@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ไม่มีเวทนาในการปฏิบัติเป็นโมฆะ

รายละเอียด

เวทนาเป็นอะไร? เป็นสโมสรณา เป็นที่ประชุมลง ทุกอย่างประชุมลงตรงนี้ แล้วท่านสรุปอธิบายโดยสังขยาเลขว่าประชุมลงมาทำให้เป็น 1 ใน 2 (ข้อความจาก พตปฎ)ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  พตปฎ ล.10 ข.60 

เทฺว ธมฺมา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ ทฺวเยนะ ก็ให้ไปทำที่เวทนา เอกสโมสรณา ภวนฺติ จบ ภวันติ นี่จบเลย 

นี่แหละพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 อันนี้ 

ยืนยันว่าในโลกนี้ ศึกษาจากธรรมะ 2 แล้วศึกษาธรรมะ 2 ท่านสรุปลงไปที่เวทนา ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ ไปหลับตาแล้วไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนาในการปฏิบัติเป็นโมฆะ โมฆะเลย ออกไปนอกทางของศาสนาพุทธ ไปแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ คุณจะทำจิตในจิตให้เป็นบุญเพื่อที่จะล้างกิเลสไม่ได้หรอก 

แล้วอาตมาก็อธิบายถึงบุญล้างกิเลสอะไรต่างๆนานา  จนกระทั่งถึงปรินิพพาน ถ้าบุญ ยังจะต้องเป็นทั้งบุญและยังจะต้องเหลือกุศลอีก ทำบุญได้แล้วก็เป็นกุศล ไม่ บุญไม่มีกุศล อันนี้ยาก อธิบายอย่างไรก็ยาก เพราะกุศลมันเป็นเรื่องโลกียะ แต่บุญมันเป็นเรื่องโลกุตระ บุญเป็นเอกังสะ บุญเป็นทิศทางเดียว One way Traffic หรือเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงไปอย่างเดียว ไม่มีโค้งแม้แต่ .0001 องศาก็ไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าไปบอกว่าเป็นบุญแล้วมีบาปคู่นั้น ไม่ บุญทำงานเสร็จ ทำอะไร? ก็คือฆ่าบาป บาปก็สูญหายไป บุญก็หายไปด้วย เพราะฉะนั้นบุญจะไปมีอีกได้ยังไง อันนี้ลึกซึ้งมาก ปุญญปาปปริกขีโณ บุญบาปหมดไป 

เพราะฉะนั้นชัดเจน อย่างท่านมหาประยุทธ์ท่านไม่รู้เรื่องโลกุตรธรรม ท่านก็แปล อปุญญาภิสังขาร ท่านก็ไปแปลว่า มันไม่ใช่บุญ อปุญญะไปแปลแบบโลกีย์ง่ายๆ ก็จึงหมายถึงบาป แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าท่านไม่มีสัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธแม้คำว่าบุญ แล้วมันจะไปบรรลุธรรมได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:09:46 )

ไม่มีใครกล้าพูดเหมือนพ่อครู

รายละเอียด

ที่ท่านฟ้าไทว่า ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้หรอก มีอาตมานี่กล้า มีคนอื่นเขากล้าพูด แต่เขาไม่กล้าพูดแรงๆ เหมือนอย่างอาตมา เขาพูดอยู่ไม่น้อยคนที่กล้าพูด ไม่ใช่ไม่มีคนกล้า เขากล้าพูด แต่ก็คิดว่าพวกเราคงฟังออก ไม่มีใครกล้าพูดแรงขนาดอาตมาหรอก พวกคุณยิ่งเข้าใจที่อาตมาพูด   

อาตมาพูดธรรมะ มันมีเหตุมีผล มีหลักฐาน มีความจริง ใช่ไหม คนที่เข้าใจเห็นว่าอาตมาพูดนี่แรง คนอื่นเขาไม่เข้าใจธรรมะละเอียดเหมือนอาตมา เขาก็พูดไม่แรงเท่าไหร่ น้ำเสียงเขาอาจจะแรง แต่ธรรมะเขาไม่แรง ธรรมะเขาไม่เข้าใจซับซ้อนเหมือนอาตมาเข้าใจมันต่างกันอยู่ตรงนี้ 

เขาก็เชื่ออย่างนั้น เพราะโลกนี้มันมีโลกีย์ มันมี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขามีมากมาย อาตมาไม่มี เขาเหมือนพวกนั่งเครื่องบิน อาตมาเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เขานั่งเครื่องบินของเขาสบายอยู่ลอยลำ อยู่ข้างบน เขาก็ก้มมองเห็นเราเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน เออ.. หมาเอ๋ย เขาก็คงจะสงสารขนาดนั้น 

แต่อาตมาพูดเรื่องประโยชน์ อย่างที่บอกว่าเขาก็คงไม่รู้สึกรู้สาอาตมาพูดอย่างไร เขาจะโกรธเอาด้วย คนอื่นที่จะฟังแล้วได้ธรรมะ เรียกว่า ตีงูให้กากิน ที่อาตมาทำ ไม่ได้หวังประโยชน์จากตัวเขา แต่หวังประโยชน์จากมวลมนุษยชาติ ใช่ไหม ประโยชน์เกิดตรงนั้น 

ยิ่งมันมีตัวจริง คนจริง ของจริง พฤติกรรมจริง ที่พวกคนต่างๆก็ได้รู้ได้เห็นได้สัมผัส อาตมาพูดแล้วก็ อ๋อ.. เรื่องของ ความจริงพฤติกรรมจริง และพูดออกไปนี่นะมันรู้ง่าย ถ้าไม่มีคนจริง พฤติกรรมจริง พูดไปเป็นตำราพยัญชนะภาษาเฉยๆ มันรู้ยากใช่ไหม นี่มันดีแล้วมันมีคนจริง ปฏิบัติจริง มีพฤติกรรมจริง อาตมาพูดไปก็ได้ของจริงมาศึกษา มันก็ง่าย อาตมาก็ใช้โอกาสนี้ อธิบายเป็นธรรมะใช่ไหม เป็นของง่าย เป็นของมีเหตุปัจจัยดีแล้ว ครบแล้ว 

เพราะเขาเดินทางสวนกัน คนละทาง เขาจะต้องไปเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สะสมทุกอย่าง ส่วนพวกเรามาหมดเนื้อหมดตัว จะสูญ คนละทาง เราก็ไม่ได้แย่งเขา แน่นอนเขาก็ไม่มาเอาอย่างเรา มันแน่นอนเดินคนละทางอยู่แล้ว

คนที่มีดวงตา มีปัญญา มีความเข้าใจก็ชัดเจนในสัจธรรมอย่างนี้แหละ อาตมาก็สบายใจหรือว่าดีใจที่ เออ...ธรรมะที่อาตมาแสดงไปนี่ คนพวกเราผู้ที่ได้รับก็เข้าใจ ได้สัจธรรมหรือได้ธรรมะอันนี้ๆ อยู่ โดยแยกออก แล้วก็พยายามแยก ไม่ให้อาตมาไปทำอะไรๆ กับทักษิณตามที่คุณแนะนำมา ดี แสดงว่าเข้าใจสัจธรรมที่ซับซ้อนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จุดที่เลิศยอดยิ่งใหญ่ที่สุดของคนคือพ้นสุขพ้นทุกข์ วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 12:21:05 )

ไม่มีใครจะสู้เราได้ในเรื่องใด 

รายละเอียด

เราก็ทำของเรานี่แหละเราสร้างนามธรรมทางจิต สร้างจิตนี่แหละเป็นเอก ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราตรัสว่า เรื่องนี้ ไม่มีใครจะสู้เราได้ 

โลกทั้งโลกยังพยายามที่จะมุ่งรวยหรือมุ่งสร้างทุนสร้างเงิน สร้างวัตถุดิบ จะต้องมีมากๆ มีทองคำ มีธนบัตร เหมือนอย่างที่มหาบัวหลง เรี่ยไรประเทศไทย ขูดรีดมากองรวมกันเป็นกองกลาง แล้วก็เอาไปเข้ารัฐบาล เอาหน้าก็ได้หน้าเบ้อเร่อเลย มหาบัว ได้ทองคำ มันแสดงถึงอะไร มหาบัวเรี่ยไรทองคำและดอลลาร์ ได้มากมาย นี่เป็นสิ่งจริงนะที่มหาบัวทำแล้วก็มาอธิบายธรรมะให้ฟัง

ก็ได้วัตถุสมบัติพวกนั้น และก็ยังมีความเป็นทุนนิยม มหาบัว ก็เอามาเข้าคงคลังไว้แล้วกำชับด้วยนะว่าอย่าใช้ เอาไว้เป็น คงคลัง 

ในเศรษฐกิจนั้น เงินที่ไม่เคลื่อนที่ สมบัติหรือวัตถุอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่เคลื่อนที่ โดยเฉพาะธนบัตรหรือ BankNote ไม่เคลื่อนที่ มันคือเศษกระดาษ ไม่มีค่าอะไรหรอก นี่หลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานเบื้องต้นด้วย มหาบัวไม่มีความรู้หรอก ก็เรี่ยไรได้เพราะอิงชาติ อิงสถาบันเบื้องสูงด้วยปฏิภาณบอกว่า นี้เอามาช่วยชาติๆ คนก็ไม่มีปัญหานี่ คนไทยรักชาติอยู่แล้ว ก็ได้มา แลวก็กรึ่มว่า นี่ฉันเป็นคนช่วยชาติไว้ ถ้าไม่มีฉันนี้ประเทศชาติไปหมดแล้ว ทั้งทอง ทั้งเงิน ทั้งดอลล่าร์ ก็ไม่รู้แม้แต่เศษกระดาษดอลลาร์จะเอามาทำไม อาตมาถล่มเงินดอลลาร์ไปไม่รู้กี่ทีแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 19:06:54 )

ไม่มีใครจะไม่พรากจากกัน 

รายละเอียด

จะไปตกทำไม ก็ทำใจให้เข้าใจ เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องสามัญ ทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ เข้าใจยังไม่ได้ มันก็ยังไม่เจริญ ถ้าจิตเจริญจริงๆแล้วก็จะรู้ความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดาของทุกชีวิต ไม่มีอะไร ไม่มีใครจะไม่พรากจากกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 11:49:35 )

ไม่มีใครบังคับ เห็นด้วยภูมิปัญญา

รายละเอียด

เอากฎหมายมา อาตมาจะผิดกฎหมายมาตรา 157 เลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผิดเลย นี่ อาตมาต้องทำ ดี คุณยกอ้าง กฎหมายมาใหม่ ต่อจากนี้ไปอาตมาก็จะพูดถึงเรื่อง ยก ทีนี้ เมื่อกี้พูดถึงเรื่องตำหนิไปพอสมควร พูดมากกว่านี้ก็ได้ แต่มันจะตำหนิมาก แต่ยกก็อีกแหละ ที่จะยกก็เป็นพวกอโศก แหม มันยากจริงๆเลย จะตำหนิก็ไปว่าเขา จะชมก็มายกตัวเองยกเรา ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ขอยืนยันว่า ทุกวันนี้อาตมาพยายามทั้งสร้างสถานที่สัปปายะ สร้างบุคคลสัปปายะ สร้างอาหารสัปปายะ สร้างธรรมะสัปปายะ 

สัปปายะ แปลว่า สบาย สบายคำนี้ อาตมาแยกแยะออกไปเป็น อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาศึกษาและเห็นดีเห็นงามกับอโศก ไม่มีใครไปบังคับคุณหรอก คุณเห็นด้วยภูมิปัญญา เห็นอย่างยิ่งเลยว่าควรจะมาอยู่ร่วมกลุ่มที่นี่เลย ที่นี่มีเสนาสนะสัปปายะ มีสถานที่ที่สบาย สัปปายะแปลว่าเจริญ แปลว่าประโยชน์ แปลว่ากำไร แปลว่าที่ๆควรได้ เป็นสถานที่ควรได้ บุคคลที่ควรได้ สิ่งที่อาศัยควรได้ อาหารที่ควรได้ จะเป็นธรรมะที่ควรได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 19:22:05 )

ไม่มีใครสามารถติได้ละเอียดลออลึกซึ้งครบครันได้เท่าอาตมาหรอกในยุคนี้

รายละเอียด

แต่เรื่องไม่ดี แม้เราจะเหลือไม่ดีนิดเดียว เราก็ยังมองเห็นและเตือนเราได้ทั้งๆที่เรามีดีตั้งเยอะแยะ ขออภัยอาตมามีดีเยอะ พูดนี้ไม่ได้หลงตัวเองอะไร มีดีเยอะ แม้แต่ที่อาตมาตำหนิติเตียนคนอื่นก็ไม่ใช่ของไม่ดีเลย เป็นของดีจริงๆ แล้วดีถึงขั้นว่าไม่มีใครมากล้าติเท่าอาตมาหรอก คนในยุคนี้ และขออภัยอีก ไม่มีใครสามารถติได้ละเอียดลออลึกซึ้งครบครันได้เท่าอาตมาหรอกในยุคนี้ นี่เรื่องจริงอาตมาจึงเหมาะสมเป็นผู้ที่ทำหน้าที่นี้แล้ว หากว่าอาตมาไม่ทำ อาตมาผิด จงดูไว้เสียด้วยคุณ 9309 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 10:19:56 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:26 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:04:36 )

ไม่ยอมตายต้องสร้างพลังงานอะไร

รายละเอียด

0 ทรงตัวได้ระยะหนึ่ง เดี๋ยวมันก็เข้าไปหา ชรตา ถ้าไม่มีตัวแปรใหม่มากขึ้นอีก ถ้าคุณสามารถรู้และพัฒนาตัวแปรให้เป็น Coefficient สามารถพัฒนาให้ดีกว่าเก่าได้ เหมือนอย่างอาตมา สู้ฝืนสภาวะพวกนี้ เพื่อจะไม่ยอมตาย สร้างพลังงาน Coefficient สัมประสิทธิ์มีให้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่อวดดีแต่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ ยังพอได้ไม่ทรมานทรกรรมมากไป ไม่น่าทุเรศทุรังการเกินไป พอได้ไม่น่าเกลียดน่าชังไป อาตมาว่ามันน่าทำ คนไหนคิดว่าไม่น่าทำก็ต่างความคิด ก็หาทางออกจากนี้ไป แต่สำหรับอาตมาก็ขอทำ อนุญาตนะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:47:56 )

ไม่ยอมรับจะไม่รู้ครบ

รายละเอียด

ก็ต้องตัวเอง นั่นแหละเป็นผู้ที่เรียนรู้ตัดสิน คุณจะโง่คุณจะไม่ยอมรับคุณจะไม่รู้คุณก็ไม่รู้ครบของคุณเอง  แต่ถ้าคุณเองสามารถเปิดจิตรับว่ามันไม่มีทวารเดียวนะมันมีทั้ง 6 ทวาร มีทวารทั้ง 5 อีกภายนอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมดแล้วเราก็ไปทำอยู่แค่ทวารเดียว ถ้าปฏิภาณที่ไม่รู้แค่ว่า คุณทำนึกว่าคุณจบอยู่ในทวารเดียวไม่มีความเป็นจริงในปัจจุบันชาติเลย มีแต่เพ้อพกคิดเอา หรือเอาอดีตมาคิด มันไม่เอาความจริงในปัจจุบันชาติที่มีจริงนะ อันนี้มีจริงกระทบจริง รูปมีจริง เสียงมีจริง กลิ่นรสมีจริง กิเลสมันก็เกิดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสจริงๆ หรือวัตถุสมบัติต่างๆ มันก็จริงนี่ มันไม่ใช่ของไปคิดเอาอยู่ในอดีต อยู่ในภพ อยู่ในฝันเฉยๆ แค่นี้คุณไม่เข้าใจ แล้วคุณก็จะยังยืนยันว่าทำอันนี้แหละได้หมด มีตาทิพย์หูทิพย์หมด ก็ของใครของมันแล้ว 

อย่างนั้นมันจะไปยากอะไรแค่ อสัญญีสัตว์ อาตมาทำมาหนักหนาแล้วไม่ใช่ว่าอาตมาทำไม่เป็นอย่างสายลับตาสายมหาบัว ไม่ใช่อาตมาทำให้เป็นไม่รู้จักนะ รู้ แต่ มันมีตัวเทียบเคียงกับมาทำอย่างที่อาตมาพาอธิบายนี้ อันนั้นมันคนละเรื่องกันเลย ห่างไกลกัน อย่างนี้ดีกว่าเยอะเลย อาตมามี 2 อย่าง อาตมารู้ว่าอะไรมันเหนือกว่าอะไร แต่คุณมีอันเดียวงมงาย เสนอให้อีกอันคุณก็ไม่เอา แล้วคุณจะเป็นอย่างที่ 2 มาเทียบเคียงได้อย่างไร ก็ต้องมาลองดูสิ ดีนะ เปิดจิตหน่อยก็แล้วกันอย่าไปปิดจิตไว้ ยึดแต่ของตัวเองถูกไม่มีอะไรถูกกว่านี้อีกแล้วคุณก็ปิดประตู 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 13:09:59 )

ไม่ยอมแพ้โจร เพราะสงสารเขา โจรทำลายศาสนา

รายละเอียด

เอาน้ำเทใส่จอกน้ำ มันน่าจะเข้าไปได้ แต่นี่เอาหอกแทงสัตว์ตัวนี้ ที่จริงก็คือโจรไม่ใช่สัตว์หรอก เป็นคนนี่แหละ เป็นโจรฆ่าศาสนาทำลายศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ชี้ให้ชัดตรัสให้ชัดเท่านั้นแหละ อาตมาชี้ชัด โดยเฉพาะชาวพุทธด้วยกันเป็นโจรนี่แหละ 

แทงหอกหักเลย แทงเข้าไปหอกพังหมดเลยหอกหักแทงไม่เข้า พระราชาเจอตอนกลางวันถามอีกว่า ฆ่าโจรตายหรือยัง ก็บอกว่ายังไม่ตาย ก็บอกว่าเอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มอีก แทงหอกเล่มที่ 1 2 3 4 5 เล่มที่ 8 ก็เมื่อยแล้ว คนแทงจะไปมีกำลังอะไรมากมาย แค่พูดยังเมื่อยแล้ว 100 เล่มหักหมด ต้องยอมแพ้ แต่อาตมาไม่ยอมแพ้ เพราะสงสารเขา มันน่าจะได้คนที่จะต้องสำนึกสักวัน ถูกแทง สามร้อยเล่ม พระพุทธเจ้าท่านตั้งสังขยาเลขไว้แค่ 300 เล่ม อาตมาว่าอาตมาแทงไปหมด 900 เล่มแล้วนะ 50 ปี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 05:02:59 )

ไม่ยึดถือในนิมิต อนุพยัญชนะคือเช่นไร

รายละเอียด

ไปนั่งหลับตาไม่ใช่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า พูดไปเผื่อพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติด้วยความสงสาร แต่เขาตีค่าว่าเราไปด่าเขา พฤติกรรมเราทำเพื่อเขาสงสารเขาเมตตาช่วยเหลือก็หาว่าเราไปย่ำยีเขา เห็นไหมคนเราเกเรเป็นพาลชนเรียกว่าโง่พาลคือโง่ไม่เดียงสา ไม่ฉลาด เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ  คืออะไรคือเห็นอะไรก็เป็นอันนั้นเช่นฟักทองนี้เราเห็นแล้วก็มีสัญญาว่าอย่างนี้เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นฟักทองอันนี้ลูกละมุด อันนี้ลูกอินทผาลัม เห็นอะไรเราก็เห็นอันนั้นเป็นอย่างนั้นก็ไม่ติดไม่ยึดในนิมิต คือ หมายความว่าไม่ไปมีอุปกิเลสไม่เป็นมีกิเลสยึดติดกับสิ่งนั้นเข้าไปยึดถือว่า เออ หรือมีกิเลสเข้าไปร่วมปรุง หากยึดถือว่า ไม่น่าได้ไม่น่ามีหรือว่าน่าได้น่ามีก็เกิดจิตผลัก ดูด เป็นตัวเราของเราเป็นตัวกูของกู เราก็ไม่ให้มีสิ่งเหล่านั้น ไม่ถือนิมิต มันมีนิมิต มีรูป เรื่องมีสภาพอย่างนั้น แบบนั้นให้รู้ว่าอันนั้นคืออันนั้นแต่เราก็ต้องไม่ยึดถือไม่มีอะไรที่เป็นกิเลสอุปกิเลส เข้าไปร่วมกับสิ่งเหล่านั้นที่เป็นจริง ฟักทองก็เป็นฟักทอง ไม่ถืออนุพยัญชนะ คือเรียนมามากแล้วมีพยัญชนะมากแม้แต่ อนุพยัญชนะ แปลว่าตามพยัญชนะ ไม่ไปถือตามพยัญชนะที่เรียนมา แต่ให้ตามสภาวธรรม ตัวนั้นก็มีสภาวะธรรมของมันอย่างนั้นรูปก็คือรูป เสียงก็คือเสียง เสียงอันนี้มาอย่างนี้ เสียงอันนี้คือเสียงคำด่าเสียงอันนี้คือเสียงคำชมเสียงอันนี้คือเสียงบอกลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ ตามนั้นตามนี้ ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมในรูป ไม่มีกิเลสเข้าไปร่วมในเสียงร่วมในกลิ่นร่วมในรสในสัมผัสต่างๆ เพราะฉะนั้นถ้ามันมีเธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 10:36:18 )

ไม่ยึดมั่นถือมั่น

รายละเอียด

พูดไปแล้วก็เหมือนหลวงจีน 2 คนที่ไปเจอผู้หญิงตกน้ำ หลวงจีนคนหนึ่งก็ไปช่วยผู้หญิงขึ้นจากน้ำได้สำเร็จแล้วก็เดินจากไป ส่วนหลวงจีนอีกคนหนึ่งบอกว่า ท่านไม่ควรทำอย่างนี้เลย ไปอุ้มผู้หญิงได้อย่างไร มันอาบัติมันผิดนะไปอุ้มผู้หญิง หลวงจีนอีกคนหนึ่งก็บอกว่า ผมวางไปนานแล้วนะท่านยังอุ้มมาด้วยเหรอเนี่ย ผู้ศึกษาก็จะรู้ว่าเรายึดมั่นถือมั่นหรือ แต่ท่านก็เสร็จแล้วไม่ได้ยึด ท่านช่วยเสร็จก็วาง แต่หลวงพี่อีกองค์หนึ่งก็วางไม่ลงหอบอยู่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 11:47:55 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 16:30:48 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:05:04 )

