@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

580911

รายละเอียด

580911_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 20

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 11 ก.ย. 58 วันนี้วันที่เขาเอาเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด ก่อนจะได้บรรยาย เมื่อวานนี้ได้บรรยายฌานโลกียะไป วันนี้จะได้บรรยายเทียบเคียงกับของโลกุตระ

 

เขาก็ให้นั่งสมาธิ แล้วให้พิจารณา แล้วไม่ได้บอกว่าพิจารณาอะไรบ้าง ก็เห็นใจเขานะสายเจโตนั่งหลับตาก็ไม่มีปัญญาอธิบายอะไรได้มากหรอก ก็น่าเห็นใจ

มีคุณปิ๋มส่งคำถามมา

เมื่อไม่กี่วันนี้พ่อท่านเล่าว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้เอื้อในเรื่องการสอนธรรมะแก่พระสารีบุตรมากเท่ากับเอื้อพระอานนท์ ที่พระสารีบุตรได้ธรรมะมามากเพราะไปแอบฟังอยู่ข้างเขาสิเนรุ

ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระพุทธเจ้าเห็นว่าพระสารีบุตรเป็นสายปัญญา และสามารถเข้าใจธรรมะได้ง่ายจึงไม่ต้องเอื้อมากเท่ากับพระอานนท์อย่างงั้นหรือคะ

ส่วนพระอานนท์เป็นสายศรัทธาหรือคะ

ตอบ...ก็ถูกต้อง พระสารีบุตรนั้นยอดปัญญา อย่างพระอานนท์ก็สายปัญญา แต่ที่พระพุทธเจ้าเอื้อให้ก็เพราะมีสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ ถ้ามาเป็นอุปัฏฐาก แล้วพระพุทธเจ้าไปเทศน์ที่ไหน ถ้าพระอานนท์ไม่ได้ยินก็ให้มาเล่าให้พระอานนท์ฟังด้วย จะได้บันทึกไว้ไม่ตกหล่น ส่วนที่บอกว่าฟังอยู่ข้างเขาสิเนรุ คือผู้มีปฏิภาณฟังอะไรนิดหน่อยก็รู้ได้ด้วยปัญญา พระสารีบุตรก็ด้วยปัญญานี้

 

0857308xxx พ่อครูบอกว่าต้องมีมโนสิกโรติให้เป็นกายคตาสติแต่ผู้น้อยยังไม่เก่งมนสิกโรติขณะอทุกขมสุขเวทนา

ตอบ...ก็พิจารณากายทุกเวลาไป จริงๆคำว่าพิจารณากาย นั้นคลุมไปหมดแล้ว ความหมายของภาษาธรรมจึงยาก อย่างพระพุทธเจ้าว่า กายคือจิต คือมโน คือวิญญาณ การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องมีธรรมสองตลอดเวลา ซึ่งจะขาดจากจิตวิญญาณที่ไปรับรู้ไม่ได้ พิจารณาตรวจสอบ เพ่งเพียรแล้วทำใจในใจตลอดเวลา ตราบที่เรายังไม่จบกิจ ไม่ใช่อรหันต์สมบูรณ์แบบก็ต้องทำเช่นนี้ตลอดเวลา ถ้าขาดจิตไปร่วมด้วยก็ปฏิบัติไม่ได้ คำว่ากายแม้กระทบภายนอก แต่พระพุทธเจ้าว่า กายคือจิตคือมโน คือวิญญาณ คือกายนี่เอาจิตเป็นสำคัญ เนื่องมาจากภายนอกด้วย ให้พิจารณาศึกษากายคตาสติ คือในขณะที่มีกายดำเนินไปอยู่ องค์ประชุมของรูปนามดำเนินไป ต้องมีสติ พิจารณาศึกษาตลอดเวลา ต้องมีข้างนอกร่วมกับข้างในจึงจะเป็นความจริง มีอันใดอันหนึ่งอย่างเดียวไม่ใช่ความจริง

 

แล้วที่ว่าไม่เก่งขณะทำใจในใจที่อทุกขมสุขเวทนา ซึ่งคุณคนนี้จะเข้าใจอทุกขมสุขอย่างไรขั้นไหน?... แล้วที่ว่ายังไม่เก่งก็หมายถึงว่าพอได้ ที่ไม่เก่งนั้นไม่เก่งในภูมิภพระหว่างจิตมันเป็นอทุกขมสุขเวทนาแล้ว หรืออุเบกขา ถ้าเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แล้วคุณจะทำให้ยิ่งขึ้นเป็น อนุรักขณาปธานหรือทำให้เป็นอเนญชาภิสังขาร ก็อาจเป็นเช่นนั้นตามที่เขียนมา หรืออาตมาอาจเข้าใจอีกแบบได้ว่า คุณทำจิตให้เป็นอทุกขมสุขหรืออุเบกขาไม่เก่ง หรือไม่ได้ ถ้าฟังๆแล้วเหมือนกับว่า จิตอุเบกขาของคุณหากเข้าใจสัมมาทิฏฐิจริงๆ อาตมาว่าทำไม่เก่ง แต่หากสัมมาทิฏฐิแล้วก็พยายามทำอย่ เพื่อให้จิตวางเฉย จิตอุเบกขามันเก่งขึ้นดีขึ้น ในขณะที่เราทำต่อไป รักษาให้เป็นผลต่อเนื่อง โดยทำงานอนุโลมปฏิโลมกับส่วนรวมไป แล้วจะกระทบกับทุกอย่างโลกีย์ คุณก็บอกว่าทำไม่เก่งไม่ค่อยได้ ถ้าผู้ที่ทำได้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขาจริง มันก็จะไม่เก่งในช่วงแรกแต่ก็จะเก่งต่อไป เป็นปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา

 

คำว่าประภัสสรานั้นใช้แทนกับความบริสุทธิ์ของปริสุทธาได้ แต่ปริสุทธานั้นบอกตรงๆว่าสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส แม้ผ่านกระบวนการอีก 3 ผ่านการเกี่ยวข้อง ก็มีจิตเก่งขึ้น มุทุภูตธาตุก็ยิ่งเก่งแววไว ปรับได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ สมรรถนะก็สูง ทำงานได้ดีขึ้น มีความชำนาญได้ดีขึ้น เหมาะสม ได้ประโยชน์ มีคุณสมบัติอาริยธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ คำว่าปริสุทธากับประภัสสรา หากเบื้องต้นอาจแทนกันได้แต่จะให้ลึกซึ้งนั้น ประภัสสรานั้นน่าจะเก่งกว่าปริสุทธา

 

0857308xxx ขณะอทุกขมสุขเวทนานั้นไม่มีผัสสะกายเทวธรรมาไม่เกิดจึงไม่ค่อยรู้จึงไม่อ่านอาการใช่หรือไม่คะ

ตอบ...อ่านสิ ต้องอ่านอาการ

0893867xxx ผู้น้อยคิดว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าธรรมชาติฤาสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติ!

ตอบ...ถูกต้อง ธรรมะเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าธรรมชาติ ถ้าบอกว่า ธรรมะคือธรรมชาติ นั้น จะไปบอกว่า x = x แต่จะบอกว่า x = xy นั้นไม่ได้ ธรรมะ=ธรรมชาติ ไม่ถูก แต่ธรรมะคือธรรมชาติก็อาจไม่เท่าทีเดียวก็ได้ มีเกี่ยวเนื่องกันแต่จะบอกว่า ธรรมะ ต้องเท่ากับธรรมชาติไม่ได้ ธรรมะต้องดับชาติ

 

0837277xxx ประโยชน์ของการนั่งเจโตสมถะ4อย่างที่พ่อครูบอกไว้นั้นสำหรับผู้ที่มีสัมมาทิฎฐิแล้วใช่หรือไม่ครับ?/

ตอบ...จิตสงบรำงับแบบเจโตสมถะ มีประโยชน์คือ 1.จิตสบาย สงบ ได้พักจิต อาศัยได้ แม้สะกดจิตก็อาศัยได้ แต่ถ้าไม่สะกดจิต แต่ทำเจโตสมาธิในภวังค์เป็น ให้มีจิตในภวังค์โดยไม่รับรู้ภายนอกได้

       2.ศึกษาจิต ไม่มีภายนอกเกี่ยวข้องนั้นมันง่าย แต่จะเห็นจิตในสัญญา ไม่มีความจริงมีแต่จิตนึกคิดปรุงแต่งไป แม้ไม่มีนิวรณ์ก็คิดนั่นคิดนี่ได้

       3.ทำเตวิชโชได้

 

0893867xxx ธรรมชาติในโลกอันมีดินน้ำลมไฟป่าเขาแม่น้ำทะเลเป็นสภาพตัวตนที่มิใช่ตัวตน(อัตตา)!ธรรมะที่เกิดภพเกิด ชาติในใจมีตัวตน(อัตตา)เมื่อละอัตตาอยู่เหนือธรรม ชาติได้เป็นอนัตตา!

ตอบ...พลังงานของคน ถึงจิตนิยาม คนนี้เกิดภพชาติในใจเกิดตัวตน เมื่อละอัตตาได้เหนือธรรชาติก็อนัตตา ก็ใช่

 

       4. ใช้ทำฤทธิ์ได้

 

0815371xxx นมัสการพ่อครูกระผมฟังธัมมะพ่อครูแล้วเกิดไมอยากทำบุญกับสงค์ที่อยู่ในฝ่ายเถระสมาคมแล้วครับ

ตอบ....การทำกุศลหรือทำทานก็ทำได้เสมอ ทำไม คุณทำทานให้ขอทานก็ได้ แล้วคุณทำทานให้พระให้สงฆ์ไม่ได้หรือ ถ้าคุณคิดว่าสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่ได้เรื่องไม่น่าให้ทานก็ไปตีทิ้งหมดก็จะเหลืออะไร มันก็ต้องเหลือคนดีอยู่บ้าง ถ้าองค์ไหนรู้ชัดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องให้ทาน ชัดเจนกว่าดีก็ให้ได้ อย่าตีทิ้งหมด

 

0837277xxx พระทางสายนั่งหลัตาที่จริงแล้วเขาก็มีผัสสะแต่เขาทำกับผัสสะไม่เป็นใช่หรือไม่?/

ตอบ...ใช้ ทุกคนไม่ตายก็มีผัสสะทั้งนั้น แต่เขาทำไม่เป็น รู้ไม่ได้ ปฏิบัติตอนมีผัสสะไม่เป็น ไม่ได้รับสัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติขณะมีผัสสะ ได้รับการสอนการเรียนก็ไม่ชัดเจน ถ้าเว้นผัสสะเสียแล้วไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติธรรมได้ มีในหลายสูตร ในมูลสูตรก็ต้องมีผัสสะ ในปฏิจจสมุปบาทก็มีผัสสะ 6 มีวิญญาณ 6 มีนามรูป มีอายตนะ 6 ตัณหา 6 อุปาทาน 4

 

แต่เขาไปสอนกับให้นั่งหลับตา ซึ่งไม่ใช่ของจริงเป็นสัญญา ทีี่จะไประลึกของใหม่ในอนาคตก็อาจเป็นได้ แต่แม้นั่งหลับตาขณะนั้นก็เป็นปัจจุบัน ก็ไม่หมดกามหมดฌานหากมิจฉาทิฏฐิอยู่ เป็นอนาคตทำไม่ได้ทำไม่เป็นต้องเป็นปัจจุบันจึงเป็นทิฏฐธรรมนิพพาน ในทิฏฐิ 62 พูดไปแล้วจะแรง เขานั่งหลับตาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีแต่ความฝันจมในอดีตกับอนาคตทั้งทิฏฐิ 62 น่าสงสาร อาตมาพูดไปเหมือนไปว่าแต่มันมีหลักฐานของพระพุทธเจ้า ว่าการปฏิบัติถูกต้องบริบูรณ์จะมี

1.    การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์

2.   การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์

3.   ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์  คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต

7. สุจริต3 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สติปัฏฐาน4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์  (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 61)

 

0893867xxx กามตัณหาราคะที่เกิดตามธรรมชาติ!ความเป็นธรรม ชาติดับไม่ได้!แต่ธรรมะที่ ดับภพชาติดับกิเลส!ดับกามตัณหาราคะที่เกิดตามธรรมชาติได้!

ตอบ...

 

0857308xxx กราบขอพ่อครูอธิบายวิโมกข์8แบบโลกุตระเพียวๆ จะได้แก้สงสัยค่ะ

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ)  (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ,    หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อท่านแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

4.    ผู้ล่วงพ้นรูปสัญญา(พ้นรูปฌาน)  เพราะดับปฏิฆสัญญา  เพราะ ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่าอากาศหาที่สุดมิได้  (สัพพโส  รูปสัญญานัง สมติกกัมมะ   ปฏิฆสัญญานัง  อัตถังคมา  นานัตตสัญญานัง  อมนสิการา  อนันโต  อากาโสติ  อากาสานัญจายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ) คำว่า อมนสิการ แปลว่าไม่ต้องทำใจในใจแล้ว แต่ท่านไปแปลคำว่า อมนสิการคือไม่ใส่ใจในอะไร ซึ่งไม่ถูกต้อง

5.    ผู้ที่ล่วงพ้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง  จึงบรรลุวิญญาณัญจายตนะ  ด้วยมนสิการว่า  วิญญาณ หาที่สุดมิได้   (สัพพโส   อากาสานัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   อนันตัง   วิญญาณันติ   วิญญาณัญจายตนัง   อุปสัมปัชชะ   วิหรติ ฯ) ข้อที่ 4 ดูความว่าง แต่ตอนนี้ให้ดูตัวรู้ รู้ว่าจิตเราอยู่ในภพว่างๆ

6.    ผู้ที่ล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวงจึงบรรลุอากิญจัญญายตนะ  ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร  (สัพพโส  วิญญาณัญจายตนัง  สมติกกัมมะ   นัตถิ  กิญจีติ  อากิญจัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ   วิหรติ) ตรวจสอบว่า มีสิ่งน้อยนิดโผล่มาอีกไหม ที่ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดเต็ม นั่นคืออากิญจัญญายตนะ

7.   ผู้ที่ล่วงพ้น  อากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ  (สัพพโส  อากิญ-จัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   เนวสัญญานาสัญญายตนัง  อุปสัมปัชชะ  วิหรติ ฯ)  หรือจิตวิญญาณต้องพ้นสิ่งที่ไม่รู้  และไม่มีที่จะไม่รู้ คือต้องให้รู้ว่าวิญญาณสะอาดจริงนะ ไม่มีธุลีหมองธุลีเริง แล้วต้องรู้นะจะไม่รู้ไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่ไม่รู้

8 .ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ  เพราะล่วงเนวสัญญา-นาสัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง (สัพพโส  เนวสัญญานาสัญญายตนัง  สมติกกัมมะ   สัญญาเวทยิตัง   นิโรธัง  อุปสัมปัชชะ วิหรติ)   หรือพ้นอวิชชาสังโยชน์

 

ทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต และพยากรณ์อนาคตได้ว่า 000 สูญๆๆๆ อดีตสั่งสมตกผลึก แข็งแรง เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

อันผู้เข้าถึงแล้ว พึงทบทวนตรวจสอบอย่างอนุโลมบ้าง  อย่างปฏิโลมบ้าง ทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง  หรือบางขณะก็อยู่ในอารมณ์บางขณะก็ไม่อยู่ในอารมณ์แห่งวิโมกข์8   อยู่บ้าง-ไม่อยู่บ้างตามคราวที่ต้องการ  ตามที่ปรารถนาและตามกำหนดที่ประสงค์   จึงบรรลุเจโตวิมุติ - ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะสิ้นไป  เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน  นี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุติ 

พตปฎ. เล่ม 10  ข.66 (มหานิทานสูตร)

 

อานนท์ทั้งหลายฟังแล้วชื่นชมพุทธภาษิตนี้หรือไม่ นี่คือวิโมกข์ 8 ไว้ค่อยทวนอีก เมื่อมีโอกาส ก็รับฟังรับรู้ เราจะได้ปฏิบัติจนมีสภาวะนี้ได้จริง เมื่อได้จริงก็จะยิ่งเข้าใจได้ดี แม้ไม่เก่งกาจอะไร มันจะเกิดจริงเป็นจริง แม้ว่าเราเองจะไม่เก่งภาษา ฟังไปก็มึน เราก็ฟังไปเท่าที่มีสภาวะเราก็เอาอันนั้นแหละ ที่เราเข้าใจนี้แหละ

 

ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจะขัดเจนว่า สวรรค์นี้เท็จ นรกนี้มันจริง เพราะสวรรค์สุขขัลลิกะแต่นรกคืออนุสัย ตายไปเอาอนุสัยเอานรกไปด้วย แต่สวรรค์นั้นไม่ได้เอาไปด้วยนะ สวรรค์มีแต่ปัจจุบัน ผ่านปัจจุบันไปมีแต่สวรรค์เพ้อ มันเป็นเรื่องเพ้อ ความจริงมีอยู่ในปัจจุบัน ตายไปไม่มีปัจจุบัน ซึ่งอาจปัจจุบันเหมือนกันตอนตายแล้ว คนที่ชัดเจนแล้วสวรรค์เป็นเท็จเพราะมันแค่เวทนา ที่เป็นความรู้สึก อารมณ์ ในขณะเวทนา คุณต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กายใจ หากไม่มีก็เกิดแต่สัญญา อารมณ์สุข ทุกข์เป็นเวทนาปลอม เป็นความรู้สึกปลอม เป็นมโนมยอัตตา เป็นอรูปอัตตา ไม่ครบครันความเป็นมนุสโส

 

นรกคือสัญญา สวรรค์คือเวทนา นรกคือความจำความฝังใจ เป็นอนุสัยเกาะติดกินใจตลอดไม่ออกจากใจง่ายๆ แม้แต่ได้เสพสวรรค์ผ่านไปแล้วมันยังจำฝังใจใส่เข้าไปเป็นสวรรค์เก๊อีก

 

ในปฏิจจสมุปบาท นั้น สัญญา 6 ไม่มี มีแต่เวทนา 6 ตัณหา 6 ผัสสะ 6 อายตนะ 6 แต่สัญญานั้นมีหลายอย่าง หากไร้เหตุปัจจัยแล้วคุณยังเอาเศษสวรรค์นั้นฝังไว้ในใจอีก เก็บความรู้สึก ความทรงจำนี้ไว้ เป็นต้น สัญญาคือตัวนรกแท้ๆ ตายไปมีแต่สัญญา

 

เวลาก็เหลืออีก 10 กว่านาทีก็เข้ามาสู่เนื้อหา

(98) รู้ “กาย”แต่ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้  “ฌาน”ก็ไม่มี

       หรือยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “กาม” ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ฌาน”ถูกต้องถ่องแท้เพียงพอ จึงปฏิบัติลดละกิเลส กำจัดกิเลสในขณะสัมผัสด้วยทวาร 5”ยังไม่เป็น ยัง “เห็น”(ปัสสติ)ตัวตนของกิเลสยังไม่ได้ ยัง “เห็น”(ปัสสติ)แม้แค่กายของตน คือ  “สักกาย”ยังไม่สำเร็จ จึงไม่เป็นโลกุตรธรรม ตั้งแต่สังโยชนข้อ์ที่ 1 คือ ยังไม่ “พ้นสักกายทิฏฐิ”

       แม้ปฏิบัติธรรมใน “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรม)แล้ว แต่ยังไม่สามารถ “เห็นนิพพานในปัจจุบันนั้น”(ทิฏฐธรรมนิพพาน)แน่ๆเลย

       เพราะปัจจุบันนั้นไม่มีการสัมผัสสัมพันธ์อยู่พร้อมทั้ง 5 ทวาร ลืมตามีทั้ง “ทิฏฐะ-สุตะ-มุตะ”ได้อยู่ จึงไม่รู้แจ้งใน “รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัสภายนอกและภายใน”อยู่หลัดๆในบัดนั้น นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”ของภาวะ “กามคุณ 5”ยืนยันอยู่โทนโท่ เต็มสภาพ

       เพราะวิปัสสนาญาณหรือวิชชาข้อที่ 1 ที่ “เห็น”(ปัสสติ)หลัดๆโต้งๆ ในความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ยังไม่สัมมาทิฏฐิเพียงพอ จึงยังไม่บริบูรณ์ ในการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ

       เพราะเป็นผู้ไม่มี “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องครบความเป็น “กายสักขี”(คือมี “กาย”ยืนยันโต้งๆเป็นพยาน)

        “วิโมกข์ 8”นั้นต้อง “เห็นทั้งรูป-เห็นทั้งนาม” และต้อง “เห็นทั้งภายนอก “กามภพ”-เห็นทั้งภายใน ลึกเข้าไปทั้งรูปและอรูป ในขณะที่มีความเป็น “กาย”คือ “ธรรม 2” ตั้งแต่หยาบ-กลาง-ละเอียดเป็นที่สุด ตั้งแต่ “กาม” ถึง “รูป” และ “อรูป”ตลอดจบถึงขั้น “สัญญา เวทยิต นิโรธ”ทีเเดียว จึงจะครบบริบูรณ์การ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”

       ตลอดครบ “วิโมกข์ 8” ต้องมี “กาย”อยู่พร้อมจนกระทั่งถึง “นิโรธ”ขั้นสุดท้ายปลายจบกันโน่นทีเดียว

       ดังนั้นใครหรือนักปฏิบัติธรรมใด แม้จะมี “ตานอก”แล้ว ปฏิบัติในขณะลืมตาแล้ว รู้ความเป็น “กาย”แล้ว แต่ยังไม่รู้จัก “อาการ”ของความเป็น “กาม”ก็ดี ความเป็น “ฌาน”ก็ดี ที่เกิดจากภาวะ “ทิฏฐะ(ได้เห็น)-สุตะ(ได้ยิน)-มุตะ(ได้กลิ่น,ได้ลิ้มรส,ได้สัมผัสเสียดสีภายนอก-ภายใน)” ก็ยังมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “กาม”เรื่อง “ฌาน”

       นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”อยู่แท้ๆที่มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ” สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมอันเกิดอยู่ใน “จิต”ขณะนั้น

       เพราะเมื่อไม่รู้ “กาม”ไม่รู้ “ฌาน” มันก็ทำ “กาม”ให้หมดไป แล้วจะเกิด “ฌาน”ขึ้นใน “จิต” มันก็ไม่เกิด-ไม่เป็น-ไม่ได้ ...ใช่มั้ย?

       ซึ่ง “อารมณ์”ที่มี “กาม”เป็นตัวการปรุงแต่ง “จิต”อยู่เป็น “กามสดๆ”ขณะปัจจุบันนี้ มันสดๆนะ ไม่ใช่ “อารมณ์กาม”ที่เกิดเฉพาะขณะมีแต่การรับรู้ตอนอยู่ในภวังค์ และรู้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น เป็นการ “รู้”ในขณะที่ไม่มีสัมผัสภายนอกจริงเลยนั้นนะ นั่นมันแห้งๆ

       ขณะนี้มันมี “มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ”สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมโทนโท่สดๆ แต่ตนเองยังอ่าน “อาการ”ที่เป็น “กามคุณ 5”ใน “ปัจจุบัน”ขณะที่มี “สัมผัส” ขณะลืมตานี้ยังไม่เป็นก็ดี หรือเผลอสติกำหนดไม่ทันก็ตาม ก็คือ ยังไม่ “เห็น”ความเป็น “กามสดๆ”นั้น ก็กำจัดมันไม่ได้ หรือไม่ได้กำจัดมัน ใช่ไหมล่ะ

       เมื่อ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ ไม่มีผลบ้างเลย  “ฌาน”ก็มีไม่ได้

 

(99) รู้จัก “กาม” กำจัด “กาม”(เนกขัมมะ)ได้ ก็เกิด “ฌาน”

       ถ้าทำได้แม้แค่เพียงทำให้ “กาม”จางคลายลง ก็จะเป็น “ฌาน”ไปตามลำดับ เป็น “สัมมาฌาน” เป็น “ฌาน”ลืมตา ตามแบบพุทธแท้ทั้งเราทั้งเขาร่วมรู้ได้หมด ไม่มีอะไรปิดบัง ไม่มีอะไรลับ มีแต่ “ความจริง”ที่สว่างโจ้ง ครบตื้นลึกหนาบางครบครัน  

       ไม่ใช่ “ฌาน”ที่ทำในตอนหลับตาเข้าไปอยู่ในภพ ลึกๆ ลับๆ  งมอยู่กับ “ฝัน” อันไม่เป็น “ความจริง”ที่เป็น “สัจจะ”

        “สัจจะ”ที่เป็น “ความจริง”นั้นมี 2 ก็ต้องมีครบทั้ง 2 คือ ทั้ง “สมมุติสัจจะ” และมีทั้ง “ปรมัตถสัจจะ”บริบูรณ์พร้อมทั้งนอกทั้งใน   

       ผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “สัจจะ”หรือ “ความจริง”ก็ต้องเรียนรู้ทั้ง “รูปและนาม”ของ “สมมุติสัจจะ” ทั้ง “รูปและนาม”ของ “ปรมัตถสัจจะ”

       องค์รวมของรูปกับนาม ซึ่งก็คือ “กาย”นั้น เมื่ออ่านเจาะวิจัยเข้าไปละเอียดๆแล้ว ก็อ่านเข้าไปที่ “ความรู้สึก”ใน “องค์ประชุมของรูปกับนาม(กาย)นั้นนั่นแหละ ก็จะ “เห็น”ความรู้สึกของจิตเราเองขณะนั้น”ได้ ว่า มี “อารมณ์”อย่างไร สุขหรือทุกข์ เป็นต้น

       จากนั้นก็วิเคราะห์ “ในเวทนา”นั้นเข้าไปอีกๆ ซึ่งมันก็คือ “จิต”โดยรวมนั่นเอง ใน “อารมณ์”ที่เราเสวยอยู่นั้น ที่มันเป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มันมาจากต้นทางแท้คือ  “จิต”ที่เป็นตัวการคือ  “ไม่ราคะ ก็โทสะ”(สราคะหรือสโทสะ)แน่ๆ เราจึงเกิดอารมณ์สุขหรืออารมณ์ทุกข์ขึ้นได้ เราก็จัดการกับเจ้าตัว “เหตุ”(สมุทัยอาริยสัจ)ตัวนี้แหละให้ได้

       นี่คือ การปฏิบัติธรรม เริ่มจาก “สติปัฏฐาน 4” พิจารณา “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” 4 ข้อต้นของโพธิปักขิยธรรม 37 อันเป็น “โลกุตรธรรม 37”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 และปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมข้ออื่นๆ จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาม”และความเป็น “ฌาน”

       ถ้ายังไม่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาย” อันเป็นจุดแรกของ “โลกุตรธรรม” แล้วก็พิจารณาเข้าไปใน “กาย”เป็น ก็ไม่เริ่มต้นเข้าสู่ “โลกุตรธรรม”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็ไม่มีทางบรรลุนิพพานแน่ๆ

       กระทั่งปฏิบัติแล้วอ่าน “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ได้ แยกแยะ “กายกับจิต”เป็น แล้วจัดการ(อภิสังขาร)ใจในใจเป็น กำจัดเฉพาะ “อาการ”หรือส่วนที่เป็น “อกุศล”แท้ๆได้ถูกภาวะ จึงจะเป็น “สัมมาฌาน”ของพุทธจริง เป็น “สัมมาสมาธิ”แท้ เป็น “เนกขัมมะ”เข้าถึงความเป็น “เวทนาในเวทนา 108” ซึ่งเป็น “ฌาน”ลืมตามี “ความจริง”

       โดย “เห็น”(ปัสสติ) “มโนปวิจาร 18 และ 36”ที่เป็นจุด “แจ้ง”(สัจฉิ) “ความจริง” ไข “โลกียะ”สู่ “โลกุตระ”ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด

         จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:19:26 )

580913

รายละเอียด

580913_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ต่อต้านคอรัปชั่นเร่ิมต้นที่ใคร

.ฟ้าไทว่า...ตอนนี้เรื่องที่กำลังฮอต ก็คือเรื่องการแฉ ตม.(ตรวจคนเข้าเมือง) ดูแล้วคนเข้ามาในประเทศไทยง่ายมาก ขอให้มีเงิน ทำอย่างไรเราจะแก้ไขได้อย่างยั่งยืน

 

พ่อครูว่า...วันนี้เรามาพูดถึงปัญหาคอรัปชั่น พูดแล้วเหมือนตีทิ้ง โดยข้าราชการคือนักการเมืองเบอร์หนึ่ง คือผู้มาทำงานรับใช้ประชาชน อาสารับใช้ประชาชน การเมือง=อาสารับใช้ประชาชน คนจะมาทำการเมืองไม่ใช่มาหลอกล้วงตับกินไส้ปชช. ก็เป็นคนบาป คนขี้หลอกแท้ๆเลย ใครมาหาเสียงเลือกตั้งก็ว่าจะมารับใช้ แต่มาแล้วขูดรีดปชช.สารพัด มันขบถชัดๆ มันไม่รู้จะไปอย่างไร มันเป็นคนไม่จริงเลย

มีบทความของคุณเปลว สีเงิน เกี่ยวกับต่อต้านคอรัปชั่นเรื่อง  ทอง 'อีกแผ่น' ที่ปิดหลังพระ

 

…..รู้กันหรือยัง..."พิพิธภัณฑ์กลโกงชาติ" มีขึ้นแล้วในเมืองไทยเป็นแห่งแรกของโลก!

 

เช้าวาน ตายังไม่ทันชินแสง คว้าไอแพดเปิดสำรวจ ว่าตอนหลับโลกมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?

 

มีจริงๆ ด้วย!

 

มีคลิปส่งมาจากที่ไหนต่อที่ไหนหลายอัน เปิดดู 2-3 อัน ปรากฏว่า ถึงต่างที่มา-ต่างคนส่ง แต่ไม่ต่างเรื่อง

 

คือเป็น "คนละเรื่องเดียวกัน" ว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชัน ชนิดเดินหน้าเข้มข้นจากองค์กรภาคธุรกิจ ผนวกภาครัฐ ผมงัวเงียตายังไม่ตื่น

 

แต่พอเปิดปุ๊บ...โพลงเลย!

 

ก็แหม...แต่ละประเด็น มันกระทุ้ง-กระแทกถึงจิตใต้สำนึกให้เลือดลมพลุ่งพล่าน ว่าต่อไปนี้ ....

 

การดูแลบ้านเมือง โดยเฉพาะด้านคอร์รัปชัน โกง-กิน ไม่ว่าในระบบรัฐ ระบบราษฎร์

 

เราทุกคน จะนิ่งดูดาย เกี่ยงกัน ผลักโยนให้เป็นภาระคนโน้น-คนนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเมืองไทย-ประเทศไทย คือบ้านของเราทุกคน

 

OUR HOME OUR COUNTRY ประมาณนั้น!

 

ฉะนั้น จะปล่อยให้ใครโกงบ้าน-กินเมือง โดยเราไม่ผนึกกันเพื่อฟาดฟันมันไม่ได้แล้ว!

 

คลิปแรก "ไอ แอม ซอร์รี" ดูก็สะอึก!

 

สะท้อนตัวตนคนไทยวันนี้ รวมทั้งตัวผม ดูแล้วก็ละอายตัวเอง บอกว่ารักชาติ เกลียดคนโกง-คนกิน ทั้งที่เห็นคาตา แต่ว่า...ธุระไม่ใช่

 

คลิปที่สอง ต้องบอกว่า น่าเอาฉายกลางแปลง!

 

"พิพิธภัณฑ์กลโกงชาติ" 3-4 เรื่อง แต่ละเรื่อง มันจี้ใจถึงขั้น "แค้นระคนอาฆาต" ไอ้ระยำพวกนั้น

 

ที่นำเสนอ มันคือประวัติศาสตร์ชาติชั่วแต่ละไอ้โคตรโกง ความโกงชาติและการตอดกินของมัน เหมือนไม้หน้าสามหวดแสกหน้าปลุกสำนึกให้ทะลึ่งตื่น

 

ผมดูแล้วก็ไถลไปชงกาแฟนั่งซด....!

 

คิดคำนึงไป ในชีวิตหนังสือพิมพ์ ผ่านการโกงกินหลายยุค แต่ละยุค ก็มีคนพูดแต่ว่าเกลียดโกง ต่อต้านโกง

 

แต่...ไม่มีใครทำ!

 

เพิ่ง 3-4 ปีมานี้ จากคุณดุสิต นนทะนาคร เห็นว่า ถ้าขืนปล่อยระบบรัฐ-ระบบการเมือง ผนึกกินเมืองไปเรื่อยๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง เป็นการสกัดกั้น

 

ชาติไม่สิ้น แต่ประเทศถูกกินหมดแน่!

 

จึงชักชวนภาคธุรกิจก่อตั้งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันขึ้น แต่คุณดุสิตจากไปก่อน

 

คุณประมนต์ สุธีวงศ์ รับงานสานต่อ พอดีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นำคณะ คสช.เข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ 22 พ.ค.57

 

แนวเจตนาตรงกัน

 

คือ "คอร์รัปชัน" ต้องล้างให้สิ้น!

 

ก็เห็นองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่คุณประมนต์ทนลูกปืนถล่มบ้านได้นี่แหละ ต้านคอร์รัปชันด้วยปาก ไม่มาก

 

แต่ทำมาก!

 

ทำต่อเนื่อง จริงจัง กระแทกตา-กระแทกใจ จิกจิตสำนึกคนไทยให้ตระหนัก และออกมาผนึกร่วมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ก็เห็นผลทันตา ปี-สองปีนี้ คอร์รัปชันถูกตัดยอด ตอนกิ่ง โค่นต้น ไปมากต่อมาก แต่ยังไม่ตาย ยังมีหัว "รองอก" ฝังอยู่ใต้ดิน

 

มาปีนี้ ผมเห็นความตื่นตัว-ตื่นใจของคนหลากหลายที่มีแนวคิดต้องฟาดฟันคอร์รัปชัน ออกไปร่วมงาน ซึ่งตรง "วันตาย" ของคุณดุสิต

 

แต่เป็น "วันเกิด" องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น 6 กันยา!

 

ต้องบอกว่า ประเทศไทยมุ่งสู่ยุคใหม่ พอเห็นอนาคตสดใสรำไร เมื่อองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันกับรัฐบาล คสช.ผนึกล้างคอร์รัปชัน จริงจัง-ต่อเนื่อง

 

ความจริง งานเมื่อวันอาทิตย์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ฮือฮากันไม่จบ กับพิพิธภัณฑ์กลโกงชาติ ที่นำเสนอเป็นตัว-เป็นตน

 

ทั้งเรื่องจำนำข้าว เรื่องบางกอกฟิล์ม เรื่องนกน้อยในไร่ส้ม ฯลฯ

 

ผมไม่ได้ไป ได้ดูจากคลิปนี่แหละ ต้องขอบอก ทำได้ปวดหัวใจ และถึงใจจริงๆ

 

อยากรู้ว่าถึงยังไง คลิกไปที่ www.พิพิธภัณฑ์กลโกงชาติ.com ดูเองละกัน!

 

ก็อยากสรุปสั้นๆ.........

 

เป็นสัตยาบัน ภาคประชาสังคมร่วมกันว่า...ต่อไปนี้

 

"เห็นสองกำปั้นไขว้ใต้ ACT ที่ไหน คอร์รัปชันต้องบรรลัยที่นั่น!"

 

เพราะ ACT เอาจริง เดินหน้ากระแทกจริง

 

และผมก็เชื่อว่า การต่อต้านคอร์รัปชันครั้งนี้ จะสำเร็จระดับพอใจยิ่ง เหตุผลคือ ใจจริง ทุกคนเกลียดคอร์รัปชัน แต่ลำพังตัว ไม่กล้าทำอะไร

 

มาครั้งนี้ มีตัวนำจริงจังให้จับต้องได้ คือ ACT

 

และนี่เหมือนหัว เมื่อมีหัวปรากฏ ยิ่งหัว คือคุณประมนต์ซึ่งชีวิตมีต้นทุนสูง ยังไม่ระย่อต่อลูกปืนสกัด

 

ภาคประชาสังคมก็พร้อมต่อเป็นลำตัว เป็นแขน เป็นขา เป็นหาง ผนึกกันไปในทางเดียว

 

ACT เหนือสองกำปั้นไขว้ วันนี้....

 

รูปลักษณ์นี้ เห็นที่ไหน เหมือนยันต์ขับไล่ผีร้ายที่สิงสูบเลือดบ้านเมืองไทย ให้กระเจิดกระเจิงไป

 

คนไทยมีความหวัง "สว่างไสว" ใต้ยันต์ ACT และรัฐบาล คสช.บนการนำของพลเอกประยุทธ์!

 

คนไทยนั้น..........

 

ทำดี ก็ทำได้ทุกอย่าง จะทำที่ไม่ดี ก็ทำได้ทุกอย่างเหมือนกัน ข้อสำคัญขึ้นอยู่กับ "ตัวนำ"

 

วันนี้ พลเอกประยุทธ์ กับ ACT เป็นตัวนำในด้านทำดี

 

เมื่อหัวนำดี ก็ไม่ต้องห่วงว่าหางจะไปทางไม่ดี!

 

ทำไม "องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน" นี้ จึงแรงไม่ตก ตรงข้าม นับวันจะแรงขึ้น..แรงขึ้น?

 

เมื่อศึกษาโครงสร้างองค์กร จึงทั้งเข้าใจและแอบปลื้มใจ คือองค์กรนี้เข้มแข็ง นำฟาดฟันคอร์รัปชันได้แรงไม่ตก เพราะอะไร...บอกไปท่านก็คงไม่อยากเชื่อ?

 

แต่ต้องเชื่อครับ เพราะประจักษ์มาแล้ว ACT คือศูนย์รวม ภาคธุรกิจเอกชน พูดกันชัดๆ กลุ่มคนระดับบน ฐานธุรกิจเป็นพัน-เป็นหมื่นล้าน ภาคประชาสังคมที่มีความจริงใจ ภาควิชาการที่มุ่งมั่นเพื่อสังคมชาติ

 

ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ.....

 

หากแต่คุณดุสิตวางรากฐานเป็นภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชันไว้เกือบทุกจังหวัด

 

เหล่านี้ ทำงานในลักษณะ "ปิดทองหลังพระ" ผ่านคำว่า ACT เงียบๆ

 

ไม่มีใครเอาหน้ามาออก.......

 

แต่ทุกคน "ออกเงิน-ออกความคิด" ไม่ใช่บาท-สองบาท

 

สาม-สี่ปีมานี้ ผมว่าแต่ละคน แต่ละองค์กร ต้องควักรวมกันน่าจะเป็นร้อยล้าน ด้วยเจตนาเดียว

 

ขับเคลื่อน ACT กระแทกพวกแทะแผ่นดินให้สิ้นพันธุ์!

 

ผมแอบปลื้มตรงนี้ ที่พูดกันว่า พวกรวยแล้ว เอาแต่ตัวรอด ไม่แยแส ไม่เสียสละเพื่อให้ชาติบ้านเมืองรอด

 

ก็อาจจะมีนะ....

 

แต่ที่ผมเห็น พวกรวยแล้ว แต่พร้อมใจ "ปิดทองหลังพระ" ผ่านองค์กร ACT มากองค์กร มากสถาบัน และมากบุคคล ชนิดคิดไม่ถึง!

 

สื่อเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชันทั้งหลาย ทั้งไอเดีย และการจัดทำ นั่นมาจากการร่วมแรง-ร่วมใจของคนหลากหลายร่วมแนวทาง

 

ลำพังเงิน........

 

ใช้ทำงานเพื่อสังคมชาติสะอาดอย่างนี้ไม่สำเร็จ ต้องใจ ต้องสละ ต้องปณิธาน ต้องเข้าใจ ต้องช่วยกันทำให้ชาติรอดก่อน

 

แล้วทุกคน ไม่ว่ารวย-จน ธุรกิจเล็ก ธุรกิจใหญ่ จึงจะอยู่อย่างมีความหมายในเอกลักษณ์ชาติ

 

คือ...ให้คนทำเพื่อชาติ

 

อย่าให้ชาติเป็นสินค้าเพื่อคน!

 

หนังสือพิมพ์นั้น ด่าคน มันง่าย....แต่ช่วยชาติ-ช่วยใครไม่ได้

 

ฉะนั้น วันนี้ ผมขอทำอะไรที่มันยากๆ ซักวันนะ.

 

 

พ่อครูว่า....ขออภัยที่ต้องพูด อโศกนี่เป็นพวกปราบคอรัปชั่น เพราะอโศกไม่ได้ปราบด้วยเงินไม่ใช้วัตถุไม่ใช้รูปใหญ่ แต่เป็นนามธรรม ไม่ได้เอามหาภูตรูปไปใช้ฟาดฟันใคร ก็เลยเหมือนไม่มีบทบาท เขาเห็นยากที่พูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อให้เขามาเห็นค่ารู้ค่านะ พูดเหมือนอวดดี ที่จริงอโศกเราปราบคอรัปชั่นมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งใจปราบ โดยปราบคอรับชั่นตัวเองก่อน ตัวเองซื่อสัตย์ไม่คดโกงก่อนแล้วค่อยไปปราบคนอื่น ถ้าตัวเองไม่ได้ปราบคอรัปชั่นตนเองก่อน เมื่อไปปราบคนอื่นกิเลสก็จะพาเหลิง พอได้โอกาสกิเลสจะขึ้น เพราะว่าคนเขาเห็นดีว่ามาปราบคอรับชั่นก็จะมาช่วยให้วัตถุ ก็จะแฝง แต่ก็ดียังไง ช่วยกันปราบคอรัปชั่นแม้เล็กแม้น้อยก็ดี จะให้ดีจริงต้องลดละกิเลสด้วย

 

ที่อาตมาพาทำกับพวกนี้ใจไม่ได้เร่งร้อน แต่อุตสาหะพากเพียร เร่งเหมือนกัน ปางนี้อาตมามีวิบาก ถูกกระแสบันหลักศาสนา ประทับตราว่าพวกนี้เชื่อถือไม่ได้ เป็นพวกทำลายศาสนาเสียด้วย เขาตราไว้เช่นนี้ แต่ที่พูดนี้ไม่ได้ท้อแท้ ยิ่งจะต้องตั้งใจทำพิสูจน์ให้เห็นจริง อย่างที่อาตมาทำตั้งแต่เร่ิมต้นที่ตน ได้ก่อนแล้วไปสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง นี่คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า

 

ประเทศไทยนี่หาที่ไหนไม่คอรัปชั่นไม่ได้ นะ พูดอย่างไม่มังกุไม่อุธัจเลยว่า ที่อโศกนี่ไม่คอรัปชั่น พูดอย่างจริงใจเลย ในคำสอนของพระพุทธเจ้า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ศาสนาพุทธเสื่อมไปทั้งสถาบัน จนกลายเป็นแม้สถาบันศาสนาก็มีสมีอุ้มสมี แล้วตกอยู่ใต้อำนาจ สมีอีก แล้วจะไปรอดได้อย่างไร อาตมามั่นใจว่าพูดไม่ผิดด้วย เป็นความจริงเช่นนั้น

 

พล.อ.ประยุทธ พูดไม่เอาใจผ่าๆเลย มันชัดดี จบๆเลยง่าย อาตมามองพล.อ.ประยุทธตั้งแต่เริ่มปฏิวัติมาถึงบัดนี้ อาตมาถึงได้บอกว่า นายกฯ ไทย 28 คนผ่านมาไม่มีใครเหมือน คนนี้ทำได้ดีได้เหมาะสม กาลัญญุตา ประมาณได้ดี ไม่ได้แกล้งป้อยอนะ แต่จริงใจ อาตมาก็เป็นกองเชียร์และพากันทำตามประสา ซึ่งมีน้ำหนัก แต่สังคมยังไม่ยอมรับ แต่เรามีเนื้อแท้เนื้อจริง สะอาดดีด้วย

 

เรื่องของเรื่องของโลกนี่ อาตมาหยิบเอาคำว่าโลก กับ อัตตา สองคำนี้ที่พระพุทธเจ้าสอนสั่งในอำนาจทั้งหลาย(อธิปไตย) มีอำนาจโลก กับอำนาจอัตตา เราก็ล้างกิเลสที่ติดมาในโลก ในอัตตา ต้องล้างจริงไม่ใช่หนีโลกนะ ล้างแล้วจิตก็เป็นโลกุตรจิต มีโลกวิทู เป็นจิตเหนือโลก ไม่เอาเปรียบไม่ทำลายโลก เราช่วยโลกด้วย เพราะมีฤทธิ์ของธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ช่วยได้ เป็น โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) ยุคนี้ต้องพิสูจน์อันนี้

 

มาอีกบทความของคุณกมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม ในแนวหน้าว่าไว้ เรื่อง "โลกธรรม"

 

โลกธรรม  เรื่อง “ปากกล้าชอบท้าทาย” และ “หลงตัวเองว่าเหนือกว่าใคร” นั้น คงไม่มีผู้ใด “หลุดโลก” เท่ากับเสี่ยบ้านไกลที่ “กร่าง” ได้ทุกเรื่องอย่างเหลือเชื่อ  ล่าสุดออกมา “ท้าให้ถอดยศ” ที่สุดก็ถูกลุงตู่ “รับคำท้าด้วยการถอดยศแบบสายฟ้าแลบ”  แม้เรื่อง “การถอดยศ” จะเป็นละครหลังข่าวที่ “จบบริบูรณ์” ไปแล้ว แต่ดูเหมือนยังจะมี “ควันหลง” ตามมา นอกจากขี้ข้าเสี่ยบ้านไกลต่างออกมาโวยวายเพื่อเชลียร์นายใหญ่และโกรธแค้นแทนนายทาสแล้ว ตัวเสี่ยบ้านไกลก็ออกมา “กัดฟันพูด” ราวกับผู้บรรลุอรหันต์โดยระบุว่า “ทุกอย่างเป็นโลกธรรม”  “โลกธรรม” ที่เสี่ยบ้านไกลพูดถึงนั้น มีด้วยกัน 8 ประการคือ “มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภ มียศก็ย่อมมีเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีสุขก็ย่อมต้องมีทุกข์”  “โลกธรรม ทั้ง 8 ประการ” ดังกล่าว เสี่ยบ้านไกลล้วนได้ “จ๊ะเอ๋” และ “ผจญภัย” มาแล้วอย่างเต็มสูบ  “มีลาภ” เสี่ยเคยกระเด้งจากคนเป็นหนี้เป็นสิน กลายเป็นมหาเศรษฐีเบอร์หนึ่งของประเทศไทย เพราะได้สัมปทานดาวเทียมจากรสช.อย่างเท่ๆ แถมยังผูกขาดกิจการสื่อสารของประเทศไทยอย่างยาวนาน จนได้ลาภก้อนโตนับไม่ถ้วนก้อน  “เสื่อมลาภ” เสี่ยเคยถูกศาลฎีกาฯ พิพากษาริบทรัพย์กว่า 46,000 ล้าน ฐานเป็นนักการเมืองที่ “ร่ำรวยผิดปกติ” โดยแจกแจงที่มาของทรัพย์สินไม่ได้  “มียศ” เสี่ยบ้านไกลเคยได้ยศทางราชการเป็นถึง “พ.ต.ท.” และมีตำแหน่งทางการเมืองเป็น “ผู้นำ” ของประเทศ  “เสื่อมยศ” ด้วยกรอบอันมากมายที่เสี่ยบ้านไกลได้สร้างขึ้นชนิดนำมาแจกแจงได้ 10 วัน 20 คืนไม่รู้หมด ในที่สุดก็ “ถูกกรรมเช็คบิล” โดย “เสื่อมทั้งยศ” และ “หมดทั้งตำแหน่งทางการเมือง” อย่างน่าเศร้า  “มีสรรเสริญ” เสี่ยได้รับการสรรเสริญจากคนเสื้อแดงให้เป็น “เทพเจ้า” ของพวกเขาและคนรากหญ้าที่เข้าไม่ถึงข้อมูล แล้วตกเป็นเหยื่อการตลาดของเล่าฮู จนชื่นชมเสี่ยอย่างหลงผิด  “มีนินทา” คนกรุงเทพฯ และผู้อยู่ในเขตเมืองของทุกจังหวัดที่ได้รับการศึกษา รู้ข้อมูลทุกด้านในเชิงลึก ต่างเกลียดชัง เสี่ยบ้านไกลอย่างเข้ากระดูกดำ ต่างต่อต้านเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเข้มข้น เป็นระยะเวลายาวนานถึง 10 กว่าปี  “มีสุข” ช่วงที่เสี่ยมีอำนาจ เสี่ยมีความสุขอย่างเต็มตาชั่ง เพราะสามารถชี้เป็นชี้ตายกับใครก็ได้  “มีทุกข์” ทันทีที่ถูกบิ๊กบังปฏิวัติ จนกลายเป็นสัมภเวสีมาถึงปัจจุบัน ต้องพเนจรไปในแผ่นดินอื่นๆ โดยกลับบ้านอย่างเท่ๆ ไม่ได้ คือ “ทุกข์อันยิ่งใหญ่” ที่กระหน่ำจิตใจเล่าฮูทุกวัน  เสี่ยบ้านไกลได้ “ประจักษ์แจ้งในโลกธรรมทั้ง 8 ประการ” อย่างทะลุปุโปร่ง แต่ก็น่าแปลกใจที่เสี่ย “ไม่ยอมบรรลุธรรม” สักที 

 

กมลศักดิ์  ตั้งธรรมนิยม

มาถึงบทความของคุณผักกาดหอม

เก็บอดีตไว้เป็นบทเรียนแล้วเดินหน้ากันต่อไป แม่น้ำ 2 สายที่หายไป จะต้องตั้งใหม่ขึ้นทดแทนนั่นคือ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปฯ 200 คน และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เกิน 21 คน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันวันที่ 6 ตุลาคม ได้รายชื่อครบ

แต่ช่วงนี้ฝุ่นยังไม่ตลบ!

 

เพราะความอยากของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) บางคนที่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญไป ยังไม่กำเริบ เนื่องจากยังถูกจับตามองจากสังคมว่า เมื่อเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า สมควรแล้วหรือจะกลับเข้าไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปฯ อีก

ใครจะมากุมบังเหียนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ"

 

หน้าใหม่ยังมองไม่เห็น แต่หน้าเก่ามีให้เลือกอย่าง "มีชัย ฤชุพันธุ์" หลายคนอาจไม่ชอบ แต่ ณ เวลานี้หาคนมองกฎหมายทะลุและพร้อมทำงาน ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ

 

ผิดกับพวกจำอวด อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น แต่ไม่เอาอะไรสักอย่างมันมีเยอะครับ มือไม่พายแต่ชอบเอาเท้าราน้ำ

 

ครับ...พอชื่นใจได้บ้างที่ นายกฯ ลุงตู่ ท่านอ่านออก ท่านแยกเรื่องสืบทอดอำนาจ กับความจำเป็นที่ต้องทำให้การปฏิรูปเดินไปอย่างต่อเนื่องออกจากกัน

 

"ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ต้องอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ไม่งั้นมันสั่งคนไม่ได้ ต้องสั่งคนไปรบไปตายนะ ถ้าแพ้ก็ตาย นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะสั่งและใช้อำนาจ ผมถามว่าฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารราชการ เขาสนใจตรงนี้ไหม เขาถึงไขว่คว้าหาอำนาจไง เพราะเขาไม่เคยมีอำนาจ"

 

"อำนาจ" คือประเด็นหลักของการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นัก การเมืองปลุกปั่นกันจนเกิดกระแสกลัวความวุ่นวายในขั้นตอนการทำประชามติ

 

ที่ผ่านมานักการเมืองไม่ต้องการแบ่งอำนาจให้ใครแม้กระทั่งประชาชนที่ลงคะแนนให้กับมือ อย่างที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยวันเดียวคือวันเลือกตั้ง ที่เหลือประชาชนรอไปก่อน

 

ก็เป็นไปตามที่ นายกฯ ลุงตู่ พูดไว้ "เขาไม่ต้องการเปลี่ยน แปลงอะไรเลย ในนั้นผมรู้ว่าใครเป็นอย่างมีทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ เห็นไหมเขากันเองยังไม่เห็นร่วมกัน อะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับเขาก็ไม่เอาทั้งสิ้น ขอถามว่าคนทั้งประเทศจะยอมเขาอีกต่อไปหรืออย่างไร ยอมให้เอากลไกประชาธิปไตยที่ท่านต้องการมาทำให้ประเทศเสียหายต่อไปอีกเหรอ"

 

รู้เช่นเห็นชาติสันดานนักการเมือง ว่านี่คืออุปสรรคใหญ่ของการปฏิรูปประเทศ แต่หนทางแก้ไขไม่ง่าย เพราะพรรคการเมืองมีมวลชนอยู่ในมือ

 

สุดท้ายอยู่ที่ประชาชนจะเว้นวรรคจากนักการเมืองชั่วคราวได้หรือไม่ หยุดบูชาพรรคที่ชอบแล้วมาร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูป

หวังว่าคงเกิดในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะร่างขึ้นใหม่.

 

พ่อครูว่า....ทุกวันนี้บ้านเมืองไทยเดือดร้อนเพราะคุณทักษิณไม่หยุดถ้าเขาหยุด กลไกไม่ดีหลายอย่างเลวร้ายจะหยุด ระงับลงทันที บ้านเมืองจะดีทันตาเห็น แต่ทุกวันนี้แกไม่หยุด จะสร้างบาป สร้างนรกถึงไหน ทำไม แกจะทำกุศลก็ได้เยอะ มีเงินทอง มีมิตรสหายเยอะแยะ อาตมาก็ไม่คิดว่าคนไทยจะอาฆาตมาดร้าย จองเวรขนาดนี้ เชื่อว่าคนไทยจะไม่มุ่งมั่นจองเวรยาวยืด แต่ยิ่งไม่หยุดจะยิ่งหนัก อาตมาไม่ใช่ไปว่า แต่เรื่องจริงนะ ลูกหลานเขาก็ผยอง ไม่สำนึกอะไรกันเลย

 

บ้านเมืองทุกวันนี้อาตมาว่าดีขึ้นเยอะ มัน 83 ปีแล้ว การเมืองที่ว่าต้องรับใช้ประเทศกลับใช้ประเทศเป็นแดนปู้ยี่ปู้ยำประเทศ แย่เต็มทีต้องมาช่วยกันหน่อย อาตมาอาภัพ แต่ก็ไม่ท้อถอย เราตั้งใจช่วยประเทศชาติตามประสาเรา

 

ปฏิรูปการศึกษาที่เอาธรรมะไปใส่ในการศึกษาได้ไหม เพราะการศึกษาเป็นการสร้างชาติ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ก็มีการศึกษา จนทุกวันนี้คนเข้าใจว่าการศึกษาใช้พัฒนาตนเอง การศึกษาขึ้นหน้าทั้งโลก แต่ศึกษาแล้วยิ่งเอาเปรียบเอารัด สังคมประเทศเสียหาย เพราะการศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ ขอยืนยันเลย แก้ปัญหาบ้านเมืองแก้ที่คนคือเป้าแท้

         

                                      แก้ปัญหาการเมืองแก้ที่คนคือเป้าแท้

 

                                      (1) สัจจะนั้นต่างรู้            ทั่วทุกคน

                                       “คนไม่เห็นแก่ตน”            ยอดแท้

                                      แต่ไฉนไม่เชื่อผล               ธรรมะเล่า

                                       คนหากลดกิเลสแล้           แค่น้อยก็ลดตน

                                       (2) คนทำไมไม่น้อม         ในธรรม       

                                      ธรรมะเลิศสุดดีสำ-            นึกได้

                                      แต่คนก็บ่นำ-          พาอยู่ นั่นแล

                                      เพราะบ่ศึกษาให้              ถ่องแท้พุทธธรรม

                                      (3) สัมมาทิฏฐิแล้ว จะชัด

                                      ธรรมะพุทธปฏิบัติ             สะดวกแท้

                                      ทุกกรรมทุกกิจวัตร            ลดกิเลส ได้นา                                    

                                      หากศึกษาแม่นแล้            จักรู้ความจริง         

                                      (4) ยิ่งสังคมอยากได้        คนดี

                                      มาบริหารชาติที                เถอะน้า

                                      แต่ก็ไม่เห็นมี                    คนใฝ่ ธรรมเลย

                                      ใฝ่แต่อื่นจึ่งช้า                  เพราะเพี้ยนเป้าจริง

                                      (5) ยิงเป้าให้เข้าสู่            จุดหมาย

                                      กู้ชาติมาหลากหลาย                  มากรู้

                                      วันนี้ชาติเสียหาย              ดังเก่า แลนา

                                      เพราะบ่แก้คนกู้                กลับให้มีธรรม

                                      (6) สำคัญยิ่งกว่าแก้         จุดใด จริงจริง

                                      แก้ประชาธิปไตย              บ่แก้

                                      คนให้ซื่อจริงใจ                 เป็นหลัก สำคัญแฮ

                                      แก้กฏได้ไป่แท้                  ชั่วครั้งชั่วคราว                 

                                      (7) ดียาวต้องแก้ที่  ตัวคน

                                      คนจักซื่อสละตน              ตลอดได้

                                      เพราะบรรลุมรรคผล          ทิฏฐิ สัมมาเฮย                

                                      ปฏิรูปศาสนาให้               สะอาดบ้างพอหวัง.

         

                                                                   “สไมย์ จำปาแพง”                     

                                                                                      6 ก.ย. 2558

                   [นัยปก  “เราคิดอะไร” ฉบับ 303 ประจำเดือน ตุลาคม 2558]                                                                       

พ่อครูว่า....ที่พูดไปนี้อาจเหมือนสายลมพัดผ่าน แต่ก็ต้องพูด อาตมาหวังดีต่อประเทศชาติสังคม ที่พยายามไม่ตายง่ายๆ ไม่ได้อยู่เพื่อแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ หรือเสพสุข แต่อยู่เพื่อนำธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศเพื่อให้เห็นว่าดีน่าจะนำไปใช้บ้าง ก็พูดกันเข้าใจกันทุกคนไม่มีใครปฏิเสธ แต่ทำไมถึงเผิน ถึงมองผ่านมองข้ามไม่เอาจริงเอาจัง ถามจริงๆเถอะศาสนาพระพุทธเจ้านี้ดีจริงยอดเยี่ยมไหม...แล้วจะเอาอะไร?  มันโง่หรือฉลาดแน่

 

เมืองไทยเมืองพุทธ ก็ถามกันตรงๆว่า ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ดีจริงก็ดีจริง แล้วเลิศยอดไหม เลิศยอด แล้วจะเอาขี้หมาอะไร ขอถามหน่อย แต่เขาคงไม่ตอบนะ เพราะเขาไปเป็นคุณหญิงแล้ว อาตมาเคยตั้งชื่อว่า แพรฟ้าให้เขา อาตมาจบกวีนี้ด้วย คำว่า ปฏิรูปศาสนาให้ สะอาดบ้าง พอหวัง

 

ปฏิรูปอะไรก็ไม่มีหวัง แต่ถ้าปฏิรูปศาสนาได้นี้จะพอมีหวังนะ ไม่ใช่อาตมาหลงใหลศาสนานะ แต่เรื่องจริง เพราะคนนี่แหละคือตัวเป้า มนุษย์หรือคนนี่เป็นตัวการหลักของโลกทั้งใบ โลกทุกวันนี้จะฉิบหายก็ที่คนนี่แหละ ถ้าปล่อยให้มีแต่ธรรมชาติโดยไม่มีคน สภาพจะดีกว่านี้อีกเยอะ

 

จะช่วยสังคมได้เราต้องเป็นอิสรเสรี พระพุทธเจ้าทำตนให้เป็นอิสรเสรีได้อย่างแท้จริง โลกทำอะไรไม่ได้ ตั้งแต่เร่ิมเป็นโสดาบัน

ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน .

ยิ่งกว่าสวรรคาลัย

ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลกทั้งปวง . .

คือ พระโสดาปัตติผล .

 

ผู้มีโสดาปัตติผลคือจิตหลุดพ้นจากวงจรโลกีย์จากโลกหยาบๆ หลุดจากวงโคจร คือมันก็มีโลกอบาย หมุนรอบจัด ในสังคมอยู่เช่นเก่า แต่โสดาบัน เห็นกิเลสที่ตกเป็นทาส แล้วดับกิเลสสนิทพ้นอบาย เป็นโสดาบัน คนในโลกก็หมุนวนในโลกอบายเหมือนกันหมด ของพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกอบาย ลดละรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รู้ความเป็นโลกอบาย เราก็ตกเป็นทาส เราก็ล้างกิเลสเด็ดขาด อิสรเสรีภาพ เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ไปที่ไหนๆอบายของโลกก็เหมืิอนกันหมด สนุกสนานด้วยแบบนี้ ไปติดรสอบาย มันหยาบ โกงนี่หยาบ โกงทีละห้าแสนล้านนี่อภิมหาอบายก็หยุดโกงหยุดหลงร่าเริงสนุกสนานในไร้สาระ เกมส์กีฬา บันเทิง แย่งชิงเขา อาชีพไร้สาระมีอยู่ทั่วโลก เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ไปไหนในโลกก็มีอบาย แต่เราอิสระ มันจึงยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย

 

สวรรค์มีสองแบบ สวรรค์โลกีย์คุณได้เสพก็สุข ได้เล่นไพ่ ได้บันเทิงได้เต้นได้ร้องสนุกแบบนี้สัมผัสแบบนี้สนุกสุข คุณได้เสพก็สุข โลกีย์ ตื้นๆ ดูกีฬาแข่งขัน ได้แย่งชิงโลกธรรม ได้กามคุณก็นึกว่า สุขนักหนาตามอุปาทาน แล้วสั่งสมใส่จิต คือสวรรค์ แต่ถ้าหลุดจากสวรรค์เหล่านี้เป็นอุบัติเทพ มันยิ่งกว่าสุขโลกีย์ เป็นวูปสโมสุข สุขเป็นไปเพื่อความรำงับ มันตรงกันข้ามกัน นี่คือสุขแท้ที่พิสูจน์ได้

 

ยิ่งกว่าอธิปไตยใดในโลก คำว่าอำนาจ พระพุทธเจ้าสอนอยู่ 3 อำนาจ คือโลกธิปไตย อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย

คนตกอยู่ภายใต้อำนาจ โลก อำนาจอัตตาที่เป็นอธรรม เราต้องมาเรียนรู้โลก กับอัตตา

 

โลกคือ ความวนเวียนระหว่างจิตไปเกี่ยวข้องกับอะไรแล้วไปหลงยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา หลงได้สวรรค์สมมุติเทพ ได้มาก็ยินดีเป็นเราเป็นของเรา คนอวิชชาตกเป็นเหยื่อพวกนี้ ตกใต้อำนาจโลกกับอัตตา

 

โลกคือองค์ประกอบทั้งนอกและใน อะไรก็แล้วแต่ทั้งหมดทั้งนอก ทุกสรรพสิ่ง เสร็จแล้วคุณไปกำหนดว่าอันนี้น่าได้น่ามีน่าเป็น ทั้งๆที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร ตั้งแต่มหาภูตรูป แท่งก้อนที่จับต้องสัมผัสได้ จนถึงอาการ อารมณ์ กาย วจี มโนกรรม จิตมันไปยึดมาเป็นรสชาติหมด ได้รำได้ร้องได้กระดุกกระดิก ได้สัมผัสเสียดสีก็สุข ติดไปหมด หลงยึดไปหมด หลงสมมุติ จนกระทั่งแม้ได้คิดฝันเพ้อก็สบายสุข หลงติดเช่นนั้น ถ้าไม่ได้คิด ใครมาปลุกก็เอาเรื่องเลยนะ มันเป็นไปได้

 

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหล่านี้ ที่จริงเรื่องที่ไปหลงติดก็คืออัตตาทั้งนั้น ท่านก็มาแยกโลกกาม โลกรูป โลกอรูป ต้องเรียนรู้ของหยาบก่อน เพราะจิตเป็นตัวใน เราต้องเหนือความหยาบก่อน แล้วก็อยู่เหนือของหยาบได้ที่มันแรงก็เบาบางลง เหลือรูป กับอรูป เราก็จะเข้าใจภายในได้ดีมากขึ้นเป็นลำดับ เข้าไปศึกษารูป กับอรูปได้ แม้มันจะมีก็เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินแล้ว มีอบายเต็มแผ่นดิน เราก็สัมผัสมันได้แต่เราไม่มีอาการอะไร แตะต้องสัมผัสอยู่มันทำอะไรเราไม่ได้ เป็นธรรมฤทธิ์

 

ผู้เป็นนักการเมือง หรือข้าราชการที่ทำงานเพื่อปชช. ถ้าใจอยู่เหนืออบาย เหนือกามเหนือโลกธรรม จะเป็นผู้รับใช้ปกครองหรือบริหารทำงานแก่คนอื่น เพื่อปชช.เพื่อชาติที่ดี จึงเป็นความจำเป็นให้คนไปทำงานแก่ชาติ ที่อาสาเข้าไป ต้องมีคุณสมบัติเช่นนี้ ถ้าไม่มีแล้วไปอาสาทำก็ล้มเหลวสิ ก็หลอกล่อปู้ยี่ปู้ยำชาติ ยิ่งสร้างกลไกสืบทอดกัน เลวร้ายยิ่งขึ้น 83 ปีมา ประเทศไทยตกต่ำมาก เพราะค่ายกลเลวร้ายพวกนี้

 

ต้องมาเรียนรู้องค์ประกอบของโลกที่เราจะอยากได้มาเป็นเราเป็นของเราอยู่ พระพุทธเจ้าให้รู้ตั้งแต่หยาบก่อน ตัดกรอบศีล 5 ก่อนเป็นลำดับ แล้วค่อยเป็นศีล 8 หรือศีล 10 ศีลโอวาทปาติโมกข์ จะบริบูรณ์ แล้วอยู่กับโลกอย่างเข้าใจ สมัครใจช่วยโลกด้วย อย่างอาตมาก็ยินดีช่วยเขาแต่เขาอาจไม่ชอบเพราะไปแคะกิเลสเขาออก ขัดกิเลสเขา แต่อาตมาต้องทำเพราะเห็นแก่ประเทศชาติ เป็นโพธิสัตว์ตั้งใจช่วยให้คนเป็นคนดี ช่วยชาติ

 

คุณว่าพล.อ.ประยุทธนี้เหนื่อยไหม เหนื่อย ในเวลาวาระแค่นี้ทำได้ขนาดนี้ ทั้งที่ 83 ปีก็ปู้ยี่ปู้ยำกันมา ก็เพ่ิงเห็นหน้าเห็นหลังกันไม่กี่วันนี้ ถ้าไม่เรียนรู้คำสอนพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติก็ไม่มีทางรอด มาเรียนรู้ล้างโลกกับอัตตา ซึ่งเป็นสัญชาตญาณสัตว์โลกให้หมดไป หมดไปเป็นรอบ

 

โสดาบันก็หมดภัยหมดโทษระดับหนึ่ง พอมาเป็นสกิทาฯก็หลุดพ้นเพิ่มขึ้น หลุดพ้นเห็นๆอย่างมีของจริง ไม่ใช่ว่าหลุดพ้นอย่างไรไม่รู้อีก ก็เลยถ่ายทอดสอนกันไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้าให้อธิบายได้ อย่างน้อยอาตมาก็จำแนกแจกทุกวันนี้ ถ้าไม่มีอคติฟังก็จะรู้ว่าเข้าท่า

 

อัตตาคือตัวเรา คือองค์ประชุมของรูปนาม เป็นกาย ซึ่งกายขาดนามธรรมไม่ได้  พระพุทธเจ้าเรียกกาย ว่า จิต มโน วิญญาณ แม้จะเข้าใจยากแต่เป็นจริง กายนี้ไม่ทิ้งภายนอก แต่เน้นที่จิต เวลาจะใช้งานต้องสัมพันธ์ที่จิต จิตเป็นประธาน

 

จะต้องมาศึกษาที่ใจ จะเรียนรู้เทคนิคกินใช้ก็ไม่ว่าก็ทำ แต่อย่าทิ้งธรรมอย่าทิ้งสัจธรรม เพราะจะทำให้ข้างนอกที่จะทำนี้ดีด้วย แต่ถ้าทิ้งไปก็ซวย คำสอนพระพุทธเจ้านี้กายคือองค์ประชุมรูป/นาม และขาดนามไม่ได้แต่ต้องเกี่ยวกับภายนอกด้วย ทุกวันนี้เข้าใจกายแค่ร่างภายนอก แล้วดันเรียกว่า ธรรมกาย อีก ซึ่งแม้แต่คำว่ากายนี้ก็ไม่รู้จริง แล้วเอาไปผนวกคำดีอย่างธรรมะ

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมกายคือชื่อของเรา นั้นย่ิงใหญ่นะ ธรรมกายหรือพรหมกาย แต่นี่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นสัตวกายแบบไหน ไม่รู้ว่าตนเป็นสัตว์นรกหรือธรรมะ แล้วโกหกกันมากมาย มีอย่างที่ไหน เวยยาวัจกรที่ถือเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วบอกว่าไม่รู้จักได้อย่างไร อาตมาว่าถ้าไม่จัดการธรรมกายให้ได้นี้ไปไม่ออก เพราะเขามีอิทธิพล ไม่ใช่ว่าท้าทายนะ หรือทำเป็นกล้า แต่จริงๆอาตมาไม่มีกลัวหรือไม่กลัวตาย เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาตายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว จะตายอีกครั้งจะเป็นไร

 

ถ้าทำเพื่อให้เกิดสิ่งดีของมนุษยชาติ ตายก็ตายสิ อาตมาก็ว่าอาตมาพอมีบารมี มันคงไม่ตายง่ายหรอก อย่างน้อยก็มีหน้าตาเปียกๆโปๆมาช่วยกันอยู่ ที่พูดไปนี้ปรารถนาดีอยากให้เขาหยุดชั่ว แล้วพาคนลงนรก

 

เกิดจากกรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรทั้งนั้น การที่เอาอนาคตมาหลอกคนนี่ทำให้ตนและคนอื่นงมงายโง่เง่า ไปเพ้อกับอดีตอนาคต ซึ่งอดีตกับอนาคตก็มีจริง เรายังไม่ปรินิพพานก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้แต่ถ้าทำอดีตเป็นนรก อนาคตก็เดินทางมาถึง ปัจจุบันก็เป็นนรกทุกปัจจุบัน อดีตไม่เดินทางหรอกแต่อนาคตเดินทางมาถึงปัจจุบันหากคุณมีนรกก็เป็นนรกต่อไป สัญญาไม่มีหาย คุณต้องเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตจึงสลายพวกนี้ได้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ถ้าไม่มีความรู้จะสลายได้มันไม่ไปไหนหรอก เราต้องเอาวิบากกุศลมากั้นไว้ ยิ่งหยุดบาปทำแต่กุศล ดันบาปเก่าให้ไปไกลๆ ก็หมดพลังงานที่มาถึงเรา นี่คือวิธีการของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นล้างบาปได้แต่ศานาพุทธไม่เห็นด้วย แต่มีวิธีการไม่ให้บาปมาถึงเรา ทุกปัจจุบันไม่ทำบาป แล้วบาปเก่าดันให้ไกลไป ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่กุศล เพราะเราทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นอรหันต์ได้ก็จบกิจ จะมีชีวิตไปเมื่อไหร่ก็ทำกุศลกั้นไปเรื่อยๆ ขนาดพระพุทธเจ้ายังมีวิบากบาป ล้างไม่ได้แต่กันได้ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้เข้าใจง่ายๆ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:20:12 )

580914

รายละเอียด

580914_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 21

พ่อครูว่า...ทุกวันนี้อโศกเราอยู่ได้ ไม่ทุกข์ร้อนเพราะพวกเราไม่ได้เอาเปรียบใคร ไม่ได้ทุจริตขี้โกงไม่ทำ ไม่เอาเปรียบด้วย พยายามเสียสละแก่สังคมเสมอ เพราะว่าเรารู้ว่าคุณค่าของคนอยู่ที่เราได้มีส่วนให้แก่คนอื่นแก่สังคมเสมอ การไปเอาเปรียบคนอื่น มันไม่ใช่คุณค่าเลย เราไม่ทุจริตไม่เอาเปรียบแล้วเราไม่สะสมด้วย เราไม่ค่อยมีเงินคงคลังสะสมในตัวเท่าไหร่ก็หมุนเวียนใช้ไปเท่าที่มี ไม่สะสม สะพัดออก เราไม่กักตุนไม่ไปโลภเอาของคนอื่นมา ทุกวันนี้ทุนนิยมซับซ้อนมีสะสมในตัวเป็นร้อยล้านพันล้าน แล้วยังเอาเงินไปอาละวาดหารายได้จากต้นทุนเงินที่ตนมีอีก เป็นการได้เปรียบทบต้นไม่รู้กี่ชั้น เลวร้ายมาก ในทุนนิยมเป็นระบบเลวร้ายมาก เขาทำเป็นเหมือนช่วยเหลือแต่ที่ไหนได้ขูดรีดมหาศาล

 

ลัทธิเงินเชื่อเป็นลัทธิที่เลวร้ายที่สุด เป็นทุนนิยมที่ร้ายกว่าผีปอบ อโศกเราหยุดเงินเชื่อ รับรองไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน ยิ่งตกในระบบทุนนิยม ก็แทบกระดิกไม่ได้เลย มันมีเครือแหเชื่อมกันหมดของระบบทุนนิยม เป็นทุนนิยมที่ร้ายกว่าผีปอบ รวมทุกผีไว้ทั้งหมด แต่พวกชาวเราไม่เป็นหนี้ มีความขยันขันแข็ง ร่างกายไม่บกพร่อง พึ่งตนเองรอด

 

อาตมาพาพวกเราทำงาน 1.ไม่เอาเปรียบ 2.สร้างสรรเสียสละ 3.สะพัดออกเสมอ คงคลังน้อย 4.ไม่เอาเงินของคนอื่นที่ไม่ใช่สมาชิก 5.ไม่เรี่ยไรเด็ดขาด ไม่หาวิธีหว่านล้อมให้ได้เงินมา ไม่ได้คุยตัว แต่เราก็อยู่รอด เลี้ยงตัวรอด สร้างบ้านแปลงเมืองมา ก็ได้ขึ้นมา

 

ระบบเศรษฐกิจบุญนิยมจะกอบกู้โลกได้ นักเศรษฐศาสตร์เขาฟังอาตมาไม่รู้เรื่องหรอก เพราะเขาต้องทำงานอยู่แบบนั้น กับทุนนิยม แต่ระบบบุญนิยมนี่ถ้ามีมากเป็นรูปร่างจะชัดเจนว่ากอบกู้โลกอย่างไร เราทำงานได้มาก เราไม่มีพลังงานสูญเสีย เราเซฟพลังงานได้พลังงานกลับคืนมา เราก็เอาพลังงานมารวมกัน ซึ่งระบบทุนนิยมเขาก็รวมกัน mass product แต่ระบบบุญนิยมเราก็ทำได้ ทุกวันนี้เราเสียภาษีซ้อน เราทำให้ประชาชน แต่เรามีเป็นส่วนกลางก็รวมเป็นก้อนโตก็เลยต้องเสียภาษีก้าวหน้า เราก็อดทน ทำได้ไป แต่ถ้ารัฐเห็นใจเราก็จะช่วยเรา แต่ก็ทำไปจนกว่าคนตาบอดจะเห็นได้

 

ก่อนจะได้เข้าเรื่องก็มี sms มา

0893867xxx ก็แม้แต่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่าตถาคตนึกถึงความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าและออกฯลฯจากธรรมมรณัสสติกรรมฐาน

 

0857308xxx ปราบคอร์รัปชั่นแบบอโศกนี้ดีจะได้ค่อยๆขุดรากถอนโคนจนถึงที่สุด

ตอบ...การจะขุดรากถอนโคน โดยจับคนคอรัปชั่นมาประหารชีวิตหมดคุณไม่เหลือคนช่วยงานหรอก แต่คุณจะประหารไปเอาให้แรง คุณต้องเลือกประหารคนที่จัดจ้าน แล้วคนอื่นก็งอกเงยมาแทนไม่จบหรอก ของศาสนาพุทธจึงตัดที่ต้นรากคือจิต แล้วจะได้ถาวรยั่งยืน เมืองไทยเป็นเมืองที่เข้าถึงจิตเจตสิก รูปนิพพานแล้วตัดที่ขั้วหัวใจของความไม่ดีงามที่แท้จริง แต่สถาบันหลักไม่เหลือโลกุตรธรรม แม้โลกียธรรมก็ได้แค่นั้น

 

ท่านพุทธทาสกล่าวโลกุตรธรรม แต่ท่านก็คลี่ไม่ออก ไปตีทิ้งอภิธรรมเสียอีกก็เลยไปไม่ออก เพราะไม่เข้าใจสัจจะได้สมบูรณ์ แต่ท่านพุทธทาสเร่ิมมีแล้ว รู้ลักษณะโลกุตระที่ต้องปราบโลกีย์ แต่ท่านไม่มีรายละเอียด ก็เลยได้แต่ความหมายที่คนแสวงหาอยู่ก็เห็นดีด้วย อาตมาก็ขอบพระคุณท่านพุทธทาสมากเลยที่เปิดประเด็นนี้โดยเฉพาะอบายมุขนี่ท่านปราบได้มาก ก็มีคนมาช่วยทำก็ดีแล้วได้ส่วนหนึ่ง

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯชื่นชมบิ๊กคสช.คนเดียวบ่พอ!อย่าลืมเปา ปุ้นต๊อกแห่งโรงตาชั่งเข็มตรงท่านร่วมถอนอำนาจที่ควรเป็นมงคลออกจากตัวอัปมงคลได้!

 

0837277xxx (7)มีความปลอดภัยมากกว่า(8)ฝึกให้เป็นคนใจเย็น(9)ได้เพือนโดยไม่รู้ตัวและ(10)ได้ส่งเสริมเศรฐกิจพอเพียง/

0893867xxx ยุคนี้เป็นยุคทองของสุจริตชนและจะเป็นยุคมืดมนของทุจริตชน!ยกเว้นคนกลับใจ ออกมาจากยุคมืดก็ยังทันไม่สาย!

0893867xxx คนเชียร์คอรัปชั่นคือคนส่งเสริมความชั่วสะสมวิบากกรรมบาปพอกพูนชะตาชีวิตตัวเองเผชิญชะตากรรมหนัก!

0893867xxx ปชช.ขอรธน.ที่มีกฎม.ปก ป้องรธน.ให้พ้นเงื้อมมือจา กผีดิบสภาฉ้อราษฎ์บังหลวงที่จ้องจะกลับมาคอรัปชั่นโดยไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที

0893867xxx ร่วมเชียร์สุจริตชนสนับสนุนคนซื่อตรง!ส่งเสริมคนเที่ยงธรรม! ให้กำลังใจคนดีก ระทำสิ่งดีโดยชอบให้ราบรื่นสำเร็จลุล่วงทุกกิจการงานฯskk

ตอบ...อาตมาเห็นแต่มีพวกแหย่ไม่ค่อยมีพวกเชียร์ พวกนักข่าวบรรณาธิการนี่แหละพวกนักหาเรื่อง ไม่มีเรื่องก็ขายข่าวไม่ได้อีกนั่น

0893867xxx ปชธต.ที่มาจากการเลือกตั้ งชอบใช้อำนาจสกปรกฉีกชำแหละแก้รธน.ราวกับ กระดาษชำระเพื่อทำให้การคอรัปชั่นสะดวกตามใจอำนาจเถื่อนครองเมืองอมตะ!จนอะมะแตก!

 

มีคุณไพศาลพืชมงคลส่งไลน์มาให้...ว่า มีน้อยที่ใครจะแสดงธรรมนี้ได้เพราะ มัวสอนแต่การเก็งกำไรบุญ จึงต้องอาราธนาพ่อท่านแสดง เพื่อโปรดสัตว์ (คน) ช่วยแบบนี้หลายแสนคน โรคซึมเศร้าและโรคเครียด กำลังคุกคามสังคมรุนแรงมาก อาจต้องแสดงธรรมโปรดบ่อยๆ

โรคเครียดยังบางอยู่ในระดับเวทนา ในเวทนานุปัสสนามีปิติที่รักษาได้

โรคซึมเศร้าลึกฝังในจิตต้องทำให้จิตปราโมช ครับ

ขอพึ่งพ่อท่านโปรดสัตว์ แต่เป็นกันมาก แสดงทีเดียวอาจไม่หายขาด ต้องบ่อยหน่อยด้วย เพราะอโศกก็มีจุด ที่เป็นสันติอโศกพึงรับธุระโปรดชาวโลก

สำหรับโรคเครียด อาราธนาพ่อท่านแสดงโรค เหตุของโรค ความระงับ ถึงวิธีรักษา เริ่มจากง่ายๆก่อน คือ - ปิติจากอามิส - ปิติจากวิเวก – ปิติจากสมาธิ - และขั้นที่สุดคือความระงับสิ้นของปิติ จะได้เยียวยาพระที่เป็นโรคเสียด้วย เห็นข่าวพระกลายรูปฆ่าตัวตายเพราะเครียดบ้างซึมเศร้าบ้าง ก็เวทนามาก

ตอบ...เอาปีติรักษานั้นถูกต้อง คำว่าปราโมทย์กับปีติใช้แทนกันได้ การได้ปีติจากอามิส คุณต้องปฏิบัติฌาน หรือสมาธิของศาสนาพุทธเป็น คือต้องรู้จักเวทนาในเวทนา การเว้นเวทนาเสียไม่มีในฐานะที่จะมีมรรคผลของพุทธได้ พระไตรปิฎกเล่ม 9 ในพรหมชาลสูตร ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยในการปฏิบัติธรรม แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธดับหลับตาดับผัสสะไปอยู่ในภพ แล้วทำสมาธิ จึงเป็นสมาธิมิจฉาทิฏฐิไปหมดแล้ว ไม่เป็นสัมมาสมาธิแบบพระพุทธเจ้าตรัสในมหาจัตตารีสกสูตร เขาเป็นแบบสมาธิสากล นิรันดร มันมีคู่โลก มาถึงจุดเสื่อมที่เอาแต่ของสามัญมาใช้ ของพระพุทธเจ้าต้องรู้มโนปวิจาร 18 ต้องรู้เนกขัมมะกับเคหสิตะ

 

การรู้อุบายเครื่องออกคือเนกขัมมะ ต้องรู้กรอบขอบเขต คือศีล แล้วปฏิบัติไปตามลำดับ จะได้วิเวก ได้ปีติ เมื่อเนกขัมมะได้จิตจะเป็นโสมนัสเวทนาเนกขัมมะ เป็นปีติ เป็นปราโมทย์ เช่น

 

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.  ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

 

วิเวก มีสามอย่าง กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลีว่าป่าหาวิเวกได้ยาก เราไปอยู่ป่าก็เพื่อจะให้รู้ว่า เราจะฟุ้งซ่านหากามหาโลกธรรมไหมคือลอย แล้วสองมันจะไปติดป่าไหม คือจม ถ้าไม่ถึงอนาคามีก็ยาก แต่อนาคามีก็ไปตรวจสอบได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ไปออกป่า เพราะยุคพระพุทธเจ้าเขาออกป่ากันหมด พระพุทธเจ้าเองก็หลงออกป่าตามความนิยมของเขามาแล้ว

 

 แล้วก็มีช่วงเวลาที่ พระพุทธเจ้าออกผ่า 6 ปี ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ว่า เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก   ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”   ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี   เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต)  จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

 

จริงๆพระพุทธเจ้าไม่ใช่ตรัสรู้ แต่ที่จริง พระพุทธเจ้าท่านรู้มาแล้ว แล้วก็เอาที่ท่านตรัสรู้มาตรัส ท่านไม่ได้บรรลุธรรมในวันเพ็ญเดือน 6 นะ ท่านบำเพ็ญมาครบแล้ว ท่านใช้วิบาก มาตั้ง 35 ปีมาแล้ว ย่ิงหกปีหลังยิ่งใช้หนี้วิบากหนักเลย ไม่ใช่ท่านไม่มีวิบากนะ แล้ววันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ท่านไม่ได้บรรลุธรรมคือไม่ได้รู้ธรรมเพิ่มเติมอีกเลย ท่านได้แต่ระลึกของเก่าที่ท่านได้มาหมดแล้ว ระลึกไปไม่รู้กี่แสนชาติ สังวัฏกัปป์ วิวัฏฏกับป์ จึงรู้จักเนื้อแท้ของสัจธรรมโลกุตรธรรม ส่วนรายละเอียดที่ลึกขึ้นท่านมาเติมทีหลังอีก ขนาดท่านบรรลุแล้วยังมาทบทวนคนเดียวอีก 49 วันซึ่งมันก็ไม่ได้หมด มันก็ทยอยมา เทวดามาหาก็คือได้รายละเอียดลึกขึ้นเรื่อยๆ

 

ส่วนปีติจากอามิสอาตมาไม่เอา ไปจมกับอามิสไม่ได้มันต้องออกจากอามิส แล้วมีปีติอย่างโลกุตระ อาตมาไม่สอนโลกียะทุกวันนี้เขาเก่งมาก อาตมาไม่จำเป็นต้องไปสอน ศาสดาต่างๆท่านก็เก่ง เกิดรุ่นหลังพระพุทธเจ้าก็มีไม่รู้กี่องค์ ก็สอนปีติโลกียะนี่แหละเลี้ยงอยู่ ใครจะเอาปีติโลกียะไปเอาที่ศาสนาอื่น ส่วนศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ ส่วนโลกียะเขาก็มีเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็ตรัสผ่านๆมีนิดหน่อย แต่ของพระพุทธเจ้าท่านเน้นที่อาริยสัจ 

 

ถ้าจะเอาโลกุตระนั้นมาทวนกระแส แม้ปีติจากอามิสก็ไม่เอา ขออภัยที่ไม่ได้ตามใจคุณไพศาลนะ ปีติอย่างวิเวกแบบง่ายๆไม่เอาด้วย ต้องปีติจากสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า ฌานพุทธคือฌานจากจรณะ 15 จากโพธิปักขิยธรรม คือจรณะ ข้อ 12 -15 เกิดจาก

1.      ถึงพร้อมด้วยศีล               09. ปรารภความเพียร     

2.      คุ้มครองทวารอินทรีย์                 10. สติอันเป็นอาริยะ

3.      ประมาณในโภชนา           11. ปัญญา  

4.      ประกอบความตื่น             12. ปฐมฌาน 

5.      ศรัทธา (เชื่อมั่น)               13. ทุติยฌาน

6.      หิริ (ละอายต่อบาป)                   14. ตติยฌาน

7.      โอตตัปปะ (สะดุ้งบาป)      15. จตุตถฌาน

8.      แทงตลอดในพหูสูต          (ล.13/34)

 

ฌานหลับตานั้นไม่มีทางบรรลุธรรมได้ ไม่มีโหติ ถ้าจะแก้เครียดกดดันและแก้ความซึมเศร้าได้ต้องใช้ปีติ ถูกแล้ว สรุปแล้วอาตมาทำงานนี้อยู่ อาตมาก็อยากเก่งกว่านี้แต่อาตมาเก่งได้เท่านี้ จริงๆ พยายามที่สุดแล้วเก่งได้เท่านี้ก็เอาล่ะ ขอบคุณคุณไพศาลที่ให้ข้อคิดเห็นแล้วแสดงน้ำใจมา อาตมาก็ขอพูดตามประสาอาตมา อะไรกระทบกระเทือนก็ขออภัย

 

ที่จะให้อาตมาช่วยคนเครียดความซึมเศร้านั้นทำอยู่ ต้องจัดกรอบให้ตนปฏิบัติเป็นปริตตัง อย่าไปเอาอัปปมัญญา ไม่มีกรอบ ต้องเอาทีละลำดับแล้วค่อยขยายไปเป็นลำดับ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล

 

มาต่อที่ยอดนิยายต่อฯ....

 

           “วิโมกข์ 8”นั้นต้อง “เห็นทั้งรูป-เห็นทั้งนาม” และต้อง “เห็นทั้งภายนอก “กามภพ”-เห็นทั้งภายใน ลึกเข้าไปทั้งรูปและอรูป ในขณะที่มีความเป็น “กาย”คือ “ธรรม 2” ตั้งแต่หยาบ-กลาง-ละเอียดเป็นที่สุด ตั้งแต่ “กาม” ถึง “รูป” และ “อรูป”ตลอดจบถึงขั้น “สัญญา เวทยิต นิโรธ”ทีเเดียว จึงจะครบบริบูรณ์การ “สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย”

          ตลอดครบ “วิโมกข์ 8” ต้องมี “กาย”อยู่พร้อมจนกระทั่งถึง “นิโรธ”ขั้นสุดท้ายปลายจบกันโน่นทีเดียว

          ดังนั้นใครหรือนักปฏิบัติธรรมใด แม้จะมี “ตานอก”แล้ว ปฏิบัติในขณะลืมตาแล้ว รู้ความเป็น “กาย”แล้ว แต่ยังไม่รู้จัก “อาการ”ของความเป็น “กาม”ก็ดี ความเป็น “ฌาน”ก็ดี

          อาการเป็นความเคลื่อนไหว ตั้งแต่ นิสัย วิสัย อนุสัย ก็ต้องเรียนย้อนมา วิสัย มาใช้นิสัยจนกระทั่งมาอยู่กับอาศัย เราทำงานอยู่กับอาศัย เราจะรู้การทำงานตั้งแต่ลึก เข้ามาหาหยาบโอฬาริกมาเรื่อยๆ พลังงานที่จากลึกซึ้งมาหาตื้น จากธรรมนิยามมากรรมนิยามมาจิตนิยามมาพีชนิยาม ก็จะรู้ธรรมะที่ประกอบกรรม จนรู้ธรรมะที่อยู่กับจิต หรือส่ิงที่เป็นพีชะเห็นอาการของระดับพีชะได้ รู้ที่เป็นการร่วมกับดินน้ำไฟลมกับพีชะ ร่วมกับอวัยวะของเรา จะรู้อาการของอวัยวะองคาพยพต่างๆได้ จึงจะรู้จักอาการ 32 เพราะเราเรียนรู้จากอาการ 33

 

ตั้งแต่หลงบ้าในอาการ 33 เป็นเทวดาเก๊ ไม่เอาแล้วเลิก มาเป็นเทวดาอุบัติเทพจนเป็นวิสุทธิเทพ  อาตมายังไม่เก่งที่จะรู้อาการ 32 หมอแมะนี่เขาอ่านอาการ 32 หมอที่ใช้ stretchtoscope มาวัดอาการ 32 แต่ว่าอาตมาว่าหมอแมะนี่เก่งกว่าหมอปัจจุบันไม่ได้นะ สู้หมอจีนหมอแมะไม่ได้หรอก เข้าใจมากขึ้นไหม อาการนี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้ เมื่อเราสามารถเรียนรู้อาการจิต อาการพีชะ ที่ทำงานร่วมกับจิตขนาดไหน 

 

อวัยวะของเราหากไม่มีจิตเข้าไปร่วมก็ไม่รู้เรื่อง มันก็ทำงานไปตามควรของมัน แต่จิตถ้าฝึกได้ดีก็จะทำให้อาการ 32 นี้ดำเนินไปตามต้องการได้ ไม่แปลกใจที่พระพุทธเจ้ารักษาโรคได้ ใช้จิตรักษาโรคของร่างได้ อาตมาเคยพูดไป ว่าพ่อท่านว่าจะใช้พลังงานรักษาโรคไอ อาตมายังไม่ได้บอกว่าจะรักษาโรคไอ แต่จะรักษาองค์รวมให้ยืนยาวไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะรักษาไอ นี่ยังไม่ค่อยรู้ชัด แต่เขาพอรู้ว่าที่คอมีถุงอะไรมันเบียดอวัยวะอื่น  มันผ่าตัดไม่ได้ มันเสี่ยง

 

คำว่าอาการคือการเคลื่อนไหว มีทั้งรูป ทั้งอรูป อาการของความเป็นกามหรือเป็นฌานก็ดี ที่เกิดจากภาวะ “ทิฏฐะ(ได้เห็น)-สุตะ(ได้ยิน)-มุตะ(ได้กลิ่น,ได้ลิ้มรส,ได้สัมผัสเสียดสีภายนอก-ภายใน)” ก็ยังมิจฉาทิฏฐิในเรื่อง “กาม”เรื่อง “ฌาน” พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อาการแต่ภายนอกที่รู้ได้ง่ายกว่าก่อน ถึงจะเก่งที่จะรู้อาการภายในได้ พระพุทธเจ้าว่า พวกปฏิยัติแบบสายสัทธานุสารี นั้นอาสวะบางอย่างดับได้ แต่ไม่ได้เป็นอรหันต์ ต้องมาสัมผัสวิโมกข์ 8ด้วยกายครบให้ได้ปัญญาวิมุติด้วย

          กามคือสัมผัส ทวารนอกแล้วเกิดรสยินดี ลิ้มเล็มสั่งสมใส่อนุสัย แต่ถ้าคุณรู้ลดอาการกิเลสกามได้ก็คือฌาน ฌานคือพลังงานวิราคะ มันจางคลายลดลง นั่นคือลดกามเป็นฌาน มันแยกเป็นสองคำคนละลักษณะ

          กามเป็นกิเลสแต่ฌานนี้ล้างกิเลสทำให้กิเลสลด พลังงานที่เป็นกามหรือฌานในขณะที่ได้ยิน ได้เห็นได้ยิน ได้กลิ่นได้ลิ้มรส ได้สัมผัส

          ใครที่มิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้ลักษณะพลังงานกามหรือฌานได้ก็ยากปฏิบัติได้

          นั่นคือ ไม่มี “ความจริง”อยู่แท้ๆที่มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ” สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมอันเกิดอยู่ใน “จิต”ขณะนั้น ต้องผัสสะข้างนอกแล้วกระเทือนสู่ภายใน เป็นปฏิกิริยาไอโซโทป รู้ลึกเข้าไปภายใน คุณต้องไปรู้พลังงานละเอียดถึงนิวเคลียร์ฟิวชั่น ถ้าเป็นฟิชชั่นก็กระจายไกลจับไม่ได้แต่ว่าที่จับได้ก็เป็นฟิวชั่นส่วนฟิชชั่นนั้นจับไม่ได้หรอกหายไป ทุกครึ่งชีวิตเวลา

          เพราะเมื่อไม่รู้ “กาม”ไม่รู้ “ฌาน” มันก็ทำ “กาม”ให้หมดไป แล้วจะเกิด “ฌาน”ขึ้นใน “จิต” มันก็ไม่เกิด-ไม่เป็น-ไม่ได้ ...ใช่มั้ย?

          ซึ่ง “อารมณ์”ที่มี “กาม”เป็นตัวการปรุงแต่ง “จิต”อยู่เป็น “กามสดๆ”ขณะปัจจุบันนี้ มันสดๆนะ ไม่ใช่ “อารมณ์กาม”ที่เกิดเฉพาะขณะมีแต่การรับรู้ตอนอยู่ในภวังค์ และรู้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น เป็นการ “รู้”ในขณะที่ไม่มีสัมผัสภายนอกจริงเลยนั้นนะ นั่นมันแห้งๆ

          ขณะนี้มันมี “มี “ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ”สัมผัสสัมพันธ์อยู่หลัดๆครบพร้อมโทนโท่สดๆ แต่ตนเองยังอ่าน “อาการ”ที่เป็น “กามคุณ 5”ใน “ปัจจุบัน”ขณะที่มี “สัมผัส” ขณะลืมตานี้ยังไม่เป็นก็ดี หรือเผลอสติกำหนดไม่ทันก็ตาม ก็คือ ยังไม่ “เห็น”ความเป็น “กามสดๆ”นั้น ก็กำจัดมันไม่ได้ หรือไม่ได้กำจัดมัน ใช่ไหมล่ะ

          เมื่อ “ดับเหตุ”ที่มี “กาม”ไม่ได้ ไม่มีผลบ้างเลย  “ฌาน”ก็มีไม่ได้

 

(99) รู้จัก “กาม” กำจัด “กาม”(เนกขัมมะ)ได้ ก็เกิด “ฌาน”

          ถ้าทำได้แม้แค่เพียงทำให้ “กาม”จางคลายลง ก็จะเป็น “ฌาน”ไปตามลำดับ เป็น “สัมมาฌาน” เป็น “ฌาน”ลืมตา ตามแบบพุทธแท้ทั้งเราทั้งเขาร่วมรู้ได้หมด ไม่มีอะไรปิดบัง ไม่มีอะไรลับ มีแต่ “ความจริง”ที่สว่างโจ้ง ครบตื้นลึกหนาบางครบครัน  

          ไม่ใช่ “ฌาน”ที่ทำในตอนหลับตาเข้าไปอยู่ในภพ ลึกๆ ลับๆ  งมอยู่กับ “ฝัน” อันไม่เป็น “ความจริง”ที่เป็น “สัจจะ”

           “สัจจะ”ที่เป็น “ความจริง”นั้นมี 2 ก็ต้องมีครบทั้ง 2 คือ ทั้ง “สมมุติสัจจะ” และมีทั้ง “ปรมัตถสัจจะ”บริบูรณ์พร้อมทั้งนอกทั้งใน   

          ผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “สัจจะ”หรือ “ความจริง”ก็ต้องเรียนรู้ทั้ง “รูปและนาม”ของ “สมมุติสัจจะ” ทั้ง “รูปและนาม”ของ “ปรมัตถสัจจะ”

          องค์รวมของรูปกับนาม ซึ่งก็คือ “กาย”นั้น เมื่ออ่านเจาะวิจัยเข้าไปละเอียดๆแล้ว ก็อ่านเข้าไปที่ “ความรู้สึก”ใน “องค์ประชุมของรูปกับนาม(กาย)นั้นนั่นแหละ ก็จะ “เห็น”ความรู้สึกของจิตเราเองขณะนั้น”ได้ ว่า มี “อารมณ์”อย่างไร สุขหรือทุกข์ เป็นต้น

          จากนั้นก็วิเคราะห์ “ในเวทนา”นั้นเข้าไปอีกๆ ซึ่งมันก็คือ “จิต”โดยรวมนั่นเอง ใน “อารมณ์”ที่เราเสวยอยู่นั้น ที่มันเป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มันมาจากต้นทางแท้คือ  “จิต”ที่เป็นตัวการคือ  “ไม่ราคะ ก็โทสะ”(สราคะหรือสโทสะ)แน่ๆ เราจึงเกิดอารมณ์สุขหรืออารมณ์ทุกข์ขึ้นได้ เราก็จัดการกับเจ้าตัว “เหตุ”(สมุทัยอาริยสัจ)ตัวนี้แหละให้ได้

          นี่คือ การปฏิบัติธรรม เริ่มจาก “สติปัฏฐาน 4” พิจารณา “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม” 4 ข้อต้นของโพธิปักขิยธรรม 37 อันเป็น “โลกุตรธรรม 37”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 และปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมข้ออื่นๆ จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาม”และความเป็น “ฌาน”

 

          เมื่อคุณเจาะถึงจิตอ่าน สราคะ โสโทสะนั้นได้ จับได้ก็ทำการลดเมื่อลดได้เบื้องแรกจิตคุณจะได้ชื่อว่าสังขิตตังจิตตัง และวิกขิตตังจิตตัง

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) .

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์.

          1.      สราคจิต  (จิตมีราคะ)

          2.      วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

          3.      สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

          4.      วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

          5.      สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

          6.      วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

          7.      สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สายเจโต จับเป็นก้อน

          8.      วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)สายปัญญาจิตจะฟุ้ง

จิตก็มีสองลักษณะนี้มันได้แต่มันก็เป็นก้อนตีไม่แตกหรือกระจายไม่รวมกันติดไม่รู้สภาวะจริงคุณก็ทำเข้าไปอีกให้ดีขึ้น

09. มหัคคตจิต      (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต    (จิตไม่เจริญขึ้น) คือทำยังไม่ได้

11. สอุตตรจิต       (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต       (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

13. สมาหิตจิต       (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต    (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต                   (จิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต       (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

 

          ถ้ายังไม่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาย” อันเป็นจุดแรกของ “โลกุตรธรรม” แล้วก็พิจารณาเข้าไปใน “กาย”เป็น ก็ไม่เริ่มต้นเข้าสู่ “โลกุตรธรรม”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ก็ไม่มีทางบรรลุนิพพานแน่ๆ

          กระทั่งปฏิบัติแล้วอ่าน “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม”ได้ แยกแยะ “กายกับจิต”เป็น แล้วจัดการ(อภิสังขาร)ใจในใจเป็น กำจัดเฉพาะ “อาการ”หรือส่วนที่เป็น “อกุศล”แท้ๆได้ถูกภาวะ จึงจะเป็น “สัมมาฌาน”ของพุทธจริง เป็น “สัมมาสมาธิ”แท้ เป็น “เนกขัมมะ”เข้าถึงความเป็น “เวทนาในเวทนา 108” ซึ่งเป็น “ฌาน”ลืมตามี “ความจริง”

          โดย “เห็น”(ปัสสติ) “มโนปวิจาร 18 และ 36”ที่เป็นจุด “แจ้ง”(สัจฉิ) “ความจริง” ไข “โลกียะ”สู่ “โลกุตระ”ชัดเจนแจ่มแจ้งที่สุด

           อาตมาเคยถูกมหาระแบบ ว่า ว่ามาพูดธรรมะละเอียดกันแต่รู้เรื่องสักกายะหรือยัง มันต้องรู้สักกายะทิฏฐิก่อน นั่น แล้วใครกันแน่ที่ไม่รู้สักกายะ

 

(100) นิพพานเป็น “ทิฏฐธรรม”ลืมตา “เห็น”ใน “ปัจจุบัน

          เห็นไหมว่า แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแล้วได้บรรลุ “นิพพาน”กันง่ายๆ

           “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็น  “กามคุณห้า”นี้ 1 หรือ “ฌาน 1-2-3-4”นี้อีก 4 รวมเป็น 5 นี้แหละที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะทั้งเป็น “ปัจจุบัน” และทั้ง “เห็น”ได้

          แม้จะรู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”และ “ดับเหตุ”ที่จะมี “ฌาน”ในขณะที่อยู่ใน “กามาวจร” อันเป็น “ปัจจุบัน ไม่ได้  ก็ไม่สามารถบรรลุ “นิพพาน”บริบูรณ์แน่นอน มีก็แต่ “นิพพานเก๊” ..จริงๆ!!!

          เมื่อ “นิพพาน”มันก็เก๊ แล้ว “สมมุติสัจจะ”ที่ไม่มี “แก่น”(วิมุตติ) มันจะเหลืออะไร ก็ดังที่มันเป็น และเห็นๆกันอยู่

          นิพพานที่ขาดสมมุติบัญญัติมันไม่มีแก่น เหมือนหยวกกล้วยหรือไม้ไผ่ ถ้าคุณเข้าไปอยู่ในกลางไม้ไฝ่ ไปปฏิบัติอยู่กลางไม้ไผ่หรือกลางหยวกกล้วยคุณก็ไม่มีแก่น ฉันใดก็ฉันนั้นนิพพานที่ไม่มีสมมุติสัจจะด้วยก็นิพพานเก๊ ไม่ได้แยกรูปกาย นามกาย เพราะรูปนามต้องครบกาย การปฏิบัติหลับตาก็คือเหมือนนั่งปฏิบัติท่ามกลางบ้องไม้ไผ่แต่อยากได้แก่นๆ ก็ได้แก่นหยวก ..จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:21:36 )

580914

รายละเอียด

580914_พ่อครูพบนร.บ้านราชฯ ครั้งที่ 4 ต้นตอของการคิดพูดทำไม่ดี

พ่อครูว่า....พวกเราที่ชื่อว่ายังเด็ก คือคนอายุยังน้อย แต่อายุน้อยก็ไม่ได้หมายถึงคนไม่สามารถที่จะรู้ ที่จะคิด ที่จะเจริญทางจิตใจหรือ ทางกายวาจาใจ เราเจริญได้ทางกาย วาจา ใจ แม้เป็นเด็กน้อย  ถ้าเราตั้งใจระลึกเสมอว่าเรากำลังพูดอะไร กำลังทำอะไร ทำอย่างนี้มันดีไหม ถ้าไม่ดีเราก็ปรับปรุงทำให้ดีขึ้น พูด ตอนนี้เราพูดไม่ดีนะ เราก็ปรับปรุงให้มันดีขึ้น ตอนนี้เราคิดไม่ดีนะ คิดไม่ซื่อ คิดโกหก คิดจะไปทำร้ายรุนแรง คิดจะไปเห็นแก่ตัว คิดไปขี้เกียจ  คิดไปทำในสิ่งที่หมู่ฝูงเขาไม่ทำกัน ต่างๆนานา เราใช้ปฏิภาณปัญญา สามารถรู้ได้ ใช่ไหม สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ นี่แหละคือการปฏิบัติธรรม

 

ลึกไปกว่านั้น เรากำลังพูดไม่ดี ทำไม่ดี คิดไม่ดี เราก็หยุดเลิก มันเลวมันไม่ดี ไม่ควรไม่มีในหัวคิดเราเราก็เปลี่ยนความคิดใหม่ อย่างนี้ก็ดีแล้ว แล้วดีไปกว่านั้นก็คือ

 

เราต้องอ่านเลยว่า ที่กำลังคิดไม่ดี หรือกำลังพูดไม่ดี กำลังทำไม่ดีนี่ จิตใจของเรานี่ มันทำอย่างนั้นเพราะอะไร? อ่านใจเราเองว่า มีอะไรทำให้เราคิด เราทำ เราพูดเช่นนั้น ค้นลงไปในจิตใจ เราจะเห็นอาการตัวที่มันมีการฟักตัว ซ้อนในจิต ว่ามันอยากได้เอามาให้แก่ตน มันอยากเอาเปรียบ อยากทำเลว จะเห็นจิตตัวต้นคิดที่ให้ทำเลว รู้ตัวนี้ให้ได้ ตัวนี้เรียกว่าตัวกิเลสหรืออกุศลจิต เป็นตัวต้นทางที่พาพูดเลว ทำเลว แล้วเป็นตัวซ่อนในความคิด บงการความคิด ตัวนี้แหละหาให้ได้ ฟังดีๆ อาจจะลึกซึ้งหน่อย อาจลึกลับหน่อย เราต้องหาต้นเหตุแห่งการทำไม่ดีนั้นๆ

 

1.ต้นเหตุแห่งการทำไม่ดี จิตตัวไหนที่ทำให้พูดไม่ดี จิตตัวไหนตัวนั้นแหละอย่าให้มีในจิต แล้วตัวที่เป็นตัวต้นให้คิดไม่ดี ตัวนี้แหละเป็นตัวลึก ตัวคิดไม่ดีจะพาทำไม่ดี พาพูดไม่ดี ตัวที่มันทำให้เราคิดไม่ดี ตัวนี้คือกิเลส ไม่ใช่คิดไม่ดีเท่านั้นที่เป็นตัวกิเลส ความคิดเป็นตัวสำเร็จรูป แต่ตัวต้นเหตุที่ทำให้เราคิดไม่ดี แล้วผลักดันให้เราคิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดีนี่แหละ ฟังให้ดีจะรู้ว่ากิเลสอยู่ตรงไหน ตรงฐานใต้ของความคิดอีกที

 

กิเลสมีโลภ โกรธ หลง อ่านให้ได้ว่ามันเป็นต้นตอของความคิดไม่ดี ตัวนี้เป็นเหตุแห่งอกุศลธรรม เห็นต้นตอของตัวที่ให้คิดไม่ดีให้ได้ คือโลภะ โทสะ โมหะ อ้าวสองคนนี้ไม่ฟังเลย คุยกันจุ๊กจิ๊กเลย ไม่ฟังเลย ขอฟังหลวงปู่สักชั่วโมง อย่าเพิ่งเล่นอย่าเพิ่งคุย ฟังหลวงปู่อธิบายสู่ฟัง

 

ต้นตอความคิด ตัวโลภ เป็นอย่างไร ตัวโทสะเป็นอย่างไร มันไม่ชอบใจแล้วก็จะพาคิด พูด ทำ มันมาก่อนความคิดนะ เพราะฉะนั้นค้นหาต้นตอตัวนี้ให้เจอ ….ใครไม่เข้าใจยกมือเลย อ้าว กระบวยไม่เข้าใจทำไมไม่ยก

 

แล้วอาการของจิตที่เป็นโลภะ โทสะ มีต้นตออย่างไร โทสะมันจะต้องทำร้ายทำแรงแย่งชิง ต้องฆ่า ปล้นจี้เอามา เห็นแก่ตัวจัดจนทำร้ายคนอื่นเรียกว่าโทสะ ต้องอ่านอาการของมันจริง ใครอ่านอาการของมันได้แล้วเรียกชื่อมันถูก พระพุทธเจ้าตั้งชื่อไว้หมด เราก็เห็นตัวมันให้ได้ แล้วก็ต้องมีวิธีฆ่า วิธีทำลาย วิธีกำจัดตัวเลวร้ายตัวนี้อย่างไร เดี๋ยวค่อยพูดกันต่อ

 

ถ้าเราเป็นความคิดก็พอรู้ว่าเราคิดอย่างไร เราพูดอย่างนี้ก็ยิ่งเข้าใจใหญ่ เราทำอย่างนี้ แสดงออกท่าทาง มือไม้ร่างกายแขนขา เนื้อตัวท่าทางเรารู้ เข้าใจง่าย แล้วความคิด เป็นอาการนามธรรมไม่มีรูปร่างแต่เราอ่านอาการนี้ได้ เด็กๆหรือผู้ใหญ่ก็หัดอ่าน อ่านให้ออก ถ้าเห็นอาการว่ามันคิดไม่ดี หรือคิดเอาของคนอื่นเป็นฐานะขโมย หากเราเห็นก็หยุดเลย บังคับมันเลย วิธีง่ายๆ มันจะลักเอาของเขา มันไม่ดี ไปทำร้ายเขามันไม่ดี จะทำร้ายอย่างเบาหรือแรงฆ่าให้ตายก็เลวทั้งนั้น

 

ทีนี้รักหรือโลภ เอามาให้แก่ตัวเอง อันนี้ก็ยังไม่ดี ฟังตรงนี้ดีๆ การจะสร้างสรรทำอะไร เราสร้างขึ้นมา เรามีความรู้ความสามารถก็ทำมา ดินของเรา น้ำของเรา บ้านเรือนเรา วัสดุของเราด้วยแรงงานเรา เราทำด้วยสุจิตก็เป็นของเรา สร้างแล้วเราหวงแหนยึดถือเป็นของเรา ใครมาแตะไม่ได้ ใครมาใช้ไม่ได้ ก็คือหวงแหน เห็นแก่ตัวมาก แต่ถ้าเราสร้าง มีดิน มีน้ำ มีพืชอะไร ก็สร้างมาแล้ว แล้วเราก็ไม่หวงแหน สร้างแล้วก็แจกจ่ายคนอื่น อันนี้เรียกว่าไม่โลภ เป็นคนมีใจเกื้อกูลเป็นทาน บริจาคให้แก่ผู้อื่นดีไหม ทั้งที่เป็นของเราจริงๆที่เราสร้างเราผลิตมาไม่ได้เบียดเบียนเอาของใคร แต่ถ้าเราสร้างมาเป็นของเราแล้วเราก็แจกจ่ายเจือจานคนอื่น เราก็แบ่งกินแบ่งใช้ของเราพอกินพออยู่แล้วที่เหลือมีเกินก็แบ่งแจกคนอื่น อย่างนี้เรียกว่าไม่โลภ ไม่หวงแหนไม่เห็นแก่ตัว ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่น เราต้องเห็นว่าอย่างนี้เป็นของดีของเจริญ เป็นความดีงาม ต้องใช้คำว่าต้องทำ

 

กิเลสเรามีหวงแหน เห็นแก่ตัวมีมากมายเกินแล้วก็ไม่ให้ใคร หรือให้เขามาซื้อสิ มายืมก็เสียดอกให้ต้นคืนด้วยนะ นี่คือเห็นแก่ตัว ทำให้โลกเราลำบากเดือดร้อน ในชุมชนชาวอโศกตั้งแต่หลวงปู่ สมณะ หรือผู้ใหญ่ ก็เลิกเห็นแก่ตัว ไม่สะสมกอบโกย มีมากก็แบ่งแจกคนอื่น ทำตนเป็นคนเช่นนี้ ทำจริงๆ ฝึกฝนตนให้เป็นคนแบบนี้ เราจึงอยู่รวมกัน แล้วขยันสร้างสรร ปลูกพืชก็เกิดพืช ทำไม้ทำดินก็เกิดสิ่งนั้นถ้าเราทำงาน  มันไม่มีหมดหรอก แล้วเราก็มีกินมีอยู่มีใช้สอย เราไม่ไปทำสิ่งเป็นพิษทำแล้วไม่เห็นจะกินได้ใช้ได้ ไปเตะฟุตบอล เต้นแรงเต้นกา กินไม่ได้ เสียเวลาเสียแรงทำไม ไม่ได้กินใช้ได้ประโยชน์เลย แล้วได้แต่สนุก

 

สนุกเป็นตัวอย่างไร เอามาเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง เห็นไหม นี่คือความลึกซึ้งของการเสพอารมณ์ คนเข้าใจแล้วไม่ต้องไปเสพ จะต้องไปเต้นเขาทำท่านั้นท่านี้ เขาบอกว่าสนุกแล้วมันได้อะไร แต่คนไปหลงว่าสนุกมันคือสุขเท็จ ไปติดยึดจนมีอารมณ์เช่นนั้นจริงๆ เรียกว่าของหลอก ของเก๊ สุขเท็จ ถ้าเราทำความเข้าใจให้ดี

 

หลวงปู่ก็เคยสนุกอย่างพวกเรามา พอมาเข้าใจธรรมะก็รู้ว่าเราหลงไปกับความเท็จเหล่านี้มากมาย ไปเตะฟุตบอลเข้าโกล คนไปดูมันเตะเก่ง ดูแล้วมันอร่อย แล้วไปเสียเงินเสียเวลาแรงงานไปเชียร์ เทคนิคมากมาย พอเสร็จเชียร์บอลเหนื่อยก็ไปหาอะไรกินโด๊ป เสียเวลาแรงงานทุนรอน ได้แต่สนุกมันฉิบหายเลย นั่นแหละคืออารมณ์เท็จ เดี๋ยวนี้หลอกกันหลายมุมเยอะเลย พวกเราศึกษาดีๆจะได้รู้ว่ามันเท็จมากมายเลย เราเอาความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่มีสามอย่าง

 

1.สูญเสียเวลา 2.สูญเสียเงินทองทุนรอน เอาไปเสียให้มัน เช่นฟุตบอลรอบนี้ มันเก่งมาก เสียเงินบางทีเป็นล้านบาทจะได้อะไรก็ได้ดูมันเตะมันๆ สนุก แล้วก็เลิก อยากดูอีกก็ไปเสียเงินอีก คนที่รู้แล้วเขาเห็นว่าเป็นของหลอกก็ไม่เสียเวลาไปดู  3.แรงงาน แรงงานต้องเดินไปดูไปจ่ายพลังงาน ไปเชียร์นั่นคือแรงพลังงานทางกายทางจิตที่เสียไป นี่คือความสูญเสียที่โง่เง่าเยอะเลย เอาความสูญเสียของข้าคืนมา นี่คือความสูญเสียของคนโง่ คนอวิชชาในโลก ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องกันเยอะ แล้วไปเก่งสร้างสิ่งหลอกเอาเงินทองกันไป ไม่ได้เรื่องไม่ได้สาระอะไรเลย เอาแรงงานนั้นมาปลูกเมล็ดพันธ์พืช เอามาหุงข้าวทำสิ่งมีประโยชน์ยังได้อาศัยใช้สอยเลย แต่ไปดูมันเตะบอลแล้วเราเตะอย่างเขาได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ เอามาไม่ได้ เอามาใช้ไม่ได้ โง่ไหม

 

ไปดูเขาร้องเขารำ ว่าโอ้โห เช่นกังนัม มันเต้นเก่งไปดูมัน มันเต้นเก่ง เราก็ไปติดยึดกับเขา เราไปหัดเต้นอีกก็เสียเวลาแรงงาน ทุนรอนอีก เสียค่าจ้างคนสอนอีก แล้วได้อะไร ได้เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน เสียไปทำไมวะ

 

มันอร่อยดี มันเพลินดี สนุกดี แล้วเอามาใช้ได้ไหม เอามาทำอะไร ? เอามาหุงข้าวได้ไหม เอามาเช็ดพื้นได้ไหม เอามาทำอะไรได้? นี่ คนเราไปติดยึดลมๆแล้งๆที่เขาหลอกบำเรอใจ พวกนี้คือโลภและราคะ เอามาให้แก่ตนเอง

 

เช่นคนได้เพชร เขาว่าสวย ก็สมมุติเอาเอง มันหายาก อาจใช่มันหายาก มันมีไม่มากในโลกนี้ กว่าจะสะสมตัวของมันมา มันก็นาน แต่เสร็จแล้วได้เพชรมา เอาไปแกง ก็ไม่เค็ม เอาเพชรไปใส่แกงจะทำให้เค็มก็ไม่ เอามานุ่งแทนผ้าได้ไหม ….ไม่ได้

 

เราหุงข้าวไม่มีข้าวจะตายแล้ว แล้วหุงเพชรกินเพชรแทนได้ไหม ก็ไม่ได้ซื้อมาตั้งแพง นี่คือการสมมุติแล้วหลงค่ากัน ถ้าชีวิตนี้เราไม่มีเพชรเลย เราจะทำความดีทำคุณค่าแก่โลกนี้ได้ไหม ชีวิตนี้ไม่ต้องมีเพชรผ่านมือเลย แล้วเราทำความดีเต็มที่เลย แต่ถ้ามีเพชรแล้วทำให้เราขยันทำความดี คิดอะไรไม่ออกก็คิดออก ก็น่าจะลงทุนซื้อ แต่ซื้อมาแล้วมันบันดาลอะไรให้เราได้ มีแต่ต้องระมัดระวัง ต้องเก็บ อย่างเก่งก็เอาไปอวดเขาว่ามีเพชร แต่มีแล้วเก่งอะไรขึ้น ได้ทำประโยชน์อะไรขึ้น ไม่ได้ มีแต่ภาระ มีแต่โทษไม่เห็นมีคุณอะไร คนหลงเห่อก็หลงไป

 

หลวงปู่นึกถึงตนเองตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต ผ่านวัยมาเคยหาเงินเองได้เป็นล้าน ไม่เคยซื้อเพชรสักเม็ดเดียวในชีวิต เคยซื้อทองคำให้ตัวเอง 1 บาท สร้อยคอทองคำ มีพระสมเด็จห้อยด้วยเลี่ยมทอง ห้อยพระสมเด็จองค์นั้น ตอนหลังก็ให้พระเขาไป ก็ไปได้พระทองคำ ก้อนทองคำที่เป็นพระพุทธชินราช เขาให้มา เป็นทองลูกบวบ ก็เลยไปเลี่ยมมา มีสร้อยอันนั้นอันเดียวซื้อให้แก่ตนเอง นอกนั้นซื้อให้คนอื่น

 

คนก็ไปติดยึดหวงแหนเพชร แย่งชิงกันระดับโลกเลยนะ สิ่งเหล่านี้หลวงปู่เทศน์ฟังอาจไม่ซาบซึ้ง แต่โตมาจะเข้าใจว่าคนมันหวงแหนเพชร คนมันอยากได้ทองคำ แต่ตอนนี้ก็อยากได้เกมกด อยากได้การ์ตูนมากกว่า

 

สิ่งเหล่านี้ยิ่งได้มายิ่งลำบากหวงแหน ซื้อมาแล้วต้องซื้อเซฟใส่อีก ยุ่งฉิบหาย แล้วคนไม่รู้ว่ามันซวย คนที่ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เสียเวลาทุนรอนแรงงาน เอาไปทำงานสร้างสรรดีกว่าเยอะ

 

ความสูญเสียสามประการ 1.เวลา 2.แรงงาน 3.ทุนรอน ต้องไปให้มัน สามอย่างนี้คือความสูญเสียที่มนุษย์คิดไม่ถึง แต่ยิ่งใหญ่ ใครเอาความสูญเสียสามอย่างของข้านี้คืนมา จะเป็นคนรวยอย่างไม่ต้องมีทรัพย์สินของตน ทำแต่สิ่งสาระให้ประโยชน์ต่อสังคมดีกว่า

 

อย่างชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนจน นะ เราไม่ค่อยมีเงินทอง ทำงานหมุนเวียนไปวันต่อวัน ได้มาก็ให้ไป เราจ้างคนมาทำงานบ้าง จ้างได้เยอะ เหมือนคนรวยแต่เราไม่ได้มีเงินมากอย่างนั้น เราก็ใช้แรงงานทำงานทุกวัน แล้วแบ่งใช้กัน คนมาทำงานกับเราก็แบ่งกันทำงาน แล้วเฉลี่ยกัน ไม่ได้ร่ำรวยเลย แต่เราไม่สะสมไม่กอบโกยไม่เอาเปรียบเอารัด เอื้อเฟื้อเจือจานกัน นี่คือเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก แบ่งแจกเกื้อกูลเฉลี่ย จะเป็นข้าวของเงินทองก็ตามก็เฉลี่ยคือเศรษฐศาสตร์บุญนิยม

 

เราเอาแรงงานความคิดที่ไม่เห็นแก่ตัวมารวมกันเป็นหนึ่งแล้วช่วยกันทำงาน ให้เงินทองข้าวของหมุนเวียนไม่เก็บกักตุน เศรษฐศาสตร์แบบนี้พระพุทธเจ้าคิดขึ้นมา ซึ่งระบอบอื่นเขาก็อยากได้แต่ทำไม่เป็น แต่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ทำเป็น ให้พากเพียรดู

 

ต่อไปเป็นการตอบคำถาม

 

_ในเวลาหลวงพ่อเทศน์แล้วมีคนเล่นอยู่ข้างหลัง วิบากบาปจะเป็นอย่างไร

ตอบ...1.วิบากจะเป็นคนโง่เง่า เพราะไม่ได้ฟังสิ่งดีสิ่งเป็นประโยชน์ 2.จะเป็นคนถูกเอาเปรียบในอนาคต กลายเป็นทาสเพราะว่าเราโง่  3.เราก็จะขาดแคลนทุกข์ร้อนเพราะเราถูกคนอื่นเขาใช้เป็นทาสจะหนักจะลำบาก อย่างน้อยโง่เง่าเป็นต้นตอของสิ่งที่จะตามมามีอีกเยอะ เกิดจากความโง่เง่า อวิชชา ยิ่งหลวงปู่อธิบายความฉลาดลึกซึ้งยิ่งไม่ฟัง ไปเล่น แล้วเมื่อไหร่จะฉลาดขึ้นมาก็ได้แต่โง่เง่าลูกเดียว นี่คือวิบากที่ได้ทันที

 

_ไม่ทราบว่าตอนนี้ชุมชนเรามีการควบคุมระเบียบคนงานก่อสร้างอย่างไร ที่ผ่านมาได้กลิ่นบุหรี่บ่อย ไม่ทราบว่าต้องบอกใคร

ตอบ...เราก็พยายามกันอยู่ คนเสพติดก็เสพ คนพยายามหยุดก็ได้ดีไป คนติดมากก็แอบเสพ ใครติดมาเราก็บอกให้หยุด หากเขาทำร้ายหรือทำผิดมาเราก็ไม่ให้มาทำงาน เราต้องระมัดระวังภัยเราก็ไม่ได้รุนแรงอะไรกัน

 

_ผมรู้แต่ว่าสุขมีแต่สุขหลอกๆ แล้วสุขจริงๆมีไหมครับ

ตอบ...คำว่าสุขนี่เป็นภาษาแล้วเรียก คนเข้าใจผิดไปว่าสุขคือบำเรอกิเลส สมใจอร่อยดีมันดีเพลิดเพลินดี แล้วเรียกว่าสุข สุขอย่างนี้เป็นสุขไม่เที่ยงเป็นสุขเท็จ จริงๆมันทำให้ไม่มีได้เลย เราอยากได้มาแล้วมีอาการอย่างหนึ่งเกิดในใจ เช่นเราอยากได้ส้มโอนี่ อยู่วันหนึ่งเราได้ส้มโอมา แต่เราไม่มีอาการใจที่ฟูใจ เลย ได้มาเราก็ว่าได้แล้วเป็นสิทธิ์ของเราแล้ว เราก็เฉยๆ การเฉยๆนี่คือความสุขที่ไม่จ่ายพลังงานเลย เป็นความสุขสงบไม่เสียพลังงานไปฟูฟองดีใจ เสียใจก็ไม่มี ดีใจก็ไม่มี เฉยๆ แต่รู้ว่าเราได้เป็นสิทธิ์โดยสุจริต เช่นเราปลูกมาหรือคนเสียสละให้ด้วยเต็มใจเราก็ได้ แต่อาการทางใจเราก็รู้่ว่าได้อันนั้นคือสุขสงบ อันนั้นคือสุขจริง ภาษาพระพุทธเจ้าว่า วูปสโมสุข จิตอทุกขมสุข เฉยๆ แต่รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าเราได้สมควรได้ไม่เป็นไร อย่างนี้เรียกว่าสุขที่แท้จริง สุขที่ไม่เสียพลังงานของตนเองเลย สุขไม่ได้บาป  จิตเฉยๆไม่ฟูฟองเรียกว่าสุขวิเศษสุขแท้จริง นี่คือสุขจริง

 

_ถ้าชีวิตนี้เราไม่ได้อะไรสักอย่างจะเป็นอย่างไรครับ

ตอบ...มันมีสองแบบ 1. ถ้าเราไม่ทำอะไรก็ไม่ได้อะไรเลย เราก็เป็นคนว่างเปล่าก็ตายซะไม่ควรอยู่เลย แต่ถ้าเราทำงานแล้วเราทำได้ผลโดยสุจริตไม่เบียดเบียนละเมิดใคร เราก็ได้สิ่งนั้นมา เราก็ได้อาศัย เราทำสิ่งที่ควรทำควรได้ ได้อาศัยในชีวิต เราได้ส้มโอเพราะเราปลูกส้มโอ เราปลูกแก้วมังกรได้ได้แก้วมังกร มันได้ได้ แต่ถ้าไม่ได้อะไรสักอย่างก็ตายซะ ต้องได้โดยสุจริต แต่ถ้าได้โดยเราเบียดเบียนคนอื่นทำให้เสียหายก็ไม่ควรทำ ชีวิตนี้เราควรได้ควรเป็นควรมีในสิ่งที่ดี ควรทำในสิ่งที่ดี เราจะได้จะมีจะเป็นสิ่งที่ดี เมื่อมีขึ้นมาเราก็อาศัยใช้สอยและแบ่งคนอื่นได้ก็เป็นของดีของประเสริฐใช่ไหม

 

_ตั้งแต่โลกนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นมาพร้อมโลกในนี้หรือเปล่า?

ตอบ...ไม่ได้พร้อม หลวงปู่เคยไล่ให้ฟัง พระพุทธเจ้าจะเกิดต่อเมื่อมีคนทำชั่วถึงขีดหนึ่งแล้วไม่มีใครแก้ไขได้ จะมีคนๆหนึี่งฉลาดที่จะแก้ไขความชั่วของสังคมได้เป็นคนแรก คนนั้นจึงเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรก ในโลกมีพลังงานทางวัตถุไม่รู้เรื่องดินน้ำไฟลมแล้วก็พัฒนามาเป็นพืชก็ทำไปตามประสา แต่ต่อมาพัฒนาตนเป็นสัตว์ มันก็มีอัตภาพอาตมัน ทำกรรมไปจนถึงขีดที่เสียหายเดือดร้อนโลกเดือดร้อนวุ่นวายเสื่อมลงไป ก็จะมีคนๆหนึ่งหาวิธีคิดแก้ไขความเสื่อมนั้นจนได้ คนที่คิดแก้ไขความเสื่อมนั้นได้คนแรกคือพระพุทธเจ้าองค์แรก

 

เป็นคนที่รู้โลกวิทู แล้วท่านก็รู้วิธีแก้ไขอย่างยอดคือโลกุตระ แล้วก็แก้ไขได้อย่างเยี่ยมยอด เป็นหลักฐานให้คนต่อมามาสืบต่อสรุปคืออาริยสัจ 4 หรือทุกอย่างมาแต่เหตุ เหตุอยู่ที่จิตนี่แหละ แม้ไอสไตน์ก็ค้นพบอันนี้ แต่ว่าไอสไตน์ค้นพบทางวัตถุ ได้ค้นพบหลังพระพุทธเจ้าค้นพบทางจิตได้ เมื่อโลกเลวถึงขีดก็มีคนคิดจะช่วยได้ ได้สูตร อิทัปปัจจยตาหรือ relation ทางนามธรรม ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรกถึงปัจจุบันก็ใช้สูตรนี้แหละ

 

_ที่เพื่อนหลวงปู่มีใครอายุมากมาถึง 80 เหมือนหลวงปู่ไหม

ตอบ...ก็มี

 

_ได้ยินข่าวว่าในอนาคตจะไม่มีสัมมาสิกขา ม.ปลาย พอขึ้นม.ปลายก็จะเข้าปวช.หมด หนูไม่อยากให้เป็นแบบนี้

ตอบ...ก็ไม่ได้ล้มเลิกสัมมาสิกขาสามัญนะ เราก็เห็นความสำคัญของปวช. ก็เป็นนักศึกษานักเรียนก็ทำได้เหมือนสัมมาสิกขา ปวช.นี่ทำงานด้วยนะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ทางรัฐก็ส่งเสริมปวช. ก็ได้ทั้งสามัญด้วย ที่บ้านราชฯจะเน้นปวช. ถ้าเผื่อว่าปวช.เจริญจริงๆ แน่นอนว่าสัมมาสิกขาที่เอาแต่เรียนหัวโตจะไม่มีแล้ว จะมีศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เต็มรูป ความรู้ทางโลกจะ 25% เป็นงาน 35% ชาญวิชา 45% ทุกวันนี้โลกจะกลียุคเพราะว่า คนเอาแต่เรียนแล้วดูถูกคนทำงาน เอาเปรียบโลกถึงแย่ คนที่ทำงานเป็นแล้วไม่เอาเปรียบคน การเอาเปรียบเขานี่ดีหรือชั่ว เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้แล้วโลกมันชอบเอาเปรียบเขาไปก็จะเป็นลูกหนี้ มันโง่หรือฉลาด แล้วคนมันโง่ขนาดไหน คิดดูสิ เรียนแต่หัวโตได้แต่คิด แล้วคิดแล้วกินได้ไหม รู้ว่าหุงข้าวเป็น แต่หุงข้าวไม่ได้ แต่คนนี้หุงเป็นเลยใครจะได้กินไหม

 

คนรู้ว่าจะหุงอย่างไร รู้มากกมายแต่จุดไฟไม่เป็น หุงไม่ได้ แต่คนที่เขาหุงเป็นแม้จะไม่หอมไม่เลิศยอดอย่างที่คุณว่าใครจะตายก่อน พวกนักรู้มากมาย แต่ทำไม่ได้ก็ตายก่อน คนที่ทำได้แม้จะไม่เก่ง แต่ว่าทำพออยู่ได้ แล้วถ่อมตนด้วย

 

_หลังจากที่ได้นั่งคุยกับเพื่อนๆในม. คิดว่าบางทีคุรุคาดหวังกับพวกหนูมากไป เหมือนกดดันว่าจะให้เป็นเหมือนที่คุรุ สมณะ สิกขมาตุ ให้เป็น คาดหวังแต่ไม่เคยให้คำปรึกษาหรือแก้ปัญหาให้พวกหนูเลย พวกหนูเลยระบายแต่กันเอง ไม่ได้ทำให้ความไม่สบายใจหายได้เลย

ตอบ...ปัญหาเรื่องเพศปัญหาเอาแต่ใจ เพราะพวกหนูกิเลสมากไป รู้ตัวบ้าง อยากได้อย่างนั้นอย่างนี้มากมายก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอยากได้ แล้วมาให้คุรุแก้ไข จะแก้อย่างไร ใจเราอยากได้อะไรก็ไม่รู้อีก ต้องรู้ว่าใจเราอยากได้อะไร แล้วเลิกอยากได้ให้ได้ แล้วก็จะไม่อยากได้อะไร ก็ทำตามที่คุรุพาทำก็จะไม่ทุกข์

 

ถ้าคุรุจะพาทำงานจนตายก็จะได้เห็น แต่มันไม่เป็นหรอก ที่บอกว่าจะตายแล้วนะ ถามตัวเองสิว่าจะตายหรือยังมันเห็นแก่ตัว มันไม่เหนื่อยพอหรอก เหนื่อยเกินผู้ใหญ่ก็รู้อยู่ แต่นี่มันไม่เหนื่อยมากมายอะไร จะเป็นการสร้างเสริมร่างกายด้วย วัยรุ่นเป็นวัยพัฒนาพลังงานจะมีพลังงานเสริมแข็งแรงด้วย ให้พยายามมีสมรรถนะสูงมากกว่านี้อีก แต่มีโรคขี้เกียจอย่างเดียวนี่แหละ ไม่เชื่อว่าคุรุจะให้ทำงานเกินไป แต่มีความเห็นแก่ตัวขี้เกียจทำให้เราไม่ทำตาม

 

_ถ้าเราอยากให้ทำบุญแต่ให้คนอื่นไปทำแทนจะได้บุญไหม

ตอบ...ก็คนที่เป็นต้นคิดนี่แหละคือผู้ได้ แต่บางคนที่ไปทำตามแต่ใจฝืนหรือไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้แต่ถ้าคนที่ไปทำนี้เต็มใจยินดีด้วยก็ได้

 

_ถ้าเราทำไม่ดีแล้วคนอื่นไปรายงานผู้ใหญ่โดยใส่ไขตอแหลเรียกว่าอะไร

ตอบ...คำว่าตอแหลใส่ไข่คือไปบอกเติมเรียกว่าใส่ไข่ บอกเกินจริง อย่างนั้นเรียกว่าตอแหล โกหกแต่ถ้าเราทำอย่างนั้นจริงแล้วคนอื่นที่ไปบอกตามจริงเรียกว่ารายงาน ถ้าเขาเอาความไม่ดีเท่าที่เราเป็นไปบอก ผู้ใหญ่ก็ช่วยแก้ไขให้ อันนี้ดีมาก ผู้ที่ไปฟ้องหรือทำดีโดยไม่ใส่ไข่นี้ดีมาก เรียกว่ารายงานความจริงแก่ผู้ใหญ่ แต่ถ้าไปรายงานแล้วใส่ไข่ตอแหลอย่างนั้นเลว ยิ่งไม่มีเรื่องแล้วกุเรื่องก็เลวมาก แต่ถ้าคนที่ปกปิดความผิดของเพื่อนคนนั้นแหละเลว

 

_คนที่เอาเปรียบเรียกว่าบาปน้อยหรือบาปมากครับ

ตอบ...เอาเปรียบมากก็บาปมาก เอาเปรียบน้อยก็บาปน้อย ไม้เอาเปรียบเลยก็ไม่บาป...เอวัง


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:22:58 )

580915

รายละเอียด

580915_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 22

พ่อครูว่า...ชีวิตเราก็อยู่กับการศึกษา เป็นชีวิตที่ไม่ไร้ค่า จะได้ฟังไปแต่โยนทิ้ง ก็แล้วแต่ ถ้าสัมมาปริยัติ แล้วสัมมาปฏิบัติได้จริงก็เกิดผลไปตามลำดับ ก็เป็นชีวิตเจริญ คนเราที่ได้ไปเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กิเลสก็อ้วนก็โตขึ้นเสมอ อันนี้เป็นเรืิ่องที่ไม่พูดกัน ได้เสพสมกามกับอัตตา

 

กามคือสิ่งที่ได้รับผ่าน ทวาร 6 แล้วเสพรสก็เป็นกาม ชอบใจก็สุข ไม่ชอบใจก็จองเวรจองกรรม กิเลสโต อ้วน หนาพอกขึ้น เรียกปุถุชน แต่เสพอัตตานั้นไม่ใช่ทาง ทวารนอก ไม่ได้เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่จิตปรารถนาใดๆนอกเหนือไปนั่นคืออัตตาทั้งสิ้น เช่นอยากได้ลาภ มันไม่ใช่ รูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส ก็เป็นอัตตา อยากได้ตั้งแต่รูป ตั้งแต่วัตถุจนถึงพฤติกรรมมนุษย์ต่างๆ อยากไปดูคนนี้เต้นเป็นต้น มีสารพัดเยอะแยะ สมใจตนคือต้องได้อะไรสมใจตนคือบำเรอใจ มันก็เป็นกามกับอัตตา สั่งสมเป็นอัตตาทั้งสิ้น ได้กามก็สมใจ ได้อัตตาก็สมใจ คนที่สั่งสมกามก็มีอัตตาด้วย

 

ถ้าล้างกามภพได้ รูปภพ อรูปภพ ในกามราคะก็จะเป็นอัตตา เป็นต้น จากรูป เป็นอรูป ทรงไว้ ไม่เกี่ยวกับทวารนอก อยู่เหนือมันได้ก็เหลือรูป อรูป มันก็เป็นอัตตา ผู้ไม่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมเกิดมามีแต่ซวน แม้แต่ทำกุศลโลกีย์ก็ได้บาปก็มี เพราะเอาไปทำบาปซ้อน

 

เช่นได้เงินมากก็เป็นกุศล แต่เอาไปทำบาปเวรซ้อนอีก ได้ยศมาก็เอาไปทำบาปเวรซ้อน ธรรมะพระพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน ต้องลดละปฏิบัติไปตามลำดับ กิเลสไม่เกิดอีก เกิดแล้วก็แล้วไป มีวิธีไม่ให้กิเลสที่เป็นอดีตมีพลังมันไล่ตามเห็นหมาไล่เนื้อก็ มีวิธี สัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง

 

ทิศทางของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด หากแม้นทำผิดทางก็จะน่าสงสารที่ไปหลงจมในโลกีย์เท่าไหร่ แค่ชาวพุทธในไทย บอกว่าเป็นพุทธ 95% แล้วที่ตั้งใจศึกษาฝึกฝนจริงๆมีสักเท่าไหร่ แต่โลกุตระนั้นหยุดได้ไม่วนเวียนมีเวลาหมดสิ้นแต่โลกีย์ไม่มีทางหมดสิ้น วนเวียนไปไม่รู้กี่กัปป์

 

มาตอบ sms

0893867xxx พ่อครูเคยกล่าวการอาศัยความมักน้อยสันโดษขัดเกลาไปสู่วิเวกที่มิใช่ป่าวิเวกแต่เป็นการปฏิบัติไปสู่กายวิเวกจิตวิเวกอุปธิวิเวกฯ ถ้าไปปฏิบัตธรรมในป่าก็ได้สมาธิขั้นตนในการดับความกลัวภูติผีปีศาจนางไม้สิงสาราสัตว์!ในการดับควา มวิตกฟุ้งซ่านที่อยู่ป่าเพียงลำพัง!ได้จิตแกร่งกล้าใน การพึ่งตนกินอยู่กับป่าได้ แต่ป่าที่เป็นที่ฝึกผัสสะเป็นปัจจัยที่ดีที่ทดสอบจิตตนเองได้ดีที่สุดคือป่าคอนกรีตที่เต็มไปด้วยโลกธรรมจะอยู่ป่าช้าป่าไม้ฤาป่าคอนกรีตที่เต็มไปด้วยโลกธรรม8มีแต่ผู้ที่ฝึกวิปัสสนาการ ปฏิบัติจรณะ15มีศีลสัมป ทาอปัณณกปฏิปทา3สัทธร รม7ฌานและวิชชา8ที่ อยู่ได้ทุกที่! ทุกข้อความผิดถูกประการใดเรียนพ่อครูฯโปรดติเตือนชี้แนะกราบขอบคุณฯ

0875576xxx นมัสการเจ้าจากแดงสันป่ายาง

 

0812636xxx ไม่มีใครอธิบายธรรมได้ลุ่มลึกเท่าพ่อครูจริงๆมันลึกอย่างนี้นี่เองคนไม่มีบุญจึงไม่มีโอกาสได้สดับ

0857308xxx ขณะมีโทสะรู้แต่จะแก้ปุ้บปั้บไม่ได้ต้องอบรมจิตสักพักจึงคุมกัมมันตภาพรังสีโทสะได้สนิทค่ะ

0893867xxx ผมขนเล็บฟันเป็นกายนอกที่ตัดไปแล้วไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่เกี่ยวอะไรกับกายในกายที่เรียกว่าองค์ประชุมฯถูกไหม?

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ที่ท่านอธิบายมีอยู่ในหนังสือด้วยรึเปล่าค่ะ

ตอบ...ก็มีแน่ แต่ตอนนี้ยังไม่เสร็จ อดใจรอก่อน

0857308xxx ระดมข้อธรรมเท่าที่ระลึกได้เช่นบอกตนว่านี่เป็นโทสะ เป็นทุกข์ ต้องมีเมตตา ฯลฯนี่เป็นแบบวิกขิตตังฯหรือไม่

ตอบ...ถ้าจับอารมณ์เช่นนั้นได้ ก็บอกตนเองใช้บัญญัติพยัญชนะปรับอารมณ์ให้เมตตา ก็เป็นการปฏิบัติทำใจในใจเช่นกัน เมตตาก็ดีขึ้น แต่จะให้จริงต้องเห็น หลักของพระพุทธเจ้าต้องเห็นว่าไม่เที่ยง ถึงที่สุดเป็นอนัตตาเลย แต่เห็นว่ามันไม่เที่ยงต้องมาก่อน เห็นความไม่อยู่กับร่องกับรอย มันเป็นไปตามความต้องการของเรา มันไปๆมาๆ มันเป็นอาคันตุกะ คุณไปดึงมันมาเองนะ เป็นแขกของตัวเอง

 

แล้วพิจารณาว่ามันเป็นทุกข์ เป็นสุขเท็จ มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วเราเห็นความไม่เที่ยง ทำได้ก็จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ 9 ที่จริงมันก็หายไปทุกที จะช้าหรือเร็วมันก็หายไป อยู่ที่เราจะดึงมันเอาไว้เองน่ะ

 

(100) นิพพานเป็น “ทิฏฐธรรม”ลืมตา “เห็น”ใน “ปัจจุบัน”

          เห็นไหมว่า แม้จะสัมมาทิฏฐิแล้วปานฉะนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติแล้วได้บรรลุ “นิพพาน”กันง่ายๆ

           “ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5” ที่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ว่าจะเป็น  “กามคุณห้า”นี้ 1 หรือ “ฌาน 1-2-3-4”นี้อีก 4 รวมเป็น 5 นี้แหละที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”ให้ได้ จึงจะทั้งเป็น “ปัจจุบัน” และทั้ง “เห็น”ได้ แม้หลับตาก็เป็นทิฏฐธรรมนิพพานได้แต่ไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิ

 

          แม้จะรู้ “กาย”ได้แต่ “ดับเหตุ”ที่จะมี “กาม”และ “ดับเหตุ”ที่จะมี “ฌาน”ในขณะที่อยู่ใน “กามาวจร” อันเป็น “ปัจจุบัน ไม่ได้  ก็ไม่สามารถบรรลุ “นิพพาน”บริบูรณ์แน่นอน มีก็แต่ “นิพพานเก๊” ..จริงๆ!!!

          เมื่อ “นิพพาน”มันก็เก๊ แล้ว “สมมุติสัจจะ”ที่ไม่มี “แก่น”(วิมุตติ) มันจะเหลืออะไร ก็ดังที่มันเป็น และเห็นๆกันอยู่

          แต่นั่นแหละ คนจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “นิพพาน” ว่า เก๊ หรือแท้ มันไม่ใช่เรื่องสามัญ อาตมาก็ได้แต่อธิบายไปตามความจริงใจเท่าที่มีภูมิจะพูดความจริงได้ ด้วยความปรารถนาดี ไม่ได้มีอกุศลจิตใดๆในการอธิบายนี้เลย แม้แต่การสู่รู้ พูดเกินที่รู้ “ความจริง”ที่มี 

          อาตมาอธิบายว่า เหมือนไปอยู่กลางกระบอกไม้ไผ่หรือกลางหยวกกล้วยมันไม่มีแก่น มันก็ไม่เหลือแก่นอะไร

           “นิพพาน”ของพุทธนั้นมันไม่ใช่หลับตา “เห็น” หรือหลับตาบรรลุ มันต้องบรรลุกันอย่างรู้รอบถ้วนพร้อมในขณะลืมตาเห็นๆ ตามบาลีว่า จักขุมาปรินิพพุโพติ นี้คือ หลักฐาน ที่ชี้ชัด ยืนยัน

          มีหลักฐานที่ไหน จากตรงไหนบ้างที่ยืนยันชัดเจนว่าผู้บรรลุ “นิพพาน” นั่งหลับตาแล้วบรรลุในขณะหลับตา หามาดูซิ

          ตามหลักฐานที่ยืนยันกันได้ ในพระไตรปิฎก เห็นมีแต่ลืมตาบรรลุในขณะได้เห็น-ได้ยิน-ได้กลิ่น-ได้รส-ได้สัมผัสกายอยู่ทั้งนั้น

          ขอยืนยันว่า  “นิพพาน”เป็น “ทิฏฐธรรม” ลืมตา “เห็น” ลืมตา “บรรลุ”กันใน “ปัจจุบัน”ทั้งนั้น ไม่มีใคร “หลับตา”บรรลุหรอก

 

(101)  “รู้พุทธธรรม”จาก “อดีต”ไม่ใช่ “การบรรลุธรรม”                          

          อย่าหลงเข้าใจผิดว่า  “พระพุทธเจ้า”นั่งทำสมาธิหลับตาใต้ต้นโพธิ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นั้นคือ การบรรลุ “นิพพาน” หรือการบรรลุธรรมขณะหลับตาอยู่ในภวังค์ เป็นอันขาด

          นั่นมันเป็นเพียง พระองค์ระลึกย้อน “อดีต”เข้าไปถึงขันธ์ที่เคยอาศัยในกาลก่อน แล้วพระองค์ก็ปรารภ “อดีต”ของพระองค์ พระองค์จึงได้รู้-ได้เห็น “ความจริง” ที่เป็นสุดยอดแห่ง “ความจริงอันยิ่งใหญ่”ของพระองค์ที่ได้ผ่านการบรรลุธรรมถึงขั้น “สัมมาสัมโพธิญาณ”มาแล้ว ต่างหาก

          พระองค์ไม่ได้ “บรรลุธรรม”ในตอนนั้น ท่านบรรลุมาแล้ว บรรลุเป็น “อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ”มาแล้ว ต่างหาก

          แล้วพระองค์จึงสามารถระลึกเอา “ความจริง”อันยิ่งใหญ่นั้นออกมาจาก “สัญญา”ของพระองค์เอง

          พระองค์อาศัย “การระลึก”เท่านั้น ใช้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกดูภาวะเก่าภาวะเดิมที่พระองค์เคยเกิด-เคยดับมาแล้วของพระองค์เอง และได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว ใช้จุตูปปาตญาณจึงทรงเห็น “อดีต”ต่างๆ ก็ทรงเห็น “ความจริง” ที่เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญสัมบูรณ์มาแล้ว อาศัย “การระลึก”ด้วย “เจโตสมาธิ” แล้วปรารภ “อดีต”ของพระองค์เองเท่านั้น ต่างหาก 

           “สัมมาสัมโพธิญาณ”นั้นพระองค์ได้ทรงสั่งสมมาบริบูรณ์แล้วแต่อดีต ที่พระองค์ระลึกเห็น “ความจริง”อันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นั้น พระองค์ก็ได้ทรงรู้ “ความจริง”อันเป็นของพระองค์เองที่พระองค์ปฏิบัติบรรลุสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น ได้ทรงมี “อริยสัจ”นั้นมาก่อนแล้ว

          ไม่ใช่ “บรรลุธรรม”ในขณะปฏิบัติการนี้ คือนั่งหลับตาระลึกชาติในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นั้น ก็เพียง “บรรลุของเก่า”ที่ได้แล้วมีแล้ว

          ระลึกเห็น “ความจริง”เดิมที่ทรงมีทรงเป็นมาแล้ว ขึ้นมาได้

          ไม่ใช่ “ปฏิบัติ”ตอนนี้ แล้วได้ “บรรลุธรรม”นั้นๆขึ้นตอนนี้ 

          พระองค์ไม่ได้ประพฤติใหม่ ไม่ได้ปฏิบัติใหม่ แล้วจึงบรรลุ “ผลธรรม”นั้นๆ ใหม่เลย พระองค์มีอยู่เก่าแล้ว ต่างหาก

           “พระธรรม”ของพระองค์ มีมาก่อน มีเองมาแล้ว

 

(102) เจ้าชายสิทธัตถะอาศัยระลึก “อดีต” มารู้ธรรม

          สำคัญความข้อนี้ให้ดีๆว่า พระองค์ “บรรลุธรรม”ถึงขั้น “สัมมาสัมโพธิญาณ”มาแล้ว ท่านบรรลุธรรมบริบูรณ์สัมบูรณ์ความเป็น “อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ”มาแล้ว ก่อนจะมาอุบัติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ในปางที่จะประกาศพุทธศาสนาขึ้นในยุคนั้น 

          หาใช่เพิ่ง “บรรลุผลธรรม”ตอนนั่งเข้าสมาธิใต้ต้นโพธิในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามที่พูดๆกันในพระประวัติไม่

          ทำความสำคัญมั่นหมายนี้ให้ชัดเจน ให้คมๆแม่นๆ กันดีๆ

          พระองค์ไม่ได้เกิด “ทิฏฐิ” เห็น “โลก”ที่ตนยึด เห็น “อัตตา”ที่ตนยึด ในขณะที่อาศัย “อดีต” ในขณะปรารภ “ธรรม”จากอดีตนี้และไม่ได้อาศัย “อนาคต” ไม่ได้ปรารภ “ธรรม”จากอนาคต หรือไม่ใช่ตรึกเอาเอง แล้วจึงมี “ทิฏฐิ” แต่ท่าน “บรรลุทิฏฐิ”เป็น “สัมมาทิฏฐิ” ได้แล้วมาก่อนนี้แล้ว จนกระทั่ง “พ้นมิจฉาทิฏฐิ”หมดสิ้นแล้ว ต่างหาก

          พระองค์เข้าถึง “ความรู้แจ้งเห็นจริง”(วิปัสสนาญาณ)ในความเป็น “โลก” และความเป็น “อัตตา”มาแล้วอย่างมี “สัมมาสัมพุทโธ” ครบถ้วน “สัมมาสัมโพธิญาณ”บริบูรณ์สัมบูรณ์มาแล้วจริง ต่างหาก

          พระองค์ทรงรู้แจ้งจบครบถ้วนองค์ประกอบความเป็น “โลก” ถ้วนองค์ประกอบความเป็น “อัตตา” ทรง “ธรรม”ที่เป็นสุดยอดแห่ง “อธิปไตย”มาก่อนจะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วด้วย

          พระองค์ทรงมี “อธิปไตย 3”ครบสัมบูรณ์แล้ว ทั้งความเป็น “โลก”พระองค์ก็มี “อธิปไตย”อยู่เหนือความเป็น “โลก”แล้ว ทั้งความเป็น “อัตตา”พระองค์ก็มี “อธิปไตย”อยู่เหนือความเป็น “อัตตา”แล้ว โดยพระองค์ทรงมี “ธรรม”เป็น “อธิปไตย”แท้จริง ที่จะอนุเคราะห์ “โลก”(โลกานุกัมปา) และทำคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ(พหุชนหิตายะ) และสร้างสุขอันประเสริฐให้แก่มวลมนุษยชาติ(พหุชนสุขายะ)

          แต่ตอนนี้ อาศัยระลึก “อดีต” ตรวจ “ความจริง”จากอดีต แล้ว ปรารภ “ธรรม”ที่พระองค์เคยมี “ความจริง”มาแล้วว่ามีอะไร อย่างไร

 

(103) เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่มี “พุทธธรรม”ให้ปฏิบัติ

          ในช่วงระยะที่เป็น “เจ้าชายสิทธัตถะ” แม้แต่ทรงออกผนวชอีก 6 ปี พระองค์ก็ยังไม่มี “พุทธธรรม”จากที่ไหนๆ ให้ปฏิบัติ

          เพราะช่วงนั้น “พุทธธรรม”ยังไม่เกิด ยังไม่มีในโลก

          ออกปฏิบัติธรรมตลอด 6 ปีนั้นไม่ใช่การปฏิบัติ “ธรรม”ของพุทธ

          ในพระชนม์ชีพจากประสูติถึงทรงออกผนวช 29 พรรษา พระองค์ ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราวอะไร แม้ทรงออกผนวชอีก 6 พรรษา พระองค์ก็มีแต่ทรงบำเพ็ญ “ทุกกรกิริยา”ตามสมัยนิยมยุคนั้น [เหมือนยุคนี้นิยมออกป่าปฏิบัติ นิยมหลับตาทำสมาธิ] และพระองค์ก็ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาได้สุดยอดยิ่งกว่า นักบวชใดๆ ในยุคไหนๆ พระองค์ไม่ได้ทรงบรรลุธรรมใดๆอันเป็น “พุทธธรรม”เลย แม้สักน้อย ก็ความเป็น “พุทธธรรม”ยังไม่ปรากฏเลยในโลก พระองค์ก็ปฏิบัติไปตามชาวโลกยุคนั้นเขา เท่าที่ชาวโลกเขารู้เขามีกัน

          เพราะ “พุทธธรรม”มันยังผนึกลับอยู่ “ในใน”ส่วนลึกของ “จิตในจิต”พระองค์เอง  “พุทธธรรม”มันไม่มีอยู่ที่ไหนหรอก พระองค์นั่นแหละคือ “เจ้าของพุทธธรรม”(ธรรมสามี) แต่ตอนนี้มันยังไม่ออกมา ยังไม่ถึงเวลา “พุทธธรรม”จะปรากฏ พระองค์จึงเหมือน “ลิงลมอมข้าวพอง” ก็เมาเมา งงงง แบบ “ลิงลมอมข้าวพอง”ไปกับสังคมโลกเขา ก็หลงทำอะไรต่ออะไรตามโลก ปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติไปกับมนุษย์ทั้งหลายในกระแสโลกกระแสสังคมที่เขามีกันอยู่ในสังคมยุคนั้นตามประสา กับเป็นไปตามวิบากของพระองค์เอง

          ตลอด 6 ปี ที่ทรงปฏิบัติไปตามโลกเขานั้น มันยังไม่มีทั้ง “ทางปฏิบัติ”หรือ “วิธีปฏิบัติ”ที่สัมมาทิฏฐิ มีแต่ “วิธีปฏิบัติ”ที่ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ทั้งนั้น พระองค์ก็ทำไปตามๆเขา อย่างไม่รู้ อย่างคนหลงผิด มืดมัวโมหะ เมาๆ มัวๆ งงๆไปกับความไม่ชัด ไม่จริง จึงเรียกว่าอยู่ในภาวะ “ลิงลมอมข้าวพอง”ที่เป็นคน “งงๆ”

          ไม่รู้ “ความจริง”ชัดเจนแจ่มแจ้งด้วย “ความจริง”แท้ๆ

          ยังไม่มี “พุทธธรรม”เกิดมาให้ปฏิบัติแต่อย่างใดเลย ในขณะนั้น

 

(104) การปฏิบัติเข้าป่าบำเพ็ญกันนั้น จึงมิจฉาทิฏฐิแท้ๆ

          6 ปี ที่พระองค์ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่านั้นล้วน “ทางผิด”ทั้งนั้น ยังไม่ใช่ “ทางที่ถูกต้อง”เลย(ยังไม่มีสัมมามรรค) ที่ออกป่า นั่งสมาธิ และบำเพ็ญหลงให้เป็น “ภาวนา”(การทำให้จิตเกิดผล)ต่างๆสารพัดที่พากันทำในป่านั้น ไม่ใช่ “ภาวนา”(การทำให้เกิด)ที่จะได้ผลเป็น “พุทธธรรม”เลย ถ้าไม่ใช่การปฏิบัติ “มรรค 7 องค์”อย่างสัมมาทิฏฐิ เพราะเอาแต่หลับหลบเข้าไปอยู่ภายใน ไม่สัมมาทิฏฐิโดยมี “กาย”เป็นหลักปฏิบัติสำคัญ

          พระพุทธเจ้าต้องตรัสให้คนที่นิยมออกป่า ก็จึงต้องใช้คำว่า อยู่ป่าก็ดี แล้วก็ต้องมีอานาปานสติ 16 ที่ขาดกายไม่ได้แม้จะเป็นลมหายใจก็อย่าให้ขาดนะ

          ยิ่งยุคนี้ยิ่งมีพิสดารทำอะไรไปนอกรีตนอกรอย เลอะเทอะ แล้วหลงว่าเก่งกาจ สามารถยิ่ง เป็นพระกรรมฐาน พระธุดงค์อะไร แสนเก่งแสนขลัง มีฤทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ล้วนเรื่องลึกลับ ไม่มีใน

คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย นับถือบูชากันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนเดรัจฉานวิชา ล้วนไสยศาสตร์ เป็นเดียรถีย์กัน ส่งเสริมกันทั้งชนชั้นล่าง-กลาง-บน ทั้งสื่อสารมวลชน โฆษณาชวนเฤชื่อกัน เห็น แก่เงินแก่ลาภยศ ก็น่าสังเวชใจ น่าสงสารศาสนาเป็นอย่างยิ่งจริงๆ 

          พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด ว่า ที่พระองค์ไปเสียเวลาอยู่ในป่า 6 ปี นั้นมันไม่ใช่ “ทางถูก” มันเป็น “ทางผิด” ท่านไม่ได้บรรลุธรรมด้วยทางนั้น นั่นเป็นเพียงพระองค์ต้องออกไป “ใช้หนี้วิบาก”ของพระองค์ ที่ได้ละเมิดจาบจ้วงล่วงเกินพระพุทธเจ้าองค์ที่มีพระนามว่า “กัสสปะ” ในปางที่พระองค์เกิดเป็น “โชติปาละ” ในพระไตรปิฎก เล่ม 32 ข้อ 392 พระองค์ทรงเล่าถึงอดีตประวัติของพระองค์ ว่า 

           “เราชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้า พระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า

          จะมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง

          ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก(ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ตลอดเวลา 6 ปี

          แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็ไม่ได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้

          เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด”

          ก็ชัดเจนที่สุดแล้ว ว่า การปฏิบัติโดยหนีเข้าป่าไปบำเพ็ญออกนอกรีต ไม่ใช่ทางประพฤติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร หรือในพระสูตรอื่นๆอีกมาก อุบาลีสูตร(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 99) เป็นต้น ที่มีนัยสำคัญว่า ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศาสนาหลงออกไปยึดป่า ติดป่า ใช้ป่าเป็นที่บำเพ็ญประพฤติธรรมเป็นหลัก

          จะไปปฏิบัติในป่าก็ได้ ถ้าสมเหมาะสมควร คือมี “สัมมาทิฏฐิ” จริงๆ และต้องมี “สัมมาสมาธิ”เพียงพอด้วย ไม่เช่นนั้นล้มละลาย ไม่ “จม,ล่ม(สังสีทติ)” ก็ “เพ้อๆ,ลอยๆ(อุปฺปิลวติ)” ดังที่ศาสนาพุทธยุคปัจจุบันนี้ประสพอยู่ เป็นอยู่ขณะนี้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนยิ่ง ใน “อุบาลีสูตร” ที่ว่า

           “ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว

          ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิ(สัมมาสมาธิ)ไปเสีย

          ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้สมาธิจักสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัดผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลง(สํสีทิสฺสติ) หรือจักฟุ้งซ่าน(อุปฺปิลวิสฺสติ)”    

          แต่ก็พูดยากเสียแล้ว ยุคนี้ เพราะได้หลงติด และหลงผิดกันทั้งคนผู้ประพฤติอยู่ในป่า ทั้งคนที่ประพฤติกันในบ้าน ต่างก็ยังพากันหลงว่า การปฏิบัติธรรมที่จะมีมรรคผลของพุทธต้องพากันปฏิบัติอย่างพระป่าปฏิบัติกันนี่แหละ ของแท้

          มันได้ “มิจฉาทิฏฐิ”กันหนักแล้วเป็น “ทิฏฐุปาทาน”แน่แท้จริงๆ

          จึงยากมากๆ ที่จะทำให้กลับมามี “ความเห็นถูก”(สัมมาทิฏฐิ)ได้

          แต่อย่างไรๆก็ตาม อาตมาก็จะอุตสาหะพยายามให้คนทำ

 “สัมมาทิฏฐิ”นี้ให้เกิดให้ได้ อาตมาทำมา 45 ปีแล้วก็ได้มาบ้างแล้ว

 

(105) การระลึก “อดีต”ที่ “สัมมาทิฏฐิ”ย่อมได้ “ความจริง”

          ดังนั้น 6 ปี ผ่านไป เจ้าชายสิทธัตถะจึงสูญเปล่า เพราะหลงผิด 

          จนวันเพ็ญ เดือน 6 ผ่านการปฏิบัติเท่าที่โลกเขามีวิธีต่างๆ เก่งแค่ไหนๆ พระองค์ก็ผ่านมาหมดแล้ว ก็ไม่เห็นจะ “พบพุทธธรรม” (ที่เป็นของพระองค์เองแท้ๆ) ด้วยวิธีต่างๆเหล่านั้นเป็นพระพุทธเจ้าได้สักที เมื่อไปนั่งใต้ต้นโพธิ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก็ตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ ทรงใช้ “เตวิชโช” เท่านั้น แล้วทรงอาศัย “อดีต” ทรงปรารภ “ธรรม”ของพระองค์เองจาก “อดีต” ระลึกถึง “ความจริงอันยิ่งใหญ่”ของพระองค์เองได้สัมบูรณ์ว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญมาอย่างไร บรรลุผลมาแล้วแค่ไหนจึงได้ทรงรู้ “ความจริง”ต่างๆนั้นจาก “สัญญา”

          พระองค์ทรงได้รู้ “สัมมาสัมโพธิญาณ”ขึ้นมาในคืน 15 ค่ำ เดือน 6 นั้นจาก “สัญญา” เป็นการระลึกเอา “อดีต”ของพระองค์ขึ้นมารู้ ไม่ใช่ “ความรู้”ที่เป็น “ปัญญา”อันเป็น “ความรู้ใหม่”เพิ่งเกิดใหม่ขึ้นมา แต่เป็น “ความรู้”ของเดิม ที่พระองค์ได้ทรงมีมาเก่า ได้สั่งสม “กุศลวิบาก”ที่เป็น “พระสัมมาสัมโพธิญาณ”นี้มาแล้ว เป็น “พระปัญญาธิคุณเดิม” ไม่ใช่ “พระปัญญา”ที่เพิ่งเกิดใหม่ในขณะ”นี้

           “ความรู้”ต่างๆนานาทั้งหมดที่พระองค์ระลึกเห็น “ความจริง”ขึ้นมานั้นเป็นแค่ “สัญญา” เป็น “ความจำของเดิม” ไม่ใช่ “ความรู้”ที่เป็น “ความฉลาดรู้”อันประกอบด้วย “ฉฬายตนะ”แต่อย่างใด จึงไม่ใช่ “ความฉลาด” แต่เป็น “ความรู้”แค่ระลึกรู้เอา “ความรู้เก่า”ที่มีมาแล้วขึ้นมา “รู้”ตอนนี้ กำหนดรู้เอาจากของเดิมที่ได้มีมาแล้วเท่านั้น

           “ความรู้”ที่ทรงรู้ขึ้นมานี้ จึงไม่ใช่ “ทรงเกิดพระสัมมาสัมโพธิญาณ”ขึ้นมาตอนนั้น ในขณะที่นั่งระลึกอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น แต่เป็น “ความรู้”ที่ทรงรู้แค่กำหนดรู้ “พระสัมมาสัมโพธิญาณ”อันเคยมีมาแล้ว ทรงค้นของเก่าขึ้นมาจาก “คลังสมบัติ”ของพระองค์เองเท่านั้นมารู้ เป็นแค่ “สัญญา” มิใช่ “ปัญญา”เลย

          ซึ่งมีนัยสำคัญลึกซึ้งอยู่มาก ระหว่าง “สัญญา”กับ “ปัญญา”นี้

           “สัญญา”นี้ เป็น “สัญญา”ที่ระลึกรู้ “ความจริง”เดิมขึ้นมาได้

          ไม่ใช่ “ความฉลาดใหม่”ที่เกิดขึ้นขณะนั้น จึงมิใช่ “ปัญญา”

           “ปัญญา”ต้องมี “ฉฬายตนะ 6”ประกอบการเกิด “สัจธรรม” และต้องเป็น “สัจธรรม”ที่จริง โดยเฉพาะ “ปรมัตถสัจจะ”ใน “ปัจจุบัน”นั้น

 

(106) ระลึก “อดีต-อนาคต”ที่ “มิจฉาทิฏฐิ” ก็มีแต่ “ฝัน”

         “สัญญา”กับ “ปัญญา”เรียกว่า “ความรู้”เหมือนกัน แต่แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”หรือ “ปรมัตถธรรม” ดังนั้น การระลึก “อดีต” แม้จะระลึกได้ความจำเดิมจริง หรือจะนึกตรึกกำหนดเอาอะไรขึ้นมาใหม่ก็ตาม ถ้าเป็นผู้ “สัมมาทิฏฐิ”ก็จะสำคัญใน “ปัจจุบัน” ว่า ปัจจุบันนั้นเรากำลังเห็น “อดีต”ที่เป็น “ของจริง”เดิม หรือกำลัง “ฝัน”ได้ “ของใหม่”ขึ้นมา ก็เท่านั้น

          และ “ของเดิม”นั้นหรือ “กำลังได้ของใหม่”นี้ เแม้จะเป็น “ของเดิม”หรือ “ของใหม่” แต่เป็น “ความจริง”คือ  “สัจธรรม”หรือเปล่า

           “สัจธรรม”ที่ยังไม่ได้ ล้วนเป็น “ความจริง”ที่อยู่ใน “อนาคต”ทั้งนั้น ซึ่งก็คือ “ความจริง”ที่เราอยากจะได้ ที่เรากำลัง “ฝัน”อยู่นั่นเอง

          ภาวะ “ใหม่”ที่กำลังเห็นกำลังรู้ขึ้นมาอยู่นี้ มันคือภาวะ “อนาคต” ไม่ใช่ “ภาวะอดีตของเก่า” เรากำลัง “เห็น “อดีตหรือนาคต”กันแน่

          ทั้งอดีตและอนาคตที่ยังมิใช่ “ความจริง”(สัจธรรม)ก็มีแต่ “ฝัน”

          แต่ถ้า “ภาวะที่กำลังเห็นกำลังได้รู้ขึ้นมานั้น มันยังไม่ใช่ “สัจธรรม” ยังไม่ใช่ “ความจริง” มันก็ล้วนคือ กำลัง “ฝัน” ทั้งนั้น 

          เพราะปฏิบัติไม่มี “ผัสสะ”ภายนอกที่เป็น “ปัจจุบัน”เลย มีแต่ “สัญญา”กำหนดหมายขึ้นมาในใจเท่านั้น แม้จะเป็นปัจจุบัน ที่ผู้นั้นหลับตาปฏิบัติเข้าไปอยู่ในภวังค์ ย่อมมีแต่ “สัญญา”เป็นต้นนั้น นั่นยังไม่ใช่ “ปัญญา” ภาวะเช่นนั้นจึงไม่เห็น “ความจริง”เป็นของแท้ตาม “ความเป็นจริง”ที่มี “สมมุติสัจจะ”และ “ปรมัตถสัจจะ”

          ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติเพื่อจะบรรลุ “ความจริง”ที่รู้แค่ “สัญญา”ยังไม่เป็น “ปัญญา” จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก

          จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:23:43 )

580916

รายละเอียด

580916_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก เหลียวหลังแลหน้า หาอธิปไตย 3

พ่อครูว่า... พอลงรถเด็กก็ส่งข้อความมาว่า กราบนิมนต์พ่อท่านเทศน์เกี่ยวกับเหลียวหลังแลหน้า ก็อยู่ในเรื่องเดียวกัน ดูที่ผ่านมาและกำลังจะเดินหน้าต่อไป อดีตและอนาคตนั่นเอง  ที่จะเทศน์คืออำนาจที่ครองโลก ตั้งแต่อดีต และจะมีต่อในอนาคต ปัจจุบันเป็นตัวแปรสร้างอำนาจ เราสร้างได้ มนุษย์ทำเป็น ได้อำนาจมา

 

พระพุทธเจ้าสอนอำนาจโลก_อัตตา_ธรรมะ สามอย่าง โลกาธิไตย_อัตตาธิปไตย_ธรรมาธิปไตย เรื่องของโลกขึ้นกับอำนาจหรือพลังแรง ที่พาขับเคลื่อน ตั้งแต่เร่ิมมีนิด จนถึงมีมาก พิสดารวิเศษมากขึ้น เป็นอำนาจฟิสิกส์ อำนาจจิตวิญญาณ นามธรรม ก็มีเท่านี้

 

ชีวะที่มีพีชะสูงขึ้นเป็นจิต เกิดเป็นบทบาทของกรรม คำว่ากรรม เกี่ยวกับผู้มีความรู้เกี่ยวข้องถ้าเป็นพืชหรืออุตุไม่เกี่ยวกับกรรม ถ้าเป็นจิต แม้เป็นเดรัจฉานจะรู้หรือไม่ก็สั่งสมกรรม จนเป็นมนุษย์ ที่ถ้าไม่รู้จักกรรมก็สั่งสมกรรมชั่ว จนเข้าใจว่าเราทำกรรมแบบนี้ กาย วจี มโน ที่เราทำ อันนี้เป็นคุณ อันนี้เป็นโทษ ชั่วหรือดี กรรมทุกอย่างเป็นของๆตน สะสมมาตลอดตั้งแต่ primary cell มาเป็น secondary cell สะสมจนเป็น million cell นับไม่ถ้วน สั่งสมกรรมวิบาก สุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโก จะชั่วดี มีคุณโทษก็อยู่ที่กรรม ตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าค้นพบพลังให้คุณโทษ กับตัวเรา กับอัตตาเราตลอดกาลนาน

 

เรื่องที่เกิดวนเวียนในโลก เกิดขึ้น_ตั้งอยู่_ดับไป ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย มาตั้งอยู่เป็นเรื่องราว มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยมา มีองค์ประกอบ เสร็จแล้วมีองคาพยพในตัว ตั้งแต่เดรัจฉานก็มีบทบาท มีกรรรม อย่างอวิชชา สร้างวิบากใช้หนี้วิบากไป แม้เป็นคนก็เช่นกัน คนไม่เข้าใจกรรมก็สร้างนิยายประหลาด ลึกลับ รุนแรงเลวทราม หรือดี เร่ิมรู้จักคุณค่าของความดี แต่สัตว์มีบ้างที่รู้ทำดี จนมาเป็นคนรู้ทำดี ก็ได้ ส่ิงไม่ดีก็ทำได้ จนรู้ดีจริงๆว่าไม่ทำส่ิงไม่ดี ฝึกตนจนทำได้แต่ดี เป็นคนเจริญเป็นกัลยาณธรรม เป็นคนโลกีย์

 

พระพุทธเจ้าเกินขอบเขตโลกีย์ คือดับเหตุที่มันจะสร้างโลกีย์ที่ชั่ว ก็ดับได้เลย ดับเหตุพลังงานที่มีอำนาจ อยู่ในอัตตาที่เป็นเชื้อชีวะ จนกระทั่งมันสะสม ดีหรือชั่วออกฤทธิ์กันบวกลบคูณหาร เป็นอจินไตย คำนวณยากมาก พอมีความรู้สูงขึ้นก็พอคำนวณได้เป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าสามารถรู้ได้ดียิ่งขึ้น

 

มาเป็นมนุษย์ดีก็เรียกเทวดา มนุษย์เลวก็เรียกสัตว์นรก มีพลังอำนาจ กำลังแรงงาน ที่เกิดโดยมีตัวอัตตาควบคุม อัตตากิเลสก็ควบคุม อัตตากุศลจิตก็ควบคุม พระพุทธเจ้าสามารถดับอกุศลจิตได้ ไม่เหลืออัตภาพตน จับอกุศลจิตรู้จักต้นตอเชื้อเกิด เรียนรู้เซลล์ตั้งแต่ทรงอยู่เรียกว่าธรรมะ แล้วก็ออกบทบาทเรียกว่ากรรมนิยาม อยู่ในจิตเรา ก็จับตัวที่มันทำกรรมไม่ให้ทรงอยู่ไม่เหลือในจิตล้างธรรมะส่วนอกุศลกรรม ก็ไม่ทำชั่ว ล้างได้ดับได้ รู้จนเหลือพลังงานที่ไปหาพีชะ ไม่รู้จักร้าย พีชะไม่รู้ร้ายดีทำตามที่ควร แต่จิตนิยามที่มีปัญญารู้ว่าร้าย แล้วดับเหตุร้ายเหลือแต่เหตุดี พลังดี สะสมพลังงานดี เป็นกำลังก็มีปัญญาใช้เรียกว่า ปัญญาพละ มีความเพียรเรียกวิริยพละ เอาไปช่วยคนอื่นไปทำดีเรียกว่าสังคหพละ ทำงานอันไม่มีโทษเป็นอนวัชชพละ มีแต่สร้างสรร เหมือนพีชะที่สร้างสรรเซลล์ตัวเอง เหมือนมีตัวตนของมันไม่มีรู้กรรมวิบากไม่รู้ทุกข์สุขอะไร ก็เลยได้พลังงานพีชนิยาม ซึ่งประกอบด้วยอุตุ ความร้อนแสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า จึงควบคุมอัตตาได้ อยู่เหนืออัตตา มีอำนาจ ไม่ให้อัตตานี้ไปทำชั่วอยู่ในโลก รู้เท่าทันโลก

 

โลกคือองค์ประกอบรูปนามที่เกิดบทบาทลีลา โลกนี้ต้องเอาชีวะเป็นตัวสำคัญเกิดหมุนเวียนสร้างสิ่งแวดล้อม คนเป็นตัวจักรสำคัญ นอกนั้นก็ไปตามฐานะ โลกนี้หากไม่มีคนก็เกิดขึ้น_ตั้งอยู่_แตกสลายไป โลกบางลูกมีเชื้อชีวะเกิดได้ระดับหนึ่งแล้วก็แตกสลาย โลกที่เราอยู่นี่มีองค์ประกอบครบ มีสัตว์เกิดหลายยุค โลกใบนี้เกิดมา แล้วก็หมดยุคไป สัตว์จูราสสิคพาร์ค มีไดโนเสาร์โตสุด ก็ไม่พัฒนาก็สูญพันธ์ไป จนมาเป็นยุคหิน ยุคโลหะ ยุคนี้ยุคนาโน ดิจิตอล ยังไม่สุดนะ ยุคนี้ยังไม่สุดจะเป็นยุคอะไรสูงสุดนะ ธาตุละเอียดขนาดไหนก็เอามาใช้ได้

 

ยุคที่สิ่งที่โลหะหรือดินไม่เจริญก็ใช้จิตเป็นตัวเอก จิตมีอะไรพิสดารได้มาก ยุคดิน ยุคหิน ยุคโลหะใช้จิตได้มาก แต่ยุคนี้ใช้วัตถุได้มากฉลาด ใช้วัตถุได้มากก็จะไม่เก่งเรื่องจิต ทำลายได้มากเช่นกัน ส่ิงเหล่านี้คือพลังงานฤทธิ์แรง

 

แล้วพลังงานทางจิต นี่แหละจะใช้อย่างไร ส่วนพลังวัตถุก็ใช้ได้ เราใช้ส่ิงมีประโยชน์ ที่เป็นโทษเราก็ไม่เอามาใช้ นี่คือคนฉลาด พวกเราพยายามศึกษาแบบนี้ จนรู้ถึงชีวะ เกิดตาย ตายเกิด รู้ความดีงาม กุศล อกุศล เราไปรู้เหตุแห่งบาป รู้จักบุญ ที่ฉลาดจะรู้เหตุแห่งบาป แล้วกำจัดได้อย่างชนิดที่ จริงจัง สูญสลายหายไปไม่เกิดอีก อสังกุปปัง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) หมดพลังงานชีวิตินทรีย์ของพลังงานชั่วตลอดกาล ทำแต่ดีแต่กุศล ไม่ต้องใช้พลังงานทำลายบาปอีก เป็นอรหันต์ไม่มีพลังบุญหรือบาป มีแต่กุศลลูกเดียวไม่มีพลังงานอกุศล นี่เป็นความสุดยอดที่พระพุทธเจ้าสร้างคนได้ สร้างอำนาจได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในชีวิตคน อรหันต์คือคนไม่ลึกลับแล้ว มีอรหัตตา สามารถใช้พลังงานเป็นประโยชน์ต่อโลก พระพุทธเจ้าสร้างคนให้เป็นอรหันต์

 

ไทยเราผ่านยุคการใช้อำนาจมาหลายยุค ในไทยเราเหลือราชาที่มีแต่พลังงานดี สร้างคุณค่าประโยชน์แก่มนุษยชาติมาตลอดไม่สร้างความเลวร้าย อำนาจอธิปไตย คือการใช้อำนาจ รู้จักอำนาจ อย่างพระพุทธเจ้ารู้จักอำนาจ แล้วรู้จักใช้อำนาจอย่างสวยงามมากใช้ได้อย่างวิเศษ ใครก็แล้วแต่มีความรู้ สามารถควบคุมพลังงานในตน อัตตาธิปไตย ควบคุมอำนาจในตนนี้ มีความรู้อธิปไตย อำนาจอัตตา ตั้งแต่เราอวิชชาไม่รู้ จนทำลายอำนาจเลวร้ายหมด เหลือแต่อำนาจดี อรหันต์ทุกข์องค์ควบคุมอัตตาตนเองได้ ลึกถึงควบคุมเซลล์ ชีวิตินทรีย์ในเซลล์ก็ควบคุมได้ จะหมุนเวียนเกิดตายในโลกมีเรื่องราวเป็นนิทาน เป็นชาดกของแต่ละคน เราก็มาเรียนรู้

 

ปัจจุบันเป็นตัวแปรพลังงาน ทำเสร็จก็เป็นต้นทุนอดีต แล้วสร้างทุกปัจจุบันก็เดินหน้า แลหน้า สั่งสมไปก็ถึงหลัง ผู้รู้ผู้เห็นก็เหลียวหลังดูได้ ต่อเนื่อง ของใครก็ของใคร เรามีชีวิตในโลก เราเป็นคนดีก็เป็นประโยชน์ต่อโลก เราเลวก็เป็นตัวร้าย แล้วซับซ้อนรู้ว่าดีคืออะไรแต่เอารูปดีมาหลอกคน แท้จริงในใจเลวร้ายใช้อำนาจในตนทำร้ายคนอื่น ซับซ้อนไม่มีภาษาจะเรียก ยิ่งฉลาดเฉโกก็ยิ่งเลว ไม่รู้กี่ชั้นกี่เรื่อง ประวัติศาสตร์ที่บันทึกมีมามากมาย ดีไม่ดีคิดเรื่องใหม่เลวร้ายซ้ำซ้อนอีก

 

อดีต อนาคตก็สั่งสม อนาคตบางอย่างยังไม่ได้ทำ แต่คิดได้ก่อน มีมากกว่าในอดีต อดีตพระพุทธเจ้าประมวลได้ 18 ชนิดจากกรรมกิริยาที่มนุษย์ทำมา ก็คิดว่าครบหมดนะ อดีต 18 อย่าง ส่วนอนาคตมี 44 แบบ ในทิฏฐิ 62 ท่านก็ตรัสว่าในมนุษยชาติก็มีทิฏฐิ 62 แบบนี้ เป็นทิฏฐิที่มิจฉาทั้ง 62 แล้วในนี้มีปัจจุบันรวมด้วย 5 ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็เลวร้าย

อดีตทำแล้วแก้ไขไม่ได้ เรียนรู้เอามาศึกษาสร้างประโยชน์ได้ อนาคนไม่เคยมี พอเดินมาถึงก็เป็นปัจจุบัน ถ้าเดินมาไม่ดีก็สั่งสมอดีตไม่ดี ดีก็สั่งสมดี ปัจจุบันจึงเป็นตัวสำคัญที่จะให้มีได้ในอดีตกับอนาคต

 

อนาคตไม่ได้ทำ แต่ในอนาคตก็คือทิฏฐิที่จะดีหรือร้ายก็ได้ เมื่อยังไม่ได้ทำก็ไม่มี พอผ่านปัจจุบันก็เป็นอดีตไปเมื่อเวลาผ่าน อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ อนาคตนี่ยังไม่ได้ทำ มาถึงปัจจุบันทุกอย่างก็เปลี่ยนได้ เราจะคิดในอนาคตเลว แต่พอมาถึงปัจจุบันก็ทำให้ดี ล้างเหตุไม่ดีออก หรือจะระงับพลังชั่วไม่ให้ทำ เอาพลังงานดีมาใช้ แต่ถ้าไม่ล้างพลังงานชั่วมันก็ยังอยู่ แม้เราทำแต่ดี แต่ก็มีชั่วอยู่ ได้แต่ระงับไว้ ให้ทำแต่พลังดี หยุดพลังชั่ว ศาสนาต่างๆก็จะไม่รู้จักทำให้พลังงานเหล่านี้สูญได้ 

 

อาตมาปูพื้นมาถึงทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง พอตรัสแต่ละบทท่านก็จะลงท้ายว่า ธรรมะเหล่านี้ลึกซึ้งเห็นได้ยากรู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต คาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต แต่มนุษย์เรียนรู้ได้ อย่างพวกเรานี่ กำลังจะจดทะเบียนเป็นวิทยาลัยสอนวิชานี้ โลกเขาไม่ให้เราก็ตั้งโดยอัธยาศัย การศึกษามี 1.ในระบบ 2.นอกระบบ 3.ตามอัธยาศัย เราโง่มานาน เราจะตั้งวิทยาลัย แต่ในระบบเขาไม่ได้ แต่กฎหมายเขาให้ตามอัธยาศัยได้ เราก็ทำเองเลยเต็มที่ วิทยาลัยของเราจึงเกิด ว.นบ.และว.บบบ. เกิดแล้วเราก็จะสอนอันนี้ ว.บบบ.เน้นคุณธรรมเป็นหลัก สอบปีละครั้งเรียนตามอัธยาศัย home school อยู่ที่บ้านแล้วมาสอบ

 

.นบ.นี่ตั้งมาปีหนึ่งแล้ว เราจะทำนอกระบบตามอัธยาศัย เรามั่นใจว่าไม่ผิดกฎหมาย เรามีศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา จนถึงศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชาเลย เราไม่เป็นนิตินัยได้แล้ว ตอนนี้รุ่นสองของว.นบ.เกิดแล้วแต่เป็นนักเรียนประจำแล้ว ต้องไปเรียนที่นั่น ไม่เสียเงินทอง เรียนฟรี สร้างให้เกิดเป็นผู้ที่จะทำตนให้มีอำนาจเป็นธรรมาธิปไตย รู้จักอำนาจโลกอำนาจอัตตา

 

ทุกวันนี้ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธมีเชื้อพุทธ ซึ่งสังคมไทยผ่านการปกครองมาแต่ละยุค ปู้ยี่ปู้ยำสังคมมา จนถึงยุคนี้ อาตมาก็เก็บเอาข้อเขียนผู้ที่ดูแลสังคมมา ตอนนี้ อยู่ในบริบทที่กำลังบริหารประเทศอย่างไร ผู้ที่ได้เป็นเบอร์ 1 ของประเทศตอนนี้ในทางบริหารปกครอง นอกจากที่ยกไว้กับสถาบันในหลวง ผู้ที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือนายกฯ สถาบันกษัตริย์ก็ที่ในหลวงใหญ่ที่สุด แล้วสถาบันศาสนาก็อยู่ที่สังฆราช แต่วันนี้จะพูดแค่สถาบันบริหารคือนายกฯ

 

สถาบันกษัตริย์ มาถึงปีนี้แล้ว 68 ปีเข้าไปแล้ว ท่านได้รับการมอบประเทศมา แล้วท่านก็รับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หลังจากได้รับ ท่านทำงานมาเห็นผลงานมาประเสริฐแล้วจนอาตมาเห็นว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช้อำนาจโดยธรรม ได้ดีเยี่ยมยอด ใครจะมาบริหารประเทศก็ดูตัวอย่างในหลวงได้เลย แต่ 83 ปีของประชาธิปไตยที่มีสถาบันบริหารแยกมา มาถึงปีนี้อาตมาก็เห็นว่า การบริหารใช้อธิปไตยหรือพลังงาน กำลังแบบนี้ดีมาก ดีกว่า 83 ปีที่ผ่านมา นี่อาตมาก็พูดตามประสาที่สื่อให้ฟัง

 

อาตมาจะอ่านบทความของคุณผักกาดหอมอีกที

คอลัมน์: อ่านเอาเรื่อง: จะยอมเขาอีกต่อไปหรือ?

ในไทยโพสต์ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา

 

เก็บอดีตไว้เป็นบทเรียนแล้วเดินหน้ากันต่อไป แม่น้ำ 2 สายที่หายไป จะต้องตั้งใหม่ขึ้นทดแทนนั่นคือ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปฯ 200 คน และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เกิน 21 คน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันวันที่ 6 ตุลาคม ได้รายชื่อครบ

แต่ช่วงนี้ฝุ่นยังไม่ตลบ!

 

เพราะความอยากของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) บางคนที่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญไป ยังไม่กำเริบ เนื่องจากยังถูกจับตามองจากสังคมว่า เมื่อเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้า สมควรแล้วหรือจะกลับเข้าไปเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปฯ อีก

ใครจะมากุมบังเหียนในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ"

 

หน้าใหม่ยังมองไม่เห็น แต่หน้าเก่ามีให้เลือกอย่าง "มีชัย ฤชุพันธุ์" หลายคนอาจไม่ชอบ แต่ ณ เวลานี้หาคนมองกฎหมายทะลุและพร้อมทำงาน ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ

 

ผิดกับพวกจำอวด อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น แต่ไม่เอาอะไรสักอย่างมันมีเยอะครับ มือไม่พายแต่ชอบเอาเท้าราน้ำ

 

ครับ...พอชื่นใจได้บ้างที่ นายกฯ ลุงตู่ ท่านอ่านออก ท่านแยกเรื่องสืบทอดอำนาจ กับความจำเป็นที่ต้องทำให้การปฏิรูปเดินไปอย่างต่อเนื่องออกจากกัน

 

"ผมไม่ใช่นักการเมืองที่ต้องอยู่ให้นานเพื่ออำนาจ ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วเรื่องนี้ ผมชินกับการใช้อำนาจมาเยอะแล้ว เป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ไม่งั้นมันสั่งคนไม่ได้ ต้องสั่งคนไปรบไปตายนะ ถ้าแพ้ก็ตาย นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะสั่งและใช้อำนาจ ผมถามว่าฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาบริหารราชการ เขาสนใจตรงนี้ไหม เขาถึงไขว่คว้าหาอำนาจไง เพราะเขาไม่เคยมีอำนาจ"

 

พ่อครูว่า...คนที่เอาอัตตาทำอำนาจได้เก่งมากคือทักษิณ แล้วใช้อำนาจควบคุมสั่งการจะประเทศเสียหายมาก เขาไม่ได้เรียนรู้อำนาจอย่างจะใช้ให้ถูกทางเลย  ทักษิณเก่งในการได้อำนาจมา แต่ไม่ได้รู้ที่จะใช้อำนาจแบบโลกุตระ แต่หลงโลกธรรม 8 เต็มบ้องเลยไม่เข้าใจโลกไม่เข้าใจอัตตา ทำลายประเทศ ประเทศไทยก็คือโลกลูกหนึ่ง เขาทำลายโลกลูกนี้ด้วยน้ำมือเขา แม้เขาไล่(ตนเลือกเอง)ไปอยู่นอกประเทศแล้วแต่ก็ยังสามารถมาบงการ มีส่วนโยงใยในประเทศอีกสืบทอดอำนาจมา ทุกวงการทุกอาชีพถูกร้อยจมูกเป็นทาสทักษิณอยู่ อยู่นอกดาวดวงนี้นะ แล้วจะมายึดเอาคืนยังไม่ได้ เพราะว่ามีผู้กุมบังเหียนประเทศไทยที่ไม่ยอมเป็นทาสทักษิณ

 

ผู้ได้อำนาจการเมือง แล้วรู้ในการใช้กับสังคมประเทศแค่ไหน หากเห็นแก่ตัวก็ใช้อย่างทักษิณ เห็นแก่ตัวร้ายกาจสุด จิตโหด คนอื่นจะฉิบหายอย่างไร แม้แต่ชาติจะพังสลายฉิบหายอย่างไรก็ช่าง ...อ่านต่อ

 

"อำนาจ" คือประเด็นหลักของการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นัก การเมืองปลุกปั่นกันจนเกิดกระแสกลัวความวุ่นวายในขั้นตอนการทำประชามติ

 

ที่ผ่านมานักการเมืองไม่ต้องการแบ่งอำนาจให้ใครแม้กระทั่งประชาชนที่ลงคะแนนให้กับมือ อย่างที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยวันเดียวคือวันเลือกตั้ง ที่เหลือประชาชนรอไปก่อน

 

ก็เป็นไปตามที่ นายกฯ ลุงตู่ พูดไว้ "เขาไม่ต้องการเปลี่ยน แปลงอะไรเลย ในนั้นผมรู้ว่าใครเป็นอย่างมีทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ เห็นไหมเขากันเองยังไม่เห็นร่วมกัน อะไรก็ตามที่ไม่ตรงกับเขาก็ไม่เอาทั้งสิ้น ขอถามว่าคนทั้งประเทศจะยอมเขาอีกต่อไปหรืออย่างไร ยอมให้เอากลไกประชาธิปไตยที่ท่านต้องการมาทำให้ประเทศเสียหายต่อไปอีกเหรอ"

 

รู้เช่นเห็นชาติสันดานนักการเมือง ว่านี่คืออุปสรรคใหญ่ของการปฏิรูปประเทศ แต่หนทางแก้ไขไม่ง่าย เพราะพรรคการเมืองมีมวลชนอยู่ในมือ

 

สุดท้ายอยู่ที่ประชาชนจะเว้นวรรคจากนักการเมืองชั่วคราวได้หรือไม่ หยุดบูชาพรรคที่ชอบแล้วมาร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูป

หวังว่าคงเกิดในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะร่างขึ้นใหม่.

 

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่มีแล้วเพราะรากฐานของธรรมนูญ ผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว พระพุทธเจ้าท่านให้เว้นขาดจากเดรัจฉานวิชชา โดยเฉพาะมหาศีล ที่ละเมิดกันได้ครบเครื่องเกินเลยหยาบกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้เสียด้วยซ้ำ เป็นเดรัจฉานวิชชา เป็นเทวนิยมเต็มไปหมด เป็นศาสนาเดียรถีย์ไปหมด กลายเป็น great sovereignty ย่อยยับไปหมดแล้ว จนสถาบันหลักของศาสนาเป็นสมีอุ้มสมีไปหมดแล้ว

 

สถาบันชาติกับศาสนากำลังลำบาก สถาบันชาติกำลังดี อยู่เหนือสถาบันศาสนาด้วย ต้องจัดการให้สถาบันศาสนาดีด้วย อยู่ในโอกาสทำได้ อย่าไปปล่อยให้สถาบันศาสนาเละกว่านี้เลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้สถาบันชาติสลายไปด้วย

 

ในหลวงเสด็จขึ้นครองราชย์วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ตอนนีก็ย่าง 68 ปีแล้วที่ทรงครองราชย์

 

อำนาจบริหารตอนนี้กำลังดำเนินไปดี ลุงตู่ว่านักการเมืองเขาไม่เคยมีอำนาจ แบบสายทหารที่เขามีอำนาจเด็ดขาด เผด็จการกว่า แต่มันต้องใช้ในส่ิงที่ควรใช้เหมาะสม ตอนนี้มีอำนาจ ม.44 ในมือ คืออำนาจทหารที่สั่งให้ผู้บังคับบัญชาไปตายได้ แต่ดูแล้วนายกฯตู่ไม่เหมือนสฤษดิ์ ใช้ได้อย่างดีกว่า แต่จะใช้ให้เด็ดขาดถึงสั่งประหารบางคราวก็ต้องใช้ ทักษิณเกือบเด็ดขาดได้กว่าฮิตเลอร์ ยิ่งกว่านโปเลียน หรือมุสโสลินี ก็มีประวัติตัวอย่างมา

 

พระพุทธเจ้าเป็นยอดที่มีอำนาจสูงสุด ท่านใช้ธรรมนูญของท่านระบบของท่าน กับมวลของท่าน ไปถึงแคว้นไหนๆ พระเจ้าแผ่นดินแต่ละแคว้น ก็ยกให้ท่านหมด คือผู้บรรลุสูงสุดในการมีอำนาจ เป็นอำนาจประเสริฐไม่ทำร้ายใครทำประโยชน์ให้ทุกถิ่นที่ แม้ถึงแคว้นมคธ หรือโกศล ที่เป็นแคว้นใหญ่สุดในยุคนั้น พระเจ้าแผ่นดินก็มาเป็นสาวกท่าน ยอมรับคำสอนท่าน ยอมรับธรรมนูญหลักบริหารสังคมของพุทธ ของพระพุทธเจ้า ของพระสมณโคดม ยอมให้ ใครมาเข้ารีต มาอยู่ในธรรมนูญของพระพุทธเจ้าทุกคนยกให้ แม้พระเจ้าพิมพิสารก็เข้ารีต เป็นสาวกพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นความย่ิงใหญ่ที่วิเศษสุด ส่วนแคว้นเล็กกว่านั้นไม่มีใครเหิม

 

โลกนี้ควรมีทฤษฎีเอกนี้ ยิ่งกว่า E=mc2 แต่คือ E=mc2+A ตัวA คืออรูป ที่ไอสไตน์ยังเอาไปใช้ไม่ได้ ในหลวงเราใช้มาตลอดพระชนม์ชีพ ก็ยังทรงงานเอาภาระเพื่อประชาชน แม้ประชวรแล้วประชวรอีก เมืองไทยมีอะไรเหลือดีอยู่มากเลย

 

ขออภัยที่ต้องกล่าว ตัวอย่างประเทศที่มีปชต.มีกษัตริย์ อย่างอังกฤษ ต้องมีความลึกซึ้งที่ถึงกับออกปากชม ว่า ในหลวงเป็น King of Kings ทีนี้ประเทศไทยกำลังมีผู้บริหารที่กำลังเดินหน้า นายกฯตู่ว่า ผมเคยมีอำนาจแล้วใช้อำนาจ อย่างต้องระวังจะสั่งคนไปตายน่ะ แต่นักการเมืองเคยคิดบ้างไหม? นักการเมืองใช้อำนาจ นั้นชาติไปตายเลยนะ

 

ชาวอโศกให้อาตมาใช้อำนาจเท่าที่ให้อาตมาใช้ได้ ข้างนอกเขาก็ให้เท่าที่ได้ ส่วนข้างนอกเขาก็ใช้หนักอาจพยายามล้มล้างเลย อาตมาก็อาศัยหลบเลี่ยงเอา ตอนนี้อยู่ในภาวะที่จะร่าง รธน. กัน ก็เลือกคณะร่างกันดีๆ มองไปในประชาชนก็พอเข้าใจใส่ใจ

 

จะมีประชามติ อาตมาว่าไว้ใจประชาชนทำประชามติได้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเข้าใจมากขึ้น ที่เราจะประชามติคราวนี้อย่านอนหลับทับสิทธิ์ ออกมาลงคะแนนเสียงฉบับที่จะร่างมาใหม่แทนที่อันเก่าที่ตกไป ก็เอามาปัดฝุ่นแก้ใหม่ให้ปชช.รับร่างรับรองรธน. สมมุติว่า ร่างมาอีก หากไม่ดีก็คว่ำอีก หรือพอเป็นไปได้หรือดีก็ควรรับร่าง ไม่มีอะไรได้เต็มร้อยหรอก

 

ตอนนี้มีสองอย่างคือ ร่างรธน.กับปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปทำได้เลยทันที ปชช.ก็ต้องร่วมมือ อย่าไปขัดแข้งขัดขา อย่าไปรอแต่รธน.ท่ีตนจะได้เปรียบตามเห็นแก่ตัวอีก ก็ทำเอา ตอนนี้ปฏิรูปไปได้เรื่อยๆ

 

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอำนาจไว้ว่าอำนาจมี 3 แบบ คือโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย

 

เรื่องโลกกับอัตตาเป็นธรรมะสอง อัตตาไม่ได้ขาดจากโลก โลกไม่ได้ขาดจากอัตตา โลกนี่ถ้าเกิดสภาวะ 3 ขึ้นมา เป็นจิตนิยาม

ในทิฏฐิ 62 กล่าวถึงโลกกับอัตตา ในอดีต อนาคต ปัจจุบัน

 

ปัจจุบันมีโลกอยู่ 5 ทิฏฐิ คือ กาม ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 รวมเป็น 5 อำนาจ

อำนาจกาม คืออำนาจโลกเต็มๆ อำนาจโลกียะ ประกอบด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยกามและสุขด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ มีอยู่เท่านี้

 

อดีตกับอนาคต ที่เป็นเรื่องประกอบ ไม่สำคัญเท่าปัจจุบัน  ธรรมะพระพุทธเจ้าปฏิบัติที่ปัจจุบันก็จบ ปฏิบัติได้ดีเป็นอดีตก็เป็นอดีตที่ดี มีการตรวจสอบ อนาคตให้ดีแล้วทำในปัจจุบันก็จะเกิดผล การคิดตรึกไปเพ้อฝันไป หรือเอาอดีตมาขบคิด ก็ไม่จริง ต้องเห็นหลัดๆสัมผัสอยู่ เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีฐานะที่จะเป็นได้ ในทิฏฐิ 62 นี้แหละ ท่านก็สรุปเช่นนี้ ปัจจุบันให้ครบทั้งภายนอกภายในจะมีกำลังรวมเบ็ดเสร็จ สามารถขับเคลื่อนทำงานสร้างสรร

 

การจัดปัจจุบันต้องจัดปริเฉท ตีกรอบ เรียกว่าปริตตัง เช่น ขณะนี้เราทำในกรอบศีล 5 ระมัดระวังชีวิตนี้ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทุจริตเอาของคนอื่น ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่จัดจ้านหรือแม้ลาภ ยศ สรรเสริญที่ทุจริตไม่เอาหรือมักมากไม่เอา เอาเศรษฐกิจพอเพียงเอาแบบคนจน ย่ิงทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อย่างในหลวงตรัสก็สุดยอดแล้ว ไม่ถึงขั้นจนก็ได้แต่อย่ามากอย่ารวย จะแบ่งขนาดไหนก็แล้วแต่ ทุกวันนี้คนเขารวยถึงแสนล้านนะ อาตมาว่าร้อยล้านก็รวยมากแล้วถ้าจะเอาแสนล้านเป็นตัวตั้ง พันล้านก็รวยเละแล้ว

 

พวกเรานี่เดินทางมาหา 0 แล้วอยู่ได้โดยมีส่วนกลางสาธารณโภคี เป็นระบอบที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เอามาใช้ในยุคโน้น จนกษัตริย์แต่ละแคว้นก็ยังเข้าใจได้ แม้ยุคไม่เป็นปชต.ยังยอมรับได้ แต่ยุคนี้ยุคปชต. ก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่านะ ทำได้ทั่วโลกเลย สาธารณโภคีหรือปชต.นี่ทำได้ทั่วโลกเลย อาตมาภูมิใจที่เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาสร้างอำนาจให้แก่พวกเราจนมีธรรมาธิปไตยรับใช้โลก ไม่เบ่งอัตตา ไม่เบ่งทับกันไปกันมาแม้ในพวกเราเองก็ได้ศึกษาอบรม จนได้ทำงานร่วมกันก็ลดอำนาจของตัวเราไปเรื่อยๆ เรายิ่งลดอำนาจตนแล้วกระจายอำนาจให้แก่ประชาชน ผู้นั้นย่ิงได้อำนาจมาแก่ตน เราให้อำนาจแก่มวลชน เราก็ยิ่งได้อำนาจที่มวลชนให้เรา ยิ่งให้ไปยิ่งได้มาก เราให้แก่มวลชน มวลชนย่ิงให้เรา

 

ทุกวันนี้มวลชนมีปฎิภาณว่าให้จริงหรือไม่ เราก็จริงใจให้ปชช.เต็มที่เลยแม้เราจะมีกิเลสก็ตัดกิเลสล้างกิเลสที่เห็นแก่ตนไปเรื่อยๆ ทำเพื่อปชช.ไปตลอดเลย ศาสนาพุทธไม่หนีโลก แต่อยู่กับโลก โลกวิทู แล้วมีโลกุตรจิต เหนือโลก โลกทำอะไรเราไม่ได้ แล้วเราก็ช่วยโลกด้วยไม่ทำร้ายโลก รับใช้โลกอย่างบริสุทธิ์ใจ รู้ต้นตอของเหตุที่ไม่ดีทำลายเหตุได้

 

เหตุอะไร ก็ทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุได้ก็จบ แต่ดับเหตุไม่ดีอย่างเดียว ฆ่าให้ตายเลย แต่เหตุดีเอาไว้อย่าทำลาย นี่คือวิชชาของพระพุทธเจ้า เราก็อยู่กับสาธารณโภคีไป อบรมตนอบรมประชาชนให้เป็นคนดี ของเราทำเป็นกลุ่มเล็ก หลายกลุ่มรวมเป็นเครือแห อาตมาก็สอนบอกแนะทุกวัน ให้การศึกษา มีจุดหมายปลายทางว่าลดละตัวตนคืออัตตาให้หมด แล้วอยู่กับโลก ไม่เป็นโทษกับโลก

 

อดีตคือปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ  นั้นลัทธิที่ผู้รู้จักอดีต การศึกษากองขันธ์ในอดีต ขันธ์ 5 หรือกองวัตถุขันธ์

 

ที่เรียกว่าพุทธบริษัท 4 คือผู้มีศีล แต่ผู้อื่นที่จะมาอาศัยมาดูก็ได้ ง่ายๆคือถือศีล 5 ละอบายมุข กินมังสวิรัติได้ เราอยู่ในโครงสร้างปฏิรูป เกิดเครือแหกันมาทุกวันนี้ มีองค์รวมสาธารณโภคี มีอดีต รู้จักอัตตาและโลก ในอดีตท่านแบ่งเป็น 5 หมวด

1.สัสสตทิฏฐิ  เห็นว่าอัตตาก็เที่ยงโลกก็เที่ยง เที่ยงคือไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไม่ได้ อัตตาของคนก็แก้ไม่ได้ ให้ดีขึ้นก็ได้ แล้วเขาก็ว่าดีสุดคือไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าคืออย่างไรก็ของใครของมัน แล้วก็ว่าโลกก็เที่ยงเพราะพระเจ้าสั่ง พระเจ้าประสงค์ เอาอำนาจให้กับพระเจ้าหมด สำหรับตนเองก็ถูกพระเจ้าบงการ พระเจ้ารับไปอยู่กับพระเจ้าก็จบ พวกนี้ระลึกขันธ์อดีตระลึกได้แค่ว่าพระเจ้าสั่งหมด นี่คือเทวนิยมเต็มบ้อง อัตตาเที่ยงโลกเที่ยง พวกนี้มีวิธีการที่จะรู้ระลึกชาติคือนั่งสมาธิ ได้เท่าที่เขาระลึก แต่รู้ไม่หมด อย่างพระพุทธเจ้านี้รู้ลึกไกลได้ขนาดไหนก็ได้ เลยจนถึงเห็นตลอดหมดเลยทุกด้าน รู้แจ้งหมด

 

ทิฏฐิ 62

 

ปุพพันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องต้น, 18 ลัทธิ) -- อปรันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องปลาย, 44 ลัทธิ)

- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)

- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)

- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)

- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)

- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ)

 

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วนของขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต แนวความคิดนี้อาศัยข้อมูลจากอดีตเป็นหลัก เป็นความรู้เกิดจากเจโตสมาธิ ย้อนสำรวจชาติในอดีตของตน โดยเอาตัวเองในปัจจุบันเป็นฐาน แล้วย้อนระลึกชาติกลับไปสู่อดีต โดยการสาวลึกและไกลไปเรื่อยๆ จนสุดกำลังญาณของตน สรุปว่า โลกแล้วอัตตาเป็นอย่างไร

 

(1) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) 4

1. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ

2. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์

3. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์

4. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

 

(2) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) 4

5. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง

6. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง

7. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง

8. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

 

(3) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) 4

9. เห็นว่าโลกมีที่สุด

10. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด

11. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด

12. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) 4

13. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) 2

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

 

อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี 5 กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก

(1) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (16)

(2) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (8)

(3) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (8)

(4) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (7)

(5) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ตรงกับหลักการของลัทธิ Hedonism )

ใน 5 กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้วยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์ ( Substance ) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

(2) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 35 ถึงข้อ 42 ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

 

(3) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 43 ถึงข้อ 50 ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

ทั้ง 3 หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

 

(4) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) 7

51. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์

52. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ

53. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ

54. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ

55. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ

56. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ

57. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ทั้ง 7 ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

 

(5) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) 5

58. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน 59,60,61,62 เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

 

จบทิฏฐิ 62

 

สรุปว่าอำนาจเป็นของปชช.ทุกคน ให้ปชช.เชื่อว่าเรายินดีปรารถนาดีจริงใจให้เขาเห็นว่าเราทำอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ จะเก่งมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ยิ่งเราเก่งมากทำเพื่อเขามาก และจริงใจมาก แต่จริงใจสะอาดบริสุทธิ์ใจเป็นหลักก่อน เราทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อาตมาจะสร้างคนเช่นนี้ให้แก่โลก จะให้อยู่ไหม เลี้ยงไว้ไหม สำหรับวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ก่อน สาธุ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:24:30 )

580917

รายละเอียด

580917_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติฯ ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 23

พ่อครูว่า ….ทุกวันนี้พุทธศาสนาในเมืองไทยนั้นเละเทะ สมีอุ้มสมี ก็ขออนุโมทนากับหลวงปู่พุทธอิสระ ที่ได้ไปยืนหนังสือกับ Dsi ให้ทำหน้าที่กับกรณีพระธัมมชโย ที่ต้องอาบัติปาราชิก ท่านทำได้เพราะท่านเป็นสมานสังวาสกับมหาเถรสมาคม ส่วนอาตมานั้น คนละสังวาสกัน ไม่สามารถไปยืนอธิกรณ์ ลงโทษอะไรได้ อาตมาเป็นคณะสงฆ์อโศก หรือรู้จักในนามกองทัพธรรม เป็นคณะที่ได้ประกาศตัวแยกจากมหาเถรสมาคม เป็นนานาสังวาสตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ที่เป็นทางออกธรรมตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า มีอิสรเสรีภาพทางความคิด ทำตามความเชื่อของตน

 

การที่ศาสนาพุทธให้คนสามารถที่จะแยกตัวออกมาได้แสดงถึงความเป็นปชต.สุดยอดจริงๆก็มีสิทธิ์ทุกคน คนเดียวก็ประกาศได้ พระพุทธเจ้าว่าการประกาศนานาสังวาสทำได้สองนัย 1.คณะใหญ่ประกาศต่อคณะเล็กว่าคณะเล็กไม่ใช่สังวาสเดียวกันนะ เช่นพระพุทธเจ้าประกาศกับพระเทวทัต ว่าคณะของพระเทวทัต ไม่ใช้ร่วมกับหมู่ใหญ่ของท่านนะ ท่านไม่ได้ไปสึกพระเทวทัตนะ สึกท่านไม่ได้ แต่ว่าอาตมานี่ถูกให้สึก ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุที่ต้องให้สึกนะ มี11 ข้อ เช่นรู้ว่าเป็นกระเทยนี่ ให้บวชไม่ได้ แม้รู้ภายหลังก็ให้สึก มีกรรมอื่นๆอีก ที่หนักหนาสาหัส แต่ถ้าไม่ผิดในนัย 11 ข้อนี้ แม้เขาจะสังฆาทิเสส ก็ไม่สึก แต่ถ้าปาราชิกนี้ก็คือสึกเลย เป็นอสังวาสเลย จบกันไปเลยไม่ใช่พุทธในชาตินี้เลย

 

ผู้ที่ยังไม่เข้าใจนี้ก็เข้าใจไม่ได้ ในศาสนาพุทธนี้มีพระพุทธเจ้าทำกับคณะพระเทวทัตเพียงครั้งเดียว แล้วท่านก็ตราไว้ ว่านานาสังวาสกันก็ปฏิกโกสนากันได้ คัดค้านกันอย่างจังได้ อาตมาไม่ได้ทำผิดธรรมวินัย เป็นพุทธร่วมกันแต่แตกต่างกันด้วย 1ศีลไม่เสมอสมานกัน  2.อุเทส คำอธิบายสาธยาย อย่างอาตมานี่ต่างกันเลยกับทางโน้น 3.การปฏิบัติก็ต่างกัน 4.ทิฏฐิไม่สมานกัน

 

ซึ่งอย่างของที่อาตมาทำกับพวกหมู่ใหญ่นั้นมันไปกันไม่ได้ การปฏิรูปครั้งนี้ต้องปฏิรูปศาสนา ทุกวันนี้มีสิทธิทำได้เลย ถ้าไม่ทำแล้วผ่านโอกาสนี้ไปแล้วมันเสื่อมหมด ศาสนานี้เป็นหลักจิตวิญญาณ หัวใจของจิตวิญญาณของมนุษย์ จะศาสนาใดก็แล้วแต่ที่สังคมนั้นยึดถือ แต่ไทยเราเป็นพุทธ แต่พุทธเละเทะไปหมดแล้ว นี่คืออาตมากำลังปฏิกโกสนา ไม่ได้ส่อเสียดไม่ได้หาเรื่องไม่ใส่ไข่ไม่ได้พูดออกนอกรีตนอกเรื่อง เป็นพุทธด้วยกัน แม้จะนานาสังวาสก็ต้องเอาภาระดูแลกัน อาตมาไม่ได้ไปทำร้ายอะไรเขาด้วย ก็ทำด้วยปรารถนาดี ให้หยุดทำไม่ดี ทุกวันนี้ก็เปิดหนังสือพิมพ์กันก็มีแต่เดรัจฉานวิชชา ลงโฆษณากันมากมาย ไม่มีน้ำไม่มมีเนื้อ เวรจริงๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่ปฏิกโกสนา นิคคัณหะกันไป ตำหนิกันไปเท่านี้ ทุกวันนี้จะชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ไม่ได้ อาตมาถือว่าศาสนาเป็นเครื่องพึ่งพาอันสำคัญในชีวิตนะ

 

คนที่ไม่เอาใจใส่ในศาสนา ถ้าศาสนิกของแต่ละศาสนาไม่ใส่ใจปฏิบัติก็โมฆบุรุษ ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้บรรลุโลกุตรธรรมนั่นคือโมฆบุรุษ นอกจากจะไม่ได้สิ่งดีแล้วยังได้บาปอีก ได้อกุศลอีกเต็มกระบุงก็เสียชาติเกิด โดยเฉพาะเกิดมาก็มีศาสนา เกิดมามีปู่ย่าตายายนับถือศาสนาพุทธมาไม่รู้กี่ชั้นมาถึงชั้นนี้ ไม่ได้เกิดประโยชน์จากศาสนาเลยก็น่าสังเวช แล้วกระทบไปถึงการบริหารประเทศ โลภ โกรธ หลงจัดจ้านไปหมด สังคมก็ย่ำแย่ มันเป็นเหตุที่สำคัญมากเลยขอย้ำ อาตมามีความปรารถนาดีจึงทำ เพราะได้ดีเพราะศาสนา ถ้าศาสนาใดก็ตาม ให้ศาสนิกเอาใจใส่พากเพียรก็เจริญทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นโลกอยู่ไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่มีศาสนาไม่ว่าสังคมใด หากไม่มีหลักจิตวิญญาณนับถือกัน สังคมเสื่อมจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นกัน

 

ในพระไตรฯล.12 พระสูตรแรกเลย พูดถึง ทิฏฐิ 62

อดีตกับอนาคตไม่ใช่ความจริง เป็นเรื่องฝันๆ ยังไม่ใช่ความจริง ต้องปัจจุบันจึงเป็นสัจจะ หากเข้าใจเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต ต้องรู้ว่าเรามีทิฏฐิเบื้องต้นว่า ต้องเข้าใจว่าวิธีปฏิบัติใดไปจมกับอดีตกับอนาคต สัจธรรมนั้นไม่เข้าถึงความจริงต้องพบความจริงให้ได้ พระพุทธเจ้าว่าไม่บริบูรณ์ด้วยปรมัตถสัจจะกับ สมมุติสัจจะ

 

สมมุติสัจจะคือสมมุติที่รู้กันทั่ว ยืนยันเข้าใจได้ เป็นเอหิปัสสิโก เชิญให้มาดูได้ แม้เป็นนามธรรมก็สามารถดูร่วมกันได้ ถ้ายังไม่ถึงนามธรรมก็เป็นสมมุติสัจจะ

 

ถ้าเราจมในอดีตหรือเป็นอนาคต หรือซ้อนลงไปเป็นปัจจุบันในอดีตหรือในอนาคต เช่นคุณนั่งหลับตาสมาธิก็อยู่กับปัจจุบัน แต่ปัจจุบันอันนั้น แม้ทำใจในใจมนสิการกับปัจจุบันจริง จะเรียกว่ากำลังทำปรมัตถ์ แต่มันเป็นเรื่องอดีตกับอนาคต ทำกับสัญญา ไม่เป็นปัญญา

 

ปัญญาจะเป็นไปได้ต้องครบองค์ 6 ในพระไตรฯล.14 ข.258 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 เมื่อปฏิบัติมรรคองค์ 8 ได้ก็ร่วมกันโพชฌงค์เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 มีมรรควิธี คือโลกุตระ ในพระไตรฯล.14 ข.252 ว่า ปฏิบัติมรรคอย่างสัมมาทิฏฐิ มีธัมมวิจัย แล้วเกิดผลเป็นปัญญา เจริญเป็นปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาพละ สมบูรณ์จบได้ คำว่าปฏิบัตินั่งหลับตาทำสมาธิในภวังค์เป็นของมีทั่วโลก สามัญของโลก พุทธก็รู้แต่ไม่เก่งนั่งหลับตาเท่าศาสนาอื่น ศาสนาพราหมณ์ ก็เก่งกว่า ศาสนาอินดูก็เก่งกว่า ของพุทธไม่ได้เอานั่งหลับตาเป็นทางปฏิบัติ

 

เมื่อศาสนาพุทธเสื่อม จนไม่มีใครรู้จักศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าก็จะมาอุบัติขึ้นมาจึงมีพุทธศาสนา ปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนยังไม่ตรัสรู้ก็ยังไม่มีศาสนาพุทธ คนก็นั่งสมาธิ ออกป่าเขาถ้าเป็นหลัก แล้วพระพุทธเจ้าท่านทำเก่งกว่าเขาหมด ก็ไม่ได้บรรลุอะไรเลย ยุคนั้นพระพุทธเจ้าท่านต้องทำอย่างไม่ตีทิ้งศาสนาอื่น แต่ยุคนี้มันศาสนาพุทธร่วมกัน ต้องทำอย่างหนักกว่า เพราะเป็นศาสนาพุทธด้วยกันเอง นัยนี้ก็สำคัญ แต่คนไม่เข้าใจ อาตมาก็พยายามจริงใจปรารถนาดี ใครไม่เข้าใจจะไปบังคับเขาได้อย่างไร ต้องทำตามลำดับก็ได้ผลมาเป็นลำดับ

 

มาลองฟังดูที่อาตมาเรียบเรียงมา ยอดนิยายฯ

 

(106) ระลึก “อดีต-อนาคต”ที่ “มิจฉาทิฏฐิ” ก็มีแต่ “ฝัน”

           “สัญญา”กับ “ปัญญา”เรียกว่า “ความรู้”เหมือนกัน แต่แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะเรื่องของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”หรือ “ปรมัตถธรรม” ดังนั้น การระลึก “อดีต” แม้จะระลึกได้ความจำเดิมจริง หรือจะนึกตรึกกำหนดเอาอะไรขึ้นมาใหม่ก็ตาม ถ้าเป็นผู้ “สัมมาทิฏฐิ”ก็จะสำคัญใน “ปัจจุบัน” ว่า ปัจจุบันนั้นเรากำลังเห็น “อดีต”ที่เป็น “ของจริง”เดิม หรือกำลัง “ฝัน”ได้ “ของใหม่”ขึ้นมา ก็เท่านั้น

          และ “ของเดิม”นั้นหรือ “กำลังได้ของใหม่”นี้ เแม้จะเป็น “ของเดิม”หรือ “ของใหม่” แต่เป็น “ความจริง”คือ  “สัจธรรม”หรือเปล่า

           “สัจธรรม”ที่ยังไม่ได้ ล้วนเป็น “ความจริง”ที่อยู่ใน “อนาคต”ทั้งนั้น ซึ่งก็คือ “ความจริง”ที่เราอยากจะได้ ที่เรากำลัง “ฝัน”อยู่นั่นเอง

           “อนาคต”จึงคือ “ฝัน”ทั้งสิ้น ไม่มี “อนาคต”ใดคือ “ความจริง”เลย

          ภาวะ “ใหม่”ที่กำลังเห็นกำลังรู้ขึ้นมาอยู่นี้ มันคือภาวะ “อนาคต” หรือ “ภาวะอดีตของเก่า” เรากำลัง “เห็น “อดีตหรืออนาคต”กันแน่

          ทั้งอดีตและอนาคตที่ยังมิใช่ “ความจริง”(สัจธรรม)ก็มีแต่ “ฝัน”

          นั่งหลับตาส่วนมากฟุ้ง จะไประลึกอดีตก็ยากที่จะจริง อาจเป็นการปรุงใหม่ แล้วก็นึกว่าเป็นอดีต หลายคนนั่งระลึกชาติว่าเป็นร.5 เป็นพระนเรศวรบ้างก็เอามาคุย แล้วก็แย่งกันสิ ใครก็ว่าตนเป็นคนนั้นมาเกิด

          แต่ถ้า “ภาวะที่กำลังเห็นกำลังได้รู้ขึ้นมานั้น มันยังไม่ใช่ “สัจธรรม” ยังไม่ใช่ “ความจริง” มันก็ล้วนคือ กำลัง “ฝัน” ทั้งนั้น 

          เพราะปฏิบัติไม่มี “ผัสสะ”ภายนอกที่เป็น “ปัจจุบัน”เลย มีแต่ “สัญญา”กำหนดหมายขึ้นมาในใจเท่านั้น แม้จะเป็นปัจจุบัน ที่ผู้นั้นหลับตาปฏิบัติเข้าไปอยู่ในภวังค์ ย่อมมีแต่ “สัญญา”เป็นต้นนั้น นั่นยังไม่ใช่ “ปัญญา” ภาวะเช่นนั้นจึงไม่เห็น “ความจริง”เป็นของแท้ตาม “สัจจะ”ที่มีทั้ง “สมมุติสัจจะ”และทั้ง “ปรมัตถสัจจะ”

 

(107)  “สัจจะ”ที่มีทั้ง 2 โลก คือ “โลกียะ”และ “โลกุตระ”

          ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อจะบรรลุ “ความจริง” คือ  “สัจจะ”ที่ได้ “รู้”แค่ “ความจริง”ที่รู้ได้ด้วย “สัญญา”เท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่ “ความจริง”ที่รู้ได้ด้วย “ปัญญา” จึงต่างกันอย่างมีนัยสำคัญมาก ตาม “ปรมัตถธรรม” ที่ผู้สามารถรู้จัก “จิต-เจตสิก-รูปกาย”ขั้นหยั่งรู้ “รูปในนามธรรม”จริงๆ

          รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ รูปกาย นั้น การจะรู้ได้ ต้องมีรูปข้างนอกด้วย รู้องค์ประชุมของรูปแล้วหยั่งรู้เข้าไปในนามธรรมแต่ไม่ได้ทิ้งข้างนอกนะ แต่ตอนนี้เราหยั่งรู้นามธรรม คือนามกายที่ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

          นี่ก็ลึกล้ำขั้นหนึ่งแล้ว ยังจะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ความจริง”ที่เป็น “โลกียะ”และ “ความจริง”ที่เป็น “โลกุตระ”อีกด้วย

          เพราะ “ความจริง”(สัจธรรม) ที่ต้องเรียนรู้จาก “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา) ก็มีทั้ง “สมมุติสัจจะ”และ “ปรมัตถสัจจะ” มีทั้ง “โลก”และ “อัตตา”อยู่ทั้ง 2 พร้อม มีทั้ง “โลกียธรรม”และ “โลกุตรธรรม”ด้วย

          สำหรับผู้มี “ปรมัตถสัจจะ”แท้ก็คือ มีทั้ง “โลกียภูมิ”และ “โลกุตรภูมิ” แล้วสามารถปฏิบัติกระทั่งเป็นผู้บรรลุ “สัจจะ”ที่เป็น “ธรรม”ขั้น “โลกุตรสัจจะ” จึงจะเป็นผู้มี “โลกุตรธรรม”

          สำหรับผู้บรรลุ “ความจริง”สัมบูรณ์ ก็คือ ผู้บรรลุ “ธรรม”ที่เป็น “ธรรมาธิปไตย” นั่นคือ ผู้มี “พลังงานจิต”อยู่เหนืออำนาจ “โลก”(โลกาธิปไตย)และอยู่เหนืออำนาจ “อัตตา”(อัตตาธิปไตย) ในขณะที่มีทั้งอำนาจ “โลก”และทั้งอำนาจ “อัตตา”อยู่ในสังคมในโลกนั้นเอง ไม่ได้หลบหรือหลับหนีโลก-หนีอัตตาไปไหน              

          ขณะนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องที่เจ้าชายสิทธัตถะกำลังตามหา “ความจริง”หรือ “สัจธรรม” ซึ่งเป็น “สมมุติสัจจะ”อยู่ขั้นหนึ่งแล้ว คือ คนมากหลายต่างเชื่อว่าพระองค์นั่นแหละเป็นเจ้าของ “สัจธรรม”ที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ฉะนี้ก็เป็นแค่ “สัจจะ”ที่เป็น “สมมุติสัจจะ”

          แต่พระองค์ก็ยังระลึกเอา “สัจธรรม”ที่เป็น “ปรมัตถสัจจะ”นั้นขึ้นมาไม่ได้ ว่า  “พุทธธรรม”เป็นอย่างไร 

          อย่าลืมว่า ขณะนี้เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ คือขณะที่เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ “พบ”พุทธธรรม ซึ่ง “พุทธธรรม”ก็ของพระองค์เองแท้ๆนั่นเอง และพระองค์เองก็กำลังค้นหา ในโลกขณะนั้นจึงยังไม่มี “พุทธธรรม”เกิดขึ้นในโลก

          เจ้าชายสิทธัตถะยังทรง “ตามหา”อยู่อย่างมุ่งมั่นขะมักเขม้น

 

(108) ภาวะที่เป็น “ความจริง”กับแค่ “ฝัน”ต้องชัดเจน

          เพราะ “พุทธธรรม”มันยังไม่มีในสังคมโลกเลย ในยุคนั้น แม้ในขณะที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ เจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไม่รู้ เพราะยังระลึกไม่ได้ เจ้าชายสิทธัตถะยังตกอยู่ในสภาพ “ลิงลมอมช้าวพอง”อยู่

          มันยังอยู่ที่ “จิตในจิต”อันลึกล้ำของเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งตอนนี้ทรงออกผนวชแล้ว ปานนั้น  “พุทธธรม”ก็ยังไม่ปรากฏออกมา  “พุทธธรม”ก็ยังไม่มีในโลก แต่มีแล้วนะที่ “จิตในจิต”ของพระองค์

          ทว่าขณะที่เรากำลังพูดกันนี้ ยังไม่ปรากฏ “ความจริง”ของ “พุทธธรรม”ที่เป็น “อาริยสัจ”จริง ยังนับว่า ยังอยู่ใน “ฝัน”

          ซึ่งใน “ฝัน”นี้ จะเป็น “ความจริง”หรือไม่เป็น “ความจริง”ก็ได้

          คนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า จะใครก็ตามหากอาศัย “อดีต” ปรารภธรรม ถ้าสามารถค้นพบธรรมะนั้นๆของตน ของใครก็เท่าที่ตนมี “ธรรมะ”แบบไหน อย่างไร แค่ใด ก็เท่านั้น อย่างนั้น แบบนั้น  เท่า “ธรรมะ”ที่ตนมีอยู่ใน “อดีต”นั้นๆตามที่ได้สั่งสมมาแล้วจริงเท่านั้น ซึ่งหากไม่ใช่ “พุทธธรรม”ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ที่ตนได้เรียนรู้และปฏิบัติบรรลุ “พุทธธรรม”นั้นมาแล้วตาม “โลกุตรธรรม”ขั้นนั้นๆ ปรารภอย่างไร ระลึกแค่ไหนก็ไม่สามารถจะมี “พุทธธรรม”ได้  

          ภาวะที่ระลึกหาของคนที่ยังไม่มี “โลกุตรธรรม”เป็น “ปัจเจกภูมิ”หรือเป็น “สยัง อภิญญา”มาแล้ว จะยังไม่มีภาวะที่เป็น “ความจริง”ของพุทธธรรม ยังเป็นแค่การตรึก นึกเอาเองขึ้นมาใหม่ใน “ปัจจุบัน”นั้นๆ หรือระลึกของเก่าของตนขึ้นมาได้ จึงไม่ใช่ “ความจริง”เลย

          ดังนั้น ผู้ที่หลับตาปฏิบัติสมาธิที่จะปรารภธรรม ระลึกธรรมทั้งหลาย หากตนไม่เคยบรรลุธรรม ที่เป็น “ปัจเจกภูมิ”หรือ “สยัง อภิญญา”มาก่อน ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ “พุทธธรรม”เป็นอันขาด

          ผู้ที่กำลังปฏิบัติแบบหลับตาระลึก “อดีต”ระลึก “อนาคต”อยู่ในภวังค์ จะเป็นไปได้ ก็ต้องมี “โลกุตรธรรม”ที่มีมาแล้วชาติก่อนมาแล้ว จึงจะสามารถ “พบความจริง”ที่มีจริงมาแล้วได้

          ผู้ไม่มี “ปัจเจกภูมิหรือสยัง อภิญญา”มาก่อนก็จะได้แต่ “ฝัน”ไปเรื่อยๆ  ถ้าปฏิบัติในวิธีเอาแต่ “หลับตา”ปฏิบัติ เพราะจะได้ “ความจริง”ก็ต้องปฏิบัติ “ลืมตา”เป็น “ปัจจุบัน”จึงจะบรรลุโลกุตระ

 

(109)  “สัจจะ”ต้องเที่ยงแท้เป็น “นิยตธรรม” และมี 1 เดียว

          แต่ถ้าผู้ใดยังไม่เคยมี “โลกุตรธรรม”มาก่อนในชาติก่อน ก็เป็นอันหมดหวัง นั่งหลับตาทำสมาธิให้ตายยังไงก็ไม่มีทางได้ “พบ”โลกุตรธรรม เพราะยังไม่เคยมี “ความจริง”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”มาก่อน

          ส่วน “โลกียธรรม”นั้น ก็ไม่แน่เลย ว่าจะระลึกเอา “ความจริง”ของ “โลกียธรรมเดิม”ของตนขึ้นมารู้มาเห็นในภวังค์นั้นได้หรือไม่ เพราะ “โลกียธรรม”ยังไม่เป็น “นิยตธรรม” ยังไม่ใช่ “ธรรม”ที่เที่ยงแท้ 

          การหลับตาทำสมาธิ จึงเป็นการอยู่ใน “ฝัน”ของคน “ฝัน”แท้ๆ ผู้ยังไม่มี “นิยตธรรม”จึงไม่แน่ว่าจะได้ “ความจริง”จากการหลับตาทำสมาธิหรือไม่ เพราะเป็นแค่โลกียธรรม ยังเป็นธรรมที่ไม่เที่ยงแท้ โดยเฉพาะยังไม่ใช่ “โลกุตรธรรม” จึงไม่มีคุณสมบัติขั้น “นิยตธรรม”

          สำหรับเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์อาศัย “อดีต”จริง ปรารภธรรมจริง ที่อยู่ใน “อดีต” แต่ก็เป็น “ธรรม”ที่พระองค์มีมาแล้ว บรรลุสัมบูรณ์มาก่อน เป็น “โลกุตรธรรม”จริงแท้เป็น “นิยตธรรม”มาแล้ว จึงมี “พุทธธรรม”ใน “อดีต”ที่มีมาก่อนจริง ซึ่งในยุคนี้ยัง “ไม่เคยมีใครเลยมีมาก่อน” และไม่มีใครจะมี “แบบนี้” นอกจากพระองค์เท่านั้น ที่ได้สร้างและสั่งสมมาเองจริง เป็น “ความจริง”แล้วพระองค์เดียวยุคนี้

          เพียงแต่ในขณะที่เรากำลังพูดถึงนี้คือ ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แม้จะได้เป็นนักบวชมาถึง 6 ปีแล้วก็เถอะ พระองค์ก็ยังเป็นแค่พระโพธิสัตว์อยู่ ยังไม่ได้อาศัย “การระลึก” ปรารภธรรมผ่านคืน 15 ค่ำ เดือน 6 อันสำคัญ ยังไม่ได้ “ตรัสรู้”เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 

(110)  “ความจริง”อันยิ่งใหญ่ ที่จะเรียกกันว่า  “ตรัสรู้”

          พระพุทธเจ้าตรัสรู้ “ความจริง” ที่เป็น “ความจริง”อันยิ่งใหญ่ยิ่งล้ำ ยอดเลิศจริงๆ คำว่า  “ตรัสรู้”นี้จึงเป็นคำยิ่งใหญ่ อันมีที่มาที่ควรรู้ยิ่ง ว่ามาจากความยิ่งใหญ่อันใด

          ทำไมต้องเรียกกันว่า  “ตรัสรู้”

           “ความรู้”อันยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยมีในโลก เป็น “โลกุตรธรรม” เป็น “อเทวนิยม” เป็น “อาริยธรรม”แสนวิเศษ ที่พระองค์ได้ทรงบรรลุเกิดภาวะแห่งสัจธรรมนั้นจริง และมี “พระปัญญาธิคุณ”

รู้แจ้งเห็นจริงมาแล้ว สั่งสมมาในชาติก่อนๆ  

          ไม่ใช่เพิ่งเกิด “พระปัญญา”ในตอนนั่งระลึกอดีตใต้ต้นโพธิ์ คืนวันเพ็ญ เดือน 6 นี้เลย พระองค์มี “พระปัญญาธิคุณ”ขั้น “สัมมาสัมโพธิญาณ”มาแล้ว สัมบูรณ์แล้ว ตอนนี้แค่อาศัย “อดีต”ระลึก ปรารภธรรม เข้าไปดึงเอา “พุทธธรรม”เดิมที่พระองค์ได้บำเพ็ญมาแล้วจริง ขึ้นมา “รู้”เท่านั้น หาก “รู้”ขึ้นได้ในครานี้ ก็ไม่ใช่ “ความรู้”ที่เป็น “ปัญญา” แต่เป็นแค่เพียง “สัญญา”กำหนดรู้ “ความเดิมในอดีต”แท้ๆจึงไม่ใช่ “ความรู้”ที่เป็น “ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ความจริงอันยิ่งใหญ่”

          การปฏิบัติธรรมทั้งหลายในชีวิตที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ได้เกิด “พุทธธรรม”ใดๆเลย พระองค์เพียงค้นหา “พุทธธรรม”เก่าของพระองค์เองที่เคยมีมาแล้วก่อนชาตินี้ ต่างหาก

           “ธรรม”ต่างๆที่เป็น “พุทธธรรม”พระองค์ได้บรรลุมาแล้วมีแล้ว

          ตอนนี้ก็เพียงทรงปรารภธรรมในอดีตว่า พระองค์ทรงบำเพ็ญธรรมมาแล้วครบความเป็น “พระโพธิสัตว์มหาสัตว์”ปางที่ 8 เสร็จแล้วเต็มแล้วจริงหรือ? หรือปางอื่นๆบริบูรณ์ถ้วนรอบมาจริงอย่างไร?

          เป็นเพียงยังตามหา “ความจริงอันยิ่งใหญ่”ว่าเป็นอย่างไรสัมบูรณ์หรือยัง?  เมื่อยังไม่ “พบ” จึงยังไม่มี “การตรัสรู้”

 

(110) การหลับตา “รู้”ไม่ใช่ “ปัญญา” เป็นแค่ “สัญญา”

          มาปางที่ 9 นี้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะจึงเพียงแต่มาทรงชดใช้วิบากเก่าไปพลางทั้งหมด ไม่ได้สร้าง “ความรู้ใหม่”ที่เป็นพุทธธรรม ใดเลย จึงเรียก “ความรู้”ที่จะ “รู้”ขึ้นมานี้ ว่า  “ปัญญา”มิได้เลย

          เพราะยังไม่ปรากฏ “มรรค 8 อันเป็นอริยสัจ”เพื่อปฏิบัติให้เกิด “ปัญญา”ให้เกิด “วิมุติ”แต่อย่างใด  เนื่องจากเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังระลึกเอามรรค 8 ขึ้นมาไม่ได้ โลกยังไม่มี “โพชฌงค์ 7”ให้ใช้ “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” ยังไม่มี “สัมมาทิฏฐิ”ที่จะปฏิบัติให้เกิด “ปัญญา”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ต้องปฏิบัติ “มรรค 7 องค์”จึงจะมี “องค์ธรรม 6” ได้แก่  “ปัญญา-ปัญญินทรีย์-ปัญญาพละ-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-สัมมาทิฏฐิ-มัคคังคะ”ไม่ได้ ไม่เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252 ถึงข้อ 281 สำหรับ “องค์ธรรม 6”นี้ อยู่ในข้อ 258

          แม้จะอาศัย “อดีต”ระลึกรู้ได้ก็เป็นแค่ “สัญญา” กำหนดรู้จาก “ความจำ” ไม่ใช่ “ความจริง”ที่เกิดใหม่ และไม่ใช่การเกิดของ “ปัญญาใหม่”ที่ได้รู้ “โลกุตรธรรมใหม่”เกิดขึ้นใหม่มาให้ “รู้”แต่อย่างใด   

           “ปัญญา”ของพุทธศาสนาต้องเกิดจาก “อธิปัญญาสิกขา”ในการปฏิบัติ “อริยมรรคองค์ 8” ซึ่งเป็น “อธิปัญญา”ไม่เหมือนแบบอื่น ที่ปฏิบัติด้วย “มรรควิธี”อื่น  “อธิจิต”ก็ไม่เหมือนที่ปฏิบัติหลับตาทำสมาธิ และแบบอื่นที่ทำ “อธิจิต”กันด้วย จึงไม่พาเกิด “พุทธิปัญญา”

 

 

(112) คำว่า  “ตรัสรู้” คืออะไร? ไฉนจึงเรียกว่า  “ตรัสรู้”

          ดังนั้น ตอนนี้ “ปัญญา”ที่เริ่มต้นแท้ๆเรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ”ยังไม่ปรากฏเลย มีแต่ “เงา”อยู่ลึกๆในใจของพระองค์เองเสียอีก

          เพราะแม้แค่ “มรรค”อันเป็น “สัมมาอริยมรรค”แห่ง “พุทธธรรม”ยังไม่ปรากฏ ณ ที่ใด ก็เจ้าชายสิทธัตถะเอง ที่เป็นเจ้าของพระสัมมาสัมโพธิญาณเองแท้ๆ ก็ยังไม่รู้พระองค์เอง ยังระลึกรู้ถึง “พุทธธรรม”ขึ้นมาประกาศ แล้วจะมี “มรรควิธี”ที่สัมมาทิฏฐิแต่ที่ไหน 

          เมื่อพระองค์ทรงระลึก “พุทธธรรม”จาก “อดีต”ของพระองค์ได้แล้วว่า  “พุทธธรรม”เป็นเช่นนี้ๆๆ ในคืนขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 นั้น แล้วจึงได้นำมา “ตรัส”เป็น “พระธรรม”คำสอนบทแรกใวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 แก่ “ปัญจวัคคีย์” ตาม “พุทธธรรม”ที่พระองค์ “ทรงรู้เอง”

          คำตรัสของพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนั้นมา ที่ “ตรัส”ตาม “ความรู้อันยิ่งใหญ่”ที่เป็น “พุทธธรรม”จึงเรียกกันว่า คำ “ตรัสรู้” คือ พระองค์ต้อง “ตรัส”จากความจริงที่พระองค์ทรง “รู้”ของพระองค์เอง ออกมาก่อน จาก “ความรู้อันวิเศษ”นั้นที่ไม่มีใครมีได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเอง  “ความรู้”ชนิดนี้จึงมีในโลก ตามคำ “ตรัส”ของพระพุทธเจ้า   

          คำ “ตรัส”ทุกพระคำเพื่อให้มนุษย์ “รู้”จึงเป็น “ความรู้”ของพระองค์เอง ที่ “ตรัส”ประกาศ “ความรู้แห่งพุทธธรรม”ออกมาให้แก่โลก เรียกสั้นๆว่า  “ตรัสรู้” หมายถึง “ความรู้”ที่พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงมีคำ “ตรัส”ที่เป็น “พระธรรม”คำสอนขึ้นมาให้คนในโลก “รู้”ได้ คำว่า “ตรัสรู้”จึงมาจาก “ความรู้อันยิ่งใหญ่”นี้เอง

          ผู้รู้ขั้นบรรลุ “พุทธธรรม”จึงเป็นผู้มีความรู้”ที่เรียกว่า “ตรัสรู้”

 

(113) เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ “บรรลุพุทธธรรม”ใดๆเลย

          ดังนั้น ตลอด 35 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ในโลก 29 ปีก็ดี และอีก 6 ปีที่เป็นนักบวชก็ดี ทั้ง 35 ปีในพระชนม์ชีพของเจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์ไม่ได้ “บรรลุพุทธธรรม”ในการประพฤติตน หรือปฏิบัติธรรมใดๆเลยที่เป็น “โลกุตรธรรม” อันเป็นของพุทธ

          29 ปี ในขณะที่เป็นฆราวาสเต็มองค์ ก็ถูกพระบิดาทรงบำเรอจัดให้สุขนักสุขหนาอยู่กับโลกียารมณ์ทั้งหลายด้วยซ้ำ

          แม้แต่จะทรงออกมาผนวชแล้ว อีก 6 ปี ก็ชัดแล้ว ทั้งในตำนานหรือประวัติของพระองค์ ทั้งคำตรัสของพระองค์เอง(ตามที่อ้างอิงไปแล้ว) ยืนยันว่า พระองค์ไม่ได้บรรลุธรรมที่เป็น “พุทธ”เลย 35 ปี จึงยังไม่ปรากฏ “พุทธธรรม” ยังเป็น “พระพุทธเจ้า”ไม่ได้

          ทั้งๆที่พระองค์ก็ทรงรู้พระองค์อยู่ว่า พระองค์คือพระพุทธเจ้า และคนอื่นๆอีกมากมายก็รู้กันทั่ว ว่า พระองค์นี่แหละคือ พระโพธิสัตว์มาเกิด จะเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้เอง แต่ก็ยังเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะ “พุทธธรรม”ยังไม่ปรากฏขึ้นมาให้พระองค์ “รู้”ได้ในตน จึงยังไม่สามารถ “ตรัส”พุทธธรรมนั้นออกมาได้  

          เพราะท่านยัง “ไม่รู้” จึงยังไม่มีคำ “ตรัส”ตามที่ท่าน “รู้”ได้

          คำ “ตรัสรู้”ที่เป็น “พุทธธรรม”จึงยังไม่มี

          แม้จะมีแล้วเมื่อผ่านคืนวันเพ็ญ เดือน 6 ที่พระพุทธเจ้าได้ระลึก “รู้”พุทธธรรมทั้งหลายขึ้นมาได้แล้ว แต่ยังไม่ได้ “ตรัส”กับใครเลย ก่อนจะถึงวันเพ็ญ เดือน 8 กับ “ปัญจวัคคีย์”

          คำ “ตรัส”ถึง “ความรู้พุทธธรรม”ก็ยังไม่มี ยังไม่ออกมาจากพระโอษฐ์ ก่อนจะได้ “ตรัส”พุทธธรรม”ออกมากับ “ปัญจวัคคีย์” จึงยังไม่เกิดคำ “ตรัสรู้” ยังมีแค่ “ความรู้พุทธธรรม”ในพระองค์เองเท่านั้น ที่ยังไม่ได้ “ตรัส”ออกเลย 

          คำว่าตรัสรู้นี่ พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสหรือไม่ก็เป็นของท่าน หากท่านดึงไม่ออกก็ไม่ปรากฎมา แต่ความรู้ของพระพุทธเจ้าถ้าใครนำไปปฏิบัติได้ผลตามคำตรัสเขาก็ได้เป็นผู้ตรัสรู้ได้เช่นกัน แต่บางคนอธิบายว่า ความรู้เป็นของพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนอื่นจะมาตรัสรู้ด้วยไม่ได้ อันนี้เป็นความคิดความเชื่อที่ผิดๆ

 

(109) การ “อยู่ป่า”ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ทางบรรลุพุทธธรรม

          แม้ในตอนทรงออกผนวช 6 ปี การออกไปอยู่ป่าก็ดี ปฏิปทาการปฏบัติต่างๆก็ดี มันไม่ใช่ “พุทธธรรม” ทั้งมรรควิธี ทั้งผลธรรม

          คำสอนใดๆ ผลธรรมใดๆ จึงยังล้วนไม่ใช่ “พุทธธรรม”ทั้งนั้น

          ดังนั้น ก็สรุปได้ชัดเจนยืนยันเป็นที่สุดว่า การออกไปอยู่ป่าเพื่อปฏิบัติ ไม่ใช่แนวทางของพุทธ หรือการปฏิบัติด้วยวิธีทุกกรกิริยาทั้งหลาย นั้นไม่ใช่แน่ๆอยู่แล้ว

          แม้แต่การหลับตาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในภวังค์ปฏิบัติเพื่อให้บรรลุพุทธธรรม ก็ไม่ใช่แนวทางของพุทธ เพราะมีแต่ภาวะ “อดีตและอนาคต”เท่านั้น ไม่ใช่ภาวะ “ปัจจุบัน”ที่พร้อมด้วย “ความจริง”

          ซึ่งทุกวันนี้ ชาวพุทธ หรือแม้แต่ประชาชนคนในโลกที่สดับตรับฟังความเป็นศาสนาพุทธ ก็พาลพากันหลงผิดไปทั่วถ้วนกันแล้วว่า ศาสานพุทธนั้น ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร เป็นแนวทางที่จะพาบรรลุนิพพาน ถูกต้องตามแนวการศึกษาของพุทธ และการทำสมาธิ หรือการศึกษาที่ทำให้เกิด “อธิจิตสิกขา” ถึงนิโรธนิพพาน ก็ต้องด้วยการหลับตาเข้าไปปฏิบัติอยู่ในภวังค์ 

          เจ้าชายสิทธัตถะก็ออกป่าตั้ง 6 ปี ก็ปฏิบัติสมาธิด้วยวิธี “หลับตา”สะกดจิต เป็น “เจโตสมาธิ” มาตลอด ตั้งแต่ทรงพระเยาว์โน่นเลย มาจนทรงออกผนวช จึงอยู่แต่กับภาวะ “อดีตกับอนาคต”

          ดังนั้น เจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ “บรรลุพุทธธรรม”ใดๆเลย

          บรรลุแต่ “ธรรม”ที่สามัญทั่วไปเขาบรรลุ ไม่ว่า “ศีล-สมาธิ-ปัญญา-นิโรธ”แบบใดๆ ท่านทรงปฏิบัติได้หมด เก่งกว่าเขาด้วย

          แต่กระนั้นเจ้าชายสิทธัตถะก็ยังไม่ได้ “บรรลุพุทธธรรม”ใดๆเลย ด้วยการออกไปปฏิบัติในป่า และการนั่งหลับตาปฏิบัติ  

 

(110) ด้วยปรารถนาดี จริงใจ ต้องขออภัยกันอีกแหละ

          ที่อาตมาเน้นอยู่ในประเด็น “หลับตา”ปฏิบัติ หรือ “ลืมตา”ปฏิบัติ หรืออกป่า พูดซ้ำย้ำ วนเวียนไปมาแล้วๆเล่าๆนี้ จนน่าเบื่อ และพยายามนำเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎก สารพัดมาอ้างอิง ยืนยัน

          ก็เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้ ได้หลงผิด ว่า การปฏิบัติธรรมขั้น “สมาธิ” ขั้น “ฌาน”นั้น จะต้องหลับตาเข้าไปสะกดจิตกันให้เป็น “เอกัคคตาจิต”อยู่ในภายใน แล้วจึงจะบรรลุ “นิพพาน” กันเกือบทั้งประเทศ และเผยแพร่มิจฉาทิฏฐินี้ออกไปเต็มโลกแล้ว

          ซึ่งมันไม่เป็น “สัมมาสมาธิ”ที่เป็น “อาริยะ” ไม่เป็น “โลกุตระ”เลย ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสใน “มหาจัตตารีสกสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281)เป็นต้น และไม่ตรงตามพระอนุสาสนีทั้งหลายจริงๆ ตรวจสอบกันดีๆ อย่ามีอคติ ตั้งใจตรวจสอบดูเถิด 

          เมื่อมันไม่ตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดา แล้วมันจะบรรลุ “นิพพาน”กันได้ยังไง? มีแต่ “นิพพานเก๊” 

          อาตมาจึงจำเป็นต้องย้ำ ทั้งเน้น ทั้งกระแทกแรงลงน้ำหนัก ยืนหยัด ยืนยัน “ความจริง”กันอย่างทุ่มเทถั่งโถมจริงๆ

          ด้วยปรารถนาดี จริงใจ จริงๆ ต้องขออภัยกันซ้ำซากอีกแหละ

          เพราะชาวพุทธยุคนี้ได้ยึดมั่นถือมั่นกันมานานจริงๆ และอุปาทานนั้นก็กัดเกาะกินลึกในจิตกันแน่น ความเชื่อและภัยหลักที่แก้กันไม่หลุดได้ ก็คือ เชื่อ “สถาบัน”เป็นหลัก จึงปักแน่นมากๆ

          อาตมามันแค่ไม้ซีกจริงๆ แถมไม่มีทุนทางสังคมใดๆเลยด้วย 

 

(111)  “ทิฏฐิ”แรกที่จะต้องสัมมาทิฏฐิก่อนจะศึกษาพุทธ

          ซึ่งการเชื่อ “สถาบัน”เป็นหลักนั้นมันเป็นความดีงามสมควรยิ่ง ในแง่สังคมศาสตร์ อาตมาก็เคารพนับถือในประเด็นนี้

          แต่มันยากเหลือเกินในความเป็นสัจจศาสตร์ที่จะฟื้นพุทธชีวะ ในเมื่อ “สถาบัน”ในขณะนี้อาตมาเห็นด้วยภูมิอาตมาอีกแหละว่า มันไม่ตรงต่อสัจจะแล้ว มันเพี้ยนจากสัจจะไปแล้ว โดยเฉพาะเพี้ยนไปจากพุทธสัจจะ ที่เป็น “ปรมัตถธรรม” ที่เป็น “โลกุตระ”

          พุทธทุกวันนี้กลายเป็นศาสนา “เทวนิยม”เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ไม่เหลือเนื้อหาเป็นความเป็น “อเทวนิยม” จมอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”กันทั้ง “รูปกายและนามกาย” เกือบจะ “เต็มกาย”ไปแล้วกระมัง

          ซึ่งบัญญัติพูดกันเป็นภาษา “พุทธ” แต่เนื้อหาเป็น “เทวนิยม”เพราะ “มิจฉาทิฏฐิ”ชัดเจน ว่า ต่างปฏิบัติ “ปรมัตถธรรม”กันโดยไม่บริบูรณ์ด้วย “ผัสสายตนะ 6” เพราะปฏิบัตกันแบบ “เว้นผัสสะ 6” จึงได้แต่ “ผุดอยู่ในข่าย”ของ “อดีตและอนาคต” ออกจาก “อดีต และอนาคต” มามี “สัมมาทิฏฐิ”ปฏิบัติใน “ปัจจุบัน”ไม่ได้      

          นี่คือ ความจริงใจของอาตมา อาตมาจึงต้องทำตามใจจริงที่เห็นจริงนี้ มันยากจริงๆ   

          อาตมาจึงต้องอุตสาหะสุดๆด้วยความเต็มใจตั้งใจทุ่มใจสุดใจ

          อาตมาพูดได้แต่เพียงว่า อาตมาปรารถนาดี จริงใจ ไม่มีแฝง

          ความจริงใจของอาตมามีเต็ม ไม่มีเศษธุลี “ไม่จริง”ปน แม้แต่พูดก็จริงวาจา อาตมามีสิทธิ์เท่านี้ อาตมาทำเต็มบริสุทธิ์ตามสิทธิ์

          ส่วนใครจะยอมรับ จะเชื่อ ก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน อาตมา ละลาบละล้วงใครย่อมไม่ได้เลย

          แต่อาตมาสงสารมวลมนุษย์จริงๆ และเสียดายคุณวิเศษอันประเสริฐของความเป็น “พุทธธรรม” ที่สงสารหนักยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ  ที่เห็นท่านทั้งหลายมัวหลงผิด ต้องต่ำแล้วไปวนเวียนสู่วัฏฏสงสารนั่นเองที่ไม่ควรจะตกลงไปเลย มันต่ำถึงนรกลึกๆด้วย จริงๆนะ 

          ซึ่งนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธทั้งหลายวันนี้ แค่ประเด็น “อดีต”

กับ “อนาคต”นั้นก็ไม่ควรจะไปจมอยู่กับ “ทิฏฐิ”เช่นนั้น แต่ชาวพุทธก็ยังไม่ฉุกใจ มิจฉาทิฏฐิกันหนักอยู่ ไม่ถอน “ทิฏฐิ”นี้ก่อน

          จึงจมอยู่กับ “ทิฏฐิ”แรก จำนนต่อ “มิจฉาทิฏฐิ 62”กัน ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “อัตตา”(ความเป็นตน) ในความเป็น “โลก” โดยเฉพาะ “โลกของอดีตและอนาคต”ที่ขึ้นกับ “ปัจจุบัน”จะเป็น “ตัวแปรหลัก”


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:25:16 )

580918

รายละเอียด

580918_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 24

ณ สันติอโศก พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 18 ก.ย. 58 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม  ชีวิตมันต้องเรียน คนเราหากคิดว่าชีวิตไม่ต้องเรียนก็ไม่ต้องศึกษา อาตมาเองมาถึงอย่างนี้ก็ต้องศึกษา แต่ไม่ได้ศึกษาเพื่อความพ้นทุกข์ตัวเอง เพราะความพ้นทุกข์ตัวเองอาตมาไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา นอกนั้นความสุขทุกข์เพื่อผู้อื่นยังต้องศึกษา สำหรับตนเองไม่ต้องศึกษาแล้ว

 

ก่อนจะเข้าสู่บทเรียน ก็ความรู้ของพระพุทธเจ้าก็มีความรู้โลกกับอัตตา หรือเขากับเรา หรือนอกกับในเท่านั้นเอง หากเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่าจะอยู่กับโลกนี้อย่างไรอย่างไม่เป็นโทษภัยและมีประโยชน์คุณค่า

มาดู sms เมื่อวานนี้

0827534xxx เอาผู้ที่รับนั่นแหละเข้ามาผู้ไม่รับผลาญงบไปเท่าไหร่ รธน.ที่คว่ำดีอยู่แล้วมันปราบนักการเมืองชั่ว

0893867xxx คนที่จะรู้ซึ้งถึงขั้นปรมัตถธรรมจักรูแจ้งด้วยวิชชา8ต้องรู้เวทนาในเวทนา,จิตใน จิต,ธรรมในธรรมฯ

0893867xxx นั่งสมาธิแบบฌานฤาษีแตกต่างจากรู้สมาธิลืมตาทุกอิริยาบถแบบฌานพุทธตรงที่จิตใดน้อมไปสู่องค์ธรรมของฌาณนั่นคือจิตที่ปฏิบัติครบมรรคอันมีองค์8

ตอบ...รูปนี้คำเดียวรวมความไว้หมดแล้ว เราก็ดูตั้งแต่นอกเข้ามาหาใน แล้วดูว่ามีกิเลสกาม พยาบาทปนมา ผู้ใดทำกิเลสออกจากจิตได้ก็เป็นธรรมลึกซึ้งละเอียด จิตที่ได้ล้างออกไป มีวิชชา 8 สามารถรู้อะไรต่ออะไรได้ตามบารมีโลกวิทูแต่ละคน คนรู้โลกได้น้อยก็รู้ได้เท่าที่เขารู้ อะไรดี/ชั่ว โลกียะ/โลกุตระ  การรู้ดี/ชั่ว ก็รู้ตามสมมุติ ประเทศโน้นก็ไม่เหมือนประเทศนี้เราไม่รู้ว่าเขาสมมุติอะไรยอมรับอะไรกัน ไม่ใช่ของจริงตรงๆ ผู้ที่จะปฏิบัติธรรม นั้นถ้าสัมมาทิฏฐิ ไม่ว่าจะปฏิบัติในธรรมะหมวดไหนได้ทั้งหมด ผู้รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อปฏิบัติก็ต้องรู้สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน โดยมีอิทธิบาท เอาใจใส่พากเพียรให้ได้ หรือในอวิชชาสูตรก็สำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญะ มมนสิการ หรือโพชฌงค์ 7 สติปัฏฐาน 3 คุณจะได้ฟังสัทธธรรมบริบูรณ์ก็ต้องคบสัตบุรุษ บริบูรณ์ มีศรัทธาบริบูรณ์ มีสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ มีสุจริตกรรม 3 เป็นต้น ถ้ายิ่งเข้าใจทำสภาวะได้ ก็เอาพยัญชนะมาจับก็ไม่ขัดแย้งกันเลย

0893867xxx สมาธิหลับตาได้ความสงบนิ่งของใจผ่อนคลายกายแต่สมาธิลืมตาได้องค์ฌานที่ทำให้จิตเป็นมุทุภูต,กัมมนิย,ฐีต,อเนญชัปปัตต ฤาองค์ ธรรมอันลึกซึ้งของวิชชา8

ตอบ...ถูกต้องหมด

0893867xxx ส่งธรรมมาถูกฤาเปล่า?ไม่ แน่ใจมิกล้าถามพ่อครูเพราะวันศุกร์รก.พ่อครูต้องจบ เร็วเพราะบิ๊กม.ดับเบิ้ลโฟว์ ต้องมารายผลงาน!ผู้น้อย ขอลาละก๊ะ!

