่อนแต่งตัวนุ่งสวยงามก็มาแต่งสีขาวก่อน แต่ถ้าไปจมกับสีขาวอีก ยึดมั่นถือมั่นในสีขาวอีกก็ยุ่งก็ให้ลดละมาตามวิธีการ มีหลากหลายแตกต่างนะ แล้วยังมีลีลาแฟชั่น เสื้อดอก เสื้อสีเรียบ อื่นๆอีก ต้องค่อยลดละไป 

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:44:40 พอพูดถึงประเด็นนี้ ถ้าเกิดการใส่ชุดขาวไปทำกระบวนการ แล้วบอกว่าเอาบุญมาฝาก โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ผมว่าเป็นการอวดตัวมากกว่า ว่าผมไปทำโน่นนี่นั่นมา เอาพิธีกรรมมาเป็นตัวหลอก ดูกระแสตรงนี้มาแรง

พ่อครูว่า...ไปพูดถึงกิเลสข้างเคียงมาก็เกิดผล ไปนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรมเราก็ได้ทำดีก็รู้สึกดี ก็บอกว่าเอาบุญมาฝาก บุญคือความดี แต่แท้จริงบุญคือเพี้ยนไปเป็นแค่ความดี ถ้าไม่มีจิตแฝงอย่างที่คุณว่าอยากจะมาอวดว่าตนได้ทำดีมานะ ก็มีนัยยะว่า เราไปทำดีเช่นนี้คุณรู้ไหม ไปทำเช่นนี้บ้าง ไปปฏิบัติธรรมลดละมันก็ดี แต่ถ้ามีนัยแฝงก็ต้องเรียนรู้ว่าอย่าให้มี แต่ถ้าพูดเป็นนัย ว่าเอาบุญมาฝาก ว่าให้คุณควรทำบ้าง อย่างนี้เป็นกุศลที่แท้จริงควรทำ แต่คำว่าเอาบุญมาฝากนี่ ถ้าไปนึกว่า เอาของดีมาฝากมาให้เขาได้เลย เป็นลมๆแล้งๆอะไรอย่างหนึ่งเป็นกุศล พอบอกแล้วเขาก็ได้ อันนี้ผิดถนัดเลย ไม่มีชิ้นอันให้ได้เลย เพราะใครปฏิบัติใครก็ได้ของตน จะเอามาแบ่งกัน แม้แต่กุศลก็ไม่ได้ เอาดีไปให้คนอื่นไม่ได้ 

เช่นเราทำดีอันหนึ่ง คนหกล้มเราก็ช่วยประคอง ดูแลรักษาจนหายดี เราก็ได้ทำดี แล้วเราบอกว่าเอาดีมาฝาก แต่หากเขาไม่ได้ทำดีด้วยกับเราฝากอย่างไรเขาก็ไม่ได้

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:48:54 ถ้าแม่บอกผมว่า ไปทำบุญมาเอาบุญมาฝาก แต่ถ้าผมมีจิตอนุโมทนาไปกับแม่ เราจะได้รับส่วนบุญด้วยไหม?
พ่อครูว่า...คำว่าอนุโมทนาตาม ยินดีด้วยที่เขาทำดี อันนี้เป็นจิตกุศลที่ดี คุณทำดีอันนี้ก็ดีแล้วเห็นดีด้วย ก็ส่งเสริมให้คนทำสิ่งนี้ต่อไป เป็นปัตตานุโมทนามัย

คำว่า ปัตตานุโมทนามัย ก็เป็นเรื่องของตน จิตเราบรรลุผล ลดกิเลสได้ เราก็เห็นว่าเรายินดีโอนุโมทนากับตนเอง เป็นปัตตานุโมทนามัย คือการรู้ว่าเราทำให้เขาสละให้เขา ถึงการทานอันนี้ ไม่ใช่ว่าไปอนุโมทนากับคนอื่นที่เขาทำ อธิบายอย่างโลกีย์คือยินดีด้วยที่คุณไปทำทานมาก็สนับสนุนส่งเสริม เป็นโลกีย์ ส่วนโลกุตระต้องทำการลดละกิเลสด้วย แม้แค่จิตเราดีก็รู้จิตของเราว่าได้ทำดี เป็นโลกีย์ เราก็รู้แต่ยิ่งทำให้กิเลสลดละจางคลายคือผลของบุญ ประสิทธิภาพของบุญ ชำระกิเลสให้หมดจากจิตสันดาน บุญไม่ใช่สมบัติเงินทองข้าวของเลย ให้กันไม่ได้ แม้นามธรรมก็ให้ไม่ได้ พอทำบุญเสร็จจบ บุญก็หมด  หมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริขีโน 

31/8/2558 18:52:59 คนไม่ชัดเจนปรมัตถ์จะงง บุญกลายเป็นกุศลไปเสีย แต่บุญนี่ดีงามอย่างยิ่งเลย ละกิเลสได้ เป็นโลกุตระแท้ๆ 

อ.กฤษฎาว่า...วันนี้เหมือนปกิณกะ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เมื่อวานนี้มีการสอบว.นบ.

พ่อครูว่า...เป็นการทดสอบตนเอง ให้ตนเองได้รู้ว่าผ่านหรือยังได้หรือยัง และให้คนอื่นได้รู้ด้วยว่าสำเร็จหรือยัง หรือตนเองจะตรวจสอบตนเอง เตวิชโช เป็นครั้งคราวก็มีได้ ระลึกเรื่องราวที่ผ่านมาว่า อะไรเกิด อะไรเสียหายไป หรืออะไรดีขึ้น มีส่วนเกิดส่วนดับ อะไรก็ตรวจสอบ แล้วเราก็จะรู้ ยิ่งตรวจปรมัตถ์ เราเผลอไปไหม เราสามารถจับจิตทัน วิจัยทัน มีโพชฌงค์ 7 ชัดเจนมีโพธิปักขิยธรรมไหม เราได้ปฏิบัติเป็นภาวนามัย ภาวนาปธานพากเพียรเกิดผล ทบทวนดู การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้ทำในขณะมีกรรมกิริยา สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ 

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 18:58:05 ก่อนเข้าพรรษา ผมได้ถามพ่อครูว่า มีการตั้งใจทำอะไรบ้าง
พ่อครูว่า..ตอนเข้าพรรษาจะมีหลายคนตั้งใจเข้ามาอยู่วัด ที่จริง บ้าน วัด โรงเรียน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราไปอยู่หมู่บ้านปฏิบัติธรรมตลอดปีตลอดชาติ ได้ไปศึกษา พอเข้าพรรษาก็ได้ขมีขมันศึกษา เคี่ยวคร่ำมากกว่าปกติ ตอนเข้าพรรษาก็จะมีคนไปเข้าไปปฏิบัติ เราพาทำทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธก็แล้วแต่อีกที แต่ปริยัติปฏิบัติทำตลอดเวลา

อ.กฤษฎาว่า...บางทีคุยกับลูกชายบอกว่าบางทีก็ท้อแท้ขึ้นมา สังคมเราบอกว่า stronger together ให้ช่วยกันอย่าท้อแท้ ช่วยกันให้เข้มแข็ง แล้วรูปธรรมควรทำอย่างไร คิดสโลแกนแต่เนื้อในจะทำอย่างไร แต่อย่างเรามาปฏิบัติธรรมต้องเปลี่ยนจากภายใน

พ่อครูว่า...31/8/2558 19:00:44 ตอนนี้ขออธิบายอิทธิบาท 4 ให้ช้าๆชัด ๆ 150 เฟรมต่อวินาที อิทธิบาทมี ฉันทะ วิริยา จิตตะ วิมังสา

ต้องปฏิบัติทุกกรรมกิริยา คนเราต้องมีอิทธิบาทเป็นตัวหลักหากไม่มีก็เจริญยาก เราต้องรู้ว่าเรามีฉันทะ วิริยา จิตตะ วิมังสา ไหม เป็นภาวะที่ทำให้เราเจริญจริงๆ

ตัวฉันทะ เป็นมูลกา นำทุกอย่างเลย แม้แต่ในแสงอรุณ 7 ก่อนปฏิบัติมรรค 8 ก็ต้องมีแสงอรุณก่อน มี ฉันทะ มิตรดี มีศีล เป็นต้น ยิ่งมูลสูตรมีฉันทะเป็นมูลเลย ถ้าขาดฉันทะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ดี จะทำให้เสียหายยิ่งไม่ชอบใจแล้วทำจะเกิดความเสียหาย จะทำงานอะไรให้คิดให้ดีว่า เรากำลังจะทำงานชิ้นนี้นะ ถ้าเราไม่เห็นว่ามีอะไรดีเลย เราไม่ชอบใจ ต้องพิจารณาว่า สิ่งที่ทำนี้ดีไหม สมควรไหมต้องทำไหม หากเราไม่ชอบ ไม่อยากทำไม่ยินดีต้องเปลี่ยนเลย ให้ทำในสิ่งดี สิ่งเจริญ มนุษย์ต้องทำดีเสมอ ต้องตรวจสอบว่าดีแน่หรือ ถ้าใจยินดีแล้วยากแสนยากหนักแสนหนักลำบากแค่ไหนก็ตาม วิริยะจะตามมาเลย เป็นคู่หู ไปด้วยกันมาด้วยกัน เหมือนลมกับไฟ ถ้าไฟบอกว่า กูรุก ลมเอ็งวิ่งเลยนะ 

อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูใช้คำดี ว่าให้ใจโน้มน้อมยินดี

พ่อครูว่าก็เอาวิมังสามาใช้ ไตร่ตรองว่ามันดีแน่นะ ถ้าพิจารณาว่าไม่ดีก็อย่าไปฉันทะเลยไม่ดี แต่ถ้าชอบแล้วเผลอๆอย่าไปชอบสิ่งไม่น่ายินดี เป็นสิ่งน่ายินดีเป็นวิปลาสไปเสีย ก็ไม่ควรทำ อันนี้คือวิปลาสจนกว่าจะเป็นอรหันต์ 

31/8/2558 19:05:34 ยิ่งเรารู้ว่าวิริยะคือความเพียรให้ทุ่มโถมไปให้เต็มที่ แล้วจิตใจเรามีเท่าไหร่ก็เอาใจใส่เขาแปลกันเบาไป  อาตมาแปลว่ามีใจเท่าไหร่ก็ทุ่มเทไปให้เต็มที่เลย นี่คือจิตตะ แล้วจะเกิดผล ตรวจสอบผลดีๆ ให้เอาแต่เนื้อๆ วิมังสา ที่เป็นเศษสิ่งไม่ดีไม่เอา

อ.กฤษฎาว่า..ต้องเอาวิมังสาเอาเนื้อๆมาดูก่อน นึกถึงศาสตร์ที่บอกว่าใช้ SWOT คือดูจุดแข็งจุดอ่อนกัน รู้โอกาสและความเป็นไปได้ ว่าควรทำไหม 
พ่อครูว่า..พระพุทธเจ้าทำมาก่อน 
 input process output outcome 
อ.กฤษฎาว่า..พ่อครูพูดนี้ครอบคลุมมากกว่าอีกนะ เขาพูดการพัฒนามนุษย์แต่สิ่งที่พ่อครูสอนนี้ยกระดับจิตใจเลย แต่วิชาการไม่เข้าถึงปรมัตถ์ก็ยกระดับจิตใจไม่ได้

พ่อครูว่า...31/8/2558 19:09:38ทุกอย่างไม่มีอิทธิบาทไม่เดิน คนที่มีอิทธิบาทจะมีขยันเต็มที่ตลอด พระพุทธเจ้าว่า ผู้มีอิทธิบาทคืออายูหัง คือตัวอายุ คือคนไม่ตายคือตัวแรงงานผลการตั้งอยู่ ซึ่งลึกซึ้งมาก อิทธิบาทมีอะไรเป็นเครื่องแสดงก็คืออายูหัง คือความพากเพียรวิริยะต่อไปคืออิทธิบาท คือคนพากเพียรเป็นคนเอาการเอางาน ไม่เฉื่อยเนือย เหมือนจะตายแล้วมันไม่เต็มเต็ง คนเต็มเต็งจะกระปรี้กระเป่า เอาการเอางาน 

พระพุทธเจ้าอธิบายว่า อายุ วรรณะ สุข โภค พละ เขาตัดโภคะออกไปเสีย 

-อายุมีอะไรเป็นเครื่องแสดง มีอิทธิบาทเป็นเครื่องแสดง 

-วรรณะมีศีลเป็นเครื่องแสดง ผู้นี้มีวรรณะดูผ่องใส ผู้มีศีลเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสออกก็จะผ่องใส จิตสะอาดมีราศีสะอาดออกมาภายนอก แต่เขาแปลว่าวรรณะคือชั้นก็ถูก คือความเจริญ ศีล 5 เจริญเป็นศีล 8 เป็นศีล 10 ไม่ใช่ว่าวรรณะอย่างพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล ไม่ใช่เครื่องบอกวรรณะเลย ใครศีลสูงกว่าก็มีวรรณะสูงกว่า 

-ผู้มีสุขคือผู้มีฌาน คือการขัดเกลากิเลสออกได้ เป็นฌานลืมตา อย่างมรรคองค์ 8 เรียนรู้ลดกิเลสได้ สั่งสมเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 เกิดฌาน มีปฏิบัติศีล มีอปัณกปฏิปทา เกิดสัทธรรม 7 คือจิตเจริญคือฌาน ไม่ใช่ว่าสุขเพราะได้กินอร่อยได้ลาภ ได้ยศ ได้รูป ได้เสียง สมใจเป็นสุขอย่างนั้นไม่ใช่ จะสุขต้องมีฌาน ละกิเลสได้

-โภคะ มีพรหมวิหาร 4 เป็นเครื่องแสดง มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา คือผู้มีทรัพย์มากทรัพย์แท้ แสดงว่าพวกนี้รวย 

-พละ นั้นมีวิมุติเป็นเครื่องแสดง 

ก็ต้องเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งที่เจริญ มีอายุเจริญ คืออะไร วรรณะสุข โภคะ พละ เจริญคืออย่างไร 

อ.กฤษฎาว่า..31/8/2558 19:17:24จริงๆก็อวยพรให้เป็นอรหันต์นั้นเอง ให้ได้
พ่อครูว่า..ก็ถูกต้อง อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง อาตมาตอบตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้  การไปนั่งหลับตาไม่ได้เกิดงานอะไร อันนี้เราตีหนัก เพราะทีเข้าใจผิดกันว่าการนั่งหลับตาเป็นแกนปฏิบัติมันผิดไปหมดเลย เพราะทิ้งแม้แต่ผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะปฏิบัติธรรมไม่ได้ มันพาหลงกันทั่ว แล้วทำเป็นมีฤทธิ์เดช ยิ่งพระรุ่นใหญ่บอกว่านั่งมานักต่อนัก ไปปลุกเสกนั่นนี่ได้หมด ก็เวรจริงๆ ศาสนาเสื่อมจนไม่เหลือซากเลย

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 19:23:46 ถ้าผ่านทางพุทธมณฑล ตรงสะพานโค้งๆ หักเข้านครชัยศรี จะมีป้ายหนึ่ง มีของแปลกๆมา ถ้าแน่จริงต้องขายได้ตลอดสิ เปลี่ยนจากก้อนหินเป็นมังกร ไปเรื่อยๆ เริ่มวิปลาสไปใหญ่ 

พ่อครูว่า...ต้องข่มสิ่งที่ควรข่ม กำราบสิ่งที่ควรกำราบ อาตมาเกิดมาสืบทอดศาสนา เป็นหน้าที่ของอาตมาที่ต้องตีหนัก ไม่หยุดเหมือนช่างปั้นหม้อเดี๋ยวดินแข็งปั้นไม่ได้ต้องนวดตลอด

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 19:27:05 ความพร่ามัวต่อความเข้าใจทำให้ไม่เกิดอิทธิบาทนะครับ
พ่อครูว่า..ตัวอิทธิบาทมีคุณภาพในตัวของมัน เราต้องเข้าใจสภาพจิตฉันทะที่เราต้องพอใจยินดี จะหนักเหนื่อยยากอย่างไร ถ้ามันไม่ดี แม้จะง่ายก็ตามหรือมีการล่อหลอกให้เพลิดเพลินสนุกสนานก็อย่าไปยินดีกับมันเลยไม่ทำไม่เสียเวลาแรงงานกับมัน ต้องตรวจสอบ ก่อนจะฉันทะต้องยกวิมังสามาก่อนเลย ตรวจสอบไตร่ตรองก่อนว่าดีไหม ถ้าดีจะยากเย็นแค่ไหนลำบากแค่ไหนก็ต้องทำ ถ้าคนเราไม่มี อิทธิบาท 4 ก็แค่อยู่ไปวันๆกินๆอยู่ๆเหมือนเดรัจฉานไป

อ.กฤษฎาว่า..มีทฤษฎีตะวันตกว่า ต้องเปลี่ยนทัศนคติแล้วจะไปได้ดี ให้ระดับ  A B C ....Z  ถ้าให้ตัวเลขก็จะไม่เต็มร้อย แต่ถ้าเป็นตัวเลขก็ได้เต็มร้อย ถ้ามันมี ทัศนคติที่ดีก็จะพาสู่สำเร็จ

พ่อครูว่า ต้องรู้ว่าสิ่งที่เราจะทำมันสมควร ดีพอ จำเป็น ก็ทำ แต่ถ้าจำเป็นแต่ไม่ดีไม่ควรจะทำไปทำไม สิ่งจำเป็นมีอีกตั้งมากมายในชีวิต 
อ.กฤษฎาว่า...ได้สามคำ สมควร จำเป็น ดีพอไหม? ใช้สามคำนี้ไปตัดสินได้ บางทีมันเหมือนอิทธิบาทที่พาเราทำอกุศล 
พ่อครูว่า...31/8/2558 19:31:16 คำว่าอนวัชชะแปลว่าการงานอันควร แต่ที่ไม่ควรทำ ก็เป็นอีกอย่าง คำว่าอนวัชชะ แปลว่าปราชญ์ไม่ติเตียน ผู้ใดจะทำสิ่งใดต้องพิจารณาก่อน ไม่เช่นนั้นคนก็ช่วยทำไปเลอะเทอะ เสียเวลาเสียสิ่งที่ควรทำ 

31/8/2558 19:32:06 เรื่องวิปลาสเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ในพระไตรฯล.21 ข.49 

สี่นิยามนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเลย สิ่งที่ชัดเจนมากคือสิ่งที่เป็นทุกข์แล้วไปยึดเป็นสุข เพราะการเกิดใดๆเป็นทุกข์ทั้งสิ้น ศาสนาพุทธจึงดับการเกิด ดับชาติ แล้วทุกอย่างดับ ตามปฏิจจสมุปบาท คนเราหากไม่รู้ทุกข์อาริยสัจ กับทุกข์สามัญลักษณ์ ที่เลี่ยงไม่ได้ ท่านแบ่งไว้ ทุกข์ 10 อย่าง มี 6 อย่างเลี่ยงไม่ได้ อีก 4 อย่างเป็นทุกข์อาริยสัจ ที่เป็นหัวใจศาสนาพุทธ 

หรือสิ่งไม่น่าพึงใจว่าน่าพึงใจ หรือสิ่งไม่งาม กลับเห็นเป็นสิ่งงามอีก แม้แต่ที่สุดเลย แม้แต่ได้นิพพานแล้วนิพพานก็ไม่ใช่สิ่งน่าพึงใจ อย่ายึดเป็นเราเป็นของเราแม้นิพพานมีแล้วก็ตาม เอาอาศัยไปเท่านั้น 

31/8/2558 19:36:15 สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุขนี้ชัดเจนมาก ไปหลงของต่ำ เช่นโกง เป็นแสนล้านนี่ เป็นสุข เป็นต้น มันทุกข์นะ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาพาทำ ทักษิณคิดยิ่งลักษณ์ทำ หรือทักษิณริ ยิ่งลักษณ์ยำ สำนวนคุณเปลว สีเงินเขา ถ้าเผื่อว่าไม่รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสุขนี่ ทุจริตทั้งหลายอกุศลทั้งหลายแม้นิดแม้น้อยอย่าทำ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์นะ นึกว่ายิ่งใหญ่หนักหนา ที่เราน่าจะพิจารณาว่าเป็นสิ่งไม่ดีนะ ไม่น่าทำ 

ถ้าเป็นสัจธรรมจะอยู่อย่างสงบ กิเลสจะพาไปชั่วบ้างก็ลดละไป อาตมาภูมิใจในชุมชนอโศกที่ละเว้นอกุศลได้เยอะ ไม่ต้องบ้าบอกับเขา ก็ทำประโยชน์ให้สังคมไป อย่างเราเปิดโรงเรียนสอนเด็กไม่ได้คิดเงินทองนี่ก็ร่วม 20 กว่าปีแล้ว ผลิตเด็กจบม. 6มานี่หลายรุ่นแล้ว สอนฟรีก่อนรัฐบาลอีก สอนฟรี เราเจตนาสร้างให้แก่สังคมประเทศชาติ หากเราได้ช่วยกันสร้างคน ได้สิ่งดีมีความรู้ไป เรามีหลัก ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ทำให้ได้ตามอุดมการณ์เรา ตามปรัชญาหลักเรา ทำให้ได้ สิ่งเหล่านี้หากมีแนวคิดแล้วทำจริง ให้แก่สังคมโลกไม่ว่าสังคมไหนๆจะดีมาก

31/8/2558 19:40:05 ที่เราพูดนี่ไม่ใช่โฆษณานะ ไม่ได้อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญอะไร แต่เอามาประกอบให้เห็นของจริงได้นะ 

อ.กฤษฎาว่า... การทุจริตนั้น ก่อนหน้านี้ผมเห็นพาดหัวหนังสือพิมพ์ ว่าติดคุกตอนแก่กัน ผู้บริหาร ธนาคารที่มีชื่อเสียงในอดีต ลูกหลานร้องไห้กัน เดินเข้าคุกไป ญาติพี่น้องร้องไห้ ผมก็มาระลึกว่า อดีตเขาทำสิ่งนั้น แล้วตอนนี้ ครอบครัวลูกหลานก็ได้รับผล แต่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนเขาได้รับผลกุศล ลูกหลานก็ได้ไปด้วย แต่ตอนนี้เสื่อมลง ลูกหลานก็ได้รับผลด้วย เป็นเหตุปัจจัย

พ่อครูว่า.ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ผิดเพี้ยนหรอก เหตุเป็นอย่างไรผลก็เป็นเช่นนั้น ผู้ใดเข้าใจก็ให้ซื่อสัตย์ ที่ทำไปแล้วคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นสัจจะ ทำแล้วเป็นอันทำ แม้จะไปโกงเลี่ยงล้มล้างได้ว่า เขาตัดสินเราไม่ได้ ก็ไม่จบหรอก เป็นวิบากติดตัวไปทุกชาติ ใครไม่เชื่อกรรมวิบากก็แล้วไปแต่พระพุทธเจ้าสอนไว้เราก็เชื่อ เราเชื่อเพราะเราได้ทำกรรมแล้วตอนนี้ออกผลอย่างไร เราก็เรียนรู้ ตั้งแต่หยาบ จนลึกซึ้ง ถ้าขึ้นชื่อว่าสิ่งไม่ดีงามอกุศลทุจริตแม้นิดแม้น้อยอย่าทำเลย พระพุทธเจ้าสอน ให้ทำแต่สุจริต แม้ทำดีแล้ว ได้ผลช้าก็เพราะวิบากเลย อาตมาทำมา 45 ปีผลต่อสังคมได้แค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านทำงาน 45 ปีก็ปรินิพพานแล้ว อาตมานี่ 45 ปีนี่เพิ่งเริ่มต้นหรือเปล่านะ อาตมาจึงขอแถมอีก 70 ปี

อ.กฤษฎาว่า...31/8/2558 19:44:46 ตอนนี้สังคมเขาวิปลาสถึงกับสแกนกรรมแล้วตัดกรรมอีก เขาแสดงอิทธิฤทธิ์
พ่อครูว่า..เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก อาตมาไม่กลัวพระพุทธเจ้านะ แต่อาตมากลัวคนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ไปแก้กรรมให้ใครเลย กรรมเป็นของๆตน ตัวเราต้องรับมรดกกรรม เช่นเราไปตีหัวคน หรือคนไปปล้นชิงทรัพย์ตีหัวคน เขาชิงทรัพย์ไปได้ เขาก็ว่าเห็นไหม ทำชั่วได้ดี แต่เขาอ่านดีนี่ผิด กรรมที่ตีหัวคนนี่เป็นกรรมชั่วแล้ว แต่ได้ทรัพย์ที่ปล้นไปนี่ไม่ใช่ได้ดี เป็นวัตถุที่ได้ไปเท่านั้น คนก็พูดว่าทำชั่วได้ดี ทำดีได้ชั่วนี่มันพูดแย้งพระพุทธเจ้า

เราเชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้เรื่องกรรม กรรมสโกมหิ กัมมทายาโท ตนต้องรับมรดกของตน แบ่งใครไม่ได้ ต้องรับมรดกกรรมของตนทุกเม็ดไม่ระเหยระเหิด จนกว่าจะปรินิพพาน กรรมไม่มีเปลี่ยนแปลง ของใครทำแล้วเป็นของตน เป็นสมบัติเป็นผลวิบากของตน แม้จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กรรมชั่ววิบากมาเล่นงานท่านไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงกรรมชั่วหายไปนะ แต่มันวิ่งมาไม่ถึงท่าน อะไรกั้นไว้ ก็คือกุศล มันทะลุมาเท่าที่ได้ วิธีของพระพุทธเจ้าคือเราต้องเรียนรู้ตัวเหตุที่พาทำชั่วคือกิเลส กรรมอดีตแล้วแก้ไขไม่ได้ ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ปฏิบัติที่ปัจจุบันเท่านั้น การเอาอดีตกับอนาคตมาปฏิบัติก็มิจฉาทิฏฐิหมด แล้วสรุปปัจจุบันเป็น 5 อย่างนี้ให้ปฏิบัติปัจจุบันนี้ให้ชัด ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติในปัจจุบันเท่านั้น

กรรมเป็นของๆตน ตนต้องรับกรรมของตน วิธีพระพุทธเจ้า ปัจจุบันหาไม่มีกิเลสที่พาไปทำบาป เป็นตัวชักนำ ถ้าทำให้ได้อย่างถาวรยั่งยืนไม่เกิดเลยกิเลสนี่คือสำเร็จ มีหลักประกันว่าไม่สร้างบาปอีกเลย แล้วบุญไม่ต้องทำอีกแล้วทำแต่กุศลท่าเดียว กุศลเป็นกำแพงกั้น ตัววิบากที่จะมาตามทันจะวิ่งไม่ทัน ขนาดเป็นพระพุทธเจ้ายังมีเศษเหลือมาตามทันเลย เจ้าของทั้งสิ้นที่จะต้องทำกำแพงกุศลนี้ให้ได้มากที่สุด 

อ.กฤษฎาว่า ...31/8/2558 19:53:11 ทำให้เข้าใจมากขึ้นต้องทำบุญและกุศลอย่างไร? 
พ่อครูว่า..กุศลเป็นตัวกั้นไม่ให้วิบากบาปมาถึง แต่ไม่ได้หมายถึงว่า วิบากหรืออกุศล กุศลที่ทำไปแต่ก่อนนี้หายไปนะ คำว่าบุญนี่ชำระกิเลสหมด บุญก็จบไป สิ้นบุญสิ้นบาป  เรื่องนี้อาตมาว่าไม่น่าจะมีใครอธิบายได้ อาตมามาปางนี้มาอธิบายเรื่องนี้ แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ ถ้าชัดเจนในความหมายของคำเหล่านี้แล้วปฏิบัติจะพาชีวิตพ้นทุกข์แล้วช่วยคนได้

แม้แต่ตอนนี้มหาเถรสมาคมก็ออกนอกรีตไปเกือบครบสมบูรณ์แล้ว ที่พูดนี้ไม่ได้โกรธเคืองนะ แต่รู้ว่าเป็นวิบากของอาตมาเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าไม่มีอันนั้น อาตมาจะมาถึงวันนี้ไม่ได้ ที่มีวันนั้นทำให้อาตมาต้องมีการถูกห้ามกั้น แล้วได้ฟักตัว เกิดคุณค่าขึ้นมา ไม่เช่นนั้นไม่ได้เช่นนี้ Every things happen for the best. ใครจะว่าอาตมาหลงคำสอนพระพุทธเจ้าก็ว่าไป จะหาว่าหลงเพี้ยนไปก็ได้ แต่อาตมาว่าไม่ใช่ อาตมาทำงานมา 45 ปีก็พิสูจน์มา แม้แต่มหาเถรสมาคมตัดสินอาตมาก็ขอบอกว่าอาตมาไม่ได้ผิด ก็ทำมาถึงวันนี้มีอัตราก้าวหน้าเช่นนี้ก็ยังมุ่งมั่นจะทำเช่นนี่ต่อไป ชีวิตไม่ได้คิดว่าต้องตายตอนนี้ แก่แล้วไม่มีแรงแล้ว อาตมาไม่ยอมไม่มีแรงนะ นอกจากเจ็บป่วยนะ อาตมามีแรงก็ทำไป แล้วก็นอนพัก ก่อนนอนนี่อาตมาจะออกกำลังกายสองสามท่า 

อาตมาเห็นได้เลยว่า ตอนเย็นนี่ ออกกำลังไม่ได้มีพลังเหมือนตอนเช้า ตอนเช้านี่ออกกำลังได้ดี แต่พอเย็นนี่ต่างกันเลย วันๆนี่ใช้พลังงานหมดไปทั้งวันเลย 31/8/2558 20:00:36 โดยเฉพาะใจเรา ไปทำให้ใจน้อยใจเศร้าใจเสียทำไม โง่ไปทำทำไม ให้ใจสบายๆ เบิกบานร่าเริง อภิปโมทยังจิตตัง ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม คนมาถามว่า น้อยใจ อาตมาว่า ดี น้อยใจนี่คือหมาน้อยตัวหนึ่ง ใจเราก็คือใจเรา ตนเองทำเองทั้งนั้นแหละ โง่ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำใจให้เป็น แคล่งคล่อง ตัวมนสิการเป็นตัวจริงในมูลสูตรเลย มีฉันทะเป็นมูลกา  มีมนสิการเป็นสัมภวะคือแดนเกิด เป็นการทำใจในใจให้โยนิโสฯ เขาแปลว่าพิจารณาให้ถ่องแท้ ซึ่งถูกเสี้ยวเดียวต้องพิจารณาตั้งแต่นอกถึงใน แล้วก็ทำที่ใจ มนสิ แล้วให้มันโยนิโน(เขาแปลกันว่าพิจารณา) แต่ที่จริงต้องพิจารณาให้ถ่องแท้แยบคาย แต่ลึกไปกว่านั้นคือให้ลงไปถึงที่เกิดสัมภวะ เห็นสิ่งที่เกิดที่จะทำตรงหทยรูป เวลาปฏิบัติต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย รู้เวทนา ทุกอย่างรวมลงที่เวทนา มี 108 ทำใจตั้งแต่ต้นจนจบเลย ในทิฏฐิ 62 ก็จบด้วยเวทนา เว้นเวทนาไปไม่อยู่ในฐานะการปฏิบัติธรรม จบด้วยเวทนา แก้ไขให้เป็นอุเบกขาฐานเป็นเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา 

ถ้าเคหสิตอุเบกขา มันเฉยพักยก แต่เนกขัมสิตอุเบกขาต้องล้างกิเลสจากจิตจนจิตเป็นอุเบกขาไม่มีเหตุแห่งกิเลสเลยจิตไม่มีทั้งกามและอัตตาเป็นมัชฌิมา เข้าถึงบรรลุความเป็นกลางจิตไม่เอียงไปทางไหนเลย ยิ่งแข็งแรง ในอุเบกขามีคุณสมบัติอีก 5 ประการ 
ปริสุทธา บริสุทธิ์
ปริโยทาตา แม้จะสัมผัสอยู่กับสังคมกิเลสเขามากเท่าไหร่เราก็สู้ได้ไม่เอียง 
มุทุ กัมมัญญา คือจิตเจริญมุทุตา แววไว ง่ายในการปรับจิต คือดัดง่าย มุทุคือจิตหัวอ่อนว่านอนสอนง่าย ปัญญาก็เร็ว การปรับตัวหาสิ่งดีก็ไว จัดการจิตไม่ดีได้ไว เมื่อปรับได้ก็พร้อมทำงานทุกอย่างที่เหมาะควรดีงาม ทำงานอย่างไรก็ประภัสสรายิ่งเสริมกันไปยิ่งพัฒนาขึ้น คือความเจริญแบบไม่สิ้นสุดของศาสนาพุทธอย่างที่ว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จิตนี้เที่ยงต่อทุกอย่างแข็งแรงยั่งยืน เป็นหลักประกัน ดีถาวร เสถียร เอาคุณสมบัติอันนี้ไปสร้างสังคมประเทศ
เริ่มตั้งแต่โสดาบันก็รู้อาริยสัจ 4 มีโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยต สัมโพธิปรายนะ เข้ากระแสโลกุตรไม่เวียนกลับ ไปสู่โลกใหม่ ปโรโลโก เข้าสู่โลกใหม่ได้ หนึ่งในนี่ คือ 25 % จะไม่เปลี่ยนได้แล้วแต่ต้องให้ถึง นิยตะ จะแน่นอนไม่เปลี่ยนแน่ ถึง 75% จากนั้นก็สัมโพธิปรายนะ ไปสู่การตรัสรู้แน่

31/8/2558 20:11:37 คุณต้องรู้ว่าคุณมีมรรคผลเท่าไหร่โสดาบันได้เท่าไหร่แล้วได้กี่ส่วนแล้วก็เป็นสกิทาคามีต่อไป 

อ.กฤษฎาว่า...ถ้ากำลังฟังธรรมอยู่แล้วมีคนมาขัดจะบาปไหม
พ่อครูว่า..ถ้าขัดอย่างไม่ได้มีอกุศลจิต เป็นงานเป็นการก็ไม่บาป แต่ถ้าขัดอย่างไม่มีมารยาทก็เป็นอกุศลหรือเจตนาไม่ให้ทำสิ่งดีก็เป็นอกุศลแล้ว คือกรรมมีความละเอียด ดีนิดหนึ่งหรือชั่วนิดหนึ่งก็เป็นกรรม จากมโนกรรมมาเป็นกายกรรมวจีกรรม ต้องเรียนรู้สังขารในจิต เป็นกายสังขาร จิตสังขารวจีสังขาร 

31/8/2558 20:14:19 กายสังขารคือการปรุงแต่งครบทั้งรูปและนาม ใจเป็นเหตุ ทุกอย่างปรุงแต่งจากจิต มีเหตุปัจจัย มีกิเลสเป็นตัวสำคัญ ยิ่งเราต้องรู้กิเลสแล้วล้างกิเลส ในสังกัปปะ 7 คือกระบวนการปฏิบัติธรรมในมรรคมีองค์ 8 คือ ในสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะก็มีสัมมากับมิจฉา พอสังกัปปะต้องเรียนรู้อาการของ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ต้องรู้กาย ที่คือองค์ประชุมของรูปกับนาม ที่ทำการสังขาร เรารู้จักสักกาย คือตัวตนที่จะจัดการ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็จัดการตัวนี้ จัดการได้ก็ชำระกิเลสได้ เรียกว่าสำเร็จ เป็นสัมมาสังกัปปะ ต้องจัดการ กาม พยาบาท ที่เป็นตัวเหตุ พอฆ่าได้ทำได้ในจิตเราทำได้แล้ว ก็ต้องรู้องค์ประกอบสังกัปปะ 7ด้วยยะถึงจะทำได้ 

เมื่อจิตละกิเลสได้ เป็นงานของวิปัสสนา ผ่าน ตักกะวิตักกะสังกัปปะมาแล้ว มีกระบวนการของ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มาผ่านตัวด่านสอบอีกที แม้ได้แล้ว กว่าจะมาถึงวจีสังขาร ผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะรู้กายสังขาร ซึ่ง 7 ตัวนี้คือกายสังขาร แล้วก็จัดการตัวจิตสังขารที่เป็นตัวใน ท่านให้จัดการจิตโดยรวม มันเป็นจิตปรุงแต่ง ทั้งในและนอก ล้างกิเลสได้ก็มาผ่าน อัปปนา เพื่อควบแน่น สำทับให้แน่น คือกำลังเติมเชื้อความแข็งแรง พยัปปนา แนบแน่น เจตโสอภินิโรปนา ปักมั่น จนเป็นวจีสังขารอยู่ภายในซึ่งไม่ใช่วจีกรรมนะ

เป็นบัญญัติ เช่นปรุงเสร็จบอกว่ากิน ก็ตรวจชำระกิเลสเสร็จ 6 ขั้นตอนแล้ว มาถึงวจีสังขาร ก่อนจะออกเป็นกายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ คำว่าสังขาร 3 กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร คนอวิชชาในสังขารคือไม่รู้สังขาร 3 นี้ ถ้ารู้แล้วคนนี้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามีสิทธิ์เป็นอรหันต์31/8/2558 20:20:44

อ.กฤษฎาว่า...ถ้าเราฟังตามพ่อครูเราแยกแยะ หากปฏิบัติได้วิปัสสนาได้ ก็ไม่ให้สังขารมันปรุงแล้วควบแน่น เป็นรสชาติ 
พ่อครูว่า...เราจัดการรสชาติทำอย่างวิปัสสนาตรงที่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ส่วน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนาเป็นสมถะ ก็คือการทำอภิสังขาร 3 เป็น บุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

อ.กฤษฎาว่า...ถ้ายิ่งกดดันยิ่งกดไม่รู้เรื่อง 
พ่อครูว่า..แต่เราต้องอ่านรู้วิจัยวิเคราะห์แต่ละส่วน วิธีของพระพุทธเจ้าว่าอะไรเราติดต้องงดเว้น จำกัดขอบเขต ปริตตัง เอาแค่นี้ก่อน เช่นเราติดผลไม้ทั้งหมดนี้ ก็ต้องค่อยทำทีละอย่าง
อ.กฤษฎาว่า...ได้คำตอบหลายอย่าง เข้าใจวิปลาสมากขึ้น เห็นวิธีการวิปัสสนามากขึ้น หลักการขับเคลื่อนอิทธิบาทมากขึ้น ได้มาสามคำ สมควร ดีพอ จำเป็น ในการจัดPriority ...จบ 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:26:39 )

580901

รายละเอียด

580901-ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ ยอดนิยายของโลกฯ 12

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 1 ก.ย. 58  วันนี้ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาแสดงตัว เคยสอนเขาตอนเป็นมัธยม ตอนนี้อายุเขา 65 ปีแล้ว ไม่เจอกันตั้ง 50 ปี เขาแต่งงานกับฝรั่งซึ่งก็ผ่านไป เรื่องราวคนต่างๆ ลูกศิษย์ที่เคยสอนก็อายุตั้ง 70 แล้วก็มี อาตมาก็ปาเข้าไปตั้ง 81 ปีแล้ว อาตมาภาคภูมิใจในชีวิตที่ได้อยู่ ได้ทำประโยชน์ การทำประโยชน์ที่ภาคภูมิใจคืออาตมาทำงานฟรี จึงถือว่าประโยชน์เต็มๆ คนในโลกทุกวันนี้ทำงานไม่ฟรี นอกจากไม่ฟรีแล้วเป็นหนี้ด้วย คนรวยๆเป็นหนี้ทั้งนั้น 

มองทางโลก การได้โลกธรรมได้เงินทองมากมาย กอบโกยสะสมไว้นี่ มันเป็นส่วนเกินที่ไปเอาเปรียบเอารัดคนอื่นเขา จริงๆแล้วไม่เอาเปรียบก็ได้ คนที่รวยด้วยบารมีก็มี แต่ส่วนใหญ่เอาความฉลาดความได้เปรียบมาให้รวยกว่าเก่าอีก เพราะอวิชชา แม้จะทำสุจริต ไม่ต้องพูดถึงคนโกงเลย บาปอัตราสูงขึ้น แม้ไม่โกง มันก็ยังเอาเกิน ยิ่งโลกทุนนิยม สร้างค่าเอาเปรียบเอารัดสูงมากเกินควร ช่วงห่างระหว่างการได้เปรียบห่างไกลเลย คนพื้นฐานค่าอยู่ที่ 0 แล้ววิธีการทางโลกไปตั้งราคาให้ตัวเองกัน ราชการก็ตั้งราคาให้ตัวเอง ได้ขึ้นเงินเดือนกัน ไม่มีลด มีแต่เพิ่ม แต่ประชาชนรากหญ้าอยู่ที่ 0 เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยคนระดับล่างเป็นหนี้ 1/9/2558 18:37:23 

วันก่อน เขาถามกันว่าตำรวจไม่มีใครไม่เป็นหนี้กัน ไม่มีใครยกมือเลย เป็นหนี้ถ้วนหน้าเลย พวกตำรวจระดับไม่ได้สูงอะไร นี่ขนาดตำรวจเป็นขรก.นะ ได้เปรียบกว่าคนสามัญทั่วไปแล้ว ตำรวจยังมีเงินเดือนประจำแล้ว เมืองไทยไม่ถึงกับค้างเงินเดือนยังจ่ายให้ขรก.ได้ ขรก.มีเงินแน่ แต่ว่า คนทั่วไปก็เป็น 0 ถ้าขายไม่ได้ก็ได้กินได้ใช้เท่านั้นเอง 1/9/2558 18:39:34

อาตมาว่าอาตมาภูมิใจ นอกจากไม่ได้เงินเดือนหรือได้เปรียบใคร อาตมาพอมีบารมีก็ไม่ได้ไปเอามาเลย ทำงานไม่เคยคิดค่าตัวเลย ไม่ต้องพูดถึงโกงทุจริตเลย ไม่มี จึงทำงานอย่างสบาย ภาคภูมิใจ มีปัญญา รู้ค่าของตน ว่าตนมีค่า คนทางโลกทำงานแล้วรับเงินเดือน บางคนได้เป็นล้านต่อเดือน ห่างจากคนล่างๆที่ได้สามร้อยต่อวัน นี่ก็ขั้นต่ำ แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ทุกคนนะ แต่ทางโน้นเป็นล้านเลย แม้แต่แค่ ขรก.ก็เป็นแสนหรือหลายหมื่นต่อเดือน 1/9/2558 18:41:17

การไม่ได้เข้าใจว่าการได้อะไรตอบแทนมาคือการลดค่าของตนเองออกทั้งสิ้น ชีวิตของคน ไม่ว่าศาสนาไหน คือทาน ชีวิตของคนจะ "มีค่า" ก็อยู่ที่การได้ "ให้" แม้แต่ให้วัตถุ ก็ให้ แต่จิตยังไม่รู้ว่าได้ลดกิเลส ให้แล้วจิตตนต้องให้ด้วย ไม่ใช่ว่า ยึดถือว่าเป็นคุณค่าของตน ดีไม่ดีตั้งเป้าว่าต้องได้ตอบแทนเมื่อไหร่ ก็เสร็จเลยเป็นการยึดตัวตนตลอดกาล ไม่เข้าใจว่าจิตวิญญาณต้องทำใจอย่างไร ทำใจอย่างไรไม่มีค่า จึงทำตนหมดค่าไปตลอด ลัทธิทุนนิยมสอนให้คนไร้ค่าอยู่ทั้งนั้น เพราะเอาคืนมาหมด เอาเกิน เอาเปรียบเอารัด เขาหลงว่าเป็นการเจริญก้าวหน้า เป็นการเจริญแบบโลกๆ เขาไม่เข้าใจกัน แม้เข้าใจก็ไม่ง่ายที่จะทำ อย่างชาวอโศกมีเท่านี้ ทำงานมา 45 ปี จะถึงหมื่นหรือเปล่านะที่ทำงานฟรี 1/9/2558 18:43:49

แต่แม้มีน้อยก็มีได้จริง แม้ยุคคนกิเลสหนา ยังทำได้ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ที่ต้องเข้าใจชัดเจน อย่างในหลวงเราที่อาตมาบอกแล้ว ว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้พูดเล่นนะ ไม่ใช่ แล้วจะมาสอนให้เอาแบบคนจน มาขาดทุนของเราคือกำไรของเราไม่มีหรอก คนธรรมดาพูดไม่ได้ แล้วท่านก็ตรัสอย่างสำคัญด้วย ท่านจะตรัสต้องระวังอย่างมากด้วยไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ทรงกล้าหาญมาก ทรงกล้าหาญจริงๆ 1/9/2558 18:46:10 

เขาฟังแล้วไม่เข้าใจกันหรอก แม้จะเข้าหูก็ตาม อาตมาเห็นใจนะไม่ได้เข้าใจกันง่ายๆ มันแบบคนจน แล้วขาดทุนคือกำไร จะเจริญได้อย่างไรให้ทำทั้งประเทศเลย ทำแบบคนจน บริหารแบบคนจน ขรก.เขาคงเกาหัวกัน มันไม่ใช่มึน มันไม่เข้าใจ แล้วจะเข้าถึงหรือบรรลุอย่าหวัง พวกคุณนี่ทะลุมาได้ไม่ใช่ธรรมดา 

อย่างพระพุทธเจ้าหรือพระอาริยะที่มีบารมีแต่พระองค์ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้นั้น ผู้ที่เป็นอาริยะจะมีพลังพิเศษกุศลพิเศษที่แม้ว่าทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ก็จะลดลง บรรเทาลงกว่าปุถุชน คือผู้ปฏิบัติธรรมโลกุตระจะมีภาวะซ้อน คือภาวะของอาริยบุคคลหรือโลกุตรบุคคล ปฏิบัติธรรมละกิเลสได้จะเป็นอุภยถะ แม้แต่โลกีย์ก็ทำให้คนอายุยืนยาวกว่าปกติได้บ้าง ถ้าทำกุศลพอ ไม่หาโรคภัยใส่ตัวก็อายุยืนยาวได้ แต่ยิ่งโลกุตระจะมีพลังงานซ้อน อาตมาก็ถึงบอกว่าจะอธิบายได้ไหมนี่มันยาก มีภาวะซ้อน 1/9/2558 18:50:50

ที่รู้ถึงนิยามชีวิต 5 จึงมาประกอบโลกุตรกรรมหรือโลกุตรธรรม ที่ละเอียดถึงพลังงานระดับพีชะ หรือจิตที่มีพลังพิเศษ ที่จะต่ออายุได้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ถ้าท่านไม่ตั้งใจตาย เราจะอยู่ให้เกินกว่ากัปป์ก็ได้ พูดอย่างสบายๆ ธรรมดาๆ มันจริง แต่อาตมาไม่เก่งขนาดมั่นใจเชื่อมั่นว่าจะต่ออายุได้ขนาดนี้ๆ แต่ท่านกำหนดได้เลย ว่าจะต่อไปอีกเท่าไหร่ ให้มากกว่าลี ชุงยุนก็ได้ เป็นกัปป์หรือเกินกว่ากัปป์ก็ได้ คือพลังงานพิเศษ 1/9/2558 18:52:37

โลกีย์เขาก็ต่ออายุได้ใช้อุปกรณ์ช่วย ใช้เครื่องมือ หัวใจเทียม ปอดเทียม ทำงานสังเคราะห์พลังงานให้ เขาทำได้ แต่ทางโลกุตระก็ควบคุมได้ ทุกข์ที่ดับคือทุกข์อาริยสัจ อรหันต์บางคนทุกข์อาริยสัจ แต่ก็มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ อย่างพระพาหิยทารุจริยะหรือพระโมคคัลลานะก็ต้องตาย แต่อรหันต์ดับเฉพาะทุกข์อาริยสัจ 

ทุกข์นั้นอยู่ที่เวทนา มีเวทนา 108 เป็นตัวหลักของการศึกษาเพื่อไปสู่นิพพาน ถ้าเข้าใจเวทนาไม่ได้ รู้รายละเอียดไม่สมบูรณ์ไม่มีนิพพาน ในทิฏฐิ 62 นี่ท่านขยายความไปสรุปลงที่เวทนา ต้องมีทิฏฐิเข้าใจว่าทุกอย่างรวมลงที่เวทนา เหตุแห่งเวทนาต้องมีผัสสะเป็นเหตุ(สมุทัย) จึงเกิดเวทนา ตามปฏิจจสมุปบาท แล้วทุกอย่างรวมลงที่เวทนา แม้แต่ทิฏฐิ 62 ก็รวมลงที่เวทนา ใครที่อ่านเวทนในเวทนาไม่สมบูรณ์ไม่มีทางเป็นอรหันต์ 1/9/2558 18:57:17

เวทนาคือความรู้สึกคืออารมณ์ ความไม่รู้สึก นัยสำคัญต่างๆของโลกีย์ ความต่างของโลกีย์กับโลกุตระ ผู้สามารถควบคุมพลังงานเหล่านั้นจะควบคุมอาการ 32 ได้ต่อเนื่องกันทำปฏิกิริยากันได้ ควบคุมได้ ส่วนที่ยังเป็นพีชะของคนก็ไม่มีเวทนา อาการ 32 ของพีชะยังไม่มีหรอก พลังงานพีชะที่อยู่ในคนก็ไม่มีเวทนา ไม่ทุกข์ไม่สุข ถ้าพลังงานจิตตกลงไปถึงพีชะก็ไม่มีเวทนา ไม่รับรู้สึกได้ 
    อย่างอรหันต์ทำให้ตนเป็นพีชนิยามได้ก็ไม่มีความรู้สึกไม่มีเวทนาได้ จะมีพลังงานเหลือที่ไม่ต้องบำเรอตน มีพลังงานสร้างสรรได้อีกเยอะเลย คนมีสิ่งวิเศษแต่เอาไปใช้ฉิบหาย ผลาญพร่าทำลาย ใช้เสียหาย ไม่ได้ประโยชน์เป็นการทำลาย ต้องศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าให้รู้จักจิตนิยาม จึงเอามาใช้คืนได้ จนเอามาใช้ได้จริง พระพุทธเจ้าต้องถือว่าท่านทำพลังงานปรมาณูได้ ถึงขั้นอะตอม 1/9/2558 19:02:19
     “ทุกข์”ที่ดับ จึง “ดับ”เฉพาะ “ทุกขอาริยสัจ”เท่านั้น อันเป็นทุกข์ทาง “จิตนิยาม”แท้ๆ เป็น “เจตสิกทุกข์” ส่วน “กายิกทุกข์” หรือทุกข์ที่เกิดจาก “สรีระ”ซึ่งยังเป็น “พีชนิยาม”มันก็ยังไม่มี “เวทนา”มันจึงไม่รู้สึกสุขหรือทุกข์หรอก แม้ “พลังงานที่ตกลงไปถึงความเป็นพีชนิยามในตัวคน”(เช่น คนที่ “จิต”ตกลงไปถึงขั้น “มนุษย์พืช”เป็นต้น หรือถูกฉีดยา ถูกวางยาสลบ แม้จะยังไม่ตายก็ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนา) หรือพวกที่ทำเจโตสมถะ ก็กดข่มพลังงานตรงนี้ไปได้เหมือนกันไม่รู้สึกทุกข์สุข แต่ไม่ใช่เจโตวิมุตินะ 
    ถ้าเรียกในนามสมาธิก็แค่มิจฉาสมาธิหรือสมาธิชั่วคราว คำว่ามิจฉาหรือสัมมานั้นอันที่ผิดไปจากพุทธอันนั้นคือมิจฉา ไม่ใช่ว่าทุกอย่างคือมิจฉาทิฏฐิหมด มิจฉาคือไม่ถูกต้องตรงสัมมาทิฏฐิของพุทธ ไม่ใช่ว่าผิดไปจากที่ตนเข้าใจก็มิจฉาทิฏฐิหมด 1/9/2558 19:05:30
    แม้ “ทุกขอาริยสัจ”จะดับไปได้หมดสิ้นแล้วในผู้นั้น แต่ความเป็นคนยังอยู่ มันก็ยังเหลือ “ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้”อันเกิดอยู่ 6 ประเภทเป็นต้นนั้นไง ที่มันก็ยังมี “ชาติ”คือ “การเกิด”อยู่ ยังไม่สูญหมดเกลี้ยง
    ต้องรู้ตัวตนของกิเลส แล้วกำจัดให้ถูกตัวตน ไม่ใช่แค่สมถะไว้ ต้องรู้ถึง กาย เวทนา จิต ธรรม อ่านออก รู้ถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา ลึกถึงจิตในจิต เข้าถึงธรรมในธรรม แล้วสงบจนเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไปนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)ส่วนความรู้สึกทั่วไปๆก็รู้เหมือนคนสามัญ ไม่ใช่ดับความรู้สึกไปหมด ไม่ได้หนีเลย รู้เหมือนเขาแต่ท่านไม่มีเคหสิตเวทนาที่เป็นอารมณ์โลก  ท่านไม่มีความรู้สึกแบบรสโลกีย์แล้ว  1/9/2558 19:09:30

ซึ่งเป็นความไม่รู้สึก คือไม่มีเวทนาของผู้มีโลกุตะแท้ๆ ผู้มีอย่างนี้จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ละเอียดลึก กว่าเข้าใจตื้นๆที่ดับสัญญาดับเวทนาในสัญญาเวทยิตนิโรธ แบบฤาษีเข้าใจกันนี่ เฉพาะส่วนที่เป็นโลกียรส อันเฉพาะ เป็นเนกขัมสิตเวทนา อันออกจากอารมณ์แบบเคหสิตะ แต่ยังร่วมตามความรู้สึกที่มีอยู่ตามธรรมชาติเหมือนคนอื่นเขา รู้เหมือนคนอื่นแต่ไม่ต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำ 

อย่างโสดาบัน อบายมุขที่เขาฉายกันอยู่ทุกวัน เขาติดมือถือกัน เป็นโรคชนิดหนึ่งตายเพราะอันนี้ก็มีแล้วเป็นโรคเช่นกัน เขาก็รู้เราก็รู้ เราพ้นโลกีย์แล้วบรรลุ มีคุณสมบัติ อุเบกขา 5 ประการแล้ว ก็อยู่กับโลกได้ แต่ถ้ายังไม่ได้เราก็ฝึกฝนไป มันจะค่อยได้ไปตามลำดับ 

ก็มาทำความเข้าใจดีๆกับผู้ทีได้แค่เจโตสมถะ การนั่งสมาธิหลับตาทุกวันนี้มีแต่เจโตสมถะ หรือลืมตาใช้สติ ให้รู้ นิ่งเฉย แล้ววางๆ มีสติก็สมถะทั้งนั้น เพราะไม่ได้วิจัยถึงเหตุแห่งทุกข์ แล้วทำให้มันมีวิปัสสี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี กิเลสมันอยู่กับเรานานมันก็จัด พอเราลดมันได้มันไม่เที่ยง มันไม่อยู่กับเรานาน ไม่มาบ่อย มันไม่เที่ยงคือไม่เที่ยงอย่างจางคลาย อนิจจัง จางคลายไม่เท่าเดิม อนิจจังมีสองทางคือแบบหนาขึ้น อ้วนขึ้นมากกว่าเก่า กับแบบที่ลดลงได้ จางคลายลงได้ มันชัดๆทิศทางไม่ปิดแปลก ต้องจริงอย่างนี้เลย อ่านออกเห็นจริง 1/9/2558 19:15:16

ตัวแรกเห็นความไม่เที่ยง ก็มีได้ทุกข์คน ไม่อยู่กับคุณตลอดเวลาแต่คุณให้อาหารมันอยู่เรื่อยมันเลยโตขึ้น เราก็หยุดให้อาหาร มันอยากไม่ให้มัน ดื้อๆง่ายๆเลย ไม่อย่างนั้นก็ให้มันเรื่อย เราต้องลดก่อน อรติ วิรติ เวรมณี ละเว้นลดขาด จนกระทั่งเราสัมผัส ตอนแรกมันแรงก็อย่าเห็นเลย อยู่ไกลๆ ไม่งั้นไม่ไหว จนกว่าเราจะทำได้ แม้จะมีน้ำเราก็เอายางมันออกได้สามารถขึ้น ชาวโลกีย์ไม่รู้สึก ที่เป็นวิธีสมถะเพราะประสาทถูกสะกดจิตไว้ ส่วนชาวโลกุตระไม่รู้สึกเพราะกำจัดกิเลสอกุศล บาปไดั ออกไปได้จากจิตแท้จริง ชาวโลกุตระจึงหมดอกุศลจิตได้อย่างแท้ๆ แต่ในเวทนายังรับรู้ได้เหมือนคนทั่วไปทุกประการ 1/9/2558 19:17:42

(83)  “ชาติ 5”นั้น มีภาวะของ “อธิจิต” อย่างไร? ไฉน?      
    การปฏิบัติธรรมของพุทธ ต้องเรียนรู้ “ธรรม”ที่เป็น “ชาติ”อยู่ คือ “ธรรมชาติ”ทั้งปวงนั่นเอง แล้วจัดการกับ “ชาติ”เฉพาะที่ตนเองหมายจะ “ดับ” แล้วทำให้ “ชาติ”นั้น “ดับ”  “จิต”ที่เหลือก็จะเป็น “ชาติ”ใหม่ ที่สะอาดขึ้นไปตาม แต่ละขั้นๆ 
     “เมื่อ “ชาติ”นั้น “ดับ” โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะ “ชาติ”ตัวนั้น ก็หมดสิ้นไป แล้ว “ภพ”ก็ดับ อิทัปปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาทคือ อุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา จึงดับตามไปตลอดสาย
    ก็มี “ชาติ”ที่เป็น “นิพพัตติ”เกิดขึ้น มี “ภพ”ที่เหลืออุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา ใหม่ ที่สะอาดไปจาก “ชาติเก่า”แล้ว เป็น “ผู้มีชาติใหม่”ขั้นหนึ่ง
    แล้วผู้ปฏิบัติก็ “ดับชาติ”ตัวอื่นต่อไปอีกๆๆๆ จนกว่าจะหมดสิ้น “ชาติ”ของอกุศลจิตที่มีอยู่ในตนของแต่ละคน เป็นผู้มี “การเกิดใหม่ในโลกุตระ” จนกระทั่งถึงที่สุด “ชาติ”ใหม่สุดก็คือ  “อภินิพัตตติ”
     “ชาติ 5”คือ ชาติ-สัญชาติ(ชาติเก่าที่ยังทำงานเองเกิดเองเป็นสัญชาตญาณอยู่ในตน)-โอกกันติ(ความหยั่งลงของภาวะที่เกิด ซึ่งเป็นจุดกลางการหยั่งลงของความเกิด) ธรรมดาก็หยั่งลงเป็นโลกียะ แต่ถ้าสามารถทำให้ “เกิด”เป็นโลกุตรธรรมหยั่งลงได้  “หน่วยการเกิดใหม่”ก็เรียกว่า  “นิพพัตติ” ชาติ “นิพพัตติ”ที่สูงขึ้นๆถึงขั้นสุดก็เรียกว่า “อภินิพพัตติ”
     “ชาติ”จะสะอาดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิจริง 
     “ธรรม”(ความทรงอยู่ของจิต)จึงจะสะอาด จาก “พลังงาน”ที่เราจะไม่ให้มีอยู่ใน “อัตตา”ที่เป็น “จิตนิยาม”ของเราอีก ถึงขั้นสุดท้าย ในความเป็น “จิตนิยาม”ของเรา เราจึงจะสิ้นความเป็น “ชีวิตินทรีย์”แห่งความเป็น “ชีวะ”บริบูรณ์ไปทะลุขั้น “อนุสัย”เป็นที่สุด  