ไม่ยึดมั่นถือมั่นคือไม่เอาตัวเราเป็นหลัก

รายละเอียด

ที่ว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นคือไม่เอาตัวเราเป็นหลัก แต่เรามีความมั่นคงในตัวเราอยู่แล้ว เราเป็นหลักให้เขา เขายังเหวี่ยง แต่เราเป็นหลัก เราก็ช่วยเขาเพื่อให้เขาหยุดอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลยไปช่วยเขาอีกทีนึง ให้ความเข้าใจของเขาให้เขาทำความเข้าใจของเขาด้วยตัวเขาเองที่มีสภาวะของเขาเองให้รู้ว่านี่คุณยังยึดมั่นถือมั่นคุณยังไม่ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นของคุณ คุณก็อยู่ที่เก่า ถ้าคุณหยุดยึดถือตรงนี้คุณก็ขึ้นที่ แล้วถ้าคุณเข้าใจ แล้วจะเคลื่อนที่ไปในทางสูงคืออย่างไร เคลื่อนที่ลงต่ำคืออย่างไร เคลื่อนที่อยู่เท่าเดิมคืออย่างไร คุณรู้แล้ว ว่าอย่างนี้อยู่ที่เก่าอย่างนี้อยู่ที่สูงขึ้น เคลื่อนที่ก็คือไม่อยู่ที่เก่า พยัญชนะภาษาที่บอกคุณเข้าใจไหมว่าอนุโลมบ้างเถอะ อย่างนี้ปล่อยไปเถอะอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย ต้องให้เขามายึดถือตามเรา เขาไปถึงไหนแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว แต่มันผ่านไปก็อาศัยยึดถือ แต่คุณก็มาว่าคนที่อยู่ที่นี่ยึดถือ ที่จริงเราไม่ได้ยึด มีอะไรต่ออะไรประดับประดาของอร่อยก็มีของสวยก็มีเราไม่ได้ยึด แต่เราทำบ้างไม่อย่างนั้นมันจะแข็งมันจะแล้งมันจะร้างมันจะจืด ก็มีอะไรบ้างสำหรับฐานของคนที่เขาใช้อยู่ ไม่ถึงกับจัดจ้านมอมเมา เอาแสงสีเอารสเอากลิ่นอะไรที่หยาบมาแล้วคุณก็เลยยิ่งติดไม่ใช่ ก็มีบ้างเล็กๆน้อยๆ เป็นสุนทรียศิลป์นิดๆหน่อยๆ พอจะเป็นเครื่องประกอบเล็กน้อยซึ่งไม่ได้พาแรงพาติดอะไรหรอก สุนทรียศิลป์กับสารศิลป์ แต่ถ้าสุนทรียศิลป์มันมากไปมันเกินไปมันก็ดึงไปทางโลกหมด แต่ถ้าสาระมันมีอยู่มากเราก็รู้จักขั้นตอนให้เขาทำไปตามลำดับ คนที่ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะมาอยู่กับอโศกเรา คุณสมบัติคุณยังเข้ามาไม่ถึงหรอก เราก็บอกให้คุณปฏิบัติอยู่ที่บ้านก่อนข้างนอกก่อน ถ้าหากถึงเวลาเข้ามาได้พวกเราก็จะมีปัญญาช่วยมาตามลำดับมีขั้นมีตอน ก็น่าจะมีหมู่กลุ่มจากชาวอโศก หมู่กลุ่มของหมอเขียว หมู่กลุ่มของอื่นๆอีก มันจะมีอีกในอนาคตกลุ่มที่จะรองจากหมอเขียว จะมีจำนวนมากกว่าหมอเขียวอีก แต่ตอนนี้ยังไม่มีตัวปรากฏ ถ้ามีมันก็จะเกิดของมันเองก็พูดไป ประเดี๋ยวผู้ที่จะรู้ตัวมันก็จะเป็นไปตามธรรม เพราะตอนนี้มันขนาดนี้มันก็เด่น ถ้ามันไม่เหมาะควร คนบางคนก็จะบอกว่าพ่อท่านพูดอย่างนี้ดีเราก็ตั้งตนเองเป็นเจ้าสำนักรองมาจากหมอเขียวหน่อย เดี๋ยวมันจะยุ่งมันจะเป็นไปเองตามเหตุปัจจัย ก็ไม่อยากจะชี้โพรงให้กระรอก ได้กระรอกเก๊มาเดี๋ยวมันจะยุ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:40:08 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 08:19:43 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:06:54 )

ไม่ยึดมั่นถือมั่นแบบพุทธเป็นไฉน

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ให้รู้ว่าอะไรควรก็ยึดถือมาทำดี ทำดีแล้วก็จบแล้วก็เลิกก็วางไป ก็ไม่ยึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา หากเรายึดดีนั้นเป็นเราเป็นของเรา เราก็จะติดดี แต่ถ้าเราไม่ติดแล้วทำดีก็จบไปสิ ผู้รู้ดีแล้วมีความเฉลียวฉลาด สิ่งที่ไม่ดีเราไม่ทำเราทำแต่ดี เพราะฉะนั้นเรามีชีวิตอยู่ เราก็ทำสิ่งที่ดี เราก็ทำ หากเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยนั้น ศาสนาพุทธไม่เอา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:31:27 )

ไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา

รายละเอียด

ส่วนใหญ่คนจะตื่นเต้นด้วยเหตุที่ยึด อันนี้มันละเอียดใครที่ยึดเป็นเราเป็นของเราก็ตื่นเต้นไปหมด เอาล่ะพูดหยาบๆ ไว้แค่นี้ก็แล้วกัน ไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เสร็จแล้วมันจะถูกกระทบกระเทือนจะถูกเปลี่ยนแปลงก็กลัว เอาความรู้สึกสามัญ กลัวเจ็บกลัวปวด กลัวไม่ปกติอะไรต่ออะไรก็เป็นไป อาตมาไม่ได้มีความรู้สึกพวกนั้น ที่พยายามขยายความให้ฟังเพื่อให้เห็นว่า จิตใจของคนเป็นอรหันต์หรือจิตใจของคนที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นเราเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ร่างกายของเรา สรีระก็ไม่ใช่สรีระของเรา ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น มันก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็เฉยๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 10:38:54 )

ไม่ยุติธรรม

รายละเอียด

ไม่ใช่ความชอบธรรม

หนังสืออ้างอิง

(จากวิถีพุทธ หน้า 26)


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:09:35 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:21 )

ไม่ยุ่งการเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง

รายละเอียด

คำว่าไม่ยุ่งการเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง เรื่องของเรื่องคือพระภิกษุนี่ยังไม่มีภูมิธรรม ยังไม่มีความรู้ความสามารถอะไรที่จะมาช่วยการเมืองเขาได้ เพราะมันเป็นยุคเสื่อม ขออภัยที่อาตมาต้องพูดความจริงออกไป ไม่ได้ไปว่ากล่าว เอาความจริงมาพูด มันเป็นยุคเสื่อมที่ศาสนาพุทธมันเสื่อม ภิกษุก็เสื่อม ไม่มีพลังอำนาจอะไรพอที่จะไปทำงานกับสังคมเขาได้ 

เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองมันเขี้ยวลากดิน คือมันร้าย มันใช้เล่ห์กลแทคติกอะไรมาก ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาไม่มากเพียงพอเข้ามายุ่งก็จะโดนพวกนักการเมืองดึงเอาไปเป็นหัวคะแนน เอาเงินฟาดบ้างเพราะมันเสื่อมไง พระอยู่ใต้อำนาจเงิน อำนาจของอำนาจอะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงกลายเป็นนายเป็นเจ้าอำนาจที่จะใช้พระเป็นเครื่องมือ แล้วเขาก็ชอบด้วยนะ นักการเมืองชอบพระที่อ่อนๆ แล้วพระนี่ มีอภิสิทธิ์โดยธรรม คนเคารพนับถือ  เพราะฉะนั้นจะพูดกับคนได้ง่าย จะบอกคนให้มาเอาอันนี้ มานับถืออันนี้ มาเลือกพรรคนี้ ง่ายไง มันเป็นสภาวะซับซ้อนอยู่อย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงชอบที่จะเอาพระไปเป็นหัวคะแนน ก็ง่ายก็ใช้อิทธิพลอะไรก็แล้วแต่เท่าที่จะมีอิทธิพล แล้วพระเองก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของนักการเมือง เพราะไม่มีบารมี ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญาพอที่จะอยู่เหนือนักการเมือง ทางสงฆ์หมู่ใหญ่จึงบริหารด้วยการบอกว่ามีกฎของเถรสมาคมว่า พระอย่าไปยุ่งกับการเมือง ก็ไม่ผิดของเขา แต่มันจะเอามาใช้กับอาตมาไม่ได้ อาตมาเป็นนานาสังวาสกับคณะใหญ่ คณะใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็เป็นไป คุณก็ทำอย่างนั้นถูกแล้ว ดี อาตมาว่ามันก็พอเป็นไป ถ้ามายุ่งแล้วมันจะยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 สิงหาคม 2566 ( 18:34:50 )

ไม่รักไม่ชอบ แต่ชัง คืออาการอย่างไร

รายละเอียด

ก็ของคุณเป็นอยู่แล้วมาถามอาตมา คุณเป็นอยู่ก็อ่านอาการให้มันชัดๆ สิ ไม่รักมันเป็นอย่างไร ไม่ชอบเป็นอย่างไร แล้วชัง เป็นอย่างไร 

ไม่รักไม่ชอบ ก็แสดงว่าไม่มีประเภทดูด แต่มีประเภทผลัก ชังคือประเภทผลัก ก็อย่างนั้นแหละ มีดูดกับผลัก 

จริงๆ แล้วนี่นะเบื้องต้นจริงๆ ผลักนี่ ร้ายแรงกว่าดูด ดูดยังใช้อาศัย แต่ผลักนี่ไม่เลย ชัง เอ็งอย่าอยู่เลย มีข้าต้องไม่มีเอ็ง นี่บรรลัยจักร นี่ยังเป็นอยู่เลยตอนนี้ ยังระเบิดเถิดเทิง จะจูงจะดึงกัน ถือหางกัน เมื่อไหร่จะสงบก็ไม่รู้ ต่างคนจะเข้าข้างกันต่างหาพรรคพวกกัน มันเป็นเรื่องนานมาแล้วก็เป็นอยู่เช่นนี้แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาปฏิบัติเป็นลำดับอย่างไม่กดข่ม วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2565 ( 21:47:26 )

ไม่รู้กายก็ไม่สามารถปฏิบัติสังโยชน์ข้อแรกได้

รายละเอียด

เพราะเป็นคำแรกที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนอุปัชฌาย์ให้แยกกายแยกจิต ให้เรียนรู้เรื่องกายกับจิตให้สำคัญ ต้องเข้าใจกายอย่างชัดเจนสัมมาทิฏฐิว่ามันเป็นจิต แต่มันไม่เป็นจิต

ในสังโยชน์ 10 ข้อแรกต้องรู้ สักกายทิฏฐิ หากไม่รู้กายก็ไม่สามารถปฏิบัติสังโยชน์ข้อแรกได้ก็ออกทะเลไปไกลเลยเหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด ต้องทำความเข้าใจเรื่องกายให้ดี ตอนนี้หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 4 ก็ทำหัวข้อเสร็จแล้วก็อธิบายเรื่องกายไว้เยอะเลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:21:16 )

ไม่รู้ค่าอย่างสำคัญ

รายละเอียด

โลกมี 2 โลก โลกโลกียะกับโลกโลกุตระ พวกเราเข้าใจดีในความหมายของคำว่าโลกียะกับโลกุตระ และเห็นคุณค่าดีของโลกุตระ ไม่เหมือนคนที่เขาไม่รู้จัก เขาไม่รู้เรื่องว่าโลกนี้มีโลกุตระ เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้จักค่า แม้ผู้จะเรียนรู้เป็นชาวพุทธ ดีไม่ดีเป็นปราชญ์ด้วย เป็นปราชญ์ทางศาสนา แต่ไม่รู้ค่าของโลกุตระจริงๆ ไม่รู้ค่าอย่างสำคัญๆ 

คำว่า “ไม่รู้ค่าอย่างสำคัญ”นี่ จิตมันไม่ได้ไปประทับกับคุณค่าอันนี้ ประทับอย่างสนิท ประทับอย่างซาบซึ้ง ประทับอย่างสำคัญก็คือ มีภูมิปัญญา ประทับแล้วมีภูมิปัญญาเข้าใจว่า อันนี้นี่ในความเป็นมนุษย์ที่เกิดมาแล้ว ได้รู้ ได้สะดุดใจเลยว่า โอ้โห! คุณธรรมหรือความรู้ชนิดนี้ มันมีความหมายใน อัญญธาตุ ถึงขั้นอัญญา ถึงขั้นพหูพจน์ ถึงขั้นมากพอเป็นปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูบวชมาครบ 53 ปี มีอะไรจริง พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2566 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2567 ( 14:22:48 )

ไม่รู้จะทำหอกขึ้นมาอีกกี่เล่ม

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า คนที่ยังเป็นโจรของศาสนาอยู่ เขาจะไม่มีสิทธิ์ที่จะดับวิญญาณของเขาเลย วิญญาณของเขาไม่มีตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะวิญญาณของเขาจะนิรันดร นิระ อันตระ หมายความว่าเขาจะไม่รู้จักในระหว่าง 

กาละเวลา จากนี่มาถึงนี่เขาจะไม่รู้เลยว่าในช่วงนี้เป็นอย่างไรนิรันดร เขาจะไม่รู้จักเลย เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีอยู่ตลอด กาลนาน นิรันดร เขาจะมีอยู่อย่างนี้เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดนิรันดร์ คือโจร ก็จะเป็นโจรอยู่อย่างนี้นิรันดร น่ากลัวไหม ไม่กระเตื้อง ไม่รู้เรื่อง ไม่ประสีประสาอะไร หอกแทงก็บอกว่ามีอะไรมาทำให้คันวะ หนังเหนียวอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีกระเตื้องกระตุกอะไรเลย เหมือนอาตมากระตุกอยู่ทุกวันนี้ ก็ยังจะเป็นโจรอยู่ หอกปากอาตมานี่ แทงไปไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนหอกแล้ว อาตมาชื่อว่า โพธิรักษ์ไอ้หอกหัก อาตมาไม่รู้จะทำหอกขึ้นมาอีกกี่เล่ม น่าสงสารอาตมาไหม 

โอ้โห…กลายเป็นโพธิรักษ์ไอ้หอกหัก ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีแรงไม่มีความสามารถจะฆ่าโจรตายสักคนเลย โอย ตายๆๆ แต่อาตมาไม่หรอก ยังมีผู้ที่รู้ตัว แทงนิดหน่อยก็เจ็บ เพราะฉะนั้นในคำสอนพระพุทธเจ้าบอก จะกล่าวไปใยถึงหอก 100 เล่ม หอกเล่มเดียวก็ เจ็บแล้วรู้สึกตัวแล้วนั่นคือคนมีสติสัมปชัญญะ ปัญญาปฏิภาณไหวพริบที่ดี แทงด้วยหอกเล่มเดียว โอโฮ!ตายๆ ถ้าถูกหอกแทงตายเล่มเดียวก็เจ็บ แม้แต่เจ็บก็ไม่เอาแล้ว คนนี้ก็มีสิทธิ์ 

แต่แทงด้วยหอก 100 เล่มเช้ากลางวัน 100 เล่มเย็น 100 เล่ม คุณก็บอกว่าอะไรมาสะกิดหนังวะ มัน 20:00 น. แล้ว มันอยากอธิบายอีกอยู่นะ อยากจะขยายความขึ้นไปถึงวิญญาณาหาร หอกแทงไม่ตายไปถึงเจตนาอาหาร เจตนาหารคือผู้มีกำลังแรง 2 ข้างวิ่งลงหลุมถ่านเพลิง ผู้มีกำลังแรง 2 ข้างดึงให้ลงหลุมถ่านเพลิงดึงอย่างไรก็ไม่อยู่ หรือ อาตมากลับกันอยู่ หรือมีผู้มีกำลังแรงสองข้าง ดึงขึ้นหรือลง เขาจะขึ้นแต่มี 2 แรงดึงลงหลุมถ่านเพลิง นี่คือ อาหารอันที่ 3

อาหารอันที่ 2 ผัสสาหาร เหมือนวัวไม่มีหนัง มีแต่เนื้อในแดงๆแล้วมันจะสัมผัสกับอะไรต่ออะไรเป็นผัสสาหาร มันจะเป็นอย่างไร มันก็แสบไปตลอดกาล นั่นสิ โอ้ยตายๆๆๆ เหมือนวัวไม่มีหนังเลย มีแต่น้ำเหลืองไหลเยิ้ม มันถูกอะไรนิดนึงก็แสบตาย แม้แต่แบคทีเรีย แม้แต่ต้องลมพัดอะไรแรงหน่อยตาย โอ้โห…อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี่ชัดเจนที่สุดเลย ยิ่งไป กวฬิงการาหาร คุณมืดบอดด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วย ใจบอดด้วย คุณจึงบอดภายนอก 5 เต็มรูป คุณก็หมดหวังที่จะบรรลุธรรมเด็ดขาดเลย ในอาหารคือคำข้าวนี่แหละ พิจารณาตัวนี้เป็นหลักเลย คุณจะบรรลุธรรมอรหันต์ได้จากแม้แต่ โภชเนมัตตัญญุตา หรือพิจารณา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) จากคำข้าว คุณจะรู้กิเลสหมดแล้วบรรลุสูงสุดได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:57:02 )

ไม่รู้จัก “กาย” จึงเท่ากับกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด!

รายละเอียด

ความเป็น“กาย”คำนี้ จึงยิ่งใหญ่สำคัญยอด ที่ถ้า“มิจฉาทิฏฐิ”มีความรู้ผิดๆกันตั้งแต่ต้นแล้วละก็ เท่ากับ“กลัดกระดุมเม็ดแรก”ผิดย่อม“ผิด”กันไปตลอดสายแห่งการเรียนรู้ปฏิบัติธรรมกันทีเดียว ตรวจสอบ และไตร่ตรองตามพระพุทธพจน์กันดูดีๆทีนี้มาพูดถึง“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ดูให้ชัดๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน“มูลสูตร” พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58 ซึ่งยังไม่มีใครในยุคนี้ จะสามารถเข้าถึงรายละเอียดที่ลึกซึ้งนี้กันได้ง่ายๆ 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 431 ข้อที่ 590


เวลาบันทึก 08 มิถุนายน 2565 ( 14:48:55 )

ไม่รู้จักกายก็เป็นมิจฉาทิฐิ 

รายละเอียด

คำว่ากาย อาตมาหยิบมาขยายความฟังให้ดีๆ คุณจะรู้คำว่ากายนี้ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ พ้นสักกายทิฏฐิ ที่เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ต้องรู้จักความเป็นกายที่สัมมาทิฏฐิแล้วอ่าน กายในกายจัดการกับการปฏิบัติข้อเริ่มต้นเลย หากไม่รู้จักกายก็เป็นมิจฉาทิฐิ 

เขาเข้าใจกายแค่สรีระภายนอก ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับจิตเลย เขาเข้าใจอย่างนั้น การปฏิบัติที่เข้าใจผิดตั้งแต่แรก กายกับจิตแยกกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถึงขั้นว่ากายนี้จะเรียกว่าจิตมโนวิญญาณอย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 08:52:41 )

ไม่รู้จักกายไม่มีนิพพาน

รายละเอียด

คำว่า กาย เข้าใจไม่ได้ตั้งแต่ต้น มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นก็ปิดประตูเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้พูดได้เลยว่าไม่มีนิพพาน เพราะคำว่ากายเข้าใจไม่ได้ เปรียญ 9 ก็ดี ด็อกเตอร์ก็ตาม ยิ่งศาสนาพระป่าหลับตาด้วยแล้วยิ่งปิดกายใหญ่เลย ไม่รู้เรื่อง แต่ไปเรียนเป็นด็อกเตอร์ เป็นเปรียญ 9 ก็แล้วแต่ ก็ยังไม่รู้จักกาย ก็ยังเข้าใจว่ากายคือวัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ได้มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง กายไม่มีจิตเข้าไปเกี่ยวข้อง 

แต่ยังดีนะในพจนานุกรมบาลีแปล กาย คือ องค์ประชุมของเจตสิก เป็นหมู่เป็นพวกเป็นกลุ่มไม่ได้เป็นเดี่ยว ไม่ใช่เป็นหนึ่งเดียว กายเป็นหมู่มีคู่ 2 ขึ้นไปเป็น 3 4 5 6 7 เป็นองค์ประชุมของเวทนา สัญญา สังขาร ในพจนานุกรมบาลียังแปลอย่างนี้อยู่ ยังมีเชื้ออยู่ แต่ในพจนานุกรมไทย กาย ก็แปลว่าร่างแล้ว ในพจนานุกรมบาลียังแปลว่า องค์ประชุม กอง หมวดหมู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:27:39 )

ไม่รู้จักค่า จะให้รางวัลได้อย่างไร

รายละเอียด

อาตมาก็ทำงานไปขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ ใน Google มันมีอยู่ เยอะแยะเลย กรรมการพวกนั้นเขาก็รู้แล้วอ่านไม่รู้เรื่อง มีอยู่ใน Google โลกุตตระมีพฤติกรรมอย่างไร เขาก็ไม่เห็นค่าไม่เห็นราคา เพราะเขาเป็นโลกียะเป็นเทวนิยม เพราะฉะนั้นจะให้เขามาให้รางวัลอาตมา ก็เขาไม่รู้จักค่าไม่รู้จักราคาจะให้รางวัลได้อย่างไร อาตมาจึงไม่ได้ประหลาดใจ จริงๆ ถ้าเขามาให้รางวัลสิอาตมาจะประหลาดใจ อย่าไปดูถูกกรรมการรางวัล Nobel prize เมื่อนั้นอาตมาจะขอขมาเลยว่าได้กล่าวละลาบละล้วงไปบ้างแล้ว จริง

เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้ แมนเฮ ให้รางวัลอาตมาเพราะเขาอยู่ในตะวันออก เขารู้จักเขาเป็นพุทธ เขาเข้าใจสิ่งนี้จริง แล้วพุทธ ที่เข้าใจโลกุตระอย่างแมนเฮ มีน้อย แล้วองค์กรอื่นสถาบันอื่นที่ลักษณะอย่างอื่นเขารู้เขาก็จะให้ แต่เขาไม่รู้แล้วเขาจะให้ได้อย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 21:47:56 )

ไม่รู้จักจบไม่มีทางเป็นอรหันต์

รายละเอียด

อาตมาว่าจะย้ำยืนยันจริงๆ ว่า คนอุตริ คิดดูว่า พระพุทธเจ้าไม่น่าตาย เพราะว่าเป็นของดีไม่น่าตายควรจะอยู่ช่วยโลกอีก แสดงว่าคุณก็ไม่รู้จักจบเสียทีความคิดเช่นนี้คงไม่มีทางเป็นอรหันต์ คุณพูดอย่างนี้ไม่มีการจบกิจ จบก็ให้มันรู้จบเหมือนกับอาตมาบอกพวกเรา พวกเราสรุปกรอบไม่ค่อยลง ตรวจสภาวะของตัวเองให้เป็นขั้นตอนตามเนื้อหาสาระ ไม่คมไม่ชัดเท่าไหร่ หากคมชัดพอ เราจบ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เท่าที่มีตามลำดับ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามตัณหา ภวตัณหา รูปราคะ อรูปราคะ มีเศษ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาสิ้นอาสวะ ก็เป็นอรหันต์แล้ว จะเป็นโพธิสัตว์ต่อไปถึงอนุสัย 7 ก็ค่อยว่ากันไป โพธิสัตว์ก็ต้องเข้าใจอนุสัย 7 ต่างกันนะอนุสัยกับอาสวะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมในงานพิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2564 วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2564 ( 15:48:44 )

