@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

การติเตียน / สรรเสริญ 4

รายละเอียด

บุคคลผู้เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม เป็นสัตบุรุษ (คนมีสัมมาทิฏฐิ) จะคุ้มครองตนให้มีคุณสมบัติ  หาโทษมิได้ทั้งนักปราชณ์  (ผู้มีปัญญารู้แจ้ง) ไม่ติเตียน ย่อมประสพ (การเกิดผล) บุญ (ชำระกิเลส) เป็นอันมากเพราะเป็นผู้มีคุณธรรม 4 ประการนี้ คือ ใคร่ครวญสืบสวนแล้วจึง......

1. กล่าวติเตียนผู้ที่ควรติเตียน

2. กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ

3. ทำความไม่เลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส

4. ทำความเลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ควรเลื่อมใส

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 21 "ขตสูตร" ข้อ 3

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2562 ( 20:31:33 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:43 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:46:42 )

การติเตียนพระอาริยเจ้ามีวิบาก 11 ประการ

รายละเอียด

การตำหนิเป็นการทำให้คนอื่นจะเกิดความไม่พอใจได้อย่างหนึ่ง ต้องตำหนิติเตียนด้วยความเมตตาด้วยความปรารถนาดี ด้วยความรู้ความจริง ติเตียนอย่างรู้ว่าตัวเองเป็นผู้ควรติเตียน เพราะว่ารู้ว่าตัวเองเข้าใจและอยู่เหนือ จะต้องตำหนิผู้ที่อยู่ต่ำและไม่ถูกต้องเป็นเรื่องที่เป็นสัจจะ แต่การติเตียนก็หลีกเลี่ยงวิบากไม่ได้ การติเตียนจึงเป็นเรื่องการเสียสละอย่างหนึ่งของผู้ที่รู้ว่าสมควรต้องติเตียน แต่ผู้ที่ยังไม่สมควรตัวเองยังไม่มีความจริงรู้ความจริงพอที่จะไปติเตียนคนอื่นได้ ก็ไม่สมควรจะไปติเตียนคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเป็นวิบากหนักโดยเฉพาะที่กิเลสหลงตัวหลงตนยกตัวยกตน ไปติเตียนพระอาริยเจ้าเข้า ก็ถึงได้มีวิบากทั้ง 11 ประการตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2562 ( 10:54:03 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:37 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:57:43 )

การตื่น

รายละเอียด

การตื่นนี้คือ มีสติรู้รอบ สติรู้รอบจะมีพลัง เรียกว่าอธิปไตย สติเป็นอธิปไตย เป็นพลังงานที่เป็นพลังแรงรอบครบ ครบอยู่สามด้าน1.ครบในทางกาย 2. ครบในทางวจี 3. ครบในทางมโน  ตื่นทั้งความเป็นมโน ตื่นทั้งความเป็นวาจา ตื่นทั้งความเป็นกายผู้ที่มี ชาครี หรือ ชาคริยา ความตื่นนี้ ในขณะที่มีกายต้องมีความตื่นครบรอบไม่บกพร่อง ในทางวาจาก็มีความตื่น ทางวาจา ครบรอบครบถ้วน ไม่ใช่พูดแล้วก็มะลำมะเลือง ไม่รู้ภาษา ตกตรงนั้นตรงนี้ไม่ใช่ กายกรรมมีพร้อมท่าทีลีลาคำพูดพร้อม กายนี้จะรวมทั้งวาจาและจิต เมื่อวาจาก็จะเอาแต่วาจากับจิตคุณก็ครบถ้วนตื่น แม้แต่ในมโน มโนของคุณก็ตื่น นี่คือชาคริยาครบ รู้ตัวทั่วพร้อมหมดทั้งนอกทั้งใน ทั้งกรรม 3 กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตื่นหมดครบเลย นี่คือผู้ตื่นเต็ม แล้วเวลาจะทำงานนั้น เราก็มาทำงานกับข้างนอก มีกายกรรมกับวจีกรรม ส่วนมโนกรรมนั้นไปทำใจของใครไม่ได้ ต้องทำของตัวเองของใครของมัน ใครไปทำใจให้กันไม่ได้ ได้แต่แค่แสดงกายกรรมให้คุณดู พูดให้คุณฟังเท่านั้น แล้วคุณก็เข้าใจตามกายกรรมกับวจีกรรมแล้วไปทำใจตัวเอง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:41:31 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:27:37 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:58:37 )

การตื่นจากหลับ

รายละเอียด

ถ้าตื่นจากหลับขึ้นมามันมีสัมปชัญญะควบคุมก็เอาสิ่งที่เป็นปัจจุบันเป็นเรื่องหลัก แล้วเราก็ปรุงแต่งกับเรื่องนี้ แต่เรื่องที่เป็นสัญญาอยู่ในคลังความจำมีเยอะแยะมันมีมากเลยมันก็ไม่ขึ้นมา เพราะเราใส่ใจอยู่แต่ข้างนอก ของปัจจุบันอยู่แค่นั้นแต่พอปิดปัจจุบัน ธาตุรู้คุณมีอยู่มันก็จะมีความจำโผล่ขึ้นมาเยอะ จนกระทั่งป่นปี้ไม่ได้ส่ำไม่รู้เรื่องว่าอะไรคืออะไร

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:06:00 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:58:06 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 04:59:15 )

การต่ออายุเป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างไร

รายละเอียด

สาธุ ขอบคุณเป็นอันมาก อาตมาอายุยาวยืนเข้าสู่ 88 ปี ซึ่งจริงๆแล้ว อาตมาก็เคยบอก ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหาอะไร ว่าอาตมามีอายุขัยแค่ 72 ปี แต่เมื่ออยู่มาแล้ว ตอนนั้นอายุไม่ถึง 72 อาตมาก็เห็นว่าไม่ไหว ถ้าขืนอาตมาตาย ไปตอน 72 จะขาดการเชื่อมต่อแน่ ในศาสนาพุทธ ระดับโลกุตระ อาตมาทำงานมาถึง 72 ปีคือทำงานมา 36 ปี อาตมาออกบวชตอน 36 ปี ทำงานไป 36 ปีก็ครบ 72 ปี ซึ่งมันยังได้แค่นี้ ยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังเลย ตอนอาตมาอายุยังไม่ถึง 72 ปี อาตมาก็ประมาณแล้วว่า เห็นผลได้การก้าวหน้าของโลกุตรธรรมมันยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ก็เลยตั้งใจว่าไม่ไหว ถ้าขืนตายตอน 72 ปีมันยังไม่สมควร จึงได้ตั้งใจเพิ่มพลังอิทธิบาท ที่จะต้องต่ออายุเกิน 72 ปีให้ได้ ก็เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าอันนึงด้วย ว่าอาตมานี้สามารถทำให้เกิดได้ไหม ก็ตั้งใจแล้วก็พากเพียรปฏิบัติมา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมในงานพิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2564 ( 15:05:57 )

การต่อเชื้อจากมิตรดีสหายดี

รายละเอียด

หากไม่มีมิตรดี คุณจะอยู่คนเดียวแล้วก็จะตรัสรู้แล้วก็ต้องไปเป็นพระพุทธเจ้า หรือเป็นสยังอภิญญา คุณมีของคุณอยู่แล้ว หากไม่มีของคุณอยู่แล้ว ต้องได้รับการต่อเชื้อจากมิตรดีสหายดี มีแต่พระพุทธเจ้ากับผู้ที่มีสยังอภิญญามาต่อเชื้อให้กับผู้อื่น จึงจะปฏิบัติไปได้ตามอวิชชาสูตร 10 ข้อ หากไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ฟังสัทธรรม แต่ไปศรัทธานอกพุทธก็ออกนอกรีต ในสัมมาทิฎฐิข้อที่ 10 จึงต้องพบกับ  สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) อาตมาบอกว่าอาตมาคือสยังอภิญญาผู้นั้น คนฟังแล้วก็ไม่เชื่ออีก หาว่าเป็นการอวดตัวตนอีก อาตมาก็บอกประสาซื่อนะ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:24:05 )

การต้าน

รายละเอียด

เราจะต้องต้านด้วยความแรงน้อยกว่าเขา ร้ายน้อยกว่าเขา เลวน้อยกว่าเขา ถ้าเราไปต้านร้ายแรงกว่าเขา เลวมากกว่าเขา อย่างนี้เป็นต้น หมดท่าเลย เราก็ได้วิบากอันนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปต้านแล้วเราจำเป็นต้องต้านทานไว้ แต่เราไม่ได้เลวอย่างเขาไม่ได้แรงอย่างเขา ไม่ได้ร้ายอย่างเขา อันนี้แหละ เขาเลวกว่าเยอะ ไม่ได้ร้ายอย่างเขา เขาร้ายกว่าเรามาก ไม่ได้แรงกว่าเขาเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:02:40 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:59:43 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:00:30 )

การถอดรองเท้าเป็นการให้เกียรติผู้อื่น

รายละเอียด

ได้ ก็ดีแล้วไง ก็ถูกต้องตามธรรม อยู่ข้างในก็ใส่รองเท้า ใส่สบายๆ เป็นการทำอะไรได้สะดวกเต็มที่ ในธรรมวินัยก็เป็นเช่นนั้น ออกไปข้างนอกก็ถอดรองเท้าเพราะการถอดรองเท้าเป็นการให้เกียรติผู้อื่น การถอดรองเท้าเป็นการให้เกียรติผู้อื่น การใส่รองเท้าเป็นการธรรมดา อยู่กับตัวเองที่จำเป็นจะต้องใส่ก็ใส่ ที่ไม่จำเป็นจะต้องใส่ก็ไม่ใส่ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่จะไปทำตามความเป็นจริง แต่ถ้าเผื่อว่าเราไปข้างนอกก็คำนึงถึงผู้อื่นให้เกียรติผู้อื่นด้วย การใส่รองเท้าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้อื่น มันอาจจะเป็นความรู้ที่ยากไปหน่อยหรือสูงไปหน่อยก็พยายามศึกษา เป็นประเพณีวินัยเป็นวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งอยู่ คุณถามง่ายๆ แต่คุณนั่นแหละควรจะตอบได้ง่ายๆควรจะรู้ได้ง่ายๆถ้าคุณมีปัญญาลึกเพียงพอก็จะรู้ง่าย แต่ถ้าคุณไม่มีปัญญารู้ลึก คุณมีปัญญาตื้นๆมันก็จะไม่ง่ายนะ เท่านั้นเองจบ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 20:23:32 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:03:20 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:47:26 )

การถามพ่อครูว่าจะกลับถึงบ้านราชวันไหนเพราะคิดถึงเป็นกิเลสไหม

รายละเอียด

เป็นกิเลส ..คงไม่นานหรอก ไม่อยู่ถึง 2 ปีหรอก ไม่นานขนาดนั้นหรอก เอาน่า เดี๋ยวนี้มันไม่น่าจะคิดถึงมากมาย ก็ว่าถึงจะคิดถึงก็เหมือนเห็นหน้ากัน ได้พูดคุยกันได้ทั่วโลก หลายแห่งชุมชนชาวอโศกกระจัดกระจายหลายสิบชุมชน ก็ไม่ได้ไปทั่วถึงเลย แต่ได้อย่างเก่ง 4-5 ชุมชน ไปๆมาๆวนเวียน ยิ่งอายุยาวขึ้นมาขนาดนี้แล้วคงไม่ได้ไปที่ไหนมากขึ้น ยังกะอยู่เลยว่า ต่อจากนี้ไปคงจะไม่ได้ไปหาลูกๆหลานๆที่ชุมชนนั้นนี้อีก ที่คิดว่าน่าจะไป ก็คงจะไปยากขึ้น จนกว่ามันจะมีปาฏิหาริย์ที่พิสดาร ปาฏิหาริย์ที่เป็นไปอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ กลายเป็นหนุ่มใหม่ขึ้นมา แข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อขึ้นมา อายุ 100 ปีแล้วแทนที่จะดูง่องแง่ง แต่กลับเป็นอายุเหมือน 50 ปี 60 ปีก็คงจะมีอะไรประหลาดเพิ่มขึ้นได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 ที่สันติอโศก วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 21:07:52 )

การถามว่าพระอรหันต์เป็นอัลไซเมอรฺ์ได้ไหมเป็นการถามเลยปัญหา

รายละเอียด

อาตมาขยายโลกนี้ โลกหน้าคือโลกที่ต่อไปจากโลกนี้ 

_พระไตรปิฎกเล่มที่ 17 ข้อ 366 พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราธะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า มาร มาร ดังนี้ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอแล จึงเรียกว่า มาร?

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรราธะ เมื่อรูปมีอยู่ มาร (ความตาย) จึงมีผู้ทำให้ตายจึงมี ผู้ตายจึงมี เพราะฉะนั้นแหละ ราธะ เธอจงพิจารณาเห็นรูปว่า เป็นมารเป็นผู้ทำให้ตาย เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์

บุคคลเหล่าใดพิจารณาเห็นรูปนั้นอย่างนี้ บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่า ย่อมเห็นชอบ. เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ

เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ ฯลฯ เมื่อวิญญาณมีอยู่ มารจึงมี ผู้ทำให้ตายจึงมี

ผู้ตายจึงมี เพราะฉะนั้นแหละ ราธะ เธอจงพิจารณาเห็นวิญญาณว่า เป็นมาร เป็นผู้ทำให้ตาย

เป็นผู้ตาย เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นความทุกข์ เป็นตัวทุกข์ บุคคลเหล่าใดพิจารณา

เห็นวิญญาณนั้นอย่างนี้ บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่า ย่อมเห็นชอบ.

รา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเห็นชอบมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?

พ. ดูกรราธะ ความเห็นชอบมีประโยชน์ให้เบื่อหน่าย.

รา. ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?

พ. ดูกรราธะ ความเบื่อหน่ายมีประโยชน์ให้คลายกำหนัด.

รา. ก็ความคลายกำหนัดเล่ามีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?

พ. ดูกรราธะ ความคลายกำหนัดมีประโยชน์ให้หลุดพ้น.

รา. ความหลุดพ้นเล่า มีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?

พ. ดูกรราธะ ความหลุดพ้นมีประโยชน์เพื่อนิพพาน.

รา. นิพพานเล่ามีประโยชน์อย่างไร พระเจ้าข้า?

พ. ดูกรราธะ เธอถามเลยปัญหาไปเสียแล้ว เธอไม่อาจเพื่อถือเอาที่สุดของปัญหาได้.

ดูกรราธะ อันพรหมจรรย์เป็นคุณชาติหยั่งลงสู่นิพพาน มีนิพพานเป็นที่สุด อันกุลบุตรย่อมอยู่ประพฤติแล.

คนที่เอาแต่ถาม แต่ไม่จบที่สภาวะ คนที่ฟังอาตมาอธิบายพยัญชนะเขาเข้าใจแล้วก็ไม่ถามต่อ แต่คนที่ไม่เข้าใจสภาวะมันก็คำนวณเอา จบนิพพานแล้ว เขาก็ไม่ถามต่อแต่พวกที่ดันทุรังงมงายก็วนถามอยู่นั่นแหละ อาตมาพูดว่าถูกใครก็ตามแต่นะ ไม่ได้ไปว่าใคร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้สภาวะของรูป 28 สู่ความเป็นอรหันต์ วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 19:01:24 )

การถือศีลดีกว่าการศีกษาทางโลก

รายละเอียด

ได้ถือศีลเป็นการศึกษาเป็นการขัดเกลาดีกว่า การศึกษาทางโลกเป็นการทำอาชีพเลี้ยงตนเอง แต่การถือศีลเป็นการได้ขัดเกลากิเลสตัวเอง จิตวิญญาณตัวเองจะได้รับผลวิบากที่ดีไป การไปเรียนแบบโลก ดีไม่ดีเกิดกิเลสหนามากขึ้นก็ได้วิบากเลวไปมากขึ้น จะไปดีเท่ากับการมาปฏิบัติศีลหรือ อธิบายให้เขาเข้าใจเสีย อย่าไปน้อยเนื้อต่ำใจเลย ให้เรียนรู้แล้วเขาหลงระเริงอยู่เต็มโลกนั่นแหละไม่ได้รู้จักถือศีลปฏิบัติธรรมลดกิเลส ถ้าได้ลดกิเลส แล้วได้เรียนด้วยเหมือนกับเด็กอโศกก็ดี ก็พยายามบอกเขา ให้เขาเข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติ ไม่ต้องไปเรียนข้างนอกหรอกวิชาแบบข้างนอก ที่นี่ก็สอนเป็นสอนทำอาชีพ แต่ไม่ได้สอนแบบตำราหลักของเขา ไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่ชีวิตจริงๆเราก็พาทำอยู่แล้ว เขาก็เรียนรู้ได้ แต่ที่นี่พาทำสัมมาอาชีพอยู่แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาอาขีพ)  ตอน การถือศีลดีกว่าศีกษาทางโลก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:38:55 )

การถือศีลตามจารีตประเพณี

รายละเอียด

คือ การปฏิบัติตามจารีตประเพณี ไปเข้าวัด ไปรับศีล พระก็ถือว่าตัวเองมีศีล ก็มะยังภันเต ศีล  8  ศีล  5  ไปตามจารีตประเพณี ไม่เข้าใจว่าปฏิบัติศีลจะต้องมีการสัมผัสทั้ง 6  มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6  โภชเนมตัญญตา มี ชาคริยานุโยคะ  การปฏิบัติที่ไม่ผิด 3  ข้อ ไปนั่งหลับตาก็ไม่ใช่ การปฏิบัติที่ไม่ผิด 3  ข้อนี้  อปัณกปฏิปทา  เขาไม่ได้เน้นเรื่องนี้เลย ให้มีสัมผัสเป็นปัจจัย  มีศีล    มีการประมาณในการบริโภค อ่านกายในกายเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าคุณเข้าใจ กายกับจิต แยกกายกับจิต ได้อย่างลึกซึ้งแล้วทำใจในใจของคุณได้ลึกซึ้ง ทำได้เป็นมรรคผลเลย คุณแยกกายในกาย แยกจิตในจิต หรือแยกกายแยกจิต สามารถที่จะไม่ให้จิตมันเกิดในกาย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:05:41 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:02:06 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:01:10 )

การถือศีลทำให้เกิดสมาธิ อย่างไร

รายละเอียด

ใช่การถือศีล คือสมาธิ ศีลทำให้เกิดสมาธิ ศีลปฏิบัติด้วยอปัณณกปฏิปทา 3 ตื่นอยู่ทั้งนั้น สัมผัสเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กิน ที่ใช้ โภชเนมัตตัญญุตา เสร็จแล้วเราก็จะรู้รูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ รู้กิเลสในนั้นในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีธรรมวิจัยแยกออก แยกออกแล้วเราก็ฝึกให้มีปัญญา ฝึกให้มีฌาน ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน ฌานอยู่ที่ไหน ปัญญาอยู่ที่นั่น ไม่มีฌาน ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีฌาน เสร็จแล้วตัวปัญญานี้เป็นพลังงานพิเศษ พลังงานจิตวิญญาณ พลังงานปัญญามันเป็นคู่อาฆาตของกิเลส เจอหน้ากิเลสเมื่อไหร่ เฮ้ย.. กิเลสมันตาย มันหนี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติ  


เวลาบันทึก 17 มกราคม 2566 ( 14:51:21 )

การถือศีลทุกวันนี้ เป็นแค่จารีตประเพณี

รายละเอียด

คนที่ไม่รู้ทำทานก็ให้เป็นสวรรค์ ถือศีลก็ให้เกิดสวรรค์ อย่างการถือศีลทุกวันนี้ก็เป็นแค่จารีตประเพณีที่จะได้ ได้อะไรคือได้บุญ ได้กุศล ได้ทำดี ไม่ได้ปฏิบัติศีลก็เพื่อที่จะลดกิเลส ไม่ได้ถึง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าทุกวันนี้ถือศีลได้แค่ สีลัพพตุปาทาน ถือศีลตามจารีตประเพณีไป ได้กุศล ไม่ได้เกิดบุญ ไม่ได้เกิดการขัดเกลากิเลสอะไร ทำไปก็ได้บุญได้กุศลไป ศีลก็เป็นแค่จารีตประเพณี เป็นสีลัพพตุปาทาน ก็ได้สวรรค์แบบโลกีย์ไป

ไม่รู้จัก จริงๆแล้วสวรรค์นี่เป็นกาม เป็นกามภพ เป็นกามาวจร เป็น อวจร อยู่ในตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วคุณก็ไม่รู้เท่ารู้ทันตา หู จมูก ลิ้นกาย ที่ยังเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อยู่นี่ เหมือนพระป่า พระมหาบัวนี่  กินหมากกินพลูอยู่ ติดสวรรค์อยู่นั่นแหละ ไม่ขาดปากเลย แค่ความติดยึดรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส สวรรค์แค่นี้ก็ยังล้างไม่ได้ ยังไม่รู้จักด้วย ติดสวรรค์ หลงสวรรค์ จมอยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นกามอย่างมหาบัว อาตมาชัดเจนว่า มหาบัวจะรู้เรื่องกามคือเกี่ยวข้องกับเพศชายเพศหญิงเท่านั้น ท่านก็ปฏิบัติได้ดีเรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีความด่างพร้อยอะไร แต่เรื่องกามจริงๆแท้ๆก็คือเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายทาง 5 ทวารเรียกว่ากามคุณ 5 มหาบัวติด 100% เต็มเลย ตั้งแต่บวชจนตาย กินหมากกินพลูติดรส ไม่ได้รู้เรื่องสวรรค์เลย แค่นี้ยังไม่รู้ในกามที่เป็นเบื้องต้นของกิเลส ก็ไม่รู้ไม่ละ แล้วก็ไปเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น 

จะให้อาตมาไม่วิจัยวิจารณ์ ไม่ว่าความไม่ถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วปล่อยให้หลงผิดกัน แล้วก็ไปหลงนับถือสิ่งที่ไม่ใช่ว่าใช่ สิ่งที่ยังเป็นกิเลสเขรอะ ว่าเป็นผู้ที่อรหันต์ เอ้า มันก็น่าสงสารนะ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำนน จะไม่ช่วยไม่บอกให้รู้เรื่อง ไม่บอกความจริงที่ถูกต้อง อาตมาก็เป็นคนใจดำไป อาตมาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาตมาพูดนี่ อาตมาขออนุญาตเถอะ ฝืนทำใจของคุณ อย่าให้อาตมาไปว่า อาตมาเลี่ยงไม่ออก อย่าให้ไปว่า ทำไงได้มันกระทบท่าน ท่านเป็นเช่นนั้น ท่านผิดเช่นนั้น ท่านก็โดนที่อาตมาพูดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ระบุโดยตรงเลย เพราะว่าคุณก็เห็น อาตมาก็เห็นว่ามันผิดอย่างเห็นๆ คุณก็เห็นอย่างนั้นน่ะมันผิด แต่อาจารย์ของคุณยังยึดความผิดเป็นความถูก ยังไปติดยึดสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ ยังไม่รู้จักละจักล้าง แล้วคุณก็นึกว่าเป็นอรหันต์ แล้วกัน แล้วจะไม่ช่วยคนอย่างนี้อาตมาจะไปช่วยใคร  ก็ต้องช่วยคนที่เข้าใจผิด คนที่โง่ พูดให้ชัด ก็ต้องช่วยคนโง่ คุณต้องรู้สิว่าตัวเองโง่ ตัวเองเข้าใจไม่ถูก เพราะฉะนั้นอาตมาก็พยายามพูดอย่างผู้ดีนะนี่ ไม่ได้พูดอย่างผู้ร้าย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 12:02:06 )

การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6

รายละเอียด

มาพูดถึงเรื่องที่อาตมาตั้งใจจะพูดวันนี้ คือเรื่องของ การถืออยู่ป่า พระพุทธเจ้าสอนเป็นธรรมวินัย การสอนอย่างนี้ การถืออยู่ป่า มันจะไขความให้เห็นชัดเจนเลยว่าศาสนาพุทธไม่ได้ให้ออกป่า ค่อยๆฟังไปดูอาตมาจะอธิบาย เนื้อความท่านไม่ได้ขยายความมาก ท่านมีเป็นหัวข้อ อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 8 อยู่ในพระวินัยเล่มสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลี 

ธุดงควรรคที่ 6 ถืออยู่ป่าเป็นต้น

ล. 8 [1191] อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?

พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่านี้มี 5 จำพวก. 5 จำพวก อะไรบ้าง? คือ:-

1. เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า

2. เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า

3. เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า 

4. เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญ จึงถืออยู่ป่า

พ่อครูว่า... ข้อ 3 เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า อันนี้ก็น่าสงสาร ผู้วิกลจริต ฟุ้งซ่าน ส่วนผู้ไม่วิกลจริต แต่ว่า โง่เขลาหรือปรารถนาลามก  มันก็หนักกว่าผู้วิกลาจริต น่าสงสาร จิตไม่เต็มว่างั้นเถอะ  

ข้อ 4 นี้สำคัญ เป็นการเข้าใจได้ทั้ง 2 อย่างคือพระพุทธเจ้าสรรเสริญหรือไม่สรรเสริญ นี้เป็นแง่ เป็นประเด็น เพราะฉะนั้นต้องใช้ปฏิภาณปัญญา ให้รู้ให้เห็นด้วยองค์รวม ด้วยความรู้ องค์รวมอันอื่นๆด้วย มีเหตุปัจจัยอื่นๆเป็นพลวัตอีกต่างๆ นานาตั้งเยอะแยะ เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าใจได้แคบๆง่ายๆ 

5. เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า

พ่อครูว่า... ด้วยความปฏิบัติงามนี้  ที่จริง “งาม” คำนี้ บาลีน่าจะแปลมาจากคำว่า สุภะ น่าได้ น่ามี น่าเป็น นี้ละ สุภะ เขาก็แปลคำนี้ว่างาม 

 

ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี 5จำพวก นี้แล.

อุ. ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? .

อุ. ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่โคนไม้ มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าช้า มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ในที่แจ้ง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถือทรงผ้า 3 ผืน มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถือเที่ยวตามแถว มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถือการนั่ง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้ มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียว มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? ...

อุ. ภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลัง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …

อุ. ภิกษุผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตร มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?

พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรนี้มี 5จำพวก. 5 จำพวกอะไรบ้าง? คือ:-

1. เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถือฉันเฉพาะในบาตร

2. เพราะผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถือฉันเฉพาะในบาตร

3. เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถือฉันเฉพาะในบาตร

4. เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงถือฉันเฉพาะในบาตร

5. เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และอาศัยความเป็นแห่งการฉันเฉพาะในบาตร มีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถึงฉันเฉพาะในบาตร

ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรมี 5 จำพวก นี้แล.

คือทุกๆ อัน(ที่พระอุบลีถาม) อธิบายหมด เขาละไว้ในฐานที่เข้าใจ อันนี้ก็มาพระพุทธเจ้าท่านจะใส่ คนอ่านนี้จะซ้ำๆ ท่านตรัสทุกคำทุกความเหมือนเดิม แล้วก็เพิ่มขึ้นๆ กี่ข้อๆ ก็เพิ่มยาวนั้นะ พระไตรปิฎกถ้าเอาคำตรัสของพระพุทธเจ้ามาใส่ทั้งหมดโดยไม่ละไว้อย่างนี้นะ รับรองจะมากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว ไม่ใช่ 45 เล่ม จะมากกว่านี้ 

มี 5 จำพวก อันอื่นๆ ที่ว่าทั้งหมด แม้แต่อยู่ป่า เดี๋ยวจะย้อนไปพูดถึง อยู่ป่า  5 จำพวก ก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้น เพราะ (1) เป็นผู้เขลา งมงาย จึงถือปฏิบัติอย่างไร ที่ไล่ละเอียดมาอย่างไร ๆ เหมือนมักน้อย สันโดษทั้งนั้น แต่เพราะโง่เขลา เพราะ (2) มีความปรารถนาลามก นี้ก็ต้องการโชว์  ต้องการอวดอ้างเคร่งอะไรเฉย ๆ ก็แล้วแต่ หรืออย่างงมงาย เหมือนในข้อ (1) มันก็ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียดอะไร มันก็เป็นความต้องการ เออ..ถ้าอย่างนี้ มักน้อย สันโดษแบบนี้ จะสามารถที่จะเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ แต่ไม่ได้เข้าใจนัยยะลึกซึ้งที่บอกว่า เพื่อความละหน่ายคลาย เพื่อความรู้จักกิเลส ถ้าลดอย่างนี้ กิเลสมันจะกระโดด ไม่ให้ออกมาให้เรารู้นะ โอ้โฮ! อันนี้เราก็ยังอยากได้ โน้นก็ยังอยากเป็นอยากมีอยู่ หรือไม่ได้เข้าใจการปฏิบัติแบบที่ว่านี้ มันยึดถือบื้อ ๆ ดื้อ ๆ ไปอย่างนั้น  

เพราะ (3) วิกลจริต หรือฟุ้งซ่าน  เพราะ (4) เข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงถือปฏิบัติแต่ละอย่าง ๆ เขาก็มักน้อยสันโดษมาไม่รู้กี่อย่าง เพราะฉนั้น อันที่ (5) พระพุทธเจ้าถึงท่านไขความว่า อาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด แม้แต่ความมักน้อย มีน้อยๆ สันโดษ ใจพอก็ตาม ด้วยความที่อาศัย ไม่สัมผัสดูบ้าง เงียบ ๆ เงียบสงัด ไม่สัมผัส และอาศัยความเป็นแห่งการเฉพาะที่กระทำอย่างนั้น แม้แต่การฉันในบาตร แม้แต่การฉันมื้อเดียว อะไร ๆ ต่าง ๆ นานานี้ ทั้งการนั่งที่แจ้ง ทั้งการไปเข้าป่า ทั้งในการอยู่โคนไม้ ทั้งในการใช้ผ้าบังสุกุล อะไร ๆ ต่าง ๆ รายละเอียดมีมากกว่านี้ แต่นี้เขาเอามานี้ มันประมาณ มีข้อจำกัดอันนี้ ดูเหมือนจะเท่ากับที่พูดกันอยู่ของพระกัสสปะ 13 ข้อ ธุงควัตร 13 ข้อ ดูเหมือนจะอันนั้นนะ 

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงตรัส จะปฏิบัติที่มีสิ่งใดน้อยทั้งหลายก็ตาม หรือสิ่งที่มีมากก็ตาม ตามจริตนิสัย ตามเหตุปัจจัย ที่เราเจตนาจะศึกษาเฉพาะหนึ่ง หรือศึกษาอันนี้ด้วย แล้วก็อันนี้ อันนี้ด้วยบ้าง หรือตามแต่ที่เรารู้อะไรจะเกี่ยวข้อง เราสัมผัสัมพันธ์กับเรื่องอะไร เราก็ชัดเจนว่า เรากำลังเกี่ยวข้องกับอันนี้ สัมผัสกับอันนี้ สัมพันธ์กับอันนี้ แล้วเราจะเกิดกิเลสไหม เท่านั้นมันก็จบแล้วที่จริง  แล้วก็ปฏิบัติไป นี้แหละทั้ง อัปปิจฉะ(มักน้อย) สันตุฏฐิ(สันโดษ)  สัลเลขะ(ขัดเกลา)  อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 19:22:39 )

การทดสอบยากับสัตว์ก่อนใช้กับคน ผิดศีลข้อ 1 หรือไม่

รายละเอียด

การทดสอบยากับสัตว์ก่อนใช้กับคน ผิดศีลข้อ 1 หรือไม่ ไม่ถือว่าผิดหรอก เพราะเจตนาเป็นกุศลนั้น มันเป็นเจตนาที่ต้องอาศัย ถ้าเราจะใช้ ประโยชน์จากยา เราเอาไปทดสอบกับวัตถุเท่านั้น หรือไปทดสอบกับพืชเท่านั้นมันไม่พอ มันต้องมาศึกษาทดสอบกับสัตว์ที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นคน  สัตว์ที่มีอะไรคล้ายใกล้กับคนมากที่สุด แล้วมันก็มีมุมมีมิติมีเหลี่ยมที่ใกล้คน ยาชนิดนี้รักษาโรคชนิดนี้ มันก็สัตว์ชนิดนี้ สัตว์ชนิดนี้ ซึ่งก็มีแตกต่างไป มันก็ต้องอาศัย ไม่เช่นนั้น ทำขึ้นมาใช้กับคนเลย ดีไม่ดียังไม่ได้ทดลองมาอย่างแน่ใจ กว่าที่ยาเขาจะแอพพรูฟ รับรองว่าใช้ได้นะอย่างนี้ เปอร์เซ็นต์มันอยู่ในเกณฑ์ไม่เสีย เป็นประโยชน์ เกิน 90% ขึ้นไป 99 98 95 เขาเอากันถึงขนาดนั้น ยิ่ง 100 % เขาก็ยิ่ง เขาก็เลยต้องใช้สัตว์ ที่มนุษย์ก็ต้องอาศัยสัตว์หลายชนิด เพราะมันมีมุมเหลี่ยมมีมิติอะไรที่ต่างกัน ก็ต้องใช้อย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นคุณก็อย่าเอาแต่ศีลมาปรับโทษคนนั้นคนนี้มากนักเลย พยายามปฏิบัติตนเอง ทำศีลให้มันเป็นประโยชน์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กันยายน 2565 ( 15:03:15 )

การทนได้กดข่มไว้ ไม่ถือว่าได้แม้แต่ขั้นโสดาบัน

รายละเอียด

การทนได้กดข่ม ไม่ได้ถือว่าได้แม้แต่ขั้นโสดาบันด้วยซ้ำ เพราะการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจะต้องรู้ความจริงว่าไม่ใช่ไปข่ม ฝืนไว้ จะต้องรู้แจ้งรู้จริงรู้ชัดว่าเรา กดข่มเท่านั้น อันนี้ต้องรู้ชัด ต้องรู้ว่าอันนี้แค่กดข่มคุมไว้ ที่จริงจะต้องรู้ว่ากิเลส อาการของกิเลสมันเป็นอย่างไร ไปคุมไว้แม้หยาบๆก็คุมได้กดข่มได้ นี่ขนาดหยาบๆยังข่มไม่ได้ ต้องหัดตั้งแต่หยาบๆ สู้ไม่ได้ต้องหนีห่าง เพราะถือว่าเรายังเด็กยังเล็กยังสู้ไม่ได้ ปล่อยไปก่อนไปทำงานอื่นที่คิดว่าทำได้เป็นขั้นๆไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 18:19:02 )

การทอดกฐินทุกวันนี้เป็นการทำบาปให้แก่ศาสนาอย่างไร

รายละเอียด

กฐินคือผ้าสะดึงที่ใช้สำหรับเย็บผ้าผืนเล็กๆมารวมกันเป็นผืนใหญ่เรียกว่าผ้ากฐิน แต่ก่อนนี้ ก่อนจะได้เป็นผ้าจีวรนั้นผ้าเป็นสิ่งหายาก มันไม่มีอุตสาหกรรมการทำผ้าเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ไม่ต้องเลย เรื่องการทอดกฐินนี้ยกเลิกได้เลย ชาวอโศกได้ยกเลิกไปเลยเรื่องทำกฐินเพราะมันหมดความจำเป็นจริงๆ แต่ทีนี้ก็ไปประยุกต์เอากฐินเป็นเรื่องหาเงิน เอาเงินมาซื้อผ้า เอาเงินก้อนมามอบให้พระอีก จึงเป็นการทำผิดธรรมวินัยทั้งหมด พระก็ร่วมมือกันฆราวาสก็ร่วมมือกัน จะว่าโง่ไม่รู้ก็ไม่จริง พระก็รู้ก็ศึกษากัน ที่ไม่รู้ที่โง่ๆก็มีอยู่จริง แต่ที่รู้ๆก็รู้กันอยู่ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก็บอกว่าได้เงินแล้ว จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องที่ ก็ขอพูดก็แล้วกันในเรื่องนี้​ แต่อาตมาก็พูดเป็นวิชาการก็แล้วกัน จนกลายเป็นราชประเพณี ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด ถ้าสามารถเลิกได้จะเป็นกุศลอย่างใหญ่หลวงเลย มันผิดพลาดไปจนกระทั่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาว่าทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมอย่างสุด ถอนรากถอนโคนพระวินัยของพระพุทธเจ้าเลย มันไม่เหลือสภาพที่เป็นเรื่องของกฐินที่เป็นกุศล มันมีแต่อกุศลเป็นบาป 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:20:56 )

การทอดกฐินทุกวันนี้ไม่ได้อานิสงส์เลยได้แต่บาปเพิ่ม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นโรงทานหรือโรงบุญที่ทำกัน ก็มีประเพณีซับซ้อนในการแจกอาหารนี้ ซ้อนผสมกับกฐิน ซึ่งกฐินนี้ก็ไม่อยากอธิบายเสริม กฐินทุกวันนี้ควรเลิกไปให้หมด มันเป็นแง่เชิงให้ตกนรกกันทั้งพระและฆราาส มันทำลายศาสนา ไปทำให้พระหลงผิดแล้วอาศัยเงินในการทอดกฐิน มาอาศัยอยู่กินปริ่มเปรม โดยไม่ปฏิบัติธรรมลดละเรื่องเงินทอง แต่ไปหาเงินทองมาอีกมันผิด ไม่พูดมากแล้วเรื่องนี้ ที่ไปทำการทอดกฐินทุกวันนี้ไม่ได้อานิสงส์เลยได้แต่บาปเพิ่ม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 09:16:12 )

การทักท้วงความผิดพระธัมมชโย

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้กล่าวหา แต่เห็นความจริงตามความเป็นจริง อาตมาไม่ได้กล่าวหา อาตมาทักท้วงว่ามันผิดนะ  ผู้อื่นผู้ใดที่อาตมาท้วง ก็ท้วงด้วยหลักฐาน  มีการอ้างอิงยืนยัน  มีหลักของธรรมวินัย มาประท้วงไม่ได้มากล่าวหา ถ้าอาตมาท้วงผิด  คุณก็ว่าอาตมาสิ ไปท้วงผิดอย่างไร  อาตมาไม่ได้กล่าวหานะ เกินเลยกว่านั้น กล่าวหาแล้ว ซึ่งการกล่าวหายังไม่ได้ อาตมาก็ตัดสินเองว่า อันนี้ควรจะท้วง อาตมาไม่กล่าวหา แต่อาตมาท้วงและตำหนิ  ถ้าอาตมาไม่ยกตัวเอง  อาตมาก็ผิด  เพราะอาตมาอยู่เหนือแล้ว หากไม่ยกตนก็ผิดสัจจะ  คนไม่เข้าใจว่าผู้ที่ถูกต้องมีความจริง ต้องเป็นอย่างอาตมา แต่คนก็เปรียบเทียบกันอย่างไรจะใช่ คุณก็จะได้ศึกษาเปรียบเทียบ  อันไหนมันตรงธรรมวินัยกว่าอันไหน มันถูกต้องกว่า  คุณก็ใช้ปัญญาญาตัดสิน  ตัวใครตัวมัน  อย่างไหนเป็นธรรมวาที  อย่างไรอธรรมวาที  จะว่าอาตมาข่มคนอื่น แต่คนที่ถูกต้องเหนือกว่าคนผิดจะยกหรือไม่ยกก็ตาม จะยกไปข่มพยัญชนะว่าอาตมายกข่ม อาตมาก็ชี้ว่าอันนี้เหนือกว่าอันนี้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  25  พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 19:59:41 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:22:02 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:01:58 )

การทานกับการให้ไม่ต่างกัน

รายละเอียด

การทานกับการให้แตกต่างกันอย่างไร การทานกับการให้ มันไม่แตกต่างกันหรอก การให้คือเอาออกจากตัวเองให้ผู้อื่นไป ทางรูปธรรมง่ายๆมีของ เช่น เรามีก้อนทองคำเท่านี้ก็ให้เขาไป นั่นก็คือการให้ ก็คือการทาน บาลีคือ ทานัง ทานคือให้ ให้ผู้อื่น ถ้าทานคำนามคือการให้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 14:41:32 )

การทำการงานอันควรคนเดียวกับแบบกลุ่ม

รายละเอียด

มาทำงานร่วมกัน เราได้ศึกษาธรรมะมา เราจะได้รู้ว่าชีวิต ขณะทุกขณะปัจจุบันอะไรดี เราก็ทำการงานอันควร การทำการงานอันควรคนเดียว มันจะโดดเดี่ยวว้าเหว่ทำงานไป ถ้าคนที่ชิน หรือชอบ ชอบทำงานคนเดียวคนอื่นไม่ต้องเกี่ยว คนนี้ก็จะทำงานคนเดียวไปตามประสาเขา ตามฐานะของบุคคล แต่ถ้าบอกว่าทำงานคนเดียวมันรู้สึกว่ามันไม่อบอุ่นมันไม่มีอะไร มันว้าเหว่แต่ถ้ามีใครร่วมกันทำงานแล้วก็ไม่มีอะไรที่มันกระทบกระทั่งต่างคนต่างทำไป มีผิดพลาดบ้างก็ช่วยเหลือแก้ไขกันไป เพราะคนเราต้องมีผิดพลาดบกพร่อง มีอะไรผิดพลาดบกพร่องก็ช่วยกันแก้ อะไรดีก็ช่วยกันส่งเสริม ทำร่วมกันมันก็เท่านั้นเองในชีวิตการกระทำหรือการงาน อาตมาบอกแล้วว่าโศลกธรรมปีนี้..คน ถ้าไม่ทำงานก็เดรัจฉานธรรมดา โศลกมันก็เข้ากับเรื่องนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 18:09:18 )

การทำการเมืองอย่างดาไลลามะกับอย่างพ่อครู

รายละเอียด

เราจะไปบังคับให้เขาเข้าใจเหมือนอย่างเราไม่ได้หรอก คนเข้าใจก็แตกต่างกันไป ประเด็นของผู้ที่มองแง่ของดาไลลามะกับอาตมานี่ก็คือ อาตมาทำให้เกิดความหายวุ่น อาตมามาทำงานการเมือง ไม่ใช่ทำงานการเมือง แต่อาตมาออกไปช่วยเรื่องการเมืองนี่นะ เพื่อให้มันหายวุ่น ให้มันหายยุ่ง ซึ่งก็ได้ทำกันมาหลายยกแล้วในชีวิตนี้ เริ่มตั้งแต่พ.ศ. 2549 ออกไปแสดงตัวตนมาจนถึงกระทั่งขณะนี้ ขณะนี้ก็ยังมีพวกเราตอนนี้ก็ถึงขั้นอาตมาให้ไปตั้งพรรค สัมมาธิปไตย ซึ่งก็ไปตามประสาของเรา เพราะเราจะดำเนินการเมืองแบบโลกุตระ ซึ่งมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่ใช้จิตวิญญาณ ใช้คุณธรรม ใช้ปัญญา ที่สงบ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ อย่างนี้จริงๆเลย เป็นเรื่องที่พิสูจน์กันไป 

เราจะทำ เราทำได้มาแล้วนะ ที่เราไปทำงานโลกุตระทางด้านการเมืองนี้ ซึ่งใช้ภาษาได้เลยว่า เราออกปฏิวัติ ทำรัฐประหาร คือ ประหารรัฐบาล ได้ไปหลายรัฐบาลเลย ก็ไปช่วยทำด้วยธรรมาวุธ หรือเรียกให้ชัดจริงๆก็คือด้วย โลกุตตราวุธ อาวุธโลกุตระ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่มีตัวอย่างในประเทศไหนๆ..ไม่มี ที่ทำได้หลายรัฐบาลเป็นการพิสูจน์ยืนยัน ยืนยันให้เห็นว่าไม่ใช่ความฟลุ๊ค ไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่ไร้น้ำยา ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 