(84) ความเป็น “อนุสัย”ที่มี “นัยสำคัญยิ่งนักของจิตนิยาม  
    ถ้าทำได้ถึงขั้น “ดับชีวิตินทรีย์”ของชีวะขั้น “จิตนิยาม”สำเร็จ ก็ถึงขั้น “ดับอาสวะ”ได้ เป็น “เอกัคคตา”สู่ความเป็น “ปุริสินทรีย์”(ปุงลิงค์) แต่ยังไม่หมดสิ้น “อนุสัย”ที่สุดท้าย ก็เหลือ “พลังงาน”อยู่ในสภาพเสมอเหมือน “พีชนิยาม”อย่างมีนัยสำคัญ คือ ไม่ทำบาปทั้งปวงได้แล้ว  “อกุศลจิต”ที่เราดับได้นั้นไม่มี “พลังงาน”-ไม่เกิดเป็น “พลังงาน”อกุศลนั้นอยู่ในจิตเราอีก
        แม้อนุสัยของอรหันต์ก็เป็นอนุสัยที่มีประโยชน์นะ แม้อนาคามีนี่ก็ไว้ใจได้แล้วที่จะให้ไปบริหารประเทศได้ ให้ไปทำงานกับต่างประเทศแม้เป็นนักธุรกิจก็เป็นการค้าแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไปค้าขายก็ไปขาดทุนให้เขา เพราะประเทศไทยพึ่งตนเองไม่รอดจึงต้องอาศัยเงินต่างประเทศมาเลี้ยงตน นี่คือความล่มจมของประเทศไทย แล้วก็ไปหาวิธีคิดเอาเงินจากเขามาก็คือคิด GDP ไปเอาเปรียบเขาแต่ที่จริง ความเจริญคือเราขาดทุนให้แก่ต่างประเทศเท่าไหร่นี่คือความเจริญเป็น GDP อาตมาถึงว่าขายหน้าที่จะไปเอาเงินจากการท่องเที่ยง แต่ก็เห็นใจว่าต้องพึ่งพาอย่างนั้นอยู่ 
    ถ้าคนจะมาเที่ยวในประเทศเราต้องให้เหมือนกับภูฏาน ที่เลือกคนมาเที่ยงประเทศได้ แม้เขาไม่ร่ำรวยแต่เขารวยสิ่งประเสริฐนะ เมืองไทยเรามีพลเมืองกว่าจะเจริญโลกุตระประชากรก็ถึงร้อยล้านคนแน่ เป็นอัตราก้าวหน้าปฏิภาคทวีแน่นอน ทิศทางที่เราพาเจริญไม่ใช่เรื่องตื้น ผู้ที่พึ่งตนเองได้แล้วก็เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น เป็นอัตตาหิอัตโนนาโถ เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ต้องมาเดินตามในหลวงร.9ที่ให้มาเอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรานะ 1/9/2558 19:41:53
         
    สุดท้ายก็จะเหลือ “ชีวานุปาทิ” ที่จะเรียกว่าเป็น “อนุสัย”ที่อาศัย ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์จาก “กิเลสาสวะ”สัมบูรณ์ ทำงานอยู่กับชีวิตของอรหันต์ขั้น “อุภโตภาควิมุติ” ซึ่งเป็น “อมตบุคคล”ก็สำคัญ
    เพียง “อาสวะ”เท่านั้นดับหมดสิ้น เป็น “จิต”ที่ไม่มีการแตกตัวขยาย “ตัวตนของอกุศลจิต”อีกเท่านั้น จึงเหลือแต่ “อนุสัย”ตัวปลาย 
    เป็น “อนุสัย”ชนิดที่มีแต่ “คุณค่าประโยชน์”ซึ่งมีแรงมีพลังงานมากตามคุณสมบัติของ “อนุสัย”แต่ละคนที่มีปริมาณและคุณภาพ  
    นี้คือ ผู้สามารถ “ดับชาติ”ของ “อาสวะ”ในตนเท่านั้น เป็นอรหันต์ขั้นปัญญาวิมุติ ก็ไม่มีอาสวะแล้ว แต่ยังมี “อนุสัย”ที่เหลือ “อาสัย”อยู่ ซึ่งไม่เป็น “ธรรม 2”แล้ว(ปุงลิงค์ = เอกกัคคจิต = เอกบุรุษ) (อนุคือน้อย ,สยะ คือตน) 
    
อนุสัยตัวต้นนี้หนาหนัก พอเริ่มต้นก็เกาะตัวเป็นกลละเป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัย แล้วเราไล่ดับจนเหลืออนุสัย เป็นตัวน้อยแต่ฤทธิ์มาก เป็นกุศลเป็นฤทธิ์วิเศษที่ดีมากด้วย เป็นชีวานุปาทิ (ชีวะ และอุปาทิ) 
    
     “ปัญญาวิมุติ”นี้ยังสามารถทำความดับ “พลังงาน”ขั้นต่อไปให้สู่ “ความเป็นกลางที่ไม่มีเพศ”(นปุงสกลิงค์)อีกได้ เป็นขั้น “ดับอนุสัย”ที่เป็นพลังงานอกุศลขั้นละเอียดลึกกว่า “อาสวะ”อีกขั้นหนึ่งสู่ความเป็นผู้ “อุภโตภาควิมุติ” ผ่านวิมุติสู่อมตบุคคล เหลือตัวภาษาว่าเป็นอนุสัยเท่านั้น มั่นหมายกันให้คมๆชัดๆแม่นๆตรงๆเถิด 1/9/2558 19:48:04
    จนกว่าท่านจะทำ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”แก่ตนสุดท้ายเอง
     “พลังงานอกุศล”ของ “อาสวะ”ก็ดี ของ “อนุสัย”ก็ดี จะมีภาวะถูกกำจัดไปอย่างหมุนรอบเชิงซ้อนที่สลับไปมาซับซ้อน เหลื่อมกันอยู่ ซึ่งละเอียดเกินสามัญที่จะรู้ได้ง่ายๆ แต่เรียนรู้ได้ มีภาวะเป็นไปได้จริง เราจะเรียนรู้จากการสัมผัสกันตั้งแต่ “ธรรม 2”ที่เรียกในภาษาธรรมว่า  “กาย” ไปจนกระทั่งมากกว่า 2 ปรุงแต่งกันอยู่ ซึ่งต้องมี “นามธรรม”เป็น “ธาตุรู้”ที่จะ “รู้ตาม-เห็นตาม”(ชานโต-ปัสสโต)พลังงานจริงนั้นๆไปตลอด ได้มากขึ้นๆ 
    พวกที่คิดแต่ตรรกะไม่มีวันเห็นการตายการเกิดของจิตหรอก ต้องมาปฏิบัติแบบมีผัสสะ สัมผัสจริง แล้วเห็นความเกิดของกิเลสจริงแล้วทำให้มันดับได้ด้วยสามารถจริงไม่ใช่ไปเดาเอา ตามตรรกะว่าจิตมันเกิดดับตลอดเวลา อ.ไหนพูดเช่นนี้ก็ขี้โม้ ที่เห็นได้ก็บางคน คือเขาปั้นมโนมยอัตตา ว่าเกิดดับๆ มันปั้นจิตมาหลอกตนเอง ไม่ได้เห็นด้วยตน ตากระทบรูปแล้วมีอาการ ลิงค นิมิต อุเทส แต่ก่อนมันแรง แต่ตอนนี้กระทบแล้วไม่เกิดกิเลสหรือเกิดเราก็ดับได้ เหลือรูปราคะ อรูปราคะ จนสิ้นสังโยชน์ 1 จึงเห็นความเกิดความดับของจิตได้จริง มันเป็นนามธรรมมากเลยนะ

(85)  “ธรรมชาติ”นี้แลถ้า “ดับชาติ”ในตนได้ก็แก้ “ธรรม”
    ผู้ปฏิบัติต้องสามารถอ่าน “รูปกาย-นามกาย”ของความเป็น “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม 2”ปรุงแต่งกันขึ้น และสามารถจัดการกับ “พลังงาน”ที่ “ชาติ”อยู่ทั้งหลายให้ “ดับและเกิด”ได้จริง ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”สำเร็จ จึงจะเห็น “ความดับ-ความเกิด”กันจริงๆ เช่นเราอยากหรือโกรธ หรือรัก มันแรงมันเบาอย่างไร รักกันจนปานจะกลืนกินเป็นต้น   
    ซึ่งก็ต้องเข้าใจภาวะแห่ง “ความเกิด 5”(ชาติ-สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ) แล้วผู้ปฏิบัติก็จัดการกับการเกิดขั้น “จิตในจิต”นี้ให้เป็น “นิพพัตติ-อภินิพพัตติ”จนถึงขั้นบริบูรณ์ให้ได้
     “ความเกิด”ของจิต(โอปปาติกโยนิ) ต้องมี “อาการ”ของจิตถึงขั้น “นิพพัตติ” จึงจะเข้าขั้น “โลกุตรธรรม”  
    ผู้ศึกษาธรรมะมาถึงขั้นเชื่ออย่างกระจ่างแจ้งสนิทแน่แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนก็คือ  “ธรรมะเท่านั้นที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” แล้วก็หลงว่าตนจบแล้ว บรรลุแล้วอยู่กับตรรกะแค่นี้ นั่นยังไม่ใช่การบรรลุใดๆเลย หลงปล่อยวางกันแค่ “ได้รู้แจ้งเห็นจริง”กันอยู่แค่ขั้นนี้เท่านั้น แล้วหลงว่าตนได้ “เข้าถึงธรรม”แค่นี้ ก็ยังหลงผิดอยู่แท้    
    นั่นมันแค่ขั้น  “รู้ยิ่งเห็นจริง”เท่านั้น ยังไม่ได้กำจัด “อัตตา”ด้วยการปฏิบัติให้ “เข้าถึงหรือบรรลุธรรม”(อุปสัมปัชชติ)จนกระทั่งจิต-เจตสิกของตน “เกิดเข้าสู่ภพใหม่โลกุตระ”(นิพพัตติ) ถึงขั้น “เข้าถึงพร้อมแล้ว-เป็นผู้บรรลุแล้ว(อุปสัมปันน)ของตน แต่อย่างใด
    ต้องปฏิบัติจนสามารถเกิดปัญญามี “นามรูปปริจเฉทญาณ”กันจริงๆ แล้วจึงจะเกิด “โสฬสญาณ”ที่เป็นจริงมีจริง เป็นลำดับ ไม่ใช่มีแค่ “ปัญญา”แค่เห็นแจ้งลึกจริงแล้วอยู่ โดยไม่มี “สภาวธรรม”ที่เกิดที่เป็นให้ตน “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ตาม “ญาณ 16”นั้นครบครันเป็นขั้นเป็นตอนละเอียดลึกยิ่งนัก จนกระทั่งมี “ญาณ”ของตนเห็น “ความปล่อยวาง”(มุญจิตุกัมมยตญาณ)ในจิตของตนอย่างมี “รูปกาย-นามกาย”ยืนยันแก่ตนโทนโท่โต้งๆหลัดๆ ไม่ใช่แค่พูดเอา ตามตนเข้าใจโดยตรรกะ แต่นี่ต้องเห็นของจริงในจิตตน ปล่อยวางได้จริงเลย 
    เป็นผู้ “ดับชาติ”สำเร็จได้จริง จึงจะเป็นผู้แก้ “ธรรม” เปลี่ยนแปลง “ธรรมในธรรม”ของตนได้จริง จนกระทั่งแก้ธรรมะมาเป็นโลกุตระ
    เริ่มโลกุตระตั้งแต่กายในกาย รู้จัก เป็นจุดเริ่มต้นโดยสัมผัส หากไม่รู้จัก แต่ไปสัมผัสคนนี้ไหม ก็ว่ารู้จักแค่ชื่อ จริงๆไม่เคยพบกันเลยไม่รู้จักกันหรอก รู้จักแต่ชื่อเสียง เช่นรู้จักไอสไตน์ไหม? ...ก็อาจรู้จักจากประวัติ แต่ว่าของพุทธรู้จักคือได้สัมผัส รู้แจ้งคือรู้มากขึ้นๆ แล้วรู้จริงคือรู้จบ โดยทำให้แจ้งเพิ่มขึ้นๆ คือสัจฉิกตา คือเสร็จกิจแล้ว 

(86) ต้องเริ่มมี “โลกุตรธรรม”ตั้งแต่เห็นความเป็น “กาย” 
    ต้องปฏิบัติจนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “องค์ประกอบของรูปนาม”ตั้งแต่ “สักกาย”ซึ่งเป็น “กายของตน”อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงจะชื่อว่ามี “วิปัสสนาญาณ”พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 แล้วได้พิจรณา “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”อันเป็น “โลกุตรธรรม”ใน “สติปัฏฐาน 4”ข้อ 1-2-3-4 เจริญขึ้นไปตามลำดับดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “โลกุตรธรรม”นั้นก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 นี้แล (ดูในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620)   
    ทำตามปริเฉทหรือปริตตัง หรือขอบเขตที่เรากำหนดจะทำ เช่นเราเอาแค่ศีล 5 เราก็มีชีวิตอยู่ประจำวัน เช่นเราไม่กินเนื้อสัตว์ แต่เขากินเนื้อสัตว์กันอยู่เป็นนิจ ก็เคยสาธายายไว้แล้ว ว่าเอาสัตว์มาฆ่าให้พระกินก็ได้บาปมิใช่บุญเป็นอันมาก เราเกี่ยวข้องกับสัตว์ ก็ดูจิตเรา เราเกิดอาการจิตอยากทำร้ายไหม อย่ามาอ้างว่าเอามากิน สัตว์แต่ละตัวมันเกิดมากับวิบาก มันเกิดมาสร้างวิบากกับใช้วิบาก สัตว์ตัวเล็กเซลล์เล็กๆ ก็ไม่ได้ทำบาปกรรมอะไรมากไม่รู้มากก็สร้างชีวะของมันมา จนกว่ามันจะมีมากขึ้นก็เป็นตัวตนมากขึ้น ชีวิตสัตว์ก็สร้างตัวเอง ในระดับหนึ่งกิเลสจะมากมีบาปมีภัยแล้ว กิเลสมันมี แล้วก็ต้องเวียนวน เป็นบาปเป็นบุญ ก็หมุนเวียนนับชาติไม่ถ้วน กว่าจะมาเป็นคน เป็นเวไนยสัตว์ที่สอนได้ เราก็มาย้อนดูว่าอะไรดีชั่วเกาะตัวเป็นอนุสัย เราก็มาทำลายอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ อย่าทำลายสิ่งข้างเคียง แยกเอาตัวสัตว์หรือตัวโจรมาฆ่าเลย อย่างโจรอยู่ในเมืองไทย เราจะเผาเมืองไทยหมดได้อย่างไร โจรมันอาจหนีไปเสีย คนอื่นตายหมดไม่ได้ 1/9/2558 20:13:24 
    วิปัสสนาตัวแรกคือรู้สังโยชน์รู้สักกายะ รู้กายในกาย เป็นโลกุตระ มี 37 ก็คือโพธิปักขิยธรรม นั่นเอง 
    ถ้าแม้น “อาการ”ของจิตยังไม่เปลี่ยนแปลงสภาพจาก “เคหสิต เวทนา” ที่เป็นโลกีย์ ซึ่งผู้ปฏิบัติขณะนั้นต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโดย “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอยู่”หลัดๆ โทนโท่ทีเดียว กล่าวคือ มีองค์ประชุมของ “รูป”(ภาวะ “ที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนั้นก็คือ “ตัวตน”ของกิเลส)กับ “นาม”(ภาวะของ “ธาตุรู้ที่เรากำลังรู้”อยู่ในขณะนั้น คือ “ญาณ”) เรียก “องค์ประชุมของรูปกับนาม”นี้ว่า  “กาย”  คือรู้โจร จับโจรให้ถูกตัวเลย 
    เริ่มต้นที่เรารู้ตัวโจร สักกายะตัวแรกคือเรามี นามรูปปริเฉทญาณ ในปริเฉทนี้ในศีล 5 นี้เป็นต้น ให้พอเหมาะกับเรา เราเริ่มรู้องค์ประกอบรูป นาม เรียกว่าองค์ประชุมรูป นามนี้ว่ากาย 
     “รูป”คือตัวกิเลส(ก็คือจิตตน)  “นาม”คืออธิปัญญา(ก็คือจิตตน) ซึ่งต่างก็เป็น “จิต”ของเราเองนั่นเอง ทั้งรูป ทั้งนาม 
     “รูป”กำลังเป็น “ภาวะที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนี้ มี “อาการ”ให้เรา “เห็น”(ปัสสติ)อยู่โทนโท่ โต้งๆ หลัดๆ มันไม่มีหนวดเครารูปร่างนะ เป็นนามธรรมแต่เราสัมผัสได้ เช่นจิตกำลังอยากอยู่หลัดๆเลย เห็นหัวปลีสีชมพูนี้ก็อยากได้ อ่านเห็นเลย มันไม่ใช่ของเรา เราเอามาก็ผิดศีลข้อ 2 อย่าวิสาสะนะ อย่าขโมยนะ ก็อ่านอาการที่อยากมีอยากได้อยากเป็นจริงๆนี่คือภาวะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ตอนนี้คือ เห็นตัวตนกิเลส  
    ซึ่งก็คือ “เห็น”(ปัสสติ) “ตัวตนของกิเลส”(พลังงานจิตที่เป็นอกุศล)อย่างเป็นภาวะแท้ ด้วย “ปัญญา”ขั้นปรมัตถสัจจะ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาย”ของจิตที่เป็น “องค์ประกอบของรูปกับนาม”ชัดๆ
    และ “นาม”ในขณะนี้ก็คือ  “สัญญา”ที่กำลังทำหน้าที่กำหนดรู้ภาวะนั้นๆอยู่หลัดๆ และความรู้ที่รู้แจ้งขึ้นไปอีกเจริญจาก “สัญญา”ก็คือ ธาตุรู้เจริญจาก “สัญญา”พัฒนาขึ้นเป็น “ปัญญา-ปัญญินทรีย์”
    ฉะนี้เองคือ การเห็น “ธรรมกาย” อันเป็นกระบวนการของธรรมะ ที่กำลัง “เป็นไป”(ภวันติ) จะให้กิเลสมอดไหม้เป็นขี้เถ้า ของเราผู้กำลังเห็นอยู่โทนโท่ และ “อาการ”ต่างๆของกระบวนธรรม ก็กำลังเจริญพัฒนาใน “ธรรม”แท้ๆจริงๆ ตามพุทธภาวะ(ความปรากฏอยู่จริงของพุทธ) 
    ผู้ปฏิบัตินี้ จึงกำลังเป็นผู้ “เห็น”กายของพุทธ”อย่างเป็นสัจจะ อันเป็น “ปรมัตถธรรม”แท้ๆ
    ผู้นี้กำลังเห็น “ธรรมกาย”ได้คือ เห็น(ปัสสติ) “องค์ประชุมของรูปนาม”ทั้งในความเป็น “เคหสิตเวทนา 18”ที่เป็น “กาย”ของ “ธรรม” แล้วปฏิบัติ “มรรคอันมีองค์ 8”อยู่อย่างสัมมาทิฏฐิ และทั้งสามารถ “แก้กรรม”ให้เกิดเป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา 18”สำเร็จแท้
    ซึ่งเป็นการ “แก้กรรม”ทั้ง 4 ให้ “สัมมา”ได้จริงสัมบูรณ์ นั่นคือ การ “แก้กรรม”จาก “มิจฉาสังกัปปะ-มิจฉาวาจา-มิจฉากัมมันตะ-มิจฉาอาชีวะ”ให้เป็น “สัมมาสังกัปปะ-สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ”ได้จริง สำเร็จบริบูรณ์ 
    ซึ่งทั้ง “สังกัปปะ-วาจา-กัมมันตะ-อาชีวะ”นั้นล้วนคือ  “กรรม”ทั้ง 4 องค์มรรค” 
    โดย “ดับกิเลส”ที่เป็น “ต้นเหตุ”ให้เกิด “อกุศลกรรม”ทั้งหลาย ได้ จนกระทั่งสามารถ “ดับสมุทัยอาริยสัจ”นั้นๆอยู่อย่างเห็น “แจ้ง”
(สัจฉิ)ความเป็น “นิโรธอาริยสัจ”แท้ ถึงที่สุดสัมบูรณ์ เป็นจริง 

(87) จึงจะเห็น “ธรรมกาย”ที่เห็น “พระพุทธเจ้า”สัมบูรณ์
    นี่คือ การ “แก้กรรม”ด้วย “การกระทำ”(กรรม)ของเราเอง 
แก้จาก “อกุศลธรรม”โดยทำให้เป็น “กุศลธรรม” ที่เข้าข่าย “โลกุตร
ธรรม”ถึงที่สุด อย่างเห็นๆกันทีเดียว
    ซึ่งเป็นการทำ “บุญ” คือ ชำระกิเลส(ปุนาติ)อันคือ “บาป”จาก
สันดานของตนได้จริง มีภาวะจริงให้เห็น รู้แจ้งเห็นจริงอยู่โทนโท่ 
    ฉะนี้แลคือ  “ธรรมกาย”แท้ๆหรือ “พรหมกาย” ที่ตรงกับ
คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”  
    ซึ่งต้อง “ตนเอง”เท่านั้นที่มี “การกระทำ”(กรรม)ให้ตนได้ คนอื่นไม่มีใครบังอาจ “แก้กรรม”อย่างเป็นจริงเช่นนี้ให้ใครได้เด็ดขาด 
    กว่าจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ตัวตนของกิเลส”ก็มิใช่ง่าย กว่าจะ
ใช้วิธี “ปหาน 5”(วิกขัมภนะ-ตทังคะ-สมุจเฉทะ-ปฏิปัสสัทธิ-นิสสรณะ)
สำเร็จถึงขั้นสุด “นิสสรณปหาน” ก็ยากแสนยาก 

(88)  “ธรรมกาย”ที่แท้ของพุทธ คือ การเกิดของธรรม
     “ธรรม”ต่างๆที่กำลังเกิดในตัวผู้ปฏิบัติ กำลังเป็น-กำลังเห็น-
กำลังแจ้งความเป็น “พุทธสัจจะ”อยู่โต้งๆนี้แหละคือ  “ปรมัตถธรรม” 
ที่ชื่อว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” เป็น “ธรรมกาย” หรือ “พรหมกาย” ที่เกิดโลกุตรธรรมแท้จริง ซึ่งเป็นอาริยธรรมของพุทธตามสัมมาทิฏฐิ 
    ถ้าแม้นเห็น “ตัวตนของกิเลส”อยู่โต้งๆ ว่า มันยังไม่ลดลง ยัง
ไม่จางคลายลง ยังไม่ดับไปก็คือ มันยังคงเป็น “เคหสิตเวทนา”อยู่
    สภาวธรรมที่ “เกิดจริง-เป็นจริง”ทั้ง “ความเกิดของจิต” ทั้ง
 “ญาณทัสสนวิเศษของผู้ปฏิบัติ”เห็นสภาวะต่างๆนั้นอยู่หลัดๆทีเดียวที่เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ”(การเห็นความจริงยิ่ง) และกำลังทำ “มโน
มยิทธิ”(การทำฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์นี้คือฤทธิ์ในการชำระกิเลส ไม่ใช่ฤทธิ์นอกรีตคำสอนพระพุทธเจ้า) เป็น “อุตตริมนุสสธรรม”แท้ ข้อที่ 1 ของ “วิชชา 8” เป็นการทำ “การเกิด”ของจิต ชื่อว่า “โอปปาติกโยนิ”ตามพระอนุสาสนี  
    ต่อเมื่อ “เห็น”ว่าเราปฏิบัติมีผล “การกำจัดกิเลส”ลดลง จาง
คลายลง หรือดับไปได้ นั่นคือ  “อาการ”ของผลธรรมที่เราสามารถทำได้ผล จึงชื่อว่าผู้เนกขัมมะ คือ บรรลุผลที่เป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา” 
    นี้คือ การเห็น “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” ที่เป็น “โลกุตรธรรม”สัมมาทิฏฐิแท้จริงแล้ว

(89)  “ธรรมกาย”แท้ของพุทธ ไม่ใช่แค่การสร้าง “ภพ”
    การทำ “ธรรมกาย”ให้เกิด “อาการ”ใสๆในภวังค์ ที่ทำๆกัน สอนๆกันทั้งหลายนั้น คือ การสร้าง “ภพ”สร้าง “ชาติ”อยู่ในภวังค์ 
    หรือการทำสมาธิหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ใดก็ตาม ที่ปั้น
ภาพปั้รูปขึ้นสำเร็จในจิตภวังค์นั้น ล้วนเป็น “มโนมยอัตตา”ทั้งสิ้น  
    หากทำได้สำเร็จเห็น “ความใส”ในภวังค์ก็ดี หรือเห็นภาพที่เกิดอื่นๆใดๆก็ดี จนถึงขั้นเห็น “พระพุทธเจ้า”ในพุทธเกษตรปานนั้น
ก็ตาม ล้วนคือ  “สัญญา”กำหนดหมายของคนผู้ทำสัญญาณเอง จนสามารถทำได้สำเร็จด้วยจิต ก็เป็น “มโนมยอัตตา”(รูปที่สำเร็จด้วยใจ) 
ทำให้เกิดภาวะนั้นๆมีขึ้นได้ในใจของตน เป็น “นิมมาน”(การเนรมิต,
การสร้าง,การประดิษฐ์)จาก “ทิฏฐุปาทาน”(ความยึดมั่นในทิฏฐิ)ของตน 
จนเป็น-จนมีขึ้นได้สำเร็จ (ฉะนี้เองคือ ผู้ได้นิมมานรดีจากการสร้างเอง) 
     “การเกิด”แบบนี้เป็นการทำให้ปรากฏขึ้นในจิตได้เช่นกัน แต่
เป็น “การเกิดของจิตในจิต”ที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบของ
รูปกับนาม หรือครบองค์ประกอบของการ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วย
กาย”กระทั่งมี “กายสักขี”(มี “กาย”เป็นสักขีพยานอยู่โทนโท่)บริบูรณ์ 
[พระไตรปิฏก เล่ม 36 ข้อ 42 และเล่ม 31 ข้อ 491-498] 
    เพราะเป็นการปฏิบัติที่ยังมิจฉาทิฏฐิ ทำได้แค่เป็น “การเกิด”
ของ “โลกียจิต” ที่สร้าง “มโนมยอัตตา”ขึ้นมาได้สำเร็จใน “ภพ”(ภวังค์) 
ด้วยความรู้ขั้น “สัญญา”เท่านั้น ยังไม่ “เห็น”ด้วยปัญญา
    จึงยังไม่ใช่ “การเกิด”ที่เป็น “การเกิด”ที่เรียกว่า  “นิพพัตติ” เป็นการเกิดแค่ “โอกกันติ”ที่ยังหยั่งลงเป็น “โลกียจิต”ของปุถุชนอยู่
    นิพพัตติ” คือ  “การเกิด”ของ “โลกุตรจิต” ตั้งแต่เริ่มเกิด 
กระทั่งถึงขั้นสูงสุด อันเป็นขั้น “นิพพาน”กันทีเดียว   
    ถ้า “การเกิด”ขั้นนิพพัตตินี้แหละ เจริญขึ้นๆ ถึงขั้น “อภินิพพัตติ” ก็คือ  “การเกิดของโลกุตรจิตขั้นสูง” ที่สูงขึ้นถึงขั้นสุดนิพพาน  
    ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้เจริญใน “อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญา
สิกขา” มี “เจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุตติ”ครบ “วิมุติญาณทัสสนะ”สัมบูรณ์  

(90) วิวัฒนาการของ “พีชนิยาม”ขึ้นเป็น “จิตนิยาม”
    เพราะผู้ปฏิบัติสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “ธรรม”ที่ยังมี “ชาติ”
(การเกิด)ของความเป็น “พีชะ”ว่า แตกต่างกับความเป็น “อัตตา”อย่างมีนัยสำคัญ คือ  “ตัวตน”(อัตตา)ขั้น “พีช”เป็นพลังงานในนิยามที่ยัง
ไม่ถึงขั้น “จิต” โดยรู้จากปริมาณ(quantity)และคุณภาพ(quality) 
    โดยมีภูมิปัญญาหรือมี “ญาณ”สามารถเห็นแจ้งรู้จริงในการหยั่งลงสะสม “พลังงาน”ความเกิดขั้น “โอกกันติ”(การเกิดที่เป็นพลังงาน
หยั่งลง-สะสมลงในความตั้งอยู่แห่งธาตุนั้นๆ)ของตน ว่า “พลังงานธาตุรู้”
ตั้งแต่เป็น “สัญญา”หรือ “สังขาร”(ในความเป็นพีชนิยามมาเรื่อย)ไปทีเดียว ว่ามันค่อยๆวิวัฒนะขึ้นเป็น “เวทนา”ตามลำดับ จาก 1-2-3-4-5-6 หน่วย ถึงหน่วยที่ 7 ที่เรียกว่า  “สัตตักขัตตุปรม” ที่จะนับว่าเข้าสู่ความเป็น “สัตว์”ระดับ “จิตนิยาม”
    พลังงานธาตุรู้ที่ยังไม่ใช่ “โลกุตรบุคคล”จะไม่สามารถอ่าน
 “พลังงาน”ต่างๆดังกล่าวนี้ “ของตน”ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น “จิตนิยาม”ก็ตาม ยิ่งแค่ขั้น “พีชนิยาม” แน่นอนว่า มันยังไม่มีธาตุรู้ที่
จะสามารถรู้ได้ขนาดนี้หรอก 
    แม้ “จิตนิยาม”เองก็ต้องมีภูมิธรรมขั้น “โลกุตระ”ขึ้นไป จึงจะสามารถถอยหลังหยั่งรู้ จากพลังงาน “สย”(ตนเอง)นั้นเอง ก็ค่อยๆ
เรียนรู้จากความเป็น “อนุสัย”(ตัวตนขั้นปลาย) แล้วค่อยๆลดละล้าง
 “อนุสัย”ที่ร้ายเลวของตนได้ ความร้ายเลวก็ลดลงไปตามลำดับ จึงถอยหลังไปจากขั้น “อนุสัย” เจริญขึ้นๆ จนกลายเป็น “วิสัย” 
    แต่ “วิสัย”นี้จะไม่ใช่ “วิสัย”เดิม ทว่าจะเป็น “วิสัย”ที่วิเศษขึ้น
กว่าสามัญ เพราะเอาเฉพาะความเลวร้ายออกไป ไม่มีความเลวร้ายในความเป็น “พลังงาน” จึงกลายเป็น “วิสัย”ที่พลังงานมีปริมาณ
และคุณภาพของพลังงานเปลี่ยนมาเป็น “พลังงานดีพิเศษ”ทดแทน
พลังงานเดิมที่เลวร้าย ซึ่ง “พลังงาน”ส่วนรวมของตนไม่ได้สูญหายไป แต่แปรเปลี่ยนมาเป็นพลังงานที่ดีวิเศษจากโลกียะมาเป็นโลกุตรภูมิ 
    คำว่า “กลายเป็น”นี้บาลีใช้ภาษาว่า ภวันติ ซึ่งหมายถึงภาวะที่พัฒนาจากเดิม “กลายเป็น”ภาวะที่ “เป็น” “มี”ภาวะใหม่ ถ้ามีภาวะเจริญยิ่งขึ้นไปถึงขีด ภวิสสติ นั่นคือหมายถึง “ต้องเป็น” เพราะมันถึงขีดถ้วนรอบแล้วด้วยเหตุปัจจัยครบจริงที่จะ “ต้องเป็น” มันเป็นการ “แน่นอน”แล้วสำหรับภาวะนี้ที่จะ “ต้องเป็น”สภาพนี้ 
    และความเจริญตามนัยนี้  “วิสัย”ก็จะเจริญสู่ “นิสัย” โดย
อบรมฝึกฝนจากพลังงานที่ “อาสัย”ในการปฏิบัติทุกปัจจุบันนั้นเอง ของตนๆแต่ละคน ก็นัยะเยี่ยงเดียวกันกับพลังงานที่พัฒนาจาก
 “อนุสัย”มาเป็น “วิสัย” เพียงแต่คนละชั้นเท่านั้น

(91)  “อัตราของความเป็นชีวะ”ตามสัจจะย่อมมีสัดส่วน
    ในความเป็น “พลังงาน”ที่แปรเปลี่ยนสถานนั้น ก็มีอัตราที่
ประมาณได้ตามสังขยาเลขเป็นหลักเกณฑ์ให้ศึกษา
    ถ้า “พีชนิยาม”พลังงานที่สะสม “ตัวตน”มีปริมาณและคุณภาพ
ยังไม่มาก ไม่ควบแน่นจนเสถียร(ยั่งยืน)ถึง “เจ็ด”(สัตต)ชั้น และเกิน
 “เจ็ด”(สัตต)ชั้นขึ้นไปยิ่งๆ ก็ยังไม่นับว่า เป็น “สัตว์”คือ “จิตนิยาม”
     “พีชนิยาม”ที่มี “พลังงานชีวะ”ใด ได้สะสมพลังงาน “กาย”(องค์ประกอบของรูปกับนาม) ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ “ธาตุรู้”นั้นเป็นแค่ขั้น “พีชะ” 
คือมีแค่ขั้น “สัญญา-สังขาร” แต่ก็ได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จะเริ่ม
มีวิวัฒนาการเป็น “ทิฏฐิ”(ธาตุรู้ที่เป็นความเห็นความเข้าใจ)เจริญสูงขึ้นๆๆ
    กล่าวคือ  “ธาตุรู้”ขั้นพีชะที่สะสมตัวเองขึ้นเป็น “ความรู้”ที่
เจริญมีวิวัฒนาการไปตามลำดับ ความเป็น “พลังงานพีชะ”เองก็จะ
ก้าวหน้าวิวัฒนาสูงขึ้นไปอีกขั้น จนกระทั่งพัฒนาถึงขีดเข้าเขตเป็น
 “เวทนา” ก็จะเริ่มไปตามวิวัฒนาการแห่งพลังงานเยี่ยงเดียวกัน
กับพลังงาน “อุตุนิยาม”ที่พัฒนาขึ้นมาเป็น “พีชนิยาม” 
    ก็จะเริ่มตั้งแต่ “ดิน,น้ำ,ไฟ,ลม,อากาศ,พลังงานพีชะ”นั่นเอง 
เมื่อความเป็น “พีชนิยาม”นี้เจริญถึงขีดของ “พีชนิยาม”ที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็น “จิตนิยาม”ได้ ซึ่งมีจุดเริ่ม ก็เริ่มที่ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)เสมอ
    เช่น มี “ช่องว่าง”(คัพภะ)กับ “เชื้อชีวะ”เป็นต้น(niche มีธรรม 2) แล้ว “ธรรม 2”นี้ก็พัฒนาต่อไปเป็น “ธรรม 2”ของ “ช่องว่างรวม
พลังงานเชื้อชีวะ”(Protoplasm)..นี้หนึ่ง 
    กับเชื้อชีวะนั้นที่จะเริ่มเป็นภาวะของชีวิตสกุลใดสกุลหนึ่ง
ซึ่งจะมีทั้งเหตุที่เป็นเชื้อหลักและปัจจัยย่อยต่างๆรวมกันอยู่ทั้งหมด
(Cytoplasm)..นี้สอง 
    พุทธเรียกว่า “กลละ”(ปฐมภูมิ,primary cell) ซึ่งมีเริ่ม “เชื้อ
แรก”จริงๆ ติดอยู่กับ “ช่องว่าง(คัพภะ,niche)นั้น นี้คือ เชื้อชีวะแรก 
    จาก “กลละ”ก็เจริญเป็น “เซลล์ทุติยภูมิ”(seconddary cell)
แล้วจึงจะเป็น “เซลล์ตติยภูมิ”เพิ่มขึ้นๆๆ ซึ่งพัฒนาไปตามลำดับ
    สำหรับวิชาการของพุทธก็มีอัตราการก้าวหน้าที่ก้าวจากจุด
เริ่มไปตามลำดับแห่งการเกิด(ปฏิสนธิ) เริ่มจาก “กลละ”ก็มีบัญญัติ
อัตราการก้าวหน้าไปตามสัจจะ จาก “กลละ”ก็เพิ่มขึ้นเป็น “อัพพุท-
เปสิ-ฆนะ-ปัญจสาขา” เป็นต้น บัญญัติ 5 นี้คือ องค์ 5 ของปฏิสนธิ
    ผู้มีภูมิปัญญาถึงขั้นสามารถหยั่งถึงอ่านรู้ก็จะรู้ได้ไปตามจริง 
เป็นความเจริญของ “ทิฏฐิ”ที่ก้าวหน้าขึ้นสู่ความเป็น “ปัญญา”

(92) พีชนิยามที่เลื่อนขึ้นเป็นจิตนิยามนั้นมีอัตราของสัจจะ 
     “ทิฏฐิ”ที่เจริญขึ้นก็เป็น “ความรู้ความเข้าใจ” ก้าวหน้ายิ่งขึ้นๆ 
    จนกระทั่งเจริญจาก “ทิฏฐิ”เป็นพลังงานขั้น “ตัณหา”  
    จากเริ่มเป็น “ตัณหา”แรกผลิ แล้วจึงจะเขยิบคุณภาพและปริมาณขึ้นมาจนกระทั่งเจริญมาตามลำดับ ถึงขั้น “ภูมิ”ของความเป็น “จิตนิยาม”ที่เป็น “ตัณหา”เต็มสภาพของ “ตัณหาของสัตว์”ต่อไป
    ก็จะเป็น “ตัวตน”ของสัตว์ที่มี “กาย”ต่างกัน มี “สัญญา”ต่างกันขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น “สัตว์”ต่างๆนับประมาณมิได้
     “อัตตาของสัตว์”จึวมีมากจนไม่สามารถจะแยกได้ละเอียดครบ 
     “พีชนิยาม”จะเจริญจาก “อุตุนิยาม”มาตามลำดับด้วยนัยะนี้ หรือ “จิตนิยาม”ก็ตาม ก็เจริญจาก “พีชนิยาม”มาตามลำดับด้วยนัยะ
นี้เยี่ยงเดียวกัน ทว่าต่างชั้นของความเป็น “ธรรมนิยาม”กันเท่านั้น
    จึงเกิด “อัตตา”ของชั้นแห่งความเป็น “ธรรมนิยาม”แต่ละธรรม 
     “พีชนิยาม”ก็นับเป็น “อัตตา “ของ “พีชนิยาม”ไปตามธรรมของตน
    หรือ “จิตนิยาม”ก็นับเป็น “อัตตา"ของ “จิตนิยาม”ไปตามธรรม
ของตนๆไป ชั้นใครก็ชั้นของตนๆ
    ดังนั้น เมื่อมี “การสะสมตัวตน” มากขึ้นและคุณภาพก็ควบแน่น
ขึ้นตั้งแต่ 1-2-3-4-5-6-7 ถึง 7 จึงจะนับว่าเข้าเขต “การเปลี่ยนตัวตน” เพราะเข้าขั้นสู่ “หน่วย”ที่ 3 ในปฏิภาคทวีของ “เส้า”ที่ 3 
    โดยความเป็น “อัตตา”แต่ละขั้น จะนับเอาสังขยาเลข ขึ้นไปถึง 7 นั้น มันข้ามเส้าที่ 2 ซึ่งเลยเส้าปฏิภาคทวีคู่ใหม่ คือ 2 เส้าแล้วดังนั้น ความควบแน่นนี้ถ้าเพิ่มเป็น 7 ก็เข้า “เส้าที่ 3” ซึ่งมันเป็น 8 เป็น 9 ไปได้ในเส้าของมันง่ายขึ้น แล้วก็จะ 10 ถ้าขึ้น 10 มันก็ข้ามรอบไปอีกชั้นหนึ่งเป็น “อัตตา”ในวัฏฏะใหม่ทันที   
     “สัตตักขัตตุปรม”หรือ “สัตตขัตตุงปรม” จึงหมายถึง  “พลัง
อำนาจถึง 7 หน่วย”นี้แหละที่ “ยิ่งใหญ่”(ปรม)แล้ว เป็นพลังที่จะก้าวไปข้างหน้าไม่ถอยหลังแล้ว(สัมโพธิปรายนะ) เลข 7 จึงถือว่าเป็น
ขีดสูงสุดแห่งปฏิภาคทวีของหน่วยรวมตัวกันขึ้นเป็น “เส้า” ที่เข้าสู่
 “เส้า”ที่ 3 [1-2-3 = เส้าที่ 1 แล้วก็ 4-5-6 = เส้าที่ 2 แล้วจึงจะเป็น 7]  ซึ่งมีพลังอำนาจสูงเลย 2 เส้าขึ้นไปแล้ว
    ถ้ายังเป็นแค่ 2-6 ก็เป็นแค่ “โกลังโกละ” นั่นถือว่า พลังงานยังอยู่ในระดับขั้นของความเป็นวัฏฏะแห่งพันธุกรรมที่ยังไม่แน่มั่น
เท่า “หน่วยที่ 7”(สัตตขัตตุ) ถ้าประมาทก็อาจจะตกต่ำได้อยู่ 
    ส่วนหน่วย 1 นั้น คือ อนุสัย หรือเอกพีชี อันหมายถึง 1 ที่มีนัยะ “ปฏิภาค”(ส่วนที่ทบไปทวนมา) ซึ่งหมุนรอบเชิงซ้อนสลับไปมา
อย่างเป็นระเบียบมีมิติของชั้นไล่ระดับกัน ถูกต้องตามสัจจลักษณะ 
     “โกลังโกละ”คือ 2 ถึง 6 จึงยังไม่ถือว่า มีปริมาณหรือคุณภาพที่แรงที่มากพอที่จะมั่นใจเท่า อาจจะแปรไปเป็นเสื่อมลงได้ จึง
ป้องกันการประมาท ไปนับเอาหน่วยที่ 7 เป็นหลัก “นิยตะ”(เที่ยงแท้)

(93) ผู้มี “ญาณ”รู้ตนเอง(อัตตา)จึงจะถอยลงไปรู้พีชนิยาม
     “ธาตุรู้”ของพลังงานทั้งหลายที่ยังไม่เป็น “ความรู้”ขั้นสูงเพียงพอเป็น “ญาณ”(ความรู้ของจิตนิยามเข้าขั้นโลกุตระ)ที่สามารถรู้ “จิตใน
จิต”ของ “ตนเอง”(สก,สย,สว)จนแยกแยะรายละเอียดต่างๆได้ ก็
ปฏิบัติอย่างเดินหน้าแล้วถอยหลังทวนไปมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    พลังงานขั้น “พีชนิยาม”มันยังไม่มีธาตุรู้ที่มีคุณภาพพอที่จะรู้
ความเป็น “ปรมัตถธรรม” มันยังไม่มีความรู้สึกที่ผูกพันหรือยึดติดถึงขนาดนั้น ขออนุโลมใช้ภาษาว่า มันยังไม่ “ติดใจ”[ใจนั้นคือธาตุที่เข้าขั้น
 “จิต”] พลังงานพีชะยังไม่นับเป็นวิญญาณธาตุ(ยังไม่ถึงจิต)  “พีช”ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่มีธาตุกำหนดรู้(สัญญา)ได้แล้ว มันสามารถยึด(อาทาน)
ได้เท่าสภาพของมัน ซึ่งยังไม่ “ยึดแรง,ยึดจัด,ยึดมั่น” จนเก่งกาจกระทั่งถึงขนาดพลังงานที่เป็น “จิต” 
     “ความรู้สึก”ของมันยังไม่ยึดหนักถึงขั้น “รัก”หรือ “ชัง”(ยัง
ไม่เข้าขั้นมาตรฐานที่จะเป็น “เวทนา”นั่นเอง) 
    จึงยังไม่ยึดถึงขั้น “ดูดดึงหรือผูกพัน”(อาทาน)มาให้ตน มาเป็นตน หรือยึดถึงขั้นจองเวรที่ยังชังยังแค้น ซึ่งเป็นการยึดเอามาผนวกเข้าในพลังงานของตน กระทั่งข้ามภพข้ามชาติ ผ่าน “องคาพยพแห่งรูปธรรม”ของความเป็นตนในชาตินี้ไป เพราะ “พลังงานขั้นพีชะ”
ยังไม่มี “อาการหนักหรือแรงหรือจัด”ในความเป็น “ธาตุรู้”(นามธาตุ)
ของมันเอง จนมีปริมาณหรือคุณภาพมากถึงปานฉะนั้น
    มันยึดแค่เอามาให้ตน ใช้ปรุงแต่งตนแค่ “องคาพยพ”ของรูปของร่างที่เป็น “ตัวมัน”ชาตินี้เท่านั้น ยังไม่เอาเกิน “ความกำหนดรู้”ที่
ตนมี หรือยังไม่บำเรอ “ความรู้สึก”ของตนว่าเป็นลาภของเราแล้วหนอ
ที่มี “ความรู้ใหม่-ความรู้สึกใหม่”อันแปลกใหม่ไปจากที่ตนมีอยู่เดิม แล้วก็ “หลง”ยินดีสะสม “ความรู้ใหม่-ความรู้สึกใหม่”นั้นเข้าไปใส่
 “อัตตา”ตน ปริมาณและคุณภาพของ “สิ่งใหม่”นี้จึงจะเพิ่มความเป็น “เวทนา”ให้ผู้ยินดีใน “ความรู้ใหม่-ความรู้สึกใหม่”ยึดติดกลายเป็น
(ภวันติ) “จิต”จนได้ เมื่อ “เหตุ-ปัจจัย”ครบถึงขีดความเป็น “จิตนิยาม” 
    และหากผู้มี “จิตนิยาม”นี้ยังมี “อวิชชา”อยู่ตราบใด ก็จะมี
 “ความวิปลาส”ให้แก่ตนอยู่ต่อไปอีกนาน จนกว่าจะมี “วิชชา”ของพุทธ 
    ถ้า “พลังงานพีชะ”ใดยังมีคุณสมบัติไม่ถึงขั้นเป็น “เวทนา” 
มันมีแค่ “สัญญาและสังขาร” พลังงานของมันอยู่ยังไม่มีปริมาณและคุณภาพ ข้ามขั้นเป็น “จิต”บริบูรณ์ ก็ยังไม่นับว่า เป็น “วิญญาณธาตุ”  ก็ยังเป็นแค่ “อนุปาทินนกสังขาร”เท่านั้น 

(94)  “พีชะ”มีแค่ “ตนเอง”(อัตตา) แต่ไม่เป็นภัยต่อใคร 
    พลังงานของพีชะยัง “ไม่รู้สึก”ทุกข์หรือสุข จึงไม่มีบาป หรือไม่ต้องมีบุญ พีชะมีพลังงานสร้าง “ตัวตน”(self)ของมันเท่านั้น มันแค่ “มีตัวตนตามอัตโนมัติ”(self-abuse) ยังไม่มี “ความเห็นแก่ตัว”(selfish) มันมีแต่ “สร้างตัวเอง-ทำด้วยตัวเอง”(self-made) ซึ่งแค่เลี้ยงตนเองได้-พอเพียงแก่ตนเอง(self-sufficient) 
    แม้แต่ “การป้องกันตนเอง-การยกอ้างอะไรขึ้นมาป้องกันตน
เอง”(self-defense)มันยังทำไม่ได้เท่ากับสัตว์ทำเลย มันวิ่งหนี หรือมันเคลื่อนไหวไม่ได้คล่องตัวเท่าสัตว์ 
    ซึ่งความเป็น “สัตว์”ที่เริ่มมี “จิตนิยาม”นั้น จะมี “ความอิสระ”
แม้ในความเป็น “องคาพยพ”ภายนอกของมัน ก็จะมีมากกว่ากันแล้ว
     “พีชนิยาม”มันยึดสิ่งที่มันกำหนดรู้มาใช้ในตนเพียงชาติเดียว 
คือ “ชาติ”(ชีวิต)ที่มันมี “องคาพยพ”ที่เป็นรูปร่างตัวตนของมันเท่าที่
ความเป็นพืชที่มันเป็นนั้นเท่านั้น จบชาติเดียวนั้น มันไม่มีพลังงานสืบต่อ(สันตติ)อีก จบชีวิตแล้วมันไม่มีอะไรผูกพันกับอะไรอีกเลย 
แม้แต่ตนเองก็ไม่มี “พลังงานความเป็นตน”ไปสืบต่ออยู่ที่ไหนอีก
    จบชีวิต “พีชะ”ลงเมื่อใด ทั้งองคาพยพของมันก็ดี  พลังงานของมันก็ดี แตกแยกสลายไปทั้ง 2 ภาวะ ไม่มีเชื้อ “พีชะ”ใดเหลืออีก

(95) ส่วน “จิต”นั้นเป็นทั้งภัยยิ่ง-ทั้งประโยชน์ยอด ในโลก 
    พลังงาน “พีชะ”จึงแตกต่างจากพลังงานขั้น “จิต”(จิตนิยาม)ที่
ปรุงแต่งกันถึงขั้น “วิญญาณ” และพลังงานขั้น “จิต”นี้แหละที่มี
พลังงาน “เจตสิก” ซึ่งมี “อาการ”เรียกว่า  “เวทนา” อันเป็น “ตัวการ”
สำคัญที่ทำให้ “ความวิปริตผิดเพี้ยน”(วิปลาส)เกิดขึ้นอย่างที่คนผู้
ไม่มีปัญญาถึงขั้น “อาริยะที่เป็นโลกุตระ” จะไม่สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ 
     “อาการ”ของ “เวทนา”นี้เองที่เป็น “เหตุ”ให้เกิดเรื่อง เกิดนิยาย
กันหลากหลายมากมายนับไม่ถ้วนขึ้นมาในโลก 
     “เวทนา”ที่หมายถึง “ความรู้สึกหรืออารมณ์”นี้แหละ เป็น
ตัวการสำคัญ ที่เป็น “จิต”วิปริตผิดเพี้ยนไปจาก “ปรมัตถสัจจะ”(จริง
โดยปรมัตถ์,ความจริงโดยความหมายสูงสุด) 
    ผู้มี “จิต”วิปริตผิดเพี้ยนที่เรียกว่า “วิปลาส”ขั้นปรมัตถ์นั้นมี
อยู่ 3 ประเภท ได้แก่  “สัญญาวิปลาส-จิตวิปลาส-ทิฏฐิวิปลาส ผู้
สนใจตรวจดูได้ในพระไตรปิฎก เล่ม 21 ข้อ 49
    ซึ่งถ้าคนผู้ใดมี “ความเห็น-ความเข้าใจ” หรือมี “ทิฏฐิ” 
    1) ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
    2) ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
    3) ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน
    4) ในสิ่งที่ไม่งาม(อสุภ)ว่างาม(สุภ) [หรือแปลให้ชัดขึ้นอีกที]...
ในสิ่งที่ไม่น่าพึงใจ(อสุภ)ว่าเป็นสิ่งที่น่าพึงใจ(สุภ)]
     “ความเห็นหรือความเข้าใจ”นั้น ก็ “วิปลาส”(ทิฏฐิวิปลาส)
    หากคนผู้ใดมี “ทิฏฐิ”(ความรู้,ความเห็น,ความเข้าใจ,ลัทธิ)วิปริต
ผิดเพี้ยนไปจากปรมัตถสัจจะตาม 4 ข้อหลักสำคัญนี้ เป็นต้น ก็คือ ผู้นั้นมี “ความเข้าใจหรือมีความรู้”ที่เหมือนชาวปุถุชนที่ยังอวิชชา 
ยังยึด “โลกียารมณ์” ยังไม่เข้าใจความจริงขั้นปรมัตถสัจจะ อย่าง
ถูกต้องกว่านี้ มีความรู้ยังไม่ “สัมมาทิฏฐิ” ถือว่ายังมี “วิปลาส”
    ยังเป็นผู้มี “จิต”ที่ “เหตุ”คือ “ทิฏฐิ”(ความรู้,ความเห็น,ความเข้าใจ) 
วิปริตผิดเพี้ยน(วิปลาส)อยู่ เพราะยังมี “อวิชชา”ตามปฏิจจสมุปบาท 
ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ 
     “นิยาย”ของชีวิตจึงมี “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ตามปฏิจจ
สมุปบาทด้วย “อวิชชา”อยู่ ก็ยังไม่พ้น “ภพ”พ้น “ชาติ” ชีวิตก็ต้อง
 “โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส” แม้จะได้รู้สึกว่า มี “อารมณ์สุข”(เวทนา)ใน “ชีวิต”ก็ตาม ก็เป็นแค่ “สุขเท็จ”(สุขัลลิกะ)อยู่เท่านั้น 
อันคือ “อุปาทาน”ของโลก
    ดังนั้น เมื่อ “ทิฏฐิวิปลาส” ทิฏฐิก็คือส่วนหนึ่งของจิต  “จิต” จึงต้องเป็น “จิตวิปลาส”อยู่แน่ ดังนั้น ทุกปัจจุบันในชีวิต  “สัญญา”ก็
 “กำหนดหมาย”(สัญญา)อะไรต่ออะไร “วิปริตผิดเพี้ยน”ไปตาม “ทิฏฐิ” 
ตาม “จิต”ที่วิปลาสนั้นๆอยู่ตลอดไป เท่าที่ยังไม่ได้แก้ไข “วิปลาส 3”
    พลังงานที่จิตยังมี “วิปลาส 3”นี้เอง จึงก่อ “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”อยู่ในโลก เพราะ “ความวิปลาส”แท้ๆ  “จิต”ที่ยังไม่บริสุทธิ์จาก “วิปลาส 3”อยู่ตราบใด จึงยังมีภัย และเป็นภัย เป็นโทษต่อตน ต่อสังคมโลกหนักหนาสาหัสอยู่ตลอดนิรันดร เท่าที่ยังไม่ “พ้นอวิชชา”

(96)  “ความวิปลาส”ของคน จึงต้องเรียนรู้อย่างสำคัญ
    คนที่ยังไม่ใช่ “อรหันต์”จึงต้องเรียนรู้ “ความวิปลาส 3”นี้อย่างสำคัญ เพราะถ้าหากผู้ใดยังเหลือ “เชื้อวิปลาส”ในความเป็น “ปรมัตถธรรม”อยู่แม้ส่วนน้อยนิด ก็ยังเป็น “อวิชชา”ที่น้อยนิดนั้นแหละอยู่  
    แม้แต่ผู้สำเร็จขั้น “อรหันต์”ได้แล้ว ปานนั้นก็ดี ก็ยังมีส่วนแห่ง “วิปลาส”ได้อยูู่่เลย แต่เป็นเรื่องเล็กๆเรื่องน้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต หรือเรื่องร้ายแรงอะไร ยิ่งเป็นอาริยสัจก็ยิ่งไม่มีผิดแน่ 
    ซึ่งอรหันต์จะวิปลาสบ้างก็แค่ “สัญญาวิปลาส”(การกำหนดหมาย
บางครั้งบางคราวผิดเพี้ยนไปได้บ้าง) เช่น จะพูดกำหนดหมายถึงสิ่งนี้ แต่ไพล่ไปพูดเป็่นสิ่งอื่น เป็นต้น หรือกำหนดหมายอะไรไม่ตรงตามที่ชาวโลกเขารู้ๆกัน พูดไม่ตรงตามชาวโลกที่เขากำหนดยึดถือกัน 
     “สมมุติสัจจะ”ท่านผิดท่านเผลอไปได้ ไม่ตรงตามเขาได้อยู่ 
    ส่วน “ปรมัตถสัจจะ”นั้นท่านไม่ผิดเพี้ยนไปหรอก
    แต่ “ปรมัตถสัจจะ”ที่ท่านกำหนดหมายอยู่ แน่นอนว่า ไม่ตรงกับชาวโลกที่ชาวโลกส่วนใหญ่เขากำหนดหมายยึดถือกัน จนถึงขั้นผู้ที่ฉลาดในความเป็นโลกที่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นโลกอย่างยิ่ง ก็จะเห็นว่า “อรหันต์”ผู้นี้คือ ผู้วิปริตผิดผู้คน เพ้อเจ้อไปแล้วจริงๆ  
     “ทิฏฐิ”ของอรหันต์นั้นไม่วิปลาสแล้วแน่  “จิต”ก็ไม่นับว่าวิปลาส
    ส่วน “สัญญา”นั้น เป็นส่วนหนึ่งของ “จิต”ที่เป็นเครื่องใช้ทำงาน
อยู่ตลอดกาล แม้จะ “จบกิจ”เป็นอรหันต์แล้ว จึงบกพร่องได้บางครั้ง

(97)  “สัญญา”นี้แล ที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับทั้ง 3 กาลตลอด
     “สัญญาปัจจุบัน”เท่านั้นที่ “วิปลาส”บ้าง ใน “การกำหนดหมาย”
    หรือใน “ความจำ”นั้น แม้แต่ในอดีตหรืออนาคต ที่เป็น “สมมุติสัจจะ” ก็ไม่เที่ยง-ไม่แน่นอนได้ สำหรับท่าน แต่ที่เป็น “อาริยสัจ”
ท่านไม่วิปลาสแล้วแน่นอนตั้งมั่นเด็ดขาด 
    เช่น ในขณะที่สติใช้งานทั้งภายนอกภายในพร้อมกันอยู่ แล้วขณะนั้นท่านมุ่งมั่นอยู่ภายในมากหน่อย สติภายนอกก็ไม่บริบูรณ์บางขณะ ก็อาจจะถูกโรคแห่ง “วิปลาส”นี้แทรกได้อยู่บ้าง เป็นคราวๆ ก็มีความบกพร่องได้ ยิ่งเป็น “อรหันต์ที่ดับได้แค่อาสวะสิ้นไป” ยังเหลือเศษ “อนุสัย”อยู่ คือเป็นแค่อรหันต์ “ปัญญาวิมุติ” เป็นต้น 
    ซึ่งเรื่องนี้มันลึกไปถึงขั้น “อาสวะ” ขั้น “อนุสัย” ค่อยๆศึกษาไป 
    โดยเฉพาะ ในขณะนอนหลับก็มีนิมิตหรือฝัน แม้อรหันต์
ปัญญาวิมุติแท้ๆก็ยังเกิด “วิปลาส” เพราะ “อนุสัยจิต”ที่เหลือของ
 “จิต”ส่วน “วิปลาส”ที่เหลือ ยังทำงานอยู่ จึงยังมี “สัญญาวิปลาส”  ทำงานในขณะนอนหลับ ซึ่งขณะคนหลับการควบคุม “สติ”ไม่ได้เต็มครบเป็น “สติมันโต”บริบูรณ์ ครบ “สูรภาโว”ที่มีอาการ 32 (ทวัตติงสาการ) ครบภายนอกและภายในแห่งองคาพยพของคนแน่นอน
    ยกเว้นผู้เก่ง “เจโตสมถะ”ที่สามารถนอนหลับแล้วสามารถ
 “ดับ”ความรับรู้ภายในได้สนิท ไม่รับรู้อะไรเลยเท่านั้น ที่ไม่มีรู้ใดๆ จึงไม่มี “ฝัน” แต่ถ้ารับรู้สึกแม้แต่ในภายใน คนผู้นี้ก็ “วิปลาส”อยู่แน่
    จึง “ฝัน”นั้นแหละคือ “ความวิปลาส”อยู่ ของจิตมนุษย์ เท่าที่บารมีของแต่ละท่านมีกัน
    เพราะ “สัญญา”ทำงานทั้งภายในและภายนอก และทั้ง 3 กาละอยู่ไม่ขาดไปจากความเป็นมนุษย์ เว้นแต่ผู้สามารถกำหนดไม่เกี่ยวเองในขณะใดเอาได้