ตอบ...ที่ส่งมาถูกส่วนใหญ่

0857308xxx เท่าที่สนทนากับผู้นั่งหลับตาเขาบอกว่าถ้าเรียนข้อธรรมมากนั้นเสียเวลาต้องนั่งหลับตาจึงจะบรรลุธรรม

ตอบ...นี่คือความเพี้ยนไปของศาสนาพุทธ ที่เกือบจะหมดแล้ว อาตมาถึงหนักเหนื่อย แต่ก็ต้องทำ เหนื่อยก็พัก ไม่เหนื่อยก็เพียร

0812636xxx พ่อครูบอกว่าทำโลกุตรจะได้โลกียะด้วย ผมเข้าใจว่าทำบุญก็จะได้กุศลพ่วงด้วยเป็นนัยเดียวกันหรือเปล่าครับ

ตอบ...เราจะตีความเอาเองก็ได้ ได้อุภยถะ ได้ประโยชน์สองฝ่าย แต่บุญนี่ท่านแยกไว้เลยว่ามีหน้าที่ชำระกิเลส หน้าที่นี้ก็เหนื่อยอยู่แล้ว การชำระกิเลสตนนั้นคนอื่นไม่เสียผล เขาก็เลยตีรวมมาเป็นอุภยถะ คนก็บอกว่าทำไมต้องแยก ทำบุญก็ได้กุศลด้วยก็ได้ ถ้าตีความเช่นนั้น

0837277xxx ใช้คำว่านั่งสมาธิมันแคบไปต้องมีคำว่ายืนสมาธิวิ่งสมาธิฯลฯเดินสมาธิหรือทำงานที่สุจริตก็เป็นสมาธิได้/

ตอบ...ก็ทุกอิริยาบทคุณต้องตัดกิเลส ในอานาปานสติสูตรที่บรรยายลักษณะ 16 อย่างของอานาปานสติ ท่านย่อมาแล้วว่ายุคโน้นเขานิยมนั่งหลับตาท่านก็อนุโลมให้ว่าเหลือลมหายใจที่ภายนอกไว้นะ ก็ให้อ่านลมหายใจเข้าคือการเคลื่อนไหวของสิ่งภายนอก รู้อาการ ลิงค นิมิตของมัน หายใจเข้าสั้น ยาว ว่ามันต่างกันนะ ให้รู้มหาภูตรูปด้วยอย่าทิ้งข้างนอก แล้วจึงอธิบายต่อเข้าไปรู้แจ้งกายทั้งปวง สัพกายปฏิสังเวที รู้กองลมทั้งปวง จิตก็ต้องเกียวข้องกับนอกด้วย คุณต้องทำให้กายสงบ แต่ต้องเข้าใจกายให้ถูกต้องว่าไม่ใช่แค่ร่างภายนอกนะ อานาปานสติ เขาเข้าใจเพี้ยนไป ว่าต้องทำให้ร่างกายนี้ไม่ขยับไม่กระดุกกระดิกนะ ให้หยุดนิ่ง แล้วใจก็ให้รู้แต่ในไม่เกี่ยวกับข้างนอก อย่างนี้เสียผลหมด ต้องมารู้ตั้งแต่ภายนอกว่าเกี่ยวข้องอย่างมีกิเลสกับใคร ก็ล้างกามภายนอก เสร็จแล้วก็อ่านต่อถึงภายใน พอกายปัสสัมภยังก็มีปีติ ก็ต้องรู้ว่าคืออุปกิเลส เป็น โสมนัสเวทนาอย่างเนกขัมมะ หรือโทมนัสเนกขัมมะ คุณต้องลดปีติ จะเหลือสุข พอมาข้างในจิตสังขารังปฏิสังเวที จิตรู้แจ้งดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ว่า ทำให้จิตเป็นอภิปโมทยังจิตตัง เพราะทำปีติ สุขมาแล้ว เหลือแต่จิตในจิต ทำให้สงบก็คือดูว่าเหลือเศษอะไร ทำเศษสงบแล้วเหลือแต่จิตอภิปโมทยัง จิตเบิกบานร่าเริงไม่ใช่จิตแห้งเหี่ยวนะ

 

คนบรรลุธรรมไม่ใช่จิตแห้งเหี่ยวอุเบกขาเด๋อไม่ใช่ แต่จิตบรรลุธรรมจะเบิกบานร่าเริง มีจิตที่รู้อนุโลมปฏิโลม มีปฏินิสัคคานุปัสสี จิตแตะต้องกับผัสสะแล้วก็รู้ได้เร็วปล่อยได้เร็ว ปฏินิสสัคคะ คนที่เข้าใจสภาวธรรมสูงๆ แล้วไม่มีสวรรค์ เพราะปฏิบัติธรรมก็เอานิพพาน ทุกวันนี้เขาเข้าใจสวรรค์สองอย่างไม่ได้ คือสวรรค์โลกีย์/สวรรค์โลกุตระ

 

เขาก็บอกว่า ความสงบเป็นจุดสำคัญ สายเจโตก็เอาความสงบ แต่เขาหยุดน่ิงเฉย สวรรค์ของเขาเป็นเช่นนี้สงบ หยุด นิ่งเฉย ไม่รับรู้อะไรได้ดีที่สุด พาซื่อ แต่สงบของพระพุทธเจ้ารู้เลยว่าตัววุ่นวายคือตัวไหนก็หยุดมัน ให้สนิทเด็ดขาดเลย สวรรค์โลกียะนั้นจืดสนิทแห้งหมดเลย แต่สวรรค์โลกุตระนั้นรู้ว่าอะไรดีอะไรควรไม่แห้งไม่เหี่ยวเลย วูปสโมสุขนั้นไม่เหี่ยวแห้งเลย (สวรรค์โลกียะนั้นจืดสนิทแต่สวรรค์โลกุตระนั้นเบิกบานไม่แห้งเหี่ยวเลย....พ่อครู 18 ก.ย. 58)

มาต่อที่ยอดนิยายฯ

(115) ด้วยปรารถนาดี จริงใจ ต้องขออภัยกันอีกแหละ

          ที่อาตมาเน้นอยู่ในประเด็น “หลับตา”ปฏิบัติ หรือ “ลืมตา”ปฏิบัติ หรืออกป่า พูดซ้ำย้ำ วนเวียนไปมาแล้วๆเล่าๆนี้ จนน่าเบื่อ และพยายามนำเอาหลักฐานจากพระไตรปิฎก สารพัดมาอ้างอิง ยืนยัน

          ก็เพราะศาสนาพุทธทุกวันนี้ ได้หลงผิด ว่า การปฏิบัติธรรมขั้น “สมาธิ” ขั้น “ฌาน”นั้น จะต้องหลับตาเข้าไปสะกดจิตกันให้เป็น “เอกัคคตาจิต”อยู่ในภายใน แล้วจึงจะบรรลุ “นิพพาน” กันเกือบทั้งประเทศ และเผยแพร่มิจฉาทิฏฐินี้ออกไปเต็มโลกแล้ว

          ซึ่งมันไม่เป็น “สัมมาสมาธิ”ที่เป็น “อาริยะ” ไม่เป็น “โลกุตระ”เลย ไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสใน “มหาจัตตารีสกสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 252-281)เป็นต้น และไม่ตรงตามพระอนุสาสนีทั้งหลายจริงๆ ตรวจสอบกันดีๆ อย่ามีอคติ ตั้งใจตรวจสอบดูเถิด 

          เมื่อมันไม่ตรงตามคำสอนของพระบรมศาสดา แล้วมันจะบรรลุ “นิพพาน”กันได้ยังไง? มีแต่ “นิพพานเก๊” 

          อาตมาจึงจำเป็นต้องย้ำ ทั้งเน้น ทั้งกระแทกแรงลงน้ำหนัก ยืนหยัด ยืนยัน “ความจริง”กันอย่างทุ่มเทถั่งโถมจริงๆ

          ด้วยปรารถนาดี จริงใจ จริงๆ ต้องขออภัยกันซ้ำซากอีกแหละ

          เพราะชาวพุทธยุคนี้ได้ยึดมั่นถือมั่นกันมานานจริงๆ และอุปาทานนั้นก็กัดเกาะกินลึกในจิตกันแน่น ความเชื่อและภัยหลักที่แก้กันไม่หลุดได้ ก็คือ เชื่อ “สถาบัน”เป็นหลัก จึงปักแน่นมากๆ

          อาตมามันแค่ไม้ซีกจริงๆ แถมไม่มีทุนทางสังคมใดๆเลยด้วย

          อาตมามีแต่ความจริงใจของอาตมา จึงต้องทำตามใจจริงที่เห็นจริงนี้ มันยากจริงๆ จึงต้องอุตสาหะสุดๆด้วยความเต็มใจตั้งใจทุ่มใจสุดใจ อาตมาพูดได้แต่เพียงว่า อาตมาปรารถนาดี จริงใจ ไม่มีแฝง ความจริงใจของอาตมามีเต็ม ไม่มีเศษธุลี “ไม่จริง”ปน แม้แต่พูดก็จริงวาจา อาตมามีสิทธิ์เท่านี้ อาตมาทำเต็มบริสุทธิ์ตามสิทธิ์

          ส่วนใครจะยอมรับ จะเชื่อ ก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน อาตมาละลาบละล้วงใครย่อมไม่ได้เลย 

ในทิฏฐิ 62 ก็มี อดีต 18 อนาคต 44 มีปัจจุบันด้วยที่มิจฉาทิฏฐิอยู่ในนั้นด้วย 

          5 ปัจจุบันก็มีทั้งสัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิ การตัดทวารนอกไปอยู่ข้างในเลย หรือลืมตาก็ตามก็นึกคิดเอาได้สร้างภพชาติขณะนี้ก็ได้ สรุปแล้ว 62 นี้มิจฉาทิฏฐิหมด ส่วนใหญ่แล้ว 39 กับ 18 มิจฉาทิฏฐิหรือ คือพวกนั่งหลับตา มี 5 ปัจจุบัน แต่ก็เพ้้ออยู่ในอนาคต เพราะรวมไว้ในอนาคต 44

          การนั่งหลับตาจึงตีรวมได้ว่ามิจฉาทิฏฐิ อย่าไปเสียเวลาทำเลย มีหลักฐานว่าพระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติมรรค 7 องค์ ในพระไตรฯล.9 ก็ปฏิบัติฌานลืมตา

          การนั่งหลับตานั้นไม่ใช่ เลิกเสียเถอะ สำนักนั่งหลับตามีมากมาย เหนี่ยวแน่น เป็นทิฏฐุปาทาน พวกคุณนี่จับพลัดจับพลูมาได้นะ หลายคนเคยไปปฏิบัตินั่งหลับตามา

 

(116)  “ความจริง”ต้องมี “การสัมผัส”ด้วย “อายตนะ 6”

          ซึ่งการเชื่อ “สถาบัน”เป็นหลักนั้นมันเป็นความดีงามสมควรยิ่ง ในแง่สังคมศาสตร์ อาตมาก็เคารพนับถือในประเด็นนี้

          แต่มันยากเหลือเกินในความเป็นสัจจศาสตร์ที่จะฟื้นพุทธชีวะ ในเมื่อ “สถาบัน”ในขณะนี้อาตมาเห็นด้วยภูมิอาตมาอีกแหละว่า มันไม่ตรงต่อสัจจะแล้ว มันเพี้ยนจากสัจจะไปแล้ว โดยเฉพาะเพี้ยนไปจากพุทธสัจจะ ที่เป็น “ปรมัตถธรรม” ที่เป็น “โลกุตระ”

          พุทธทุกวันนี้กลายเป็นศาสนา “เทวนิยม”เกือบจะสมบูรณ์แล้ว ไม่เหลือเนื้อหาเป็นความเป็น “อเทวนิยม” จมอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”กันทั้ง “รูปกายและนามกาย” เกือบจะ “เต็มกาย”ไปแล้วกระมัง

          ซึ่งบัญญัติพูดกันเป็นภาษา “พุทธ” แต่เนื้อหาเป็น “เทวนิยม”เพราะ “มิจฉาทิฏฐิ”ชัดเจน ว่า ต่างปฏิบัติ “ปรมัตถธรรม”กันโดยไม่บริบูรณ์ด้วย “ผัสสายตนะ 6” เพราะปฏิบัติกันแบบ “เว้นผัสสะ 6” จึงได้แต่ “ผุดอยู่ในข่าย”ของ “อดีตและอนาคต” ออกจาก “อดีต และอนาคต” มามี “สัมมาทิฏฐิ”ปฏิบัติใน “ปัจจุบัน”ให้มี “ผล”ไม่ได้ เปรียบเหมือนชาวประมง ใช้แหตาถี่ทอดลงในหนองน้ำเล็กเขาคิดว่า บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ถูกครอบในแหนี้ ผุดก็ผุดในแห ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต อนาคต ทั้งอดีตและอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิ สมณะทั้งหมดถูกปกคลุมในข่ายนี้คือทิฏฐิ 62 ผุดก็ผุดในข่ายนี้

          คำว่าอดีต อนาคตคือข่าย ใครจมอยู่ไม่มีปัจจุบันคนนี้อยู่ในข่าย การนั่งหลับตาไม่มีปัจจุบัน แต่นั่งหลับตาบอกว่าปัจจุบันก็ปัจจุบันในอดีตกับอนาคต แต่ปัจจุบันจริงนั้นไม่มี พระพุทธเจ้าสรุปไว้ว่า เว้นผัสสะเสีย ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

          แม้มี “ปัจจุบัน”ก็ทำ “ปัจจุบัน”ให้กลายเป็น “อนาคต”เพ้อฝัน

          ดังนั้นการปฏิบัติใดที่ “เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้” ทุกการปฏิบัติต้องมี “ผัสสะ”เป็นปัจจัย ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็น “ผู้ไม่รู้ไม่เห็น “ ที่มีแต่ความแส่หา ความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเท่านั้น (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 51 ถึง ข้อ 90)  

          ไม่ต้องเอาอะไรมาก แค่เอามารวมกันนั่งหลับตาสมาธิ รวมกระแสจิตให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้นี่ก็เทวนิยม ใช้น้ำเป็นสื่อ ใช้ไฟเป็นสื่อกันทั้งนั้นไม่เหลือสักวัดเลย

 

(117)  “ทิฏฐิ”แรกที่จะต้องสัมมาทิฏฐิก่อนจะศึกษาพุทธ

          แต่อาตมาสงสารมวลมนุษย์จริงๆ และเสียดายคุณวิเศษอันประเสริฐของความเป็น “พุทธธรรม” ที่สงสารหนักยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ  ที่เห็นท่านทั้งหลายมัวหลงผิด ต้องต่ำแล้วไปวนเวียนสู่วัฏฏสงสารนั่นเองที่ไม่ควรจะตกลงไปเลย มันต่ำถึงนรกลึกๆด้วย จริงๆนะ 

          ซึ่งนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธทั้งหลายวันนี้ แค่ประเด็น “อดีต”กับ “อนาคต”นั้นก็ไม่ควรจะไปจมอยู่กับ “มิจฉาทิฏฐิ”เช่นนั้น

          แต่ชาวพุทธก็ไม่ฉุกใจ ยังมิจฉาทิฏฐิกันหนักอยู่ ไม่ถอน “ทิฏฐิ”นี้ก่อน จึงไม่มีโอกาสบรรลุพุทธธรรมกันได้เลย เพราะมิจฉาทิฏฐิอยู่กับ “อดีต” อยู่กับ “อนาคต”ไม่เงยหัว ไม่ปฏิบัติเข้าหาปัจจุบัน

          เพราะจมอยู่กับ “ทิฏฐิ”แรก จำนนต่อ “มิจฉาทิฏฐิ 62”กัน จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “โลก”อย่างบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถเรียนรู้ “อัตตา”(ความเป็นตน)อย่างเป็นลำดับ จาก “โอฬาริกอัตตา” ที่จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “มโนมยอัตตา”ไปจากหยาบ กลาง ไปหาละเอียดจนกระทั่งถึง “อรูปอัตตา”

          ขณะปฏิบัติโอฬาริกอัตตา จะปล่อยให้มันสำเร็จด้วยจิตตามกิเลสหรือว่าจะให้สำเร็จด้วยฝีมือของตนเอง ให้กิเลสหยุดทำงาน ให้โลกุตรจิตเป็นตัวทำงานก็เป็นผลสำเร็จถ้าสมบูรณ์ก็คืออรหัตตาก็คือมโนมยอัตตาหรือมโนมยิทธิ

           “ปัจจุบัน”เป็น “ทิฏฐธรรม” เป็น “ความจริง”ที่ “เห็น”จริง และ “ทำได้”จริง  “สัมผัส”ได้จริง ต้องเปลี่ยนแปลงใน “ปัจจุบัน”

           “อดีต”กับ “อนาคต”ใครจะไปทำอะไรกับมันได้ นอกจาก “ฝัน”ถึงมันเท่านั้น เพ้อบ้าๆบอๆถึงมันไปเท่านั้น 

           “อดีต”กับ “อนาคต” ทำอะไรกับมันไม่ได้ 

           “อดีต”กับ “อนาคต”เป็นประโยชน์แค่ใช้ “ระลึก”มาประกอบประโยชน์เท่านั้น ถ้าฉลาดใช้มันเป็น ถ้าไม่ฉลาดก็เป็นโทษต่อตน

          ซึ่ง “อดีตกับอนาคต”นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับ “ปัจจุบัน”จะเป็น “ตัวแปรหลัก” ทำให้ “อดีต”กับ “อนาคต”เปลี่ยนไป

          อาตมาเคยบอกว่าจิตไม่มีเสียใจ เศร้าใจ น้อยใจ แหว่งใจ ดีใจ ไม่มีหรอก เราทำเอง ถ้าคุณหลุดออกมาได้ จะรู้ว่าแต่ก่อนเราทำไมโง่อย่างนี้ ….หรือใครไม่หลุดก็แต่ก่อนคนเรายังโง่ แต่ตอนนี้ก็ยังโง่อยู่

 

(118)  “พุทธธรรมนูญ”ที่เป็น “หลักเอก”ของศาสนาพุทธ 

           “ทิฏฐิ 62”นี้คือ  “ทิฏฐิ”บทแรก ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แล้วโบราณาจารย์ที่เป็นผู้รู้ของศาสนาทั้งหลายได้ร่วมกันจัดทำนำมาบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็น “พระสูตร”แรกของ “พระไตรปิฎก”ทีเดียว(พรหมชาลสูตร) เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง “ศีล”ของศาสนาพุทธ อันได้แก่ จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ซึ่งเป็นเนื้อความ “ธรรมนูญ”ของศาสนาพุทธแท้ๆ

          มาถึงวันนี้ ในวงการพุทธศาสนา ก็เลิกนับถือกันแล้ว ไปนับถือกันอยู่แค่เพียง “วินัย 227”เท่านั้น โดยหลงกันทั่วไปว่า  “วินัย 227”เท่านี้เป็น “ศีล”แท้ๆของพุทธ

          ชาวพุทธในศาสนาพุทธ ไม่รู้กันแล้วว่า จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล นี้แหละคือ  “ศีล”ที่ภิกษุจะต้องรักษาไว้ให้แก่ศาสนาพุทธให้ได้ เป็น “หลักเอก”ของศาสนา 

          แต่ทุกวันนี้หลงผิดไปแล้วอย่างยากมากที่จะหวนกลับไปเป็น “ศาสนาพุทธ”ที่มี “ศีล”คือ จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เป็นหลักเอกของศาสนาพุทธ

          เพราะจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลได้เลือนหายไปแล้ว เป็นศาสนาไม่มี “ศีล”แล้ว มีแค่วินัย 227 ที่เรียกขานกันว่า “ศีล”ของพระ โดยไม่รู้กันแล้วจริงๆว่า แท้ๆนั้น จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ต่างหากคือ “ศีล”ของพระ แต่ทุกวันนี้เหลือแค่วินัย 227 เท่านั้น 

          แม้ “วินัย 227”ก็ยังเละเทะกันอยู่ซ้ำไปเสียอีก ถึงขนาด “สมีอุ้มสมี”ก็เห็นๆกัน อะไรเหลือบ้าง ในความเป็น “พุทธศาสนา”

 

(119) เมื่อ “ทิฏฐิ”ขั้นต้น “มิจฉาทิฏฐิ” ทิฏฐิอื่นก็มิจฉาตาม

          เมื่อ “ธรรมนูญ”อันเป็นบัญญัติ “หลักเอก”ของศาสนาพุทธก็ไม่มีเสียแล้ว แถมละเมิดบัญญัติที่เป็น “ธรรมนูญ”เสียเกือบครบบทบัญญัติแล้วอีกด้วย แล้วศาสนาพุทธจะเหลืออะไร

          1.เขาไม่ได้รับ 2.เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไป 3.ละเมิดไปแล้ว หรือว่ารู้แล้วก็ไม่รับ ละเมิดอีก จะเหลืออะไร ไม่ได้ใส่ไข่นะ แต่บอกสัญญาณให้ ว่าศาสนาพุทธได้ล้มละลายขนาดไหน อาตมาไม่ได้ลงโทษ อาตมาไม่อยากให้เกิดอาตมาเสียดายสงสาร อาตมารักศาสนาพุทธนะ อาตมาอยากกอบกู้ศาสนาพุทธ ไม่ได้คิดทำให้เสื่อมเสีย แล้วจะเอามาประจานทำไม ถ้าอาตมาไม่พูดคุณจะรู้สึกไหม

          เอาบทบัญญัติของจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลไปตรวจสอบดูเถอะ วัดต่างๆเต็มไปการเลี้ยงชีพด้วยเดัจฉานวิชา(ความรู้ที่ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน) บริบูรณ์ไปด้วยเดรัจฉานกถา(พูดกันสอนกันแต่เรื่องไม่พาไปนิพพาน) อย่างดีก็เรียนกันแต่ความรู้ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์

          ซึ่งต่างจากพุทธศาสนาที่อาตมาหมาย คณะสงฆ์หมู่ใหญ่กับคณะสงฆ์อโศกจึงเป็นนานาสังวาสกัน ด้วยความเป็นอยู่ปฏิบัติจริง

          กรรมหรือการประพฤติปฏิบัติต่างกัน อุเทศ(คำอธิบายธรรมจากหัวข้อธรรม)ต่างกัน ศีลไม่เสมอสมานกัน มันเป็น “นานาสังวาส”แล้วจริงๆ คือ แตกต่างกัน(นานา)ไปแล้ว อย่างเด็ดขาด

          พวกหนึ่งไม่เอา “ศีลธรรมนูญ”แล้ว กับ อีกพวกหนึ่งเอา “ศีลธรรมนูญ”อย่างยิ่ง

          พวกหนึ่งหลงเที่ยง หลงประพฤติอยู่กับ “ทิฏฐิ 62” อย่างดื่นดาษ ยึดถือ นับถือ “อดีตกับอนาคต”กันอยู่ ทั้งหนีเข้าป่า หลับตาทำสมาธิ ทั้งเอาตรรกศาสตร์-ภาษาศาสตร์มาแข่งดีแข่งรู้กัน หรือนำมาโพนทนาเป็น “วิมาน”หลอกล่อให้ได้แต่เพ้อฝันกันไปเท่านั้น

          ไม่มี “ทิฏฐิ”ที่เห็นว่า “นิพพาน”นั้นต้อง “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) ไม่ใช่ไปหลงอยู่กับ “โลกอดีต-โลกอนาคต”อย่างที่เป็นกัน เต็มสังคมพุทธทุกวันนี้        

          ก็เท่ากับ “มิจฉาทิฏฐิ”กันตั้งแต่ประเด็นต้นของพระสูตรเล่มแรกแท้ๆ(เล่ม 9)พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วโบราณาจารย์นำมาบันทึกไว้เป็นบทแรกของพระสูตรของพุทธศาสนากันทีเดียว

          ป่านนี้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่ฉุกใจ ยังทำ “สัมมาทิฏฐิ”กันไม่ได้

          ทิฏฐิอื่นๆ ที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”กันอีกหลากหลายแง่เชิงนั้น จึงเตลิดเปิดเปิงต่อไปอย่างระเนระนาด ดังที่เป็นที่เห็นกันอยู่โต้งๆ

 

(120)  “ผู้รู้ผู้ตื่น” คือ  “ตื่น”(ชาคร)จากอะไร? อย่างไร?

          ตั้งสติกัน ทำปัญญาให้แจ้งกันบ้างเถิด อย่าเอาแต่ยึดๆๆ ทั้ง “ทิฏฐุปาทาน”ก็ยึดกันแน่น ทั้ง “สีลัพพัตตุปาทาน”ก็ยึดเหนียวหนึบ ยิ่ง “อัตตวาทุปาทาน”ก็ยิ่งยึดกันไปลมๆแล้งๆ ไม่เข้าใจกันด้วยซ้ำว่า ตนยึดได้ก็แต่ “อัตตวาท”คือยึดได้แต่ “คำกล่าว-การพูด”เท่านั้นว่า  “อัตตา”ๆๆๆ แต่แท้จริงยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะกันเลยว่า สภาวะจริงๆของ “อัตตา”นั้นเป็นไฉน มีอยู่อย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นแหละ

          หรือ “อัตตา 3” คือ  “โอฬาริกอัตตา”นั้นไฉน  “มโนมยอัตตา” เป็นอย่างไร จนถึง “อรูปอัตตา”ขั้นปลายสุดจึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้   

          สำหรับ “กามุปาทาน”นั้น ไม่ต้องพูดเลย รู้กันดี แต่เต็มใจจมอยู่กับกามกันทั้งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเสียดสี หรือจมอยู่กับความใคร่อยากได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญได้สุขที่เป็นโลกีย์ทั้งหลาย เต็มสถาบันศาสนากันเห็นๆ  “ตื่น”ขึ้นมาจากหลงใหลกันบ้างเถิด

          สถาบันเราก็เคารพ ครูบาอาจารย์ทั้งโบราณปัจจุบันเราก็เคารพ แต่ “สัจจะ”นั้นน่าจะเข้าถึงให้จริงให้ได้ เราไม่ได้ลบหลู่สถาบัน หรือบรรดาอาจารย์เลย เพียงแต่เราประสงค์จะให้เข้าถึงสัจธรรมกันจริงๆเป็นเป้าแท้ จะได้เกิดประโยชน์แท้จริง กอบกู้ศาสนาขึ้นมาได้จริงกันบ้าง พากันหลงเลอะน่าสงสารมานานแสนนานแล้ว

          คนที่ชื่อว่า ผู้ “ตื่น”(ชาคร) ไม่ได้หมายว่า แค่คนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากการหลับพักกาย แต่เป็นผู้มี “ความตื่นรู้พร้อมด้วยสติเต็มทำงานกับ “อายตนะ 6”เป็น “ชาคริยานุโยคะ” หมายความว่า พากเพียรทำความตื่นให้เป็น “ผู้รู้ผู้ตื่นจากโลกียารมณ์ที่ตนหลับไหลลุ่มหลง”อยู่นั่นทีเดียว ไม่ใช่แค่ตื่นจากนอนหลับเท่านั้น

          อย่าหลับไหลไปกับสถาบันกันจนหลงใหลคลั่งไคล้กันนัก

          “สถาบันพุทธศาสนา”ยังอยู่ในศีลในสัจธรรมกันดีอยู่หรือ?

          “ตื่น”ขึ้นมาตรวจดู “ความจริง”ที่เป็นภายนอกที่ห้อมล้อมอยู่ทั้งหลายดูดีๆเถิด อย่าเอาแต่จมอยู่กับอารมณ์ “ฝัน”อันแสนสวยแสนสุขกันอยู่กับ “โลกียธรรม”ที่พรั่งพร้อมของตนเอง จนไม่รู้จัก “ความจริง(สัจธรรม)ตามความเป็นจริง”กันนักเลย

          ไตร่ตรองกันดีๆ ว่า สัจธรรมคือศาสนา หรือสถาบันคือศาสนา หรือบรรดาอาจารย์คือศาสนา อะไรคือศาสนากันแน่

          ทำ “ทิฏฐิ”นี้ให้แจ้งกันดีๆเถิด ลดละอัตตากันเสียบ้าง

          ยิ่งใครยังเอาแต่หลงหนักมืดอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ตกเป็นทาสมัวเมาดำฤษณา ถูกบำเรอบำรุงด้วยลาภยศสรรเสริญสุขสบาย ถูก “สินบน”หรือ “ลัทธิประชานิยม”สะกดจิตเอาจนกลายเป็นทาสซื่อที่แสนเชื่อง ก็จงรู้ตัวเองบ้างเถิด สลัดแอกให้แก่ตนเองบ้าง

          นี่คือ  “ทิฏฐิ”บทแรกที่จะต้องตื่น(ชาคร)เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิโลกียนิยม-ทุนนิยม” เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิจิตนิยม-เทวนิยม-อัตตนิยม-วัตถุนิยม” กันให้ได้เสียทีเถิด

          มันจะ “เสียหน้า-เสียศักดิ์ศรี-เสียผู้เสียคน”อะไรกันนักหรือ  ที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวว่า เราหลงเป็นทาสอยู่ในดงแดนแห่ง “มิจฉาทิฏฐิ”       

 

(121) ผู้ไม่ “ฝึกฝนดับฝัน”เพราะไม่ตื่นขึ้นมาฝึกภายนอก

          ดังนั้น ผู้ยิ่งมัวไปมั่วหลงปฏิบัติอยู่กับภาวะที่หลงมุ่นใน “อดีต”หรือ “อนาคต”ในภายใน ที่เป็นเพียง “ฝัน”เท่านั้น ว่าเป็น “ความจริง” ที่จะปฏิบัติเกิด “ผลธรรม” ก็ยิ่งเป็น “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ตลอดกาลนาน

          เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”และไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “โลก”เท่านี้แหละ ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอะไรต่ออะไรได้หมด

          คนทุกคนที่ยังต้องสุขๆทุกข์ๆหมุนวน ตาย-เกิด เกิด-ตายอยู่ในวัฏฏสงสารไม่รู้สิ้นสุด ก็เพราะไม่รู้แจ้ง “โลกและอัตตา”นี่เอง

          และพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้คน “จบกิจ”เรื่องเป็น “ทาสโลก-ทาสอัตตา”นี้แล คือ  “โลกุตรธรรม” เป็นคนโลกใหม่ ที่อยู่ใน “โลก” กับมวลมนุษยชาติเขา อยู่กับลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุขกับกามกับอัตตาของคนในโลก แต่ท่านไม่เป็น “ทาส”แล้วจริงแท้ และไม่หลงติดหลงยึดเอามาเป็นตนเป็นของตนแล้วเด็ดขาด เพราะท่านไม่มีตน

          มีแต่ “เมตตา”ที่จะช่วยผู้คนที่หลงเมามัวอยู่กับโลกและอัตตา

          คนที่ยังอวิชชาจึงอยู่กับ “ฝัน”กันทั้งนั้น ไม่ศึกษาให้บริบูรณ์ด้วย “ความจริง”ที่มีทั้ง “สมมุติสัจจะ”ในปัจจุบัน แล้วกำจัด “อนุสัย”ให้หมดไปกับภูมิ “ปรมัตถสัจจะ”ในปัจจุบัน นั่นคือ  “ฝึกฝนดับฝัน”

          ซึ่งต้องฝึกกันในขณะมี “ภายนอก” และเป็น “ปัจจุบัน”

 

(122) ผู้เอาแต่ “ปัจจุบัน” ก็อีกแหละ ยิ่งร้ายหนักใหญ่

          ผู้ที่ไม่รู้จัก “อดีต”และ “อนาคต” ตีทิ้งอดีต-อนาคตไปเลย ก็อีกแหละ ผู้ที่หลงแต่ “ปัจจุบัน”แบบนี้ ยิ่งร้ายหนักใหญ่เพราะกลายเป็นผู้ “ขาดสูญ”(อุจเฉทะ)ทั้งโลก-ทั้งอัตตา แต่เป็นผู้จมอยู่กับอวิชชา ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “โลกหรืออัตตา”เลย ตนเองงมงายเรื่อง “โลก”เรื่อง “อัตตา”ในปัจจุบันนั้นเองด้วยดำฤษณา ทำลายโลกทำลายสังคมอยู่

          ผู้ที่ต้องกลายเป็น “อุจเฉททิฏฐิ" ก็เพราะไปศึกษาเผินๆจึงหลงผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่สำคัญในเรื่อง “โลก”เรื่อง “อัตตา” ระวังเถอะ!!

          แม้จะฉลาดเฉลียวเชี่ยวชาญปฏิภาณมากหลาย แต่หลงโลกีย์ อันเป็นลาภ เป็นยศ เป็นสรรเสริญ หนักจัด จนกลายเป็นคนลวงโลก เรื่อง “โลก”เรื่อง “อัตตา”พอรู้บ้างไม่รู้บ้าง ตามประสา แต่กิเลสหนาหนัก ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเลยแม้แต่คำว่า  “กาย”

          บ้างก็หลงเมามายไปกับ “โลก”กับ “อัตตา” โดยใช้ “โลก”ใช้ “อัตตา”ของตนนั้นแหละ มอมเมาโลก-มอมเมาอัตตาทั้งตน-ทั้งผู้อื่น

          ผู้ที่ยิ่งเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่เรื่อง “โลก”เรื่อง “อัตตา”พอรู้บ้างไม่รู้บ้าง ตามประสาที่มีความฉลาดมาก แต่กิเลสหนาหนัก ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเลยแม้แต่คำว่า  “กาย” จึงไม่เข้าใจว่า  “รูปกาย”คืออย่างไร  “นามกาย”คืออย่างไร ก็จะใช้ความฉลาดของตนนี่เอง ที่รู้ความเป็น “รูป”เป็น “นาม”อย่างูๆปลาๆนี้ ไปหลอกคนที่ไม่ประสีประสาเรื่อง “รูป”เรื่อง “นาม”เลยกันอย่างหนักหนาสาหัส

          ที่มีหลอกโลกลวงสังคมกันอยู่ทุกวันนี้ มีอยู่หลากหลายมากมาย ทั้งขนาดยิ่งใหญ่มโหฬารพันลึก ทั้งใหญ่มาก ใหญ่กลาง และขนาดเล็ก เต็มสังคม 

 

(123) ผู้เอาแต่ “ฝัน”มาหลอกลวงมอมเมาคน ก็มีแต่นรก  

          จึงร้ายสุดก็คือ ผู้ที่ไม่รู้ความเป็น “กาย”จริงที่ฉลาดดังกล่าวแล้ว แต่ดันเอาคำว่า “กาย”ไปหลอกโลก ไปลวงสังคม ดัดจริตเอาคำว่า “ธรรม”ไปใส่เข้ากับคำว่า “กาย” แล้วเรียกอย่างโก้ ว่า  “ธรรมกาย” ที่หมายถึงพระพุทธเจ้านั่นเทียว แล้วนำคำนี้มาลวงโลก มันก็มีแต่นรกอเวจีไม่มีจบกันเท่านั้น คนเช่นนี้ยากที่จะซมซานคลานขึ้นจากนรกได้

          อาตมาไม่อยากให้เขาต้องตกนรกเลย มันทุกข์ทรมานจริงๆนะ นรกหนะ แต่ไม่มีทางอื่นเลยที่จะให้เขารู้ เขาเข้าใจ ก็ได้แต่อธิบาย ธรรม สาธยายธรรมนี่แหละ จ้ำจี้จ้ำไชอยู่อย่างนี้เอง

          ลำพังเขาตกนรกก็เป็นทุกข์ของเขา แต่เขาพาคนไปตกนรกด้วยนี้สิ มันเลวร้าย และมันทำลายศาสนานี่ยิ่งเลวร้ายสาหัสสากรรจ์อีก จึงจำต้องพูดต้องตำหนิ ต้องบอกให้รู้ว่ามันเลวหนัก มันต่ำช้ามากนะ

          ก็ได้แต่พูดความจริงอยู่อย่างนี้เอง ยิ่งเป็นนานาสงัวาสกันด้วย ก็ยิ่งได้แต่คัดค้านอย่างจัดหนัก ต้านทานอย่างเต็มแรงกันอยู่อย่างนี้ 

          ลัทธิ “ธรรมกาย”ดังกล่าวนี้ เอาทั้ง “อดีต”เอาทั้ง “อนาคต”มาปั้นสร้างเป็น “วิมาน”หลอกคนพวกหลงงมงายยึด “อดีตและอนาคต” จึงหลงละเมอเพ้อพกกันไปใหญ่โต เชื่อ “ฝัน”กันว่าเป็น “ความจริง”ด้วยความโง่ ที่ไปหลงคำลวง-ภาพลวง-วิมานลวง

          คนที่ “โกหก”ชนิดนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “สัมปชานมุสาวาท” คือ คนโกหกทั้งๆที่ตนก็รู้ว่าตนโกหก คนเช่นนี้พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นคนทำชั่วได้ทุกชนิด ร้ายขนาดไหนก็ทำได้ ไม่มีชั่วใดที่จะทำไม่ได้

          การกระทำทั้งหลายทั้งปวงของผู้ไม่กลัวการโกหก จึงมีแต่นรกทับถมจมหนัก อย่างไม่มีวันหยุดหย่อน

          ไม่ตั้งสติ พอมีปัญญาชั่วคราว แล้วถามตนเองบ้าง ว่า ชีวิตจะหลงไปกับลาภยศสรรเสริญไปอีกเท่าไหร่? พอได้หรือยัง? โกหกไปก็บาปไป ได้นรกไปอยู่ตลอดเวลา

          ถามจริง.. ไม่กลัวนรกจริงๆเหรอ???

จบ....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:25:58 )

580919

รายละเอียด

580919_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก พรหมชาลสูตร 1

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 19 ก.ย. 2558 วันนี้ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม เราอยู่ที่สันติอโศก ยินดีมากที่มีหนุ่มๆสาวๆมาฟังธรรมกัน มาเข้าวัดเข้าวา ก็เป็นนิมิตหมายที่ดี นานๆจะมีเสียที มีหนุ่มสาวข้างนอกมาฟังธรรม อาตมาก็เตรียมอยู่ว่าจะเทศน์เรื่องอะไรดี ก็ตั้งใจจะเอาพระไตรปิฎกมาเทศน์ให้ฟัง อาตมามั่นใจว่าพุทธศาสนาเป็นสัมมาทิฏฐิเช่นนี้ พูดมา 45 ปีทางกระแสหลักยังเฉยไม่กระเตื้องอะไร ก็ใช้พระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน ก็เอามายืนยัน

 

เป็นพระไตรปิฎกเล่ม พระวินัยนั้นต่างจากศีล ศาสนาพุทธทุกวันนี้เขาทิ้งศีล เอาแต่พระวินัย แต่ก็ไม่ได้จริงก็เละไปหมด ส่วนศีลเขาไม่เอา ศาสนาจึงไม่อยู่ในศีลแล้ว อาตมาจะอ่านพระไตรปิฎกให้ฟัง

 

พระสุตตันตปิฏก

                              

เล่ม 1

           ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

 

 

1. พรหมชาลสูตร

เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ

 

 

          [1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

         

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางไกลระหว่างกรุง

ราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก. ได้ยินว่าในระหว่างทางนั้น.

สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วน

พรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชม

พระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย

 

อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง

ฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จ

เข้าไปประทับแรมราตรีหนึ่ง ณ พระตำหนักหลวง ในพระราชอุทยาน อัมพลัฏฐิกาพร้อมด้วย

ภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชก ก็ได้เข้าพักแรมราตรีหนึ่ง ใกล้พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยาน

อัมพลัฏฐิกา กับพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก ได้ยินว่าแม้ ณ ที่นั้น สุปปิยปริพาชก ก็กล่าว

ติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพ อันเตวาสิก

ของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย

 

อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองคนนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ (เดินตาม

พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ)  ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง นั่ง

ประชุมกันอยู่ ณ ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็น

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้

เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกผู้นี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า

ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตนาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก

กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิก

ทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไป

ข้างหลังๆ

         

 

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นแล้วเสด็จไปยัง

ศาลานั่งเล่น ประทับ ณ อาสนะที่เขาจัดถวาย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาอะไรกัน และเรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้ เมื่อตรัสอย่างนี้

แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ณ ที่นี้ เมื่อพวกข้า

พระพุทธเจ้าลุกขึ้น ณ เวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันขึ้นว่า ท่าน

ทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบ

ความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริง

สุปปิยปริพาชกนี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วน

พรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์

โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง ฉะนี้

เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ พระพุทธเจ้าข้า เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระพุทธเจ้า

พูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.

         

 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม

ติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง

หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้

ละหรือ?

         

 

ผู้ใดมาปฏิบัติธรรมแล้วพระพุทธเจ้าว่าให้ระวังแม้ได้รับคำตำหนิติเตียน ก็อย่าน้อยใจ หรือเสียใจ ต้องอ่านใจให้ทัน การน้อยใจเสียใจหรือขุ่นเคืองใจ คืออันตรายที่มี

 

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.

         

 

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม

ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า

นั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น

จะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม

ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย

เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ

ชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง

แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ใน

เราทั้งหลาย.

                                 
พ่อครูว่าเขาชมเรา แม้เราดีก็ตาม แล้วเราเหิมใจอีกก็เป็นอันตราย

 

จุลศีล

         

[2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด

นั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต

จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

         

[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา

มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้

ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.

3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ

ห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

 

[4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์

มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไป

บอกข้างโน้น  เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น  แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้

คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง

ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน

กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.

6. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ

เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.

7. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ

ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด

ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

         

[5] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม

         

ดินก็มีดินเป็นกับดินตาย หากดินเป็นไม่ได้ แต่ดินตาย คือไม่มีชีวะอยู่ คือดินที่คนคุ้ยเขี่ยขุดมาแล้วนั่นเอง สรุปคือไม่ให้พรากชีวะคือพีชนิยามกับจิตนิยาม สรุปคือท่านไม่ให้พรากพืชด้วย ที่จริงพืชไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกสุขทุกข์ไม่ชอบหรือชัง พืชมีหน้าที่เลี้ยงตัวเองเท่านั้น พระพุทธเจ้ารู้ว่าพรากพืชไม่มีบาปหรือบุญอะไร แต่ที่พระพุทธเจ้าไม่ให้ภิกษุพรากพืช นั้นเพราะท่านห้ามโดยสังคมศาสตร์ ไม่ใช่สัจศาสตร์ คือพระนี่ถ้าปล่อยให้ตัดพืชได้ ปลูกเองตัดเองได้ พระก็ปลูกพืชได้ไม่พึ่งคน พระพุทธเจ้าให้พระพึ่งฆราวาส แล้วฆราวาสพึ่งพระ จึงมาบวชแล้วไม่บาป แต่อย่าตัดพรากพืช

 

[6] 9. พระสมณโคดม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น

อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้

ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.[7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

         

 

ศิลปะคือมงคลอันอุดม

ศิลปะอาตมาแบ่งเป็น 5 ชั้น คือลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ

แบบลามกกับราคะนี้ไม่ใช่ศิลปะแต่มีเยอะ

สาระ การทำสาระให้เป็นศิลปะนั้นยาก ถ้าทำไม่เป็นก็เป็นสารคดี ต้องมีศิลปะไม่ทำให้เป็นราคะหรือลามกแต่เป็นสารคดี 

[8] 22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม

และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น

และการกรรโชก.

                                  จบจุลศีล.

                                 

 

มัชฌิมศีล

        

[9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

 1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคาม

และภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด

พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า.

[10] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของ

ที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน

สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิษ.

         

[11] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอัน

เป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น

การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม

การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค

ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล

การจัดกระบวนทัพ กองทัพ.

         

[12] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการขวนขวายเล่นพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความ

ประมาท เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยัง

ขวนขวายเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละ

แปดตา แถวละสิบตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง

เล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย

เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ.

         

[13] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอัน

สูงใหญ่เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว

เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มี

สัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและ

เสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงิน

แกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาด

หลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขน

อ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง.

[14] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบการประดับตบแต่งร่างกายอันเป็น

ฐานแห่งการแต่งตัว เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา

แล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เห็นปานนี้

คือ อบตัว ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอมนวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว

ผัดหน้า ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม

สวมรองเท้า ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย.

                  

           

ติรัจฉานกถา

         

[15] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ

บางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถาเห็นปานนี้ คือ พูดเรื่อง

พระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ

เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม

เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ

เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม

ด้วยประการนั้นๆ.

         

[16] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน

เห็นปานนี้ เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้

อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูกถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็น

ประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับ

กล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้า

ข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ.

         

[17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรม

และการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี

และกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ใน

ที่โน้นมา ดังนี้.

[18] 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูด

เลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ.

            จบมัชฌิมศีล

 

มหาศีล

ติรัจฉานวิชา

         

[19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

          1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ

ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำ

บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า

บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ

ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็น

หมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็น

หมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

         

[20] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้า

ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ

ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส

ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา

ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.

         

[21] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก

พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด

พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอก

จักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย

เพราะเหตุนี้ๆ.

         

[22] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง

ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทร

คราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้

ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาต

จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผล

เป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์

และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็น

อย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.

[23] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย

จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือ

นับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์

         

[24] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน

ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์

ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง

เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวง

ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.

         

 

[25] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน

บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธี

บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษ

เบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์

ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

         

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณ

น้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.

                                จบมหาศีล.

 

ทิฏฐิ 62

       

[26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก

สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญา

อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?

                                  

. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18

         

[27] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็น

ไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็น

ไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ.

                              

 

สัสสตทิฏฐิ 4

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลก

ว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร

จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

                            

 

ปุพเพนิวาสานุสสติ

          1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่อง

เผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย

มนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัย

อยู่ในกาลก่อนได้หลายประการคือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง

สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง

ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติ

บ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น

เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพ

โน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น  ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิด

ในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ

พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา

ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด

แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียร

เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท

อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์

ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง

สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง

ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง

หลายแสนชาติบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น

มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น

แล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น

มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้น

แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ

พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตา

และโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น

ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง

ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

                              

 

สัสสตทิฏฐิ 4

         

[28] 2. อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิ

ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้

อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึก

ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน

ได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่อ

อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ

มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น

มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด

อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่

ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและ

โลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป

ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ

เหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ

เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น

แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย

อาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง

ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น

เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น

แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข

เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อม

ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา

ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด

แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง

อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

 

[29] 3. อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมี

ทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? (พ่อครูว่าพวกนี้ส่วนมากเป็นพวกนั่งหลับตาทำสมาธิ) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน

ในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ

เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่น

แห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย

อาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น

เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขเสวยทุกข์

อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้น

เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์

อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึก

ถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขาจึง

กล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด

ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอ

คงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส

อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการ

โดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ใน

กาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิกัฏฏกัป

บ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น

มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มี

ผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้

หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้

อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อม

บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

         

 

[30] 4. อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมี

ทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน

ในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิด

ได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่า

สัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมี

ทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้น

มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ นี้แล.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่าเที่ยง จะบัญญัติอัตตา

และโลกว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้น

หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้

อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อม

รู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น

ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น

ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต

จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                             จบภาณวารที่หนึ่ง.

 

 เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4

       

[31] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง จึงบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

         

          5. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน

ที่โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์

เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ

อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้ง

บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้กลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหม

ปรากฏว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะ

สิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร

มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น

สิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสัน

ความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจาก

ชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม เป็นสหายของสัตว์

ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเองสัญจร

ไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็น

มหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง

เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว

และกำลังเป็น สัตว์เหล่านี้เรานิรมิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้

ก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้ และ

สัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ

เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา

ของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้น เพราะ

เหตุไร เพราะเหตุว่า พวกเราได้เห็นพระพรหมผู้เจริญนี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณกว่า

มีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้

เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้วก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็น

เครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท

อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคย

อาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้ใดแลเป็น

พรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ

เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์

ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้นเป็นผู้เที่ยง

ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเรา

ที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้

เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว

จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง

บางอย่างไม่เที่ยง.

         

 

[32] 6. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร

จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่

ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติก็ย่อมหลงลืม เพราะสติ

หลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง

จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ

เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็น

เครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ใน

ความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่

ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติ

ไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผัน

เป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่น

อยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกเรานั้นพากันหมกมุ่น

อยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติ

หลงลืม พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้

เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว

จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง

บางอย่างไม่เที่ยง.

         

 

[33] 7. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร

จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกัน

เกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน

จึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์

ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ

เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าว

อย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร

เมื่อไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ก็ไม่คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างไม่คิดมุ่งร้ายกันและกัน

แล้ว ก็ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ พวกนั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ มีอัน

ไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราได้เป็นพวก

มโนปโทสิกะ มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ก็คิดมุ่งร้าย

กันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน ก็พากันลำบากกาย ลำบากใจ พวกเราจึงพากันจุติจาก

ชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง

บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

         

 

[34] 8. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร

จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง

ไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด

กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่าจักษุก็ดี โสตะก็ดี

ฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายก็ดี นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอัน

แปรผันเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยง

ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง

บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

         

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

         

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง

บางอย่างไม่เที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจาก

นี้ไม่มี.

         

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถือไว้อย่างนั้น

แล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้น

ชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น

ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น

ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับเฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

         

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต

จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง

แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                            

 

อันตานันติกทิฏฐิ 4

       

 

[35] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุด

มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น

อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและ

หาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ.

         

          9. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียร

เป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท

อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญ

ในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า

ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ

อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต

จึงมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด. ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้มีที่สุด กลม

โดยรอบ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภ

แล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

 

พ่อครูว่าสรุปว่า เรื่องเหล่านี้คือเรื่องของจิต ส่วนโลกคือการหมุนเวียน แม้โลกก็หมุนเวียนไป ดวงดาวด้วย ในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรไม่เคลื่อนที่ มีสิ่งที่ไม่เคลื่อนอย่างเดียวคือสภาวะนิพพาน แล้วจะเอาอะไรมาเทียบไม่ได้ สภาวนิพพานคือความไม่มีกิเลส ไม่ใช่ว่าสภาวะไม่มีอะไรเลย

 

นิพพานคือความว่างจากกิเลส ต้องรู้อาการกิเลส หยาบ กลาง ละเอียดให้ชัด ละเอียดสุดคืออนุสัยกิเลส คนที่หมดอาสวะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ยังมีอนุสัยต้องดับอนุสัยอีกจึงเป็นอรหันต์สูงสุด คนดับอาสวะได้แล้วจะเกิดอีกก็ไม่เป็นบาป แต่ไม่สิ้นสุด ต้องดับอนุสัยอีก คนหมดอนุสัยจะเกิดอีกกี่ชาติก็สุดยอด

 

สรุปแล้วมีสองอย่างคือโลกกับอัตตา

 

โลกคือพลังงาน อัตตาก็มีพลังงาน โลกตั้งแต่โลกลูกนี้หมุนวน เกี่ยวกันหมดในมหาจักรวาลนี้ แม้แต่อุกกาบาตไม่มีวงโคจร แต่ก็หมุนวนของมัน แต่มันไม่มีทางเดินแน่นอนของมัน อุกกาบาตจะจับเข้าวงโคจรอะไรก็ไม่ได้ มันไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้า แม้พระอาทิตย์ก็ขึ้นกับวงโคจรของสุริยจักรวาลนี้

 

แม้มันจะเกี่ยวข้องกับทุกอย่างแต่เราไปเกี่ยวด้วยหมดไม่ไหว เราก็สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งใกล้ตัว สิ่งจำเป็น เราอยู่ในเมืองไทย แต่โลกนั้นเชื่อมต่อกันหมด นี่กำลังจะเปิดอาเซี่ยน จะว่าดีก็ดี แต่จะหาเรื่องยุ่งมากขึ้นก็ใช่ ขนาดประเทศไทยนี่ โลกใครโลกมันเลย โลกของรัฐบาลกับโลกของนปช.อย่างนี้มันต้องมีวงโคจรของความคิดความเชื่อ ต้องมีสองหน่วยขึ้นไปเป็นรูปกับนาม มากขึ้นไปก็แยกชัดได้สองกลุ่มใหญ่ จนกว่าจะลงตัว ด้วยวิธีใดๆก็แล้วแต่

 

เราต้องรู้ 1 ตรงกับเรา สองตรงกันข้ามกับเรา ส่วนครึ่งๆกลางๆก็จะโดนเขี่ยไปเขี่ยมา แต่พวกที่อยู่ตรงกลางอย่างดีที่สุดคือรู้ว่าอะไรมีสองคืออะไร มีดีกับไม่ดี แล้วเราก็รู้อะไรดีหรือไม่ดี เราก็เลือกอยู่ข้างคนดี แล้วมีเงื่อนไขว่าไม่รุนแรง ความรุนแรงมากสุดของศาสนาพุทธคือตัดออกจากหมู่ ไม่ให้ความรู้ด้วย นี่ร้ายสุด ศาสนาพุทธไม่ทำร้ายใคร มีแต่เอื้อเฟื้อเจือจานให้ดี ข้อสำคัญต้องเรียนรู้ความดีไม่ดี ความสูงสุดประเสริฐสุด

 

ความสูงสุดประเสริฐสุดกว่าดีคือ ไม่เห็นแก่ตัว ลดกิเลสได้ นั่นแหละคือระบบของพระพุทธเจ้าลดกิเลสคือลดอัตตา ลดตัวตน ลดความเห็นแก่ตัว เมื่อลดได้เรื่อยๆ แล้วศาสนาพุทธไม่ได้อยู่กับโลก อยู่กับเขาได้ แม้เขาจะมาทะเลาะทำร้ายเราก็หนี หนีไม่รอดก็ตาย ไม่โกรธเคืองไม่พยาบาท แล้วจะมีบารมีรอดได้ แต่อย่าพึ่งแต่บารมี ให้พึ่งความจริงมาทำดี มาช่วยกันทำดี นี่คือความเป็นกลาง ไม่ใช่ว่าเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใคร อันนี้โลกแย่ แต่คนดีต้องเข้าข้างคนดี แต่ถ้าต่างคนต่างเอาตัวรอด ดีกับดีก็ไม่เข้าข้างใคร คิดดูสิ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะเกิดความแตกระแหง

 

คนดีต้องรวมตัวกันเสีย อย่างที่ในหลวงเราตรัสว่า อย่าให้คนชั่วมาบริหารบ้านเมือง แล้วเอาคนดีมาบริหารบ้านเมือง ทุกวันนี้คนดียังไม่เข้าใจ คนเป็นกลางที่ไม่เข้าข้างคนดียังไม่เป็นกลาง

 

คนที่เป็นกลาง 4 แบบ

1.ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนดี คือคนนี้โง่บริสุทธิ์

2.คนที่รู้ว่าข้างไหนดีหรือไม่ดี แต่กลัว จะถูกเขาชังหรือเขาทำร้ายเอา กลัวเสียโลกธรรม สารพัด

3.พวกมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่า เป็นกลางคือไม่เข้าข้างใคร คือรู้ว่าดี หรือชั่ว ไม่กลัวเขามาฆ่าหรือทำร้ายด้วยไม่กลัวเสียโลกธรรม แต่ว่าเข้าใจว่า ความเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใครเลย อย่างที่สามนี้เลวที่สุด

4.คนมีปัญญาที่รู้ว่าดีหรือชั่ว แล้วไม่กลัวเสียโลกธรรม แต่เลือกเข้าข้างคนดี มีประมาณในการตำหนิส่ิงไม่ดีสิ่งชั่ว

 

อาตมาก็พูดตรงๆว่าทุกวันนี้สงสารศาสนาพุทธมากที่ไม่มีศีลแล้ว มีแต่วินัย 227 เขาถือกันแต่ศีล 227 แต่แท้จริง ยุคพระพุทธเจ้าท่านก็กำชับเลยว่า ศีลจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลนี่แหละพระพุทธเจ้าว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งในทุกข้อของศีล แต่เดี๋ยวนี้ศีลไม่เหลือ มีแต่วินัย 227 แล้วก็ละเมิดศีลด้วย สมาธิก็เพี้ยนไปเอาแต่นั่งหลับตาสมาธิ หลับตานี้ไปสู่อดีต อนาคต มิจฉาทิฏฐิในทิฏฐิ 62 นี้ อยู่ในอดีตและอนาคต ปัจจุบันก็ซ้อนในอนาคต นึกคิดเอาเอง มิจฉาทิฏฐิหมด

ส่วนผู้ปฏิบัติเป็นปัจจุบันมีทวาร 6 กระทบสัมผัส แล้วแยกได้ว่าอันนี้เป็นอัตตาตัวตนกิเลส เป็นสักกายะต้องกำจัด ไม่ใช่ว่ารู้แบบคลุมๆ เช่นรู้ว่าโจรอยู่ในเมืองไทยก็เผาเมืองไทยให้หมด พวกคุณก็ตายไปด้่วยเลยไม่ใช่ มันต้องจับตัวโจรแล้วเอาโจรมาเผานี่คือของพุทธ การนั่งหลับตาสมาธิไม่ได้เรียนรู้ว่าโจรคือคนไหน เอาแต่ดับตายหมดทั้งประเทศ โจรมันอาจไม่ตายเพราะมันรอดรูเก่ง หนีได้ออกนอกประเทศ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:26:49 )

580920

รายละเอียด

580920_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก พรหมชาลสูตร 2 ทิฏฐิ 62

.เพาะพุทธว่า...วันนี้พ่อครูจะนำเสนอเรื่องราวของพรหมชาลสูตรต่อจากวานนี้

พ่อครูว่า...คำว่าชาละ แปลว่าแห แปลว่าข่าย คลุมไว้ ท่านสรุปไว้ตอนจบว่า คนเราทุกวันนี้เหมือนถูกข่ายแหคลุมไว้ ไปไหนไม่ออก วนไม่ออก ไม่มีพ้นจากตาข่าย เป็นสูตรแรกของธรรมะพระพุทธเจ้า ที่ผู้รู้ท่านทำสังคายนาแล้วเรียบเรียงเอาไว้ พระอรหันต์ 500 รูป ร่วมคิดร่วมทำแล้วเรียบเรียงไว้ เราต้องเชื่อนะ พระอรหันต์ 500 รูปท่านเรียบเรียงเป็นวิชาการจากคำสอนพระพุทธเจ้า

 

วินัย 8 เล่ม เป็นภาควินัย เป็นกฎหมายลงโทษ เกิดขึ้นภายหลังศาสนาพุทธเกิดมาพักหนึ่งแล้วมีคนทำผิด แล้วพระพุทธเจ้าจึงออกกฏขึ้นมาปราบคนทำผิด ถ้าตราบใดยังไม่มีคนทำผิดท่านจะไม่ตั้งวินัย พระพุทธเจ้าตั้งวินัย 150 ข้อ ที่พระพุทธเจ้าตั้ง แล้วรวมกับที่มาจากอรรถคาถาอีก 77​ ข้อ

วินัยเหมือนกฎหมายลูก ส่วนศีลเป็นเหมือนกฎหมายหลัก แต่ศีลไม่มีบทลงโทษใครทำถูกต้องตามศีลก็เจริญ ส่วนวินัยนั้นถ้าผู้ใดทำผิดก็เสื่อมเลย

 

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เอาเรื่องศีลแล้ว ทั้งที่อยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม1 กล่าวถึงไว้หมดใน 13  สูตรแรก เป็นแต่เพียงพรหมชาลสูตร ท่านกล่าวถึงศีลแล้วท่านก็กล่าวถึงปัญญาคือทิฏฐิ แล้วยังไม่ได้กล่าวถึงสมาธิ การศึกษาพระพุทธเจ้าคือ ไตรสิกขา คือ ศีล จิต ปัญญา แม้แต่คำว่าวิมุติก็ไม่ใช่การศึกษา แต่วิมุติคือผลของสิกขา 3 นี้ แล้ว วิมุติ วิมุติญาณทัสนะเกิด จิตที่ตั้งมั่นแล้วตกผลึกแข็งแรงเป็นสมาธิ ตั้งมั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

พรหมชาลสูตร รวบรวม ศีล และปัญญาไว้ เป็นองค์รวม ทิฏฐิหรือปัญญา ที่ยังไม่ควบแน่นไม่รวม เป็นสมาธิ เป็นจิตเจโตตั้งมั่น

 

อาตมาได้อ่านถึงเรื่องของทั้งประวัติเร่ิมต้น มีนิทานเริ่มต้นด้วยว่า ปริพาชกสอง อาจารย์กับลูกศิษย์ เรื่อง สุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ สองคนนี้เดินทางมาก็นินทาพระพุทธเจ้ามา แล้วก็ชมด้วย สองฝั่งวิจารณ์กันแย้งกัน พระพุทธเจ้าว่าให้ติได้ ชมได้ แย้งได้ แต่ว่าอย่าให้จิตกระเพื่อม อย่ายินดียินร้าย ถ้าเขาติถูกก็พัฒนาตนเอง ปรับปรุง แต่ถ้าเขาติผิดก็สามารถแก้ไขหรือพูดแก้ได้ แต่ข้อสำคัญคือจิตอย่าให้มียินดียินร้าย

 

ใครไปนั่งสะกดจิตหลับตาฝึก อย่างสมาธิสากล ที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้ารู้จักใช้เป็นอุปการะได้ แต่ไม่ใช่ของท่าน ท่านไม่ได้รังเกียจ แต่ไม่ครบบริบูรณ์

 

ตอนนี้ศาสนาพุทธเขาไม่เอาศีลแล้ว มีแต่วินัย แล้วจะเหลืออะไร ศาสนาพุทธ ส่วนปัญญานั้นในทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าสรุปไว้ คำว่า ทิฏฐิ หมายถึงกาละเวลาที่เป็นปัจจุบัน คือเป็นปัจจุบันไม่เอาอดีต อนาคต เรียกว่า ทิฏฐธรรม และอีกความหมายคือเห็นๆรู้ๆ ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงสูงสุด ครบถ้วนก็คือ สัมมาทิฏฐิเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า ปัญญา มาเป็น ปัญญินทรีย์ คือมีพลังงานดีกรีความรู้เพิ่มขึ้น คือปัญญาที่เชี่ยวชาญชำนาญมีพลังขึ้น เรียกว่าเต็มครบ เป็นปัญญาพละ หรือปัญญาผล

 

การจะเกิด ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องปฏิบัติมรรคองค์ 8 เรียกว่า มัคคังคะ  ในพระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 258 การปฏิบัติมรรคทั้ง 8 ปฏิบัติมรรค 7 องค์ มีสติสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ปฏิบัติแล้วจะเจริญ สัมมาทิฏฐิ โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้าเป็นประธาน เป็นตัวนำให้เกิด ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ

 

ทิฏฐิ มีสามนัย คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทิฏฐิที่มิจฉาคืออดีตกับอนาคต ใครทำปฏิบัติแต่อดีตกับอนาคต ก็ปิดประตูนิพพาน แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไปปฏิบัติแต่อดีตกับอนาคต ก็ปิดประตูนิพพานเลย ขออภัยที่พูดเด็ดขาด ยุคนี้ต้องเช่นนี้

 

สรุปว่า อดีต กับอนาคต อยู่ในนี้ 62 ทิฏฐิ

 

ชาวอโศก เข้าใจทิศทางของพระพุทธเจ้า จึงตั้งใจมาจน จนอีหลีอีหลอก จนอย่างเต็มใจจน จนจนสำเร็จ ผู้จนแล้วสบาย ขออภัยที่ต้องพูด ว่าในหลวงนี่ให้คนมาเป็นคนจนนี่แบบในหลวงพวกเรานี่ เพราะในหลวงว่า ให้เอาแบบคนจน บริหารแบบคนจน แต่ข้าราชการหรือผู้รู้ในไทยยังไม่เก่ง ยังทำไม่ได้ดี แต่ก็พยายามทำตามในหลวงอยู่ ไม่ได้ขี้ตู่ในหลวงนะ ในหลวงยังตรัสอีกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา our loss is our gain. มาขาดทุนนี่ไม่ได้ให้ไปรวยแน่ แต่ขาดทุนแล้วอยู่ได้ อยู่ได้อย่างไม่ขูดรีดสังคมด้วย แต่ทุนนิยมนี่เป็นกระบวนการเลวร้าย ทฤษฎีเลวร้ายสุดตั้งแต่ทำมากัน สังคมเดือดร้อนก็เพราะทุนนิยมทุกวันนี้ คอมมิวนิสต์พยายามให้พ้น แต่ก็พ้นทุนนิยมไม่ได้ ต้องมาเอาของพระพุทธเจ้านี่จะสำเร็จ เพราะมาจนจนหมดตัวหมดตน

 

พุทธเรามีของดีแต่ทิ้งของดี ไปเอาของสั่วๆ ให้สนใจบ้างมาเอาจะได้ไม่เสียชาติเกิด มาต่อทิฏฐิ 62

 

###  ทิฏฐิ 62  ###

 

@ ปุพพันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องต้น, 18 ลัทธิ) -- อปรันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องปลาย, 44 ลัทธิ) ว่าด้วยเรื่องโลกกับอัตตา

- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าเที่ยง

- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด

- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)  หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล

- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ

 

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วนของขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต

 

(1) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) 4

1. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ

2. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์

3. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์

4. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

 

(2) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) 4

5. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง

6. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง

7. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง

8. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

 

(3) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) 4

9. เห็นว่าโลกมีที่สุด

10. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด

11. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด

12. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) 4

13. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) 2

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

 

@ อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี 5 กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก

(1) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (16)

(2) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (8)

(3) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (8)

(4) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (7)

(5) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน

ใน 5 กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้วยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์ ( Substance ) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

(2) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 35 ถึงข้อ 42 ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

 

(3) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 43 ถึงข้อ 50 ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

ทั้ง 3 หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

 

(4) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) 7

51. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์

52. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ

53. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ

54. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ

55. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ

56. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ

57. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ทั้ง 7 ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

 

(5) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) 5

58. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน 59,60,61,62 เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

 

จบทิฏฐิ 62

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีต ทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีต ทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้แหละ เป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมง หรือลูกมือชาวประมงผู้ฉลาด ใช้แหตาถี่ทอดลงยังหนองน้ำอันเล็ก เขาคิดอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ๆในหนองนี้ทั้งหมด ถูกแหครอบไว้ อยู่ในแห เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ติดอยู่ในแห ถูกแหครอบไว้

เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย. สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้น ที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถูกทิฏฐิ 62 เหล่านี้แหละเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้.

         

 

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

         

          เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้.

         

          ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม

เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่น

โลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล.

                                   จบพรหมชาลสูตรที่ 1.

                               _____________

 

พวกนั่งสมาธิหลับตาอยู่ในอดีตกับอนาคตนี้ทั้งสิ้น จึงปิดประตูนิพพานสำหรับพวกนี้ หลับตาไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีปัจจุบัน เอาแต่ในใจ แล้วใครจะรู้ได้ด้วย ใครจะมารับรองคุณ คุณรู้คนเดียว ศาสนาพุทธ อาตมาสรุปว่า นั่งหลับตาสมาธิ ปิดประตูนิพพาน ทุกประตู ไม่มีแสงลอดเข้ามาเลย แต่ผู้สัมมาทิฏฐินั่งหลับตาสมาธิได้ เป็นประโยชน์

 

เมื่อเรียนรู้ลดอัตตากับโลก ก็จะมีพลังงานอยู่เหนือโลก เรียกว่าโลกาธิปไตย อยู่เหนืออัตตาเรียกว่าธรรมาธิปไตย เรียกรวมว่า ธรรมาธิปไตย เป็นอธิปไตย 3 มีทั้งปัญญาและเจโตอยู่เหนือโลกและอัตตา

 

อนาคตคือพวกเพ้อฝัน โดยนั่งสมาธิ แล้วเข้าไปในภพ แล้วสร้างอนาคต นึกเอาคิดเอา รวมแล้วอนาคตทั้งหมด พระพุทธเจ้าสรุปเป็น 44 อย่าง ของผู้ดิ้นรนแส่หา

 

จะรู้โลกหรืออัตตาได้ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย แต่ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ก็ไม่เป็นฐานะที่จะเป็นได้ คำว่าอดีต อนาคตคือข่าย ใครจมอยู่ไม่มีปัจจุบันคนนี้อยู่ในข่าย การนั่งหลับตาไม่มีปัจจุบัน แต่นั่งหลับตาบอกว่าปัจจุบันก็ปัจจุบันในอดีตกับอนาคต แต่ปัจจุบันจริงนั้นไม่มี พระพุทธเจ้าสรุปไว้ว่า เว้นผัสสะเสีย ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

          แม้มี “ปัจจุบัน”ก็ทำ “ปัจจุบัน”ให้กลายเป็น “อนาคต”เพ้อฝัน

          ดังนั้นการปฏิบัติใดที่ “เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้” ทุกการปฏิบัติต้องมี “ผัสสะ”เป็นปัจจัย ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็น “ผู้ไม่รู้ไม่เห็น” ที่มีแต่ความแส่หา ความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเท่านั้น (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 51 ถึง ข้อ 90)  

 

ตัณหามีก็มีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิด ชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา เกิด มรณะ เกิด โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส(ยังเหลือเชื้อ ไม่ขาดสิ้น) ถ้าคุณหยุดการเกิดได้ โดยเฉพาะเกิดเหตุแห่งอกุศล หยุดได้ถาวรเลย แม้เขาจะมาทำร้ายเราจนตายเลย ก็ไม่โกรธตอบเลย ประมาณยากนะแต่ทำได้นะ อย่าง พระพุทธเจ้าว่า ถ้าเขาเอาเลื่อยมาเลื่อยแขนขาจะโกรธไหม หากโกรธก็ยังใช้ไม่ได้ ต้องรู้อุบายเครื่องออกจากผัสสะทั้ง 6 อยู่กับผัสสะ 6 ได้อย่างไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษเลย

 

แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติไม่มีผัสสะ 6 ซึ่งบัญญัติพูดกันเป็นภาษา “พุทธ” แต่เนื้อหาเป็น “เทวนิยม”เพราะ “มิจฉาทิฏฐิ”ชัดเจน ว่า ต่างปฏิบัติ “ปรมัตถธรรม”กันโดยไม่บริบูรณ์ด้วย “ผัสสายตนะ 6” เพราะปฏิบัติกันแบบ “เว้นผัสสะ 6” จึงได้แต่ “ผุดอยู่ในข่าย” ของ “อดีตและอนาคต” ออกจาก “อดีต และอนาคต” มามี “สัมมาทิฏฐิ”ปฏิบัติใน “ปัจจุบัน”ให้มี “ผล”ไม่ได้ เปรียบเหมือนชาวประมง ใช้แหตาถี่ทอดลงในหนองน้ำเล็กเขาคิดว่า บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ถูกครอบในแหนี้ ผุดก็ผุดในแห ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต อนาคต ทั้งอดีตและอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิ สมณะทั้งหมดถูกปกคลุมในข่ายนี้คือทิฏฐิ 62 ผุดก็ผุดในข่ายนี้  คนก็ติดในทิฏฐิ 62 นี้ ไม่มีเกินข่ายนี้

 

พระพุทธเจ้าตรัสจบพรหมชาลสูตรด้วย...ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

 

พ่อครูว่า...อาตมาเปรียบการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าเหมือนแยกสลายธาตุน้ำ เหลือเป็น ไฮโดรเจนกับ ออกซิเจน แต่ไม่เป็นธาตุน้ำแล้ว

 

ในมหาจักรวาลนี้ มีสิ่งให้เรียนรู้สองอย่างเท่านั้น คือโลก และอัตตา

 

โลกคือส่ิงสองสิ่ง เร่ิมต้นสองธาตุ ก็เป็นพีชะ อยู่ในแนวระนาบ แต่ถ้าอุตุเป็นพลังงานที่แยกไม่ได้ ถ้าจะแยกต้องรู้ว่ามันทำหน้าที่เป็นพีชะ แล้วรู้ว่ามันทำหน้าที่เป็นจิต ความรู้ทางโลก สามารถรู้เรื่องพืชพอสมควร แต่รู้เรื่องจิตน้อยเดียว ของพระพุทธเจ้ารู้ครบ รู้ถึงจิตที่สร้างกรรม แล้วรักษากรรมเรียกว่าธรรมะ รักษาไว้แต่กรรมดี เลือกกรรไม่ดีออก ไม่ทำกรรมไม่ดีอีก ทำแต่กุศล สั่งสมกุศลจนตลอดกาลนาน

 

การเกิดหนึ่งขึ้นมาแล้วดิ้นเดี่ยวๆ ทำทิ้งไปเลย ดวงอาทิตย์มีพลังงานมากแต่ไม่ติดอะไรไว้เลย ทิ้งพลังงานออกไปหมด มีแต่ตัวมันเอง เอาภาษาว่าอัตตาไปใส่ก็มันยึดตัวตนมันเอง อย่างไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ชั่วหรือดี พ่นแต่พลังงานมา มันไม่รู้ว่าพลังงานมันไปทำโทษหรือดี พระอาทิตย์นี้โง่สุดโง่เลย มีพลังมากมาย คนก็เอามาใช้ประโยชน์หรือป้องกันไม่ให้เกิดโทษก็เท่านั้นเอง

 

พืชมีพลังงานของตน แต่ไม่จองเวร ไม่มีรักหรือชัง แต่มันมีตัวตนแล้วไม่ยอมปล่อยแล้วมีสองแล้ว ถ้าเร่ิมมีสามก็มีวงวนแล้ว วนเวียนไปมาได้ เป็นแนวระนาบก่อน แต่ถ้ามีองศาก็เร่ิมมีวงรีแล้ว เกิดช่องว่าง หรือ empty  เร่ิมเป็นสามมีเซลล์ของสัตว์ เร่ิมต้นด้วย หนึ่งเซลล์ เป็น primary cell เป็นวงวนที่ดิ้นไปเป็นวงวน ถ้าไม่มีวงโคจรแน่นอนก็เป็นอุกกาบาต

 

รวมลงที่พลังงาน จะเรียกว่ากำลังงาน หรืองาน หรือแรง หรือฤทธิ์ หรืออำนาจ ภาษาอังกฤษ มีเรียกมากกว่านี้ force, energy, sovereignty, authority เป็นต้น

 

เมื่อโลกมีตั้งแต่สามหน่วย ถ้าสามหน่วยได้สัดส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมด้านเท่า หรือสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ได้องศาสมดุลกันหมด อันนี้เป็นวงกลม ถ้าไม่ได้องศาก็เป็นวงรี เบี้ยวหน่อย มีวงรีกับวงกลม  ถ้าผู้ใดทำให้เป็นวงกลมได้จะนิ่งที่สุด แต่ในมหาจักรวาลนี้ไม่มีอะไรไม่มีทศนิยม ส่ิงที่นิ่งที่สุดนั้นมันมีทศนิยมจุด.000000000......1 เท่านั้น มีสิ่งที่น่ิงแล้วไม่มีทศยมเลยคือ นิพพาน นอกนั้นวัตถุธาตุหรือนามธาตุที่ไม่นิพพานนั้น มีจุดทศนิยมหมด

 

อัตตากับโลกไม่ขาดกัน แยกอัตตาไปส่วนหนึ่ง โลกไปส่วนหนึ่ง ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง เรียนอะไรไม่ได้ ต้องเรียนสิ่งที่เกิด แล้วเรียนสิ่งที่รู้ เมื่อส่ิงที่เกิดคือความหมุนวน ถ้าแนวระนาบก็ไม่เป็นพิษภัย มีคุณบ้าง คือพวกพืช คนที่จะเรียนรู้อัตตา เรียนรู้ชีวะต้องเรียนตั้งแต่ 3 แล้วจะมี 4 แต่ต้องมี 5 และ6 จึงเกิด สองหมู่ ที่เป็นสาม สองอัน แล้วเกิดอันที่ 7 เกิดเร่ิมหน่วยที่ 3 อีก แล้วก็เร่ิมหน่วยต่อไปอีก เป็นโลกที่ไม่มีที่สิ้นสุด ซ้อนกันไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าเลยไม่ให้เรียนเรื่องโลกก่อน

 

โลกคือการหมุนวน ผู้หลงอดีต อนาคต จึงหมุนวนอยู่กับตนเอง ไม่ออกจากตรงนี้ได้ ไม่หลุดพ้นจากข่ายได้ เพราะอะไร? เพราะคุณไม่เรียนรู้พลังงานในอัตตา จะหลุดจากโลกต้องเรียนรู้พลังงานอัตตา

 

โลกคือความเกี่ยวเนื่องกับอันอื่น จะเกี่ยวได้ต้องควบคุมตนได้ เพราะพลังงานโลกเหมือนสนามแม่เหล็ก คุณเหมือนโมเลกุลเล็ก ก็ต้องถูกสนามแม่เหล็กโลกจัดเรียงตามมันไป หมดสิทธิ์เป็นอิสระ จึงต้องมาทำที่อณูของตน ให้เป็นนิวตรอน สามารถเข้าไปในสนามแม่เหล็กนั้นเราก็ไม่ถูกอำนาจโลกจัดเรียง สามารถไปทิศไหนก็ได้ ไม่ถูกครอบงำ จึงต้องมาเรียนที่อัตตา

 

ผู้ใดปฏิเสธอัตตา ว่าอัตตาไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าสอนว่า สัพเพธัมมาอนัตตา สิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน ไม่ใช่อัตตา เขาก็ว่าจะไปเรียนทำไม พวกนี้จบเห่เลย จะไม่มีสิทธิ์ได้รู้อะไรอีกเลย ที่จริงตนเองอัตตาเต็มบ้องเลย แล้วคนเหล่านี้มีเยอะที่หลงตนเอง ให้เรียนรู้อัตตาตนตั้งแต่ 1 เลย เช่น คุณยังมีจิตไม่ชอบใจในสัตว์โลกนี้ได้ ที่สัมพันธ์กับคุณ ต้องล้างตัวกิเลสไม่ชอบใจเขาจากใจคุณให้ได้ ล้างอัตตาที่เป็นอกุศลจิตในตัวเราให้หมดไป เป็นอรหัตตา ในอาตมัน หรือตัวเรานี่ ไม่มีพลังงานเกลียดชังแล้ว ไม่เกลียดนาย ก.​ คนเดียวก่อน เขาจะไม่เป็นมิตรกับเรา แต่เราเป็นมิตรกับเขา เขาจะทำร้ายเรา เราไม่ทำร้ายตอบ บาปเป็นของเขาแต่ถ้าเราไปทำตอบก็บาปไปกับเขา เราไม่ทำชั่วตอบเลย มันไม่มีอะไรตอบออกไปเลย ไม่มีภาวะชั่วออกไปจากเราเลย ผู้นี้ทำได้จริงก็รักษาตัว แล้วเป็นตัวนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อไม่มีภัยกับใคร ไม่พยาบาทไม่แค้นเคืองใคร ใครจะทำร้ายเลวกับเราก็ไม่โกรธ คนๆนี้รับรองว่า คสช.ไม่เรียกไปปรับทัศนคติหรอก อย่างอาตมานี่ไม่ได้ทำร้ายเขา แต่ว่าบางที่ไปถูกกิเลสเขา เขาก็อาจโกรธได้

 

อาตมาว่า อาตมาสุดอึดนะ ถ้าเป็นคนอื่นอาจลาแล้ว เพราะยากจริงๆ แต่อาตมาไม่จำนน คำว่ายากอาตมาตัดออกจากพจนานุกรม โพธิรักษ์ คำว่าไม่สู้ไม่มีด้วย สู้ยิบตา ไม่ทำร้ายใคร เมื่อมี หน่วยเพิ่มขึ้น จนเป็น 9 เป็น 10 ก็จะต่อก็มีหน่วยเพ่ิมอีกซ้อนไป ผู้รู้ล้างอัตตาตัวเอง ให้พลังงานอกุศลพลังชั่วหมดไป

 

.เพาะพุทธ ถามนักศึกษาว่า นิพพานคืออะไร....นศ.ตอบว่าทุกสิ่งว่างเปล่าทุกสิ่งไม่มีจริง

ส.เพาะพุทธ ว่าในมหาจักรวาลไม่มีอะไรนิ่งสุด สิ่งสุดคือนิพพานไม่มีทศนิยม หารลงตัวคือนิพพาน แล้วพีชมีสอง  ส่วนจิตมีสาม อุตุมีหนึ่งเดียว แล้วพระอาทิตย์นี้โง่สุด พ่อครูอธิบายเรื่องหลุมดำ คือจุดที่เรายังรู้ไม่ได้ และผู้ที่จมในอดีตและอนาคตคือผู้มิจฉาทิฏฐิ คือทิฏฐิ 62 คือมิจฉาทิฏฐิ พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสไว้

พ่อครูว่า...ก็มีส่วน 5 ปัจจุบันอีก แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ฝันเพ้อกับอนาคตอีก คุณต้องมาเรียนรู้ปัจจุบันที่มีทวาร 6 ทำงานร่วม อย่างสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าไปนั่งหลับตาก็มีปัจจุบันแต่ว่าเป็นปัจจุบันที่ไม่สัมมาทิฏฐิ จัดอยู่ในส่วนอนาคตและอดีต พระพุทธเจ้าไม่รับรอง ท่านให้ออกมาลืมตามีปัจจุบัน ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ครบ สัมพันธ์ครบรูป/นาม เป็นเทวธัมมา ทำงานรวมกันเป็น 3 เป็น 4 เป็น 6 เป็น 7 เป็น 8 เป็น 9 ทำได้เท่าที่เราควบคุมได้อย่าไปอาจเอื้อม เตี้ยอุ้มค่อม

 

คุณจะปฏิบัติได้นิพพานต้องปฏิบัติกับปัจจุบันที่สัมมาทิฏฐิด้วย แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่ได้ ทิฏฐิ 62  นี้จึงยากมาก ตอนแรกอาตมาก็พูดว่า ปัจจุบัน 5 นี้ไม่อยู่ใน 62 อาตมาก็ไปดูละเอียดอีกทีว่า ใช่ตามที่ท่านธัมมนิยโมท้วงมาว่า  5 นี้อยู่ใน 62 ด้วย เป็นปัจจุบันที่ไม่มีทวารนอกร่วม แต่ปัจจุบันที่สัมมาทิฏฐิต้องมีทวาร 6 ครบ ลืมตาปฏิบัติกับปัจจุบันเรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ เรียกว่า ทิฏฐะ สุตะ มุตะ

 

ทิฏฐะคือได้เห็น สุตะคือได้ยิน มุตะคือได้กลิ่น

 

ทิฏฐะคือการเห็นและเป็นปัจจุบัน นิพพานจะมีได้ด้วยการเห็น การได้ยิน ได้กลิ่น ได้รับรู้กับปัจจุบัน นิพพานมีอยู่ที่ต้องเห็นเป็นปัจจุบัน คนลืมตาเห็นนี้ตื่นทุกทวาร สติที่เอามาดูทางตา หูก็ได้ยินด้วย จมูกก็ได้กลิ่นด้วย ตานี่ควบรวมทวาร 6 จะอยู่กับกระบวนการทั้งหลายได้ ได้ยิน ได้กลิ่นได้รส ได้สัมผัสจะตามมา แล้วเรียนรู้ให้อยู่เหนือตา แล้วการเหนือตาได้จะมีพลังงานรวมได้ไปดับสิ่งที่อยู่ในกลิ่น ได้ยิน ได้รส ได้สัมผัสต่อไปอีก

จบ....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:27:55 )

580921

รายละเอียด

580921_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก ตอบปัญหาพาอ่านอาการจิต

.กฤษฎาว่า...วันนี้วันที่ 21 ก.ย. 58 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 10 ปีนี้เป็นปีที่ฝนมาช้า ฤดูกาลคลาดเคลื่อน สิ่งหนึ่งที่ช่วงนี้ กระแสสังคมจะพบว่ามีการเตรียมการกิจกรรมทางศาสนาที่เรียกว่าการทอดกฐินกัน และตอนนี้ทางการก็มีการจัดการการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่ก่อนหน้าจะทำโครงการมีการออกมาคัดค้านกันมาก ตลอดถึงการทำโครงการก็มีการทุจริตเป็นจำนวนมาก ทำให้คิดต่อนะว่า กระบวนการบางอย่างที่เป็นการตอบสนองทางสังคม คำว่าสามัคคีคนหลายคนร่วมด้วย แต่หลายคนก็ถูกบังคับให้ร่วมกระบวนการไปกับรัฐบาล บางครั้งผมก็เห็นเยอะแยะว่าทำซองกฐินผ้าป่ามากมายทุกคนก็ใส่เงินแต่เงินไปถึงวัดครบไหม? แต่เห็นมีการฉลองกฐิน มีการเอาเงินไปจ่ายมหรสพ แล้วเราควรจะประพฤติตนกับพระเพณีเหล่านี้อย่างไรกัน ในส่วนฆราวาส

 

พ่อครูว่า....ถามมาอาตมาก็จำเป็นต้องตอบไป แล้วก็ต้องตอบให้เข้ากับศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าที่ถูกที่ควรแท้จริง จำเป็นต้องสาธยาย เพราะอาตมามาทำงานศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ชีวิตนี้ให้กับศาสนาพุทธเต็มที่ ให้มาหลายชาติแล้ว

 

เพราะว่าศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ไปไกลมากเพี้ยนไปจากสัทธรรมมาก จนอาตมาต้องลาออกมา ถึงไม่ลาออกมา อาตมาก็ไม่ไปเป็นพระครู หรือเจ้าคุณ ไปรับตำแหน่งอาตมาไม่เอาแน่ อาตมาก็เป็นลูกวัด เป็นผู้ไม่มีสิทธิ์มีเสียง ถูกบังคับให้ปิดปากไป อาตมาจะอยู่ทำไม อยู่ไม่ได้จึงต้องแยกออกมา เมื่อแยกออกมาอาตมาก็พูดได้เต็มที่ เพราะไม่ได้อยู่ในคณะเดียวกัน นานาสังวาส สามารถปฏิกโกสนา คือคัดค้านได้อย่างจัง แต่ไม่มีสิทธิ์อธิกรณ์ฟ้องร้องเอาโทษ แต่มีสิทธิ์เพียงพูด พระพุทธเจ้าอนุญาตอย่างเต็มที่เลย

 

เมื่อถามถึงกฐิน ก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่มีกฐิน มีแต่กะทะทองแดง มีแต่เรื่องนอกคำสอนพระวจนะของพระพุทธเจ้า นอกจากนอกแล้วเป็นการทำลายศาสนาอย่างยิ่งเลย กฐินนี่ นี่พูดอย่างตรงๆจริงใจเลยนะ เพราะกฐินนั้นคือเรื่องของศาสนาเรื่องพระที่จะมีผ้านุ่งห่ม กฐินเรียกว่าสดึง เพราะสมัยก่อนผ้าหายาก ต้องเก็บผ้าบังสุกุล มาเย็บต่อกันในสดึง ต่อกันเป็นผ้าผืนใหญ่จนครบผืน ให้นุ่งห่มได้ท่านก็ทนทำเอาเพราะผ้าหายาก แต่ปัจจุบัน ผ้ามันมีมากเฟ้อแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปทอดอะไรแล้ว

 

คำว่ากฐินคือเอาผ้ามาทอดให้พระ คือคนมีทุนรอนเงินทองก็ไปหาผ้ามาทอดให้พระ เป็นไตรจีวร มาถวายพระ ทำได้ตามฐานะ แต่ปัจจุบันมีบริวารของกฐินที่มีเรื่องตัวเงิน มันไม่เกี่ยวเลย เป็นพระแล้วไม่ต้องไปวุ่นเรื่องเงินทอง แต่กลายเป็นว่าแต่ละวัดจะได้เงินทองมาใช้ในวัด มันเสื่อมไปจนกระทั่ง คุณธรรมคุณลักษณะคุณค่าคุณความดีของพุทธธรรมมันไม่มีเลย จนต้องอาศัยเงินทองเหมือนชาวบ้านมาสร้างวัดวา

 

.กฤษฎาว่า...สร้างแล้วได้พัดยศ

พ่อครูว่า...มันบานปลายไปต่างๆนานา ทำให้เสื่อมโทรม ทำให้ต่ำมากมาย แต่คนไม่เข้าใจก็ไปถือว่า อาจารย์นี้วัดนี้คนขึ้นทำกฐินได้เงินมาก็ไปยกย่องเชิดชูกัน มันคนละเรื่องเลย อาตมาก็ต้องพูดเรื่องเนื้อๆ ฆราวาสก็ควรศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้ชัดเจนแล้วอย่าส่งเสริมอย่าร่วมมือทำ มันควรเลิกไปได้แล้ว ทางอโศกเราไม่มี ไม่เกี่ยวกฐิน ไม่เกี่ยวผ้าป่าเลย เพราะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องผ้านุ่งผ้าครอง ไม่ว่าวัดไหนจะวัดป่าวัดเมืองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องผ้าเลย มันปิดฉากได้แล้วเรื่องกฐิน เพราะมันออกนอกสาระไปมากแล้ว เป็นการทำลายศาสนาด้วย ก็เลยน่าเศร้ามากที่สุด

 

การเทศน์มหาชาติ ก็ออกนอกลู่นอกทาง พระนักแหล่ ไปกันใหญ่เลย ให้คนติดยึด มันออกนอกเรื่อง มันไม่ได้เทศน์อะไร เทศน์มหาชาติ นั้นมันเอามาสวดร้อง คุณจะเทศน์ก็สาธยายไปสิ อธิบายทีละคนไม่ต้องไปสวดลากหางเสียง ลากด้วยเสียงอันยาวก็ผิดแล้ว นี่ใส่ทำนองอีก แล้วเหมือนไปออดอ้อนของเงิน มันถึงขั้นอุจาดแล้ว ขออภัยไม่ได้ถล่มทลายนะ แต่พูดให้รู้สัจจะว่าต่ำสูง เจริญเสื่อมขนาดไหน นี่มันเสื่อมจนกระทั่ง อาตมาขอยืนยันว่ามันลามกจกเปรตแล้วในด้านศาสนา แต่เขาก็ไม่เคยรู้สีรู้สา คณะใหญ่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ปล่อยให้อาการหนักมากขึ้น แข่งกันแบบโลกๆเละเทะ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดตีทิ้งไปแล้ว ว่าศาสนาทุกวันนี้ไม่เหลือเลย ศีลก็ไม่มี มีแต่วินัย พุทธศาสนิกชนควรร่วมปราบแต่ก็ถูกครอบงำไปอีก

 

.กฤษฎาว่า...มันเหมือนเราคลอดมาก็ถูกใส่ทะเบียนเลยว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่สั่งสมมา แต่ขณะเรารู้แล้วก็บางคนมีความหวาดระแวง ว่าเป็นเหมือนแกะดำของจารีตประเพณีเหล่านี้ ทำอย่างไรเราจะไม่เกิดอาการหวาดหวั่น แต่มาอยู่กับพ่อครูและชาวอโศกทำไมถึงไม่หวั่นหวาดต่อสิ่งเหล่านี้

 

พ่อครูว่า...คำว่าอาการ คำนี้ลึกซึ้งมาก ลึกซึ้งมากกว่าคนที่จะเข้าใจคำว่าอาการได้นั้น อาตมาก็พยายามอธิบายตั้งแต่หยาบ ว่าอาการไม่ใช่วัตถุธรรม แต่มันอาศัยวัตถุแล้วก็มีอาการในตัวของมัน อาการคือ สภาวะของพลังงานที่เคลื่อนไหว อาการไม่ใช่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อาการไม่ใช่มหาภูตรูปแต่มันอาศัยมหาภูตรูป อาศัยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลมที่สัมผัสได้ ส่วนอาการที่ไม่ประกอบจากดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นมันไม่ใช่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นองค์ประกอบให้เกิดอาการ จะเป็นธาตุที่จับเป็นเหลวเป็นน้ำ หรือจะจับตัวเป็นอุณหธาตุ บอกเย็นร้อนอ่อนแข็งก็เป็นอาการที่เกิดจากดิน น้ำ ลม จนถึงลม ถึงช่องว่าง เรียกว่าอากาส เป็นกลางๆระหว่างธาตุเหล่านี้ก็เกิดจากสิ่งประกอบอื่นๆ

 

อาการว่างๆเกิดจากองค์ประกอบนั้นๆ แล้วมันก็ว่าง ในความว่างมันก็มีอะไรไหวๆอยู่ในว่างๆไหม เช่นพระพุทธเจ้าตรัสในมหาสุญญตสูตร เช่นศาลานี้ว่างจากช้าง ก็รู้ว่าไม่มีช้างแต่มีเสา มีต้นไม้ มีคน แต่ไม่มีช้าง แต่ถ้าศาลานี้ว่างจากช้าง ว่างจากคน แต่ก็มีเสามีต้นไม้หรือมีเล็กๆน้อยๆอื่นๆอีกมันก็มีสิ่งมี สิ่งไม่มีก็ว่างจากสิ่งนั้น สิ่งที่มันเกิดสภาวะอาการที่เราสามารถสัมผัสได้แม้จะว่างก็รู้ได้ จะไหวก็รู้ จะกำหนดเรียกชื่อว่า ไฟ ลม น้ำ ดิน ก็เรียกได้ ยิ่งรวมตัวเป็นอาการ 32 ที่เกิดจากดินน้ำ  ไฟลม จับตัวเป็นอวัยวะ น้อยใหญ่ ตับไตไส้พุง อาการ 32 ก็มีลักษณะจับเป็นก้อนหรือเป็นน้ำหรือเป็นลมเป็นไฟในนั้นด้วย อาการ 32 นี้เกิดจากองคาพยพของชีวะ มันก็มีหน้าที่ของ ผม ขน เล็บ ฟันหนัง ทำหน้าที่เคลื่อนของมันมันมีอาการประจำของมัน อาการของเสลด ของน้ำเหลืองของเลือด ของไต ของปอด ผมมีหน้าที่ทำงานมันก็ทำของมัน อาการเหล่านั้นเป็นอาการ 32 เรียกรวมเป็นรูปธรรมหมด

 

32 อาการนี้แหละมันเป็นที่ร่วมหรือที่อยู่ของอาการที่ 33 คือตาวติงสะ คือแปลว่า 33 ส่วนทวัตติงสะแปลว่า 32 มันก็เป็นอาการ 33 ที่เนื่องเกี่ยวกับอาการ 32 และอาการที่ 33 โดยสัจจะมันก็เป็นธาตุรู้ แต่คนที่อวิชชา ก็ไปเอาธาตุรู้สึก เรียกว่าธาตุอารมณ์ ปรุงแต่งเกิดจากอวัยวะ องคาพยพ 32 ที่ร่วมกัน แล้วมันก็เกิดเป็นอาการ 33 เป็นธาตุรู้ ถ้ามันรู้ตามความจริง แบบธาตุของจิตหรือวิญญาณหรือธาตุปัญญาที่รู้จริงตามจริง แต่ถ้ามันเลยเถิดไปสร้างอุปาทานใหม่ว่า เราสัมผัสธาตุนี้แล้วมีอาการนี้แล้วก็มีอาการเสริมมาจากอาการจริง อาการจริงคือทุกคนรับรู้ได้เหมือนกันหมด แต่อาการปลอมนี้แต่ละคนรู้สึกไปเอง เรียกง่ายๆว่า อาการชอบหรือไม่ชอบ เป็นอาการที่พอใจยินดีชอบใจชื่นใจ เป็นรสชาติ เป็นอัสสาทะขึ้นมา อันนี้เป็นตัวการใหญ่ที่เรียกว่ารสวรรค์รสสุข รสชอบ เป็นอิฏฐารมย์ เป็นอาการที่ต้องศึกษามันเป็นของหลอกของปลอม

 

และต้องเรียนรู้อาการทั้งหมดที่เกิดจากองคาพยพของร่างกาย พระพุทธเจ้าให้เรียนตั้งแต่ผม ขน ฟัน หนัง เล็บ เข้าไป แล้วมีสภาพสองที่ปรุงแต่งเป็นสภาพสาม ที่จะต้องรู้ตัวจริง อันนี้ยากมาก ตัวสามเกิดมาแล้วมันกลายเป็นตัวจริงที่ซ้อนในตัวปลอมเรียกว่าเวทนา

 

เวทนาเป็นความรู้สึกที่เป็นธาตุรู้อันเดียวกันหมด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นธาตุรู้อันเดียวกันหมด เป็นแต่เพียงอธิบายลักษณะ ถ้าเวทนาระบุไว้ว่าเป็นธาตุที่รับรู้รส รสทางตาก็เป็นรูปทรง รสทางหูก็เป็นเสียง รสทางจมูกก็เป็นกลิ่นจะบัญญัติว่าหอมหรือเหม็นก็แล้วแต่ สีแดง เขียว เหลืองมันก็เป็นลักษณะของมันตามความจริง จะเรียกชื่อคนละชื่อแต่สภาวะเดียวกันหมด ถ้าตาไม่บอดสี รูปร่างสีสันเดียวกัน เรียกกันต่างภาษาก็ได้ ถ้าไม่รู้ชื่อทุกคนก็รู้ตามสัมผัสที่ได้รับ แล้วรู้ขึ้นมา ตัวที่รู้นี่คือนามกาย

 

พระพุทธเจ้าให้ตามเรียนรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส จะรู้นามเรียกนามกาย รู้รูปเรียกว่ารูปกาย ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็อธิบายรูป รส กลิ่น เสียงที่ปลอม เช่นหัดฝึก เมื่อตาเรากระทบรูปแล้วเราเกิดความไม่ชอบหรือชอบ หรืือเราสัมผัสแล้วเรารักหรือชอบมัน นี่คืออาการปลอมหรืออาการเท็จนะ อาการจริงคือรู้ตามจริง แต่ชอบหรือไม่ชอบนี่เป็นเวทนาเท็จ มันไม่ใช่ความจริง แต่ก็ต้องมาหัดเรียนรู้เพราะเราอวิชชามาแต่ต้น มันไม่ชอบก็รู้หรือโลภ เราก็รู้อาการมัน มันนอกเหนือจากเส้นแสงเสียงที่ประสาทรับรู้ มันพ้นไปอีก มันต้องอ่่านนามธรรมนี้ให้ออก มันไม่มีสรีระ

 

อ่านจิตเราว่าโกรธคืออะไร ไม่มีเส้นแสงสีแต่มีอาการเคลื่อนไหว นี่แหละคือตัวการ โกรธ โลภ นี่คือตัวการที่จะต้องกำจัดให้ลดลง

 

.กฤษฎาว่า...ช่วงที่ผ่านมา เหมือนเราจะพยายามพัฒนาตนให้เข้าถึง เช่นผมชอบไอศครีมรสสตอเบอรี่ ผมก็ไปทานมัน ตอนทานไปผมก็นึกสิ่งที่พ่อครูอธิบาย เพื่อพยายามมองว่ามันมีอาการ ผัสสะ 3 ขึ้นมา พอทานไปผมก็ถามว่าตัวชอบมันอยู่ตรงไหน เราบอกว่าเราชอบ แต่เราชอบตัวไหน ดูเหมือนว่าเราหาไม่เจอ พอเราถามตัวเองเข้า เพราะเรารู้สึกว่า เหมือนเราหลอกตัวเองแต่แรกว่าชอบมัน พอได้เจอได้ทานมันเราก็ถามว่ามันใช่ตัวที่เราชอบจริงไหม พอเอาเข้าปากไปแล้วก็อย่างนั้น อย่างนี้ใช่การพยายามมองเข้าหาตัวชอบไหม

ตอบ...นี่คือยังไม่มีดวงตาเห็นตัวนั้น มันต้องรู้ ว่าตัวที่ไปชอบมันไม่ได้ไปชอบธาตุมะพร้าว ธาตุน้ำตาล ธาตุแป้งธาตุนมที่ใส่เข้าไปในไอติม เราไปชอบอะไร ความจริงเราไม่ได้ชอบมะพร้าวน้ำตาลหรือนม กลิ่นเนยต่างๆที่เขาปรุงแต่งมา แต่เราไปชอบอาการที่มันปรุงมา มันไม่ได้ชอบตัวธาตุแท้ๆว่าร่างกายเราต้องการธาตุมะพร้าว นมหรือแป้งน้ำตาล แล้วเราก็จะเอาอันนี้ แต่เราไปสำคัญมั่นหมายว่ารสที่ปรุงกันขึ้นมาเราไปชอบ ว่าปรุงได้ดีมาก นั้นคือของเท็จ อารมณ์ไปชอบอันนั้นไม่ได้ชอบเนื้อแท้แต่ชอบการปรุงแต่งแล้วไปชอบอันนี้เป็นของเท็จทั้งนั้น อารมณ์ที่ปรุงแต่งของเท็จทั้งนั้น ร่างกายเราที่จะว่าเอาไปเลี้ยงร่างกาย แต่ที่จริงเป็นโทษด้วย มันต้องการธาตุที่สำคัญเท่านั้น แต่ของไม่ดีก็เข้าไปด้วย

 

ต้องอ่านอาการเทวดาอาการสวรรค์ต้องศึกษาว่ามันไม่จริง ไม่เที่ยง พาให้เป็นภาระทุกข์ร้อน เช่นเราไปติดผู้หญิงคนนี้ที่เป็นเมียเขา แต่เราต้องได้มาเสพสัมผัสสังวาส ก็เกิดจากต้องการรสไม่ได้ต้องการธาตุแต่เอามาเสพรสสัมผัสเสียดสี ไม่ได้ต้องการผู้หญิงคนนี้มาอย่างต้องการส่วนลึกใดๆเลย มันเป็นส่วนเท็จไร้สาระไม่ตรงตามสัจจะ จะเห็นได้ว่าเราอวิชชาโง่ไม่รู้กี่ชั้น

 

ผู้ใดศึกษาที่จะออกจากความงมงายจากอัสสาทะ นี่คือการเรียนรู้สาระแท้ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาดับเข้าไปในภพ ก็มีแต่สัญญา ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่เป็นฐานะที่จะเป็นได้ที่จะปฏิบัติธรรมเป็นอาริยะหรืออย่างใดๆได้เลย 

 

ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาสมาธิ ปิดประตูที่จะบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเลย อันนี้เป็นบทแรกเลยของพระไตรปิฎกที่พระอรหันต์ผู้รู้เรียบเรียงมาเป็นพระไตรฯเล่มที่ 1 ให้รู้ต้นทางคือทิฏฐิ หากต้นทางผิดก็โยนทิ้งไปได้เลยศาสนาพุทธ

 

อดีตก็ตามอนาคตก็ตามเป็นสิ่งไม่มีสักอย่าง อดีตผ่านไปแล้วแก้ไม่ได้ อนาคตไม่เคยมี ต้องมีผัสสะจึงมีปัจจุบัน ถ้าไม่มีผัสสะก็มีแต่อดีตกับอนาคต พระพุทธเจ้าว่าแก้ไขทำอะไรไม่ได้

 

ในทิฏฐิ 62 ท่านก็แจกแจงทิฏฐิ ท่านสรุปว่า ความเห็นที่ยึดอดีต อนาคตนั้นผิด แล้วมันเกิดจากอะไรก็เกิดจากตัณหา การจะเรียนรู้ตัณหาต้องมีที่ตั้งคือ ผัสสะที่เป็นปัจจุบันคือทิฏฐธรรม ที่จะมีธรรมะทรงอยู่ แล้วเป็นทิฏฐิ คำว่าทิฏฐะคือหมายถึงสองอย่างคือ เห็น กับปัจจุบัน เมื่อครบส่ิงนี้เห็นกับทรงอยู่กับปัจจุบันคือทิฏฐธรรม เมื่อรวมกันนิพพานเป็นทิฏฐธรรมนิพพาน คือการศึกษาให้มีนิพพานเป็นปัจจุบันเห็น

 

ต้องมีปัจจุบัน ต้องมีเหตุปัจจัยสองอย่างผัสสะกัน จึงเห็น จะเห็นต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธเจ้าสรุปว่าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ได้ ต้องมีผัสสายตนะ 6 ในคำสอนพรหมชาลสูตรเลยว่า มันเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง รู้ตามเห็นตามได้ยาก เบาบางปราณีต ละเอียดสุขุมต้องมีสภาวะรองรับ ไม่ใช่นึกคิดเอาเดาเอาไม่ได้ แม้มีของจริงยังอ่านยากจับยากเลย ละเอียดถึงนิพพาน รู้ได้เฉพาะบัณฑิต

 

เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์เธอพึงทราบความโดยปริยายว่า เพราะ

 ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต

อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึง

ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

 

จะแยกนามรูป ได้ต้องด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาตมาก็เรียนรู้มากจากผู้รู้แล้วเรียนรู้อ่านอาการของตน คำว่ากายมีได้ทั้งนาม ทั้งรูป เรียกว่ารูปกาย นามกาย มันต่างกันอย่างไรมีลิงคต่างกันอย่างไร ก็ต้องแยกได้ แยกกายแยกจิตได้ แยกนามแยกรูปได้ แม้แต่คำว่ากายก็มีนามกายรูปกาย มันต่างกันอย่างไร ยังมีกายสารพัดมันต่างกันอย่างไร อาจบางอย่างคล้ายกันแต่ก็มีนัยต่างกัน เช่น อาสวะกับอนุสัยก็ต่างกัน

 

มีนามรูป มีผัสสะ เกิดอันที่สามเรียกมันโดยพยัญชนะว่าวิญญาณ ก็ต้องอ่านอาการของวิญญาณให้ออก เพราะวิญญาณจะมีอาการให้อ่านออก เมื่อคุณสามารถใช้ญาณปัญญาคุณอ่านออก ตอนนี้เห็นหมากเม่า คนที่รู้ว่าแดงเปรี้ยวก็ไม่เอา ไปมองหาลูกดำๆ ก็เด็ดลูกดำสำหรับคนชอบหวาน แต่คนชอบเปรี้ยวก็เอาลูกแดง ก็กำหนดหมาย อธิวจนสัมผัสโส พอสัมผัสอันนี้เห็นความจริงก็เรียกชื่อมัน เรียกว่ารูปกาย

 

แล้วการบัญญัตินามกายต้องพร้อมด้วยอาการลิงค นิมิต อุเทส แต่ถ้าคุณไม่รู้จักอาการเลย แล้วอะไรกระทบกับอะไร แล้วเราเรียกว่าหมากเม่า ถ้าคุณอ่านอาการไม่ออกจะเรียกชื่อได้อย่างไร ต้องมีนามก่อน แล้วพอสัมผัสแล้วถึงเรียกชื่อได้ เช่นนี่ดอกกุหลาบสีแดงไปถามคนตาบอด มันไม่มีรูปกายให้เขา เขาจะเรียกชื่อได้อย่างไร แม้เขาจะเรียกได้ว่าดอกไม้สีแดง เขารู้เคยจำได้แต่มันไม่มีมาจากตัวรู้ภายในเลย เขาจะเรียกไม่ได้เลย

 

ต้องสัมผัสนอกมาหาในแล้วในมาหานอก ทวนออกมา เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่จะยากอย่างไรก็มาปีที่ 45แล้วขออธิบายเถิด เพราะมั่นใจว่าไม่มีใครอธิบายหรอก ถ้าอาตมาไม่อธิบายมันก็จะสูญเลย ใครฟังได้ก็ช่วยรับไว้เอาไปถ่ายทอดต่ออีก ใครไม่ได้ก็อย่าเพิ่ง

 

พวกว.นบ.นี่อาตมาก็ตั้งใจสอน อธิบาย จนถึงงัดทิฏฐิ 62 มาสอนอีก เขาบอกว่าอย่างกับดูหนังนิยาย เขาสนุก อาตมาก็ว่าใช้ได้ๆ

 

.กฤษฎาว่า...เมื่อวานดูหนังเรื่องพระพุทธเจ้า ดูว่าพระพุทธเจ้าท่านหลังตรัสรู้เสวยวิมุติ 7 วัน แล้วก็ดูว่ามีใครพอจะสอนได้บ้างจะประกาศศาสนาได้ จะบรรลุธรรมได้แต่จะบรรลุได้ต้องมีสัมผัสกับภายนอกด้วย

 

พ่อครูว่า...ในพรหมชาลสูตรบอกไว้ต้องสัมผัสกับของจริง ส่วนไม่จริงอยู่ในอดีตกับปัจจุบัน ของจริงต้องปัจจุบัน คือทิฏฐิ คือเห็นร่่วมกับปัจจุบันด้วย เรียนจาก กาม และฌาน 1-4 ทั้ง 5 ทิฏฐินี้ ถ้าไม่มีปัจจุบัน 5 อย่างนี้ก็ปิดประตูนิพพานเลย

 

การจะมีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละต้องมีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์และมีมรรคมีองค์ 8 ต้องปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิ จึงเกิดสัมมาสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ มีสติกับความเพียรเป็นตัวช่วย จึงเกิดสัมมาญาณ ตัวรู้ เกิดวิชชาและวิมุติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

 

ในทิฏฐิ 62 ท่านก็สอนสองตัวคือโลกกับอัตตา ก็เรียนรู้จนอยู่เหนือโลกกับอัตตา และไม่เป็นทาสโลกกับอัตตา รู้แจ้งโลกโดยอัตตาตัวเราจนไม่ลึกลับในอัตตา มีอรหัตตา รู้แจ้งหมด รู้ว่ายังเป็นทาสอัตตาตนเอง ไปหลงสุขหลงกาม หลงฌาน 1-4 เป็นการติดข่ายคือชาละ ดิ้นรนไม่รู้กี่ชาติ ออกมาไม่ได้อยู่ในข่ายของโลก และอัตตาก็หมุนวนในนั้นตลอดกาล ศึกษาให้ดีจนมีอธิปไตย มีกำลังแรงอำนาจอยู่เหนือโลกเหนืออัตตา มีอธิปไตยในโลก อธิปไตยในอัตตาจนครบอยู่เหนือโลกเหนืออัตตา ครอบงำโลกครอบงำอัตตา จึงเป็นผู้มีธรรมาธิปไตยสมบูรณ์แบบ

 

สุดยอดหลุดพ้นพันธนาการโลก และอัตตาบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าไม่พยากรณ์ก่อนถ้ามาถามเรื่องอัตตาเรื่องโลกให้ไปศึกษาศีล สมาธิ ปัญญา คนฟังแค่นี้ก็หาว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่พยากรณ์เรื่องโลกเรื่องอัตตาก็ใช่ แต่ถ้าคุณมีภูมิมากขึ้นก็พยากรณ์ได้ เรื่องทิฏฐิ 62 เป็นพระสูตรเบื้องต้น มีหลักใหญ่อยู่ที่อดีตกับอนาคต อาตมานำมาขยายความตอนนีก็เพราะว่าอาตมาตีศาสนาพุทธมานานแล้ว จนตีมาถึงวันนี้ก็ตีตอกปิดผาโลงแล้ว เป็นตะปูดอกสุดท้ายปิดฝาโลงแล้ว ที่อาตมาว่านั่งหลับตาคือสุญโญ ข่ายที่เขาสร้างมาปิดตัวเองนั้นมีหลายระนาบ ตกอยู่ในข่ายนี้จนไม่รู้จะว่าอย่างไร

 

.กฤษฎาว่า...มีคนมาปรึกษาว่า ถ้าเดินอย่างนี้ไม่มีนิพพานหรอก จะนิพพานได้ต้องไปนั่งและท่องบ่นภาวนา ผมก็เลยอธิบายเขา ว่าการไปทำแบบนั้น

 

พ่อครูว่า..ความเร็วของจิตมันเร็วมาก การพูดหรือฟังนี่มันช้ามาก คุณพูดสองคนนี่อาตมารู้เรื่องหมด มันช้ามากกว่าจิต กายกับวาจาช้ากว่าจิตมากเลย

 

.กฤษฎาว่า...การผัสสายตนะ ทางทวาร 6 ฟังแล้ว ระบบการฟังนี่สามารถรับสื่อจากโลกได้ไกลกว่าอายตนะอื่น

พ่อครูว่า...มันมีสามอย่าง ถ้าตานี่ไปได้ไกลมากไปกับแสง ส่วนเสียงมันดูเหมือนได้ไกลนะ แต่ไม่ละเอียดเท่าตาหรอก ยิ่งใกล้มาที่กลิ่น กับลิ้นกระทบ สัมผัสเสียดสี ท่านถึงใช้คำว่า ทิฏฐิ (เห็น) สุตะ(ได้ยิน) มุตะ(ได้กลิ่น) ก็คือว่าไกลมาหาใกล้ การได้เห็นคือได้ครอบรอบรู้มากกว่าอย่างอื่น

 

ตอบคำถาม

_ถามว่าพระอรหันต์สามารถกลับมาเกิดกิเลสได้อีกหรือไม่?

ตอบ...พระอรหันต์คือผู้พ้นกิเลสเด็ดขาด กิเลสไม่กลับคือมาอีก ถ้ากิเลสกลับคือก็ยังไม่ชื่อว่าอรหันต์ พระอรหันต์กิเลสดับอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) แต่คนจะไม่รู้จักอรหันต์ก็ไปนึกว่าคนไม่มีกิเลสต้องเป็นอย่างที่ตนคิด เช่นคิดว่าคนเป็นอรหันต์ต้องไม่มีอะไรเป็นของตนเอง ต้องไปไกลห่างวัตถุ จะได้สะอาด มันก็เป็นพฤติกรรมที่เข้าใจง่ายว่าตัดขาดไม่เกี่ยวข้องเลย ก็ง่าย เช่นพวกเชน ศาสนาฤาษี เขาหนีทิ้งทุกอย่างเลย แม้ผ้านุ่งผ้าห่มก็ทิ้ง เปลือยเลย เขาก็เห็นง่าย เขาไม่ยุ่งเกียวเลยจนตาย คนก็เข้าใจง่ายว่าอรหันต์ คนเข้าใจตื้นๆก็จะเชื่ออย่างเชน ทิฆัมพร ไม่เอาโลกธรรมเขากดข่มเลย พระพุทธเจ้าก็เคยทำ ท่านก็ไม่รับรองแม้โสดาบัน ไม่เร่ิมตั้งแต่หยาบๆ เช่นอยู่กับอบาย ตื้นเขิน โกหก ทำอกุศลหยาบ แล้วท่านปฏิบัติจนจิตท่านแข็งแรงเหนือมันแล้ว มีปัญญาเป็นอุตระ มีอำนาจ อธิปไตย โลกทำอะไรท่านไม่ได้ ท่านก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้เลย ไม่เหมือนพวกเชน ที่ไม่รับเลย แต่นี่ท่านอยู่กับโลกธรรม รับยศมีลาภอยู่เลย

มีคนถามว่าอรหันต์เป็นคนเช่นไร อาตมาตอบว่า เหมือนคนธรรมดา คุณอ่านไม่ออกหรอก แต่ว่าไปเข้าใจว่าพระกรรมฐานในป่าเป็นอรหันต์ แล้วอย่างโพธิรักษ์เขาไม่รู้หรอก ว่าเป็น อาตมาไม่กลัวคนไม่รู้หรอก

 

อาตมาจะทำแบบพระป่าก็ได้ เคยทำมา คนจะมานับถืออาตมาเยอะกว่านี้ แต่ว่าอาตมาว่าอาตมามีคนเข้าใจรู้เป็นฐานรู้ว่า อาตมามีสัจจานุโลมมิกญาณ อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ก็เห็นใจพวกไม่เชื่อถือ มีทิฏฐิว่าอรหันต์จะมาแสดงอย่างนี้ได้อย่างไร แต่อาตมามีสัจจะย้อนสภาพได้มาก อาตมาตลกกว่าคนปกติด้วยบางที อาตมาก้าวข้ามอันนี้ อาตมาเอาคำสอนมาสื่อดีกว่า เลือกคนที่มีภูมิปัญญามา อาตมามาทำงานไม่ได้ทำเพื่อให้ได้บริวาร หรือคนมานับถือ ทำเพื่อช่วยคนที่จะมาละหน่ายคลายมาลดกิเลสจริงๆ

 

_ชาตินี้จะได้มีพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดอีกไหมครับ

ตอบ...พระพุทธเจ้าท่านไม่มาเกิดในยุคใกล้กลียุคหรอกไม่คุ้ม

 

_อยากเป็นพระโสดาบันต้องประพฤติอย่างไร

ตอบ...อยากเป็นพระโสดาบัน ฐานศีลคือศีล 5 ศีลจะไปขัดเกลา กาย วาจา ใจ เมื่อปฏิบัติมีผลที่จิต ศีลข้อ 1 เห็นสัตว์ก็ไม่มีจิตฆ่า สัตว์จะทำร้ายเราเราก็ไม่มีจิตฆ่า เลี่ยงได้ก็เลี่ยง คุณต้องอภัยเมตตา จิตไม่ถือสาสัตว์ใดๆที่มาทำร้าย คนนี้หมดตัวตน เรื่องเกี่ยวกับคนมาทำร้ายเรา ใจไม่คิดทำร้ายตอบ

ศีลข้อ 2 แม้อยากได้ของใด แต่ไม่ใช่ของเรา แต่อย่างไรก็ไม่เอาไม่ละเมิด ทางภายนอกไม่เอาเด็ดขาด

ศีลข้อ 3 มีกิเลสกามอยู่ก็อยู่ทีผัวเดียวเมียเดียว คนอื่นไม่ละเมิดหรอก โดยเฉพาะข้างนอก กายไม่ไปทำเด็ดขาด แม้จะมีละเมิดในใจ ต้องกำหราบจิตตนว่าชาตินี้ผัวเดียวเมียเดียวตลอด

ศีลข้อ 4 ไม่โกหกเด็ดขาด

ศีลข้อ  5 สิ่งที่เป็นอบายมุข หยาบไม่เอา จะต้องโกงมากโลภมากๆไม่เอา เมามากไม่เอา ยศก็ตามมากไปตะกละไปไม่เอา ได้ตามฐานะ

สรุปว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่เกินขอบเขตจัดไปเป็นอบายมุขไม่เอา จิตไม่ไปเสพ ไม่ทำด้วย มีพลังห้ามจิตได้แม้จะมีภายในก็ตาม มีได้ แต่ระงับได้ ในฐานโสดาบัน

ศีล 5 ก็กำจัดกิเลสไม่ใช่ปฏิบัติศีลก็ได้แค่กายกับวาจา แต่มีผลถึงจิตตามกิมัตถิยสูตร

 

_ถ้ามีรักทำไมถึงทุกข์

ตอบ...มีรักต้องหวงแหนเสียเวลา กังวล มันไม่ง่ายที่จะรู้ พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีรัก 1 ทุกข์ 1 มีรัก 10 ทุกข์10 มีรัก 100 ทุกข์ร้อย ไม่รักเลยไม่ทุกข์เลย ต้องศึกษาความรัก 10มิติ

 

_คำว่า สิกขา มาจากคำว่า ส +อิกขะ คำว่าสะ =ตน ,อิกขา= เพ่ง คำว่าสิกขา = เพ่งมองตน ขอให้พ่อครูว่าเพ่งอะไรบ้าง

ตอบ...เพ่งคือตั้งใจกำหนดหมาย ทำตามศีล ตั้งเท่านี้ให้จิตมีปัญญา มีอธิจิต จนมีผลตั้งมั่นแข็งแรงเป็นสมาธิ ไม่ใช่เพ่งให้นิ่งๆนะ แบบนั้นศาสนาเพี้ยน

 

_การขัดเกลาคนอื่นโดยการขัดใจเขาแล้วทำให้เขาทุกข์หรือโมโหถือว่าเบียดเบียนไหม

ตอบ...ถ้ามากไปก็เบียดเบียน กัน เราต้องมีการฝึกถึงรู้ว่ามากหรือน้อยไป

 

_บรรลุธรรมแล้วจะไปไหน

ตอบ...บรรลุธรรมแล้วก็ไปสู่สังคม พระพุทธเจ้าว่าในศรัทธาสูตร ก็มีศีลบริบูรณ์ มีศรัทธาบริบูรณ์ มีพหูสูตร (ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรม รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา มีวิมุติ) เมื่อได้แล้วก็เป็นธรรมกถึก เป็นผู้ไปบรรยายได้ เมื่อเป็นผู้เทศน์ก็จะเข้าสู่บริษัท ไม่ใช่บรรลุแล้วหนีเข้าป่า แต่แกล้วกล้าอาจหาญแสดงธรรมแก่บริษัท

 

 

_ทำไมต้องเกิดแก่เจ็บตายด้วย

ตอบ..ถ้าเอาร่างกายก็ต้องเป็นเกิดแก่เจ็บตาย แม้พระพุทธเจ้าก็เป็น เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ลึกซึ้งกว่านั้น พระพุทธเจ้าสามารถฆ่ากิเลส ให้กิเลสไม่เกิดเลย จิตไม่เกิด แก่เจ็บตายเลย เพราะกิเลสทำให้เกิดแก่เจ็บตายไม่มีชาติของกิเลสเกิดอีกเลย ผู้จะพ้นเกิดแก่เจ็บตายคือ ต้องทำให้กิเลสตายสนิท

 

_ตายแล้วไปไหน

ตอบ...ตายแล้วไปตามวิบาก วิบากคือผลที่เราสั่งสมกรรมไว้ เราจะไปนรกสวรรค์ตามที่เรามีจริงไม่มีอะไรห้ามกั้น สวรรค์ตอนตายมีน้อย แล้วมีแวบเดียวมันไม่ใช่อนุสัยแต่นรกมันมียืนนานว่า แต่ไม่ถาวรทำลายมันได้ ถามว่าตายแล้วไปไหน ก็ไปนรกหรือสวรรค์ นอกนั้นไม่มีอื่น หากไม่ใช่อรหันต์ตายแล้วไปนรกส่วนใหญ่ ไปสวรรค์มีแวบเดียวไม่มาก สวรรค์ลวงในสัญญาด้วยไม่จริง ถ้ามีนรกมาก ไปไม่ได้สวรรค์ เพราะพลังงานนรกเอาไปกิน เหมือนคนติดคุกออกมาเที่ยวไม่ได้ไม่มีทางไปสวรรค์ได้

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:28:45 )

580922

รายละเอียด

580922_พ่อครูออกรายการนิวทอล์คช่องนิวทีวี กับคุณปอง(อัญชะลี)

ช่วงที่ 1

13.16 น.ปอง(อัญชะลี)ว่า...วันอังคารที่ 22 ประเด็นเมื่อกองทัพธรรมชูธงปฏิรูป วันนี้แขกของเรามาจากสันติอโศกพ่อทานสมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสันติอโศก มาพร้อมกับสมณะและญาติธรรมชาวอโศก

 

เราจะคุยกันเกี่ยวกับการปฏิรูป เราจะเริ่มต้นปฏิรูปกันอย่างไร เมื่อบ้านเมืองจะต้องเข้าสู่การปฏิรูป

มาเริ่มกันที่พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ในฐานะผู้ชูธงกองทัพธรรม ที่ในวาระหนึ่งได้ไปคลุกคลีกับการเมือง แล้วธรรมะหรือศาสนากับการเมืองจะไปด้วยกันได้ไหม?

 

พ่อครูว่า...ความสงสัยนี้เป็นภัยต่อความเจริญ ธรรมะกับการเมืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ไปเข้าใจผิดว่า ธรรมะกับการเมืองต้องแยกกัน อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิที่ร้ายแรงเลย

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...คนบางกลุ่มบอกว่าเราอย่าเอาศาสนามายุ่งกับการเมือง

 

พ่อครูว่า...นิยามของสัจธรรมนั้น การเมืองคือการทำงานกับพลเมืองเพื่อพลเมือง ทีนี้ศาสนาพุทธ โดยเฉพาะไม่ใช่ศาสนาดาบสฤาษี ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนเป็นศาสนาฤาษี เป็นคนเมืองปลอมๆแปลกๆ พระก็พระปลอมๆแปลกๆ ไม่ใช่พุทธศาสนาแท้จริง พุทธศาสนาเป็นศาสนาของคนเมืองไม่ใช่ฤาษีดาบส เป็นศาสนารู้จักโลกรู้จักสังคม แล้วเป็นคนไม่มีอัตตา ไม่มีเป็นของตัวตน เป็นอภิมหาบรมประชาธิปไตย
 

ปอง(อัญชะลี)ว่า..ตอนนั้นท่านนำอโศกทั้งหมดเข้าสู่ถนนการเมือง ท่านสื่อสารกับคนอื่นอย่างไร

 

พ่อครูว่า..ถึงเวลาวาระว่าประชาชนพอรับได้ ว่าศาสนากับการเมืองคืออันเดียวกันต้องมาร่วมมือกัน ต้องมาทำงานเพื่อชาติให้ได้ ให้เป็นอันเดียวกัน รักกัน เคารพกัน พระพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งสมบูรณ์แบบเป็นเอกีภาวะ จะประกอบด้วย ความระลึกถึงกัน ความรักกัน เคารพกัน ช่วยเหลืออุ้มชูกัน

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...ตอนนั้นท่านชูธงธรรม แล้วท่านก็ชูธงปฏิรูป ทำไมต้องชูธงปฏิรูป

 

พ่อครูว่า...ก็ต้องปฏิรูปสิ การปฏิรูปคือการมีสติปัญญา มีการกระทำอย่างมีปัญญามีสตินำร่องปฏิบัติให้ดีๆๆ ไม่ดีก็พยายามลดหมดในสิ่งไม่ดี

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...การปฏิรูปจะทำอะไรก่อน

 

พ่อครูว่า...ขจัดสิ่งร้ายเรียกว่าอบาย เป็นอกุศล สิ่งไม่ดีต้องกำจัดให้หมด

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...อะไรบ้างที่เห็นว่าไมดีต้องกำจัดให้หมดโดยเร็ว

 

พ่อครูว่า..รู้กันอยู่แล้วแต่เกรงกลัวที่จะจัดการ ก็คืออำนาจการเมืองเก่า คือการเมืองที่ผิดพลาดทุจริตขี้โกงโลภมากเห็นแก่ได้ ไม่สิ้นสุด และก็หน้าด้านที่สุด ขณะนี้หน้าด้านขี้โกงอย่างหน้าซื่อ แม้แต่พระก็เป็น ขี้โกงเห็นๆก็มี ปองไม่เห็นหรือ อาตมาไม่พูดหรอก ให้โง่ไป ขนาดนี้ไม่รู้ไม่เห็นว่าพระไหนโกง

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...ธรรมกาย

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...ท่านออกมาแสดงความเห็นเรื่องธรรมกายหลายรอบ มีผลกระทบไหม

 

พ่อครูว่า...ออกมาถล่มหลายรอบไม่ได้โกรธเขานะแต่ว่า ไม่อยากให้เขาบาปมากเกินไป อาตมาเห็นว่าเมืองไทยไปไม่รอด เพราะสัจธรรมคือศีลธรรมคุณธรรมคือความเป็นเอกในความเป็นมนุษย์ แต่ปล่อยให้เป็นเชื้อร้ายจะไปได้อย่างไร

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....ปัญหาที่กองอยู่เช่นเรื่องธรรมกาย คนก็คิดจะแก้แต่ติดอะไร

 

พ่อครูว่า...ติดความไม่กล้า ผู้ที่มีอำนาจมีสิทธิ์เต็มที่แล้วไม่กล้า

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....นายกฯ

 

พ่อครูว่า...รวมด้วย

 

พ่อครูว่า...มหาเถรสมาคมไม่มีแรงเลย มีแต่เก้าอี้มีแต่ชื่อ

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....พัดยศ

 

พ่อครูว่า...โดย authority ไม่มีเลย

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....มันต้องเป็นฝ่ายการเมืองที่เข้าไปสะสาง

 

พ่อครูว่า...ให้คะแนน 100

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....เพราะการเมืองคือการจัดการปัญหาบ้านเมือง เริ่มรู้แล้วเขาถึงเรียกว่าการเมือง คือการจัดการบ้านเมืองและพลเมือง คือการวางระเบียบกฎกติกา

 

พ่อครูว่า...นอกจากออกกฎระเบียบแล้วก็ช่วยเหลือ และสะสางสิ่งร้ายอออกให้หมด

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....ธรรมกายและการเมืองเหมือนยาขมหม้อใหญ่เลย เรื่องการเมืองรัฐบาลก็พอจัดการได้ แต่เรื่องธรรมกายเราจะเริ่มสะสางอย่างไร

 

พ่อครูว่า..อาตมาเห็นว่าขณะนี้ชัดเจนมากแล้ว หากขาดความกล้าที่จะทำสัจธรรม เขาเรียกว่าอสุรกาย เป็นคนใจอ่อนทั้งที่มีสิทธิ์มีฤทธิ์อำนาจที่จะทำ พระพุทธเจ้าจัดอยู่ในผีชนิดหนึ่งที่ตกต่ำ เป็นอสุรกาย

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่แค่กล้าไม่กล้า มันมีสำนักและมีผู้ศรัทธาเป็นจำนวนมาก ใหญ่มาก จะทำอย่างไรกับเรื่องที่เป็นปัญหาปักลึกมาก

 

พ่อครูว่า...ขณะนี้อาตมาว่าพลเมือง เขาเองอยู่ข้างคนธรรมดาสามัญคนทำมาหากิน แล้วเขาก็อยู่กับพฤติกรรมสังคม กับคนมีพฤติกรรมเอียงไปทางธรรมะ ถ้าธรรมะเป็นอะไรไปกับคนทำมาหากินเป็นอะไรไป เขาก็เอียงไปทางทำมาหากินมากกว่าธรรมะ คนอย่างนี้มีมาก

 

ขณะนี้คนที่มีพลังจัดการบ้านเมือง ตอนนี้เป็นคุณของประเทศที่คสช.มารัฐประหารได้รัฏฐาธิปัตย์ไป มันได้เพราะจิตคนมีแนวโน้มเห็นด้วย การรัฐประหารครั้งนี้จึงสวยงามที่สุด ไม่มีอะไรกระเพื่อมเลย มวลนี้เป็นมวลชี้บ่งว่า เป็นรัฏฐาธิปัตย์เต็มที่แล้ว ถ้าไม่จัดการคราวนี้เรื่องธรมะนะ ถ้าไม่จัดการคราวนี้ไม่มีโอกาสแล้ว ไม่ต้องฟังเสียงนกเสียงกาหรือเสียงแมลงหวี่หรอก ถ้าสะสางธรรมกายไปได้ ผลกระทบต่อศาสนาคณะอื่นๆนี่จะได้เลย เวลารบฆ่าแม่ทัพได้ พวกลูกน้องก็หนีหมด

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า..ธรรมกายหรือธัมมชโย นี่คือหัวหน้านะ

 

พ่อครูว่า...เขาเอามาลัยร้อยจมูกไว้หมดแล้ว ที่ร้อยไว้คือเงิน

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า....ในการเมืองมีบ้านเมืองมีพลเมือง เราเริ่มต้นด้วยปัญหาของศาสนาในศาสนามีธรรมกายและเครือข่ายเป็นปัญหา ที่ถูกร้อยจมูกไว้ด้วยมาลัย เวลานี้เป็นเวลาดีที่สุดที่คสช.จะทำการปฏิวัติแล้ว

 

ช่วงที่ 2

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...บรรดาญาติธรรม หลังจากที่สัมภาษณ์พ่อท่านแล้ว ญาติธรรมท่านใดอยากจะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมือง

 

จะปฏิรูปการเมืองอย่างไรก่อน?

 

ดินนา...เริ่มต้นจากคน คนจะต้องมีศีลมีจริยธรรม นักการเมืองต้องมีธรรมะ

 

ผึ้ง(พิมพ์เพชรรุ้ง)ว่า...คนต้องไม่โกง ต้องไม่โกง

 

สสฐ.โอ็ค ว่า... นักการเมืองต้องเสียสละ อย่างน้อยต้องมีศีล 5

 

.เดินดินว่า...ต้องให้คนมีคุณธรรม ต้องไม่ให้คนโกงเข้ามาปกครองบ้านเมือง เหมือนกับ 83 ปีมาก่อน ที่คนเข้ามาทำงานการเมืองไม่ได้ทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย ทุกวันนี้ก็มีคนจะคิดเรื่องออกกฏหมายรัฐธรรมนูญ จะออกให้สมบูรณ์อย่างไร แต่ถ้าคนไม่ดีก็จะสามารถแก้ไขกฎหมาย หรือหาช่องทางทำประโยชน์ส่วนตัวอยู่ดี

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...สองข้อใหญ่ที่เป็นปัญหาคือเรื่องการเมืองกับเรื่องธรรมะหากเราไม่แก้ 2 ข้อนี้จะเกิดปัญหาอีรุงตุงนัง การจะแก้ศาสนานั้นการเมืองต้องเข้ามาแก้ จะเริ่มตรงไหน

 

พ่อครูว่า...แก้ที่ศาสนาก่อน

 

ปอง(อัญชะลีว่า)...แก้ศาสนาแก้ที่ไหน แก้ที่พระ หรือแก้ที่มหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมก็อ่อนแอ

 

พ่อครูว่า....ไม่ใช่ ที่อ่อนแอคือประชาชน แม้ผู้บริหารก็คือประชาชน เพราะจริงๆแล้วคำว่าแข็งแรงคือจิตใจ คนเมื่อจิตใจไม่แข็งแรงก็อ่อนแอหมด ไม่จัดการที่คนที่จะให้คนมีจิตใจเปลี่ยนแปลงมีจิตใจแข็งแรงให้ได้ ถามอีกกี่ครั้ง จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมอะไรก็ตามให้แก้ไขที่คนให้มีธรรมะ มีความเสียสละ มีความลดกิเลส แก้ปัญหาอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะการศึกษาหรืออื่นๆถ้าสิ่งนั้นไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า..ถ้าจะให้ลดกิเลสทันที่ก็เหมือนให้เลิกกินน้ำอัดลมอาจทำไม่ได้ แล้วที่มีคนบอกว่า รัฐประหารทำให้ประเทศไทยสะดุด?

 

พ่อครูว่า..ไม่สะดุดหรอ การรัฐประหารคือการทำงานการเมืองอย่างหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบ้านเมืองจะแย่แล้วก็ต้องรัฐประหาร ให้พลังสังคมมีฤทธิ์แรงที่จะเสียหายนี้ให้หยุดการดำเนินพฤติกรรมการทำความเสียหายหยุดก่อนได้เลย ถึงได้บอกว่าสวยงาม หยุดแล้วไม่มีกระเพื่อมเลย

 

ปอง(อัญชะลี)...ตอนนี้กระเพื่อมแล้ว

 

พ่อครูว่า...กระเพื่อมเพราะไปซูเอี๋ยไม่ทำเด็ดขาด มัวแต่ปรองดอง คนที่พูดว่าปรองดองคือคนขี้กลัว ไม่กล้าทำเต็มที่ ต้องทำอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ไม่ไว้หน้าเลย พระเจ้าฆ่าก็ฆ่า พระเจ้าอโศกมหาราชจัดการหมดเลย ทำให้เป็นอย่างนั้นแล้ว พูดไปแล้วเหมือนอาตมาดูรุนแรงแต่มันจำเป็นนะ ที่ต้องให้ทำอย่างนี้เพราะเป็นจุดวิกฤติมันอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่จัดการตรงนี้ไม่ได้เลย

 

พระพุทธเจ้าตรัสถามนายเกสีคนเลี้ยงม้าว่า เกสี ...เลี้ยงม้าทำอย่างไร เกสีก็ว่า...ก็ค่อยๆฝึก หากไม่เชื่อก็ต้องตี หากไม่สามารถฝึกได้ก็ต้องฆ่าทิ้ง แต่เกสีก็บอกว่าท่านสมณโคดมทำอย่างไรในการฝึกภิกษุ ท่านก็ว่าทำเหมือนเกสี เกสีก็ว่าจะฆ่าได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ว่า การฆ่าของเราคือการพรหมทัณฑ์ คือไม่สอนไม่เอาใจใส่ด้วยเลย

 

พล.อ.ประยุทธต้องผ่าตัด ที่ว่าไม่ปรองดองคือให้เด็ดขาด ขณะนี้ประชาธิปไตยเป็นมา 80 กว่าปีแล้ว คือเชื้อโรคนี้มันร้ายจนกระทั่ง หมอจะบอกว่าเหลือเชื้อได้อย่างไร เหลือเชื้อไม่ได้หรอก

 

ปอง(อัญชะลี)...การจะผ่าตัดการเมือง 83 ปีมันทุกข์มากนะ

 

พ่อครูว่า....อาตมามองตามประสาว่า ประชาชนทั่วโลกเขามองนะ โลกทุกวันนี้ถึงกัน แม้แต่พล.อ.ประยุทธ ปฏิวัติ เขาก็เห็นว่าเป็นการปฏิวัติที่ best record ผมของยึดอำนาจ สวยงามมากกว่าใช้ดอกกุหลาบมาอีก มันมีที่ไหนที่จะทำได้อย่างนี้ นี่แหละบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลก

 

 

ปอง(อัญชะลี)...เมื่อเป็นการปฏิวัติรัฐประหารที่สวยงามต้องทำเด็ดขาดไม่ปรองดอง ถูกเป็นถูกผิดเป็นผิด แล้วมีคนว่า บ้านเราก็ทำปฏิวัติมาหลายหนก็พูดว่าทำแบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้สักที จะบอกว่าให้คว่ำบาตรนักการเมืองโกง พล.อ.เปรมก็ว่าอย่าไปไหว้หรือให้ความนับถือนักการเมืองโกง

 

พ่อครูว่า...ก็ทำสิ ไม่ทำก็ไม่ได้

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...อย่างสมณะท่านทำได้ จะให้ไม่เหยียบเงา ไม่เผาผี ท่านทำได้แต่เราอย่างฆราวาสจะทำอย่างไร?

 

ช่วงที่ สาม

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า..ช่วงสุดท้าย การเมืองแบบบุญนิยมในสายตาของพี่น้องญาติธรรม

 

ทิดคู่ฟ้า....การเมืองบุญนิยมเริ่มต้นที่การเสียสละ เมื่อครูผมสะดุดที่ว่า คุณปองบอกว่าสมณะทำได้ที่จะไม่คบค้าสมาคมกับคนโกง แต่ประชาชนทำอย่างไร ...ผมว่าเรากังวลกับอิทธิพลกับนักการเมืองใหญ่ แต่ผมว่าไม่กังวลกับสิ่งเหล่านี้เพราะเรามีธรรมเป็นที่พึ่ง เราใช้ตัวนี้บอกกันว่า เริ่มต้นที่ศีล 5

 

ปอง(อัญชะลี)ว่า...ถ้าเริ่มที่ศีล 5 เราจะกรองนักการเมืองเลวออกไปได้เยอะเลย

 

ญาติธรรมว่า...ในความเห็นส่วนตัวนั้นนักการเมืองสำคัญมากเหมือนโคจ่าฝูงถ้าว่ายน้ำตรง วัวที่เหลือจะว่ายตรง  นักการเมืองที่จะเข้ามาหากไม่มีความเข้มแข็งที่จะมาเสียสละ ทำเพื่อบ้านเมือง แต่ถ้านักการเมืองไวต่อสิ่งเร้าแล้วไม่เข้มแข็งก็จะไม่สามารถนำตนและบ้านเมืองไปสู่ทิศทางที่ดีได้

 

ญาติธรรมว่า...ขอมองในมุมของศาสนาคือว่า สงฆ์ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในศีลในธรรม มีความเสื่อมไปมากเลย ประชาชนจะพึ่งได้อย่างไร ดิฉันไม่ได้เข้าข้างสันติอโศก เท่าที่ดูมาว่าที่พึ่งได้ก็คือสันติอโศก

 

พ่อครูว่า...ถ้าจะอธิบายเรื่องบุญนิยมต้องขออีกสามสี่ชาติ อาตมาอายุ 81 ปีแล้ว ก็จะขอต่ออายุไปอีก 70 ปีเพื่อจะให้ความรู้เรื่องบุญให้ถูกต้องนี่แหละ

 

ทุกวันนี้บุญผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว บุญถูกเอาไปทำเป็นเครื่องมือในการหลอกล่อคน เป็นวิมานหลอกคน บุญคือเครื่องประหารหัวคนเหมือนเปาปุ้นจิ้น บุญคือเครื่องมือประหารกิเลส บุญไม่ใช่เครื่องสะสมเลย บุญไม่ใช่ของที่จะได้มาเลย อรหันต์คือคนสิ้นบุญ ก่อนจะเป็นอรหันต์ต้องมีเครื่องมือตัดกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จนหมดกิเลสบุญคือเครื่องมือกำจัดกิเลสก็หมดไปด้วย ปุญญปาปริกขีโน

 

ตอนนี้คำว่าบุญมันเพี้ยนผิดเป็นเครื่องมือหากิน ไปใช้เป็นวิมานหลอกหากิน เพราะเครื่องมือตัดกิเลส ถูกปลอมไปเป็นเครื่องมือพาขึ้นสวรรค์ลวงๆ มันไม่ใช่พาหนะพาขึ้นสวรรค์แต่บุญคือกิโยติน หรือเครื่องประหารหัวหมา

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:29:29 )

580923

รายละเอียด

580923_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์  25

พ่อครูว่า วันนี้วันพุธที่ 23 ก.ย. 2558  อาตมาเห็นที่บ้านราชฯ วันนี้มีอบต.หนองสนิท 80 คน มาศึกษาดูงานเศรษฐกิจพอเพียง ก็ดี ที่เราอาตมาพยายามที่สุดที่จะให้เป็นชุมชนที่เป็นบวร บ้าน วัด โรงเรียน

          วัดคือหัวใจของความเป็นมนุษย์ เป็นสถานที่ให้สัจธรรม สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่สัจธรรมเพี้ยนผิดไปจากศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วประกาศไว้ ถ้ามีธรรมะ มีอาริยธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นหลักของสังคม ไม่ว่ากลุ่มไหน ก็จะครบทั้ง มีประชาชนอยู่รวมกันก็มีศีลธรรม ประชาชนก็อยู่เย็นเป็นสุข เราก็เรียนรู้ไปกับโลกใช้ตามเหมาะควร ไม่ต้องรู้แข่งกับโลก หรือจะรู้ทันหรือล้ำหน้ากว่าเขาก็ไม่เป็นปัญหา หรือไม่รู้ก็ไม่ประหลาด เพราะในเนื้อแท้ของคนที่มีธรรมะจะมี สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีพเรียบร้อยแล้ว

 

มีจริยธรรม มีธรรมะที่ดีที่ประเสริฐเป็นแดนอาริยะ อย่างที่โลกเขาว่าเป็นประเทศอาริยะ แล้วเป็นสังคมอย่างไร ก็เป็นสังคมปกติ ที่สงบสุขอบอุ่น ไม่มีอย่างโลกีย์เขาเป็น จิตวิญญาณคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอำพรางแอบแฝง อย่างโลกีย์เขาเป็น โลกโลกีย์ทุกวันนี้เขาเล่ห์กล อำพรางแอบแฝง มารยาทเยอะ แต่สังคมที่เป็นอย่างที่อาตมาว่าอาริยสังคม โลกุตรสังคม ก็จะจริงใจสะดวกดาย สบายดีง่ายไม่มีอะไรแฝงซ่อนอำพรางหรือมีแต่มารยาท จะไม่มี จะเป็นพฤติกรรมจริงใจ

 

ที่อาตมาพูดนี้ก็มีอยู่จริง แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่มีความจริงใจ มีสัจจะที่จริงแล้วมาก ในโลกเขาซ่อนอำพราง ใช้เลห์กล มีความฉลาดที่เรียกว่า เฉกา คือฉลาดรู้ว่าความดีแท้จริงคืออะไร แต่เขาทำไม่ได้ แต่เขาทำได้ คือเสแสร้งออกมาเต๊ะท่า แต่ภาวะที่เขายืนหยัดยืนยันอยู่ข้างในไม่ใช่ อันนอกนี้เลือกโชว์ออฟ แล้วเขาก็อยู่อย่างโชว์ออฟ จึงเป็นสังคมที่อาตมาว่าพะอืดพะอม แต่อยู่อย่างนี้อาตมาว่าสบายไม่ต้องหวาดระแวงเลย

 

ไม่ต้องระวังระแวง สองคำนี้ใหญ่ๆ อะไรกันนักหนา จริงใจจนกระทั่งแสดงออกมามากไปก็เลยกระทบกันเยอะ เพราะมารยาทมันน้อย แต่ทางโลกเต็มไปด้วยมารยาท คำว่ามารยาทคือปู่ย่าตาทวดของมายา คือเป็น The great pretender อยู่อย่างลำบาก ชีวิตข้างนอก

 

ทางออกที่เขาหาอยู่แต่หาไม่ได้ แต่อาตมาว่าพวกเราชาวอโศก เป็นได้ อาตมาก็จะเอาบทแรกของสัมมาทิฏฐิ ที่อาตมาว่าต้องสัมมาทิฏฐิก่อนจะศึกษาพุทธ

 

ในทิฏฐิ 62 ที่มีปัจจุบัน ก็มีที่ยึดว่า กามเป็นสิ่งที่สุดยอด คืออยู่กับปัจจุบันที่เป็นกาม แล้วมีมารยาทคือ กดข่ม ต้องทำให้อาการกายวาจาใจให้เข้ากับสังคม ก็เรียกว่าสุจริต ต้องให้สุจริตเสมอ อย่าให้ทุจริตนะ ลักษณะอย่างนี้จึงเรียกว่าดัดจริต ดัดให้เป็นสุข เป็นต้น การทำมารยาทคือการทำใจอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้เรียนรู้ที่จะทำใจอย่างรู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน อ่านออกรู้ทุกอิริยาบถ เป็นฌานลืมตาแล้วทำใจในใจของตนเองตลอดเวลาหรือทำอภิสังขาร ปรับแต่งจิตใจตนตลอดเวลาอย่างรู้ๆ

 

มีวิปัสสนาญาณ เห็นรูปเห็นนาม เห็นกายเห็นจิต คือมีสติปัฏฐาน 4 มีกาย เวทนา จิต ธรรม รู้ว่านี่คือองค์ประชุมของรูป/นาม คือกาย แล้วรู้ว่าเราตกในเวทนาอย่างไร ในเวทนา 108 โดยเฉพาะมโนปวิจาร 18 เรายังมีเชื้อโรคโลก เราก็จับหาจิตตัวการที่ทำให้เกิดเวทนา ก็ได้กุศลจิตมา เป็นสราค สโทส สโมห ก็กำจัดด้วยวิธีที่พระพุทธเจ้าสอน

 

สอนอย่างลืมตา มีกดข่มบ้าง คนทำเป็นโดยสัญชาติญาณแต่ไปเรียนผิดกดข่มก็ไม่ได้ทำถูกซ้ำไปอีก ไม่ได้เป็นผลอย่างเป็นฌานสัมมาทิฏฐิ การกดข่มไว้เฉยๆไม่ใช่ฌาน

 

ทิฏฐิแรกที่ไม่เข้าใจคืออดีตกับอนาคต ที่คนจมกับสองอันนี้

 

(117)  “ทิฏฐิ”แรกที่จะต้องสัมมาทิฏฐิก่อนจะศึกษาพุทธ
         

          แต่อาตมาสงสารมวลมนุษย์จริงๆ และเสียดายคุณวิเศษอันประเสริฐของความเป็น “พุทธธรรม” ที่สงสารหนักยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ  ที่เห็นท่านทั้งหลายมัวหลงผิด ต้องต่ำแล้วไปวนเวียนสู่วัฏฏสงสารนั่นเองที่ไม่ควรจะตกลงไปเลย มันต่ำถึงนรกลึกๆด้วย จริงๆนะ 
         

          ซึ่งนักปฏิบัติธรรมชาวพุทธทั้งหลายวันนี้ แค่ประเด็น “อดีต”กับ “อนาคต”นั้นก็ไม่ควรจะไปจมอยู่กับ “มิจฉาทิฏฐิ”เช่นนั้น
         

          แต่ชาวพุทธก็ไม่ฉุกใจ ยังมิจฉาทิฏฐิกันหนักอยู่ ไม่ถอน “ทิฏฐิ”นี้ก่อน จึงไม่มีโอกาสบรรลุพุทธธรรมกันได้เลย เพราะมิจฉาทิฏฐิอยู่กับ “อดีต” อยู่กับ “อนาคต”ไม่เงยหัว ไม่ปฏิบัติเข้าหาปัจจุบัน
          เพราะจมอยู่กับ “ทิฏฐิ”แรก จำนนต่อ “มิจฉาทิฏฐิ 62”กัน จึงไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “โลก”อย่างบริบูรณ์ ก็ไม่สามารถเรียนรู้ “อัตตา”(ความเป็นตน)อย่างเป็นลำดับ จาก “โอฬาริกอัตตา” ที่จะได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “มโนมยอัตตา”ไปจากหยาบ กลาง ไปหาละเอียดจนกระทั่งถึง “อรูปอัตตา”

 

          เราก็เรียนอยู่กับปัจจุบัน ที่เป็นกามนี่แหละคือตัวหลัก แล้วเราก็ทำใจในใจ ให้ลดกาม เมื่อทำได้สำเร็จก็เป็นมโนมยะ เป็นมโนมยิทธิมีฤทธิ์ทางใจ ทำให้อัตตาสำเร็จด้วยจิต

          มโนมยอัตตาคือรูปที่สำเร็จด้วยจิต เป็นส่ิงที่ถูกรู้ รวมเรียกว่ากาย รู้กายของเราเอง กายของความเป็นสัตว์ ท่านก็เรียงเอาไว้เป็นสัตตาวาส 9

          ความเป็นสัตว์ของโลกที่เป็นอยู่กันนั้น กายต่างกันหมด สัญญาต่างกันหมด ความเป็นสัตว์นรก มนุษย์ เทวดาแต่ละคนต่างกันหมด นี่คือสัตตาวาสข้อที่ 1 นี่คือสัตว์ทางจิตวิญญาณเป็นสัตว์โอปปาติกะ คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 9

          จะปฏิบัติปัจจุบันได้ ต้องกำจัดกาม เมื่อลดกามได้ก็เป็นฌาน 1-4 นักธรรมะต่างๆรู้ดี แต่ว่าลดกามอย่างไร เขาลดไม่เป็น เขาข่มไว้เฉยๆ เหมือนพวกเชน ฤาษีดาบส ก็กดข่มกามเรื่องเพศ อย่างไม่สัมมาทิฏฐิ

          อาตมาพูดนี้คนได้ยินก็อาจโกรธได้ แต่เขาไม่รู้จักวิธีลดความโกรธอย่างสัมมาทิฏฐิ

          ผู้สามารถรู้จักอัตตา 3 ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด เราก็อยู่กับโลกอย่างรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วเราก็ประมวลว่า อะไรมันเข้าไปเป็นกิเลส ว่าอันนี้กามคุณ 5 อันนี้เป็นโลกธรรม มันก็มีเท่านี้ ไม่มีมากกว่านี้แต่มันมาก แยกย่อยต่างคนต่างสร้างมาหลอกกันเองไม่มีอะไรหรอก มหาศาล ถ้ารู้ตัวจริงแล้วว่า กามก็อย่างนี้ ลาภ ก็อย่างนี้ ยศก็อย่างนี้สรรเสริญก็อย่างนี้เป็นกิเลสเช่นนี้อยากได้กาม อยากได้โลกธรรม ก็กามทั้งนั้น รวมแล้วเรียกว่าอัตตา เอาใส่ตนเองทั้งหมด คือโอฬาริกอัตตา ก็เรียนรู้ได้ เข้าไปถึงใจ แล้วก็ทำมโนมยะคือทำสำเร็จ อย่างมนสิกโรติ ทำใจก็ได้ไปเรื่อยๆ ก็มีฤทธิ์ ทำจิตให้กับตน ให้เกิดผลสำเร็จไปเรื่อยๆ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ

          ทำได้ก็เป็นฤทธิ์ทางธรรมแบบพุทธ มีอิทธิฤทธิ์ตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ คุณจะเจ้าใจมโนมยอัตตาไปเรื่อยๆให้เป็นฤทธิ์ทางใจเป็นผลไปเรื่อยๆ

          คนที่ไม่เข้าใจรูปหรืออัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มันสำเร็จอย่างคุณอวิชชา งมงายเป็นวิมานไปกับมันหมด หนึ่งอดีตคุณจะได้เป็นอนุสัยต้องได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญอย่างนี้ ได้กามคุณ 5 อย่างนี้ ต้องกับอุปาทานที่มีอยู่ อดีตคุณฝังไว้เป็นอุปาทานเป็นอนุสัยคุณทั้งสิ้น

 

          คุณไม่รู้ว่ากามเกิดแล้ว จับกิเลสกามแล้วใช้ปัญญา มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไตรลักษณ์ มันทำให้กิเลสลด เป็นปัจจัตตลักษณ์อันนี้เป็นผลสำเร็จสูงสุดเป็นปัญญา เห็นความไม่เที่ยง เห็นว่ามันพาทุกข์ มันไม่ใช่ตัวจริง จนเห็นจริงเลยว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา แต่เราปล่อยให้มันมีตัวตนเองมานานแล้ว ตำราไม่เห็นมีอธิบายอย่างที่อาตมาว่าเลย ใครรู้ช่วยบอกด้วย จะได้ไปคุยกัน จะได้กอดคอกันสอน โดดเดี่ยวมานานแล้ว

          ทำมโนมยอัตตาให้ลดลง จนเหลือน้อย เป็นขั้นอรูป เป็นอรูปอัตตา ก็ทำในระดับเลยอนาคามีก็ทำอรูปอัตตาขั้นสุดท้ายก็สอบทานไปตามฐานะ โสดาบันก็สอบทานอรูปอัตตาในระดับของตน ก็จะมีญาณรู้ตามฐานะ เป็นอนาคาฯ เข้าสู่อรหัตตมรรคก็มีญาณรู้ละเอียดสภาวธรรมก็ต้องมีฐานจริง ไม่จริงจะสลับไปมา ไม่เป็นลำดับอย่างน่ามหัศจรรย์เท่านั้นเอง

          คนจะเรียงลำดับให้เป็นลำดับไม่วกวนไม่เป็นวิตักกะก็ไม่ง่าย เรียบเรียงไปตามลำดับได้มากเท่าไหรก็ได้เท่านั้น

          อรูปอัตตาเป็นมวลหลักให้ทำมโนมยอัตตาให้สำเร็จเป็นมโนมยิทธิแทนที่จะให้เป็นมโนมยอัตตาหลอกตนอยู่ตลอด เป็นอัตตาบำเรอกิเลสเป็นอนุสัย หรือเป็นอัตตาสร้างวิมานในฝัน

 

          ก็ขออนุญาตยกตัวอย่างอันเลวทรามอย่างธรรมกาย ที่อธิบายตกนรกขึ้นสวรรค์บรรยายอย่างเก่งกว่าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้ายังไม่เคยอธิบายนรกสวรรค์ของคนอย่างนี้เลย พระพุทธเจ้าท่านสอนหลักปฏิบัติ แต่นี่พูดอธิบาย ว่าคนนี้ตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ เพราะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขียนเป็นตำราคนก็ว่าเก่งฉิบหาย อาจารย์กูเก่งกว่ากูเกิ้ลอีก อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่พาทำ อาตมากลัวคนนี่นะ อาตมาไม่กลัวใครนอกจากคนที่คิดว่าตนเก่งกว่าพระพุทธเจ้า กลัวเขาจะมาทำร้ายอาตมา อาตมาหนีทันก็หนี แต่ที่พูดไปนี่ใจกล้านะ เพราะอาตมาว่าต้องพูด เผื่อฟลุ๊กว่าลูกศิษย์ลูกหาเขามาฟังรู้ครึ่งคนหรือหนึ่งคนก็ยังดี ว่าคุณไปถูกหลอกอะไรนักหนา อาตมาก็ว่าเขารู้อยู่นะถึงใช้ภาษาว่าฝันในฝัน ตนเป็นอาจารย์ไม่ใหญ่ ค่อยๆแก้ตัวทีหลังว่าฝัน รู้ทั้งรู้ แต่สัมปชานมุสาวาสทั้งนั้น

          สิ่งที่มีจริงเป็นจริงไปแล้วเป็นอดีต แต่ถ้าไม่มีจริงคุณก็ปั้นเองสร้างเอง อดีตกับอนาคตมีเท่านี้ คนจะไปเจออดีตจริงๆนั้นน้อยคือ 18  ทิฏฐิ แต่อนาคตมีตั้ง 44 ทิฏฐิ พระพุทธเจ้าก็ย่อไว้เท่านี้ในบรรดาทิฏฐิทั้งมวล ไม่มีอื่นๆอีก

           “ปัจจุบัน”เป็น “ทิฏฐธรรม” เป็น “ความจริง”ที่ “เห็น”จริง และ “ทำได้”จริง  “สัมผัส”ได้จริง ต้องเปลี่ยนแปลงใน “ปัจจุบัน”
 

          ธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเป็นทิฏฐธรรม

          ทิฏฐ มีความหมายชัดๆสองอย่างคือ เห็นของจริง กับ ปัจจุบัน ก็คือสัมผัสเกิดรู้เห็นของจริง อย่างปัจจุบัน           แม้จะเป็นปัจจุบันแต่ถ้าปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิก็อยู่ในฝัน ทุกอย่างที่ปฏิบัติไม่ได้ไม่เป็นปัจจุบันทั้งนั้น

          ขอทานกับเศรษฐีใหญ่มีความอยากรวยพอกันนะ แต่ขอทานยังเจียมตัว แต่เศรษฐี นั้น รวยแล้วก็ยังอยากรวยเพิ่มอีก ขอทานอย่างไรก็คิดรวยสู้เศรษฐีไม่ได้ เศรษฐีนี่อยากรวยไม่รู้จบ

          “อดีต”กับ “อนาคต”ใครจะไปทำอะไรกับมันได้ นอกจาก “ฝัน”ถึงมันเท่านั้น เพ้อบ้าๆบอๆถึงมันไปเท่านั้น 
           

          “อดีต”กับ “อนาคต” ทำอะไรกับมันไม่ได้ 
           

          “อดีต”กับ “อนาคต”เป็นประโยชน์แค่ใช้ “ระลึก”มาประกอบประโยชน์เท่านั้น ถ้าฉลาดใช้มันเป็น ถ้าไม่ฉลาดก็เป็นโทษต่อตน
         

          ซึ่ง “อดีตกับอนาคต”นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับ “ปัจจุบัน”จะเป็น “ตัวแปรหลัก” ทำให้ “อดีต”กับ “อนาคต”เปลี่ยนไป

 

          ไปนั่งหลับตานั้นตัดทางไปนิพพานเลย ลืมตาแต่ถ้าอยู่กับอนาคต อดีตก็เช่นกัน แต่ว่านั่งหลับตาไม่ได้ปฏิบัติกับ  ตา หู จมูก ลิ้น กายเลย ไม่มีองค์ประกอบของอุบายเครื่องออกเลย

          พระพุทธเจ้าว่า เว้นผัสสะเสีย ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ต้องรวมลงทำลงที่เวทนา

          พวกนั่งหลับตาไม่ได้เรียนรู้กาม แต่ก็อาศัยกาม ติดน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน เป็นต้น กดข่มได้บ้าง แต่ก็ติดอยู่ บางคนติดของหยาบยาเสพติด ติดยาดมยาอมยาหอม ติดหมากพลูบุหรี่ ไม่รู้ตัวเองหรอก พวกนั่งหลับตานี่ ไม่รู้กามอันละเอียดลึกซึ้ง มาถึงขั้นที่ระเบิดถึงหนัก คนที่กดข่มจนตายก็ไม่ขายหน้า แต่คนที่ระเบิดก่อนก็แก้ตัวพัลวัน สึกออกมาก็แก้ตัวไปกลบเกลื่อนไป

          สายลืมตานั้นไม่ต้องพูดหรอกสึกออกมาก็เฉยๆ สึกออกมาสอนธรรมะไป ตนเองสึกจากสมณเพศมาเห็นหีนเพศ เป็นผู้ล้มเหลวแล้วยังไม่่รู้ตัวอีก

 

(118)  “พุทธธรรมนูญ”ที่เป็น “หลักเอก”ของศาสนาพุทธ 
           

          “ทิฏฐิ 62”นี้คือ  “ทิฏฐิ”บทแรก ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แล้วโบราณาจารย์ที่เป็นผู้รู้ของศาสนาทั้งหลายได้ร่วมกันจัดทำนำมาบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็น “พระสูตร”แรกของ “พระไตรปิฎก”ทีเดียว(พรหมชาลสูตร) เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง “ศีล”ของศาสนาพุทธ อันได้แก่ จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ซึ่งเป็นเนื้อความ “ธรรมนูญ”ของศาสนาพุทธแท้ๆ
         

          มาถึงวันนี้ ในวงการพุทธศาสนา ก็เลิกนับถือกันแล้ว ไปนับถือกันอยู่แค่เพียง “วินัย 227”เท่านั้น โดยหลงกันทั่วไปว่า  “วินัย 227”เท่านี้เป็น “ศีล”แท้ๆของพุทธ
         

          ชาวพุทธในศาสนาพุทธ ไม่รู้กันแล้วว่า จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล นี้แหละคือ  “ศีล”ที่ภิกษุจะต้องรักษาไว้ให้แก่ศาสนาพุทธให้ได้ เป็น “หลักเอก”ของศาสนา 
         

          แต่ทุกวันนี้หลงผิดไปแล้วอย่างยากมากที่จะหวนกลับไปเป็น “ศาสนาพุทธ”ที่มี “ศีล”คือ จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล เป็นหลักเอกของศาสนาพุทธ
         

          เพราะจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลได้เลือนหายไปแล้ว เป็นศาสนาไม่มี “ศีล”แล้ว มีแค่วินัย 227 ที่เรียกขานกันว่า “ศีล”ของพระ โดยไม่รู้กันแล้วจริงๆว่า แท้ๆนั้น จุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีล ต่างหากคือ “ศีล”ของพระ แต่ทุกวันนี้เหลือแค่วินัย 227 เท่านั้น 
         

          แม้ “วินัย 227”ก็ยังเละเทะกันอยู่ซ้ำไปเสียอีก ถึงขนาด “สมีอุ้มสมี”ก็เห็นๆกัน อะไรเหลือบ้าง ในความเป็น “พุทธศาสนา”

 

 

(119) เมื่อ “ทิฏฐิ”ขั้นต้น “มิจฉาทิฏฐิ” ทิฏฐิอื่นก็มิจฉาตาม
         

          เมื่อ “ธรรมนูญ”อันเป็นบัญญัติ “หลักเอก”ของศาสนาพุทธก็ไม่มีเสียแล้ว แถมละเมิดบัญญัติที่เป็น “ธรรมนูญ”เสียเกือบครบบทบัญญัติแล้วอีกด้วย แล้วศาสนาพุทธจะเหลืออะไร
         

          เอาบทบัญญัติของจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลไปตรวจสอบดูเถอะ วัดต่างๆเต็มไปการเลี้ยงชีพด้วยเดัจฉานวิชา(ความรู้ที่ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน) บริบูรณ์ไปด้วยเดรัจฉานกถา(พูดกันสอนกันแต่เรื่องไม่พาไปนิพพาน) อย่างดีก็เรียนกันแต่ความรู้ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์
 

          ที่สอนกันว่า ให้รวยๆ หรือให้สมปรารถนาทุกอย่างอย่างนี้เป็นเดรัจฉากถา

          ซึ่งต่างจากพุทธศาสนาที่อาตมาหมาย คณะสงฆ์หมู่ใหญ่กับคณะสงฆ์อโศกจึงเป็นนานาสังวาสกัน ด้วยความเป็นอยู่ปฏิบัติจริง
         

          กรรมหรือการประพฤติปฏิบัติต่างกัน อุเทศ(คำอธิบายธรรมจากหัวข้อธรรม)ต่างกัน ศีลไม่เสมอสมานกัน มันเป็น “นานาสังวาส”แล้วจริงๆ คือ แตกต่างกัน(นานา)ไปแล้ว อย่างเด็ดขาด
          พวกหนึ่งไม่เอา “ศีลธรรมนูญ”แล้ว กับ อีกพวกหนึ่งเอา “ศีลธรรมนูญ”อย่างยิ่ง
         

          พวกหนึ่งหลงเที่ยง หลงประพฤติอยู่กับ “ทิฏฐิ 62” อย่างดื่นดาษ ยึดถือ นับถือ “อดีตกับอนาคต”กันอยู่ ทั้งหนีเข้าป่า หลับตาทำสมาธิ ทั้งเอาตรรกศาสตร์-ภาษาศาสตร์มาแข่งดีแข่งรู้กัน หรือนำมาโพนทนาเป็น “วิมาน”หลอกล่อให้ได้แต่เพ้อฝันกันไปเท่านั้น
          ไม่มี “ทิฏฐิ”ที่เห็นว่า “นิพพาน”นั้นต้อง “ปัจจุบัน”(ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) ไม่ใช่ไปหลงอยู่กับ “โลกอดีต-โลกอนาคต”อย่างที่เป็นกัน เต็มสังคมพุทธทุกวันนี้        
         

          ก็เท่ากับ “มิจฉาทิฏฐิ”กันตั้งแต่ประเด็นต้นของพระสูตรเล่มแรกแท้ๆ(เล่ม 9)พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วโบราณาจารย์นำมาบันทึกไว้เป็นบทแรกของพระสูตรของพุทธศาสนากันทีเดียว
         

          ป่านนี้ท่านทั้งหลายก็ยังไม่ฉุกใจ ยังทำ “สัมมาทิฏฐิ”กันไม่ได้
         

          ทิฏฐิอื่นๆ ที่จะต้อง “สัมมาทิฏฐิ”กันอีกหลากหลายแง่เชิงนั้น จึงเตลิดเปิดเปิงต่อไปอย่างระเนระนาด ดังที่เป็นที่เห็นกันอยู่โต้งๆ

 

          พระบ้านไม่มีใครปฏิบัติไปนิพพานหรอก แต่แม้แต่พระบ้านก็ว่าถ้าจะนิพพานต้องเข้าป่า คนปฏิบัติก็หลงกับอนาคตตลอด พระบ้านก็ปฏิบัติกับปัจจุบันไม่ได้นั่งหลับตา เรียนตรรกศาสตร์มากมาย เอากัลยาณธรรมมาสอนกันก็ได้เท่านั้น ไม่มีเนื้อหาพาพ้นทุกข์ โลกียะมีแต่วนในอ่าง อ่างใบใหญ่หน่อยก็วนนานหน่อย ก็ตกนรกขึ้นสวรรค์เก๊ไม่มีทางพ้นหรอก

          ไม่รู้ว่าตนเองอยู่กับปัจจุบัน ตนเองก็ไม่รู้ผัสสะจับอาการจิตไม่ได้ ไม่ได้ทำจรณะ 15 โพธิปักขิยธรรม 37 หรือโลกุตระ 37

          อาตมานำหลักฐานจากพระไตรปิฎกมากมาย แม้แต่คำว่าบุญ คำว่า กาย ก็เห็นเลยว่าไกลจากที่เขาเข้าใจเดิมมากบุญคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ

          ศาสนาพุทธทุกวันนี้ที่ขยายแพร่ไปทั่วโลก มองในแนวตื้นก็ว่าดีๆๆๆ มองในแนวลึกก็คือเอากองขยะเอาส่ิงสกปรกมารวมกันแล้วเผยแพร่ไป จะได้อะไร ยกตัวอย่างพาเด็กมาบวช เกณฑ์กันมาบวช เหมือนเอาลิงมาบวช มองแนวตื้นก็ว่าดี แต่แนวลึกนะ นี่ธงไชยพระอรหันต์นะ ผู้ที่ห่มเข้านี่พ่อแม่ต้องกราบทันทีนะ คุณมีดีอะไรพอให้พ่อแม่กราบหรือให้ผู้มีคุณงามความดีในสังคมเขากราบ คุณเหมาะสมหรือดีพอให้เขากราบหรือไม่ คุณมาบวชเล่นบวชหัว บวชกินเงินนี่บาปหนัก พากันมาขี้รดศาสนา ขออภัยที่พูดชัดๆ

          คนที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว มาบวช ท่านถึงให้ดูแล ถ้าผิดอย่างนี้ 11 อย่างนี้ต้องให้สึก แม้รู้ทีหลังก็ให้ออก

          ถ้าไม่จัดการเรื่องศาสนาให้จริง อาตมาว่าไปช้าไปยาก พายเรือในอ่างอย่างเดิม เพราะไม่เข้าถึงเหตุ ไม่ใช่รธน.ไม่ดี ไม่ใช่กฎหมายไม่ดี ดีอยู่ ผู้ร่างเจตนาให้เหมาะสมกับสมัยแต่คนเจตนาเอาฉลาดแฝงซ่อนเอามุมถูกมาใช้แต่ไม่ครบไม่เหมาะตามองค์ประกอบสังคมที่ควรใช้

          ร่าง รธน.ที่ร่างไปแล้วที่ถูกตีตกไป ก็เพราะมันกันไม่ให้นักการเมืองเก่ามาเล่น มันก็ไม่ยอมสิ ปชป. แม้เพื่อไทยก็ไม่เอาอยู่แล้ว พวกนักการเมืองไม่ให้หากิน เขาก็เลยจับมือกันไปหมดเลย เสียเงินเสียทองเสียเวลาไป อยากเลือกตั้งเร็วๆก็เลยยืดไปอีก ก็ดีแล้วนี่ ก็ทำเอง ยิ่งทำอย่างนี้ยิ่งไม่เร็วใหญ่ ต่อไปเขาต้องทำให้ละเอียด เดี๋ยวตีตกอีก แต่จะดีอย่างไรก็แล้วแต่เถอะ มันไม่ได้อยู่ที่กฎหมายหรือรธน.ไม่ดี แต่มันอยู่ที่คนไม่ดี คนนี่แหกได้ทุกประตู มีรูลอดจนได้ไม่มีทางแก้ได้หรอก มันลอดไม่ได้ก็หน้าด้าน กูจะละเมิดจะทำไม กูมีอำนาจเสียอย่าง เขาก็ทำหน้าด้านให้เห็นมาแล้ว อาตมาดูก็ขำ น่าสงสาร เล่นลิเกละคนไร้สาระจริงๆ ขออภัยที่พูดเหมือนตนรู้ดีนัก แต่ก็พูดอย่างจริงใจ อย่างน้อยอาตมาก็อายุมากแล้ว พิสูจน์ตนเองมา 45 ปีแล้ว แต่คนไม่เข้าใจ ไปรู้แต่โลกียะ อบาย กับเดรัจฉานวิชา

 

          อาตมาก็อยู่รอดเพราะธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง อยู่รอดเพราะธรรมะ นักศาสนาคนไทย ที่ไม่ใช่แค่นักบวชนะ คนทั่วไปเขาก็มีภูมิพุทธศาสนา บางคนไม่ได้เรียนสูงเขามีภูมิ เฉลียวฉลาด รู้อะไรถูกผิด แม้เขาจะกลัวโลกโลกีย์ไม่กล้าเข้าข้างคนถูก กลัวเสียโลกธรรมแต่ลึกๆเขารู้ว่าอาตมาที่ทำนี้ถูกต้องอันนี้ทำให้อาตมาอยู่รอดสามารถทำงานนี้มาได้

          สรุปคือประเทศไทยยังมีคนฉลาดรู้ว่าอะไรถูกหรือผิด แม้จะพูดว่าอันนี้ผิดแต่มีตัวรู้ลึกๆอยู่ อาตมาอยู่ได้เพราะตัวนี้นะ อาตมาใช้ธรรมเพียวๆ อาตมาจึงมั่นใจว่า ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง มีจริง

          ที่อาตมาแตกแยกกับคณะสงฆ์ใหญ่เพราะต่างคนต่างเข้าใจคนละอย่าง ก็ขอต่อ

          ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมี ชาคร หรือชาคริยะ แปลว่า รู้ว่าสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นใดแล้วจะปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ

 


(120)  “ผู้รู้ผู้ตื่น” คือ  “ตื่น”(ชาคร)จากอะไร? อย่างไร?
         

          ตั้งสติกัน ทำปัญญาให้แจ้งกันบ้างเถิด อย่าเอาแต่ยึดๆๆ ทั้ง “ทิฏฐุปาทาน”ก็ยึดกันแน่น ทั้ง “สีลัพพัตตุปาทาน”ก็ยึดเหนียวหนึบ ยิ่ง “อัตตวาทุปาทาน”ก็ยิ่งยึดกันไปลมๆแล้งๆ ไม่เข้าใจกันด้วยซ้ำว่า ตนยึดได้ก็แต่ “อัตตวาท”คือยึดได้แต่ “คำกล่าว-การพูด”เท่านั้นว่า  “อัตตา”ๆๆๆ แต่แท้จริงยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะกันเลยว่า สภาวะจริงๆของ “อัตตา”นั้นเป็นไฉน มีอยู่อย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นแหละ
          หรือ “อัตตา 3” คือ  “โอฬาริกอัตตา”นั้นไฉน  “มโนมยอัตตา” เป็นอย่างไร จนถึง “อรูปอัตตา”ขั้นปลายสุดจึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้   
         

          สำหรับ “กามุปาทาน”นั้น ไม่ต้องพูดเลย รู้กันดี แต่เต็มใจจมอยู่กับกามกันทั้งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเสียดสี หรือจมอยู่กับความใคร่อยากได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญได้สุขที่เป็นโลกีย์ทั้งหลาย เต็มสถาบันศาสนากันเห็นๆ  “ตื่น”ขึ้นมาจากหลงใหลกันบ้างเถิด
 

          ที่อาตมาไปให้อัญชะลีเขาสัมภาษณ์ ที่ว่า ก็เหมือนเขาเอาดอกไม้มาลัยมาร้อยพวงจมูกไว้หมดแล้ว     

          สถาบันเราก็เคารพ ครูบาอาจารย์ทั้งโบราณปัจจุบันเราก็เคารพ แต่ “สัจจะ”นั้นน่าจะเข้าถึงให้จริงให้ได้ เราไม่ได้ลบหลู่สถาบัน หรือบรรดาอาจารย์เลย เพียงแต่เราประสงค์จะให้เข้าถึงสัจธรรมกันจริงๆเป็นเป้าแท้ จะได้เกิดประโยชน์แท้จริง กอบกู้ศาสนาขึ้นมาได้จริงกันบ้าง พากันหลงเลอะน่าสงสารมานานแสนนานแล้ว
         

          คนที่ชื่อว่า ผู้ “ตื่น”(ชาคร) ไม่ได้หมายว่า แค่คนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากการหลับพักกาย แต่เป็นผู้มี “ความตื่นรู้พร้อมด้วยสติเต็มทำงานกับ “อายตนะ 6”เป็น “ชาคริยานุโยคะ” หมายความว่า พากเพียรทำความตื่นให้เป็น “ผู้รู้ผู้ตื่นจากโลกียารมณ์ที่ตนหลับไหลลุ่มหลง”อยู่นั่นทีเดียว ไม่ใช่แค่ตื่นจากนอนหลับเท่านั้น
         

          อย่าหลับไหลไปกับสถาบันกันจนหลงใหลคลั่งไคล้กันนัก
         

           “สถาบันพุทธศาสนา”ยังอยู่ในศีลในสัจธรรมกันดีอยู่หรือ?
           

          “ตื่น”ขึ้นมาตรวจดู “ความจริง”ที่เป็นภายนอกที่ห้อมล้อมอยู่ทั้งหลายดูดีๆเถิด อย่าเอาแต่จมอยู่กับอารมณ์ “ฝัน”อันแสนสวยแสนสุขกันอยู่กับ “โลกียธรรม”ที่พรั่งพร้อมของตนเอง จนไม่รู้จัก “ความจริง(สัจธรรม)ตามความเป็นจริง”กันนักเลย
         

          ไตร่ตรองกันดีๆ ว่า สัจธรรมคือศาสนา หรือสถาบันคือศาสนา หรือบรรดาอาจารย์คือศาสนา อะไรคือศาสนากันแน่
         

          ทำ “ทิฏฐิ”นี้ให้แจ้งกันดีๆเถิด ลดละอัตตากันเสียบ้าง
         

          ยิ่งใครยังเอาแต่หลงหนักมืดอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ตกเป็นทาสมัวเมาดำฤษณา ถูกบำเรอบำรุงด้วยลาภยศสรรเสริญสุขสบาย ถูก “สินบน”หรือ “ลัทธิประชานิยม”สะกดจิตเอาจนกลายเป็นทาสซื่อที่แสนเชื่อง ก็จงรู้ตัวเองบ้างเถิด สลัดแอกให้แก่ตนเองบ้าง
         

          นี่คือ  “ทิฏฐิ”บทแรกที่จะต้องตื่น(ชาคร)เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิโลกียนิยม-ทุนนิยม” เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิจิตนิยม-เทวนิยม-อัตตนิยม-วัตถุนิยม” กันให้ได้เสียทีเถิด
         

          มันจะ “เสียหน้า-เสียศักดิ์ศรี-เสียผู้เสียคน”อะไรกันนักหรือ  ที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวว่า เราหลงเป็นทาสอยู่ในดงแดนแห่ง “มิจฉาทิฏฐิ”    

          จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:30:33 )

580924

รายละเอียด

580924_ธรรมาธรรมะสงคราม ทิฏฐิ 62 และกาย

พ่อครู..ว่า วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 24 ก.ย. 2558 ก็มาตอบ sms ก่อน

0893867xxx คำสุดโต่งที่เขาว่าพ่อครูฯ มันเป็นคำในอดีตที่ใครๆเ คยว่าพ่อครูแล้วอดีตมันแก้ไขไม่ได้!ก็ไม่มีปย.อะไรที่ปัจจุบันจะไปแก้คำสุดโต่ง ออกจากคนที่อคติพ่อครู!เพราะอนาคตเขาก็ว่าพ่อครู เหมือนเดิม!

ตอบ...อาตมาทำงานมา อาตมาว่าอาตมาทำให้เกิดความเข้าใจความจริง อาตมาทำให้เห็นด้วย แล้วก็พากันทำก็มีผู้เข้าใจ แล้วมาปฏิบัติตามอีก ซึ่งมีนัยสำคัญ โลกียะเขาก็ชวนล่า กามคุณ โลกธรรมกัน คนก็จะเอาให้ได้มากๆ มีอำนาจมากๆ โลกธรรมมากๆ กามต้องฟรุ้งฟริ้งแพรวพราว คนก็เข้าใจง่าย ไปเป็นบริวารกันเป็นเป็นกระพรวน มหาศาล อาตมาไม่ได้ประหลาดเลย

 

ก็พากันไปเหมือนฝูงโคพากันไป หัวหน้าฝูงพาไปมันก็ไปแต่ที่อาตมาพูดนี้คือการทวนกระแสโลกีย์ เขากันทิศกลับมาเดินทางนี้ได้ อย่างนี้คือทำสำเร็จ ธรรมะพระพุทธเจ้าทวนกระแสเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเสริมกิเลสหนาขึ้นๆ แล้วสำเร็จ อย่างนั้นอาตมาว่าไม่น่าประหลาด เป็นโลกธรรมดาสามัญ แต่ปรุงแต่งชี้ชวนหากพรรคพวกได้มากเท่าไหร่

 

ที่เขาว่าสุดโต่ง คือเขาก็ว่าดี แต่มันเป็นไปไม่ได้ แต่อาตมาก็ทำให้ดูว่ามันเป็นไปได้ นี่ไม่ได้ถดถอยนะ เพ่ิมขึ้นอีก ของเก่าก็แน่นมากขึ้นอีก

 

0893867xxx พ่อครูเคยสอนเองว่าอดีตกับอนาคตทำอะไรกับมันไม่ได้!อดีตกับอนาคตเป็นปย.แค่ใช้ระลึกมาประกอบเป็นปย.เท่านั้นถ้าฉลาดใช้มันเป็น!ถ้าไม่ฉลาดก็เป็นภัยต่อ ตน!

 

0893867xxx ไม่มีใครแก้ความคิดในอดีตของคนที่ไม่ยอมรับเราได้แต่เราแก้ที่ปัจจุบันทำให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็นในขณะนี้ก็พอ!ส่วนอนาคตคน จะยอมรับฤาไม่ยอมรับก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป

 

0893867xxx ถ้าเราเข้าใจเคหสิตเวทนา18เนกขัมมสิตเวทนาเรา จักรู้แจ้งเวทนา36ในกาลทั้ง3จักรู้แจ้งรู้จริงเวทนา36อดีตปัจจุบันอนาคตเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา!

 

0893867xxx ขอโปรดพ่อครูอธิบายธรรมขั้นอนัตตาธรรมที่เห็นความเป็นจริงของอนาคต36ซึ่ง ความเป็นอนาคตนั้นไม่เคยมีในโลก!มีแต่อดีต36กับปั จจุบัน36ที่เป็นอนาคตที่ เที่ยงแท้แน่นอน?

 

ตอบ...ส่ิงที่มี ไม่มีอะไรคงที่ แต่สิ่งที่เป็น0 ได้จริงๆเลย ถาวรไม่มีเกิดอีกได้คือนิพพาน เป็นสภาพจิตใจที่กิเลส 0 อย่างมั่นคงเที่ยงแท้ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็0 เพราะได้ทำให้เกิด 0 สะสมเป็นฐานเรียกว่าอดีต ตกผลึกตั้งมั่นแข็งแรงจนมีพลัง ที่ทำให้ปัจจุบันทุกปัจจุบันที่เราทดสอบพิสูจน์เลย และสิ่งที่มีเหตุให้หวั่นไหวไม่นิ่งไม่เที่ยง เราก็ทดสอบทุกปัจจุบัน 36 ก็คือมโนปวิจารของโลก เราก็อยู่กับโลก โลกก็แค่ 18 แล้วเราทำได้เป็นโลกุตระ 18 สอง18 ก็เป็น 36 เกิดจาก สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดทางทวาร 6 อย่างละ 3 เวทนา

 

ทางเนกขัมมะสุขเพราะกิเลสลดลง แต่ทางเคหสิตะคือสุขเพราะได้สมกิเลส แต่ที่เนกขัมมะทุกข์ คือมันยังไม่เก่ง ยังคุมเคร่ง ก็ต้องทำไปจนมันเก่ง แม้กระทบสัมผัส ก็สู้ได้อย่างสบาย จนมีอาการอุเบกขา หากรีบตัดสินก็อาจพลาด พระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาทให้ทำไปอีก ถึงที่สุดแห่งที่สุด เป็นกตญาณ ว่าจบกิจแล้ว ไม่ต้องทำอีก ก็เลิกเลย นี่คือขีดสุดท้าย หลักเกณฑ์ของการตัดสินธรรมะของพระพุทธเจ้าด้วยเวทนา 108

 

ถ้าไม่เข้าใจเวทนา 108 ก็เป็นอรหันต์ไม่บริบูรณ์หรอก ต้องทำถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ จนเกิดกตญาณ ตัดสินได้ พระพุทธเจ้าว่าไม่ประมาทไว้ดีกว่า ให้เอาแบบล้านเปอร์เซนต์เลย

 

0845481xxx ธัมโม หเว รักขติ ธัมมะจาริง

0893867xxx ไม่ใช่พ่อครูฯไม่มี!พ่อครูฯมี ธรรมที่ไม่เหมือนใคร!มีธรร มพึ่งตนบนความพอเพียงที่ตามรอยคำสอนในพ่อหลวงฯแสดงความพอเพียงให้เห็นเป็นจริงประจักษ์ชัด!

ตอบ...คำว่าพอเพียงนี้ชัด มาจากบาลีว่า สันตุฏฐิ หรือ สันสกฤตว่า สันโดษ คือมันพอที่ใจ คนที่ไปอธิบายเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงว่า รวยแล้วก็พอ อย่างนี้อธิบายชุ่ย แต่ต้องให้มีขีดแห่งความพอ อาตมาเคยขยายความพอเพียงว่า จะเจริญไปตาม อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ คือกถาวัตถุ 5 ข้อแรก

1.      เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)

2.      เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.      เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)

4.      เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5.      เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา)

 

(120)  “ผู้รู้ผู้ตื่น” คือ  “ตื่น”(ชาคร)จากอะไร? อย่างไร?

 

          ตั้งสติกัน ทำปัญญาให้แจ้งกันบ้างเถิด อย่าเอาแต่ยึดๆๆ ทั้ง “ทิฏฐุปาทาน”ก็ยึดกันแน่น ทั้ง “สีลัพพัตตุปาทาน”ก็ยึดเหนียวหนึบ ยิ่ง “อัตตวาทุปาทาน”ก็ยิ่งยึดกันไปลมๆแล้งๆ ไม่เข้าใจกันด้วยซ้ำว่า ตนยึดได้ก็แต่ “อัตตวาท”คือยึดได้แต่ “คำกล่าว-การพูด”เท่านั้นว่า  “อัตตา”ๆๆๆ แต่แท้จริงยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะกันเลยว่า สภาวะจริงๆของ “อัตตา”นั้นเป็นไฉน มีอยู่อย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นแหละ

          หรือ “อัตตา 3” คือ  “โอฬาริกอัตตา”นั้นไฉน  “มโนมยอัตตา” เป็นอย่างไร จนถึง “อรูปอัตตา”ขั้นปลายสุดจึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้   

 

          จึงยากมากที่จะให้ทำให้ความรู้สึกเคยชอบเป็นเฉยๆ หรือทำให้ความรู้สึกไม่ชอบให้เป็นเฉยๆทำยาก แต่ต้องทำ ทำได้แล้วสลาย เพราะความรู้สึกเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดในใจเรา คือพิจารณาว่ามันพาเราทุกข์ ใจเราเปลี่ยนแปลงยังชอบหรือไม่ชอบ เรายังอ่อนแอ ยังเป็นทาสสิ่งเหล่านี้อยู่ ชอบหรือไม่ชอบตามมัน แล้วเราเลิกเป็นทาสมันได้ไหม นี่คือตัวสำคัญ จิตเราต้องไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอาการทั้งชอบและไม่ชอบ เห็นหรือได้ยินอะไรก็รับรู้ตามนั้น พระอรหันต์ท่านก็รับกระทบรู้ตามนั้น ไม่มีไม่ชอบหรือชอบตามใจ ทำให้ได้ ทำได้ก็เป็นอรหันต์ รู้ความจริง เจอหัวปลีมันสีม่วง ก็จะไปชอบทำไม เขาสมมุติกันว่าสวย คนชอบก็ว่าสวย คนไม่ชอบก็ว่าไม่สวย สมมุติหลอกกันไปว่าสวยว่ามีค่า หรืออย่างโถแตก เขาว่าสวยว่ามีค่าก็ซื้อไป ใครแตะต้องไม่ได้อีก

          นี่เขาค้นพบภาพของ วินเซนส์ แวนก็อก ก็ดูเป็นภาพธรรมดา มีท้องทุ่งนาเขาก็ว่าประมูลขายกะว่าจะได้ 70 ล้านเหรียญนะ   

          อาตมาเข้าใจศิลปะว่าคือสิ่งที่พาให้จิตใจสูงส่ง ถ้าคุณไปดูภาพแล้วเกิดอะไร ก็แค่รักต้นไม้ท้องฟ้าท้องนามากขึ้น อาตมาว่าไม่น่าราคาขนาดนั้น หรือภาพของแวนก็อก ดอกทานตะวันเหี่ยวๆ ก็พยายามค้นหาสาระของดอกนี้ มันมีความหมายอะไร ตีความโลกุตระให้ได้นะ เห็นไตรลักษณ์อีก อาตมาก็ว่า ตีก็ได้ แต่มันไม่น่าราคาแพงเท่านั้น อย่างอื่นก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ทำไมดอกทานตะวันดอกนี้แพงจัง นี่คือการสร้างค่านิยมตีราคาไป ศิลปินที่คนยอมรับก็เขียนอะไรมาก็ขายแพงได้หมด คือโลกงมงาย เลอะเทอะไปหมดเลย หนักเข้าก็เอาลิงมา เอาพู่กันใส่มือ ขีดเขียน

          ในทิฏฐิ 62 มีโลก กับ อัตตา

          อัตตามี 3 อย่าง

          โลก ก็คือองค์ประกอบประชุมกัน ตั้งแต่สองอย่าง สามอย่าง แล้วก็สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ประชุมกันเข้าไป แล้วเป็นเรื่องราว ก็สมมุติกันมาทั้งนั้น

          ###  ทิฏฐิ 62  ###

 

@ ปุพพันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องต้น, 18 ลัทธิ) -- อปรันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องปลาย, 44 ลัทธิ) ว่าด้วยเรื่องโลกกับอัตตา

 

- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าเที่ยง

- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด

- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)  หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล

- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ

 

พวกนั่งหลับตาก็รวมในทิฏฐิ 44 อนาคตนี้

 

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วนของขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต แนวความคิดนี้อาศัยข้อมูลจากอดีตเป็นหลัก เป็นความรู้เกิดจากเจโตสมาธิ ย้อนสำรวจชาติในอดีตของตน โดยเอาตัวเองในปัจจุบันเป็นฐาน แล้วย้อนระลึกชาติกลับไปสู่อดีต โดยการสาวลึกและไกลไปเรื่อยๆ จนสุดกำลังญาณของตน สรุปว่า โลกแล้วอัตตาเป็นอย่างไร

 

(1) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) 4 (คือพวกนั่งหลับตาทำสมาธิ)

1. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ

2. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์

3. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์

4. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

 

(2) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) 4

5. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง

6. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง มันไม่ได้มีอารมณ์ถาวรยืนยาวหรอก มันเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ก็เลยบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บางอย่างนานหรือไม่นานเป็นต้น

7. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง

8. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

 

(3) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) 4

9. เห็นว่าโลกมีที่สุด

10. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด

11. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด

12. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) 4

13. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) 2

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

 

@ อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี 5 กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก

(1) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (16)

(2) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (8)

(3) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (8)

(4) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (7)

(5) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ตรงกับหลักการของลัทธิ Hedonism )

ใน 5 กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้วยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์ ( Substance ) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

(2) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 35 ถึงข้อ 42 ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

 

(3) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 43 ถึงข้อ 50 ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

ทั้ง 3 หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

 

(4) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) 7

51. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์

52. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ

53. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ

54. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ

55. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ

56. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ

57. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ทั้ง 7 ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

 

(5) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) 5

58. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน 59,60,61,62 เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

 

อาตมานึกไม่ออกเหมือนกันว่า เป็นกามในสมาธิ เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในภพ หรือเป็นวิมาน เป็นกามาวจร เสพกามคุณ 5 ถือว่านี่คือนิพพาน เพราะนั่งในปัจจุบัน

 

จบทิฏฐิ 62

 

อดีตกับอนาคตรวม 62 นี้ไม่มีทางบรรลุ นี่คือสูตรแรกเป็นทิฏฐิความรู้ความเห็นหรือลัทธิ อย่าไปหลงนั่งหลับตาจะเป็นอรหันต์ เพราะเว้นจากผัสสะเสียแล้วจะได้ปฏิบัติ ไม่มีหรอก ไม่มีโสดาบันในการนั่งหลับตา สกิทาฯจะได้อย่างไร อนาคาฯ จะได้อย่างไร แต่เขาก็บอกว่าได้อรหันต์เลย แล้วจะเอากามหรือฌาน 1-4 เป็นอรหันต์หรือ? ก็ไปหมดเลย

 

แล้วปัจจุบัน 5 เมื่ออดีตกับอนาคตนั้นมิจฉาทิฏฐิหมด แต่ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าก็เหมาะไปในมิจฉาทิฏฐิด้วย เพราะไปนั่งสร้างภพชาติอยู่คนเดียว คนอื่นเขารู้ร่วมไม่ได้ คุณไปนั่งหลับตาก็เอากาม เอาฌาน 1-4 เป็นนิพพานใครจะรู้กับคุณ นิพพานของพระพุทธเจ้าเอาลืมตามีปัจจุบัน รู้ร่วมกันว่า นี่รส นี่กลิ่น นี่เสียง นี่สัมผัส ว่าเราไม่ได้ติดยึดนะ แต่จิตปรมัตถ์ก็อ่านทำให้ตรงกันว่า เราไม่ติด ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้ม ลาภ ยศ สรรเสริญเราก็ไม่ติดยึด พิสูจน์่ร่วมกันได้เลย มันต้องมีทั้งสัจจะสมมุติและปรมัตถ์อย่างลืมตา

 

ผู้ปฏิบัติลืมตาก็ยังทำใจในใจขณะลืมตาไม่เป็น วิจัย กาย เวทนา จิต ธรรมไม่เป็น

โลกุตระข้อ 1 ต้องรู้กายในกายเลย แต่ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมก็ไม่รู้

สัมมัปปธาน 4 ต้องอ่านสักกายะคือกิเลสได้ แล้วก็จัดการกำจัดกิเลสได้นะ แต่นี่ไปหลับตาไม่มีผัสสะ หรือแม้ลืมตา แต่ปหานกิเลสอย่างไรก็ต้องอ่านกายเป็น มีสติปัฏฐาน 4 เป็นแล้วสำรวมอินทรีย์ อ่านเวทนาในเวทนา มีสัมโพชฌงค์อ่านกิเลสว่ามีอาการ ลิงค นิมิต อย่างนี้ อ่านได้ จับตัวได้อย่างนี้ อย่างแน่แท้แม่นมั่นไม่วิจิกิจฉา แล้วจะมีปหาน 5 อย่างไร กดข่มหรือไม่ จนกิิเลสของคุณสู้พลังปัญญาของคุณไม่ได้ เกิดวิปัสสนาญาณ 9 หรือโสฬสญาณ มีพลังไฟปัญญาไปละลายไฟกิเลส ไม่ได้กดข่มหรอก

 

เกิดจากปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 มีอภิสังขารสั่งสมอินทรีย์พละ โดยมีโพชฌงค์ 7 เป็นหลัก ปฏิบัติสติ ธัมวิจัย วิริยะสัมโพชฌงค์ ทำได้มีปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ จนเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ก็ปฏิบัติลืมตาใน การทำอาชีพ มีกัมมันตะ วาจา สังกัปปะตามที่เรามีสัมมาทิฏฐิ

 

เรามีวิธีสละให้ เราทำใจอย่างไรว่าสละออกหรือยึดกลับมามากขึ้นหรือ? เราก็ต้องอ่านและทำใจในใจได้ มนสิการให้สละออก

ศีลพรตก็ขัดเกลากิเลสอย่างไร เราทำตามศีล 5 ในศีลแต่ละข้อ เกี่ยวกับคนสัตว์สิ่งของ มีกามมีอัตตาอย่างไรก็ลดละ สูงขึ้นไปเป็นศีล 8 ศีล 10 มีศีลจุลศีล มัชฌิมศีล ส่วน มหาศีลก็เป็นเรื่องสังคมศาสตร์ ไป ปฏิบัติได้ครบศีล 26ก็เป็นอรหันต์แล้ว

 

โพธิปักขิยธรรม 37 นี่มีครบหมดเลย ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า เมื่ออาตมาค้นพบหลักฐานว่า โพธิปักขิยธรรม 37 คือโลกุตระ 37 ก็ยิ่งชัด

โสดาบัน จิตมันเข้ากระแส โสตาปันนะ แล้วลดกิเลสไป เป็นอวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายตะ ลดกิเลสได้จนกระทั่งมันเป็นความเที่ยง ไม่ได้เดินไปเอาโลกียะนะ แต่ไปหาโลกุตระ เกิน 50 % เป็นนิยตะ เลยไปเป็น 75% ก็สัมโพธิปรายนะ อ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เดี๋ยวนี้

 

ถ้าแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่ได้ดำเนินโลกุตระไม่ได้ ต้องอ่านให้ชัด แล้วดำเนินไปให้ถูกทางเนกขัมมะ มันเป็นนามธรรมก็จริงแต่อ่านอาการ ของมันได้

 

          “กาย”จึงไม่ใช่ “รูป”ภายนอกอย่างเดียวโดดเดี่ยว ต้องมี “นาม”เอี่ยวด้วยเสมอและ “กาย”นั้นไม่มี “รูปภายนอก”เอี่ยวด้วยเลยได้ มีแต่ “นาม”ล้วนๆก็มีภาวะ “รูป”

           “กาย”จึงมีคุณลักษณะโน้มเอนมาข้าง

          “นาม”มากกว่า “รูปภายนอก”

          ความเป็น “กาย”นี้พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสว่า  “แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตรูปทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง” (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) คนไทยที่อ่านพระไตรปิฎกตรงนี้ ก็จะต้องอ่านทวนแล้วทวนอีก ด้วยความฉงนฉงายทันทีว่า  “กาย”พระพุทธเจ้ากลับเรียกว่า  “จิต-มโน-วิญญาณ”ได้ไง?!!!

          ถ้าใคร หรือยิ่งนักปฏิบัติธรรมที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิที่จะเข้าใจในประเด็นนี้ ตามที่อาตมากำลังอธิบาย ก็จะ “งง”หัวแตกเลย ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงเรียก “ร่างกาย”ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ก็เพราะความเสื่อมของ “พุทธสัจจะ”ได้เพี้ยนไปจาก “ความจริง”เดิมขอพระพุทธเจ้าแล้วนั่นเอง โดยเข้าใจความหมายอันแท้จริงของคำว่า “กาย”ผิดเพี้ยนไป อย่างสนิทแล้ว

          ทุกวันนี้คำว่า “กาย”คนไทยยึดเป็นภาษาไทยไปเรียบร้อยแล้ว และ “กาย”คำนี้ก็ไปหมายความเอาเฉพาะ “ร่างกายภายนอกของคน”เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความเป็น “นาม”หรือจิตใจเลย พอกล่าวขานคำว่า “กาย”ก็ตัดความเป็น “จิตใจ”ออกไปเลย

          แต่แท้จริงความหมายทาง “ปรมัตถธรรม”ของพระพุทธเจ้า หาเป็นเช่นนั้นไม่มันผิดถึงขั้นตรงกันข้ามเป็นคนละขั้วกันทีเดียว

          คำว่า “กาย”ภาษาไทยคนไทยหมายถึง “ภายนอกของร่างกายคน”สุดๆหมด ไม่มีจิตใจหรือนามธรรมเอี่ยวด้วยเลย

          แต่ “กาย”ภาษาพุทธธรรมที่ถูกต้องแท้นั้น หมายเอา “ภายใน”เป็นหลักเข้าไปในภายในจิตวิญญณจนถึงที่สุดขั้น “มโน”คือจิตลึกสุดนั่นเลย แม้ไม่เอี่ยวภายนอกเลยยังได้

เช่น นามสัมผัสกับนามภายในก็เรียกว่า “กาย”คือ  “นามกาย”

          เมื่อนามกับนามสัมผัส”กันก็เกิดภาวะ “องค์รวม”ของ “ธรรม 2”ขึ้น  “อาการ”ของธรรม 2 นี้ที่ “ถูกรู้” อาการนี้ก็เป็น “รูป” แม้จะเป็น “วิญญาณ”เป็น “จิต”ในภายใน จิตของเราเมื่ออยู่ในฐานะที่ “ถูกรู้” ก็คือ “รูป” เรียกว่า “นามรูป” และเป็น “องค์รวมของธรรม 2” ก็ล้วนเรียกว่า “กาย”

          สำหรับผู้ “อวิชชา”อยู่ไม่มีปัญญารู้ความเป็น “กาย”นี้ และจัดการกำจัดความเป็น “กาย”นี้ไปจากจิตใจตนไม่ได้ ผู้นั้นก็จะยังมี “กาย”อยู่ในอาสวะอยู่ใน “อนุสัย”ของคนผู้นั้นอยู่ตลอดไป ไม่ว่าเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ไม่ว่า “พาล”หรือ “บัณฑิต”

           “พาล”ก็ดี “บัณฑิต”ก็ดี “ตายกายแตก” (กายัสสะ เภทา) ถ้ายังอวิชชาก็มี “กาย”ไปด้วยอยู่นั่นแหละ ไม่หมดความเป็น “กาย”ไปได้

          เพราะพาลหรือบัณฑิตนั้นไม่มีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาย” แล้วจัดการกับ “กาย”ตนให้หมดสิ้นไปจากจิตใจของตนได้ คุณยังมี “กาย”เป็นอนุสัยไปกับคุณอยู่กับคุณ “งง”ไหมล่ะ ว่า ตายไปแล้วยังมี “กาย” อยู่เลย เอ๊ะ!..ตายไปแล้วมี “กาย”ได้ยังไง?!!!

          ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 57-59 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า  “ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต” ถ้ายัง “อวิชชา”อยู่ จิตวิญญาณของบัณฑิตนั้นยังประกอบด้วยตัณหาใด ถ้าละตัณหายังไม่ได้ ตายไปแล้วก็ยังมี “กาย”อันคือ  “องค์รวมของธรรม 2”ซึ่งก็ “รูปกับนาม”ของ “กิเลสกับจิตอนุสัย”ของคนผู้นั้นอยู่นั่นเอง

          เห็นมั้ย? สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ของภาษากับสภาวะ ที่มันวนกลับไปกลับมาได้ เหมือนกลับกลอก หลอกคน แต่ไม่ใช่ มันมีเงื่อนไขนัยสำคัญของเหตุปัจจัยที่จริงชัดเจน

ผู้มีปัญญาสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ก็จะไม่งง ไม่สับสน ไม่สงสัย เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยประกอบความเป็นไปทั้งสิ้น 

          ภาวะ “กาย”ที่ “ถูกรู้” จะเป็น “อาการ” ของวัตถุกับนาม หรือนามกับนาม ก็ตาม คือ  “รูป”ทั้งสิ้น

           “อาการ”ของสสารก็ดี  “อาการ”ของพลังงานก็ดี  “อาการ”ของดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-ว่าง-นิ่งก็ดี  “อาการ”ของรูป(ภาพ)-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณก็ดี  “อาการ”ของอุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยามก็ดี ฯลฯ  “อาการ”ที่ “ถูกรู้”เรียกว่า “รูป” ได้ทั้งนั้น “อาการ” คือ ภาวะที่เป็นกิริยาของอะไรต่ออะไรต่างๆ หรือหน้าที่ของอะไรต่ออะไรต่างๆ เป็นภาวะเคลื่อนไหว ตั้งแต่หยาบใหญ่มโหฬารที่สุดแห่งที่สุดแค่ไหนๆทั้งปวง และเล็กที่สุดแห่งที่สุดปานใดๆทั้งปวง ล้วนเรียกว่า  “อาการ”ทั้งนั้น แม้แต่อาการ “นิ่ง”หรืออาการของ “ความว่าง” ก็ “ถูกรู้”ได้

          ผู้จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อาการ”ก็อยู่ที่แต่ละคน บางคนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัมผัสในอาการ

          คนบางคนสัมผัส “อาการ”ได้ และบางคนมีอาการ แต่ไม่สามารถสัมผัส “อาการ”ของรูปกับนามที่ตนเองมี..ได้

           “อาการ”ที่คนสามัญไม่สามารถสัมผัสได้ แต่คนที่พยายามเรียนรู้ฝึกฝนกระทั่งสามารถสัมผัส “อาการ”นั้นได้ก็เป็น “วิสามัญ”

          อาการ มีทั้งที่เป็นพลังงาน มากหรือน้อย แรงหรือเบา แม้ที่สุดเป็น “อาการ”ที่ไม่มีพลังงานเลย เป็นอาการเฉยๆ กลางๆ

          อาการ มีได้ทั้งในวัตถุ และในนามธรรม

เช่น กิริยาของสสาร ก็คือ “อาการ”ของสสาร กิริยาของพลังงาน ก็คือ “อาการ”ของพลังงาน กิริยาของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ ก็คือ “อาการ”ของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ กิริยาของคน ก็คือ “อาการ”ของคน กิริยาของสัตว์ก็คือ “อาการ” ของสัตว์ กิริยาของพืช ก็คือ  “อาการ”ของพืช

          กิริยาของอวัยวะ ก็คือ “อาการ”ของอวัยวะ กิริยาของเซลล์ ก็คือ “อาการ”ของเซลล์ กิริยาของรูปธรรม ก็คือ “อาการ”ของรูปธรรม กิริยาของนามธรรม ก็คือ “อาการ” ของนามธรรม กิริยาขององคาพยพที่ประกอบ กันขึ้นเป็นคน 32 อย่าง ก็คือ  “อาการ 32”

          กิริยาของพลังงานที่บำบัด “ตัณหา”ในจิตใจ ก็คือ  “อาการที่ 33”เรียกว่า ดาวดึงส์

กิริยาของกาย ก็คือ  “อาการ”ของกาย กิริยาของเวทนา ก็คือ  “อาการ”ของเวทนา กิริยาของจิต ก็คือ  “อาการ”ของจิต กิริยาของธรรม ก็คือ  “อาการ”ของธรรม   หรือกิริยาของหน้าที่อะไรต่ออะไรต่างๆ

เมื่อมี “กิริยา”เกิดขึ้นต่อเนื่องก็เป็น “พลังงาน” ดังนั้น พลังงานจึงเป็น “อาการ”ให้ “เห็น”ได้ 

          หาก “อาการ”ใดปรากฏอยู่ แล้วใครสัมผัสได้ เห็นได้ รู้ได้ เข้าใจได้ กระทั่งเรียนรู้จนเข้าใจดี ถ้า “อาการ”นั้นเป็นโทษก็จะจัดการกำจัดหรือป้องกันไม่ให้เกิดโทษแก่ตนได้ ถ้า “อาการ”นั้นเป็นคุณค่าประโยชน์ ก็จะสามารถเรียนรู้ “อาการ”นั้นและนำมาทำประโยชน์ได้ จนสามารถจัดการ “อาการ”นั้นให้เป็นไปตามที่เราประสงค์ได้

           “อาการ”ของอะไร ก็คือ การเคลื่อนตัว หรือไหวตัวของภาวะนั้นๆ

          ถ้าไม่มีอะไรเลยใน “ความว่าง”หนึ่ง ก็ไม่มี “อาการ”อะไรใน “ความว่าง”นั้น


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:31:33 )

580925

รายละเอียด

580925_ธรรมาธรรมะสงคราม พรหมชาลสูตร และ อาการอย่างพิสดาร

พ่อครูว่า....วันนี้วันศุกร์ที่ 25 ก.ย. 2558 วันศุกร์เป็นวันที่เราจะบรรยายอย่างละเอียดเลย เป็นวันปลายสัปดาห์ เราก็มาลงรายละเอียดในพรหมชาลสูตร พระไตรฯล.9 ก็ค่อยเป็นไป วันนี้จะต่อให้จบท้ายบอกมาตั้งแต่อดีต อนาคต ปัจจุบัน แล้วจะตบท้ายว่า ทิฏฐิ 62 เกิดจากอะไรแล้วจะศึกษาอย่างไร

 

มาดู sms ก่อน

0857308xxx หมู่นี้อุปสรรคในการฟังธรรมสารพัดรูปแบบและทำเกรดปลายภาค

0857308xxx แยกโสตไม่เก่งรู้กระท่อนกระแท่นทั้งที่ดูสดและรีรันค่ะ

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯบุญนิยมเมตตาอธิบายธรรมะที่ถามมาให้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นสาธุ๊!

0837277xxx การฟังธรรมควรเน้นที่เนื้อหาของธรรมจึงจะได้รับประโยชน์มาก/

0837277xxx ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญาฟังด้วยจิตที่เพ่งโทษย่อมได้แต่ความโง่ๆๆเข้าใจ๋!/

0857308xxx สนทนาธรรมกับเด็กชนะแข่งสอบธรรมได้ที่5ระดับประเทศเห็นได้ชัดว่าเน้นปริยัติแต่ไม่ถึงปฏิบัติ

0837277xxx การไม่มีกิเลสนั้นมันง่ายแต่การมีกิเลสสิมันยากกว่าจริงไหมครับ?/

0857308xxx ดูๆแล้วท่องรู้เป็นนกแก้วนกขุนทองไม่เกิดผล แม้ศีล5ก็ยังไม่มี

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.จรธ.ญตธ.ลูกหลานสัมมาฯบ้าน ราชเมืองเรือทุกท่าน

0815371xxx นมัสการพ่อครูครับความรู้สึกเสียดายเป็นกิเลษตัวชื่ออะไรครับ

ตอบ...ก็เป็นกิเลสปริโพธ ก็รู้อาการจิตแล้วก็ลดมันได้ก็ดี

0845481xxx เวทนา2เป์นแค่สักแต่ว่ารู้สึกเท่านั้นยังไม่มีชอบ ยังไม่มีชังใช่ หรือไม่คะ ?

ตอบ...ต้องรวมลงที่เวทนาให้เป็นหนึ่ง คือเป็นเอกสโมสรณา ไม่ชอบไม่ชังเป็นปุงลิงค์เป็นนปุงสกลิงค์

0857308xxx สนทนาธรรมกับเด็กชนะแข่งสอบธรรมระดับประเทศเห็นได้ชัดว่าเน้นปริยัติแต่ไม่ถึงปฏิบัติ

0893867xxx ถ้าคิดว่าปัญญาคือผลของความคิดจะเข้าไม่ถึงไตรลักษณ์เห็นแต่ความเที่ยงแท้ยั่งยืนฤาสัสตทิฏฐิฤามีอุจเฉททิฏฐิ,นัตถิกทิฏฐิ,อกิริยทิฏฐิฯ

0893867xxx มีแต่ปัญญาของพุทธแท้ที่แปลว่าการรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นที่จะเข้าใจไตรลักษณ์ฤาความไม่เที่ยง,เป็นทุกข์,ไม่ใช่ตัว ตนฯ

ตอบ...ใช่  ต้องทำอย่างเป็นสภาวะเลย

0877213xxx กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิขมาตุ ผมแก่่นสัมฤทธิ์ ว่ายทวนกระแสตามพ่อครู เห็นชาวยุโรปอพยพ แต่งตัว ดูมีความรู้ ปิดตำราแล้วอ้างอดีต เดินหาอนาคต ตามที่ตำราบอก อนาคตข้างหน้ายังมี ไกล้กลียุคแล้วใช่ไหมครับ

0837277xxx ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญาฟังด้วยจิตที่เพ่งโทษย่อมได้แต่ความโง่ๆๆเข้ใจ๋!/

0893867xxx พรุ่งนี้วันของคสช.วนกลับ มาอีกแหละ!แต่บิ๊กขวัญใจ ไทยแลนด์แอ่นแอ๊นแดนมะ กันนู้นใครจะมาร่ายต่อมิรู้ก๊ะมิกล้าถามมั๊กก๊ะสาธุ๊

 

มาเข้าสู่พรหมชาลสูตร เป็นสูตรแรกเลยในพระสูตร

 

 

###  ทิฏฐิ 62  ###

 

@ ปุพพันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องต้น, 18 ลัทธิ) -- อปรันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องปลาย, 44 ลัทธิ) ว่าด้วยเรื่องโลกกับอัตตา

- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าเที่ยง

- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด

- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)  หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล

- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ

 

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วนของขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต แนวความคิดนี้อาศัยข้อมูลจากอดีตเป็นหลัก เป็นความรู้เกิดจากเจโตสมาธิ ย้อนสำรวจชาติในอดีตของตน โดยเอาตัวเองในปัจจุบันเป็นฐาน แล้วย้อนระลึกชาติกลับไปสู่อดีต โดยการสาวลึกและไกลไปเรื่อยๆ จนสุดกำลังญาณของตน สรุปว่า โลกแล้วอัตตาเป็นอย่างไร

 

(1) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) 4

1. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ

2. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์

3. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์

4. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

 

(2) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) 4

5. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง

6. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง

7. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง

8. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

 

(3) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) 4

9. เห็นว่าโลกมีที่สุด

10. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด

11. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด

12. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) 4

13. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) 2

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

 

@ อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี 5 กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก

(1) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (16)

(2) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (8)

(3) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (8)

(4) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (7)

(5) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน

 

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

(2) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 35 ถึงข้อ 42 ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

 

(3) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 43 ถึงข้อ 50 ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

ทั้ง 3 หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

 

(4) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) 7

51. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์

52. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ

53. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ

54. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ

55. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ

56. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ

57. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ทั้ง 7 ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

 

(5) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) 5

58. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน 59,60,61,62 เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

 

จบทิฏฐิ 62

 

อดีตกับอนาคต รวมแล้ว 62 เป็นเรื่องที่แก้ไขอะไรกับมันไม่ได้ คนไม่รู้ก็งมงายกับอดีต งมงายกับอนาคต มันไม่น่าจะยาก แต่ก็ไม่ง่าย ไปพยายามไตร่ตรองว่า ลักษณะนี้อดีตนะ แล้วการที่คุณมีทวาร 6 ครบสัมผัสอยู่นี่คือปัจจุบันแท้ๆ การนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสครบ แต่การอยู่กับการตื่นรู้ในทวาร 6 นี้แหละคือปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่กับกาม หรืออยู่กับฌาน ก็บรรเทากิเลสไปบ้างก็ดี ถ้าเข้าใจจะไม่จมอดีตกับอนาคต

 

ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ
         

          [51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใด
มีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจ
ของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหา
เท่านั้น.
         

          [52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง
ไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ
แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [53] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้
ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของ
สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมี
ตัณหาเหมือนกัน.
         

          [54] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถาม
ปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความ
เข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน
ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
          [55] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของ
สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมี
ตัณหาเหมือนกัน.
          [56] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็น
ตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการ
แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [57] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ แม้ข้อนั้น
ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความ
ดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
ไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ
แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [59] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญ
เหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [60] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความ
ขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้น
ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความ
ดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [61] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ
แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.
         

          [62] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็น
ตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการ
แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา
เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [63] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์
ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีต
ทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ
62 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็น
ความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหา เหมือนกัน.
         

          [64] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิ
ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [65] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง
ไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ
แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [66] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้
มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย.
         

          [67] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหา
ในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 5 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย.
         

          [68] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
บัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [69] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตาม
ขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการ
แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [70] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการ
ตายมีสัญญา บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ แม้ข้อนั้น
ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [71] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
ไม่มีสัญญา บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้น
ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [72] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
สัญญาก็ไม่ใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [73] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญ
ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะ
เป็นปัจจัย.
         

          [74] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน บัญญัติว่า
นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะ
ผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [75] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็น
ตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44
ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [76] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์
ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีต
ทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ
62 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.
         

          [77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิ
ว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้ว
จะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีมิได้.
         

          [78] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง
ไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ
เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [79] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้
ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้ว
จะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [80] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถาม
ปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะ
แล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [81] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
ย่อมบัญญัติว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้ว
จะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [82] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตมีความเห็นตาม
ขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการ
เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [83] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ เขาเหล่านั้น
เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [84] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
ไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ
เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [85] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย
มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่
ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะ
ที่จะมีได้.
          [86] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความ
ขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ เขาเหล่านั้น
เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อม
บัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้น
เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

 

          [88] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็น
ตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44
ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานที่จะมีได้.

 

                   [89] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์
ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีต
ทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ
62 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.
         

          [90] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิ
ว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการพวกที่มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง
บางอย่างไม่เที่ยง ... พวกที่มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ... พวกที่มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว ...
พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ... พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต ... พวกที่มีทิฏฐิว่า
อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ... พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มี
สัญญา ... พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ...
พวกที่มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ... พวกที่มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน ... พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต ...
พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วน
อนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วน
อนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 62 ประการ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวก
ถูกต้องๆ แล้วด้วยผัสสายตนะทั้ง 6 ย่อมเสวยเวทนา เพราะเวทนาของสมณพราหมณ์เหล่านั้น
เป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัส อุปายาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับ
คุณและโทษ แห่งผัสสายตนะทั้ง 6 กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากผัสสายตนะเหล่านั้น
เมื่อนั้น ภิกษุนี้ย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้ทั้งหมด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือ
พราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์
ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์
ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้แหละเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้
ติดอยู่ในข่ายนี้ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมงหรือลูกมือ
ชาวประมงผู้ฉลาด ใช้แหตาถี่ทอดลงยังหนองน้ำอันเล็ก เขาคิดอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ๆ
ในหนองนี้ทั้งหมด ถูกแหครอบไว้ อยู่ในแห เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ติดอยู่ในแห ถูกแหครอบไว้
เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย. สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้น
ที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต
ก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต
กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถูกทิฏฐิ 62 เหล่านี้แหละเป็น
ดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้
เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้.
         

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดา
และมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้ว
ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ
ขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.
         

          เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้
ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้.
         

          ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชม
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่น
โลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล.
                                   จบพรหมชาลสูตรที่ 1.
                               _____________

 

สูตรนี้เป็นเหมือนนิยายที่สุดยอด อาตมาเคยส่งนิยายประกวด มีเรื่องเกี่ยวกับลูกฆ่าแม่ เข้ารอบการประกวด มีคนเอาไปลงให้ อีกเรื่องคือเรื่องมะขาม เกี่ยวกับคนทำเขียงไม้มะขาม วันหนึ่งก็ป่วย แล้วก็มีแพทย์คนหนึ่งไปเจอเข้า ก็หอบไปรักษา จนรักษาหาย เขาก็ตอบแทนโดยการนำเขียงอย่างดีมาให้ แพทย์คนนี้ก็รับมาด้วยรู้ว่านี่คือจิตวิญญาณของเขา ก็เอาเขียงนี้ใส่ไว้ในตู้เครื่องมือแพทย์ เพื่อนแพทย์มาเห็นก็ว่าเอาเขียงมาใส่ทำไม คนก็ว่าบ้า คนไข้ก็มาเยี่ยมบ่อย แต่ต่อมาก็ไม่ได้มาหา หมอก็เลยตามไปดูว่าเป็นอย่างไร หอบยาไทฟอยด์ไปให้ ไปถึงก็พอดีเลย ก็เจอหนุ่มขายเขียงกำลังพอดีถูกไม้มะขามล้มทับ คนกำลังมุงอยู่ หมอก็ไปดู ก็ค้นยาก็มีแต่ยาไทฟอยด์หายาบำรุงหัวใจไม่ได้ สุดท้ายก็ตาย เรื่องนี้ไม่มีใครเอาลงเลย

 

 “บาป”นั้น คือ “กิเลส” คือ “อกุศลจิต” จึงต้องรู้จักรู้แจ้งจริงของเรา ในตัวเรา แล้วกำจัดออกไปให้สิ้นเกลี้ยงจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์

 “กำจัดกิเลสหรือบาปหรืออกุศลจิตออกไปให้สิ้นเกลี้ยง” สิ้นเกลี้ยงแล้วก็ “ไม่ให้กิเลสหรือบาปหรืออกุศลจิตเกิดในจิตเราอีก” นี่คือ จุดหมายแท้แห่ง “ความสำเร็จ” ที่สำคัญของนักปฏิบัติธรรมแบบพุทธเพราะ “บาป”คือ กิเลส คือ อกุศลจิตนี้เป็น “จิตเฉพาะส่วน”ที่จะต้องกำจัดออกจากตนให้หมดสิ้นเด็ดขาด กระทั่งไม่มีในใจตนอีกเลย อย่างเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล

โดยการใช้ “สัญญา”ให้ทำหน้าที่ “กำหนดหมายรู้”ความเป็น “กาย-เวทนา-จิต-ธรรม” จนถ้วนทั่วทั้ง “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”และจัดการปรับแต่ง(อภิสังขาร 3) นั่นคือ จัดการแยก “กาย”ก่อน

กายคืออะไร  “กาย”คือ องค์ประชุมกันอยู่ของ “ธรรม 2” ได้แก่ รูป กับ นาม

 “รูป”คือ ธาตุที่ “ถูกรู้”(object=กรรม)

  “นาม”คือ ธาตุที่เป็น “ผู้รู้”(subject=ประธาน)  

เมื่อ “รูป”กับ “นาม”ทำ “ปฏิกิริยา”ต่อกัน(ปฏิฆสัมผัสโส)ก็เกิด “เวทนา”(ความรู้สึก)

 “รูป”กับ “รูป”ทำ “ปฏิกิริยา”กัน(ปฏิฆสัมผัสโส) ไม่เกิด “เวทนา” เพราะ “รูปไม่มีธาตุรู้” รูปไม่มี “จิต” รูปไม่มี “วิญญาณ-มโน”

 “นาม”กับ”นาม”ทำ “ปฏิกิริยา”ต่อกัน(ปฏิฆสัมผัสโส) เกิด “เวทนา” เพราะ “นามมี

ธาตุรู้” นามมี “จิต” มี “วิญญาณ-มโน”

คำว่า “รูป”เป็น “ตัวถูกรู้”ได้ถ่ายเดียว

จะเป็น “ธาตุรู้”ไม่ได้เลย  “รูป”ไม่ใช่ “ตัวผู้รู้”

คำว่า “นาม”เป็น “ธาตุรู้”ตัวแท้ แต่เป็น “ธาตุที่ถูกรู้”ก็ได้ด้วย สำหรับผู้ศึกษาอย่าง “สัมมาทิฏฐิ”ของศาสนาพุทธ ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งเห็นจริงชื่อว่าผู้มี  “วิปัสสนาญาณ”

 “นาม”มีหน้าที่เป็น “ตัวผู้รู้” แต่มีจิตบางสภาพที่ “ถูกรู้”(นามเมื่อมีฐานะเป็นรูป)ในบางโอกาส โดยผู้ศึกษาหรือปัญญาของผู้นี้เป็น “วิปัสสนาญาณ”

 “นาม”นั้นก็อยู่ในฐานะ “รูป”ไปชั่วครั้งคราว ภาวะนี้เรียกกันเต็มภาษาว่า “นามรูป”

 “นามรูป”นี้แลที่ต้องศึกษาให้ดี เพราะรู้ยากกว่า “รูป”เดี่ยวๆ หรือ “นาม”เดี่ยวๆ

การแยก “กาย”แยก “จิต”ให้รู้ว่า ภาวะใด ขณะใดเป็น “รูป”(ถูกรู้) ภาวะใดขณะใดเป็น “นาม” พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้จาก “อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ”(เล่ม 10 ข้อ 60)

ซึ่งมันยากมากก็ตรงที่ต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเป็น “สัมมาทิฏฐิ”จริงๆในความเป็น “กาย”คืออะไร? คืออย่างไร? เพราะคำว่า “กาย”นั้นมีทั้ง “รูป”มีทั้ง “นาม” ไม่แยกกันเลย แยกกันเมื่อใดคำว่า  “กาย”ก็หายไป

 

 “กาย”ไม่ใช่ “รูป”อย่างเดียว

การแยก “กาย”กับ “จิต”ขาดกันไปสนิทอย่างนี้แหละคือ  “มิจฉาทิฏฐิ”

คำว่า “กาย”นี้จะไม่อยู่โดดเดี่ยวเฉพาะเพียง “ร่างภายนอก”  “กาย”จะไม่เพียงเป็น “รูป”โดดเดี่ยวเท่านั้น  โดยไม่มี “นาม”เอี่ยวด้วยเป็นอันขาด

ดังนั้น  “รูป”โดดเดี่ยว หรือ “รูป”ที่ไม่มี “นาม”ร่วมด้วยเลย จึงไม่ใช่ “กาย”ต้องมี “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)คือมี “นาม” ร่วมอยู่ด้วยเสมอ ต้องเป็น “องค์ประกอบของรูปกับนาม”เสมอ ในการศึกษาปรมัตถธรรม เพื่อบรรลุโลกุตระหรือ “ธรรม 2”(เทฺว ธัมมา)คือมี “นาม” ร่วมกับ “นาม” โดย “นาม”หนึ่งนั้นเป็น “รูป”

 

นั่นคือเป็น “ตัวถูกรู้” ส่วนอีก “นาม”หนึ่งก็เป็น “ตัวผู้รู้” อย่างนี้ก็คือ “กาย” ชื่อว่า “กาย”เห็นชัดไหมว่า  “กาย”คือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณ ด้วยประการฉะนี้เองส่วน “รูป”ภายนอก กับ “รูปภายนอก”ที่ไม่มี “นาม”จากภายในเข้าไปร่วมด้วยเลยนั้น จะมี “รูป”กี่รูปต่อกี่รูปก็เป็น “กาย”ไม่ได้  ผู้ศึกษาธรรมะของพุทธ ที่สัมมาทิฏฐิ จึงเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “รูป”เป็น “นาม”อย่างดีแม้ขั้นสูงเข้าไปถึงความเป็น “รูป”ที่เป็นขั้นสูงขั้นปลาย 

เช่น ในภาวะ  “อรูป”แท้ๆ  “ไม่มีรูป”แล้ว ก็หยั่งรู้กำหนดรู้ “อรูป”(ไม่มีรูป,รูปขั้นสูงขั้นปลาย)นั้นได้(อัชฌัตตัง อรูปสัญญี) จนครบถ้วนภาวะที่เราจะต้องศึกษา ใน “วิโมกข์ 8” ข้อที่ 2 เป็นต้น(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 66)

นั่นคือ  “วิโมกข์ 8”ต้องมี “รูป”กับ “นาม”เสมอ และ “ภายนอก”กับ “ภายใน”ก็ต้อง “สัมผัส”กันอยู่ ผู้เป็นเจ้าของ “จิตใจ”

ต้อง “เห็น”(ปัสสติ)องค์ประกอบของ “รูป”กับ “นาม”นั้นที่สัมผัสกันอยู่เป็นปัจจุบันนั้นด้วย “กาย”จึงไม่ใช่ “รูป”ภายนอกอย่างเดียวโดดเดี่ยว ต้องมี “นาม”เอี่ยวด้วยเสมอ

และ “กาย”นั้นไม่มี “รูปภายนอก”เอี่ยวด้วยเลยได้ มีแต่ “นาม”ล้วนๆก็มีภาวะ “รูป”

 “กาย”จึงมีคุณลักษณะโน้มเอนมาข้าง “นาม”มากกว่า “รูปภายนอก”

ความเป็น “กาย”นี้พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสว่า  “แต่ตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตรูปทั้ง 4 นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง” (พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230) คนไทยที่อ่านพระไตรปิฎกตรงนี้ ก็จะต้องอ่านทวนแล้วทวนอีก ด้วยความฉงนฉงายทันทีว่า  “กาย”พระพุทธเจ้ากลับเรียกว่า  “จิต-มโน-วิญญาณ”ได้ไง?!!!

ถ้าใคร หรือยิ่งนักปฏิบัติธรรมที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิที่จะเข้าใจในประเด็นนี้ ตามที่

อาตมากำลังอธิบาย ก็จะ “งง”หัวแตกเลย ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าทรงเรียก “ร่างกาย”ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ก็เพราะความเสื่อมของ “พุทธสัจจะ”ได้เพี้ยนไปจาก “ความจริง”เดิมขอพระพุทธเจ้าแล้วนั่นเอง โดยเข้าใจความหมายอันแท้จริงของคำว่า “กาย”ผิดเพี้ยนไป อย่างสนิทแล้ว

ทุกวันนี้คำว่า “กาย”คนไทยยึดเป็นภาษาไทยไปเรียบร้อยแล้ว และ “กาย”คำนี้ก็ไปหมายความเอาเฉพาะ “ร่างกายภายนอกของคน”เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความเป็น “นาม”หรือจิตใจเลย พอกล่าวขานคำว่า “กาย”ก็ตัดความเป็น “จิตใจ”ออกไปเลยแต่แท้จริงความหมายทาง “ปรมัตถธรรม”ของพระพุทธเจ้า หาเป็นเช่นนั้นไม่มันผิดถึงขั้นตรงกันข้ามเป็นคนละขั้วกันทีเดียว

คำว่า “กาย”ภาษาไทยคนไทยหมายถึง “ภายนอกของร่างกายคน”สุดๆหมด ไม่มีจิตใจหรือนามธรรมเอี่ยวด้วยเลย

แต่ “กาย”ภาษาพุทธธรรมที่ถูกต้องแท้นั้น หมายเอา “ภายใน”เป็นหลักเข้าไปในภายในจิตวิญญณจนถึงที่สุดขั้น “มโน”คือจิตลึกสุดนั่นเลย แม้ไม่เอี่ยวภายนอกเลยยังได้

เช่น นามสัมผัสกับนามภายในก็เรียกว่า “กาย”คือ  “นามกาย”

เมื่อนามกับนามสัมผัส”กันก็เกิดภาวะ “องค์รวม”ของ “ธรรม 2”ขึ้น  “อาการ”ของ

ธรรม 2 นี้ที่ “ถูกรู้” อาการนี้ก็เป็น “รูป” แม้จะเป็น “วิญญาณ”เป็น “จิต”ในภายใน จิตของเราเมื่ออยู่ในฐานะที่ “ถูกรู้” ก็คือ “รูป” เรียกว่า “นามรูป” และเป็น “องค์รวมของธรรม 2” ก็ล้วนเรียกว่า “กาย”

สำหรับผู้ “อวิชชา”อยู่ไม่มีปัญญารู้ความเป็น “กาย”นี้ และจัดการกำจัดความเป็น “กาย”นี้ไปจากจิตใจตนไม่ได้ ผู้นั้นก็จะยังมี “กาย”อยู่ในอาสวะอยู่ใน “อนุสัย”ของคนผู้นั้นอยู่ตลอดไป ไม่ว่าเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ไม่ว่า “พาล”หรือ “บัณฑิต”

 “พาล”ก็ดี “บัณฑิต”ก็ดี “ตายกายแตก” (กายัสสะ เภทา) ถ้ายังอวิชชาก็มี “กาย”ไปด้วยอยู่นั่นแหละ ไม่หมดความเป็น “กาย”ไปได้

เพราะพาลหรือบัณฑิตนั้นไม่มีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “กาย” แล้วจัดการกับ “กาย”ตนให้หมดสิ้นไปจากจิตใจของตนได้ คุณยังมี “กาย”เป็นอนุสัยไปกับคุณอยู่กับคุณ

 “งง”ไหมล่ะ ว่า ตายไปแล้วยังมี “กาย” อยู่เลย เอ๊ะ!..ตายไปแล้วมี “กาย”ได้ยังไง?!!!

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 57-59 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดว่า  “ไม่ว่าพาลหรือบัณฑิต” ถ้ายัง “อวิชชา”อยู่ จิตวิญญาณของบัณฑิตนั้นยังประกอบด้วยตัณหาใด ถ้าละตัณหายังไม่ได้ ตายไปแล้วก็ยังมี “กาย”อันคือ  “องค์รวมของธรรม 2”ซึ่งก็ “รูปกับนาม”ของ “กิเลสกับจิตอนุสัย”ของคนผู้นั้นอยู่นั่นเอง

เห็นมั้ย? สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ของภาษากับสภาวะ ที่มันวนกลับไปกลับมาได้ เหมือนกลับกลอก หลอกคน แต่ไม่ใช่ มันมีเงื่อนไขนัยสำคัญของเหตุปัจจัยที่จริงชัดเจน

ผู้มีปัญญาสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ก็จะไม่งง ไม่สับสน ไม่สงสัย เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยประกอบความเป็นไปทั้งสิ้น 

ภาวะ “กาย”ที่ “ถูกรู้” จะเป็น “อาการ” ของวัตถุกับนาม หรือนามกับนาม ก็ตาม

คือ  “รูป”ทั้งสิ้น

 “อาการ”ของสสารก็ดี  “อาการ”ของพลังงานก็ดี  “อาการ”ของดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-ว่าง-นิ่งก็ดี  “อาการ”ของรูป(ภาพ)-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณก็ดี  “อาการ”ของอุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยามก็ดี ฯลฯ  “อาการ”ที่ “ถูกรู้”เรียกว่า “รูป” ได้ทั้งนั้น “อาการ” คือ ภาวะที่เป็นกิริยาของอะไรต่ออะไรต่างๆ หรือหน้าที่ของอะไรต่ออะไรต่างๆ เป็นภาวะเคลื่อนไหว ตั้งแต่หยาบใหญ่มโหฬารที่สุดแห่งที่สุดแค่ไหนๆทั้งปวง และเล็กที่สุดแห่งที่สุดปานใดๆทั้งปวง ล้วนเรียกว่า  “อาการ”ทั้งนั้น แม้แต่อาการ “นิ่ง”หรืออาการของ “ความว่าง” ก็ “ถูกรู้”ได้

ผู้จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อาการ”ก็อยู่ที่แต่ละคน บางคนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัมผัสในอาการ

คนบางคนสัมผัส “อาการ”ได้ และบางคนมีอาการ แต่ไม่สามารถสัมผัส “อาการ”ของรูปกับนามที่ตนเองมี..ได้

 “อาการ”ที่คนสามัญไม่สามารถสัมผัสได้ แต่คนที่พยายามเรียนรู้ฝึกฝนกระทั่งสามารถสัมผัส “อาการ”นั้นได้ก็เป็น “วิสามัญ”

อาการ มีทั้งที่เป็นพลังงาน มากหรือน้อย แรงหรือเบา แม้ที่สุดเป็น “อาการ”ที่ไม่มีพลังงานเลย เป็นอาการเฉยๆ กลางๆ

อาการ มีได้ทั้งในวัตถุ และในนามธรรม

เช่น กิริยาของสสาร ก็คือ “อาการ”ของสสาร กิริยาของพลังงาน ก็คือ “อาการ”ของพลังงาน กิริยาของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ ก็คือ

 “อาการ”ของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ กิริยาของคน ก็คือ “อาการ”ของคน กิริยาของสัตว์ก็คือ “อาการ” ของสัตว์ กิริยาของพืช ก็คือ  “อาการ”ของพืช

กิริยาของอวัยวะ ก็คือ “อาการ”ของอวัยวะ กิริยาของเซลล์ ก็คือ “อาการ”ของ

เซลล์ กิริยาของรูปธรรม ก็คือ “อาการ”ของรูปธรรม กิริยาของนามธรรม ก็คือ “อาการ” ของนามธรรม กิริยาขององคาพยพที่ประกอบ กันขึ้นเป็นคน 32 อย่าง ก็คือ  “อาการ 32”

กิริยาของพลังงานที่บำบัด “ตัณหา”ในจิตใจ ก็คือ  “อาการที่ 33”เรียกว่า ดาวดึงส์

กิริยาของกาย ก็คือ  “อาการ”ของกาย กิริยาของเวทนา ก็คือ  “อาการ”ของเวทนา กิริยาของจิต ก็คือ  “อาการ”ของจิต กิริยาของธรรม ก็คือ  “อาการ”ของธรรม  

หรือกิริยาของหน้าที่อะไรต่ออะไรต่างๆ

เมื่อมี “กิริยา”เกิดขึ้นต่อเนื่องก็เป็น “พลังงาน” ดังนั้น พลังงานจึงเป็น “อาการ”ให้ “เห็น”ได้ 

หาก “อาการ”ใดปรากฏอยู่ แล้วใครสัมผัสได้ เห็นได้ รู้ได้ เข้าใจได้ กระทั่งเรียนรู้จนเข้าใจดี ถ้า “อาการ”นั้นเป็นโทษก็จะจัดการกำจัดหรือป้องกันไม่ให้เกิดโทษแก่ตนได้ ถ้า “อาการ”นั้นเป็นคุณค่าประโยชน์

ก็จะสามารถเรียนรู้ “อาการ”นั้นและนำมาทำประโยชน์ได้ จนสามารถจัดการ “อาการ”นั้นให้เป็นไปตามที่เราประสงค์ได้

 “อาการ”ของอะไร ก็คือ การเคลื่อนตัว หรือไหวตัวของภาวะนั้นๆ

ถ้าไม่มีอะไรเลยใน “ความว่าง”หนึ่ง ก็ไม่มี “อาการ”อะไรใน “ความว่าง”นั้นจากความว่าง(space,empty,zero) พอมีอะไรเริ่มขึ้นใน “ความว่าง”นั้น จากตัวเองก็ตาม เริ่มไม่คงที่ เริ่มไม่เท่าเดิม ก็มีภาวะหนึ่งที่ปรากฏขึ้น ก็เริ่มมี “อาการ” หากเป็นวัตถุรูป  แม้จะเป็นขั้น “อรูป” ก็จะมี “อาการ”ของอรูปนั้น

นั่นคือ เริ่มมี “พลังงาน”ของ “อุตุนิยาม”

ยิ่งสสารหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งเริ่มไม่เป็นอยู่เท่าเดิม เมื่อมี “อาการ”ในตัวเองขึ้น ก็เริ่ม

มี 2 ก็เริ่มมี “อาการ”เกิดขึ้น ยิ่งถ้าเคลื่อนที่เพิ่มไปอีก ก็คือ พลังงานเพิ่มขึ้นอีก ไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็น “พลังงานชีวะ”(cell)ก็เริ่มจาก “พลังงานอุตุนิยาม”นี้แหละที่มีพลังงานของ “การจับตัวกันเข้า”เป็น “ตัวเอง”(self) จาก cell ก็เป็น self แล้วพัฒนาขึ้นจาก self เป็น cell ที่มีความสัมบูรณ์ทาง “ฟิสิกส์”ทั้งความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ได้สัดส่วนสนิทเนียนครบประสิทธิภาพสัมบูรณ์ยิ่ง จน “พลังงานทางฟิสิกส์”ที่มีความเป็นตนเอง(self)รวบรวมได้อย่างเป็นสัดส่วนพอเหมาะ”นั้นสามารถ “พึ่งตนเอง-ช่วยตนเอง-สร้างตนเอง” และใช้ความรู้ของตนเองทำให้ตนเองอยู่ได้เองยิ่ง

โดยมี “พลังงานแม่เหล็กร่วมยึดตนเองที่สามารถดูดรวมหรือยึดพลังงานอื่นมาร่วมแล้วสร้างเป็นตนหรือสร้างพลังงานอื่นขึ้นในตนเองได้เอง” เป็นอิสระในตนเองไม่ต้องพึ่ง “พลังงานอื่น”ก็ได้แล้ว พลังงานอื่นจะมาร่วมช่วยก็มีความรู้ที่จะรับหรือที่จะปฏิเสธอย่างมีความรู้ของตนเองที่จะรักษาความเป็นตัวเอง(self)ได้แล้วอย่างพอตัว

เพราะทำพลังงานตนเองได้ “ครบ” ไม่ต้องมี “พลังงาน”อื่น แต่เป็น “ตัวเองที่มีพันธุ์ของตนเอง”ที่พร้อมจะแตกตัวเองออกไปมีลูก มีผลผู้สืบทอดความเป็น “ตน” เผ่าพันธุ์ของตนต่อไปได้ หรือเป็นชนิดเดียวกันกับตนมีองคาพยพที่เหมือน “ตนเอง”(self)ขึ้นมาได้จาก self นี่เองที่เมื่อกลายเป็น-หน่วยแห่งพลังงานตัวเอง”ยึดอิสระในตนเอง “พลังงานแห่งตนเอง”ขึ้นมาได้ จึงเรียกว่า cell แห่ง “ชีวะ”เป็นพลังงานที่มีแบบพิมพ์ของเผ่าพันธุ์แห่งตนเอง  ที่สามารถแพร่พันธุ์ของตนเองออกไปได้ มีความยึดความเป็นตัวเองต้องเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกแยกไปเป็นอื่น ขยายพันธุ์ของตนเองต่อออกไป

นี่คือ เริ่มเป็น “พลังงาน”ที่เปลี่ยนฐานะจาก “อุตุนิยาม”มาเป็นขั้น “ชีวะ”ที่เรียกว่า “พีชนิยาม”

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:32:52 )

580927

รายละเอียด

580927_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ปัญหาการเมืองแก้ที่คนคือเป้าแท้ (Pope Francis)

.ฟ้าไทว่า...วันนี้วัน อาทิตย์ ที่ 27  กันยายน 2558ขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบ(10)ปีมะแม  พ่อครูจะมานำเสนอเรื่องสำคัญในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พระสันตปาปา ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ แล้วทำให้ประธานสภาฯของประเทศอเมริกาได้ลาออกเลย เกิดอะไรขึ้น...คนสำคัญ พูดในสิ่งที่สำคัญระดับประเทศแล้วทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลง....

 

พ่อครูว่า...อโศกรู้ตัวดีนะ อโศกไม่มีปัญหา อโศกจะกล่าวจะพูดอะไรก็ด้วย จริงใจ ปรารถนาดีต่อโลก ต่อมวลมนุษยชาติ แต่ไม่มีน้ำหนักไม่มีผลทางสังคมเท่าไหร่ เพราะอโศกนี้ถูกสาปมาให้เป็นเช่นนี้ในยุคนี้ แต่ก็มีผลดี อาตมารู้ว่าที่อโศกไม่ได้รับการยอมรับนี้เป็นผลดีที่จะได้ดึงเอาความดีนี้ออกไปกระจายให้มากๆ แล้วเราก็จะได้เอามายืนยันได้หมด อาตมาพาพวกเราทำก็ยืนยันแล้ว แล้วเราก็เอาจากพระพุทธเจ้ามาอ้างอิงยืนยันด้วย และก็สาม อ้างอิงไปกับชาวโลก อย่าง โป๊ปนี่ คนทั่วโลกก็ยอมรับนับถือ มีบทบาทสูง เป็นศาสนาที่ยึดหัวหากสังคมได้ก่อนอิสลาม

 

อิสลามกระจายศูนย์อำนาจ แต่คริสต์นี่รวมศูนย์อำนาจ อย่างโป๊ปองค์นี้ ท่าน Flare and Frank ที่ตรงและกล้าจะตรัสอะไรที่สมควรจะตรัส ก็มีผลขึ้นมาเรื่อยๆ

 

โอบามา ตกใจ!! ประธานสภาผู้แทนฯ..ร้องไห้..แล้ว ขอลาออก !  วันเสาร์ ที่ 26 กันยายน 2558

 

หากใครดูถ่ายทอด จะพบว่า ทุกคนยืนปรบมือให้พระสันตะปาปาเป็นเวลานานมากๆ (Standing Ovation) และดูเท่ห์มากๆ

ตอนพระสันตะปาปาเดินเข้ามา มีเสียงประกาศว่า "Pope of the Holy See" (พระสันตะปาปาแห่งสันตะสำนัก)

   เมื่อคืนนี้ หากใครได้ชมการถ่ายทอดสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส กล่าวสุนทรพจน์แก่สมาชิกรัฐสภาและวุฒิสมาชิกของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (คองเกรส) น่าจะพบว่า ส.ส. และ ส.ว. หลายคน "ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร"และหนึ่งในนั้นก็คือ "จอห์น เบห์เนอร์" ประธานสภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง              

                         สำหรับสิ่งที่พระสันตะปาปาตรัสนั้น มีใจความสำคัญว่า

1) ทรงขอร้องชาวอเมริกันอย่ากลัวผู้อพยพ เพราะชาวอเมริกาส่วนมากก็เป็นลูกหลานผู้อพยพเช่นกัน

     เราต้องมองเขาเป็นคน ไม่ใช่มองเขาเป็นจำนวนตัวเลข

2) ทรงหวังเห็นสังคมอเมริกันต่อต้านการค้าอาวุธ เพราะนี่คือความร่ำรวยบนกองเลือด

3) ทรงย้ำ ศาสนาแท้จริงไม่นำพระเจ้ามาเป็นข้ออ้างสร้างความรุนแรง

4) ทรงชี้ เยาวชนประสบปัญหามากมาย เพราะความไม่รู้จักโตของผู้ใหญ่หลายคนนั่นเอง

เอเจนซีส์ – ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สมาชิกพรรครีพับลิกัน จอห์น โบห์นเนอร์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้(25) ซึ่งการลาออกจะมีผลในสิ้นเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยเบื้องหลังการตัดสินใจลาออกมีขึ้นหลังจากที่โบห์นเนอร์ได้มีโอกาสใช้เวลา ส่วนตัวกับโป๊ปฟรานซิส และพระองค์ได้ร้องขอให้เขาสวดภาวนาให้ ด้านผู้นำสหรัฐฯรับแปลกใจข่าวลาออกกะทันหัน 

        บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานในวันศุกร์(25)ว่า การตัดสินใจลงจากอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จอห์น โบห์นเนอร์ สายพรรครีพับลิกันมีขึ้นในวันครบรอบการรำลึก 11 กันยา ทางศาสนาในช่วงเช้าวันศุกร์(25) หรือ 1 วันหลังจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเสด็จแถลงอย่างเป็นทางการในสภาร่วม คองเกรส ซึ่งจากการรายงานพบว่า ในวันนั้นพระองค์ทรงเลือกที่จับมือทักทายกับ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคร์รี แต่เพียงผู้เดียวในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในห้องประชุม

       สื่ออังกฤษชี้ว่า ในการแถลงข่าวของโบห์นเนอร์ วัย 65 ปีจากรัฐโอไฮโอ ที่กรำศึกด้านการเมืองมานาน เขาต้องถึงกับปาดน้ำตาเปิดใจเมื่อวานนี้(25) พร้อมเผยว่า เหตุผลส่วนหนึ่งของการตัดสินใจลาออกเนื่องมาจากได้ใช้เวลาส่วนตัวร่วมกับโป๊ปฟรานซิส

         โดยโบห์นเนอร์กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือพร้อมคราบน้ำตาและสีหน้ากลัดกลุ้มภายใต้ความกดดันอย่างหนักหน่วงว่า “พระองค์ คล้ายกับทรงโอบผมเข้าไปหา พร้อมกับตรัสว่า “ได้โปรดสวดภาวนาให้ข้าพเจ้าด้วย แต่ผมเป็นใครกันที่จะสามารถสวดเพื่อพระองค์ได้ แต่ผมก็ทำเช่นนั้น”

ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เปิดเผยว่า รู้สึกตกใจต่อข่าวการลาออกของโบห์นเนอร์ และได้รีบโทรศัพท์ไปสอบถามกับประธานสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯหลังจากนั้น

 

พ่อครูว่า...อาวุธนี่มันสร้างมาเพื่อฆ่าคน ชิ้นหนึ่งบางทีอาจฆ่าคนได้เป็นล้าน คนทำนี่ใจอำมหิตมหาศาลไหม อาวุธนี่ทำขึ้นมาเพื่อฆ่าคนนะ คนที่คิดสร้างอาวุธมาเพื่อฆ่าคนนี่แรงร้าย เห็นแก่เงินทอง จนกลบจิตสำนึกที่ไม่รู้ว่าทำทำไม พระพุทธเจ้าตรัสถึงมิจฉาวิณิชา 5 ข้อ 1 เลย สัตถวณิชชา คืออย่าค้าขายอาวุธ เป็นบาป เป็นภัยหนัก ฟังดีๆนะ

1.      การค้าขายอาวุธ       (สัตถวณิชชา)

2.      การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3.      การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4.      การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5.      การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177)

 

มดตัวหนึ่งคุณไปฆ่า มันก็เป็นหนึ่งจุดของพยาบาท เวรภัย ฆ่าไปหนึ่งตัวก็มีเวรภัย 1 ตัว ฆ่าไปล้านตัวก็เป็นเวรภัยล้านตัว แม้แต่เนื้อสัตว์ก็อย่าเอามาขาย

 

องค์ 5 ของปาณาติบาต คือสัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์นั้นตายลง นี่ก็เป็นบาปผิดศีลข้อที่ 1 แล้ว

หรือ 

 

"ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก” ด้วย

เหตุ 5 ประการคือ

 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา พูดดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้รับทุกข์เสียใจ ทำดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ พูดดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก

4. สัตว์นั้นเมื่อกำลังถูกเขาฆ่า ย่อมได้รับทุกข์เสียใจ ดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์อันเป็นอกัปปิยะ (ของต้องห้าม ไม่สมควร แก่ภิกษุ จะบริโภค) ทำดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญเป็นอันมาก

(พระไตรปิฎก เล่ม 13 "ชีวกสูตร" ข้อที่ 60)

 

พ่อครูว่า...คุณคิดว่าจะได้บุญกุศล แต่กลับได้บาป เป็นอันมากมิใช่น้อย คนก็ฟังไม่เข้าใจว่าเอาเนื้อสัตว์ไปถวายพระมันบาปหรือ? เขาก็ไม่รู้ อาตมาอธิบายว่า 1.ท่านสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์มันบาป และ 2.อย่าขายสัตว์เป็น อย่าขายเนื้อสัตว์ ถ้าชาวพุทธทุกคนไม่ฆ่าไม่ขาย แล้วจะเอาที่ไหนมากิน เพราะคนเลี่ยงไปว่าไปซื้อมาอีก แต่พระพุทธเจ้าก็ว่าห้ามขายอีก แต่มีทางออกที่ว่าสัตว์มันตายเอง เอามาขายก็ไม่ได้อีกต้องเอาไปแจกกันเอง คือปวัตตมังสะ ไม่ใช่อุทิสมังสะ แต่เขาไปเบี้ยวบาลีว่า อุทิสมังสะคือฆ่าเฉพาะบุคคล ต้องว่าฆ่าเพื่อคนชื่อนั้นชื่อนี้ถึงจะไม่ให้กิน เป็นการเบี้ยวบาลี

 

การทำให้คนอื่นติดยึดเมามายก็เป็นอาการเมา มีหยาบ กลาง ละเอียด คือสุรา เมรยะ มัชชะ ก็เมาตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเสพติดระดับไหน เฮโรอีน โคเคอีน กาเฟอีน ทั้งหลาย มันทำให้คนเมามาย เป็นบาป ในมิจฉาวณิชชา 5

 

คุณแม้ไม่รู้ก็เป็นแล้ว แต่เมื่อรู้แล้วก็ให้เลิกเสีย ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้าจะเป็นประโยชน์ตน_ท่าน เราก็แวะมาเรื่องการค้าอาวุธกัน ก็มาถึงศีลข้อ 1 กัน

 

มีข่าวว่า ประธานสภาฯนี้แบกหนักเรื่องที่การขายอาวุธของอเมริกาคือต้องผ่านสภาให้ผ่านก่อน ก็เลยรู้สึกสำนึกของประธานสภาฯว่าไม่ควรเอาอาวุธไปฆ่าใครเลย ส่งอาวุธไปมันก็ต้องไปทำงานฆ่าคนตาย สำนึกของมนุษย์ผู้มีความสำนึกนี้สะเทือนใจปวดร้าวนะ สะสมเข้า พอโป๊ปบอกนิดเดียวก็บอกเลิกเลย

 

Pope Report

 

"Follow Pope Report is to follow Pope Francis"

24 September 2015

โป๊ปฟรังซิส: "อเมริกาอย่ากลัวผู้อพยพ เพราะชาวอเมริกันส่วนมากก็เป็นลูกหลานผู้อพยพเช่นกัน"

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงขอร้องอเมริกาอย่ากลัวผู้อพยพ เพราะชาวอเมริกันส่วนมากก็เป็นลูกหลานผู้อพยพเช่นกัน เราต้องมองเขาเป็นคน ไม่ใช่มองเขาเป็นจำนวนตัวเลข ทรงหวังเห็นสังคมอเมริกันต่อต้านการค้าอาวุธ เพราะนี่คือความร่ำรวยบนกองเลือด ทรงย้ำ ศาสนาแท้จริงไม่นำพระเจ้ามาเป็นข้ออ้างสร้างความรุนแรง ทรงชี้ เยาวชนประสบปัญหามากมาย เพราะความไม่รู้จักโตของผู้ใหญ่หลายคนนั่นเอง

 

ช่วงเช้าวันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จไปกล่าวสุนทรพจน์แก่สมาชิกรัฐสภาและวุฒิสมาชิกของรัฐสภาสหรัฐอเมริกา (คองเกรส) การไปกล่าวครั้งนี้ ทำให้พระสันตะปาปา ฟรังซิส เป็นพระสันตะปาปาองค์แรกในประวัติศาสตร์ที่มากล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐสภาแห่งนี้ และหลายๆ ประโยคที่พระองค์ตรัส ได้ทำให้สมาชิกทุกคนลุกขึ้นปรบมือยกย่องเป็นเวลานานและหลายๆ ครั้งด้วย

 

สำหรับใจความสำคัญของสิ่งที่พระสันตะปาปาตรัส มีดังนี้

 

นักการเมืองและนักกฏหมายต้องยึดมั่นความยุติธรรม

 

- ข้าพเจ้าเป็นลูกหลานของทวีปอเมริกา ทวีปเดียวกับพวกท่าน ในฐานะลูกหลานของประเทศชาติ พวกเรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อประเทศของเราและทำให้ประเทศเจริญไปด้วยกัน

 

- รัฐสภาสหรัฐมีหน้าที่ปกป้อง ส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพลเมืองทุกคน แสวงหาความดี และปกป้องผู้ด้อยโอกาสทุกคน

 

- กฏหมายต้องตั้งอยู่บนการดูแลประชาชน ด้วยเหตุนี้ พวกท่านทุกคนจึงถูกเชื้อเชิญและถูกเรียกมาเพื่อทำงานผ่านทางผู้ที่เลือกท่านเข้ามา

 

- หน้าที่ของผู้นำถูกสะท้อนอย่างดีที่สุดอยู่ในโมเสส ด้วยนิสัยที่ยึดมั่นกฏหมายทรงความยุติธรรมซึ่งเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าที่อยู่บนใบหน้าของมนุษย์ทุกคน กฏหมายต้องส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

อเมริกาต้องอย่าลืมความดีของวีรบุรุษของตน

 

- การที่ข้าพเจ้าพูดในวันนี้ ข้าพเจ้าพูดกับชาวอเมริกันทุกคน ข้าพเจ้าต้องการเสวนากับทุกคนทั้งคนทำงาน ผู้สูงอายุ และเด็กเยาวชน

 

- เยาวชนบางคนเผชิญหน้ากับความยากลำบากซึ่งเป็นผลมาจากความไม่รู้จักโตของผู้ใหญ่หลายคน ข้าพเจ้าหวังว่า เยาวชนจะยังรักษาความหวังของตนไว้ และไม่หลงผิดไป

 

- ข้าพเจ้าอยากให้อเมริกาจดจำประวัติศาสตร์ของตน ทำให้ความทรงจำนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ความทรงจำที่ชาวอเมริกันทำงานหนักและอุทิศตนเสียสละเพื่ออนาคตที่ดี

 

- อเมริกามีวีรบุรุษและวีรสตรีมากมายที่สร้างคุณค่าและหลอมรวมจิตวิญญาณคนในชาติให้ข้ามผ่านวิกฤติต่างๆ มาได้ และทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าด้วยศักดิ์ศรีของตน อาทิ อับราฮัม ลินคอล์น, มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, โดโรธี เดย์ และ โทมัส เมอร์ตัน ลินคอล์นคือผู้พิทักษ์เสรีภาพที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เขาทำงานภายใต้พระเจ้า เพื่อที่ว่าอเมริกาจะได้มีเสรีภาพใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง

 

ศาสนาที่แท้จริงไม่ใช้ความรุนแรง

 

- ความขัดแย้งและการกระทำอันโหดร้ายที่ใช้พระนามของพระเจ้ามาเป็นข้ออ้าง และเกิดขึ้นอย่างมากในตอนนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ไม่มีศาสนาไหนที่เกิดจากแนวคิดหลอกลวงและรุนแรงเช่นนี้

 

- เราต้องต่อสู้กับความรุนแรงนี้ ขณะเดียวกัน เราต้องปกป้องเสรีภาพในการนับถือศาสนาและเสรีภาพส่วนบุคคล เราต้องต่อสู้กับการประจญล่อลวงที่ทำให้เราแบ่งแยกว่าคนนั้นเป็นคนดีและคนนี้เป็นคนเลว รวมถึงแบ่งแยกว่าคนนี้เป็นคนชอบธรรมและคนนั้นเป็นคนบาป นอกจากจะต่อสู้กับศัตรูภายนอกแล้ว เรายังต้องสู้กับศัตรูในจิตใจเราด้วย

 

- ข้าพเจ้าขอกระตุ้นให้ทุกฝ่ายรื้อฟื้นจิตวิญญาณของการร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งมีอยู่อย่างอุดมในสังคมอเมริกัน ความซับซ้อนของปัญหาหมายความว่า เราต้องแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน ส่งเสริมกันและกันด้วยความเคารพต่อความแตกต่างระหว่างกัน

 

- ศาสนาได้มอบสิ่งต่างๆ ให้กับสังคมอเมริกัน เสียงของความเชื่อยังต้องถูกได้ยินอยู่เสมอ เพราะมันคือเสียงของความรัก

 

- การเมืองต้องไม่ตกเป็นทาสของระบบเศรษฐกิจและการเงิน การเมืองคือการแสดงออกถึงความจำเป็นในการดำเนินชีวิตในฐานะบุคคลและเพื่อสร้างคุณงามความดี หวังว่า แบบอย่างของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่เดินขบวนเรียกร้องเสรีภาพให้ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เมื่อ 50 ปีที่แล้ว จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคน

 

เราเป็นลูกผู้อพยพเหมือนกัน ดังนั้น อย่าปฏิเสธผู้อพยพลี้ภัย

 

- ข้าพเจ้ามีความสุขที่อเมริกายังคงเป็นดินแดนแห่งความฝันของหลายคน ดังนั้น พวกเราชาวอเมริกันต้องอย่ากลัวชาวต่างชาติ เพราะพวกเราส่วนมากนั้น ครั้งหนึ่งก็เป็นชาวต่างชาติหรือเป็นลูกหลานของผู้อพยพมายังประเทศนี้

 

- โศกนาฏกรรมของอเมริกาในอดีตที่เกิดจากการไม่เคารพชนพื้นเมือง ข้าพเจ้าจึงขอยืนยันอีกครั้งว่า ข้าพเจ้ามีความเคารพอย่างหาที่สุดมิได้และตระหนักถึงบทบาทของพวกเขาอย่างมาก

 

- ขอให้เราทุกคนปฏิเสธความคิดต่อต้านผู้อพยพ ขอให้เราทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขอให้เรามองผู้อพยพว่าเป็นคนเหมือนกัน อย่ามองเป็นจำนวนตัวเลข

 

จงปกป้องชีวิตมนุษย์ตั้งแต่ครรภ์มารดา และต่อต้านโทษประหารชีวิต

 

- ในวิกฤติการณ์ผู้ลี้ภัยแบบนี้ ข้าพเจ้ามีหลักปฏิบัติมาแบ่งปันก็คือ เราไม่ต้องการอนาคตที่ดีเพื่อลูกหลานหรืออย่างไร ขอให้เราทำกับคนอื่นเหมือนอย่างที่เราอยากให้คนอื่นทำกับเรา

 

- ขอให้เราปกป้องชีวิตมนุษย์ในทุกระยะของการเจริญเติบโต นอกจากนี้ ข้าพเจ้าของคัดค้านการลงโทษด้วยการประหารชีวิต เพราะทุกชีวิตมีความศักดิ์สิทธิ์ การลงโทษต้องอย่ากีดกันความหวังและเป้าหมายของการกลับตัวกลับใจเด็ดขาด

 

- การต่อสู้กับความยากจนและความอดอยากต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง ส่วนสำคัญสุดคือการสร้างและการกระจายรายได้ การใช้ทรัพยากรให้ถูกต้อง สร้างระบบเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน

 

ถึงเวลาปกป้องสิ่งแวดล้อม

 

- ในสมณสาสน์ "ขอสรรเสริญพระเจ้า" ข้าพเจ้าขอย้ำว่า นี่คือเวลาสำหรับการลงมืออย่างกล้าหาญที่จะสร้างวัฒนธรรมของการดูแลสิ่งสร้างต่างๆ ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พวกเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเราสามารถหยุดปัญหาโลกร้อนได้ และตอนนี้แหละเป็นช่วงเวลาของการลงมือปฏิบัติด้วยความกล้าหาญ

 

- มันเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าในการสร้างสะพานให้ทุกคนเข้าหากัน และช่วยทุกคนให้ร่วมมือกัน

 

- ผู้นำการเมืองที่ดีต้องริเริ่มกระบวนการต่างๆ มากกว่าจะหาทางครอบงำพื้นที่ต่างๆ

 

จงร่วมกันต่อต้านการค้าอาวุธ เพราะนี่คือความรวยบนกองเลือด

 

- ทำไมอาวุธยังคงถูกขายให้กับคนที่วางแผนจะสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ระทมให้คนอื่น พวกเรารู้กันดีว่า เป็นเพราะเงินนั่นเอง เงินเปื้อนเลือด! ดังนั้น หยุดเถอะ หยุดความเงียบที่น่าอับอายและน่าตำหนินี้ เพราะมันเป็นหน้าที่เราทุกคนที่จะหยุดการค้าอาวุธ

 

จงปกป้องสถาบันครอบครัวที่ถูกคุกคามอย่างหนัก

 

- ครอบครัวได้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างชาติ ครอบครัวต้องได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน พ่อไม่สามารถปิดบังความกังวลที่มีต่อครอบครัว ซึ่งตอนนี้ถูกคุกคามอย่างหนัก

 

- คนที่ด้อยโอกาสสุดในครอบครัวคือเยาวชน ปัญหาของเยาวชนก็เป็นปัญหาของเราด้วย พวกเราไม่สามารถหนีมันได้ พวกเราต้องสู้ปัญหาไปด้วยกัน

 

- ด้วยเหตุนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เยาวชนจะสามารถสานต่อสิ่งต่างๆ ในแผ่นดินนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมากมีความฝัน

 

- ขอพระเจ้าอวยพรอเมริกา!