ไม่รู้จักพอเป็นตัวปัญหา

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ก็เป็นคนมีปัญหา เป็นเจ้าปัญหา เป็นตัวปัญหา ไม่รู้จักพอเป็นตัวปัญหา คนที่รู้จักพอแล้วจะเบา จะลดปัญหา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็บอกว่า เอาพอเพียง พอเพียง ท่านใช้ศัพท์สบายๆ ไม่เน้นหนักเหมือนโพธิรักษ์ 

สรุปแล้ว รู้จักพอบ้าง ท่านเป็นในหลวงท่านก็ต้องบอก คนที่มีเงินมีทองก็ไปทูลเกล้าถวายอยู่ ท่านจะไปพูดแรงๆ เหมือนอย่างโพธิรักษ์ไม่ได้ โพธิรักษ์นั้นไม่มีปัญหาหรอกคุณ เพราะฉะนั้นคนที่ร่ำรวยไม่มาทำทานไม่บริจาคให้โพธิรักษ์หรอก ไม่มา ซึ่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็อยู่ไปตามประสาของอาตมาได้แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 16 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2566 ( 20:43:40 )

ไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์

รายละเอียด

คนไม่รู้จักมโนปวิจาร 18 ไม่รู้กระบวนการ 18 อย่างนี้ ผู้นี้ไม่มีสิทธิ์เป็นอรหันต์ อาตมาพูดย้ำไม่รู้กี่ทีแล้ว มาเรียนรู้เวทนาในเวทนาไม่เคยรู้เรื่องเพราะกายในกายเขาก็มิจฉาทิฏฐิแล้ว เพราะฉะนั้นเวทนาในเวทนาก็ผิด เพราะว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกก็ผิดแล้ว ต่อไปไม่ต้องพูดเลย ศาสนาพุทธทุกวันนี้เป็นอย่างนั้น จิตในจิตยิ่งไปกันใหญ่เลย ธรรมในธรรมที่เป็นโลกุตระก็ยิ่งไม่มี 

มีนามรูป กายิกะ กับเจตสิกะ 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ 5 ก็คือรายละเอียดของความควบแน่น นอกในแล้วเป็นอุเบกขา จนมาถึง มโนปวิจาร แยกเป็น เคหสิตะกับเนกขัมมะสิตะ อย่างละ 18 รวมเป็น 36 คุณต้องรู้ตัวนี้โลกียะกับโลกุตระ ถ้าคุณแยกสภาวะเหล่านี้ไม่ออกอ่านไม่ออกเรียนไม่เป็น ทำให้หมดไป ทำให้โลกียะหมดเหลือแต่โลกุตระชนะเต็ม คุณทำไม่ได้ มันก็ทำให้เป็นอรหันต์ไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 04:21:23 )

ไม่รู้จักรูปนามก็ไม่รู้จักวิญญาณ

รายละเอียด

ใช้อาหารเป็นเครื่องยืนยันในอาหาร 4 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรวมไว้ 4 อาหาร พอถึงอาหารข้อที่ 4 ก็บอกว่า สุดแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรนอกจากนี้ รู้วิญญาณาหาร 

อาหารของวิญญาณก็เรียนรู้จากรูปนาม สรุปได้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจเรื่อง รูป นาม ที่เป็นเหตุปัจจัยของวิญญาณในปฏิจจสมุปบาท ถ้าคุณไม่รู้จักรูปนามคุณก็ไม่รู้จักวิญญาณ คุณต้องเรียนรู้รูปนาม 

ทีนี้ รูปนาม ตั้งแต่หยาบที่สุด ท่านก็ให้เริ่มต้นตั้งแต่เบื้องต้นของพรหมจรรย์คือ กามคุณ 5 ที่เกิดจากการสัมผัสแล้วคุณก็มีกิเลสเรียกว่า เจตนา 

เจตนาที่เป็นกิเลส มโนสัญเจตนาหาร ซึ่งมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 19:28:26 )

ไม่รู้จักอัตตาแล้วจะไปลดอัตตาได้อย่างไร 

รายละเอียด

อัตตกิลมถะ ชนิดหนึ่งที่ไปหลงความรู้นั้น ก็เป็นอัตตะ ทำความลำบากให้แก่ตน แต่ไม่รู้จักอัตตา เพราะไม่รู้จักอัตตา ก็ลดอัตตาไม่ได้ เมื่อไม่รู้จักอัตตาแล้วจะไปลดอัตตาได้อย่างไร 

ทั้งๆที่ โอฬาริกอัตตา แปลว่าอัตตาใหญ่ อัตตาหยาบ ออกมาข้างนอก ไปยึดทางโลก เอาโลกทางโลกียะ เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แม้แต่ที่สุดยศศักดิ์ ความรู้อะไรต่างๆนานา มาเหมาอยู่ที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก็เป็นการ กิลมถะ เป็นความลำบากของชีวิต หอบไว้เยอะ หอบไว้แล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้พาปฏิบัติจนบรรลุธรรมอะไรเลย ได้แต่รู้ความหมายของบัญญัติ ของภาษา จนกลายเป็นปทปรมบุคคล เป็นผู้ที่เป็นบัวใต้ตม ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย แล้วท่านก็ขยายความ บัวใต้ตม ว่าเป็นผู้ที่รู้พุทธพจน์ก็มาก ท่องไว้ก็มาก ทรงจำไว้ได้ก็มาก สอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลใดเลย นี่คือ ปทปรมบุคคล ไม่บรรลุใดๆ เลยในชาตินั้น รู้มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม (บุคคล 4 เหล่า พตปฎ. เล่ม 36/ข้อ 108)

โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ก็ไม่ได้เข้าถึง ไม่ได้เข้าไปสัมผัส จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของความเป็นโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรมเลย แต่หลงว่าตัวเองเป็นผู้รู้ เป็นผู้ได้ เป็นผู้มี เป็นผู้สอน สาธยาย ได้รับการกราบคารวะสรรเสริญเยินยอ อันนี้แหละเป็นภัยร้ายมากเลย สรรเสริญ ลาภยศต่างๆสรรเสริญนั้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงขั้นลาภสักการะสรรเสริญต่างๆเป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระอรหันต์ (พตปฎ. เล่ม 16 “ภิกขุสูตร” ข้อ 580-581) อาตมาเคยอธิบายมาแล้วเรื่องนี้ แม้ท่านเป็นอรหันต์ ถ้ายังหลงในเรื่องของโอฬาริกอัตตา ของความรู้ ถ้าด้านที่เป็นอัตตาตัวตนนะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้างนอก ลึกอัตตาตัวตน ที่ไปหลงโอฬาริกอัตตาตัวในเลย ไปเกี่ยวข้องข้างใน มันก็จะกลายเป็นพวกฤาษีเข้าไปเป็นพวกเชนไปเลย มันไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรกับคนเลย แต่ถ้าเผื่อข้างนอก มันจะไปเกี่ยวข้องกับคนละทีนี้

ทีนี้มาเรื่องข้างนอก เกี่ยวข้องกับคนก็จะทำให้ตัวเองลำบากที่จะต้อง 1.ระมัดระวังเรื่องลาภ 2.ระมัดระวังเรื่องยศ 3.ระมัดระวังเรื่องสรรเสริญ ส่วนการระมัดระวังด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยการสำรวมระวังไม่ติดไม่ยึด ไม่จมกับสิ่งเหล่านั้นก็ดีไป แต่นี่ระมัดระวังเพื่อกลัวจะเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่สิ มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นความลำบากที่จะต้องระมัดระวังอย่าเสื่อม อย่าน้อยลงนะ ต้องมากขึ้นนะ.. รู้ตัวหรือเปล่าอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นทางเถรสมาคมทั้งหมดเลย เป็นศาสนาที่เต็มไปด้วย โลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาเลย อาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นถึงพระพุทธเจ้า ท่านเป็นใหญ่หมดเลย ไม่ว่าจะเป็นใหญ่ทั้งด้าน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขนาดไหน ท่านก็เป็นได้ แต่ท่านทิ้ง ถอยออกมาสู่ความไม่เก็บไว้เลย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ไม่เก็บไว้สักนิด ยศ ก็ไม่เก็บไว้สักนิด สรรเสริญเยินยอยกย่องอะไร ไม่เอาไว้สักนิด สุขก็ยังไม่เอาไว้ อันนี้ลึกซึ้ง สุขนี้ ไม่ใช่เป็นการเสพสุขโดยการทรมานตนอะไรพวกนี้

สุดยอดของสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงพระองค์เองต่อโลก เข้าใจยาก ผู้ที่ไม่เข้าใจก็ยังจมอยู่ ในเถรสมาคม ส่วนพระที่พอเข้าใจได้ง่ายๆตื้นๆว่าอย่าไปหลงลาภนะ หนีเข้าป่าก็เป็นพระมักน้อยสันโดษนะ ก็เหมือนกับศาสนาเชน หลายศาสนาก็รู้เรื่องลาภตื้นๆเขาก็ทิ้ง ไม่เอาก็ดี พวกเขาไม่ติดยึดเรื่องนี้ ไม่เอาลาภ แต่มันซับซ้อน ไม่ได้ทิ้งจริง ซับซ้อน ก็ยังยึดว่าเป็นตัวกูของกู 

อย่างอาตมายกตัวอย่างมหาบัวนี้เป็นต้น ที่เอาสถานะของนักบวชไปทำเป็นว่าใหญ่ จะต้องเอามาช่วยประเทศชาติ แล้วก็บอกว่ามาๆ จะรวบรวมเอามาช่วยประเทศชาติ ก็คือเรี่ยไรจากชาวบ้านนี่แหละ เรี่ยไรในฐานะพระ แล้วอิงแอบประเทศชาติ อิงแอบสถาบัน มันก็ได้สิ เขาก็นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ได้มาก็เอามาเข้าคลัง แล้วก็เป็นเล็นเป็นหมัด ตายแล้วก็ยังมาเฝ้าอีกของตัวของตน อาตมาเคยอธิบายไปหมดแล้ว โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ยึดติดอะไร มันไม่ใช่หน้าที่ของพระที่จะไปทำอย่างนั้น แล้วบอกว่ายิ่งใหญ่ทำให้ประเทศ 

ทีนี้ อัตตกิลมถานุโยค ในเรื่องที่ไปหลงความรู้ หลงทางโลกเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สรรเสริญมากมาย เชิดชูยกย่องบูชาเป็นยิ่งเป็นใหญ่ เป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ เป็นเอก เป็นหลักของศาสนาพุทธว่าไปโน่นเลยนะ ถึงขนาดนั้น เป็นหลักใหญ่ยิ่งของศาสนาพุทธเลยอะไรไปโน่น ซึ่งมันก็เลยยิ่งหลงเพลิดกันไปต่างๆนานา ไม่หันเข้ามาสู่สัจจะที่เป็นโลกุตระ เรียนรู้จิต เจตสิก รูป แล้วก็ทำนิพพานให้แก่ตนเองให้ได้ 

ถ้าเผื่อว่าทำนิพพานให้แก่ตนได้ ไม่ว่าจะเข้าใจผิด เข้าใจถูกอย่างไรก็แล้วแต่ เช่น อาตมา เข้าใจนิพพานเป็นอย่างนี้ ใครก็ตามถ้าเข้าใจมีทิฏฐิเช่นเดียวกันกับอาตมา มาปฏิบัติ มันก็ต้องมาเป็นอย่างที่อาตมาเป็น ถ้านิพพาน อีกอันหนึ่ง เอาง่ายๆ ต่างกันกับของอาตมา เขาเข้าใจนิพพานต่างกันกับของอาตมา แล้วเขาก็ไปปฏิบัติอย่างที่เขาเข้าใจ มันต่างกัน เขาก็ต้องได้นิพพานอันนั้น แล้วเขายืนยันไหมว่าอันนั้นเป็นนิพพาน อธิบายได้ไหมว่านิพพานคืออย่างไร อธิบายมาเป็นภาษาไทย ภาษาคนภาษาง่ายๆ ให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ไหมว่า หมายถึงจิต เจตสิก อย่างไรที่มันเป็นนิพพาน มันมีลักษณะอย่างไร อธิบายกัน ยังไงเด็กๆชาวบ้านสามัญถ้ามันมีสภาวะจริง มันก็พออธิบายให้พอรู้ได้ โดยเฉพาะอยู่ร่วมกัน นิพพานคือไม่มี โลภ โกรธ หลง ไม่ไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คบคุ้นกันอยู่ด้วยกันก็จะรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มี นี่เป็นภาษาง่ายๆแต่ผู้ยังจมอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่ได้ออกมา ไม่ได้หลุดพ้น ยังจมอยู่แท้ๆ แล้วบอกว่าฉันเป็นผู้รู้ศาสนาพุทธ 

ผู้ออกมาอย่างพระพุทธเจ้าท่านออกมา ท่านเป็นผู้รู้จริง อาตมาก็อยู่ในโลกโน้น อาตมาก็ออกมา ก็ไม่ได้ไปเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีลาภ ยศ สรรเสริญ มีแต่ถูกด่า สำหรับผู้ที่เข้าใจจริงเท่านั้นไม่ด่า แต่ยกย่องบูชาเคารพ และบูชาเคารพอย่างยกย่องเหนือเกล้า เหนือเศียรอย่างที่เขาพูดมา เขาไม่ได้เสแสร้ง ก็เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่เขามีความรู้ในจิตลึกๆเลยว่า สิ่งนี้ใช่ หายาก ยุคนี้ยิ่งหายาก เป็นสิ่งที่จะต้องบูชาเชิดชู มันเป็นเรื่องจริง เคารพอย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างแรงกล้า เชื่อถืออย่างแรงกล้า มันเป็นสัจจะของมัน คำว่า แรงกล้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องโลกุตรธรรม ไม่ใช่ว่ามันไม่มีสภาวะจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่รู้จักและรู้ว่านี่เป็นสัจธรรมได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังจากสัตบุรุษ ได้ฟังแล้วละอายที่ตัวเองเข้าใจผิดมา แล้วตัวเองก็เห็นว่าเป็นพหุสัจจะ ก็เคารพเลยศรัทธาเชื่อถือเลย อย่างแรงกล้า อย่างติพพังเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะจริงของจิตมนุษย์ จิตจริงของมนุษย์ แต่ผู้ไม่มีนั้น ดีไม่ดีตรงกันข้ามกันอีก มันก็เป็นสัจจะ เพราะฉะนั้น อัตตกิลมถะ ที่อาตมาอธิบายไปเป็นอัตตาแบบใหญ่ โอฬาริกอัตตา เป็นแบบใหญ่ภายนอก ก็เข้ามาภายในจิต เรียกว่า มโนมยอัตตา

มโนมยอัตตา อัตตาที่จิตภายนอกกับภายในด้วย คืออันเป็นตัวเองแล้วก็ยึดเป็นอัตตาของตัวเอง อธิบายการยึด การยึด พระพุทธเจ้าท่านแจกเป็น 4 อย่าง จริงๆ 4 อย่างนี้เป็นอัตตาหมด 

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262) 

1.กามุปาทาน ยึดกามเป็นอัตตา 2. ทิฏฐุปาทาน ยึดทิฏฐิเป็นอัตตา 3.สีลพพตุปาทาน ยึดศีลพรตเป็นอัตตา 4.อัตตวาทุปาทาน

อันที่ 4 นี้ยึดมันหมดเลยทั้ง 3 อันหมดเลยเต็มบ้องเต็มสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเลย อาตมาก็เคยแปลแต่ยังไม่ถึงใจตัวเองสักที มันยึดเป็นอัตตาทั้งวาทะ แค่คำพูด วาทะนี่ คำพูดที่กล่าวว่ากาม คำพูดที่กล่าวว่าทิฏฐิ คำพูดที่กล่าวว่าเป็นข้อปฏิบัติหรือศีลพรต มันได้แต่เพียงภาษาคำพูดเท่านั้น เช่น มหาบัว ไม่รู้จักกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ติดยึดกินหมากปากแฉะตลอดเวลา ทั้งวัน ทุกวันจนตาย ก็ไม่รู้เรื่องกามคุณ 5 นี่แหละเป็นวาทะ ได้แต่เป็นวาทะเรื่องกาม มหาบัวได้เปรียญ 3หรือ 4 นะ ก็ยึดติดตัวตนเป็นอัตตาอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจ

ไปมีทิฏฐิ ก็เป็นทิฏฐิแบบเดียรถีย์ เข้าใจทิศทางผิด ออกการไปปฏิบัตินั่งหลับตาสะกดจิต เป็นพระป่าพระเถื่อน ไม่ได้อยู่ใน จรณะ 15 วิชชา 8 อปัณณกปฏิปทา 3 ก็อธิบายไปตามอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้สำรวมสังวร โภชเนมัตตัญญุตา กินหมากนี้ก็ไม่มีโภชเนมัตตัญญุต ก็ไม่รู้เรื่อง ข้อปฏิบัติที่เป็นศีลพรต ออกป่าออกเขา เข้าถ้ำเลย แล้วก็ไปนั่งสะกดจิตอีก ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าสอนมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 โพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 ไม่ได้รู้เรื่องเลยศีลพรต เพราะฉะนั้นนี่คือความเป็น อัตตา เอาละ ไม่เปล่าดาย ไปหลงติดยึดเป็นความรู้ แต่ไม่รู้เอาจริงๆเลยว่า ไอ้นั้นหลงความรู้ก็บานปลายไปเป็นความรู้ เป็นโอฬาริกอัตตา ส่วนอันนี้มโนมยอัตตาตัวเอง มโนมยะ ยึดจิตที่โง่ๆของตัวเอง มโนมยะ อวิชชาตัวเอง ยึดหมดทั้งกาม ยึดหมดทั้งทิฏฐิ ยึดหมดทั้งศีลพรต อันนี้ไม่ใช่วาทะทีเดียว ไม่ใช่อัตตาวาทุปาทานทีเดียว แต่ยึดผิดหมด

กาม ก็ไม่รู้ก็ยึดติด อย่างมหาบัวยึดติดใช่ไหม นี่ตัวอย่างที่ยกยืนยันอยู่นี่ กินหมากกินพลูอยู่นี่ กาม ก็ไม่รู้ ทิฏฐิ ก็ไปตามทิฏฐิที่ตัวเองยึดผิด แรงด้วยนะ ยึดทิฏฐิตัวเองแรงด้วย แล้วก็ปฏิบัติศีลพรต เพราะทิฏฐิผิด ศีลพรตจึงพลอยผิดไปใหญ่ วิธีปฏิบัติศีลปฏิบัติพรต ออกนอกรีตหมด อย่างนี้เป็นต้น 

อาตมาพูดยกตัวอย่างเอาบุคคลมาอ้างอิงยืนยันนี้ เพื่อจะบอกความจริงว่ามันเป็นความจริง ไม่ใช่อาตมาพูดลอยลมไม่มีตัวใครปฏิบัติ มีคนปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ แล้วมันก็ไม่ถูกต้องจริงๆ แล้วคนก็ไปยอมรับนับถือกัน อาตมาสงสาร อยากจะให้รู้ อยากจะให้เข้าใจ ขอบอกด้วยฉีกอกให้ดูเลย ว่าอาตมาไม่ได้เกลียด ไม่ได้ชังมหาบัว ไม่ได้เกลียดได้ชังผู้ที่อาตมาตำหนิ อาตมาพูดสัจธรรมที่เป็นการตำหนิ สงสารมหาบัว แต่อาตมาต้องพูดถึงธรรมะ อาตมาไม่ได้หมายถึงบุคคล แต่บุคคลคือมหาบัวนั่นแหละ ไปปฏิบัติธรรมะผิด มันก็ออกไม่ได้ อาตมาพูดธรรมะที่มันผิดของมหาบัว กล่าวลงไปชัดๆว่ามหาบัวผิดอย่างนี้ๆ ผิด มันจริงไหมล่ะที่อาตมาพูด มันจริงด้วยตามธรรมะ แล้วก็จริงด้วยที่บุคคลผิด แล้วก็มาหลอกให้คนอื่นไปหลงผิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง มันน่าสงสารศาสนาไหม? ไปเข้าใจผิด ไปนับถือบุคคลผิดมาเป็นคนถูก ไอ๊หยา! มันจะไม่ได้อะไร ชีวิตนี้คนที่ใฝ่ธรรมะมีเยอะนะ ที่ศรัทธานับถือเยอะ มันยิ่งน่าสงสารตรงนี้อีก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 34 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 หนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2566 ( 11:02:32 )

ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ถ้ารู้ตัวเองรู้ทั้งหมด

รายละเอียด

เพราะคุณ ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ถ้ารู้ตัวเองรู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง ตัวเองคือ 0 คืออนัตตา ไม่มีอะไรหรอก 0 อนัตตา ไม่มีตัวตนไม่มีอะไร  อาศัยกันอยู่เท่านั้น แล้วอาศัยกันอยู่ ก็ต้องมีธาตุรู้ที่เข้าไปจัดการควบคุม อย่างเป็นเจ้าของ เจ้าของนั้นศาสนาเทวนิยมเขาชื่อว่าพระเจ้า แต่พระเจ้าของเขาเป็นเจ้าของโดยไม่รู้แม้แต่ว่าวิญญาณทั้งหลายแหล่นี้ก็คือกรรม พระเจ้าหรือ GOD ไม่รู้จักกรรม จัดการกรรมไม่เป็น แม้แต่พระเจ้า ตัวเองยังไม่รู้เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:20:46 )