มันเป็นการยืนยัน รัฐบาลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ เอาเถอะจะมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มาช่วย ก็เป็นการเปิดทาง มันเป็นรอยเชื่อมต่อ มันเป็นแบบนั้น จะมีโลกีย์มาเชื่อม เป็นลิงลมอมข้าวพอง เป็นตัวเชื่อม โอเวอร์แล็ป ที่มีอะไรเชื่อมต่อ มันไม่ขาดเด็ดขาด มันก็มี 

แม้แต่ของเรายังมีเลย สุดท้ายของเราเสร็จเรียบร้อยถึงขั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พลเอกประยุทธ์เข้ามา บอกว่าขอยึดอำนาจ มันเหมือนกับเป็นลิงลมอมข้าวพอง หรือว่าเป็นโอเวอร์แล็ป ที่มันเหมือนโลกีย์ปฏิวัติ ซึ่งจริงๆไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง ไม่ได้ใช้กำลัง มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหมดแล้ว อำนาจของผู้บริหารตอนนั้นก็หมด ไม่เหลืออำนาจอะไรแล้ว แต่ไปทำตามรูปแบบ ไปทำตามนัยยะ 

ซึ่งมันก็ยากที่จะเข้าใจว่า มันเป็นการแสดงความเป็นประชาธิปไตยที่สะอาดขาวมาก ประชาชนปฏิวัติ แต่เสร็จแล้วประชาชนไม่รับตำแหน่งหน้าที่จากการปฏิวัติเลย ทีนี้ในหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช.อยู่ ก็เข้ามารับหน้าที่ ไม่เช่นนั้นจะทำยังไง ไม่มีใครที่จะต่อเชื่อมถึงผู้มีอำนาจเต็ม มันก็จะเสียหายประเทศชาติ ก็เข้ามาทำงาน

อาตมาว่ามันไม่มีอะไรจะสวยที่สุดเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทย เรื่องการปฏิวัตินี้ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าอาตมาจะเอาดีใส่ตัวเองนะ ไม่ได้พูดเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะให้เข้าใจถึงลักษณะของประชาธิปไตย ที่มีคุณสมบัติและมีคุณธรรม ที่เป็นคุณธรรมคุณสมบัติระดับโลกุตระที่มันเป็นประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดขนาดไหน เพราะฉะนั้นนักรัฐศาสตร์จะต้องมาศึกษาดีๆ ศึกษาให้เห็นตัวอย่าง ให้เข้าใจสัจธรรมตรงนี้ 

อาตมานี่อายุขนาดนี้แล้ว แต่ต่อไปก็คงจะไม่ได้ออกไปแสดงตัวอะไรมากมายนัก ตอนนี้ก็มาให้เด็กๆร้องเพลงกล่อมไป ไม่ใช่เด็กๆนะคนอายุมากก็อยากจะมาร้องเพลงกล่อมด้วยก็เอา เด็กๆด้วยก็ร่วมมาก็ขอขอบคุณทุกคนที่มีน้ำใจที่อยากจะมาร่วม เป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นผู้ที่ร่วมกัน เป็นสังคมกลุ่มเดียวกัน 

ทีนี้ประเด็นของดาไลลามะ ในโลกเขาเข้าใจ ดาไลลามะ  จริงๆมันมีนัยยะที่ซับซ้อนหลายชั้น ดาไลลามะ เป็นพุทธที่ถ้าจะพูดไปแล้ว มันออกนอกโลกุตระไปแล้ว ดาไลลามะไม่ได้เป็นโลกุตระแต่เป็นโลกียะ แต่เป็นโลกียะที่ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว แล้วก็ท่านองค์เดียวแสดงสภาพ ประชาชนไม่ได้ไปแสดงสภาพอะไรด้วย ประชาชนก็อยู่ ถูกประเทศจีนเขาครอบครองครอบงำไป ท่านก็แสดงความสงบของท่านไป ท่านก็ไม่รุนแรง ไม่ไปยุแหย่ ไม่ไปทำอะไรให้มันเกิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น โลกก็เข้าใจ มันก็ดีแล้วล่ะ มันก็ไม่ผิดอะไร ความงามงดงามของโลกียะก็ได้ 

ส่วนอาตมานั้น อาตมาไม่มีปัญหาอะไรเลย มันไม่เหมือน  แต่มีส่วนดีที่โล
กียะเขามี ทางเรามี เป็นความสงบสยบความเคลื่อนไหว ที่อธิบายไปแล้วถึงใช้ความสงบปฏิวัติด้วย ดาไลลามะไม่ได้ใช้ความสงบปฏิวัตินะ แต่โพธิรักษ์นี้ใช้ความสงบปฏิวัตินะ ทำสงครามกัน สงครามล้างกบฏ ปฏิวัตินี้ เอาความสงบไปทำสงครามคว่ำกบฏ กบฏคือผู้ที่ทรยศต่อประเทศชาติ ได้สำเร็จ อย่างนี้ เป็นต้น 

นี่เป็นเรื่องที่ค่อยๆพูด ค่อยๆใช้ภาษาสื่อสภาวะออกไป ก็จะเข้าใจในอะไรลึกๆ เพิ่มขึ้น วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน วันต่อๆไปอาจจะมีอะไรดีๆ ค่อยพูดกันตรงนี้ 

อาตมาว่า ไม่มีปัญหาอะไร เรากำลังทำสิ่งที่เป็นตัวอย่างของโลก ดำเนินไปแล้วก็สืบทอดไป ทางสมณะก็ร่วมด้วย ทางฆราวาส หมอเขียวไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งจะเป็นรูปแบบของพรรคการเมืองโลกุตระ ก็มีคนเข้าใจอยู่บ้าง ก็จะมีคนมาร่วมบ้าง เราอาจจะไม่เป็นพรรคโดดเดี่ยวเสียจนพรรคอื่นๆ เห็นว่าพวกเราเป็นหมาหัวเน่า หรือนึกว่าเราเป็นพวกแกะดำ หรือเป็นอะไรต่ออะไร คงจะไม่ อันนี้ก็พูดนำหน้าไปไม่ค่อยได้ ก็ต้องดูว่าอารมณ์ของประชาชนคนไทยนี่ หรือจริตหรือแม้แต่ภูมิปัญญาของประชาชนคนไทยจะเข้าใจอันนี้ได้มากน้อยแค่ใด ก็ค่อยๆดูไป พวกเราไม่ใช่พวกดูไบ  พวกเราดูไป คอยดูความจริงมันจะค่อยๆปรากฎเกิดขึ้นไปตามลำดับ 

เรื่องการตำหนิ อย่างที่บอกว่า “คนบางส่วนตำหนิรุนแรงสองมาตรฐานจริงๆ ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน” เขาตำหนิรุนแรงอะไรต่ออะไร ก็เขาเข้าใจอย่างนั้น ก็ต้องเข้าใจเขา แต่อาตมาว่า เขาจะตำหนิก็ยังไม่มากเท่าไร  เขาจะตำหนิรุนแรงอย่างไรก็เป็นส่วนบุคคล  ที่อาตมาว่าคนไทย อาตมาวัดตามมิเตอร์ของอาตมานะว่า คนไทยเข้าใจมากกว่าคนที่มีปฏิกิริยาบอกว่า เขาว่าพวกเรามารุนแรง มีปฏิกิริยาบ้าง อาตมาก็ว่าเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่เข้าใจดีขึ้นแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้ วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 วันขึ้น 11 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 03:06:47 )

การทำกุศลอย่าไปคิดถึงว่าจะได้คืนในชาติหน้า

รายละเอียด

ความซับซ้อนของกรรมกับแนวคิด กับการทำใจในใจ คุณควรทำกุศล แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สันโดษในกุศล ทำให้มากทำเข้าไป กุศลนั้นทำไปเถอะ แต่อย่าไปคิดถึงว่าทำไปแล้วตอนตายชาติหน้าจะได้กินได้อาศัย อย่าไปคิด เพราะในเชิงคิดหรือแนวคิดแบบนั้นเป็นแนวคิดที่ไม่จบภพจบชาติ มันเป็นสาเปกโข ปฏิพัทจิตโต สันนิธิเปกโข( หมายความว่าเก็บเป็นคงคลัง) ปริภุญชิสสามีติ (การทำทานไว้ชาติหน้าจะได้อาศัยพึ่งพา ) คุณก็ไม่จบสิชีวิตของคุณก็ต้องมีชาติหน้าไปเสวยผลชาติหน้าชาติหน้า คุณจะไม่เอาอรหันต์ คุณจะไม่จบเลย ต้องมีภพหน้าชาติหน้าไปตลอด​หรือไม่จบ มันขัดแย้งกัน เข้าใจการทำใจในใจให้ดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก กรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ทำให้มันรู้จักจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 19:46:09 )

การทำงานต้องดูผลสำเร็จของใจที่ลดกิเลสได้

รายละเอียด

ต้องดูกิเลส แล้วอนาคามี ก็มีการงานและมีการกระทบเกิดผัสสะแล้วมี รูปราคะ อรูปราคะในใจไหม ไม่ใช่ว่าไปนึกเอาเอง แม้แต่อนาคามีก็ต้องมีกระทบข้างนอกแล้วจะเกิดกิเลสที่เหลือข้างในของเราให้เห็น แต่ถ้าไม่กระทบ แม้อนาคามีก็ไม่ใช่ เพราะเป็นสัญญาหรือคิดเอาเองภายใน มันไม่ใช่ แต่ก็อาจจะระลึกได้ เพราะเป็นกิเลสภายในทีเดียว แต่มันต้องกระทบปัจจุบันนี้ถึงจะเกิดเหตุปัจจัยจริงองค์ประกอบจริง กาย-ใจจริง แล้วก็รู้กิเลสที่เกิดขึ้นจริงทันทีเป็นของจริงในปัจจุบันนั้นไม่ใช่กิเลสเก่า หรือที่นึกคิดเอาเองในอนาคตก็ไม่ใช่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:11:11 )

การทำงานทางนามธรรมจะค่อยๆรู้ไปตามลำดับ ไม่ตื่นเต้นอย่างรูปธรรม

รายละเอียด

ซึ่งในหลวง  ร.9 ท่านก็ทรงของท่าน จนกระทั่งเกิด Bomb of love ซึ่งคนที่รู้ภาษาอังกฤษดีบางคนใช้คำว่า Explosion of love หรือคำอื่นอีก ก็คือ เกิดความเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา แล้วก็ระเบิดขึ้นมาให้โลกได้รับรู้ โอ้โห! อันนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่างอาตมานี้เป็นนามธรรม กว่าคนจะรู้ มันจะไม่ตื่นเต้นอย่างรูปธรรม รูปธรรมนี้ตื่นเต้น แต่นามธรรมมันค่อยๆรู้เป็นลำดับ ธาตุ ญาณปัญญาจะซึมไปทีละระดับ ไม่โขลกเขลก วูบ เหมือนตกเหวเหมือนพลังภายในแล้วขึ้นไปสู่ที่สูง ไม่ใช่ มันจะมีลำดับยิ่งกว่าฝั่งทะเลเป็นอัศจรรย์ 

เพราะฉะนั้นไม่ใช่แบบขึ้นภูเขาทางชันไปทีเดียว มีวิชาตัวเบา วิ่งทีเดียว 10 กิโล 100 กิโลได้ทีเดียว ไม่ใช่ ของนามธรรม ไม่ใช่ตื่นเต้นแบบนั้น การทำงานของนามธรรมอาตมาทำงานจะไม่ตื่นเต้นอย่างของในหลวง ร. 9 ไม่ตื่นเต้นเพราะมีปัญญาที่รู้ไปเป็นลำดับ เนียนไปเลย ไม่ได้รู้อย่างนั้น แต่กว่าคนจะรู้และยอมรับ มีมวล มีปริมาณได้กว้างขวางได้มากพอที่จะเอามาประกาศ อาตมาประมาณไม่ได้ กำหนดไม่ได้เลยว่า มันจะเมื่อไหร่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2565 ( 09:30:46 )

การทำงานที่ต้องอาศัยคนประกอบ

รายละเอียด

คนที่ทำเพื่อสัจจะ เพื่อความเจริญของประเทศชาติ โดยไม่เห็นแก่หน้าใครเลยแข็งๆเลยไม่ต้องเอาใจใครเอาแต่สัจจะหนึ่งเดียว มันก็จะไม่มีใครช่วยมันจะเหลือน้อยมาก เพราะฉะนั้นการทำงานที่ต้องอาศัยคนประกอบได้เท่านี้เรามีคนที่ยังมีรุ่มร่ามอยู่ แต่มันมีเท่านี้จำกัดก็ต้องใช้ตามลำดับมาเรื่อยๆมันก็เป็นการพัฒนา ประชาธิปไตยไทยมันดีขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ปฐมอโศก หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 12:40:49 )

การทำงานศาสนาก็คือการทำงานการเมืองให้แก่ประชาชน

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ปรับทุกข์ ปลุกธรรม วันจันทร์ วันนี้มีแขกพิเศษมาพบกับเราก็คือ อาจารย์ยักษ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร จะมีอะไรเดี๋ยวก็คงจะได้สาธยายกัน 

อาตมาทำงานศาสนา ก็คือทำงานการเมืองของประชาชน ฟังให้ดีนะอาตมาพูดถูกไม่ได้พูดผิด การทำงานศาสนาก็คือการทำงานการเมืองให้แก่ประชาชน ในระบบของพระพุทธเจ้า การเมืองในระบบของพระพุทธเจ้า ซึ่งคนไม่เข้าใจหรอก ก็นึกว่า ธรรมะ อ้าว ก็ธรรมะนั่นแหละ คนก็ต้องมีธรรมะ คนไม่มีธรรมะได้อย่างไร 

การเมืองที่สูงสุด การเมืองที่เยี่ยมยอดที่สุด ผู้บริหารการเมืองได้ดีที่สุดและต้องเป็นหน้าที่ของท่านผู้นี้ด้วย ก็คือ พระเจ้าแผ่นดิน และพระเจ้าแผ่นดินนี่แหละ จะบริหารการเมือง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 5 พ่อครูพบ อ.ยักษ์​ วิวัฒน์ ศัลยกำธร วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล 


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2565 ( 21:12:41 )

การทำงานสามเส้าของโพชฌงค์ 7

รายละเอียด

โพชฌงค์ 7 โดยพิสดาร

ไปที่โพชฌงค์ 7 สติกับธัมมวิจัย เป็นคู่หู ที่จริงแล้วแยกได้เป็น 2 แต่จริงๆแล้วไม่แยกกันหรอก ถ้าแยกกันแล้วไม่มีงาน ไม่มีผลธรรมอันประเสริฐ เพราะฉะนั้นก็ต้องทำงานร่วมกันไปเป็นคู่สำคัญ ทำให้คู่หู 2 ตัวนี้ต้องมีวิริยะเป็นตัวพลังงาน ขาดไม่ได้ 

2 กับ 1 นี้เป็น สติ กับธัมมวิจัย รวมตัวเป็น 1 แล้วต้องอาศัยวิริยะทำงานสามเส้า รวมตัวเป็น 2 กับ 1 ถ้าสองตัวนี้แย้งกัน บวกกับลบ แย้งกัน สักวันก็จะระเบิดเหมือนระเบิดปรมาณู พลังงานบวกลบแล้วจะรอเวลาเป็น 3 

3 คืออะไร ตอนนี้เกาะกันอยู่ตัวหนึ่งตัวที่ช่วยเกาะกันอยู่คือตัวที่ 3 สุดวิสัยแล้วมันไม่เกาะแล้วตอนนี้ มันจะแยกกันแล้วก็แยกอย่างระเบิดเลยทีนี้ แยกเป็น bomb เลย ระเบิดแล้วมีแต่เรื่องทำลายชิบหาย ระเบิดอย่างบอมบ์ หรือใช้​ explorsion ระเบิด แต่ รวมตัวกันอย่างดี

ในสามตัว สติ ธัมมวิจัย วิริยะ สติกับธรรมวิจัย เป็นตัวคู่หูแล้ว มีวิริยะจะเป็นประธานของสติกับธัมมวิจัย ก็ได้ จะถือว่า เป็นผู้ช่วยก็ได้ เมื่อมันไม่มีตัวตน ไม่ถือตัวตนแล้ว สติธัมมวิจัยก็ไม่ได้ถือตัว จะถือว่าเป็นประธานก็ได้ จะถือว่าเป็นผู้ช่วยก็ได้ เห็นไหม มันหมดตัวหมดตนจะเป็นเช่นนั้น แต่ทำงานร่วมกันไม่แยกกัน ทำงานไปอย่างไม่มีอะไรขัดข้องเลยเสริมเติมกันไปตามหน้าที่ของแต่ละหน้าที่ ทำให้เต็มที่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:31:22 )

การทำงานเป็นคุณวิเศษที่ยอดเยี่ยม

รายละเอียด

ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะมี 2 ไม่ถือว่าฟุ้งซ่าน ถ้ามันออกไปมากก็จะฟุ้งซ่าน มันจะเสียผล แต่อันนี้ไม่เสียผล งานที่ยึดเป็นแกนก็ไม่เสียผล คือมีแกนนิ่งกับแกนเคลื่อนที่ ไม่เสียผลทั้งสองอย่าง ซึ่งมีคุณประโยชน์ 2 อย่างเป็นคุณวิเศษที่ยอดเยี่ยม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ตุลาคม 2562 ( 07:48:21 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:49 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:02:36 )

การทำงานเศรษฐกิจที่กอบกู้ความโง่

รายละเอียด

เพราะสังคมมีกิเลสมันก็มีแต่ตะกละตะกลามไม่พอ วัตถุแท่งก้อน ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่พอกอบโกยกัน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสก็ไม่พอ เสพย์แล้วเสพย์อีกเสพย์แล้วก็จัดจ้านขึ้น พวกเราเข้าใจแล้ว รสคือรส รูปคือรูป กลิ่นคือกลิ่น เสียงก็คือเสียง จบ มันไม่ได้ปรุงแต่งเพิ่มเติมอะไรมากมาย นี่เป็นการกอบกู้ความโง่ กอบกู้สิ่งที่มันทำให้เสียเวลา แรงงาน ทุนรอนไป คืนมาได้ นี่คือการทำงานเศรษฐกิจที่กอบกู้ความโง่ กอบกู้ความสูญเสียคืนมาได้ นี่เป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำ แต่เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ของทางเทวนิยมของทางตะวันตกต่างประเทศ ที่เป็นความรู้ของศาสดา ขาเดียว ศาสดา รู้แต่เรื่องภายนอก เรื่องวัตถุ ไม่รู้เรื่องจิตที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่สูงที่สุด เจริญที่สุดก็คือ คนจะมาเป็นคนมีวรรณะ 9 วรรณะหรือ the classes เป็นคนชั้นสูงมี 9 ขั้นอย่างพวกเราถือว่าเป็นคนมีวรรณะ 9 จริงเลี้ยงง่าย 

สุภระ ข้อที่ 1 แล้วก็มานั่งฟังธรรมเพิ่มความเจริญแล้วๆเล่าๆให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ สุโปสะ บำรุงง่าย พัฒนาให้เจริญขึ้นง่าย อัปปิจฉะ เอาแต่น้อย จนกระทั่งถึงฐาน 0 ก็ได้ สันโดษ หรือสันตุฏฐิ ใจพอ มัน 0 มันก็พอ มี 5 บาทก็พอ 10 บาทก็พอ 100 ก็พอ ใครที่มีความจำเป็นจะต้องมีเงินถึง 100 ถึง 1,000 ก็เอาขนาดนี้ พอก็คือ ไม่ไปเพิ่ม ไม่ไปแย่งชิงกับใครมาอีก มีส่วนเกินสัมผัสง่ายๆ ไม่ติด ไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียว กระจายเผื่อแผ่กันไป 

นี่คือความสำเร็จของนักเศรษฐศาสตร์หรือนักเศรษฐกิจที่สูงสุด สำเร็จถึงขั้นจบกิจ เศรษฐกิจที่จบกิจ จบคือ หมดตัวตน หมดกิเลสที่จะต้องเพิ่ม มีแต่สร้าง มีแต่ผลิต แล้วตัวเองก็อาศัยใช้สอยในสิ่งที่แรงงานที่เราทำ ความรู้ที่เราทำ ซึ่งมีเหลือมีเกินพอที่เรากินใช้ จึงเป็นคนมีกำไร จึงเป็นคนมีประโยชน์ เหลือ ก็สละประโยชน์ สละกำไรนั้น ให้แก่คนอื่นๆไป 

หนังสืออ้างอิง

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:22:25 )

การทำงานโพธิกิจ 50 ปีได้คนมีศีล สมาธิ ปัญญา ตามลำดับ

รายละเอียด

ทำงานไปก็ได้คนที่มีศีล-มีสมาธิ-มีปัญญา มีวิมุติที่เป็นสัมมาวิมุติ ได้มาตามลำดับ ได้มาจริง จนกระทั่งรวมกันเป็นกลุ่มชุมชน ใครเป็นสมาชิกชุมชนไหนก็ได้ชาวอโศก เป็นสมาชิกถาวรแล้วยกมือขึ้นซิ คนที่ไปๆมาๆก็ยังไม่ใช่นะ คุณจะอยู่สีมาอโศก ราชธานีอโศกก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นสมาชิกชาวอโศกแน่แท้ๆ ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย คนที่ยังไม่มาไม่ถาม เป็นสัมภเวสีอโศก แสวงหาที่เกิดแล้วก็ไม่มาเกิดเสียทีไม่เข้าสู่ครรภ์เสียที อยู่นอกครรภ์เป็นลูกนอกไส้ เดี๋ยวถูกขับออกจากไส้นะ เราพูดกันอย่างนี้เข้าใจดีเป็นรูปธรรมนามธรรมที่มันชัดเจน ใช้บัญญัติภาษามาใส่แทนก็ชัดเจนดี ก็อย่าประมาทว่าอาตมาจะอยู่เท่านั้นปีเท่านี้ปี จะไปอีก 151 ปีอีกตั้งนาน ไม่แน่หรอกจะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลย หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย แค่นี้แหละ หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกันเลย เอาอะไรกันนักกันหนา ทำงานไปก็ได้คนที่มีศีลมีสมาธิ มีปัญญาอย่างสัมมาทิฎฐิมีวิมุติพอสมควร ศีล สมาธิ ปัญญา มีคนที่ปฏิบัติศีล อย่างสีลัพพตุปาทานเยอะในชาวพุทธ ยังมี หยาบ กลาง ละเอียดอีก แต่ยังไม่อธิบาย