(98)  “ฝัน”หรือ “นิมิต”ในขณะนอนหลับ คืออะไร?
    สำหรับคนทุกคนทั้งนั้น ตามสามัญทั่วไปนั้น  “สัญญา”ยัง
ทำงาน ทั้งใน “ความจำ” ทั้งใน “การกำหนดหมาย”ที่จะทำงาน “สังขาร” อยู่ ไม่ว่าตอนตื่นอยู่ หรือในตอนนอนหลับ
    แต่ในขณะนอนหลับ ไม่มีองคาพยพจากภายนอกร่วมด้วยนั้น ความรู้ตัวทั่วพร้อมไม่ครบบริบูรณ์ทั้งภายนอกและภายใน 
    เพราะไม่มีองคาพยพภายนอกมีส่วนใน “สติมันโต”ครบครัน จึงมีแค่ “อาการภายใน”ซึ่งไม่ครบ 32 เช่น ไม่มี “ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-
ผิวหนัง(membrane ส่วนที่ยังมิใช่ plassma membrane)”เป็นต้น แม้แต่ “เนื้อ-เอ็น-กระดูก-เยื่อในกระดูก-อาหารใหม่-และ ฯลฯ..”บางส่วนที่พักกิจ ก็ขาดพลังจากภายนอกร่วมทำงานถึงภายใน จึงลดประสิทธิภาพของ “สติ”ลงไปด้วย
     “พลังงานสติในภายใน”ขณะไม่มีสัมผัสภายนอกจึงไม่เป็น
 “สติมันโต”เต็มสภาพ  “พลังงานของสติ”จึงไม่เต็มเต็ง หรือไม่เต็มบริบูรณ์ของความเป็นสติเต็มที่ของตนๆ 
     “สติ”จึงทำงานได้เท่าที่เหลือขณะนอนหลับ โดยเฉพาะผู้ที่
ไม่ได้ฝึกหัดสร้าง “สติ”ให้ทำงานได้แข็งแรงแกร่งกล้าในขณะอยู่ใน
ภวังค์ เหมือนผู้ที่ได้ฝึก “สมาธิหลับตา”บางคน ซึ่งได้ฝึก “ทำสติให้
ตื่นรู้อยู่ในภายใน” ก็จะมี “สติ”แข็งกล้านัยหนึ่ง ซึ่งก็มีสติได้มากกว่า
ผู้ไม่ได้ฝึก ตามจริง 
    กระนั้นก็ดี  “สติ”ของผู้ได้ฝึก “สมาธิหลับตา”ก็ใช่ว่าจะรู้จัก
รู้จริงการควบคุม “สัญญา”ให้สังขารได้จริง ดีเท่ากับผู้เรียนรู้การฝึก
 “สติ”ที่สัมมาทิฏฐิ 
    ส่วนมากผู้ฝึก “เจโตสมถะ” ที่ไม่ใช่การฝึกอย่างสัมมาทิฏฐิ ก็จะเก่งไปข้างทำ “เจโตสมถะ”เท่านั้นมากกว่า  
    ดังนั้น  “สติ”จึงควบคุม “สัญญา”ทำงานได้ ตามกำลังของ
 “สติ”ที่เหลือเท่านั้น ของแต่ละคน
     “ความฝัน”ก็คือ  “สัญญา”จากส่วนที่เป็น “ความจำ”ของตน 
นั้นหนึ่ง กับ “สัญญา”ที่ทำงาน “กำหนดหมาย”อยู่ในปัจจุบันขณะหลับนั้นอีกหนึ่ง ก็จะเป็นตามแรงกิเลสและจิตที่ยังมี “มโนสัญเจตนา”ของ
ตน เท่าที่มีความสามาถจะ “ปรุงแต่ง”(สังขาร)ได้ ด้วย “สติ”ที่ไม่เต็ม แถมมี “วิปลาส 3”ของตน ของแต่ละคน เท่าที่มีจริงอีก เป็นสำคัญ 
    จึงเกิดเรื่องราวต่างๆในฝัน เป็น “ความวิปลาส”แท้ๆอยู่จริง
     “ความฝัน”จึงคือ ความเป็น “วิปลาส 3”ของตน ตัวแท้
     “ฝัน”หรือ “นิมิต”ในขณะนอนหลับจึงเป็น “การเนรมิต”เอง
ตาม “สัญญา”และ “ทิฏฐิ”สร้าง “มโนมยอัตตา”ให้ตนเป็นทุกข์เป็นสุขอยู่
    ฉะนี้แหละ  “วิปลาส 3”สมบูรณ์แบบของคนเท่าที่มีทุกคน 
ก็วิกลวิการไปตาม “จิตวิปลาส” เท่าที่ “มโนสัญญเจตนา 3”จะทำงาน
     “ฝัน “จึงเป็นเรื่องราวของ “เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย”ที่ปรุงแต่งกันอยู่อย่างคน “สติไม่เต็ม” ซึ่งประกอบด้วย “ความจำ”นั้น (1) 
    และ (2) “มโนสัญเจตนาที่เต็มไปด้วยความต้องการ” 
    (3) “กิเลสที่หลากหลายตัวการสำคัญ” ทำงานกันอยู่ใน “ภพ”
ที่นอนหลับ หรือขณะอยู่ในภวังค์แล้วปล่อยให้มันปรุงแต่งไปตาม
เจตนาบ้าง ไม่มีเจตนาบ้าง ก็เกิดเรื่องราวอันวิปลาสวิปริตไปตามเรื่อง 
    นี้คือ  “ฝัน” ที่คนผู้ “วิปลาส”หลงยึดถือว่าเป็น “ความจริง”กัน 

(99)  “ความจริง”ที่ไม่ใช่ “ฝัน” ไม่มีในคนผู้ยัง “อวิชชา”
    ปุถุชนคนในโลกล้วน “หลง”อยู่กับ “ฝัน”เยี่ยงนี้กันทั้งสิ้น ไม่มีปุถุชนคนใดไม่วิปลาส ไม่ “หลง”อยู่กับ “ฝัน”ดังว่านี้เลย
    ในชีวิตเป็นๆ ก็มี “ฝัน”อยู่ตลอดเวลา นอนหลับก็มี “ฝัน”นี้อยู่ ตายไปก็มี “ฝัน”นี้อยู่ ยังหลง “ฝัน”ว่าเป็น “ความจริง”อยู่ โดยเฉพาะ “ปุถุชน” คนผู้มีกิเลสหนา ทุกคน   
    เพราะผู้ที่ยังมี “ภพ”เป็น “ตน”อยู่ เมื่อตายไปแล้วนั่นแหละ 
ที่ยิ่งหลงสนิทว่า “ภพฝัน”นั้นแลเป็น “ความจริง” นี้คือ  “วิปลาส” ที่
่หลงยึด “ภพ-ชาติ”ที่ไม่จริงเลยนั้นเอง ว่า เป็น “ความจริง”อยู่ จึง
จมดิ่งอยู่กับ “ความฝัน”นั้นแหละ แล้วก็ดำฤษณายึดมั่นถือมั่น
มืดมนอนธกาลอยู่กับ “ฝัน”ที่ตนยึดมั่นยิ่งว่า มี “จริง”กัน
    โดยเฉพาะในตอนมีชีวิตเป็นๆนี้ก็อยู่กับ “ความหลอก” อยู่
กับ “วิปลาส” ยังไม่มี “สัจจะ”คือ “ความจริง” ก็สร้างนิยายกันไม่หยุด
    ฉะนี้คือ ผู้ไม่รู้ “สัจจะ” จึงไม่มี “ความจริง” ทั้งในตอนเป็นๆ ทั้งในตอนนอนหลับอยู่ ทั้งในตอนตายไปแล้ว
    ผู้ที่มี “ความจริง” ทั้งในชีวิตเป็นๆ ทั้งในตอนนอนหลับ ทั้งในตอนตายไป ก็คือ อรหันต์ และอรหันต์เท่านั้น 
    แต่กระนั้น ในความซับซ้อนขององค์ประกอบแห่งชีวิต 
ในขณะที่อรหันต์ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่นั้น ก็ยังต้องมีการอนุโลมไป
กับมารยาท(ที่จริงคือมารยา) ยอม “เออๆ-ออๆ”ไปกับสังคม อยู่กับ
สังคมอยู่เลย ยังรู้ยังเห็นความวิปลาสไปกับ “จิต” อรหันต์เอง
ก็ยังใช้ “ความจริง”ที่บริสุทธิ์บริบูรณแท้ยังไม่หมดที่มี อย่างที่เป็น
 “ความจริง”ของตนสัมบูรณ์เกลี้ยงเกลา จนไม่มีเหลือ
    นอกจากในขณะที่อรหันต์ตายกายแตกไปเท่านั้น
     “ความจริง”ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์สัมบูรณ์แท้นั้น อรหันต์จะมีได้
ก็ต่อเมื่ออรหันต์กายแตกตายไปนั่นแหละจึงจะมี “ความจริง”แท้ได้
    ไม่ว่าอรหันต์จะตายสูญไปเลย(อัปปณิหิตนิพพาน) หรืออรหันต์ผู้นั้นจะตายแต่ก็ยังตั้งจิตต่อพุทธภูมิ(ปณิหิตนิพพาน)ต่อไปอยู่ก็ตาม
    จึงชื่อว่า อรหันต์ที่ไม่เหลือทั้ง “ฝัน”(อนิมิตนิพพาน) ไม่เหลือ
ทั้ง “นิมิต”(อนิมิตนิพพาน) และไม่เหลืออะไรอีกเลย(สุญญตนิพพาน)
     “ความจริง” หรือสัจจะที่แท้จริง ชื่อว่ามีได้จริงกับผู้ “อรหันต์” ที่ “ตายไป” ครบ “นิพพาน 3”จริง ด้วยประการฉะนี้

(100)  “ความจริง”จึงเป็นแค่ “ฝัน”ของคนผู้ “ปุถุชน” 
    สัจจะ คือ ความจริง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัจจะหลากหลายต่างๆกัน ไม่มีในโลกเลย หรือไม่มีเลยในโลก เว้นแต่ “ในความรู้ความคิดที่หมายเอาว่าเที่ยง”(สัญญายะ นิจจานิ) เท่านั้น [พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 419 จูฬวิยูหสูตร]  
     “ความจริง”ที่ว่านี้ จึง “มี”(โหติ)สำหรับผู้ที่ “ความรู้ความคิด”
ยังหมายเอา “ความเที่ยงใดความเที่ยงนั้นอยู่” เท่านั้น
    ดังนั้น ยิ่งคนผู้ใดยังหลงผิดยึดเอา “ฝัน” ซึ่งคือ “วิปลาส”
แท้ๆอยู่ ว่าเป็น “ความจริง”ที่ตนต้อง “มี”ให้ได้ จึงเป็นคนที่ยัง “มี”
ทั้ง “ฝัน”  “มี”ทั้ง “วิปลาส” ฉะนี้แลคือ ผู้ยัง “มี”(โหติ)ใน “โลกสมุทัย”
     “ความจริง”จึงเป็นแค่ “ฝัน”ของผู้ “ปุถุชน”ทั้งหลายทุกคน ซึ่งยังมี “ฝัน”อยู่ทั้งตอนมีชีวิตเป็นๆ ทั้งในตอนตายไป
    เพราะฉะนั้น ปุถุชนคนผู้ใดที่วิปลาส ว่า  “โลกธรรม”เป็น
 “ความจริง” หรือ “รสอร่อย-รสสุข-รสสนุก-ความเพลินของทุก
สรรพสิ่งในโลก ฯลฯ” เป็น “ความจริง”  “โลกธรรม”และ “รสอร่อย-รสสุข-รสสนุก-ความเพลินของทุกสรรพสิ่ง ฯลฯ” ที่ยังเป็น
สวรรค์ชั้น “กามาวจร” จึงเป็น “ความจริง”อยู่ใน “ฝัน”ของปุถุชน
คนนั้น ทุกคน

(101)  “ปัจจุบัน”เท่านั้นที่ปุถุชนจะทำ  “ฝัน”ให้หมดสิ้นได้
    แต่ถ้าปุถุชนคนผู้ใด เข้าใจหรือ “เห็น”ว่า “โลกุตรธรรม”เป็น
ภาวะที่น่าได้-น่ามีกัน  “โลกุตระ”ก็จะเป็น “ความจริง”ที่ปุถุชนผู้นั้น
ใฝ่ “ฝัน” แล้วคนผู้นี้ก็จะแสวงหา “โลกุตรธรรม”มาให้ตน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะเอาจริง หรือไม่เอาจริง จะแค่ใด นี่ก็เป็น “ความจริง”ของคนผู้เอาจริงหรือไม่เอาจริงอีก
    จนกว่าผู้นั้นจะสามารถทำ”ฝัน”นั้น เป็น “ความจริง”ที่ยืนยัน
ได้แท้ว่า นี้แล “สัจจะ”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”บริบูรณ์สัมบูรณ์แท้จริง
    ซึ่งต้องเรียนรู้ “ความจริง”นั้นในขณะที่มีชีวิตเป็นๆนี้เท่านั้น 
ที่มี “สูรภาวะ”ครบ “อาการ 32” และมี “สติมันโต”ทั้งภายนอกภายใน 
และมี “ขันธ์ 5”พร้อมทั้ง “อายตนะ 6” ในภาวะอื่นแก้ไขไม่ได้ โดยเฉพาะเอาแต่ไปแก้ไข “ความจริง”(สัจธรรม)ด้วย “สัญญา”ภายในภวังค์
     “ความจริง”ของปุถุชนจะแก้ไขได้ในขณะที่มี “ความจริง”ของ
คนมี “สติมันโต”ตื่นเต็มครบ “ขันธ์ 5”พร้อมทั้ง “อายตนะ 6” 
    จึงต้อง “ปัจจุบัน”เท่านั้น ที่ปุถุชนจะทำ “ฝัน”ให้หมดสิ้นไปได้ 
 “ความจริง”ของปุถุชนจึงอยู่ที่ “ปัจจุบัน” นอก “ปัจจุบัน”แล้วทำ “ฝัน”
ให้หมดสิ้นไปไม่ได้เด็ดขาด  

(101)  “นิพพาน”ต้องทำใน “กาละที่เป็นปัจจุบัน”เท่านั้น 
    ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 พรหมชาลสูตร สูตรที่ 1 ของ
เล่ม 9 นี้กันทีเดียว พระพุทธเจ้าตรัสถึง  “ทิฏฐิ 62” ว่าเป็น
มิจฉาทิฏฐิทั้งหมด 
    หากใครไปหลงอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัย
ความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่
ประมาท อาสัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุ “เจโสมาธิ”อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต แล้วตามระลึกถึงขันธ์ใน “อดีต” โดยหลงยึดอยู่ในภาวะ “อดีต 18” หรือแม้แต่จะเป็นนักตรึก นักค้นคิดเอา ด้วยความเฉลียวฉลาดปานใด ก็ยังไม่สามารถบรรลุ “ความจริง”ได้ 
    ทั้งในภาวะ “อนาคต 37” รวมกับผู้มิจฉาทิฏฐิใน “ปัจจุบัน 5”
ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ “44” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ล้วนไม่สามารถบรรลุ
 “ความจริง”ได้ เว้นแต่ “สัมมาทิฏฐิ”ใน ปัจจุบัน 5”นั้นเท่านั้น ที่จะ
ปฏิบัติบรรลุ “ความจริง”หรือ “สัจธรรม”ได้สำเร็จจริง
    พระพุทธเจ้ายังทรงย้ำอีกว่า ผู้จะปฏิบัติเพื่อบรรลุ “ความจริง” ขั้นนิพพานนั้น จะกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วน
อานาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็น ตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 62 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะ “ผัสสะ”เป็นปัจจัย ฯ (พตปฎ. เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 64)
    ดังนั้น จึงต้องมี “ผัสสะ”เสมอทุกประการในการปฏิบัติธรรม 
พระบรมศาสดาทรงย้ำซ้ำไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่า  “เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้”(พตปฎ. เล่ม 9 ตั้งแต่ข้อ 64 จนถึงข้อ 89) 
    ผู้หลับตาปฏิบัติเข้าไปเอาแต่อยู่ในภวังค์ เพื่อจะได้ “เจโต
สมาธิ” โดยไม่มี “ผัสสะ”นั้น จึงปฏิบัตินอกคำสอนของพระพุทธเจ้า  
    เพราะ “ปัจจุบัน”ที่มี “สัมผัส 6”เท่านั้นที่คนจะปฏิบัติบรรลุ
 “นิพพาน”ทำ “ฝัน”ให้หมดสิ้นได้

(102) เมื่อ “ทิฏฐิวิปลาส”เสียแล้ว ขืนปฏิบัติไปก็ไร้ผล
    ที่อาตมาพูดซ้ำพูดซากในประเด็นนี้ เพราะเห็นว่า ท่านทั้งหลายต่างหลงปฏิบัติอย่างมี “ทิฏฐิ”เชื่อมั่นหนักจัดว่า การปฏิบัติเพื่อให้
เกิด “เจโตสมาธิ”แบบพุทธให้ได้นั้น ต่างล้วน “หลับตาเข้าไปอยู่ใน
ภวังค์” ปฏิบัติกันอยู่ทั้งนั้น ทั่ววงการพุทธศาสนาเต็มไปหมด จน
เรียกได้ว่า มี “ทิฏฐิวิปลาส”ของกระแสหลักในศาสนาพุทธเกือบ
ทุกคน ซึ่งมันตัด “ผัสสายตนะ 6 ย่อมเสวยเวทนา”ไปสิ้นแล้ว มัน
ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “ข้อ 90”ของพรหมชาลสูตรนี้เลย 
    มันก็ “มิจฉาทิฏฐิ”กันตาม “ทิฏฐิ 62 ประการนี้กันเท่านั้น 
    เห็นไหมเล่า?    
    ซึ่งทั้งอดีตและอนาคตนั้น มันคือ ความไม่มีแล้วสำหรับอดีต แก้ไขไม่ได้แล้ว ส่วนอนาคตนั้นมันก็ยังไม่มี ยังมาไม่ถึง แต่คนก็หลง “อนาคต”นี้มากกว่า “อดีต”เสียอีก ถึง 44 กรณี ตามที่พระบรมศาสดาของพุทธตรัสรู้ และนำมาประกาศไว้ในโลกให้ได้เรียนรู้พิสูจน์ 
    ดังนั้น คนผู้หลงยึดอดีตกับอนาคตเป็น “ความจริง”(สัจจะ)อยู่จึงคือผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ ชนิดที่ไม่มีทางจะบรรลุนิพพานได้เลย
    ทีนี้มาอธิบายถึงความลึกซึ้ง(คัมภีรา) เห็นตามได้ยาก(ทุททสา) รู้ตามได้ยาก(ทุรนุโพธา) สงบ(สันตา) ประณีต(ปณีตา) จะคาดคะเนเอาไม่ได้(อตักกาวจรา) ละเอียด(นิปุณา) รู้ได้เฉพาะบัณฑิต(ปัณฑิต
เวทนียา) ตามที่พระพุทธเจ้าทรงย้ำมาตลอดใน “พรหมหชาลสูตร”นี้ 

(103)  “ทิฏฐิวิปลาส”ที่คนวิปลาสกันได้ถึงขั้น “นิพพาน”
    ประเด็นที่ลึกล้ำ ซ้ำซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อนยากที่จะเข้าใจกันได้ก็คือ ใน “อนาคต 44”นั้น มี “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5”อยู่ด้วย 
     “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ”คือ  “ทิฏฐิ”หรือ “ความเข้าใจ,ความรู้, ความเห็น” ที่เห็นว่า  “นิพพาน”เสพรสนิพพานกันได้ในปัจจุบัน
    แต่คนที่ปฏิบัติ “มิจฉาทิฏฐิ”กัน จึงผิดเพี้ยนเป็นวิปลาสไปได้เอา “ความจริง”ที่เขาหลงยึดว่า “จริง”ของ “นิพพาน”ไปเลย ซึ่งไม่ได้
บรรลุความเป็น “นิพพาน”ที่เป็นสัจจะกันหรอก ??????????
    เช่น ไปยึดเอา “กาม” เป็น “นิพพาน” ต่างหลงว่า “สุข” แล้วก้เสวย “สุขที่เป็น “กามสุข”กันนั้นแล ว่าเป็น “ปรมังสุขัง”(นิพพานัง 
ปรมัง สุขัง)กันอยู่เต็มสังคมพุทธศาสนาทุกวันนี้  
     “ปัจจุบัน” อยู่ 5 ประเภท

    เพราะ “นิพพาน”มีในปัจจุบันนี้ที่เป็นคนผู้มี “อาการ 32”ครบบริบูรณ์นี้เท่านั้น และต้องอยู่ในภาวะตื่นมี “อายตนะ 6”ทั้งภายนอกทั้งภายในครบอีกด้วย ที่จะสามารถบรรลุนิพพานได้ ?????????
    ขาดการรับรู้ไปจากแม้แต่ “ลมหายใจที่ยังรู้อยู่ว่าเรายังมีลมหายใจเข้า-ลมหายใจออกอยู่ ออกสั้น-ออกยาว เข้าสั้นเข้ายาว ก็ต้องมีอยู่ สัมผัสสัมพันธ์อยู่พร้อม ถ้าขาดแม้แต่ลมหายใจเข้าออกนี้ เราก็หลับหรือหลบเข้าไปอยู่ในภวังค์ ไม่รับรู้แม้แต่ลมที่สัมผัสเข้าออกอยู่ที่ปลายจมูกนี้ เราก็ไม่รู้แล้ว ผู้นั้นถือว่า ไม่มี “กาย”แล้ว
    จึงถือว่า “ไม่มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย” ก็จะเป็นผู้ไม่สามารถ
จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:28:03 )

580902

รายละเอียด

580902-ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 13

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 2 ก.ย. 58 ก็เขาฝากปชส. งานประชุมมังสวิรัติ เอเชีย แปซิฟิก ครั้งที่ 7 และงานเทศกาลมังสวิรัติ 2558 "กินสะอาด กินถูกธรรมชาติ" 

งานนี้ก็มีผู้รู้ทั้งไทยและเทศน์ รวม 50 กว่าคนที่จะมาบรรยายให้ความรู้ เขาจัดมาเป็นครั้งที่ 7 แล้ว ผู้สนใจก็เชิญ อาตมาก็ประชาสัมพันธ์ให้ เรื่องมังสวิรัติก็เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 อาตมาว่าเป็นเรื่องสำคัญมากเลย เพราะว่ามีคุณค่าประโยชน์ทั้งด้านจิตภาพ และกายภาพ ทางกายภาพ นี้มีทางเศรษฐกิจดีขึ้น และสองก็ทางสุขภาพดีขึ้น ส่วนทางจิตวิญญาณมีอีก 2 อย่าง

1.เราเกิดจิตเมตตาได้ลดกิเลส เป็นสำคัญเลย ลดกิเลสนี่ เพราะคนไม่กินมังฯแท้จริงคือกิเลสมันไม่ยอม มันติดแล้วก็อ้างกลัวสุขภาพเสียแต่ทุกวันนี้ทางวิทยาศาสตร์เขาพิสูจน์แล้วว่า กินมังฯทำให้สุขภาพดี แม้หมอกินเนื้อสัตว์แท้ๆยังแนะนำคนไข้ให้กินมังฯเลย ที่สำคัญจุดสำคัญของอาตมาคือลดกิเลส ส่วนทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจก็จะประหยัดจะดีแน่

พระพุทธเจ้าว่า อาหารคือ ข้าวสุด ขนมสด นี่ก็คืออาหาร เป็นมังสวิรัติแน่นอน คุณอย่าไปกินข้าวกับทองหยิบทองหยอดก็แล้วกัน มีไข่ ตอนนี้อาหารมังสวิรัติเผยแพร่ไปทั่ว แม้แต่อีสานเมืองอุบลฯก็ปรากฏว่าคึกคักมาก

มีsms ก่อนเข้ารายการหน่อย
0893867xxx ทำไมพ่อครูบรรยายธรรมที่ปฐมอโศกทีไรภาพสดุดเสียงหายทุกที? 
0893867xxx แปลกใจเวลาพ่อครูเทศน์ที่สันติอโศกราชธานีอโศกศรีษะอโศกทะเลธรรมอโศกภูผาฟ้าน้ำฯภาพเสียงปกติทุกที่!มีแต่ที่ปฐมอโศกไม่ปก ติบ่อย
0893867xxx คนเขาตั้งใจฟังธรรมอยู่ดีๆมีมารผจญมีคนขัดขวางการฟังธรรมทำผู้ฟังผจญอุปสรรคในการศึกษาธรรมอยากทราบมารคนนั้นบาปไหม?จะประสบเคราะห์กรรมใด? 
0857308xxx สะกิดใจคำที่พ่อครูว่า แม้นิพพานก็ไม่น่าพึงใจ
0818557xxx กราบนมก.ท่านพ่อ ดีใจมากค่ะที่ วันนี้ท่านพ่อจิบน้ำด้วย
0893867xxx คนประมาทมักไม่กลัวกรรมที่ตนเองกระทำเพราะคิดว่ากรรมคงมาไม่ถึงตัว!แต่ ผลของกรรมโดยมากมักจะมาถึงตนโดยไม่ทันตั้งตัวแทบทั้งนั้นเอวัง!
0893867xxx ชาติที่พ่อครูสอนคือชาติเก่าที่เราเป็นอยู่ในโลกโลกียะที่เต็มไปด้วยกิเลสจมอบาย!พอมาปฏิบัติธรรมละกิเลส เลิกอบายดับอวิชชาได้เกิดมาในชาติใหม่ฤาโลกโลกุตระถูกไหม?
0893867xxx การฟังธรรมพ่อครูบ่ได้ช่วยให้จิตตนหมดสิ้นกิเลส!แต่ ธรรมท่านช่วยให้ตนรู้ว่า เมื่อโลภโกรธหลงกิเลสเกิดขึ้นในจิตตนรู้ว่าตนจะดับ กิเลสนั้นด้วยวิธีที่ท่านสอนมาจนดับเองได้ทุกขณะที่กิเลสเกิด
0857308xxx สะกิดใจคำที่พ่อครูว่า แม้นิพพานก็ไม่น่าพึงใจ
0845481xxx ธรรมะที่พ่อท่านสอนหาเรียนที่ไหนไม่ได้แล้ว มีที่นี่ที่เดียว อโศก พ่อครูว่า...อาตมาก็ว่าใช่นะ เผยแพร่ไป 45 ปีก็เดินทางได้นิด แต่ไม่ท้อ เรพาะท้อไม่มีอยู่ในสารบบของอาตมา สะกดอย่างไรคำว่าท้อ สะกดไม่เป็นเหมือนกับคนที่สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น อาตมาเคยมีม็อตโต้ว่า ผู้ที่ชนะทั้งโลกถึงที่สุดแล้ว แต่เขาทำไม่ได้ตรงที่เขาแพ้ไม่เป็น

เรื่องชาติ เรื่องธรรมชาติ
คำว่าชาติ เป็นคำเรียกการเกิดรวมๆ ทั้งรูปธรรม นามธรรม รวมไว้หมด 

สัญชาติ คือแต่ละคนที่มีธาตุสัญญา หรือแต่ละเดรัจฉานก็มีสัญชาติญาณ คือการเกิดที่มีการเกิดประจำ เป็นของเก่า ติดจิตนิยามไว้ เกิดแล้วสั่งสมเป็นเผ่าพันธุ์ ติดตัวมา โดยไม่ต้องรู้ต้องคิด เกิดมาก็มีสัญชาติ แล้วก็ค่อยรู้ตัว ก็คงพอเข้าใจสัญชาติญาณ

โอกกกันติ คือปัจจุบันธรรมที่มีการเกิดโดยกรรม กรรมนี่คือการเกิด เริ่มดำริคิดก็เกิดแล้ว จนคิดเป็นรูปร่างเรื่องราว จนออกไปเป็นวาจา องค์รวมเลย เป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ โดยจิตออกไป เป็นกรรมเต็มรูป แล้วกรรมที่เป็นอวิชชาโลกีย์ก็มีกิเลสเป็นตัวการ เป็นกัปตันใหญ่ของแต่ละคน จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ มันจัดการเราให้ทำทุกกรรม แล้วหยั่งลงไปเป็นโอกกันตะ หยั่งลงเป็นสัญชาติ ชาติโลกีย์ก็เป็นของตน ตนเองก็มีอันนี้เป็นสมบัติ ต้องรับมรดกของตนไป เป็นทายาทของตน แบ่งใครไม่ได้ คนอื่นเขาไม่ได้ทำกรรมด้วยกับเราจะแบ่งไปได้อย่างไร แล้วก็เบี้ยวไปว่า กรรมเป็นนามธรรม แบ่งกันได้ ไปโน่น แต่อย่างความดีนี่ ใครทำก็เป็นความดีของคนนั้น แบ่งกันได้อย่างไรไม่เหมือนแบงค์นะ แล้วหลอกกันว่าแบ่งบุญบาปหลอกกันเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วว่าเอาบุญมาขาย ว่าเป็นของดี อาตมาว่าแค่หลอกแค่นี้ล่ะ บาปกันท่วมท้นในสังคม ต่างคนต่างหลอกก็โง่ไง แค่นี้ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีการเจริญ ก็เรียกว่าบุญต้องได้วิมาน 2/9/2558 19:00:02

จริงมันเป็นวิบากบาป ถ้าไม่รู้โลกุตระไม่เป็นบุญหรอก แต่เอาคำว่าบุญไปหลอกเพราะเป็นคำที่สูง เอาชื่องามๆไปหลอก เอาสิ่งที่คนไม่รู้มาหลอก ปั้นรูปร่างวิมานในจิตไป น่าสังเวชใจ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาสัจจะแต่ส่งเสริมเสริมเรื่องที่ไม่จริงกันทำไม 

ผู้ใดมาเรียนรู้ธรรมะ มี Road map คือโพธิปักขิยธรรม 37 หรือย่นย่อเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ก็มาปฏิบัติ ทำใจในใจ (มนสิกโรติ) เป็นทำได้เป็นโยนิโสมนสิการ ถึงที่เกิด นี่คือใจ หทยรูป ใครจับตรงนี้ได้คนนี้เข้าโลกุตะแล้ว มันเร็วนะ ปสาทรูป กระทบโคจรรูป เกิดตรงที่หทยรูปนั่นแหละ ใครอ่านรู้อ่านทัน คนนั้นรู้หทยรูป แล้วก็มารู้ชีวิตของมัน เป็นชีวิตินทรีย์ ก็มาแยกที่ชีวิตนี้ ที่เป็นสัตว์โอปปาติกะ 2/9/2558 19:04:04

เรียนรู้ตามหลักสัตตาวาส 9(วิญญาณฐีติ 7)  ข้อที่ 1 เห็นกายต่างกัน สัญญาต่างกัน ในขณะมีพลัง จิตนิยาม พอมันเกิดธาตุ จิตวิญญาณเป็นนามธรรม สัมผัสแล้วเกิดชาติ ก็จับอ่านอาการได้ เป็นองค์รวมของรูปกับนาม ตาเรากระทบสิ่งที่เป็นเหตุภายนอก ข้างนอกเป็นวัตถุ ตาเรามีโคจระ สัมผัสเกิดรูปภายใน เราก็อ่านอันนั้นออก เรียกว่าเห็น "กาย" คือสักกายะ คือองค์ประชุมของรูป นาม ต้องมีนามนะ ย้ำแล้ว กายต้องมีนามธรรมด้วย เป็นธาตุแห่งองคาพยพ ทั้งรูปและนาม มีอาการ 32 ด้วย นี่เป็นชีววิทยาของพระพุทธเจ้า แล้วทำไมท่านเรียกว่า อาการ เพราะมันมีนามธรรมร่วมด้วยทั้งนั้น ตั้งแต่ผมขน เล็บฟันหนัง หากทำไม่ถูกต้องอวัยวะเจ้าการก็เสื่อม ไม่สมดุล ตับไตไส้พุงทั้งนั้น ทั้งอาการ 32 ถ้ามันอยู่ในร่างกายเรา มันมีอาการที่กระทบต่อความเป็นอยู่เรา แม้อุจจาระก็หนึ่งในอาการ ถ้ายังอยู่ในร่างกายเราก็มีบทบาท แม้รอที่จะทิ้งออกมาพอหลุดออกมาไม่ใช่กายแล้ว ถ้ายังอยู่ในร่างกายก็ยังนะ 2/9/2558 19:08:17

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (นับเอาผิวข้างนอก) อันนั้นไม่เป็นกาย มันไม่รับรู้สึกแล้ว พระพุทธเจ้าให้แยกกายแยกจิต เขาไม่ทำการแยกได้ไม่รู้ว่าต้องพิจารณาตอนไหน ส่วนที่ยังเชื่อมกับประสาทมีการปรุงแต่งก็เป็นกาย แต่ถ้าไม่ปรุงแต่งก็ไม่เป็นกาย ไม่มีนามธรรมเข้าไปร่วม แล้วอาการที่ 33 คือจิต คนก็อยากได้สวรรค์ แต่ว่าแท้จริงคือนรกอยู่กับคุณตลอดเวลา ตั้งแต่ทุกอาการกิริยา เอี้ยวแขน ไกวขา อันนี้บิดหน่อยก็เป็นสวรรค์ หายใจโล่งหน่อยก็สวรรค์ ทุกอิริยาบท สวรรค์น้อยๆอยู่ในวงฟ้อนรำนี่หมดเลย ที่มันพอใจบำเรอใจโดยอวิชชา จนปรุงแต่งกันลงทุนรอน แรงงาน โฆษณาจนคนหลงเชื่อ หลงแย่งกันซื้อ ได้มาเสพก็โอ้โห ถ้าไม่ได้เสียดายตายเลย ได้มาแล้วไม่เสียชาติเกิด นี่คือเทวดา ท่านเรียกเทวดา ขิฑฑาปโทสิกะ เทวดาหลงรื่นเริงบันเทิง จนถึงหยาบใหญ่เลย พระพุทธเจ้าอธิบายในทิฏฐิ 62 พระไตรฯล.9 ท่านตรัสถึงเทวดา ขิฑฑาปโทสิกะ(เทวดาวัตถุนิยม) กับเทวดา มโนปโทสิกะ(เทวดาจิตนิยม) หลงปฏิบัติธรรมแต่แบบมิจฉาทิฏฐิ คำว่า ปโทสิกะคือเป็นโทษ ไม่ใช่เป็นสุขแต่อย่างใดแต่เขาหลงกัน ส่วนมโนปโทสิกะ ก็หลงจนขนาดเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ดีนะ แต่เป็นเหมือนผีบุญ 2/9/2558 19:16:00

พระพุทธเจ้าแบ่งเป็นพวกไประลึกถึงแต่อดีตที่ผ่านไปแล้ว กับที่ปรุงไปในอนาคต มีทั้งเอาอันเก่ามาปรุงกับปรุงสิ่งใหม่มาเลยก็ได้ เป็นอดีตกับอนาคต หรืออดีตกับอนาคตด้วยกันเลย นั่งสมาธิแล้วระลึกไปในอดีต อนาคตก็ได้ ทั้งอดีตและอนาคตเป็นความฝันทั้งสิ้น มีปัจจุบันเท่านั้นที่จริง นั่งสมาธิมีสายจิตนิยมกับวัตถุนิยม อย่างเช่นธรรมกาย ถ้าธรรมกายนี้ เขายังล่าบริวารได้เมืองไทยบรรลัยจักรจริงๆ ขออภัยอาตมาไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูหรอก มันดูเหมือนไม่หยาบเหมือนเชิงกามหรือโทสะ ได้แต่ทางวัตถุอะไรฟรุ้งฟริ้งปรุงแต่ง คนก็ชอบ แล้วเอาให้มาปฏิบัติศีล ก็ดี แต่เอาดีนิดหนึ่งมาล้วงกินตับไตไส้พุง บางคนปลูกตับไต ตนเองไม่ทันก็หมด ตายเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่าเขาอาศัยอดีต อนาคต กับปัจจุบัน

อดีต 18 อนาคต 44 แม้ปัจจุบัน 5 ก็อยู่ในอนาคต เพราะทุกปัจจุบันคืออนาคตที่เดินทางมาถึงทิฏฐธรรมนิพพาน 5 จึงรวมในนี้ นิพพานกับกามหรือฌาน 1-4 ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างไม่เอาอดีตกับปัจจุบันมาเกี่ยว เพราะฉะนั้นขาดผัสสะ จะปฏิบัติธรรมได้ไม่มี ขาดผัสสะแล้วปฏิบัติธรรมไม่มีฐานะที่มีได้ จะปฏิบัติให้ตายก็ไม่ได้ ถ้าไม่รู้เวทนา 2/9/2558 19:24:26

ผัสสะนี่แหละจะเกิดตัณหา ทั้งกามตัณหา ภวตัณหา ก็ทำวิภวตัณหาไม่เป็นต้องทำให้หมดกามหมดภพ เขามีแต่สร้างภพจมภพไปเรื่อยๆ อาตมาก็สงสาร แม้จบสูง ดร. เฉลียวฉลาดมีทุนทางสังคมก็ถูกหลอก
การไม่รู้ก็ไปหลงเทวดา วัตถุนิยมกับ จิตนิยม ที่เรียกว่าเทวดาแท้จริงคือสัตว์นรก นรกปหาสะ นรกรื่นเริงบันเทิงใจ พอใจน้อยพอใจมาก ทั้ง 62 ที่มิจฉาทิฏฐิ แต่ท่านแยกให้เรียนรู้ปัจจุบัน เป็นทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ คนไม่เข้าใจก็เอา 5 อย่างนี้มาทำแบบมิจฉาทิฏฐิ เช่นเสพกามให้มากๆจะบรรลุเป็นต้น พวกนักตรึกนักคิดค้นก็อยู่กับอดีต กับปัจจุบัน 2/9/2558 19:27:32

พระพุทธเจ้าตรัสว่าในประดาความเห็นไม่มีเกินนี้แล้วในทิฏฐิ 62 นี้ ในมหาจักรวาลนี้ ประมวลแล้วคนก็ยึดทิฏฐิ 62 แม้นิพพานก็หลงปัจจุบันกัน 5 ทิฏฐธรรมนิพพานนี้อยู่ แค่นั่งสมาธิหลับตาไม่มีปัจจุบันในทวาร 6 ไม่มีเวทนา 6 ในปฏิจจสมุปบาทท่านให้ปฏิบัติ ผัสสะ 6 เวทนา 6 ทางทวาร 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4 ชาติ 5  นี้ทั้งนั้น 
ชาติ 5 อย่าง จะเป็นกามหรือฌานต้องเกิดในปัจจุบัน ก็หลงเป็นสุขในกาม สุขในฌานทั้ง 4 เพราะเขาว่าพระพุทธเจ้าว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เขาก็ว่าสุขสิ ตั้งแต่สุขน้อยๆจนสุขมากๆไคลแมกซ์ ซึ่งก็คือวิปลาส 4 คือ สิ่งที่เป็นทุกข์ว่าสุข สิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง สิ่งที่ไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน สิ่งที่ไม่น่าพึงใจว่าเป็นสิ่งน่าพึงใจ อยู่ในทิฏฐิ ในจิต ในสัญญา คือวิปลาส 3 คือคนนอกอาริยสัจ คนใดยังไม่อรหันต์ก็คือวิปลาสอยู่ทั้งสิ้น คนทั่วไปเขาว่า ต้องบ้ามากๆถึงวิปลาส แต่ที่จริงเหมาหมด ไม่ว่าวิปลาสน้อยใหญ่ก็วิปลาสหมด ตราบใดยังไม่เป็นอรหันต์ 2/9/2558 19:36:13

เห็นว่าไม่ใช่ของงามเลยก็เห็นว่าเป็นของงามจะงามน้อยงามมากก็แล้วแต่ ทั้งที่ไม่น่าพึงได้พึงเป็นเลย แล้วไปหลงว่าเป็นสุข แม้ที่สุดจะเป็นอรูปสักเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อผู้ใดอ่านกายในกาย ตีกรอบให้ตัวเองมีหลักศีล แล้วปฏิบัติกำหนดกรอบของเราไว้ เช่นจะไม่ฆ่าสัตว์ เกี่ยวกับสัตว์เมื่อไหร่ เราไม่ไปทำร้ายหรือจะรักก็ตาม ท่านไม่พูดเรื่องรักก่อนที่จะไปรักหรือชังก็ไม่ถูกทั้งนั้น แต่เอาหยาบที่สุดคืออย่าไปฆ่าเขา แล้วก็อย่าเบียดเบียนทำร้ายเขา แต่ถ้าต้นๆไม่เรียนตั้งแต่ไม่ฆ่าเขาก็จะไปเรียนอันอื่นได้อย่างไร เมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัย อย่างน้อยก็คนกับสัตว์ สัมผัสแล้วเกิดชอบหรือชัง ข่าวมีทุกวันฆ่ากันจังเลย 2/9/2558 19:38:32

ปฏิบัติธรรมสำรวมใจ จับกิเลสให้ทัน พอจับทันแล้วก็หยุดให้ทันใช้ปหาน 5 พอรู้ว่าตัวจิตตัวนี้มันร้ายแล้วก็ทำตรงนี้ให้ชัดแม้มีอย่างอื่นอีกมากแต่เราตัดกรอบแค่นี้ ปริตตังแค่นี้ เอาอบายภพก่อนเป็นต้น ปฏิบัติกายตั้งแต่สัตตาวาสข้อที่ 1 มันเป็นสัตว์โอปปาติกะ เป็นนามธรรม มีพฤติกรรมมีชีวิต มีพลังงานอันนี้ทำงานในจิต เมื่อกระทบแล้วถ้ามันแรง อยากฆ่า ก็อ่านให้ทัน ศีลข้อที่ 1 อยากทำร้าย ให้ทัน ไม่ทันก็ออกทางกาย ทางวาจา พั๊วพ๊ะ ตูมตาม ถึงตายเลย อ่านอันนี้ ถ้าเผื่อว่าไม่เรียนรู้เลย กายของคุณก็เป็นกายสารพัดกาย สัญญาก็กำหนดไปสารพัด กำหนดหมายนั้นมีสองอย่าง กำหนดหมายบวกตัณหา กับกำหนดหมายบวกเรียนรู้ 

หรือหนึ่งรู้ไม่เรียน สองเรียนรู้ กำหนดหมายอย่างนี้ๆ ก็เป็นความปรารถนาต้องการ แม้ไม่ต้องการแต่เมื่อสัมผัสแล้วก็กำหนดหมาย มันใช้เป็นสัญชาติอยู่แล้ว คำว่าสัญาชาตินี้มีตัวกำหนดหมายรู้ใส่ใจสำคัญมั่นหมายในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เกิดเป็นชาติ 2/9/2558 19:42:49

ผู้จะกำหนดหมายก็กำหนดเรียนรู้ไม่ใช่ว่าไปตามใจมัน มันอยากก็ทำเลย อยากฆ่าก็ฆ่าเลย อยากกินอยากเอามาก็กินก็เอามาเลย อย่าให้มีทั้งผลักและดูด เป็นกามกับพยาบาท อาการมันอย่างไรต้องกำหนดสัญญาให้รู้ 

แต่พวกที่เรียนรู้ผิดๆก็ไปกำหนดหมายต่างๆกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน สัตว์นรกสวรรค์จึงมีมากมายหลากหลาย แม้จะกำหนดให้เหมือนกันอย่างไรแต่ก็จะไม่เหมือนกันสารพัด อาจคล้ายกันได้แต่ไม่เหมือนเกิดเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยสร้างมาหลอกกันเต็มโลก มหาศาล เห็นแล้วบ้าได้ที่เลย พวกศิลปินนี่เขาต้องคิดใหม่นำคนอื่นให้คนอื่นคิดตามไม่ทัน เป็นคนสร้างสิ่งทับถมโลกไป 

ศิลปะนั้นถ้าเป็นมงคลอันอุดมคือศิลปะ แต่ถ้าเป็นข้าศึกแก่กุศลคืออนาจาร เช่นถ้าคุณเขียนภาพคนเปลือยแล้วทำให้คนกิเลสหดคือศิลปะ ส่วนคนที่เขียนภาพเปลือยแล้วคนกิเลสขึ้นก็เป็นอนาจาร อาตมายกให้ปิกัสโซ่ ที่เขียนภาพนู๊ด รูปคิวบิซึ่ม เขียนแล้วบิดเบี้ยวไปหมด แต่เขาก็เป็นอย่างโลกๆหลายอย่าง แต่อันนี้เป็นส่วนที่เป็นอภิธรรมของเขา 2/9/2558 19:52:39

ถ้าสัมผัสแล้วรู้สึกดีก็เป็นศิลปะ อาจเป็นโลกุตระหรือกัลยาณธรรม ศิลปะอาตมาแบ่ง 5 ระดับ
1.ลามก
2.ราคะ อันนี้มีเยอะในสังคมเลย ล่อให้เกิดราคะมากหรือน้อยก็แล้วแต่
3.สาระ 
4.ธรรมะ 
5.โลกุตระ

โอกกันติเป็นตัวปัจจุบัน ที่ต้องอ่านต้องเจียรจิตให้เป็นโลกุตรธรรมได้ ถ้าทำได้เป็นเริ่มเป็นนิพพัตติ ถ้ายิ่งทำให้โลกุตรธรรมเจริญมากขึ้นเท่าใดก็เป็นอภินิพพัตติ สูงสุดก็เป็นนิพพานเลย

โอกกันติก็แบ่งเป็นสอง เป็นโลกุตระได้เมื่อมีความรู้ปัญญาสัมมาทิฏฐิ แล้วเกิดที่ปัจจุบันไม่เกิดในอดีตกับอนาคต แล้วก็เกิดผลจริง ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าจึงปฏิบัติปัจจุบัน อดีตกับอนาคตไม่พานิพพาน เรียนรู้ได้แต่ไม่ต้องมุ่นกับมัน รู้เป็นเครื่องเคียงองค์ประกอบเท่านั้น ทิ้งอดีตอนาคตไม่ได้แต่ปัจจุบันเป็นตัวหลัก ขาดปัจจุบันแล้วไม่มีทางบรรลุนิพพาน คุณไปนั่งหลับตาก็ตัดทางนิพพานเลย เพราะขาดปัจจุบัน ตั้ง 5 ทวารตัดปัจจุบัน แล้วไปนั่งเข้าภวังค์ในภพก็แต่อดีตกับอนาคตใช้แต่สัญญา ไม่มีทางบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า 2/9/2558 19:58:44

การศึกษาสัตตาวาส 9 คือฐานแห่งการปฏิบัติกับสัตว์โอปปาติกะ จนเหลืออายตนะ 2 คืออสัญญีสัตตายตนะ กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้าคุณยังเหลือเนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่จบ ต้องทำให้เหลือแต่อสัญญีสัตตายตนะ แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิในอสัญญีสัตตายตนะ ไปแปลว่าไม่มีสัญญาก็เท่ากับดับสัญญา มันก็อันเดียวกับเนวสัญญานาสัญญายตนะหรืออสัญญีสัตว์

อสัญญีสัตว์ไม่ใช่อสัญญีสัตตายตนะ คำว่าอสัญญีสัตว์ไม่มีอาตนะ เป็นสัตตาวาสตัวที่ 5 แก้ไขยากมาก 

เนวสัญญานาสัญญายตนะคือยังเป็นสัตว์ตัวที่ 9ในสัตตาวาส 9แต่อสัญญีสัตตายตนะไม่ใช่สัตว์ตัวที่ 5 ของสัตตาวาส แต่อสัญญีสัตตายตนะคือทำสัญญาให้หมดบรรลุพ้นอวิชชาสวะ จนความไม่รู้ไม่มีเหลือเลย จะไม่รู้ไม่ได้ต้องรู้ให้ถ้วนครบ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงใช้สัญญากำหนดหมายจนพ้นสัญญาเวทยิตนิโรธ 2/9/2558 20:03:09

สัญญาเวทยิตนิโรธไม่ใช่ไปดับสัญญาดับเวทนาอีก ก็จบเห่เลย 

อย่างที่ผู้สอนธรรมะบางท่านออกทีวี ว่าอะไรๆก็เป็นธรรมะ ... มันก็ได้แต่แบบสมถะแบบนี้ ปฏิบัติธรรมต้องรู้เวทนา มีผัสสะเป็นสมุทัย แล้วแก้โลกียธรรมให้เป็นโลกุตรธรรม ให้เต็มสภาพเต็มรูป นั่นละใช่เลย ถ้ายังเข้าใจอันนี้ไม่ได้จริง ไม่เป็นตัวจริงเลย ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรต่อ ชาติที่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรฯล.10 ข.60 เป็นธรรมะสอง ที่ปรุงแต่งกันขึ้น อ่านธรรมะออกรู้จักกายของสัตว์ โดยเฉพาะมันเป็นสัตว์นรกสัตว์เปรตสัตว์เดรัจฉาน คือจิต เจตสิกทั้งนั้น มันเป็น ก็อ่านอาการ กำหนดนิมิตมันได้ พลังงานนี้เกิดอยู่แล้วก็กำจัดความเกิดนี้ได้ ถ้ากำจัดได้ก็เริ่มต้น รู้กายในกาย กายในกายก็คือ เวทนา จิต ธรรม 2/9/2558 20:10:59

การปฏิบัติแก้กรรม คือการปฏิบัติธรรมของเราไปแก้ธรรมะ แก้จากอกุศลธรรมเป็นกุศลธรรม แก้อาการสัตว์นรกให้ดับให้ไม่มีให้สูญ ให้ดับสนิทจนไม่เกิดอีก อสังกุปปัง อย่างเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง ทุวัง สัสตัง เมื่อเราสามารถแก้ธรรมะถึงขั้นเห็นแจ้งจริง รู้ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป โดยตรรกะเราก็รู้ แล้วจะปฏิบัติทำไม แต่คุณไม่รู้จักการยึดไว้ (อุปาทายติ) ที่ยึดจนอภินิเวส(บ้านเรือนตั้งหลักแหล่งเป็นวิมาน ปราสาทวังเวียงเลย อายุล้านปี หลายล้านปีเลย) ยึดมั่นถือมั่นเต็มที่เลย ถ้าเราเองสามารถแก้ธรรมะโดยการปฏิบัติกรรม เรียนรู้ความประพฤติที่เกี่ยวข้องกับทุกอย่าง ในมรรคองค์ 8 ก็มาเรียนแต่สังกัปปะ 7 2/9/2558 20:14:03

ตั้งแต่เริ่มเกิดรู้สึก จะรู้ทันได้ต้องมีสติ รู้ทัน รู้แล้วเอามาวิจัยได้ มีสราคะ สโทสะ สโมหะนี่แหละ ที่เป็นอาการ ราคะ โทสะ ก็จัดการมันด้วยวิกขัมภนะด้วยการกดข่ม ระงับด้วยตรรกะ ความรู้นะ เหตุผล ว่ามันไม่เที่ยง มันไม่มีตัวตน เดี๋ยวมันก็เกิดก็ดับไป เป็นตรรกะ ทำใจว่างๆเบาๆ มีสติๆ โดยไม่ได้เดินสติอย่างมีสติสัมผัสแล้วก็มีสัมปชัญญะต่อ รู้มัสัมปชาโน รู้แยกแยะ กำจัดมันเป็นสัมปชติ จนเผาไหม้มันด้วย เป็นสัมปชลติ ไหม้สลายราคะ หรือไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันร้อนแรงอย่างไร แต่พลังงานฌานพลังปัญญาเราร้อนแรงกว่าสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้  2/9/2558 20:16:26

มีวิปัสสนาญาณ 9 ก็มีที่แยกแยะปัญญาอีก ท่านอรรถกถาจารย์เก่งก็ต่อหัวอีก 3 หางอีก 4 ก็เป็นวิปัสสนาญาณ 16 ก็ตั้งแต่ปัจจยปริคหญาณ มีเหตุปัจจัยให้เข้ามาปฏิบัติ มีสัมมสนญาณ เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ในรายละเอียดมีวิปัสสนาญาณอีก 6 ก็อ่านได้ วิปัสสนาญาณ 9 มีอีก 
4.     (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส  ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ 
5.    (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย 
6.    (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป  
7.    (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย บางคนไม่ได้จริง ก็ทิ้งมาปุบปับ แต่ว่ามารู้ทีหลังว่าไม่ไหว ก็มีได้ พระพุทธเจ้าให้ทำไปตามลำดับแต่อย่าให้ช้าเกินการ
8.    (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย  
9.    (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น (อตัมมยตา) 
10.(7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น 
11.(8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย 
12.(9)สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7  ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ  2/9/2558 20:24:53

จนมันไม่มีอาการของสัตว์อกุศลอีกเลย พอมันหมดก็ปฏิบัติรักษาผลอีก เนกขัมสิตอุเบกขาก็ยิ่งเก่ง เป็นอเนญชาภิสังขารขึ้นเรื่อยๆ ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แข็งแรง เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มากขึ้นเรื่อยๆแล้วทำงานกับสังคมได้มีสัปปุริสธรรม 7 ก็ทำงานกับสังคมอีก พอได้คุณสมบัตินี้ก็เป็นพหูสูตร ในศรัทธา 10 ศรัทธาต้องมีศีล ให้เกิดผล เป็นอวิปฏิสาร ปมุชชะ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ นิพพิทา วิราคะ วิมุติญาณทัสสนะ  เป็นพหูสูตรมีความจริงมากขึ้นก็สอนคนได้ สอนไม่เก่งก็สอนทีละคน สอนเก่งขึ้นก็เข้าสู่บริษัท แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัย ยินดีในเสนาสนป่าคือมียินดีในความสงบจากกิเลสเป็นวัตร อยู่ป่าหรืออยู่เมืองก็สวบจากกิเลส แต่ถ้าให้อยู่ป่าก็นิยมอยู่ ออกป่าเพื่อเราจะได้ดูว่าเราห่วงโลกธรรมไหมจะฟุ้งซ่านหาเมืองไหม 

พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่า อย่าเข้าป่าเลย ป่าจะเอาใจเธอไปเสีย ไม่จมก็ลอย ต้องมีคุณธรรมระดับที่ไปอยู่ได้ ไปเพื่อเช็คผล ว่าฟุ้งซ่านหาเมืองไหม หรือว่าติดป่า ถ้าไม่เข้าใจก็ติดป่าจมอยู่ในป่าเลย อาตมานั้นยินดีในป่าแต่ไม่ติดป่า อาตมาไม่มีคดีไปยึดป่าเลย เรามีแต่สร้างป่าในเมือง ไปยึดป่าช้าเลย ป่าช้ามันแล้งแล้วเราก็ไปปลูกป่าให้ แล้วเขาจะเอาคืนเราก็คืนให้ อย่างที่ศีรษะอโศกเราก็คืนให้แต่สุดท้ายเขาดูแลไม่ไหวก็ให้เราดูแลต่ออีก 

จบ....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:29:33 )

580903

รายละเอียด

580903-ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 14

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ย. 58 แรม 5 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม วันนี้ก็คึกคักดี นร.มารอก่อน ก่อนจะได้บรรยายต่อเมื่อวานนี้  ก็ตอบ sms ก่อน หลายคนก็ขอบคุณ นมัสการมา ก็ขอบตอบรวมๆกันโดยเฉพาะพล.ร.ต.มินทร์ ก็เขียนเป็นภาษาอังกฤษมา0824883xxx SALUTE TO PORKRU ASOKER SIR RADM MINT 
0845481xxx อภิธรรมที่เขาเรียนกันทั่วไปเป์นโลกุตรไหม 
ตอบ...ตอบเลยว่าไม่เป็น เพราะต้องสัมมาทิฏฐิคำว่า กายก่อน ในโลกุตรธรรม 37 ข้อแรกคือ กายในกาย ปฏิบัติแล้วจะเกิดเป็นโลกุตรผล เป็นบุคคล 8 แล้วก็นิพพานอีก1 รวมเป็นโลกุตระ 9 เขาเรียนกันแต่ปริยัติ ท่องได้ เห็นความสัมพันธ์เป็นปฏิสัมพันธ์กันแต่ไม่เข้าใจความลึกของอภิธรรม ตั้งแต่คำว่า กายคำว่าจิต คำว่ารูป คำว่านาม เขาไม่ได้เข้าใจสภาวะเช่นนั้น เรื่องแรก รูป 28 เขาก็รู้ท่องได้หมด แต่เขาได้ปฏิบัติว่า  ตอนนี้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นปสาทรูป 5 แล้วมันโคจรรูป 5 เมื่อใด สัมผัสแล้วเกิดเหตุปัจจัย ปรากฏเป็นภาวรูป แล้วให้พิจารณาตัวภาวรูปนี่แหละคือ "กาย" แล้วก็วิเคราะห์วิจัย กายนี้เป็นต้นไป 3/9/2558 18:35:34

กายในกายก็ไปหาเวทนา เวทนาก็ไปหาจิต หาธรรม แล้วภาคปฏิบัติก็ปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 มีอปัณกปฏิปทา ในจรณะ 15 กระทบแล้ววิจัยกาย อ่านของจริงไม่ใช่ไปอยู่ในตัวหนังสือที่ท่องจำแม่น แต่แม้ปริยัติไม่คล่องแต่ปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 เจริญ มีอินทรีย์พละได้ ต้องเข้าใจสภาวะการปฏิบัติ ต้องมีปัญญาถึงธรรม ทุกอย่างเป็นธรรมะหมด แล้วธรรมะเขาก็ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป ตลอดเวลา พูดอย่างปรมัตถ์สูงเลยแต่ไม่เป็นโลกุตระ แม้ข้อ 1 เลย กาย หรือสังโยชน์ข้อ 1คือสักกายะ ที่เป็นเอโกปฏิบัติโดยตน เป็นปัจจัตตัง รู้องค์ประชุมรูปนามที่สัมผัสกัน เป็นสังขารธรรมตัวแรกของสังขาร ในกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

ต้องวิจัย กายสังขาร ก็ไปเป็นจิตสังขารแล้วค่อยเกิดวจีสังขาร ดับที่วจีสังขารเสร็จก็เริ่มต้นเป็นผล การเริ่มนิโรธคือที่วจีสังขารแล้วจะเริ่มเกิดก็รวมที่จิตสังขาร เรามีสัปปุริสธรรม 7 ที่จะอภิสังขารออกไปภายนอก รวมจิตออกเป็นกายสังขาร วจีสังขารเกิดตัวท้าย แต่ตอนกิเลสตายนั้น วจีสังขารดับเป็นตัวแรก 