 

หลังจากตรัสเสร็จ พระสันตะปาปาทรงขึ้นไปยังระเบียงของรัฐสภา เพื่อกล่าวทักทายประชาชนหลายหมื่นคนที่รออยู่ด้วย ทั้งนี้ พระองค์ทรงขอให้ทุกคนสวดให้พระองค์ด้วย ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นคาทอลิกหรือไม่มีศาสนา แค่ส่งความหวังดีมาให้พระองค์ก็พอแล้ว

 

พ่อครูว่า...เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตการณ์สำคัญของโลก มีผู้นำประเทศเกือบทั่วโลกไปรวมทั้ง นายกฯ ประยุทธ์ของไทยด้วย ซึ่งจะใช้ภาษาศาสนาก็ได้ว่า เป็นพระเจ้าสั่งมาที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องทำการรัฐประหาร เพราะเหตการณ์สุกงอมมาก ประชาชนเข้าใจเห็นควร เหมาะโอกาสเวลาแล้ว

 

 

อาตมาทำงานมานี้ก็เพื่อจะสร้างสิ่งดีๆ เป็นถึงหมู่กลุ่มได้ อาตมาทำแต่ในประเทศก็ได้ผลช้าแล้วไม่เร็ว ไม่ได้มากมาย เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ย่ิงกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง กรอบของอาตมาแค่เมืองไทย อย่างเมืองนอกไม่ได้ปิดบัง แต่อาตมาไม่ได้มีความรู้ความสามารถทางภาษาและอื่นๆอีก

 

มาถึงวันนี้แล้วต้องใช้ศิลปะในการเมืองจริงๆ เพราะนักการเมืองนั้นอัตตาสูง ต้องใช้อัตตาเหนืออัตตา ต้องมีศาสตร์และศิลป์ที่สูง จึงจะทำได้ ให้อัตตาเหนืออัตตาได้ ทำไมในหลวงมีศาสตร์และศิลป์มาก  พล.อ.ประยุทธ์ก็มีศาสตร์และศิลป์ เวลาจะทำงานกับสังคมกว้างต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ อาตมามีศิลป์มาก แต่ก็มีศาสตร์ด้วย

 

อาตมาขออ่านศิลปะอันหนึ่ง ล่าสุด อันนี้เป็นบทกวีที่จะออกใน หนังสือเราคิดอะไรเล่มเดือนตุลาฯนี่แหละ

                                แก้ปัญหาการเมืองแก้ที่คนคือเป้าแท้

 

                                      (1) สัจจะนั้นต่างรู้            ทั่วทุกคน

                                       “คนไม่เห็นแก่ตน”            ยอดแท้

                                       แต่ไฉนไม่เชื่อผล               ธรรมะเล่า

                                       คนหากลดกิเลสแล้           แค่น้อยก็ลดตน

                                       (2) คนทำไมไม่น้อม                   ในธรรม       

                                      ธรรมะเลิศสุดดีสำ-            นึกได้

                                      แต่คนก็บ่นำ-                    พาอยู่ นั่นแล

                                      เพราะบ่ศึกษาให้              ถ่องแท้พุทธธรรม

                                      (3) สัมมาทิฏฐิแล้ว           จะชัด

                                      ธรรมะพุทธปฏิบัติ             สะดวกแท้

                                      ทุกกรรมทุกกิจวัตร            ลดกิเลส ได้นา                                    

                                      หากศึกษาแม่นแล้            จักรู้ความจริง         

                                      (4) ยิ่งสังคมอยากได้                  คนดี

                                      มาบริหารชาติที                เถอะน้า

                                      แต่ก็ไม่เห็นมี                    คนใฝ่ ธรรมเลย

                                      ใฝ่แต่อื่นจึ่งช้า                            เพราะเพี้ยนเป้าจริง

                                      (5) ยิงเป้าให้เข้าสู่            จุดหมาย

                                      กู้ชาติมาหลากหลาย                  มากรู้

                                      วันนี้ชาติเสียหาย              ดังเก่า แลนา

                                      เพราะบ่แก้คนกู้                กลับให้มีธรรม

                                      (6) สำคัญยิ่งกว่าแก้                   จุดใด จริงจริง

                                      แก้ประชาธิปไตย              บ่แก้

                                      คนให้ซื่อจริงใจ                 เป็นหลัก สำคัญแฮ

                                      แก้กฏได้ไป่แท้                           ชั่วครั้งชั่วคราว                 

                                      (7) ดียาวต้องแก้ที่            ตัวคน

                                      คนจักซื่อสละตน              ตลอดได้

                                      เพราะบรรลุมรรคผล                   ทิฏฐิ สัมมาเฮย                

                                      ปฏิรูปศาสนาให้               สะอาดบ้างพอหวัง.

                                                                   “สไมย์ จำปาแพง” 6 ก.ย. 2558

                   [นัยปก  “เราคิดอะไร” ฉบับ 303 ประจำเดือน ตุลาคม 2558]                                                                       

คนที่ลึกซึ้งมีภูมิธรรมสูงจึงจะรู้ว่าอะไรสัมมา หรืออะไรมิจฉาฯ คนตื้นๆก็ไม่รู้ เอาแค่ว่าเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตย แล้วเอาคนส่วนมากที่มีกิเลสเป็นเกณฑ์แล้วมันจะได้ความจริงไหม? ประชาธิปไตยนี้ซับซ้อนมาก แม้กฎว่าส่วนมากเป็นหลักแต่พระพุทธเจ้าว่าในสภาฯก็เอาเสียงส่วนมากแต่เงื่อนไขหลักว่าคนที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกสภาต้องเป็นคนมีกิเลสน้อยจนกิเลสหมดจึงเป็นสภา แต่สภาทุกวันนี้มีแต่จอมโกงไม่ซื่อสัตย์แล้วจะไปหวังอะไรได้

 

สรุปแล้วอาตมาว่า แก้ปัญหาอะไรก็แล้วแต่ในสังคมต้องแก้ที่คนเป็นหลัก ส่ิงประกอบเป็นกฎเกณฑ์ก็มี ทุกวันนี้เขาวางค่ายกลการเลือกตั้งไว้หมดแล้ว คนมีอำนาจตอนนี้ต้องปลดค่ายกลก่อน ก็คืออยู่ที่คน ไม่เช่นนั้นไม่สำเร็จหรอก

 

มีใบแทรกมาถามอีก บอกว่า พฤติกรรมที่ทำให้เกิดรายได้ของบางคนในชุมชน  เช่น 1.มีเงินบำนาญทุกเดือน 2.รับเติมเงินโทรศัพท์มือถือ  3.รับนวดจัดกระดูกเป็นหมอ  4.รับเก็บของเก่าขยะเอาไว้ขาย  5.มีรายได้พิเศษจากฐานบางฐาน พ่อครูมีความเห็นอย่างไรแต่ละกรณีหรือพิจารณาเป็นรายไป เพราะเกิดเพ่งโทสถือสา

 

ตอบ....ก็มีได้ แต่คนไม่รับอะไรเลย บริสุทธิ์เอาเข้ากองกลางหมดก็ทำเถอะ แต่คนมีความจำเป็นส่วนตัวก็มี อาตมาสอนให้เขาสำนึกเอา อย่าไปบังคับให้เขามาทำแบบเดียวกันหมด อาตมาว่าผู้สำนึกตั้งใจสร้างตนเอง ไม่สะสมเป็นของตัวต้องเป็นตามฐานะ จะไปบีบบังคับว่าทุกคนต้องทำงานไม่เอาเข้าตัวหมด คุณฝันในที่มืดหรือที่สว่างก็ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีที่ไหนได้ 100 % มันจะเหลือคนเดียวสิ ก็ดีหยิบมาพูดมันก็ดีได้เตือนสำนึก กระทุ้งต่อมสำนึกของคนบ้าง จริงๆปัญญาเขาก็รู้ว่าเห็นความเห็นแก่ตัวไม่ดีหรอก ก็รู้ทุกคน แต่ความจำเป็นส่วนตัวก็มีแต่ละคน อย่างชาวชุมชนอโศกทุกคนก็ขึ้นอยู่กับของจริงของแต่ละคน แต่ละแห่งก็มีคณะกรรมการ แม้ไม่ใช่คณะกรรมการแต่เป็น KGB CIA เที่ยวเสาะหาข้อมูลแล้วมาฟ้อง มันก็มีประโยชน์ด้วย ไปรู้มา ขอให้มันจริงเอามาบอกกันก็จะได้รู้ว่าอันไหนมากไปเกินขีด ถ้าเกินขีด คณะกรรมการก็มาตัดสิน เกินกว่าที่จะอยู่กับหมู่ก็ให้พิจารณาออกไป ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ไม่ว่าสังคมไหนก็ใช้แบบนี้ พวกเราก็ทำกันช่วยกันคนละไม้คนละมือ การเขียนมานี่ก็ช่วยชนิดหนึ่ง อาศัยปากอาตมาพูด ทุกคนก็ปรารถนาดี เตือนติงกัน เป็นการศึกษาพัฒนาการของมนุษยชาติสังคม ได้ขนาดนี้ก็ดี

 

ชาตินี้อาตมาไม่ได้เรียนอะไรสูง แม้จะมีโอกาสแต่ไม่ได้เรียน ก็ได้ไปวุ่ยวายไปทำการด้วย อย่างที่จุฬาฯ อาตมาทำงานการสื่อสาร สามารถไปเข้าเป็นนักเรียนรุ่นแรกเบอร์หนึ่งเลย ของจุฬาฯก็ทำได้แต่ว่าพอจะสมัครเข้าก็ไม่มีเวลาไปเรียนเลยต้องทำงาน เขาเรียนภาคค่ำกัน อาตมาก็ต้องทำงาน รวยก็ไม่รวยรูปก็ไม่หล่อ ความรู้ก็ไม่มี แล้วดันทำงานระดับมนุษยชาตินะ ไม่ใช่ธรรมดา ก็จะขยายอายุขัย ต่อไปให้ถึง 151 ปี ใช้หลัก 8 อ.นี่แหละ อิทธิบาท อารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อาชีพ

 

เห็นใจเถรวาทเขาไม่เข้าใจเรื่องโพธิสัตว์เลย บางคนว่าคือสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ไม่ใช่ผู้บรรลุไปอีกนั่น แล้วเข้าใจว่าเป็นโสดาบันแล้ว 7 ชาติจะต้องเป็นอรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วไม่กลับมาเกิดอีก เขาเลยเข้าใจเอาว่าโพธิสัตว์นั้นต้องไม่บรรลุธรรมแม้แต่เป็นโสดาบันเลย คือเขาเข้าใจได้แค่ตัวตนบุคคล ไม่ใช่ปรมัตถธรรมเลย

 

คนต้องศึกษา ขาดการศึกษาไม่ได้ แล้วการศึกษาต้องไม่ขาดธรรมะ จะศึกษาโลกายตศาสตร์ใดๆ ต้องมีธรรมะควบคู่ไปด้วย หรือให้ธรรมะเป็นหลัก มีธรรมะมากกว่า 50% ได้ยิ่งดี อาตมาก็ทำโรงเรียน เจตนาสร้างคนดีให้ชาติ ไม่ได้ทำเพื่อหาเงินหาทอง เพื่อให้เด็กได้เป็นพลเมืองดี ช่วยรัฐบาล ทำตั้งแต่เราสอนเอง หาเงินอุดหนุนเอง เรียนฟรี รัฐก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเห็นดีด้วยร่วมด้วยก็ดี เราไม่ได้ทำเพื่อใคร ไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม เลย แต่ทำเพื่อสังคมประเทศชาติเลย อาตาทำงานมา 45 ก็ไม่ต้องยกย่องกันก็ได้ อาตมาเห็นใจ เขาจะยกย่องอาตมาเขาก็คาคอ พูดไม่ได้ อาตมาก็เข้าใจ จนเห็นใจคนที่มาหาอาตมา คนที่มีฐานะทางสังคมเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่เขานับถือ เขาไม่ค่อยกล้ามาหาอาตมา เพราะขืนคนรู้เข้าจะไม่ดี แต่บางคนก็กล้ามา อาตมาก็นับถือน้ำใจ บางคนอาตมาก็ไม่กล้าเปิดเผย เพราะเห็นใจเขา เพราะว่ามาหาโพธิรักษ์มีอะไรดี เขาต้องมีปัญญามา อาตมาจึงเห็นใจ อาตมารู้สัจจะ ปางนี้อาตมาถึงต้องเช่นนี้ อาตมาถึงจะดันทุรังให้อายุยาวยืน เพื่อพิสูจน์สัจธรรม ว่าธรรมะนี่ทำไมมันรู้ยากเย็นกันนักหนา ก็พยายามจะเก่ง พยายามทำให้คนได้รู้ได้ง่ายได้ดีได้มากๆ ทำไมมันยากจัง ยากก็ทำอยู่อย่างนี้ อาตมาทำไม่เก่งหรือพวกเราโง่กันนะ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:33:54 )

580928

รายละเอียด

580928_พ่อครูพบนักเรียน บ้านราชฯ ครั้งที่ 5

พ่อครูว่า..โรงเรียนเราคือโรงเรียนสัมมาสิกขา คำว่าสัมมาสิกขา มีความหมายเฉพาะ คำว่าสิกขาคือการศึกษา โรงเรียนทั่วไปมีแต่การศึกษา แต่เขาไม่มีคำว่าสัมมา สิกขาคือภาษาบาลี ภาษาสันสกฤษเรียกว่า ศึกษา ก็เหมือนกัน เอาเราคำว่า ศึกษามาใช้ไม่ได้เอาคำว่า สิกขา

 

เราเอาคำว่า สัมมามาใช้ด้วย เราเติมคำว่า สัมมา เข้าไป ศึกษาหรือสิกขาเหมือนกันแต่เราเติมคำว่า สัมมาเข้าไป  สัมมาคือจำเพาะเน้นเรื่องความถูกต้อง ความดีงาม ประโยชน์ให้รอบถ้วนทั้งปรมัตถ์และสมมุติสัจจะ ความจริงสองด้าน สมมุติคือความจริงของโลกที่เน้นภายนอก หยาบ มากหลาย ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นความจริงภายในจิตลึกซึ้งละเอียด จะบอกว่ามากกว่าภายนอกก็ได้ มากมาย แต่มันนับไม่ได้

 

คำว่าสัจจะจึงมีทั้งสองอัน สัมมาสิกขาต้องเรียนรู้ลึกให้เข้าไปถึงความละเอียดภายในจิตใจ เรามีหลักการเรียนว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา

 

ศีลเด่นคือคำนึงคุณธรรมจริยธรรมเป็นหลัก หลวงปู่ให้คะแนนศีลเด่นถึง 40% เป็นงานนี่ให้คะแนนถึง 35% ในร้อย ในร้อยนี่แบ่งเป็น ศีลเด่น 40% เป็นงาน 35% แล้วก็วิชาการ ที่เขาเรียนในหลักสูตรอีก 25%

 

เรานี่ต้องเรียนหนักกว่าข้างนอกเขา เรียนได้ประโยชน์มากกว่าเขาถึง 3 ต่อ เขาเรียน 1 ใน 4 เอง เราเรียนถึง 3ใน 4 มากกว่าเขา 3 ต่อ เพราะฉะนั้นการเรียนเราถึงเรียนกันมาก เป็นชีวิตจิตใจ เป็นนักเรียนประจำ เรียนกันทุกเวลา แต่ก็ไม่ทั่วถึง กลางค่ำกลางคืนก็ไปทำชั่วกันอยู่ คือรร.เราตั้งใจสอนให้เป็นคนดี คนเจริญครบครัน ทั้งคุณงามความดี การมีชีวิตความรู้สามารถสร้างสรร ในการทำอะไรก็แล้วแต่ ทำแล้วเกิดผลเป็นประโยชน์ใช้สอย เป็นคุณค่าแท้ไม่สูญเสียไม่สุรุ่ยสุร่าย ผลาญพร่า เราก็สอนอย่างระวังที่สุดที่จะทำให้เป็นคนดี มีคุณค่าเจริญอย่างละเอียดลึกซึ้งมาก

 

ไหนๆพวกเรามาเรียนที่นี่แล้ว ก็ต้องเข้าใจว่าหนักเหนื่อยกว่าข้างนอกแน่ แต่มันได้ดี เพราะสอนมา 20 กว่าปีแล้ว นร.ที่นี่ไม่มีใครตายเพราะการเรียน ไม่มีใครบ้าเพราะการเรียน ไม่มีใครเสื่อมโทรมในชีวิตเพราะการเรียนหนัก ที่เรานี่ถือว่าเรียนหนัก ไม่เห็นมีสักคนเดียว มีแต่เจริญ มีแต่ได้ความดี ความสามารถไป นอกจากบางคนไม่อดทน เพราะเรียนมากกว่าข้างนอก คนอ่อนแอไม่แข็งแรงไม่อดทนต่อสู้ มาอยู่ไม่ช้านานก็หนีออกไปโรงเรียนข้างนอกซึ่งไม่ยากหรอกที่จะไปเรียนแบบนั้น แบบมักง่ายก็ไม่ยาก

 

แต่เด็กที่นี่เรียนจบแล้วนอกจากรับกลดแล้วก็จะแจก จี้ใบโพธิ์ ได้ไปเป็นหลักฐาน ไปเป็นเครื่องยืนยันว่าจบไปจากที่นี่ที่ไม่เหมือนใครในโลก ในประเทศ แต่พวกเรายังไม่รู้ความสำคัญอันนี้ก็เลยไม่เห็นความสำคัญในความสำคัญ หลวงปู่ก็ต้องมาย้ำยืนยันให้ฟังว่าของพวกเราพิเศษ พวกเรามีกุศลมากบุญมากแล้วที่ได้มาเรียนในนี้มันดีแล้ว คนอีกตั้งเท่าไหร่ในประเทศไทยหลายล้านคนไม่มีโอกาศ พวกเราถือว่าเป็นโชคอย่างมาก

 

รร.เราถ้าใครผิดศีลธรรมถึงขีดหนึ่งก็ให้ออก เพราะเป็นการคัดเลือก ถ้าใครทำเละตกต่ำประพฤติเลว ถึงขีดก็ต้องให้ออก ต้องคัดเลือกตั้งใจสร้างคนที่ดีจริงๆ จบออกไปแล้วได้สิ่งรับรอง ได้จี้ใบโพธิ์ ได้กลดไปเป็นเครื่องหมายว่าเราผ่านสำนักสัมมาสิกขา คนข้างนอกเขาไม่รู้ไม่เข้าใจแต่หลวงปู่ย้ำให้ฟัง พวกเราอาจไม่ค่อยเข้าใจ แต่โตไปในอนาคต อายุ 40 ปีหรือ 50 ปี จะรู้ว่าที่นี่สอนอะไร จะรู้ว่าชีวิตคนคืออะไร หลวงปู่รู้ก็มาบอกให้พวกเรารู้เป็นแนวทาง เป็น Road map เป็นแผนที่นำทางไป

 

ที่นี่เราพยายามให้ศีลธรรมมากที่สุด 40 เป็นงาน 35 จึงพากันทำงานมาก เรียนหนังสือก็ไม่ได้น้อยกว่าเขาหรอก 25 นี่ก็เรียนครบหลักสูตรเขา จบออกไปพวกเราก็เรียนเข้ามหาวิทยาลัยได้ รู้ได้ไปได้ จบป.ตรี โท เอกได้ จบไปหลายคนแล้ว นอกจากจะจบอย่างเขาได้แล้ว ยังพึ่งตนเองรอด ทำมาหากินเลี้ยงตนเองได้ ยิ่งกว่าจบม.6 ของที่อื่น หลวงปู่พูดได้ชัดเจนเลย รร.ทั้งปวงของรัฐบาลหรือที่อื่นทำอยู่ทำกินไม่เก่งเท่าพวกเราหรอก

 

พวกเรานี่แม้ชื่อว่าสัมมาสิกขาสามัญแต่ก็คืออาชีวะ เราเป็นอาชีวะนำรัฐบาล ที่เขาพึ่งจะตื่น ว่าต้องมาสอนแบบอาชีวะ เข้าท่ากว่า เพราะได้ฝึกงานอาชีพทำเป็น เลี้ยงชีวิตได้ เขาพึ่งจะตื่นรัฐบาล แต่เราทำนำมาแล้วได้ผลดีมาแล้ว นร.สัมมาสิกขาทุกรุ่นที่เรียน ก็เป็นสัมมาสิกขาและอาชีวะรวมกันนานแล้ว

 

มีบางคนไม่เข้าใจหาว่าหลวงปู่แยกสัมมาสิกขากับอาชีวะ แล้วยกย่องอาชีวะไม่ยกย่องสัมมาสิกขา แล้วแสดงใจให้หลวงปู่ว่าหลวงปู่ไปข่มสัมมาสิกขา แล้วว่ารร.ก็ได้พึ่งเด็กในการงานทำการ ก็ใช่ก็พาฝึกทำงานทำการเป็น ก็เป็นอาชีวะ แต่คนที่พูดออกมาไม่เข้าใจว่า หลวงปู่ไปยก ก็ยกตนเองยกความจริง ก็บอกว่า บ้านราชฯนี่ได้พึ่งเด็ก ทำงานทำการอะไรก็มีแรงงานเด็กใช่ไหม ก็ใช่ ก็นี่คือเป็นงาน ก็ได้ประโยชน์แล้วเป็นแต่เพียงเราไม่ได้ตั้งชื่อว่ารร.อาชีวะมาเก่า เราก็ตั้งชื่อรร.สัมมาสิกขา สามัญเหมือนที่อื่น แต่อาตมาก็เอาอาชีวะเข้าไปแล้ว และแถมวิชาการ 25 แถมอาชีวะ 35 แถม ศีลเด่น 40

 

เราเรียนอาชีวะนี่หนักกว่าสัมมาสิกขา สัมมาสิกขาเป็นหลักสูตรสามัญของกระทรวง ออกไปเรียนแข่งกับข้างนอกได้อยู่ ได้เกียรตินิยมกับเขาได้  ที่นี่ไม่ได้ขาดหรอกโดยเฉพาะอาชีวะ แต่พวกเราเข้าใจไม่ได้ ไปหาว่าอาตมาข่มสัมมาสิกขา แล้วได้พึ่งสัมมาสิกขาใช่ไหม ก็ใช่ก็ได้พึ่งอาชีวะ ในชื่อว่าสัมมาสิกขา

 

สัมมาสิกขาก็เติมศีลเด่นนั่นแหละ แต่ถ้าบอกว่าไม่ควรข่มสัมมาสิกขาในเรื่องศีลเด่น อันนี้ไม่ควรจริง แต่ก็ว่าไปข่มทำไมสัมมาสิกขา ก็พยายามดึงขึ้นทำให้ได้ ถ้าไม่ได้เกณฑ์ก็ไล่ออก อันนี้ลึกซึ้งซับซ้อนอยู่

 

สรุปแล้วก็คือ รร.เรานำรัฐบาล นำสังคมประเทศนำหน้าเขาไปอีก ว่าเราไม่เห็นคุณค่าของอาชีวะ เห็นคุณค่าของการเป็นงานไม่ใช่เรียนใส่สมองจำเก่ง ฉลาดแววไวความรู้ แต่ทำงานไม่เป็นหยิบโหย่ง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เป็นนร.ที่ได้เรียนจริง เรียนศีลธรรม ฝึกการงาน ที่นี่สอนแม้เรื่องการหลับการนอน การซักผ้า ถูบ้าน ล้างส้วม การงานอะไรต่างๆหากใส่ใจก็สอน ที่มนุษย์พึงมีจะได้ประโยชน์เราก็พยายามบอกสอนตรงนั้น นี่คือสิ่งที่รร.นี้ตั้งใจเจตนาพากเพียรทำ ให้เข้าใจให้ได้ เราก็พยายาม แม้คุรุก็ดี ก็ต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้แยกสัมมาสิกขากับอาชีวะ เรารวมกันมาตั้งแต่ต้น แม้ชาญวิชาเราก็เอามารวม รวมทั้งสามเรื่อง แล้วเราเน้นศีลธรรม เพราะเป็นส่ิงขาด เป็นงานก็ขาดพร่อง ส่วนชาญวิชาหรือวิชาการของสังคมเราก็ไม่ได้ตกหล่นอะไร

 

ทำความเข้าใจให้ดีตอนนี้มีการเข้าใจผิด ไปแยก ตนเองเข้าใจผิดเพี้ยนไปเอง เขาแย้งต่อว่าหลวงปู่ว่าเขาเสียใจที่ข่มสัมมาสิกขาและยกอาชีวะ สัมมาสิกขามาก่อนไม่ใช่หรือ ก็ได้แรงงานสัมมาสิกขาทำงานใช่ไหม อาชีวะมาทีหลัง ก็เขาต่อว่าถูกแล้ว ก็ทำงานเป็นนี่คืออาชีวะ ฝึกปรือทำงานเป็นคืออาชีวะ แต่ถ้าเอาแต่ตัวหนังสือขีดเขียนเหมือนกระทรวงทำงานทำการเป็นอะไรนักหนา แต่ของเราพยายาม ว่างานอะไรในหมู่บ้านมีฐานงานอะไรก็พาทำ ใครถนัดอะไรชอบอะไรก็ทำเป็นมาก แม้บางอย่างไม่ชอบก็ควรทำถ้าจำเป็น ก็ศึกษาทำไป 5 ปี 6 ปี จบจากที่นี่ก็จะได้

 

ประเด็นที่คงจะเข้าใจยากหน่อยก็ขอย้ำว่า ที่มีคนต่อว่าหลวงปู่ ไปข่มสัมมาสิกขา ไปยกอาชีวะนั้นไม่ใช่ เพราะพวกเราเป็นอาชีวะในตัวแล้ว แล้วแถมมีสัมมาสิกขาด้วย เราได้ทั้งวิชาการโลกด้วย มีคุณธรรมสัมมาอีก เราก็สอนให้ได้หมดแล้ว จะไปข่มทำไม ไม่ได้ไปแยกอันนั้นอันนี้ ไม่ได้ไปข่ม รวมกันให้ได้ครบครัน ครบถ้วน เสร็จแล้วก็รู้สถานะความจริงว่าได้ทำงานได้เป็นงาน สัมมาสิกขาก็ได้ทำงานจริงเป็นผลผลิตผลงาน แรงงานที่เกิดในสังคมอโศก ที่บ้านราชฯ ที่เกิดผลผลิตฝีมือสามารถใส่ไว้ในราชธานีอโศก นร.แต่ละรุ่นก็ได้สร้างมาคนละนิดละหน่อย เป็นฝีมือนร.สร้าง แม้จะจบออกไป หลวงปู่ก็บอกว่านี่บ้านของเธอนะ ถ้าจะมาร่วมกินร่วมใช้เมื่่อไหร่ก็ได้ ก็เข้ามา นอกจากตนจะต่ำกว่าเกณฑ์ นอกรีตนอกรอย คนที่นี่ก็ไม่ให้อยู่ แต่ถ้าอยู่อย่างถูกต้องมาอยู่ได้ก็อยู่จนตายก็ได้ เผาให้กันเลย แม้เด็กที่มาอยู่จนตายก็มี มีตายก่อนวัยก็ได้ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ถ้าเราเข้าใจ

 

ต้องทำความเข้าใจให้ดีมีปัญญารู้ให้ลึกซึ้ง โดยเราไปแยกให้แตกกัน ข่มกัน ไม่ใช่ ที่นี่อะไรดีไม่ดีก็บอกให้ชัด คนนี่ ถ้าเป็นคุณธรรมความดีก็ยกเป็นยอดที่หนึ่ง สองทำงานเป็น สัตว์เดรัจฉานไม่มีปัญญามากมาย ไม่มีความรู้มาก แต่ก็มีชีวิต เลี้ยงลูกเต้าได้ สืบเผ่าพันธ์ได้  คนนี่ทำได้มากกว่าเดรัจฉานเยอะ แต่ทำได้มากก็อย่าไปทำทุจริตเอาเปรียบ เขา

 

อาชีวะกับสัมมาสิกขานั้น หลวงปู่ไม่ได้แยกหรอก หลวงปู่เห็นว่าสัมมาสิกขามีอาชีวะซ้อนในนั้น เกิดผลงานมาแล้วด้วย แต่สัมมาสิกขาจะไปหลงยกย่องการทำงานของตน ก็คุณงามความดีของตนที่ทำไปแล้วก็ดีนี่ เสร็จแล้วก็ไปแบ่งแยกสิ่งที่ดีออกจากสิ่งที่แล้วก็ฉลาดน้อยสิ จริงๆแล้วสัมมาสิกขา กับการเรียนข้างนอกนี่ ข้างนอกเขาเรียนแต่วิชาการ ศีลธรรมหรือเป็นงานก็ไม่ได้ส่งเสริม เอาแต่วิชาการยกย่องสูงกว่าผู้มีคุณธรรมและวิชาการ

 

คนมีแต่วิชาการมีการศึกษาเอาแต่รู้ๆๆ เอาแต่ตอบปัญหาทายปัญหาเก่งออกโทรทัศน์แต่ทำไม่เป็น ได้แต่รู้ คุยโม้เอาไปข่มคนอื่น การศึกษาล้มเหลวเพราะเหตุนี้ การเรียนข้างนอกขออภัยทีต้องพูดว่าล้มเหลวหมดแล้ว แต่ของเรามีครบไม่ให้ขาดด้อย แต่เรามีอะไรเพิ่มเติมอีก อย่าไปหลงทิ้ง เราได้แล้วพูดไปพูดมาก็มายกสิ่งที่ตนทำได้แล้ว แล้วก็พูดสลับเปลี่ยนไปมา ของเรามีแล้วก็ข่มตัวเองอีก เอาส่ิงที่ไม่มี เรียนข้างนอกมีแต่สามัญได้แต่ท่องจำ เอามาข่มสัมมาสิกขา เอามาข่มศีลธรรม เอาสามัญเขามาข่มศีลธรรมและเป็นงานของเราได้อย่างไร เพราะเขาข่มเราไม่ได้ เขามีแต่ความรู้ท่องจำ งานไม่ได้อย่างเรา ศีลธรรมไม่ได้อย่างเรา แล้วมันผิดหรือถูก

 

พวกเราเรียนหนักกว่าเขา ไม่เห็นมีใครตายเพราะเรียนเลย สังเกตตนเอง ว่าแต่ก่อนดูหนักมาก ยากมาก แต่ว่าพอทำไปก็ชำนาญ ก็ไม่ได้ยากไม่ได้ลำบากอะไร ไม่ได้ต่อสู้อะไรมากมายเลย เข้าใจสิ่งนี้ให้ดีๆ เข้าใจส่ิงที่หลวงปู่นำพาทำ ก็คงไม่ง่่าย บางทีซับซ้อน ก็ค่อยๆศึกษาไป

 

การศึกษาที่พพจ.สอนมาเป็นเรื่องยากซับซ้อนลึกซึ้งแต่เป็นประโยชน์มาก จะเห็นได้ว่าข้างนอกเขาก็ทำแล้ว เรียนจบสามัญแล้วได้ใบรับรองสองใบเรื่องเป็นงานด้วยส่วนหลวงปู่ก็ให้กลดไปให้จี้ไป ส่วนใบ ปพ.ก็ได้ด้วย

 

มาถึงเรื่องภายในหมู่บ้าน

_มีคนเขียนมาว่า ตอนนี้ในหมู่บ้านเราชักมีหมาเยอะทำอย่างไร?

ตอบ...เราไม่ได้เลี้ยงสัตว์เพราะจะทำให้เกิดความผูกพันกัน จะเป็นแหล่งเพาะเชื้อ มีขี้หมาเลอะ เหม็น แล้วอาจทะเลาะกันเพราะเหยียบขี้หมาได้ เรื่องผิดใจกันทะเลาะกันก็เยอะเรื่องขี้หมา คนตั้งข้อสังเกต ว่าเด็กอย่างพวกเรานี่อาจถูกหมากัด หมามีเชื้อโรคกลัวน้ำ ป่วยหนักตายลูกเดียวเลย น้ำลายฟูมปาก เป็นไปได้เด็กๆเล็กๆก็ถูกกัดได้ เสนอให้พี่อาชีวะเอาภาระหน่อยได้ไหม จับมันไปปล่อยไกลๆ ดูแลไม่ให้มาชุมนุมวุ่นวายในบ้านเรา หลวงปู่ก็เห็นด้วย

 

_มีเรื่องของดช.ถ้อยธรรม เป็นเด็กที่อาการ 32 ไม่ครบ บกพร่องก็ทำให้พัฒนาการช้า ก็เลยทำอะไรที่อาจทำให้คนอื่นรู้สึกไม่ดีบางคนก็อาจทำร้ายเขา อย่างรุ่นพี่บ้างคน ซึ่ง เราก็ต้องเข้าใจเขา แล้วก็ถ้าเราทำรุนแรงกับเขาเขาก็จะซึมซับสิ่งไม่ดี เพราะทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันเลียนแบบกันได้ ข้างนอกเขาเรียนไม่สู้เราหรอก ของเราเรียนแบบมีทั้งเด็กผู้ใหญ่ คนชรา มีคนปกติคนเจ็บป่วย อย่างมีชีวิตธรรมดาสามัญ ไม่จำกัดขอบเขต อย่างข้างนอกเขาก็ตื่นแต่ตีห้าแล้วไปนั่งในรถติด กว่าจะเข้าเรียนก็ไปเข้าห้องในกล่อง กลางวันมากินข้าวนิดหน่อยก็มาเรียนต่ออีก ตอนเย็นพ่อแม่มารับ อาบน้ำ ทำการบ้าน นอน ไม่ได้เข้าร่วมสังคม เป็นการเรียนที่ตัดขาดจากสังคมเลยไม่ได้รับรู้ว่าบ้านเมืองเขาทำอะไรกัน แต่พวกเรานี่มีกระจิตกระใจทำช่วยกันทำ ตั้งแต่เด็กจนโตได้กำไรกว่าเขาเยอะ ข้างนอกนี้ขาดพร่อง หลวงปู่ไม่ได้คุยโม้ว่าของเราดีนะ แต่ของเขานั้นขาด เขาก็เรียนกันแบบนี้ เข้ากล่องกลับบ้านนอน ย่ิงตอนนี้มีอะไรให้กดอีก รู้แต่โลกปลอมๆหลอกกันสารพัดในนั้น ก็เสื่อมซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น เราตั้งใจดีๆมาเรียนที่นี่แล้ว เรามีสิ่งดีที่จะฝึกปรือได้ดีกว่าข้างนอกเยอะเลย ก็ช่วยกันดูแล

 

_กินเจปีนี้ไม่มีของทอด ไม่มีซาละเปา ขนมปัง ไม่มีบันเทิงไม่มีร้องเพลงหรือ มีเด็กบางคนบอกว่าทำไมไม่ให้เลิกก๋วยเตี๋ยวเลยล่ะ ประชดอีก

ตอบ...เราพยายามถ่วงสังคมเขา ของเขามันเฟ้อมากมาย เราก็ช่วยเขา ไม่ตายหรอก คนอายุยืนกินข้าวกับน้ำพริกผักต้มผักสด คนอายุยืนไปถามเขาก็ว่ากินข้างกับแจ่ว บางทีป่นยังไม่ค่อยได้กินเลย แจ่วนี่คือมีพริกเป็นหลัก โขลกกัน มีเครื่องปรุงเข้าไป ข้างนอกเขาใส่ปลาแดก ของเราใส่ซีอิ๊วไป แต่มีพริกเป็นหลัก ส่วนป่นจะมีเนื้อปลา แล้วก็ใส่อะไรเข้าไปโขลกกัน นี่คือป่น ต่างกันตรงมีเนื้อสัตว์

 

_คำว่ามารยาทเป็นปู่ย่าตายายทวดของคำว่ามารยาจริงไหม

ตอบ....ใช่ คำว่ามารยาทคือควบคุมการแสดงออกไม่ให้แสดงถึงโลภ โกรธ หลง ราคะอะไรจนน่าเกลียด จะเรียกว่าปู่ย่าของมารยาก็ใช่ มารยาคือกลบเกลื่อนความจริง เรามีกิเลสแต่เรากดข่มไม่แสดงออก แท้จริงตนมีกิเลส

 

_ทำไมคนเรารู้ว่าผิดก็ยังทำ แต่สิ่งที่มันดีรู้ว่าดีแต่ไม่ทำ ทำไม?

ตอบ...เพราะหนึ่งมันโง่ และสองรู้ทั้งรู้ว่าผิดแต่กิเลสมันชนะเราได้มันก็ทำ ต้องรู้ว่าไม่ดีก็ไม่ทำให้ได้ เด็กบางคนไม่รู้ว่าเป็นสิ่งไม่ดีก็ไปโทษเขาไม่ได้ แต่เรารู้แล้วก็พยายามอย่าทำสิ่งไม่ดี

 

_ศาสนาแต่ละศาสนามีความเชื่อหลังความตายต่างกันแต่สัจจะนั้นเหมือนกันไหม

ตอบ...ตอนเป็นๆอาจต่างกันแต่ตอนตายเหมือนกันหมด เช่น ชาวพุทธบางพวกถือว่ากินเนื้อสัตว์ไม่บาป แต่ของเราถือว่ากินเนื้อสัตว์บาป เราก็ไม่สร้างเวรภัยกับสัตว์ แต่พวกที่กินไปก็ทำเวรภัยกับสัตว์ตายไปเขาก็มีเวรภัยกับสัตว์มันต่างกัน เราไม่กินก็ไม่ผูกเวรกับสัตว์ วิญญาณมันพยาบาทจองเวรมาแก้แค้นทำร้ายทำลายกัน


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:34:40 )

580929

รายละเอียด

580929_ธรรมาธรรมะสงคราม ทิฏฐิ 62 และ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคาร ที่ 29  กันยายน 2558 แรม 2  ค่ำเดือนสิบ(10)ปีมะแม สิ้นเดือนกันยายนนี้ ก็เป็นอันจบ ข้าราชการเป็นกุรุสเลย ตบแถวออกไปพัก ปลดเกษียร มนุษยชาติก็มีปัญญาจะอยู่กันอย่างเป็นระบบระเบียบ อยู่กันได้อย่างดี ยิ่งจิตใจดี ลดละความเห็นแก่ตัว ทำลายกิเลสไปได้จริง อาตมาเห็นว่าความรู็อันนี้ของพระพุทธเจ้ามันเป็นจริงแล้วก็ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย แต่เมืองไทยเมืองพุทธทำไมมองเมิน หรือเอาของไม่จริงมากลบของพระพุทธเจ้าไป บาปกินหัวเยอะ

 

ก็น่าสงสารมวลมนุษย์โดยเฉพาะคนไทย ที่มีทฤษฎี สัมมาสิกขา หรือสัมมาสัมพุทธะ ซึ่งเป็นสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นญาณที่มีความรู้รอบ ซึ่งสามารถเข้าใจเรื่องโลกกับอัตตา สองอย่างนี้เป็นเรื่องใหญ่ อาตมาก็จำเป็นต้องอธิบายวนเวียนกับโลกและอัตตา จนกว่าจะสามารถไม่เป็นทาสส่ิงเหล่านั้น อยู่กับสิ่งเหล่านั้นได้ มีชีวิตเราก็อาศัยโลก อาศัยอัตตาที่เป็นตัวตน

 

ตัวตนคือธาตุจิตวิญญาณทั้งหมด และมีที่มีประสิทธิภาพ มีทั้งจิตตัวดีเรียกว่า กุศลจิต และจิตตัวไม่ดีเรียกว่าอกุศลจิต

 

พลังงานที่มีสองแบบ จะมีความสมดุลอย่างไร จะมีแบบควบแน่นมากก็เอาไปใช้ไม่ได้ หรือกระจายมากก็จับยาก จิตวิญญาณคนก็เป็นเช่นนั้น ไปหลงผิดสิ่งที่ควบแน่นเกินกับกระจายมากไปก็เสียพลังงานเปล่า แต่สมดุลที่สุดก็จะมีประสิทธิภาพสูงสุด พลังงานไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มันจะมีปฏิกิริยากับสิ่งรอบข้าง มันก็จะทำให้ไม่สมดุลได้ง่าย เราต้องเสริมให้เกิดความสมดุลหรือต้านทานให้ได้ เราไปบังคับพลังงานภายนอกไม่ได้ เราต้องทำตัวเราให้รับได้ จึงมีส่วนกองพลังส่วนเก็บไว้ส่วนตน เรียกว่าพลังงานพิเศษของตนที่จะเอาไปใช้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็มันไม่เที่ยงเลย แล้วก็จะเป็นแบบนี้

 

ถ้าไม่ใช่แบบพุทธก็หนีเข้าป่าไปเลย หยุดมันลูกเดียว การเรียนรู้อัตตาคือเรียนรู้พลังงานในตัวเรา เมื่อมันทำงานก็มีธรรมะสอง พลังงานเราเองเราก็จัดสรรดูแลให้ได้ ให้มีประโยชน์ มีทั้งรู้ สามารถคำนวณถูกแล้วทำให้ได้ตามที่รู้ มีพลังเจโตและปัญญา เราจะรู้พลังงานนี้ได้จนกระทั่งจิตนิยามไปก่อกรรม

 

กรรมคือพลังงานสองที่สังขารกัน แล้วก็ทำให้เป็นพีชะ เป็นปุงลิงค์ เป็นเพศเอก ทำได้ประเสริฐทำได้ดี แม้ที่สุดไม่ทำอะไรเลย เป็นนปุงสกลิงค์ ไม่ให้มีพลังอะไรเคลื่อน โดยตนไม่ได้เลิกไม่ได้ตาย พลังงานนี้ก็ใช้ได้ ท่านให้เรียนรู้ของตนก่อนทำให้หมดความเห็นแก่ตัว เมื่อหมดความเห็นแก่ตัวจะมีพลังงานธาตุรู้ที่พึ่งตนเองได้เหมือนสัตว์ทั้งหลาย เป็นคนก็ทำได้ แต่คนไปโง่กว่าสัตว์เลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็มี แย่กว่าสัตว์ อย่างบางประเทศคนประเทศนั้นถูกหลอกไม่ให้พึ่งตัวเอง จนรอความช่วยเหลือเหี่ยวแห้งตาย คนไม่รู้จะหาอะไรกิน ไม่รู้ทำมาหากิน บทจะโง่ก็โง่ได้ถึงขนาด พระพุทธเจ้าสอนคนไม่ได้หาคนโง่ขนาดนั้นมาเรียนหรอก

 

ให้เรียนรู้ลดพลังงานไม่ดีที่จะไปทำแก่คนอื่น จนไม่ทำพิษภัยกับใครเลย แม้ใครจะมาทำกับเราก็ยอมรับ แม้ที่สุดเขาจะมาฆ่าก็ยอมตาย ไม่ไปทำร้ายตอบเลย เพราะธาตุจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้นั้นรู้ว่า เราเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ถ้าเราไม่เป็นอรหันต์ยังเลิกไม่ได้ ก็เลิกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอรหันต์จะเลิกหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าไม่เลิกก็มีแต่ไม่ทำบาปเพิ่ม แล้วก็ทำแต่กุศลเพ่ิมเรื่อยๆ พลังงานมันก็เลยมีพลังงานกุศลที่กั้นวิบากได้ หรือกั้นไม่ได้ก็ยอมรับวิบาก หมดแล้วก็เบาลงๆ สร้างแต่กุศล นี่คือวิธีการที่พระพุทธเจ้าสร้างคนประเสริฐแก่โลก พระพุทธเจ้าสร้างคนให้เป็นประโยชน์แก่โลกถ่ายเดียวไม่มีพิษภัยต่อโลกเลย

 

คนเองจะรู้ดีว่าทำงานให้แก่ชีวิตคนอื่นดีกว่า แล้วไม่ต้องกังวลเลี้ยงตน คนอื่นเขาจะเลี้ยงไว้เอง แต่ทฤษฎีพุทธปัจจุบันหนีเข้าป่า เอาตัวรอดแต่คนเดียว ก็เลยทำให้บ้านเมืองสังคมไม่มีคนที่เป็นอาริยบุคคลไปบริหารประเทศ มันน้อยจนกระทั่งไม่พอ อย่างในหลวงเราเป็นอาริยบุคคลเป็นโพธิสัตว์ แต่เขารับลูกไม่ได้ แบบพอเพียงหรือแบบคนจน

 

ความรู้ที่แบบไม่เห็นแก่ตัว ถอดถอนตัวตนแบบนี้มีจริง ในศาสนาอื่น เขาก็มีการแสดงตัว เช่นคานธี ไปสไตน์ ก็กล่าวมานาน แม้แต่ขณะนี้โป๊ปพระองค์นี้ Francis ก็กล้าหาญ ยังไม่เคยมีปรากฎว่าโป๊ป ประสงค์จะแสดงธรรมในการประชุมใหญ่ของโลก แล้วเข้าไปแสดงหมัดเด็ดด้วย เป็นพฤติการสังคมที่เกิดขึ้นอย่าง บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก เล่นเอาประธานสภาของประเทศมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก ร้องไห้น้ำตาไหล ลาออกเลย เป็นปรากฎการณ์ที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นนิมิตหมายที่ประเสริฐของโลก ก็พอดี ประเทศไทยก็มี ผู้แทนไปร่วม กระทบไหลเขาก็ดูดีมากเลย เป็นที่หวังได้

 

อัตตาที่เราเห็นแก่ตัว มันได้อะไร มันได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ได้เสพกามคุณ 5 แล้วได้บำเรออัตตา โลกธรรม หรือกามก็เป็นอัตตา อะไรที่เป็นความประสงค์นอกเหนือนั้นก็เป็นอัตตา เห็นแก่ตัวกูของกูอย่างเดียว อัตตาก็คือเรา โลกก็คือทั้งหมด ที่จะต้องให้ได้อำนาจ แต่สัจจะอย่างหนึ่ง คนที่ไม่ต้องการมาเป็นเราเป็นของเรา อันนั้นมันจะมาเป็นเราเป็นของเรา เป็นสัจจะอันประหลาด จริงหรือไม่จริงสัจจะมันรู้ตัวมันเองมากกว่าตัวเรา ถ้ามันจริงแล้วไม่ต้องห่วงเลย อย่างในหลวงเราตรัสสัจจะ ว่า ที่เราเสียไปนี่แหละคือเราได้มา ก็ภาษาไทยนะ ในหลวงอายุ 88 แล้วนะ

 

อาตมาถ้าเปรียบคือหัวหน้าคณะรำวงบ้านนอกคณะหนึ่งเล็กๆ ว่อนไปทั่วประเทศก็มีสิทธิ์เท่านั้นปางนี้ ได้ผลบ้าง เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านไป ใครกล้าตัดตัวเข้ามาอยู่กับสังคมอโศก ทำงานจริงใจสุดความสามารถในนี้ รับรองว่าอยู่รอด แล้วจะสุขสบายด้วย เป็นคนไม่เอาตัวตนเลย มีอะไรก็ทำในสังคมนี้ เขามีอะไร ทำอะไร ก็ทำไป ที่นี่มีเสนาสนสัปปายะ ก็มีบุคคลสัปปายะ แล้วเราก็ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ไม่ต้องกลัวเลย รับรองว่าความซื่อสัตย์สุจริตสำหรับสังคมอโศกนี่สัจจะเหล่านี้เที่ยงตรง พึ่งพาได้ ขอให้เราตรงจริง ไปรอดอยู่สบายไร้กังวลด้วย อาตมาพูดไปนี่ถ้าอาตมามีความเชื่อถือทางสังคม คนจะกรูเกรียวเลย แต่อาตมาไม่เป็นที่เชื่อถือทางสังคมพูดไปแล้วก็เขาก็ว่าเชื่อเอง อาตมาพูดก็ไม่ได้น้อยใจแต่พูดความจริงที่อาตมาจะพิสูจน์ธรรมะ เป็นยถาวาที ตถาการี ใช้เวลาทำไป จนกว่าจะตกผลึกมีมวลครบ ถึงเต็มรูปที่จะมีพลังงานแตกตัวเป็น critical point จุดเปลี่ยนสถานะได้ มันต้องถึงจุดนั้นสักวันไม่ท้อถอย ใครจะมาช่วยก็มา จะได้ถึงเร็วขึ้น ไม่ง้องอ่น ไม่เสนอตัว ให้ทำแต่เนื้อแท้ ทำแล้วก็วาง ใครมีดวงตาเห็นก็เก็บเอา คนไม่เห็นก็เหยียบย่ำ อาตมามั่นใจว่าไม่หายจากภิภพแน่แต่อาตมามั่นใจว่าอยู่ คุณทำชั่วก็อยู่ ทำดีก็อยู่ อาตมาเชื่อกฏแห่งกรรม

 

มาดู sms

 

0893867xxx นมก.พ่อครูฯสณ.สม.วันพระนี้มาทำบุญที่ศาลีฟังพ่อครูฯเทศน์ผ่านจอบุญนิยมณ.ศาลาธรรมกับญตธ.ศาลีอโศก!

0857308xxx ในพระไตรปิฎกฉบับประชาชนบอกว่ากินเนื้อสัตว์ได้ถ้าไม่รู้ไม่เห็นการฆ่ามหาเถรฯรับรองแสดงให้เห็นความเฉโกของผู้มิจฉาทิฎฐิ

ตอบ...ศีล ข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ แล้วก็มี มิจฉาวณิชชา ห้ามค้าขายเนื้อสัตว์ สองข้อนี้ก็ไม่มีให้กินแล้ว แต่คนก็เลี่ยงไปว่า เราไม่ได้ฆ่าไม่ได้ขาย แต่เราไปซื้อได้ นี่คือเจตนาไม่ซื่อ

1.      การค้าขายอาวุธ       (สัตถวณิชชา)

2.      การค้าขายสัตว์มีชีวิต  (สัตตวณิชชา)

3.      การค้าขายเนื้อสัตว์  (มังสวณิชชา)

4.      การค้าขายสิ่งมอมเมา  (มัชชวณิชชา)

5.      การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ  (วีสวณิชชา)

(พตปฎ.  เล่ม 22   ข้อ 177)

"ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังทรงฉัน เนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำดังนี้

 

ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า กล่าวตรงกับที่เรากล่าวก็หามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง

 

เรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ 3 ประการคือ

1. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้เห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

2. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

3. เนื้อสัตว์ที่ตนไม่ได้รังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

 

และเรากล่าวเนื้อสัตว์ว่า ไม่ควรเป็นของบริโภค ด้วยเหตุ 3 ประการคือ

1. เนื้อสัตว์ที่ตนเห็น(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

2. เนื้อสัตว์ที่ตนได้ยิน(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

3. เนื้อสัตว์ที่ตนรังเกียจ(ว่าเจาะจงฆ่ามา)

(พระไตรปิฎก เล่ม 13 "ชีวกสูตร" ข้อ 57)

 

เมื่อไม่ฆ่าไม่ขายแล้วจะเอาที่ไหนมากิน จะไปแย่งสัตว์กินหรือ ? คนไม่มีปัญญาแค่นี้เอง แล้วอีกประเด็น ก็ในสีหสูตรหรือชีวกสูตร

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

 

หรือในสีหสูตรที่อเจลกะกล่าวตู่ว่าพระพุทธเจ้าจะฉันเนื้อสัตว์ ก็จะกล่าวตู่ทำไมหากพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ก็ถ้ากล่าวตู่ก็แปลว่า พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติต่างหาก

 

0893867xxx อาวุธมีไว้ฆ่าเพื่อนมนุษย์จริงถ้าคนถืออาวุธเป็นโจรฤาคนชั่ว!แต่อาวุธก็มีไว้เข่น ฆ่าปชช.จริงถ้าคนถืออาวุธ เป็นจนท.ในเครื่องแบบที่ดี ที่ตกอยู่ใต้อำนาจผู้นำชั่ว!ไม่มีใครหยุดคนถืออาวุธที่กระหายการฆ่าคนได้ดีเท่าคนถือกฎม.ด้วยความถูกต้ องชอบธรรมที่มีจิตใจซื่อตรงเที่ยงธรรมที่สุด!

0893867xxx ยุติความรุนแรงทั่วโลกจากการใช้อาวุธทีให้โทษด้วยการใช้กฎม.ที่ให้คุณนำสัน ติสุขคืนสู่โลก!

ตอบ...อาตมาแต่งเพลงสันติภาพมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังเปิดอยู่

 

 ณ กาละนี้หากไม่จัดการศาสนาที่ผิดเพี้ยนแล้ว ยังกลัวเสียงเขาที่ร้องออกมา หากไม่กล้า มันใหญ่กวานี้แน่ แล้วก็จะขึ้นมาครอง อาตมาแต่งเพลงสันติภาพ ให้เป็นเพลงกลางๆ แล้วสันติภาพผีก็บ่งบอกสันติภาพผีหลอก แล้วก็มีสันติภาพประกาศิตที่จะบอกว่าให้ลดกิเลส จึงแก้ได้

 

อาการทุกข์รู้ได้ง่าย แต่อาการไม่เที่ยงและไม่มีตัวตนรู้ได้ยาก?ทำไม

เพราะไม่ตั้งใจศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิ เลยไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านเอาทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิหรือทิฏฐิที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 มาตรัส แล้วโบราณาจารย์บันทึกไว้ในพระไตรฯ ประการแรกคนไม่รู้ว่าสิ่งจริงมีแต่ปัจจุบัน แต่อดีตกับอนาคตไม่มีจริง ปัจจุบันที่ไม่ใช่อดีตต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือกามคุณ 5 นี่แหละตัวดี กระทบสัมผัสแล้วเกิดกิเลส ในกาม ในโลกธรรม ที่ได้สัมผัส สัมผัสแล้วก็อยากได้ อยากได้ก็มีกิเลสแส่หา ตัณหา

 

พระพุทธเจ้าย้ำในพรหมชาลสูตร ว่าตัวดีคือตัวแส่หา เมื่อไม่เรียนผัสสะไม่มีปัจจุบัน เว้นผัสสะแล้วไม่มีฐานะที่จะมีได้ ที่จะเป็นกรรมฐาน สติปัฏฐาน ไม่สามารถเอามาฝึกฝนได้หรอก ผู้ไม่เข้าใจทิฏฐิ 62 ที่ท่านตีทิ้งหมดเลย ต่อให้รู้อดีต อนาคตก็รู้อยู่ในนี้แหละ อนาคตมีคิดเองแถม เป็น 44 อย่าง รวมเอาปัจจุบัน ไปด้วย เป็นปัจจุบันที่ไม่ได้เปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นการนั่งหลับตาปฏิบัติ นึกตรึกเอาเอง ค้นคิดเอาเอง ท่านเรียกว่า พวกตักกี กับวิมังสี คือพวกมโน

 

ในทิฏฐธรรมนิพพาน 5 ถ้าเร่ิมหลับตาปฏิบัติก็จมภพแล้ว ไม่มีกามคุณ 5 มาผัสสะเพื่อจะเรียนให้ครบนอกและใน ปิดประตูเลย แค่สูตรแรกก็มิจฉาทิฏฐิแล้ว เต็มโลก ว่าให้ปัญญาเกิดเองเป็นเองหมด เขาเรียกภาษาของพวกโมเมชั่น แค่นี้ก็ชัดว่าศาสนาพุทธหมดเชื้อแล้ว ได้แต่อยู่กับความฝัน

 

ถ้าเข้าใจในทิฏฐิ 62 ในข้อสุดท้ายที่ท่านไล่เรียงมา ว่ากามและอัตตาเกิดจากจิตที่แส่หา แล้วต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีฐานะที่จะเป็นได้ เกิดองค์ประกอบครบ 3 ก็เกิดเป็นเวทนา สร้างนิยายกันมาอยู่มากมายมหาศาล ท่านให้เรียนรู้โลกกับอัตตา

 

###  ทิฏฐิ 62  ###

 

@ ปุพพันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องต้น, 18 ลัทธิ) -- อปรันตกัปปิกะ (ความเห็นปรารภเบื้องปลาย, 44 ลัทธิ) ว่าด้วยเรื่องโลกกับอัตตา

- สัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกสัญญีวาท (16 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าเที่ยง

- เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ - พวกอสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

- อันตานันติกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (8 ลัทธิ)  หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด

- อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี 4 ลัทธิ  - พวกอุจเฉทวาท (7 ลัทธิ)  หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล

- อธิจจสมุปปันนิกะ มี 2 ลัทธิ - พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (5 ลัทธิ) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ

 

ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วนของขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต

 

(1) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) 4

1. เห็นว่า ตัวตน (อัตตา) และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียว จนถึงแสนชาติ

2. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์

3. เห็นว่า ตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์

4. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

 

(2) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) 4

5. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง

6. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน (ขิฑฑาปโทสิกา)ไม่เที่ยง

7. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น (มโนปโทสิกา) ไม่เที่ยง

8. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

 

(3) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) 4

9. เห็นว่าโลกมีที่สุด

10. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด

11. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้าง หรือด้านขวาง ไม่มีที่สุด

12. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

 

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) 4

13. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

 

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) 2

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์

18. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

 

@ อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี 5 กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก

(1) กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา (16)

(2) กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา (8)

(3) กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (8)

(4) กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ (7)

(5) กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน

ใน 5 กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้วยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์ ( Substance ) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ เป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

(2) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 35 ถึงข้อ 42 ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

 

(3) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) 8

เห็นว่าตั้งแต่ข้อ 43 ถึงข้อ 50 ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง 8 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่

ทั้ง 3 หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพเมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

 

(4) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) 7

51. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์

52. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ

53. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ

54. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ

55. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ

56. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ

57. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ทั้ง 7 ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

 

(5) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) 5

58. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ 5 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน 59,60,61,62 เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน.

 

พวกนั่งหลับตานึกว่ามีฌาน แต่ก็จมอยู่ในอดีตกับอนาคต

 

สรุปว่าโลกกับอัตตา เป็นพลังอำนาจ หากไม่เป็นพลังงานดีก็เป็นอำนาจเลว ไปเบียดเบียนทำร้าย บังคับ เกิดเสียหายในโลก แล้วซับซ้อน ร้ายอย่างที่หลอกชาวบ้านว่าฉันดีด้วย เป็น นักเสแสร้งที่ยิ่งใหญ่ โป๊ปท่านตอกหน้ามาไม่กี่วันนี้ จะรู้สึกไหมนะ

 

ในประไตรฯล.9 ข้อแรก นั้นมีเรื่องของพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก กับอาจารย์คือสุปปิยปริพาชก

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม

ติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่า

นั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้น

จะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม

ชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย

เพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือ

ชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริง

แม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ใน

เราทั้งหลาย.

                                  

 

 

จุลศีล

       

 

 

          [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด

นั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต

จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

 

[3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา

มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้

ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.

3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติ

ห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

 

          [4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์

มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไป

บอกข้างโน้น  เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น  แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้

คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง

ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน

กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.

6. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ

เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.

7. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ

ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนด

ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.

         

 

          [5] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม

         

ดินก็มีดินเป็นกับดินตาย หากดินเป็นไม่ได้ แต่ดินตาย คือไม่มีชีวะอยู่ คือดินที่คนคุ้ยเขี่ยขุดมาแล้วนั่นเอง สรุปคือไม่ให้พรากชีวะคือพีชนิยามกับจิตนิยาม สรุปคือท่านไม่ให้พรากพืชด้วย ที่จริงพืชไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกสุขทุกข์ไม่ชอบหรือชัง พืชมีหน้าที่เลี้ยงตัวเองเท่านั้น พระพุทธเจ้ารู้ว่าพรากพืชไม่มีบาปหรือบุญอะไร แต่ที่พระพุทธเจ้าไม่ให้ภิกษุพรากพืช นั้นเพราะท่านห้ามโดยสังคมศาสตร์ ไม่ใช่สัจศาสตร์ คือพระนี่ถ้าปล่อยให้ตัดพืชได้ ปลูกเองตัดเองได้ พระก็ปลูกพืชได้ไม่พึ่งคน พระพุทธเจ้าให้พระพึ่งฆราวาส แล้วฆราวาสพึ่งพระ จึงมาบวชแล้วไม่บาป แต่อย่าตัดพรากพืช

 

 

          [6] 9. พระสมณโคดม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่น

อันเป็นข้าศึกแก่กุศล.

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้

ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

          [7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

         

 

ศิลปะคือมงคลอันอุดม

ศิลปะอาตมาแบ่งเป็น 5 ชั้น คือลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระ

แบบลามกกับราคะนี้ไม่ใช่ศิลปะแต่มีเยอะ

สาระ การทำสาระให้เป็นศิลปะนั้นยาก ถ้าทำไม่เป็นก็เป็นสารคดี ต้องมีศิลปะไม่ทำให้เป็นราคะหรือลามกแต่เป็นสารคดี 

 

          [8] 22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอม

และการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น

และการกรรโชก.

                                  จบจุลศีล.

 

 

 

มัชฌิมศีล

        

[9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

 1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคาม

และภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด

พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า.

[10] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของ

ที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน

สะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิษ.

         

[11] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอัน

เป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น

การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม

การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค

ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล

การจัดกระบวนทัพ กองทัพ.

         

[12] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการขวนขวายเล่นพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความ

ประมาท เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยัง

ขวนขวายเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละ

แปดตา แถวละสิบตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่ง

เล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทราย

เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ.

         

[13] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอัน

สูงใหญ่เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว

เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มี

สัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและ

เสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงิน

แกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาด

หลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขน

อ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง.

[14] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบการประดับตบแต่งร่างกายอันเป็น

ฐานแห่งการแต่งตัว เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธา

แล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เห็นปานนี้

คือ อบตัว ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอมนวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิว

ผัดหน้า ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า ใช้กลักยา ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่ม

สวมรองเท้า ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย.

                  

           

ติรัจฉานกถา

         

[15] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญ

บางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถาเห็นปานนี้ คือ พูดเรื่อง

พระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ

เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม

เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ

เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อม

ด้วยประการนั้นๆ.

         

[16] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน

เห็นปานนี้ เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้

อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูกถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็น

ประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับ

กล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้า

ข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ.

         

[17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรม

และการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี

และกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ใน

ที่โน้นมา ดังนี้.

[18] 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูด

เลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ.

            จบมัชฌิมศีล

 

มหาศีล

ติรัจฉานวิชา

         

[19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

          1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่

สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วย

ติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ

ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำ

บูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่า

บูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอ

ปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็น

หมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็น

หมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

         

[20] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้า

ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ

ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส

ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา

ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.

         

[21] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก

พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิด

พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอก

จักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัย

เพราะเหตุนี้ๆ.

         

[22] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง

ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง

ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทร

คราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์

ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้

ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาต

จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผล

เป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์

และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็น

อย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.

[23] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย

จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือ

นับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์

         

[24] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน

ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์

ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง

เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวง

ท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.

         

 

[25] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น

อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด

ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกัน

บ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธี

บวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษ

เบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์

ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

         

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณ

น้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.

                                จบมหาศีล.

 

พ่อครูว่า...ในศาสนายุคโน้น เขามีการทำเดรัจฉานวิชาเช่นนี้เต็มไปหมด ประเพณีบางอย่างที่ควรเลิกเพราะเกิดผลเสียมาก ใหญ่โตเทอะทะ ก็ควรเลิกเสีย แต่ประเพณีไหนดีก็คงไว้ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาปลีกเดี่ยว แต่เป็นศาสนาเพื่อมวลมนุษยชาติ....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:35:48 )

580930

รายละเอียด

580930_ธรรมาธรรมะสงคราม แจกแจงลึกซึ้งถึงคำว่า อาการ

พ่อครูว่า...วันนี้วัน พุธ ที่ 30 ก.ย. 2558 เป็นวันที่ข้าราชการหลายคนก็จะได้พักผ่อน ส่วนอาตมาก็ไม่ต้องพูดเรื่องปลดเกษียรเลย ก็ไม่มีเรี่ยวแรงทำเมื่อไหร่คือปลดเกษียร ยิ่งนานวันยิ่งศึกษา ก็ยิ่งเห็นความจริงเข้าไปเรื่อยๆ ว่าคนเราก็เต้นไปตามโลกเขาไป ผู้ที่เป็นปราชญ์เอกได้ค้นพบ บรรยายเอาไว้ คนเราก็ไม่ค่อยไปเรียนรู้ตาม

 

คำว่า เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ของพระพุทธเจ้า 4 คำนี้ยิ่งใหญ่ ชีวิตก็มีสี่อย่างนี้แหละ นักวิจัยเขาใช้

input process output outcome impact ก็มีอยู่แค่นั้น มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ก็ได้อะไรออกมาอันหนึ่ง เขาก็หลงว่าเป็นความจริง เป็นผลรวม แล้วหลงว่าได้เป็นเรื่องราว มีนิทาน สมุทัย ปัจจัยไปไม่จบ ผู้สามารถเรียนรู้ความจริงได้ครบก็หยุดนิยายได้ แต่ที่จริงเป็นนิยายที่ไม่มีส่ิงชั่วร้ายแล้ว ดำเนินต่อไปอย่างมีแต่กุศล

 

อาตมามาบวชแต่ปี 2513 จนวันนี้ 2558 มาวันนี้ 43 ปี ยาวนานไม่ใช่เล่น ผู้รู้จักอาตมายาวนาน อาตมาเป็นคนที่ไม่มีโทษภัยต่อผู้อื่นต่อสังคม ใครมองอาตมาว่า เห็นอาตมาเป็นโทษภัยอะไรต่อสังคมไหม...ก็ไม่เห็นเลยหรือ? ว่าเขาอยู่ฉอดๆๆ ไม่เป็นโทษภัยต่อเขาเลยหรือ?

 

การศึกษาที่จะรู้ความจริงดังกล่าวเป็นเรื่องประเสริฐมากในโลก น่าจะทำตนให้เป็นคนไม่เป็นโทษภัยต่อใครเลยได้ แต่ละชาติที่เกิดมา คนที่ยิ่งไม่มีปฏิกิริยากับสังคม หนีเข้าป่าเขาถ้ำ จะบอกว่าไม่เป็นโทษภัยก็พอได้ แต่ว่าไม่เป็นประโยชน์คุณค่าต่อโลก ดีไม่ดีก็กินใช้ของโลกเขาแต่ไร้ประโยชน์ต่อโลก เสียชาติเกิดเปล่าๆ

 

กาละนี้ยิ่งจำเป็นมากที่จะต้องให้ได้คนเช่นนี้ให้แก่โลก ก็ต้องพยายามให้คนได้ฝึกฝนตนให้มากๆ

 

มาอธิบายเนื้อหาสาระกันต่อ

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน มีข้อสงสัยค่ะว่า พระอรหันต์ ท่านจะสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้มั๊ยคะ

ตอบ...มนุษย์ต่างดาวหมายถึงมนุษย์อยู่คนละดวงดาวคนละโลกหรือ? ในโลกเดียวกันติดต่อกันได้แล้วทั่วหมด แต่มนุษย์ต่างโลก ต่างดาว ตอนนี้เขาก็พยายามติดต่อ บางพวกบางคนก็ว่ามี มีมนุษย์ต่างดาวเข้ามาในโลก มีจานบินมา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนหลักฐาน แต่ติดต่อได้ภาษาก็จะสื่อกันไม่ได้ อาตมาก็ว่าไม่ได้น่ะ

 

0818557xxx กราบนสก.พ่อท่าน เป็นกำลังใจค่ะ ขนาดป้าเจมาทีหลัง3-4เดือนนี้เองยังนึกไม่ถึงเลยว่า พ่อท่านจะลึกซึ้งได้ถึงต่อมสำนึกเลยค่ะ เป็นกำลังใจแด่ทุกๆท่าน ป้าเจลุงโอ

 

0857308xxx คนทั่วไปเห็นอโศกเป็นของแปลกปฏิบัติได้ยาก ขัดกิเลสเขาเกินจึงเขาจึงไม่สน

 

0893867xxx โลกธรรมอำนาจเด่นเป็นของปองหมาย,แข่งรวยแข่ง อาวุธร้ายกลายเป็นบ้า,คน ทำตนวนจนเกิดความสับสนซ่อนซ้อนเชิงกล,หวาดผ วาหลงอวิชชาว่าเป็นความรู้ฯลฯ

0893867xxx บทเพลงสันติภาพในรวมเพลงพ่อท่านฯร้องโดยคุณสุทธินันท์กับคุณวัชราภรณ์!ผู้น้อยเปิดฟังทุกวัน!

0893867xxx ต่างแนวคิดโลมหลงจิตต่างฝันสันติธรรม,แย่งกันแยก กรรมซ้ำร้ายทำลายหมู่,เลยกลายเป็นพรางจึงเกิดศึกกลางสันติซ้อนชอนไช,อด สูค้นความจริงดูรู้จริงให้จริง,สันติภาพเอยฯ

0893867xxx เพลงสันติภาพของพ่อท่านฯบอกเราว่าสันติภาพจักบังเกิดแก่โลกเมื่อมนุษย์โลกมีสันติธรรมในใจตนสร้างสันติภาพให้โลกสันติสุขร่มเย็น!

ตอบ...ขวัญชนก ชูเกียรติ อ่านเพลงอาตมาแล้วก็บอกว่าคิดคำความได้อย่างไร  อาตมาก็เอาภาษาไทย ชัดๆง่ายๆมีคำสัมผัส คล้องจอง ก็เอาภาษามาร้อยเรียงสื่อสภาวะ ก็คิดใช้ภาษาพวกนี้ มันเป็นร้อยกรองที่ยิ่งกว่าร้อยกรอง ร้อยกรองเอาภาษาที่สัมผัสสำเนียงเสียงภาษา แต่ทุกวันนี้อาตมาร้อยเรียงสื่อภาษาธรรมะที่ได้เนื้อความเคารพครบครัน ลึกซึ้งก็ได้ประโยชน์

0857308xxx จะเรียนทิฎฐิ62โลก อัตตาให้ชัดเจนค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ

ตอบ...การศึกษาของโลก ก็มีการศึกษา โลก กับ อัตตา เท่านี้แหละ ของไอสไตน์ก็มีทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของพระพุทธเจ้าก็ศึกษา relation คือความสัมพันธ์ของโลกกับอัตตานี่แหละ จะแจกโลกเป็นโลก 1 โลก2 ...โลก 10 อย่างที่จะสัมพันธ์กันต่างๆนานา เราก็อยู่กับโลกอย่างมีความรู้ ไม่เป็นโทษภัยและเป็นประโยชน์แก่กันและกัน พระพุทธเจ้าสร้างคนชนิดนี้ให้แก่โลก ให้ตนสูญอัตตาเลย นามธรรมตนเป็นต้นเค้า ส่วนร่างกายนี้เปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 

คนค้นไม่พบพลังงานนี้ก็ยกให้พระเจ้า พระเจ้าคือพลังงานสั่งการของแต่ละคน ไม่ใช่ของอื่นนอกตน คือพลังงานที่ตนควบคุมสั่งการได้ พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้อัตตาจนควบคุมสั่งการอัตตาของตนได้ ไม่ใช่พระเจ้าสั่งหรอก ตนสั่งเอง อัตตาหิอัตตโนนาโถ แต่ถ้าไม่สามารถ เราก็ถูกพลังงานกิเลส อัตตา สั่งเรา ที่ตนไม่รู้จัก วิธีการศึกษาพระพุทธเจ้าให้ศึกษาโลก เขาอยู่อย่างไรเราก็อยู่กับเขาได้ไม่เป็นโทษ เรารู้ทุกข์จนไม่มีทุกข์ ไม่มีภัยต่อโลก แล้วก็รู้ว่าตนจะอยู่หรือสูญก็ได้

 

0857308xxx ช่วงที่ผ่านมาสัญญานสื่อไม่ดีมีอุปสรรคเยอะ แต่จะเพียรศึกษาค่ะ

0893867xxx พ่อครูเคยสรุปการเมืองคืองานเพื่อปชช.ไม่ใช่งานอาชี พเพื่อเลี้ยงพรรคพวกครอบครัวตน!แต่คืองานเพื่อบ้านเ พื่อเมืองเพื่อมวลมนุษย์!

0893867xxx ท่านเคยบอกว่านักบวชมีหน้าที่จะทำงานเพื่อปชช.รับ ใช้ปชช.มีชีวิตเนื่องด้วยผู้ อื่นฤาอาศัยผู้อื่นเลี้ยงไว้เหมือนนกม.ที่อาศัยเงินของผู้อื่น!

ตอบ...นักการเมืองกับนักบวชคือผู้ที่ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ แล้วก็ทำงานให้ประชาชน หรือจริงๆแล้วทำงานให้ปชช.จริงๆแล้วเขาจะเลี้ยงไว้โดยตนไม่ต้องสะสมกอบโกยไม่ต้องหาอะไรมาให้แก่ตน ตนทำประโยชน์แก่ผู้อื่นไปเถอะ แม้แต่วงเล็กๆก็อยู่รอด ยิ่งเก่งสามารถทำวงกว้างมากขึ้นเจริญขึ้นไปอีกก็ยิ่งอยู่สะดวก ยิ่งมีคนช่วยมากขึ้นอีก เชิญพิสูจน์ให้จริง แต่กิเลสคนมันแฝง คนจับได้ก็เลยไม่ชอบ แต่ถ้าไม่มีกิเลสคนก็จับไม่ได้เพราะไม่มี มีแต่คนจะยิ่งมาช่วยเพ่ิมขึ้น เป็นเรื่องจริง

 

0893867xxx ปรปฏิพัทธาเมชีวิกาคือคนที่ทำงานให้แก่คนในสังคมแล้วให้คนในสังคมเลี้ยงดูไว้เรียกว่าชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น!ที่พ่อครูเคยว่าไว้!

ตอบ...เป็นชีวิตประเสริฐงดงาม เราทำงานให้คนอื่น คนอื่นก็ดูแลเราไว้ ถ้าเราสามารถให้ประโยชน์แก่คนอื่นได้เขาไม่อยากให้เราตายหรอก เราช่วยเขาได้ไม่มีโทษภัยต่อใครเขาไม่อยากให้ตายหรอก มีแต่จะช่วยไม่ให้ตายง่ายๆ แม้ที่สุดมันไม่ตายแต่เป็นมนุษย์พืชเขาก็ให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้อยู่เป็นมิ่งขวัญ

 

0818557xxx กราบนมก.พ่อท่าน ท่านทำถูกต้องแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปdebateกะใครค่ะ จะโดนรุมจากพวกศีลปลอมๆๆ ซึ่งรู้ทั้งรู้แก่ใจ โยมขำทุกครั้งที่เห็นป้ายหมู่บ้านศีล5ที่แต่ละวัดจัดให้ชุมชน ตัววัดเองมีรึยัง งงงง...ค่ะ

ตอบ...ก็รู้เอาความจริงก็แล้วกัน มันคิดดำริให้มีศีลก็ดี ถ้าให้สังคมใดใช้ศีลเป็นกฎเกณฑ์จะดี ไม่ต้องร่างรธน.หรือกฎอะไร พระพุทธเจ้าคิดมาแล้วทำศีล 5 ศีล 10 ศีล 26  ให้ได้เป็นลำดับๆ สุดประเสริฐแล้ว เมืองไทยไม่ต้องไปศึกษากฎหมายอะไร ออกกฎศีล 5 ทั้งประเทศเลย ผู้บริหารก็ให้มีศีล 10 รับรองว่าประเทศยิ่งใหญ่เลยจริงๆ ขอยืนยันเลย ผู้บริหารอย่างต่ำ ศีล 8 ได้ไม่แต่งงานไม่มีภาระแล้ว สบาย จะช่วยบริหารสังคมประเทศชาติได้อย่างเยี่ยมยอดเลย ไม่แต่งงานไม่ติดในสิ่งสวยงาม ของใหญ่โตไม่เอาแล้ว พอขึ้นศีล 10 ชาตรูปรชตะย่ิงเยี่ยมยอด อนาคามีเป็นต้นไป

 

คนของพระพุทธเจ้าก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่คนของพระพุทธเจ้ามาบวชแล้วก็หนีเข้าป่าเขาถ้ำ ศาสนาพระพุทธเจ้าเลยไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นโทษอีกด้วย ซวยจริงเพราะศาสนาผิดทาง

 

คำว่า อาการ นี่ทุกอย่างใช้คำว่าอาการเป็นตัวเรียนรู้ มันเกิดความเคลื่อนไหวถึงรู้ได้ แม้แต่ว่ามันน่ิงก็เรียกว่าอาการนิ่ง อาการว่าง ไม่เคลื่อนก็เรียกอาการเลย

 

ภาวะ “กาย”ที่ “ถูกรู้” จะเป็น “อาการ” ของวัตถุกับนาม หรือนามกับนาม ก็ตาม

คือ  “รูป”ทั้งสิ้น

 “อาการ”ของสสารก็ดี  “อาการ”ของพลังงานก็ดี  “อาการ”ของดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-ว่าง-นิ่งก็ดี  “อาการ”ของรูป(ภาพ)-

เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณก็ดี  “อาการ”ของอุตุนิยาม-พีชนิยาม-จิตนิยาม-กรรมนิยาม-ธรรมนิยามก็ดี ฯลฯ  “อาการ”ที่ “ถูกรู้”เรียกว่า “รูป” ได้ทั้งนั้น “อาการ” คือ ภาวะที่เป็นกิริยาของอะไรต่ออะไรต่างๆ หรือหน้าที่ของอะไรต่ออะไรต่างๆ เป็นภาวะเคลื่อนไหว ตั้งแต่หยาบใหญ่มโหฬารที่สุดแห่งที่สุดแค่ไหนๆทั้งปวง และเล็กที่สุดแห่งที่สุดปานใดๆทั้งปวง ล้วนเรียกว่า  “อาการ”ทั้งนั้น แม้แต่อาการ “นิ่ง”หรืออาการของ “ความว่าง” ก็ “ถูกรู้”ได้

ผู้จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อาการ”ก็อยู่ที่แต่ละคน บางคนไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในสัมผัสในอาการ

คนบางคนสัมผัส “อาการ”ได้ และบางคนมีอาการ แต่ไม่สามารถสัมผัส “อาการ”ของรูปกับนามที่ตนเองมี..ได้

 

 “อาการ”ที่คนสามัญไม่สามารถสัมผัสได้ แต่คนที่พยายามเรียนรู้ฝึกฝนกระทั่งสามารถสัมผัส “อาการ”นั้นได้ก็เป็น “วิสามัญ”

อาการ มีทั้งที่เป็นพลังงาน มากหรือน้อย แรงหรือเบา แม้ที่สุดเป็น “อาการ”ที่ไม่มีพลังงานเลย เป็นอาการเฉยๆ กลางๆ

 

อาการ มีได้ทั้งในวัตถุ และในนามธรรม

เช่น กิริยาของสสาร ก็คือ “อาการ”ของสสาร กิริยาของพลังงาน ก็คือ “อาการ”ของพลังงาน กิริยาของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ ก็คือ“อาการ”ของดิน-ของน้ำ-ของลม-ของไฟ-ของอากาศ-ของวิญญาณ กิริยาของคน ก็คือ “อาการ”ของคน กิริยาของสัตว์ก็คือ “อาการ” ของสัตว์ กิริยาของพืช ก็คือ  “อาการ”ของพืช

 

กิริยาของอวัยวะ ก็คือ “อาการ”ของอวัยวะ กิริยาของเซลล์ ก็คือ “อาการ”ของ

เซลล์ กิริยาของรูปธรรม ก็คือ “อาการ”ของรูปธรรม กิริยาของนามธรรม ก็คือ “อาการ” ของนามธรรม กิริยาขององคาพยพที่ประกอบ กันขึ้นเป็นคน 32 อย่าง ก็คือ  “อาการ 32”

 

หมอแมะนี่แหละคือนักเรียนรู้อาการ โดยการแมะ ส่วนหมอปัจจุบันก็ใช้หูฟังฟัง แต่สู้หมอแมะไม่ได้เขาเรียนรู้มานานกว่า ถ้าคนเรียนรู้อาการดีๆจะทำให้ได้สมดุลได้ดีกว่า จะอัตโนมัติในการดูแลเลย

 

กิริยาของพลังงานที่บำบัด “ตัณหา”ในจิตใจ ก็คือ  “อาการที่ 33”เรียกว่า ดาวดึงส์

 

กิริยาของกาย ก็คือ  “อาการ”ของกาย กิริยาของเวทนา ก็คือ  “อาการ”ของเวทนา กิริยาของจิต ก็คือ  “อาการ”ของจิต  กิริยาของกรรม ก็คือ  “อาการ”ของกรรม  
 กิริยาของธรรม ก็คือ  “อาการ”ของธรรม  

หรือกิริยาของหน้าที่อะไรต่ออะไรต่างๆ

 

เมื่อมี “กิริยา”เกิดขึ้นต่อเนื่องก็เป็น “พลังงาน” ดังนั้น พลังงานจึงเป็น “อาการ”ให้ “เห็น”ได้ 

หาก “อาการ”ใดปรากฏอยู่ แล้วใครสัมผัสได้ เห็นได้ รู้ได้ เข้าใจได้ กระทั่งเรียนรู้จนเข้าใจดี ถ้า “อาการ”นั้นเป็นโทษก็จะจัดการกำจัดหรือป้องกันไม่ให้เกิดโทษแก่ตนได้ ถ้า “อาการ”นั้นเป็นคุณค่าประโยชน์ ก็จะสามารถเรียนรู้ “อาการ”นั้นและนำมาทำประโยชน์ได้ จนสามารถจัดการ “อาการ”นั้นให้เป็นไปตามที่เราประสงค์ได้

 

 “อาการ”ของอะไร ก็คือ การเคลื่อนตัว หรือไหวตัวของภาวะนั้นๆ

ถ้าไม่มีอะไรเลยใน “ความว่าง”หนึ่ง ก็ไม่มี “อาการ”อะไรใน “ความว่าง”นั้นจากความว่าง(space,empty,zero) พอมีอะไรเริ่มขึ้นใน “ความว่าง”นั้น จากตัวเองก็ตาม เริ่มไม่คงที่ เริ่มไม่เท่าเดิม ก็มีภาวะหนึ่งที่ปรากฏขึ้น ก็เริ่มมี “อาการ” หากเป็นวัตถุรูป  แม้จะเป็นขั้น “อรูป” ก็จะมี “อาการ”ของอรูปนั้น

 

นั่นคือ เริ่มมี “พลังงาน”ของ “อุตุนิยาม”

ยิ่งสสารหนึ่งหรือวัตถุหนึ่งเริ่มไม่เป็นอยู่เท่าเดิม เมื่อมี “อาการ”ในตัวเองขึ้น ก็เริ่ม

มี 2 ก็เริ่มมี “อาการ”เกิดขึ้น ยิ่งถ้าเคลื่อนที่เพิ่มไปอีก ก็คือ พลังงานเพิ่มขึ้นอีก ไปเรื่อยๆ

ถ้าเป็น “พลังงานชีวะ”(cell)ก็เริ่มจาก “พลังงานอุตุนิยาม”นี้แหละที่มีพลังงานของ “การจับตัวกันเข้า”เป็น “ตัวเอง”(self) จาก cell ก็เป็น self แล้วพัฒนาขึ้นจาก self เป็น cell ที่มีความสัมบูรณ์ทาง “ฟิสิกส์”ทั้งความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ที่ได้สัดส่วนสนิทเนียนครบประสิทธิภาพสัมบูรณ์ยิ่ง จน “พลังงานทางฟิสิกส์”ที่มีความเป็นตนเอง(self)รวบรวมได้อย่างเป็นสัดส่วนพอเหมาะ”นั้นสามารถ “พึ่งตนเอง-ช่วยตนเอง-สร้างตนเอง” และใช้ความรู้ของตนเองทำให้ตนเองอยู่ได้เองยิ่ง

โดยมี “พลังงานแม่เหล็กร่วมยึดตนเองที่สามารถดูดรวมหรือยึดพลังงานอื่นมาร่วมแล้วสร้างเป็นตนหรือสร้างพลังงานอื่นขึ้นในตนเองได้เอง” เป็นอิสระในตนเองไม่ต้องพึ่ง “พลังงานอื่น”ก็ได้แล้ว พลังงานอื่นจะมาร่วมช่วยก็มีความรู้ที่จะรับหรือที่จะปฏิเสธอย่างมีความรู้ของตนเองที่จะรักษาความเป็นตัวเอง(self)ได้แล้วอย่างพอตัว

 

เพราะทำพลังงานตนเองได้ “ครบ” ไม่ต้องมี “พลังงาน”อื่น แต่เป็น “ตัวเองที่มีพันธุ์ของตนเอง”ที่พร้อมจะแตกตัวเองออกไปมีลูก มีผลผู้สืบทอดความเป็น “ตน” เผ่าพันธุ์ของตนต่อไปได้ หรือเป็นชนิดเดียวกันกับตนมีองคาพยพที่เหมือน “ตนเอง”(self)ขึ้นมาได้จาก self นี่เองที่เมื่อกลายเป็น-หน่วยแห่งพลังงานตัวเอง”ยึดอิสระในตนเอง “พลังงานแห่งตนเอง”ขึ้นมาได้ จึงเรียกว่า cell แห่ง “ชีวะ”เป็นพลังงานที่มีแบบพิมพ์ของเผ่าพันธุ์แห่งตนเอง  ที่สามารถแพร่พันธุ์ของตนเองออกไปได้ มีความยึดความเป็นตัวเองต้องเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกแยกไปเป็นอื่น ขยายพันธุ์ของตนเองต่อออกไป

นี่คือ เริ่มเป็น “พลังงาน”ที่เปลี่ยนฐานะจาก “อุตุนิยาม”มาเป็นขั้น “ชีวะ”ที่เรียกว่า “พีชนิยาม” มีตัวกำหนดรู้ความเป็น “ตัวเอง” เรียกว่ามี “สัญญา” แล้วก็ปรุงแต่งธาตุต่างๆขึ้นเป็นตนเองเรียกว่ามี “สังขาร”

 

 “พีชนิยาม”มีพลังงานที่ชื่อว่า  “สัญญา” คือ พลังงานกำหนดรู้ธาตุนั้นธาตุนี้ได้ และสามารถใช้อำนาจแม่เหล็กในตนดึงดูดด้วยสามารถมาให้ตนเองหรือมาใส่ตนเองเป็นตนเอง และเป็น “สัญญา”เป็น “ความจำ”ได้ถึงความเป็นตน สัดส่วนที่จะเอามาเป็นตน จึงทำความเป็นตน ปรุงแต่งความเป็นตนหรือสร้างความเป็นตนให้ตั้งอยู่ยืนยาวไปให้ได้ตามต้องการ เรียกว่า “สังขาร”

 “พีชนิยาม”มีพลังงานขั้น “สัญญา”และ “สังขาร” เป็นตัวจักรทำงานสร้างตนเองอยู่ ยังไม่มี “เวทนา” ยังมี “เจตสิก”ไม่ครบ 3 คือ ยังมีไม่ครบ “เวทนา-สัญญา-สังขาร” จึงยังไม่ใช่พลังงานที่จะนับว่า  “วิญญาณ”

 

ดังนั้น พลังงานที่ครบด้วยประสิทธิภาพดังกล่าวมานี้ จับตัวกันเข้าเป็น “เซลล์” เริ่มจาก “เซลล์แรกเกิด”(primary cell) หากมีกิริยาขึ้นมาคือ “ปรากฏอาการขึ้น”ก็สามารถรู้ได้ แต่ถ้า “ไม่มีกิริยาขึ้นมา”ก็ไม่สามารถรู้ นั่นคือ ไม่มี “อาการ”

 

แม้ “รู้”ก็ไม่ชัดเจนดี ยากมากที่จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น “ธรรม 2” ในภาวะที่อยู่นิ่ง หรืออยู่ในสภาพ “นิจจัง” เพราะจะเห็น “ความแตกต่าง”(ลิงคะ,เพศ)ได้ยากมาก

 

เพราะเมื่อเซลล์ไม่มีการเคลื่อนไหว จะอ่าน “ความจริง”ของภาวะนั้นไม่ง่ายเลยและตามความจริงแท้นั้น ถ้าอะไรก็ตาม ไม่มี “ความเคลื่อนไหว”ของตัวตน ภาวะนั้นก็จะไม่เกิด “พลังงาน”ใดๆขึ้นเลย

การเกิดโทษหรือประโยชน์ใดของภาวะนั้นก็ไม่มี ภาวะนั้นก็ไร้ค่า ไร้ประโยชน์สนิท 

 

พระพุทธเจ้าจึงให้อ่านจาก “อาการ”ของทั้งภาวะ “รูป”ทั้งภาวะ “นาม”ที่ “สัมผัส”กันขึ้น โดยท่านตรัสไว้ชัด(พระไตริปฎก เล่ม 9 ข้อ 77)ว่า“เว้นผัสสะแล้วจะรู้ชัดทราบชัดได้ นั่นไม่มีฐานะที่จะมีได้”(เต วต อัญญัตร ผัสสา ปฏิสังเวทิสฺสันตีติ เนตัง ฐานัง วิชฺชติ)ประโยคนั้น หมายความว่าอะไร

หมายความอย่างลึกล้ำมาก คือ หากไม่มี “รูป(ภาวะของตัวที่ถูกรู้)กับนาม(ภาวะของตัวรู้)”

ซึ่งเป็น “ธรรม 2”เกิดการ “สัมผัสกันขึ้น”มีการกระทบกันไปมาจนกระทั่งมีภาวะที่ 3

(ปฏิฆสัมผัสโส)เป็น “อาการ”ปรากฏขึ้นมา ก็จะไม่มี “ภาวะที่ตั้งอยู่,ที่ดำรอยู่,ตำแหน่ง,เหตุ,โอกาส”ให้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงหรือให้ศึกษาเรียนรู้ได้เลย หรือได้ไม่ครบบริบูรณ์

 

เมื่อไม่มีการเคลื่อน ก็ไม่มีภาวะที่ 2  หรือเมื่อไม่มีการกระทบกัน ก็ไม่มีภาวะที่ 3 การศึกษาไม่มีอะไรขึ้นมาให้เปรียบเทียบเลย นั้น ก็ไม่สามารถจะรู้รายละเอียดเพิ่มจากภาวะของแต่ละสิ่งเข้าไปถึงภายในของสิ่งนั้นๆได้เลย หรือไม่สามารถจะรู้รายละเอียดอื่นที่พึงมีจากภาวะนั้นได้หมดถ้วนบริบูรณ์ 

หากอ่านในขณะมี “อาการ”นั้นมันเป็นภาวะของการเกิด “พลังงาน”เคลื่อนที่ขึ้นมาเห็นความเป็น “พลังงาน”(energy)เห็นความเป็น “ตัวตน”(self) เห็นความเป็น “ชีวะ”(being,life)

ถ้าไม่มี “อาการ”ให้ศึกษา การศึกษาจะมี “ความแตกต่าง”คือ “เพศ”คือ “ลิงคะ”ให้ศึกษาเรียนรู้ได้ยากมาก

 

เพียงแค่ศึกษาเรียนรู้จาก “ความนิ่งๆ ความเที่ยงๆ” มันจะสามารถ “รู้”อะไรมากขึ้น หรือครบถ้วนกระบวนธรรม ไม่ได้บริบูรณ์

การศึกษาหรือการจะมีปัญญารู้จักรู้แจ้งรู้จริงทุกสิ่งทุกอย่างได้กระทั่งบริบูรณ์นั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงย้ำยืนยันหนักแน่นว่า  “เว้นผัสสะแล้ว จะรู้ชัดทราบชัดนั้นไม่มีฐานะที่จะมีได้”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 77-89)

 

ดังนั้น การศึกษาเรียนรู้จึงขาด “ผัสสะเป็นปัจจัย”ไม่ได้(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 64-76) 

เพราะใครมี “ทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของผู้นึกว่าตนฉลาดทั้งหลายนั้นเอง ที่จริงเขาไม่รู้ไม่เห็นความจริงอะไร เป็นความแส่หา ซึ่งในความดิ้นรนของคนผู้มีตัณหาเท่านั้น”(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 51-63)

 

เมื่อมีแต่ภาวะที่เที่ยงๆ นิ่งๆอยู่ ก็ไม่มีกิริยาอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะ “อาการ”ของเซลล์ตนเอง ที่จะต้องเรียนรู้ จึงไม่มี “อาการ”ให้อ่านรู้ จึงศึกษาเรียนรู้สภาพของความเป็นจริงไม่ได้

 “อาการ”คือ หน้าที่ซื่อสัตย์ที่สุดของสภาพของความเป็นจริงนั้นๆ เมื่อมี “อาการ”

เกิด เราก็สามราถอ่าน “อาการ”นั้นได้

 “อาการ”ที่ “ถูกรู้”ก็เรียกมันว่า  “รูป”

ด้วยการเรียนรู้จากความเป็น “รูปธรรม”

และความเป็น “นามธรรม” อันเป็น “ธรรม 2”

คือ ภาวะที่ “ถูกรู้”กับภาวะที่เป็น “ตัวผู้รู้” ซึ่งก็เป็น “ธาตุรู้”ทั้งคู่ แต่อยู่กันคนละฐานะ

ดังนั้น ภาวะที่ “ถูกรู้”ก็เป็นส่วนหนึ่งของ “จิต”เราเอง เป็น “รูป” อีกส่วนก็ทำหน้าที่เป็น “สัญญา”หรือ “ปัญญา”ซึ่งก็เป็นจิตของเราทั้ง 2 ส่วน  “การกำจัด”เราก็กำจัดเฉพาะส่วนที่เป็น “อกุศลจิต” ไม่ใช่ไปสะกด “จิต”ทุกส่วนสิ่งให้ “ดับ”ไม่รู้ไม่รับอะไรไปทั้งหมด

 

ศาสนาพุทธละเอียด ชัดเจน แม่นยำ จำเพาะ อย่างถ่องแท้ในความเป็น “อกุศล”

และ “กุศล” ไม่มั่วๆ รวมๆ ปนๆ หรือหลงผิดไปทำความควบแน่นให้แก่จิตเข้าไป ให้ตนเองไม่สามารถแยกแยะ แจกออกมาเรียนรู้ให้ละเอียดแม้ส่วนเล็กส่วนน้อยที่ละเอียดถึงที่สุด

วิธีการเรียนรู้ของพุทธจึงไม่ “ดับจิตไปทั้งหมด ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา” ดังที่พากันหลงผิด เข้าใจผิดไปทำเหมือนศาสนาอื่นเขาอย่างที่มีผู้รู้ผู้สอนกันอยู่ทั่วไป ด้วย แบบหลับตาเขาไปในภวังค์ แล้วก็ “ดับ”กันทั้ง “เวทนา”ทั้ง “สัญญา” อย่างนั้น “มิจฉาทิฏฐิ”

 

แบบพุทธต้องมี “การทำใจในใจอย่างถ่องแท้แยบคาย”(โยนิโส มนสิการ)   ปฏิบัติธรรมสำเร็จได้อย่างที่อธิบายนี้จึงเรียกว่า ทำ “นิโรธ”ได้สำเร็จ เป็น “ความดับ” แบบพุทธ จึงเรียกว่า “สัญญา เวทยิต นิโรธ” “สัญญา เวทยิต นิโรธ”มิใช่ “ดับจิตไปทุกส่วน”ด้วยการสะกดจิตไว้ไม่ให้รู้สึกว่ามีอาการใดๆในจิต(ไม่ให้มีเวทนา) หรือไม่ให้ตนเองรับรู้ใดๆทั้งจากข้างนอกและข้างใน(ไม่ให้มีสัญญา) หรือไม่ให้มันปรุงแต่งใดๆไม่ให้มันทำงานใดๆเลย(ไม่ให้มีสังขาร) แล้วเรียกว่า  “ความดับ”หรือ “นิโรธ”  

ทำความเข้าใจให้ชัดๆ คมๆ แม่นๆ ให้ดีนะ ว่า  “กำจัดกิเลสหรือบาปหรืออกุศลจิตออกไปให้สิ้นเกลี้ยง”จากจิตเรา และ “ไม่ให้กิเลสหรือบาปหรืออกุศลจิตเกิดในจิตเราอีก”

อาการของจิตอย่างนี้ คือ  “จิตสงบ”แบบพุทธ เรียกว่า จิตมี “ความดับ”คือ มี “นิโรธ”แล้วเรียบร้อย

และ “ความดับ”นี้ก็คือ  “กิเลสหรือบาปหรืออกุศลจิต”นั่นเอง “ดับ”ไปจากจิตของเรา ไม่เกิดในจิตของเราอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นจิตที่มี “นิโรธ”อย่าง “ตั้งมั่น” เรียกว่า  “จิตที่ไร้กิเลส”นั้นแหละ “ตั้งมั่น” ที่ภาษาบาลีว่า  “สมาธิ”นี่เอง  

 

นี้คือ อาการ “จิตสงบ”ของศาสนาพุทธ เป็น “สมาธิ”ของพุทธ

ไม่ใช่ตื้นๆแค่ ร่างกายอยู่นิ่งๆ ทุกสิ่งไม่เคลื่อนไหว ไม่กระดิก เงียบๆ ไม่มีเสียง  

ซึ่งแตกต่างจากอาการ “จิตสงบ”ของแบบที่ไม่ใช่พุทธ และ “จิตตั้งมั่น”ที่ไม่ใช่พุทธ

เพราะมรรคหรือวิธีปฏิบัติ แตกต่างกัน

 

และในภาวะการบรรลุธรรมที่เป็น “ความดับ” (นิโรธ)ก็ดี  “ความสงบ”(ปัสสัทธิ,สมถะ)ก็ตาม ก็แตกต่างกันทั้งนั้น

 

 “ความตั้งมั่น”แบบพุทธ กับ “ความตั้งมั่น”แบบที่ไม่ใช่พุทธ มันแตกต่างกันทั้งสิ้น

และไม่ใช่รวบเอา “จิต”ทั้งหมด หรือรวบเอา “จิตทั้งจิต” มาผนึกกันให้แน่นเข้าไป จนกระทั่งไม่สามารถเคลื่อนไหว ไม่กระดิก

 

แต่เป็นการกำจัด “จิต”ส่วนหนึ่งที่เป็น “บาป”หรือ “อกุศลจิต”เท่านั้นออกไปจากจิตตนให้หมด ไม่ใช่ไป “สะกดจิต”ธาตุรู้ไว้ไม่ให้รับรู้อะไร ไม่ว่าเวทนา ไม่ว่าสัญญา เป็นต้น

 

ซึ่งตรงกันข้าม ต้องมี “จิต”ปรากฏตัวให้เรารู้ต่างหาก จึงจะ “เห็น”(ปัสสติ) “จิต”ตัวที่เป็น “บาป”หรือ “อกุศลจิต”แล้วจึงจะกำจัดถูก “ตัวมัน”(อัตตา)ตัว “บาป”หรือ “อกุศลจิต”นั้นจริงๆแต่ก็ยังพากันจมอยู่กับ “นิโรธ”ผิดๆนั้น

 

ทีนี้คำที่ผิดอีกคำ ผิดมากๆด้วย คือคำว่า “บุญ” หรือ “ปุญญ”

คำว่า “บุญ”นี้ มีไว้ชำระกิเลสเท่านั้น เป็นเครื่องมือตัดกิเลส หมดกิเลสก็หมดเรื่องของ “บุญ” หมดสิ้นหน้าที่บุญ ไม่ต้องใช้บุญ ไม่ต้องมี “บุญ”อีก ผู้ที่เป็น “อรหันต์”แล้ว ไม่ต้องมี “บุญ”อีกเลย ไม่ต้องมี “บุญ”อีกแล้ว

 

อรหันต์จึงชื่อว่า ผู้ “สิ้นบุญสิ้นบาป” ซึ่งภาษาบาลีท่านก็ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ

 

ผู้เข้าใจคำว่า “บุญ”ไม่สัมมาทิฏฐิ จึงใช้ความเข้าใจอัตโนมัติง่ายๆของตน ตีความ

เอาตื้นๆว่า  “ปุญญ”หรือ “บุญ”เป็นโลกียธรรม เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของความเป็น “โลกุตรธรรม” พอเห็นคำว่า “อปุญญ” ก็แปลว่า “ไม่ใช่บุญ”ตรงๆดื้อๆ จึงตีความ “อปุญญ”ว่า เมื่อมันไม่ใช่ “บุญ”มันก็ต้อง “บาป” มันก็แค่เป็นภาวะธรรมที่หมุนวนกลับไปกลับมาอยู่ในระนาบเดียว ยังไม่ใช่ชั้นของความรู้ในมิติที่สูงขึ้น ไปอีกชั้นของรอบความวนที่สูงเป็นชั้นๆขึ้นไปอีกแต่อย่างใด

 

จึงเข้าใจ “อภิสังขาร 3”(ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร)ไม่ได้ ยังไม่เข้าใจความเจริญของ “โลกุตรธรรม”ว่า หมุนรอบเชิงซ้อน(ปฏินิสัคคะ,คัมภีราวภาโส) ไปในทิศโลกุตร

ธรรมที่สามารถอ่านจิตที่เนกขัมมะของตนได้นั้น มันเป็นการสังขารด้วยความสามารถของผู้

ปฏิบัติผู้นี้ ที่ปรับแต่งภาวะแห่งธรรมของตน ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “อกุศลจิต”ของตน แล้ว กำจัดหรือฆ่ากิเลสเฉพาะตัวตนของกิเลสตัวนั้นๆของตนได้จริงๆ ไม่ใช่การสังขารที่ประกอบไปด้วยกิเลสอย่างคนปุถุชนสามัญ  ความเจริญหรือเสื่อมของ “อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา”นั้น ถ้าไม่เข้าใจ “สภาวะที่หมุนรอบเชิงซ้อนในความวนของสภาวธรรม” ตาม “ศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุติ-วิมุตติญาณทัสสนะ” อย่างเป็นโลกุตรธรรม ก็จะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะที่  “หมุน” หรือ  “วน” ที่มันหมุนมันวนซับซ้อนมีชั้นเชิงลึกซึ้ง

 

 “ศีล-สมาธิ-ปัญญา”นั้นมี “สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน”(ปฏินิสัคคะ,คัมภีราวภาโส)ที่หมุนรอบเชิงซ้อนไปเป็นลำดับเหมือน “ก้นหอย”ที่วนกลับไปกลับมาซ้าย-ขวาทว่าหมุนวนสูงขึ้นๆๆ

จนสูงสุดถึงที่สุด ปลายสุดได้

 

แต่ถ้าผู้ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่รู้ความวนสูงขึ้นเป็นโลกุตระ ก็จะเข้าใจแต่การวนของโลกีย์ วนอยู่แต่ในมิติเดิม วนไปวนมา ซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย ระนาบเดิม ไม่สูงขึ้นไม่ต่ำลง แต่ส่วนมากนั้นจะหมุนวนไปมาในมิติที่ต่ำลงๆๆๆ ไปสู่ความมีกิเลสมากขึ้นๆๆๆๆๆ ก็จะไม่ “รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”

 

จะเข้าใจอาการของเคหสิตอุเบกขากับ เนกขัมสิตอุเบกขาได้ ต้องอ่านด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส จะไปนิพพานได้อย่างไร ไม่มี Raod map จะไปนิพพานได้อย่างไรต้องศึกษาสัมมาทิฏฐิที่คือ Road map ให้ดีก่อนจะปฏิบัติได้ถูกตรง

 

ความเจริญสูงขึ้นของความลดละจางคลายไปหาความเป็น “สูญ” หรือตกต่ำลง กิเลส

มากเพิ่มขึ้นใหญ่ขึ้นหนาขึ้นคนผู้นั้นก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง “ความจริงของปรมัตถธรรม”ที่เกิดผลในตน ซึ่งจะปรากฏเป็น “รูปกาย” เป็น “นามกาย”ให้เรารู้แจ้งเห็นจริง เริ่มตั้งแต่ “โสดาปัตติมรรค”

กันทีเดียว คือ จะต้องรู้จักรู้แจ้ง “สัก..กาย” (สักกาย) อันเป็น “ภาวะธรรม”ของตนในตนว่า เป็นอย่างไร? ด้วย “ปัญญา-อธิปัญญา”

 

นั่นคือ ความเป็น “กาย”ที่เราจะต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงด้วย “การสัมผัส”รูปกับนามอย่างแท้จริง “ของตน”(สัก)ในตัวเราเองด้วย “ฌาน”ด้วย “สมาธิ” ซึ่งเป็นความเจริญของ “อธิจิตสิกขา”ของตนตลอดเวลาที่ปฏิบัติตามขั้นตอนของ “อธิศีลสิกขา-อธิจิตสิกขา-อธิปัญญาสิกขา” และสามารถเห็น “กายในกาย” เป็นการยืนยันสภาวะธรรมให้เรารู้จักรู้แจ้ง “ความจริง”ของ “จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน” เพราะเห็นความเป็น “กาย”ให้เรารู้จักรู้แจ้งรูจริงไปตลอดการปฏิบัติ จึงจะเป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น

 “สัตว์ทางจิตวิญญาณ”(โอปปาติกสัตว์) และสามารถรู้จักรัแจ้งรู้จริง “สัตตาวาส 9” จึงจะปฏิบัติด้วย “วิญญาณฐีติ 7 กับอายตนะ 2” บรรลุผลธรรมแบบพุทธที่ปฏิบัติด้วย “โพธิปักขิยธรรม 37” หรือด้วย “จรณะ 15 วิชชา 8” หรือด้วย “สิกขา 3”

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:37:13 )

581001

รายละเอียด

581001_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 26

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2558 วันนี้วันแรม 4 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม วันนี้มีทั้งนักเรียนและผู้สมทบ จิตอาสาหมอเขียว ว.นบ. มีทั้งชาวชุมชน

 

มาดู sms

0857308xxx คำพ่อครูมีความหมายทางธรรมลึกซึ้งผู้น้อยต้องเรียนซ้ำๆจึงจะเข้าใจ

0893867xxx คนที่รู้เห็นตัวตนแท้ๆของตน(อัตตา)ที่เป็นของแท้ของ จริง(ภูตภาวะตถตา)คงจะ เข้าใจอาการ,ลิงคะ,นิมิต, อุเทศ!มีพุทธปัญญารู้ภาวะ รูป-นามที่พ่อครูสอน!

0893867xxx อาการคือสภาวะนั้นของจิตเมื่อจิตมีอาการพากเพียรจนมีความตั้งมั่นจนเกิดพลังงานแบบเข้มแข็งมั่นคงคงใช่เจตสิกฤาธาตุจิตที่เรียกว่าฐีติธาตุกระมัง?

ตอบ...คำว่าอาการนี้สำคัญ แล้วต่อมาก็มีคำว่า นิมิต คือการกำหนดหมาย นามธรรม ไม่มีเส้นแสงสีเสียง แต่เรากำหนดเองว่า อาการอย่างนี้หมายถึงอาการโกรธ อาการโลภเป็นเช่นนี้ เรากำหนดหมายเอาเองจำเองเองเลยว่ามันต่างกัน มีลิงคหรือเพศ โกรธน้อยมาก แรงเบา ก็ต้องรู้ความต่างของตนเอง นี่เรียกว่าปัญญาที่จะเข้าใจความจริงของปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ส่วนอุเทสคือฟังความอธิบาย เช่นฟังที่อาตมาอธิบาย ฟังไปแล้วเข้าใจก็เอาไปปฏิบัติฝึกฝนตนเอง ผู้สามารถเข้าใจ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คือผู้มีพุทธิปัญญา รู้ภาวะรูป นาม

 

0893867xxx การทำทานที่จะทำให้ได้บุญแท้ขณะทำในสิ่งที่เป็นปย.ต่อผู้อื่นต้องทำด้วยจิต บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสไม่มีความต้องการหมดความอยากได้ทุกสิ่ง!

ตอบ...ถูกต้องที่สุด เวลาทำทานไม่ค่อยเห็นสำนักไหนสอนว่า ทำทานแล้วไม่ได้บุญ ทำทานได้แต่กิเลส ไม่ได้บุญ บุญคือการชำระกิเลส บุญคือเครื่องมือประหารกิเลสไม่ใช่เครื่องมือรองรับความดีแต่อย่างใด แต่ปัจจุบันคำว่าบุญเพี้ยนไปหมดกลายเป็นคำว่ากุศลไป ทานต้องตั้งจิตให้ลดโลภ หรือหมดโลภ นั่นคือทานที่เป็นบุญ แต่ถ้าทานแล้วตั้งจิตว่าจะได้กลับมาคืนมากๆหรือเป็นวิมานหลอกกัน นี่คือบาป ตกนรกไปด้วยกัน คนทำทานกิเลสหนาก็ตกนรก น่าสงสารคือมนสิการไม่เป็น

ทำบุญต้องทำใจในใจเป็น นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 1

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้คนไกลอโศกได้ฟังธรรมพ่อครูฯจนหมดทุกข์สิ้นโศกทุกวัน!จรธ.

 

พ่อครูว่า...เด็กเหมือนเครื่องบันทึก เคาะเครื่องก็บันทึกในฮาร์ดดิสก์ รู้เรื่องไม่รู้เรื่องก็บันทึกไว้ เด็กเกิดมาอุแว๊ พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าพูดเขาก็ไม่รู้ความ แต่แกบันทึกไว้ ถึงรู้ความก็ยังพูดไม่ได้ จนกว่าจะพูดได้ก็จะพูดคำที่รู้ แม้จะไม่ชัดก็พูดออกมา แต่รู้น่ะมากกว่า บางทีไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็บันทึกไว้หมด พอโตขึ้นๆ มีวุฒิภาวะพอ พูดได้เด็กมันเรียนมาหมด พูดได้เยอะ เพราะบันทึกไว้หมดแล้ว ทีนี้อยู่ที่ปฏิภาณ ฉลาดของเด็ด หากดีก็เอามาใช้ได้เยอะ แต่เด็กบางคนไม่ฉลาดก็ได้เท่าที่ได้ แต่สรุปแล้วเขามีต้นทุนเก็บไว้ในสัญญา ในฮาร์ดดิสก์ การฟังไปแล้วก็จำไปๆ บันทึกลงไปๆ ถ้ายิ่งคมชัดแม่นจะบันทึกตรง ยิ่งเรารู้คำความหมายของคำ ยิ่งฟังซ้ำก็ยิ่งบันทึก ยิ่งฟังซ้ำก็ยิ่งประทับใจ ก็ยิ่งบันทึกไว้แน่นๆๆ การฟังนี่ไม่เสียหลายเลย โดยเฉพาะการฟังธรรมะ ประเสริฐ ถ้าไปฟังข้างนอกเละเทอะ ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเท่าไหร่ แต่มาฟังธรรมะ แม้เราจะเข้าใจบ้างไม่ได้บ้าง ก็ยังบันทึกไว้เท่าที่จะจำ ไม่เสียหลายหรอก

 

อาตมามาเทศน์ไม่เอาค่าจ้าง เพราะว่าการไปเทศน์แล้วรับค่าจ้างเหมือนการเป็นมือปืนรับจ้าง จะค้าขายอะไรก็ค้าเถอะ แต่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาค้ามาขาย อาตมาว่า คนไม่โง่สุดก็สิ้นไร้ไม้ตอกสุดนะยิ่งมาในคราบนักบวชยิ่งบาป อย่างเณรคำ ได้ข่าวว่า ไปทำมาหากินอยู่อเมริกา ได้ข่าวจะประกาศนิกายใหม่ด้วย ไม่กลัวบาปเลย เณรคำนี่หากินโดยการฟอกเงินนะ ใครจะจัดการก็เชิญนะ

 

การยึดมีสองแบบ ยึดข้างนอกว่าเป็นเรา กับยึดตัวเราเป็นของเรามากยิ่งขึ้น ยึดข้างนอกคือโลกธรรม กามคุณ ว่าเป็นเรา เรียกว่าโลก จิตตนที่ยึดสั่งสมเป็นอาสวะอนุสัยเรียกว่าอัตตา พระพุทธเจ้าสอนเรื่องโลกกับอัตตา สองคำนี้เท่านั้น ในธรรมะทั้งหมดสอนสองอย่างนี้ ให้รู้ทั้งสองอย่างแล้วไม่อยู่ใต้อำนาจโลกกับอัตตา อยู่เหนือโลกเหนืออัตตาคือผู้ตื่นรู้ และหลุดพ้น

 

ในพระไตรฯล.9 สูตรแรกเลย พรหมชาลสูตร ถ้าใครอ่านจนจบ ก็จะสรุปได้ว่า

1.เนื้อหาธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องรู้เนื้อหาอันนี้ด้วย คือรู้อัตตากับโลก

2.ผู้จะเรียนรู้ ต้องเรียนรู้ตามพระสูตรนี้ ท่านบอกอะไร ?

 

ท่านว่าสูตรแรกเราจะเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าเรียนรู้แบบหลงอดีตกับอนาคตอยู่ นั่นไม่ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ศาสนามีเยอะ ลัทธิต่างๆมีเยอะ เขาจมในอดีตกับอนาคต ทั้งนั้นเลย ส่วนใหญ่เลย พวกอยู่กับปัจจุบันก็มี แต่กลายเป็นอุจเฉทิฏฐิ เป็นพวกนักตรึกนักคิด หรือพวกขาดสูญ

 

อดีตกับอนาคต แม้ปัจจุบันมิจฉาทิฏฐิ หากใครมาศึกษาธรรมพระพุทธเจ้าแล้วไม่รู้ปัจจุบัน แต่ไปอยู่กับปัจจุบันอุจเฉทิฏฐิ ที่ตรึกนึกเอาเอง ขาดสภาวะสมบูรณ์ อย่างนี้ไม่มีหวังบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาเลย นักรู้นักศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามีแต่พวกนักรู้ไม่เป็นนักปฏิบัติ

 

ทิฏฐิสุดท้ายคือ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ มีอยู่ 5 ประการ คือ กาม ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 พวกนั่งหลับตาทำสมาธินั้นตอกตะปูปิดนิพพานเลย

 

พวกไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยปิดประตูนิพพานเลย ไม่มีการปฏิบัติได้ แต่พวกมีผัสสะแต่ไม่สัมมาทิฏฐิอีกก็ไม่ได้อีก มีแต่พวกเข้าใจภาษาเก่งแล้วทำตำรา ผนวกความคิดของตน เป็นเครื่องมือทำมาหากิน ได้โลกธรรม ได้กาม เลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต

 

 

(120)  “ผู้รู้ผู้ตื่น” คือ  “ตื่น”(ชาคร)จากอะไร? อย่างไร?

          ตั้งสติกัน ทำปัญญาให้แจ้งกันบ้างเถิด อย่าเอาแต่ยึดๆๆ ทั้ง “ทิฏฐุปาทาน”ก็ยึดกันแน่น ทั้ง “สีลัพพัตตุปาทาน”ก็ยึดเหนียวหนึบ ยิ่ง “อัตตวาทุปาทาน”ก็ยิ่งยึดกันไปลมๆแล้งๆ ไม่เข้าใจกันด้วยซ้ำว่า ตนยึดได้ก็แต่ “อัตตวาท”คือยึดได้แต่ “คำกล่าว-การพูด”เท่านั้นว่า  “อัตตา”ๆๆๆ แต่แท้จริงยังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสภาวะกันเลยว่า สภาวะจริงๆของ “อัตตา”นั้นเป็นไฉน มีอยู่อย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสอยู่ใน “ทิฏฐิ 62”นั่นแหละ

          หรือ “อัตตา 3” คือ  “โอฬาริกอัตตา”นั้นไฉน  “มโนมยอัตตา” เป็นอย่างไร จนถึง “อรูปอัตตา”ขั้นปลายสุดจึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้   

          สำหรับ “กามุปาทาน”นั้น ไม่ต้องพูดเลย รู้กันดี แต่เต็มใจจมอยู่กับกามกันทั้งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเสียดสี หรือจมอยู่กับความใคร่อยากได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญได้สุขที่เป็นโลกีย์ทั้งหลาย เต็มสถาบันศาสนากันเห็นๆ  “ตื่น”ขึ้นมาจากหลงใหลกันบ้างเถิด

          สถาบันเราก็เคารพ ครูบาอาจารย์ทั้งโบราณปัจจุบันเราก็เคารพ แต่ “สัจจะ”นั้นน่าจะเข้าถึงให้จริงให้ได้ เราไม่ได้ลบหลู่สถาบัน หรือบรรดาอาจารย์เลย เพียงแต่เราประสงค์จะให้เข้าถึงสัจธรรมกันจริงๆเป็นเป้าแท้ จะได้เกิดประโยชน์แท้จริง กอบกู้ศาสนาขึ้นมาได้จริงกันบ้าง พากันหลงเลอะน่าสงสารมานานแสนนานแล้ว

          คนที่ชื่อว่า ผู้ “ตื่น”(ชาคร) ไม่ได้หมายว่า แค่คนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจากการหลับพักกาย แต่เป็นผู้มี “ความตื่นรู้พร้อมด้วยสติเต็มทำงานกับ “อายตนะ 6”เป็น “ชาคริยานุโยคะ” หมายความว่า พากเพียรทำความตื่นให้เป็น “ผู้รู้ผู้ตื่นจากโลกียารมณ์ที่ตนหลับไหลลุ่มหลง”อยู่นั่นทีเดียว ไม่ใช่แค่ตื่นจากนอนหลับเท่านั้น

          อย่าหลับไหลไปกับสถาบันกันจนหลงใหลคลั่งไคล้กันนัก

           “สถาบันพุทธศาสนา”ยังอยู่ในศีลในสัจธรรมกันดีอยู่หรือ?

           “ตื่น”ขึ้นมาตรวจดู “ความจริง”ที่เป็นภายนอกที่ห้อมล้อมอยู่ทั้งหลายดูดีๆเถิด อย่าเอาแต่จมอยู่กับอารมณ์ “ฝัน”อันแสนสวยแสนสุขกันอยู่กับ “โลกียธรรม”ที่พรั่งพร้อมของตนเอง จนไม่รู้จัก “ความจริง(สัจธรรม)ตามความเป็นจริง”กันนักเลย

          ไตร่ตรองกันดีๆ ว่า สัจธรรมคือศาสนา หรือสถาบันคือศาสนา หรือบรรดาอาจารย์คือศาสนา อะไรคือศาสนากันแน่

          ทำ “ทิฏฐิ”นี้ให้แจ้งกันดีๆเถิด ลดละอัตตากันเสียบ้าง

          ยิ่งใครยังเอาแต่หลงหนักมืดอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ตกเป็นทาสมัวเมาดำฤษณา ถูกบำเรอบำรุงด้วยลาภยศสรรเสริญสุขสบาย ถูก “สินบน”หรือ “ลัทธิประชานิยม”สะกดจิตเอาจนกลายเป็นทาสซื่อที่แสนเชื่อง ก็จงรู้ตัวเองบ้างเถิด สลัดแอกให้แก่ตนเองบ้าง

          นี่คือ  “ทิฏฐิ”บทแรกที่จะต้องตื่น(ชาคร)เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิโลกียนิยม-ทุนนิยม” เลิกงมงายตายซากอยู่กับ “ลัทธิจิตนิยม-เทวนิยม-อัตตนิยม-วัตถุนิยม” กันให้ได้เสียทีเถิด

          มันจะ “เสียหน้า-เสียศักดิ์ศรี-เสียผู้เสียคน”อะไรกันนักหรือ  ที่จะเป็นผู้รู้สึกตัวว่า เราหลงเป็นทาสอยู่ในดงแดนแห่ง “มิจฉาทิฏฐิ”       

 

(121) ผู้ไม่ “ฝึกฝนดับฝัน”เพราะไม่ตื่นขึ้นมาฝึกภายนอก

          ดังนั้น ผู้ยิ่งมัวไปมั่วหลงปฏิบัติอยู่กับภาวะที่หลงมุ่นใน “อดีต”หรือ “อนาคต”ในภายใน ที่เป็นเพียง “ฝัน”เท่านั้น ว่าเป็น “ความจริง” ที่จะปฏิบัติเกิด “ผลธรรม” ก็ยิ่งเป็น “มิจฉาทิฏฐิ”อยู่ตลอดกาลนาน

          เพราะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “อัตตา”และไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “โลก”เท่านี้แหละ ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอะไรต่ออะไรได้หมด

          คนทุกคนที่ยังต้องสุขๆทุกข์ๆหมุนวน ตาย-เกิด เกิด-ตายอยู่ในวัฏฏสงสารไม่รู้สิ้นสุด ก็เพราะไม่รู้แจ้ง “โลกและอัตตา”นี่เอง

          และพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้คน “จบกิจ”เรื่องเป็น “ทาสโลก-ทาสอัตตา”นี้แล คือ  “โลกุตรธรรม” เป็นคนโลกใหม่ ที่อยู่ใน “โลก” กับมวลมนุษยชาติเขา อยู่กับลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุขกับกามกับอัตตาของคนในโลก แต่ท่านไม่เป็น “ทาส”แล้วจริงแท้ และไม่หลงติดหลงยึดเอามาเป็นตนเป็นของตนแล้วเด็ดขาด เพราะท่านไม่มีตน

          มีแต่ “เมตตา”ที่จะช่วยผู้คนที่หลงเมามัวอยู่กับโลกและอัตตา

          คนที่ยังอวิชชาจึงอยู่กับ “ฝัน”กันทั้งนั้น ไม่ศึกษาให้บริบูรณ์ด้วย “ความจริง”ที่มีทั้ง “สมมุติสัจจะ”ในปัจจุบัน แล้วกำจัด “อนุสัย”ให้หมดไปกับภูมิ “ปรมัตถสัจจะ”ในปัจจุบัน นั่นคือ  “ฝึกฝนดับฝัน”

          ซึ่งต้องฝึกกันในขณะมี “ภายนอก” และเป็น “ปัจจุบัน”

อาตมาเรียนศิลปะ จัดองค์ประกอบเป็น จะปรุงแต่งไปกับเขา ให้เขาสนใจมาก็ได้แต่ว่าจะไปปรุงแต่งกับเขามากๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะทำให้คนติด มันเป็นของยึด อุปาทานของใครของมัน มันเปลี่ยนไป อย่างแฟชั่นผู้หญิงนี้เปลี่ยนไปทุกปี ปั่นจิตของคนให้หลงตาม ผู้หญิงถูกปั่นหัวไป อาการรู้สึกว่าสวยจริงๆตามเขาว่า นั่นคือความไม่รู้ หลง โมหะ อวิชชา รู้สึกจริงตามเขาหลอกเลย

          อร่อยก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเด็ก คนหนุ่มสาวคนแก่ พระพุทธเจ้าถึงสอน โภชเนมัตตัญญุตา เรียนตั้งแต่เด็กจนโตให้ถึงอรหันต์เลย กินอาหารกินตามธรรมชาติ เปรี้ยว หวานเค็ม เผ็ด ขม ก็รู้สึกตามรสที่มันเป็น ถ้าร่างกายต้องการก็กินเข้าไป ไม่ใช่ว่ารสนี้ชอบ รสนี้ไม่ชอบก็เป็นภาระวุ่นวาย เสาะแสวงหามาบำเรอตน นี่คืออุปาทานต่างๆ กามุปาทาน ทิฏฐิปาทาน อุปาทานมาก ก็ไปมีองคาพยพอย่างนั้น ไปเกิดเป็นหมีแพนด้า อุปาทานว่าใบไผ่อร่อย กินแต่ใบไผ่ หรือหมีคัวอาล่า ก็กินแต่ใบยูคาลิป ไปได้องคาพยพ เป็นควายก็กินแต่หญ้า มันไม่ยักกินใบไมยราพยักษ์ อยากให้มันกินมันไม่กิน

 

มาเกิดเป็นคน คนเป็นสัตว์กินพืช ดันถูกหลอกว่าเนื้อสัตว์อร่อยก็กินเนื้อสัตว์ หลงกินเนื้อสัตว์มาไม่รู้กี่พันกี่หมื่นปีแล้วทั้งๆที่องคาพยพ คนนี่ข้างนอกก็เป็นเล็บ nail ไม่ใช่ craw ฟันก็เป็นฟันกราม molar ไม่ใช่ canine เหมือนหมา หรือเสือ ลำไสก็ยาว ต่างๆนานาสารพัด ว่าเป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ แต่ไปถูกหลอกให้กินเนื้อมานาน จนร่างกายก็ต้องเอา

 

อย่างหมานี่มันเป็นสัตว์กินเนื้อ คนเอามาฝึกให้กินมังฯ ร่างกายมันก็ปรับได้ มันก็ไม่ตาย แต่ไม่ใช่ของมัน หมาไม่ใช่สัตว์กินพืช องคาพยพมันมาแบบนั้น นัยพวกนี้คนไม่ค่อยเข้าใจอาตมาพามาสู่สภาพที่ถูกต้อง แล้วเชื่อมั่นว่าจะเป็นได้จริง

 

เพราะคนผิดเพี้ยนไป ถ้าคนไม่กินเนื้อสัตว์คนก็จะไม่ดุเหมือนควาย วัว แต่ไปกินเนื้อสัตว์เลยดุเหมือนหมาเหมือนเสือ ถ้ากินแต่พืชก็เหมือนช้างม้าวัวควาย

 

อาตมาไม่มีความรู้ทางโลกมากมาย ไม่มีใบปริญญาใดๆๆ ไม่มีความรู้วิทยาศาสตร์ใดๆ แต่ว่าพูดจากความรู้ต้นราก ที่มีมาแต่เดิม บางทีพูดไปอย่างนักวิทยาศาสตร์เขาว่าเอาอะไรมาอธิบายเขายังไม่มีใครรู้กันเลยแบบนี้

 

พระพุทธเจ้าสอนให้เรียนรู้องค์ประกอบทั้งหมด ของโลกที่เกี่ยวกับเรา เกี่ยวกับอัตตา ด้านในก็อัตตาด้านนอกก็เป็นโลก จนเราปรินิพพานเป็นปริโยสาน เรียนให้ชัด เราจะรู้ว่ามันมาร่วมประชุมกันลงในคำว่า กาย

 

เรียนรู้อัตตา จาก กาย (องค์ประชุมของรูปกับนาม มาสังเคราะห์กัน)

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ให้รู้ว่า อาการอย่างไรเป็นโทษ อาการอย่างไรเป็นประโยชน์ อ่านให้ชัด ตั้งแต่แคบๆ ปริตตัง เกี่ยวกับศีลข้อ 1 เราไปสัมผัสกับสัตว์ต่างๆ เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต อย่าไปทำร้ายทำลาย อภัยกันให้หมด สัตว์ทั้งหลายเกี่ยวกัน เป็นเวรภัยแก่กันมาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสในลังกาวตารสูตร ท่านว่า

โอ, มหาบัณฑิต! ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก. ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน. สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง. สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ, จะเป็นผู้สำเร็จแล้ว หรือยังเป็นสาวกธรรมดาก็ตาม ผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เป็นภราดรของตน, แล้วจะเชือดเถือเนื้อของมัน?

 

ชีวิตที่เกิดมาแต่ละชาติๆ ร้อยปีหรือห้าสิบปีตาย นั้นน้อยนัก เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเอานิ้วมือจิ้มในดิน แล้วบอกว่าไม่มีที่ใดที่เราไม่เคยเกิด คือตั้งแต่แบคทีเรียจนเป็นสัตว์ใหญ่ไดโนเสาร์ เกิดมาแล้วนับไม่ถ้วนทุกแผ่นดิน

 

ให้คุณมาเกิดอีกหลายล้านชาติ ถ้าคุณยังติดเช่นติดส้มโอไม่ละวาง คุณก็จะเวียนมาหาส้มโออีก ถ้าคุณติดขี้ คุณจะไปเกิดเป็นหมาอีกไม่รู้กี่ชาติ เพราะหมามันติดกินขี้ ต่อให้คุณติดทองคำ ติดเพชรพลอยหรืออะไรๆก็แล้วแต่ คุณก็จะอยู่กับอันนั้นที่จะมาเกิดกับอันนั้นมันอะไรกันนักกันหนา เป็นภาระทุกข์วุ่นวายติดมากๆเข้าของข้าใครอย่าแตะ พยาบาทแก้แค้นกันเป็นหนังจีนไม่รู้กี่เรื่อง ก่อนจะตายก็ว่าลูกแก้แค้นแทนพ่อก่อนจะตาย คือไม่รู้อะไร ตัวเองอาฆาตคนเดียวไม่พอบอกลูกให้อาฆาตอีก

 

ในชีวิตนี้คุณเลิกอาฆาตมาดร้ายได้เลย แม้แต่ไปผูกพันอยู่ แต่แม้ทำประโยชน์แก่กันก็ยังดี แต่นี่ผูกพันกันเพื่อจะมาทำร้ายกัน จะไปทำทำไม มันดีหรือ อย่าไปผูกพันนัวเนียอะไร คนถึงเดือดร้อนวุ่นวายน่าสงสาร คำว่าสงสารคือวนเวียนมาไม่ดูดก็ผลัก ไม่แก้แค้นก็ดูดถึง ไม่ได้มาก็ทำร้ายไปมีอยู่แค่นั้น แต่มันก่อนิยายเป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยกันมากมายมหาศาล

 

พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้โลกกับอัตตา

เบื้องต้นให้เรียนรู้ กาม ก่อน ตั้งแต่อบายมุขที่จัดจ้านมากต้องเว้นก่อน แต่ก่อนอาตมายังไม่เข้าใจเรื่องเพื่อนอาตมาอาฆาตตาย เห็นงูที่ไหนต้องฆ่าให้ตายถ้าไม่ได้ฆ่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลย เขาเกลียดจริงๆ

 

ธรรมะพระพุทธเจ้ายังมีเนื้อแท้อยู่ อาตมาขอยืนยันว่าอาตมารับถ่ายทอดธรรมะพระพุทธเจ้ามา ขนาดอาตมาพูดไปนะว่า ในมหาจัตตารีสกสูตร

 

ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ท่านแจกอัตตาเป็ฯ 16 แบบ

 

(1) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) 16

19. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

20. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

21. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา

22. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

23. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

24. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

25. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา

26. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

27. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา

28. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา

29. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา

30. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา

31. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

32 อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา

33. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา

34. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา

ตนทั้ง 16 ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

 

อาตมาตั้งแต่ปฏิบัติธรรมก็เลิกที่จะกินตามใจ แต่ใครเอาอะไรมาให้ก็กิน ไม่เห็นมีปัญหา ไม่เห็นร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคภัยอะไรมากมาย ก็แข็งแรงดี แล้วคนอื่นเขาก็เลี้ยงเราง่าย เราไม่ใช่คนกินอะไรไม่ถูกปาก

 

_มีหนูน้อยถามมา (หนูเมย)ดญ.สุดคำฟ้า ถามว่า กิเลสเกิดจากอะไรคะ แล้วทำไมมันต้องเกิดด้วย

ตอบ...อย่างน้อยเด็กๆตัวแค่นี้ก็ถาม เขาถามดูเหมือนไม่รู้เรื่องแต่สำคัญนะ …. กิเลสเกิดจากตัวเราเองโง่.....กิเลสมาจากคำว่า กิระ+ เอสะ คำว่า กิระ คือดั่งได้ยินมา แล้วก็จะต้องได้ตามที่เขาว่ามา อย่างแฟชั่นเขาก็ว่ามาว่าเทรนด์ใหม่ก็ไปแสวงหาอย่างเขาว่าเลย มันโง่ มันไม่จริงเลย มันจะเอาตามเขาว่า มันเกิดจากเราไม่ศึกษาสัจธรรมก็เลยโง่ เชื่อเขาหมด ทำไมถึงเกิด เพราะเรากำจัดความโง่ของเราไม่หมด ต้องไปล้างความโง่ของเราออกให้หมด หมดแล้วจะรู้ว่าไม่หลงตามเขาอย่างไร เขาจะบอกว่าอันนั้นน่าได้น่ามีน่าเป็นก็ไม่รู้สึกเหมือนเขา เราก็รู้ว่าอันไหนใช้ประโยชน์ได้จริงก็ทำ แต่อันไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่เอา 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:38:11 )

581002

รายละเอียด

581002_ธรรมาธรรมะสงคราม ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ 27

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 2 ต.ค. 2558 เร่ิมต้นเดือนตุลาคมแล้ว ใกล้หมดปีอีกแล้ว เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทัน มันยังไง ชีวิต แก่ไม่ทันจริงๆ แต่เราก็อาศัยใช้เวลาศึกษา ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษา ไม่เช่นนั้นก็หลงไปมีกิเลสหนาขึ้นๆ เป็นปุถุชน ชีวิตคนไม่ศึกษาธรรมะนั้น มีชีวิตเพื่อเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองทุกวินาที คือการแส่หาแสวงหาของจิตวิญญาณอวิชชา

 

ไม่ใช่ผู้ศึกษาแต่เป็นผู้แส่หา ตกในอวิชชา พระพุทธเจ้าว่าดุจถูกข่ายคลุมไว้ ดำผุดดำว่ายในข่ายนี้ตลอดเวลาเลย ก็จริงที่สุดเลย ชีวิตน่ากลัว ขออภัยที่ต้องบอกว่าผู้ออกมาได้ อาตมาว่าอาตมาออกมาได้ก็เห็นชัดเจนจริงๆ ชาตินี้อาตมาเป็นลิงลมอมข้าวพองไประยะหนึ่ง

 

ชีวิตคนก็จมกับอัตตากับกาม แล้วจมอยู่กับตัวเอง ถูกหลอกว่าตัวเองคือตัวกิเลส กว่าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากกิเลสที่ยึดเอาตัวเราไป จนเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราคือใคร กว่าจะเป็นอิสระเสรีก็ไม่ง่าย อาตมาก็ศึกษาแล้วก็ดูคนอื่นเขาศึกษา ก็ถึงยุคนี้การศึกษาของพระพุทธเจ้ามันเสื่อม ไม่ใช่ธรรมะวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าเสื่อม แต่คนมันเสื่อมจากศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเพี้ยนไปไกลมาก ไกลจนกระทั่งยากที่จะกลับมาแล้ว

 

คนเราก็หลงสะสมกิเลสชอบใจไม่ชอบใจสั่งสม ด้วยอำนาจโลกด้วยอำนาจอัตตา จนเรามาศึกษาสลัดหลุดได้ ไม่ยึดมาบำเรอตนเองได้ เพราะบำเรอตนเองมันจึงเป็นตัวเอง ถ้าเราหยุดบำเรอตนเองก็จะรักษาไว้ได้ ก็พยายามดูของคนอื่น ตรวจพระไตรฯมากขึ้น ก็พยายามศึกษาไปอ่านไป

 

มาดู sms ก่อน

_เมื่อวาน ดญ.เพชรเพียงพุทธ ก็ถามค้างไม่ได้ตอบไว้ ...หลวงปู่คะมารยาทกับมารยาต่างกันอย่างไรคะ

ตอบ...ก็เป็นภาษาที่ตั้งมาสื่อสภาวะ มารยาทกับมารยาก็เป็นคู่หนึ่ง ของสภาพสิ่งที่ชื่อว่า อาการที่เรารู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ดี อย่าให้มันแสดงออก คือตัวมาร อย่าให้แสดงออก เมื่อเราสามารถรู้ตัวว่ามีสิ่งไม่ดี เราก็เลยควบคุมสิ่งไม่ดีเอาไว้ ควบคุมมารไว้ อย่าแสดงตัวขายหน้าข้านะ หรือไม่รู้ก็ตามก็เป็นสัญชาติญาณ รู้โดยปริยายว่าไม่ควรแสดงออก แต่คนไม่รู้ก็แสดงออกอย่างไม่มีมารยาท มารยาทคือแสดงออกกับสังคมอย่างได้รับการอบรมแล้ว เรียกว่าผู้มีมารยาท ก็มีคำว่า มายา มารยา จนมาเป็นมารยาท ก็เป็นสภาวะ ต้องรู้อ่านอาการจิตตน ชัดๆคือจิตเรามีกิเลส

 

เช่นมีอาการโกรธ มันไม่ดี อาการโลภ อาการราคะ มันเป็นอกุศลจิต ไม่ดี ถ้าไม่ควบคุมก็จะแสดงออกมาเป็นกิริยาภายนอก บางทีผู้ไม่เข้าใจก็อธิบาย มารยากับมารยาทว่า คนไม่จริงใจเลยไม่แสดงออก หรือแสดงออกมาอย่างมารยา ที่จริงมีความชั่วในใจไม่ปล่อยมารออกมา คือมารยา อย่างมารยาหญิงนี่ปรุงแต่งไปหลอกกันเพิ่มขึ้นอีกมากมายเลย

 

_ดญ.น้ำตาล พืชก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต แล้วทำไมเราเลือกกินพืชผัก แล้วพืชผักมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ไหม?

ตอบ...ชีวิตสัตว์ก็มีชีวิต พืชผักก็มีชีวิต แต่พืชผัก มันมีชีวิตที่มีพลังงานชีวิต แต่ไม่มีพลังงานที่รู้สึกสุข ทุกข์ หรือรัก หรือชัง มันไม่มี มันก็เลยไม่มีบาปหรือบุญ มันไม่จองเวรจองกรรม ชีวิตพืชเราก็ใช้กินได้ เพราะคนเราต้องกินอาหาร ในโลกนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีพืช มีสัตว์ มีคน มีอาการ คนเราก็ต้องหายใจ แต่น้ำเราก็ดื่มอยู่ คนก็อาศัย ไฟและลม ธาตุดินนี่เรากินไม่ไหว แต่ถ้าเป็นส่ิงพอกินได้ก็กินไหว แต่สิ่งที่ใช้กินได้ดีคือพืช มันมีธาตุที่ร่างกายเราต้องการจากพืชได้มากกว่าดินกินง่ายกว่าดิน เราก็เลยต้องกินพืช แต่คนโง่เลยเถิด เลยไปกินสัตว์อีก

       ทำไมเราไม่กินสัตว์ก็เพราะสัตว์มีพลังงานรัก ชัง จองเวร จองกรรมได้ด้วย เราก็ไม่ต้องไปเอามันมาเลี้ยงชีพเรา จะเกิดเวรภัยแก่กันและกันได้ เราก็อาศัยพืช อาศัยดิน พืชคือธาตุที่รวมตัวเป็นสสารก็เหมือนดิน แต่มันสังเคราะห์มาเป็นสิ่งที่คน สัตว์ใช้ได้

       เราไม่ควรสร้างเวรกรรมกับสัตว์

 

อาตมาไม่ได้หารายได้แต่ก็มีคนเอามาให้อาตมา แล้วอาตมาก็เอามาทำงาน โดยอาตมาเคยบอกแล้วว่า เงินที่เขามาทำทาน (ทำบุญคือหากเขาทำใจในใจเป็นได้สละกิเลสได้) ทำทานกับพระโสดาบัน 1 ครั้ง เท่ากับทำทานกับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ทำทานกับพระสกิทาคามี 1 ครั้งก็เท่ากับทำทานกับพระอนาคามี 100 ครั้ง...จนถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ตีกลับ ว่าทำบุญกับสงฆ์โดยไม่เจาะจง นั้นได้กุศลมากกว่าทำทานกับพระพุทธเจ้า อันนี้เรียกว่าสังฆทานคือทานที่ไม่ระบุบุคคล

 

สังฆทานนี่ได้บุญได้กุศลมากกว่าทำกับพระพุทธเจ้า แต่ว่าทำกับพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้กุศลมากมายมหาศาล เพราะถ้าขืนมาทำแต่กับพระพุทธเจ้าสงฆ์อื่นก็แย่สิ การทำสังฆทานมีผลสูงมาก หรือวิหารทาน เรียกว่าทานกับสงฆ์ทั้ง 4 ทิศ ไม่ใช่ว่าวิหารคือโรงเรือน แต่วิหารคือเครื่องอาศัย จะเป็นเข็มเป็นด้ายก็ใช้อาศัย คือสิ่งที่ท่านขาดแคลน นั่นแหละอานิสงส์สูงสุด ท่านขาดแคลนอะไรก็ทำอันนั้น แม้แต่ที่อาศัยก็ตาม แต่เขากลับไปคิดแค่ว่าสร้างวิหารเป็นส่ิงก่อสร้างถึงอานิสงส์สูง เป็นการเอามาทำมาหากินเสียอีก

 

สงฆ์ท่านจะไม่ของ่ายๆ เพราะจะขอได้อย่างไม่ต้องปวารณาคือพ่อแม่ พี่น้องลูกหลาน เมีย ก็ขอได้ แต่ว่าถ้าคนอื่นก็ต้องให้เขาปวารณาไว้ ว่าวงเงินเท่าไหร่

 

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ญาติโยมทำทานอย่างถูกต้องศาสนาจะไม่เละเทะอย่างนี้

 

0857308xxx คำพ่อครูมีความหมายทางธรรมลึกซึ้งผู้น้อยต้องเรียนซ้ำๆจึงจะเข้าใจ

0893867xxx คนที่รู้เห็นตัวตนแท้ๆของตน(อัตตา)ที่เป็นของแท้ของ จริง(ภูตภาวะตถตา)คงจะ เข้าใจอาการ,ลิงคะ,นิมิต, อุเทศ!มีพุทธปัญญารู้ภาวะ รูป-นามที่พ่อครูสอน!

0857308xxx สัญญานไม่ดี ถึงอย่างไรก็จะดูรีรันเพราะเรียนรู้ช้าค่ะ

0893867xxx อาการคือสภาวะนั้นของจิตเมื่อจิตมีอาการพากเพียรจนมีความตั้งมั่นจนเกิดพลังงานแบบเข้มแข็งมั่นคงคงใช่เจตสิกฤาธาตุจิตที่เรียกว่าฐีติธาตุกระมัง

0893867xxx การทำทานที่จะทำให้ได้บุญแท้ขณะทำในสิ่งที่เป็นปย.ต่อผู้อื่นต้องทำด้วยจิต บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสไม่มีความต้องการหมดความอยากได้ทุกสิ่ง!

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้คนไกลอโศกได้ฟังธรรมพ่อครูฯจนหมดทุกข์สิ้นโศกทุกวัน!

 

ในพระไตรฯล.9 ท่านเรียงหลักการปฏิบัติธรรมเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไว้อย่างดีแล้ว

 

เบื้องต้นต้องมีศีล สูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ท่านสอนว่าศาสนาพุทธมีศีล โดยเฉพาะมหาศีล ไม่เหมือนศาสนาอื่น พอเริ่มต้นศีลแล้วก็เข้าสู่ทิฏฐิ 62 ที่คือมีสองจำพวก คือพวกนั่งหลับตากับพวกตักกี วิมังสี(ตรึกนึกคิดเอาเอง คือเปรียญนักศึกษาศาสนา) พวกนี้ลืมตา แล้วใช้ตรรกะ ผกผันเหตุผลเป็นปรัชญา มีเท่านี้ สรุปแล้วเป็นสองสายคือพระบ้านกับพระป่า พระบ้านก็เรียนสาธยายเหตุผล ส่วนพระป่าก็นั่งหลับตาสมาธิ พวกตักกีวิมังสีแสดงออกได้ก็เลยได้ครองศาสนา พวกนี้ไม่มีทางบรรลุ เขาเองยอมรับว่าไม่เข้าถึงจิต ส่วนพวกนั่งหลับตาเข้าถึงจิต ไม่ไม่ได้เรียนรู้จิต ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ที่ต้องมีสติ สติสัมปชัญญะ

 

จะมีนิพพานต้องมีทิฏฐธรรมนิพพาน คือ คำว่าทิฏฐิ ต้องมี 1.การเห็นได้ ใครก็เห็นร่วมกันได้ แม้นามธรรมก็พอรู้กันได้เมื่ออยู่ร่วมกัน 2.ต้องมีปัจจุบัน อย่างนั่นหลับตาปิดทวารจะเห็นไม่ได้ ตัดทิ้งเลย ไม่มีนิพพานเพราะไม่เป็นทิฏฐธรรม ไม่เป็นปัจจุบันและไม่เห็นด้วย

 

แล้วนั่งหลับตามีปัจจุบันซ้อน เขาก็ว่าเขานั่งแล้วอ่านกาม อ่านสัญญาในตอนหลับตา เขานึกว่าเป็นกาม แต่ที่จริงเป็นกามสัญญา ไม่มีกามจริง เพราะของจริงคือกามที่สัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาจึงได้แต่ตรรกะได้แต่วิมังสี ทวนอดีตหรือนึกอนาคตที่ยังไม่ได้แต่อยากได้ ที่เคยได้ มันยังไม่ได้เท่าที่อยากได้หรอก ไปถามทักษิณหรือเณรคำก็ได้ เขายังอยากได้สิ่งที่เขาเคยได้มากกว่านั้นอีก เขาถึงไม่หยุด อนาคตจึงมีมากกว่าอดีต แม้ปัจจุบันก็ไม่มีกามคุณ 5 จริง เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีฐานะที่จะมีได้ จบ

 

ต้องมามีผัสสะ แล้วก็เข้าสู่สูตรที่ 2 สามัญผลสูตร คือสามัญแปลว่า การเป็นสมณะ คือผู้ปฏิบัติเกิดความสงบจากกิเลสได้ และเป็นที่รู้กันทั่วไปได้เป็นสามัญ ไม่ใช่รู้แต่ผู้เดียว เรื่องนิทานของสามัญผลสูตรคือ พระเจ้าอชาตศัตรูมาพบพระพุทธเจ้า แล้วมาถามไถ่ เพราะว่าทุกข์มาก มีวิบากบาปมาก ท่านก็สำนึก ไปหาอาจารย์ต่างๆก็ไม่มีใครแก้ให้ท่านได้ ชีวกโกมารภัจจ์ก็แนะนำไปหาพระสมณโคดม ก็ไปหาก็เลยได้โอภาปราศัยกัน

 

พระพุทธเจ้าว่าท่่านก็มีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพระเจ้าอชาติศัตรูก็เลยถามพระพุทธเจ้าว่า สามารถแสดงผลให้เห็นเป็นปัจจุบันได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านก็ว่ามี ท่านก็ไล่มาตั้งแต่ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วก็พูดถึงหลักปฏิบัติ จรณะ 15 นี่คือหลักปฏิบัติไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมัยนั้นพราหมณ์มหาศาลคือพระบ้าน ส่วนพระก็ออกป่า เหมือนยุคนี้ สมัยโน้นมันยิ่งกว่า มีหลากหลายสำนักกัน เหมือนมหายานตอนนี้

 

ท่านก็ว่า การปฏิบัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ได้บอกถึงจรณะ 15 เป็นพยัญชนะ แต่ก็คืออันนี้แหละ สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ แล้วปฏิบัติลดละเลิก เป็นวรรณะ 9 (สุภระ สุโปสะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะ อปัจจยะ วิริยารัมภะ) ปฏิบัติได้ก็เป็นผู้สันโดษ มีศีล สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ แล้วสันโดษ ก็คือจรณะ 15 ที่ ประกอบด้วยการสังวรศีล แล้วมีอปัณกปฏิปทาอีก 3 แล้วมีสัทธรรมอีก 7 แล้วมีฌาน 4

 

ต่อมาก็เป็นอัมพัฏฐสูตร เป็นสูตรที่ 3  ท่านดักไว้เลยว่า ต่อไปศาสนาจะเสื่อมมี 4 ประการคือ

3. อัมพัฏฐสูตร
       

 

       [164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้
ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์
นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
      

       [165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และ
ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้ว
บำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้
นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
      

       [166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้
ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือน
มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็น
สมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ
ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
       ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่
4 ประการดังนี้.
      

       [167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏ
ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
       ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.

 

ตอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ ศาสนายังไม่เสื่อมอย่างทุกวันนี้ด้วย มาสูตรที่ 4 เน้นธรรมะพระพุทธเจ้า

ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ศาสนาพุทธมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ศีลมาก่อน และยั่งยืน ย้ำเลย เมื่อมีศีล ถึงจะมีปัญญา ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีปัญญา มีปัญญาโดยไม่มีศีลไม่ได้ ทุกวันนี้ หาศีลที่เป็นอาริยะ ไม่มีแล้ว จะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิได้แต่ไหน

 

สูตรที่ 4 เน้นว่า ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น คือสรุปความของโสณทัณฑสูตร ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ที่จะให้กำเนิด โอปปาติกสัตว์

 

สูตรที่ 5 โสณทัณฑสูตร เน้นยัญพิธี ดีที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

อยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 9

ต่อมา สูตรที่ 6 มหาลิสูตร ท่านย้ำว่าสมาธิ ที่ได้ทิพย์แบบโลกีย์นั้นสู้สมาธิที่ได้โลกุตระไม่ได้หรอก

 

มาสู่สูตรที่ 7 โสณทัณฑสูตร ท่านสอนให้เรียนรู้เป็นลำดับ รู้โลกอัตตาโลกกาม

 

สูตรต่างๆเป็นสุดยอดวรรณคดีโลกเลย

 

ในปฏิจจสมุปบาท นั้นต้องเป็นสภาวธรรมทั้งหมด ถึงมีผลไม่ใช่แค่ว่าตรรกะนึกคิดเอา ก่อนนี้ก็ไปอ่านบทความของพวกนักคิดนักศึกษาพวกนี้ เขาพูดถึงความว่าง แต่ไม่มีสภาวะ เป็นเพียงตักกี วิมังสี เขาว่างอย่างไม่มีสภาวะ ที่พูดออกมา แต่ถ้าพูดถึงความว่างอย่างมีสภาวะจะพูดอย่างในแนวปฏิจจสมุปบาท คือมีผัสสะ มีตัณหาเป็นปัจจัย เป็นเหตุให้ปฏิบัติจนเกิดความว่างจากกิเลส พวกสายตรรกะพวกนี้มีมากในมหายาน  เหมือนคนตาบอดคลำช้าง ไม่ได้รู้ช้างทั้งหมด

 

นี่กระตุกต่อมสำนึกให้รู้นะ สำหรับพวกตักกี วิมังสี ที่ตรึกไปในอดีตก็มี ในอนาคตก็มี พวกอนาคตมีมากกว่าพวกอดีต

 

วันนี้เอาแค่ sms มาอ่านแล้วก็ขี่ม้าลอบค่ายไม่เข้าสู่เมือง แต่ก็ได้เข้าใจอะไรเพิ่มเติมขึ้น เรื่องที่อาตมาเน้นคือคำสอนพระพุทธเจ้าท่านตรัสในพรหมชาลสูตรว่าคำสอนท่าน

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

พ่อครูว่า...สมัยโน้น คนมีหลายสำนักแล้วก็ดูกันออกง่ายว่าดำกับขาว แล้วเขาก็ไม่ยึดมาก แต่ทุกวันนี้พุทธเหมือนกัน เขาก็ยึดว่า ผ้าเขาสีขาวอยู่ แต่อาตมาก็ว่าผ้านั้นดำปี๋แล้วนะ อาตมามาบอกความขาว เขาก็ว่าของคุณแหละดำ ก็ยากตรงนี้แหละ เขายึดมั่นถือมั่นว่าขาว เพราะตาของเขาเอาตาดำเข้าข้างในก็เลยเหลือแต่ตาขาวข้างนอก อาตมาก็ว่าตาคุณดำปี๋เลย...จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:38:52 )

581002

รายละเอียด

581002_ธรรมาธรรมะสงคราม สรุปสูตรจากพระไตรปิฎกเล่ม 9

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 2 ต.ค. 2558 เร่ิมต้นเดือนตุลาคมแล้ว ใกล้หมดปีอีกแล้ว เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทัน มันยังไง ชีวิต แก่ไม่ทันจริงๆ แต่เราก็อาศัยใช้เวลาศึกษา ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษา ไม่เช่นนั้นก็หลงไปมีกิเลสหนาขึ้นๆ เป็นปุถุชน ชีวิตคนไม่ศึกษาธรรมะนั้น มีชีวิตเพื่อเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองทุกวินาที คือการแส่หาแสวงหาของจิตวิญญาณอวิชชา

 

ไม่ใช่ผู้ศึกษาแต่เป็นผู้แส่หา ตกในอวิชชา พระพุทธเจ้าว่าดุจถูกข่ายคลุมไว้ ดำผุดดำว่ายในข่ายนี้ตลอดเวลาเลย ก็จริงที่สุดเลย ชีวิตน่ากลัว ขออภัยที่ต้องบอกว่าผู้ออกมาได้ อาตมาว่าอาตมาออกมาได้ก็เห็นชัดเจนจริงๆ ชาตินี้อาตมาเป็นลิงลมอมข้าวพองไประยะหนึ่ง

 

ชีวิตคนก็จมกับอัตตากับกาม แล้วจมอยู่กับตัวเอง ถูกหลอกว่าตัวเองคือตัวกิเลส กว่าจะเป็นอิสระหลุดพ้นจากกิเลสที่ยึดเอาตัวเราไป จนเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราคือใคร กว่าจะเป็นอิสระเสรีก็ไม่ง่าย อาตมาก็ศึกษาแล้วก็ดูคนอื่นเขาศึกษา ก็ถึงยุคนี้การศึกษาของพระพุทธเจ้ามันเสื่อม ไม่ใช่ธรรมะวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าเสื่อม แต่คนมันเสื่อมจากศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเพี้ยนไปไกลมาก ไกลจนกระทั่งยากที่จะกลับมาแล้ว

 

คนเราก็หลงสะสมกิเลสชอบใจไม่ชอบใจสั่งสม ด้วยอำนาจโลกด้วยอำนาจอัตตา จนเรามาศึกษาสลัดหลุดได้ ไม่ยึดมาบำเรอตนเองได้ เพราะบำเรอตนเองมันจึงเป็นตัวเอง ถ้าเราหยุดบำเรอตนเองก็จะรักษาไว้ได้ ก็พยายามดูของคนอื่น ตรวจพระไตรฯมากขึ้น ก็พยายามศึกษาไปอ่านไป

 

มาดู sms ก่อน

_เมื่อวาน ดญ.เพชรเพียงพุทธ ก็ถามค้างไม่ได้ตอบไว้ ...หลวงปู่คะมารยาทกับมารยาต่างกันอย่างไรคะ

ตอบ...ก็เป็นภาษาที่ตั้งมาสื่อสภาวะ มารยาทกับมารยาก็เป็นคู่หนึ่ง ของสภาพสิ่งที่ชื่อว่า อาการที่เรารู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ดี อย่าให้มันแสดงออก คือตัวมาร อย่าให้แสดงออก เมื่อเราสามารถรู้ตัวว่ามีสิ่งไม่ดี เราก็เลยควบคุมสิ่งไม่ดีเอาไว้ ควบคุมมารไว้ อย่าแสดงตัวขายหน้าข้านะ หรือไม่รู้ก็ตามก็เป็นสัญชาติญาณ รู้โดยปริยายว่าไม่ควรแสดงออก แต่คนไม่รู้ก็แสดงออกอย่างไม่มีมารยาท มารยาทคือแสดงออกกับสังคมอย่างได้รับการอบรมแล้ว เรียกว่าผู้มีมารยาท ก็มีคำว่า มายา มารยา จนมาเป็นมารยาท ก็เป็นสภาวะ ต้องรู้อ่านอาการจิตตน ชัดๆคือจิตเรามีกิเลส

 

เช่นมีอาการโกรธ มันไม่ดี อาการโลภ อาการราคะ มันเป็นอกุศลจิต ไม่ดี ถ้าไม่ควบคุมก็จะแสดงออกมาเป็นกิริยาภายนอก บางทีผู้ไม่เข้าใจก็อธิบาย มารยากับมารยาทว่า คนไม่จริงใจเลยไม่แสดงออก หรือแสดงออกมาอย่างมารยา ที่จริงมีความชั่วในใจไม่ปล่อยมารออกมา คือมารยา อย่างมารยาหญิงนี่ปรุงแต่งไปหลอกกันเพิ่มขึ้นอีกมากมายเลย

 

_ดญ.น้ำตาล พืชก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต แล้วทำไมเราเลือกกินพืชผัก แล้วพืชผักมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ไหม?

ตอบ...ชีวิตสัตว์ก็มีชีวิต พืชผักก็มีชีวิต แต่พืชผัก มันมีชีวิตที่มีพลังงานชีวิต แต่ไม่มีพลังงานที่รู้สึกสุข ทุกข์ หรือรัก หรือชัง มันไม่มี มันก็เลยไม่มีบาปหรือบุญ มันไม่จองเวรจองกรรม ชีวิตพืชเราก็ใช้กินได้ เพราะคนเราต้องกินอาหาร ในโลกนี้ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีพืช มีสัตว์ มีคน มีอาการ คนเราก็ต้องหายใจ แต่น้ำเราก็ดื่มอยู่ คนก็อาศัย ไฟและลม ธาตุดินนี่เรากินไม่ไหว แต่ถ้าเป็นส่ิงพอกินได้ก็กินไหว แต่สิ่งที่ใช้กินได้ดีคือพืช มันมีธาตุที่ร่างกายเราต้องการจากพืชได้มากกว่าดินกินง่ายกว่าดิน เราก็เลยต้องกินพืช แต่คนโง่เลยเถิด เลยไปกินสัตว์อีก

       ทำไมเราไม่กินสัตว์ก็เพราะสัตว์มีพลังงานรัก ชัง จองเวร จองกรรมได้ด้วย เราก็ไม่ต้องไปเอามันมาเลี้ยงชีพเรา จะเกิดเวรภัยแก่กันและกันได้ เราก็อาศัยพืช อาศัยดิน พืชคือธาตุที่รวมตัวเป็นสสารก็เหมือนดิน แต่มันสังเคราะห์มาเป็นสิ่งที่คน สัตว์ใช้ได้

       เราไม่ควรสร้างเวรกรรมกับสัตว์

 

อาตมาไม่ได้หารายได้แต่ก็มีคนเอามาให้อาตมา แล้วอาตมาก็เอามาทำงาน โดยอาตมาเคยบอกแล้วว่า เงินที่เขามาทำทาน (ทำบุญคือหากเขาทำใจในใจเป็นได้สละกิเลสได้) ทำทานกับพระโสดาบัน 1 ครั้ง เท่ากับทำทานกับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ทำทานกับพระสกิทาคามี 1 ครั้งก็เท่ากับทำทานกับพระอนาคามี 100 ครั้ง...จนถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ตีกลับ ว่าทำบุญกับสงฆ์โดยไม่เจาะจง นั้นได้กุศลมากกว่าทำทานกับพระพุทธเจ้า อันนี้เรียกว่าสังฆทานคือทานที่ไม่ระบุบุคคล

 

สังฆทานนี่ได้บุญได้กุศลมากกว่าทำกับพระพุทธเจ้า แต่ว่าทำกับพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้กุศลมากมายมหาศาล เพราะถ้าขืนมาทำแต่กับพระพุทธเจ้าสงฆ์อื่นก็แย่สิ การทำสังฆทานมีผลสูงมาก หรือวิหารทาน เรียกว่าทานกับสงฆ์ทั้ง 4 ทิศ ไม่ใช่ว่าวิหารคือโรงเรือน แต่วิหารคือเครื่องอาศัย จะเป็นเข็มเป็นด้ายก็ใช้อาศัย คือสิ่งที่ท่านขาดแคลน นั่นแหละอานิสงส์สูงสุด ท่านขาดแคลนอะไรก็ทำอันนั้น แม้แต่ที่อาศัยก็ตาม แต่เขากลับไปคิดแค่ว่าสร้างวิหารเป็นส่ิงก่อสร้างถึงอานิสงส์สูง เป็นการเอามาทำมาหากินเสียอีก

 

สงฆ์ท่านจะไม่ของ่ายๆ เพราะจะขอได้อย่างไม่ต้องปวารณาคือพ่อแม่ พี่น้องลูกหลาน เมีย ก็ขอได้ แต่ว่าถ้าคนอื่นก็ต้องให้เขาปวารณาไว้ ว่าวงเงินเท่าไหร่

 

ถ้าเข้าใจอย่างนี้ได้ ญาติโยมทำทานอย่างถูกต้องศาสนาจะไม่เละเทะอย่างนี้

 

0857308xxx คำพ่อครูมีความหมายทางธรรมลึกซึ้งผู้น้อยต้องเรียนซ้ำๆจึงจะเข้าใจ

0893867xxx คนที่รู้เห็นตัวตนแท้ๆของตน(อัตตา)ที่เป็นของแท้ของ จริง(ภูตภาวะตถตา)คงจะ เข้าใจอาการ,ลิงคะ,นิมิต, อุเทศ!มีพุทธปัญญารู้ภาวะ รูป-นามที่พ่อครูสอน!

0857308xxx สัญญานไม่ดี ถึงอย่างไรก็จะดูรีรันเพราะเรียนรู้ช้าค่ะ

0893867xxx อาการคือสภาวะนั้นของจิตเมื่อจิตมีอาการพากเพียรจนมีความตั้งมั่นจนเกิดพลังงานแบบเข้มแข็งมั่นคงคงใช่เจตสิกฤาธาตุจิตที่เรียกว่าฐีติธาตุกระมัง

0893867xxx การทำทานที่จะทำให้ได้บุญแท้ขณะทำในสิ่งที่เป็นปย.ต่อผู้อื่นต้องทำด้วยจิต บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสไม่มีความต้องการหมดความอยากได้ทุกสิ่ง!

0893867xxx ขอบคุณบุญนิยมที่ทำให้คนไกลอโศกได้ฟังธรรมพ่อครูฯจนหมดทุกข์สิ้นโศกทุกวัน!

 

ในพระไตรฯล.9 ท่านเรียงหลักการปฏิบัติธรรมเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายไว้อย่างดีแล้ว

 

เบื้องต้นต้องมีศีล สูตรแรกคือพรหมชาลสูตร ท่านสอนว่าศาสนาพุทธมีศีล โดยเฉพาะมหาศีล ไม่เหมือนศาสนาอื่น พอเริ่มต้นศีลแล้วก็เข้าสู่ทิฏฐิ 62 ที่คือมีสองจำพวก คือพวกนั่งหลับตากับพวกตักกี วิมังสี(ตรึกนึกคิดเอาเอง คือเปรียญนักศึกษาศาสนา) พวกนี้ลืมตา แล้วใช้ตรรกะ ผกผันเหตุผลเป็นปรัชญา มีเท่านี้ สรุปแล้วเป็นสองสายคือพระบ้านกับพระป่า พระบ้านก็เรียนสาธยายเหตุผล ส่วนพระป่าก็นั่งหลับตาสมาธิ พวกตักกีวิมังสีแสดงออกได้ก็เลยได้ครองศาสนา พวกนี้ไม่มีทางบรรลุ เขาเองยอมรับว่าไม่เข้าถึงจิต ส่วนพวกนั่งหลับตาเข้าถึงจิต ไม่ไม่ได้เรียนรู้จิต ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ที่ต้องมีสติ สติสัมปชัญญะ

 

จะมีนิพพานต้องมีทิฏฐธรรมนิพพาน คือ คำว่าทิฏฐิ ต้องมี 1.การเห็นได้ ใครก็เห็นร่วมกันได้ แม้นามธรรมก็พอรู้กันได้เมื่ออยู่ร่วมกัน 2.ต้องมีปัจจุบัน อย่างนั่นหลับตาปิดทวารจะเห็นไม่ได้ ตัดทิ้งเลย ไม่มีนิพพานเพราะไม่เป็นทิฏฐธรรม ไม่เป็นปัจจุบันและไม่เห็นด้วย

 

แล้วนั่งหลับตามีปัจจุบันซ้อน เขาก็ว่าเขานั่งแล้วอ่านกาม อ่านสัญญาในตอนหลับตา เขานึกว่าเป็นกาม แต่ที่จริงเป็นกามสัญญา ไม่มีกามจริง เพราะของจริงคือกามที่สัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย เขาจึงได้แต่ตรรกะได้แต่วิมังสี ทวนอดีตหรือนึกอนาคตที่ยังไม่ได้แต่อยากได้ ที่เคยได้ มันยังไม่ได้เท่าที่อยากได้หรอก ไปถามทักษิณหรือเณรคำก็ได้ เขายังอยากได้สิ่งที่เขาเคยได้มากกว่านั้นอีก เขาถึงไม่หยุด อนาคตจึงมีมากกว่าอดีต แม้ปัจจุบันก็ไม่มีกามคุณ 5 จริง เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีฐานะที่จะมีได้ จบ

 

ต้องมามีผัสสะ แล้วก็เข้าสู่สูตรที่ 2 สามัญผลสูตร คือสามัญแปลว่า การเป็นสมณะ คือผู้ปฏิบัติเกิดความสงบจากกิเลสได้ และเป็นที่รู้กันทั่วไปได้เป็นสามัญ ไม่ใช่รู้แต่ผู้เดียว เรื่องนิทานของสามัญผลสูตรคือ พระเจ้าอชาตศัตรูมาพบพระพุทธเจ้า แล้วมาถามไถ่ เพราะว่าทุกข์มาก มีวิบากบาปมาก ท่านก็สำนึก ไปหาอาจารย์ต่างๆก็ไม่มีใครแก้ให้ท่านได้ ชีวกโกมารภัจจ์ก็แนะนำไปหาพระสมณโคดม ก็ไปหาก็เลยได้โอภาปราศัยกัน

 

พระพุทธเจ้าว่าท่่านก็มีศีล สมาธิ ปัญญา แล้วพระเจ้าอชาติศัตรูก็เลยถามพระพุทธเจ้าว่า สามารถแสดงผลให้เห็นเป็นปัจจุบันได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านก็ว่ามี ท่านก็ไล่มาตั้งแต่ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วก็พูดถึงหลักปฏิบัติ จรณะ 15 นี่คือหลักปฏิบัติไม่ใช่ไปนั่งหลับตา สมัยนั้นพราหมณ์มหาศาลคือพระบ้าน ส่วนพระก็ออกป่า เหมือนยุคนี้ สมัยโน้นมันยิ่งกว่า มีหลากหลายสำนักกัน เหมือนมหายานตอนนี้

 

ท่านก็ว่า การปฏิบัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ได้บอกถึงจรณะ 15 เป็นพยัญชนะ แต่ก็คืออันนี้แหละ สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ แล้วปฏิบัติลดละเลิก เป็นวรรณะ 9 (สุภระ สุโปสะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะ อปัจจยะ วิริยารัมภะ) ปฏิบัติได้ก็เป็นผู้สันโดษ มีศีล สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ แล้วสันโดษ ก็คือจรณะ 15 ที่ ประกอบด้วยการสังวรศีล แล้วมีอปัณกปฏิปทาอีก 3 แล้วมีสัทธรรมอีก 7 แล้วมีฌาน 4

 

ต่อมาก็เป็นอัมพัฏฐสูตร เป็นสูตรที่ 3  ท่านดักไว้เลยว่า ต่อไปศาสนาจะเสื่อมมี 4 ประการคือ

3. อัมพัฏฐสูตร
       

 

       [164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้
ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์
นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
      

       [165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และ
ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้ว
บำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้
นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
      

       [166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุ
วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้
ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือน
มีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็น
สมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอ
ท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.
       ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่
4 ประการดังนี้.
      

       [167] ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอกับอาจารย์ย่อมปรากฏ
ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้บ้างหรือไม่?
       ข้อนี้ไม่มีเลย พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากับอาจารย์เป็นอะไร วิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยมเป็นอะไร ข้าพเจ้ากับอาจารย์ ยังห่างไกลจากวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ
อันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้.

 

ตอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ ศาสนายังไม่เสื่อมอย่างทุกวันนี้ด้วย มาสูตรที่ 4 เน้นธรรมะพระพุทธเจ้า

ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น ศาสนาพุทธมีศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลัก ศีลมาก่อน และยั่งยืน ย้ำเลย เมื่อมีศีล ถึงจะมีปัญญา ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่มีปัญญา มีปัญญาโดยไม่มีศีลไม่ได้ ทุกวันนี้ หาศีลที่เป็นอาริยะ ไม่มีแล้ว จะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิได้แต่ไหน

 

สูตรที่ 4 เน้นว่า ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น คือสรุปความของโสณทัณฑสูตร ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ ที่จะให้กำเนิด โอปปาติกสัตว์

 

สูตรที่ 5 โสณทัณฑสูตร เน้นยัญพิธี ดีที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

อยู่ในพระไตรปิฎก เล่ม 9

ต่อมา สูตรที่ 6 มหาลิสูตร ท่านย้ำว่าสมาธิ ที่ได้ทิพย์แบบโลกีย์นั้นสู้สมาธิที่ได้โลกุตระไม่ได้หรอก

 

มาสู่สูตรที่ 7 โสณทัณฑสูตร ท่านสอนให้เรียนรู้เป็นลำดับ รู้โลกอัตตาโลกกาม

 

สูตรต่างๆเป็นสุดยอดวรรณคดีโลกเลย

 

ในปฏิจจสมุปบาท นั้นต้องเป็นสภาวธรรมทั้งหมด ถึงมีผลไม่ใช่แค่ว่าตรรกะนึกคิดเอา ก่อนนี้ก็ไปอ่านบทความของพวกนักคิดนักศึกษาพวกนี้ เขาพูดถึงความว่าง แต่ไม่มีสภาวะ เป็นเพียงตักกี วิมังสี เขาว่างอย่างไม่มีสภาวะ ที่พูดออกมา แต่ถ้าพูดถึงความว่างอย่างมีสภาวะจะพูดอย่างในแนวปฏิจจสมุปบาท คือมีผัสสะ มีตัณหาเป็นปัจจัย เป็นเหตุให้ปฏิบัติจนเกิดความว่างจากกิเลส พวกสายตรรกะพวกนี้มีมากในมหายาน  เหมือนคนตาบอดคลำช้าง ไม่ได้รู้ช้างทั้งหมด

 

นี่กระตุกต่อมสำนึกให้รู้นะ สำหรับพวกตักกี วิมังสี ที่ตรึกไปในอดีตก็มี ในอนาคตก็มี พวกอนาคตมีมากกว่าพวกอดีต

 

วันนี้เอาแค่ sms มาอ่านแล้วก็ขี่ม้าลอบค่ายไม่เข้าสู่เมือง แต่ก็ได้เข้าใจอะไรเพิ่มเติมขึ้น เรื่องที่อาตมาเน้นคือคำสอนพระพุทธเจ้าท่านตรัสในพรหมชาลสูตรว่าคำสอนท่าน

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

 

พ่อครูว่า...สมัยโน้น คนมีหลายสำนักแล้วก็ดูกันออกง่ายว่าดำกับขาว แล้วเขาก็ไม่ยึดมาก แต่ทุกวันนี้พุทธเหมือนกัน เขาก็ยึดว่า ผ้าเขาสีขาวอยู่ แต่อาตมาก็ว่าผ้านั้นดำปี๋แล้วนะ อาตมามาบอกความขาว เขาก็ว่าของคุณแหละดำ ก็ยากตรงนี้แหละ เขายึดมั่นถือมั่นว่าขาว เพราะตาของเขาเอาตาดำเข้าข้างในก็เลยเหลือแต่ตาขาวข้างนอก อาตมาก็ว่าตาคุณดำปี๋เลย...จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:39:32 )

581002

รายละเอียด

581002_ธรรมาธรรมะสงคราม สรุปสูตรจากพระไตรปิฎกเล่ม 9

    เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 2 ต.ค. 2558 แรม 5 ค่ำ เดือน 10 ปีมะแม เริ่มต้นเดือนตุลาคมแล้ว วันที่ 2 แล้วใกล้หมดปีอีกแล้ว เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทัน มันยังไง ชีวิต แก่ไม่ทันจริงๆ แต่เราก็อาศัยใช้เวลาที่มีอยู่นี่แหละศึกษา 
     อาตมาว่าชีวิตเกิดมาแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษา ไม่มีอะไรดีเท่าตั้งใจศึกษา  ไม่เช่นนั้นก็หลงไปกับโลกแล้วมีกิเลสเพิ่มๆหนาขึ้นๆ เป็นปุถุชน เป็นคนกิเลสหนา ปุถุนี่แปลว่า หนา ใหญ่ อ้วน มาก มันทวีมากขึ้น และปุถุนี้ไม่ใช่เจาะจงอะไรอื่นที่หนาที่ใหญ่ขึ้นนอกจากกิเลสที่ มันหนา มันมาก 
      ทุกวันนี้อาตมาเห็นจริงชัดที่สุดว่า ชีวิตคนที่ไม่ศึกษาธรรมะนั้น ไม่รู้หรอกว่าตัวเองเพิ่มกิเลสให้แก่ตนเองทุกวินาที มีชีวิตต่อไปเพื่อเพิ่มกิเลสแก่ตนเองทุกวินาที มันคือการแส่หาแสวงหาของจิตวิญญาณของผู้อวิชชาจริงๆ มันไม่ใช่ผู้ศึกษา แต่เป็นผู้แส่หา มันมืดมัวงมงายตกอยู่ในอวิชชา 
      พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรว่า ผู้ตกอยู่ในอวิชชานี่ก็เหมือนกับถูกแหถูกข่ายคลุมไว้ ดำผุดดำว่ายในข่ายแหนี้ตลอดเวลาเลย แล้วก็ออกไม่ได้ ตลอดเวลาเลยนี่ มันจริงที่สุดเลย อาตมาเห็นแล้ว  โอ้โฮ... ชีวิตนี้น่ากลัว ขออภัย....ที่ต้องบอกว่าอาตมาเป็นผู้ออกมาได้แล้ว   อาตมาว่าอาตมาออกมาได้ก็เห็นชัดเจนจริงๆ   แต่ชาตินี้อาตมาก็ยังต้องมาหลงเป็นลิงลมอมข้าวพองคือไปหลงโลกย์อยู่ระยะหนึ่ง  คือตอนนั้นยังไม่ฟื้นไม่ตื่นตัว เรายังอินโนเซ็นต์(innocent)ทางธรรม คือเกิดมาก็ยังไม่เดียงสา เหมือนเด็กๆยัง ไม่เข้าใจโลก โลกีย์ มันไม่รู้อะไร มันซื่อๆแล้วถูกโลกครอบงำไปหมด พอเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาจึงจะรู้ว่า เออ...เรามีอะไรของเราเองมาด้วย กว่าอาตมาจะรู้ตัว กว่าจะหลุดออกมาได้ อาตมานี่ถูกครอบงำมา 36 ปี พระพุทธเจ้าเองก็ สามสิบกว่าปีเหมือนกันกว่าจะมารู้ตัวเอง ทั้งๆที่เกิดมา ก็มีผู้พยากรณ์ท่านแล้วว่าท่านน่ะเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะมาตรัสรู้ในชาตินี้และจะมาสร้างมาประกาศศาสนา ขนาดนั้นท่านยังถูกมอมเมาอยู่นาน ไปวนเวียนวุ่นวายอยู่กับโลกโลกีย์เขา อาตมาก็เช่นกัน ถึงได้เข้าใจชัดเจนว่าชีวิตมันไม่มีอะไรดีไปกว่าการศึกษาโลกุตรธรรมให้แจ้ง ต้องศึกษาธรรมพระพุทธเจ้านี่แหละ พูดให้ชัดเลยว่า ต้องศึกษาศาสนาพุทธนี่แหละให้สัมมาทิฏฐิให้แจ้งให้ได้ แจ้งได้แล้วจะรู้เลยว่าที่อาตมาสรุปไว้ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเริ่มต้นตั้งแต่สูตรแรกพรหมชาลสูตรนี่ ท่านสอนเรื่องโลก ทั้งหมดนี้เรียกมันว่าโลก เอกภพทั้งเอกภพนี้เรียกว่าโลก ซึ่งก็คือความหมุนวนอยู่ทั้งสิ้น เพราะงั้นเราจึงต้องศึกษา ไม่งั้นก็จะถูกโลกครอบงำ แล้วก็จะจมอยู่กับโลกนี่แหละ วนเวียนวุ่นวายไม่มีจบหรอก วนอยู่กับโลกนี่แหละ และที่มันไม่จบเพราะเราไม่รู้ตัวเอง ไม่รู้จักว่าอัตตาคือตัวเองนี่มันอะไร 
        เพราะงั้น ความจริงแล้วชีวิตของคนนี่ก็จมอยู่ในอัตตา จมอยู่กับตัวเองโดยตัวเองไม่รู้ตัว แล้วไม่รู้ว่าตัวเองคืออะไร มันถูกกิเลสเข้าครอบงำชีวิตตัวเอง ถูกหลอกว่าตัวเองคือตัวกิเลส กว่าจะเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองจริงๆ หลุดพ้นจากกิเลสที่ยึดเอาตัวเราไป จนเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราคือใคร เป็นยังไง กว่าจะเป็นอิสระเสรี โอ...มันก็ไม่ง่าย 
            อาตมาก็ศึกษาแล้วก็ดูคนอื่นเขาศึกษา พอถึงยุคนี้ก็เห็นแล้วว่าการศึกษาของพระพุทธเจ้า ความรู้ของพระพุทธเจ้านี่มันเสื่อม ไม่ใช่ธรรมะหรือวิชชาความรู้ของพระพุทธเจ้าเสื่อมนะ  แต่คนมันเสื่อมจากธรรมะของพระพุทธเจ้า  คนมันเสื่อมจากศาสตระของพระพุทธเจ้า ความรู้ของพระพุทธเจ้ามันเพี้ยนไปไกลมาก ไกลจนกระทั่ง....แหม...อาตมาพูดไปแล้วก็เกรงจั๊ย...เกรงใจ มันเหมือนตีทิ้งคนอื่นเสียหมด 
        อาตมาก็สนใจใส่ใจคนอื่นอยู่ว่าท่านเหล่านั้นจะเข้าใจอย่างไรหนอ อย่างเรานี่เรามั่นใจว่าเราเข้าใจถูกต้อง ก็พยายามเทียบเคียงว่าของคนอื่นที่ถูกต้องกว่านี้มีมั้ย ที่อาตมาต้องศึกษาของคนอื่นดูนี่ อาตมาอ่าน ศึกษา ตรวจสอบ เพื่อที่จะรู้ว่ามันมีอะไรเหนือกว่าที่เรารู้อีกไหมที่มันเหนือกว่าที่เราเข้าใจเรามั่นใจว่าสิ่งนี้ถูกต้อง ถูกต้องคือเรารู้ว่าอัตตาคืออะไร รู้ว่าโลกคืออะไร แล้วเราก็ปฏิบัติจนเราอยู่เหนือโลกได้ เราไม่เป็นทาสโลก โลกจะประกอบไปด้วยโลกียะต่างๆ แล้วไม่รู้จักอารมณ์ตนเองที่เป็นโลกียะ เป็นโลกียารมณ์ที่มัน ต้องแสวงหา เราก็ชัดเจนแล้วว่าอารมณ์โลกย์ๆอย่างนั้น ที่โลกเขาหลอกว่าเป็นสุข น่าได้น่ามีน่าเป็น ได้มาแล้วก็จะเกิดอิฏฐารมณ์ พอใจชอบใจ ติดยึดแล้วสั่งสมลงเป็นกิเลสอาสวะอนุสัยไป แล้วเราเห็นจริงว่าตั้งแต่เราไม่รู้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พอเราทำออกไปหมดแล้ว มันก็ชัดเจนว่า เอ้อ...เราถูกครอบงำด้วยอำนาจโลก ด้วยโลกาธิปไตย จนกว่าเราจะสลัดหลุดได้ จิตเราเองที่มันยึดมันบำเรอตนเองนั่นแหละ มันเป็นตน ถ้าเราหยุดได้ มันก็จบแค่นี้ ตามภาษานะ แต่สภาวะมันไม่หยุดง่ายๆ ก็พยายามดูของคนอื่น ตรวจสอบในพระไตรปิฎกมากขึ้น อาตมาก็ต้องทำงานมากด้วย แต่ก็พยายามศึกษาจากพระไตรปิฎกไปอ่านไป 
      ก่อนจะพูดต่อ ขอคุยกับคนที่ส่งประเด็นมา ทาง sms. ก่อน แถมมีเด็กหญิง ป.2 น้องเพชร ถาม ยังค้างอยู่ เมื่อวาน เขามาส่งตอนเสร็จรายการแล้ว ก็เลยบอกไว้ว่าจะตอบให้วันนี้ ส่วนอันนี้ มาส่งเมื่อกี๊นี่เลย อายุ 10 ขวบ ดีนะ ธรรมะอาตมานี่เด็กๆอายุไม่กี่ขวบก็มาฟังด้วย  สิบขวบนี่ชั้นป.ไหน ป. 4 ป. 5 ก็ถามมา ชื่อ เด็กหญิงน้ำตาล สเตฟานี่ เมลเกล ถามมา และคำถามที่ค้างมาก่อนคือ 
_ ดญ.เพชรเพียงพุทธ ถามว่า ...หลวงปู่คะมารยาทกับมารยาต่างกันอย่างไรคะ
  อาตมาว่า เด็กๆที่ ถามมานี่ไม่ใช่เล่นนะ ..มารยาทกับมารยาต่างกันอย่างไรคะ อาตมาเคยย้ำมาหลายครั้งนะสองคำนี้  มันก็เป็นภาษาที่ตั้งมาสื่อสภาวะอาการอย่างนั้นๆ มารยาทกับมารยาก็เป็นคู่หนึ่ง ของสภาพของสิ่งที่ชื่อว่า อาการที่เรารู้ว่าสิ่งนี้มันไม่ดี อย่าให้มันแสดงออก เพราะมัน คือ ตัวมาร ตัวไม่ดีอย่าให้มันแสดงออก มารหรือมารยานี่ เมื่อเราสามารถรู้ตัวว่าเรามีสิ่งไม่ดี เราก็เลยควบคุมสิ่งไม่ดีเอาไว้ ควบคุมมารไว้ เอ็งอย่าไปแสดงตัวขายหน้าข้านะ ก็ควบคุมเจ้ามารนี้ไว้ รู้แล้วตอนนี้พอรู้หรือไม่รู้ก็ตาม  แต่พอรู้แหละ ถ้าไม่รู้ก็เป็นสัญชาตญาณ คือรู้โดยปริยายว่าไม่ควรแสดงออก แต่คนไม่รู้ก็แสดงออก ก็เป็นการแสดงออกอย่างไม่มีมารยาท
           มารยาทจึงคือแสดงออกกับสังคมอย่างได้รับการควบคุมตามที่ได้รับอบรมแล้วว่าต้องทำอย่างนั้นในสังคมนั้นๆ เรียกว่าผู้มีมารยาท เพราะบัญญัติภาษาแต่ละคำก็มีความหมายของมัน   จากคำว่า มาร  เป็นมารยา จาก มารยา จนมาเป็นมารยาท ก็เป็นสภาวะ เราจึงต้องอ่านรู้อาการจิตตนว่าอย่างนี้คือมาร  ชัดๆคือจิตเรามีกิเลส  เช่น มีอาการโกรธ มันไม่ดี มันเป็นอาการของมาร  อาการโลภ อาการราคะ เป็นอาการไม่ดีมันเป็นอกุศลจิต เป็นอาการไม่ดี ซึ่งถ้าไม่ควบคุมก็จะแสดงออกมาเป็นกิริยาภายนอก แสดงโลภ แสดงโกรธ   แสดงความน่าเกลียดออกมานั่นแหละแสดงสภาพของตัวกิเลสหรือ ตัวมารออกมาให้คนเห็น พอรู้ตัวก็กำหนดมันไว้ คุมมันไว้  
           บางทีผู้ไม่เข้าใจก็อธิบาย มารยากับมารยาทว่าต่างกันตรงที่ว่า คนไม่จริงใจ ทั้งที่ใจมีกิเลสแต่ไม่แสดงออก หรือการแสดงออกก็ไม่ใช่ของจริงของมันหรอก มันมารยา ที่แสดงออกนั้นมันไม่จริง  ที่จริงมันมีความชั่วมีกิเลสอยู่ แต่มันไม่ปล่อยมารออกมานี่คือมารยา  ภาษานี้สื่อให้เห็นว่า จะพูดว่ากันก็ว่าได้  ก็ดีสิ  แต่ทีนี้มันเลยเถิด ตรงที่มารยามันกลาย ไม่รู้ว่าภาษาอื่นๆจะมีความหมายเหมือนกันไหม มันกลายเป็นว่าในใจไม่ปล่อยมารออกมา กลับไปใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกคนอื่นกลายเป็น ซ้อนกิเลสหนักเข้าไปอีก อย่างมารยาหญิงนี่ โอ้โฮ...กิเลสที่มันมีนี่ ไม่ใช่ไม่ให้ออกนะ มันปรุงกิเลสเพิ่มอีกหลายตัวเลย มียั่วยวน มีมารราคะมากกว่าเก่าอีก ปรุงแต่งไปหลอกคนอื่นเพิ่มขึ้นอีกมากมาย  เกินไปอีก 
        นี่มันอยู่ในสภาวะทั้งนั้นเลย พอมาเป็นภาษาไทยแล้ว มารยาจึงกลายเป็นอย่างนี้ ไปเลย แท้จริงคือเจ้าของเป็นผู้ควบคุมมารไว้แล้วเรียกว่ามารยา เจ้าของก็ควบคุมมารของตัวเอง พอควบคุมได้การแสดงออกข้างนอกก็เป็นมารยาท ความหมายของภาษาไทยเราก็เป็นอย่างนี้หมด ส่วนภาษาแกนของบาลีจริงๆจะเป็นอย่างไรไม่รู้ ไปถามเปรียญ8เอาเองนั่งอยู่ตรงนั้นน่ะ จริงๆแล้วตัวนี้เป็นสันสกฤตนะ มารยา มารยาท ภาษาบาลีใช้มายา หรือ มายาทยะ  อาตมาก็ไม่เก่ง มันก็อย่างนี้ละ
       ความจริงมันก็มาจากคำนั้นแหละ โดยสภาวธรรมมันมาจากอันนั้นแหละ สรุปแล้วนี่ไม่รู้น้องเพชรเข้าใจหรือเปล่า มารยาท กับ มารยาก็หมายความอย่างเดียวกัน คือควบคุมความไม่ดีของตนเองไว้เรียกว่า มารยาท มารยานี่ก็รู้ว่าสิ่งใดไม่ดีอย่าแสดงออก เอาความหมายง่ายๆแค่นี้ก่อนนะ 
         นี่อาตมาเอาสภาวะมาแปลนะ ไม่ได้แปลตามที่เขาเรียนกันมาที่แปลตามพยัญชนะตาม บัญญัติ ถ้าอาตมาไปสอบบาลีกับเขานี่ตกหมดแหละ มันไม่ตรงกับที่เขาแปลกันหรอก อาตมาไม่ได้ใช้ภาษาตามเขา อาตมาใช้ตามสภาวะของอาตมาเองมาอธิบายและอาตมามั่นใจด้วยว่ามันถูกต้อง เพราะอาตมาเอาสภาวะเป็นหลัก บัญญัตินี่เป็นรอง เพราะงั้นเมื่ออาตมาพบบัญญัติอาตมาก็จะตามไปดูว่าตัวต้นมันถึงไหนอาตมาก็จะรู้สภาวะ บางทีเขาอธิบายมันไกลมันเพี้ยนจากสภาวะจริง อาตมาก็ เอ้อ...พยายามตามดูองค์ประกอบด้วยแล้วดึงสภาวะออกมาให้ได้ความหมายที่ถูกต้อง นั่นคือมารยากับมารยาท
     ทีนี้ ฃอง ดญ.น้ำตาล อายุ 10 ขวบ ถามว่า  พืชก็มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต แล้วทำไมเราเลือกกินพืชผัก แล้วพืชผักต้นไม้มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ไหม?
       นี่เป็น 2 ประเด็น  ประเด็นที่ 1 ว่า สัตว์ก็มีชีวิต พืชก็มีชีวิต แต่ทำไมเรากินแต่ผัก  ประเด็นที่ 2  พืชผักต้นไม้มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์หรือไม่   เอ้า....ตอบรวมๆไปทั้งสองประเด็น มันจะอธิบายสัมพันธ์กัน  สัตว์มีชีวิต พืชก็มีชีวิต ใช่  แต่พืชผักมันมีพลังงานชีวิต ที่ภาษาวิชาการเรียกว่าชีวิตินทรีย์  มันเป็นอาการของพลังงาน ที่เป็นตัวขับเคลื่อนเป็นสภาวะอยู่ในพืช  แต่ชีวิตมันยังไม่เจริญถึงขั้นรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ หรือรู้สึกว่าต้องรักหรือชังหรือพยาบาทคนนี้ ต้องเคืองคนโน้น รักคนนี้ มันไม่มี มันก็เลยไม่มีบาปหรือบุญ เพราะมันไม่รักไม่ชังใคร พลังงานนี้ของมันจึงไม่จองเวรจองกรรมกับใคร และมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์  เพราะฉะนั้น เราจึงไปกินพืช ซึ่งดู เหมือนเราไปฆ่ามันไปทำลายทำร้ายมัน ทั้งที่ความจริงแล้ว  คนต้องไม่ทำลายมันสิ เพราะพืชมันไม่มีพิษไม่มีภัย ก็น่าจะให้มันมีชีวิตไป อีกอย่างถ้ามันมีพิษภัยก็เป็นเพราะเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันเอง ซึ่งเราก็จัดการบ้าง ถ้ามันเป็นภัยต่อเรา ที่จริงเราเองแหละไปยุ่งกับมันเอง เช่นมันมีหนาม มันทำร้ายเราได้เพราะเราไปชนมันเอง มันมีพิษทำร้ายเราเพราะไปสัมผัสมัน ไปกินมันเอง มันอยู่ของมันเฉยๆ มันไม่มีเจตนาทำร้ายใครๆเลย ที่สำคัญคือพืชมันไม่มีจองเวรจองกรรม มันไม่มีบาปไม่มีบุญกับใคร  เพราะฉะนั้นชีวิตพืชเราก็กินได้  เพราะคนเราต้องกินอาหาร 
       ในโลกนี้ มีอากาศ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มีพืช มีสัตว์ มีคน เรากินอากาศ คือคนเราต้องหายใจ สูดอากาศไปใช้   น้ำเราก็ดื่มอยู่ และเราก็อาศัย ไฟและลม แม้ไม่กินโดยตรงก็อาศัยซึมซับอยู่ ทั้งไฟทั้งลมทั้งบรรยากาศต่างๆที่เราอาศัยอยู่ ทีนี้ ธาตุดินเลยนี่ ธาตุดินนี่เรากินไม่ไหว  ถ้าจะเคี้ยวกินแบบกวฬิงการาหาร หรือคำข้าวเลี้ยงตัวเอง คนเรากินไม่ไหว  เราไม่กินดินมาเลี้ยงชีวิต  แต่ถ้าเป็นสิ่งที่พอกินได้ เราก็กินไหว แต่สิ่งที่ใช้กินได้ดีที่สุดคือพืช ที่มันสังเคราะห์ดิน  เอาธาตุจากดิน มาบำรุงร่างกายของมัน เราก็เลยกินพืชนี่แหละ มันมีธาตุที่ร่างกายเราต้องการได้มากกว่ากินดินโดยตรง  และกินง่ายกว่าดิน เราก็เลยต้องกินพืช แต่คนโง่เลยเถิด ก็เลยไปกินสัตว์ด้วย 
    ทำไมเราไม่กินสัตว์ เรากินแต่พืช ก็เพราะสัตว์มีพลังงานรัก ชัง โกรธ มันจึงจองเวร จองกรรมและเป็นบาปเป็นภัยแก่เราได้  เราจึงไม่ควรไปฆ่า ไม่ทำอะไรมัน เราไม่ต้องอาศัยเอามันมาเลี้ยงชีพเรา เพราะจะเกิดเวรภัยแก่กันและกันได้  
            ส่วนธาตุบางอย่างจากดิน  เราก็ต้องอาศัย แต่เราจะกินโดยตรงไม่ไหว เราก็อาศัยกินพืชเป็นหลักซึ่งมันก็คือธาตุบางอย่างที่รวมเป็นสสารเป็นก้อนเป็นแท่งเหมือนดิน แต่มันสังเคราะห์มาแล้วจากดินที่มีธาตุที่ร่างกายสัตว์ร่างกายของคนต้องการแล้ว  ใช้ได้ดีที่สุด ก็เป็นธรรมชาติ สัตว์เดรัจฉานมันก็เลือกกินพืชกินผัก บางอย่างมันก็ไปกินเนื้อ เช่นสัตว์กินเนื้อทั้งหลาย  สัตว์บางอย่างกินทั้งเนื้อทั้งพืช ส่วนนอกนั้นก็เหมือนกันแหละกินดินกินน้ำกินไฟและกินลมอย่างที่อธิบายไปบ้างแล้ว 
          สรุปเรากินพืช ไม่กินเนื้อส้ตว์    เพราะเราไม่ต้องการสร้างเวรสร้างกรรมกับสัตว์ เพราะสัตว์เป็นชีวิตที่จองเวรจองกรรมกันได้ มันทุกข์มันยากเกิน ไป ขืนเกี่ยวข้องด้วยก็จะนัวเนียกันไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เราจึงไม่อยากไปเกี่ยวข้องกับมัน เราก็เลยกินแต่พืชเพราะพืชไม่จองเวรจองกรรมใคร  ถ้ากินดินได้ก็ยิ่งดีเลย แต่มันไม่ไหว ร่างกายเราจะไปสังเคราะห์เอาธาตุอาหารจากดินมันคงทำงานยากเหมือนกัน อย่าไปแย่งไส้เดือนเลยนะ ให้ไส้เดือนมันกินดินไป สัตว์อื่นที่กินดินก็ว่าไป 
           นี่อาตมาได้ข่าวมาว่า ไส้เดือนนี่เป็นอาหารที่บางคนบอกว่าชั้นหนึ่งเลย โอ้โฮ....มีแร่ธาตุ วิตามินสูงมาก โอ้เจ้าประคุณเอ้ย.....บอกว่าไส้เดือนนี่ละยอดอาหาร ตอนนี้ก็เลี้ยงไส้เดือนขายกันใหญ่เลย เขาว่าเป็นยอดอาหาร ไส้เดือนนี่มันกินดินนะที่จริง ไส้เดือนเป็นสัตว์น่ะ เราไม่กินมันหรอก
           ทีนี้อธิบายเป็นวิชาการนิดหนึ่ง ที่ถามว่าพืชผักต้นไม้นี่มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์มั้ย  ไม่เหมือนนะ  มนุษย์มีความรักความชัง พยาบาท อาฆาต ผูกพัน หนักมาก ต้นไม้พืชผักไม่มี จึงรู้สึกต่างกันกับคน ต้นไม้ยังไม่มีความรู้สึกรักชังพยาบาทอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่ชาติปัจจุบันมันก็ไม่ทำแล้ว แต่มนุษย์นี่โกรธ ชัง พยาบาท ตั้งแต่ยังเป็นๆนี่แหละ และไม่หยุดสั่งสมลงในอนุสัยไว้ตลอดเวลา ชาตินี้ยังไม่ได้แก้แค้นชาติหน้าหรือชาติไหนๆก็กลับมาแก้แค้นอีก ถ้าไม่ได้เรียนรู้วิธีล้างก็เสร็จ มันฝังอยู่ในอนุสัยนั่นแหละ  
             อนุสัย อาสวะนี่เราล้างมันไม่ได้นะ อนุสัย อาสวะมันแปรตัวเป็นสัญญาสั่งสมไว้ในอัตภาพของเราแล้ว มันไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันจะออกฤทธิ์กับเรา พระพุทธเจ้ามีวิธีอย่างที่อธิบายไว้แล้ว คือ เราต้องสร้างกำแพงให้กั้นไกลจากมัน ไม่ให้มันมาออกฤทธิ์กับเราเท่านั้นเอง ไม่ใช่มันหมดไปนา ศาสนาพุทธไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ล้างบาปได้ กิเลสที่เป็นวิบากรัก ชัง อาฆาตหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่หายไป มันขึ้นมาทำงานเมื่อถึงวาระของมัน ท่านถึงบอกว่ามันเหมือนหมาไล่เนื้อ แต่พลังงานกุศลน่ะ มันมาถึงเราเมื่อไหร่ มันไม่เป็นปัญหาหรอก มันดี เราก็อาศัยมันไป 
          แต่พลังงานอกุศลนี่ มันเหมือนหมาไล่เนื้อ มันควบตามมาทำร้ายเราตลอดเวลา ถ้าเรามีพลังงานกุศลเยอะ  ตามที่เราแต่ละคนทำไว้ มันสังเคราะห์กัน มันกั้นไว้ได้ ทำให้มันมาไม่ถึง แต่พลังงานร้ายมันไม่หยุดนะ มันก็พยายามไล่อยู่เสมอ  พระพุทธเจ้าจึงตรัสรู้ว่าเราต้องหยุดทำอกุศลเพิ่ม หยุดบาป หยุดอกุศล ทำแต่กุศลอย่างเดียว หมดบาปทุกปัจจุบัน บาปเก่าแล้วให้จบแค่นั้น ให้มีเท่าที่มันมี ให้มันหยุดไว้เพียงแค่นั้น หยุดพลังบาปไว้แค่นั้น  ทำแต่กุศลนี่แหละเป็นกำแพง ดันอกุศลออกไปให้ไกลๆและสร้างกำแพงให้แข็งแรงขึ้นๆ พลังบาปก็จะไม่มีทางควบมาถึงเรา มาทำร้ายทำลายเราไม่ได้ 
        นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้า แล้วสุดท้ายเมื่อปรินิพพานเป็นปริโยสานหมดอัตภาพลง พระพุทธเจ้า จึงบอกว่า มารมันมองไม่เห็นเราแล้ว อกุศลมันตามหาเราไม่เจอแล้ว เฮ้ย...หายไปไหน ตามไม่เจอแล้ว.... เท่านี้เอง  วิธีของพระพุทธเจ้า ถ้าทำไม่ถูกตามวิธีนี้แล้วไม่มีทางที่จะห้ามกั้นทุกข์ได้
             ทีนี้  วิธีของพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งตรงที่ว่านอกจากห้ามทุกข์ได้แล้ว ชีวิตปัจจุบัน ยังเป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีสมรรถนะ รู้จักโลก โลกวิทู แล้วมีจิตเมตตาที่แท้จริง มีจิตเสียสละที่แท้จริง รู้จักคุณค่าของกุศลธรรมที่มีกตัญญูกตเวที มีการสงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือ รู้เห็นว่ามีสิ่งที่ต้องทำให้แก่โลก ให้แก่คน   ซึ่งล้วนแต่เป็นกุศลธรรมต่างๆ แล้วเราก็ทำ โดยความจริงนั้นด้วย มันไม่ใช่ทฤษฎีที่หนีไปจากโลก ไม่รู้อะไรเลย ทิ้งชีวิตไปโดยไม่ได้ล้างกิเลส เพราะระบบของเขาไม่ได้ล้าง ไม่ได้ทำให้อกุศลจิตมันดับสูญ ไม่เกิดอีกเลยทุกปัจจุบัน  อย่างที่รู้ๆเห็นหลัดๆเลยว่ามีอะไรที่เป็นผัสสะทำให้เกิดทั้งนั้นเลยในโลก ที่จะเป็นดินน้ำไฟลม สัตว์ มนุษย์ วัตถุต่างๆ จนกระทั่งถึงนามธรรมขั้นอรูปธรรมที่เรียกกันว่าสรรเสริญ เรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ที่มันหยาบหน่อยก็เรียกว่า ยศชั้นบ้าง  ลาภบ้าง มาเรียกว่าของควรได้ควรมีหรือแม้แต่สัตว์ตัวตนบุคคลเราเขา สิ่งของแท่งก้อนเงินทองดินน้ำลมไฟอะไรก็แล้วแต่ เพชรนิลจินดา ข้าวของ ฯลฯ 
       ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้หนีสิ่งเหล่านี้ ท่านให้รู้เท่าทันหมด จึงอยู่กับมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะพวกนี้หมดฤทธิ์ทำอะไรเราไม่ได้ เราไม่เป็นทาสมันแล้ว เรารู้แล้วว่าอะไรควรอาศัย ก็อาศัยพอควรซึ่งน้อย ไม่มากไม่มายอะไร ที่เราต้องอาศัยดำรงชีพ และเราก็รู้ว่าในสังคม เราเป็นคนมีประโยชน์ เราช่วยทำงานให้สังคมได้จริงๆ จึงเป็นทฤษฎีที่ต่างจากการหนีไปจากโลกแบบฤาษี ที่ไม่เรียนรู้โลก ไม่รู้จักโลกและมีชีวิตอยู่อย่างไม่ได้ล้างกิเลสอย่างแท้จริง อย่างพวกเชนของมหาวีระ พวกทิฆัมพร มักน้อยทิ้งทุกอย่างจริงๆ หนีเข้าไปกดข่มเอา กดเอาข่มเอา ฝึกเอากดข่ม ทนต่อผัสสะที่เป็นธรรมชาติที่ตนเองเลี่ยงไม่ได้ ทนต่ออากาศหนาว อากาศร้อน กระทบบรรยากาศ แต่ไม่ได้มาฝึกทนกับอำนาจโลกียะ ลาภยศสรรเสริญรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่มาฝึก พวกเขาจึงทนต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หรอก นี่แหละจึงต้องเวียนว่ายในวัฏฏะ ไม่เรียนตัวกิเลสในตัวจิต ศาสนาเชนไม่ได้เรียนรู้วิธีที่จะล้างกิเลสนั้น กดข่มไปได้เป็นชาติๆ ทนได้หมด มักน้อยสันโดษอดทนต่อบรรยากาศ อดทนต่อธรรมชาติจะร้อนจะหนาวจะหนักจะเหนื่อยจะอะไรทนได้หมด ทนตัวเอง เอาอัตตาตัวเองให้แข็งแรง ไม่ได้ล้างเหตุแห่งการยึดติดอัตตา ไม่ได้เรียนอัตตาอย่างลึกซึ้งซับซ้อน
            พวกนี้ เขาทนได้เป็นชาติตายแล้วมันก็ไม่ได้ล้าง ต้องมาฝึกกันใหม่ ถ้ามาเกิดอีกมันก็ลิงลมอมข้าวพอง มาพอกกิเลสอีก พอกิเลสเกินขีด ของเก่าๆนั้นมันก็ระลึกไม่ได้แล้ว มันก็วนเวียนอยู่นี่แหละ ไม่มีจบ พระพุทธเจ้าถึงท้าทายเลยว่า ทิฏฐิ 62 นี่ที่สั่งสมอยู่ในอดีตทั้งหมด เขาไม่ได้ล้างกิเลส เขาได้แต่ระลึก อย่างพวกนี้นั่งระลึกชาติไป อย่างพวกสัสสตะทั้งหลาย ระลึกไป ระลึกได้ชาติอันแรกหมู่แรกของสัสสตะ ได้ถึงแสนชาติ จากนั้นไปเป็นสังวัฏฏกัปป์ วิวัฏฏกัปป์อะไรงี้น่ะ มันก็เป็นระยะเวลาเท่านั้นเอง ระลึกชาติได้  นอกจากนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าอัตตาตนเองมีกิเลสอะไรยังไงไม่รู้ แล้วไม่รู้หรอกที่ระลึกได้ก็นึกว่าแค่นั้นแหละคือชีวิตยังๆๆก็เดาได้ เพราะไม่ได้เรียนก็ได้แต่เดา
               อาตมาก็ยังไม่เก่งนะที่จะอธิบายรายละเอียดอันนี้ให้ฟัง สภาวะที่เป็นอัตตาที่คนหลง และทิฏฐิพวกนี้ที่ใช้ระลึกอดีตนี่แหละ  แล้วระลึกไปอนาคต มันก็มีสิ่งที่ประมาณกันเกินอนาคตก็ฟุ้งซ่านต่อไปอีก เพ้อไปอีก บางอย่างเท่าที่รู้ 1. เราเองเราเป็นเรามีอย่างนั้น 2. เรายังไม่เป็นยังไม่มี มันก็เป็นอนาคต แต่ก็รู้แต่ละชาติๆนี่ เช่น ชาตินี้ตั้งแต่เกิดจนตายคุณไม่ได้เป็นเศรษฐี 100 ล้าน แต่คุณอยากเป็นมั้ย อยากได้ อย่างนี้เป็นต้น  เกิดมาชาติหน้ามันก็ไม่ลืม มาชาติหน้า ระลึกก็ไม่ได้เพราะเราไม่เคยเป็น แต่อยากเป็นอยู่เพราะไม่ได้ล้าง ชาตินี้มันก็จะมาฝันต่ออีกยังเป็นอนาคตนะ ก็มันยังไม่เคยเป็นน่ะ อยากมีพันล้าน อยากเป็นคนเก่ง อยากมีความสามารถ อยากได้ยศชั้น สรรเสริญอะไรก็แล้วแต่โลกีย์ทั้งนั้นแหละ ลักษณะโลกีย์ทั้งหมด ก็จะเอาอย่างเขาทั้งหมดแหละ ฝังไว้ที่ในจิต ที่ได้แล้วมันก็รู้เท่านั้น   แต่มันก็อยากเป็นอีกอยากเป็นกว่านั้นอีกมีแค่นี้ได้แล้วก็ไม่พอจะเพิ่มๆๆ
          นอกจากนั้นก็คิดใหม่ เป็นพวกตักกี วีมังสี พวกนักตริ นักคิดนักสร้างวิมานเพิ่มปรุงแต่งเพิ่มๆไม่มีหยุดไม่มีจบ แล้วอยู่กับสิ่งตนสร้างแล้ววนเวียนกลับมาไม่รู้จบ มอมเมากัน มาหลอกกันอยู่นี่แหละ แค่พูดอาตมาก็เมื่อยแล้ว ไม่ต้องไปเสียแรงหรอก ต่อสู้แสวงหาเพื่อให้ได้มา เมื่อยแล้วและมันก็ไร้ค่า เอามาบำเรอได้มาก็ชื่นใจ สุขัลลิกะเท่านั้นเอง 
         เพราะฉะนั้น ผู้ไม่เคยได้ อย่าไปอยากต่อเลย มาปฏิบัติให้เป็นอรหันต์ก่อน เมื่อเป็นอรหันต์แล้วคุณอยากรู้พวกที่อยากได้ คุณมาเลย ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์แล้วคุณจะได้ร้อยล้านพันล้าน และได้อย่างดีด้วยได้อย่างไม่ซ้อนบาป ได้อย่างสุจริตด้วย แล้วคุณจะรู้เพราะคุณเป็นอรหันต์ซะแล้ว โธ่เอ๊ย....และมันได้อย่างสุจริตนะ อย่างอาตมานี่ ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้หาเงินเลย แต่อาตมาก็มีเงินมีรายได้ที่เขาเอามาบริจาคให้เพื่ออาตมาใช้ตามอัธยาศัย
       แล้วอาตมาก็เอามาทำงาน โดยอาตมาเคยบอกแล้วว่า เงินที่เขามาทำทานกับอาตมานี่ ไม่ใช่ทำบุญ จะเป็นทำบุญถ้าหากเขาทำใจในใจโยนิโสมนสิการเป็นและสละกิเลสได้ คือทำโดยไม่หวังผลตอบแทน แต่คุณรู้ คุณเอาเงินมาให้อาตมานี่ คุณรู้อาตมาไม่ได้เอาเงินคุณมาบำเรอตนเองหรือทำประโยชน์แก่ตนเองเลย คุณรู้ว่าอาตมาเป็นนาบุญ เอาเมล็ดพันธุ์มาใส่ตรงนี้ มันก็งอกเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเท่านั้นเอง  เป็นนาบุญที่แท้จริง เขาก็เอามาให้   เพราะอาตมาไม่คอร์รัปชั่น ไม่คอมมิชชั่น เพื่อตนเองเท่านั้นนะ ไม่ให้พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลานมิตรสหาย ให้คนที่รักที่ชอบ หรือเอาไปเปลืองผลาญ เอาไปซื้อเครื่องบินเจ๊ต อย่างเณรคำ หรือ อะไรก็แล้วแต่ ไปบำเรออะไร อาตมาไม่ทำ อาตมาไม่ใช้เงินพวกนี้ อาตมาเป็นนาบุญ งอกให้ผู้อื่นเท่าที่อาตมาจะมีปัญญาว่าจะเอาไปทำอะไร จะใช้ทางโลกียธรรมอาตมาไม่ใช้แน่ เขาก็รู้ว่าอาตมาใช้ทางโลกุตระ มันเป็นกุศลแก่ผู้มีความรู้ 
              พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า  ทำทานกับพระโสดาบัน 1 ครั้งดีกว่าทำนิจทาน ทำทานใส่บาตรให้โสดาบัน 1 ครั้งมีกุศลยิ่งกว่าทำนิจทานให้พระกเฬวราดปุถุชน 100 ครั้ง ทำทานให้พระสกิทาคามี 1 ครั้งเท่ากับทำทานกับพระโสดาบัน 100 ครั้ง ทำทานกับพระอนาคามี 1 ครั้งเท่ากับทำทานใส่บาตรแก่พระสกิทาคามี 100 ครั้งทำทานกับพระอรหันต์ 1 ครั้งเท่ากับทำทานกับพระอนาคามี 100 ครั้ง อย่างนี้เป็นต้น  ยิ่งทำกับพระพุทธเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ก็ยิ่งเป็นขั้นเป็นตอนไป ยิ่งพระพุทธเจ้านี่เยี่ยมยอด...  แล้วก็ตีกลับ แทนที่จะทำระบุเจาะจงเฉพาะพระพุทธเจ้า  ให้ทำกับสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าโดยไม่เจาะจงไม่ระบุบุคคล อย่างนี้ได้กุศลมากกว่าทำทานที่เจาะจงให้กับพระพุทธเจ้าอีก
         การทำทานเจาะจงให้พระพุทธเจ้าจึงสู้การทำสังฆทานคือทานที่ให้สงฆ์ที่ขาดแคลนไม่ว่าขาดข้าวขาดน้ำขาดปัจจัยสำคัญโดยไม่ระบุบุคคล ไม่ได้ 

     สังฆทานนี่จึงได้บุญได้กุศลมากกว่าเจาะจงทำกับพระพุทธเจ้า แต่แน่นอนว่าทำกับพระพุทธเจ้าองค์เดียวก็ได้กุศลมากมายมหาศาล เพราะเป็นองค์เดียวที่คุณธรรมสูงสุด แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าถ้าขืนมาทำแต่กับพระพุทธเจ้า สงฆ์อื่นก็แย่สิ คนทำจะมีจิตที่คับแคบไม่เผื่อแผ่ การทำสังฆทานจึงมีผลสูงมาก หรือทำวิหารทานที่เรียกว่าจตุทิสามหาวิหารทาน เรียกว่าทานกับสงฆ์ทั้ง 4 ทิศ  
              คำว่าวิหารไม่ใช่โรงเรือน แต่วิหารคือเครื่องอาศัย อาจจะเป็นเข็มเป็นด้ายก็ใช้อาศัย คือเป็นสิ่งที่พระท่านขาดแคลนและจำเป็นและควรได้ ท่านเองก็ไม่ขอ นั่นแหละอานิสงส์สูงสุด จากทานที่เรียกว่า จตุทิสาสังฆิกมหาวิหารทาน ให้สงฆ์ได้ทั้งสี่ทิศโดยไม่ระบุบุคคลไม่ระบุข้าวของ ไม่ระบุราคา แต่ระบุความจำเป็นของแต่ละสงฆ์ทั่วทั้ง 4 ทิศเพราะงั้น ฆราวาสมีหน้าที่สอดส่องดูสงฆ์ องค์ไหนท่านขาดด้าย ท่านจำเป็นก็หาด้ายให้ท่าน จะมีอานิสงส์สูงมาก ท่านขาดผ้าก็ถวายผ้า ท่านขาดแคลนอะไรก็แล้วแต่ เราก็ถวายอันนั้น แม้แต่ที่อาศัยที่พักก็ตาม แต่คนเดี๋ยวนี้เขากลับไปเรียกที่อาศัยว่าวิหาร กลายเป็นสอนกันว่าสร้างวิหารคิดแค่ว่าสร้างวิหารถวายพระนี่แหละได้กุศลสูง แต่การสร้างวิหารต้องใช้เงินเยอะ ก็เลยเอามาพูดเบี้ยวบาลีหากินกันอย่างนั้น
               ในพุทธกาลเคยมีผู้ถามพระพุทธเจ้าว่าทำทานอย่างไรให้ลงทุนน้อยแต่ได้อานิสงส์สูง สร้างวิหารมันลงทุนน้อยที่ไหนกัน  พระพุทธเจ้าตนัสว่า เข็มเล่มหนึ่งก็อานิสงส์สูงมาก ถ้าภิกษุรูปนั้นท่านขาดเข็มขาดด้าย ขาดอะไรที่ราคาน้อยๆที่สุด แต่เป็นสิ่งสำคัญเป็นสิ่งที่ดีงามถูกต้อง อันนั้นแหละต้องให้แก่ท่าน 
         เพราะงั้น หน้าที่ฆราวาสคือดูแลสงฆ์ว่าท่านขาดอะไร อย่าให้ท่านเดือดร้อน เพราะท่านจะไม่ของ่ายๆ ถ้าเขาไม่ปวารณา จะขอได้อย่างไม่ต้องปวารณามีแต่ขอจากพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน อดีตเมียเท่านั้น  แต่ว่าถ้าคนอื่นก็ต้องให้เขาปวารณาไว้ ว่าให้ในวงเงินเท่าไหร่แล้วแต่เขาจะปวารณา ถ้าไม่ปวารณาสงฆ์ไม่มีสิทธิ์ไปขอ  ที่พากันเรี่ยรายขอกันทุกวันนี้นรกกินหัวทั้งนั้น ขอไม่ได้ เราจึงสอนกันว่าฆราวาสต้องดูแลพระ และบริจาคทานให้ถูกต้องให้สงฆ์ได้อยู่รอดตามที่ท่านควรได้ควรเป็น

            ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงฆ์ก็จะสะอาด ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่มีเรื่องเลอะๆเทอะๆอย่างที่เป็นอยู่ ทุกวันนี้มันผิดหมดแล้ว  ถ้าญาติโยมทำทานอย่างถูกต้องศาสนาจะไม่เละเทะอย่างนี้หรอก 
เอาละมาดู SMS กันบ้าง  
        เจ้าแรก 5371    รายงานว่าที่นครศรีฯสัญญาณชัดดี 
        8937  บอกว่าอยู่รัตนาธิเบศร์ ภาพและเสียงชัดเจนดี ไม่มีเหตุขัดข้อง 
        3867 กราบขอบพระคุณพ่อครูเมตตาให้ราคาบวกเป็นของขวัญให้กำลังใจแก่ญาติธรรมทางบ้าน ใช่...อาตมากล่าวไป....ข้าน้อยจะพากเพียรศึกษาธรรมต่อไป ไม่ย่อท้อ...ก็สาธุ ดีมาก........
        ต่อมา   บอกว่านั่งสมาธิหลับตา รู้แต่ลมหายใจ ตอนนั่งขณะเดียว แต่ลืมตารู้ผัสสะทุกอย่างทุกอิริยาบถทุกขณะ....... ก็หมายความว่า ถ้าเอาแต่นั่งก็รู้แต่ลมหายใจแค่นั้น ทวารเดียวคือลมหายใจ ขาดลมหายใจแล้วไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า อันนี้แหละไม่มีกาย ลมหายใจนี่คือกายในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าท่านก็บอกขาดกายไม่ได้ในการปฏิบัติธรรม แต่เขาไม่รู้กัน จึงไปนั่งหลับตา เสร็จแล้วก็ลมหายใจขาดแล้ว จะสั้นจะยาวไม่มีแล้ว เขาหลบเข้าไปเล่นลมอยู่ข้างใน บางสำนักบางอาจารย์ก็สอนให้รับรู้ลมอยู่ข้างในเป็นกสิณลม เอาลมขึ้นบน เอาลมลงล่าง ลมขยายมากขยายน้อย ไปกันใหญ่เลย  และเขาก็เรียกกสิณลม เละเทะไปหมดเลย ไม่มีนะคำอธิบายอย่างนี้  พระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ตรงนี้ว่าลมหายใจเข้าออกที่ยังรู้อยู่คือกาย
             แท้จริงแล้วไปนั่งหลับตาอยู่ในภวังค์มันไม่ใช่ลัทธิของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วก็ใช้ได้ เช่น ใช้ทำเตวิชโชหรือศึกษาหรือจะพักผ่อนอย่างที่อาตมาอธิบายมาก่อนแล้ว นั่งเจโตสมถะคือเจโตสมาธิ นี่ นั่งเข้าภวังค์ มันมีอานิสงส์ 1 . คือได้พักผ่อน 2. ได้เรียนรู้ศึกษาจิตเจตสิกอย่างละเอียดอย่างสงบ อยู่กับเฉพาะจิตว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็ศึกษาอะไรๆไป ส่วนข้อ 3 ทบทวนสิ่งที่ทำไปแล้วนั่นคือเตวิชโช   ข้อที่ 4 คือการสร้างพลังจิตรวมเป็นเจโตสมถะ เจโตสมาธิแข็งแรงแล้วก็เอาไปเล่นฤทธิ์เล่นเดชอะไรนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริม แต่อาตมาอธิบายให้มันจบเท่านั้นเอง
                   เพราะฉะนั้น ในยุคของพระพุทธเจ้านั้น มันนั่งสมาธิหลับตากันทั้งนั้น ไม่มีวิธีอื่นเลยในการปฏิบัติ ธรรม  วิธีสร้างสัมมาสมาธิลืมตาด้วยมรรค 7 องค์มีผัสสายตนะ 6 ไม่มี วิธีทำสัมมาสมาธิไม่มี ไม่ต้องเอาถึงยุคพระพุทธเจ้าหรอก 2500- 2600 ปี ที่อาตมามาทำงานนี่มันก็แทบจะหมดไปแล้วศาสนาพุทธ สัมมาสมาธินั้นของพุทธ เป็น supra concentration ซูปร้า คอนเซ็นเทรชั่น มันไม่ใช่เมดิเทชั่น meditation มันสูญไปแล้วซูปร้า คอนเซ็นเทรชั่น ที่เป็นสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า มันเหลือแต่เมดิเทชั่นอย่างเดิม พระพุทธเจ้าท่านจึงพยายาม นี่อาตมายังไม่ได้อ่านให้ครบ ก็อธิบายต่อไปเลยว่าไปในตัว ค่อยย้อนมาก็ได้วนเวียนมาได้ค่อยลงตรงนี้แอบเอาตรงนี้ขึ้นก่อน แวะสถานีนี้ก่อน
            อาตมาอยากจะเล่าให้ชัดเจนว่าในพระไตรปิฎกเล่ม 9  มี13 พระสูตรที่ท่านสังคายนา ท่านเรียงลำดับไว้เป็นหลักในการปฏิบัติครบตามเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายที่น่าอัศจรรย์ที่สุดแล้ว ศาสนาของพระพุทธเจ้า ต้องมีศีล แล้วเดี๋ยวค่อยขยายความว่าศีลสำคัญยังไง 
             สูตรแรก พรหมชาลสูตรนี่ซึ้งมาก อาตมาเคยอธิบายแล้วเป็นสูตรที่ท่านสอนสังคมศาสนาเลยว่าศาสนาพุทธมีศีล ซึ่งคือหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธโดยเฉพาะมหาศีล เพราะศาสนาลัทธิอื่นๆที่เขามี  เขาพาปฏิบัติสิ่งที่ท่านให้ละเว้นในมหาศีลนั่นแหละ มีทั้งทำนายทายทัก ใช้เดรัจฉานกถาอะไรๆเต็มไปหมด จุดธูปจุดเทียนซึ่งสมัยนั้นยังเป็นพวกอัคคียัญ รักษาไข้ใบ้หวยทุกอย่างที่มีห้ามในมหาศีลทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านประกาศว่าศาสนาพุทธไม่มีอย่างนั้น นี่คือหลักเกณฑ์ประกาศไว้ก่อนในพรหมชาลสูตรน่ะ พอเริ่มศีลแล้วท่านก็ต่อด้วยทิฏฐิ 62 ซึ่งเป็นพวกนั่งหลับตากับพวกตักกีวีมังสี พวกตรึกนึกคิดเอาเอง และพวกตรึกนึกคิดเอาเองนี่แหละคือนักศึกษาศาสนาพุทธที่เป็นเปรียญพุทธศาสนบัณฑิตในสมัยนี้นี่แหละ ไม่ใช่พวกนั่งสะกดจิตหลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์หรอก พวกนี้พวกลืมตาและใช้ตักกีวีมังสี ใช้ตรึกนึกคิดผกผันเหตุผลต่างๆนานาเป็นปรัชญา 
                 สรุปแล้วเป็น 2 สาย สายพระบ้านและสายพระป่า สายพระป่านั่งหลับตา สายพระบ้านเรียน และคิดหาเหตุผล สาธยายหาเหตุผลตักกีวิมังสี เท่านั้น พวกตักกีวิมังสีมันแสดงออกได้ในสังคมก็เลยครองศาสนาไป ส่วนหลับตานั้นหนีเข้าภพไปแล้ว จะครองศาสนายังไง แต่พวกตักกีวิมังสีรู้ตัวว่าไม่มีทางบรรลุ ก็ยอมรับว่ามันไม่เข้าถึงจิต ส่วนพวกนั่งหลับตาเข้าถึงจิต แต่ไม่รู้จักจิต  เข้าถึงจิตแต่ไม่วิจัยจิต ไม่ได้เรียนธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ที่จะต้องมีสติสัมปชัญญะก่อน  แล้วมีสติสัมปชานะ สัมปัชชรติและอะไรๆอีกเยอะ ก็ค่อยๆศึกษาไป อาตมาก็เอามาเรียบเรียงเอาสภาวะมาต่อให้ดูพอสมควร พวกนี้เขาไม่ได้เรียน เขาไม่ได้ตื่นรู้มาสัมผัสเรียนรู้ชัดเจนว่า อ้อ...จิตที่เป็นองค์รวมในเวทนานี่มันแตกแยกออกเป็นอะไรต่อมิอะไร จนกระทั่งเราทำให้เวทนาเป็นหนึ่งได้ จนรู้พลังงานที่ละเอียดขึ้นๆอย่างที่อาตมาพยายามอธิบายอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้ก็ละเอียดลึกซึ้งขึ้น มันไม่ได้ทำ ไม่ได้เรียนรู้วิจัยจิต รู้สภาวะของจิตจริงๆ แล้วก็รู้ถึงจิตที่มันหมดกิเลส จิตก็ว่างจากกิเลสเดี๋ยวนี้พวกตักกะ พวกสำนักความว่างนี่เยอะไม่รู้กี่สำนักก็เลยมีความเห็นไม่ตรงกัน มันสัญญาต่างกัน กายต่างกันด้วยตักกะ ตักกีวีมังสีนี่แหละเยอะเลย สายมหายานนี่มาก สายนั่งคิดนั่งเขียน พวกปรัชญาทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะแยะนั่งแสดงออกจะมาหาอาตมา แต่อาตมาไม่มีเวลาไปถกด้วย เพราะเขายึดของเขาอย่างนั้นๆ อาตมาก็บอกว่า เอ้า...ใครอยากศึกษาก็มา แต่ใครจะมาถกถึยงด้วยอาตมาไม่เอาหรอก อาตมาสู้คุณไม่ได้หรอก คุณชนะไปเลย อาตมาจะทำงานสอนสัจธรรมอย่างเดียว อาตมามั่นใจว่าอาตมาเข้าใจถูกแล้ว คุณจะมาถกเพื่อเอาชนะ ขออภัยจะว่าอาตมาหลงตัวก็ตามใจ อาตมาไม่อยากเสียเวลาทำงาน 
             สรุปจากพระสูตรแรก พรหมชาลสูตร นอกจากท่านบอกหลักว่าต้องมีศีลแล้วถึงจะทำจิตได้ แล้วท่านก็สอนปัญญา ก็ไม่เชิงปัญญานะคือท่านสอนทิฏฐิก่อน ให้มีทิฏฐิให้เข้าเกณฑ์สัมมา ซึ่งท่านยืนยันว่า  สิ่งที่ปฏิบัติกันมาก่อนนั้นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด หลักการตัดสินจะอยู่ที่ปัจจุบันเท่านั้น คือใช้ภาษาว่าทิฏฐธรรม เพราะฉะนั้น จะมีนิพพานต้องมีทิฏฐธรรม อาตมาว่าทิฏฐธรรมนี่มี 2 คือ 1. เห็นได้ ต้องมีการเห็นได้ ใครอื่นก็เห็นด้วยได้ แม้เป็นนามธรรมก็จะอ่านอาการลิงคะก็พากันไปแล้วนั่นเป็นนามธรรมก็จะพอรู้กันได้ 2.  เป็นปัจจุบัน ทิฏฐนี่เป็นปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วเห็นไม่ได้ อย่างนั่งหลับตานี่เห็นไม่ได้เลย เพราะมันปิดทวาร เพราะงั้นพวกนั่งหลับตานี่ ตัดทิ้งได้เลย พวกนี้ไม่มีนิพพาน เพราะไม่เป็นทิฏฐธรรม ทั้งไม่เห็นและไม่เป็นปัจจุบัน เพราะหลับตาแล้วก็ไปอยู่กับอดีตกับอนาคต  แล้วมันจะปัจจุบันตรงไหน 
          แต่พวกนี้มีปัจจุบันซ้อน อาตมาอธิบายแล้วนะ คือเขาว่าเขานั่งอยู่นี่เป็นปัจจุบันแล้วไงเขาก็อ่านกามในสัญญา อ่านอัตตาในสัญญาแต่เขาไม่มีกามเลยเขานึกว่าสัญญานั้นมีกามสัญญา มีความจำได้ มันระลึกออกมา ทั้งที่ในสัญญาไม่มีกามจริง กามที่เกิดจากสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายใจในสัญญาไม่มีกามคุณ 5จริง  เขาจึงได้แต่ตักกะ ได้แต่อยู่กับสัญญาได้แต่วีมังสีคิดขึ้นมาหรือทวนอดีตหรือระลึกถึงอนาคตที่เรายังไม่ได้แต่ยังอยากได้ จำได้ รู้ได้แต่เรายังไม่ได้ซึ่งมีมากกว่าที่เคยได้ ไอ้ที่ได้มาแล้วไม่ว่าใครทั้งนั้น มันยังไม่ได้มากเท่าที่อยากได้หรอก จริง ๆไปถามทักษิณ ก็ได้เณรคำก็ได้ เขายังอยากได้สิ่งที่เขาได้แล้วมากกว่านั้นอีก เขาจึงไม่หยุด ไปถามดู 
            เพราะฉะนั้น  อนาคตมันจึงมีมากกว่าอดีต เพราะงั้นนั่งหลับตานี่ตัดไปเลยไม่มีแม้แต่ปัจจุบันคุณก็ไม่มีปัจจุบันจริงคุณไม่มีกามคุณจริง คุณไม่ได้ลืมตา  เว้นผัสสะเสียแล้วไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ จบ มันต้องมีผัสสะ จึงมีกามคุณ
สูตรที่ 2 สามัญผลสูตร ฟังให้ดีนะอาตมาจะเล่าให้ฟัง    สามัญแปลว่าการเป็นสมณะ  การเป็นสมณะ  คือการสงบระงับได้ และเป็นที่รู้กันทั่วไป สามัญ เป็นที่รู้กันทั่วไปได้ ไม่ใช่รู้แต่ผู้เดียว นิทานของสามัญผลสูตรก็คือพระเจ้าอชาตศัตรูมาพบกับพระพุทธเจ้าแล้วถามไถ่ว่าทุกข์มาก วิบากบาปมาถึงท่านก็สำนึก หาอาจารย์ต่างๆมาไม่มีใครแก้ให้ได้ ชีวกโกมารภัทรแนะนำให้ถามพระสมณะโคดมซึ่งเพิ่งตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจึงได้โอภาปราศรัยกัน พระพุทธเจ้าท่านก็บอกของท่านก็มีศีลสมาธิปัญญาที่สามารถแสดงผลให้เห็นเป็นประจักษ์ได้ในปัจจุบันได้ไหม ที่ ท่านว่าทิฏฐธรรม พระเจ้าอชาตศัตรู ถาม พระพุทธเจ้าตอบว่ามี คือจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลก่อนแล้วสามารถสำรวมอินทรีย์ นี่คือสามัญผลสูตรนะ เป็นหลักการปฏิบัติ ไม่ใช่หลับตา  
          พรหมชาลสูตรนั้นตีทิ้งพวกนั่งหลับตาแล้ว เพราะท่านเองตรัสรู้แล้วท่านก็ยังสอนคนชายป่าอยู่ และผู้ที่แสวงหาธรรมะก็จะออกป่า พวกพราหมณ์มหาศาลเป็นพวกปฏิบัติศาสนาพระบ้าน พราหมณ์มหาศาลสมัยนั้นคือพระบ้าน ส่วน พราหมณ์ที่ปฏิบัติจริงจังคือออกป่า ส่วนพระบ้านก็ร่ำรวยด้วยลาภยศสรรเสริญสุขเหมือนกับพระมหาศาลสมัยนี้ แต่สมัยโน้นมันยิ่งกว่าเพราะ พราหมณ์มหาศาลหลายสำนักมีเมียได้ บางสำนักไม่มีเมีย ซึ่งก็เหมือนกันกับเดี๋ยวนี้ที่พระมหาศาลบางสำนักก็มีเมีย อย่างพระมหายานซึ่งก็ยังซูเอี๋ยกันกับเจ้าหน้าที่ 
            อาตมาพูดไปๆนี่จะหมดพระแล้ว กวาดลงทะเลยะเยือกเย็น เกือบหมดแล้ว เดี๋ยวจะยิ่งกว่าพายุอะไรที่ชื่อเรียกยากๆ นอกจากท่านตีทิ้งพวกนั่งหลับตาแล้ว ยังบอกว่าของท่านมีศีลเป็นหลัก ในสามัญผลสูตรก็ยังไม่ชัดหรอก 
          สำหรับสูตรนี้ สรุปว่าให้ปฏิบัติมีศีลและฝึกจิตโดยการสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะและจรณะ 15 นี่แหละ แต่ว่ายังไม่ได้ระบุเป็นพยัญชนะในสามัญผลสูตรว่ามีวิชชาจรณะ ไประบุว่ามีในสูตรต่อๆไปแต่ก็คืออันนี้แหละ สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะแล้วก็ปฏิบัติลดละเลิกลงไปจน  เป็น สุภร สุโปสะ  อัปปิจฉะ สันตุษฐิ สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะเป็นผู้มีอาการที่น่าเลื่อมใส อปัจจยะไม่สะสมก็เป็นคนมีน้อยหรือไม่มีเลย  วิริยารัมภะเป็นคนขยันหมั่นเพียรหรือวรรณะ 9 นั่นแหละปฏิบัติได้อย่างนี้ก็จะเป็นผู้บรรลุจริงก็เป็นสันโดษ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ใหม่ๆก็เรียบเรียงมาอย่างนี้ มีศีลมีสำรวมอินทรีย์มีสัมปชัญญะมีสันโดษปฏิบัติอันนี้ก็คือจรณะ 15 ที่จะได้ผลตรงศีลและอปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ก็จะเกิดศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต วิริยะ สติ ปัญญา คุณสมบัติทางจิตเหล่านี้ก็สั่งสมลงเป็น ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 และฌาน 4 แบบลืมตา 
          นี่พระพุทธเจ้าท่านประกาศอย่างนี้ สอนอย่างแบบลืมตานี่แล้วจะเกิดศีลเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะ สติสัมปชัญญะเป็นอาริยะ สันโดษเป็นอาริยะ อย่างนี้เป็นต้น ฌานจึงเป็นสัมมาฌาน เกิดจากจรณะ    ฌานนี้คือจรณะที่11, 12, 13และ 14 สัทธรรม 7 อปันนกปฏิปทาก็ 3 ภาคปฏิบัติจบสิ้น การปฏิบัติที่ไม่ผิด สำรวมอินทรีย์  ก็อินทรีย์ 6 นี่แหละ สัมผัสอะไรเกี่ยวข้องกับอุปโภคบริโภค ก็โภชนะ ก็ละกิเลส ให้เป็นคนตื่นขึ้นมาเป็นพุทธะ 
             อาตมาอธิบายไปแล้ว ตื่นหรือชาคริยานุโยคะ ชาคระ คือตื่นจนกระทั่งบรรลุนั่นแหละ โดยมีศีลสูงขึ้นเป็นอธิศีลไปตามลำดับๆ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 26 ศีล และมัชฌิมศีล ส่วนมหาศีลเป็นศีลที่ยืนยันลักษณะของศาสนาพุทธว่าเป็นเช่นนี้  ไม่ใช่เป็นเดรัจฉานกถา ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา สิ่งยืนยันอันนั้นมีใน มัชฌิมศีล ด้วยส่วนมหาศีลนั้นเดรัจฉานวิชาล้วนๆที่ต้องไม่มีในศาสนาพุทธ  การปฏิบัติตามจุลศีล มัชฌิมศีลจึงคือส่วนที่ต้องปฏิบัติให้ลึกซึ้งละเอียดไปตามลำดับ เพราะงั้นในสามัญผลสูตรนี้ ก็คือวิธีปฏิบัติ 
              ส่วนสูตรที่ 3 อัมพัฎฐสูตร มีตัวหลักสำคัญที่ท่านตรัสดักไว้เลยว่า ต่อไปในอนาคตจะเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ 4 ข้อคือ จะออกป่า ท่านพยากรณ์ไว้ตั้งแต่ศาสนาท่านยังไม่เสื่อมนะ ยังไม่เกิดอะไรมากมายด้วย ศาสนาพุทธยังใหม่อยู่ เพราะงั้นในความเสื่อมนี้มันแสดงชัดเจนว่าพุทธไม่ใช่ศาสนาออกป่า เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน ลองฟังดู อาตมาจะอ่านเต็มๆให้ฟัง โดยไม่ย่อว่าความเสื่อมอันนี้ท่านตรัสว่าอย่างไร และท่านก็แปลกันมา ซึ่งอาตมาว่ามันไม่ง่ายนักที่จะเข้าใจ แต่อาตมามีสภาวะอาตมาเข้าใจพอสมควร จะขยายให้ฟัง ขยายมานานแล้วหละ แล้วพยายามให้ความรู้กันว่าอย่าไปหลงนั่งหลับตา ออกเขาออกป่าออกถ้ำอะไรกันนักเลย เอาสูตรอื่นๆมาขยายยืนยันประกอบเยอะแยะ ต้องไปอ่านหนังสือ “ป่ากับศาสนาพุทธ”  มันมีนัยยะต่างๆที่อาตมาจับเอามาจากพระไตรปิฎกที่มีหลักฐานเอามาขยายรวมไว้ในเล่มนี้ อาตมาจะอ่านให้ฟัง ความเสื่อมของศาสนาพุทธนะ อันนั้นที่เขาสรุปเท่านั้นนะ หรือจะดูที่เขาสรุปก็ได้ที่อินเสิร์ตออกหน้าจอ แต่อาตมาจะอ่านฉบับเต็มในพระไตรปิฎก
      ข้อ1.  ดูกรอัมพัฏฐะ  สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบส(สมัยก่อนเรียกนักบวชว่าภิกษุ ตอนนี้ชักเสื่อมจึงเรียกดาบสเต็มๆ)เข้าไปสู่ราวป่า ด้วยตั้งใจว่าจะบริโภคผลไม้ที่หล่น(หาบบริขารเข้าป่า คือเอาสิ่งของๆตนที่ภิกษุต้องใช้ นอกนั้นไม่เอาแล้วโภคขันธาปหายะแล้ว บริขารเช่น ไตรจีวร ทัมมโกลก ด้าย เข็ม เป็นต้น เข้าป่าตั้งใจบริโภคแต่ผลไม้หล่น ไม่ขุดไม่เด็ด ยังมีวินัย แต่หลงผิดที่ออกป่า)สมณพราหมณ์เหล่านั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี่เป็นทางเสื่อมข้อที่ 1(คนอ่านที่ไม่มีสภาวะจะไม่เข้าใจว่าประเด็นที่เสื่อมคืออะไร หากเข้าป่าแล้ว ต่อให้มีวินัยอย่างไรก็เสื่อมเพราะมุ่งแต่ไปหาอาจารย์ในป่า ก็ในป่าไม่มีอาจารย์ของพุทธ 
              ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาคนป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนเมืองจำไว้ 
              จะหาอาจารย์ต้องมาหาในเมือง ภิกษุของพุทธไม่ใช่พระป่าแต่เป็นพระบ้าน ประเด็นนี้แหละท่านพยากรณ์ไว้ก่อน คือคนที่ไม่มีสภาวะ ไม่รู้ยุคสมัยด้วยจึงสับสน เนื้อความที่อ่านก็ไม่มาก มันมีแค่นี้ ไม่มีรายละเอียด สมัยนั้นท่านยังตั้งศาสนาไม่ได้ด้วยก็พูดไปรวมๆ สมณพราหมณ์ก็เป็นคำกลางๆ คือนักบวชผู้แสวงหานี่แหละ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณะสมบัติอันเป็นคุณอันยอดเยี่ยมนี้คือยังไม่มีวิชชาจรณสัมปันโน หาบไปเฉพาะบริขารไม่มีอาวุธอื่นหรือเครื่องมือใดๆที่นอกรีตนอกวินัย ไปเก็บผลไม้หล่นกิน ไม่เด็ดไม่พรากพืชไม่ไปทำสวนครัวอยู่ในป่า ตนยังไม่บรรลุจึงไปแสวงหาอาจารย์ในป่าก็จะไปบำเรอคนที่ตนเข้าใจว่าบรรลุวิชชาจรณสัมปันโน นี่คือทางเสื่อมข้อที่1 ประเด็นคือ ผู้นี้ยังเป็นพระที่มีวินัย ไม่ทำอะไรผิด แต่ผิดที่ไปหาอาจารย์ในป่าไปบำเรอพระในป่าหรือพระที่บรรลุวิชชาจรณะ เป็นอาจารย์นี่เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง
        อาตมาก็เห็นใจนะ มันเข้าใจได้ยาก คนส่วนใหญ่หลงว่าพระป่าเป็นอาจารย์เขาก็บำเรอกันอยู่อย่างนั้นเหมือนทุกวันนี้แหละ ผิดตรงไหน คุณเจอแล้วใช่ไหมอาจารย์ในป่า สมัยนี้มีเยอะด้วยท่านเคร่งมาก ท่านไม่เข้าเมืองหรอกนี่คือยอดอาจารย์ท่านต้องอยู่ป่าหรือไม่ก็อยู่ป่าช้า อย่างหลวงพ่อเกษมอยู่ป่าช้าท่านก็มีชื่อเสียงมาก ผู้คนก็บำเรออาจารย์กันอยู่อย่างนี้ ความเสื่อมมันจึงอยู่ที่ไปหาอาจารย์ในป่าและก็หลงว่ามีวิชชาสมบัติจรณะสมบัติกัน เพราะไม่รู้กันว่าวิชชาจรณะเป็นยังไง ก็ไปบำเรออาจารย์ในป่า ประเด็นสำคัญจึงคือออกป่า นี่คืออปันนกสูตร 3 ที่โบราณาจารย์เรียบเรียงว่าสอนนั่งหลับตาก็ผิดนะ ออกป่าก็ผิดนะ ไม่ใช่ลัทธิพุทธนะ ต้องอย่างสามัญผลสูตรนะ ต้องปฏิบัติศีลสมาธิปัญญานะ ต้องมีศีล สำรวมอินทรีย์มีสติสัมปชัญญะสันโดษอย่างอาริยะเกิดฌานเกิดสมาธิอย่างอาริยะอย่างสามัญผลสูตร  เพราะงั้น สูตร 1 หลับตา สูตร 2 ออกป่า)
ข้อ 2  สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ไม่บรรลุวิชชาจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถหาผลไม้หล่นบริโภคได้ ถือเสียมและตะกร้า(ไม่ใช่บริขาร) สู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่าจะบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ (ขุดฟันเด็ดตัดกินเลยตอนนี้ไม่มีแล้ววินัย อันนี้ก็เสื่อมซ้อนแล้ว ข้อ 1. ยังมีวินัย ข้อ 2.นี่วินัยพังแล้ว แต่ก็เข้าป่า ตั้งใจว่าจะบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ ยังดี ไม่ไปล่าเก้งกิน ดีนะที่ยังเป็นมังสวิรัติ) สมณพราหมณ์ นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ (ก็ไปเจออาจารย์ในป่าและจมอยู่ในป่านั่นแหละ สังสีสติอยู่ป่า จมอยู่ป่ากับอาจารย์นั่นแหละ ประเด็นข้อนี้คือนอกจากออกป่าแล้ว วินัยก็เสื่อมด้วย)
ข้อ 3. สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้เมื่อไม่บรรลุวิชชาจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟ(ออกนอกรีตเลย)ไว้ใกล้บ้านในนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาสมบัติและจรณะสมบัติโดยแท้(นี่เป็นทางเสื่อมข้อที่ 3 ตอนนี้คือออกป่าแล้วสร้างเรือนไฟเช่น วัด วิหาร ในป่า มีธูปเทียนบูชา มีน้ำมนต์  ทำเดรัจฉานวิชชาอยู่ในป่าใกล้บ้าน นี่ความเสื่อมข้อที่ 3 ซึ่งก็ยังเรือนไฟเล็กๆที่ไม่ใหญ่โตแข็งแรงมาก แต่ออกนอกรีตแล้ว ละเมิดมหาศีลแล้ว ข้อ 2. นั้นละเมิดวินัย ข้อ 3.นี่ละเมิดมหาศีล หนักเข้าก็มีติ้ว มีทำนายทายทัก หนักเข้าก็มีทุกอย่างเคาะหัวบ้าง ถีบบ้าง แล้วแต่ โอ้โฮ...เลอะเทอะเยอะแยะไปหมด แล้วเก่งของขลัง เรียกว่าเดรัจฉานวิชาเข้าไปเต็มหมด)
          ข้อ 4.สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมไม่สามารถหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้ผลไม้บริโภคได้และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนไฟมีประตู 4 ด้านไว้ที่หนทางใหญ่4 แพร่ง(ความหมายลึกนะแล้วสำนักก็สร้างเป็นหลักเป็นแหล่งใหญ่โตมโหฬาร) แล้วพำนักอยู่ ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์เราก็จะบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง( ข้อนี้บูชาหมดเลย จะเป็นใครที่เข้ามา สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาจรณสัมปันโนอยู่โดยแท้ นี่คือความเสื่อมข้อที่ 4 )
           เห็นชัดเลยว่า ข้อสุดท้ายนี้ วินัยหมดเกลี้ยงเลย เหมือนอย่างทุกวันนี้ สมัยโน้นที่สร้างบนทาง 4 แพร่งหมายความว่าสร้างเป็นมุข 4 ด้าน ทาง 4 แพร่งสร้างปราสาทสร้างวิหารใหญ่โต นี่หละปักหลักเลยทั้ง 4ทิศ จับคนมาบวชหมดเลยแสนคนล้านคนต้อนมาให้หมดและอาจารย์นั่นแหละเก่ง จนกระทั่งธุดงค์ก็ไม่ต้องธุดงค์แล้ว ปักหลักอยู่ตรงนั้นยังหลอกคนได้เลย เอาคนไปเดินแล้วเรียกธุดงค์ ธุดงค์นี่ไม่ได้แปลว่าเดิน มันไม่ใช่เดิน เสร็จแล้วก็ มันไปกันใหญ่ ดราม่า หรือ มัณฑนะตกแต่งรูปแบบหรูหราฟู่ฟ่าสะสวยด้วยมาลาวิเลปนะธารณะมีหมด แล้วแอ๊กอาร์ตทำท่าเป็นพระธุดงค์เหมือนเล่นละครเล่นลิเกกลางเมือง ขวางทางรถราทำจราจรติตขัด มันสุดจะพลิกแพลงปรุงแต่งสร้างภาพหลอกประชาชนทับถมทำลายศาสนาจนเน่าเฟะ  แล้วคนส่วนใหญ่ก็ไม่รู้แยกถูกแยกผิดไม่ได้ พากันยินดีส่งเสริมบูชาอย่างหน้ามืดตามัว ชื่นชมว่าไม่มีใครทำได้หรอกยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทั้งที่เป็นเล่ห์กลเอาความใหญ่ความมาก มหัปปิจฉะ มาบำเรอกิเลสคนที่มักใหญ่มักมากเป็นธรรมดาที่ มันจะไม่สันโดษ มันไม่พอ มัน ไม่น้อย ไม่อัปปิจฉะ มันมีแต่มาก มักมาก ไม่สนใจเลยที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ธรรมใด วินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต แต่มันเป็นไปเพื่อความมักมากกันหมด 
             นี่คือความเสื่อมที่ท่านกล่าวไว้ก่อนแล้วในอัมพัฏฐสูตร ทั้งที่ยุคของท่านยังไม่มีสิ่งเหล่านี้ และศาสนาพุทธยังไม่เจริญมากด้วยซ้ำตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้
            ส่วนสูตรที่ 4 โสณทัณฑสูตร เน้นธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า ศีลอยู่ที่ใด ปัญญาอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธนี้มีศีลมีปัญญาเป็นหลัก  การจะทำอธิจิตจะทำสมาธิจะทำอะไรต้องมีศีลกับปัญญาเป็นตัวหลัก โดยศีลนี่แหละมาก่อนและยั่งยืน 
           สูตรนี้ย้ำเรื่องนี้ เมื่อมีศีลจึงจะมีปัญญา เพราะงั้น ถ้าไม่มีศีลก็ไม่มีปัญญา มีปัญญาโดยไม่มีศีลก็ไม่ได้ ทุกวันนี้เรียนแต่ปัญญาเต็มหัว เปรียญ 9 พุทธศาสนดุษฎีบัณฑิต เรียนกันมาก แต่จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลไม่มี ศีลที่เป็นอธิศีลจะเป็นอาริยะไม่มี แล้วจะหาปัญญามาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องมีศีลมาก่อน ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใดศีลอยู่ที่นั่น มันจะสังเคราะห์กัน จึงทำให้เกิดสมาธิปัญญาวิมุติแล้ววิมุติญาณทัสสนะแล้ว ก็จะมาช่วยทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิปัญญา วิมุติ อธิวิมุติ 
               สูตรที่ 4 จึงเป็นสูตรที่เน้นว่าศีลต้องมาก่อน ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น นี่คือสรุปของโสณทัณฑสูตร ความสำคัญของศีลไม่ใช่นั่งหลับตา สมาธิเกิดได้เพราะศีลและปัญญา ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ จึงจะเกิดลูกโอปปาติกะเป็นจิตวิญญาณที่สะอาดขึ้นมาตามลำดับ
สูตรที่ 5 กูลตทังสูตร เน้นยัญพิธี ดีที่สุดคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ย้ำอีกว่ายัญพิธี ไม่ใช่ไปทำพิธีด้วยสิญจนยัญ อัคคียัญ ฯลฯ แต่คือศีล สมาธิ ปัญญานี่กูลตทังสูตร ท่านก็เน้นเรื่องนี้ นี่อาตมาสรุปยอดๆความหมายของแต่ละสูตรมาให้ฟังบ้าง ธรรมของพระพุทธเจ้าในพระสูตรเล่ม 1

ต่อมา สูตรที่ 6 มหาลิสูตร ท่านย้ำอีกว่าอธิจิตหรือสมาธิที่เขาทำเพื่อให้ได้ความเป็นทิพย์ที่ได้ทิพย์ความเก่งแบบโลกีย์นั้นสู้สมาธิที่เจริญด้วยอาริยบุคคลไม่ได้หรอกนี่คือมหาลิสูตร ที่ไปสร้างสมาธิด้วยวิธีต่างๆเพื่อความเป็นทิพย์ความเก่งด้านต่างๆที่เป็นทิพย์โลกีย์สู้สมาธิที่เจริญด้วยอาริยะบุคคลไม่ได้
       ยังมีสูตรต่างๆอีกท่านก็เน้นอะไรต่างๆไปเรื่อย ในชาลิยสูตรเน้นยืนยันว่าศีลสมาธิปัญญานั้นปฏิบัติให้บรรลุอาสวักขยญาณ แล้วจะรู้เองว่าอัตตาคืออย่างไร ชีพคืออย่างไรสรีระคืออย่างไร ชีพก็อย่างนั้น สรีระก็อย่างนั้นใช่หรือไม่ใช่ โลกคืออะไรรู้หมดอย่างนี้เป็นต้น  นี่แต่ละสูตรๆท่านก็เน้นจุดนั้นจุดนี้ซึ่งท่านสอนศาสนาพุทธ ท่านปลูกศาสนาพุทธลงบนโลก ถ้าเข้าใจแก่นแท้แต่ละความหมายแต่ละจุดประสงค์ที่ท่านสังคายนาท่านก็เรียบเรียงไว้อย่างสุดยอดวิทยานิพนธ์ สุดยอดวรรณคดี เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว 
           เพราะงั้นสูตรอื่นใดๆก็แล้วแต่ที่ท่านตรัสไว้อาตมาจะเอามาขยาย จะหยิบมาอธิบายใครจะมาเรียนกับอาตมาก็มา แล้วพากเพียรเรียนไปปฏิบัติไปเพราะอาตมาไม่ได้กำหนดว่าสี่ปีจบ ห้าปีจบ หกปีจบอาตมาไม่เอา อาตมาไปของอาตมาเรื่อยๆ ที่จะต้องจบต้องมีใบประกาศนียบัตร ใบปริญญาใบรับรองนี่ของทางโลก  แต่ของพระพุทธเจ้าหมายเอาบรรลุธรรมเป็นจบ แต่ถึงบรรลุแล้วก็เรียนต่อไป ต่อจนถึงเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละจึงจบ นั่นเฉพาะอาตมา คนอื่นใครไม่เอาก็ไม่เป็นไร เรียนให้จบก็แล้วกัน  เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนใบไม้กำมือเดียวท่านสอนให้บรรลุอรหันต์  เพราะงั้นในเถรวาทนี่ความรู้หรือคำบรรยายเกี่ยวกับโพธิสัตว์จึงไม่มีสักเท่าไหร่ ท่านสอนแค่รู้แค่บรรลุอรหันต์ก็พอ เป็นอนุโพธิสัตว์แล้วก็จบ ใครจะต่ออนิยตโพธิสัตว์ก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าท่านมาปลายภัทรกัปป์ ท่านก็สอนอย่างใช้เวลาน้อยเรียนเร็ว ลัด เรียกว่าลัดคัดสั้นที่สุดนะ ของพระพุทธเจ้านี่ทุกอย่างลัดคัดสั้น เอาเฉพาะที่คัดมาแค่นี้ ลัดคัดสั้น
มาดู SMS. ต่อ เมื่อกี๊อาตมาตอบเรื่องสมาธิหลับตา  ลืมตาซะยาวทีนี้ คณ 3867 บอกว่าที่พ่อครูสอนคงเป็นทุกขสูตรที่กล่าวถึงความเกิดความดับแห่งทุกข์ที่อาศัยจักษุและรูปเกิดจักษุวิญญาณรวมเป็นธรรม 3 ประการ  ......ถูกต้อง เป็นผัสสะ 3 มี จักษู กระทบรูปเป็นจักษุวิญญาณ หรือ หู กระทบกับเสียงเป็นโสตวิญญาณ หรือ จมูกกระทบ กับกลิ่นเป็นฆานวิญญาณ พวกนี้ก็เป็นผัสสะ 3 เหมือนๆกันทั้ง 6 อย่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
       ต่อมา บอกว่าเพราะผัสสะ 3เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ตัณหาจึงเกิดกองทุกข์ เมื่อดับตัณหาอุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะปริเทวะโทมนัส อุปายาสะ จึงดับกองทุกข์ก็หมดสิ้น....  ถูกต้อง เพราะฉะนั้น  ที่ท่านสอนปฏิจจสมุปบาทก็ดี อะไรก็ดี พวกนี้ ต้องรู้สภาวะทั้งหมด อาตมาก็สงซ้าน..สงสาร  พวกตักกีวิมังสีพวกนี้ เมื่อกี๊ก็อ่าน วันนี้วันศุกร์หนังสือรายสัปดาห์ออก เขามีคอลัมน์เกี่ยวกับธรรมะ อย่างมติชนเขาก็มีของเขาคุณวิเวกาอะไรน่ะเขาช่างเก็บธรรมะต่างๆมาอาตมาก็พลอยได้รับความรู้จากที่เขาคัดมา  อาตมาก็ได้อาศัยอย่างนี้แหละ เพราะอาตมาไม่เก่งและไม่มีเวลาไปค้นคว้าก็ขอบคุณเขาที่ได้รู้ความคิดเห็นของโบราณาจารย์ อรรถกาจารย์ อาจารย์ต่างๆที่มีชื่อเสียงก็พวกตักกีวีมังสีทั้งสิ้น  ฉบับใหม่ที่เพิ่งอ่านเขาก็พูดถึงสายตรรกะ อาตมาไม่ออกชื่อนะเป็นคนไทย ท่านพูดถึงความว่าง มีอาจารย์หลายท่านพูดถึงความว่าง อ่านแล้วก็สงสาร เพราะเป็นความว่างที่เวิ้งว้าง ไม่มีเหตุปัจจัย ไม่เข้าสู่สภาวธรรม ซึ่งอาตมาก็พู้ด...พูด อาตมาเคยพูดตั้งแต่ใหม่ๆมีพระ 16 สายอย่างสายตักกี สายตักกะนี่แหละเถียงอาตมาใหญ่เลย อาตมาว่าความว่างน่ะมันต้องว่างจากกิเลส ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยว่างจากกิเลส คุณจะไปตักกะว่า ว่างอย่างนี้ ว่างอย่างฮวงโป  อย่างมหายาน เหวยหล่างอะไรพวกนี้ มันเป็นตักกีวิมังสี มันเป็นตักกะไม่มีสภาวะ พูดออกมามันจะเข้าใจเลยพวกว่างนี้ถ้ามีสภาวะต้องพูดอยู่ในแนวปฏิจจสมุปบาท จะไล่อันนี้เลย มันไม่ขาดจากเวทนาและมันก็มีตัณหา เพราะฉะนั้น มันจะมีสมุทัยคือตัณหา แต่พวกว่างตักกะไม่มีแตะตัณหาสมุทัยอะไรหรอก ไม่แตะอารมณ์จิตเลย เขาตัดไปเอาว่างโดยตักกะทั้งนั้นเลย สายมหายานนี่แตกไปไม่รู้กี่สาย ตักกะเรื่องว่างนี้ทั้งนั้น ว่ากันคนละมุมๆ เถียงกันเหมือนตาบอดคลำช้าง คนที่คลำถูกก้นมันก็ได้เจอแต่ขี้มัน คนที่คลำปากมันก็ได้แต่น้ำลายมัน นี่อาตมาต้องอธิบายถึงๆอย่างนี้แหละ แทนที่จะอธิบายว่าบางคนคลำถูกขาช้าง บางคนคลำถูกงาช้างหัวช้างหางช้างอย่างที่เขาว่ากันนะ อาตมาพูดให้มันถึงๆน่ะนะ มันน่าสงสาร
         นี่กระตุกต่อมสำนึกให้รู้นะไม่ไช่ไปว่าอะไรหรอก 7.36มันหลงงมงายอยู่แต่อดีตอนาคตนั่นแหละ สำหรับพวกตักกี วิมังสี นี่อยู่ในอนาคตแต่ที่ตรึกไปในอดีตก็มี คิดเอาเอง แต่น้อยกว่าพวกอยู่ในอนาคตที่พวกตักกีวีมังสีเยอะแยะมากมาย
ต่อมาบอกว่าพ่อครูพูดถูกว่า  คนตายแล้วจะเกิดอีกหลายร้อยภพชาติ .... จริง สิ่งที่บอกว่าคนกลับไปสู่นิพพานน้อยมาก  คือ  จำนวนมนุษย์สัตว์บกสัตว์น้ำสัตว์ปีกสัตว์ใต้ดินที่เกิดขึ้นทุกวัน อ้อ...มาเกิดเป็นสัตว์นะ เพราะถ้าผู้บรรลุธรรมในศาสดาทุกศาสนา ไปสู่แดนพระเจ้าหรือนิพพานถ้ามีมากจริง คนโลกหรือสัตว์โลกต้องเกิดมาน้อยลง ถูกมั้ย เขาว่างั้น เพราะไปอยู่กับพระเจ้าหรือนิพพานสูญไปเยอะแล้ว  ที่จริงทุกวันนี้ สัตว์ก็น้อยลงนะ หลายอย่างนี่สูญพันธุ์ไปเลยนะ มันน้อยลง เอาละ มันเป็นอจินไตย อย่าพูดเลย พูดยังไงก็เข้าใจไม่หมดหรอก
คุณ 7308 บอกว่า พ่อครูพูดขุดอุปาทานให้ดูกันชัดๆสะดุ้งมากๆเลย ...ฟังต่อไปนะอาตมาจะขุดอีกเตรียมสะดุ้งอีก 
คุณ 8255 บอกว่าวันนี้พ่อท่านเทศน์สนุกมากค่ะ เสียดายคนในโลกนี้ไม่เป็นพุทธ 
คุณ 7308 อีกอันบอกว่าเพราะอุปาทานทำให้เวียนเกิดเวียนตาย อาจเกิดเป็นคน เป็นหมา ฯลฯ ....แน่นอนเรื่องเวียนเกิดเวียนตายมีเยอะแยะ
 คุณ   7308 บอกว่าตอนเด็กถูกแต่งหน้ารำไทยเพื่อนเห็นเข้าก็ร้องว่า ผีหลอก เลยทั้งขำทั้งเคือง แต่พอมองกระจกก็เออ...มันจริงแฮะ...ก็เป็นธรรมดานะ คนในโลกโลกีย์เขาก็ว่ากันไป 
เอาละวันนี้ อาตมาเอาแค่ sms มาอ่านแล้วก็ขี่ม้ารอบค่ายไม่เข้าสู่เมืองเลยนะ  แต่ก็ได้รู้ได้เข้าใจอะไรเพิ่มเติมขึ้น สรุปเรื่องที่อาตมาเน้นคือคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านตรัสในพรหมชาลสูตรว่าคำสอนท่านมัน 
1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง) 
2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) 
3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) 
4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) 
5.     ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) 
6.     อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) 
7.     นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) 
8.     ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)
ท่านตรัสไว้ในสูตรแรกนี่เลยนะ พรหมชาลสูตรนี้แหละแล้ว เน้นไว้อย่างนี้แหละเรื่อยๆ เพราะงั้นจึงเป็นเรื่องที่คัมภีราลึกซึ้งจริงๆเห็นตามได้ยากรู้ตามได้ยาก สมัยพระพุทธเจ้าท่านมีบารมีมากแล้วคนก็เปรียบเทียบแต่เฉพาะลัทธิของเขาที่ต่างกับของพระพุทธเจ้า มันจะขัดแย้งกันเห็นได้ง่ายเหมือนดำกับขาวและเขาก็ไม่ได้ยึดมากว่าเขาก็เข้าใจขาวนะเหมือนยุคนี้ ยุคนี้พุทธเกิดแล้วและเป็นพุทธมาจนถึงทุกวันนี้นั้นผ้าขาวมันดำปี๋แล้ว แต่เขายังนึกว่าผ้าขาวของเขายังขาวอยู่ อาตมาก็ว่าผ้านั้นมันดำปี๋แล้ว มันไม่ได้ไปแข่งกับศาสนาอื่น มันไม่ได้เปรียบเทียบกับศาสนาอื่น มันเปรียบเทียบศาสนาเดียวกัน อาตมามาบอกความขาว เขากลับว่าของอาตมาแหละดำ ของเขายังขาวผ่องอยู่จ๊ะ 
      อาตมาก็ว่าแหม...ยากจริงๆยากตรงนี้แหละ เพราะเขายึดมั่นถือมั่นว่าของเขาขาว เพราะเขาได้เอาตาดำของเขาเข้าไปไว้ข้างใน ข้างนอกเขาก็เหลือแต่ตาขาวมันไม่มีแล้วตาดำ เขาเอาไว้ข้างในหมดเหลือแต่ตารอบนอกคือตาขาว เขาเลยไม่เห็นว่าตาเขาขาวหรือดำแต่เขาว่าตาเขาขาวน่ะ แต่อาตมาว่า โธ่เอ๊ย....ตาคุณน่ะมันดำปิ๊ดปี๋แล้ว เอาละ อาตมาพูดไปแล้วเหมือนข่มท่านอยู่ตลอด วันนี้สมควรแก่เวลาอาตมาใช้ครบสองชั่วโมงเต็ม วันนี้วันศุกร์เดี๋ยวท่ายนายกฯตู่ท่านจะมาสาธยายของท่าน สำหรับวันนี้ เจริญธรรมทุกคน