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 พ่อครูบวชมาย่าง 50 ปี มีผลอะไร 1 วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 15:39:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:24:41 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:03:12 )

การทำงานไม่ต้องเบื่อ ถ้าเบื่อ คือโง่ไม่รู้สาระสัจจะ

รายละเอียด

หากคุณเลี่ยงการทำงาน คุณคิดผิด  สัตว์เดรัจฉานมันก็ทำงานหาเลี้ยงชีวิตตัวเอง  แต่ไม่ต้องไปทำงาน ไม่ต้องไปแย่งชิงคนทำอาหารมาเลี้ยงเราหรอก  คนที่ทำอาหารให้กิน  มีไม่เท่าไหร่ก็พอ แต่คนทำงานด้านอื่นๆ  ของสังคมโดยเฉพาะ ไปบริหารมีหน้าที่่อีกเยอะที่เขาจะเลี้ยงไว้เอง ไม่ต้องห่วงหรอก สรุปแล้วมาทำงานไม่ต้องเบื่อ  ถ้าเบื่อนี้มันโง่แล้ว  มันไม่มีทางออก ไม่รู้สาระสัจจะ คนคือกรรม การกระทำ กรรม  กัมมันตะ  คือกรรมกับอันตะ  อันตะคือที่สุด คนมีการกระทำที่เป็นกรรม ทำอะไร ทำแต่สิ่งที่ดี  ที่ชั่วเลิกทำ เป็นคนที่มีคุณธรรม ได้สูงสุด คือเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่าย  บำรุงง่าย มักน้อย สันโดษ เป็นคนขัดเกลากิเลส ขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดี งามอยู่ อะไรที่บกพร่องอยู่ วาสนาแก้ไม่ได้ก็แก้วาสนาทำให้เจริญขึ้นเป็น สัลเลข ธูตะ  ทำตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนจนสมบูรณ์ เป็นอาการน่าเลื่อมใส  ปาสาทิกะ  แล้วก็เป็นคนไม่สะสม  อปจยะ แล้วเป็นคนปรารภความเพียรเสมอ ขยันเสมอ วิริยารัมภะ นี่คือคนชั้นสูง คนคลาสสิค วรรณะ 9

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  25 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2562 ( 20:15:42 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:28:20 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:03:47 )

การทำจิตตนให้หลุดพ้นได้ 

รายละเอียด

การทำจิตตนให้หลุดพ้นได้  คือ  เริ่มต้นทำได้เพราะมีผัสสะมีเวทนา  ตามมูลสูตรโพธิปักขิยธรรม37  เป็นต้น  เราทำได้ผลจึงเกิดผลทางกายและจิตซึ่งจริง  จริงไปเพื่อไม่มีตัวตนไม่ใช่จริงไปเพื่อมีตัวตน  หรือมีของของตนมากขึ้น  แต่เป็นไปเพื่อไม่มีตัวตน  ไม่มีของของตนมีแต่ส่วนกลาง  แล้วก็ร่วมกินใช้ไปจนตาย  ตายแล้วไม่ต้องห่วง  เขาจัดการให้เสร็จตามจารีตประเพณี

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:03:49 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:15:20 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:04:18 )

การทำจิตในจิต

รายละเอียด

ภาษาบาลีเรียกว่ามนสิการ ต้องทำให้โยนิโสฯ ให้ถึงที่เกิดให้ถ่องแท้แยบคายละเอียดลออไปถึงที่เกิดแท้ แล้วทำให้กิเลสภายในตรงที่มันเกิด ตัวไหนที่มันเกิดแล้วเราจะให้ตายก็ต้องแยกให้ละเอียด ตัวนี้แหละจะให้มันตาย ไม่ใช่ไปทำให้จิตวิญญาณของเราตาย เนื้อแท้จิตวิญญาณไปทำให้ตาย ไม่ใช่ ต้องทำอาคันตุเก แขกจรให้ตายไป ไม่ใช่จิตเดิมแท้เราตาย เราให้ตัวปลอมที่มาในจิตเราตาย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:08:36 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:16:13 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:04:54 )

การทำจิตในจิต

รายละเอียด

“การทำจิตในจิต(มนสิการ)”ที่เป็น“แดนเกิด (สัมภวะ)”สัมมาทิฏฐิกันจริงได้ เราก็สามารถทำ“ความเกิด”ของ “จิตในจิต”ของตนได้ และทำ“การตาย”ของ“จิตในจิต”ได้แท้

      นั่นคือ ทำ“การตาย”ให้แก่จิตและทำ“การเกิด”ให้แก่ “จิต”ได้เป็นส่วนๆได้อย่างพิเศษวิเศษจริงๆ  

      เช่น เราทำภาวะใดของ“จิต”เราให้“ไม่มีชีวะ”ได้ ส่วนนั้นก็คือ “อุตุนิยาม” คือ ภาวะ“ไม่มีชีวะ” หรือ“ตาย”

      หรือเราทำภาวะใดของ“จิต”ให้“มีชีวะระดับพืช”ได้ ส่วนนั้นก็คือ “พีชนิยาม” คือ ภาวะ“มีชีวะ” แต่ไม่มี“เวทนา”

      หรือเราทำภาวะใดของ“จิต”ให้“มีชีวะเจริญขึ้นๆ” เป็น“อาริยบุคคล”ได้แต่ละระดับ ส่วนนั้นก็“เกิด” 

      ซึ่งมี“การตาย-การเกิด”ของ“จิตในจิต”เท่านั้น 

      ไม่ใช่“การตาย-การเกิด”ของ“ชีวิตทั้งหมด ชนิดที่ “สิ้นลมหายใจ”ไป  จึงเป็น“การตาย-การเกิด”ของ“ชีววิทยาทางจิต” ที่ทรงค้นพบโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

      ความยังมี“ชีวะ”อยู่ แต่เราแยก“กาย”แยก“จิต”ได้ตามที่สาธยายมานี้จึงเป็นสุดยอด“วิชชา”

      และสุดยอดจริงๆที่ทำได้ทั้ง“ทำเวทนาในเวทนา-ทำจิตในจิต”ของตน ให้เป็นไปได้ถึงขั้น“เกิด”ขั้น“ตาย”สำเร็จแน่แท้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:40:47 )

การทำจิตในจิต

รายละเอียด

ผู้เรียนรู้และฝึกฝน“การทำจิตในจิต”ที่จะ“พ้นอวิชชาสวะ 8”ได้นั้น จึงคือ การเรียนรู้“กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”นี้แล ที่มี“กาย”ร่วมอยู่ด้วยตลอดการปฏิบัติกระทั่งบรรลุธรรม“พ้นอวิชชาสวะ 8”

      ผู้จะกำจัดกิเลสที่“จิตในจิต”มันยังเกิดอยู่ ต้องเริ่มจากเบื้องต้น ในขณะมี“สัมผัส”ทาง“กายภายนอก”กับ“กายภายใน”อยู่ใน“กามาวจร” ที่มี“กิเลสกาม” จึงจะเป็นไปตามลำดับ อย่างถูกต้องถ่องแท้

      ไม่ใช่“หลับตา”ปฏิบัติ  นั่นเป็นการปฏิบัติลัดขั้นตอน

      ต้องกำจัด“กิเลสกาม”ใน“กามาวจร”ได้ก่อน แล้วเมื่อเหลือ“กิเลส”ที่มันเกิดอยู่ใน“รูปาวจร”ต่อไป ในขณะที่เราก็มี“กาย”มี“กามาวจร”อยู่นั่นแล แต่“กิเลสกาม”หมดไปแล้ว

ต่อจากนั้นจึงกำจัด“กิเลส”ใน“รูปาวจร”ที่เหลือ เป็นลำดับๆ

      ซึ่งการปฏิบัติก็อยู่ในหลัก“จรณะ 15 วิชชา 8”ซึ่งมี“อธิศีล”ปฏิบัติ“โพธิปักขิยธรม 37”ไต่ระดับสูงขึ้นไปเป็น“อธิจิต-อธิปัญญา”นั่นเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:55:19 )

การทำจิตในจิตขณะมีชีวิต

รายละเอียด

ขณะมี“ชีวิต”เราก็สามารถทำ“จิตในจิต”ของเราให้ “ไม่มีกิเลส” ถึงขั้น“ไม่มีอาสวะ”ของ“กิเลส”ได้แล้วเป็นที่สุดกระทั่งหมดสิ้น“อวิชชาสวะ 8”           

      ซึ่งมีข้อแม้สำคัญ ว่า ต้องมี“กาย”ร่วมด้วยเสมอ

      คนผู้ยังมี“ชีวิต” มี“นาม”มี“รูป”ครบ“ขันธ์ 5”ปานนั้นต้อง“สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”เรียนรู้ฝึกฝนตน จึงจะได้รับมรรคผลครบ“จิต เจตสิก รูป นิพพาน”สำเร็จบริบูรณ์ได้จริง เป็น“ปัจจุบันชาติ(ทิฏฐธรรม)”นั้นๆกันเลย ครบ“กาย-จิต”    

      หาก“หลับตา”ปฏิบัติก็ดี หรือลัทธิมี“พระเจ้า”ที่ “ลึกลับ”อยู่ แบบ“เทฺวนิยม”ก็ดี ซึ่ง“พระเจ้า”สัมผัสไม่ได้

ด้วย“กาย” ไม่มีทฤษฎีแบบ“โลกุตระ” ก็ไม่สามารถเรียนรู้ “เวทนา”ให้ศึกษาความเป็น“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”

      เพราะมันไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วย“ทวาร 5” ยังเป็น คนที่่ีไม่มี“กาย”ก็ยังไม่เต็ม“คน” จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบไม่ได้

      ซึ่ง“กาย”ที่เป็นส่วน“ภายนอกทวาร 5”นั้นคนปกติมันต้อง“มีในชีวิต“ลืมตา”ตามสามัญ จึงจะเรียนรู้ให้“จบ”ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:51:55 )

การทำจิตให้มีสภาพอุตุเป็นพีชะ

รายละเอียด

การทำจิตให้มีสภาพอุตุเป็นพีชะ คือ ถ้าเราทำจิตให้เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ตายแบบอุตุแล้วได้เลยนี่คือ อรหันต์นี่คือการบอกเคล็ดลับไม่รักกันจริงไม่บอกนะ นี่แหละคือพระอรหันต์ ถ้าคุณทำจิตให้เป็นพีชะ อุตุ ไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ยกตัวอย่างเล็บ ส่วนไหน เป็นจิต ส่วนไหนเป็นพีชะ ส่วนไหนเป็นอุตุนิยาม ทำจิตให้เป็นอาการพีชะได้โดยจิตไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขได้ นี่คือ พีชะ แล้วมันก็ยังอยู่ในจิตเราแต่ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ ไม่เสียเวลา คนเราเสียเวลาอยู่กับความสุขความทุกข์ทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนอนดีกว่าเป็นสุข เดี๋ยวนั่งสมาธินิ่งๆ ก็เป็นสุข คุณก็ต้องเสียเวลากับมันเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 09 ตุลาคม 2562 ( 08:46:44 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:18:05 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:05:31 )

การทำจิตให้เป็นพีชะ

รายละเอียด

เป็นชีวะ แต่ทำให้เป็นพีชะให้ได้ทั้งๆที่มันเป็นจิตนิยาม เป็นจิตรู้ครบรู้ถ้วน แต่คุณสามารถทำให้จิตมันเป็น พีชะธาตุได้ จิตที่เป็นเหมือนกับพืช ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่มีกิเลส กิเลสตัวที่มันไปโง่ เป็นเวทนาสุขทุกข์ พอไม่มีกิเลส ไม่ไปยึดถือเวทนาว่าเป็นเรา สุขทุกข์ เวทนาก็เป็นกลางๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น เจ็กไทยแขกฝรั่งก็เรียกไปตามพยัญชนะแต่ละที่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 21:23:10 )

การทำจิตให้เป็นพืชหรือเป็นอุตุตั้งแต่เป็นๆ

รายละเอียด

นี่แหละ คนที่จะตรัสรู้ ย้ำอีกที จะต้องรู้ธรรมนิยาม 5 นี้ กรรมกับธรรมะ แยกไว้สอง กรรมคือคุณต้องทำ เป็นสภาพ Static กับ Dynamic เป็นสภาพรูปกับนาม 2 ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวทรงไว้เรียกว่า ธรรมะ ตัวหนึ่งเป็นตัวกระทำเรียกว่า กรรม ตัวตั้งเป็นตัวหลักทรงไว้ กับตัววิ่ง 2 อย่าง แล้วทำงาน แล้วทำอะไร 

ทำจิตของคุณให้เป็นพืช หรือเป็นอุตุให้ได้ ตั้งแต่เป็นๆนี่ยังไม่ตายนี่แหละ คุณสามารถที่จะทำได้ ตั้งแต่เป็นๆยังไม่ตาย เช่น 

เอาใกล้ๆนี่ อ้าว เราติดหอมหัวใหญ่ ติด โอ้ยชอบจังเลย ได้กินวันละหัวสองหัว ซึ่งมันคงจะมากไปนะ กินวันละหัวสองหัว สงสัยธาตุของมันอยู่ในนี้ร่างกายเรา มันจะมาก สังเคราะห์ร่างกายมันคงจะเว่อร์(เกินไป) ให้เอาเฉพาะพอดีที่ใช้งานได้ เพราะเราติดมันมาก ก็เลยจะกินมันมากเกิน กินทุกวันและจะกินมากเกินกว่าควรด้วย

สารพัดจะกินก็ปรุงแต่งไปสารพัดนะ มันมากไปมันก็เสียเลย คุณก็จะหนัก คุณก็จะเต็ม (ร่างกาย)เต็มไปด้วยเฉพาะธาตุอันนี้  ธาตุอันอื่นๆ ยังมีอีกเยอะแยะที่เราต้องอาศัยมัน อันนี้ก็มีธาตุในตัวมันจำนวนหนึ่งประมาณหนึ่ง มันไม่ครบหรอก คุณจะกินอันนี้มากไปก็พิการแล้ว เพราะฉะนั้นต้องกินทุกๆอย่างเฉลี่ยกัน พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆมันก็มีธาตุอาหารต่างๆกัน ถ้าเรากินพืชพันธุ์ธัญญาหารหลากหลาย อย่าไปกินแต่อย่างเดียว กินหลากหลาย พืชพันธุ์ธัญญาหารที่สะอาดที่ดี ที่ไร้สารพิษ ที่เป็นประโยชน์ ยิ่งมีความรู้ในพืชพันธุ์ธัญญาหารมีธาตุนั้นธาตุนี้ เดี๋ยวนี้เขาก็เรียนกัน ชัดเจนทุกอย่าง แล้วคุณก็กินที่มันมีอยู่ในพืชชนิดต่างๆ มันก็ครบ ก็อยู่ได้ ก็จะอายุยืนยาว 

อย่างอาตมานี่ก็ฝืนอายุขัยตัวเองมาตั้งแต่อายุ 72 มันเลย 84 มาได้ 1 นักษัตรแล้ว เดี๋ยวไปถึง 96 จวนแล้วๆ ก็ประมาณ 8 ปีก็ถึง 96 ก็จะไปได้ ยืดอายุขัยตัวเองไปถึง 96 ก็จะดู จะดูความจริงว่าเราอายุ 96 สภาพความสังขารที่มันปรุงแต่งกัน มันจะมีธาตุที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา เรียกง่ายๆว่า มันจะหนุ่มขึ้นมั้ย ถ้ามันมีลักษณะหนุ่มขึ้นมานะ อาตมาถึง 120-133 ตามที่ต้องการได้แน่เลย มาดูตอนอายุ 96 

อาตมาตั้งแต่อายุ 20 กว่า หน้ากระดูกดูแห้งกว่านี้เยอะเลยนะ ตั้งแต่อายุ 20 30 กว่า เดี๋ยวนี้อายุ 80 กว่า อาตมาว่าหน้าเต็มเปล่งปลั่ง อันนี้พูดสัจจะ ไม่ได้พูดยกยอตนเองแบบโลกๆเขาหลอก พูดสัจจะให้ฟัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 21:33:18 )

การทำจิตให้เป็นอุตุ พีชะ

รายละเอียด

คือ  หากอรหันต์จะทำจิตให้เป็นพืชเป็นอุตุ ก็กลับคืนสู่ธรรมชาติในนิยาม 5  ความแตกต่างระหว่าง อุตุ  พีชะ  จิต  ที่เป็นสัตว์  ไม่ใช่เป็นเรื่องสามัญที่จะทำได้ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เรื่องนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่  อาตมาเข้าใจแล้วก็เห็นว่า นักบวชในศาสนาพุทธยุคนี้ คนใดที่อธิบายรายละเอียดพวกนี้  ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องหัวใจศาสนาพุทธ  เรื่องแยกพลังงานระดับ  อุตุ  พีชะ  จิต   เช่นพระพุทธเจ้าบอกเป็นวินัยเลยว่า  เมื่ออุปัชฌาย์บวชภิกษุใหม่  ต้องให้ลูกศิษย์แยกกายแยกจิตได้  คือ ให้รู้ว่าอุตุเป็นพลังงานระดับไหน  พีชะเป็นพลังงานระดับไหน  จิตเป็นพลังงานระดับไหน  ถ้าไม่รู้เรื่องอย่างนี้แล้วบวชมาก็ไร้ประโยชน์ บวชมาไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้  ถ้าแยกแค่ว่า อุตุ พีชะ จิต ไม่ออก แล้วมีพยัญชนะที่ร่วม พีชะ กับจิต  คือ กาย  เมื่อใดเป็นกาย  เมื่อใดเป็นจิต  เมื่อใดเป็นพืช  หากแยกแค่นี้ไม่ได้  บวชไปก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ท่านให้เรียนรู้แยกกายแยกจิต  จากองคาพยพตนเอง  ร่างกายที่เป็นส่วนภายนอก ที่จะหยิบมาขยายความให้เห็นว่า เมื่อใดส่วนใดของร่างกายเป็นอุตุ  เมื่อใดส่วนใดของร่างกายเป็นพีชะ   เป็นพีชะในระดับที่จะไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ  จึงจะสามารถทำจิตให้รู้ว่า  จิตมันเป็นพีชะ   จะต้องไม่มีเวทนา  ไม่มีวิญญาณ  เมื่อปฏิบัติทำจิตตนไม่ให้มีเวทนา  ไม่มีเวทนา  คือ  ไม่มีเวทนาเก๊  ไม่มีความสุข ความทุกข์  ไม่มีความชอบ  ไม่มีความชัง  ก็ไม่มีบาป  ไม่มีบุญ   แต่เป็นชีวะ  เป็นทำงานที่ต้องควบคุม  จัดการเจ้าของพลังงาน อย่างเช่น หัวไช้เท้า มันก็มีพลังงาน ที่มันจะเป็นพืชของมัน มันก็สรรหาสารตระกูลหัวไช้เท้าของมัน    สับปะรด  ประธานก็สั่งการให้สร้างออกมาเป็นสับปะรด มันก็เลือกธาตุอาหารอะไรมาสังเคราะห์ สร้างชีวะของตัวเองเป็นอย่างที่เป็น  เป็นสัตว์โลกเป็นคนจึงจะสามารถศึกษาสิ่งเหล่านี้ได้  และมาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า จึงสามารถอาศัยพลังงาน อุตุ พีชะ จิต ทำจิตตนให้เป็นอุตุได้   ในขณะตอนเป็นไม่ใช่ตอนตายไปแล้ว  หรือจะอาศัยอยู่ก็เป็นพีชะ  เป็นจิตที่ไม่มีความสุข  ไม่มีความทุกข์  ไม่มีบาป  ไม่มีบุญแล้ว  นั่นคือพระอรหันต์  ดังนี้เป็นต้น  หากเข้าใจและทำจิตอย่างนี้ไม่ได้จะไปบวชให้เป็นอรหันต์ได้อย่างไร  พืชก็คือพืชเท่านั้นไม่ได้เป็นจิตวิญญาณ  แต่มันซับซ้อน  คนเป็นพืชแล้วมีจิตวิญญาณ  จึงเป็นคนที่เป็นทั้งพืชและภูต  อาตมายืนยันว่าอาตมาสัมมัตตะ  คุณต้องศึกษาให้ดีๆ  ไม่งั้นก็จะไปไม่ได้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 05 ธันวาคม 2562 ( 10:37:50 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:32:54 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 05:07:24 )

การทำฌานทำสมาธิของพระพุทธเจ้าอยู่ในสภาวะปกติสามัญ

รายละเอียด

มันเป็นปกติสามัญสำหรับของฌานพระพุทธเจ้า เป็นปกติสามัญที่มีโพธิปักขิยธรรม มีโพชฌงค์ 7 มีมรรคมีองค์ 8 เป็นคู่ ปฏิบัติตามฐานของมรรค 8 โดยมีโพชฌงค์ 7 เป็นตัวประกอบตั้งแต่ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์  วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ 

ประกอบกรรมการงานอาชีพอยู่เป็นปกติสามัญ การทำฌาน การทำสมาธิของพระพุทธเจ้า อยู่ในสภาวะปกติสามัญ ไม่ได้เป็นสภาวะจะต้องไปสร้างสถานการณ์ ต้องไปมีวิธีการอะไรอื่น ไม่ใช่แต่เป็นเรื่องของสามัญ ประกอบอาชีพอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์จากพ่อครูผู้ตามรอยบาทพระศาสดา วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤษภาคม 2565 ( 10:47:09 )