0893867xxx ชีวิตมีกรรมเป็นเหตุฤาเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นเหตุคือกัมมมูล!
ตอบ...อันเดียวกันนะสองประโยคนี้  การกระทำกรรมก็เกิดกัมมพล(ผลัง) คือว่า กรรมดี กรรมชั่ว กุศลกรรม(มีสองนัย กุศลกรรมโลกียะกับกุศลกรรมโลกุตระ) ส่วนกรรมโลกุตระนั้นเป็นปุญญะหรือบุญ ซึ่งกรรมนั้นละเอียดมีทั้งกุศลอกุศล อยู่รวมกันในนั้น ก้อนไหนจะมากกว่ากัน พลังกัมมพลหรือพลังของชั่วและดี อันไหนจะมากกว่ากัน สรุปให้ฟังเลย ถ้าไม่เป็นโลกุตรธรรมนั้นบอกได้ยากว่ากรรมชั่วหรือดีจะมากกว่ากัน แต่ตอบได้ว่าชั่วมากกว่าดีเพราะว่าคนไม่รู้จักกิเลสเช่นทำดีเอาหน้านี้ก็ชั่วแล้ว พลังชั่วจะมากกว่า ถ้าไม่มีโลกุตระที่จะมาตัดพลังเสริมชั่ว ก็เลิกชั่วไปเรื่อยๆ แต่ดีนี่ พลังดีมันอยู่ นอกจากอยู่แล้วยังมีพลังไปทำชั่วหายไป แล้วพลังชั่วไม่ได้หายไปนะ แต่กลายเป็นพลังดีทดแทนเสริม เป็นพลังดีเพิ่มอีก อัตราก้าวหน้าโลกุตระเป็นอุภยถะมีอัตราก้าวหน้ากว่าโลกีย์มากมาย3/9/2558 18:46:46

เอาง่ายๆว่าคุณมาทำงานสังคมสงเคราะห์ให้แก่วัน คนหนึ่งบอกว่าเอาแรงไปทำงานได้เงินมาทำทาน กับอีกคนหนึ่งบอกว่ามาเอาแรงมาทำให้เลยไม่ต้องอ้อม อันนี้เป็นพลังงานที่มากกว่ากันซับซ้อน เพราะว่าคุณไปทำงานเอาเงินก็เอาเปรียบเขาแล้ว ก็ลดทอนพลังหลายชั้นนะ แต่ถ้าทำแล้วได้เลย ไม่มีอะไรมาเปื้อน ทำทันทีบริจาคทันที ไม่มีอะไรหักลบเลย จะมีพลังปฏิภาคทวีหลายชั้น ปฏิสัมพัทธ์ระดับ คูณหรือยกกำลังเลย

เมื่อโลกุตระหยุดพลังชั่วพลังบาปได้ ก็มีแต่สร้างกำแพงพลังแห่งความดีได้ไกลได้มากขึ้น ได้หนาขึ้น พลังชั่วที่จะมาเล่นงานเราก็เบาลงลดลง แต่ทางโลกียะได้ยาก วิบากตามทันได้ วิบากบุญหรือบาปไม่หายไปไหนเลยนะ ศาสนาพุทธกรรมไม่มีหาย ศาสนาอื่นให้ล้างบาปได้ เช่นให้บาทหลวงล้างบาป แต่บาทหลวงบางคนก็ไม่บริสุทธิ์อีก แม้พพจ.ท่านก็ไม่ไปล้างบาปให้ใคร ของตนเองต้องจัดการทำเอง แม้เป็นพพจ.ก็มีวิบากตามทันได้เบาบางอยู่3/9/2558 18:50:23

เราได้เข้าใจถึงคำว่า ชาติ ที่พพจ.แบ่งเป็น ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ทุกอย่างที่เกิดมาเรียกว่าชาติ แล้วทุกอย่างก็เรียกว่าธรรมะ คือสิ่งที่ทรงไว้ แล้วเราก็จัดการกับธรรมะหรือชาติที่เราหมายจะกำจัด ให้จิตสะอาดขึ้นเป็นอัตตา 

(83)  “ชาติ 5”นั้น มีภาวะของ “อธิจิต” อย่างไร? ไฉน?      
การปฏิบัติธรรมของพุทธ ต้องเรียนรู้ “ธรรม”ที่เป็น “ชาติ”อยู่ คือ “ธรรมชาติ”ทั้งปวงนั่นเอง แล้วจัดการกับ “ชาติ”เฉพาะที่ตนเองหมายจะ “ดับ” แล้วทำให้ “ชาติ”นั้น “ดับ”  “จิต”ที่เหลือก็จะเป็น “ชาติ”ใหม่ ที่สะอาดขึ้นไปตาม แต่ละขั้นๆ    

 “เมื่อ “ชาติ”นั้น “ดับ” โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะ “ชาติ”ตัวนั้น ก็หมดสิ้นไป แล้ว “ภพ”ก็ดับ อิทัปปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาทคือ อุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา จึงดับตามไปตลอดสายก็มี “ชาติ”ที่เป็น “นิพพัตติ”เกิดขึ้น มี “ภพ”ที่เหลืออุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา ใหม่ ที่สะอาดไปจาก “ชาติเก่า”แล้ว เป็น “ผู้มีชาติใหม่”ขั้นหนึ่ง    

แล้วผู้ปฏิบัติก็ “ดับชาติ”ตัวอื่นต่อไปอีกๆๆๆ จนกว่าจะหมดสิ้น “ชาติ”ของอกุศลจิตที่มีอยู่ในตนของแต่ละคน เป็นผู้มี “การเกิดใหม่ในโลกุตระ” จนกระทั่งถึงที่สุด “ชาติ”ใหม่สุดก็คือ  “อภินิพัตตติ”     “ชาติ 5”คือ ชาติ-สัญชาติ(ชาติเก่าที่ยังทำงานเองเกิดเองเป็นสัญชาตญาณอยู่ในตน)-โอกกันติ(ความหยั่งลงของภาวะที่เกิด ซึ่งเป็นจุดกลางการหยั่งลงของความเกิด) 

ธรรมดาก็หยั่งลงเป็นโลกียะ แต่ถ้าสามารถทำให้ “เกิด”เป็นโลกุตรธรรมหยั่งลงได้  “หน่วยการเกิดใหม่”ก็เรียกว่า  “นิพพัตติ” ชาติ “นิพพัตติ”ที่สูงขึ้นๆถึงขั้นสุดก็เรียกว่า “อภินิพพัตติ”    

 “ชาติ”จะสะอาดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิจริง “ธรรม”(ความทรงอยู่ของจิต)จึงจะสะอาด จาก “พลังงาน”ที่เราจะไม่ให้มีอยู่ใน “อัตตา”ที่เป็น “จิตนิยาม”ของเราอีก ถึงขั้นสุดท้าย ในความเป็น “จิตนิยาม”ของเรา เราจึงจะสิ้นความเป็น “ชีวิตินทรีย์”แห่งความเป็น “ชีวะ”บริบูรณ์ไปทะลุขั้น “อนุสัย”เป็นที่สุด  

(84) ความเป็น “อนุสัย”ที่มี “นัยสำคัญยิ่งนักของจิตนิยาม      
ถ้าทำได้ถึงขั้น “ดับชีวิตินทรีย์”ของชีวะขั้น “จิตนิยาม”สำเร็จ ก็ถึงขั้น “ดับอาสวะ”ได้ เป็น “เอกัคคตา”สู่ความเป็น “ปุริสินทรีย์”(ปุงลิงค์) แต่ยังไม่หมดสิ้น “อนุสัย”ที่สุดท้าย ก็เหลือ “พลังงาน”อยู่ในสภาพเสมอเหมือน “พีชนิยาม”อย่างมีนัยสำคัญ คือ ไม่ทำบาปทั้งปวงได้แล้ว จะมีพลังงานสร้างสรรยิ่งใหญ่กว่าพีชะหลายเท่ามาก แล้วไม่ทำบาปทั้งปวงเหมือนพีชนิยาม แต่พีชนิยามทำกุศลไม่ได้เท่าจิตนิยาม

ผู้ทำได้ถึงอนาคามีดับกามภพ เหลือรูปราคะ อรูปราคะ ก็ไล่ดับไปเรื่อยๆ กามภพหมดแล้วก็ยังสัมผัสกับภายนอก อนาคามีที่ได้ระดับไม่เป็นภัยต่อโลก เหมาะสมจะเป็นนายกฯ เป็น รมต. เป็นปลัดกระทรวง ยิ่งเป็นอรหันต์อุภโตภาควิมุติก็จะยิ่งทำงานผลิต อาตมาว่า คนทั้งโลกฟังไม่ออกหรือไม่เข้าใจ เช่นเศรษฐกิจแบบคนจนหรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา 

โสดาบันยังไม่เก่งถึงอาสวะ แต่ถ้าตัวหยาบที่เราละมาแล้วก็พอเข้าใจได้แต่ยังไม่มีอธิวจนะไปเรียกชื่อได้ เพราะพลังหยั่งลึกของโสดาบันยังไม่ถึง ยิ่งไม่ได้ยินพยัญชนะก็ยาก แต่พวกเราก็ได้ยินพยัญชนะก็เข้าถึงง่าย แต่ผู้เข้าถึงนิโรธได้ก็นับแต่อนาคามี ดับก็คือนิโรธ อยู่เหนือกามภพได้ แต่การดับภพ ไม่ได้หมายถึงเข้าไปนั่งสมาธิดับในภวังค์ คำว่าสมาธิ นิโรธ ไม่ได้เห็นแจ้งได้ง่ายๆ 

“อกุศลจิต”ที่เราดับได้นั้นไม่มี “พลังงาน”-ไม่เกิดเป็น “พลังงาน”อกุศลนั้นอยู่ในจิตเราอีก เพียง “อาสวะ”เท่านั้นดับหมดสิ้น เป็น “จิต”ที่ไม่มีการแตกตัวขยาย “ตัวตนของอกุศลจิต”อีกเท่านั้น จึงเหลือแต่ “อนุสัย”ตัวปลาย เป็น “อนุสัย”ชนิดที่มีแต่ “คุณค่าประโยชน์”ซึ่งมีแรงมีพลังงานมากตามคุณสมบัติของ “อนุสัย”แต่ละคนที่มีปริมาณและคุณภาพ  นี้คือ ผู้สามารถ “ดับชาติ”ของ “อาสวะ”ในตนเท่านั้น เป็นอรหันต์ขั้นปัญญาวิมุติ ก็ไม่มีอาสวะแล้ว แต่ยังมี “อนุสัย”ที่เหลือ “อาสัย”อยู่ ซึ่งไม่เป็น “ธรรม 2”แล้ว(ปุงลิงค์ = เอกกัคคจิต = เอกบุรุษ)     

อาสวะคือจิตที่ยังแผ่ขยายตัวเหมือนยีสต์ สิ้นอาสวะคือมันหยุดแตกตัวแต่ยังไม่ตาย ก็แล้วแต่บารมีของแต่ละคนที่มีกิเลสเหลือ ตัวกิเลสตายไปแต่พลังงานที่เหลือกลับมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ยิ่งใสยิ่งแอคทีฟ แข็งแรง อนุสัยตัวที่ล้างกิเลสไปได้ ที่มันทำชั่ว ล้างแล้วก็เหลือตัว สยะ ตัวเหลือน้อยเป็นพลังงานกุศล ตัวประเสริฐยิ่งดีเลย ถ้าไม่ติดในความหมายพยัญชนะ อนุสัย นิสัย วิสัย ถ้าลดอนุสัยได้ก็จบที่อนุสัย เป็นอรหันต์แล้วหมดอนุสัยเลย

ของพุทธนี้ได้รู้โลก มีสัปปุริสธรรมเจริญด้วย 

“ปัญญาวิมุติ”นี้ยังสามารถทำความดับ “พลังงาน”ขั้นต่อไปให้สู่ “ความเป็นกลางที่ไม่มีเพศ”(นปุงสกลิงค์)อีกได้ เป็นขั้น “ดับอนุสัย”ที่เป็นพลังงานอกุศลขั้นละเอียดลึกกว่า “อาสวะ”อีกขั้นหนึ่งสู่ความเป็นผู้ “อุภโตภาควิมุติ”     

สุดท้ายก็จะเหลือ “ชีวานุปาทิ” ที่จะเรียกว่าเป็น “อนุสัย”ที่อาศัย ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์จาก “กิเลสาสวะ”สัมบูรณ์ ทำงานอยู่กับชีวิตของอรหันต์ขั้น “อุภโตภาควิมุติ” ซึ่งเป็น “อมตบุคคล”ก็สำคัญมั่นหมายกันให้คมๆชัดๆแม่นๆตรงๆเถิด 
    
จนกว่าท่านจะทำ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”แก่ตนสุดท้ายเอง     “พลังงานอกุศล”ของ “อาสวะ”ก็ดี ของ “อนุสัย”ก็ดี จะมีภาวะถูกกำจัดไปอย่างหมุนรอบเชิงซ้อนที่สลับไปมาซับซ้อน เหลื่อมกันอยู่ ซึ่งละเอียดเกินสามัญที่จะรู้ได้ง่ายๆ แต่เรียนรู้ได้ มีภาวะเป็นไปได้จริง เราจะเรียนรู้จากการสัมผัสกันตั้งแต่ “ธรรม 2”ที่เรียกในภาษาธรรมว่า  “กาย” ไปจนกระทั่งมากกว่า 2 ปรุงแต่งกันอยู่ ซึ่งต้องมี “นามธรรม”เป็น “ธาตุรู้”ที่จะ “รู้ตาม-เห็นตาม”(ชานโต-ปัสสโต)พลังงานจริงนั้นๆไปตลอด ได้มากขึ้นๆ 

ผู้จะรู้นั้นรู้ได้ด้วย อาการ แล้วเรียกชื่อมันได้ อธิวจนะมันได้ อย่างนี้โทสะ อย่างนี้ราคะนะ มันใกล้กันมาก รักกับชังมันใกล้กันมาก อย่างหนังไทยมันตบจูบๆ ยากที่จะแยกเหลือเกิน แล้วจะรุนแรงหรือโรแมนติกกันแน่ปนกันไปหมด มันยาก 
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือญาณปัญญาที่เข้าไปรู้รูป ทำของเราผู้เดียวส่วนตนๆ อย่าไปแปลเอโกว่า คนเดียวเดี่ยวๆเท่านั้น 
ต้องรู้ นามรูปปริเฉท คือตัดกรอบแต่ละปริเฉทของเราเอง จะเอากว้างหรือน้อยก็แล้วแต่เรา ต่อมาก็จะรู้ ปัจจยปริคหญาณ มีเหตุปัจจัยให้เข้ามาปฏิบัติ มีสัมมสนญาณ เห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ในรายละเอียดมีวิปัสสนาญาณอีก 6 ก็อ่านได้ วิปัสสนาญาณ 9 มีอีก 
4.     (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิดกิเลส -เห็นความเสื่อมไปของกิเลส  ชาติ ชรา มรณะ สุข-ทุกข์เวทนาต่างๆ แต่ละคนก็จับคู่กันเป็นนางเอกพระเอก ผู้ร้ายกันมาไม่รู้กี่คู่ บางทีชาติหนึ่งมีหลายคู่นะ เสร็จแล้วมีผู้ร้ายนางร้ายมีผู้ช่วยพระเอก ผู้ช่วยผู้ร้ายอีกมากมาย นิยายหนังเรื่องใหญ่ใช้คนเป็นหมื่นเป็นพันเป็นแสนคนนะตัวละคร 
5.    (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย 
6.    (3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป  
7.    (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย บางคนไม่ได้จริง ก็ทิ้งมาปุบปับ แต่ว่ามารู้ทีหลังว่าไม่ไหว ก็มีได้ พระพุทธเจ้าให้ทำไปตามลำดับแต่อย่าให้ช้าเกินการ
8.    (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย  
9.    (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น (อตัมมยตา) 
10.(7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น 
11.(8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย 
12.(9)สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7  ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ  
13.    โคตรภูญาณ ญาณรู้หัวต่อ ตัดโคตรขึ้นสู่อาริยภูมิ โคตรภูบุคคล โคตรภูบุคคลและโคตรภูจิต 
คนที่ตัดโคตรบุคคล เช่นคนตั้งใจมาบวช ตัดโคตรฆราวาสมาเป็นนักบวชเป็นต้น นี่คือโคตรภูบุคคล เป็นอุปสัมบัน 
14.    มัคคญาณ ญาณรู้ภาวะของอริยมรรคแต่ละขั้นๆ 
15.    ผลญาณ ญาณรู้ผลสำเร็จแห่งการเป็นพระอาริยะ
16. ปัจจเวกขณญาณ ญาณหยั่งรู้ทบทวนตรวจสอบ มรรคผล  และบริบทแห่งความสำเร็จทุกอย่าง 

(85)  “ธรรมชาติ”นี้แลถ้า “ดับชาติ”ในตนได้ก็แก้ “ธรรม”
ผู้ปฏิบัติต้องสามารถอ่าน “รูปกาย-นามกาย”ของความเป็น “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม 2”ปรุงแต่งกันขึ้น และสามารถจัดการกับ “พลังงาน”ที่ “ชาติ”อยู่ทั้งหลายให้ “ดับและเกิด”ได้จริง ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”สำเร็จ จึงจะเห็น “ความดับ-ความเกิด”กันจริงๆ  ซึ่งก็ต้องเข้าใจภาวะแห่ง “ความเกิด 5”(ชาติ-สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ) แล้วผู้ปฏิบัติก็จัดการกับการเกิดขั้น “จิตในจิต”นี้ให้เป็น “นิพพัตติ-อภินิพพัตติ”จนถึงขั้นบริบูรณ์ให้ได้     

“ความเกิด”ของจิต(โอปปาติกโยนิ) ต้องมี “อาการ”ของจิตถึงขั้น “นิพพัตติ” จึงจะเข้าขั้น “โลกุตรธรรม”      ผู้ศึกษาธรรมะมาถึงขั้นเชื่ออย่างกระจ่างแจ้งสนิทแน่แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนก็คือ  “ธรรมะเท่านั้นที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” แล้วก็หลงว่าตนจบแล้ว บรรลุแล้วอยู่กับตรรกะแค่นี้ นั่นยังไม่ใช่การบรรลุใดๆเลย หลงปล่อยวางกันแค่ “ได้รู้แจ้งเห็นจริง”กันอยู่แค่ขั้นนี้เท่านั้น แล้วหลงว่าตนได้ “เข้าถึงธรรม”แค่นี้ ก็ยังหลงผิดออยู่แท้   

นั่นมันแค่ขั้น  “รู้ยิ่งเห็นจริง”เท่านั้น ยังไม่ได้กำจัด “อัตตา”ด้วยการปฏิบัติให้ “เข้าถึงหรือบรรลุธรรม”(อุปสัมปัชชติ)จนกระทั่งจิต-เจตสิกของตน “เกิดเข้าสู่ภพใหม่โลกุตระ”(นิพพัตติ) ถึงขั้น “เข้าถึงพร้อมแล้ว-เป็นผู้บรรลุแล้ว(อุปสัมปันน)ของตน แต่อย่างใด    

ต้องปฏิบัติจนสามารถเกิดปัญญามี “นามรูปปริจเฉทญาณ”กันจริงๆ แล้วจึงจะเกิด “โสฬสญาณ”ที่เป็นจริงมีจริง เป็นลำดับ ไม่ใช่มีแค่ “ปัญญา”แค่เห็นแจ้งลึกจริงแล้วอยู่ โดยไม่มี “สภาวธรรม”ที่เกิดที่เป็นให้ตน “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ตาม “ญาณ 16”นั้นครบครันเป็นขั้นเป็นตอนละเอียดลึกยิ่งนัก จนกระทั่งมี “ญาณ”ของตนเห็น “ความปล่อยวาง”(มุญจิตุกัมมยตญาณ)ในจิตของตนอย่างมี “รูปกาย-นามมกาย”ยืนยันแก่ตนโทนโท่โต้งๆหลัดๆ    

เป็นผู้ “ดับชาติ”สำเร็จได้จริง จึงจะเป็นผู้แก้ “ธรรม” เปลี่ยนแปลง “ธรรมในธรรม”ของตนได้จริง(86) ต้องเริ่มมี “โลกุตรธรรม”ตั้งแต่เห็นความเป็น “กาย

ต้องปฏิบัติจนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “องค์ประกอบของรูปนาม”ตั้งแต่ “สักกาย”ซึ่งเป็น “กายของตน”อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงจะชื่อว่ามี “วิปัสสนาญาณ”พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 แล้วได้พิจรณา “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”อันเป็น “โลกุตรธรรม”ใน “สติปัฏฐาน 4”ข้อ 1-2-3-4 เจริญขึ้นไปตามลำดับดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “โลกุตรธรรม”นั้นก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 นี้แล (ดูในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620)
       
ถ้าแม้น “อาการ”ของจิตยังไม่เปลี่ยนแปลงสภาพจาก “เคหสิต เวทนา” ที่เป็นโลกีย์ ซึ่งผู้ปฏิบัติขณะนั้นต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโดย “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอยู่”หลัดๆ โทนโท่ทีเดียว กล่าวคือ มีองค์ประชุมของ “รูป”(ภาวะ “ที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนั้นก็คือ “ตัวตน”ของกิเลส)กับ “นาม”(ภาวะของ “ธาตุรู้ที่เรากำลังรู้”อยู่ในขณะนั้น คือ “ญาณ”) เรียก “องค์ประชุมของรูปกับนาม”นี้ว่า  “กาย”      

“รูป”คือตัวกิเลส(ก็คือจิตตน)  “นาม”คืออธิปัญญา(ก็คือจิตตน) ซึ่งต่างก็เป็น “จิต”ของเราเองนั่นเอง ทั้งรูป ทั้งนาม      

“รูป”กำลังเป็น “ภาวะที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนี้ มี “อาการ”ให้เรา “เห็น”(ปัสสติ)อยู่โทนโท่ โต้งๆ หลัดๆ     

ซึ่งก็คือ “เห็น”(ปัสสติ) “ตัวตนของกิเลส”(พลังงานจิตที่เป็นอกุศล)อย่างเป็นภาวะแท้ ด้วย “ปัญญา”ขั้นปรมัตถสัจจะ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาย”ของจิตที่เป็น “องค์ประกอบของรูปกับนาม”ชัดๆ    

และ “นาม”ในขณะนี้ก็คือ  “สัญญา”ที่กำลังทำหน้าที่กำหนดรู้ภาวะนั้นๆอยู่หลัดๆ และความรู้ที่รู้แจ้งขึ้นไปอีกเจริญจาก “สัญญา”ก็คือ ธาตุรู้เจริญจาก “สัญญา”พัฒนาขึ้นเป็น “ปัญญา-ปัญญินทรีย์”    ฉะนี้เองคือ การเห็น “ธรรมกาย” อันเป็นกระบวนการของธรรมะ ที่กำลัง “เป็นไป”(ภวันติ)ของเราผู้กำลังเห็นอยู่โทนโท่ และ “อาการ”ต่างๆของกระบวนธรรม ก็กำลังเจริญพัฒนาใน “ธรรม”แท้ๆจริงๆ ตามพุทธภาวะ(ความปรากฏอยู่จริงของพุทธ)     ผู้ปฏิบัตินี้ จึงกำลังเป็นผู้ “เห็น”กายของพุทธ”อย่างเป็นสัจจะ อันเป็น “ปรมัตถธรรม”แท้ๆ    

ผู้นี้กำลังเห็น “ธรรมกาย”ได้คือ เห็น(ปัสสติ) “องค์ประชุมของรูปนาม”ทั้งในความเป็น “เคหสิตเวทนา 18”ที่เป็น “กาย”ของ “ธรรม” แล้วปฏิบัติ “มรรคอันมีองค์ 8”อยู่อย่างสัมมาทิฏฐิ และทั้งสามารถ “แก้กรรม”ให้เกิดเป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา 18”สำเร็จแท้    ซึ่งเป็นการ “แก้กรรม”ทั้ง 4 ให้ “สัมมา”ได้จริงสัมบูรณ์ นั่นคือ การ “แก้กรรม”จาก “มิจฉาสังกัปปะ-มิจฉาวาจา-มิจฉากัมมันตะ-มิจฉาอาชีวะ”ให้เป็น “สัมมาสังกัปปะ-สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ”ได้จริง สำเร็จบริบูรณ์     ซึ่งทั้ง “สังกัปปะ-วาจา-กัมมันตะ-อาชีวะ”นั้นล้วนคือ  “กรรม”ทั้ง 4 องค์มรรค”     

โดย “ดับกิเลส”ที่เป็น “ต้นเหตุ”ให้เกิด “อกุศลกรรม”ทั้งหลาย ได้ จนกระทั่งสามารถ “ดับสมุทัยอาริยสัจ”นั้นๆอยู่อย่างเห็น “แจ้ง”(สัจฉิ)ความเป็น “นิโรธอาริยสัจ”แท้ ถึงที่สุดสัมบูรณ์ เป็นจริง

(87) จึงจะเห็น “ธรรมกาย”ที่เห็น “พระพุทธเจ้า”สัมบูรณ์    
นี่คือ การ “แก้กรรม”ด้วย “การกระทำ”(กรรม)ของเราเอง แก้จาก “อกุศลธรรม”โดยทำให้เป็น “กุศลธรรม” ที่เข้าข่าย “โลกุตรธรรม”ถึงที่สุด อย่างเห็นๆกันทีเดียวซึ่งเป็นการทำ “บุญ” คือ ชำระกิเลส(ปุนาติ)อันคือ “บาป”จากสันดานของตนได้จริง มีภาวะจริงให้เห็น รู้แจ้งเห็นจริงอยู่โทนโท่     

ฉะนี้แลคือ  “ธรรมกาย”แท้ๆหรือ “พรหมกาย” ที่ตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”  ซึ่งต้อง “ตนเอง”เท่านั้นที่มี “การกระทำ”(กรรม)ให้ตนได้ คนอื่นไม่มีใครบังอาจ “แก้กรรม”อย่างเป็นจริงเช่นนี้ให้ใครได้เด็ดขาด     

กว่าจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ตัวตนของกิเลส”ก็มิใช่ง่าย กว่าจะใช้วิธี “ปหาน 5”(วิกขัมภนะ-ตทังคะ-สมุจเฉทะ-ปฏิปัสสัทธิ-นิสสรณะ)สำเร็จถึงขั้นสุด “นิสสรณปหาน” ก็ยากแสนยาก 

(88)  “ธรรมกาย”ที่แท้ของพุทธ คือ การเกิดของธรรม     
“ธรรม”ต่างๆที่กำลังเกิดในตัวผู้ปฏิบัติ กำลังเป็น-กำลังเห็น-กำลังแจ้งความเป็น “พุทธสัจจะ”อยู่โต้งๆนี้แหละคือ  “ปรมัตถธรรม” ที่ชื่อว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” เป็น “ธรรมกาย” หรือ “พรหมกาย” ที่เกิดโลกุตรธรรมแท้จริง ซึ่งเป็นอาริยธรรมของพุทธตามสัมมาทิฏฐิ     

ถ้าแม้นเห็น “ตัวตนของกิเลส”อยู่โต้งๆ ว่า มันยังไม่ลดลงยังไม่จางคลายลง ยังไม่ดับไปก็คือ มันยังคงเป็น “เคหสิตเวทนา”อยู่    สภาวธรรมที่ “เกิดจริง-เป็นจริง”ทั้ง “ความเกิดของจิต” ทั้ง “ญาณทัสสนวิเศษของผู้ปฏิบัติ”เห็นสภาวะต่างๆนั้นอยู่หลัดๆทีเดียวที่เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ”(การเห็นความจริงยิ่ง) และกำลังทำ “มโนมยิทธิ”(การทำฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์นี้คือฤทธิ์ในการชำระกิเลส ไม่ใช่ฤทธิ์นอกรีตคำสอนพระพุทธเจ้า) เป็น “อุตตริมนุสสธรรม”แท้ ข้อที่ 1 ของ “วิชชา 8” เป็นการทำ “การเกิด”ของจิต ชื่อว่า “โอปปาติกโยนิ”ตามพระอนุสาสนี      

ต่อเมื่อ “เห็น”ว่าเราปฏิบัติมีผล “การกำจัดกิเลส”ลดลง จางคลายลง หรือดับไปได้ นั่นคือ  “อาการ”ของผลธรรมที่เราสามารถทำได้ผล จึงชื่อว่าผู้เนกขัมมะ คือ บรรลุผลที่เป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา”     นี้คือ การเห็น “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” ที่เป็น “โลกุตรธรรม”สัมมาทิฏฐิแท้จริงแล้ว

(89)  “ธรรมกาย”แท้ของพุทธ ไม่ใช่แค่การสร้าง “ภพ”    
การทำ “ธรรมกาย”ให้เกิด “อาการ”ใสๆในภวังค์ ที่ทำๆกัน สอนๆกันทั้งหลายนั้น คือ การสร้าง “ภพ”สร้าง “ชาติ”อยู่ในภวังค์     หรือการทำสมาธิหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ใดก็ตาม ที่ปั้นภาพปั้นรูปขึ้นสำเร็จในจิตภวังค์นั้น ล้วนเป็น “มโนมยอัตตา”ทั้งสิ้นไม่ใช่มโนมยิทธิ  เขานึกว่าเผยแพร่ธรรมะแล้วสอนแบบนี้ไปทั่วโลก แท้จริงทำลายธรรมะของพพจ. ไปสร้างภพชาติแล้วก็บอกว่าเป็นธรรมะ ใสเข้าไปเจอพพจ.ได้อีกนั่น     

หากทำได้สำเร็จเห็น “ความใส”ในภวังค์ก็ดี หรือเห็นภาพที่เกิดอื่นๆใดๆก็ดี จนถึงขั้นเห็น “พระพุทธเจ้า”ในพุทธเกษตรปานนั้นก็ตาม ล้วนคือ  “สัญญา”กำหนดหมายของคนผู้ทำสัญญาณเอง จนสามารถทำได้สำเร็จด้วยจิต ก็เป็น “มโนมยอัตตา”(รูปที่สำเร็จด้วยใจ) ทำให้เกิดภาวะนั้นๆมีขึ้นได้ในใจของตน เป็น “นิมมาน”(การเนรมิต,การสร้าง,การประดิษฐ์)จาก “ทิฏฐุปาทาน”(ความยึดมั่นในทิฏฐิ)ของตน จนเป็น-จนมีขึ้นได้สำเร็จ (ฉะนี้เองคือ ผู้ได้นิมมานรดีจากการสร้างเอง)      

“การเกิด”แบบนี้เป็นการทำให้ปรากฏขึ้นในจิตได้เช่นกัน แต่เป็น “การเกิดของจิตในจิต”ที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบของรูปกับนาม หรือครบองค์ประกอบของการ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”กระทั่งมี “กายสักขี”(มี “กาย”เป็นสักขีพยานอยู่โทนโท่)บริบูรณ์ [พระไตรปิฏก เล่ม 36 ข้อ 42 และเล่ม 31 ข้อ 491-498]     

เพราะเป็นการปฏิบัติที่ยังมิจฉาทิฏฐิ ทำได้แค่เป็น “การเกิด”ของ “โลกียจิต” ที่สร้าง “มโนมยอัตตา”ขึ้นมาได้สำเร็จใน “ภพ”(ภวังค์) ด้วยความรู้ขั้น “สัญญา”เท่านั้น ยังไม่ “เห็น”ด้วยปัญญา    จึงยังไม่ใช่ “การเกิด”ที่เป็น “การเกิด”ที่เรียกว่า  “นิพพัตติ” เป็นการเกิดแค่ “โอกกันติ”ที่ยังหยั่งลงเป็น “โลกียจิต”ของปุถุชนอยู่    

นิพพัตติ” คือ  “การเกิด”ของ “โลกุตรจิต” ตั้งแต่เริ่มเกิด กระทั่งถึงขั้นสูงสุด อันเป็นขั้น “นิพพาน”กันทีเดียว       

ถ้า “การเกิด”ขั้นนิพพัตตินี้แหละ เจริญขึ้นๆ ถึงขั้น “อภินิพพัตติ” ก็คือ  “การเกิดของโลกุตรจิตขั้นสูง” ที่สูงขึ้นถึงขั้นสุดนิพพาน 
     
ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้เจริญใน “อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา” มี “เจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุตติ”ครบ “วิมุติญาณทัสสนะ”สัมบูรณ์(90) การเกิดของ “ธรรม”คือการเกิดของ “จิต”ในปัจจุบัน    

“การตาย”ของร่างกาย แล้ว “จิต”ก็ไม่มีร่างกาย นั้นคือ  “พลังงาน”ที่เป็น “จิตนิยาม” มันไม่มีบทบาททำงานอยู่ในร่างกายที่ตายไปนี้แล้ว จะเรียกว่า “จิตวิญญาณ”มันออกไปจากร่าง(สรีระ) ก็เรียกกันอยู่ และนับว่าเป็น “การเกิด”ชนิดหนึ่งซึ่งเข้าใจอย่างนี้กันอยู่ทั่วไป    

แต่ “การเกิด”แบบนี้ ศาสนาพุทธไม่ศึกษา ไม่เสียเวลาไปนำมาพูดมาอธิบาย มาเรียนรู้ เพราะมันเป็นเรื่อง “อดีต”เป็นเรื่องของ “ผลวิบาก”ที่เสร็จไปแล้ว มันแก้ไขไม่ได้แล้ว ขืนไปงมโข่งหลงอยู่กับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้อยู่อย่างนั้น มันก็เป็น “มิจฉาทิฏฐิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง “อดีต 18 และอนาคต 44”ไว้ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นเอง ว่า มันเป็น “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ทั้งนั้น    

ทำความเข้าใจในความเป็น “อดีตกับอนาคต”ให้ได้เถิด แล้วหยุดเสีย อย่าไปหลงงมโข่ง “ปฏิบัติ”อยู่กับภาวะที่เป็น “อดีต” กับภาวะที่เป็น “อนาคต”ให้ “อวิชชา”(โง่)กันอยู่ให้เสียเวลาเลย    

ไม่ว่า “อดีต”หรือแม้ “อนาคต”ก็เช่นกัน เปรียบเหมือน “ข้าวที่หุงสุกแล้ว”(อดีต) กับ “ยังไม่มีข้าวเลย”(อนาคต) แล้วจะไปงมงายทำให้มันกลับมาเป็น “ข้าวเปลือก”อีก มันเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่าง อย่า “อวิชชา”(โง่)แม้แค่นี้กันอยู่เลย มันสูญเปล่าในการปฏิบัติ  “อดีต-อนาตต”ศึกษาให้รู้ก็พอได้ เป็นปัจจัยประกอบการศึกษา แต่อย่าหลงไปปฏิบัติอยู่กับภาวะ “อดีต-อนาคต” มัน “อวิชชา”(โง่)จริงๆ    

“การเกิด”ของ “ธรรม”คือการเกิดของ “จิตวิญญาณ”ในปัจจุบันในส่วนที่เป็น “อดีต”หรือในส่วนที่เป็น “อนาคต”นั้น มันมีอยู่แล้ว แต่จะเกิดเป็น “อดีต”เราก็ต้องทำใน “ปัจจุบัน” จะให้เป็นจริงมีจริงใน “อนาคต” เราก็ต้องทำที่ “ปัจจุบัน” จึงจะเป็น “ของจริง”เกิดขึ้นมาให้เห็นเป็นจริงได้     

“อดีต”ก็ต้องเกิดจากการทำใน “ปัจจุบัน”แล้ว  “อนาคต”ก็เดินทางมาถึง “ปัจจุบัน”จึงจะกระทำได้ ต้องทำกันที่ “ปัจจุบัน”ทั้งนั้น    

สำหรับ “อดีต”นั้น อย่าหลงไปทำอะไรกับมัน วางมันไปเลย เพราะ “อดีต”มันแล้วไปแล้ว รู้ภาวะที่เรากำลังกระทำกับมันอยู่นั้นให้ได้ว่า เรากำลังทำอยู่กับความเป็น “อดีต” แก้ไขให้มัน “เป็น”อะไรอีกไม่ได้ เหมือน “ข้าวสุกที่หุงสุกแล้ว”ดังที่เปรียบไว้นั้นนั่นแหละ จะแก้ไขให้ “ข้าวสุก”กลับมาเป็น “ข้าวเปลือก”ใหม่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด      

“อนาคต”ก็เช่นกัน รู้ภาวะที่เรากำลังกระทำกับมันอยู่นั้นให้ได้ว่า เรากำลังทำอยู่กับความเป็น “อนาคต” ยิ่งถูกหลอกให้ “ฝัน” ไปกับ “วิมาน”ในอนาคตอย่างมืดมัวโมหันต์กันนั้น ยิ่งเพ้อพกกันไปใหญ่ อย่าไปมัวทำอยู่กับภาวะลมๆแล้งๆอย่างนั้นกันเลย มันเป็นไปไม่ได้     

พระพุทธเจ้า ไม่ทรงสอนอย่างนั้น หยุดหลอกกันบ้างเถิด    แม้ “ปัจจุบัน”ก็ต้อง “สัมมาทิฏฐิ”จริง จึงจะเกิด “ธรรม”ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ “จิต”ที่จะทำให้เกิดเป็น “ธรรม”ขึ้นมา ก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความเป็น “กาย”อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วจัดการกับ “กาย”ที่เป็น “สัตว์”ของตนให้เป็น “ธรรม”     

แม้ “ธรรม”ทั้งหลายไม่ใช่ “ตัวตน”(สัพเพธัมมา อนัตตา) แต่ขณะนี้ที่ตนยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่นี้เรายังมี “ตัวตน” และเป็น “ตัวตนของสัตว์”(สัตว์โอปปาติกะ) ยังไม่ใช่ “ธรรม”อะไรเลย แม้แต่ “กาย”ของความเป็น “สัตว์”ของตน ที่ตนยังเป็น “สัตวกาย”อยู่(ตั้งแต่ความเป็น “สัตตาวาส” ข้อที่ 1 ไปจนถึงข้อที่ 9) ตนก็ยังไม่รู้ ความเป็น “สัตว์” แม้แต่ความเป็น “กาย”อันใดเลย แล้วจะหลงตนว่าตนเป็น “ธรรมกาย”นั้น นี่แหละ “ฝัน”ที่เพ้อละเมออย่างยากที่จะแก้ “ธรรม” คือความสำเร็จของ “อภิสังขาร”ที่ต้องอาศัย “บุญ”เป็น “ธรรมาวุธ”อย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆ 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:30:50 )

580904

รายละเอียด

580904_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 15

พ่อครูว่า...วันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2558แรม 6 ค่ำเดือน 9 ปีมะแม อาตมาก็ขอเจาะลึกธรรมะ ตอนนี้นิรุติปฏิภาณก็กำลังวิ่งอย่างชัดอย่างดี เป็นโอกาสแต่ก่อนไม่ถึงขนาดนี้เลย ก็เอามาพูดกระจายไว้ก่อน ให้พวกเราได้เก็บไว้ เพราะถ้ามันหายไปแล้วเก็บคืนได้ยาก วันนี้วันเริ่ม ค่ายสัมมาอาริยมรรค ครั้งที่ 2 ที่ราชธานีอโศก วันที่ 4-6 สามวัน ยินดีต้อนรับ ตอนนี้มากัน 21 คน ก็มากกว่าคราวที่แล้ว ครั้งที่ 1 มี 11 คน จะมาเติมอีกก็ได้ เราเริ่มต้นไป จะน้อยไม่ว่า ขอให้มี อาตมาก็ชื่อว่าขยัน มุ่งมั่นทำงานให้พวกเราไปให้ได้ ชีวิตนี้อาตมาไม่เห็นว่าอะไรดีกว่าอันนี้ อาตมาบุกบั่นมุ่งมั่นให้เกิดโลกุตรธรรม ผู้ใดตั้งใจมาอบรมก็อนุโมทนาอย่างยิ่ง อาตมาก็บรรยายไป แต่มาเห็นหน้าเห็นตา รับสัมผัส พระพุทธเจ้าตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่เป็นองค์ธรรมองค์แรก โดยเฉพาะแสงอรุณ ต้องมาก่อนพระอาทิตย์ ผู้ใดไม่เห็นแสงอรุณก่อนจะไปเห็นพระอาทิตย์ได้ไม่มี

ก็คือจะปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ต้องมีแสงอรุณ 7 อย่างนี้ ข้อแรกคือมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีศีล มีฉันทะ มีอัตตะ อย่างน้อยต้องมีสัตบุรุษเป็นมิตรดี พระพุทธเจ้าว่าเรานี่คือมิตรดีของเธอ จากนั้นก็ต้องสอนเรื่องศีล ต้องมีความเข้าใจเรื่องศีล ทุกวันนี้ เขาไม่เข้าใจศีลอันเป็นโลกุตระแล้ว เขาได้แค่กาย วาจา ไม่ได้เป็นโลกุตระเลย เราอบรมมา 40 กว่าปีแล้ว

เมื่อมีศีล มีหมู่มิตรดีก็จะรู้อัตตา ไม่ใช่ไปเอาตรรกะมาคิดแค่ว่า อะไรก็ไม่มีตัวตน เลย ไม่มีขั้นตอนในการปฏิบัติตัดลัดสั้นไปไม่มีทางได้จริงหรอก ต้องปฏิบัติเพื่อให้มีโยนิโสมนสิการ 

การมาอยู่กับหมู่กับสัตบุรุษอย่างมีสังคมสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ก็เริ่มต้นไป เริ่มแรก 11 คน ตอนนี้มี 21 คนแล้ว ต่อมาก็อาจมีเพิ่ม ก็ยินดีต้อนรับ ก่อนจะเริ่มอาตมาก็ขอโอภาปราศรัยกับsms ก่อน สำหรับผู้ทีเขียนมาปรารถนาดีอย่าให้หายป่ายอาตมาก็ขอขอบคุณนะ

0825628xxx ติดตามอยู่เรื่มกินมื้อเดียวแล้วทำให้ได้พรรษานี้
0824883xxx WISDOM DONT CRACK UNDER PRESSURE SIR RADM MINT
0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.สันติฯทุกๆพุทธสถ.อ โศก!seufaasin
0824883xxx THE BEST OF HEALTH IS DHARMA SIR RADM MINT
0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯญตธบุญนิยมที่เมตตาอธิบายข้อธรรมให้เข้าใจดียิ่งขึ้นสาธุ๊skk
0868937xxx ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะท่านสิกขมาตุทุกรูปทุกสาขาอโศกครับ

0857308xxx รูปกับนามที่เป็นกายในกายคือธรรมะ2รูปคือกิเลส นามคือตัวทำลายกิเลส พอจะถูกไหมคะ
ตอบ...ถูกต้อง  รูปคือกิเลสที่เราจับได้ จากภาวะธรรมะสอง ปรุงแต่งเป็นเวทนา ก็มีจิตร่วมอยู่ด้วย เป็นตัวการคือกิเลสก็เข้าใจชัด ได้ตัวนี้แล้วก็ทำลาย นี่คือการปฏิบัติที่ค่อยๆทำไป เข้าใจความหมายแล้วก็ปฏิบัติให้ชัดเสมอๆ 
0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ขอให้พ่อท่านหายไวๆ อย่าได้ไออีกเลยเจ้าค่ะ
0857308xxx เตวิชโชเป็นการตรองอดีตอนาคตหรือไม่แล้วจำอย่างไรให้เตวิชโชไม่มิจฉาฯคะ
ตอบ...ก็จำสักแต่ว่าจำ อะไรไม่ควรจำก็ไม่ต้องจำ อย่างเราพยาบาทใครก็ไม่ต้องจำเลย หรือรักผูกพันอย่างกามก็ลืมทิ้งไปเลย นั่นคือสัมมาทิฏฐิ สิ่งไม่ควรจะก็ลืมไปเลย ไม่สำคัญกับมันเลย

0893867xxx เมื่อปฏิบัติตามหลักโพธิปักขิยธรรม37จนได้สัญญาเ วทยิตนิโรธ!จนเป็นญาณ ทัสสนวิเศษรู้แจ้งเห็นจิตในจิตกำหนดรู้การเกิดการเป็นได้เรียกว่าเจโตปริยญาณ16ถูกไหม?
ตอบ...การเกิดการเป็นได้ เราทำให้เราเกิดเป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ อย่างที่เรียกว่า เจโตปริยญาณ 16 นั้นถูกต้อง คือญาณทัสนวิเศษ ตั้งแต่ นามรูปปริเฉทญาณเป็นต้นไป 
0893867xxx กรรมเป็นตัวพาให้เกิดฤาพาให้เป็น!ถ้ารู้ทันในสภาวะ16อาการในจิต!จะสำรวม กายวาจาใจฤาในทุกอิริย าบถให้อยู่ในกรรมดีได้!
ตอบ...ถูกต้อง 
0893867xxx จะเข้าถึงธรรมกายที่แท้จริงต้องปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกายสำเร็จอิริยาบถอยู่อัฏฐ วิโมกเข กาเยน ผุสติ วา วิหรติฯ
ตอบ..ถูกต้อง

เข้าสู่รายการที่อาตมาจะได้พูดวันนี้

(82)  “ความไม่รู้สึก”นัยสำคัญต่างกันของโลกีย์-โลกุตระ
    ดังนั้น ในองคาพยพคือ “อาการ 32” ส่วนที่ยังเป็น “พีชนิยาม”ของคนก็ตาม ก็ไม่มี “ความรู้สึก” ไม่มี “เวทนา” ก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ชอบไม่ชัง อันนี้เฉพาะคนที่ “ความรับรู้ไม่มี” หรือถูกสะกดประสาทไว้เท่านั้น ถ้าสภาพอย่างนี้ ก็แค่ชื่อว่า  “เจโตสมถะ” ยังไม่ใช่ “เจโตวิมุติ” ถ้าเรียกในนามของสมาธิก็แค่สมาธิชั่วคราว(มิจฉาสมาธิ)ที่สะกดจิตให้สงบได้ อาจจะอยู่ได้นานไปทั้งชีวิต แต่ยังไม่ใช่ “สัมมาสมาธิ”ที่กำจัด “ตัวกิเลส”ออกไป “ถูกตัวตน”จริง แล้ว “สงบเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดไป...”(นิจจัง,ธุวัง,สัสสตัง...อวิปริณามธัมมัง,อสังหิรัง,อสังกุปปัง)   
    ส่วน “อรหันต์”หรือ “อาริยบุคคล”ที่มีโลกุตรภูมินั้น มีการรับรู้อยู่เหมือนคนสามัญ มีความรู้สึกในสภาพนั้นๆ เป็น “ความรู้”เช่นเดียวกันกับคนที่มีประสาทรับรู้สามัญทั้งหลายเขารู้สึกหรือเขารู้กันทุกคน แต่ท่านไม่มี “เคหสิตเวทนา”ที่เป็นอารมณ์โลกีย์นั้นแล้วเท่านั้น ท่านจึง “รู้สึกกลางๆ-เฉยๆ”ที่ไม่เป็น “ความรู้สึกชอบหรือชัง” หรือไม่ใช่อารมณ์ตามที่ชาวโลกีย์เป็นกัน จึงเป็นผู้ “ไม่มีอารมณ์”เฉพาะแค่ “ความรู้สึกที่เป็นรสโลกีย์”เท่านั้น  
    ซึ่งเป็น “ความไม่รู้สึก”(ไม่มีเวทนา)ของผู้มี “โลกุตระ”แท้ๆนี้ จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก ที่ละเอียดลึกใน “ความไม่รู้สึก”(ไม่มีเวทนา)เฉพาะส่วนที่เป็น “โลกียรส”เท่านั้น อันเป็น “ความรู้สึก”พิเศษเฉพาะผู้มี “เนกขัมมสิตเวทนา” แต่ยังร่วมมี “ความรู้สึก”ตามความมีของธรรมชาตินั้นๆอยู่เหมือนคนผู้อื่นเขา “มี”ความรับรู้ได้เป็นสามัญ
    ทำความเข้าใจกันดีๆ ใน “ความไม่รู้สึก”ที่ชาว “โลกียะ”ผู้ทำได้แค่ “เจโตสมถะ” อันมีนัยสำคัญที่แตกต่างกันอย่างลึกล้ำมาก กับความเป็น “เจโตวิมุติ”ของชาว “โลกุตระ”ที่สามารถทำได้
    ทั้งคู่ต่างก็มี “ความไม่รู้สึก” แต่ “ความไม่รู้สึก”ของทั้งคู่นี้ ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมากพิเศษ
    ชาวโลกียะ “ไม่รู้สึก”เพราะประสาทถูกสะกดไว้ หรือสะกด“จิต”ไว้เท่านั้น ส่วนชาวโลกุตระ “ไม่รู้สึก”เพราะกำจัด “กิเลส”ที่เป็น
 “อกุศลจิต”(บาป)ตัวนั้นออกไปจาก “จิต”ได้อย่างแท้จริง ชาวโลกุตระจึงหมดสิ้น “อกุศลจิต”ไปแท้ๆ แต่ใน “เวทนา”หรือ “ความรู้สึกนั้นรู้ตามที่คนทั่วไปยังมี “ความรับรู้”อยู่ทุกประการ 

(83)  “ชาติ 5”นั้น มีภาวะของ “อธิจิต” อย่างไร? ไฉน?  
    การปฏิบัติธรรมของพุทธ ต้องเรียนรู้ “ธรรม”ที่เป็น “ชาติ”อยู่ คือ “ธรรมชาติ”ทั้งปวงนั่นเอง แล้วจัดการกับ “ชาติ”เฉพาะที่ตนเองหมายจะ “ดับ” แล้วทำให้ “ชาติ”นั้น “ดับ”  “จิต”ที่เหลือก็จะเป็น “ชาติ”ใหม่ ที่สะอาดขึ้นไปตาม แต่ละขั้นๆ
     “เมื่อ “ชาติ”นั้น “ดับ” โศก ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เพราะ “ชาติ”ตัวนั้น ก็หมดสิ้นไป แล้ว “ภพ”ก็ดับ อิทัปปัจจยาการในปฏิจจสมุปบาทคือ อุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา จึงดับตามไปตลอดสาย
    ก็มี “ชาติ”ที่เป็น “นิพพัตติ”เกิดขึ้น มี “ภพ”ที่เหลืออุปาทาน-ตัณหา-เวทนา-ผัสสะ-อายตนะ-นามรูป-วิญญาณ-สังขาร-อวิชชา ใหม่ ที่สะอาดไปจาก “ชาติเก่า”แล้ว เป็น “ผู้มีชาติใหม่”ขั้นหนึ่ง
    แล้วผู้ปฏิบัติก็ “ดับชาติ”ตัวอื่นต่อไปอีกๆๆๆ จนกว่าจะหมดสิ้น “ชาติ”ของอกุศลจิตที่มีอยู่ในตนของแต่ละคน เป็นผู้มี “การเกิดใหม่ในโลกุตระ” จนกระทั่งถึงที่สุด “ชาติ”ใหม่สุดก็คือ  “อภินิพัตตติ”
     “ชาติ 5”คือ ชาติ-สัญชาติ(ชาติเก่าที่ยังทำงานเองเกิดเองเป็นสัญชาตญาณอยู่ในตน)-โอกกันติ(ความหยั่งลงของภาวะที่เกิด ซึ่งเป็นจุดกลางการหยั่งลงของความเกิด) ธรรมดาก็หยั่งลงเป็นโลกียะ แต่ถ้าสามารถทำให้ “เกิด”เป็นโลกุตรธรรมหยั่งลงได้  “หน่วยการเกิดใหม่”ก็เรียกว่า  “นิพพัตติ” ชาติ “นิพพัตติ”ที่สูงขึ้นๆถึงขั้นสุดก็เรียกว่า “อภินิพพัตติ”
     “ชาติ”จะสะอาดขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิจริง 
     “ธรรม”(ความทรงอยู่ของจิต)จึงจะสะอาด จาก “พลังงาน”ที่เราจะไม่ให้มีอยู่ใน “อัตตา”ที่เป็น “จิตนิยาม”ของเราอีก ถึงขั้นสุดท้าย ในความเป็น “จิตนิยาม”ของเรา เราจึงจะสิ้นความเป็น “ชีวิตินทรีย์”แห่งความเป็น “ชีวะ”บริบูรณ์ไปทะลุขั้น “อนุสัย”เป็นที่สุด  

(84) ความเป็น “อนุสัย”ที่มี “นัยสำคัญยิ่งนักของจิตนิยาม  
    ถ้าทำได้ถึงขั้น “ดับชีวิตินทรีย์”ของชีวะขั้น “จิตนิยาม”สำเร็จ ก็ถึงขั้น “ดับอาสวะ”ได้ เป็น “เอกัคคตา”สู่ความเป็น “ปุริสินทรีย์”(ปุงลิงค์) แต่ยังไม่หมดสิ้น “อนุสัย”ที่สุดท้าย ก็เหลือ “พลังงาน”อยู่ในสภาพเสมอเหมือน “พีชนิยาม”อย่างมีนัยสำคัญ คือ ไม่ทำบาปทั้งปวงได้แล้ว  “อกุศลจิต”ที่เราดับได้นั้นไม่มี “พลังงาน”-ไม่เกิดเป็น “พลังงาน”อกุศลนั้นอยู่ในจิตเราอีก
    เพียง “อาสวะ”เท่านั้นดับหมดสิ้น เป็น “จิต”ที่ไม่มีการแตกตัวขยาย “ตัวตนของอกุศลจิต”อีกเท่านั้น จึงเหลือแต่ “อนุสัย”ตัวปลาย 
    เป็น “อนุสัย”ชนิดที่มีแต่ “คุณค่าประโยชน์”ซึ่งมีแรงมีพลังงานมากตามคุณสมบัติของ “อนุสัย”แต่ละคนที่มีปริมาณและคุณภาพ  
    นี้คือ ผู้สามารถ “ดับชาติ”ของ “อาสวะ”ในตนเท่านั้น เป็นอรหันต์ขั้นปัญญาวิมุติ ก็ไม่มีอาสวะแล้ว แต่ยังมี “อนุสัย”ที่เหลือ “อาสัย”อยู่ ซึ่งไม่เป็น “ธรรม 2”แล้ว(ปุงลิงค์ = เอกกัคคจิต = เอกบุรุษ)
     “ปัญญาวิมุติ”นี้ยังสามารถทำความดับ “พลังงาน”ขั้นต่อไปให้สู่ “ความเป็นกลางที่ไม่มีเพศ”(นปุงสกลิงค์)อีกได้ เป็นขั้น “ดับอนุสัย”ที่เป็นพลังงานอกุศลขั้นละเอียดลึกกว่า “อาสวะ”อีกขั้นหนึ่งสู่ความเป็นผู้ “อุภโตภาควิมุติ” 
    สุดท้ายก็จะเหลือ “ชีวานุปาทิ” ที่จะเรียกว่าเป็น “อนุสัย”ที่อาศัย ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์จาก “กิเลสาสวะ”สัมบูรณ์ ทำงานอยู่กับชีวิตของ อรหันต์ขั้น “อุภโตภาควิมุติ” ซึ่งเป็น “อมตบุคคล”ก็สำคัญมั่นหมายกันให้คมๆชัดๆแม่นๆตรงๆเถิด 
    จนกว่าท่านจะทำ “ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”แก่ตนสุดท้ายเอง
     “พลังงานอกุศล”ของ “อาสวะ”ก็ดี ของ “อนุสัย”ก็ดี จะมีภาวะถูกกำจัดไปอย่างหมุนรอบเชิงซ้อนที่สลับไปมาซับซ้อน เหลื่อมกันอยู่ ซึ่งละเอียดเกินสามัญที่จะรู้ได้ง่ายๆ แต่เรียนรู้ได้ มีภาวะเป็นไปได้จริง เราจะเรียนรู้จากการสัมผัสกันตั้งแต่ “ธรรม 2”ที่เรียกในภาษาธรรมว่า  “กาย” ไปจนกระทั่งมากกว่า 2 ปรุงแต่งกันอยู่ ซึ่งต้องมี “นามธรรม”เป็น “ธาตุรู้”ที่จะ “รู้ตาม-เห็นตาม”(ชานโต-ปัสสโต)พลังงานจริงนั้นๆไปตลอด ได้มากขึ้นๆ 

(85)  “ธรรมชาติ”นี้แลถ้า “ดับชาติ”ในตนได้ก็แก้ “ธรรม”
    ผู้ปฏิบัติต้องสามารถอ่าน “รูปกาย-นามกาย”ของความเป็น “ชาติ” ที่เป็น “ธรรม 2”ปรุงแต่งกันขึ้น และสามารถจัดการกับ “พลังงาน”ที่ “ชาติ”อยู่ทั้งหลายให้ “ดับและเกิด”ได้จริง ด้วย “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”สำเร็จ จึงจะเห็น “ความดับ-ความเกิด”กันจริงๆ  
    ซึ่งก็ต้องเข้าใจภาวะแห่ง “ความเกิด 5”(ชาติ-สัญชาติ-โอกกันติ-นิพพัตติ-อภินิพพัตติ) แล้วผู้ปฏิบัติก็จัดการกับการเกิดขั้น “จิตในจิต”นี้ให้เป็น “นิพพัตติ-อภินิพพัตติ”จนถึงขั้นบริบูรณ์ให้ได้ แต่ก่อนเราก็ให้ผีมันเกิด เป็นโอกกันตะ แต่เรามาลดละ มาดับไปตามลำดับ ก็เป็นนิพพัตติไปเรื่อยๆ ดับอย่างเที่ยงแท้ไม่ได้ก็ปฏิญาณไม่ได้ว่าจบกิจ ต้องทำจนกว่าบริบูรณ์ให้ได้ 
     “ความเกิด”ของจิต(โอปปาติกโยนิ) ต้องมี “อาการ”ของจิตถึงขั้น “นิพพัตติ” จึงจะเข้าขั้น “โลกุตรธรรม”  
    ผู้ศึกษาธรรมะมาถึงขั้นเชื่ออย่างกระจ่างแจ้งสนิทแน่แล้วว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนก็คือ  “ธรรมะเท่านั้นที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป” แล้วก็หลงว่าตนจบแล้ว บรรลุแล้วอยู่กับตรรกะแค่นี้ นั่นยังไม่ใช่การบรรลุใดๆเลย หลงปล่อยวางกันแค่ “ได้รู้แจ้งเห็นจริง”กันอยู่แค่ขั้นนี้เท่านั้น แล้วหลงว่าตนได้ “เข้าถึงธรรม”แค่นี้ ก็ยังหลงผิดออยู่แท้    
    นั่นมันแค่ขั้น  “รู้ยิ่งเห็นจริง”เท่านั้น ยังไม่ได้กำจัด “อัตตา”ด้วยการปฏิบัติให้ “เข้าถึงหรือบรรลุธรรม”(อุปสัมปัชชติ)จนกระทั่งจิต-เจตสิกของตน “เกิดเข้าสู่ภพใหม่โลกุตระ”(นิพพัตติ) ถึงขั้น “เข้าถึงพร้อมแล้ว-เป็นผู้บรรลุแล้ว(อุปสัมปันน)ของตน แต่อย่างใด
    ต้องปฏิบัติจนสามารถเกิดปัญญามี “นามรูปปริจเฉทญาณ”กันจริงๆ แล้วจึงจะเกิด “โสฬสญาณ”ที่เป็นจริงมีจริง เป็นลำดับ ไม่ใช่มีแค่ “ปัญญา”แค่เห็นแจ้งลึกจริงแล้วอยู่ โดยไม่มี “สภาวธรรม”ที่เกิดที่เป็นให้ตน “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ตาม “ญาณ 16”นั้นครบครันเป็นขั้นเป็นตอนละเอียดลึกยิ่งนัก จนกระทั่งมี “ญาณ”ของตนเห็น “ความปล่อยวาง”(มุญจิตุกัมมยตญาณ)ในจิตของตนอย่างมี “รูปกาย-นามมกาย”ยืนยันแก่ตนโทนโท่โต้งๆหลัดๆ
    เป็นผู้ “ดับชาติ”สำเร็จได้จริง จึงจะเป็นผู้แก้ “ธรรม” เปลี่ยนแปลง “ธรรมในธรรม”ของตนได้จริง