ไม่รู้ที่ต้น แต่รู้ที่สูงสุดคือโลกุตระของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คุณถามคำตอบที่พระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราไม่รู้ที่ต้นแล้วคุณมาถามอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาจะตอบได้เกินหน้าพระพุทธเจ้าเหรอ เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีมากเท่ากับเมล็ดถั่วเมล็ดทราย คุณจะตามหาองค์ต้นได้ที่ไหน มันเป็นอจินไตย แต่ในโลกนี้มันมีความเจริญของความรู้ เอาที่ตรงความเจริญของความรู้นี้เอามาใช้กับชีวิตให้ได้ อาตมาพูดเองนี้ยังเกรงใจพวกเทวนิยมเขา เขาเองไม่ได้ออกจากกรอบของ โลกียะ มันมีความรู้ของคนที่รู้ได้สูงสุดคือโลกุตระของพระพุทธเจ้า อาตมาก็พยายามอธิบายเพื่อที่จะให้ทางเทวนิยม โลกียะให้เขาได้มีปฏิภาณปัญญาเข้าใจ เขาจะค่อยๆรู้ ก็พยายามอธิบายให้ละเอียดไปเฉียดผิวเขา เขาว่าของพระเจ้าที่สุดแล้วนะ แล้วพระเจ้าไม่ได้ขยายอะไรต่อ ความรู้ของพระเจ้านี้ จะเป็นความรู้ที่เที่ยง ความรู้จะไม่เป็นไปตามความไม่เที่ยง ที่นี้ โลกมันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา นี่คือความไม่เที่ยง ความไม่อยู่ที่เก่า มันจะมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบไปทั้งมหาจักรวาลนี้ มันจะใหม่ไปเรื่อยๆ พอถึงเวลาเคลื่อนไปถึงกันเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็เป็นของใหม่ แต่ก็เป็นของใหม่ที่พระพุทธเจ้าท่านทันโลกทุกการเคลื่อนที่ของมหาจักรวาล เป็นสิ่งที่โลกียเทวนิยมอยู่ในกรอบกะลาครอบ นอกจากนี้ไม่มีทาง สู้ไม่ได้ เขาจึงเจริญที่สุด มีนิมิตมีเครื่องแสดงของโลก ประเทศที่เจริญที่สุดคืออเมริกา กำลังโง่ที่สุด คือโควิด ธรรมชาติที่เคลื่อนมาตรงนี้แล้ว อเมริกาทำอะไรมันไม่ได้เลย รอแต่ว่าวันนี้ตายเท่าไหร่กี่หมื่น แล้วก็เพิ่มเท่าไหร่เท่าไหร่ ก็จะตายเพิ่ม ก็ยังไม่หยุดนะ สถิติยังนำลิ่วเลยอเมริกานี่ไม่ได้ไปว่าเขานะ แต่ว่าชี้ อ่าน บอก ไม่เข้าใจสภาวะจริงๆให้รู้ว่า ในเรื่องขององค์ประกอบของธรรมดาธรรมชาติของมหาจักรวาลนี้ มันเป็นของที่มันจะต้องมีอะไรมีเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบ ไม่ได้อยู่ที่เดิมไม่ได้อยู่ที่เก่าไม่ได้เท่าเก่าเท่าเดิม เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นโลกขนาดนี้มันมี covid มันเป็นสังคมที่ใครก็เจอ ทั่วโลก ไม่มีใครน้อยหน้ากัน แต่ใครจะปลอดภัยใครจะอยู่รอดในสิ่งที่เป็นอยู่นี้ ก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก ไม่ต้องเอาอะไรมาก ในคนไทย ประเทศไทย โควิดประเทศไทย สังคมชาวอโศกกับสังคมชาวข้างนอกเขา ใครปลอดภัยกว่ากันใครเป็นสุขกว่ากัน ใครสงบสุขกว่ากัน ใครอุดมสมบูรณ์กว่ากัน สบายกว่ากัน หรือ เดือดร้อนกว่ากัน โควิดเป็นตัวพิสูจน์ให้รู้ว่าคุณจะเกิดทุกข์นะ แต่ว่าอโศกไม่ทุกข์ที่สุดเลย มีสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้ทุกข์ที่สุด โควิดนี่ แต่อโศกไม่ทุกข์ที่สุด เฉยๆเท่านั้นเอง เราก็ทำอยู่ในสังคมเราทำอยู่ทำกิน มีชีวิตเป็นปกติ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 15:17:20 )

ไม่รู้ที่ต้นรู้ แต่ที่จบ เลิกเป็นปรินิพพานได้

รายละเอียด

ทีนี้อยู่ใต้บาดาลก็พูดถึงหลายทีแล้วพญานาคตัวเก่งเดี๋ยวเฝ้าใต้ก้นบาดาลลึกสุด เฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้า ถาดแรกเลยใบที่ 1 ใบที่ 2 3 4 5 6 นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นล้านองค์แล้ว ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้องค์ต้น แม้พระสมณโคดมมีคนมาถามท่านว่าพระพุทธเจ้าองค์ต้นคือใคร ท่านก็บอกว่าท่านไม่รู้ที่ต้น เรารู้แต่ที่จบ เลิกเป็นปรินิพพานได้ ท่านก็ว่าที่ต้นไม่ต้องไปตามหรอก ไม่มีประโยชน์อะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:11:58 )

ไม่รู้ธรรมนิยาม 5 เป็นอรหันต์ไม่ได้

รายละเอียด

และทำให้จิตเป็นพีชะได้ จิตนิยามก็คืออย่างนั้น แล้วเราต้องเรียนรู้อย่างนั้นโดยทำได้โดยกรรมนิยาม แล้วทำให้ทรงไว้เป็นธรรมนิยาม ในธรรมนิยาม 5 ข้อนี้จึงเป็นสุดยอดของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นแม้แต่วิทยาศาสตร์ของโลกก็ไม่สามารถรู้ได้ เรื่องนี้ ยิ่งใหญ่มาก ถ้าไม่รู้อันนี้เป็นอรหันต์ไม่ได้ เมื่อตายแล้วจะแยกธาตุจิตของตัวเองให้เป็นอุตุไปเลยเป็นไปตามไปลงไปเลย ทั้งหมดสิ้นแม้แต่พีชะ ชีวะ หมดสิ้นอัตภาพของจิตนั้นหมดไปเลยในมหาจักรวาลนี้สูญไปเลย นี่คือดับจิตวิญญาณดับอัตภาพของอรหันต์ได้ เป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล๋ดลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:08:56 )

ไม่รู้พยัญชนะ แต่ต้องรู้สภาวะ

รายละเอียด

จึงเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจคำว่าบุญ ฟังดีๆ กว่าจะเข้าใจคำว่าบุญได้แล้วสร้างพลังงานให้เกิดบุญตั้งแต่ฌานที่ 1 ก็เริ่มต้นมี อุณหธาตุ มันรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดเป็นลำดับ ฌาน 1 2 3 4 ก็ทำให้กิเลสลดไปทีละ 25 ๆ เป็น 50 เป็น 75 จนถึง 100 ครบ แล้วก็ประหารมือสุดท้ายด้วยอุเบกขา อุเบกขาเวทนาสูงสุด คือพยายามสำทับเนกขัมมะ จนกระทั่งเป็นอเนญชา อเนญชาแล้วอเนญชาอีก สั่งสม ตกผลึกลงด้วยกิเลสหมด แล้วก็ตกผลึกตั้งมั่น กิเลสนั้นคือ กิเลสแท้ๆชัดๆ ตามแบบที่รู้จักกิเลสตั้งแต่ 1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ) เจโตปริยญาณ 16 คือวิปัสสนาญาณข้อที่ 5 วิชชาข้อที่ 5 หากไม่รู้จักเจโตปริยญาณ 16 คนนี้ไม่บริบูรณ์ ไม่รู้จักรูปนามรูป 28 รูป รูป 24 ฆ่า กิเลสไปตามขั้นตอน 

1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)  5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)  ทำได้แล้วมันจะแบ่งเป็น 2 สาย 

7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต ก็ต้องทำให้มันออกให้ได้   

8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) ทำได้แล้วมันก็เจริญขึ้น มหะคือมาก อัคคะคือเลิศยอด

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)   คือทำได้ ทำไม่ได้ก็10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) นี่คือเครื่องวัดความเจริญ คุณไม่รู้พยัญชนะมาก แต่ก็ต้องรู้สภาวะต้องมีญาณรู้ ว่าอ๋อ เราทำได้เจริญขึ้นหรือไม่เจริญ แล้วจะเดินไปสู่

 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)  มันจะมีปฏิภาณรู้ว่ากิเลสยังไม่หมด ดีกว่านี้ยังมีอีกยังไม่สุดท้ายจะต้องเป็น 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) คือไม่เหลือแล้ว ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ต้องตรวจสอบอีก 2 สภาพ 

1.ทำให้กิเลสหมดอย่างบริสุทธิ์ อุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นวิมุติ สะอาดบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้ว

2.ตกผลึกเป็นจิตตั้งมั่นอย่างมี เจโตปริยญาณ 16 ไม่ใช่ สะกดจิตอย่างเป็นเจโตสมาธิ เขาก็ตั้งมั่นแต่ไม่มี เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีญาณปัญญารู้หลักเกณฑ์มาตรวัดทั้ง 16 ขั้นนี้ เขาไม่รู้หรอก พยัญชนะ ของพระพุทธเจ้ามีอยู่ให้เรียนรู้แม้จะเรียนรู้อภิธรรมมา เขาก็ไม่รู้สภาวะเหล่านี้ พวกเรียนอภิธรรมได้แต่ตรรกะพยัญชนะเหตุผลอธิบายได้อย่างคล่องปาก แต่เขาไม่เข้าถึงสภาวะ จึงกลายเป็นคน ปทปรมบุคคล เป็นคนบัวใต้โคลน เป็นคนที่รู้มาก สาธยายอยู่ก็มาก จำได้ก็มาก สอนคนอยู่มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นไม่ได้บรรลุธรรม น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเขาก็เป็นของเขาเอง 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)  14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)  15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . .  16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)  

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 11:57:26 )

ไม่รู้ภาษาดีพอก็ทำละเอียดไม่ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้เจโตปริยญาณ 16 ไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุอรหันต์ ไม่มีสิทธิ์ คุณจะรู้ชัดเจนเหมือนอย่างอาตมาพูด ตามตำราตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าเลยนะ อาตมารู้ชัดรู้ความรู้ทุกตัวละเอียด แม้คุณไม่รู้ได้เก่งเท่ากับอาตมา คุณก็ต้องแยกแยะได้อย่างน้อยตระกูล 3 กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ 

แล้วสามารถรู้มันบ้าง มันไม่คมไม่ชัดมันไม่แม่นเท่าไหร่ก็ตาม แต่รู้ถูกตัวมันบ้าง แล้วเวลาปฏิบัติคุณก็ทำราคะให้มันลดได้ ทำให้โทสะ ทำให้โมหะมันลดได้ เป็นลำดับไป ตามที่ท่านไล่ เจโตปริยญาณ 16 ซึ่งมีแต่ละคู่ๆ ไปตั้งแต่ สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ มหัคตะ อมหัคตะ สอุตระ อนุตระ สมาหิตะ อสมาหิตะ วิมุติ อวิมุติ 

ผู้สามารถบรรลุพยัญชนะความหมายของมันได้ เข้าใจแล้ว แล้วสามารถปฏิบัติ ภาษาก็รู้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่รู้ภาษาดีพอ มันละเอียด คุณก็ทำละเอียดไม่ได้ อรหันต์ไม่ใช่ได้แค่หยาบๆ อรหันต์ต้องละเอียด 

เพราะฉะนั้นต้องมีโพชฌงค์ 7 สำคัญ มีโพธิปักขิยธรรม 37 ถูกต้องบริบูรณ์ แล้วคุณต้องมีโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 เป็นหลักแกนใหญ่แล้วก็ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 ด้วยอิทธิบาท 

เวลาปฏิบัติก็ใช้สัมมัปปธาน 4 สังวรปธาน ปหานปธาน 

สังวรปธานคือ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ต้องสำรวมสังวรณ์อินทรีย์ 6 นะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกมีธัมมวิจัยแยกกิเลสได้ ประหารกิเลสได้เป็นปหานปธาน พากเพียรประหารกิเลส 

ผลถึงจะเกิดเรียกว่า ภาวนาปธาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วก็ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันมิจฉาทิฏฐิแท้ นั่งภาวนาพุทโธเป็นมิจฉาทิฏฐิแท้ ไม่ได้มีสัมมัปปธาน 4 

เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ ไม่มีกาย นั่งหลับตาแล้วกายไม่มี ไม่มีเวทนาจะเชื่อมไปหาจิตไปหาธรรมะได้ ไม่มีอิทธิบาท 4 พวกเพียรหลับตา แล้วขอบอกว่านั่งจนก้นแตกก็แตกตายฟรีๆ ด้วย ไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลยด้วย นอกจากไม่ได้มรรคได้ผลแล้วยังได้อวิชชา ได้มิจฉาทิฏฐิ ติดไป ตายไปแล้วก็งมงายลงนรกไป นรกก็คือที่ไม่ผุดไม่เกิดง่ายๆ ไปรับวิบากที่มันเป็นวิบากที่ไปสร้างอะไรต่ออะไร ทุกข์ๆร้อนๆไปในภพไหนก็แล้วแต่ 

แม้แต่เกิดมาเป็นคน ได้ร่างคน ก็จะทุกข์ร้อนเป็นนรก ตายไปแล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่าไปลงนรกแบบไหน แต่มาเกิดเป็นคนก็มีวิบากที่มันผิดพลาด มันเป็นผลวิบากบาป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตอน 1 วันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 วันขึ้น 8 ค่ำเดือนห้าปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 19:59:50 )

ไม่รู้สังขารธรรมก็อวิชชาอยู่ตลอดกาล

รายละเอียด

สังขารธรรมคุณไม่รู้ ก็อวิชชาอยู่ตลอดกาล เพราะอวิชชาจึงมีสังขาร สังขารคุณก็ไม่รู้จักกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร หรือเป็นสังขารธรรมอีกเยอะแยะคุณก็ไม่รู้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 11:39:20 )

ไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้กับพฤติการณ์ที่สอดคล้องกับสัจธรรม

รายละเอียด

แต่จริงๆแล้ว ผู้ที่ออกไปประท้วง ออกไปประท้วงรัฐบาลเลว จนกระทั่งประท้วงสำเร็จ รัฐบาลเลวก็ออกไป ประเทศชาติก็สบายขึ้น แต่กฎหมายมันก็คือกฎหมาย คือคนออกไปประท้วงรัฐบาล แต่พาซื่อตรงที่ว่า ก็รัฐบาลเลวก็ต้องออกไปประท้วง แต่กฎหมายบอกว่าออกไปประท้วงรัฐบาลผิดกฎหมาย อัญชะลีกับยุทธิยงผิดกฎหมายตรงนี้ ซึ่งมันพาซื่อตามกฎหมาย ได้ประโยชน์แล้วด้วยนะ ในการประท้วงรัฐบาลเลว แต่ผิดกฎหมาย รัฐบาลเลวก็ออกไป ประชาชนชนะ รัฐบาลต่อมาก็ควรจะต้องพิจารณา ควรจะต้องรู้ว่า อ๋อ ที่เราเข้ามาบริหารตอนนี้เพราะประชาชนที่มาประท้วง เขาประท้วงรัฐบาลเลวให้ล้มเลิกไป รัฐบาลแพ้ ประชาชนชนะ 

และประชาชนก็ไม่ได้ไปเอาประโยชน์ ก็ให้คณะรัฐบาลที่มาสวม มาบริหาร มารับไม้ต่อ บริหารไป รัฐบาลก็น่าจะเข้าใจ อ๋อ ควรจะขอบคุณผู้ที่ประท้วงด้วยซ้ำ แต่มันผิดกฎหมายนี่คือพาซื่อตรงนี้ เพราะฉะนั้น ศาลพิจารณาความแล้วก็ไม่น่าจะพาซื่อตามกฎหมาย จนกระทั่งไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้กับพฤติการณ์ที่สอดคล้องกับสัจธรรมที่เป็นไปด้วยดี สำเร็จเป็นผลดี นี่อาตมาขอวิจารณ์วิจัยตามสัจธรรมไป ไม่ได้ไปลบหลู่ศาลหรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:24:22 )

ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา

รายละเอียด

นี่เป็นจิตของอาตมา เปิดเผย ไม่ลงใต้ดินแม้ครึ่งเมล็ดงา จริงที่สุดมันช่างแตกต่างกันโดยแท้ คนที่ไม่มั่นคงแน่วแน่กับความถูกต้องหรือความจริงที่ตนเองมีก็จะเป็นอย่างนั้นแหละจะเดือดร้อน 

แต่อาตมาไม่ได้พาพวกคุณเดือดร้อนอะไร พวกคุณก็สงบตามที่อาตมาพาทำ มีบางคนเท่านั้นที่ไปย้อนแย้งกับเขาบ้าง ก็ไม่มีอะไรนักหนา แต่มันมีความแตกต่างกันอย่างที่คุณเกษมเขียนตั้งข้อสังเกตมา จริงที่สุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2565 กำจัดผีในตนจึงเป็นคนโลกุตระ วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 7 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2565 ( 20:49:56 )

ไม่ละสุขไม่ละทุกข์ ไม่มีนิพพาน

รายละเอียด

เรื่องสุขเรื่องทุกข์นี่แหละ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เทวนิยมทุกศาสดา ทุกศาสนา ไม่ได้เรียนรู้เรื่องสุข เรื่องทุกข์ เขายังจมอยู่ในสุขและเป็นสุขนิยม ศาสดาทุกองค์เป็นสุขนิยม เขาไม่เอาทุกข์ แล้วเขาเสพติดสุข แล้วเขาก็พยายามมีอุปาทานเลี้ยงสุขสร้างสุขไว้บำเรอเขา จนเขามีบารมี สุขด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาได้ แต่ไม่มีความรู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ไม่ละสุขไม่ละทุกข์เพราะฉะนั้นเขาไม่มีนิพพาน ก็เป็นสัจจะอย่างนั้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2566 ( 10:37:54 )

ไม่ลึกลับในระดับขั้นต้น

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเริ่มต้นยังไม่ถึงที่สุด ไม่ลึกลับในระดับขั้นต้น โสดาบัน ในกรอบของความเป็นโสดาบัน ในบริบทของความเป็นโสดาบัน คุณก็รู้จักกรอบของความเป็นโสดาบัน ท่านใช้พยัญชนะบอกว่า เป็นผู้ที่พ้น สักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา พ้นสีลัพพตปรามาส พ้นคือมีความเข้าใจ มีความรู้แล้ว

รู้ว่ากายคืออะไร รู้ว่า สักกะอยู่ที่ไหน สักกะคือตัวเรา กาย คือสภาวะ 2 สภาวะภายนอกภายใน สภาวะรูปนาม ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเข้าใจอย่างพ้นวิจิกิจฉา เรื่องกาย นี้ โอ้โห! ถ้าผู้ใดเข้าใจ กาย พ้น วิจิกิจฉาได้ แล้วมีหลักปฏิบัติเรียกว่า สีลพรต  ปฏิบัติจริงๆ ไม่ใช่ลูบๆคลำๆ เล่นๆ พ้นสีลลัพตุปาทานมาแล้ว แม้มีสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ไม่เอาจริงเรียกว่า สีลพตปรามาสต้องเอาจริงปฏิบัติจริง ไม่อย่างนั้น เหลาะแหละ รู้วิธีปฏิบัติประพฤติแต่ไม่ทำสักที เหลาะๆแหละๆ เหมือนตำรวจจับโจร โจรก็เห็นอยู่นี่ นั่งกินข้าวต้มกุ๊ยด้วยกัน แต่ไม่จับสักที ไม่ได้ มันต้องจัดการ รอไม่ได้ 

ความชั่วหรือบาปหรืออกุศลมีอยู่ในตัวเรา รีบเอาออก เหมือนผ้าชุบน้ำมันไหม้ลุกอยู่บนหัว ต้องเอาออก ไม่งั้นมันไหม้หัวพังหมด ความดีจะอยู่กับตัวเรานิดหนึ่งน้อยหนึ่ง นานเท่าไหร่ก็ไม่เสียอะไร แต่ความชั่วที่อยู่กับเรามันไม่ได้ มันเลวมันต่ำ มันทำให้เราไม่เจริญเท่านั้น ต้องรีบเอาออก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 ธันวาคม 2565 ( 12:51:34 )

ไม่วิสาสะ

รายละเอียด

นอกจากสัตว์แล้วข้าวของที่ไม่ใช่ของของเรา เรารู้ว่าไม่ใช่ของของเราเลย อย่าไปเอามาโดยวิสาสะ ยิ่งจะไปทุจริตไปปล้นจี้ไปเอาเปรียบเอารัดมาก็ไม่เอา คุณสร้างด้วยมือของคุณสิ ระบบวิธีของพระพุทธเจ้ามาร่วมกันสร้าง แล้วเอาเป็นของกองกลาง แล้วร่วมกันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ตามควร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:38:56 )

ไม่ว่ากลุ่มไหนยุคไหนขาดพระราชาไม่ได้

รายละเอียด

ลักษณะของศักดินาเป็นอย่างไร ลักษณะของศักดินาสูงสุดก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเมื่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมที่สูงสุดมีทศพิธราชธรรมบริหารประชากรอยู่อย่างมีบารมีที่แท้จริง ก็เป็นความจริงขาดไม่ได้ พระราชา ขาดไม่ได้ในมวลมนุษย์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนยุคไหนขาดไม่ได้ ถ้าขาดก็แสดงว่าเสื่อม เป็นความไม่สมประกอบของธรรมชาติเป็นธรรมชาติขาเดียว ธรรมชาติไม่สองขามีแต่รูปหรือมีแต่นามอย่างใดอย่างหนึ่ง มีแต่ความคิดฟุ้งซ่านก็เป็นนาม มีแต่ความคิดไม่มีปัญญาก็แย่ ไม่สมประกอบเป็นธรรมชาติพิการใช้ไม่ได้ นักวิชาการจะต้องเข้าใจอันนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:01:32 )

ไม่ว่าจะกี่ชาติก็อาศัยกรรม

รายละเอียด

หากคนไทยเข้าใจว่ามาเป็นคนจน มีใจเผื่อแผ่กันสร้างสรรขยันเพียรเหลือกินใช้ ไม่อดอยาก ใครขี้เกียจก็บาปใครบาปมันใครมาแฝงก็บาปวิบาก ศาสนาพุทธเชื่อกรรมเชื่อวิบาก เชื่อกรรมเป็นของๆ ตน สองเชื่อวิบาก สามเชื่อกรรมเป็นของๆ ตน

1. กัมมัสสโกมหิ (มีกรรมเป็นสมบัติแท้ของตน) 

2. กัมมทายาโท (มีกรรมเป็นทายาทรับมรดกของตน)

3. กัมมโยนิ (มีกรรมเป็นแดนเกิด-หรือพากำเนิด) 

4. กัมมพันธุ (มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์, พันธุ์เทพ,พันธุ์มาร) 

5. กัมมปฏิสรโณ (มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยแท้ๆ) 

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 581)

 มีแต่กรรมเท่านั้นเป็นที่อาศัย ไม่ว่าจะกี่ชาติก็อาศัยกรรม ทำดีก็อาศัยดี ทำชั่วก็อาศัยชั่ว ทำไม่สุขไม่ทุกข์ก็อาศัยไม่สุขไม่ทุกข์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประชาธิปไตยไทยในช่วงใกล้เลือกตั้ง 2561


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 16:39:06 )

ไม่สงวนสิทธิ์ยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้เพียงผู้เดียว

รายละเอียด

คุณคนนี้ก็มีความเข้าใจ อาตมาพอเข้าใจเขา ที่จริงผู้ที่แสดงออกมาต่างๆ อาตมาก็ขอขอบคุณอย่างยิ่ง พยายามแสดงมา มันจะได้มีความรู้ความเห็นความเข้าใจหลากหลาย ไม่ใช่เราสงวนสิทธิ์ยึดติดว่าเราเป็นผู้รู้แต่เพียงผู้เดียว คนอื่นเขาก็มีความรู้ หลายคนก็อาจจะรู้มากกว่า หรือหลายคนที่เขารู้ในมุมมองที่เราไม่รู้อันนี้แหละสำคัญ เราก็ฟังดูอันนี้ดีนะ เรายังไม่เห็นอย่างนั้นนะยังไม่รู้อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 11:35:15 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:40 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:07:24 )

ไม่สงวนสิทธิ์ในการเป็นพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ อจินไตย เป็นเรื่องที่คิดไม่ออกว่าทำไม ความรู้อย่างนี้เกิดเองไม่ได้จะต้องไปอาศัยพระพุทธเจ้า ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วพระพุทธเจ้าเป็นใคร? 