111111111111111111111111111111111111111111111111111111111     
 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:49:55 )

581004

รายละเอียด

581004 รายการวิถีอารยธรรม เพชรพุทธ 13 กะรัต 

รายการวิถีอารยธรรมวันที่ 4 ตุลาคม 2558 เรื่อง เพชรพุทธ 13 กะรัต

สมณะฟ้าไทว่า...ขอกราบคารวะพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ  ขอโอกาสกราบสมณะและภิกษุทุกรูปด้วยความเคารพอย่างสูงครับ  เจริญธรรมท่านผู้ชมที่อยู่ที่ราชธานีอโศกและที่อยู่ทางบ้านทุกทุกท่าน
วันนี้วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2558 แรม 7 ค่ำเดือน 10 ปีมะแม  ตอนนี้ก็ใกล้เทศกาลกินเจตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคมถึง 22 ตุลาคม  ที่อุทยานนี่เปิด 11 ตุลาคม การกินเจเราก็จะหยุดต่อก่อเวรกับสัตว์  ที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายกันทั้งหมดทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าสัตว์ที่เกิดมาร่วมโลกนี้ไม่มีสัตว์ตัวใดเลย ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องกับเรา ส่วนใหญ่แล้วเคยเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นน้องกับเราทั้งสิ้น  พวกเราเคยเกิดมานับชาติไม่ถ้วนเราไม่รู้ว่าเราเคยเกิดมาเป็นอะไรบ้างแล้วข้างหน้าก็ยังไม่รู้ว่าเราจะเป็นอะไร   ถ้าเราไม่มาถือศีลปฏิบัติธรรมรับรองว่าไม่มีทางรู้เรื่องได้เลยแน่แน่
ก่อนกินเจครั้งนี้ก็มีพวกเรามาเข้าค่ายกันเป็นค่ายแพทย์วิถีธรรม วันนี้วันที่ 4 แล้วส่วนวันที่ 5ใครจะอยู่ต่อ ทางสวนอุทยานที่เราได้ทำกสิกรรมมีผลงาน ลูกกล้วยกล้วยไข่ 6 เดือนออกผล ที่สวนอุทยานมีนักเรียนนักศึกษาอาชีวะไปฝึกงานอยู่ที่นั่นด้วย เป็นปีแรกที่เพิ่งถมที่หมาดๆมาได้ผลงานขนาดนี้เนี่ย ใครอยากไปเรียนได้ผลได้กล้วยขนาดนี้ก็เชิญ ไปเรียนได้ที่สวนอุทยานเสร็จแล้วจะแจกหน่อกล้วยด้วย
ผลงานของอาชีวะเรื่องทำมาหากิน  เป็นผลงานที่มีสีสรรของอาชีวะการเกษตร คนเห็นแล้วสดชื่นอารมณ์เบิกบานแจ่มใส  คนมักไม่ค่อยอยากทำกสิกรรม มันเหนื่อย มันตัวดำ มันสกปรกเลอะเทอะ แต่ผลงานนี่คนอยากได้หมดเลยนะ ปุ๋ยเราเข้ามาตรวจสอบเพราะปุ๋ยเราเกษตรกรเอาไปใช้เยอะเลย เค้าเลยเอาไปตรวจว่าคุณภาพเป็นอย่างไรไร้สารพิษจริงไหมเค้าก็บอกว่าปุ๋ยท่านเรายังไม่เซ็นรับรองให้ ที่นี้ ท่านถักบุญก็เลยพาไปดูต้นข้าวที่หน้าโรงปุ๋ยพอดูต้นข้าวเห็นแล้วก็บอกว่าเซ็นเลย  ต้นข้าวเราก็แปลกมาก ต้นที่อยู่ริมถนนมันสูงลิ่วแล้วต้นใหญ่มากเลย เค้าเลยบอกว่าต้นข้าวแบบนี้ต้องเซ็นให้เลยรับรองให้ได้เลย เพราะว่ามันงามกว่าข่าวอื่นๆหมดเลยคนก็บอกว่าจะออกรวงเมื่อไหร่ตอนนี้ก็ตั้งท้องแล้ว แต่เกษตรกรที่เอาปุ๋ยเราไปใช้ปลูกข้าวปีที่แล้วที่อื่นถูกเพลี้ยกินตายหมดเลย เหลือแต่ข้าวที่ใช้ปุ๋ยงอกงามเหลืออยู่รอดได้แล้วต้นสูงลิ่วออกรวงใหญ่ด้วยที่อื่นตายเรียบมันเป็นเรื่องที่เราก็มหัศจรรย์กับมันจะดูใหญ่โตไปหมดในเรื่องของผลไม้พืชผักทั้งหลายแม้แต่ต้นข้าวคนเห็นก็สะดุดตามันก็เป็นเรื่องแปลก
พ่อครูว่า ไม่ใช่แปลงเดียวที่ข้างโรงปุ๋ยเท่านั้นที่มันต้นงาม แปลงอื่นก็เชิญมาดูได้เลยที่บ้านราชทำนากันรอบหมู่บ้านเลยทั่วบริเวณบ้านราช  ไปดูได้เลยก็ใส่ปุ๋ยที่เราทำนี่แหละ
สมณะฟ้าไทว่าไม่ได้โฆษณานะแต่บอกให้ฟังเฉยเฉย
พ่อครูว่าคือเราพูดความจริงให้ฟังย้ำยืนยันความจริงให้ฟังในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อไม่ควรจะเชื่อ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมันเป็นไปได้หรือ แบบนี้มันน่าอัศจรรย์มันแปลกไปจากที่คนอื่นเค้าทำ เค้าทำไม่ได้มันทำให้เกิดไม่ได้แล้วอย่างนี้ ทำแบบนี้ยุคนี้มันเกิดไม่ได้แล้วอิมพอสซิเบิ้ล  อย่างที่เขาว่ากันแต่เราทำได้เค้าก็ว่าไม่เชื่อ แต่เราก็ทำให้เห็นจริงเพราะเรายืนยันให้เห็นจริงว่า มันทำได้นะเค้าก็หาว่าเราคุยตัวหาว่าเราอยากอวดอยากเบ่งอยากอ้าง เราบอกว่าเราไม่ได้อยากอวด แต่เรายืนยันว่าคุณไม่เชื่อคนจะมาจนในยุคนี้  มาจนอยู่ในสังคมที่คุณกระเสือกกระสนอยากจะรวยอยากจะรวยกัน แล้วใครโฆษณาว่าที่นี่จะให้รวยได้ที่นั่นคนขึ้นเต็มไปหมดเลย  อย่างธรรมกายนี่ หลอกแล้วหลอกเล่าขูดแล้วขูดเล่า ถูกเขาขูดแล้วเขาก็รวยสำนักเค้ารวยแต่คนอื่นก็จนไป เขาไม่รู้ตัวเค้าก็ยังนั้นแหละ เหมือนกับพวกแชร์แม่ชม้อยเหมือนกับแชร์ต่างๆที่ธรรมกายนี่เป็นเหมือนงูกินหางคนที่โดนกินหัวไปหมดโดนกินหัวจนหมดแล้วตัวอื่นๆก็จะค่อยค่อยกินมา กินหางกินหัวไปเรื่อยเรื่อยอย่างนั้นแหละแต่เขายังไม่ได้พิสูจน์กัน ถ้าอยู่พิสูจน์กันไปนานนานอาตมาว่าไม่กลัวหรอกให้เค้าพิสูจน์ไปเถอะโดยใช้เวลานานนานแล้วจะรู้ว่าใครจะทนกว่ากันใครจะสามารถยั่งยืนได้กว่ากันนี่ก็ขอแทรกหน่อย
สมณะฟ้าไทว่าขอบคุณครับถือว่าร่วมกันมอบสิ่งที่ดีให้กับประชาชน คือเราทำสิ่งเหล่านี้เราไม่ได้ไปเอารัดเอาเปรียบประชาชนหรือเอาของไปขายราคาแพง แก่ประชาชน ไม่ใช่ เรายิ่งทำยิ่งขายถูกลงแต่สังคมเค้ายิ่งทำยิ่งขายแพง แต่อโศกนี่ยิ่งทำยิ่งขายถูกแต่ขออภัยเถอะอโศกนี่ซื้อของทีอะไรแพงทุกที

พ่อครูว่าซื้อของได้แพงนี่คือชาวอโศก เพราะเขาว่าชาวอโศกมันรวยเค้าไม่เชื่อว่าชาวอโศกนั้นจน เค้าไม่เชื่อไม่เชื่อไม่เชื่อไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆว่าชาวอโศกนั้นจน เราก็บอกว่าเราจนเค้าก็ว่าไม่เชื่อหาว่ามันมีอะไรตั้งเยอะแยะแล้วบอกว่าจนได้ไง ชาวบ้านอื่นๆตั้งหมู่บ้านมาเป็นร้อยๆปี 50 ปี 100 ปีหมู่บ้านข้างๆเรา  ของเราเป็นหมู่บ้านหมู่ที่ 10 ตำบลบุ่งไหมที่เขามี 12 ถึง 13 หมู่บ้านของตำบลบุ่งไหม เขาว่ามันเพิ่งมาสร้าง 10 ปีถึง 20 ปียังไม่ถึง 30 ปีเลยทำไมหมู่บ้านอุดมสมบูรณ์มีอะไรทุกอย่าง แล้วแจกพวกเขาด้วยเค้าก็ว่าจนอะไรวะมันน่าอัศจรรย์
สมณะฟ้าไทว่ามันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์จริงๆสำหรับอาตมาถ้าไม่ได้มาอยู่กับพ่อครูอาตมาก็ไม่เชื่อจริงๆ ถ้าไม่อยู่ด้วยกับท่านนะ ให้อาตมาสร้างเองก็ทำไม่ได้ เพราะบารมีไม่ถึงความสามารถไม่ถึง แต่ว่าบารมีพระโพธิสัตว์เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับจริงๆว่ามีฝีมือจริงๆ ทำให้คนทำได้ถึงขนาดนี้ในโลกที่เขากำลังเลวร้ายขนาดนี้เร็วร้ายสุดสุด แต่ท่านทำตลับดีสุดสุดมันเป็นเรื่องที่ยากมากๆต้องดึงกันเต็มที่เลยถ้าไม่มี กำลังไม่มีบารมีพอก็ทำไม่ได้ยาก
สำหรับวันนี้ก็เรื่องนี้ก็จบไป มาเรื่องที่พ่อครูจะเทศน์วันนี้ จะเทศน์จากพระไตรปิฎก เล่มที่ 9 ซึ่งจะบ่งบอกว่าศาสนาพุทธคืออะไรเป็นอย่างไรจะมีเรื่องเกี่ยวกับทิฏฐิ 62 คือทิฏฐิที่ผิด 62 ประการ 

ถ้าเราเรียนรู้จะได้รู้ว่าเราอยู่ในประเภทไหนใน 62 ประการนี้พระพุทธเจ้ารวมไว้หมดแล้วเพราะท่านเป็นโพธิสัตว์มายาวนานแล้วศึกษามนุษยชาติรู้จักนิสัยมนุษย์ดี  ไม่งั้นท่านสอนไม่ถูกหรอกแล้วสอนให้ตรงให้เป็นให้สามารถบรรลุทำได้เลย ฝีมือระดับอย่างนั้นไม่ธรรมดาหรอกที่จะทำได้มันจะมีสูตรต่างๆที่จะบอกเอาไว้แล้วจะรู้ว่า ศาสนาพุทธนี่ที่คนเข้าใจผิดว่ามาปฎิบัติธรรมของพุทธคือต้องไปหลับตาอันนี้เป็นสูตรตายตัวมากเลยฟังทีไรก็หลับตาทุกที แล้วไปไหน ไปป่า แล้วทุกวันนี้ ป่าไม่ค่อยมีก็ต้องไปแสวงหาป่า  ป่าทุกวันนี้ไปอยู่ก็อันตรายมีฝนตกดินถล่มตายกันอีกใช่ไหมมันก็ไม่แน่นอนอีก แต่ต้องไปบรรลุที่ป่าอ้าวแล้วมันจะยังไงนี่ มันจะสวนทางกับพระพุทธเจ้าไหมที่บอกว่าภิกษุบรรลุธรรมแล้วให้ไปในนิคมห้ามไปที่เดียวกัน 2 องค์ให้ไปทีละองค์แล้วมันต่างกันไหมที่คนเข้าใจอย่างนั้น มันผิดหรือเปล่า
อีกอย่างคนเค้าบอกว่าชาวพุทธนี่ต้องไปฝึกสมาธิ คือถ้าปฏิบัติธรรมแบบพุทธต้องไปนั่งสมาธิแต่งชุดขาวเป็นสูตรตายตัวเลยชุดขาวขายดีมาก ทำสมาธิคือนั่งหลับตาแต่ไม่ได้พูดเรื่องศีลเลย เรื่องถือศีล เรื่องอบายมุขไม่มีใครพูดเลยไม่สนใจ  ถ้าจะมีปัญญาก็ต้องไปนั่งหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมาเอง แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ศีลทำให้เกิดปัญญาถ้าศีลมีอยู่ที่ใดปัญญาก็อยู่ที่นั่นปัญญาอยู่ ณ ที่ใดศีลก็อยู่ที่นั่นเหมือนใช้มือล้างมือใช้เท้าล้างเท้าคือมันต้องของคู่กันไม่ใช่ของทิ้งกันไป ศีลสมาธิปัญญาต้องไปด้วยกันทั้งหมดเป็นสมังคีทำไม่ใช่ว่าแยกส่วนกันทำศีลไปอย่าง สมาธิไปอย่างปัญญาไป อย่างศีลไปอโศก สมาธิไปธรรมกาย ปัญญาไปสวนโมกข์ แล้วคนนี่มันแยกกันแบบนี้หรือชีวิต แล้วมันจะบรรลุทำตรงไหนมันจะเป็นไปได้อย่างไรจะถูกต้องหรือเปล่า จริงๆแล้วมันอยู่ด้วยกันเป็นสมังคีทำใครมีศีลก็มีสมาธิแล้วก็มีปัญญาไปในตัวเองส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ก็ต้องให้พ่อครูอรรถาธิบายให้พวกเราฟังโดยละเอียดซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญของศาสนาใน 2 ชั่วโมงนี้อาตมาว่าเราจะได้ฟังในสิ่งเหล่านี้ถ้าเราฟังเข้าใจจ้ะเข้าใจศาสนาพุทธดีแล้วจะสามารถพาตนเองไปสู่การบรรลุธรรมได้ทำให้สุขภาพจิตสุขภาพกายดีขึ้นก็ขอกราบนิมนต์พระครูด้วยความเคารพอย่างสูง

พ่อครูว่า   เรามาฟังตอนนี้ก็ย้อนกลับไปเอาพระไตรปิฎก อาตมาก็เริ่มอ่านพระไตรปิฎกนี่เป็นการขอสารภาพเป็น คำสารภาพของผู้แสนจะไม่เอาถ่านในเรื่องการศึกษาไม่ได้ศึกษาค้นคว้าไม่ได้เอาใจใส่การศึกษาอาตมามามาชาตินี้มันอย่างไรไม่รู้  ก็แก้ตัวว่าไม่มีเวลาศึกษาจริงๆมันก็ไม่มีเวลาจริงๆตอนนี้ก็อะไรก็ไม่ทันทำงาน
อาตมาหยิบพระสูตรเล่มแรก ซึ่งเล่ม 1 ถึง 8 ของพระไตรปิฎกคือพระวินัยที่ภิกษุจะต้องเรียน แล้วก็จะต้องอยู่ในวินัยคือกฎหมายของพระของภิกษุจะต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามนั้นสำหรับฆราวาสก็ไม่เป็นไรอย่าพึ่งไปวุ่นวายนัก  แต่ฆราวาสก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้ระวินัย 8 เล่มขออภัยพูดผิดอีกวินัย 8 เล่มก็ไม่ต้องไปวุ่นวายนักแต่ศึกษาได้ดีจะได้รู้ว่าพระปฏิบัติตามวินัยได้ไหมจะได้ควบคุมพระด้วยเอาใจใส่บ้างไม่ใช่ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ มันไม่ไหวศาสนาเละเพราะเหตุนี้
จากพระสูตรเล่ม 1 ถึงเล่มที่ 9 เริ่มต้นจากเล่มที่ 9 ไปถึงเล่มที่ 33 


อาตมาก็เริ่มมาดูเล่มแรกนี้เท่านั้นและจึงจะเข้าใจชัดว่า ศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้พระอาจารย์เก่าโบราณาจารย์ ที่ร่วมสังคายนาพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มีไว้แต่อันนี้คือคณะของท่านพระมหากัสสปะ มีพระอรหันต์ 500 รูปมาทำสังคายนาคือสาธยายธรรมะพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนเอาไว้แล้วก็เอามารวบรวมลงเก็บไว้แค่ 45 เล่ม อันนี้ของเถรวาทที่ชาวไทยเราได้รับเอาไว้พระสูตรในเล่ม 9 ถึง 33 เล่ม 34 ขึ้นไปถึง 45  เป็นพระอภิธรรม ซึ่งพระอภิธรรมเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าแต่ว่าท่านพุทธทาสทาสตีทิ้งไปว่ามันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเป็นของคนรุ่นหลัง ก็ของคนรุ่นหลังทั้งหมดนั่นแหละทั้ง 3 ปิฎกนั่นแหละทั้งพระวินัยทั้งพระสูตรทั้งพระอภิธรรมนี่แหละเป็นของรุ่นหลังก็คือเรื่องของสังคายนาตอนพระมหากัสสปะและพระอรหันต์ 100 รูปนั่นแหละ
ก็รุ่นเดียวกันนั่นแหละแต่ท่านพุทธทาสทาสท่านเข้าไม่ถึงพระอภิธรรม ท่านก็เลยหาว่าเป็นพวกธรรมะเม็ดมะขามก็ตีทิ้งไม่เอา ก็เป็นความเข้าใจของท่านท่านจริงใจนะ ท่านรับได้เท่านั้นก็เอาแค่นั้นที่ท่านรับไม่ได้ท่านก็บอกว่าไม่ใช่  ก็ว่าไปแต่อาตมาเห็นว่าไปติดทิ้งพระอภิธรรมนี่ก็จบพอดีศาสนาพุทธนี่ลึกซึ้งที่พระอภิธรรมจิตจิตเจตสิกรูปนิพพานนี่ยิ่งใหญ่  ทุกวันนี้อาตมาถึงขั้นเอาพระอภิธรรมมาสาธยายกันเยอะจนพวกเราได้ตื่นตาตื่นใจได้รู้ว่ามันละเอียดละออลึกซึ้งอย่างนี้เชียวหรือ  ผู้มีพื้นฐานและเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายก็เลยเห็นชัดเจน  ส่วนผู้ไม่รู้ก็ยิ่งมืดมนยิ่งมึนยิ่งงง  แต่ก็มีผู้ที่มีบารมี  มีผู้ติดตามเรียนรู้ตามอยู่โดยที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่เปิดเผยตัวด้วยอยู่ในเถระสมาคมก็มี  เค้าก็พยายามเรียนรู้เพิ่มภูมิแสวงหาถ้าได้รับซับซาบทิศทางได้มาเรื่อยๆ
พระสูตรเล่มแรกคือเล่ม 9 มี 13 สูตร  อาตมาอ่านคร่าวๆ ก่อนหน้านี้แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อ่านทวนไปถึง 13 สูตรแต่ก็ดูลวกลวกก็เห็นว่าโอ้โหครบหมด 13 สูตรนี้ชัดคือสูตรแรกสูตรที่ 1 ท่านประกาศว่าศาสนาพะพุทธเจ้าท่านขึ้นต้นด้วยศีล  แล้วศีลที่เป็นของพระพุทธศาสนาคือจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล
จุลศีลนี้คือมี 26 ข้อมัชฌิมศีลมี  10ข้อแล้วก็มหาศีลมีอีก 7 ข้อในศีล 3 หมวดนี้  
จุลศีลคือศีลที่เอามาปฏิบัติไปตามลำดับศีล 5 ศีล8 ศีล10 ศีลมากกว่า 10 ไปเรื่อยๆ ก็เลือกเอาตามถนัดตามเหมาะของตนเอง ในจุลศีล 26  เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นอรหันต์ได้เอามาปฏิบัติตามฐานนานุฐานะ  ตามแต่บุคคลตั้งแต่เลือกเอามา 5 ข้อ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ ข้อ 3 ไม่ทำกรรมที่เป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์เรื่องเพศ นั่นแหละ ศีลข้อที่ 4 ไม่พูดเท็จ ท่านก็มาขยายไม่พูดส่อเสียดไม่พูดคำหยาบไม่พูดเพ้อเจ้อ แล้วก็ไปต่อที่พรากพืชคามจนกระทั่งถึงข้อ 10 ไม่วุ่นวายเรื่องขับร้องเล่นดนตรีคือมาลาคันธวิเลปะนะแล้วข้อ 11  ก็ประดับทัดทรงดอกไม้ของหอม ข้อ 12 ก็ เว้นขาดจากการนั่งนอนในที่นั่งนอนอันใหญ่โต ข้อ 13 ก็เว้นขาดจากการรับเงินอย่างนี้เป็นต้นมันก็คือ ศีลแปดศีลสิบ แล้วก็ไล่มาไม่รับธัญญาหารดิบไม่รับเนื้อดิบไม่รับสตรีไม่รับกุมารีไม่รับทาสีไม่ทาสาไม่รับแพะ ไม่รับสุกรไม่รับที่ไร่ที่นาไม่ทำทูตกรรม ไม่มีการซื้อขายไม่โกงด้วยตาชั่งไม่รับสินบนไม่ตัดไม่ฆ่าไม่จองจำเป็นศีลที่ละเอียดขึ้นไปถึง 26 ก็ตามลำดับ
มัชิมศีลเป็นศีลที่ละเอียดขึ้นไปอีกไม่พรากพืชคามไม่สะสมอะไรที่เป็นข้าศึกแก่กุศล เป็นอย่างไรมาขยายเว้นจากการขวนขวายในการพนัน  ในที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่หรือว่าประดับตกแต่งร่างกายอย่างไรเดรัจฉานกถาอย่างไร หรือว่าการแก่งแย่งกันอย่างไรเถียงกันถกกันไม่เข้าเรื่องอย่างไร  ประกอบทูตกรรมอย่างไร พูดหลอกพูดลวงพูดและเล็มเลียบเคียง อย่างที่ทุกวันนี้เต็มไปหมดพูดและเล็มเลียบเคียงเพื่อจะให้คนมาทำทานให้คนมาบริจาคหาเงินกันเต็มไปหมดเลยอาตมาว่า มีวัดพระแก้ว ที่ไม่มีเพราะไม่มีพระ วัดพระแก้วก็ไม่ได้ไปเรี่ยไรหาเงินโดยวัดพระแก้วเองก็มีแต่พระพุทธรูปวัดพระแก้วไม่มีพระสงฆ์อยู่ในนั้น นอกนั้นทุกวัดเลยเรียกอะไรตาพึดตาพรือ หาเงินหาทองตลอด ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในศีลเลย
ทุกวันนี้อาตมาพูดมากไม่ได้ไว้หน้า พูดไม่เกรงใจเพราะแก่วัดแล้วบวชมาจะเต็ม45 พรรษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเดือนพฤศจิกายนวันที่ 7
จัดเต็ม 45 พรรษาอยู่ในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ก็ขอพูดเต็มเหนี่ยวเลยแหละเพราะมันไม่ไหวแล้วมันช้าไม่ได้แล้วศาสนามันโอ้โหมันเลวร้ายมันฉุดรั้งทำลายดึงให้ศาสนาลงต่ำ มีอัตราก้าวหน้าในทางเสื่อมสูงมากทุกวันนี้จึงจำเป็นต้องเร่งรัดพัฒนาอย่างเร็วแรงใครจะมาช่วยก็เชิญมาร่วมแรงร่วมใจกันช่วยพัฒนาศาสนาพุทธกู้กลับคืนมาให้ได้เพราะว่ามันสูญหมดแล้ว ไม่มีศีลแล้วทุกวันนี้ พูดจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล  มัชฌิมศีลซึ่งคือศีลที่ขยายให้ละเอียดลึกซึ้งขึ้น ศีลบางข้อของจุลศีลเหมือนกัน
ส่วนมหาศีลคือศีลที่บอกถึงศาสนาพุทธว่าเป็นเช่นนี้ไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีเดรัจฉานกถานะจะให้เว้นขาดทั้งที่ตรัสไว้ในมหาศีลทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้วัดวาทุกวัดทุกวาเต็มไปด้วยเดรัจฉานกถาเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชชากันครบ
โดยเฉพาะพูดถึงศีล และศีลมัชฌิมาศีล มหาศีล พระต่างๆท่านไม่รู้เรื่องบอกอุปัชฌาย์ไม่ได้สอนอุปัชฌาย์ไม่ได้บอกมีแต่ศีล 227 ว่างั้นนะ ศีล 227 นี่มันไม่ใช่ศีล มันวินัย เค้างงอะไรนะวินัยก็มี 227 น่ะก็อธิบายกันไปอีกว่ามันเป็นกฎเหมือนกฎหมายลูก  กฎหมายธรรมนูญก็คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล  ไม่รู้จักแล้วไปอยู่แต่แค่กฎหมายลูกคือพระวินัย 227 แม้วินัย 227 ก็เละนะผิดกันเละระเนระนาด ไม่ใช่ว่าจะดีด้วยซ้ำไป 
ธรรมนูญหลักหรือกฎหมายหลักกฏหมายใหญ่ของศาสนาไม่รู้เรื่องแล้ว  จึงเท่ากับศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีลแล้ว  ศีลสูญไปจากศาสนาพุทธแล้วเหลือแต่วินัย 227 และวินัย 227 ก็ตามจับสึกกันไม่ทันทุกวันนี้ ล่อเละกันไปหมดเลยในวงการศาสนาขออภัยจริงๆเลย  อาตมาขออภัยไม่รู้แล้วรู้รอด  พูดซ้ำย้ำกันอยู่นั่นแหละว่าขออภัยแต่มันต้องพูดกัน  มันยิ่งอาตมาก็อายุปูนนี้แล้วกัดอกกัดใจว่าจะอยู่ให้ได้ถึง 151 ปีให้ได้  ก็พูดไปพากเพียรไปด้วยไม่ใช่พูดเท่านั้น  ก็พากเพียรอยู่เนี่ยเพื่อที่จะสืบสานพระศาสนาจริงๆ  ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรแรกพรหมชาลสูตร  ยืนยันว่าศาสนาในยุคของท่านมีแต่นั่งสมาธิหลับตากับออกป่าเป็นหลัก ส่วนไม่ออกป่าก็เป็นพราหมณ์มหาศาล แต่ก่อนเค้าเรียกศาสนาพราหมณ์นั่นแหละไม่ใช่เรียกศาสนาพุทธหรอก พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็ไม่ได้ตั้งชื่อว่าศาสนาพุทธ ยังเรียกว่าพราหมณ์อยู่ยังเรียกว่าสมณพราหมณ์อยู่  เค้าไม่ได้เรียกอื่นนะก็เรียกสมณพราหมณ์ตามเดิม  ท่านไม่ได้ตั้งของท่าน  ก็สืบต่อมาบอกว่าศาสนาพราหมณ์นั่นแหละก็คือพุทธเก่า พุทธมันเพี้ยนไปแล้วไปเป็นพราหมณ์ เดิมมันอันเดียวกันแต่เสร็จแล้วมันก็กลายไปเป็นศาสนาเทวนิยม กลายเป็นศาสนาที่ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน  ไม่รู้จักสัจจะที่เป็นปรมัตถ์ธสัจจะที่แท้จริงเป็นเทวนิยมไปหมด  มัน 2600 ปี เลย 2500 ปี มาถึงวันนี้นี่หมดแล้วแค่ครึ่ง 5000 เสื่อมไปจนเกือบสิ้นแล้วไปเป็นศาสนาเทวนิยมเกือบหมดแล้ว
อาตมาถึงวันนี้ก็เลยต้องประกาศตัวจริงๆว่า อาตมานี่แหละเป็นสยังอภิญญา เป็นผู้จะมากอบกู้สืบสาน ศาสนาเป็นพระโพธิสัตว์ ตอนนี้ยืนยันหนักแน่นเลย ตอนแรกก็ประกาศก็ยังเกรงใจก็ยังไม่พูดหนักเท่าไหร่ ตอนนี้พูดเต็มเต็มเลยแหละว่าอาตมานี่แหละคือผู้นั้นที่จะมากอบกู้ นี่พูดอย่างไม่ได้อวดดีหลงตัวหลงตนอะไรมีสติสัมปชัญญะปัญญาเห็นเหมาะเห็นควรมีสัปปุริสสธรรม 7 และมหาเทส 4 พร้อมยืนยัน ไม่ได้โมเมงมงายอะไรพูดแต่ความสัตย์จริงซื่อสัตย์บริสุทธิ์จริงใจไม่ได้มีสาเฐยจิตอะไรจริงๆ ยืนยันว่าอาตมาต้องมากอบกู้สืบสาน
แล้วก็ยืนยันย้ำเลยว่าทุกวันนี้นี่เข้าใจศาสนาพุทธว่า ผู้ปฏิบัติธรรมต้องหนีเข้าป่า ปฏิบัติอยู่กับเมืองอยู่กับผู้คนอยู่กับโลกอยู่กับสังคมไม่ได้  คือความเข้าใจผิดหมด เหมือนกับฤาษีดาบสในโบราณ พระพุทธเจ้าก็เลยต้องตรัสว่าอันนั้นน่ะผิดท่านก็บอกว่าเป็นเจโตสมาธินั่งหลับตาหรือไม่ก็เป็นพวกตักกีวิมังสี  หมายความว่าถ้าเป็นพวกนั่งตึกนึกคิดเอาเอง ค้นคิดแล้วก็นั่งสร้างนิมิตเองเรื่องอะไรก็คิดเอง มันไม่ได้พร้อมกับเหตุปัจจัยข้างนอก  ที่จะต้องยอมรับกันด้วยสมมุติติสัจจะมันไม่ใช่มันกลายเป็นเรื่องตัวเองทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นท่านก็รวบรวมไว้ในทิฏฐิที่เข้าใจผิดไว้ 62 นัยยะนี้  ที่สำคัญก็คือนี้เข้าป่า สองไปนั่งหลับตาสมาธิจะก็อยู่ในภพของความเป็นอดีตกับอนาคตกับตักกีวิมังสี  ก็เป็นนักตึกนักคิดเอาเองส่วนนักตรึกนึกคิดในป่ามีไม่มาก นักตึกนักคิดในเมืองมีมากกว่า  พระบ้านคือพระตักกีวิมังสี  เป็นพระนั่งจินตนาการคิดสร้างเอาเอง
ขณะนี้ตัวอย่างที่มันบรรลัยจักรจริงๆคือธรรมกาย ต้องประกาศชัดชัดต้องบอกตรงตรงไม่ได้เกลียดได้ชังไม่ได้เกลียดชัง ธรรมกายเลย แต่สงสารอย่างสุดซึ้งสงสารจริงๆ ว่าคุณจมในสังสารวัฏ คุณจมในเวทนาคุณหลอกกันไม่รู้แล้วรู้จบ ล้วงตับกินไส้คนอย่าง ยิ่งกว่าผีกระสือ ธรรมกายนี่มีอย่างที่ไหนสร้างสหกรณ์สร้างธนาคารประชาชนแล้วก็หลอกให้คนไปกู้หนี้ทำสัญญาเอาเงินมาได้  ได้เงินมาแล้วเอามาทำทานมาบริจาคให้วัดหมด

โดยเงินไม่ได้ผ่านมือทำสัญญาว่ากู้เท่านั้นเสียดอกเท่านั้นเสร็จ แล้วก็เอามาทำทานหมดผู้กู้ก็ได้แต่นั่งจ่ายดอกเบี้ยหาต้นทุนเงินต้นมาคืนมีหน้าที่อย่างเดียวแล้วบอกว่าได้บุญได้บุญได้บุญ  เอาบุญมาหลอกทำได้ถึงขนาดนั้นคนก็งมงายไปเชื่อได้ขนาดนี้
ถ้าอาตมาไม่เปิดเผยแล้วก็ไม่พูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างจริงจังขนาดนี้ชัดๆอย่างนี้แล้วนี่นะก็อมพะนำกันอยู่นั่น อาตมาจึงจำเป็นต้องพูด  เปิดเผยความจริงด้วยความสงสารเวทนา ทั้งตัวผู้เป็นหัวเรือใหญ่ว่าหยุดบาปหยุดกรรมของท่านเถิดนะมันเป็นบาปภัยจริงๆมันหลอกลวงมันนรกหมกไหม้ แล้วก็หลอกว่าเป็นสวรรค์วิมานอะไรกันไป  เอามาหลอกคนอยู่ตลอดเวลาหรอกได้ยังเก่งนะฉลาด ขออภัยต้องบอกชัดชัดว่าฉลาดฉิบหายเลยนี่เป็นคำชมนะฉลาดฉิบหายเลยฉลาดพาคนชิบหายวายป่วงไปหมดแล้ว  
เพราะฉะนั้นอาจจะมาจำเป็นต้องเปิดเผย ต้องบอกความจริงด้วยความเมตตาสงสาร ไปจมในสังสารวัฏหนักจนไม่มีที่จะตกแล้ว อติวินิบาตจนกระทั่งไม่มีนรกขุมไหนที่จะลงไปอีกได้แล้ว มันตกจนมันต่ำสุดจนไม่มีที่ไปแล้วนรกน่ะมันร้ายแรง จริงๆแล้วเขาก็ทำหน้าตาเฉยหลอกคนให้หลงไปหมดครอบงำไปหมดเถระสมาคมทั้งเถระสมาคมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งนั้นครอบงำไปหมด
ขออภัยจริงๆอาตมาไม่ได้อวดดีว่าจะต้องมาเคารพนับถืออาตมา ให้ตั้งใจใช้ปัญญาตรวจสอบ  สัจจะความจริงจะนับถือ อาตมาไม่ได้ว่าให้เชื่อตามมา ใช้ปัญญาของแต่ละท่านศึกษาให้ได้รู้จริงๆว่ามันเท็จมันจริงอย่างไรเพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไปหลงอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาเลย แล้วก็ไปนั่งหลับตาใสใสแล้วก็จะมีวิมานมีสมบัติมีอะไรต่ออะไรไปเป็นวิชาสะกดจิต  นั่งสมาธิหลับตาแล้วก็มีอาจารย์ ควบคุมให้หลับตาเข้าไปแล้วพูดกล่อมพูดนำทาง 1 นั่นคือHypnotize เป็นวิชาสะกดจิตอาตมาตั้งแต่เป็นฆราวาสเรียนสะกดจิตก็เรียนมาได้ทำได้ฝึกใช้งาน สะกดจิตแล้วกำหนด ประสาทความคิดให้ทำตาม  ตั้งแต่เป็นฆราวาสอาตมาก็ทำมาจริงๆพวกจิตวิทยามันทำได้นี่เค้าก็ใช้วิชานั้นตนเองจะมีความรู้อย่างนี้หรือไม่ก็แล้วแต่  แต่ตัวเองเป็นยอดนักสะกดจิตตัวเอง จะไม่มีวิชาความรู้บอกว่าฉันทำสะกดจิต หรือบอกว่าไม่ใช่ไม่ใช่ก็โง่ต่อไปอีกว่าตัวเองไม่ใช่  ทั้งๆที่ตัวพ่อตัวแม่ของการสะกดจิตน่ะ มีทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งปู่ทั้งย่าทั้งตาทั้งยาย ทั้งหมดของการสะกดจิตแล้วก็สะกดทุกวี่ทุกวัน สะกดว่าใสแล้วก็ฟังคำสั่งของผู้ที่สะกด จึงสะกดได้หมดแล้วเชื่องมงายไปหมดเลย ยิ่งกว่าข้าทาสผู้ปล่อยไม่ไป สั่งให้ไปตายก็ไปสั่งไปให้ หาเงินก็ไปซอกๆเอามาให้หมดทุกอย่างเลยครอบงำไปหมด มันถึงขั้นนี้แล้วหนักยิ่งกว่ารัสปูตินในรัสเซียยุคโน้น ในเมืองไทยนี่แหละเจอมารร้ายอันนี้
     ในยุคพระพุทธเจ้าก็มีแบบนี้แต่ละสำนักเต็มไปหมดเหมือนกัน ยุคนี้ก็เช่นเดียวกันก็อยู่ในเมืองนี่แหละไม่ได้ไปอยู่ป่า ป่าก็สะกดจิตแบบพระป่าอยู่ในเมืองก็สะกดจิตแบบพระเมือง ที่นี้พระป่านี่เค้าก็ไม่ยุ่งกับลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขพวกโลกธรรมเท่าไหร่เขาก็ไปของเขา แล้วเขาก็ทิ้งไปเป็นแบบหรือฤาษีดาบสเป็นแบบเชนไปเลยแบบพระมหาวีระไปแบบนั้น  ส่วนในเมืองมันซ้อนมันมีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็เลยซับซ้อนใช้เชิงซ้อนสะกดจิต  พวกหลับตาเข้าป่าก็สะกดจิตส่วนพวกลืมตาอยู่ในเมืองก็สะกดจิต แล้วตอนนี้ซ้อน ในป่าเขาไม่หลอกเอาเงินไม่เรียกไม่ร้องอะไร  ตัวเองก็รู้ว่าไม่เอาลาภยศสรรเสริญหรือแม้แต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็กดข่มสะกดจิตเอาเองสะกดไว้ แต่ไม่ได้มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่ได้มาเรียนเป็นพวกเว้นผัสสะไม่เกี่ยวไม่ข้องไม่ได้เป็นไปตามลำดับที่มีกามาวจรมีรูปาวจร อรูปาวจรไปตามลำดับ  ไม่ได้เป็นลำดับอันน่ามหัศจรรย์นี้เลย
ส่วนทางลืมตานี่ก็สอนเลยสะกดจิตให้ไปล่า ลาภยศสรรเสริญไปเลย  นี่เป็นเจ้าคุณชั้นเทพแล้วเดี๋ยวก็คงจะเป็นชั้นธรรมเดี๋ยวก็คงเป็นชั้นพรหมเป็นสมเด็จต่อไปก็สืบสานเป็นสังฆราชต่อไปแต่อายุจะยืนถึง พระสังฆราชหรือเปล่ายังไม่รู้แต่ก็พาสชั้นได้เพราะปีเดียวก็ขึ้นชั้น แล้วก็คือทำกันอย่างน่าเกลียดขออภัยในวจีสังขารของอาตมาเมื่อกี้ไม่ได้บอกว่าน่าเกลียดเท่านั้นมันบอกอะไรรู้มั้ย... ทุเรศพวกคุณพูดนะอาตมาไม่ได้พูดนะอาตมาเคยพูดอาตมาไม่กล้าพูดทุเรศแต่พูด ทุ-เร-สะ อาตมาแค่พูดทุ-เร-สะ แต่คุณพูดเต็มเต็มเอง  
ถ้าเผื่อว่าหลงใหลในการอยู่ในพบในภวังค์หลับตา  แม้ว่าไม่หลับตาก็ไปเป็นตักกีวิมังสีนั่งในภพหลับตาตัดพบสร้างภพชาติวิมานในนั้นได้  ทั้งทั้งที่หลับตาอย่างรู้รู้ตัวมิจฉาทิฐิก็สร้างได้แม้รู้ว่าสร้างเองสร้างภาพสร้างภพสร้างชาติ ขึ้นมาในภพเองก็สร้างได้ก่อสร้างมาหลอกกันไปไม่ลืมตาเอาแต่สะกดจิตแบบนี้เป็นเรื่องไม่ตื่นไม่ชาคริยาไม่ชาครออกจากภพมารู้จักรู้แจ้งความจริงพร้อมทั้งสมมุติสัจจะและเรียนรู้โลกเป็นโลกวิทู 
โลกคือความผสมกันระหว่างรูปนามสิ่งข้างนอกกับจิตข้างในของเราสัมพันธ์กัน แล้วมีการเกิดจิตเกิดอาการกิเลสถ้าเกิดอาการกิเลสก็ล้างแล้วก็อยู่เหนือมัน แต่ถ้าไม่รู้ มันก็เกิดกิเลสกินตัวไปเรื่อยๆจะเป็นเรื่องอะไรข้างนอกจะเป็นลาภเป็นยศ เป็นสรรเสริญเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นวัตถุต่างๆนาๆสารพัดเป็นสัตว์บุคคลพืชต่างๆติดมันหมดหลงมันหมดไปเป็นทาสมันหมด  นั่นคือสภาพของการไม่รู้จักความจริงที่เป็นโลกไม่รู้จิตจริงๆ ของตนเองคืออัตตาไม่ได้เรียนรู้โลกไม่ได้เรียนรู้อัตตาที่แท้จริงนี่คือไม่บริบูรณ์ด้วยโรคไม่บริบูรณ์ด้วยปรมัตถ์สัจจะคืออัตตาแล้วก็ล้างกิเลสในอัตตานั้น  
โดยพระพุทธเจ้าสรุปว่ามีอยู่ 62 ทิฏฐิท่านบอกว่ามีเท่านี้เป็นเรื่องของอวิชชาทั้งหมดนี้ ที่ไม่รู้ทันแล้วก็เป็นคนไม่รู้ทั้งนั้นเลยเรียกว่าอฌานาโต อปัสสโต เป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้นมีแต่ความแส่หาเป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาทั้งนั้น เพราะปฏิบัติไม่รู้เท่าทันผัสสะเป็นปัจจัย หรือแม้จะมีผัสสะเป็นปัจจัย  ก็เป็นผัสสะที่ยังหลงอดีต 18 หลงอนาคตอีก 44 หรือแม้จะมีปัจจุบันอีก 5 ก็เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ในปัจจุบันนั้นอีก รวมแล้วก็ 18 + 39 + ปัจจุบันอีก 5 ก็เป็น 62 อีกนี่คือทิฏฐิทั้งหมด รวบรวมในทิฏฐิมนุษยชาติที่เป็นทิฏฐิผิด
อดีตจริงๆมี 18 อนาคตจริงๆมี 39 มีปัจจุบันอยู่ในภพนั่งหลับตาหรือลืมตาก็ตรรกะเอาได้ จินตนาการเอาสร้างพบสร้างชาติลืมตาก็สร้างได้อีก 5 ก็เป็น 62 มีเท่านี้ที่เป็นเรื่องมิจฉาทิฐิ  ที่พระพุทธเจ้าท่านรวบรวมไว้
อดีตที่คือสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีของจริง  อนาคตคือยังไม่เกิดเลยที่จะเป็นความจริงในอนาคต 39 ก็ไม่จริงอีก 5 ก็มิจฉาจามันก็เลยไม่จริงหมดเลยรวมแล้ว 44 ที่ไม่จริง  ทั้งหมดเป็นความไม่จริงทั้ง 62ความจริงนั้นไม่ได้เกิดในอดีตไม่ได้เกิดในอนาคตมันจะเกิดในปัจจุบันนี้เท่านั้นที่สัมมาทิฏฐิด้วย ถ้ายังมิจฉาทิฐิมันก็เกิดไม่ได้นี่คือความซ้อนลึกซึ้ง มิจฉาทิฏฐิไม่มีมรรคผลไม่มีฐานะที่จะมีได้เป็นได้ ถ้าไปจมกับอดีตอนาคตนั้น 18 กับ 39 นั้นตีทิ้งได้เลยปัจจุบัน 5 ถ้ามิจฉาทิฐิก็ไม่ได้ ต้องมาศึกษาให้สัมมาทิฏฐิแล้วก็ปฏิบัติเรียนรู้ในปัจจุบัน 5 นี้ คือกามคุณ5 มีฌาน 1 2 3 4 กามคุณ5ก็ต้องเรียนกาม แล้วลดล้างกิเลสกามให้หมดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสให้เกลี้ยง ยังรู้เลยรู้จิตเจตสิกต่างๆ ขั้นกามรูป รูปรูป  อรูปรูป ให้รู้ทั้งหมด จนอยู่เหนือรูปแล้วก็เหนือนาม มีนามอันละเอียดซ้อนซ้อนกันอยู่ ซ้อนซ้อนกันด้วยนี่คือความลึกซึ้งละเอียดสุดยอดของศาสนาพุทธพระเจ้าสูตรที่ 1 ก็ตรัสให้รู้ว่าสนาพุทธไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านทั้งหลาย ที่ประดามีในโลกนี้ ของท่านต่างหากของพระพุทธเจ้าต่างหาก ที่ไม่มีใครเหมือน ไม่เหมือนใคร เหมือนไม่ได้ ถ้ามาเหมือนเก่ามาเป็นพระพุทธเลย เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพุทธ แต่ถ้าไม่เหมือนแล้วก็ มันก็ไปนอกนอกไปหมด แล้วที่ไม่เหมือนแต่อวดดีมีอัตราไปแยกแยกอยู่บ้างเหมือนบ้างไม่เหมือนบ้างก็มีแอคอาร์ตอวดดีเหมือนบ้างไม่เหมือนบ้างที่เหมือนก็ลอกเลียนแอบเอาแอบเอาของพระพุทธเจ้านั่นแหละแต่

ที่นี้สูตรที่ 2 สามัญผลสูตร  
คือสูตรที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าจะต้องปฏิบัติแบบนี้แหละอย่างที่จะปฏิบัติแบบสูตรแรกพรหมชาลสูตรนั้นคือผิดทั้งหมดสามัญผลสูตร สูตรที่ 2 นี้ถูกทั้งหมด โดยประกาศธรรมนูญมีศีลจุลศีลมัชฌิมาศีลมหาศีลเป็นศีลธรรมนูญที่นี้สามัญจะผลสูตรนั้นเกิดจากการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาหรือไตรสิกขานี่แหละไปตามลำดับ  จะสมบูรณ์ไปด้วยศีล 
มหาศีลคือศีลรวม ถ้าบวชเป็นพระจะต้องปฏิบัติตามกฎธรรมนูญอันนี้คือไม่มีเดรัจฉานวิชาไม่มีเดรัจฉานกถา ส่วนการเจริญก็จะเดินด้วยจุลศีลมัชฌิมศีล  ไปตามลำดับอันเป็นอาริยะ มีศีลอันเป็นอาริยะ 
ที่ท่านตรัสละเอียดมากก็คือว่า ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็จะรู้ความจริงถึงลักษณะว่าความสุขโดยนามกายที่เป็นความสุขไม่ใช่สุขขัลลิกะ แต่เป็นความไม่มีทุกข์ไม่มีสุข หรืออุเบกขา มันเป็นสุขอันสงบท่านเรียกว่าวูปสโมสุขหรืออุปสโมสุข สุขที่มันสงบสนิท สงบอะไรคือกิเลสมันสงบจากจิตจิตไม่มีกิเลสนี่แล้ว แล้วจิตเป็นอย่างไรจิตอยู่นิ่งนิ่งแข็งแข็งทู่ๆไม่กระดุกกระดิกหรือเปล่า ไม่เลย จิตมีสภาวะที่คล่องแคล่ว ทั้งเวทนาสัญญาสังขารคล่องแคล่วมากเลย คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวรู้ทันโลกทันสังคมเขา แล้วก็ช่วยเหลือเกื้อกูลสังคมเขาอย่างมีประสิทธิภาพของ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสราเป็นคุณสมบัติที่บริสุทธิ์ทาก็คือบริสุทธิ์  ปาริโยธาตาก็คือบริสุทธิ์อยู่อย่างเดิมแม้จะกระทบกระแทกกระเทือนอยู่กับเขาจะสัมผัสสัมพันธ์อยู่ด้วยอย่างไรอย่างไรจิตก็สะอาดอยู่ดังเดิม แข็งแรงมั่นคงผลต่อการสัมผัสทนต่อการสัมพันธ์ไม่เสียท่าไม่มีอะไรหักล้างได้ ท่านก็แปลว่าผุดผ่องปริสุทธาท่านก็แปลว่าบริสุทธิ์พอ ปาริโยธาตาในพระไตรปิฎกท่านก็แปลว่าผุดผ่องคือผุดผ่องหรือขาวรอบอยู่อย่างนั้นสะอาดขาวไม่มีด่างไม่มีดวงอะไรเลยไม่เปรอะไม่เปื้อนสะอาดทนทาน  มุทุ คือจิตที่แววไว มุทุแปลว่าอ่อนจิตอ่อนตัวจริงก็ปรับได้ไหวไวตัวปัญญาก็ไหวไว มีไหวพริบเร็วเรียกว่าแววไวทั้งตัวจิต เจโตและปัญญาดัดได้ง่ายปรับปรุงได้ง่ายเปลี่ยนแปลงได้ง่ายโดยจริงใจด้วยสะอาดบริสุทธิ์โดยมีความรู้ที่สามารถมีจิตปรับเปลี่ยนได้ปรับปรุงได้ทันกาลทุกอย่างเรียกว่ามุทุธาตุ มุทุภูตธาตุ จึงทำงานได้อย่างเหมาะสมเรียกว่ากัมมันยาท่านก็แปลว่าสละสลวยเหมาะควรแก่การงานนี้ทำงานได้อย่างดี ทำอย่างสมเหมาะสมควรตามบารมีไม่มีอคติสิ่งที่ลำเอียง ทำกับสังคมอย่างซื่อสัตย์สุจริตแล้วมีสมรรถภาพด้วย
ศาสนาพุทธไม่ใช่ไม่ทำงาน ไม่ใช่ว่าไร้สมรรถภาพแต่เก่งด้วย ไม่ได้น้อยหน้ากว่าคนข้างนอก เพราะคนทำงานอย่างศาสนาพุทธนั้น เป็นการทำงานโดยไม่ต้องเสียแคลอรี่ไปคิดว่าจะได้เงินเท่าไหร่นี่จากคุ้มค่าไหมถูกเขาเอาเปรียบไหมไม่ต้องคิดเลยไม่เสียแคลอรี่  เอาแคลอรี่มาทำงานได้เต็มหน่วยเลยมันจึงเป็นประสิทธิภาพที่สูงทำงานได้สูงส่งมากกัมมันต์ยาประภัสราอยู่กับโลกเค้าก็ท่านแปลว่าผ่องแผ้วคือมันจะสะอาดใสอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาไม่ใช่ ไปนั่งสะกดจิตใสนะลูกนะ ทำใจใสใสแล้วมันจะได้อะไรใสใสสะกดจิต เอาใสใสคำว่าใสใสมาหลอกคำเดียวเท่านั้นแหละ แล้วคนก็ถูกเขาสะกดจิต เอาไปกินหมดไม่ใช่อย่างนั้น มันจะสะอาดผ่องใสไปด้วยสิ่งที่พิสูจน์ได้ยืนยันได้อย่างมีประสิทธิภาพมีประโยชน์คุณค่าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ใสอยู่ในภพในชาติ เป็นอะไรก็ไม่รู้ซึ่งเป็นภพเป็นชาติเป็นรูปเป็นอรูปจริงๆ อาตมารู้อาตมาเคยเล่นมาทั้งนั้นแหละไอ้พวกนี้ ไม่ใช่ว่าอาตมาเป็นหมาเห็นองุ่นเปรี้ยว ทำไม่ได้เป็นไม่ได้อย่างเขาแต่อาตมาเล่นแม้แต่ไสยศาสตร์นั่งทำอะไรต่ออะไรต่างๆนาๆสารพัด ยิ่งกว่าที่เค้าทำที่ เค้าทำอย่างนั้นน่ะไม่มีอะไรแค่อยู่ในภพ นอกภพเนี่ยอาตมาก็เคยทำ อาตมาเสกให้กระดูกยุบนี้ยังได้เลย จี้ปั๊บเร่งพลังกระดูกยุบเลย ก็ทำอย่างนี้เป็นต้น แค่หนังเหนียวแค่ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกไม่ต้องไปพูด หรอกเล่นอย่างนั้นเล่นมาจนตัวเองพิการ ขาพิการเพราะมันหนังเหนียวแต่ข้างในมันแหลกก็เพราะไปเล่นหนังเหนียวนี่แหละอย่างนี้เป็นต้นเหตุปัจจัยยืนยันมี ยืนยันบอกได้พูดได้เลยเพราะอาตมาผ่านสิ่งเหล่านี้มาอาตมาเป็นคนที่จะมาทำงานกับสังคมประเทศ เป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าสืบสานอันนี้พูดอย่างนี้แหละไม่มีมังกุหรืออุทธัจจะ พูดอย่างจริงใจ พูดอย่างอาสโพ พูดอย่างไม่ต้องไปอมพะนำเกรงใจกัน เพราะมันเป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นในสามัญผลสูตรพระพุทธเจ้าก็สอนอธิบายให้ ปฏิบัติอย่างนี้น่ะเป็นสิ่งที่ถูกต้องยืนยันพิสูจน์ได้เป็นสามัญผลคือเป็นผลที่พิสูจน์ได้ทุกคนเป็นได้ ไม่ใช่ว่าเป็นได้คนเดียว คนอื่นก็เป็นได้ตามกาลละเวลาตามบารมี ปฏิบัติไปได้ยืนยันได้แม้จะเก่งถึงขนาดทำให้ได้เท่ากับพระพุทธเจ้าก็พิสูจน์ไปสิ จะต้องใช้เวลาอาตมาก็ตามพิสูจน์อยู่นี่ อาตมาถึงมา สำเนาความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าเป็นจริงอาตมาได้แค่นี้ก็ยืนยันเหลือแหล่แล้วพิสูจน์มาตั้งมากมาย ว่าตรงกับความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หมดเลย แม้ว่าพิสูจน์ยังไม่ได้หมดอาตมาก็ไม่มีความสงสัยคลางแคลงแล้วเพราะว่าที่พิสูจน์มานี่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาเข้าใจชัดเจนของจริง ของเก่าของใหม่อาตมาไม่ได้งมงายไม่งงไม่ได้สงสัยสับสนอะไรเลย
พระพุทธเจ้าก็ย้ำว่านี่คือวิชชาจรณะของพระพุทธเจ้า คือจะต้องปฏิบัติลืมตาในอัมพัฏฐสูตรจะต้องปฏิบัติตามคำสอนเดิมแล้วอธิบายอย่างไม่ผิดเพี้ยนด้วย เค้าก็สืบสานคำสอนของพระพุทธเจ้ามาจากยุคโน้นเป็นพราหมณ์ ก็เอาของเก่ามาอธิบายเอาคำสอนเก่ามาพูด แล้วเรียกทานศีลภาวนา จิตเจตสิกก็อธิบายคำเดียวกันแต่มันอธิบายไปคนละเรื่องกันมันเพี้ยน ไปจากสสจสมัยพระพุทธเจ้าท่านเรียกนักบวชของพุทธว่าเป็นพราหมณ์มหาศาลมายุคนี้ท่านก็เรียกพระมหาศาล  ท่านนั้นคือโพธิรักษ์
โพธิรักษ์เป็นคนเรียก ไม่ใช่โพธิรักษ์เป็นคนเรียกหรอก เค้าเรียกกันมาว่าพระ อาตมาก็เติมมาให้ครบว่า มหาศาลไง ก็ท่านเป็นเหมือนพราหมณ์มหาศาลสมัยโน้นมีตำแหน่งหน้าที่ มีเงินดาวเงินเดือนสรรเสริญโลกียสุขเต็มบัลลังก์แม้แต่รัฐบาลก็ยังให้นิตยภัตด้วยอย่าว่าแต่ได้จากประชาชนที่ให้มาทำทานมาบริจาคกัน ก็เพราะว่าหลงหลงเชื่อกันมากมายแล้วยังได้จากรัฐบาล รัฐบาลยังรับรองเป็นเงินนิตยภัต เป็นเงินเดือนออกนอกรีตแล้ว เป็นราชปัตโตแล้ว พ้นจากความเป็นพระไปแล้ว ราชปัตโต หมายความว่ารับราชการเพราะรับเงินจากกองกลางของรัฐเป็นรายได้ เพราะฉะนั้นถ้าทำผิดก็ผิดมาตรา 157 ด้วยนะ พระที่มีตำแหน่งหน้าที่ ที่รับเงินดาวน์เงินเดือนจากรัฐ ถ้าทำผิดนี่ถือว่าเป็นข้าราชการของรัฐ ถ้าทำผิดก็ผิดมาตรา 157 ด้วยนะ นี่ละเลยไม่ทำหน้าที่ ปาราชิกเป็นสมีแล้วไม่จัดการนี่ผิดโต้งๆ 

ขนาดสมเด็จพระสังฆราชสั่งการก็ไม่ทำการ จนกระทั่งท่านพอแล้ว ท่านไม่ยุ่งด้วยอีกแล้วท่านมีพระลิขิตมาตั้งไม่รู้กี่ฉบับ ท่านบอกจบ  ล้มเหลว ขนาดไหนเถระสมาคมล้มเหลวขนาดไหน ขออภัยโพธิรักษ์ไม่ได้ใหญ่โตอะไรหรอกพูดอย่างกับไอ้หนูน้อยไปท้าชกราชสีห์เดี๋ยวราชสีห์ขม้ำเอาตายหรอก เอาเถอะน่ายังเก่งราชสีมาขม้ำหนูมันจะเก่งอะไรราชสีห์ก็ไปขม้ำราชสีห์รองแชมป์เปี้ยนไปมาขม้ำกับไอ้หนูทำไม หนูตัวน้อยน้อยนะ
ในอัมพัฏฐสูตรท่านยืนยันพยากรณ์นอกจากยืนยันว่าเป็นวิชชาจรณะแล้วยังพยากรณ์เอาไว้ด้วยว่าต่อไปจะเสื่อม เสื่อมอะไร  จะออกมากลายเป็นพระป่า  เสื่อมสนิทแล้วทุกวันนี้แม้แต่พระในเมืองก็เข้าใจว่าการปฎิบัติต้องออกป่า พระป่าก็นับถือพระป่าว่านั่นแหละถูกต้อง ตนเองเป็นพระบ้านก็ไปรับรองพระป่าว่าถ้าปฏิบัติต้องไปโน่น เค้าเองได้แต่เรียนพยัญชนะ ก็เลยเป็นแค่ตักกีวิมังสี พระบ้านนี่ได้แต่แบกตำราอาตมาเรียกว่าจับกัง
จับกังแบกลังทองคำไปให้ก็ได้รับค่าจ้างแบกลัง ไม่ได้แอ้มทองคำในลังนั้นหรอกได้แต่ค่าจ้างแบก  จับกังแบกลังทองไปให้เขา แต่ตัวเองไม่ได้ทองคำได้ค่าจ้างเล็กๆน้อยๆเลี้ยงชีวิตไปก็แค่นั้น ทุกวันนี้อย่างเก่ง นอกนั้นผิดที่สาธยายคำสอนผิดอีก นี่ยกให้สำหรับผู้สอนถูกนะเป็นจับกังแต่เป็นจับกังแบกลังทองไม่ได้ทำลายทองนะ ทองยังสะอาดอยู่ส่วนคนไปเที่ยวคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นหมายความว่าปลอมทองบาปซ้ำบาปซ้อน บาปซ้อนบาปซ้ำไปอีกเท่าไหร่เท่าไหร่ตามจริงเท่านั้น

ต่อมาโสณทัณฑสูตร สูตรที่ 4 ที่โบราณอาจารย์ท่านมาย้ำเอาไว้คืออะไรสุดที่ 4 ก็บอกมีศีลนะเป็นสิ่งที่มาก่อนมีปัญญามีศีลก่อนมีปัญญา เอาศีลมาตั้งจึงจะเกิดจิตเกิดปัญญาเกิดวิมุติเกิดวิมุตติญานทัสนะ ปัญญาหรือจิตจะเกิดตามหลังศีล เมื่อศีลสะอาดเมื่อศีลบริสุทธิ์
ปฏิบัติศีลต้องปฏิบัติลืมตาต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยเช่นศีล 5 ก็ต้องกระทบสัตว์รู้จักสัตว์เห็นสัตว์จริงๆ จิตจะเกิดอย่างไรมีเมตตาหรือมีโทสะ  มีความรุนแรงหรือมีอะไรในใจเท่าไหร่ก็ล้างกิเลสจริงๆ
ศีลข้อ 2 ไปสัมผัสลาภยศสรรเสริญหรือเงินทองข้าวของวัตถุเกิดกิเลสอยากได้ของเค้า ที่ไม่ใช่ของเรา อยากกลางละเอียดขนาดไหนของจริง แล้วคุณก็อ่านจิตว่าลดกิเลสได้จริงไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสมมุติเอาลาภก็ดีก็ดีสรรเสริญก็ดีสมมุติเอาไม่ใช่ ไม่ใช่อยู่ในความจำอยู่ในความจริง
ส่วนศีลข้อ 3 นั้น เรื่องของเพศ เรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็เรียนรู้สิว่าเราติดเรายึด อยู่อีกเท่าไหร่ยังจะชอบยังจะเอร็ดอร่อยเป็นสุขความสำราญในโลกียารมณ์พวกนี้อีกเท่าไหร่ก็และลดเอาเองในกามารมณ์ที่ติดอยู่อีกเท่าไหร่
ศีลข้อ 4 นั้นวจีกรรมพูดปดมดเท็จพูดส่อเสียดพูดหยาบพูดอะไรก็เรียนไปตามลำดับ 
ศีลข้อ 5 นั้นเรื่องของสิ่งติดคุณก็ต้องเรียนรู้ลดลงไปตั้งแต่ขั้นหยาบต่ำ สังคมเขาก็รู้ใครก็รู้โกงอย่างหยาบโกงกันที เจ็ดแสนล้าน มันบาปมหาศาลยอดอภิมหาอบายมุข แล้วก็ไม่รู้ว่าอบายมุขคืออะไร เป็นการโกงการทุจริตคืออบายมุขทั้งนั้น เค้าบอกอบายมุขเป็นการเต้นๆรำๆเป็นการพนัน ทุกวันนี้น่าสงสารประเทศไทย เรื่องหวยประเทศไทยนี่มันจะเลิกเล่นหวยเลิกขายหวย รัฐบาลแข็งแรงไม่ต้องพึ่งเงินหวย มันจะไม่ได้หรืออย่างไรอาตมาก็งง
มันสิ้นไร้ไม้ตอกจนถึงกับต้องพึ่งเงินจากคนที่กระเสือกกระสนอยากจะได้เงินแทงหวย ก็เป็นวิธีซ้อนๆ เก็บเบี้ยบ้ายรายทางมารวมกันแล้วก็เอาไปหลอกคน ให้รางวัลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 อะไรก็แล้วแต่ที่เหลือก้อนโตก็มาใช้สอยโดยวิธีนี้แหละ เล่นการพนันชัดชัดแล้วก็ไปโลภโมโทสันเอาจากคนที่ซื้อส่วนมากคนกระจอก คนที่จนจึงต้องซื้ออ่ะคือ มันซ้อนว่ามันไม่ได้ช่วยคนจนก็ขูดรีดคนจนหนักเข้าไปอีกมันก็เลยซับซ้อน สังคมเลยไปไม่รอด 
โสณทัณฑสูตร พระพุทธเจ้าว่าศีลมาก่อน ปฏิบัติศีลแล้วจะขัดเกลาจิตที่ขัดเกลากิเลสจึงจะเกิดปัญญาที่ไม่มีอคติกับไม่มีตัวกิเลสมาเป็นตัวบงการ ก็จะเป็นการรู้อย่างบริสุทธิ์สะอาดไปเรื่อยเรื่อยเป็นปัญญาและเมื่อมีศีลแล้วจะมีปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วจึงจะมีศีล ไปนั่งสมาธิหลับตาแล้วจึงจะมีปัญญา ไม่ใช่แค่ลืมตาปฏิบัติจึงมีปัญญามีเหตุปัจจัยครบพิจารณาได้ ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนศีลอยู่ที่นั่น เหมือนล้างมือด้วยมือหลังเท้าด้วยเท้า ท่านก็ยังยืนยันว่าศีลสมาธิปัญญาขาดกันไม่ได้ ชอบแล้วจะช่วยกันด้วยเหมือนมือล้างมือเท้าหลังด้วยเท้า ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่นปัญญาไม่มีศีลไม่มี  

มีศีล 5 ก็มีปัญญาถึงศีล 5 บรรลุศีล 5 ก็มีปัญญาระดับศีล 5 บรรลุศีล 8 ก็มีปัญญาเท่าศีล 8 บรรลุศีล 10 ปีก็เท่าศีล 10 บรรลุจุลศีล 26 ก็มีปัญญาเท่าจุลศีล 26 จะบรรลุมัชฌิมศีลส่วนศีลมหาศีลนั้นบรรลุหรือไม่บรรลุก็ไม่มีปัญหาหรอกแต่ว่าเป็นองรวมและเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นเดรัจฉานกถา ทั้งหมดให้เลิกไปก่อนเลยเพราะจริงๆแล้วมันหยาบปฏิบัติจุลศีลมัชฌิมาศีลสมบูรณ์แล้ว มหาศีลไม่ต้องไปปฏิบัติเลยมายกไปเลยได้ทันที
สูตรที่ 5 ยัญพิธี ยัญพิธีที่ดีสุด คือศีลสมาธิปัญญา แต่พอบอกยัญพิธี เป็นนัตถิยิตถังหรืออัตถิยิตถัง แปลว่ายังพิธี เค้าก็ไม่รู้ว่าเป็นยัญพิธีอย่างไรก็ไปนึกถึงยัญพิธีโบราณไป ต้องเอาอะไรไปให้บูชายัญกับผีเหมือนกับคนป่ามันไม่ใช่ แม้แต่ท่องมนต์สวดมนต์ใส่กันน่ะ ก็เป็นยัญพิธีทั้งนั้นแหละแม้แต่นะโมตัสสภควโต โธ่ก็สาธุขอให้รวยลาภรวยยศไปก็เป็นยัญพิธี เป็นพิธีปฏิบัติทำไปทุกอย่างก็แล้วเป็นไปเพื่อรู้กิเลสแล้วก็ล้างกิเลส ไม่ใช่ไปทำแล้วเกิดพลังงานพิเศษ พลังงานพระเจ้าเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาช่วยเหลือ ไม่เลยเพราะฉะนั้นยัญพิธีก็ไม่เข้าใจว่าศาสนาพระพุทธเจ้า ถึงยืนยันยัญพิธี ว่าศาสนาพุทธคือศีลสมาธิปัญญาวิมุติวิมุติญาณทัสนะใน กูฏทันตสูตร ท่านก็ยืนยัน
ส่วนสูตรที่ 6 คือให้เจริญสมาธิ เพื่อได้ความทิพย์ ความทิพย์นั้นคือรู้จักโลกียะแล้วทำจิตให้อยู่เหนือโลกียะ เป็นอริยะบุคคลถ้าทำไม่ได้ ก็คือไม่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า แต่ไปได้ทิพย์แบบเทวนิยมจะหลงงมงายในพลังงานพิเศษ ซึ่งพลังงานพิเศษให้พลังงานจิต มีจริงมีอำนาจ มีพลังและที่จะสร้างอะไรเกินกว่าสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทำได้เรียกว่าเป็นแค่พลังงานพิเศษเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้เหมือนกัน ท่านสอนไว้ในเกวัตสูตร 
สูตรต่อมาสูตรที่ 8 มหาสีหนาทสูตร ก็สูตรที่บำเพ็ญตบะ  ตบะตามจริงของพระพุทธเจ้าก็อีกแหละ คือศีลสมาธิปัญญา ไม่ใช่ตบะคือไปได้เพ่งกสิณน้ำกสินไฟกสิณลมอะไรแล้วก็มีพลังเป็นพลังน้ำพลังไฟพลังลมอะไรพิลึกพิลือไม่ใช่ ตบะของพระพุทธเจ้าก็คือศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้เป็นต้น
 นี่คือสูตรต่างๆมา 8 สูตรยังยืนอยู่ในวิชชาจรณสัมปันโน ยังอยู่ศีลสมาธิปัญญา ในไตรสิกขานะ  ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
 ต่อมาสูตรที่ 9 สัญญาเกิดอย่างหนึ่งสัญญาดับอย่างหนึ่งคือสัญญาร่วมกัน  สัญญาอย่างหนึ่งเกิดสัญญาอีกอย่างหนึ่งดับ ไม่ใช่ดับสัญญาไปหมด มืดไปเลยในโปฏฐปาทสูตร ไม่ใช่ดับสัญญาให้มืดหมดเลย  สัญญาอย่างหนึ่งดับอีกสัญญาอย่างหนึ่งเกิด  นี่คือรายละเอียดของพระพุทธเจ้าที่รู้จักจิตเจตสิกต่างๆ  รู้จักกายเวทนาจิตธรรม  รู้จักเวทนารู้จักสัญญารู้จักสังขาร  รู้จักวิญญาณ
 ส่วนสูตรที่ 11 นั้นเกวัฏฏสูตร  ก็คือสุตรที่บอกให้รู้เลยว่าพลังงานจิตมีปาฏิหาริย์ได้ 3 อย่าง อิทธิปาฏิหาริย์เทศนาปาฏิหาริย์และอนุสาสนีปาฏิหาริย์  ซึ่งปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าเป็นปาฏิหาริย์ตามคำสอน เพราะอย่างสัตว์เขาก็เป็นเพื่อนทุกข์ อยากไปฆ่าอย่าไปรุนแรงกับเขาเขาก็เกิดมารับวิบาก ของของคนอื่นเขาอย่าไปเอาของเขา พึ่งตนเองอัตตาหิอัตโนนาโถพึ่งตนเองไม่ได้ตายซะ พึ่งตนเอองไม่ได้สู้มดสู้แมลงสู้ปลวกไม่ได้มันยังเลี้ยงชีวิตรอดเลย ไม่เห็นมันจะมาขอเงินจากรัฐบาลเลย  มีมดตัวไหนมาของเงินรัฐบาลบ้าง มีปลวกตัวไหนมาของเงินจากรัฐบาลบ้าง ก็ไม่มี แต่เป็นคนนี่ก็ตะโกนโหวกเหวกขอเงินจากรัฐบาล ขอเงินไปรีดนาทาเร้นจากคนนั้นคนนี้ มดปลวกแมลงต่างๆไม่เห็นไปรีดนาทาเร้นใคร อายมันบ้างสิ เกิดเป็นคนพึ่งตนเองไม่รอดก็ตายซะ  ไม่แนะนำว่าจะไปตายแบบไหนจะไปนั่งกลั้นใจตาย ไปโดนน้ำตายใจผูกคอตายก็ช่าง  พูดมันอย่างนี้นะ มันโง่นักไม่ตื่นซะที  1:11:30 (ชม.แรกผ่านไป 11 นาที 31 วินาที)

เทปรายการดูได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=axqfAr-OzUU  581004_วิถีอาริยธรรม ธรรมะบรรยายจากพระไตรปิฎกเล่ม 9


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:50:44 )

581004

รายละเอียด

581004_วิถีอาริยธรรม ธรรมะบรรยายจากพระไตรปิฎกเล่ม 9

ส.ฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูจะมาบรรยายจากพระไตรปิฎกเล่ม 9 

พ่อครูว่า...อาตมา ตอนนี้ก็ย้อนไปอ่านพระไตรปิฎก จากเดิมไม่ค่อยได้ศึกษา พระไตรปิฎกเล่ม 1-8 เป็นพระวินัยสำหรับนักบวชแต่ฆราวาสก็ศึกษาได้ จะได้ช่วยดูแลสงฆ์ ไม่ใช่ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ จากพระสูตร เล่ม 1 หรือ พระไตรปิฎกเล่ม 9 เป็นพระสูตร ไปจนถึงเล่ม 33 จากนั้น เล่ม 34-45 ก็เป็นพระอภิธรรมปิฎก ก็เป็นธรรมะจากการสังคายนาของพระสงฆ์หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 

เล่ม 9 มี 13 สูตร แต่ก่อนอ่านคร่าวๆ แต่ยังไม่ได้ทวนละเอียด ก็เห็นว่าครบครันหมด สูตรแรก ท่านประกาศว่าศาสนาพระพุทธเจ้าขึ้นต้นด้วยศีล ศีลของศาสนาพุทธ คือจุลศีล 26  มัชฌมศีล10 มหาศีล7 

จุลศีลคือศีลที่เอามาปฏิบัติไปตามลำดับ ศีล 5 8 10 มากกว่า 10 จนถึง 26 ข้อ นี่แหละ เพื่อปฏิบัติขัดเกลากิเลสเป็นพระอรหันต์ได้ เอามาปฏิบัติตามฐานานุฐานะ เลือกมา 5 ข้อก่อน เป็นศีล 5 จนขยายมาถึงข้อ 10 จนถึง 26 ก็เป็นศีลสำหรับปฏิบัติ 

จนมามัชฌิมศีล มหาศีล ก็มีข้อที่ว่า ศาสนาพุทธห้ามอย่างไรบ้าง แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธทั่วไปก็ทำหมด เกือบทุกวัด ยกเว้นวัดพระแก้วฯเพราะไม่มีพระอยู่ ทุกวันนี้พูดจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาไม่มีกันแล้ว 

มหาศีล บอกถึงศาสนาพุทธว่าเป็นเช่นนี้ ไม่มีเดรัจฉานวิชชา ไม่มีเดรัจฉานกถา แต่เดี๋ยวนี้ทุกวัดวาเต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชชา เดรัจฉานกถา ตอนนี้วัดทุกวัดพระก็ไม่พูดถึง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่พูดแค่ศีล 227 ซึ่งไม่ใช่ศีล เป็นพระวินัย เขาก็ไม่รู้เรื่อง

พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาตอนแรก ไม่ใช่เรียกว่าศาสนาพุทธ ท่านเรียกว่าสมณะพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์นี่แหละคือพุทธเดิมที่เพี้ยนไปกลายเป็นศาสนาเทวนิยม ไม่รู้จักปรมัตถสัจจะที่แท้จริง เป็นเทวนิยมไปหมด แต่ตอนนี้เลยครึ่งพุทธกาล กลายเป็นศาสนาเทวนิยมไปหมดแล้ว อาตมาเลยต้องประกาศตนว่าเป็นสยังอภิญญาที่จะมากอบกู้พุทธศาสนา 

ทุกวันนี้เขาเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องหนีเข้าป่า อยู่ในเมืองไม่ได้ เข้าใจผิดเหมือนฤาษีดาบส พระพุทธเจ้าว่าเป็นความเข้าใจผิด พวกนี้มีสองแบบคือพวกตักกี วิมังสี คือตรึกนึกคิดเอาเองไม่เป็นจริง กับพวกนั่งหลับตาหนีเข้าป่า และนั่งหลับตาสมาธิ ก็อยู่ในภพหลับตาสมาธิ กับพวกตักกี วิมังสี 

พวกพระบ้าน คือตักกีวิมังสีเป็นพวกนึกคิดตรึกเอาเอง อย่างธรรมกาย ต้องประกาศให้ชัด แต่ไม่ได้เกลียดชังนะ แต่สงสาร คุณจมในเวทนา หลอกกันไม่รู้จบ อย่างที่ไหนสร้างสหกรณ์แล้วหลอกให้คนกู้หนี้ทำสัญญาเอาเงินมาได้ แล้วมาบริจาควัดหมด โดยเงินไม่ได้ผ่านมือเลย 

เขาใช้วิธีสะกดจิต hypnotize แล้วสะกดทุกวัน ดูพระใสๆ แล้วฟังคำสั่งของผู้สะกด ก็ถูกสะกด ยิ่งกว่าข้าทาส ให้ไปตายก็ไป ให้ไปหาเงินก็หาเงิน มาถึงขั้นนี้แล้วหนักกว่ารัสปูตินเลย เมืองไทยเจอมารร้ายอันนี้ ในยุคโน้นสมัยพระพุทธเจ้าก็มีสำนักเช่นนี้มากมาย ยุคนี้ก็เช่นกัน 

พระป่าก็สะกดจิตอย่างพระป่า พระเมืองก็สะกดจิตอย่างพระเมือง พระป่าเขาไม่ได้หลงลาภ ยศ สรรเสริญเท่าไหร่แต่ในเมืองมีโลกธรรมเยอะใช้เชิงซับซ้อน ไม่ได้เรียนอย่างเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์นี้เลย แล้วสะกดจิตก็ให้ล่าโลกธรรมได้เลย ได้เป็นเจ้าคุณชั้นต่างๆ ต่อไปจะสืบสายถึงเป็นสังฆราช แต่อายุจะยืนหรือไม่ก็ไม่รู้นะ 

ถ้าเผื่อว่าหลงใหลการอยู่ในภพ ในภวังค์ หลับตา แม้ไม่หลับตาก็เป็นพวกตักกี วิมังสี พวกนั่งหลับตาก็สร้างภพได้อย่างไม่รู้ตัว แม้รู้ว่าสร้างภพเอง ก็สร้างได้ สร้างมาหลอกกันไป ไม่ลืมตา เอาแต่ภพสะกดจิตนี่คือไม่ตื่น ไม่ชาคริยา ไม่ชาคระ ออกจากภพมาให้ครบพร้อมทั้งสมมุติสัจจะ และเรียนรู้โลกวิทู สิ่งข้างนอกกับข้างในสัมพันธ์กัน แต่ไม่รู้ก็กิเลสกินตัวไปหมด ไม่ว่า โลกธรรม หรือวัตถุ ก็หลงติดเป็นทาสของมันหมด ไม่รู้จิตตนคืออัตตา ไม่รู้โลกคือสิ่งนอกตัว ไม่บริบูรณ์ด้วยโลก และไม่บริบูรณ์ด้วยปรมัตถสัจจะและอัตตา แล้วก็ล้างกิเลส พระพุทธเจ้าว่าผู้อวิชชามี 62 ข้อเท่านี้แหละ ที่เป็นผู้ไม่รู้ทัน อชานโต อปัสสโต เป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็นไม่แส่หา ดิ้นรนของผู้มีกิเลสตัณหาทั้งนั้น ดิ้นรน เพราะปฏิบัติไม่รู้เท่าทันผัสสะเป็นปัจจัย หรือแม้มีผัสสะเป็นปัจจัยก็ยังหลงอดีต 18 หรืออนาคต 44 หรือแม้จะเป็นปัจจุบันอีก 5 ก็มิจฉาทิฏฐิ รวมแล้ว 62 

อดีตจริงๆ 18 อนาคตจริงๆ 39 มีปัจจุบันอยู่ในภพ เป็นหลับตาหรือลืมตาตรรกะเอา สร้างภพชาติได้อีก 5 ก็เป็น 62 มีเท่านี้ ที่เป็นเรื่องมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าท่านรวบรวมไว้ เพราะฉะนั้นจมอยู่กับสิ่งไม่เป็นไม่มี อดีตผ่านไปแล้ว ส่วนอนาคตยังไม่เกิด 39 อย่าง อีก 5 ก็มิจฉา เป็นความไม่จริงทั้งหมด 62 

ความจริงนั้นไม่เกิดในอดีตกับอนาคต มันจะเกิดในปัจจุบันเท่านั้นที่สัมมาทิฏฐิด้วย ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่มีมรรคผล ถ้าจมในอดีตกับอนาคตก็ตีทิ้งได้เลย ปัจจุบัน 5 นี่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่ได้ ต้องสัมมาทิฏฐิจึงจะได้ ต้องเรียนรู้กามคุณ 5 กับฌาน 1-4

กามคุณ 5 ต้องเรียนรู้กามแล้วล้างกามให้หมด อย่างรู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน ขั้นรูปรูป กับอรูป มีนามอันละเอียดซ้อนๆกัน 

สูตรที่1 พรหมชาลสูตร ก็ตรัสให้รู้ว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่เป็นประดามีอย่างศาสนาอื่นๆ 

สูตรที่ 2 สามัญผลสูตร คือสูตรที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่าต้องปฏิบัติเช่นนี้ อย่างที่จะปฏิบัติอย่างสูตรแรกเป็นส่ิงที่ผิดหมด โดยประกาศ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นศีลธรรมนูญ สามัญผลก็ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จะสมบูรณ์ด้วยศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ศีลก็เป็นอารยะ

ที่ท่านละเอียดมากคือเมื่อปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วจะรู้ว่า ความสุขอย่างนามกายไม่ใช่สุขขัลลิกะ แต่เป็นอทุกขมสุข เรียกว่าอุเบกขา ท่านเรียกว่า วูปสมโมสุข สุขสงบ สงบคือกิเลสหมดจากจิต แล้วหมดแล้วจิตจะนิ่งแข็งทื่อไหม ไม่เลย จิตจะเร็วไว คล่องแคล่ว ทั้งเวทนา สัญญา สังขาร รู้ทันโลก ทันสังคม เป็นปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา 
แม้จะสัมผัสกับโลกอย่างไร ก็แข็งแรงคงทนอย่างเดิม ไม่เสียท่า ไม่มีอะไรหักล้างได้ ผุดผ่องสะอาดขาวรอบ ทนทาน 

มุทุคือแววไว จิตอ่่อน ตัวจิตก็ปรับได้ไว ปัญญาก็ไหวพริบเร็ว ดัดได้ง่าย เปลี่ยนได้ง่าย โดยจริงใจ สะอาดมีความรู้ ปรับแต่งได้ทันกาล มีมุทุภูตธาตุ ทำงานได้เหมาะสมคือกัมมัญญา ควรแก่การงาน ทำงานได้อย่างดีไม่มีอคติ ไม่ลำเอียง ทำกับสังคมได้อย่างดี ศาสนาพุทธไม่ใช่หยุดทำงานแต่ทำงานได้เก่งมีสมรรถภาพด้วย ไม่ต้องเสียพลังงานไปกับการคิดว่าจะได้กำไรเท่าไหร่จะเสียเปรียบไหม ก็ไม่มี ก็มีประสิทธิภาพสูงส่ง

ประภัสสรา คือผ่องแผ้ว ไม่ใช่ใสอย่างสะกดจิตด้วย อย่างที่เขาทำกัน อย่างนั้นเป็นเดรัจฉานวิชชา ที่พูดนี้ไม่ได้เดาเอาด้วย อาตมาเคยเล่นมาพวกเดรัจฉานวิชชา ก็เลยรู้ว่ามันผิดทาง นี่พูดอย่างจริงใจเลย

สามัญผลสูตรคือทุกคนพิสูจน์ได้ไม่ใช่เป็นได้คนเดียว แต่ทำไปตามบารมียืนยันได้ แม้จะไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า แต่ก็พิสูจน์ได้เท่าที่ทำได้ ยืนยันมาเหลือแหล่เลย แม้จะไม่หมดก็ไม่สงสัยแล้ว 

ต่อมา สูตรที่ 3 อัมพัฏฐสูตร ก็เป็นการยืนยัน ที่เขาสืบสานคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาคำสอนเก่าของพระพุทธเจ้า แต่อธิบายไปคนละเรื่องเลย มันเพี้ยนไปจากสัจจะ เหมือนเดี๋ยวนี้ สมัยพระพุทธเจ้าท่านเรียกนักบวชของพุทธว่า พราหมณ์มหาศาล แต่สมัยนี้ต้องเรียกว่าพระมหาศาล เขาเรียกกันมา แล้วก็มีตำแหน่งเงินเดือน มีโลกธรรม มีบัลลังก์แม้รัฐบาลก็ให้นิตยภัตร ไม่ใช่แค่ได้จากประชาชนบริจาคนะ ได้เงินเดือนด้วย ออกนอกรีตเป็นราชปัตโตคือรับราชการแล้ว ถ้าทำผิดก็ผิดม.157 ด้วยนะที่รับเงินเดือนจากรัฐนะ

ปารชิกเป็นสมีก็ไม่จัดการ สมเด็จพระสังฆราชท่านมีพระลิขิตมากี่ฉบับก็ไม่ทำตาม มันล้มเหลวขนาดไหน มหาเถรสมาคมน่ะ 

พระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า ต่อไปศาสนาพุทธจะเสื่อม กลายเป็นพระป่า แล้วก็เสื่อมสนิท แม้แต่พระในเมืองก็ว่าจะปฏิบัติต้องเข้าป่า พวกในเมืองก็ได้แต่ตรรกะ ได้แต่ตักกี วิมังสี อาตมาเรียกจับกัง ขนลังทองได้แค่ค่าจ้างไม่ได้แอ้มทองคำหรอก พวกที่รับจ้างแบกลังทองยังไม่เท่าไหร่ แต่พวกเบี้ยวคำสอนพระพุทธเจ้านี่ชั่วกว่า

สูตรที่ 4 โสณทัณฑสูตร ย้ำว่ามีศีลก่อนมีปัญญา เอาศีลมาตั้งแล้วปฏิบัติจึงเกิดจิต เกิดปัญญา เกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ปฏิบัติศีลต้องลืมตามีผัสสะเป็นปัจจัย กระทบสัตว์แล้วจิตมีเมตตาหรือไม่ ศีลข้อ 2 สัมผัสวัตถุ เกิดกิเลสอยากได้ ก็ลดกิเลสให้จริง ไม่ใช่ไปนั่งหลับตานึกเอา นั้นมันความจำไม่ใช่ความจริง ศีลข้อ 3 ก็เรียนรู้ลดการติดกามคุณ 5 ศีลข้อ 4 เป็นวจีกรรม พูดปด ส่อเสียด หยาบ เพ้อเจ้อก็เรียนไปตามลำดับ ส่วนศีลข้อ 5 เรียนรู้ความเมาอย่างโกงกันทีละห้าแสนล้านนี่มันยอดอภิมหาอบายมุขแล้ว ไม่รู้กัน 

ทุกวันนี้สงสารประเทศไทยเรื่องหวย ถ้าไทยเราไม่ต้องพึ่งเงินหวยจะได้ไหม อาตมาก็งงๆ เวรจริงๆสิ้นไร้ไม้ตอกต้องพึ่งเงินจากคนกระเสือกกระสนอยากได้เงิน มันก็คือการพนันทั้งนั้น มันไม่ใช่ช่วยคนจน แต่ขูดรีดคนจนต่างหาก 

พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติศีลจะขัดเกลาจิต ไม่มีกิเลสเป็นตัวบงการ จะบริสุทธิ์สะอาดไปเรื่อยๆ มีศีลแล้วจะมีสมาธิปัญญา ลืมตาปฏิบัติ ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนศีลอยู่ที่นั่นเหมือนมือล้างมือ เท้าล้างเท้า ปัญญาที่ไม่มีศีลก็เป็นไปไม่ได้

บรรลุศีล 5 ก็มีปัญญาเท่าศีล 5  บรรลุศีลสูงขึ้นไปปัญญาก็มีมากขึ้นตามศีล 

สูตรที่ 5 ยัญพิธีที่ดีที่สุดคือศีล สมาธิ ปัญญา แต่ยัญพิธีที่เขาคิดกันคือเอาไปบูชายัญเหมือนคนป่า นั่นไม่ใช่ ยัญพิธีแม้ธูปเทียนบูชาหรือขอนั่นนี่ก็ไม่ใช่พุทธ แต่ยัญพิธีกคือการปฏิบัติเพื่อให้ลดละล้างกิเลสได้ ศาสนาพระพุทธเจ้ายืนยันยัญพิธีคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ 

สูตรที่ 6 ให้เจริญสมาธิเพื่อได้ทิพย์ คือรู้จักโลกียะ แล้วทำจิตเหนือโลกียะเป็นอาริยบุคคล หากทำไม่ได้ก็ไม่ได้เป็นพระอาริยะ 

สูตรที่ 8 มหาสีหานาถสูตร สูตรบำเพ็ญตบะ คือศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่เพ่ง กสิณ น้ำ ไฟ ลมอะไรที่พิลึกไม่ใช่ ตบะพระพุทธเจ้าคือศีล สมาธิปัญญา 

สูตร 1-8 ก็ยืนในศีลสมาธิปัญญา เป็นไตรสิกขา

มาสูตรที่ 9 โปฏฐปาทสูตร สัญญาเกิดอย่างหนึ่ง สัญญาดับ ไม่ใช่ดับสัญญาไปหมด มืดหมดเลย นี่คือรายละเอียดของพระพุทธเจ้าที่รู้จัก กาย เวทนา จิต ธรรม

สูตรที่ 11 เกวัตสูตร บอกพลังงานจิตมีปาฏิหาริย์ได้สามอย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ซึ่งอันสุดท้ายคือปาฏิหาริย์ของการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลแต่ละข้อก็เกิดปาฏิหาริย์ ที่มีเมตตา พึ่งพาตนเองได้ เป็นคนหากพึ่งตนไม่รอดก็อายสัตว์นะ

สูตรที่ 12 โลหิจจสูตร ก็สอนผิดๆมา ว่าเมื่อบรรลุแล้วอย่าบอกใคร อันนี้พระพุทธเจ้าว่าเป็นทิฏฐิลามก ทุกวันนี้ก็สอนกันอย่างนี้    แล้วปัจจเวกขณ์ ข้อที่10 ว่า อุตริมนุสธรรมในตนมีไหมหากใครมาถามจะบอกได้ไหม อย่างไม่มีสาเฐยจิตไม่มีจิตอยากอวด ซึ่งเขาก็ว่ากันต่อมาว่าบอกกันไม่ได้ จึงไม่รู้แม้แต่โสดาบันก็บอกไม่ได้ อาริยะขั้นไหนก็บอกไม่ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรก็เลยมีแต่ โสดาเดา สกิทาคามีเดา อนาคามีเดา อรหันต์เดา ก็เลยมีแต่อริยะเดาซึ่งมันผิดหมด พระพุทธเจ้าบอกว่าบรรลุแล้วบอกคนอื่นไม่ได้นี่ผิด ทุกวันนี้อาตมาไม่เกรงใจใครเลย นี่แหละจอมนู๊ดอะไรจริงบอกหมด 

ส่วนสูตรสุดท้าย สูตรที่ 13 เป็นสูตรยืนยันว่าหากไม่รู้จักเทวดา มาร พรหม คืออย่างไรไม่ได้รู้จักเลย จะบอกว่าเป็นผู้ดำเนินตามนั้น เป็นสหายแห่งพรหมเป็นอย่างไร คือหลอกกันไปหลงกันไป ไม่มีทางที่จะออกจากโลกีย์ได้เลย มีแต่ทางที่ไม่ใช่ทาง พูดกันไปหลอกกันไป บัญญัติทางต่างๆแต่ไม่ได้ไปสู่พรหมเลย ไม่ได้เป็นพรหมกาย ไม่ได้เป็นรูปนามที่จะพากออกจากกิเลสเลย 

พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่าใครเคยเห็นพระพรหมบ้าง มีครูบาอาจารย์ใหญ่ๆ สมัยโน้น พวกพราหมณ์ ที่เดิมพราหมณ์เดิมก็บริสุทธิ์แล้วก็วนมาเป็นพุทธสลับกันไปมา ไม่รู้จักเทวดา มาร พรหม ก็เลยกล่าวแต่เรื่องเหลวไหล

คำสอนพระพุทธเจ้ามีอยู่ แต่เขาไม่เข้าใจถึง ก็เลยไปเป็นเดรัจฉานวิชชา ไปหมด เป็นการเรียนที่ไม่พาไปนิพพาน ออกจากนิพพานไปหมด นี่คือพระสูตร 13 สูตรในพระไตรปิฎกที่เรียนกันสอนกันแล้วไม่รู้ความจริงจากสูตร 13 สูตรนี้ที่โบราณาจารย์สังคายนาเอาไว้อาตมาว่าครบหมด 13 ประเด็นนี่สุดยอด

พระพุทธเจ้าท่านประกาศของท่าน ตั้งแต่ศีลเป็นธรรมนูญ มีสามัญผล มีผลที่จะได้ไปตามลำดับ รู้จักจิตตน เมื่อกระทบสัมผัสกับสัตว์ สัตว์นี้มันร้ายต่อเรา จิตเราขึ้นไหม อ่านในปัจจุบันที่กระทบ พิจารณา อ่าน จิต เจตสิก อ่านอาการออกว่า รูปจิตอันนี้มันเป็นอาการของโทสะ เกิดไม่พอใจอยากฆ่าอยากทำร้ายเกิดไม่ชอบใจ เป็นอาการหยาบ กลาง ละเอียด อาการไม่มีรูปร่างสีสันเส้นเสียง อาการเป็นนามธรรม อ่านให้เป็น นี่โกรธแรง โกรธอย่างกลาง อย่างละเอียด คุณอ่านละเอียดไม่ออกก็อ่านหยาบก่อนแล้วจะรู้กลาง ปลายได้ เป็นของจริงตามลำดับ พระพุทธเจ้าสอนอย่างเป็นขั้นตอนก็มีแต่ศีล สมาธิ ปัญญา 

ถ้าปฏิบัติด้วยการคุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย สัมผัสแล้วรู้ขั้นตอนตามลำดับ ลดกิเลสได้เพราะรักษามนินทรีย์ บรรยายได้ในสูตรที่2 สามัญผลสูตร ท่านก็แปลไว้ชัดว่า เพราะว่ารักษาสำรวมมนินทรีย์ ไม่ใช่แค่รักษาศีล แต่กายกับ วาจาเท่านั้น ซึี่งก็ต้องทำก่อนคือกายกับวาจาก่อนที่หยาบแต่ต้องอ่านถึงมนินทรย์

กระทบแล้วก็ถึงจิต อ่านกิเลสในจิต นั่นต่างหากปฏิบัติศีลจึงสมบูรณ์ ไม่ใช่ตัดกายวาจาคือศีล แล้วปฏิบัติสมาธิหรือจิตก็ไปนั่งหลับตา ดับทวารนอกหมด นี่คือปฏิบัติสอนกันผิดๆ 

ศาสนาพุทธต้องประกอบด้วยสติสัมปชัญญะทุกกรรม กาย วาจาใจ รู้กิเลส ล้างกิเลสได้เป็นอาริยะ ไม่ใช่แค่รู้กายกับวาจา ใจไม่รู้ นี่คือผิดพลาดในการสอน แต่ของพุทธล้างกิเลสแล้วจะเป็นคนที่รู้จักใจพอ ระงับจิตไม่ติดสวรรค์ไม่หลงสวรรค์ (อสังสัคคะ) 

สันโดษไม่ใช่ปลีกแยกเข้าป่าเขาถ้ำ แต่สันโดษ มาจากสันตุฏฐิ คือใจพอ ไม่ใช่ว่าพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ 
ของพระพุทธเจ้าให้มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ ไม่ใช่เอาแต่นั่งหลับตาปฏิบัติ ปลดแอกตนเองจากโลกีย์ ทำจิตตนให้หลุดพ้นจากลาภ ยศสรรเสริญ กำจัดตัณหาอุปาทานจากใจได้แล้วมีโลกวิทู อย่างพระป่าเขาก็สอนให้มีผัสสะเป็นปัจจัยแต่ไม่สามารถแยกแยะเวทนา 108 ได้ ไม่รู้จริง 

พระพุทธเจ้าสอนให้ทำ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) แล้วจะเป็นผู้มี เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ มีอิทธิวิธญาณ จากคนเดียวเป็นหลายคน จากหลายคนเป็นคนเดียวได้ ไม่ใช่อย่างเป็นตัวตน บุคคลเราเขานะ 

เดินบนน้ำได้ ก็ไม่ใช่ทำตัวเหมือนแมงมุมน้ำ คือมันตลก ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง ของพระพุทธเจ้าทำได้แล้ว จะทำให้กิเลส 0 ก็ได้ อ่านกิเลสในจิต ทำจนกระทั่งเวทนา 108 ยืนยัน ทำบุญได้ รู้จักกิเลสในจิตสันดานแล้วก็ล้างให้หมด จนสิ้นบุญสิ้นบาป บุญไม่ใช่สิ่งสะสมไว้แต่เป็นเครื่องประหารกิเลส จนบาปไม่เกิดแล้วในจิต อย่าง เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ 

ไม่ใช่ว่าไปดับหมด แต่มีวิตกวิจารอย่างเก่งในการสังกัปปะ 7 ก็มีปีติสุข แผ่ซ่าน ไปทั่วกาย ไม่มีส่วนไหนที่ปีติไม่ไปแทรกทุกส่วนของกายคือรูปและนาม ที่ลดปีติ สุข ก็ไม่ให้เป็นสุขอย่างก้อนๆ หรือแรงมากๆอย่าง โอกกันติกาปีติหรืออุพเพงคาปีติ แต่ว่ามีผรณาปีติ ที่เบิกบานร่าเริง ไม่ใช่ไร้ปีติ แข็งทื่อไปหมด 

ในสังกัปปะ 7 จะรู้พลังส่ิงเป็นโทษกับพลังเป็นโทษเหลือแต่พลังเป็นคุณ เป็นผู้เก่งในการใช้ปีติ หากไม่มีปีติเลยก็ไม่มีแรงทำงานเลย เราก็ไม่ติดปีติ ไม่มีก็ได้ ถึงเวลาที่เราไม่ต้องใช้พลังงานอะไรก็ไม่ต้องใช้ จะเข้าใจปีติ 5 
1.ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) 
2.ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) 
3.โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) 
4.อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย) 
5.ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)    (จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค) แต่ก็คือส่ิงที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วอรรกถาจารย์นำมาใส่ไว้ทั้งนั้น 

หากไปหลงติดใจมันก็จะต้องการมากขึ้นๆ เป็นอุพเพงคาปีติ จะต้องได้รุนแรงให้ถึงใจ ก็ซวยหนักเลย เป็นคนติดหลงที่ไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าว่าปีติก็ให้มี เป็นผรณาปีติให้อาศัยเท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่ให้มากหรือแรงแต่อย่างใด ใช้งาน ฌาน 1-4 ได้อย่างรู้เหมาะควรมีสัปปุริสธรรม 7 ได้ แล้วไม่ติดยึดจะปล่อยก็ได้ มีสัมมาฌาน สัมมาวิมุติ จบอาสวักขยญาณ แถมหมดอนุสัยอีก เลยจากปัญญาวิมุติ เป็นอุภโตภาควิมุติบุคคลอีก 

 ส่วนอัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าท่านท้วงไว้แล้วว่าต่อไปจะหลงพระป่า 
1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ 
2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า 
3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ 
4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)  

ตอนนี้อย่างธรรมกายก็ทำเช่นนี้ สะกดจิตคนไว้มากมายในไทยไม่พอไปต่างประเทศด้วย  แล้วก็ให้ดูช่องนี้ช่องเดียว ช่องอื่นไม่ให้เข้าหูเลย น่าสงสาร ถูกสะกดจิตไม่มีปรโตโฆษะใดๆเลย ถูกสะกดจิตว่าอย่านอกใจ 

แล้วพวกพระป่าก็ไปสร้างวิหารบนเขา หนักเหนื่อยสร้างพระพุทธรูปบ้างสร้างวิหารบ้าง อยู่ป่าบำเรอไฟ มีติ้วมีอะไรมากมายอย่างเดรัจฉานวิชชา ศาสนาพุทธนั้นไม่เหลือ คนในเมืองก็เป็นทาสโลกธรรมทาสทุนนิยมไปหมด พระบ้านก็เป็นข้าราชการไปหมด ราชปัตโต ทำผิดม. 157 ได้นะ 

อย่างวัดจานบินนี่มีมุขทุกด้านเลย ไม่ใช่แค่มุข 4 ด้านนะ แต่มุข 360 องศา คนฟังแล้วก็อาจหาว่าอาตมาโกรธแค้นธรรมกายนะ ที่จริงอาตมาไม่อยากให้ธรรมกายลงนรกมากกว่านี้ แล้วเตือนสติพุทธศาสนิกชนไม่ให้ถูกร้อยจมูกเอาไว้ ก็เตือนสติผู้มีอำนาจในสังคม หากไม่จัดการธรรมกาย ธรรมกายจะเป็นเสือติดปีกที่จะทำลายประเทศไทยอย่างไม่เหลือซาก เขาไม่มีความรู้อะไรในการบริหารประเทศหรอก เขาไม่ส่งเสริมคุณธรรมจริง แต่เอาอบายมุขมาหลอกคน ลึกลงไปตนก็หลงกามคุณ หลงโลกธรรม ปั้นสร้างในภพ หลงวิมานงดงามไม่รู้กี่ชั้น 

ธรรมพระพุทธเจ้าหากไม่เข้าใจจริงก็ทำผิด สายมนตรญาณก็สวดมนต์ จะให้ช่วยใครจะช่วยในหลวงก็สวดเอา สวดพันรูป หมื่นรูป สั่นสะเทือนทุกอย่างจะแปรเปลี่ยนเพราะการสวด พระพุทธเจ้าท่านมาล้มล้างหมดเลย ถ้าเป็นไปได้มันเป็นไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็มาล้างอาตมาก็มาล้างแนวเดียวกัน ล้างเฉพาะในศาสนเดียวกัน ไม่ละลาลละล้วงไปศาสนาอื่นนะ 

13สูตรนี้ให้รู้ประเด็นต่างๆที่อาตมาได้สาธยายมา....


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:51:32 )

581103

รายละเอียด

581103_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก มหัศจรรย์อรหันต์คือพีชะ

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคาร ที่ 3 พฤศจิกายน 2558   วันนี้ ใกล้จะถึงงานมหาปวารณาซึ่งปีนี้ก็จะฉลอง ตามธรรมเนียมของมนุษย์จะฉลองครบ 45 ปี ที่อาตมาได้บวชมาทำงานศาสนามา มีภาวะ 2 รูปแบบนักบวชเลย 45 ปีครับในวันที่  7 พฤศจิกายน 2558  วันที่ทำงานมา 35 ปี 

 ปีจะมาเอาตัวเลขนี้เป็นตัวหาร  พระพุทธเจ้าท่านทำงานมา 15 ปีก็จบเรื่องเลยแล้วก็ปรินิพพาน ไปแล้ว  อาตมาทำงานมา45 ปี ก็เพิ่งเร่ิมต้น  แต่ก็เร่ิมเห็นเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น มีปรากฏการณ์ที่พอสัมผัสได้  มีผลถึงขั้นแสดงออกถึงวงกว้าง  ทำให้เราได้รับรู้ก็มีผลต่ออัตราการก้าวหน้า  ของพระพุทธเจ้าเป็นความก้าวหน้าของโลกุตระ 

ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือธรรมะที่ไม่ใช่โลกียธรรม ที่ทวนกระแสโลกียะธรรม โลกียะสะสมลาภยศสรรเสริญ  สมใจในกาม สมในอัตตาก็เป็นสุข เรามาลดจริงๆ ลดได้มากหรอน้อยก็แล้วแต่  อาการลดละนี้มีภาวะสัจจะแท้ๆ  ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ครบ ทั้งสมมติและปรมัตถ์ ยืนยันว่ามีทั้งสภาพอาการของกิเลสจริงๆ สามารถสัมผัสรู้ไดจริง  แล้วมีวิธีทำให้ลด  รู้ว่ากิเลสมีอาการลิงคะนิมิต  ลดได้จริง อย่างมีวิราคานุปัสสี  ของใครของมันสามารถเห็นได้  เป็นการเรียนรู้อยากเห็นแจ้ง สามารถยืนยันกันได้ ใครถนัดบรรยายสำนวนไหน  แบบละเอียดหรือแบบหยาบขนาดไหน  ก็มีปรากฏการณ์ให้เห็นจริง 

ศาสนาพุทธในเมืองไทยน่าสงสารที่สอนกันว่า ผู้บรรลุธรรมนั้นบอกใครไม่ได้หมดเลย ทั้งที่ท่านมีเงื่อนไขว่าอย่างใดควรบอก ท่านก็มีนัยยะที่ชัดเจนอยู่ แต่กลับเข้าใจว่า ผู้ใดบอกผู้นั้นไม่บรรลุ เป็นไปอย่างนั้นเสียอีก  อย่างที่เขาเดากันว่า คนนี้บรรลุระดับไหนๆ ก็บอกกันไม่ได้เอาแต่เดา เพราะบอกกันไม่ได้มีแต่อาริยเดามันก็เลยคลุมเคลือ งมงาย  ไม่มีอะไรยืนยันความจริงได้เลยถ้าจะมาก็เห็นว่ามันไปกันใหญ่ ก็ค่อยๆนำมาเปิดเผย  เป็นไปตามลำดับ  ปีแล้วมาถึงวันนี้ 45 ปีแล้ว  อรหันต์ก็บอก อนาคามีก็บอก แต่โสดาบันก็พอรู้กันแล้วก็ค่อยๆเปิดเผย ไม่ใช่ว่าเปิดเผยกันไม่ได้ ในโลหิจจสูตร ก็บอกไว้ชัด

 ธรรมะของผู้ป่วยได้ของพระพุทธเจ้านั้นเปิดเผยได้ การไม่เปิดเผยนั้นไม่ถูกต้อง 
     โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  . 
    พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358) 

อาตมาก็เอาจากพระไตรปิฎกมายืนยันก็ฉบับสยามรัฐนั่นแหละ แต่ท่านผู้รู้บางท่านก็บอกว่ามีแต่บาลีฉบับสยามรัฐที่เป็นพุทธพจน์ แต่พระไตรปิฎกภาษาไทยไม่มีที่เป็นของเถรวาทะ มีแต่สยามกลาสภาษาบาลี บางคนก็บอกว่าพุทธวจนะต้องภาษาบาลี โชคดีที่พระไตรปิฎกยังมี เนื้อหายังใช้ได้ แต่ที่ท่านแปลกันไม่ค่อยเข้าท่าอาตมาก็ท้วงบ้าง ทุกวันนี้อาตมาประกาศตนเองหมดแล้ว ล่อนจ้อน บอกหมดเกลี้ยง มาถึงวาระ 45 ปี   เพื่อยืนยัน  แล้วไม่ได้บอกอย่างอยากอวด  บอกแล้วรู้สึกดีที่ไม่มีขึ้นโครงการต่อต้านหรือคืนที่จะ สูบเดียวกันก็ไม่มี ผู้ค้านแย้งก็เงียบๆ แสดงถึงว่าพอรับได้กก็เลยแสดงถึงอาการสงบ

วันนี้ก็เอา sms ที่ มาจากทางบ้าน มาตอบก่อน


0893867xxx หลังจากยุคพระโคตโมฤาพระสมณโคดมพ้นไป2,50 0ปีพระเมตตรัยโยจะลงมา ตรัสรู้ในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย์เมื่อพศ.5001เมื่อพุทธศาสนามีศักราชครบ5พัน ปีไปแล้วถูกไหม?
0893867xxx ถ้าใช่ก็คงน่ากังวลใจว่ากว่าได้พบพระศรีอาริยะฯพวกเรายังต้องกลับมาตายแล้วเกิดหลายพันปีกว่าจะได้พบพระองค์!เหนื่อยหน่ายใจ ถ้ายังต้องวนเวียนในวัฎฏะหลายภพชาติซะจริง!
0893867xxx ทำยังไงตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก?เบื่อวัฎฏะสงสารจรธ.

พ่อครูตอบว่า  ไม่ถูก  ประเด็นที่ถามคือกล่าวถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์  เมื่อยุคพระสมณโคดมผ่านไป สองพันห้าร้อยปีแล้ว  ก็มีผู้รับรองว่าศาสนาพุทธยุคพระสมณโคดมจะสิ้นสุดเมื่อผ่านไป 5 พันปี  ตอนนี้เกินครึ่งแล้ว  ศาสนาพุทธก็แค่ไม่เหลืออะไร  มีแต่เชื่อโลกียธรรมนั้น  ศึกษาเนื้อหาของศาสนาพระพุทธเจ้า  บอกว่าตนเองเป็นโพธิสัตว์  ไม่มีอาจารย์ รับเอาของพระพุทธเจ้ามา  ไม่ได้ มีมาได้ด้วยตัวเอง  เขาก็ประชดประชันได้อ่านว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งไม่ถูก  มาถึงวันนี้ 45 ปี  15 ปีก็พูดให้ ว่าสมาคือขยะกินยา  เป็นพุทธสาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มาประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้ได้รู้กันชัดเจน   ใครรู้ว่าจะมาเป็นเดือนจากสำนักไหนก็มายืนยันสิทธิ์  อาตมาโกหก  ในชาตินี้เอามายืนยัน อาตมามาคนเดียว ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง เป็นนักรบพ่อลูกอ่อน แม้เหนื่อยหน่อยแต่สนุกดี  เหนื่อยก็พักหายเหนื่อยก็พิมพ์ใหม่

 ที่พูดนี้ผิดถูกก็ตรวจสอบได้  มีงานมีผลงานมาถึงทุกวันนี้ก็พาทำมา ประมาณการใช้เวลาออกอากาศอีก 1 72 ปี  9 ตอนแรก ถ้าเอาตัวเลข 36 36 36 ตอนนี้เปิดเผยไป ต้องให้ถึง 72 ก็ไม่รู้จะมีเนื้อหาธรรมะแน่นไหม แล้วก็ไปต่ออีก ถึง 108 จะได้เพิ่มไหม แล้วต่อไป 144 ก็ต้องพอแล้ว อยู่ชมผลอีก 7 ปีก็จบ 

ที่บอกว่าพระศรีอาริยเมตตรัยจะมาเกิดอีก เมื่อ 5001 นั้นไม่ใช่ พอหมดยุคศาสนาพุทธนี้ จะมีไฟประลัยกับป์ล้างโลกอีก ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ จากนั้นคนไข้มาเกิดเป็นรุ่นใหม่ คนก็จะเป็นคนดี ไม่เดือดร้อน ทรัพยากรณ์ก็เยอะ ไปอีกเป็นล้านปีกว่าจะเดือดร้อน เป็นช่วงพุทธันดร ไม่มีพุทธศาสนาอีกไกล ช่วงนี้เรียกว่าช่วงพุทธันดร  บางคนไปเข้าใจผิดว่าพุทธันดรคือช่วงที่มีศาสนาพุทธเป็นการเข้าใจผิด  แบบชุดชั้นตอนคือ ช่วงที่ไม่มีพุทธศาสนาไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ  จนกว่าจะมีความเดือดร้อนมากพระพุทธเจ้าถึงมาเกิด ..  ไม่สามารถบอกถึงตัวเลขได้ แค่นั้นก็แล้วกัน

 อีกอันหนึ่ง ที่คุณ 3867 บอกว่า พวกเราต้องมาเวียนวนในวัฏฏะหลายภพชาติ … ก็ต้องพยายามพากเพียรให้บรรลุอรหันต์ในชาตินี้ จึงไม่เกิดอีก หรืออย่างดีก็เป็นอนาคามี ไม่ต้องเกิดมามีร่างกายเป็นภาระ  ไปบรรลุธรรมในภพก็ได้  ก็ขึ้นอยู่กับบารมีการเป็นอนาคามีนั้น

อนาคามี 5
1.    อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ) 
2.    อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ) 
3.    สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ) 
4.    อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก) 
5.    อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว) 


 เพียงพยายามไปตามควร การอยากหรือไม่อยากนั้นกินพลังงาน  ก็อย่าไปอยากหรือไม่อยาก ให้ทำไปตามเหตุปัจจัยในปัจจุบันตามลำดับ 

_มีคุณเพชรดินฟ้า ถามมาว่า 
1. การเกิดเวทนาของการสัมผัสทวารเดียว เช่นตาเห็นรูป  แต่หู จมูก ลิ้น กายไม่ได้สัมผัสก็พอเข้าใจ  แต่ถ้าสัมผัสพร้อมกันหลายทวาร  ทำงานอย่างไร เช่นตอนกินก๋วยเตี๋ยว

ตอบ …. ความรู้สึก อย่างเดียว ถ้าเป็นเวทนาทางตาก็เป็นรูป ถ้าจับเวทนาทางลิ้นก็เป็น  แต่ละอย่างแต่ละอย่างก็มีการสัมผัสของมันจำเพาะ คุณจะรู้ก็รู้ได้อย่างละที มันเร็วมาก มันไม่รู้ทีเดียวหลายอัน แต่รู้ได้ทีละอัน รสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คนละอันกัน  มันจะคนละเวลา  คำว่าเวลานี้มันเร็วมาก คุณต้องมีญาณที่เร็วจึงสามารถอ่านรู้ได้ แต่ถ้าญาณคุณยังไม่เร็ว  ไม่สามารถรู้ได้ตามที่คุณถามมา

คุณฟังอาตมาก็อาจเข้าใจ แต่สภาวะจริงก็จะทำไม่ทันให้ฝึกไปเถิด จนสามารถรู้ได้ ตามที่อาตมาว่า  ของจิตนั้นมันเร็วมาก มีผู้อธิบายว่าถ้าจิตเร็วเท่าแสง จะหยุดเวลาได้ ซึ่งก็จริง  จะเห็นอดีตย้อนไปได้  เมื่อจิตเร็วกว่าแสง

2.การเปิดทีวีพร้อมกัน 5 หรือ6 ช่อง คือแต่ละเสี้ยววินาที ถ้าฉายภาพช้า สัมผัสแต่ละทวารสลับไป แล้วสังเคราะห์ประมวลผลเป็นธาตุใหม่
ตอบ..มันไม่เป็นธาตุใหม่หรอก  แต่เป็นภาพของแต่ละอัน ที่ละเอียดลงไปของแต่ละอัน คุณก็ต้องไปฝึกเอา ความจริงที่ได้ต้องเอาไปฝึกเอาตามสามารถ 


 SMS 2 November 2015
0839975xxx กราบนมัสการพ่อท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ผมชื่อ นัฐดนัย ครับ วันนี้ผมจะมาอวด แต่จริงๆไม่ได้อวดหรอกครับ แต่อยากให้พ่อท่านช่วยชี้แนะมากกว่าครับ พอดีกระผมได้ยินมาจากหลายต่อหลายคนว่าอานาปานสติ สอนให้นั่งสมาธิ ซึ่งผมเองเมื่อได้ฟัง ได้ศึกษากับพ่อท่านมาเกือบปีหนึ่งแล้ว พยายามอ่านเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยวกับนั่งสมาธิเลยแม้แต่น้อย  เขาทั้งหลายบอกว่า พระศาสดาบอก ให้นั่งคู้บัลลังค์ตั้งกายตรงดำรงสติเฉพาะหน้า ตรงนี้แหละครับที่เขาว่ากันว่าพระพุทธเจ้าสอนให้นั่งสมาธิ แต่พอผมอ่านกลับตีความไปอีกอย่างเลยครับ
เลยอยากให้พ่อท่านช่วยชี้แนะการตีความของผมหน่อยครับว่าถูกไหม ถ้าผิดพลาดอย่างไรผมจะได้แก้ไขให้ถูกต้องครับ คำว่านั่งคู้บัลลังค์ตั้งกายตรง แปลว่า นั่งขัดสมาธิ ตั้งตัวตรงๆ ดำรงสติคงมั่นเฉพาะหน้า แปลว่า ทำความมีสติให้มีขึ้นแก่ตน ในสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนั้นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเหล่าภิกษุ ก็คือพระศาสดา 
สรุป เป็นภาษาบ้านๆได้ว่า อ้าวพวกเรา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน นั่งตัวตรง มีสติต่อคำสอนที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า
ถ้าผมแปลความ ตีความประมาณนี้ ถูกหรือผิด เป็นมิจฉา หรือสัมมา พ่อท่านช่วยชี้แนะลูกคนนี้ด้วยนะครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านครับ


พ่อครูตอบว่า... ตีความเก่งเป็นประโยชน์ต่อตนเองมาก คุณเลยมีพระศาสดากับตนตลอด แล้วมีสติตื่นตลอดเวลา สนใจต่อเบื้องหน้า  จะมีคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ก็อย่าไปคิดเอาคำสอนที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้ามาล่ะ  ความเห็นนี้เป็นประโยชน์กับตนเอง
 
ส่วนอาตมาแปล อานาปานสติว่า   ลมหายใจเข้าลมหายใจออก คืออานา กับอาปานะ  ลมหายใจเข้าลมหายใจออก  จะสลับก็ได้ไม่เป็นไร  มีลมหายใจเข้าออกเมื่อใดแปลว่าคุณยังไม่ตาย  ซึ่งแปลว่าทุกเวลาที่มีอยู่ที่ยังไม่ตาย คุณก็มีสติคือความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมออย่าให้มันหรี่  อย่าให้มันฟุ้งซ่าน  สภาวะที่อยู่เฉพาะหน้า วิธีเรียนรู้ของพระพุทธเจ้า ให้มีสติเต็มสภาพ แต่ไม่ใช่เหมาเอามาปฏิบัติหมด ต้องทำตั้งแต่อย่างหยาบ ตั้งแต่ศีล 5  เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสัตว์ กับคนใจเราเกิดโทสะมูลไม่ชอบใจ  ถึงขั้นเกลียดชัง  อยากฆ่าก็ต้องทำใจ

หรือมันอยากได้ไม่ใช่ทำลาย อีกอย่างคือเอามาเสพรสสมใจคือราคะ โลภะคืออยากได้มาเป็นของตน ส่วนราคะคืออยากได้มาสัมผัสเสียดสีเกิดรส  คุณจิตมีอาการอย่างนี้ อ่านออกก็รู้ แต่ถ้าไม่รู้ก็โมหะคือหลงผิดหลงสับสนไม่ชัดไม่เต็ม แต่ไม่รู้เลยก็อวิชชาเต็มๆ ก็ต้องรู้ให้ชัดให้ถูกต้องคมแม่น แล้ว แล้ววินิจฉัยวิจัยให้ออก  จะต้องเป็นนามธรรมเท่านั้นไม่เกี่ยวกับร่างเครื่องนอก  ไม่เกี่ยวกับดินน้ำไฟลม เป็นนามธรรมเป็นอาการจิต ที่เป็นกิเลสแท้ ไม่เช่นนั้นทำมั่วๆ ต้องมาแก้ไขอีกไม่รู้จบ เสียเวลา ต้องทำให้มันละเอียด ให้ชัดเจน แล้ว กำจัดก็คือการประหาร คือปหาน 5

1.    วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) 
2.    ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต)  
3.    สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) 
4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา)  
5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ) 
(พตปฎ.  เล่ม 31   ข้อ 65) 

ปหานอันที่ 1 เป็นปหานของพระพุทธเจ้าแท้คือตทังคปาน  มีทั้งวิปัสสนาและสมถะในนั้น  คือต้องรู้ทั้งส่วนกดข่ม คือวิกขัมภนปหาน กดข่มช่วยได้บ้าง การกดข่มมีมาแต่ปุถุชนเป็นธรรมชาติ  คนไม่ได้ศึกษาทุกคนกดคอมไว้เรียกว่ามารยาท อย่าให้ไปทำไม่ดี  จะเป็นราคะหรือโทสะก็ตาม  คุณต้องพยายามระมัดระวัง  ไม่ได้ก็ออกมาเป็นสภาพไม่ดี ของราคะ โทสะ ออกมาเป็นกายกรรมวจีกรรม แต่ถ้าทนไหวไม่อยู่ในเวลาแสดงออกได้ก็กดข่มไว้ แต่ถ้ามาเรียนรู้แล้วว่ากดข่มเป็นเช่นนี้ เด็กๆเคยไหม  เวลาเราโกรธแล้วเราไม่แสดงออก  เวลาเรามีราคะก็ระงับไม่ให้ออกไปก่อนทั้งนั้น แต่บางคนที่สนิทกันไม่ถือสากันก็แสดงออกแก่กันได้หรือถือสากันไม่ค่อยอายก็มี

การกดข่ม วิกขัมภนะก็ทำเป็นทุกคนก็เอามาใช้ กดข่มให้พอควร ไม่ใช่กดข่มจนไม่รู้เรื่อง คือถ้ามันเร็วแรงสู้ไม่ได้ก็กดข่มให้มันพอดูไหว วิจัยได้ เท่านี้เราทำได้ แรงเท่านี้เบาเท่านี้เหลือเท่านี้พออ่านออก อ่านอาการออกว่าราคะหรือโทสะ ให้คมแม่นชัด 

แล้วคุณจะต้องใช่ต่อมาใช้วิปัสสนา คือการเห็น เห็นว่ามันไม่เที่ยง เห็นว่ามันเป็นทุกข์  ถ้าไม่มีเหตุแห่งทุกข์ทุกข์ก็ไม่มี ถ้าจับทุกข์ได้ก็ตามเหตุแห่งทุกข์ได้ ไม่สงสัยลังเล ไม่มีวิจิกิจฉา จะรักหรือโกรธ อาการทั้งสองไม่อยู่กับคนไปตลอดกาลหรอก มันอยู่กับคุณชั่วระยะหนึ่ง โกรธมันร้อน ที่จริงรักก็ร้อนแต่ได้สมใจก็เย็นลง เดี๋ยวมันก็หรี่ก็หายไป แสดงว่ามันไม่ใข่ตัวจริง คุณอ่านได้ชัดก็จะรู้ว่ามันเป็นตัวโกหก เราก็มีปัญญาซ็อนว่าจะไปคบทำไมตัวโกหก เมื่อปัญญาสูงขึ้นก็เป็นการปล่อยวาง มันคลายปล่อยหน่าย มันออกจากใจเราไป ทำซ้ำๆจนกระทั่งความจริงนี้ยั่งยืนในใจแล้วไม่เกิดมีอีก จะกระทบผัสสะก็ไม่เกิดโกรธเกิดรักอย่าง นิจจัง ทุวัง สัสสตัง ทำได้ก็ทำซ้ำ ก็ได้ก็จบ 

1 มันไม่เที่ยง  มันไม่เที่ยงแล้ว มันลดลงมันจางคลายได้ ก็มีวิราคานุปัสสี ทำให้ ไปได้เป็นนิโรธานุปัสสี จนเป็นปฏินิสสัคคานุปัสสี  จะเห็นความจริงว่าตัวตนไม่มีแล้ว คืออนัตตา  อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน  แต่คนที่ไปหลงผิดว่าอัตตาไม่มีเลย  ก็ไม่มีทางปฏิบัติได้ผล  ก็ไม่รู้จักกับอัตตา

คำว่าตทัง แปลว่าเป็นครั้งคราว  คุณปฏิบัติได้จางคลายเป็นครั้งคราว จนปฏิบัติได้อย่างเด็ดขาด สมุจเฉทปหาน  ได้เด็ดขาดเป็นครั้งๆ ทำได้อย่างสมุจเฉทเป็นนิโรธก็ทำอย่างนี้แหละ ปฏิปัสสัทธิปหาน ทำอย่างนี้ทวนไปทวนมา มันสงบ ระงับได้ ทำทวนแล้วทวนอีก จนจบ เป็นนิสสรณะหรือนิสสัคคะ ไม่ต้องทำอีกแล้วหมดจบ  ไม่ต้องขึ้นสวรรค์แล้ว  แต่ก่อนขึ้นสวรรค์โลกีย์  

 ไม่มีกิเลสก็เป็นที่พึ่งอันเกษม  ไม่ต้องรบ ไม่ต้องทำสงครามกับกิเลสแล้วเป็นที่พึ่งก็สลาย สวรรค์ก็ไม่มี คือสรณะไม่ต้องรบ ไม่ต้องมีสวรรค์นิสสัคคะ  แต่ขนาดมีกิเลสก็ต้องรบ คุณมีกิเลสต้องเป็นนักรบ ต้องมารบจนกิเลสหมด ได้เป็นที่พึ่งอันเกษม  อนาคตไม่มีจากสนามรบ  ชนะแล้วก็อยู่ในสนามรบ ข้าศึกทำอะไรเราไม่ได้อีกตลอดไป 

 กลับไปที่อานาปานสติ คำว่า อานาปานสติ หมายความว่า  ตลอดที่มีลมหายใจเข้าลมหายใจออก  คุณยังไม่ตาย  ต้องให้มีสัมมาสติตามมรรคมีองค์ 8  ไปตามโครงสร้างของมัน ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ การพูดการคิดการทำ  ต้องวิจัยกิเลสในทุกการกระทำ ทุกคำพูดทุกความคิด แต่ แต่ไม่ได้หมายความว่า  ต้องทำทุกอย่างมันหมด แต่แบ่งทำไปตามลำดับ  เอาอย่างที่หยาบของคุณก่อน เร่ิมจากอบายมุข ศีล 5 ให้รู้กิเลส

 การจะรู้กิเลสต้องมีธรรมะ 2 เสมอ  ต้องพยายามใช้การกำหนดรู้ เป็นสัญญา ปัญญาของคุณ  สัญญาคือการกำหนดรู้เมื่อรู้ครบก็เป็นปัญญา ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวอ่านรู้ แล้วก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้คือรูป ถ้ามีแต่ส่ิงที่ถูกรู้ก็ไม่มีตัวเรา ตัวเราคือธาตุรู้ ถ้าเอาแต่ไปนั่งหลับตา ก็ไปลงนรกเสียเถิด 

สิ่งที่ถูกรู้ตั้งแต่เหตุข้างนอกตั้งแต่ตัวตนบุคคลเราเขา  ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม  จนเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ก็ต้องอ่านอาการจิตทีเกิดว่า ชอบหรือชังหรือเฉยๆ ก็ต้องอ่านออก แต่ถ้ามันอยู่นิ่งอ่านไม่ออกหรอก ปุถุชนสามัญกิเลสพักยกก็อ่านไม่ออกหรอก

 ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยและอ่านอาการ ผลักหรือดูด แล้วรู้ตัวการ ว่ามันไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตนเรา  มันมีแต่เรื่องทุกข์ลำบากลำบน ต้องสนองอารมณ์ใส่จิตตนเอง ทำแล้วก็ไม่จบ ยิ่งจะหนาจะอยากแรงขึ้น แค่พูดยังเหนื่อยเลย  แล้วแต่ละคนทำไมไม่รู้จักเลยสักที ต้องเห็นให้ได้ว่ามันเป็นเท็จ  มันเป็นทุกวันไม่มีความจริงเลย  เห็นให้ได้ว่าตนเองคือไอ้โง่ เราก็จะเข้าใจเห็นเลย ซาบซึ้งถึงขีดก็เลิก ก็มันเห็นชัดเจนว่าไม่ใช่ตัวดีที่จะเก็บไว้เลย  ถ้าคุณรู้แล้ว  มันไม่ใช่เรื่องยากลืมยากอะไรเลย ปัญญาจะเป็นตัวชัดเจนไม่ต้องกดข่มเลย มันเป็นภาระให้ตนเองต้องสนองบำเรอ 

หันมาหาธรรมะสองใหม่
คุณต้องมีตัวถูกรู้ แล้วมีญาณปัญญาไปรู้กิเลสหยาบกลางละเอียด แบ่งเป็นสัตตาวาส 9  ตั้งแต่สัตว์หยาบสัตว์รู้ง่าย  ไม่ใช่ทำทุกตัวหมดของกิเลส  แต่ทำไปแล้วจะรู้ว่าสลายสิ่งที่คล้ายกันได้  มันจะหมด  ไม่ใช่ว่าต้องไปไล่ทุกตัวเลย  แต่มันมีตระกูลที่มันคล้ายกัน  ก็ทำให้เราลดลงไปได้

 เมื่อมีลมหายใจเข้าออกปฏิบัติทุกลมหายใจเข้าออกอานาปานสติ ในปัจจุบันต้องมีองค์ประกอบข้างนอกด้วย  กายต้องมีภายนอกและภายในด้วย แม่หมดอบายมุขแล้วเหลือกามคุณ  ก็อยู่กับอบายมุขได้ผลแล้วมันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว มันเป็นกำลังใจให้เราอีกด้วยว่าลดหมดแล้ว พอหมดกามคุณก็อยู่กับกามคุณอีก แต่เราไม่หลงกับมันแล้ว  อานาปานสติไม่ได้มีการหลับตาเลย  มีสัมผัสภายนอกอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอบายภูมิ รูปภูมิ หรืออรูปภูมิ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาเลย พอทำได้แล้วจะปิดหรือเปิดตาก็ได้ ไม่เห็นต้องน่างงเลย

ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงทิฏฐิ 62 มีนิพพานอยู่ที่ปัจจุบัน คือทิฏฐธรรมนิพพาน ที่นอกปัจจุบันไม่มีนิพพาน ในอดีตอนาคตไม่มีนิพพาน แล้วก็จบด้วยตนเองเป็นปัจจุบัน  ที่ต้องพูดแรงเพราะผู้คนยังไม่รับรู้สึกดี  เหมือนแม่ที่ดุลูก ต้องดุแรงๆจนหัวร่อไม่ออก มันถึงกลัวถึงฟัง เป็นเช่นนั้น  เพราะเหตุปัจจัยในยุคนี้มันได้จริงๆ  ก็เลยต้องใช้วิธีโดยสามัญ เป็นจิตวิทยาสามัญ อาตมาก็เลยชำนาญและติดแบบนี้   ก็เลยต้องเหนื่อยหน่อยแต่ก็ได้ผล

 สรุปคืออานาปานสติสติปัฏฐาน ไม่ได้แยกกัน  และหลับตาปฏิบัติก็ไม่ได้อีก   การหลับตาปฏิบัติไม่ใช่ของจริงมีแต่สัญญา ไม่มีของจริงเลย จะปฏิบัติให้มีอินทรีย์พละต้องมีเหตุปัจจัยนอกในครบทุกทวาร

พูดถึงธรรมะ 2 คือ กายคือรูปกับนาม  มีตัวรู้กับตัวถูกรู้   รูปเป็นตัวถูกรู้ ตั้งแต่ของหยาบคือดินน้ำไฟลม จนถึงนามธรรมที่เป็นตัวถูกรู้ เราอ่านนามธรรมนี้ออก นามธรรมนั้นก็เป็นรูป รูปนี้ออกมาถึงหยาบได้ ถ้าเราหมดหน้าที่จะเกี่ยวข้องกับรูปนอกแล้วก็ไปอ่านนามที่เป็นรูปภายในได้ 

นามรูป คือนามที่ถูกรู้คือรูป จะเป็นองค์ประชุมเฉพาะนามคือ นามกาย เสร็จจากรูปกายก็ไปเรียนนามกาย 

อาตมาได้เอาสสารและพลังงาน ที่เอามาเทียบกับ กายและจิต 

พลังงานที่เปลี่ยนจากอุตุมาเป็นชีวะ พลังงานที่เป็นแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าไม่ใช่ชีวะ แล้วอุตุก็สามารถเปลี่ยนสภาพมาเป็นชีวะเป็นพีชะได้ โดยมีการกำหนดรู้ในความเป็นตนเองทั้งอุตุคือพีชะ

ตัวกำหนดรู้สึกคือสัญญา  ที่ปรุงแต่งขึ้นมาก็มีสังขาร มีธรรมะ 2  ถ้าอยู่เดี่ยวมันปรุงแต่งกันไม่ได้ มันอาจปรุงของมันเองแต่อ่านยาก พระพุทธเจ้าให้อ่านรู้ภาวะสอง ถ้าภาวะเดียวก็จะมั่วโมเมไปหมด อย่างบอกว่าอเมริกามีบิลลาดินก็เผาอเมริกาหมดก็ตายไปหมด พระพุทธเจ้าไม่เอาแบบนี้ แทนที่จะเผากิเลสก็ไป่ก่อวิบากแทนอีก 

คุณเผากิเลสของคนหนึ่งตัว  แต่ได้สร้างภาระวิบากคือไปเขาอย่างอื่นอีกมากมายได้บาป มาเป็นพวงเบ้อเร่อ  จะไปก่อวิบากทำไม ดีไม่ดีฆ่ากิเลสหนึ่งแต่ได้ตัวกิเลสใหม่มาอีกสอง ก็โง่ตายเลย  ต้องเอาทีละหนึ่งเดียว  ถ้าไม่ชัดอย่าทำ

ในพระไตรฯล.9 มีสำรวมอินทรีย์ แล้วมีสติตรวจสอบใช้สัญญากำหนดรู้ ปหานด้วยสัมมัปปธาน 4  จับได้แล้วก็ทำซ้ำ สัมมัปปธานมีปหานปธาน แล้วมีภาวนาปธานเกิดผล แล้วอนุรักขณาปธานก็ทำซ้ำ แล้วทำให้ได้ผลอเนญชาภิสังขาร

ทำให้กิเลสมันตายก่อน จะรู้ว่าเกิดอะไร จะเห็นอาการกิเลส  ต่อไปจากอาการที่มันเกิด  ตอนแรกที่เรียนรู้ก็เรียนรู้ความเป็นชีวะจาก primary cell จาก nich คือที่ว่าง พอมีเร่ิมอะไรเกาะในผนังของช่องว่างก็เกิดเป็นชีวะ หากเกิดแล้วเป็น primary cell ไม่มีสองมาต่อก็จะหายไป  แต่ถ้ามีสองมาต่อ ก็จะมีสามคือ มีหนึ่งมีสองและมีผนัง ก็ยังไม่ไปไหนก็ดิ้นไปดิ้นมาในตน เกิดเป็นตัวตน self พีชะ รู้แต่ในกรอบของตน จะไปรักหรือชังข้างนอกไม่รู้เรื่อง จะมีพลังงานในตัวที่เป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น สลายไป แต่ส่วนของคุณจะมีนิวเคลียร์ฟิวชั่นแต่ตัวเพิ่มพลังมากขึ้นคือนิวเคลียร์อันหนึ่งสลายอันหนึ่งจับตัวเพิ่ม หากมันออกมาเมื่อไหร่ก็นับเป็นพลังงานตัวที่ สี่ จับตัวก็กลายเป็น หก จะเพิ่มพลังมวลปริมาณคุณภาพทวีขึ้น ยิ่งเป็น เจ็ด แปด เก้าเป็นวงวนก็มีฤทธิ์แรงมากขึ้น 

สังขยาเลขเหล่านี้เกี่ยวกับอาการของกิเลส  ที่มันจะทำงาน  พีชะเป็นเพียง silf ยังไม่มี ish คือไม่มี selfish อย่างเก่งก็เป็นเซลล์ของมันเอง ไม่รู้เรื่องไปวุ่นวายกับใคร ไม่รู้ไปทำร้ายใคร มันรู้สึกได้ในตัวของมันเอง
มันมีกรอบมี สันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งอื่น  ไม่รับผิดชอบอย่างอื่น  ไม่รับอะไรกับใคร  การตกแต่งของเซลล์สองเซลล์ขึ้นไป พอเป็นตัวตนของมัน  ตัวของมันก็มีพลังงาน เรียกว่าพลังแม่เหล็กดึงดูดภาวะสังเคราะห์ตัวของมันเอง และธาตุที่มันจะสะสมให้ตน ที่มันกำหนดหมาย ตามสัญญา เพื่อเอามาปรุงแต่งสังขาร  ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็หรี่ลง  ไม่มีเสียใจไม่มีดีใจ 

สิ่งสังเคราะห์กันเรียกว่าอุณหธาตุ คำว่าอุ่นก็คืออุณห  คือพลังงานที่ไม่ใช่เย็น  พลังงานคุณจะมีความดึงดูดกัน  ดูดแล้วสลายในตัว คือพลังงานไฟฟ้า ถ้าเป็นพลังงานแม่เหล็กจะดูดอย่างเดียว จะเรียกว่าผลักก็ไม่ผลักนอกตัวสำหรับแม่เหล็ก แต่ไฟ้ฟ้านี้มีสลายมีดูดด้วย  

พีชะมีเพียงพลังงานแม่เหล็กไม่ถึงกับไฟฟ้า มีแต่สัญญากับสังขาร แต่ถ้ามันจะขึ้นไปถึงจิตนิยาม  จาก cell มาเป็น self จนกว่าจะรับเป็นสามหรือสี่ พอเป็นสี่ก็จะเริ่มเป็นสองแล้ว อันนี้เร่ิมมี selfish คือเริ่มเห็นแก่ตัว คือจะออกไปสัมผัสสัมพันธ์กับภายนอกจะเกิดความระมัดระวังตัวก็เลยเห็นแก่ตัว เกิดการระวังรักษาป้องกันตัวเอง ในพระไตรฯว่าไว้

ภาวะสอง ถ้าพลังงานไม่เพิ่มเป็น 3 เป็น 4 ก็จะไม่มีอะไรต่อไปก็จะฝ่อ  แต่ถ้ามีเพิ่มก็จะปรุงแต่งกันแรงหนักขึ้น เซลล์ตัวที่จะเร่ิมจากพีชะไปเป็นจิตนิยาม นัยคล้ายกับอุตุที่มีที่ว่าง แล้วมีเซลล์หรือชีวะ ถึงมีสอง ออกมาปรุงแต่งเป็นสามเป็นสี่เป็นห้าไป หากไม่ปรุงต่อก็มีแต่ตัวตนมันเอง

ทีนี้สภาวะของผู้รู้ จะรู้ว่าสภาวะที่จะขยายตัวเป็นจิตนิยาม ย้อนไปเรียนรู้ พลังงานเราจากสามเป็นสี่จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเรียนรู้ก็จะไม่ให้มันเพิ่มได้ เป็นอนาคามีจะตีกรอบไม่ให้เพิ่มได้ อรหันต์ยิ่งไม่ให้มันงอกเงยได้เลย จนเหลืออยู่ สาม ก็จะรู้ภาวะพีชะเป็นเช่นนี้เอง 

พีชะมีพลังงานที่มากได้ แต่พลังงานออกภายนอกไปอาละวาดคนอื่นไม่ทำในสัญชาติมันไม่ทำ มันมีแต่ตัวมันเอง มีแต่ฝ่อไปเองหรือสิ่งอื่นไปทำลายมัน มันไม่ทำลายใครคือคุณสมบัติอารยะระดับอรหันต์ หรืออนาคามีก็ไม่ทำร้ายใครภายนอก ก็เรียนรู้กำจัดตัวตนภายในให้ 0 

หรีออรหันต์จะทำให้เป็นหนึ่งเป็นปุงลิงค์เพื่อทำงานช่วยโลกก็ได้ แต่สภาพที่ปรุงแต่แต่เพียงสามไม่ไปทำร้ายใครคืออรหันต์ คือพระพุทธเจ้าที่ท่านใช้เป็นเอกบุรุษ มีสภาพหมุนรอบได้เต็มที่มีพลังงานมากแต่มีคุณภาพเท่าพีชะ หรือใช้พลังงานแค่ตัวเองระดับอนาคามี ไม่ทำลายใคร ถ้าอนาคามีก็ทำลายตนให้สูญ แต่ถ้าอนาคามีตายไปก็กลับมาเป็นภาวะมีดินน้ำไฟลมไม่ได้ แต่อรหันต์กลับมาได้มาใช้พลังงานพีชะทำงานได้แล้วทับทวีมีพลังงานสูง ล้วนมีคุณในตน ก็เอาไปทำคุณในตนได้ไม่ทำโทษต่อคนอื่น อรหันต์จึงมีแต่กุศลไม่มีโทษภัย เป็นพลังงานที่จะไม่ก่อตัวเป็นสี่ ห้า หก เจ็ด เลย มีแต่เอกบุรุษตลอดกาลนาน อรหันต์หาไม่แยกธาตุสลายก็จะมีแต่พลังงาน 0 กับ 1 พักอยู่กับ 0 แล้วทำงานก็ใช้ 1 

นี่คือศาสนาพุทธ  ศาสนาอื่นนั้นกดข่ม  อย่างเทวนิยม ใช้พลังงานกดข่มมาก ต้องเป็นสองเท่าของที่ตนมีพลังงานเลย ถ้าเผื่อว่าพลังงานที่ตนมีไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพลังงานกดข่มมันจะทำลายตนเอง ที่อาตมาเขียนและอธิบายเป็นสภาวะ ของอาริยธรรมขั้นสูง  คุณไม่ต้องรู้ก็ได้  แต่ใครรู้ก็เอาไปปฏิบัติได้

 พลังงานที่ปรุงแต่ง เป็นชีวะ  แล้วก็เป็นพีชะ อรหันต์นั้นรู้เข้าใจหมดก็เอาพลังงานมาใช้ได้ เป็นเจ้าของพลังงานนิวเคลียร์เอามาใช้ประโยชน์ได้ พระอรหันต์จึงเป็นเจ้าของพลังงานอย่างยิ่ง อรหันต์ที่เก่งก็ประสิทธิภาพสูง อรหันต์ไม่เก่งก็ทำได้น้อยกว่า

พระพุทธเจ้าสอนให้คนรู้จักอรหันต์และพลังงาน ควบคุมพลังงานกัมมันตภาพรังสีได้ มีสัปปุริสธรรม 7 ใช้ได้สัดส่วนพอเหมาะคือวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้า   มีใครฟังแล้วเข้าใจที่ดีบ้างยกมือสิ  ที่อยู่บ้างเหมือนกันก็ค่อยยังชั่ว 

ศึกษา คำความทางวิทยาศาสตร์มาก็จะเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น  อย่างอื่นอาตมาก็ผ่านมาแล้ว  ชาตินี้อาตมาจะมาเรียนวิทยาศาสตร์  อย่างเคมีเรียนกับอาจารย์ สตางค์ก็ได้ 10 ส่วนร้อย  แต่เอามาสอนได้ รถสภาพเหล่านี้เป็นสภาพทั่วไปของโลก  ไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณ  แปลคำอธิบายเป็นช่างติดวิญญาณได้ ผู้มีฟิสิกส์ทางจิตวิญญาณจะไม่บัญญัตภาษาเหมือนทางวิทยาศาตร์หมด เพราะเป็นบัญญัติภาษาเป็นไปตามยุคกาล 

 ถ้าผู้ใดสามารถจับเอาได้  ดูธรรมะ 2 เป็นคู่ไป  เป็นคู่ไปสู่ ความเป็น 1   ตัวหนึ่งเป็นตัวรู้อีกตัวหนึ่ง  เกี่ยวข้องกับดินน้ำไฟลม มันมาเกี่ยวข้องกับเราก็เป็นเหตุปัจจัยให้ศึกษา

ถ้ายิ่งสัมผัสกับชีวะก็เรียนรู้เช่นเดียวกับอุตุ แม้ที่สุดจิตนิยามก็รู้ให้ชัดจนควบคุมได้เหมือนควบคุมอุตุพีชะ แม้จะมีเรี่ยวแรงอย่างไร มีคุณสมบัติอย่างไรก็เอาแรงเท่าที่ใช้ได้ ใช้ลักษณะของมันได้ ผู้เรียนรู้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้สามารถใช้อุตุ พีชะ จิต ได้อย่างวิเศษ ก็ค่อยๆเรียนไปในธรรมะสอง แบ่งมาเลี้ยงเป็นคู่คู่ 

เช่นทำได้กับอุตุแล้ว มาทำกับพีชะก็เหมือนอย่างทำกับอุตุ จนมาควบคุมจิต อุตุ พีชะ จิต ก็ต้องมีสามหน่วยในสังขารกันเป็นพลังงานสามชั้น แต่คุณควบคุมไ้ด้ก็เท่ากับอุตุ มันมีพลังงานสามเส้าเอามาใช้ได้ด้วยนะ อาจจะซ้อนๆๆเช่นนี้ 

ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า จะไม่มีภัยอันตรายกับใครเลย แม้แต่ศัตรูส่งพลังงานหรือสิ่งที่เป็นอันตรายมาให้เรา เอาโยนอิฐมาเราก็ทำเป็นดอกไม้ส่งไปให้เขา  แล้วคุณก็ทำเป็นอิฐส่งมาให้เราอีก เราก็ทำเป็นดอกไม้ส่งไปให้อีก ดูซิว่าใครจะทนกว่ากัน คุณรู้ไหมว่าคนที่เป็นอรหันต์ทนต่อพวกนี้ ทนต่อพวกศัตรู ศัตรูทนสู้พระอรหันต์ไม่ได้ 

เค้ายังชนะไม่ได้ action ของเขายังมี reaction อยู่แต่ของพระอรหันต์นั้น action มาไม่มี reaction ใครจบ พระอรหันต์จบ เขาขว้างอิฐมา พระอรหันต์ก็ทำเป็นดอกไม้ ดอกไม้เป็นสิ่งที่เขาควรรับแต่เขาก็โง่ เขาจึงไม่เห็นดอกไม้ที่เราส่งไปให้ เขากลับเห็นเป็นอิฐ เหมือนกับที่อาตมาว่าคนทุกวันนี้ อาตมายื่นดอกไม้ให้เขาตลอดเวลา อาตมาบอกความชั่วให้เขาได้แก้ไขปรับปรุง เท่ากับอาตมายื่นดอกไม้ ให้รู้ว่าความผิดของคุณ ตั้งแต่ไม่เคยมีใครมาบอกคุณเลยว่า คนหลงผิดอาตมาก็บอกว่านั้นเป็นผิด แต่คุณก็ยังดันทุรัง อาตมาจึงมีหน้าที่ยื่นดอกไม้ให้ตลอดเวลา

แต่อาตมาไม่ท้อไม่หยุด จนกว่าคุณจะรู้ว่าเป็นดอกไม้แล้วคุณรับ ต่อไปคนรับได้ก็จะมากขึ้น เปลี่ยนมาเป็นพวกอาตมามากขึ้น แต่ทุกวันนี้ซับซ้อนก็มีพวกผีเข้ามาอีก ยุคนี้ถึงอย่างไรก็ไม่ชนะเขา แต่อาตมาก็อยู่ยงคงพระพันกว่า เขาขว้างมาอาตมาไม่หัวโนนะ พวกเรานี่ ยิงไม่เข้าฟันไม่ออกนะ มันเหนือว่ายิ่งไม่ออกฟันไม่เข้านะ อย่างเดียวกับ เข็นเขาขึ้นครกนี่ เจ็งกว่าเข็นครกขึ้นเขานะ อรหันต์ไมทำร้ายใคร มีแต่ให้เขาเปลี่ยนแปลงตนเอง อรหันต์ไม่ทำวิบากกับใคร แต่คนทำวิบากกับอรหันต์จะมีวิบากทับทวีด้วย เหมือนพระพุทธเจ้าว่าเราไม่รับอาหารที่เขาส่งมาอาหารก็เป็นของเขา 

อาตมาไม่ทำตอบคุณเลย ก็มีภาวะที่จะทับทวีกลับไปเป็นกรรมของคุณเอง ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:53:26 )

581104

รายละเอียด

581104_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก พุทธกับพราหมณ์แท้จริงคือสิ่งเดียวกัน

พ่อครูว่า  วันนี้วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน 2558 แรม 8 ค่ำ  เดือน 11 ปีมะแม  ส่วนจะสิ้นปีแล้ว  เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็วันที่ 5  ปฐมอโศกเราก็จะจัดงานกัน  เป็นงานประจำปีงานมหาปวารณา จัดโดยอาศัยวันบวชอาตมาคือวันที่ 7 พฤศจิกายน เป็นตัวหลักในการที่จะจัดงาน  ก็จะใช้เวลาปวารณาของสมณะประมาณ 2 วัน  จากนั้นจะเป็นงานวันเกิดชุมชนปฐมอโศก  จะเป็นวันอาทิตย์กับวันที่ 7 เป็นตัวหลักในการจัดงาน  วันที่ 7 อยู่ใกล้กับวันอาทิตย์เท่าไหร่ก็จะเชื่อมโยง  ส่วนมากจะเป็นวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ คำนวณที่ใกล้กัน  ทั้งหมดเป็นสี่วัน วันที่ 5-8 ปีนี้ตกวันนี้ 

 ที่นี่พอดีอาตมาบวชครบมา 45 ปี  ทำงานศาสนามา ก็ขอขยายความตรงนี้นิดหน่อย  25 ปีก็เป็นการเริ่มต้นทำงานมา  เป็นการทำงานที่ยากมาก  เป็นการทวนและหักโค่นกับกระแสหลัก  ยิ่งกว่านั้นคืออาตมามาคนเดียว  ไม่มีใครมาร่วมเป็นลูกคู่  หนักมากเลย   และกระแสหลักคือประชาชนมีความเข้าใจความเห็นองค์รวมของความเป็นศาสนาพุทธ อย่างที่เขาเข้าใจกัน  เป็นความรู้องค์รวมของชาวไทย ชาวพุทธไทยทั้งหมด  เป็นความรู้ว่าศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นเอกภาพเช่นนี้

คือ เข้าใจว่าศาสนาพุทธนั้น จะต้องเป็นปฏิบัติธรรมระดับโลกุตระ  จะได้มรรคผลต้องไปปฏิบัติธรรมในป่า  ต้องไปนั่งหลับตา  ทำสมาธิก็คือต้องนั่งหลับตา ซึ่งทิฏฐิของอาตมาขัดกับเขา ทิฏฐิของอาตมาการทำสมาธินั้น มีอยู่ในชีวิตประจำวัน อยู่ในการคิด การพูด การกระทำ อาชีพ  เปิดทวารรับรู้  มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสกับรอบข้างสิ่งต่างๆ  แล้วทำจิตให้เป็นเอกคตา  แต่เขาเข้าใจว่าต้องไปทำสมาธิแบบนั่งหลับตา แม้แต่เรื่องศีล ศีลของพระพุทธเจ้ามีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งตอนนี้ เขาไม่มีกันแล้ว อาตมาทำอย่างเป็นจอมยุทธผู้ยากไร้ เป็นจอมยุทธกำพร้า ก็เลยยาก 

45 ปีนี้แบ่ง สามเป็นช่วงที่อาตมาได้ทำมาคือ 15 _15 _15 ตอนนี้ก็ออกผลพอได้ ก็เลยเรียบเรียงการบรรยายมาในงานนี้  นี่ยังเรียบเรียงยังไม่เสร็จ  แบบประเมินผลว่าทำงานมา 45 ปีไม่เสียหลาย  แต่จะยากสาหัสขนาดไหนก็ยังมีผลได้  เขาจะโค่นอาตมาให้ได้  แต่อาตมาก็พยายามรักษาตัวรอดเป็นยอดดี  จนมาถึงวันนี้ได้ ก็เลยเกิดมวลกลุ่ม สร้างหมู่กลุ่มที่มีปัญญา เป็นชาวอโศก ที่อาตมาตั้งชื่อว่าเป็นระบบบุญนิยม จนบัดนี้ก็ได้ทำงานมาสมกับที่อาตมาเหน็ดเหนื่อย พอเป็นไป ได้ขนาดนี้ก็วิเศษมากแล้ว มีผู้เข้าใจก็มาร่วมเป็นมวลชาวบุญนิยมสามารถปฏิบัติกับสังคมได้ 

อาตมาต้องใช้วิธีการว่า  ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาออกป่า  แต่เป็นศาสนาที่มีใจยินดีในป่า อาตมายินดีในป่า แต่ว่าไม่จำเป็นต้องออก ก็เลยสร้างป่าอยู่ในเมือง  ตั้งแต่มีชุมชนเริ่มต้นปฐมอโศก  ใครจะคิดว่าแต่ก่อนเป็นท้องนา  ท้องนาทั้งนั้นเลย ซื้อมาแต่แรก 40-50 ปีได้  ต้องมาถมดินไปอีกเป็นเมตร  ภูเขาแม่น้ำลำธารน้ำตก ปลูกต้นไม้ปลูกป่าเอาหินมาใส่ แม้แต่ที่สันติอโศก   ที่ดินที่นั่นนะแพง 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
อาตมาภูมิใจที่ให้คนมีศีลได้ อย่างจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นศีลที่บ่งถึงความเป็นศาสนาพุทธ
มหาศีล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงในพรหมชาลสูตร (เถรวาท) มีรายละเอียดดังที่ปรากฏในพรหมชาลสูตร (เถรวาท) ของพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค มีดังต่อไปนี้
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นาเป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัดเป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉัน โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะศาสตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมารทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้างทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโคทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะช่อฟ้า ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออก พระราชาภายในจักเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักเข้าประชิด พระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัย พระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัยเพราะเหตุนี้ หรือเหตุนี้
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉัน โภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราสดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทางดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาดจักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลอย่างนี้นักษัตรคราสจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลอย่างนี้ อุกกาบาตจักมีผลอย่างนี้ ดาวหางจักมีผลอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลอย่างนี้.
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนน คำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายต-ศาสตร์.
พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหมร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.
พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล [3]
สรุปแล้วก็คือสุดท้ายเป็นการปรุงยา ใส่ยา ผ่าตัดต่างๆนานาทั้งนั้น ก็เป็นหมอรักษาซึ่งไม่ได้แม้แต่เป็นหมอเป็นแพทย์มาบวชก็ต้องหยุดรักษา ชอบเป็นชีวิตของเขามันเสียงไปรักษาไม่ได้มาบวชเป็นพระเป็นเจ้าแล้วไปรักษาให้ไปถอยไม่ได้ต้องเลิกดังของเราหมอมาบวชแล้ว  ก็ดูแลพระสงฆ์ด้วยกันได้ แต่ไม่ใช่ไปเป็นอาชีพหมอรักษาคน แต่ก็ใช้วิชาความรู้ของตนเองได้ เป็นนักบวชเป็นหลัก

 มัชฌิมศีลคือสิ่งที่ขยายละเอียดขึ้น  ตั้งแต่การไม่ให้พรากพืชคาม มาไม่ให้ทำการละเล่นต่างๆก็ขยายจากศีล 5 ศีล 8 แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีแล้วจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล เขาละเมิดกันไปหมดแล้วด้วย  เขาก็เจอแต่วินัยเท่านั้น 227 ข้อ  ข้อมีศีลเท่าไหร่เขาก็บอกว่ามีศีล 227  แทนที่จะบอกว่าจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล

จุลศีลมี  26 มัชฌิมศีลมี 10  มหาศีลมี 7 ข้อ  แล้วพระนี้ไม่รู้เลยนะว่ามีศีล  แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง  ทุกวันนี้เราจะมาพูดเด็ดไปเลย  ไม่ประนีประนอม  อะไรผิดก็ว่าผิดอะไรถูกต่อว่าถูก  ถ้าพูดออกไปแล้วเขาไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย  คุณพูดแบบให้จบให้ผ่าไปเลย 

ภูมิพระโพธิสัตว์มากอบกู้ศาสนา
ส่วน ส่วนสมาธิ  เขาก็เป็นมิจฉาสมาธิ  ในพระไตรปิฎก  เขียนบอกไว้ว่าจะต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์  จริงจะเกิดเป็นมรรคองค์ที่ 8 สัมมาสมาธิ  ตั้งแต่มีสัมมาทิฏฐิ  ให้เกิดส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ ปุญญภาคิยา  ไปตามลำดับ จนหมดสาสวะไปสู่อนาสวะ  เกิดการเรียนรู้ศีลสมาธิปัญญา  ทำให้เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ  ให้เกิดสัมมาทิฏฐิแล้วมัคคังคะ  เกิดผลเป็นสัมมาสมาธิ  ให้มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสติ ธัมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา  ทำแล้วจะเกิดผลไปตามลำดับจากมรรค 7 องค์  จิตที่เป็นอธิจิต เป็นสมาธิก็จะเกิด  โชคดีที่มีสิ่งเหล่านี้ในพระไตรปิฎกเอามาอ้างอิงยืนยัน  ไม่เช่นนั้นอาตมาแหลกเป็นผงไปแล้ว

อาตมาอ่านพระไตรปิฎกเล่ม 9 นี้แล้ว  ในพระสูตร รวมไว้หมดแล้ว เหตุนิทานสมุทัยปัจจัย  เป็นลักษณะของศาสนาพุทธว่ายืนยันอย่างนี้นะ  อาตมาว่าปีหน้านี้จะนำ พระไตรปิฎกเล่ม 9 นี้มาเขียนหนังสืออีกเล่ม 1  จากเล่มนี้ที่เขียนมาปีนี้ที่ชื่อว่ายอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ ใช้มหานิทานสูตร เขียน  แล้วเล่มต่อไป ปีหน้า ก็จะใช้พระสูตร ทั้ง 13 สูตรในเล่ม 9 นี่แหละเขียนหนังสือที่ชื่อว่าเพชรพุทธ 13 กะรัต

 ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกช่วยไว้ก็จะแย่เลย  ทำงานมา 45 ปีก็ยิ่งชัดว่าไม่ได้เข้าใจตนเองผิด ว่าเป็นโพธิสัตว์ และจะมากอบกู้สิ่งที่ผิดเพี้ยนให้กลับคืนมาให้ได้  ให้พุทธแท้คืนมาเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น  พระพุทธเจ้าทั้งองค์ฉันไม่สามารถทำให้ศาสนาพราหมณ์มาเป็นพุทธได้หมด  ยิ่งยุคนี้ไม่มีทาง  พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตั้งชื่อ ศาสนาของท่านนะ  แต่มันมีคำเรียกว่าพุทธอยู่แล้ว  ก็เป็นชื่อศาสนาของพระองค์  แต่คำว่าพุทธคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน  คำว่าความรู้นี้มีเยอะเช่นโพธิ   คำว่าโพธิกับพุทธะเป็นอันเดียวกัน  เขาก็เรียกว่าศาสนาพุทธท่านไม่ได้ตั้งชื่อของท่านหรอก

 จริงแล้วศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์เป็นอันเดียวกัน  เมื่อใดมันเพี้ยนเป็นเทวนิยมก็เป็นพราหมณ์  ต่อไปพุทธก็เพี้ยนไปก็จะเป็นพราหมณ์ไปหมด  ส่วนศาสนานี้ก็กลับมาเป็นศาสนาโพธิ์ไง  เป็นศาสนาของอเทวนิยม  ก็สะดุดตั้งแต่เห็นพระไตรปิฎก เขียนหนังสือทางเอกก็เลยเอาคำว่าพราหมณ์กับพุทธมาเขียน  เมื่อพูดมันเพี้ยนไป  ก็เลยกลายเป็นพราหมณ์  พระพุทธเจ้าเรียกว่าพราหมณ์มหาศาล มีศักดินาเช่นทุกวันนี้  ทุกวันนี้ก็เป็นพระมหาศาล ได้เขียนไว้ในหนังสือทางเอกไว้  เขียนไว้นานแล้วอาจมีความผิดพลาดเรื่องไวยากรณ์  ก็ยอมรับว่าไม่ได้เป็นผู้รู้ผู้ศึกษานักรู้  ยืนยันว่าไม่ได้แปลว่าผิด  อาจผิดเพี้ยนเรื่องไวยากรณ์ภาษาตามระบบที่เขาเรียนมา  แต่อาตมาเอาเนื้อหาธรรมะที่มีภูมิมาบรรยาย  ก็ใช้ความจริง แปลตามจริง  ท่านว่าผิดก็รับผิด  ท่านถูกก็ตัดสิน  อาตมาไม่ได้เป็นผู้ผิด แต่เป็นเพียงผู้แพ้ ไม่ได้เล่นลิ้นนะ แล้วก็อย่างไรชาตินี้ต้องมาเขียนเพลงผู้แพ้ เขียน ตั้งแต่อายุ 20 ปี แต่อาตมาอุตริ แต่งเพลงตั้งแต่อายุ 14 ปี  ก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพอีก  ตอนอายุ 15 ปี เป็นคนบ้านนอก

 ได้มาทำงานศาสนา 45 ปี  ตั้งแต่อยู่วัดมหาธาตุ บอกเลยตั้งแต่ต้น ว่าจะบรรยายให้ตายภายใน 5 วันก็ได้  เขาต้องเอาตายแน่  ยุคพระพุทธเจ้าลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ตายไปเยอะ  60 องค์แรกก็ไปตายเยอะ  พระโมคคัลลานะ ที่มีฤทธิ์เก่งมากแค่ไหน ก็ยังตายเพราะศัตรูศาสนามาทำร้าย  สมัยก่อนฆ่ากันจริงสมัยนี้มันก็ยิงกันได้ฆ่ากันได้ ก็เลยถึงต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการทำงานมาถึงวันนี้ก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้พอสมควร ก็ไม่มีอะไรแรงร้ายมากนัก มีระเบิดครั้งหนึ่งที่หน้าสันติอโศกไปยังรักษาอนุสรณ์ไว้ นอกนั้นก็ไม่มีใครมาจากจริง แต่มีคนมายิงแต่ยิงไม่ ออก 2 ครั้ง ก็เลยตกใจหนีไปเลย  เขาก็รู้อยู่ว่านี่คือวัด  ก็เป็นไปตามบารมีเป็นตามกุศล

 ขนาดพระโมคคัลลานะก็ยังมีคนฆ่าตาย เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย คานธีเป็นโพธิสัตว์ก็ถูกยิงตาย ก็ไม่มีปัญหา  แล้ววันที่ 18 กุมภาพันธ์ 57 เขาก็ว่าไม่กลัวหรือที่อยู่บนเวที อาตมาก็ไม่มีอะไร ก็ไม่ได้เกิดความไม่ปกติแต่อย่างใด  อาตมา เคยเล่นไสยศาสตร์มา ก็เข้าใจว่าจิตมีพลังสามารถทำให้เกิดโรคเกิดภัยแล้วทำให้เกิด การหายจากโรคภัยได้อย่างน่าอัศจรรย์  มันเป็นไปตามธรรม ที่จะต้องมารู้เรื่องจิต ในทางไสยศาสตร์บ้าง เป็นพระโพธิสัตว์ต้องเกิดมารู้ทุกอย่าง จะเกิดมาเป็นผู้บริหาร หรือคนเล็กที่สุด ตามฐานะทางโลกก็ต้องเกิดมาศึกษา 

 ก็เลยมีของเก่ามาทำงานศาสนา  ก็ทำให้เข้าใจ สิ่งเหล่านี้ ว่ามาตามบารมี  บอกตรงๆว่า ต้นเองไม่เคยเชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์  รู้แต่ว่า เป็นโพธิสัตว์ตอนแรก จนกระทั่งมาทำงานก็เลยมั่นใจว่าใช่  มีสิ่งรองรับมาอยู่ด้วย ถ้าไม่มีสิ่งรองรับเราก็ไม่ใช่  ไม่สงสัยไม่กลัว ถ้าเอาสัจจะธรรมะสอนพวกคุณ ถ้าอาตมา ไม่จริงสักวันหนึ่งคุณก็จะรู้ความจริง ว่าจะมาเป็นความหลง  แต่นั้นมา 15 ปีแล้ว  มีเหตุปัจจัยรองรับ  ยิ่งมีพระไตรปิฎก มารองรับด้วย ก็ยิ่งมั่นใจ  แต่อาตมาไม่ใช่นักศึกษา ไม่มีสักใบปริญญา  มันก็เป็นไปได้ตามที่ควร  ถ้ารู้ว่าเป็นโพธิสัตว์ บรรยายก็เอาของเก่ามาสอน  ไม่เอาของเก่าแล้วจะเอามาจากไหน ไม่มีสำนักอื่นเขาสอนแบบนี้  ของเรามันทวนกระแสจากเขา   แล้วก็พอดีมาตรงกับพระไตรปิฎก  ก็เลยมีเครื่องรองรับว่าใช่  แล้วพวกคุณก็มาปฏิบัติได้  ถ้าไม่ใช่ พวกคุณจะมาล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขสารพัดต่างๆนานา กันแล้ว

 บางพวกก็พาสะกดจิตนั่งหลับตา  หรือแบบสว่าง ตัวสำคัญก็คือธรรมกาย สะกดจิตแบบสว่าง ก็สายธรรมกาย  ส่วนสายอาจารย์มั่นก็เป็นสะกดจิตแบบดับหลับตา  ส่วนท่านพุทธทาส ก็เอาแต่ปัญญา  ส่วนท่านประยุทธ์เอาแต่ตำรา  ไม่ได้อธิบายสมาธิแบบอาตมา 

ทำงานมา 45 ปีแล้วก็เห็นว่ามีผล  ที่จริงมั่นใจตั้งนานแล้วแต่แรก แต่ไม่เคยหลงตัว ว่าเราเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้นะ  มีความรู้ทางศาสนามาคนเดียว  ไม่มีใครช่วยหรอก  เราต้องช่วยศาสนาให้ได้จริงๆ  จนรู้มาเล่นด้วย ว่าเราเป็นผู้ต่อศาสนานี้ให้ครบห้าพันปี  ไม่ได้รู้รวดเร็วอย่างพระพุทธเจ้า ในวันเพ็ญเดือน 6 ท่านระลึกรู้ ว่าเป็นพระพุทธเจ้า  ก็รู้เป็นรอบแรก  แล้วก็มาระลึกทบทวนอีก 49 วัน  ดึงของเก่าขึ้นมาอีก  อาตมาดึงขึ้นมา 15 ปีก็ได้เท่านี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ทยอยออกมาเมื่อมีเหตุปัจจัยก็จะสอนสาวกอย่างนั้นอย่างนี้  มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  อาตมาก็ยากกว่า มาถึง 45 ปีก็ทยอยออกมาเล่นด้วย

อาตมา ตั้งใจ ว่าจะอยู่ที่ 151 ปี เพื่อเปิดเผยต่อ  แล้วเราก็ไม่เก่ง ในนิรุกติปฏิภาณอรรถะธรรมะ  ที่จะเรียบเรียงอธิบาย ไม่สมบูรณ์แบบ ชัดเจนเข้าใจได้ รู้กว้างขวาง ยังไม่เก่ง แต่ก็ไม่ท้อถอย มันต้องฝึกฝนศึกษา  ศึกษาเพื่อที่จะ ไปสู่ความเป็นพระพุทธเจ้า  เป็นสิ่งที่ดีให้คนได้รับสิ่งประเสริฐ ในอาริยธรรม 

คำว่าอริยะ คำว่า อารยะ และมีคำกลางๆคืออาริยะ ก็เลยหยิบคำว่าอาริยะมาใช้ เพราะคำว่าอารยะเขา เอาไปใช้กว้างมากในเรื่องของโลก  คือ civilization  ความเจริญรุ่งเรืองของโลก เขากำหนดเช่นนี้  แต่พระอริยะเขาก็กำหนดอย่าง พิมพ์ไปอีกอย่างเป็นพวกจิตนิยม ส่วนอารยะก็เป็นพวกวัตถุนิยม   ก็เลยใช้สองคำนี้ไปกับเขาไม่ได้  มันเอียงโต่งสองฝั่งอย่างนี้ตลอดกาลและนาน คำว่าอาริยะนี้มีในคำว่าพระศรีอาริยเมตตรัย ก็เลยไปยืนยันได้ ว่ามีคำนี้นะ คำว่าศรีอาริย์  ก็ค่อยยังชั่ว ก็เลยพอทำเนา

 มาถึงตรงนี้ก็ขออ่าน sms

 คุณเอื้อมพร คำนวณศิลป์ จากเดนมาร์ค ส่งมาทางไลน์บุญนิยมทีวี
 กราบนมัสการค่ะ ใกล้จะถึงงาน 45 ปีพ่อครู ดิฉันจึงขอรายงานผลการทำปฏิบัติบูชา สั้นๆค่ะ ดิฉันฟังธรรมพ่อครูทุกวัน ผ่านทาง You Tube ไม่สามารถดูบุญนิยมทีวีได้ค่ะ เพราะอยู่ไกลถึง เดนมาร์ค กินเจมาได้ 2 ปีแล้วค่ะ พยายามตรวจจิตตนเองเสมอ แต่ก็พลั้งเผลอบ้าง  รู้สึกว่าอัตตา กับตัวโกรธ เป็นของคู่กัน พยายามฆ่ากิเลส แต่ไม่ทราบว่าทำได้แค่กดข่ม-วิขัมปณปหาน หรือว่าทำได้เลื่อนขั้นเป็น ตทังคปหานบ้างแล้ว ไม่ทราบวิธีตรวจสอบค่ะ 
เพิ่งจะดู/ฟัง พ่อครูเทศน์ ธรรมาธรรมะสงครามจบ ชอบใจที่พ่อครูพูดว่า ของสองอย่าง ไม่มีอะไรที่เหมือนกันทีเดียว แม้แต่ฝาแฝดก็ไม่เหมือนกัน 100% 
ฟังพ่อครูเทศน์ เกี่ยวกับกาย หลายครั้งมาก แต่ทุกครั้งก็ได้แง่คิดมุมมองใหม่เสมอ
กราบขอบพระคุณค่ะ - 

sms 3 November 2015
0817541xxx ต้องออกกฎหมาย ใครซื้อ ขายเสียง ต้องผิดทั้งคู่ ผู้ซื้อฟาล์วและชดใช้ ค่าเลือกตั้งซ่อมและติดคุกด้วย ผู้ขายติดคุก แต่ทำไมไม่ทำ เพราะอะไร แล้วจะได้คนดีได้อย่างไร แก้ซื้อเสียงได้ คือแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ถ้าโกงเลือกตั้งได้ พอเข้าไป ก็โกงได้ทุกอย่าง
ตอบ...ใช่แล้วทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ซื้อเสียงแต่ซื้อคนซื้อเจ้าหน้าที่ไปหมดแล้ว  ถ้าแก้ทุจริตนี้ได้ก็แก้ได้หมด 

0897146xxx พระศรีอาริยะเมตรไตยคือใครในพุทธประวัติ ครับ
0822712xxx พอหมดยุคพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็เกิดกลียุคทีนึงทุกครั้งใช่มั้ยครับ
 ตอบ… ใช่  ศาสนาพุทธจะเจริญถึงขีดสุดแล้วก็เสื่อมลง กว่าจะถึงกลียุคก็เสื่อมหนัก  พูดก็บอกว่าเป็นไฟประลัยกัลป์  สวนทางคริสต์ก็บอกว่าเป็นน้ำท่วมโลก เขาก็สร้างเรือโนอาห์  อาตมาก็สร้างทำนาวาบุญนิยมไทยลงเรือนาวาบุญนิยมเขาก็ไปรอด  ของเรานาวาบุญนิยมทางโน้นจะเรียกโนอาห์ก็แล้วแต่

0893867xxx นมก.พ่อครูฯน่าจะมีผ้าชุบสมุนไพรนำมาพันคอให้สมุนไพรซึมระเหยเข้าไปรักษาลำคอได้!หมอปฐมอโศก น่าจะช่วยท่านได้! 

หมู่กลุ่มสาธารณโภคีจะช่วยสืบสานความเป็นศาสนาเมื่อพ่อครูไม่อยู่
0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูอธิบายยุคพระศีรอาริยฯที่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียรให้จิตบริสุทธิ์ในตนเท่านั้นที่จะได้พบพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปในอนาคตกาล!

0893867xxx การปฏิบัติตนเพื่อตายแล้วไม่เกิดต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นอนาคามีโดยละสังโยชน์ 5 คือละ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา! จนบรรลุเจโตปัญวิมุติได้! ที่พ่อครูบอก ยากจริงๆเฮ้อ!

 ตอบ...  เข้าใจถูกแล้ว  อนาคามีนี้ ไม่มาเกิดได้  ถ้าไม่มีวิบากมากมาย  ปรินิพพานได้  แต่จะนานช้ามาก บอกไม่ได้ว่านานขนาดไหน  แต่ไม่มาเกิดอีกได้  ก็มีทุกข์ตามประสา  ตายไปแล้วก็มีทุกข์ตามวิบาก แม้จะเหลือ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็ทุกข์  เป็นสิ่งที่ยังล้างไม่สนิท มาก่อพิษกับเราอยู่ จะบอกว่านรกสวรรค์ไม่มีจริงไม่ได้หรอกสำหรับผู้มีอาสวะอนุสัย แต่คนหมดแล้วนรกสวรรค์ก็หมดไม่มี ถ้าคุณไม่หมดก็ยังต้องมีต่อไป  สรุปแล้วอนาคามีจะเบา แต่ก็ต้องมีวิบาก ทุกข์หนักกว่าตอนเป็นๆ  สายไปแล้วอยู่ตัวคนเดียว  ไม่ได้พบกับใครหรอก  ที่พบนั้นเป็นของปลอมหมดเหมือนคุณฝันไปเจอคนนั้นคนนี้  ตายไปแล้วจะทุกข์ทรมาน กว่าความจริงในปัจจุบันร้อยเท่า  ระยะยาวนานมาก  จนกว่าจะมีวิบากมาตัดรอน

 แล้วในพุทธประวัติ  คำว่าศรีอริยเมตไตรยคือชื่อตำแหน่ง  เหมือนกับพระทุกวันนี้ที่มีตำแหน่งสมเด็จ  ถ้าองค์นี้ตายไปก็มีองค์อื่นมาแทนที่ตำแหน่งนี้  ศรีอริยเมตไตรยคือพระพุทธเจ้า องค์ต่อไป แปลว่าผู้มีเมตตาสูงสุด  จะบอกว่าเป็นใครก็คือพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจากองค์สมณะโคดม  จะเป็นใครถ้าทางเถรวาทก็เดาพระอชิตตะ ทางมหายานก็เดาพระกัสสปะ  ก็ว่ากันไป ตามรสนิยม  อาตมาไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่พอหมดศาสนาพุทธของพระสมณโคดม ที่มีอายุศาสนาสั้นที่สุดคือห้าพันปี พระพุทธเจ้าองค์อื่นอายุศาสนายาวกว่ามาก เป็นล้านปีก็มี และช่วยรื้อขนสัตว์ได้น้อยที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าท่านไม่เก่ง เพราะคนบรรลุธรรมจะหายาก ของหายากนั้นจะเป็นสิ่งที่มีค่าสูงมาก ไม่อยากพูดให้พวกเราหลงว่า พวกเราเป็นอาริยะที่มีค่าสูงมากตามหลักเศรษฐศาสตร์ เพราะเป็นอุปสงค์ที่สูงมากในสังคม  อาตมาก็เลยภูมิใจดีใจมาก  พวกเรามาเป็นอาริยะได้ 

 ก็อยากจะขยายความไปถึงส. ศิวรักษ์  และหลายคนที่ฝากมาเช่นอาจารย์เจิมศักดิ์ก็ฝากมา  เขากลัวว่าอาตมาตายไปแล้ว ศาสนาที่อาตมาทำไว้จะเสื่อมสลายไป  เหมือนท่านพุทธทาส  อาตมาตอบไปว่าไม่ใช่หรอก

 ทำไมพระพุทธเจ้าองค์เดียวสร้างศาสนาได้แล้วสืบทอดมาได้จนทุกวันนี้  อาตมามาก็ทำแบบนั้นนัยเดียวกัน ท่านพุทธทาสท่านไม่ได้สร้างหมู่กลุ่ม ท่านประยุทธ์ท่านก็ได้แต่สอนแต่ไม่ได้สร้างหมู่กลุ่ม  ก็ต้องขอบคุณท่านที่ได้สืบทอดสิ่งที่ดีๆ เนื้อหาพุทธมาให้เราใช้ต่อ ส่วนอาตมา ได้สร้างหมู่กลุ่มเป็นหมู่บ้านเป็นชุมชนจนมีสาธารณโภคี  ยืนยันได้ว่า เป็นสาธารณโภคีถึงขั้นฆราวาสในยุคนี้  ยุคพระพุทธเจ้าท่านมีสาธารณโภคีในฆราวาสไม่ได้  ก็เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสมัยทาส  แต่ยุคนี้ทำได้ คนเคารพอิสระเสรีภาพ  สาธารณโภคีเป็นคอมมูนที่ยิ่งใหญ่มากเป็นปู่เป็นทวดของคอมมิวนิสต์ 

 ประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์สมบัติส่วนกลางเป็นของประเทศ  สมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมบัติทุกอย่างเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน  แต่ก็ต้องแบ่งแจกให้ประชาชนใช้  ซึ่งพระเจ้าแผ่นดิน ที่มีทศพิธราชธรรม ทำให้ประชาชนมีความอยู่เย็นเป็นสุข  ส่วนพระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนที่ไม่มีทศพิธราชธรรม เอาแต่เป็นของตัวของตนก็แล้วไป  แต่ก็เป็นสมบัติของส่วนกลาง แต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ถือสิทธิ์ให้คนเดียว  แต่ก็มีพระเจ้าแผ่นดินบางองค์ที่มีทศพิธราชธรรม  และท่านมีสิทธิ์ก็ไม่เห็นจะได้ เพราะเป็นสังคมยุคนั้นยุคพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์  คนไม่รู้สิทธิมนุษยชน เป็นยิ่งกว่าควาย เป็นทาส ทำอะไรไม่ได้  พระพุทธเจ้าก็ได้แค่ทำให้คนที่มาอยู่ในอาณัติของท่าน 

 พระพุทธเจ้านี้มีรัฐอิสระ  โดยมีธรรมนูญมีธรรมวินัยของท่าน มีศีลเป็นธรรมนูญ  ให้มาเข้ารีตมาใช้ธรรมวินัยใช้กฎหมายใช้ธรรมนูญของท่าน  จะไปที่ไหนก็มีธรรมนูญของท่านไป  พระเจ้าแผ่นดินแต่ละที่ที่ท่านไปก็ยอมยกให้คุณธรรมของพระพุทธเจ้า  พระเจ้าแผ่นดินแผ่นใหญ่อย่างแคว้นมคธ กับแคว้นโกศล  ที่ใหญ่ที่สุดก็ยังยอมให้พระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าแม้เป็นกษัตริย์มาก่อนแต่ก็เป็นแคว้นเล็กกว่า  แต่พระมหากษัตริย์แคว้นใหญ่ก็ยอมให้คนของท่านมาเข้ารีตพระพุทธเจ้า

 พระเจ้าอชาตศัตรู มาไขประเด็นในสูตรที่ 2 พระพุทธเจ้าถามว่า ถ้าคนมาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า เป็นคนของท่าน ท่านจะเอาคนของท่านคืนไหม  ราชศัตรูก็บอกว่าอยู่กับพระพุทธเจ้าเลย นี่คือประชาธิปไตยแท้ ที่พระพุทธเจ้าธรรมะก่อน  ไม่ถือสาคือสี จะเป็นลูกเจ้าลูกไหนมาก่อน เมื่อบวชแล้วก็เท่ากัน  ปลดแอกวรรณะปลดแอกทาส  เป็นอิสระเสรีภาพ อิสระเสรีภาพหมด  เอาคุณงามความดีเป็นหลัก  ศีล 5 เคารพศีล 8 ศีล 8 เคารพศีล 10 ศีล  10 ต้องเคารพจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

 บวชก่อน คนมาบวชทีหลังต้องเคารพ  แต่ผู้มาบวชก่อนจะเคารพผู้มาบวชทีหลังด้วยคุณธรรมก็เป็นเรื่องส่วนตัวได้  ต้องรู้สมมติฐานจากสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ  ถ้าผู้มาบวชก่อนไม่ได้เป็นอริยะ จะเบ่งขี้แตกของพระอริยะก็เรื่องของเขา  จะบาปจะเวรอย่างไรก็เรื่องของเขา

 ยุคนี้ทำได้ถึงสาธารณโภคี  ชุมชนปฐมอโศกนี้เป็นชุมชนสาธารณโภคีแรกเริ่ม  ตอนแรกก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นสาธารณโภคีนะ  แต่รู้ว่าต้องมาใช้มากินส่วนกลางร่วมกัน  แต่มาเจอหลักฐานในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7  มาธิบายคนก็ยังเข้าใจยาก พวกศึกษาแต่บัญญัติก็ว่า  สาธารณโภคีมีแต่ในพระสงฆ์  แล้วพระยุคนี้ ก็ทำไม่ได้สะสมแต่เงิน  แต่เราทำได้ มันสุดยอดวิธีการอยู่ร่วมกันในสังคม  เป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องของการบริหาร  เป็นรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ที่สุดยอด  ความซับซ้อนลึกซึ้งมหาศาล 

 ทำไมพวกเรามาจน  แต่ทำไมพวกเรารวย คนงงมากไม่เชื่อว่าพวกเรามาจน  เรามีมากเราก็ไม่สะสม มีแต่จะสะพัดออกไปสู่สังคม  โลกีย์มีมากยิ่งเอาไปออกดอกออกผล กอบโกยเข้าหาตนเองอีก แต่เราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ได้อดอยาก  ออกจะร่ำรวยด้วยซ้ำไป  สักวันจะดีดหน้าแข้ง ทอดทิ้งขว้างไปหมด ไม่เจ็บ  แล้วบอกว่าไม่ใช่ของเราไม่ใช่เป็นเราอีก  แม้สาธารณโภคี ก็ต้องมีนิสัยดูแลรักษา ใช้สอยอย่างประหยัดไม่มีประโยชน์ที่ดี พัฒนาบริหารทรัพย์สินส่วนกลาง  เรามีนิตินัย ของทุกอย่างส่วนกลางเป็นนิติในส่วนกลาง  ไม่มีใครละเมิดแบ่งแยกกลับไปได้ 

 ในอนาคตอสังหาริมทรัพย์คือที่ดิน  อโศกจะเป็น ราชาแห่งที่ดินในอนาคต  มันเป็นเรื่องจริง ทุกวันนี้เราก็พยายามจะขายบ้าง มันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แต่ที่ดินทรัพย์สินต่างๆเครื่องใช้ไม้สอย มีมากจนคนงง อย่างที่บ้านราชฯหมู่บ้านข้างเคียงก็บอกว่า ทำไมมาจนแต่มีเครื่องไม้เครื่องมือใหญ่โตมากมาย เช่น แบคโฮล 800 ที่มีสองตัวในเมืองไทย  ตัวหนึ่งก็ไปอยู่ในเหมืองถ่านหิน  อีกตัวหนึ่งก็คือมาอยู่ที่บ้านราชฯ  ในเรื่องสื่อสารมวลชนก็มีกับเขาเพราะกระทบไหล่เขาได้  มีที่ไหนหมู่บ้านที่มีสถานีโทรทัศน์  ทั้งที่บางอำเภอบางจังหวัดยังไม่มีเลย  อาจมีสถานีรอง  แต่เราให้ที่บ้านราชเป็นสถานีเอกเลย  ที่สันติอโศกเป็นสถานีรอง  มันก็อยู่ที่คนและที่เครื่องมือด้วย  อื่นก็มีมากมายสำหรับกองกลาง 

 ชุมชนอโศกทุกชุมชนไม่เป็นหนี้  มีแต่เงินหนุน ซึ่งคือเงินที่เกื้อมาจากกองบุญส่วนกลางชาวอโศก มีเงินให้เกื้อได้  ใช้เสร็จก็มาคืน ยังไม่มีดอกเบี้ย  เงินที่เอามาก็ไม่เรียกเงินกู้ เรียกว่าเงินเกื้อ  ช่วยกันอย่างนี้แหละ  ก็ไม่ได้ทุจริตไม่ได้ชักดาบ  แต่ไม่ชักดาบแต่ไม่มีให้ก็มี  จนนานแล้วตายไปก็แทงบัญชีศูนย์  จะไปเอาจากคนตายก็ไม่ได้  ก็เป็นธรรมดาที่ธนาคารต้องมีหนี้เน่าหนี้เสีย 

 1 ไม่เป็นหนี้  2 พึ่งตนเองรอด  3 ทำให้เกินกินเกินใช้  เช่นการกสิกรรมทำผลผลิตให้มากให้เกิดให้เหลือ  ดูอย่างกล้วยที่โต๊ะนี้ก็มาจากสวนอุทยานที่บ้านราชฯ คุณธงชนะปลูกกล้วยไว้เยอะเลย  เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอด  ในอนาคตจะเห็นมากขึ้น  ต่อไปถ้าเราแข็งแรงเป็นผลที่แน่น  สร้างข้าวได้เป็นแสนเป็นล้านตัน ผลิตข้าวได้เป็นแสนเป็นล้านตัน  ส่งให้รัฐ หรือส่งขายต่างประเทศ  จะขายให้ถูกแล้วขายให้ในที่ที่เหมาะประเทศไหนที่เหมาะที่ควร ประเทศไหนไม่ควรก็พิจารณา  ประเทศไหนที่บ้าที่เบ่งก็ไม่ให้ ประเทศไหนน่าสงสารก็จะให้ จะเป็นมหาอำนาจจริงเผื่อแผ่ช่วยเหลือคนอื่น ช่วยเหลือผู้ด้อยกว่า อันนี้แหละจะมาถึง อยากจะอยู่ให้ถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปี  ให้สร้างคนให้มีคุณสมบัติมีคุณภาพ  มีปริมาณที่คนเห็นได้

 อโศกแล้วยังเล็กมาก  ไม่มีเศรษฐีที่ไหนมาซัพพอร์ตพวกเรา  เราจะสร้างศาสนาด้วยความอุตสาหะวิริยะ จะไม่สร้างศาสนาด้วยความรวย  ในหลวงบอกว่า ให้อยู่แบบคนจน  คนรวยที่ไม่แจกคือคนที่จนจริง แต่คนจนที่แจกคือคนรวยแท้  วอร์เรนบัฟเฟตต์บริจาคถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินที่ตนมี แต่ของบิลเกตส์นี้ไม่เคยบริจาคเท่าไหร่ 

พระพุทธเจ้าท่านออกแบบมาสมบูรณ์แล้วเราก็ใช้ได้เลยไม่ต้องออกแบบ  แล้วประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธของโลก  ทำไมศาสนาอื่นมาแย่งคนจากสนาพุทธในเมืองไทยไม่ได้  ไม่ว่าคริสต์หรืออิสลามก็ไปมาเผยแพร่ในเมืองไทยมาหาบริวาร แต่ศาสนาพุทธไม่ค่อยหาบริวาร 

พระเครื่องที่เขาขายกันเป็นล้านๆบาทนั้น เก๊ทุกองค์ ถ้าจริงก็สร้างพระเครื่องแจกประชาชนทุกคน ให้ไปรวยทั้งหมดประเทศ พระมหานิยม ถ้าอยู่ยงคงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้าก็สร้างให้ทหารไปสู้ฆ่าศึกเลย อาตมาเคยเล่นพลังจิตมาก่อน เหนียวจริง แต่ถ้าจิตตกเมื่อไหร่พลาดถึงตายได้ง่ายๆเลย ถ้าขลังจริงอยู่ยงคงกระพันจริง ก่อสร้างให้ทหารไปรบเลย  ยิ่งพระมหานิยมทำให้คนรวยได้ รัฐบาลก็ทำแจกคนจนทุกคนเลยจะได้ไม่มีคนจน

 เมืองไทยคือชมพูทวีป ดินแดนที่มีมนุษย์ที่มีลักษณะของชมพูทวีปคือมนุษย์ที่มีคุณธรรมเป็นมนุษย์ชมพูทวีป เมืองไทยจะเป็นแดนชมพูทวีป...จบ แล้วฉันจะเสียเส้นทาง


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:54:18 )

581104

รายละเอียด

581104_พ่อครูให้โอวาทสัมมนาการศึกษาบุญนิยม งานมหาปวารณา ครั้งที่ 33

การประชุมสัมมนาการศึกษาบุญนิยม เรื่อง การจัดกระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำงาน (ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้) 

อ.จำรัส ช่วงชิง สรุปท้ายการสัมมนาว่า….สัมมนามาสองวันพบว่า... คุรุเข้าใจกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการกันเป็นส่วนใหญ่ …
เพียงแต่ว่า จากเดิมเราสอนแยกส่วน คือคุรุศีลเด่น คุรุเป็นงาน คุรุชาญวิชา ก็อยากให้เด็กมีความเด่นในทุกด้าน ก็เลยสอนจนเด็กอาจหนักมากเป็นสามเท่าได้ แต่เท่าที่มาบูรณาการเข้าไปกับการทำงานของเด็กแล้วก็จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างไม่หนักเหนื่อย และมีความเพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วย

ฝากไว้ว่า 1​ ฐานกิจกรรมไม่ต้องเครียด จะบูรณาการให้ครบทุกรายวิชา แต่ให้ดูความเหมาะสมเป็นหลัก เพียงดึงจุดเน้นให้แต่ละกิจกรรมแต่ละงานจะบูรณาการสาระไหนเข้าไป แต่ฝากไว้ว่ามีคณิตฯ วิทย์ฯ ภาษาอังกฤษที่อาจต้องใช้สอนเสริมให้บ้างเพราะมีรายละเอียดที่ต้องให้เวลาสอน  แต่วิชาอื่นอื่นนั้นสามารถบูรณาการเข้าไปในการทำงานได้เลย  สังคมศาสนาวัฒนธรรม  สุขศึกษา สามารถเรียนแบบบูรณาการได้หมด เราต้องดึงเอาจุดเน้นออกมาใช้ 

 การประเมินผลนั้น ให้เอาจากผลที่นักเรียนได้ เขาจะตอบมาเองว่าเขาได้อะไร ส่วนการประเมินแบบใบประเมินนั้นไม่ต้องเน้นมากเพราะว่า เด็กก็ตอบส่งๆมาเท่านั้น แต่ถ้าให้เด็กได้เปิดใจพูดออกมาจะได้ความจริงมากกว่า 

เราไม่จำเป็นต้องเรียนให้ได้ครบทุกวัตถุประสงค์สาระวิชา แต่เราก็ทำไปเท่าที่จำเป็นและมีความจำเป็น

 ชิ้นงาน สังเกต สอบถาม สัมภาษณ์ เปิดใจเด็ก นี่คือการประเมินผลที่ได้หลากหลายวิธี

เราได้วิทยากรมือดีมา  เขื่อนจันทร์ จำรัสช่วงชิง 

เราได้พิธีกรมือดีมา  เดิมได้เป็นผู้บริหารโรงเรียนขนาดใหญ่ แต่ต่อมา ทุกคนลองให้มาอยู่ที่โรงเรียนกุดเสถียร ใช้วิธีการบูรณาการบ้านวัดโรงเรียน ทำให้เกิดผลงานโรงเรียนบ้านกุดชุม กุดเสถียร พัฒนาขึ้น ต่อมามีผู้เห็นผลงาน มาดูงานกัน มีมาจากหลากหลายในงาน พอได้เป็นพิธีกรในเวทีความคิดถึงประเทศไทย วิจัยเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน มีชาวต่างประเทศสนใจมาศึกษาด้วย อย่างไรก็จะตอบโจทย์ที่พ่อท่าน มอบให้ไว้ ทำอย่างไรให้ ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ไปด้วยกัน 

การสัมมนาเป็นไปได้อย่างน่าตื่นเต้นดีใจ คุณครูให้ความร่วมมือมาก ทำอะไรก็ทำหมด  ให้เลิกก็ยังไม่อยากเลิกเลย 

เป็นการพัฒนาการ ก้าวหน้าในเรื่องของ ที่ทุกคนเอาใจใส่ พัฒนาต่อยอดพยายามทำ เจริญพัฒนายิ่งยิ่งขึ้น เป็นที่น่าพอใจ อาตมาไม่ต้องกระตุ้นเร่งรัดพัฒนาอะไร อาตมาก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยมาก แต่ถ้าไปร่วมกันทำสิ่งไม่ดี อาตมาก็จะต้องหยุด พวกเรา

คนเกิดมาเป็นคน เพื่อศึกษา สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีการศึกษา มันเกิดมาก็มีอยู่มีกินไปตามประสาสัตว์โลก คนที่เกิดมาแล้ว เอาใจใส่ แต่การทำมาหากิน  คนนี้แย่กว่าสัตว์ที่ ถูกกิเลสทับถมตนเองเพิ่มขึ้น ก็เลยแย่กว่าสัตว์เดรัจฉานมาก

ถ้าคนไม่ศึกษาในเรื่องของสัจธรรม ให้ได้ความรู้ ในเรื่องของปรมัตถ์ ก็ยิ่งแย่  ยุคนี้คนมุมมองเรื่องไร้สาระ โฆษณากันจนถึงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตหนักหนาสาหัส แต่ชาวอโศกทำได้ อยากเห็นก็ ให้คนต่างประเทศนคนที่ไหนมาสัมผัส ก็จะเห็นได้ว่าต่างกันจริงๆ จนคิดว่าประเทศเดียวกันรึเปล่า วันนี้คนเข้าหาว่า เราเป็นพวกที่สุดโต่ง เป็นมนุษย์ประหลาด ไม่เหมือนกับสังคมส่วนใหญ่เขา เพราะสังคมส่วนใหญ่เป็นโลกียะ ที่ออกมาสาหัส  พวกเรามาได้แค่นี้ เราว่าเราไปได้ไม่เท่าไหร่  จากทางแยกของโลกุตระ เราไปทางโลกุตระได้นิดเดียว แต่เขาไปทางโลกีย์ไปไกลแล้ว

คนเราเกิดมาต้องอบรมฝึกฝนให้ได้โลกุตระรรม ไม่เช่นนั้นก็วนเวียนไปอีกนานนับชาติ ได้แค่รูปที่ ก็เป็นสมบัติผลัดกันชม ๆ แย่งชิงกันไป  พวกเรานี่ไม่ไปแย่งชิงกับเขา พวกเราเป็นสังคมไม่แก่งแย่งกับเขา ทำมาหากินเอง พึ่งตนเอง ช่วยคนอื่นตนเอง และช่วยคนอื่น

ในหลวงตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือ   มันทวนกระแสกับในโลก ที่เข้าไปแต่ ดูร่ำรวย แต่ในหลวง ผู้บริหารประเทศทำไมกล่าวเช่นนี้ มีรัฐมนตรีเกาหลีมี รัฐมนตรีของประเทศเกาหลี มาทำในหลวง การบริหารประเทศ เราก็ตรัสกับเขาเช่นนี้

ทางสังคมไม่สามารถเจริญอริยะธรรม civilization ไทยเจริญแบบนั้น เขาไม่สามารถเข้าใจว่า มีความเจริญโลกุตระด้วย ที่ไม่ไปแย่งชิงกับเค้า กลายเป็นเอกราช เป็นอิสระเสรี

เป็นความสุขระดับของบริษัท 4 มีในศาสนาพุทธเท่านั้น โลกีย์ไม่สามารถทำให้ถาวรได้ สัตว์เข้าใจได้แต่ทำไม่ถึงกันแก้ยังไม่ได้ ที่พวกเราศึกษา เป็นการเปลี่ยนที่จิตจริงๆ ได้อย่างถาวร ก็จะมีผู้มีผู้ปัญญามาช่วยด้วย อาจารย์จำรัส  เป็นต้น

อาตมาว่าปีนี้เป็นปีที่เปิดเผย ไขความอะไรต่างๆ  ทางการสื่อสาร เขาไปสัมภาษณ์ คนที่มีทุนทางสังคม ว่าเขามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอาตมา เขาให้สัมภาษน์ ยังไม่รู้หมดเลย ดูไม่กี่คน จะฟังเห็นว่า ความเห็นของท่านเหล่านั้นเปลี่ยนไปจากเก่าก่อนแล้ว มีคนบอกว่าต้องไปสัมภาษณ์ท่านพรหมคุณาภรณ์ไหม ก็บอกไปว่า ถ้าทำได้ลองดูสิดี มีคนพูดถึงขั้นไปสัมภาษณ์ธัมมชโยอาตมาก็ว่า คงไม่ได้ความจริง  เพราะเขาเป็นนัก pretender

อาตมาก็คงจะไม่เสริมอะไร อาตมาไม่มีทักษะในการใช้ความรู้ความสามารถด้านวิชาการที่เป็นระบบระเบียบ อาตมามีความสุข ความสามารถอัตโนมัติเท่านั้นเอง ปรับให้เหมาะกับกาลละ ยุคสมัย อาจเคยเป็นครูที่เหมาะสมกับยุคสมัยอื่น แต่มันยุคสมัยนี้มีเทคโนโลยีที่เร็ว มีรูปแบบที่ต่างไป อาตมาเลยเป็นคนที่ตกอยู่ ไม่ทันสมัย ถ้าอาตมา ทันสมัยกับเขา คนก็คงจะยอมรับมากขึ้น แต่ถ้ามีแล้ว คนนิยม คนมามากมาย ก็รับไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเปิดคนมามากมายไปไม่ออกเหมือนกัน

พวกเราพยายามพัฒนามาช่วย ยังไม่ได้เร็วไม่ทันเลย พวกเราก็มีความรู้ ที่จะใช้ วิธีการ การศึกษา อาตมาก็ได้แต่ขอบคุณเป็นคราวๆ พวกเราก็เอาชีวิตมาทุ่มเทให้กับที่นี่ ไม่ไปหาเงินหาทอง  มาทำให้ที่นี่ เป็นพระคุณอย่างยิ่งใครจะทำได้อย่างที่อาตมาทำ แต่ว่าคนมีมรรคผลจะทนอยู่ได้ ยังไม่ต้องง้องอนด้วย นอกจากมีความผิดก็ต้องไล่ออกไป

ขอพูดให้ฟัง แต่อย่าไปเปิดเผยในเรื่องนี้ จะไม่พูดไปก่อนว่า พวกเราจะเป็นต้นแบบ ที่เป็นการศึกษาจริงๆ ที่สังคมจะมาเอาในอนาคต พวกเราจะเป็นที่ถูกยกย่องในอนาคต แต่ไม่ต้องเหลิง ไม่ง่ายหรอกที่คนอื่นจะรู้ได้ อาตมาเลยจะต้องยืดอายุออกไป อีกสัก 30ปีคงเห็น คิดว่าอายุ100 ปี จะมีอะไรเห็นชัดเจน ทุกคนอย่าเพิ่งรีบตาย ที่มาทำอย่างนี้ มีแต่ความจริงใจ เป็นต้นทุนที่ดีมาก  หาซื้อไม่ได้ในตลาดใหญ่ที่สุดในโลกตรงไหนๆ ร้านขายยาที่ไหนไม่มี มันเป็นเรื่องจริง พวกเราเห็นแล้วก็ต้องพยายาม เติมความขยัน เติมความเพียร สิ่งที่โลกยอมรับ ปริญญาบัตร อาตมารู้ว่า พวกคุณว่าจะไปเรียนทำไม เพิ่มเติมโลกธรรมทำไม  พวกคุณไม่ได้มาเอาโลกธรรมก็เลยไม่อยากเรียน แต่ว่าทั้งโลกเขายอมรับ  เราเลยต้องเอาสิ่งที่เค้ายอมรับมา เพื่อให้เราช่วยเค้าได้ เช่นเดียวกับหมอที่มีใบรับรอง เค้าก็ยอมให้รักษามากกว่า  ต่อให้คุณทำเก่งอย่างไรก็แล้วแต่ เค้าก็ไม่ยอมรับ

ในอนาคตเราจะต้องมีสถาบัน ถ้าเป็นสถาบันที่อยู่ในนิตินัย เค้าก็จะยอมรับได้มากขึ้น ทำมาเชื่อมให้เป็น ประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ

พวกเรา ตั้งโรงเรียนเป็นนิตินัยทางมัธยม คนก็น่าจะมาเรียนกันมาก เพราะเรียนฟรี แต่เขาไม่มาเรียนกันมาก แม้แต่คนจนก็ไม่ส่งมากันมาก  เพราะกระแสโลกยังไม่ค่อยยอมรับนั่นเอง จับกระแสรู้สึกทั้งหมด ก็ยังไม่ได้ ต้องเอากระแสโลกมาใช้ด้วย

ตอนนี้พวกเราพอมีฐานะส่งให้เรียน เรามั่นใจว่าพวกเราจะไปแล้ว ก็จะไม่ไปไล่ล่าลาภยศสรรเสริญ 

พวกเราคงเข้าใจอะไรได้ดี จากการมาสัมมนากัน ก็ขอบคุณพวกเรา...ให้เจริญเจริญเถิด

มีคนถามว่า การจะเข้ามาเป็นคุรุควรมีความเป็นศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แล้วสมณะที่มีองค์ความรู้เรื่องการศึกษาน่าจะได้มาเป็นหลักให้แก่ญาติโยมที่เป็นคุรุ ความสำเร็จของอโศกคือ ความยืนนานคงทน  สมณะที่เป็นหลักในการศึกษามักจะถูกดึงไปทำอย่างอื่น 

อาตมาจะไปสมทบกับนักบวชหญิงชาย ให้เห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะสมณะอยู่ในฐานะครู โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องศีลเด่น ที่ขาดพร่องทางศีลธรรม วิชาการทางโลกมันเด่น ส่วนการทำงานก็อยู่กลางๆ แต่เขาไปเด่นเรื่องความรู้และพูดเก่งๆๆๆๆ แต่สมณะนี่มีความมีศีลธรรมในตัวแล้ว ก็น่าจะมาเป็นคุรุกันให้มาก จะได้ไปสำทับกับสมณะต่อไป

สม.พูนเพียรถามว่า...เด็กเราเรียนวิชาเกษตรกันเยอะ ทำงานกันมาก คนก็หาว่าเราใช้แรงงานเด็ก 

อาตมาว่า คำว่าใช้แรงงานเด็ก บริษัทไหนใช้แรงงานเด็ก ไปเป็นผลกำไร  แต่ของเรานี้เพื่อสาธารณะ ผลที่ได้ก็เอามาเข้าสาธารณโภคี ต่างกันตรงนี้ เราไม่ปฏิเสธว่าใช้แรงงานเด็ก แต่เราให้เด็กเรียนด้วย แต่โรงเรียนทั่วไปเขาได้แต่เรียน แล้วเขาขาดเรื่องให้เด็กทำเป็น แล้วก็เอาส่วนที่เขามีนั้นมาข่มเรา แต่ที่จริงเราก็มีความเด่นของเรา พวกโลกีย์เขาว่าเขาเรียนอย่างเดียวถูกต้อง แต่ของเรานั้น ให้เด็กทำงานแล้วเข้าส่วนสาธารณะ จะบอกว่ากินแรงเด็ก แต่ผลผลิตจากแรงงานที่ได้ ก็ให้เข้าสาธารณะ จะเป็นไรไปล่ะ
นี่คือการเรียน การศึกษาเขาขาดพร่องที่ ขาดการฝึกฝนไม่มี practice เขาทำการเรียนไ่ม่สมบูรณ์ เรามาทำให้สมบูรณ์หรอก ถ้าโลกเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจ ก็จะไม่ว่าเรากินแรงเด็ก ก็รับฟังเขาไปก่อน เขาว่าเราเราก็ค่อยอธิบายให้เขาเข้าใจ แต่เราไม่ถอยหรอก  เป็นความเจริญของมนุษยชาติจริงๆ 

อย่างโรงเรียนรุ่งอรุณ รร.อมาตยกุล เขาก็มีการทำงาน แต่ความรู้สึกว่า ของพวกเขาไม่เห็นว่าใช้แรงงาน เราอาจต้องทำให้เห็นว่านี่คือ การเรียน
ของเขาไม่ได้รายงานออกสังคม แต่ของเรารายงานออกสังคมตลอดเขาเลยคิดเช่นนั้น 

สม.รินฟ้าว่า...การที่เราทำบูรณาการทุกฐานจะแก้ปัญหานี้ได้  รร.ที่ใช้แรงงานเด็กในการไปเตะฟุตบอล

ยิ่งใช้แรงงานเด็กในเรื่องไร้สาระมากกว่า สังคมโง่ไง อาตมาพูดตลอดเวลาว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่เขาฟังไม่ออก ยิ่งงมงายกันมาก เพราะงมงายในราคาของผีนรก ราคาแพง

เขายากที่จะเข้าใจ เช่นเรามาจนนี่ จนอย่างไม่งมงาย แต่เขาไปรวยนี่งมงายนะ ไปแย่งกันรวย ถ่าแย่งกันรวย สังคมก็จะแย่งชิง ฆ่าแกงกัน แต่ถ้ามาจนแล้ว แบ่งแจกกัน สังคมจะอุดมสมบูรณ์ สงบสุข แต่สังคมไม่รู้ เราดีที่มีในหลวงเป็นอัจฉริยะ แต่คนทั้งโลกก็ไม่รู้ สิ่งที่คุณพูดออกไป เสียงนกเสียงกา เข้าฟังไม่รู้ จะฟังเหมือนเสียงหมาเห่า 

การศึกษาของเรา มีศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา  เราเรียนแบบให้อยู่กับวิถีชีวิต แต่โรงเรียนข้างนอกเน้นเรื่องสาธิต ไม่ได้ควบคุมชีวิตและการใช้จ่าย แต่ของเราขัดเกลา เด็กไม่ใช้เงินไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ คนก็เลยไม่อยากมาเรียนกับเรามาก

เราก็ฝึกเด็กให้ทำงาน มีผลพลอยได้ ผลงานเกิด เอามาใช้ ไม่ได้เอามาใช้ส่วนตัว แต่เอามาใช้กับระบบสาธารณะ รวมกันเพื่อจะเป็นประโยชน์ แก่ทุกคน แล้วเราก็ได้ช่วยเหลือสังคมรอบข้างด้วย เราเอาเด็กมาช่วยทำนา เราก็ได้ข้าว แล้วได้แรงงานก็ไปสู่สังคม เป็นอิทัปจยตาเป็นเนียนในลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องตื้น

ถ้าเราจะสอนให้เด็กเป็นงาน แล้วไม่ได้ให้ลงแรงลงงานแล้ว เมื่อไหร่เด็กจะเป็นงาน เราเจตนาสอนให้เด็กเป็นคนทำงานเป็น แล้วก็ให้ทำงาน ทำงานแล้วก็เอาไปทิ้งที่ไหน แล้วอาจคิดตื้นๆว่า เด็กทำก็ควรเป็นของเด็ก จะคิดตื้นๆเท่านั้นหรือ?

มีคนออกความเห็นว่าครูดุมาก ดุว่าเด็กอย่างกับทาส เด็กอยากย้ายฐานงานไม่ได้ อยากให้มีการเปลี่ยนฐานงานของเด็กๆ เด็กจำนน อยากจะไปแล้วไม่อยากมาอโศกอีกเลย

อันนี้มันติดนิสัยมาแต่ไหนๆ ที่มาเป็นเจ้าใหญ่นายโต ซึ่งไม่ใช่ความเก่งแต่อย่างใด แต่เป็นความโง่ของครู กลายเป็นเผด็จการ เป็นลักษณะที่ไม่มีใครเค้าชอบ 

ถ้าเด็กสามารถแค่ตอบคำถาม คนไม่ฉลาดว่านี่คือ การเรียนรู้จริง ทั้งโลกเขาเรียนรู้แบบเอาความรู้เอาไปยัดใส่หัว แต่ไม่ทำงานจริงก็แล้วกัน กระแสเรื่องธรรมดา การเรียนกับการมานั่งเข้ากล่อง สมัยโบราณนั้น วิชาที่เรียนก็คือ วิชาทำ ให้ทำจริง ไม่มีตัวหนังสืออะไรแต่อย่างใด  แต่ตอนนี้เอาแต่ตำรา แต่ตัวหนังสือมาข่มกัน ยกกันว่าคนสูงส่งคือ คนสอนเก่ง พูดเก่ง มันผิดทาง 

การเรียนไม่ใช่เอาแต่วิชาการ ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ทำจริง เหมือนอย่างกับศาสนาทุกวันนี้ เอาแต่ท่องตำราได้สอนได้ แต่ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบติเหลวไหลด้วยซ้ำ เป็นจุดเสื่อมของมนุษยชาติด้วย เราเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติให้ได้ก็แล้วกัน


ขอสรุปว่าพวกเรามั่นใจเถิด ไม่อยากจะครอบงำใคร อาจจะเป็นคนหลงตัวเองก็ตาม ต้องปล่อยเวลาให้เวลา แต่ก็ขอยืนยันว่า ที่นำพาทำดีไม่ผิดหรอก พวกเราว่าอย่าเพิ่งรีบตาย


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:55:03 )

581107

รายละเอียด

581107_เทศน์ทำวัตรเช้า มหาปวารณาครั้งที่ 33 บวชมา 45 ปี มีอะไร

พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2558  แรม  11 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม  จริงแล้วแม้แต่ตัวเลข วันเวลาอะไรต่างๆนานา  ผู้ที่ได้มีชีวิตเดินทางมาตามระบบ มีกรอบทางเดินชีวิต  ที่ทำให้ชีวิตเดินทางไปในทางที่ควรจะเป็น ยิ่งเข้าทางสัมมาทิฏฐิ ชีวิตจะก้าวไปตามระบบ มีความเจริญที่ลงตัว คำว่าลงตัวนี้เป็นภาษาไทยที่ดีมาก ได้สัดส่วนพอดี อะไรก็จะเข้าท่าดูดี ส่อแสดงอะไรต่างๆออกมาให้ผู้ที่สามารถอาศัยเหตุปัจจัยของรูปกับนาม ของวัตถุกับจิตวิญญาณ 

 ยิ่งเข้าใจ รูปกับนามที่ละเอียดลึกซึ้ง เช่นรูป 28  เข้าใจนาม ทั้งจิตเจตสิก จิต 89 จิต 121  ใช้เป็นเหตุปัจจัยเป็นการศึกษาเครื่องมือที่จะเดินทางดำเนินชีวิตไปก็พอได้  เมื่อกี้นี้อาตมาทักถึงเรื่อง 11 11  มันก็เป็นอันหนึ่ง ที่เกี่ยวกับคนทุกคนของใครก็ของคนนั้น อย่างอาตมาก็มีของอาตมาอาศัยใช้สิ่งเหล่านี้ประกอบบ้างอาศัยเหตุปัจจัยที่เป็นไปได้ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น  ใช้เพื่อที่จะรู้ ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนี้ หลายคนอาจไม่รู้เรื่องด้วย ก็ตีหัวเข้าบ้านก่อน เพราะวันนี้จะเทศน์ 3 ชั่วโมง

 ยกตัวอย่างเลข 1 สี่ตัวนี้เป็นยอดเลยนะในเรื่องหลักเกณฑ์ที่เขาใช้ในการพนัน  ที่เขาเรียกว่าไพ่  ที่มี 1111  มันเป็นสุดยอดแล้ว  แต่ก็สู้ srate flush ไม่ได้ ซึ่งสูงสุด 500 ก็มี โพธิ์ดำโพธิ์แดงแจ็คแหม่มข้าวหลามตัด อาตมาเล่นไปแต่ไม่เก่ง ยังนึกเลยว่าทำไมตนเองเล่นไม่เก่ง ก็เล่นยันรุ่งก็เคยทำ

 ก่อนจะได้เล่าถึงชีวิตบวชมา 45 ปีมีอะไร  ก็จะได้รายงานผลการประชุมมหาปวารณาครั้งที่ 33  แต่ก่อนประชุมกัน 2 วันไม่ค่อยพอต้องต่อเวลาต่อมาก็ใช้เวลาน้อยลงในการประชุมปีก่อนนี้ก็ใช้วันเดียววันนี้ก็ใช้เวลาวันเดียวเสร็จก่อนกำหนด ก็ถือว่าลงตัวหรือใช้อีกศัพท์หนึ่งว่าเข้าฝัก แต่วันนี้ เลข 1 สี่ตัว ส่งตัวเป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่ง ไปอย่าไปถือนะ  อาตมา ใช้เป็นข้อสังเกต และไม่ได้ปัจจัยอะไร ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอะไร แต่รู้ว่าอะไรเป็นจุดหมาย  คำว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นกับคำว่ามุ่งมั่น ต้องเข้าใจที่ดี อะไรที่เห็นว่าควรสิ่งนั้นควรทำอย่างมั่น ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้จะทำแล้วอย่าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะถ้าไปยึดมั่นถือมั่นแล้วจะเอาอัตตาตัวตนเข้าไปเป็นตัวดึงดันเกินไป 

คำว่ายึดมั่นถือมั่นนี้ ก็ขอให้พวกเราได้รู้ให้ชาวอโศกที่มีการยึดมั่นถือมั่นโดยไม่มีอัตตาได้เก่งได้ดี เมื่อมันดีพอได้แล้วดีขึ้นเรื่อยเรื่อย แต่ขนาดนั้นมันก็ยังไม่หมดไปง่ายและไม่หมดไปตลอดสำหรับคน สำหรับแต่ละคนชาวสมาชิกนักปฏิบัติธรรม ไม่ต้องพูดถึงคนไม่ปฏิบัติธรรมทางโลกว่าจะหมดได้ เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะฝึกฝนลดละ อวิชชาไม่รู้ตัวก็มีแต่จะมากขึ้นๆทั้งโลกคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมทำจะเป็นเช่นนั้น  แม้แต่อยู่ในหมู่กลุ่มนักปฏิบัติธรรมอาศัยหมู่ เป็นองค์ประกอบให้เราลดและปฏิบัติธรรม ส่วนผู้ที่ฉลาดน้อย( แปลเป็นไทยว่าโง่)  อาจจะฉลาด ฉลาดที่จะต้องเห็นแก่ตัว ฉลาดมีอัตตาหาเรื่องให้ตัวเองชนะ  ที่ตนเองเห็นว่าอัตตามันพาเป็น  คือมันจะเอาชนะไม่ยอมแพ้  

เป็นความซับซ้อนคนเราถ้าคนไหนหมดอัตตาแล้ว จะไม่รู้สึกว่าชนะแต่จะรู้สึกว่าตนเองเฉยๆได้ ทั้งที่ตนเองชนะก็ไม่ยินดี แม้แพ้ก็ไม่ยินร้าย เฉยๆคือคำว่าไม่รู้สึกยินดียินร้าย  แต่ถ้าได้ยินดีจะเสริมพลังความชนะของตนเองให้รุกไปอีก  ถ้าแพ้ก็ยิ่งเสริมอัตตาแรงเข้าไปอีกเพื่อจะเอาชนะให้ได้ ชนะก็มุ่งไปเหมือนกันพอสมควร

 มันมี 3 เกณฑ์  เกณฑ์ที่ 1 จะแพ้หรือชนะก็มุ่งแรง ชนะก็มุ่งแรงผยองแพ้ก็จะเอาชนะอีก  แต่อริยชนสูงสุดจะแพ้หรือชนะก็เฉย  ถ้ามีอัตตาชนะก็ภูมิใจ หลงตัว แต่ถ้าแพ้ก็จะฮึดสู้  ไม่ใช่จะยอมแพ้นะ บางคน ยึดมากก็เอาตัวออกจากหมู่ไปเลย  ในโสดาบันสกิทาคามีก็เป็นได้ อนาคามีก็เป็นได้ อัตตานี้เป็นเรื่องลึกซึ้งสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม  

พวกเราทำงานมานานไม่รู้กี่ปีแล้ว อย่างที่บ้านราชฯปีนี้ครบ 30 ปีเต็มในปีใหม่นี้ ผู้ที่มาอยู่ในหมู่เรา ได้พัฒนาตนเองขึ้นมา แต่มีอัตตามันพาไปในทางไม่ดี ทำให้ไม่รู้ตัว ทำอะไรไม่ดีลงไป ก็จะถูกสะสางให้เข้าร่องเข้ารอย ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่องรอยแล้ว  และมีสังคมที่อาตมาถือว่า ประสบผลสำเร็จมากกว่าชุมชนใดๆของชาวอโศก  มีสัมมาอาชีพ มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะที่ลงตัวพอได้ แล้วก็ดูใช้ได้ต่อไป ก็ยังมีตัวบุคคลบางคนมีคลื่นที่มีอัตตา แม้ในขณะนี้ปฐมอโศกก็ยังเห็นอยู่  ไม่หยุดมั่นถือมั่นตนเองไม่ถอดตัวถอดตน 

จะบอกให้คนที่ทำงาน โดยเฉพาะคนที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ในงาน ของชุมชนเรา พอเสร็จแล้วก็ มีวิกฤตขึ้นมา จะเกิดด้วยตัวเราเองถูกเปลี่ยนแปลง เช่นเราถูกเปลี่ยนออกจากตำแหน่งที่ทำงาน  ถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วยอะไรก็แล้วแต่ บางทีเหตุมันแรง เหตุปัจจัยบางทีดูเหมือนไม่ค่อยถูกต้อง  ต่อให้ไม่ถูกต้องด้วยโดยทางโลกสมมุติสัจจะไม่ค่อยถูกต้องแต่โดยความเป็นปรมัตถ์สัจจะนั้นบอกแล้วว่าถูกกับผิดนั้นเรื่องเล็ก ความสามัคคี จะสามัคคีได้จะต้องไม่มีคลื่น

 ผู้ใดที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งแม้จะถูกต้องหรือไม่จะผิดหรือถูกก็ตาม ตนเองก็ทำการเคลื่อนไหว มีกิเลสเคลื่อน มีปฏิกิริยา  ทุกชุมชนก็จะมีการเคลื่อนมีรอบของการเปลี่ยนแปลง มันเป็นเหตุปัจจัยให้คนปฏิบัติธรรมต้องรู้การเคลื่อนไหว กายวิญญัต วจีวิญญัติ รอบตัวเราเสมอต้องหยิบมาอ่านเป็นรูปที่สำคัญ  และแม้จะทำงาน อาตมาทำงานก็อ่านกระแสของสังคม กระแสโลกจะมาเป็นเหตุปัจจัย ในการประมาณ ตามเหตุปัจจัย รอบปลายหรือรอบลึกๆก็ตาม ตามปฏิภาณที่จะรวบรวมได้ เรียกว่ากาโย  หยิบเหตุปัจจัยมาใช้ปฏิบัติทำงานได้

อาตมา ไม่มีเวลา ไม่อยากจะจับตัวมาชี้มาสอน เพราะถ้า จับตัวมาชี้มาสอน มันไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ ได้เป็นแค่ครั้งคราวตามงานตามเหตุการณ์ ถ้าเผื่อว่าถึงขั้นเอามาบอกสอนแล้วเปลี่ยนแปลงได้ มันดีต่อสังคม แต่มันไม่ได้ตอบผู้ปฏิบัติ มันเหมือนบังคับให้เปลี่ยนแปลงให้ทำตาม เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่เกิดปัญญาสำนึกไม่เกิดแก้ไขตนเองผลประโยชน์ของตนเองก็จะน้อย ดีไม่ดีจะทำให้ตนเองเกิดกิเลสเสริม ไม่ชอบใจด้วยซ้ำ ว่าให้หยุดให้เลิก  แต่ถ้าศรัทธาบอกแล้วก็จะกลายจะเปลี่ยน ก็จะได้ประโยชน์บ้าง  เป็นเหตุการณ์สำคัญมากสำหรับชาวอโศกโดยเฉพาะตัวบุคคลที่ถูกเปลี่ยนหน้าที่ ถ้าผู้ใดที่ยังภูมิไม่ถึง ก็จะเสียคน เสียท่าอยู่บ้านเกิดทุกคน  ถ้าตั้งหลักได้ก็ดีขึ้น ถ้าตั้งหลักไม่ได้ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง

 อาตมาจริงนะเสียดายหลายคน ก็เคยให้สติเสมอ ให้เปลี่ยนแปลง แต่อัตตาตัวเอง คิดว่าจะมีลาภมากลาภน้อย  แม้ลาภมันน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร เราควรทำอะไรเสริมให้เจริญ ยศตำแหน่งหน้าที่อำนาจมันลดลงไป ก็เป็นไปทั้งนั้นแต่ถ้าเราไม่รู้ทันโรคหรือกิเลส  โรคมันก็กำเริบกิเลสมันก็ทำงาน ทำให้สูญเสียไป เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้น ตอนนี้เหตุการณ์ที่ศรีษะอโศก ก็เกิดขึ้น ที่ปฐมอโศกนี้เกิดมาก่อนตอนนี้ก็ยังไม่หายไม่เรียบร้อย  ส่วนที่อื่นยังไม่ค่อยชัด ก็รุนแรงอยู่ ที่สันติก็ดีที่บ้านราชฯก็ดี  ปฐมอโศกแล้วเป็นตัวอย่าง ศีรษะอโศกก็ตามมา เมื่อได้ฟังบรรยายนี้ก็เอาไปตรวจให้สำคัญ  ศรีษะอโศกหากรู้แล้วปรับตัวให้ดีก็จะดีมาก  ตอนนี้ก็ยังมีตัวหนุน ท่าทีก็ไม่ง่าย อย่างราชธานีอโศก ตอนนี้มีโครงการมาก แต่ก็มีอะไรที่จะรวดเร็วในการแก้ไข ที่จะใช้หนี้(หนุน) แต่ศีรษะอโศกอาตมาว่าไม่เร็วเท่ากับราชธานี แต่ถ้าทำได้ดีปรับได้เร็วก็จะเร็วส่วนปฐมอโศกไม่มีเงินหนุนเลย คือคนมีคุณบุญมีคำกิจกรรมมีผลเจริญ ก็ให้สัญญาณไป

อาตมาว่าชาวอโศก เหมือนเด็กกำลังโต 500 ปีกว่าจะโต  ปีนี้ปี 2558 ก็เปลี่ยนแปลงขึ้น หลายชุมชนก็เสื่อมโทรมลงไปก็บูรณะขึ้นมาได้ ก็ต้องพากเพียร ทำชุมชนของตัวเองให้ดี  พูดมาไม่รู้กี่ที ที่จะประเสริฐเท่ากับทางมาเป็นอริยบุคคลไม่มี  จะต่อไปอีกกี่ชาติก็ตาม ฉันจะบรรลุสูงสุดชาตินี้ เป็นอรหันต์สรุปง่ายๆ จะรู้สึกว่าต้องต่ออีกร้อยชาติค่อยเพียรอย่างงั้นเหรอ ถ้าบรรลุในชาตินี้ได้ก็ควรจะต้องบรรลุ  ตอนนี้เรามีเสนาสนะสัปปายะ ของแต่ละบุคคล  ถ้าไม่เห็นว่าตนเองต้องมาเป็นชาวถิ่นนี้ก็ไปที่อื่นได้  ฟังคนไม่เหมาะที่สันติอโศกไปเหมาะที่ภูผาฟ้าน้ำ  บางคนอยู่เหนือไม่เหมาะก็ไปอยู่อีสานดีกว่า  ตามเหตุปัจจัย  พวกเราเลือกได้มีอิสระเสรี
 มีบุคคลสัปปายะอาหารทำสัปปายะธรรมะสัปปายะธรรมสัปปายะเป็นเรื่องดี

 ตัวอย่างที่ท่านผู้รู้ให้สัญญาณเกรงว่าเราจะเป็นอย่างท่านพุทธทาส ที่ไม่ได้สร้างหมู่กลุ่มต่อ ส. ศิวรักษ์ก็เตือนมา ก็ดีเกรงว่าจะมาตายไปแล้ว ที่จะเหลืออยู่ มันไม่ติดเครื่อง ไม่ได้สร้างกลไกธรรมจักรของสังคม  ต้องขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างท่านพุทธทาสกับท่านพรหมคุณาภรณ์ ไม่ได้คิดจะลบหลู่ ท่านเลย

ท่านพรหมคุณาภรณ์จะมีลักษณะกว้าง แต่ในเชิงพยัญชนะ เนื้อหาความรู้ เป็นความผนึก ท่านรวบรวมไว้หมดเลยอันนี้เป็นตัวเด่นของท่าน ปัญญาชนยอมรับนับถือ ส่วนท่านพุทธทาสก็รวบรวมไว้ไม่ใช่น้อย แต่ไม่เหมือนกับท่านประยุทธ์ แต่ท่านก็ใช้ทำงานกับสังคมส่วนเจโตกับปัญญาของท่านพรหมคุณาภรณ์กับท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสจะลึกกว่า ของท่านประยุทธ์กว้างกว่าแต่ไม่ลึกเท่ากับท่านพุทธทาส  ท่านไม่ได้มีตัวสำคัญที่ต้องสร้างหมู่กลุ่ม สร้างเสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ ก็เลยไม่ต่อได้ นี่ท่านประยุตต์ยังไม่สิ้นไปนะ ท่านพุทธทาสสิ้นไปแล้ว เป็นตัวอย่างที่มีมาก่อนอย่างฤษีลิงดำ หลวงพ่อชา ส. ศิวรักษ์ ก็มองหลวงพ่อชาว่าสร้างได้มากกว่าท่านพุทธทาส ก็จริง หลวงพ่อชาสร้างกลุ่ม แต่สร้างเฉพาะพระ ไม่ได้สร้างพุทธบริษัท 4  แต่ของชาวอโศกนี้มีพุทธบริษัท 4 

 หลวงพ่อชาก็สร้างพุทธมามากะบ้างก็เห็น  แต่ของท่านพุทธทาสได้แต่พุทธศาสนิกชน  ได้พุทธมามกะน้อยกว่าหลวงพ่อชาแต่ไม่ได้พุทธบริษัท ท่านอ.ส.และอ.เจิมฯ  บอกว่าอาตมาไม่ได้สร้างกลุ่ม แต่จะมารู้ว่าถ้าอาตมาตายไป ในบรรดาพวกเราไม่มีใครแทนอาตมาได้  ต้องขอขอบพระคุณ ท่านที่อาตมาได้ยกตัวอย่างใช้เป็นเหตุปัจจัยให้ศึกษาเหมือนยกตัวใหญ่กว่าเขาไปหมด ก็ต้องขออภัยจริงๆ คณาจารย์ชาท่านประยุทธหรือท่านพุทธทาส แม่ท่านฤาษีลิงดำก็ตาม

 พุทธศาสนิกชนในเมืองไทย เมืองไทยเรามี95%  ที่นับถือพุทธศาสนา ก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งให้อาตมาบอกได้ว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีป แล้วอาริยธรรมโลกุตรธรรมได้ดำเนินไปแล้ว ในหมู่กลุ่มชาวอโศก แต่ไม่อยากให้ไปหลงเช่นนี้น อย่ายึดมั่นถือมั่นแต่ต้องมีความมุ่งมั่น ฟังแล้วอย่าไปหลง เคยได้ใช้โศลกว่า  ยึดดีให้เจนจัด ถือสัจจ์ให้เจนจิต  แต่อย่าติดหลง 

อโศกนี้อาตมามั่นใจ ว่าได้วางรากฐานพุทธบริษัท ทั้งอุบาสกอุบาสิกานักบวชหญิงนักบวชชาย  เป็นอริยชนทั้ง 4 อย่าง  ถ้าไม่มีทั้ง 4 นี้เป็นอริยะจริง นับเป็นพุทธบริษัทไม่ได้ แม้ในเมืองไทยจะมีมาก แต่จะมาทำโดยเจตนาโดยรู้ว่าพวกเราฆราวาส ถึงมีองค์ประกอบเป็นบ้านวัดโรงเรียน มีองค์รวมที่ได้สัดส่วนทั้งสมัยใหม่และสมัยเก่าทำได้ลำจากยุคพระพุทธเจ้า ที่เป็นสาธารณโภคี ท่านพุทธบริษัท 4 อาตมาไม่ได้เบ่งข่มพระพุทธเจ้านะ บางคนอาจจะบอกว่าทำเก่งกว่าพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ต้องรวมเป็นชุมชนเพราะใหญ่กว่าอาตมา  สมัยพระพุทธเจ้าฆราวาสเป็นอริยะหรือเป็นอรหันต์มากกว่านักบวช นักบวชมีเฉพาะที่บวชแต่ฆราวาสมีทั่วโลกก็มีอริยะมากมาย ส่วนของเราจะอยู่ในวงแคบของพระพุทธเจ้าเยอะแต่ก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนได้

ทุกวันนี้ อาตมากำลังสร้างอันใดอันหนึ่งลงไปให้แก่โลก คือมนุษยชาติที่จะมีระบอบระเบียบทฤษฎีของพระพุทธเจ้า  ใช้กับชีวิต พวกเราก็รับไปเรื่อยเรื่อย ส. ศิวรักษ์ก็ดีท่านก็ใช้วิจารณญาณ  ที่อาตมาพูดไป ก็ให้ไปตรวจสอบดูได้ มีสิ่งจริงเป็นมาอย่างไร 

ตัวเราตัวตนบุคคล อยู่ในฐานะเพื่อนสมาชิก ที่จะร่วมกันสร้างอาหาร ให้เกิดสัปปายะ ก็จะสั่งสมธรรมะสัปปายะที่เกิดอยู่ที่คน ทำให้แข็งแกร่งให้ดีขึ้นให้เจริญขึ้น  อาหารสัปปายะก็จะเกิดขึ้น เพราะแต่ละคนมีบุคคลสปายะเป็นอาริยะ เสนาสนะก็จะถูกสร้างทำขึ้นดีขึ้น ชุมชนที่กระร่องกระแร่อยู่ขณะนี้ก็จะได้ช่วยกันขึ้นไปตามลำดับ  จะมีเหตุปัจจัยที่ world wide web ของทุกอย่างดำเนินไป จะกินความกว้างกินความรวม แล้วดำเนินไปก็คือเว็บ เปิด www. 