เช่นพระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสถึงจิต แบบคนจน หรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อาตมาถึงรู้ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์สิ แต่ถ้าอาตมาไม่รู้ก็จะบอกว่าท่านพูดอะไรพะยะค่ะ เอาความจนมาบริหารหรือให้ขาดทุนคือกำไรของเราได้อย่างไร แต่เขาไม่กล้าติในหลวง จริงๆอาตมาก็พูดนะ แต่พูดแล้วก็ไปกับสายลม แต่ในหลวงท่านตรัสแล้วมีการบันทึกไว้ เป็นการตรัสของพระเจ้าแผ่นดินต่อสาธารณชน 

(86) ต้องเริ่มมี “โลกุตรธรรม”ตั้งแต่เห็นความเป็น “กาย” 
    ต้องปฏิบัติจนรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “องค์ประกอบของรูปนาม”ตั้งแต่ “สักกาย”ซึ่งเป็น “กายของตน”อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงจะชื่อว่ามี “วิปัสสนาญาณ”พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 แล้วได้พิจรณา “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”อันเป็น “โลกุตรธรรม”ใน “สติปัฏฐาน 4”ข้อ 1-2-3-4 เจริญขึ้นไปตามลำดับดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “โลกุตรธรรม”นั้นก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 นี้แล (ดูในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620)   
    ถ้าแม้น “อาการ”ของจิตยังไม่เปลี่ยนแปลงสภาพจาก “เคหสิต เวทนา” ที่เป็นโลกีย์ ซึ่งผู้ปฏิบัติขณะนั้นต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโดย “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอยู่”หลัดๆ โทนโท่ทีเดียว กล่าวคือ มีองค์ประชุมของ “รูป”(ภาวะ “ที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนั้นก็คือ “ตัวตน”ของกิเลส)กับ “นาม”(ภาวะของ “ธาตุรู้ที่เรากำลังรู้”อยู่ในขณะนั้น คือ “ญาณ”) เรียก “องค์ประชุมของรูปกับนาม”นี้ว่า  “กาย” 
    อย่างอาการ 32 นี่ก็ต้องรู้ด้วยนามธรรม  คืออาการที่ 33 มันปรุงแต่ง เป็นองค์ประชุม 2 นี้ตลอดกาลนาน จนกว่าคุณจะทิ้งซากของร่างนี้ไป ซากผีตายไป ก็หมดกาย แต่พาลกับบัณฑิตถ้าอวิชชาก็ไม่มีกาย คุณทิ้งร่างนี้ไปแต่กายยังไม่ดับไป กายคุณไปด้วย
     “รูป”คือตัวกิเลส(ก็คือจิตตน)  “นาม”คืออธิปัญญา(ก็คือจิตตน) ซึ่งต่างก็เป็น “จิต”ของเราเองนั่นเอง ทั้งรูป ทั้งนาม 
     “รูป”กำลังเป็น “ภาวะที่ถูกรู้”อยู่ในขณะนี้ มี “อาการ”ให้เรา “เห็น”(ปัสสติ)อยู่โทนโท่ โต้งๆ หลัดๆ 
    ซึ่งก็คือ “เห็น”(ปัสสติ) “ตัวตนของกิเลส”(พลังงานจิตที่เป็นอกุศล)อย่างเป็นภาวะแท้ ด้วย “ปัญญา”ขั้นปรมัตถสัจจะ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาย”ของจิตที่เป็น “องค์ประกอบของรูปกับนาม”ชัดๆ
    และ “นาม”ในขณะนี้ก็คือ  “สัญญา”ที่กำลังทำหน้าที่กำหนดรู้ภาวะนั้นๆอยู่หลัดๆ และความรู้ที่รู้แจ้งขึ้นไปอีกเจริญจาก “สัญญา”
ก็คือ ธาตุรู้เจริญจาก “สัญญา”พัฒนาขึ้นเป็น “ปัญญา-ปัญญินทรีย์”
    ฉะนี้เองคือ การเห็น “ธรรมกาย” อันเป็นกระบวนการของธรรมะ ที่กำลัง “เป็นไป”(ภวันติ)ของเราผู้กำลังเห็นอยู่โทนโท่ และ “อาการ”ต่างๆของกระบวนธรรม ก็กำลังเจริญพัฒนาใน “ธรรม”แท้ๆจริงๆ ตามพุทธภาวะ(ความปรากฏอยู่จริงของพุทธ) 
    ผู้ปฏิบัตินี้ จึงกำลังเป็นผู้ “เห็น”กายของพุทธ”อย่างเป็นสัจจะ อันเป็น “ปรมัตถธรรม”แท้ๆ
    ผู้นี้กำลังเห็น “ธรรมกาย”ได้คือ เห็น(ปัสสติ) “องค์ประชุมของรูปนาม”ทั้งในความเป็น “เคหสิตเวทนา 18”ที่เป็น “กาย”ของ “ธรรม” แล้วปฏิบัติ “มรรคอันมีองค์ 8”อยู่อย่างสัมมาทิฏฐิ และทั้งสามารถ “แก้กรรม”ให้เกิดเป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา 18”สำเร็จแท้
    ซึ่งเป็นการ “แก้กรรม”ทั้ง 4 ให้ “สัมมา”ได้จริงสัมบูรณ์ นั่นคือ การ “แก้กรรม”จาก “มิจฉาสังกัปปะ-มิจฉาวาจา-มิจฉากัมมันตะ-มิจฉาอาชีวะ”ให้เป็น “สัมมาสังกัปปะ-สัมมาวาจา-สัมมากัมมันตะ-สัมมาอาชีวะ”ได้จริง สำเร็จบริบูรณ์ 
    ซึ่งทั้ง “สังกัปปะ-วาจา-กัมมันตะ-อาชีวะ”นั้นล้วนคือ  “กรรม”ทั้ง 4 องค์มรรค” 
    โดย “ดับกิเลส”ที่เป็น “ต้นเหตุ”ให้เกิด “อกุศลกรรม”ทั้งหลาย ได้ จนกระทั่งสามารถ “ดับสมุทัยอาริยสัจ”นั้นๆอยู่อย่างเห็น “แจ้ง”(สัจฉิ)ความเป็น “นิโรธอาริยสัจ”แท้ ถึงที่สุดสัมบูรณ์ เป็นจริง 

(87) จึงจะเห็น “ธรรมกาย”ที่เห็น “พระพุทธเจ้า”สัมบูรณ์
    นี่คือ การ “แก้กรรม”ด้วย “การกระทำ”(กรรม)ของเราเอง แก้จาก “อกุศลธรรม”โดยทำให้เป็น “กุศลธรรม” ที่เข้าข่าย “โลกุตรธรรม”ถึงที่สุด อย่างเห็นๆกันทีเดียว อาตมาไม่กลัวใคร แต่กลัวคนเก่งกว่าพระพุทธเจ้า คือพวกแก้กรรมให้คนอื่นได้ เช่นสะเดาะเคราะห์เป็นต้น พวกนี้ต้องไล่ออกไปจากศาสนาพุทธ ขออภัยที่พูดหนัก แล้วเถรสมาคมก็ปล่อยให้มีอยู่เต็มไปหมด เป็นพระเป็นชีก็ไปแก้กรรม การแก้กรรมต้องแก้ของตนเอง แก้ด้วยการกระทำของตน แก้ธรรมะสิ่งที่ทรงอยู่ในตัวเราจากอกุศลธรรมให้เป็นกุศลธรรม 
    ซึ่งเป็นการทำ “บุญ” คือ ชำระกิเลส(ปุนาติ)อันคือ “บาป”จากสันดานของตนได้จริง มีภาวะจริงให้เห็น รู้แจ้งเห็นจริงอยู่โทนโท่ 
    ฉะนี้แลคือ  “ธรรมกาย”แท้ๆหรือ “พรหมกาย” ที่ตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”  
    ซึ่งต้อง “ตนเอง”เท่านั้นที่มี “การกระทำ”(กรรม)ให้ตนได้ คนอื่นไม่มีใครบังอาจ “แก้กรรม”อย่างเป็นจริงเช่นนี้ให้ใครได้เด็ดขาด 
    กว่าจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ตัวตนของกิเลส”ก็มิใช่ง่าย กว่าจะใช้วิธี “ปหาน 5”(วิกขัมภนะ-ตทังคะ-สมุจเฉทะ-ปฏิปัสสัทธิ-นิสสรณะ)สำเร็จถึงขั้นสุด “นิสสรณปหาน” ก็ยากแสนยาก 

(88)  “ธรรมกาย”ที่แท้ของพุทธ คือ การเกิดของธรรม
     “ธรรม”ต่างๆที่กำลังเกิดในตัวผู้ปฏิบัติ กำลังเป็น-กำลังเห็น-กำลังแจ้งความเป็น “พุทธสัจจะ”อยู่โต้งๆนี้แหละคือ  “ปรมัตถธรรม” 
ที่ชื่อว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต” เป็น “ธรรมกาย” หรือ “พรหมกาย” ที่เกิดโลกุตรธรรมแท้จริง ซึ่งเป็นอาริยธรรมของพุทธตามสัมมาทิฏฐิ 
    ถ้าแม้นเห็น “ตัวตนของกิเลส”อยู่โต้งๆ ว่า มันยังไม่ลดลงยังไม่จางคลายลง ยังไม่ดับไปก็คือ มันยังคงเป็น “เคหสิตเวทนา”อยู่
    สภาวธรรมที่ “เกิดจริง-เป็นจริง”ทั้ง “ความเกิดของจิต” ทั้ง “ญาณทัสสนวิเศษของผู้ปฏิบัติ”เห็นสภาวะต่างๆนั้นอยู่หลัดๆทีเดียวที่เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ”(การเห็นความจริงยิ่ง) และกำลังทำ “มโนมยิทธิ”(การทำฤทธิ์ทางใจ ฤทธิ์นี้คือฤทธิ์ในการชำระกิเลส ไม่ใช่ฤทธิ์นอกรีตคำสอนพระพุทธเจ้า) เป็น “อุตตริมนุสสธรรม”แท้ ข้อที่ 1 ของ “วิชชา 8” เป็นการทำ “การเกิด”ของจิต ชื่อว่า “โอปปาติกโยนิ”ตามพระอนุสาสนี  
    ต่อเมื่อ “เห็น”ว่าเราปฏิบัติมีผล “การกำจัดกิเลส”ลดลง จางคลายลง หรือดับไปได้ นั่นคือ  “อาการ”ของผลธรรมที่เราสามารถทำได้ผล จึงชื่อว่าผู้เนกขัมมะ คือ บรรลุผลที่เป็น  “เนกขัมมสิตเวทนา” 
    นี้คือ การเห็น “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” ที่เป็น “โลกุตรธรรม”สัมมาทิฏฐิแท้จริงแล้ว

(89)  “ธรรมกาย”แท้ของพุทธ ไม่ใช่แค่การสร้าง “ภพ”
    การทำ “ธรรมกาย”ให้เกิด “อาการ”ใสๆในภวังค์ ที่ทำๆกัน สอนๆกันทั้งหลายนั้น คือ การสร้าง “ภพ”สร้าง “ชาติ”อยู่ในภวังค์ 
    หรือการทำสมาธิหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ใดก็ตาม ที่ปั้นภาพปั้นรูปขึ้นสำเร็จในจิตภวังค์นั้น ล้วนเป็น “มโนมยอัตตา”ทั้งสิ้น  
    หากทำได้สำเร็จเห็น “ความใส”ในภวังค์ก็ดี หรือเห็นภาพที่เกิดอื่นๆใดๆก็ดี จนถึงขั้นเห็น “พระพุทธเจ้า”ในพุทธเกษตรปานนั้นก็ตาม ล้วนคือ  “สัญญา”กำหนดหมายของคนผู้ทำสัญญาณเอง จนสามารถทำได้สำเร็จด้วยจิต ก็เป็น “มโนมยอัตตา”(รูปที่สำเร็จด้วยใจ) ทำให้เกิดภาวะนั้นๆมีขึ้นได้ในใจของตน เป็น “นิมมาน”(การเนรมิต,การสร้าง,การประดิษฐ์)จาก “ทิฏฐุปาทาน”(ความยึดมั่นในทิฏฐิ)ของตน จนเป็น-จนมีขึ้นได้สำเร็จ (ฉะนี้เองคือ ผู้ได้นิมมานรดีจากการสร้างเอง) 
     “การเกิด”แบบนี้เป็นการทำให้ปรากฏขึ้นในจิตได้เช่นกัน แต่เป็น “การเกิดของจิตในจิต”ที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบของรูปกับนาม หรือครบองค์ประกอบของการ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”กระทั่งมี “กายสักขี”(มี “กาย”เป็นสักขีพยานอยู่โทนโท่)บริบูรณ์ [พระไตรปิฏก เล่ม 36 ข้อ 42 และเล่ม 31 ข้อ 491-498] 
    เพราะเป็นการปฏิบัติที่ยังมิจฉาทิฏฐิ ทำได้แค่เป็น “การเกิด”ของ “โลกียจิต” ที่สร้าง “มโนมยอัตตา”ขึ้นมาได้สำเร็จใน “ภพ”(ภวังค์) 
ด้วยความรู้ขั้น “สัญญา”เท่านั้น ยังไม่ “เห็น”ด้วยปัญญา
    จึงยังไม่ใช่ “การเกิด”ที่เป็น “การเกิด”ที่เรียกว่า  “นิพพัตติ” เป็นการเกิดแค่ “โอกกันติ”ที่ยังหยั่งลงเป็น “โลกียจิต”ของปุถุชนอยู่
    นิพพัตติ” คือ  “การเกิด”ของ “โลกุตรจิต” ตั้งแต่เริ่มเกิด กระทั่งถึงขั้นสูงสุด อันเป็นขั้น “นิพพาน”กันทีเดียว   
    ถ้า “การเกิด”ขั้นนิพพัตตินี้แหละ เจริญขึ้นๆ ถึงขั้น “อภินิพพัตติ” ก็คือ  “การเกิดของโลกุตรจิตขั้นสูง” ที่สูงขึ้นถึงขั้นสุดนิพพาน  
    ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้เจริญใน “อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา” มี “เจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุตติ”ครบ “วิมุติญาณทัสสนะ”สัมบูรณ์
    ความว่าง คือว่างจากอกุศลจิต ว่างจากกิเลส ไม่ใช่ว่า ว่างจากทุกสิ่ง

พูดถึงตรงนี้ก็ขออ่าน รหัสมหายาน ของนาครชุน ในมติชนรายสัปดาห์ ฉบับ นี้แหละ
จากบทความของสุมาลี มหณรงค์ชัย ว่า การจะเข้าใจหลักสายกลาง ของพระนาครชุน ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งการอธิบายหลักการของมาธยมิกะ ก็อาจทำให้คนตีความเข้าใจผิดเรื่องทางสายกลางอีก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิด สุมาลี ก็ยืนยันจะศึกษาสำนักมาธยมิกะ ผ่านคำถามว่า
1.หลักการหรือทาง "สายกลาง" ของสำนักมาธยมิกะคืออะไร 
2.หลักการถูกบัญญัติเป็นทางสายกลางระหว่างอะไรกับอะไร?
3.และหลักการของมาธยธิกะแตกต่างจากแนวคิดอุทเฉทวาทะอย่างไร (อุจเฉทนั้นว่าง แต่ของนาครชุนนั้นมี แต่ว่าง)
4.ทำเช่นไรถึงเข้าหลักการของมาธยธิกะได้?

คำถามเหล่านี้อยู่ในความสนใจของนักวิชาการพุทธและปราชญ์เรื่อยมา 
หลักค าสอนสำคัญนิกายมาธยมิกะมีความเห็นขัดแย้งกับแนวคิดในพระอภิธรรมที่ยอมรับว่า จิต เจตสิก รูป และนิพพาน เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง หรือมีแก่นแท้ (สวภาวะ) โดยปฏิเสธความมีอยู่ของสภาวธรรมเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นความจริงสมมติ ไม่มีอยู่จริง ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีอยู่เอง เป็นอยู่เองอย่างอิสระโดยไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งอื่นๆ สรรพสิ่งล้วนต้องอาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้นและเป็นไป (สัมพัทธ์)
เมื่อสภาวธรรมเหล่านั้นไม่มีแก่นแท้ เกิดขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นที่มาของหลักคําสอนสําคัญคือหลักสุญญตา (ศูนยตา) ปฏิจจสมุปบาท และหลักคําสอนเรื่องความจริง ดังจะนําเสนอตามลําดับ ดังต่อไปนี้   
1) หลักสุญญตานาคารชุนใช้คําว่า สุญญตา (ภาษาสันสกฤตคือ ศูนยตา) เรียกการที่สรรพสิ่งไม่มีลักษณะที่เป็นแก่นสารในตัวเอง ไม่มีสิ่งใดที่มีอยู่จริงๆ หรือเป็นอยู่อย่างอิสระจากสิ่งอื่นๆ(สวภาวะ) ความมีอยู่ของสิ่งหนึ่งๆต้องขึ้นอยู่กับความมีอยู่ของสิ่งหนึ่งๆ การมีอยู่ของสรรพสิ่งล้วนต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันที่เรียกว่า สัมพัทธภาวะ ดังนั้น สรรพสิ่งจะว่าไม่มีอยู่ก็ไม่ใช่ แต่จะว่ามีอยู่แบบที่คนทั่วๆไปเข้าใจก็ไม่ใช่ เพราะคนทั่วไปมักเข้าใจว่าสรรพสิ่งมีอยู่จริงด้วยตัวมันเองหรือมีอยู่อย่างอิสระ ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเพื่อความมีอยู่ สิ่งนั้นเรียกว่า ว่างหรือสุญญตา เป็นสิ่งสมมติและเป็นทางสายกลาง (สุมาลี มหณรงค์ชัย,2546  :  65)ดังนั้น สิ่งใดก็ตามอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นสุญญตา สิ่งใดเป็นสุญญตา แสดงว่าสิ่งนั้นอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น นอกจากคําว่า สุญญตา จะหมายถึงการที่สภาวธรรมทุกอย่างไม่มีความเป็นจริงในตัวเองหรือมีแก่นแท้ในตัวเองแล้ว นิกายมาธยมิก
ะยังใช้คําว่าสุญญตาในความหมายสิ่งที่เป็นความจริงสูงสุดอีกด้วย กล่าวคือ สุญญตาเป็นความจริงเสมอในการใช้วิเคราะห์ความมีอยู่ของสรรพสิ่ง ในความหมายนี้สุญญตาไม่ใช่แนวความคิดหรือทฤษฎีอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นแต่เพียงคําอธิบายความมีอยู่ของสรรพสิ่งเท่านั้น เพราะถ้ามองว่าสุญญตาเป็นแนวความคิดอย่างหนึ่งจะทําให้เกิดการตีความในฐานะสิ่งที่มีอยู่อีกภาวะหนึ่ง ยิ่งจะทําให้เกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นอีกมากมายสุญญตาจึงไม่ใช่แนวความคิดทฤษฎีแบบใดแบบหนึ่ง เป็นเพียงคําที่นิกายมาธยมิกะใช้เรียกความไม่มีแก่นแท้ของสรรพสิ่งเท่านั้น สุญญตาไม่ใช่ตัวภาวะหรือสิ่งที่มีอยู่อีกภาวะหนึ่ง เป็นทางสายกลางระหว่างแนวความคิดที่ยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่ามีและแนวความคิดที่ยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าไม่มีคือสูญ สุญญตาจึงไม่เอนเอียงไปทางยืนยันหรือปฏิเสธใดๆ เพราะการกล่าวว่า มีอยู่ แสดงถึงความเที่ยงแท้ (สัสสตทิฏฐิ) 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:31:56 )

580906

รายละเอียด

580906-วิถีอาริยธรรม  เนื้อแท้ประชาธิปไตยคือเพื่อประชาชน

พ่อครูว่า...ความเจริญก็ย่อมคู่กับความเสื่อมที่ต้องระวัง การไม่ผลาญไม่เอาเปรียบ ไม่ฟุ่มเฟือย เป็นบุญนิยม กินน้อยใช้น้อยอยู่ 1.ไม่ผลาญ 2.ไม่เอาเปรียบ  มีแต่ให้ประโยชน์กับสังคม ยิ่ง 3.ขยัน มีแต่สะพัดออกไปสู่สังคม ยิ่งยืนยันแบบบุญนิยม มุ่งสู่นิพพาน

ในสังคมถ้ามีลางบรรลัย ทำอะไรไม่สมดุล ผลก็จะพอมองออกได้เป็นรูปธรรมง่ายๆตื้นๆว่า 
1.เด็กและคนแก่จะงอแง  เด็กและคนแก่จะมีสัญญาณพิเศษ อะไรผิดปกติจะส่งสัญญาณ เป็นสัญชาติญาณพิเศษ  คือเด็กกับคนแก่อยู่ในระยะที่อ่อนแอ เด็กก็ไม่สมบูรณ์ คนแก่ก็เสื่อม จะงอแง จะทุกข์ไม่ได้ดั่งใจบ้าง ยังเกิดทุกข์ และก็ 
2.มีคนป่วยเพิ่มขึ้น นี่เป็นลางบรรลัยของโลกของชุมชน  
3.คนในชุมชนน้อยลงๆ 
4.บ้านรก จะดูรกรุงรังมากขึ้นเรื่อยๆ นี่คือเสื่อม 
5.ผักไม่มีกิน

อยู่ในหนังสือสรรค่าสร้างคน หน้า 77 พอดี ฟังให้ดี ผักไม่มีกินนี่เป็นความเสื่อมเลย เมื่อวานอาตมาเดินไปอ้อมรอบชุมชน ออกป่ายางไปนาโม วกกลับมาเหงื่อซกเลย เดินเห็นผักพืชต่างๆ ผักโขมแดง ผักโขมขาว อ่อมแซบ สารพัด ดอกโสนออกเต็มไปหมด ไปเก็บมาแกงส้ม เอามาทำอะไรกิน หรือชุบแป้งทอด คนก็ชอบของโทษ แต่ก่อนนี้ดอกโสนชุบไข่แต่ก่อนนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช้ไข่แล้ว พอมาถึงดอกเข็มก็กินได้นะ ดูดกินน้ำหวาน หลายคนก็กินสดเลย รู้สึกรื่นรมย์ในสถานที่แวดล้อม นาที่หน้าโรงปุ๋ยเขียวสุดเลย ถ้าไม่เขียวก็เสียชื่อโรงปุ๋ยเลย 

อาตมาพูดมานานว่าชาวอดศกต้องเป็นชาวนา ใครจะเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านแต่มานี่อาตมาจะมาพาทำนา แล้วไม่ต้องทำมาก ใครถนัดจะทำทั้งปีก็ทำใครทำเป็นฤดูก็ทำ สร้างสรรมาแต่ไม่ได้เอาไปเอาเปรียบเอารัดแต่เพื่อให้เป็นสิ่งอาศัยใช้สอยในชีวิต เราไม่สร้างสิ่งเสียหาย 

การปกครองประเทศ ประชาชนต้องเป็นตัวหลัก ก่อนจะมีความรู้ได้ จิตใจต้องเป็นตัวหลัก คนเดียวก็ตาม ต้องมีหลักสำคัญ เป็นธรรมะเป็นสิ่งทรงไว้เป็นปัญญา รู้ว่าหลักการนี้ประเสริฐ แล้วเราก็ทำงานออกฤทธิ์มีประสิทธิภาพ แต่ละคนมีคุณวิเศษ มีคุณธรรมจริง ก็เป็นคนอาริยะ คนประเสริฐ จะอยู่ในชื่อว่าเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตย จะชื่ออะไรก็ตาม แต่พฤติกรรมนั้นเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ ตามความรู้ความสามารถนั่นคือความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะชื่อว่าระบอบไหนก็ต้องการพฤติกรรมแบบนี้ ขอยืนยัน ใครจะแย้งจะเถียงก็ไม่เถียงด้วย อาตมาพอแล้ว ตัดสินตามที่อาตมาเห็นก็แล้วกันใครจะไม่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ 6/9/2558 9:25:28

    (1) เนื้อแท้แห่งประชาธิปไตย คือ 
        “เพื่อประชาชน” มิใช่ “เลือกตั้ง”  

        (1) ลินคอล์นกล่าวหลักไว้   สามสัจจ์                 
        หนึ่ง “เพื่อประชา”ชัด           ยิ่งแล้                 
        สอง “โดยประชา”จัด           สำทับ ไว้เฮย                  
        สามอธิปัตย์ที่แท้           จักต้อง “ของประชา”                                  
        (2) โลกาเห็นด้วยว่า           เป็นจริง                      
        สามสัจจ์นี้ใช้อิง           เพื่ออ้าง                 
        แต่ประชาธิปไตยลิง           หลอกโลก              
        รวบอำนาจรัฐสร้าง           พวกพ้องพรรคตน         
        (3) ซื้อคนใช้เล่ห์ล้วน           วิธีการ- เมืองเลย                                 
        เกิดค่ายกลล้างผลาญ           ชาติสิ้น                 
        อิงประชานิยมมาร           เทพบุตร จำแลงแฮ                                 
        โกหกด้วยเล่ห์ลิ้น           ซับซ้อนเลวลวง                 
        (4) หอบหวงอำนาจไว้       ในตน                 
        ใช่ “เพื่อประชาชน”           สักน้อย
        หรือ “ของประชา”ผล           คือชาติ ประลัยฮา     
        “โดยประชา”แต่ถ้อย           ที่แท้เผด็จการ                 
        (5) อ่านประชาธิปัตย์ให้     ทะลุแกน เถิดเทอญ                                 
        ใช่ “เลือกตั้ง”ผู้แทน           เท่านั้น                 
        นั่นคือแค่แบบแผน           วิธีหนึ่ง     
        หากเจาะลึกค้นคั้น           แก่นเข้าใจถึง     
        (6) จึงจะเจอแก่นเนื้อ           กันจริง                  
        “สามสัจจ์”แจ็คควีนคิง           ต่างขั้น                 
        สูงกลางต่ำตามกิง-           การณะ                  
        ซึ่ง “เพื่อ,โดย,ของ” นั้น           แก่นแท้คือไฉน                
        (7) “โดย”ใครคือผู้ก่อ           อธิปัตย์    
        “ของ”ประชาต้องชัด           แก่นแท้        
        แก่น“เพื่อประชา”สัตย์           ตรงยิ่ง จริงฤา     
           หากมิใช่ เก๊แล้            หลอกแล้ว“โดย-ของ”    
            
            (8) ต้องการเมืองมุ่งเป้า     ประชาชน
            “โดยประชา”คือทุกคน           ร่วมสร้าง
            มิใช่แค่พรรคพล           ส่วนหนึ่ง 
            แต่มักหลงอวดอ้าง           พวกพ้องตนทำ
            (9) สำคัญยิ่งยอดนั้น           คือใด
            “ของประชา”นั้นขอไข           ชัดแท้
            คือผลจาก“โดย”ใคร           ต่างหาก
            จึ่งจักเป็น“ของ”แม้           แต่นั้นจากกระทำ        
            (10) ลำดับเริ่มเหตุต้น       “โดย”ใคร
            ผลจึ่ง“ของ”ส่วนใด            ที่ได้
            แต่“เพื่อ”นั่นมีนัย            สำคัญสุด        
            “เพื่อประชาชน”ไซร้            แก่นเนื้อการเมือง        
            (11) เรื่อง“โดย”เรื่อง“เพื่อ”นี้   จงตรอง
            “โดย-เพื่อ”ก่อนจึง“ของ”    อยู่ท้าย    
            “โดย”ใครช่างเถิดลอง        คิดลึก ดูเทอญ
            “โดย”มนุษย์หากเลวร้าย    จักได้อะไรเหลือ    
            (12) ฟั่นเฝือกันมากแล้ว     การเมือง
            เสียทรัพย์เสียเวลาเปลือง    สุดแล้ว
            “คอมมิวนิสต์”รุ่งเรือง        ก็เถิด
            แม้“เผด็จการ”ผ่องแผ้ว    มุ่งหน้าบริหาร
            (13) อย่าผลาญอย่าชั่วร้าย    ครองธรรม เถิดเอย
            จะออกแบบไฉนจำ-        หลักสร้าง
            ว่าเป็นระบอบสำ-        หรับกิจ ปกครองแฮ             
            จะกี่ชื่อเอ่ยอ้าง        เพื่อใช้บริหาร            
            (14) แต่งานมิใช่ขึ้น        กับนาม
            ปฏิบัติต่างหากความ-        สัตย์แล้
            ถ้า“เพื่อประชา”ถาม        หน่อยเถิด
            ใช่“ประชาธิปไตย”แท้        บ่ได้ฤาไฉน.

                              “สไมย์ จำปาแพง”    
                                  4 ส.ค. 2558
            [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 302 ประจำเดือน กันยายน 2558]    
                    
พ่อครูว่า...ประชาชนต้องมีสิทธิ์เลือกพรรค หรือไม่เลือกเลย แต่นี่เขามีกฎระเบียบเลยว่าจะเป็นสส.ต้องสังกัดพรรค เขารวบอำนาจรัฐได้แล้วก็สร้างพรรคที่กฎหมายรธน.รองรับด้วย มีอำนาจ ตำแหน่ง ยศ ใช้มันคนไว้เป็นลิ่วล้อเป็นเบี้ยใช้ ก็สำเร็จสิ สำหรับคนโง่ๆ ตกเป็นทาสอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ ใช้ซื้อคน เกิดเป็นค่ายกลล้างผลาญชาติสิ้น แล้วก็อิงคำความประชานิยม เป็นเทพบุตรจำแลง โกหกเล่นลิ้น คนรู้ไม่ทันก็เป็นเบี้ยล่าง เป็นลูกกะโล่ จะมีปัญญาเฉลียวฉลาดขนาดไหนก็ถูกอำนาจโลกีย์ซื้อหมด จ้างหมดตลอดกาล เขาไม่ได้ทำเพื่อประชาชนเลย แค่เรื่องเลือกตั้งนี้ อาตมาว่าให้อีก 10 ปีเลย อย่าเพิ่งเลือกตั้งใน 10 ปีนี้ เมื่อประชาชนมีความพร้อม6/9/2558 9:45:32

การแอบอ้าง อวดอ้างหาเสียงติดป้ายว่า ที่ทำตรงนั้นตรงนี้เป็นผลงานของพรรคใดๆ นั้นมันหลอกกัน การหาเสียงอยู่นั้นไม่ใช่วิธีการประชาธิปไตย อย่างชาวอโศกออกวิถีชีวิตเราไป เขาก็หาว่าเราโฆษณาตัวเอง แต่อาตมาก็ว่าไม่ใช่โฆษณาแต่เป็นความจริงที่น่าโชว์ ซึ่งแบบนี้นั้นหายาก หาตามตลาดไม่ได้ เลยจำเป็นต้องเอาออกให้ดู มันหายาก นอกนั้นมีแต่สังคมเน่าๆ สังคมโลกีย์เขาโฆษณากันโครมๆอาตมาจะไปแข่งเขาทำไม จะบอกว่าโฆษณาตัวเอง ก็เอาเข้าจริงก็โฆษณาตัวเองทุกคนและ เราก็รู้ว่าอันไหนดีก็เอาออกไปโชว์ จะบอกว่าลูกปูเดินเหมือนแม่ปู หรือลูกนกเค้าท้วงตาแม่ ว่าแม่ทำไมตาโต มันก็พอกัน แต่จริงๆแล้วมันอยู่ที่จิตเราอยากอวดไหม ถ้าเราไม่มีสาเฐยจิต(จิตอวดอ้าง)หรือไม่ เราก็เรียนรู้จิตนี้แล้วอย่าให้มีสาเฐยจิต ไม่ได้มีอวดอ้าง ช่องนี้ไม่มีสปอนเซอร์ เราก็เอาของคนอื่นที่น่าออกให้ดูกันได้ ไปถ่ายทอดให้คนอื่นก็ทำ สิ่งที่เราไม่เอาออกเพราะไม่ควรคือ อบาย และเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะ แล้วก็คนเขาออกกันมากเราก็ไม่ออก ช่องบุญนิยมจะไม่เหมือนกับชาวบ้านด้วยนัยเช่นนี้ 6/9/2558 9:56:58

งบประมาณที่ว่าจะให้ประชาชนแต่ว่าถ้าเขาไม่ซื่อสัตย์ ที่ว่าของประชาชนก็เก๊ทั้งนั้น เงินหรือของไปถึงประชาชนสักเท่าไหร่กันเชียว โดยประชา แต่หากคนเลวร้ายไม่มีปัญญา ไม่ซื่อสัตย์เห็นแก่พรรคพวก ตนเองก็ตกในค่ายกลที่เขาสร้างว่าโดยประชาชน คุณก็อยู่ในค่ายกลนั้น เสียหมดเสียทรัพย์สินแรงงานหมด 
จะชื่อว่าคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการ ก็ถ้ามีคุณธรรม จะออกแบบอย่างไรก็ตาม ว่าเป็นระบอบออกแบบอย่างไร ชื่ออะไร ไปใช้บริหารก็ตาม เป็นรธน.ที่กำลังออกกัน กำลังซัดกันตูมๆ วันนี้แหละที่จะรับร่างหรือไม่ ก็จะได้ดูกัน 

ประชาธิปไตยอังกฤษกับอเมริกาต่างกัน แต่จะเบ่งหาเสียงใครน่าเกลียดกว่ากัน ต่างกันนะ ยังกลัวคะแนนเสียงตก ก็คือพวกวัวสันหลังวะทั้งนั้นไม่แน่จริง แค่นี้อาตมาก็เห็นว่าอเมริกาสู้อังกฤษไม่ได้ในเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งเนียนในกว่าเยอะ ตั้งแต่ รธน. อังกฤษไม่มีรธน. แต่ถ้ามีรธน.อเมริกาต้องเข้ม ถ้าไม่เข้มแล้วประชาชนทำอย่างไทยเรา อเมริกาพังภายใน 7 วันนะ นี่ดีที่ประเทศเขารธน.ยังมีผลพอสมควร แต่ไทยเราให้ออกแบบมากี่ร้อยรธน.ก็ฉิบหาย เพราะคนยังไม่ได้เรื่อง เขาเอาอำนาจบนไปครองหมด อาศัยที่ประชาชนยังไม่รู้เรื่องประชาธิปไตยดี ตลอด 83 ปีแล้วก็มีแต่หลอกลวง 6/9/2558 10:07:33

นี่พล.อ.ประยุทธนี่กำลังเริ่มทำได้ดี อย่างพล.อ.เปรมนี่ อยู่ 8 ปี ท่านก็บอกว่าพอแล้ว มันมีตัวอย่างให้ศึกษาให้รู้ทั้งนั้น ในเรื่องของสาระแก่นเนื้อประชาธิปไตยมันอยู่ที่คน ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวไม่มีกิเลส ไม่มีอคติก็จบ ทุกอย่างก็ทำเพื่อผู้อื่น แต่ปฏิภาณคนก็รู้ว่าทำเพื่อส่วนรวมมากขึ้นเท่าไหร่ก็เป็นความรักเอื้อเฟื้อเจือจานกันมากเท่านั้นถือว่าเป็นมิติที่ 7 ขึ้นไป แล้วสูงขึ้นอีกเป็นมิติที่ 8 ที่ 9 เป็นนิพพานเลย มีจิตใจเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างต่อประชาชนเพิ่ม ลดการติดยึดในอบาย ในกาม ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 

จิตเราต้องอ่านรู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส จะรู้ว่าจิตเราที่มันเป็นชีวะ จนถึงเป็นพีชนิยามเลย เรามีอัตภาพรู้สัญญาสังขารวิญญาณ จนมายึดตัวตนเป็นจิตนิยามเลย มีสามเส้า แม้พีชะจะมีสามเส้าแต่ไม่มีเวทนาที่เป็นตน มีผลักมีดูดอะไรมาก มองไปในแง่หนึ่งคือเจริญ มองไปอีกแง่คือเสื่อม ถ้ายึดมาให้แก่ตัวคือเสื่อม แต่ถ้าเอามาเพื่อรักษาตนให้แข็งแรงจะได้สามารถช่วยเขา อันนี้เจริญ 6/9/2558 10:13:03

เวทนาเป็นพลังงานมีแรงดูดผลัก สร้างสรร  ตนเองมีต้นรากในการสร้างสรร อาตมาพยายามแจกแจง ให้เป็นสิ่งอาศัย เป็นนิสัย จนเป็นวิสัย เป็นอนุสัย เรียนรู้ตั้งแต่กามานุสัย จนลดลงมาเป็น นิสัยที่ไม่มีอนุสัยหยาบแล้ว อนุสัยที่เจริญได้ก็ถูกซักฟอกให้สะอาดมีประสิทธิภาพสูง พลังงานพีชะยังไม่เจริญแต่ไม่มีพิษภัย พอสั่งสมก็เป็นอนุสัยเลวร้าย เราต้องมาล้างให้กลายเป็นอนุสัยที่ดี เหลือเป็นวิสัยที่ดี เป็นแค่อาศัยแล้วก็กลายเป็นอนุสัยรักษาผลไว้ กลับไปกลับมาแต่เป็นแต่ของดีหมดเลย เป็นพลังงานอยู่เต็มๆ ศาสนาพุทธไม่หนีสังคมมีโลกวิทู ผู้จบอรหันต์จึงเป็นโลกานุกัมปายะ พระอรหันต์เป็นนักการเมืองตัวจริง ช่วยประชาชนจริง โดยไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องห่วงตัวเองเลย คนจะช่วยไว้เลี้ยงดูไว้ ในเรื่องหยาบ แต่เรื่องลึกซึ้งที่ตนช่วยเขาได้ก็จะทำให้เขา คนเขาเลี้ยงเราง่าย สุภโร สุโปสะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ 

พวกนักการเมืองเก่าถูกริดรอนสิทธิที่เคยตัวเคยได้เปรียบ เขาก็ว่าอย่างนั้นอิสรเสรี พอเขาออกแบบรธน.มาตัดไม้ตัดมือตัดอำนาจที่เขาจะได้อย่างเก่า เขาก็โวยสิ เป็นธรรมดาเลย เพราะเขาไม่ได้เปรียบ เมื่อไม่ได้เปรียบเขาก็สู้หัวขาดสิ จะมีอะไร สู้หัวขาดไม่ได้ก็ดันผ่าไปเล่นไม้เลว มีการข่มขู่จะทำร้าย แสดงอิทธิพล ต้องใช้สำนวนคึกฤทธิ์ว่า กูไม่กลัวมึง คนพวกนี้ไปกลัวไม่ได้หรอก ตอนนี้ไทยกำลังได้รัฏฐาธิปัตย์ในเมืองเพื่อจะล้างบ้านให้สะอาดที่สุด ให้ทำไปเลย อาตมาก็เชื่อ ท่านจะเป็นอนาคามีหรือไม่แต่ก็ยังแสดงออกสวยสดงดงาม ไม่ได้หลงเลอะ คอนเสิร์ตที่ไหนก็ไป สวยที่ไหนก็ไป เป็นขิฑฑปโทสิกะ เทวดาเก๊ หลงโลกีย์เช่นนั้น นี่ก็ดูท่านไมได้หลงเลอะโลกีย์อะไรมากมาย ต้องยกให้ ในฐานะที่ไม่ไม่ชัดก็ยกประโยชน์ให้จำเลยไปก่อน  อาตมาก็สนับสนุนเต็มที่ ท่านจะทำงานอย่างไม่ระแวง แต่ก็ระวังไว้บ้าง คนไม่เห็นแก่ตัวมากหากมีโอกาสทำงานจะกล้าทำ แต่ถ้าคนไม่สะอาดจะมาทำได้อย่างไม่กล้า ไม่มีสัปปุริสธรรม 7 เขามองไม่ออกดูไม่ออกหรอก ตอนนี้ยังไม่เห็นว่าอะไรจะดีกว่า นายกฯคนที่ 29 นี้ดูดีสุด เหมาะกับยุคกับกาละ คาแรคเตอร์อย่างนี้ พฤติภาพเช่นนี้ ท่าทีบางทีก็ดูล้นๆไปหน่อย แต่ก็แสดงออกว่ารู้ตัว ขอโทษ แสดงว่าไม่มีตัวตนนี้ขอโทษได้ คนไหนแพ้ไม่ได้ ขอโทษไม่ได้ คนนี้เอาไปทิ้งทะเลเพลิงให้จัดการเลย เอาไปลงในปล่องภูเขาไฟโยนไปในนั้นได้ จะได้จบๆ ไปอยู่กับลาวา 

ตกลงรธน.ร่างกันมาปีกว่า จ้างคนไปนั่งหาวก็เยอะ จะได้รู้ว่าคว่ำหรือไม่ก็จะได้รู้กัน 

ต่อไปจะตอบปัญหา ชาวค่ายสัมมาอารยมรรค
-ลูกขอถามว่า ปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกมา 36 ปีแล้ว จะให้ทำอย่างไรคะ
ตอบ...คุณพูดเองถามเองก็อยู่บ้านสิ ก็ปฏิบัติธรรมไป ฟังปริยัติ ปฏิบัติไป ก็ถามมาได้เสมอ 

-ขอเรียนถามพ่อครูว่าทุกวันนี้เด็กติดเกม มาเรียนสาย ไม่เข้าเรียน พ่อครูมีข้อเสนอแนะไหม
ตอบ...เราทำได้ในชาวอโศก ขนาดนั้นก็มีเด็กแอบๆอยู่เยอะ ถ้าเด็กคนไหนเขาพอมีวุฒิภาวะพอ แม้จะอายุน้อย เขาอายุแค่ 15 แต่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว เราก็อนุโลมให้เขาทำบ้างจะได้ดู แต่ส่วนใหญ่จะอินทรีย์พละอ่อนไม่ควรให้ทำ แต่ว่า คนส่วนใหญ่ก็เห็นว่าเขาทำได้ ก็เลยยาก แต่ก็ต้องดูไปเป็นรายๆ มีรายละเอียดซ้อนเหลื่อมมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่ ก็ค่อยๆทำไป จึงระงับเป็นส่วนใหญ่ เป็นกฎระเบียบของเรา ที่อื่นเราไม่ได้ไปละลาบละล้วงด้วย ที่อื่นเขาก็โต้ต้านกันอยู่อย่างนักศึกษาที่อยากอิสรเสรี ก็ให้ลาออกไปสิ แต่ถ้ามาอยู่กับเขาก็ต้องตามกฎระเบียบเขา ไม่ชอบใจก็ไปที่อื่นสิ ก็ค่อยๆออกกฎระเบียบช่วยดูแล ก็ไม่ใช่แข็งเป๊ก อนุโลมมีบ้างตามควร

-ประชาสัมพันธ์กับโฆษณาต่างกันอย่างไร
ตอบ...ตอนแรกมีโฆษณาก่อน แต่ต่อมาก็มีคำว่าประชาสัมพันธ์มาแก้คำว่าโฆษณา คำว่าโฆษณานั้นไม่มีหลักอะไร มีแต่บอกประกาศออกไปแล้วแต่ใครจะทำ แต่ว่าประชาสัมพันธ์นั้นเป็นการบอกไปอย่างไม่มีสิ่งเลวร้าย อย่างสิ้นค้าชาวอโศกต้องมีประชาสัมพันธ์ให้พอควร แต่น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ส่วนโฆษณานั้นหาเสียงแหลกราญ กูได้ประโยชน์เท่าไหร่ก็ใส่เข้าไป แต่ประชาสัมพันธ์นั้นจำกัดความตามภูมิ แต่เราไม่โฆษณา นัยสำคัญที่จะตัดสิน คือประกาศออกไปแล้วหาประโยชน์ส่วนตัวมากคือโฆษณา แต่ถ้าประกาศแล้วประชาชนได้ประโยชน์มากแต่ให้ประกาศแต่น้อยเข้าไว้ยิ่งดี คือประชาสัมพันธ์

-การทำค่ายสัมมาอาริยมรรคด้วยสัมมา เป็นการสร้างคนให้เป็นพุทธะอยากให้เริ่มต้นเล็กๆอย่างธรรมชาติ ให้มีพี่เลี้ยงเอาจิตวิญญาณเป็นหลัก สมณะ สิกขมาตุให้เวลาได้ ยังไม่อยากให้เป็นรุ่นละ 100หรือ200 คน ทราบว่าจะมีคนมาร่วมรุ่นต่อไป จึงฝากให้มีระบบที่มาด้วยใจ พี่เลี้ยงมีทีมที่จะเอาใจใส่จิตวิญญาณจะดีกว่า ถามว่ามีข่าวว่าจะมาเป็นร้อยจริงหรือไม่
ตอบ...ยังไม่ได้ยินข่าวนะ ก็ควรมีลิมิตอย่างว่า ถ้ามามาเกิน นร.เต็มห้องไป คนดูแลคนเดียวหรือครูสองคนไม่พอ มากเกินไปเกินกว่าเราจะดูแล เป็นลูกหมูเหลือนม มันให้อาหารไม่ทัน อันนี้เป็นการประมาณที่ต้องคำนึง อาตมาว่า ร้อยคนนี่กำลังดี เรื่องของเราเน้นเรื่องธรรมะนี่ ในอนาคต ต่อไปก็อย่าให้หลงใหลปริมาณ เกินร้อยคนก็ยับยั้งไว้ก่อน ปิดรับสมัครก่อนก็ดีเหมือนกัน ต้องดูให้เหมาะสม ถ้าเรามีพี่เลี้ยงพอ ก็ทำได้มากกว่านี้ ร้อยหรือสองร้อยคนก็ได้แต่มันมีลิมิต ถ้าอบรมคนพันคนนี่มันเป็นไปไม่ได้ด้วย เละเทะเกิน จะเอาคนมาดูแล แต่เฉพาะคนดูแลจะขัดแย้งกันเท่าไหร่ คนดูแลนี่ก็หลายหัว แต่ละคนหัวไอ้เรืองทั้งนั้นอย่าตะกละ เรื่องธรรมะเราไม่ตะกละ อย่าเอาแบบธรรมกาย เขาเอามวลเป็นหลัก ธรรมกายนี่้ร้ายเลย 1สะกดจิต 2.ให้เอาเรื่องเดียวเลย 3.เอาโลกีย์ต่างนานาสารพัดมาล่อเก่งมาร์เกตติ้ง ให้มาอยู่ในอวยเขาก็เลยดูเรียบร้อยหรูหรา ซึ่งไม่ใช่แบบที่ต้องมาอยู่ในกรอบ แต่พวกเรานี่ไม่ได้ฝึกกันว่าให้เดินตรงเป็นแถวแต่มันตรงเป็นแถวเอง แต่เขาไม่ให้กระดิกเลยบังคับ พระพุทธเจ้าไม่บังคับ แต่ถ้าเกินแล้วไม่สำนึกเราค่อยคัดออก ถ้าเกินเล็กน้อยพวกเราก็เอาไว้อยู่ แต่ไม่ใช่ให้เป๊ะเหมือนกันหมด ที่อาตมาต้องกล่าวนามก็คือเขาทำมากทำแล้วจนเป็นตัวอย่างที่ขอบคุณที่ทำตัวอย่างอันเลวให้เอามาเปรียบเทียบ อาตมาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาไปรบราฆ่าฟันกับเขาแต่เจตนาเพื่อเปรียบเทียบเลือกเฟ้นอิสรเสรีภาพ ก็ต้องข่มสิ่งที่ควรข่มยกสิ่งที่ควรยก 

-อธิศีลข้อ 4 มี 1.ไม่พูดแนะนำสั่งสอนผู้อื่น(ยกเว้นตนเอง) ถ้าสิ่งที่เราจะแนะนำเป็นสิ่งดีกว่าก็ไม่ควรหรือคะ
ตอบ...ถ้าเราดีพอ คนจะแนะนำผู้อื่น ผู้อื่นต้องรับได้ และเราก็ไม่มีจิตมีกิเลสอยากอวดอยากใหญ่อยากเป็นคนสอนเขา และสองคนที่เขาจะรับต้องเต็มใจ สามโอกาสอันควรจะทำ บางโอกาสที่เห็นว่าควรทำ จะเสียหายเราก็ต้องใช้คำแนะนำให้เป็นประโยชน์ ต้องใช้สัปปุริสสธรรม หลักสำคัญคือเราดีพอหรือยัง ถ้าไม่ดีพอก็เงียบไว้เลย ยากเหมือนกันที่จะรู้ว่าตนดีพอหรือยัง ส่วนมากจะนึกว่าตนดีพอ 

-การที่เราแสดงความคิดเห็นด้วยคำพูดเจตนาดี แต่ยกตัวอย่างผู้อื่น บางครั้งเราพูดเช่นกับผู้ป่วย เราเจตนาให้เขาดูแลตนเอง แต่ไม่ได้ต้องการพูดให้คนอื่นที่เราพาดพิงเสียหาย อยากทราบว่าเราบกพร่องศีลไหม
ตอบ...จะแนะนำก็ต้องศึกษา ต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการ โดยเราต้องมีเนื้อแท้ธรรมะเรียกว่าอัตถะแล้วมีองค์รวมที่เหมาะเป็นธรรมะ เป็นธัมมัญญุตา จากนั้นก็ดูตน ตัวเราก็เท่านี้ เขายอมรับเราไหม เราดีจริงพอหรือไม่ เป็นต้น ต้องถ่อมตนอยู่ตลอดเวลา อัตตัญญุตา อย่างอาตมาถ่อมตนแต่ต้น มาถึงวันนี้กร่างไม่เบาแล้วแต่อาตมาก็ว่ายังถ่อมตนอยู่ ยังเกรงใจขออภัยอยู่อันนี้เป็นองค์ประกอบที่อาตมาแสดงออกไม่ง่ายจะเข้าใจ มีปริญญุตา ต้องรู้บริษัที่เราจะแสดงออก ต้องประมาณให้พอเหมาะว่าอย่างนี้แสดงออกได้ขนาดไหน อย่างแสดงกับว.นบ.กับที่ตลาดหรือที่ราชดำเนินก็ต้องดู หรือต่อแต่ละบุคคล ปุคคลปโรปรัญญุตา 7 ข้อนี้ครบแล้วใช้อันนี้เป็นหลักเกณฑ์ศึกษาแล้วหัดฝึก ผู้รู้จักสัปปุริสธรรม 7 คือสัตบุรุษ คือบุรุษผู้รู้ประมาณใน 7 ข้อนี้ จัดสรรได้เหมาะสม ผู้ประมาณได้ไม่พอเหมาะไม่ใช่สัตบุรุษ เป็นสัตว์นรก หรือสัตว์เทวดาใจดีเกินไปก็เสียธรรมเยอะ  6/9/2558 10:53:28

-ดิฉันเป็นสุรินทร์อโศก ดิฉันมีเรื่องทุกข์ทางใจในการปฏิบัติตน เพราะมีหน้าที่ในการดูแลแต่มีผัสสะแรงแล้วมีมานาน จนเกินที่จะทน ที่ทนได้ยากคือสงสารคู่กรณีที่เธอเป็นคนหลงดีหลงเก่งโดยไม่ฟังใคร 
ตอบ...ก็ยังดีนะที่คุณยังสงสารเขา ก็ทนเอา มันก็ยากต้องใช้ศิลปะในการทำอย่างไรให้เขารู้ตัวว่าเขาหลงดีหลงเก่ง ไม่ฟังใครนี่ไม่เจริญ ทราบไว้เลยว่า คนไม่มีปรโตโฆษะไม่ฟังใครนี่เป็นคนไม่เจริญทันที มันต้องฟังแม้คนโง่เง่าเกเรอย่างไรมันก็มีสิ่งที่ให้เรารู้เป็นองค์ประกอบในการพิจารณา อย่างถูกต้อง ที่ถามมานี่อาตมาก็ตอบได้แต่ว่า คุณทนก็ต้องให้เห็นว่ามีประโยชน์ แต่ที่พูดนี่คือเขาดีหลงดี ถ้าเขาไม่ดี แต่ถ้าเขาหลงดี แล้วหลงเก่ง เขาก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ สมควรเลิกก็เลิก แต่ถ้าเขาดี ติดดีหลงเก่งเขาก็ดีนะ อาตมาว่าแม้เขาจะหลงดีหลงเก่งก็ควรคบ ให้เราได้ศึกษาดีศึกษาเก่ง แต่ถ้าเขาหลงดีที่ไม่ดีจริงไม่เก่งจริงก็ประมาณเอาได้ไม่คุ้มเสียก็เลิก ไม่ต้องไปร่วมด้วย 

-หากเรากำลังจะตาย หายใจก็ลำบาก ปวดหัวได้รับทุกขเวทนาสุดแสนทน โดยโรคร้ายจะทำใจในใจอย่างไรให้จิตสงบ ไปเกิดในหมู่ชาวอโศกอย่างรวดเร็ว ตอนวิญญาณออกจากร่างไปไม่เกิดในท้องเดรัจฉาน ผมทราบว่าก่อนตาย หากใครเป็นโรคร้ายจะได้ทรมานมาก จิตเขาจะทุกข์มาก ถ้าไม่เรียนรู้สติปัฏฐาน 4 จะทำใจในใจไมได้ จิตสู่ทุคติ อาจลงนรกจริงหรือไม่ 
ตอบ....ต้องติดตามฟังก็แล้วกัน ก่อนตายทำใจอย่างไร หากเราทำได้จะรู้ตั้งแต่พลังงาน อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ ตอบไว้ก่อนว่าถ้าคุณทำได้เป็นๆตายไปคุณก็ได้สิ่งนั้น จะนานหรือจะช้าหรือเร็วก็อยู่ที่วิบากของคุณอีก สรุปให้ทำที่ปัจจุบันตอนเป็นๆ ไม่ต้องไปหวัง แต่ถ้าทำได้ในปัจจุบันก็ตายไปได้เช่นกัน อนาคตไม่สำคัญเท่าปัจจุบันเลย

-อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญให้คนรู้ว่าการกระเพื่อมไหวจิตใจได้
ตอบ...อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส นี่แหละ ให้รู้ถึงทวัตติงสาการ ทวัตติงสาการ ส่วนอาการ 32 เป็นส่วนเกี่ยวกับทวาร 6 ถ้าตับไตไม่ดี สะเทือนมาถึงจิตเราหมดแหละ อาการที่ 33 นี่ อาตมากำลังอธิบายอยู่ กำลังไล่ อาการ 32 กับ 33 คุณถามว่าอาการที่ปรากฏให้เรียนรู้อาการนี่แหละ ถ้าองคาพยพทำงานระดับพีชนิยาม ที่มีดินน้ำไฟลมที่มารวมประชุมกันเป็นตับไตไส้พุงอาการ 32 จะเข้าใจได้

-อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้คนคลายจากการกระเพื่อมจากอาการนั้น
ตอบ..ต้องกำจัดตัวอาการให้หมดชีวิตินทรีย์ของมัน อาการที่มันเคลื่อนนี่แหละ ชีวิตของสัตว์

-วิเคราะห์กรณีที่พรรคเพื่อไทยกับพรรคปชป.จะจับมือกันล้มร่าง รธน. ให้ได้ เป็นอย่างไร สรุปว่าร่างรธน.นี้ทำให้พรรคการเมืองสองพรรคนี้จับมือกัน แปลกนะคะ
ตอบ....พวกนี้เป็นนักเลือกตั้ง บอกแล้วว่า รธน.ใหม่นี่มันตัดไม้ตัดมือพวกนักเลือกตั้ง ของเก่านี่เป็นนักเลือกตั้งเลวร้ายทั้งนั้น เขาเจตนาให้ระงับพวกนี้อย่างน้อยห้าหรือสิบปีเลย อาตมาก็ว่าสู้ตายเลย รธน.นี้ให้คว่ำพรรคเลวร้ายให้ได้ ให้ฉบับนี้ทำงาน ถ้าเผื่อว่าร่างรธน.ฉบับนี้สองพรรคได้เปรียบเขาจะออกมาค้านทำไม ตลอด 80 กว่าปี้นี้พรรคพวกนี้ บ่ มีไก๊ ต้องให้พักก่อนเถอะ หยุดก่อนเถอะพักให้สบาย ไหนๆก็ได้มาเยอะแล้ว หล่อยให้คนใหม่เขามาทำบ้างนี่เป็นความเห็นของอาตมานะ ไม่บังคับใครมาเห็นด้วย.. ตกลงข่าวออกมาแล้วว่า ไม่รับร่าง รธน.นี้ 134 รับแค่ 105 งดออกเสียง 7 อื่นๆอีก 1

ก็ขอออกความเห็นเมื่อเรื่องนี้เกิดเช่นนี้ ส่วนตัวอาตมา ก็เห็นว่า มันดีทั้งสองอย่าง ปล่อยให้มาสร้างรธน.อีกก็เสียเวลาไม่น้อย แต่ถ้ารธน.นี้ออกมาพวกนักเลือกตั้งก็จะเสียโอกาสอีกเยอะ แต่เขาไม่ยอมแน่นอน อาตมาก็ขอบอก ให้ออกรธน.ให้เข้มกว่าเก่าอีก มัดมือไม้เลย ออกรธน.มาอีกให้ดีกว่าเดิม ถ้าไม่มัดมือมัดไม้นักการเมืองเก่าไม่มีทางเลย ของเก่านี่ทำฉิบหายต้องเอาของใหม่ พิสูจน์มา80 ปีแล้ว ใช้ไม่ได้ ตอนนี้ก็ต้องมาร่างรธน.ใหม่ก็ยืดยาวออกไป การบริหารต่อไปก็พวกเราก็เตรียมกองเชียร์ให้หนัก เชียร์ท่านประยุทธต่อไปอีกให้หนัก อาตมาให้โรดแมพว่าออกมาให้หนักกว่าเก่า ประชาชนจะเข้าใจกว่านี้และขอให้กำลังใจท่านประยุทธ จงดำเนินใช้อาญาสิทธิ์ให้ดี คะแนนเต็มร้อยอาตมาให้ ร้อยยี่สิบเท่านั้น แม้บทบาทลีลาก็เหมาะกับยุคนี้จะมาเอาแบบอภิสิทธิ์ไม่ได้ เพราะยุคนี้มันยุคแบบนี้ เป็นแบบนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นอาตมาไม่ทำเช่นนี้อาตมาทำงานตอนนี้ลีลาคล้ายท่านประยุทธนะ6/9/2558 11:12:49
จบ..