การทำดีแบบโลกุตระ เป็นอย่างไร

รายละเอียด

พุทธาภิเษกฯ เราก็ย่างเข้ามาได้วันที่ 4 รายการอาตมาเป็นรายการสุดท้ายของวัน ชีวิตอาตมาก็ย้ำพูดซ้ำพูดซากจนกระทั่งพูดมา 50 กว่าปีนี้ อาตมาก็ไม่เก่งที่จะพูดอะไรต่ออะไรให้ได้พิสดารไปมากมาย ก็วนเวียนอยู่แต่ในคำสอนพระพุทธเจ้า ที่เอาหัวใจ หรือเอาหลักการของธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ มาสอนมาอธิบายมาขยายความ ซ้ำซาก แต่ซ้ำซากก็ต้องฟัง เพราะมันเป็นธรรมะอันเป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช่คนจะมารู้ได้ง่ายๆ 

ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายที่เป็นศาสดาอยู่ในโลก เป็นเจ้าของศาสนาเลยนะ ซึ่งแพร่หลายยิ่งกว่าศาสนาพุทธ แพร่หลายจริงๆ คนยอมรับนับถือกันมากมาย ครึ่งค่อนโลกเลย มีสมาชิกหรือมีผู้เป็นศาสนิกของเขามากมาย แต่ของพุทธเราไม่มากหรอก นอกจากไม่มากแล้ว ในศาสนาพุทธเองแท้ๆนี่ก็ยังยาก ที่จะถือว่าเป็นผู้ที่มีภูมิธรรม มีปัญญาที่จะเข้าใจถึงลักษณะของศาสนาพุทธอันเป็นโลกุตระ ความรู้ของศาสนาทั่วไปก็เป็นศาสนาที่ทุกคนจะพูดตรงกันหมดว่า ศาสนาทุกศาสนาเป็นศาสนาที่พาให้คนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว ให้คนละชั่วมาเป็นคนดี ถูกต้องหมด ของพุทธก็ไม่ละเว้นก็เป็นคนที่มีอย่างนั้นด้วย

ซึ่งอาตมาก็ได้ย้ำให้ฟังแล้วว่า ศาสนาพุทธก็พาคนมาทำดี และสามารถทำดีได้อย่างถาวรด้วย  หมายความว่าอะไร หมายความว่า ทำดี กายกรรม วจีกรรม  มีมโนกรรมเป็นประธานนั้น จิตวิญญาณหรือมโนนั้น สามารถรู้จักเหตุแห่งการทำดีด้วย แล้วละเหตุแห่งการทำชั่วนั้น จึงไม่ทำชั่วอย่างเด็ดขาด สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) เพราะฉะนั้นกรรมทุกกรรมของผู้ที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จึงทำดีตลอดกาล ไม่ทำชั่วอีกเลย แม้จะมีการกระทบสัมผัสยั่วยุ ปลุกเร้า ให้ไปทำชั่วอีกด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ไปทำอีก จึงเป็นการทำดีแบบโลกุตระ ไม่ได้เป็นการทำดีแต่แค่โลกียะเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ 


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2566 ( 12:09:04 )

การทำทานที่ดีที่สุด ต้องทำอย่างไร

รายละเอียด

ใช่ อธิบายได้ชัดเจนดีนะ การทำทานของพระพุทธเจ้าท่านที่ดีที่สุดแล้ว คือทำทานแล้วไม่ต้องคิดหวัง ไม่ต้องมีอาการความหวังอะไรต่อ ไม่มีอาการจิตที่จะหวังว่าให้แล้วนี่คือมีเราตามไปกับการให้ ไม่มีเราไม่มีตัวเราไปกับการให้ ให้แล้วก็หายไปเลย ให้แล้วก็วางไปเลย ไม่เกี่ยว หายไปเลย นั่นคือ ทำทานที่ดีที่สุดให้ทานและเสียสละ เป็น 0 

การทำงานกับสังคมทำงานกับมนุษย์ไม่เรียกว่าทาน แต่เรียกว่าทำงานรับใช้เสียสละ อย่างเช่นนักการเมืองหรือว่านักบริหารประเทศ ทำงานรับใช้ประชาชนอย่างซื่อสัตย์ แล้วก็ไม่คิดไปทวงบุญคุณอะไรจากเขา ไม่จดไม่จำ ที่ว่าเราทำดีแล้วจะไปคิดเป็นบุญทวงบุญคุณ จะทำดีกับคุณ ไม่ต้อง ให้เราลืมไปเลยสำหรับตัวเรา ลืมไปเลย ส่วนเขาจะตอบแทน จะกตัญญูกตเวทีหรือไม่เป็นเรื่องของเขา 

 ผู้ที่มีภูมิธรรมมีปฏิภาณปัญญาก็จะตอบแทนบุญคุณ เป็นธรรมดา สัจจะมันจะเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปตั้ง ว่าจะต้องทำอะไรแล้วจะต้องได้รับอะไร แลกเปลี่ยนหรือตอบแทนมา ไม่ต้องเลย นี่คือการเสียสละอัตตา

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2565 ( 12:09:21 )

การทำทานที่ล้างกิเลสได้

รายละเอียด

ปันอัตถิทินนัง ถึงได้อานิสงส์ทานได้ล้างกิเลส  แต่ครูบาอาจารย์สอนกันทำการมีแต่เพิ่มกิเลส   สร้างกิเลส สอนอย่างนี้ไม่มีนิพพาน  การทำทานไม่ต้องไปสร้างอะไรใส่จิตอีก  แต่ผลของกุศลมันมีอยู่แล้ว   คนทำชั่วกุศลก็ยังมีเลย  คนทำชั่วเป็นการทำทานที่หวังผล ไปปล้นมาทำทานก็เป็นความซับซ้อน   แต่ก็ได้ผลในการทาน  ผลของกุศลคุณได้มีเงินทุจริตแล้วเอามาทำทาน  คุณก็ได้กุศล  แต่มันไม่ได้ล้างกิเลส  เพราะวัตถุทานก็ไม่บริสุทธิ์ ใจก็ไม่บริสุทธิ์ มันมีกิเลส เพราะฉะนั้นคุณไม่ได้บุญเลย  แต่ว่าคุณได้กุศล  แม้ว่าทำแบบทุจริต  ก็ยังมีกุศลเลย ความซับซ้อนในสิ่งที่มีและไม่มี นัตถิ กันอัตถุ โลกสมุทัย  กับโลกนิโรธ  แม้แต่การทำทานในสัมมาทิฎฐิ  ข้อแรกก็ยังไม่ง่ายเลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช  วันจันทร์ที่  11  พฤศจิกายน 2562                            


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:54:05 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:35:58 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:28:38 )

การทำทานโดยไม่มีมรรคผล

รายละเอียด

มันเข้าใจยากนะ  ติดกันมากกว่า ทานแล้วต้องได้ ทานมีผลกุศล แต่ทานไม่มีผลฆ่ากิเลส ทานนี้ไม่มีผลฆ่ากิเลส  คุณทานแล้วจิตคุณยังสร้างภพชาติ  จากทานมีผลตอบแทนสั่งสมเป็นปฏิพัทธ์  ยังเกี่ยวข้องเป็นสันนิธิตกผลึกไว้ในชาติหน้า เป็นการทานอย่างสร้างชาติทั้งนั้น  ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ให้ทำแบบนั้น ท่านให้ทานแบบสูญไปเลย  มันก็ได้กุศล แต่ถ้าทานอย่างมีภพชาติ ไม่ได้ล้างกิเลส

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  11  พฤศจิกายน 2562                           


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:53:11 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:30:04 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:30:33 )

การทำธนาคารอาหาร ดอกไม้จะบานก็บานเอง

รายละเอียด

ดีมาก ก็ค่อยๆเกิดไป เราไม่ตะกละไม่รีบร้อน แต่ถ้าได้เร็วๆก็ดีแต่เราบังคับกันไม่ได้ เราก็รีบร้อนไม่ได้ มะม่วงจำบ่มไม่ได้ ดอกไม้มันจะบานก็บานของมันเอง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2563 ( 15:05:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:37:51 )

การทำนายพยากรณ์มีเหตุปัจจัยเป็นตัวเค้า

รายละเอียด

มันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์มากกว่าเป็นอนาคตังสญาณ แต่ก็ไม่อยากพูดมากเรื่องนี้ มันต้องมีเหตุปัจจัยก็แล้วกัน อาตมาจะทำนายพยากรณ์ต้องมีเหตุปัจจัยเป็นตัวเค้า สรุปอีกที มันรวมทั้งรูปทั้งนาม รวมทั้งกายทั้งจิต อาตมาอธิบายธรรมะเรื่องกายเรื่องจิต รูปนาม หรือเทวะ พยัญชนะพวกนี้อาตมาต้องอธิบายให้ละเอียดละออคนจะได้เข้าใจ สรุปแล้ว ทุกอย่างมันลงที่เทวหรือธรรมะ 2 จะเป็นรูปเป็นนามหรือเป็นกาย มันเป็นภายนอกภายใน เป็นวัตถุกับวิญญาณ เป็นคู่ที่ต้องร่วมกันตลอด เพราะฉะนั้นไปจะไปศึกษาธรรมะแบบอยู่เดี่ยวๆนั้นเลิกเลย เลิกได้เลย จะไปอยู่แต่เดียวจะเป็นอิสรเสรีพวกนี้ คุณตายอย่างน่าสงสารตายโด่เด่เลย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2563 ( 13:36:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:38:47 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:48:13 )

การทำบุญ การทำทาน

รายละเอียด

การทำบุญคือทำใจในใจให้เกิดพลังงานลดละกิเลส แต่ถ้าหมายถึงทำทาน ถ้าคุณมีสิทธิ์จะทำทาน หากเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารเอามาทำทานก็ตามสบาย แต่ถ้าเอาเงินเอาธนบัตรมาทำทาน คุณจะต้องรู้จักชาวอโศก มีโอกาสเข้ามาที่วัดนี้ 7 ครั้งขึ้นไป ถ้าไม่ได้มาที่นี่อย่างน้อย 7 ครั้งไม่มีสิทธิ์เอาเงินมาทำทาน หรืออ่านหนังสือธรรมะของชาวอโศกอย่างน้อย 7 เล่ม มีคนบอกว่าดูโทรทัศน์ประจำเลย ดูเกิน 70 ครั้งแล้ว ก็เอาล่ะ พอจะทำทานได้บริจาคเงินได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 15:32:29 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:38:49 )

การทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน 3 แบบ

รายละเอียด

ยังไม่เคยได้ยินใครใดเลยที่อาตมาเคยฟัง บรรดาอรรถกถาจารย์ บรรดาศาสดา บรรดาผู้ที่พูดอธิบายกันให้เข้าใจชัดเลยว่า จิตผู้ที่เป็นนิพพานได้ถึงอรหัตผลสูงสุดขึ้นไป จะทำปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมายความว่า แยกธาตุตัวเองให้เป็นอุตุนิยามไปเลย  ตายแล้ว จิตตั้งเลย 

ตั้ง คือไม่ตั้ง ตายด้วย อนิมิต ตายด้วย อปณิหิต ตายด้วย สุญญตา กลายเป็น อนิมิตนิพพาน อปณิหิตตนิพพาน สุญญตนิพพาน หมายความว่า ตายด้วยลักษณะสามนี้ คือตายแบบไม่สร้างนิมิตอะไรขึ้นในจิตอีกเลย ไม่ตั้งจิตตั้งใจอะไรอีกเลย จิตปล่อยเลย สูญไปเลย อนิมิต อปณิหิต และสุญญตา นี่คือ การปรินิพพานเป็นปริโยสาน ของพระอรหันต์ทุกองค์ที่ทำได้แล้ว อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์คือผู้เจริญกว่าอรหันต์ คนอาจจะเข้าใจได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมเพราะอาตมายืนยันสิ่งเหล่านี้มาก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 16:56:13 )

การทำผิดต้องถูกตำหนิติเตียนอย่างไร

รายละเอียด

ต้องขออภัย มันเป็นความจำเป็นที่ต้องตำหนิ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำในสิ่งที่ควรทำ ยกย่องสิ่งที่ควรยกย่อง แต่สิ่งที่ควรจะยกย่องมันมีน้อย พอจะยกย่องคน มันก็มาถูกชาวอโศกอีก มันก็เลยยากที่จะยกย่อง ยกย่องก็หาว่ายกย่องพวกตัวเอง เพราะว่าอันนี้ก็คืออันนี้ การจะยกย่องตัวเองพวกตัวเองมันก็ไม่สวย อาตมาจะแก้ไขสิ่งที่ผิด แต่สิ่งที่ผิดมันเยอะการทำผิดนั้น ต้องถูกตำหนิติเตียนอย่างเร็ว พระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนกับผ้าที่ชุบน้ำมันพันอยู่บนหัว มันไหม้ไฟอยู่ต้องรีบเอาผ้านี้ออกไปอย่างเร็ว ต้องรีบต้องเร็วให้เอาพิษภายในออก เอาผ้าร้อนนี้ออกไปไม่ให้ไหม้หัว พระพุทธเจ้าก็บอกไว้  อีกสำนวนหนึ่งคือ เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีก เราจะไม่ทำกับเธออย่างช่างปั้นหม้อที่ทำกับเธออย่างทะนุถนอม แต่เราจะขัดแล้วขัดอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2561 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:45:05 )

การทำลายกิเลสตั้งแต่โสดาบันจนถึงอภิภูก็ต้องลืมตาตลอดกาล

รายละเอียด

คุณเป็นโสดาบันก็ทำลายกิเลสได้แล้ว ก็ยังเปิดตาหูจมูกลิ้นกายรู้อันนี้อยู่ เป็นสกิทาคามี คุณก็ฆ่ากิเลสในจิตต่อไปอีก กิเลสที่หยาบและละเอียดขึ้นไปอีก ก็ถูกฆ่าอีก คุณก็ยังลืมตาอยู่กับสิ่งนี้อยู่ อยู่เหนือมัน เรียกว่าโลกุตระ เป็นอุตตระ

อนาคามีก็เหมือนกัน ฆ่ากิเลส ละเอียดภายนอกหมดเหลือแต่ภายในของตนเองไม่เกี่ยวกับของคนอื่นแล้ว ก็ยังลืมตาอยู่ตรงนี้แหละ เป็นอรหันต์ก็ตาม ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ ยิ่งเป็นอภิภู ยิ่งมีรูปภายนอก และนามภายใน เป็นคู่แรกเลย ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น พลาดความรับรู้จากทวารนอกไม่ได้ ผู้รู้ต้องมีภายนอกเป็นพื้นฐาน แล้วคุณจะรู้รายละเอียดภายในเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดจบ ไม่ได้ทิ้งภายนอกนี้เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 13:50:44 )

การทำลายทั้งสัจธรรมและธรรมะพระพุทธเจ้าของมหาบัว

รายละเอียด

แค่สิ่งเสพติดแค่นี้ ปฏิภาณขนาดเป็นมหานะ จะไม่รู้จริงๆนั้นอาตมาว่าไม่จริง ไม่เชื่อ จะมีนัยยะแห่งการโกหกซ้อนอยู่ในนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่โกหก ทั้งๆที่ตัวเองรู้ว่าเป็นคำโกหก เป็นคนที่เขาจะโกหกสิ่งใดในโลกอีกได้ทุกอย่าง ไม่มีที่เขาจะโกหกไม่ได้ เขาโกหกได้หมด เป็นคนที่ยากที่จะคบ ขออภัยอาตมาไม่ได้ไปเบ่งไปข่มอะไรท่านมหาบัว พูดจริงใจนะว่าอาตมาก็สงสารท่าน ว่าท่านทำไมมีทิฏฐิอย่างนี้ มีทัศนคติอย่างนี้ แล้วก็ยังเสแสร้ง กลบเกลื่อน หลอกชาวบ้านต่อไปให้เขาหลงผิดกัน ซึ่งมันเป็นการทำลายทั้งสัจธรรม ทำลายทั้งธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วตัวเองก็ได้สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม พูดชัดๆก็คือได้ความผิดความชั่วไปให้กับตัวเองไปตลอด ปฏิภาณแค่นี้ทำไมไม่มี ปฏิภาณแค่นี้ไม่มีแล้วจะไปถือว่า ไปเรียนโลกุตระ ไปเรียนอรหันต์ มันไกลแสนไกล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 19:12:31 )

การทำลายศาสนา

รายละเอียด

คือ  การมีเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ บูชาพระพิฆเนศ ทุกวันนี้โฆษณาทางทีวีก็ปล่อยให้โฆษณากันมากมาย กฎหมายก็มีให้จัดการแต่ไม่จัดการ

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 14:08:14 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:39:59 )

การทำลายศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ที่อาตมาเอาของมหาบัวมาเทียบเพราะว่าลูกศิษย์ลูกหาก็ยังมีเยอะอยู่ ยังนับถือยังยืนยันยังไม่กระเตื้อง ยังไม่หยุดที่จะปฏิบัติและยึดถือกันแบบนั้น ซึ่งอาตมาว่ามันเป็นการทำลายศาสนา วิธีที่ได้นั่งหลับตาและสอนแบบมหาบัว สายนั้นที่อาตมาว่าเป็นการทำลายศาสนาพุทธ ประเด็นง่ายๆแค่นี้หลับตากับปฏิบัติกับลืมตาปฏิบัติ กับอีกประเด็นคือออกป่า

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 12:18:57 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 08:28:52 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:31:59 )

การทำลายศาสนาพุทธ 

รายละเอียด

การทำลายศาสนาพุทธ  คือ  การเดินลุยไฟ  เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม  มันไม่ใช่เป็นเรื่องเพื่อเป็นไปเพื่อละหน่าย  คลาย ไม่เป็นไปตามจุดหมายของศาสนาพุทธ  เป็นเรื่องนอกรีต เละเทะ  ถ้าหากเข้าใจภาษาอึดอัด (อัฎฎิยามิ)  ระหา (หรายามิ) เกลียดชัง (ชิคุจฉามิ)  ท่านว่าเป็นของไม่ควรยุ่งเกี่ยว  เหมือนอุจจาระ  แต่คนที่ไม่เข้าใจ  คนที่มีจิตแบบนั้นอยู่ก็ไปติดยึด  จนกระทั่งไปสร้างของขลังกัน  ออกโทรทัศน์ด้วย  เป็นการทำลายศาสนาพุทธ  เถระสมาคมก็น่าจะร่วมออกกฎหมายปราบพวกนี้ไม่ให้มีการโฆษณามันเป็นการทำลายศาสนาพุทธ  ทำให้คนโง่ดักดานไม่ได้ส่งเสริมความเจริญแต่อย่างใด  เป็นการหากินหลอกลวง  แม้จะจริงก็อุปาทาน  ทำลายศาสนาพุทธ  ชาวอโศกไม่มีเรื่องแบบนี้  ตั้งแต่ทำงานศาสนามาไม่มีเรื่องเดรัจฉานวิชชาใครมาเล่นส่วนตัวไม่กล้ามาแสดงในนี้หรอก  ขายหน้าในหมู่เราหมด

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการสำมะปี๋ซี่วิต


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2562 ( 17:10:50 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:40:40 )

การทำวิเวกแบบเดียรถีย์เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการทำวิเวกนี่แหละจึงเป็นเรื่อง คุหัฏฐกสุตตทิสเทส  ที่ท่านอธิบายแล้วเขาไม่รู้เรื่องวิเวกเลย คนที่ปฏิบัติไปสู่นิพพานแต่หยั่งลงจมลงไปอยู่กับความหลง ขึ้นต้นคำอย่างนี้เลยพระพุทธเจ้าตรัส อย่างที่เขาเป็นอยู่พระพุทธเจ้าก็เอาอย่างนั้นมาตรัสว่าไว้ เดียรถีย์ เดี๋ยวนี้ก็กลับไปสู่เดียรถีย์ อาตมาต้องพูดเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่เป็นลูกเป็นสาระหนึ่งเดียวกันกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องเอามาพูดเพราะเขากลับไปเป็นเดียรถีย์อย่างเก่า อาตมาก็ต้องพูดอย่างไม่ผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธเจ้าท่านตรัส ก็หยั่งลงสู่ความหลง ไกลจากวิเวก เพราะเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(คุหัฏฐกแปลว่าถ้ำ) กิเลสเป็นอันมากปิดบังไว้อย่างมืด อยู่ในถ้ำแล้วมีกิเลสเป็นเหมือนก้อนหินปิดอยู่ปากถ้ำอีก ตัวเองมีกิเลสติดแน่นเลยยิ่งกว่ากองหินปิดปากถ้ำปิดหมดแล้วรูถ้ำหมดเลย ไปตั้งและจมอยู่ในความหลง พระพุทธเจ้าตรัสไว้หนักแต่เขาไม่รู้สึก ทั้งๆที่เขาเรียนรู้บาลียิ่งกว่าอาตมา แต่เขาก็ไม่รู้สึกรู้สา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:51:23 )

การทำสงครามกับสังคม

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเลย คนบอกไม่เป็น มองไม่ออก อาตมาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับใครแม้ว่าอาตมาจะทำสงครามกับสังคม มีการบริหารประเทศ อาตมาไปประท้วงเหมือนกับทำสงคราม แต่สงครามนั้นอาตมารบด้วยมือเปล่า รบด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ ตามกฎหมายสากลโลก อาตมาชนะพวกใช้ปืนพกใช้ระเบิดเขาแพ้ไป แพ้ถึง 4 รัฐบาล รัฐบาล ทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ มีรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วย 5 รัฐบาล รายการประท้วงด้วยการรบ นักรัฐศาสตร์ต้องศึกษา มันมีภาษาในโบรชัวร์ที่อาตมาใช้ Neo protest ด้วย สงบสันติอหิงสาซื่อสัตย์บริสุทธิ์คมลึกแม่นประเด็น เป็นการศึกษาที่ต้องใช้พฤติกรรมจริง แล้วใช้เวลาเป็นปี อยู่ในสนามรบ กลางกรุง ประกาศใช้สื่อสาร