 เป็นความหมุนวนของจักรวาลที่มีมนุษยชาติเป็นแกนหมุนไป  พวกเรานี้เป็นตัวจริง ใครรู้สึกว่าเป็นตัวจริงยกมือดูสิ…... ให้ระมัดระวัง ใครมีความโกรธหรือก่อนจะออกไปก็ให้ระวัง ไม่โกรธไม่งอน ถ้าเราไม่เป็นตัวจริงอยากเป็นตัวจริงก็ต้องพากเพียรสิ  ใครไม่เข้ามาก็รีบเข้า อยากได้ไปตะลอนทัวร์อยู่รอบจักรวาล 

 อาตมาไม่ได้ทำอย่างท่านพุทธทาสท่านประยุทธหรือท่านอาจารย์ชา หรือแม้แต่อาจารย์มั่นที่ทำอยู่ อาตมาไม่ได้ทำเหมือนกับใครใครหลายคน ที่เขาเป็นเจ้าสำนัก ที่ดูดีดูเข้าท่าก็แล้วแต่ไม่เหมือน ในหลายนัยยะมาก พูดไปก็ไม่ดีเหมือนยกตัวยกตน  อาตมาทำประโยชน์ท่านเป็นหลักประโยชน์ตนเป็น by product พวกคุณต้องประโยชน์ตนเป็นหลัก ให้เป็นอรหันต์ได้ก่อน แล้วเก่งขึ้นมีฤทธิ์เดชเพิ่มก็เป็นไป แต่ท่านไม่ได้หลงสิ่งเหล่านั้นจะมีโลกธรรมเพิ่มก็เป็นสัจจะ ผู้เป็นอรหันต์แล้วจะดีได้อย่างไม่ถอยไม่เสื่อม  จะเกิดอีกกี่ล้านชาติก็ต้องมีหลักประกันให้เป็นอรหันต์ให้ได้  เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรอย่างอื่นเป็นจุดหมายนอกจากเอาอรหันต์ วันนี้อาตมาเหมือนพระพุทธเจ้าเจาะปากมาพูด 

 เกิดมาเป็นคนมันไม่มีอะไร ที่จะดีเท่ากับการเป็นอรหันต์ มีมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกโรค คุณจะสูงสุดหรือเลวร้ายที่สุด ก็อยู่กับคนนี้แหละ คนเป็นมนุษย์แต่จิตใจเลวร้ายเหมือนสัตว์ อย่าเป็นสัตว์ร้าย  ความจริงหรือความรู้ที่ควรรู้ เกิดเป็นคนแล้ว ดีที่สุดได้มาศึกษาธรรมะจนเป็นอรหันต์ อยากจะได้อะไรที่ประเสริฐเลิศยอด ชีวิตคุณบางคนรู้สึกว่าเกิดมาทำไมไม่รวยเหมือนเขา ทำไมไม่ได้เมียสวยเหมือนเขาอาตมาถือว่าเป็นลามกนะ ทำไมคุณไม่มาเป็นอรหันต์ให้ได้แล้วเป็นโพธิสัตว์ คุณจะมีเมียสวยจะรวยได้ต้องให้เป็นโพธิสัตว์ให้จริงเถอะ ถ้าคุณไม่เคยมีมาในชีวิตก็ตาม ไม่เคยรวยก็จะรวย ถ้าจิตยังมีกระสันอยากเป็น จะไม่ได้เป็น ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าเร็วอย่าอยากเป็น อาตมาไม่ได้ไปอยากรวยอยากยิ่งใหญ่อยากมีเมียสวยๆถ้าจะมีไม่ยากหรอก  อยากแล้วจะไม่ได้ นี่เป็นเคล็ดลับกลยุทธ์นะ  ถ้าไปอยากมันก็พาให้เราเสียเวลาใช่ไหม ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์แล้ว คุณได้ทุกอย่างแต่ไม่ใช่จะได้ทันทีต้องตามเหตุปัจจัย จะได้อะไรก็ได้ทั้งนั้นบอกให้ก็ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชอยากจะเป็นใหญ่เป็นโตเป็นเจ้าก็เป็น เสร็จแล้วก็ปราบ มาไม่รู้กี่ทิศแต่ก็สำนึกได้ ว่าเป็นวิบาก แต่ท่านเป็นโพธิสัตว์ แม้แต่ไอน์สไตน์ก็อยากเก่ง คนก็ยกย่องตัวเองก็ได้เป็นแล้วสุดท้ายก็เสียใจ  แบบไอสไตล์แบบพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แล้วสุดท้ายก็สำนึก วันนี้พูดสิ่งที่เป็นอจินไตยที่ลึกซึ้ง หลายคนก็จะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น มีปฏิภาณที่จะเข้าใจ

รายงานการประชุมมหาปวารณา ครั้งที่ 33
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2558
ศาสนพิธี
_กรณีญาติโยมจะกราบครั้งเดียวหรือสามครั้งตอนไหน….กราบครั้งเดียวหมายถึงว่า กราบคนเดียวคนนี้ ถ้ากราบ 3 ครั้งก็หมายถึงกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผ่านคนนี้ กราบ 1 ครั้งก็หมายถึงกราบบุคคล แต่ถ้ากราบ 3 ครั้งก็หมายถึงเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้ามีสมณะสองรูปก็กราบสองครั้ง แต่ถ้ามีสมณะหลายรูปก็ไม่ใช่ต้องกราบทั้งหมดทุกองค์ ก็ให้กราบสามครั้งแล้วยกไว้ไม่ต้องกราบอีกคือกราบไม่เกิน 3 ครั้ง หรือว่าทุกองค์ก็ถือว่าเป็นพระสงฆ์ ก็กราบเพียงครั้งเดียวก็พอแต่ถ้าใครจะกราบมากกว่า 3 ครั้งก็ไปกราบส่วนตัว
ที่เรากราบนี้เรากราบคุณธรรมของเขานะอย่างคุณหญิงเป็ดเขาเป็นคริสต์แต่บอกว่ากราบอาตมาได้ คุณหญิงเป็ดว่าการถือศาสนาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่คุณธรรมเป็นเรื่องยิ่งใหญ่บอกว่ากราบได้สนิทใจได้ 

_ที่ประชุมสงฆ์มหาปวาณาครั้งนี้ได้ยกสติวินัยให้พ่อครูหรือพ่อท่านของเรา ในวาระที่พ่อครูบวชครบ 45 ปี เพื่อไม่ให้พ่อท่านต้องมาปลงอาบัติกับหมู่สงฆ์อีก พวกเราจะประกาศสติวินัยให้พ่อท่านใครเห็นด้วยก็ให้เปล่งกล่าว สาธุ สาธุ สาธุ

ศาสนสถาน
_มีการตั้งอาวาสถานของชาวอโศกขึ้น
ในการเรียกชื่อนำหน้าชุมชนชาวอโศกบางแห่ง จะให้มีคำนำหน้าชื่อเป็นอาวาสถาน เพื่อเพิ่มสมมุติทางด้านธรรมะเพิ่มขึ้นในการเรียกชื่อชุมชนชาวอโศก แต่ว่าชุมชนใดจะเรียกว่า อาวาสถานได้ต้องผ่านที่ประชุมมหาปวารณาก่อน ที่ประชุมสงฆ์ครั้งนี้ ได้แต่งตั้งชุมชนต่อไปนี้เป็นอาวาสถาน
1.ตั้งชุมชนวังน้ำเขียว เป็นอาวาสถานวังน้ำเขียว
2.ตั้งชุมชนดอยรายปลายฟ้า เป็นอาวาสถานดอยรายปลายฟ้า
3.ตั้งชุมชนฮอมบุญอโศก เป็นอาวาสถานฮอมบุญอโศก
4.ตั้งชุมชนเลไลย์อโศก เป็นอาวาสถานเลไลย์อโศก
5.ตั้งชุมชนแก่นอโศก เป็นอาวาสถานแก่นอโศก
6.ตั้งชุมชนเมฆาอโศก เป็นอาวาสถานเมฆาอโศก
7.ตั้งชุมชนดินหนองแดนเหนือ เป็นอาวาสถานดินหนองแดนเหนือ
8.ตั้งชุมชนศีรโคตรบูรณ์ เป็นอาวาสถานศรีโคตรบูรณ์อโศก
9.ตั้งชุมชนวังจันทร์พฤกษาเป็นอาวาสถานวังจันทร์พฤกษา

มีเก้าอาวาสถานเกิดในมหาปวารณาครั้งที่ 33 นี้ จากอาวาสถานก็จะเจริญขึ้นเป็นสังฆสถาน พุทธสถานต่อไป นี่เป็นครั้งแรกที่เรากำหนดอาวาสถาน ก็จะให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ปล่อยปละละเลย แต่ละสถานที่ชุมชนอโศกก็คงจะมุ่งมั่นเอาภาระขึ้นพัฒนาขึ้น

ศาสนบุคคล    
ปัจฉาสมณะ
_พ่อท่านฯ- สมณะเดินดิน ติกขวีโร และคณะ(สมณะสมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ สมณะขยะขยัน สรณีโย สมณะดินไท ธานิโย สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ)
หมายเหตุ….คณะปัจฉาของพ่อท่านเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากองเลขาฯ
_สมณะเดินดิน ติกขวีโร    มีปัจฉาฯคือ สมณะขยันยอม วิริยธโร
_สมณะบินบน ถิรจิตโต    มีปัจฉาฯคือ สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ
_สมณะผืนฟ้า อนุตตโร    มีปัจฉาฯคือ สมณะนวกะภูผาฟ้าน้ำ
_สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ    มีปัจฉาฯคือ สมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว
    
สมณะป่วยแห่งปี
1.สมณะกรรมกร กุสโล    2.สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน    3.สมณะเบิกบาน ธัมมนิยโม
4.สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ 5.สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน 6.สมณะธาตุบุญ ธาตุปุญโญ 7.สมณะอ้วน อภิมันโต
        
คณะเอาภาระสงฆ์     (คภส.)
1.สมณะผืนฟ้า อนุตตโร    2.สมณะถ่องแท้ วินยธโร    3.สมณะขยะขยัน สรณีโย
4.สมณะฟ้าไท สมชาติโก    รวมทั้งอุปัชฌาย์อีก 3 รูปด้วย

คณะอาจารย์โรงเรียนนวกะมี 2 รูป ได้แก่ อาจารย์ 1( สมณะบินบน  ถิรจิตโต )อาจารย์ 2 (สมณะผืนฟ้า อนุตตโร)

สมณะลงอาราม ปี 2558 (สมณะทั้งหมดมี 91 รูป) จะไม่อ่านเพราะยาว ให้ติดตามเอา
พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ โพธิรักขิโต และปัจฉาฯ(สมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะดินไท ธานิโย
สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ )ไม่ลงอารามประจำที่ใด

พ่อครูให้โอวาทปิดประชุมมหาปวารณา

ประเด็นแรกคือ อย่าติดแป้น บางคนก็ดูสบายสบายก็ยังอยู่ได้ยางคนหลบเลี่ยงหน่อย แต่ไม่เจริญ อันนี้เป็นเมถุนสังโยค ข้อที่ 7 เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง พอติดแป้นแล้วไม่พัฒนาต่อ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้โมฆะนะถ้าติดแป้นอยู่ เหมือนนางวิสาขา เป็นโสดาบันติดแป้นชอบโลกียรสอยู่นานมาก อย่าไปติดแป้นอยู่ในฐานใดๆเป็นอันขาด ไม่ว่าฐานไหนก็ตาม ต้องรู้ตัวว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ ป่วยการกล่าวถึงผู้เสื่อม ต้องให้เจริญวุฒิๆ การฐีติคือผู้เสื่อม ส่วนปหานะคือผู้เสื่อม ท่านส่งเสริมแต่วุฒิๆๆ เจริญแต่ถ่ายเดียว 

ประเด็นที่สองคือการปฏิบัติธรมคืออะไร คือการทำงาน ทำงานอะไร ทำงานอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะคือมรรคองค์ 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา การปฏิบัติธรรมต้องหาโอกาสมาทำงานกับหมู่เสมอ ต้องจัดสรรให้พอเหมาะกับตนด้วย ถ้าเว้นผัสสะเสียไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้  เพราะมรรคองค์8 ไม่ได้ให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ สรุปง่ายๆการปฏิบัติธรรมคืออะไร คือการทำงานที่เหมาะสมกับตนเอง แล้วเพิ่ม อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา 

              
บวชมา 45 ปี มีอะไร โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

อาตมาก็คือ คน..คนหนึ่ง เชื่อมั้ย อาตมาเป็นคนนะ เกิดมามีชีวิตสามัญปกติ ไม่มีอะไรเด่นโด่งเป็นพิเศษ อย่างเห็นได้ชัด ไม่เหมือนคนพิเศษในสังคมบางคน หลายคน หรือไม่เหมือนอัจฉริยะบางคน หลายคน ที่เห็นอะไรที่แสดงออกโด่งเด่นได้ง่าย คนเห็นง่าย รับรู้รับรองทันที
    แต่อาตมานั้น จะต้องทำงานหนักไปอีกนาน กว่าคนจะพอเข้าใจ จะเชื่อถือ จะยอมรับเอา จนถึงขั้นส่วนมากยอมรับกันกระทั่งเป็นวงจรแห่งแรงเคลื่อนที่ติดเครื่องสังคมด้วยสังคมเองได้ ขึ้นในสังคมส่วนใหญ่ ซึ่งอาตมาเข้าใจได้ และรู้ดี ไม่เคยริษยาคุณชัช หรือไม่เคยคิดริษยาคนอื่นที่สังคมให้คุณค่าคุณงามความดีของเขาง่าย ทั้งๆที่ไม่มีอะไรสำคัญมากมายเท่าไหร่เลย มันมีเหตุปัจจัยที่เห็นได้ง่ายมากกว่ากันนักกว่านัก สำหรับอาตมามันเห็นได้ยาก-รู้ตามได้ยาก(ทุททสา-ทุรนุโพธา)จริง 
    อย่างกรณี คุณชัช อุบลจินดา ที่ช่วยฝรั่ง 2 คนขึ้นจากโคลนดูด ซึ่งคนเห็นปุ๊บ คนขานรับอย่างเอิกเกริกหวือหวาปั๊บ เร็ว ฮือฮา ดูใหญ่โต ทันที ทั้งๆที่..คนที่ทำคุณงามความดีที่จริงใจบริสุทธิ์ใจยิ่งกว่าคุณชัชนี่มีอื่นอีกมากมาย เป็นต้นว่า คนบางคนที่ช่วยคนที่อยู่ในภาวะคับขัน และเหตุการร้ายแรงยิ่งกว่านี้ยิ่งนัก ให้รอดตายได้อย่างหนักหนายากเย็นแสนเข็ญกว่ากรณีที่คุณชัชทำนี้ด้วยซ้ำ จนบางทีตัวผู้ช่วยเองบาดเจ็บด้วย แม้จะมีคนเห็นเอามาเผยแพร่เป็นข่าว ก็ยังไม่ฮือฮาตื่นเต้นปรูดปราดเท่ากรณีคุณชัชนี้ก็มีอยู่มาก 
    หรือคนทำความดี เลี้ยงดูคนที่ขาดที่พึ่ง คนอายุมากช่วยตนเองไม่ได้ ตลอดมานานเป็นหลายสิบปี ด้วยบริสุทธิ์ใจ ทั้งด้วยวัตถุ ทั้งด้วยแรงกายแรงใจ ไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน 
ทั้งๆที่ไม่ใช่ญาติโกโญติกาของเขาเลย เช่นกัน แม้จะมีคนนำมากระจายทางสื่อสารมวลชนแล้ว แต่คนทั้งหลายก็ไม่เกิดรู้ได้เร็ว รู้แล้วซาบซึ้งแรง ฮือฮาใหญ่โตเท่า ดังนี้ ซึ่งมันมีองค์ประกอบที่ละเอียดทั้งทางรูปธรรม และนามธรรม ทั้งอจินไตยที่คิดไม่ถึงอีกมาก
    แม้แต่คุณงามความดีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 9 ของเรานี้ ซึ่งเป็นคุณงามความดี ขั้นโลกุตระ มีใครบ้างที่เห็นคุณวิเศษ(อุตริมนุสธรรม)ที่เป็นคุณธรรมขั้นโลกุตระของพระองค์บ้าง 
    ก็เห็นกันได้แค่คุณงามความดีขั้นโลกียะของพระองค์เท่านั้น ซึ่งก็มากมายยิ่ง ยิ่งกว่าคนธรรมดาจะพึงทำอย่างมากยิ่งจริงๆด้วย 
    คนอวิชชาที่มองไม่เห็น เขาก็ไม่เห็นคุณค่าดังกล่าวนี้จริงๆ 
    ปานนั้น ยังมีคนที่กลับไปเห็นคุณงามความดีจอมปลอมของคุณทักษิณยิ่งกว่าของในหลวงของเรา ก็มีอยู่ไม่ใช่น้อยเลยในประเทศไทย เห็นมั้ย เห็นไหมว่าคนเรายุคนี้ มันตกต่ำอย่างสุดๆกันแค่ไหน...???    
    อาตมาเข้าใจในอจินไตยดังกล่าวนี้เพียงพอ รู้สึกปกติสามัญ ไม่เคยริษยาผู้ที่ได้ดีเพราะทำดี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนใดเลย อนุโมทนากับเขาด้วยจริงๆ
    เว้นแต่คนที่ได้รับความนิยมอย่างผิดๆ นั่นแหละ ที่อาตมาจะรู้สึกไม่ปกติสามัญ และจะขอออกแรงทำ อย่างเห็นว่าควรทำตามภูมิตน พยายามให้ความถูกมันกลับมาสู่ความนิยมที่ถูกต้อง 
    อาตมาเกิดมาขณะนี้ก็อายุ 81 ปี 5 เดือน กับ ขึ้นเดือนที่ 6 ได้กี่วันแล้วล่ะ วันนี้วันที่....   ก็... วัน บวชมาได้พรรษา 45 เต็มวันที่ 7 พฤศจิกายน 2588 นี้         
    ในชีวิตครอบครัว ตั้งแต่เด็กก็รู้แต่ว่าเราเองก็เป็นคนสามัญ พื้นบ้าน ชาวบ้าน อยู่ในระดับสามัญ พ่อแม่พาทำมาหากินเหมือนชาวบ้านทั้งหลาย แม่พาค้าขาย สารพัดเท่าที่จะหาสินค้ามาขายได้ ก็ทำไปกับแม่  พ่อพาทอดแหหาปลา ออกป่าเก็บเห็ดหาหน่อไม้ หาของป่าจากดงจากป่ามากินมาใช้ ติดจั๊กจั่นในป่า คุ้ยขี้ควายเก็บกุดจี่มากิน บางทีอุดตริเอาไปขาย ก็ทำ เราก็ทำมากับพ่อแม่เพื่อฝูงสามัญ ไม่เด่น ไม่โด่ง ไม่ใหญ่ ไม่โตอะไร   
    อาตมาเกิด ตกฟากที่จังหวัดศรีสะเกษ แม่ไปให้กำเนิดอาตมาที่ศรีสะเกษ แต่ที่จริงอาตมา มีเทือกเถาเหล่ากอต้นเชื้อเผ่าพันธุ์อยู่ที่พิบูลมังสาหาร คุณทวดเป็นอุปราชเมืองพิมูล(ชื่อเก่า ซื่อใหม่อำเภอพิบูลมังสาหาร) นามว่า ท้าวโพธิสาร หรือท้าวโพธิสาราช[เสือ สุวรรณกูฏ บุตรของท้าวกุทอง
หรือพระปทุมราชวงศา(บุตรชายคนสุดท้ายของท้าวคำผง)เจ้าเมืองอุบลฯ คนที่ 3]    
    อายุ 2-7 ขวบก็ไปอยู่กับคุณลุงนายแพทย์สุรินทร์ พรหมพิทักษ์ ซึ่งไปเป็นแพทย์ประจำจังหวัดหนองคาย ลุงหมอยังไม่มีลูก อาตมาเป็นลูกกำพร้าพ่อแท้ๆ(ทองสุข แซ่โง้ว)ตายตั้งแต่อาตมา
ยังเด็กอ่อน ยังไม่คลาน อายุยังไม่ถึง 6 เดือน และแม่ก็แต่งงานใหม่กับพ่อเฉย รักพงษ์ ไม่ช้าเลยหลังจากพ่อตายลง จึงเข้ามาเป็นพ่ออาตมาแทนทันทีตั้งแต่อาตมายังไม่เดินโน่นแหละ เพราะนิยายรักของพ่อบุญเฉยกับแม่บุญโฮม พ่อเขาเป็นหนุ่มบ้านเหนือ แม่เป็นสาวบ้านใต้ รักกันมาตามธรรมชาติวิบากสัตว์มนุษย์สามัญก่อนที่จะถูกคลุมถุงชนให้แต่งกับพ่อทองสุข ด้วยเพราะ
คุณยาย(ญาแม่คุณ)จัดการ พ่อเฉยกับแม่โฮมนี่ท่านรักกันมาก ตามวิบากแล้ว ขัดใจกันแยกกัน คือหย่านั่นเอง หย่ากันถึง 3 ครั้ง แต่พ่อก็ไปไหนไม่รอด แยกไปแล้วก็กลับมาหาแม่จนแล้วจนรอด จนที่สุดท่านก็ดูแลกันจนตายจากกัน ซึ่งจะหาใครที่ท่านเอาใจใส่แม่ผู้โทรมผอมเหลือแต่กระดูกกับเสลดที่น่ารังเกียจ เหมือนพ่อเฉยที่ท่านดูแลประคบประหงมแม่นี้ไม่ได้อีกแล้ว แม่เป็นวรรณโรคอาการหนักไปไหน สุดท้ายนอนจมอุจจาระปัสสาวะอยู่กับที่นอนไปไหนไม่ได้อยู่ถึง 2-3 ปี พ่อก็เป็นผู้เอาภาระที่แสนทุราการนี้กันอย่างถึงที่สุด ก็ตายในอ้อมอกกันนั่นเลย
    คุณยายอาตมานี่ อาตมาไม่เคยรู้จักชื่อท่านเลย ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เคยมีใครเคยขานนามชื่อท่านเลย เพราะทั้งพิบูลฯทั่วหัวบ้านท้ายบ้านมีแต่คนเรียกท่านว่า ญาแม่คุณมาตลอด มีแต่พวกเราเท่านั้นเรียกว่าคุณยาย และไม่เคยระแคะระคายว่า ท่านเป็นลูกเจ้าเมืองคนสุดท้าย 
อาตมามารู้ความจริงนี้ต่อเมื่อพวกน้องๆลูกของลุงหมอค้นคว้าประวัติของพงษ์เผ่าเถาตระกูลของพวกเรามาพิมพ์ในหนังสืองานศพคุณลุงหมอนี่เอง
    อาตมาเคยงงๆ ว่า ทำไมคุณยายถึงเป็นคนอย่างนี้ คือ มีบุคลิกไม่บันเทิงเริงรมย์กับอบายมุข อย่างคนสามัญเขา บางอย่างที่โลกเขาไม่ได้ต่อต้านท่านก็ต่อต้าน ไม่ยินดียินร้ายกับความรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ของโลกเขา ซื่อสัตย์จนแข็งน่าเกรง  เพิ่งมารู้ว่า ท่านมีอาริยภูมิมาแล้วในสัญชาติของท่านแต่ปางบรรพ์ มาชาตินี้ท่านเพียงต้องอยู่ในภาวะลิงลมอมข้าวพองไปตราบชีวิตหนึ่งใช้วิบากแท้ๆไปอีกชาติหนึ่ง 
    มาจนป่านนี้อาตมาจึงพอรู้พฤติภาวะของคุณยายว่า นี่คือ อาริยภูมิ เป็นคุณวิเศษที่ตัวท่านเองท่านก็ไม่รู้ตัวเองหรอก เพราะท่านอยู่ในภาวะลิงลมอมข้าวพอง
    ตลอดชีวิตของคุณยาย อายุ 94 สิ้นอายุขัย ตายอย่างไม่มีโรคอะไรเลย ชรา อวัยวะภายในเสื่อม ทำงานไม่สมดุลย์ สิ้นลมไปด้วยความสงบ ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ที่สุด
    ภารวิบากที่สืบเชื่อมมาถึงอาตมาก็คือ คุณยายอาตมาคลุมถุงชนแม่อาตมา แม่อาตมาก็
จำใจแต่งกับพ่อทองสุข แล้วให้ผลผลิตคือ กำเนิดอาตมามา และไม่นานเลยพ่อก็ตายจากไปด้วยโรคหืด(ขี้กะยือ=ภาษาอิสาณ) ตั้งแต่อาตมายังไม่คลานดังกล่าวแล้ว ลุงหมอจึงเอาอาตมาไปเลี้ยงเป็นลูก เพราะท่านแต่งงานหลังแม่อาตมา เอาอาตมาไปเลี้ยงตั้งแต่ท่านยังไม่มีลูก อาตมาจึงเป็นลูกคนโตของลุงหมอและป้าส้มจีน(เมียลุงหมอ)ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ไปกับครอบครัวของลุง พอลุงหมอไปเป็นนายแพทย์ประจำจังหวัดหนองคาย อาตมาจึงไปโตจาก 2 ขวบถึง 7 ที่หนองคาย เรียนหนังสือเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดหายโศก ป. 1 -ป. 2 อายุ 6-7 ขวบ 
    พออายุ 7 ขวบ สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดอยู่ พ.ศ. 2483 ป้าส้มจีนกำลังท้องลูกคน
ที่ 3 ลุงหมอจะถูกย้ายไปเป็นหมอประจำจังหวัดสกลนคร ลูกเล็กของท่านเองที่เป็นน้องของ
อาตมาก็ออกมา 2 คนแล้ว เด็กกระจองอแงรวมอาตมาเป็น 3 คน และในท้องของป้าก็มีลูกคนที่ 3 ของท่านเองอยู่ในท้องและท้องเริ่มแก่ด้วยอีก เครื่องบินข้าศึกก็บินมาทิ้งระเบิดตูมๆ ไม่่หยุดหย่อน หอบหิ้วกันอีลุงตุงนังอีหลักอีเหลื่อลงหลุมหลบภัยสมัยนั้น ทั้งกลางค่ำกลางคืน มืดมนอนธกาล ใช้แสงสว่างก็ไม่ได้กลัวเครื่องบินเห็นแสงไฟ ทุลักทุเลเป็นยิ่งนัก ภาระจึงหนักมาก ลุงหมอจึงขอส่งอาตมากลับคืนมาอยู่กับแม่บุญโฮมที่ยังทำมาค้าขายอยู่ศรีสะเกษ อาตมาจึงมาเรียนป. 2 ต่อที่โรงเรียนวัดพระโต ซึ่งเป็นโรงเรียนอยู่หลังบ้าน(ร้านค้าห้องแถวหน้าถนนหลวงสายใหญ่ ไปสถานีรถไฟ
ศรีสะเกษ) จนจบป. 3 
    สงครามยังไม่เลิก เครื่องบินมาทิ้งระเบิดตูมๆ ไม่หยุด คุณยายก็บอกแม่ว่า เรากลับบ้านเราเถอะลูก กลับไปอยู่กับพี่น้องตายกับพี่น้องของเราที่พิมูล(ชื่อเก่าของอ.พิบูลมังสหาร)เถอะ อยู่นี่
มันไม่มีพี่ไม่มีน้องญาติโกโญติกา 
    แม่จึงพาพวกเราหอบหิ้วกันกลับมาอุบลฯ แต่พอลงรถไฟที่วาริน รถไฟไปไม่ถึงตัวหวัด
อุบลฯ พอมาถึงวาริน ยังไม่ได้ต่อไปถึงพิมูล แม่ก็ขอคุณยายว่า ขอทำมาค้าขายอยู่ที่วารินนี้เถอะ 
    อยู่วารินอาตมาเรียนป. 4 ที่โรงเรียนเทศบาลวาริน  
    จบป. 4 แล้วตอน ม. 1 นี่แหละแม่คิดยังไงก็ไม่รู้ ส่งอาตมาไปอยู่กับครอบครัวอื่นให้เรียนรู้ชีวิตอย่างสำคัญมากในชีวิตของอาตมา ซึ่งครอบครัวนี้สุดยอด ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด เคี่ยวกรำทำงานอย่างสุดหนักสุดหนาสาหัสจริงๆ อาตมาตอนนั้นอายุเพียง 8-9 ขวบ บ้านนั้น
ไม่มีคนใช้อื่นในบ้าน นอกจากอาตมา อาตมาจึงคือคนรับใช้คนเดียว ตัวเล็กๆอายุ 8-9 ขวบ ช่วยทำงานทุกอย่างในบ้าน ทั้งทำสวน ภายในบ้านมีสวนสารพัด ทั้งสวนครัวและสวนไม้ผล สวนครัวต้องตกน้ำจากบ่อขึ้นมารดทุกวัน ทั้งทำอาหารไปขายในโรงเรียน ทำขนมขายที่ร้านหน้าบ้านเปิดเป็นร้านแผงลอยขายทุกวัน ไม่มีวันหยุด ขายตลาดด้วยบางวัน 
    ตื่นแต่เช้าขึ้นมาก่อไฟนึ่งข้าว แล้วจัดของที่ได้ทำไว้แล้วตั้งแต่เย็นถึงมืดค่ำวันวาน เพื่อไปขายที่โรงเรียน ประจำทุกวัน อาทิตย์ละ 6 วัน เว้นวันอาทิตย์ที่หยุดเท่านั้นสำหรับโรงเรียน แม่ใหญ่เป็นผู้จัดการขาย ลูกๆของท่านทำราชการ ไม่มีใครมาช่วย อาตมาก็เรียนที่โรงเรียนนี้ จึงเป็นผู้ช่วยตัวหลัก แต่กลางวันถ้าจะกินข้าวกลางวันอาตมาก็ต้องซื้อกิน แม้อาหารของร้านที่
อาตมาอยู่ด้วยและอาหารอาตมาก็ช่วยทำแท้ๆนี่แหละ ถ้าจะกินในโรงเรียนนั้นต้องซื้อ ไม่ยอมให้อาตมากินฟรี ก็คิดดูว่า อาตมาจะอึดอัด กดดันขนาดไหน ขออภัยนะ นี่ไม่ใช่นำมาประจาน แต่เล่าความจริงที่เป็นวิบากใดก็ไม่รู้..ของอาตมา ที่ต้องผจญ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตนมากที่สุดเลย 
    และพ่อใหญ่ที่เป็นตัวจักรของบ้าน ทำกระบวย กระจ่าเก่งด้วย ทำขายเป็นรายได้ให้แก่บ้าน อีก มะพร้าวทุกลูกที่นำมาใช้ทำกับข้าว ทำขนม เลื่อยหัวไว้สำหรับทำกระบวยทุกลูก ลูกที่มันไม่ได้รูปพอจะทำกระบวยได้จึงถูกเลือกมาไว้ทำกระจ่า เวลาขูดเนื้อในก็ย้าก-ยาก 
    วันหยุดก็ออกป่า ลงแม่น้ำ แม่น้ำชี หาปลา ทอดแห ไหลมอง และตัดไม้มาทำคันกระบวยกระจ่า อาตมาก็ต้องแบกไม้ฟืนสดเหล่านั้นมา กว่าจะถึงบ้าน พักแล้วพักอีกหลาย
ชั่วโมงกว่าจะแบกไม้สดที่มัดรวมกันเป็นมัดใหญ่ ซึ่งด้านหัวด้านท้ายของฟ่อนไม้ก็มีพวงปลาที่จับได้ในวันนั้นห้อยหัว ห้อยท้ายมาด้วย กว่าจะถึงบ้านเด็กอายุแค่ 8-9 ขวบนี่แหละต้องแบกมัดฟ่อนไม้สดมีพวงปลายห้อยหัวห้อยท้ายมาตลอดระยะทางเป็นกิโลๆ หลายกิโล กว่า 3-4 กิโล หรืออาจจะกว่านั้น 5-6 กิโลเมตร ไม่ต่ำกว่า 3 กิโลแน่ อาตมาจำไม่ได้แล้ว   
    อาตมาก็คือผู้ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง เท่าที่อาตมาสามารถและทำได้ ซึ่งอาตมาว่ามันเกินเด็ก 8-9 ขวบสามัญทั่วไปอย่างยิ่งนะ แต่ละวันๆ เว้นเวลาไปเรียนหนังสือ ซึ่งโรงเรียนก็อยู่ตรงกันข้ามกับบ้าน เดินข้ามถนนไปเท่านั้น โรงเรียนเทพอำนวยในจังหวัดอุบลฯ สมัยนั้น  นอกจากไปโรงเรียน กลับมาแล้วแต่เช้าจรดเย็นถึงเข้านอนก็มีแต่ทำงานๆๆๆ ไม่มีเวลาอยู่ว่างเปล่าได้เลย ท่าน เคี่ยวเข็ญหนักจัดจริงๆ เรื่องพักผ่อนหย่อนใจ หรือเล่นนั้นไม่ต้องพูดเลย ไม่มีในชีวิตบทนี้เลย 
    อาตมาก็เป็นเด็กสามัญ อายุแค่ 8-9 ขวบ คิดดูซิว่า อาตมาจะทรมานทรกรรมแค่ไหน 
อาตมาเคยเล่าแล้ว ก็ขอผ่านไป แต่อาตมาก็นึกถึงคุณงามความดีของท่านที่ทำให้อาตมาแกร่ง 
เป็นงาน มีทั้งปฏิภาณไหวพริบปัญญาสมรรถนะ และขยัน อดทน เป็นนักสู้ที่รู้ค่าของการทำงาน และค่าของความเป็นคน จึงเป็นคนเอาการเอางานมาตั้งแต่บัดนั้น นี่ก็ขอให้ข้อคิดกับเด็ก
ทั้งหลาย หรือผู้ใหญ่ก็ตามว่า อย่ากลัวการงาน อย่าหลงการเล่น การบันเทิงนั้นมันไม่มีประโยชน์จริงๆ มีบ้างนิดๆหน่อยๆก็พอแล้ว 
    อาตมานี่เกิดมาชาตินี้ จิตอาตมานั้นมุ่งมาดปรารถนาจะเป็นคนเก่งในการบันเทิง และการละเล่นกีฬานะ ในช่วงหนึ่งของชีวิต และได้พยายามที่จะเป็นดาวด้านศิลปะ และการบันเทิงจริงๆ แต่ลิขิตแท้ของชีวิตมันไม่ใช่ เท่านั้นแหละ จึงไปไม่ถึงสุดยอดซุปต้าร์ ด้านศิลป์ ตามที่โลกเขายึดถือเข้าใจกัน ซึ่งมันต้องเป็นเช่นนี้แหละ จึงชื่อว่า สัจจะ 
    เพราะที่จริงนั้น ซุปต้าร์ หรือศิลปินทั้งหลายในโลก แม้แต่ในประเทศไทยนั้น ผลงานก็ล้วนแต่เป็นงานมอมเมากันเกือบทั้งนั้น ขออภัยที่พูดความจริง เพราะท่านไม่รู้กันหรอกว่า 
ความมอมเมาที่ว่านี้ มันหมายถึงอะไร? แค่ไหน? จึงพากันหลงว่าตนคือ ศิลปินกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มความเป็นศิลปินแห่งชาติ ตามภูมิโลกียะของท่าน ก็เต็มไปด้วยสมมุติสัจจะ หลงอยู่กับความเป็นสมมุติเทพกันอยู่อย่างจัดหนัก จัดจ้าน ร่านรนกันไปเท่านั้น 
    อะไรคือ จิตที่เป็นนรกปหาสะ หรือเป็นขิฑฑาปโทสิกเทวดาเป็นมโนปโทสิก
เทวดา ได้เรียนรู้ความจริงพวกนี้กันบ้างไหม อะไรเป็นเทวดาแท้ เป็นโลกุตระ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ เรียนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันแค่ไหน 
    ขออภัยอย่างมาาาาาก จริงๆ ท่านด่าอาตมาได้เลย ที่อาตมาดูถูกท่านกันปานฉะนี้ อาตมาจะไม่ขอแก้ตัว และไม่ติดใจเลยที่ท่านจะหาว่าอาตมาหลงตน ยกตนข่มท่าน หรือเป็นคนเลวร้ายที่ไปเที่ยวได้ว่า คนอื่นผิด คนอื่นต่ำไปหมด ท่าลงโทษอาตมาได้เท่าที่ท่านรู้สึก อาตมาขออภัยอย่างมากอย่างสูงจริงๆ อาตมาประสงค์พูดสัจธรรมเท่านั้น  
    ศิลปินต้องอย่างในหลวงของเรา คุณดูงานของพระองค์ทั้งหมดเถอะ ไม่ว่าด้านบันเทิง หรือการละเล่น ที่ท่านมีอยู่บ้างส่วนหนึ่งว่า เป็นศิลปะอย่างไร แค่ไหน นอกนั้นพระองค์ทรงสาระ คุณค่าของความเป็นชีวิตและสังคมอย่างอาริยะ ยืนยันสภาพโลกุตระ ที่แท้จริง อยู่ทั้งนั้น ตลอดพระชนม์ชีพมา ทว่าภูมิคนปุถุชนเข้าไม่ถึงท่านเท่านั้น 
    นี่ก็..เข้าใจว่า อาตมาใช้จิตวิทยา เอาในหลวงมาเป็นส่วนป้องกันตัว หรืออาศัยบังอาจโน้มที่สูงมาให้ตัวเองดูดี ดูถูกต้อง ก็ได้ แต่อาตมาขอยืนยันว่า ไม่มีจิตธุลีแห่งความเป็นเช่นว่านั้นในจิตอาตมาเลยแม้แต่น้อยนิด ทุกคนมีสิทธิ์ไม่เชื่ออาตมา
    ศิลปะของในหลวงนั้น ดูแค่เพลง ก็ได้ เพลงของในหลวง ตรวจสอบได้เลย ว่า
เป็นศิลปะทั้งนั้น ไม่มีอนาจารหรือเป็นข้าศึกแก่กุศลเลย ซึ่งมีแต่สารธรรม
ทั้งนั้น การจะเข้าใจได้ดังกล่าวนี้ ก็ใช่จะง่ายที่จะเข้าถึงความจริงกันง่ายๆ 
    ศิลปะนั้น มีสภาพของงานอยู่ในสังคมโลก ก็ 5 แบบ คือ 1.แบบลามก 2.แบบราคะหรืออัตตา 3.แบบสาระ 4.แบบธรรมะ 5.แบบโลกุตระ (**อ่านทวนอีก ทั้ง 5 แบบบ) 
    2 แบบแรก คือ ลามก และราคะหรืออัตตานั้น มีมากเต็มโลกเต็มสังคม จะมีแบบที่ 3 อยู่บ้างก็ไม่เท่าไหร่ มีแบบ 4 ธรรมะบ้างก็มีนิดหน่อย และแค่แบบกัลยาณธรรมด้วย ส่วนแบบ
ที่ 5 โลกุตระนั้น แทบไม่มีเอาเลยในสังคมไทย ยิ่งในโลกกว้าง ยิ่งไม่มีความรู้ขั้นโลกุตระ
กันเลย เพราะมีแต่เทวนิยมจึงไม่ต้องไปพูดถึงเลย เพราะเขาไม่รู้กันว่าวัตถุนิยมและจิต
นิยมนั้นคืออะไร จึงมีแต่มอมเมากันหนัหน้า และหลอกกันหนักหน้า หลงตีราคากันสูงส่งหลงใหลกัน จนอาตมาไม่สามารถเข้าไปว่าเขาได้แลย มันเกินที่อาตมาจะหาเหตุปัจจัยต่างๆและใช้นิรุตติ-ปฏิภาณยืนยันอธิบาย สาธยายได้ อาตมาไม่มีปัญญาและประสิทธิภาพเกินกว่านี้จริงๆ 
    เพราะมันหนักหนาสาหัสไปกับยุคสมัย ที่ใกล้กลียุคแล้วจริงๆ จึงมีแต่ความไม่จริงที่
คนหลงว่าจริง มีแต่ภพ-ชาติที่ช่วยกันปั้นสร้างขึ้นมาให้แก่กันและกันทั้งนรกและสวรรค์ 
    ถ้าไม่เข้าถึงอเทวนิยม ที่จะสามารถหมดนรก-สิ้นสวรรค์กันได้จริง นั้นยากยิ่งจริงๆ   
    แต่วันนี้อาตมาก็ขอบอกว่า อาตมานี่แหละคือ ศิลปิน ที่สร้างมงคลอันอุดม ไม่สร้างงานที่เป็นข้าศึกแก่กุศล ตัวจริง  ขออภัยที่ยกตัวยกตน แต่ขอยืนยันว่าจริงใจ ไร้โลกียะ
    เอาล่ะ...เรื่องนี้ คงพอแค่นี้ก่อน
    กลับไปพูดถึง ชีวิตเด็กที่เคยมีประสบการณ์อันวิเศษต่อดีกว่า    
    หนึ่งปีที่อาตมาอยู่กับบ้านนี้ ซึ่งชีวิตอาตมาตกอยู่ในฐานะที่หนักหนาสาหัสสุดๆในชีวิต 
แต่ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตอาตมา เพราะเป็นคุณอันเลิศที่ได้รับการ
ประสิทธิ์ประสาทความรู้ว่า ความเป็นคนคืออะไรให้อาตมา วิเศษจริงๆ
    แต่ตอนเด็กที่เป็นอยู่ทรมานอยู่นั้น อาตมาขณะนั้นยังไม่รู้คุณค่าอย่างที่พูดนี้หรอกนะ ที่อาตมาพูดว่า เป็นคุณอันเลิศที่ได้รับการประสิทธิ์ประสาทความรู้ว่า ความเป็นคนคืออะไรให้อาตมา วิเศษจริงๆนี้ อาตมามารู้คุณค่าอันวิเศษนี้ภายหลังเมื่อมีปัญญา เข้าใจความเป็นคนแล้ว 
    อาตมาอยู่ได้ปีเดียวก็ไม่ยอมอยู่ต่อไปอีก กลับมาอยู่กับแม่ตามเดิม มาเรียนม. 2 โรงเรียนสิทธิธรรมวิทยาของท่านฟอง สิทธิธรรม ยุคนั้น ตอนนั้นโรงเรียนยังอาศัยศาลาวัดวาริน เป็นโรงเรียนวัดอยู่ ที่อำเภอวาริน จนจบม. 2   
    เอาล่ะ... ชีวิตตอนเด็ก ขอผ่านเรื่องชีวิตช่วงต้นนี้ แค่นี้ ไปหาอ่านเอาจากหนังสือประวัติอาตมาเองแล้วกัน เขาว่ากันไว้มากแล้ว ใครอยากรู้มากกว่านี้ ก็มาสัมภาษณ์อีกใหม่แล้วกัน
    เดี๋ยวไม่ได้พูดถึง 45 ปี บวชมากันพอดี  *************
    อาตมาปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ตอนยังทำงานอยู่ในดงแดนมายา คือ อาตมาทำงานโทรทัศน์อยู่แผนกจัดทำรายการ เป็นทั้งจัดรายการ ผู้อำนวยการรายการ เป็นทั้งโฆษก พิธีกร เป็นทั้งตัวแสดงเท่าที่เราสามารถทำได้ และมีโอกาสทำกัน อันเป็นงานที่เสนอในโทรทัศน์ โทรทัศน์ก็คือเมืองมายา ก่อนจะถึงที่สุดแห่งการงานที่อยู่ในบริษัทไทยโทรทัศน์ นี้ 12 ปี อาตมาก็เริ่มปฏิบัติธรรมก่อนลาออกจากงานโลก 2-3 ปี 
    ชีวิตเด็ก 12 ปี ... ชีวิตเรียนถึง 24 ปี ... ชีวิตทำงานในโลกถึง 36 ปี แล้วออกบวช
    การปฏิบัติธรรมของอาตมา ก็ปฏิบัติเอง ด้วยตนเอง ทำเอง ไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีสำนัก ไม่มีศิษย์น้องศิษย์พี่ร่วมสำนัก ตัวคนเดียวโดดๆ ซึ่งอาตมาอย่างดีก็อ่านหนังสือหนังหาบรรดามีที่ท่านผู้รู้เขียนขึ้นมาเกี่ยวกับธรรมะ ดูๆว่าท่านปฏิบัติธรรมะกันยังไง เท่าที่พอหามาอ่านได้ เท่าที่พอจะรู้บ้างจากท่านทั้งหลายทำๆกัน แต่อาตมาก็ทำตามที่อาตมาพึงทำเป็นอัตโนมัติ คือ 
    ยึดศีลเป็นหลัก ตั้งแต่ศีล 5 แล้วก็ศีล 8 ศีล 10 ก็ตามมา คือ สละออกๆๆๆๆ แจกจ่ายไปๆๆๆ ก็เกิดอัตราการก้าวหน้าทางธรรมมาตามที่เป็นที่มีมาตามลำดับ แล้วก็เกิดมรรคเกิดผล ตามที่มีที่ได้ อาตมาก็รู้เองว่า เป็นธรรมะที่จริง จึงมั่นใจยิ่ง และสุดท้ายก็ตัดสินใจลางาน ลาความเป็นคนทางโลกออกมาอย่างเห็นจริง-มั่นใจ ไม่กังขาสงสัยใดๆเลย 
    สละข้าวของที่เคยมีออกหมดสิ้น ออกมาบวชแต่ตัวจริงๆ ตามหนังสือประวัติผู้อยากรู้บ้างก็ไปหาอ่านดูเถิด 
    ก็ไม่รู้ล่วงหน้าเลยว่า จะต้องเป็นโพธิรักษ์ที่จะต้องแบกหามรับผิดชอบกันถึงขนาดนี้ 
    ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ 
    อาตมาเกิดมาไม่รู้เลยว่าเป็นโพธิสัตว์ ไม่เคยมีใครรู้ว่าอาตมาจะมาเป็นโพธิสัตว์ ไม่มีลางสังหรณ์เลยว่า อาตมาจะต้องมาทำงานศาสนา อาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้จะมากอบกู้ศาสนา
    แม้ตนเองก็ไม่เคยรู้ตัวเองเลยสักครั้งในชีวิตตลอดมา
    ถ้าจะเรียงลำดับ ว่า สันตติแห่งธรรมะจากปาตุภาวะของก้าวย่างชีวิตนี้ ที่เกี่ยวกับธรรมะ
    แรกรู้ตัว ก็คือ เราสนใจคำว่า โพธิ เห็นว่าเป็นคำที่มีความหมายดีมาก คือแปลว่า ความตรัสรู้  ตนเองชื่อว่า รัก ก็เลยนำมาต่อกันเป็นโพธิรัก ก็รู้สึกซาบซึ้งใจตนเองดี 
    แต่คิดถึงออกไปกว้างๆ ถึงความรู้สึกของคนอื่นภายนอก ก็เห็นว่า รัก คำนี้มันเป็นความหมายกว้างไป โน้มมาทางกาม เป็นอัตตาด้วย จึงเติม ษ ให้เป็น รักษ์ ซึ่งหมายความว่า ปกป้อง รักษา คุ้มครอง ดูแล 
    เมื่อเป็น โพธิรักษ์ ก็คือ รักษาความตรัสรู้ ปกป้องความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็รู้สึกว่า เข้าท่า จึงใช้คำนี้ เป็นนามปากกา อีกนามหนึ่งในการเขียนหนังสือในภาคที่เป็นธรรมะ นอกจากนามปากกาอื่นๆมากมาย เขียนเรื่องหนึ่งแบบหนึ่งก็นามปากกาหนึ่ง อีกแบบหนึ่งก็ใช้นามปากกาใหม่อีกนามหนึ่ง อาตมาเขียนทั้งสารคดี รีวิว ปฏิทัศน์ ปกิณกะ นวนิยาย เรื่องชีวิต เรื่องจิตนภาพ เรื่องสั้น เรื่องลูกกรุง เรื่องลูกทุ่ง เรื่องตลก กวีกานท์ เพลง แค่เพลงยังมีไม่รู้กี่นามปากกา เช่น ยุบลรัตน์ นี้ใช้สำหรับการแต่งคำร้องร่วมกับผู้อื่นที่แต่งทำนอง ถ้าตนเองแต่งทำนองร่วมกับคำร้องของคนอื่นก็ใช้อีกนามปากกาหนึ่งเช่น แป๊ค รักพงษ์ หรือ รัก พงษ์มงคล แต่ตอนหลังนี้เปิดเผยตนเองสำหรับเพลงที่แต่งเองทั้งทำนองและคำร้องก็ใช้ชื่อเต็ม รัก รักพงษ์ 
    ส่วนนามปากกาในเชิงอื่น  เช่นเขียนสารคดีเบื้องหลังชีวิตคน ก็ใช้ มงคล พงษ์มงคล เขียนคอลัมน์อย่างนั้นอย่างนี้ก็ไปกับแนวนั้นแนวนี้ไปสารพัด รัก พงษ์มงคล, รุ้ง รังรักษ์, Pra, 
อ้อยอิ่ง สวนสงบ, จิตร ปิยจิตร, เพียงเพ็ญ พีรพงษ์(นามนี้เขียนเชิงลูกทุ่งแบบไม้ เมืองเดิม), เรขา เหมลิขิต, โบราณ สนิมรัก, ป.แอ๊ค, แป๊ค รักพงษ์, ประพนธ์ พีรพงษ์,  โบราณ นวทัศน์, โบราณ ใหม่เสมอ, นายประตู, กุญแจจีย์, ลุงนวด, ยุบลรัตน์, เกื้อ ปรียา, สไมย์ จำปาแพง, ดล ดุลภาค, ชุมาลย์มงคล, ปฏิโสต, โพธิรักษ์, พระโพธิรักษ์, สัมมาสัมพุทธสาวก, ผู้เขียน, สมณะโพธิรักษ์, ชาวอโศก, พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์,  จริงใจ ตามภูมิ, ไตรตรา นิกขม์ อะไรอีกล่ะ มีอีกจำไม่ได้หมด นึกได้แค่นี้ ลืมไปแล้วบางนาม นามปากกาเลยหัวแหลกหัวแตกหลากหลายเป็น 10 หลาย 10 อยู่ในวงการเขียนหนังสือ เลยไม่เป็นกอบเป็นกำ ไม่เป็นหนึ่งที่ชี้ลงมาที่ตัวอาตมา มันกระจายไปหมด 
    ที่สำคัญที่ทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก ก็คือ อาตมาเป็นคน shut in เป็นคนปกปิดตนเองอีกด้วย อย่างที่เคยเล่าเหตุให้ฟังมาแล้ว ตั้งแต่เด็ก ก็เป็นคนที่ทำอะไรที่รู้สึกว่า ไม่ควรให้ใครรู้ ยิ่งเป็นการประพันธ์นี่ ก็จะปกปิดตัวเองไว้อย่างที่เป็น เขียนหนังสือก็ปกปิดตน แต่งเพลงก็ปกปิดตน เป็นต้น  
    นั่นคือ เอกสาร หนังสือ ที่ได้ทำมาในชีวิตนี้ รวมแล้วก็ประมาณ กว่า 100 เรื่อง และจำนวนหนังสือที่ได้พิมพ์ออกสู่สังคม ก็ถึง 2 ล้านกว่าเล่ม เพราะที่พิมพ์ซ้ำที่ไม่ได้บันทึกการพิมพ์หลักฐานไว้ก็หลายแสนเล่ม ซึ่งหนังสือที่พิมพ์ออกเป็นจำนวน 100 กว่าเรื่องนี้ เป็นงานหนังสือที่พิมพ์ออกสู่สังคมในตอนบวชทั้งสิ้น ทำงานศาสนาแล้วเกือบทั้งนั้น ในขณะเป็นฆราวาส
อาตมาเรียกได้ว่า ไม่มีงานเขียนที่เป็นเรื่องทางโลก ได้รวมพิมพ์เป็นเล่ม หรือหนังสือเล่ม ออกมาเลย มีก็แต่งานทางธรรมะ แม้ในขณะเป็นฆราวาส ก็มีงานพิมพ์เป็นเล่มหนังสือออกสู่สังคมแค่  3-4 เรื่อง แต่จำนวนเล่มที่พิมพ์ออกสู่สังคม ซึ่งแม้ไม่กี่เรื่องแต่ก็เป็นแสนๆเล่ม หลายแสนเล่มเหมือนกัน เช่น เรื่องคนคืออะไร? ทำไมสำคัญนัก เล่มนี้เรื่องเดียวก็กว่าแสนเล่มแล้ว  
อาตมาทำงานศิลปะ ซึ่งอาตมาแบ่งงานศิลปะออกเป็น 5 ระดับ
1.ลามก  2.ราคะ   3.สาระ  4.ธรรมะ   5.โลกุตระ
ซึ่งเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ที่เรียกตนว่าศิลปินแต่ไม่รู้ศิลปะที่แท้ ทำผลงานออกมามอมเมากันทั่วโลก ศิลปิน สนใจในโลก ก็จะหาเทคนิควิธีการของตัวเอง ให้เกิดเป็นผลงานที่มีอัตลักษณ์ของตัวเอง ที่ไม่เหมือนใคร ออกมาขายได้ องค์ประกอบของเทคนิคเท่านั้นเอง แล้วก็ไม่ติดเทคนิคลงเทคนิค แม้แต่นักแสดงก็ตาม ความจริงไม่มีอะไรเลยนอกจากอัตตากับกาม แล้วทำให้คนติดยึด ไม่ใช่ศิลปะ แต่สิ่งใดทำให้คนละหน่ายคลายสิ่งนั้นเป็นศิลปะ สิ่งใดทำให้คนติดยึดเพ่ิมกิเลสอันนั้นเป็นงานอนาจารมิใช่ศิลปะ  แม้แต่นักร้องก็ตาม ยัง ไมเคิลแจ็คสันก็มีลีลาท่าทางของเขา แม้แต่ Elvis presley ก็ตาม ก็มีแต่มอมเมาคนทั้งนั้น 
หากงานเขียน งานศิลปะใดก็ตามทำออกมาแล้วคนสัมผัสแล้วกิเลสลดก็เป็นศิลปะ แต่ถ้าทำขึ้นมาแล้วคนสัมผัสแล้วกิเลสเพิ่มไม่ใช่งานศิลปะ คนที่วาดรูปนู๊ด แล้วเป็นศิลปะ อาตมาเห็นมีปิกัสโซ่ เขียนรูปเปลือยผู้หญิง และอวัยวะ สลับสับเปลี่ยนไปหมด 
      งานศิลปะของอาตมาเอาทั้งสิ่งแวดล้อมต้นไม้ภูเขาแม่น้ำทั้งบุคคลตัวตนมาประกอบเป็นองค์ประกอบศิลป์ แล้วเธอออกไปให้คนเปลี่ยนแปลงมีจิตเป็นอริยะให้คนลดละในคลาย จนมาเกิดมนุษย์กลุ่มชาวอโศก ที่อยู่กันได้ทำกันได้จนเป็นสาธารณโภคีอย่างนี้ นี่คืองานศิลปะ ยังไม่มีใครทำอย่างอาตมา แต่มีคนทำบ้าง ก็ยังนึกไม่ออก นอกจากเขาไปหางานเอกลักษณ์อัตลักษณ์ส่วนตัว และให้คนติด แล้วขึ้นราคาค่าตัวค่าผลงาน เท่านั้น
     ศิลปะมีสุนทรียภาพศิลปและสาระศิลป์ คุณต้องมีสารศิลป์แต่ก็ต้องมีสุนทรียศิลป์ให้คน อาศัย ชวนให้คนมาสัมผัส แม้เป็นโลกียแต่ก็ต้องใช้ ประกอบนิดหน่อย ให้จูงใจเขา แต่อย่าเขา ให้เขาหลงติดสิ่งจูงใจเหล่านี้

     งานของศิลปินบางคนเจ้าตัวเขียนออกมายังไม่รู้เลยว่าจุดสำคัญเป้าหมายของงานต้องการสื่ออะไร ไม่มีแก่นสารสาระ คุณยังไม่รู้เลย พ่อสื่องานนี้แล้วจะให้อะไรแก่คนดู เพราะงานของคุณชิ้นหนึ่งชิ้นหนึ่งต้องรู้ว่าจะให้อะไรแก่คนดู ศิลปะต้องให้รู้จักองค์ประกอบศิลป์ให้รู้จักจุดสำคัญ สิ่งที่เป็นไฮไลท์ ให้เกิดกลมกลืนและมีความขัดแย้งในตัว 
ในโลกนี้มีธรรมะ 2 เกิดขึ้นไม่มีอะไรเท่ากันแล้วจะเกิดความขัดแย้งจะต้องทำให้มันกลมกลืนกันให้ได้ ทำให้กลมกลืนได้ก็สำเร็จเป็นหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนตีกันในหมู่พวกเรา แต่อาตมาก็ทำให้อยู่ด้วยกันได้นี่คือฝีมือศิลปิน คนสัมผัสแล้วกลุ่มองค์ประกอบนี้ คนสัมผัสแล้ว แจ้งกลุ่มชาวอโศกคนสัมผัสแล้ว เขาจะเกิดความเข้าใจความรู้ คนมาสัมผัสชาวอโศกสัมผัสตามภูมิธรรมของเขา บางจากมาสัมผัสแล้วก็ไม่เอา บอกว่าไม่ไหว บางคนสัมผัสแล้วก็บอกอย่างนี้เหรอๆ  บางคนลาออกจากงานมาเลยก็เป็นเรื่องความจริงเป็นสัจจะ อาตมาได้ทำมา 45 ปี มาทบทวนดู

    ถึงวันนี้ อาตมาบวชมาถึง 45 ปีแล้ว ก็มาทบทวนดู ว่า บวชมา 45 ปี มีอะไร ที่ตนเองตรวจสอบแล้ว มีอะไรที่น่าจะนับได้ว่า เกิดขึ้นให้แก่สังคม หรือเราได้ทำอะไรให้สังคมต้องเสื่อมเสียไปบ้าง 
    เท่าที่อาตมาลองตรวจสอบดูตั้งแต่บวชมา อาตมาก็พูด สาธยายธรรมะ นั่นแหละสู่สังคมตามทิฏฐิที่อาตมาเห็นชัดว่า สัมมาทิฏฐิ อย่างมั่นใจสุดๆ ทั้งเขียนดังที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว
    ทีนี้เนื้อหาสาระที่พอจะพูดถึงได้ มีอะไร อย่างไรบ้างล่ะ
    1) ธรรมะ 45 ปี มีผลอันปรากฏก่อรูปก่อร่างมาตั้งแต่ยังไม่ทันเปลี่ยนภาพภายนอกคือ ยังไม่ได้บวชตามแบบเข้าสู่พิธีกรรมของสมมุติสัจจะ อาตมาก็บวชในปรมัตถสัจจะมาแล้ว ในร่างฆราวาส และได้เริ่มนำพุทธธรรมตามที่อาตมามั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ มาสาธยายต่อสังคม 
    ยุคออกจากงาน เลิกทำงานทางโลกแล้วแรกๆ มีแต่พูดธรรมะตามวัดต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ กับเขียนธรรมะลงในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ช่วยงานศาสนาที่อาตมาเห็นควรไปต่างๆ ช่วยคุณวิโรจน์ ศิริอัตถ์ สมาคมชื่อมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตอันประเสริฐ ที่ส่งเสริมงานศาสนาท่านพุทธทาสอยู่ หนังสือพุทธประวัติจากพระโอษฐ์ของท่านพุทธทาสนั้น อาตมาเป็นคนตรวจแก้คำผิดให้ทั้งเล่ม ในตอนที่จะทำต้นแบบฉบับพิมพ์เป็นอ็อฟเซ็ทครั้งแรกนะ จนกระทั่งเรามาออกหนังสือกันเอง ตั้งแต่เป็นโรเนียว จนเป็นหนังสือพิมพ์เป็นเล่ม สรุปก็..ตั้งหน้าตั้งตาเผยแพร่ธรรมะ ตามภูมิรู้ที่ตนมี แต่ถ่ายเดียว 
    ลาออกจากงานทางโลกแล้วก็ไปอยู่วัดอโศการาม ไปปลูกกุฏิเล็กๆอยู่คนเดียว ในป่าแสม ท้ายวัดอโศการาม เจาะลึกเข้าไปในป่าแสม 50 กว่าเมตร ก็บำเพ็ญอยู่อย่างนั้น ถึงเวลาเดินทางออกมาพูดธรรมะข้างนอกตามโอกาส ก็ออกมา และเขียนธรรมะออกไปลงหนังสือพิมพ์ต่างๆ ตั้งใจว่าจะไม่บวชด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นกลัวว่าบวชแล้วอยู่ในสภาพพระบวชเป็นนวกะ ก็จะถูกครอบงำจากพระส่วนใหญ่ที่เราเห็นว่า ไม่สัมมาทิฏฐิ ซึ่งไม่เห็นจะมีผู้เอาจริงในการปฏิบัติธรรมเต็มวัดเต็มวา ก็ไม่อยากพาตัวเข้าไปตกอยู่ในวงจรของพระทั้งหลายอย่างนั้น กลัวจะยุ่งยาก     
ทำงานโทรทัศน์ออกโทรทัศน์มาก เพราะว่าไม่ค่อยมีคนทำเนื่องจากไม่ได้เงินสปอนเซอร์ ได้แต่เบี้ยเลี้ยงอาตมาก็ทำงานหนัก ดีที่มีพื้นฐานจากการอยู่กับพ่อใหญ่แม่ใหญ่มา เป็นบุญกศลอย่างย่ิงเลย งานหนักไม่เคยฆ่าคน
    ลาออกจากงานบริษัทไทยโทรทัศน์ ค่อยๆผ่อนงาน ผ่องถ่ายงานของตนให้ผู้อื่นไปเรื่อยๆมอบงานให้คนอื่นไปหมดตั้งแต่เมษายน 2513 บริษัทอนุมัติให้ออกได้เดือนมิถุนายน 2513 
    ออกไปอยู่วัดอโศการามตั้งแต่เดือนเมษายน นั่งรถเมล์จากปากน้ำมาทำงานที่บางขุนพรหม อยู่จนเดือนมิถุนายน วันอนุมัติออกได้สมบูรณ์ จึงหยุดมาทำงาน อยู่วัดไม่ต้องเทียวมาทำงานเป็นอิสระแก่ตนตั้งแต่บัดนั้น  
    พฤติธรรม-รูปธรรมในสภาพฆราวาสตอนนั้น ก็เป็นรูปแบบที่แปลกประหลาดที่ผู้คนได้เห็นได้สัมผัส ทั้งรูปแบบการแต่งตัว พฤติกรรม อิริยาบถ ความเป็นอยู่ วิถีชีวิต ที่คนทั้งหลายเขามองอาตมาได้ 2 อย่าง คือ อาตมาเป็นคนบ้า ที่ไม่เห็นว่าบ้าไปแล้ว เห็นว่ามีอะไรแปลกประหลาดไปจากสามัญคนธรรมดานั่นแน่นอน เขาก็ได้แต่มองอย่างงงๆ
    ก็น่าเห็นใจคนที่เห็นอาตมาในช่วงนั้น คือ อาตมานี่ รัก รักพงษ์ เป็นพิธีกรทางโทรทัศน์ ทำรายการหน้าทางโทรทัศน์เกือบทุกวัน บางวันออกอากาศถึง 3 รายการ ออกอากาศทางโทรทัศน์ในยุคนั้นซึ่งเป็นช่องแรกของประเทศไทย และในประเทศช่วงต้นก็มีเพียงช่องเดียว ต่อมาก็มี 2 ช่องคือช่อง 7 ก็เท่านั้น ในยุคโทรทัน์ขาวดำนั้น 
    คนเห่อของใหม่ ที่เพิ่งมีในประเทศ ก็ต้องดูกัน อาตมาเป็นพิธีกรรายการสารคดี และรายการปกิณกะสารพัด ทั้งรายการเด็ก รายการผู้ใหญ่ รายการวิชาการ รายการปฏิทัศน์นานา 
อาตมาเป็นผู้จัดรายการ เป็นพิธีกร เป็นโฆษกเสนอหน้าโทรทัศน์ที่เสนอหน้าทางโทรทัศน์มากที่สุดในยุคนั้น บางวันออกรายการถึง 3 รายการ ซึ่งเป็นรายการตั้งแต่รายการไม่กี่นาที จนรายการครึ่งชั่วโมง รายการ 45 นาที รายการเป็นชั่วโมงๆ อาตมาทำมาก 
    ที่ได้ทำมากอย่างนั้นเพราะ รายการเหล่านั้นเป็นรายการที่ไม่มีสปอนเซอร์ ไม่มีเรื่องเงินทองมีรายได้เข้ามาเกี่ยวข้อง รายการเล็กน้อยๆ สัมภาษณ์นักวิชาการ สัมภาษณ์ปกิณกะต่างๆ ปฏิทัศน์นานา รายการสารคดี รายการอย่างนี้ เขาก็จะปล่อยให้อาตมาทำ จึงเป็นคนต้องออกอากาศเสนอหน้ามากว่าใคร ได้แต่เงินเบี้ยเลี้ยงของรายการ ไม่กี่ตังค์ แต่รวมๆแล้ว แต่ละเดือนได้หลายเหมือนกันนะ อาศัยทำงานมาก ขยันอุตสาหะ เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ดวงอาตมาเป็นอย่างนั้น ไม่เด่น ไม่ดัง แต่คนรู้จักมาก กว้างขวาง และอาตมาทำงานอื่นนอกจากโทรทัศน์ด้วย ทั้งสอนหนังสือ ทั้งเขียนหนังสือ  แต่งเพลง เล่นละครวิทยุทั้งภาคภาษาไทย ทั้งภาคภาษาอีสาณ
    สามารถทำรายได้ถึงเดือนละ 2 หมื่นบาท ในขณะที่เงินเดือน ชั้นตรีเริ่มต้น 750 ชั้นโท 1200 ชั้นเอกแค่ 4 พันกว่า นายกรัฐมนตรี เงินเดือน 8500 เท่านั้น และอาตมานั้นเงินเดือนจริงๆจากบริษัทแค่เดือนละ 1250 บาท แต่ได้เงินเบี้ยเลี้ยง และเงินรายได้จากทำงานอื่นๆ ประมาณถึง 2 หมื่นบาท ในยุคที่ทองคำบาทละ 400 กว่า    
    โทรทัศน์ก็มีอยู่ช่องเดียว ต่อมาจึงมี 2 ช่อง ในช่วงที่อาตมาก่อนจะออกมาบวช คนก็จำเป็นต้องรู้จักอาตมา เพราะต้องเห็นหน้าอาตมาเสนอหน้า ไม่ใช่ดาราดัง แต่เป็นคนเสนอหน้ามาก จนออกจะน่าเหม็นขี้หน้าประมาณนั้น 
    พออาตมาปฏิบัติธรรม ก็แจกจ่าย เจือจานออกมากขึ้นๆ ลดละ มักน้อย สันโดษ สำรวมมาก เดินเท้าเปล่า ไม่ใส่เกือก นุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อคอกลมขาวเรียบๆ ตัดผมสั้นเกรียน ตอนที่ยังไม่ได้ลาออกจากงาน ก็ยังไม่ได้โกนหัว ลาออกจากงานแล้วจึงโกนหัว แต่ก็ยังเดินไปไหนมาไหนอยู่ในสังคมนั่นแหละ ไม่ค่อยจะขึ้นรถแล้ว เดินหน้าตรง ไม่เหลียวหนัาหลัง ไม่วอกแวก มือกุมไว้ข้างหน้า ก้มหน้า มองชั่วแอก เดินไปทุกหนแห่ง และค่อนข้างเดินช้ากว่าคนปกติ ก็๋เดินอย่างนี้ นั่งก็สำรวม ยืนก็สำรวม อิริยาบถทุกอย่างสำรวม ประพฤติอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าต่อหน้าคน หรือลับหลัง อยู่ผู้เดียวก็ตาม ฝึกตนอย่างนี้ ตั้งแต่เป็นฆราวาส กระทั่งออกบวช ก็สำรวมอยู่อย่างนี้ หลายปีทีเดียว 
    อาตมาก็รู้ว่าตนเอง ว่าตนเองเป็นอะไร ทำอะไร ประพฤติอย่างนั้นทำไม ซึ่งก็คือ เราก็ทำความสงบให้ตน สำรวม อ่านตนเองทั้งกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เสมอ และรู้ทันกิเลส มีสติ มีธรรมวิจัย ไปตลอดเวลา ทำการลดละกิเลสไปเสมอ ทำสมาธิด้วย มรรค 7 องค์ นั่นเอง จึงเกิดสัมมาสมาธิ และนั่งสมาธิหลับตา อาตมาก็ทำด้วยนะ เป็นอุปการะอย่างดีมาก 
    การสำรวมของอาตมา คนเห็นก็เป็นที่สะดุดตาคน เพราะอาตมาเป็นดาราโทรทัศน์ด้วย(ในยุคนั้น ยุคนี้ไม่มีใครรู้จักแล้ว) จึงสะดุดตา บ้างก็ชื่นชมเลื่อมใส บ้างก็หมั่นไส้ ก็เป็นธรรมดา มีทั้งผู้เข้าใจได้ เข้าใจไม่ได้ ก็ตามภูมิปัญญาของแต่ละคน ต่างก็เข้าใจกันไปตามภูมิของเขาแต่ละคน
    อาตมา ออกบรรยายธรรมะ ทั้งๆที่เหมือนคนบ้านั่นแหละ นุ่งกางเกงขาสั้น เสื้อคอกลมขาว ไม่ใส่รองเท้า ขึ้นเวทีนั่งอภิปราย บรรยายกับคนอื่นที่ใส่เสื้อนอกผูกเน็คไทด์ และธรรมะที่อาตมาพูดมันก็เป็นโลกุตรธรรมอีกต่างหาก คนเข้าใจยาก เข้าใจไม่ได้ ทวนกระแสโลกธรรม มันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่ การสำรวมของฆราวาสที่ค่อนข้างจะมองเห็นเป็นคนบ้า แล้วทำมาบรรยายธรรมะ คนก็ยากจะเลื่อมใสศรัทธา อาตมารู้สึกว่า ถ้าขืนอยู่อย่างนี้คงไม่เข้าที ประโยชน์ไม่คุ้มควร 
    อาตมาจึงเห็นว่า เอ!..น่าจะบวชดีกว่า แทนที่จะเห็นคนแต่งตัวเหมือนคนบ้า พูดธรรมะ ถ้าเป็นผู้อยู่ในสภาพนุ่งห่มจีวรเป็นผู้สำรวม แล้วพูดธรรมะ คนน่าจะรับได้ดีกว่า จึงตัดสินใจบวช    
    7 พฤศจิกายน 2513 คือ วันบวชเป็นภิกษุนุ่งห่มจีวร สีจีวรพระปฏิบัติ ไม่ใช่สีเหลืองดังพระทั่วไป  เท่านั้นแหละ..พออยู่ในร่างของภิกษุรัก โพธิรักขิโต เดินสำรวม ก็เดินเหมือนนายรัก รักพงษ์คนเดิม พฤติกรรมก็อย่างเดิม เปลี่ยนแค่เครื่องนุ่งห่ม แต่คนสะดุดตา ไปอีกแบบ ยกมือไหว้เป็นทาง ไปตลอดทางเลย พอพูดธรรมะซึ่งก็แนวเดิมนั่นแหละ แต่คนตั้งใจฟัง ผงกหน้ารับ เออ..!นี่คือ ความยึดถือของคนแท้ๆ อาตมาก็ได้เข้าใจชัดถึงอุปาทานของคนยิ่งๆขึ้นตามลำดับ
    ยิ่งผ่านมาถึง 45 ปี ก็ยิ่งมีสิ่งที่เกิดที่เป็นขึ้นมาให้เราเห็นจริงในความจริง-ความประเสริฐแท้ของความเป็นคน เป็นสังคมอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ มากมาย    
    2) เริ่มตั้งแต่ อาตมาพูดบอกให้คนเข้าใจว่า คนควรมีศีล แล้วทำให้คนมีศีลได้จริงๆ ตั้งแต่ศีลข้อ 1 เลยทีเดียว คนก็ไม่ทำร้ายสัตว์ ถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์เลย อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เท่านั้น ก็มีคนเป็นกันได้จริงๆอยู่ในสังคมตั้งแต่เริ่มออกทำงานตั้งแต่เริ่มบวชมาจนถึงทุกวันนี้ 
    มีศีลจริง คือไม่ฆ่าสัตว์จริงๆ มีความมั่นคงยั่งยืน เพราะเข้าถึงปัญญา และเจโตแข็งจริงๆ ไม่ใช่แค่กดข่มไว้ นี่คือความบรรลุผลธรรมแท้
    นอกนั้น ศีล ข้อ 2 ทำให้คนลดความโลภลงมาได้จริง จากชีวิตที่เขาโลภทำมาหาได้มาเพื่อตนเอง เต็มอัตราที่พยายามให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะโลภได้ แล้วได้มาเต็มความต้องการ ตั้งแต่เอาเปรียบตามระบบทุนนิยม คนทั้งหลายส่วนใหญ่มุ่งมั่นเอาเปรียบทั้งนั้น ถึงขั้นทุจริตผิดศีลข้อ 2 เขาก็ยังพยายามทำกัน แต่พอมาคบกับอาตมา หรือได้ฟังคำสาธยายธรรมของพระพุทธเจ้าจากอาตมา เขาก็เปลี่ยนการประพฤตินั้น เป็นคนสุจริต เป็นคนละโลภลงมากันได้จริง 
    ที่มันมหัศจรรย์ก็คือ ถึงขั้นมีคนเปลี่ยนชีวิตมาทำงานฟรี รวมกันอยู่เป็นสังคมชุมชนชาวอโศก ที่มีระบบสังคมสาธารณโภคี คือทุกคนในชุมชนทำงานฟรี ไม่รับรายได้ ไม่รับเงินทอง ทำงานแล้วรายได้เข้ากองกลางของชุมชนทั้งหมด กินใช้ร่วมกันอยู่ในชุมชนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งชุมชน ไม่ว่าพ่อแม่พี่น้องลูกเต้าเหล่าใด ก็เป็นญาติ(ธรรม)กันแท้ๆ พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกัน ได้จริงๆ เป็นพี่น้องที่แท้จริง หรือยิ่งกว่าพี่น้องสืบสายเลือดที่พึ่งกันไม่ได้ มาถึงวันนี้ ก็ทำได้กันมาถึง 30 กว่าปีแล้ว สังคมสาธารณโภคีที่เป็นชุมชนแรกคือปฐมอโศก ตั้งแต่พ.ศ. 2527   
    ก็กลายมาเป็นหมู่ชนที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หรือหมู่ชนคนที่พากเพียรไม่โลภ-ไม่โกรธ-ไม่หลงกันอย่างแท้จริง ถึงขั้นทำสัมมาอาชีพอย่างคนพอเพียง และมักน้อย สันโดษขึ้นอย่างเป็นไปได้จริงตามบารมีของแต่ละคน มีคนจริงๆเป็นกันได้จริงให้เห็นๆ ยืนยันได้
    เรียกได้ว่า เป็นคนมุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน กล้าจน พร้อมกันจนได้จริงๆ ตามพระราชดำรัสของในหลวงของเรา ของไทย ที่พระปัญญาธิคุณของพระองค์ทรงภูมิโพธิสัตว์ โลกุตระแท้ แล้วก็อยู่อย่างบริหารสังคมกันแบบคนจน และตั้งใจทำตนให้มีภาวะขาดทุนของเรา คือกำไรของเราให้อภิวัฒน์พัฒนาเรื่อยมา 
    ตั้งแต่เริ่มต้น เจริญพัฒนามาจนอาตมาเต็มพรรษาบวชถึง 45 พรรษา ก็มั่นคง อย่าง
มั่นใจยิ่งขึ้นๆ เป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ ชนิดที่ทวนกระแสกับคนโลกๆที่มีวัฒนธรรมแบบโลกีย์
    จึงเกิดชุมชนที่มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ในแบบของพุทธโลกุตระ ที่ทำงานอยู่ในสังคมไทย เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ กันเจริญก้าวหน้ามาเรื่อยๆ จากชุมชนเดียว เพิ่มชุมชนในชาวอโศกขึ้นเป็นชุมชนสาธารณโภคีดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมประเทศไทย ของจริง เป็น 10 กว่าชุมชนต่อมา ไปตามลำดับอยู่จริง     
    นับเป็นสังคมชุมชนที่มีเศรษฐกิจบุญนิยม โดยแท้ ที่เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก เป็นเศรษฐศาสตร์ที่คนจะยังเชื่อยาก ว่า จะเป็๋นไปได้แท้ และไม่เชื่อว่าจะอยู่ได้ยั่งยืน มีชีวิต สงบอบอุ่น เป็นสุข สงบสันติอยู่ได้ท่ามกลางสังคมส่วนใหญ่ที่เต็มไปด้วยเศรษฐกิจทุนนิยม ที่เป็นเศรษฐศาสตร์บทเก่าที่ต่างก็ล่าลาภยศสรรเสริญ สุขบำเรอกาม สุขบำเรออัตตาใส่ตนให้มากที่สุดในอุดมคติของชีวิตสามัญปุถุชน ครองโลกมานาน 
    ชุมชนชาวอโศกจึงเป็นชุมชนที่อนุเคราะห์สังคมรับใช้โลกจริง เพราะอยู่กับสังคมเกื้อกูลลาภยศสรรเสริญแก่สังคม โดยการไม่แย่งลาภยศสรรเสริญจากสังคมชาวปุถุชนโลกีย์สามัญ ซึ่งเป็นอุดมคติของชีวิตอาริยชนแบบพุทธ ซึ่งไม่สามัญเหมือนคนส่วนใหญ่ในประเทศ ในโลก แต่เป็นอยู่สุขสงบอบอุ่นจริง ทุกชุมชนมีศีล 5 เป็นพื้นฐานขั้นต่ำกันทุกคนในชุมชนอโศกทุกแห่ง 
    พื้นฐานของจริยธรรมชุมชนชาวอโศกคือ มีศีล 5 ไม่กินเนื้อสัตว์ และไม่มีอบายมุข นี่คือ หลักเกณฑ์พื้นฐานของชุมชนทุกชุมชนของชาวอโศก ที่เราทำได้จริง ไม่ใช่ทำชั่วครั้งชั่วคราว สูงกว่าศีล 5 ชาวอโศกก็มีได้ ศีล 8 ศีล 10 หรือกว่านั้น ก็ตามแต่ใครทำได้ ในสมาขิกชาวอโศก 
    ใครจะมีศีล 8 มีศีล 10 หรือจุลศีลมากกว่านั้นก็ตามภูมิของแต่ละคน เป็นฆราวาสนี่เอง ที่มีศีล 10 คือ เป็นคนไม่รับเงินมาเป็นส่วนตัวแล้ว และมากกว่า 10 ก็ทำกันได้จริง เพราะเข้าใจด้วยปัญญา และทำใจตนบรรลุถึงเจโต อย่างอิสระ ไม่ได้บังคับกดขี่ใดๆ มีเสรีภาพทุกคน 
    จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 17:56:08 )

581107

รายละเอียด

ส่วน มหาศีล 7 นั้น ชุมชนอโศกทั้งชุมชน ไม่ละเมิดมหาศีล 7 ทุกชุมชน ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะสมณะอโศกเท่านั้นที่ถือมหาศีล 7 เว้นขาด เดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถา ไม่มีบูชาไฟ จุดธุปจุดเทียนบูชา บนบานวิญญาณ วิมานลึกลับ เป็นอัคคียีญ ไม่มีบูชาน้ำ รดน้ำมนต์ ใช้น้ำมนต์ ที่เป็นสิญจนยัญกันทั้งภิกษุก็ไม่มี ทั้งฆราวาสในชุมชนชาวอโศกทุกแห่งก็ไม่มี 
            ฆราวาสในชุมชนชาวอโศก ไม่มีอบายมุข ไม่มีใครแม้แต่สูบบุหรี่สักคนเดียวทุกชุมชน อย่าพูดไปถึงเหล้ายาสิ่งเสพติดอื่นเลย เพราะในชุมชนของชาวอโศกทุกชุมชนปฏิบัติศีลกันเคร่งครัด  ให้งด ให้เว้นขาด(เวรมณี)กันทุกคนในชุมชนอโศกเป็นสามัญ ตามฐานะของแต่ละคน ตามจุลศีล 26 มัชฌมศีล 10 มหาศีล 7 ใครผิดศีลก็พิจารณาโทษกันจริงๆ ที่สุดถึงขั้นให้ออกไปจากชุมชน
            สำหรับสมณะอโศกนั้นทุกรูปต้องสมาทานวินัย 227 อีกด้วย นอกจากจุลศีล-มัชฌิมศีล -มหาศีล ที่สมณะชาวอโศกต้องรับศีลนี้มาตั้งแต่วันบวช เป็นสามัญอยู่แล้วทุกรูป   
            ชาวอโศกทำกันมาตั้งแต่ก่อนมีชุมชนแรกของชาวอโศกแล้ว สมณะอโศกจึงมีจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลมาตั้งแต่พ.ศ. 2518 ส่วนฆราวาสก็เริ่มมีชุมชนชาวอโศกพ.ศ. 2527 ตามที่กล่าวมาแล้ว ก็ยั่งยืน ถาวรได้อยู่แท้ ตลอดมาถึงทุกวันนี้
            แน่นอนว่า ความบกพร่องในศีลย่อมมีได้บ้าง..ไม่ใช่ไม่มีบกพร่องในชาวอโศก มีผิดพลาดบกพร่องในกฏเกณฑ์ศีลธรรมตามที่ว่านั้นอยู่บ้าง ในชุมชนชาวอโศก และเราก็ชำระความผิดศีลผิดธรรมตามที่เรามีกฏเกณฑ์ดังกล่าวนั้นจริง ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ก็เป็นอยู่สุขกันได้ตามสภาพมาตลอด 30 กว่าปีมาได้ และจะทำกันต่อไป            
            นี้คือ ส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมคนไทย ที่อาตมาได้พากเพียรนำธรรมะของพระพุทธเจ้าตามทิฏฐิของอาตมา ที่เชื่อมั่นว่าสัมมาทิฏฐิแบบอาตมามาเผยแพร่สาธยายมา 45 ปี
            ทำไมชาวอโศกจึงทำกันได้ และมีชุมชนตามแบบชาวอโศก ยั่งยืนมาได้ถึง 30 กว่าปีแล้ว อาตมาก็ตรวจสอบจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เห็นจริงว่า ที่มีความยั่งยืนได้ ยังไม่เสื่อมถอยนั้นก็เพราะปฏิบัติชนิดที่อบรมฝึกฝนตามหลักไตรสิกขาของพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ ได้อย่างแท้จริง
            เพราะปฏิบัติศีล ไปตามลำดับ ตั้งแต่ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ซึ่งขั้นต้นนั้นก็คือ ศีล 5 แล้วจึงจะศีล 8 ศีล 10 เป็นขั้นๆไป ที่สำคัญมีจุลศีล-มัชฌิมศีล-มหาศีลกันจริงๆ จึงเป็นสังคมพุทธที่ไม่มีเดรัจฉานวิชา ไม่มีเดรัจฉานกถา ไม่มีไสยศาสตร์ ไม่มีเข้าทรง ไม่หลงพระเครื่อง
พระบูชาว่าขลัง ไม่งมงายกับของขัง แต่บูชาพระกราบไหว้สิ่งแทนกันอย่างมีปัญญา
            ไม่หลงไปยุ่งกับจิตวิญญาณที่ล่องลอยหาที่เกิด หรือไม่หลงอุทิศส่งนั่นส่งนี่ไปให้วิญญาณที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้กันอย่างงมงาย
            และการปฏิบัติศีล ก็ปฏิบัติลดละกิเลสไปตามกรอบของศีลที่เราสมาทาน แล้วจะเจริญไปตามลำดับ ซึ่งการปฏิบัติธรรมต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัยเสมอ และเว้นสัมผัสแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานที่จะมีได้ การปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องอยู่ในภาวะที่มีความรู้สึก(เวทนา) จึงจะ
บรรลุธรรมได้ เพราะมีการสัมผัสนี้แลจึงจะมีอาการเกิดขึ้นในใจให้เราได้ศึกษาความเป็น
ธรรม 2คือรูปกับนามไปตลอด ครบความเป็นกาย
            ถ้าการปฏิบัติธรรม ไม่มีสักกายของตนให้ปฏิบัติ ก็ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมแบบพุทธ ก็ปิดประตูบรรลุมรรคผล เพราะไม่พ้นสังโยชน์แม้ข้อที่ 1
            กายหรือสักกายคือ องค์ประกอบของรูปกับนาม ที่ต้องมีทวาร 5ภายนอกกับ
ทวารใจภายใน ประชุมกันเป็นรูปกับนาม หรือเป็นธรรม 2(มีกาย)ให้เราปฏิบัติศึกษา
เสมอ เว้นสัมผัสของรูปกับนามแล้วจะมีเวทนาให้เป็นตำแหน่ง(ฐาน)แห่งการปฏิบัติคือ
สติปัฏฐาน 4(ฐานแห่งการปฏิบัติ หรือตำแหน่งแห่งการปฏิบัติ) ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติโลกุตรธรรมหลักแรกของโพธิปักขิยธรรม 37นั้น ก็ไม่เป็นฐานที่จะมีได้..ไง
            เมื่อมีกายแล้วจึงจะปฏิบัติทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ที่เป็นธรรม 2(เทฺว ธัมมา)นั้นเองให้เป็นหนึ่ง(เอก)อย่างสำคัญวิเศษ(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอดสโมสรณา ภวันติ) ในภาวะที่มีความรู้สึก(เวทนา) แม้ที่สุดมีภาวะนิโรธ ก็มีความรู้สึก(เวทนา) และมีธาตุรู้ที่ทำงานกำหนดรู้คือ
สัญญาทำหน้าที่กำหนดรู้อยู่อย่างยิ่ง เรียกสภาวะสุดท้ายนี้ว่า สัญญา เวทยิต นิโรธ
            ซึ่งเป็นภาวะที่รู้ยิ่งเห็นจริงในความเป็นนิโรธ
            จะไม่ใช่ดับเวทนาทั้งหมด และดับสัญญาทั้งหมด ให้ดับมืดดำ(กิณหะ)ไป จนเวทนาและสัญญาไม่ทำหน้าที่ แล้วความรับรู้ก็ไม่มีในจิตจึงตกอยู่ในภาวะมืดดำไปหมด ไม่รู้อะไรเลย แล้วถือว่าเป็นการดับ อย่างนี้เป็นความดับของผลสูงสุดของศาสนาพุทธเป็นอันขาด
            แบบพุทธนั้นต้องมีสัญญาทำการกำหนดรู้นิโรธในเวทนา ก็คือ ในเวทนานั่นแหละที่เราปฏิบัติ เวทนา 108 จนกระทั่งมันมีผลอเนญชาภิสังขารซึ่งได้พากเพียรปฏิบัติรักษาผลมา(อนุรักขาปธาน)ด้วยอาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมังจนมีคุณสมบัติถึงขั้นนิจจัง-ธุวัง-สัสสตัง-อวิปริณามธัมมัง-อสังหิรัง-อสังกุปปังนั่นเอง เวทนานั้นมีผลจบสำเร็จสัมบูรณ์แล้ว(เวทยิต)ซึ่งเป็น
ธรรม 2(เทฺว ธัมมา) ที่ได้ปฏิบัติธรรม 2นั้นจนทำให้เวทนาในเวทนาเป็นผลสำเร็จ
            กล่าวคือ เวทนาหนึ่งดับลง(ความรู้สึกนั้นคือทุกข์) แล้วเวทนาที่เหลือจึงเป็นหนึ่งที่สะอาดวิเศษเพราะทำให้เป็นเวทนาที่ปราศจากกิเลสวิเศษยิ่ง(ภวันติ) เรียกว่า ทำให้เป็นเอกสโมสรณาได้สำเร็จจริง(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ) ตามที่พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60
            หรือจะเรียกว่าเอกสโมสรณานี้ว่า เอกัคคตาจิตก็ได้ เพราะเวทนาก็คือจิต หรืออาการของจิตที่เรียกว่าเจตสิกแท้ๆ
            เป็นนิโรธที่แตกต่างกันกับนิโรธที่ดับเวทนาดับสัญญาไปทั้งหมดจนเป็นภาวะดำ (กิณหะ)มืดไม่รับรู้อะไร  อย่างมีนัยสำคัญ เห็ความแตกต่างกันมั้ย?
            แบบพุทธนั้น มีครบทั้งศีล-สมาธิ-ปัญญา-วิมุตติ-วิมุตติญาณทัสสนะที่มีนิโรธของพุทธที่สัมมาทิฏฐิปฏิบัติ จะเป็นนิโรธที่มีจักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง มีทวารภายนอกทำงาน(มีตตาทำงหน้าที่อยู่เป็นต้น)มีธาตุรู้ทำหน้าที่อยู่เต็มๆรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่(มีปัญญา-ญาณ-
วิชชา) รู้เห็นอยู่หลัดๆโต้งๆ(ชานโต ปัสสโต วิหรติ) อยู่ในโลกสว่าง(อาโลก) เห็นแจ้ง(สัจฉิ) นิโรธหรือนิพพานนี้จึงเป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ ซึ่งเป็นนิโรธหรือนิพพานที่มีความรู้ยิ่งเห็นจริงของ
ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กายสัมผัสรู้อยู่โทนโท่หลัดๆมีเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายในครบพร้อม      
            การบรรลุธรรมของพุทธจึงเข้าไปถึงจิตใจถึงขั้นเป็นปรมัตถธรรม เข้าขั้นโพธิปักขิยธรรม อันมีโพชฌงค์ 7 มรรค 8 เป็นแกนหลัก และปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 เกิดมรรคผลไปตามลำดับสั่งลงในจิตเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 ได้จริงตามจริง เข้าขั้นโลกุตรธรรม 37 จึงมีอาริยบุคคล 8และมีโลกุตรธรรม 9 ที่แท้จริง
            ศีลจึงจะเข้าขั้น ศีลที่เป็นอาริยะ และสมาธิก็เข้าขั้น สมาธิที่เป็นอาริยะ ปัญญาก็เข้าขั้นที่เป็นอาริยะ จึงเป็นไตรสิกขาที่สัมมาทิฏฐิ เพราะมีศีลเป็นอาริยะ-อินทรียสังวรเป็นอาริยะ-สติสัมปชัญญะเป็นอาริยะ-สันโดษเป็นอาริยะ(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 125) พิสูจน์ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโกแท้ เป็นเอหิปัสสิโก เชิญคนมาดูมาเห็นได้ ยืนยันอยู่ในโลก ในสังคมคนยุคนี้
            ความเป็นอาริยะของศีลก็ดี ความเป็นอาริยะของสมาธิก็ดี ความเป็นอาริยะของปัญญาก็ดี พระพุทธเจ้าตรัสความเป็นอาริยะของพระองค์ ด้วยการยืนยันว่า ศีลเป็นอาริยะ แม้อินทรียสังวรก็เป็นอาริยะ สติสัมปชัญญะเป็นอาริยะ สันโดษเป็นอาริยะ ชัดเจน ในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ทุกสูตร เว้นสูตรที่ 1 เพราะปฏิบัติกำจัดนิวรณ์ 5 ได้แล้ว ในขณะมีศีล มีการสังวรอินทรีย์ 6 มีสติสัมปชัญะ และมีความสันโดษ คือเป็นคนใจพอ ไม่มักมากอีกต่อไป 
            ซึ่งล้วนปฏิบัติมีทวาร 6 เปิดรับวิถีอยู่พร้อม ไม่ได้หลับตาเข้าไปอยู่ในภพเลย ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดๆ แม้จะอยู่ในทที่สงัด เช่น ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ หรือจะอยู่ใน
ที่แจ้ง ลอมฟางหลังบ้าน และแม้จะอยู่ในภาวะนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้าอยู่ ก็ตาม  ก็ปฏิบัติให้จิตใจไม่มีนิวรณ์ 5 เหมือนกันกับอยู่ในที่ที่มีสัมผัสเป็นปัจจัย ทำงานอาชีพอยู่ หรือทำการงานใดๆอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่ เพราะปฏิบัติศีลสังวรนั้น ผู้นั้นสมบูรณ์ด้วยอาริยศีลขันธ์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ...ชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองอินทรีย์ทั้งหลาย ...ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ...ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ ผู้ใจพอ ไม่มักมากแล้ว ผู้มีใจสงบแล้ว เพราะชำระจิตให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์ 5 ได้ จิตใจก็เจริญเป็นฌาน 1-2-3-4 ไปตามลำดับ 
            ยิ่งในพระไตรปิฎก เล่ม 9 สูตรที่ 1 พรหมชาลสูตรนี้แหละ ก็ยิ่งยืนยันชัดแท้ว่า ผู้ปฏิบัติบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต แล้วตามระลึกขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน(ด้วยการใช้บุพเพนิวาสนุสติญาณนั่นเอง) แล้วหลงงมอยู่กับมิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 นั้นคือ การหลงอดีต 18 กับหลงอนาคต 44 มีแต่จินตนาการอยู่ในภพ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า นั่นคือ มิจฉาทิฏฐิ ทั้ง 62 แท้ๆ
            พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า นิพพานต้องเป็นทิฏฐธรรม หมายความว่า นิพพานต้องเกิดในเป็นปัจจุบันนี้เท่านั้น(ปัจจุบันชาติ) นอกเหนือจากปัจจุบัน ไม่มีภาวะของความเป็นนิพพานในกาละใดๆ ดังนี้เป็นต้น
            อาตมาก็ได้พยายามพากเพียรสาธยาย ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมา ตั้งแต่แรกๆการสาธยายของอาตมา ก็พูดเอง ยืนยันเอง ว่า อย่างนี้ๆเป็นธรรมพระพุทธเจ้า ตอนแรกๆอาตมายังไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก ยังไม่รู้เนื้อความจากพระไตรปิฎก ก็สาธยายไปตามประสาที่ตนเองมั่นใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ๆ ซึ่งไปขัดแย้งกับการสอนของชาวพุทธกระแสหลัก
เมื่อค้านแย้งกันกับสงฆ์หมู่ใหญ่มากขึ้น หนักขึ้นๆ อาตมาบวชได้ 5 ปี ก็เลยเห็นว่าคงอยู่ร่วมกับสงฆ์หมู่ใหญ่ไม่ได้ อาตมาจึงลาออกมาจากสงฆ์หมู่ใหญ่ เป็นสงฆ์อีกคณะหนึ่ง คือชาวอโศก เป็นนานาสังวาส เรียบร้อย สงฆ์หมู่ใหญ่ก็รับรองว่าอาตมาขอแยกออกมาจากหมู่ใหญ่เรียบร้อย เรียบร้อยแล้วนะ
            ตอนแรกสงฆ์หมู่ใหญ่ก็รับรองเรียบร้อย ที่เราขอแยกออกมา ตั้งแต่พ.ศ. 2518 ทั้งรับรองต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ต่อหน้าเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล มีทั้งลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันชัดเจน มากมายหลายหลักฐาน
            แต่แล้วสงฆ์หมู่ใหญ่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทราบ กลับลำ กลับคำ ไปเป็นว่า อาตมากับคณะสงฆ์ชาวอโศกยังไม่ได้ลาแยกออกมา ตามที่เราแยกออกมาเป็นนานาสังวาสบ้าง หรือกลับเป็นว่า อาตมากับคณะสงฆ์ชาวอโศกจะแยกออกไปอย่างนั้นไม่ได้ ถ้าจะแยกต้องสึกหาลาเพศออกไปจึงจะได้ 
            แล้วก็เล่นงานอาตมา โดยรวมกันทั้งสงฆ์ธรรมยุต ทั้งมหานิกายร่วมกันตั้งข้อหาอาตมา
อธิกรณ์อาตมาทางศาสนา ฟ้องร้องอาตมาต่อศาลทางโลก เล่นงานอาตมาทุกทางทุกท่าเท่าที่จะเอาให้หนักที่สุดได้ จนทำให้ประชาชนคนทั้งหลายเข้าใจว่า อาตมาไม่ใช่ภิกษุสงฆ์ของศาสนาพุทธ ถึงขั้นศาลตัดสินอาตมาว่าผิด ด้วยข้อหาว่า อาตมาไม่สึก เพราะออกกฏหมายกันมาว่า มีอำนาจสั่งอาตมาสึกได้ ด้วยข้อหาที่ไม่มีอำนาจจะให้อาตมาสึกได้เลยตามพระธรรมวินัย แต่ไปออกกฏหมายขึ้นมาใหม่ ที่นอกบัญญัติพระพุทธเจ้า ที่ไม่ใช่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า
            อาตมาก็ยอมแพ้ต่ออำนาจที่ใช้กับอาตมาต่างๆ แต่อาตมาไม่ยอมผิดต่อธรรมวินัยเป็นเด็ดขาด แม้ทุกวันนี้ อาตมาก้ยิ่งเกาะติดธรรมวินัยเต็มที่    
            โดยอาศัยพระไตรปิฎก เป็นเครื่องยืนยันอ้างอิง เมื่อาตมาได้พบ ได้อ่านพระไตรปิฎก และใช้พระไตรปิฎก เป้นเครื่องยืนยันผิด-ถูกตลอดมา  จนถึงทุกวันนี้ เพราะศาสนาพุทธไทยยึดถือพระไตรปิฎก ฉบับเดียวกันนี้ ซึ่งอาตมาก็เกรงใจทางเถรสมาคม หรือศาสนาพุทธกระแสหลักมาก และเห็นใจมากด้วย เพราะท่านยึดถือผิดๆตามๆกันมา ซึ่งถึงขั้นสุดยากที่จะแก้แล้ว
            และอาตมาก็จำเป็นต้องพูด ต้องอธิบาย ต้องประกาศ ต้องยืนยันว่า ความรู้ของพุทธกระแสหลัก ของเถรสมาคมและของชาวพุทธส่วนใหญ่นั้นผิด พาปฏิบัติผิด แล้วไปยืนยันกันว่าถูก ซึ่งขัดแย้งกันกับที่อาตมาเชื่อมั่นว่าสัมมาทิฏฐิ แล้วไปว่ากระแสหลักที่มีผู้รู้ครูบาอาจารย์ที่สอนสืบทอดกันมาจากครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ แล้วยึดถือกันอยู่ แต่อาตมาผู้ไม่มีครูบาอาจารย์ เป็นความรู้ที่อาตมาก็ได้ประกาศไปแล้วว่าอาตมารู้มาเอง คือ สยัง อภิญญา ซึ่งเป็นความรู้ยิ่งของตนเองที่มีมาแตเก่าก่อน ชาติก่อนๆ(ปุพพันตะ) เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่ได้เรียนรู้ธรรมของพุทธบรรลุพุทธธรรมที่เป็นอาริยธรรมโลกุตระเหล่านี้มาแล้วแต่ปางบรรพ์ 
            มันก็เลยเหมือนหนูจะไปแสดงพลังอวดเดชอวดศักดาแข่งราชสีห์ อะไรอย่างนั้น ก็ต้องขออภัยอย่างมากจริงๆ ที่อาตมาจะต้องตำหนิความผิด ยกย่องความถูก นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ก็ขอใช้สำนวนว่า อาตมาจะต้องตำหนิแล้ว ตำหนิอีก เพื่อยืนยันความจริง ชีความถูกให้ชัด ดูให้ดีๆ ดูให้ถูกๆในความถูกที่แท้จริง ซึ่งก็คือ ดูถูกแล้ว ดูถูกอีก หมายความว่า ข่มผู้ผิดแล้ว ข่มผู้ผิดอีก เพื่อให้รู้แจ้งรู้จริงความถูก ให้ได้ ให้ดูความถูกอันนี้ๆๆๆๆๆๆ ไม่ใช่อันนั้นๆๆๆๆ ที่คุณทำอยู่นั่นผิด ไอ้ที่เป็นอยู่ ทำอยู่นั้น รู้อยู่นั้น มันผิดนะ! ดูให้ถูก ดูถูกๆ
            การกระหน่ำย้ำซ้ำข่มผู้ผิด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แรงเข้าแรงเข้าฉะ นี้เอง จึงเป็นการดูถูก ดูหมิ่น ดูแคลน  นี้คือ ความจำนนที่อาตมาต้องทำ ก็ทำให้ผู้ถูกดูถูก ดูหมิ่น ดูแคลน ไม่ชอบใจ ก็ต้องขออภัย อาตมาไม่ประสงค์จะทำเลย ลักษณะข่มกัน ที่ทำนั้น ความประสงค์แท้คือช่วยยกขึ้นจากความผิดมาสู่ความถูก ไม่ใช่ดูหมิ่น ดูแคลน เหยียดหยามแต่อย่างใด  
            แต่อาตมาก็เลี่ยงสัจธรรมไม่ได้ ก็จำนนต่อสัจธรรม ต้องยืนยันตามสัจธรรม
            เพราะพุทธกระแสหลัก ชาวพุทธส่วนใหญ่ เกือบหมดทั้งสิ้นกระมัง ไม่เหลืออาริยธรรม หรือไม่เหลือโลกุตรธรรม อันเป็นแก่นสารสาระของศาสนาพุทธกันเลย
            ล้วนปฏิบัตินอกขอบเขตบุญของพุทธ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบุญได้บาปกันทั้งนั้น ซ้ำร้ายเป็นเทวนิยม เป็นเดรัจฉานวิชา สาธยายเดรัจฉานคาถากันเกลื่อนกล่น ในชาวพุทธแท้ๆ แต่งมงายไปกับไสยศาสตร์ ขายหน้าศาสนาพุทธจริงๆ
            อาตมาจึงกลายเป็นคนปากจัด ทุกวันนี้ว่าเขาสารพัด ตำหนิเขาไปหมด ทุกวี่ทุกวัน
อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะศาสนาพุทธมันเสื่อมหนักจริงๆ อาตมาก็ต้องนิคคัณหา ข่มแล้วข่มอีก ไม่มีหยุด ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้ ด้านข่มด้านตำหนิ หรือด้านลดละทำลายอาตมาก็ต้องทำเต็มที่  และด้านยกปัคคัณหา ด้านเชิดชู หรือด้านสร้างเสริมอาตมาก็สั่งสอน
สร้างสรรกันเต็มที่ ไม่มีหยุดเช่นกัน
            ทำงานหนักมาถึงทุกวันนี้ การตำหนิ หรือติเพื่อก่อของอาตมาก็เกิดผลทำให้ชาวพุทธ ได้รู้แจ้งความจริงขึ้นมา อาตมาว่าน่าพอใจ ทำให้ผู้พอมีปัญญาสำเหนียกรู้ หรือเกิดปัญญา ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงทิฏฐิมามีสัมมาทิฏฐิกันมากขึ้นๆ สัมมาปฏิบัติกันมากขึ้น แม้ถึงขั้นสัมมาปฏิเวธ บรรลุอาริยธรรมความเป็นพุทธก็เกิด ก็มีจริง จนกระทั่งเกิดพุทธบริษัท 4ครบ มีอุบาสก
อุบาสิกา มีนักบวชชาย นักบวชหญิง
            แต่ก่อนนี้ มีกันแค่เป็นพุทธศาสนิกชน คือ เป็นชาวพุทธแต่ในนามเท่านั้น เนื้อแท้ยังไกลความเป็นพุทธ อย่างดีกเป็นได้แค่ พุทธมามกะ คือ ขอเข้าถึงศาสนาพุทธ มาศึกษาพากเพียรฝึกฝน แต่ก็ไม่บรรลุสัมมาปฏิเวธ ซ้ำมิหนำบรรลุมิจฉาผล แล้วหลงกันว่าเป็นสัมมาผล พากันหลงเลอะไปกันใหญ่ บำเรอกันเป็นครูเป็นอาจารย์ที่พากันออกขอบเขตพุทธ ออกนอกรีต แต่หลงว่าตนเป็นพุทธ ไปกันใหญ่ บูชาเคารพอาจารย์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดยิ่งกว่าชัดว่า เป็นความเสื่อม 4 ประการ เพราะนักบวชไม่ได้บรรลุวิชชา 8 จรณะ 15 ตามที่มีในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 163-166 อัมพัฏฐสูตร อย่างน่าสงสาร สังเวชใจ
            ส่วนความพยายามของอาตมาก็ปัคคัณหาติ ส่งเสริม เชิดชู หรือด้านสร้างด้ารสรร อาตมาก็ทำมาเต็มที่ ก็เกิดผลมีพุทธบริษัท 4สำเร็จ มีอุบาสก-อุบาสิกา-นักบวชชาย-นักบวชหญิง ที่เป็นพุทธบริษัทจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นพุทธมามกะเท่านั้น นั่นคือ มีผู้มีศีล-มีสมาธิ-
มีปัญญา-มีวิมุตติ-มีวิมุตติญาณทัสสนะ อันเป็นอาริยะกันจริงๆ เป็นโลกุตระกันแท้ๆ
            ไม่ใช่มีแค่พุทธศาสนิกชน และพุทธมามกะ 4ที่เป็นมีอุบาสก-อุบาสิกา-
นักบวชชาย-นักบวชหญิง ที่เป็นพุทธบริษัทจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นพุทธมามกะเท่านั้น นั่นคือ เป็นผู้ขวนขวายพากเพียรมีศีล-มีสมาธิ-มีปัญญา-มีวิมุตติ-มีวิมุตติญาณทัสสนะ แต่เป็นมิจฉาศีล-มิจฉาสมาธิ-มิจฉาปัญญา-มิจฉาวิมุตติ-มิจฉาวิมุตติญาณทัสสนะกันเท่านั้น            
            45 ปีผ่านมา มีปรากฏการณ์ดังกล่าวมาแล้วนั้น มีตัวตนบุคคลยืนยันได้ แม้ถึงขั้นบุคคลในปัจจุบันนี้สามารถเข้าถึงความเป็นอรหันต์ ดังที่ได้ยืนยันกันมาแล้ว
            แม้แต่ภูมิอรหัตผลหรืออาสวะบางอย่างสิ้นไปก็มีบุคคลสามารถปฏิบัติ และทำให้ผลปรากฏในตนได้ปัจจุบันชาตินี้จริง ในหมู่ชนชาวอโศกก็เป็นได้จริง มีได้จริง 
            3) กระทั่งเกิดสังคมชาวอโศก ที่เป็นพุทธบริษัท 4แท้จริง มิใช่แค่พุทธมามกะ หรือแค่พุทศาสนิกชนเท่านั้น
            แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ชื่อว่านวัตกรรมของโลกยุคนี้ คือ เกิดคุณสมบัติของสังคมคนที่เป็นอยู่กันได้ถึงขั้นสาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า ที่ยิ่งกว่าคุณสมบัติของสังคมคนที่ เทอมัช มอร์ จินตนาการขึ้ นชื่อว่ายูโทเปีย นั้นเสียอีก (ขยายความต่อไปตามควร)
            4) ปรากฏการณ์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง (ขยายความต่อไปตามควร)
            5) นำอาริยธรรม ที่เป็นโลกุตระขั้นลึกล้ำถึงปรมัตถธรรม มาสาธยายได้อย่างสู่วงกว้าง และสามารถรับรู้กันได้ อย่างไม่เคยมีมาก่อน (ขยายความต่อไปตามควร) 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:02:06 )

581108

รายละเอียด

581108_ทำวัตรเช้ามหาปวารณาครั้งที่ 33 สาธารณโภคีคือลัทธิอันยิ่งใหญ่

พ่อครูว่า…. วันนี้วันที่ 8 พฤศจิกายน 2558 แล้ววันนี้ก็วันสุดท้ายของงาน วันนี้วันอาทิตย์ เป็นวันเกิดของชุมชนปฐมอโศก จะยึดเอาวันอาทิตย์ประมาณนี้แหละ  พอถึงวันอาทิตย์ของช่วง นี้โดยวันเกิดของปฐมอโศก ไม่ได้กำหนดเป็นตัวเลข ได้กำหนดให้วันอาทิตย์ของงานมหาปวารณา จะเป็นวันสุดท้ายของงาน

         เมื่อวานก็เทศน์ตอนเช้า 3 ชั่วโมง ตอนสาย 2 ชั่วโมง จนถึงเย็นก็ไปนั่งดูเขาแสดง ก็รู้สึกว่าไปได้ ไม่ได้เปรียบได้โหยอะไร  ก็เลยถามกันว่าไม่เมื่อยหรือ อาตมาก็ว่าเมื่อยข้อเสียกันอย่างไร

         ความเมื่อยมี 2 แบบ

1 เมื่อยแบบแรงหมดไม่มีแรงไปทำอะไรแล้ว นี่คือไม่แท้

        อันที่ 2 ถึงมันไม่ค่อยอยากจะทำมันเบื่อเบื่อแต่มันยิ่งไม่มีใหญ่อันนี้ สำหรับอาตมา โดยเฉพาะทำงานส่วนที่จะต้องโอภาปราศรัยกับพวกเรา  บรรยายธรรมะปรมัตถ์ ให้แก่พวกเราหรือไม่ได้จะลงลึกอยู่ด้วย

         ธรรมะเป็นของวิเศษที่มนุษย์ควรรับรู้และรับเอาไว้ใส่ใจ เป็นของมีค่าก็ควรรับเราพยายามเอา คนไม่รู้ก็งงไม่เห็นค่า ยิ่งเป็นของฟรีด้วย และไม่มีวินาทีใด ที่ไม่ควรจะเผยแพร่ธรรมะ

        งานนี้ปีนี้ที่เมื่อยหน่อย ที่ตั้งใจเพียรทำก็คือ เขียนหนังสือเล่มนี้ เห็นตั้งแต่ 25 เมษายน มาถึงบัดนี้ 6 เดือน ที่จริงก็ไม่ใช่จะเขียนนานขนาดนั้นหรอก เขียนเมษายนเสร็จ 18 ตุลาคม  ก็ไม่ได้เร่งเท่าไหร่ ทำงานเฉพาะหน้า นักเขียนเล่นเอาจริงๆ ก็เดือนสิงหาคม ต้นเข้าพรรษา ก็ช่วยกันอ่านดูเผื่อจะมีประโยชน์

         เขียนด้วยความรู้สึกที่ มันจะต้องเขียน อาตมาเห็นมหานิทานสูตร  ก็เห็นว่าคนเรามีเรื่องราวนิทานในโลก คนเดียวก็มีเรื่องราวมากมาย  ยิ่งมีหลายคนก็เป็นนิยายของโลก เป็นนิทาน นวนิยายของโลก  เกิดกับคนกับสัตว์ สรุปลงไปแล้วจะไปนึกถึง พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าตรัสทิฏฐิ 62 ที่ท่านไขความเรื่องโลกกับอัตตา

        พระพุทธเจ้าไขความเป็นมนุษย์ตรงนี้สอนคนให้รู้เรื่องโลกกับเรื่องอัตตา ที่เกิดนิยายเรื่องมากมายเพราะมีกิเลสมีกามมีตัณหา 3

         ถ้าพระพุทธเจ้าไม่มาเปิดเผยไม่มีหรอกตัณหาข้อที่ 3 คือวิภวตัณหา กล้าพูดได้เลยว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติ วิภวตัณหาไม่เกิดหรอกในโลกและใช้อยู่มีนิทานเรื่องราวไปอย่างนั้นหมุนเวียนกันไป สมบัติผลัดกันชมสมแค้นสมรักหมุนเวียนไปเช่นนั้นตลอด  ผู้หญิงผู้ชายเกิดแล้วเกิดอีกเกิดอีกเกิดแล้ว ไม่มีการพรากจากกันง่ายๆเป็นนิทานติดต่อเชื่อมโยง อาจจะเกิดวิบากไกลหน่อยแล้วเวียนมาแล้วก็เพิ่มจำนวนขึ้น คนคนหนึ่งมีคู่วิบากเริ่มต้นตั้งแต่คู่หนึ่งเป็นร้อยคู่พันคู่หมื่นคู่แสนคู่ เป็นวิบากเกิดแล้วกี่ชาติกี่ชาติ มันไม่มีทางที่จะสิ้นสุดเพราะไม่มีวิธีที่จะหรี่ลงไปหรือลดลงไป ถ้ามันไม่รู้จักทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่จะตัดภพตัดชาติ ตัดสิ่งที่จะต้องหยุดแค้นหยุดรัก หยุดอยากได้ หยุดไม่อยากได้ มันจะเป็นเช่นนั้น มันจบความอยากได้มันก็จะมีแต่เจตนามุ่งหมาย

         พีชะหรือพืชไม่มีความสัญญาอยากได้ ดำเนินโดยอัตโนมัติของมัน  ความเป็น self ความเป็นของตนเองเมื่อก่อตัวเป็นชีวะมันก็ทำเพื่อตัวเอง สร้างตัวเองแต่ไม่เบียดเบียนใครไม่ทำร้ายใคร ก็ไม่มีคู่ต่อสู้อะไรกับใครเป็นพลังงานชีวระดับคลื่น พอมาเป็นชีวะระดับสัตว์ เริ่มต้นยุแยงทำร้ายทำลายเป็นวิบาก พอเริ่มต้นเป็นสัตว์จะมีเวทนามีวิบาก แล้วก็จะมีความรู้สึกอารมณ์ ดูดหรือผลักให้แก่ตน เริ่มตั้งแต่ selfish เป็นตัวกูของกูก็มี action reaction ก็มีตัวมึงของมึงเกิดขึ้น เป็นสภาพของ reaction สะท้อนไปสะท้อนมา เกิดนิยายของโลกขึ้นทันที

         พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่มีนิยาย สัตว์โลกเริ่มมีนิยายเรื่องนิทานมีชาดกตกตะกอนเป็นวิบาก วิบากคือคลังแห่งเรื่องนิยายที่ไม่รู้จบ

 

        คั่นรายการ ด้วยประชาสัมพันธ์ ใครจะจัดโรงบุญมังสวิรัติ 5 ธันวาฯ  แจ้งที่คุณใบแก้ว ชาวหินฟ้า อยู่ซอยนวมินทร์ 65 และ และเขาเอาชื่ออาตมาไปเป็นเจ้าบ้าน เป็นบ้านเลขที่ 65/1  มีลูกหลานอยู่ในนั้นเยอะไม่รู้กี่ร้อยคน  ให้ส่งเบอร์โทรฯ 65/1 ซอยเทียมพร ถ.นวมินทร์ 44 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม โทรฯ 081 391_2449 091 287​8_449  ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงในวันพระราชสมภพ

       

         ตอนนี้ที่บ้านราชข้าวสุกแล้ว  หมายถึงต้นข้าวมันสุกมันแก่  ถึงขั้นจะต้องเกี่ยวกันแล้ว คนที่อยู่ทางโน้นก็เกี่ยวกันไปบ้างแล้ว  ถึงจะช้าไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะร่วงเสียของลองติดต่อดูอะไรที่คิดว่ามีน้ําใจจะไปช่วย ผู้ใดมีความรู้ความชำนาญช่วงเวลาไหนจะนับลงแขกกันถ้าลงแขกและจะสนุก

 

        งานพวกเรา อาตมาภูมิใจ ที่สามารถสร้างสังคมที่เป็นสังคมสามัคคี สามัคคียะของพระพุทธเจ้า  เป็นความสำเร็จของคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นความสามัคคีระดับญาติแท้เป็นญาติจริงๆ พึ่งแก่พึ่งเกิดเพื่อนเจ็บเพื่อนตายกันได้จริงๆ  แล้วไม่ใช่แค่ญาติในตระกูลอาจจะเป็นญาติสายเลือดรวมกันแล้ว จะรวมญาติกันได้อย่างมากก็เป็นพันคนหนึ่งตระกูลจริงๆ แต่ของเรามากกว่านั้นถ้ารวมกันจริงนั้นมากกว่าพันแน่นอน เป็นหมื่นไม่รู้จะถึงแสนไหม  ตอนอาตมาตายไปจะมีถึงแสนหรือเปล่านะงานศพอาตมา  คือว่าญาตินี้ไม่ใช่มาชั่วคราว  จะไปมาหากันแน่นอนถ้าเป็นญาติ  ถ้าจะเป็นญาติก็ยิ่งกว่ามิตร จะไปมาหากันหรืออยู่ด้วยกันจนเกิดถึงตาย  ญาติแท้แท้ ดูแลซึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้

         เกิดจากจิตใจ ที่ตัดช่องว่างความเป็นคนอื่น ถึงขนาดว่าใช้เงินกระเป๋าเดียวกันกินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันกินใช้ด้วยกันทำมาหากินสร้างสรรค์มีอะไรก็มีเหมือนกันทุกคนก็เป็นเจ้าของเหมือนกัน  แต่เราเรียนกันแล้วว่าไม่ต้องไปยึดเป็นตัวกูของกูก็ลึกซึ้ง  อาตมาพาทำแล้วในยุคนี้ถึงขนาดเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน ก็ไม่ใช่อย่างนี้ อย่างของทางจีนเค้าเป็นกงสี อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่กินใช้ส่วนกลางจนถึงกว่าจะตายเลย  ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าเพราะเป็นกงสีใหญ่มาก ไม่ใช่กงสีเฉพาะญาติเท่านั้น แผนที่กงสีรวมทั้งหมด ร่วมสายเลือดต่างๆกันได้ด้วยจิตวิญญาณเป็นหนึ่ง  เป็นปรากฏการที่เกิดได้ในยุคนี้ที่กงสีของจีนก็แตกสลายหรือมีน้อยแล้ว แต่เราทำขึ้นได้  พิสูจน์มาแล้ว 40 ปี

        รวมกันได้เพราะอะไร เป็นได้เพราะทฤษฎีของพระพุทธเจ้า  เอามาฝึกฝนขัดเกลากิเลส ขัดเกลาตัวจิตที่เป็น มโนปุพพังคมาธรรมา มโนเสฏฐามโนมยา   จิตเป็นประธานแล้วเกิดได้สำเร็จเช่นนี้ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่  อาตมาจะเป็นคนก่อตั้งต้นจุดที่จะให้เป็นเช่นนี้เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย และพอเราได้ศึกษาเล่าเรียน จนกระทั่งคุณเปลี่ยนมาเป็นญาติอาตมา มาเป็นลูกเป็นหลานจริงๆ มันเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง จริงๆ

         สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ของโลกมนุษย์ เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่มาก ของสังคมโลกที่เขาต้องการความรวมกันเป็นสามัคคียะ ต้องการอย่างที่พวกเราเป็นได้ที่เขาจะรวมอาเซียนยุโรปเขาก็รวมกัน  ก็พูดกันไปทำกันไปแต่เขาไม่รู้จักทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถ้าเอาอันนี้ปักหลักเป็นทฤษฎีหลักของชีวิตของแต่ละประเทศ มีหลักสูตรเลย

         ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นสัจจะของชาติ  แต่มีความเสื่อมของศาสนามากแล้วแต่ก็ยังไม่สายเกินไป  โดยเฉพาะอาตมาถ้าทำกับสังคมไทยเกิดขึ้นแล้ว ขนาดฝรั่ง บาทหลวง อัลฟองโซ  เขามาพูดก็ยังมองเห็นเลย อธิบายพูดได้ชัดเจนนอกจากนั้นก็พวกเราไปสัมภาษณ์มาออกความเห็นของผู้ที่มองสังคม รับรู้ในสังคมอยู่ก็มาประกาศ เป็นการรับรองทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่อาตมาเข้าใจเป็นทิฏฐิของอาตมา แล้วมาเปิดเผยแนะนำให้พวกเขาปฏิบัติจนมีผลจริง

         สิ่งรับรู้กันไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในไทย เพราะเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่อเมริกา มีหน่วยงานที่รับหนังสือของเรา เมื่อเราไม่ส่งไป เขาก็ ท้วงมาให้เราส่งไป  เพราะคนเราแสวงหาสิ่งลึกลับสิ่งวิเศษ  สิ่งนี้มันไม่สนหรอกจากนี้ไปมันจะต่อไปอีกจนกระทั่งถึงจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพุทธ  ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจะเจริญขึ้นไปอีก จนกว่าจะถึง 500 ปี  เจริญขึ้นไปถึง 500 ปีก็สูงสุดแล้วก็เริ่มลดจะไปแล้วก็จะเสื่อมลงเป็นธรรมดา สุดท้ายก็หมดสิ้นก็หมดสิ้น ก็หมดทฤษฎีนี้เนื้อหานี้หมด

         แต่เราก็ไปช่วยอะไรไม่ได้เพราะถึงวาระนั้นแต่วาระนี้เรามีชีวิตอยู่ก็ช่วยกันพยายามรังสรรค์ชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะตัวเรามาร่วมด้วยเราก็มีชีวิตดำเนินไปด้วยกันจะเดินไปด้วยกัน พัฒนาไปด้วยกัน ตั้งอกตั้งใจพากเพียรเพราะทุกวินาทีที่มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกแล้วมีสติสร้างให้เกิดสติสัมโพชฌงค์แล้วจะเกิดสติสัมมาสติขึ้นได้เป็นผล โดยการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นี่คือสติ 3

         สติ  3  สื่อการปฏิบัติสติตลอดตามมรรคมีองค์ 8 ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติให้มันเจริญแล้วก็จะเกิดผลสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าเราทำถูกเรียนรู้ถูกแล้วสมาธิก็เกิดจริงเป็นจริงผู้ที่รู้ก็ปฏิบัติตลอดเวลามีสติเราก็พยายามให้มีสติทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก อานาอาปานะ  ให้มีสติเช่นนี้แหละ

         สติ 3 คือ 

1 สติในมรรคมีองค์ 8

2 สติ ในสติปัฏฐาน มีสติเสมอโดยปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ย่อลงมาที่กายเวทนาจิตธรรมเป็นหลักสูตรยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า

        3 สติสัมโพชฌงค์

         สติตัวต้นของสติปัฏฐาน 4 ในโลกุตระ 37  เป็นองค์แรกของโลกุตระ  ผู้ที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ ก็สามารถปฏิบัติ เป็นทฤษฎีใหม่เป็นชีวิตใหม่ เป็นคนสร้างนิยายใหม่ สร้างนิยายให้ตนสร้างนิยายให้สังคมสร้างนิยายให้โลก  เพราะการเรียนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการเตือนให้เป็นประโยชน์ตนและเป็นประโยชน์ท่านจริงๆ  วันๆหนึ่งเกิดการพัฒนาชีวิตยังไม่ได้ปล่อยให้เป็นยถากรรมเหมือนปุถุชนหลงใหลไปกับโลกธรรม  ลาภยศสรรเสริญกามและอัตตา  ดึงเราไปเป็นทาสของโลก เพราะเราไม่ทันโลกไม่เหนือโลก  อยากได้ลาภยศสรรเสริญมาเป็นตัวตนตลอดกาล ปุถุชนไม่ได้ศึกษาก็เป็นอวิชชาตลอดไม่มีทางหลุดพ้น

         โลกุตระคือการหลุดพ้นจากกระแสโลก นิยายของโลกที่ไม่รู้จบ  ถ้าไม่รู้ก็จะสร้างคู่รักคู่แค้นไปอีกตลอดกาล  คำว่าคู่รักคู่แค้นไม่ใช่เรื่องสั้นๆแคบแคบ คู่ที่จะรวมลาภ   ไม่ได้รวมกันแท้หรอกแต่มันเอามาให้ตัวกู

         เรามีครอบครัวก็ร่วมกันในครอบครัว ก็แบ่งกันกินใช้ในครอบครัว  เป็นญาติกันก็มีสาธารณโภคีในญาติกัน  จีนอยู่เขามีครอบครัวเป็นกงสี  แต่มันจะแตกแยกไปเรื่อยๆ  แต่เราเป็นสาธารณโภคีจะรวมกันได้เรื่อยเรื่อย มีมากขึ้นแต่ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน  แต่ถ้าคนไม่ได้ศึกษาอันนี้อย่างบิลเกตต์  พอตายไป ก็มีอันนี้อยู่ในสัญญาชาติหน้าก็จะพากเพียรเพื่อแย่งเอาของกูคืนมาเอาของกูคืนมา  หรือทักษิณก็ตาม ตายไปชาติต่อไปก็จะเอาของกูคืนมา เป็นคู่รักคู่แค้น

         แต่จริงๆแล้วลูกของพ่อของแม่เวลาพ่อแม่แบ่งทรัพย์สมบัติ ต่างคนลูกเต้าก็มันอยากจะให้คนอื่นได้มากกว่าตัวเองไหม  นี่คือสัจจะนะคิดให้ดีๆ  แต่ละคนจะแย่งกันแล้วบอกว่าทำไมให้ตัวเองน้อยกว่าคนอื่นจริงๆทุกคนมีตัวกูของกูทั้งสิ้น

        ศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าเพื่อให้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ มาลดละอาสวะอนุสัยของตนก็จะไม่ยึดเป็นตัวกูของกู ผู้เป็นสมาชิกชาวอโศก สมบัติคุณมีไม่น้อยหรอก สมบัติชาวอโศกเป็นของเราทุกคน จะกินอยู่ที่ไหนมีทั่วทิศเลย มีบ้านช่องเรือนชานข้าวของไปกินไปนอนได้หมด แต่จิตของคุณไม่คิดเป็นตัวเป็นตนตายไปก็ไม่มีวิบากชาติหน้าก็ไม่ต้องมีการไปเอาของกูคืนมาของกูคืนมา แต่ปุถุชน มีแต่จะแย่งกันเป็นตัวกูของกูตลอด แม้แต่สามีภรรยาก็มีตัวกูของกู ที่ว่ากระเป๋าเดียวกันก็ไม่จริงหรอก ถ้ามาล้างอาสวะอนุสัย เป็นอนาคามีเป็นต้นไปถึงไม่มีตัวกูของกูได้ระดับหนึ่งล้างถึงรากเหง้าได้

        มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าตนได้เปิดเผยสัจธรรมตัวลึก ใครฟังตรงนี้จะเข้าใจ คุณอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม

        ไม่ได้พูดไปเมื่อกี้นี้เป็นนัยยะลึกซึ้ง ไปทบทวนดูดีๆถ้าชีวิตนี้เราได้ปลดปล่อยอาสวะอนุสัยนั่นแหละชาติของคนจะได้ลดลง  ตัวกูของกูจะได้ลดลงจะได้ลดความยึดถือเป็นตัวกูของกู จะอยู่ในโลกอย่างไม่มีคู่รักคู่แค้น มีแต่ความสัมพันธ์ ช่วยเหลือเกื้อกูลสร้างสรรให้แก่โลก เป็นสัจจะของความเป็นโลกความเป็นอัตตาที่ลึกซึ้งจริงๆ

          ความเป็นโลกคือความสัมพันธ์กันอยู่ ส่วนอัตตาคือความเกี่ยวเกาะกัน ไอสไตน์เจอสูตร E=mc2  ซึ่ง E คือความเป็นกาย  mc คือรูปกับนาม  เมื่อรูปกับนามทำปฏิกิริยากันเข้าก็เกิดพลังงานคือ Energy เอกภพเกิดจาก Energy รวมกันเป็นแกนกลางทด้วยมวลทั้งหมดคือ m  ความเร็วของแสงคือ c  นี่แหละ คนคนหนึ่งก็มีมวลของตัวเองคือรูปกับนาม  ส่วน c คือพลังงานจิต

         มีความเร็ว 2 แบบคือความเร็วที่เอามาเป็นตัวกูของกูกับความเร็วที่เอาไปให้โลก  สำหรับวัตถุไอน์สไตน์รู้ความเร็วของแสง สําหรับจิตนั้นเร็วกว่าแสง  แน่นอนจะช้ากว่าแสง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษา  แล้วความเร็วที่ว่าเกิดปฏิกริยาทำงานเท่าที่มันมีดีกรีของมัน แล้วเกิดการสังเคราะห์ให้เป็น E เสมอ  เป็นพลังงานหมุนเวียนกันในโลก มีวงจร 123  และหนึ่งสองสาม  ไปเรื่อยเป็นพลังงานที่เป็นหนึ่งหน่วย แล้วขยายไปเป็น relative relation อยู่ในมหาจักรวาลนี้ 

ตั้งแต่จิตวิญญาณ 1 หน่วยที่เป็นจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งเป็นมนุษยชาติของสัตว์โลก ตั้งแต่พัฒนาเป็นสัตว์มนุษย์ แล้วมนุษย์ที่เร็วสุด ดีสุด จบที่มนุษย์นี้ในมหาจักรวาลนี้ มีพลังงานสัตว์ ที่เป็นตัวปฏิกิริยาใหญ่ของมหาจักรวาลก็คือมนุษย์ เป็นพลังงานที่รวมไว้ที่นี่ คือสัตว์จนพัฒนาเป็นมนุษย์

         มนุษย์สามารถรู้โลกสามารถดับโลกได้ ไอสไตน์ทำระเบิดปรมาณูเป็นพลังงานที่ทำได้ขนาดหนึ่ง พลังงานที่จะทำลายได้ยิ่งใหญ่ พลังงานอรหันต์ขึ้นไปทำลายได้ยิ่งกว่า little boy แต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นอีก เพราะเขากลัวกัน แต่อีกหน่อยก็มายิงเอามาทิ้งกันอีก เขาซุกซ่อนกันในหลายประเทศ  สักวันหนึ่งก็ต้องออกมาใช้จนได้

         อาตมาอธิบายได้ไม่เก่ง แม้พระพุทธเจ้าก็บอกว่าพระมหากัจจายนะสาธยายได้เก่งกว่าท่าน อาตมารู้ว่าใครมีแนวไหนที่อธิบายได้ เก่งอย่างไรก็มีความรู้ส่วนตัว แต่จะสื่ออย่างไรจะต้องมีความสามารถในแต่ละคน ที่ต้องมาเรียนรู้ในแต่ละคนแล้วจะสื่อให้คนอื่นได้ดี

       

         มีผู้เขียนมา เพื่อยืนยันความเป็นญาติของญาติธรรมเรา ในงานนี้ในบางมุม ก็เสนอความเห็น  อาหารก็มีญาติธรรมอย่างนักเรียนบ้านราชฯ ยืนยงเสียสละตลอดงาน  เรื่องขยะก็มีญาติจากสันติอโศก มาขวนขายขมีขมันเก็บงำอย่างชำนาญ  ทำให้งานที่ดูเหมือนยุ่งยากก็เบาขึ้นมา  กราบขอบคุณพ่อครูที่ได้สร้างสังคมที่งดงามให้กับมนุษยชาติ

         ดูเหมือนเป็นมุมเล็กๆน้อย แต่ว่าน่าภาคภูมิใจที่เราไปจัดงานที่ไหนเสร็จงานแล้วเราก็มีวัฒนธรรมเก็บหาง  เรารู้ความหมายว่าเก็บหางคืออะไร  คือมันมีอะไรรุ่มร่ามก็เก็บให้เรียบร้อยสะอาด

         จุดสำคัญให้เห็นแนวลึกของชาตินี้ชาติหน้า ถ้าผู้ใดได้ล้างอนุสัยอาสวะความยึดติดเป็นตัวกูของกูเข้าใจชัดขึ้น มันต้องล้างออก คนที่ไม่เข้าใจเรียนรู้ทฤษฎีหลักว่าตัวจิตอาสวะอนุสัยเป็นตัวหลัก  ถ้าไม่เรียนรู้ ความยึดความผิดจริงๆว่ามันเป็นจริง มีพลังงานดูดเป็นตัวกูของกูอะไรก็กูหมด  ทุกวันนี้แต่ละชาติแต่ละประเทศก็จะเป็นมหาอำนาจล่าอาณาจักรมาแต่ไหนแต่ไหน เป็นนิยายของโลกที่เป็นตัวกูของกูไม่จบไม่เลิก  แต่พระพุทธเจ้ามาสอนคน คนไหนเป็นอรหันต์คนไหนลดละมาเป็นโสดาบันก็ลดละอบายภูมิ  สูงขึ้นมาก็ลดกามคุณ  ลดรูปราคะ อรูปราคะต่อไปอีก

        ผู้ได้ปลดปล่อย ล้างอาสวะอนุสัยแล้วอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

แต่ละชาติแต่ละชาติจนกว่าจะเป็นอรหันต์จะเกิดมาก็ไม่เป็นภัยต่อโลกเลยมีแต่จะมาประสานโลกตลอดกาลและนาน ถ้ายังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน  ถ้ายังไม่ยอมเลิกหน่วยอัตตาตัวตนสุดท้ายนี้  เป็นวิชาการความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ให้เป็นหน่วย 1 ของโลก ที่มนุษย์นี้ มีความรักความดูดทั้งทำลายทั้งสร้างสรรค์

         จิต อรหันต์คือจิตพระเจ้าแท้จริงเป็นผู้สร้างผู้ปรารถนาดีให้แก่โลก จริงๆ  ศาสนาพุทธรู้จักความเป็นพระเจ้าของตัวเองแล้วทำให้ตัวเอง เป็นหน่วยหนึ่งเป็นอณูหนึ่งของพระเจ้าแท้จริงเป็นพระบุตรจริงๆ นี่คือพระบุตรแท้ผู้เป็นอรหันต์คือพระบุตรตัวจริง

         พระบุตรในศาสนาเทวนิยมพระเจ้าเท่านั้นเป็นผู้สร้าง ให้เป็นผู้ประกาศ  แต่ของศาสนาพุทธ เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ขยายความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข  พอเป็นพระโสดาบันก็ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้าแล้ว จบอรหันต์ได้ถ้าไม่ยอมตายก็เป็นพระบุตร เกิดมาช่วยคนอีก แต่ถ้าตายอย่างปรินิพพานแตกตัวไม่เหลือ  แยกธาตุ สลายสิ้น  แยกธาตุ H2O  กว่าจะรวมตัวมาเป็นธาตุน้ำอีกทีหนึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่ก็ไม่เป็นอัตตาเก่าของใคร แล้วก็เป็นอันใหม่เป็นความหมุนเวียนของสสารและวัตถุ กว่าจะมาเป็นอุตุนิยามเป็นพีชนิยาม ก็จะเป็นจิตนิยามสร้างกรรมวิบากก็จะมีธรรมะขั้นอรหัตผล ก็นับชาติไม่ไหว ขยายความถึงตรงนี้ไม่ว่าศาสนาไหนมาฟังอย่างเปิดใจก็จะเข้าใจ  ขออภัยที่พูดเหมือน ยกเหนือศาสนาอื่นพูดเป็นวิชาการไม่ใช่ไปดูถูกศาสนาในไหนไม่ใช่

         คำสอนอันเดียวกันแต่ต่างกันเล็กน้อย ถ้าเข้าใจจะเข้าใจความเป็นอัตตามันหรืออัตตาทางเทวนิยมหรือตัวกูของกู เป็นพระเจ้า แต่คนไม่ใช่พระบุตรไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนประกาศโองการของพระเจ้า

         เริ่มต้นถ้าคุณไม่ใช่โสดาบันคนไม่ใช่ประกาศก ถ้าเป็นโสดาบันเป็นต้นไปก็เป็นประกาศกมีอุตริมนุสธรรม มีโองการของพระเจ้ามีธรรมะมีสัจธรรมที่จะประกาศแก่มนุษย์มาพูดสิ่งดีงามสิ่งควรพูด โสดาบันเป็นต้นไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ช่วยรื้อขนสัตว์ สืบทอดทรัพย์วิเศษของพระพุทธเจ้าคือพระเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ยึดเป็นของท่าน แต่พระเจ้ามีความยึดเป็นของท่านเป็นปรมาตมัน  พระพุทธเจ้าไม่เป็นปรมาตมัน  พระเจ้ามีปรมาตมัน ทุกคนต้องไปรวมกันที่ปรมาตมัน ก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้ามีตัวตนเทวนิยมมีตัวตน

         ผู้ใดเป็นโสดาบันได้ก็เป็นลูกพระเจ้า ผู้ใดเป็นโสดาบันก็เป็นลูกพระเจ้าเป็นต้นไป สกิทาคามีก็ยิ่งใช่ขึ้นอนาคามีก็ยิ่งใช่ เป็นพระอรหันต์นั่นแหละคือประกาศกของพระเจ้า ที่หมดอัตตาหมดอาตมัน มีแต่จะมาช่วยโลก เป็นตัวแทนของพระเจ้าแท้จะเกิดอีกกี่ชาติก็เชิญ  เป็นหลักประกันของชีวิต

         อาตมาภูมิใจที่ 45 ปีที่ผ่านมาทำงานมาเริ่มต้นวันนี้ก็เป็น45 กับอีกหนึ่งวัน อาตมาต้องทำงานให้เกิดทศนิยมที่พอเหมาะ เพื่อให้เกิดพลังงานถ้าไม่มีทศนิยม ก็จะเกิดความนิ่ง และเกิดความเสื่อม  ทศนิยมมีทั้งบวกและลบ ถ้าทำบวกให้สมดุลก็จะก้าวหน้า ความยาวนานที่สุดคือความสมดุลที่สุด ถ้าไม่รู้จักตัวเองทำเกิน ก็จะเสื่อมแต่ทำได้สมดุลอยู่ อาตมาจะพยายาม ให้มีทศนิยมแห่งการเพียรเพิ่มขึ้น แล้วจะอายุยืนแล้วได้งาน

         คนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่โสดาบันจะขยัน เพราะธาตุความขี้เกียจเป็นธาตุอบายเป็นธาตุปุถุชน  สกิทาคามีก็จะมีธาตุความขยันเพิ่มขึ้นอนาคามีก็เพิ่มขึ้น คนเป็นพระอริยะที่ประมาณไม่ดีจะทำงานเกิน ต้องประมาณให้ดีเราจะได้มีทศนิยมที่มีเพียรมากกว่าพักแล้วก็ปรับให้พอดีให้รู้พักรู้เพียรชีวิตก็จะยาวนานทำงานได้สัดส่วนมีแต่ความเจริญเจริญเจริญ ก็จะไปได้ยาวนาน

อาตมาจะพิสูจน์ให้อยู่151 ปี นี้พูดจริงๆ เพราะอาตมาบอกว่าอายุขัยของอาตมาคือ 72 ก็ได้พากเพียร ยิ่งมาถึงวันนี้ก็แน่ใจว่าร้อยปีนี้อาตมาไม่พลาดเป้า เพราะรู้ว่าจะเพียรอันใด  สรุปแล้ว  ต้องขยันเสมอขยันให้เกินไปเอาเวอร์อยากเกิน

         เข้าใจชัดว่านี่คือ 8 อ.ที่แท้จริง แล้วจะเกิดเป็นคนแข็งแรงคนอายุยาวยืนมีคุณประโยชน์มีคุณค่าดีขึ้นดีขึ้น ผู้ที่เข้าเกณฑ์อนาคามีจะหมดความขี้เกียจ  หมดความที่จะเอาโลกมาเป็นตน เหลือแต่ตนเท่านั้นมันอยากล้างตัวตนที่เหลือ ก็จะขยันเพื่อผู้อื่น มันจะเวอร์ ระวัง แล้วคนตีกินก็จะไปถือว่าเป็นอนาคามีก็เลยไม่ขยันให้ระวังเถอะ ต้องรู้จักคำกริยารู้จักอิริยาบถรู้จักตัวตนที่แท้จริงต้องประมาณให้พอดี

       

          โลกทั้งโลกมีการแลกเปลี่ยน มีการแลกเปลี่ยนข้าวของกันและกัน อโศกเป็นการแลกเปลี่ยนขั้นสุดยอดคือแจกฟรี  ถ้ายังไม่ค่อยดีนักก็ขายต่ำกว่าทุน ขายต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไหร่ก็ดีมากเท่านั้น จนกว่าจะแจกฟรี แต่ถ้ามากขึ้นไปหาทุนก็ไม่ดีเท่านั้น จนกว่าจะเท่าทุน  ถ้าเกินทุนก็เป็นลาภแลกลาภทั้งนั้น

         อโศกมีตั้งแต่สิ่งที่แจกฟรี สิ่งที่ต่ำกว่าทุน สิ่งที่เท่าทุน จนถึงสิ่งที่ต่ำกว่าราคาตลาด  เราต้องทำให้เจริญขึ้นเป็นตลาดการค้าพาณิชย์ของโลก  ทฤษฎีการค้านี้เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของบนนิยมไม่ใช่ของทุนนิยมนะ  ถึงอย่างไรคุณก็ไม่เอาทุนนิยมคุณกลับตัวมาเป็นบุญนิยมได้ ระวังเถอะชาวอโศก ใครมีเลือดทุนนิยมที่เป็นเชื้อโรคร้ายยิ่งกว่ามะเร็งยิ่งกว่าเอดส์นะ

         45 ปีมาวันนี้ ก็แค่คล้ายกับสรุปว่ามีอะไรชัดขึ้นอีกเยอะตั้งแต่รู้จักอนุสัยอาสวะ ว่าอย่าพยายามเพิ่มอนุสัยอาสวะที่จะต่อภพต่อชาติ ต่อคู่รักคู่แค้นต่อไปอีก แล้วจะอยู่ในนิยายของโลกนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ฟังเข้าใจไหม  แม้แต่วันนี้ลงรายละเอียดของตลาดอาริยะว่าไปแลกอะไรมาให้แก่ตนเพิ่มขึ้น จนถึงต้องให้ฟรีแจกกันนี่คือทานสุดยอดของบารมีแล้ว อาตมาเคยสรุปไว้ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรดีกว่าการให้ทาน ทานแล้วเกิดอานิสงส์สุดยอด อัตถิทินนัง ไม่ใช่ให้อย่างบูมเมอแรงคือให้แล้วจะเอากลับมาให้แก่ตัวกูของกู  ทำเป็นขว้างออกไป ดีไม่ดีวนเวียนรอบโลกเข้ามาหาตัวเอง ลวงโลกให้ดูเหมือนกับไม่เข้ามาหาตัวเองวนอยู่ข้างนอก  ดีไม่ดีมันละเอียดมากคนอื่นตายไปหลายชาติแล้วก็ไม่รู้ว่าวนเวียนมาสู่พวกที่เป็นนายทุน ทำให้คนอื่นหลงลมว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวกูของกูเลย  เป็นกลเม็ดของตัวกูของกูที่มองยากมาก

        บารมี 10 ทัศ  คือทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน  และเมตตากับอุเบกขา

         เขาพูดบารมี 10 ทัศแค่รอบนอกเกิดแล้วตาย 10 ครั้ง  แต่ของเราทำ บารมี 10 ทัศในรอบของชาตินี้สั่งสมไปเรื่อยเรื่อยเลย

         คำว่าทานเป็นข้อต้นของสัมมาทิฏฐิ ทานไม่มีผลเพราะทำใจในใจไม่เป็น  ให้ทานแล้วแต่จิตใจกลับเอามาให้แก่ตนเพียงตั้งจิตว่าจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้ก็เป็นอนาคตคำว่าจะต้องได้ดีคือตัวกูของกู  คุณมีอาการจิตจะต้องได้ ซึ่งมันยังไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวกูของกูแล้ว

        อัตถิทินนัง  ต้องทานอย่างอย่าไปคิดว่าจะเอาอะไรมาเป็นของเราทำแล้วก็ให้เป็นสมบัติของโลกของทุกอย่างไม่มีอัตตาตัวตนเหลือแม้นิดและน้อย  มีศีลที่จะทำให้เกิดจิตตัวทานตัวปล่อยตัวให้ อรหันต์ทุกองค์ มีแต่ให้กับให้ไม่มีตัวกูของกูอนาคามีก็เริ่มต้นแล้วอรหันต์ที่ไว้ใจได้เลย 

ศีลข้อที่สองก็มี เพื่อที่จะให้เอาตัวกูของกูออก  มีแต่ตัวกูของกูนั้นไม่จบต้องเอาออก เนกขัมมะให้ได้ ปฏิบัติธรรมก็มี ทานศีลเมตตาธรรมปัญญา 4 อย่างนี้

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่เข้าใจเนกขัมมะ ไม่รู้มโนปวิจาร 18 ไม่เข้าใจอาการเคหสิตะ กับเนกขัมมะ  ไม่เข้าใจอาการเอาออกแล้วก็ต้องทำให้ทุกขณะ อันไหนจำเป็น ยังเอา ออกไม่ได้ก็ต้องทำไปแต่คนหมดภาระแล้ว ก็ออกอย่าไปเพิ่มภาระจงปลดปลงภาระ

คนใดสามารถปลงภาระมาสู่ส่วนกลางได้ก็จะดีที่นี่พาปลดปล่อยวาง มีหลักเกณฑ์ทุกอย่างเพื่อให้เนกขัมมะ เป็นอัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง  อัตถิหุตัง แล้วจะทำสุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโก จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่กรรมของเรา คุณต้องทำหลักเกณฑ์ให้สำเร็จให้เป็นสุกต ถ้ายังไม่ถึงกต ก็จะทุกฏ จนกว่าจะถึงสุกต ต้องทำทุกฎให้เป็นสุกต

         ตั้งแต่ทานศีลเนกขัมมะปัญญา ทำแล้วก็จะเกิดวิริยะ ขันติสัจจะ ให้เกิดจริงถึงปรมัตถธรรม  หรือเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์แบบ

         มีปัญญา ที่รู้วงจรของอันนี้ทำได้ก็เป็นวิริยะขันติพากเพียรอดทนสร้างสรรค์จะเกิดสัจจะความจริงของบารมีข้อนี้ที่ติดแล้วเกิดอธิษฐานเป็นรอบ 2 ปัญญาก็จะเกิดจริง ความจริงที่ได้ก็คือจาคาธิษฐานก็คือตัวแท้นั่นแหละ  ก็รวมลงที่ทานคือจาคะ

         อุปสมะ อุปสัมปทา สูงสุดเป็นสมณะเป็นผู้สงบ เป็นผู้สมบูรณ์คำว่าสมณะแปลว่าเสมอในภาษาไทย  เรียกว่าสมดุลเสมอคือวงจรสมดุล   ถ้าเร็วเกินไปไม่พอเหมาะกับเหตุปัจจัยก็ไม่ถูกช้าไปกว่าปกติก็ไม่ถูกต้องสมดุลเป็นอุปสมะ  อุป คือการเกิด  ต้องเข้าใจตัวสภาวะ

        เมตตากับอุเบกขาเป็นตัวสุดยอดพระอรหันต์อยู่ด้วยเมตตากับอุเบกขา  เมตตาเป็นตัวเพียร อุเบกขาเป็นตัวพัก เพราะสมบูรณ์ด้วยบารมี 8  ส่วนบารมี 2 คือผล  เมตตาคือจิตพระเจ้าเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา

         เมตตาคือจิตต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ต้องการให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์ด้วยเป็นสุขแล้วกดอะไร

         กรุณาคือลงมือช่วย เมื่อสำเร็จก็คือมุทิตาก็จบช่วยจนเขาได้ดีก็จบอย่าไปคิดว่าเป็นความดีของเราเป็นงานของเราเป็นอะไรของเราจึงอุเบกขาคือจบ  การทำดีแล้วจะไม่ยึดเป็นตัวของกูนั้นยาก ทำจะช่วยคนก็ยากแล้วนะทำแล้วได้ดีจะไม่หยุดเป็นตัวกูของกูก็ยาก

         อธิษฐานหมายถึงว่าจิตตั้ง  จิตตั้งมั่น จิตตั้งใจ อาตมาจิตสั่งสมให้ตนเองเป็นโพธิสัตว์แล้วตั้งใจต่อ ถ้าย่อหย่อนเมื่อไหร่โพธิสัตว์ก็ไม่ไปต่อแล้ว คุณว่าการช่วยคนเพื่อให้คนไปช่วยคนนี้ยากไหม ถ้าช่วยคนให้เห็นแก่ตัวเราก็เลิกแล้วให้เขามีความรู้ไปเลี้ยงชีวิตไปร่ำไปรวยไปมีอำนาจบาตรใหญ่สร้างอย่างนี้ไม่ยากหรอก  แต่ให้เรียนรู้แล้วไปช่วยคนเราอย่าไป หลงการมีอำนาจบาตรใหญ่ ไปเป็นตัวกูของกูสร้างคนแบบนี้ยากไหม  นี่คือลูกพระเจ้าก็ต้องสร้างแบบนี้ไม่ยากแต่ก็ต้องสร้างเพราะเป็นสิ่งประเสริฐในโลก อาตมาก็เลยตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ต่อยังไม่หยุด

        คนที่เป็นอาริยะขึ้นมาก็จะเข้ามารวมตัวกัน   คนส่งข้อความมาว่าขอบคุณอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อาจารย์เจิมศักดิ์ แม้กระทั่งท่านไพศาล ที่พูดฝากส่งมาว่ากลัวจะมาตายไปแล้ว อโศกจะล่ม ล่มแน่ถ้าอาตมาตายแล้ว ทุกคนก็แยกกันไป มีตัวกูของกูไปตั้งสำนักไหนไหนอีกเป็นสังฆเภทไปเลย ก็ถ้าโพธิรักษ์ตายอโศกก็จะตายไปอย่างสมบูรณ์

         แต่ถ้าอาตมาตายไปทุกคนก็ยิ่งมี สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นปึกแผ่น อาตมาตายลง ถ้ามีนิมิตมีอาการว่าอาตมาตายแล้วทุกคนมารวมตัวกันปึ๊ก  ก็จะเห็นว่าศาสนานี้อนาคตเป็นปึกแผ่นแน่ๆลองดูไหม จะมารวมตัวกันไหมนี่  ตอนนี้ก็เห็นแม้แต่ศิษย์เก่า ศิษย์เก่าของทิดก็มาปวารณาเมื่อวานนี้พวกทิดทั้งหลาย  เป็นบัณฑิตตกข้างคูไปก็มา เป็นเวลานานกว่าจะรวมตัวกัน  มีเด็กที่เรียนจบม. 6 ที่นี่ก็มาปวรณษตัวว่าจะรวมกันที่นี่ก็เป็นนิมิตหมาย เขาตั้งใจของเขาจริงๆคือจิตที่เจริญ ถ้าจิตอย่างนี้มีอยู่เรื่อยเรื่อย แม้แต่ที่สุดเป็นเรื่องลีลาของการชักชวนกันจะไปร่วมกันลงแขกเกี่ยวข้าวที่บ้านราชฯ  เป็นการรวมพลังงานรวมจิตใจอารมณ์พฤติกรรม มันจะเป็นวัฒนธรรม จะค่อยๆก่อตัวเสริมสานกัน อาตมายกตัวอย่างของการตั้งใจจะรวมตัวคืออธิษฐาน

ไม่ว่าจะเป็นทิดทั้งหลายที่รวมตัวกันก็เป็นอธิษฐานหรือว่า ศิษย์เก่าที่ตั้งใจรวมตัวกันก็เป็นอธิษฐาน  แม้แต่ที่เขียนมาชวนไปลงแขก เกี่ยวข้าวก็ไม่เร่งรัดอะไร   144 ไร่  เป็นเลขสวย เป็นรอบ 4 ของ 36  ส่วน 36 ก็เป็นรอบ  มี 36 คูณ 4 เท่ากับ 144 จะเกิดเป็นโดยธรรมชาติแบบนี้

 อาสวะอนุสัยเรื่องปรมัตถ์ไม่ใช่เรื่องเล่นเล่น วันนี้ได้ขยายให้เห็นว่าคนเรา มันไม่ต่อเชื่อมความเป็นนิยาย ความเป็นนิทานของชีวิต มันตัดตรงอาสวะอนุสัยอย่างนี้  ต้องทำให้หมดไปแล้วจะไม่มีเรื่องที่ต้องไปมีเรื่องพัวพันอะไรกับใครอิสระเสรีภาพเกิด ให้เป็นสิ่งสุดยอด จนกระทั่งลงท้ายด้วยการรวมตัวผนึกกันจะเกิดเอกภาพ เอกีภาวะเป็นสามัคคียะที่รวมตัวกันสามัคคีพรั่งพร้อมไม่วิวาทกันแล้วก็มาทำงานเป็นสังคหะสงเคราะห์อนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลโลก ด้วยการเป็นอยู่ร่วมกันเป็นคุรุกรณะ  ผู้ใหญ่ผู้น้อยมีวุฒิภาวะก็ค่อยค่อยแจกจ่ายเผื่อแผ่ให้สมบูรณ์ด้วยความรักกัน เป็นปิยกรณด้วยความระลึกถึงกัน เป็นคุณสมบัติ 7 ประการของพุทธพจน์ 7 เป็นคุณสมบัติสุดยอดของชีวิตแล้วถ้าเข้าใจทำได้จริงอย่างนี้ก็เกิดสาราณียธรรม 6 แน่นอน โลกต่อไปนี้เราจะต้องสร้างลัทธิสาธารณโภคี  หรือระบอบสาธารณโภคี  ให้เป็นสาธารณะที่เป็นหนึ่งเดียวรวมกัน ร่วมกันอยู่ร่วมกันกิน ร่วมกันใช้ ร่วมกันเป็นญาติ ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งโลกนี้แหละ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่เราจะต้องพยายามทำให้ได้และให้ได้จริงที่สุดไปเรื่อยเท่าที่จะทำได้ใครจะช่วยอาตมาบ้างยกมือ…. ขอบคุณทุกคนเจริญธรรม

 

หลังรายการ … มีการมอบธงชัยเฉลิมบุญ​ให้แก่ อาวาสถานต่างๆ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:03:08 )

581108

รายละเอียด

581108_เอื้อไออุ่น โรงเรียนผู้นำ

พ่อครู มาถึงโรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรีในตอนเย็น ของวันที่ 8 พฤศจิกายน 2558  ….. 1 ปีก็ 1 ครั้งได้มาแต่ละปีแต่ละปี ก็จะมาเทศน์ประมาณ 2 กัณฑ์ วันนี้ก็เอื้อไออุ่น ไม่ใช่เทศนาเสียทีเดียวแต่เป็นการคุยกัน โอภาปราศรัยถามไถ่ซักไซ้ไล่เรียงกัน อยากจะรู้อะไรก็มาถามได้

 

_มีคนถามว่า...การบัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญ พ่อครูให้ความเห็นว่าอย่างไร

 

พ่อครูว่า...มันดี ดีมาก การบัญญัติไว้มันดีมาก แต่คนที่เขามีความรู้สึกว่าไม่น่าจะกำหนด แม้จะเป็นชาวพุทธเอง  บางคนก็มีความคิดว่ามันก็ไม่น่าจะไปกำหนดเช่นนั้นคล้ายๆกับว่าเราจะไปรวบรัดหรือคลุมถุงชนไปหมด  ถ้าไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมันก็เหมือนคนอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธไม่ใช่คนไทยเป็นใครก็แล้วแต่  ถ้าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเพราะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธหรือจะออกจากศาสนาพุทธก็ต้องออกจากการเป็นคนไทยหรืออาจจะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้นั้นเป็นความคิดเห็นที่จะเกิดความไม่สงบเรียบร้อย 

ความรู้สึกของคนนั้นเป็นไปได้แต่ถ้าจะไประบุไว้เลยว่าเป็นศาสนาประจำชาติมันดีมากเลยเหมือนอย่างรัฐธรรมนูญระบุว่า พระเจ้าอยู่หัวของไทยจะต้องเป็นพุทธมามกะก็ดีมากเลยแต่คนไทยทั่วไปมีอิสระเสรีภาพหลักหลาย ยิ่งเขาเป็นตระกูลศาสนาอื่นมาด้วยแต่เขาก็ศรัทธาคนไทยอยู่ก็จะเกิดความแตกแยกกันไปบ้าง

 ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคิด แต่มีคนคิดมาแล้วจะเป็นเชิงบังคับ แต่คนที่ชอบอิสระไม่ชอบบังคับโดยเฉพาะศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสระเสรีภาพสมบูรณ์ที่สุด ไม่บังคับ  ไม่มีศาสนาใดให้อิสรเสรีภาพเท่าศาสนาพุทธ  ใครจะเชื่อว่าเป็นพุทธแต่ไม่ปฏิบัติเลยก็ได้ไม่ได้ประโยชน์อะไร ตามคำสอนพระพุทธเจ้าเลยก็ไม่ว่า มีอิสระเสรีภาพโดยเฉพาะทางปรมัตถ์ มันสุดยอดเป็นอิสรภาพเสรีภาพจริงๆ  อิสระเสรีภาพสูงสุดคือพระอรหันต์เป็นเรื่องวิเศษที่สุด ยิ่งเมืองไทยยุคประชาธิปไตย ซึ่งนับถืออิสรเสรีภาพมาแต่ไหน  เนื้อแท้ของประชาธิปไตยซึ่งเป็น พุทธศาสนา  ความอิสระเสรีภาพในทางปรมัตถ์คือผู้หลุดพ้นจากความเป็นอัตตา ในธรรมะสองก็มีโลกกับอัตตา 2 อย่างอื่นรู้ว่าเราไปติดกับโลกอันไหน ลาภยศสรรเสริญ มีกิเลสติดในกามในอัตตาตนเองก็เรียนรู้ลดลงไปให้หมด นั่นคืออิสระเสรีภาพ

       หรือตัวอัตตาเองข้างนอกเรียกว่ากาม ข้างในคือรูปภพอรูปภพ ทุกอันมีอิสระเสรีภาพหมดมันเป็นสุดยอดจริงๆไม่ใช่แค่ปากพูด เพราะถ้าบรรลุแล้วจริงๆจะเห็นอันนี้ชัดเจน เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธกับประชาธิปไตยจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ความเป็นประชาธิปไตยที่โลกนับถืออยู่ ไม่ได้สุดยอดเท่าความเป็นพุทธที่มีคุณธรรมมีความรู้แล้วส่วนใหญ่เป็นปรมัตถธรรม เพื่อประชาธิปไตยที่สุดยอดที่สุดคำว่าพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ  เป็นสำคัญที่ยืนยันว่า ผู้ที่หลุดพ้นแล้วเป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติเป็นผู้ทำให้มวลมนุษยชาติมีความสุขเป็นผู้รับใช้โลกอย่างแท้จริง

      ใครจะสมัครเป็นผู้แทนเป็นสส. รับใช้ประชาชนก็เป็นคนพูดพล่อยๆถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคลเป็นพระโสดาบัน ที่มีเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินเป็นผู้หลุดพ้น ยิ่งกว่าสวรรคาลัย เป็นผู้ที่มีความสุขแบบหลุดพ้นจากสวรรค์หลุดพ้นจากนรก คือยิ่งกว่าสวรรค์ เป็นปรมังสุขัง ไม่ใช่แค่สุขอย่างยิ่งแต่ก็ยิ่งกว่าสุข ยิ่งกว่าสวรรค์

       ยิ่งกว่าธิปไตยใดใดทั้งปวง คำว่ายิ่งกว่าธิปไตยใดใดทั้งปวงคือผู้มีอธิปไตยสุดยอด ยืนยันให้เห็นว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาสุดยอดแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

 

_ สมณะเดินดินถามว่า  ได้มีโอกาสไปชมการปลุกจิตสำนึกผู้นำ ได้เห็นชุดพิเศษของลุงจำลองมีทั้งชุดรับปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์และชุดนักโทษชายได้ฟังอาจารย์นราธิปอธิบายให้ฟังว่า ตอนนี้ลุงเองก็มีคดีเยอะมากมายอีกคดีหนึ่ง เข้าไปเป็นผู้นำบุกทำเนียบฯ ตอนนี้ก็เหลือแต่ศาลฎีกาที่จะออกหัวออกก้อยไม่รู้ว่าจะได้ดำเนินรอยตามคานธีหรือเปล่า

 

ลุงจำลองว่า ผมค้านมาตลอดว่า  หลักสูตรผู้นำท้องถิ่น เขาระบุไว้ว่า จะต้องมีตัวอย่างแบบนี้ก็ได้เอาผมเป็นตัวอย่างอยู่ในห้องนี้เรียกว่าห้องสร้างจิตสำนึก เป็นหลักสูตรของนายกเทศมนตรีอบต. จะต้องมาเรียน ถ้าใครสนใจก็เรียนได้ ปกติอ.นราธิปเป็นผู้บรรยาย

 

      พ่อครูว่า สิ่งที่ควรชมก็ควรชมสิ่งที่ควรติดก็ควรติดเป็นสัจจะ  บางคนเสแสร้งหาเรื่องติดตั้งที่มีสิ่งควรชมเยอะก็มี ส่วนเรื่องที่ต้องติแต่ไม่ติ แต่การไม่ติส่ิงที่ควรติอันนี้สิเลวร้ายกว่า ความดีอยู่ในตัวเรา 1 นาทีก็ไม่เสียหายจะอยู่อีกหนึ่งชั่วโมงหรือตลอดชีวิตก็ไม่เสียหาย ความดีอยู่ในตัวใครก็ไม่ได้เสียหาย แต่ความชั่วอยู่ในตัวเราวินาทีหนึ่ง มันก็อาจจะออกมาเป็นความชั่ววินาทีใดวินาที 1 ตลอดชั่วมันก็พาเราทำชั่ว เราจะชั่วทุกวินาทีคนคนนี้ให้รีบติ ให้จัดการ มันเป็นภัยกับตัวเองและเป็นภัยกับผู้อื่นอย่างยิ่ง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการติ ไม่ใช่ศาสนาแห่งการชม

       ทุกข์อริยสัจเป็นความชั่ว ศาสนาที่มีสัจจะประเสริฐของคนคือต้องรู้ความชั่วความไม่ดีคือเหตุแห่งทุกข์ คือเรื่องของความจริง แล้วต้องรีบกำจัด พุทธไม่เคยสอนว่าจะต้องไปทำความดีอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ใช่หัวใจ  หัวใจของศาสนาพุทธคือการติเตียน ต้องรีบบอกให้รู้ พระพุทธเจ้าว่าความชั่วเหมือนผ้าที่ชุบน้ำมันไหม้ไฟอยู่บนหัวต้องรีบเอาออกนี่คือศาสนาพุทธ คนเข้าใจผิดมาสอนศาสนาพุทธก็เอาแต่ป้อยออันนี้ปฏิบัตินอกขอบเขตพุทธ

      พระพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งควรทำ 4 อย่าง คือ สังคหวัตถุ 4 มี ทาน เปยยวัชชะ สมานัตตตา อัตถจริยา ทานคือการให้คือข้อต้นข้อที่สองคือเปยยวัชชะ เขาไม่เข้าใจเปยยวัชชะที่ลึกซึ้ง  เขาไม่เข้าใจว่าจะต้องทำเปยยวัชชะนี้ให้แก่ตน  ก็เลยเข้าใจว่าเป็นเพียงปิยวาจา  คำว่าเปยยวัชชะ  แปลว่าติดคนให้คนดื่มคำตำหนิได้ วัชชะแปลว่าคำตำหนิตเตียน เปยยะแปลว่าของควรดื่ม  ใครทำคำตำหนิให้เป็นของควรดื่มได้ผู้นั้นคือผู้ทำปิยวาจา ผู้ใดทำคำชมให้ผู้อื่นดื่มได้ ผู้นั้นเป็นเพียงพูด ธุรวาจา เป็นวาจาธุรการ

      ธุรวาจา แปลว่า เป็นธุระอย่างยิ่ง คือเป็นคำไทยว่า ทุเรศ คือ เป็นเรื่องเลวยิ่งใหญ่ (ธุระ+อิศวร)

      ผู้ที่ตำหนิผู้อื่นให้เขาดื่มคำตำหนิได้ ผู้นั้นคือผู้ทำงานศาสนาได้  ให้เขารู้ว่าถูกด่า ถ้าเราติได้ให้เขาดื่มคำด่าได้หรือเทศนาโดนเทศนาก็คือโดนถูกด่าถูกว่ามาผู้ใดรู้ตัวว่าได้ถูกเทศนาผู้นั้นได้รับคำพร คำเทศนาคือคำพร ผู้ที่ให้คำตำหนิเราคือผู้ให้พร ผู้ยกยอปอปั้นให้คำเหล่ายกยอเหล่านี้ คือผู้ให้ธุรวาจา

      อาตมา  เป็นนักติจนคนหาว่าอาตมาปากจัด  คนไม่ชอบหน้าเพราะไม่เข้าใจศาสนาพุทธว่าเป็นศาสนาแห่งการติ อาตมาใช้ศิลปะในการตำหนิมาตลอด 45 ปีโดยตนเองรอดตาย รอดตีนด้วย

       ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธดีมันลึกซึ้งซับซ้อนถ้าเข้าใจอริยสัจ 4 คือแกนหลักคือหัวใจศาสนาพุทธคือการต้องบอกให้คนรู้ความชั่วตำหนิความชั่ว เหตุแห่งทุกข์คือความชั่วไม่ใช่ความดี ฟังให้ชัดๆจะเข้าใจศาสนาพุทธดี  ศาสนาพุทธเสื่อมมากเพราะไม่มีใครกล้าติ  อย่างดีที่สุดก็คือวิจารณ์สิ่งผิดสิ่งถูกได้เก่ง 2 แนว ก็เท่านั้นแล้วอย่าไปว่าใครอย่าไปว่ากระทบใคร จนมีคำสอนโอวาทปาติโมกข์ อนูปวาโท อนูปฆาโต คืออย่าไปฆ่าเขา อย่าไปว่าเขา เลยแปลว่าอย่าไปตำหนิคน ไม่เช่นนั้นผิดโอวาทปาติโมกข์คือกันแปลให้ผิดเพี้ยนไปจากเนื้อหา

       คนทำชั่วเราว่าไปก็ต้องกระทบชั่ว คนทำดีเราว่าไปก็กระทบดี ถ้าพูดไปแล้วไม่กระทบคนดีคนชั่ว ไม่มีใครทำหรอกไม่เคยพบใครเลยเป็นไปไม่ได้ไม่ว่าดีหรือชั่ว

_ถ้าลุงจำลองต้องติดคุกจริงๆจะมีผลต่อสังคมไหมจะทำให้คนดีท้อแท้ใจไหมว่าทำดีไปสุดท้ายก็ติดคุก

      พ่อครูว่า  เอาความรู้สึกเลยว่าประเทศไทยขณะนี้กำลังเข้าสู่กระแสของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความดีงามความถูกต้องคนเลวคนชั่วก็ต้องถูกกำราบถูกปราบปรามก็กำลังทำไปอย่าง หรือว่าทำได้อย่างดีได้ลำดับ smooth มาก  บางอย่าง คนก็ใจร้อนอยากให้ได้เร็ว พูดตรงตรงตั้งแต่มีนายกฯมา 29 คน  ขออภัยไม่ได้อยากชม แต่ต้องพูดความจริง แม้แต่บุคลิกที่นายกฯแสดงออก อาตมาก็ชมว่าทำได้เหมาะสมสมสมัยมากสมยุคต้องใช้ลีลาอย่างนี้  นายกสัญญา ธรรมศักดิ์ก็ได้รับฉายาว่ามะเขือเผา  พลเอกสุรยุทธ์ก็เป็นเต่า มันไม่พอสังคมยุคนี้ต้องฟัง hard rock เขาฟังเพลงธรรมดาไม่ถึงเนื้อเยื่อวิญญาณของคนหรอก ผู้จะมัตตัญญุตา อภิสังขาร ตกแต่งปรุงแต่งท่าทางนัจจคีตวาทิตะ ให้คนรู้สึกเข้าใจแล้วแรงได้ที่ แต่ไม่เป็นเปยยวัชชะ คำหนิให้คนดื่มคำตำหนิได้ กระแทกแล้วคนรับได้ คือศิลปะยิ่งใหญ่ ถามว่าคุณจำลองจะติดคุกไหม

ยุคนี้เป็นยุคที่จะคลี่คลายไปสู่สัจจะก็มั่นใจในกระบวนการยุติธรรม สิ่งดีก็ควรได้รับสิ่งดีสิ่งไม่ดีก็ควรได้รับสิ่งไม่ดี ผู้ที่จะพิพากษาก็ต้องมีองค์ประกอบไปกับยุคกาลด้วย  ยุคนี้กำลังคลี่คลาย อาตมาไม่ใช่หมอดูว่าจะติดคุกหรือไม่ แต่พูดสัจจะธรรมสู่ฟังอย่างนี้

 การติดคุก การถูกทำร้ายสุดท้ายคานธีก็ต้องตายเพราะโดนฆ่า พระเยซูต้องถูกตรึงกางเขน พระโมคคัลลานะทำงานให้กับศาสนาก็ถูกฆ่าตาย เป็นผู้มีฤทธิ์เดชมีความสามารถมากมายก็ต้องตายเพื่องานพระศาสนา มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายการติดคุกไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามบารมี

 อย่าไปเข้าใจง่ายๆอย่างองคุลีมาลฆ่าคน แป๊บเดียวก็เป็นอรหันต์แล้ว เป็นไปได้อย่างไรโจรโหดเหี้ยมฆ่าคนอย่างกับผักปลา และจะไปเป็นอรหันต์ปุ๊บปั๊บมันปลอมแปลงหรือเปล่าโมเมหรือเปล่า เป็นเรื่องเข้าใจยากเป็นเรื่องกรรมวิบากของคน

 อย่างอาตมา คนมองว่ามีความลึกซึ้งทางธรรมยาก  ยิ่งโลกุตรธรรมอริยะธรรมยิ่งยาก ทุกวันนี้ก็พูดตรงๆอย่างไม่มังกุเลย ทำงานศาสนามาก็ 45 ปีก็พูดอย่าง ลัดคัดสั้น 

 

_ ถามต่อว่าอย่างพ่อท่าน สังคมเข้าใจได้ยาก เป็นผู้ปิดทองลำไส้พระ  พระโพธิสัตว์เกิดมาต้องทำอย่างนี้ในบางปาง พ่อท่านมองว่าเป็นประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนาอย่างไร

 พ่อครูว่า...สุดยอดเลยคนจะได้เห็นว่าคนนี้ถูกด่าก็ไม่ทำร้ายไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ตอบโต้เลย เป็นผู้แพ้ตลอดกาลได้ยินดีตลอดกาล ที่จริงไม่ได้ชอบแต่ไม่ได้ยินดีนะ แต่ก็ไม่ได้โกรธไม่เคืองไม่เดือดร้อนใจ  ไม่ใช่ยินดีแบบคนมาโซคิส  ที่ผ่านมาก็เป็นผู้แพ้มาตลอดแล้วจะเป็นผู้แพ้ไปตลอดอีก ทำไมต้องแต่งเพลงผู้แพ้แล้วเพลงนี้ก็ดังแต่งตั้งแต่อายุ 20 ปี อาตมาแต่งเพลงมามากมายอย่างเพลงหมู่มวลดอกไม้มาลีแต่งตั้งแต่อายุ 27 เพลงผกาดั่งนารี  แต่งเอาไว้สอนผู้หญิง

 ในการที่เราจะถูกตำหนิถูกว่าแล้วเขาไม่เข้าใจว่าเราคืออะไรเป็นอะไรแล้วเราจะน้อยใจจะท้อใจจะท้อแท้ใจ แต่เราจะมีอุตสาหะบากบั่น  มันเป็นการพิสูจน์ตัวเราก็พูดตลอดว่าไม่เคยท้อ เราก็รู้ว่าเราเหนื่อยเราก็รู้ว่าเราน่ะแต่เข้าใจว่านี่คือโจทย์ที่เราจะต้องทำ มีแต่เราจะเจริญมากทางจิตวิญญาณ จะเดินทางเร็วแรงอุตสาหะอดทนบากบั่น

สิ่งเหล่านี้ อาตมาเข้าใจจุดนี้ลึกซึ้งซาบซึ้งมาก  ถ้าใครฟังตอนอาตมาบรรยายในวันที่ 7 หน้าสมเด็จปู่ อาตมาสะอื้นข้างในเป็นสัจจะความจริง ที่อาตมาเห็นพระทัยในหลวงอย่างยิ่งจริงๆดูเหมือนไม่ได้พูดจบด้วยซ้ำตอนนั้น  ที่ว่าในหลวงทรงรำพึงกับตัวเอง บอกว่าเราไปทำอะไรกับเขาเขาถึงทำกับเราอย่างนี้ ซึ่งอาตมาสะท้อนใจว่าท่านทำดีขนาดนั้น แต่คนก็ร้ายกับท่านได้คนไม่รู้จักจริงๆ

 ในหลวงพระองค์นี้ทรงบำเพ็ญปางพระมหาชนก ไม่ไปว่าใครจะเห็นได้ตลอดจะให้สัญญาณบอกเรา ใครจะทำก็ทำไม่ทำก็ไม่ว่า  มีที่เห็นท่านซ้ำ เรื่องของความยุติธรรมเรื่องของศาลให้ผู้พิพากษาเข้าเฝ้า ท่านก็ตรัสเช่นนี้จนกระทั่งท่านพูดอยู่ครั้งหนึ่งว่าประเทศกำลังจะล่มจม  แต่ผู้พิพากษาก็ไม่ทำ เรื่องก็เลยไม่จบจนถึงทุกวันนี้แต่ถ้ายุคนี้ถ้าผู้พิพากษาและคสช. ไม่ทำไม่เด็ดขาดประเทศไทยก็จะยาก

ประเทศไทยมีระบบการเมืองที่สุดยอด มีทหารปฏิวัติ นายกฯผู้หญิง ปฏิวัติสวยงามเรียบร้อยที่สุดด้วยแล้วทางพม่า ผู้หญิงก็กำลังจะทำการปฏิวัติทหารลง พูดเอาไว้แค่นี้ เราก็จะเป็นไปจะต้องมีการล้างคือความไม่ดีจะล้างตัวมันเอง

 

_ตอนที่พ่อครูติดคุก อยากให้พ่อครูเล่าให้ลูกหลานฟัง และอีกเรื่องตอนโดนแก๊สน้ำตา

ก็เหมือนกับคานธี หรือแม้พระเยซูต้องถูกตรึงกางเขน เป็นมุมกลับของสัจธรรม แม้สิ่งเลวร้ายที่สุดก็ตาม ก็เป็นอีกมุมหนึ่ง เราทำไปซื่อสัตย์สุจริตเต็มที่ไปเถอะ แต่ว่าก็ประมาณกันยาก ให้ใช้การประมาณจริงๆ อย่าผลีผลามอย่าห่ามอย่าทำอะไรเวอร์เกินไป ให้ลดหย่อนไปว่าอันนี้เราจะทำเต็มที่ในเรื่องใดๆ

 ถ้าค่าของการกระทำอันนี้คนจะคิดเป็นมุมลบอย่างที่พาไปประชุมกลุ่มประท้วงพระสมณะออกไปแนวหน้าเลย ก็จะได้รู้ว่าคนเขาถือสาแล้วเขาไม่ยอมรับแต่ประมาณแล้วทั้งกาละเวลาองค์ประกอบต่างๆนานาว่าสมเหมาะสมควรหรือยังทั้งเราและเขาจึงพากันไปทำ  การไปทำก็ต้องรู้การจัดองค์ประกอบ สุดท้ายก็อาจเกิดความรุนแรงบ้าง ก็ไม่อยากอธิบายอาจเป็นการยั่วยุคน ก็คือ เราไม่ถึงตาย ไปอยู่ยังล่อแหลมกับปืนกับระเบิด ก็มีตูมอยู่ข้างๆไม่ได้หรอกเรื่องอะไรแม้แต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์เขาก็ยิงกันตูมตาม เขามาบุกกองทัพธรรมนะ

 แม้จะต้องรุนแรงอย่างพระเยซู คานธีหรือพระโมคคัลลานะจะต้องตายก็ตามสิ่งที่เป็นสัจจะที่ลึกซึ้งมาก การตายมันกลับดี คอมมิวนิสต์เขาก็เข้าใจว่าตาย 1 จะเกิดแสนไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นเรื่องจิตวิญญาณ  พระเยซูสิ้นพระชนม์องค์เดียวคริสต์ก็ขึ้นเลยทั้งๆที่มีสาวกแค่ 13 คนก็สร้างศาสนาขึ้นมาได้

 อย่างอิสลามมีความรุนแรงก็ไม่อยากพูดเช่นนั้น  สรุปได้ว่าอย่าห่ามอย่าอวดดีจนเกินการณ์ ทำไปเต็มที่ถ้ามันตายจงยิ้มก่อนตายไม่ใช่เรื่องเสียหาย  ผู้จัดถึงคราวตายก็ตายผู้ไม่ถึงคราวตายก็ไม่ตาย คุณจำลองทำดีมากจะตายก็ต้องตายก็ต้องตาย จะต้องถูกติดคุกก็ต้องถูกติดคุก จะไปมีปัญหาอะไรเราผ่านสนามรบมาแล้ว อย่างอาตมาก็ไปแนวหน้า อยู่บนเวทีตอนเขายิงกันก็ตาม แม้แต่วันที่ 18 ก.พ. พูดตอนเขายิงกันก็มี ไม่ได้อวดดี แต่พยายามปรามให้เขาสงบลง บอกตรงๆว่าเป้าหมายของอาตมาที่พาออกไปชุมนุมประท้วงคือต้องการให้เกิดความสงบเรียบร้อย รัฐศาสตร์ต้องมีการปะท้วง แล้วต้องการให้รู้ว่าเป็นหน้าที่ของพระ แล้วพระต้องแน่พอ ถ้าไม่แน่พอก็จะไหล

      มียุคหนึ่งของไทยมีพระชื่อมหาจักรออกไป ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งทำเวอร์อวดดีไม่เข้าท่าไม่มีหมู่ด้วย สมรรถนะสามารถก็ไม่มี แม้เดี๋ยวนี้ก็ตามพระออกมาเรื่องการเมืองก็เห็นอยู่ ไม่เห็นว่าเหมาะก็ทำไป ก็ค่อยๆศึกษา

     

     _ส.เดินดินบอกว่า ได้พบพล.อ.ปรีชา มีโอกาสถามเรื่องสุขภาพ ลุงบอกว่า ตอนนี้ลุงไม่สบายต้องผ่าตัดเป็น ทาลัสซีเมีย ไม่ผ่าตัดก็ให้เลือด แต่ลุงปฏิเสธบอกว่า อยู่มา 80 ปีก็พอแล้ว อยู่ก็อยู่ตายก็ตาย อยู่ก็ทำประโยชน์ได้ก็อยู่ ก็เลยเสนอว่าให้ไปอยู่บ้านราชฯมีเมรุใกล้ๆ เห็นว่าเป็นนักรบตลอด แม้จะตายก็ไม่ต้องรักษาเลย ใจอย่างนี้เป็นเช่นไร

      ตอบ... มันมีความซับซ้อนลึกซึ้งว่าคนที่มีความตัดสินเช่นนี้มีพลังงานของจิตหรือพลังงานที่หมุนเวียนในร่างกายที่เป็นอาการ 32 มันทำงานยังไม่เสร็จเลย อาตมาจะไปบอกคนป่วยให้ทำใจให้มากๆสบายสบาย ถ้าทำจิตได้วาง พลังงานจะช่วยรักษา จิตที่ไม่กลัวตายแล้วไม่ต้องกล่าวอะไรมากให้วางใจทำใจเป็นการรักษาที่เก่งกว่าหมออีก  หากถึงอายุขัยจะตายก็ไม่มีปัญหาอะไร

 

_อยากรู้ความรู้สึกตอนติดคุกของพ่อครู

      พ่อครูว่า การไปติดคุกคนอื่นจะได้รับการดูแลอย่างไรก็ไม่รู้ก็เป็นไปตามวิบาก บางคนไปติดคุกแต่เป็นคนมีทุนทางสังคมแต่เป็นคนที่โดนหนักตอนเข้าพบแต่บางคนไม่มีฐานะทางสังคมแต่เข้าไปในคุกแล้วได้รับอะไรพิเศษจากผู้ดูแล มันบอกไม่ได้เป็นวิบากของใครของมันแต่อาตมาก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย

      อาตมาติดคุกก็ไม่เหมือนติดคุกอยู่ห้องแอร์มีคนดูแลดี ก็แค่นั้นเองเวลากินก็มีคนเอามาให้กินเวลานอนก็มีคนระแวดระวังให้ดีด้วย ถ้าจะติดคุกแบบนั้นอีกสามปีแปดปีก็ไม่มีปัญหา ก็ทำงานอะไรถ้าที่เขาให้ทำก็สบาย  เป็นแต่เพียงถูกจำกัดขอบเขตเท่านั้นเอง

      ก่อนจะถูกปล่อยเขาบอกล่วงหน้า แต่พ่อครูนอนสบายเลยไม่ตื่นเต้น

      ข้างในก็ธรรมดา  มีตัวอย่างของคุณวีระ คุณราตรีเข้าไปจัดโรงเจในคุก

       เคยคิดว่าจะไปแสดงธรรมในคุกแต่นี่อยู่คนเดียว  แล้วก็มีคุณรุ่งโรจน์ไปอยู่ด้วยได้ไปคอยดูแล (พันตำรวจโทรุ่งโรจน์)การติดคุกก็เป็นไปตามฐานะบารมี

 

     _ ถ้ากำหนดให้นายกรัฐมนตรีส.ส. หัวหน้าหน่วยราชการอธิบดีต้องมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ

พ่อครู...ตอบว่า excellent เลยสุดยอดเลยถ้าทำได้วิเศษเลย มีคนเคยพูดว่ารัฐธรรมนูญไม่ต้องเขียนอะไรมากหรอก เขียนว่าประชาชนคนไทยต้องถือศีล 5 หรือพยายามถือศีล 5 ศีลไม่มีข้อลงโทษ ส่วนกฎหมายจะมีข้อลงโทษก็เอาศีล 5 ก็จบขยายความได้หมดเลย แล้วก็ไปสื่อต่อว่าศีล 5 คืออย่างไรก็คือโทสมูล โลภมูล โหมูล กับการพูดโกหกตอแหลเท่านั้นเอง กับสิ่งเสพติด ก็ออกกฎหมายลูกมาว่า สิ่งเสพติดระดับยาบ้า เป็นอบายมุขก็เข้าใจว่าอบายมุขคืออะไร สิ่งเลวร้ายเละเทะไม่ว่าจะวงการบันเทิงหรือกีฬาเป็นอบายมุข คนขี้โกงมากก็เป็นอบายมุข คนที่ปรุงแต่งกามคุณ5เกินก็คืออบายมุข

       สุราคือสิ่งที่กล้าที่มอมเมาแรงทำผิดก็เป็นการลงโทษแรง เมรยะก็เมาระดับกลางก็ลงโทษระดับกลาง ส่วนมัชชะคือเมาละเอียดก็ลงโทษแบบเบาสุด

 เหมือนกับอิสลามที่ใช้คัมภีร์อัลกุรอานเป็นกฎหมายทุกอย่างแต่นี่จะไปบรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติการบรรจุเฉยๆ ต้องศึกษาเอาเนื้อแท้ให้ไปใช้จริงจะเกิดประโยชน์

       ตั้งแต่ส.ส. ขึ้นไปควรมีศีล 5 ยังสส.นี่เป็นชั่วคราวสมัครไปทำงานชั่วคราว 4 ปีเป็นอย่างมากไปทำงานรับใช้ประชาชน แต่ข้าราชการทั้งหมดคือผู้รับใช้ประชาชนประจำ ข้าราชการคือนักการเมืองประจำ ได้เงินเดือนตลอดปลดเกษียณก็มีบำนาญอีก

       ข้าราชการคือผู้รับใช้ประชาชนตัวจริง ข้าราชการก็ไม่ไปรับใช้โจรการเมืองเพราะทุกวันนี้ไปรับใช้โจรการเมืองการเลือกตั้งถึงชิบหาย นักการเมืองคือโจรการเมือง ซื้อข้าราชการไปหมดแล้วจะเป็นประชาธิปไตยขี้หมาอย่างไร การอธิบายรัฐศาสตร์ว่านักการเมืองคือผู้แสวงหาอำนาจนั้นผิดแล้ว แต่นักการเมืองคือพระ คนต้องกราบไหว้เพราะเขาคือผู้รับใช้ประชาชนไม่ใช่ผู้แสวงหาอำนาจ นี่คือสัจจะ

 

      _ กรณีธรรมกายควรจะปราบให้หมดหรือไม่

ตอบว่า..ใช่เลยเพราะเป็นโครงสร้างเครือข่ายแห่งความอัปยศทุกด้าน ยิ่งด้านศาสนายิ่งชัดที่สุดทางด้านการเมืองสังคมทั้งนั้นเลย แต่เสร็จแล้วก็ไปตกอยู่ใต้อำนาจเขา  ถ้าคสช.ไม่จัดการอันนี้นะจะบอกว่าปฏิรูปบ้านเมืองจะไม่เป็นการปฏิรูปเลย

      _ถามว่าวิบากกรรมมีจริงไหม

ตอบ...มีไหม วิบากมีสองนัยยะคือ วิบากดีกับวิบากชั่ว ศาสนาพุทธเชื่อคำตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเชื่อวิบากกรรม เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่าเป็นความถูกต้องดีงามประเสริฐสูงสุดว่าท่านมีจริงเป็นผู้บรรลุธรรมจริง ผู้ใดไม่เข้าใจก็จะไม่เชื่อ ถ้าเข้าใจแล้วจะเชื่อ ยิ่งรู้ดียิ่งเชื่อดี พระอริยะรู้ดีเรื่องของกรรมวิบาก ขึ้นชื่อว่าความชั่วไม่ดี จะติดอยู่ในจิตวิญญาณไปอีกนานนับชาติ 

จิตวิญญาณเป็นธาตุรู้เป็นอัตภาพ  ตั้งแต่ก่อหวอดมีสิ่งว่าง ความว่างแล้วมีอะไรเกิดขึ้นมา ก็เข้าไปจะเป็นพีชนิยามก็จะมี primary cell มีช่องว่าง niche เป็นห้องว่างโพรงว่าง ถ้าจุดหนึ่ง พพจ.ตรัสว่าในครรภ์หากมีวิญญาณเข้าไปปฏิสนธิเป็นธาตุรู้ขึ้นมา  เมื่อมีสอง เป็น secondary cell ก็เร่ิมเคลื่อน หากเป็นสามหน่วยจะมีตัวตน เป็นพีชะ แต่จะไม่ออกมาทำร้ายสิ่งอื่น มีแต่ปรุงตัวเองไม่ไปสร้างสิ่งอื่น จนกว่าจะพัฒนามามี 4 แล้วถึงมีลักษณะคล้ายกัน เป็นเซลล์ของพีชะที่เต็มรูปแล้วจะเกิดสิ่งใหม่ จากพีชะจะมาเป็นจิต เป็นสามถ้านิ่งจะเคลื่อนไหวในตัวเป็น Self เป็นปฏิกิริยาในตัวเป็นชีวะ แต่ถ้าไม่ออกมาจะไม่เปลี่ยนจากกรอบ

เรื่องวิบากกรรม พีชนิยามไม่มีวิบาก ไม่มีการแค้น พยาบาทอาฆาตต่อกัน 

หรือรักดูดดึงมาเป็นตัวเองของตัวเองก็ไม่มี ไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก มีแต่สัญญากับสังขาร อะไรใช่ก็เอาอะไรไม่ใช่ก็ไม่เอาไม่มีรักไม่มีชัง  มีพลังงานความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าแต่ไม่มีพลังงานถึงระดับเวทนาจึงไม่มีวิบากเริ่มตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ที่แตกตัวออกมาจะมีอิสระเคลื่อนที่แต่ถ้าเป็นพืชจะติดอยู่กับอุตุ

 เริ่มจากดินมาเป็นน้ำก็มีรูปร่างบ้าง ถ้าเป็นลมเป็นไฟก็จะไม่มีรูปร่างมาก แต่ถ้ามาเป็นสัจจะมีวิบากเริ่มจองเวรจองกรรม สั่งสมอัตภาพจนกว่าจะจองเวรจองกรรมอย่างแรง มีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยอย่างจัดจ้าน ฆ่าแกงแย่งชิง เป็นสัตว์ตัวโตขึ้นมา ก็จองเวรจองกรรม งูจะกินเขียด อย่าไปยุ่งกับมันถ้าไปแยกมันก็เริ่มมีวิบากพยาบาท ถ้ามันจะอยู่ของมันแต่เราเอามาเลี้ยง ก็เป็นวิบากผูกพัน ฆ่าแกงกันก็มี

ก็มีสองวิบากคือทำร้ายทำร้ายกันกับรักกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่อย่าให้เลี้ยงสัตว์ สัตว์เกิดมาใช้วิบาก ตนเองก็มีวิบากในตัวเองอย่าไปต่อวิบากกับสัตว์ แม้แต่คนกับคนก็มีวิบากมากแล้ว จะไปเพิ่มวิบากให้ตัวเองทำไมด้วยอวิชชา การเมตตาสัตว์ไม่เป็นไรอาตมาก็ไม่ได้โกรธเกลียดสัตว์

การลดวิบาก ถ้าเขารักเราอย่าไปรักเขาก็จะลดวิบาก แต่ถ้าบอกว่ารักกันมาหลายชาติแล้วก็ไปรักตอบก็เป็นการเพิ่มวิบากไม่รู้จักจบก็ยิ่งบ้ากันใหญ่

สรุปแล้ววิบากมีจริง  แต่ก็คนไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อวิบาก แล้วไม่เชื่อว่าวิบากกรรมเป็นของของตน ตนทำน้อยนิดก็เป็นของของตน  ไม่มีขาดหกตกหล่นไม่มีระเหยไม่มีระเหิดจนกว่าตนเองจะปรินิพพาน  วิธีการของพระพุทธเจ้าห้ามวิบากไม่ได้แต่จะสร้างกำแพงกุศล ให้มากเป็นเขื่อนเป็นผนังกำแพงของกุศลวิบากได้ ถ้ากุศลหนาแน่นก็กั้นได้  จนกว่าจะปรินิพพานถึงจะสลายวิบากได้อย่างพระพุทธเจ้าบอกว่าเราตายจากชาตินี้ไม่มีใครจะเห็นเราอีกทั้งรูปและนาม เหมือนพวงมะม่วงที่หล่นจากต้นจากขั้วแตกกระจายแล้ว  ไม่สามารถกลับคืนได้  เช่นเดียวกับการแยกไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกจากธาตุน้ำที่เหลือก็จะเป็นสมบัติของมหาจักรวาลเป็นออกซิเจนเป็นไฮโดรเจนแต่อัตตาของธาตุน้ำนั้นไม่มีอีกแล้ว กลายเป็น gas อัตภาพของคุณก็สูญได้

คนไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อวิบากคนนั้นเลวสุดขั้ว เพราะจะทำแล้วได้ทุกอย่างเขาคิดว่าตายแล้วก็สูญ ตายก็ตายชาติเดียวเท่านั้นก็จบ ก็รักษาตัวรอดในชาตินี้ชาตินี้ก็จบ คนนี้จะไม่มีความชั่วอะไรที่เขาทำไม่ได้ เลวร้ายเท่าไหร่ก็ทำได้ คนไม่กลัวบุญไม่กลัวบาปคนนี้ก็เลวที่สุดในโลกได้ เป็นคนอุจเฉททิฏฐิ  คนนี้ก็ทำเห็นแก่ตัวได้ทุกอย่าง

 อาตมาเองก็ต้องบอกว่าตนเป็นโพธิสัตว์ เพราะต้องการให้คนเชื่อวิบาก  ก็บอกมาตั้งแต่ต้นว่าเป็นโพธิสัตว์แต่คนไม่เคยเข้าใจ ก็มาพูดว่าโพธิสัตว์คืออะไรว่าโพธิสัตว์คืออรหันต์ เป็นอรหันต์ขั้นที่ 5 ก็เป็นอนุโพธิสัตว์ ขั้นที่ 6 ก็เป็น อนิยตโพธิสัตว์ ขั้นที่ 7 ก็เป็นนิยตโพธิสัตว์  เพื่อให้คนเชื่อว่าวิบากกรรมมีจริงมีของเก่าสะสมมาจริง  ชาตินี้อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์แล้วเอาธรรมะที่ไหนมา ก็เพื่อยืนยันว่ามีสิ่งจริงไม่ได้เรียนมาแต่เอาโลกุตรธรรมมาบรรยาย 45 ปีแล้ว ใครจะมาแย่งก็มาสิ มาแย้งโลกุตรธรรมก็เข้ามา  

ยืนยันว่าเป็นบุพพกรรม เป็นของเก่าเป็นบารมีเก่าเพื่อยืนยัน  ก็ทำกุศลเพื่อเป็นกำแพงกั้นอกุศลให้ตามไม่ทัน  แม้บรรลุพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมีวิบากมาเล่นงาน  พระเทวทัตกลิ้งหินมาทับพระบาทห้อเลือดก็เป็นบาปกรรมที่ได้ฆ่าน้องชายตาย หรือแม้แต่ไปยินดีในคนจับปลาได้มาก ก็เลยมีวิบากให้ปวดหัวในชาตินี้

เรื่องแปลกกินสัตว์ไปฆ่าสัตว์ได้ยินดีกับการไปคนจับสัตว์ได้ก็เป็นวิบาก แม้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตยที่วิบากเล็กน้อยทำไมไล่ตามพระพุทธเจ้าทัน  แล้วบางทีวิบากที่ไปฆ่าน้องชายตาย ก็มีวิบากแล้วก็ทำให้พระเทวทัต ไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้แต่เป็นแค่พระปัจเจกพุทธเจ้าเพราะเป็นอนันตริยกรรมที่ทำกับพระพุทธเจ้าไว้

 

_ ที่พ่อท่านบอกว่าให้อยู่เป็นโสดไม่มีลูกเพราะพ่อรู้ว่าคนที่เกิดมาในยุคนี้น่าสงสารมากใช่ไหม

ตอบว่า...ใช่แล้วเด็กที่เกิดในยุคนี้เป็นยุคกลียุค การเกิดในกลียุคมีสองอย่างคือเกิดเป็นคนเก่งกับคนเกิดมารับวิบากต้องมาทรมาน คนจะมาเกิดยุคนี้ จะมีความชั่วมากได้  เสี่ยงมากใครมีลูกในยุคนี้ ที่จะได้ลูกที่เป็นคนชั่วมาก ส่วนคนดีจะมาเกิดน้อยคนชั่วจะมาเกิดมาก อีกคนหนึ่งจะเกิดมาศึกษาสำหรับโพธิสัตวภูมิได้  เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า  แล้วลูกผีมาเกิดมากกว่าลูกเทวดา การที่ไม่ต้องมีลูกไม่ต้องมีคู่ก็ตัดวิบาก

แนวโน้มคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงอย่าไปแต่งงาน ผู้ตั้งตนเป็นคนโสดเค้าเรียกกันว่าบัณฑิต ส่วนผู้ฝักใฝ่ในเมถุนการแต่งงานคือคนโง่ คือคนจะต้องเศร้าหมอง  คนที่จะไปนิพพานก็ต้องเลิกแม้เป็นคู่วิบากก็ต้องเลิก แม้พระพุทธเจ้ามีคู่สุดท้ายก็ต้องเลิกพรากจากพระนางพิมพา เพราะจะอยู่ไปชั่วนิรันดรไม่ได้ สุดท้ายต้องพรากจากกัน อยู่ในอภิณหปัจจเวกขณ์ว่าไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน  แม้มีวิบากอยากไปแต่งงานแม้มีคู่วิบากก็ต้องพยายามเลิก อย่าให้ผูกพันต่อเนื่อง พยายามตัดให้ได้ เพราะคู่วิบากของคนแต่ละคนมีไม่น้อย ไม่มาชาตินี้ก็เยอะ เกิดมาเจอกันบ้างก็ไม่ใช่น้อย คนรักกันเล็กรักกันน้อยก็วิบากทั้งนั้น จนสุดท้ายฆ่ากันก็วิบากทั้งนั้น   การรักกันด้วยดีต่อกันนั้น คือการฆ่ากันด้วยน้ำผึ้ง ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ เป็นคู่ผัวตัวเมียที่ดีต่อกัน เกิดเป็นกามนิตวาสิฏฐีเมื่อไหร่จะได้นิพพานหนอ  คู่กันที่ไม่มีอะไรเดือดร้อนยิ่งทำให้หลงว่าต้องมีคู่ตลอดกาล แล้วจะไปเป็นคนโสดเป็นผู้บรรลุอริยะโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้อย่างไร  โสดาบันมีคู่ได้สกิทาคามีก็พยายามเลิกเป็นอนาคามีก็หมดกรรม

 ให้ตั้งตนเป็นคนโสดเถอะเรียกว่าผู้บัณฑิตผู้ฉลาดแท้ หากเป็นผู้ฝักใฝ่เมถุนก็คือคนโง่ อีกอันนึง ผู้แต่งงานแล้วไม่มีลูก ก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ไม่มีวิบากต่อ  ป่วยการกล่าวไปใยถึงคนโสด

 อาตมาชีวิตนี้ก็ถูกมอมเมาเป็นลิงลมข้าวพองเกิดมาก็มีคู่วิบาก  ถูกหลอกให้เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ไปจีบคนก็จีบไม่เป็นแต่ก็มีคู่วิบากไปตามวิบาก แต่ก่อนคิดจะแต่งงานแต่ก็แคล้วคลาด ไม่ต้องแต่งงาน  แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าก็ยังต้องมีพระนางพิมพา อาตมาเคยบอกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่ต้องมีคู่อยู่วิบาก ไม่ต้องไปแต่งงาน

_ปัจจุบันลุงจำลองก็ยังยืนยันว่า ปฏิบัติธรรมกับชาวอโศกจะเกิดน้อยลง ไม่วนเวียนกับสังสารวัฏ พ่อครูเทศน์ว่า การไม่เกิดได้ต้องล้างอาสวะอนุสัย

จะช่วยอธิบายว่าจะล้างถึงจิตใต้สำนึกอย่างไร

ตอบ...ถ้าถึงขั้นปัญญาวิมุติก็ดับอาสวะ จะต้องดับอนุสัยที่เหลือสุดท้ายถึงเป็นอุภโตภาควิมุต ต้องมีภูมิปัญญารู้ว่าอันนี้คืออาสวะอันนี้คืออนุสัย ต้องรู้พยัญชนะว่าอาสวะคืออะไรอนุสัยคืออะไร ก็เอาแต่สักกายะเอาแต่กิเลสกามของคุณก่อน จึงจะมีกล้องส่องอาสวะอนุสัย เอากล้องของคุณเอากิเลสของคุณที่ตัวโตส่องให้เห็นก่อน

_ การเมืองหลังจากที่ชาวอโศกร่วมการชุมนุมชาวอโศกก็ยังทำกันเหมือนอยู่เช่นมีการค้าบุญนิยมที่เสียสละซื่อสัตย์มีน้ำใจซึ่งไม่มีในส.ส. ในอดีตที่ผ่านมา สร้างคนให้ถือศีล 5 มีกระทรวงเกษตรที่เราปลูกพืชผักไร้สารพิษมีกระทรวงสาธารณสุขมีการแพทย์ทางเลือกชาวอโศกทำมาแล้วเป็นทิศทางที่ชาวอโศกจะต้องทำต่อไปใช่ไหม

พ่อครูว่า... ชาวอโศกต้องทำต่อไปนิรันดร คือทำช่วยคนนี่แหละคือการเมืองการเมืองคือการช่วยคนรับใช้คน การเมืองไม่ใช่เป็นนายคน ไปเอาอะไรจากคนอื่น นักการเมืองคืออาริยบุคคล  แต่ของธรรมะคือต้องช่วยตนเองให้ได้ก่อน ถ้าช่วยตนเองไม่ได้จะไปช่วยคนอื่นจะมีความแฝงไม่บริสุทธิ์ จะต้องเพื่อตัวเพื่อตนตลอดเวลา  แต่แม้ไม่หมดตัวตนก็ทำให้หมดตัวตนไปตามลำดับ

อบายมุขคืออยากรวย ร้อยล้านขึ้นไปถือเป็นอบายมุข  การอยากเป็นเศรษฐีร้อยล้านขึ้นไปถือว่าเป็นความหยาบเกินไปแล้ว ถ้าสะสมเงินที่คุณเองมากคนอื่นก็จะขาดและบุญนิยม ทุกอย่างก็คือการทำเพื่อผู้อื่นทั้งสิ้นคือนักการเมือง คือรับใช้ประชาชน ตั้งแต่ครึ่งคนครึ่งไปช่วยคนครึ่งคนก็เป็นนักการเมืองแล้ว แต่ส่วนมากจะตลบตะแลงช่วยเขาก็เอาเขามาเป็นบริวาร เป็นกลเม็ดของนักการเมือง 

ต้องช่วยอย่างไม่เอาอะไรตอบแทน เขาจะช่วยตอบก็เป็นการกตัญญูของเขา เราต้องรู้ว่าเขาจะช่วยก็ต้องเปิดโอกาสให้เขาช่วย อะไรควรปฏิเสธก็ปฏิเสธต้องประมาณต้องมีทั้งทายกและปฏิคาหก เราทำดีต่อเขาเขาจะทำดีตอบแทนก็ต้องประมาณให้เขาทำด้วย บางคนอาจจะมาก็ปฏิเสธเพราะต้องการลงโทษเขา ก็เขาแย่เกินไป ปฏิเสธไม่เอาอย่างอาตมาวางกติกาให้พวกเราว่าไม่เรี่ยไรไม่รับเงินคนข้างนอกดื้อๆ ที่จะมาบริจาคต้องมาศึกษาว่าพวกเราทำอะไรแค่ไหนถ้าเขาเข้าใจดียังมีปัญญาอย่างนี้ว่าน่าทำทานบริจาคด้วยปัญญาของเขาก็จะรับไม่ใช่มามาครอบงำ

 บุญนิยมคือนักการเมือง คือคนทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นเราทำพาณิชย์นิยมก็ขายขาดทุนหลายอย่างไรให้ฟรี ก็มีทั้ง 4 ระดับ  ถ้ายังไม่ไหวก็ทำต่ำกว่าราคาตลาด แต่ถ้าราคาต่ำกว่าทุนก็เรียกว่าบุญนิยมแต่เท่าทุนก็ยังไม่ละกิเลสการทำตามกฏทนมากเท่าไหร่ก็ได้ลดกิเลสความโลภมากเท่านั้น จนถึงให้ฟรีเลย

 ใครเขียนมาก็ติดตามฟังในวันพรุ่งนี้ตอนเช้ามีอีกคาบหนึ่ง

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:05:30 )

581109

รายละเอียด

581109_เทศน์ก่อนฉัน โรงเรียนผู้นำ

พ่อครูว่า...วันนี้วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2558  อาตมายังอยู่โรงเรียนผู้นำจังหวัดกาญจนบุรี  โรงเรียนผู้นำแห่งนี้ดำเนินกิจการมาแล้ว 29 ปีมีผู้ผ่านการอบรมมาแล้ว 66,574 คนเริ่มที่กรุงเทพ 9 ปี มาอบรมต่อที่จ.กาญจนบุรี 20 ปี มีผู้นำทั้งตำรวจ ทหาร ผู้นำท้องถิ่น นายกเทศมนตรี นายกอบต. ข้าราชการที่มาเข้าร่วมอบรมเพื่อนำไปช่วยเหลือบ้านเมือง น่าจะเป็นสถานที่อบรมที่เน้นเรื่องคุณธรรมของผู้นำ 6 ประการคือ สะอาด ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ กตัญญู ผู้นำที่เข้าอบรมต้องมาถือศีล 5 ไม่มีอบายมุข งดเครื่องดื่มน้ำเมา ไม่มีการพนัน ทานอาหารมังสวิรัติ ใช้ชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง 4 วัน 5 คืนเพื่อนำไปช่วยสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง นิยมความเป็นไทยด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง มีพื้นที่ 336 ไร่

  แต่ที่บ้านราชฯก็จะทำน้ำตกภูเขาแม่น้ำลำธารเอง จะหมุนเวียนแม่น้ำมูลมาใช้ในบ้านราชฯ ใครจะไปช่วยทำให้ครบพร้อมไปหมดทุกด้านของบุญนิยมคำว่าบุญนิยมหมายถึงลักษณะที่ต่างจากทุนนิยมแต่ไม่ทะเลาะกับทุนนิยม ไม่ตีรันฟันแทงกับทุนนิยม และช่วยทุนนิยมให้เปลี่ยนแปลงให้ฟื้นจากการทำสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคมมนุษย์โลกเราให้แก้ไขปรับปรุง ไม่ใช่ไปทำร้ายเขา ให้เขารู้ตัวและปรับปรุงแก้ไข

บุญนิยมกับทุนนิยมเดินคนละทิศ 180 องศา แต่บุญนิยมไม่ไปทำร้ายใคร เป็นลูกพระพุทธเจ้า นี่คือความจริงที่เราทำสวนทางเขา ซึ่งโลกเขาเอาชนะฆ่าแกงบังคับข่มขี่ให้มาเป็นทาสบริวาร เขาก็ทำอย่างนั้นเลยทางโลกีย์แต่ของทางพุทธไม่ใช่ คุณจำลองก็พยายามทำ แล้วก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าให้เลิกอบายมุข มีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียงทำชุมชนให้เข้มแข็งให้เป็นชุมชนมีศีลธรรมพึ่งตนเองได้ช่วยตนเองได้ล้างสิ่งเกินไป จะทำให้เป็นชุมชนสังคมที่เป็นอาริยะที่แท้ นิยมไทยด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มีพื้นฐานศีล 5 นี่คือข้อมูลพื้นฐานของสถาบันฝึกอบรมผู้นำ นี่คือหลักเกณฑ์ของชีวิต อาตมาว่าจุลศีล 26 ข้อ เป็นหลักที่สำคัญในการดำเนินชีวิตของมนุษย์

 

ขออ่านบทกวีของอาจารย์เป็นต้นนาประโคน

 เรื่อง 45 พรรษานำพุทธนาวาฝ่าคลื่นลม ...ประพันธ์โดยอ.เป็นต้น นาประโคน

 

พุทธถูกพาผิดเพี้ยน    มรรคผล

มรรคแปดถูกปลอมปน       ป่นปี้

ฤาษีเสพไพรสณฑ์     เสวยสุข สหายเอย

เสี่ยงลีกเพื่อหลบลี้      หลากล้น แลตะลึง

 

เอาไม้ซีกงัดไซร้        ท่อนซุง

 ไม้เล็กอาจพยุง         ขยับได้

หญ้าคาหนึ่งกำมุ่ง      บังแดด ได้ไฉน

แยกวัตรบัญญัติไว้           ยกเว้นนานา

 

โพธิสัตว์กอบกู้           ศาสนา

เห็นว่าพุทธนาวา       ล่มแล้ว

บ่เป็นทาสอนาคา        เถื่อนถ่อย อธรรมเฮย

เมื่อราชสีห์ติดแร้ว            รอดได้เพราะหนู

 

เสียงกลองศึกสนั่นสร้าง     สงคราม

สัตว์นรกร้องคำราม    ดุร้าย

เสียงไสยศาสตร์สื่อทราม   ซึมแทรก พุทธแฮ

พุทธมืดมิดละม้าย       มอดม้วยฤานี

 

ธรรมอึกกระทึกครึกครื้น    ครองใคร

กลียุครุกล้ำสมัย         มนุษย์ม้วย

น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ            เพลิงลุก ลามโลก

พุทธกลุ่มน้อยรอดด้วย อยู่ใต้แรงใด

 

โพธิสัตว์พ่อสู้      พ่อสอน

อรุณรุ่งตะวันรอน       ลับฟ้า

พ่อข้ามโขดสิงขร       บรรพต ผาชัน

พ่อกลั่นพ่อจิตกล้า            กลับแกล้วกลางสมร

 

น้อยแต่หนักแน่นเน้อ  คนึงใน

ถึงแก่นวิมุติสมัย         สมัครแม้

ธรรมประทีปสว่างไสว เถลิงสวัสดิ์ แล้วนา

พุทธล่มกลับฟื้นแล้           ลบล้างอธรรมสลาย

 

สี่สิบห้าศกถ้วน          พรรษา

พ่อพากเพียรนำพา           พุทธพ้น

ฝ่าอุปสรรคนานา       สารพัด  พ่อมี

โต้คลื่นลมมากล้น       ผ่านแล้วพุทธเอย

 

อ.เป็นต้น นาประโคน

 

เขียนมาเนื่องในโอกาสบวชครบ 45 ปี จงจำอาตมาไว้ว่ามีอายุ  45 ปี  ในสำมะโนครัวบอกว่าเกิดวันที่ 8 มิถุนายนแต่ในใบสุทธิจบม. 6 บอกว่าเกิด 18 มิถุนายน  ในใบเกิดเกิดวันที่ 5 มิถุนายน มาตอนนี้ต้องเกิดวันที่ 7 พฤศจิกายน คนเราจะมีวันเกิดอะไรมากมายขนาดนี้

 

ปีที่ 45 เห็นร่องรอยของการเปลี่ยนผ่านของสัจธรรมกับอสัจธรรมมีสภาวะปรากฏสัมผัสได้  มีเหตุปัจจัยตั้งแต่ ดินน้ำไฟลมจับตัวกันเป็นองค์ประกอบของพืชพันธุ์ธัญญาหาร จากอุตุนิยามมาเป็นพืช จนเป็นสัตว์เป็นจิตนิยาม จนเป็นกรรมต่างๆ เริ่มเป็นสัตว์จะมีกรรมครองมีวิญญาณครอง พืชยังไม่มีวิญญาณครองไม่มีพยาบาทไม่มีการติดยึดเกี่ยวเกาะผูกพัน  ไม่รู้จักกรรมไม่สั่งสมกรรมวิบาก  พระพุทธเจ้าเรียนรู้แล้วเอามาถ่ายทอดต่อ อาตมาก็รับมาแล้วถ่ายทอดต่อ

       45 ปีนี้ก็เห็นผลไม่เหนื่อยเปล่า ก็เลยจะกระเสือกกระสนอยู่ต่อ  อาตมาเป็นโพธิสัตว์ไม่ใช่เรื่องกำหนดผิดหรือเรื่องเหลวไหล ตั้งแต่รู้ตัวก็ไม่ได้คุยโม้โอ้อวดก็ทำตัวอดทนมาตลอด ตอนแรกประกาศตัว ก็ยังนึกว่าเขาอาจไม่รู้จะเสียผลก็เลยประคองตนให้ค่อยเป็นไป มาถึงปีที่ 45 ก็เปิดเผยหมดแล้วเป็นดารานู๊ดที่สมบูรณ์แบบ เปลื้องหมดแล้ว เพราะเรามีหลักฐานที่ได้ทำมาว่ามีผลจริงเกิดสังคมหมู่กลุ่มเกิดสังขารปรุงแต่งจนเกิดองค์รวมซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น เป็นสภาพของสังคมชุมชนเป็นสังคมหลักเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านเราได้รับนิตินัยถึง 2 หมู่บ้านนอกนั้นก็เป็นหมู่บ้านที่แข็งแรงมีองค์ประกอบสมบูรณ์ใช้ได้ พึ่งตนเองรอดเช่นสันติอโศกปฐมอโศกพึ่งตัวเองรอด เป็นหลักของชุมชนชาวอโศกได้

       มีวัฒนธรรมพุทธศาสนาอาริยะ  พุทธศาสนาอาริยสัจเป็นโลกุตระ แต่พุทธศาสนาทุกวันนี้มันเสื่อมถอยสูญเสียไม่เหลือโลกุตระไม่เหลืออาริยะ ไปหลงอริยะอย่างเป็นดาบสฤาษี แล้วไปชื่นชมกับบัญญัติภาษาเป็นปราชญ์ตักกีวิมังสี มีแต่ตรรกะพยัญชนะเป็นอัตตวาทุปาทาน  ไม่รู้จักความเป็นอัตตาแต่เก็บภาษาของพระพุทธเจ้าได้ครบก็ขอบคุณที่รักษาไว้ให้ได้อาศัย

       มาถึงวันนี้ 45 ปีก็ประกาศไป ก็ประกาศอย่างไม่ได้มีความมังกุ ไม่มีความสะเทิ้นอายหรืออุทธัจ  เพราะเราไม่ได้ทำเสียไม่ได้ทำสิ่งไม่ดีไม่งาม  เป็นลักษณะของกายวิญญัติ วจีวิญญัติที่ออกมา อย่างที่ได้ล้างอาสวะอนุสัย

       พระอนาคามีหมดกรรมแล้วเหลือแต่รูปภพอรูปภพ จนเป็นพระอรหันต์ล้างอาสวะยังเหลืออนุสัย ล้างต่อจึงเป็นอุภโตภาควิมุต

       ศาสนาเทวนิยมไม่สามารถล้างอาสวะอนุสัยได้ แต่ศาสนาพุทธล้างได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

      เขาพยายามเอาคำว่าพระพุทธศาสนาไปบัญญัติในรัฐธรรมนูญ  คนก็มาถามว่าเห็นด้วยไหมอาตมาก็เกรงใจ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความอิสระเสรีภาพไม่มีการบังคับ ศาสนาต่างๆที่อยู่ในเมืองไทยจึงอยู่อย่างอิสระ พระเจ้าแผ่นดินเป็นพุทธมามกะตามรัฐธรรมนูญบอกไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องเป็นพุทธมามกะ แต่ถ้าไประบุว่าทุกคนในเมืองไทยต้องนับถือศาสนาพุทธ มันตีกรอบแคบเกินไป

แต่ร่วมพันกว่าปีที่ผ่านมาเมืองไทยก็เป็นเมืองพุทธ ศาสนาอื่นตีไม่แตกทำลายไม่ได้ ก็ยังมั่นคงแข็งแรงอยู่ แม้จะเป็นพุทธศาสนิกชนตามธรรมเนียมตามสำมะโนครัว แต่เนื้อหาไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไรแต่รวมแล้วก็ไม่เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นก็ยังปักใจจะเป็นพุทธอยู่ถึง 95 เปอร์เซ็นต์

       เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าอะไร ก็ไม่แตก นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  ศาสนาพุทธสอนให้เกิดจิตวิญญาณที่มั่นคงแข็งแรงที่สุดยังไม่เปลี่ยนแปลงได้ถ้าเป็นอรหันต์ขึ้นไปถือว่าสอบผ่าน ยิ่งเป็นอรหันต์ระดับอุภโตภาควิมุติ มีเจตวิมุติปัญญาวิมุติ ดับอนุสัยสิ้นเกลี้ยง ยั่งยืนมั่นคง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       แม่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าถ้าโลกนี้ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ อาตมาจะยืนยันที่สุดอย่างสัมมาทิฏฐิว่าโลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ อาตมาเคยประกาศว่าพระอรหันต์มีในชาวอโศก ประกาศเป็นตัวบุคคลแม้แต่ตัวเองก็ประกาศประกาศกับส่วนบุคคล อาตมาไม่ได้กระดี๊กระด๊าจะบอก ไม่ได้คิดจะประกาศอรหันต์ง่ายๆ กับเมืองไทยไม่ค่อยเข้าใจ เขาศรัทธาอรหันต์แต่ไม่ศรัทธาพระโพธิสัตว์ อาตมาก็ได้ประกาศพระโพธิสัตว์ก่อน ก็พิสูจน์ไปว่าเขาจะศรัทธาหรือไม่ ก็จะเริ่มต้นจากสิ่งที่เขาไม่ศรัทธา เริ่มต้นจากติดลบนี่แหละจะทำให้เกิดให้ได้

      มาถึง 45 ปีแล้วก็เกิดชุมชนปักหลักตั้งมั่นเป็นชุมชนที่แข็งแรงโดยเอารากฐานให้จิตแข็งแรงต่างๆ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  ด้วยคุณสมบัติของธรรมะอริยะของพระพุทธเจ้า

       ทำมาก็เห็นผลมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องแต่คนจะเข้าใจจะเห็นจริงก็ด้วยจิตวิญญาณของเขาไม่มีใครบังคับปลอมแปลงปลอมปนไม่ได้  เห็นผลว่าอาตมาจะมุ่งมั่นสืบสานสิ่งนี้ต่อไปให้ยาวนานที่สุด เท่าที่จะมีพลังพอจะสืบสานต่อไป ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าที่ 45 ปีก็ให้คนรุ่นหลังสืบต่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทำเช่นนี้ทำไว้ให้คนสืบสานต่อไปเท่าที่อายุของพุทธกาลแต่ละพระพุทธองค์

       พอหมดยุคกาลพระพุทธศาสนาก็จะเป็นยุคพุทธันดร ไม่มีศาสนาพุทธ  คือระหว่างที่ไม่มีพุทธคือพุทธันดรมี 2 ลักษณะคือ

1 สังคมยังเป็นคนดีไม่เดือดร้อนไม่ต้องใช้ทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ของพุทธมาช่วยก็จะไม่มีพุทธศาสนา คนอยู่ดีกินดีศาสนาพุทธก็จะไม่เกิด

2 ยุคที่มันเดือดร้อนพอที่ศาสนาพุทธต้องมาช่วยแล้วไปอีกช่วงหนึ่งศาสนาพุทธเกิดไม่ได้เพราะคนเลวร้ายเกินที่จะเรียนรู้พุทธศาสนาไม่มีภูมิที่จะรับแล้ว 

       ใครจะมาช่วยก็ได้ผลดีไประวังตัวให้ดีอย่ามาง่ายๆมาแล้วจะได้ผลดีไป ให้ ตัดสินใจให้ดีอย่าว่าไม่บอกก่อนนะ อย่ามาง่ายๆ

 

      _หน้านี้ซองกฐินมากจนอยากจะลาออกจากศาสนาพุทธ พ่อท่านช่วยบอกวิธีการปรับจิตปรับใจด้วยทำบุญกับอโศกรู้สึกสบายใจทำบุญกับที่อื่นรู้สึกไม่สบายใจ

       ตอบว่า  กฐินเป็นสิ่งที่ใช้ในศาสนาพระพุทธเจ้า แม้แต่การทอดกฐินพระพุทธเจ้ากำหนดว่าทำภายใน 1 เดือนเพราะไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำคัญอะไรมากมาย คนก็เลยบอกว่ามันจำเป็นภายใน 1 เดือนต้องเอาเงินมาให้เยอะเป็นบุญใหญ่ มันประหลาดที่สุดเลยบุญทำไมต้องเอาเงินมาให้เพราะว่าบุญคือการชำระกิเลส 

คำว่ากฐินคือผ้าสำหรับ นุ่งห่มสำหรับพระภิกษุ  พระสมัยก่อนผ้าหายาก ถ้าไม่มีโรงงานทอผ้าถึงขนาดเอาผมคนมาทอเป็นผ้าได้เป็นผ้าที่เลวที่สุด หน้าร้อนก็ยิ่งร้อน หน้าหนาวก็ยิ่งหนาวไม่ดูดน้ำอีก  สำหรับผ้าที่ใช้กับพระสงฆ์เป็นผ้าผืนใหญ่มีสังฆาฏิกับจีวรเอาไว้สลับสับเปลี่ยน เพราะผ้ามีน้อยก็ได้แต่เก็บจากผ้าที่เขาทิ้งเรียกว่าผ้าบังสุกุล มีลักษณะเว้าแหว่งก็เอามาตัดให้เหลือเนื้อดีๆเป็นสี่เหลี่ยมเอามาเย็บต่อกัน กว่าจะได้มาเป็นผ้าจีวรสังฆาฏิหรือสบงก็นานก็ช้า

นางวิสาขาซึ่งเป็นเศรษฐีใหญ่เห็นพระภิกษุลำบากลำบนผ้า  ก็เลยขอพระพุทธเจ้าว่าจะถวายผ้า เรียกว่าคฤหบดีจีวร  สำหรับคนมีฐานะดีซื้อมาเป็นชุดชุดถวายได้ชุดหนึ่งมี 3 อย่างคือสบงจีวรสังฆาฏิเรียกว่าไตรจีวรพระพุทธเจ้าขออนุญาตให้ถวายได้เอามาทอดผ้า

 การเก็บผ้าบังสุกุลก็คือการทอดผ้าป่าคือของที่เขาทิ้งไม่มีเจ้าของแล้วเช่นผ้าห่อศพเป็นของดีเป็นผืนใหญ่ แค่เปื้อนเลือดเปื้อนน้ำหนองมาเท่านั้น ผ้าห่อศพนี้ใครได้เจอก็โชคดีเป็นผ้าชั้น 1  กว่าจะได้มาต่อกันครบเป็นหนึ่งผืนก็ช้านาน  พระพุทธเจ้าเลยให้นางวิสาขาถวายได้แต่ได้ในระยะเวลา 1 เดือนเท่านั้นส่วนมากจะพลาดก็จะได้แต่ผ้าบังสุกุลเพราะเขาทอดได้แค่เดือนเดียวการทอดกฐิน คือการถวายผ้าไม่มีให้ถวายเงินแม้แต่บาทเดียวไม่เกี่ยวกับเงิน เงินเป็นอสรพิษซึ่งพระรับเงินไม่ได้แต่เดี๋ยวนี้เสื่อมไปหมดทอดกฐินทีหนึ่ง ได้เงินเท่าไหร่ไม่ได้ถามเลยว่าได้ผ้าเท่าไหร่ อาตมาก็เลยตั้งชื่อการทอดกฐินทุกวันนี้ว่าคือการทอดกระทะทองแดง ทอดกฐินแล้วลงกระทะทองแดงลงนรกหมด

 อาตมาเคยให้ทดลองทอดกฐิน คนก็เข้ามาตั้งต้นเงินต้นทองวุ่นวายไปหมด ก็เลยให้หยุด อโศกจะไม่ทอดกฐิน กฐินทุกวันนี้คือการทำลายศาสนาถ้าเลิกได้เลิกหมดเลยในวงการทดสอบถ้ามีมากเกินไปแล้วเป็นผ้าสังเคราะห์จะเอาอย่างมีประโยชน์แค่ไหน จนเป็นผ้านาโนแล้วทุกวันนี้ไม่มีการถอยหลังเดินหน้าไปจนกว่าจะโลกแตกจบแล้วเรื่องผ้า ดังนั้นกฐินจึงเป็นตัวเลวร้ายเป็นหนอนบ่อนไส้เป็นตัวเชื้อโรคร้ายที่ทำลายศาสนาพุทธถ้าเลิกกฐินได้ศาสนาพุทธจะดีกว่านี้อีกเยอะจะทำให้พระสำรวมอีกเยอะไม่ต้องหวังเงินกฐิน

คนจะได้ไม่ถูกพระหลอกด้วย อย่างธรรมกายนี่หลอกคนได้โหดร้ายมากจนหมดตัวก็มี ถ้าคสช.ไม่จัดการธรรมกาย อาตมาว่าอาตมาเลิกเอาใจช่วยคสช.แล้วก็จะพาคนไม่ส่งเสริมการเมืองจะอยู่แต่จะอยู่แต่อโศก ทำไปตามประสา ไม่ช่วยเหลือเมืองไทย ขออาศัยอยู่เท่านั้นและจะสัญญาว่าไม่ทำความชั่วอะไร แต่ไม่ช่วย ถ้าไม่อาศัยอยู่ก็จะไปอาศัยประเทศอื่น

 ให้มาอยู่กับชาวอโศกจะได้เลิกกฐิน ก็จบไป จะปรับใจอย่างไรก็เข้าใจให้ได้ว่าคนมีกิเลสก็จะต้องทำเช่นนั้นพูดให้ตายเขาก็ไม่เลิกตายไปแล้วเขาก็ยังไม่เลิกเกิดมาอีกจะพูดอีกจนกว่าจะล้างบาปไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกก็จะจบไปช่วงหนึ่ง คนดีๆก็จะเกิดมาคนร้ายคนชั่วก็จะไม่มาเกิด คนดีก็จะสร้างโลกต่อไป เป็นวิวัฒนาการเป็นวัฏสงสารอย่างนี้ไปตลอดนานนับกับกาล สรุปว่า  ถ้าเมืองไทยเรื่องกฐินจะเจริญทั้งศาสนาและจะเดินทางรัฐศาสตร์ ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสดึงเย็บผ้าเป็นกฐินอีกแล้วเพราะถ้ามีเฟอร์เกิดแล้ว

สำหรับผ้าบังสุกุลก็ทอดกันได้ทุกฤดู  ก็เลยทอดกัน ซึ่งทุกวันนี้ผ้าบังสุกุลก็เป็นเชื้อโรคร้ายของศาสนาพุทธเป็นเชื้อโรคร้ายทุกฤดูกาลด้วยชิปหายใหญ่เลย  เพราะว่าเขาทอดแล้วได้เงิน ที่จริงผ้าบังสุกุลคือผ้าที่ไม่มีเจ้าของ ถ้ามีคนยืนยันเป็นเจ้าของไปทอดมาไม่ได้ ต้องให้คนจริงๆไม่มีเจ้าของ ของไม่สะอาดคนไม่เอาแล้วเราเห็นความจำเป็นที่ควรได้แน่ใจว่าไม่มีเจ้าของ แต่ทุกวันนี้เขามีเจ้าของงานเจ้าของ ก็เลยผิดพระธรรมวินัย

บอกได้เลยทุกวันนี้คนที่ทอดกฐินทอดผ้าป่าได้บาปกันทั้งสิ้น ขอประกาศในวันที่ 9 พ.ย. นี้  มันไม่เกิดการชำระล้างกิเลสได้เลย มีแต่ตะกละตะกรามรวมหัวกันหาเงินไม่ใช่ทอดผ้าป่าทอดกฐิน  เราจะได้ไม่ไปร่วมมือกับการทำบาปเอาเงินไปใส่ซองอย่างนี้บาป ให้เลิก ไม่ใช่ว่าเขาเดือดร้อนไม่มีผ้า แต่ด้วยสัจจะผ้ามันมีเกินไปแล้ว

 คำว่ากฐินกับผ้าบังสุกุลไม่ได้พาศาสนาเจริญมีแต่เสื่อม

 

_ อยากให้อธิบายสมถะกับวิปัสสนาเวลาเจอผัสสะควรวิปัสสนาอย่างไร

 ตอบว่า  นี้คือแก่นแกนของศาสนาพุทธเรื่องสมถะกับวิปัสสนา

 สมถะแปลว่าจิตสงบมันลงตัว กิเลสมันออกแล้ว จิตมันก็ตั้งมั่นขึ้นได้ทรงสภาพอยู่ได้แข็งแรงด้วยตัวมันเอง ถูกกระทบกระแทกกระเทือนอย่างไร ก็เสริมความแข็งแรงตั้งมั่นให้ยิ่งขึ้น ผู้ใดสามารถทำความสงบของจิตจิตไม่มีกิเลสก็ทำให้อเนญชาภิสังขารปรับปรุงไปสู่ความเจริญไม่หวั่นไหวไม่กระเพื่อมให้นิ่งสนิทแข็งแรง เติมธาตุ 5 คือบริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา  เป็นธาตุที่ทำให้เกิดสุขสงบอย่างปราศจากกิเลส อุเบกขาจึงเป็นฐานของนิโรธฐานของนิพพาน

 

 แบบฤาษีจะสะกดจิตให้นิ่งแต่ไม่ได้เรียนรู้กิเลสที่เป็นเหตุ แล้วกำจัดกิเลสด้วยปัญญาการกำจัดด้วยปัญญาด้วยไฟปัญญา ด้วยไฟฌาน เป็นอุณหธาตุ  ที่จะไปสลายไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ พลังไฟฌาน รู้จักกิเลส แล้วสลายกิเลสได้คือไฟฌาน เป็นพลังงานอีกชนิดหนึ่งที่จะสลายกิเลส  เมื่อกิเลสถูกสลายก็จะสงบ เรียกว่าสมถะจะเรียกว่าวิเวกก็ได้ เป็นความสงบที่สงบลงไปแล้วมีปัญญาเป็นตัวกำกับ  รูปาวจรที่สัมผัสกระทบกระแทก แต่จิตเราสงบแข็งแรงไม่ขึ้นไม่หวั่นไหวอเนญชา ตั้งมั่นไปเรื่อยตามบารมี สมถะจะแข็งแรงเพราะฝึกฝนการกระทบกระแทกจากผัสสะ ซึ่งเป็นปัจจัยในการเจริญ  ถ้าเว้นจากผัสสะเสียก็ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ เป็นฐานะที่ทนต่ออำนาจโลก อํานาจโลกธรรม อำนาจกามคุณ 5 อำนาจอัตตา  อำนาจอัตตาที่คน อำนาจอัตตาที่คนจะมากระทบกระแทกอย่างไรเราก็ไม่หวั่นไหว ชาวอโศกมีเชื้อโรคอัตตาเยอะอยู่

วิปัสสนาคือปัญญา                                                       สมถะคือเจโตสั่งสมความบริสุทธิ์ตั้งมั่นสามารถอยู่กับสังคมได้ เจริญขึ้นได้ด้วยมีวิปัสสนาญาณเรียกว่าปริโยธาตา มีภาคปฏิบัติแล้วสั่งสมบริสุทธา มีปัญญาจะเกิดความชำนาญรู้เร็วรู้ทันรู้ไวเป็นมุทุธาตุ ปัญญาก็รู้แล้วๆ เจโตก็ปรับง่ายแข็งแรงเต็มที่มีสภาพธรรมะ 2 

เจโตเป็นรูป ปัญญาเป็นนาม จะเกิดธรรมะ 2 นี้ตลอดกาล  แล้วจะรู้จักทำงานกันที่พอเหมาะมีประโยชน์ กัมมัญญตา  มีการประมาณได้ยังได้สัดส่วนปฏิบัติอย่างไรก็ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสรา ผ่องใสแวววามตลอดกาลนานไม่มีหมองมัวไม่มีดำไม่มีมืด นี่คือคุณลักษณะของธรรมพระพุทธเจ้า

 จะเกิดทางวิปัสสนาภูมิ คำว่าวิปัสสะแปลว่าเห็นอย่างยิ่งรู้อย่างยิ่ง   เกิดทั้งสมถะมีเจโตด้วยเป็นธรรมะ 2

 อโศกพัฒนาแล้วอย่าติดแป้น อโศกตอนนี้เป็นเมถุนสังโยคข้อที่ 7 ตั้งปรารถนาเพื่อจะได้เป็นเทพเจ้าหรือเทพองค์ใดองค์หนึ่ง ได้ดีบ้างแล้วก็แก่วัด หลงว่าตนเองเป็นคนเก่าแก่เคยอยู่มาก่อนมีตำแหน่งมาก่อนแล้วถูกปลดก็ถือตัวถือดีไม่ยอม บางคนออกจากหน้าที่การงานเราก็ไม่เป็นไร เป็นหมู่มวลชาวอโศกอยู่ทำงานไปก็หมดตัวตน แต่ถ้าถือดีถือตัวว่าฉันหมดหน้าที่ ก็เป็นเชิงประชดแบบจริตหญิงทำเป็นไม่เอา ไม่ร่วม ไม่ให้ฉันทำ ถ้าให้ฉันทำต้องให้มีตำแหน่ง อย่างนี้เป็นต้น พอถูกปลดจากหัวหน้าเข้ามาเป็นกรรมกรสิจึงหมดตัวตน

 อัตตานี้ถ้าไม่รู้ทันมันกินตัวเราเล่นงานตัวเราอย่าโง่ให้ฉลาดให้ทันคลอดเดือนเท่านี้ให้รู้ตัวเราเอง

 ให้รู้อาการจิตเมื่อเจอผัสสะอาการตลอดไม่ว่าหยาบกลางละเอียดให้คิดผิดเอาถ่าน  ไม่มีประโยชน์เลยสักนิดเดียวอาการโกรธ โกรธมากก็ดุเดือดมากโกรธน้อยก็ดุเดือดน้อย ไม่มีดี ถ้าใครเข้าใจลักษณะอาการโกรธไม่ต้องพิจารณานานดับให้ได้ให้สนิท

อาการที่จะมีความชอบมีความยินดีผูกพันก็ยังมีประโยชน์กว่าความโกรธเพราะพวกเราไม่ไปผูกพันกับความชั่วกับโจรหรอก ก็ผูกพันกับความดีก็ค่อยๆลดละจางคลายไป ให้อยู่ด้วยกันอย่างไม่ต้องผูกพัน แล้วทำงานกับคนยังไม่ต้องผูกมัดเช่นถ้าไม่ใช่คนนี้ไม่ทำด้วย คุณก็โง่สิก็มีแค่คนเดียวโง่ตายชัก ก็เอาหลายคนสิแม่คนนี้ไม่เก่งแต่หลายคนก็จะเท่าได้เลยได้มากกว่าด้วยทำไมต้องเอาคนนี้คนเดียวได้หลายคนเป็นดาวกระจายดีกว่าเก่งคนเดียว

 2 อย่างคือปัญญากับจิตให้แข็งแรงสั่งสมเป็น เทวธัมมา   เป็นธรรมะสอง มีอุภโตภาควิมุติจะต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ อย่างพระกัสสปก็มีแกนเจโตต้องมาปรับให้มีแกนปัญญา แกนเจโตตัวปรับยากกว่าแกนปัญญา  ใครที่มีแกนเจโตจะเลือกปัญญาก็ดัดจริตไม่ได้แกนปัญญาจะมาตัดให้เป็นเจโตก็เสริมเข้าไป ไม่จำเป็นต้องเป็นแกนเจโตเพราะเรื่องจริงแกนเจโตสู้แกนปัญญาไม่ได้

 ฐานการเป็นพระอรหันต์พระโมคคัลลานะชนะพระสารีบุตร แต่ถ้าฐานจะเป็นพระพุทธเจ้าพระสารีบุตรจะเร็วจะชนะพระโมคคัลลานะ  เพราะพระสารีบุตรเป็นสายปัญญาจะเป็นพระพุทธเจ้าก่อน

 แกนเจโตจะต้องมาศึกษาปัญญา แกนปัญญาจะต้องเสริม เจโตจึงจะดี

 

_ปัญหาของธรรมกายอาจ โยงใยไปถึงปัญหาอื่นของชาติด้วย แล้วศาลกับลุงตู่จะเอาธรรมกายอยู่ไหม  แล้วพวกเราควรจะช่วยอย่างไร

 ตอบว่า   เราไม่โกรธเกลียดชิงชังมนุษย์แต่เราไม่ยินดีให้ธรรมะสมบัติที่มันเสียให้เป็นธรรม เพราะเขามีคุณสมบัติที่เป็นโทษเป็นบาปไ ม่ต้องการให้มีในพฤติกรรมมนุษย์ ยิ่งเป็นคนไทยแล้ว ยิ่งอยู่ในวงการศาสนา แต่ไปหลอกลวงว่าเป็นสิ่งที่น่าบูชา เอาธรรมะมาปลอมเป็นผีร้าย เป็นสิ่งที่น่าเคารพบูชานับถือมันร้ายแรงมากในสังคมมนุษย์ อาตมาถึงเอาเรื่องจัดอยู่เพราะเป็นเรื่องทำร้ายแกนของมนุษยชาติ

อาตมากล้าพูดเลยว่า ต่อให้คนเป็นปราชญ์เอกของธรรมกายก็ไม่รู้จักไม่เข้าใจคำว่ากาย ไปเข้าใจว่ากายคือธาตุภายนอกซึ่งมันผิดยังตีลังกากับพระพุทธเจ้าที่ท่านบอกว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ  กายนี่สุดท้ายคือนามธรรมด้วยซ้ำเลิกเป็นวัตถุธรรมด้วย

 เริ่มต้นสังโยชน์ข้อ 1 คือสักกายะ คือความประชุมของรูปนามของตนก็ไม่รู้จัก ก็จะบรรลุสังโยชน์ไม่ได้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้แล้ว แล้วเอาไปหลอกมนุษย์สร้างวิมานหลอกมนุษย์ร้อยล้านพันล้านแสนล้าน หลอกจนตั้งสหกรณ์ให้กู้เงินแล้วเอามาทำทานหมดโดยไม่ผ่านเงินคนกู้เลย  คนก็โง่ให้เขาหลอก ทำไมเขากวาดคนโง่ได้มากมายเยอะแยะสามารถรวบรวมคนโง่ได้เยอะอย่างนี้ ขออภัยเมืองไทยทำไมมีคนโง่ให้เขาหลอกอย่าง นี้ตื่นเสียทีสิ จะให้เขาจูงจมูกเป็นวัวเป็นควายอะไรขนาดนี้แล้วเขาก็ปิดประตูว่าให้ดูช่องนี้ช่องเดียวก็เชื่อเขาหมด โง่ไม่จบโง่ไม่เสร็จจริงๆ

       ศาลและลุงตู่มีอาญาสิทธิ์จะใช้ได้ แต่ขอชมเชยลุงตู่ ไม่ผลีผลามใช้อำนาจ อย่างจอมพลสฤษดิ์ที่เขาทำอย่างกล้าแข็งเร็วไปไม่สมบูรณ์ แต่แบบลุงตู่ทำได้อย่างลงตัวที่ทำไปได้ดีสมบูรณ์ดีได้สัดส่วน อาตมาเชื่อว่าศาลและลุงตู่จะช่วยได้ทำได้อย่างเรียบร้อยดีด้วย ทางการเมืองกับทางศาลสถิตยุติธรรม มีอัตราก้าวหน้าได้ดี

      ตอนนี้อย่างน้อยก็ให้กำลังใจอยู่ส่วนวาจา ก็ใช้สื่อสารออกไปทั้งไลน์ทั้งเฟสบุ๊คก็ช่วยกันไป ต้องใช้อย่างมีศิลปะส่งเสริมด้วยและด้วยพฤติกรรมถ้ามีโอกาสที่จะต้องใช้เรี่ยวแรงพฤติกรรมสังคมก็พยายามไปทำตามลำดับให้ช่วยกันเต็มที่แต่ให้สุขุมปราณีตดำเนินไป

       ในเมืองไทยมีคนชื่อประยุทธ์ 2 คนอย่างท่านพรหมคุณาภรณ์(ท่านประยุตต์ ปยุตโต) คำว่าประยุทธ คือการรบ รบก็ได้อาศัยเป็นสรณะ  ทำเสร็จก็หยุดได้อาศัยเป็นฐานที่ไม่ต้องลบอยู่อย่างสมบูรณ์อยู่อย่างอรณะ คือผู้ที่จบการรบแล้ว ส่วนสรณะคือการอาศัยเป็นฐานรบอยู่  ในขณะรบจริงก็เป็นปฏิสรณะมี action reaction

       เรื่องของการเมืองกับเรื่องธรรมะเป็นเรื่องอันเดียวกันเป็นเรื่องของประชาชนเรื่องของมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

สรุปการจัดการปรุงแต่งสังขารของโลกว่าสังขารอย่างไรเป็นพิษภัยก็กำจัดออกอะไรเป็นสิ่งดีก็เอาไว้มาถึงยุคนี้ งานที่เป็นพิษภัย มากกว่างานส่งเสริมสร้างสรรค์  เราถึงต้องทำงานกำจัดพิษไทยให้เป็นเอกให้ได้ การรบจริงนำหน้า แม้แต่นักธรรมะก็ต้องออกมารบแต่มีลีลาการรบ

อย่างการพูดไม่แรงก็ไม่ถึง แสดงท่าทีไม่ถึงก็ไม่ชัด มันต้องเต้นแร้งเต้นกากัน ต้องเต้นอย่างโขนสด จะมารำอย่างโขนแท้ไม่ทันกินหรอก  อืดอาดยืดยาดเขาทิ้งไปข้างหลังเราต้องรู้ยุคสมัยรู้จักเหตุปัจจัยรู้จักความควรตามกาละให้ได้สัดส่วน

 เราต้องช่วยอยู่ถ้าถือว่าชาวอโศกเป็นผู้มีปัญญาอาริยะจะรู้จักธรรมะพระพุทธเจ้า  เมื่อเข้าใจแล้วก็มาลงตัวด้วยแต่ถ้าเข้าใจยังไม่ได้นักก็มาอยู่กับชาวโศก  แต่ศึกษาให้ดีก่อนเข้ามาเพราะที่นี่ไม่อนุโลมเกินการณ์  เกินการความรู้ เกินการความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก

 

_ อดีตนายกออกมาขอโอกาสที่จะทำงานรับจำนำข้าวให้ชาวนาอีกจะได้ช่วยชาวนาอีก จะขอถามว่าคุณยิ่งลักษณ์มีความจริงใจในการช่วยชาติจริงไหม ดูจะย้ำยืนยันจริงๆ หรือแกล้งพูดเพื่อให้ชาวนาเรียกกลับมาเป็นนายกอีกครั้งจะได้เปิดโอกาสพาลูกน้องมาล้วงตับชาวนาอีกครั้งซ้ำ พ่อท่านพอจะเดาใจที่ถูกตรงให้ความกระจ่างได้ไหมครับ

 ตอบว่า  อาตมาก็มีภูมิพอจะรู้เท่าที่มี  ว่ามีคุณทักษิณคุณยิ่งลักษณ์เป็นตัวอย่างที่เลว ที่เอาหัวหรือหนังราชสีห์มาใส่ทั้งที่ตัวเองเป็นหมาป่า  แล้วอาศัยทั้งความเป็นผู้ชายและผู้หญิง ตัวเองเป็นผู้ชายลงไปก็เอาผู้หญิงที่เป็นน้องสาวมาทำแทนให้มีพฤติกรรมสังคมจนดังไปทั่วโลกใช้วิธีการสารพัด  คุณทักษิณนี่ฉลาดแกมโกง ใช้เงินรัฐส่งให้น้องสาว ไปปลูกสัมพันธ์กับต่างประเทศเพื่อเอาโลกล้อมประเทศ  สุดท้ายก็ชิปหายวายป่วง และขอตอบว่าเขาจะล้วงตับกินไส้ชาวนาอีก อย่าโง่ หากไม่รู้จะทำอย่างไรก็มาอยู่กับชาวอโศกจะพาปลูกข้าว

ชาวอโศกจะต้องเป็นชาวนา อาตมาพยายามรณรงค์จัดตั้งข้าว  ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่งอาหารเป็นหนึ่งในโลกจะต้องทำให้เป็นแก่นแกนทำให้เหลือล้นและอาตมาจะพาแจกต่างประเทศหรือขายอย่างถูก

 ลีลาที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ ขอสรุปให้ตัดไฟแต่ต้นลม ว่าไม่มีอะไรเหลือสักเศษธุลีละอองให้เชื่อน้ำใจเลย เอาภูมิธรรมของอาตมาตัดสินอาตมาเป็นคนที่ ได้มีส่วนช่วยให้คุณทักษิณได้เป็นนายกอาตมาว่าคนมี charisma ที่จะทำได้ส่งจดหมายไปว่าให้ทำเลยแม้แต่เขาจับได้ว่าซุกหุ้นก็ยังช่วยเขาอีก สุดท้ายก็เลยหน้าแตกที่ไปส่งเสริมทักษิณก็ต้องบอกความจริงว่าเราผิดพาดอย่างไม่อายเพราะเราผิดจริงๆ พาเราฉิบหายไปด้วยเราก็ว่าเราฉลาดที่ไหนโง่ไปให้ทักษิณหลอกได้

 แม่ที่สุดปั้นขี้โคลนเป็นดาวได้อย่างยิ่งลักษณ์มาจากหลุมคูตรไหน ทำหน้าสวยมาเลยนะแล้วลีลางามคนชอบหมดเดี๋ยวนี้คนก็ยังชอบ แต่ที่แท้พูดก็ผิดผิดถูกถูก มีประเทศซิดนีย์มีจังหวัดหาดใหญ่มีคอ_นก_รีต เป็นนักเรียนนอกได้อย่างไรอ่านแค่คอนกรีตก็อ่านไม่ถูก ดูเหมือนอัจฉริยะแต่แท้จริงคืออีเดียต สรุปว่าปิดประตูตัดเชือกได้เรื่องนี้และย้ำว่า ถ้าดับไฟอันนี้ไม่ได้หรือปิดประตูนี้ไม่ได้ซวยแน่ เป็นหน้าที่ของประยุทธ์ที่ต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จอย่างปรีชาจึงจะเอี่ยมสุพรรณเป็นทองที่สดใส พูดถึงทองคำกับอโศก อย่างทองที่เจดีย์อโศกแม้เป็นทองคำแท้แต่ก็ต้องดำอย่างมีเหตุปัจจัย  ตอนกลางคืนก็ดูดีแต่ตอนกลางวันก็ดูดำคนก็กลัวว่าจะถูกคนเมาไปแต่สุดท้ายเป็นสนิมเข้าไปข้างในทอง

 

_ จะมีชาวนาสักกี่คนที่จะเก็บขี้อ้อนขี้แก่ไม่เลือกนายกคนนี้อีกแล้วจะมีไหมครับเพราะใครใครก็ทำนายว่าเลือกตั้งใหม่ก็มาอีกอยู่ดีเป็นความหวังของยิ่งลักษณ์เป็นความหวังของทักษิณและคณะเขาเชื่อว่าส่งเสาไฟฟ้าลงก็ได้ขอให้เป็นของทักษิณขอให้เป็นของกลุ่มแดงนี้ก็มั่นใจของเขา

ตอบว่า...เราไม่ประมาทเขาแน่ ถ้าประมาทอยู่เขามาแน่ ถ้าจัดการให้เรียบร้อยไม่มา ก็ต้องมาช่วยกันปรับให้เรียบราบ เป็นคำตอบ ไม่ต้องถามอาตมา  หากไม่เรียบร้อย ก็ตอบไม่ได้ ต้องมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ  คำตอบคือมารวมตัวกันทำให้สำเร็จไม่ต้องถาม เมื่อตัดขั้วก็ไม่ต้องถาม แต่ตอนนี้คาราคาซังอยู่ ต้องมาร่วมกันทำให้ย่อหย่อน แม้แต่คนเก่าแล้ว อย่างคุณจำลอง คุณปรีชาก็ห้ามแก่นะ เก่าได้แต่ห้ามแก่ ต้องแข็งแรงสม่ำเสมอให้มันตายในขณะที่เรารู้สึกแข็งแรงให้ออกสนามรบสุดท้ายอ่อนแรงในสนามรบ ตายด้วยพลังสุดท้ายอย่างนั้นเลย ก็จะต้องมีพลังแข็งแรง ออกไปสู่สนามรบ สุดท้ายล้มในสนามรบเลย นั่นคือยอดนักรบ

 

      _เมืองไทยจะมีนายกที่เป็นผู้หญิงอีกไหมครับเข็ดจริงๆให้ดิ้นตายสิครับ

       ตอบว่า...ผู้หญิงเป็นนายกไม่คือหรอกในเมืองไทย อาตมาเชื่อมั่นว่าเมืองไทยมีนายกผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นแหละ  เมืองไทยมีเหตุการณ์ของทหารความนายกหญิงอย่างเรียบร้อยมาก สุกงอมอย่างเต็มที่ความได้อย่างไม่รังแกอะไรเลยแต่พม่าผู้หญิงกำลังจะคว่ำทหาร  ถามลึกๆว่าอยากให้ซูจีชนะไหมก็อยากให้ซูจีชนะถ้าซูจีไม่ชนะทหารก็ยังอยู่ ก็เป็นกำลังที่จะไปหาการเมืองประชาธิปไตยได้ยากอย่างน้อยให้ผู้หญิงมาเป็นสักสมัยก่อน ซูจีก็จะสร้างรากฐานให้กลับมาสู่ผู้ชายใหม่จะเป็นเช่นนั้น

      ศิลปศาสตร์คือการรวมมวลต่างๆให้อยู่ในสามัคคี รู้จักเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย รู้จักจุดสำคัญรู้จักกับองค์ประกอบ รู้จักจุดพิเศษ เข้าใจความประสานกลมกลืนอย่างไร รู้จักไฮไลท์อย่างไร  รู้จักองค์รวม  เป็นศิลปะศาสตร์ที่สุดยอดพระพุทธเจ้าเป็นยอดแห่งศิลปศาสตร์ อาตมาก็สงสัยว่าทำไมชาตินี้ต้องมาเรียนศิลปะและไม่ต้องเรียนถึงปริญญา ตรีโทปริญญาเอก  เพราะมีศาสนาอยู่แล้วถ้าจบปวสก็รู้แล้ว ยังคุณถวัลย์ ดัชนี อาตมาก็คุยกันเข้าใจ ซึ่งเขาตายไปแล้วเป็นรุ่นน้องอาตมา 3 ปีเขาพูดอภิธรรมแต่มีความเป็นอภิธรรมสักเท่าไหร่แต่อาตมามีเนื้ออภิธรรมอยู่

       เมืองไทยจะไม่มีผู้หญิงเป็นนายกอีกแต่ที่อื่นจะต้องมีอีก india เนี่ยไม่น่าจะมีผู้หญิงเป็นนายกอีก  อินเดียก็มี แต่จีนควรจะมีแต่จีนกลับไม่มีมันสลับกัน  สักวันหนึ่งจะมีผู้หญิงเป็นนายกของจีนและอินเดียจะแข็งแรงอีกต่อไปในอนาคต เมืองไทยจะได้สัดส่วนเป็นชมพูทวีป เป็นส่วนที่เข้าใจความสมดุลเป็นกลางกลมกลืนได้สัดส่วนจัดสรรรวมอะไรได้มากที่สุดและมีความปึกแผ่นที่สุดที่เรียกว่า  unity of diversity จะรวมหลากหลายไว้เป็นหนึ่งเราจะอยู่อย่างสมดุลอยู่อย่างอาศัยกันก็มีหลากหลายช่วยกันคนละมุมครบสมบูรณ์

 

      _ คนส่วนใหญ่ก่อนมาอโศกเชื่อว่าบาปกรรมจะลบล้างด้วยกฐินทอดผ้าป่าและเชื่อว่าตายแล้วสูญหมดเวรหมดกรรม

       ตอบว่า  มันซับซ้อนที่จริงมีประโยชน์คุณค่าอยู่เหมือนกันจะไปตีทิ้งทั้งหมดไม่ได้ แต่ใช้สำรองใช้อาศัยถ้าขาดแคลนก็ทำอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ได้ การมักน้อยสันโดษเกินทำอะไรไม่ออก ถ้ามากเกินไปชอบผลาญทำลายตัวเอง ให้มาศึกษากับอโศกจะเข้าใจต่อไป ส่วนเวรกรรมนั้นอย่าไปเชื่อว่าเวรไม่มีอีกแล้วไม่มีสิ่งต่อทอดไม่ได้

อาตมาจำนนจะต้องประกาศตนว่าเป็นโพธิสัตว์ซึ่งมีธรรมะตกค้างมาจากชาติก่อนก่อน ยืนยันได้จากชาตินี้อาตมาไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้เรียนรู้ธรรมะจากสำนักไหน เพราะถ้าจะมาเป็นมาจากสำนักไหน ก็จะบรรยายเหมือนกันแต่หาไม่ได้ แม้แต่มาจากชาติก่อนก็ยิ่งดีถ้าชาตินี้มีก็เข้ามาเลย  อาตมามีของตนเองเดี่ยวเป็นนักรบพ่อลูกอ่อนเลี้ยงลูกไปด้วยควงดาบไปด้วยลำบากลำบนเหน็ดเหนื่อยก็มาช่วยกันสิ

       สรุปว่าเวรกรรมมีจริงคนไม่เชื่อวิบากกรรมซวยเชื่อว่าจบชาตินี้แล้วสูญก็ซวย  คนนี้ทำชั่วได้ทุกอย่างเป็นภัยต่อสังคมประเทศชาติมาก

      อาตมาประกาศโพธิสัตว์ คนจะได้เชื่อว่าชาติที่ผ่านมามีจริง

 

      _ขอความกรุณาช่วยบอกสีจีวรต้องห้ามในพระไตรปิฎก เดี๋ยวนี้พระห่มจีวรสีส้มกันมากแล้วพระพุทธเจ้าว่าต้องเจือสีน้ำตาลด้วย

      ในพระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค 2 ล.5 ข.179 บันทึกว่า แต่เดิมนั้นพระภิกษุย้อมสีจีวรต่างกันไป พระโคตมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า[1]

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม 6 อย่าง คือ น้ำย้อมเกิดแต่รากหรือเหง้า 1 น้ำย้อมเกิดแต่ต้นไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่เปลือกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ใบไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ดอกไม้ 1 น้ำย้อมเกิดแต่ผลไม้ 1"

ส่วนสีที่ทรงห้ามมี 7 สี คือ สีเขียวครามเหมือนดอกผักตบชวา, สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์, สีแดงเหมือนชบา, สีหงสบาท (สีแดงกับเหลืองปนกัน), สีดำเหมือนลูกประคำดีควาย, สีแดงเข้มเหมือนหลังตะขาบ และสีแดงกลายแดงผสมคล้ายใบไม้แก่ใกล้ร่วงเหมือนสีดอกบัว[2]

บางแห่งระบุว่า สีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และสีชมพู[2]

 

      _ ดิฉันเห็นเด็กเล็กๆที่น่ารักแล้วเกิดความยินดีแต่ก็รู้ว่ามีลูกแล้วมันทุกข์มันลำบากเพราะเลี้ยงลูกกว่าจะโตก็เหนื่อย  เลี้ยงให้เป็นคนดีก็ยาก  เราจะทำอย่างไรดี

      ตอบว่าทุกวันนี้มีแต่ผีมาเกิดและองค์ประกอบก็ผีเยอะเต็มไปหมด  ความยินดีเราเห็นสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็รู้สึกยินดีเป็นธรรมชาติ แม้แต่สัตว์ใหญ่ก็เอ็นดูสัตว์เล็กเป็นธรรมชาติของสัตว์โลก ไม่มีปัญหาก็ควรจะมีอยู่บ้างอาตมาก็เอ็นดูเด็กๆแล้วก็เอ็นดูในภาวะมีจริงแล้วก็จบ

สิ่งที่ยินดีมีในปัจจุบันได้แต่อย่าให้แรงอย่าให้เป็น อุพเพงคาปีติ ยินดีพลังแรงเกินไปจะเป็นภัย  ความยินดีที่ต้องมีในจิตวิญญาณมนุษย์คือผรณาปีติจะเกิดชั่วคราวและเป็นครั้งครั้งตามสภาพที่ควบคุมได้  เป็นขณิกาปิติและโอกกันติกาปีติ แต่ละครั้งที่เป็นองค์ประกอบกันถึงโอกกันติกาปีติ คือให้หยั่งลงได้เป็นคราวๆเท่าที่ควร  ถ้าสามารถควบคุมสิ่งที่จะเกิดได้อรหันต์แล้วก็คงพลังงานเหล่านี้ใช้ได้ตามควรทำให้มีขึ้นได้อาศัยอธิบาย

ของสดๆอาตมาทำความรู้สึกปีติในตอนอธิบายธรรมะหน้าสมเด็จปู่ฯ อาตมาอธิบายซาบซึ้งจะให้ร้องไห้น้ำตาไหลก็ทำได้ หรือจะสะกดก็สะกดได้แต่อาตมาก็ปล่อยให้ออกมาเพราะเป็นสัญลักษณ์ ก็ใช้ให้พวกเราได้สะดุดเอาไปเป็นประโยชน์ สรุปแล้วอมตะบุคคลสามารถควบคุมปิติได้ปรุงแต่งอาการออกมาให้เหมาะสมยุคสมัยเรียกว่ากาลัญญุตา  มีสัปปุริสธรรม 7 และมหาประเทศ 4  ไม่มีกัมนิยะ(มรรค) มีกัมมัญญตา(ผล)  ได้สัดส่วนที่เหมาะสมควร

 

_ ข่าวจาก news mthai.com  ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในการเลือกตั้งศาสตร์ของประเทศเมียนมาทัก nld ของนางอองซานซูจีชนะขาดหลายหน่วยด้วยจะทยอยประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้เริ่ม 9 นาฬิกา 12 นาฬิกาและ 15 นาฬิกาและ 19 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น

 ก็ขอบคุณที่ส่งเข้ามาทุกวันนี้ globalization เชื่อมต่อกันตลอดเพื่อโลกแล้วมันเป็นโลกที่ไม่มีช่องว่างฟ้าบ่กั้นเราเขาแปล globalization ว่าฟ้าบ่กั้นไม่มีอะไรกีดกั้นกันแล้วถ้าโอบามาตดที่ไหนทำเนียบขาวกลิ่นมาถึงที่นี่แล้วนะเดี๋ยวนี้นะแต่ได้ยินแล้วได้ยินแล้วก็เสียงไม่ถึงแต่ถ้าทำกลิ่นมาคงได้กลิ่นเลยนะ

  ทุกคนให้รักษาสุขภาพให้ดี โดยเฉพาะรักษาใจ จะได้อยู่ช่วยโลกไป  อย่างอาตมาก็จะพยายามอยู่ไปอีก 70 ปีเพื่อช่วยโลก i will try….จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:06:21 )

581110

รายละเอียด

581110_ธรรมพ่อครูมหาปวารณา คัดเลือกมา

581107_เทศน์ทำวัตรเช้า มหาปวารณาครั้งที่ 33 บวชมา 45 ปี มีอะไร

ยึดอัตตาพาเสื่อม

คำว่ายึดมั่นถือมั่นนี้ ก็ขอให้พวกเราได้รู้ให้ชาวอโศกที่มีการยึดมั่นถือมั่นโดยไม่มีอัตตาได้เก่งได้ดี เมื่อมันดีพอได้แล้วดีขึ้นเรื่อยเรื่อย แต่ขนาดนั้นมันก็ยังไม่หมดไปง่ายและไม่หมดไปตลอดสำหรับคน สำหรับแต่ละคนชาวสมาชิกนักปฏิบัติธรรม ไม่ต้องพูดถึงคนไม่ปฏิบัติธรรมทางโลกว่าจะหมดได้ เพราะเขาไม่ได้เรียนรู้ที่จะฝึกฝนลดละ อวิชชาไม่รู้ตัวก็มีแต่จะมากขึ้นๆทั้งโลกคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมทำจะเป็นเช่นนั้น  แม้แต่อยู่ในหมู่กลุ่มนักปฏิบัติธรรมอาศัยหมู่ เป็นองค์ประกอบให้เราลดและปฏิบัติธรรม ส่วนผู้ที่ฉลาดน้อย( แปลเป็นไทยว่าโง่)  อาจจะฉลาด ฉลาดที่จะต้องเห็นแก่ตัว ฉลาดมีอัตตาหาเรื่องให้ตัวเองชนะ  ที่ตนเองเห็นว่าอัตตามันพาเป็น  คือมันจะเอาชนะไม่ยอมแพ้ 

เป็นความซับซ้อนคนเราถ้าคนไหนหมดอัตตาแล้ว จะไม่รู้สึกว่าชนะแต่จะรู้สึกว่าตนเองเฉยๆได้ ทั้งที่ตนเองชนะก็ไม่ยินดี แม้แพ้ก็ไม่ยินร้าย เฉยๆคือคำว่าไม่รู้สึกยินดียินร้าย  แต่ถ้าได้ยินดีจะเสริมพลังความชนะของตนเองให้รุกไปอีก  ถ้าแพ้ก็ยิ่งเสริมอัตตาแรงเข้าไปอีกเพื่อจะเอาชนะให้ได้ ชนะก็มุ่งไปเหมือนกันพอสมควร

 มันมี 3 เกณฑ์  เกณฑ์ที่ 1 จะแพ้หรือชนะก็มุ่งแรง ชนะก็มุ่งแรงผยองแพ้ก็จะเอาชนะอีก  แต่อริยชนสูงสุดจะแพ้หรือชนะก็เฉย  ถ้ามีอัตตาชนะก็ภูมิใจ หลงตัว แต่ถ้าแพ้ก็จะฮึดสู้  ไม่ใช่จะยอมแพ้นะ บางคน ยึดมากก็เอาตัวออกจากหมู่ไปเลย  ในโสดาบันสกิทาคามีก็เป็นได้ อนาคามีก็เป็นได้ อัตตานี้เป็นเรื่องลึกซึ้งสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม 

พวกเราทำงานมานานไม่รู้กี่ปีแล้ว อย่างที่บ้านราชฯปีนี้ครบ 30 ปีเต็มในปีใหม่นี้ ผู้ที่มาอยู่ในหมู่เรา ได้พัฒนาตนเองขึ้นมา แต่มีอัตตามันพาไปในทางไม่ดี ทำให้ไม่รู้ตัว ทำอะไรไม่ดีลงไป ก็จะถูกสะสางให้เข้าร่องเข้ารอย ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่องรอยแล้ว  และมีสังคมที่อาตมาถือว่า ประสบผลสำเร็จมากกว่าชุมชนใดๆของชาวอโศก  มีสัมมาอาชีพ มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะที่ลงตัวพอได้ แล้วก็ดูใช้ได้ต่อไป ก็ยังมีตัวบุคคลบางคนมีคลื่นที่มีอัตตา แม้ในขณะนี้ปฐมอโศกก็ยังเห็นอยู่  ไม่หยุดมั่นถือมั่นตนเองไม่ถอดตัวถอดตน

 

จะบอกให้คนที่ทำงาน โดยเฉพาะคนที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ในงาน ของชุมชนเรา พอเสร็จแล้วก็ มีวิกฤตขึ้นมา จะเกิดด้วยตัวเราเองถูกเปลี่ยนแปลง เช่นเราถูกเปลี่ยนออกจากตำแหน่งที่ทำงาน  ถูกปลดออกจากตำแหน่งด้วยอะไรก็แล้วแต่ บางทีเหตุมันแรง เหตุปัจจัยบางทีดูเหมือนไม่ค่อยถูกต้อง  ต่อให้ไม่ถูกต้องด้วยโดยทางโลกสมมุติสัจจะไม่ค่อยถูกต้องแต่โดยความเป็นปรมัตถ์สัจจะนั้นบอกแล้วว่าถูกกับผิดนั้นเรื่องเล็ก ความสามัคคี จะสามัคคีได้จะต้องไม่มีคลื่น

ผู้ใดที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งแม้จะถูกต้องหรือไม่จะผิดหรือถูกก็ตาม ตนเองก็ทำการเคลื่อนไหว มีกิเลสเคลื่อน มีปฏิกิริยา  ทุกชุมชนก็จะมีการเคลื่อนมีรอบของการเปลี่ยนแปลง มันเป็นเหตุปัจจัยให้คนปฏิบัติธรรมต้องรู้การเคลื่อนไหว กายวิญญัต วจีวิญญัติ รอบตัวเราเสมอต้องหยิบมาอ่านเป็นรูปที่สำคัญ  และแม้จะทำงาน อาตมาทำงานก็อ่านกระแสของสังคม กระแสโลกจะมาเป็นเหตุปัจจัย ในการประมาณ ตามเหตุปัจจัย รอบปลายหรือรอบลึกๆก็ตาม ตามปฏิภาณที่จะรวบรวมได้ เรียกว่ากาโย  หยิบเหตุปัจจัยมาใช้ปฏิบัติทำงานได้

อาตมา ไม่มีเวลา ไม่อยากจะจับตัวมาชี้มาสอน เพราะถ้า จับตัวมาชี้มาสอน มันไม่ได้ผลดีเท่าไหร่ ได้เป็นแค่ครั้งคราวตามงานตามเหตุการณ์ ถ้าเผื่อว่าถึงขั้นเอามาบอกสอนแล้วเปลี่ยนแปลงได้ มันดีต่อสังคม แต่มันไม่ได้ตอบผู้ปฏิบัติ มันเหมือนบังคับให้เปลี่ยนแปลงให้ทำตาม เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่เกิดปัญญาสำนึกไม่เกิดแก้ไขตนเองผลประโยชน์ของตนเองก็จะน้อย ดีไม่ดีจะทำให้ตนเองเกิดกิเลสเสริม ไม่ชอบใจด้วยซ้ำ ว่าให้หยุดให้เลิก  แต่ถ้าศรัทธาบอกแล้วก็จะกลายจะเปลี่ยน ก็จะได้ประโยชน์บ้าง  เป็นเหตุการณ์สำคัญมากสำหรับชาวอโศกโดยเฉพาะตัวบุคคลที่ถูกเปลี่ยนหน้าที่ ถ้าผู้ใดที่ยังภูมิไม่ถึง ก็จะเสียคน เสียท่าอยู่บ้านเกิดทุกคน  ถ้าตั้งหลักได้ก็ดีขึ้น ถ้าตั้งหลักไม่ได้ ก็จะแพ้ภัยตัวเอง

อาตมาจริงนะเสียดายหลายคน ก็เคยให้สติเสมอ ให้เปลี่ยนแปลง แต่อัตตาตัวเอง คิดว่าจะมีลาภมากลาภน้อย  แม้ลาภมันน้อยไปหน่อยก็ไม่เป็นไร เราควรทำอะไรเสริมให้เจริญ ยศตำแหน่งหน้าที่อำนาจมันลดลงไป ก็เป็นไปทั้งนั้นแต่ถ้าเราไม่รู้ทันโรคหรือกิเลส  โรคมันก็กำเริบกิเลสมันก็ทำงาน ทำให้สูญเสียไป เหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้น

ตอนนี้เหตุการณ์ที่ศรีษะอโศก ก็เกิดขึ้น ที่ปฐมอโศกนี้เกิดมาก่อนตอนนี้ก็ยังไม่หายไม่เรียบร้อย  ส่วนที่อื่นยังไม่ค่อยชัด ก็รุนแรงอยู่ ที่สันติก็ดีที่บ้านราชฯก็ดี  ปฐมอโศกแล้วเป็นตัวอย่าง ศีรษะอโศกก็ตามมา เมื่อได้ฟังบรรยายนี้ก็เอาไปตรวจให้สำคัญ  ศรีษะอโศกหากรู้แล้วปรับตัวให้ดีก็จะดีมาก  ตอนนี้ก็ยังมีตัวหนุน ท่าทีก็ไม่ง่าย อย่างราชธานีอโศก ตอนนี้มีโครงการมาก แต่ก็มีอะไรที่จะรวดเร็วในการแก้ไข ที่จะใช้หนี้(หนุน) แต่ศีรษะอโศกอาตมาว่าไม่เร็วเท่ากับราชธานี แต่ถ้าทำได้ดีปรับได้เร็วก็จะเร็วส่วนปฐมอโศกไม่มีเงินหนุนเลย คือคนมีคุณบุญมีคำกิจกรรมมีผลเจริญ ก็ให้สัญญาณไป

ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ เอกภาพต้องมีความหลากหลายขัดแย้งอันพอเหมาะ unity of diversity ความขัดแย้งทำให้เกิดพลังงาน หากไม่เกิดพลังงานก็ตายนิ่งสูญเน่า พลังงานที่ยิ่งแรงยิ่งเร็วยิ่งเย็นคือ กายปาคุญญตาหรือกายกัมมัญญตา หลากหลายทิฏฐิทำคนละแง่มุมต่างแต่ทำงานกันได้ มาประชุมลงมติกันเอาตามที่ประชุม

ผู้ใดที่หมู่เขาตัดสินแล้ว ก็ไม่ช่วยหมู่ทำหรอก ไม่เอาความคิดตนทำก็เลยไม่ทำตามหมู่ คนนี้ไม่เจริญ มติหมู่ที่รวมตัดสินแล้ว คุณต้องโยนตัวตนทิ้งถ้าผิดก็ผิดทั้งหมู่ ไม่เป็นไร คุณมารวมกันแล้วต้องให้เกียติหมู่ หมู่นี้คุณเลือกแล้วว่าเป็นคนดีสุจริตก็ต้องให้เกียรติหมู่คณะ ถ้าคุณดีกว่าก็ไปทำคนเดียวสิ ไปตั้งหมู่ใหม่สิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ตั้งใครเป็นใหญ่คนเดียว แต่ตั้งให้หมู่เป็นใหญ่ ฝากถึงคุณมีชัยอ่านวินัยที่คือกฎหมายของพระพุทธเจ้า หรือจะอ่านจุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีล ที่ละเอียดหน่อย ไม่ใช่อาชญาไม่มีอะไรลงโทษ แต่เป็นหลักปฏิบัติ

อาตมาว่าชาวอโศก เหมือนเด็กกำลังโต 500 ปีกว่าจะโต  ปีนี้ปี 2558 ก็เปลี่ยนแปลงขึ้น หลายชุมชนก็เสื่อมโทรมลงไปก็บูรณะขึ้นมาได้ ก็ต้องพากเพียร ทำชุมชนของตัวเองให้ดี  พูดมาไม่รู้กี่ที ที่จะประเสริฐเท่ากับทางมาเป็นอริยบุคคลไม่มี  จะต่อไปอีกกี่ชาติก็ตาม ฉันจะบรรลุสูงสุดชาตินี้ เป็นอรหันต์สรุปง่ายๆ จะรู้สึกว่าต้องต่ออีกร้อยชาติค่อยเพียรอย่างงั้นเหรอ ถ้าบรรลุในชาตินี้ได้ก็ควรจะต้องบรรลุ  ตอนนี้เรามีเสนาสนะสัปปายะ ของแต่ละบุคคล  ถ้าไม่เห็นว่าตนเองต้องมาเป็นชาวถิ่นนี้ก็ไปที่อื่นได้  ฟังคนไม่เหมาะที่สันติอโศกไปเหมาะที่ภูผาฟ้าน้ำ  บางคนอยู่เหนือไม่เหมาะก็ไปอยู่อีสานดีกว่า  ตามเหตุปัจจัย  พวกเราเลือกได้มีอิสระเสรี

 มีบุคคลสัปปายะอาหารทำสัปปายะธรรมะสัปปายะธรรมสัปปายะเป็นเรื่องดี

ตัวอย่างที่ท่านผู้รู้ให้สัญญาณเกรงว่าเราจะเป็นอย่างท่านพุทธทาส ที่ไม่ได้สร้างหมู่กลุ่มต่อ ส. ศิวรักษ์ก็เตือนมา ก็ดีเกรงว่าจะมาตายไปแล้ว ที่จะเหลืออยู่ มันไม่ติดเครื่อง ไม่ได้สร้างกลไกธรรมจักรของสังคม  ต้องขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างท่านพุทธทาสกับท่านพรหมคุณาภรณ์ ไม่ได้คิดจะลบหลู่ ท่านเลย

ท่านพรหมคุณาภรณ์จะมีลักษณะกว้าง แต่ในเชิงพยัญชนะ เนื้อหาความรู้ เป็นความผนึก ท่านรวบรวมไว้หมดเลยอันนี้เป็นตัวเด่นของท่าน ปัญญาชนยอมรับนับถือ ส่วนท่านพุทธทาสก็รวบรวมไว้ไม่ใช่น้อย แต่ไม่เหมือนกับท่านประยุทธ์ แต่ท่านก็ใช้ทำงานกับสังคมส่วนเจโตกับปัญญาของท่านพรหมคุณาภรณ์กับท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสจะลึกกว่า ของท่านประยุทธ์กว้างกว่าแต่ไม่ลึกเท่ากับท่านพุทธทาส  ท่านไม่ได้มีตัวสำคัญที่ต้องสร้างหมู่กลุ่ม สร้างเสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ ก็เลยไม่ต่อได้ นี่ท่านประยุตต์ยังไม่สิ้นไปนะ ท่านพุทธทาสสิ้นไปแล้ว เป็นตัวอย่างที่มีมาก่อนอย่างฤษีลิงดำ หลวงพ่อชา ส. ศิวรักษ์ ก็มองหลวงพ่อชาว่าสร้างได้มากกว่าท่านพุทธทาส ก็จริง หลวงพ่อชาสร้างกลุ่ม แต่สร้างเฉพาะพระ ไม่ได้สร้างพุทธบริษัท 4  แต่ของชาวอโศกนี้มีพุทธบริษัท 4

หลวงพ่อชาก็สร้างพุทธมามากะบ้างก็เห็น  แต่ของท่านพุทธทาสได้แต่พุทธศาสนิกชน  ได้พุทธมามกะน้อยกว่าหลวงพ่อชาแต่ไม่ได้พุทธบริษัท ท่านอ.ส.และอ.เจิมฯ  บอกว่าอาตมาไม่ได้สร้างกลุ่ม แต่จะมารู้ว่าถ้าอาตมาตายไป ในบรรดาพวกเราไม่มีใครแทนอาตมาได้  ต้องขอขอบพระคุณ ท่านที่อาตมาได้ยกตัวอย่างใช้เป็นเหตุปัจจัยให้ศึกษาเหมือนยกตัวใหญ่กว่าเขาไปหมด ก็ต้องขออภัยจริงๆ คณาจารย์ชาท่านประยุทธหรือท่านพุทธทาส แม่ท่านฤาษีลิงดำก็ตาม

พุทธศาสนิกชนในเมืองไทย เมืองไทยเรามี95%  ที่นับถือพุทธศาสนา ก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งให้อาตมาบอกได้ว่าเมืองไทยเป็นชมพูทวีป แล้วอาริยธรรมโลกุตรธรรมได้ดำเนินไปแล้ว ในหมู่กลุ่มชาวอโศก แต่ไม่อยากให้ไปหลงเช่นนี้น อย่ายึดมั่นถือมั่นแต่ต้องมีความมุ่งมั่น ฟังแล้วอย่าไปหลง เคยได้ใช้โศลกว่า  ยึดดีให้เจนจัด ถือสัจจ์ให้เจนจิต  แต่อย่าติดหลง

อโศกนี้อาตมามั่นใจ ว่าได้วางรากฐานพุทธบริษัท ทั้งอุบาสกอุบาสิกานักบวชหญิงนักบวชชาย  เป็นอริยชนทั้ง 4 อย่าง  ถ้าไม่มีทั้ง 4 นี้เป็นอริยะจริง นับเป็นพุทธบริษัทไม่ได้ แม้ในเมืองไทยจะมีมาก แต่จะมาทำโดยเจตนาโดยรู้ว่าพวกเราฆราวาส ถึงมีองค์ประกอบเป็นบ้านวัดโรงเรียน มีองค์รวมที่ได้สัดส่วนทั้งสมัยใหม่และสมัยเก่าทำได้ลำจากยุคพระพุทธเจ้า ที่เป็นสาธารณโภคี ท่านพุทธบริษัท 4 อาตมาไม่ได้เบ่งข่มพระพุทธเจ้านะ บางคนอาจจะบอกว่าทำเก่งกว่าพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ต้องรวมเป็นชุมชนเพราะใหญ่กว่าอาตมา  สมัยพระพุทธเจ้าฆราวาสเป็นอริยะหรือเป็นอรหันต์มากกว่านักบวช นักบวชมีเฉพาะที่บวชแต่ฆราวาสมีทั่วโลกก็มีอริยะมากมาย ส่วนของเราจะอยู่ในวงแคบของพระพุทธเจ้าเยอะแต่ก็เป็นกลุ่มเป็นก้อนได้

ทุกวันนี้ อาตมากำลังสร้างอันใดอันหนึ่งลงไปให้แก่โลก คือมนุษยชาติที่จะมีระบอบระเบียบทฤษฎีของพระพุทธเจ้า  ใช้กับชีวิต พวกเราก็รับไปเรื่อยเรื่อย ส. ศิวรักษ์ก็ดีท่านก็ใช้วิจารณญาณ  ที่อาตมาพูดไป ก็ให้ไปตรวจสอบดูได้ มีสิ่งจริงเป็นมาอย่างไร

ตัวเราตัวตนบุคคล อยู่ในฐานะเพื่อนสมาชิก ที่จะร่วมกันสร้างอาหาร ให้เกิดสัปปายะ ก็จะสั่งสมธรรมะสัปปายะที่เกิดอยู่ที่คน ทำให้แข็งแกร่งให้ดีขึ้นให้เจริญขึ้น  อาหารสัปปายะก็จะเกิดขึ้น เพราะแต่ละคนมีบุคคลสปายะเป็นอาริยะ เสนาสนะก็จะถูกสร้างทำขึ้นดีขึ้น ชุมชนที่กระร่องกระแร่อยู่ขณะนี้ก็จะได้ช่วยกันขึ้นไปตามลำดับ  จะมีเหตุปัจจัยที่ world wide web ของทุกอย่างดำเนินไป จะกินความกว้างกินความรวม แล้วดำเนินไปก็คือเว็บ เปิด www.