เหมือนกับทางเทวนิยมเขาบอกว่า พระเจ้าเป็นใคร? พระเจ้าดูจะยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไปแตะต้องไม่ได้ด้วย แต่ของพระพุทธเจ้านั้นแตะต้องได้ เป็นตัวตนบุคคลเหมือนเรา ไอ้นี่สิยิ่งใหญ่ ไม่สงวนสิทธิ์ ใครจะฉลาดเท่าพระพุทธเจ้ามีสิทธิ์ แต่คุณจะบำเพ็ญถึงไหม ก็เหมือนกันบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มีปัญญาสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เหมือนกันได้เลย ซึ่งสุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:18:55 )

ไม่สนใจธรรมะเป็นโมฆะบุรุษ

รายละเอียด

อาตมารู้สึกชื่นใจกับคนที่เห็นสาระเป็นสาระได้มาพบธรรมะที่อาตมาพยายามขวนขวายพูดและอธิบาย หลายคนก็รู้สึกว่าเป็นสาระเป็นที่น่าได้นะมีหน้าเป็นแล้วก็ติดต่อตอบรับกันมา โอภาปราศรัยกันมาบอกให้รู้ว่าสนใจอยู่นะติดตามอยู่นะก็รู้สึกชื่นใจ เพราะอาตมาเห็นว่า คนพวกนี้เป็นคนที่ไม่โมฆะ พวกที่ไม่สนใจธรรมะเป็นผู้ที่เกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่งก็เป็นโมฆะบุรุษ อาตมาเคยแปลไว้ว่า (โยมว่า… ชิงหมาเกิด) คนที่เกิดมาแล้วไม่ขวนขวายเอาธรรมะ เกิดมาก็ไปตามโลกไปแย่งชิงอะไรต่างๆนานาตามเขา แย่งชิงอำนาจการเมืองกันไป หรือไม่ก็แย่งชิงแฟชั่น มันโมฆะจริงๆ เกิดมาให้คุณตูบมาได้ร่างนี้แทนสิดีกว่า เสียดายร่างคนทั้งร่าง เกิดในวงการเมืองไทยที่เป็นศาสนาพุทธด้วยมันน่าเสียดายจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 12:10:17 )

ไม่สละความสุขโดยธรรม จะมีความเพียรพยายามเพิ่มขึ้นอย่างไร

รายละเอียด

อันนี้เป็นความลึกซึ้งที่ต้องใช้พยัญชนะคำว่าสุขมาใช้แทน เหมือนกับความมี อัตตา หรือไม่มีอัตตา จริงๆ แล้วทุกอย่างก็ไม่มี อัตตา อนัตตา แต่เรายังมีชีวิตอยู่เราก็ต้องมี อัตตา อาศัยอัตตาเพราะว่าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ต้องใช้อาศัย อัตตาอยู่ ความจริงแล้วมันอนัตตาไม่มีตัวตนหรอก คนก็พูดโก้ๆว่าทุกอย่างอนัตตา บางทีเจ้าสำนักบางแห่งก็บอกว่าทุกอย่างก็เป็นธรรมะถ้าไม่ใช่ธรรมะก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ทั้งที่ตนเองยึดถือคำว่าธรรมะเต็มบ้องเลย คืออัตตาแท้ๆ 

ทีนี้คำว่า “สุข” คำว่า “ไม่ยึดสุข” ไม่ให้มีสุขดับความสุขความทุกข์ก็เหมือนกัน เราก็ยังไม่ได้ดับขันธ์ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ต้องมีความสุข สุข-ทุกข์ เป็นอารมณ์อาศัย ท่านก็อธิบายแล้วว่าอารมณ์อาศัยที่ดีที่สุดคือไม่สุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขา ก็เป็นพยัญชนะทั้งนั้น เราก็เข้าใจอารมณ์จริงๆทำอารมณ์ให้ได้จริงๆ แล้วอารมณ์นั้นได้แล้วเข้าใจรู้เป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ รู้ได้ด้วยตนเอง เราจะเทียบเคียงโดยเสมอว่านี่คือมีอาการสุขไม่สุขอย่างไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:41:54 )

ไม่สันโดษในกุศลหรือทนไม่ได้ในความกรุณา

รายละเอียด

ชาวอโศกพบค่ามาแล้ว 50 ปีที่อาตมาทำมา อาตมาก็มาแสดง ประสบผลตามที่อาตมาต้องการ แต่แน่นอนไม่สันโดษในกุศล ไม่สันโดษในสิ่งที่ได้แล้ว จะว่าไปตามภาษาสามัญ หมดรอบ จบกิจ เป็นอรหันต์ อาตมาก็จบกิจความเป็นโพธิสัตว์ปางนี้ของอาตมา แต่อาตมายังไม่สันโดษในกุศลเท่านั้นเองก็ทำต่อ แต่ใจมันพักแล้วปลดเกษียณแล้ว ใจมันปลดเกษียณแล้วมันวาง เป็นแต่เพียงว่าอัชฌาสัยทนไม่ได้ในความกรุณา มันก็ต้องทำต่อ เพราะเรายังไม่ตายที่จริงต้องตายแล้วด้วยขันธ์ก็ต้องตายแล้ว แต่นี่มันเกินแล้วนะ อาตมาอยู่อย่างเกินเกินเป็นคนเกินๆ เพราะฉะนั้นอย่าถือสานะ อาตมามีอะไรต่อไปเป็นสิ่งที่เกิน มันเป็นสิ่งที่ Over เกินกว่ามนุษย์มนาที่เขาจะเป็น จริงนะ จะจริงอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:53:26 )

ไม่สัมมาทิฐิ ก็จะได้นิพพานเก๊

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ความต่างกันระหว่างศาสนาเทวนิยมกับศาสนาทาง อเทวนิยมหรือทางศาสนาตะวันออก ที่ศึกษาจิตเจตสิกกัน ทางตะวันออกนี่ศึกษาจิตเจตสิกรูปนิพพาน แต่คนที่เข้าใจไม่สัมมาทิฐิทีเดียวก็จะได้นิพพานเก๊ไป โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านิพพานจริงๆ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้นิพพาน ที่แท้จริง อาตมานำมาเปิดเผยนำมาขยาย เพราะว่ามันเสื่อมไปอย่างที่เคยยืนยันแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นอรหันต์นั้นมีลำดับอันน่าอัศจรรย์ วันพุธที่ 28 มิถุนายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2566 ( 20:28:48 )

ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมในศาสนาพุทธได้เลย ถ้าเข้าใจคำว่า กายผิด

รายละเอียด

ไอน์สไตน์ค้นพบบวกกับลบ พลังงานกับตัวสภาวะ  ส่วน พระพุทธเจ้านั้น ค้นพบกายกับจิต เป็นนามธรรม กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ พระเจ้าตรัสไว้เลย คนก็จะงง คนที่ไปยึดมั่นว่า กาย  ที่เป็นภาษาไทยหมายถึงสรีระ หมายถึงวัตถุหมายถึง ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น ไม่มีจิตเข้าไปร่วมเลย คนนั้นมิจฉาทิฏฐิเต็มที่ คนใดเข้าใจว่ากายคือสรีระ ดิน น้ำ ไฟ ลม อย่างเดียวเลย เป็นมิจฉาทิฐิเต็มที่ ไม่สามารถที่จะมาบรรลุธรรมในศาสนาพุทธได้เลย ถ้าเข้าใจคำว่า กายผิด ก็ไม่พ้นสังโยชน์ สักกายทิฏฐิ ข้อที่ 1 มิจฉาทิฏฐิในคำว่า กาย อยู่ ซึ่งก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในยุคนี้ ไม่ค่อยจะชัดเจนเรื่องนี้ 

อาตมาเกิดมาชาตินี้มาไขความ คำว่ากายก็ดี คำว่าบุญก็ดี คำว่าฌานก็ดี คำว่าสมาธิ คำว่าวิมุติ อะไรต่างๆ พวกนี้ แม้แต่คำว่า เทวะ อาตมานำมาขยายคำว่า โลกียะ คำว่าโลกุตระ ซึ่งขยายแล้วให้มาสัมผัสจริงมาเรียนรู้จริง ปฏิบัติจนกระทั่งมีสภาวธรรม บรรลุธรรมจริง จึงไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า ไม่ใช่เรื่องโมฆะในศาสนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:10:45 )

ไม่สำรวมอินทรีย์ 6 จึงมีสติสัมปชัญญะที่ไม่บริบูรณ์

รายละเอียด

เมื่อมีความไม่สำรวมอินทรีย์ 6 เป็นอาหาร คุณก็มีสติสัมปชัญญะที่ไม่บริบูรณ์ กลายเป็นสติพร่องไม่เต็มร้อย ถ้าสติ 6 คือ สติ มีทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย 5 และจิต อีก 1 เป็น 6 ถ้าสติครบ 6 ทวารสติคุณก็เต็ม แต่นี่คุณมีสติอยู่ทวารเดียว แต่ทวารอีก 5 ทวารคุณไม่ฝึก ไม่สั่งสมไม่ปฏิบัติ สติของคุณก็พร่อง ก็ไม่เป็นสติสัมปชัญญะที่สัมมาที่บริบูรณ์ เพราะคุณไม่สำรวมทวาร 6 คุณสำรวมแค่ทวารเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มิถุนายน 2564 ( 19:44:45 )

ไม่สำเร็จเพราะกิเลสของคน

รายละเอียด

คอมมิวนิสต์เขาพยายามกดขี่บังคับ ด้วยกฎหมาย ด้วยอำนาจอะไรก็แล้วแต่ ให้ผู้ที่เสียภาษี เสียภาษีให้ได้มากที่สุด ซึ่ง ลำเอียง อยู่ดี สุดท้ายก็แพ้นายทุนมันไม่สำเร็จเพราะกิเลสของคน มันมีวิธีการหลีกเลี่ยงสารพัด มันต้องบริสุทธิ์ใจว่า มาเป็นคนจน ผู้ที่จบเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์แบบแล้วจะมาเป็นคนจน อย่างพระพุทธเจ้าที่อธิบายไปตอนต้นแล้ว ก็ท่านรวยอยู่แท้ๆแต่มาเป็นคนจน พระบาทเปล่าเลย ไม่มีอะไร ห่มผ้า 3 ผืน รูปแบบก็ชัดๆ อยู่แล้ว ท่านไม่ได้มาเสแสร้ง ไม่ได้มาทำแอ็ค ไม่ได้ทำดรามาติกอะไร ไม่ใช่ ท่านเป็นเรื่องจริง ปฏิบัติเปิดเผยจริง เป็นความจริง 

คนที่ประเสริฐคือ รู้ว่าเป็นคนจนดีแล้ว มาเป็นคนจนได้สมบูรณ์สูงสุดแล้ว ความเป็นคนจนสูงสุด อาตมาเคยเรียบเรียงภาษา คนที่เข้าใจความสมบูรณ์แบบของคน เป็นคนที่จะไม่ต้องไปพึ่งวัตถุสมบัติ ไปพึ่งอำนาจภายนอก ไม่ต้อง พึ่งความไม่มีกิเลส พึ่งความบริสุทธิ์ใจ พึ่งความไม่มีตัวตน แล้วเป็นคนรู้จักกรรม กรรมกิริยาที่ดีอยู่กับสังคม รับใช้มนุษยชาติ เป็นผู้รับใช้ผู้อื่น 

แม้เราจะรับใช้ผู้อื่นอยู่ในงาน เช่น งานนี้คนเขาว่าเป็นงานชั้นต่ำ เป็นงานขนขยะ เป็นงานเช็ดส้วม เป็นงานกวาดถนน มันเป็นการตีค่ามาเบ่งมาทับกัน เป็นจิตที่ไม่เห็นความสำคัญของมนุษยชาติที่มีปัญญา มีความเข้าใจถึงงานที่ควรจะทำ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้หรอก มันมีแต่มนุษย์นี่แหละรู้จักงานที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจก็มายกว่างานนี้สูงกว่างานนี้ งานนี้ต่ำกว่างานนี้ต่างๆนานาสารพัด มันจึงเกิดการเหลื่อมล้ำ เกิดการไม่เสมอภาค เกิดการลำเอียง เกิดอะไรๆ ก็ไม่สงบ ไม่เจริญ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆ ถ้าพลังเงียบไม่ช่วย

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 12:25:48 )

ไม่สุขไม่ทุกข์ แบบกิณหา หรือแบบอาภัสรา มีในฌานหลับตา

รายละเอียด

เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่จะคาดคิดคะเนเอาได้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกหรอกไม่สุขไม่ทุกข์ พวกที่ไปนั่งหลับตาทำฌาน ก็เป็นไม่สุขไม่ทุกข์แต่เป็นไม่สุขไม่ทุกข์แบบ กิณหา หรือไม่สุขไม่ทุกข์แบบอาภัสรา แบบสว่างแบบมืด กิณหามืด อาภัสราสว่าง ก็มีสองนัยนี้ 

แบบสว่าง ก็ใช้ปฏิภาณฉลาด ทำให้จิตใจเราไม่สุขไม่ทุกข์ แต่เขาก็ยังสุขอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ติชนัทฮัน อย่าไปนึกถึงความขุ่นข้องหม่นหมอง ให้นึกถึงความเบิกบานใจ ความหม่นหมองความไม่สบายอย่าไปเอา ให้อยู่กับปัจจุบันสบาย เขาก็ยึดอารมณ์ ยึดอาการ ทำใจในใจแบบนั้น ไม่ได้หยั่งเข้าไปถึงเนื้อหาจิต ที่มันมีตัวกิเลสตัวความโง่ ตัวที่ไม่รู้จักพลังงานที่แทรกอยู่ในจิตแล้วล้างตัวนี้ จนเกิดปัญญาอันยิ่งรู้ชัดเลยว่า อ๋อ.. มีธาตุปัญญาอันยิ่งรู้จบแล้ว ไม่ให้ตัวพวกสุขพวกนี้อยู่ได้เลย จิตก็กลางๆ เกิดจากสังขารเกิดจากสิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกันอยู่เป็นธรรมชาติ เรียกมันว่าจิตหรือวิญญาณ ก็เรียนรู้ได้ด้วยนามรูป พยายามแยกเป็นธาตุ 2 มีสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ อีกสิ่งหนึ่งเป็นธาตุรู้คือตัวเรา แล้วมันก็เกิดอารมณ์ 2 เมื่อมีผัสสะก็มีอายตนะ เกิดเวทนา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็เกิดเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ในเวทนา ก็ล้างเหตุในเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 ทำอันนี้ได้สมบูรณ์แบบจบเป็นพระอรหันต์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 18:05:39 )

ไม่สุขไม่ทุกข์กับเชื้อโรคจงมาทำอย่างชาวอโศก

รายละเอียด

จงมาทำอย่างชาวอโศก ตอบตีหัวเข้าบ้านเลย เพราะอะไร ถึงบอกว่าโควิดมายุคนี้สุดนุ่มลึกมาก ไม่หยาบคาย แต่กว้างไกล ละเมียดละเลียดละเอียด ไม่โฉ่งฉ่าง แต่มันเก็บตายทีละพันทีละร้อย เมืองไทยไม่มีตายมา 3 วันแล้ว สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2563 ( 13:23:02 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:43:42 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:07:48 )

ไม่สุขไม่ทุกข์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร

รายละเอียด

แต่ไม่สุขไม่ทุกข์ของพระพุทธเจ้าคือจิตมันหมดความโง่  จิตมันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสหรืออวิชชา จิตมันเป็นอุเบกขา (ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา) มันบริสุทธิ์เพราะตัดกิเลสได้ เลยไม่มีตัวโง่ 

มันก็เลย รู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นมายามันไม่มีจริง จิตก็เลยบริสุทธิ์ว่างจากสุขจากทุกข์ มีแต่ศาสนาพุทธที่มาพูดว่า ว่างจากความสุขว่างจากความทุกข์ ซึ่งศาสนาอื่นไหนเขาก็แสวงหาสุขทั้งนั้น แม้แต่ชาวพุทธที่อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ ก็จะต้องเอาสุข ยังเอาสุขคือยังหลงสวรรค์ ยังมีสวรรค์ 6 ชั้น เป็นต้น 

ผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้วไม่มีสวรรค์ เมื่อไม่มีสวรรค์นรกก็ไม่มี เพราะนรกไม่มีสวรรค์ก็ไม่มี ความสุขความทุกข์คือนรกกับสวรรค์ คือสภาพเทวะคือ ภาวะคู่ ถ้าไม่มีก็คือไม่มีหมดไปเลยทั้ง 2 อัน นั่นคือสัจจะที่ยิ่งใหญ่ เป็นสุขเป็นทุกข์ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 15:07:12 )

ไม่สุขไม่ทุกข์มี 2 แบบ

รายละเอียด

ซึ่งมี 2 ที่มันงมงายกันมากคือสุขกับทุกข์ เป็นคู่หนึ่งที่แยกกันไม่ออกหรอก กับไม่สุขไม่ทุกข์ก็อีกคู่หนึ่ง มันไม่สุขไม่ทุกข์คู่หนึ่ง ก็ต้องแยกให้ชัด แม้ไม่สุขไม่ทุกข์ สุขทุกข์ก็ยังพอแยกชัดยังง่ายกว่า แต่ไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เขาก็มีนัยยะ มีสัจธรรมเป็นนัยยะว่า ไม่สุขไม่ทุกข์แบบหนึ่งเป็นแบบโลกีย์ แบบเคหสิตเวทนา บางทีเขาก็เรียกอุเบกขาเหมือนกัน ไม่สุขไม่ทุกข์มันเฉยๆ แต่มันไม่ใช่วิธีเอากิเลสดับ เอากิเลสออกกิเลสไม่มี แต่มันกดข่มกิเลส กิเลสยังอยู่ ดีไม่ดีกิเลสจะยิ่งหนา มีพลังอำนาจในการ ข่มได้เก่ง ยิ่งยากมากขึ้น 

ซึ่งต่างจากเนกขัมมสิตอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นภาษา ที่แยกเฉพาะอาการของสุขอาการของทุกข์ ถ้าเป็นเคหสิตะก็จริงๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วเรียกเป็นอุเบกขาไม่ใช่ของโลกีย์ เพราะอุเบกขา มันมีลักษณะบริสุทธิ์จากกิเลส ปริสุทธา ซึ่งจะมีองค์ธรรมถึง 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พระพุทธเจ้าแจกไว้ในธาตุวิภังคสูตร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:31:08 )

ไม่สุขไม่ทุกข์แตกต่างจากอุเบกขา

รายละเอียด

ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่ อาตมาก็จะหาโอกาสที่จะอธิบายว่า ไม่สุขไม่ทุกข์นี้มีนัยยะสำคัญแตกต่างจากอุเบกขา อุเบกขาแปลว่า กลางๆ ไม่สุข ก็ต้องรู้สุข ไม่ทุกข์ก็ต้องรู้ทุกข์ ว่าทุกข์ไม่มี สุขไม่มี หากคุณบอกว่าอุเบกขาแต่ไม่รู้ความสุขความทุกข์เลยไปนั่งหลับตาแล้วก็ทำเฉยๆ สุขทุกข์ไม่มีแล้วก็เฉยๆ ไม่นึกไม่คิดอะไร และไม่มีอาการนั้นเพราะคุณหลับตา คุณปั้นความไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่รู้ในอาการความสุขความทุกข์ที่มันกระทบแล้วมันเคยเกิด แต่ปัจจุบันนี้ที่กระทบอยู่หลัดๆ แล้วไม่เกิดความสุขความทุกข์นี่มันชัดเจนกว่า อุเบกขาเป็นเคหสิตะก็ได้ เป็น เนกขัมมะก็ได้ เคหสิตะก็คือพวกมิจฉาทิฐิส่วนมากก็หลับตาแม้จะลืมตาก็เป็น เคหสิตะได้ พวกสมถะ ไม่ใช่ความสงบที่เกิดจากการลดกิเลสแต่เป็นความสงบจากหนีจากสิ่งที่รู้ หลบจากสิ่งควรรู้ ไม่มีสัมผัส

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:03:58 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:48:38 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:08:14 )

ไม่สุจริต

รายละเอียด

ไม่ใช่ความประพฤติที่ดี

หนังสืออ้างอิง

วิถีพุทธ หน้า 26


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:10:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:42 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:08:34 )

ไม่ส่งเสริม ปปัญจรามตา

รายละเอียด

ก็ต่าง พระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริม ปปัญจรามตา ความยินดีในความเนิ่นช้าอืดอาด เนิ่นช้า ท่านไม่ส่งเสริม ถือเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง อารามตา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:19:50 )

ไม่ส่งเสริมรายได้จากนักท่องเที่ยวและไม่ส่งเสริมการลงทุนจากชาวต่างชาติ

รายละเอียด

อาตมาทวนเรื่องเก่าที่อาตมาเคยพูด ว่าอาตมาไม่ส่งเสริม 1. รายได้จากนักท่องเที่ยว 2. ไม่ส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ อาตมาพูดมานานตั้งแต่ใหม่ๆเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้พูดเท่าไหร่ เพราะนักลงทุนของคนต่างชาติที่มาลงทุนในไทย อาตมาว่าไม่ใช่อาริยบุคคลหรอก ถ้าเป็นอาริยบุคคลจะไม่มาลงทุนใหญ่ๆหนักๆ จะมาอาศัยเมืองไทย เขารู้ว่าเมืองไทยเป็นที่อยู่อาศัย ก็จะอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ถ้ามาอย่างนายทุนอย่างนี้ เขาจะมาปล้นเอา อาตมาไม่ส่งเสริมการลงทุนของคนต่างชาติ วัตถุสมบัติมันยังไม่เจริญก็ให้มันอยู่ในดินในน้ำในลมในไฟนี่แหละ ไม่ต้องกลัว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 11:30:31 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:42:17 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:09:04 )