          เราไม่ได้ทำสงครามกับศาสนาพุทธเราทำความจริง ออกไปมันจะขัดแย้งบ้างเหมือนกับการรบ มันเป็น สรณะ ประกอบเหมือนกับการทำสงคราม ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเรื่องรุนแรงดุเดือดอะไร แต่คนไม่เข้าใจก็เห็นเป็นเช่นนั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:56:39 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:41:49 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:49:52 )

การทำสมาธิเกาะอยู่ที่จิตเคลื่อนไหวเป็นสมถะทั้งนั้น

รายละเอียด

คนจะพูดได้ อย่างมหาบัวก็พูดว่าบรรลุอรหันต์ ตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย หลวงพ่อเทียนก็ฉันเดียวกัน ยังเป็นแต่เพียงสมาธิเคลื่อนไหว จับจุดอยู่ ที่ฝ่ามือ อาจารย์แป้นก็ดี หลวงพ่อเทียนก็ดี เกาะอยู่ที่จิตเคลื่อนไหว เป็นสมถะทั้งนั้น ยังไม่ได้พูดเข้าไปถึงปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เวทนา 108 เขายังไม่เข้าใจ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ยังไม่เข้าใจเลย ตอบว่าเขาก็ยังศึกษาต่อไป บอกว่าเป็นอาริยะอาตมายังไม่ให้คะแนน คำว่ากายจะสัมมาทิฏฐิหรือยังไม่รู้  ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่าบุญ ไม่ต้องไปพูดถึงคำว่าฌาน คำว่าสมาธิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2565 ( 05:31:43 )

การทำสังฆทานที่สัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร

รายละเอียด

สังฆทานเป็นทานที่มีอานิสงส์ไม่ระบุบุคคล สังฆทาน ไม่ระบุบุคคล หมายความว่า คุณมีอะไรจะทาน จะบริจาคให้สงฆ์ ให้ภิกษุ คุณเจอใคร จะเป็นเณร เป็นพระ เจอใครก็ให้ โดยที่คุณไม่ต้องไประบุ ไม่ต้องไปกำหนดบุคคล มันมีคู่อะไร “ปาฏิปุคคลิกทาน ระบุบุคคล” กับ “สังฆทาน ไม่ระบุบุคคล” หมายความว่า อย่างนั้นสังฆทาน ไม่ต้องไประบุบุคคล อันนี้มีอานิสงส์ มีกุศลมากกว่าทานที่เป็นการระบุบุคคล เช่น ถวายแด่พระพุทธเจ้า ถวายแต่สงฆ์ที่เราเคารพนับถือ นี่แหละระบุบุคคล ไม่ได้อานิสงส์มาก 

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าทุกองค์ ที่คุณเชื่อมั่น แล้วคุณก็เชื่อแล้วว่าเป็นสงฆ์ที่ควรจะได้รับทาน คุณก็ไม่ต้องกำหนดบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณ  ไม่ว่าจะเป็นพระไม่มีขั้น ไม่มียศ ไม่มีอะไร แม้แต่สามเณรก็ตาม คุณพบก็ให้เลย อย่างนี้มีอานิสงส์มากกว่าปาฏิปุคคลิกทาน มีอานิสงส์มากกว่า อย่างนี้เป็นต้น นี่คือลักษณะของการทานที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเอาไว้ 

ทีนี้เรื่องที่คุณถามมาว่า เอากระป๋องสังฆทานมา นี้มันเป็นเรื่องของพ่อค้า ในกระป๋องสังฆทานมันคือขยะ ที่คนขายเขาจัดสรรหลอกคนให้เอาสังฆทาน กระป๋องที่เขาทำจัดขาย เอามาให้พระ พระไม่ได้ใช้อะไรมากมายหรอก หลายอย่างเป็นเศษขยะ ใช้ไม่ได้ ไม่เหมาะสมกับสมณะเลย แต่เพราะความเสื่อมของธรรมะ ทุกวันนี้พ่อค้าพ่อขายก็หากินหลอกคนมักง่าย ซื้อกระป๋องสังฆทานไปทำสังฆทาน ก็ไม่รู้ว่าสังฆทานคืออะไร ทำไปสารพัด นี่คือความเสื่อมชี้บ่งถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธมากๆเลย 

จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ พิธีกรรม พิธีการจารีตประเพณีต่างๆทุกวันนี้นี่ มันออกนอกรีตนอกทางธรรมะของพระพุทธเจ้าไปไกล เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธกระแสหลักทุกวันนี้ เขรอะไปด้วยพิธีกรรมขยะมากมายเลย ออกนอกรีตไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวกัน เสียเวลา มันเลยกลายเป็นศาสนาที่จะปฏิบัติก็ปฏิบัติออกนอกทางไป หลับหูหลับตาไป เลอะเทอะไป มิจฉาทิฏฐิไป 

พวกที่ศึกษาอะไรรู้มากก็กลายเป็นมาก จนกระทั่งเป็นขยะหมดเลย ก็เก็บขยะมาเป็นเนื้อหาสาระ มันก็เลยเยอะเลอะ เอาล่ะขยายความไว้แค่นี้ก็เมื่อยแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตที่จบกิจในระบบสาธารณโภคี นี่เป็นตัวตัดสินอรหันต์ วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2567 ( 17:58:39 )

การทำใจวางความทุกข์จากความพลัดพราก 

รายละเอียด

การทำใจวางความทุกข์จากความพลัดพราก เขาติดยึดความพราก แล้วเข้าไปยึดถือความพราก ความสูญเสีย เขาไปติดอยู่ แล้วก็เลยออกจากทุกข์เพราะเหตุนี้ไม่ได้ เพราะไปติดยึดความรัก ความสูญเสีย ทุกอย่างไม่ใช่ของของเรา เกิดมาอาศัยกันและกันตามบารมี ตามกรรมวิบาก ไม่ใช่อะไรเป็นของเราเลย แม้แต่เนื้อหนังมังสา ร่างกายก็ยังไม่ใช่ของเรา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มันจะต้องพรากจากกัน อะไรก็ต้องพรากจากกัน

ใครทำ 0 ได้ก่อนก็บรรลุธรรมสูงสุด ใครยังไม่ 0 ก็ต้องสูญเสีย พรากก็ต้องทุกข์ เพราะคุณไปยึดติด ถ้าขืนคุณยังไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องพรากจากกัน ข้อสำคัญควรทำให้เป็น 0 จริงๆ ให้ได้ ซึ่งบรรลุโลกุตรธรรมสูงสุดคือ สุญญตา คือสูญไม่เวียนวนเกิดอีก หมดแล้วหมดเลย เกิดอีกก็ไม่มี เช่นผู้ที่ทำกิเลสชาตินี้หมดแล้ว ถอนอาสวะ ชาติหน้าเกิดมาก็ไม่มี ไม่ต้องถอนอาสวะอีก เพราะฉะนั้นทำให้หมดอาสวะไปทีละอย่างๆ ตั้งแต่อบายมุข ตั้งแต่กาม รูปธรรม อรูปธรรม จนหมดสิ้นไม่เหลือ  คุณก็เป็นพระอรหันต์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กันยายน 2565 ( 14:52:18 )

การทำใจในใจ

รายละเอียด

คือ  ทำให้เกิดกรรม  กรรมที่เราทำใจในใจของเรา โดยเรารู้ว่าใจของเรานี่มันเคลื่อนไหวกระทบสัมผัส  แล้วมันเกิดกิเลสปุ๊บ  มันมีกิเลสมาร่วมปรุงในจิตเราปั๊บ  เราจะอ่านมันออกได้ว่านี่กิเลส  เราก็จัดการกับกิเลสตัวนี้  กำจัดกิเลสตัวนี้  นี่คือศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562

 


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:48:44 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:39:27 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:50:19 )

การทำใจในใจ

รายละเอียด

ในการทำทานต้องทำให้เป็น  เช่นนัตถิทินนัง  ทำทานที่เป็นกุศล  การทำทานได้กุศล คุณไม่ต้องอยากได้เลยกุศล  ไม่มีจะทำทานอย่างมีกิเลส  คุณทำทานไป 5 บาท จะได้เอา 100 คุณก็ได้กุศล  ถ้าแน่นอนเป็นของคุณ  กิเลสของคุณทำทาน 5 จะเอา 100 คุณก็กิเลส 95 แต่แน่นอนกุศล 5 ได้แน่นอน เหมือนฝากแบงค์  เป็นเหมือนแบงค์อิสลาม  ไม่มีดอกเบี้ยหรือแบงค์ชาวอโศกกองกลางเราก็มีที่ฝากเงินเป็นกองบุญสวัสดิการ แต่ทำทานก็หลอกกันว่าทำ 5 จะได้ 100 ได้ 1000 เหมือน ธัมมชโยหลอกคน  มันก็มีความแตกต่างอยากได้เหมือนคนเล่นแชร์แม่มณี บอกว่าได้ดอกเบี้ยบานเบิก  แต่ก่อนเป็นแชร์แม่ชม้อยก็หลอกกันเหมือนกัน  มันมีวิธีการหลอก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช  วันจันทร์ที่  11 พฤศจิกายน 2562                         


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 19:37:32 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 12:41:04 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:32:15 )

การทำใจในใจ

รายละเอียด

ต้องทำให้เป็น เช่นนัตถิทินนัง ทำทานที่เป็นกุศล การทำทานได้กุศล คุณไม่ต้องไปอยากได้เลยกุศล ไม่ว่าจะทำทานอย่างมีกิเลส คุณทำทานไป 5 บาทจะได้เอา 100 คุณก็ได้กุศลถ้าแน่นอนเป็นของคุณ กิเลสของคุณทำทาน 5 จะเอา 100 คุณก็กิเลส 95 แต่แน่นอนกุศล 5 ได้แน่นอน เหมือนฝากแบงค์ เป็นเหมือนแบงค์อิสลาม ไม่มีดอกเบี้ยหรือแบงค์ชาวอโศก กองกลาง เราก็มีที่ฝากเงินเป็นกองบุญสวัสดิการ แต่ทำทานก็หลอกกันว่าทำ 5 จะได้ 100 ได้ 1000  เหมือนธัมมชโยหลอกคน มันก็มีความแตกต่างอยากได้เหมือนคนเล่นแชร์แม่มณี บอกว่าได้ดอกเบี้ยบานเบิก แต่ก่อนเป็นแชร์แม่ชม้อยก็หลอกกันเหมือนกันมันมีวิธีการหลอก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2563 ( 10:06:16 )

การทำใจในใจกับการปล่อยวางต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

การทำใจในใจของเราจะทำให้อาการใจมีการปล่อยวาง ก็ต้องดูว่าอาการปล่อยวางต้องทำอย่างไร อาการปล่อยวางก็ตรงกันข้ามกับอาการที่ยึดติด ใจมันอย่าไปดูดดึงเหนี่ยวรั้งติดยึด อาการตามพยัญชนะ ห่วงหาอาวรณ์ก็คือไม่ปล่อย เราต้องรู้อาการจิต หากเราได้ทำใจของเราให้รู้ตามอาการเหล่านั้น จนใจหมดอาการเหล่านั้นก็คือการปล่อยวางหมดจากความยึดติดถือสาอะไรอย่างนี้ 

การทำใจในใจ คือการปฏิบัติธรรมยิ่งใหญ่ ภาษาบาลีคือมนสิกโรติ คำนามคือมนสิการ กิริยาคือมนสิกโรติ เป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง คนที่ทำใจในใจไม่เป็นก็หมดหวังที่จะปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ เพราะว่าศาสนาต้องเข้าถึงใจแล้วทำใจในใจให้ได้ เพราะฉะนั้นโยนิโสมนสิการจึงจะสามารถทำใจในใจได้ ถ้าคุณไม่มีโยนิโสมนสิการไม่มีความถ่องแท้ไม่มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะรู้ใจในใจแล้วทำใจในใจให้ถูกต้อง ตามความหมายว่าคุณจะปล่อยวางเป็นต้น จะทำใจให้เกิดเมตตาจะทำใจให้เกิดความเอ็นดู ทำใจให้เกิดความเสียสละไม่หวงแหนไม่ขี้เหนียว ดีใจที่ให้ ก็แล้วแต่พยัญชนะมันจะบอกสภาวะ เราก็ต้องเข้าใจทั้งพยัญชนะและสภาวะแล้วทำให้ถูกต้องทั้งสภาวะที่ตรงกับความหมายของพยัญชนะนั้น พยัญชนะกับสภาวะเป็นเทวเป็นคู่ ผู้ใดที่ทำคู่นี้ให้ลงตัวแล้วทำให้เป็นผลสำเร็จได้ ผู้นั้นจะเป็นเทวดาจริง คือผู้เจริญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 36

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานือโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 11:25:09 )

การทำใจในใจคือแดนเกิดอย่างไร

รายละเอียด

ฟังหลวงปู่อธิบายธรรมะ หลวงปู่ไม่ได้อธิบายธรรมะอื่นเลย อธิบายธรรมะที่จะให้ทำใจในใจเท่านั้น เพราะว่าหลวงปู่จะพาให้คนนี้เกิดใหม่ แดนเกิดคือการทำใจในใจ สัมภวะ ถ้าศึกษาและทำใจในใจเป็นธรรมใจในใจของเราถูกต้อง โยนิโสมนสิการ ถ้าทำใจในใจได้ เราก็จะเกิด เจริญ​มันเกิดทันใจเลย มันเป็นต้นขั้วการเกิดของอัตภาพ หากจะต่อไปชาติหน้าก็เป็นรากเหง้าในอัตภาพเรา จะเจริญเกิดดี จนเป็นอรหันต์ ที่นี้อยากเกิดต่อหรือไม่เกิดต่อก็ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คนทุกศาสนาตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:57:27 )

การทำใจในใจจากกามาทีนวะ

รายละเอียด

4. กามาทีนวะ คือ โทษภัยของกาม ผู้ศึกษาที่สัมมาทิฏฐิจึงจะเข้าใจว่า“กามคุณ 5 เป็น โทษภัย(กามาทีนวะ)”จริงๆอย่างยิ่ง หาไม่แล้วก็จะ

หลงติด“กาม”หลงใหล“ภพสวรรค์”ทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,

กาย(กามคุณ 5)ที่ยังเป็น“โทษ”เป็น“ภัย”นี้อยู่นั่นแหละ 

จะไม่ตั้งใจเรียนรู้ให้“สัมมาทิฏฐิ”แล้วตั้งหน้าตั้งตาเอาจริง กับการ

กำจัดกิเลสกามกันก่อนจริงๆแน่นอน 

เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในภัยในโทษของ“รสแห่งกามคุณ 5”นี่เอง

ว่าสำคัญก่อน จะต้องกำจัดก่อนกิเลสขั้น“รูป” แล้วจึงจะต่อไปกำจัดขั้น“อรูป”อย่างเป็นจริง ตนเองก็ไม่อยากออกจากความติดยึดในความเป็น“กามคุณ 5” ก็จะจมหลงเสพหลงติดอยู่ ใน“กามภพ”นี้ อันเป็น

เบื้องต้นแท้ๆ ที่จะต้องเรียนรู้ให้้ชัดเจนแจ่มแจ้งก่อน แล้วต้องปฏิบัติ

ให้ตนออกจาก“กามภพ”คือ ต้อง กำจัด“กิเลสกาม”ออกให้ได้ก่อนเป็น

ขั้นแรก ไม่เช่นนั้นก็กำจัดขั้นต่อไปไม่ได้!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 350 หน้า 257


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:05:51 )

การทำใจในใจจากศีล

รายละเอียด

2. ศีล คือ การปฏิบัติตามข้อกำหนดนั้นๆ โดยจิตต้องมีสติสัมปชัญญะปัญญาควบคุมกาย-วาจา โดยเฉพาะ“มโน”ก็จะ เป็นประธานระวังไม่ให้กายกรรม-วจีกรรมทำผิดให้ได้ตามข้อศีลนั้นๆ โดยมโนกรรมก็ปฏิบัติ กิเลสจนกระทั่งเว้นขาดจากกิเลสให้หมดสิ้น ดับภพสวรรค์-ดับภพนรก

เป็นผู้หมดสวรรค์ หมดนรก

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 348 หน้า 256


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:02:57 )

การทำใจในใจจากสัคคะ

รายละเอียด

3. สัคคะ คือ สวรรค์ ดินแดนอันแสนรื่นรมย์ในกามคุณ 5 ผู้ที่หลงติดยึดใน“กามภพ”อันเป็นภายนอกอยู่ นี้เป็น“สวรรค์” ก็คือ ผู้ยังไม่รู้จักรู้แจ้ง

รู้จริงใน“โทษ”ของ“สวรรค์”ที่มี“กามคุณ 5” 

อันเป็น“สวรรค์”ที่เกิดจากการสัมผัทาง“ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย” แล้วตนก็ยังมี“กิเลสกาม”ที่ติดแน่นเป็นสุข-เกิดเป็นทุกข์อยู่ 

ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“สวรรค์”ที่แท้ ว่ามันเป็นคู่หูของ“นรก”

ที่แยกกันไม่ได้ จึงยังติด“สวรรค์ของกามคุณ”อยู่ เพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้ง

รู้จริงชัดเจนชัดยิ่งว่า“สวรรค์(สัคคะ)”ของนักมายากล“กามคุณ 5”ตัวนี้

แท้ๆนั้นมันคือ“กลิ(โทษ,ภัย)”ตัวจริง!

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 349 หน้า 256


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:04:16 )

การทำใจในใจหรือมนสิการเป็นอย่างไร

รายละเอียด

การทำใจในใจจึงเป็นเรื่องสำคัญมากของศาสนาพุทธ ผู้เรียนบัญญัติพยัญชนะ แล้วไม่เข้าถึงใจ ทำใจไม่เป็น ทำใจในใจไม่เป็น ทำใจเป็นคืออะไร คุณต้องรู้ใจของคุณ อ่านอาการใจ นี่ภาษาไทย จิตนั้นเอง อ่านจิตแยกจิตเจตสิกต่างๆให้ออก เมื่อแยกจิตเจตสิกออกแล้ว แยกเป็นเวทนา เป็นสภาพ 2 

กายคือสภาพ 2 หรือ เวทนา 2 แล้วเวทนา มันก็ต้องมี 2 เมื่อคุณยังมีอวิชชา คือ มันจะมีเวทนาเก๊ กับเวทนาจริงๆ เวทนาจริงๆนั้น คนทุกคน สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้ว อันเดียวกันหมด ไม่ว่าคนศาสนาไหน จะเป็นชนชาติไหน ไทยเจ๊กแขกฝรั่งอะไรก็แล้วแต่ เหมือนกันหมด แต่เรียกเป็นภาษาออกมาคนละคำเท่านั้นเอง สัมผัสนี่ กล้วยนาค สีเป็นสีนาค ไทยจีนฝรั่งแขกที่ไหนมาสัมผัสก็เหมือนกันหมด เวทนาตัวจริง สัมผัสแล้วรู้เหมือนกันหมดสีเดียวกันหมด เป็นอย่างนี้เหมือนกัน รูปร่างก็ได้และสีสันก็ได้ ภาษา จะเรียกไปอย่างไรก็แล้วแต่ ส่วนเวทนาเก๊ คนหนึ่งเห็นว่าสวย อีกคนหนึ่งเห็นว่าไม่สวย ก็เป็น 2 แล้ว สวย ไม่สวย นี่แหละมันเก๊ สวยก็เก๊ ไม่สวยก็เก๊ ก็มันมีสีนี้จะไปเถียงกันทำไม คนตาดีก็เห็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าคนชาติไหนศาสนาไหนก็เหมือนกันทุกศาสนา ตากระทบสีนี้ก็เห็นสีนี้เหมือนกันหมดจะเรียกด้วยภาษาอะไรก็แล้วแต่ ไทยจีนลาวแขกก็ตามฟังแล้วมันดูง่ายไหม แต่มันก็ยากในตัวของมันใช่ไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 17:37:04 )

การทำให้กิเลสยอมแพ้

รายละเอียด

คือการให้กิเลสยอมแพ้  โดยเห็นไตรลักษณ์ นี้สุดยอด  อาตมาพยายามอธิบาย เขาอธิบายว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน หากตีอย่างนี้ก็ได้แต่พยัญชนะ อาตมาก็อธิบาย มันจะอยู่ไปอีกไม่นานหรอก  มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็หายไป มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่มีตัวตน ก็จะขยายความให้เห็นหลายจังหวะ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นความหมายหลายลักษณะ เราก็ค่อยๆฝึกให้จิตเราเกิดสภาวะ ที่มันเป็นไปตามพยัญชนะที่ขยายไปพอสมควร  สภาวะก็จะมีพลัง มีฤทธิ์  ทำให้กิเลสลด จางคลายเพราะปัญญา ไม่ใช่กดข่ม ที่เขาทำกันมานาน  เป็นวิธีที่ทำกันทั่วไป  ครองโลก ไม่ได้เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 81 วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:19:12 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:42:47 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:33:28 )

การทำให้คนแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกเรามาเป็นคนจนสำเร็จ เรากอบกู้ ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เพราะว่าเรามีเท่านี้พอแล้ว จน คือ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิหรือสันโดษ พอ จน พอ ไม่แย่งชิงใครเขา มีอยู่มีกินก็พอแล้วเพราะเราไม่ได้ตะกละมากกว่านี้ ไม่ได้อยากมากกว่านี้ ไม่ได้ขี้โลภมากกว่านี้ มันมีเหตุพอ นี่คือการทำให้คนแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ แก้ไปให้รวยมันย้อนแย้ง เจตนาของตัวเอง อยากให้รวยแล้วจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะได้หยุดแย่งกันได้สงบจะได้เรียบร้อยแล้วมันสงบที่ไหนเล่า  มันเรียบร้อยได้ที่ไหนมันไม่เรียบร้อย มันไม่สงบ มีแต่มันจะแย่งกัน เพราะมันจะไปรวยกันตั้งหน้าตั้งตาจะไปรวย สอนให้รวย รัฐบาลไหน สส..ไหน รัฐมนตรีไหน ก็บอก จะต้องแก้ปัญหาให้คนไปรวย จะต้องแก้ปัญหาให้คนจนหมดไปจากประเทศ ขี้หมาทั้งโลก แก้ปัญหาให้คนรวยทั้งประเทศนะ จะไปทำได้ยังไง 