เป็นความหมุนวนของจักรวาลที่มีมนุษยชาติเป็นแกนหมุนไป  พวกเรานี้เป็นตัวจริง ใครรู้สึกว่าเป็นตัวจริงยกมือดูสิ…... ให้ระมัดระวัง ใครมีความโกรธหรือก่อนจะออกไปก็ให้ระวัง ไม่โกรธไม่งอน ถ้าเราไม่เป็นตัวจริงอยากเป็นตัวจริงก็ต้องพากเพียรสิ  ใครไม่เข้ามาก็รีบเข้า อยากได้ไปตะลอนทัวร์อยู่รอบจักรวาล

อาตมาไม่ได้ทำอย่างท่านพุทธทาสท่านประยุทธหรือท่านอาจารย์ชา หรือแม้แต่อาจารย์มั่นที่ทำอยู่ อาตมาไม่ได้ทำเหมือนกับใครใครหลายคน ที่เขาเป็นเจ้าสำนัก ที่ดูดีดูเข้าท่าก็แล้วแต่ไม่เหมือน ในหลายนัยยะมาก พูดไปก็ไม่ดีเหมือนยกตัวยกตน  อาตมาทำประโยชน์ท่านเป็นหลักประโยชน์ตนเป็น by product พวกคุณต้องประโยชน์ตนเป็นหลัก ให้เป็นอรหันต์ได้ก่อน แล้วเก่งขึ้นมีฤทธิ์เดชเพิ่มก็เป็นไป แต่ท่านไม่ได้หลงสิ่งเหล่านั้นจะมีโลกธรรมเพิ่มก็เป็นสัจจะ ผู้เป็นอรหันต์แล้วจะดีได้อย่างไม่ถอยไม่เสื่อม  จะเกิดอีกกี่ล้านชาติก็ต้องมีหลักประกันให้เป็นอรหันต์ให้ได้  เกิดมาเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรอย่างอื่นเป็นจุดหมายนอกจากเอาอรหันต์ วันนี้อาตมาเหมือนพระพุทธเจ้าเจาะปากมาพูด

เกิดมาเป็นคนมันไม่มีอะไร ที่จะดีเท่ากับการเป็นอรหันต์ มีมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุกโรค คุณจะสูงสุดหรือเลวร้ายที่สุด ก็อยู่กับคนนี้แหละ คนเป็นมนุษย์แต่จิตใจเลวร้ายเหมือนสัตว์ อย่าเป็นสัตว์ร้าย  ความจริงหรือความรู้ที่ควรรู้ เกิดเป็นคนแล้ว ดีที่สุดได้มาศึกษาธรรมะจนเป็นอรหันต์ อยากจะได้อะไรที่ประเสริฐเลิศยอด ชีวิตคุณบางคนรู้สึกว่าเกิดมาทำไมไม่รวยเหมือนเขา ทำไมไม่ได้เมียสวยเหมือนเขาอาตมาถือว่าเป็นลามกนะ ทำไมคุณไม่มาเป็นอรหันต์ให้ได้แล้วเป็นโพธิสัตว์ คุณจะมีเมียสวยจะรวยได้ต้องให้เป็นโพธิสัตว์ให้จริงเถอะ ถ้าคุณไม่เคยมีมาในชีวิตก็ตาม ไม่เคยรวยก็จะรวย ถ้าจิตยังมีกระสันอยากเป็น จะไม่ได้เป็น ถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าเร็วอย่าอยากเป็น อาตมาไม่ได้ไปอยากรวยอยากยิ่งใหญ่อยากมีเมียสวยๆถ้าจะมีไม่ยากหรอก  อยากแล้วจะไม่ได้ นี่เป็นเคล็ดลับกลยุทธ์นะ  ถ้าไปอยากมันก็พาให้เราเสียเวลาใช่ไหม ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์แล้ว คุณได้ทุกอย่างแต่ไม่ใช่จะได้ทันทีต้องตามเหตุปัจจัย จะได้อะไรก็ได้ทั้งนั้นบอกให้ก็ได้ พระเจ้าอโศกมหาราชอยากจะเป็นใหญ่เป็นโตเป็นเจ้าก็เป็น เสร็จแล้วก็ปราบ มาไม่รู้กี่ทิศแต่ก็สำนึกได้ ว่าเป็นวิบาก แต่ท่านเป็นโพธิสัตว์ แม้แต่ไอน์สไตน์ก็อยากเก่ง คนก็ยกย่องตัวเองก็ได้เป็นแล้วสุดท้ายก็เสียใจ  แบบไอสไตล์แบบพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แล้วสุดท้ายก็สำนึก วันนี้พูดสิ่งที่เป็นอจินไตยที่ลึกซึ้ง หลายคนก็จะเข้าใจอะไรได้ดีขึ้น มีปฏิภาณที่จะเข้าใจ

 

 

581107_เทศน์ในพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มหาปวารณา ครั้งที่ 33 ปฐมอโศก

 

เจตนาที่จะอธิบายวันนี้  ก็จะต่อจากเมื่อเช้านี้คือเรื่อง 45 ปีที่ทำงานมา มี 15 ต้น  15 กลาง และ 15 ปลาย  ถ้าผลมันดี ตอนนี้ไป อีก 5 ปี จะเห็นได้เลยว่ารอบถ้วนของสามเส้า 15 15 15  และ 5 ปีต่อไปอัตราก้าวหน้าจะเจริญอย่างไร ถ้าถึง 50 ก็ครึ่งศตวรรษ  ถ้าตรวจได้ดีดูอีก ถ้ามีพลังงานกุศลอันนี้ต่อไปเป็น 6 เป็น 7  เป็น 51 เป็น 52 ก็เพิ่มจาก 45 นี้เป็น 5 6 7 8 ได้ด้วย ดูได้ว่าจะเป็นสิ่งที่พัฒนา จะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องวัด  ขออภัยทุกคนอย่าเพิ่งใช้เรื่องตัวเลขแบบอาตมา เพราะพวกคุณไม่ถึงรอบที่จะมาใช้ เครื่องเลขเหล่านี้ แต่เรียนรู้ได้ อย่าเพิ่งหลงตน อย่างของพระพุทธเจ้านี้ลงตัวทุกจุด ของบประมาณนี้จะมีทศนิยมเยอะ ก็เป็นไปตามบารมีของอาตมา

 

 ที่ได้ทำงานมา 45 ปี พูดไปบ้างแล้วว่าทำให้คนมีศีลได้ เมื่อคนมีศีลได้ มีคุณสมบัติของอธิศีล  อธิศีลคือศีลเจริญขึ้น คุณไม่ฆ่าสัตว์แต่จิตคุณจะมีเมตตา เกิดเมตตาธรรมขึ้นจริงๆคือความเจริญก้าวหน้า จนมีปัญญา รู้ว่าใจเรามีเมตตานี้ถูกแล้วปัญญาคุณจะแจ้งเอง รู้ว่าจริยาพฤติกรรมนี้การดำเนินแบบนี้เกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์ทั้งหลาย จิตใครเกิดเป็นจริงอย่างนี้ก็คือคนนั้นปฏิบัติศีลข้อที่ 1 จิตเกิดเมตตา และเป็นจิตที่เกิดจริงเป็นจริงไม่ใช่ดัดจริตไม่ใช่บังคับ แต่ขณะที่คุณยังไม่ถึงรอบถ้วนก็ต้องพากเพียรเพื่อให้เกิดเช่นนี้ จะนำพามันไปก่อน เมื่อมันเป็นเองแล้วเป็นตถตา จิตมีเมตตาเองไม่ต้องไปทำอะไรมันจะเป็นอย่างนั้นเลย

 

 อาตมาพาพวกเราปฏิบัติศีลข้อ 1 ยกฐานะไม่กินเนื้อสัตว์ ทุกคนเลยสังเกตได้ในสมัยที่ตนเองไม่ถือศีลระดับนี้เลยยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ผู้ใดยังกินเนื้อสัตว์จึงจะไม่เกิดอาการจิตเช่นนี้  แต่ผู้ที่หยุดกินเนื้อสัตว์จะมีอาการจิตเมตตาเกิดขึ้น จะรู้สึกตัวเองได้เลยว่า จิตเราก็เห็นสัตว์สัมผัสกับสัตว์ จิตเราจะไม่เหมือนเดิม 1 มันจะมีบันยะบันยังว่าสัตว์มีชิวิตอย่าไปทำร้ายมัน ยิ่งสัตว์เล็กสัตว์น้อย คุณฆ่ามันก็ตาย  มันกินเลือดเรานิดหน่อย คุณฆ่ามันก็ตาย ก็อย่าฆ่ามันเลย จะเห็นจิตเป็นอย่างนั้นจริง แม้แต่ตนเองรังเกียจส้วม แต่พอเวลาเมตตามันเกิดกลัวมันจะตายก่อนก็ใช้มือจ้วง อย่างนี้ก็เป็นใครประสบกับตนเองก็จะรู้ว่าจิตมีพัฒนาการมาเช่นนั้น

 

ตกลงศีลข้อหนึ่งเพื่อให้เกิดจิตเมตตาจิตเกิดเห็นชีวิตสัตว์ช่วยชีวิตสัตว์ อย่าไปอำมหิตโหดร้ายทุกสิ่งมีชีวิตเกิดมา เริ่มต้นตั้งแต่มีอัตภาพเป็นชีวะขึ้นมาแล้วตั้งแต่เป็นจิตนิยามก็จะมีวิบาก ชีวะที่ไม่เป็นจิตนิยามเป็นพืชก็ยังไม่มีวิบาก ไม่มีเวทนาไม่มีผลักมีดูดไม่มีตัวกูของกูถึงขั้น selfish เป็นขั้น self มาเป็นตัวตน เพื่อจะมีความเป็นตัวตนเลี้ยงตัวตนรักษาตัวตนไม่ไปทำร้ายใครไม่มากเกินขอบเขต จิตวิญญาณที่มากเกินขอบเขตของเซลล์จะเป็น salfish มากเกินจะเห็นแก่ตัวจะเอามาให้แก่ตัวแรงมากก็ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ไปเป็นเจ็งกิสข่าน นักรบโบราณบุกฆ่าแหลกเพื่อจะแย่งชิงพื้นที่แผ่นดินแย่งชิงอำนาจอาณาจักร แม้ที่สุดอย่างอังกฤษล่าอาณานิคม ทิ้งลูกระเบิดสูงสุดสุดท้ายไม่ยักกะเป็นอังกฤษกลายเป็นอเมริกาไปโยนลูกระเบิดใส่ญี่ปุ่น นี่ก็เป็นกุศลของอังกฤษไป อเมริการับวิบากรับบาปแทน ตัวเองอวดศักดาไปต่างๆนานาเรียกว่าฉันเจริญที่สุด สร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้ก่อนแล้วก็ไปตูมตามเข้า สิ่งเหล่านี้ลึกซึ้ง ก็หยิบสิ่งที่พอฟังได้มีในประวัติศาสตร์มาพูดให้ฟัง

 

 ในชีวิตของคนมาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งหมดแล้วจะรู้โลกรู้อัตราพระพุทธเจ้าสอนที่สุดแห่งที่สุด 2 อย่างคือโลคกับอัตตาแล้วใช้พลังงานร่วมกับความเป็นโลกกับอัตตา เรียกว่ารู้จักอธิปไตยอธิปไตยคือพลังงาน  จะเรียกอะไรก็แล้วแต่มีหลายคำ  กำลังแผลงมาจากพลังงาน ภาษาไทยมีน้อยคำแปลภาษาอังกฤษมีต่างๆนานา  ตั้งแต่ force ตั้ง energy ตั้งแต่ authority มีอะไรเยอะแยะ พลังงานเป็นระดับมี authority เป็นพลังงานชั้นสูง แต่พลังงาน force แรงกดดันกันเกินไป ส่วน energy ก็เป็นพลังงานกลางกลาง ก็มีอีก sovereignty ก็ยิ่งดีขึ้น

 

ใครเข้าใจรู้จักพลังงานลักษณะของพลังงานและใช้ให้ถูกต้องพอเหมาะ ผู้นั้นจะควบคุมโลกให้พอเหมาะได้ อธิปไตยแปลว่าแรงพลังอำนาจถ้ารู้จักใช้อธิปไตย กับโลกกับองค์รวมอัตตาคือตัวกูของกูเป็นองค์รวม ผู้ใดรู้จักใช้อธิปไตยกับโลกพอเหมาะ รู้จักใช้แรงกับอัตตาอย่างพอเหมาะ รู้จักโลกาธิปไตยกับอัตตาธิปไตยที่ได้สัดส่วนมากสมบูรณ์ ผู้นั้นมีความรู้ในธรรมาธิปไตย รู้จักใช้แรงงานกับคนอื่นกับสิ่งแวดล้อมกับผู้อื่น โดยประมาณตนรู้ตนว่าตัวเราก็เท่านี้ตัวเราทำได้ขนาดนี้ทำเกินตัวไม่ดีทำน้อยไปก็เสียผลต้องทำให้เต็มที่ให้ได้สัดส่วนที่ดีอย่างนี้เป็นต้น

อัตตัญญุตาคือประมาณตัวตน ปริสัญญุตาคือกลุ่มหมู่ หมู่น้อย หมู่ใหญ่ จนทั้งโลกทั้งจักรวาล รู้จักกาลัญญุตา รู้เนื้อแท้เป้าหมายคืออัตถัญญุตา รู้ทุกอย่างที่ทรงอยู่ประดามีเรียกว่าธัมมัญญุตา รู้ตัวเราเท่าไหร่ ตัวเราเท่านี้ มัตตัญญุตาจัดสัดส่วน ปริสัญญุตาคือบริษัทและปรปปโรปรัญญุตา อรหันต์ขึ้นไปต้องรู้จักสัปปุริสธรรม 7

 

อาตมาก็ทำมาตั้งแต่เริ่มต้นจนทุกวันนี้ 45 ปีแล้วได้ทำอะไรมาบ้าง ก็ทำให้คนมีศีล ทำให้คนมีสมาธิ ให้คนมีจิต ให้คนมีปัญญา ให้คนมีนิโรธและมีวิมุตติญาณทัสสนะ นี่เป็นหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ผู้ใดที่ได้มาศึกษาได้มาปฏิบัติธรรมจนสามารถมีศีลเป็นศีลที่แท้ไม่ใช่สีลลัพพตุปาทาน มีศีลมีสมาธิที่เป็นอธิจิต เป็นจิตเจริญขึ้นจริงๆ มีคุณค่า ผู้ปฏิบัติสามารถรู้จักจิตใจของตนเองแล้วก็อ่านจิตของตนเอง เห็นอาการจิตของตนเอง อาตมาพยายามถามพวกเราว่าเวลาโกรธเราอ่านอาการจิตของตัวเองเป็นไหม หลายคนก็บอกว่าอ่านอาการจิตเป็น มันไม่มีสีสันตัวตนรูปร่าง แต่มีอาการไหวอาการร้อนเป็นเช่นนี้มันเป็นพลังงานร้อนแรง มันดันมันอะไรก็แล้วแต่ มันทุกข์มันอึดอัด ใช้ภาษาเรียกได้หลายลีลา มันเป็นอาการของจิตทั้งนั้น อาการโรคก็ตาม อาการราคะก็ตาม มันต่างกันเรียกว่าลิงคะ เป็นเพศ มีการเรียนรู้อาการโกรธไหมอย่างนี้อาการราคะมาอย่างนี้ มันต่างกันเรียกว่ามีเพศ หรือมีลิงคะมีความแตกต่างกัน

 

 เราเลือกเอาอาการที่ควร อาการไม่ควรไม่เอา เรามีปัญญาก็รู้มากขึ้น จนหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่เข้าใจ ขจัดสิ่งเหล่านั้นออกได้ ไม่เข้ามาในใจเราได้เรียกว่าหลุดพ้นวิมุติ ดับเลิกสิ่งเหล่านั้น จากจิตใจเรา เรารู้อยู่แต่สิ่งเหฃ่านั้นทำอะไรเราไม่ได้ อาการจิตเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ครบ อาตมาทำมา 45 ปีสอนให้พวกเรารู้ได้ จนเกิดพลเมืองประชาชนมีกิจการกิจกรรม มีหน้าที่ทำงานกับสังคมได้กว้างขึ้น อาตมาก็พาทำได้กว้างขึ้น จนออกไปทำงานการเมือง ไปต้านเขา ผู้ที่เสียผลประโยชน์อำนาจก็จะเล่นงานเราส่วนมากเป็นรัฐที่เสียผลประโยชน์ เขาก็เลยบอกว่า อย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง นักการเมืองที่บอกเช่นนี้คือนักการเมืองที่ไม่รู้ว่าธรรมะต้องอยู่กับการเมือง ถ้าการเมืองไม่มีธรรมะก็ไปนรกอย่างเดียว การเมืองก็คือธรรมะ ธรรมะคือการเมือง ใครแยกธรรมะออกจากการเมืองก็คือนรก ทุกวันนี้เขาครอบงำความคิด ตัดธรรมะออกจากการเมืองเลยซวย

 

จริงคนไม่มีธรรมะ หากไปวุ่นกับอะไรก็ซวยแน่ แต่คนไหนมีคุณธรรมให้เขามา ให้มาร่วมมือกัน ให้มาช่วยพลเมือง แล้วจอมโจรก็จะกันธรรมะออกจากการเมือง การเมืองคืองานเสียสละช่วยเหลือพลเมือง งานที่ทำเพื่อตัวเองคือความซวยความผิด ถ้าทำอะไรเพื่อผู้อื่นเพื่อพลเมืองนั้นแหละดีเจริญ ก็พาพวกเราทำมาเรื่อยๆ พวกเราจะรู้เอง จะค่อยเข้าใจ แล้วทำมาได้ขนาดนี้ 45 ปีอาตมาว่าประสพผลสำเร็จในการทำ

 

ทำเรื่องพาณิชย์ก็ตาม การสื่อสารก็ตาม กสิกรรมก็ตาม ตอนนี้ไม่เก่งด้านอุตสาหกรรม วิศวกรรม เพราะราคามันแพง วิศวะหรือแพทย์ยังไม่เข้ามาใกล้อาตมาหรอก 45 ปีมีนายพลมาร่วมกับอาตมาหนึ่งเดียวคือ พล.ต.จำลอง แล้วก็มีพล.อ.ปรีชา แล้วก็มีผู้ว่าฯก็มา สิ่งเหล่านี้อาตมาดูแล้วก็เป็นข้อมูลว่ามีอัตราก้าวหน้าอย่างไร ไม่ได้บังคับนะ คุณต้องมีปัญญาของคุณ ทุกคนมีความโง่เท่าที่คุณเองฉลาด คุณฉลาดเท่าที่คุณโง่

 

ทำมาทุกวันนี้บุญนิยม 12 ด้าน ไปได้ไม่เท่าไหร่แต่ก็ต้องมาช่วยกันทำ อาตมาทำสื่อสารถึงขนาดมีโทรทัศน์ของเราได้ เราไม่ขอทาน เราหยิ่งศักดิ์ศรี เราจะมีอะไรรายละเอียดเยอะ แม้สิ่งเล็กน้อย อธิบายไม่ไหว บางอย่างก็ยังรู้ไม่ทันก็มี

 

สังคมมนุษยชาติก็มีแต่มาสร้างสิ่งประกอบรวมให้เกิดคุณค่า แม้ถึงระดับเสื่อมไม่ลงตัวขัดแย้งทะเลาะกันเราไม่รู้ทันมันก็จะทำลายเราเสมอ ศาสนาทุกศาสนาต้องการความเรียบร้อยราบลื่นง่ายงาม นี่คือความหมายของสันติ เรียบร้อยราบลื่น ง่ายงาม

 

แต่ความสงบไม่ใช่หมายถึงอยู่นิ่งๆไม่กระดุกกระดิกอย่างนั้นมันลงนรกแล้ว ความสงบคือความสมดุลลงตัวและเย็น สิ่งที่เร็วที่สุดได้สมดุลที่สุดจะเย็น อาตมาสะดุดตอนเป็นฆราวาส ไปซื้อรถโฟล์คมาใช้ วิ่งมาร้อนๆแต่น้ำเห็นหยดเลยที่คาบิวเรเตอร์ เย็นจับเป็นน้ำแข็งเลย

 

เย็นคืออุณหธาตุที่จับตัวกันเย็นมากคือร้อนน้อยลงเป็นภาวะสองด้าน เราจะใช้เย็นขนาดไหนร้อนขนาดไหน ความสงบไม่ใช่แค่เย็น แต่เย็นอย่างอบอุ่น มีพลังงานเต็มที่ ความสงบนี่ มันมีความคล่องตัว คล่องแล้วเร็วที่สุดเลย คุณเคยเห็นสิ่งที่มันหมุนเร็วที่สุดไหม อย่างลูกข่างนี่หมุนเร็วเรียกว่า นอนวัน หรือกินน้ำจั้น คือสมดุลที่สุดไม่มีอะไรต้านทานขัดแย้ง

 

กายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา คือ ความแคล่งคล่องของกาย กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ เน้นมาหาจิตนะ แต่ไม่ทิ้งข้างนอกนะ กายมีแต่ร่างไม่ได้ต้องมีจิตด้วย กายที่เหลือแต่ภายในเป็นมโนกายได้เป็นองค์ประชุมของรูปนาม

 

คนเข้าใจศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วเข้าใจกายเป็นตัวต้นของการปฏิบัติ ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่ก็สังเกตกายได้ กายต้องมีองค์ประชุมรูปนาม ขาดส่ิงใดสิ่งหนึ่งไม่ใช่กาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้อวิชชา ตายไปแล้วยังมีกาย ไม่ว่าจะพาลหรือบัณฑิต(พาลปัณฑิตสูตร ล.16 ข.57-59)

 

แม้แต่คำว่าบุญก็เอามาแปลเพี้ยนหลอกล่อคน อย่างธรรมกายนี่ไม่ใช่ธรรมะอะไรมีแต่นรกอเวจีหลอกคน เอาคำว่าธรรมกายมาใช้โดยไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าคือธรรมกายคือพรหมกาย แต่ธัมมชโยเขาบอกว่าเขาใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า แต่เขาบอกกับคนว่าเขาเป็นคนนำข้าวไปถวายพระพุทธเจ้า แต่เขาไม่ได้ทำหรอก เขาบอกว่าเขาคือพระพุทธเจ้าเลย ถ้าคสช.ไม่จัดการธัมมชโยประเทศไทยยากฉันเดียวกับไม่จัดการทักษิณก็ยาก สองคนนี้คือสองอย่างทางหนึ่งแอคชั่นทางธรรมอีกทางหนึ่งแอคชั่นทางโลก ทั้งสองคนเป็นตัวแสบทั้งคู่

 

ถ้าเขาไม่เข้าใจองค์รวม แล้วไม่เข้าใจตัวเองว่า ตัวเราก็เท่าไหร่ ตลอดเวลาอาตมายอมให้เขาจัดการอาตมามาตลอด อาตมายอมเป็นผู้แพ้ ใครให้ชนะอาตมาไม่หลงตัวถือดีหรอก อาตมาก็ไม่ทำเวลามายกย่องอาตมาอาตมาจะไปเชิดชู อาตมาไม่มีเวลา คุณจะให้ก็แล้วแต่คุณไม่ให้ก็เรื่องของคุณ อาตมาก็จะพยายามให้เขาหยุดให้เขางด

 

อาตมาจะพยายามทำงานในชาตินี้ เปิดเผยหมดแล้วเป็นดารานู๊ดที่เปิดเผยหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว บอกตนเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ตอนแรกพูดเป็นนัยว่าโพธิสัตว์ต้องเป็นอรหันต์ก่อน แต่ตอนหลังก็ประกาศอรหันต์เลยอย่างไม่เหนียมไม่มังกุเลย ไม่อุทธัจจะไม่สะเทิ้นเก้อยากหรือละอายใดๆ

 

ประกาศไปแล้วว่าเมืองไทยจะเป็นชมพูทวีป เป็นโมเดลการปกครองการค้าการขาย ตอนนี้ทุกคนส่วนใหญ่ในโลกก็พยายามรวมตัวกัน แต่เขารวมกันโดยไม่มีฐานทางจิตไม่ได้หรอก รวมแล้วจะทะเลาะกันฆ่ากันได้ เราเอาไก่ที่มันไม่ยอมกันใส่ที่เดียวกันมันก็จิกกันตาย ต้องให้มันยอมก่อน ผู้ใดจับศัตรูมาอยู่ในเข่งเดียวกันได้อย่างยอมนี่คือสุดยอดปรองดอง รวมมันต้องเป็นความจริง หนึ่งใจยอมและสองได้สัดส่วนที่พอเหมาะ หากไม่ได้สัดส่วนก็จะไม่ได้ ในชุมชนสังคมใด สังฆะใดก็ตามมันย่อมไม่เท่ากันไม่มีอะไรเท่ากัน พระพุทธเจ้าเรียกว่าสมานนัตตตา ทุกคนต้องปรับอัตตาเพื่อสมานกัน แต่ละคนลดตัวลดตน แม้จะกดข่มก็ตามก็จะมีรังสีออกมาแขวะคนอื่น ถ้าระมัดระวังมากหน่อยจะไม่ออกมาทะเลาะกัน ปรมาณูสองหน่วยขึ้นไปจะไม่เหมือนกัน ยิ่งหลากหลายยิ่งทะเลาะ แต่ใครทำความหลากหลายให้อยู่กันอย่างเรียบร้อยราบลื่นว่ายงามคือผู้สุดยอด เป็นศิลปินใหญ่คือจอมจักพรรดิ์ใหญ่ เขาจะนับถือ โดยไม่ต้องเอาอำนาจบาทใหญ่ไม่ต้องลงมือลงไม้แต่ใช้คุณงามความดีสิ่งประเสริฐของตน

 

สังคมโลกทั้งโลกต้องดูในหลวงเรา มีพระจริยวัตรมาแต่ต้นทรงงานมาจนทุกวันนี้สวยงามที่สุด แม้แต่ท่านจะใช้อำนาจพิเศษกับการบริหารประเทศก็ตาม อาตมาสะดุดหลายครั้งว่าท่านลงประปรมาภิไธยให้คนนี้ได้อย่างไร แต่อาตมารู้ว่าท่านจำนน ท่านมาบำเพ็ญโพธิสัตวภูมิสองอย่างคือเตมีย์ใบ้ พูดแล้วจบ กับพระมหาชนกต้องพยายามอดทนสุดที่ ยังไม่เห็นทิศทางที่จะไปได้เลยก็ต้องพยายามที่สุดสองปางนี้สุดยอด อาตมาน้ำตาไหล เมื่อมีคนส่งข่าวว่า ท่านมองไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วรำพึงว่า เราไปทำอะไรให้เขาหนอเขาถึงมาทำกับเราอย่างนี้ อาตมาสะท้อนใจมาก ท่านอดทนท่านไม่ไปทำอะไรให้ใคร อาตมาสะดุดตั้งแต่ให้ผู้พิพากษาทำ แต่ผู้พิพากษาก็ไม่ทำ

 

แต่ก็ผ่านมาจนวันนี้คุณประยุทธ์ปฏิวัติสวยงามที่สุด ประยุทธ์แปลว่านักรบนะ รบได้อย่างนี้สวยงามที่สุดแล้ว รบได้อย่างไม่ต้องใช้อาวุธอะไรเลยเงียบสงบ นี่คือสุดแห่งจอมยุทธ์แล้ว ข้าศึกตายแล้ว ส่อแสดงว่าเมืองไทย (อาตมาไม่ใช่นักพยากรณ์)แต่ขอกล่าวว่าเมืองไทยจะเป็นมหาอำนาจต่อไป แต่ไม่ใช่อำนาจบาทใหญ่ไปล่าเมืองขึ้นนะ ไม่ใช่อย่างอเล็กซานเดอร์มหาราช เจ็งกิสข่าน แต่มหาอำนาจด้วยบุญญาธิการไม่ใช่เดชาธิการ เป็นเริื่องความดีงาม อย่างในหลวงเราเรียกจอมจักพรรดิ์ได้ คนที่ควรเอาอัฐิใส่เจดีย์ไว้บูชาได้มี 4 อย่างคือ พระพุทธเจ้า ,พระปัจเจกพุทธเจ้า,อรหันต์,จอมจักพรรดิ์(โดยธรรม โดยบุญญาธิการ) อย่างในหลวงเราเป็นจอมจักพรรดิ์จริงๆ

 

ท่านทรงงานเป็นแบบอย่างของยุคสมัยที่ต้องเอาอย่างท่านแล้วบอกนะ ไม่จู้จี้ตลอดพระชนม์ชีพ อาตมาเอามาพูดวันนี้วันสำคัญก็พูดให้รายละเอียด อาตมามาในปางนี้เป็นคนด้อยคนแพ้ของสังคม อาตมาเข้าใจตนเอง ใครจะเห็นว่าด้อยก็ไม่เป็นไร ทำงานมาถึงวันนี้ก็ดีขึ้นมาบ้างคนเข้าใจขึ้นมาบ้าง

 

45 ปีแล้วอาตมาพาคนมามีศีล ที่ไม่ใช่ศีลพตุปาทาน และไม่ใช่ศีลพตปรามาสด้วย ศีลที่เป็นอาริยะคือทำให้จิตลดกิเลสได้ ศีลพตุปาทานคือยึดศีล ทำทาน แต่ใจมีแต่กิเลสโลภมากขึ้น เป็นวิมานในใจ กิเลสอ้วนขึ้นตลอดกาล ทำทานได้นรก ทำทานถือศีลก็ไม่รู้วิธีทำใจในใจ จิตยิ่งโลภ พยาบาทนั่นคือซวย

 

ก็ขอให้แก่พล.อ.ปรีชาอีกนิดหนึ่ง อย่าไปสะดุดเสียใจตกใจอะไรนักว่าเราไปรบไปทำร้ายทำลายคนมามากก็อย่ากินใจ ขอยกตัวอย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ฉันเดียวกับเจ็งกิสข่าน ก็ล่าอาณาจักรทำร้ายคนมามาก แต่พระเจ้าอโศกมหาราชเป็นโพธิสัตว์ ท่านทำตามวิบากทำจบก็ได้สำนึก แม้แต่องคุลีมาลต้องฆ่าคน 999 คนแล้วค่อยสะดุดเปลี่ยนแปลง อย่างคุณปรีชาก็ฟังไว้ คุณหันมาทางนี้เข้าใจลักษณะนี้ก็ทำเลย เพราะคุณควรตายในสนามรบแต่ก็ไม่ตายก็มีบารมี แม้แต่คุณจำลองก็ถูกแทงบัญชีตายแล้วก็รอดมาได้

 

เป็นสิ่งยากซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาก็มีภูมิแค่นี้ ใครเข้าใจแล้วว่าผู้มีจิตสำนึกก็หยุดส่ิงเลวร้าย เหมือนพระเจ้าอโศกมหาราชก็สำนึกแล้วหยุดทันทีแล้วมาทุ่มให้ศาสนาพุทธเลย ก็ท่านเป็นโพธิสัตว์ เพราะพระเจ้าอโศกมหาราชเมืองไทยสุวรรภูมิจึงเกิดศาสนาพุทธ

 

ก็ขอพูดสรุปว่า 45 พรรษาได้นำพาคน ได้มาเจริญถึงสาธารณโภคีกับการเมืองและเรื่องปรมัตถ์ สามเรื่องนี้ ที่ทำมา

 

สาธารณโภคีเป็นองค์รวม ยุคพระพุทธเจ้าทำได้ในนักบวช เพราะเป็นยุคสมบูรณายาสิทธิราช คนตกเป็นทาสของเจ้าของแคว้นคือพระเจ้าแผ่นดินที่เหนือนายทาสลูกทาสอีก สิทธิมนุษยชนคนไม่รู้เรื่องหรอก พระพุทธเจ้าก็เลยทำให้คนมาเข้ารีตของพระองค์ ท่านก็มีธรรมนูญศีลของท่าน มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วพัฒนาตนไป ตามศีล ในมหาศีลให้งดเดรัจฉานวิชชาทั้งหมด ท่านเอาธรรมนูญนี้ไป ว่าศาสนาท่านเป็นเช่นนี้ ไปในแคว้นไหนๆ ยุคโน้นเขาเข้าใจ ศาสนาเทวนิยมล้มเหลวหมด ผู้จะมีบารมีเป็นเจ้าครองแคว้นในอินเดีย พระพุทธเจ้าก็ไปตามแคว้นต่างๆ อย่างแคว้นใหญ่สุด แคว้นมคธ พระเจ้าปเสนธิโกศลก็ยอมท่าน ถึงกับว่านี่คือยอดแห่งนักบริหาร ให้สึกมาบริหารแคว้นครึ่งหนึ่งเลย (ใหญ่กว่าแคว้นสักกายะของพระพุทธเจ้านะ)พระพุทธเจ้าบอกว่าท่านไม่เอาแล้ว อย่างลูกของพระเจ้าพิมพิสาร คือพระเจ้าอชาตศัตรูก็ยอมให้คนมาเข้ารีตพระพุทธเจ้าอย่างยินยอมเลย ท่านเป็นรัฐอิสระ ใครมาเข้าธรรมนูญ​มานับถือกฎหมายหลักของประเทศนี้ แคว้นไหนก็ยอมกฎหมายหลักของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นหลักของปัญญาชนสูงสุด จุลศีล 26 ข้อ มัชฌมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ ย่ิงใหญ่ว่ารธน.ที่เอ็มเบ็ดก้าร่างให้อินเดียอีก

 

ถ้าไทยเราเอาศีล 5 มาใส่ธรรมนูญว่า คนไทยต้องนับถือศีล 5 ทั้งหมด เอาแค่ศีล 5 นี้ก็ได้แล้วไม่ต้องร่างมาหลายร้อยข้อให้ทะเลาะกัน ให้อ่านศีลของพระพุทธเจ้าให้ดี คุณมีชัยนี่ก็เถอะ ตอนปี 24 ยังไปฟังคุณจำลองพูดที่สวนลุมฯเลย ตอนนี้ก็ได้เข้ามาเป็นประธานร่างรธน.ก็เอาธรรมะเข้าไปเถอะ คนจะมาเข้าหาอาตมามาปรึกษา อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่เก่ง อาตมาไม่เคยนึกว่าตัวเองเก่งเลย ทำไปเท่าที่เรารู้ ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ แล้วมันดีจริงหรือไม่ที่ทำ เพราะที่ทำนี่ไม่ดีเราต้องตรวจสอบ แต่ถ้าตรวจแล้วว่าดีก็ทำไปอีก ทำโดยไม่ต้องหยากไม่ต้องดิ้นรนอะไร ทำเต็มที่ ทำเต็มที่แต่อย่าอยาก

 

อาตมาทำตามพระพุทธเจ้าก็มีคนมีศีล มีปัญญา มีวิมุติ จนได้ประกาศแผ่นดินพุทธที่ราชธานีอโศกตอนแรกจะตั้งที่ปฐมอโศก แต่ว่าไม่ได้เพราะองค์รวมไม่ได้ก็เลยไม่ได้ขึ้นป้ายแผ่นดินพุทธ แต่ว่าไปบ้านราชฯก็ทำได้ พวกเราช่วยกันทำขึ้นบนหลังคาเลยว่าแผ่นดินพุทธ

 

อะไรที่อาตมาไม่ได้เจตนาแล้วไม่ได้อยากให้เป็นแล้วเป็นสิ่งที่ดีอาตมาถือว่ามันเต็มรอบอันนั้นเป็นของจริง อาตมาก็ใช้หลักเช่นนี้ทำมา อะไรไม่ใช่ก็ระวังยกตัวอย่างพาไปชุมนุมประท้วงไม่เคยมีชาวอโศกตายสักคนเลยในเหตุของชุมนุม ใช้สิ่งเหล่านี้เช็ค ในวันที่ 18 ก.พ. อาตมาว่าพวกเรานี่หวาดเสียวนะหลายคนก็นั่งประนมมือหลายคนก็นอน หลายคนก็ไม่กลัวนะ อาตมาให้ไปช่วยเขาอย่างไพรเมืองให้ไปช่วยตำรวจที่บาดเจ็บก็กระโดดเอารถไปลากตำรวจใส่รถambulance คือช่วยกัน พวกเราก็รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ไม่มีใครตาย เป็นเครื่องเช็ค มาถึงวันนี้แล้วถ้าจะต้องไปชุมนุมอีกอาตมาพาไปเลยนะ

 

อาตมานี่นักการเมืองตัวยง ทำให้คนมาเสียภาษีได้ 100% ประเทศไหนทำได้อย่างอาตมาล่ะ คอมมิวนิสต์ก็บังคับคนให้เสียภาษีโดยไม่เต็มใจคนก็เลยขี้เกียจทำ หนักเข้าก็ไม่ทำงานมีแต่คนกินของส่วนกลาง กับคนที่ทำงานเอาแค่นี้ คนทำงานก็อึดอัดว่าทำไปก็ถูกรีดภาษี หนักเข้าก็ท้อก็เลยทำแค่นี้ก็พอหนักเข้าก็ไม่ทำกินเงินสวัสดิการดีกว่า ไปได้ 70 ปีก็ไม่รอด แต่สู้ของพระพุทธเจ้าที่เต็มใจเสียภาษี 100 % เพราะจิตเขาเข้าใจเขาไม่โลภอีก เขาสร้างสรรแล้วทำให้เหลือพอเอาไปแจกจ่ายคนอื่น อย่างปฐมอโศกก็เป็นชุมชนแรก ทุกวันนี้ทำมาหากินมีเงินเหลือ แต่ชาวอโศกทุกชุมชนไม่ได้เป็นหนี้ข้างนอกแล้วเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นๆ แต่มีเงินหนุนเงินเกื้อกันไม่เสียดอกเบี้ยไม่ใช้หนี้ไม่ใช่เงินกู้ก็ทำได้

 

เราไม่ต้องไปทำแบบนิตินัยกับเขา ถ้าเราทำ เกิดวิกฤติธนาคารล้มมาเราก็แย่ เราไม่ได้อยากได้ดอกเบี่้ยด้วย ถ้าเราไปฝาก ก็ต้องรับดอกเบี้ย เราไม่ได้ทำอย่างบังคับ แต่ทำอย่างเต็มใจด้วย เราทำให้ส่วนกลางบางทีจนท.การเงินเขาไม่ให้เงินทำด้วยเราก็ต้องลดอัตตา ทำไมเราทำแล้วคนไม่เห็นด้วยไม่สนับสนุน เราต้องพัฒนาตนเองให้คนอื่นรับได้เห็นด้วย จะอยู่ได้อย่างกลมกลืน

 

ความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ เอกภาพต้องมีความหลากหลายขัดแย้งอันพอเหมาะ unity of diversity ความขัดแย้งทำให้เกิดพลังงาน หากไม่เกิดพลังงานก็ตายนิ่งสูญเน่า พลังงานที่ยิ่งแรงยิ่งเร็วยิ่งเย็นคือ กายปาคุญญตาหรือกายกัมมัญญตา หลากหลายทิฏฐิทำคนละแง่มุมต่างแต่ทำงานกันได้ มาประชุมลงมติกันเอาตามที่ประชุม

 

ผู้ใดที่หมู่เขาตัดสินแล้ว ก็ไม่ช่วยหมู่ทำหรอก ไม่เอาความคิดตนทำก็เลยไม่ทำตามหมู่ คนนี้ไม่เจริญ มติหมู่ที่รวมตัดสินแล้ว คุณต้องโยนตัวตนทิ้งถ้าผิดก็ผิดทั้งหมู่ ไม่เป็นไร คุณมารวมกันแล้วต้องให้เกียติหมู่ หมู่นี้คุณเลือกแล้วว่าเป็นคนดีสุจริตก็ต้องให้เกียรติหมู่คณะ ถ้าคุณดีกว่าก็ไปทำคนเดียวสิ ไปตั้งหมู่ใหม่สิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ตั้งใครเป็นใหญ่คนเดียว แต่ตั้งให้หมู่เป็นใหญ่ ฝากถึงคุณมีชัยอ่านวินัยที่คือกฎหมายของพระพุทธเจ้า หรือจะอ่านจุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีล ที่ละเอียดหน่อย ไม่ใช่อาชญาไม่มีอะไรลงโทษ แต่เป็นหลักปฏิบัติ

 

อาตมาพาพวกเรามีกฎเกณฑ์มีศีล จิตเจริญเป็นสมาธิ ขณะใดที่คุณพยายามทำให้กิเลสลดคือคุณกำลังทำฌาน ฌานคือพลังงานไฟกองใหญ่ ที่มีพลังไปทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ที่เป็นอุหณธาตุ ไฟฌานนี้ไปสลายได้ ผู้ใดทำให้พลังงานตนเป็นฌาน สลายราคะโทสะโมหะของตนได้ผู้นั้นมีฌาน ฌานมีปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่ได้ ฌานคือไฟปัญญาเข้าไปทำลายราคะโทสะโมหะ มีธรรมฤทธิ์สยบราคะโทสะโมหะได้

 

ของพระพุทธเจ้าเป็นฌานลืมตา สมาธิลืมตาเป็น concentrationไม่ใช่ meditation ยิ่ง concentrationของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งลึกซึ้งสูงส่งเป็น supra concentration ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่เข้าใจแค่ concentration แต่ของพุทธรู้องค์รวมจักวาลน้อยใหญ่

 

เมืองไทยขณะนี้เกิดคนมีศีล ชุมชนชาวอโศก รร.ชาวอโศก เขามีตำรวจคนหนึ่งมาพูดว่า เขาตรวจหมดแล้วโรงเรียนประเทศไทยไม่มีโรงเรียนไหนไม่มียาเสพติด เขาไม่ได้มาดูโรงเรียนสัมมาสิกขานะ รร.เราเป็นรร.มีศีล 5 มีที่ไหนทำได้ แต่อาตมาทำได้ สร้างโรงเรียนมีศีล 5 ชุมชนศีล5 เป็นอย่างต่ำ อาตมาทำได้เท่านี้แหละ ให้ชุมชนมีศีล5 ไม่เป็นหนี้ แต่ส่วนตัวใครจะเป็นหนี้ก็ว่าไป

 

1.อย่าเป็นหนี้ 2.เลี้ยงตัวเองรอด 3.ทำให้เหลือกินเหลือใช้ 4.มีเหลือก็แจกจ่าย ทำได้สี่ข้อนี้ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจเลย ประเทศไทยหากจะปิดประเทศอาตมาก็สนับสนุนนะ ทำในประเทศให้ดีก่อนให้อุดมสมบูร์แล้วค่อยเปิดประเทศไปช่วยประเทศอื่น ทุกวันนี้เขามีแต่ว่าไปแย่งทรัพยากรประเทศอื่นกัน มีทูตก็ไปหาทางเอาเปรียบประเทศอื่น ตนก็รวย แต่คนอื่นก็แย่ อันนี้เป็นทุนนิยม อย่างอเมริกาก็ค้าอาวุธบาปไม่รู้เท่าไหร่ อินเดียมีประชากรมากกว่า นานก่าอเมริกา แต่อินเดียไปรอก อินเดียเป็นสายเจโตจะอยู่นานกว่าจีน จีนเป็นคอมมิวสิสต์

 

อาตมารู้อยู่ว่าทำไมพวกจัณฑาลพวกศูทธทำไมเขาซื่ออย่างนั้น น้ำอาบจากข้างบนจากพวกวรรณะสูงก็ไหลให้พวกวรรณะต่ำกว่าอาบ แล้วเขาไม่ละเมิดด้วย เขาซื่อสัตย์ จึงอยู่ได้ พวกจีนไม่ใช่แบบนี้

 

จิตวิญญาณมนุษย์ไม่ใช่เรื่องเล่น เราก็อยู่เมืองไทยที่มีทิฏฐิมีหลักเกณฑ์ที่ทำดีแล้ว อาตมาเห็นว่าตั้งแต่พล.อ.ประยุทธิ์นี้ทำเข้าทีแล้ว ก็ประคองอันนี้ไป นายกฯไทยมีมา 29คนแล้วไม่มีใครมีcharacter เหมือนอย่างนี้ ที่ผ่านมาหน่อมแน้มหมดเลย คนที่ 28 นี่ก็ woman touch อีกต่างหาก ทุ-เร-สะ มากเลย

 

การเมืองเมืองไทยน่าจะทำให้ดีกว่านี้ อาตมาว่าจะทำความเข้าใจกับคนๆหนึ่ง ตั้งแต่พล.ต.จำลองว่าให้ทำกทม.นี่แหละให้ดี bangkok is thailand ถ้าเป็นผู้ว่าฯไปเรื่อยๆก็จะดีแต่ว่าไปตั้งพรรคพลังธรรมอีกตั้งแล้วมาให้อาตมารับรองอีกก็เลยว่ากองทัพธรรมก็กองทัพธรรม แต่ว่ากรุงเทพฯนี่แหละเขาแยกแล้วให้ทำบริหารได้อิสระ อาตมาก็คิดว่ามันน่าจะมีอะไรดีกว่านี้เป็นเรื่องการเมือง

 

เรื่องการศึกษาอยากให้มีอุดมศึกษา แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที ก็ค่อยเป็นไป....อะไรดีอย่าช้าประเทศไทยกำลังจะพัฒนาไปสู่ส่ิงดี อย่ารีบแก่ มีแต่เราอายุเก่า ไม่มีอายุแก่ เราก็ทำงานช่วยสังคมประเทศชาติไป เราช่วยประเทศไทยก็เท่ากับช่วยโลกทั้งโลก ทางศาสนาเขาก็ยกให้เมืองไทย ทางรัฐเขาก็ยกให้พระเจ้าอยู่หัว แม้แต่เศรษฐกิจพอเพียงเขาก็ทำแล้ว....อาตมาถามสมณะปีนี้ว่า พวกคุณเมื่อยแล้วหรือ หรือยังมีกำลังไม่เมื่อยก็จงเพิ่มพลังสร้างสรรทำงาน อย่าเมื่อยเก่งนัก อาตมาว่าพวกคุณยังไม่เมื่อยเท่าไหร่หรอก ขยันมากหน่อย ให้เข็ญขึ้นมาหน่อย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเมถุสังโยคข้อที่ 6 พระพุทธเจ้าท่านไม่ส่งเสริมความเสื่อม ไม่สรรเสริญความหยุดอยู่กับที่ท่านส่งเสริมแต่วุฒิๆ ให้เจริญขึ้นๆ ....จบ

 

 

 

 

 

581108_ทำวัตรเช้ามหาปวารณาครั้งที่ 33 สาธารณโภคีคือลัทธิอันยิ่งใหญ่

 

สาธารณโภคีอันยิ่งใหญ่

 

      งานพวกเรา อาตมาภูมิใจ ที่สามารถสร้างสังคมที่เป็นสังคมสามัคคี สามัคคียะของพระพุทธเจ้า  เป็นความสำเร็จของคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นความสามัคคีระดับญาติแท้เป็นญาติจริงๆ พึ่งแก่พึ่งเกิดเพื่อนเจ็บเพื่อนตายกันได้จริงๆ  แล้วไม่ใช่แค่ญาติในตระกูลอาจจะเป็นญาติสายเลือดรวมกันแล้ว จะรวมญาติกันได้อย่างมากก็เป็นพันคนหนึ่งตระกูลจริงๆ แต่ของเรามากกว่านั้นถ้ารวมกันจริงนั้นมากกว่าพันแน่นอน เป็นหมื่นไม่รู้จะถึงแสนไหม  ตอนอาตมาตายไปจะมีถึงแสนหรือเปล่านะงานศพอาตมา  คือว่าญาตินี้ไม่ใช่มาชั่วคราว  จะไปมาหากันแน่นอนถ้าเป็นญาติ  ถ้าจะเป็นญาติก็ยิ่งกว่ามิตร จะไปมาหากันหรืออยู่ด้วยกันจนเกิดถึงตาย  ญาติแท้แท้ ดูแลซึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้

       เกิดจากจิตใจ ที่ตัดช่องว่างความเป็นคนอื่น ถึงขนาดว่าใช้เงินกระเป๋าเดียวกันกินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันกินใช้ด้วยกันทำมาหากินสร้างสรรค์มีอะไรก็มีเหมือนกันทุกคนก็เป็นเจ้าของเหมือนกัน  แต่เราเรียนกันแล้วว่าไม่ต้องไปยึดเป็นตัวกูของกูก็ลึกซึ้ง  อาตมาพาทำแล้วในยุคนี้ถึงขนาดเป็นลูกพ่อแม่เดียวกัน ก็ไม่ใช่อย่างนี้ อย่างของทางจีนเค้าเป็นกงสี อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่กินใช้ส่วนกลางจนถึงกว่าจะตายเลย  ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าเพราะเป็นกงสีใหญ่มาก ไม่ใช่กงสีเฉพาะญาติเท่านั้น แผนที่กงสีรวมทั้งหมด ร่วมสายเลือดต่างๆกันได้ด้วยจิตวิญญาณเป็นหนึ่ง  เป็นปรากฏการที่เกิดได้ในยุคนี้ที่กงสีของจีนก็แตกสลายหรือมีน้อยแล้ว แต่เราทำขึ้นได้  พิสูจน์มาแล้ว 40 ปี

      รวมกันได้เพราะอะไร เป็นได้เพราะทฤษฎีของพระพุทธเจ้า  เอามาฝึกฝนขัดเกลากิเลส ขัดเกลาตัวจิตที่เป็น มโนปุพพังคมาธรรมา มโนเสฏฐามโนมยา   จิตเป็นประธานแล้วเกิดได้สำเร็จเช่นนี้ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่  อาตมาจะเป็นคนก่อตั้งต้นจุดที่จะให้เป็นเช่นนี้เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย และพอเราได้ศึกษาเล่าเรียน จนกระทั่งคุณเปลี่ยนมาเป็นญาติอาตมา มาเป็นลูกเป็นหลานจริงๆ มันเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง จริงๆ

       สิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ของโลกมนุษย์ เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่มาก ของสังคมโลกที่เขาต้องการความรวมกันเป็นสามัคคียะ ต้องการอย่างที่พวกเราเป็นได้ที่เขาจะรวมอาเซียนยุโรปเขาก็รวมกัน  ก็พูดกันไปทำกันไปแต่เขาไม่รู้จักทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ถ้าเอาอันนี้ปักหลักเป็นทฤษฎีหลักของชีวิตของแต่ละประเทศ มีหลักสูตรเลย

       ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีศาสนาพุทธเป็นสัจจะของชาติ  แต่มีความเสื่อมของศาสนามากแล้วแต่ก็ยังไม่สายเกินไป  โดยเฉพาะอาตมาถ้าทำกับสังคมไทยเกิดขึ้นแล้ว ขนาดฝรั่ง บาทหลวง อัลฟองโซ  เขามาพูดก็ยังมองเห็นเลย อธิบายพูดได้ชัดเจนนอกจากนั้นก็พวกเราไปสัมภาษณ์มาออกความเห็นของผู้ที่มองสังคม รับรู้ในสังคมอยู่ก็มาประกาศ เป็นการรับรองทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่อาตมาเข้าใจเป็นทิฏฐิของอาตมา แล้วมาเปิดเผยแนะนำให้พวกเขาปฏิบัติจนมีผลจริง

       สิ่งรับรู้กันไปทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในไทย เพราะเป็นยุคโลกาภิวัฒน์ที่อเมริกา มีหน่วยงานที่รับหนังสือของเรา เมื่อเราไม่ส่งไป เขาก็ ท้วงมาให้เราส่งไป  เพราะคนเราแสวงหาสิ่งลึกลับสิ่งวิเศษ  สิ่งนี้มันไม่สนหรอกจากนี้ไปมันจะต่อไปอีกจนกระทั่งถึงจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพุทธ  ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจะเจริญขึ้นไปอีก จนกว่าจะถึง 500 ปี  เจริญขึ้นไปถึง 500 ปีก็สูงสุดแล้วก็เริ่มลดจะไปแล้วก็จะเสื่อมลงเป็นธรรมดา สุดท้ายก็หมดสิ้นก็หมดสิ้น ก็หมดทฤษฎีนี้เนื้อหานี้หมด

       

       โลกุตระคือการหลุดพ้นจากกระแสโลก นิยายของโลกที่ไม่รู้จบ  ถ้าไม่รู้ก็จะสร้างคู่รักคู่แค้นไปอีกตลอดกาล  คำว่าคู่รักคู่แค้นไม่ใช่เรื่องสั้นๆแคบแคบ คู่ที่จะรวมลาภ   ไม่ได้รวมกันแท้หรอกแต่มันเอามาให้ตัวกู

       เรามีครอบครัวก็ร่วมกันในครอบครัว ก็แบ่งกันกินใช้ในครอบครัว  เป็นญาติกันก็มีสาธารณโภคีในญาติกัน  จีนอยู่เขามีครอบครัวเป็นกงสี  แต่มันจะแตกแยกไปเรื่อยๆ  แต่เราเป็นสาธารณโภคีจะรวมกันได้เรื่อยเรื่อย มีมากขึ้นแต่ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน  แต่ถ้าคนไม่ได้ศึกษาอันนี้อย่างบิลเกตต์  พอตายไป ก็มีอันนี้อยู่ในสัญญาชาติหน้าก็จะพากเพียรเพื่อแย่งเอาของกูคืนมาเอาของกูคืนมา  หรือทักษิณก็ตาม ตายไปชาติต่อไปก็จะเอาของกูคืนมา เป็นคู่รักคู่แค้น

       แต่จริงๆแล้วลูกของพ่อของแม่เวลาพ่อแม่แบ่งทรัพย์สมบัติ ต่างคนลูกเต้าก็มันอยากจะให้คนอื่นได้มากกว่าตัวเองไหม  นี่คือสัจจะนะคิดให้ดีๆ  แต่ละคนจะแย่งกันแล้วบอกว่าทำไมให้ตัวเองน้อยกว่าคนอื่นจริงๆทุกคนมีตัวกูของกูทั้งสิ้น

      ศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้าเพื่อให้ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ มาลดละอาสวะอนุสัยของตนก็จะไม่ยึดเป็นตัวกูของกู ผู้เป็นสมาชิกชาวอโศก สมบัติคุณมีไม่น้อยหรอก สมบัติชาวอโศกเป็นของเราทุกคน จะกินอยู่ที่ไหนมีทั่วทิศเลย มีบ้านช่องเรือนชานข้าวของไปกินไปนอนได้หมด แต่จิตของคุณไม่คิดเป็นตัวเป็นตนตายไปก็ไม่มีวิบากชาติหน้าก็ไม่ต้องมีการไปเอาของกูคืนมาของกูคืนมา แต่ปุถุชน มีแต่จะแย่งกันเป็นตัวกูของกูตลอด แม้แต่สามีภรรยาก็มีตัวกูของกู ที่ว่ากระเป๋าเดียวกันก็ไม่จริงหรอก ถ้ามาล้างอาสวะอนุสัย เป็นอนาคามีเป็นต้นไปถึงไม่มีตัวกูของกูได้ระดับหนึ่งล้างถึงรากเหง้าได้

      มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าตนได้เปิดเผยสัจธรรมตัวลึก ใครฟังตรงนี้จะเข้าใจ คุณอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม

      ไม่ได้พูดไปเมื่อกี้นี้เป็นนัยยะลึกซึ้ง ไปทบทวนดูดีๆถ้าชีวิตนี้เราได้ปลดปล่อยอาสวะอนุสัยนั่นแหละชาติของคนจะได้ลดลง  ตัวกูของกูจะได้ลดลงจะได้ลดความยึดถือเป็นตัวกูของกู จะอยู่ในโลกอย่างไม่มีคู่รักคู่แค้น มีแต่ความสัมพันธ์ ช่วยเหลือเกื้อกูลสร้างสรรให้แก่โลก เป็นสัจจะของความเป็นโลกความเป็นอัตตาที่ลึกซึ้งจริงๆ

        ความเป็นโลกคือความสัมพันธ์กันอยู่ ส่วนอัตตาคือความเกี่ยวเกาะกัน ไอสไตน์เจอสูตร E=mc2  ซึ่ง E คือความเป็นกาย  mc คือรูปกับนาม  เมื่อรูปกับนามทำปฏิกิริยากันเข้าก็เกิดพลังงานคือ Energy เอกภพเกิดจาก Energy รวมกันเป็นแกนกลางทด้วยมวลทั้งหมดคือ m  ความเร็วของแสงคือ c  นี่แหละ คนคนหนึ่งก็มีมวลของตัวเองคือรูปกับนาม  ส่วน c คือพลังงานจิต

       มีความเร็ว 2 แบบคือความเร็วที่เอามาเป็นตัวกูของกูกับความเร็วที่เอาไปให้โลก  สำหรับวัตถุไอน์สไตน์รู้ความเร็วของแสง สําหรับจิตนั้นเร็วกว่าแสง  แน่นอนจะช้ากว่าแสง สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษา  แล้วความเร็วที่ว่าเกิดปฏิกริยาทำงานเท่าที่มันมีดีกรีของมัน แล้วเกิดการสังเคราะห์ให้เป็น E เสมอ  เป็นพลังงานหมุนเวียนกันในโลก มีวงจร 123  และหนึ่งสองสาม  ไปเรื่อยเป็นพลังงานที่เป็นหนึ่งหน่วย แล้วขยายไปเป็น relative relation อยู่ในมหาจักรวาลนี้ 

ตั้งแต่จิตวิญญาณ 1 หน่วยที่เป็นจิตวิญญาณของคนๆหนึ่งเป็นมนุษยชาติของสัตว์โลก ตั้งแต่พัฒนาเป็นสัตว์มนุษย์ แล้วมนุษย์ที่เร็วสุด ดีสุด จบที่มนุษย์นี้ในมหาจักรวาลนี้ มีพลังงานสัตว์ ที่เป็นตัวปฏิกิริยาใหญ่ของมหาจักรวาลก็คือมนุษย์ เป็นพลังงานที่รวมไว้ที่นี่ คือสัตว์จนพัฒนาเป็นมนุษย์

       มนุษย์สามารถรู้โลกสามารถดับโลกได้ ไอสไตน์ทำระเบิดปรมาณูเป็นพลังงานที่ทำได้ขนาดหนึ่ง พลังงานที่จะทำลายได้ยิ่งใหญ่ พลังงานอรหันต์ขึ้นไปทำลายได้ยิ่งกว่า little boy แต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นอีก เพราะเขากลัวกัน แต่อีกหน่อยก็มายิงเอามาทิ้งกันอีก เขาซุกซ่อนกันในหลายประเทศ  สักวันหนึ่งก็ต้องออกมาใช้จนได้

       อาตมาอธิบายได้ไม่เก่ง แม้พระพุทธเจ้าก็บอกว่าพระมหากัจจายนะสาธยายได้เก่งกว่าท่าน อาตมารู้ว่าใครมีแนวไหนที่อธิบายได้ เก่งอย่างไรก็มีความรู้ส่วนตัว แต่จะสื่ออย่างไรจะต้องมีความสามารถในแต่ละคน ที่ต้องมาเรียนรู้ในแต่ละคนแล้วจะสื่อให้คนอื่นได้ดี

     

       มีผู้เขียนมา เพื่อยืนยันความเป็นญาติของญาติธรรมเรา ในงานนี้ในบางมุม ก็เสนอความเห็น  อาหารก็มีญาติธรรมอย่างนักเรียนบ้านราชฯ ยืนยงเสียสละตลอดงาน  เรื่องขยะก็มีญาติจากสันติอโศก มาขวนขายขมีขมันเก็บงำอย่างชำนาญ  ทำให้งานที่ดูเหมือนยุ่งยากก็เบาขึ้นมา  กราบขอบคุณพ่อครูที่ได้สร้างสังคมที่งดงามให้กับมนุษยชาติ

       ดูเหมือนเป็นมุมเล็กๆน้อย แต่ว่าน่าภาคภูมิใจที่เราไปจัดงานที่ไหนเสร็จงานแล้วเราก็มีวัฒนธรรมเก็บหาง  เรารู้ความหมายว่าเก็บหางคืออะไร  คือมันมีอะไรรุ่มร่ามก็เก็บให้เรียบร้อยสะอาด

       จุดสำคัญให้เห็นแนวลึกของชาตินี้ชาติหน้า ถ้าผู้ใดได้ล้างอนุสัยอาสวะความยึดติดเป็นตัวกูของกูเข้าใจชัดขึ้น มันต้องล้างออก คนที่ไม่เข้าใจเรียนรู้ทฤษฎีหลักว่าตัวจิตอาสวะอนุสัยเป็นตัวหลัก  ถ้าไม่เรียนรู้ ความยึดความผิดจริงๆว่ามันเป็นจริง มีพลังงานดูดเป็นตัวกูของกูอะไรก็กูหมด  ทุกวันนี้แต่ละชาติแต่ละประเทศก็จะเป็นมหาอำนาจล่าอาณาจักรมาแต่ไหนแต่ไหน เป็นนิยายของโลกที่เป็นตัวกูของกูไม่จบไม่เลิก  แต่พระพุทธเจ้ามาสอนคน คนไหนเป็นอรหันต์คนไหนลดละมาเป็นโสดาบันก็ลดละอบายภูมิ  สูงขึ้นมาก็ลดกามคุณ  ลดรูปราคะ อรูปราคะต่อไปอีก

      ผู้ได้ปลดปล่อย ล้างอาสวะอนุสัยแล้วอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนานตลอดกาล) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

แต่ละชาติแต่ละชาติจนกว่าจะเป็นอรหันต์จะเกิดมาก็ไม่เป็นภัยต่อโลกเลยมีแต่จะมาประสานโลกตลอดกาลและนาน ถ้ายังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน  ถ้ายังไม่ยอมเลิกหน่วยอัตตาตัวตนสุดท้ายนี้  เป็นวิชาการความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ให้เป็นหน่วย 1 ของโลก ที่มนุษย์นี้ มีความรักความดูดทั้งทำลายทั้งสร้างสรรค์

       จิต อรหันต์คือจิตพระเจ้าแท้จริงเป็นผู้สร้างผู้ปรารถนาดีให้แก่โลก จริงๆ  ศาสนาพุทธรู้จักความเป็นพระเจ้าของตัวเองแล้วทำให้ตัวเอง เป็นหน่วยหนึ่งเป็นอณูหนึ่งของพระเจ้าแท้จริงเป็นพระบุตรจริงๆ นี่คือพระบุตรแท้ผู้เป็นอรหันต์คือพระบุตรตัวจริง

       พระบุตรในศาสนาเทวนิยมพระเจ้าเท่านั้นเป็นผู้สร้าง ให้เป็นผู้ประกาศ  แต่ของศาสนาพุทธ เกิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ขยายความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข  พอเป็นพระโสดาบันก็ได้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของพระเจ้าแล้ว จบอรหันต์ได้ถ้าไม่ยอมตายก็เป็นพระบุตร เกิดมาช่วยคนอีก แต่ถ้าตายอย่างปรินิพพานแตกตัวไม่เหลือ  แยกธาตุ สลายสิ้น  แยกธาตุ H2O  กว่าจะรวมตัวมาเป็นธาตุน้ำอีกทีหนึ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แต่ก็ไม่เป็นอัตตาเก่าของใคร แล้วก็เป็นอันใหม่เป็นความหมุนเวียนของสสารและวัตถุ กว่าจะมาเป็นอุตุนิยามเป็นพีชนิยาม ก็จะเป็นจิตนิยามสร้างกรรมวิบากก็จะมีธรรมะขั้นอรหัตผล ก็นับชาติไม่ไหว ขยายความถึงตรงนี้ไม่ว่าศาสนาไหนมาฟังอย่างเปิดใจก็จะเข้าใจ  ขออภัยที่พูดเหมือน ยกเหนือศาสนาอื่นพูดเป็นวิชาการไม่ใช่ไปดูถูกศาสนาในไหนไม่ใช่

       คำสอนอันเดียวกันแต่ต่างกันเล็กน้อย ถ้าเข้าใจจะเข้าใจความเป็นอัตตามันหรืออัตตาทางเทวนิยมหรือตัวกูของกู เป็นพระเจ้า แต่คนไม่ใช่พระบุตรไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นคนประกาศโองการของพระเจ้า

       เริ่มต้นถ้าคุณไม่ใช่โสดาบันคนไม่ใช่ประกาศก ถ้าเป็นโสดาบันเป็นต้นไปก็เป็นประกาศกมีอุตริมนุสธรรม มีโองการของพระเจ้ามีธรรมะมีสัจธรรมที่จะประกาศแก่มนุษย์มาพูดสิ่งดีงามสิ่งควรพูด โสดาบันเป็นต้นไปเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ช่วยรื้อขนสัตว์ สืบทอดทรัพย์วิเศษของพระพุทธเจ้าคือพระเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ยึดเป็นของท่าน แต่พระเจ้ามีความยึดเป็นของท่านเป็นปรมาตมัน  พระพุทธเจ้าไม่เป็นปรมาตมัน  พระเจ้ามีปรมาตมัน ทุกคนต้องไปรวมกันที่ปรมาตมัน ก็จะเห็นได้ว่าพระเจ้ามีตัวตนเทวนิยมมีตัวตน

       ผู้ใดเป็นโสดาบันได้ก็เป็นลูกพระเจ้า ผู้ใดเป็นโสดาบันก็เป็นลูกพระเจ้าเป็นต้นไป สกิทาคามีก็ยิ่งใช่ขึ้นอนาคามีก็ยิ่งใช่ เป็นพระอรหันต์นั่นแหละคือประกาศกของพระเจ้า ที่หมดอัตตาหมดอาตมัน มีแต่จะมาช่วยโลก เป็นตัวแทนของพระเจ้าแท้จะเกิดอีกกี่ชาติก็เชิญ  เป็นหลักประกันของชีวิต

       อาตมาภูมิใจที่ 45 ปีที่ผ่านมาทำงานมาเริ่มต้นวันนี้ก็เป็น45 กับอีกหนึ่งวัน อาตมาต้องทำงานให้เกิดทศนิยมที่พอเหมาะ เพื่อให้เกิดพลังงานถ้าไม่มีทศนิยม ก็จะเกิดความนิ่ง และเกิดความเสื่อม  ทศนิยมมีทั้งบวกและลบ ถ้าทำบวกให้สมดุลก็จะก้าวหน้า ความยาวนานที่สุดคือความสมดุลที่สุด ถ้าไม่รู้จักตัวเองทำเกิน ก็จะเสื่อมแต่ทำได้สมดุลอยู่ อาตมาจะพยายาม ให้มีทศนิยมแห่งการเพียรเพิ่มขึ้น แล้วจะอายุยืนแล้วได้งาน

       คนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่โสดาบันจะขยัน เพราะธาตุความขี้เกียจเป็นธาตุอบายเป็นธาตุปุถุชน  สกิทาคามีก็จะมีธาตุความขยันเพิ่มขึ้นอนาคามีก็เพิ่มขึ้น คนเป็นพระอริยะที่ประมาณไม่ดีจะทำงานเกิน ต้องประมาณให้ดีเราจะได้มีทศนิยมที่มีเพียรมากกว่าพักแล้วก็ปรับให้พอดีให้รู้พักรู้เพียรชีวิตก็จะยาวนานทำงานได้สัดส่วนมีแต่ความเจริญเจริญเจริญ ก็จะไปได้ยาวนาน

อาตมาจะพิสูจน์ให้อยู่151 ปี นี้พูดจริงๆ เพราะอาตมาบอกว่าอายุขัยของอาตมาคือ 72 ก็ได้พากเพียร ยิ่งมาถึงวันนี้ก็แน่ใจว่าร้อยปีนี้อาตมาไม่พลาดเป้า เพราะรู้ว่าจะเพียรอันใด  สรุปแล้ว  ต้องขยันเสมอขยันให้เกินไปเอาเวอร์อยากเกิน

       เข้าใจชัดว่านี่คือ 8 อ.ที่แท้จริง แล้วจะเกิดเป็นคนแข็งแรงคนอายุยาวยืนมีคุณประโยชน์มีคุณค่าดีขึ้นดีขึ้น ผู้ที่เข้าเกณฑ์อนาคามีจะหมดความขี้เกียจ  หมดความที่จะเอาโลกมาเป็นตน เหลือแต่ตนเท่านั้นมันอยากล้างตัวตนที่เหลือ ก็จะขยันเพื่อผู้อื่น มันจะเวอร์ ระวัง แล้วคนตีกินก็จะไปถือว่าเป็นอนาคามีก็เลยไม่ขยันให้ระวังเถอะ ต้องรู้จักคำกริยารู้จักอิริยาบถรู้จักตัวตนที่แท้จริงต้องประมาณให้พอดี

     

        โลกทั้งโลกมีการแลกเปลี่ยน มีการแลกเปลี่ยนข้าวของกันและกัน อโศกเป็นการแลกเปลี่ยนขั้นสุดยอดคือแจกฟรี  ถ้ายังไม่ค่อยดีนักก็ขายต่ำกว่าทุน ขายต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไหร่ก็ดีมากเท่านั้น จนกว่าจะแจกฟรี แต่ถ้ามากขึ้นไปหาทุนก็ไม่ดีเท่านั้น จนกว่าจะเท่าทุน  ถ้าเกินทุนก็เป็นลาภแลกลาภทั้งนั้น

       อโศกมีตั้งแต่สิ่งที่แจกฟรี สิ่งที่ต่ำกว่าทุน สิ่งที่เท่าทุน จนถึงสิ่งที่ต่ำกว่าราคาตลาด  เราต้องทำให้เจริญขึ้นเป็นตลาดการค้าพาณิชย์ของโลก  ทฤษฎีการค้านี้เป็นเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของบนนิยมไม่ใช่ของทุนนิยมนะ  ถึงอย่างไรคุณก็ไม่เอาทุนนิยมคุณกลับตัวมาเป็นบุญนิยมได้ ระวังเถอะชาวอโศก ใครมีเลือดทุนนิยมที่เป็นเชื้อโรคร้ายยิ่งกว่ามะเร็งยิ่งกว่าเอดส์นะ

       45 ปีมาวันนี้ ก็แค่คล้ายกับสรุปว่ามีอะไรชัดขึ้นอีกเยอะตั้งแต่รู้จักอนุสัยอาสวะ ว่าอย่าพยายามเพิ่มอนุสัยอาสวะที่จะต่อภพต่อชาติ ต่อคู่รักคู่แค้นต่อไปอีก แล้วจะอยู่ในนิยายของโลกนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ฟังเข้าใจไหม  แม้แต่วันนี้ลงรายละเอียดของตลาดอาริยะว่าไปแลกอะไรมาให้แก่ตนเพิ่มขึ้น จนถึงต้องให้ฟรีแจกกันนี่คือทานสุดยอดของบารมีแล้ว อาตมาเคยสรุปไว้ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรดีกว่าการให้ทาน ทานแล้วเกิดอานิสงส์สุดยอด อัตถิทินนัง ไม่ใช่ให้อย่างบูมเมอแรงคือให้แล้วจะเอากลับมาให้แก่ตัวกูของกู  ทำเป็นขว้างออกไป ดีไม่ดีวนเวียนรอบโลกเข้ามาหาตัวเอง ลวงโลกให้ดูเหมือนกับไม่เข้ามาหาตัวเองวนอยู่ข้างนอก  ดีไม่ดีมันละเอียดมากคนอื่นตายไปหลายชาติแล้วก็ไม่รู้ว่าวนเวียนมาสู่พวกที่เป็นนายทุน ทำให้คนอื่นหลงลมว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวกูของกูเลย  เป็นกลเม็ดของตัวกูของกูที่มองยากมาก

      บารมี 10 ทัศ  คือทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน  และเมตตากับอุเบกขา

       เขาพูดบารมี 10 ทัศแค่รอบนอกเกิดแล้วตาย 10 ครั้ง  แต่ของเราทำ บารมี 10 ทัศในรอบของชาตินี้สั่งสมไปเรื่อยเรื่อยเลย

       คำว่าทานเป็นข้อต้นของสัมมาทิฏฐิ ทานไม่มีผลเพราะทำใจในใจไม่เป็น  ให้ทานแล้วแต่จิตใจกลับเอามาให้แก่ตนเพียงตั้งจิตว่าจะต้องได้เท่านั้นเท่านี้ก็เป็นอนาคตคำว่าจะต้องได้ดีคือตัวกูของกู  คุณมีอาการจิตจะต้องได้ ซึ่งมันยังไม่ได้ แต่ก็เป็นตัวกูของกูแล้ว

      อัตถิทินนัง  ต้องทานอย่างอย่าไปคิดว่าจะเอาอะไรมาเป็นของเราทำแล้วก็ให้เป็นสมบัติของโลกของทุกอย่างไม่มีอัตตาตัวตนเหลือแม้นิดและน้อย  มีศีลที่จะทำให้เกิดจิตตัวทานตัวปล่อยตัวให้ อรหันต์ทุกองค์ มีแต่ให้กับให้ไม่มีตัวกูของกูอนาคามีก็เริ่มต้นแล้วอรหันต์ที่ไว้ใจได้เลย 

ศีลข้อที่สองก็มี เพื่อที่จะให้เอาตัวกูของกูออก  มีแต่ตัวกูของกูนั้นไม่จบต้องเอาออก เนกขัมมะให้ได้ ปฏิบัติธรรมก็มี ทานศีลเมตตาธรรมปัญญา 4 อย่างนี้

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่เข้าใจเนกขัมมะ ไม่รู้มโนปวิจาร 18 ไม่เข้าใจอาการเคหสิตะ กับเนกขัมมะ  ไม่เข้าใจอาการเอาออกแล้วก็ต้องทำให้ทุกขณะ อันไหนจำเป็น ยังเอา ออกไม่ได้ก็ต้องทำไปแต่คนหมดภาระแล้ว ก็ออกอย่าไปเพิ่มภาระจงปลดปลงภาระ

คนใดสามารถปลงภาระมาสู่ส่วนกลางได้ก็จะดีที่นี่พาปลดปล่อยวาง มีหลักเกณฑ์ทุกอย่างเพื่อให้เนกขัมมะ เป็นอัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง  อัตถิหุตัง แล้วจะทำสุกตทุกฎานังกัมมานังผลังวิปาโก จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่กรรมของเรา คุณต้องทำหลักเกณฑ์ให้สำเร็จให้เป็นสุกต ถ้ายังไม่ถึงกต ก็จะทุกฏ จนกว่าจะถึงสุกต ต้องทำทุกฎให้เป็นสุกต

       ตั้งแต่ทานศีลเนกขัมมะปัญญา ทำแล้วก็จะเกิดวิริยะ ขันติสัจจะ ให้เกิดจริงถึงปรมัตถธรรม  หรือเป็นสัจธรรมที่สมบูรณ์แบบ

       มีปัญญา ที่รู้วงจรของอันนี้ทำได้ก็เป็นวิริยะขันติพากเพียรอดทนสร้างสรรค์จะเกิดสัจจะความจริงของบารมีข้อนี้ที่ติดแล้วเกิดอธิษฐานเป็นรอบ 2 ปัญญาก็จะเกิดจริง ความจริงที่ได้ก็คือจาคาธิษฐานก็คือตัวแท้นั่นแหละ  ก็รวมลงที่ทานคือจาคะ

       อุปสมะ อุปสัมปทา สูงสุดเป็นสมณะเป็นผู้สงบ เป็นผู้สมบูรณ์คำว่าสมณะแปลว่าเสมอในภาษาไทย  เรียกว่าสมดุลเสมอคือวงจรสมดุล   ถ้าเร็วเกินไปไม่พอเหมาะกับเหตุปัจจัยก็ไม่ถูกช้าไปกว่าปกติก็ไม่ถูกต้องสมดุลเป็นอุปสมะ  อุป คือการเกิด  ต้องเข้าใจตัวสภาวะ

      เมตตากับอุเบกขาเป็นตัวสุดยอดพระอรหันต์อยู่ด้วยเมตตากับอุเบกขา  เมตตาเป็นตัวเพียร อุเบกขาเป็นตัวพัก เพราะสมบูรณ์ด้วยบารมี 8  ส่วนบารมี 2 คือผล  เมตตาคือจิตพระเจ้าเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา

       เมตตาคือจิตต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ต้องการให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่ใช่สุขโลกีย์ด้วยเป็นสุขแล้วกดอะไร

       กรุณาคือลงมือช่วย เมื่อสำเร็จก็คือมุทิตาก็จบช่วยจนเขาได้ดีก็จบอย่าไปคิดว่าเป็นความดีของเราเป็นงานของเราเป็นอะไรของเราจึงอุเบกขาคือจบ  การทำดีแล้วจะไม่ยึดเป็นตัวของกูนั้นยาก ทำจะช่วยคนก็ยากแล้วนะทำแล้วได้ดีจะไม่หยุดเป็นตัวกูของกูก็ยาก

       อธิษฐานหมายถึงว่าจิตตั้ง  จิตตั้งมั่น จิตตั้งใจ อาตมาจิตสั่งสมให้ตนเองเป็นโพธิสัตว์แล้วตั้งใจต่อ ถ้าย่อหย่อนเมื่อไหร่โพธิสัตว์ก็ไม่ไปต่อแล้ว คุณว่าการช่วยคนเพื่อให้คนไปช่วยคนนี้ยากไหม ถ้าช่วยคนให้เห็นแก่ตัวเราก็เลิกแล้วให้เขามีความรู้ไปเลี้ยงชีวิตไปร่ำไปรวยไปมีอำนาจบาตรใหญ่สร้างอย่างนี้ไม่ยากหรอก  แต่ให้เรียนรู้แล้วไปช่วยคนเราอย่าไป หลงการมีอำนาจบาตรใหญ่ ไปเป็นตัวกูของกูสร้างคนแบบนี้ยากไหม  นี่คือลูกพระเจ้าก็ต้องสร้างแบบนี้ไม่ยากแต่ก็ต้องสร้างเพราะเป็นสิ่งประเสริฐในโลก อาตมาก็เลยตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ต่อยังไม่หยุด

      คนที่เป็นอาริยะขึ้นมาก็จะเข้ามารวมตัวกัน   คนส่งข้อความมาว่าขอบคุณอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ อาจารย์เจิมศักดิ์ แม้กระทั่งท่านไพศาล ที่พูดฝากส่งมาว่ากลัวจะมาตายไปแล้ว อโศกจะล่ม ล่มแน่ถ้าอาตมาตายแล้ว ทุกคนก็แยกกันไป มีตัวกูของกูไปตั้งสำนักไหนไหนอีกเป็นสังฆเภทไปเลย ก็ถ้าโพธิรักษ์ตายอโศกก็จะตายไปอย่างสมบูรณ์

       แต่ถ้าอาตมาตายไปทุกคนก็ยิ่งมี สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นปึกแผ่น อาตมาตายลง ถ้ามีนิมิตมีอาการว่าอาตมาตายแล้วทุกคนมารวมตัวกันปึ๊ก  ก็จะเห็นว่าศาสนานี้อนาคตเป็นปึกแผ่นแน่ๆลองดูไหม จะมารวมตัวกันไหมนี่  ตอนนี้ก็เห็นแม้แต่ศิษย์เก่า ศิษย์เก่าของทิดก็มาปวารณาเมื่อวานนี้พวกทิดทั้งหลาย  เป็นบัณฑิตตกข้างคูไปก็มา เป็นเวลานานกว่าจะรวมตัวกัน  มีเด็กที่เรียนจบม. 6 ที่นี่ก็มาปวรณษตัวว่าจะรวมกันที่นี่ก็เป็นนิมิตหมาย เขาตั้งใจของเขาจริงๆคือจิตที่เจริญ ถ้าจิตอย่างนี้มีอยู่เรื่อยเรื่อย แม้แต่ที่สุดเป็นเรื่องลีลาของการชักชวนกันจะไปร่วมกันลงแขกเกี่ยวข้าวที่บ้านราชฯ  เป็นการรวมพลังงานรวมจิตใจอารมณ์พฤติกรรม มันจะเป็นวัฒนธรรม จะค่อยๆก่อตัวเสริมสานกัน อาตมายกตัวอย่างของการตั้งใจจะรวมตัวคืออธิษฐาน

ไม่ว่าจะเป็นทิดทั้งหลายที่รวมตัวกันก็เป็นอธิษฐานหรือว่า ศิษย์เก่าที่ตั้งใจรวมตัวกันก็เป็นอธิษฐาน  แม้แต่ที่เขียนมาชวนไปลงแขก เกี่ยวข้าวก็ไม่เร่งรัดอะไร   144 ไร่  เป็นเลขสวย เป็นรอบ 4 ของ 36  ส่วน 36 ก็เป็นรอบ  มี 36 คูณ 4 เท่ากับ 144 จะเกิดเป็นโดยธรรมชาติแบบนี้

 อาสวะอนุสัยเรื่องปรมัตถ์ไม่ใช่เรื่องเล่นเล่น วันนี้ได้ขยายให้เห็นว่าคนเรา มันไม่ต่อเชื่อมความเป็นนิยาย ความเป็นนิทานของชีวิต มันตัดตรงอาสวะอนุสัยอย่างนี้  ต้องทำให้หมดไปแล้วจะไม่มีเรื่องที่ต้องไปมีเรื่องพัวพันอะไรกับใครอิสระเสรีภาพเกิด ให้เป็นสิ่งสุดยอด จนกระทั่งลงท้ายด้วยการรวมตัวผนึกกันจะเกิดเอกภาพ เอกีภาวะเป็นสามัคคียะที่รวมตัวกันสามัคคีพรั่งพร้อมไม่วิวาทกันแล้วก็มาทำงานเป็นสังคหะสงเคราะห์อนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลโลก ด้วยการเป็นอยู่ร่วมกันเป็นคุรุกรณะ  ผู้ใหญ่ผู้น้อยมีวุฒิภาวะก็ค่อยค่อยแจกจ่ายเผื่อแผ่ให้สมบูรณ์ด้วยความรักกัน เป็นปิยกรณด้วยความระลึกถึงกัน เป็นคุณสมบัติ 7 ประการของพุทธพจน์ 7 เป็นคุณสมบัติสุดยอดของชีวิตแล้วถ้าเข้าใจทำได้จริงอย่างนี้ก็เกิดสาราณียธรรม 6 แน่นอน โลกต่อไปนี้เราจะต้องสร้างลัทธิสาธารณโภคี  หรือระบอบสาธารณโภคี  ให้เป็นสาธารณะที่เป็นหนึ่งเดียวรวมกัน ร่วมกันอยู่ร่วมกันกิน ร่วมกันใช้ ร่วมกันเป็นญาติ ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งโลกนี้แหละ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่เราจะต้องพยายามทำให้ได้และให้ได้จริงที่สุดไปเรื่อยเท่าที่จะทำได้ใครจะช่วยอาตมาบ้างยกมือ…. ขอบคุณทุกคนเจริญธรรม

 

หลังรายการ … มีการมอบธงชัยเฉลิมบุญ​ให้แก่ อาวาสถานต่างๆ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:07:10 )

581111

รายละเอียด

581111_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก พรหมชาลสูตร

พ่อครูว่า วันนี้วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน 2558 วันพุธ วันนี้ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 บางที่ก็มีแม่คะนิ้งแล้ว เป็นไปตามฤดูกาล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การตาย) ตอน ความเป็นอมตะ

ก่อนอื่นต้องขอพูดถึง ที่บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ

       คำว่าอมตะคือ ผู้ไม่ตายก็ไม่ตาย มีแนวลึกมาก ทางร่างกายไม่มีอะไรไม่ตาย แต่มีความเป็นอมตะมีความไม่ตาย เพราะอะไรเพราะมันตายแล้ว มันตายแล้วไม่เกิดอีกก็เลย ไม่มีอะไรจะตายอีกก็คือ ความไม่ตาย  แล้วตายแล้วไม่เกิดอีกคืออะไร คือกิเลส

       ศาสนาพุทธทำให้กิเลสตายได้ ตายแล้วไม่เกิดอีกตลอดนิรันดร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)  เป็นทฤษฎีพิเศษเรียกว่าโลกุตรธรรม

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บ้านราชเมืองข้าว

อาตมาได้ให้ขึ้นไปว่าแผ่นดินพุทธอยู่บนหลังคาตึก  ตอนนี้ข้าวสุกแล้ว ปีนี้เริ่มทำนาเป็นหลักเป็นฐานเริ่มต้น 144 ไร่ ซึ่งเป็นเลข 144 คือ 36 สี่ครั้ง คือ 72คูณ2  นาปีนี้เริ่มต้นถมใหม่ ใส่ปุ๋ยของเราเองข้าวสูงท่วมหัว 2 เมตรกว่า ทำนารอบบ้านราชเลย ปีหน้าจะทำมากกว่านี้ มันโตไม่เกรงใจใคร ตอนนี้สุกไล่ๆกันไป ก็เลยจะชวนกันไปช่วยเกี่ยว  มันก็แปลกจริงที่เป็นดินถมใหม่ โดยทั่วไปจะไม่เป็นดินที่มีอินทรีย์วัตถุ ไม่มีฮิวมัสใช้เพาะปลูกได้ดีเท่าไหร่  มันเป็นดินตาย

       ใครอยากสนุกก็ไปช่วยกันเกี่ยวข้าว ต้นสูงไม่ต้องก้มเลยยืนเกี่ยวได้เลยสบายๆทยอยกันไปได้ สมณะไปช่วยเกี่ยวไม่ได้เป็นอาบัติแต่ก็จะช่วยขนข้าวได้  ก็จะเป็นธรรมเนียมของบ้านราช อาตมามุ่งมั่นว่าชาวอโศกจะต้องเป็นชาวนาจะต้องทำงานใครจะอยู่หอคอยงาช้างก็แล้วแต่ แต่โรงเรียนของพวกเรา การเรียนพวกเรา จะต้องเป็นศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา  โครงการต้นจะต้องทำข้าวให้ได้แสนตัน ตอนนี้ก็รวบรวมสมาชิกกัน

      1 ทำให้เป็นข้าวคุณภาพดี มีสารอาหารที่ดี พันธุ์ดี ให้รสชาติไม่ต้องดีก็ได้นะก็แล้วแต่ แต่เรื่องสารอาหาร เราก็พยายามจะทำ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ไม่เอาตาดูหูแลกิจกรรมกิจการของชาติ แต่นักบวชท่านมีกิจไหนบางอย่างที่กันไม่ให้ไปรุ่มร่าม วุ่นวายไปแย่งการงานประชาชนเขา  เรื่องปัจจัยหลัก พืชพันธุ์ธัญญาหาร 2 เรื่องดูแลรักษาอย่าไปยุ่งกับเขา  ในจุลศีลไม่ให้ทำ  และ 3 เรื่องซื้อขายไม่ให้ไปแย่งทำ เพราะฉะนั้นอาชีพที่สูงสุดมีแต่ให้ ให้ไปแล้วไม่เอาลาภแลกลาภ (ลาเภนลาภัง นิชิงคิงสนตา) 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อาริยสงฆ์

แม้ในยุคทุนนิยมสามานย์ เลือดเข้าตา ก็ยังทำให้คนมาทำงาน โดยให้ไม่เอาอะไรกลับคืน เป็นฆราวาสมีชีวิตสร้างสรร กินใช้กับส่วนกลางเป็นสาธารณโภคีไม่รับรายได้เป็นส่วนตัว ก็คือเป็นพระ เป็นผู้ประเสริฐแม้เป็นฆราวาสนี่แหละ ก็เป็นอาริยสงฆ์ ฆราวาสก็เป็นอาริยสงฆ์

       ความหมายของอริยสงฆ์คือสมณะที่ 1, 2, 3, 4

สมณะที่ 1 คือพระโสดาบัน เมื่อฆราวาสเป็นพระโสดาบันก็เป็นสมณะที่ 1 ในพุทธบริษัท 4 มีนักบวชหญิงนักบวชชาย อุบาสกอุบาสิกา เป็นโสดาบันก็เป็นสัมณะที่ 1 เป็นสกิทาคามีก็เป็นสมณะที่ 2 เป็นอนาคามีก็เป็นสมณะที่ 3 เป็นอรหันต์ก็เป็นสมณะที่ 4 ฆราวาสก็เป็นอรหันต์ แล้วเป็นอรหันต์ก็ไม่ได้จะต้องบวชภายใน 7 วันไม่อย่างนั้นจะตาย อย่างนั้นเขาเข้าใจผิด ไปเอาสถิติ ที่อรหันต์ฆราวาสตายภายใน 7 วัน ก็เอาหลักฐานอันนั้นมาทำให้เข้าใจผิด เขาบอกว่าอรหันต์ที่เป็นฆราวาสจะมีชีวิต โดยไม่บวชภายใน 7 วัน

       ถ้าเข้าใจโพธิสัตว์ ชาติต่างๆโพธิสัตว์ที่สูงกว่าอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตโพธิสัตว์  เป็นนิยตโพธิสัตว์จนมหาโพธิสัตว์นั้นบางปางต้องเป็นฆราวาส ต้องมีวิบากไปแต่งงาน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็แต่งงานมีลูก เป็นเรื่องอจินไตยที่ยากมากเลย ในเถรวาทเมืองไทยไม่เข้าใจเรื่องพระโพธิสัตว์ไม่เข้าใจการเรียนว่ายตายเกิดของสรีระ

       แล้วทำไมกลับมาเกิดต้องเหมือนคนมีกิเลสพูดแล้วคนเชื่อยากเข้าใจยาก ก็ยังดีที่มีหลักฐาน แม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็มีหลักฐานอะไรยืนยัน ซึ่งบางองค์มีมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีตำนานที่จะเอามายืนยัน เป็นเรื่องที่ยากจะบรรยายให้เข้าใจ แต่ก็จำเป็นต้องพูดเพื่อให้รู้ เรื่องที่ได้แล้วไม่กลับฟื้นคืนมีจริง แต่ก็อาจมีวิบากครอบงำชั่วครู่ เหมือนเด็กเกิดมาเขามีสัญชาตญาณ เขาก็ไม่รู้เรื่องไม่เดียงสา แต่แท้จริงโตมาถึงวัยที่รู้เดียงสาเขาก็จะมีอะไรออกมา สัญชาตญาณของแต่ละคนที่เป็นกรรมหรือเปล่า หรือเป็นวาสนา ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่ทำงาน แม้แต่ทางโลกีย์ก็มีสวนโลกุตระก็มีนัยยะเช่นนี้เหมือนกัน

       ยืนยันว่าอริยะบุคคลที่ 1, 2, 3, 4 มีได้ในฆราวาสเหมือนกัน แล้วอาจจะเป็นส่วนมาก มากกว่านักบวช  แล้วฆราวาสทำงานกับสังคมได้มากกว่า ส่วนนักบวชจะมีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัยเป็นหลัก ไม่ต้องไปทำงานเลี้ยงชีพแบบฆราวาส ส่วนฆราวาสมีงานเป็นภาระมากกว่า แต่สมณะนักบวชมีหน้าที่เช่นนี้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นานาสังวาส) ตอน อโศกไม่ใช่นิกาย

ในชาวอโศกเราทุกวันนี้  เรามาตั้งเป็นนานาสังวาสซึ่งไม่ใช่นิกาย

 ถ้าเป็นนิกายจะเป็นอนันตริยกรรม คนใดทำให้เกิดนิกายคือ ทำให้สงฆ์แตกแยก คือไม่ใช่กายเดียวกัน ไม่ใช่องค์รวมเดียวกัน แตกแยกไปจากพุทธ เป็นแต่เพียงไม่ปาราชิก ผู้ใดทำสงฆ์ให้เกิดนิกายเป็นสังฆเภท ทำอนันตริยกรรม ใครจะบอกว่าอโศกเป็นพวกนิกายสังฆเภท คนนั้นก็รับเอาเอง เรายืนยันตามหลักธรรมะว่าไม่เป็น เรายืนยันหลักนานาสังวาส  อย่ามายัดเยียดคำว่านิกายอโศก

 เราดำเนินการเป็นนานาสังวาสอย่างถูกต้องทุกอย่าง แต่กระแสหลักเสื่อมจนไม่รู้ว่านานาสังวาสกับนิกายต่างกันอย่างไร แล้วจะจัดการกับคณะสงฆ์นานาสังวาสอย่างไร ท่านเหมือนกับทั้งหมู่ธรรมยุตและมหานิกายรวมหัวกันเล่นงานอโศกทั้งที่ผิดทางวินัย ก็ต้องขออภัยที่ต้องพูดความจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ชาวพุทธ 3 ประเภทในไทย

ผู้ที่เข้าใจอันนี้แล้วจะรู้ว่าศาสนาพุทธต้องมีอริยบุคคล 4 อย่างนี้ คือ นักบวชหญิง นักบวชชายอุบาสก อุบาสิกา ที่เรียกว่าพุทธบริษัท 4 ซึ่งไม่มีในศาสนาพุทธยุคหลังนี้แล้ว จนคิดว่าจะขาดสูญไปแล้ว อาตมามาต่อ มาฟื้น ดีที่มีพระไตรปิฎกมีหลักฐานเป็นสิ่งยืนยัน ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีพุทธบริษัท มีแต่พุทธศาสนิกชน อย่างดีก็มี พุทธมามกะ แต่ พุทธบริษัท ขาดไปแล้ว

 ความเป็นชาวพุทธ 3 ประเภท

 1 พุทธศาสนิกชน 2 พุทธมามกะ 3 พุทธบริษัท  ซึ่งต้องมีคุณวิเศษอย่างนี้อย่างนี้ จึงเป็นพุทธบริษัท

 1 พุทธศาสนิกชนประเทศไทยมีพลเมือง 67 ล้านคน แต่ก่อนมีวิชาเรียนว่าประเทศไทยมีพลเมือง 10 ล้านคน ตอนอาตมายังเล็ก  ทั้งทั้งที่อาณาบริเวณของประเทศถูกเขารุกมาด้วย ถูกเขาแบ่งแย่งไปเรื่อยพลเมืองเพิ่มขึ้นแต่แผ่นดินลดลงพุทธศาสนิกชนเมืองไทยมีมาตั้งแต่เกิดเมืองไทยนับถือศาสนาพุทธตั้งแต่สร้างเมืองไทย ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธเป็นตระกูลตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตาทวด ถือติดตามกันมาอย่างนั้นคือพุทธศาสนิกชน เป็นพุทธศาสนิกชนตามสำมะโนครัวตามตระกูล

ถามว่ารู้เรื่องศาสนาพุทธไหม ก็ไม่รู้เรื่องเสียส่วนใหญ่ ยิ่งศาสนาพุทธทุกวันนี้เสริมจากสัจธรรมจากพุทธกลายเป็นเดียรถีย์ เป็นเทวนิยมมีแต่เดรัจฉานวิชาเดรัจฉานกถา เรื่องผีสางเทวดาสัตว์ แปลกเป็นเรื่องเลอะเทอะแล้วนับถือเหมือนพวกนอกรีต นับถือผี นับถือเทวดา นับถืออะไรที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ใน มหาศีล 7 ข้อ  แต่เดี๋ยวนี้ละเมิดหมด จึงกลายเป็นพุทธแต่ชื่อ แต่พฤติกรรมแสวงบุญนอกขอบเขต พูดคำว่าบุญก็ไม่รู้เรื่อง ไปแปลบุญว่าคือกุศล คือสิ่งที่ควรได้ ทั้งที่บุญคือเครื่องมือตัดกิเลส  แต่ก็เข้าใจลึกลึกว่าบุญกุศลใหญ่ กุศลทำให้คนเกิดกัลยาณธรรมแต่กุศลถ้าเจริญจริงๆให้ถึงรู้จักกิเลสตัดกิเลสเป็นอริยสัจ 4 กุศลนั้นก็เป็นบุญ กุศลคือคุณงามความดี บุญก็คือคุณงามความดีที่ยิ่งกว่าคุณงามความดี เพราะเป็นความดีที่ข้ามเขตเป็นโลกุตระเป็นอริยบุคคล

 ในความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ขึ้นชื่อว่าพระพุทธ

 2 พุทธมามกะคือ ผู้สนใจประพฤติปฏิบัติพุทธ พยายามศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ ก็มาปวารณาตัวขอเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ผู้ที่เข้าไปวัดแล้วพระก็ให้สวดมะยังภันเตวิสุงวิสุงเพื่อรักษาศีล ให้มีไตรสิกขา ก็ต้องศึกษาศีลให้เหมาะสมกับตน ปฏิบัติศีลให้ขัดเกลาจิตจนเกิดปัญญา กิเลสลดละจางคลายก็มีปัญญาไม่ใช่งมงาย ตั้งแต่ปัญญาบัญญัติตรรกะ แต่อ่านจิตไม่เป็น  แต่ปฏิบัติศีลแบบยึดใครมาตัดสินแตะต้องศีลของตนไม่ได้

       พุทธมามกะคือ ผู้ใส่ใจสนใจพยายามเข้าปฏิบัติ พูดได้ยังไม่บรรลุอาริยธรรม เข้าเนื้อแท้ของพุทธ ยังไม่เรียกสาวะกะสังโฆ คือปฏิบัติธรรมแบบหน้าน้องน้ำตา เป็นเนยยะบุคคล ควรรับของทานไว้ โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ แต่ไม่มีอาริยธรรม ไม่มีมรรคผล เร่ิมมีอาริยมรรค คือรู้เห็น เช่น พ้นสักกายทิฏฐิ หรือพ้นสังโยชน์ข้อที่2 อ่านกายออก แยกกายกับจิตออก รู้องค์ประชุมรูปนาม ว่านี่คืออาการโทสะ เป็นศีลข้อที่1 อาการอย่างนี้เป็นโลภะในศีลข้อ2 อาการอย่างนี้คือราคะในศีลข้อ3 สามารถอ่านตัวตน สักกะคือตัวตน สามารถอ่านตัวตนที่มีอาการของรูปนามคือ ส่ิงที่มีเหตุปัจจัยหนึ่ง กับธาตุรู้ที่เป็นปัญญาสัมผัสกับส่วนนอก ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม แล้วมาเป็นวัตถุ ทรัพย์สินที่นาที่ไร่ ต้นไม้ เครื่องนุ่งห่ม ทองเพชร หม้อข้าวหม้อแกง สารพัดวัตถุ เมื่อสัมผัสสิ่งเหล่านั้นแล้วเกิดกิเลส

      เราก็อ่านรู้จิตเราว่ามีกิเลส ผู้อ่านกิเลสออก สัมผัสรู้กิเลสไม่มีรูปร่างแต่มีอาการ อาการโลภ ราคะ โทสะ อาการทุจริต อกุศล ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสันอะไร แต่กิเลสคือมารคือผีคืออาการที่มีชีวะ มีชีวิตินทรีย์ มีเกิดมีตาย

ผู้มีสัญญา เป็นปัญญาที่อ่านอาการโกรธออก อ่านอาการนี้ได้จริงๆ ไม่ผิด  ตรวจสัญญากำหนดรู้เจริญขึ้นเป็นปัญญาชัดเจนขึ้น รู้จักรู้แจ้งรู้จริง จนพ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ข้อที่ 3  ผู้อ่านอาการกิเลสจนพ้นวิจิกิจฉา  แต่ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคต้องครบ สังโยชน์ 3 แล้วกิเลสเป็นอย่างไรมีวิธีกำจัด สมมุติว่ารู้อย่างสัมมาทิฏฐิ สมถะและวิปัสสนาทำอย่างไร กิเลสลดคืออย่างไรเข้าใจ มีปัญญาเฉลียวฉลาดความหมายปริยัติรู้แล้ว แต่ศีลพรต ที่ต้องปฏิบัติตามที่รู้  แต่ถ้าคุณไม่ปฏิบัติให้กิเลสลด ศีลพรตคุณรู้แล้ว แต่ก็ยังลูบหัวล้านกิเลสเล่นอยู่ให้หมาเลียปากเล่น เล่นกับหมาหมาเลียปากไม่กำจัดมัน ก็ยังไม่พ้นข้อที่ 3 สีลลัพพตปรามาส  ทำยังเล่นเล่นหัวหัวเหยาะๆแหยะๆไม่ได้มรรคได้ผล  ต้องปฏิบัติให้ได้มรรคผล ลดกิเลสได้ต้องมีปัจจุบันสัมผัสอยู่ แล้วลดได้จริงพ้นสีลลัพพตปรามาส

สีลลัพพตุปาทานนั้นได้แต่ถือเคร่งกันไปตามตามกันไป แต่ไม่รู้ไม่มีสัมมาทิฏฐิว่าถือศีลไปทำไม

 จุลศีล 

1.   พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์วางทัณฑะ วางสาตรา มีละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2.   พระสมณโคดม  ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์  รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการ  แต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย  เป็นคนสะอาดอยู่.

3.   พระสมณโคดม  ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุน ซึ่งเป็นเรื่องของชาวบ้าน.

 

         (4) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวชมอย่างนี้

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จพูดคําจริง ดํารงคําสัตย์ มีถ้อยคํา เป็นหลักฐาน ควรเชื่อ ไม่พูดลวงโลก.

5. พระสมณโคดม ละคําส่อเสียด เว้นขาดจากคําส่อเสียดฟังจากข้างนี้แล้วไม่บอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตกกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่บอกข้างนี้  เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกกัน  สมานคนที่แตก กันแล้ว

บ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

6. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบกล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

7. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริงพูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 

จุลศีล 26 ข้อนี้ ปฏิบัติแล้วสามารถเป็นอรหันต์ได้นี่คือ โอวาทปาติโมกข์  เดี๋ยวนี้ไม่มีการท่อง จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลแล้ว มีแต่พระวินัย การบวชของสมณะชาวอโศก ให้มีการท่องจุลศีล มัชฌิมศีลมหาศีล

 เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องพูด ซึ่งพูดแล้วก็ต้องกระทบกับคนผิด เลี่ยงไม่ได้  เอากำปั้นทุบดินก็ต้องถูกดิน ก็ต้องเห็นใจกันบ้าง ขันจอหว่อ

 สรุปว่าพุทธมามกะพยายามขวนขวายเอาบัญญัติมาศึกษาเล่าเรียน เพื่อจะปฏิบัติให้ถูก แต่เมื่ออาจารย์ผู้สอนก็สอนผิดเพี้ยนไม่ถูกต้องไม่สัมมาทิฏฐิ มันก็เลยกลายเป็นสีลลัพพตุปาทาน บางทีถือศีลเคร่งเกินกรอบของตนด้วย บางทีไปว่าคนที่ถือศีลไม่เคร่ง ต้นเองถือศีล 5 บางทีแปลว่าศีล 8 ศีล 10 ไม่ไหว้พระด้วย

 คนที่ศึกษารู้กรอบขอบเขตชัดเจน และปฏิบัติตามฐานะเรียกว่า ประพฤติตามขอบเขตตามกำหนดเรียกว่า ปริตตัง  ตามศีล 5 หรือศีล 8 เช่นกิเลสกามเราระดับนี้เริ่มต้นเป็นโสดาบัน ตามกรอบนี้ฉันไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ อย่างมากกว่านี้จัดจ้านไปสวยเกินกว่านี้จัดจ้านไป หอมก็เอาแค่นี้ อร่อยก็เอาแค่นี้ ไม่เอามากกว่านี้หรอก ก็ต้องกำหนดจริงๆ ต้องเข้าใจกามคืออะไรกำหนดขอบเขตให้ชัด

ผู้ใดปฏิบัติเอาจริง แต่ยังไม่ได้มรรคผลเรียกว่าปฏิบัติหน้าน้องน้ำตา หรือว่าเป็นโคตรภูบุคคล มาอยู่ในโคตรของนักบวช เป็นพระโยคาวจร  ปฏิบัติโดยเคร่งจริงๆ คนเรานี้เป็นทักขิเนยบุคคล เป็นคนควรได้รับของทาน ควรอนุเคราะห์เลี้ยงดูส่งเสริมไว้ ปาหุเนยยบุคคลเป็นคนควรเคารพกราบไหว้ และท่านก็ปฏิบัติไม่ให้ผิดศีลผิดทำผิดวินัย เราก็ดูแลไม่ให้ท่านผิดวินัย ตามที่คนเคารพกราบไหว้ เป็นอาหุเนยยบุคคล

โคตรภูบุคคล โคตรภูจิต โคตรภูญาณ

โคตรภูบุคคลคือ ผู้ยังปฏิบัติอยู่แต่ไม่ได้ลดกิเลส แต่ถ้าลดกิเลสได้ก็มีโคตรภูจิต บางคนไม่รู้ว่าตนหมด มีเจโตวิมุติแล้ว แต่ต้องมีญาณก็ต้องรู้จิตบรรลุ ก็มีโคตรภูญาณ แต่ในโสฬสญาณ ท่านเอาแค่โคตรภูญาณ เพราะสูงสุดในโคตรภูแล้ว ต้องรู้ว่าจิตตนบรรลุ ในญาณ 16 เอาแต่โคตรภูญาณ

 ผู้สามารถบรรลุธรรมได้แม้เป็นโสดาปัตติมรรคก็คือ รู้บัญญัติความหมาย รู้ทฤษฎีรู้อุบายเครื่องออก รู้สักกายะ ไม่มีความสงสัย พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์  แต่สังโยชน์ที่ 3 ยังไม่บรรลุ ยังลดกิเลสไม่ได้ ถือว่าผู้นี้มีสัมมาอาริยมรรค  เป็นโสดาบันเต็มรอบ  โสดาบันรอบที่ 1 เข้ากระแส รอบที่ 2 ก็พ้นวิจิกิจฉา โสดาบันรอบที่ 3 รู้ศีลรู้วิธีปฏิบัติ แต่ถ้าทำกิเลสลดได้จางคลายก็เป็นโสดาปัตติผล ได้ 1 หน่วยก็เป็นโสดาหนึ่งหน่วย

 แบ่งเป็น 4  คือ โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ

 แม้ยังไม่มีนิโรธ แต่เป็นส่วนแห่งบุญเป็น ปุญญภาคิยา  มีบุญทันกิเลสได้ 1 หน่วย ได้ 2 หน่วยได้ 3 หน่วย ไปเรื่อยจนเข้ากระแสได้ 25 โสตาปันนะ  และได้อวินิปาตธรรม  คือ 50 ส่วนในร้อยส่วน จนเลย 75 หน่วยเรียกว่าสัมโพธิปรายนะ ไปสู่ความบรรลุ ถือว่าสอบผ่านแล้ว 75 เปอร์เซ็นต์เป็นต้นไปเป็นโสดาบันที่สอบได้แล้ว

 ผู้บรรลุเป็นอริยบุคคลก็เข้าเขตเป็น พุทธบริษัท ที่นั่งอยู่ที่นี่มีทั้งนั้น ทั้งพุทธบริษัท พุทธมามกะ พุทธศาสนิกชน ก็มีแต่มีน้อย แต่เป็นพุทธบริษัทไม่น้อยเป็นอริยบุคคล  แต่ไม่ถามหรอกเพราะว่ายังไม่ชัดจะไม่ค่อยรู้ตัวเอง

 สรุปว่าพุทธบริษัทคือผู้ที่บรรลุคือเนื้อแท้ของศาสนาคือ บริษัทพุทธจำกัด มหาชน แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่อนุชน ยังไม่ใหญ่ก็ได้แค่นี้ไป แต่ถ้าได้แล้วมันไม่ถอยคุณสมบัติระดับโสดาบันมีความเที่ยงแท้นิยตะ  แม้คุณจะมีวิบาก ออกไปบ้างแต่ต่อไปในอนาคตมีชิบฝังในวิญญาณคุณแล้ว  ถ้าไม่พากเพียรอาจหากิเลสเข้าหาตัวเองบ้าง แต่สิ่งที่ได้แล้วจะได้เลย จะไม่เลอะเทอะมากรู้แล้วแกล้งไม่รู้ไม่ได้ ยิ่งเป็นจริงคือสัจจะที่ได้จริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน โกหก กับ บอกตามความจริง ต่างกัน

 แม้เป็นพุทธมามกะ  แต่มีรูปนอกเป็นนักบวชแล้ว ใช้โอกาสนี้ทำมาหากินหลอกชาวบ้านชาวเมือง เอาวิมานใหญ่ๆในอนาคต แล้วเอาคำว่าบุญมาหลอกตั้งแต่วิมานเล่าเป็นนิทาน ว่าเพราะมาทำบุญ ทำทานบริจาคเงิน ได้อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พ่อที่ตายไป เขาพูดเช่นนี้ จนมีคนลองของ ก็เขียนเรื่องเล่าว่าพ่อเป็นโรคตายทรมานแต่ก่อนจะตายไปพบสำนักท่าน บอกว่าทำทานจะดีพอก็ทำทานเสร็จ แล้วไปถาม ว่าพ่อผมจะได้อานิสงส์แค่ไหน จากทำบุญทำทานกับวัดนี้ เจ้าสำนักกอธิบายว่าได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ลูกศิษย์ลูกหาก็สาธุสาธุสาธุ  เสร็จแล้วพอพูดไป คนเขียนก็เปิดเผยต่อสาธารณะว่าเรื่องที่เขียนนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าขึ้นมา เพื่อลองดูท่านว่าจะพูดจริงไหม หรือโกหก แต่แท้จริงเพราะผมยังไม่ตายผมไม่ได้ทำบุญกับท่านเลย นี่คือเขาหน้าแหก นี่คือการโกหกอุตตริมนุสสธรรมที่เป็นปาราชิก พูดอยู่ทุกวันมีนิทานหลอกคนทุกวัน ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ศาสนาพุทธชิบหายจนไม่รู้จะเอาภาษาอะไรมาเรียก แม้โกงเงินกองทองเขาก็แล้ว จนปาราชิกเอาเงินเข้าไปตั้งหลายร้อยล้าน แล้วศาลก็ตัดสินเขา แต่เขาก็เก่งมากจนถอนออกจากศาลได้ ยกไม่เป็นคดีความเลย

 แต่ความเป็นสัจจะการเคลื่อนเงินที่ไม่เป็นของเราออกจากที่เก่า ปาราชิกแล้ว แต่นี่เอาไปใส่บัญชีตัวเองอยู่ไม่รู้เท่าไหร่ จนสมเด็จพระสังฆราชบอกว่าปาราชิกแล้วมีพระลิขิตไปตั้งหลายฉบับ แต่สงฆ์หมู่ใหญ่ก็ยังเฉยอยู่  แต่ถ้าปล่อยให้สมีอุ้มสมีเช่นนี้ ก็จะแย่ อาตมาถึงขอเป็นนานาสังวาส ไม่ร่วมด้วย ไม่ร่วมปิดปากด้วย  เราต้องทำให้สะอาดเพราะความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด  ที่พูดนี้ไม่ได้โกรธจะเคือง แต่ไม่อยากให้เขาตกนรก  ใครจะตกนรกก็แล้วแต่ แต่จะมารู้ว่านรกสวรรค์ มีอยู่ ต้องมาศึกษาทสวรรค์โลกุตระ จะเป็นสวรรค์อุบัติเทพ  เป็นสวรรค์ที่มีแต่จิตดี มีจิตว่างไม่มีนรกสวรรค์

 ต้องกอบกู้ให้มีพุทธบริษัทขอพูดตรงตรงว่า 45 ปีที่บวชมาก็ได้อริยบุคคล  บวชมาถึงวันนี้ ได้พุทธบริษัทที่เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มี อรหันต์ก็มี ไปตามลำดับ ที่พูดมานี้ไม่ได้หลอก แต่เป็นการจำเป็นที่ต้องพูด ชั้นเดียวกันขออภัยไม่ได้เทียบเคียงเท่าเทียมพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนา ตอนนั้นไม่มีศาสนาพุทธ ท่านต้องบอกว่าศาสนาพุทธบรรลุเป็นเช่นนี้ เป็นอุตตริมนุสสธรรม ท่านก็ต้องบรรยายบอกให้เข้าใจให้รู้ลักษณะแล้วปฏิบัติ กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมให้บรรลุ

 ฉันเดียวกัน กับยุคนี้มันไม่มีแล้ว  การบรรลุแล้วบอกใครไม่ได้ก็เป็นการทำลายศาสนาพุทธ แม้ในอภิณหปัจจเวกขณ์ ข้อที่ 10 บอกว่าอุตตริมนุสสธรรมของเรามีอยู่ไหมถ้าใครจะมาถามเรา ว่าด้วยมรรคได้ผลอะไร เราจะได้บอกได้ ท่านให้บอกยังไม่มังกุ ไม่เก้อยาก ไม่ลำบากใจ  มีอะไรมายืนยัน คือบอกแล้วจิตของเราอย่าอยากอวดอย่ามีสาเฐยจิต  อาการอยากอวดอ้างคุณมีไหม  อาตมาก็บอกสาธยายโดยวิชาการ ไม่ได้อวด ไม่มีอาการกิเลส หากอ่านอาการไม่ออกแล้ว กิเลสมีจริงของคุณก็เป็นได้ แต่อาตมาไม่ได้มี จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็สุทธิ-อสุทธิ ปัจจัตตังของตนเอง  

แต่ถ้าไม่พูดก็ได้แต่เดากันไป  พระพุทธเจ้าว่าจะรู้ว่าใครบรรลุหรือไม่  ก็ต้องด้วยการคบคุ้นอยู่ด้วยกัน พอบอกมาก็จะรู้ว่าเขาได้จริงๆอย่างยั่งยืน จะมีทีเผลอมาลองดู ก็จะรู้ว่าใช่หรือไม่ แต่อย่างที่บรรลุแล้วบอกใครไม่ได้อย่างนี้ก็ ทำผิดที่พระพุทธเจ้าสอน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ปฏิบัติธรรมเริ่มด้วยศีล

 แค่การนั่งหลับตาสมาธิ อันนี้เป็นเพชรเม็ดที่ 1 ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 คือพรหมชาลสูตร  การขึ้นต้นด้วยศีล เริ่มเรื่องเลย มีพราหมณ์มีลูกศิษย์กับอาจารย์พราหมณ์ คนหนึ่งชื่อว่าสุปริยปริพาชก เป็นอาจารย์ กับพรหมทัตมานพเป็นอันเตวาสิกคือลูกศิษย์  สรุปก็คือลูกศิษย์ศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธเจ้า ซึ่งในศาสนาพราหมณ์ก็มีตำนานของพุทธแต่ไม่ได้ตั้งชื่อ ซึ่งก็มีนัยยะเดียวกันมีศีลสมาธิปัญญา พราหมณ์ก็ท่องมา  แต่กลายเป็นเรื่องบานปลายเร็วไหลเละเทะ เป็นคัมภร์ไตรเภท เหมือนกับอาจาริยาวาท ส่วนเถรวาทคือรุ่นที่ได้พบพระพุทธเจ้าเป็นพระเถระรุ่นแรกที่ฟังธรรมจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า  แต่คำสอนต้น ต่อมาคือคำสอนของอาจารย์เกิดความยาวยืด

 ทั้งสองคนได้ข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว และก็ได้เจอพระพุทธเจ้า จริงๆศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์อันเดียวกัน เหมือนกับศาสนาพุทธทุกวันนี้กำลังจะกลับคืนมาใหม่ แต่ไม่เรียกศาสนาพราหมณ์แต่เป็นศาสนาของสมณพราหมณ์คืออโศก เพราะอโศกได้ชื่อว่าสมณะพราหมณ์ เราตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการที่เป็นไวยาวัจกรของเถรสมาคมคือกรมศาสนา ตกลงกันว่าเราจะต้องเรียกตัวเองว่าสมณพราหมณ์เต็มเต็ม แต่มันยาวไป ละไว้ในฐานที่เข้าใจเอาแต่คำว่าสมณะมาใช้  เราไม่ได้ตั้งเองแต่เพราะกฎหมายว่าไว้ ไม่ให้เรียกพระ หรือนักบวชเรียกอื่นๆอีกก็ไม่ได้  แต่ไม่ได้มีคำห้ามไม่ให้เรียกสมณพราหมณ์ 

เราตกลงกับคุณชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์  เขากล่าวว่าให้เปลี่ยนชุด แล้วไม่ให้เรียว่าพระภิกษุ นักบวช  เราก็เลยว่าจะให้เรียกเราว่าอะไร   ข้อตกลงกันว่าเรียกว่าสมณะพราหมณ์ เราก็เลยรับเราก็ถึงเรียกพวกเราว่าสมณพราหมณ์เต็ม แต่ละคำว่าพราหมณ์ทิ้งเอาแต่คำว่าสมณะมาใช้ ก็คือพราหมณ์กับพุทธ วนเวียนกลับไปกลับมาในหนังสือทางเอกเขียนไว้ สมัยพระพุทธเจ้ามีพราหมณ์มหาศาล แต่สมัยนี้เป็นพระมหาศาล  ท่านมีพลังของท่านเหมือนแต่ก่อนเป็นพราหมณ์มหาศาลมีตำแหน่งหน้าที่มียศศักดิ์มีรายได้ที่พระเจ้าแผ่นดินให้เหมือนกัน ไม่มีผิดกับพระทุกวันนี้ที่มีนิตยภัตเป็นราชปัตโต  จริงๆเอาผิดมาตรา 157 ได้นะถ้าไม่จัดการธัมมชโย  เพราะถือเป็นข้าราชการ

 ปริพาชก 2 คน อาจารย์กับลูกศิษย์  ก็ขัดแย้งกัน ลูกศิษย์ศรัทธาพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ไม่ศรัทธา ก็เลยว่าพระพุทธเจ้า ก็เถียงกันมาเรื่อยจนมาถึงที่พัก พระพุทธเจ้าก็มาตรัสสอนพระภิกษุ เรื่องของอาจารย์กับลูกศิษย์เถียงกัน  ว่าคนจะติหรือชมเราต้องชมอย่างนี้  ท่านก็ตรัสศีล จะชมเรา

   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคือง
หรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?
             ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

 พระพุทธเจ้าท่านให้กล่าวแก้ได้ เมื่อคนไม่ฆ่าสัตว์ยุงไม่ตบ เราก็พูดได้ว่าเราไม่ฆ่าสัตว์ แต่ระวังอย่าไปพูดมากจนเขาหมั่นไส้ให้ดูท่าทีและโอกาส

 พอจบพระสูตรท่านก็บอกว่านี่คือศีลของเธอประการหนึ่ง แล้วกล่าว จุลศีล มัชฌิมศีล

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน หลักวิธีการดูหนัง ดูละคร

 เล่นกัน ดูละคร การละเล่น ดูหนัง ถ้าเรามีวุฒิภาวะ ก็จะได้ประโยชน์ เรามีหลักในการดูหนังดูละครว่า

1 ทำให้เกิดอาริยญาณ

2 ทำการปฏิบัติคือ ต้องรู้ตัวเอง รู้บทบาทดี ว่าเป็นการแสดง กิเลสหนังทุกเรื่องคือเอาโลภโกรธหลง ที่เป็นเหตุนิทานปัจจัยมาสร้าง นิยายผูกเรื่องขึ้นทั้งสิ้นไม่มีอื่นเลย เขาแสดงลีลาโลกอย่างไร ราคะขนาดไหน โทสะขนาดไหน พยาบาทแรงอย่างไร แล้วเธอหลงใหล  ทำให้เกิดอาริยญาณ เข้าใจว่าเป็นเช่นใด จะได้รับโทษภัยอย่างไร จะมีลีลาสอนเรา แล้วเราก็อ่านจิต ปฏิบัติคืออ่านจิต ว่าจิตเราคล้อยตาม หรืออินตามขนาดไหน ราคะโทสะก็ขึ้น ดีไม่ดีทุบโทรทัศน์เลย โกรธขนาดนั้นก็มี ถ้าคุณไม่อินไปกับเขา เข้าใจ เกิดอาริยญาณ ทำการปฏิบัติ

3 อัดพลังกุศล อาจร้องไห้กับการอิน กับการร้องไห้ เพราะซาบซึ้งในความดีงาม ก็คนละอย่าง การจะซาบซึ้งกับกุศล ปฏิบัติลดละโกลุตระยิ่งน้ำตาไหลซาบซึ้ง อายบ้างไม่อายบ้าง ก็ไม่เสียหาย ดูหนังละคร  ให้เกิดประโยชน์ไม่ใช่ดูแล้วยิ่งเพิ่มราคะโทสะโมหะ

 คนเข้าใจจริงแล้วทำ ถ้าดูแล้วเลวก็อย่าไปทำ แต่ถ้าดูแล้วเกิดประโยชน์ก็ทำ อย่าไปหลอกตัวเองถ้าหลอกตัวเองก็ซวยเอง ต้องอ่านใจตัวเองออกถึงจะเจริญ ถามใจตัวเองออกแล้วหลอกตัวเองทั้งที่กิเลสตนเองขึ้นทุกที ก็ยังหลอกคนอื่นอีก อย่างนี้ซวยของคุณเองตัวใครตัวมัน

 หนังละครคือศิลปะ ถ้าหนังละครสื่อแล้วทำให้คนกิเลสลด มีกษัยเป็นสุนทรียศิลป์ ให้คนดูได้ไม่ได้ยั่วยุให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้น  มีศิลปะปรุงแต่งให้ชวนดูแต่ไม่เพิ่มกิเลสคือมงคลอันอุดม ผู้เป็นศิลปิน ก็ต้องสร้างศิลปะเช่นนี้ ศิลปะเดิมมี 5 แขนง แต่เดี๋ยวนี้แตกแขนงไปมากมาย แม้การชงเหล้าก็เรียกศิลปะ ก็เอาคำว่าศิลปะแต่เรียกเละเทะ

ศิลปะแท้มี 1 จิตรกรรม 2 ประติมากรรม 3 จิตรกรรม 4 สถาปัตยกรรม 5  วรรณกรรม การพูดการเขียนเป็นวรรณกรรม การร่ายรำก็เช่นกัน ถ้าทำแล้วให้ลดกิเลสไม่ยั่วยุให้เกิดกิเลส อย่างเล่นโขน กว่าจะฆ่ากัน จะแทงกัน มันไม่ได้ดุเดือด ไม่ให้เลือดท่วมจออย่างนั้นมันเลยเถิดไป แล้วย้อมใจให้คนอำมหิตโหดร้ายพยาบาท อย่างบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ อย่างหนังจีนอีก กิเลสมหาศาล รักกันก็ดุเดือด แก้แค้นก็แก้กันไม่รู้กี่รุ่น ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้น มันเป็นอนาจารไม่ควรทำเป็นข้าศึกแก่กุศล

 อย่างหนังเรื่องไททานิคก็เนียนทั้งการปรุงแต่งกิเลส ราคะโทสะ  อย่างหนังเรื่องโอชินเป็นศิลปะดังไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องแดจังกึม

 ในมัชฌิมศีลก็มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นนอกนั้นก็มีขนขวายในการพนันการละเล่นหรือมากใหญ่มากๆนั่งนอนในที่ใหญ่ที่สูงมีรูปสัตว์มีสัตว์ประดับตกแต่งทั้งแต่งตัวแต่งกายอะไรต่างๆนานา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน พูดแนวพุทธอย่างไร

 ข้อ 7 ติรัจฉานกถาคือ พูดแล้วขัดแย้งกับทางนิพพานพูดแล้วไปทางโลกีย์  พูดแล้วทำให้เกิดความโลภความโกรธอย่างธรรมกายเป็นเดรัจฉานกถาพันเปอร์เซ็นต์ ทำให้เกิดความโลภความอยากได้ความมักใหญ่หรูหราเต็มไปหมด

 ข้อ 8 กล่าวถ้อยคำแก่งแย่งถกเถียงกัน ตัวอย่างการพูด debate เป็นการพูดอย่างอริยะมีเหตุมีผล  เพื่อให้รู้ว่าอะไรจริงคนฟังก็จะได้เปรียบเทียบอันไหนเป็นธรรมะวาที อันไหนเป็นอธรรมวาที ใช้ปัญญาเป็นเครื่องตัดสินของแต่ละคนเท่าที่ตนมีปัญญาฉลาด คนทุกคนก็โง่เท่าที่ตนเองฉลาด  คำว่าแก่งแย่ง ไม่ใช่พูดกันอย่างพูดความผิดไม่ได้ แต่พูดได้ทั้งความผิด ความถูก อาตมาไม่เคยถือสาว่าใครจะว่าเราผิด เขาจะแสดงความอยากอย่างไรก็เรื่องของเขา ถ้าเขาจะเถียงเอาชนะก็แล้วแต่ แต่เราไม่เอาชนะเขา โดยเฉพาะจิตเรา ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเอาชนะ แต่แสดงความเห็นก็แสดงออกไป

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน รับใช้แบบอาบัติ หรือไม่อาบัติ

 ข้อ 9 ประกอบธุรกรรมและการรับใช้ อันนี้เข้าใจกันไม่ได้ อาบัติหรือไม่อาบัติ การไปติดต่อและมีค่าคอมมิชชั่น ก็คือฑูต  ได้เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่  แต่ถ้าขาย ยังรับลาภแลกลาภ เอาค่าจ้าง คือการรับใช้  ถ้าทำแล้วตีราคาค่าจ้างคือผู้รับใช้ ส่วนฑูตคือผู้ติดต่อและมีค่าคอมมิชชั่น ค่าตอบแทน  มีค่าสินน้ำใจ พวกกินตามน้ำนั่นเอง   ส่วนพวกซื้อขาย ยกตัวอย่างเช่นพวกเอาค่าเทศน์ ก็คือขายความรู้ ค่าแสดง หรือประโยคแบบทำอะไรก็แล้วแต่

 เว้นขาดการพูดหลอกลวงพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางพวก สมัยนี้จะไปเรียกสมณพราหมณ์อย่างไรก็เรียกพระ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เดรัจฉานวิชา

ส่วนมหาศีล กล่าวถึงเดรัจฉานวิชามีการทำนายทายทักดูฤกษ์ดูยามเป็นไสยศาสตร์ รักษาไข้ทำนายทุกอย่าง ทำนายฝันว่า ทำนายดิน ทำนายดาว ทำนายดวงอาหารขาดแคลน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม  ศาสนาเทวนิยมก็มีหมด โดยเฉพาะข้อที่ 7 มันชัดมากเลี้ยงชีพในทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบานทำพิธีแก้บนร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกระเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลับเป็นกระเทย ทำพิธีปลูกเรือนทำพิธีบวงสรวงรถน้ำมันหมดไม่มีนะบูชาไฟ สิญจนยัญ เขื่อนทดน้ำ ใช้น้ำเป็นสื่อ ปรุงยาสำรอกปรุงยาถ่าย ส่งยาแก้ปวดศีรษะปวดหู ปรุงยานัตถ์ ชำระแผล  อย่างนายแพทย์ที่มาบวชกับชาวอโศก ก็ต้องหยุดทำการรักษาเป็นแพทย์ แต่ทำการรักษา สมณะด้วยกันได้ เพราะเรามาบวชแล้วพึ่งแก่เจ็บตายกันได้ แต่ไม่ใช่จะไปรักษาทั่วไปได้ ดูแลพี่น้องกันพอสมควร แต่ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาเป็นนายแพทย์ พระภิกษุก็เจ็บป่วยก็ฉลาดกันบ้างก็ช่วยกันได้ดูแลกัน

 ถ้าจะชมโพธิรักษ์ก็คือโพธิรักษ์ไม่มีอย่างนี้นะจ๊ะ ถ้าจะชมภิกษุของชาวอโศกก็ชมเพราะไม่ทำที่ท่านว่าเป็นศีลของเธอประการหนึ่ง คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี้แหละ

 

มาทิฏฐิ 62 ขอสรุปไว้เช่นนี้

  ทิฏฐิ 62 [26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ (สงบคือกิเลสรถสงบ เพราะกิเลสตายจากจิต) เราเป็นโสดาบัน กิเลสอบายตาย เป็นสกิทาคามีกิเลสตายเพิ่มอีก ก็ยังมีองค์คุณอุเบกขา มีปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสรา  สัมผัสอยู่กับกิเลสสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนด้วยกิเลส แต่คุณเองก็ไม่หวั่นไหวไม่แปดเปื้อนกับกิเลสจิตก็สะอาดผ่องใสอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หนีไปไหนด้วยแต่อยู่กับโมบางทีลงกับนรกเลยลงไปนรกอเวจี แต่นรกทำอะไรท่านไม่ได้ไม่ซึมซับเข้ามาหาเจ็บเลย นี่คือ ปริสุทธา

 มุทุ  คือจิตเร็วไวไหวพริบเร็ว เป็นจิตหัวอ่อน  สามารถปรับให้ดีได้เร็วไว ดัดแปลงง่าย ดีขึ้นเรื่อยๆจึงสามารถทำการงานได้ดีขึ้น

กัมมัญญา  ทำงานได้ดีขึ้นประเสริฐขึ้นเหมาะควรยิ่งขึ้นมีสัปปุริสธรรมทำเพิ่มขึ้นมีมหาปเทสเพิ่มขึ้น มีกายกัมมัญญตา หรือ กายปาคุญญตา มีเวทนาสัญญาสังขาร ที่แคล่วคล่องว่องไวทำงานกับโลกได้ดีขึ้น

โลกุตรธรรมข้อแรกคือกายในกายก็ไม่รู้แล้วปฏิบัติก็จะไม่ถูก  ประณีต(ปณีตา) จะคาดคะเนเอาไม่ได้(อตักกาวจรา) ละเอียด(นิปปุณา) รู้ได้เฉพาะบัณฑิต(บัณฑิตเวทนียา) ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญา อันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?

 คือบัณฑิตด้วยกันจะรู้กัน เช่น โสดาบันจะรู้โสดาบันเป็นต้นแต่ไปบอกว่ามันรู้แล้วบอกกันไม่ได้ก็เลยเดา เจ้าตัวก็บอกว่าตนเองเป็นอรหันต์หรือเป็นอริยบุคคลไม่ได้ แต่มีหนังสือที่เขารวบรวมพระที่เป็นอรหันต์กันมากมาย นั่นคืออะไรกันเดาทั้งนั้น

 ก็ได้สาธยายมา จนครบเวลาแล้วก็พอสมควรแก่เวลาด้วยประการฉะนี้….เอวัง


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:07:53 )

581112

รายละเอียด

581112_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก ชาวพุทธ 3 แบบ

พ่อครูว่า...วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2558 เมื่อวานได้พูดถึงชาวพุทธ 3 ประเภท ก็จะขอย้ำต่อ

1 พุทธศาสนิกชน คือคนที่เกิดมา ก็ได้ชื่อว่าศาสนาพุทธ แต่เขาพาเป็นไปอย่างไรก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะศึกษาให้เข้าถึง เขาพาไปเป็นเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์ก็ไปหมด ไปตามประเพณีตามจารีตสังคมพาเป็นไป โดยเฉพาะสังคมทุกวันนี้เพี้ยนผิดไปเป็นเทวนิยม เป็นไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา สังคมส่วนใหญ่ไม่เอาสาระเรื่องศีล  แม้จะเป็นผู้ที่มีศีลขึ้นมาก็เป็นศีลที่มิจฉาทิฏฐิ  สรุปว่าพุทธศาสนิกชนคือผู้ที่สักแต่ว่าเป็นพุทธ

       2 พุทธมามกะ คือผู้สนใจจะไปศึกษาเนื้อหาของพุทธ เข้าไปศึกษากับครูบาอาจารย์ ไปขอเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ มีประเพณี มีรูปแบบ มีจารีต ขอเข้าถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ขอเข้าไปปฏิบัติศึกษา เพื่อจะได้บรรลุเป็นพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์กับเขาบ้าง นี่คือพุทธมามกะ ก็ใส่ใจ แต่ก็ยังเป็นพุทธมามกะที่ยังไม่สามารถบรรลุมรรคผล  ตั้งใจศึกษาพากเพียร ปฏิบัติจริงไม่ได้ปากพล่อยพล่อย แต่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่ได้มรรคผล

       3 พุทธบริษัท มี ลักษณะ ชื่อนักบวชชาย นักบวชหญิง อุบาสก อุบาสิกา  จะนับว่าเป็นพุทธบริษัทคือ ผู้ที่บรรลุธรรมบรรลุมรรคบรรลุผล 

นี่คือคำจำกัดความของคำว่า พุทธศาสนิกชนพุทธมามกะพุทธบริษัท

พุทธับริษัทต้องมีตั้งแต่โสดาปัตติมรรค

 

สังโยชน์ 3 นั้น ผู้พ้นสังโยชน์ 1 และ 2 ก็เข้าสู่โสดาปัตติมรรคแล้ว  รู้สภาพที่เป็นรูปนามคือสักกายะเป็นสภาพธรรมะสอง พ้นวิจิกิจฉา พ้นสังโยชน์ข้อที่ 2 และสามารถปฏิบัติ ที่เรียกว่ามรรคมีองค์ แต่ยังไม่เอาจริง ยังทำเล่นหัวกับกิเลส ยังเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบๆคลำๆเล่นหัว แต่ก็มีสัมมาทิฏฐิแล้ว อาจจะยังไม่สมบูรณ์ด้วยมรรค  ถ้าสมบูรณ์ก็จะปฏิบัติจนเกิดผล  เริ่มได้โสดาปัตติผลไปตามลำดับ  ลดได้ 1 หน่วยก็เป็นโสดาบันหนึ่งหน่วย

        แบ่งเป็นโสดาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ แบ่งการลดกิเลสเป็น 4 ส่วน

        ผู้ใดปฏิบัติได้มรรคผลของพุทธอยู่ในตนนั่นคือ ศาสนาพุทธยังมีอยู่ มาได้ 2600 ปี ก็เสื่อมไปเยอะ ที่ชัดเจนคืออาตมาเอาสัจจะมาเผยแพร่ก็ถูกสงฆ์หมู่ใหญ่ ค้านแย้ง  แม้เป็นสำนักที่ถือว่ายอดของศาสนาพุทธ ก็ยังไม่ชัดเจน ต้องขออภัยอย่างยิ่ง ที่จะพูดไม่ได้เป็นการยกตนข่มท่าน ฉลอง 45 ปีที่บวชมา ทำงานศาสนามา ก็ยังจะตั้งใจทำงานศาสนานี้ไปอีก ไม่ใช่อยู่เพื่อหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ประกาศตัวเองไปหมดแล้ว ก็ประกาศไปตามวาระสมควร

        จะอธิบายประเด็นหนึ่ง ถ้าเถรสมาคมเป็นฝ่ายถูก เพราะสิ่งที่อาตมาพูดนี้ไม่เหมือนกับ มหาเถรสมาคม  เช่นคำว่านิโรธ คำว่าสมาธิก็เข้าใจกันคนละอย่าง ไม่เหมือนกัน  ก็มีอยู่ 2 นัยยะ ถ้าท่านถูก อาตมาก็ผิด ถ้าท่านผิด อาตมาก็ต้องถูก นี่คือสัจจะ อาตมาก็ยืนยันว่าพูดสิ่งที่ถูก อย่างจริงใจอย่างที่มีภูมิเท่าไหร่ก็ออกมา ยังไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา ควบคุมให้อาตมาเป็น  อาตมาก็ทำของอาตมาเอง ประกาศตนว่าเป็นโพธิสัตว์ เอาของเก่ามาเผยแพร่ ชาตินี้ก็ไม่ได้เรียนมา ไม่ได้รู้มาก่อน ก็เป็นไส้เดือนกิ้งกือในชาตินี้  สำหรับพระไตรปิฎก ก็ได้รู้ทีหลัง

        45 ปีผ่านมาก็มีคนเข้าใจตามที่อาตมาพูด ทิ้งลาภยศสรรเสริญๆออกมาอยู่กับสังคมชาวอโศก เป็นลักษณะของธรรมะ ที่เข้าสู่สภาพวิมุติ มีนิพพานแท้  ก็ยังยืนหยัดยืนยัน ไม่ได้รู้สึกว่าเราก็ผิดอะไร  ยิ่งมั่นใจเพราะ

        1 ตรวจสอบกับพระไตรปิฎก  2 มีผู้ปฏิบัติได้จริง แม้มวลประชาชนในประเทศซึ่งทุกวันนี้ถูกมอมเมามาก ออกไปทางโลกีย์มาก บานปลายไปเรื่อย แต่ก็ยังมีคนมาทำได้ขนาดนี้ 45 ปีผ่านไปก็มีผลเป็นตัวตนบุคคลปรากฏได้มีบุคคลในปัจจุบันที่สามารถเข้าถึงความเป็นอรหันต์ มีอนาคามีก็ประกาศไปแล้ว ก็ไม่ได้ประกาศพร่ำเพรื่อ  อรหัตผลสิ้นอาสวะ ดูว่าตนเองหยาบกลางละเอียดอย่างไร ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ยังไม่ได้ดีใจเสียใจอย่างหยาบ อ่านอาการใจตนเองได้ รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นปัจจัยหมดเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้มหัศจรรย์

        กระแสหลักทั้งหมดที่เขาเรียนกันมา เป็นนักศึกษาพุทธศาสตร์  จนจบด็อกเตอร์เป็นเปรียญ 9 ที่เรียนกันถึงที่สุด  ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ก็ไม่เห็นมีใครออกมายืนยันเลย ต้องอ่านนามกายอ่านอรูปกายออกจึงจะปฏิบัติได้

กาย คือธรรมะ ธรรมกายนี้ ตั้งแต่สักกายะ รู้กายคตาสติ รู้กายสังขาร ต้องสัมผัสวิโมกข์ด้วยกาย  พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายคือจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง  และอีกสูตรหนึ่งคือ สำหรับผู้อวิชชา ตายไปแล้วก็ยังมีกาย

 ถ้าคุณมีปรโตโฆษะจะมีการรับฟัง เปิดใจรับฟังจะได้รับผลดี แต่คนที่ไม่เปิดใจรับฟังหรือรับฟังบ้างไม่รับฟังบ้าง ก็จะไม่เคยรู้ เกิดมาชาตินี้ เป็นชาติที่ต้องอุตสาหะพากเพียรแสดงธรรมออกไปให้ได้ผลได้  ให้คนเข้าใจได้ให้มาปฏิบัติให้บรรลุให้ได้  ทำมา 45 ปีก็เกิดสภาพที่ดีขึ้น มีอะไรยืนยันหลายอย่าง มีทั้งคนนอกที่เราไปสัมภาษณ์มา อย่างคุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ หรือ ส.ศิวรักษ์ เขาจะไปรับรองใครอย่างง่ายๆหรือ แต่เราก็ได้รับการรับรองจากท่านเหล่านั้น

แม้แต่ในสังคมก็ไม่มีการต่อต้านมาก แม้ว่าอาตมาจะพูดอย่างผ่าเปรี้ยง หรือผ่าแสกหน้าเลย  เขาก็ไม่มีเอฟเฟคอะไรที่ขัดแย้งค้านแย้ง ว่าที่พูดไปนี้ไม่ถูกต้อง ก็ไม่ค่อยมี

 การจะดูว่าเป็นผู้บรรลุวิมุตติอันนี้ ใครดูไม่ง่ายเลย ต้องดูตั้งแต่ศีล ทิฏฐิ ดูจิตที่แข็งแรง มั่นคง มีสมาธิ ยืนหยัดในทิศทางนี้ แล้วก็มีความรู้ว่า ปฏิบัติศีลให้ลดกิเลสในจิตอย่างไร เข้าใจองค์รวมของศีลสมาธิปัญญา แล้วมีวิมุตติหลุดพ้น มีการกำจัดกิเลสไปได้หลุดออกไปเรื่อย ตามฐานานุฐานะ ก็มีบุคคลที่เป็นไปได้จนอาตมาได้เวลาประกาศ แต่ก็ไม่ได้ประกาศอย่างฟั่นเฟือน ก็ต้องมั่นใจตัวเองไปเรื่อย เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จะเป็นสัจจะที่มั่นใจไปเรื่อย

 โลกุตระคือ ไม่ติด มีการปล่อยวาง ก็เห็นอย่างเป็นรูปธรรม ส่วนนามธรรมก็เห็นยาก แต่มันก็ต้องประกอบกัน ว่าทิ้งมาแล้วแต่ละคนก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรมาก แต่ก่อนนี้มีสละออกมากันเยอะแยะ แต่ก็สละออกหมดไปเรื่อยเรื่อยจนหมด  หลายคนรูปภายนอกเป็นโคตรภูบุคคล ทิ้งทรัพย์สินศฤงคารออกมา แม้แต่ญาติมิตรก็ทิ้งออกมา เป็นญาติปริวัตตังปหายะ โภคขันธาปหายะ มาถึง 20 ถึง 30 ปีบางคนก็ตายไปก็มีเยอะ สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานจริง เป็นเครื่องยืนยันชัดเจน ว่าเป็นของที่มีเหตุปัจจัยที่เอามายืนยันได้

บางสำนักมีคนมากกว่าสำนักเราอีก แต่ให้ดูว่าเป็นไปเพื่อความหมดตัวหมดตน หมดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขหรือไม่ ก็ต้องดูให้ละเอียดเทียบเคียงให้ชัดเจน นอกจากที่มันชัดมากที่สุด เมื่อเราหมดตัวหมดตนแล้วกลับเป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าสร้างสรรค์ให้แก่โลก  เราทำผลงาน หรือสมรรถนะของเราอยู่ตลอด เราไม่ได้งอมืองอเท้าไปนั่งสมาธิหลับตา เราทำกัมมันตะ ทำอาชีพ ทั้งกายวาจาใจพร้อมหมดทุกอย่างมีการงาน ดีไม่ดีบางเรื่องเขาก็หาว่าเราออกนอกทางแต่แท้จริง มันจำเป็นมากในยุคนี้ ซึ่งต่างกับยุคพระพุทธเจ้า

 ยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าออกไปห้ามพระญาติทัน ตอนแย่งน้ำกัน ก็มี 2 ฝ่าย กระบวนการเมืองเรื่องของประชาชน เรื่องของสาธารณะ เป็นการแย่งอำนาจ แย่งลาภยศสรรเสริญ เราก็ออกไปช่วย ผู้ที่พอรู้เท่าที่ไปสัมภาษณ์กันมา ก็เห็นว่าเราออกไป เขาก็เข้าใจเราไปทำให้เกิดความสงบ ให้เกิดความเรียบร้อย เสียสละ พวกเราช่วยกันคนละไม้คนละมือมันเป็นองค์รวมที่ปฏิบัติแล้ว แสดงให้เห็นว่าพวกเราไม่ได้ไปแย่งโลกธรรม แย่งตำแหน่งกับเขา มันชัดเจนมาก คนก็ปฏิเสธไม่ได้เท่าที่เราทำมา

 ยิ่งเห็นสัจจะความจริง ก็เอาสิ่งที่เกิดจริงเหล่านี้ มายืนยันให้คะแนน ก็เห็นความจริงที่ชัดเจน ก็เป็นโลกุตระธรรม ปรากฏยืนยัน

 ในความหมายของไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญาคือ อธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ปฏิบัติจะได้เป็นอริยบุคคลมีวิมุติก็ปรากฏขึ้น

 ความเป็นศีลคืออะไรเริ่มจากพระไตรปิฎกเล่ม 9 เล่ม 1 ของพระสูตร

ก็ที่ปริพาชกลูกศิษย์กับอาจารย์ ตามขบวนพระพุทธเจ้ามา ก็เถียงกัน คนหนึ่งชมคนหนึ่งติพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ฟังก็สอนภิกษุว่า เขาจะยกหรือจะติก็ให้ฟังเขา ว่าอันไหนถูกอันไหนไม่ถูก อันไหนตำหนิผิด ก็บอกให้เขารู้ว่า นี้ไม่มีในเราท่านก็ให้เปิดเผยให้บอกความจริงเอาไปพูด ท่านก็เปิดเผยตัวท่าน ถ้าตำหนิถูกก็จะยอมรับ แต่ถ้าจะชม ก็ต้องชมอย่างนี้เริ่มต้นว่า เป็นคนมีศีล

คำว่าศีลคือ หลักเกณฑ์ที่ท่านให้ไว้ว่า เขาฆ่าสัตว์ เขาหลักทรัพย์ เขาผิดผัวเขาเมียใครเรื่องราคะ เขาโกง เขาเสพสิ่งเสพติด ต่างๆมีอะไรบ้าง แต่ของพุทธมาบวชแล้วไม่ทำ นี่ก็คือศีลของเธอประการหนึ่ง ผู้มาบวชแล้วปฏิญาณตน เข้าสู่สภาวะเป็นสมณะเพศแล้ว ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ให้เว้นขาดใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือศีล แม้แต่ฆราวาสหรือภิกษุเริ่มต้นก็มาปฏิบัติศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ใครเคยทำเหมือนกัน ตะกละตะกลามทั้งหมดไม่ได้ ต้องรู้จักสัดส่วน เรียกว่าปริตตัง ให้เกิดอธิศีลอธิจิตอธิปัญญา

 แต่เดี๋ยวนี้เขาละเมิดจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลกัน เอาง่ายๆแค่เลี้ยงสัตว์ มีเงินมีทอง ในจุลศีลให้กินอาหารในที่นั่งแห่งเดียว แม้แต่ในพระวินัยก็ให้กินมื้อเดียว ให้ได้ที่นั่งแห่งเดียว แต่เดี๋ยวนี้มันเลอะเทอะไปหมดแล้ว

 อาตมาเอาคืนมาสู่ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงยากมาก ที่จะดึงมาสู่ความเป็นจริงเก่าให้ดึงมาสู่ในสภาพเดิมแน่นอนว่าจะไม่บริบูรณ์ง่ายๆ แต่ก็เป็นผลสำเร็จมาเรื่อย คำว่ามีศีลยกตัวอย่างเช่น ศีลข้อหนึ่งเราไม่ฆ่าสัตว์ แน่นอนกายกรรมเราไม่ฆ่า สองวจีกรรมเราไม่ไปพูดให้ฆ่าใคร  ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่สัตว์นั้นจะเป็นสัตว์ร้าย ก็ต้องไปฆ่า นอกจากว่าเป็นสัตว์ร้ายที่เป็นภัยต่อสังคมก็ไม่ไปฆ่า ใครจะฆ่าก็ฆ่าไปเป็นวิบากกรรมสุดวิสัย อย่างนี้เป็นต้น

 1 รูปธรรมทำจากภายนอกทางกาย ก็แสดงชัดเจน เข้าใจชัดเจนว่า ไม่ทำจะมีศีล ก็ต้องที่ใจไม่ไปฆ่าสัตว์ เป็นเมตตา เป็นคุณธรรม มีศีลคือมีเมตตา ไม่ทำร้ายศีลข้อ 1 ให้ละล้างโทสมูล ไม่มีจิตโหดร้าย มีแต่เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา

 ศีลข้อที่ 2 ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของๆเรา กายก็ไม่เอา วาจาก็ไม่เอา ใจก็ไม่เอา อย่างอาตมาได้รับเงินบริจาคมา ก็ไม่ได้คิดจะเอา แต่เขาศรัทธาให้มาทำงานศาสนา ก็เคยบอกแล้วว่าเงินบริจาคอาตมาจะไม่เอาไปใช้รักษาตัวเอง แม้ตัวเองจะต้องตายหรือไม่เอาไปซื้ออาหารแม้จะต้องหิวตายก็ไม่ซื้อ ไม่มีใครให้อาหารก็ตายไป แต่ไม่เอาเงินบริจาคมาใช้ในส่วนตน

 ผู้ที่มีศีลคือ จะต้องมีจิตที่บรรลุธรรม ไม่ใช่สอนแต่ว่า สิ่งนั้นปฏิบัติแค่กายกับวาจา  ก็ยังดีที่มีพระไตรปิฎกรองรับ ในกิมัตถิยสูตร  พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 ท่านตรัสไว้ชัดว่า

ศีลมีอานิสงส์ ให้เกิดจิต

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน

(กิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 24  ข้อ 1 208)

 

ปฏิบัติศีล จะเกิดสมาธิ และเป็นสมาธิแบบลืมตา เป็น supraconcentration ไม่ใช่ meditation  การนั่งสมาธิจะเกิดเจโตสมาธิ ไม่ใช่สัมมาสมาธิ  เจโตสมถะนั่งหลับตาแล้วไปอยู่ในภพอดีต อนาคต หรือไปสร้างปั้นมโนมัยอัตตาในอนาคต อดีตในภพ เป็นตักกีวิมังสี เป็น meditation ไม่ใช่ concentration

 ของพุทธเป็น supraconcentration   ซึ่งไม่concentration ที่คนทั่วไปมี แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น supraconcentration  ที่เหนือกว่าปกติธรรมดา

 แบบฤาษีนั่งหลับตาเป็น normal สมาธิ แต่ของพระพุทธเจ้า เป็น supraconcentration  เป็นสัมมาสมาธิ ตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร แต่เขาไม่เห็นเอามาพูดกัน ท่านเร่ิมสอนสัมมาทิฏฐิตั้งแต่มรรคองค์8 ข้อแรกคือ สัมมาทิฏฐิ แล้วสั่งสม ขัดเกลากิเลสเป็น อธิจิตอธิปัญญาเป็นวิมุติ  ที่พูดนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นทรัพยสิทธิ หรือมักขะมายาสาไถยยติอย่างใด

 ผู้จะเข้าใจศีลสมาธิปัญญาและเกิดวิมุติญาณทัสนะ ถ้าเข้าใจไม่สมาธิแล้ว ก็ปฏิบัติไม่เกิดสัจจะ ไม่เกิดสมาธิ

 จะเกิดสมาธิต้องอ่านอาการจิตออก ที่เป็นองค์ประกอบของธรรมะ 2 เป็นรูปเป็นนาม แล้วรูปกับนามจะไขว้กันไปกันมา ต้องเข้าใจให้ดีจึงไม่สับสน  ซึ่งมันไม่ง่ายนักพระพุทธเจ้าว่าธรรมะของเรานั้น….

 1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.    ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.    ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.    นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.    ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)  

(พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 34)

 

เมื่อคนปฏิบัติศีล

 ศีลข้อ 1 คือโทสะ ศีลข้อ 2 คือโลภะ ศีลข้อ 3 คือราคะ ให้ลดละ คือพฤติกรรมการกระทำทุกอย่างก็มีมิจฉา ปาณาติบาต อาทินาทานกาเมสุมิจฉาจาร  ในมหาจัตตารีสกสกัดสูตรให้กำจัดสังกัปปะ 3 คือกาม พยาบาท วิหิงสา

ส่วนวจีก็มี 4 คือพูดปด พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ

มิจฉากัมมันตะ 3

มิจฉาอาชีวะ 5 ซึ่งเป็นความสำคัญ ยิ่งผู้ที่ถือศีล 5 มิจฉาชีพ ที่ต้องทิ้งให้ได้ คือ กุหนา ลปนา  ขั้นหยาบต้องทิ้ง กุหนาคือโกง ลปนาคือหลอกลวง คือคำพูด 

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนามีในงานการเมือง

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตายังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พระไตรปิฎก เล่ม 14   ข้อ 275   มหาจัตตารีสกสูตร)

 

การเสพติดในระดับอบาย ต้องเลิกก่อนถ้าไม่เข้าใจลักษณะของคำว่า อบายเช่น โกงกันหยาบๆใหญ่ๆ ก็ร้ายแรงแล้ว เป็นการติดลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างหยาบกร้าน อัตตาหยาบหยาบ สรรเสริญ ยศหยาบ ที่จะต้องไปใช้เงินสินบนซื้อ ก็เป็นความเลวร้ายที่ต้องเลิก การทุจริตไม่ซื่อสัตย์ ก็ต้องเลิกก็ต้องเลิกให้เป็นลำดับลำดับไป รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่พอสมควรก็ยังต้องเอาไว้ในฐานนี้ แต่ส่วนที่เป็นสิ่งร้ายแรง ก็ต้องเลิก

 ชั้นยศตำแหน่ง คนเก่งมาก เขาก็ยกให้ทำมากขึ้น ดูแลอะไรมากขึ้น ทำมากเขาก็ขึ้นราคาให้ เป็นสินบนรายได้ตามจริง แต่จริงแล้วยศคือ คุณต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทำงานหนักมากขึ้น ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะได้เงินมากขึ้น ได้รับการเคารพมากขึ้น อันนั้นมันผิดเพี้ยนไปแล้ว แล้วก็เป็นอาวุธ ที่จะซ้อนในการได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญเพิ่มขึ้น จะได้เสพกามเสพอัตตาเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้ตนเองอยากมากขึ้น ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอัตตา แรงจัดยิ่งหนามากขึ้นไปใหญ่ มันไม่ใช่ มันต้องลดละจางคลาย

 ศาสนาพุทธทุกวันนี้กลายเป็นพระมหาศาลหมดแล้ว เหมือนยุคที่มันเสื่อม มีแต่พราหมณ์มหาศาล พระพุทธเจ้า ท่านตอกหน้าหมดเลย พราหมณ์มหาศาลสำนักไหนก็ต้องถูกตอกหน้า เพราะท่านมากอบกู้ แล้วให้เป็นพุทธ  ทุกวันนี้ พระมหาศาลกับพราหมณ์มหาศาลอันเดียวกัน

ศีล ทำให้เกิดไฟปัญญา ไฟฌาน ทำให้ลดราคะโทสะโมหะ ที่เป็นไฟ ไฟคืออุณหธาตุ แต่พลังปัญญาสามารถละลายโทสะราคะโมหะได้ ฌานแปลว่าไฟพิเศษ

_มีพุทธพจน์ที่ว่าฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน กับพุทธพจน์ที่ว่าปัญญาย่อมยังศีลให้บริบูรณ์ ศีลย่อมยังปัญญาให้บริบูรณ์ ถามว่า พุทธพจน์ไหนทำให้เข้าใจคำว่าปัญญาได้มากกว่ากัน

ก็มาวิเคราะห์ 2 ประโยคนี้ก่อน ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน   ปัญญาเป็นการรู้ครบสภาพทั้งนอกและใน  ส่วนสัญญาคือการกำหนดจะรู้ภายใน รู้รูปภพ อรูปภพ ส่วนปัญญาจะรู้จากนอกไปในหมด สัญญาเดินทางจากในมาหานอก ปัญญาจะต้องมีรูปมีนาม มีมหาภูตรูป 4 ประกอบด้วย มีปสาทรูป โคจรรูป ทำงานจึงเกิดส่ิงปรากฎเรียกว่าภาวรูป เกิดภาวะที่ 3 สัมผัส 3 เป็นภาวะให้เรียนรู้

เร่ิมต้นจะเป็นลักษณะอิตถีเพศ คือยังไม่สงบ เป็นหนึ่งลงไปเป็นเอกขึ้นมา เป็นปุงลิงค์ จึงจะสมบูรณ์ ยิ่งเป็น นปุงสกลิงค์ก็ยิ่งเป็นตัวสมบูรณ์ แต่ตัวงานคือปุงลิงค์ มี 0 กับ 1 ต้องมีธรรมะสอง ศาสนาพุทธต้องมีการงาน

ผู้เข้าใจ  ผู้มีฌานคือ ผู้ที่ทำให้กิเลสลดลงแล้ว ปัญญาต้องรู้ว่านี่คือ สิ่งที่ถูกทำให้ลดแล้ว นั่นคือสารละลายกิเลส ปัญญาที่รู้ตามไปนั่นแหละ เห็นไปด้วยกันนั่นแหละ อนุปัสสี ฌานโตปัสโต ไปเรื่อยๆ ฌานโตปัสสโต วิหารติ   สำเร็จอิริยาบถอยู่ ในปัจจุบันนั้นเชียว

 สัมผัสทางทวารนอก ยังมีการเห็น(ปัสสะ) การได้ยิน(สุตะ) และได้รสได้กลิ่น(มุตะสรุปแล้วฉันต้องมีปัญญารับรู้อะไร จะไปบอกว่าอุเบกขาคือ ไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่ แต่จะต้องยิ่งรับรู้ครบทั้งนอกทั้งใน อุเบกขาในฌานของพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์ไม่สุขแล้ว แต่บัดนี้ เปลี่ยนไปเป็นฌานฤาษีหมดแล้ว

ที่อยู่ได้นี้เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เพราะแม้มาในปางนี้ ไม่ต้องมีอะไรช่วยมากนัก ต้องใช้ธรรมะพิสูจน์ตัวเอง สรุปแล้ว ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

แต่ถ้าเฉกาคือ ความฉลาด แบบแกมโกง ซึ่งคนจะไม่ค่อยเอาคำว่าฉลาดนี้มาเรียกเพราะว่ามันไม่ดี ความฉลาดที่แท้จริงคือ ต้องฉลาดรู้เท่าทันในอายตนะ 6

ปัญญาย่อมยังศีลให้บริบูรณ์ ศีลย่อมยังปัญญาให้บริบูรณ์  เหมือนล้างมือด้วยมือหลังเท้าด้วยเท้า ปัญญากับศีล ถึงเกื้อกูลกันตลอด ศีลคือแม่ปัญญาคือพ่อ ร่วมกันช่วยสร้างลูกทางจิตวิญญาณ  ทำให้จิตวิญญาณสัตว์ลดลงกลาย เป็นจิตวิญญาณอาริยะ

 การปฏิบัติสัตตาวาส 9 ต้องปฏิบัติขณะมีวิญญาณฐีติ 7 ต้องมีองค์ประกอบนอกครบทุกทวาร และมีอายตนะ2

อสัญญีสัตตายตนะ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สองอันสุดท้ายคือ อายตนะ 2 คือเกื้อกูลกันในสัตว์ตัวสุดท้าย เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ส่วนอสัญญีสัตตายตนะ คือภาษาว่าสัตว์ แต่แท้จริงคือ ธาตุรู้ที่จะต้องรู้สัตว์ตัวสุดท้าย คือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เป็นตัวสุดท้ายในสัตตาวาส 9 ต้องกำจัดให้หมดไปให้ได้ ต้องใช้สัญญากำหนดรู้ จนจบกิจ สัตว์ตายเกลี้ยงไม่ต้องทำอีก ก็ไม่ต้องใช้สัญญานี้กำหนดอีก เป็นอสัญญีสัตตายตนะ ไม่ใช่สัตว์แต่เป็นเป็นพรหมกาย หรือธรรมกายแล้ว เป็นผู้สะอาดหมด จนเป็นอรหัตตผล ไม่ต้องปฏิบัติอีก เป็นอสัญญีสัตตายตนะ เป็นจิตวิญญาณพระเจ้าสะอาดสูงสุด พอพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนภพ หรือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน หรือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ หมดภพหมดชาติ ก็มีสัญญา เป็นสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ สัญญาเคล้าเคลียอารมณ์ ในเวทนา 108 ทำสั่งสมสูญทุกปัจจุบัน สั่งสมเป็นอดีต แม้อะไรมากกระทบ จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ไม่มีอะไรด่างพร้อย เป็นศูนย์ไปหมด มาเมื่อไหร่ก็เป็นศูนย์ เมื่อเจอกับเราก็สูญหมดไม่มีทางสู้ มันยิ่งใหญ่  เพราะมีสติเป็นอธิปไตย มีปัญญาเป็นอุตตระ

มีสติคือ ธาตุรู้ทุกปัจจุบัน เป็นอธิปไตยคือ sovereignty power มีโลกวิทูรู้โลก เป็น authority ที่เป็น supra authority ปัญญากับศีลจึงช่วยกันทำให้จิตสะอาดหมดจด

ถามว่าพุทธพจน์ไหนเข้าใจง่ายกว่ากัน ก็ต้องปฏิบัติตามลำดับ  ผู้ใดปฏิบัติธรรม ศีลกับปัญญาก็ช่วยกัน ให้เกิดผล เป็นฌาน เป็นวิมุตติ ถามว่าอันไหนเข้าใจง่ายกว่ากัน ก็ต้องเริ่มมีศีล แล้วมีปัญญา แล้วฌานจึงเกิดตามมา  ฌานเป็นฐานจิต ศีลเป็นองค์ประกอบต้นองค์รวมทั้งหมด แล้วจะเกิดจิตที่เรียกว่าฌาน เรียกกว่าสมาธิ สะอาดขึ้นเรื่อยๆ

 ในมหาสีหนาทสูตร พระพุทธเจ้ายกตัวเอง ก็เราผู้เดียวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยปัญญาอันประเสริฐนั้นคือ อธิปัญญา  ศีลกับปัญญาทำงานทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา

ปฏิบัติศีล ก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วเกิดปัญญา ไม่ได้แยกกันสักอย่าง แต่คนก็ไปบอกว่า ถ้าจะศีลเคร่งก็ต้องไปสำนักอโศก ถ้าสมาธิเก่งก็ต้องยกให้ธรรมกาย ถ้าปัญญาก็ต้องยกให้สวนโมกข์ นั่นก็มองเผินๆ  ธรรมกาย มีวิธีการสะกดจิตให้นั่งหลับตา แล้วก็พูดสะกดจิตยิ่งกว่ารัสปูติน ไม่ได้ศึกษาเรียนรู้จิต

 แล้วช่วงที่ใช้วิเคราะห์ ใช้ปัญญา หาเหตุผล ท่านพุทธทาสก็ดูเหมือนว่า จะใช่ผู้ที่มองดูเผินๆ ส่วนพวกเราดูเคร่งศีล เขาก็หารู้ไม่ว่าเรามีศีลสมาธิปัญญาปัญญาวิมุตติวิมุตติญาณทัศนะครบหมดเลย เราจะมาพูดหมดในกถาวัตถุ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ แล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัศนะ ปฏิบัติไม่ได้แยกส่วนกันเลย

 

ในรูป 28 มีมหาภูตรูป 4 อยู่เป็นรูปภายนอก

เร่ิมตั้งแต่ ปสาทรูป โคจรรูป เป็นรูปนาม ปสาทรูปไปรับรู้ส่ิงที่โคจรมา รู้ร่วมปฏิกิริยา เกิดผัสสะ 3 จะต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยตามพระไตรปิฎก เล่ม10 เว้นผัสสะเสียไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ ต้องมีที่ตั้งแห่งฐานของการปฏิบัติคือ ผัสสะ ถ้าเว้นเวทนา ก็ไม่มีปัจจัย 

ในปฏิจจสมุปบาท มีเวทนา 6(จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย มโน) ตัณหา 6(รูปตัณหา สัททตัณหา นธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา) มีอุปาทาน 4(กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน) มีชาติ5(ชาติ สัญชาติ  โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

อาตมาต้องทำงานไปอีกนาน จนกว่าพวกเราจะมีอรหันต์ที่มีปฏิสัมภิทาญาณ มาช่วยแนะนำมาทำงาน  เราไม่ได้ประกอบด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แล้วพวกเราไม่เอาด้วย ก็จะได้ตามบารมี ลาภตามบารมี ยศตามบาร มีอำนาจก็ตามบารมี  ผู้ที่มีอำนาจแต่ไม่ใช้อำนาจ จึงเป็นธรรมาธิปไตยอย่างในหลวงเรา

 พวกเราสร้างบ้านแปลงเมืองสร้างหมู่กลุ่ม  สร้างฐานอาชีพฐานดำเนินชีวิตด้วยสาธารณโภคี มักน้อยสันโดษ ทางเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ทั้งแบบคนจน จึงก่อร่างสร้างตัวยากมาก ไม่มีเวลาพัก ต้องทำไปพร้อมกันหมด แล้วก็ต้องพยายามทำให้ ต้องช่วยเหลือโลกด้วย ต้องช่วยสังคมด้วย ตัวเองก่อสร้างฐานตัวเองไปจากศูนย์ แล้วมีคนจะทำลายฐานศูนย์อีกด้วย ศูนย์ที่เรานี้ตั้งยากมาก

 เพราะฉะนั้นเฮือนศูนย์สูญเรานี่ เราต้องเอาให้ศูนย์สูญ  ถึงเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ มีรัศมีมีพลังงาน เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่มาก ที่วิเศษมหัศจรรย์ ไม่ไปทำอะไรเลย นอกจากช่วยเหลือเกื้อกูล เพื่อ เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา เป็นพลัง แห่งพรหม แห่งพระเจ้า ทำมา 45 ปี ก็มีรูปธรรมให้เห็นบ้าง

 อย่างบ้านราชเมืองเรือ ก็สร้างบ้านแปลงเมืองจากศูนย์ ตอนนี้ถือว่าปฐมอโศกตั้งหลักได้ดี สันติอโศกก็ไม่เกิดหนี้ เป็นแหล่งกลางให้คนมารวมกัน  ปฐมอโศกเป็นตัวหลักให้ได้เป็นกอบเป็นกำ  เขายังบอกเลยว่าถ้าได้เงินคงคลัง 20 ล้าน เกินกว่านั้นจะหักให้อาตมา  เขาพูดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงสักที กำลังสร้างบ้านแปลงเมืองด้วย แล้วอาตมาก็จะไปหนักเขาก็ให้มาเรื่อยๆ แม้แต่บุญนิยมทีวี ก็ต้องไปขอทางพี่ เพราะพ่อไม่ไหว เป็นสาธารณโภคีที่ใช้ร่วมกันหมด ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสิน ไม่ต้องคิดดอก ไม่ต้องพบกับสิ่งเหล่านี้ เป็นระบบที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เศรษฐศาสตร์ก็ยิ่งใหญ่ รัฐศาสตร์ก็ยิ่งใหญ่ สังคมศาสตร์ก็ยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้า

 ถึงบอกว่าจะต้องพยายามอยู่ให้นานที่สุด เพื่อจัดสร้างรูปธรรม ตั้งสัจจะพิสูจน์ให้เห็น อาตมาเห็นใจรัฐบาล ที่กำลังสร้างกำลังปฏิรูป อาตมาก็ทำอยู่ก่อนแล้ว พยายามอยู่แล้ว

 อาตมาตั้งโรงเรียนสอนเด็ก สอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่ประถมจนถึงม. 6 ตอนนี้ก็จะเป็นอุดมศึกษาก็ยังไม่ได้ ก็ได้ปวส.แล้ว ก็คือสร้างเด็กให้การศึกษาแก่เด็กโดยไม่ได้มาตั้งโรงเรียนเพื่อให้ได้เงินได้ทองเหมือนโรงเรียนเอกชนต่างๆ มีแต่พวกเราสร้างสาธารณประโยชน์ที่ช่วยเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน สร้างเยาวชนเหล่านี้ให้แก่สังคม ให้ความรู้ตามหลักเกณฑ์กระทรวงศึกษาธิการ แล้วเราก็แถมอีกเพราะเห็นว่าการศึกษามันล้มเหลว มันขาดคุณธรรม มันขาดการกระทำจริง จึงมีลักษณะ ศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา

 เด็กมาเรียนกับเรา ก็ทนไม่ค่อยไหว ม.1 เริ่มก็มา 30 ถึง 40 คน พอถึง ม.6 เหลือประมาณ 10 กว่าคน ทนไม่ไหวลาออกกลางคัน หรือ ถูกไล่ออก เพราะมาทำให้แปดเปื้อนกับหมู่ ก็จำเป็น เพราะเราเองตั้งใจสร้างให้เป็นคุณภาพที่ดี คนที่คุณภาพไม่ได้ เราก็ให้ออกไปแล้วเด็กออกจากเราไป ไปเรียนในโรงเรียนอื่นกลายเป็นตัวอย่างของโรงเรียนอื่น นี่เป็นหลักฐานยืนยันว่าให้ออกจากโรงเรียนของเราไป เราก็ไม่ได้ให้ใบรับรองอย่างร้ายแรง ก็ให้ไปอย่างธรรมดา เขาก็กลายเป็นผู้นำกลายเป็นหัวหน้า เป็นคนดีได้เยอะ ที่ออกจากพวกเราไป เพราะเขาทนไม่ได้ ก็พอได้พื้นฐานจากเราไปด้วย ทุกอย่างมาแต่เหตุทั้งหมด

 ที่ทำโรงเรียนนี้ได้ช่วยรัฐบาล เป็นหน้าที่ให้การศึกษาเหมือนกับรัฐบาล อยู่เหมือนลูกเหมือนหลาน พ่อแม่ไม่ต้องเอาเงินมาให้ แต่ใครอยากจะมาช่วยก็เรื่องของเขา ก็เริ่มมาได้ 40 ปี เราไม่ได้พูดเอาดีเอาเด่น พูดแล้วเหมือนคนอยากอวดอ้าง ใครจะมองก็แล้วแต่ ว่าอวดตัวอวดตน แต่เราก็รายงานความจริงคนเขาโฆษณาตัวเองตลอดวันตลอดคืน เขาจะว่าเราตั้งทีวีเพื่อโฆษณาสำนัก เขาจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด เราก็มีเจตนาให้เขารู้ว่า เรามีคนที่มีพฤติกรรมสังคมอย่างนี้ ตามแบบพระพุทธเจ้าด้วย ที่เราเข้าใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิแบบนี้ แล้วนำเสนอออกสังคม ไม่ได้หาเงินหาทองโฆษณาตัวเอง  เราไม่มีเจตนาจะเอาไป proprogunda ตัวเอง  เราไม่มีโฆษณา ไม่เรี่ยไรจากคนภายนอก แต่เราใช้เงินจากขยะวิทยา เป็นการพึ่งตัวเอง เอาเลือดของเราเองเป็น  อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องปลูกผักกินเอง

ถ้าไม่ใช่พุทธบริษัทก็ยังไม่ใช่สาวะกะสังโฆ ยังอยู่นอกเขตเทศบาลพุทธ มีแวะเวียนมา ออกบ้างเข้าบ้าง

นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเล่นแต่เป็นเรื่องสัจจะยิ่งใหญ่ในโลก เป็นโลกุตรธรรม เป็นอารยธรรม ทุกวันนี้ก็พูดได้อย่างน่าภาคภูมิ อย่างมีคุณวิเศษที่แท้จริงไม่ล้าสมัย ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เคยล้าสมัย ไม่ว่ายุคใดใดไม่นำสมัยล้ำสมัย เรียกว่าเก่าสมัย แต่ใหม่เสมอ

 ผู้ที่ทำตนได้ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะได้ โดยหลักที่ท่านเรียบเรียงไว้ในกถาวัตถุ 10  คือปฏิบัติไตรสิกขา แล้วจะเกิดวิมุติ เกิดวิชชา เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ โดยการทำให้เกิดตามหลัก 5 อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ

วิริยารัมภะ คือขยันเสมอ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่ทำงานกับสังคมด้วยตัวเอง มักน้อยหรือกล้าจน ในหลวงให้เอาแบบคนจน พวกเราซาบซึ้งก็เลยไปตั้งนามสกุลว่า มุ่งมาจน_ตั้งใจจน_เต็มใจจน_กล้าจน_จนทุกชาติ_ พร้อมจน

 ในหลวงตรัสออกมาถึงเกณฑ์ของโลกุตระ เรียกว่าอาตมาจะมาคนเดียวก็มีในหลวงที่เป็นโพธิสัตว์อยู่ แม้แต่ท่านพุทธอิสระก็ประกาศตนเป็นโพธิสัตว์

 ความกล้าจน อัปปิฉะก็คือ ความมักน้อย มีความสันโดษ ใจพอ มีลักษณะการพอเช่น คนกินอิ่มแล้ว คุณก็พอ อะไรอร่อยมาอีกก็ไม่เอา  ใจอยากเห็นแต่ท้องอิ่มแล้วก็ไม่เอา แต่ใจเรามันพอ ต้องหัดปฏิบัติตั้งแต่เลิกกินจุบจิบ ตั้งหลักให้กินข้าว 3 มื้อรับรองไม่ตายสุขภาพไม่เสียในที่นั่ง 3 ที่แล้ว ให้เลิก อย่างแม่ครัว บ้านไหนมีคนมากหน่อย ต้องไปตลาดซื้อกับข้าวมาทำ ทำเสร็จแล้วไปตั้งโต๊ะ กินเสร็จกินเสร็จก็เก็บสำรับแล้วก็ล้าง แล้วก็ไปนอนพักกลางวัน ตอนกลางวันก็ต้องไปตลาด ทำอีกตอนเย็น ก็ต้องไปตลาด ทำอีกตกลงทั้งวันนี้ เอาแต่ไปตลาดทำอาหารตั้งโต๊ะกินเสร็จแล้วไปล้างไปตลาด ทั้ง 3 มื้อ

 ต้องมาแบบคนจนและก็พอ ผู้ที่จนได้เพราะพอได้ก็เรียกว่าปวิเวก คือสงบจิต ก็เป็นจิตสงบ คุณไม่ต้องเอามากกว่านี้แล้ว ก็ไม่มีอสังสัคคะ ไม่ต้องมีสวรรค์โลกีย์ที่จะต้องได้อีก ได้ยศก็ดีใจ ได้สรรเสริญก็ดีใจ ได้กามคุณก็ดีใจ ได้ลาภก็ดีใจ ได้สุขก็ดีใจ ได้อัตตาก็ดีใจ คุณก็ไม่ต้องแล้วก็ไม่มีสวรรค์เป็นอสังสัคคะ เขาก็ไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่ อาตมาก็แปลว่าไม่คลุกคลีด้วยกิเลส

...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:08:46 )

581114

รายละเอียด

581114_เทศน์ก่อนฉันวังน้ำเขียว งานตามรอยพ่อ

พ่อครูว่า วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ 14 พ.ย. 2558 ตอนนี้อยู่ที่ชุมชนวังน้ำเขียวได้รับให้เป็นอนุมัติให้เป็นอาวาสสถานอีกที่หนึ่งของชาวอโศกขึ้นมาก็ได้ฤกษ์ยามพอดีที่นี่ก็จัดเตรียมพร้อม นัดกันรวมพลจัดงาน เพื่อให้สังคมตื่นตัว ด้วยระบบบุญนิยม

 

บุญนิยม เป็นคำที่ตรงกันข้ามกับคำว่าทุนนิยม  คำว่าตอนนี้ทุกคนคงเข้าใจแล้ว ทุนนิยมนี้สะสมเงินสะสมอำนาจ มีพลังของเงินพลังของอำนาจทางวัตถุ หรือนักธุรกิจเขาก็มีท่าที ตั้งแต่สมัยโบราณ พวกนักธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าของเงินกับกำลังอำนาจของสังคม อำนาจมีดอำนาจปืนแต่ก่อนใช้หอกใช้มีด ต่อมาก็ใช้ปืนอำนาจทางเขี้ยวเล็บอาวุธทาง force ต่างคนต่างก็ระมัดระวังตัวคืออำนาจทางทหารกับอำนาจทางพ่อค้า หรืออำนาจเงินกับอำนาจของปืน ต่างแสดงท่าทีแยกกันอยู่ ต่อมาต่อมาก็ใกล้ชิดกันขึ้นตั้งแต่ใต้ดินจนถึงบนดิน อำนาจของปืนกับอำนาจของเงินจับมือกันกอดคอกันอำนาจก็เลยรุ่งเรือง นี่คือสังคมมนุษยชาติ

แต่ก่อนอำนาจเงินกับอำนาจปืนก็ยังไม่รวมกันเต็มที่ยังมีความละอายอยู่ใต้ดินส่งเสริมกันใต้ดิน  เขาก็พยายามจะสร้างอำนาจให้สังคมโลกเจริญรุ่งเรืองด้วยเจตนา แต่อำนาจปืนกับอำนาจเงินเป็นอำนาจฝั่งเดียวไม่มีวิญญาณ

 พระพุทธเจ้าตรัสรู้โลกกับอัตตา  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่รู้จักอัตตาอย่างสมบูรณ์ หรือเรียกว่าอาตมันใหญ่ก็คือปรมาตมันคืออำนาจพระเจ้า ควบคุมโลกกำหนดโลก ทำหน้าที่ควบคุมโรคคืออำนาจจิตวิญญาณ พระวัตถุจะควบคุมโรคไม่ได้ วัตถุไม่มีชีวะไม่มีจิตวิญญาณ

มโนบุพพัง คมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา   เขาก็หลงปัญญาโลกีย์แต่ปัญญาของพระพุทธเจ้านั้นมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลคนไม่แอบแฝงด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งคืออำนาจอเทวนิยมที่ต่างกับอำนาจเทวนิยม

 เทวนิยมไม่รู้จักความเป็นเทวดา 3 คือสมมติเทพอุบัติเหตุและวิสุทธิเทพ   ศาสนาพระพุทธเจ้าเรียนรู้รูปและนามเรียนรู้ โลกและอัตตาเป็นธรรมะ 2   นามคือธาตุรู้ของจิตวิญญาณส่วนรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็มาทำงานร่วมกัน เป็นธรรมะสภาวะ 2 เทฺวธัมมา โลกทั้งโลก หลงใหลวัตถุเช่นการเมืองก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียว  ยังอเมริกาก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียวก็ย่ำแย่แล้ว ส่วนคอมมิวนิสต์ก็เป็นวัตถุนิยม ก็ไปไม่รอด  ประเทศสุดท้ายที่เป็นคอมมิวนิสต์ใหญ่ก็คือจีนตอนนี้ก็แพ้มวลของโลกที่ใช้ประชาธิปไตยมีคุณธรรม แค่นั้นก็ชนะคอมมิวนิสต์แล้ว  แม้ตอนนี้คอมมิวนิสต์ยังรัสเซีย หรืออื่น ก็ยังไม่ยอมรับว่าตนเองถูกแปรรูปไปเป็นสังคมนิยมเป็นอื่นไปหมดแล้ว ทุกวันนี้จีนหรือรัสเซียก็แปรรูปไปหมดแล้วยอมให้กับประชานิยมหมดแล้ว  ประชานิยมเป็นศัพท์แสลงเสียไปหมดแล้วเป็นการหาเสียงถูกจัดตั้งไปหมดแล้วไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้เกิดจากจิตวิญญาณอิสระเสรีจิตวิญญาณที่ยอมรับนับถือยกให้ศรัทธาเลื่อมใสด้วยใจจริงไม่ต้องหาเสียงไม่ต้องใช้เล่ห์กล แต่ใช้ประชาธิปไตยเต็มที่

ในโลกขณะนี้อาตมากล้าพูด ผู้นำที่เด่นชัดเรื่องประชาธิปไตยคือในหลวงของเรา ในโลกนี้ท่านเป็นนักประชาธิปไตยที่ทรงงานด้วยทศพิธราชธรรมมาตลอดพระชนม์ชีพจนถึงวันนี้ แม้เจ้าของประชาธิปไตยต้นแบบคืออังกฤษพระราชินีอังกฤษ ถึงกับอุทานว่าชีวิตนี้ไม่นึกว่าจะพบคิงออฟคิง หมายความว่าจริงแท้เป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศของโลก ซึ่งเป็นผู้ใช้ทศพิธราชธรรมที่สวยงาม ประเทศไทยจึงเป็นแบบอย่างของจิตวิญญาณดีงามและที่สุดของอำนาจอำนาจทางโลกจะเรียกว่า force หรือauthority หรือ sovereignty  เป็นอำนาจทหารก็จบแล้วประเทศไทยก็ใช้ ใช้อำนาจทางทหารปฏิวัติได้สวยงามที่สุด “ผมขอยึดอำนาจ” ประเทศอื่นเลียนแบบยาก  อาตมากล้าพูดว่านายกตู่ก็คงจะตกใจว่ากลับไปบ้านเราเป็นหัวหน้าปฏิวัติแล้ว ต้องเป็นหัวหน้าคสช.แล้วได้เป็นนายกฯรัฐมนตรีอีก ต้องมีโรดแมพให้ประเทศแล้ว

ตอนนี้กำลังเทศน์ธรรมะกับการเมือง ธรรมะกับการเมืองคืออันเดียวกัน ใครไปหลงแยกกันคือความผิดพลาด ไปตรวจประวัติศาสตร์เลย พวกที่แยกคือพวกที่กันธรรมะออกจากกัน ตัวเขาจะได้เบ่งอำนาจทำตามใจตนเองที่ไม่ซื่อสัตย์มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน ถ้าธรรมะมาปนอยู่เขาทำไม่สะดวกจึงเกิดเหตุการณ์ที่ดันธรรมะออกจากการเมือง ผู้ใดมีความคิดแยกธรรมะออกจากการเมืองคือจิตซาตาน ตัวแท้ แม้แต่ตะวันตกเทวนิยมเขาก็ทำขึ้นมา แต่อเทวนิยมของพุทธอย่าโง่ตาม จงศึกษาให้ดี

 ในหลวงเราไม่เคยใช้อำนาจอย่างผิดผิด ท่านส่งงานมา 60 กว่าพรรษา แม้แต่ตอนนี้สรีระจะสลายเสื่อมไปบ้าง แต่ท่านก็เป็นผู้ทรงธรรมทำมาตลอดเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่มีใครที่จะกล้าพูดว่าให้บริหารบ้านเมืองแบบคนจนเหมือนท่าน  ไม่มีใครกล้าหรอก แล้วผู้พูดก็เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ในประเทศพูดเล่นไม่ได้ ท่านไม่ได้ทรงตรัสเล่นๆนะ ท่านตรัสอย่างเป็นทางการ อย่างนายกฯเกาหลีก็มาเซ้าซี้ให้อธิบายว่าท่านบริหารประเทศได้อย่างไรให้เจริญงอกงามสงบ ท่านก็ว่าประเทศเกาหลีเจริญกว่า เขาก็บอกว่าไม่ใช่ เขาก็พอเข้าใจความเจริญทางจิตวิญญาณที่เรามีในหลวงท่านก็เลยตรัส

ท่านบอกว่าให้บริหารแบบคนจน รัฐมนตรีเกาหลีก็งงไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้แล้วมันมีด้วยหรือบริหารประเทศแบบคนจนมีแต่เมืองไหนเขาจะให้รวยมีแม็กซิไมซ์ profit ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก คือกูจะต้องเอาให้มากให้ได้ไม่มีขีดจำกัด

 แล้วท่านก็อธิบายให้ฟัง แต่คนฟังไม่มีพื้นฐานก็จะยาก แล้วท่านก็เป็นคนไม่ตรัสมากด้วย ท่านตรัสสั้นๆ ตรัสแล้วจบ  อาตมาถึงบอกว่าในหลวงมาบำเพ็ญ 2 ปางคือตั้งเตมีย์ใบ้กับปางพระมหาชนก  ท่านตรัสน้อยแล้วทรงงานอย่างเดียวทรงงานด้วยความจริงพระทัย เพื่อประชาชนมาตลอด

 ขอขยายความว่าคือให้ประเทศมีคนที่เป็นคนแบบคน จนฟังแล้วคนก็หูหัก ให้เป็นคนจนแล้วจะอยู่อย่างไร แต่เป็นความลึกซึ้งซับซ้อนมาก

 ลักษณะให้คนจน  คนจนคือคนไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารให้แก่ตัวเองแต่คนรวยคือคนสะสมทรัพย์สมบัติแก่ตัวเองให้มากได้เงินมามากแล้วไม่ใช่เอามาฝังดินแต่เอาออกไปครอบงำความคิดสร้างระบบสินเชื่อสร้างระบบหุ้น  เพื่อให้เงินตัวเองไปอาละวาดได้ดอกผลปันผล ใช้ธนบัตร ที่เขาบอกว่ามีอำนาจมากเช่นใบนี้ที่ยกตัวอย่างมาราคา 8 พันล้านบอกว่ารวยไม่เลิกรวยเรื้อรังเพื่อจะหาเงินมาจากประชาชนที่เป็นพระทำขึ้นมาแล้วจะให้มาทำทานบริจาคขึ้นมาใบนี้ราคา 8 พันล้านคนก็ตาโตนะไม่ได้โฆษณาให้ยาดีใจที่ได้นะมันทำให้ศาสนาชิปหาย

 ข่าวประกาศอีกธรรมกายนี้เป็นแบบอย่างให้เขาทำตามแบบนี้แล้วจะมากขึ้นกว่านี้ มันทำให้ศาสนาชิปหายวายป่วง

 พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักประชาธิปไตยที่บริบูรณ์สมบูรณ์แบบใครไม่รู้ก็ให้ศึกษาให้ดีในพระจริยวัตรของพระองค์  พวกแดงที่หลงยุคก็ยังหลงคอมมิวนิสต์นั้นโง่ไม่เสร็จคนอื่นเค้าเปลี่ยนแล้วในโลกเมืองไทยไม่เป็นคอมมิวนิสต์แน่ ตั้งแต่เริ่มต้นเข้ามาเจาะเป็นโดมิโนก็มาไม่ได้มาจากเมืองไทยไม่ได้เขาเชื่อว่านี่เป็นโดมิโนตัวสุดท้ายจะล้มแน่แต่ไม่ล้มเพราะมีธรรมาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยแท้

 

พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 

 มีคอมมิวนิสต์แท้คอมมิวนิสต์เทียมและประชาธิปไตย 3 อย่างนี้

1  คอมมิวนิสต์แท้  ตอนนี้เป็นพวกตกยุคแปลเป็นไทยว่ายังโง่ไม่เสร็จ โง่เหลือหลาย โง่เรื้อรัง  หายารักษาไม่ได้ พวกคอมมิวนิสต์ที่เขาเกิดรู้ขึ้นมามีปฏิภาณปัญญาอย่างจีนเขาก็ปรับตัวแล้ว พวกคอมมิวนิสต์ตกยุคจ๋ายังเกาหลีเหนือ ตอนนี้ก็ชักยังไงแล้ว

อย่างอเมริกาขึ้นไปสุดยอดแห่งประชาธิปไตยแบบโลกๆแล้วเจริญแบบโลกๆสูงสุดแล้วแต่เป็นประชาธิปไตยขาเดียวขาดจิตวิญญาณ  ถ้าไม่มีจิตวิญญาณควบคู่ไปด้วยไม่เป็นธรรมชาติ 2 เทฺวธัมมา  ก็ไม่เป็นชีวะ

 มนุษย์เป็นตัวการใหญ่เป็นผู้ทำลายและเป็นผู้สร้างโลกเป็นพลังงานที่จะเป็นพระเจ้าแท้ พลังงานชนิดที่จะทำลายโลกเราต้องเอาออกจากตัวเองให้ได้ต้องรู้สัจธรรมว่าอะไรดีอะไรชั่วอะไรถูกอะไรผิด ในโลกนี้จะบรรลัยจักรหรือจะสร้างสรรค์ขึ้นก็อยู่ที่ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์แล้วตอนนี้ก็พาความหลงผิดออกมาจนถึงใกล้กลียุคศาสนาใดก็เรียกไปเช่นเรียกน้ำท่วมโลก ของศาสนาคริสต์เขาก็จะสร้างเรือมารับคนมีบุญผู้ที่สามารถรอดชีวิตได้ ส่วนทางศาสนาพระพุทธเจ้าก็จะมีไฟไหม้โลก เป็นไฟประลัยกัลป์แล้วคนที่จะรอดคือผู้มีอำนาจของฌาน เป็นไฟที่มีพลังงานปัญญาสามารถสลายพลังงานกิเลสคือพลังงานที่ครอบโลกอยู่คือราคะโทสะโมหะ  คือผีคือมารยุทธครองโลก ซึ่งพระเจ้า ก็แพ้ภัยมาร แต่มันก็แพ้ภัยตัว แล้วพระเจ้าก็จะมาแทนที่เพราะความชั่วมันทำลายตัวเองมาถึงปลายของกลียุคแล้ว  เป็นพลังงานที่สลายมวลตัวเองไม่สามารถมาสลายพลังวิสุทธิเทพที่เป็นพระเจ้าแท้ได้

 อเทวนิยมอย่างศาสนาพุทธสามารถสร้างพระเจ้าแท้ ไม่ใช่พระเจ้าที่ไม่รู้ที่มาที่ไปแล้วส่งพระบุตรมาทำงานไม่ใช่แต่ของพุทธสามารถสร้างให้คนเป็นพระเจ้าตัวจริงแล้วเป็นพระบุตรในตัวเองเสร็จแล้วเป็นพระประกาศก ถ่ายทอดให้คนอื่นเป็นประกาศกต่อแล้วเป็นพระเจ้าเองได้ด้วย

เป็นผู้มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยโลก อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ทำอย่างเต็มที่ จะมีปัญญารู้ขีดเขตการเบียดเบียนถือสา จะหยุดยั้งไม่เบียดเบียนต่อ เป็นพลังงานสัจจะที่จริงใจ ที่เข้าใจ

 ขออภัยที่ต้องพูด ของตัวเองใครจะหมั่นไส้ถึงอาเจียนก็ขออภัย อาตมาเกิดมายุคนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาล ซึ่งใกล้จะหมดศาสนาแล้วต้องมาช้อนไว้ อาตมาทำงานมา 45 พรรษาซึ่งพระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายเป็นศาสนาพุทธที่สั้นที่สุดเล็กที่สุดต่อจากนี้เป็นศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยที่จะใหญ่ที่สุดนานที่สุด อาตมาจึงต้องมาช่วยกอบกู้ศาสนาให้คืนมา พระศาสนาก็คือธรรมะธรรมะก็คือศาสนาการเมืองก็คือธรรมะธรรมะก็คือการเมืองอันเดียวกัน ก็ค่อยทำอย่างสุขุม ไม่ผลีผลาม

 พระพุทธเจ้าปล่อยให้อาตมามาเดี่ยวๆ คนจะช่วยก็มาตามทีหลังถ้าไม่ดีไม่ส่งคนมาช่วยนะแต่ก็ไม่เคยย่อท้อทำมา 45 ปีซึ่งพระพุทธเจ้าทรงงาน 45 ปีท่านก็จบก็เสร็จ ปรินิพพานไปสวนอาตมาเพิ่งเริ่มต้น จากวันที่ 7 พฤศจิกายน เริ่มต้นมาวันนี้วันที่ 14 พฤศจิกายนเป็นวันครบ 7 เลข 7 นี้เป็นรอบของการเกิดเลข 3 เลข 4 เป็นตัว เปิดตัวแรกพอถึงเลข 6 ก็เป็นสองของสามเส้าพอถึงเลข 7 ก็จะเริ่มเข้าที่ 3 ถึง 10 หรือ 0 คือวงวัฏฏะที่ถือว่าเครื่องติดแล้ว  จะมีพลังทดไปได้ด้วยตัวเองแล้ว   ไปได้นิรันดรเลยแต่จริงในโลกไม่มีอะไรนิรันดร เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

เมืองไทยจะเป็นเมืองที่เป็นจุดศูนย์กลางของโลกในอนาคตไม่ใช่คำพยากรณ์นะแต่เป็นคำพูดที่มั่นใจ เมืองไทยจะเป็นเมืองมหาอำนาจแห่งคนจน

มหาอำนาจแห่งคนรวยนั้นให้ดูตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสเยอรมันญี่ปุ่นก็ลงไปแล้วอเมริกาทำทีเป็นมหาอำนาจทางความรวยแต่หารู้ไม่ว่าให้กลวง  อเมริกาจำนนจนถึงให้คนดำมาเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นความจำนนนะเดี๋ยวจะมาอ่านออกถ้าไม่ถึงที่สุดเขาไม่ยอมให้คนดำมาเป็นประธานาธิบดีหรอกมันไม่สากลใช่ไหม โอบาม่ามาก็บอกว่า change แต่ก็ไปไม่รอด  เขาพยายามเปลี่ยนการเมือง

 เมืองไทยก็เปลี่ยนมาถึงปีที่ 83 ประเทศไทยchangeได้เลยโดยไม่ต้องหาเสียงบอกว่าchange ในยุคของนายกประยุทธ์คือรบโดยไม่ต้องรบเลยประเทศไทยมีคนชื่อประยุทธ์ 2 คนคนหนึ่งคือประยุตต์ทางธรรมเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกเหมือนกันเป็นผู้ที่ยอดรู้ทางศาสนาพุทธเป็นนักรบทางธรรมส่วนประยุทธ์อีกคนคือนายกประยุทธ์เป็นนักรบทั้งโลก ทำได้ 2 อย่างทั้งองค์รวมทางโลกและทางธรรม ผู้ที่มีดวงตาจะเห็นผู้ไม่มีดวงตาก็ไม่เห็น ก็จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไร

 สังคมมนุษย์ ก็เป็นการเมืองกับธรรมะ ถ้าใครไปแยกการเมืองกับธรรมะอย่างอเมริกาแยกแล้วก็เลยพังล้มละลายเร็ว ไปไม่ออก ถ้าพวกที่ไม่แยก แต่ทำมานั้นเป็นธรรมะที่ไม่จริงไม่บริสุทธิ์ไม่มีอำนาจพอจะต้านทานอำนาจของโลกได้ไม่ว่าจะเป็นอำนาจเงินอำนาจศักดินา ต้านไม่ได้ ต้องเอาอำนาจที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์ธรรมะประเสริฐจริงๆ

 ธรรมะของศาสนาพุทธไม่มีใครรู้ว่าพระโพธิสัตว์ท่านทำมา 70 กว่าปีจนเกิดผลจนรู้ในดวงตาของโลกสหประชาชาติก็มาประกาศยอมรับแล้ว ยังในหลวงเรา เขาประกาศไปทั่วโลกแล้วเรียกเป็นทฤษฎีบัญญัติว่าเศรษฐกิจพอเพียงแล้วบอกว่าแบบคนจนด้วย เขาก็ไม่เคยเข้าใจก็นึกไปอีกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จงทำให้ขาดทุนก็เป็นประเด็นปัญหาว่าแล้วขาดทุนจะอยู่ยังไงล่ะ  ขยายความให้เห็นว่าเอาแบบคนจนจะอยู่รอด

 คนจน แปลว่าคนไม่มีสมบัติส่วนตัวมากแต่มีสมบัติส่วนตัวที่ไม่ได้เป็นของใครแล้วจะคิดว่าจะกระจายไปหาใครได้ไม่มีกรอบขอบเขตไปได้ตามความเหมาะสมแต่สมบัติส่วนตัวก็หมดตัวหมดตน  แล้วจะอยู่คนเดียวหรือนั่นเป็นมิจฉาทิฐิที่ปลีกตัวจะบรรลุอรหันต์ต้องปลีกตัวอยู่คนเดียวแบบนั้นคือมิจฉาทิฏฐิซึ่งเป็นมานานแล้ว อาตมาต้องมากอบกู้กลับ

คนจนของพระพุทธเจ้าคือคนที่มีมวลมหาศาลไปตามเหตุปัจจัยผู้ใดมีปัญญาก็เข้ามาร่วมถ้ายังไม่มีปัญญายังไม่ต้องเข้ามาจะกลายเป็นภาระคนจะเข้ามานั้นต้องรู้ว่าต้องมาจากนี้ยอดความรวยพวกที่แปลกตากว่าไปรวยไปรวยคือพวกตกยุคและแอบแฝงศาสนาพุทธด้วยคือพวกตกนรกเป็นอนันตริยกรรมผู้ที่มีประกาศว่ารวยรวยรวยมุ่งแต่รวยเป็นพวกตกยุค

 คนจนของพระพุทธเจ้า เป็นคนจนที่ขวนขวายขยันหมั่นเพียรเป็นคนจนมีปัญญาเป็นคนจนที่เป็นผู้รู้จักโลกโลกะวิทูรู้จักสังคมมนุษยชาติรู้รอบแล้วเป็นคนโลกานุกัมปายะเป็นคนช่วยโลกอนุเคราะห์ช่วยเหลือโลกอย่างเป็นสัดจะเป็นคนจนที่มีสมรรถนะเป็นคนจนรอบรู้ขยันหมั่นเพียร เป็นคนจนที่เสียสละสร้างสรรค์ทำให้แก่มวลมนุษยชาติจึงเกิดมวลที่จริงจังและจริงใจมวลที่รวมตัวกันยังบริสุทธิ์สะอาดด้วยปัญญา

 นอกจากมีปัญญาที่เป็นความรวมแล้วก็ยังมีทรัพย์สินเชื่อเกิดทุกวินาที ทรัพย์อยู่ที่ไหนครับอยู่ที่ขยันกับสมรรถนะคนที่มีสมรรถนะและขยันนั่นคือทรัพย์ไม่ต้องมีอย่างอื่นไม่ต้องเก็บวัตถุมีความขยันและสมรรถนะเท่านั้นก็รวยอยู่ตลอดกาล

 ถ้าสะสมวัตถุก็เป็นภาระไม่เป็นกายปาคุญญตา  ไม่เป็นความคล่องแคล่ว แต่ถ้าเอามาสะสมไว้กับของกลาง ซึ่งเอาไว้แจกจ่ายก็จะให้ทั่วต่างจากเผด็จการฟาสซิสต์ที่ เอามาไว้เป็นของส่วนตัว

 ถ้าคนจิตสะอาดบริสุทธิ์ไม่เห็นแก่ตัวเลยทำอย่างเป็นจริงได้เมื่อเกิดคนไม่เห็นแก่ตัวได้เป็นแกนหลักจะเป็น 1 คน 2 คน 3 คนถือตัวน้อยที่สุดที่มารวมกันเป็นกลุ่ม แกนของคนที่สะอาดบริสุทธิ์ที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ไม่สะสมแต่มีพลังงานความรู้ความสามารถความเสียสละที่เต็มที่พลังงานนี้จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์ เมื่อทุกวินาทีเราขยันมีความรู้ความสามารถก็เกิดผลผลิตจากแรงงาน สิ่งที่ได้นี่แหละจึงได้และได้เหนือกว่า

ส่วนที่ได้มากลับมารวมตัวกันให้มากกับส่วนกลางของตนเองไม่สะสมกินน้อยใช้น้อยให้พออาศัยเท่าที่ประมาณน้อยที่สุด  ที่เหลือก็แจกจ่ายสังคม ซึ่งเป็นพลังงานที่สมบูรณ์แบบ ผลที่ได้จึงเป็นมวลรวม gdp ที่สะอาดบริสุทธิ์เมื่อมีคนที่สะอาดบริสุทธิ์ก็สามารถสะพัดส่วนนั้นไปสู่คนอื่นอย่างยุติธรรม

สรุปแล้วคนจริงที่มักน้อยสันโดษจริงมารวมตัวกันด้วยพลังงานบริสุทธิ์มีพลังงานสร้างสรรค์มากกว่าพลังงานสะสมไว้เป็นของส่วนตัว  พลังงานที่จะเอาไว้แก่ตนเองมีแต่น้อย  ส่วนเหลือก็เป็นสิทธิของเราก็ให้แก่กองกลาง นี่แหละคือเอาไปขาดทุนให้แก่สังคม เราก็ไม่ไปสะพัดส่วนเหลือนี้ให้หมดหรอกเราสะพัดส่วนหนึ่งมีส่วนที่เหลือไว้กินไว้ใช้หรือของขลังแก่ตนเองบ้างให้น้อยที่สุดเป็นห.ร.ม. เป็นค.ร.น. ประโยชน์สูงประหยัดสุดที่จะเป็นได้ไม่เกิดการขาดตอนหมุนเวียนได้

 

คนที่รวยไม่จบคือคนจนนิรันดร...พ่อครู 14 พ.ย. 58

 

 ผู้ที่มีกำลังเพียรมากจึงมีส่วนเหลือมากกว่าส่วนที่อาศัยจึงสามารถเอาส่วนเหลือส่วนเกินนี้มาขาดทุนให้แก่สังคมนี่คือความจนที่จะเลี้ยงคนรวยไม่เสร็จ คนที่รวยไม่จบไม่เสร็จคือคนจนตลอดนิรันดร จะรวยไม่รู้จักจบไม่มีขีดจำกัดแล้วอีกกี่ชาติจะจบแล้วมีคนที่มีจิตวิญญาณแบบนี้ด้วยต้องให้รู้ตัวแล้วสำนึกมามักน้อยสันโดษให้รู้จักพออย่าสะสมเป็นของตัวเองมากขนาดนี้ อยู่ที่ศูนย์ได้

คนปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามาอยู่ที่ศูนย์ได้เป็นส่วนใหญ่และมีพลังงานสร้างสรรค์เป็นส่วนเกินสะพัดให้แก่คนที่ควรจะได้ ตนเองไม่ล่มจมไม่ตาย เมืองไทยจะเป็นเมืองที่มีคุณสมบัตินี้ ถ้าไม่มีใครทำอาตมาจะทำพยายามลากสังขารไปให้นานที่สุด ใครจะมาร่วมก็ร่วมไม่บีบบังคับไม่ง้อมางอนมันเสียแคลอรี่

 ตอนนี้ก็เร่งทำปุ๋ยให้ เพราะมันมีรากแล้วสร้างปุ๋ยงอกงามขึ้นไปอีก ให้พืชเจริญงอกงามขึ้นไปอีกตอนนี้ดูตามสัจจะปรากฏการณ์วิทยาที่เกิดของจริงไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิญญาณ

 ในหลวงเราเป็นจิตวิญญาณ มาถึงผู้ใช้อำนาจทางโลกจะเป็นทางกองทัพถึงท่านพลเอกประยุทธ์  ที่จะประสานให้ลงตัวอาตมาก็เห็นตามปรากฏการณ์ phenomenon  ให้เห็นได้ก็ดูตามความเป็นจริงไม่ใช่ไปปั้นวิมานอย่างธรรมกายที่เขาทำกันว่าจะให้รวยให้ยิ่งใหญ่ให้สุขสบายพ่อตายแล้วให้มาทำบุญทำทานขนาดนี้พ่อจะได้วิมานไปสู่ความสุขมันมีคนจับผิดเขามาแล้วว่าเป็นเรื่องหลอกกัน

 เมืองไทยตอนนี้การเมืองกับธรรมะกำลังจะเจริญแต่คนไม่แน่ใจ ก็ยังไม่เข้าร่วมอาตมาไม่กลัวกับธรรมะ  และไม่เร่งรัด ใครจะมาจับมือกับอาตมาก็มา ถ้าไม่เป็น HIV ฝังมา

 ตอนนี้กระแสนายกฯก็จะเร่งทางอาชีวะอย่าไปหลงแต่การเรียนฟุ้งเฟ้อแล้วไปตีราคาปัญญาที่จริงเป็นเฉกาไม่ใช่ปัญญา  ฉลาดแบบมีกิเลส ส่วนปัญญานี้เป็นความฉลาดที่รู้จักลดละกิเลส  เมืองไทยเป็นเมืองที่มีปัญญาแท้  สวนทางตะวันตกนั้น ฉลาดแกมโกง ซึ่งสายธรรมะกับสายโลกก็จับมือกันอีก อาตมาก็บุกเดี่ยวจะมาหาคนจับมือกับอาตมาก็ไม่กล้าอาตมาก็ไม่กล้ายื่นมือมาให้จับ  เขาจะหาว่าอวดดี  ใครเห็นดีด้วยก็มาจับมือกัน

ก็ต้องพยายามขยันหมั่นเพียรรวบรวมพลพรรคต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ต้องยอมรับความเหนื่อยความหนักที่จะทำเพื่อมวลมนุษยชาติ 45 ปีทำงานมาก็เห็นผลได้ผลแต่ก็ไม่ง่าย ตอนนี้วันนี้เรามีตลาดอาริยะ ธรรมดาตลาดต้องอยู่ในเมืองแต่นี่ตลาดสร้างบนยอดเขา มาทำตลาดบนยอดเขาปกติเขาต้องสร้างในที่มีคนจอแจในเมือง เมื่อเช้านี้ไปตลาด 79 มาก็ยังไม่รู้เลยว่า 79 คือใครอาตมารู้แต่ว่าเจ็ดคืออาตมาเก้าคือในหลวง อาตมาก็ไม่รู้ว่า 7 9 คือใคร

 คือใครทุกคนก็รู้ว่าในหลวงคือแม่ทัพ ส่วนอาตมานั้นก็ประกาศตนเองว่าคือเลข 7 อาตมาอุทานเลยว่า มันจะขยายถนนอะไรกันนักหนา นี่คืออจินไตยอันหนึ่ง  ที่จริงคือกิโลเมตรที่ 79 แล้วทำไมมาประจบตรงนี้  แล้วพรุ่งนี้ก็สัญญาเขาไว้ว่าจะไปบิณฑบาตที่นั่นอีก  เขาจะขยายถนนอีกให้เป็น 24 เลน  แต่ดูภูมิทัศน์แล้ว ก็เข้าท่ามองไปเห็นทิวเขาเขียวชอุ่มเป็นเนินสูงขึ้นมาบ้างดูแล้วมีเหตุปัจจัยบวกลบคูณหารอะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด

 ทำไมจะต้องเกิดอาวาสสถานวังน้ำเขียวตอนนี้พอดี อยู่มาตั้งนานแล้ว เห็นว่าจะสร้างพระสูง 180 เมตรแล้วเห็นมาสักด้วย ต้องย้ายหินขึ้นมาแล้วแกะสลักหินประกอบกันขึ้นเป็นองค์พระ   แบบแกะภูเขาเป็นพระแบบเต็มตัวเลยแต่อยู่กับที่ ก็ยังไม่เคยเห็นใครทำ  อย่างเก่งก็แกะได้แค่ออกมาครึ่งตัว แบบนั้นก็ยังไม่ยากเท่าไหร่มันอยู่กับที่แต่นี่จะยกก้อนหินจากภูเขาลูกอื่นเอามาตั้งตรงนี้ให้อยู่ได้แล้วจะสูงขึ้นเป็นร้อยเมตรณแกเต็มตัวอีกต่างหากไม่ใช่แค่ครึ่งตัวอาจหาญขนาดนี้นะอาตมาก็ได้แต่นั่งดูพวกเขาดินไป จะไปทำที่ราชธานีอโศก 108 เมตรก็ฝันเฟื่องกันไปเลยอาตมาบอกว่าเอาแค่ 54 เมตรก็พอ  เมตรก็พอ แต่ที่วังน้ำเขียวจะเอา 54 หรือ 108 เมตร ไม่รู้สร้างสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาซึ่งเป็นปางที่ปราบมารคือพวกคอรัปชั่นพวกโกงทั้งหลายถ้าประเทศไทยทำได้จะเป็นได้แน่ในการปราบมารคอรัปชั่นพวกนี้แล้วประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจแบบคนจนไม่ใช่มหาอำนาจแบบคนรวยด้วยแต่คนจนจะไปไล่แจกให้คนรวยเอาเงินคนจนไปไล่แจกคนรวยให้หนีเข้าป่าจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่พูดนี้จริงขอยืนยันว่าจริงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของโลก

 เงินคนรวยนี้หลายคนจนมหัศจรรย์ไม่ไปหรอกเพราะคนจนมหัศจรรย์พึ่งตัวเองได้อัตตาหิอัตโนนาโถเป็นคนพึ่งตนไม่ขอพึ่งใครแล้วพึ่งตนเองให้รอดด้วยนอกจากพึ่งตนเองรอดก็ช่วยคนอื่นต่อพระพุทธเจ้าสร้างคนแบบนี้ขึ้นมา  อดอยากเยี่ยงอย่างเสือสงวนศักดิ์ โซก็เสาะใส่ท้องปลูกไม้กินเอง...เสือมังสวิรัติ  เป็นเสือที่กินพืชมหัศจรรย์ไหม

 เมืองไทยจะเป็นเมืองบริหารประเทศแบบคนจนก็เห็นใจที่ในหลวงตรัสเศรษฐกิจพอเพียงก็ประมาณไม่ถูกว่าเมื่อไหร่พอเท่าไหร่พอ แต่ไม่พอเพียงนี้มาจนไม่ได้นะคนที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เข้าใจ ว่ามาหมดเนื้อหมดตัวแล้วมีแต่สร้างสรรค์ขยันแจกจ่ายคนอื่นขยันก็มีส่วนเกินมากขึ้น ลดกิเลสไปจนเป็นอรหันต์ส่วนตัวไม่สะสม แต่ทำเพื่อคนอื่นต่อไป พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

จะมีcyclic order ที่สูงขึ้นไปเรื่อยเรื่อยมีอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อยจากบวกเป็นคูณ จากคูณเป็นยกกําลังเป็น geometric  ของจริงจะไม่มีศูนย์ไม่มีเสื่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง จะยืนนานไปเรื่อย

 เมืองไทยจะเป็นแกนของอาเซียนในนามธรรมทางคุณธรรม เสริมสารสร้างแกนให้โลกอย่าไปกังวลด้านวัตถุ  ให้เอาคุณธรรมเจริญงอกงามก่อนส่วนทางวัตถุจะเป็นภาวะที่ซ้อนส่งเสริม

 อาตมาทำงานมา 45 ปี ก็เห็นด้วยดวงตาที่เป็นตาวิเศษมองว่ามีอัตราก้าวหน้า  เป็นความจริงที่มีของจริงเกิดขึ้นเช่นเกิดมวลของคนจนเพิ่มขึ้นที่เข้าใจและมีปัญญามารวมกันมากขึ้นให้ตลาดเสรี มาร่วมกันก่อสร้างสรรค์ที่จะเป็นแบบอย่างของระบอบคนจนระบอบที่ขาดทุนคือกำไรจะชัดเจนว่า ขาดทุนนี้คือของจริงถ้าขาดทุนคืออะไรคิดไม่ออกก็โง่ ต่อไปเราไม่เอาเปรียบจริงๆไม่มีภาวะซุกซ่อนภาวะแฝงเราขาดทุนให้แก่มนุษยชาติสังคมเรากินน้อยใช้น้อยแค่นี้พอก็ไม่สะสม

 เราเองมีพอจะให้แก่คนอื่น คนอื่นมีปัญญาก็จะมาช่วยเรา เราสร้างคนให้มีปัญญา เขาช่วยเราเราก็ทำงานได้เพิ่มขึ้น เขาช่วยน้อยเราก็ทำงานได้น้อยลง ดีไม่ดีแรงเราเสียอีกทำไม่ได้มาก แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงขีดก็ยังมีคนเข้ามาช่วยถ้ายังไม่ถึงเราก็ต้องออกแรงมากกว่าต่อไปเราจะออกแรงน้อย สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะ ที่พยายามอธิบายให้พวกเราเข้าใจ

 เอามาทำตามในหลวงที่ตรัสไว้ก็เกิดวิวัฒนาการให้เห็นจริง อันนี้เท่านั้นที่จะแก้ปัญหาโลกทั้งโลกตั้งชื่อว่าบุญนิยมให้ล้อกับทุนนิยมพวกทุนนั้นสะสมแต่บุญนั้นเสียสละด้วยจริงใจ  พวกทุนนิยมก็จริงใจที่จะสะสมแต่พวกบุญนิยมก็จริงใจที่จะสละออก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)  เป็นการรับใช้ที่แท้จริงไม่ใช่ภาษาเสแสร้งอย่างนั้นประชานิยมนักหาเสียงซ่อนแฝง เราทำให้เขาแล้วเขาจะกตัญญูต่อเราก็เป็นคุณงามความดีของตนเอง ไม่ทำก็ไม่มีปัญหา  แล้วความดีงามที่คุณมีความกตัญญูกตเวทีไม่เป็นของใครก็เป็นของคุณ

มีจิตปรารถนาจะต้องการให้ดีมากกว่านี้ไหม ก็ต้องการแต่มันได้แค่นี้ก็แค่นี้อาตมากำลังดูรูปธรรม  อาตมาสร้างเยาวชนสอนเยาวชน ให้เรียนให้รู้ให้ทำเป็นอย่าง ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา วันนี้ก็มีเด็กนักเรียนที่จบจากสีมาอโศก ศิษย์เก่าที่อื่นก็มารวมกัน แต่วันนี้จะดูว่าสีมาอโศกดูเขาว่าจะเอาจริงแค่ไหน เมื่อวานนี้ไปที่สีมาอโศกเห็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยหลายคน  ก็พึ่งรู้ว่าเขานัดรวมตัวกันมาทำตลาดอาริยะ

ตลาดอาริยะเป็นบุญญาวุธหมายเลข 2 แล้วมาทำบนภูเขาด้วยสร้างบน ไม่ไปสร้างที่คนพลุกพล่านตลาด 7 9  ก็รู้ว่ามันเดินทางมาถึงพิกัดวันนี้ ก็จะเกิดสัจจะอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้

 ใครหาว่าอาตมาพูดไม่รู้เรื่อง พวกเราพอฟังรู้เรื่องกันไหม ก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน

 สรุปให้เข้าเป้าว่าพัฒนาการของสังคมมนุษยชาติอาตมาได้ทำงานศาสนามา 45 ปีถ้าอยู่ไปอีก 70 ปีให้ได้ถ้าอยู่ไปอีกเป็น 115ปี

 เห็นอัตราการก้าวหน้าว่ายังไม่ได้ถึงขีดที่สตาร์ทยังไม่ติดเครื่อง ก็เลยต้องต่ออายุจาก 72 มาสุดท้ายก็ได้ตัวเลขที่ 151 ก็ตั้งเป้าไว้ที่ 151 ก็ต้องพยายาม ถ้าอยู่ถึงอายุ 144 รับรองว่ารุ่งเรืองที่สุดแล้วจะนอนตีพุงอีก 7 ปี ว่าแล้วนะลูกหลานเอ๋ยปู่ก็ 151 ปีแล้ว ไม่ตายก็ต้องตาย

 ตอนนี้ก็ประกาศตนเองไปจนล่อนจ้อนเป็นดารานู๊ดที่ประกาศหมดเนื้อหมดตัวแล้ว ก็แสดงตัวเองออกมาหมดแล้ว มีแต่คนบอกว่าจะมาชั่ว ก็แสดงตัวออกมาเคยแสดงให้คนเจ็บอะไร ก็ว่ามา เคยไปแย่งยศ แย่งลาภกับใครก็บอกมา  อาตมาไม่เคยไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทางกามทางอัตตาก็ไม่เคยไปแย่ง เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีศัตรูไม่เคยแย่งใครเคยเล่าให้ฟังว่าชาตินี้ไม่เคยมีใครตบใครเตะอาตมาเลยทั้งที่อยากจะมาเป็นคนยวนนะ  แต่ก็รู้ว่าขีดไหนถึงจะพอดี มีสัปปุริสธรรม 7 กับมหาประเทศ4ของพระพุทธเจ้าจริง  กับมหาประเทศ4ของพระพุทธเจ้าจริงอาศัยทฤษฎีทางธรรม ส่วนทฤษฎีทางโลกอาตมาไม่เก่ง

แต่ E=mc2 อาตมารู้และบอกว่าE=mc2 +A ทุกวันนี้คนเริ่มรู้แล้วว่าเอกคืออะไรตั้งแต่ไปเทศน์ที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ตั้งชื่อการเทศน์ว่าแพทยศาสตร์คือเดรัจฉานวิชาเท่านั้นแหละคนมาฟังเต็มห้องเล่นห้องทั้งวิศวะทั้งแพทย์  มีดร. มานะก็มาบอกว่าผมเคยฟังตอนนั้น

A  คือนามธรรม abstract ส่วนไอสไตน์นั้นธรรมทางศาสนานมาก่อนอาตมานั้นเอาพลังงานทางอรูป A  พลังงานเอารูปเอามาช่วยกับพลังงานทางรูปธรรมเป็นธรรมะ 2  ตอนนี้A  เป็นเพียง Abstract ยังไม่ถึงกับเป็น absolute

 ตลาดอาริยะคือรูปประธรรมของการขายขาดทุน  ถ้าทำได้มากขึ้นรวมกันหลายหน่วยเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันปรากฏการณ์ของการขายขาดทุนก็จะต่อกันเป็นผืนให้คนเห็นเป็นรูปธรรมให้คนเห็นได้จริงถ้าคนที่ขาดทุนได้จริงแล้วเขาก็ไม่เดือดร้อนเขาเจตนาขาดทุนจริงๆว่านี่แหละคือลักษณะการค้าขายที่คนประเสริฐทำได้ เป็นลักษณะสัจจะความจริงในรายละเอียดของคน

จบ.


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:09:36 )

581115

รายละเอียด

581115_พ่อครูเอื้อไออุ่น ศิษย์เก่าสีมาอโศก

พ่อครูว่า..ศิษย์เก่าสีมาอโศกมากันประมาณ 26 คน มีผลผลิตคือลูกๆมาด้วยประมาณ 10 คนผู้ติดตามศิษย์เก่ามาอีกประมาณ 10 คน

มาพร้อมหน้ากันที่ศาลาอบรม อาวาสถานวังน้ำเขียว  

      เวลา 6.35 น.เป็นวาระแรกที่มารวมตัวกันแล้วทำทีว่าอยากจะพบอาตมา  จะทำทีหรือตั้งใจก็ยังดี ดีกว่าที่แยกกันไปต่างคนต่างไปตัวใครตัวมันใครอยู่ได้ก็อยู่ไปใครอยู่ไม่ได้ก็ช่างหัว  มันไม่ใช่สภาพของมนุษยชาติที่คนเป็น

       สภาพของมนุษย์สังคมที่ควรเป็นคนมาอยู่กันร่วมกันอย่างอบอุ่นสร้างสรรค์ช่วยกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่อย่างมีความสุขร่วมกัน พหุชนสุขายะ  มีประโยชน์ร่วมกัน พหุชนหิตายะ  อยู่อย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โลกานุกัมปายะ

       ถ้าอยู่กันอย่างทะเลาะกันอาฆาตมาดร้ายก็ไม่ดี ที่พูดไปนี้คนที่ไม่โง่เกินการณ์ก็จะเข้าใจ สังคมก็ควรจะมีจิตแบบนั้นแล้วก็พูดกันแบบที่ว่าคร่าวๆนี้

      ให้พวกเรารายงานให้ฟังก่อน อาตมาจะได้สวดเทศนา

 

       ศิษย์เก่าสัมมาสิกขสีมาอโศก ปอนนี่ รายงานให้พ่อครูฟังว่า  งานนี้เป็นความตั้งใจที่จะเป็นการรวมศิษย์เก่าในงานคืนสู่เหย้าก้าวตามพ่อ  ครั้งนี้มีศิษย์เก่ามาร่วมงาน 26 คน มีผู้ติดตาม 10 คนมีความรู้สึกของคนศิษย์เก่าอยู่ข้างวัด 12 ครอบครัว  มีคนอยู่เป็นโสด 6 คน

       กิจกรรมศิษย์เก่าที่ได้ช่วยงานวัดที่ผ่านมาจะรวมตัวกันเข้าวัด ทำครัวทุกวันอังคาร ในวันเสาร์ก็ช่วยทำคอร์สสุขภาพมาตลอดถึง 2 ปีช่วยงานฟรีมีกิจกรรมช่วยวัดฟังธรรมเข้าวัดฟังธรรมทุกวันเสาร์ ช่วยทำสื่อสารบอกเล่าข่าวอโศกส่งทุกอาทิตย์และช่วยงานวัดทั่วไป

       ในงานครั้งนี้ ได้พูดคุยกันว่าศิษย์เก่ามีความตั้งใจช่วยขวนขวายกิจน้อยใหญ่ของวัดมากขึ้นเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชา 45 ปีของพ่อครู

 

       พ่อครูว่า มนุษย์เป็นสัตว์โขลง เป็นมนุษย์ที่มีภูมิปัญญามากกว่าสัตว์เดรัจฉานสามารถใช้ปัญญาความรู้ของตน มาเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษย์ด้วยกัน สังคมของสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์โขลงก็อยู่กันไปตามประสาแต่ดูดีตรงที่ไม่เป็นภัยมาก ไม่ทุกข์มากจะมีทุกข์ก็ตองการยังชีพกินอยู่หลับนอนสืบพันธุ์  อย่างเก่งก็มีเรื่องแย่งคู่เรื่องเพศ และหวงถิ่น นอกนั้นก็ไม่สะสมโลกธรรม สะสมกามสะสมอัตตาอะไร มันไม่หลอกกันให้เกิดความอยากได้อยากมีอยากเป็น ไปแย่งกันขโมยกันฆ่ากันสารพัดที่สมมติกันไปอย่างคน แต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี มันทำร้ายทำลายกันน้อยก็คนเยอะ

       สัตว์เดรัจฉานทำลายได้ไม่มากเท่าคนแต่ก็รวมกันสร้างสรรค์ได้ไม่มากเท่าคน ซึ่งคนนี้สร้างจนล้นจนเฟ้อจนเกินไม่มีที่สิ้นสุด  สรุปแล้วการรวมกันอย่างสามัคคีธรรม พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

      มันเป็นเรื่องสุดยอดของสังคม ก่อนจะมานี้ได้พูดคุยๆกันด้วยความเป็นจริงตามเหตุปัจจัยกับครอบครัวของคุณในน้ำคำ กับเพชรพลัง  เขาก็เข้ามาทั้งครอบครัวมีลูกเต้าเข้ามา ตอบเลยว่าคนมาในยุคนี้มีครอบครัวอยู่ที่บ้านกับมาทางนี้ เห็นเลยว่าชีวิตมันปลงภาระมันมีคุณค่ามากกว่าไม่รู้กี่ด้านสบายกว่าไม่รู้กี่ด้าน

      เป็นต้นว่าถ้าเราอยู่บ้านต้องทำอาชีพ ไปทำงานแล้วได้เงินมาใช้จ่ายทำบัญชีสารพัดวันทั้งวัน ทั้งสร้างสรรค์ทั้งหอบหามหวงแหน วุ่นวายไปหมด พอมาอยู่ในวัดซึ่งเป็นวัดที่เป็นองค์รวมสมบูรณ์แบบมีพฤติกรรมมนุษย์กับจิตวิญญาณที่มีปัญญามีความเข้าใจ ว่าถ้าลดกิเลสอยู่กันอย่าง ไม่มีกิเลสแล้วมีแต่ความเป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกภาพสามัคคีสุดยอดแล้วเหลือเท่านั้นแต่ละคน ถ้าลดละตัวเหตุคือกิเลสได้ ลดได้ก็จะเป็นองค์รวมอยู่กันอย่างสามัคคีเป็นเอกภาพมีมรรคมีองค์ 8 ตามหลักสูตรพระพุทธเจ้า อยู่ช่วยเหลือการทำอาชีพการงาน ทำงานมีประโยชน์เพื่อมวลมนุษยชาติ ช่วยเหลือสังคมไปเราก็ยังชีวิตไปจะสบายปลดปล่อยไปเลยไม่ต้องหอบหามหวงแหนอะไร

      เช้าขึ้นมาถ้าอยู่ในครอบครัวเราจะทำอะไรทำงานอะไร ต้องให้พอให้ไปรอดต้องไปแย่งกับเขา อย่างครอบครัวนี้ลูกเต้าก็มาเขาก็มีที่พึ่งมีพี่ป้าน้าอาเยอะแยะคนนั้นคนนี้ช่วยดูกันไปก็เบาแรงเราไปเยอะง่ายสะดวกเยอะ เพราะพวกเรามีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมสังคมแบบสาธารณโภคี

อาตมาทำงานมาสร้างสาธารณโภคีสร้างสังคมบ้านวัดโรงเรียน

      บ้านคือสังคมร่วมอยู่ร่วมกินมี วัฒนธรรมสาธารณโภคีร่วมกันทำงานการ ทำเสร็จแล้วก็สบายไม่ต้องไปตรวจสอบว่าได้เท่าไหร่ไม่ได้เท่าไหร่ได้ทั้งหมดก็เข้ากองกลาง ส่วนตัวจะเอาไปใช้ ตามสมควร หมดความหอบหามหวงแหน แต่ละครอบครัวเมื่อมารวมกันแล้วก็จะลดการสูญเสียแคลอรี่ที่จะต้องคิดเอามาเป็นของครอบครัวตนไป เอาพลังงานแคลอรี่ที่จะสูญเสียเอามาสร้างสรรค์ให้กับสังคมนี้ เป็นพลังงานสร้างได้มากพอเกิดพัฒนาการด้านเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งซับซ้อนเป็นประโยชน์สูงประหยัดสุดดีมากเลย แต่นักเศรษฐศาสตร์ของโลกยังเข้าใจไม่ได้เพราะยังไม่มีวิธีการ

      วิธีที่เขาทำไม่ได้คือทำให้คนลดกิเลสไม่เห็นแก่ตัวได้จริงๆลดอัตตาลดอัตนียา ลดความเป็นตัวตนลดความเป็นของของตนได้จริงๆให้มีของส่วนรวมให้มากไม่ให้ต้องมีเป็นตัวกูของกูกันมาก เราก็ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีของกูมันก็เป็นของส่วนรวมแบ่งกันใช้มันเสื่อมสลายไป ก็หามาสร้างมาคนละไม้คนละมือ สังคมแบบนี้ที่พูดไปจะเห็นว่าเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมมีระเบียบวินัยมีระบบ ที่พูดแล้วคนมีปัญญาก็จะเข้าใจ

       สำคัญที่ทฤษฎีที่จะทำให้คนลดตัวกูของกูมันมีจริงไหมไม่มีอย่างไรของพระพุทธเจ้านี้ยืนยันอาตมาก็พาทำมาจนเกิดสังคมพวกเราก็มีพฤติกรรมที่ลดตัวกูของกูไปตามลำดับอย่างที่รายงานมาก็ได้มาช่วยหมู่กลุ่ม ผู้ใดอยู่วัดเลยแล้วเป็นโสดหรือว่าเป็นครอบครัวก็ได้อย่างที่ยกตัวอย่าง เมื่อกี้นี้ก็ไม่ใช่ครอบครัวเดียวยังมีอีกหลายครอบครัวที่เข้ามา แต่ที่สีมาอโศกมีแต่อยู่ข้างวัด แต่มีหนึ่งคนอยู่มา 2 ปีแล้ว ยังตะกายไปตะกายมาอยู่แต่ก็มีอีกหลายที่หลายแห่ง

ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างเล็กหรือโครงสร้างใหญ่ก็จะมีล้อเลียนไปทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำได้อาตมาภูมิใจที่เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาประกาศแล้วให้คนทำได้ในยุคนี้ยุคที่คนแตกแยกมากตัวใครตัวมันตัวกูของกูกันเลยทั้งโลก

แม้แต่ในประเทศแต่ละประเทศก็มีรัฐที่ที่เป็นตัวกูของกูเขาก็มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าอุดมการณ์ใหญ่ต้องมาอยู่รวมกันพวกคอมมิวนิสต์ก็พยายามร่วมกันพวกสังคมนิยมก็พยายามรวมกัน จนทุกวันนี้จะพยายามรวมยุโรปรวมอาเซียน เขาก็มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าจะมารวมกันมันดีแต่เขาทำไม่ได้

 อาตมาภาคภูมิใจที่เอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาทำได้แม้จะยากเย็นมากที่จะทำให้เกิดกลุ่มโอสาธารณโภคีรวมตัวกันเป็นชุมชนในชุมชนจะเล็กน้อยแค่นี้แต่เรามีระบบมีพฤติกรรมชีวิตพฤติกรรมสังคมและมีหลักเกณฑ์มีระบบระเบียบระบอบของสังคมอยู่อย่างไรทำอย่างไรต่อพีชอย่างไร ทางด้านวัตถุทางด้านการงานทางด้านทรัพย์สมบัติวิธีบริหารอะไรต่างๆนานามันเป็นสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างมีระบบระเบียบแบบ จิตวิญญาณของแต่ละคนที่มีความเข้าใจมีปฏิภาณปัญญาว่าทำแบบนี้นะถ้าจะบอกให้ทำแบบนั้นแบบนี้ก็เกิดหลักเกณฑ์กฎเกณฑ์กฎระเบียบ กฏพฤติกรรมสังคม เป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อยลงตัวจัดสัดส่วนลงตัวกันไปใครๆเป็นแบบเป็นรูปเป็นรอยให้มาด้วยแล้วก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

 ตัวสำคัญใหญ่ที่สุดคือการละอัตตาตัวตน คำว่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต้องเรียนรู้ผ่านตัวตนของเราที่มันยึดเป็นตัวกูของกู ต้องเป็นหนึ่งเป็นผู้ที่ได้เป็นผู้ได้เปรียบเป็นผู้ที่มีอำนาจหรืออะไรก็แล้วแต่ มีกิเลสสารพัดที่อาตมาพูดไป

พระพุทธเจ้าก็เรียนรู้แล้วมาสอนให้เรียนรู้อัตตาเลวและอัตตาดี จะอยู่สังคมกับสังคมกับโลกได้ให้ละอัตตาตัวตนที่มันยึดเป็นเจ้าของ เป็นผู้เดียวเป็นผู้มีอำนาจเป็นผู้ใหญ่ผู้มาก เป็นตัวกูของกูเจ้าเข้าเจ้าของให้มาลดราคะละอัตตาจนกระทั่งเห็นว่าเป็นของทุกคนเป็นส่วนรวมเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน กินใช้ร่วมกันไม่ต้องมีของกูเป็นตัวกูได้เลยไม่ต้องเป็นตัวตนไม่ต้องเป็นของของตนได้เลยมันเป็นคุณลักษณะที่มีจริงพวกเรามอง ออกไหม

คนข้างนอกเขาไม่เข้าใจง่ายๆ เขาจะมองว่าครอบครัวไหนมีสมบัติมากมีความร่ำรวยเป็นสมบัติของเขา แล้วก็อยากจะมีแบบเขาให้เอามาเป็นของเราให้หมด อันนี้น่าเอาอย่างนะอันนี้น่าได้หน้ามีหน้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ต่างคนต่างจะแย่งมาแย่งมาโดยไม่รู้ตัวสร้างให้มีให้เป็นให้อาศัยสร้างขึ้นมาได้อีก แล้วก็อวดกันให้เห็น ว่าก็นะอร่อยนะสนุกนะชอบเธอนะจริงๆนะ อวดเบ่งกันให้คนเอาอย่าง คนก็อยากได้อย่างนี้บ้างต่างคนต่างจะเอาจะเป็นจะมีใครแย่งมาเป็นตัวกูของกูทั้งนั้นสังคมแบบนี้ทุกข์ไหม 

 สังคมที่อาตมาเอามาให้ทำนี้เป็นสังคมแบบใหม่ กินใช้ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันสังคมจีนเรียกว่าสังคมกงสีเป็นครอบครัวใหญ่ นอกจากของพระพุทธเจ้า ที่มาแย่งคนอื่นส่วนกงสีของจีน แย่งคนอื่นมาให้ครอบครัวของตนเองให้มากให้รวยเป็นโลกีย์แต่ก็ยังดีเป็นองค์รวมส่วนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นกงสีที่ใหญ่ รวมกันอยู่แล้วมีพร้อมมีมากมายเหลือเกินมีสิ่งที่เราเองกินใช้พอแล้วที่เหลือเราก็สะพัดไปเหลือเกื้อกูลข้างนอกเขา

 1 สังคม พระพุทธเจ้าไม่เป็นหนี้ใครถามว่าไม่เป็นหนี้ นี้ลึกซึ้ง เราเองเราไม่เอาของใครมา  สังคมสมัยใหม่นี้ใครยืมใครมาจะต้องเสียหนี้เสียดอก ใครคิดระบบนี้ขึ้นมาเป็นการทรมานมนุษย์มาก แทนที่จะให้ไปแล้ว เสียสละให้เขาเลยแต่นี่ให้ไปแล้วต้องเอาคืนกลับมาแล้วเองต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยอันนี้หน้าโลหิตเลือดมาก  ของพระพุทธเจ้าแก้ไขโดยการมารวมกันอยู่แล้วไม่เป็นหนี้

 2 พึ่งตนเองรอดสร้างเองทำเองแล้วทำให้มากให้เกินให้พอให้เหลือด้วยแล้วก็เอาส่วนเกินส่วนมากนี้ สะพัดเพื่อแบ่งแจกผู้อื่นมีชีวิตอยู่อย่างนี้คือผู้มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เป็นชีวิตที่จบเป็นชีวิตที่เจริญเป็นชีวิตที่เป็นสุขเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนเดียวทำได้ 1 คุ้มตัวเองรอดไม่เป็นหนี้ไม่ไปเบียดเบียนใครเลย สร้างเหตุปัจจัยเองพึ่งตนเองรอดแล้วทำเกินมีเหลือเกินเผื่อมากเท่าไหร่ก็สะพัดออกเท่าที่เราจะสัมผัสแจกได้ให้คนอื่นจริงๆตั้งแต่คนคนหนึ่งครอบครัว ครอบครัวหนึ่งจนคนหลายคนหลายครอบครัวก็มีพฤติกรรมอย่างนี้ มารวมกันเข้าสู่ครอบครัวร้อยครอบครัวอย่างชาวอโศกธรรมเป็นชุมชนจนเกิดสังคมชนิดใหม่สาธารณโภคีนี้

โดยปริยายโดยสังคมแล้วประชาธิปไตยก็ต้องการรวมของมนุษย์ต้องการนอกจากพวกเห็นแก่ตัวที่ไม่มีความคิดนี้แต่ต้นแต่ต่อมาก็เห็นว่าจะต้องมารวมกันวันนี้เขาก็รู้ แต่เขาไม่ลดต้นเหตุคือกิเลส กิเลสมันฉลาดหลอกคนว่าทำเพื่อมวลมนุษยชาติเป็นประชานิยม ตอนนี้ที่สะดุดกันคือประชานิยมเป็นการหลอกโลก หลอกให้ดีใจเหมือนกว่าให้คนอื่นนะแต่ล้วงตับกินไส้กลับมามากกว่าอีก เป็นกลเม็ดกลยุทธ์ของคนทั้งโลกเลย ใครฉลาดซ่อนแฝงมาให้คนรู้ว่าตนเอามามากเท่าไหร่เค้าว่าเป็นคนยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจเป็นมหาอำนาจที่เร็ว

 มหาอำนาจอย่างพระพุทธเจ้ามีธรรมเป็นสาธารณโภคีนี้ยิ่งใหญ่แต่เขาไม่รู้ตัวต้นเหตุ ว่าคือ มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐามโนมยามันจับตัวกิเลสไม่เป็นลดกิเลสไม่จริง

ทุกคนก็พอรู้จักอาตมาตั้งแต่เรียนมาจนเรียนจบยังดีนะยังมาวัดบ้างอยู่ข้างวัดบ้างอยู่ในวัด 1 คนบ้างอยู่ในชุมชนได้ก็พอสมควรคุณก็จะกลับมา อาตมานำธรรมะนี้มาสอนมาเผยแพร่มาให้ทำกันจนกระทั่งเกิดศรัทธาพวกนี้จนป่านนี้แล้วคุณก็จะได้รู้ได้เข้าใจแล้วมากน้อยก็แล้วแต่ตามภูมิปัญญาลองเทียบดูสิ

 ข้างนอกทั้งโลกเขาเพื่อดูว่าคนข้างนอกเขาเป็นอยู่กันจะเป็นอย่างนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ลึกลึกเขามีปฏิภาณว่า มาร่วมกันดี ดีเป็นอาเซียนเป็นยุโรปอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาไม่มีทฤษฎีและลดกิเลสไม่ได้ศาสนาทุกศาสนาก็พยายามมาให้ลดกิเลส แต่เขาไม่ชัดไม่รู้จักกิเลสที่เป็นนามธรรม กิเลสเป็นอาการของจิตอ่านอาการก็ไม่ได้ว่าอาการอย่างนี้คือโทสะเป็นความปลอดจากการอย่างนี้เป็นโลภ จะเอามาเป็นของตน อาการอย่างนี้คือราคะเอามาเสพรสทางสัมผัสเสียดสีกามคุณ 5 ต้องแต่ต้องสัมผัสแบบนี้จึงเป็นรสชาติเกิดสภาพเช่นใจ เป็นกิเลส

จะบอกจุดให้เอาไปศึกษา ถ้าไม่เกิดการสัมผัสจะไม่เกิดเวทนาไม่เกิดก็อารมณ์ความรู้สึกอะไร เพราะสัมผัสแล้วถ้ามันมีตัวตั้งว่าถ้าเราได้สัมผัสอย่างนี้ มีเจตนาอย่างนี้จะรู้สึกว่าเกิดรสชาติจนกระทั่งกลายเป็นรสชาติราคะชื่นใจได้แตะต้อง ซึ่งมันสร้างเองเราไม่มีเจตนาไม่มีตัวตั้ง สมอุปาทานว่าได้แตะต้องก็ชื่นใจ เช่นเราไปปฏิพัทธ์ใครสักคนเราได้แตะต้องได้ลูบคลำได้อะไรก็จะชื่นใจ มันเกิดอาการนั้นตามจริง

แต่ถ้าคนไม่มีตัวตั้งนี้ก็ต้องไปแตะต้องสัมผัสอย่างเพื่อนกัน แตะต้องสัมผัสกันก็ไม่รู้สึกว่ามีไม่มีอะไร เป็นพี่เป็นน้องเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นหลานเป็นเพื่อนเป็นฝูง แตะต้องก็ไม่เกิดอะไร เพราะไม่มีตัวตั้งกิเลสไว้ว่ามีรสชาติน่าสัมผัสแตะต้องอะไร

เข้าใจลึกซึ้งขึ้นใหม่นี่แหละคือตัวสมมุติตัวกิเลสแท้พระพุทธเจ้าก็มาสอนให้ลดไปจนกระทั่งสุดท้ายให้อุเบกขาให้วางจะแตะต้องสัมผัสก็เหมือนกับการเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนเป็นฝูงแต่ต้องสัมผัสกระทบเท่านั้นจะแตะแรงก็กระทบแรงแตะเบาเบาก็กระทบเบาไม่มีอะไร

แต่มีตัวตั้งว่าไม่ให้แตะใครมาแตะก็จะโกรธจะถือสา แตะตอนนี้มาแรงกว่านี้ก็เจ็บถ้าไม่ถือสากันแตะแรงก็ยังไม่ถือสานะ ดีไม่ดีตั้งแตะแรงด้วยเพื่อนกันไม่ต้องโมโหตบกันทีพลั๊วะแล้วเจ็บจริงๆแต่ก็ไม่ถือสากัน นี่คือจิตเราตั้งไว้ทั้งนั้นด้วยเจตนารมณ์ว่าจะถือสาหรือไม่ถือสา ถ้าไม่ถือสาก็ไม่มีอะไรมาจะเจ็บ ส่วนทางราคาะพวกซาดิสม์พวกมาโซคิสยิ่งแรงเท่าไหร่ยิ่งเกลียดชัง กระทบกระแทกกระเทือนยิ่งเจ็บยิ่งแรงยิ่งชอบก็คือจิตวิตถารซาดิสม์ซึม นี่คือจิตใครติดมันทั้งนั้นเลยแล้วก็ไปตั้งว่าต้องได้ตามอุปาทานต้องได้ขนาดนั้นอย่างนี้มีสเปกอย่างนั้นอย่างนี้

ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้เรียนมาจากมหาวิทยาลัยไหน ก็มาจากมหาวิทยาลัยพุทธ แต่พุทธทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยถึงแล้ว อาตมาเอามาจากของเก่าได้มาแล้วมาอธิบายให้ฟัง ขอคุยตัวหน่อย ว่าเขาจะอธิบายได้อย่างอาตมาหรือไม่ อาตมาว่าอธิบายได้ถึงพริกถึงเนื้อถึงตัวของกิเลสถึงอารมณ์ความรู้สึกของอุปาทานได้ไม่ใช่น้อยนะ ที่บรรยายสู่ฟังเมื่อกี้นี้

 พูดถึงสังคมรวมที่ได้สร้างได้ทำกันมาก็เป็นการกระทำที่ดีแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะบอกสิ่งวิเศษของพระพุทธเจ้าคือวิชาความรู้ ที่พูดไปเมื่อกี้นี่คือวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สุดวิเศษก็อดไม่ได้ที่จะแจกให้บ้างรังเกียจไหมคิดว่าไม่น่ารังเกียจนะว่าเป็นสิ่งที่ควรได้

 

มาพูดถึงพฤติกรรมสังคมปัจจุบัน ตอนนี้สังคมต้องการองค์รวมของสังคมพฤติกรรมและกระแสในประเทศไทยนี้รัฐบาลก็พยายามรวบรวมเพื่อจะให้อยู่รวมกัน ก็มีวิธีการใช้ร่วมกัน จิตคนถ้ามารวมแล้วก็จะมาสร้างมาร่วมกันทำได้ดีได้ใหญ่ แต่ถ้าตัวกูของกูมันไม่ลดก็จะมาก่อเรื่องราว มนุษยชาติเขาก็ระมัดระวัง บางคนต้องให้ออกจากเขต ทุกวันนี้โลกโลกาภิวัตน์ globalization อยู่เมืองนอกก็เชื่อมโยงต่อเข้ามาได้ทำกิจกรรมทำลายสังคมทำลายมนุษยชาติได้ก่อกวนกันอยู่ตลอดเวลายังไม่เลิกไม่จบ

 ถ้าสามารถเข้าใจองค์รวมของพวกเรา ที่อาตมาทำมาเป็นชุมชนสังคมสาธารณโภคีผู้ใดเข้ามาได้มาเป็นมวล 1 หน่วยอณู 1 หน่วยของชาวอโศกแล้วร่วมกันไปด้วยระบบวิธี วัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมอย่างที่ชาวอโศกแต่ละแห่งเป็นกัน

มันกินลึกที่ชาวอโศกแต่ละแห่งก็เป็นหนึ่งเดียวกันอีก นี่คือความยิ่งใหญ่ชาวอโศกแต่ละชุมชนที่อยู่ทั่วประเทศ แม้ชุมชนเล็กชุมชนน้อยก็ยังซ้อนไปอีกว่า เป็นหนึ่งเดียวกันอีก พึ่งพาอาศัยกันโดยปริยาย แผ่นดินของสีมาอโศกก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับของที่ราชธานีอโศก แต่ละคนไปหาเอาเองจะได้คนละสักเท่าไหร่ แต่นี้เราก็หาว่าให้มากมายแล้ว แต่ก็ไม่เข้าใจหนีกันไปสร้างของตัวเองอีก

 กลุ่มของพวกเราทุกคนก็ยังอายุแค่นี้ ถ้าไปสร้างครอบครัวก็ยิ่งจะมีภาระ พระพุทธเจ้าก็สอนไว้หมดว่า ผู้ที่ตั้งตนเป็นคนโสดท่านเรียกว่าบัณฑิตผู้ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง แต่กิเลสและธรรมชาติพวกนี้มันก็เป็นไปตามธรรมชาติธรรมชาติ

ตัวกิเลสคือตัวเกิด เราต้องพยายามรู้ตัวเกิดที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ชาติ 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ จนกระทั่งชนะธรรมชาติอยู่เหนือธรรมชาติได้ ไม่ใช่ว่าธรรมะคือธรรมชาติแต่โลกุตรธรรมคือธรรมะเหนือธรรมชาติ ธรรมชาติก็ยังมีทุกอย่างมีชาติ ศาสนาพระพุทธเจ้าดับชาติได้แล้วช่วยเหลือคนอื่น ผู้บรรลุธรรมตั้งแต่พระอรหันต์ก็ไม่มีชาติแล้ว ได้อยู่ช่วยเหลือคนอื่นไปให้ได้เป็นอยู่สุขเป็นหมู่รวมไม่ต้องเดือดร้อนมาก

 สังคมที่เขาหาทางออกอาตมาว่า ทางออกคือของพระพุทธเจ้านี้เป็นทางออกที่บริบูรณ์แล้ว ท่านตรัสทฤษฎีของท่านไว้ประกาศไว้มาตั้งสองพันหกร้อยกว่าปี ครบแล้วยังดีมากเป็นแต่เพียงคนไม่เข้าใจถูกต้องกลับออกไปจากความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

อาตมามาทำงาน 45 ปีกู้กลับมาได้แค่นี้เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้แค่นี้แต่ก็ไม่น้อย อาตมาภาคภูมิใจที่ไม่เสียหลายสามารถเอาสังคมเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาประกาศให้พวกเราได้ใช้ จนเกิดภาวะความเป็นจริงตรวจสภาพจริงขึ้นมาได้ขนาดนี้ อาตมาก็ยิ่งเห็นจริงว่าทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้เป็นทฤษฎีที่จริงที่สุด ได้ใช้ยากมากเลยมีทฤษฎีปลอมทฤษฎีที่ตรงกันข้ามเลวร้ายโลกีย์เรียกง่ายๆว่าทุนนิยม ที่เป็นคนละทิศทางกับของพระพุทธเจ้า อาตมาเรียกระบบที่พวกเราทำดีว่าระบบบุญนิยม

 เราเริ่มต้นทำมาก็อนุโมทนาสาธุแล้วทำให้จริงแล้วเรียนรู้ตามมาด้วย อาตมาอธิบายธรรมะไม่ยอมเหนื่อยไม่ขี้เกียจไม่ท้อแท้ ตั้งใจจริงที่จะประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าพวกเราเป็นลูกเป็นหลานได้เชื้อทางนามธรรม เป็นเผ่าพันธ์พุทธมาแล้วอาตมาฉีดไปให้แล้ว ฉีดวัคซีนเข้าไปแล้วทั้งนั้น ได้น้อยได้มากก็แล้วแต่บางคนก็ไม่แยแสเสียด้วยซ้ำแต่อาตมามาเสียบเข้าไปแล้วเสียบวัคซีนเข้าไปอยากเอาออกก็ออกไม่ได้ อย่าทำเป็นรังเกียจหน่อยเลยน่า ของดีให้ศึกษาแล้วต่อเชื้ออันวิเศษของพุทธนี้ไปให้ตัวเองให้ดีแล้วก็เชื่อมต่อกันไปเราก็พยายามปลูกฝังเช่นนี้ตลอดเวลาในหมู่กลุ่มทั้งอาตมาทั้งสมณะ สิกขมาตุ แม้แต่ชาวอโศกก็ช่วยกัน เพื่อให้เกิดเชื้อพุทธอันนี้ เป็นเผ่าพันธุ์พุทธนี้ให้เกิดขึ้นมาให้จริงให้ได้ เมื่อเข้ามาแล้วตามเหตุปัจจัยก็เป็นความรู้ที่ทุกคนมีแนวคิดแต่เมื่อไหร่จะทำเท่านั้นเมื่อเริ่มต้นทำแล้วจงทำต่อไปให้ดีที่สุด มันดีแล้ว เริ่มต้นทำไปเถอะ

 

 _ ถามว่าถ้าเราไม่รู้ภาษาธรรมะเราจะได้มากได้ผลหรือเปล่า

 ตอบ...เพราะเราไม่รู้ภาษาพูดอะไรก็ไม่รู้ความหมายไม่รู้เรื่องเลยก็บ่ได้มรรคได้ผลแน่นอน ก็จงโง่ต่อไป มันต้องรู้ความหมายบ้างจากความหมายลึกซึ้งความหมายอะไรก็แล้วแต่ มันมีความจำมีเป็นภาษาเช่นคนจำภาษาคำว่ากิเลสไม่รู้ แต่ฟังแล้วรู้ว่าหมายถึงสภาวะอะไรก็รู้  คือให้รู้สภาวะแท้ไม่ใช่แค่รู้ภาษา  ไม่ว่าไม่รู้ภาษาแต่เข้าใจสภาวะได้ว่าหมายถึงอันนี้ก็ใช้ได้มันจึงต้องอาศัยทั้งสองด้านทั้งสองอย่างถ้ารู้ทั้งสองอย่างได้ก็สมบูรณ์ต้องพยายามแต่ถ้าพยายามแล้วไม่ได้ก็ต้องให้เข้าใจสภาวะเนื้อแท้ทางจิตวิญญาณให้ได้จริงให้เกิดสภาวะให้ได้ จนสามารถคั้นเอาความจริงนี้ให้เข้าใจได้ บางทีเราฟังธรรมมะนี้ไม่เข้าใจแต่รู้ว่าหมายถึงอะไร เราฟังภาษาไม่ออกแต่ได้ฟังที่พูดแล้วภาษานี้พยัญชนะนี้บาลีคำนี้มีพลความมีองค์ประกอบ ฟังแล้วก็รู้เข้าใจสภาวะได้เข้าใจความหมายถูกตรงบางคนก็ไม่ตรงเป้านักก็แล้วแต่ตามฐานะ

 เด็กบางคนก็เข้าใจภาษาก่อนแล้วไปทำสภาวะตามหลังเด็กบางคนเข้าใจสภาวะก่อนแล้วก็ไปเรียนรู้ภาษาตามทีหลังก็มี สรุปแล้วมันควรทั้งสองด้านถ้ารู้ด้านเดียวมันก็ขาด

 

_ ถามว่าญาติพี่น้องที่เราเสียไปแล้วจะมาเกิดเป็นญาติพี่น้องเราอีก

ตอบว่า...เป็นไปได้เนื่องจากจิตมันมีความผูกพันสองก็มีวิบากของกรรมแต่ละคนแต่ละคนซึ่งมันเป็นอจินไตยบางวิบากต้องพรากบางวิบากต้องดึงเข้ามามันมีอีกมากมายไม่ใช่แค่เหตุปัจจัยเดียว  เป็นเรื่องที่ละเอียดมากเป็นอจินไตยสรุปแล้วมีโอกาสไหมก็มี ถ้ามีความผูกพันเราก็อยากให้มา เราไม่ต้องอยากให้มีความผูกพันหรอก ไปเที่ยวอยากมันมีพลังน้อย แต่เราลงทุนไปเยอะถ้าอยากได้มากๆแต่พลังมันก็จะมีน้อยผู้ตายไปแล้วพลังของตัวเองเป็นหลักแล้วก็จะถูกวิบากเป็นตัวขับเคลื่อนศาสนาเทวนิยมมีพระเจ้า คนที่ตายไปแล้วก็เป็นสิทธิของพระเจ้าเต็มรูปเป็นลูกของข้าเป็นแม่ของข้าเป็นตัวข้า พอตายไปแล้วคุณไม่มีสิทธิ์ก็เป็นของพระเจ้าพระเจ้าก็สั่ง หมดอำนาจคนจะดึงมาสู่อำนาจพระเจ้าไม่ได้หรอก อำนาจพระเจ้าคืออำนาจของกรรมวิบาก เช่นทางเทวนิยมถือว่าเป็นของพระเจ้า แต่ของอเทวนิยมเป็นของกรรม ดังนั้นอำนาจของเรามีน้อยเนื่องจากตายจากกันไปแล้ว ถ้าอันนี้ลูกข้า พ่อข้า เมียข้า ผัวข้า คนก็ไม่มีฤทธิ์ ตายไปแล้วหมดสิทธิ์

 ถ้าเป็นพระอรหันต์ท่านก็ไม่ไปดึงไปทึ้งอะไรอีกที่จะต้องไปทุกข์ในการดึงการรั้งที่มี action reaction จะเกิดความทุกข์ แต่ถ้าพลังงานกลางกลางไม่ดูดไม่ดึงก็ไม่ทุกข์  ไม่ต้องเสียเวลาเสียแรงไปยึด ไม่เสียพลังงานเลยไม่เกิดรังสีของการดูดดึงผลักออกในทางเลวร้ายทั้งนิวเคลียร์ฟิชชันและนิวเคลียร์ฟิวชัน

ถ้าเราทำใจเป็นกลางได้ก็ง่ายสะดวกตายจริงๆแล้ว ไม่ต้องมีความผูกพันเลยไม่ว่าจะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นหลานเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะมารวมกันให้เป็นความธรรมดา ให้สิ่งมารวมกันด้วยธรรมดา(ธรรมตา)คือความเป็นธรรมะ คือสัจจะสูงสุดดีกว่าที่เราจะไปดึงเอามารวมกันอย่างครอบครัวแต่ละครอบครัวที่ร่วมกันอยู่คุณหนักกว่ามาเป็นครอบครัวส่วนรวมส่วนกลางที่จะทำงานได้เต็มที่ ไม่ห่วงหาอาวรณ์ลูกก็อยู่ผัวก็อยู่เมียก็อยู่ อยู่กันอย่างเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกเป็นหลาน แช์กันไป สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่รู้ไม่น่าจะยากแต่คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ

ความเข้าใจเช่นนี้ความรู้เช่นนี้ต่อไปจะแพร่หลายในโลกมั่นใจว่าให้สุขทั้งตัวเองและสังคม

 

_ถ้าเราถวายที่ส่วนหนึ่งของเราให้สร้างวัด ต่อมาวัดเขาไม่มีรั้วก็ขยับมาเอาที่ของเราเพิ่มอีกเราจะทำใจอย่างไรจึงจะได้บุญ

 ตอบว่า...เป็นความซับซ้อนของกิเลสทั้งคู่เลยกิเลสวัดและกิเลสผู้ให้เป็นกิเลสทั้งคู่เลยเขาให้อยู่แล้วทำไมตะกละจะเอาเปรียบอีกรุกล้ำ เราไม่ต้องทำใจอย่างไร ของเราก็ยกให้หมดเราก็หนีไปอยู่ที่อื่น ตอบที่สุดยอดเลยคือเรื่องของตัวกูของกูทั้งนั้น ของไม่ใช่ของกู กูก็จะเอามาเป็นของกู มีวัดอะไรนะเค้าให้เรายังตะกละตะกลามอีก แต่เอาของเขาอีกอะไรกันนักกันหนา อย่างนี้ เราก็ต้องอยู่ในหลักของพระพุทธเจ้าว่าเราเกิดมาเพื่อให้นี้สุดยอด ก็ให้หมดเลยนี่แหละสุดยอดแต่เอาเถอะเรายังห่วงเป็นตัวกูของกู ให้ส่วนหนึ่งแล้วเขาก็ยังตะกละจะทำใจอย่างไร

ก็ต้องรู้ว่าทำไมเขาตะกละนัก ก็บอกกรรมการวัด ก็พูดให้เข้าใจว่า ภาษาที่พูดนี้เขาจะเข้าใจไหม เช่นเราก็ให้ไปแล้วส่วนนั้น อันนี้ขอไว้ได้ไหม ท่านจะมารุกรานเอาของคนอื่นมันไม่ดีเข้าใจไหม ทำไมตะกละนัก คุณพูดให้ดีอย่างอาตมาพูดนี้ ถ้าจะให้คืนมาทางโน้นใจกว้างให้ไปแล้วให้คืนมาก็ยังดี แต่ทำไมรุกรานเพิ่มอีก

แต่ความจริงแล้ว ให้ไปแล้ว แต่รุกรานเอาคืน เขาอาจคิดเช่นนี้ ก็ไปเอาช่างรังวัดมาให้รู้จริง ไม่มีอื่นนี่ ต่างคนต่างพูดว่าตนเป็นเจ้าของ

การได้บุญนั้นทั้งคู่ไม่ได้บุญเลยก็ยังมีตัวกูของกู แต่บุญคือการละตัวกูของกู ให้ไปแล้วตัวเราเองจะได้เป็นอิสระ ได้สละออกแต่ทั้งสองคนนี้ไม่สละออกเลย ก็ให้กรรมการของประเทศมาตัดสินถ้าตัดสินไม่ได้ก็เอาปืนมายิงก็แล้วกันใครตายคนนั้นก็จบ คนชนะก็ได้ที่ แต่เข้าคุกนะว่าคุณไปยิงเขาตาย

บุญคือ สันตานังปุนาติ วิโสเทติ บุญคือการชำระกิเลสออกจากจิตสันดานให้หมดจด แต่เขาไปเข้าใจว่าบุญคือการได้อะไรมา แต่แท้จริงบุญคือมีดคือเครื่องมือตัดกิเลส หากเป็นอรหันต์แล้วก็เป็นผู้สิ้นบุญส้ินบาป ปุญญาปาปกริกขีโณ ไม่ต้องใช้บุญอีก

บุญไม่ใช่กุศล กุศลเป็นแค่เครื่องอาศัย จะบอกว่าได้บุญไหม ไม่ได้เลยเพราะทะเลาะกันจะฆ่ากันตาย

 

_ บางอย่างเราเข้าใจแต่เรายังทำไม่ได้ ความโกรธต้องระงับ แต่เราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะทำจะทำอย่างไรให้มีพลัง

ตอบว่า...ก็มีปัญหาโลกแตกแบบนี้ต้องมาปฏิบัติธรรมให้มีพลังงานไปปัญญาที่จะไปละลายสิ่งที่คุณยึด ไฟปัญญานี้มีในคนเท่านั้นสัตว์อื่นทำไม่ได้ แล้วมีในอาริยบุคคลเท่านั้นที่ทำได้ มันมีพลังไฟปัญญาไปสลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้จริงๆ อาตมาเคยสอนว่าโกรธนี้หยาบกลางละเอียดบรรจุซองเป็นละอองธุลีไม่ว่าจะขนาดไหนจะขนาดยักษ์ขนาดใหญ่ขนาดกลางขนาดเล็กขนาดน้อยขนาดบรรจุซองขนาดละอองธุลี ที่เป็นลักษณะของความโกรธให้ kick it out  ไม่มีประโยชน์อะไรเลยความโกรธต่อชีวิตจิตใจเลย

ฟังวันนี้เข้าใจแล้วถ้าเกิดอาการโกรธหยาบ กลางละเอียดขนาดไหนก็ให้เข้าใจอาการโกรธอยู่ในจิตซึ่งมันไม่มีประโยชน์ให้เลิก ทำให้จิตกลายเป็นความสบายสบาย จิตยินดีให้สมานเป็นประโยชน์ต่อกันทำใจอย่างนี้เรียกว่ามนสิกโรติ ทำแบบนี้เข้าใจแล้วไปทำจริงๆคุณจะเห็นผลว่าสบายนะ มันร้อนนะถ้าโกรธ เป็นภัยเป็นโทษโกรธมากๆก็ทำร้ายทำลายฆ่าแกงกันไม่มีดีเลย อาการที่ไม่ดีให้ออกจากจิตเลย ความโลภความรักยังดีกว่าเลย  ซึ่งจะมีภัยต่อไปก็ค่อยว่ากัน แต่รักแบบเกื้อกูลช่วยเหลือกันมิติที่ 7 ขึ้นไป ที่ต้องอาศัยบ้างเป็นความรักที่มีพลังงานประสานช่วยเหลือเกื้อกูล

 คนไม่โกรธอย่างเดียวนี่สุขเท่าไหร่แล้ว

 

_จากนั้นพ่อครูได้เมตตาจับสลาก เลือกศิษย์เก่าที่จะเป็นผู้โชคดีได้รับภาพภายพ่อครูที่ขยายใหญ่ จำนวนสามภาพ ที่มีลายเซ็นพ่อครูติดภาพถ่ายด้วย 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:10:18 )

581115

รายละเอียด

                             

581115_พ่อครูเอื้อไออุ่นชาวเมฆาอโศก จ.บุรีรัมย์

พ่อครูมาถึง ที่ส่วนกลางสวน

 

พ่อครูมาถึงเมฆาอโศก

 

 

เวลา 17.00 น. พ่อครูได้แจกภาพพ่อครูให้แก่ลูกๆ

 

 

จากนั้นพ่อครูได้พูดคุย เอื้อไออุ่นกับชาวเมฆาอโศก ที่มารวมตัวกันที่ศาลาส่วนกลางประมาณ 40 คนเลยทีเดียว เป็นอาวาสถานแล้ว เราก็จะมาเป็นสังคมแบบใหม่ เป็นสังคมส่วนรวม พวกอาเซี่ยนก็จะรวมกัน เขาจะเปิดประเทศ อีกหน่อยจะไม่มีวีซ่า เขาจะต้องทำอย่างนี้

 

ที่จริงพวกเราสาธารณโภคีของพพจ.สอนเรามาด้วยสัจจะของพพจ.ทำให้พวกเราไม่มีตัวตนไม่มีตัวเราของเรา จะประสานเป็นส่วนกลาง พวกเราเป็นพวกนำหน้าเขาหมด เขาพยายามรวมกันเหมือนเอาไก่มาใส่เข่ง ก็จะจิกกันแย่ แต่พวกเราที่ไม่เข้าใจก็แตกแยกกันอยู่ ที่ส่วนกลาวเราก็มีแล้ว อะไรก็พอทำได้ ให้มารวมกันสาธารณโภคี รวมกันรวมใช้ คนไหนขยันเสียสละมากก็ได้กุศลมาก ได้เป็นประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ ได้ก่อประโยชน์อยู่ด้วยกัน แบ่งแจกกัน ใครไม่ดีก็อบรบกัน

 

พวกเราทำนำมาก่อนเขาจริงๆ ให้บูรณะขึ้น ตอนนี้เป็นอาวาสถานแล้วนี่ใครคิดมาอยู่ได้รวมกันเป็นคนนำหน้าเขาเลยนะ นำ้ก็มีมากปุ๋ยก็เติมแล้วไม่มีปุ๋ยก็ขึ้นเอง ขาดแต่คนเท่านั้น คนก็มาสิทำช่วยกันไป ศึกษาฝึกฝนให้ดี เกิดมาก็มีชีวิตสร้างสังคมแบบนี้ให้แก่โลก สังคมสาธารณโภคี พพจ.สอนเอาไว้ อาตมาภูมิใจที่ได้นำสาธารณโภคีนำมาทำได้สำเร็จทุกวันนี้ แม้ในกลียุคก็ทำได้ เป็นธรรมฤทะิ์ของพพจ. คนสามารถรับได้แล้วเอามาเกิด กับโลกทุนนิยมสมัยใหม่ที่ต่างกับเขาคนละขั้วเลยนะ

 

สาธราณดภคีนี้ทวดของคอมมิวนิสต์นะ เป็นคอมมูนโดยจิตวิญญาณไม่ใช่คอมมูนบังคับ มันก็ห่างไกลกัน เป็นของจริงที่ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ พระพุทะศาสนาให้อิสรเสรีภาพซื่อสัตว์กว่าปชต.ด้วย ยิ่งสาธารณโภคีเสียภาษีเต็มร้อยเปอร์เดซ้น ปชต.สู้ไม่ใได้หรอก ทำลแ้วเข้าส่วนกลางหมด อย่าว่าแต่เป็นทวดคอมมิวนิสต์เลย เป็นปู่จองปชต. เป็นทวดของคอมมิวนิสต์เลย ยังไงๆก็ลองมาช่วยกันดูให้เป็นรุปเป็นร่างต้นหมากรากไม้เก็ฐกินกันไม่หมด ถ้ามาอยู่นี่เก็บต้นหมากรากไม้อยู่ก็ไปรอดแล้ว ปลูกข้าว มีร้านค้าขายปุ๋ยขายกะลาอีก ก็ไม่เลวเลย จะไปบอกท่านชัดแจ้งว่า เผยแพร่เชื้อไว้ทุกวันนี้ยังทำเป็นสินค้าใช้ได้อยู่เลย

 

มาอยู่รวมกันคนก็จะมีพฤติกรรมตามมรรคองค์ 8 บ่วยกันคิดช่วยกันทำ สร้างระบบ ขอ้สำคัญคือลดกิเลส ซื่อสัตว์เสียสละกิเลสลดละตัวตนจริงๆ รายละเอียดของทฤษฎีอาตมาก็เทศน์บรรยายละเอียดเลย ตามศึกษาให้ดี เราก็จะได้แก่เรา จะกี่ชาติๆก็ต้องพัฒนาล้างกิเลสตนเองจนกว่าจะอรหันต์จะได้นิพพาน ถ้าไม่สูงสุดก็ต้องวนเวียนไปอีกนานนับชาติ ใครคิดได้ก็ต้องหาทางออกทางจบ เราเป็นอรหันต์แล้วมีหลักประกันจะอยู่ต่ออีกกี่ชาติก็ได้ เราไม่ทุกข์ไม่เป็นภัยแก่โลกแก่สังคมแล้ว บำเพ็ญโพธิสัตว์ช่วยโลกสัีงคมมนุษยชาติต่อไป อย่าจะปรินิพพานเหมือ่ไหร่ก็จบได้ ไม่เช่นนีั้นก็ทุกข์ลากไป มีวิบากดึงขึ้นลงไปเรื่อยๆ ผิดพลาดตีลังกาหานรกอีก อดยกาเป็นเช่นนั้นก็เชิญ ใครคิดได้ก็มาทำ

 

พวกคุณเชื่อไหมที่อาตมาพาทำนี้สัมมาทิฏฐิ พาสู่นิพพานได้ ใครเชื่อแล้วไม่ทำก็โง่

 

อาตมาก็ได้บทกวี สี่แผ่นดิน ของเมฆาอโศก

 

แหล่งธรรมะสุดประเทศ

 

ก่อเกิดแหล่ง แสงธรรม      สุดประเทศ            

กลุ่มเมฆา     ใกล้เขต        ประเทศเขมร

ปักธงธรรม   นำก่อ           บริเวณ                           

เพื่อหลีกเร้น  เว้นอธรรม    มาย่ำยี

 

มีขุนเขา        เป็นเขต        นิเวศวัด                          

เสียงสัตว์      คือสังคีต       ที่ดีดสี

สายน้ำใส     ไหลล่อง       คลองวารี                        

ห้วยนี้หรือ    ชื่องาม                   นามเมฆา

 

กลุ่มก่อเกิด   มาได้           เพราะใจสู้                       

เราเรียนรู้      สัจธรรม       อันล้ำค่า

เอาศีลนำ      ธรรมเด่น      เป็นนาวา                        

คือพวงแพ่     นำพา           พ้นผองภัย

 

เป็นแหล่งเกิด         กสิกรรม       ธรรมชาติ              

ปุ๋ยสะอาด    ปราศพิษ      คิดแก้ไข

สร้างผลผลิต คิดพลี                    มีน้ำใจ                           

เราจน          แต่ย่ิงใหญ่    ในแผ่นดิน

 

12 ปี           ที่รอ             คอยพ่อมา                                

เยี่ยมเมฆา    อีกครั้ง                   ดังใจถวิล

อยู่สุดใด       ไกลแดน       สุดแผ่นดิน                      

โลกระบิล     ถิ่นระบือ      คือแดนบุญ

 

อยู่คนเดียว   เดี่ยวโดด      ประโยชน์ใด          

สำนึกใน       ใจน้อม                  พร้อมให้หนุน

รอคอยคน    ดลคู่             ผู้มีคุณ                           

หนีแวว                  แนวความวุ่น นอกสกุลวงษ์

 

สาธารณ       โภคี             มีคุณค่า

แสดงสิทธิ์     จิตสาสา       ถ้าประสงค์

เป็นลายแทง แห่งธรรม      นำเป็นธง

พุทธดำรง     คงรู้              อยู่นิรันดร์

 

อ.เป็นต้น นาประโคน 15 พ.ย.2558


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:11:01 )

581115

รายละเอียด

581115_วิถีอาริยธรรม วังน้ำเขียว ทลายฟาร์มปรทัตตูชีวกเปรต

พ่อครูว่า….วันนี้วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2558 ปีนี้มาเทศน์วิถีอารยธรรมบนภูเขา อยู่วังน้ำเขียว เขาเรียกว่า กลุ่มเขาภูหลวง  อำเภอวังน้ำเขียว  พูดถึงน้ำเขียวที่บ้านราชฯเราได้ขุดสระขึ้นมาซึ่งมีน้ำสีเขียวมรกตใสสวยแต่พอฝนตกหนักน้ำโคลนก็ลงไปน้ำ ก็เลยไม่กลายเป็นสีเขียวเหมือนเดิมไม่รู้จะทำอย่างไร  แล้วก็มีคลองถอยหลังเข้า พยายามจะทำให้น้ำใสจะลงทุนเท่าไหร่จะทำให้น้ำใสนี่นะ เกิดมาปางนี้ต้องสร้างเองหมดสร้างป่าเขาสร้างแม่น้ำสร้างลำธารเราก็ต้องสร้างคน