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:33:03 )

580907

รายละเอียด

580907_พ่อครูพบนร.บ้านราชฯ 

พ่อครู หลวงปู่ก็ตั้งใจใช้เวลา วันจันทร์อาทิตย์ละ 1 ชม. มาพูดความจริงตั้งใจจริงต่อกัน ก็คงทราบว่าหลวงปู่มาทำงานนี่ก็บอกไปแล้วว่าเป็นโพธิสัตว์ มาถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธเจ้า จนมาเป็นนายรัก รักพงษ์จนเป็นสมณะโพธืรักษ์ก็มาสืบทอดของเก่า ที่เสื่อมโทรมไป ที่เป็นของดีงามของมนุษยชาติ จนบัดนี้เสื่อมไปจากมนุษยชาติ หลวงปู่ก็ต้องมาซ่อมแซมเปลี่ยนให้เป็นของถูกต้องมาเรื่อยๆ ซึ่งคนเราจะต้องรู้ของจริงคืออะไร แล้วก็ต้องรูว่าข้อบกพร่องผิดพลาดคืออะไร แล้วต้องแก้ไข ความไม่ถูกต้อง ต้องปรับปรุง ทั้งกายกรรมที่เราทำ ทั้งวจีกรรม ภาษาคำพูด ที่มีใจเป็นตัวบงการ จะสั่งโดยไม่รู้หรือรู้ก็ตาม สั่งโดยไม่รู้คือสัญชาติญาณ สั่งโดยรู้คือปัญญา ออกมาเป็นกรรม 3

เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ออกมาข้างนอก อย่างหยาบ กายกรรมที่หยาบ เสียหายใหญ่ ต้องแก้ไขความบกพร่อง ความไม่ดีไม่งามอันนี้กัน ส่ิงที่ไม่ถูกต้องอย่างคนโลกๆเข้าใจกันว่า เราไปแย่งเขามาได้ ดีไม่ดีเอาเปรียบเอารัด เราก็ได้มากมากๆ แล้วเราก็หลงว่านี่คือความดีอย่างนี้มันผิด ถ้าไปทุจริต ไปโกงมานี่มันผิดแน่ๆ แม้ไม่โกง แต่แย่งกันเอาเปรียบเขามามันก็ไม่ดีไม่งาม เอาเกินเลยเขามา แม้ด้วยสุจริต เขาเต็มใจให้ก็ตาม ตามหลักของสังคม แต่เราก็รู้ว่าเอาเปรียบได้เปรียบมา มันก็ชั่วแล้ว แต่คนมีกิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มันก็ไม่คิด ก็ได้เปรียบมาก็แล้วกัน ยิ่งเขาสมมุติว่าสุจริตดี จะได้เปรียบเท่าใดก็ช่าง สังคมยอมรับก็ชอบ ดีไม่ดีตั้งอัตราราคาให้ได้มากๆด้วย 

ถ้าเราจริงใจ เราเป็นผู้ไม่เอาเปรียบ แต่ขาดทุนได้ด้วย อย่างในหลวงเราตรัสว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา การเป็นคนเสียสละไม่เอาเปรียบ ให้คนอื่นนี่เป็นเรื่องดีนะ แม้รู้ว่าดียังทำได้ยากเลย แต่ยากก็ต้องหัดฝึก อย่างตายายพ่อแม่ที่อบรมพวกเรานี่ ไม่มีใครรับค่าจ้างนะ เลี้ยงดูด้วยใจ เหมือนลูกหลาน เสื้อผ้าหน้าแพร อาหารการกิน ก็เลี้ยงดู เพื่อตั้งใจให้พวกเราเป็นคนดี คนเจริญ เป็นคนได้รับความจริง ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง ตามพระพุทธเจ้าสอนมา แล้วมาฝึกฝนให้ตนได้ตนเป็นจริง โดยอาศัยหลักสูตรของประเทศ ตั้งรร.มา 20กว่าปีแล้ว 

พวกเราได้เข้ามาในนี้ เรียนในนี้เป็นโชคดีแล้ว ที่นี่สอนให้ฝึกจิตวิญญาณ จิตวิญญาณเป็นใหญ่ มีจิตที่เป็นจาตุมหาราชิกาที่ไปล่า จะกอบโกยให้ใหญ่โต ได้มาก็เป็นสุขชอบใจ กลายเป็นยักษ์ใหญ่ เที่ยวกอบโกยสะสม ดีไม่ดีฆ่าแกงคนอื่นด้วยหอกด้วยดาบ ยักษ์สมัยโบราณถึงถือหอกดาบ ตาโปนเขี้ยวงอก หน้ายักษ์ ยักษ์นี่คือจตุมหาราชทั้งนั้น นี่คือสัจจะที่ผู้รู้โบราณดึกดำบรรพ์ เขาศึกษามา แต่ปัจจุบันศึกษาไม่รู้เรื่องกลายเป็นเรื่องผิดเหลวไหล เลวร้าย พระพุทธเจ้ารู้รายละเอียดพวกนี้ หลวงปู่ศึกษาตามแล้วรู้รายละเอียดพวกนี้ เราจะควบคุมอาการที่ 33 ในตัวเรา จิตมันมีอาการมีพลังขับเคลื่อนอาการ 32 ให้ดำเนินไป 

ถ้าไม่รู้มันก็ทำงานตามสัญชาติญาณ  ตับไต ไส้พุง ทำงานเป็นกลไก เหมือนเป็นลูกสูบหัวเทียน มันมีมานานแล้วทำตามหน้าที่มันมานานแล้ว คนนี่ถ่ายทอดเป็นสรีรพันธ์มานานแล้ว มันก็มีสัญชาติการเกิดเป็นแบบนั้น เหมือนผลไม้มันก็มีสัญชาติของมัน ถ่ายทอดมาตามเชื้อตามเมล็ด จิตวิญญาณก็เหมือนกัน ถ่ายทอดมาทางวัตถุธาตุ แล้วมาเป็นโครงสร้างเครื่องยนต์ของจิตวิญญาณ 

วิญญาณนี่เป็นตัวเรา แต่ร่างกายนี้ของพ่อแม่ เป็นส่วนผสมของพ่อแม่ เรียกว่าสรีรพันธ์ ส่วนที่จะไปขับเคลื่อนร่างนี้เป็นของเราเอง ไม่ใช่ของพ่อแม่ วิญญาณนี้ต่อเผาพันธ์ุของเราเอง เราก็เอาจิตวิญญาณนี้มาสวมร่างกายนี้ จิตวิญญาณไม่ใช่อันเดียวกับร่างกายที่พ่อแม่ให้มา จิตวิญญาณเราจึงไม่เหมือนพ่อแม่เรา คนละส่วน บางทีลูกกับพ่อแม่ คิดเห็นคนละอย่าง ถนัดคนละอย่างไม่ได้เป็นอันเดียวกันเลย แต่ร่างกายนี้จะมีส่วนเหมือนพ่อแม่ ปู่ย่า แต่วิญญาณนี้ไม่เกี่ยว อาจคล้ายกันบ้าง แต่ของใครของมัน 

จิตวิญญาณเป็นกรรมพันธุ์ของตน ส่วนร่างกายนี้เป็นสรีรพันธ์ุของตน สืบทอดจากปู่ย่าตาทวดมา พวกเราเป็นมาจากปู่ย่าตาทวดมาเป็นหมื่นเป็นพันตระกูล แต่จิตวิญญาณนั้นอิสรเสรี ของใครของมัน สืบทอดเอง คิดชั่วสั่งสมเป็นวิญญาณของตน ทำชั่ว สั่งสมเป็นวิญญาณของตน ทำดีก็เป็นของตน เป็นอิสรเสรีภาพมาก ตัวเรามีอิสรเสรีภาพทางจิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงได้ แม้พ่อแม่ไม่ทำดีนี้ แต่เราทำดีได้ย่ิงกว่าพ่อแม่ไม่เสียหายอะไร เรียกว่า อภิชาติบุตร เป็นลูกที่เจริญกว่าพ่อแม่ อย่างนี้เป็นต้น 

เรามาเรียนรู้นี่เรียนรู้ส่วนรวม พ่อแม่ให้ร่างกายเรามา จิตวิญญาณเป็นของเรา โชคดีแล้วที่พ่อแม่ให้มาศึกษาที่นี่ เราต้องกตัญญูกตเวทีท่าน ให้เราได้มาพัฒนาจิตวิญญาณ  แต่ก่อนไม่ดีก็มาพัฒนาขึ้น อาศัยร่างกายนี้ให้จิตวิญญาณพัฒนา ที่จะเสริมให้อาการดาวดึงส์เป็นอาการที่ดี อาการ 32 ก็ประกอบช่วยอาการ 33 แล้วอาการ 33 ก็มาช่วยอาการ 32 ได้ดีขึ้น ปฏิสัมพันธ์กัน ตั้งแต่มีชีวะขึั้นมา

เราอยู่ที่นี่ฝึกฝนทั้งกาย วาจา ใจ เราก็ทำให้ดีขึ้นเจริญขึ้นก็เป็นของเรา พ่อแม่ก็มีส่วนด้วย เราดี พ่อแม่ก็มีหน้ามีตา ถ้าพ่อแม่เห็นดีด้วยก็ทำตามลูก เรียกว่าอภิชาติบุตร เราไปสอนพ่อแม่ยาก แต่เราทำตนให้ดี พ่อแม่เห็นเราก็อนุโมทนาสาธุด้วย เราไปสอนก็ไม่ควรด้วย เป็นพ่อแม่ แต่ถ้าใครมีวิธีการก็ได้ แต่เราไม่สามารถไปบังคับ ไปสอนพ่อแม่มันไม่งาม แต่เราก็มีศิลปะวิธีสอนโดยเชิงศิลปะ ไม่ใช่ว่าไปบอกตรงๆมันน่าเกลียดไม่ดี โดยสังคมโลกด้วย แต่ตัวเราเองทำให้ดีเถอะแล้วพ่อแม่จะรู้เอง

พ่อแม่ที่ส่งพวกเรามานี่นี่ เขามีปัญญารู้ว่าอยากให้ลูกเป็นแบบไหน จะให้ลูกเป็นคนชนิดที่ดี เราอบรมให้พวกเราเป็นคนดีแน่นอน มีแบบใดก็ต้องมีทางเดินอย่างนี้เป็นเรื่องดีงาม พ่อแม่เข้าใจแล้ว ถ้าเราทำได้พ่อแม่ก็ยิ่งเห็นว่าลูกเราเจริญตามที่เราเข้าใจ แม้พ่อแม่ทำไม่ได้ พ่อแม่ก็จะดีใจ 

พวกเราต้องตั้งใจดีๆ มาอยู่ที่นี่มันฝืนโลกนะ เราจะต้องดู ที่หลวงปู่พูดนี่ไม่ได้ดุอะไร ไม่ได้ครอบงำความคิด แต่บอกความจริง ว่าอะไรคือส่ิงถูกต้อง คนเรานี่มันต้องมาพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น ถ้าเราไม่รู้ว่าดีคืออะไร เราก็จะไม่ทำ เราไม่รู้ว่าทำอย่างนี้มันดี เราก็ไม่รู้ แต่ถ้าเรารู้ว่าดีก็จะพากเพียรทำ เช่นความขยัน ถ้าเราไม่รู้ว่าขยันทำอย่างไร เราก็ทำไม่เป็น แต่ถ้าเรารู้ว่าขยันคือไม่นิ่งเฉยไม่ดูดายไม่ขี้เกียจ หากไม่เมื่อยไม่ป่วยเกินการณ์ก็ทำไป แล้วสิ่งนี้ดีด้วยเราก็ใช้แรงงานทำ แทนที่จะดูดาย เลี่ยงหลบ เรียกว่าขี้เกียจ แต่เราตั้งใจทำ แม้จะไม่ค่อยชอบ ก็ตั้งใจฝึกฝนทำไป มันก็ง่ายก็ชำนาญขึ้นก็เก่งขึ้น เป็นต้น 

ซึ่งก็ต้องฝึกฝนอดทน อยู่ดีๆเราจะเป็นจะได้เลยโดยไม่ฝึกฝนจะได้อย่างไร มันต้องฝึกทั้งนั้น ที่นี่นอกจากพาให้รู้เรื่องธรรมะก็พาทำงานให้ฝึกฝน ให้มีงานเป็นผลสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ ทำสิ่งอาศัยใช้สอยในชีวิตด้วยไม่พาทำส่ิงเกินเลย เช่นไปนั่งเสียเวลาไปนั่งเล่นเกมส์เล่นไปก็สนุก บำเรออารมณ์เรายิ่งติดยิ่งเสียเวลา จิตยิ่งต่ำ เพราะไปติดสิ่งไม่เป็นประโยชน์จะอ้างว่าเพ่ิมความฉลาด แต่ถ้าฉลาดแล้วไม่รู้จักทำดี จะเอาความฉลาดนั้นไปทำชั่วไปโกงไปเห็นแก่ตัว ที่นี่เราพาให้ฉลาดทำในสิ่งที่ดี มีประโยชน์แก่สังคมแก่โลก 

ถ้าเราไปหลงความสนุก เราก็จะไปหาวิธีการให้คนอื่นสนุกตาม ก็เลยสร้างแต่คนให้มาสนุก เช่นเกมส์หลายอย่างพิลึกเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันสนุก มันเร็วไว เก่ง มาก แต่เป็นจริงๆไม่ได้เลย แต่มันหวาดเสียว สนุกสนาน แต่มันเป็นไปไม่ได้มันเลยเพ้อเจ้อ เหลวไหล เสียเวลาแรงงานความคิด เพ้อเจ้อ แล้วคนเราไปติดรสสนุก คนไปติดรสสนุกเช่นนี้เป็นโทษต่อคนแล้วคนหลงใหลว่าดี แล้วนึกว่ารสสนุกเช่นนี้ดี ท่านเลยตั้งชื่อว่า เทวดาขิฑฑาปโทสิกะ ไปหลงว่าสนุก แต่แท้จริงเป็นโทษ คำว่าขิฑฑาแปลว่าสนุกสนาน แต่เสพสุขไม่ได้เรื่องสูญเปล่ามีแต่อารมณ์ เสียเวลาทุนรอนแรงงาน คนเราหากไม่ศึกษาสัจธรรมพวกนี้จะไม่เข้าใจว่าเราจะใช้เวลาแรงงาน วัตถุมาทำอะไร จะเอาแรงงานวัตถุทรัพย์สินไปทำส่ิงไร้ค่า ไม่มีคุณค่า ถ้าเราไม่รู้ก็ใช้ไร้ค่าเปล่าดาย จนทุกวันนี้หลอกกัน เช่นไปเตะฟุตบอลแข่งเอาชนะคะคานกัน เก่งเตะบอลเข้าโกลได้ มันได้อะไร นึกดูสิ เก่งเตะเข้าโกลได้ เอาไปเตะลูกหินโดนหน้าคนตายอย่างนั้นหรือ ได้อะไร นอกจากถูกหลอกให้เป็นลูกค้า เป็นเบี้ยนายทุน ไม่ได้อะไรเลยได้แต่ลมๆแล้งๆเสียเวลา ดีไม่ดีฆ่าแกงกัน ทำร้ายกัน ในสนามฟุตบอล เดี๋ยวนี้ค่าตัวแพงมากเลย คนในโลกเจ็ดพันล้านจะได้เป็นนักบอลเช่นนั้นกี่คน คนอีกกี่พันล้านไม่ได้ทำเช่นนั้น แล้วมีกี่คนได้ทำเช่นนั้น ให้หมื่นคนหรือแสนคนก็มากแล้ว แล้วก็ไปหลอกเอาเงินคนหลายพันล้าน คนเขาไม่รู้ว่าคืออบายมุขเตะเข้าโลกได้เก่งก็ได้ค่าตัวมากๆ คนก็หลงก็เลยถูกหลอกให้เอาเงินไปเสียให้เขาที่เก่งๆ มันก็หลอกกัน ที่หลวงปู่พูดอาจยาก ก็มีคนเข้าใจไหมนะ....ยกมือกันหลายคน หลวงปู่ก็พอใจแล้ว มันลึกซึ้งซับซ้อน 

หลวงปู่เคยโง่เป็นนักฟุตบอลนะ เป็นนร.รร.เบญจะมะมหาราชนะ ก็เล่นเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง แต่โตมาก็รู้ แล้วมารู้ของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งชัด ที่จริงรู้มานานแล้วแต่มาถูกลิงลมอมข้าวพองก็เลยเอามาอธิบายสู่พวกเรา พวกเราพยายามตั้งใจฟังได้ดี อย่าไปหลงเสพสิ่งเหล่านี้ติดจิตไปเป็นเทวดาขิฑฑาปโทสิกะ ติดไปหลายชาติเลย 

หลวงปู่เคยบรรยายที่ๆหนึ่ง แล้วมีนักฟุตบอลคนหนึ่ง ชื่อ ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เขาเป็นนักฟุตบอลชื่อดัง หลวงปู่พูดโจมตีนักฟุตบอล เขาก็จับไมค์มาว่าหลวงปู่ใหญ่เลย แต่หลวงปู่ก็พูดความจริงให้เขาฟัง ไม่ได้โกรธเขาหลอก จนบัดนี้เขาก็ยังติดกันอยู่ คือคนอวิชชาก็หลงหรูหรา ดัดจริต ต้องมีกามอะไรเยอะแยะ

ตอบคำถาม...
_ถ้าเราทำธุรกิจแล้วรวยแบบไม่โกงจะบาปไหม
ตอบ...รวยนั่นนะก็เอาของคนอื่นมาไว้ให้เป็นของตน สมมุติว่าในไทยมีเงินสักพันล้านนะ ถ้าเรารวย สมมุติว่าเรารวยพันล้าน คนอื่นจะมีเงินไหม ...ก็ไม่มี ดีไหม ...ไม่ดี  เห็นแก่ตัวไหม...เห็นแก่ตัว ต่อให้สุจริตอย่างไร แต่เอามาเป็นของเราหมดคนอื่นก็ลำบาก เขาก็ต้องใช้ แต่เราเอามาหมด แม้เราเอามาเจ็ดพันล้าน แต่เหลือให้คนอื่นใช้แค่ สามพันล้าน เขาลำบากไหม เขาต้องแย่งกันในสามพันล้าน เขาลำบาก แต่ถ้าสะพัดเจ็ดพันล้านนี้ให้เขาก็ดีกว่าไหม แม้เราจะรวยโดยไม่โกงก็บาปทั้งนั้น ทำให้คนอื่นเขาลำบาก แล้วในสังคมโลกนี่ คนที่รวยนี่มันรวยเพราะ ขยันก็จริง แต่ถ้าอัตราไม่ได้เปรียบมาก คนเขาไม่รวยมากหรือแต่เขามีการตั้งอัตราให้สูงมา มีวิธีดูดเงินเข้ามาซับซ้อนมาก ได้มากมายด้วย เรียกว่า วิธีบริหารเงินinvestment ซับซ้อนที่สุด เป็นเรื่องยาก ในหลวงเราให้มาเป็นแบบคนจน มาเป็นแบบคนจนประเทศไปรอด แต่ถ้าไปรวยนี่ไปไม่รอด 

_การเล่นหุ้นมันดีหรือเปล่า
ตอบ...เลว อย่าไปเล่น อย่าไปอยู่ในวงการนั้น บาปทั้งนั้น

_มีนร.พูดว่า ถึงผมจะกินจุบจิบแต่ผมก็ทำงานรับผิดชอบทำงานนะ ดีกว่าคนที่ไม่จุบจิบแต่ไม่ทำงานครับ 
ตอบ...ถ้าเราไม่กินจุบจิบแล้วทำงานด้วยดีไหม คนเราชอบเอาความดีเล็กๆน้อยๆมาข่มกลบเกลื่อน แล้วความไม่ดีที่เรามีจะได้รับการแก้ไขไหม ถ้าเราเอาความดีมากลบ เราไม่คิดแก้ไข ความไม่ดีนั้นจะออกจากเราไหม คิดแบบนั้นโง่ไหม ...โง่ ถ้าอยากโง่ก็คิดแบบนี้ต่อไป

_เทศกาลกินเจ จะมีเวทีแสดงสดจากผู้ใหญ่ แต่ต่อมาเด็กๆก็อยากแสดงด้วย ก็เลย ขอเวลาซ้อมเพิ่มก็เลยทำให้ขาดแคลนการทำงานมีการสะดุด ต่อมาที่ประชุม จึงตัดการแสดงของเด็กๆไป เพื่อลดภาระฟุ้งซ่าน การแสดงที่ตัดไปคือโปงลางหรืออื่นๆ ที่ต้องใช้อุปกรณ์มาก จะเห็นได้ว่า นร.เรามีความสามารถมาก แต่มีคนติดใจว่าคุรุไม่เปิดโอกาสให้เด็ก 
ตอบ...มันต้องแบ่งให้ออกว่า การไปเล่นนั้นเราก็เป็นการผสมส่วนให้บันเทิงแก่ลูกค้า จริงๆแล้วมันเป็นของแถมเท่านั้น เขาไม่ได้ดูเป็นเรื่องราวหลักการหรือไง หรือนึกว่าที่แสดงนี้แน่หรือ เขามากินมากกว่าไม่ได้ไปนั่งดูเป็นเรื่องราว การเล่น สำหรับคนที่เป็นขิฑฑาปโทสิกเทวดาก็หลงบ้างให้มันนิดหน่อย คนติดฝิ่นก็ให้มันบ้าง คนไม่ติดก็ไม่ต้องใช้หรอก จะเห็นได้ว่าคนมากินนี่เขาไม่ได้มานั่งดูอย่างเป็นล่ำสันหรอก เขาดูนิดๆหน่อยๆมากินแล้วก็ไป พวกเราไม่เข้าใจเพราะพวกเราหลงติดเชื้อเทวดาขิฑฑาปโทสิกะเทวดา ให้เด็กๆได้เล่นแต่แท้จริงพวกเราก็ติดด้วยให้เลิกเสีย อย่าไปหลงติดเทวดาพวกนี้ ให้ทำพอเป็นกษัย 

_หน้าที่กับคุณธรรม ต่างกันอย่างไร?
ตอบ...หน้าที่คือเราต้องทำตามกรอบ เช่นข้าราชการฝ่ายเกษตรก็มีหน้าที่ดูแลเกษตร เรื่องจะดูแลอื่นๆไม่เกี่ยวกับเกษตร หน้าที่คือส่ิงที่กำหนดโดยหลักการ สองหน้าที่โดยสามัญสำนึก หน้าที่แม่ต้องดูแลลูกไม่มีใครตีกรอบ เรารู้ว่าควรก็กำหนดเอง แล้วรู้ว่าต้องทำ ถ้าทำแล้วดี จำเป็นสำคัญด้วยเราต้องทำหน้าที่ คำว่าคุณธรรมคือความรู้ เช่นรู้หน้าที่ส่ิงควร คำว่าคุณธรรมจึงกว้างกว่าหน้าที่ คุณธรรมรู้ว่าส่ิงใดดีหรือไม่ดี โดยปัญญา คุณธรรมนั้นมีปัญญาควบคุมอย่างสูง ส่วนหน้าที่นั้นทำตามคำสั่งหรือกฎเกณฑ์

_ความอิจฉาเกิดจากอะไร
ตอบ...เกิดจากโง่ ถ้าคนเขาทำดีแล้วเราไปริสยาไม่อยากให้เขาทำดีก็ผิด ถ้าเราอยากดีตามต้องส่งเสริมเขา เราก็สมัครใจไปเรียนรู้กับเขาให้เขาส่งเสริมเราก็จะได้ทำดีเหมือนเขาแล้วไปริสยาที่เขาทำดีนั้นมันโง่บรรลัย แต่ถ้าคนเลวแล้วเราไปริสยาคนเลว จะบ้าหรือเปล่า คนไปริสยาคนดีเกินหน้าเรา ไปริสยาทำไม เราต้องไปเป็นมิตรสหาย เรียนรู้ด้วยนับถือเขาว่าเขาดีแต่ถ้าเขาเลวจะไปริสยาทำไม มีแต่จะสงสารเขา 

_ทำไมคนเราถึงอิจฉา ทั้งที่ในใจไม่ได้อยากอิจฉา
ตอบ...โง่ซ้อนโง่

_มีคนชอบมาทักเมื่อเห็นลายมือ บอกว่าอายุสั้น
ตอบ...คนที่เขารู้จริงๆมีส่วนนะแต่อย่าไปเชื่อเลย เขาจะรู้จริงหรือไม่ก็ไม่รู้ ตั้งใจทำดีไปดีกว่า

_การโกงคือส่ิงไม่ดี แต่ถ้าโกงเพื่อคนดี จากคนเลวมาให้คนดีแบบนี้เราเป็นคนอย่างไร
ตอบ..อ้าง ถ้าเราจะทำดี เราอย่าไปทำไม่ดี การอ้างว่าจะโกงเพื่่อช่วยคนดีอย่าทำแค่เอาเปรียบคนอื่นไปช่วยคนดีพระพุทธเจ้ายังไม่ส่งเสริมเลย เราเอาตัวเราไปเสียสละทันทีเลยมันจบ 

_เพื่อนของผมเขาชอบแกล้งผม ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรเขาเลย เขาค้นของผม ทุบของผม ผมก็เลยได้ย้ายไปสอนกับสมณะ ผมก็เลยได้
ตอบ...ใครไปทำชั่วๆอย่างนั้นไปแกล้งขโมยของเขาก็ชั่วแล้ว ไปค้นของทุบของเขาอีกก็ชั่ว ใครรู้ก็บอกผู้ใหญ่ พวกเราไม่ต้องการให้คนทำชั่ว จะได้จัดการ

_การที่เรากำลังทำให้คนๆนั้นรู้สึกผิดที่เขาได้ทำกับเราแต่เขากลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร คนๆนี้เป็นอย่างไร 
ตอบ...ทั้งโง่ทั้งหน้าด้าน จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:34:49 )

580907

รายละเอียด

580907-ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 16

พ่อครูว่า....มีคุณทิวผา ภูผาฟ้าน้ำถามว่า วิญญาณกับปัญญารวมกันไม่แยกกัน วิญญาณควรกำหนดรู้ ปัญญาควรเจริญ
คำถามคือ.. sense หรือสัมผัสที่6 หรือตาทีj3 เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณใช่หรือไม่?
ตอบว่า....ใช่ แต่ไม่ใช่ ตาที่ว่าเป็นตาปัญญาใช่ แต่ที่ว่าตาที่รู้มาลอยๆมาจากไหนไม่รู้ไม่ใช่ นั้นเป็นของไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ซิกเซนส์นั้นคือรู้นอกจากทวารทั้ง คือตาหูจมูกลิ้นกาย ส่วนที่เป็นใจนั้นแลคือซิกส์เซนส์ ปรมัตถธรรมหรือโลกุตรธรรมคือ ซิกเซนส์ของศาสนาพุทธ ไม่ใช่เรื่องเมจิก หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์แต่อย่างใด 

เรามาต่อกันกับยอดนิยายฯ
(91)  “ปัจจุบัน”หมายถึงตรงไหน? ประกอบไปด้วยอะไร?
     “การเกิดหรือการดับของ “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”นั้น หมายถึง “การเกิด-การดับของจิต-เจตสิก-รูป(ภาวะเกี่ยวกับจิตที่ถูกรู้) จึงจะมีภาวะของ “นิพพาน”ขึ้นมาได้ หรืออย่างน้อยก็ “นิโรธ” คือมีภาวะของ “การดับทุกขอาริยสัจ” โดยผู้ปฏิบัติ “เห็น”(ปัสสติ)ภาวะของ “เหตุ”(กิเลส=อกุศลจิต=บาป)นั้น “ดับ”อยู่ เพราะเราได้ “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของเราอยู่ๆ และทำให้ “สมุทัยอาริยสัจ”นั้น “ดับ”ไปได้จริงๆ ในขณะที่มีภาวะจริงปรากฏอยู่หลัดๆใน “ปัจจุบัน”นั้นๆทีเดียว
    เพราะ “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”ขั้นที่มุ่งหมายไปนิพพานนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” เป็นอื่นไปไม่ได้
    และต้องเป็น “ความจริง”ที่ชื่อว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ”ด้วย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “ทิฏฐิ 62”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 50 และ ข้อ 87) ซึ่งมีความซับซ้อนที่ลึกซึ้งอยู่หลายนัย สำหรับคำตรัสนี้ 
    คือ จะปฏิบัติได้ “นิพพาน” ก็ต้องเป็น “ธรรม”ใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่บาลีก็ยืนยันอยู่ชัดๆโต้งๆว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ” ...นั่นไง
     “ทิฏฐธรรม”นั้นแปลว่า ผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว,ธรรมที่เป็นปัจจุบัน คือ ปัจจุบันชาติ ซึ่งหมายถึง ภาวะที่เกิดในขณะปัจจุบัน แม้จะหมายเอาว่า ในโลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้าและไม่ใช่โลกอดีต ก็ต้องเข้าใจว่า เป็นภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะที่เป็น “สัมปรายิกะ” จึงไม่หมายถึงภาวะในอนาคต หรือในโอกาสภายหน้าแน่ๆ 
     “นิพพาน”นั้นก็ต้องเป็นภาวะที่สัมผัสอยู่หลัดๆ โทนโท่ ในปัจจุบันนั้นๆทีเดียวนั่นเอง 
     “ทิฏฐกาล” ก็หมายถึง ในเวลากาละที่ “เห็น”อยู่โทนโท่หลัดๆ
     “ทิฏฐ” หมายถึง ได้เห็น
     “สุต” หมายถึง ได้ยิน
     “มุต” หมายถึง ได้รู้สึกด้วยกลิ่น, รส รู้จริงได้ด้วยสัมผัส 
    การได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ได้รสด้วยลิ้น ได้สัมผัสทั้งภายนอกด้วย “รูป”(สิ่งที่ถูกรู้) ทั้งสัมผัสภายในด้วย “นาม”(ธาตุรู้ที่ทำหน้าที่รู้ได้) จึงจะชื่อว่า  “กาย” 
    อธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสจากภายนอกด้วยก็คือ  “รูปกาย” และอธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสกันอยู่ภายในก็คือ  “นามกาย”  “กาย”ทั้ง 2 นี้เมื่อมี “อาการ”จึงจะเห็น “นิมิต”ต่างๆ
     “นิมิต”ไม่ใช่การบันดาลอะไรขึ้นมาเอง ดังที่หลงผิดกัน แต่เป็น “อาการ”ของ “รูปกายหรือนามกาย”ที่เกิดขึ้นมาจากการ “สัมผัส”กันของ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “รูป” และ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “นาม”
     “รูปกาย”ต้องเรียนรู้เป็น “ขั้นต้น”ไปตามลำดับ จึงจะถูกต้องตามแบบฉบับของพุทธ เพราะเป็นขั้นโอฬาริกอัตตา ขั้นหยาบ  ต้องมีพร้อมการสัมผัสภายนอก คือ กามาวจร จึงจะเกิด “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ให้เรา “เห็น” ซึ่งจะ “เห็น”ทั้ง “ความเกิด-ความดับ”ของภาวะทั้งหลาย ที่สำคัญอย่างยิ่งก็ “เห็นความเกิด-เห็นความดับ”ของ “นามธรรม”อันเป็น “ความสุข-ความทุกข์-กุศลจิต-อกุศลจิต”ได้โต้งๆ   
    ซึ่งทั้งหมดนั้น มีวิญญาต(ที่รู้สึกทางใจ) มาประกอบ มารวมเข้าด้วยเสมอ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อย่างบริบูรณ์ของสิ่งที่ประกอบทั้งหลายด้วยวิถีทางทุกประการของ “ปชานนาติ”(รู้ชัด,ค้นพบ,หยั่งรู้,เห็นความแตกต่างตามความเป็นจริง) ปฏิญญาต(อัน..รู้เฉพาะแล้ว) 
    ดังนั้น  “ทิฏฐธรรม”จึงหมายถึง รู้,เข้าใจ,ได้เห็นชัดเจนด้วยภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆใน “ธรรม”นั้นๆ ซึ่งต้องเป็นปัจจุบัน 
     “ทิฏฐธรรมนิพพาน”ก็หมายถึง ได้เห็นธรรมถึงขั้นนิพพานในปัจจุบันนั้นชัดเจนหลัดๆกันทีเดียว จึงจะเป็นการยืนยัน “ความจริง” ไม่ใช่มีแต่ “ฝัน” มีแต่ลอยลม มีแต่วิมาน มีแต่อยู่ในอนาคต
    ต้องเป็นภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆ กระทบสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โทนโท่ โต้งๆ เป็นปัจจุบันนั้นๆ มีภาวะนั้นยืนยันแท้ๆ
    จึงจะชื่อว่า ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงอันสูงสุดมีจริงเป็นจริง ปรากฏอยู่จริง เป็นไปได้จริง ได้รับผลนั้นจริง อยู่เป็นปัจจุบันนี้ 
    ไม่ว่า ทิฏฐาภินิพพานก็ดี ก็บรรลุนิพพานในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐสุขวิหารก็ดี ก็บรรลุความเป็นสุขในปัจจุบัน
นี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐเวทนียะก็ดี ก็บรรลุผลเสวยผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐปัตตะก็ดี ก็เป็นผู้บรรลุผลเข้าถึงผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทิฏฐกาละ(เวลาที่เห็นนิพพาน) ล้วนคือ ภาวะในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทั้งนั้น
    สรุปแล้ว  “ทิฏฐ”นั้นเน้น  “ปัจจุบัน” และ เน้น “เห็น”ด้วยสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โต้งๆ   
     
(92)  “นิพพาน”ของพุทธต้องมี “ตานอก”เป็นองค์ประกอบ
    ประเด็นที่ 1 ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ” คือผู้เข้าใจผิดไปว่า ในความเป็น “นิพพานในปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรมนิพพาน) เพียงแต่การรู้ได้ด้วย “การกำหนดรู้”(สัญญา)อยู่ในภวังค์(ในภพภายใน)ขณะนั้นเท่านั้น ไม่ต้องมี “ตานอก”ที่สัมผัสภายนอกด้วย จึงอยู่ในภาวะ “อดีตหรืออนาคต” ไม่เข้าข่ายภาวะ “ปัจจุบัน” จึงไม่ใช่ “นิพพาน”ในศาสนาพุทธ แน่นอน 
    แม้ผู้ปฏิบัตินั้นจะเชื่อว่าตนบรรลุ “นิโรธ”หรือ “นิพพาน”อันหมายถึง “ความดับ”ก็ตาม ก็เป็น “นิพพานเก๊” 
    ซึ่งทุกวันนี้ เชื่อกันอย่างนี้ มีแต่ “นิพพานเก๊”แบบนี้กัน
    ถ้ายังไม่ “เห็นกิเลสดับ”ลงไป “คาตา”หลัดๆ และเห็น “อาการของความดับ”อยู่อย่าง “แจ้ง”(สัจฉิ) ณ บัดเดี๋ยวนั้น โดยมีภาวะลืมตาและสัมผัส “เหตุ”แห่งทุกข์ หรือ “เหตุ”แห่งสวรรค์นั้นๆ ครบพร้อมควมเป็น “กาย” คือ มีทั้ง “รูป”และมีทั้ง “นาม”ประกอบอยู่พร้อม 
    อธิบายขยายความให้เห็นชัดอีกที เช่น หลับตาเข้าไปใน “ภวังค์” มีความรับรู้อยู่แต่ในภาวะภายในเท่านั้น ดังนั้น ในขณะเช่นนี้ ผู้นี้ก็มีแต่ “สัญญา”กำหนดรู้ ซึ่งไม่มีภายนอก ก็ไม่รู้ภายนอกด้วย รู้ได้เฉพาะ “ภาวะอดีตและภาวะอนาคต”เท่านั้น ไม่มีภายนอกเป็น “ภาวะปัจจุบัน”ให้กำหนดรู้ได้เลยแน่นอน แต่ผู้มีภายนอกนั้นกำหนดรู้ภายในได้ด้วยนะ เห็นมั้ย
    ดังนั้น ถ้าใครไปหลงว่า “นิพพาน”ที่ตนได้บรรลุขณะที่อยู่ในภายใน จึงเป็น “มิจฉาทิฏฐิ”แท้จริง เพราะไม่มี “ภาวะปัจจุบัน”ที่มีของแท้ มีสิ่งนั้นจริงๆสัมผัสแตะต้องอยู่แท้ๆอยู่ยืนยันได้หลัดๆ โต้งๆ จึงยังไม่เป็น “ทิฏฐธรรมนิพพาน”
    ผู้มี “ทิฏฐิ” คือมี “ความเห็นว่านิพพานจะได้ก็ต้องหลับตาเข้าไปทำเอาจึงจะได้ จึงเป็น “ผู้มิจฉาทิฏฐิ”แล้วในประเด็นแรก
    พระพุทธเจ้าจึงจัดผู้มี “ทิฏฐิ”เช่นนี้ อยู่ใน “อนาคต”(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 87) เป็น “ผู้จมอยู่ในอนาคต” หมายความว่า เป็นผู้จมอยู่กับภาวะลมๆแล้งๆในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั่นเอง จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ 1 ใน 44 
    ไม่ใช่ปัจจุบัน เป็น “ปัจจุบัน”แค่ “ฝัน” ไม่ใช่ “ความจริง”

(93) มี “ตานอก”แต่ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”ในความเป็น “กาย” 
    ส่วนประเด็นที่่ 2 นั้นหมายถึง ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ”ที่ไม่ใช่หลับตาเข้าไปปฏิบัติได้นิพพานในภวังค์ แต่ลืมตาปฏิบัติแล้ว ประกอบด้วย “มรรคองค์ 7 องค์” คือ มี “กรรม”ทุกอย่าง ทั้งกรรมที่เป็นอาชีพ(อาชีวะ) กรรมทั้งหมดทั้งหลาย(กัมมันตะ) กรรมที่เป็นคำพูด(วาจา) กรรมที่เป็น “การคิดนึก(สังกัปปะ) เพื่อสร้าง “เอกัคคตาจิต” ชื่อว่า  “สัมมาสมาธิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 แล้ว 
    ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช่ “สมาธิ”ที่หลับตาเข้าไปอยู่แต่ภายในแล้ว ถูกต้องขั้นหนึ่ง ถือว่า “สัมมาทิฏฐิ”ขั้นหนึ่ง คือต้องทำ “สมาธิ” ในขณะปฏิบัติด้วย “องค์มรรค 7 องค์”ดังที่กล่าว ก็ปฏิบัติอย่างนั้นแล้ว สามารถปฏิบัติมีภายนอกร่วมด้วยเป็น “ปัจจุบัน”แล้ว
     “ทิฏฐธรรม” ที่หมายถึง  “ปัจจุบัน”นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้หลับตาเข้าไปจมอยู่ในภวังค์มีแต่ “อดีตกับอนาคต” หรือหลงผิดจมอยู่กับ “อนาคต”ที่เป็นภาวะลมๆแล้งๆในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั้นแล้ว 
    แต่ส่วน “ทิฏฐธรรม”ในประเด็นที่หมายถึง  “เห็น”(ปัสสติ)โดยมีภาวะสัมผัสทั้งภายนอกด้วยภายในด้วย ในส่วนนี้ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่  
    กล่าวคือ ยังเข้าใจ “สัมมาทิฏฐิ 10”ยังไม่ได้เป็นต้น จึงปฏิบัติทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งกรรมต่างๆ ล้วนไม่มีมรรคผลเป็น “โลกุตรธรรม”
    หรือยัง “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น ยังไม่รู้จักว่า “กาย”เป็นอย่างไร  “เวทนา”เป็นอย่างไร  “จิต”เป็นอย่างไร  “ธรรม”เป็นอย่างไร ชัดเจนถ่องแท้ กระทั่งปฏิบัติแล้วอ่าน “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ได้ แยกแยะ “กายกับจิต”เป็น จัดการ(อภิสังขาร)ใจในใจเป็น 
    ยังแยก “กาย”แยก “จิต”ยังไม่เป็น ยังไม่สัมมาทิฏฐิ 

(94) รู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”มี “ฌาน”ไม่ได้
    หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ฌาน”ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น”(ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม แม้ข้อที่ 1 ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1
    จึงปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่ “เห็น”นิพพาน ที่ปัจจุบันก็มีการสัมผัสสัมพันธ์อยู่พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตาเห็น “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน” 
    เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ  ไม่บริบูรณ์ 
    เห็นไหมว่า แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแล้วได้บรรลุ “นิพพาน”กันง่ายๆ 
     “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็น  “กามคุณห้า”นี้ 1 หรือ “ฌาน 1-2-3-4”นี้อีก 4 รวมเป็น 5 นี้แหละที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะทั้งเป็น “ปัจจุบัน” และทั้ง “เห็น”ได้
    แม้จะรู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”และ “ดับเหตุ”ที่จะมี “ฌาน”ในขณะที่อยู่ใน “กามาวจร” อันเป็น “ปัจจุบัน ไม่ได้  ก็ไม่สามารถบรรลุ “นิพพาน”บริบูรณ์แน่นอน  

(95) ยิ่งมัวไปหลงเอาแต่ในภายในไม่มีภายนอกก็หมดหวัง
    ดังนั้น ยิ่งมัวไปมัวหลงปฏิบัติอยู่ใน “ภวังค์” คือ ระลึกรู้ไปถึง “ภาวะที่ตนตกอยู่ในสภาพอดีต”(การระลึกย้อนกลับไปรู้สึกนึกรู้เอาตามขันธ์ที่ตนเคยมีมาแล้ว)ที่พระพุทธเจ้าแบ่งช่วง “อดีต”ไว้ 4 กาล คือ 1) หนึ่งชาติไปถึงหลายแสนชาติ 2) หนึ่งสังวัฏฏวิวัฏฏะไปถึงสิบวัฏฏวิวัฏฏะ 3) สิบสังวัฏฏวิวัฏฏะเป็นต้นไปถึงหลายสบสังวัฏฏวิวัฏฏะ 4) เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด เอาเอง  
    สัตว์ที่ยึด “อดีต”สี่พวกนี้ เป็นพวกต้น เรียกว่าพวก “สัสสตทิฐิ” ยังมีแบ่งออกไปอีก “อดีต”มีถึง 5 พวก มี “สัสสตทิฐิ 4 -เอกัจจสัสสติกทิฐิ 4 -อันตานันติกทิฐิ 4 -อมราวิกเขปิกทิฐิ 4 -อธิจจสมุปปันนิกทิฐิ 2” รวมพวกหลง “อดีต 18” ??????????????????
    ส่วนมากก็จะทำได้ในขณะหลับตาเข้าไปทำใจให้เป็น “เจโต
สมาธิ”ระลึกในภวังค์
    ไม่ว่าจะลืมตาแต่นึก หรือ  หลับตานึกก็ตาม
     “ทุกขอาริยสัจ”เกิดในภาวะที่ไม่ใช่ “ปัจจุบัน”นั้น เช่น ไปเกิดอยู่ใน “อดีต” หรือไปเกิดอยู่ใน “อนาคต” นั่นคือ  ใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปแก้ไข ไปจัดการกับ “ความทุกข์”นั้นได้     
    หรือมีแต่เรื่องของ “วัตถุ”หรือมีแต่เรื่องของ “มหาภูต 4” 
หรือมีแต่ “อากาศ-อวกาศ-ความว่าง ที่ปราศจากจิตวิญญาณ” ก็เป็นเรื่องของ “ปัจจุบัน”ของ “วัตถุ-อากาศ-อวกาศ-ความว่าง ที่ปราศจากจิตวิญญาณ” ก็ไม่ใช่ที่หมายของพุทธธรรมที่เป็น “ปรมัตถธรรม”โดยเฉพาะ “นิพพาน” ซึ่งหมายถึง  “การพ้นทุกขอาริยสัจ” 
     “การเกิด”ของ “ธรรม”จึงไม่ใช่ “การเกิดของวัตถุหรือมหาภูต” หรือมีแต่ “อากาศ-อวกาศ-ความว่าง ที่ปราศจากจิตวิญญาณ” 
    ระหว่างกลางของ “รูป”กับ”รูป”เป็น “ความว่าง”จะเรียกด้วยภาษาว่า “สูญ”(สุญญตา)ได้ แต่ไม่ใช่ภาวะของ “นิพพาน” ที่ศาสนาพุทธ ให้คนปฏิบัติเพื่อบรรลุให้ได้
    เพราะนั่นเป็นแค่ “ความว่าง”ที่เกิดอยู่ในธรรมชาตินอกตัวคน เมื่อใครไปหลงนับเอา “ความว่าง”แบบนี้มาเป็น “นิพพาน”ก็คือผู้มิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น   
    ภาวะ “ความว่าง”หรือ “สุญญตา”แบบนี้แหละที่นักขบคิดมักจะไป “หลง”ขบคิดแล้วได้ “สุญญตา”แบบนี้ ก็ได้แค่ “ความว่างเปล่า”จริงๆ ไม่ใช่ภาวะของ “นิพพาน”เลย ความคิดนี้เป็น “อนาคต”อยู่
    หรือนักตรึก-นักค้นคิดที่ตรึกนึกคิดกัน
     “ทุกขอาริยสัจ”จึงต้องรู้จักกันใน “ปัจจุบัน” และจัดการให้มันสิ้นไปให้ได้ใน “ปัจจุบัน”นี้เท่านั้น เป็นสำคัญที่คนพึง “ทำ”
    ถ้าแม้น “แก้ธรรม”ที่อยู่ใน “จิตใจ”ของเรา
    ดังนั้น ก็คือ “จิต”นะที่ “เกิด” 
    ในส่วนที่เป็น “อดีต”หรือในส่วนที่เป็น “อนาคต”นั้น มันมีอยู่แล้ว แต่จะเกิดเป็น “อดีต”เราก็ต้องทำใน “ปัจจุบัน” จะให้เป็นจริง
มีจริงใน “อนาคต” เราก็ต้องทำที่ “ปัจจุบัน” จึงจะเป็น “ของจริง”เกิดขึ้นมาให้เห็นเป็นจริงได้
     “อดีต”ก็ต้องเกิดจากการทำใน “ปัจจุบัน”แล้ว  “อนาคต”ก็เดินทางมาถึง “ปัจจุบัน”จึงจะกระทำได้ ต้องทำกันที่ “ปัจจุบัน”ทั้งนั้น
    สำหรับ “อดีต”นั้น อย่าหลงไปทำอะไรกับมัน วางมันไปเลย เพราะ “อดีต”มันแล้วไปแล้ว รู้ภาวะที่เรากำลังกระทำกับมันอยู่นั้นให้
ได้ว่า เรากำลังทำอยู่กับความเป็น “อดีต” แก้ไขให้มัน “เป็น”อะไรอีกไม่ได้ เหมือน “ข้าวสุกที่หุงสุกแล้ว”ดังที่เปรียบไว้นั้นนั่นแหละ จะ
แก้ไขให้ “ข้าวสุก”กลับมาเป็น “ข้าวเปลือก”ใหม่ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด 
     “อนาคต”ก็เช่นกัน รู้ภาวะที่เรากำลังกระทำกับมันอยู่นั้นให้ได้ว่า เรากำลังทำอยู่กับความเป็น “อนาคต” ยิ่งถูกหลอกให้ “ฝัน” ไปกับ “วิมาน”ในอนาคตอย่างมืดมัวโมหันต์กันนั้น ยิ่งเพ้อพกกันไปใหญ่ อย่าไปมัวทำอยู่กับภาวะลมๆแล้งๆอย่างนั้นกันเลย มันเป็นไปไม่ได้ 
    พระพุทธเจ้า ไม่ทรงสอนอย่างนั้น หยุดหลอกกันบ้างเถิด
    แม้ “ปัจจุบัน”ก็ต้อง “สัมมาทิฏฐิ”จริง จึงจะเกิด “ธรรม”ขึ้นมาได้ หาก “มิจฉาทิฏฐิ”ก็เกิดแต่ “อธรรม”อยู่เท่านั้น โดยเฉพาะ “จิต”ที่จะทำ
ให้เกิดเป็น “ธรรม”ขึ้นมา ก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความเป็น “กาย”อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วจัดการกับ “กาย”ที่เป็น “สัตว์”ของตนให้เป็น “ธรรม”  
    แม้ “ธรรม”ทั้งหลายไม่ใช่ “ตัวตน”(สัพเพธัมมา อนัตตา) แต่ขณะนี้ที่ตนยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่นี้เรายังมี “ตัวตน” และเป็น “ตัวตน
ของสัตว์”(สัตว์โอปปาติกะ) ยังไม่ใช่ “ธรรม”อะไรเลย แม้แต่ “กาย”ของความเป็น “สัตว์”ของตน ที่ตนยังเป็น “สัตวกาย”อยู่(ตั้งแต่ความเป็น
 “สัตตาวาส” ข้อที่ 1 ไปจนถึงข้อที่ 9) ตนก็ยังไม่รู้ ความเป็น “สัตว์” แม้แต่ความเป็น “กาย”อันใดเลย แล้วจะหลงตนว่าตนเป็น “ธรรมกาย”
นั้น นี่แหละ “ฝัน”ที่เพ้อละเมออย่างยากที่จะแก้
    ไม่ว่าจะพาลหรือบัณฑิต ถ้าอวิชชาอยู่ก็ยังมีกายอยู่ ตายไปแล้วก็เอากายไปด้วย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
     “ธรรม”คือความสำเร็จของ “อภิสังขาร”ที่ต้องอาศัย “บุญ”เป็น “ธรรมาวุธ”อย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆ ตั้งแต่ “ปุญญาภิสังขาร”ไปจน
บรรลุ “อปุญญาภิสังขาร” แล้วจึงจะสั่งสมเจริญเป็น “อเนญชาภิสังขาร”
    ต้องทำ “ปุญญาภิสังขาร”ก่อน จนกระทั่งมีผลสำเร็จเป็น “อปุญญาภิสังขาร” แล้วก็รักษาผลด้วย “อเนญชาภิสังขาร”กันต่อไป ใน “สังขาร”ที่ตน “พ้นอวิชชา” ตราบทำกาละ “ปรินิพพาน”เป็นปริโยสาน
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมให้ “เกิดผลธรรม”ก็ต้องทำ “การเกิด”ให้แก่ “จิต”(โอปปาติกโยนิ) ด้วย “กรรม”(สัมมาสังกัปปะ-
สัมมากัมมันตะ-สัมมาวาจา-สัมมาอาชีวะ) ใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น  “จิต”จึงจะมี “การเกิด”ชนิดที่เรียกว่า “นิพพัตติ”เป็น “ธรรม”ขั้น “โลกุตรสัจจะ”
    ความเป็น “จิต”มี “การเกิด”ใหม่จริงๆ เป็น “อุบัติเทพ”(เทวดาโลกุตระ) ซึ่งเป็น “การเกิดของสัตว์โอปปาติกะ”(โอปปาติกโยนิ)ที่ผู้
ปฏิบัติธรรมสามารถทำให้เกิดได้สู่ “โลกุตรภูมิ”ได้ไปตามลำดับ
     “จิต”เกิดใน “ปัจจุบัน”ที่มี “สัมมาปฏิบัติ”ไปตาม “การทำใจในใจที่ลงไปถึงที่เกิด”(โยนิโสมนสิการ) และผู้ทำใจในใจก็ปฏิบัติ “มรรค 7 องค์” มิใช่การปฏิบัตที่ “ทำใจในใจ”แบบ “หลับตาอยู่ในภวังค์”ที่ไม่มีภาวะของ “ปัจจุบัน”อันจะต้องมี “สัมผัส 6”มี “เวทนา 6”อยู่บริบูรณ์

(91) ไม่ง่ายนักที่จะรู้ตนว่า เราหลงงมอยู่กับอดีต-อนาคต
    ผู้ที่ยังปฏิบัติธรรมกันอยู่กับการกระทำของตนที่ไม่รู้จักภาวะที่ตนทำอยู่นั้น เป็นความเห็นผิดที่เรากำลังเอา “อดีต 18”มา
ทำอยู่ หรือไม่รู้จักว่า เป็นความเห็นผิดที่เรากำลังทำอยู่นั้น เรากำลังเอา “อนาคต”มาทำอยู่ ทั้งๆที่ไม่ว่า “อดีต”หรือ “อนาคต 44”ที่ว่านี้ มันให้เกิด “ธรรม”ไม่ได้ ?????????????????
    แม้แต่ใน “ปัจจุบัน 5”ถ้ายัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ การปฏิบัติใน “ปัจจุบัน”นั้นก็เป็นแค่ “ธรรมในปัจจุบัน”ที่มี “ผล”ก็เป็น “มิจฉาผล” 
ผู้บรรลุในภาวะที่ตนนึกว่าตนบรรลุต่อให้เชื่อว่าเป็น “นิพพาน”ในขณะ “ปัจจุบัน”นั้น ก็ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่นั่นเอง จึงยังชื่อว่า เป็นผู้
ไม่มี “ผลธรรม”ในปัจจุบัน  “ผล”ที่คนผู้ “มิจฉาทิฏฐิ”นี้ได้ในการปฏิบัติขณะนั้น จึงเป็น “ลมๆแล้งๆ” เป็น “ฝันในฝัน”อยู่แท้ๆ 
    โน่น!... “นิพพานจริง”ยังอยู่ใน “อนาคต”โน่น!!! 
    จึงเป็นการหลงปฏิบัติกันไป ด้วย “มิจฉาทิฏฐิ”กันทั้ง  “อนาคต 44”
    ดังนั้น แม้ผู้ปฏิบัติใน “ปัจจุบัน”แท้ๆ ก็ต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะปฏิบัติให้เป็น “สัมมาผล”ได้
     “นิพพาน”จึงเกิดในขณะกาละ “ปัจจุบัน”เท่านั้น   
     “ทิฏฐิ”ที่ยังไม่ “สัมมา”ทั้ง 62 อย่างนั้น จึงคือ  “มิจฉาทิฏฐิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นเอง(พตปฎ. เล่ม 9 ตั้งแต่
ข้อ 26 เป็นต้นไป ถึงข้อ 90)
    เราเรียนมาแล้วว่าต้องทำธรรมะสองให้เป็นหนึ่ง  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เป็นภาษาที่พวกเราฟังเข้าใจกันแล้ว อันนี้แหละอาตมาว่าเป็นหัวใจสำคัญเลย เราเรียนเวทนา 108 รู้จักมโนปวิจาร 18 สองอย่างเป็น 36 มันมีหวังไปนิพพานได้ แต่ถ้าคนไม่เข้าใจอ่านอาการไม่ออกแม้เวทนาต่างๆ ก็เดามั่วไปแล้วแบ่งแจกไม่ออกว่าเกิดทางทวารไหน เกิดเป็นอาการอย่างไร จนเราได้มาเรียนรู้ว่าอาการมันแตกต่างอย่างไรเราสามารถทำจิตให้หลุดพ้น ไม่มีอาการเช่นนั้นได้ รู้อาการลิงค นิมิตอุเทสอย่างชัดเจน ถ้าเราไม่รู้ชัดตรงนี้จะยาก 
    พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้เลยในพระธรรมคำสอน ว่า จงปฏิบัติการหรือประพฤติตน(ทำกรรม)เพื่อให้เกิด “ธรรม”ขึ้นใน“จิตวิญญาณ”ที่ไม่มี “ร่าง”(สรีระ)นี้ก็ดี ไม่มี “กาย”(องค์ประชุมของรูปกับนามที่มี่ทั้งสัมผัสภายนอกและภายใน)ก็ดี ในภาวะที่นอกไปจาก “ปัจจุบัน”ก็ตาม เพราะมันจับ “ตัวตน”(อัตตา)ที่เรายัง “มิจฉาทิฏฐิ”จึงมี “ตัวตนในปัจจุบัน”นั้นๆ มา “แก้ไข”ไม่ได้แล้ว
    ความเป็นปัจจุบันนี่แหละที่จะทำให้สามารถบรรลุธรรมได้ หากไม่เป็นอาการปัจจุบันจริงไม่มีทางบรรลุธรรม ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในทิฏฐิ 62 ที่เป็นธรรมที่ คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา ปณีตา สันตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา ถ้าไม่เข้าใจปัจจุบันจริงจะจมกับอดีตกับอนาคตมาก หากไปนั่งหลับดับตา ก็ไม่ได้มีของจริง ถ้าอภิธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไม่มีของดี แล้วพระพุทธเจ้าจะตรัสทำไมให้คนวุ่นวายเปลืองสมอง ก็ให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติอย่างเดียวเลย แต่ท่านไม่ทำ ก็สงสารอาจารย์หลายสำนักที่ว่า ไปนั่งปฏิบัติอย่างเดียวเดี๋ยวบรรลุเอง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้....จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:36:06 )

580908

รายละเอียด

580908_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 17

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 8 ก.ย. 58  ก่อนจะได้พูดรายละเอียดก็จะได้อ่าน sms 
0837277xxx โอ!ธรรมนี้เปืนของเก่าธรรมนี้น่าฟังนักธรรมนี้ลึกซึ้งนักธรรมรู้ได้ยากแต่เรากืรู้ได้ด้วยโยนิโสฯหนอ!/
0893867xxx เวลาศึกษาธรรมผู้น้อยเชื่อในธรรมปฏิบัติตามพ่อครูฯแต่เวลาไปวัดอื่นตนต้องรักษาวัฒนธรรมทำตามประเพณีไทยที่ปู่ย่าตายายปฏิบัติกันมา
0837277xxx จะให้เขาทำอะไรได้ในเมื่อเขาติดนั่งหลับตาเสียแล้ว(รุ่นมืออาชีพซะด้วย)
0893867xxx รู้กามคุณ5คือมีรูปะรู้ด้วย จักขุ,มีสัทธะรู้ด้วยโสตะ,มี คันธะรู้ด้วยฆานะ,มีรสะรู้ ด้วยชิวหา,มีโผฏฐัพพะรู้ ด้วยกาย!
0897146xxx จิตวิญญาณนี่เป็นนามธรรมละเอียดยิ่งกว่าอวกาศสายเจโตทำไมถึงแยกไม่ออกหรือว่าผมบารมีสูงกว่าเขา
0845481xxx ถัาเราเป็นนักตรรกะพูดไปตามความคิดแต่ยังไม่มีสภาวะรองรับถือว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันใชหรือไม่คะ
ตอบ..ก็เขาอยู่กับปัจจุบันที่ไม่มีสภาวะ จึงตรรกะไปได้เรื่อยเยอะแยะ ไม่อยู่กับร่องกับรอยไง

0837277xxx คนที่พูดไปแล้วเมื่อยฟรีๆ(1)คนโง่แบบสุดๆ(2)คนที่หัวดื้อแบบสุดๆ(3)คนที่ยึดแบบสุดๆ(4)คนที่รู้ดีแล้วแต่ไม่ยอมปฏิบัติเลย
ตอบ...อาตมาไม่เมื่อยฟรีหรอก อยู่ที่นี่และทางบ้านด้วย หลายคนอาจแอบฟังข้างเข้าพระสิเนรุ พระพุทธเจ้าท่านไม่เอื้อพระสารีบุตร แต่ท่านเอื้อพระอานนท์ ท่านก็ต้องแอบลอบฟังเอา

0812636xxx พ่อครูไม่ต้องเน้นหรือกระแทกเสียงจะได้ไม่ไอเทศน์เรียบๆฟังนิ่มๆครับถ้าพ่อครูเร่งความถี่เมื่อใดฟคุณไอจะเล่นงานเมื่อนั้นครับอยากให้พ่อครูอยู่เกิน151ปีเป็นที่พึ่งของผู้มีธุลีในดวงตาน้อย
0893867xxx ไม่เข้าไปถือมั่นในอุปาทานฤาอัตตาคืออนุเปตา!ไม่ยึด มั่นในอุปาทานฤาอัตตาคืออนุปาทินนา!
0812636xxx ไม่ว่าชาดกเรื่องใดๆก็มีแต่บอกว่าเมื่อพระองค์เทศน์จบเหล่าสาวกเท่านั้นเท่านี้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้บ้าง(โสดา สกิทา อนาคา อาหันต์)ยังไม่เจอว่ารูปนั้นรูปนี้นั่งสมาธิมาแล้วเวลาเท่านั้นเท่านี้ได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แม้แต่โกณฑัณญก็ยังบรรลุธรรมเพราะฟังธรรม
0810794xxx พ่อครูสอนให้เราเป็นคนดี
0893867xxx ที่ยังชีวิตต้องอาศัยขันธ์5ยังต้องยึดอาทานอยู่ต้องยึดอย่างสมาทานไม่ยึดอย่างอุปาทานคือผู้ทำลายขีณาสวะของตนได้เป็นพระอรหันต์ได้ใช่ไหม?