ไม่หนีแต่อยู่เหนือ ทำอย่างไร

รายละเอียด

ท่านตรัสว่า เมื่อรู้ราคะอันเกิดจากกามคุณ 5 ได้แล้ว แล้วท่านไม่ได้ตรัสต่อว่าต้องปฏิบัติลดละจากราคะให้ได้ แต่ท่านตรัสว่า สังโยชน์ที่เป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีก ก็ไม่มี

เป็นคำสรุปที่บอกว่าสังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดเกี่ยวเกาะคืออยู่กับกามคุณ 5 นี่แหละ 

ราคะเกิดจากกามคุณ 5 มันก็มีตั้งแต่ กามราคะ และมีรูปราคะ อรูปราคะ 

กามราคะเป็นเบื้องต้น รูปราคะเป็นเรื่องรอง อรูปราคะเป็นเรื่องเหลือสุดท้าย 

เหมือนคุณจะกินทุเรียน คุณก็ต้องเลาะเปลือกที่มีหนามออกก่อน นั่นคือเบื้องต้นที่จะได้กินเนื้อทุเรียน ถ้าคุณไม่เลาะเปลือกเอาหนามทุเรียนออกก่อน แล้วคุณจะไปกินเนื้อทุเรียน โดยหาวิธีอย่างไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องปลอมเก๊ นึกคิดเอาเอง มันไม่มีความจริงของสิ่งที่จะต้องเป็นไปตามลำดับ

เมื่อคุณสามารถลดกามคุณ 5 เรียนรู้แล้วละล้าง ลดละมันได้จริงด้วยปัญญาอันยิ่ง อยู่เหนือกามคุณ 5 ได้คุณก็จะเหลือ รูปราคะ ซึ่งเป็นรูปาวจร 

กามวจรคุณก็เป็นไปได้ในโลกแห่งกาม ที่มันเกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็อยู่เหนือมันได้ กิเลสไม่มี มันจะจัดจ้านอย่างไร กามคุณ 5 มันจะเป็นเหตุยุแหย่อย่างไร หลอกล่อรุนแรง เก่งกาจขนาดไหน ผู้ที่มีการหลุดพ้นไปแล้ว เหนือกามราคะได้แล้ว ก็อยู่กับโลกนี้ ไม่ได้หนี เป็นอุตรธรรม เป็นธรรมะที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า ไม่หนี

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบอาจารย์หมอเขียวและทีมงานแพทย์วิถีธรรม วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2565 แรม 6 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2565 ( 19:57:04 )

ไม่หลอกลวงให้คนมานับถือ ไม่หว่านล้อมให้คนมาเป็นบริวาร

รายละเอียด

คุณหลอกกันอยู่แต่พวกเราไม่ได้หลอก อย่าว่าแต่พวกคุณเลย อาตมานี่คุณไม่รู้ใจอาตมาหรอกว่าอาตมามีทรัพย์หลายพันล้านขณะนี้ แต่อาตมาจะไม่เดือดร้อนเลย ที่ใครจะมาโกงทรัพย์หลายพันล้าน โกงนะ แล้วโกงนั้น อาตมาชั่วหรือใครคนชั่ว...นี่มันคือสัจจะ เอาล่ะ ไม่ถึงขั้นโกง อาตมาขณะนี้สมมุติว่ามีสองพันล้าน คนที่จะร่วมบริหารเงิน 2,000 ล้านด้วยกัน คนไหน ที่ยึดว่าสองพันล้านนี้เป็นของเขา อาตมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เคยพูดเพื่อหลอกให้คนมาเคารพนับถือ ใครจะมาเคารพนับถืออาตมาด่าเอาด้วย แล้วเขาก็ยังมาเคารพนับถือ ตำหนิ สิ่งที่ผิด ตำหนิสิ่งที่ทุจริตนั่นแหละคือด่า ตำหนิแรงๆตรงๆ มันยิ่งไปถูกคนที่เขาเป็น มันยิ่งเจ็บเพราะคือการด่า นี่คือสัจจะ ไม่หลอกลวงให้คนมานับถือ ไม่หว่านล้อมให้คนมาเป็นบริวาร พยายามใช้โวหารทุกอย่างเพื่อต้องการให้คนมาเป็นบริวาร ไม่ เพื่อลาภสักการะและสรรเสริญ ไม่ เพื่อเป็นเจ้าลัทธิ อาตมาไม่เคย อาตมาเป็นเพียงผู้รับใช้พระพุทธเจ้า เจ้าลัทธิคือพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นเจ้าลัทธิ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 09:45:40 )

ไม่อยากเป็นภาระใคร เป็นพวกมานะ อติมานะถือดีถือตัว

รายละเอียด

พวกนี้เป็นมานะ อติมานะ ถือดีถือตัว มันก็ดี แต่เอาน่าพอเหมาะพอสม เราก็จริงใจ ไม่อยากเป็นภาระใคร ก็ช่วยเหลือตัวเองด้วยความจริงใจ มันซับซ้อน ว่า ถ้ามาอยู่ต้องช่วยเหลือตัวเองได้ต้องทำงานได้ไม่เป็นภาระใคร …นี่ล่ะ ทำเก่งเชียว ก็มีเชิงเข้าใจดี พอเป็นไป มีสำนึกอย่างนี้ดี ก็มาได้ เขาจะรู้จะเห็นเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 10:57:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:46:21 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:09:31 )

ไม่อยากให้หลง

รายละเอียด

ระวังจะไปหลงใหลคลั่งใคล้ราชธานีอโศกนะ เตือนสติไว้ เราก็ต้องให้มีหลักฐานมีปัญญาจริงอย่างถูกต้อง ไม่อยากให้หลง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความสมานฉันท์ 7 แบบ

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำ เดือน 8


เวลาบันทึก 04 มิถุนายน 2565 ( 14:12:04 )

ไม่อยากให้อ่านข้อความที่เข้ามาด่าหยาบคายตัดทิ้งไปเลยได้ไหม

รายละเอียด

ตัดทิ้งไปเลยเราจะไม่รู้ว่าโลกลูกนี้มันเบี้ยวไปขนาดไหน ก็เราอยู่ในโลกเราก็จะบอกโลกว่าโลกมีขนาดนี้แล้วนะ เราก็ฝึกเสีย ถือว่าตัดทางใจว่า มีพวกหยาบคายไม่รู้ที่ต่ำที่สูงด่าทอ โง่เง่าได้ขนาดนี้ คุณก็จะได้รู้ว่าโลกมันขนาดนี้แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:52:59 )

ไม่อยากให้เอาองค์กรอโศกไปรับรองใคร

รายละเอียด

มีคนท้วงๆมาอย่างนี้ รอยใบไม้เขาส่งข้อมูลมาให้ อาตมาก็ขอจะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้ จะเรียกว่าบอกความละเอียดลออหรือความจริงก็ได้ ว่าที่จริงกองทัพธรรมมันก็เป็นชนหมู่หนึ่ง จริงๆ แล้วกองทัพธรรมนี้เป็นชื่อมูลนิธิที่ชาวอโศกเราไปจดทะเบียนเป็นชื่อมูลนิธิ กองทัพธรรมมูลนิธิ เริ่มแรกก็มีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นประธานกองทัพธรรม เดี๋ยวนี้ หนึ่งพุทธ วิมุตินันท์ เป็นประธานกองทัพธรรม อาตมาก็ขอยืนยันว่าตามที่อาตมามอง ในเรื่องนี้อาตมาไม่ใช่ว่าอาตมาจะทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ไม่ตรอง ไม่เห็นว่ามันควรจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ อาตมาก็ไตร่ตรองแล้ว อาตมานี่ใจเป็นกลางแต่เข้าข้างคนดี นี่เป็นหลักเกณฑ์เลย เป็นคนใจเป็นกลาง อาตมาไม่ได้ไปลำเอียงว่าจะต้องรักคนนั้นชังคนนี้ แต่อาตมาดูตามสถานะจริงๆสถานะหรือกรรมกิริยาพฤติการณ์ของพลเอกประยุทธ์ เขาเป็นคนที่ควรส่งเสริมและเขาทำได้ดี 

จนกระทั่งอาตมาเคยพูดส่งเสริมว่า นายก 29 คน อาตมาเห็นว่านายกคุณประยุทธ์นี่แหละ คนที่ 29 นี้เป็นนายกที่ดีที่สุด ทำงานได้ดีที่สุดแล้วก็มีจิตที่แข็งแรงมั่นคง ทำงานมานานถึง 8 ปี เท่ากับพลเอกเปรม พลเอกเปรมก็ไม่ได้มีจุดเด่นเหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์หลายอย่าง พลเอกเปรมมีลักษณะเป็นทางศรัทธาจริต แต่พลเอกประยุทธ์นี้มาทางพุทธิจริต มีปฏิภาณปัญญา มีความแววไวต่างๆ นานา แล้วทำงานเผชิญหน้า ไม่เลี่ยงไม่หลบ ทำงานอย่างเผชิญ  หลายอย่างอาตมาอธิบายไม่ครบ พูดไม่หมด 

สรุป อาตมาเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรี คืออาตมาก็เกิด 2477 ก็ทัน พอได้รับรู้ตั้งแต่นายกคนที่ 1 2 3 อาตมาจะไม่ทัน แต่หลังๆนี้มันก็พอรู้ตั้งแต่ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม อาตมาก็รับรู้ยังจำได้หลายๆอย่างมาเลยเพราะโตพอสมควรแล้ว ก่อนจอมพลแปลกก็มีไม่กี่คน เอาเถอะมันยังไม่เข้าร่องรอยประชาธิปไตยเท่าไหร่ อันดับ 1 2 3 มา มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา มาถึงจอมพลแปลกคนที่ 3 อาตมาก็รับรู้มา นอกนั้นพอรับรู้มาด้วยอาตมาก็โตมา 

เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่จอมพลแปลก จนกระทั่งนายควง อภัยวงศ์ นายทวี บุณยเกตุ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายปรีดี พนมยงค์ ตั้ง 29 คนผ่านมา อาตมาก็เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ ควรจะได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษคนหนึ่งของประเทศ แต่คนอื่นเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรเขาหรอก พูดไปตามความเห็นของอาตมา อาตมามีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นในทางที่ปรารถนาดี ส่วนใครจะมองว่าเป็นความปรารถนาที่ไม่ดี แต่คงไม่คิดว่าอาตมาปรารถนาร้าย นอกจากจะเวอร์ไปเท่านั้นว่าอาตมาคิดปรารถนาร้าย อาตมาไม่ได้ปรารถนาร้ายหรอก แต่เห็นว่าปรารถนาไม่ถูกต้องเท่าที่คุณเห็นก็ขัดแย้งกันบ้าง 

เรื่องคนมีกิเลสหรือคนไม่มีกิเลส ไม่ใช่เรื่องที่คนจะรู้กันได้ง่ายๆหรอก คนมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส พระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์นี่เหมือนคนมีกิเลส แสดงความปรารถนาดีออกไปสูง ความปรารถนาหรือความอยาก มันเหมือนกิเลส ความปรารถนาดีอันสูง มันก็เหมือนกับอยากแรงๆ มีความอยากแรงๆ แต่พลังงานที่เป็นความปรารถนาดีอันสูง มันเป็นพลังงานที่จะต้องใช้ ถ้าปรารถนาดีพลังงานมันไม่สูง ปรารถนาดีเบาๆเหยาะๆแหยะๆแล้วมันจะได้ผลอะไร มันก็ไม่ได้ผลอะไร มันก็จะต้องมีความปรารถนาดีที่แรงพอสูงพอ ให้พอเหมาะพอควรแล้วก็จะต้องอยู่ในขั้นแรง มันถึงจะชนะ มันถึงจะสำเร็จผล ถ้าความปรารถนาดีเบาๆ น้อยๆ มันจะไปสำเร็จผลอะไรได้ล่ะ นี่ก็พยายามใช้ภาษาสื่อสภาวะให้ฟังอธิบายสัจธรรมให้ฟัง 

เพราะฉะนั้นอาตมาว่าอาตมาแสดงออกตลอดเวลา มันเป็นลักษณะที่คุณไม่เข้าใจง่ายๆหรอก ความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมันเข้าใจผิดมา ไปเข้าใจอรหันต์เก๊ ไปเข้าใจโพธิสัตว์เก๊ แต่โพธิสัตว์ยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากมายหรอกในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดถือเถรวาทสุดโต่งแล้วก็ผิดเพี้ยนไปด้วย มันก็เลยเลอะกันไปใหญ่ แม้จะมีสายที่ใช้ปฏิภาณปัญญา ชอบปัญญาก็กลายเป็นปัญญาฟุ้ง ปัญญาไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราว ซึ่งมันไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิอะไร อาตมาก็วิจัยวิจารณ์ระบุ แม้ว่าจะพาดพิงก็ได้ทำไปแล้ว เขามีความปรารถนาดี มีเจตนาดีทั้งนั้น ไม่ได้ต้องการไปยกตนข่มท่าน ไปอวดดิบอวดดีอะไร แต่พูดถึงผลของศาสนาทั้งนั้น ฉะนั้นความเห็นที่แตกต่างกัน ก็ขอลงท้ายว่า สุดท้ายคุณก็เห็นอย่างของคุณ คนที่เห็นต่างกับอาตมานะ ส่วนของอาตมาก็เห็นอย่างอาตมา ลงท้ายก็นานาสังวาสก็แล้วกัน คุณก็เห็นอย่างนั้น คุณก็ทำของคุณไปศึกษาไป แต่อย่ามาลบหลู่อาตมามากนัก

ไม่ใช่ว่าป้องกันตัวไม่อยากให้ลบหลู่ แต่ว่าเชิงตำหนิกัน นี่มันเป็นลักษณะที่เป็นสัจธรรมที่มันเลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่าไปลบหลู่ อ้าวไปตำหนิก็คือไปลบหลู่อยู่แล้ว ภาษามันคนละคำเท่านั้น ลบหลู่ก็คือข่ม ตำหนิสิ่งที่ควรข่ม ควรตำหนิหรือลบหลู่ ถ้าจะไปพูดให้ แรงก็คือด่า ใช้ภาษาพวกนี้ มันมีนัยยะเดียวกันแต่น้ำหนักมันต่างกันเท่านั้นเอง สรุปแล้วก็คือตำหนิ ภาษาสวยๆของพระพุทธเจ้า นิคคัณหะ อย่างตำหนิอย่างดัง อย่างแรง อย่างมาก อย่างไรก็ได้เรียกว่า ปฏิโกสนา ตำหนิหรือว่าข่มอย่างแรงๆดังๆ ข่มหนักๆอย่างไรก็ได้ เป็นภาษา อย่าไปฟ้องร้องกัน นี่เป็นธรรมวินัยเลย ยิ่งเป็นนานาสังวาสแล้วคนฟ้องร้องเป็นอาบัติ อาตมาถูกฟ้องร้อง คนที่เขาไม่รู้จักวินัย ทำละเมิดวินัยมาฟ้องอาตมา เขาอาบัติกันทั้งนั้น พูดไปจะเหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บมากเกินไป ก็ขอผ่านไปก่อนก็แล้วกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 27 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2566 ( 14:30:03 )

ไม่อวดตัวแต่พูดความจริง

รายละเอียด

ปาราชิกหรืออวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนก็ปาจิตตีย์ อาตมาก็ขอข้ามผ่านไป ไม่มีเวลาไปถกเรื่องแค่นี้ ตั้งใจจะทำในสิ่งที่เป็นเป็นจริงอ้างอิงผลต่อผู้ปฏิบัติ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคนมาจับผิด หรือใครบอกได้ว่าอาตมามีเจตนาปรารถนาอย่างไร อาตมาเจตนาอ้างอิงตัวเอง อวดอุตริมนุสธรรมของตัวเอง ไม่ได้อวดอย่างสาเฐยจิต ไม่ได้อวดอย่างมีกิเลส แต่เป็นการแสดงออกพูดความจริงเท่านั้นเอง ถ้าอวดเป็นภาษาไทยก็บอกว่าอวดโอ่เป็นเชิงลบ แต่ไม่มีเจตนาอย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2564 ( 10:34:01 )

ไม่ออกไปจากกะลาก็อยู่ในกะลา

รายละเอียด

คุณวนอยู่ในกรอบแคบๆ อาตมาอธิบายขยายความจะเห็นว่ามีการ เชื่อมต่อ แต่คุณฟังตัวขยายไม่ออก เมื่อฟังไม่ออก คุณก็ไม่รู้ คุณไม่รู้ก็รู้สึกว่ามันวน แกนของมันวนๆๆ คุณก็ได้อยู่แค่นั้น ไม่ออกไปจากกะลา อยู่ในกะลาเป็นธรรมดา ฟังแล้วก็วนๆ อยู่แค่นี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาสื่อสภาวธรรมโลกุตระ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 แรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2565 ( 12:52:57 )

ไม่เกิดภาวะที่มีอันตาคือสัจจะที่มีหนึ่งเดียว

รายละเอียด

พยัญชนะกับสภาวะมันลงตัวจริงๆ ลงไปในตัวเนื้อแท้ของสิ่งนั้น จะมีสภาวะ 2 ที่ต้องสรุปเป็นหนึ่ง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่เกิดภาวะที่มี อันตา มีสิ่งที่เลยไปด้านไหนเป็น 1 บ้องแบ๊วอยู่ในนี้ คนที่เกิดความเป็นเช่นนั้น ตัวเลขไทยชัดเจน 1 เป็นปลายเปิดหางออกไป

อ.อ่าง วนอยู่ในอ่าง อ.อ่างไม่มีปลายออกมา หาก อ.อ่างมีปลายออกมาก็วนไปหาโลก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 11:26:19 )

ไม่เกี่ยวกับจิตแต่เราต้องอาศัยมันอยู่

รายละเอียด

แม้แต่เราทำให้จิตเราเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่เคยเกี่ยวกับจิต แต่เราต้องอาศัยมันอยู่ ก็ต้องรู้ว่ามีดิน น้ำ ไฟ มันมาปรุงแต่งเป็นอุตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ปรุงแต่งเป็นพืชให้เรากินเราใช้ไป อาศัยไป ในชีวิตมันก็มี ดิน น้ำ แม้แต่ในจิตของเราจะไม่มี ดิน น้ำ ไฟ ลม ในจิตเดี่ยวๆ แต่เราก็ต้องอาศัยกันและกันกับพืชกับอุตุอยู่ มันฉีกขาดแยกขาดกันไม่ออกกันอย่างเด็ดขาด 

เราสามารถที่จะแยกอุตุคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม จากร่างกายของเราส่วนที่ไม่จำเป็นแล้ว หมดทุกข์หมดสุข หมดบาป หมดบุญ ไม่ต้องอาศัยมันอะไรนักหนาเลย เช่น ผม ขน เล็บ ฟันในส่วนที่มันไม่จำเป็น แต่ฟันนี่จะใช้อาศัยมันมากกว่าผม ผมนี่โกนสั้นได้เลย เล็บก็ตัดสั้นได้เลย ขน บางทีมันก็อาศัยคลุมกันหนาว อย่างสัตว์หลายชนิด ที่ในเมืองหนาวจะขนยาว อาศัยมันบ้าง 

เพราะฉะนั้น ในส่วนที่เป็นผมก็ตัดสั้นๆไว้ก็พอแล้ว จะพออาศัยกันร้อน แทนที่จะเอาผ้าคลุม คุณก็มีผมกันไว้ ก็กันร้อนได้ยิ่งกว่าพวกสมณะโกนโล้นเลย ไปเจอแดดเผา พวกคุณก็ค่อยยังชั่วมีผมกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 06:04:51 )

ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์จะได้หมดวิบาก

รายละเอียด

คนกับสัตว์นั้นจะเกี่ยวข้องกันอีกยาวนาน พระพุทธเจ้าท่านตัดรอบให้ ในจุลศีล สรุปว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เลยในชีวิตนี้ สัตว์พวกมีพิษอะไรพวกนี้ปล่อยไปเลยอย่าไปเกี่ยวงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ที่นี้สัตว์ที่มีประโยชน์บ้าง ท่านยังแบ่งเอาไว้เป็นตัวอย่างในจุลศีลมี 3 หมวด หมวดที่ 1 คือ แกะ แพะ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าคนอาศัยอะไรของมัน คนอาศัยนมของมันอาศัยคนของมัน แกะ แพะ อาศัยสิ่งที่มันสร้าง ไม่ได้ไปฆ่ามันนะ ยกตัวอย่างมาเท่านี้ที่จริงมีอื่นๆอีกเยอะ อย่างไก่ เราอาศัยใครของมันกินยาไปฆ่าไก่ หรือนก หรือห่าน มียกตัวอย่างห่านทองคำ มันใครออกมาเป็นทองคำคนก็ตะกละ อยากได้ไข่ทองคำทั้งหมดในห่านตัวนี้ก็ผ่าท้องมาเลยเอาไข่ทองคำออกมาจากท้องเลย เลยมันก็ยังไม่เป็นทองคำเลยอยู่ในท้องก็เลยอดเลยแล้วห่านก็ถูกฆ่าตายสิ แล้วก็ไม่มี สรุปคือหมวดที่ 1 คือสัตว์ที่เราต้องพึ่งพาสิ่งที่มันมีของมัน แล้วเราก็อาศัยมันเป็นขนเป็นนม หมวดที่ 2 สัตว์ที่เราอาศัยกินเนื้อมันเลย เช่นไก่และสุกร ยกตัวอย่าง 2 สัตว์เท่านั้น ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน อย่างเช่นแพะกับแกะ หรืออาศัยกินเนื้อมันเลย อย่างไก่และสุกรก็อย่าไปเกี่ยวข้องมัน เวรมณี เว้นขาด อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวอย่าไปกินเนื้อสัตว์อย่าไปเอามากิน อย่าไปเอามาเลี้ยงไปเอานมมันหรือขนมันอย่าไปทำ แม้แต่อาศัยแรงงานของมัน หมวดที่ 3 โค ช้าง ลา ม้า ..อาศัยแรงงานของมัน ถ้าเข้าใจแตกฉานจะรู้ว่า พระพุทธเจ้ามีพระเจตนารมณ์อย่างไร ในการตั้งศีลแต่ละข้อแต่ละหมวด อาตมามีความรู้ก็เอามาอธิบายให้ฟัง เราก็จะได้หมดวิบากเกี่ยวกับสัตว์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ถึงขั้นเป็นแพะชนแกะ มีประโยชน์ถึงขั้นเป็นไก่และสุกรมีประโยชน์ถึงขั้นช้างโคม้าลา ก็อย่าไปเอามา ให้เว้นขาด อย่าไปยุ่งเกี่ยว ไม่เอามาเป็นประโยชน์แก่เรา เมื่อไหร่ก็ไม่เอาทั้งนั้น ช่วยตัวเราเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 11:04:58 )