เราก็ไปแย่งชิงหน้าที่พระเจ้า ทำให้เกิดวงจรครบจะทำให้เกิดพลังงานน้ำเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องใช้พลังงานอื่นเราก็ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทำให้น้ำหมุนเวียนเป็นวงจร มอเตอร์อื่นเราก็จะใช้พลังงานแสงอาทิตย์  เพื่อให้เกิดวงจรธรรมชาติ ทุกวันนี้ธรรมชาติถูกคนทำลายให้สูญเสียไปมากมายช้างม้าวัวควายไม่ทำให้ธรรมชาติเสียหายมากเท่ากับคน เราต้องมาทำกลับคืน

 โดยเฉพาะคนที่พระเจ้าสร้างมาให้เป็นคนที่มีจิตใจสูง ก็กลับกลายเป็นคนจิตใจเสื่อมทรามไปหมดแล้ว ก็ต้องสร้างปรับให้คนกลายเป็นคนมีจิตใจสูงจิตใจงดงาม คนมีใจสูงคือคนมีใจที่รักมวลมนุษยชาติเหมือนพระเจ้า และไม่ได้รักอย่างเห็นแก่ตัว รักอย่างเป็นตัวกูของกู

แต่รักอย่างรวมกันสามัคคีช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันเผื่อแผ่แบ่งปันกันมีอะไรก็อยู่กันอย่างมีจิตมีใจเอื้อเฟื้อ เจือจานอย่างอบอุ่นเป็นพี่เป็นน้องเป็นตระกูลเดียวกันช่วยกันไป พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้อย่างแท้จริง

เป็นสิ่งที่สังคมมนุษยชาติทั้งโลกไม่ว่าสังคมกลุ่มไหนตั้งแต่ผีตองเหลืองอยู่ในป่าที่ไม่รู้เรื่องอะไรไม่ค่อยจะชัดเจนในเรื่องของสังคมจนกระทั่งถึงสังคมประเทศที่ใหญ่มีพลเมืองเป็นล้านล้านหลายร้อยล้าน พันล้านก็แล้วแต่ก็อยู่รวมกัน มีนัยยะเดียวกันคือความไม่เห็นแก่ตัวความเสียสละ แล้วเป็นคนที่มักน้อย กินอยู่หลับนอนใช้ทรัพยากรให้สมดุล ถ้ามันขาดหรือมันเสื่อมก็ต้องสร้างทดแทน ก่อสร้างสิ่งที่จำเป็น ไม่เอาแรงงานพลังงานไปทำสิ่งผลาญพร่ากับความร่าเริงสนุกสนาน จะต้องมัน ต้องสัมผัสต้องดูต้องเห็นเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มอมเมาแล้วหลอกลวงปรุงแต่งกันว่า มีชีวิตชีวามีรสมีชาติเสียเวลาแรงงาน

ทำให้เกิดรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของอบายเป็นเรื่องเสียเวลาเป็นเรื่องความโง่ เราก็ชัดว่าเราเลิกมันได้จริงๆอย่างหมดรสชาติ คนที่หลงยิ่งมอมเมาตกเป็นเหยื่อถูกเขามอมเมาไปเรื่อยเรื่อย ยิ่งบอกว่าเจริญก็ยิ่งมาเมากันจัดจ้านเป็นการสนุกในรสการแข่งดีแข่งเด่นเช่นการกีฬาไม่ว่าจะมาเมารสชาติรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส บันเทิงเริงรมย์จัดจ้านขึ้นทุกวันแล้วก็ส่งเสริมกันให้เป็นดารา ใครทำได้จัดจ้านมีแทคติกเทคนิคมีกลเม็ดอะไรที่จะทำให้คนติดรส ชอบใจพอใจก็สร้างขึ้นมาพยายามใส่เข้าไปเยี่ยมยอดอะไรต่างๆนานาซึ่งเป็นอารมณ์สุขอันเล็กน้อย เป็นอารมณ์เพศอารมณ์หลอกเป็นอารมณ์ไร้สาระมีแต่มอมเมายิ่งบำเรอกิเลสก็ยิ่งโง่ยิ่งหลงไปได้ด้วย แต่เขาไม่รู้จริงๆก็เลยเกิดความสูญเสียแล้วแย่งชิงกัน

 ค่าตัวดารานักกีฬาแพงมากเท่าไหร่เป็นเครื่องชี้บอกว่าสังคมโลกเลวขึ้นมากเท่านั้นฟังให้อีกร้อยครั้ง  สังคมยิ่งมีราคาของนักกีฬากับดารามอมเมาสูงขึ้นมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นคือเครื่องชี้วัดความเสื่อมของสังคมโลกเท่านั้น เพราะนั่นคืออบายมุข แต่ทุกวันนี้โลกหลงใหลได้ปลื้มเก่งเป็นยอดเป็นเลิศไปหมด

แต่คนมาสร้างสรรปลูกข้าวสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารสร้างเครื่องอาศัยของชีวิตอันนี้ดีกว่า ดีกว่ามากได้อาศัยในชีวิตยังชีพไป เราไม่ได้ไปหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปชนะคะคานจนประสาทจะแตกกับเขา อย่างพวกที่ทีมชนะทีมเตะเข้าโกลก็รู้สึกสนุกมาก สักวันหนึ่งจะเส้นโลหิตแตกตายคาสนาม ยิ่งมาเห็นฆ่ากันยิงกันที่ฝรั่งเศส ปารีสตายเป็นร้อยเลย แล้วก็จะเป็นไปอย่างงั้น เค้าก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไรก็คือสร้างสิ่งมอมเมาด้วยความไม่รู้เรื่องเป็นอวิชชามันจะไปกันใหญ่

 พวกเรามาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้วดูโลกดูสังคมเขาไป เขาจะหาว่าเราโง่เง่าเต่าตุ่นก็ไม่มีปัญหาเราเข้าใจ แต่ใครถูกใครผิดนั้นอยู่ที่สัจจะให้เรียนรู้ดีๆอาตมามั่นใจว่าได้พามาทำในทิศทางที่ถูกสร้างสรรค์สิ่งดีงามไม่ไปแย่งชิงแข่งขันให้สร้างสรรค์พึ่งตัวเองให้ได้ ซึ่งอาตมาก็ว่าเป็นเรื่องสุดยอดของความเป็นมนุษยชาติแล้ว ยืนยันว่าความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาเอามาประกาศเป็นความรู้เรื่องมนุษย์และความเป็นสังคมแค่นั้นแหละ

แล้วท่านก็รู้ว่ามนุษย์คืออะไรสังคมคืออะไร ก็คือมีโลกกับตัวตนคือโลกกับอัตตาที่มันสังเคราะห์กันอยู่ แล้วเราก็เป็นตัวมวลของโลกนี้จะอยู่เป็นประโยชน์ของโลกอย่างไร พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้จนสรุปว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

เพราะว่าคนสบายแล้ว

1 ไม่เป็นหนี้เป็นคนสบายไม่เชื่ออย่าลบหลู่ไม่เชื่อก็ช่างไม่ง้อ

2 พึ่งตนเองรอดทำอยู่ทำกินรอด จนทำให้เหลือทำให้เกิน

3 ทำให้เกลือกินเหลือใช้ ในสิ่งที่จำเป็นที่สำคัญ

4 แจกจ่ายเพื่อแผ่ เกื้อกูลคนอื่น

เราจะใช้ 4 หลักนี้ไปอีกนานจนกว่าโลกจะแตก ผู้ใดทำได้ผู้นั้นรอดไม่เป็นหนี้พึ่งตัวเองรอดทำให้เหลือทำให้เกินแล้วแจกจ่าย  เป็นคนที่มีพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

 นี่คือจุดจบจุดสำเร็จของพระพุทธเจ้าจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตย หรือเผด็จการหรือคอมมิวนิสต์ก็เป็นจุดสุดยอด คือพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

แล้วก็มารวมกันพระพุทธเจ้าเสด็จลงที่สาราณียธรรม 6 จาก จิตที่มีคุณสมบัติตามพุทธพจน์ 7 อย่างพระพุทธเจ้าเอามาประกาศมาสองพันหกร้อยกว่าปีแล้วเราก็มาฟื้นคืนความรู้นั้นทำได้มา 45 ปีแล้ว

งานนี้ชื่อว่างานก้าวตามรอยพ่อ ฉลองบนยอดเขาให้ขึ้นมายากๆ ก็ยังมีคนน้อยนัก แต่ก็ยังไม่มากเลย ก็ต้องขึ้นมายากๆหน่อยจะขึ้นมาเพราะอากาศบริสุทธิ์แจ่มใสอะไรก็ดี

ก็มาจัดตลาดอาริยะก็ยังไม่เต็มเต็งนะ เพราะพวกเรายังไม่แข็งแรงพอต้องขายอย่างถล่มทลายเลย ขายคือไม่ใช่แจกตลาดอาริยะนี่ เปิดตลาดแหล่งขายไม่ใช่แหล่งแจก ไม่ใช่โรงบุญไม่ใช่ที่แจก เพราะฉะนั้นขายให้ราคาต่ำที่สุดได้นั่นคือความเป็นอารยะเสียสละได้มาก

อย่างพวกเราขายอาหารจานละบาท เป็นราคาต่ำสุดแล้วที่จริงจะให้ฟรีก็ได้แต่ก็ต้องขาย เพราะเป็นตลาด ขนาดนี้ก็ล้างจานกันแทบจะไม่ไหวแล้ว บางทีก็ช่วยกันล้างหน่อย ก็ช่วยเหลือกัน เราก็ทำมาให้เกิดระบบที่เป็นพฤติกรรมสังคมเป็นวัฒนธรรม เราทำมาได้พอสมควรก็เกิดสะพัดเกิดทำงานขึ้นมาได้มีผลสำเร็จพอสมควรมาเกิดที่นี่บนยอดเขา

 ปีนี้เขาก็ฉลอง ได้อาวาสถานใหม่ เราบัญญัติและตั้งขึ้นใหม่ให้เป็นอาวาสถานที่ 9 แห่งปีนี้นอกจากจะมีพุทธสถาน สังฆสถานแล้วชุมชนต่างๆนานาก็ตั้งขึ้น เป็นอาวาสถานให้มารวมกลุ่มกัน ให้มาทำงานร่วมกันและเป็นสังคมกลุ่มที่จะมีพฤติกรรมสังคมมีงานมีการอะไรต่างๆ สร้างสรรค์ขึ้นมา

 ชุมชนต่างๆของชาวอโศกมีจุดมุ่งหมายให้เป็นสาธารณโภคีตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นทฤษฎีเอกของโลกอีกกี่กัปกี่กัลป์ที่สุดยอดแล้ว สาธารณโภคีนี้เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหญ่ยิ่งของบท

ทุกวันนี้ที่เขายังไม่ค่อยเข้าใจ อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาปลูกฝังเข้าไป ชัดเจนนะว่าไม่ใช่ของอาตมาแปลเป็นของพระพุทธเจ้า  อาตมาเป็นประกาศกนำโองการของพระพุทธเจ้ามาประกาศ

 ทุกอย่างเป็นองค์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน กินใช้ร่วมกัน เกิดจากจิตวิญญาณที่ไม่ยึดเป็นตัวเป็นตนเป็นของตัวของตน จึงเป็นเช่นนั้นจริงจึงยอมได้แล้วเห็นดีด้วยว่าอย่างนี้ดีเป็นของส่วนรวมเป็นสิ่งดี อาศัยใช้กินอยู่ แบ่งกินแบ่งใช้แล้ว แต่ละคนก็เป็นคนมีปัญญาไม่ใช่มาผลาญทำลายแต่ประโยชน์สูงประหยัดสุดช่วยกันสร้างและช่วยกันกินกันใช้อย่างไม่ได้ทำลายชีวิตร่างกาย

ไม่ใช่กินน้อยใช้น้อยจนสุขภาพร่างกายเสียก็ไม่ใช่ ได้อย่างพอดีสมดุลร่างกายแข็งแรงไม่เกินไม่ขาด แล้วก็ช่วยกันสร้างสรรค์ทำมาหากินไม่หยุดเป็นตัวเป็นตนเอามารวมเป็นของกลางแล้วแจกจ่ายแบ่งปันกัน

พิสูจน์มาแล้วหลายชุมชนสาธารณโภคีตั้งแต่พ.ศ. 2527 ปฐมอโศกถือเป็นหลักแหล่งในการประกาศ จนกระทั่งถึงปีนี้ปี 2558  เป็นมา 31 ปีแล้ว  ก็ได้เห็นผลเป็นรูปธรรมไม่ได้เสแสร้งไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นของแท้ใครจะมาระแวงสงสัยข้องใจก็ไม่เป็นไรเราทำไปเถอะเราจริงใจเราก็ทำของจริง เรารู้ว่าเป็นเรื่องประเสริฐรุ่นดีจริงๆซึ่งโลกทั้งโลกนักแสวงหาแต่เขาไม่เชื่อเขาจะไม่เชื่อเราในประเด็นที่ว่า

 1 มาอยู่อย่างไม่มีตัวมีตนไม่เป็นของตัวของตน มาอยู่แบบคนจนจะอยู่ได้อย่างไร แล้วยิ่งมีน้อยน้อยอีกด้วยคนเขามีเผื่อไว้มากมายยังไม่ค่อยพอเลย นี่มันเป็นความเข้าใจยากเป็นเรื่องของปัญญาญาณคนไม่เชื่อก็ไม่เข้าใจคือ ตัวเราต้องล้างลดตัวตนออกจริงๆ วิญญาณต้องลดราคะแล้วปัญญาต้องเข้าใจอย่างมีอุภโตภาควิมุติ จะเห็นจริงว่าสบายจริงๆ เอื้อเฟื้อเจือจานเป็นสาธารณโภคีเป็นสุขมากเลยชีวิตชาตินี้ เห็นประชาชนเป็นอย่างนี้ได้ไหมจะเป็นกลุ่มเล็ก แต่มันเป็นของที่เป็นตัวอย่างของโลก โลกทั้งโลกเกือบหมดเขาต้องการความเป็นอยู่สุขเช่นนี้เอื้อเฟื้อกันไม่ต้องแย่งชิงกันเช่นนี้แลเลี้ยงดูกันเกื้อกุลกัน อุ้มชูกันไป พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้อย่างนี้ แต่เขาไม่รู้จักวิธีทำกับเขาทำไม่ได้เราทำได้ก็พากเพียรไป

 มีคนสงสัยอยู่ว่าคนเข้าใจว่าอย่างนี้ดีแต่ว่าเรากดข่มไว้สะกดไว้มาทำอย่างนี้มันเท่ดีดูดีมันสร้างภาพนี้ให้คนเห็น แต่ความจริงเราไม่ได้สร้างภาพมันเรื่องจริงมันของจริง เขาก็ระแวงยังไม่เชื่อแล้วเขาจะรอดูว่าเมื่อไหร่มันจะหมดความอดทน เมื่อไหร่มันจะมาเป็นอย่างกูวะ เค้าก็หาพวกให้เป็นอย่างเขาเราก็บอกว่า เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง

เรามาทางนี้ได้แล้วก็ชัดเจนจะไม่กลับไปแน่เขาก็รอเก้อ เท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสสัจจะว่า นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

แต่เอาเถอะถ้าจะมาก็ทำมา 45 ปีสำหรับกลุ่มหมู่เกาะ 31 ปีถือว่าปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกก็ได้เท่านี้ให้ดูไปพวกเราไม่ใช่ชาวดูไบ ให้อีกร้อยปีประมาณนั้นคนจะพอเชื่อถือก็ต้องใช้เวลา

 1 เป็นไปได้ เป็นไปได้ไม่ง่าย 2 เมื่อไหร่จะหมดน้ำอดน้ำทน เราว่าเราไม่เปลี่ยนกลับเราต้องมั่นใจว่าไม่มีวันกลับ อย่างไม่ต้องอดต้องทนอะไรเลย มันสบายด้วยซ้ำก็จะไปไหนเล่า อย่าว่าแต่ร้อยปีเลยถ้าอยู่อีก 500 ปีก็จะอยู่อย่างนี้

อาตมาถึงจะพยายามปลูกฝังให้นานให้แน่นเป็นของจริงที่มีมวลมีกลุ่ม ทั้งคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอ ที่มันจะหมุนให้กลุ่มนี้อยู่ในโลกนี้ต่อไปได้  ซึ่งโลกนี้มีอวิชชามาก

แต่มีคนที่แสวงหาจึงมีปัญญาก็จะมาเอาได้ ก็จะมีจำนวนหนึ่งจนกว่าความเป็นบรรลัยจักรของโลกที่ศาสนาอเทวนิยมเรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกส่วนพวกเทวนิยมก็เรียกน้ำท่วมโลก จะมีเรือโนอาห์มาช่วยคนที่มีบุญคนที่สมควรจะต้องไปขึ้นเรือเอาไป ส่วนของเรานี่ไฟประลัยกัลป์ล้างโลกแล้วผู้มีบุญก็จะอยู่รอด ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้เป็นผู้อยู่ยงคงกระพันรอดอั นนี้เข้าใจยากกว่าเรือโนอาห์ของเราก็มีนาวาบุญนิยม ใครไม่เชื่อไปดูที่บ้านราชมีตั้งหลายลำ

 อาตมาตั้งใจจะสร้างราชธานีอโศกให้เป็นเมืองที่มีคนแบบนี้มีศิลปะวัฒนธรรม มีองค์ประกอบเช่นนี้มีวงจรสมดุลหมุนเวียนเป็นอย่างดีอาตมาปักหลักทำงานอย่างนี้มา 45 ปีแล้วป่สก็จะปลูกภูเขาก็จะสร้างอาตมาไปอยู่ที่นั่นมีแต่น้ำท่วมจนคนหาว่าบ้ามาอยู่ที่เช่นนี้คนอื่นเขานี้หมดแล้วเราก็บ้าก็บ้าวะ ที่แรกน้ำท่วมทุกปี  ทุกวันนี้น้ำท่วมน้อยลง

ประเทศไทยว่าในหลวงต้องทำแก้มลิงเราก็ทำคลองเชื่อมน้ำเราก็จะทำอะไรก็ทำมาเรื่อยเรื่อย เพราะเขาไม่มีเราก็จะสร้างภูเขา น้ำตกไม่มีเราก็จะสร้างน้ำตก ลำธารก็ไม่มีเราก็จะสร้างลำธาร แก่งไม่มีเราก็จะสร้างแก่งให้เกิดหมุนเวียนไอน้ำในอากาศดีไม่เหมือนกรุงเทพที่เขาตรวจว่าบรรยากาศเป็นพิษไม่เหมาะที่จะเป็นที่อยู่ของคน  แต่ที่สันติอโศกเราก็สร้างบรรยากาศให้เป็นธรรมชาติ มีน้ำตกมีพวกมีภูเขามีแม่น้ำคนเข้าไปก็จะได้รับความเป็นธรรมชาติ

 แต่อโศกนี้คนเขาหาว่าเป็นตัวสกั๊งของสังคม น่ารังเกียจเราก็ไม่เป็นไรก็อ่อนน้อมถ่อมตน เรามั่นใจว่าเราใจดีแล้วไม่ได้ไปโกรธเกลียดชังรุกรานใครว่าเราเราก็เอื้อเฟื้อเจือจานเขา เขาไม่ให้ช่วยเขาระแวงก็ไม่เป็นไร เราก็จะทำอย่างนี้ไปให้ยาวนานเสียสละให้เห็นจริง ใช้ระยะเวลาพิสูจน์ เราไม่ได้มาทำเล่นไม่ได้มาทำเหลาะแหละ ทำตลอดทำอย่างมั่นคงแข็งแรงซึ่งเป็นสัจจะ

พูดไปมันเป็นเรื่องใกล้ตัวคุยโม้ แต่เป็นเรื่องจำเป็นที่มนุษยชาติจะต้องมีซึ่งเห็นใจว่าเขาหนักมาก เราจำเป็นจะต้องสร้างต้องทำวันนี้ถ้าจะนับว่าอาตมาเป็นมนุษย์ลูกหลานของพระเจ้าอาตมาก็ขอยืนยันว่าขอยืนยันว่าจะมาเป็นประกาศกเป็นบุตรของพระเจ้ามาทำงานอันนี้ให้แก่สังคมมนุษยชาติ

ถ้าจะนับถือว่าจะมาเป็นศาสนาพุทธไม่นับถือพระเจ้าอาตาก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าที่เห็นแก่สังคมเห็นแก่มนุษยชาติเข้าใจสังคมเข้าใจโลกและเข้าใจอาตมาเรามาช่วยกันทำให้ดี

อาตมาไม่ได้ว่านับถือพระเจ้าหรือไม่แต่อยากให้เห็น

ความแตกต่างว่าอันไหนดีกว่า จะบอกว่ายกตนข่มท่านก็แน่ใจว่าเป็นสัจจะที่ดีกว่า ไม่ได้แสดงข่มอะไร อธิบายสัจจะ ใครเข้าใจหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา  ทุกวันนี้ก็มีคนในศาสนาอื่นและคนในศาสนาพุทธเข้าใจอาตมาเพิ่มขึ้นบ้าง

       ในประชากร 67 ล้านคนของไทยเป็นชาวอโศกจริงๆนับตัวที่อยู่เป็นหลักเลยไม่ไปไหนมาไหนทุกชุมชน จะมีถึง 6700 คนไหม  อาตมาไม่มีปัญหาว่ามันจะมากไหม แต่ต้องการความจริงอาตมามั่นใจที่สุดว่ามนุษย์ต้องมาเอาอันนี้ถึงจะดีที่สุดสบายที่สุดประเสริฐที่สุด ใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ใครที่เชื่อแล้วก็เข้ามาเลยอยู่ที่ไหนก็ให้เข้ามาโดยเร็ว คุณจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ นี่ไม่ได้แช่งนะ อย่างดาราชื่อปอ ก็เป็นคนที่เป็นศิลปิน พยายามทำดีคนก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องดี คนก็มีปัญญาเหมือนกัน

      ซึ่งคนไม่เข้าใจเรื่องศิลปะกับอนาจารว่าจะแยกกันอย่างไรจะเป็นมงคลอันอุดมเป็นเรื่องสร้างสรรค์ให้คนเจริญพัฒนากับอนาจาร เป็นอย่างไรมันก็มีสองทิศทางง่ายๆ พวกศิลปินก็มาเมากันมากมายอนาจารมากมายแต่ก็ได้เงินได้ทองกันไปทั่วโลก ยกตัวอย่างง่ายๆ  ไมเคิลแจ็คสัน เต้นท่าทางลามกอนาจาร ถ้าตายไปแล้วคนก็จะหลงไปอีกมากมาย  ส่วนไมค์ไทสันก็บ้าบ้าบอบอดีไม่ดีไปกัดหูเข้าอีก

       วังน้ำเขียวเป็นสถานที่สัปปายะมากเลยอาตมาไม่ได้มาผลักดันแต่มันก็เป็นไปเองตามปัญญาของคนที่มาทำคนไหนที่ชอบที่นี่ก็มาทำก็มาอยู่ก็ร่วมกันปลูกฝังชักชวนเพื่อนฝูงที่อยู่รอบๆตัว อย่างที่ได้ทำมา  อย่างตระกูลหมายยอดกลางก็ทำมาเรื่อยเรื่อยมาแต่ที่สันติอโศกก็ได้อาศัยผักจากที่นี่ส่งไปให้

       อาตมาทำทุกด้านในเรื่องของสังคมมนุษยชาติ เพราะอาตามาเป็นลูกของพระพุทธเจ้าเอาเชื้อเหล่าเผ่าพันธุ์นี้มาจากพระพุทธเจ้ามาไว้ในตัวเองแล้วก็มาสืบทอดมาแพร่เชื้อตามที่พระพุทธเจ้าแผลเป็นให้แก่มนุษยชาติอย่างแท้จริงเท่าที่จิตของอาตมาจะสามารถ

       สังคมโลกก็พยายามทำประชาธิปไตยประชาธิปไตยที่แท้จริงคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทำตามคำที่ว่าพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

      เป็นการรับใช้โลกอย่างแท้จริงไม่ใช่อย่างที่พวกนักเลือกตั้งมาบอกว่าจะรับใช้ประชาชนตอนจะไปหาเสียงนั่นเอง เราก็ทำอย่างจริงใจแต่เขาก็นึกว่าเรามาทำร้ายโลกคนไม่รู้ก็เป็นเช่นนั้นทั้งทั้งที่เราจริงใจไม่ได้มาทำร้ายทำลายอะไรเลยในสังคมมนุษย์มีแต่จะมาช่วยเหลือมาให้สร้างสรรค์ร่วมกัน ความเป็นประชาธิปไตยที่ต้องการกันทั่วโลกทางรัฐศาสตร์ ก็บอกว่าวิธีการบริหารสังคมไม่มีแบบไหนดีเท่าประชาธิปไตยเพราะประชาธิปไตยเป็นแบบที่มีความไม่ดีเต็มที่น้อยที่สุด มีความเสียความบกพร่องน้อยที่สุด ยังหาแบบที่ดีกว่านี้ไม่ได้อาตมาก็ขอเติมไปว่าแบบที่ดีที่สุดไม่มีปกครองเลยไม่มีแบบไหนเกินจะดีกว่าประชาธิปไตยสะอาดบริสุทธิ์เท่านี้ได้ขอยืนยัน

       และที่อาตมาพาทำให้ภาคภูมิใจที่ยังไม่ถึง 50 ปีรูปร่างของสังคมประชาธิปไตยก็มีถึงขั้นรวมคอมมิวนิสต์ในประชาธิปไตย   คอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางวัตถุนิยมไม่มีจิตวิญญาณมันก็เลยไม่ได้

ส่วนอีกพวกนั้นเอียงไปทางจิตนิยมเข้าป่าเขาถ้ำ แม้แต่ศาสนาพุทธในประเทศไทยก็ไปหลงคารมถูกครอบงำเป็นพระป่าไม่มีโลกะวิทูช่วยโลกไม่ได้ ไม่ได้เรียนรู้โลกไม่ได้อยู่เหนือโลก แล้วก็รู้โลก กระทบผัสสะก็รู้โลกรู้กระทบโลกกาม โลกรูปภพอรูปภพ

โลกคือสิ่งที่สังเคราะห์สังขารกันอยู่ เราก็รู้เหตุปัจจัยแล้วสามารถแก้ต้นเหตุได้ตลอด พระพุทธเจ้ามีทฤษฎีที่สูงสุดแล้วแล้วให้เรียนรู้อย่างนี้ จะอยู่ช่วยโลกสร้างตนเองให้มีภูมิคุ้มกัน อะไรเราก็ทำร้ายเราไม่ได้เราก็อยู่เหนือโลก โลกทำให้เราอ่อนแอต่อโลกธรรมไม่ได้ มีลาภมากี่ล้านกี่ล้านมาทุ่มให้เรา เราก็ไม่ได้เป็นไปกับเขา เพราะเรามีแต่ความสูญแต่ที่คนไม่ค่อยเชื่อง่าย เพราะโลกนี้มันเสื่อมคนหาตัวอย่างไม่ได้ เรากำลังเกิดตัวอย่างไปตามลำดับ

      อาตมาว่าตั้งเวลาไว้ 500 ปีโลกทั้งโลกจะยอมรับแล้วแต่ถ้าคนมีคุณภาพมาก็จะลดเวลาลงแต่มันก็มีสภาพจริงมาด้วยก็ลดเวลาลง

ศาสนาพุทธศึกษาหมดเลยไม่ว่าจะกี่สมัยกี่ยุคประวัติศาสตร์ศาสนาพุทธ ก็เข้าใจในยุคสมัยเข้าใจในตำนานกี่ล้านปีก็ตามแต่เลิกสัญญาเก่าได้ ของไอน์สไตน์ว่าผู้ใดมีความเร็วเหนือวัตถุคือแสงคุณจะรู้จักจริงในอดีต ผู้ระลึกชาติได้เลยขีดความเร็วของแสง ก็จะรู้ความจริงเท่าที่จะระลึกได้แล้วจะรู้ว่าโลกก็หมุนเวียนอย่างนี้ตลอดเวลามันเสื่อมแล้วก็เจริญเจริญแล้วก็เสื่อมวนเวียนกันไปเช่นนี้  รู้จักอรรถะและธรรมะ

คือโลกกับธรรม ก็เท่านั้นเอง ถ้าเราทำตนให้เป็นอรหันต์ เราก็เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความไม่มีพิษภัย  แล้วอยู่ช่วยโลกเป็นมือหนึ่งในการช่วยโลกของพระเจ้า ซึ่งแล้วแต่อรหันต์ที่จะมีสมรรถนะกับปัญญาต่างกันแต่ความจริงใจบริสุทธิ์ไม่มีตัวตนไม่ทำให้ตัวตนไม่ทำให้พวกของตนนั้น อรหันต์มีทุกคนเหมือนกัน ทำอย่างบริสุทธิ์ช่วยโลก ตามวิชาการหรือทฤษฎีเอกของมนุษยชาติศาสนา

 แต่ละศาสนาก็เดินมาทางนี้แต่ของพุทธมีครบหมดเข้าใจหมดขออภัยเหมือนกับไปข่มศาสนาอื่นเขาต่อไปในอนาคต ก็จะมีการศึกษาให้รู้ทฤษฎีแบบนี้  แล้วศาสนานี่แหละจะมีความเป็นตัวของตัวเอง น่าจะเป็นตัวต้านที่ไม่ค่อยดี แต่ด้วยสัจจะของวิทยาศาสตร์แล้วการไม่มีแรงต้านเลยมันกำลังเกิดสูงสุด จะไม่มีต้องมีแรงต้านให้พอเหมาะจะเกิดพลังงานทดแทนที่เอามาใช้งานได้สูงสุดอันนี้ต้องคนฉลาดที่จะรู้และเข้ามาใช้เป็นประโยชน์ได้พวกเราจะรู้แล้วจะใช้ทำงานได้

คนฉลาดแล้วก็จะใช้สิ่งที่เขาต้านมาให้เป็นประโยชน์มาทำงานได้อาตมาถูกมหาเถรสมาคมกับคนที่เถรสมาคม ฝังหัวไว้มาห้ามกั้นเรา แต่เราก็ทำได้อย่างมีอัตราก้าวหน้าได้จริง เชื่อว่าสังคมโลกต้องการจุดนี้ เป็นคุณธรรมของพระพุทธเจ้ากับพระเจ้าที่เป็นอันเดียวกัน

 

      วันนี้ได้เต็มเรื่องที่ได้ลงลึก ที่คนเข้าใจเรื่องพลังงานที่ลึกซึ้งๆที่เรียกว่าเป็นพลังเงินเลวกับพลังงานดีคือคำว่า ปรทัตตูปชีวี หรือเรียกเต็มว่า ปรทัตตูชีวกเปรต

      ปรทัตตูปชีวี  เป็นพลังงานระดับจิตวิญญาณเริ่มเป็นชีวะมา อยู่ในหนังสือยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์หัวข้อที่ 46

      ปรทัตตูปชีวี  แล้วก็จะกลายเป็นเปรตคืออะไร  คำว่าปรทัตตูปชีวีคือพลังงานเริ่มต้นที่ก่อเกิดเป็นชีวะ คือพีชะ แล้วกำลังจะพัฒนาเป็นจิตนิยาม ความเป็นชีวะ cell แล้วมีเหตุปัจจัยต่อเติมไปเรื่อยๆ

      ถ้าเริ่มมีชีวขึ้นมาหน่วยเล็กที่สุด จากช่องว่างที่เรียกว่า Niche เรียกว่าชีวะเรียกว่า cell ซึ่งcell ตัวแรกเรียก primarycell  ถ้าเป็นสองเซลล์ก็เรียกว่า secondary cell มีแค่สองนี้จะขยายได้ยากมีแค่วนไปมาในแนวระนาบ แต่ถ้าเร่ิมมีมุมมีองศา ก็เกิดการเคลื่อนที่เป็นอิสระ นี่แหละคือพีชะ 1 เร่ิมสามเส้าแล้วก็เป็นตัวที่ลอยออกมาเคลื่อนที่ได้ แต่จริงๆแล้วพืชนี่เคลื่อนที่ไม่ได้นะ นอกจากลอยไปมาในน้ำก็พอมี แต่บนบกจะยาก

      มันมีcell แล้วมีเหตุปัจจัยต่อเติ่ม มีสองมีสาม ถ้าสมุทัยไม่เกิดแม้จะมีแค่ primary cell และ secondary cell ถ้าไม่เกิดเหตุปัจจัยที่ 3 ก็ไปได้แค่แนวระนาบรอวันเสื่อม ไม่มีวันโต เรียกว่าแท้ง แต่ถ้ามี 3 ขึ้นมา เป็นวงวนหมุนเวียนแล้วเกิดตัวใหม่เป็น 4 5 6 เป็นเส้าที่สอง แล้วมีเส้าที่สามเป็น 7 8 9  ก็จะสมบูรณ์ขึ้น

      ปรทัตตูปชีวี ต้องอาศัยชีวิตอื่นเติมจึงจะก้าวหน้า คือมันต้องมีเหตุปัจจัยอื่นมาต่อเนื่องมันถึงจะเจริญต่อไป ถ้าไม่มีก็จะแท้งได้ ถ้าคนมีเชื้อของตัวผู้แล้วมีไข่ของตัวเมียมาสัมพันธ์กันแล้วเกิดพลังงานอีกหนึ่งเรียกว่าวิญญาณ ถ้าวิญญาณไม่หยั่งลง ก็ไม่เป็นธรรมะสอง เป็นอิตถีเพศกับปุริสเพศ ถ้ากระทบกันแล้วไม่เกิดภาวะวิญญาณไม่หยั่งลงก็แท้ง ไม่มีสัตว์หยั่งลง ปรทัตตูปชีวี ต้องอาศัยวิญญาณถ้าไม่มีองค์ 3 ก็แท้ว หรือจะก้าวหน้าต่อไปอีก เกิดเป็น 4 เสริมไปอีก แล้วสร้าง 5 สร้าง 6 ได้ก็มีหลายเส้า จนเป็น 10 ถือเป็นตัวกลางสุด

      มหาจักรวาล มีโลกทั้งหลายก็อยู่ในนัยยะเช่นนี้หมด

ปรทัตตูปชีวี มีสองสัย1.แท้ง 2.เกิด ถ้าได้อันอื่นเกิด ถ้าไม่ได้ก็แท้ง

ปรทัตตูปชีวี เขาแปลว่าต้องอาศัยอาหารจากคนอื่นจึงจะรอด  เช่นพ่อที่ตายไปแล้วชอบไก่ย่างลูกก็เลยเอาไก่ย่างไปถวายพระและอุทิศส่วนกุศลให้พ่อมันไม่ได้หรอกมันไม่ได้ไปไหนเลยอยู่อย่างร่มลมแรงไปแล้วพ่อแม่อยู่บ้านเลขที่เท่าไรอยู่ตำบลอะไรคนจะส่งไปให้จะส่งไปทางไหนบอกว่าทั้งตรวจน้ำ มันก็ลงดินเท่านั้นพ่อแม่อยู่ไหนก็ไม่รู้

ปรทัตตูปชีวี ต้องอาศัยอีกสิ่งหนึ่งมาร่วมคือวิญญาณถ้าไม่มีก็จะแท้ง   เพราะว่าโลกทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าทานกว่ากันให้เป็นชีวิตที่มีคุณค่าที่สุดแล้ว  แต่มีบางพวกก็เอาเรื่องการให้นี้มาหลอกคนว่าจะได้สวรรค์วิมานอะไรให้ทำทานแล้วแต่กิเลสเพิ่มขึ้นมีความโลภเพิ่มขึ้นนี่คือปรทัตตูปชีวีที่สอนกันให้ตั้งจิตขี้โลภมากขึ้น นี่คือปรทัตตูปชีวีหรือปรทัตตูชีวกเปรต   ไม่มีการลดละกิเลสแต่ทานแล้วกลับทำให้กิเลสมากขึ้นหน้าขึ้นคือปุถุชนแม้แต่ทานก็สอนอย่างมิจฉาทิฐิแผนที่จะทำให้กิเลสแทงลงหรือเสียวลงใต้ลงแต่กลับทำให้กิเลสอ้วนขึ้นได้ขึ้นโตขึ้นหนาขึ้น

 คนที่ทำธนบัตร 8 พันล้านรุ่นรวยเรื้อรังก็ได้แบบอย่างธรรมกายนี่แหละ ก็ช่างหาคำว่าหลอกคนแล้วคนก็ช่างโง่เชื่อได้ทำไมโง่ได้ขนาดนี้จริงจังขออภัยไม่ได้ด่านะแต่พูดให้รู้ตัวว่าโง่แล้วเรื่องของปรทัตตูปชีวีก็ไม่รู้จักความเป็นเปรตของตนให้เขามอมเมาสร้างเปรตสร้างกิเลสของตัวให้ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ตั้งฟาร์มกิเลส พากันตั้ง 3 กิเลสไม่หยุดยั้งอาตมากำลังจะพากันทำลายฟาร์มกิเลสให้หมดจากโลกให้มาช่วยกัน

 อย่างฟาร์มธรรมกายลุกลามมาจนกระทั่งสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นยังทำอะไรเขาไม่ได้เลย คสช.ก็ดูเหมือนจะทำอะไรเขาไม่ได้ขออภัยไม่ได้ดูถูก คสช. เขากำลังทำอยู่ก็ขอชมเชยว่าทำได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยดี

 คนที่เรียกร้องให้ปฏิรูปตำรวจเขาก็ด่าคสช.ว่าทำไมไม่ทำ แต่ว่าปัจจุบันหารู้ไม่ว่าตำรวจกำลังถูกปฏิรูปแล้วนะ ทำได้เรียบร้อยแต่ถึงวันนี้เขารู้ตัวแล้วต้องทำอย่างไรอย่างแรงไม่อย่างงั้นไม่ทันนะพวกนี้เขามีกลุ่มกำลังเหมือนกันอย่าไปทำเล่นไปแต่ทำได้ดีมากแล้วแต่ที่ทำอยู่

พลังงาน 3 หน่วยเป็นพืชเป็นตัวตนแล้วมีความเป็นเซลล์ self   มีตัวตนแล้วแต่ไม่ไปทำลายชีวะอื่นมีแต่สัญญาที่เอาธาตุที่จำเป็นมาสังเคราะห์ตัวเอง ใช้พลังงานดูดซึมง่ายๆ อันไหนดูดได้ก็เอาไหนดูดไม่ได้ก็ไม่เอา ไม่มีความรู้สึกไม่เป็นภัยกับใครกับอะไรแต่พอพลังงานเพิ่มเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 เป็น 7 เป็น 9 เป็น 10 ก็เป็นจิตนิยามเริ่มมีอิสระเสรีลอยตัวขึ้นมาต่างกับพืชที่ติดอยู่กับพื้นไม่มีอิสระมากแต่พอมาเป็นจิตที่เป็นเซลล์เป็นสัตว์ ตั้งแต่เลข 7(สัตตะ) เกิดเส้าที่สาม

 ถ้าปรทัตตูปชีวี เชิงลบ  ไปทำลายเลวร้ายก็จะเป็นเปรตตัวที่เลวทุกวันนี้ แต่ละประเทศเขาก็พยายามรวมพลังงานที่ใช้ความฉลาดเพื่อจะเอาชนะคะคานอันอื่น ไม่ใช่ไปรับใช้แต่ใช้ แต่ประชานิยมใช้ลักษณะประชานิยมหลอกคนอื่นว่าจะช่วยเขาแต่เลวร้ายที่สุด เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา  ให้คนอื่นเป็นเบี้ยล่างทั้งนั้นเลยช่วงนี้ฉลาดกว่าคนอื่นเราต้องไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของอันนี้

จาก cell มาเป็นself ก็ไม่อาละวาดกับสิ่งอื่น แต่พอมี ish เป็น selfish จะแรงระบาดมากขึ้นกว่า  ขนาดของตัวตนของพืชนั้นแคบแต่ถ้าเป็นถึงจิตนิยามนั้นไม่ใช่แค่ปรทัตตูปชีวี แต่เป็น ปรทัตตูชีวกเปรต คือปิติวิสัย เป็นภูมิแห่งเปรต เป็นตัวตนหยาบใหญ่อาละวาดเป็นตัวกูของกูแล้วล่ามาเป็นของกูตัวกูเพิ่มขึ้น

คำว่า ปรทัตตูปชีวี ที่เป็นเปรต ก็ไม่ใช่แค่ self แต่ไปอาละวาดเอาอันอื่นแย่งฆ่าแกงอันอื่นอีก

ขอสรุปว่า  ผู้มาเป็นคนแล้วจะมีพลังงานมากจนสามารถที่จะฆ่าหรือทำแท้งแต่มันทำแล้วศาสนาพุทธสามารถทำให้ตัวร้ายเป็นตัวดีไม่ใช่ฆ่าสลายไปหมดทั้งตัวมือมัดแขนและสะกดไว้ไม่ให้ทำงานซึ่งมันจะมีพลังงานเสริมของตัวมันเองอีกแต่พลังงานของพระพุทธเจ้าเปลี่ยนพลังงานร้ายให้กลายเป็นพลังงานดี แต่ก่อนมีพลังงานร้ายสองหน่วย ไปรวมตัวกันท้าย 2 หน่วยพอทำให้เป็นตัวดีก็จะลดค่าร้ายลงจนเป็นพลังงานดีก็จะได้พลังงานจากร้ายมาเป็นดี 2 เท่าเป็นพลังงานดี 2 เท่านี่คือวิธีการของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ให้ทำไปเถอะยังไม่ต้องไปกดข่มหรือทำลายให้กลายเป็นพลังงานช่วยกัน คนทั่วไปไม่มีพลังงานแล้วไม่มีความรู้ที่จะทำให้พลังงานนี้กลายเป็นพลังงานดีเสริมสมทบขึ้นมาอย่างที่อธิบายนี้

 พลังงานของพระพุทธเจ้าเราทำจากอันอื่นให้เป็นเราแต่ในความเป็นเราของพระพุทธเจ้านั้นเป็นเราที่เป็นอื่น เพราะเป็นเราที่ไม่ยึดตัวเราเป็นเราที่เป็นอื่นทั้งหมด ตัวเราคือทุกคนทุกคนคือตัวเรานี่คือภาษาพูดได้อย่างนี้แต่สัจจะความจริงเป็นเช่นนี้

เช่นใดชาวอโศกเราเป็นสาธารณโภคีที่เป็นชีวะเป็นพืช ส่วนจิตนิยามก็ทำพลังงานให้เกิดพลังงานทดแทน จากการเป็นตัวแย่งชิงเป็นตัวทำลายกันมาเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นพลังงานเสริมมาได้เรื่อยเรื่อย ก็คือจากโลกียะเป็นโลกุตระ

จากหลายอย่างเป็นอย่างเดียว เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ อยู่เสมอเสมอถึงทับทวีขึ้นมาให้อันอื่นมาเป็นเรา นี่คือ ปรทัตตูปชีวีที่แท้ แล้วไม่ใช่เป็นเปรตด้วยไม่ใช่เป็นเปรตด้วยแต่เป็นเทวดาดีที่แท้เป็นอุบัติเหตุล้างความเห็นแก่ตัวออกจากตัวเองจริงๆ

ปรทัตตูปชีวี ของพุทธจึงเป็นพลังงานที่ช่วยเหลือคนอื่นแต่ปรทัตตูปชีวี ที่เป็นของโลกอีกจึงไปเอาของคนอื่นมาเป็นของกู แต่ของพุทธเอาของกูสลับไปให้คนอื่น แล้วของโลกอื่นเอามาเป็นของกู

แล้วของกูทางโลกนี้ไปแย่งของคนอื่นมาซับซ้อนอีก เป็นสัจจะอันเลวร้ายแต่ของพระพุทธเจ้าเพิ่มมวลมากขึ้นเป็นของเรา แต่เป็นมวลนี้ไปสร้างพลังงานไปช่วยคนอื่นเขามากขึ้นมากขึ้น จึงเป็นปรทัตตูปชีวีเทวตา ไม่ใช่ปรทัตตูชีวกเปรต มันเป็นพลังงานสองชนิดที่ลึกซึ้ง ต้องเข้าใจพลังงานนี้จริง แล้วทำได้ จะรู้จริงเป็นจริง

ส่วนคนที่ยังไม่รู้อย่างอาตมาก็มารวมในกลุ่มเราเรียกว่ากลุ่มบัณฑิตก็จะสร้างพลังงานเหล่านี้แก่จิตตน อาตมาเห็นว่าการเกิดแบบนี้ยาก แต่ก็ยังดียังมีเนยบุคคลพอพูดพอสอนได้พอฟังเข้าใจได้บ้าง ที่พูดนี้พาทำมาตลอด ถ้าคุณฟังคณะที่พากันบริหารมาก็จะเจริญ ไม่เสื่อม คุณไม่เก่งก็ให้เขาลากไปก็จะได้ แต่จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งหลักแล้วจะเกิด ปรทัตตูปชีวี เป็นประเภทที่มาเป็นพลังงานระดับพีชนิยาม ที่เป็น self แต่ไม่มี selfish จะเต็มรูป เป็นตัวเองแต่ตนเองเพื่อคนอื่น

อย่างโทรทัศน์ช่องบุญนิยม ไม่เจตนาจะตั้งชื่อว่าโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาตินะ ตอนแรกตั้งโทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน เขาก็เอาไปตั้งชื่อพรรคการเมืองของเขา เราก็เลยต้องเปลี่ยนเป็น โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ ต่อมาคสช.มาล้มอีกก็เลยต้องตั้งใหม่กลายเป็น บุญนิยมทีวีไปเสีย

เป็นภาษาที่ยิ่งใหญ่กว่าเพื่อแผ่นดินนะ FETV ส่วนคำว่าบุญนี่ไม่มีภาษาอังกฤษ ที่เขาแปลบุญกันก็กลายเป็นเรื่องกุศลไม่เป็นเครื่องมือฆ่ากิเลส

ทานก็เป็นนัตถิทินนัง ปฏิบัตินัตถิยิฏญัง การปฏิบัติทานก็เพื่อล้างกิเลส มีทานมัยศีลมัย จะเกิดภาวนามัย คำว่าภาวนาแปลว่าสิ่งปรากฏเจริญขึ้น ถ้ามาเป็นสัมมาทิฏฐิจะเป็น อัตถิทินนัง อัตถิยิฏฐัง อัฏฐิหุตัง บุญคืออาการที่จะทำให้พลังงานเปรตผีมารให้หมดไป ทำได้ก็

สรุปว่ามีทางร้ายกับทางดีสองทาง แล้วทำให้พลังงานร้ายมาเป็นดีได้ เป็นปรทัตตูปชีวี คือชีวิตที่อาศัยผู้อื่น อาตมากำลังอาศัยคนอื่น คือพวกคุณมาช่วยกันสร้างพุทธชีวะ พวกคุณเป็นปรทัตตูปชีวีเทวตา

คำว่า ปรทัตตูปชีวี มีสองนัย ถ้าทำให้เป็นอื่นที่เป็นร้ายก็เป็นเปรต ถ้าทำให้ดีก็เป็น เทวดา ถ้าได้เชื้อเป็นเปรตก็เป็นเปรต แล้วทำให้ขยายเป็นอื่นเพิ่มขึ้น เราควรขยายเชื้อทางทางเทวดา  นี่คือสัจจะที่ต้องการขยายความ

แต่ทุกวันนี้เขามุ่งแต่จะให้ไปรวยไปรวยใช้อำนาจบาตรใหญ่แต่อำนาจที่ใหญ่ที่สุดคืออำนาจตำรวจต่อไปก็เป็นทหาร ทั้งทหารทั้งตำรวจต่อไปก็จะเป็นข้าราชการที่จะถูกสอยลงมาเรื่อยเรื่อย อันไหนที่ไม่จริงจะหมดไปความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุดขอยืนยันนั่งยันกระโดดยันตีลังกายัน

 เปรตที่สร้างความยินดีในทางผิดทางชั่วเรียกว่ามารว่าผีจนกระทั่งสร้างพลังงานให้ตนให้เป็นพลังงานที่เรายินดี คือพลังงานตกผลึกตั้งมั่นขึ้นไปในตัวเรา สย คือตัวเรา วิสยคือเป็นตัวเราอย่างย่ิง  คุณไปยินดีปีติ ปิติวิสัยคือยินดีในตัวกูของกูอย่างเปรต เป็นผีเป็นมาร คือไปยินดีตัวสะสมตัวอื่นมากลายเป็นตัวเอง วิสัยนี้แก้ยากกว่านิสัย  จากอาศัย มาเป็นนิสัย เป็นวิสัย ฝังแก้ยาก ต้องรู้ว่าพลังงานนี้มาอาศัยหรือมายึดเป็นตัวตน เราอาศัยแค่นี้พอไม่ต้องเอามาเป็นตัวตนเป็น self จะมีพลังงานทำงานซ้อนแก่โลกไป

ปรทัตตูปชีวี คุณต้องรู้ว่าอะไรคืออาหารหรืออาศัย ต้องอาศัยแล้วแต่คุณเอามาตั้งไว้ คำว่า หาร คือตั้งอยู่ หร คือความเป็นความมี หรือโหติ มีขึ้นสั่งสมขึ้นจะสั่งสมเปรตหรือเทวดา ต้องรู้อาการพลังงานอันไหนจะสั่งสมก็สั่งสมพลังงานเทวดาดีกว่าเปรต

ถ้าเรามีดวงตาปัญญารู้จักพลังงานจิต อย่างที่อธิบาย ก็จะรู้ว่าพลังงานหนึ่งชั่วอันหนึ่งดี เราก็ต้องทำให้ไม่มีตัวกูของกู แต่ถ้าไม่รู้ก็จะทำให้เป็นของกู ตัวกู คำว่าของกูนี่มีสิ่งสอง แต่ตัวกูนี่เป็นหนึ่งเดียว แน่นดิ๊กหมด แล้วมองออกนอกตัวหมด แล้วเห็นของก็เอามาเป็นของกู ก็ไปคว้าคนอื่นมาเป็นของกูกับตัวกู ทำโดยอัตโนมัติ จนต้องมาคลีออกให้หมดก็ยากจังเลย ยากฉิบหา

ที่พาทำนี้ตั้งใจพาพวกคุณทำอย่างนี้ แล้วเพื่อจะช่วยโลกได้เท่าไหร่เท่านั้น เอาที่เป็นความจริง ตอนนี้แผ่จากข้างล่างขึ้นมาบนเขาภูหลวง มีนิมิตว่าเป็นอาวาสขึ้นมาก็จับมือเชื่อมโยงกัน ด้วยจิตวิญญาณเป็นเนื้อเดียวกันไม่ต้องขัดแย้ง อาตมาทำงานกับพวกเราหนักมากเรื่องอัตตา เรื่องกามนี้ไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ พวกคุณก็มีกันบ้างแต่ไม่มากมาย แต่อัตตานี้มากมาย ไม่รู้จะยึดเป็นตัวกูของกูอะไรนักหนา แต่ละคนก็กูถูกกูถูก เราต้องยึดสัจจะความถูกต้องสิ จะยึดความผิดได้อย่างไร มันก็จริง แต่สูงกว่าความถูกผิดคือสามัคคี นี่พูดจนน้ำลายแห้งแล้ว

ถ้าสมมุติว่าดีว่าผิดพลาดถูกก็ดีอย่างประมาณนึงแต่ลึกไปกว่านั้นคือเข้าไปหาการละตัวตน หมู่กลุ่มเขายึดถืออย่างนี้ ก็ถือกันตามนี้ไม่ต้องทะเลาะกันด้วย โลกสมมุติกันไปได้หมด ไม่ใช่เรื่องประหลาดยิ่งใหญ่อะไร  ทุกวันนี้เราต้องการความสามัคคีอย่าให้เชื้อโลกตัวร้ายเข้ามาแทรกและแพร่เชื้อได้เก่งต้องจัดการเสีย

 ขนาดนี้ก็เห็นใจคนที่ทำงานปราบปราม ว่ามันไม่ง่ายถ้าว่าทางโน้นนั้นแรงกว่าอาตมาเยอะ อาตมานั้นเบากว่าเยอะ แต่ก็เบามาทางหาความละเอียดลึกซึ้งจับติดยากเหลือเกิน มาจับตัวเล็กๆนี้มันยาก กว่าจะมาจับได้ แต่ทางโน้นจับตัวใหญ่ๆได้แต่ตัวใหญ่ๆก็แรงเยอะ แม้ตัวน้อยน้อยแรงไม่เยอะแต่ก็หลบเก่งลบไปหลบมาจับยาก ทั้งไวทั้งเร็วทั้งเล็กด้วยนะ หลายคนไม่มาเจอหน้าเลย ห่างกันไปจะไปทำวิธีการโลกล้อมประเทศตามยุทธศาสตร์เขา แต่อาตมาไม่กลัวหรอกแม้อาตมาจะเล็กแต่มีความแกร่ง มีความเที่ยงแท้ถาวร ไม่กลับกำเริบ  ถ้าจริงแล้วพวกเราไล่ก็ไม่ไปอย่าไปทำผิดก็แล้วกัน จนถูกไล่ออกไป

 อาตมาได้เอาคำว่าปรทัตตูปชีวี มาเป็นตัวตั้งในการขยายความเป็นพลังงานจิตวิญญาณพลังงานที่เราสามารถอ่านออกว่าตัวไหนเป็นคนตัวไหนเป็นทอดๆกระทั่งเป็นปรทัตตูปชีวี ก็เป็นคนชนิดหนึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่งเราก็จัดการเอาท์ออกไปเอาแต่คุณไว้ ให้รวมกันสามัคคีกันจับตัวกันเป็นพลังงานดีความดีที่ไม่ทำร้ายอะไรใครให้เป็นประโยชน์ต่อโลก เราทำสิ่งนี้

 อาตมาว่าอาตมามีงาน งานนี้เป็นงานหลักหลายชาติแล้วที่ทำมาเป็นโพธิสัตว์ธรรมมานานหลายชาติ มาในยุคนี้ก็ยังมีคนที่ทำได้ไหมอาตมาจะเสียรังวัดในรูปธรรมซึ่งในยุคนี้ให้พระพุทธเจ้ามาออกแบบมาทำงานไม่ได้จะเสียสมณสารูป ขนาดประมาณนี้มันหยาบขนาดนี้ซึ่งไม่ได้ยึดตัวตนอะไรหรอกคนเข้ารับได้เท่านี้ก็เอาเท่านี้คนไม่รักก็ไม่เป็นไรเอาเท่าที่ได้ เราต้องรับว่าได้เท่านี้จริงๆก็รู้ว่ายุคนี้อาตมาทำไม่ได้ถึงครึ่งหนึ่งหรอก ถ้าอยู่อีก 70 ปี ตอนนี้อายุ 81 ก็เป็นร้อย 151 ปี ซึ่งพลโลกจะมีถึงแสนล้านไหมตอนนี้มี 7 พันกว่าล้าน จะถึงหมื่นล้านแน่อีก 70 ปีอัตราการก้าวหน้าของคนขนาดนี้ตอนนี้เมืองจีนขยายให้มีลูก 2 คนได้แล้วนะแล้วมันมีตั้งพันเกาะล้านจะมีปฏิภาคทวีเกิดเท่าไหร่นะ 

 ก่อนหน้านี้ก็ได้คุยกับคนในน้ำคำกับเพชรพลัง  เอาครอบครัวมาอยู่ในนี้ทำให้เบาง่ายขึ้นลูกเต้าไม่ต้องดูมากมีคนดูมากให้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าลูกเราหายไปไหน ขณะที่ข้างนอกมีหมาป่าเยอะ แต่ในนี้มีแต่คนช่วยเหลือ  ไม่เข้าใจก็ให้มาศึกษากับครอบครัวนี้ ลูกคนหนึ่งไปอยู่ที่บ้านราชฯ อีกคนหนึ่งก็ว่าให้ไปอยู่บ้านราชฯไม่รู้จะไปไหม นี่ก็มานั่งอยู่ที่นี่

ก็ไปอยู่แล้วจะเป็นไปเขาจะเกิดปัญญารู้ว่าทิศทางนี้มันสบายกว่าเป็นทางเลือกอื่น ช่วยเหลืออุ้มชูกัน บางคนมีลูกเป็นคนเลวร้าย ถูกไล่ออกตนเองก็อมเลือด ต้องให้ลูกออกไปข้างนอก ก็จำนนมันเกินเกณฑ์ให้อยู่ไม่ได้ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์

แต่ถ้าใครอยู่ได้ลูกตนเองก็อยู่ได้ก็ดีแล้ว เด็กอยู่ที่นี่ถ้าเป็นเด็กดีไม่ต้องห่วงหรอกจะทำงานอะไรได้ ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ที่นี่ไม่ได้ปิดบังอะไร แม้แต่ทางการทำอาชีพทำงานทำการก็เป็นไป ให้เขาขวนขายเอาได้ เด็กหัวยังไม่พ้นพวงมาลัยก็ขับรถเป็น คนทำเครื่องมือโทรทัศน์ที่ถ่ายทอดอยู่ก็ให้ทำตั้งแต่เด็กอายุน้อย แต่ที่นี่ถ้าเด็กขยันทำดีๆเขาไว้ใจก็ให้ทำตั้งแต่เล็กแต่น้อย เราก็เลยมีช่างกล้องตั้งแต่ตัวเล็กๆเขาก็ว่าทำได้หรือ ก็ทำแล้วถ่ายทอดกันทั้งวัน สำหรับวันนี้อาตมาก็พูดไปตามที่มีภูมิ ก็ให้พวกเรารวมตัวกันทำให้เจริญต่อไป...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:12:48 )

581116

รายละเอียด

581116_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ฉลาดในโลกแต่โง่ในธรรม

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2558 รายการธรรมะธรรมะสงคราม อาตมาตอนนี้อายุ 45 ปี 9 วันแล้ว ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ยังแข็งแรงก็เป็นไปตามวัย 45 ปี ขนาดนี้ใช้ได้คนอื่นเขาจะว่ายังไง ก็ยังหมั่นไส้อาตมาเลย

       จริงๆแล้วอาตมามั่นใจเรื่องอิทธิบาทของพระพุทธเจ้า รวมถึงโพชฌงค์7 ที่ท่านให้มา โดยใช้อิทธิบาท และโพชฌงค์ 7 มี สติธัมวิจัยวิริยะ คือเป็นธรรมองค์รวม ตัวโพชฌงค์คือ ธรรมะที่เป็นการก้าว ส่วนมรรรคคือทางเดินที่เป็นรูป ส่วนโพชฌงค์นี้เป็นนาม เป็นการก้าวเป็นการเคลื่อนไหวดำเนินไป ที่เป็นพลังงาน

       โพชฌงค์ เป็นพลังงาน ส่วนมรรค เป็นสสารให้พลังงานอยู่กับรูปได้เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสม โพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 ต้องไปด้วยกัน เพราะมรรคองค์  8 ทั้งกว้าง ส่วนโพชฌงค์เป็นตัวกลาง เป็นตัวจัดการเป็นตัวประสาน เป็นตัวดำเนินบทบาทกันไปหมด ถ้าเราเข้าใจสภาวะธรรม ที่พูดนี้ก็เป็นภาษาไปแทนสภาวะแล้วก็ขยายสู่ฟัง ถ้าใครตามได้เข้าใจได้ก็วิเศษเลย อาตมาก็ใช้ความจริงพวกนี้มาปฏิบัติ ก็ได้ผลอยู่มาถึงวันนี้แล้ว

       อาตมาทำมาคนเดียวซึ่งไม่เหมือนใคร คนอื่นที่เป็นปราชญ์ทาง ศาสนา ก็เล่นงานอาตมา ได้รับทั้งลูกปืนทั้งลูกซองที่ยิงมาเสียบอาตมา ถ้าอาตมาไม่หนังเหนียวจริงๆป่านนี้พรุนไปหมดแล้ว ก็ยังดำเนินไปได้ และยังเห็นอัตราการก้าวหน้าในการแสดงธรรม ในการเปิดเผยทำ และเกิดผลตามมา มั่นใจมากคือ เกิดชาวอโศกที่มากันแล้ว เข้าใจรู้ว่าชีวิตเราจะมาเปลี่ยน จากโลกียะ ทุกคนใครบ้างมาหลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขทั้งกาม และอัตตามันมีมา เป็นธรรมชาติของมนุษย์

      เมื่อเราเข้าใจแล้วมาทางนี้ ผู้มีบารมีจะรู้ว่าง่าย แต่ผู้ไม่มีบารมีจะรู้ว่ายาก หลายคนบอกว่ายิ่งนาน ก็จะเข้าใจว่ามาได้อย่างไรนะเนี่ย เรามาขนาดนี้แล้ว ต้องลองทบทวนดู ยิ่งตอนนี้มีเทคโนโลยีช่วยบันทึกไว้อย่างดี ที่พูดนี้ไม่ได้มาอวดอ้างหรืออวดดี  แต่มันมีหลักฐานที่เป็นจริงในมนุษยชาติ และสังคมที่พากันมาเป็นเช่นนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง สละโลกียมหาโลกุตระได้อย่างที่เป็นที่มีนี้ จนกระทั่งเห็นว่าคนเรามารถและดีกว่า ไปแย่งชิงไปร่ำไปรวย พูดให้ฟังง่ายๆแล้วมันจริง อย่างในภูมิรู้ความเข้าใจ

       ไม่ต้องไปแย่งชิงนี้มันสงบสุข จะเห็นความจริงอย่างเป็น ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

       มาถึงวันนี้แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งปีนี้ที่บ้านราชสามารถทำนาได้อย่างเป็นผลสำเร็จงดงาม ที่อยู่เต็มหน้าอาตมาที่เอามานี่คือฟ่อนข้าว ที่เกี่ยวกันมา  ทำนาได้ร้อยกว่าไร่ มันมีผลงามขนาดนี้ เห็นต้นข้าวที่สูงท่วมหัวยื่นมือไปก็ยังไม่พ้น ก็ขอบอกกล่าวว่ายังมีอีกหลายแปลงมากที่ยังไม่ได้เกี่ยวใครจะมาช่วยกันเกี่ยวก็มา

       อาตมากลับมาจากไปมาหลายชุมชน เกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา  กลับมาก็ออกไปดูเขาปรับพื้นที่ ตอนนี้ปรับที่นาออกไปกว้างไกล  อาตมามั่นใจว่าเราจะต้องกลับมาสู่ความเป็นชาวไร่ชาวนา สู่ความเป็นคนติดดิน ใครจะไปกว้างไกลอย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาว่าจะเดินแบบเขาจะได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่เป็นโลกีย์ แม้จะสุขอย่างไร กิเลสก็หนา ไปติดยึดในการเสพโลกีย์เป็นอารมณ์ ยิ่งเสพสุขเสพอบายไปใหญ่ แต่อาตมาว่ามันยิ่งยากยิ่งซับซ้อน มันยิ่งนานยิ่งใหญ่ ต้องมาล้างจางคลายยากขึ้น แม้จะทำอย่างสุจริตก็ตาม ก็ทำได้ แต่กิเลสมันหนาขึ้น

ซึ่งคนสุจริตนั้นรวยไม่ได้รวยยาก แต่คนสุจริตที่รวยได้คือ คนที่มีโลกุตระอย่างซับซ้อน และมีบารมีส่งเสริมให้รวย แล้วผู้ที่รวยด้วยเป็นอาริยบุคคลจะรวยแล้วไม่เอาจะรวยถึงขีดหนึ่ง ก็จะรู้ว่าเราจะไม่รวยต่อ จะไปในทางลดละต่อไปอีก จะเป็นเช่นนั้น

เพราะฉะนั้นคนที่มีบารมีจริงที่รวย และซื่อสัตย์สุจริต จะรวยมากกว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตได้ แต่ท่านไม่แข่งไม่เอา เพราะเรื่องอะไรจะต้องเป็นหนาไปติด มีกิเลสหนาขึ้นติดไปกับเขา เพราะปัญญามันก็รู้แล้วว่า ทำไปกิเลสก็หนาขึ้น ก็จะล้างได้เอาออกได้ก็ยาก แล้วทำไมจะต้องไปเติมกิเลสเข้าไปอีก คนเรามันไม่ได้โง่  มีปัญญาญาณ ศาสนาพระพุทธเจ้าให้คนมีปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีบารมีจริง จะไม่แข่งรวยกับเขา

 ก็สงสารคนที่ไปรวยและมีอบายมุข อย่างเช่นความสวยก็ปรุงแต่งกันไป ให้จัดจ้านสวยไม่รู้กี่ตลบ ไปสร้างค่านิยมให้คนหลงใหล เขาก็ไม่รู้ว่าคืออบายมุข อย่างนั้นก็เหมือนกันมันก็ติดก็ยึด เป็นกิเลสหนา กิเลสหยาบ ไม่มีอะไรได้ แต่ปั้นสร้างมามอมเมาคนไม่มีความจริงอะไร แล้วมันก็ยาก

 อาตมาก็มีความจริงใจที่จะมาเปิดเผยสัจธรรมในยุคนี้รู้ว่าทำได้ไม่ง่ายนักหนาสาหัส ได้มาแค่นี้ก็ใครเก่งกว่าจะมาก็มาทำเถอะน่า

 เรามาตั้งใจเป็นชาวนามาช่วยกันทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรู้ในด้านอื่นที่โลกทำกัน ไม่ว่าจะด้านที่โลกมีเป็นความรู้สมัยใหม่ จะเจริญขึ้นไปด้วยเหตุปัจจัยต่างๆทางวิทยาศาสตร์ ทางสังคมศาสตร์ และทางอื่น ที่จะมีมากขึ้น แม้ทางเศรษฐกิจก็จะเป็นไป แต่เศรษฐกิจเป็นแกนของมนุษยชาติแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะปรุงแต่งใหม่ได้ ยิ่งปรุงแต่งเป็นเศรษฐกิจซับซ้อนให้รวยมากขึ้นซับซ้อน นี่เป็นความโง่ซับซ้อนความบ้าซับซ้อน ขออภัยที่ต้องพูดความจริง

เขาหลงว่าเขาฉลาด แต่เขาทำร้ายตนเอง และทำร้ายสังคม ทำร้ายตนเองคือ ให้ตนเองได้เปรียบเอามามากๆ ให้ตนรวยก็รวยจริงๆ ทำได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นคนที่หลงไหลไปตามเขานั้น ก็เป็นความบาปซ้อนชนิดหนึ่ง เป็นตัวอย่างให้คนเขาหลงตาม แล้วสร้างกิเลสให้ตัวเองหนาขึ้นไป กลายเป็นมวลรวมกันไปทำร้ายสังคม ให้คนอีกกลุ่มหนึ่งระดับหนึ่งเขาทุกข์ทรมาน มันก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่คุณสร้างเวรสร้างกรรมให้แก่ตัวเอง

 ทางวิทยาศาสตร์ เขาจะไม่หยุดหรอก ทำมากจนเกินกินเกินใช้ แต่ที่จะต้องกินต้องใช้อาศัยจริงๆคือ ทางด้านกสิกรรม ส่วนทางวิศวกรรมนั้นเกินกินเกินใช้  แล้ววิทยาศาสตร์ทำให้คนเอาเปรียบกันมาก วิศวกรรมก็ด้วย แต่ส่วนกสิกรรมนั้นเอาเปรียบไม่ได้มากเท่า ให้ตายอย่างไรก็เอาเปรียบมากๆไม่ได้ เพราะมันเป็นแกนของชีวิต ส่วนวิศวกรรมไม่ใช่แกนของชีวิต แต่มันเป็นเชิงได้เปรียบที่คนไหนได้เปรียบแล้วก็จะยิ่งยินดีชอบใจที่ได้เปรียบ คนที่ไปยินดีที่ได้เปรียบ เรียกโดยโลกคือฉลาด แต่เรียกโดยธรรมคือคนโง่

คนได้เปรียบเรายินดีปรีดาในความได้เปรียบคือ คนโง่โดยธรรมดาเรียกตัวเองว่าฉลาด ทั้งโลกเขาจะยินดีว่าคนนี้ฉลาด แต่ในทางธรรมคุณไปได้เปรียบ และได้สำเร็จด้วย คนฉลาดไปเอาเปรียบเขาทำไมคือ ฉลาดโง่ ความฉลาดทางโลก เอาเปรียบเขาคือความโง่ทางธรรม  ใครรู้สึกตัวชัดเจนก็มองตัวเองว่ากำลังทำความฉลาด ที่เอาเปรียบเขาอยู่หรือเปล่า อาตมาบอกว่าโง่ คุณจะบอกว่าฉลาดก็เชิญไปคิดดีดีนะ นี่ไม่รักกันจริงไม่บอกนะ

 ทุกวันนี้โลกเดือดร้อนมาก อยากจะเก่งวิทยาศาสตร์ ออกไปนอกโลกได้ซึ้งละเอียด แต่ทางกสิกรรมมีความรู้ลดลงลดลง แต่ว่าคนกิน วิศวกรถือว่ากินข้าว คุณจะกินพืชพรรณธัญญาหาร หรือจะกินเครื่องมือเทคนิค คุณก็กินข้าว คุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องมือเทคนิคเยี่ยมยอด กับอีกคนหนึ่งมีก้อนข้าวแล้วไปในทะเล หมดทางจะรอดแล้วต่างคนก็ต่างมีสมบัติ ใครจะตายก่อนกัน คุณมีเครื่องมือเทคนิคราคาหลายล้านบาทกับอีกคนหนึ่งมีก้อนข้าวราคาไม่กี่บาท นี่คือสัจจะตัวแท้  มีหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร บอกว่า “เงินทองเป็นของมายาข้าวปลาคือของจริง”  นี่คือปราชญ์แท้

 เราก็ไม่ได้ดูถูกเงินทอง ที่เป็นตัวแทน ที่จะมาใช้งานเป็นตัวแทนพลังงานชนิดหนึ่ง เราทำค่านี้ให้เขาแล้ว เขาก็มีอะไรตอบแทน ก็เลยถือนี้เอาไว้เพื่อไปแลกคืนมา ทวงคืนมาบ้างเป็นตั๋วแลกเงิน ก็เป็นสิ่งที่เป็นแลกค่า สิ่งที่ควรได้โดยสุจริต มันก็ใช้เหมือนถ้วยเหมือนชาม เหมือนเก้าอี้ก็เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องวิเศษวิเสโสอะไรเราก็ใช้ตามควร

พวกเราเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งเหล่านั้น ทำงานสร้างสรรค์ไปกินใช้ในชีวิต เราไม่เกี่ยงในเทคโนโลยี เราก็ใช้จากสิ่งที่เฟ้อเกินของเขา เราก็ทำอย่างไม่หลง แต่คุณก็มาเมากัน ฆ่าแกงกันซับซ้อน คนทำบาปตลอด สร้างกสิกรรมเป็นของไร้สารพิษ มีวิตามิน มีสารอาหารที่ดีๆไปเลี้ยงดูคนให้มีชีวิตให้ดี อย่างที่เราทำ กับที่คุณทำอันนั้นมา มีผล 2 ด้าน ทั้งเป็นโทษและเป็นคุณในเทคโนโลยีนั้น มีคุณมากก็มีโทษมาก แต่การกสิกรรมนี้ยิ่งทำไปยิ่งเป็นประโยชน์ ยิ่งทำไร้สารพิษ ให้มีแต่คุณค่าประโยชน์ มีวิตามิน มีสารอาหารทำให้ดีขึ้นไปเท่านั้นเลย

 เพราะฉะนั้นจงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทยอโศก

 ข้อสรุปสิ่งที่ได้ทำมา 45 ปีกับอีก 9 วันแล้วตอนนี้ก็มาทำงานต่อ

 

มาดู sms

0893867xxx ต้นข้าวยักษ์บ้านราช ใครได้ได้กินคงตัวสูงใหญ่เท่านักบาสเก็ตบอลNBA. หรือนักมวยปล้ำUSA. สูงกว่าข้าวพันธุ์ บิ๊กไบส์เบ้อเริ่มเทิ่ม! ข้าวยักษ์ พันธุ์บิ๊กไบส์ ปลอดสารพิษ ใครได้กินคงมีพลังใจเข้มแข็ง พละกำลังกายแข็งแกร่ง เหมือนข้าวยักษ์พันธุ์พิชิตกิเลส พิฆาตโรคาพยาธิ! สู้ๆ กิจการงานใดๆที่ทำด้วยจิตวิญญาณ! ปลูกด้วยใจ! ผลิตผลที่ออกมาก็เสมือนเป็น ดอกธรรมะที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ สาธุ

 

ตอบ

อาการของคนที่ปลื้มในธรรม กับการปลื้มในโลกียะแบบธรรมกาย ที่ได้ไปรวย กับการปลื้มในธรรม ที่มีปิติปิติมีทั้งแบบโลกียะ และแบบโลกุตระ ผีย่อมยินดีในอาหารผี อาหารอบาย อาหารกิเลส ให้กิเลสหนา กิเลสโต มันยิ่งดีใจมันเป็นเรื่องจริง แต่การปิติในแบบโลกุตระเป็นเรื่องสามัญ สำหรับผู้ที่ยังไม่จบกิจ แต่ผู้ที่จบกิจแล้ว  พระอรหันต์ที่ตั้งจิตไม่ต่อแล้ว ก็มีแต่จะสงบไปจะเฉย ปิติจะไม่เพิ่ม ผู้ที่เป็นอรหันต์ แล้วไม่ต่อภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ต่อไปแต่พระอรหันต์องค์ใดที่บรรลุแล้ว มีการตั้งจิตต่อเป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะมีปิติที่เจริญขึ้น ความปิติของโลกุตระซึ่งต่อเนื่องก็จะเกิดเป็นความซาบซึ้ง น้ำหูน้ำตาไหลได้ แต่พระพุทธเจ้าก็เตือนว่า ในปิติ 5 อย่าง

1.   ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.   ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.   โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.   อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.   ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

 

หากไม่เรียนรู้ จัดการกับปิติ ก็จะปล่อยให้มันมีมากขึ้นๆ จนเป็น อุพเพงคาปีติ เหมือนพวกนักฟุตบอลที่เตะเข้าโกลและดีใจมาก สักวันหนึ่งเส้นโลหิตในสมองแตกตาย ช็อคตายได้ เส้นประสาทแตกตายได้ จะเห็นได้ว่าจะปิติจนกระโดดโลดเต้น  จนตนเองเจ็บตัว

 พระพุทธเจ้าให้ทำอย่าง ผรณาปีติ  พระพุทธเจ้าให้ทำฌาน  แล้วจะมีปิติให้แผ่ซ่านกระจายไปทั่ว ก็จะบางเบาไม่มีฤทธิ์แรงอะไร แต่เป็นพลังงานที่อาศัยเป็นสุขเล็กๆ ซึ่งมีแรง แต่อาศัยได้ มันก็จะไม่ชวนให้ติดยึดอะไร ก็อาศัยเป็นพลังงานช่วยและชูใจ คนที่ไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะบอกว่ามาทางธรรมนี้จะแห้งเหี่ยว แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สงบ ผู้รู้ผู้ตื่น และเป็นผู้เบิกบาน ในอานาปานสติสูตร ท่านให้ธรรมสังขารให้สงบ กายสังขารัง ปัสสัมภยัง แล้วก็ต่อด้วยอภิปโมทยังจิตตัง  จงทำจิตให้ร่าเริงเบิกบานให้เป็นผรณาปีติ  ให้แผ่ซ่านไป

 ในฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน  3 ก็จะมีปิติมีสุข จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่น เอิบอาบซาบซึม ด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆ

แห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุข เกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอ ทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิด แต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง

ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน สลายไป คุณก็ต้องมีเครื่องอาศัย ไม่ใช่อย่างอาลัยนะ  เพราะฉะนั้น การอาศัยนี้พระพุทธเจ้า ให้ใช้งานอย่างพอดีได้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็จะรื่นเริง เบิกบาน อรหันต์ระดับต้นต้นอย่าผยองว่าตนเองจะต้องรื่นเริงเบิกบานอย่างอาตมาทำ เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง คุณอนุโลมไม่ได้หรอกเดี๋ยวคุณหลงเพลิด แต่อาตมาอนุโลมได้

 สำหรับอรหันต์ ผู้ปฏิบัติจริง ก็ไม่ยิ้มมากให้ยิ้มนิดนิด หัวเราะมีเสียงก็ไม่ได้ อรหันต์นี้จะไม่หัวเราะมีเสียง จะไม่ยิ้มเห็นฟันอย่างนี้เป็นต้น ที่อาตมาพูดนี้พูดให้เข้าใจจริงๆ อย่าไปเข้าใจว่าหลงตัวเองสูง แล้วปล่อยตัวเอง ให้ระวังไว้ ให้น้อยไว้ก็ดี สำหรับอาตมาจะสงบก็สงบได้ แต่ทุกวันนี้มาถึงวันนี้แล้วอาตมาก็รู้ว่าจะต้องประมาณขนาดไหน อาตมาแสดงออกขนาดนี้ยังสู้พระพยอมไม่ได้ ที่ตลกมากกว่า ที่เขาใช้วิธีการสุนทรียศิลป์ วิธีการหลอกๆผสมผสานเข้าไป

ทุกวันนี้เขาเน้นแต่เทคนิค เรื่องของสุนทรียศิลป์ แต่ไม่มีแก่น มีเนื้อ คนเลยหลงติดแต่เปลือก คนไปหลงซื้องานศิลปะ เขาไปลงซื้อแบบเปลือกๆ  ก็ไม่ได้รู้ว่าเนื้อหาจริงมีอะไรด้วยซ้ำไป เป็นโลกียะ หรือเป็นโลกุตระก็ไม่รู้

ศิลปินที่แท้จริงที่เป็นโลกุตระ จะไม่เอางานศิลปะไปทำมาหากิน ไม่ให้คนมาตีราคาทางโลกในงานของเรา ไม่จำเป็น  แต่ศิลปินที่ลึกซึ้งในโลกวัฒนธรรมนั้นราคายิ่งแพงกว่า ศิลปะโลกุตระไม่จำเป็นต้องตีราคา คนรู้ค่าเท่านั้นที่จะมีปัญญารู้ คนละลดมา มาแต่ตัวกับหัวใจพร้อมความจริง นั่นคือสุดยอดราคา

 คนที่บอกว่าจะไปหาเงินมากๆมาช่วย คุณก็ไปพร้อมกับเงิน กว่าจะได้เงินนั้น คุณไม่ได้มาหรอกจะตายก่อน แล้วมันซับซ้อน คุณไปเอาเปรียบเขากว่าจะได้เงิน ถ้าไม่เอาเปรียบเขามันก็ไม่ง่าย ยิ่งตั้งเป้าไว้สูงสูง จะต้องได้พันล้านหมื่นล้าน คุณไม่มีหวังจะได้มาหรอก มันไม่ง่ายนะจะหาหมื่นล้านเข้ามาถ้าไม่ใช่วิธีการโลกโลก เอาเปรียบเอารัดเขาหลอกคนให้คนเขาหลง เช่นค้าน้ำเมามันก็รวยค้าการพนันมันก็รวยเร็ว ไม่เห็นยากอะไร

 

ถาม_ สาวกพระพุทธเจ้าทั้งโลก มีหลายนิกาย องค์ทะไลลามะปฏิบัติแนววัชรยาน! ติชนัทฮันห์แนวมหายาน! พุทธทาสประยุกต์เอาหัวใจมหายานวัชรยานมาเข้ากับพระธรรมวินัย! ของพ่อครูเรียกว่าอโศกยานหรือเปล่า?

ตอบ...ก็ไม่ได้คิดจะไปวิจารณ์กับทางโลกกว้าง อาตมาเอาแค่แวดวงไทยเรา อาตมาพาทำคือ กิเลสลด ให้รู้ชัดว่า กิเลสระดับไหนอย่างไร เพื่อจะไปยกระดับจิตใจ ให้ละเลิกกามคุณ 5  หรือกามที่นอกเหนือกามคุณ 5 เป็นโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข  ส่วนกามคุณ 5 ไปเสพรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เสพรสชาติคือ ราคะ ส่วนลาภยศสรรเสริญ มันเป็นอรูปอัตตา ไม่ใช่ของสัมผัสเสียดสี เป็นลาภของกู เป็นยอดของกู สรรเสริญของกู มันไม่ใช่สัมผัสเสียดสี แต่มันได้มาเป็นโลภ ไม่ใช่ราคะ

 อาการของจิต จิตโลภ จิตราคะ มีอาการ ลิงค อย่างไร อาการพยาบาทก็ตรงกันข้าม มันผลักออก มันทำลาย ตรงกันข้าม  จะรู้อาการจิตของเราชัดเจน ตั้งแต่หยาบ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ตั้งแต่หยาบแล้วให้ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็จะไม่ผิด

แม้นามธรรมที่ไม่มีรสรูปเสียงสีสันอะไร มีแต่อาการ อาการโกรธ อาการโลภ อาการราคะ คุณต้องกำหนดเอง เรียกว่าต้องใช้ปัญญา หรือใช้สัญญา ว่าอาการอย่างนี้มันต่างกันอย่างนี้ คุณกำหนดเอาเองต่างกันคนละตระกูล เช่น ราคะกับโทสะ มันคนละตระกูล

หรือต่างกันในระหว่างดีกรีของมัน ว่ามันมากมันน้อยมันเบามันหนักกว่า คุณก็เข้าใจเอาเอง ต้องรู้ลักษณะอาการที่มันต่าง แล้วทำให้ถูกต้องตรง

 ถ้าปฏิบัติให้อ่านจิตเป็น เข้าใจอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ลดมาได้จะรู้จักเหตุปัจจัยสมุทัย ว่าเป็นเหตุเป็นสิ่งประกอบที่ต่อกันไป ต่อเนื่องกันเป็นสาย ก็รู้ว่าเรื่องราวชีวิต การสืบต่อสังขาร วงจรการดำเนินชีวิตของเรา จะอยู่กับสังคมอย่างไร ตัวเราเองมีความเบาว่าง ถูกตรง สบายเบาดี หรือยึดติดลดลง กิเลสลดลงก็เห็นความจริง อย่างมีญาณปัญญา รู้จริงๆ ไม่งมงายไม่เพ้อพกเป็นวิมาน

ไม่ใช่อย่างที่ว่า อาจารย์รู้คนเดียว คนอื่นไม่เข้าใจตนเอง ก็เชื่อฉันอย่างเดียวพอแล้ว ให้อาจารย์จูงจมูกไป พระพุทธเจ้าว่าอย่าเชื่อ แม้แต่เป็นอาจารย์ หรือเป็นครูของเรา ต้องปฏิบัติให้เป็นกุศล สิ่งที่ได้สิ่งที่ดีของเราเอง ถึงจะยืนยันดูได้ด้วยตนเอง นี่คืออิสระเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า แฟร์ขนาดนี้

 ไม่ต้องให้มานับถือว่าเป็นอาจารย์เลย คุณจะยอมรับ เชื่อถือเอาไปปฏิบัติได้ผล ก็เชื่อด้วยตัวเอง แล้วจะรู้ว่าตรงกับของอาจารย์ ตรงกับของหมู่กลุ่ม ส่วนคุณจะรู้สึกว่าเป็นกตัญญูกตเวทีของคุณ ก็เป็นเรื่องของคุณ ถ้าคนมีธาตุดี ก็จะดีเอง ถ้าคนไม่มีธาตุดี อกตัญญูก็แล้วไป

ซึ่งพระอรหันต์ท่านไม่ได้มีตัวตน มีเรา ก็ทำอะไรไม่ได้น้อยใจเสียใจ แต่ใครที่เขาดีก็ทำดีของเขาเอง ท่านก็มีมุทิตาเห็นดีด้วย

อาตมาก็ชื่นใจที่ในหลวงของเรา มาให้เอาแบบคนจน อโศกเราไม่เป็นหนี้ เราเป็นจริงได้เกื้อกูลกันไป มีเงินหนุนเงินเกื้อกัน คนไหนไม่เกื้อแล้วก็ให้คนอื่นเขาเกื้อ  เราไม่มีการหาดอกเบี้ยในหมู่พวกเรา มีแต่การเกื้อกูลกัน เงินที่ให้ยืมเราก็มีเงินหนุน ไม่ใช่เรียกว่าเป็นหนี้ เราไม่เรียกการกู้ แต่เราเรียกว่าการเกื้อ เราทำมาทุกวันนี้ก็เป็นไปได้

 เราก็เห็นว่า แบบของเรานี้ ทำได้ เป็นแบบคนจน ในยุคพระพุทธเจ้ามีพระมหาวีระ จนมาก มักน้อยกว่าพระพุทธเจ้า ไม่นุ่งผ้าไม่สะสมอะไรเลย ในทรัพย์สินศฤงคาร ทุกวันนี้ก็ยังมีเป็นลัทธิเชน ก็จะเห็นได้ง่าย แต่ของเรานี้ซับซ้อน ยิ่งยุคนี้เราจะมีพอสมควรเพื่อจะอาศัย เราอยู่กับสังคม ไม่ใช่อยู่อย่างไม่พอแล้วอยู่ไม่ได้ แต่อโศกเราเองกลายเป็นว่าจะซื้อเขาต้องซื้อแพง แต่ถ้าจะขายให้เขาต้องขายให้ถูก นี่คืออโศกอยู่ในฐานะนี้จริง  เพราะเราไม่อยากขายของแพง เราต้องขายให้ถูก เป็นเรื่องสัจจะอย่างจริงใจ ไม่ต้องแปลกใจว่า เราให้เขาเอาเปรียบโง่ฉิบหาย ซื้อมาแพงแต่ขายถูก มันต้องเป็นเช่นนั้น เป็นตถตา

 เราก็อยู่อย่างพอเพียง แบบในหลวง ให้พอ เป็นต่อไป ตอนนี้เราอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว แล้วเราสร้างตัวในระบบทุนนิยม มันต้องใช้เวลามาก ถึงต้องอดทนพากเพียร กว่าจะตั้งหลักได้ต้องใช้เวลา ต้องขยันอุตสาหะไป มันไม่เสียหาย หน้าที่เราต้องขยันอุตสาหะ มันเป็นกุศล ไม่ใช่อกุศล

 ถ้าคุณเสียเปรียบ ก็อย่าไปเสียใจ แต่เราไม่ควรจะได้เปรียบ เพราะคนที่ได้เปรียบไปจะเพิ่มกิเลส  มาสอนที่คนไปได้เปรียบคนที่เสียสละ ค่าเป็นลบนั้น ที่ไปเอาเปรียบเป็นค่าไม่ดีนั้น จะราคาแพงกว่าไปเอาเปรียบคนที่ไม่เสียสละ เป็นค่าของสัจจะ ซึ่งมีค่าลดหลั่นกันไป

 ใส่บาตรกับพระโสดาบัน 1 ครั้ง ก็เท่ากับใส่บาตรกับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ใส่บาตรกับพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ก็เท่ากับใส่บาตรกับพระอนาคามี 1 ครั้ง ทำทานกับพระอนาคามี 100 ครั้งก็เท่ากับทำทานกับพระอรหันต์ 1 ครั้ง ก็อัตราต่อเนื่องไปถึงพระพุทธเจ้าไปอีก สุดท้ายการทำทานแบบไม่เจาะจง ทำกับหมู่สงฆ์ เป็นสังฆทาน คือได้อานิสงส์สูงที่สุด

 อาตมาก็ไม่ไปวิจารณ์กับข้างนอกเยอะ เพราะทางมหายานจะออกไปทางอนุโลมเยอะ

 อย่างเช่นธรรมกายนี้ ทำไมมหาเถรสมาคมไปคบได้ โกหกก็ชัดๆ โกงก็ชัดๆ แต่ถูกเขาครอบงำอยู่ใต้อำนาจจะเหลืออะไร  ไม่ได้ไปว่า แต่ให้สติท่าน ถ้าไม่ปรับตัวไม่แก้ไข ก็จะต้องกระหน่ำอีกในอนาคต

 

 ถาม_ดูพ่อท่านทุกวัน แต่ดิฉันเป๊นโรคหัวใจ กินดีบัวมากไปอันตรายหรือเปล่าคะ ทรมานมากจะกินตัวไหนดี ที่ดูแลตัวเองใด้ยามฉุกเฉินช่วยด้วยนะคะ รอคำตอบ

ตอบ...อันนี้ตอบไม่ได้ขอโทษด้วยไม่มีปัญญาตอบได้ไม่มีความรู้

 

ถาม_ธรรมะพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูกล่าวคือ นัตถิฌานัง อปัญญัสสะ,ปัญญานัตถิ อฌายโต, ยัมหิฌานัญจะ ปัญญาจ,สเวนิพพานสันติเก! มีในพระไตรปิฎก เล่ม25 ข้อ35!

ตอบ...ปัญญา ไม่ใช่สัญญา ปัญญาคือความรู้ที่รู้จักภายนอกมาหาภายใน แต่ถ้ายังอยู่ภายในเรียกว่าสัญญา ผู้ใดมีฌาน ก็ต้องมีปัญญา คือต้องมีภายนอกด้วย ผู้ใดไปนั่งหลับตามีแต่ภายใน มีแต่สัญญา ไม่มีปัญญา ฌานหลับตาไม่มีปัญญา ฌานหลับตามีแต่สัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ปัญญามีภายนอก เป็นหลักคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า เว้นผัสสะเสีย ไม่มีฐานะที่จะเป็นได้ ต้องมีเวทนา ถึงมีผัสสะ มีทวาร 6 ครบ มีอายตนะ 6 ตัณหา 6 มีเวทนา 6 วิญญาณ 6 ต้องเรียนรู้วิญญาณจากตา หู จมูก ลิ้น กายใจ แม้แต่เวทนากับตัณหา ก็ต้องเกิดจากการสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ

 การนั่งหลับตาแล้วนึกว่าเป็นแกนของศาสนาพุทธที่จะไปนิพพานก็ไม่ใช่ การนั่งหลับตาสมาธิอันไกลแสนไกลจากนิพพาน

ที่พูดนี้ไม่ได้รังเกียจการนั่งหลับตา ก็เคยทำมากันทั้งนั้น  ก็เป็นสิ่งอาศัยได้ มีสมณะสิกขมาตุ ช่วยพาทำ สิกขมาตุก็เอาภาระได้ แม้ฆราวาสหญิง ชาย แม้แต่สิกขมาตุ ฆราวาสชายนั้น ก็สามารถกราบเคารพได้อย่างบริสุทธิ์จริงใจ

 คำว่าสัญญานั้น เน้นภายใน ส่วนปัญญานั้นภายนอก เช่น ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร  ต้องมีการปฏิบัติธรรม มีกรรมการงาน เป็นมรรคมีองค์ 8 มีสังกัปปะ  วาจา กัมมันตะ อาชีวะ 

ก็เดิน โพธิปักขิยธรรม 37 ตรวจสภาพเจริญขึ้น เกิดสมาธิที่เจริญขึ้นจากประธาน มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานตัวต้น และปฏิบัติต่อมา จะเกิดส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์ เจริญขึ้นไปเรื่อย สัมมาทิฏฐิก็จะเจริญขึ้นด้วย เลยส่งมาเป็นพลังงานเสริมเรียกว่ามีปัญญินทรีย์ มีปัญญาพละเป็นตัวจบ แข็งแรงสมบูรณ์

 ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับตาและปัญญาจะปึ๊งเกิดขึ้นมาเอง ไม่มีเหตุ พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่นี่หาเหตุไม่ได้ บอกว่าสักวันหนึ่งปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง

สรุปแล้ว ฌานกับปัญญา ต้องเกี่ยวข้องกับปัญญา ไม่ใช่แค่สัญญาเท่านั้น

 

ถาม_ โรคหัวใจทานน้ำมะตูมไม่หวานทุกวันห้ามเครียดนะ

       ใครกำลังป่วยโรคาพยาธิใดๆจับจักรยาน2ล้อมาปั่นๆๆๆ ขี่ทุกๆวันโรคภัยไข้เจ็บ อันตธานมลายหายสิ้น

       เบอร์คุณใบแก้วจะติดต่อเรืองโรงทานมังสวิรัติไม่ทราบว่าเบอร์0873912449 หรือ0873918449คะ ขอบคุณค่ะ                   

ตอบว่า...เบอร์ที่ถูกจริงคือ 0873918449

0818305xxx ฝนกำลังตกใส่ข้าวที่เกี่ยวไว้ที่บ้านราชครับ

ถาม_0893867xxx ป่วยโรคใดๆอย่าเอาแต่พึ่งยาอาหารสมุนไพรอย่างเดียว!เอากายมาสู้โรคด้วยการ ออกกำลัง!เอาใจมาอยู่กับ ธรรมะเกิดพลังจิตรักษาตนเป็นยาที่วิเศษที่สุดแล้ว!

0854945xxx พอท่านเคยสร้างบ้านแปลงเมืองมาหลายรอบแล้วใช่บ่คะ

0893867xxx ออกกำลังกายไม่มีคำว่าแก่เกินกำลัง!ใครเคยดูพ่อครู80กว่าปียังเดินแกมวิ่ง!ว่ายน้ำ!ค้ำถ่อเรือ!เข็นรถปุ๋ย! สมณ50ฤา60ปีตามไม่ ทัน!พวกเราไม่ถึง60ต้องตามให้ทันพ่อครูฯ

0890499xxx ลูกไม่ค่อยได้ดูเดินทางบ่อย ไม่มี3G คนรากมะพร้าวง่ะ

0849240xxx ที่ท่านพ่อครูไม่ไอเลยเนื่องจากท่านลดระดับเสียงลงจนไม่เกิดระคายเคืองกล่องเสียงและคอ,ถ้ารักษาระดับเสียงได้ไอไม่เกิดขึ้น

      ตอบ_ อาตมาต้องใช้อภิสังขารมากคือ การปรุงแต่งสังขาร รูปนามต่างๆจากเหตุปัจจัยจัดสรรขึ้นมา จากเรื่องจัดเราขึ้นมาเพื่อให้เกิดผลดี  โดยทั่วไปคนก็จะมีกิเลสเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดการ พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้สังขารเป็นเบื้องต้น วิชามีสังขารเป็นปัจจัย มีวิญญาณ มีนามรูป มีอายตนะ ผัสสะ ตัณหาอุปทาน จนถึงภพชาติ ถ้าอวิชชาก็จะเป็น โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

       แต่ถ้าลดอวิชชาได้ ก็จะลดการเกิด อะไรเกิด ก็กิเลสเกิด ทำกิเลสลดได้ การเกิดก็ต้องลดลง และ ปฏิจจสมุปบาทตามสายก็ต้องลดลง

       สรุปว่า กิเลสลดได้ ต้องอภิสังขาร มีอปุญญาภิสังขาร มีอปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร ถือศีลแล้วปรุงที่ใจให้ได้  ถ้ามีศีลแล้วได้แค่กายวาจา ก็ยังไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น การถือศีลต้องให้เกิดผลที่ใจคือ เกิดความไม่เดือดเนื้อร้อนใจ

1.   อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2.   ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3.   ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4.   ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

 5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6.   สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8.   นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9.  วิราคะ (คลายกิเลส)

10. วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

      อภิสังขารคือ การจัดการปรุงแต่งกายวาจาใจให้ดีขึ้น ต้องเข้าใจว่ากาย คือจิต คือมโน คือวิญญาณ แต่เขาอธิบายกันหลายอย่าง ออกนอกทิศทาง เพี้ยนไปหมดน่าสงสาร ที่พูดนี้ไม่ได้ดูถูกใคร ไม่ได้ลบหลู่ใคร แต่เห็นใจที่เขา พากเพียรกันเป็นครูบาอาจารย์ จนต้องขออภัยที่ต้องพูดว่า ไม่เหลือสัมมาทิฏฐิกัน ขออภัยที่ต้องพูดถึงขนาดนี้ จนกระทั่งปราชญ์ที่นับถือว่าเป็นปราชญ์ของศาสนาพุทธ  ก็ยังแปลอภิสังขารไม่ถูก ไปแปลว่าอปุญญาภิสังขาร ว่าการสังขารอย่างเป็นบาปอีก ก็วนไปวนมาไม่มีทางสูงขึ้นได้เลย

      และมีสังขาร 3 อีก คือ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ในวจีสังขารเป็นส่วนสำคัญที่ต้องรู้ แยกกาย แยกจิตได้ เมื่อไม่เข้าใจสภาวะ ไม่เข้าใจโลกุตรธรรม ก็เลยเข้าใจอภิสังขาร ที่เป็นอุตริมนุสธรรม ต้องเข้าสู่กระแส ทำให้กิเลสลด รู้สักกายะ ลดสักกายะได้ รู้รูปนาม ตั้งแต่ตัวอย่างที่เป็นอบายมุข ก็ลดได้ทุกตัวทุกตน พ้นจากสังโยชน์ 3 ในเบื้องต้นได้ แต่ท่านไม่รู้ ไม่มีสภาวะอาตมาก็เห็นว่าขนาดปราชญ์เช่นนี้ยังไม่เข้าสู่โลกุตระ มันจะทำอย่างไร ในเมืองไทยอาตมาก็เลยว่า  ก็ไม่ได้ลบหลู่นะ ท่านเข้าใจพยัญชนะหลายอย่าง อาตมาก็ได้รับอานิสงส์จากที่ท่านเรียบเรียงไว้อย่างดี

       พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระสูตร ว่าต่อไปในอนาคตคนจะไม่นิยม ภาษาธรรมะที่เป็นโลกุตระที่ขัดเกลากิเลส แต่จะไปนิยมภาษาธรรมะที่เป็นโลกีย์ มีคำพูดที่หวานหู 

      เชื่อว่าเมืองไทยยังมีปัญญา อาตมาอยู่รอดเพราะคนมีปัญญา ผู้มีปัญญาพอเห็น จึงทำให้อยู่ได้ ถึงรู้ว่าท่านก็ฟังบ้าง หลายท่านก็พอเข้าใจ หลายท่านก็เข้าใจดี คุณสมบัติเหล่านั้น มันเป็นธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง เป็น ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมได้

       ถ้าในศาสนาพุทธไม่มีคนมีปัญญา อาตมาทำงานไม่ได้หรอก และอาจจะตายไปแล้วด้วย ถูกหาว่าเป็นผีบุญ ถูกจับไปประหารชีวิตแล้ว แต่อาตมาพาพวกเราไปแสดงออกไปทำความสงบจนผู้มีปัญญาเห็น ท่านเข้าใจ ก็จึงทำให้อาตมาอยู่รอดเพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งจริงๆ ที่ต้องพาไปเปิดตัวแสดงตัวทำให้เกิดเป็นปรากฏว่า เรามีของจริงขนาดไหนอย่างไร เราไม่ได้ปิดบังหรือหลอกลวง เราแสดงออกว่าเรามีความจริงใจจริงกายอย่างไร

      เราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  มาถึงวันนี้ตั้ง 45 ปี ยังได้แค่นี้เลย ก็ไม่มีปัญหาอะไรได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่ดี ดีกว่าไม่ได้ จริงไหม ขอให้พยายามพากเพียรไป อย่าถูกหลอกถูกครอบงำความคิด ต้องสอบทานทั้งรูปธรรม และในตำรา ในนามธรรมด้วยอย่างกาลามสูตร  อาตมาป้องกันคนมาศรัทธาอย่างงมงาย ต้องให้คนมีปัญญามาได้จริงๆ

จบแล้ว


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:13:37 )

581117

รายละเอียด

581117_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ รอยต่อจากอุตุเป็นพีชะ

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2558  คนเราเกิดมามีชีวิตเพื่อศึกษา แล้วทำให้ตนเจริญ เมื่อยังไม่จบกิจเป็นอรหันต์ก็เป็นนักศึกษา เป็นอเสขบุคคล เข้ากระแสได้ แต่ถ้ายังไม่เข้ากระแสแม้โสดาปัตติมรรค ก็ไม่รู้ทางก็ยังไม่ใช่เสขบุคคล ไม่ใช่นักศึกษายังเป็นผีตองเหลือง ตุหรัดตุเหร่ไปตามประสากิเลสพาไป ตามโลกธรรม หลงว่าตนเจริญ ด้วยโลกธรรม สมบัติผลัดกันชม นับชาติไม่ถ้วน แค่พูดนี้ก็เหนื่อยหน่าย แต่คนที่มันเขี้ยวก็สนุกอยู่ไม่ยอมเลิก

      สมัยก่อนอาตมาทำงานอยู่ไทยโทรทัศน์มีเจ้านายคนหนึ่งชื่อคุณจำนงค์ตอนนั้นอาตมาปฏิบัติเอาจริงมุ่งหมายเดินทางสู่นิพพานเขาก็เข้าใจ คนจำนงค์ก็เข้าใจ เขาก็บอกว่าคุณไปเถิดแต่ผมยังสนุกเกี่ยวกับโลกไม่อยากไปนิพพาน คุณไปเถอะ เขาก็ว่าอย่างนั้นก็เห็นใจเขาจริงๆคนเราที่ยังไม่เห็นทางบ้านนี้เป็นทางเจริญของมนุษย์ว่าคนควรเข้าสู่กระแสนี้มันไม่ง่ายจริงๆที่จะเกิดยินดีปรีดา

       ส่วนคนที่พยายามตั้งใจแสวงหาอุตสาหวิริยะพากเพียรบากบั่นทั้งชาติเลย ดีไม่ดีก็บำเพ็ญทุกรกิริยาต่างๆนานาสารพัดเป็นลัทธิฤาษีดาบสก็ไม่เจอทางไม่เห็นทางไม่เข้ากระแสโลกุตระไม่มีโสตาปันนะ

       จุดนี้ที่อาตมาได้ออกมาเปิดเผยว่าจุดที่ควรจะเดินทางไปสู่นิพพานเป็นจุดเริ่มต้น จะต้องเป็นคนที่อ่านจิตเจตสิกเป็น จะต้องมีความรู้เรื่องรูปนามเรียกว่านามปริจเฉทญาณนะ แยกรูปแยกนามออกได้ เป็นสภาวะ 2 หรือเป็นธรรมะ 2 เทฺวธัมมา

       ส่วนรูปนามนี้แหละจะปรุงแต่งกันเป็นสองเป็นสามเป็น 8 เป็น16 เป็นอะไรไปสารพัดสารเพ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ถ้าไม่ชัดเจนในทิศทางที่เข้ากระแสโสตาปันนะ ผู้จะมีนามรูปปริเฉทญาณ และมีนามรูปปริคหญาณ เป็นญาณที่ 2 ของโสฬสญาณ จะรู้เหตุปัจจัยของนามรูป

      รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ภาวะที่ถูกรู้   สิ่งที่ตาเรากระทบคือรูป เสียงมากระทบกับหูเสียงนั้นก็คือรูปที่ถูกรู้ถูกเรารู้

      ส่วนเราคือนาม คือ เป็นธาตุรู้ที่จะไปรู้รูป

       นี่คือธรรมะ 2 ต่อต้องวิจัยสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันเมื่อเราไปกระทบเกี่ยวเนื่องกันก็เกิดภาวะที่ 3 เรียกว่าวิญญาณมีตากระทบรูปมีหูกระทบเสียงก็เกิดภาวะที่ 3 คือวิญญาณจมูกได้กลิ่นลิ้นกระทบรสก็เกิดวิญญาณแล้วเราก็อ่านวิญญาณอันนี้แหละคือสังขารเป็นองค์รวมที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา ซึ่งเขาไม่รู้จริงๆเป็นคนอวิชชาว่าสิ่งที่ปรุงแต่งจากสองสิ่งกลายเป็น 3 แล้วขยายเป็น 4 เป็น 8 เป็น 10 ขยายไปเรื่อยแต่พระพุทธเจ้าให้เรียนทีละสองอย่างแล้วเอามาวิจัยความเป็น 3 นี้

       ในปฏิจจสมุปบาทอวิชชาแปลว่าไม่รู้แต่เมื่อเริ่มรู้ก็จะรู้ที่สังขาร คือมีวิชชา  มีญาณปัญญาขึ้นมาก็จะเริ่มรู้ธาตุรู้ก็จะวิจัยวิเคราะห์ออกในสิ่งที่ปรุงแต่ง เป็นสิ่งที่ 3 คือวิญญาณ

       วิญญาณ คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือเรียกว่าสังขารสังขารก็คือวิญญาณตามปฏิจจสมุปบาทเราจึงต้องเรียนรู้แยกแยะให้ออกว่ามันมีอะไรปรุงแต่งเป็นวิญญาณอยู่ สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณและวิญญาณเป็นปัจจัยของสังขาร

       ภาพวิญญาณตอนนี้เป็นวิญญาณสัตว์ก็มีองค์ประชุมเป็น 2 รับตรงเป็นอีกอันนึงแล้ว อันหนึ่งที่ว่านี้คนก็หลงว่าเป็นสวรรค์คือเป็นนรก  อันที่ว่านี้คือเวทนา ตกลงก็คือสังขารก็ดีวิญญาณก็ดีเวทนาก็ดีเป็นอันเดียวกัน

       แล้วตัววิญญาณนี้เป็นวิญญาณผีเป็นวิญญาณเทวดาถ้ามีรสสุขก็เป็นเทวดาถ้ามีรสทุกข์ก็เป็นสัตว์นรก เวลาจะเรียนรู้พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้อาการที่มันเกิดจากสภาพเป็นธรรมะ 2  แล้ว 2 สภาพนั้นคือมีนามกับรูป ที่เชื่อมต่อกันเรียกว่าอายตนะ  ซึ่งนามรูป อายตนะ ผัสสะก็เป็นอีก 3 หน่วย

       ในนาม 5 ประการที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่ามี1 เวทนา 2 สัญญา 3 เจตนา 4 ผัสสะ 5 มนสิการ

       มนสิการคำว่า มนสิการคำว่ามนสิการ จะจัดการต้องมีผัสสะ ถ้าเว้นผัสสะเป็นปัจจัยแล้วไม่มีเวทนา  จะมีเวทนาให้ศึกษาได้ต้องมีผัสสะ

      ตัวนำรูปมี 2 อย่างอย่างน้อยมีตัวเราเป็นทาสรู้จะต้องทำงานเสมอตัวที่ทำงานอย่างสำคัญคือสัญญาเป็นตัวกำหนดรู้ในนาม 5 อย่างมีมนสิการเป็นตัวจัดการทําส่วนผัสสะเป็นตัวจุดเริ่มทำ ไม่มีผัสสะก็ไม่มีจุดเริ่มให้ทำ แล้วให้ค้นหาเจตนาของมันหน้าที่ของสัญญาคือต้องเจาะเพื่อเข้าหาเวทนาในเวทนา เพื่อหาเจตนาของมันที่เป็นเจตนาของอวิชชาที่เป็นมโนสัญเจตนา

       1 กามตัณหา 2 ภวตัณหา 3 วิภวตัณหา  นี่คือมโนสัญเจตนา 3 อย่าง

       วิภวตัณหาคือเป็นเจตนาที่ไม่มีภพไม่มีกาม  ถ้าเรายังอวิชชาก็ต้องอ่านอาการของตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา(รูปภพอรูปภพ)  เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบ้านปลาย ไปตามลำดับ  อ่านอาการที่มีรูปนามกระทบแล้วมีอุบายวิธีอ่านได้ว่ากามเกิด แล้วกำจัดให้ถูกตัว ถ้าจัดการอย่างกดข่มก็เป็นมารยาทสังคม สำนึกธรรมดาก็กดข่มกิเลสที่ต่อหน้าสังคมไม่ให้ออกมาได้ คนก็ทำได้อยู่แล้วแต่ไม่ใช่วิธีดับกิเลส  แต่ถ้ายังมีความปรารถนาก็จะหามาบำเรอ เมื่อบำเรอได้ก็จะสุข ซึ่งเป็นสุขเท็จถูกหลอกเป็นลมๆแล้งๆให้ปั้นให้ยึดถือ ถ้าหมดอาการเหล่านี้ไปก็จะเป็นปรมังสุขังคือยิ่งกว่าสุข

      แต่ไม่ใช่สุขอย่างยิ่งที่จะต้องให้ได้หนากว่าเก่า ให้รุนแรงกว่าเก่าอีกแต่ถ้าเป็นโลกุตระจะไม่ใช่สุขอย่างยิ่งแต่มันยิ่งกว่าสุขคือให้มันทนกระแสให้มันดับหายไปเลยเป็นอารมณ์ว่างจากสุขจากทุกข์ มันยิ่งกว่าสุขมันยิ่งกว่าทุกข์แน่นอน 

พูดได้ชัดเจนได้ปฏิบัติจะรู้ธรรมรสแล้วมีปัญญาซับซาบว่ามันเหนือชั้นกว่ากันจริงๆมันเบาว่างๆมันปลอดโปร่ง อารมณ์เหล่านั้นมันไม่มีจริงๆมันหายไปได้จริงๆซึ่งแต่ก่อนเราลงว่ามันมีแล้วล้างมันออกก็ไม่ง่ายจนมันหมดได้จริงๆหมดได้ยาวนานจนมั่นใจ ว่ามันไม่มีจริงก็รู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ

คุณจะต้องมีตาทิพย์อ่านอาการที่มันไม่มีตัวตนรูปร่างสีเสียงอะไร แต่อ่านได้ด้วยอาการที่มันเคลื่อนไหว ตอนอาการที่มันไม่เคลื่อนไหวเลยก็คืออาการเบาอาการหยุดอาการว่าง ไม่มีธรระ 2 เป็นนปุงสกลิงค์ แต่ถ้าเป็นหนึ่งมันก็อาศัยอยู่ได้ เป็นตามที่มันมีสมมุติสัจจะ

ถ้าจิตเรามีธาตุรู้กับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส โลกธรรม เราเคยเกิดอารมณ์นี้แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์นี้แล้ว เราก็รู้ว่าคนอื่นยังมีอยู่ แต่เราก็อาศัยอุเบกขาคือ อทุกขมสุขอยู่ เราก็รู้ว่าเราไม่มีเหมือนแต่ก่อนที่มันเคยมี คนอื่นเขายังมีอยู่เพราะออกไม่ได้ เรารู้แจ้งเห็นจริงอย่างนั้นจริงๆ

 ซึ่งคนก็เดาอารมณ์นั้นว่ามันคงจะจืดชืด ไม่มีอะไรเลยแต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่ได้ อตักกาวจรา ผู้ตั้งใจประพฤติจริงๆจังสัมมาทิฏฐิจะรู้ได้

 ถ้ายังมีขันธ์ 5 อยู่ก็รู้ว่าเรามีเจตนา เราจะใช้เจตนาเป็นวิภวตัณหาไม่มีพบแล้ว ก็ทำงานเพื่อโลกไป จะผัสสะอะไรอยู่ก็ชัดเจนในชีวิตเรา ว่าเป็นตัวงานที่รับใช้มวลชนประกาศสิ่งประเสริฐนี้ว่าคนเราสิ่งที่ควรได้ควรมีคนเป็นคือนี้เป็นสุดยอด  ส่วนลาภยศสรรเสริญที่ไปหลงกันมันไม่มีอะไรหรอกแต่ว่าอรหัตผลวิมุติอันนี้คือสุดยอดแล้ว  ได้แล้วยิ่งให้ยิ่งมีมากมันแปลกจริงๆไม่เหมือนอย่างโลกีย์

 เราต้องมาพึ่งตัวเองให้ได้ ภูมิประเทศของเราก็ช่วย เราต้องมาสร้างสรรอาหารไม่ว่าชาติไหนก็ต้องกินอาหาร  เราต้องมีอาหารกินเป็นหลักยังชีพของตนไม่ต้องกลัวตายนอกนั้นเป็นเรื่องรองไป อันนี้เป็นปัจจัยตัวแรกเลยเป็นอาหารการกิน ส่วนเครื่องนุ่งห่มก็ไม่ต้องกลัวขาดอะไรมากมาย ถ้าหาไม่ได้ก็จับใยแมงมุมมาถักทอแต่อย่าเอาเส้นผมมาทอคือผ้ากัมพล เป็นผ้าที่แย่ที่สุดในบรรดาผ้าทั้งหมดรักษาก็ยากเจ็บก็อยากทำก็อยากทำอะไรก็ยากไปหมด  เราเก็บผ้าบังสุกุลมาทำดีก็เหลือแหล่ ส่วนที่อยู่เราก็สบายนอนรุกขมูลโคนไม้ กันฝนกันแดดนิดหน่อยก็สบายสุดๆมาขนาดนี้ส่วนยารักษาโรคเราก็เก่ง กว่าจะเป็นหมอชีวกแล้วอะไรที่ไม่เป็นยาไม่มี

 เรื่องปัจจัย 4 เราสามารถใช้ความสามารถเราอาศัยได้ ถ้าเมืองไทยเรานั้นเข้าหาแกนที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้และประพฤติปฏิบัติให้พึ่งตนเองก็รอดก่อนอื่นทำให้ได้ตามหลักเกณฑ์ 4

 1 ไม่เป็นหนี้ 2 พึ่งตนเองรอด 3 ทำเกินกินเกินใช้ 4 ที่เหลือก็แบ่งแจกเจือจานคนอื่น  ถ้าเราทำดี แล้วคนจะไม่ช่วยเหลือไว้ก็อยากจะพิสูจน์จริงๆว่าเราอยู่ด้วยคุณงามความดีได้ไหมไม่ต้องไปแย่งชิงใครเลี้ยงตนเองรอด  ช่วยเหลือคนอื่นไปชีวิตมันจะอยู่ไม่รอดได้อย่างไร  ข้าวมีกินดินมีเดินพี่น้องมีเสร็จ ป่วยเจ็บเจ็บมีคนรักษาขี้หมามีคนช่วยกวาด ถ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างเร่งทำเอา ไม่อยากจะเป็นนักคาดคะเนว่าจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ตามสมัยใหม่เขา ที่เป็นสูตร เพ้อฝัน

 เขียนโครงการไว้ ทำไม่สำเร็จก็หาวิธีโกงทำให้สำเร็จ

 ถ้าเราพึ่งตัวเองรอด แล้วช่วยคนอื่นได้เราไม่เป็นภาระของคนอื่นเรามีเหลือแล้วก็แจกจ่ายคนอื่นได้ ถ้าเราทำสำเร็จเป็นวงจรนี้ก็จะเป็นเวลาที่เราเป่าปี่เป็นหลังบนหลังควาย  ถึงวาระที่คนมีคุณบุญมีคำกิจกรรมมีผลเจริญ เราไม่มีปืนไม่มีมีดไม่มีหอกดาบที่จะไปฆ่าแกงใครไม่มีอาวุธยุทธภัณฑ์เข่นฆ่าใครแต่ชีวิตสังคมที่เป็นอยู่เช่นนี้ก็อยากจะให้สร้างสังคมอย่างนี้อย่างน้อยอยู่ในประเทศไทยแล้วดูว่าประเทศรอบประเทศไทยห้อมล้อมชุมชนเหล่านี้จะมีชุมชนเช่นนี้แทรกอยู่ทั่วประเทศไทยซึ่งเป็นสาธารณโภคี

คำว่าสาธารณโภคีนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้เพ้อเจ้อ ยิ่งใหญ่เพราะว่าเป็นคุณสมบัติที่อันประเสริฐสุดที่ประเสริฐสุด  คือคนทุกคนอยู่ร่วมกันมีสมบัติส่วนกลาง ร่วมกินร่วมใช้กันอยู่อย่างนี้ ในประวัติศาสตร์ในตำนานยังไม่มีให้สืบสาวได้แต่ในภูมิรู้ของอาตมา รู้ว่ามันเคยมีมาแล้ว ที่มาพูดนี้หลายคนก็จะหาว่าเพ้อเจ้อ ซึ่งสาธารณโภคีนี้ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนี้แหละ อันนี้เหนือชั้นกว่ายูโทเปียซึ่งยูโทเปียคนเหนือชั้นกว่าสังคมนิยมเนื้อฉันกว่าคอมมิวนิสต์แล้วมีจิตที่เป็นพุทธะพด 7 ที่แท้จริง

 เป็นชีวิตที่ระลึกถึงกันใครอยู่อย่างไรมีความต้องการมีความช่วยเหลืออย่างไรมีความรักอย่างโอบอ้อมอารีย์ 

      ชุมชนอโศกตั้งมา 31 ปีแล้ว ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรก การทำร้ายกันรุนแรงไม่มีในอโศก มีบกพร่องเล็กน้อยมีบ้าง ทำมา 31 ปีก็พิสูจน์ได้  โดยที่มันซ้อนที่เราอยู่ได้โดยเราไม่ไปบำเรอ  เหมือนกับไก่ที่เราเอาอาหารให้มันกินตลอดมันก็กินแต่อาหารไม่จิกตีกันแต่ถ้ามันขาดแคลนอาหารก็จะจิกตีกัน แต่ของพวกเราไม่ได้อยู่อย่างไก่อยู่อย่างไม่จิกตีกันมีแต่เริ่มฝึกกันแบ่งจักกันไม่ถึงกับกระเบียดกระเสียรมีอยู่กินอย่างเฟอร์ไปด้วยซ้ำ

       จิตของเราติดน้อยลง ความเฟ้อความเกินก็จะมีมากขึ้นด้วยซ้ำเราอาศัยน้อยก็ยิ่งเหลือเผื่อมีส่วนเกินไปแบ่งแจกต่อ  เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดคือเศรษฐศาสตร์บุญนิยมของพระพุทธเจ้าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีนิมิตหมายชัดเจนว่าพระเจ้าอยู่หัวเราทรงภูมิในเรื่องเศรษฐศาสตร์แบบนี้  อาตมาก็สนองพระราชดำรัสตลอดเวลาก็เลยมั่นใจว่า ให้เป็นเศรษฐศาสตร์บทที่ในหลวงรับสั่งออกมาให้มันถูกต้องจะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงจะเรียกว่าแบบคนจนจะเรียกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเราตามที่ในหลวงตรัสมันก็เป็นจริงทั้งนั้นและเป็นไปได้

      พูดมาถึงตรงนี้ก็ขอประกาศสำหรับชาวอโศก คำว่าตลาดอาริยะต้องขายต่ำกว่าทุน ซึ่งตอนนี้กำลังจะแปรรูปไปว่าตลาดอาริยะคือขายถูกแต่คุณยังเอากำไรซึ่งไม่ถูก ต้องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จึงเรียกว่าตลาดอาริยะ ไม่เช่นนั้นอย่าเอาชื่อว่าตลาดอาริยะไปเรียกชื่อตลาดที่คุณลดราคา แต่คุณยังได้กำไรเกิน หลอกเขาเพื่ออ้างแต่โดยรวมเล่นเล่ห์ว่าจะได้มากขึ้น ต้องมีเจตนาที่จริงใจ เพราะอาตมาทำขึ้นมาเพื่อมวลชนเพื่อมนุษยชาติจริงๆไม่ได้ทำมาเพื่อหลอกล่อเพื่อแฝงเอาอะไรจากผู้อื่นเอากำไร  ซึ่งต่อไปจะมีคนปลอมตลาอาริยะไปทำเพื่อไปล้วงตับกินไส้มันก็จะมี เพราะพวกเราทำแล้วจะมีคนศรัทธาเลื่อมใสเห็นจริงแล้วเราก็ตั้งใจทำจริงๆถ้าเรามีส่วนเหลือจะทำเช่นนั้นได้เราก็ทำ

       ตลาดอาริยะเป็นบุญญาวุธหมายเลข 2 สวนมังสวิรัติเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ดำเนินไปได้ดีแล้ว  แต่ตลาดอาริยะนั้นยังลูกผีลูกคนต้องช่วยกันทำ อย่างตลาดอาริยะเราขายอาหารจานละบาททุกที่

       สังคมพวกเราอาศัยทฤษฎีพระพุทธเจ้าแล้วขัดเกลากิเลสจากจิตอย่างเป็นจริง มันจึงจะเป็นจริงได้ นี่คือความจริงที่จะมีการหลอกลวงเสแสร้างเข้ามาก็ไม่ได้มันจะเป็นเรื่องสัจจะจริงๆ

       ชาวอโศกแล้วยังมีน้อยแล้วยังต้องสร้างบ้านแปลงเมืองหลวงอีกถ้าเราผ่านไปอีกร้อยปีจะลงหลักปักฐานแข็งแรงพอสมควร พฤติกรรมสังคมเราจะเด่นชัดและจะทำได้พอสมควรตอนนี้ก็ทำได้เท่าที่พอมีได้

       บางครั้งบางคราวเราต้องรวมตัวไปช่วยเหลือประเทศชาติอย่างการชุมนุม 3 เดือน 8 เดือนเราก็ไปพืชผักเราก็แห้งเหี่ยว  งานการต่างๆก็ต้องหมดไปหลายอย่างแต่ที่พูดไปไม่ได้หมายถึงว่าต้องร่ำร้องขอความเห็นใจก็ไม่ใช่

       อาตมาทำงานจากศูนย์สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยแบบทุนนิยม ซึ่งไม่ใช่แบบที่มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูมาจัดสร้างไปเองตามลำดับ ลงหลักปักฐานแต่ทุกวันนี้ก็เป็นได้ ฝังรกรากลงไปได้หยั่งลงอย่างแข็งแรง  แต่พวกเราอย่าขี้เกียจขี้คร้านเหลิงหลงสุขกัน

       วิธีการที่จะยังชีพให้มีพฤติกรรมสังคม จะเรียกว่าการเป็นอยู่การดำเนินชีวิตเป็นวัฒนธรรมที่สุดเรียกกันว่าลัทธิเป็นระบอบเลยเรียกว่าระบอบบุญนิยมเป็นอย่างนี้  ให้อยู่ยาวยืนคงกระพันยั่งยืน  ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีในตัวของผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้บรรลุมีสภาวะมีคุณภาพเช่นนี้ได้เป็นของจริงมันมีหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

      คนไหนบรรลุอรหันต์แล้วก็คงมั่นจนกว่าจะตายตายไปแล้วก็จะกลับมาได้เช่นเดิมอีกยั่งยืนเหมือนเดิมอีก นอกจากถูกลิงลมอมข้าวพอง ถ้าอาตมายังไม่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็จะเกิดมาสร้างอันนี้อีก

 

 Sms 16 November 2015

 

0893867xxx ตอนนี้ผู้น้อยก็ปลื้มปิติยิ่งกว่า5อาก.!ได้รับหนังสือครบ รอบ45พษ.แล้ว!ขอขอบคุณสนพ.กลั่นแก่นนญตธ.สัน ติอโศกพนง.ปณ.ทุกท่าน

0893867xxx เป็นบุญจริงๆได้ฟังธรรมพ่อครูสณ.โพธิรักษ์ผู้เจริญตา มรอยพระสมณโคดมยังมิพอ!ได้เห็นญตธ.ชาวอโศกผู้ปฏิบัติธรรมฟื้นฟูพุทธศาสนาตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราชสมดังพระนามท่านสาธุ!

0889896xxx กราบนมัสการพ่อครูฟังพ่อครูเทศแล้วถือปากกามาจดบางอย่างก็เขียนไม่ทันค่ะ

0893867xxx อ่าน45ปีแห่งการเข็นกงล้อพระธรรมจักรคร่าวๆที่พ่อครูเขียนถึงปฏิจสมุปบาท!การเอาชนะอวิชชาต้องเข้าใจต้นตอของความทุกข์ทั้งปวงที่เป็นปัจจัยต่อเนื่องหมุนเวียนก็จะหลุดจากวงล้อแห่งภพได้ถูกไหมหนอ? พ่อครูว่าถูกต้อง

0893867xxx ขอโทษบุญนิยมที่ส่งมิทันจบรก.มัวอ่านหนังสือยอดนิยายเพิ่งรับเมื่อบ่ายวันนี้!จรธ.

_เหตุรุนแรงในฝรั่งเศส5ศาสนาในไทยแถลงการณ์แสดงความเสียใจเหตุรุนแรงในฝรั่งเศส

 

คำว่าปรทัตตูปชีวีคือ ชีวะที่อาศัยผู้อื่นอยู่ ถ้าเข้าใจจะรู้จุดเชื่อมต่อระหว่างชีวีหรือชีวะได้ ถ้าไม่ต้องอาศัยผู้อื่น มีอณู มีเชื้อต่อ ถ้าไม่อาศัยอันนี้ต่อ อันนี้จะไม่เกิด ผู้จะมีอะไรต่อนี่ คือต้องรู้ความเชื่อมต่อระหว่างอุตุต่อมาเป็นพีชะ จะรู้ความต่อระหว่างพีชะไปเป็นจิตนิยาม ถ้ารู้จุดนี้ก็อ่านพลังงานรูปนามของตน จะทำจิตของตนที่เป็นอกุศลให้หมดไป พลังงานที่ทำการฆ่าอกุศลออก จริงๆแล้ว ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทำลาย แต่เปลี่ยนจากพลังงานอกุศลมาเป็นกุศล จึงเป็นปฏิภาคทวี

      จะมีคุณสมบัติจากจิตนิยามแบบโลกโลกมาเป็นแบบโลกุตระมามีพลังงานแบบที่ชั้นใดมีพลังงานทับทวีมากกว่าพืชแล้วมีความฉลาดไม่ใช่มีแค่สัญญาแต่มีปัญญาด้วยพลังงานจิตนิยามอันเป็นพระอริยเป็นพระอรหันต์จะมีความกำหนดแล้วรู้มีรอบรู้เป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่มากแต่สิ่งที่จะไปทำร้ายทำลายใครจบไม่มี มีแต่คนไม่มีโทษ

      จะเป็นพลังงานจิตนิยามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พระพุทธเจ้าให้พวกเราแต่ละคนสร้างได้ใครรู้จุดต่อระหว่างพลังงานแล้วทำให้สิ่งที่เป็นอกุศลดับให้เลิกพฤติกรรมนั้นกลายเป็นพฤติกรรมใหม่เป็นโลกุตรจิต นี่คือจิตที่สุดพิเศษแล้ว จะบอกว่าเป็นความรู้ทางฟิสิกส์ก็เป็นฟิสิกส์ทางจิตวิญญาณ หรือเป็นชีววิทยาก็ตาม

        พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 313

และก็จากพระไตรปิฎกและอรรถกถาจารย์ แปลว่า ผู้ที่มีชีวิตที่อาศัยผู้อื่นอยู่ แต่ ….

 

 

ถ้าใช้คำว่า ปรทัตตูปชีวี หมายถึงชีวิตที่พึ่งผู้อื่น หรือไม่ใช่พึ่งผู้อื่น แต่เป็นชีวิตที่จะต้องมีของผู้อื่นมาเชื่อมต่อ  คำว่า ปร คืออื่น ส่วน ทัตตะคืออันเขาให้ ผู้อื่นให้ ผู้อื่นมาเชื่อมต่อ คำว่า ปรทัตตูปชีวี คือชีวิตที่เกี่ยวกับผู้อื่น ในพระไตรฯที่พระพุทธเจ้าตรัสในเล่ม 10 ลองฟังเป็นตัวอย่างก่อน

 

  เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะ ก็คือนามรูปนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาด(สมุจฉิจชิตสถาติ)ในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด(สมุจฉิจชิตสถาติ)เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่  จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป     ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ

      พ่อครูว่าสรุปคือไม่มีนามว่ารูปหยั่งลงของวิญญาณก็ไม่มีการขาดก็ไม่มี นี่คือปรทัตตูปชีวะ เป็นแค่ธรรมะสอง ไม่มีธรรมะที่สาม ก็ไม่ต่อ ไม่มีชีวะ วิญญาณก็ไม่ตั้งหลักขึ้นอีก พลังงานที่จะก่อเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยจะไม่ต่ออีก นี่คือวิธีการตัดของนักปฏิบัติธรรม ไม่ให้ต่อ แต่ถ้าจะต่อก็ต้องสามารถให้ต่อได้

      ผู้จะพัฒนาจากอุตุนิยามให้เป็นพีชนิยามก็ต้องต่อขึ้นมาจึงจะก้าวหน้าไปได้ แต่ทีนี้พวกคุณไม่ใช่ต้องมาต่อ พวกคุณต้องมาตัด มาถึงวันนี้แล้วพวกคุณมีอวิชชา พากเกิด เป็นปรทัตตูปชีวี บานไปหมดแล้วต้องมาตัด อย่าให้พลังงานอกุศลเกิด ไม่ให้มีลีลาพฤติกรรมเช่นนั้น  ให้มาเป็นพฤติกรรมที่ดี

       จริงๆแล้วพลังงานต่างๆไม่มีชีวิตด้วยตัวของมันเองจะมีตัวตนก็เป็นเซลล์ เป็น self จากเชื้อเซลล์ จนเป็นตัวมันเองเป็น self ยังไม่เกิด ish เป็น selfish ยังไม่กระทบคนอื่นแล้วเป็นตัวกูของกูเบียดเบียนคนอื่น พีชะก่อตัวไม่เป็นพิษภัยกับใคร  นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สร้างให้พลังงานจิตมีคุณสมบัติเหมือนพืชแต่พิเศษกว่าคือแปลงให้เป็นพลังงานที่ดีสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ผู้อื่นจะมีปัญญายิ่งกว่าพืชรู้จักการช่วยผู้อื่นให้เป็นประโยชน์คุณค่ามีคุณงามความดีไม่มีโทษตั้งแต่คุณงามความดีต่อไปสัพพปาปสอกรณัง กุสลสูปสัมปทาเพราะสจิตตปริโยทปนัง เป็นหลักประกันในชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

      คำว่าปรทัตตูปชีวี  หากเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องของตัวตนถ้าเอาคำว่าเปรตมาต่อเข้าไปคำว่าเปรตคือพลังงานร้ายพลังงานที่เป็นพิษต่อผู้อื่นเป็นพลังงานเป็นภาระต่อผู้อื่น ทำร้ายต่อผู้อื่นเป็นการเอาเปรียบผู้อื่น เป็นปรทัตตูชีวกเปรต  ถ้าเรามีพลังงานจิตเราเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนถ้าเราเป็นจริงเราก็ต้องยอมรับความจริงแล้วเปลี่ยนให้เป็น ปรทัตตูปชีวีที่เป็นโลกุตระ  ถ้ายังมีเปรตอยู่ก็ต้องทำร้ายผู้อื่นแย่งชิงเขาเป็นพลังงานเลวร้าย

      สรุปคือถ้าตนเองไม่ต่อกับใครก็เป็นปรทัตตูปชีวี ของตัวเองแต่ถ้าคบคุมได้ก็มีปรทัตตูปชีวีแต่มีแต่ทำเพื่อผู้อื่นแต่ก่อนนี้อาศัยเขาเขาต้องเลี้ยงเราไว้นี่คือความหมายของปรทัตตูปชีวี  สายคล้ายกับความหมายของคำว่า ปรปฏิพัทธาเมชีวิก  คือชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น
       ความลึกซึ้งของพลังงานจิตของผู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างของพระพุทธเจ้า แต่คนเอาคำว่าเปรตไปใส่ของท่าน ในอรรถกถาจารย์ขยายความไป ก็เลยต้องพยายามหาหลักฐานมายืนยันเราต้องเลือกสิ่งที่ดีๆมาเป็น

       สัจจะในโลกนี้มันไม่มีหรอกไม่มีคนยึดที่ว่าของข้าถูกของข้าถูกต่างคนก็ต่างยึดหนักเข้าก็แย่งชิงกันว่าของข้าถูกมันต่างกันไปฆ่าแกงกันได้พระพุทธเจ้าบอกว่านั่นแหละเพราะเขายึด สัญญายนิจจานิ  หยุดสัญญาของเขาว่าเที่ยงซึ่งต่างกันไปแต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า

      1 ถูกหรือผิดไม่มีจริง 2 สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก 3 สัญญายนิจจานิ

 สำหรับอมตะบุคคลจะหยุดก็ได้ไม่ยึดก็ได้ แต่ไม่ใช่เป็นคนไม่จริงใจแต่เป็นคนไม่มีตัวตน ถ้าเห็นว่าอะไรควรที่สุดตามหาประเทศหรือสัปปุริสธรรม 7 หรือประมาณว่าได้สัดส่วนดีที่สุดค่ะวันนี้เป็นสัปดาหนึ่งเดียวแต่ไม่มีตัวเองไม่มีตัวตนเข้าไปเหตุปัจจัยร่วมเลย เอาเหตุปัจจัยอื่นเท่าที่มี

       ผู้ที่ไม่มีตัวตนแล้วก็ใช้เหตุปัจจัยตามหาประเทศ 4 พฤษภาริสตธรรม 7 ตามกรอบนี้

       ความสามัคคีนี้ยิ่งใหญ่กว่าความถูกความผิดเพราะทุกวันนี้เราเดือดร้อนเพราะเรายึดตามสัญญาของเราว่าเที่ยงฉันไม่ผิดไม่ผิด พี่ไม่ยอมนี้เพราะคิดว่าเราไม่ผิดมันก็มีอัตตาอยู่นั่นเองก็บอกแล้วว่าผิดถูกมันเป็นเรื่องสมมติสัจจะการอยู่กับหมอต้องเอามวลหมู่

       อย่างอาตมาถ้าหมู่สมณะเอาอย่างนี้ทั้งทั้งที่อาตมาเห็นอยู่รู้อยู่ว่าที่อาตมาเห็นมันถูกกว่าดีกว่าแน่แต่โมไม่เอามือจะเอาอย่างนี้อาตมาก็ถอดของอาตมาทิ้งไปก็เอาเบอร์นี้เป็นสัจจะหนึ่งเดียวก็จบตัวกูไม่มีแต่พ่อของกูยังมีอยู่นี่แหละพวกกูยังมีอยู่นี่แหละจึงเป็นปัญหาอโศกนี้เรื่องตามก็ไม่ค่อยมีเรื่องโลกธรรมก็น้อยแต่เรื่องอัตรานี้แหละมีอยู่มากเห็นแล้วเบื่อไม่ลง มันก็จริงที่เขาไม่ผิดมันก็จริง หนักเข้าก็ต้องหลุดจากหมู่ไปเพราะไม่ยอมออกเพราะตัวกูของกูมันยังอยู่ก็กลายเป็นแตกแยก  ก็น่าเสียดาย

       ก็ไหนว่าหมู่นี้ดีทำไมคุณใหญ่ข้อมูลตลอดกาลหมู่เขาหลายหัวกว่าอาตมายกตัวอย่างตัวเองหมู่สมณะจะอาอาตมาก็ต้องเอา อย่าว่าแต่หมู่สมณะเลยสังคมโลกเขาว่าเขาถูก ว่าเราผิดเราก็ต้องยอม ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไร

       1 คือเราต้องเคารพความฉลาดของเขาคนทั้งหมู่นะ  แม่ของคุณจะถูกก็ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็น สัญญายนิจจานิ  เอาตามความยึดของคุณที่คุณยึดไว้เป็นสัญญาก็ต้องบอกว่าความสามัคคีนั้นมาก่อนอัตตาพาบรรลัยจักรนะ อยู่กับหมู่ให้สามัคคีดีกว่า

                 

(45) พลังงานจะพัฒนาจากอุตุนิยามเป็นพีชนิยามก่อน
      เริ่มต้นที่ธาตุนั้นโดยเอาที่พลังงานเป็นสำคัญว่า พลังงานของธาตุนั้นได้พัฒนามีคุณสมบัติในนิช(Niche)มีความเจริญเข้า
ขั้นเซลล์(Cell)หรือยัง? ถ้าเข้าขั้นเซลล์ได้จริงก็เริ่มนับเป็นชีวะ
      นิช(Niche) หมายถึง ช่องว่างหรืออากาศ(space) ซึ่งเป็นสถานที่ก็ดี ที่เริ่มต้นให้ชีวะเกิดเรียกว่าคัพภะ(กุจฺฉิ)หรือ Protoplasm ที่กำลังจะมีชีวะเล็กละเอียดยิ่งของธาตุเริ่มเป็นตัวของชีวะเรียกว่ากลละก็ดี หรือ primary cell(เซลล์ปฐมภูมิ) อันเป็นเชื้อหรือหน่วยชีวิตแรกที่พลังงานพัฒนาตัวเองได้สัดส่วนเหมาะสมแล้ว จนถึงขั้นความเป็นชีวะจะเริ่มขึ้น
      ถ้าเชื้อแรกนี้ไม่ติดอยู่ในครรภ์ หรือไม่ดำเนินต่อไป ไม่มีพลังงานของ primary cellสืบต่อ(สันตติ) ก็เป็นอันชีวะ ก็หมดสิ้นไป ไม่มีเชื้อชีวิตินทรีย์ก่อตัวขึ้น(สมุจฺฉติ,สมุจฺฉิสฺสถ)ต่อไปได้อีก หรือเชื้อชีวิตินทรีย์ก็จะขาด(สมุจฺฉติ,สมุจฺฉิสฺสถ)ภาวะของชีวะลงไปตรงนั้น ณ บัดนั้น
      ไม่ว่าจะเป็นชีวะระดับพีชนิยามหรือจิตนิยามก็จะมี
ภาวะของธาตุชีวะที่จะสืบต่อ(สันตติ) สืบทอดการเกิด(สันตติ)นัยะเยี่ยงเดียวกัน
      เป็นแต่ว่า ชีวะขององค์รวมของมันละเอียดซับซ้อนมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปอีกหลากหลายสภาพ
      ดังนั้น เมื่อเชื้อหรือหน่วยชีวิตหน่วยที่ 1 ตั้งอยู่ก่อนแล้วนี้ขาดลง(สมุจฺฉิสฺสถ) จึงไม่มีเชื้อหน่วยที่ 2 (seccondary cell) สืบทอดต่อเชื้อออกไปอีก การก่อตัวขึ้น(สมุจฺฉิสฺสถ)ของเชื้อชีวะจึงไม่มี ด้วยประการฉะนี้

1.space 2.ชีวะอันนี้  ของไอสไตน์ space and time ทั้งมหาจักรวาลคือ space และมีพลังงาน ทางฟิสิกส์เขาเอา timeหรือเวลาเป็นตัวเคลื่อนไหว

      ถ้าเชื้อนี้ไม่ติดในครรภ์ มันจะอาศัยเกาะอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เชื้อแรกนี้ไม่ติดในครรภ์หรือไม่ดำเนินต่อไป หลุดจากที่มันติดในช่องโพรง ไม่ดำเนินต่อไปไม่มีพลังงาน primary cell ต่อไม่มีชีวิตตินทรีย์ ไม่มีสมุจฉิทชิตสถาติ ก็จะชรตาหรือเสื่อมไป ดับไป ถ้าพัฒนาก็จะก่อชีวิตต่อไป

      ในลักษณะ 4 ของอุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ไม่แน่นอน

      ถ้าไม่มีนามรูปก่อตัวขึ้น วิญญาณจะหยังลงหรือก่อตัวได้ไหมก็ไม่ได้ เหมือนกับที่ว่าไม่มีปฏิฆสัมผัสโสหรืออธิวจนสัมผัสโส เพราะไม่มี การรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส จะไปขานชื่อรูปกายนามกาย(อธิวจนสัมผัสโส) ไม่ได้

       อย่างตอนนี้ตาคุณสัมผัสส้มโอแต่ตาคุณไม่ทำงาน ไม่มีวิญญาณ ก็ไม่ก่อสภาวะรับรู้อะไรเลย จะเรียกชื่อส้มโอไม่ได้ อธิวจนสัมผัสโสก็ไม่มีได้  เช่นเดียวกันถ้าไม่มีการสัมผัสปฏิกิริยาระหว่างรูปนามก็จะไม่มีปรทัตตูปชีวี ก็จะตัดขาด ณ บัดนั้นไม่มีอะไรก่อตัวขึ้นอีก  ไม่ว่าจะเป็นพีชนิยามหรือจิตนิยามก็ตาม

      เชื้อชีวิตหน่วยที่ 1 primary cell ที่ขาดลงจึงไม่มีเชื้อหน่วยที่ 2 secondary cell การก่อตัวของชีวะไม่เกิดขึ้น 

 

 


      ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้
เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องมารดา(วิญญาาณัญจ
อานนฺท มาตุ กุจฺฉิสฺมิง น โอกฺกมิสฺสถ) นามรูปจะก่อตัวขึ้น(ขาด)
ในท้องมารดาได้บ้างไหม(คำว่า สมุจฺฉิสฺสถ จากคำว่า สมุจฺฉติ ฉบับหลวงแปลว่าขาด ส่วนฉบับมหาจุฬาฯ เล่ม 10 ข้อ 115 แปลว่า ก่อตัวขึ้น)
      วิญญาณคือ ธาตุรู้ที่เกิดจากปสาทรูป 5 ที่สัมผัสกับ
โคจรรูป 5 ก็เกิดเป็นภาวรูป 2นี่คือธรรม 2 ของ รูปและนาม
(เทฺว ธัมมา) เป็นองค์ประกอบกันอย่างถึงขั้นครบสัดส่วน จึงจะเกิด
พลังงานวิญญาณขึ้นมาได้
      ซึ่งเป็นพลังงานที่เกิดชีวะเริ่มแรก ติดอยู่กับที่ก่อน ยัง
อวจรหรือโคจรไปไหนด้วยพลังงานตนเองอิสระลอยตัว ไม่ได้ แต่เริ่มเป็นชีวะ เริ่มต้นเป็นเซลล์(cell)ขั้นแรก จึงต้องเชื่อมต่อสืบสายโยงชีพอาศัยชีวิตอยู่กับผู้อื่นที่ให้เชื้อชีวิต(ปรทัตตูปชีวี) ยังตัด
ขาด แยกตนออกไปเป็นตนเอง อย่างอิสระพึ่งตนเอง เลี้ยงตนเองรอด ยังไม่ได้ ยังเป็นแค่อุปาทิ(เชื้อ) ที่จะต่อชีวานุปาทิต่อไป โดยการอาศัยเกาะติดอยู่กับชีวิตผู้อื่นให้สิ่งที่จะใช้อาศัยแก่ตนได้
      หากขาดจากการได้อาศัยผู้อื่นให้ชีวิต ก็สูญชีวิตไปเลย
      หรือถ้ามีเชื้อชีวิตในตนบ้างแล้ว มากกว่า 2 ขึ้นไป และหากสันตติตัดขาดจะด้วยกรณีใดก็ตาม เชื้อชีวิตนี้ก็ชื่อว่า
ชรตา นั่นคือ เชื้อนั้นก้มีแต่จะเสื่อมไปๆ จนที่สุดสูญสิ้นเลย
ถ้าแม้นไม่มีเหตุปัจจัยใดมาเสริมเติมให้กลับฟื้นก่อเกิดขึ้นต่อไปอีก 

(46) ปรทัตตูปชีวีคือ พลังงานกำลังจะก่อตัวตนเท่านั้น
      คำว่า ปรทัตตูปชีวี คือ พลังงานขั้นเริ่ม กำลังจะก่อเกิด
ชีวะขั้นต้นเท่านั้น ไม่ว่าชีวะของพีชนิยามหรือของจิตนิยาม
ความเป็นชีวะ(cell)ก็จะมีเหตุมีปัจจัยที่เป็นสมุทัยต่อเติมขึ้น
เสมอ หากสมุทัยไม่มี หรือสมุทัยดับ ชีวะหรือนิทานนั้นก็
ดับไปเลย หรือเสื่อมไปตามกาละ เพราะไม่มีเหตุปัจจัยอื่น   
      ฉะนี้แลคือ พลังงานขั้นปรทัตตูปชีวี ซึ่งไม่ใช่ไปหมายเอา
พลังงานที่มีตัวตน(self)ที่โตที่ใหญ่เป็นชีวิตเต็มตัวตั้งขึ้นแล้ว
ยิ่งเป็นพีชนิยามแล้วก็ดี ก็ยังไม่ใช่ตัวตนขนาดนั้น ยิ่งเป็น
จิตนิยามกันเลย ที่ไปเรียกกันว่าสัตว์เปรตอันเป็นพลังงาน
ถึงขั้นปิตฺติวิสัย(ภูมิแห่งเปรต)แล้ว ยิ่งไม่ใช่เลย มันยังไม่ปานนั้น
      พลังงานของปรทัตตูปชีวีนี้ แค่พลังงานขั้นเริ่มจะก่อชีวะ จะก่อจากอุตุนิยามขึ้นเป็นพีชนิยามก็พลังงานชั้นหนึ่ง หรือจะ
ก่อจากพีชนิยามขึ้นเป็นจิตนิยามก็พลังงานอีกชั้นหนึ่ง ยิ่งขึ้นไป
      ปรทัตตูปชีวีคือ พลังงานที่กำลังจะก่อตัวพัฒนาตนขึ้น
ไปอีกรอบหนึ่งของความเป็นธรรมนิยามแต่ละนิยามเท่านั้น
ยังไม่ใช่พลังงานของความเป็นตัวตน(อัตตา,self)ที่มากกว่าเซลล์
ปฐมภูมิ(primary cell)
      นี่มันแค่ขั้นก่อเกิดพลังงานจุดเริ่มต้นของชีวะต่างหาก 
     

ใครเข้าใจอาการจิตเช่นนี้แล้วตัดเป็นต่อเป็นก็เป็นอรหันต์ คุณรู้ที่ตัดที่ต่อของจิตคุณได้ จะตัดก็ตัดได้จะต่อก็ต่อได้ อรหันต์มีดาบอาญาสิทธิ์ อรหันต์เริ่มต้นอาจไม่เก่งเท่านี้แต่ทำได้ทำเป็น แต่ต่อไปท่านมีนิรุติปฏิภาณก็จะพูดได้แต่ถ้าตัดต่อไม่เป็นก็ไม่ใช่อรหันต์ท่านจะอยู่อย่างไม่เป็นพิษ อยู่เหมือนพืชออกดอกออกผลให้คุณใช้อาศัยกินจะมีใครมาที่รถก็ไม่เป็นไร มันแค่พลังงานขั้นเชื้อชีวะขั้นผลิแท้ๆ primary cell หรือปฐมภูมิแห่งกลละเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 seccondary cell หรือขั้นทุติยภูมิแห่งอัมพุชะเลย

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:14:23 )

581118

รายละเอียด

581118_ ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ พรหมชาลสูตร1

      พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2558 ขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม เราก็มาฟังบรรยายธรรมะ ชีวิตเราต้องศึกษาชีวิตมนุษย์โลกีย์ทั่วไป เขาก็ไปศึกษาให้เก่งให้ได้เปรียบคนอื่นอยู่ตลอดกาล ซึ่งการศึกษาของพระพุทธเจ้าชีวิตของมนุษย์ต้องมีการศึกษา แล้วศึกษาอะไรก็ศึกษาธรรมะโดยเฉพาะธรรมะของพระพุทธเจ้า

       เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ชัดเจนมาก บอกชัดต้นมีโลกียะกับโลกุตระนั้นสวนทางกัน ปฏิโสตัง  ทวนกระแสกัน การศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงต้องชัดเจน ว่าเรามาทางนี้

       ชีวิตของมนุษย์ถ้านับถือพระพุทธเจ้าว่าเป็นยอดแล้ว ก็ต้องศึกษาแต่บางคนนับถือแต่ก็ไม่ศึกษาใส่ใจเอาให้ได้สัมมาทิฏฐิจนสามารถนำตนสู่ทิศทางโลกุตระที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไม่ได้ คนคนนั้นก็ยังไม่ฉลาด  จะให้ฉลาดเรียนเก่งความรู้ทางโลกขนาดไหน ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตเฉลียวฉลาดขนาดไหนในเรื่องโลกสารพัดรู้ ดีไม่ดีรู้ธรรมะด้วยแต่ก็ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติโลกุตระก็ยังอวิชชาเรื่องโง่อยู่ไม่มีปัญญา

       ผู้ที่มีปัญญาก็มาปฏิบัติจริงจนมีปัญญาเข้ากระแสสามารถทำจิตของตนเองให้บรรลุเข้ากระแสโลกุตระได้อย่างแท้จริงซึ่งก็ได้ขยายความ ตามหลักฐานของพระพุทธเจ้าตามสำนวนภาษาให้ง่ายให้เข้าใจ

       อย่างอาตมานี้อยู่ทางโลกก็เป็นคนในโลกีย์ แล้วออกมาทำงานศาสนาอยู่คนเดียวเลยซึ่งไม่เห็นคนใหญ่คนโตในทางศาสนามาเข้าข้างอาตมาเลย  ถึงวันนี้แล้ว 45 ปีไม่มีใครประกาศ มาเข้าข้างอาตมา ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในฐานใหญ่โตแล้วมาทำความเข้าใจธรรมะแบบอาตมาก็ยังหาไม่ได้เลย แต่ก็ไม่ท้อยังทำได้ผลกับคนที่ไม่ใหญ่โต  คนเล็กคนน้อยซึ่งก็ได้ผลจริงแล้วก็เป็นคนเหมือนกันมีจิตใจที่เปลี่ยนแปลงได้สามารถเข้าใจสามารถลดละก็เป็นคนจริงๆที่ทำได้ก็เป็นตัวยืนยัน ว่าแต่ละคนเขาทำได้คนที่เข้ากระแส แล้วก็จะอยู่ไป มีอวินิปาตธรรม สัมโพธิปรายนะ เข้ากระแสไม่ถอยอีกแล้ว จนเที่ยงแท้แน่นอน มุ่งทางนี้ก็ไปให้ถึงที่สุดให้ได้ สัมโพธิปรายนะ

       ต้องมีหมู่มีพวกที่เห็นดีจริงๆ  ใครจะมาก็มีปัญญาวินิจฉัยเอง ซึ่งอาตมาก็เห็นว่า มีกระแสพฤติกรรมสังคม  ที่อาตมาดค้านแย้งอย่างแรงโต้แรง แต่มาถึงวันนี้ 45 ปีก็เบาลงเบาลงเป็นกระแสสังคม 

เอาพระไตรปิฎกมายืนยัน แต่คนก็ยังเข้าใจได้แบบเดิมที่ตนยึดอยู่ ก็ต้องพยายามขยายความอ้างอิงยืนยันไม่ได้แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความยึดติดนั้น  เช่นบอกว่าสมาธิไม่ใช่นั่งหลับตา  การนั่งหลับตาไม่ใช่สัมมาอริยมรรคไม่ใช่สัมมาผลของพระพุทธเจ้าเลย  แต่เขาก็ยังไม่กระดิกยังทำอยู่อย่างนั้น ทำหูทวนลม โดยเฉพาะผู้ที่มีชื่อมีเสียงเป็นที่รับรองในสังคมเป็นคนเอาจริงเอาจังในสายปฏิบัติด้วยไม่ใช่แค่สายปริยัติก็ไม่เอา ดีไม่ดีเขาไม่ฟังด้วยในสายปฏิบัติ ส่วนสายปริยัติเป็นนักศึกษา ก็จะฟัง แต่ขนาดฟังก็ยังเข้าใจกันไม่ค่อยได้ไม่ต้องพูดถึงพวกไม่ฟังเลยก็ไปนั่งสมาธิหลับตาเป็นสมถะอย่างนั้น

 อาตมาจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่าเพชรพุทธ 13 กะรัต จะเอาจากพระไตรปิฎกพระสูตรเล่มแรกคือเล่ม 9 มีทั้งหมด 13 สูตรมาขยายความ ไม่ได้จริงๆดูซิว่าจะอ่านกันไหมจะพอสนใจมาฟังกันไหมจะมีปรโตโฆษะบ้างไหม จะได้โยนิโสมนสิการเป็นให้เกิดสัมมาทิฏฐิ  ให้ทำใจในใจของตนเป็นให้สัมมาทิฏฐิให้เกิดมรรคผลแต่เขาไม่เอาใจใส่ไม่ตั้งใจฟัง ไม่สุสูสัง  ไม่ใส่ใจฟังฟังยังอาบน้ำกลัวเปียกแต่ขนาดใส่ใจฟังก็ยังไม่ง่าย ยิ่งไม่ใส่ใจฟังก็เมินเสียเถิดอย่าคิดถึง

 อาตมามีความตั้งใจมุ่งมั่น ทำมาตั้งหลายชาติแล้ว  จะลองอธิบายตามพระไตรปิฎกไปก่อนจะได้เขียนหนังสือ

 พระไตรปิฎกเล่ม 10 มหานิทานสูตร  จนได้หนังสือยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์  แต่เล่มต่อไปจะเอาทั้ง 13 สูตร

 มาดู sms

      0822712xxx ตลาดอริยะบ้านราชควรงด ไปจัดที่อื่นแทน เพราะคนซื้อหน้าเดิมๆ ของซื้อไปแล้วใช้ 10ปียังไม่พังเลย แล้วซื้อไปทุกปีๆ เอาไปทำอะไร นอกจากขายต่อ

ตอบว่า...แต่ก่อนเราจัดที่สันติอโศกย้ายมาปฐมอโศกสถานที่ก็ยังคับแคบ แต่พอย้ายมาอยู่ที่ราชธานีอโศกแม้จะสถานที่ไกลแต่คนก็ยังมากันได้แม้ปีแรกเริ่มต้น  ก็ยังเป็นที่นิยมกันแต่ไม่ใช่คนที่นี้ เป็นคนต่างจังหวัดก็มากันเช่ารถสิบล้อเช่ารถหกล้อกันมา มากันตั้งแต่เช้ามืดเลย  จะบอกว่ามีแต่คนหน้าเดิมเดิมก็อาจจะมีแต่คนใหม่ๆก็มีเพิ่ม จะบอกว่าของซื้อไปแล้ว 10 ปีไม่พังเลยก็อาจจะมีของบางอย่าง แต่ที่ซื้อไปแล้วปีเดียวพังก็มีเยอะเขาต้องมาซื้อใหม่ แต่ของพี่พังไปก่อน 10 ปีมีเยอะกว่า อันนี้จึงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจที่ช่วยสังคมไว้ในยามอดอยากยากจน  การจะบอกว่าไปจัดที่ไหนก็ได้นั้น คนไม่ได้จัดจะไม่รู้ว่ามันเมื่อยนะ  เราทำแบบไม่ใช่ตลาดนัดแต่เราทำกันเป็นขนาดใจไม่ใช่งานเบางานง่ายก็ขอบคุณที่มองในแง่เห็นว่าควรจะเป็นเช่นนั้นก็ลองไตร่ตรองดู ก็มีแง่เชิงที่ดีก็ขอบคุณ

  พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเราต้องทำที่นี่เป็นหลักอยู่แล้วก็ขยายไปสู่ที่อื่น  ไม่กี่วันก็ทำที่วังน้ำเขียวมา  ไม่ได้หมายความว่า เราทำที่นี่แล้วที่อื่นไม่ได้ทำ ก็เขาบอกอีกว่าตลาดอาริยะต้องขายขาดทุนต้องขายต่ำกว่าทุนนะ เพราะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สอดคล้องกับพระราชดำรัสของในหลวงเรา  ถ้าใครจะจัดแต่ขายต่ำกว่าทุนไม่ได้ขายได้แค่ต่ำกว่าราคาตลาดก็ไม่ใช่ตลาดอาริยะ เป็นการขายตามระบบบุญนิยมขั้นที่ 1  อาจจะมีบางอย่างขายต่ำกว่าทุนแต่ส่วนใหญ่ทั้งหมด ขายไม่ต่ำกว่าทุนก็ไม่ใช่   แต่อย่างน้อย ครึ่งหนึ่งของสินค้าขายต่ำกว่าราคาทุนก็ยังได้  ถ้าจะยังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งทำเลยควรฝึกใจให้ดีก่อนก็เคยทำง

ที่เราทำตลาดอาริยะขายขาดทุนไม่ใช่เรามาโฆษณาหาเสียงเล่นเลขคนแต่เราต้องการทำให้ขาดทุนได้ยิ่งขึ้น เราเต็มใจขาดทุนให้แก่ประชาชนไม่ได้ทำเอาก็โก้เก๋หรือหาเสียง แล้วเรามั่นใจว่าเศรษฐกิจแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราคือเศรษฐศาสตร์บทใหม่เพราะมันเป็นไปได้มันเป็นจริงแล้วเป็นเศรษฐศาสตร์บทสำคัญจริง

 ถ้าศึกษากันจริงๆ ก็จะไปสู่ทิศทางนี้ที่ดีกว่าทุนนิยมจริงๆเพราะทนนิยมเป็นบาป แต่บุญนิยมก็เป็นบุญเป็นกุศลจริงๆได้ เป็นศัพท์เศรษฐศาสตร์จริง เป็นมโนเสฏฐาแท้จริง  ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมซึ่งเอาเปรียบเรารัด ให้แก่คนที่ฉลาดกว่าได้เปรียบเหนือคนที่ไม่ฉลาดกว่าแต่นี่บุญนิยมเราเต็มใจเสียเปรียบ แต่บุญนิยมนี้เขาต้องการเอาเปรียบแต่ไปหลอกคนว่าเราเอาเปรียบน้อยหรือเราเสียสละ  เป็นความเลวซับซ้อนในระบบทุนนิยม  จุดมุ่งหมายจะเอาเปรียบให้ได้ไม่ยอมขาดทุน

คนเขาเข้าใจยากกว่าขาดทุนจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าเราตีราคาแรงงานความสามารถเราได้ 100 แต่ก่อนบางคนใช้กินเกิน 100 จึงล่มจมแล้วจนแล้วเป็นหนี้แต่คนนี้ไม่กินเกินที่ตนมีความรู้ความสามารถมีราคาของตน 100 อย่างที่ว่า  แล้วเขาก็กินน้อยกว่า ความรู้ความสามารถวันละ 100 แล้วก็ไม่ได้ไปทรมานตนเองได้อย่างไรไม่ได้ทำลายสุขภาพได้อย่างไรเรากินน้อยใช้น้อยก็พอ

เมื่อเขากินน้อยใช้น้อยกว่าสิ่งที่เขาสร้างสรรค์ผลิตได้ สิ่งที่เขาผลิตได้เกินกว่าที่เขากินเขาใช้ ก็ได้ส่วนเกินเอามาขาดดุลให้แก่สังคม  เอาส่วนเกินนั้น มาลดราคาให้ต่ำกว่าราคาส่วนกลาง ก็เรียกว่า การขาดทุน ยิ่งลดได้มากเพราะเราปฏิบัติธรรมแล้วก็จะประโยชน์สูงประหยัดสุดมาก ประโยชน์สูงคือมีเวลาเหลือเฟือ แต่ก่อนรอเวลาเอาแรงงานไปเสพเอาทุนไปเสพติด

 เมื่อคนแบบนี้มารวมกันการสร้างสรรค์ก็จะเพิ่มขึ้นยิ่งเป็นสาธารณโภคีก็เป็นบริษัทจำกัดที่มีหุ้นลงทุนกัน ก็ยิ่งลดต้นทุนกันไปอีกให้ต่ำลงไปอีก มันเป็นธรรมดาของมันไม่เห็นต้องใช้สายป่านอะไร สายป่านนี้ไม่มีสิ้นสุดเลยซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ

 แม่ที่ไปให้เขาแล้วเขาก็ว่าเป็นไปไม่ได้อาตมาก็เลยพาพวกเราพิสูจน์เศรษฐศาสตร์กฎหมายนี้ให้โลกรู้ ว่าเป็นทางออกของสังคมแก้ปัญหาทุนนิยมทุกวันนี้ขอยืนยันว่าเป็นทางของพระพุทธเจ้าเช่นนี้แล้วอาตมาทำได้ถึงระดับสาธารณโภคี เป็นแต่เพียงสายสัมพันธ์ระหว่างสาธารณโภคีกับส่วนตัวที่ทำที่ร่วมกันเป็นระดับระดับแม่เขาเป็นส่วนตัวก็จะมาร่วมบริจาคก็คือมาเสียภาษีให้ส่วนกลางสาธารณโภคีคือส่วนกลางของกลุ่มนี้ เขาก็เอามาบริจาคด้วยให้แก่ส่วนรวม ไม่ได้บังคับให้เสียภาษีแต่เขาเต็มใจมาเสียสละ ให้แก่สังคม

 พวกเรามีต้นทุนที่แต่ละคนส่วนตัวไม่สะสมแล้ว จนตายเลยก็พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ   ก็จะขอเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยต่อไปจนกว่าจะมีคนสืบสานอาตมาว่าประเทศไทยได้เริ่มแล้วมีประชาชนที่เข้าใจแล้วก็มาสืบสานท่ามกลางเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมที่จัดจ้านเลวร้ายวิธีการซับซ้อนโหดร้ายมาก  ซึ่งเขาซับซ้อนมีอำนาจมาก รวมหัวกันระดับโลกระดับประเทศในทิศทางเดียวกันส่งเสริมกันจึงมีพลังรวมของทุนนิยม  เขาเรียกว่าทุนนิยมสามานย์  เขาก็รู้กัน

 อาตมาก็พยายามพากเพียรนำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้แก่สังคมต่อไปอาจจะช้าบ้างก็ไม่เป็นไรก็จะพากเพียรต่อไปนำพากันไปอีก จนกว่าอายุ 151 ปี

 

0889896xxx กราบนมัสการพ่อครูค่ะตั้งแต่รู้จักอโศกมาตั้งแต่พศ2552มาถึง58แล้วเวลาว่างก็จะฟังพ่อครูเทศมาตลอดค่ะจากกินเนื้อสัตว์ก็เลิกได้ติดอบายมุขก็เลิกได้ขายสัตว์เล็กก็เลิกได้ตอนนี้กำลังหาทางเดินตามอโศกไปขอกราบขอบพระคุณพ่อครูค่ะ

0893867xxx เคยทานก๋วยเตี๋ยวเรือบ้านราชชามละ1฿ในตลาดอาริ ยะ2มื้อๆละ2ชามอร่อยแบบพอดี!ทั้งที่ใจอยากกินมื้อละ5ชามแต่ยับยั้งชั่งใจห่วงของไม่พอขายคนมาที หลัง!

0893867xxx อาก.อ่านว่าอาการจ๊ะ  

0893592xxx ต้องสะสางทุกศาสนาอันดับ1เป็นรัฐธรรมนูญ

ตอบ...ก็เห็นด้วยนะแต่ผู้ที่จะสะสางศาสนานั้นจะมีความเข้าใจในระดับไหนถ้าไม่เข้าใจก็จะทำลายได้น่ากลัว

0893867xxx พ่อครูเคยกล่าวปรทัตตูปชีวกเปตคือมนุสสเปตฤาเปรตในร่างมนุษย์ฤาโอปปาติกโยนิที่ยังต้องอาศัยผู้อื่นที่มีภูมิธรรมสูงช่วยตนทำให้ชีวิตเกิดชีวิตเป็นไป!ถ้า ผู้น้อยจำผิดขออภัย!

0893867xxx เมื่อคนปฏิบัติจนรู้จักความเป็นโอปปาติกโยนิมีผู้มีภูมิธรรมสูงพาให้เจริญในศีลจนพ้นสีลัพพตุปาทานฤาสีลัพพตปรามาสจนได้สัมมาญาณจึงเรียกปรทัตตูปชีวี!ผู้น้อย เข้าใจถูกไหม?

ตอบ….ถูกต้องเคยอธิบายไว้ แต่คราวนี้อธิบายปรทัตตูปชีวีในระดับพลังงานที่ต้องอาศัยพลังงานอื่นต่อ ถ้าไม่มีก็ไม่มีวิญญาณหยั่งลงในครรภ์มารดา ถ้าต่อไปทางเลวชั่วก็เป็นเปรต แต่ถ้าต่อไปในทางดีก็เป็นเทวดา เมื่อไม่เข้าใจจิตวิญญาณก็จะไปเข้าใจปรทัตตูชีวกเปรต  เป็นตัวเป็นตนที่จะไปรับส่วนกุศลที่คนทำให้ไปเช่นอยากกินแกงเขียวหวาน คุณก็ทำส่งไปให้จะกินได้ต้องมีคนส่งไปให้ ก็เผลอเจอกันไปเช่นนั้นเป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องเป็นราวเป็นนิยายลวงโลก มาหลอกคนเช่นให้นำอาหารมาให้พระก็จะกรวดน้ำส่งไปให้ผู้ตายให้พ่อให้แม่  จัดแล้วพักก็กินลงท้องพระเท่านั้นเป็นนิยายลวงโลก

 อาต มาพูดเช่นนี้ก็เหมือนไปทุกหม้อข้าวหม้อแกงเขา เขาก็เลยโกรธ

 

0893592xxx อัลลอฮ์คือผู้ เป็นเจ้าแห่งจักรวาล

ตอบว่า ของพุทธนั้นไม่ได้ขัดแย้งเลยแต่ของพุทธนั้นเราเป็นพระเจ้าเองได้  ถ้าคนในโลกนี้ 3 พันล้าน มีพลังของพระเจ้า ส่วนอีก 3500 ล้านไม่ได้หรอก เหมือนโฟมกับปรอทปรอทนั้นแม้เล็กน้อยก็หนักกล่องโฟมได้อย่างมากมาย และมีประสิทธิภาพเหนือกว่ากันเยอะ

0893867xxx เป็นภาษาธรรมะตรงกับที่พ่อครูเขียนปรทัตตูปชีวีในภาษาฟิสิกส์คือพลังงานกำลังจะก่อตัวตนไหม?

 ตอบว่าใช่ ต้องอาศัยพลังงานอื่นต่อ เป็นพลังงานทางจิต ถ้ามันไม่ต่อมันก็สูญไปไม่ใช่ชีวี  เมื่อเรียนรู้แล้วก็จะต่อชีวิตหรือตัดชีวิตของกิเลส ชีวิตินทรีย์ของกิเลสได้ แต่จะต่อตรงไหนก็ได้

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯบุญนิยมที่นำพาธรรมตอบให้เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสาธุ

0874437xxx ถึงสันติอโศกแล้วรอไปพัทลุงพรุ่งนิ้เลยได้ฟังพ่อครูที่สันติฯค่ะ

0889896xxxขออธิฐานเกิดมาชาตินี้จะไม่ขอเป็นโมฆะจะขอเดินตามพ่อครูและตามอโศกให้ได้ค่ะ

0893867xxx ผู้น้อยว่าธรรมะเล่มเก่าๆของพ่อครูเข้าใจง่ายกว่าเล่มใหม่!ถ้าฟังเล่มใหม่ไม่เข้าใจ ต้องเอาเล่มเก่ามาช่วยเสริม!มิงั้นจะงงงุนงันจรธ.

 

มาดูพระไตรฯล.9 สูตรแรกเลย ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกที่อรหันต์ 500 รูปสังคายนามาเรียบเรียงได้ดี จากผู้ที่เป็นเอตทัคคะทั้งนั้นรวม 500 รูป ก็ต้องเคารพความเห็นของท่านที่สุดยอดแล้ว เรื่องไหนควรขึ้นก่อนเรื่องไหนเป็นลำดับต่อไป เป็นลำดับได้ดีมาก  พระพุทธเจ้าถึงยกเครื่องความอัศจรรย์ 8 อย่าง อย่างเป็นลำดับ ในปหาราทสูตร ว่ามหาสมุทรราบลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหมือนเหวฉันใดในธรรมวินัยนี้ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับมีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับไม่ใช่จะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง

 ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ท่านไขความเรื่องความเป็นพุทธไว้ชัดเจน ต่อต้านทวนกระแสที่เขาเป็นกันอย่างไร แล้วเป็นเรื่องจิต

 ลำดับต้นต้องปฏิบัติดังนี้ ก็คืออยากไปปฏิบัติที่ท่านบอกว่าไม่ใช่  ซึ่งมีเรื่องของอดีตปัจจุบันและอนาคต(พวกตักกีวิมังสี)  ถ้าไม่สัมผัสในปัจจุบันเปิดตาหูจมูกลิ้นกายให้สัมผัสรับวิถีก็ตัดทิ้งไปเลยว่าไม่ใช่พุทธเพราะฉะนั้นการไปนั่งหลับตาอยู่ภายในนั้นเป็นมิจฉาทิฐิทั้งยวงเลย

การนั่งหลับตานั้นไม่มีอดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน  ต้องอยู่กับปัจจุบันกับสมมุติของโลก ซึ่งปรมัตถสัจจะของพระพุทธเจ้าก็อยู่ซ้อนในสมมุติสัจจะนี่แหละ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตามีแต่สัญญาไม่มีปัญญาเลย  การนั่งหลับตาไม่มีสมุดสัจจะคนอื่นรับรู้ไม่ได้ ก็ยืนยันไม่ได้

 

1. พรหมชาลสูตร

                  เรื่องสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตตมานพ

      [1] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค เสด็จดำเนินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางไกลระหว่างกรุงราชคฤห์กับเมืองนาฬันทา พร้อมด้วยพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก. ได้ยินว่าในระหว่างทางนั้น.

สุปปิยปริพาชก กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง

ฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปประทับแรมราตรีหนึ่ง ณ พระตำหนักหลวง ในพระราชอุทยาน อัมพลัฏฐิกาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ แม้สุปปิยปริพาชก ก็ได้เข้าพักแรมราตรีหนึ่ง ใกล้พระตำหนักหลวงในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา กับพรหมทัตตมาณพผู้อันเตวาสิก ได้ยินว่าแม้ ณ ที่นั้น สุปปิยปริพาชก ก็กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพ อันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย

อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองคนนั้น มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ (เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ)  ครั้งนั้น ภิกษุหลายรูปลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ ณ ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกผู้นี้ กล่าวติพระพุทธเจ้าติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตนาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชกกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย อาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรงฉะนี้ เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ

      ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำสนทนาของภิกษุเหล่านั้นแล้วเสด็จไปยังศาลานั่งเล่น ประทับ ณ อาสนะที่เขาจัดถวาย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายบัดนี้เธอทั้งหลายนั่งประชุมสนทนาอะไรกัน และเรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้ เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ณ ที่นี้ เมื่อพวกข้าพระพุทธเจ้าลุกขึ้น ณ เวลาใกล้รุ่ง นั่งประชุมกันอยู่ที่ศาลานั่งเล่น เกิดสนทนากันขึ้นว่า ท่านทั้งหลาย เท่าที่พระผู้มีพระภาคผู้รู้เห็นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงทราบความที่หมู่สัตว์มีอัธยาศัยต่างๆ กันได้เป็นอย่างดีนี้ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงสุปปิยปริพาชกนี้ กล่าวติพระพุทธเจ้า ติพระธรรม ติพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย ส่วนพรหมทัตตมาณพอันเตวาสิกของสุปปิยปริพาชก กล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์โดยอเนกปริยายอาจารย์และอันเตวาสิกทั้งสองนี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกแก่กันโดยตรง ฉะนี้เดินตามพระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ไปข้างหลังๆ พระพุทธเจ้าข้า เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระพุทธเจ้าพูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.

      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ก็ตาม เธอทั้งหลายไม่ควรอาฆาต ไม่ควรโทมนัสน้อยใจ ไม่ควรแค้นใจในคนเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นเป็นแน่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรม ติพระสงฆ์ ถ้าเธอทั้งหลายจักขุ่นเคืองหรือจักโทมนัสน้อยใจในคนเหล่านั้น เธอทั้งหลายจะพึงรู้คำที่เขาพูดถูก หรือคำที่เขาพูดผิดได้ละหรือ?

      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นเป็นไปไม่ได้ทีเดียว พระพุทธเจ้าข้า.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.

 

พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธยุคนั้นยังไม่มี ก็มีแต่ ศาสนาพราหมณ์และศาสนาอื่นที่แตกกระจายไป เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศศาสนา ซึ่งต่างจากศาสนา ที่มีอยู่ที่มันเพี้ยน ไปจากของเดิมมากมายแล้ว  เช่นเดียวกับสมัยนี้ที่อาตมานำธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ฟื้นคืนกลับมามันก็ขัดแย้งกับที่เขาทำกันเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าธรรมในยุคนั้นมันก็จะขัดแย้งกับสังคม ก็เช่นเดียวกับสุปริยปริพาชก 

       พระพุทธเจ้าบอกว่าจะชมเราก็ชมด้วยศีล พวกเราเองปฏิบัติศีลได้ทั้งกายวาจาจนถึงใจ แม่มีอบายมุขอยู่รอบด้านพวกเราก็เฉย ไม่ได้ยินดียินร้ายไปกับเขามันเป็นเรื่องจริงที่ชัดชัด ก็เริ่มต้นด้วยศีล  โดยหลักจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลนี่แหละเป็นศีลธรรมนูญนี่คือการประกาศศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า

 

  จุลศีล

      [2] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใดนั่นมีประมาณน้อยนักแล ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคตจะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้น เป็นไฉน?

      [3] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

1. พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.

2. พระสมณโคดม ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่.

3. พระสมณโคดม ละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน.

      [4] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

4. พระสมณโคดม ละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.(โลกคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ผู้ใดพูดเพื่อโลกธรรมก็เป็นคำลวงโลก อย่างธรรมกายนี้เป็นหนัก เพราะคนยุคนี้อยากรวยมาก อยากได้โลกธรรมมากเขาจึงมีบริวารที่ถูกหลอกได้มาก มีคนบอกอาตมาว่าอย่าไปพูดว่าธรรมกายเพราะเขาก็มีดีอยู่นะเขาเป็นคนศรัทธาธรรมกายซึ่งเขาไม่รู้ว่ามีผลเสียขนาดไหนยิ่งไม่ว่าเขาจะยิ่งเหลิง มันก็จำเป็นต้องพูด

5. พระสมณโคดม ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น  เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น  แล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้างชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน

กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน.( พวกนักข่าวยากๆ ที่จะพ้นข้อนี้ที่จะไม่ให้คนทะเลาะกันต้องใช้ศิลปะสูงมากที่จะสื่อไปอย่างไร ไม่เกิดการตอบโต้ทะเลาะกัน แต่นักข่าวทั่วไปยากมากที่จะเสนอข่าวไม่ให้ส่อเสียดทะเลาะกัน 1.ต้องเป็นข่าวจริง 2.ผู้สื่อต้องรู้ว่าตนจะพูดตรงได้มากหรือผสมผสานเจือจางตามฐานะของคุณ  หากคุณมีฐานะทางสังคมที่มากพอก็ซื้อได้ตรงเปรี้ยง  แต่ถ้าไม่อยู่ในฐานะนั้นก็จะซื้อให้ตรงได้ยาก)

6. พระสมณโคดม ละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษเพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ.(อันนี้ตีความได้ยาก ผู้ที่กล่าวความจริงจะไม่เป็นภาษาที่ว่าหวานชวนให้รักคนส่วนมากรักใคร่พอใจยากมาก  ถ้าตนเองประมาณแล้วว่าตัวเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่คนเขายอมรับเราฟังเรา พูดไปอย่างไรก็ไม่เข้าหู เพราะเป็นคำที่ไปตำหนิไปกระทบความผิดของเขาแม่คุณจะพูดถูกต้องเป็นความจริงแค่ไหนแต่มันกระทบเขาแรงมันไม่เข้าหู มันไม่จับใจแต่ไปกระแทกใจ   อย่างอาตมาพูดกับคนเมืองก็ต้องพูดอย่างตรงได้มากกว่า แต่ถ้าพูดกับชาวชนบท เขาเลื่อมใสศีลพรตเลื่อมใสจารีตประเพณีก็พูดตรงตรงกับคนเมืองไม่ได้หรอกเพราะคนชนบทถือสาเอาตายเลย  ถึงพูดกับคนในเมืองได้ไปเร็วแต่คนต่างจังหวัดชนบทนี้ช้าคนเมืองมีปัญญาชัดเจนมากกว่า)

7. พระสมณโคดม ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐานมีที่อ้าง มีที่กำหนดประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร.( แม้จะพูดมีสาระแต่คนฟังไม่อยู่ในฐานะที่จะรับฟังได้ก็เพ้อเจ้อเหมือนกัน ในคนที่ไม่รู้จักการประมาณก็จะพูดสิ่งสูงส่ง สิ่งลึกซึ้งๆ  แต่คุณประมาณคนฟังไม่ถูกต้อง คนฟังไม่รู้เรื่องรับไม่ได้ ก็ไม่คุ้มกัน นี่คือพูดเพ้อเจ้อต่อให้พูดชัดชัดถูกต้องอย่างไรก็ตาม อาตมาค่อยค่อยพูดเป็นลำดับไปจนตอนนี้ลึกซึ้งมากจะมาพูดว่าจะมาเพ้อเจอไม่ได้ พระพุทธมาเป็นลำดับแล้วจะไปพูดสิ่งส่งทีเดียวเลยมันไม่ได้หรอก ยิ่งพูดยิ่งทานแย้งเขาตายเลยด้วยซ้ำ

      [5] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคาม(คือชีวะที่ไม่อยู่ในลักษณะของพืช จะเป็นพลังงานระดับสัตว์แม้เล็กแม้น้อย คำว่าภูตะแปลว่าจิตวิญญาณ  มีคนขยายความว่าดินนี้มีดินเป็นกับดินตายดินเป็นคือดินที่มีฮิวมัสมีสัตว์อาศัยอยู่ถึงว่าเป็นดินเป็น ถ้าไปขุดดินนั้นก็จะไปทำลาย บ้านเรือนของสัตว์ แต่ถ้าดินใต้ดินที่เขาขุดขึ้นมานานแล้วไม่มีโครงสร้างของสัตว์อะไร ดินนี้ก็ขุดได้เช่นดินทรายที่เข้ามากองกองนี้ก็เป็นดินตาย ขุดได้)

      [6] 9. พระสมณโคดม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.( ก็ไม่เคยเจอว่าพระฉันสองหนได้)

 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล.( ถ้าคนถือศีล 5 ยังไม่แข็งแรงก็จะไปดูเลยการเล่นพวกนี้ดูแล้วก็ถูกมอมเมาดูแล้วไปอินกับมัน กิเลสจะอ้วนขึ้น ก็อยากไปสัมผัส การละเล่นฟ้อนรำบันเทิงเริงรมย์พวกนี้จนกว่าคุณจะมีอินทรีย์พละ สามารถที่จะสัมผัสได้ ถ้าไม่จัดจ้านหนักประมาณนี้ดูได้แล้วคุณสู้ได้แล้วตั้งใจปฏิบัติเป็นเหตุปัจจัย อย่างที่ พาดูหนังดูละครแล้วมีหลักเกณฑ์ให้ปฏิบัติเกิดอริยะญาณ ทำการปฏิบัติ อัดพลังกุศลฝึกฝนโลกะวิทูเพิ่มพูนพหูสูต

      พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้ากิเลสคนมีมากเหมือนไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ก็ต้องเอาออกจากน้ำก่อน ต้องพรากไม้ที่ชมด้วยอย่างออกจากน้ำก่อน คือการเว้นขาด  การถือศีล 5 ต้องเว้นขาด แต่ถ้าอดไม่ได้ก็ต้องอยู่ในขอบเขต ปริตตัง  ซึ่งศีล 5 อาจจะยังมีเอาเปรียบสังคมอยู่ แต่ไม่ใช่เอาของ ที่ไม่ใช่ของเราในฐานะที่เป็นขโมย

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.( ชาวอโศกนั้นมีสินในระดับอนาคามีกันเมื่อเข้ามาอยู่ในชาวอโศกทุกวันนี้เรามีวัฒนธรรม อยู่ในเกณฑ์ของสกิทาคามีถึงอนาคามี ซึ่งคนข้างนอกจะเห็นได้ว่าพวกนี้มันเคร่ง เขาก็ยอมรับความเคร่งนี้ แต่พวกที่ไม่ยอมรับก็จะหาว่าสุดโต่งไป แต่เขาจะว่าอย่างไรก็ตามแต่ เราก็มีผู้มีคุณธรรมสูงเป็นแก่นแกน  ที่จะยืดหยุ่นออกไปผสมผสานประมาณได้ แต่แก่นแกนของเราก็แข็งแรง จะอนุโลมปฏิโลมก็ได้  ก็จะประสานกับคนข้างนอกเขาได้มากขึ้น  เรื่องสนามแม่เหล็กของโลกีย์นั้นกว้างมาก ส่งมาก แต่ของเรานี้ไปได้อย่างช้าๆ แต่ช้าก็อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เช่นนั้นแล้วจะพังง่าย ก็จะมีคณะกรรมการตัดสินเป็นคณะไป)

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.( จริงแล้วแม้แต่ศีลของสามเณรก็ศีล 10 ก็ไม่รับเงินรับทองแล้วและแล้วก็ต้องสูงกว่าสามเณรเมื่อรับเงินรับทองแน่ ก็ยังภูมิใจในชาวอโศก  คำว่าตัวเราก็มีศีล 10 ไม่รับเงินรับทองได้เป็นผู้มีคุณธรรมที่ฆราวาสกราบเคารพได้  แค่การไม่ใช้เงินใช้ทองไม่วุ่นวายกับเงินกับทองก็เป็นคุณธรรมที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจแล้ว

       อย่างที่เราบางอย่าง สร้างสิ่งใหญ่โตแต่เราก็เป็นความจำเป็นเพื่อรองรับคนเป็นองค์ประกอบ แต่เราไม่ได้สร้างอย่างใหญ่โตหรูหราเกินความจำเป็นจะเห็นได้ว่าพระโพธิสัตว์ส่วนมากจะเอาความใหญ่ไปทำงาน แต่ละปางของท่านจะมีอะไรใหญ่สร้างขึ้น จนเกินที่คนธรรมดาจะสร้างได้มันเป็นสุนทรียอย่างหนึ่งแต่อาจไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเป็นของส่วนกลาง ที่สังคมเขายอมรับนับถือ

       ข้อที่ว่าเป็นที่นั่งที่นอนใหญ่นั้นไม่ใช่แค่ที่นั่งที่นอนแต่รวมถึงที่อาศัยเครื่องใช้ไม้สอยประกอบกันทั้งหมด อาคารบ้านช่อง ในส่วนตัว แต่สำหรับส่วนรวมนั้น จำเป็นจะต้องใหญ่โต ของอโศกเราก็เป็นไปตามธรรม คืออโศกเราไปอยู่ที่ไหนก่อสร้างส้วมหลังใหญ่โตแต่บ้านของเราหลังเล็กมอซอ  ที่สันติอโศกเราสร้างตึกสัปปายะมีส้วม 4 ชั้นคนก็ไปหาส้วมไม่เจอไม่นึกว่าจะเป็นตึกหลังนี้  เขาว่าส้วมเหมือนบ้านสวนกุฎิเหมือนส้วม มาถึงที่บ้านราชฯก็มีส้วมใหญ่โต แต่อย่าให้ดีแต่ข้างนอกแล้วข้างในเหม็นโฉ่ ต้องให้สะอาดข้างในด้วย

[7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.(เขาก็เลี่ยงบาลีว่ารับเนื้อสุกได้พาซื่อไปนั้นไม่ใช่ แล้วพระไม่มีหม้อข้าวหม้อแกงทำอาหารไม่ได้ ถ้าทำได้ก็จะไม่ไปบิณฑบาต แล้วทำไมต้องบิณฑบาต ก็เพราะว่าไม่ใช้เงินใช้ทองแล้วซื้อขายก็ไม่ได้ด้วย  การจะได้อาหารเลี้ยงตนต้องบิณฑบาตไม่ใช่ขอนะ เป็นการโปรดสัตว์ ใครอยากรู้รายละเอียดไปอ่านหนังสือ ศาสตร์และศิลป์ของการบิณฑบาต บางอย่างได้สดมาก็ฉันได้แต่บางอย่างได้อย่างเด็ดมาก็ฉันไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือพืชอย่างนั้นคือของดิบรับไม่ได้  แล้วพระหรือสมณะท่านห้ามฆ่าสัตว์ห้ามซื้อขายเนื้อสัตว์จะเอามาได้อย่างไร ท่านเว้นให้เฉพาะเดนสัตว์กินกับสัตว์มันตายเองเป็นปวัตตมังสะ  ถ้าคนมีปัญญาก็จะจบเลยคือไม่ฆ่าแล้วไม่ขาย อันนี้พระพุทธเจ้าห้ามฆราวาสด้วยไม่ให้ซื้อขาย  ส่วนพระนั้นซื้อขายไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนฆราวาสท่านก็ห้ามอีกว่าจะไปขายเนื้อสัตว์ไม่ให้ค้าขายอาวุธไม่ให้ค้าขายของมอมเมาสิ่งเสพติด ถ้าขายสิ่งที่เป็นพิษ ฉันก็ปิดประตูหมดแล้วว่าชาวพุทธฆราวาสหรือสมณะภิกษุก็จะต้องไปกินของคนในศาสนาอื่นที่เขาฆ่ามาก็เลี่ยงไปอีก แต่จริงๆคำว่าวานิชคือทั้งซื้อและขายคุณไปซื้อเขามาก็ไม่ได้อีกทั้งพระสมณะและฆราวาส  ประเด็นที่ชัดที่สุดที่เถียงไม่ได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์ อาชีวกสูตร มีสีหบดี อาราธนา พระพุทธเจ้าไปฉันอาหารซึ่งเตรียมไว้เป็นเนื้อสัตว์ แล้วพวกเดียรถีย์ก็ไปโพนทะนาว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ให้ชาวบ้านฟังว่าท่านไม่น่านับถือแล้วเพราะฉันเนื้อสัตว์ โดยที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ไปเลยแต่ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ จะไปดิสเครดิตพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ประเด็นนี้ชัดที่สุดที่เถียงไม่ได้เลยว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ไม่ฉันเนื้อสัตว์ เป็นปกติ ) ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:15:28 )

581119

รายละเอียด

581119_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทำไมชาวพุทธต้องตำหนิ

พ่อครูว่า...วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน 2558  ขึ้น 9 ค่ำเดือน 12 ปีมะแมใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้วแต่ก่อนเราก็ไม่เอาเรื่องอย่างนั้นแต่มาถึงวันนี้เราค่อยจะเชื่อมโยงเข้าไปบ้าง คนที่ไม่เข้าใจสัจธรรมเขาจะมองพวกเราว่า เราเสื่อม แต่กรณีที่เราค่อยเข้าไปเชื่อมกับสังคม อาตมาพาทำถึงวันนี้ก็ยังระมัดระวัง จนเรามีฐานที่จะเข้าไปเชื่อมไปร่วมอนุโลมกับเขาได้ให้เขาได้ประโยชน์ เราก็จะได้สะสมความแข็งแรง สะสมความเจริญของพฤติกรรมไปเป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน ปฏินิสสัคคะ หรือคัมภีราวภาโส อันลึกซึ้ง  ตามที่ได้ใช้สัปปุริสธรรม 7 และมหาประเทศ4ประมาณมาตลอด

 มาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องเสื่อมแต่เป็นการพัฒนาการเพราะแกนของเรามีแก่นแกนที่มั่นคงซึ่งอัตราการก้าวหน้าของเราช้ากว่าโลกีย์ที่มีสนามแม่เหล็กแรงสูง ที่มีอัตราก้าวหน้าสูง มีมวลมากกว่าเราหลายเท่า ของเรามีน้อย มีกลุ่มเดียว  ก็ยังไม่มีกลุ่มอื่นมาประสานช่วยกัน แต่ดีแล้วที่เขาไม่เห็นไม่โกรธเคืองแต่ก็เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยเรื่อยอันนี้ เป็นธัมโมหเวรักขติธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

 แม้แต่ในพวกเราที่เพิ่งมองกันบางคนก็มองอย่างเพิ่งโทษมีอิตถีภาวะ ก็มีโอกาสบอกบ้างในบางคนเฉพาะตัวแต่ส่วนมากไม่ค่อยได้บอกเฉพาะตัวต้องการให้รู้เองได้มันดีกว่ามากแต่บางคนไม่ไหวก็จำเป็นต้องบอกเฉพาะตัว ถ้าต้องบอกเฉพาะตัว มันหมายถึงว่าอาการมันสมควรแล้ว แต่ถ้าไม่บอกเฉพาะตัวให้รู้เองก็เป็นความเจริญไปตามลำดับ

มาตอบ sms เมื่อวานนี้

SMS 18 November 2015

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯบุญนิยมที่เมตตาตอบข้อธรรมให้เข้าใจดีกว่าเดิมสาธุ๊

0893867xxx ธรรมพระพุทธเจ้าที่พ่อครูกล่าวถึงตอนไม่หลงติดในคำชื่นชม!จะมีแต่คนรู้ไม่ทันโลกธรรม8 ไม่รู้เท่าทันจะยินดียินร้าย แต่อาริยะรู้เท่าทันจะไม่ยินดียินร้าย!

พ่อครูว่า... รู้เท่าทันแล้วเราก็มีสมาธิจิตเจโตที่เป็นได้จริงด้วย

0893867 โลกธรรม8ในอัฏฏกนิบาตปัณณาสกะหมวด50กล่าว ถึงใดๆล้วนอนิจจังไม่เที่ยงหนอ!

0893867xxx ศาสนิกชนจะนับถือศาสนาใดยึดถือพระเจ้าองค์ไหนก็ล้วนต้องสังคายนาการปฎิบัติธรรมใหม่หมด!ถ้าอยาก ให้โลกมีสุขสงบสันติภาพเหมือนกันหมด!

ตอบว่ามันก็จริงเพราะแต่ละศาสนามีมานานนับเป็นพันปีก็หมดแล้ว ก็ต้องค่อยพัฒนากันให้กลับคืน สู่ความเจริญ ส่วนศาสนาใหม่ๆที่เกิดขึ้น ก็ตามมาเป็นลำดับ ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ามีศาสนาใหม่อีกไหม หลังสุดก็ศาสนาบาไฮ แต่ศาสนาที่ร้ายแรงมากคือทุนนิยม โลกีย์

0893867xxx ถ้าทุกศาสนาเจริญถึงแก่นแท้เข้าถึงพระผู้เป็นเจ้าจริง!อิสลามต้องไม่มีก่อการร้าย!คริสต์ต้องไม่ก่อสงคราม!พุทธต้องไม่มีคอรัปชั่น!จริงไหม?

0824395xxx สัญญานทีวีบุญนิยมไม่ชัดติดขัดข้องค้างบ่อยเสียงบรรยายไม่ดังพอตัดคั่นรายการดังมาก

 ข้อสังเกตว่ามีหลายสถานีเสียง interlude ก็ดังเหมือนกับเราก็ฝากไว้ให้แก้ไขด้วย

0839975xxx พ่อท่านคิดเห็นอย่างไรกับสำนัก "พุทธวจน" ของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ครับ

 ตอบว่าท่านคึกฤทธิ์ก็พยายามเอาพุทธพจน์มาตรวจสอบว่าอะไรจริงแท้ตามพระพุทธเจ้าสอนตามหมู่ที่ท่านเห็นตามภูมิธรรมของท่าน ก็รู้สึกว่าท่านจะเห็น ไปในเชิงยึดๆเหมือนกัน มีการปะทะกันอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรรุนแรงถือเป็นความดีงามที่พยายามเลือกคัดเฟ้น  ที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องยึดมั่นถือมั่นขนาดนั้นเพราะความรู้ของพระเถระสายตรงก็มีความรู้ที่ถูกตรงเอามาใช้ได้อาจจะนึกว่าของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ดี แต่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าของพระเถระไม่เอาแต่ของพระพุทธเจ้า อาตมาว่าเป็นความคิดที่แคบๆนะ  แม้แต่ความเห็นของพระอรรถกถาจารย์ ก็เลือกเฟ้นมาใช้ได้อย่างสอดคล้องคำสอนของพระพุทธเจ้า

 หลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นผู้ที่ขยายความบางคนมีภูมิปัญญาพิเศษขยายได้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ขยายความไว้เป็นสิ่งถูกต้องดีงาม เช่นพระพุทธเจ้าเคยยกย่องชมเชยพระเถระที่มีเอตทัคคะอย่างพระกัจจายนะที่มีการขยายความธรรมะได้ง่ายได้ดีกว่าเรา เป็นต้น

 สรุปแล้วก็อนุโมทนากับท่านคึกฤทธิ์ แต่ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นจนแคบมากนัก จะทำให้แข็งเกินไป

 

0893867xxx อนุโมทนาคุรุบุญนิยมสอนเด็กสัมมาสิกขาเรียนรู้วิชาการโลก-ธรรมคู่กับธรรมชาตินิยมสาธุ๊

 

 มาฟังของคุณจำลอง ทิ้งสุขกัน….อยู่รร.เมืองลีงวิทยา อ.จอมพระ จ.สุรินทร์

 ก่อนวันออกพรรษา กระผมได้นัดญาติธรรมจะมากราบพ่อครูที่ราชธานีอโศก  ได้มาทานอาหารเช้าที่เฮือนศูนย์สูญ เปิดโทรทัศน์ fm tv ติดตามคำเทศนาก่อนทานอาหารเช้า(เราได้เปลี่ยนเป็นบุญนิยมทีวีแล้ว แต่จะเรียกชื่อย่อว่า fmtv ก็ได้ใช้ภายในของเราเอง)  ในธรรมเทศนาพ่อท่าน กลับมาตำหนิความไม่ดีงามของวัดพระธรรมกาย  ผมคิดว่าไหนไหนพ่อท่านลาออกจากมหาเถรสมาคมมานานแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปชี้ถูกชี้ผิดว่าสำนักอื่นไม่ดีงาม เหมือนของสันติอโศกที่ทำการสร้างสรรค์ดีงาม อย่างไรก็แล้วแต่

 ก็คิดว่าว่ากล่าวกันได้ แต่เพราะพ่อท่านบอกหลายครั้งว่าได้ลาออกจากมหาเถรสมาคมแล้ วก็คิดว่าน่าจะต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างสร้างสรรค์กันไปยกตัวอย่างแขนซ้ายกับแขนขวาก็ต้องอนุโลมทั้งนั้น ล้อหน้ากับล้อหลังก็มีประโยชน์เกื้อกูลกันทั้งนั้นทั้งหญิงและชายที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเราก็มีคุณประโยชน์ต่างกัน

เนื่องจากกระผมทำหน้าที่เป็นครูโดยอาชีพและเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนสูงสุดจึงได้เดินทางไปปฏิบัติธรรมกับสำนักใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศแต่ละที่ก็ไปหลายครั้งจึงรู้สึกว่าน่าสนใจในกระบวนการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของสำนักใหญ่ ตามสมมุติบัญญัติของกระผมเช่นที่สวนโมกขพลารามวัดปากน้ำวัดป่าบ้านตาดวัดพระธรรมกายหรือแม้แต่สันติอโศกที่กรุงเทพหรือที่อื่น ก็ตามและกลุ่มสันติอโศกที่ข้างทำเนียบ ผมก็เคยไปกราบเยี่ยมพ่อท่านอย่างน้อยน้อยสิ่งที่สำนักดังกล่าวที่มีความคล้ายคลึงก็คือ

 1 เจ้าของสำนักต่างๆ นั้นล้วนแต่มีมโนปณิธานบวชตลอดชีวิตทั้งสิ้น

 2 สํานัก สำนักต่างๆล้วนมีมวลที่มีคนที่เป็นคนดีเป็นจำนวนมากทั้งสิ้น

   4 ล้วนแต่เป็นผู้ที่ ศรัทธา เชื่อกฎแห่งกรรม

 

 5 สำนักต่างๆล้วนแต่นับถือปฏิบัติหลักของทานศีลภาวนาทั้งสิ้น

 ทำอย่างไรจะ อยู่ร่วมกันได้อย่างดีเพราะเรากำลังจะรวมอาเซียนสิ่งที่ผมจะกล่าวคือหลวงพ่อธัมมชโย (พระเทพญาณมหามุนี) ท่านก็อยู่ในหลักการดังกล่าวข้างต้นกับผมได้ฟังธรรมะท่านก็ไม่เห็นเคยได้ยินท่านติเตียนธรรมะจากสำนักอื่นเลยดังนั้นที่ผ่านมากระผมได้เห็นพ่อท่านได้แถวอโศกได้พูดติดอิงและกล่าวความเข้าใจอันใดก็ไม่ควรอย่างยิ่งเพราะอย่างน้อย คณะสงฆ์ดังกล่าวพ่อท่านและชาวอโศกก็ไม่ได้สังกัดในการปกครองของเขา

 ในโอกาสนี้ จะขอเก็บเอาคำความในหนังสือสารอโศกที่ได้กล่าวว่าร้ายไว้อย่างไร

 

ตอบว่า...

 ประเด็นแรกที่บอกว่าอโศกเป็นนานาสังวาสแล้ว จะไปพาดพิงชี้ถูกชี้ผิดสำนักอื่นก็ไม่ถูกต้องดีงามน่าจะอยู่อย่างต่างคนต่างอยู่ต่างคนต่างสร้างสรรค์กันไปแล้วก็ยกตัวอย่างว่าแขนข้างขวากับข้างซ้ายก็ต่างช่วยกันล้อรถล้อหน้ากับล้อหลังก็มีประโยชน์เกื้อกูลกันผู้ชายผู้หญิงที่เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องช่วยกัน

 อันนี้คุณพูดถูกยกตัวอย่างถูก แต่คุณต้องการให้อาตมาเป็นมือขวามือซ้ายเป็นพ่อเป็นแม่ให้เป็นล้อหน้าหรือล้อหลัง แต่คุณกันอาตมาออกไปไม่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่เป็นหรอหน้าล้อหลังเพราะคุณบอกว่ามันจะต้องช่วยกันล้อหน้าล้อหลังแขนซ้ายแขนขวาพ่อกับแม่ก็ต้องช่วยกันพัฒนาก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้วแล้วคุณว่าจะมาทำไม เพราะอาตมาว่าการตำหนินี่คือการช่วยกัน พระพุทธเจ้าสอนว่า ปัคคัณเหปัคหารหัง นิคคันเหนิคหารหัง  ตำหนิในสิ่งควรตำหนิให้เช่าในสิ่งที่ควรชม

แต่เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นน่าตำหนิมากอาตมาจึงต้องตำหนิต้องค้านแย้งต้องทำ ปฏิกโกสนา ทำได้คือคัดค้านอย่างแรง  อาตมาไม่ได้เป็นนิกายกับคณะสงฆ์แต่เป็นนานาสังวาส วัดธรรมกายคณะสงฆ์ก็เป็นผู้ดูแลอยู่ก็ให้สิทธิ์คณะสงฆ์เป็นผู้จัดการแต่อาตมาก็ตำหนิเพื่อให้คณะสงฆ์จัดการดูแลช่วยกันเหมือนล้อหน้าล้อหลังเหมือนพ่อกับแม่เพราะตำหนิได้เราเป็นนานาสังวาสแต่ถ้าจะมาไม่ตำหนิอาตมาก็ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าเป็นอสังวาสหรือเป็นนิกายกันก็ไม่ไปตำหนิกัน หรือไม่ไปตำหนิศาสนาอื่นแต่นี่เพราะเราเป็นศาสนาเดียวกันต้องมีมือซ้ายมือขวามีล้อหน้าล้อหลังเพื่อเป็นนานาสังวาสก็คือเป็นพุทธร่วมกันแต่มันแตกต่างกัน ด้วยกันปฏิบัติพระพุทธแตกต่างกันด้วยคำอธิบาย อุเทส ไม่เหมือนกันแตกต่างกันด้วยเสียงที่ไม่เสมอสมานกันนี่คือนานาสังวาส เราทำตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าออกมาจริง

 คุณเป็นนักศึกษาก็ดีแล้วให้ศึกษาให้ดีจะพบว่าอาตมาไม่ได้ผิดธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเลยขอยืนยัน

 สิ่งที่พ่อทำได้อย่างในธรรมวินัยพุทธเจ้าให้ตำหนิได้ให้คัดค้านได้อย่างแรง ปฏิกโกสนาคือคัดค้านอย่างแรง แต่ทิฏฐาวิกัม คืออยู่ในหมู่เดียวกันก็ว่ากันแรงได้ แต่นี่เพราะมีข้อที่ต่างกันมากจนต้องแยกกันปฏิบัติ  เส้นทางไม่แตกต่างกันมากก็อยู่ร่วมกันได้ แต่นี่มันต่างกันมากพระพุทธเจ้าท่านมีพระสัมมาสัมโพธิญาณจึงออกเป็นพระวินัยไว้

  ถ้าอาตมาไม่ตำหนิก็จะเป็นพรหมทัณฑ์ คือต่างคนต่างอยู่อย่างที่คุณว่าเลยมันก็ยากเป็นนานาสังวาสอาตมาก็ว่าเป็นนานาสังวาสกันนะเคยร่วมกันอยู่ไม่ใช่อยู่อย่างนิกายไม่ใช่อสังวาส

พรหมทัณฑ์  ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ไม่บอกไม่สอนก็จะอยู่อย่างไรก็อยู่ไป พรหมทัณฑ์นั้นเป็นโทษที่รองจากปาราชิกแต่ถ้าโทษ ปาราชิกนั้นอยู่ร่วมกันไม่ได้เลย อสังวาสเลย

 ถ้าปล่อยให้หมักหมมไปจะยิ่งเละ ซึ่งเราก็ชื่อว่าพุทธเหมือนกัน  แล้วคุณจะบอกว่า ให้เปลี่ยนชื่อเป็นเสียงเป็นศาสนาของตัวเองเลยคนที่เป็นปราชญ์ในเมืองไทยบอกเช่นนี้ อาตมาก็ว่ามันง่ายนักหรือที่จะสร้างศาสนาจะทำเช่นนั้น ก็มันโง่มันบ้า ก็ขบถต่อพระพุทธเจ้า เราเอาของท่านมาปฏิบัติแล้วไม่เคารพท่าน ไปเอาชื่ออื่นอีกมันก็เลิกเถอะ  ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเราไม่มีสิทธิ์ไปตั้งชื่อใหม่แต่เอาไปเป็นของตัวเอง

 ถ้าคุณไม่ใช่หน่อเนื้อที่แท้ของพระพุทธเจ้า  คุณก็จะไปคนละเรื่องกับพระพุทธเจ้า  ไม่ว่าจะมีโลกอีกกี่ลูกก็ตามศาสนาพระพุทธเจ้าก็มีหนึ่งเดียวไม่มีสองให้ตั้งใจให้ดี

 ในข้อต่อมาคุณก็อ้างมา 5 ข้อ

 1 เจ้าของสำนักต่างๆ นั้นล้วนแต่มีมโนปณิธานบวชตลอดชีวิตทั้งสิ้น  แล้วคุณรู้ไหมคนที่มาบวชแล้วอาชีพนี้ไปหากินอยู่ตลอดชีวิตก็มีแล้วเป็นผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธได้มากที่สุดเราไม่ตำหนิผู้ที่ถูกต้อง แต่ต้องตำหนิคนที่ไม่ถูกต้องชอบผู้ที่มาบวชเพื่อหากินตลอดชีวิตของตนก็ปะปนอยู่มากมายใครจะว่าอย่างไรก็ไม่ออกเพราะว่าเป็นทางหากินได้มากมายเราก็หลอกคนได้มากมายและมีความฉลาดเฉลียวใครเป็นเช่นนั้นรู้ไหมแล้วคนมองว่ามองในแง่ดีว่าบวชตลอดชีวิตมันดี แต่ไหนดีนั้นมันก็มีเลวอย่างที่ว่านี้ต้องขจัดออกจากนี้ไปเพราะมันตั้งใจบวชตลอดชีวิตแต่มันกระทำย่ำยีอย่างนี้ คุณยกแต่มุมดีแต่ไม่มองมุมเสีย แล้วไม่ดูเหตุปัจจัยที่มีหลักฐานอย่างที่พูดนี้ ถ้าคุณมองออกก็จะเข้าใจอาตมา  ถ้ามองแต่ดีไม่มองเสียก็งมงายมันต้องมองทั้งดีทั้งชั่ว

 

 2 สํานัก สำนักต่างๆล้วนมีมวลมากที่มีคนที่เป็นคนดีมีศีลธรรมเป็นจำนวนมากทั้งสิ้น

 ถ้าหัวหน้าชั่วหัวหน้าไม่ดีมันก็จะไม่ใช่คนดีเป็นส่วนใหญ่แต่เป็นคนชั่วเป็นเหมือนใหญ่เอาให้ชัดเลย แล้วคุณเอาแต่แง่ดีไม่มีมองแง่อื่นบ้าง  ถ้าคุณมีปัญญาจะเรียนรู้ลึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว แล้วความเห็นที่แตกต่างกันถ้าคุณไม่รู้ก็ไปงมงายว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวก็ไม่รู้ว่าอะไรมันต่างกันเอาคนพาลกับบัณฑิตมาปล้นกันเละเทะไปหมด แล้วก็คิดง่ายๆว่าประนีประนอมปรองดองคุยกันได้ ในขนาดหนึ่ง มันอยู่ร่วมกันไม่ได้เพราะเสียหายพากันฉิบหายไปใหญ่ก็ต้องแยกต้องจัดการ  ถ้าจัดการไม่ได้ก็ปล่อยเขาไปตามกรรมวิบาก

1. ต่างกันยังมีสัญญายนิจจานิ ยึดทิฏฐิของตนหนึ่งเดียวไม่เอาความเห็นคนอื่น ถ้าเกิดภาวะเป็นชีวะจะมีภาวะสองสภาพทั้งสิ้น มีบวกกับลบ มีดีกับชั่ว มีรูปกับนาม สิ่งที่ไม่มีนามธรรมไปร่วมจะไม่รู้ว่ามีสองทางฟิสิกส์จะมีสสารกับพลังงานทั้งนั้น ด้วยสภาพสอง แล้วสิ่งที่มันเกิดหมุนเวียนปฏิกิริยาเคลื่อนที่เป็นชีวะทั้งสิ้น แม้ไม่เป็นชีวะการเคลื่อนที่ก็เป็นภาวะสองทั้งสิ้น หากเป็นภาวะหนึ่งเดียวก็ไม่เคลื่อนรู้ได้ยาก คุณเอามวลมาอ้างนั้นมวลคนเลวก็มี แต่ไม่มองสิ่งชั่วเลย

คนที่ถูกหลอกว่าเป็นคนดีๆ คุณเป็นคนหนึ่งที่ถูกหลอกหรือเปล่า คนที่ไม่รู้เท่าทันคนชั่วนี้น่าสงสารมาก เพราะซื่อก็เลยเซ่อไป ขออภัย

 

 3 สำนักต่างๆเหล่านั้นล้วนเป็นผู้เลื่อมใสต่อพระรัตนตรัย

คุณไม่รู้หรอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นนามหนึ่งเดียว  แต่คุณอยู่อย่างหลวมๆโดยไม่รู้ว่าสัมมาทิฏฐิที่แท้เป็นอย่างไร ผู้ศรัทธาพระพุทธเจ้าก็ศรัทธาได้แต่เป็นพระพุทธเจ้าคนละองค์กัน  ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันก็จะไม่เห็นแย้งกับอาตมาหรอกแต่ปรากฏเห็นแย้งกับอาตมาอยู่ก็ไม่จบเพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าของจริงกับของอาตมามันคนละองค์  อย่างของธรรมกายกับของอาตมานี้ตรงกันข้ามไม่เหมือนกันเลย เพราะพระพุทธเจ้าของเขาปรินิพพานไปแล้วยังมีคนไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้อีก แล้วก็มีคนคนเดียวที่ทำได้คนอื่นไม่มีสิทธิ์อีกเป็นคำสอนที่แปลกๆ พระพุทธเจ้าไม่เคยสงวนลิขสิทธิ์ในการเป็นพระพุทธเจ้า

 ขนาดนี้คุณก็แยกความแตกต่างไม่ได้อย่างนั้นเขาสอนเป็นความลึกลับพิสูจน์ไม่ได้แต่ของพระพุทธเจ้านั้นพิสูจน์ได้ แล้วจะให้เข้าใจ ครบทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะเป็นสัจจะ 2 ส่วนที่ชัดเจนนั้น ที่สุดกับคนอื่นและตัวเราเองได้แต่นี่เขาทำอย่างลึกลับคนอื่นรู้ด้วยไม่ได้

 4 ล้วนแต่เป็นผู้ที่ ศรัทธา เชื่อกฎแห่งกรรม

 ทุกวันนี้ชาวพุทธก็แก้กรรมกันอย่างที่สุดไม่ได้ไม่เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยก็ฉันนั้นคนที่จะแก้กรรมก็เป็นคนที่รู้คนเดียว แล้วเก่งไปบอกคนอื่นให้แก้อย่างงั้นอย่างงี้ เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกที่ท่านยังไม่แก้กรรมให้ใครให้เขาสำนึกเอง แล้วเปลี่ยนแปลงกรรมของตนให้ดีขึ้น

 5 สำนักต่างๆล้วนแต่นับถือปฏิบัติหลักของทานศีลภาวนาทั้งสิ้น

ส่วนคุณไม่รู้ว่าสำนักต่างๆทำทานอย่างมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น  เอาอดีตกับอนาคตมาหลอกอย่างธรรมกาย เอาอนาคตมาหลอกแล้วตนเองอยู่แต่กับอดีต แล้วมาหลอกคนว่าคนนั้นคนนี้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่กับอดีตอนาคต แล้วคนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ ตนเองก็รู้อยู่คนเดียวเก่งอยู่คนเดียว บอกเลยว่าคนนี้แต่ละวิบากอย่างนั้นอย่างนี้  ก็เลยมีคนลองของทดสอบว่ารู้จริงไหมแต่ที่สุดก็ดูมีจริง

ขอสรุป ทานศีลภาวนาที่ทำการนั้นส่วนใหญ่มิจฉาทิฐิทั้งสิ้น แม้ว่าพยัญชนะตัวเดียวกันแต่สภาวะและวิธีที่ปฏิบัติก็ต่างกันแล้วได้มรรคได้ผลก็ต่างกัน

 ทุกวันนี้ในสังคม 2 ส่วนใหญ่ไม่ได้มีจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีลเลยนอกจากไม่มีแล้วก็ละเมิดด้วยทั้งที่พระพุทธเจ้าให้เว้นขาด ศึกษาให้ดีจะรู้ว่าทุกอย่างมีธรรมะสอง หรือไอสไตน์ว่า ทุกอย่างมี space and time ทั้งสิ้น เป็นปฏิสัมพัทธ์ของสองสิ่งทั้งสิ้น ไอสไตน์คิดให้เกิดนิวเคลียร์ได้ของพุทธก็ทำได้ แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษภัยได้ ทั้งนิวเคลียร์ฟิชชั่นหรือฟิวชั่นเลย นิวเคลียร์ฟิชชั่นนั้นรวมเป็นเอกภาพมีพลังสนามแม่เหล็กป้องกันไม่ให้กัมมันตรังสีย้อนมาทำร้ายตนเองได้

 

 แล้วไปสรุปชมพระธัมมชโยว่าไม่เคยตำหนิใครเลย อันนี้คือเคล็ดลับของธัมมชโยที่ใช้เที่ยวไปหากิน คนที่ไม่ตำหนิไม่ว่าใครเลย คนนี้คือนอกศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าให้ตำหนิคนที่ควรตำหนิให้ชมคนที่ควรชมแล้วคนที่ไม่ตำหนิเลย มีแต่ชมคนให้ใช้สามัญสำนึกก็ได้ ตื้นๆคือคนที่ไม่กล้าหาญไม่รู้สัจจะความจริง ไม่มีเมตตาที่ช่วยคนอื่น ที่จะต้องตำหนิเขาถ้าเป็นพ่อเป็นแม่มีลูกแบบนี้แล้วไม่ว่าไม่บอกก็จะฉิบหาย

โลกนี้ต้องมี 2 อย่างมีดีมีชั่ว มีดำมีขาวเป็นธรรมะ 2 ถ้าคุณไม่รู้ก็ ถ้าคุณไม่รู้ก็เป็นลูกกะโล่ให้ถูกเตะไปเตะมาในโลกนี้แต่ธรรมกายนี้ด้านมากแตะอย่างไรก็ไม่รู้สึก

 เหมือนอย่างหลวงพ่อดีน่ออะไรก็ดีไปหมดอย่างนี้มันเกินเซ่อแล้ว  การมองแต่ดีนะมันผิดสัจจะมันต้องรู้ทั้งดีและชั่วพระพุทธเจ้านั้นให้รู้คุณรู้โทษแล้วเลือกสิ่งที่ควรทำ ข่มคนที่ควรข่ม ตำหนิคนที่ควรตำหนิ

 การที่เราไม่สังกัดมหาเถรสมาคมไม่ได้หมายความว่าจะไม่แปลว่าไปตำหนิเขาแต่ควรตำหนิควรว่าเขาอย่างยิ่งเพราะฉะนั้นเถรสมาคมยังยืนยันว่าตนเองเป็นพุทธก็อย่าทำให้ชิปหาย อาตมารักความเป็นพุทธคนไม่รักจะทําให้ฉิบหายอาตมาก็ไม่ยอมหรอก

แต่จะไปฟ้องร้องไปอธิกรณ์เขาไม่ได้เพราะเป็นนานาสังวาสอย่างมหาเถรสมาคมก็ไปอธิกรณ์ฟ้องร้องของธัมมชโยได้ แต่จะมาฟ้องร้องมาอธิกรณ์อาตมาไม่ได้ อย่างไรพ.ศ. 2532 คุณก็ไปกินดีเสือดีหมีมาจากไหนใช้อำนาจที่คุณมีก็เอาอาตมาจนต้องยอม แต่อาตมาไม่ยอมผิด อาตมาแค่ยอมแพ้เท่านั้นเอง เพราะคุณมีอำนาจบาตรใหญ่ ตกลงวิบากใครก็วิบากมัน อาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบากก็ชัดเจนว่าอาตมาไม่ได้ผิดก็ว่ากันไป อาตมาก็เลยยอมถูกลงโทษให้รอลงอาญา 2 ปี

สังคมเราต้องมี

 1 มีคนรู้ความจริง 2 มีคนเอาภาระ 3 ต้องมีคนกล้า

การรู้ความจริง ต้องมีภูมิปัญญาพอ แล้วเป็นคนเอาภาระแล้วจะเป็นคนกล้า  เราจะไปถือคติชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์อย่างที่คุณถือนี้มันทำให้เราไปขนาดไหนจนกระทั่งสมีอุ้มสมีในวงการเถรสมาคม ขอพูดให้ชัดว่าอุ้มสมีแล้วคุณจะตาบอดหูหนวกอีกทำไม  ขนาดพระสังฆราชมีพระลิขิตตั้ง 5 ฉบับมีหลักฐานให้ปาราชิกนะ ถ้าไม่อย่างนั้นสมเด็จพระสังฆราชท่านจะมีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัวท่านไปนะ

 เราทำอย่างนานาสังวาสได้ขนาดนี้ แต่หลวงปู่พุทธะอิสระท่านอยู่ในสังวาสเดียวกันก็จะทำได้อย่างเต็มที่ แต่คนอื่นที่รู้แต่ไม่ทำก็คือกลัวและไม่เอาภาระ  ก็ขอฝากกดแช่ไว้ว่าทุกอย่างมันมาจากจิตวิญญาณ มโนบุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐามโนมยา  ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อยู่ที่จิตวิญญาณถ้าปล่อยให้จิตวิญญาณเป็นแกนที่เน่าเฟะล้มเหลวแล้วจะปฏิรูปจะปฏิวัติอย่างไรก็ไม่สำเร็จ

 อาตมาพูดมาหลายทีแล้วในสังคมมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุด  แล้วจิตวิญญาณกับสภาวะนามรูป  เจ้าตรัสรู้ธรรมะ 2 นี้ ไม่รู้ดีรู้ชั่วจริงๆแล้วมีเมตตาจริงๆ มีกรุณามุทิตาอุเบกขาอุ้มชูโลกอยู่

 แม้แต่วันนี้ประชาธิปไตยขาเดียวที่ไม่ใส่ใจไม่เอาจริงเอาจังเรื่องนามธรรมแต่ไปเอาแต่รูปธรรมก็เป็นประชาธิปไตยขาเดียว

 

มาสู่บทเรียนที่เป็นอนุกรมต่อเนื่องกัน เป็นseries

 อาจารย์เป็นต้น นาประโคน ช่วยตอบคำภาษาอังกฤษให้ ถึงแม้เป็นคนตาบอดเดินทางจากเมฆาอโศก ออกมาคนเดียวด้วยไม่มีเงินด้วยเดินทางมาก็มีคนที่สนทนาด้วยว่ามาทำไม อาจารย์ก็บอกว่ามาวัดแล้วมาวัดทำไมก็บอกว่ามาสอนนักเรียนและสอนวิชาอะไรก็บอกว่าสอนภาษาอังกฤษเขาก็เลยตกใจว่าตาพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือ อาจารย์ก็บอกว่าพอพูดได้คนนั้นเขาก็ไม่ค่อยเชื่อก็เลยพูดภาษาอังกฤษใส่อาจารย์อาจารย์ก็เลยตอบภาษาอังกฤษไปมาเขาก็เลยให้เงินไป 200 แล้วก็ไปให้น้ำอีก 1 ขวด   แต่พอมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาที่บ้านราษฎร์รถมอเตอร์ไซค์ก็จะเอา 250 แต่จะคิด 200 เท่าไหร่ต่อรองเขาก็เลยเอาแค่ 200  อาจารย์ก็อายุตั้ง 79 แล้วใครเป็นอาจารย์สอนมาก็มาใช้ให้เป็นประโยชน์ที่นี่

 

 เราพูดถึงศีลกัน

 ศีลเป็นหลักเกณฑ์หลักการของทุกศาสนา ถ้าหลักเกณฑ์ไม่ดีศาสนานั้นตั้งอยู่ได้ไม่นาน  สิ่งไม่มีไม่ได้ต้องมีอาชญาเป็นหลักเกณฑ์ไม่มีไม่ได้  ตั้งแต่ก่อนจะพูดอย่างนี้ไม่ได้เพราะในศีลธรรมนูญนี้จะล้มล้างมหาเถรสมาคมเกือบทั้งหมดซึ่งเขาถือศีลกันก็เป็นสีลลัพพตุปาทาน เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เลยไม่ได้ทำตามขอบเขตปริตตังทำตามขอบเขต มีผัสสะแล้วมีกุศล อกุศลเกิดในกรอบที่เราทำ แล้วเรียนรู้เหตุปัจจัยของอกุศลแล้วกำจัดได้  กำจัดได้จิตก็แข็งแรงตั้งมั่นเป็นสมาธิ  ทำการประหารด้วยปาหาน 5

 แต่ทุกวันนี้เขาทำตามสีลลัพพตุปาทาน ไม่ได้มีมรรคผล  มาถึงครานี้อาตมาก็ต้องพูดแล้วถ้าไม่มีภูมิคุ้มกันไม่มีฐานก็พูดไม่ได้เพราะศีลนั้นจะล้มล้างมหาเถรสมาคมไปเลย เพราะเขาละเมิดกันหมดแล้วโดยเฉพาะมหาศีล เละเทะทั้งหมดแล้วเป็นเดรัจฉานวิชาเป็นเดรัจฉานกถาไปหมด

 เดรัจฉานกถาคือพูดแล้วไม่พาไปสู่นิพพาน พูดแล้วมีแต่ทำให้กิเลสหนาขึ้นอย่างธรรมกาย มีแต่ให้รวยให้มากให้ใหญ่ให้เป็นวิมานครอบงำกันหลอกกันบ้าบอ  แล้วทำวิธีการสะกดจิตให้ดูช่องนั้นช่องเดียว

 

  พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าจะชมเราให้ชมที่เรามีศีล เช่นเดียวกันถ้าจะชมอโศกต้องชมที่อโศกมีศีล ซึ่งอโศกได้รับคำรับรองว่าเป็นคนที่เคร่งศีล เขาก็เลยบอกว่ายึดติด เอาแต่ศีลว่าเราไม่รู้จักสมาธิไม่รู้จักปัญญาไม่รู้จักวิมุติเขาก็เลยบอกว่า ถ้าจะฝึกสมาธิให้ไปที่ธรรมกายจะ เอาปัญญาให้ไปที่สวนโมกข์ จะเอาวิมุติก็ไปที่หลวงปู่มั่น

 แล้วอาตมาไม่ใช้เงินก็ไม่เห็นเคร่งอะไร กินมื้อเดียวก็ไม่เห็นเคร่งอะไรสบายสบาย  พวกเราทำได้แล้วจะสบายไม่ต้องสังวรระวังด้วยเป็นอัตโนมัติเป็นประทับตราเป็นเช่นนั้นเอง อัตโนมัติ ไม่ฆ่าสัตว์เป็นอัตโนมัติแม้จะตกใจ  แต่บางคนตกใจก็ทำร้ายสัตว์ทันทีแต่ของเราจะไม่ทำ  เสียงของพวกเรา หินไท ผู้หญิงตบกลางสาธารณชนก็ไม่ตอบโต้อะไรนี่คือความสำเร็จ ใครทำร้ายเราเราก็ไม่ตอบโต้

 มาดูที่จุลศีลอีก

  13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

[7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

หมายถึงของดิบที่เอามาฉันไม่ได้ แม้แต่ผักผลไม้สดก็ไม่ถือเป็นธัญญาหารดิบเพราะฉันได้เลย  ตั้งแต่บวชมาใหม่ๆ จำได้เลยตอนไปบิณฑบาต ที่ตลาด คนก็ศรัทธาเลื่อมใสว่าเราไม่ฉันเนื้อสัตว์แล้วจะเอาอะไรใส่บาตร เป็นตลาดสดก็เอาผักใส่ได้เขาก็ซื้อผักคะน้าเป็นต้นใส่เต็มบาทเลยแต่ละเจ้าแต่ละเจ้า  เหตุเกิดจริงที่อยุธยาเขาดีใจที่ใส่บาตรได้ ก็เลยเอาผักคะน้ามาใส่บาตรเต็มเลย

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

 ก็คือไม่รับคนรับใช้ทั้งหญิงและชายเพราะฉะนั้นพระอาจารย์ที่มีคนรับใช้มีลูกศิษย์ที่เป็นคนใช้ ทั้งหญิงและชายก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ให้ไปข่มใครให้ปลอดความเป็นทาสไม่ให้มีคนรับใช้

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

เป็นข้อสรุปที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เลี้ยงสัตว์ทั้งหลาย แต่ทุกวันนี้บางวัดเลี้ยงเสือกัน เลยถูกเสือกัดเอาบางวัดเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งมันออกนอกรีตของพระพุทธเจ้า

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

 อยู่ที่ธรรมกายทำ ยึดที่ดินคนอื่นแล้วก็เอาไปคืนอย่างนี้ก็ผิดแล้วใส่ชื่อเป็นของตนเองด้วยไม่ใช่เป็นของกลางเป็นปาราชิกไม่รู้กี่อย่างแล้วเรื่องเงินทองเรื่องที่ เป็นปาราชิกไม่รู้กี่ตัวเลย

      [8] 22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.  คำว่าฑูตกรรมคือการไปติดต่อที่จะดำเนินกิจกรรมกิจการใดใดแล้วคำว่าทูต ตั้งแต่โบราณถึงบัดนี้คำว่าจบฑูตคือผู้ที่จะไปติดต่ออะไรก็แล้วแต่เพื่อหาประโยชน์  เพื่อไปเป็นไส้ศึกเจรจาให้ได้ประโยชน์ต่อประเทศตนเองแต่ถ้าไปยังสัมมาทิฏฐิ ฑูตคือผู้ไปเชื่อมต่อให้ประโยชน์แก่เขา ไม่ใช่เป็นผู้ไปรับใช้  การที่เป็นฑูตแล้วเอาประโยชน์ให้แก่ประเทศตอนนี้ผิด แต่ต้องเป็นผู้เชื่อมต่อที่จะให้ประโยชน์แก่เขา

อาตมาเคยบอกว่าอนาคตอโศกจะไปต่างประเทศก็ไปเพื่อที่จะให้ประโยชน์แก่เขาไม่ใช่ไปเพื่อจะไปเอาอะไรจากเขาทั้งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

ส่วนผู้รับใช้คือผู้ที่จะต้องได้สิ่งแลกเปลี่ยน  ได้รับค่าจ้างคือผู้รับใช้ แต่ถ้าเป็นผู้รับใช้ที่ไปอย่าง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)โดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยนพ้นเลเภนลาภังนิชิคิงสนตา  ผู้พ้นลาภแลกลาภคือผู้ที่ไม่เป็นผู้รับใช้

 ผู้รับใช้นี้เป็นคำเรียกอาการของศักดินา  การไปเทศน์แล้วรับค่าจ้างก็เป็นการไปรับใช้ ซึ่งการกระทำอันนี้ผิดธรรมวินัย พระพุทธเจ้าไม่ให้แม้จะไปทำยารักษาให้ ก็ไม่ได้

 ทุกวันนี้เข้าใจผิดพลาด พระเลยกลายเป็นพวกศักดินาไม่ทำงานให้แก่สังคมเลยไม่ไปช่วยสังคมเลย  อย่างเราทำนี้ส่วนไหนที่ทำช่วยสังคมได้ก็ทำอย่างไม่ผิดธรมวินัย แล้วเราไม่ได้รับค่าจ้างอะไรเลย แต่อย่างที่เขาทำทุกวันนี้เป็นศักดินาหมดเลย แต่เราต้องอย่างเอาภาระตามกาละที่สมควรตามหาประเทศ 4 สัปปุริสธรรม 7 แนวเราไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนแล้วก็ตามเราก็ต้องประมาณ

 นักบวชคือผู้รับใช้สังคมอย่างดี  ยังอยู่ในหลักเกณฑ์ของพระธรรมวินัยที่แท้จริง พวกเราก็มีปฏิภาณที่อาตมาพาออกไปประท้วงหลายที บางคนก็บอกว่าผิด แต่พอทำไปแล้วก็จะเข้าใจว่าไม่ได้ผิดอะไร  ผู้ที่เข้าใจแล้วก็จะไม่มีปฏิกริยาแล้วก็จะร่วมมืออย่างเข้าใจจริง ถ้าเป็นกาละที่สมควรกองทัพธรรมจะออกเราก็ไม่มีปัญหาเลย

       ก็ขอฝากไว้ว่ากองทัพธรรมที่เกิดมาในยุคนี้เป็นกองทัพธรรมจริงๆ

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอมและการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

สามคำนี้มีนัยยะลึกซึ้งต่างกัน

 โกงด้วยตราชั่งมันมีอะไรวัด การโกงด้วยของปลอมมันเป็นการหลอกลวงแต่ถ้าโกงด้วยตราชั่งอันนี้มันเห็นเห็นชัดชัด ว่าโกงเพราะตราช่างมันต้องเสมอกันคือกุหนา  แต่ถ้าของปลอมนี้เป็นขนาดลปนา มีเล่ห์หลอกอำพราง

 การโกงด้วยเครื่องตวงวัดอันนี้ลึกซึ้ง  ถ้าเป็นตราชั่ง ก็เห็นเห็น แต่ถ้ามีการวัดด้วยการประมาณ ผู้มีปฏิภาณปัญญาลึกซึ้งก็จะรู้ว่า อันนี้มีเปรียบนี้เอาเปรียบ พวกเราจะมีปฏิภาณรู้ว่าอันนี้เอาเปรียบแล้วนะมันเป็นนามธรรมและรูปธรรมก็คือการชั่งตวงวัด

 ที่สุดแล้วผู้ไม่มีตัวตนจะไม่เอาเปรียบใครจะเสียเปรียบอย่างไม่ได้เสียรู้แต่จะเข้าใจว่าเราเสียให้เราสละให้จึงเกิดมาเพื่อเสียสละ

 ในหลวงของเราเป็นพระโพธิสัตว์ อธิบายลงท้ายว่า สิ่งที่เราเสียนี่แหละคือเราได้  แล้วจะเข้าใจเลย เพราะฉะนั้นอรหันต์เต็มเต็มจะมีชีวิตอยู่เพื่อเสีย อย่างน้อยที่สุดคนไม่รู้เขาก็จะด่าว่า ให้เสียไม่ใช่หน้าด้านไม่รู้ว่าเขาด่ามาจะไม่รู้เลย  แต่เราก็เข้าใจเราก็อยู่กับเขาได้ถ้าเขาด่าถูก ก็เอามาแก้ไขเสียแต่ถ้าเขาด่าเราไม่ถูกเลยเราก็เข้าใจเขา ที่เขาด่าเราไม่ถูกต้องใครเป็นคนโง่  ใครเป็นคนผิดก็คือคนด่า แล้วเราไปเดือดร้อนทำไมแล้วใครรับกรรมใครรับบาปอกุศลก็คือคนทำผิดคนที่โง่ คนที่มิจฉา ถ้าเข้าใจสัจจะก็ไม่มีปัญหา

 ถ้าเขาด่าเราถูกต้องก็ต้องขอบคุณครับ คุณว่าใช่เลย ว่าเห็นแก่ตัวเอง อย่างอาตมานี้อาตมาว่าดาเอาบุญ คนก็เห็นว่าเล่นลิ้น แต่ที่อาตมาทำนี้ว่าด่าแรงนะ กระหนาบแล้วกระหนาบอีกไม่มีหยุดเหมือนช่างปั้นหม้อนวดดินในกาละที่นวดได้ก็ยิ่งต้องนวด ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนต้องรู้กาลัญญุตา หากเลยไปไม่ได้ ไม่ถึงก็ไม่ได้ ต้องรู้กาละ ในขณะนี้มีองค์ประกอบให้ทำได้ คสช.ก็มีฤทธิ์ ออกกฎหมายก็ทำได้เลย ก็ออกให้ซื่อสัตย์ยุติธรรมเต็มที่ไม่เช่นนั้นไปไม่รอด พรบ.สงฆ์ 2505​ก็มีแล้วเอามาเล่นงานอาตมาก็ทำมาแล้วเคยออกมาแล้วก็ทำได้อีก อย่าไปฟังเสียงนกเสียงกา เสียงพระเสียงเจ้าที่เสียผลประโยชน์ตนเองอย่าไปทำ ให้ทำอย่างอคติ ออกกฎหมายเลย รีบออก ต้องมีคนเอาภาระ ก็กรุณาทำ

 

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

 อย่างพวกสส.ที่ไปหาเสียงโดยเฉพาะบริจาคให้แก่เจ้าอาวาส แล้วให้ใช้ตามอัธยาศัย ไม่ได้มอบให้วัดก็มอบให้ท่าน ท่านเจ้าอาวาสก็เป็นหัวคะแนนตัวเอ้เลย ไปหลอกสารพัดหลอก ว่าตนเองมีอำนาจมีฤทธิ์ที่จะดลบันดาลได้แม้ที่สุดสร้างเครื่องรางของขลังสร้างพระเครื่องว่าเป็นมหานิยมได้แล้วจะรวยแม้จะเป็นสิ่งป้องกันยิงไม่เข้าฟันไม่ออก อันนี้เจ๋งกว่ายิ่งไม่ออกฟันไม่เข้า เหมือนเข็นครกขึ้นเขาหรือเปล่าควายใส่ปี่  นี่คือล่อลวงตลบตะแลงแต่ถ้าแบบมหานิยมคือไปรวย ถ้าทำได้จริงประเทศไทยรับรองไม่มีคนจน เจ้าไหนสร้างเก่งเก่งก็เอามาสร้างแล้วแจกกันประเทศไทยมี 67 ล้านคน ก่อสร้างมาร้อยสามสิบองค์เลย  แจกคนละ 2 องค์ครับลองแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้

 หรือเวลาไปรบก็สร้างพระที่อยู่ยงคงกระพันยิงไม่ออกฟันไม่เข้า รับรองว่าไม่ต้องไปซื้ออาวุธ ทหารไม่ต้องเอาอาวุธอะไรมากหรอกไล่แจกพระเครื่องเครื่องรางของขลังอยู่ยงคงกระพันนี่แหละ

 อาตมาเคยเล่นพลังจิตเดรัจฉานวิชาเครื่องรางของขลังมันทำได้ตามอุปทานที่มันไม่เที่ยงแล้วหรือเปรตพวกนี้มันไม่เที่ยงยิ่งกว่าคุณไปหลงติดลาภยศสรรเสริญลองติดตามฝังในอนุสัย แต่นี้มันไม่เที่ยงได้เร็วกว่าอีก

 ก็ได้ยินชาดกไหมที่ มีฤาษีมีฤทธิ์เหาะได้แต่เหาะไปเจอผู้หญิงแก้ผ้าอาบน้ำ ก็หมดฤทธิ์ตกลงมาเลยซึ่งมันไม่เที่ยงคนที่ได้อิทธิปากิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์เหล่านี้ได้อย่างไรมันก็ไม่เที่ยง  มันเป็นอุปาทานทั้งนั้น  สรุปคือ พลังงานพวกนี้มีจริงก็อย่าไปยุ่งกับมัน เหมือนพระปิณโฑลกับพระโมคคัลลานะ เหาะไปเอาบาตรแม้ทำได้และได้ทำแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ทำอีก เป็นสิ่งไม่ควรทำ ตราพระวินัยเลย

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชก.

 

                       จบจุลศีล.