อ้าวทีนี้มาเข้าเรื่อง
(91)  “การดับ”ของ “ธรรม”คือ “การดับของอัตตาและโลก”
    การเกิดหรือการดับของ “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”นั้น หมายถึง “การเกิด-การดับของจิต-เจตสิก-รูป”(ภาวะเกี่ยวกับจิตที่ถูกรู้) จึงจะมีภาวะของ “นิพพาน” ขึ้นมาได้ หรืออย่างน้อยก็ “นิโรธ” คือมีภาวะของ “การดับทุกขอาริยสัจ” โดยผู้ปฏิบัติ “เห็น”(ปัสสติ)ภาวะของ “เหตุ”(กิเลส=อกุศลจิต=บาป)นั้น “ดับ”อยู่ 
    ถ้ามันอาการมากไป เราก็จะสู้ไม่ไหว ก็ต้องพรากก่อน ตัดก่อน แต่ถ้าไหวก็เรียนรู้มันได้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของมัน เห็นการเกิดดับ ที่ไม่ใช่อย่างตรรกะ แต่เป็นของจริงเลย เป็นไตรลักษณ์ที่ไม่ใช่แค่สามัญลักษณ์ แต่เป็นปัจจัตตลักษณ์ เห็นอกุศลจิตมันดับไปปัจจุบันเลย 
    และภาวะที่ “ดับ” สิ้นไปจาก “อวิชชา”ของตน ก็คือ อัตตา และโลก นี้แล มิใช่อื่นเลย ที่เราหลงมันว่าเป็น “ธรรม”ให้มัน “ทรงอยู่”ในตน 
    เพราะเราได้ “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของเราอยู่ๆ และทำให้ “สมุทัยอาริยสัจ”นั้น “ดับ”ไปได้จริงๆ ในขณะที่มีภาวะจริง ปรากฏอยู่หลัดๆใน “ปัจจุบัน” นั้นๆทีเดียว
    ภาวะจริงนี้ ก็คือ ภาวะของ “อัตตาและโลก” 
    ที่มีผู้รู้ หรืออาจารย์บางพวกบางคน ผิวเผินหลงผิดไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนเรื่อง “อัตตา” เรื่อง “โลก” 
    เพราะไปเห็นคำตรัสบางช่วงบางตอนของพระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธ ว่า ท่านยังไม่ทรงอธิบาย หรือไม่พยากรณ์ก่อน ในตอนนั้น ท่านทรงสอนเรื่องอื่นอันควร สำคัญก่อนในกาละนั้นๆ แต่ผู้หลงผิดเข้าใจไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนเรื่อง “อัตตา” เรื่อง “โลก”
    หรือบางผู้บางคน บางอาจารย์นั้น หลงผิดจัดหนักไปเลยว่า  “อัตตา”ไม่มีในโลก เพราะ “อัตตา”ไม่ใช่ “อัตตา” โดยไปยึดเอาคำสอนมายึดผิดๆสุดโต่งไปเลยว่าเป็น“อนัตตา” (ไม่ใช่อัตตา) แล้วก็ไม่ยอมศึกษาว่า  “อัตตา” คือ ตัวเองนี่แหละคือ “อัตตา” ตัวร้าย ที่ก่อร้ายในโลก 
    แท้จริงแล้ว เรื่อง “อัตตา”นี้เอง ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นการค้นพบ “ความจริง” อันยิ่งใหญ่ของโลก 
    ยิ่งใหญ่กว่า ไอน์สไตน์ค้นพบพลังงานนิวเคลียร์หลายเท่านัก  
    คนเราทุกคนตกอยู่ใต้ “อำนาจยิ่งใหญ่”(อธิปไตย)ในความเป็น “อัตตา” และในความเป็น “โลก”นี่เองแหละ ที่ต้องมี “นิยาย”แสนสุขเหลือล้น ทุกข์ทนสาหัสเหลือหลาย หรือแสนร้ายสุดแสบ แสนดีแบบวิเศษยิ่ง ที่มนุษย์ทั้งปวงในโลกเผชิญกันอยู่ สุขมากสุขน้อย-
ทุกข์มากทุกข์น้อยกัน มีโทษมากมีโทษน้อย มีคุณมากมีคุณน้อย ก็เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”กับความเป็น “โลก”นี่แหละ

(92)  “ปัจจุบัน”หมายถึงตรงไหน? ประกอบไปด้วยอะไร? 
     “ธรรมะ”ที่ชื่อว่า อัตตา และโลก นี้แหละที่มี “อำนาจร้ายยิ่ง หรืออำนาจดีวิเศษยิ่ง” ในชีวิตของคน พระพุทธเจ้าทรงสอน “อำนาจยิ่งใหญ่” นี้ โดยแบ่งไว้ชัดเจน มี 3 อำนาจใหญ่ ที่มนุษย์รู้ยิ่งเห็นจริงแล้ว จะจบทุกอย่าง คือ โลกาธิปไตย-อัตตาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย
    ผู้จบทุกอย่างสำหรับตนก็คือ อรหันต์ ผู้บรรลุนิพพานนั่นเอง ผู้จบแล้วนี้คือ ผู้รู้แจ้งโลกรู้แจ้งอัตตา แล้วจะเป็นผู้ช่วยโลกบริสุทธิ์ใจที่สุดด้วย
    นั่นก็คือ ผู้รู้แจ้ง “ธรรม” และธรรมที่จะต้องรู้จักรู้แจ้งนรู้จริงก็คือ อัตตา กับ โลก นี่แหละ   
    ซึ่ง “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”ขั้นที่มุ่งหมายให้บรรลุนิพพานนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” เป็นอื่นไปไม่ได้
    และต้องเป็น “ความจริง”ที่ชื่อว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ”ด้วย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “ทิฏฐิ 62”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 50 และ ข้อ 87) ซึ่งมีความซับซ้อนที่ลึกซึ้งอยู่หลายนัย สำหรับคำตรัสนี้ 
    คือ จะปฏิบัติได้ “นิพพาน” ก็ต้องเป็น “ธรรม” ใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่บาลีก็ยืนยันอยู่ชัดๆโต้งๆว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ” ...นั่นไง
     “ทิฏฐธรรม”นั้นแปลว่า ผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว,ธรรมที่เป็นปัจจุบัน คือ ปัจจุบันชาติ ซึ่งหมายถึง ภาวะที่เกิดในขณะปัจจุบัน แม้จะหมายเอาว่า ในโลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้าและไม่ใช่โลกอดีต ก็ต้องเข้าใจว่า เป็นภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะที่เป็น “สัมปรายิกะ” จึงไม่หมายถึงภาวะในอนาคต หรือในโอกาสภายหน้าแน่ๆ 
     “นิพพาน” นั้นก็ต้องเป็นภาวะที่สัมผัสอยู่หลัดๆ โทนโท่ ในปัจจุบันนั้นๆทีเดียวนั่นเอง 
     “นิพพาน” จึงมีใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ในที่อื่นที่ไหนก็ไม่มี 
     “ทิฏฐกาล” ก็หมายถึง ในเวลากาละที่ “เห็น”อยู่โทนโท่หลัดๆ
     “ทิฏฐ” หมายถึง ได้เห็น
     “สุต” หมายถึง ได้ยิน
     “มุต” หมายถึง ได้รู้สึกด้วยกลิ่น, รส รู้จริงได้ด้วยสัมผัส
     “นิพพาน” จึงเกิดได้ในขณะมี “สัมผัส 6” เป็นปัจจัยให้รู้จักรู้จริง
     “นิพพาน” จึงไม่ใช่ตรรกะ แต่เกิดขณะมี “อายตนะ 6” ครบ
พร้อมใน “ปัจจุบัน”นั้นทีเดียว
    อายตนะไม่มี หากไม่มีการสัมผัสระหว่าง ตากับรูป หูกับเสียงฯ แล้วอายตนะไม่ตั้งอยู่ เกิดตอนเชื่อมต่อเท่านัั้นก็ดับไป ไม่ตั้งอยู่ในที่ใดๆ

(93)  “กาย”นี้แหละสำคัญนัก ที่ต้องสัมมาทิฏฐิให้ได้
    การได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ได้รสด้วยลิ้น ได้สัมผัสทั้งภายนอกด้วย “รูป”(สิ่งที่ถูกรู้) ทั้งสัมผัสภายในด้วย “นาม”(ธาตุรู้ที่ทำหน้าที่รู้ได้) จึงชื่อว่า  “กาย” 
    อธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสจากภายนอกด้วยก็คือ  “รูปกาย” และอธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสกันอยู่ภายในก็คือ  “นามกาย”  “กาย”ทั้ง 2 นี้เมื่อมี “อาการ”จึงจะเห็น “นิมิต”ต่างๆ
     “นิมิต”นี้ คือ เครื่องหมายที่เรากำนดหมายให้แก่ตนเพื่อรู้ โดยกำหนดลงไปที่ภาวะเราสัมผัสอยู่นั้นๆ เครื่องหมายที่เรากำหนดรู้เอาได้นี่แหละ คือ นิมิต
    คำว่า “นิมิต”ในที่นี้จึงไม่ใช่การเนรมิต หรือการบันดาลอะไรหรือการสร้างอะไรขึ้นมาได้อย่างเก่งลึกลับ อย่าหลงผิดกันก็แล้วกัน 
     “นิมิต”นี้เป็น “อาการ”ของ “รูปกายหรือนามกาย”ที่เกิดขึ้นมาจากการ “สัมผัส”กันของ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “รูป” และ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “นาม”
     “รูปกาย” ต้องเรียนรู้เป็น “ขั้นต้น”ไปตามลำดับ จึงจะถูกต้องตามแบบฉบับของพุทธ เพราะเป็นขั้นโอฬาริกอัตตา ขั้นหยาบ  ต้องมีพร้อมการสัมผัสภายนอก คือ กามาวจร จึงจะเกิด “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” ให้เรา “เห็น” 
    ซึ่งจะ “เห็น” ทั้ง “ความเกิด-ความดับ”ของภาวะทั้งหลาย ที่สำคัญอย่างยิ่งก็ “เห็นความเกิด-เห็นความดับ”ของ “นามธรรม”อันเป็น “ความสุข-ความทุกข์” เป็น “กุศลจิต-อกุศลจิต” ได้โต้งๆ   
    ทั้งหมดนั้น ต้องมีวิญญาณ(ที่รู้สึกทางใจ) มาประกอบ มารวมเข้าด้วยเสมอ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อย่างบริบูรณ์ของสิ่งที่ประกอบทั้งหลาย ด้วยวิถีทางทุกประการของ        “ปชานนาติ”(รู้ชัด,ค้นพบ,หยั่งรู้,เห็นความแตกต่างตามความเป็นจริง) ปฏิญญาต(อัน..รู้เฉพาะแล้ว) 
    ไม่เช่นนั้น ไม่ครบครันบริบูรณ์จนสามารถสรุป “ความจริง”ได้

(94)  “ความจริง” ต้องสัมผัสได้ในปัจจุบันทั้งสวรรค์,นิพพาน
    ดังนั้น  “ทิฏฐธรรม” จึงหมายถึง รู้,เข้าใจ,ได้เห็นชัดเจน ด้วยภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆใน “ธรรม”นั้นๆ  ซึ่งต้องเป็นปัจจุบัน 
     “ทิฏฐธรรมนิพพาน” ก็หมายถึง ได้เห็นธรรมถึงขั้นนิพพานในปัจจุบันนั้นชัดเจนหลัดๆกันทีเดียว จึงจะเป็นการยืนยัน “ความจริง” ไม่ใช่มีแต่ “ฝัน” (ไม่ใช้คำว่า ความฝัน เพราะไม่มีจริง) มีแต่ลอยลม มีแต่วิมาน มีแต่อยู่ในอนาคต
    ต้องเป็นภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆ กระทบสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โทนโท่ โต้งๆ เป็นปัจจุบันนั้นๆ มีภาวะนั้นยืนยันแท้ๆ
    จึงจะชื่อว่า ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงอันสูงสุดมีจริงเป็นจริง ปรากฏอยู่จริง เป็นไปได้จริง ได้รับผลนั้นจริง อยู่เป็นปัจจุบันนี้ 
    ไม่ว่า ทิฏฐาภินิพพานก็ดี ก็บรรลุนิพพานในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐสุขวิหารก็ดี ก็บรรลุความเป็นสุขในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐเวทนียะก็ดี ก็บรรลุผลเสวยผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐปัตตะก็ดี ก็เป็นผู้บรรลุผลเข้าถึงผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทิฏฐกาละ(เวลาที่เห็นนิพพาน) ล้วนคือ ภาวะในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทั้งนั้น
    สรุปแล้ว  “ทิฏฐ”นั้นเน้น  “ปัจจุบัน” และ เน้น “เห็น”ด้วยสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โต้งๆ ในขณะที่มี “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสกาย-ใจ”อยู่ 
    ไม่ว่า จะเป็น “นรก-สวรรค์” หรือแม้ที่สุด “นิพพาน” จึงจะเรียกว่า “ความจริง” ไม่ใช่เอาแต่ “ฝัน”เพ้อพกอยู่กับได้แต่รู้ แต่คิด  
     
(95)  “นิพพาน”ของพุทธต้องมี “ตานอก”เป็นองค์ประกอบ
    ประเด็นที่ 1 ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ” คือผู้เข้าใจผิดไปว่า ในความเป็น “นิพพานในปัจจุบัน”  (ทิฏฐธรรมนิพพาน) เพียงแต่การรู้ได้ด้วย“การกำหนดรู้”(สัญญา)อยู่ในภวังค์(ในภพภายใน) ขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งการกำหนดรู้แค่ใช้ “สัญญา”นี้ ก็เป็น “ปัจจุบัน”เหมือนกันนะ 
     “ปัจจุบัน”แบบนี้นั้น มันก็ใช่ “ปัจจุบัน”อยู่หรอก แต่เป็นปัจจุบันที่มีองค์ประกอบไม่ครบครัน ยืนยันไม่ได้ ว่า ที่ผู้เอาแต่ “รู้ได้ด้วยสัญญาภายในของตนคนเดียว”นั้น มันเป็นแค่ “ฝัน”เอา หรือระลึกเอาจาก “อดีต”มารู้ ไม่มีใครเห็นด้วย หรือเป็นแค่อนาคต ที่ “ฝัน”เพ้อขึ้นมาใหม่ มันยืนยัน “ความจริง”ไม่ได้ ...เห็นมั้ย?
    มันจึงต้องมี “ตานอก” ที่สัมผัสภายนอกด้วย ซึ่งยืนยันกันได้โต้งๆ จึงต้องพ้นภาวะ    “อดีตหรืออนาคต” เป็นภาวะ “ปัจจุบัน”เท่านั้น  “นิพพาน”ในศาสนาพุทธ ต้องเป็น “ความจริง”กันปานฉะนี้  
    ดังนั้น การหลับตาเข้าไปเห็นสวรรค์-นรก เห็นสัตว์-เห็นคนนั้นคนนี้ก็ดี เห็นสารพัดใดๆก็ดี ล้วนเป็นภาวะที่เห็นอย่างลึกลับ ยังยืนยันไม่ได้ว่า เป็น “ความจริง”กันแท้ ที่เป็น “เอหิปัสสิโก” กล่าวคือผู้อื่นก็สามารถร่วม “รู้”ได้ด้วย เมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอ 
    แต่นี่ตนเอง “เห็น”อยู่คนเดียวลึกลับ ตนก็หลับตาเห็นอีกด้วย ไม่มีภายนอกส่วนใดยืนยันอะไรเลย มันก็ไม่มีอะไรให้คนอื่นร่วมรู้ได้
    แม้ผู้ปฏิบัตินั้นจะเชื่อว่าตนบรรลุ “นิโรธ”หรือ “นิพพาน”อันหมายถึง “ความดับ”ก็ตาม ก็เป็น “นิพพานเก๊”กันเท่านั้น
    ซึ่งทุกวันนี้ เชื่อกันอย่างนี้ มีแต่ “นิพพานเก๊”แบบนี้กัน
    เพราะไปบรรลุ “นิพพาน”กันอยู่แต่ในภาวะที่ไม่มีองค์ประกอบ “ตานอก”ของตน ซึ่งคนอื่นจะยืนยันกับเหตุปัจจัยที่เป็นภาวะไม่มีภายนอกยืนยันนั้น มันก็ไม่มีภาวะใดเชื่อมกับคนอื่นร่วมรู้ได้เลย
    อย่างน้อยมันต้องมี “ภายนอก”ที่ร่วมสัมผัสกันพอรู้พอเห็นบ้าง 

(96)  “นิพพาน”ของพุทธต้อง “ดับคาตา”เป็นองค์ประกอบ
    ถ้ายังไม่ “เห็นกิเลสดับ”ลงไป “คาตา”หลัดๆ และเห็น “อาการของความดับ”อยู่อย่าง “แจ้ง”(สัจฉิ) ณ บัดเดี๋ยวนั้น โดยมีภาวะลืมตาและสัมผัส “เหตุ”แห่งทุกข์ หรือ “เหตุ”แห่งสวรรค์นั้นๆ ครบพร้อมความเป็น “กาย” คือ มีทั้ง “รูป”และมีทั้ง “นาม”ประกอบอยู่พร้อม 
    สิ่งร่วมรู้กับผู้อื่นแม้จะเป็นแค่ “รูป”ที่เป็นองค์ประกอบของ
 “กาย”ภายนอก ที่ผู้อื่นก็สามารถร่วมสัมผัสได้ ก็ยังมีหลักฐานส่วนหนึ่ง
    อธิบายขยายความให้เห็นชัดอีกที เช่น หลับตาเข้าไปใน
 “ภวังค์” มีความรับรู้อยู่แต่ในภาวะภายในเท่านั้น คุณก็รู้อยู่คนเดียว  ดังนั้น ในขณะเช่นนี้ ผู้นี้ก็มีแต่ “สัญญา”กำหนดรู้ ซึ่งไม่มีภายนอก ก็ไม่มีภายนอกให้คนอื่นสัมผัสด้วย ภายนอกเป็น “ภาวะปัจจุบัน” ให้ผู้อื่นร่วมรู้ไม่มี คุณก็รู้ของคุณอยู่คนเดียว จะเป็น “ปัจจุบัน”จริง หรืองมอยู่แต่ “ภาวะอดีตและภาวะอนาคต”เท่านั้น ใครก็ไม่รู้ได้ด้วย
    คนที่มีนิพพานจริง ก็ระลึกถึงนิพพานที่ได้ได้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านดึงของเก่ามารู้มาเห็น ท่านก็เห็นของท่านหมด ก็ท่านมีของจริงของท่าน หรือใครก็ตามที่มีของจริงมาแล้ว ไม่ต้องเป็นสยัมภูก็ดึงมารู้ได้ ในสัญญาของเราเอง อย่างนี้คุณมีสิทธิ์ แต่ถ้าคุณไม่มีของจริง จะดึงมาจากไหน?
    ซึ่งผู้มีภายนอกกำหนดรู้อยู่นั้น ภายในของเขาขณะนั้นเขาก็กำหนดรู้ได้ด้วยนะ ส่วนคนอื่นก็ไม่รู้ภายในของเขาหรอก
    แต่ถ้าเรามีภายนอก สัมผัสอยู่โทนโท่ร่วมรู้กันได้ ทั้งเราทั้งผู้อื่นยืนยันกัน มันก็ยืนยันว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่คนอื่นร่วมรับรู้ ร่วมมีเครื่องยืนยันขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อจะได้พิสูจน์กันต่อไปกับสิ่งภายนอกสิ่งนี้แหละเป็นหลักฐาน แล้วจะได้ใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป   
    ดังนั้น ถ้าใครไปหลงว่า “นิพพาน”ที่ตนได้บรรลุ จะเอาแต่ขณะที่อยู่ในภายใน พระพุทธเจ้าจึงถือเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” เพราะไม่มี “ภาวะปัจจุบัน”ที่มีของแท้ ไม่มีสิ่งนั้นจริงๆสัมผัสแตะต้องอยู่แท้ๆอยู่ยืนยันได้หลัดๆ โต้งๆ เมื่อมีแต่ “รู้อยู่แค่ภายใน” ไม่มี “ภายนอก” ครบพร้อมด้วย ยืนยัน “ความจริง” ก็ยังไม่เป็น “ทิฏฐธรรมนิพพาน”
    กว่าอาตมาจะประกาศอรหันต์ ก็ต้องให้มีฐานรับรู้ ต้องมีโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ มากๆ ก็ต้องมีคุณสมบัติถึงอรหันต์บ้าง มันเป็นนามธรรม เมื่อมาเป็นองค์รวมจะมีราศี รังสีที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นนามธรรม มันจะมีทั้งคุณลักษณ์ที่เป็นทั้ง ปริมาณและคุณภาพของมัน แม้เป็นนามธรรม กว่าอาตมาจะกล่าวอันนี้ ก็ค่อยพูดค่อยประกาศ ต้องอาศัยส่ิงปรากฎยืนยัน พอประกาศไปแล้วก็เงียบ    
    ถ้าคุณเป็นอรหัตตผลจริง กายวาจาก็จะมีราศี รังสีแสดงออก แต่ถ้าคุณไม่ใช่อรหันต์จริง พฤติกรรมกายวาจาของคุณก็ไม่ใช่อรหันต์จริง ผู้เป็นอรหันต์ แม้ไม่บอกไม่พูดคนก็รับรังสี ราศีได้ แต่ถ้าไม่มีราศี รังสีก็ไม่ใช่อรหัตตผล แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไร แล้วสอนกันว่า เป็นอรหันต์ก็ไม่ให้ประกาศ แม้คนเป็นอรหันต์เก๊ก็ไม่ประกาศอีก แล้วของเก๊นี่ขี้มักจะเก๊ก แสดงออกให้ดูเป็นอรหันต์ดูเก๋เท่กว่าต้องตากว่าอรหันต์จริง นางงามขึ้นเวทีนี่ต้องตากว่าคนงามในสวนในป่า 
    ผู้มี “ทิฏฐิ” คือมี “ความเห็นว่านิพพานจะได้ก็ต้องหลับตาเข้าไป ทำเอาจึงจะได้ จึงเป็น “ผู้มิจฉาทิฏฐิ”แล้วชัดๆ ในประเด็นแรก
    พระพุทธเจ้าจึงจัดผู้มี “ทิฏฐิ”เช่นนี้ อยู่ใน “อนาคต”(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 87) 
[87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้  เป็น “ผู้จมอยู่ในอนาคต” หมายความว่า เป็นผู้จมอยู่กับภาวะลมๆแล้งๆ ในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั่นเอง ไม่มี “ความจริง”หลัดๆ จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ 1 ใน 44 
    ไม่ใช่ปัจจุบันที่สัมผัสด้วย “ตา หู จมูก ลิ้น กาย” ได้หลัดๆในบัดนี้ มันมีแต่ภาวะแค่   “ฝัน” แม้ปัจจุบันขณะนั้นก็ “ฝัน” ไม่ใช่ “ความจริง”

(97) มี “ตานอก”แต่ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”ในความเป็น “กาย” 
    ส่วนประเด็นที่่ 2 นั้นหมายถึง ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ”ที่ไม่ใช่หลับตาเข้าไปปฏิบัติได้นิพพานในภวังค์ แต่ลืมตาปฏิบัติแล้ว ประกอบด้วย “มรรคองค์ 7 องค์” คือ มี “กรรม”ทุกอย่าง ทั้งกรรมที่เป็นอาชีพ (อาชีวะ) กรรมทั้งหมดทั้งหลาย(กัมมันตะ) กรรมที่เป็นคำพูด(วาจา) กรรมที่เป็น “การคิดนึก(สังกัปปะ) เพื่อสร้าง “เอกัคคตาจิต” ชื่อว่า  “สัมมาสมาธิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 แล้ว 
    ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช่ “สมาธิ”ที่หลับตาเข้าไปอยู่แต่ภายในแล้ว ถูกต้องขั้นหนึ่ง ถือว่า “สัมมาทิฏฐิ”ขั้นหนึ่ง คือต้องทำ “สมาธิ” ในขณะปฏิบัติด้วย “องค์มรรค 7 องค์”ดังที่กล่าว ก็ปฏิบัติอย่างนั้นแล้ว สามารถปฏิบัติมีภายนอกร่วมด้วยเป็น “ปัจจุบัน”แล้ว
     “ทิฏฐธรรม” ที่หมายถึง  “ปัจจุบัน”นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้หลับตาเข้าไปจมอยู่ในภวังค์มีแต่ “อดีตกับอนาคต” หรือหลงผิดจมอยู่กับ “อนาคต”ที่เป็นภาวะลมๆแล้งๆ ในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั้นแล้ว
    แต่ส่วน “ทิฏฐธรรม”ในประเด็นที่หมายถึง  “เห็น”(ปัสสติ)โดยมีภาวะสัมผัสทั้งภายนอกด้วยภายในด้วย ในส่วนนี้ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่  
    กล่าวคือ ยังเข้าใจ “สัมมาทิฏฐิ 10”ยังไม่ได้เป็นต้น จึงปฏิบัติทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งกรรมต่างๆ ล้วนไม่มีมรรคผลเป็น “โลกุตรธรรม”
    หรือยัง “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น ยังไม่รู้จักว่า “กาย”เป็นอย่างไร  “เวทนา”เป็นอย่างไร  “จิต”เป็นอย่างไร  “ธรรม”เป็นอย่างไร ชัดเจนถ่องแท้ กระทั่งปฏิบัติแล้วอ่าน “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ได้ แยกแยะ “กายกับจิต”เป็น จัดการ(อภิสังขาร)ใจในใจเป็น 
    ยังแยก “กาย”แยก “จิต”ยังไม่เป็น จึงยังไม่สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ สัมมาทิฏฐิได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่อีกส่วนหนึ่ง  

(98) รู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”มี “ฌาน”ไม่ได้
หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“ฌาน” ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น” (ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม แม้ข้อที่ 1 ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1
    จึงปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่ “เห็น”นิพพาน ที่ปัจจุบันก็มีการสัมผัสสัมพันธ์อยู่พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตาเห็น “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน” 
    เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ  ไม่บริบูรณ์ 
    เห็นไหมว่า แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแล้วได้บรรลุ “นิพพาน” กันง่ายๆ 
     “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็น  “กามคุณห้า”นี้ 1 หรือ “ฌาน 1-2-3-4”นี้อีก 4 รวมเป็น 5 นี้แหละที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะทั้งเป็น “ปัจจุบัน” และทั้ง “เห็น”ได้
    แม้จะรู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”และ “ดับเหตุ”ที่จะมี “ฌาน”ในขณะที่อยู่ใน “กามาวจร” อันเป็น “ปัจจุบัน ไม่ได้  ก็ไม่สามารถบรรลุ “นิพพาน”บริบูรณ์แน่นอน  

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:37:15 )

580908

รายละเอียด

580908_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 17

พ่อครูว่า....วันนี้วันอังคารที่ 8 ก.ย. 58  ก่อนจะได้พูดรายละเอียดก็จะได้อ่าน sms

0837277xxx โอ!ธรรมนี้เปืนของเก่าธรรมนี้น่าฟังนักธรรมนี้ลึกซึ้งนักธรรมรู้ได้ยากแต่เรากืรู้ได้ด้วยโยนิโสฯหนอ!/

0893867xxx เวลาศึกษาธรรมผู้น้อยเชื่อในธรรมปฏิบัติตามพ่อครูฯแต่เวลาไปวัดอื่นตนต้องรักษาวัฒนธรรมทำตามประเพณีไทยที่ปู่ย่าตายายปฏิบัติกันมา

0837277xxx จะให้เขาทำอะไรได้ในเมื่อเขาติดนั่งหลับตาเสียแล้ว(รุ่นมืออาชีพซะด้วย)

0893867xxx รู้กามคุณ5คือมีรูปะรู้ด้วย จักขุ,มีสัทธะรู้ด้วยโสตะ,มี คันธะรู้ด้วยฆานะ,มีรสะรู้ ด้วยชิวหา,มีโผฏฐัพพะรู้ ด้วยกาย!

0897146xxx จิตวิญญาณนี่เป็นนามธรรมละเอียดยิ่งกว่าอวกาศสายเจโตทำไมถึงแยกไม่ออกหรือว่าผมบารมีสูงกว่าเขา

0845481xxx ถัาเราเป็นนักตรรกะพูดไปตามความคิดแต่ยังไม่มีสภาวะรองรับถือว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันใชหรือไม่คะ

ตอบ..ก็เขาอยู่กับปัจจุบันที่ไม่มีสภาวะ จึงตรรกะไปได้เรื่อยเยอะแยะ ไม่อยู่กับร่องกับรอยไง

 

0837277xxx คนที่พูดไปแล้วเมื่อยฟรีๆ(1)คนโง่แบบสุดๆ(2)คนที่หัวดื้อแบบสุดๆ(3)คนที่ยึดแบบสุดๆ(4)คนที่รู้ดีแล้วแต่ไม่ยอมปฏิบัติเลย

ตอบ...อาตมาไม่เมื่อยฟรีหรอก อยู่ที่นี่และทางบ้านด้วย หลายคนอาจแอบฟังข้างเข้าพระสิเนรุ พระพุทธเจ้าท่านไม่เอื้อพระสารีบุตร แต่ท่านเอื้อพระอานนท์ ท่านก็ต้องแอบลอบฟังเอา

 

0812636xxx พ่อครูไม่ต้องเน้นหรือกระแทกเสียงจะได้ไม่ไอเทศน์เรียบๆฟังนิ่มๆครับถ้าพ่อครูเร่งความถี่เมื่อใดฟคุณไอจะเล่นงานเมื่อนั้นครับอยากให้พ่อครูอยู่เกิน151ปีเป็นที่พึ่งของผู้มีธุลีในดวงตาน้อย

0893867xxx ไม่เข้าไปถือมั่นในอุปาทานฤาอัตตาคืออนุเปตา!ไม่ยึด มั่นในอุปาทานฤาอัตตาคืออนุปาทินนา!

0812636xxx ไม่ว่าชาดกเรื่องใดๆก็มีแต่บอกว่าเมื่อพระองค์เทศน์จบเหล่าสาวกเท่านั้นเท่านี้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้บ้าง(โสดา สกิทา อนาคา อาหันต์)ยังไม่เจอว่ารูปนั้นรูปนี้นั่งสมาธิมาแล้วเวลาเท่านั้นเท่านี้ได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แม้แต่โกณฑัณญก็ยังบรรลุธรรมเพราะฟังธรรม

0810794xxx พ่อครูสอนให้เราเป็นคนดี

0893867xxx ที่ยังชีวิตต้องอาศัยขันธ์5ยังต้องยึดอาทานอยู่ต้องยึดอย่างสมาทานไม่ยึดอย่างอุปาทานคือผู้ทำลายขีณาสวะของตนได้เป็นพระอรหันต์ได้ใช่ไหม?

 

อ้าวทีนี้มาเข้าเรื่อง

(91)  “การดับ”ของ “ธรรม”คือ “การดับของอัตตาและโลก”

            การเกิดหรือการดับของ “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”นั้น หมายถึง “การเกิด-การดับของจิต-เจตสิก-รูป”(ภาวะเกี่ยวกับจิตที่ถูกรู้) จึงจะมีภาวะของ “นิพพาน” ขึ้นมาได้ หรืออย่างน้อยก็ “นิโรธ” คือมีภาวะของ “การดับทุกขอาริยสัจ” โดยผู้ปฏิบัติ “เห็น”(ปัสสติ)ภาวะของ “เหตุ”(กิเลส=อกุศลจิต=บาป)นั้น “ดับ”อยู่

            ถ้ามันอาการมากไป เราก็จะสู้ไม่ไหว ก็ต้องพรากก่อน ตัดก่อน แต่ถ้าไหวก็เรียนรู้มันได้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของมัน เห็นการเกิดดับ ที่ไม่ใช่อย่างตรรกะ แต่เป็นของจริงเลย เป็นไตรลักษณ์ที่ไม่ใช่แค่สามัญลักษณ์ แต่เป็นปัจจัตตลักษณ์ เห็นอกุศลจิตมันดับไปปัจจุบันเลย

            และภาวะที่ “ดับ” สิ้นไปจาก “อวิชชา”ของตน ก็คือ อัตตา และโลก นี้แล มิใช่อื่นเลย ที่เราหลงมันว่าเป็น “ธรรม”ให้มัน “ทรงอยู่”ในตน

            เพราะเราได้ “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ของเราอยู่ๆ และทำให้ “สมุทัยอาริยสัจ”นั้น “ดับ”ไปได้จริงๆ ในขณะที่มีภาวะจริง ปรากฏอยู่หลัดๆใน “ปัจจุบัน” นั้นๆทีเดียว

            ภาวะจริงนี้ ก็คือ ภาวะของ “อัตตาและโลก”

            ที่มีผู้รู้ หรืออาจารย์บางพวกบางคน ผิวเผินหลงผิดไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนเรื่อง “อัตตา” เรื่อง “โลก”

            เพราะไปเห็นคำตรัสบางช่วงบางตอนของพระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธ ว่า ท่านยังไม่ทรงอธิบาย หรือไม่พยากรณ์ก่อน ในตอนนั้น ท่านทรงสอนเรื่องอื่นอันควร สำคัญก่อนในกาละนั้นๆ แต่ผู้หลงผิดเข้าใจไปว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนเรื่อง “อัตตา” เรื่อง “โลก”

            หรือบางผู้บางคน บางอาจารย์นั้น หลงผิดจัดหนักไปเลยว่า  “อัตตา”ไม่มีในโลก เพราะ “อัตตา”ไม่ใช่ “อัตตา” โดยไปยึดเอาคำสอนมายึดผิดๆสุดโต่งไปเลยว่าเป็น“อนัตตา” (ไม่ใช่อัตตา) แล้วก็ไม่ยอมศึกษาว่า  “อัตตา” คือ ตัวเองนี่แหละคือ “อัตตา” ตัวร้าย ที่ก่อร้ายในโลก

            แท้จริงแล้ว เรื่อง “อัตตา”นี้เอง ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เป็นการค้นพบ “ความจริง” อันยิ่งใหญ่ของโลก

            ยิ่งใหญ่กว่า ไอน์สไตน์ค้นพบพลังงานนิวเคลียร์หลายเท่านัก  

            คนเราทุกคนตกอยู่ใต้ “อำนาจยิ่งใหญ่”(อธิปไตย)ในความเป็น “อัตตา” และในความเป็น “โลก”นี่เองแหละ ที่ต้องมี “นิยาย”แสนสุขเหลือล้น ทุกข์ทนสาหัสเหลือหลาย หรือแสนร้ายสุดแสบ แสนดีแบบวิเศษยิ่ง ที่มนุษย์ทั้งปวงในโลกเผชิญกันอยู่ สุขมากสุขน้อย-

ทุกข์มากทุกข์น้อยกัน มีโทษมากมีโทษน้อย มีคุณมากมีคุณน้อย ก็เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”กับความเป็น “โลก”นี่แหละ

 

(92)  “ปัจจุบัน”หมายถึงตรงไหน? ประกอบไปด้วยอะไร?

             “ธรรมะ”ที่ชื่อว่า อัตตา และโลก นี้แหละที่มี “อำนาจร้ายยิ่ง หรืออำนาจดีวิเศษยิ่ง” ในชีวิตของคน พระพุทธเจ้าทรงสอน “อำนาจยิ่งใหญ่” นี้ โดยแบ่งไว้ชัดเจน มี 3 อำนาจใหญ่ ที่มนุษย์รู้ยิ่งเห็นจริงแล้ว จะจบทุกอย่าง คือ โลกาธิปไตย-อัตตาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย

            ผู้จบทุกอย่างสำหรับตนก็คือ อรหันต์ ผู้บรรลุนิพพานนั่นเอง ผู้จบแล้วนี้คือ ผู้รู้แจ้งโลกรู้แจ้งอัตตา แล้วจะเป็นผู้ช่วยโลกบริสุทธิ์ใจที่สุดด้วย

            นั่นก็คือ ผู้รู้แจ้ง “ธรรม” และธรรมที่จะต้องรู้จักรู้แจ้งนรู้จริงก็คือ อัตตา กับ โลก นี่แหละ  

            ซึ่ง “ธรรม”ใน “ปรมัตถธรรม”ขั้นที่มุ่งหมายให้บรรลุนิพพานนั้น ก็ต้องเป็นเรื่องของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” เป็นอื่นไปไม่ได้

            และต้องเป็น “ความจริง”ที่ชื่อว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ”ด้วย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “ทิฏฐิ 62”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 50 และ ข้อ 87) ซึ่งมีความซับซ้อนที่ลึกซึ้งอยู่หลายนัย สำหรับคำตรัสนี้

            คือ จะปฏิบัติได้ “นิพพาน” ก็ต้องเป็น “ธรรม” ใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่บาลีก็ยืนยันอยู่ชัดๆโต้งๆว่า  “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ” ...นั่นไง

             “ทิฏฐธรรม”นั้นแปลว่า ผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว,ธรรมที่เป็นปัจจุบัน คือ ปัจจุบันชาติ ซึ่งหมายถึง ภาวะที่เกิดในขณะปัจจุบัน แม้จะหมายเอาว่า ในโลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้าและไม่ใช่โลกอดีต ก็ต้องเข้าใจว่า เป็นภาวะที่ตรงกันข้ามกับภาวะที่เป็น “สัมปรายิกะ” จึงไม่หมายถึงภาวะในอนาคต หรือในโอกาสภายหน้าแน่

             “นิพพาน” นั้นก็ต้องเป็นภาวะที่สัมผัสอยู่หลัดๆ โทนโท่ ในปัจจุบันนั้นๆทีเดียวนั่นเอง

             “นิพพาน” จึงมีใน “ปัจจุบัน”เท่านั้น ในที่อื่นที่ไหนก็ไม่มี

             “ทิฏฐกาล” ก็หมายถึง ในเวลากาละที่ “เห็น”อยู่โทนโท่หลัดๆ

             “ทิฏฐ” หมายถึง ได้เห็น

             “สุต” หมายถึง ได้ยิน

             “มุต” หมายถึง ได้รู้สึกด้วยกลิ่น, รส รู้จริงได้ด้วยสัมผัส

             “นิพพาน” จึงเกิดได้ในขณะมี “สัมผัส 6” เป็นปัจจัยให้รู้จักรู้จริง

             “นิพพาน” จึงไม่ใช่ตรรกะ แต่เกิดขณะมี “อายตนะ 6” ครบ

พร้อมใน “ปัจจุบัน”นั้นทีเดียว

            อายตนะไม่มี หากไม่มีการสัมผัสระหว่าง ตากับรูป หูกับเสียงฯ แล้วอายตนะไม่ตั้งอยู่ เกิดตอนเชื่อมต่อเท่านัั้นก็ดับไป ไม่ตั้งอยู่ในที่ใดๆ

 

(93)  “กาย”นี้แหละสำคัญนัก ที่ต้องสัมมาทิฏฐิให้ได้

            การได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู ได้กลิ่นด้วยจมูก ได้รสด้วยลิ้น ได้สัมผัสทั้งภายนอกด้วย “รูป”(สิ่งที่ถูกรู้) ทั้งสัมผัสภายในด้วย “นาม”(ธาตุรู้ที่ทำหน้าที่รู้ได้) จึงชื่อว่า  “กาย”

            อธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสจากภายนอกด้วยก็คือ  “รูปกาย” และอธิวจนะ(คำเรียกชื่อ)ของภาวะที่สัมผัสกันอยู่ภายในก็คือ  “นามกาย”  “กาย”ทั้ง 2 นี้เมื่อมี “อาการ”จึงจะเห็น “นิมิต”ต่างๆ

             “นิมิต”นี้ คือ เครื่องหมายที่เรากำนดหมายให้แก่ตนเพื่อรู้ โดยกำหนดลงไปที่ภาวะเราสัมผัสอยู่นั้นๆ เครื่องหมายที่เรากำหนดรู้เอาได้นี่แหละ คือ นิมิต

            คำว่า “นิมิต”ในที่นี้จึงไม่ใช่การเนรมิต หรือการบันดาลอะไรหรือการสร้างอะไรขึ้นมาได้อย่างเก่งลึกลับ อย่าหลงผิดกันก็แล้วกัน

             “นิมิต”นี้เป็น “อาการ”ของ “รูปกายหรือนามกาย”ที่เกิดขึ้นมาจากการ “สัมผัส”กันของ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมจะ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “รูป” และ “เห็น”(ปัสสติ) “กาย”ของ “นาม”

             “รูปกาย” ต้องเรียนรู้เป็น “ขั้นต้น”ไปตามลำดับ จึงจะถูกต้องตามแบบฉบับของพุทธ เพราะเป็นขั้นโอฬาริกอัตตา ขั้นหยาบ  ต้องมีพร้อมการสัมผัสภายนอก คือ กามาวจร จึงจะเกิด “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” ให้เรา “เห็น”

            ซึ่งจะ “เห็น” ทั้ง “ความเกิด-ความดับ”ของภาวะทั้งหลาย ที่สำคัญอย่างยิ่งก็ “เห็นความเกิด-เห็นความดับ”ของ “นามธรรม”อันเป็น “ความสุข-ความทุกข์” เป็น “กุศลจิต-อกุศลจิต” ได้โต้งๆ   

            ทั้งหมดนั้น ต้องมีวิญญาณ(ที่รู้สึกทางใจ) มาประกอบ มารวมเข้าด้วยเสมอ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์อย่างบริบูรณ์ของสิ่งที่ประกอบทั้งหลาย ด้วยวิถีทางทุกประการของ        “ปชานนาติ”(รู้ชัด,ค้นพบ,หยั่งรู้,เห็นความแตกต่างตามความเป็นจริง) ปฏิญญาต(อัน..รู้เฉพาะแล้ว)

            ไม่เช่นนั้น ไม่ครบครันบริบูรณ์จนสามารถสรุป “ความจริง”ได้

 

(94)  “ความจริง” ต้องสัมผัสได้ในปัจจุบันทั้งสวรรค์,นิพพาน

            ดังนั้น  “ทิฏฐธรรม” จึงหมายถึง รู้,เข้าใจ,ได้เห็นชัดเจน ด้วยภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆใน “ธรรม”นั้นๆ  ซึ่งต้องเป็นปัจจุบัน

             “ทิฏฐธรรมนิพพาน” ก็หมายถึง ได้เห็นธรรมถึงขั้นนิพพานในปัจจุบันนั้นชัดเจนหลัดๆกันทีเดียว จึงจะเป็นการยืนยัน “ความจริง” ไม่ใช่มีแต่ “ฝัน” (ไม่ใช้คำว่า ความฝัน เพราะไม่มีจริง) มีแต่ลอยลม มีแต่วิมาน มีแต่อยู่ในอนาคต

            ต้องเป็นภาวะที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่หลัดๆ กระทบสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โทนโท่ โต้งๆ เป็นปัจจุบันนั้นๆ มีภาวะนั้นยืนยันแท้ๆ

            จึงจะชื่อว่า ปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงอันสูงสุดมีจริงเป็นจริง ปรากฏอยู่จริง เป็นไปได้จริง ได้รับผลนั้นจริง อยู่เป็นปัจจุบันนี้

            ไม่ว่า ทิฏฐาภินิพพานก็ดี ก็บรรลุนิพพานในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐสุขวิหารก็ดี ก็บรรลุความเป็นสุขในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐเวทนียะก็ดี ก็บรรลุผลเสวยผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ; ทิฏฐปัตตะก็ดี ก็เป็นผู้บรรลุผลเข้าถึงผลในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทิฏฐกาละ(เวลาที่เห็นนิพพาน) ล้วนคือ ภาวะในปัจจุบันนี้ อันไม่ใช่สัมปรายิกภพ ทั้งนั้น

            สรุปแล้ว  “ทิฏฐ”นั้นเน้น  “ปัจจุบัน” และ เน้น “เห็น”ด้วยสัมผัสภาวะนั้นๆอยู่โต้งๆ ในขณะที่มี “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสกาย-ใจ”อยู่

            ไม่ว่า จะเป็น “นรก-สวรรค์” หรือแม้ที่สุด “นิพพาน” จึงจะเรียกว่า “ความจริง” ไม่ใช่เอาแต่ “ฝัน”เพ้อพกอยู่กับได้แต่รู้ แต่คิด 

             

(95)  “นิพพาน”ของพุทธต้องมี “ตานอก”เป็นองค์ประกอบ

            ประเด็นที่ 1 ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ” คือผู้เข้าใจผิดไปว่า ในความเป็น “นิพพานในปัจจุบัน”  (ทิฏฐธรรมนิพพาน) เพียงแต่การรู้ได้ด้วย“การกำหนดรู้”(สัญญา)อยู่ในภวังค์(ในภพภายใน) ขณะนั้นเท่านั้น ซึ่งการกำหนดรู้แค่ใช้ “สัญญา”นี้ ก็เป็น “ปัจจุบัน”เหมือนกันนะ

             “ปัจจุบัน”แบบนี้นั้น มันก็ใช่ “ปัจจุบัน”อยู่หรอก แต่เป็นปัจจุบันที่มีองค์ประกอบไม่ครบครัน ยืนยันไม่ได้ ว่า ที่ผู้เอาแต่ “รู้ได้ด้วยสัญญาภายในของตนคนเดียว”นั้น มันเป็นแค่ “ฝัน”เอา หรือระลึกเอาจาก “อดีต”มารู้ ไม่มีใครเห็นด้วย หรือเป็นแค่อนาคต ที่ “ฝัน”เพ้อขึ้นมาใหม่ มันยืนยัน “ความจริง”ไม่ได้ ...เห็นมั้ย?

            มันจึงต้องมี “ตานอก” ที่สัมผัสภายนอกด้วย ซึ่งยืนยันกันได้โต้งๆ จึงต้องพ้นภาวะ    “อดีตหรืออนาคต” เป็นภาวะ “ปัจจุบัน”เท่านั้น  “นิพพาน”ในศาสนาพุทธ ต้องเป็น “ความจริง”กันปานฉะนี้ 

            ดังนั้น การหลับตาเข้าไปเห็นสวรรค์-นรก เห็นสัตว์-เห็นคนนั้นคนนี้ก็ดี เห็นสารพัดใดๆก็ดี ล้วนเป็นภาวะที่เห็นอย่างลึกลับ ยังยืนยันไม่ได้ว่า เป็น “ความจริง”กันแท้ ที่เป็น “เอหิปัสสิโก” กล่าวคือผู้อื่นก็สามารถร่วม “รู้”ได้ด้วย เมื่อมีเหตุปัจจัยเพียงพอ

            แต่นี่ตนเอง “เห็น”อยู่คนเดียวลึกลับ ตนก็หลับตาเห็นอีกด้วย ไม่มีภายนอกส่วนใดยืนยันอะไรเลย มันก็ไม่มีอะไรให้คนอื่นร่วมรู้ได้

            แม้ผู้ปฏิบัตินั้นจะเชื่อว่าตนบรรลุ “นิโรธ”หรือ “นิพพาน”อันหมายถึง “ความดับ”ก็ตาม ก็เป็น “นิพพานเก๊”กันเท่านั้น

            ซึ่งทุกวันนี้ เชื่อกันอย่างนี้ มีแต่ “นิพพานเก๊”แบบนี้กัน

            เพราะไปบรรลุ “นิพพาน”กันอยู่แต่ในภาวะที่ไม่มีองค์ประกอบ “ตานอก”ของตน ซึ่งคนอื่นจะยืนยันกับเหตุปัจจัยที่เป็นภาวะไม่มีภายนอกยืนยันนั้น มันก็ไม่มีภาวะใดเชื่อมกับคนอื่นร่วมรู้ได้เลย

            อย่างน้อยมันต้องมี “ภายนอก”ที่ร่วมสัมผัสกันพอรู้พอเห็นบ้าง

 

(96)  “นิพพาน”ของพุทธต้อง “ดับคาตา”เป็นองค์ประกอบ

            ถ้ายังไม่ “เห็นกิเลสดับ”ลงไป “คาตา”หลัดๆ และเห็น “อาการของความดับ”อยู่อย่าง “แจ้ง”(สัจฉิ) ณ บัดเดี๋ยวนั้น โดยมีภาวะลืมตาและสัมผัส “เหตุ”แห่งทุกข์ หรือ “เหตุ”แห่งสวรรค์นั้นๆ ครบพร้อมความเป็น “กาย” คือ มีทั้ง “รูป”และมีทั้ง “นาม”ประกอบอยู่พร้อม

            สิ่งร่วมรู้กับผู้อื่นแม้จะเป็นแค่ “รูป”ที่เป็นองค์ประกอบของ

 “กาย”ภายนอก ที่ผู้อื่นก็สามารถร่วมสัมผัสได้ ก็ยังมีหลักฐานส่วนหนึ่ง

            อธิบายขยายความให้เห็นชัดอีกที เช่น หลับตาเข้าไปใน

 “ภวังค์” มีความรับรู้อยู่แต่ในภาวะภายในเท่านั้น คุณก็รู้อยู่คนเดียว  ดังนั้น ในขณะเช่นนี้ ผู้นี้ก็มีแต่ “สัญญา”กำหนดรู้ ซึ่งไม่มีภายนอก ก็ไม่มีภายนอกให้คนอื่นสัมผัสด้วย ภายนอกเป็น “ภาวะปัจจุบัน” ให้ผู้อื่นร่วมรู้ไม่มี คุณก็รู้ของคุณอยู่คนเดียว จะเป็น “ปัจจุบัน”จริง หรืองมอยู่แต่ “ภาวะอดีตและภาวะอนาคต”เท่านั้น ใครก็ไม่รู้ได้ด้วย

            คนที่มีนิพพานจริง ก็ระลึกถึงนิพพานที่ได้ได้ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านดึงของเก่ามารู้มาเห็น ท่านก็เห็นของท่านหมด ก็ท่านมีของจริงของท่าน หรือใครก็ตามที่มีของจริงมาแล้ว ไม่ต้องเป็นสยัมภูก็ดึงมารู้ได้ ในสัญญาของเราเอง อย่างนี้คุณมีสิทธิ์ แต่ถ้าคุณไม่มีของจริง จะดึงมาจากไหน?

            ซึ่งผู้มีภายนอกกำหนดรู้อยู่นั้น ภายในของเขาขณะนั้นเขาก็กำหนดรู้ได้ด้วยนะ ส่วนคนอื่นก็ไม่รู้ภายในของเขาหรอก

            แต่ถ้าเรามีภายนอก สัมผัสอยู่โทนโท่ร่วมรู้กันได้ ทั้งเราทั้งผู้อื่นยืนยันกัน มันก็ยืนยันว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่คนอื่นร่วมรับรู้ ร่วมมีเครื่องยืนยันขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็เพื่อจะได้พิสูจน์กันต่อไปกับสิ่งภายนอกสิ่งนี้แหละเป็นหลักฐาน แล้วจะได้ใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป  

            ดังนั้น ถ้าใครไปหลงว่า “นิพพาน”ที่ตนได้บรรลุ จะเอาแต่ขณะที่อยู่ในภายใน พระพุทธเจ้าจึงถือเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” เพราะไม่มี “ภาวะปัจจุบัน”ที่มีของแท้ ไม่มีสิ่งนั้นจริงๆสัมผัสแตะต้องอยู่แท้ๆอยู่ยืนยันได้หลัดๆ โต้งๆ เมื่อมีแต่ “รู้อยู่แค่ภายใน” ไม่มี “ภายนอก” ครบพร้อมด้วย ยืนยัน “ความจริง” ก็ยังไม่เป็น “ทิฏฐธรรมนิพพาน”

            กว่าอาตมาจะประกาศอรหันต์ ก็ต้องให้มีฐานรับรู้ ต้องมีโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ มากๆ ก็ต้องมีคุณสมบัติถึงอรหันต์บ้าง มันเป็นนามธรรม เมื่อมาเป็นองค์รวมจะมีราศี รังสีที่เป็นพฤติกรรมที่เป็นนามธรรม มันจะมีทั้งคุณลักษณ์ที่เป็นทั้ง ปริมาณและคุณภาพของมัน แม้เป็นนามธรรม กว่าอาตมาจะกล่าวอันนี้ ก็ค่อยพูดค่อยประกาศ ต้องอาศัยส่ิงปรากฎยืนยัน พอประกาศไปแล้วก็เงียบ 

            ถ้าคุณเป็นอรหัตตผลจริง กายวาจาก็จะมีราศี รังสีแสดงออก แต่ถ้าคุณไม่ใช่อรหันต์จริง พฤติกรรมกายวาจาของคุณก็ไม่ใช่อรหันต์จริง ผู้เป็นอรหันต์ แม้ไม่บอกไม่พูดคนก็รับรังสี ราศีได้ แต่ถ้าไม่มีราศี รังสีก็ไม่ใช่อรหัตตผล แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไร แล้วสอนกันว่า เป็นอรหันต์ก็ไม่ให้ประกาศ แม้คนเป็นอรหันต์เก๊ก็ไม่ประกาศอีก แล้วของเก๊นี่ขี้มักจะเก๊ก แสดงออกให้ดูเป็นอรหันต์ดูเก๋เท่กว่าต้องตากว่าอรหันต์จริง นางงามขึ้นเวทีนี่ต้องตากว่าคนงามในสวนในป่า

            ผู้มี “ทิฏฐิ” คือมี “ความเห็นว่านิพพานจะได้ก็ต้องหลับตาเข้าไป ทำเอาจึงจะได้ จึงเป็น “ผู้มิจฉาทิฏฐิ”แล้วชัดๆ ในประเด็นแรก

            พระพุทธเจ้าจึงจัดผู้มี “ทิฏฐิ”เช่นนี้ อยู่ใน “อนาคต”(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 87)

[87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้  เป็น “ผู้จมอยู่ในอนาคต” หมายความว่า เป็นผู้จมอยู่กับภาวะลมๆแล้งๆ ในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั่นเอง ไม่มี “ความจริง”หลัดๆ จึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ 1 ใน 44

            ไม่ใช่ปัจจุบันที่สัมผัสด้วย “ตา หู จมูก ลิ้น กาย” ได้หลัดๆในบัดนี้ มันมีแต่ภาวะแค่   “ฝัน” แม้ปัจจุบันขณะนั้นก็ “ฝัน” ไม่ใช่ “ความจริง”

 

(97) มี “ตานอก”แต่ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”ในความเป็น “กาย”

            ส่วนประเด็นที่่ 2 นั้นหมายถึง ผู้ “มิจฉาทิฏฐิ”ที่ไม่ใช่หลับตาเข้าไปปฏิบัติได้นิพพานในภวังค์ แต่ลืมตาปฏิบัติแล้ว ประกอบด้วย “มรรคองค์ 7 องค์” คือ มี “กรรม”ทุกอย่าง ทั้งกรรมที่เป็นอาชีพ (อาชีวะ) กรรมทั้งหมดทั้งหลาย(กัมมันตะ) กรรมที่เป็นคำพูด(วาจา) กรรมที่เป็น “การคิดนึก(สังกัปปะ) เพื่อสร้าง “เอกัคคตาจิต” ชื่อว่า  “สัมมาสมาธิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 แล้ว

            ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช่ “สมาธิ”ที่หลับตาเข้าไปอยู่แต่ภายในแล้ว ถูกต้องขั้นหนึ่ง ถือว่า “สัมมาทิฏฐิ”ขั้นหนึ่ง คือต้องทำ “สมาธิ” ในขณะปฏิบัติด้วย “องค์มรรค 7 องค์”ดังที่กล่าว ก็ปฏิบัติอย่างนั้นแล้ว สามารถปฏิบัติมีภายนอกร่วมด้วยเป็น “ปัจจุบัน”แล้ว

             “ทิฏฐธรรม” ที่หมายถึง  “ปัจจุบัน”นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้หลับตาเข้าไปจมอยู่ในภวังค์มีแต่ “อดีตกับอนาคต” หรือหลงผิดจมอยู่กับ “อนาคต”ที่เป็นภาวะลมๆแล้งๆ ในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั้นแล้ว

            แต่ส่วน “ทิฏฐธรรม”ในประเด็นที่หมายถึง  “เห็น”(ปัสสติ)โดยมีภาวะสัมผัสทั้งภายนอกด้วยภายในด้วย ในส่วนนี้ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ 

            กล่าวคือ ยังเข้าใจ “สัมมาทิฏฐิ 10”ยังไม่ได้เป็นต้น จึงปฏิบัติทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งกรรมต่างๆ ล้วนไม่มีมรรคผลเป็น “โลกุตรธรรม”

            หรือยัง “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น ยังไม่รู้จักว่า “กาย”เป็นอย่างไร  “เวทนา”เป็นอย่างไร  “จิต”เป็นอย่างไร  “ธรรม”เป็นอย่างไร ชัดเจนถ่องแท้ กระทั่งปฏิบัติแล้วอ่าน “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ได้ แยกแยะ “กายกับจิต”เป็น จัดการ(อภิสังขาร)ใจในใจเป็น

            ยังแยก “กาย”แยก “จิต”ยังไม่เป็น จึงยังไม่สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ สัมมาทิฏฐิได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่อีกส่วนหนึ่ง 

 

(98) รู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”มี “ฌาน”ไม่ได้

หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“ฌาน” ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น” (ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม แม้ข้อที่ 1 ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1

            จึงปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่ “เห็น”นิพพาน ที่ปัจจุบันก็มีการสัมผัสสัมพันธ์อยู่พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตาเห็น “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน”

            เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ  ไม่บริบูรณ์

            เห็นไหมว่า แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแล้วได้บรรลุ “นิพพาน” กันง่ายๆ

             “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็น  “กามคุณห้า”นี้ 1 หรือ “ฌาน 1-2-3-4”นี้อีก 4 รวมเป็น 5 นี้แหละที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะทั้งเป็น “ปัจจุบัน” และทั้ง “เห็น”ได้

            แม้จะรู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”และ “ดับเหตุ”ที่จะมี “ฌาน”ในขณะที่อยู่ใน “กามาวจร” อันเป็น “ปัจจุบัน ไม่ได้  ก็ไม่สามารถบรรลุ “นิพพาน”บริบูรณ์แน่นอน  

 

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 15:38:25 )

580909

รายละเอียด

580909_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 18

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 9  ก.ย. 2558 เรามีหน้าที่เรียน ตราบใดที่เรายังไม่จบการศึกษาคือไม่เป็นอรหันต์ คนเราก็แม้ว่าฟังแล้วไม่ได้เอาไปอบรมฝึกฝน ก็ดูเหมือนมีตัวเป็นได้เลย ออกมาได้เลยเป็นไปทันทีเลย เหมือนเด็ก ตั้งแต่เกิดมานี่นะ เขาก็รับคำบอกจากพ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายาย ตั้งแต่เขาไม่รู้เรื่องเลย พูดโดยไม่ได้ระวังเลย นึกว่าเขาไม่รู้เรื่อง แต่เด็กเขารู้ทุกคำความนะ ที่ได้ฟัง ยิ่งตอนเด็กๆ พ่อแม่นึกว่าเขาไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ระวัง ก็บันทึกไป พอถึงเวลาใช้อวัยวะพูดได้มันก็พูดได้หมด แต่จะเข้าใจสมมุตินั้นๆตามวัย

 

ถ้าเราได้หัดฝึก รู้ปริยัติ รู้ความหมาย พยายามฝึกฝนอบรมจริง มันก็ใช้ได้ ก็จะเร็ว มีคุณสมบัติประสิทธิภาพสูง ก่อนจะได้บรรยายก็ขออ่าน sms ของผู้ที่ส่งมา

0812636xxx ผู้รู้หาข้อมูลมาอ้างหน่อยเถอะถ้าพระพุทธองค์ตรัสว่า เหล่าสาวก500หรือ1000รูปบ้าง10000รูปบ้างนั่งหลับตาผ่านไปเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้วได้บรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้บ้างถ้าเป็นอย่างนั้นจะได้พากันไปนั่งเอาเท่าที่เจอ

อันนี้อาตมาก็ได้คิดนะ อาตมาเท่าที่ได้อ่านพระไตรปิฎก แม้ไม่มาก็ยังไม่เจอนะ ว่านั่งบำเพ็ญหลับตา ก็ไม่เจอนะ มีแต่ท่านตรัสว่า เพราะยุคโน้นเป็นยุคนั่งหลับตาเข้าป่าเขาถ้ำ เป็นยุคเสื่อมเหมือนกัน ยุคนี้ก็มีพวกเราที่มาฟื้นแบบพุทธขึ้นมา

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.บ้านราชฯทุกๆพุทธส ถ.อโศกseufaasin

0837277xxx เห็นแต่หลักฐานที่พระพุทธตรัสไว้ว่า"จักขุมาปรินิพพุโพติ=นิพพาน(โดยรอบ)เหืนได้ด้วยสองตาเปิด!"