ไม่เก้อเขินการบอกว่าตนเองเป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้เก้อเขิน เหนียมอายเหมือนเป็นผู้หญิงที่อย่ามาแกล้งยอฉันว่าฉันเป็นดวงจันทร์ที่ถูกเมฆบัง  อาตมาก็พูดตรงๆรับ อาตมารู้ว่าตัวเองสวยก็บอกว่าตัวเองสวย อาตมาเป็นพระอรหันต์ก็บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ถ้าหากเรารู้แล้วเราไม่บอกคนอื่นจะไปรู้เท่าเราได้อย่างไร พระอรหันต์ทั่วไปจึงกลายเป็นพระอรหันต์เดา ศาสนาพุทธจึงมีแต่พระอรหันต์เดามานานแล้ว พูดความจริงไม่ได้เพราะเขาไม่กล้าพอ ไม่มีอาสโภ ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ เขามังกุ เขามันสะเทิ้นสะท้าน มันก็เหมือนอุทธัจจะ เก้อเขินเหนียมตัวเอง เราเป็นอรหันต์จริงหรือเปล่าไม่กล้าบอก แต่อาตมาไม่ได้เก้อเขิน เป็นจริงก็บอกไป พูดซื่อๆไม่มีอะไรแฝงแม้แต่ความอยากอวดอ้างก็ไม่มี เขาก็ฟังไม่ขึ้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2563 ( 11:44:42 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 16:31:43 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:10:14 )

ไม่เข้าข้างใครเลยเป็นพวกมิจฉาทิฐิ

รายละเอียด

คนที่เป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี นี่อาตมาก็พูดไปบอกไป คนที่เป็นกลางที่ไม่เข้าข้างใครเลยเป็นพวกมิจฉาทิฐิ ไม่เข้าข้างใครเลย ใครจะเป็นจะตาย ดีก็ดีชั่วก็ชั่วก็ฆ่ากันไปเฉยๆ ก็กลางๆ คนนี้มิจฉาทิฏฐิจริงๆ ไม่ได้เรื่อง เสียข้าวสุกไม่มีประโยชน์กับอะไรใครเลย อยู่ก็หนักแผ่นดินไปเปล่า 

คนที่มีความเป็นกลางและมีภูมิปัญญาถึงขั้นเป็นกลางจะเห็นความจริง อะไรดีอะไรไม่ดีอะไรถูกอะไรไม่ถูกตามสมมุติ ส่วนจิตที่ได้เป็นจิตปรมัตถ์ สิ่งที่เป็นสมมุติก็แสดงออกมา ก็จะรู้ได้ตัดสินได้ว่าใครดี แล้วคนที่รู้ดี มีโอกาสหรือต้องพยายามเข้าข้างคนดี ช่วยคนดี สังคมนั้นๆๆๆ จะได้มีมวลที่ดี นำพากันเจริญ จะไปอยู่เฉยๆ ทำไม 

คนดีอยู่เปล่าๆว่างๆ ใครจะดีจะชั่ว จะเป็นจะตาย ก็เรื่องของเขา เราก็อยู่ของเราไป กินอาหาร เปลืองพื้นที่ในโลกไปจนถึงวันตาย คนนี้ จะว่าฉลาดมันไม่ฉลาดนะมันโง่จริง เกิดมาไม่มีประโยชน์ไม่มีคุณค่า ต่อให้คุณฉลาดจริงมีภูมิธรรมรู้อะไรต่ออะไร แต่ไปคิดอย่างนั้นมันเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้าย อาตมาเคยเขียนเรื่องความเป็นกลางตอนไปชุมนุม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 15:29:11 )

ไม่เข้าใจความละเอียดของชาติและภพจึงสัญญาผิด

รายละเอียด

การอธิบายเทวดา 6 ชั้นพรหม 16 ชั้น อรูปพรหมอีก 4 ชั้น เขาก็ไปอธิบาย หากอธิบายเข้าหาสาระธรรมก็ได้ แต่ไปอธิบายเป็นความแสงสว่างความเป็นความมืดความเป็นภพ เป็นการปฏิบัติไม่ตรงกับธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาทิฎฐิเป็นสิ่งที่ปั้นสร้างขึ้นในจิตเป็นตัวเป็นตน แล้วก็รวมเป็นภพ จากชาติก็เป็นภพต่อ ไม่เข้าใจความละเอียดความเป็นชาติ ไม่เข้าใจความละเอียดของความเป็นภพ  จึงสัญญากำหนดหมายอะไรผิดหมด

ปฏิบัติธรรมนั้นสัญญาเป็นการกำหนดรู้ในสภาพของ เวทนา สัญญา สัญญาก็ออกมาเป็นตัวทำงานกำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้เจตนา แทนที่จะเป็นเวทนา สัญญา สังขาร ก็เป็นเวทนา สัญญา เจตนา

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:16:31 )

ไม่เข้าใจคำว่า กาย

รายละเอียด

เข้าไม่ถึงแม้แต่กาย เขาก็ไม่มีสภาพที่ถูกต้อง ฉะนั้นจิต เจโตปริยญาณ 16 จิตในจิต ที่มันมีลักษณะของราคะ โทสะ โมหะ แล้วก็จะต้องมีกระบวนการล้างราคะ โทสะ โมหะ เป็นกระบวนการของ เจโตปริยญาณ 16 อย่าง

เพราะฉะนั้นเขาจะรู้แท้ๆ เลยว่า กามราคะเป็นเช่นนี้ และได้ปฏิบัติ ในกามาวจร ในความเป็นชีวิต ที่ยุ่งเกี่ยวกับข้างนอก 

กามที่หยาบที่สุดคือ ความใคร่อยาก แล้วเขาก็ไปหลงใน โอฬาริกอัตตา เขาก็มุ่น อยู่กับเรื่องนี้ เป็นรสนะ เป็นโลกียรส ที่ลึกซึ้งโอ้โห สุดยอดอร่อย เขามี โอฬาริกอัตตา ที่วิเศษจากกามราคะตัวนี้ยังเอาไม่ออก เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึง รูปราคะ อรูปราคะ เลย เพราะกามราคะ ที่เขายังเป็น โอฬาริกอัตตา เขายังไม่รู้ พูดแล้วก็น่าสงสารจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 14:51:22 )

ไม่เข้าใจคำว่าบุญก็ไม่มีนิพพาน

รายละเอียด

ตัวไหนมาก็จัดการอย่างนี้หมด หมดสิ้นเลย ถ้ามีแถมอีกก็ไม่รู้จบ ก็ต้องรู้จักจบมันหมดสิ้นแล้ว หมดสิ้นแล้วใช่ไหม ใช่ก็ต้องจบสิ ถ้าหมดสิ้นแล้วก็ยังไม่จบอีกจะไปพูดอะไรอย่างนั้นอีกเหมือนกับคนเข้าใจคำว่า
ปุญญะ พอมาอปุญญะ ก็แปลว่าบาป วนกลับไปอีก

ก็ปุญญะ มันไม่มี 2 มี 1 เดียว อปุญญะ มันก็เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นสูญหายไปเลยแล้วจะบอกว่ากลับมาอีก มันจะจบได้อย่างไร ก็จะเป็นนิพพานเป็นศูนย์ไปไม่ได้ 

นัยยะนี้ลึก เด็ดขาด หากเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ เข้าใจนิยามประเด็นของคำว่าบุญไม่ได้ คุณจบไม่ได้หรอก คุณจะไม่มีนิพพานเลย ฟังดีๆ นะ เจ็บแสบนะคำนี้

อาตมานึกถึงท่านปราญช์ของไทยที่ท่านแปล อปุญญะ เป็นบาป สงสารท่านขึ้นมาจับใจเลยถ้าท่านเองท่านยึดมั่นถือมั่นไม่คลายไม่เปลี่ยนแปลงท่านจะมีอัตตามานะ ว่าโพธิรักษ์พูดไปข้าก็ไม่เชื่อเอ็งหรอก อาตมาขอกราบไหว้ด้วยความเคารพ อย่าคิดเช่นนั้นเลย ก็ได้แต่ขอร้อง อย่างเคารพที่สุด สงสารจับใจเลย ท่านใฝ่การศึกษาท่านต้องการบรรลุอรหัตผล แต่ท่านติดอยู่ตรงนี้ก้ไม่บรรลุอรหัตผล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 11:15:15 )

ไม่เข้าใจนานาสังวาส จึงเป็นผู้ทำนิกาย

รายละเอียด

ผู้ที่เห็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ตามที่อาตมาอธิบายนี้เอามาขยายความ คุณเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติ ทำให้อาการมันเป็นจริง กำหนดหมายเครื่องหมายนิมิตว่าจิตมันเป็นอย่างนี้ เครื่องหมายมันเป็นอย่างนี้ เอาสัญญากำหนดหมายแล้ว ถูกแล้ว มีกายมีสัญญากำหนดรู้องค์ประกอบ ทั้งภายนอกภายใน ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งภาวะ 2 ไม่ได้มิจฉาทิฏฐิว่าแม้แต่กายก็มีเพียงแต่ภายนอกไม่มีข้างใน ไม่ใช่ 

เพราะฉะนั้นสามารถทำได้อย่างนี้จริง ผลที่เกิดจึงเป็นผลจริง ทำให้คนบรรลุ บรรลุศีล บรรลุสมาธิ บรรลุปัญญา บรรลุแก่น อย่างชาวอโศกนี้ ผลดอกใบไม่งดงามไม่พริ้งเพราอะไรเลย ไม่ได้อะร้าอร่ามด้วยใบดอกผลส่งกลิ่นหอม ดูทั้งสีสวย รสชาติโลกียะ โอ้โห!เปล่งปลั่ง เต็ม ไม่เพราะฉะนั้นคนที่มีดวงตา มีภูมิปัญญาแท้ มองลึกเข้าไปจะเห็นด้วยซ้ำว่า พวกเรารู้สิ่งเหล่านั้นเราทิ้งมา ละมาลดมาเลิกมาจริงๆด้วย มันกลับตรงกันข้ามกับที่เขาเข้าใจ 

เขานึกว่าเราขาดไป หรือด้อยจากที่เขาต้องการ ซึ่งเราไม่ได้ขาดแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมาธรรมะสงครามนี้มันจึงไม่ได้ไปขัดแย้งกัน คุณก็ไปเอาผลใบดอกของคุณ เราก็ทิ้งสิ่งเหล่านั้น มันก็เลยไม่ได้รบกันถ้าเราไม่ได้ไปรบกับเขา แต่เขาไม่รู้ว่ารบกับเราด้วยความโง่ โง่คืออะไร คือเขานึกว่าเราจะไปแย่งความเด่น จะไปแย่งความดี จะไปแย่งความถูกต้อง 

ซึ่งเราไม่ได้แย่งเลยเพราะเราถูกต้องอยู่เป็นแกน แต่เขาผิด แต่เขาไม่รู้เขาก็เลยทำได้แต่ความผิด เขาได้ความเด่นเราก็ไม่ได้ไปแย่งหรือจะบอกว่าความดีแบบโลกๆ ดีอย่างโลกียนิยมแบบโลกๆ ดีเพราะเด่นด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันย้อนแย้งกัน เราไม่ได้ไปแข่งอย่างนั้นกับเขา เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทั้งรบ ไม่มีทั้งแย่ง ไม่มีทั้งแข่งดีแข่งเด่นกัน สงบอบอุ่นเลย เพราะพวกเราอยู่กัน ด้วยความรู้อันลึกซึ้งถึงขั้นนานาสังวาส แต่เขายังไม่เข้าใจนานาสังวาส เขาจึงเป็นผู้ทำนิกาย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งสุดยอด คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 22 สงครามข่าวสารกับปรากฏการณ์จริการเมืองไทย วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2566 ( 19:45:36 )

ไม่เคยถือสาอโหสิกรรมได้

รายละเอียด

อาตมาไม่เคยถือสา แม้แต่คนที่เคยทำร้ายอาตมาเคยยิงแก๊สน้ำตาเคยโยนระเบิดใส่ที่สันติอโศก อาตมาก็ไม่เคยถือสา อโหสิกรรมหมดทั้งนั้น

คุณบอกว่า คุณรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ใช่แล้ว อาตมาอโหสิกรรมได้ คุณทำอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นถูกแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:29:38 )

ไม่เคยท้อทำด้วยใจย่างเข้า50ปีกำลังเห็นผล

รายละเอียด

เหมือนกับอาตมาแทงผู้ที่ยึดถืออย่างผิดๆ รวมทั้งกระแสหลักทั้งหลายแหล่ก็ไม่กระเตื้องเลย จะแทงอย่างไรเขาก็เฉยๆ ไม่รู้จะรู้สึกนิดๆหรือไม่ สะกิดผิวฉัน หอกเราหักไปไม่รู้กี่ร้อยเล่มแล้ว อาตมารู้ตัวว่าตัวเองอาภัพอัปภาคย์มากหัวเดียวกระเทียมลีบ แต่ไม่เคยท้อทำด้วยใจ ถึงมั่นใจ 50 ปี กำลังย่างเข้า 50 ปีแล้ว กำลังเห็นผล ตั้งแต่เขาต่อต้านเอาผู้รู้ที่ดังๆมาต่อต้าน เอาอาตมาไม่อยู่ สำนวนของสังคมบอกว่าเอาไม่อยู่ เหมือนมีพลังพิสดารขึ้นมา เช่นน้ำจะท่วมมันก็ไม่ท่วม เหตุการณ์ครั้งนี้จะเอาอยู่หรือไม่ อาตมาก็เหมือนกันเหมือนกับลักษณะอย่างนั้นในสิ่งที่มันเป็นภาวะที่กำลังพลิกแพลงไปตามธรรมชาติ เสร็จแล้วก็ผู้ดูแลจะเอาอยู่หรือไม่ก็ว่าจะต้องปราบให้อยู่ แต่เอาไม่อยู่ อาตมายังทำงานได้สะดวกสบาย อาตมาคิดว่าไม่เดา เริ่มจะเข้าใจเขาที่เขารู้สึก 1. ปล่อยมันเถอะ มันบ้า Untouchable มีทั้งสองอย่าง แบบที่เป็นจัณฑาลคนไม่กล้าแตะต้อง แบบที่สูงส่ง อีกอย่างหนึ่งเขาก็บอกว่าพอฟังได้ อีกที่ดีๆบอกว่าดีนะ ฟัง เข้าท่า ดี แต่ เขามาเอาตามเราไม่ได้ ตกกระไดพลอยโจนอยู่กับเถรสมาคมแล้ว ติดอยู่ในบัลลังก์โลกีย์แล้ว ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่รู้ เอาประโยชน์ไปเท่าที่ควรได้ ก็คงได้เท่านี้จากสังคมยุคนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:14:57 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:49:23 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:11:31 )

ไม่เคลื่อนไหวจิตทำอย่างไร

รายละเอียด

เพราะเราเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กินใช้ ขณะนี้คุณกำลังใช้อะไร ใช้การพัก ใช้การนอนพักอยู่ คุณก็สามารถมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าควรจะพักอย่างไร การจะพัก จะนอน จะหยุด ไม่เคลื่อนไหวกาย ไม่พูด มันทำง่าย แต่ไม่เคลื่อนไหวจิต มันยากกว่า 

ไม่เคลื่อนไหวจิต คนที่ไม่ฝึกเลยทำไม่ได้หรอก ต้องคนฝึกมา ก็นอนพักก็หยุดจิต จิตไม่ต้องเคลื่อนไหวไม่ต้องคิดอะไร จิตทำให้เป็นอุเบกขา อุเบกขาแบบสมถะ ไม่ใช่อุเบกขาแบบวิปัสสนาหรือแบบปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:32:21 )

ไม่เชื่อใครนี่มันสุดจบเลย พระอรหันต์ก็ยังไม่ค่อยได้ ต้องเป็นโพธิสัตว์เป็นต้นไป

รายละเอียด

ความเห็นต่างกันนั่นแหละเราต้องศึกษาให้ดีๆ มันก็ตัวเราเองเป็นที่จบ ก็เห็นอันใดเป็นธรรมวาที อันนี้เป็นธรรมะพูดเข้าท่า เราก็เอา บังคับกันไม่ได้พระพุทธเจ้าจึงให้อิสระเสรีภาพมาก ถ้าคุณไปเข้าใจผิด แม้แต่ที่สุดคุณไปหลงผิดยึดติดก็เป็นของคุณ แต่ถ้าไปทดลองแล้วรู้ว่าไม่ใช่ก็ออกมา มันก็เป็นสิทธิเป็นฐานเป็นบารมีของแต่ละคน คุณจะต้องไปซับซาบด้วยตนไปสัมผัสเองเห็นเองเข้าใจเองแล้วคุณตัดสินเอง พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่า จนสุดท้ายแล้วเราจะไม่เชื่อใคร เราจะได้เป็นผู้ที่ชัดเจน โดยที่เราไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อตัวเอง นี่สูงสุดเลยนะ ซึ่งพยัญชนะภาษาบาลีว่าอะไร …ไม่เชื่อใครนี่มันสุดจบเลย พระอรหันต์ก็ยังไม่ค่อยได้ ต้องเป็นโพธิสัตว์เป็นต้นไป แม้พระพุทธเจ้าอยู่ ก็มั่นใจว่าที่เราเชื่ออยู่นี้ตรงกับของพระพุทธเจ้าแน่ มันจะมีเหตุปัจจัยต่างๆนานาบอกเราอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:15:16 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:53:10 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:12:06 )

ไม่เดียงสา

รายละเอียด

คือ ไม่รู้อะไรควร อะไรไม่ควร

หนังสืออ้างอิง

 “คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 186


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 14:50:07 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:02:15 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:12:28 )

ไม่เดียงสากับเทวดา 6 ชั้น

รายละเอียด

พวกเราฟังเรื่องที่ยากอย่างนี้แล้วยังเข้าใจฟังกันตาแป๋ว แต่พวกข้างนอกเขาจะอาจจะบอกว่าพูดอะไรกันนี่ เหมือนกับพวกที่ดูช่อง Workpoint เอาอะไรแปลกๆมาให้ดู แต่งตัวกันไปตามประสาทำไป ดูแล้วก็น่าสงสารนะ จะบ้ากันไปถึงไหน ดูแล้วก็น่าสงสารคนเราก็ทำมาหากินกันไป คนที่ยังหลงติดอยู่อย่างนั้นก็สนุกดูกันไปเหมือนเด็กๆ ใครเล่นตลกอะไรก็ดูแล้วก็ดูไปด้วยความไม่เดียงสา ไม่เดียงสาเป็นภาษาธรรมะมาจากคำว่าไม่ติงสา คือ ไม่รู้จัก ตาวติงสา คือ อาการที่ 32 คนเรามีแค่ ตาวติงสา คืออาการ 32 แต่คนที่มีอาการที่ 33 เป็นอาการเก๊ เขาก็เลยหลงว่าเป็นเทวดา 6 ชั้น คือ ดาวดึงส์ เป็นชั้นที่ 2 ชั้นที่ 1 ต้องไปปล้นที่แย่งชิงมาเป็นจตุมหาราช ได้มาก็เสร็จสนุก ก็ได้ดาวดึงส์ ยามะคือ อยากจะเสวยสุขอย่างนี้ให้นานๆ รักษาอารมณ์ดีไว้ได้นานๆแต่มันไม่เถียงหรอกเดี๋ยวมันก็มีความทุกข์ผสม ก็พยายามให้มันได้มากๆนานๆ เหน็ดเหนื่อยต้องต่อสู้เพื่อจะได้มา ได้มาก็สันตุสิต คือให้พัก ให้หยุดให้สงบ เขาก็ไม่อยู่ กูไม่หยุด ถ้าเขาไปก็จะเป็นโพธิสัตว์รู้จักพัก แต่พวกนี้ไม่รู้จักพักหรอกไม่หยุดจะดันไปเรื่อยๆ สร้างขึ้นไปเรื่อยๆจนเป็นนิมมานรดี สร้างด้วยตัวเองไปเรื่อยๆจนเก่งมีบริวาร กลายเป็นคนอื่นมาช่วยสร้างอีกเป็นปรนิมมิตวสวัตตี อันนี้คือวิมานเก๊ๆ6 ชั้นที่หลงกันนัก ศาสนาพุทธทำลายเทวะ ทำลายสวรรค์ทิ้งทั้งหมดเพราะมันเป็นของหลอก แล้วไม่รู้จักของหลอก เพราะฉะนั้นศาสนาที่ยังไม่เข้าใจเทวะ เทวดา 6 ชั้น แล้วหลงเทวเป็นสุขนิยมตีเทวไม่แตกแต่ชาวพุทธนั้นตีแตกสลายเทวดาทิ้งไปได้เป็นอเทวะ นี่แหละเทวนิยม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:56:21 )

ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นปาฏิหาริย์ของศีลข้อ 1 ในเบื้องต้น

รายละเอียด

1. อวิปฏิสาร ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ คนมีศีลมีอานิสงส์คือไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ชาวอโศกเราปฏิบัติศีลแล้วสบายไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ลึกซึ้งมากเลยนะความไม่เดือดเนื้อร้อนใจในศีลข้อที่ 1 ผู้ปฏิบัติได้ไม่ฆ่าสัตว์ อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย คนที่ฆ่าคนอยู่นี่ เดือดเนื้อร้อนใจมาก เพราะมันอาฆาตเคียดแค้นกันมากฆ่ากัน มันไม่จบหรอก 

เคยดูหนังจีนไหมมันฆ่ากันไม่จบเลย มีแต่ตามฆ่ากัน แล้วก็ต้องตามล้างแค้นให้พ่อนะ ก่อนตายก็สั่งไว้ ล้างแค้นให้ปู่นะ พยาบาทล้างแค้นกันไม่รู้จักจบ แต่ผู้มาถือศีลได้ ปฏิบัติศีลมีอานิสงส์ ปฏิบัติศีลตามพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ไม่ฆ่าใคร ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ หมดความเดือดเนื้อร้อนใจ นี่คือปาฏิหาริย์ นี่คือความมหัศจรรย์ ที่คนตาถั่วมองไม่เห็น คนตาถั่วไม่รู้จักเรื่องที่วิเศษมหัศจรรย์ โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ผู้ใดทำได้เป็นเรื่องวิเศษประเสริฐ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ยุคไหนก็มหัศจรรย์ ยิ่งในยุคนี้ยิ่งมหัศจรรย์ เพราะทำกันไม่ค่อยได้แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 25 ปาฏิหาริย์ของคนจนมหัศจรรย์ วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 พฤษภาคม 2565 ( 18:05:33 )