จบ ดร.ทางเศรษฐศาสตร์ เรียนจบมาจากอเมริกา อเมริกามีคนจนไหม มีคนจนนอนข้างถนนไหม ก็มี ประเทศไหนก็มีทั้งนั้น ประเทศไทยมีน้อยนะพวกที่นอนข้างถนนระเกะระกะมีน้อย ถ้าจะว่ากันแล้วเปรียบเทียบกันแล้ว เพราะฉะนั้นความมาเป็นคนจนนี่แหละมันเป็นเรื่องของปรัชญา หรือว่าเป็นเรื่องของญาณวิทยา จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของ phenomenology ด้วย เป็นเรื่องของสัจจะวิทยาศาสตร์ซึ่งยืนยันได้ว่า 

การมาเป็นคนจนได้สำเร็จ เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างพวกเราแก้ปัญหาคนจนได้แล้ว คนที่เข้าไปอยู่ในบ้านราช หรืออยู่ในบวรของอโศกทั้งหมดแล้ว ไม่ได้พาพวกคุณไปรวยอีกแล้ว จริงไหม ...จริง สำเร็จแล้ว แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ โดยไม่ได้พาพวกคุณไปรวยกันอีกแล้ว แล้วก็ ทำมาหากินนี้ พออยู่พอกิน มีเหลือด้วย คนจนนี่มีเหลือ ช่วยเหลือสังคม นี่คือช่วยปัญหาเศรษฐกิจให้ผู้อื่น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 ที่บวรราชธานีอโศก วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล 


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 11:22:12 )

การทำให้จิตมันเที่ยงต่อการสัมผัสในโลก

รายละเอียด

เจตสิกคำนี้คือคำว่าอุเบกขา กลางๆ ที่อุเบกขา ไม่ไปข้างไหน ไม่มีข้างไหน ไม่เอาข้างไหน รู้ทั้งสองข้างแต่ไม่เสพ 2 ข้าง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในพระสูตรแรกเลยในธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ไม่เอียงไปข้างไหน ไม่มี อันตา คำว่า อันตา แปลว่าสุดโต่งก็ได้ แปลว่าเริ่มต้นออกมาจากจุดกลาง อันตานิดหน่อย หรือว่าอันตาแปลว่าไปไกลข้างหนึ่งเลย ยิ่งอนันตา แปลว่าไปไกลสุดจนนับไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นการจะทำให้จิตมันเที่ยงต่อการสัมผัสในโลก โลกมันมีทุกอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วการสัมผัสกับที่เป็นตัววัตถุเลยก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็มีเหตุปัจจัยที่สัมผัส แล้วนามธรรมของเรานี้จะเกิดสุขหรือทุกข์ อันนี้แหละยาก 

โลกที่ยังมีข้าง โลกที่ยังมีฝ่าย โลกที่ยังติดอยู่ส่วนหนึ่ง เอียงอยู่ส่วนหนึ่งส่วนใดก็แล้วแต่ เอียงไปข้างทุกข์ อัตตกิลมถานุโยค หรือเอีียงไปข้างสุข สุขัลลิกะ เพราะฉะนั้นเวทนาเราจะต้องไปในทางไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องเข้าใจว่าอารมณ์หรือความรู้สึกหรืออาการของสุขนี้คืออย่างไร ของทุกข์คืออย่างไร ซึ่งเป็นคู่แฝดเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งกระดาษสองหน้า หน้า 1 เป็นสุข หน้า 1 เป็นทุกข์ มันฉีกหรือแยกออกจากกันไม่ได้ มันต้องไปด้วยกันมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นวิธีดับ ดับทุกข์ ของพระพุทธเจ้าก็คือดับสุขไปด้วยกัน แต่คน ไม่ถนัดที่จะไปดับสุข มันจะดับอย่างไร มันคล้ายกัน พอพ้นสุขแล้วมันก็เป็น.. พระพุทธเจ้าก็ใช้พยัญชนะว่า ปรมังสุขัง อาตมาแปลเป็นไทยว่า ยิ่งกว่าสุขซึ่งมันไม่ใช่สุข 

สุขมันยังเป็นสภาพของโลกีย์ มันเป็นคู่กับทุกข์ แต่อันนี้มันยิ่งกว่าสุข เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่รู้สภาวธรรมที่เป็นความจบ ที่เป็นความสมบูรณ์บริบูรณ์จริงก็จะแปลไม่ได้ว่า ปรมังสุขัง จะไม่แปลว่ายิ่งกว่าสุขแต่จะแปลว่าสุขอย่างยิ่ง ซึ่งต่างกันนะ สุขอย่างยิ่งนี้เสพเต็มที่เลย แต่ถ้ายิ่งกว่าสุขนี้มันลอยตัว มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์เลย มันเกินกว่าสุข เป็นภาษาโลกุตระ เป็นภาษาจบอย่างนี้ เป็นต้น 

ต้องอ่าน เพราะฉะนั้นกรรมฐานหลักของศาสนาพุทธจึงอยู่ที่เวทนา อยู่ที่ความรู้สึก อยู่ที่อารมณ์ สัมผัสแล้วก็รู้ความจริงแล้วก็ทำ ทำเหตุให้ออกเรียกว่าเนกขัมมะ เหตุแห่งการเกิดทุกข์ เกิดสุข หรือเกิดกิเลสนี่แหละ หยาบ กลาง ละเอียด ตามหลักเวทนา 108 มีมโนปวิจาร 18 แบบโลกเรียกว่า เคหสิตะ 18 แบบโลกุตระอีกเป็น เนกขัมมสิตะ 18 ซึ่งเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร 6 ทวารมันจะเกิดอารมณ์ได้ 3 อารมณ์คือสุข ทุกข์กับไม่สุขไม่ทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2566 ( 19:01:18 )

การทำให้ถึงสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อ 1

รายละเอียด

ทำทาน ทำอย่างไรถึงจะมีผล ต้องมีปัญญาตรวจสอบ ตรวจสอบจิตเจตสิกรูปนิพพาน ปรมัตถธรรม ว่าจิตเรามันเป็นอย่างไร สัมผัสแล้ว ทานแล้วมันจะเอาหรือเปล่า มันจะแลบเลียเป็นภพชาติหรือให้ไปแล้ว 0 ไม่มีภพชาติ จิตไม่มีสาเปกโขเลย ต้องรู้ว่าจิตไม่มีสาเปกโขเป็นอย่างไร ไม่มีท่าทีต่อเนื่องจากการให้ ให้แล้ว 0 สูญไปเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงอย่างไม่มีโค้งไม่มีองศาโค้งเข้ามาหาตัวเอง นั่นคือการให้ที่มีคุณสมบัติเป็นผลสูงสุด ให้อย่างซื่อสัตย์สุจริต ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ให้ ไม่มีเอา ไม่มีโค้งมาเอานิดหนึ่ง หรือมากก็ไม่มี

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:38:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 06:44:44 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:34:41 )

การที่นั่งหลับตาสะกดจิตมันคนละเรื่องกันกับจรณะ 15 วิชชา 8 มันไม่มีศีล

รายละเอียด

วิธีการที่นั่งหลับตาสะกดจิต มันคนละเรื่องกันกับจรณะ 15 วิชชา 8 มันไม่มีศีล มันดับนั่งหลับตาเฉย แล้วก็บอกว่ามีศีล มันจะมีศีลที่ไหน คุณไม่ได้เกี่ยวกับสัตว์ ดีไม่ดีหลงผิดด้วยเป็นพระป่าแล้วบอกว่าเก่ง มีบารมีสูง เจอเสือก็ไม่ขบไม่กัดเอา เก่งซะอีก ไปกันใหญ่เลย นึกว่าเป็นความบรรลุ เหมือนอย่างคนนี้บอกว่าต้องเหาะได้อะไรพวกนั้น เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ซึ่งมันยากเหมือนกัน 

สรุปแล้วประเด็นของอานาปานสติของพระป่า เป็นอานาปานสติอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ แต่ว่าอานาปานสติของโพธิรักษ์หรือของพระพุทธเจ้านี้ ลืมตาปฏิบัติมีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่กับทุกๆคน แต่อ่านจิตในจิต อ่านเวทนาในเวทนา อ่านกายในกาย แยกธรรมะเป็นโลกุตระเป็นโลกียะได้ รู้ธรรมในธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 19:23:25 )

การที่ไม่จดจำอะไรเป็นอาการที่อยู่กับปัจจุบันสั้นเกินไปใช่หรือไม่

รายละเอียด

ไม่ใช่ แต่คือผู้ที่ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ เราอยู่กับปัจจุบัน ปัจจุบันมันสามารถที่จะทำให้เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจกระทบรู้อยู่ เป็นสามัญปกติ ลืมตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะ กระทบภายนอก จิตก็กระทบภายใน ก็จะเกิดอย่างนี้เป็นปกติกับมนุษย์ทุกคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 11:49:33 )

การท่องเที่ยวเลวอย่างไร

รายละเอียด

จริงๆแล้วอาตมารังเกียจคำว่าเที่ยว อาตมาไม่มีใจจะไปเที่ยวที่ไหนมานานแล้ว อาตมาว่าเที่ยวคือเรื่องเลว การท่องเที่ยวนี้มันเลว ภาษาไทยนี้นะ

คำว่าเที่ยวคือแย่ ผู้หญิงคนเที่ยว แปลว่าผู้หญิงไม่ดี มาเที่ยวนี้มันใช้ไม่ได้ ไม่รู้โลกดินน้ำไฟลม ไม่รู้ธรรมชาติ ยังต้องการไปเห็นว่ามันเป็นอย่างไร มันจะมีอะไร มหาภูตรูป ในมหาจักรวาล มีแค่ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24 ไม่มีอะไรจะรู้เกินนี้ ถ้าเข้าใจสมบูรณ์แบบ รูป 28 นี้ เท่านี้แหละไม่มีอะไรเลย ในดินน้ำลมไฟ มันก็ไม่อยากเที่ยว แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่อยากเที่ยวเลย คนที่ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่ได้ถูกครอบงำความคิดไม่อยากไปเที่ยวตรงไหน ถ้ามันจำนน มันจน มันก็ไม่คิดอยากเที่ยวในหัว คนที่คิดอยากเที่ยวในหัว ถูกครอบงำความคิดว่าต้องไปเที่ยวกับคนที่มีเงินทองไม่รู้จะใช้อย่างไรก็ไปใช้ในการท่องเที่ยว เท่านั้นเอง

พระอาริยะระดับหนึ่งจบเที่ยวแล้ว ไม่ท่องเที่ยว เที่ยวไปตรงนั้นตรงนี้มันพอแล้วคือมันรู้ในมหาภูตรูปกับอุปาทายรูป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 13:01:42 )

การนอน 4

รายละเอียด

1. เปตไสยา (นอนอย่างคนตาย หงายหรือคว่ำ)

2. กามโภคีไสยา (นอนอย่างบริโภคกาม ตะแคงซ้าย)

3. สีหไสยา (นอนอย่างราชสีห์ ตะแคงขวา)

4. ตถาคตไสยา (นอนอย่างพระพุทธเจ้า มีฌาน 4)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 21 “อาปัตติภยวรรค” ข้อ 246


เวลาบันทึก 12 มีนาคม 2565 ( 19:43:05 )

การนอน 4 แบบ

รายละเอียด

1. เปตไสยา (นอนหงายอย่างคนตาย หรือนอนไม่มีสติ) 
2. กามโภคีไสยา (นอนอย่างคนบริโภคกาม คือ การนอนตะแคงซ้าย) 
3. สีหไสยา (นอนอย่างราชสีห์ คือ การนอนตะแคงขวา) 
4. ตถาคตไสยา (นอนอย่างตถาคตคือการนอนอย่างมีฌานปราศจากนิวรณ์) 
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 21  ข้อ 246, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2562 ( 08:15:42 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:05 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:51:18 )

การนอนหลับ

รายละเอียด

การพักกายไม่ให้กายทำงาน โดยจิตหลบสู่ภวังค์เสีย ไม่มาวุ่นกับกาย ไม่มาใช้ทวารกายส่วนใดๆทำงานโดยให้พักผ่อนช่วงหนึ่ง

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 188 , 203


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 14:59:14 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:38:13 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:51:59 )

การนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น ของพญานาค

รายละเอียด

คือ เขาไม่รู้สึกรู้สา แทงเท่าไหร่ก็ไม่เข้า แทงเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกไม่สะกิดเขาเลย เขาก็ยังจมอยู่ในวังวน จมอยู่ในที่มืด จมในอวิชชา อันนั้นอย่างเก่านั่นแหละ อันนี้อาตมาก็ อยากจะขยายความให้พิสดารไปอีก ถึงขั้นเป็นพญานาค ที่นอนเฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้า เป็นการนอนหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น หลับตลอดกาลนานเลย เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมา ในโลกนี้ หรือในชีวิตของเขาชีวิตของพญานาค เขาจะรู้สึกตัวขึ้นมาสักทีหนึ่งก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง อุบัติขึ้นมาในโลก อุบัติมาแล้วท่านก็ลอยถาดทวนน้ำมา ซึ่งเป็นธรรมาธิษฐาน เสร็จแล้วก็จมลงมาตรง กองถาดพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ จะดังอย่างไรก็แล้วแต่ เราก็พูดเป็นกิ๊กก็ได้ พญานาคก็จะได้ยินแต่แค่เสียงถาดทองที่เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ลอยมาแล้วกระทบถาดทองของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ อย่างเดียวๆ นอกนั้นหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นอะไรสักอย่างรู้ได้แค่นี้ โอ้โห อุทาหรณ์ของพระเจ้านี้สุดยอด ทำไมถึงได้โง่ดักดานโง่ดึกดำบรรพ์โง่อยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร นอนหลับ พอได้ยินเสียง กริ๊ก แล้วก็หลับไปอีกอย่างเก่า รอให้พระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นอีกมาลอยถาดอีกก็ดังอีก กริ๊ก ก็ตื่นมาอีกครั้งหนึ่ง นี่คืออุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าสลบไสลไม่รู้เรื่องเลยใครจะพูดอย่างไรมีอย่างไร กูไม่รู้เรื่องทั้งนั้น จมอยู่ในสิ่งที่กูยึดถือ งมงายกูมืดบอดอยู่อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 19:12:39 )

การนั่งทำงานนานๆของพ่อครูเป็นการประมาณที่ดีแล้วใช่หรือไม่

รายละเอียด

ใช่อาตมานั่งทำงานต่อเนื่องกันไปบางวัน 10 ชั่วโมงก็ได้ ไม่มีปวดหลังปวดเอวปวดแข้งปวดขาปวดไหล่ เป็นมาแล้ว หลาย 10 ปีก็สังเกตตัวเอง เพราะอะไร เพราะอาตมาเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆขณะทำงาน ไม่ใช่นั่งเกร็ง อาตมาทำงานไม่ได้เกร็ง เคลื่อนไหวอยู่เรื่อย กระดุกกระดิก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 12:04:40 )

การนั่งสมาธิ

รายละเอียด

การนั่งสมาธิ  ได้ผลแต่เป็นผลแบบโลกียะ  ไม่ใช่แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า นั่งหลับตาก็ได้ ฌาน สมาธิ แต่เป็นแบบของเดียรถีย์ฤาษี ไม่ใช่แบบของพุทธของพระพุทธเจ้า  ลืมตา มี  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  เป็นปัจจัยทั้งนั้น แล้วก็เรียนรู้ภายในจิตให้ทำฌานที่ 1 2 3 4 ถึงรูปฌาน  อรูปฌาน  

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช  วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 16:48:28 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 13:19:57 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 07:52:35 )

การนั่งสมาธิหลับตาทำให้เห็นแก่ตัว

รายละเอียด

จริงๆแล้วการนั่งสมาธิหลับตาทำให้ความเห็นแก่ตัว เข้ม แน่นแข็งสร้างความเห็นแก่ตัวเองให้มากขึ้นต่างหาก ให้เป็นแท่งก้อนไม่กระดุกกระดิก อยู่ให้นานแข็งตีไม่แตก อยู่อย่างยาวนานด้วย ไม่ได้เป็นธรรมชาติธรรมดา ที่ต้องรับรู้ Dynamic Static ที่เป็นสาระ มันไป  เล่น Static หลงการสะกดจิต แข็งแน่น หลงไม่รู้ไม่ชี้

จริง ดูไม่วุ่นวายดูสงบแน่นอน แต่ก็จม เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านบริภาษ อาฬารดาบส อุทกดาบสว่า ฉิบหายแล้วหนอ แต่เป็นนักสะกดจิตเป็นฌาน อรูปฌาน ก็ไปไม่ออก อาจจะสงบเพียงชั่วคราวไปเป็นล้านปีก็ได้ แล้วก็ต้องเปลี่ยนกลับมาใหม่ คุณไม่ได้ระงับ สูญอย่างไม่เกิดอีก เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความสมานฉันท์ 7 แบบ

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 8


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 14:09:21 )

การนั่งหลับตาดับสมถะนิโรธไม่ถาวร

รายละเอียด

ต้องฟังคนอื่น เราจะต้องรู้ว่าที่เราปฏิบัติอยู่นี้มันบรรลุหรือยัง ถ้าคนปฏิบัติแล้วเขาหลงว่าตนเองบรรลุ อย่างไรเขาก็เชื่อว่าเขาบรรลุ อย่างเช่นสายนั่งหลับตาเยอะแยะ เขาหลงว่าเขาได้แบบนั้นเป็นนิโรธแบบเขาได้ผลแบบที่เขาได้เป็นมิจฉาผล ไม่ว่าจะเป็นนิโรธหรืออย่างอื่นก็ตาม เขาว่าเขาได้แต่มันผิด ก็ลองฟังดูแล้วมาปฏิบัติแบบที่เขาว่าไม่เหมือนกับที่คุณปฏิบัติมาเป็น อื่น ปรโตโฆษะ แประ แปลว่าอื่น พอมาลองดูแล้ว คุณจะรู้เองว่าแบบที่คุณเคยได้มานั้นเป็นสมถะโลกีย์ แต่อันนี้เป็นโลกุตระมีนัยมีเพศต่างกัน ยิ่งปฏิบัติไปมากขึ้นมันจะยิ่งชัดเจน อาตมาก็บอกแล้วว่าอย่างที่คุณได้มาเป็นการนั่งหลับตาดับสมถะนิโรธแบบนั้นอาตมาทำได้ แต่อย่างนี้สิ มาเอาอย่างนี้อาตมาทำอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้นมันเป็นแบบฤาษีอาฬารดาบส อุทกดาบส คุณได้อย่างเดียวแต่อาตมาได้ 2 อย่างแล้วตรวจสอบแล้วว่าแบบนั้นไม่ถาวร แบบนี้มันถาวรกว่าแบบนี้อยู่บนโลกเหนือโลกไม่ใช่หนีโลกไม่ใช่หลับโลก เห็นไหม มันชัดเจนกว่ากันเยอะ สรุปแล้วมาปฏิบัติแล้วเห็นเอง ได้เอง คุณจะไม่หลง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 09:32:43 )

การนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเรื่องที่ผิดโยนทิ้งได้เลย

รายละเอียด

การนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเรื่องที่ผิด อาตมาพูดมานานแล้วว่าโยนทิ้งได้เลย พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติแบบนั้นได้เพียงทิฎฐิ 62 ประการ มีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาปัจจุบัน จึงจะครบพร้อมทั้งสมมติสัจจะ ปรมัตถ์สัจจะ จึงจะถูกต้อง สร้างจิตได้เป็นนิพพาน ถ้าไปห่วงงมกับ อดีต 18 อนาคต 44 ก็ไม่ได้นิพพาน ถ้าหากเข้าใจสัมมาสมาธิไม่ได้ ก็จะไปหลงนั่งหลับตาสมาธิ อาตมารู้ว่าแก้ยาก แต่มันก็ต้องแก้ เพราะมันผิด ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ต้องพูดไปจนกว่าจะตาย ไปเกิดใหม่อีกก็จะพูดอีก จากนั้นท่านก็อธิบายในมรรคทั้ง 7 องค์ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ไปตามลำดับ ให้เป็นบุญ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:20:24 )

การนั่งหลับตาปฏิบัติที่มีอุปการะมากต้องมีสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

อาตมาไม่ค่อยได้ส่งเสริมเรื่องหลับตา พูดถึงอยู่ว่า หลับตาเป็นเตวิชโช หลับตาเพื่อพักผ่อน หลับตาเพื่อทบทวนธรรม แต่เราไม่ได้หลับตาเพื่อใช้จิตเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อาตมาเคยพูดและก็ใช้คำว่า หลับตานี้มีอุปการะมาก พูดกันนี้เป็นสำนวนในพระไตรปิฎกว่า นั่งหลับตา มีอุปการะมาก แต่ต้องสัมมาทิฏฐิ หากคุณจะนั่งอย่างมิจฉาทิฏฐิ นั่งอย่างหลงว่าเป็นหลักปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งมันไม่ใช่จรณะ 15 วิชชา 8 ฌานที่ได้จึงไม่ใช่ ฌาน ที่ได้จากจรณะ 15 วิชชา 8 แต่เป็นฌานที่ได้จากการนั่งหลับตาสะกดจิต  มันไม่ตื่นเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 08:34:56 )

การนั่งหลับตาปฏิบัติมีประโยชน์ 4 อย่าง

รายละเอียด

1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก 

2. ศึกษาเพิ่มทักษะในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่าน  ภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์ 

3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี . 