0868937xxx ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะท่านสิกขมาตุทุกรูปทุกสาขาอโศกครับ

0893867xxx ธรรมเป็นของรู้ได้เฉพาะตน!คนที่ดูถูกพ่อครูทำไมไม่พิจารณาธรรมที่พ่อครูแสดงท่านแสดงธรรมได้อย่างรู้ซึ้งเข้าถึงทุกตัวภาษาบาลีในพระตปฎ.ได้อย่างเข้าใจ ถ่องแท้ทั้งที่ไม่มีเปรียญธรรม!

0837277xxx ทางสายพระป่าท่านเข้าใจคำว่า"ภาวนา"คือการนั่งสมาธิแต่ที่ต้องหลับตาเพื่อที่จะดูแต่ภายใน/

 

0893867xxx การปฏิบัติให้รู้เท่าทันกิเลสภายในจิตในขณะที่กำลังกระทำกรรมทั้งหลายเป็นปัจจุบัน!รู้เห็นอัตตาทั้งภาย นอกภายในดับกิเลสไปตามอิริยาบถทุกขณะได้จะเรียกว่าปฏิบัติทุกขนิโรธอาริยสัจได้ไหม?

ตอบ...พ่อครูว่าต้องจับอ่านอาการเมื่อเจอผัสสะ ถ้าสู้ไม่ได้ก็กดข่มมันก่อน แต่ก็ต้องใช้ปัญญา มันไม่เที่ยง มันอยู่กับเราไม่ถึงชั่วโมงหรอก นี่ให้นานแล้วนะ ธรรมดาอยู่กับเราไม่กี่นาทีหรอก มันเวียนต่อเนื่องไม่ขาดสายเท่านั้นเอง จากอันนี้เปลี่ยนไปอันอื่น ก็ไม่เที่ยงแล้ว เห็นอาการจริงๆ ไม่ต้องตรรกะ แล้วก็เป็นอื่นอีก ยิ่งตัวไหน ถ้าไม่บำเรอให้มัน จะเห็นว่าเป็นทุกข์ แต่ถ้าบำเรอสมใจมันก็สุข เป็นอัลลิกะ ไม่ใช่สุขจริง เป็นสุขเท็จ เคยเห็นไหม ในพระไตรปิฎก มีไหมว่าสุขอาริยสัจ มีแต่ทุกข์อาริยสัจ อย่างเก่งก็ปรมังสุขัง

 

จริงๆปฏิบัติแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ต่างหาก จะเรียกลำลองว่าปรมังสุขังก็ได้ แท้จริงไม่มีสุขไม่มีทุกข์นั่นแหละคือปรมังสุขัง แต่คุณไปเหมาเอาสุขทุกอย่างที่นี่ก็เลยผิด แม้ติดในฌานก็ไม่ใช่่ปรมังสุขังที่แท้จริง ฌานคือไฟกองใหญ่เผา เรียกว่าฌาปนกิจกิเลสไปเรื่อยๆ แล้วก็เรียกโดยศัพท์ว่าได้ฌาน แต่แท้จริงคือทำให้กิเลสดับไป ถ้าสามารถเข้าใจว่า นิพพานคืออย่างไรก็ทำใจพากเพียรทุกลมหายใจ ทุกอานาปานสติ มีสติสัมปชัญญะปัญญา สัมปชาโน สัมปัชลติ ไปจนถึงสัมปันนะ

 

เรารู้อัตตาภายนอกภายในลดกิเลสไปทุกอริยาบทก็เรียกว่าหมดทุกข์อาริยสัจก็ได้

 

0893867xxx ถ้าพ่อครูเป็นพระเก๊ฤานักบวชไม่แท้ท่านจะแสดงธรรมไม่ได้เลย!แต่พ่อครูแสดงธรรมทั้งพูดเขียนทำให้ญตธ.เห็นธรรมจนเข้าใจถ่องแท้กันทุกคน!นี่ล่ะพระแท้!

0857308xxx ผู้นั่งหลับตาเขาได้ยินที่พ่อครูเทศน์แล้วมีอาการเคืองมากค่ะ

0837277xxx การนั่งสมาธิหลับตามีมาก่อนพระพุทธเกิดจนป่านนี้น่าจะเลิกได้แล้วสาธุ!/

0893867xxx ทุกขสมุทัยอาริยสัจคือรู้จักเหตุที่ทำให้ตนตกเป็นทาสโลกีย์ฤาตกเป็นทุกข์ในโลกีย์!

0893867xxx ตัวตนอันเป็นรูปธรรมอันมีมหาภูติรูป4ฤากวลิงการา หารเช่นอัตตา,อัตตนียาคือ อัตตาหยาบที่เรียกว่าโอฬาริกอัตตาใช่ไหม?

ตอบ...ต้องอ่านตั้งแต่ข้างนอก ตั้งแต่อันหยาบที่ใครก็เข้าใจได้ว่าหยาบต่ำ หรือแม้ไม่ง่ายคือมันหยาบใหญ่ เช่นโกงทีละแสนล้านนี่มหาอบายมุขเลวมาก แต่เขาไม่รู้ว่านี่อบายมุข มันยิ่งกว่าเล่นไพ่ที่แม้เสียหลายหมื่นล้านก็เลวไม่เท่าโกงแสนล้าน การได้เปรียบเอามาจัดๆจ้านๆคืออบายมุขทั้งนั้น ใครขึ้นค่าตัวได้มากเท่าไหร่ก็วิ่งเข้าหาอบายมุขทั้งนั้น อย่างนี้ก็ไม่เข้าใจ การเสพอารมณ์จัดขึ้น รุนแรงขึ้น สะใจอร่อยก็คือไปหาอบายมุขทั้งนั้น

 

เรื่องเหล่านี้ไม่เข้าใจแต่ต้นทางก็เลยเสียหาย ไม่เข้าใจว่าอบายมุขคือต้นทางที่หลงทางไปเยอะ มอมเมาหลงทางกับอบายมุขมากมาย แม้เมืองไทยเมืองพุทธก็งมงายน่าเศร้า อาตมามันเศร้าไม่เป็นก็พูดโดยโวหาร ก็น่าเศร้าใจเสียใจสังเวชใจ ใช้สำนวนว่าไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็น ทุกวันนี้อาตมาก็เห็นว่ายิ่งน่าสงสาร

 

ยิ่งต้องจำนนว่าจะต้องไม่ตายเร็ว ที่จริงก็ไม่อยากอยู่หรืออยากตาย กลางๆ กินข้าวแต่ละวันนี่เมื่อยๆนะ เหงื่อหัวล้านออกทุกวัน ขนาดห้องเย็นๆเปิดแอร์แต่เหงื่อออกซกๆ เมื่อยกินข้าวแต่ละทีกว่าจะพอสมควร ไม่ได้กินด้วยหลงระเริงว่าอร่อย คนเราอร่อยเรื่องอาหารมันไม่รู้ตัว เพราะว่ามันชิน ถ้าไม่ถูกปากก็กินไม่ลง แต่ถ้าเผื่อว่า อันนี้เคยชอบก็กิน ยิ่งอันไหนอร่อยก็ยิ่งกินเร็ว ชอบใจ อาตมาทุกวันนี้ มันกินช้า แต่ก่อนนี้สมัยก่อนก็ไม่เห็นกินช้า ทุกวันนี้ฟันก็ยังดีนะ แม้จะมีฟันปลอมบ้าง ฟันกรามนี่ปลอมหมด แต่ฟันหน้านี้ฟันจริงทั้งนั้น ก็ใช้เคี้ยวได้ดี ตั้งแต่ใส่มาก็ไม่เกิดรำคาญหรือเจ็บ ฝังรากเลย ก็ใช้ดี

 

มาเข้าสู่ยอดนิยายฯ

 

(97) มี “ตานอก”แต่ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”ในความเป็น “กาย”

       

 

       ส่วนประเด็นที่่ 2 นั้นหมายถึง ผู้พ้น “มิจฉาทิฏฐิ”ที่ไม่ใช่หลับตาเข้าไปปฏิบัติได้นิพพานในภวังค์ แต่ลืมตาปฏิบัติแล้ว ประกอบด้วย “มรรคองค์ 7 องค์” คือ มี “กรรม”ทุกอย่าง ทั้งกรรมที่เป็นอาชีพ(อาชีวะ) กรรมทั้งหมดทั้งหลาย(กัมมันตะ) กรรมที่เป็นคำพูด(วาจา) กรรมที่เป็น “การคิดนึก(สังกัปปะ)แล้ว เพื่อสร้าง “เอกัคคตาจิต” ด้วยการปฏิบัติ “มรรค 7 องค์”อยู่ ชื่อว่า  “สัมมาสมาธิ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน “พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึง 281 ขั้นหนึ่งแล้ว

       

 

       ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ไม่ใช่ “สมาธิ”ที่หลับตาเข้าไปอยู่แต่ภายในแล้ว ถูกต้องขั้นหนึ่ง ถือว่า “สัมมาทิฏฐิ”ขั้นหนึ่ง คือต้องทำ “สมาธิ” ในขณะปฏิบัติด้วย “องค์มรรค 7 องค์”ดังที่กล่าว ก็ปฏิบัติอย่างนั้นแล้ว สามารถปฏิบัติมีภายนอกร่วมด้วยเป็น “ปัจจุบัน”แล้ว

“ทิฏฐธรรม” ที่หมายถึง  “ปัจจุบัน”นั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้หลับตาเข้าไปจมอยู่ในภวังค์มีแต่ “อดีตกับอนาคต” หรือหลงผิดจมอยู่กับ “อนาคต”ที่เป็นภาวะลมๆแล้งๆในสิ่งที่ไม่มี-ยังไม่เกิด มีแต่ความเพ้อฝันอันคือ  “อนาคต”นั้นแล้ว

       แต่ส่วน“ทิฏฐธรรม”ในประเด็นที่หมายถึง  “เห็น”(ปัสสติ)โดยมีภาวะสัมผัสทั้งภายนอกด้วยภายในด้วย ในส่วนนี้ยัง “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ กล่าวคือ ยังเข้าใจ “สัมมาทิฏฐิ 10”ยังไม่ได้เป็นต้น จึงปฏิบัติทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งกรรมต่างๆ ล้วนไม่มีมรรคผลเป็น“โลกุตรธรรม”

หรือยัง “ทำใจในใจ”(มนสิกโรติ)ไม่เป็น ยังไม่รู้จักว่า “กาย”เป็นอย่างไร  “เวทนา”เป็นอย่างไร  “จิต”เป็นอย่างไร “ธรรม”เป็นอย่างไร ชัดเจนถ่องแท้ แยกแยะ “กาย”กับ “จิต”ยังไม่เป็น  ยังแยก “กาย”แยก “จิต”ยังไม่เป็น จึงยังไม่สัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ เพียงแค่สัมมาทิฏฐิได้ส่วนหนึ่ง แต่ยังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่อีกส่วนหนึ่ง 

       ทินนัง ทำทานหรือได้ให้แล้วมีผลลดกิเลสหรือไม่

       ยัตถัง คือยัญพิธีที่ทำแล้วมีผลลดกิเลสหรือไม่

       หุตังคือจิตเสวยผลที่ได้ลดกิเลสหรือไม่ (หุตัง มาจากรากศัพท์คือโหติ) เกิดเป็นการทำให้กิเลสลดหรือกิเลสเพ่ิมเป็นปุถุชน ก็ให้เห็นความจริงของจิตเรา

       สรุปแล้ว ทินนัง ยิตถัง หุตัง คือทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง การภาวนาไม่ใช่แค่ท่องบ่น แต่ว่าแปลถึงการเกิดผล เป็นส่ิงสำเร็จ ภาวนามัย

       นี่คือสามข้อแรกของทิฏฐิ ที่ต้องสัมมาทิฏฐิ เกิดจาก สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทำแล้วเป็นผล เป็นวิบากของเรา จะปฏิบัติเกิดสุคติหรือทุคติ ก็สั่งสมลงจริง ทำแล้วเกิดผล ทำแล้วเป็นอันทำ ธรรมพระพุทธเจ้าจึงเกิดจากกรรมเป็นอันทำ

       กัมมานังผลังวิปาโก

       อยังโลโก คือโลกปุถุชน ทั่วไป แล้วก็เรียนรู้ตัวแก้ให้เป็นโลกใหม่ จากเดิมที่วนเวียนทุกข์สุข โลกีย์เปลี่ยนให้เป็นโลกโลกุตระหรือโลกอื่น โลกใหม่ ไม่ใช่่ปรโลกที่เป็นโลกหลังตายไปแล้ว แล้วเป็นโลกที่วนเวียนสุขทุกข์

       ทาน ศีล ภาวนา กรรม โลกนี้ โลกหน้า ต้องเข้าใจให้ชัด

       โลกหน้าคือออกจากโลกแห่งกามที่เป็นโลกเดิม เนกขัมมะออกมา ไม่ใช่ว่าออกบวชคือเนกขัมมะนะ แต่ว่าเนกขัมมะหรือปวชะหรือบรรพชาคืออะไร คือออกจากโลกโลกีย์โลกปุถุชน ออกจากเคหสิตเวทนา ออกมาแล้วมาเป็นโลกใหม่ โลกปุถุชน มาเป็นโลกอาริยชน ไม่ใช่แค่พยัญชนะ แต่ต้องเห็นอาการของเวทนาในมโนปวิจาร 17 ที่แบ่งโลกียะกับโลกุตระได้

       ตาหู จมูกลิ้น กายใจ กระทบสัมผัสแล้วเกิดวิญญาณแล้วเกิด เวทนา สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เราต้องทำเหตุที่ทำให้เกิดสุขทุกข์ ให้ออกไป ให้เหลือแต่ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่บางทีคนก็เฉยๆพักยก หรือมันอิ่มแล้ว เสพจนเบื่อแล้ว ก็หยุดแล้วไปหาโลกสวรรค์ใหม่อีก

       อ่านให้ชัดถึง เคหสิตเวทนา 18 หรือมโนปวิจาร 18 คือสภาวะ 18 สภาวะ ที่เป็นพฤติ วิจาร เป็นอาการจิต 18 อย่าง แล้วเราก็รู้วิธีทำออก คือเนกขัมมะ โดยอ่านเหตุ แล้วทำเหตุให้จางคลาย จึงเกิดเนกขัมมะ มาเป็นลดกิเลสได้ แม้จะลำบากอยู่ก็ต้องเป็นในระยะแรก จนมันดีขึ้นเป็นอุเบกขามากขึ้น ก็สั่งสมจากเคหสิตเวทนามาเป็นเนกขัมมสติเวทนา ทำให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วก็อยู่กับสองอยู่นี่แหละ แต่เราอยู่เหนือเคหสิตเวทนาได้

       มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา คือเกิดจากแม่และพ่อ เกิดเป็นโอปปาติกสัตว์ เป็นการเกิดทางจิต พ่อแม่มีตัวตนบุคคลเราเขาก็ได้ หมายถึงหลักธรรมก็ได้ หมายถึงธรรมะที่ช่วยกันทำให้เกิดอีกธรรมะหนึ่ง การเกิดก็มีอีกอันหนึ่งตาย อกุศลจิตตาย กุศลจิตก็เกิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเป็นพ่อ มีพระสงฆ์ต่างๆเป็นแม่ แม่ใหญ่คือพระโมคัลลานะพระสารีบุตร

       หรือถ้าพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพ่อ ก็มีสงฆ์่่่ต่างๆเป็นแม่

       หรือศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อ ช่วยทำให้เกิดจิตคือลูก เป็นโลกุตระจิต              

       คนไทยส่วนมากจะยัง“ยึดมั่น”(อุปาทิยติ)ว่า  “กาย”นั้นคือ ร่างกาย คือยึดเอาเฉพาะ “ร่าง”เท่านั้น หมายเอาส่วน เนื้อหนังภายนอก ไม่ได้หมายเอาส่วนที่เป็น “นามธรรม”ร่วมอยู่ในคำว่า “กาย”ด้วยเลย ฉะนี้แลคือ ผู้ยังมิจฉาทิฏฐิในคำว่า “กาย” ยังแยก “กาย”แยก “จิต”ไม่เป็น “ยังเห็นความเป็นกาย” แค่สรีระ แค่เฉพาะเนื้อหนังมังสา ยังไม่เห็น “กาย”เป็น “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) ยังเห็นเป็น “ธรรม 1”เท่านั้น

       เมื่อ “ทิฏฐิ”เห็น “กาย”เป็น “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)ไม่ได้ ก็หมดสิทธิ์ทำ “เวทนาในเวทนาให้เป็น(ภวันติ)ธรรม 1 ในธรรม 2 นั้นแหละ” ได้แน่นอน นั่นคือ จัดการหรือปรุงแต่งเวทนาของตน(มนสิกโรติหรืออภิสังขาร) ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ ไม่ได้แน่นอน

 

       1 นี่ไม่เป็นบาปเป็นบุญ แต่ถ้าสองนี้ถ้าเป็นเพื่อนสองคือตัณหาเป็นอกุศลเป็นบาปแล้ว

       ถ้าผู้ใดเข้าใจโยนิโสมนสิการไม่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วจะมาปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ เพราะว่า โยนิโสมนสิการอยู่ในแสงอรุณ 7 หากเข้าใจโยนิโสมนสิการไม่ถูกต้อง ทำใจในใจไม่ถ่องแท้ก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลโลกุตระ

       คนที่ไม่ฟังอาตมาพูดหรือยึดถือทิฏฐิเก่า ถ้าคุณไม่ฟังอาตมาก็ไม่มีปรโตโฆษะ ว่าที่อาตมาเทศน์ไม่เหมือนที่เราเรียนมาจนคุณเข้าใจว่าอ๋อ อย่างที่อาตมาพูดนี้ถูก อย่างที่ท่านๆยึดถือกันมาผิด คุณก็จะเกิดสัมมาทิฏฐิ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้จะสัมมาทิฏฐิต้องมีปรโตโฆษะกับโยสิโสมนสิการ ถ้าคุณคิดถูกก็จะมีอรหันต์มากมายแล้ว 

       การแยกกายแยกจิต ถ้าคุณรู้อาการของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งส่วนที่ไม่ใช่กายคือส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นกายก็คือส่วนหนึ่ง ส่วนที่เป็นกายนี้มีจิตร่วมด้วย เพราะฉะนั้นผมก็ดี หรือส่วนที่มีกาย ผมตรงนี้ถ้าไปถอนมันนี่เจ็บ แต่ที่ตัดผมออกไปนั้นผมไม่ใช่กาย เล็บก็เช่นกัน

       ส่วนอาการอื่นที่อยู่ภายในนั้นก็เป็นกายอยู่ภายใน ถ้าคุณบ้วนออกมาอยู่ข้างนอกก็หมดอาการที่จะถือว่าเป็นกาย แต่ถ้าอยู่ในร่าง มันก็เป็นกาย อุจจระทำพิษหรือให้คุณได้ ปัสสาวะ เสลดให้คุณให้โทษได้ มีอาการร่วมด้วย

       คนที่เรียนรู้อาการ ตั้งแต่อนุสัย วิสัย นิสัย อาศัย จิตมันเลื่อนขึ้นมาทำงานด้วยอาการ 32 คนนั้นจะสามารถสั่งหรือทำได้หลายอย่าง จิตมันสั่ง บางทีคนไม่รู้ก็สั่งได้ หลายคนเป็น psychosis จิตสั่งให้เป็นได้จริงๆ หมอก็มาเรียน อย่างเกร็ดดิน เคยไม่มีเมนส์ 7 ปี ตอนมาตอนแรกเจโตเต็มที่ เรียนอยู่ฝรั่งเศส ตอนอายุ 22 มาเมืองไทยก็ไม่กลับแล้ว จะมาเป็นแม่ชี เจโตแรง ไม่มีเมนส์ 7 ปี ต่อมาก็มีมา มีปัญญาจะกดมันไว้ทำไม ให้เป็นธรรมชาติ

       อาตมาก็มีผู้ที่เป็น psychosis หมอหาเหตุไม่ได้ก็ว่า psychosis อาตมาก็ว่ากันไปตามเพลง อนุโลมปฏิโลมไป จิตประท้วงให้สงสารเห็นใจเรียกร้องเป็นมาก เอาความเจ็บป่วยมาเป็นข้อต่อรอง

       ถ้าเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ถูกก็เลยเข้าใจไปเละเทะ เช่นนั่งสมาธิแล้วถอดจิตออกจากร่าง เห็นตัวเองนอนตายอยู่ข้างหน้า แต่แท้จริงตัวเองนั่งสมาธิอยู่นะ คือปั้นเองทั้งนั้น ก็ตัวเองนั่งสมาธิ ต่อมาก็หายไป กลับมารู้ตัว ก็คือมโนมยอัตตา หรือสามารถมองทะลุตนเองเห็นโครงกระดูก เขาเห็นจริงๆ แล้วก็ชื่นชมว่าเก่งฌานเก่งสมาธิ ซึ่งคืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต หลอกตัวเอง เห็นคนเดินเป็นโครงกระดูกเดินไป

       สามารถเอาจิตตนไปควบคุมอาการ 32 ได้ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิจะเลอะมาก แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิก็เป็นประโยชน์มาก พระอรหันต์บางองค์จะตายอย่างไรก็กำหนดได้ พระอานนท์จะเหาะไปตายแล้วสลายร่างหมดเลยก็ได้

       ต้องอ่านรู้จักสังขาร ที่มีตัวกามมาผสมด้วยไหม จับตัวกามได้ กำจัดกามได้ก็สำเร็จวิตักกะ ต้องแยกกามออกได้จากกาย (องค์ประชุมของรูป/นาม) เป็นวิตักกะคือกิเลสไม่ให้มี และที่เหลือเป็นจิตวิเศษ วิในความหมายคือจิตไม่มีกิเลส ทำงานเป็นสังกัปปะ ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนาอีก แล้วจะปรุงอย่างไรขนาดไหนละเอียดลออมาก อัปปนาต้องควบคุมความแน่นเข็งแรง ควบคุมสมรรถนะ จะออกเป็นกาย วจี จากมโนข้างใน ผ่านวจีสังขาร ตรวจสอบอีก 3 ด่าน จะเอาแค่ไหน เป็นความเหมาะสมที่จะทำกรรมภายนอก เราเป็นผู้จัดแจงอภิสังขารกับกรรมของเราผ่านวจีสังขารออกเป็นวาจา กัมมันตะ อาชีวะ

       ถ้าสามารถทำให้ได้จะเป็นคนวิเศษนะ

 

(98) รู้ “กาย”แต่ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้  “ฌาน”ก็ไม่มี

 

       หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ฌาน”ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น”(ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม ตั้งแต่สังโยชนข้อ์ที่ 1 คือ ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”แม้ปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่สามารถ “เห็นนิพพานในปัจจุบันนั้น”(ทิฏฐธรรมนิพพาน)แน่ๆเลย

       

       เพราะปัจจุบันนั้นไม่มีการสัมผัสสัมพันธ์ อยู่ พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตามีทั้ง “ทิฏฐะ-สุตะ-มุตะ”ได้อยู่ จึงไม่รู้แจ้งใน “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน”อยู่หลัดๆในบัดนั้น นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”ของภาวะ “กามคุณ 5”ยืนยันอยู่โทนโท่ เต็มสภาพ

       

       เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ จึงยังไม่บริบูรณ์ ในการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ

       เพราะเป็นผู้ไม่มี “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องครบความเป็น “กายสักขี”(คือมี “กาย”ยืนยันโต้งๆเป็นพยาน)

         

       “วิโมกข์ 8”นั้นต้อง “เห็นทั้งรูป-เห็นทั้งนาม” และต้อง “เห็นทั้งภายนอก “กามภพ”-เห็นทั้งภายใน ลึกเข้าไปทั้งรูปและอรูป ในขณะที่มีความเป็น “กาย”คือ “ธรรม 2” ตั้งแต่หยาบ-กลาง-ละเอียดเป็นที่สุด ตั้งแต่ “กาม” ถึง “รูป” และ “อรูป”ตลอดจบถึงขั้น “สัญญา เวทยิต นิโรธ”ทีเเดียว จึงจะครบบริบูรณ์การ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”

       

       ตลอดครบ “วิโมกข์ 8” ต้องมี “กาย”อยู่พร้อมจนกระทั่งถึง “นิโรธ”ขั้นสุดท้ายปลายจบกันโน่นทีเดียว

       

       ดังนั้นใครหรือนักปฏิบัติธรรมใด แม้จะมี “ตานอก”แล้ว ปฏิบัติในขณะลืมตาแล้ว รู้ความเป็น “กาย”แล้ว แต่ยังไม่รู้จัก “อาการ”ของความเป็น “กาม”ก็ดี ความเป็น “ฌาน”ก็ดี ที่เกิดจากภาวะ “ทิฏฐะ(ได้เห็น)-สุตะ(ได้ยิน)-มุตะ(ได้กลิ่น,ได้ลิ้มรส,ได้สัมผัสเสียดสีภายนอก-ภายใน)” ก็ยังมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “กาม”เรื่อง “ฌาน”

       

       นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”อยู่แท้ๆที่มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ” สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมอันเกิดอยู่ใน “จิต”ขณะนั้น

       

       เพราะเมื่อไม่รู้ “กาม”ไม่รู้ “ฌาน” มันก็ทำ “กาม”ให้หมดไป แล้วจะเกิด “ฌาน”ขึ้นใน “จิต” มันก็ไม่เกิด-ไม่เป็น-ไม่ได้ ...ใช่มั้ย?

       ซึ่ง “อารมณ์”ที่มี “กาม”เป็นตัวการปรุงแต่ง “จิต”อยู่เป็น “กามสดๆ”ขณะปัจจุบันนี้ มันสดๆนะ ไม่ใช่ “อารมณ์กาม”ที่เกิดเฉพาะขณะมีแต่การรับรู้ตอนอยู่ในภวังค์ และรู้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น เป็นการ “รู้”ในขณะที่ไม่มีสัมผัสภายนอกจริงเลยนั้นนะ นั่นมันแห้งๆ

       ขณะนี้มันมี “มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ”สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมโทนโท่สดๆ แต่ตนเองยังอ่าน “อาการ”ที่เป็น “กามคุณ 5”ใน “ปัจจุบัน”ขณะที่มี “สัมผัส” ขณะลืมตานี้ยังไม่เป็นก็ดี หรือเผลอสติกำหนดไม่ทันก็ตาม ก็คือ ยังไม่ “เห็น”ความเป็น “กามสดๆ”นั้น ก็กำจัดมันไม่ได้ หรือไม่ได้กำจัดมัน ใช่ไหมล่ะ

       

       เมื่อ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ ไม่มีผลบ้างเลย  “ฌาน”ก็มีไม่ได้

 

 

...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:17:01 )

580910

รายละเอียด

580910_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 19

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดี ที่ 10 ก.ย. 2558 แรม 12 ค่ำ เดือน 9 ปีมะแม

วันนี้ก็มีเด็กๆนร.ที่เหลืออยู่บางส่วนยังไม่ปิดเทอมมาฟังธรรมกัน วันนี้ก็จะบรรยายไป อธิบายให้ช้าหน่อย ไปสู่ภาษาที่ควรได้ฟังกันบ้าง โดยภาษาที่จะให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าตัวโตก็ใช้ภาษายากหน่อย

มี sms มา

0857308xxx ไม่ได้ใส่ความค่ะ เขานั่งหลับตามาตลอดเคยเล่าว่าพบสุขเพลินที่เห็นทิพย์ต่างๆ

ตอบ...การนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในภวังค์ เหมือนคนนอนหลับ เข้าไปอยู่ข้างใน แต่นั่งนี่แหละ แต่ปฏิบัติให้ทำความรู้สึกสู่ภายใน ภายนอกไม่รู้สึกรับรู้อะไร ตาไม่ได้เห็น หูไม่ได้ยิน กลิ่นไม่ได้รับ ลิ้นไม่รับรส สัมผัสแตะต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งไม่รู้สึก เขาก็เรียกว่า เข้าสมาธิ เข้าฌาน เขาก็เพลินสุขกับอาการเช่นนั้น แล้วเขาก็จะไม่มีอาการกิเลสนิวรณ์ ไม่มีอาการกามราคะ ไม่มีพยาบาท ไม่มีง่วงซึม ถีนมิทธะ ตื่นอยู่ภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน เห็นจิตเราว่างๆ อุเบกขา ใหม่ๆอาจยาก ต้องคุมแจ รู้อ่านอาการออกเห็นจิตตนไม่มีอาการนั้นๆอย่างไม่สงสัย ว่าสภาวะเป็นเช่นนี้ หลวงปู่ก็ทำมาเยอะ สารพัด ก็มีความสุขเขาเรียกว่า สุขวิหารธรรม สบาย นอกจากนั้นแล้วเขาก็ว่าเขาเห็นทิพย์ เขาก็ว่าต้องใช้จิตเป็นสมาธิโน้มไป ที่จริงก็คือคิดเอา แต่เรียกโก้ๆ ซึ่งบางคนไม่รู้ตัวว่าตนเองมุ่งไป เป็นมโนสัญเจตนา เห็นสวรรค์เห็นนรกอย่างนั้นอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่สารพัดก็เป็น เสร็จแล้วมันก็ไปเห็นสภาพนั้น สภาพอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า มโนมยอัตตา คืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เนรมิตสร้างปั้นเอา จนมีรูปร่างเลย เทวดาก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็น่าเกลียดก็เห็น ความจริงแล้วรูปเหล่านี้ไม่มี ในวิญญาณต่างๆก็ไม่มี เพราะว่าวิญญาณเป็นอาการ ลิงค นิมิต

 

นิมิตก็ไม่ได้เป็นรูปร่างอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเข้าใจยาก เขาหลอกกันทั่วโลก ศาสนาพุทธเท่านั้นที่สอนให้รู้ว่า มโนนั้นอสรีสัง ไม่มีรูปร่างสีสัน ศาสนาอื่นเขามีสิ ยิ่งจีนก็มีเง็กเซียนฮ่องเต้ มีกองทัพสวรรค์เป็นเรื่องราวเลยเยอะ จนสร้างเป็นหนัง ความจริงแล้วไม่มีรูปร่าง แต่มีอาการของสัตว์สวรรค์ สัตว์นรกจริงไหมก็มีจริง เหมือนเรานอนหลับฝันร้ายก็คือไปนรก มีเรื่องราวมากมาย แต่ตายไปแล้วมันจริงกว่าฝัน มันจะเป็นภาพเป็นเรื่องราวจริงกว่าตอนนอนหลับ ตอนนอนหลับไม่เป็นสภาพจิตวิญญาณเป็น แต่ถ้าตายไปแล้วจะมีสภาพจริงกว่า จะทุกข์ทรมานกว่า เวลาเราเป็นตกนรกเท่านี้ตอนตายไปนรกมากกว่าหลายเท่า ส่วนสวรรค์ก็สุขมากเช่นกัน แต่ว่าสวรรค์มันจะมีน้อยหรือไม่นานเท่าทุกข์ มันเป็นสวรรค์แค่ชั่ววูบ ที่จริงสวรรค์คือทุกข์ที่แปลงตัวหลอกสมใจเป็นสวรรค์ เป็นของเท็จ แต่ทุกข์คืออาริยสัจ ฝังในอนุสัย อาสวะ เป็นอุปาทานติดไป มันจริงกว่า เรียกว่าอาริยสัจ ส่วนสุขเป็นของเท็จ เป็นอัลลิกะ

 

เมื่อไปเห็นทิพย์หลอกๆก็ไปใหญ่ ของหลอกมันมีเยอะมาก ผู้ใดเข้าใจแล้วก็ค่อยๆล้าง ทั้งๆที่พวกเรารู้กันแล้วนะ

 

0857308xxx ทำใจในใจได้ในอาการทุกข์กับสุขแต่อาการเฉยๆยังไม่ค่อยได้ค่ะ

ตอบ...เก่งแล้วนี่ แต่อาการเฉยๆยังไม่่ค่อยได้ ก็คงหมายถึงว่า ทำใจจากสุขทุกข์ให้ออกจาก สุขทุกข์เปลี่ยนเป็นอื่นนี่ทำได้แต่ว่าจะให้อาการเฉยๆนี่ไม่ต้องคิดนึกอะไรก็ทำได้ยากใช่ไหม ยิ่งจะให้เฉยเช่นนั้นทำได้ยากนะ ถ้าใครไม่คิดอะไรเป็นชั่วโมงนี่เขาถือว่าแน่ ดีมากก็ยาก ก็ฝึกไปนี่แหละที่อ่านใจเป็นรู้จักอาการสุข รู้อาการทุกข์ ก็ค่อยๆทำไป

 

0857308xxx กราบขอบพระคุณพ่อครูท่านต้องเหนื่อยอธิบายซ้ำๆ ตอบ...เต็มใจอธิบายซ้ำอย่าเหนื่อยก็แล้วกันนะ

0857308xxx วันนี้สะดุ้งสะเทือนมาก จะเพียรให้มากอยากเป็นอรหันต์ค่ะ

0893867xxx พ่อครูใส่ฟันปลอมมีเอาไว้ฉันท์เคี้ยวมังสะได้ถึง150ปี ยังดีกว่าผู้น้อยบ่มีฟันปลอมจะเคี้ยว!ถ้าอยู่ถึง80จะเอ าฟันที่ไหนกินมังสะฮือๆกลุ้มใจ

ตอบ...ควรบอกว่ามังสะฯ ถ้ามังสะแปลว่าเนื้อสัตว์สิ พ่อครูงดกินเนื้อสัตว์นานแล้ว

 

0893867xxx คอรัปชั่นกินหมื่นแสนล้านพ่อครูเรียกมหาอบายมุขไม่พอหนิ!ต้องเรียกอภิมหาโคตรอบายมุข!โกงกินจนหนี้สาธารณะท่วมปท.ยังมิสำนึกซ้ำด่ายธ.หาว่าอยธ.!อภิมหาเวรจริ๊งเอวัง

 

0893867xxx ภาพที่เห็นเป็นตัวตนในความคิด!ผู้น้อยก็เคยเห็นมิใช่แค่ นั่งสมาธิ!ตอนเดินลืมตาก็ เห็น!พ่อครูเคยบอกว่าเป็น มโนมยอัตตา!

ตอบ...ถ้าอธิบายอย่างธรรมะเลย คุณเห็นสภาพสีแดง แดงนี่แหละเป็นของจริงเป็นภาพที่พบเป็นของจริงตามความเป็นจริง แต่อีกภาพที่เกิดในมโสมยอัตตา เป็นอรูป เช่นสวย นั่นคือมโนมยอัตตาที่เป็นอรูป เวลาเราแตะรสหวานทุกคนรู้เช่นกันแต่เกิดสภาพที่เป็นอร่อยนั่นแหละมโนมยอัตตา ใครที่หลงมีก็จะมีจริง เข้าใจให้ดีๆ เป็นของหลอกมานาน แล้วหลอกมานานติดยึดมากล้างออกไม่ง่ายนะ แล้วใครเคยล้างออกบ้างบางอย่างล้างออกได้หมดแล้ว เฉยแล้ว...ยกมือสิ คือผลสำเร็จของพระพุทธเจ้า

 

0893867xxx ถ้าปฏิบัติถึงขั้นรูปฌานอรูปฌานจนถึงขั้นปั้นตัวตนเห็นเป็นเทพเห็นแดนสวรรค์ที่สำเร็จในใจแล้วคิดว่าเป็นนิมิต!อยากรู้ว่านิมิตจริงฤา นิมิตปลอม?จึงจะเรียกว่า มโนมยอัตตา?

มีได้ทั้งจริงมีได้ทั้งปลอม ผู้รู้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิจะรู้ว่าจริงก็จริง ปลอมก็ปลอม ใช้นิมิตเป็นอาศัยเท่านั้น เช่นพระโมคคัลลานะ จะมีติดสิ่งนี้ไว้อาศัยแต่ท่านก็จะเข้าใจไม่ได้ติด ท่านเข้าใจว่าภาพที่เกิดหมายถึงธรรมะอะไรก็ใช้อาศัยได้ในผู้สัมมาทิฏฐิ  คนที่ไม่ถึงขีดแบ่งจริงแบ่งปลอมได้ก็ยากที่จะตัดสินว่าอะไรจริงหรือปลอม จนกว่าคุณจะมีฐานจิตสูงอย่างอนาคามีก็พอเข้าใจได้บ้าง อนาคามีขึ้นไปจริงๆก็จะค่อยๆแยกได้ว่าอันไหนภาพจริงอันไหนภาพปลอม ก็ค่อยๆศึกษาไป

 

0837277xxx คำว่าสมาธิแปลให้ถูกน่าจะแปลว่าการทำจิตให้สงบจากกิเลสให้ยิ่งๆขึ้นไปจนจิตมีสภาพตั้งมั่นไม่หวั่นไหว/

ตอบ...ถูกต้องแล้ว

 

0812636xxx การบำเพ็ญของพระโพธิสัตว์จะเลื่อนจากระดับหนึ่งไปอีกระดับหนึ่งต้องใช้วลานานแค่ไหนครับ

ตอบ...อันนี้ตอบยาก แล้วแต่อินทรีย์พละบารมีของแต่ละคน นอกจากประเมินกันง่ายๆ แต่ไม่มีภาษาตายตัว เช่นโสดาบันอีกเจ็ดชาติจะได้เป็นพระอรหันต์ซึ่งยากมาก คนเข้าใจตื้นๆก็เลยไม่อยากเป็นโสดาบัน อย่างสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เข้าใจว่าต้องเกิดในท้องพ่อท้องแม่อีก 7 ครั้ง ครั้งที่ 7 ถึงบรรลุอรหันต์หรอก แต่ว่าเป็นรอบของจิตวิญญาณต่างหาก

 

การบำเพ็ญของโพธิสัตว์ที่เลื่อนจากระดับหนึ่งเป็นอีกระดับหนึ่งนั้น จาก 1.โสดาบันโพธิสัตว์  2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันตโพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6. อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8 .มหาโพธิสัตว์ 9.สัมมาสัมโพธิญาณ

 

0893592xxx ขอนมัสการพระครูที่รักเคารพช่วยอธิบายคำว่าธรรมชาติ

ตอบ...ธรรมชาตินี่มีคำสองคำ คือธรรมะ กับชาติ ซึ่งชาติแปลว่าการเกิด ธรรมะแปลว่าการทรงอยู่ การเกิดเป็นคนมีดินน้ำไฟลมแท่งก้อนนี้ ก็เรียกว่าทรงอยู่เป็นธรรมชาติหากไม่ทรงอยู่สลายไปก็หมดไปตามธรรมชาติ อย่างเช่นว่าเราอร่อยเราก็ทรงอยู่ก็เป็นธรรมชาติ หากไม่อร่อยพักยกไปก็คือมันไม่ทรงอยู่ในจิตเราก็เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา คำว่าชาติของศาสนาพุทธ เรียนรู้แยกเป็น 5 คำ คือชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

 

คำว่าชาติ หรือชา-ติ แปลว่าการเกิด ถ้าเอาชาติตัวนี้ออก ชาติตัวนี้เป็นคำกลางๆ ประเทศชาติก็ใช่ ชาติคืออะไรที่เกิดแล้วก็เสื่อมสลายก็ได้ แต่ถ้าหมายถึงชาติของศาสนาคือชาติของอกุศลจิตคือกิเลสหรือบาปที่หมดไปได้ คนไม่ได้เรียนรู้ธรรมะถึงขั้นจัดการได้ก็จะมีการเกิดเป็นชาติสัญชาติ อยู่ในความจำ ในความกำหนดหมาย แล้วออกมาทำงาน บางที่ออกมาทำงานโดยไม่รู้ตัวเรียกว่า สัญชาติญาณ อีกอย่างโอกกันติคือการเกิดทุกขณะ การเกิด ทางกาย วาจา มาจากใจ และมาจากกิเลสเป็นตัวสำคัญ มันอยากได้หากได้สมใจกิเลสก็หนาขึ้น เรียกปุถุชน กิเลสหนาขึ้นทุกที กิเลสไม่ได้ดั่งใจก็ไม่ปล่อย ไม่วางง่ายๆหรอก อยากเป็นเศรษฐีร้อยล้านชาตินี้ไม่ได้ก็พยาบาทไปชาติหน้าอีก อยากได้อำนาจยศศักดิ์ทั้งนั้น ชาตินี้ไม่ได้ก็จะเอาชาติหน้า ฝากไว้ก่อนเถอะ

 

คนจึงเรียกว่าปุถุชน มันไม่ได้ก็ฝากไว้ก่อน พยาบาทไว้ น้อยนักที่จะปล่อยวางได้ กิเลสจึงหนาตลอดเวลาไม่จบ ต้องมาเรียนรู้ตัวนี้คือโอกกันตะ แล้วกำจัดกิเลสให้ลดลง จิตก็เกิดเป็นโอกกันตะ เป็นชาติที่เดิมเป็นชาติโลกีย์ ก็ลดลงๆ ทำลดได้ท่านเรียกว่าเกิดนิพพัตติ หยั่งลมสั่งสมลงสูงสุดเป็นอภินิพพัตติ สูงสุดของโสดาบันก็ตัดอบายได้ สกิทาฯก็ลดได้ อนาคามีก็กามหมด มีแต่อัตตา เกิดเป็นคนใหม่โลกใหม่ จนเป็นอรหันต์หมดเลยไม่เป็นอีกแล้วชีวิตแบบโลกีย์มีแต่ไปนิพพาน จิตก็รู้เห็นเหมือนโลกแต่ว่าไม่ได้ติดยึดอย่างเขา สรุปว่าธรรมชาติคือส่ิงทรงอยู่ อรหันต์ก็มีสิ่งทรงอยู่ แต่ชาติที่เป็นโลกีย์หมดไปถาวร เป็นอรหันต์ตลอด

 

รู้เท่าทันธรรมชาติ รู้เหตุแห่งธรรมชาติ รู้จักการดับเหตุแห่งธรรมชาติ และก็หมดความเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมะเพียวๆไม่ใช่ธรรมชาติ จะบอกว่าธรรมะคือธรรมชาติก็คือคำพูด แต่ผู้เข้าถึงจริงจะดับธรรมชาติได้หมดถาวร อย่างธรรมชาติมี xy จะบอกว่า x เท่ากับ y ได้อย่างไร จะบอกว่าธรรมะ เท่ากับธรรมชาติได้อย่างไร คุณเล่นแค่ภาษา แต่ว่ามันสภาวะต่างกัน ทั้งพยัญชนะและสภาวะก็ต่างกันแล้ว

 

มาต่อที่ยอดนิยายของโลกฯกัน

 

            มาอ่านจิตวิญญาณที่กระทบสัมผัสปสาทรูป และโคจรรูป เกิดสัตว์ทางจิตวิญญาณให้เห็นได้ ธรรมะพระพุทธเจ้าเน้นที่ทิฏฐธรรมนิพพาน เห็นสภาวะของสัตว์ที่ทรงอยู่ในปัจจุบัน เป็นสัตว์นรกที่เราต้องกำจัด ต้องเห็นหลัดๆ ปัจจุบัน อ่านอาการจิตให้ออก คำว่า อาการ เป็นคำที่ลึกที่สุด แล้วคนก็อาศัยอาการ อาการ 32 เป็นสรีระภายในกับภายนอก จนมันเป็นอาการที่ไม่เป็นกายก็มี เช่นเล็บ

            เล็บมันยาวออกมาแล้ว มันมีอาการของรูปนะ แต่มันไม่เป็นอาการของนามเราร่วมด้วย มันออกพ้นจากความรู้สึกแล้ว ถ้ามันไม่หลุดก็ออกมายาวต่อเนื่องไป แต่มันปรุงแต่งนะเล็บยาวได้ ไม่เน่าไม่เสีย จนกว่าจะหมดขีดของมันแล้วก็เสื่อม แต่มันไม่เป็นกายแล้ว มันยาวออกมาไม่มีความรู้สึกร่วม มันมีอาการซ้อนเป็นพีชะ แต่ไม่ใช่เหลือแต่ดินน้ำไฟลม หรือผม ขน ผิวหนัง ก็นัยคล้ายกัน

            พระพุทธเจ้าท่านกำหนดให้อาการของท่านเป็นอย่างไรก็ได้ บางคนได้แต่กดข่มระงับได้ แต่จะให้เปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ยังไม่เก่ง เรื่องอาการเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญมาก คำว่าอาการจึงยากจะเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านใช้อาการ อาการที่ 32 ก็มีอยู่ แต่ว่าอาการที่เกิดเป็นนามธรรมในใจคืออาการที่ 33 เป็นตาวติงส์ ทำงานร่วมกัน คนอวิชชาก็ต้องการอาการจิตวิญญาณที่ 33 เป็นดาวดึงส์ ต้องล่ามาให้ได้สมใจ ทั้ง 4 ทิศ เรียกว่าจาตุมหาราชิกา คือเป็นเทวดานักล่า เป็นนักรบมีหอกมีง้าว การแย่งชิงของโบราณ ปั้นเป็นรูปยักษ์ดุแย่ง นักเลงใหญ่

            คนใดรู้จิตว่ามันอยากแย่งใครแล้วหยุดมันได้ไม่ให้แย่งได้นี่คืออาริยะ จะหยุดได้ชั่วคราวก็แล้วแต่ ก็ทำจนหยุดได้ถาวร ได้สนิทไม่เกิดอีก หมดอาการในจิต หมดสัตว์จาตุมหาราชิกาตัวที่อยากได้ให้แก่ตน เกิดเป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดาชนิดใหม่ มีแต่ให้ๆๆ ไม่แย่งใครเลย

            พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้อาการของจิตที่ไม่ใช่แค่คิดเอาเฉยๆ ไม่ได้เกิดกรรมกิริยาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เลย แต่เกิดจริงต้องเกิดอาการเมื่อ ตากระทบรูปแล้วอยาก หูกระทบเสียงแล้วอยาก หรือเกิดอาการทางใจขึ้นมา ในแต่ละทวาร นั่นแหละจับอาการ มันอยากเอามาเสพให้ได้เป็นของกู ตัวกู ถ้าได้มาเสพสัมผัสรสก็เป็นราคะ ได้มาเป็นของตนก็เป็นโลภะ

            คำว่าทิฏฐะคือได้เห็น สุตะคือได้ยิน มุตะคือได้รับทางภายนอกภายใน นี่คือความจริง หากไม่ครบก็ไม่เป็นความจริง พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ความจริง จนไม่มีอาการของสัตว์เกิดอีกเลย ก็จบ จบได้หมด แต่ถ้าไม่เรียนเช่นนี้ไม่มีทางจบความจริง อาตมามาอ่านพระไตรปิฎกเล่ม 9 ทิฏฐิ 62 จึงชัดเจน หากไม่เป็นปัจจุบัน เป็นอดีตกับอนาคตไม่ใช่ความจริง

            คนที่จะศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงต้องตั้งใจศึกษา ถ้าตั้งใจศึกษาจะได้เป็นคนประเสริฐเป็นอาริยะ เป็นประโยชน์ต่อตนต่อโลกอย่างแท้จริง นี่คือพระผู้สร้างที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอาตมาก็มาทำงานสืบทอดศาสนา ต้องให้เป็นจริงให้ได้ให้ตรง ผิดพลาดมันก็ไม่ดี จึงต้องมีความรู้ชนิดถึงขั้นเห็นหลัดๆจึงเรียกว่าปัจจุบัน เห็นหลัดๆสัมผัสอยู่โทนโท่โต้งๆ จึงจะชื่อว่าเป็นความจริงเป็นสัจจะ

            พระพุทธเจ้าแยกเป็น สมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะรู้ร่วมกันได้ง่ายแต่ปรมัตถสัจจะต้องมาเรียนรู้เอา แต่เมื่อทำได้จะคุยกันรู้เรื่อง แม้เอานามธรรมออกมาพูด แต่สิ่งที่ยืนยันรู้ร่วมกันก็เป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิ ต้องเอาหลักฐานยืนยันให้รู้กันได้ อย่างเราลดกิเลส ในการกระทบสัมผัสทวารทั้ง 6 ได้ก็ยืนยันกับทุกคนได้ คนอื่นได้รับรู้ก็จะเข้าใจได้ตาม พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าถ้าจะยืนยันเป็นอรหันต์ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เห็นความสำคัญไหม

 

(98) รู้ “กาย”แต่ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้  “ฌาน”ก็ไม่มี

       หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ฌาน”ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น”(ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม ตั้งแต่สังโยชนข้อ์ที่ 1 คือ ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ” แม้ปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่สามารถ “เห็นนิพพานในปัจจุบันนั้น”(ทิฏฐธรรมนิพพาน)แน่ๆเลย   

       เพราะปัจจุบันนั้นไม่มีการสัมผัสสัมพันธ์ อยู่ พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตามีทั้ง “ทิฏฐะ-สุตะ-มุตะ”ได้อยู่ จึงไม่รู้แจ้งใน “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน”อยู่หลัดๆในบัดนั้น นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”ของภาวะ “กามคุณ 5”ยืนยันอยู่โทนโท่ เต็มสภาพ

       เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ จึงยังไม่บริบูรณ์ ในการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ

       เพราะเป็นผู้ไม่มี “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องครบความเป็น “กายสักขี”(คือมี “กาย”ยืนยันโต้งๆเป็นพยาน) 

       “วิโมกข์ 8”นั้นต้อง “เห็นทั้งรูป-เห็นทั้งนาม” และต้อง “เห็นทั้งภายนอก “กามภพ”-เห็นทั้งภายใน ลึกเข้าไปทั้งรูปและอรูป ในขณะที่มีความเป็น “กาย”คือ “ธรรม 2” ตั้งแต่หยาบ-กลาง-ละเอียดเป็นที่สุด ตั้งแต่ “กาม” ถึง “รูป” และ “อรูป”ตลอดจบถึงขั้น “สัญญา เวทยิต นิโรธ”ทีเเดียว จึงจะครบบริบูรณ์การ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”  

       ตลอดครบ “วิโมกข์ 8” ต้องมี “กาย”อยู่พร้อมจนกระทั่งถึง “นิโรธ”ขั้นสุดท้ายปลายจบกันโน่นทีเดียว      

       ดังนั้นใครหรือนักปฏิบัติธรรมใด แม้จะมี “ตานอก”แล้ว ปฏิบัติในขณะลืมตาแล้ว รู้ความเป็น “กาย”แล้ว แต่ยังไม่รู้จัก “อาการ”ของความเป็น “กาม”ก็ดี ความเป็น “ฌาน”ก็ดี ที่เกิดจากภาวะ “ทิฏฐะ(ได้เห็น)-สุตะ(ได้ยิน)-มุตะ(ได้กลิ่น,ได้ลิ้มรส,ได้สัมผัสเสียดสีภายนอก-ภายใน)” ก็ยังมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “กาม”เรื่อง “ฌาน”    

       นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”อยู่แท้ๆที่มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ” สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมอันเกิดอยู่ใน “จิต”ขณะนั้น  

       เพราะเมื่อไม่รู้ “กาม”ไม่รู้ “ฌาน” มันก็ทำ “กาม”ให้หมดไป แล้วจะเกิด “ฌาน”ขึ้นใน “จิต” มันก็ไม่เกิด-ไม่เป็น-ไม่ได้ ...ใช่มั้ย?

       ซึ่ง “อารมณ์”ที่มี “กาม”เป็นตัวการปรุงแต่ง “จิต”อยู่เป็น “กามสดๆ”ขณะปัจจุบันนี้ มันสดๆนะ ไม่ใช่ “อารมณ์กาม”ที่เกิดเฉพาะขณะมีแต่การรับรู้ตอนอยู่ในภวังค์ และรู้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น เป็นการ “รู้”ในขณะที่ไม่มีสัมผัสภายนอกจริงเลยนั้นนะ นั่นมันแห้งๆ

       ขณะนี้มันมี “มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ”สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมโทนโท่สดๆ แต่ตนเองยังอ่าน “อาการ”ที่เป็น “กามคุณ 5”ใน “ปัจจุบัน”ขณะที่มี “สัมผัส” ขณะลืมตานี้ยังไม่เป็นก็ดี หรือเผลอสติกำหนดไม่ทันก็ตาม ก็คือ ยังไม่ “เห็น”ความเป็น “กามสดๆ”นั้น ก็กำจัดมันไม่ได้ หรือไม่ได้กำจัดมัน ใช่ไหมล่ะ

            เมื่อ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ ไม่มีผลบ้างเลย  “ฌาน”ก็มีไม่ได้

ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี    เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)  (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

4.        ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน)  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้  (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ   ปฏิฆสัญญานัง  อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ  อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ)

           

การปฏิบัติฌานนั้น ฌาน 1 ก็มีปีติ อาการของปีติ เหมือนช่างสรงสนาน เอาจุนสี ใส่น้ำ ให้ทั่ว เราก็ลงแช่ในน้ำให้จุนสีมันซึมซาบทั่วตัว ไม่มีบริเวณไหนๆที่ไม่มีจุนสีซึมซาบถึง ก็เหมือนปีติที่เป็นผรณาปีติ ไม่ใช่ให้ไปเป็นแบบมากๆเหมือนอุพเพงคาปีติ แต่ก็ไม่ใช่่ว่าไม่มีปีติเลย มันไม่ใช่อาการเจริญทางโลกุตระ ไม่ใช่อาการของปัญญาที่ต้องรู้ว่าเรามีปีติที่ได้ลดละมาได้ ไม่ได้ว่าทิ้งไปหมด แต่ให้มันแผ่ไปทั่วทุกขุมขน ไม่มีเอกเทศไหนๆที่จุนสีไปไม่ถึง

 

จนลดปีติได้ ลดสุขได้ ก็เป็นอุเบกขา มีปริสุทธา คือสัมผัสกับสิ่งในโลกสามัญ เป็นกามคุณเป็นโลกธรรมได้ เราก็อ่านจิตออกว่าเราลดกิเลสไป เราก็ดูอาการของเราว่ามันยังว่างหรือเปล่า

แต่ถ้าเป็นโลกียะเป็นอากาศว่างเขาจะปั้น ปั้นจนมีอาการเหมือนออกจากอากาศโลกนี้ไปสู่โลกของอรูป ปึ๊งออกไป เหมือนหลุดจากโลกไป ต้องเหนือกว่าความดึงดูดของโลกนี้อาตมาก็เคยทำได้ เคยเข้าใจผิด อย่างอ.มหาบัวก็เคยว่าปึ๊ง มันโล่งว่างใส ตามสมมุติที่เคยได้ยินมา ก็ปั้นมโนมยอัตตา เป็นอนันโต อากาโสติ เหมือนท้องฟ้าที่ไกลสุดสายตา มันเป็นภพที่สร้างเองกว้างไกลกว่าท้องฟ้าอีก

 

แต่พอรู้สึกว่าเป็นเราก็คือวิญญาณเข้าแล้วก็คือฌานที่ 2 ของอรูป ในขณะที่ไม่รู้ตัวก็มีแต่เสพรส คืออากาสา ฯ แต่พอรู้ตัวเองก็เป็นวิญญานัญจายตนะ คืออาภัสราพรหม แต่ว่าเขาว่านิโรธคือดับดำมืดก็ดับเข้าไปอีก อาฬารดาบส อุทกดาบสก็ไม่เอาสว่าง ก็ต้องดับอีก เป็นสุภกิณหา ดับมืด ดำปี๋ ซึ่งอากิญจัญก็คือดับ อสัญญี แต่ดับอย่างไรก็เป็นยามา มันจะฟื้นขึ้นมาให้เห็น จบที่อสัญญีสัตว์...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:18:00 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์