ไม่เต็มใจทำกับคำสั่งผู้ใหญ่ควรทำใจทำกายอย่างไร

รายละเอียด

เราก็ต้องทบทวนในตัวเราว่าคำสั่งที่ผู้ใหญ่ให้ทำและเราไม่เต็มใจ ก็ทบทวนว่าคำสั่งนี้มันเป็นอย่างไรมันดีไหม อาตมาก็ไม่คิดว่าผู้ใหญ่จะมาสั่งให้เราทำในสิ่งที่ไม่ดี อาจจะไม่ดีดั่งที่ใจเราคิด ก็ต้องพิจารณาว่า ทำไมสงสัยว่าคำสั่งที่ผู้ใหญ่สั่งนี้มันไม่ดีนะ เรารู้สึกว่าอย่างนั้นก็ถาม ถามผู้ใหญ่ที่ให้เราทำตามดีๆ ไม่ต้องไปถามย้อนแย้ง อย่างไม่มีสัมมาคารวะ ให้ถามอย่างมีสัมมาคารวะดีๆว่าทำอย่างนี้มันเป็นประโยชน์อย่างไร หรือมันควรทำอย่างไร เราก็แสดงความเห็นเราได้ มันไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้อย่างไร ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ถืออำนาจบาตรใหญ่อัตตามานะเกินไป แต่เราต้องพูดดีๆพูดอย่างมีสัมมาคารวะมันจะได้ประโยชน์มากเลย ผู้ใหญ่คงจะมีภูมิปัญญาสั่งในสิ่งที่ดี เราก็ถามไปก็จะได้เกิดการสังเคราะห์ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:45:17 )

ไม่เที่ยงแต่หลงว่าเที่ยง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาเรียนรู้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยนี่ มันหมดเลย ทำดีก็ได้ดีอย่างถาวร ไม่ไช่ดีแล้วก็ชั่ว ชั่วแล้วก็ดี ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เทวนิยม ไม่จริงแท้แน่นอนหรอก แม้บรรลุเป็นศาสดาแล้วก็จะลื่นไหลออกมาเป็นชั่วอีก แต่ท่านไม่รู้เรื่อง ศาสดาเทวนิยมท่านไม่รู้ตัว ไม่เที่ยงหรอกแต่ท่านหลงว่าเที่ยง มีความรู้จบอยู่แค่พระเจ้า ก็เคารพนับถือพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้ารู้เท่านั้น ลูกศิษย์จะรู้อะไรเท่าพระเจ้า เท่าศาสดาของพระเจ้า 

เพราะเทวนิยมไม่รู้อัตตา ไม่รู้จิตวิญญาณที่ตัวตนมี และไม่รู้จักกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ ไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบาก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:04:07 )

ไม่เปิดจิตต่อ เขาจะจบที่ตัวกูของกู 

รายละเอียด

มีความเป็น 2 กับเรา แล้วเราทำความเข้าใจให้ได้หมด เป็นแต่เพียงว่าเราทำความเข้าใจให้เขาไปแล้ว อธิบายแล้ว ใช้สมมุติบัญญัติภาษาไปหมดแล้ว แล้วเขาเข้าใจได้เท่านั้น เขาเข้าใจต่อจากเราที่ใช้สื่อภาษาไปกับเขา จบแล้วหมดแล้ว ไม่มีอีกแล้ว 1 

2 มันจบตรงนี้นะ เขาก็หมดปัญญาจะรู้ต่อ ไม่มีปัญญาจะรู้ต่อ รับอยู่ก็ได้ หรือไม่รับอย่างคุณว่าก็ได้ ไปถึงตรงนั้นแล้วเขาผลัก อย่างนั้นเขาเรียกว่า มีอัตตามานะ ถ้าเขาไม่มีอัตตามานะก็คือ อ้อ…เขาไม่รู้ต่อแล้ว แต่เขาศรัทธาเลื่อมใสอยู่ คนนี้ไปต่อ แต่คนที่บอกว่า ว้า.. ไม่ใช่แล้ว แล้วเขาก็วนไปหาโลกเก่าของเขา เขาจะไม่เปิดต่อ ไม่เปิดจิตต่อ เขาจะจบที่ตัวกูของกู 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 11:23:41 )

ไม่เป็นปัญญาวิมุติเพราะไม่มีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์

รายละเอียด

ตกลงมาวนอีก แม้แต่ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี มาทิฏฐิปัตตะ มากายสักขี วนกลับไปอีกได้ ไม่เป็น ปัญญาวิมุติ ได้ เพราะว่าไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่เรียกว่า ปัญญาวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะต้องแยกแยะธรรมะ เพราะว่าธรรมะเป็น static มันจึงจมอยู่ตรงนี้ ต้องแยกแยะตีแตกมันตรงนี้ ต้องพยายามเป็นผู้ที่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ให้ได้ จากนั้นก็จะแยกแยะได้ละเอียดเป็นสัดส่วน พอมาถึง ปัญญาวิมุติแล้ว จะปรินิพพานก็ได้ แม้แต่สายศรัทธามาได้ปัญญาวิมุติแล้ว คุณจะมี ชรตา เสื่อมช้ากว่าสายศรัทธาก็จริง แต่ไม่มีปัญหา ถ้าคุณไม่ต่อสันตติคุณก็ชรตา ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ เป็น โมเมนตัมของศรัทธา แต่ถ้าคุณมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มีปัญญาทำได้เพียงพอ คุณก็มาเป็นปัญญาวิมุติได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะจมอยู่ที่กายสักขี นั่นแหละ  คำเตือนของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายต้องรู้กายต้องเรียนรู้กาย ต้องเรียนรู้วิโมกข์โดยเฉพาะวิโมกข์ 3 ข้อแรก 

  1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี รูปานิ ปัสสติ) 

  2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี .   เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) . (*พ่อท.แปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

  3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น) พตปฎ. ล.10  ข.66 / ล.23  ข.163

ต้องมีทั้งภายนอกและภายใน แต่สายที่มีแต่ภายในหลับตาปฏิบัติมันก็จะตีไม่แตกไม่สามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ปฏิเสธไม่ได้หรอกมันเป็นสัจจะเป็นความจริง คุณก็ต้องทำให้ครบสัจจะความจริงอัชฌัตตังแปลว่าใน พหิทา แปลว่านอก คุณต้องมีรูปานิต้องครบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ผู้มีรูป รูปี ส่วน รูปานิ ต้องจัดการกับรูปทั้งหลายให้หมด ให้ดับให้หมด ผัสสะด้วยรูป ทุกรูป คุณจะพ้น กามภพ สัมผัสทางตาก็หมดเกลี้ยง หู จมูก ลิ้น กายก็หมด มันถึงจะละเอียด เรียบร้อยราบรื่น เป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 10  ข้อ 66 / เล่ม 23  ข้อ 163


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 11:35:30 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:50:51 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:14:16 )

ไม่เป็นพุทธเพราะขาดการปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

พวกที่เรียนพยัญชนะได้ดี เขารับยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่ก็ยังเชื่อว่าหลับตาปฏิบัตินั่นเองจึงจะบรรลุนิพพานเหมือนกัน น้อยกว่าน้อยนัก ที่จะพอเข้าใจว่าไม่ต้องไปหลับตาศาสนาพระพุทธเจ้ามีจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่หลับตา อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ระบุ ชี้ชัดบ่งไว้เลยว่า ต้องมี 3 อย่างนี้ถึงจะเป็นพุทธ ไม่มี 3 อย่างนี้ไม่เป็นพุทธ เอาหลักฐานมาเปิดขนาดไหนก็หูทวนลม ว่าเอ็งเป็นใคร เถรสมาคมจะเอาตายยังไม่รู้ตัว เขายังมีครูบาอาจารย์ แต่นี่ไม่มีครูบาอาจารย์อีก มาจากสำนักไหน ศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่มี อาจารย์ไม่มี มาอย่างไร มาคนเดียว ปางนี้ชาตินี้มาคนเดียว 

บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือ ก็ไม่ใช่ บอกแต่ว่าเป็นโพธิสัตว์ ไม่เคยพูดว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้าสักที ไม่มีวิปลาสเรื่องนี้ เขาฟังก็ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งเลิกฟัง ก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่มีบารมีต่อกัน คนที่มีบารมีต่อกันฟังรู้เรื่องได้ก็ดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 09:06:19 )

ไม่เป็นไปเพื่อความขี้เกียจ

รายละเอียด

เป็นหลักตายตัวเลยทีเดียวที่จะวัดมิจฉาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิ เพราะผู้ปฏิบัติธรรมใดที่รู้มัชฌิมา รู้สัมมาแท้ คือความจำเป็นที่พอดี ๆ ปานกลางเหมาะแก่กาลเทศะ และสิ่งที่เป็นกุศลแท้ ผู้นั้นจะไม่เกียจคร้านในการจะทำงาน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 312


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:07:28 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:17 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:14:50 )

ไม่เป็นไปเพื่อความมักใหญ่

รายละเอียด

มีแต่เป็นไปเพื่อความเหมาะสม ความพอดี ไม่โอ่อ่าเกินจริง ไม่ใหญ่จนกลายเป็นฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อจนเกินความจำเป็นแท้ ๆ  ไม่หลงมักใหญ่ อยากใหญ่เกินฐานะที่แท้จริง จริง ๆ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 312


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:08:14 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:44 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:15:09 )

ไม่เป็นไปเพื่อความหลงสวรรค์ หรือ ไม่ยึดสวรรค์

รายละเอียด

เข้าใจนิพพานและทำให้เป็นนิพพาน คือประพฤติให้ตรงในคำว่า

 “อสังสัคคกถา” และที่เขาแปลกันว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ซึ่งถูกต้องในเบื้องต้น แต่ความลึกละเอียดคือเราคลุกคลีด้วยหมู่อย่างโลก ๆ นั้นอย่าไปหลงสุข หลงสร้างสวรรค์

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 313


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2562 ( 21:08:56 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 14:19:20 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:15:31 )

ไม่เพียร

รายละเอียด

คือ พัก คนที่ฉลาดจะต้องรู้จักพัก เพียรเกินพอดีก็ทรมานตัวเอง

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 86


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 14:15:12 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:01:21 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:15:55 )

ไม่เรียนรู้นามรูปเปรียบเหมือนโจรปล้นศาสนา

รายละเอียด

คุณไม่คิดจะเปลี่ยนอวิชชาของคุณเลย พูดเท่าไหร่คุณไม่กระเทือนเลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบ “วิญญาณ’ และ “นามรูป” 

“วิญญาณ” และ “นามรูป” ท่านขยายความว่าเหมือนกับโจรปล้นศาสนาที่ไม่เรียนรู้นามรูปไม่รู้จักนามรูป ตัวสำคัญที่จะต้องแยกความเป็น 2 เพื่อที่จะมาทำงานกับตัววิญญาณที่เป็นตัวกลางเป็นองค์รวมของรูปเวทนาสัญญาสังขารอีก 4 เจตสิก

“วิญญาณขันธ์” หรือ “วิญญาณธาตุ” เป็นองค์ประธานของ 4 อันนี้ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร เลยต้องมาแยกกันอีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:26:20 )

ไม่เรียนไม่สนใจ ไม่มีวันสำนึก 

รายละเอียด

อาตมาไม่บังอาจที่จะทำให้คนไหนเกิดความละอายอย่างแรงกล้าได้ เช่นที่ ไม่สามารถทำให้ท่านประยุทธ์เกิดความละอายอย่างแรงกล้านี่แหละ อาตมาไม่สามารถทำ คนจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้านั้น เป็นสำนึกของตนเอง เป็นภูมิธรรมของตนเอง ที่รู้สึก ตายๆๆ เราทำผิดไป เช่น เราอวิชชามากี่ชาติๆ เพิ่งจะมาเริ่มรู้ซึ้งสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้านี้ปั๊บ จะรู้สึกว่าเรานี้โง่มา โอ้โห ดักดานจริงๆ 

คนที่กว่าจะรู้ว่าตัวเองโง่นี้ต้องมี อัญญธาตุ เลย 50% ขึ้นไป พูดตามที่เคยอธิบายเหมือนโกณฑัญญะ ไม่ใช่ว่าจะเริ่มต้นแล้วก็จะหายโง่เลย หรือระลึกได้เลยว่า โอ้โห โลกุตรธรรมเป็นอย่างนี้เลยหรือ กว่าจะรู้ว่าโลกุตรธรรมเป็นอย่างนี้ต้องมี อัญญธาตุ เกิน 50% สั่งสมมา จนมาถึง อัญญธาตุ  ที่มีจริงในบุคคลนั้นเกิน 50% 60% 70% โอ้โห เป็นอย่างนี้หรือ เพราะฉะนั้น โกณฑัญญะเกิด อัญญธาตุ ที่เป็นธาตุ อัญญา หรือ ธาตุรู้ที่เป็นพหูพจน์ เกิน 50% ขึ้นไป เป็น 60% 70% 

แล้วเมื่ออัญญาโกณฑัญญะเกิด อัญญธาตุ สว่างขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านมีญาณหยั่งรู้ โอ้ โกณฑัญญะรู้แล้ว คือรู้โลกุตรธรรม เป็นคนแรกในศาสนาพุทธของพระสมณโคดม ที่เริ่มรู้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า โกณฑัญญะแปลว่าโง่ โกณะ ที่จริง ทัตตะ แปลว่า ทั้งฉลาดทั้งโง่ นี่เป็นเรื่องที่อาตมาอธิบายได้ พูดอย่างที่อธิบายนี้ ถูกต้อง หน้าที่ของเขาเอง ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่นี้ เขาไม่เรียนก็ไม่สนใจ เขาไม่มีวันสำนึก ใช่ ปัจเวกขณ์ก็แปลว่าตัวเองอยู่แล้ว เอาไปแปลว่าพิจารณา ก็ตัวเองนั่นแหละต้องพิจารณา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การวัดคุณค่าของมนุษย์กับสิ่งสร้างขึ้นของมนุษย์ วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนยี่ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มกราคม 2566 ( 11:31:47 )

ไม่เรี่ยไรจากสังคมเป็นบารมีของโลกุตระธรรม

รายละเอียด

อาตมาภาคภูมิใจที่ทำงานศาสนามา มีนักบวชมีพุทธศาสนิกชนที่เป็นพุทธมามกะไม่เคยพาไปหาเงินเรี่ยไรมาจากสังคม ไม่เคย ที่ไปเรี่ยไรตอนไปชุมนุม หรือไปช่วยงานอุทกภัยก็มีบ้าง เราก็เรี่ยไรไปช่วยคน เป็นครั้งคราว นอกนั้นเราไม่เคยทำ แม้แต่สถานีโทรทัศน์ก็ไม่เรี่ยไรไม่เอาเงินคนนอกด้วย หากมาไม่ถึง 7 ครั้งก็ไม่รับบริจาค ก็อยู่รอดมาได้ ซึ่งไม่น่าเชื่อ อาตมาว่าถ้าสถานีโทรทัศน์ทั้งหลายเข้ามาศึกษาบุญนิยมทีวีให้ดี ข้างใน เขาจะทึ่งเลย นี่เขาก็ล้มละลายไปหลายรายแล้วค่าดาวเทียมอะไร แต่เราสถานีโทรทัศน์ของเราทำมา 12 ปีแล้ว ซึ่งมันเป็นไปได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ว่าสถานีโทรทัศน์นี้ไม่ได้จ้างวานใคร ไม่จ่ายเงินเดือนให้ใครเลย นอกจากจะซื้ออุปกรณ์มาทำงานที่จะต้องจ่าย และจ่ายค่าดาวเทียม จ่ายค่าเทคนิคต่างๆเราก็จ่าย นอกนั้นมีคนจะมาเอาค่าตัวนั้นไม่มีสักอย่าง ตั้งแต่ผู้อำนวยการยันภารโรง แต่ละคนทำงานของสถานีโทรทัศน์บุญนิยมไม่มีใครมีรายได้ แต่ของเขา แม้แต่พิธีกรค่าตัวไม่ใช่ถูกๆนะ อาตมาทำงานโทรทัศน์มารู้ดีตอนเป็นฆราวาส อยู่ทางโทรทัศน์มาตั้ง 12 ปี ตั้งแต่ต้นจนออกมาบวชไม่ได้ทำงานสำนักงานอื่นนอกจากทำงานสำนักโทรทัศน์เป็นหลัก ไม่ได้ไปเบ่งข่มเขานะมันเป็นบารมีของโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่น่าเชื่อ ถ้าเขามาศึกษา ก็จะรู้สึกถึงว่ามันรอดตัวมันได้อย่างไรไม่ได้เป็นหนี้สินด้วย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 10:41:59 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 16:52:10 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:16:50 )

ไม่เลี้ยง ไม่รัก ไม่ชัง เช่นไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไปจัดการ ปล่อยเขาไปตามยถากรรม ไม่ต้องไปเลี้ยง ไม่ต้องไปรัก ไม่ต้องไปชัง ไม่ต้องไปเอาเขามาใช้แรงงาน ใช้แรงงานคนด้วยกันนี่ ฝึกคนให้มีความสามารถ แต่คนมันเห็นแก่ตัว มันก็ไปเอาแรงงานช้างแรงงานควายแรงงานม้า พูดอย่างไรมันก็ไม่หยุดกันหรอกเขาก็ทำกันทั้งโลกแล้วมันก็ได้ประโยชน์มันก็เห็นแก่ตัว จะพูดอย่างไรเขาก็บอกไอ้พวกนี้มันบ้า โพธิรักษ์มันบ้า ก็เขาได้ประโยชน์นะ ประโยชน์นี่คือคนเห็นแก่ตัว คุณก็ได้ประโยชน์ แล้วคุณก็ไม่รู้ ซ้อนกรรมวิบาก คุณไปใช้ม้าใช้ควายใช้ช้าง คุณเอาเปรียบมัน กรรมวิบากคุณจะต้องไปเวียนวนอีก เจ้าหนี้ช้างม้าวัวควายที่มันเป็นเจ้าหนี้คุณเพราะคุณไปใช้มัน ไปเอาเปรียบมัน วิบากกรรมมันก็หมุนเวียนเข้า นี่ยังไม่ใช่ไปกินมันนะ กินมันเอาชีวิตมันเลย แต่นี่ไปเอาแรงงานมัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 22 เมษายน 2566 ( 15:32:37 )

ไม่เลือกกิน กับกินไม่เลือก ต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

ไม่เลือกกินกับกินไม่เลือกนี่ง่ายกว่าเลือกกินกับกินเลือก ไม่เลือกกิน หมายความว่า กินไปตามมีตามได้ กับกินไม่เลือกอันนี้สารพัดกินน่ะ มันจะชิปหายวายป่วงเป็นพิษเป็นภัยเป็นกิเลสอย่างไร ซัดแหลกเลย เพราะฉะนั้นการกินไม่เลือกนี้เละเทะกว่าเพื่อน ไม่เลือกกินนี้ค่อยยังชั่วดีขึ้น ได้อะไรก็ตามมีตามได้ 

ทีนี้ไม่เลือกกินนี่ มาเลือกกินหน่อย หมายความว่าอยู่กับหมู่ เราก็ไม่เลือกกินได้ แต่ออกไปข้างนอกคุณไม่เลือกกินนี่เสร็จเลยนะ เขามอมเมาคุณพยายามให้คุณติด เอาพิษอะไรใส่ ขนาดคนปลูกผักยังไม่กล้ากินผักของตัวเองเลย มันมีสารพิษของตัวเองอยู่เยอะแยะอย่างนี้ก็มี หากไม่พยายามตรวจตราไม่เลือกไม่ไหวหรอก ทุกวันนี้โลกมันอำมหิตโหดเหี้ยม

เพราะฉะนั้นกินไม่เลือกนี่แย่กว่าเพื่อน ไม่เลือกกินถ้าอยู่กับหมู่ก็ได้ แต่ถ้าไม่อยู่กับหมู่คุณก็กินไม่เลือกนั่นแหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:26:11 )

ไม่เลือกตั้งก็ได้ เลือกตั้งก็ได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตย 2 ขากับประชาธิปไตยขาเดียว

ประชาธิปไตยขาเดียว มีแต่ตัวแทนราษฎรประชาชนขึ้นมาเรียกว่าประธานาธิบดี แล้วใหญ่ทั้งไม่มีกษัตริย์ กับประชาธิปไตย 2 ขา ก็ไม่ปฏิเสธทีเดียวที่จะไม่ให้เลือกตั้ง ที่จริงแล้วไม่เลือกตั้งก็ได้ แต่เลือกตั้งก็ได้ไม่ว่ากัน ก็ให้เกียรติแก่ประชาชน ก็เลือก เพราะฉะนั้นถ้าประชาชนมีภูมิธรรม มีปัญญาที่แท้ที่มองทะลุบุคคล จะเลือกเบอร์ 1 ของประชาชน เขาก็จะไปเลือกถูกต้องได้ผู้นำที่เราเรียกว่านายกรัฐมนตรีออกมา 

นายกรัฐมนตรีอันดับ 1 ซึ่งถ้าเลือกก็เหมือนกันกับเลือกประธานาธิบดีเขานั่นแหละ อนุโลมตามเขา มันก็ได้ของจริงขึ้นมา มันก็อยู่ที่ประชาชนด้วยว่าจะถูกครอบงำหรือไม่ ต่างคนต่างหาเสียง หาพรรคพวก ต่างคนต่างครอบงำทางความคิด ต่างคนต่างสร้างอำนาจเพื่อให้เขามาเลือก จะเป็นอำนาจกดขี่ข่มเหง ก็เคยมีวิธีการแต่ก่อนนี้ ผู้ที่เป็นรัฐบาลทหารเมื่อจะเลือกตั้งก็จะบังคับทหารของตัวเอง เกณฑ์ให้ไปลงคะแนนเสียงเลย ก็เคยมีผ่านมาในสมัยจอมพล ป. อย่างนี้มันผิดอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แบบมีกษัตริย์กับไม่มีกษัตริย์ ประชาธิปไตยแบบไหนดีกว่า วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2566 ( 20:00:57 )

ไม่เสวยเวทนา

รายละเอียด

คำว่าไม่เสวยเวทนาคือ ไม่เสวยเวทนาที่เป็นกิเลส เป็นความทุกข์ความสุข ที่เป็นอารมณ์โลกียะ แต่ก็เสวยเวทนาความจริง ธรรมชาติของความจริงแท้ๆมันก็เป็นเช่นนั้น มันก็เป็นอย่างที่มันเป็นอย่างมนุษย์ทั้งหลายที่เขาเป็นเหมือนกันมันไม่ประหลาดอะไร แต่ท่านไม่ทุกข์ไม่สุข ท่านไม่เสียใจไม่ดีใจ มันแยกยากที่เป็นเวทนา 2 มีเวทนาแท้กับเวทนาเทียมที่เป็นโลกียะต้องแยกให้ออก เวทนาโลกๆที่เขาหวั่นไหวทุกข์สุข แม้มันจะเจ็บก็รู้ว่าเจ็บ เจ็บมากๆก็ร้องโอ๊ย ได้แต่ไม่ได้เศร้าใจเสียใจไม่ได้หม่นหมอง ไม่ได้มีอาการของทางโลกียะที่เขาทำไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 11:00:09 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:59:50 )

เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2563 ( 08:17:16 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์