4. สร้างพลังทางจิต ที่จะนำไปทำฤทธิ์ต่างๆ  (แต่ฤทธิ์ในพุทธศาสนา หมายถึง ฤทธิ์ที่ระงับ ดับกิเลส เพื่อไปสู่นิโรธ-วิมุติ-วิโมกข์-นิพพาน) 

นั่งหลับตาไม่ใช่ทางปฏิบัติธรรม มีแต่ใช้เป็นเตวิชโชตรวจสอบลงบัญชี ที่ผ่านมา เมื่อวานนี้อาทิตย์ที่แล้วเราปฏิบัติทำอย่างไรมีอะไรเกิดอะไรดับกิเลสเกิดหรือเปล่า แล้วเราได้ดับกิเลสหรือเปล่าเราดับกิเลสได้ อันนี้ผ่านมา ตรวจสอบแล้วมันหมดจริงๆ อาสวะเราไม่มี และเราก็ไม่มีมาหลายทีแล้ว สัมผัสแม้ไม่รู้ตัวหลายทีแล้วมันแรงด้วยก็ไม่มีกิเลสเกิด คุณก็ตรวจสอบตัวเองได้ ของพระพุทธเจ้าต้องตรวจสอบแล้วมีการรักษาผล อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 19:56:11 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:18 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:36:34 )

การนั่งหลับตาปฏิบัติเป็นเรื่องโลกจินตามีแต่กาย 3

รายละเอียด

ก็กลายเป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องสารพัดที่จะเป็นเรื่องโลกจินตา เขาไม่รู้โลกจินตา คือ โลกแห่งความคิด ต่างคนต่างอยู่กับภพของตนเอง เขาก็คิดของเขาคนเดียว ความคิดของคนไม่ได้ไปจับยัดใส่ของคนอื่นได้ เวทนาของใครก็เวทนาของมัน สัญญาของใครก็สัญญาของมัน เขาก็คิดอยู่ในภพของเขาไป เสร็จแล้วไปหลงว่าตรงกับคนนั้นคนนี้แล้วตื่นมาก็บอกว่าตรงกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ ต่างคนต่างมีอาทิสมานกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของใคร ไม่รู้ของใคร แต่มาพูดกัน ดูเหมือนว่ามันตรงกัน เป็นอุปาทานหมู่ เป็นสัมโภคกาย ร่วมกัน เดา ว่าอย่างเดียวกัน ก็มันเดาไม่ยาก เพราะมันรวมกัน ไปหาหนึ่งเดียว แล้วต่างไปหลงความคิดของตนเอง จะคิดอย่างโลกๆ เพ้อฝันก็ได้ นิรมาณกาย เป็น ของตนเองหมด แล้วมาอุปาทานหมู่สัมโภคกาย แท้จริง อทิสมานกายต่างคนต่างเห็นของตัวเองคิดไปเองทั้งนั้น 

เพราะฉะนั้น กาย 3 ของมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างนั้น มันต่างจากอานาปานสติแบบลืมตา มันคนละโลกกันเลย กลายเป็นผีสัมภเวสี หลับหูหลับตาจมอยู่อย่างนั้นของตัวใครตัวมัน จะมีก็แค่สัมโภคกาย คือความรู้เป็นอุปาทานหมู่ ซึ่งเป็นความโมเม เป็นการไม่รู้เรื่องกัน เดาทั้งนั้น เดาตรงกันก็เลยพูดกันรู้เรื่อง เท่านั้นเอง เป็นความรู้ขั้นเดา ภาษาอังกฤษว่า Doubt เขาอธิบายไม่ได้อย่างอาตมาหรอก รูปขันธ์นามขันธ์เป็นอย่างไร กิเลสเป็นอย่างไร ขันธ์ 5 เป็นอย่างไร อภิสังขารเป็นอย่างไร อธิบายไม่ได้หรอก อภิสังขาร แม้แต่สังขารก็อธิบายไม่ออกได้แต่ดับ ดับฆ่ากิเลส แล้วพูดโวหารรอบโลกเลย คำพูดลวงโลก แล้วคนก็ฟังขึ้นนะ เพราะไปสรรหาคำที่เรียกว่าทำให้คนเข้าใจ ไปในเชิงที่เขาต้องการให้เข้าใจได้ 

คนก็เลยเข้าใจตามที่เขาสรรหาคำพูดมาพูดเก่ง ถ้าไม่กินหมากจะพูดเก่งกว่านี้อีก แต่นี่ไปกินหมากก็เลยติดขัดบ้าง ขนาดกินหมากพูดเก่งขนาดนี้ ถ้าไม่กินหมากจะพูดเก่งกว่าอาตมาเยอะ แล้วไม่รู้ว่ากินหมากคือการเสพติดขั้นตื้นๆ ลูกศิษย์ก็หลงว่า เป็นพระอรหันต์ ทั้งที่สังคมโลกทุกวันนี้เขาก็เลิกกันหมดแล้วเรื่องการกินหมาก เขารู้ว่าเป็นสิ่งเสพติด มันไม่ใช่ของลึกซึ้งละเอียดลอออะไร เป็นของตื้นๆหยาบๆง่ายๆ ง่ายแค่นี้หลวงตาบัวยังไม่รู้เรื่องเลย  ยังซัดกันอยู่เลยพวกสายหลับตาปฏิบัติ กินหมากมีเยอะ แต่คนที่ตื่นมาไม่กินหมากก็ยังพอมีเยอะเหมือนกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 14:09:52 )

การนั่งหลับตาพระพุทธเจ้าระลึกของเก่าที่ท่านบรรลุนั้นออกมา

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพูดมาถึงตรงนี้แล้ว คำว่า หลับตาปฏิบัตินั้นจึงโมฆะทั้งหมด สายหลับตา ฟังอาตมาแล้ว เขาก็เถียงเขาก็แย้งว่าอาจารย์ของเขาบรรลุ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็บรรลุ ก็ขอวกกลับไปอธิบายขยายความซ้ำว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้บรรลุในการนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าระลึกของเก่าที่ท่านบรรลุนั้นออกมา ในตอนนั่งหลับตา ไม่ได้บรรลุตอนหลับตา หลับตาไม่ใช่ภาคปฏิบัติของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติทั้งหมด และบรรลุในขณะลืมตา ต้องปฏิบัติในขณะลืมตา และบรรลุในขณะลืมตา ฟังให้ดีๆ 

จึงสรุปลงที่จักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก บรรลุต้องลืมตามีแสงสว่างภายนอก รับรู้มีสติเต็ม มีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระแท้จริง 

เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้สิ่งเหล่านี้ ก็จะต้องรู้ด้วย 2 ตาเปิด กระทบสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 05:34:06 )

การนั่งหลับตาเป็น อุปการะหรือไม่

รายละเอียด

 เป็นอุปการะ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิคุณจะทำ 5 ทำ 10 20 ทำ 100 ก็ทำได้ ข้อสำคัญอยู่ที่คุณทำอย่างสัมมาทิฏฐิจริงบริบูรณ์หรือไม่ ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิจริงบริบูรณ์คุณจะทำขนาดไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่คุณนึกว่าคุณทำนั้นมันเป็นสมถะ แบบโลกุตตระของพระพุทธเจ้า ปัสสัทธิของพระพุทธเจ้ามันต้องชัดเจนจริงๆ แต่ไม่หลับตาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายมีความตื่นชาคริยาอย่างรู้หมดเลย 0 ไม่หลับตา อย่าว่าแต่ 5% 10% เลยศูนย์ก็ยังไม่หลับตา หรือ หาที่สุดมิได้ ก็ลืมตา ไม่ต้องนั่งเลย ไม่ต้องไปนั่งสะกดจิต ไม่ต้องไปหาสถานที่อะไรเลย นี่แหละคือฌานวิสัยที่เข้าใจไม่ได้ ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปหาเวลาแต่อยู่ในสามัญปกติทั้งหมดเลยปฏิบัติ นี่แหละ นี่ยังจมยังหนักไปอยู่ในทางนั่งหลับตา ยังอีกนาน ไม่นั่งนั้นดีแล้วแต่ยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆนะดีค่อยๆทำความเข้าใจไป ดีแล้วล่ะ ทำความเข้าใจแล้วก็ฝึกทำเรียนรู้ให้จริงๆคุณก็ได้ไปเรื่อยๆดี ถ้าคุณไม่ได้คุณอยู่ไม่ได้หรอกที่นี่ เพราะอาตมาถล่มหนักเหมือนกัน ถ้าคนที่ไปยึดมากๆถูกอาตมาถล่มทางนั่งหลับตาเขาไม่อยู่หรอก จริง คนไหนที่ไปติดยึดหลับตาหนักๆมาอยู่ที่อาตมาไม่อยู่หรอก ดีไม่ดีที่อาตมาพูดนี้ อาตมาก็ลูกค้าหายไปเหมือนกันนะ โทษทียึดติดมากๆ ถูกถล่มเขาก็บอกว่า ด่าแต่อาจารย์กู ด่าแต่สิ่งที่กูยึดถือ นับถือ เขาก็ไม่ชอบใช่ไหม เพราะฉะนั้นถึงขีดหนึ่ง เขาไม่มีปฏิภาณปัญญาพอจะรู้ว่า อ๋อ อย่างนี้ ถูก เขาก็จะแยกไปเสียเวลา อีกนานกว่าเขาจะรู้ว่า โอ้ ตกลงโพธิรักษ์นี้เป็นสัมมาทิฏฐิหรือแล้วก็เราไปหลงมิจฉาทิฏฐิออกไปอยู่เองหรือ กูเอ๋ย กูเอ๋ย เขาจะละอายอย่างแรงกล้าขนาดนั้น เอ้า.. อธิบายต่อไปอีกก็ได้แต่เวลามันก็มีไปตลอดแหละ เวลาจะเป็นนิรันดรอยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ขอไปนิรันดรกับเวลาหรอก พักก็แล้วกันเนาะ ก็แยกทางกันไป ทางใครทางมัน ที่นอนใครที่นอนมันแล้วตอนนี้ เจริญธรรม. 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:46:38 )

การนั่งหลับตาเป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้งบาดาล

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตา อาตมาได้แต่สงสารไม่รู้จะทำอย่างไร ถึงจะปลุกให้ตื่นขึ้นได้ โอ้ย! พญานาคเอ๊ย เป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้งบาดาลจริงๆ เสียงอาตมา ไม่ใช่เสียงถาดทองคำของพระพุทธเจ้าที่จะกระทบกับถาดใบเก่าของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ที่จะทำให้พญานาคค่อยจะรู้สึกตัวว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาอีกองค์หนึ่งแล้วเหรอ พอรู้สึกตัวขึ้นมาเท่านั้นแหละ แล้วก็หลับต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งจะมาอุบัติขึ้นในโลก แล้วก็จะมีเสียงกระทบถาดทองอีก ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ค่อย ตีงคีง(ภาษาอีสาน) คือรู้สึกตัวขยับตัวขึ้นมาหน่อย อ๋อ.. พระพุทธเจ้าเกิดอีกองค์นึงแล้วหรือ ว่าแล้วก็หลับต่อไป คือ คำเปรียบเปรย อุทาหรณ์ช่างสุดยอดจริงๆเลย 

เพราะฉะนั้นอาตมาแทงด้วยหอกเช้า 100 กลางวัน 100 เย็น 100 จ้างก็ไม่รู้สึก คีง(ตัว)หรอก ไม่รู้สึกตัวอะไรหรอก เหมือนไม่มีอะไรกระทบกับตัวเลย บ่ฮู้สึกคีง บ่ฮู่คีง ค่อยๆศึกษาไปนะ เอาปัจจุบันเป็นเอกก็ดีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประเด็นโลกุตระจากงานศพอาจารย์สมเกียรติ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2564 ( 11:49:26 )

การนั่งหลับตาเป็นศาสนาเทวนิยมอย่างไร

รายละเอียด

การนั่งหลับตา นี่ หลับตาทำไม การนั่งหลับตา ของคนทั่วไปในโลกทั้งโลกเลย นั่งหลับตาชนิดหนึ่งที่ถือว่า การนั่งหลับตาทำสมาธิ ภาษาไทยก็เอาคำว่า สมาธิของบาลี มาเรียกการนั่งหลับตาและเกิดสมาธิ 

สมาธิแปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่น จิตมันแข็งแรงตามที่เขาต้องการ เขาจะมีสัญญามีทิฏฐิอย่างไรเขาต้องการอย่างนั้น อย่างที่เขาเข้าใจว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นให้มันได้จิตอย่างนั้น 

1. มีจิตนิ่ง 2. จิตมันรวมแน่น ทั้งนิ่งและก็รวมแน่น อะไรมากระทบกระแทกกระทุ้งอย่างไรมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ นิ่ง แน่น นาน ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย อะไรมากระทบกระแทกกระเทือนอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ เขาหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นลักษณะของสมถะ ฟังประเด็นนี้ให้ดีนะ แล้วจะชัดเจนเลย

นี่คือสมาธิของคนทั่วไปทั้งโลกเรียกว่าพวกชาวเทวนิยม หรือ ชาวโลกียะทั้งหลายโลกๆ ธรรมดาคนสามัญในโลกเป็นโลกียะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2564 ( 13:12:35 )

การนั่งหลับตาเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธ

รายละเอียด

การนั่งหลับตาเป็นโมฆะจากศาสนาพุทธ  คือ  หลับตามันไม่มีความรู้สึก  เรียกว่า ไม่มีเวทนาเมื่อไม่มีเวทนา  ก็ไม่มีความสุข  ความทุกข์ให้ปฏิบัติ  ก็ไม่มีทางปฏิบัติธรรมะของศาสนาพุทธ  การปฏิบัติธรรมจึงขอยืนยันอีก มันไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธกับการหลับตา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:43:06 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 14:07:34 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:37:12 )

การนั่งหลับตาไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8

รายละเอียด

การนั่งหลับตาปฏิบัติมันผิดทางพระพุทธเจ้าไม่มีการปฏิบัติที่ไม่ผิดของพระพุทธเจ้าคือ อปัณกปฏิปทา ไม่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8

จรณะต้องมีศีล มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจิตใจจะเกิดศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ สติ ปัญญา แล้วจะเกิดฌาน 1-4

เกิดมาพร้อมศีล อปัณกธรรม สัทธรรม 7 จะเกิดฌาน ลืมตา เป็นพลังงานไฟเผากิเลส ฌานไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตา หลับตามีแต่สัญญาไม่มีปัญญา  ฌานต้องมีปัญญา ในหลับตาไม่มีปัญญาเกิด ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ องค์แห่งมรรค สัมมาทิฏฐิ

ต้องเกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ถ้าหากเอาแต่นั่งหลับตา พูดก็ไม่พูด คิดก็ไม่คิดอันนี้ไม่มีปัญญาหรอกมีแต่สัญญา สัญญากับปัญญานั้นต่างกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูผู้มาอธิบายหัวใจศาสนาพุทธ


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:26:17 )

การนำเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบาย

รายละเอียด

การนำตักกะ  วิตักกะ สังกัปปะ พูดไปถึงอย่างนี้ พวกเราฟังธรรม ระลึกถึงอาการ ระลึกถึงสภาวะ ของคำแต่ละคำ ตักกะ ระลึกถึงสภาพ แม้แต่ในปัจจุบัน ที่อาตมาพูดไป พวกเราได้กำหนดตามไหม ว่าตักกะ เราก็กำหนดตามในปัจจุบันนี้ วิตักกะ ก็หมายความว่าจิตของเราได้พิจารณาไตร่ตรองลงไป

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:25:07 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 13:23:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 13:38:06 )

การนำโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงในโลกยุคใกล้กลียุคของพ่อครู

รายละเอียด

อาตมานำโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในโลก ยุคเสื่อม ขออภัยต้องพูดความจริง มันเสื่อมจริงๆ จนสำเร็จ มีมนุษย์ก็ถือว่ามากพอในยุคใกล้กลียุค ยุคนี้แล้ว ได้ขนาดนี้ มีมวลประมาณนับได้จำนวนแสนนี่ก็ อาตมาว่ามีมวลชนที่รับได้อยู่นี้ ยังไม่บังอาจว่าไปบอกว่าเป็นล้านวิว แค่แสนนี้มีอยู่ อาจจะไม่ทันทีทันใด ทันทีทันใดเป็นหมื่น ตอนนี้จะถึงหรือเปล่าไม่รู้  ปัจจุบันมีผู้ฟังถึงหมื่นหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร ไม่ใช่เรื่องที่น่าอัศจรรย์ สงสัยอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดา ของคนที่จะรับได้ จะรู้ได้นี้มันไม่ใช่ง่าย มันยาก มันต้องคนมีภูมิธรรมเข้าถึง เห็นเป็นคุณค่า เป็นธรรมรส ยินดีในวิมุติรส เป็นรสขั้นธรรมะโลกุตรธรรม มันไม่ใช่ธรรมดา เพราะคนก็ไปยินดีกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 34 ปัญญา สมาธิและสันติภาพแบบพ่อครู วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กรกฎาคม 2565 ( 08:24:58 )

การนิ่งอย่างพระอาริยเจ้า

รายละเอียด

เป็นผู้ที่พูดมากแสดงว่า แต่นิ่งเพราะว่ากิเลสไม่มี  กิเลสสงบ  กิเลสไม่กวนเลย  เป็นผู้นิ่งอย่างพระอาริยเจ้า  ถ้านิ่งอย่างโลกีย์ไม่พูด  ไม่กระดุก  กระดิก  ไม่คิด  ไม่นึก  ไม่พูด  นี่คือ โลกียะ  อาริยจริงจะรู้ประมาณ  รู้เหมาะควรในการพูด  ที่พูดเลอะเทอะนั้นก็ตายที่นี่ไม่ใช่พระอาริยะหรอก  พูดจนมากไปแล้ว  เวอร์แล้ว  อาตมาพูดแล้วก็นึกถึงน้องชายคนเล็ก  นายแต๋ม ก็ตายที่นี่แหละ  ตอนที่กำลังปฏิบัติธรรม  อาตมาก็สอนน้องอย่างจู้จี้จุกจิก นายแต๋มคงรำคาญเขาก็ว่า รู้แล้วว่าน้ำตาลมันหวานแต่ยัดมามาก มันก็จะเอียนนะ จะอ้วกแตก อาตมาซาบซึ้งเลยจำได้จนถึงทุกวันนี้  มันเกินไป  ถ้าเราเข้าใจธรรมะแล้วจะไปดูถูกพระอาริยเจ้าอย่างไรท่านที่ไม่ใช่ชอบสอนก็มี  จะไม่ดูถูกว่าองค์นี้  ไม่รู้หรืออย่างไร  ท่านไม่สอน

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:29:34 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 13:29:08 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:37:41 )

การนึกนินทาผู้อื่นจะผิดศีล 5 หรือไม่

รายละเอียด

ยังไม่ถือว่าผิดศีล 5 เพราะยังอยู่เป็นมโนกรรมภายในอยู่ แต่ก็ถือว่ามีจิตที่เป็นอกุศล ถ้ามีจิตที่รุนแรงอยากจะนินทา ก็เป็นกิเลสชนิดนึง 

แค่นึกนินทาผู้อื่น ก็แสดงว่า มีเจตนาไปหาคนนั้นคนนี้แล้ว มันก็เป็นอกุศลที่มีบาป มีกิเลสประกอบด้วย อกุศลที่เป็นโลกีย์ที่เป็นสมมติสัจจะ มันก็ไม่บาปอะไรหรอก ไม่เกิดกิเลสอะไร ทำไปตามประสาโลกตามสังคมก็พูดไป อันนี้ก็เป็นรายละเอียดที่อาตมาอธิบายให้ฟัง 

แม้แต่ข้างในเป็นวจีสังขารก็เป็นบาปอยู่ มีกิเลสเพ่งผู้อื่น อาจจะยังไม่มากอะไรแต่ก็ไม่ควรประมาท 

รายละเอียดที่เอาแค่นึกนะ เราก็นึกก็เห็นว่าการนินทาผู้อื่นเป็นการนึกคิด นึกคิดนินทาผู้นั้นผู้นี้ อย่างนั้นอย่างนี้ กับที่อยากนินทาผู้อื่น เรามองผู้อื่นรู้จักคนอื่นว่าผู้นี้ไม่ดี แล้วเราก็นึกถึงว่าคนนี้ไม่ดีอย่างไร แต่เรายังไม่ได้อยากจะไปว่าอะไรเขาหรอก ไม่ได้อยากจะไปพูดว่าอะไร แต่มันเป็นสังขาร มันรู้เรื่อง คนที่สังขารเองก็รู้ว่าเราไปว่าสิ่งที่บกพร่องสิ่งที่ไม่ดี ของคนอื่นตำหนิอยู่ในใจ ก็ต้องรู้ความจริงให้ได้บางทีเรานึกถึงความไม่ดีของคนไม่ดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปเป็นอกุศลไปทีเดียวมันก็ไม่ใช่ ซึ่งมันละเอียดลออ จิตของเราจะมีเจตนา มีสัญญาอ่านลึก ระลึกถึง แล้วมีเจตนา เจตนาถึงจะเป็นกรรม ถ้ามีเจตนาไปกระทบอะไรต่อ คนคนนั้นจะต้องมีตัวบุคคลหรือมีผู้ที่เราจะนินทา เกิดขึ้นอีกมันก็มีเจตนาถ้ามีเจตนาที่ไม่ดี 

เมื่อเรานึกถึงเรื่องร้ายเรื่องผิดของคนอื่นแล้วก็ว่าเขา ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นบาปแต่เป็นกุศลก็ได้เป็นเจตนาที่เป็นกุศลเจตนา ต้องการให้เขารู้ให้เขาเข้าใจ อย่างเช่นอาตมาระลึกถึงคนอื่นที่ไม่ถูกต้องไม่ดีอย่างไรแล้วเราควรจะพูดอย่างไรควรจะบอกอย่างไร ควรจะอธิบายรายละเอียดอย่างไรเพื่อจะให้เขาเข้าใจเพื่อให้เขารู้แล้วสำนึกเสียอะไรอย่างนี้เป็นต้นก็คิดก็นึก ไม่ได้เป็นบาปอะไรแต่เป็นกุศลด้วยซ้ำอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันละเอียด ก็ให้ศึกษาไป

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 19:11:43 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์