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:16:30 )

581120

รายละเอียด

581120_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ คนจนมหัศจรรย์แต่ช่วยเศรษฐี

          พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ขึ้น 10 ค่ำ  อีกไม่กี่วันเขาก็จะลอยกระทงกันส่วนเราก็มาเกี่ยวข้าวกันปีนี้ก็ภาคภูมิใจที่เราทำการปลูกข้าวได้มากขนาดนี้ เราเคยปลูกข้าวกันที่ปฐมอโศก ก็ไปไม่เคยรอดพอดีไม่ค่อยดีก็เลยไปหาที่ใหม่ได้ที่ทุ่งนาแรงรักก็พอได้  ปีนี้เราทำที่ราชธานีอโศกก็ได้ผลดีพอใช้ได้ก็ได้นั่งรถไปตรวจดูพื้นที่นาบริเวณต่างๆตรงไหนน้ำไม่พอตรงไหนปุ๋ยไม่พอหรือควรจะเติมตรงไหนก็คอยบอกกัน

           มาพูดถึงเรื่องข้าวอาตมามุ่งมั่นจริงๆเหมือนที่เคยมุ่งมั่นในเรื่องของมังสวิรัติ  มาถึงวันนี้แล้วถือว่าเรื่องมังสวิรัติได้ผลสำเร็จลงตัวแล้วเกิดผลด้วยตัวของมันเองเป็นตถตา ก็จะมีวิวัฒนาการไปตามเรื่องของมันเพราะสังคมเข้าใจสังคมยอมรับก็ติดเครื่องดำเนินต่อไป เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ส่วนบุญญาวุธหมายเลข 2 ตลาดอาริยะก็ค่อยเป็นค่อยไปส่วนบุญญาวุธหมายเลข 3 คือกสิกรรมธรรมชาติก็คิดว่าเข้าท่าแล้ว

           กสิกรรมธรรมชาติมาถึงวันนี้ก็เข้าท่าก็เป็นไปแล้ว บุญญาวุธหมายเลข 4 การศึกษาบุญนิยม  บุญญาวุธหมายเลข 5 สาธารณสุขบุญนิยม บุญญาวุธหมายเลข 6 การศึกษาบุญนิยม  บุญญาวุธหมายเลข 7 การเมืองบุญนิยม ก็ค่อยจัดอยู่ในองค์ด้านต่างๆเข้าไปอีก

           การกสิกรรมธรรมชาติที่เราได้พัฒนากันมาก็เห็นอัตราการก้าวหน้าก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมงดงามได้ขนาดนี้ทั้งทั้งที่ดินของราชธานีอโศกนี่เป็นดินถมใหม่  ก็ปรากฏว่าต้นข้าวออกรวงงามพอสมควรก็จะคอยดูผลสุดท้ายว่าจะได้กี่ตัน  144 ไร่ได้ 140 ตันเลยก็จะดี  ที่เราทำนี้ไม่ใช่เรื่องหาเสียงแต่เป็นเรื่องตั้งใจจริงที่จะสร้างสังคมประเทศชาติด้วยพืชพรรณธัญญาหารเพราะประเทศไทยเราอยู่ในโซนอบอุ่นโซนร้อน  มีแดดมีน้ำมีองค์ประกอบมีพื้นดินที่ชั้น 1 เลยที่อื่นสู้ไม่ได้ทางตะวันออกกลางและแอฟริกาก็ร้อนเกินไป

           เราต้องเอาองค์ประกอบที่พระเจ้าสร้างที่ธรรมชาติสร้างมาทำให้ดีสร้างให้ดีและมันก็เป็นความสำคัญพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่าข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่งอาหารเป็นหนึ่งในโลก เป็นสัจจะที่เราต้องเข้าใจอย่างแท้จริงเราจะต้องไม่โง่เกินไปต้องฉลาดเท่าทันว่าควรจะทำอะไรเพราะคนทุกคนในโลกจะต้องกินอาหารจะต้องกินข้าวถ้าเราทำอาหารขึ้นมาให้เผื่อแผ่เกื้อกูลแบ่งปันกันให้ได้จริงๆ

           เราไม่พากันไปรวยอยู่แล้วเราพากันไปพอดีพอควรพระพุทธเจ้าไม่สอนให้เราไปรวยผู้ที่มีภูมิปัญญามีพุทธอยู่ในใจจริงๆจะรู้ว่าคำสอนพระพุทธเจ้าไม่เคยพาไปรวย ใครจะสอนให้พาไปรวยอยู่จะอยู่ในการศึกษาอยู่ในระบบของศาสนาเลยแล้วเปิดสอนให้ไปรวยไปรวยพวกนี้ขบถ เป็นพวกนอกรีตของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ขอพูดชัดชัดตรงตรงอย่างนี้  เราพึ่งพาตนเองให้รอดอย่าไปหวังแต่รวย นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ มันเป็นความสงบสันติเป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์ โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องรวย ไม่รวยแต่เราขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์อุดมสมบูรณ์แล้วก็แจกจ่ายเจือจานเผื่อแผ่กันไป เท่าที่เราจะเผยแผ่กันได้ ชีวิตของเราก็พึ่งตนเองพอมีเหลือเฟือแบ่งแจกเกื้อกูลคนอื่นได้อย่างจริงจังชีวิตก็สบายแล้ว

           เป็นชีวิตที่สันโดษที่เป็นความใจพอดังที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เป็นชีวิตพอเพียง อย่างในหลวงท่านตรัสไว้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมีพระปัญญาธิคุณชัดเจนท่านก็ตรัสเรื่องการอยู่กับสังคมบริหารสังคมแบบคนจนอย่างไรแต่ผู้บริหารยังเข้าไม่ถึง ไม่เท่าทัน ส่วนเราก็ชัดเจนในจุดนี้ที่จะพาเป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งตนเองรอดไม่เบียดเบียนใคร แบ่งแจกจากคนอื่นได้เป็นคนจนที่เกื้อกูลเผื่อแผ่คนอื่นได้

           ข้าวไม่ใช่สินค้าแต่ข้าวคืออาหารที่ต้องแบ่งปันกันกิน คำว่าแบ่งปันกันกินไม่ได้หมายถึงว่าเรามีเท่าไรก็แจกหมด แต่อาจจะขายบ้างแต่อย่าขายแพง คนไหนที่ไปรอดอยู่ได้ เอามาเผื่อแผ่เกื้อกูลเท่าที่ตนเองจะทำได้  ไม่ใช่ว่าจะต้องแจกหมด แต่ให้ขายอย่างถูกๆ เพราะคนจนต้องกินข้าว ส่วนคนรวยเขามีเงินซื้ออยู่แล้ว แล้วคนจนมีเป็นส่วนมากจะต้องกินข้าวเราควรจะขายให้ถูกให้แจกจ่ายเจือจานกัน

           มีร้านอาหารพวกเราให้กินฟรีเลยก็มีบ้างแต่ก็มีเงื่อนไขให้เขาได้ฝึกฝนไม่ใช่กินอย่างชนิดเป็นอย่างไรก็ได้ คนก็จะไม่ได้ฝึกฝนศึกษาอะไร เรามีความเอื้อเฟื้อเจือจานแต่ก็ไม่อยากให้คนกิเลสโตขึ้นจะทำให้ชีวิตเสื่อมต่ำ  ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไรอยู่อย่างให้กิเลสมากขึ้นชีวิตเสื่อมต่ำอันนี้เป็นโมฆะบุรุษเสียชาติเกิด

          สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีปัญญาจะมาศึกษา แต่คนนี้ศึกษาได้เฉลียวฉลาดที่สุดแต่ไม่มีอะไรดีที่สุดเท่ากับการลดกิเลสได้ มนุษย์สามารถมีภูมิปัญญารู้กิเลสได้ลดกิเลสได้ ซึ่งสัตว์อื่นทำไม่ได้ นี่คือขอบเขตที่จะรู้ว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิด เมื่อรู้ว่ากิเลสเป็นอยางไรแล้วลดกิเลสได้อย่างเป็นสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ คือคนเกิดมาแล้วไม่เสียชาติเกิด ถ้าผู้ใดลดละกิเลสไม่ได้แม้จะออกบวชพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นโมฆะบุรุษ  ไม่ว่าจะเป็นนักบวชอีกหรือเป็นฆราวาส มีสิทธิ์ประพฤติปฏิบัติให้เข้ากระแสเป็นอริยบุคคล ถ้าเริ่มต้นเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็เข้ากระแสแล้วที่จะไปสู่ความสูงสุดเลยได้ ขยันหมั่นเพียรจริงๆก็จะได้จริงตนเอง มีบารมีเฉลียวฉลาดเพียงพออีกด้วยก็ยิ่งดีใหญ่เลยก็จะยิ่งเร็วยิ่งได้ผลทันที

          ผู้ที่ปฏิบัติได้สูงสุดถึงความจบของมนุษย์คือเป็นอรหันต์  แล้วมันคืออะไรเป็นตัวชี้บ่งชี้ค่าว่า อรหันต์นั้นคือผู้มีชีวิตจบอรหันต์แล้ว ไม่ทำภัยทำโทษอะไรเลยกับโลกกับสังคมกับสัตว์กับพืชกับดินกับน้ำอะไรอีกต่อไปหลักประกันจริงๆ  นี่คือดัชนีชี้ชี้ค่าความประเสริฐของการมาเป็นสัตว์โลกและได้เป็นคนประเสริฐสุดซ่อนจะเจริญอีกต่อไปจะมีโลกะวิทู มีโลกานุกัมปายะ  แต่ขีดที่บอกว่าเป็นอรหันต์คือ ไม่ทำกรรมอะไรที่เป็นบาปหรือกรรม ที่ประกอบด้วยกิเลสอีกแล้วก็จะมีปัญญารู้โลก เท่าที่อรหันต์แต่ละท่านจะรู้ว่า ความเป็นโลกความเป็นอัตตา อย่างไรท่านจะรู้ประมาณไม่ทำอะไรเกินตัว  ท่านก็จะช่วยเหลือผู้อื่นไปมีความชำนาญที่จะช่วยเหลือโลกได้เพิ่มขึ้นเป็นโพธิสัตว์ที่เจริญขึ้น เป็นความที่จบกิจตนแล้ว ต่อไปเป็นความเจริญขึ้นจนกว่าจะถึงพระพุทธเจ้าเป็นสูงสุด

           แม่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านระลึกชาติได้ไปไกลมากมายว่าเกิดมาเป็นอะไรบ้างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เท่าเทียมกันหมด แต่คนที่เป็นองค์ประกอบก็จะต่างกันทำให้สร้างศาสนาได้เล็กหรือใหญ่ต่างกันแต่ก็คือศาสนาพุทธมีคุณภาพเหมือนกัน เพราะคนมีกิเลสหนาและหยาบมากในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดมพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ก็ทำได้สุดที่แล้ว  ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจะดำเนินไปถึง 5000 ปีอาตมาก็มีส่วนในการดำเนินไปนี้ หลายคนอาจจะไม่เชื่อแต่ทำงานมา 45 ปีหลายคนก็คงพอเข้าใจ

          ทำงานมา 45 ปีก็เห็นอัตราการก้าวหน้าซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงการเรียนรู้โลกกับอัตตา ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรเล่มที่ 1  ที่คนยังไม่เคยเข้าใจคือเรื่องโลกกับอัตตา คือสิ่งภายนอกที่สังเคราะห์สังขารกับตัวเราเอง เราก็ล้างอวิชชาไล่ไปตั้งแต่โลกต่ำสุด จนกระทั่งดับเหตุได้เจริญขึ้น หมดกาม หมดรูปโลก อรูปโลก ไปตามลำดับที่แท้จริง  จนหมดโลกหมดภพได้จริง

          พิสูจน์ได้จนเป็นตัวคนที่หมดโลกอยู่เหนือโลกเป็นอรหันต์ก็เกิดขึ้นได้ในสถานะของพวกเราในชาวเราแล้วอาตมาก็ได้ยืนยันไปแล้ว เป็นความจริงใจที่ไม่ได้อยากอวดอ้างบอกไปแล้วก็ไม่เห็นคนจะกรูเกรียว เป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้อง สำหรับคนไม่รู้ก็จะได้รู้ คนที่เชื่ออยู่แล้วก็ไม่ตื่นตูมแต่คนที่ไม่เชื่ออยู่แล้วเขาก็อาจจะหมั่นไส้ แต่มันก็เป็นเครื่องชี้บ่งว่าเราประกาศอรหันต์ในตัวบุคคลในยุคนี้ คนที่เขาไม่เชื่อถือเขาก็ไม่มา ซึ่งเขาก็รักศาสนาพุทธนะ ถ้าผู้ที่มาประกาศเป็นของเสียทำให้ศาสนาของเขาเสื่อมเสียหายเช่นพระธัมมชโยทำความเสื่อมโทรมให้ศาสนาชิปหายก็ต้องตามเล่นงาน แต่ของอาตมาก็ไม่เกิดเช่นนั้น ทั้งทั้งที่ธัมมชโยไม่กล้าประกาศตัวเหมือนกับอาตมา เขาประกาศคลุมเครือว่าใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าอีกซึ่งมันก็ตลกว่าเหนือกว่าพระพุทธเจ้าอีก

          อาตมาก็ประกาศธรรมสาธยายธรรมไปก็ไม่เห็นมีคนมาต่อต้านมากยังธัมมชโยก็มีคนมาต่อต้านมากกว่าจะมาทำตอนนี้ก็มีคนมาต่อต้านน้อยแต่นี่พูดนี้ไม่ได้เรียกร้องให้มาต่อต้านนะไม่ได้หาเรื่อง  ส่วนผู้ศรัทธาก็ไม่ตื่นเต้นไม่กรูเกรียวกันมา จะเพิ่มความใส่ใจความตื่นเต้นขึ้นมาก็เป็นเปอร์เซ็นต์ไม่สูงก็ถือว่าได้สัดส่วนดีแล้ว เพราะถ้ามากรูเกียวกันจะรับไม่ไหวอะไรตื่นก็ไม่เท่ากับคนตื่น ถ้ามาอย่างศรัทธาแรงมากันมากมายจะรับไม่ไหว

         

          ในการปฏิบัติสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะสัมมาวาจาสัมมากัมมันตะ ทั้งสี่มรรคนี้แหละ ส่วนสัมมาอาชีพคือทำงานเพื่อที่จะอาศัยเลี้ยงชีวิต  ส่วนสัมมากัมมันตะเป็นงานทั่วไปทั่วไปหมดไม่ใช่งานที่ได้ผลผลิตเป็นงานสงเคราะห์งานช่วยเหลือคนอื่นงานปกิณกะได้ทั้งหมดคือร่วมการงานทั้งหมดเป็นกัมมันตะ  การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ในการกระทำช่างคิดช่างพูดช่างทำทำอาชีพที่จะเลี้ยงต่อเลี้ยงชีวิตก็ปฏิบัติธรรมซึ่งท่านประกาศของท่านต่างกัน เล่าโยงไปถึงยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นใหม่ๆ

           ในยุคที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาตอนนั้นไม่มีศาสนาพุทธท่านเข้ามาประกาศศาสนาพุทธมีทฤษฎีปฏิบัติมีทางปฏิบัติมีมรรคผลอย่างไรตอนนั้นไม่มีแล้วศาสนาพุทธ มีก็แต่มิจฉามรรคมิจฉาผล  ผิดเพี้ยนหมดแล้ว วิธีปฏิบัติของยุคนั้นก็จะคล้ายคล้ายกับยุคนี้คือไปนั่งปิดหูปิดตาไปนั่งระงับกรรมการงาน ไม่ทำอาชีพ ไม่ทำนั่งหลับตา เข้าไปอยู่ในภวังค์พูดก็ไม่พูด  หนักเข้าไม่ให้คิดด้วย  ผ่านมา สองพันหกร้อยกว่าปีก็กลายเป็นมิจฉาไปหมดอาตมาเอามาประกาศถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกบอกไว้ ทั้งที่มีหลักฐานอยู่ แต่เขาก็ผ่านไปหมด  อาตมาพูดมา 45 ปีก็ไม่เห็นสำนักไหนที่จะมาประกาศอย่างนี้ สำนักต่างๆใหญ่ๆก็ยังดำเนินอย่างมิจฉาอยู่ต่อไปทั้งที่อาตมาพยายามอธิบายตามพระไตรปิฎกเอาหลักฐานพระไตรปิฎกมาประกาศจนมาถึงบัดนี้

          แม้แต่พระสูตรแรกในพระไตรปิฎกพระสูตร พรหมชาลสูตรก็บอกไว้  การปฏิบัติที่ไม่ถูกทางก็จะทำให้ส่งผลถึงสังคมให้เสื่อมทรุดลงแก่งแย่งฆ่าแกงกันอย่างหนักหนาตอนนี้อาตมาก็พยายามส่งสัญญาณไปซึ่งอาจจะมาก็ไม่ค่อยมีเครดิตในสังคมเขาก็ไม่ค่อยเชื่อถือก็เอาแต่คนที่มีปัญญาเห็นจริงได้ เท่าที่อาตมาทำงานมาก็เห็นความก้าวหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆไปด้วยก็เลยว่ายากจริงหนอ ก็พยายามต่ออายุตนเองถ้าทำแค่นี้มันก็ได้เท่าที่มีต้นทุนชาวอโศกมีขนาดนี้และอาจจะมาตายไปขณะนี้วินาทีนี้ก็ได้แต่ก็จะไม่ได้อะไรมากมาย อาตมาไม่เชื่อว่าที่มีต้นทุนของสัมมาอริยมรรคอริยผลพอสมควรแล้วนี่อันนี้จะเป็นทุนที่จะสืบสานศาสนาไปถึงหมด 5000 ปี อาตมาก็คิดว่ามันคงจะยากตามประสาจะมาประมาณเท่าไหร่จะพยายาม ฝืนสังขาร ตามความรู้ที่จะพิสูจน์ความรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าสามารถที่จะทำให้ตนเองมีอายุยืนไปจากที่มันมีอายุขัยของตน บางคนก็มีวิบากตัดรอน บางคนก็เป็นไปตามอายุขัย บางคนก็มีบารมีเสริมอยู่ได้เกินกว่าอายุขัย อาตาจะพยายามพิสูจน์ต่ออายุขัยของตนเองด้วยตามธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ต่อด้วยมียาอายุวัฒนะอะไรที่เราเขามี  ก็ไม่ได้แสวงหาแต่พอมีผู้มาช่วยเหลือบ้าง  ไม่เหมือนกับของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่พยายามหาทางต่ออายุด้วยยาอายุวัฒนะตลอดพระชนชีพ แต่อาตมาไม่ใช้ จะใช้ธรรมะจะใช้นามธรรมของพระพุทธเจ้าไปเท่าที่จะสามารถทำได้เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า

           สิ่งประเสริฐในมนุษยชาติไม่มีอันไหนดีเท่าอันนี้ ในโลกกำลังฆ่าแก่งแย่งชิงใช้เล่ห์เหลี่ยมความฉลาดแกมโกงแย่งชิงกันอยู่ก็เห็นไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็ไม่เก่งแม้แต่ในเมืองไทยอาตมาก็ไม่มีเครดิตที่จะไปอธิบายมากมาย ก็เลยอยากจริงๆ แต่จะยากอย่างไรก็เป็นงานประเสริฐสุดที่จะทำให้คนเข้าถึงอารยธรรมดีที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้ทำงานสุดยอดก็ขอขอบคุณที่แต่ละคนมาร่วมไม้ร่วมมือมาช่วยเหลือกัน

ข้อหนึ่งอาตมาก็รู้ว่าตัวเองว่าไม่ใช่คนเก่งอะไร ข้อสองสังคมโลกมันจัดจ้านมากมายทำได้ขนาดนี้ก็ดีนักหนา อาตมาไม่มีความตะกละไม่มีความโลภอะไรมากมาย เราก็รู้ตัวเรา เรารู้อยู่ว่าตะกละตะกรามไปเป็นเรื่องไม่ดี ก็ศึกษามาแล้วเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้ามาแล้ว เพราะโลกทำลายธรรมชาติไปมาก แล้วก็เป็นพิษเป็นภัยซับซ้อนใส่เข้าไปในธรรมชาติต่างๆ ซึ่งพูดไปนี้ก็ไม่ได้เห็นได้ยากอะไรพวกเราต้องมาฟื้นขึ้นมาใหม่ ต้องมาช่วยกันทําอย่างแท้จริงมาช่วยกันฟื้นคืนให้ได้ ใครที่เข้าใจแล้วก็อย่าช้ามาช่วยกันเพราะคนมันน้อย คนมันฝืนกระแสใจมันไม่เป็นโลกีย์ แต่มันเป็นสิ่งสุดยอดประเสริฐก็ขอให้สติสำหรับผู้มีปัญญา ถ้าจะมากันก็ดีมากเลย

อาตมาทำงานมาก็มั่นใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เป็นหลักแหล่งต้นทางของธรรมะที่เป็นอริยะเป็นโลกุตระซึ่งคำว่าโลกุตระมันคนละเรื่องกับโลกียะที่เขาหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่เป็นอัตตาก็เอามาจากบัญญัติของพระพุทธเจ้าสรุปไว้

           แล้วมันก็จัดจ้านหนักหนาสาหัสไม่หยุดไม่หย่อน อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศก็เข้าใจขึ้น จนกระทั่งมั่นใจว่ามีกลุ่มหมู่มนุษยชาติที่ได้บรรลุได้ เกิดเชื้อแท้ของอาริยธรรม โลกุตรธรรมขึ้นแล้ว ก็เลยมั่นใจว่า ในประเทศอินเดียหมดเชื้อของโลกุตระแล้วเหลือแต่โลกียะใครจะปลูกฝังให้พูดขึ้นไปใหม่ในประเทศอินเดียก็ดีที่เป็นความปรารถนาดีแต่ไม่ขึ้นหรอกเพราะเชื้อมาเกิดที่เมืองไทยแล้ ว เชื้อนั้นมาลงรากที่เมืองไทยแล้ว

           ก็เลยมั่นใจว่าชมพูทวีปอยู่ที่เมืองไทยแล้ว คำว่าชมพูทวีปหมายถึงเขต ถูกแล้ว แต่ท่านไม่ได้ตรัสชมพูทวีปแต่ท่านตรัสว่า มนุษย์ชมพูทวีป คือความเป็นมนุษย์ที่จะหยั่งลงจริงแล้วความเป็นอารยะความเป็นโลกุตระไม่ได้อยู่ในดินน้ำไฟลมไม่ได้อยู่ในโลกในทวีปใด แต่อยู่ในคนอยู่ที่จิตวิญญาณ การจะมีอริยะได้เพราะมีคนที่มีจิตวิญญาณเป็นอริยะมีคนมีจิตวิญญาณที่เป็นโลกุตระลักษณะของโลกุตระมีลักษณะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามี 3 อย่างคุณลักษณะ

          มนุษย์ชมพูทวีป ประเสริฐกว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์

          มนุษย์อุตรกุรุทวีป  ผู้ที่ศึกษามาโดยบัญญัติภาษาฟังแล้วจะงงว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีปก็จะสูงกว่ามนุษย์ชมพูทวีปแต่แน่นอนว่าสูงกว่ามนุษย์ดาวดึงส์เป็นเทวดาโลกีย์ที่เสพติดอาการที่ 33  คือดาวดึงส์เป็นเพราะเป็นจิตวิญญาณที่หลงรสชาติ เป็นโลกีย ส่วนคำว่ากุรุคือครู ส่วนอุตระคือเหนือ มนุษย์ที่มีอุตระ กุรุ ถือว่าประเสริฐแล้ว  พระพุทธเจ้าตรัสว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีปสู้มนุษย์ชมพูทวีปไม่ได้

          ส่วนโลกีย์คือดาวดึงส์ แต่คนที่พากเพียรแล้วบอกว่าเป็นอรหันต์ในเมืองไทย ขออภัยเป็นอรหันต์เก๊ทั้งนั้น คนมาแสวงหาความเป็นพิษ แต่ปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิไปนั่งหลับตานี่แหละคือมนุษย์อุตรกุรุทวีป แต่มนุษย์ชมพูทวีปคือ สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส เท่านั้นนะไม่ได้บอกว่าเป็นอุตระ เป็นกุรุอย่างมนุษย์อุตรกุรุทวีปนะ

          สุรภาโวคือ องค์ประกอบที่ครบอาการ 32 ทางรูปธรรมนามธรรม  เป็นพลังงานที่รวมกันทั้งรูปและนามที่ทำงานร่วมกันแต่คนที่หลงเพ้อเป็นอาการ 33 คือคนที่หลงเสพสุขเท็จเป็นสวรรค์สุขทั้งนั้นแบบนี้ทั้งสบายทั้งสวยงามทั้งรวย เสพความเป็นทิพย์ต่างๆนานาสารพัด ทั้งวรรณทิพย์ คือยศชั้นวรรณะ ผิวพรรณ สุขทิพย์คือเป็นเท็จไม่มีจริง ส่วนอายุทิพย์จะพยายามอยู่ให้ได้นิรันดรเหมือนจิ๋นซีฮ่องเต้ ฝันเพ้อทั้งนั้นเลย  คนไปหลงผิดก็ไปหลงโลกุตระพร้อมแล้วไปหลงอาการ 33 ซึ่งไม่มีจริงพอล้างไปหมดแล้วก็จะพบว่าคนเราจะอยู่กับอาการ 32 เท่านั้นตามความสมดุล ตั้งแต่ผมขนฟันเล็บในอาการ 32 ทั้งหมด  ซึ่งมีพลังงาน ทำงานอยู่ทั้งสิ้นจะต้องได้สมดุลถ้าสมดุลก็ไม่ทุกข์ เท่านั้นเอง  ไม่มีอาการ 33 อะไร

          ผู้ศึกษาสุรภาโว ตามสัจจะบารมี  บางคนมีวิบากที่อาการ 32ไม่ครบ ไม่เป็นสุรภาโวก็จะศึกษาไม่ได้ จะปฏิบัติได้ดีต้องมีร่างกายและจิตที่สมบูรณ์ องค์ประกอบของกายที่เหลือไปหลงเสพจิต องค์ประกอบของจิตที่หลงเสพกาย ไปหลงอย่างไรก็เรียนรู้จนพ้นกาย กายสังขาร คือการปรุงแต่งองค์รวมทั้งหมดไม่ขาดกายขาดจิตนะ ผู้ที่มิจฉาทิฐิจะเข้าใจว่ากายมีแต่รูปธรรมไม่มีนำมาทำร่วมด้วย

           เราต้องเข้าใจเหตุปัจจัยที่เป็นโลกอบาย โลกธรรมให้ได้ก่อนเป็นโมเดลของเรา ชมพูทวีปคือ มีองค์ประกอบครบอาการ 32 แล้วประกอบอยู่กับโลกเป็นองค์ประกอบ เป็นต่อจะให้เกิดโลกโลกุตรบุคคลได้เกิดได้ ไม่ว่าประเทศใดสังคมใดจังหวัดใดอำเภอใด ที่มีมนุษยชาติที่สามารถปฏิบัติเป็นโลกุตรบุคคลได้ก็นั่นแหละคือทวีปที่เป็น อิธพรหมจริยวาโส  ปฏิบัติธรรมเป็นอรหันต์ได้ขนาดตามมาแน่ชัดว่า ประเทศไทยจะเป็นได้มีอะไรกันจริงจึงประกาศอรหันต์จริงเป็นอนาคามีจริงส่วนภูมิอื่นก็ไม่ได้ประกาศอะไรมากมายสกิทาคามีหรือโสดาบันก็ว่ากันไป

           เป็นยุคสุดท้ายของศาสนาพุทธก่อนจะเป็น เป็นกลียุค ก่อนจะเป็นยุคพุทธันดร กลียุคซึ่งจะเลวร้ายจนศาสนาพุทธช่วยอะไรไม่ได้เขาก็ฆ่าแกงกันอย่างที่มีในพระสูตรพระพุทธเจ้าบอกว่าหยิบยอดหญ้าขึ้นมาก็เป็นหอกเป็นดาบฆ่ากันไปหมดที่จริงเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างพระพุทธเจ้าตรัสเป็นภาษาสมัยโบราณเป็นภาษากำลังภายในไม่ต้องใช้อาวุธ  จะมีสักวันที่เป็นเสือกับสิงห์ดวลกัน หันหลังแล้วก็เดินออกจากกัน มีกรรมการเป่านกหวีด คนไหนหันมาใครเร็วใครแม่นก็ยิงใส่กันได้ ปรากฏว่าเก่งด้วยกันทั้งคู่ก็ตายพร้อมกันคือจริงด้วยกันทั้งคู่เร็วด้วยกันทั้งคู่ยิงหัวใจกันในเวลาเดียวกันมันถึงไม่เหลือเลยในโลกนี้ คือฆ่ากันตายหมดคนเก่งเลยเหลือแต่คนไม่เก่งแต่เป็นคนมีความดีงาม

          พูดไปแล้วเหมือนยกตัวเอง เช่นพูดว่าคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ก็เลยเลี่ยงว่า คนจนมหัศจรรย์ คือคนจนที่ไม่เป็นหนี้ เพราะขนาดคนรวยเขายังมีหนี้เลย ลองไปถามคนรวยยิ่งใหญ่หลายคน ลองเคลียร์เงินทั้งหมดไม่ต้องหมุนนะ จะรู้ว่าเป็นหนี้หรือไม่ รวมทั้งหนี้ทั้งดอก เคลียร์บัญชีจริงๆ ไม่รอดเยอะ ความซับซ้อนแนวคิดของคนทำให้คนมาแนวนี้มากมาย

          คนจนมหัศจรรย์จะมีข้าวกินจะมีปัจจัย 4 ยังชีพไปได้อย่างสบายสบาย พวกเราจะต้องเดินทางเข้ามาสู่จุดนี้แหละคือจุดที่มีปัจจัย 4 แล้วมีบริขาร ซึ่งบริขารสมัยนี้ไม่เหมือนโบราณ ก็จะมีองค์ประกอบใช้ทำงานกับสังคมโลก ยกตัวอย่างพวกเรา มีอุปกรณ์เครื่องมือ เช่นอุปกรณ์สื่อสารก็แพงมาก กระทบไหล่ดาราอยู่ได้เป็นไปได้ แต่ไม่เอามาหาเงิน เขาหาเงินมากมายยังไปไม่รอดเลย แต่ของเรา พอไป พอเป็นพอไป  ไม่ถึงขั้นต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาให้หน่วยงานสื่อสารของโทรทัศน์ชาวอโศก  แต่เราทำไม่ได้เพื่อทำมาหากินหรือหารายได้แต่เอามาสื่อสารเผยแพร่ความรู้สัจธรรมโดยตรงและไม่เหลืออะไรด้วยอย่าว่าแต่ให้โฆษณาเลยก็ไม่ได้  เราถือว่าการเรี่ยไรนี้เบียดเบียนคน มาถึงวันนี้แล้วโทรทัศน์เราตั้งมา 8 ปีแล้ว เราเปิดเดือนพค. 2550 ตอนนี้ 8 ปีแล้ว ก็เป็นไปได้ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้เป็นหนี้ใคร ไม่มีรายได้อะไร ตอนนี้ก็ได้จากขยะ หมุนเวียนทำขยะแล้วได้จากการขายขยะก็ไม่ได้ขายอย่างรีดนาทาเร้น มีชุมชนต่างๆช่วยบ้าง แต่เป็นหลักคือขยะ  แต่ที่ได้เป็นหลักคือได้แรงงานฟรี ที่อื่นต้องจ่ายเงินให้คนทำงานมหาศาลแต่ของเรานี้ฟรีตลอดทั้งวิทยากรที่เราเชิญออกมาออกก็ฟรีทั้งนั้นไม่มีอะไรให้อย่างเก่งก็ให้น้ำดื่ม  ก็ไปรอด

          มนุษย์ชมพูทวีป ในโลกที่มีองค์ประกอบสำคัญคือการ 32 ครบ กับสติ ที่เป็นสติมันโต (สติทั้งหมด) ซึ่งประกอบด้วยความรอบรู้  หรือตื่นเต็มทั้งภายนอกภายในไม่ถูกครอบงำจากภายนอกมาอยู่ภายในก็ไม่ถูกที่ครอบงำภายใน ไม่มีผีหลอกทั้งนอกและในหรือแม้แต่มีก็รู้วิธีปฏิบัติสามารถปฏิบัติและหลังได้เพราะได้ปฏิบัติมาตามลำดับ ตั้งแต่กามภพ รูปภพ อรูปภพตามลำดับ

          ผู้เข้าใจปฏิบัติได้ก็จะเป็นอริยบุคคลเป็นมนุษย์ชมพูทวีป  มาเดินกันอยู่ก็จะเป็นบุคคลสัปปายะเสนาสนะสัปปายะอาหารสัปปายะและมีธรรมะสัปปายะ

          ขณะนี้ประเทศใดใดก็ไม่มีอรหันต์ ไม่มีอริยะแม้แต่ในประเทศไทยก็ตามเขาก็นับถือคนที่ปฏิบัติเป็นอรหันต์เก๊กันมากคนเชื่อกันเยอะ ยังไม่ถอดถอนออก สำหรับอาตมาเขาไม่เชื่อสนิทใจว่าเป็นอรหันต์หรือเป็นอริยบุคคลต้องทำอย่างที่อาตมาพาทำ

           เราต้องมาช่วยกันทำให้เกิดอาริยะให้มากขึ้น โดยเฉพาะตอนนี้มีในหลวงอยู่ ในหลวงก็ตรัสโลกุตระ ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถพูดโลกุตระได้อย่างในหลวงพูดได้ ที่บอกว่าให้มาทำสังคมเป็นสังคมแบบคนจน 

ภาพที่ออกอากาศนี้นั่งอยู่บนนาข้าวแล้วมีประชาชนประมาณนิดนึง  ซึ่งเป็นภาพที่งดงามมากพวกเราก็เหน็ดเหนื่อยช่วยกันทำ จนได้ใช้สถานที่นี้อาตมาเป็นศิลปินโลกุตระ  เป็นศิลปะที่พาคนลดละกิเลส

 พวกเราจะพยายามมีพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มากแต่ไม่ได้เอาไปสร้างความรวยให้แก่ตัวเองจะเผยแผ่แจกจ่ายกัน  ละคนก็ต้องกินอาหาร สัตว์เดรัจฉานก็ต้องกินอาหาร อาหารเป็นปัจจัยที่ 1 ส่วนยารักษาโรคก็เป็นปัจจัยที่ 2 เครื่องนุ่งห่มเป็นปัจจัยที่ 3 ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยที่ 4 ดังนั้นต้องมาช่วยอาหารสร้างให้อุดมสมบูรณ์ให้มีอยู่มีกิน ถ้าชาวอโศกเราอาตมาเคยบอกว่าโครงการข้าวแสนตัน ตอนนี้พึ่งเป็นร้อยเป็นพันตัน ยังไกลคำว่าแสนตัน แต่อาตมาไม่ท้อ อโศกจะผลิตข้าว อโศกไม่ใช่คนเดียวแต่จะมีองค์รวมที่จะมาช่วยกัน โดยเฉพาะจะเป็นข้าวไร้สารพิษนอกจากนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารอื่น ก็จะเป็นอาหารที่ไร้สารพิษเป็นอาหารที่มีธาตุมีสารอาหารที่ดี  จะไม่สร้างอาวุธจะสร้างแต่สิ่งที่ดีๆเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารเลี้ยงดูกัน เราจะทำให้พึ่งตัวเองรอดมีอยู่มีกิน แล้วไม่เอาไปกักตุนไม่ไปเอาเปรียบ ไม่เอาสิ่งสำคัญที่เราทำได้เป็นสิ่งสำคัญนี้สำหรับสัตว์โลกถ้าคนไม่กินก็เอาไปแจกหมูแจกหมาแจกวัวจากควายก็ได้  จะไม่เอาไปทำกำไรเอาเปรียบคนอื่น

 พวกเรามีที่ดินเยอะแต่ไม่ได้เป็นของใคร เป็นของส่วนรวมก็จะมาผลิตอาหารเลี้ยงโลกเพื่อแผ่กันยังไม่ได้เอาเปรียบเอารัด ไม่ได้เอากำไรเราจะได้มากอย่างไรก็ไม่ได้มาก แล้วเราไม่ขาดทุนสะสมเราจะต้องเป็นคนจนถาวรแน่นอน เป็นคนจนอย่างยั่งยืนแน่นอนแต่เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่ไม่ได้อดอยาก เป็นคนจนที่ช่วยเหลือคนอื่นเป็นคนจนที่จะช่วยเศรษฐี ไอ๊หยา

ที่จริงเราจะช่วยกฏุมพีต่างหากไม่ได้ช่วยเศรษฐี เพระเศรษฐีเป็นผู้เจริญเสฏโฐคือผู้ประเสริฐ แต่กฏุมพีคือผู้กักตุนไว้กับตัวให้ลูกหลานผลาญต่ออีก

เราไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ให้อย่างประชานิยมเพื่อจะได้คะแนนเสียงให้คนมาเป็นบริวารหรือยอมรับนับถือแม้แค่เอาไปเอากำไรก็ไม่ทำ แต่แจกเพื่อช่วยเหลือกันจริงๆสำหรับคนที่เหมาะสม

การทำแบบคนจนที่ลึกซึ้ง อาตมาถึงบอกว่าไม่มีใครหรอกที่จะมาพูดว่าจะต้องบริหารสังคมบริหารประเทศแบบคนจนได้ง่ายๆถ้าไม่มีปัญญาธิคุณเป็นอริยะหรือเป็นโลกุตระที่แท้จริงพูดไม่ได้หรอก  แล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ในประเทศด้วยคนก็ต้องเอาตามแต่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเอาตามได้อย่างยาก  แล้วในหลวงเราก็ไม่ใช่คนสะสมเงินทองสะสมทรัพย์สินอะไรแต่คนก็ไปหาเรื่องท่าน ก็มีแต่คนที่มาโดยเสด็จพระราชกุศลตามบารมีของตามบารมี ท่านมีบารมียิ่งกว่าจะมาเยอะ 

สรุปแล้วต่อไปในอนาคตคนจะเถียงไม่ได้เลยว่าคนจนมหัศจรรย์คนจนที่มีคุณธรรมคนจนที่มีคุณค่าประโยชน์แก่สังคมโลกนั้นมีจริงส่วนคนรวยจะเป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อโลกนั้นมันมีไม่จริงจะให้พูดอีกล้านครั้ง  ว่าคนรวยแล้วไม่จบจะให้แก่คนอื่นนั้นไม่จริงหรอก ไม่มีย้อมจน แต่คนจนนี้มีปัญญารู้ว่ามาจนอย่างเก่งก็หมดเนื้อหมดตัวไม่ต้องมาอีกเลยอยู่กับสังคมกลุ่ม แต่มันต้องมีหมู่กลุ่มนะคนจนต้องมีหมู่กลุ่มถ้าไม่มีหมู่กลุ่มอยู่ไม่ได้อยู่ยาก ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาคนจนที่ต้องมีหมู่กลุ่มอย่างแข็งแรงเป็นหมู่กลุ่มของคนประเสริฐเป็นคนที่ร่วมกันสร้างสรรค์และแจกคนอื่น  แจกอย่างจริงใจด้วยไม่ใช่แจกอย่างหาเสียงประชานิยมธรรมะหลักของพระพุทธเจ้าที่ประกาศนี้ไม่ได้มาประกาศเพื่อหาบริวารหรือเพื่อให้คนมานับถือหรือเครื่องมหาราชลาภยศสรรเสริญโลกียสุขท่านไม่ทำเลยหรือเพื่อที่จะให้คนมาเข้าใจว่าฉันเป็นผู้วิเศษฉันเก่งกาจอะไรก็แล้วแต่ก็ไม่ใช่เลย แล้วเป็นผู้รับใช้สังคมด้วย แต่เมื่อวานนี้ จุลศีลบอกว่าไม่ประกอบฑูตกรรมไม่เป็นคนรับใช้มันก็เลยจะย้อนแย้งกัน

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ให้เป็นฑูตกรรมคือไปติดต่อเชื่อมโยงทำงานทำการร่วมกัน  ที่จริงฑูตนี้ควรไปเป็นผู้ช่วยเหลือเขา ไม่ใช่ไปหาช่องทางเอาเปรียบเขา ต้องละเว้นการเป็นฑูตกรรมเป็นคนรับใช้ แต่แท้จริงเป็นผู้รับใช้ เป็นธรรมะปฏิโสตังทวนกระแส ถ้าเข้าใจก็พยายามพากเพียรปฏิบัติ

          อาตมาพาพวกเรามาเป็นผู้รับใช้อนุเคราะคนอื่น คนรับใช้ไม่ใช่คนรับจ้าง  คนรับจ้างต้องมีค่าตอบแทนแต่คนรับใช้นั้นให้แก่ผู้อื่นอย่าง บริสุทธิ์ใจไม่รับค่าตอบแทนแลกเปลี่ยน พ้นลาเภนลาภังนิชิงคิงสนตา ไม่เอาลาภและลาภไม่เอาสรรเสริญไปแลกลาภไม่เอาอะไรแลกลาภ มีแต่ให้ทานออกไปไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเป็นคนประเสริฐสุดยอด

ใครเห็นว่าทิศทางแบบนี้ดีก็มาเถอะมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียมนี้เป็นเพลงสมรรถภาพ ที่อาตมาแต่ง มีเพลงสันติภาพ เพลงภราดร ภาพเพลงอิสระเสรีภาพ เพลงสมรรถภาพ เพลงบูรณภาพ

อาตมาตตั้งเอาไว้ว่า คนจะต้องมีลักษณะ5อย่างนี้อิสระเสรีภาพอันนี้สุดยอดเลยศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นอิสระเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ใช้ประชาธิปไตยต้องการที่สุด ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเราจะได้อันนี้แล้วจะมีมวลประชาชนที่หมดความเป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่สุดยอดแล้วไม่เป็นทาสโลกธรรมนี่คือโลกุตระมนุษย์ดูอริยะมนุษย์ พระพุทธเจ้าทำได้แม้ในยุคของการเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เจ้าแผ่นดินทุกแคว้นทุกรัฐก็ยอมให้ท่านประกาศธรรมนูญของท่านยอมให้คนของแคว้นของรัฐนั้นออกมาอยู่กับพระพุทธเจ้าได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเป็นคนมีอิสระเสรีภาพสุดยอดไม่มีใครทำได้เท่าเทียมกับพระพุทธเจ้ายังเป็นภราดรสภาพเป็นพี่เป็นน้องกันก็ยิ่งใหญ่อาตมาพาพวกเรามาเป็นพี่เป็นน้องกันจะเป็นลูกเจ๊กลูกแขกลูกฝรั่งลูกจีนลูกไทยลูกลาวหรือเขมรอะไรก็แล้วแต่ลูกคนรวยหรือคนจนมาอยู่รวมกัน ก็เป็นพี่เป็นน้องกันได้ช่วยเหลือพึ่งพากันได้พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆนี่คือภราดรภาพที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วเป็นไปได้ขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงว่าแกไปจะไม่มีคนเลี้ยงดู

 สันติภาพสงบสันติเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามสงบไม่ใช่สงบอยู่นิ่ง ช้าเซื่องๆ แต่ไม่ใช่  กลับคล่องแคล่วกระปรี้กระเปร่าเบากายเบาใจสร้างสรรค์ถึงเวลาพักก็พักถึงเวลาเพียรก็เพียร มีการงานที่มีประโยชน์คุณค่ามีความรู้สร้างสรรค์สมรรถภาพที่ดีทำแต่สิ่งมีประโยชน์สิ่งมีโทษไม่ทำ  ก็มีสมรรถภาพไม่ใช่งอมืองอเท้าอย่างทางโลกที่มีความรู้มากมายแต่มาบวชแล้วก็ให้นั่งหลับตาให้หยุดนั่นคือออกนอกลู่นอกทาง แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นสมรรถนะเราจะไม่ด้อยกว่าคนทางโลกเลยมีสมรรถนะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าแล้วเป็นโทษไม่ทำ

มีบูรณภาพคือมีการสืบสานมีพัฒนาการอยู่ในตัวนอกมีอะไรเก่า มีอะไรใหม่ก็รู้เท่าทันแล้วเชื่อมโยงผสมให้ได้สัดส่วนสิ่งใดมีประโยชน์ก็ทำสิ่งใดมีโทษก็สอนกันให้รู้ทันเช่นเทคโนโลยีที่ออกมาสร้างสรรค์ช่วยชีวิตได้เยอะแต่มีโทษก็มีเยอะเราก็เรียนรู้ให้จิตของเรามีผู้มาทำมีพลังที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของความเป็นโทษโลกมันสร้างโทษมันแยกไม่ออกแล้วก็ห้ามไม่ได้มันมีสองด้านเสมอมีคนขับมีโทษแต่เขาป้องกันไม่ได้ก็จิตใจของเขาไม่รู้

แล้วกำลังของกิเลสมันไม่ได้ล้างจริงก็ยังตกเป็นเหยื่อของสิ่งเป็นโทษที่สร้างมามอมเมาแล้วซับซ้อนด้วยเช่นวิถีรวยเป็น ต้นเขามีวิธีรวยได้อย่างสูงส่งห้ามอย่างไรก็ไม่ได้  ไม่รู้จะรวยกันนะอะไรกันนักกันหนาไม่รู้จะสวยอะไรกันนักกันหนาบางทีขี้หมาทาสีก็มาประดับตกแต่งบ้านเลิศลอย บำเรอบำรุงอารมณ์ เป็นขิฑฑาปโทสิกะ  เป็นโรแมนติกอิสซึ่ม กับบำเรอ มโนปโทสิกะ เป็นการเสริมอัตตาจัดขึ้น ทุกวันนี้พูดแล้วเขาก็หาว่าเป็นไอ้เข้ขวางคลอง การแข่งขันเอาชนะคะคานจัดจ้านรุนแรง

ส่วนการซับซ้อนทางกามก็มากมายถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆก็จะต้านทานไม่ได้เพราะโลกจะไปหากลียุคแต่ก็ต้องบอกต้องกล่าวคนที่มีปัญญาให้รับรู้ให้เข้าใจได้เท่านั้นที่จะมาเอาของตนเอง  เพราะศาสนาพุทธไม่ได้บังคับไม่ได้หลอกคนถ้าเราหรอกคนก็จะถูกย้อนศรเอาสิ่งแปดเปื้อนมาเขาก็ยอมสอนเราอีกเสียหาย  ไม่ปลอบประโลมทำซื่อๆตรงๆได้เท่าไหร่ก็เอา

 บูรณภาพคือการพัฒนาอย่างได้สัดส่วนผสมยุคสมัยเอาเท่าที่จำเป็นเชื่อมโยงสิ่งนั้นสิ่งนี้เอามาปรับปรุงประกอบจัดสรรให้สภาพที่อยู่อาศัยได้ที่เหมาะสมกับตน ไม่เป็นโทษภัย อาตมาใช้คำว่า Integrity

 มาเป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์อยู่เสมอความเห็นแก่ตัวก็ลดลงความขี้เกียจก็ลดลงมีแต่มีความมีสมรรถนะตามที่ตนมีก็สร้างสรรค์ทำงานแล้วไม่สะสมไม่เห็นแก่ได้ไม่เอาไว้ส่วนตัวมารวมกันเป็นสาธารณโภคีพัฒนาช่วยโลกช่วยสังคมไปอาศัยกินอาศัยอยู่อย่างเพียงพอไม่ขาดแคลนอุดมสมบูรณ์ด้วยซ้ำดีไม่ดีสุรุ่ยสุร่ายในบางสิ่งบางอย่างไม่มัธยัสถ์ไม่เก็บงำไม่ดูแลรักษาก็ต้องเข้มงวดกวดขันกันอยู่ ไม่เช่นนั้นมีเท่าไหร่ก็ไม่เหลือมีเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก

 ตอนเริ่มเทศนาตั้งแต่แดดจัดมีคนไม่ถึง 20 คนตอนนี้มีคนน่าจะถึงร้อยคนประมาณนี้แหละ

จบ….เราจะมีค่ายสัมมาอาริยมรรคครั้งที่ 5 พาเกี่ยวข้าว คนที่มาแล้วได้ข่าวว่าสมัครแล้วสองคนเพราะฉะนั้นหลังจากรับสมัครจบแล้วก็ไปรวมกันที่เฮือนศูนย์สูญ คนเก่าที่ไม่ได้ลงชื่อก็มีอยู่แล้ว...ใครจะเข้าร่วมก็มาเลย


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:17:19 )

581122

รายละเอียด

581122_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ รู้โลกและรู้เรา

ส.ฟ้าไท ว่า...พบกับรายการวิถีอารยธรรมอีกครั้งหนึ่งวันนี้วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน 2558 ตรงกับวันเพ็ญเดือน 12 ปีมะแม เราก็จะจัดงานบุญล้อมข้าวกันในวันที่ 25 พ.ย. นี้  และวันพรุ่งนี้ที่ราชธานีอโศกจะมีการบวชสมณะขึ้นมาอีก 1 รูปก็ขอเชิญมาร่วมพิธีได้ที่แพโบสถ์ราชธานีอโศก

          วันนี้พ่อครูจะมานำเสนอเรื่องรู้โลกรู้เราซึ่งเขียนโดยท่านขุนน้อยจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์  จะเปลี่ยนแปลงการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงที่ครูก่อนถึงจะเป็นต้นแบบที่ดีแล้วจะเปลี่ยนแปลงสังคมก็ต้องเปลี่ยนแปลงที่ศาสนาก่อน เป็นความรู้ที่พ่อครูพาทำ

          พ่อครูว่า...เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของผมผมก็พยายามเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนก็ได้ขนาดนี้มาถึงทุกวันนี้เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้วแล้วเราจะต้องเป็นให้ดีกว่านี้อีกเพราะรู้ว่ายังมีดีกว่านี้อีก

           ตอนนี้พวกนักคิดนักเขียนนักรู้ก็แสดงออกมาถึงความพัฒนาเป็นภาษาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์วันนี้ก็เขียนคำว่าโลก  เอามาตั้งหัวเรื่องใน 3 คอลัมน์สำคัญคือคอลัมน์ของลีลา ณ บุบผากระบี่ของท่านขุนน้อยเขียนเรื่องว่า รู้โลกและรู้เรา   สวนผักกาดหอมก็ขึ้นหัวเรื่องว่า โลกแห่งผลประโยชน์ และคุณเปลว สีเงินก็ขึ้นหัวข้อว่า โลกที่…ไทยเราอย่าหลงทาง

            เป็นนักคิดนักเขียนที่ได้รับการยอมรับในวงของวรรณกรรมนี้ ขนาดเปลวสีเงินก็ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ซึ่งสังคมมนุษย์ก็ได้เข้าใจคำว่าโลกสะดุดคำว่าโลกขึ้นมายังสำคัญคำว่าโลกนี้ยิ่งใหญ่เพราะมันกว้างมันใหญ่มันมากถึงขั้นเอกภพคือองค์ประกอบที่ประกอบกันเป็นสังขารโลกซึ่งมันบานออกไปเป็นปากกรวยนับไม่ถ้วนเป็นปฏิภาคทวีจนนับไม่ได้เลย 

แต่คนก็ไปมองออกนอกตัวไปหาโลกไปหมดไม่มองเข้าหาตัวเองไม่รู้ว่าความเป็นเราไม่รู้ความเป็นตนเอาศัพท์ของพระพุทธเจ้าคือความเป็นกู พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักโลกและอัตตาเป็นสำคัญตั้งแต่พระสูตรแรกเลย ที่โบราณอาจารย์รวบรวมไว้คือพรหมชาลสูตร  ซึ่งพระพุทธเจ้าก็เป็นเรื่องยากที่จะเรียนรู้โลกและอัตตากันเขาก็เถียงกันเรื่องนี้

 คนไปหลงโลกภายนอกไม่ให้เรียนรู้อัตตาอย่างถูกจุดแล้วกำหนดกรอบให้แก่ตนเองให้มันลึกที่สุดใหญ่ที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้อย่างลงตัว อย่าให้มากเกินให้น้อยไว้ก่อน ใช้ศัพท์ว่า ปริตตัง เป็นสัดส่วนที่เราจะปฏิบัติไปเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติไป คนไม่เข้าใจในอัตตาเหล่านี้ก็เลยเรียนรู้ไม่ได้ผลก็เข้าใจ

 

 ซุนวูบอกว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ที่จริงมันก็ใช่ แต่ว่าของพุทธสอนให้รู้เราก่อน รู้อัตาตนเองก่อนแล้วจึงไปรู้โลก ต้องกำหนดกรอบที่ตนให้มั่นแล้วถึงจะไปเรียนรู้โลกได้กว้างขึ้นตามที่เรามีผลสำเร็จและมีความเก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบ้านปลายที่งาม ไปอย่างราบเรียบไม่ขรุขระ ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลน่าอัศจรรย์ อย่าไปอยากใหญ่อยากโต แล้วอย่าไปโง่ วนเวียนซ้ำในสิ่งที่ตนเองได้แล้ว บางคนพึ่งตนเองรอดแล้วก็หลงตนเอง ว่าฉันมีที่พึ่งแล้วเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง

 

รู้เราและรู้โลก

โดยท่านขุนน้อย ไทยโพสต์ ณ ลีลาแห่งบุปผากระบี่

 

หลังๆ มานี้...ผู้คนในบ้านเราหันมาให้ความสนใจในเรื่องโลก เรื่องต่างประเทศ กันมิใช่น้อย จะด้วยเหตุเพราะโลกมันแคบขึ้น หรือด้วยเหตุอื่นใดก็แล้วแต่ แต่ย่อมถือเป็นสิ่งที่เข้าท่า เข้าทาง อยู่พอประมาณ เหมือนอย่างที่นักคิด นักปราชญ์ รุ่นก่อนๆ ท่านเคยเอ่ยเอาไว้เป็นวาทะนั่นแหละว่า เท้าของคนควรปักอยู่ในประเทศเขา แต่ดวงตาควรสำรวจดูโลก อะไรประมาณนั้น...

----------------------------------------------------

คือถ้าเทียบกับยุคอดีต ที่ก่อนเก่าคนเรายังโง่อยู่ ไม่ว่าจะเกิด สงครามระดับโลก อย่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ก็ตาม ส่วนใหญ่...เราแทบไม่รู้เหนือ รู้ใต้ ตามอะไรไม่ค่อยจะทัน ส่งผลให้โลกมันกลายเป็นฝ่ายเล่นงานเรา ล้อมเรา กดดันเรา หรือชักจูงให้เราต้องออกอ่าว ออกทะเล กันมาโดยตลอด วิกฤติเศรษฐกิจในระดับโลก ที่ส่งผลให้โครงสร้างระบบราชการไทย กระเทือนไปทั้งโครงสร้าง เกิดการ ดุลข้าราชการ หรือปลดระวางข้าราชการไปเป็นแผงๆ กลายเป็นตัวสร้าง เงื่อนไข ให้กับ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือทำให้ เหตุปัจจัยภายนอก กลายเป็นตัวกำหนด เหตุปัจจัยภายใน ไม่ว่าช่วงเวลานั้นๆ จะเหมาะสม สอดคล้อง สุกงอมเพียงพอแล้วหรือยัง

-----------------------------------------------------

การรัฐประหาร...ในแบบที่ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก คสช.ยุคนี้ จึงนำมาซึ่ง ระบอบประชาธิปไตย นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา แต่ก็ด้วยเหตุเพราะ โลก หรือเพราะ เหตุปัจจัยภายนอก อีกนั่นแหละ ที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยๆ ต้องล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด อันเนื่องมาจากความขัดแย้งของอภิมหาอำนาจที่พยายามแบ่งโลกออกเป็น 2 ฝ่าย 3 ฝ่าย โดยที่ต่างฝ่าย ต่างพยายามเข้ามามีบทบาท อิทธิพล แทรกแซง ยุแยงตะแคงรั่ว จนนักประชาธิปไตยทั้งหลาย ต้องหันมาทะเลาะกันเอง ทหารประชาธิปไตยต้องแปรสภาพไปเป็นทหารเผด็จการ และประเทศไทยทั้งประเทศ ต้องกลายเป็นเครื่องมือ ของมหาอำนาจฝ่ายหนึ่ง ในการต่อสู้เล่นงานมหาอำนาจอีกฝ่าย หรือกลายเป็นด่านหน้าในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...

--------------------------------------------------------

อดีตนายทหารรุ่น สงครามเกาหลี หลายต่อหลายราย เคยรำพึงถึงอดีตให้ฟังว่า ในช่วงระยะนั้น...แม้แต่ประเทศเกาหลีที่ทหารไทยถูกส่งไปตาย ไปรบกับคอมมิวนิสต์จีน คอมมิวนิสต์เกาหลี หลายต่อหลายรายยังนึกภาพไม่ออก ว่ามีรูปร่าง หน้าตา ออกมาในแนวไหนกันแน่ ถึงกับเคยกระเซ้า เย้าแหย่ ว่าเวลาปัสสาวะที อาจต้องคอยเด็ดทิ้งอะไรประมาณนั้น ส่วนสิ่งที่เรียกว่า คอมมิวนิสต์ นั้น มีรูปร่าง หน้าตา อย่างไร...แทบไม่พูดถึง โดยจินตนาการ ดูจะหนักทางผี ปีศาจ ซอมบ้ง ซอมบี้ อะไรไปโน่น ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นมนุษย์มนา เป็นสิ่งที่มีเลือดเนื้อ ชีวิต แบบคนปกติธรรมดาโดยทั่วไปเอาเลยก็ว่าได้ ต่างไปจากทหารยุคปัจจุบันแบบคนละเรื่อง คนละม้วน ที่ถึงขั้นเอ่ยปากสารภาพรัก นับญาติกับรัฐมนตรีต่างประเทศคอมมิวนิสต์จีนแบบชนิดใครต่อใครถึงกับตกตะลึงตาค้าง เช่น อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นต้น...

------------------------------------------------------

ด้วย ความไม่รู้โลก-รู้เรา นี่เอง...ที่ทำให้ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ต้องออกอ่าว ออกทะเล ต้องกลายเป็นศัตรู คู่ปรปักษ์ กับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม ลาว กัมพูชา แถมยังต้องหันมาเข่นฆ่า ล้างผลาญ ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ต่อเนื่อง ยาวนาน ไม่น้อยกว่า 4-5 ทศวรรษ อีกทั้งยังส่งผลให้ประชาธิปไตยไทยๆ ต้องล้มลุกคลุกคลาน วนไป-วนมา ไม่ยอมไปไหนซักกะที เพราะถ้าอยากไปไหน มักหนีไม่พ้นต้องหันไปเอ่ยถามคุณพ่ออเมริกาซะจนเคยตัว ไม่ก็หันไปถามยุโรป ที่ต่างพยายามสร้างมาตรฐานครอบงำโลกทั้งโลกมาโดยตลอด...

---------------------------------------------------------

แต่ด้วยเหตุที่โลกมันแคบลง หรือแคบขึ้น ก็แล้วแต่...การหันไปให้ความสนใจในเรื่องโลก เรื่องต่างประเทศ จนอาจนำมาซึ่งการ รู้โลกและรู้เรา นี่เอง ที่น่าจะทำให้ประเทศไทยเกิดความเป็น อิสระ ขึ้นมาได้มั่ง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างน้อย...ก็ในทาง ความคิด หรือ ปัญญา ไม่ต้องจมอยู่กับรูปแบบ มาตรฐาน ที่ไปๆ-มาๆ มันไม่ได้มีมาตรฐานใดๆ สักเท่าไหร่ หนักไปทาง 2 มาตรฐานซะเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานในทางประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่...

----------------------------------------------------------

อีกทั้งการ รู้โลก ทุกวันนี้...ก็ไม่ได้ถึงกับลำบาก ยากเย็น อะไรมากมาย แค่ลองกดปุ่มแวะไปเยี่ยม เสธ.น้ำเงิน เสธ.ทนง ไม่ก็ เสธ.ไพศาล ฯลฯลฯลฯ ตามเฟซบุ๊กต่างๆ ก็คงพอได้ข้อมูล ความรู้ แปลกๆ ใหม่ๆ ติดไม้-ติดมือ มาบ้าง ส่วนจะจริง-ไม่จริง ถูกหรือผิด นั่นคงต้องตัดสินใจกันเอาเอง แต่อย่างน้อย...ถือเป็น ทางเลือก ที่มากไปกว่าบรรดาข้อมูล ความรู้ ที่ถูกยัดเยียดให้โดยสำนักข่าวกระแสหลัก ซึ่งมักออกไปทางบิดเบือน เบี่ยงเบน มุ่งที่จะครอบงำใครต่อใครเหมือนอย่างที่เคยครอบงำมาโดยตลอด...

------------------------------------------------------------

ความเป็น อิสระ อันมีที่มาจากการ รู้โลกและรู้เรา นี่เอง...ที่อาจทำให้วันใด-วันหนึ่ง ประชาธิปไตยบ้านเรา อาจไม่ต้องวนไป-วนมา แบบเดิมๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะใครก็ตามที่ไปคว้าเอามาตรฐานประชาธิปไตยแบบอเมริกา ยุโรป ซึ่งกำลังเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง ยิ่งขึ้นทุกที มาใช้เป็นบรรทัดฐาน อ้างอิง แบบก่อนๆ นอกจากจะเป็นอะไรที่ เชยซ์ซ์ซ์ซ์ ไม่เสร็จ เผลอๆ...อาจออกไปทางผู้ร้าย หรือดาวร้าย ซะอีกต่างหาก เนื่องจากการปะทะขัดแย้งในโลกทุกวันนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวแบ่งฝ่าย ธรรมะ และ อธรรม ให้เห็นโดยชัดเจน แต่ยังเป็นตัวตอกย้ำเอาไว้ด้วยว่า ระบอบการปกครองใดๆ ก็แล้วแต่...มีแต่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน ธรรมะ หรือมี ธรรม กำกับเอาไว้เท่านั้น ถึงจะยังประโยชน์ให้แก่ผู้คนภายในประเทศ และต่อมวลมนุษย์ในโลกได้อย่างจริงๆ จังๆ...

------------------------------------------------------------

บทความของผักกาดหอมก็ไม่เลว เอาสถิติโลกมายืนยันอย่างน่าคิด

 

โลกแห่งผลประโยชน์...โดย ผักกาดหอม

เมื่อเช้ามืดวันพุธที่ฝรั่งเศส มีเหตุยิงปะทะกันอีกรอบ นั่นเป็นปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส) ที่ถล่มปารีสไปเมื่อวันก่อน   

รอบใหม่นี้คนร้าย ตาย-เจ็บ ไปหลายคน

ส่วนเครื่องบินรบฝรั่งเศส ทิ้งระเบิดโจมตีเมืองรักกา ฐานที่มั่นของกลุ่มไอเอสในซีเรีย หลายระลอกตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา

รัสเซียร่วมวงถล่มเมืองนี้ด้วย หลังได้รับการยืนยันว่าเครื่องบินโดยสารรัสเซียลำที่ตกในอียิปต์ถูก ก่อวินาศกรรมโดยไอเอส จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 224 ราย

มีการสรุปตัวเลขว่า การโจมตีของฝรั่งเศสและรัสเซีย สามารถสังหารกลุ่มไอเอสได้หลายสิบคน

อีกด้านหนึ่งในโลกไซเบอร์ นำภาพชาวซีเรีย ที่อ้างว่าตกเป็นเหยื่อของการโจมตีในครั้งนี้ มีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา

นี่คือสงครามที่เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสงครามที่ใช้อาวุธ และสงครามข่าวสาร มีทั้งคนที่สูญเสีย และฝ่ายที่รับทรัพย์

นั่นทำให้ช่วงนี้ประเทศในตะวันออกกลางทุ่มเงินซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์กันเป็นว่าเล่น เพราะกลัวอิทธิฤทธิ์ของไอเอส

ไปดูตัวเลขการซื้อขายอาวุธสงครามเมื่อปีที่แล้วกันหน่อยครับ

อเมริกายังคงเป็นแชมป์ผู้ส่งออกเครื่องจักรสังหาร ด้วยมูลค่า 23,700 ล้านดอลลาร์

ตามมาด้วยรัสเซีย ขายอาวุธสงครามได้มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์

อันดับถัดมาคือ ฝรั่งเศสมูลค่า 4,900 ล้านดอลลาร์

ตามด้วยอังกฤษ ขายได้มูลค่า 4,100 ล้านดอลลาร์

เยอรมนี ขายได้มูลค่า 3,500 ล้านดอลลาร์

ลูกค้าอาวุธส่วนใหญ่คือตะวันออกกลาง และอาเซียน

ตะวันออกกลาง คือจุดที่น่าสนใจ เพราะมีการเร่งจัดหาอาวุธเพื่อเอาไว้ทำสงครามกับกลุ่มไอเอส หรือเอาไว้ต้านหากถูกกลุ่มไอเอสเข้าโจมตี

สดๆ ร้อนๆ รัฐบาลอเมริกาอนุมัติขายระเบิดนำวิถีลอตใหญ่ มูลค่า 1,290 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 46,400 ล้านบาท) ให้แก่ซาอุดีอาระเบีย

เห็นการซื้อขายอาวุธด้วยตัวเลขขนาดนี้ เกิดคำถามครับว่า แล้วไอเอสจะสู้ได้หรือ จะไปเหลืออะไร เพราะมันเหมือนถูกรุมยำ

ไอเอส ไม่ใช่นักรบที่สิ้นไร้ไม้ตอกครับ   รวย! ขอบอก

ไม่ใช่แค่กลุ่มก่อการร้ายที่ดูโหด เดี๋ยวจับตัดคอ เดี๋ยวเผาทั้งเป็น แต่ยังเป็นผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลางด้วย

บ่อน้ำมันที่อยู่ในความครอบครองของไอเอส มีอยู่นับสิบบ่อ ทำเงินได้มหาศาล

แล้วใครเป็นลูกค้า?

"ปูติน" ไปประจานระหว่างเข้าร่วมประชุม จี20 ว่า

พบข้อมูลบ่งชี้ว่ามีปัจเจกบุคคลที่เป็นเอกชนให้เงินสนับสนุนไอเอสหน่วยต่างๆ รัสเซียพบว่าเงินเหล่านี้มาจาก 40 ประเทศ และมีชาติสมาชิกจี20 รวมอยู่ด้วย

กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือ จี20 มีใครบ้าง

ประกอบด้วยประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 8 ประเทศ (จี8) คือ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เยอรมนี รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา

กลุ่มประเทศระบบเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่อีก 11 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ และตุรกี

ลองจิ้มดูครับว่า เอกชนของประเทศไหนสนับสนุนไอเอส

เงินหมุนไป อาวุธสงครามสะพัด มีสักกี่ประเทศที่ได้ประโยชน์.

ฟังแล้วทำให้เห็นว่านี่หรือคือปฏิบัติการของมนุษย์ที่หลงตนเองว่ากำลังเจริญ มันกำลังเจริญหรือจะเสื่อมหนัก โหดเหี้ยมเลือดเย็นแล้วหลอกได้ซับซ้อนรอบด้าน มันคืออะไรกันแน่

มาฟังบทความคุณเปลว สีเงิน บ้าง

พระพุทธเจ้าสอนให้เราเรียนรู้โลกกับอัตตา คำว่า i หรือ w คืออัตตา ถ้าผู้ใดมีอำนาจสูงก็ครองอำนาจใหญ่ ก็หลงกันเช่นนี้ ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียนรู้แล้ว ทำให้เรียนรู้ตัวเราเองแล้วเรียนรู้องค์ประกอบที่ปรุงแต่งเป็นธรรมชาติ 2 ปรุ่งแต่งเป็นธรรมะ 3  ที่น้อยที่สุดคือวิญญาณในวิญญาณก็มีธรรมะ 2  เป็นพลังงาน เป็นพลังงานเราต้องแยก เป็นพลังงานเราต้องแยกส่วน เราก็แยก ธรรมะ2  นี้ที่เป็นตัวดีหรือตัวเลวเป็นตัวชั่วหรือตัวดี ตัวอกุศลหรือตัวกุศล แล้วกำจัดตัวเหตุคืออกุศลให้ขึ้นเครื่องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ธรรมะ 2 นี่แหละ ทรงแต่งตั้งเป็นวิญญาณเป็นธรรมะ 3 ทำให้เป็นหนึ่งเป็นเอกบุรุษให้เป็นพลังงานที่มีความรู้โลกหนึ่งเดียวก่อนและเรียนรู้โลก 2 แล้วรู้โลก 3 ไปเรื่อยจนถึง 9 ทดเป็น 10 ก็จะมีพลังแข็งแรงที่ตัวเองแล้วจะรู้อยู่กับคนอื่นอย่างมีประมาณ เรียกว่าโลกะวิทูเรารู้เราแล้วเราจะคำนวณได้แม่น เรารบร้อยครั้งก็จะชนะร้อยครั้งจริงๆ แล้วเป็นการรบที่ประเสริฐสุดเป็นการรบที่สวยงามสุด

 ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างว่าอาตมาพาพวกเราไปรบอย่างจอมยุทธ เคล็ดวิชาการรบของชาวอโศกคื อสงบสันติอหิงสา ไม่ต้องไปซื้ออาวุธจากอเมริกาอังกฤษฝรั่งเศสรัสเซียเลยเรามีมือเปล่ากับเครื่องไม้เครื่องมือที่จะไปช่วยคนอื่น  เมื่อออกไปรบแล้วปรากฏว่าอาวุธสงบสันติอหิงสาชนะมาอย่างสง่างาม แต่คนก็ยังมองไม่ออกฟังไม่ขึ้น แต่เรารบอย่างสง่างามอย่างสุภาพเป็นความดีงามซึ่งคนอื่นอาจเข้าใจได้ยาก แต่อาตมาเข้าใจว่าเมืองไทยเข้าใจได้ ถ้าไปทำในซีเรียอาจจะตาย ยิ่งไปกลางอเมริกาก็ตาย ไปทำอย่างนี้นะ

 มันมีอำนาจพิเศษที่อาจเรียกว่าพระเจ้ามีอำนาจทำให้เป็นไปได้ มันเป็นเรื่องของจิตใจเป็นหลักประเทศไทยเป็นไปได้ใครจะว่าจะมาเป็นนอสตราดามุสหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่มีปัญหาอะไรพูดความจริงให้ฟัง

ถ้าใครไม่เข้าใจโลกก็จะถูกโลกดึงออกไป มันมีอิทธิพลดึงเราไปสำหรับคนโง่ก็จะไปหลงโลกแล้วลืมอัตตาลืมตัวเอง ไม่มีอัตตัญญุตาไม่มีมัตตัญญุตาไม่เข้าใจองค์ประกอบของปริสัญญุตาก็จะพลาดหลงตลอดไปกับโลกเขา บางคนก็หลงรักตัวเองมากเกินไป ทั้งหลงที่จะไปเป็นทาสของคนอื่นและหลงรักตัวเองมากเกินไป ถ้าผู้ที่หมดตัวหมดตัวแล้วหมดกิเลสจะมีดวงตามองเห็นโลกแล้วจัดสัดส่วนที่จะเอามาทำประโยชน์อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อวดดีที่จะเอามากเกินไปทำอะไรใหญ่โตเกินจริงอย่างประโยชน์สูงประหยัดสุด

ผู้ที่เข้าใจก็จะจัดกรอบของตัวเองได้พอเหมาะ ทำเกินทำมากเกินไปจะเสียผล ถ้าจำกัดได้พอเหมาะจะได้ผลดี ถ้าน้อยไปใครเคยทำจะดีกว่ามากไปแล้วจะเสียอย่าให้เกิน  ถ้าไม่จำเป็น ต้องเอาสัก 80 เปอร์เซ็นต์หรือ 90 เปอร์เซ็นต์จึงจะมั่นใจในการทำท่าแค่ 70 เปอร์เซ็นต์นั้นก็ต้องจำเป็นจริงๆถึงจะทำสวน 50% 60 เปอร์เซ็นต์ไม่ควรเสี่ยงทำ

ถ้าเป็นซุนวูรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งแต่ถ้ามาเจอชาวอโศกเป็น invisible man เขามองเราไม่ออกเดาเราไม่ได้ ว่ามันมาอย่างไรนะมันจะมาเอาอะไรมาสู้นะเจ้ามือเปล่ามาสู้กับลูกระเบิดแล้วมันจะสู้อย่างไรแล้วเราจะมีฤทธิ์มีอำนาจจากที่ไหนมา แต่เราก็ทำอย่างจริงจังไป

 มันมี 2 ครั้งที่ได้ผลอย่างเห็นผล ซึ่งครั้งหลังนี้มีตำรวจมาปราบเราก็ต้องถอยกรูดไปยังไม่เป็นขบวนทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรเขาเลยเราก็นั่งประนมมือนอนหมอบ  เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของโลกเราจะชนะด้วยวิธีนี้แหละ พ่อเราตายแล้วก็เกิดใหม่ ศาสนาเทวนิยมเขาบอกว่าตายเพื่อพระเจ้า  แม่ไปรบก็ไปรบอย่างสุดประเสริฐไป ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามสงบเย็นไม่รุนแรงเป็นไปอย่างดีงามที่สุด เพราะเหตุว่าเราได้เรียนรู้เข้าใจตนเองตั้งแต่ 2 หน่วย 3 หน่วยล้างกิเลสไป แล้วก็จะเกิดตัวตนที่ใหญ่ขึ้นที่ประเสริฐขึ้นที่เป็นคุณงามความดี หรือเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าซึ่งมีพลังงานพิเศษจริงๆ ก็ค่อยๆโตขึ้นตามสัจจะธรรมจึงไปช่วยโลกได้และเป็นเรียนรู้โลกแล้วค่อยเป็นไป อย่างซุนวูว่าคือรู้เขารู้เราทำโดยประมาณมีสัปปุริสธรรม 7  แม้ที่สุดเขาไม่อยากให้เราไปทำแต่เราเห็นแล้วว่าควรจะไปทำเขาทรมานเราก็ไปช่วยเขาทำ

 อาตมาใช้สัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4 ในการประกอบการทำ ในการช่วยคนอื่นจึงจำเป็นต้องช่วยตนเองให้รอดก่อน พระพุทธเจ้าสอนว่าต้องทำคุณอันสมควรให้ตนเองก่อนช่วยผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ถ้าตนเองอย่างบ้าบ้าบอบออยู่ก็อย่าไปเชื่อคนอื่นก็จะทำให้เลอะเทอะยิ่งขึ้น  เป็นสัจจะที่ไม่มีใครเถียงได้เลย

ให้มีตัวเราหรือมีอัตราที่ไม่มีภัยต่อตัวเองไม่มีภัยต่อผู้อื่น เราจะมีสัปปุริสธรรมและมหาปเทสเพราะรู้โลกโดยรู้ตน จะทำความดีอย่างประโยชน์สูงประหยัดสุด นี่คือความรู้โลกและรู้เราไม่ใช่อยากใหญ่อยากรู้มากแต่ตนเองไม่รู้เลย อวดตัวตนอวดดีไปเรื่อย  พวกนักรบในห้องแอร์หรืออยู่ในสมองเอาแต่นักรู้เอาเข้าจริงไม่กล้าที่จะออกไปสู้ในสนามรบพวกนี้ทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จการเรียนรู้ทุกวันนี้เอาแต่รู้ฉลาดแต่ไม่รู้ตัวเองไม่สร้างพลังให้แก่ตัวเองได้แต่รู้แต่ไม่จริงนะเขาก็เอาความรู้เหล่านั้นมาป้องกันตัวเอง ทำอะไรไม่ได้คนเรานี้ไม่แข็งแรงดีไม่ดีไม่เอาภาระ

คนที่ทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ ถ้าไม่ประกอบด้วย 5 ประการนี้

1ไม่มีการศึกษา 2 ไม่รู้จริง 3 ไม่เอาภาระ 4 ไม่กล้า 5ไม่เด็ดขาด

พวกที่ไม่ศึกษาก็เป็นพวกผีตองเหลืองไม่ศึกษา หรือบางพวกศึกษาแต่ไม่รู้จริงก็ไม่ได้ผลหรือไม่รู้จริงแต่ไม่เอาภาระก็จะไม่เข้มแข็งในตัวเอง ไม่มี 7 ต่อมีแต่นักรู้ฉลาดแบบสัญญาไม่ครบ 6 ไม่มีปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค   แต่แม้จะเอาภาระก็ไม่กล้าก็มี

ซึ่งพาดพิงไปถึงพลเอกประยุทธ์ก็มีการศึกษา บางเรื่องรู้มากกว่าอาตมาอีก ถ้ามีเวลาอาตมาก็มักจะไม่พลาดฟังพลเอกประยุทธ์พูดควรรู้จริงหรือไม่จริงก็แล้วแต่ ใครจะมีปัญญารู้ว่าที่มากนี้มันจริงหรือไม่ก็ของใครของมันอาตมาไม่ใช่ผู้พิพากษา  แต่เห็นว่าเขาภาระได้มากและมีความกล้าได้พอใช้ได้เลยในบรรดานายก 29 คนที่ผ่านมาของประเทศไทย  นายกบางคนก็ดูดีดีได้มาพบอาตมา เขามาพูดคุยกลับไปแล้ว มีคนถามว่า เป็นยังไงได้คุยแล้วนายกฯคนนี้ก็บอกว่าท่านเป็นอรหันต์ก็คุยกับอาตมาที่ห้องภาพสุวรรณนั่งคุยรายชั่วโมงนายกฯคนนั้นบอกก็ได้คือนายกฯสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกคนนี้มีปัญญาจริงแต่ ได้รับฉายาว่ามะเขือเผา มีปัญญาแต่ไม่มีเจโต เขาได้เป็นใหญ่ครบ 3 สถาบันบริหารของชาติ

ตอนนี้นายกฯคนที่ 29  ก็ตีกลองเชียร์จนเจ็บมือแล้ว ดูว่าใช้ได้ แต่ว่ามีอีกอันหนึ่งคือยังไม่ค่อยเด็ดขาดนะ แต่ก็มีความกล้าเด็ดหลายอย่างอาจจะประมาณตามจริงของท่านคล้ายๆเด็ดไปแต่อาตมายังไม่เห็นทีเด็ด ดูตามแล้วยังไม่เห็นให้คะแนนวันสุดท้ายยังไม่ครบถ้าจัดการอันนี้ ทั้งทางโลกคือเรื่องทักษิณยิ่งลักษณ์ที่เป็นเรื่องใหญ่อันนี้ถ้าจัดการได้เส้นทางธรรมะก็ต้องจัดการธัมมชโยถ้าเอาสองอันนี้ลงได้อาตมาว่าให้คะแนนเต็มเลยเด็ดขาดด้วย

มีพระราชินีอังกฤษบอกว่าไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้เห็น king of king  อาตมาก็ว่าไม่ได้คิดว่าจะเจอนายกแห่งนายกที่เห็นมาแล้ว 28 คนคนนี้คนที่ 29

 พระพุทธเจ้า สอนให้รู้เราคืออัตตาจัดสัดส่วนให้ดี บางคนได้ดีแล้วพอ พึ่งตัวพึ่งตนเองได้รอดขนาดนี้ แต่พอไม่ชอบใจในหมู่คนดีนี้ก็แยกตัวออกมาไม่ช่วยไม่ให้ความร่วมมือยังกลัวแปดเปื้อนไม่กล้าจริงก็ไม่เอาภาระที่จะเข้าไปร่วม  ต้นเองก็เอาตัวรอดหมู่ได้ดีแล้วก็ไปร่วมคนอย่างนี้ก็จะมีในอโศกคนอย่างนี้มีเพื่อนตัวเองรอดได้ ถ้าพวกนี้สู้ไปจนตายคุณก็จะเข้ามาบอกว่าเห็นไหมเห็นไหม แต่ถ้าหมู่ไปได้ก็จะค่อยค่อยเข้ามาเสนอหน้าใหม่

 เรื่องอัตตานี้เป็นเรื่องลึกซึ้งๆ คนที่เอาภาระจะไม่หนีไปง่ายๆ กล้าตายกับหมู่เพราะไม่มีตัวเอง แต่ถ้ามีตัวเองก็จะเอาของตัวเอง แต่ถ้าไม่มีตัวเองก็จะยกให้หมดโ ดยเข้าใจดีว่าหมู่นี้แน่ชัดว่าเป็นหมู่ที่ถูกต้อง จะเกิดในองค์ประกอบของประเทศไหนก็ตาม ก็ต้องเลือกหมู่ที่คุณเลือกได้ ถ้าอยู่อเมริกาคุณเห็นว่าที่นี่ดีก็มาที่นี่ ที่นี่ก็ต้อนรับไม่ว่าสัญชาติไหนเชื้อชาติไหนที่นี่ก็ไม่ว่า แต่อาตมาไม่อาจทำกว้างไปถึงต่างประเทศ แค่ทำในประเทศไทยให้เป็นองค์รวมให้ดีก่อน อาตมาไม่กล้าทำบ้าบิ่นแบบหลวงพ่อชาหรือธรรมกายไม่คิดเลยว่าจะทำแบบนั้น

 ผู้มีการศึกษาที่ถูกต้องก็จะเอาภาระและจะเป็นผู้เด็ดขาดมีประสิทธิภาพสูงสุด

ต้องเรียนรู้เป็นลำดับการที่จะไปทำบ้างทำใหญ่เกินไปมันไม่ง่าย ถ้าทำให้น้อยไว้ ปรับปรุงตนเองไว้เพิ่มขึ้น แม้มันจะน้อยไปหน่อยก็ไม่เสียจะมั่นคงแข็งแรง แต่ถ้ายิ่งพอดีก็จะได้สัดส่วนแต่ถ้ามากไปแล้วนี่เสียแล้วก็ต้องมาทำใหม่ทวนอีกมันซ้ำซ้อน มันไม่เป็นลำดับอย่างมหัศจรรย์มันมีความขรุขระและย้อนไปย้อนมาไม่เสร็จสักที การประมาณที่น้อยไว้สำคัญกว่าประมาณมากไป สำหรับตนเองให้ประมาณน้อยไว้สำหรับคนอื่นให้ประมาณมากไว้  เพื่อให้ตนเองน้อยไว้แล้วให้คนอื่นให้มากไว้จะมีห.ร.ม. และค.ร.น.

 ส.ฟ้าไทว่า ถ้าเราไม่ฟังพ่อครูก็ประมาณผิด ถ้าเราไม่ฟังหมู่ก็ประมาณผิด ต้องฟังทั้งสอง ด้าน

พ่อครูว่า...ส่วนตัวผมต้องประมาณทั้งในหมู่เราและข้างนอกด้วยและมีผมด้วย

ส.ฟ้าไทว่า อย่างผมต้องประมาณหมู่ ประมาณตน และฟังพ่อครูด้วย ผมก็ไม่ได้ไปมองโลกเขา

กับเรื่องโลกนี้เราต้องให้ให้หมู่กับผู้นำประมาณให้แต่ถ้าเราตัดต่อไปก็จะมีตัวเรา ถ้าเราไม่เก่งก็มีเรามีหมู่มีหัวหน้า แต่ถ้าเราเก่งแล้วเราก็มองออกไปข้างนอกได้  แล้วให้หมู่ช่วยมองออกไปเป็น 4 เป็น 5 มีความสามารถก็ค่อยรู้กว้างขึ้นเก่งขึ้น ถ้าเราเจียมตนก็จะพึ่งหมู่กับหัวหน้า

ความเป็นโลกเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาแล้วเป็นเรื่องขยายออกไปอย่าผลีผลามแล้วเราจะช่วยโลกได้อย่างไม่เสียถ้าไม่พลาดท่าถ้าไม่เช่นนั้นเราช่วยโลกแล้วเสียถ้าพลาดท่าก็จะตายไปกับโลกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร ที่กำลังพูดนี้เป็นพิชัยยุทธสงคราม  แบบสายธรรมะที่ไม่ใช่ฆ่าแกงความรุนแรงให้เกิดความพยาบาทที่เราจะมีศัตรูเพิ่มขึ้น การประมาณอย่างดีจะไม่เกิดศัตรูเพิ่มขึ้นแต่กลับเกิดมิตรเพิ่มขึ้นไปเรื่อย เราจะได้มิตรที่มีปัญญาเพิ่มเติมขึ้น

 จะต้องเรียนรู้ตัวตนอัตตาไปตามลำดับ ให้เกิดตนเองที่มีประสิทธิภาพมีปัญญามีความรู้อย่างแท้จริงแล้วมีคุณสมบัติคุณภาพปริมาณขยายออกไปอย่างได้สัดส่วน นั่นคือเราก็จะช่วยโลกไปทำอะไรร่วมกับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างมีคุณภาพไม่เสียผลไปได้เรื่อยเรื่อย

จะท้าวความถึงครูจำลอง ทิ้งสุข ที่ได้หยิบมาอธิบายแล้ว โดยความเห็นหลายอย่างก็ดี แต่ไม่ครบถ้วน เจตนาดี  โดยการเห็นว่าอาตมาไม่ควรจะไปตำหนิอะไรกับธรรมกายอาตมาก็มีการประมาณการตัดสินการวินิจฉัยเอาที่อาตมาเห็นว่าควรก็แสดงความเห็นออกไป โดยจะขยายความเพิ่มเติม ออกไปจากคราวที่แล้วอีก

คนที่เป็นนานาสังวาสตามความหมายของพระพุทธเจ้าคำว่านานาสังวาส เป็นเรื่องอิสระเสรีภาพสูงสุดเป็นหลักวิชาเป็นเคล็ดวิชาที่พระพุทธเจ้าสรุปความเป็นอิสระความยุติธรรมสมบูรณ์ที่สุดให้แก่สองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายใหญ่หรือฝ่ายน้อย ฝ่ายเล็กฝ่ายใหญ่ ในโลกนี้ก็มีสองฝ่ายให้มีสิทธิ์ที่จะแยกตัวออกมา อย่างบอกกันให้รู้ดีๆว่าขอแยกมา หมู่ใหญ่ก็มีสิทธิ์แยกออกจากหมู่น้อย หมู่น้อยก็มีสิทธิ์แยกจากหมู่ใหญ่เหมือนอย่างของพระพุทธเจ้าถือว่าของพระพุทธเจ้าเป็นฝ่ายใหญ่ ของพระเทวทัตก็มีหมู่ของท่าน ท่านประกาศอย่างนี้ก็แยกกันทำ แม้พระเทวทัตก็ไม่ทำนิกาย แต่ทำนานาสังวาสอย่างนี้เป็นต้น

อาตมาเองเป็นหมู่น้อย ส่วนพระพุทธเจ้าท่านเป็นหมู่ใหญ่ท่านประกาศนานาสังวาส แต่ก็ทำได้ทั้งสองนัย เป็นหมู่ใหญ่ประกาศไม่เอาหมูน้อย หมู่น้อยไม่เอาหมู่ใหญ่ ไม่ใช่การไล่แต่เป็นการประกาศนานาสังวาสอย่างผู้ดี

แต่คำว่านานาสังวาสมีสิทธิ์ที่จะปฏิกโกสนา อันนี้แหละที่เขาเข้าใจไม่ได้คือปฏิกโกสนา คือเมื่อผู้เป็นนานาสังวาสที่ไม่ใช่อสังวาส คำว่าอสังวาสนี้สูงกว่าพรหมทัณฑ์คุณจะเป็นจะตายอย่างไรก็ไม่สนใจในเรื่องให้ธรรมะ

นานาสังวาสนั้นบอกประกาศทวงแย้งอย่างหนัก เพราะมันยังร่วมกันอยู่ไม่ได้ตัดขาดจากกัน  บอกยังปรารถนาดีนะเหนื่อยนะถ้าจะมาสิ้นหวังไม่บอกก็เลิกพูดถึงมหาเถรสมาคมก็ตัดทิ้งเลยอย่างนี้คือพรหมทัณฑ์  แต่ถ้าอสังวาสนี้ถ้าเขาเข้ามาเอาธรรมะมาไม่ให้เลย ป้องกันไว้ด้วย ส่วนคำว่านานาสังวาสนี้เอาภาระกัน ต้องเข้าใจให้ดีสำหรับ อ.จำลองที่บอกว่า การตำหนิผู้อื่นกรณีที่เราเป็นนานาสังวาสกันนั้นไม่ควรทำเป็นความเข้าใจที่ผิด  แต่ควรจะเอาภาระว่าแรงว่าหนักอย่างไรก็ว่าได้ แต่จะให้ไปฟ้องร้องทำไม่ได้เหมือนกับพวกที่สังวาสเดียวกันอย่างท่านพุทธอิสระสามารถฟ้องร้องได้อธิกรณ์ได้

 ทีนี้อ.จำลองนี้ เขาอ้างมา 5 ข้อ

1 อย่าไปว่าเขาเลยต่างอยู่ต่างทำเถอะ เจ้าของสำนักต่างๆล้วนมีมโนปณิธานบวชตลอดชีวิตทั้งสิ้น  เขามองง่ายๆว่าบวชตลอดชีวิตเป็นพวกคนดีทั้งหมด แต่อาตมาว่าพวกบวชตลอดชีวิตแต่มาอาศัยฐานนี้ทำมาหากินมาบวชแล้วได้สิทธิพิเศษ ต่างๆนานา ยกตัวอย่างง่ายๆว่าไม่ต้องเสียภาษีเพราะผู้บวชจริงๆจะไม่มีรายได้ก็ไม่เสียภาษี  ก็เลยใช้อภิสิทธิ์อาละวาดออกไปต่างๆนานาจนคนอื่นเกรงใจเกรงกลัวหมดเลยเพราะเขาตกอยู่ใต้อำนาจของเงินตกอยู่ใต้อำนาจของมวลประชาชนยังธรรมกายนี้ได้ทั้งหมดมีทั้งเงินและมวลประชาชนและอำนาจทางจิตวิญญาณที่ผูกไว้

 พระพุทธเจ้าท่านไม่ตั้งใครเป็นใหญ่แทน แต่ให้พระธรรมวินัยเป็นใหญ่ แต่มหาเถรสมาคมให้สิทธิ์นี้กับคนคนเดียว แต่ปรากฏว่ากลับอ่อนแอเพราะเขาเอาเงินฟาดหัว แล้วมีมวลไว้ขู่ เถรสมาคมก็เลยจำนน อาตมาพูดไม่ผิดหรอกว่าเป็นสมีอุ้มสมี เพราะว่าคนมาเป็นผู้บริหารก็ไม่สะอาดเป็นสมีด้วยกันก็เลยคาคอกันใหญ่  จะให้พระด้วยกันทำนั้น ตัดสินนั้น ไม่ได้แล้วเพราะเขาอ่อนแอต้องให้ฆราวาสช่วยแล้ว ผู้ที่ได้รัฏฐาธิปัตย์สูงสุดแล้วถ้าไม่ทำไม่มีโอกาสทำหรอก  นี่คือบวชตลอดชีวิตแล้วชิบหายเป็นอันที่ 1 ถ้าบวชแล้วไม่เสียหายปฏิบัติธรรมอย่างหน้าน้องน้ำตาตลอดชีวิต ก็เป็นทักขิเนยบุคคล

 2 สำนักต่างๆรุ่นมีมวลที่เป็นคนดีมีศีลธรรมเป็นจำนวนมากทั้งสิ้น

นี่แหละคือคนดีที่ถูกหลอกหลอกว่าเป็นคนดี เป็นคนดีก็ถูกหลอก เป็นคนดีแต่โง่ ฉลาดไม่เท่าทันเขา แล้วปล่อยให้คนดีที่ฉลาดไม่เท่าทันเขา ให้ถูกกวาดไปเป็นมวล อาตมาไม่ยอม จะบอกว่าต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกันเขาก็จะยิ่งเอาคนดีที่โง่นี้เป็นมวลอะตอมมาให้สติคนดีว่าอย่าโง่ให้เขาหลอกให้เขาไปเป็นมวลให้ออกมามีอิสระเสรีให้ได้ แม้แต่เป็นพระก็ ให้ออกมา สารภาพเสีย

3 สำนักต่างๆล้วนมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย อาตมาว่าเขาศรัทธาพระพุทธเจ้าคนละองค์กับของเรา พระพุทธเจ้าของเขาสอนให้รวยแต่พระพุทธเจ้าของเราสอนให้มาจน แล้วองค์เดียวกันได้อย่างไร พระพุทธเจ้าองค์โน้นสอนให้โกหกกะล่อนตอแหล แต่พระพุทธเจ้าของอาตมาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก และพระพุทธเจ้าของอาตมาไม่หน้าด้านอย่างนั้นหรอกสมเด็จพระสังฆราชบอกว่าปาราชิกก็ยังหน้าด้านอยู่อีกได้

 สอนศีลสมาธิปัญญาก็คนละอย่างกัน

 4 แต่ละสำนักล้วนสอนให้ เชื่อกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

อาตมาว่าเขาเชื่อกฎแห่งกรรมที่ไหนล่ะ เขาก็ทำผิดศีลบางสำนักก็อวอดิบอวดดีเอาอะไรมาพูดพร่ำ แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฎิบัติเองโดยไม่ต้องเชื่อใคร ในกาลามสูตรให้รู้ผลเองไม่ต้องถูกครอบงำความคิด ยังสำนักเขาที่บอกว่าให้เชื่อฉันอย่างเดียว  แม้แต่คำว่ากายธรรมกายเขาก็ไม่รู้ว่าคืออะไร

 5  สำนักต่างๆล้วนถือหลักการทานศีลภาวนาทั้งสิ้น

ทานเขาก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ให้ไปรวยให้โลภเพิ่มขึ้น คนขี้โลภก็ถูกปอกลอกไปหมด ยุคนี้เป็นยุคของคนหลงโลก เป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ไม่แปลกใจว่าเขาหลอกเอาคนไปเป็นมวลได้เพราะคนเขาหลงโลกธรรม  ซึ่งมีอยู่มากมายคุณอยากได้ก็ไปเหมือนได้ควายไป

 สัมมาทิฏฐิข้อแรกเขาก็ยังไม่รู้เลย ยิ่งเป็นศีลก็ไม่ได้สอนศีลสอนทานที่ถูกต้องเลย อย่างศีล 5 ไม่ฆ่าสัตว์ก็ไม่ได้รู้ถึงให้มีเมตตาไม่โหดร้าย พระพุทธเจ้าไม่ให้ฆ่าทั้งนั้นไม่ว่าจะฆ่าเราไปกินหรือฆ่าเพื่อความสนุกสนาน  แม้จะไม่กินก็ไม่ถ้าคุณทำได้ถึงขั้นนี้ไหม ยิ่งเดียวนี้ได้ข่าวว่าประคบประหงมให้สวยงามประดับประดาประดิดประดอยตกแต่งพูดไปก็ต้องขออภัยที่เอาความจริงมาพูดจะหาว่าจะมาไปว่าอีกถ้าเขาไม่มีสิ่งไม่ดีก็แปลว่าไม่ได้ ศีลจะไปขัดเกลาจิตให้มีอธิจิตอธิปัญญาอย่างไรก็จบเปรียญเก้าก็ไม่เห็นสอนกันอย่างนี้เลย

 ส่วนสมาธิก็ไปสอนแต่นั่งหลับตาอยู่ในภวังค์ไม่เป็นสัมมาสมาธิแบบพระพุทธเจ้าเลย การปฏิบัติจรณะ 15 ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ไปนั่งหลับตาเลยแม้ใน พรหมชาลสูตร หรือสามัญผลสูตรก็บอกไว้ แม้สูตรอัมพัฏฐสูตรก็ว่าเรื่องการเข้าป่าเป็นเรื่องผิด

 คุณก็งมงายอยู่กับสมาธิหลับตาของฤาษีเป็นฤาษีตาไฟลืมตาออกมาก็ไหม้โลกไปหมดเลย มีอัตตาสูงมากต้องหลับตาเสมอ เป็นพลังงานทำลาย

 ไม่ต้องพูดถึงโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ไม่รู้เรื่องเลย ทานศีลภาวนาเขาก็ไปเรียกภาวนาว่าคือการนั่งหลับตามันผิดจากสัจจะไปหมด เพราะคำว่าภาวนาคือการเกิดผลจากการปฏิบัติทานปฏิบัติศีลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีการทานมีศีลอย่างสมาทิฏฐิแล้วได้ผลชัดเจน ของการให้กับหลักเกณฑ์ปฏิบัติคือสองอย่างนี้เท่านั้นในโลก ถ้าสัมมาทิฏฐิไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงโลกนี้โลกหน้าอะไร ก็มีแต่จะวิ่งไปหาชักศึกเข้าบ้านอยู่อย่างนี้คุณไม่รู้หรอก แล้วก็จะไปประกาศความโง่ของตนเองด้วยเศรษฐกิจที่เป็นตัวกูของกู เอาพวกมาเป็นบริวารอยู่นอกประเทศ ได้เงินจากอเมริกาดูดของประเทศอื่นก็เอาเข้ามา เอาเปรียบเขา ไปไม่ได้ไปช่วยเขาที่ไหน ไม่ได้เอื้อเฟื้อเจือจานเขา มีแต่รีดนาทาเร้นจากโลกมาให้แก่ตนเอง

 ไปหลงแต่สวยงามประดิษฐ์ประดอยพาไปเดินธุดงค์เหยียบดอกไม้มีแต่ประดับตกแต่งผิดศีลข้อ มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนฐานา ก็ไม่รู้เรื่องเป็นข้าศึกแก่กุศลอย่างไรก็ไม่ได้เรียนรู้ เป็นลิเกหลงโรงแท้แท้เป็นลิเกข้างถนน  ก็ได้แต่คนที่ไปหลงลมคุณเท่านั้น ที่มาเป็นมวล ถูกจูงจมูกไป ซึ่งอาตมาไม่ได้ริษยาคุณเลย เอามาแล้วเป็นภาระหลายชาติเลย คุณก็หอบไปสิแล้วปอกลอกเขาไป อย่างอาตมาบอกตรงๆว่าได้คนมา นี้เอามาใช้แรงงานเอามาใช้ความสามารถ ไม่ใช่เอามาเป็นมวลเพื่อหลอกและตนเองก็ฟรุ้งฟริ้งอยู่อย่างนั้นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อาตมาไม่เอาแบบนั้นเพราะฉะนั้นใน 5 ข้อนี้คุณจะอ้างอะไรเข้ามา มันก็ไม่ได้จำนนอะไรเลย   คนชั่วก็ต้องไปตามวิบากเหมือนพระเทวทัต พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้จัดนิกายให้เทวทัตแต่ถือเป็นนานาสังวาสเท่านั้น

เรื่องโลกกับอัตตาให้เรียนรู้ตนเองก่อน ตั้งแต่เล็กเล็กไปจนถึงใหญ่ แล้วจะรู้โลกแล้วรู้เรารบแล้วไม่แพ้ แต่ถ้าคุณไม่รู้ตัวอย่าไปอวดอ้างอะไรเลย คนที่หมดอัตตาแล้วจะไม่หลงตัวไม่มีตนแต่คนที่ยังมีอัตตาจะหลงตน

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:18:55 )

581124

รายละเอียด

581124_ธรรมาธรรมะสงคราม ลดอัตตาหน้างานบุญลอมข้าว

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน 2558 พรุ่งนี้ก็วันเพ็ญเดือนสิบสองน้ำก็นองเต็มตลิ่ง ชาวอโศกก็กำลังดีใจตื่นเต้นร่าเริงกับการเกี่ยวข้าวเสร็จ ท้องไร่ท้องนาก็มีแต่ฟางพื้นดินก็เริ่มแห้งเราก็ใช้พื้นที่ท้องนานี่แหละ มาจัดเป็นลาน แล้วก็จัดงานบุญลอมข้าว พรุ่งนี้เป็นวันจริง 15 ค่ำเดือน 12 วันนี้ก็เป็นวันสุกดิบที่เราจะมาทดสอบกันตั้งแต่กลางวันเลย เรียกว่าท้าแดดเลยลองดูใครจะแน่กว่ากันแดดกับคน

           เมื่อวานนี้เทศน์พระไตรฯเล่ม 9 ไล่ตั้งแต่ชุดแรกจะต่อเรื่องทิฏฐิ ก็เลยว่าอย่าเพิ่งเลยเอาเรื่องสังคมรอบกว้างเรื่องของจารีตประเพณีพูดถึงเรื่องของสังคม หรือจะสร้างภาพก็เรียกได้จัดคอมโพสิชั่นจัดองค์ประกอบขึ้นมาให้เป็นองค์รวมของมนุษยชาติ ให้มาประพฤติปฏิบัติ มีท่าทีลีลาสุ่มเสียงสำเนียงคำพูดขึ้นมา แสดงออก เพื่อที่จะเกิดสิ่งที่มีประโยชน์เป็นศิลปะที่จะสร้างสรรค์สังคมมนุษยชาติและแต่ละคนที่ได้พัฒนาขึ้น

การศึกษาของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้จัดองค์ประกอบศิลป์คอมโพซิชั่นต่างๆแล้วเข้าใจที่จะใช้ทั้งเสนาสนะเรียกว่าสถานที่ และบุคคลที่จะเอามารวมกัน แล้วก็อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ ตั้งแต่ดินน้ําไฟลมจนกระทั่งถึงสัตว์ถึงบุคคลแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าอะไรต่างๆนานา ก็หยิบเอามาประกอบกันได้หมด ซึ่งทางโลกเขาไม่เก่งเรื่องจิตวิญญาณ เขาจะเอาแต่สนุกบำเรอเป็นโลกียะ

แต่ทางธรรมนั้นมีปัญญารู้ที่เราจะรู้รสโลกีย์ เพื่อละเลิกและเป็นไปเพื่อความเจริญพัฒนาทางจิตวิญญาณทางกายทางวาจา สังขารการจัดองค์ประกอบ ซึ่งทางโลกไม่ได้เรียนรู้องค์ประกอบศิลป์ถึงจิตวิญญาณ เขาก็ไม่เข้าใจเรื่องกิเลส ก็มีแต่บำเรอกิเลสด้วยอวิชชาด้วยความไม่เข้าใจด้วยความไม่รู้เค้ าก็มีแต่ปรุงแต่งชูรสปรุงรสสนุกสนานเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินไปต่างๆนานา ให้กิเลสอ้วนถ่ายเดียวเล ยบางเจ้าโง่ถึงขนาดมันเป็นพิษเป็นภัยไม่มีอะไรเกิดคุณค่าตอบแทนตนและสังคมเลย นี่คืออวิชชา

          ส่วนผู้ที่มีศิลปะรู้จักมงคลอันอุดมไม่ประกอบสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่กุศล จึงจัดสัดส่วนขององค์ประกอบศิลป์ได้สัดส่วน ที่สำคัญก็คือผู้รู้ที่สามารถเข้าใจถึงจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบตัวหลักสำคัญ รู้เรื่องกิเลสว่าจะบำเรอ ขนาดไหนอย่างไรจัดสัดส่วนที่พอเหมาะอนุโลมบ้างอัตตาบ้างในตัว แล้วก็ทำให้คนที่ร่วมกันรับรู้สังสรรค์รวมกัน เกิดประโยชน์ขัดเกลากิเลสพร้อมกันนั้นก็เกิดสามัคคีธรรมเกิดมวลมนุษยชาติรวมกัน ก็สนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจ หมู่กลุ่มนี้น่าร่วมน่ามาสังสรรค์ให้ประโยชน์ ได้ทั้งความสดชื่นสนุกสนานเพลิดเพลินทั้งสังคม มันไม่แข็งเกินไปรู้จักการผสมของสุนทรียะให้พอเหมาะแก่คนแก่กลุ่มหมู่แก่กาละ ที่จะมีสัดส่วนขององค์ประกอบที่จะมาประกอบได้แล้วก็รู้ตัวเอง รู้คุณธรรม อันนี้สำคัญ รู้ตัวเองจนกระทั่งสร้างองค์ประกอบศิลป์ขึ้นมาได้เป็นสัดส่วนที่ดีมาพอเหมาะเป็นความประเสริฐอันเจริญ มงคลอุดม ไม่เป็นข้าศึกแก่กุศล คนไม่รู้ก็จะทำให้ถูก

          พวกเราไม่ได้คิดถึงค่าแรงงานไม่ได้คิดถึงสิ่งที่จะเสียสละออกไป แต่คิดถึงสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ที่จะได้เป็นหลัก จะทำให้ดีที่สุดที่เป็นองค์ประกอบในการร่วมกันให้คนมาร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไรก็สร้างสรรค์ทำอะไรให้เกิดคุณค่าประโยชน์ ทุกครั้งทุกคราวก็พัฒนาทำให้การสร้างสังคมการสร้างตัวมนุษย์แต่ละคนมีการเจริญพัฒนาขึ้นได้ ยังมีระบบถึงจิตวิญญาณ

          คนทั้งโลกที่ไม่ได้มีทฤษฎีที่จะสร้างคนทั้งจิตทั้งกาย และรู้พิษภัยของความเป็นโลกียธรรมโลกธรรมเพื่อลาภยศสรรเสริญสุขด้วยกามสุขด้วยอัตตา คนเขาไม่ได้เรียนรู้ก็จะยาก แต่คนที่เข้าใจดีรู้เรื่องแล้ว ก็จะทำให้ตนเองเป็นผู้ที่ไม่เป็นคนเป็นโทษภัยต่อโลกต่อสังคมตนเองก็ไม่มีพิษไม่มีบาปมีความชั่ว ลดตัวเหตุไปได้เรื่อยเรื่อย ก็ลดความเป็นภัยต่อสังคม จนเป็นพระอรหันต์ก็หมด นอกจากหมดแล้วก็ยังรู้จักสังคม เพราะศาสนาพุทธไม่ได้หนีจากสังคมไม่ได้หนีจากโลกรู้จักโลกอย่างดี

          รู้จักองค์ประกอบของโลกคำว่าโลกมีตั้งแต่ 2 ถึง 3 หน่วยขึ้นไป ถ้าหลุดจาก 3 หน่วยเป็น 4 หน่วย ก็จะไปร่วมกับพลังงานอันอื่น ถ้า 3 หน่วยเป็นของตนขึ้นมาแล้ว ถ้าเป็น 2 หน่วยของสามเส้า ก็จะได้มีการเดินเคลื่อนได้แต่ยังเป็นแนวระนาบถ้าเป็น 3 หน่วยของสามเส้า ก็เกิดองศา ในจักรวาลน้อยจนกว่าจะมีปฏิภาคเสริมซ้อน ถ้าเริ่มต้นรู้จักตั้งแต่หน่วยหนึ่งของจิต แล้วก็ทำจิตให้เป็นพลังงานไม่เป็นพิษภัยแล้วก็มีคุณค่า ของความเป็นสัตว์โลกคือมนุษยชาติและเป็นอริยบุคคลที่แท้จริงตามลำดับ ตั้งแต่โสดาบันก็เริ่มต้นลดละได้จริง มีประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอื่นไปด้วย สกิทาคามีก็เจริญอีก อนาคามีก็จะเจริญขึ้นไปอีกจนถึงอรหันต์ก็สุดเลยสมบูรณ์แบบ เป็นทฤษฎีเอกของพระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ค้นพบและออกมาประกาศให้แก่มนุษย์ได้ศึกษาเล่าเรียน แล้วทำประโยชน์ให้แก่ตนและสังคมอย่างแท้จริงช่วยโลกช่วยมนุษย์อยู่ได้

          มาถึงยุคนี้ศาสนาที่พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาพุทธมีอายุยืนยาวมาถึงสองพันหกร้อยกว่าปี ก็ได้ผิดเพี้ยนไปแล้ว ก็พูดอย่างไม่เกรงใจไม่ไว้หน้ากันแล้ว พูดตรงตรงว่าไม่เหลือแล้วอาตมาก็อยากจะเห็นความจริง ยังมีปราชญ์หรือเปล่าหรือในวงการศาสนาพุทธในปัจจุบันที่มีความรู้ ก็ดูจากความคิดความอ่านในงานของท่านที่แสดงออกไม่ต้องไปเจอตัวก็ได้ อาตมาไม่ได้ออกไปไหนกว้างไกลอะไร แต่ก็คิดว่าสื่อสารมวลชนทุกวันนี้ มันรู้ได้อยากรู้อะไรก็ค้นหาความรู้ได้เข้าประมวลมาให้รู้ง่าย

อาตมาก็ไม่ได้ว่าลำเอียงหรือดูถูกดูแคลนใครก็เห็นว่ามันหมดจริงๆในโลก ศาสนาพุทธประกาศไปแล้ว 2500-2600 ปีมาแล้วไม่เหลือเชื้อ มีแต่บัญญัติเหลือไว้ก็ขอบคุณ เถรวาทที่ท่านคงลักษณะของคำแปลที่ไม่ผิดเพี้ยนเลย แม้การสอบเปรียญทิศทางเดียวก็ให้ตกเลยเป็นการรักษาความถูกต้องให้มีหนึ่งเดีย วถ้าไปอื่นก็จะผิดเพี้ยน เขาก็รักษาได้จริงก็ยังมีความจริงที่ถูกต้องรักษาความไม่ผิดเพี้ยนได้

          ทำให้เหลือสัจจะที่ไม่ผิดเพี้ยนไป แต่ก็มีแต่ในบัญญัติภาษา ส่วนคนนั้นไม่เข้าถึงความหมายเนื้อหาในภาษานั้นอันนี้สิน่าสงสาร เพราะอาตมาให้ความหมายของบัญญัติมันกลับไม่เหมือนเขาทั้งที่ตัวพยัญชนะอันเดียวกัน เช่นคำว่าศีล สมาธิ ปัญญา คำว่าวิมุตติ คำว่านิโรธก็ภาษาเดียวกัน แต่เขาก็อธิบายอย่างที่อาตมาบอกว่า ออกนอกคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ก็พูดด้วยความจริงใจ เขากล่าวว่าอาตมา เพราะอาตมามาคนเดียวไม่มีครูบาอาจารย์ แต่โชคดีที่มีพระไตรปิฎก เมื่อได้แล้วก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยได้ก็เลยเกาะอาศัยพระไตรปิฎกที่เป็นคำบาลีแม้อาตมาจะไม่เก่งบาลีก็เข้าใจความหมาย ก็มีพจนานุกรมไทยบาลีก็มีเยอะก็มีทั้งที่แปลอย่างขยายกันหรือขยายออกไปไม่เหมือนกันเลยก็มี เป็นคำแปลที่ตรงกันข้ามจากถูกเป็นผิด 180 องศาเลยก็มี

          ยกตัวอย่างคำว่าศีล เขาก็เข้าใจว่าปฏิบัติแค่กายกับวาจา จะไม่เข้าไปถึงจิต ส่วนสมาธินั้นก็ไปนั่งหลับตากันไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นภายนอก ไปนั่งสะกดจิตหลับตามันก็เลยผิดทั้งคำว่าศีล สมาธิก็ผิดอีก เลยร่วมผิดทั้งศีลทั้งสมาธิออกไปใหญ่เลยไปผิดหนัก  ปัญญาก็เลยสู้ศีลสมาธิที่ผิดเพี้ยนไม่ได้ 3 หน่วยก็เลยผิดแล้วไม่หมดจะเหลือหรือถามหน่อยสิ

          ที่พูดอยู่ทุกวันนี้ บรรยายแบบนี้ ก็ปรากฏตัวต่อสังคมมา 45 ปีแล้วเท่ากับที่พระพุทธเจ้าเผยแพร่ศาสนาท่านก็จากไปแล้ว แต่ 45 ปีอาตมาก็ถือว่าเวลาพอกันกับพระพุทธเจ้าแต่อาตมายังไม่ได้ถึงไหนเล ยเพราะฉะนั้นจึงยังไปไม่ได้ ดีไม่ดีต้องกัดฟันอยู่ต่อไปอีกไม่รู้ว่าสังขารร่างกายจะไปได้ถึงไหนไม่รู้

          เมื่อศีลก็ดีสมาธิก็ดีที่เป็นต้นรากแห่งการพัฒนาจิต ผู้ที่เข้าใจศีล ปฏิบัติแล้วจะเกิดอธิจิตเป็นสัมมาสมาธิเป็นสัมมาปฏิบั ติจิตก็จะสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิเป็นความแข็งแรงตั้งมั่นซึ่งจะมีตัวปัญญารู้ร่วมอยู่ตลอดเวลา ศีลไม่มีปัญญาไม่ได้เรียกว่าฌาน ก็คือการพัฒนาจิตโดยกำจัดกิเลสคือเผากิเลสไปจากจิตต้นเหตุที่ใจก็คือจิตกิเลสในจิต ก็ต้องมีปัญญารู้ทฤษฎีการเผากิเลสของพระพุทธเจ้าว่าถูกต้องหรือไม่ ได้แล้วหรือไม่ได้ผล หรือไม่กิเลสสงบปฏิปัสสัทธิหรือยังก็ทำซ้ำรักษาผลเป็นปฏิปัสสัทธิธรรม อาเสนาภาวนาพหุลีกัมมังไปเรื่อย ให้เป็นสมาธิที่แข็งแรงมั่นคงยิ่งเติมยิ่งมั่นคงไปตามลำดับ

          เมื่อเขาปฏิบัติออกไปสมาธิก็อีกอย่างหนึ่ง ส่วนปัญญาก็ต่างคนต่างไปมันก็เลยยิ่งเละใหญ่ส่วนนิโรธที่จะตาม ปัญญาก็เป็นมิจฉานิโรธ ซึ่งมีพวกมิจฉาปัญญาญานทำให้เข้าใจผิดเป็นถูก  นี่คือเหตุปัจจัยที่ต่อเนื่องมาจากความผิดถูกของการปฏิบัติธรรม อาตมาก็พยายามอธิบายดึงกลับให้รู้ว่า ศีลสมาธิปัญญาวิมุต มันทำงานต่อเนื่องเป็นปฏิสัมพันธ์กันเพื่อกูลกันทำให้เกิดปัญญารู้ตัวรู้

          เราตั้งศีลเพื่อเอาไว้ฆ่ากิเลสราคาโทสมูล ให้รู้ว่าเรามีกิเลสจริงก็กำหนดขนาดไว้ก่อนเราไม่เอามากมาย ตะกละตะกลาม พระพุทธเจ้าท่านให้กับประมาณของตัวเองให้พอเหมาะถ้ากิเลสขนาดนี้ ก็ทำแค่นี้ก่อน ปริตตัง

          เห็นกิเลสตัวหยาบเลยก็คือสักกายะเราก็กำจัดสักกายะได้จริง ก็รู้มันดีหมดมีนิโรธก็รู้มันไม่มีรสมันไม่จริงก็รู้  ไม่ได้ทำอย่างหลับตางมงายลูบคลำ แต่รู้แจ้งเห็นจริงมีดวงตามีความรู้รอบชัดเจน ผู้ที่ชัดเจนในโครงสร้างของพระพุทธเจ้าปฏิบัติไปตามลำดับมีสัมมาทิฏฐิก็จะได้ผลจริงและจะรู้เอง ก็เป็นเช่นนี้ ส่วนคนที่จะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ารู้เองไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ใครจะรู้เองไม่ได้นอกจากเป็นสาวกะคือผู้ได้ฟังจากผู้รู้มาก่อน แล้วพูดรู้เรื่องก็ได้ฟังจากผู้รู้แต่ก่อนมาจนถึงต้นทางคือพระพุทธเจ้าถ่ายทอดมา เป็นพระโพธิสัตว์ก็จะทำงานสืบทอดต่อกันมา

           เมืองไทยเป็นเมืองพุทธที่ได้สืบสานเรื่องนี้มาแล้วก็เสื่อมไปเปลี่ยนไปจนถึงทุกวันนี้ อาตมาก็เคย เกิดมาทั้งที่เป็นไทยและไม่เป็นไทยก็พอรู้อะไรต่ออะไรก็มาทำงานนี้ ก็พยายามตามความจริงใจ ไม่พูดแล้วส่งอาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบาก ถ้าเราทำผิดก็เป็นเรื่องวิบากของเรา

           กิเลสนั้นเอาเข้านั้นง่ายแต่ออกมันยากผู้รู้ชัดเอาออกได้แล้วจะมาเอาเข้าอีกก็โง่ ^ ไม่รู้เท่าไหร่ เอากิเลสใส่ตัวเองผู้ที่รู้จริงจะไม่ทำหรอกต้องทำให้กิเลสหมดถ้าทำได้จริงลงตัวแล้วเป็นอริยะที่แท้จริงมันจะมี นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

          เพราะมันบริบูรณ์ด้วยอุภโตภาคล้างกิเลสให้หมดฤทธิ์แรงจนสิ้นเกลี้ยงและปัญญาก็รู้ซ้อนชัดเจนว่ามันเป็นโทษ แล้วปัญญาจะเห็นจริงเข้าใจจริง ไม่ใช่สมมุติถูกครอบงำความคิดจากอะไร มันจะเห็นเองของจริงเราจะมีญาณปัญญารู้ว่าดีคืออะไรเป็นโทษคืออะไร มันไม่บ้าบ้าบอบอไม่ตลบแถลงไปมา เป็นสัจจะที่เป็นความจริงอันหนึ่งเดียว

           อาตมาทำงานมาในยุคนี้ด้วยยากเย็น 1ไม่มีเครดิตอะไรในสังคม 2 อาตมาลุยอย่างโดดเดี่ยว 3 ไม่มีทรัพย์สินไม่มีอลังการมาประกอบให้ มีแต่ธรรมะแท้ยังไม่มีตัวช่วย แต่มันก็ประกาศศักดิ์ศรีของความเป็นธรรมมะ ถ้าได้ก็เป็นของแท้ของจริ งธรรมะที่เป็นสัจจะแท้

          มาถึงปีนี้ 45 ปีแล้วใครจะเห็นว่าอย่างไรจะบอกว่าจะมาหลงก็แล้วแต่ แต่อาตมาทำตามความจริงที่อาตมาเข้าใจ แล้วเกิดผลประโยชน์ต่อสังคมไหม ก็เกิดเป็นหมู่กลุ่มขนาดนี้ แม้แต่ที่ทำอยู่ขณะนี้ เรากำลังจัดงานที่มีเนื้อหาสาระมีองค์ประกอบของชีวิต มีบันเทิงเป็นสุนทรียศิลป์ที่จะสนุกสนานเอร็ดอร่อยบ้างพอเป็นกระสัย

เราก็ทำได้ในนัยนี้ สิ่งได้เป็นโทษก็ค่อยเอาออก สิ่งใดเป็นความดีก็ค่อยทำไป พวกเราลงทุน แต่ไม่เคยคิดถึงทุนที่ลง ถ้าจะพูดแล้วตามลักษณะตามเจตนารมณ์ก็ทวนอย่าง180 องศากับ maximize profit มันคนละทิศเลย ของเรานี่ minimize profit มันสวนทางกันเลย พวกเราก็ทำอย่างไม่คิดว่าจะต้องลงทุนเท่าไหร่เลย ก็ทำเท่าที่มีทุน หมดแล้วก็เลิกไม่เป็นหนี้ทำเพื่อจะให้ดีเป็นองค์ประกอบศิลป์ที่ดี พยายามจัดการปรุงแต่งสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบศิลป์เป็นการงานบุญล้อมข้าว

เราจัดงานวันเดียวแต่ก็ลงทุนไปเราไม่เคยคิดถึงการลงทุนเป็นองค์ประกอบศิลป์เสียเท่าไรไม่ว่าจะเป็นหนี้ก็แล้วกัน เป็นเรื่องของนักคิดนักประเมินประมวลให้เกิดคุณค่าเกิดประโยชน์ต่อตนต่อสังคม กับนักคิดทางทุนนิยมนั้น มันคนละเรื่องคนละทางกันเลย

ส่วนทางโน้นเวลาลงทุนจะคิดถึงการคุ้มทุนการได้ทุนคืนจะได้กำไร ใครจะมาให้เราเอาเงินอีกแต่นี่ไม่ได้คิดเลยว่าใครจะมาให้เรารีดนาทาเร้น ใครที่มีแนวคิดอย่างนี้ก็มาเลยยินดีต้อนรับ แล้วก็ทำความเข้าใจได้ว่า ที่นี่มีองค์ประกอบศิลป์อย่างนี้ มีสังขารปรุงแต่งโดยองค์รวมเป็นอย่างนี้ แล้วเราก็อาศัยตั้งแต่วัตถุธาตุที่เป็นองค์ประกอบ อาศัยอาหารสัปปายะซึ่งเป็นความเจริญดีงามได้อย่างนี้ มันไม่เหมือนทั้งโลกเขาเลย อาตมาก็ว่าอาตมามีปัญญามีความฉลาดอธิบาย แจกแจง ได้เท่านี้ มันเป็นทิศทางที่ชัดเจนมากเลย พูดกับพวกเราที่มีพื้นฐานมีสิ่งรองรับก็เข้าใจได้ดี ส่วนคนข้างนอกที่มีภูมิปัญญามีปฏิภาณก็เข้าใจได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาก็จะฉงนเข้าใจไม่ได้ว่าทำไปทำไม ซึ่งเขาไม่รู้ถึงคุณค่าการเสียสละ พวกเราไม่เคยคิดไม่เคยหวงแหน แต่ทางด้านโน้นไม่ได้หรอกเสียไปเท่าไหร่ มันจะขาดทุนการตลาดแล้วจะได้อะไรคืนกลับมา จะได้กำไรเกินขึ้นมา มากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็คิดเป็นอย่างนั้นไปหมด แม้อยู่ในโลกเดียวกันแต่ความคิดตรงกันข้ามกัน และกำจัดกันออกไปจากโลกก็ไม่ได้ จึงต้องทำพลังงานให้อยู่กับเขาได้โดยไม่ต้องไปทำร้ายทำลายเขา ซึ่งเขาทำร้ายทำลายเราไม่ได้ดีแล้ว แล้วเรากลับให้คุณค่าประโยชน์แก่เขาได้อีกนี่แหละจงทํา ทำอย่างนี้ได้ไม่มีปัญหาเลย ผลจากนั้นไปไม่ต้องไปคิดแล้วจะเข้าใจเองว่าสุดประเสริฐแล้ว

แนวคิดของพระพุทธเจ้าจึงเป็นแนวคิดที่อย่างศาสดาทุกพระองค์ก็มีแนวคิดเดียวกัน แต่ทฤษฎีที่จะเข้าไปลึกรู้ทั้งอรรถะ ธรรมะรู้จักเป้าที่ลึกที่สุด กับรู้จักองค์ประกอบที่สมบูรณ์มากเพียงพอ แล้วก็จัดสรรองค์ประกอบของโลกตั้งแต่โลกหรือจักรวาลเล็กๆแล้วโตขึ้นมาที่จะสัมพันธ์กันเป็นเครือแหอย่างมีระบบ มันก็เป็นเรื่องจริงของความรู้ที่ทำ อาตมาทำงานมาไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่โครงสร้างพิมพ์เขียวเป็นแบบ ก็เทศน์ไปแต่ต้นว่าเป็นคน no planning no project เป็นคนทำงานไม่มีแผ นโดยใช้สามัญสำนึกที่จะใช้อนาคตังสญาณหยั่ง 1 ขอบเขตของตนอัตตัญญุตา 2 พลังงานที่เรารู้จริงในระยะไม่ไกลนะแต่รู้ว่าวันนี้จะมีลักษณะนี้มีพลังเอื้อเอื้อเกื้อกว้างต่อไป  เป็นภาษาที่ลึกซึ้ง ว่าจะเอื้อมไปได้เท่าไหร่ ไปกว้างได้เท่าไหร่จะไม่ทำโดยที่ไม่มีขอบเขตอนันตังไม่มีที่สิ้นสุดจะต้องได้มากได้มาย ได้รวยมหาศาลรวยไม่มีที่สิ้นสุด ก็ตะกละตะกราม เอามาเป็นตัวกูของกูอะไรกันนักหนาเ ราไม่ทำโดยเฉพาะเราไม่มีตัวกูของกูที่อยากได้แล้วก็ประมาณทำ ตามขอบเขตของพลังงานตามที่เราสามารถจะทำด้วยได้แค่ไหน เราไม่ได้คิดจะโลภโมโทสัน เอาจากคนนั้นคนนี้ไปหาบริวารหาลาภยศสรรเสริญให้แก่ตน มันต่างกันคนละเรื่องเลย คนละทิศทางเลย

อาตมาก็จะพยายามสาธยายความรู้ของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ที่เข้าใจก็คงจะยอมรับเราไปทำงานเผยแพร่ต่อกันไปเพื่อมวลมนุษยชาติได้รับสัจจะที่เป็นทฤษฎีเอกที่เป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะเกิดจริงเป็นจริงให้แก่มนุษยชาติมั่นใจจริงๆ

เรามาเริ่มต้นที่จุดอาหารเป็นหนึ่งในโลกซึ่งอาหารไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่กินในปากคน อาหารมี 4อย่าง 1กวฬิงการาหาร 2 ผัสสาหาร 3 มโนสัญเจตนาหาร  4 วิญญาณาหาร ต้องทำอาหาร เพื่อแจกจ่ายเจือจานกันตั้งแต่โอฬาริกะ ที่แปลว่าใหญ่ที่แปลว่าหยาบ ต้องประมาณให้รู้ว่าใหญ่พอจะทำได้ ไม่ให้เกิน ต้องขนาด ติดตั้งอย่าไปหลงเป็นอนันตัง ต้องอยู่ในปริตตัง อันนี้กำกับไว้ในเล่ม 10 แต่ในเล่ม 9 ของพระไตรปิฎกก็มีบอกไว้บ้าง ตั้งแต่วันนั้นต่างกับปริตตังมีรูป กับไม่มีรูป เป็นคู่

จะเข้าใจอัตตาในระดับ 4 หรือ 8 ต้องรู้จักจัดสัดส่วนปริตตังให้พอเหมาะและจะขยับไปเรื่อยจนถึงอนันตังได้ดีที่สุดส่วนมีรูปไม่มีรูปก็ต้องให้มีรูปที่สัมผัสได้ ก็จะมีธาตุรู้วิญญาณรู้จักอยากไปหาละเอียด มีรูปแล้วก็ไปถึงไม่มีรูปสัมพันธ์ตลอดเวลา

ที่พูดนำและขยายความไปตามลำดับในฐานะที่อาตมาไม่เชี่ยวชาญไม่เก่งก็พยายามศึกษาฝึกฝนในฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ปางนี้ก็ต้องฝึกฝนหนักน่าดูก็ได้ส่วนที่เกิดความเจริญขึ้นมา ก็ได้พร้อมกับทำให้มนุษยชาติทำให้สังคมเกิดไปด้วย อาตมาไม่ได้มาล่าอะไรจากสังคมไม่เอาอะไรจากสังคมแต่ทำให้สังคมมีผลพลอยได้มีความรู้ความสามารถ ก็เข้าใจแล้วไม่ได้ดีใจให้เรายิ่งใหญ่หลงตัวหลงตน เป็นแต่เพียงเรายังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ น่าจะดีขึ้นเก่งขึ้นกว่านี้หน่อยก็ยังทำไม่ได้ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น

 ผู้ที่ศึกษาจนกระทั่งรู้จักอัตตา ซึ่งในศาสนาที่ไม่รู้จักอัตตาก็จะไปหลงสะสมอัตตาหลงอัตตาเป็นนิรันดร พวกศาสนาเทวนิยมเขาก็จะได้กัลยาณธรรมพอสมควร เข้าใจโดยปริยายว่าการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นหรือการไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่นได้ มันดีเขาก็เข้าใจ แต่ไม่รู้จักต้นทางของจิตแล้วคลี่จิตให้เป็นตัวแปรรูปความจริงจะเข้าใจจุดนั้น มันอาจทำได้เป็นเจโตวิมุติแต่ไม่รู้จักทำอุภโตภาควิมุตไม่มีของจริง

 อัตตาที่มีรูปในกามาวจรก็ไม่รู้ เป็นปริตตังคือจำกัดขนาดของแต่ละคน จนกระทั่งไม่มีรูปแล้วขยายเพิ่มจากกามาวจรเหลือเป็นรูปาวจร อรูปาวจรก็จะค่อยค่อยจัดการไป นอกนั้นก็มีหนึ่งจำกัดขอบเขตกับมีรูปที่สัมผัสได้จนกระทั่งหมดไม่มีรูปนั่นแหละคือมีอัตตากับไม่มีอัตตา รวมแล้วก็จะเป็นสี่สายใหญ่รวมทั้งหมดก็จะเป็น 8 มีมากขึ้นน้อยลงแล้วแต่ ส่วนศาสนาที่ไม่เรียนรู้อัตตาเลย ก็ช่วยได้ชั่วคราวโดยการกดข่ม

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องเล่านี้ให้รู้ตั้งแต่สักกายะที่เป็นศัตรูเป็นเชื้อโรคเป็นผีเป็นตัวตนที่คุณต้องการจะต้องชำระให้หมดไปจากจิตตัวเองให้ได้ ก็มีแต่ของศาสนาพุทธอาตมาก็ว่าศึกษาศาสนาอื่นก็ไม่เห็นว่ามีศาสนาไหนที่จะมีทฤษฎีชัดเจนนอกจากศาสนาพุทธ แม้แต่ศาสนาที่เชื่อกรรมวิบากเหมือนกันศาสนาเชน ของพระมหาวีระก็เชื่อกรรมเชื่อวิบาก แต่เขาไม่มีความรู้เรื่องอัตตา

เมื่ออาตมาประมวลรวมเข้าไปเป็น 3 เส้า เป็น 6 เส้า เป็น 9 เส้า เป็นวงจรอัตตาที่สมบูรณ์แบบเกิดเป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ เขาไม่เข้าใจในการที่จะรู้ว่าจากการประมวลรวมกันเรียกว่าโลก โลกหลายโลกรวมตัวเป็นจักรวาล  1 2 3 เรียกว่าโลกส่วนตัว ถ้ามีอีกสามเส้าก็จะมีโลกที่ไปเกี่ยวโยงขึ้นบ้างแต่ถ้ารวมกันเป็นกลุ่มนพเคราะห์ได้อีกเป็นดาวที่มี 9 จุด 10 จุดของตนเองและออกไปอีก แล้วก็ไปรวมกันเพราะฉะนั้นจุดแรกของจักรวาลที่เล็กที่สุดก็คือนพเคราะห์ทั้ง 9 ดวง ซึ่งจะมีพลังงานหมุนรอบตัวเองกับหมุนรอบกันไปรวมแล้วดาวนพเคราะห์ทั้งหมด มันเหมือนกับพระจันทร์หรือพระอาทิตย์อันหนึ่งในอันอื่นมันจะมีพลังงานในตัวของมันเองแล้วจะเริ่มขึ้นด้วยมีพระอาทิตย์หลายดวง ก็คือจักรวาลพวกนี้รวมตัวกันได้หลายเครือแหมันก็จะเป็นพลังงานที่ใหญ่และเป็นเหมือนพระอาทิตย์ มีพลังงานขนาดพระอาทิตย์อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันเป็นภาวะที่ซ้อน

ในโลกต่างๆที่มีชีวะนั้น จริงๆแล้วชีวะนั้นอยู่ได้ไหมอยู่ไม่ได้ อาจอยู่ในภาวะไม่แสดงชีวะจนกว่าจะออกมาได้แล้วก็จะฟื้นเหมือนไวรัสอยู่ได้ไม่เกินกี่ล้าน ปีอันนี้ยิ่งกว่าไวรัสสำหรับพลังงานของจิตวิญญาณพูดไปแล้วจะกว้างไปในแนวอจินไตยแนวลึกแล้ว

ขนาดนี้ด้วยภูมิรู้ของอาตมามองดูความสัมพันธ์เกี่ยวข้องของโลกที่สังเคราะห์ปรุงแต่งกันมีทั้งลบและบวกมีทั้งทำร้ายและสร้างสรรค์ แต่พลังงานสร้างสรรค์กับพลังงานทำร้ายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันที่มีประมาณ 200 กว่าประเทศคุณว่าพลังงานสร้างสรรค์หรือพลังงานทำลายอันไหนมาก พลังงานทำลายมีมากกว่า

คนที่มีความเฉลียวฉลาดเขารู้แต่เขาไม่มีทางออก นอกจากไม่มีแล้วเขาก็เป็นตัวอัตตาเป็นตัวจากหนึ่งที่จะเป็นเจ้าโลกเจ้าอำนาจนี่คือสิ่งมีจริงในสังคมโลกปัจจุบันและพวกนี้มีความคิดมีจุดมุ่งหมายจะต้องเป็นเจ้าโลก ต่างคนต่างมีความคิดที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ซึ่งเป็นพลังงานที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว เป็นพลังงานที่มันอยู่ในจิตลึกของตัวเอง เป็น inherent เป็นพลังงานแสงฝังอยู่ในส่วนลึก คุณยังเข้าไปดูไม่ได้ไม่มีปัญญาหยั่งรู้เข้าไป เพราะไม่ได้เรียน ถ้าไม่เรียนศาสนาพุท ธก็จะหยั่งรู้ได้ยากหรือไม่รู้มันก็แฝงอยู่ตลอดเวลา พลังงานพวกนี้มีพลังงานจริงซึ่งมันทำงานโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ด้วย มันมีฤทธิ์เช่นนั้น ผู้ที่ไม่รู้จักอัตตาแล้วกำราบอัตตาตัวเองไม่ได้อัตตามันก็ครอบงำตัวเอง ให้ตัวเองทำตามที่อัตตามันมีความต้องการให้เอามาบำเรออัตตา แต่มันก็ฉลาดทั้งนั้นคือ อย่าให้เขารู้เรา ลึกลึกเขารู้ว่าการไปเอาเปรียบคนอื่นไปทำร้ายคนอื่นมันไม่ดีทั้งนั้น แต่มันทนไม่ได้ต่อความต้องการที่จะเอาชนะคะคานให้ได้ มันทนไม่ได้หรอก มันต้องทำเพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงมีความจริงตรงที่ว่า ทำการกำจัดอัตตาตัวกิเลสของตนให้ได้และสามารถกำจัดจริงได้ด้วย เชื่อหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา

คนที่จะหลุดพ้นที่จะรอดจากภัยพวกนี้ได้อย่างไร รอดได้เพราะ 1 เราไม่ได้เป็นอย่างผู้แย่งผู้แข่งกับเขา 2 เราไม่ได้ไปทำร้ายเขาเลย 3 เขารู้เขาเห็นว่าคนนี้ไม่มีฤทธิ์หรอก มันเหมือนควายตัวหนึ่งไม่มีฤทธิ์อะไร 4 เราช่วยเหลือเขาเท่าที่เราทำได้ จะน้อยหรือมากตามจริงได้ตามบารมี

เพราะฉะนั้นในความจริงสามสี่อย่างนี้ที่พูดที่บอก เขาจึงจำนนถึงเห็นว่าไม่ต้องทำอะไรหรอกมันเหมือนควายขึ้นเครื่องไม่มีประโยชน์ด้วยซ้ำไปเพราะฉะนั้นจึงรอดมันมีเหตุมีปัจจัยที่มันรอดได้มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆขอให้คุณถึงถึงจริงๆคุณรอดแน่ ต่อให้คนนั้นไม่มีกตัญญูกตเวทีแค่ไหนก็ตามมันจะมีสักวันมันถูกลูกหลงมา เซซังมาแล้วก็รักษาให้มันจะมีบ้างเล็กๆน้อยก็ตามขอให้จริงเถอะ ในที่สุดเราจะมีวิบากสุดท้าย เราก็ต้องถูกพวกนี้แหละฆ่าตายแม้เราทำคุณค่าประโยชน์ให้มัน มันก็ไม่มีกตัญญูกตเวทีกลับมาฆ่าเราตายก็ตาย แต่องค์รวมค่ารวมลึกลึกจิตใจมันรู้ว่าคุณงามความดีคืออะไร สิ่งเลวร้ายคืออะไร คนที่เฉลียวฉลาดมันรู้ทั้งนั้น

 เมื่อเกิดกลียุคฆ่ากันแม้แต่ในสนามรบกองพลาธิการกองกาชาดสองฝ่ายมันไม่ทำร้ายหรอกมันไม่ฆ่า กองพลาธิการก็หาอาหารเลี้ยงกับกองกาชาดก็ช่วยรักษา เขาจะตายแต่เจ็บป่วยก็ช่วยรักษ ามันไม่ทำร้ายทำลายมันก็ละเว้น แต่ถ้าไม่มีบารมีก็ถูกลูกหลงก็ต้องเจอแต่เขาไม่มาห้ำหั่นคนหรอกมีแต่ลูกหลง เพราะฉะนั้นวิบากหลายวิบากมันถึงที่จะตาย ถ้าไม่มีวิบากคนไม่ตายหรอก มันไม่มีใครจะฆ่าแกงกาชาดกับพลาธิการ ของพวกเรานี้กองกาชาดกับกองพลาธิการจริงๆแม้จะมีรูปร่างเล็กน้อยแค่นี้ ที่อาตมาทำได้แค่นี้ก็เกิดผลเป็นสัจจะ

การจะเป็นอยู่กับโลกต่อไปนี้คือเนื้อหานี้คือเป้าหมายที่จะอยู่กับโลกกับสังคม ใครอยากเป็นนักรบอยากเป็นนักฆ่าก็เชิญที่อื่น หรือจะเป็นนักรบอยากรวยอยากใหญ่ก็ไปที่อื่น มาที่นี่ไม่รวยแต่อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน แต่จุดสำคัญของความไม่ขาดแคลนเป็นไปได้อย่างไร โม้หรือเปล่ามันจะอยู่ได้กี่น้ำ จริงแล้วสัจจะของพระพุทธเจ้าให้คนมาฝึกท่านสอนให้ขี้เกียจไหมท่านสอนให้โง่ลงไหม หรือสอนให้สมรรถนะเสื่อมลงไหมก็ไม่เลย ก็ไม่ขี้เกียจก็ไม่ลดสมรรถนะที่ความรู้ความสามารถก็ไม่ได้ลดหย่อน มีแต่มาช่วยกันทําขึ้นเกิดความรู้ความชำนาญความเก่งความสามารถก็เกิดขึ้นได้ด้วย แล้วมันจะจนได้อย่างไร มันไม่จนแต่ไม่สะสมมารวย แล้วจะมีคงคลังมีหมุนไม่ขาดตอน แล้วเราก็ทำไปเรื่อยเหมือนอย่างอโศกเราทำมา 30กว่า ปีแล้วเราก็สบายไม่มีหนี้ นอกจากไม่มีหนี้ก็ยังมีเงินเพื่ออุดหนุนการหมุนเวียนอยู่ในนี้สำหรับผู้ที่ต้องช่วยกันมันทำได้เราทำได้นี่คือระบบวิธีของสังคม

 เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์บทง่ายๆคือไม่เป็นหนี้มีแต่เงินหนุนเงินเพื่อ ปิดประตูระบบทุนนิยมที่เป็นสินเชื่อเป็นเงินกู้ที่หลอกซับซ้อนเป็นพิธีการ investment ของเขา ที่มันซับซ้อน หากินบนหลังคนหน้าเลือด เลวที่สุดบนแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา สุดหลอกสุดล่อสุดฉลาดเฉโก

 ที่พาทำนี้และสาธยายผู้ที่มาได้สัมผัสสัมพันธ์มาอยู่กับชาวอโศก หรือแม้มาสังเกตการณ์ก็ตาม ที่อาตมาพูดไปนี้เป็นการพูดลอยลมไม่มีความจริงหรือเปล่า ก็ดูเอาก็แล้วกัน ส่วนข้างในนี้ พวกเรานี้เรื่องของโลกโลกีย์ก็เบาบางลงไปไม่ได้หวงแหน ใครที่ห่วงมากก็สะสมคนที่ไม่หวงก็กระจายออกไป ให้มีน้อยลงก็อยู่กับหมูได้  ข้าวมีกิน ดินมีเดินพี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ไม่ตะกละตะกรามเรื่องความโลภในลาภยศ ส่วนกามเสพราคะเสพโลกียะ เสพสัมผัสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผั สมันก็เบาบางไม่จัดจ้าน

โดยค่ารวมแล้ว สังคมชาวอโศกนี้เป็นสังคมสาธารณโภคีค่าเฉลี่ยของสังคมเรียกได้ว่าเป็นอนาคาริกชนเป็นชุมชนอนาคาริกชนคือเป็นชุมชนที่ ไม่ต้องมีบ้านช่องเรือนชานทรัพย์ศฤงคารที่หอบไปเป็นของตัวเอง อย่างดีก็ยังห่วงอยู่บ้าง ยังกลัวกลัวตัวเองจะอยู่ไม่ได้ ไม่ไว้ใจตัวเองถ้าอยู่ไม่ได้แล้วไม่มีเหลือจะทำอย่างไร ให้ไปหมดแล้ว อันนี้รับรองว่าแทงใจคนที่นั่งอยู่นี่ไม่น้อย เป็นเรื่องจริง ก็ไม่เป็นไรเอาเถอะ อย่าไปประมาท ต้องเอาให้แน่ใจว่าเราอยู่ได้ไม่มีปัญหาก็ค่อยเป็นไป

จริงอาตมาไม่ไปบังคับ คุณอยู่ไม่ได้แล้วให้หมด ก็ตาย อาตมาเห็นใจคนเราจะทำยังไงอยู่ก็อยู่ไม่ได้ออกไปก็ไม่มีฐานไม่มีต้นทุนอะไรเลย แล้วโลกทุกวันนี้มันง่ายที่ไหน อาตมาไม่ไปเร่งรัด ให้เอามาตามจริง คนไหนที่รู้ตัวเองหมดได้ก็อยู่ได้สบาย คนที่ยังมีเหลือไม่ว่าโลกธรรมก็ไม่เท่าไหร่ไม่ว่ากามก็ไม่จัดจ้าน แต่อัตตาสิ มีจัด ทำให้เหนื่อยจริงๆ อัตตาพวกเรานี้สงครามอัตตา แต่ละคนที่ว่ากูไม่ผิดกูดี กูถูกเอ็งผิด ก็เถียงกันไม่ยอมกัน

ในเบื้องต้นต้องมีถูกมีผิดไว้ยึด แต่เรื่องสูงสุดมันไม่มี สุดท้ายไม่มีถูกไม่มีผิด สัจจะมีหนึ่งเดียว สัญญาที่จะถูกจะผิดก็เพราะมันยึด เราก็ทะเลาะกันว่าของกูดีของเอ็งไม่ดี ต่างคนต่างยึดมั่นตัวกูของกูไป จึงเกิดการทะเลาะวิวาทถ้าผู้ใดไม่คิดอย่างนั้นแล้ว ถูกผิดมันก็คือเรื่องของสังคม สามัคคีเป็นตัวจบสามัคคีรวมตัวกันนั่นแหละคือ 1 ถ้ายังมีถูกผิดยังเป็น 2 ไม่รวมลงเป็นหนึ่งไม่เอกกสโมสรณา เป็นธรรมะ 2 แล้ว แม้จะเป็นแฝดมันก็ไม่มีอะไรลงตัวเหมือนกัน มันขบกันนิดก็เป็น 2 แล้วยิ่งกว่านั้นมันก็ขบกันมากกว่าเป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 ก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นสัญญา สัญญาว่าตนถูกกูถูกแล้วจะแบบว่ากูถูกไปอีกกี่ชาติ อาตมาก็เตือนก่อนจะมาอยู่หมู่นี้ก็ไหนว่าหมู่ที่ดี ถ้าหมู่นี้ไม่ดีก็ไม่มีปัญหาก็ออกไปได้สบาย แต่ถ้าคนที่ก็ว่าอยู่ไหนก็ไม่มีดีเท่าที่นี่แต่กูก็เข้ามาไม่ได้ก็คิดเอาแล้วกัน ก็สนุกเองตัวใครตัวมันนะ

 ของเรานี้ยังเหลือสงครามอัตตาลำบากมากเพราะมันยากกว่าอันอื่น โลกียะเรื่องกามก็ไม่เท่าไหร่ในพวกเราก็พอเป็นพอไป

 การลงโทษกันผิดในเรื่องโลกธรรมเช่นโลกภจนเป็นผู้ผิดมีอกุศล เราก็ลงโทษตามควรให้ออกไปให้รู้เข็ดหลาบบ้าง ว่าตัวเราเองก็เท่านี้ไปอยู่ข้างนอกก็จะไม่ง่าย นี้ไม่ใช่เรื่องของลาภเรื่องของโลภอีกแต่เป็นเรื่องของราคะเรื่องของกามมันก็ผิดพลาดได้ เป็นเรื่องจริงก็ถูกลงโทษเหมือนกัน บางทีเป็นเรื่องความซับซ้อน เมื่อไหร่จะเป็นการทุจริตอกุศลเรื่องของลาภเรื่องของกามก็ตามมันก็มีเหตุปัจจัยองค์ประกอบสมควรที่คณะหรือหมู่กลุ่มลูกขุน จะตัดสิน

เราเองพิจารณาด้วยลูกขุนไม่ใช่เผด็จการมีผู้พิพากษาคนเดียวเราไม่ทำ คนที่เป็นลูกขุนก็จะมีปัญญาพอสามารถพิจารณาตัดสินเป็นไปตามจริง ก็อย่าไปนึกคิดว่าลำเอียงว่าแกล้งมันมีเรื่องที่อาตมาบอกไม่ได้คือวิบากของแต่ละคน เรายังทำไม่ถึงทำไมนะ เราก็ทำดีมากทำไมถึงโดนขนาดนี้ อาตมาก็บอกไม่ถูก เราถือซะว่าการได้รับการขัดเกลาหนักหนาก็ตาม คนที่ได้รับการขัดเกลาเป็นคนมีโชค เพราะการขัดเกลานี้พวกเราก็ไม่ได้ขัดเกลาเพื่อจัดทำลายกัน มีสัลเลขธรรมไม่ได้ขัดเกลาเพื่อจะทำลาย คนเขาขัดเกลาเพื่อจะให้คุณผ่องใสสะอาดขึ้น ไม่มีใครโหดร้ายไม่มีใครใจร้ายหรอกในสังคมมาทำ อาจจะมีส่วนบกพร่อง มีตัวร้ายเหลือแต่ก็ไม่แรงบางคนก็อาจไม่ตรงนัก ปัญญายังไม่เต็มที่ก็เป็นได้ เราจะไปบังคับให้เขาถูกรู้หมดตรงทุกคนได้อย่างไร มันไม่ได้หรอก มันจะมีมากบ้างน้อยบ้างก็เป็นธรรมดา สรุปง่ายๆก็คือตัวเราก็อดทนเอาเถอะถ้าเราเลือกว่าหมู่นี้ดี สรุปผลเขาว่าอย่างไร เอาตามนั้นแล้วทำไปพากเพียรไปก็จะได้ดีเป็นความรู้ที่อาตมาจะบอกพวกอัตตาทั้งหลาย

 แม้แต่เศษส่วนของเราจะผิดในเรื่องของถูกผิดเรื่องของอัตตาและถูกตัดสินแล้วก็วางใจหลายคนก็ยอมรับไม่ดิ้นรนยิ่งดิ้นรนมากมันยิ่งมีความดื้อ หมู่ฝูงก็จะจัดการในความดื้อด้านไม่ฟังหมู่ พระพุทธเจ้าปรับเป็นอาบัติหนักระดับของสังฆาทิเสสคือผู้ว่ายากสอนยากเลยนะ ไม่ใช่เรื่องของความไม่ดีที่นิดหน่อยนะแต่เป็นรองจากปาราชิกเลยเรื่องบอกยากสอนยากดื้อด้านดึงดัน

 อาตมาได้สรุปไปแล้ว ถ้าเราเลือกว่าหมู่นี้ดี เมื่อกระทบแล้วก็ต้องมองว่าหมู่ไหนดีถ้ามองว่าหมูไม่ดีแล้ว เราก็ออกไปสร้างหมู่กลุ่มเองออกไปเลยเป็นช้างมาตังคะ ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องไปหาหมู่อื่นที่ดีกว่าที่เขาจะรับคุณ อยู่หมู่ไหนที่เขาให้เกียรติคุณ คุณมีความรู้ความสามารถคุณก็อยู่ได้ตามความจริงของคุณ เป็นอิสระเสรีภาพของมนุษยชาติ ศาสนาพุทธไม่มีปัญหามีทิศทางหมดไม่ยากอะไร

 ชาวอโศกเราได้ก่อตัวเปิดกลุ่มหมู่ของอริยบุคคลของมนุษย์โลกุตระขึ้นแล้ว มาถึงวันนี้ทุกวันนี้ก็พูดเปิดเผย เปิดตัวเป็นตน คนที่หมั่นไส้ก็ว่าหาประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเขาก็ยึดก็เชื่ออย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาส่วนคนที่เชื่อที่รู้ก็เอาคนที่เข้าใจที่เชื่อที่รู้นี่แหละว่าถูกต้องดีงามเอาอันนี้ก็ว่าไปเรื่อ ยมีแต่พยายามจะใช้พลังงานทำงานให้มากขึ้นทำอะไรให้มัน เข้ากรอบเข้ารอบเข้าเกณฑ์ตามวาระเวลาไปเรื่อย

ในสังคมไทยและต่างประเทศก็จะเป็นอย่างนี้ ก็รู้ข่าวกันตามสื่อสารสนเทศซึ่งมันมีมากมายที่จะสื่อสารกัน อาตมาเขียนเพลงอาริยะว่า ต่อให้คุณปิดตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวารแล้วมันก็ยังมีอีกทวารที่คุณจะรู้ได้ ลึกซึ้งมาก คนไม่ยอมรับไม่เปิดทวารเลย มันก็ยังรู้ได้เพราะเป็นสื่อสารสนเทศที่เป็น globalization ยังเหลือแต่ว่าถ้าโอบามาตดอยู่ที่ทำเนียบขาว เหมือนได้ยินถึงนี่เลย ต่อไปตดแล้วกลิ่นมาถึงที่นี่เลย แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ ขนาดที่เรารู้แค่นี้ก็เอาความรู้มาประมวลมาทำงานก็ยังทำไม่ไหวเลย มันไม่ได้น่าที่จะต้องไปอ้าขาผวาปีกให้รู้ทั้งโลกอย่างนั้น อาตมาไม่ต้องไปกับเขาหรอกเอาเท่านี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว แล้วก็ทำให้สังคมพวกเราอยู่เย็นเป็นสุขมีประโยชน์คุณค่าและไม่มีโทษภัยต่อคนอื่น ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นไปเรื่อย อาตมาก็มีจุดมุ่งหมายมีอุดมคติอย่างนี้ใครจะร่วมด้วยก็มาให้มาอยู่อย่างนี้ก็มีปัญหาอะไร

 เมื่อเราสามารถเลือกที่จะเกิดความจริง ทำความจริงแก่คนและสังคมขึ้นได้และมีพลังงานที่เป็นสนามแม่เหล็กของสังคมนั้นๆโดยระบบวิธีการทฤษฎีวัฒนธรรมโดยการปรับลดจากใจจริงมีภูมิปัญญาว่าเอาแบบนี้ แล้วเราก็มีกำลังทางจิตที่จะทำได้ขนาดนี้ก็ทำกันอยู่ก็เกิดสนามแม่เหล็กของสังคมนั้น ชาวอโศกก็คือสนามแม่เหล็กของบุญนิยมของชาวอโศก ก็เป็นอย่างนี้เราก็อยู่กับสังคมอย่างนี้ไป อาตมาเองไม่ได้ตกอกตกใจไม่รู้สึกว่าจะลำบากใจอะไรที่จะอยู่กับสังคมต่อไปเพราะเราเองเรามั่นใจว่าเราไม่ไปเบียดเบียนสังคม เราอยู่อย่างถ้าหมู่กลุ่มพึ่งตนเองให้รอดพึ่งตัวเองได้ จนเราทำอยู่ทำกินเลี้ยงชีพครอบครัวใหญ่สังคมสาธารณโภคีให้รอดแล้วจริงๆ มันจะรอดได้นานไหม มันขึ้นอยู่ที่ศรัทธาของเรา เราก็พอกินเหลือเฟือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนอื่นได้ วิธีการที่สังคมเรียกว่าการเมือง การเมืองคือช่วยมนุษยชาติช่วยคนอื่น การเมืองคือการช่วยสังคม การเมืองคือการช่วยประเทศชาติ การเมืองคือการช่วยโลก ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติให้อยู่สุขสบายดีไม่เศร้าหมอง

คนที่เป็นอริยะโดยเฉพาะเป็นอรหันต์ คนที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นมันก็จะเดา แท้จริงท่านอนุโลมปฏิโลมได้ ท่านไม่ติดไม่ยึด ท่านจะอนุโลมทำอะไรจะต้องปรุงแต่งกับคนด้วย ผู้บรรลุอรหันต์แล้วเหมือนแม่ครัวหัวป่าที่อยู่กับลูกเขา ก็ต้องทำอาหารให้เขากิน ก็อนุโลมทำให้เขาให้เขากินลง แต่ก็อย่าปรุงเกินจนเขาติดเขาหลง ให้เขาพอเป็นไป พอไม่ฝืดไม่ฝืนอะไรพอสมควรเสมอ แต่ตัวแม่ครัวไม่ได้ติดได้หลงตนเองปรุงแต่งแล้วก็มากินข้าวกับเกลือ กินข้าวกับพืชผักเฉยๆก็ได้ คนที่ไม่ติดไม่ยึดอะไรมากมายก็กินง่ายอยู่ง่าย เป็นอย่างนั้นจริงๆชีวิต เพราะฉะนั้นจะมีโอกาสไหมก็ปรุงให้คุณอยู่ แต่ของตนเอง ชิมดูก็รู้ว่าอร่อยว่าน่ากินอย่างไรตามสมมติเราก็หยุดพักก็ทำให้กินอีก ต้องทำงานกับสังคมเสมอ เป็นแม่ครัวก็ทำให้คนนี้กินเสร็จก็ทำให้คนอื่นต่อไป อะไรที่จะเป็นรสโลกีย์ต่อไปเรื่อย ทั้งที่ไม่เป็นของตัวนะ ตกลงความต่อไปนี้ไม่ใช่ของตัวเองและมีชีวิตอยู่กับอะไร มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ที่ปรุงรสที่มีรสโลกีย์ ท่านก็ยืนอยู่กับโลกีย์

มันจะมีความหนักบ้าง ก็ตอนอยู่กับตัวเอง อยู่ว่างๆมันเบา แต่คนที่อยู่กับโลกเขา มันก็ไม่อยู่เฉยๆหรอก ก็รู้จักพักรู้จักเพียร ควรพักก็พักเมื่อพักผ่อนแล้วก็เพียร อย่างน้อยก็มาคิดถึงสาราณียธรรม ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกกีภาวะ ก็มาคิดถึงว่าเราจะสงเคราะห์เขาอย่างไรด้วยความรักด้วยความรู้ฐานะของตนก็รู้กาละนะ เราจะช่วยใครเขาได้ตามฐานะ มีความรักปิยกรณะ เพื่อระลึกถึงสาราณียะ เราจะช่วยเขาอย่างไร ก็คิดหาว่าจะช่วยอันนี้สำหรับคนนี้จะช่วยอย่างไรก็รู้ เรารู้เขา ผู้ที่ไม่รู้จักเราก็ไปช่วยเขาไม่ได้ เราก็ช่วยคนที่พอรู้จัก มีเยอะไปแต่ละคนแต่ละคน ยังเหลือที่จะต้องช่วยอีกเยอะเราก็ช่วยไป งานให้ทำอยู่ตลอดเวลาตราบที่ไม่ปรินิพพานเป็นประโยชน์สาระ ก็มีโอกาสมีเวลาจะทำงานกับสังคมไปเป็นคุณค่าประโยชน์แก่สังค มยังกุศลให้ถึงพร้อมไม่ได้ ไปทำบาปทำชั่ว

เป็นทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วมาให้มนุษยชาติศึกษาให้บรรลุจบทฤษฎีการศึกษาอันนี้ให้สมบูรณ์แบบ แล้วมันเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของความเป็นมนุษย์จริงๆส่วนคุณจะจบแล้วจะเก่งขึ้นจะสามารถขึ้น รื้อขนสัตว์ช่วยคนได้มากขึ้นมากขึ้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละคนเป็นโพธิสัตว์ที่มีประโยชน์คุณค่า เป็นการศึกษาของพระพุทธเจ้า ส่วนการศึกษาของโลกก็เดินแต่ว่าเราจะได้เปรียบอะไรเขาอยู่เรื่อย ทำไมอาตมาให้พวกคุณไปเรียนรู้สอบเข้าปริญญาทางนิตินัย ก็พอจะช่วยเขานี่แหละไม่มีปัญญาสักใบ ถ้ามีก็จะพูดกับพวกนี้ได้ง่ายเขาจะยอมอีกเยอะ อาตมาจะพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าโดยไม่มีอลังการ พวกเราก็เชื่อมต่อกัน คุณไปเรียนมาได้ความรู้ก็ได้มากไม่มากก็น้อยเอาความรู้นี้ไปช่วยสังคมเท่าที่ได้ 1 ได้ความรู้มาบ้าง 2 เขายอมรับก็สะดวกขึ้นง่ายขึ้น ตำนานนี้สัมพันธ์กับเขาได้ยากเพราะไม่มีขั้นบันไดอะไรให้เขาอาตมาก็ไม่คิดจะไปทำ

อาตมามีแต่ธรรมะเพียวเพียวที่สร้างมาตอนหลังนี้อาตมาก็พากเพียรว่าเราได้พิสูจน์ธรรมชาติแท้โดยไม่ต้องอาศัยอะไรอื่นเป็นตัวช่วยเลย ได้ก็คือธรรมะไม่ได้ก็คือธรรมะ ก็รักษาตัวรอดมาได้ถึงขนาดนี้อาตมาภาคภูมิใจในธรรมะมากเล ยพูดอีกทีหนึ่งพวกคุณอย่ามาเอาอย่าง ให้ไปเอามาบ้าง คนไหนที่พอได้แล้วไปขี้เกียจนะเมื่อยแต่ก็ต้องพยายามนอกจากมีคนที่รักการเรียนจะไปดร. ขนาดด็อกเตอร์รินธรรม ก็บอกว่าพอแล้ว แต่มีปริญญาโทหลายใบ 3 หรือ 4 ใบปริญญาตรี 2 ใบทั้งหมดค่ะมี 6 หรือ 7 ใบ ตอนนี้ก็มีดอกเตอร์ขึ้นมาบ้าง แต่คนข้างนอกเขาจะไม่ค่อยรู้เราไม่อวดเค้าก็จะไม่รู้ เพราะดูแล้วมันก็เหมือนเหมือนกันเลย

เรามีภูมิศึกษาแล้วก็ไม่ค่อยขี้อวดมาด้วย ขนาดหมอเขียวก็ยังได้ด็อกเตอร์จนอาจารย์บอกว่าคุณมันภูมิรู้มากกว่าอาจารย์อีกไม่รู้จะเอาคะแนนที่ไหนมาให้ ให้จบไปเถอะ เป็นเรื่องที่เกินเชื่ออยู่ เขาก็เป็นของเขา หลายคนก็ค่อยค่อยเป็นไป ก็จะตั้งสถาบันอุดมศึกษาก็ยังไม่ได้ ก็ไม่ได้ดิ้นรนอะไรมากไปตามบารมี เป็นสิ่งที่จะเชื่อมโยงกับโลกเขา ไม่มีใบรับรองหลักฐานมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราอยากใหญ่ ตอบศึกษานั้นมาได้เชื่อมโยงโลกและได้รับความรู้จริง ได้มาแล้วก็มาใช้ทำงาน เราไม่ได้เรียนมาแล้วเอาไปรีดนาทาเร้นเอาอะไรจากคนอื่นเหมือนชาวโลกเขา ที่จบไปแล้วก็ไปเป็นเครื่องมือสะสมอะไรให้แก่ตัวเอง สร้างลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแต่เราไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้นไม่เสียหลายไม่เสียหายหรอก ไม่เป็นพิษเป็นภัยมีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกยิ่งขึ้น เป็นแต่เพียงเราต้องเสียสละ เราต้องไม่ต้องเคลียร์ ตอนนี้ขวัญดินก็ผ่านภาษาอังกฤษแล้วเขาหนักตรงภาษาอังกฤษนี่แหละตอนนี้ได้แล้วก็คงจะตัวเบาไปมาก นอกนั้นเขาก็ทำไปเรื่อย

 ไม่ว่าเราจะมีความรู้ทางโลกและทางธรรมเรามีแล้วก็มาทำงานให้แก่มนุษยชาติมารับใช้ไม่ใช่เอามารับจ้าง รับใช้กับรับจ้างมันต่างกัน ทำงานแล้วไม่พ้นลาภแลกลาภนั่นคือการรับจ้างส่วนการรับใช้คือไปทำงาน ช่วยเขาแต่ไม่เอาค่าจ้างไม่รับจ้าง นี่คือผู้รับใช้มวลชนไม่ใช่คนรับจ้างมวลชนหนักเข้าก็รับจ้างทำสงครามรับจ้างฆ่ามนุษย์ รับจ้างไปร่วมมือรีดนาทาเร้นเอาเปรียบเอารัดให้ได้มามากๆเป็นลูกจ้างนายทุน

 ตอนนี้มันยากตรงที่การสร้างบ้านแปลงเมืองเก่าสร้างแบบทุนนิยมสาธารณโภคีสร้างแบบคนจนจึงไม่มีเงินทุนตั้งต้นเป็นกอบเป็นกำ แต่เก็บวันต่อวันข้าวสารกรอกหม้อ ตนเองไม่เป็นหนี้ก็บุญแล้ว ก่อร่างสร้างตัวไป มาถึงวันนี้เห็นรูปร่างของราชธานีอโศกซึ่งมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาปี 2559 อาตมาเชื่อว่าในระดับที่น่าจะ ส่วนที่ชัดเจนเข้ามาจองบ้านเอาไว้ก็สร้างบ้านแล้วยังน้อยที่สุดคนมาสร้างบ้านไว้ที่นี่ เราก็ถือโอกาสใช้ บ้านต้องมีของคุณชุด 1 ของส่วนกลางชุด 1 ถ้าไม่มีกุญแจบ้านเกิดไฟไหม้แล้วทำอย่างไรนี่พูดให้ฟังชัดชัด แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องใช้งานเราก็มีงาน เราก็ขอใช้ ไม่ใช่ว่ามีของแล้วไม่ใช้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่แย่มันต้องใช้ให้เป็นประโยชน์คุณค่า ถ้ามีธนบัตรแบงค์ละพันเป็นหมื่นล้านกองไว้ก็เป็นเศษกระดาษไว้นานเท่าไหร่ ใกล้ๆเท่านั้น ไม่ได้ไปทำให้เกิดประโยชน์คุณค่าต่อสังคมต้องให้เคลื่อนที่ไปได้ด้วย แจ้งเคลื่อนที่อย่างมีเหตุปัจจัยองค์ประกอบครบก็เกิดค่าของมันจริงๆแต่คนในโลกมาใหม่ให้เกิดค่าได้ค่าส่วนเกินนั้นมาเป็นประโยชน์ต่อตน เอาราคาพาให้เขาแล้วออกค่ามอมเมาที่ปลุกเร้าให้คนหลงมาให้แก่ตัวเองนี่คือดูมากแล้วเอาเปรียบคนอื่นในสังคม เป็นเศรษฐศาสตร์แบบทุนนิยมเป็นสังคมที่ล้มเหลว ปี 2559 ก็คิดว่าน่าจะมีพลเมืองเข้ามาเพิ่มขึ้นทุกวันนี้ก็จะเห็นทำงานแต่ละฐานงาน ก็ขาดคน แต่งงานตกคน นี่คือสังคมประเทศชาติที่เจริญถ้าสังคมประเทศชาติที่คนตกงานสังคมนั้นเป็นสังคมไปไม่รอดคนตกงานแต่สังคมของเรานี้งานตกคน

เพราะฉะนั้นมีคนที่จะเข้ามาช่วยงานมันดีแน่ และเป็นความซับซ้อนมากคนที่ทำงานแล้วไม่ต้องจ้าง มันสะดวกขนาดไหนมันก็เลยง่ายเดือนตำแหน่งก็เร็วขยันเข้าไปเถอะเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองทำกินๆไปเถอะเดี๋ยวหมู่ให้เป็นเอง ก็มีแต่คุณจะทำไม่ไหว แต่พูดอย่างนี้ก็เลยจะไม่เอาไม่ใช่นะคุณมีสิทธิ์ที่จะทำเท่าที่จะทำได้ ทำให้เก่งเถอะดีกว่าอย่าทำเลยไม่เหมาะกับตำแหน่งหรอก คุณก็ทำไม่ได้เรื่องเขาก็จะเอาออกเท่านั้นเอง

ไม่ว่าจะเป็นสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ การปกครองก็เป็นแบบบุญนิยม อย่างแท้จริง พยัญชนะคำว่าบุญนิยมนี้จะเป็นที่ต้องศึกษากันในอนาคตซึ่งเคยพูดแล้วว่าบุญนิยมนี้จะเหนือกว่ายูโทเปีย ยูโทเปียยังไม่มีสภาพจริงและไม่มีทฤษฎียิ่งใหญ่จริงเหมือนกับของพระพุทธเจ้าของพระพุทธเจ้าทฤษฎีของท่านเป็นทฤษฎีเอกที่มีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรกตรงไหนไม่รู้ทฤษฎีนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่รู้มีมากี่ล้านล้านล้านล้านยุคแล้ว  แล้วไม่มีเก่าใช้ได้กับสังคมทุกสังคมสังคมที่ดีก็ใช้ได้ดีขนาดดีใจหายทฤษฎีของพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้ไม่ได้ขัดแย้งร้ายที่สุดก็ใช้ได้ แต่จะไปช่วยคนเอาทฤษฎีนี้ไปใช้กับเขาแล้วเขาไม่ได้หรือเขาเห็นว่าไม่น่าเอาก็เป็นเรื่องของคน แต่คนที่มีภูมิปัญญาเขาก็จะเอาคนที่จะเอาแต่ก็เอาอย่างหน้าน้องน้ำตาอยู่ คนอย่างนี้เป็นทักขิเนยบุคคลเป็นคนที่ควรได้รับการเลี้ยงดูไว้ว่าเขาเอาจริงซื่อสัตย์สุจริต ซื่อสัตย์ต่อสมาธิต่อปัญญาเท่าที่เข้าใจ แต่เขามีบารมีเท่านั้นปฏิบัติธรรมหน้าน้องน้ำตาอยู่ที่ว่าเป็นทักขิไณยบุคคล ขนลุกรับควรได้รับของแทนคุณได้รับการนับถือและจริง ยิ่งเป็นอริยบุคคลก็ยิ่งเจริญ มีความขวนขวายอุตสาหะวิริยะพากเพียรก็แน่นอนจะไปได้เร็วจนกระทั่งบรรลุสูงสุด ก็เหลือแต่คุณจะอยู่เพื่อโลกพัฒนาสมรรถนะความสามารถเพิ่มขึ้นช่วยโลกให้มากขึ้นหรือขนสัตว์ได้มากขึ้นตามฐานะของโพธิสัตว์ แต่ละระดับก็เป็นจริงตามนั้น

 เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกท่านประกาศทฤษฎีเอกนี้ แล้วเราก็ช่วยทุกศาสนา เป็นความกว้างต่างจากศาสนาบางศาสนาที่มาให้ศาสนาอื่นมาวุ่นวาย ป้องกันไม่สนใจเลย แต่ ของพุทธนี้เปิดกว้างไม่บังคับ อยู่ด้วยอิสระเสรีภาพ จะเรียกว่าลัทธิระบบหรือทฤษฎีก็ตามก็สูงสุดแล้ว ก็จะรอดูเหตุปัจจั ยอาตมาไม่ใช่เป็นคนที่ ไปใช้ปาฏิหาริย์ลึกลับไม่ใช่เพราะอาตมาต้องการใช้อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าอาตมามีบ้างในอิทธิปาฏิหาริย์อาทิตย์สนาปาฏิหาริย์ก่อนบวชแต่พอมาบวชแล้วก็ไม่ใช่เลย ทำงานนี้ให้พิสูจน์ธรรมเพียวเลย อย่าไปเอาพลังงานอื่นที่เป็นองค์ประกอบเป็นเรื่อง ที่เขาพูดว่าเอาไสยศาสตร์มาช่วยสิตัวเองก็มีมีคนยุให้ทำ จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์ก็ตา มอาตมาก็ว่าทำไมไม่เอา ในยุคนี้อย่างนี้ ไม่ทำ ท่านตรัสไว้เป็นวินัยด้วยสำหรับพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แต่ทุกวันนี้อาจารย์เกจิอาจารย์ดังๆก็เก่งปลุกเสก หรือไม่ปลุกเสกมีพระเครื่องมีฤทธิ์มีเดชมีทั้งนั้นเลยมีคำสอนมนตราอะไรก็แล้วแต่

คำว่าคำสอนนี้คือมนตรา มนตราของศาสดาก็คือคำสอนแล้วการรักษาคำสอนเอาไว้ก็มีวิธีคือ 1 การท่องจำ 2 เดือนรู้และปฏิบัติให้เกิดผลแล้วก็จะจำได้แม้จะจำภาษาไม่ได้ แต่ถ้ายิ่งจำได้ทั้งภาษาและมีเนื้อธรรมะก็จะเป็นอุปสรรคต่อภาพเป็นมนตรา ซึ่งมนตราไม่ใช่คำสวดเอาไว้หากิน มนตรานี้เอาไปตั้งให้มีฤทธิ์มีเดช ให้เกิด ศิริมงคลให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ยิ่งไปสวดต่อคนเยอะต้องเป็นร้อยคนพันคน แล้วบอกว่ายิ่งจะเกิดสิริมงคลจะให้รอดพ้นจากความตกต่ำ เดือดร้อนอะไรต่างๆนานาเป็นเรื่องไสยศาสตร์เป็นเรื่องมนต์ดำ ศาสนาถ้ามันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้มีนิกายมนตรายานนั้นคือเสียหมดแล้ว หมดแล้วจะอยู่ได้ไหมก็อยู่ได้เพราะพวกนี้มีศรัทธาจะเชื่อเรื่องลึกลับได้สวดมนต์ตราและจบ ยกตัวอย่างประเทศบางประเทศก็สงบอยู่ได้จริงๆแต่มันไม่ไปไหน ช่วยคนอื่นไม่ได้ ได้อยู่ในวงแคบในครอบครัวไม่มีฤทธิ์เดช ไม่ออกไปช่วยใคร แล้วตนเองต่างก็คิดถึงเหมือนกันไม่มีสองก็เลยไม่แย่งกันตั้งแต่อินเดียอาศัยพวกนี้ได้ที่อื่นที่มีลักษณะเจโตรักษาศรัทธาก็อยู่ได้ส่วนปัญญาที่เป็นสมาธิติจริงที่ไม่ใช่เฉโกเฉกาแกมโกง เป็นฉลาดที่ไร้กิเลสเรียกว่าปัญญา เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)ที่แท้จริง

 สัปดาห์ที่ผ่านทำนี้มันดีที่สุดแล้วสัจจะที่พาทำนี้มันดีที่สุดแล้ว ต้องพูดความจริงด้วยจริงใจแต่ ชอบบทความจริงสู่ฟัง แบบที่พระพุทธเจ้าถ้าทำนี้ยังลงแล้วในประเทศไทยก็จะเกิดความเจริญเกิดพัฒนาการไปได้เรื่อยเรื่อย อาตมาได้อธิบายได้บอกหลักเกณฑ์อันนึงว่าคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ ในเหตุปัจจัย 5 ประการหนึ่งไม่ศึกษา คุณดูสิคนไทยที่เป็นศาสนาพุทธศึกษาพุทธกี่คน มี 67 ล้าน จะมีกี่คนที่พากเพียรให้เกิดสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติให้ได้อริยธรรมพระพุทธเจ้ามีกี่คนสักเท่าไหร่ 2 ศึกษาแต่มิจฉาทิฐิมีเท่าไหร่ 3 หาสัมมาทิฏฐิมีเท่าไหร่ มันน่าสงสารประเทศไทยเมืองพุทธแล้วก็จะให้ตราลงไปในรัฐธรรมนูญพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อาตมาก็บอกไว้ ณ ที่นี้แล้วก็อย่าเชียวนะ อยากไปตราลงไปเพราะโลกต่อไปในอนาคตจะไม่อย่างนี้แล้ว เขาจะเปิดแล้ วเราจะไปปิดก็เข้าจะบ้าทวนกระแสโลกเขาใหญ่ เขาจะปิดของใครของเขา ก็เรื่องของเขาเราอย่าไปบ้า อาตมาว่าคนที่เสนอให้บรรจุในรัฐธรรมนูญว่าเป็นศาสนาประจำชาติ เขาพูดแล้วกันดักดานโง่ไม่เจริญเห็นแก่ตัว มีตัวมีตน มันต้องกล้ากล้า

ถ้าคุณไม่ดีจริงให้เขามาแล้วหลายคนไปเลยถ้าคุณดีจริงไม่มีอะไรมาแล้วหลายคนได้อสังหีรังไม่มีอะไรทำร้ายทำลายได้ถ้าไม่ดีจริงก็ควรจะแยกกันไปให้เขาละลายไปเสียให้เขาทำลายไปเลยก็มันไม่ดีแต่ถ้ามันดีจริงไม่มีทางละลาย สำคัญที่ว่าคุณทำสัจธรรมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีจริงของพุทธได้ไหม

วันนี้วันสุกดิบวินาทีนี้มันก็เย็นแล้วมันก็มืดแล้วพระจันทร์ขึ้นแทนพระอาทิตย์แล้ว ก่อนจะมีพระจันทร์ เราก็มีไฟฟ้าเป็นดวงดวงแทนแล้ว พรุ่งนี้ ก็คงจะมีคนมาเพิ่มขึ้น พรุ่งนี้มีการบิณฑบาต 7 โมง 15 เราก็ทำไปตามนิสัยของเราที่เป็นไปสรุปคือผู้ไม่มีศีลอย่าพึ่ง มาผู้ที่มีศีลแล้วอยู่ที่ใดที่ใดอย่างน้อย ศีล 5ไม่มีอบายมุขไม่กินเนื้อสัตว์ก็เชิญ welcome ยินดีต้อนรับทุกๆคน มาแต่ตัวกับหัวใจก็ได้แล้ว สำหรับวันนี้เวลาก็หมดล งก็ได้จบการเทศนาไป แล้วแยกย้ายกันไปเจริญธรรม จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:22:13 )

581125

รายละเอียด

581125_เทศนางานบุญลอมข้าวชาวบุญนิยม ครั้งที่ 1

พ่อครูว่า...วันนี้วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2558 เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม  เรามีงานจัดงาน ให้มีความรื่นเริง เป็นเรื่องของคน ที่หนักมาเหนื่อยมาบ้างก็มีสิ่งเหล่านี้ คนจะมีความรู้สึก อย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรไม่ว่าจะเป็นคนป่า ที่ยังไม่เจริญก็ตาม เขาก็จะมีเวลา ที่จะต้องระลึกถึงอย่างนี้ เพื่อความสมัครสมานสามัคคีสนุกสนานรื่นเริงร่วมกัน ให้เกิดความบันเทิงใจ อันนี้เป็นสามัญสำนึก เป็นสัญชาตญาณของมนุษยชาติ ที่รู้จักการบันเทิงใจ กับการเศร้าใจ

มันมี 2 แบบเมื่อคนสามารถมีปฏิภาณมากกว่าสัตว์ก็มาใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ให้บันเทิงใจสุขใจ หรือทำให้จิตใจดีขึ้น คนเราถ้าเข้าใจ แล้วจะไปเคียดแค้นอะไรก็ไม่ดี ไปสนใจที่บันเทิงเริงรมย์ก็ดีกว่า ก็ใช้อันนี้เป็นสิ่งที่จะทำให้คนเราพัฒนา ก็เป็นคุณสมบัติที่เป็นคุณธรรมเป็นความฉลาดของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของสมมุติสัจจะที่ต้องใช้ในโลก

เราก็ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้บ้างสำหรับคนที่มีคุณธรรมมีจิตวิญญาณที่ยังต้องปฏิบัติธรรมต้องฝึกฝนจนกระทั่งจึดสูงสุด ถึงขนาดไม่ต้องเบิกใจก็อาศัยความรื่นเริงเบิกบานด้วยสัจจะที่ลึกซึ้งมาก สำหรับผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานสูงสุดก็ไม่มีเศร้าเสียใจ คนที่จะต้องอาศัยก็ต้องมีสิ่งนำพา สิ่งเหล่านี้คือความลึกซึ้ง

คนที่เข้าใจยังไม่ครบถ้วน บางคนก็ปฏิเสธบอกว่าผู้ปฏิบัติธรรมบรรลุสูงสุดต้องมีจิตใจไม่ทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ดูดไม่ผลัก จิตอรหันต์ ก็เข้าใจเลยเถิดไป ไม่รู้ว่าสิ่งที่อาศัยเป็นสัจจะอย่างที่มีสมมุตสัจจะ เป็นโลกีย์ผู้ที่บรรลุโลกุตระแล้ว ก็สามารถอยู่ได้กับโลกีย์อนุโลมกับเขาได้เข้าใจความเป็นจริง ของสิ่งที่จะต้องเกื้อกูลกันอนุโลมปฏิโลมช่วยกัน เพื่อสิ่งที่เจริญ มีทฤษฎีที่จะพากันไปสู่ความสูงได้

          เหล่านี้พระพุทธเจ้าประกาศไว้ แล้วออกมาสืบสานต่อกันให้เกิดประโยชน์คุณค่าแต่ละคนและประโยชน์คุณค่าต่อสังคมส่วนรวม เป็นเรื่องที่สุดยอดในเรื่องความรู้และความเป็นได้ ซึ่งความบรรลุ 0 คนเข้าใจยากที่มีสัจจะ 2 ส่วน คือปรมัตถสัจจะ กับสมมุติสัจจะ คนที่จบสูงสุดเป็นอรหันต์นั้น ก็ไม่มีอะไรยึดถือ ก็สามารถอนุโลมให้เขาเท่าที่จะอนุโลมได้ อรหันต์จะอยู่กับหมู่กลุ่มอย่างเข้าใจ ความเป็นจริงของฐานะบุคคลแล้วก็จะอนุโลมปฏิโลมได้จริง

แต่แน่นอนการที่จะมีความเคร่งครัดการปฏิบัติธรรมเพื่อมุ่งสู่จุดสูงสุด การอบรมปฏิบัติได้สูงสุดก็ต้องเป็นผู้บรรลุธรรมสูงสุด ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ก็อย่าไปตีทิ้ง เพราะคนจะตีกินว่าอนุโลม แต่แท้จริงตัวเองก็ยังเสพติด แล้วบอกว่าเป็นอนุโลมให้คนอื่น เช่นคนเอาแต่ใจหลอกคนได้ก็เป็นบาปของเขา เป็นเรื่องความเลวร้ายของเขาก็แล้วแต่ใคร เป็นสิ่งจริงของวิบากกรรม ของสัตว์โลก จะต้องมีที่อาศัยจิตวิญญาณเป็นตัวซับและดูดซึม แต่ก็ร้างละได้

          งานนี้จัดเป็นครั้งที่ 1 จัดบุญล้อมข้าว อาตมาก็ไม่ได้เป็นผู้ร่วมทำทีเดียว ทางศรีษะอโศกเคยทำมาอาตมาก็เคยไปร่วม แต่พอมาที่บ้านราชก็เลยมีผู้ร่วมคิดร่วมกันทำ ก็รู้สึกว่าเป็นปึกแผ่นขึ้น มาร่วมกันได้หมดไม่ว่าจะศีรษะอโศก สันติอโศก ใกล้ๆหรือไกลชุมชน ก็มากันทั้งนั้น มีส่วนส่างฝัน ศีรโคตรบูรณ์เป็นต้น ก็มารวมกันครั้งที่ 1 ที่นี่ก็เห็นหลายอย่างเกิดขึ้น มีผลสูงมากตามปัญญาตามสายตาของอาตมาว่า เป็นเรื่องที่ประเสริฐในความเป็นมนุษยชาติ แนวลึกของความยึดถือ แนวลึกของความนิยม

ส่วนทุกวันนี้นิยมแต่ไปหาโลกีย์ไปหาสมัยใหม่ที่มันเป็นอกุศลมันแรงมันจัดเกินไปแรงเกินไป แล้วก็กลายเป็นเรื่องแข่งเต้นแข่งดีเห็นแก่ตัวเอาเปรียบเรารัดทำให้คนติดยึดรสชาติสนุกสนานปั้นแต่งเชิงที่สร้างสรรค์ขึ้น แล้วก็มาขาย เอามาหาเงิน ครอบงำคนให้ติดแล้วก็หาเงินโลภโมโทสันกอบโกย จนทุกวันนี้เป็นความติดยึดที่หนาแน่นเมื่อติดยึดแน่น คนก็สามารถใช้เป็นอำนาจต่อรองให้คนติดนี่แหละ คือเขาจะต้องมาเสพอารมณ์นั้นก็ต้องราคาขึ้นครอบงำความคิดขึ้น กิเลสก็หนาจัดขึ้นติดมากขึ้น โกงราคาได้มาก

เพราะฉะนั้นราคาของนักอบายมุขเต้นกินรำกินสนุกสนานรื่นเริงแข่งขันเอาชนะคะคานก็มีสองแง่แบบเอาชนะเป็นเชิงโทสะ ส่วนทางบันเทิงเริงรมย์ก็เป็นทางด้านรสราคะ มี 2 ทางใหญ่ๆ ก็เป็นความติดยึดทางจิตแบบนั้น เอาไว้สำหรับหาเงินหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วยกย่องเชิดชูกันนยิ่งใหญ่ทั้งๆที่เป็นสัตว์นรก ที่มัน ไปเสพติด สิ่งที่เป็นเรื่องรื่นรมย์บันเทิงแต่มันเป็นโทษ คือขิฑฑาปโทสิกะ เป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์อบาย

โลกไหนก็ตาม ที่ราคาของพวกบันเทิงเริงรมย์ดารากับพวกแข่งขันเอาชนะคะคาน ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้รับความนิยม ได้ค่าตัวสูงเท่าไหร่แสดงว่าสังคมตกต่ำมากเท่านั้นเพราะคนนิยมโลกอบายภูมิแสดงว่าโลกตกต่ำ โดยไม่เข้าใจมีอวิชชาว่าจัดจ้างด้วยแรงมาก ซึ่งศาสนาอื่นยากจะเข้าใจ เขาจะพอเข้าใจบ้างแต่ไม่ชัด แต่พุทธศาสนานี้ชัดมาก สำหรับผู้รู้จัก

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธนั้น 0 ไม่มีผู้รู้ที่จะชัดอย่างจริงจังแล้วเขาก็ไม่กล้าพูด ท่านเรียกว่านรกปหาสะ  เป็นนรกติดความบันเทิงเริงใจเสพรส สนุกๆสมใจเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการติดรส ทางราคะหรือทางโทสะก็จัดจ้าน จนกระทั่งเส้นโลหิตแตกตาย ก็ตีกันฆ่ากันก็เป็นไปก็ห้ามกันยาก ตอนนี้ก็เริ่มมีในประเทศไทยแล้ว

           ไม่ได้ดูถูกใคร แต่ผู้รู้ก็จะรู้ ผู้ไม่รู้ก็ไม่รู้ พูดไปนี้ก็ไม่ได้เกิดให้คนนิยมชมชอบอาตมา พูดไปเหมือนไอ้เข้ขวางคลอง เกิดมาชาตินี้ อาตมาก็ชอบทางด้านนี้ ตั้งใจจะเป็นดาราก็หากินทางนี้ ด้วยตอนเป็นฆราวาสอยู่ในโลกบันเทิง แต่ภูมิเดิมของอาตมามี พอถึงเวลาก็เลยเลิก ก็เลิกได้ง่าย ก็ไม่ได้ติดอะไรเป็นแค่ลิงลมอมข้าวพอง

           มาถึงวันนี้ก็พาทำสิ่งอนุโลมปฏิโลมไม่ใช่พาทำแข็งทื่อด้าน แรกๆก็จะเคร่ง ต่อมาก็สามารถอนุโลมปฏิโลมกับคนอื่น แต่ก็รักษาความตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ ตั้งมั่นในจุดสูงสุดที่เที่ยงแท้แน่นอน อนุโลมกับคนอื่นด้วยตัวเองไม่เสื่อมถอย จนถูกโลกดึงเข้าไปได้ ที่ไม่ง่ายก็ต้องปลูกฝังกันมาก

แต่โลกุตรธรรมเป็นเรื่องครบในต้นกลางปลายซับซ้อนลึกซึ้งมาก ก็เลยจะต้องอยู่นานๆ เพื่ออธิบายประกาศความเป็นจริง ที่จะสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ทำงานมา 15 ปี ก่อสร้างโลกอารยะได้แค่นี้ งานนี้ก็ประกาศไปทางโทรทัศน์คนก็มาเท่านี้แหละ มาก็จะได้รสแบบนี้ไม่ใช่รสจัดจ้านรสปรุงแต่ง มากมายที่เป็นเรื่องของสมัครเล่นหรือ amature ไม่ใช่ professional ทำอย่างเป็นมืออาชีพเขา ที่เขาใช้หากินทางนี้ ได้เป็นแค่เครื่องบันเทิง สมัครเล่นเท่านั้นไม่ใช่จริงจัง ที่จะต้องทำวันนี้ให้เป็นชีวิตหรือหากิน ถ้าเอาการละเล่นอบายมุขพวกนี้เป็นอาชีพคือสังคมเสื่อมแล้วมันรุ่งเรืองมากก็คือเสื่อมมากอาตมาเกรงใจที่ต้องพูด แล้วราคาความบันเทิงเริงรมย์เหล่านี้ราคาสูงจนกระทั่ง คนทำมาหากินพื้นๆไล่ ไม่ติด

          ก็พยายามเอาสัจจะมาเปิดเผยกับผู้แสวงหา ที่จะไม่ไปเสียเวลาสั่งสมสิ่งเหล่านี้ในจิตวิญญาณข้ามภพชาติ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ  คนถ้าไม่ศึกษาปฏิบัติให้ตนเองเป็นอริยะเป็นโลกุตระก็จะตกนรกขึ้นสวรรค์วนเวียนไปแต่ละชาติแต่ละชาติ รับบาปอีกไม่ใช่น้อย ร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติแสนชาติเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

อาตมามาเพื่อให้คนที่แสวงหาจะได้สิ่งประเสริฐใส่ชีวิต รู้ดีว่าจะไม่ได้มาก ทำเล็กทำน้อยได้หมู่กลุ่มขนาดนี้ จะไม่ตื่นเต้นคลั่งไคล้เป็นหมู่กลุ่มมากมาย ก็ไม่ได้หรอก เพราะยุคนี้เป็นใกล้กลียุคจิตวิญญาณเสื่อมต่ำ มาหลงใหลบันเทิงโลกีย์มาก แต่ก็จำเป็นจะต้องสร้างสิ่งเหล่านี้สำหรับผู้ประสงค์แสวงหาต้องการสิ่งนี้ก็ต้องทำ และตั้งใจจะช่วยให้ได้มากที่สุด จะได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่

           งานบุญล้อมข้าวครั้งที่ 1 นี้ อาตมาให้เห็นว่าพวกเราจะเข้าใจสิ่งที่จะสืบสานเรื่องเหล่านี้ดีมาก ปีนี้หลายคนก็สรุปว่า ก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรมาก ข้าวสุกเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วเราก็ว่าจัดงานบุญลอมข้าวเข้ากันดีไหม จัดขึ้นมาก็ตั้งใจกันให้เป็นงานขึ้นม าก็ทำได้เร็วทำได้ด้วยจิตด้วยใจแสดงให้เห็นว่าจิตใจพวกเรา มันดีงามมากขึ้น แล้วพวกโลกีย์จัดจ้านจะไม่มาดูพวกเราหรอก เขาจะดูถูกเลย เขาจะไปบูชาพวกตกแต่ง ซ้อมให้สุดยอดชำนาญ อลังการอะไรของเขา จะไปเรียกเงินคน ใครไม่ได้ดูก็จะไปบอกกันว่าประเสริฐเลิศลอยใครไม่ดูก็เสียชาติเกิด แต่พวกเราก็ทำไป เหมือนเล่นเล่นไม่จริงจัง แต่พวกเราก็เอาไว้แค่อาศัย ชอบคนมีทุกระดับก็มีกิเลส ให้เขาได้ไปตามขั้นตอน

          คิดว่าเนื้อหาสาระที่แทรกซ้อนในงานนี้ รู้ลึกลึกในสาระสัจจะ ก็เป็นเรื่องของความหมายเป็นคุณค่าที่เป็นความประเสริฐลึกซึ้งของความเห็นความเข้าใจปัญญา รู้ลึกจริงๆมันมีอยู่ในพวกเรา เราเหนื่อยนะเราทำอย่างนี้ เสียสละทั้งนั้นจ่ายวัตถุเงินทองข้าวของช่วยเหลือกัน มาที่นี่ก็มาสนุกสนานไป บันเทิงมีบ้างมีอยู่มีกินก็ยังเห็นเห็นกัน แสดงออกถึงจิตวิญญาณชั้นสูงไม่มีใครมาโลภโมโทสันจะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มีเหรียญครูบาพาให้รวยให้ได้โอกาส จัดเสร็จแล้ว ก็จะได้อะไรกลับมา แต่นี้ไม่ได้อะไรกลับมา มีแต่เสียไปทั้งวัตถุเงินทองข้าวของ มีแต่สร้างให้เกิดจิตเป็นสามัคคีธรรมเป็นสิ่งที่รวมมนุษยชาติให้เกิดจิตวิญญาณมีความฉลาด รู้ว่ามนุษยชาติต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ประมาณนี้

การจัดงานก็คือจัดองค์ประกอบ ตกแต่ง ขึ้นมา มีอะไรเป็นเรื่องราว บางอย่างจัดไปก็ไม่เอาอย่างเขา เราแสดงอะไรบนเวทีอาตมาห้ามแต่งหน้าทาปากตั้งแต่ต้นมาถึงปัจจุบัน เราก็ทำได้ จะแต่งเสื้อผ้าองค์ประกอบบ้างก็ทำ ไม่ว่า แล้วพวกเราก็เข้าใจก็พยายามทำกันมาได้ มันมีขีดมีกี่เขต เราไม่จัดจ้านจนเพิ่มราคะ กามคุณ5 กันมากให้แรงจัด หรือไปในทางโทสะให้แรงจัดไม่มี sadism กับ romantism 2 ด้าน มีรุนแรงโทสะกับเสพรสราคะ ก็เอาแต่พอประมาณ ที่มาเรื่องนี้ก็มาช่วยกันทำ มาช่วยเป็นมวลก็มีมาร่วมกินร่วมสนุกบันเทิง แม้จะไม่ได้มาช่วยงาน ก็ต้องมีผู้ให้และผู้รับ 2 ฝ่าย ถ้าเราให้แต่ไม่มีผู้รับจะจัดทำไม มันไม่ได้ จะต้องเข้าใจว่าผู้ที่มารับ ก็ถือว่าเป็นองค์รวมองค์ประกอบด้วย ไม่มีอะไรที่จัดจ้านเชิงหยาบ แบบโลกีย์เขาไม่มี แสดงราคะจัดแสดงออกรุนแรงจัดก็ไม่มี เป็นค่ารวมที่ดีมาก สังคมต้องการแบบนี้เป็นสังคมเป็นสุข

          เพราะฉะนั้นงานนี้จะต้องทำต่อไปในปีต่อไปสิ่งที่เราทำพวกนี้ ที่เราต้องลงทุนลงแรงเสียสละ เราคิดไม่เหมือนเขาคิดแบบทุนนิยม จะทำอย่างนี้เพื่อที่จะได้อะไรต่อไป เพื่อจะทำมาหากินแบบนี้ ก็จะร่ำรวยเลยเป็นเชิงชั้นปอกลอก และมีเวลาก็ตักตวงกอบโกย เขาทำอย่างนั้นทั้งนั้นแต่ของเราไม่ใช่ ก็พูดได้ประมาณนี้

           ขอสรุปว่าขอบคุณทุกคน ที่ได้มาทำงานร่วมทั้งที่เป็นเจ้าภาพลงทุนลงแรงทั้งผู้ที่มาร่วมมาทำให้งานนี้เกิดองค์รวมที่สมบูรณ์ ทั้งผู้ให้ผู้รับ ก็ขอขอบคุณทุกคน สังคมเราก็จะค่อยสร้างสรรค์ยังได้สัดส่วนที่ดีที่สุดเป็นองค์ประกอบศิลป์ ที่ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุดเท่าที่จะทำได้ ขอบคุณทุกคน


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:23:16 )

581126

รายละเอียด

581126_ธรรมาธรรมะสงคราม สังคมบวรอันสมบูรณ์

พ่อครูว่า...วันนี้ วันพฤหัสบดี ที่ 26 พฤศจิกายน 2558 เป็นวันแรม 1  ค่ำเดือน 12 ปีมะแม ผ่านวันเพ็ญเดือนสิบสองมาแล้ว ในเรื่องการศึกษาวันนี้มีผู้มาช่วยอย่างอาจารย์จำรัส ช่วงชิง ก็ได้มาช่วยให้นักเรียนได้ศึกษาเล่าเรียนว่าการศึกษาเล่าเรียนของเราจะเรียนอะไร อย่างไร

หลวงปู่ก็ได้ตั้งหลักการใหญ่ในการศึกษา ว่า “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” คือจะต้องปฏิบัติไปในตัว อย่างอาจารย์จำรัส มาสอนให้ พยายามจะให้เข้าใจว่าการศึกษาเราจะเอาที่เคยเรียนในห้องเรียนได้ อ่านได้ แต่ต้องฟังครูอธิบาย จดจำ และใช้ความคิด ตามคำอธิบายของครู ให้เกิดความเข้าใจ ความรู้ก็ได้องค์ความรู้ แต่ภาคปฏิบัติไม่ได้กระทำจริงไม่ได้ลงมือทำจริง ก็จะมีบางภาควิชาได้ปฏิบัติด้วย เช่นอาชีวะ ส่วนใหญ่ก็เรียนแต่ในห้องเรียนไม่ได้ปฏิบัติจริง

แล้วที่ล้มเหลวมากคือ ไม่ได้เอาศีลธรรมเอาศาสนาไปใส่ในการเรียน ในอิสลามมีห้องเรียนศาสนาเต็มที่เลย แต่ของพุทธเรา ล้มเหลว แต่ก่อนนี้มีเรื่องหน้าที่พลเมือง มีคุณธรรมจริยธรรมบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ปล่อยปละละเลยไม่เอาถ่าน เพราะฉะนั้นคนจึงเสื่อมตกต่ำ เพราะไม่ได้ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก หรือสูงถึงปริญญาก็ไม่ได้มีส่ิงนี้จึงเห็นความล้มเหลวของการศึกษาชัดเจน กลายเป็นสังคมไร้คุณธรรม

     โดยเฉพาะการขี้โกงคอรัปชั่นเป็นปัญหาหลัก ศีลธรรมไม่มี เรื่องทำงานไม่เป็นก็ใช่ด้วย การทำงานไม่เป็นนี่ของสัมมาสิกขา นี่มีความหมายสูงส่ง ให้ทำงาน

     คือสัมมาสิกขาไม่ได้แยกรร.ออกจากบ้าน จากสังคม จริงของมนุษยชาติ ฟังดีๆ นร.จะเป็นนร.ประถมหรือมัธยม หรืออาชีวะ ของสัมมาสิกขาไม่ได้แยกการทำงานออกจากสังคมจริง อยู่กับสังคมหมู่บ้านที่เรามีชีวิตร่วมด้วยจริงๆ 

     จะต้องได้รู้สำนึกในสังคมครบถ้วน สังคมมนุษยชาติ ที่เขาเรียนกันในชีวิตในโลกส่วนใหญ่ก็เรียนในห้องเรียนทั้งวัน ตั้งแต่เช้าอยู่ในห้องเรียนเย็นกลับบ้านทำการบ้าน ไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับสังคมจริง ไม่ได้เรียนกับสังคม ที่ตนเองอยู่ด้วยเป็นจริงกับสังคมมนุษย์ ที่จะต้องมีพฤติกรรมตามสังคมแวดล้อมอยู่ มันมีอะไรลึกซึ้งมาก ที่อื่นเค้าเรียนเช่นนั้นจริงๆ เรียนตั้งแต่เล็กจนโต จบปริญญาอยู่ในกล่องอันนี้ เป็นเรื่องเสื่อมที่ยิ่งใหญ่ที่ผิดพลาดของมนุษย์ ส่วนของเรานี่เอาการเป็นอยู่ของสังคมเด็กๆนักเรียนกับสังคมเรียนรู้ร่วมกันไม่ได้เอาแต่ในห้อง จะมีใครมามีความเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กันอย่างไรก็ร่วมรับรู้ไปหมด

     ยิ่งเป็นเด็กด้วยก็จะมีการซึมซับ osmosis ซึมลึก ละเอียดลึก จะใช้คำว่า absorb ซึ่งศัพท์นี้ก็ไม่ถึง ต้องใช้ osmosis ที่แตะต้องสัมผัสซึมซับได้ลึกซึ้ง ซึ่งการศึกษาทั่วทั้งโลกนี้ที่สืบทอดกันมาคงจะเป็น 100 ปีแล้ว ของไทยเรามาก่อนก็ยังมีศีลธรรมบ้าง แต่เดี๋ยวนี้ให้เรียนแต่ในห้องไม่เกี่ยวข้องกับสังคม มาได้เรียนรู้สังคม จะเรียนรู้เรียนรู้เล็กๆน้อยๆ ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ของสัมมาสิกขานี้อยู่สมบูรณ์แบบ

     ยิ่งเรามีศีลธรรม ความเป็นธรรมะ ศีลธรรมจะเข้าไปสร้างสำนึกให้แก่คน แล้วก็มีพฤติกรรมสังคมจริง ก็จะปรับมารยาท และพฤติกรรมกายวาจาใจของตน จะอยู่กับสังคม มันมีผลมาก แต่เมื่อรร.เอานร.ไปเรียนในห้องเรียน ไม่ได้สัมผัสกับสังคมจริงที่ตนเป็นอยู่ อาจจะแค่เห็นหรือผ่านๆ จะไม่ครบถ้วนเป็นชีวิตจริงเท่าไหร่ ยิ่งขาดเรื่องศีลธรรมธรรมะด้วย ที่จะต้องเอาไปใช้สังวรระวังอยู่กับสังคมก็ไม่มี ขาดพร่องไปมากเลย อาตมาว่าอันนี้เป็นความเสื่อมบกพร่อง พลาดไปแล้ว จะทั้งโลกก็มีแต่การศึกษาในกล่องเท่านั้น อยู่ในห้องเรียนไม่ได้สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ กับสังคมจริงที่เราจะต้องมีชีวิต

โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนถิ่น ถ้าเราจะต้องอยู่ที่นี่ไปนานจนตาย เรายิ่งต้องรู้ความเป็นอยู่ของสังคมนี้มนุษย์ที่นี้ เพราะรายละเอียดของสังคมแต่ละแห่งทั้งภูมิประเทศ วัฒนธรรม เศรษกิจ รัฐศาสตร์มันไม่เหมือนกันทีเดียว ถ้าเป็นไปได้นักเรียนก็ควรจะอยู่กับสังคมนั้นนั้นไม่ใช่ไปเรียนต่างประเทศจบปริญญาเอกมาแล้วไม่รู้เลย ว่าที่ที่ตนเองจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นความจริงอย่างไร เขามีการเปลี่ยนแปลงในภูมิประเทศในพฤติกรรมในเศรษฐกิจสังคมของสังคมที่ตนจะมีชีวิตอยู่เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เปิดเรียนแต่ในกล่องในห้องเรียนบางคน 12 ปี บางคน 20 ปี แล้วออกมาใช้ชีวิตกับสังคมตนเอง ตามภูมิลำเนา

จึงเกิดการเอาสิ่งที่ไม่เข้ากัน เอาความรู้ของที่อื่นที่เราเรียนสำเร็จมาที่เรา ได้จบการศึกษาขั้นไหนก็แล้วแต่แม้แต่ปริญญาเอกแล้วก็มาใช้ชีวิตจริง กับที่ได้ศึกษามา มันคนละฝาคนละตัว มันไม่ใช่ฝาเดียวกันเลย ก็เห็นความบกพร่อง ความขาดพร่องเช่นนี้มากด้วยในทุกวันนี้ แล้วคนที่จะเรียนสูงสูง จากที่เราหลงใหลยกย่องเอามาให้เป็นผู้บริหารให้เป็นผู้นำสังคมอีก ทั้งทั้งที่เขาไม่รู้อย่างลึกซึ้ง เรามาบริหารสังคมอีก มันก็เลยเป็นการ ทำให้สังคมนั้น มันไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น

 ที่ขยายความอธิบายมา โดยวิธีการศึกษา ก็ขอสรุปว่าพวกเรานักเรียนสัมมาสิกขา อาตมาแก้ให้เป็นศีลเด่นเป็นงานชาญวิชา หรือ บวร

คำว่า “บวร” นี้ เขาก็พยายามให้มี “บ้านวัดโรงเรียน” แต่เขาไม่เอาจริ งแต่อาตมาพาทำเอาจริง เราอยู่ในสังคม หมู่บ้านเราทำนา เราก็ทำนา เขามีงานสำคัญของหมู่บ้านนักเรียนก็ไปร่วมงานนั้นสัมพันธ์กับสังคมไปตลอด ถ้ามีเรื่องจำเป็นหรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน มีกิจการมีกิจกรรม อะไรต่างๆนานา นักเรียนของพวกเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสังคม ได้ศึกษาได้ฝึกฝนได้เห็นได้รู้ได้ร่วมตลอดเวลาตามความเหมาะสม เท่าที่จะทำได้ ที่อาตมาพาทำนี้ก็ทำได้พอสมควรเลยถ้ายังมีผู้รู้ไปวางระบบให้ดีเป็นหลักสูตรเป็นบ้านวัดโรงเรียนที่สมบูรณ์แบบ ก็จะยิ่งดี

 เราผ่านงานบุญล้อมข้าว มาแล้วเห็นว่าสังคมของพวกเราให้ความสำคัญต่อพืชพรรณธัญญาหาร ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนไหนมาช่วยกันลงแขก เป็นสิ่งที่สำคัญ  นักเรียนของพวกเรานี้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนจะต้องทำนาเป็น จะต้องได้ฝึกฝนเรื่องของข้าว ก็พูดอย่างประชดกันในสังคม ว่าพวกที่สูงสูงเจริญเจริญที่เขาได้เพราะพวกไฮโซ เขาไม่รู้ว่าเขานั้นมาจากไหน แต่กินอยู่ทุกวัน ถามว่าข้าวนั้นมาจากไหน ก็ไม่รู้จักแต่ก็กินอยู่ทุกวันมันน่าสังเวชใจเกิดมาเป็นคน ไม่รู้ว่าข้ามาจากไหนรู้แต่ว่าข้าวอยู่ในเมล็ด เป็นเมล็ดอยู่ในจานเท่านั้น

พวกเรางานที่ผ่านบุญลอมข้าวนี้ เราแข่งกีฬานวดข้าว มันให้อะไรแก่อาตมาไหม ว่าพวกเราได้สัมผัสสัมพันธ์ แต่อาตมาไม่ได้ร่วม ก็มีปฏิภาณรู้ นวดกันไม่รู้จักกี่คนแล้ว ข้าวที่ได้กี่เม็ดข้าว ที่ได้กันวันนั้นได้ แค่นั้น ก็เป็นสีข้าวก็ได้ข้าวสารมาหุงมานึ่งกินกัน ก็ได้ใช้แรงงานให้เป็นข้าวแต่ละเม็ด วันนี้ก็ได้ไปที่นา ก็เหลือแต่น้อยร้อยไร่อยู่คนเดียวแดดเปรี้ยงเปรี้ยง

 ไม่แต่ว่ากิจการข้าวเท่านั้น ก็มีกิจการอื่นอีก ที่พวกเรามีน้ำใจมีการเอาใจใส่เอาภาระทำงานอยู่ร่วมกับสังคมอย่างเป็นคนมีสำนึก มีจิตวิญญาณสูง แต่ละคนที่รับผิดชอบเอาการเอางาน สังคมที่อาตมาพาทำไม่ได้เป็นสังคมที่ใช้ที่เป็นลูกจ้าง ใช้อำนาจเงิน สังคมเราไม่ใช้ อาตมาภาคภูมิใจที่ได้ทำสังคมจนเป็นหมู่บ้านแบบนี้มีหลายหมู่บ้านแต่ละคนรับผิดชอบเอาการเอางานที่จะต้องช่วยทำ แล้วแต่ถนัด บางคนก็หนีจากงานที่ตนรับผิดชอบไม่ได้เลย เพราะเป็นความจำเป็น บางคนก็เปลี่ยนไปทำงานอื่นได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของน้ำใจ ไม่ใช่เรื่องของเงิน ไม่ใช่เรื่องของการบังคับใช้ ใช้อำนาจบาตรใหญ่จะพูดขอร้องกันให้ไปช่วย เพราะมันขาด เป็นความจำเป็น แต่ถ้าไม่จำเป็นแล้วก็ไม่บังคับไม่กำหนดให้รู้โดยปฏิภาณให้รู้ด้วยน้ำใจให้รู้ด้วยสำนึกเองแล้วก็มาช่วยกัน เป็นสังคมที่ใช้อํานาจโลกีย์ โดยเฉพาะแบบทุนนิยม หรืออํานาจนิยม ก็ไม่ได้ใช้ เป็นสังคมอาริยะ เป็นสังคมเจริญ

 สังคมเรายังไม่ได้ดีเท่าไหร่ว่าไหม ยังมีข้อบกพร่องยังมีสิ่งที่จะทำให้ดีกว่านี้ได้ ถ้าได้ร่วมกันเป็นระบบทั้งประเทศ เป็นการศึกษาของประเทศเลยอย่างที่เป็นนี้ ก็ช่วยกันดูแลรายละเอียด เท่าที่เป็น ผู้อื่นที่ท่านมีปัญญามีความฉลาดมีไหวพริบ ช่วยทำวิธีการโครงสร้าง มีหลักการมีวิจัยก็จะเยี่ยมยอดมากเลย ซึ่งเกิดจากหลักการของพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงธรรม ที่อาตมาพาทำ

 งานที่ผ่านมา เป็นงานหนัก เป็นงานทำไร่ทำนาได้เมล็ดข้าว สำหรับที่จะได้กินกันอย่างนี้ อาตมาชื่นใจ แล้วก็ภาคภูมิใจในทฤษฎีของพระพุทธเจ้าจริงๆ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้เก่ง เอามาถ่ายทอดให้เป็นระบบอย่างนี้ เช่น ระบบชาวอโศกที่เป็นอยู่จนกระทั่งระบบสาธารณโภคี มีการศึกษาสร้างเยาวชน

ที่อาตมาตั้งโรงเรียนนี้ก็เพื่อที่จะสืบทอด สร้างคน สร้างมนุษยชาติ เป็นการศึกษา ก็เคยย้ำว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อศึกษา ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ก็เพื่ออย่างอื่นก็ไม่ใช่ ถ้าต้องเกิดมาเพื่อการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาที่พระพุทธเจ้าวางแบบอย่างไว้สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม แล้วท่านก็ได้หลักสูตรที่สมบูรณ์แบบมาให้มนุษย์ ให้สังคม อาตมาก็ถอดของพระพุทธเจ้ามา ซึ่งก็ไม่ได้ทิ้งแบบสมัยใหม่เราก็เอาด้วย แต่ของพระพุทธเจ้านี้เอามาเป็นแกนหลักเลยศีลเด่น 40 % เป็นงาน 35% วิชาการ 25 % แล้วบอกพวกเราว่า 25% นี้ ให้ได้ตามหลักสูตรของประเทศ ช่วยให้เด็กมีความรู้ร่วมกับสังคมที่เขาเรียนกันเป็นส่วนใหญ่ได้ ตามที่กระทรวงการศึกษาของประเทศกำหนดมา

ทำไมยี่สิบกว่าปีแล้ว เด็กเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา ซึ่งคนก็ห่วงว่ามาเรียนที่นี่เด็กออกไปจะอยู่กับสังคมได้ไหม จะทันสังคมไหม ก็ผ่านมา 20 ปี ไม่เห็นจะเกิดปัญหาเพราะเด็กของเราไปอยู่กับสังคมไม่ได้ เด็กกล้าแสดงออกในความเป็นอยู่ พฤติกรรมกลายเป็นคนไม่ดีในสังคมก็ไม่มี แต่กลับจะอยู่กับสังคมได้อย่างสุขสบายไม่เป็นภัยต่อสังคม ไปได้อย่างดี ให้คะแนนตามปัญญาของอาตมา อย่างนั้นจริง

 เราไม่ได้ทำโรงเรียนเพื่อเป็นอาชีพหาเลี้ยงตนเอง แต่ตั้งมาเพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา  กลายเป็นว่าเราได้ให้การศึกษาแก่เยาวชนได้ช่วยประเทศชาติอย่างสมบูรณ์เต็มที่ เพราะเราไม่ได้หารายได้ หรือเอาประโยชน์จากนักเรียนที่มาเรียนที่นี่ นอกจากไม่เอาประโยชน์แล้ว เราก็ยังถูกมองผิดอีกว่าพวกนี้เอาเด็กมาใช้แรงงาน กินแรงงานเด็ก อาตมาก็อยากจะให้ผู้ที่มาบอกพวกเรา รู้ว่าเด็กที่นี่ นักเรียนก็เหมือนลูกหลานให้ทำงานจะได้รับผิดชอบชีวิต ต่อไปเค้าก็ทำงานก็ได้เรียนรู้ ได้ฝึกการเป็นงานการทำงานการมีชีวิตให้มีความรู้ทางศีลธรรมด้วย ทางวิชาการกระทรวงศึกษาธิการก็สอน เราก่อสร้างให้เด็กมีความรู้แบบนั้นด้วย เราก็ช่วยประชาชน  เรากำลังจะต่อไปถึงระดับอุดมศึกษา  ก็เพื่อสร้างเรานักเรียนนักศึกษาให้ไปช่วยเหลือสังคมต่อไป

 เราเองไม่ได้อะไรเป็นกอบเป็นกำจากแรงงานของนักเรียนอะไรเลย เราได้อะไร มีผลได้เป็นกอบเป็นกำอะไรเราเอาเปรียบเอารัดอะไรกับนักเรียน เข้ามาดูรายละเอียดได้ เราก็ทำงานกันทุกคนในนี้ไม่ใช่ว่าเราเป็นเจ้านายแล้วก็ใช้นักเรียนให้เป็นพนักงานเป็นลูกจ้างในบริษัท ในสถานที่ทำงานนอกนั้นก็เป็นคุณหนูคุณนายเจ้าของบ้าน ถ้าอย่างนั้น ก็คือการกินแรงแน่ หรือทำเพื่อได้เงินได้ทองเก็บเข้าพกเข้าห่อ แต่นี่ไม่ได้สิ่งเหล่านั้นเลย ลูกหลานได้ทำงานก็ได้ผลผลิตมากินมาใช้ร่วมกัน นี่เป็นรายละเอียดลึกซึ้ง ที่คนไม่รู้ การฝึกเด็กให้ทำงานกับเราร่วมแรงร่วมใจกัน วันนี้จะไปตีความว่าใช้แรงงานเด็กไม่ได้ ก็ให้เด็กทำงาน ให้เป็นงานมันเลวนักหรือไงแต่ที่อาตมาว่าเขาบกพร่องคือ เข้าไม่ได้ให้เด็กเป็นงาน ทำงานเป็น เลยเอาแต่ความรู้ใส่สมอง ทำงานไม่เป็นเป็นความขาดพร่อง แต่เขากลับไม่รู้ตัวเองว่านั่นแหละที่การเรียนแบบที่คุณคิด มันเป็นการเรียนที่ทำให้เด็กเสื่อมลงไป จากสิ่งที่ควรจะเป็น

แต่เด็กเรานี่ได้ความชำนาญได้ความรู้ลึกซึ้งพยายามให้สูงขึ้นไป อย่างอาจารย์จำรัสก็มาบูรณาการช่วยสอนประยุกต์เข้าไป จะได้ทำการศึกษาที่มีงานวิจัย มีการประพฤติสร้างผลให้ได้ซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นไปในการศึกษาที่สูงขึ้น

 เด็กที่นี่ที่จบไปแล้วจะกลับมาช่วยงาน มีกตัญญูกตเวทีก็มี แต่ที่จะไม่กลับมาไปเลี้ยงชีวิตตนเอง เราสร้างไปแล้วเขาจะกลับมาหรือไม่ก็ไม่มีสัญญา หรือการันตีอะไรเลย ให้อิสระเสรี เราจะมาเพื่อสร้างเขาให้แก่สังคม ส่วนใครจะกลับมาก็มาได้ อย่าว่าแต่กลับมาเลย เด็กที่มาเรียนที่นี่เข้าใจว่าสังคมที่นี่เป็นสังคมส่วนกลาง เด็กที่นี่มาอยู่ยังลูกหลานมาอยู่ที่นี่ สมบัติทุกอย่างของที่นี่เป็นของพวกเธอทั้งนั้น เธอจะเอาหรือไม่เอาเท่านั้นเอง เป็นเรื่องจริงคือทุกคนมีสิทธิ์ ที่ให้ทำงานใช้แรงงานในที่นี้ ก็คือที่นี้เป็นของเธอทั้งหมดทุกคน เธอจะเอาหรือไม่เอา เรียนจบแล้วถ้าเธอจะอยู่ที่นี่เลยก็ยิ่งดีใหญ่ แล้วก็ดูแลสร้างสรรค์สมบัติที่นี่ ก็ของพวกเธอจริงๆอาศัยอยู่ได้จนตาย อย่าเป็นคนเสื่อม หรือเป็นคนที่ความประพฤติตามกฎเกณฑ์ เพราะสังคมพวกเราโรงเรียนพวกเรามีศีล 5 เป็นหลัก ถ้าผิดก็ได้รับการชำระไปตามควร เป็นสังคมที่ไม่มีอบายมุข กินมังสวิรัติเป็นหลักพื้นฐาน

ถ้าไม่ต่ำกว่านี้ ไม่มีพฤติกรรมเลวกว่านี้ก็อยู่ไปได้จนตาย จะมาสร้างครอบครัวมีลูกมีเต้ามากมาย เพราะพวกเราลึกซึ้งในอาริยธรรมโลกุตรธรรม แต่เราไม่ได้เข้มงวดกวดขันมาก จนถึงกับไม่มีครอบครัวแต่งงานกันไม่ได้ก็ไม่ใช่ เราก็ต้องรู้ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า จะเอาแค่ศีล 5 ก็ไม่มีปัญหาอะไร มีลูกมีเต้าออกมาแล้วก็ดูแลกัน เป็นลูกสาธารณะด้วย ช่วยกันเลี้ยงช่วยกันดูแล ซึ่งเด็กที่นี่ ก็ช่วยกันเลี้ยงดู

อาตมานั้นชื่นใจเพราะข้างนอกนั้นตัวใครตัวมัน บ้านใครบ้านมัน ลูกใครลูกมัน ใครจะมาแตะต้องลูกฉันก็ไว้ใจไม่ได้ ระแวงที่สุดเลย อาตมาก็เห็นว่าเป็นสังคมที่น่ากลัวมาก แต่สังคมของพวกเรานั้นปลอดภัยสบายใจเบาใจอบอุ่นใจ อาตมาว่าเมื่อไหร่หนอที่จะมีคนเข้าใจระบบของพระพุทธเจ้า ระบบที่อาตมาพาทำได้อย่างนี้เราก็พยายามพากเพียรในเวลา 30 ถึง 40 ปีมาสร้างสังคมท่ามกลางที่เขานิยมแบบโลก

โลกีย์เป็นทุนนิยมเป็นสังคมตัวใครตัวมันเห็นแก่ตัวจัด แล้วอาตมาพาทำสังคมที่ลดความเห็นแก่ตัว จนมาเป็นอย่างนี้ ได้เท่านี้ มันเป็นอยู่ดีแล้ว  มันเป็นสังคมที่ต่างกับสังคมข้างนอก ที่ต่างคนต่างเห็นแก่ได้ มีแต่ความระแวงมีความแตกแยกแบ่งแยกกันไปเรื่อย แต่ของเรามารวมเป็นหนึ่ง เป็นเอกภาพ เป็นความสามัคคีเป็นความไม่ทะเลาะวิวาทช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้เป็นสังคหะเคารพกันคุรุการณะ มีความระลึกถึงกันปิยกรณะ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้การศึกษา ให้มีพฤติกรรมจริง มาอย่างไม่มีใครเอาด้วยในสังคมศาสนากระแสหลัก เขากล่าวว่าอาตมานอกรีต แต่อาตมาว่าเป็นสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า แล้วมาประกาศเปิดเผยสาธยายจนกระทั่งพวกเราเข้าใจร่วมกันมา 45 ปี ก็เห็นผลชัดเจนมากเลยว่า คุณธรรมระดับอาริยะของพระพุทธเจ้า ให้เป็นคนเจริญมันมีอยู่ได้จริง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ นี้มีจริง สังคมนี้มีอารยะที่เป็นได้ท่ามกลางสังคมแม่เหล็กโลกียะจัดจ้านจนเป็นมิจฉาทิฐิไป

 ที่สาธยายไปนี้เป็นความรู้สึกความเห็นของอาตมาจริงๆในสังคมเมืองไทยอาตมาทำงานมา 45 ปีแล้ว ก็คงเกิดความเข้าใจขึ้นมาบ้าง เพราะแรงต้านแรงค้านแย้งนั้นลดลง มีผู้เข้าใจมากขึ้นได้ยอมรับว่าอาตมาไม่ได้นอกรีตทีเดียว เพราะเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมายืนยันมีขยายความตลอดเวลา ซึ่งผู้ที่ติดตามด้วยใจเป็นกลาง ไม่อคติมากก็จะเข้าใจ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่หนักมาก รอดมาได้เพราะเอาธรรมวินัยของพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เป็นธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม

อาตมารอดมาได้เพราะเป็นธรรมะ จึงเป็นธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ จนออกมาจากกระแสหลักประกาศนานาสังวาส หลักเกณฑ์ธรรมวินัยตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้มายืนยัน ก็ไม่ได้ออกนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ส่วนเขาสินอกธรรมวินัยก็ไม่รู้ ก็เลยค่อนข้างจะทำให้อาตมารอดอยู่ได้อย่างไม่ถึงกับสบายทีเดียว

 อาตมาเอา ศีลสมาธิปัญญา มาใช้เป็นการศึกษา พระไตรปิฎกเล่ม 9  คลิปเป็นพระสูตร ส่วนพระวินัย ก็เป็นส่วนที่ นักบวชในศาสนาจะต้องศึกษา เป็นเหมือนรั้วของศาสนา ส่วนพระสูตรนี้เหมือนบ้านของศาสนา เป็นเนื้อหาก็คือศีลสมาธิปัญญา ส่วนที่ไหนนั้นที่ภิกษุนักบวชจะต้องศึกษา ก็อยากให้รกพังหักไป หรือเสื่อมไป อย่าให้มีสัตว์ร้ายเข้ามาได้ ก็เรียนในวินัย แต่เริ่มส่วนเนื้อแท้ของศาสนา เนื้อของบ้านเรือนของศาสนาก็อยู่ในพระสูตร รวมกับพระอภิธรรม ส่วนพระอภิธรรมเป็นหัวใจของศาสนา

 อาตมาพูดซ้ำไปมา ขยายให้ละเอียดละเลียดไป ก็ขออภัยสำหรับผู้ที่มีปฏิภาณรู้แล้ว แต่ก็เห็นกับผู้รู้ช้า แต่พูดอยู่ได้ว่าไงก็ยังมีอัตตา ถือดีถือตัวมากเลย เพราะอาตมาไม่ได้สอนแยกห้อง เป็นการสอนรวม มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายหมดเลย แล้วนักเรียนชั้นประถมมีไหวพริบมีความฉลาดน้อย ส่วนพวกไหวพริบดีก็ได้ไว มันมีน้อยส่วนพวกมีไหวพริบน้อยนั้นมีมาก

 

_เห็นสมณะสยามได้โพสต์ในเฟสบุคว่า นักปฏิบัติต้อง อ่านใจตนเองได้ ทำใจตนเองเป็น ใจแสนสงบ ใจแสนรู้ ใจแสนสบาย แล้วเป็นคำสอนของอาตมาจึงมีคนที่อ่านแล้วถามมาว่า แล้วใจนี่มันอยู่ที่ไหนครับหลวงพ่อ

ตอบ….พวกที่สอนกันอย่างมิจฉาทิฏฐิคือ สอนว่าอย่าให้ใจออกนอกตัว ทำใจให้ว่าง อย่าไปคิดนึกอะไร แล้วจะรู้ได้เอง อันนี้คือคำสอนที่มิจฉาทิฐิทั้งนั้น ของพระพุทธเจ้ามีกายกับใจ มีนามกับรูป นามธรรมคืออาการใจ นามคือ สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

อาตมาไม่เก่งในการรู้อาการ 32 ได้หมด แล้วใช้พลังงานได้นิดหน่อยเท่านั้น สำหรับข้างนอกนั้นง่าย อาการคือ พลังงานของรูปกับนามทำงานร่วมกัน ถ้าพลังงานรูปกับนามขาดกัน ไม่ทำปฏิกิริยากัน คือขาดอาการ ไม่มีอาการ เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นองคาพยพของอาการ 32

ผมขนเล็บฟันหนัง ที่ออกมาภายนอกไม่มีประสาทรับรู้ ก็เป็นรูปที่ไม่มีนามธรรมไปรับรู้ได้ ก็เลยไม่มีความเป็นกายไม่เป็นธรรมะสอง ก็เป็นส่วนที่ไม่ใช่กาย กายที่จริงไม่ได้ เป็นส่ิงขาดนาม ไม่ใช่กายภายนอก พระพุทธเจ้าสอนลึกถึงว่ากายนี่ตถาคตเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ ลึกถึงว่ากายคือนาม คนเรียนรู้ไม่สมบูรณ์จะงงมากไม่เข้าใจว่ากายคืออะไร แม้ในนักปฏิบัติธรรมที่เขาว่ามีอรหันต์แล้วก็ไม่ได้รู้คำว่ากาย แต่รู้อย่างมิจฉาทิฏฐิด้วย ขอตัดสินเปรี้ยงเลยว่าอรหันต์ของพุทธทุกวันนี้ไม่ได้เข้าใจคำว่ากายเลย ใครที่เป็นอรหันต์มาคุยกับอาตมาจะเข้าใจได้ไหมนะ แต่อาตมาอธิบายได้ แต่ท่านจะเข้าใจหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ท่านเข้าใจว่ากายเป็นอย่างไรก็มาอธิบายให้อาตมาฟัง

กายคืออะไรก็อยู่ในคนทุกคน คนที่ไม่ตาย มีสุรภาโว สติมันโต ก็ศึกษาได้ ถ้าขาดจากสุรภาโว สติมันโต ก็ไม่มีอิธพรหมจริยวาโส ไม่ใช่ที่จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุได้ ต้องครบอาหาร 32 จึงจะศึกษาได้ มีแต่ศึกษาไม่ได้ ทำใจตนไม่ได้ ห้ามใจตนไม่ได้ นี่แหละใจมันอยู่ในตัวเรา มันออกมาทำงานกับข้างนอกด้วย นอกจากตอนหลับก็อยู่ข้างใน แต่ตอนตื่นมันก็ออกมาทำงานร่วมระหว่างข้างในกับข้างนอกด้วย กายเป็นสองสภาวะระหว่างรูปกับนาม

 ผู้ที่ไม่รู้ว่ากายของตนเป็นอย่างไรแล้วเข้าใจผิด เรียนรู้อาการของใจได้ อย่างที่นักปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติกันท่านก็ว่าต้องดูใจ ต้องอ่านใจเป็นรู้จิตใจตนเองได้ แล้วก็พยายามจับใจของตนให้หยุดให้นิ่ง ให้มันสงบก็ทำใจตนเองเหมือนกัน แต่ทำใจตนเองเป็นยังไม่สัมมาทิฏฐิ เป็นชนิดสมถะสงบสะกดจิตให้ตนเองสงบเป็นวิธีสะกดจิตไม่ใช่วิธีวิปัสสนาแบบของพระพุทธเจ้า แม้จะอ่านใจตนเองได้ เช่น ขณะนี้คุณกำลังโกรธ คนกำลังพูดกับคนคนนี้คุณโกรธเขา คุณอ่านใจตนเอง ก็ระลึกรู้ว่าอ่านอาการใจเป็น อาการมันไม่มีหูไม่มีตา ไม่มีรูปไม่มีร่าง แล้วอาการโกรธเป็นอย่างนี้เอง นี่แหละใจของคุณเป็นอย่างนั้นแล้วอ่านได้ ก็ไม่ได้ยากอะไรจนเกินการณ์ ขณะที่คุณมีความรักมีความโลภ ก็อ่านใจตนในขณะที่กระทบ อันนี้หน้าได้หน้ามีหน้าเป็น เอามาเป็นของตน ก็อ่านอาการใจว่า ใจเป็นอาการอย่างนั้น มันไม่มีทางไม่มี ก็ไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีแสงไม่มีสี มันเป็น อสรีระ  มันไม่มีสรีระอะไรแล้วเป็นอาการให้คุณกำหนดรู้ว่าการวาดลีลาอย่างนี้ เป็นความรักลีลาอย่างนี้ เป็นความโกรธนาน และคืออ่านใจได้แล้ว ทำใจเป็น ก็คือคนสุด เมื่อคุณโกรธก็ทำให้หายโกรธ จะสะกด อย่าให้ออกมาทางกายวาจา แล้วให้เบาลงเบาลง ก็คือทำใจเป็น แต่เป็นวิธีสมถะเท่านั้นยังไม่ใช่วิปัสสนาวิธี ทำใจเป็นไปอย่างไม่ถูกต้องตามของพระพุทธเจ้าที่เป็นสัมมาทิฏฐิ

 แล้วใจแสนสงบ อาจจะสงบจนแข็ง ทื่อาจเป็นนิโรธดับ แต่ไม่ใช่แสนของพระพุทธเจ้า เป็นแสนของวิธีสะกดจิตวิธีง่ายๆไม่ต้องศึกษาลึกซึ้ง  แต่ของพระพุทธเจ้า บอกไปแล้วให้ไปฝึก เราก็ไม่ง่ายถ้าไม่เรียนรู้ฟังธรรมให้บริบูรณ์จากสัตบุรุษ แล้วได้ฟังธรรมอย่างบริบูรณ์ แจ้งเกิดศรัทธาที่บริบูรณ์ คนจึงจะต้องโยนิโสมนสิการเป็นนั่นคือ  การทำใจเป็นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วใจจะสงบเป็นแสนคือ ใจแสนสงบ สุขสงบจากกิเลสเท่านั้น แต่กริยากายวาจาใจของคุณยังเป็นกายวาจาใจที่เป็นกายปาคุญญตา หรือกายกัมมัญญตา กาย ของคุณจะแคล่วคล่อง สัญญาก็แคล่วคล่อง สังขารก็แคล่วคล่อง ไม่ได้หยุดนิ่ง ที่ใช้ไม่รู้เรื่อง แต่เรื่องดีเลยมีแต่ทั้งนอกทั้งในทั้งรูปทั้งนามเข้าใจทั้งโลกทั้งอัตตา มีเจตสิกที่แคล่วคล่อง มีกายปาคุญญตาหรือกายกัมมัญญตา   มีอาการของเจตสิก 3 ที่แคล่วคล่องคือเวทนา สัญญา สังขาร

นาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต้องเรียนรู้เจตนาคือ ตัณหา 3 แล้วเรียนเวทนาคือธรรมะสอง  เรียนเวทนาในเวทนาให้เป็น เอกสโมสรณา ทำให้เป็นหนึ่ง คือ เอกัคคตาจิต หรือจิตเป็นหนึ่ง คือทำจิตให้เลิกอกุศลจิต เมื่อกิเลสดับก็เหลือจิตหนึ่ง  จิตที่เป็นอกุศลจิตที่จะดับมันได้ ตามที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุ

 สมมุติว่าเรากระทบกับส้มโอ แล้วก็เกิดรสชาติเป็นอัสสาทะ มันจะมีรถมีกลิ่นมีสัมผัสมันก็เป็นอย่างนั้น แต่ความชอบความไม่ชอบ ซึ่งบางคนไม่ชอบก็ไม่ชอบ เป็นอัสสาทะความไม่ชอบ ส่วนความชอบ ก็เป็น อัสสาทะในสิ่งที่คนไปติดชอบ หรือไม่ชอบ ถ้าคุณล้างความชอบหรือไม่ชอบในส้มโอ เพราะแต่ละคนสัมผัสมันก็เป็นเหมือนกัน หนึ่งเดียว แต่การมีสองคือ มีอกุศล ที่คุณจะต้องล้าง ต้องกำจัด ผู้บรรลุแล้วก็คือ ผู้ที่ไม่มีธรรมะ 2 เป็นธรรมะหนึ่ง หรือ จิตเอกัคคตา

แต่การไปนั่งสะกดจิตคือ สมถะ ใจไม่ได้แสนสงบ ได้แต่หนึ่งสงบเท่านั้น ไม่มี กายปาคุญญตา ไม่มี กายกัมมัญญตา ทำใจในใจแต่ไม่มีผัสสะ ในนาม 5 ที่ต้องปฏิบัติ ก็ไม่ครบ 5 ของพระพุทธเจ้า ที่จะไปรู้จักเจตนาที่เป็นเหตุ เป็นกามตัณหา ภวตัณหา ก็ฆ่าไม่ได้ เพราะไม่รู้จักอ่านจากการผัสสะ แต่เดาเอาการไปนั่งหลับตา ก็เอาสัญญามานึกเอา ระลึกเอา เป็นภพชาติไป

คุณไปยึดเป็นสัญญาเที่ยง สัญญายนิจจานิ ของคุณ เช่น อาตมาสมมุติส้มโอนี้  ไม่ว่าคนเชื้อชาติไหนมาสัมผัสกับส้มโอนี้จะมีกลิ่นมีรถมีสัมผัสเหมือนกัน แต่อัสสาทะไม่เหมือนกัน ต่างกันไม่ว่าจะเป็นคนละชาติเลยหรือชาติเดียวกัน ก็ตัวใครตัวมันจะชอบ หรือไม่ชอบ อันนั้นแหละคือ 2 แต่ถ้าไม่มีความชอบ หรือไม่ชอบเลยมีแต่ความจริงตามความเป็นจริงคนไหนก็ช่างสัมผัสแล้วก็จะเหมือนกัน เอกสโมสรณา ทั้งนั้น

 ผู้ที่เข้าใจแล้วทำความจริงได้ เป็นใจแสนรู้ก็เป็นใจแสนสบายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

คนไม่มีกิเลสกับส้มโอที่เมืองไทยแล้ว จะไปเจอส้มโอที่ไหนไห นที่เมืองนอกคุณก็สบายเป็นใจแสนสบายอย่างน้อยก็แค่เรื่องของส้มโอเรื่องเดียว ก็เป็นโสดาบันถ้าสมบูรณ์แข็งแรง ก็คืออรหัตผลของส้มโอ ก็เรียกว่ามีเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน จะไปเจอส้มโอที่ในนรกในสวรรค์ในประเทศไหนก็แล้วแต่ ถ้าสมโออย่างนี้ รสอย่างนี้ รูปอย่างนี้ คุณก็อยู่เหนือมัน ก็ไม่มีธรรมะ 2 มีแต่ทำไม 1 ตลอด เป็นเอกัคคตาจิตหรือเอกสโมสรณา หลุดพ้นอย่างเที่ยงแท้มั่นคงไม่กลับกำเริบอีก จิตสุดยอด ใจแสนสบายนี่แหละ

 ที่พูดเรื่องสมโอนี้ จริงๆแล้วก็ชัดเจน ทุกคนก็เป็นพระอาริยะ เป็นพระอรหันต์ได้ อ่านใจตัวเองได้ทำใจตัวเองเป็น หรือมนสิการ ใจก็แสนสงบเพราะกำจัดตัว สมุทัย เฉพาะอกุศลจิตเฉพาะธรรมะ 2 ที่เป็นอกุศล ไม่ใช่โลกุตตระออกไปได้ จิตที่เหลือก็เป็นจิตที่หนึ่งเดียว สงบเอกกัคคตาจิต  แล้วมีความรู้ประกอบ ไม่งมงายอย่างชัดเจน สัจฉิกัตวา  แสนรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว จิตก็แสนสบายสงบ ไม่เรียกว่าสุขเสียทีเดียว เรียกว่าอทุกขมสุข เป็นอุเบกขาที่เจริญด้วยองค์ 5 อย่างอเนญชา เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง(ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

_คุณใบฟ้าถามมา...มีอีกแผ่นหนึ่งถามมาว่า  บอกว่าอ่านหนังสือยอดนิยายของโลกหน้า 38 สัจจะที่เป็นความจริงต้องมีครบทั้งสองคือสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะบริบูรณ์พร้อมทั้งนอกและใน ดิฉันลองคิดตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ว่า

สัจจะ คือความดี  ก็เลยสมมุติว่า ถ้าสมมุติสัจจะคือ งานการกุศลที่ปรากฏแก่หมู่คือ งานการกุศล ส่วนปรมัตถสัจจะคือ งานบุญ (ที่ปรากฏในใจ) แล้วบุญคืออะไร

คือเราทำความดีแล้วเราได้ชำระได้กำจัดกิเลสคือ ปรมัตถสัจจะ ส่วนความดีข้างนอกเป็นกุศลปรากฏแก่หมู่แก่คนเข้าใจที่มีปัญญายอมรับร่วมกันเรียกว่า สมมุติสัจจะ

ตอบ...ถูกต้อง

_ตัวอย่างที่สอง … สัจจะฝืนไว้ได้กำไร ถ้าจะเป็นสมมุติสัจจะก็หมายความว่ายิ้มสงบเรียบร้อย ได้ประโยชน์ตรงที่ว่า ให้คนอื่นรับรู้ได้ส่วนปรมัตถสัจจะทำใจยอมให้หยุดๆๆ ฝืนไว้ได้กำไร นี่คือลักษณะแค่ฝืน

ตอบ...ถูกต้อง แต่ถ้าทำใจยอมได้สำเร็จหยุดได้ วางได้คือกำไรบริบูรณ์ ถ้าฝืนก็ได้กำไร แต่ถ้าไม่ได้ฝืน คุณหยุดคุณยอมจริงๆ แล้วสมมุติสัจจะก็ยิ้มสงบเรียบร้อยคือ สัจจะสมบูรณ์ทั้งสมมุติและปรมัตถ์ สมบูรณ์ ที่บอกว่ายอมก็คือ ปรมัตถ์ที่กดข่ม แต่ถ้าไม่ฝืนกดข่มใจคุณยอมได้จริง สบายโล่งเลย ใครทำได้คือ ปรมัตถสัจจะ ของคุณ

ผู้ที่แพ้มาเกือบจะทั้งโลกแล้ว เขายังไม่ชนะไปทั้งโลก เพราะเขา ไม่แพ้ตัวเอง เพราะตัวเองไม่ยอม ตัวเองไม่หยุด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพวกเรา ที่บอกว่ากูไม่ผิด กูไม่ผิด อาตมาก็บอกว่าความไม่ผิดนี้เป็นสมมติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะนั้น ไม่มีถูกไม่มีผิด แต่พูดไปอย่างนั้น เขาก็บอกตัวเองว่ากูถูก ไม่มีการยอม เพราะฉะนั้นใจของตัวเองสำคัญที่สุด ด้วยปัญญา แต่ว่าแค่ฝืนไว้ก็ได้กำไรแล้ว แต่ถ้าเข้าใจด้วยปัญญา มันวางมันลง หมดตัวกูของกูไปเลย นั่นแหละคือ ไม่มีอัตตา เป็นอนัตตา เป็นตัวสมบูรณ์แบบ คุณจะชนะทั้งโลกเลยตอนนี้ถ้าคุณแพ้ตัวเองได้ คนที่เขายอมแพ้มาทั้งโลกได้ แต่จะชนะทั้งโลกไม่ได้ เพราะเขาไม่ยอมแพ้ตัวเอง

 

_ ตัวอย่างที่ 3 สัจจะคือเอาภาระอย่างกล้าหาญ ถ้าสมมุติสัจจะเป็นการปฏิกโกสนาตรงเป้าแรงอย่างถึงๆ คือค้านแย้งตำหนิอย่างถึงๆ แสดงออกท่าทีลีลาแรง ท้วงอย่างชัดเจน  ส่วนปรมัตถสัจจะคือจิตเป็นพรหม

ตอบ...ถูกต้องแล้ว ขออภัยอย่างอาตมาเอาภาระศาสนาอย่างติแรง แต่ปรมัตถ์นั้นใจเป็นพระพรหมไม่ได้เกลียดชังมีแต่สงสาร ช่วยเขา เขาดีก็มุทิตา วางได้จริง ส่วนสมมุติสัจจะนั้นใครก็เห็นว่า ปฏิกโกสนา ว่าแรงชัด ตรงเป้า แรงถึง  สัมมาทิฏฐิตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้

 _มีคน sms มาว่า คนเราควรมองผู้มีปัญญาใดที่คอยชี้โทษ ข้อใดกล่าวคำขนาบอยู่เสมอ ขนาบแล้วขนาบอีก เราควรมองผู้มีปัญญาคนนั้นว่าคือผู้ชี้ขุมทรัพย์  คนนั้นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์คนเข้าบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้นเมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ก็มีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย  พระไตรปิฎกเล่ม 15 ข้อ 16  พูดน้อยคิดว่าผู้เป็นบัณฑิตแท้จึงรับฟัง ขุมทรัพย์จากบัณฑิตแท้ได้ พ่อครูชี้ขุมทรัพย์ให้เขาไม่รับก็ช่างหัวเถิด

ตอบ... ก็ขอบคุณ ที่เตือนอาตมาก็ถูกแล้ว

เรื่องที่ว่าผู้ตำหนิพวกเอาภาระ เป็นความกล้าหาญ แล้วก็ตำหนิให้ตรงเป้า ให้แรง ให้ถึง แต่จิตเป็นพระพรหม อาตมาก็ทำอย่างนี้อยู่ แต่คนเข้าใจไม่ได้ เหมือนกับแก้ตัว หรือหลงตัวเอง แต่อาตมาว่าไม่ได้หลงตัวเอง แล้วถามอีกคำหนึ่งว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น

 อาตมา จะเรียกว่าแก้ตัวก็ไม่เป็นไร  อาตมาว่ายุคนี้มันต้องแรง ก็เลยปฏิภาณคนเขาก็บอกว่าพูดเพราะพูดนิ่มนิ่มพูดสุภาพก็ได้แล้ว ไม่ต้องพูดแรง เขาเป็นผู้ดีๆ ส่วนอาตมาเป็นผู้ไม่ดี เพราะอาตมาตอนบวชใหม่ๆได้พูดจาสุภาพเรียบร้อยไปแล้ว เขาก็จะเอาอาตมาตาย จะล้มล้างอาตมาไปเลย ซึ่งปกติแล้วหมาตัวใหญ่ มันก็ยืนคร่อมหมาตัวน้อย ซึ่งมาน้อยนั้นก็ร้อง ใส่แฮ่ๆเท่านั้น ส่วนพวกคุณหมาใหญ่ ขออภัยยกตัวอย่างเป็นหมา เขาเป็นสิงโตตัวใหญ่ก็แล้วกัน กับหนูตัวน้อยได้แต่ร้อง ก็ต้องร้อง ร้องดังๆ เพื่อใครจะได้ยินจะได้มาช่วย  ส่วนคนที่ยึดอัตตาหลงว่าตัวใหญ่ตัวดีกระแทกอย่างไรก็ไม่เข้าอยู่ยงคงกระพันจริงๆ  เรียกว่ามีดอาตมานั้นดีแล้ว จะเชือดจะแทงอย่างไรก็ไม่เข้า  เพราะเขาเหนียวจริงๆ ส่วนผู้ใดที่ไม่ค่อยเสียวเข้าไปบ้างก็จะได้คนนั้นมาบ้างนอกนั้นนั้นหนังเหนียวจริงๆ

  สรุปว่า ที่ทำแรงแรงเพราะยุคนี้เป็นยุคที่ ยึดจับยึดความเห็นของตน ยึดความรู้ของตัวเองจัดมาก ก็จำเป็นจะต้องแรงไว้ ถึงเข้าใจคำสอนของท่านว่า จงคัดค้านอย่างแรงคัดค้านอย่างจัง (ปฏิกโกสนา) คนเราควรมองผู้มีปัญญาใดที่คอยชี้โทษ ข้อใดกล่าวคำขนาบอยู่เสมอ ขนาบแล้วขนาบอีก เราควรมองผู้มีปัญญาคนนั้นว่าคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์  คนนั้นแหละคือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ คนเข้าบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้นเมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ก็มีแต่ดีท่าเดียวไม่มีเลวเลย คำสอนของพระพุทธเจ้านี้ชัดเจน

 ที่อยู่ได้เพราะผู้มีปัญญา อาตมาว่า ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่มีปัญญาท่านไม่ได้เหนียวจนเกินไปอาตมาแรงอย่างนี้จึงค่อยยังชั่ว

ก็ยังพยายามที่จะอยู่ไปให้ยาวนานจะฟื้นอายุขัย เป็นเรื่องของผู้ที่ จะทำได้ ต้องพิสูจน์สัจจะของพระพุทธเจ้ารักษาอายุขัยด้วยพลังงานอิทธิบาท ด้วยพลังงานโพชฌงค์ 7 ด้วยการจัดสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ทำงานยังให้ได้สัดส่วนที่มีพลังงานที่เป็นทศนิยมเสริม ให้อาตมามีพลังงานที่จะมาเลี้ยงตนเพิ่ม อาตมาบรรยายได้แค่นี้ ตามที่มีภูมิปัญญาจะทำได้จริง ตาม หลัก 8อ. คือ  อิทธิบาทอารมณ์อาหารอากาศออกกำลังกายเอนกายเอาพิษออกและอาชีพ ก็พยายามทำตอนนี้ก็อายุย่างเข้า 82 ปี

 อาตมาตั้งเป้าไว้ 151 ปี ซึ่งก็ไม่ได้ตั้งเองนะ ไม่มีที่มาที่ไปก็ว่าเป็นตัวเลขที่สวยเพราะอยู่ทั้งโลกมา 36 ปีออกมาทำงานทางทำอีก 36 ปี  ก็ครบ 72 ปี  แล้วถ้าจะอยู่ไปอีก 72 ปีก็ครบร้อย 144 ปี เครื่องก็คงจะสตาร์ทติดแล้วอยู่ต่อไปอีก 7 ปีก็เสวยวิมุติไป มีเหตุที่มาตัวเลข 151 คือหมออารีย์ บอกว่า เขาจะอายุ 120 ปี พูดมาอาตมาก็เลยว่า อาตมาก็พูดไปทั้งที่ไม่จริงจังว่า ถ้าหมออารีย์จะอยู่ 120 อาตมาจะอยู่ 121 หมออารีย์ก็ไม่ยอม เขาบอกว่าจะอยู่ 150ปี อาตมาก็เลยว่าจะอยู่ถึง 151 ปี ตัวเลขนี้ก็มาได้อย่างนี้ แล้วมาทบทวนดูก็ว่าลงตัว 36 สี่รอบก็ 144 เป๊ะเลย แล้วเลข 1 2 3 4 อาตมาว่าครบวงจรสำเร็จนะ

โลกมีความดึงดูดของโลก แรงกลที่อยู่ในความดึงดูดของโลก คุณเองแรงสู้ความดึงดูดของโลกของจักรวาลไม่ได้หรอก คุณต้องมีทศนิยมให้แก่ตัวเองไม่ใช่ไป 0 เลย  ความลงตัวที่สุดความลงตัวที่สุด ก็จะไม่ก้าวหน้า คนต้องมีจุดทศนิยมให้แก่ตัวเอง ไม่ใช่ไปอยู่ที่ 0 ไม่เกิดแรงงาน  ฉะนั้นหลายคนจะคิดเรื่องพลังงานที่สมดุลต่อสู้แรงดึงดูดของโลก ก็ไม่มีสำเร็จหรอก อาตมาจึงต้องทดทศนิยมให้แก่ตัวเองเป็น 7

อาตมาไม่ได้เพิ่มเองหรอก มันเป็นเอง แล้วเลข 7นี้ เป็นเลขเกิดที่ไม่มีอะไรเทียมแล้ว  เลข 4 เป็นเลขเกิด 7 ก็เป็นเลขเกิด เลข 10 เป็นเลขลงตัว  ถ้าจะมีต่อต้องเป็น 11 ก็จะมีทศนิยมไปได้ต่อเดินหน้า ถ้าจะให้ไปต่อต้องมีทศนิยม  ถ้ายังอยู่ในวงจรอะไรก็แล้วแต่ ที่มีสนามแม่เหล็กก็ต้องไปต่อ ถ้า 0 สมดุลไปต่อไม่ได้ต้องเพิ่มทศนิยมให้แก่ตัวเอง นี่คือสิ่งที่อาตมาเข้าใจและอาตมาทำอยู่ ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:24:03 )

581127

รายละเอียด

581127_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก ตอบปัญหาพุทธวจนะ

      พ่อครูว่าวันนี้วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2558 วันแรม 2 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม วันนี้อาตมาก็สัญจรมาที่สันติอโศก เวียนไปเวียนมาพรุ่งนี้ก็ไปเทศน์อีกที่ เป็นไปบ้างบางทีก็อยู่ที่เดิมบ้างตามความเป็นจริง เรามีสถานีอยู่หลายที่ แล้วอาตมาก็ต้องไปตามแต่ละชุมชนที่มี sub station  ตามเหมาะตามควร แม้แต่ไปนอกสถานที่ถ้ามีความจำเป็นก็ทำได้ เพื่อประโยชน์ให้เหมาะสม

       วันนี้ก็จะเอาพระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่ขึ้นต้นสูตรแรก พรหมชาลสูตร ได้อ่านศีลไปแล้ว แล้วท่านจะตรัสถึงทิฏฐิที่เป็นปัญญาความรู้ ยังไม่ได้กล่าวถึงอธิจิต ตามลำดับไป แต่ก็ไม่ทิ้งศีล สมาธิ ปัญญา ตามสามัญผลสูตร จะได้รู้วิธีปฏิบัติให้เป็นสมณะเป็นสามัญญผล จะปฏิบัติอย่างไรจะชัดเจน

      แล้วอันที่ สาม อัมพัฏฐสูตร ที่จริงท่านตรัสชัดในสูตรแรกว่าศาสนาพุทธเป็นเช่นนี้นะ มีความเห็นอย่างในทิฏฐิ 62 ว่าไว้ ว่าไม่ไปหลงอดีตอนาคต แม้ปัจจุบันที่หลงภวังค์ก็คือมิจฉาทิฏฐิ เพราะคนถูกหลอกไปแล้วอุปาทานยึดไว้แล้วว่าต้องนั่งหลับตาทำสมาธิ แม้ผู้รู้ก็เผินไม่หยั่งลึกเจาะถึงสัจจะที่พระพุทธเจ้าตรัส

      ผู้ที่ตกในลักษณะปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ มีความเห็นยึดอดีต อนาคต แม้ปัจจุบันก็มิจฉาทิฏฐิได้ ยุคนั้นสำนักทั้งหลายก็ปฏิบัติเช่นนี้ ยึดอดีตอนาคต ท่านก็มาบัญญัติว่าต้องมีศีลสิกขา อธิจิตสิกขา ตามลำดับ แต่เขาไปเอาจิตเลย ไปนั่งหลับตาทำเจโตสมาธิ มันไม่ใช่ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ แต่เป็นเจโตสมาธิ นี่คือรายละเอียดที่เผินกัน ไปเข้าใจอย่างตนคิด

      อาตมาเอารายละเอียดมาพูดในสิ่งที่เขาเพี้ยนไปไกลแล้ว มาพูดอย่างไม่มีครูบาอาจารย์สำนักไหนถ่ายทอดมา แล้วโผล่จากจอจากเมืองมายา แล้วมาพูดเรื่องปรมัตถ์ก็เลยหาน้ำหนักเชื่อถือไม่ได้ ทำให้อาตมาต้องอุตสาหะพากเพียรพิสูจน์ก็ทำมา 45 ปีแล้ว มุ่งมั่นจะทำต่ออีก เพราะเห็นผล เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ กำลังจะดึงออกจากอุโมงค์

 

      มาดู sms ก่อน sms 26nov

0839975xxx กราบนมัสการพ่อท่านครับ ต่อจาก SMS ที่แล้วครับ เกี่ยวกับสำนักพุทธวจน คือแม่ผมนี่ท่านศรัทธาพอจ.คึกฤทธิ์มากๆ ท่านจะเปิดคลิปของพระคึกฤทธิ์ทั้งวัน ผมก็ได้ฟังแล้วก็รู้สึกแย้งในหัวใจ เลยขอโอกาสเรียนถามพ่อท่านครับ พระคึกฤทธิ์สอนว่า

1.สัตตานังยึดวิญญาณแล้วก้าวลงสู่ครรภ์

2.สมาธิ8ระดับ ตั้งแต่ปฐมฌาณ จนถึงสัญญาเวทิยิตนิโรธ ต้องนั่งสมาธิ

3.อานาปานสติ ต้องเฝ้าดูลมหายใจอย่างเดียว ห้ามคิด

4.ต้องฟังพระศาสดาเท่านั้นห้ามฟังคำสาวก แม่แต่พระสารีบุตรก็ห้ามฟัง

5.นรก สวรรค์ ผี เปรต พรหม ต่างๆที่เป็นสถานที่ เป็นตัวตนบุคคลมีอยู่จริง (ที่พ่อท่านสอนว่าคือมโนมยอัตตาอ่ะครับ)

6. สอนว่านิพพานคือช่องว่างในที่แคบ นิพพานคือรอยต่อระหว่างจิต จิตดวงหนึ่งเกิดถ้าเรารู้ทันก่อนมันจะดับ นั่นแหละคือนิพพาน

7.สอนว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ นิโรธคือดับขันธ์ทั้งหมด

8.สอนว่าก่อนตายได้ฟังธรรม จะบรรลุอนาคามี สังเกตุจากตอนตายจะตัวเหลือง

 

พ่อครูตอบ…. 1.สัตตานังยึดวิญญาณแล้วก้าวลงสู่ครรภ์ ...สัตว์จะเกิดต้องมีวิญญาณหยั่งสู่ครรภ์มารดา ถ้ามีสองสิ่งกระทบกันแต่วิญญาณไม่หยั่งลงก็ไม่เกิดสัตว์อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร เป็นสภาวะสองแล้วทำให้เกิดวิญญาณ เป็นเชื้อชีวะเป็นสภาพสัตว์ขึ้นมา

 

2.สมาธิ8ระดับ ตั้งแต่ปฐมฌาณ จนถึงสัญญาเวทิยิตนิโรธ ต้องนั่งสมาธิ...พ่อครูว่า...สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นระดับ9 ท่านตรัสในอนุปุพวิหาร 9 ท่านไม่ตรัสว่า 8 นะ ก็มีรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 แล้วมีสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่นี่บอกว่า สมาธิ8ระดับ ตั้งแต่ปฐมฌาณ จนถึงสัญญาเวทิยิตนิโรธ ต้องนั่งสมาธิ...ก็พูดว่าสมาธิ 8 ระดับ

อนุปุพวิหาร 9 นั้น ในศาสนาอื่นคำว่าฌานมี 8 ไม่มีสัญญาเวทิยิตนิโรธ เขาจะมีฌานสมาบัติอีก แต่ของพระพุทธเจ้าระบุไว้ว่า สัญญาเวทิยิตนิโรธ ไม่ใช่นิโรธอย่างเขาอธิบายที่ว่าเป็นนิโรธสมาบัติ อยู่ในภพนั่งอย่างที่พูดมาว่า ต้องนั่งสมาธิ

      ก็เมื่อกำกับว่าต้องนั่งสมาธิ สัญญาเวทิยิตนิโรธของพระอาจารย์คึกฤทธิ์คงหมายเอานิโรธที่หลับตา เมื่อเป็นนิโรธจากนั่งหลับตาจะเป็นสุภกิณหะ มันเป็นมโนมยอัตตาทั้งนั้น เมื่อนั่งหลับตาเข้าภวังค์คือองค์แห่งภพ เบื้องต้นมีรูปภพ 4 คือฌาน 1 2 3 4 จนถึงอรูปฌานอีก 4 อาตมาไม่ค่อยเห็นอาจารย์ไหนอธิบายเหมือนอย่างที่ท่านตรัสว่า

      เมื่อเป็นปฐมฌานก็มีปีติ จิตมีเอกัคคตา แต่มีอุปกิเลสเป็นวิตกวิจาร ปีติ คืออุปกิเลส แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 อาการของกาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉาไม่มี คำว่าอาการต้องจับอาการได้แล้วกำหนดหมายว่าอาการอย่างนี้หมายถึงอะไร สภาพของฌาน รูปฌาน อรูปฌานเป็นอย่างไร ผู้ทำต้องกำหนดเอง แล้วถ้านั่งหลับตาฌานในภวังค์ก็มีอีกแบบ อาตมาทำได้สองแบบ แล้วรู้อาการลักษณะต่างๆครบ เมื่อสามารถอ่านอาการเป็น รูปฌานคือรูปภพ สภาวะที่ได้มีความไม่มีนิวรณ์ 5 จิตก็อยู่ในภพเสวยรส เป็นโลกียรส เป็นรสที่สบายไม่วุ่นวายไม่ต้องมีนิวรณ์ 5 ไม่มีความไม่ชัดมันชัดเลยว่า เอกัคคตาเป็นเช่นนี้ ฌาน 1 เป็นเช่นนี้ผู้รู้ได้ปัจจัตตัง แต่อาตมาขออธิบายว่าคือภพชาติ เป็นมโนมยอัตตา เป็นอัตตาชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่โอฬาริกอัตตาที่มีสัตว์บุคคลสถานที่สิ่งของที่เป็นสัมผัสสามัญของมนุษย์ เราต้องล้างความติดยึดในโอฬาริกอัตตาเหล่านี้ ทำจิตให้เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตาได้ ผู้ศึกษามีปัญญาดีๆจะรู้

      เมื่อเป็นการเรียนรู้ที่ไม่เป็นต้นกลางปลายไม่ครบสมมุติสัจะและปรมัตถสัจจะแล้วไม่รู้อาการของเวทนา แล้วหาเหตุในเวทนาคือจิต จะรู้อกุศลจิตแล้วกำจัดสมุทัย อย่างมีองค์ประกอบนอกในครบ แต่จับอกุศลจิตได้ กำจัดได้ แต่ถ้าไปนั่งหลับตาสมาธิไม่มีเลยมันนอกรีตนอกวิธีการของพระพุทธเจ้านอกโพธิปักขิยธรรม 37 นอกอริยสัจ 4 นอกมรรคมีองค์ 8 พระพุทธเจ้าตรัสว่าทางของท่านมีทางเดียวเท่านั้น เอเสวมัคโต นัตถัญโญ คำว่านัตถัญโญคือมีทางเดียว  ถ้าเข้าใจผิดก็จะปฏิบัติอย่างผิดผิดเป็นมิจฉาทิฐิ แม้อาตมาจะพูดไปแต่เขาก็ยึดติดของเขาเป็นทิฏฐุปาทาน  แล้วเขาก็บอกว่าใครฝันมารับสมัครเหล่าราบ

       วิธีนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นวิธีทำกสิณทั้งสิ้นเป็นการสะกดจิตทั้งนั้นให้จิตเกาะติดแน่นกับสิ่งนั้นกับกสิณนั้น ก็ไม่รับรู้อย่างอื่นจิตก็แข็งแรงตั้งมั่นกับสิ่งที่เกาะเป็นกสิณมีหลายวิธีในการสะกดจิตเช่นให้ดูที่มือนิ้วมือนิ้วชี้นิ้วกลางมันติดกันใช่ไหมเดี๋ยวมันจะแยกออกแยกออกก็สะกดจิตเขาแล้วก็บอกว่าสู้สู้ แล้วก็ออกจะเข้าสู้ไม่ได้ก็จะออกจริง พูดสะกดจิตก็จะรู้ว่าตอนนี้ถูกคุมจิตแล้วถ้าใคร ยังสู้อยู่ก็ยังคุมจิตเขาไม่ได้พูดสะกดจิตก็จะรู้ว่าอันนี้ไม่ยอม หรือว่าให้เพ่งที่นิ้วเดี๋ยวนี้ วิธีการเช็คว่าติดอยู่ในอำนาจของผู้สะกดจิตหรือไม่ 

แม้แต่สํานักติชนัทฮันก็สมถะ ก็เป็นสมาธิลืมตาหรือหลวงพ่อเทียนก็เป็นแบบสมถะแบบลืมตาเป็นการสะกดจิตไม่มีจิตวิเคราะห์ไม่สามารถทำอย่างมีปัญญามีธัมวิจัยแยกแยะจิตเจตสิก แล้วกำจัดเหตุได้

       แม่หลับตาเป็นความว่างเฉยเราก็จะสมมุติพบใหม่ที่บางเบากว่านี้อีกที่ถือว่าสมมุติว่าเป็นอากาสาฯที่สมมุติว่าบางเบากว่ารูปภพว่าตนจะไปอรูปฌาน เหมือนหลุดปึ๊งออกนอกโลกเลย อาตมาก็เคยทำมา แล้วก็รู้อากาสาฯ วิญญานัญจาฯ เนวสัญญาฯ อยู่ในสภาพใด อาตมามีภูมิเก่าก็รู้ได้ ไม่ได้เรียนจากใครเลยในชาตินี้ ก็เอามาอธิบายให้ฟัง บรรดาคณาจารย์ที่ฟังแล้วจะเอาไปบรรยายต่อก็ไม่ว่า

      ในขณะหลุดจากรูปภพ ไปสู่อรูปภพจะเบาว่าง แต่เป็นการกำหนดภพชาติเองปั้นเอาเองเหมือนธรรมกายที่ให้กำหนดความใสระดับต่างๆถึงไปพบพระพุทธเจ้าได้ เหมือนคนทางโลกสมมุติเรื่องอร่อยแบบต่างๆสนุกแบบต่างๆหลอกกันทั้งโลก

      ตอนหลุดสู่อรูปฌานก็ว่างดีแต่ไม่รู้ว่าเราคือใคร เราเสพแต่รสว่างแต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวเรา นี่คือสภาวะอากาสาฯ แต่ไม่นานเท่าไหร่ก็จะรู้ตัว  ความเป็นตัวตนตัวฉันก็จะเข้ามาถ้าเรามีอารมณ์ประชานแล้วนะเป็นลมแล้ว ก็เป็นวิญญาณัญจายตนะ คนก็จะอยู่สภาพนี้นานหน่อยแล้วแต่ แต่พอมาคิดได้ตามที่ถูกสอนมาว่าจะต้องดับความรู้สึกความรับรู้ทั้งหมดอีก ก็เข้าสู่อากิญจัญญายตนฌาน อีก เพราะรู้มาว่านิโรธหรือนิพพานจะต้องดับ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ในอภิธรรมว่าดับอาการโลภะโทสะต่างหากไม่ใช่ดับหมด ยิ่งพวกนั่งหลับตาไม่เรียนอภิธรรมเลย แต่ไปเข้าใจว่าต้องดับดำปี๋เรียกว่ากิณหะ ก็ถือเป็นสุภะคือสิ่งที่เป็นโชคดีหรืองามของเขา ยิ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าคืออะไร อธิบายอาฬารดาบสกับอุทกดาบสว่าต่างกันอย่างไรไม่เป็นหรอก ที่จริงมันต้องแวบมาให้รู้ตัวนิดให้รู้ แต่อาฬารดาบสไม่รู้ได้เพราะจิตไม่ละเอียดพอจะรู้ได้ แต่อุทกดาบสก็รู้ได้ก็ดับต่ออีก คือมันรู้ขึ้นมานิดก็ดับอีก ถือว่าดับได้สูงกว่าอีก นี่คือฤาษีทั้งหมดจบแต่8 ฌานนี้ แต่ว่าท่านคึกฤทธิ์บอกว่านั่งหลับตาตั้งแต่ต้นเลย

      ก็ลองสรุปที่ท่านคึกฤทธิ์ไปหยิบเอาสัญญาเวทยิตนิโรธที่ไหนมาอธิบาย เท่าที่ดูในพระไตรฯก็มีอนุปุพวิหาร 9 กับวิโมกข์ 8 ที่มีสัญญาเวทิยิตนิโรธ ว่าท่านอธิบายอย่างไรก็เอามาสิ แต่ขอยืนยันว่าสัญญาเวทิยิตนิโรธไม่ใช่ต้องนั่งหลับตาจะได้แต่จะตื่นเต็มอย่างมีทวาร 6 มีเวทนา 6 ผัสสะ 6 อยู่ครบสมบูรณ์แบบเลย มีวิญญาณ 6 ด้วย คือนิโรธของศาสนาพุทธ อย่างลืมตาอย่างมีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลกา(แสงสว่าง) ของพระพุทธเจ้าเรียกว่าจักจุมาปรินิพพุโพติ คือนิพพานอย่างลืมตา

 

3.อานาปานสติ ต้องเฝ้าดูลมหายใจอย่างเดียว ห้ามคิด ตอบว่า...นี่คือความคิดแบบฤาษีที่มิจฉาทิฏฐิหมด อานาปานสติกับสติปัฏฐาน 4 คืออันเดียวกันคือมีสติปัฏฐานเป็นฐานทุกลมหายใจเข้าออกที่ยังไม่ตาย แล้วมีองค์รวมเรียกว่ากาย ต้องรู้กายสังขาร จิตสังขาร ในอานาปานสติสูตรก็ต้องรู้กายสังขารังปฏิสังเวที จะรู้ได้ต้องรู้กายคืออะไร ถ้าเข้าใจแค่กายคือร่างนอกก็เจ๊งแล้ว

 

      กายสังขารก็เป็นภายนอกเป็นพลความหนึ่งนิยามหนึ่ง กายสังขารเน้นภายนอก แต่ถ้าเข้าหาภายในก็มีกาย ถ้าองค์ประชุมองค์รวมธรรมะสองทั้งนอกและใน และนามเราไปกำหนดรู้ได้ก็ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์อันนั้นตลอดจนวิจัยเข้าถึงเวทนา ธรรมะพระพุทธเจ้าให้วิจัยเวทนาเป็นหลักจะบรรลุหรือไม่ก็ที่เวทนา ต้องรู้ความต่างระหว่าง ทุกขเวทนาสุขเวทนา โสมนัสกับโทมนัสต่างกันอย่างไร แล้วแยกเนกขัมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนาออกได้

      การนั่งหลับตาอย่างเก่งก็ได้จิตว่างเฉยเป็นฌาน4 เป็นอุเบกขากับเอกัคคตา คุณก็ว่าเป็นฌานสมาบัติ แต่ถ้าจะให้เป็นนิโรธสมาบัติก็วางเฉยที่ได้ฌานสมาบัติก็คือคุณบอกว่านิโรธนั่นเอง ถ้ามีอยู่ก็เป็นอาภัสรา ถ้าดับก็สุภกิณหา ก็มีสองทิศทางของพรหมก็เท่านี้

      อานาปาสนติ ที่บอกว่าดูลมหายใจอย่างเดียวก็ใช่เพราะพูดว่าอานาอาปานะ แต่อธิบายแคบๆว่ากำหนดรู้ลม ก็ต้องกำหนดรู้ว่าสภาพลมเป็นอย่างไร แล้วก็ต้องกำหนดรู้ให้ครบให้ทั่วซึ่งเป็นวิปัสนาที่ยอดเยี่ยมกว่าสมถะอยู่แค่ลมหายใจ ก็ต้องกำหนดรู้ขณะแม้นั่งก็ตามก็ต้องให้อย่าขาดจากลมหายใจนะ เพราะว่านั่งหลับตาไม่มีทวารอื่นรับรู้ รู้แค่ลมหายใจที่จมูกผ่านเข้าผ่านออก แต่ถ้าไม่รู้สึกที่จมูกแต่ไปรู้ลมภายในเล่นลมภายในก็ไม่ถูกทางแล้วเป็นการปั้นเอา เป็นการทิ้งกายแล้ว ไม่มีธรรมะสองให้เรียนรู้แล้ว

      ต้องรวมลงที่เวทนา ที่เป็น  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ทำให้เป็นหนึ่งให้ได้ หนึ่งก็คือจิตที่มีอกุศลจิตก็ธรรมะหนึ่ง จิตทั้งมวลของคุณที่ปราศจากอกุศลจิตตอนนี้ขณะนี้ เช่นราคะกับดอกไม้ขณะนี้คุณก็ดับราคะในดอกไม้ จิตที่รู้จักดอกไม้ก็อยู่ครบเป็นหนึ่งในสองขณะดับอกุศลจิตไปแล้วจะดับด้วยปหานห้าก็ต้องใช้ทั้งปัญญาเจโตช่วยกัน

      อานาปานสติต้องดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวแล้วห้ามคิดอย่างนี้ออกนอกรีตนอกทางเลย น่าสงสาร คุณสรุปมานี่สรุปท่านคึกฤทธิ์ถูกหรือเปล่านะ อาตมาก็ว่าตามที่คุณสรุปมานะ ถ้าไม่จริงอาตมาก็พูดผิดไปด้วย แต่ไม่ได้โกรธเกลียดหรอก ศาสนาพุทธน่ะไม่ได้ห้ามคิด มีสัมมาสังกัปปะ เป็นแต่เพียงแม่นในสักกายะรู้สมุทัยที่ต้องกำจัด อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในศาสนาพุทธคือจับโจรถูกตัวไม่จับแพะขึ้นแพะคือตัวปลอม จะพลาดก็ไม่ได้ต้องจับตัวจริงนี่คือของจริงสนาพุทธที่สุดพิเศษ

 

4.ต้องฟังพระศาสดาเท่านั้นห้ามฟังคำสาวก แม่แต่พระสารีบุตรก็ห้ามฟัง...ถ้าคิดอย่างนี้ก็ต้องออกจากเถรวาท เพระนิกายแบบเถรวาทก็คือรับฟังจากพระเถระมาอีกทีสายตรงจากพระพุทธเจ้าเช่นพระสารีบุตรพระอานนท์ นางวิสาขา ที่เป็นรุ่นฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าเลยเรียกว่าเถระ แต่ถ้ารุ่นต่อมาไม่เรียกว่าเถระแต่เป็นอัจฉริยะวาดแต่นี่คุณจะไม่เอาเถระเอาแต่พระพุทธเจ้าก็ต้องไปตั้งนิกายใหม่เป็นนิกายสัมมาสัมพุทธวาทะ ลัทธิเช่นนี้

 

5.นรก สวรรค์ ผี เปรต พรหม ต่างๆที่เป็นสถานที่ เป็นตัวตนบุคคลมีอยู่จริง (ที่พ่อท่านสอนว่าคือมโนมยอัตตาอ่ะครับ

 คำว่าตัวตนบุคคลก็คือคน มีหัวมีแขนมี 2 ขาเดินอยู่ในทางตั้งไม่ได้เดินทางขวาง 4 ขา  แล้วนรกสวรรค์ผีเปรตพรหมก็คือจิตวิญญาณของคนเป็นเป็นนรกกับสวรรค์นั้นคือสภาวะของสถานที่ เป็นแดนนรกก็แดนทุกข์ร้อน ส่วนสวรรค์ก็แดนที่แสนสุข ส่วนคำว่าผีเปรต พรหมก็เป็นอาการของจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณผีเปรตก็คือจิตวิญญาณอบายภูมิเป็นจิตชั่ว ส่วนจิตพรหมนั้นเป็นจิตของผู้ที่บรรลุธรรม ถ้าในทางโลกียจะหมายถึงพระพรหมที่มีตัวตนรูปร่างแล้วแต่ใครจะปั้นแบบไหน ส่วนเทวดาของทางฮินดูก็ต้องปั้นแบบฮินดูอยากจะดูรูปพระพรหมของเขาก็ไปดูในหนังแขก ถ้าอยากจะดูพระพรมแบบไทยไทยก็มาดูหนังไทย ก็สร้างกันไปแล้วแต่จินตนาการ

ซึ่งความจริงแล้วผีก็ดี พรหมก็ดีไม่มีสรีระไม่มีตัวตนรูปร่าง มีแต่อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอุเทศคือการอธิบายเอาคำว่าผีเปรตนรกสวรรค์ พร้อมคำอธิบาย ตามแต่ผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิคนฟังก็จะเข้าใจ แล้วไปอ่านอาการไปกำหนดนิมิตนั้นได้แล้วจะรู้ว่าผีกับพรหมอาการต่างกันอย่างไร อาการของผีนั้นเราร้อนร้ายกาจจิตมันเป็นอย่างนี้นี่เองราคะก็คือผีโทสะก็คือผี ถ้าลดโทสะได้ลดราคะได้ด้วย ความพร้อมไปตามลำดับที่มีสภาพอยู่ เรียกว่ารูปภพจนเป็นสภาพเบาบางเหลือน้อยขนาดอนาคามีเป็นต้นไปเรียกว่ารูปภพ มีแต่ผีในกามภพที่เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นกามคุณท่านดับไปแล้วเข้าสู่รูปภพอรูปภพ เหลือแต่สังโยชน์เบื้องสูงที่เป็นของอนาคามี มีราคะอรูปราคะหยาบหยาบลดลง ก็เหลือแต่อรูปเท่านั้นล้วนแต่มีอาการ

       พวกมิจฉาทิฏฐิก็จะรู้แต่เป็นเพียงตัวตนรูปร่างไม่มีปัญญาเข้าใจ ถ้าเป็นรูปร่างตัวตนนั้น เห็นในภพมันยากกว่า แต่การเห็นอาการจริงๆที่ไม่มีรูปร่างตัวตนนั้นง่ายกว่า เห็นอาการราคะเห็นอาการความโกรธ โทรสะก็ง่ายกว่า สัมผัสรู้ก็จะเห็นว่าตนเองเหลืออยู่เท่าไหร่นี่คือสภาพผีเรียกว่าแดนนรกสวรรค์ ก็เป็นสมมติสัจจะที่มีชื่อเรียกสภาวะที่มีสิ่งรองรับ

       ในรูป 24 อุปาทายรูป ที่มี ปสาทรูป โคจรรูป ทำงานกระทบกันมีนามธรรม  สมมุติว่าการผีคนก็จับอาการผีให้แม่นว่าเป็นอกุศลเจตสิกเป็นราคะขนาดสัมผัสอยู่คุณจะไปสัมผัสเรื่องเพศเรื่องกามคุณ ไปต้องการรสอร่อยโลกีย คุณก็ลดอันนี้เมื่อลดได้เข้าขั้นที่ภายนอกควบคุมได้มีเหลืออยู่แต่ข้างในระริกระรี้ รูปราคะอรูปราคะ  ต้องกำหนดเองความเป็นพรหมเอง การลดกิเลสได้จากกามภูมิ ก็คือเขากั้นพรหม

       เทวดามีสามแบบ สมมุติเทพ อุบัติเทพ และวิสุทธิเทพ สมมุติเทพจะพยายามเสพสบายตลอดเวลา  เจ็บอย่างอื่นเสร็จแล้วพักยกก็จะไปเสร็จอย่างอื่นต่อไปเรื่อยเพื่อบำเรอความสมใจกิเลส ให้มันอ้วนขึ้นกิเลสโตขึ้นหนาขึ้นตลอดเวลา ฟังให้ดีๆจะรู้สึกว่าน่ากลัวมากเลยเกิดเป็นปุถุชนทุกลมหายใจเข้าออกแทบจะสูบลมกิเลสเข้าตลอดเวลา  บําเรอให้จัดจ้านให้สมใจเบาๆหรือหนักหนาตลอดเวลา ถ้าไม่ได้มาสมใจก็โกรธถ้าได้มาก็บำเรอกิเลสให้หนาขึ้นมันทั้งสองสภาพที่น่ากลัว ถึงต้องมาตั้งตัวเองแล้วกำหนดขอบเขตให้ประมาณนี้ เจอเรื่องลาภยศรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็เอาแค่นี้ทำแค่นี้ให้ได้ก่อน ลดกิเลสแค่นี้ก่อนส่วนเรื่องอัตตาก็เอาไว้ก่อน ทำหยาบหยาบตั้งแต่อบายมาเรื่อย เหนือขึ้นมาก็เป็นอบายมุขของสกิทาคามีเป็นอบายมุขของอนาคามีเป็นอบายมุขของอรหัตตมรรคที่จะต้องทำให้สิ้นเกลี้ยง

       สภาพนรกสวรรค์มีแต่ในตัวคนเท่านั้นนอกจากในตัวคนไม่มีสภาพที่จะเปิดปฏิบัตินรกสวรรค์ได้

นรกสวรรค์ผีเปรตพรหมที่บอกว่ามีสถานที่ มันไม่มีสถานที่ที่เป็นรูปร่างหรอกแต่ในภาษาวิชาการของพุทธศาสนาเรียกว่า หทยรูปที่ต่อจากสภาวรูป 2 ที่ไหนที่มีกายยาววาหนาคืบกว้างศอก มีสุรภาโวสติมันโตนี่แหละ ให้จับอ่านอาการที่เกิด  มันไม่อยู่ไกลไปจากตัวคุณหรอกแต่มันไม่ได้อยู่ที่สมองที่จมูกที่ใส่ที่หัวใจห้องที่4หรอก  สวนธรรมกายก็บอกว่าอยู่ที่เหนือสะดือ 2 นิ้วก็ว่ากันไป เพราะฉะนั้นรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ถ้าเรารู้ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น มันเป็นสภาวะที่จิตของคุณสัญญากำหนดได้อยู่ที่ไหนเมื่อไหร่ก็อยู่ที่นั่นมันไม่มีที่กำหนด แต่กำหนดได้ รู้ได้เมื่อเกิดสัมผัสมีเหตุปัจจัยครบก็กำหนดให้รู้ได้

       มโนมยอัตตาคือคนที่มิจฉาทิฐิก็ไป เห็นเป็นรูปร่างเรื่องราวมีตัวตน เห็นเป็นกระทะทองแดงมีต้นงิ้วเป็นนรก แล้วสวรรค์ก็มีทั้งโลกมีทั้งเสียงมีทั้งบรรยากาศ อาตมาเล่นไสยศาสตร์พวกนี้ก็ไปมาหมดไปเที่ยวสวนนันทวัน ไปนรกก็ไปก่อสร้างกลับบ้านเราได้พบคุณจะรู้สึกเป็นจริงได้ เหมือนของจริงเลยเป็นมโนมยอัตตา

แต่ความจริงแล้วการที่เราไม่มีรูปไม่มีร่างนี่แหละถูกแล้ว ถ้าไปไปปั้นแล้วเป็นรูปเป็นร่างติดในภพก็จะล้างได้ยาก พวกที่ไปนั่งตามสำนักต่างๆเห็นนรกสวรรค์หรือไปกับธรรมกายก็เห็นตามที่เขาปั้นเขาสร้างเป็นวิมานลวงคน เคยมีสิกขมาตุพวกเราก่อนบวช เคยไปนั่งกับเขาก็ไม่เห็นรูปร่างอย่างเขา

 

6. สอนว่านิพพานคือช่องว่างในที่แคบ นิพพานคือรอยต่อระหว่างจิต จิตดวงหนึ่งเกิดถ้าเรารู้ทันก่อนมันจะดับ นั่นแหละคือนิพพาน

ตอบ...คุณช่วยค้นมาให้หน่อยของอ.คึกฤทธิ์ ว่าเอาคำสอนนี้มาจากไหน

ข้อสรุปว่ามันเป็นจินตนาการเป็นตรรกะคิดเอาขอยืนยันว่าในสภาพของนิพพานไม่ใช่ตรงกลางอย่างนี้ เพราะกลางของนิพพานคืออีกหนึ่งฟากฝั่งของกามอีกหนึ่งฟากฝั่งของอัตตา เอามาจากธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตามพุทธวจนคำว่ามัชฌิมาแปลว่ากลางต้องทำให้กามหมดไปแล้วอัตตาหมดไปหมดเกลี้ยงแล้วก็คือกลางไม่ใช่กลางระหว่างช่องแคบอะไรหรอก  ต้องดับอัตราให้หมดไปกับการให้หมดไปอย่าให้มีส่วนปลายอันตาเหลืออยู่  ตอนปลายจะมีสังโยชน์เบื้องสูงเลยอยู่ รูปราคะ อรูปราคะ ท้ายสุดจะมีมานะ อุทธัจจะ อวิชชา อยู่ก็ต้องดับให้หมดเกลี้ยง อัตตาเป็นตัวท้าย อนาคามีดับหยาบกามภพแล้วเหลือแต่ในภพเท่านั้นกิเลสส่วนตนเป็นโสมนัสโทมนัสไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว หมดกามคือผู้มีนิโรธแล้วก็เหลืออันตาของอัตตา ท่านมีนิโรธแล้ว ภพกามหมดแล้วเหลือแต่สังโยชน์ที่เหลือ ถ้าดับรูปภพอรูปภพที่เหลือหมดก็เป็นอุเบกขาสมบูรณ์แบบไม่มีกามไม่มีอัตตาเป็นกลางที่ไม่มีอันตาเลย ไม่ใช่กลางช่องแคบไม่ใช่สถานที่ มันเป็นส่วนผู้ที่หมดภพทั้งกามภพ ภวภพ มีแต่วิภวภพ เป็นตัณหาไม่มีภพ เป็นมโนสัญเจตนาหารของพระอรหันต์ของพระอาริยะของพระพุทธเจ้าเป็นมโนสัญเจตนาที่ไม่มีกิเลสเป็นเหตุนำให้เกิดภพชาติ อสังขาริกังแล้ว

 

7.สอนว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งสมาธิ นิโรธคือดับขันธ์ทั้งหมด

ตอบ...ถ้าดับหมดเป็นอาริยะไม่ได้หรอก ดับหมดก็ตาย บรรลุปุ๊ปตายปั๊บ จะเรียกว่าอรหันต์สมสีสี คือบรรลุแล้วตายเลย ก็ไม่ใช่หรอก อรหันต์ของพระพุทธเจ้าบรรลุแล้วหมดอุปาทานขันธ์ 5 แต่ขันธ์5ก็ยังอยู่ คือดับอุปาทานในขันธ์ 5 ทั้งหมด ดูแล้วคนที่เขียนมาจะตู่ท่านคึกฤทธิ์หรือเปล่า อันนี้มันผิดหยาบนะ จะไปดับทั้งหมดได้อย่างไร การนั่งสมาธิต้องสัมมาทิฏฐิจะนั่งได้ผล แต่ว่ามิจฉาทิฏฐิไปนั่งก็จะได้แต่มิจฉาผล

นั่งสมาธิได้ประโยชน์คือ ได้พักจิต ได้ศึกษาจิตในภพ จะเป็นสัญญาหรือแกล้งปรุงเองก็ได้ เกิดอาการได้นะ คนที่มันเกิด ก็เป็นการศึกษาในภพ และก็ทำเตวิชโช ตรวจสอบสิ่งเกิดสิ่งดับที่ผ่านมาแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนถ้าระลึกได้ หรือเอาชาตินี้ย้อนเท่าที่ระลึกได้ทบทวนได้ เกิดเหตุการณ์เราได้ปฏิบัติธรรม เราลดกิเลสได้ไหม ลงบัญชีของเรา เราสมบูรณ์แบบก็จะรู้ความเกิดดับของกิเลสชัดเจน ว่ามันไม่เกิดไม่ดับแล้ว จนหมดอาสวะ มั่นคงแข็งแรงแล้ว ทีเผลอทีรู้ตัวอย่างไรก็ทบทวนดู  แต่ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิไปนั่งหลับตาก็ไปใหญ่เลย

สมาธิทั่วไปคือ meditation หรือ concentration แต่ของพระพุทธเจ้าเป็น supra concentration เป็นความพิเศษกว่าสามัญคือกิเลสหมดได้ อย่างที่ถูกกระทบกระเทือนด้วยโลกธรรมใดๆก็ไม่เปลี่ยนไม่สั่นสะเทือนไม่เคลื่อนแข็งแรงมั่นคงอย่างไม่ได้หลับตาเข้าภพเลย

 

8.สอนว่าก่อนตายได้ฟังธรรม จะบรรลุอนาคามี สังเกตุจากตอนตายจะตัวเหลือง

ตอบ...แล้วอันนี้เป็นพระพุทธพจน์เล่มไหนบทไหนอยากรู้ จังเลยหรือไปอธิบายตัวเหลือง ว่าพระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่าสรีระเราจะผ่องใส 2 ครั้งครั้งหนึ่งตอนตรัสรู้ ครั้งที่สองก็ตอนปลงอายุสังขาร หรือไม่นะ

 

 

0850860xxx กราบนมัสการพ่อครูอยากถามพ่อครูว่า หยุดคนในคน หรือ

น้ำโอชะบาลที่พ่อครูเทศมาแปลว่า หยุดการปรุงแต่ง ใช่หรือเป่ลาคะ หรือว่ารู้ทันกิเลสของตัวเองใช่หรือเปล่าค่ะ

ตอบ...ใช่หยุดการปรุงแต่งไม่ใช่แค่รู้ทันเท่านั้น

 

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯกับธรรมาธรรมะสงครามดับความเศร้าหมองในใจตน! seufaasinผู้สูญเสียหลาน สาวด้วยไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว ข่าวไข้เลือดออกทำให้ภาพหลานสาวที่เลือดสีดำออกหูจมูกปากก่อนสิ้นลมผุดขึ้นมาในใจตน!ภาวนาขออย่าให้เกิดกับครอบครัวเด็กสัมมาฯฤาครอบครัวใดเลย!ขอให้ปลอดภัยทุกคน!skk

0893867xxx ความเสียใจดีใจทุกข์ใจจริงๆมันไม่มีแต่เราไปแบกรับมันทำให้มันมีความรู้สึกเอง!ใจคือธาตุรู้รู้อะไรรู้สุขรู้ ทุกข์นั่นแหละคือใจ!skk

ตอบ...รู้สึกรู้ทุกข์คือใจที่โลกมันพาเป็นแล้วคุณก็ไม่เป็นไรกับเขา สามารถที่จะทำให้จิตไม่ต้องสุขต้องทุกข์ได้ ซึ่งแต่ก่อนก็เคยเป็นแต่ตอนนี้ไม่เป็นได้ก็คือความบรรลุถ้าทำได้ก็คือบรรลุ แปลว่าคุณเข้าใจอุเทสบัญญัติถ้าทำได้ก็เป็นผู้บรรลุได้มากได้น้อยตามจริง

 

0818557xxx กราบนสก.พ่อท่าน ท่านแรงอย่างนี้ ถูกต้องแล้วค่ะ ความจริงคือความจริงและสามารถพูดได้ดังๆๆดังมากๆๆได้ค่ะ

 

มาสู่บทเรียนในพรหมชาลแปลว่าตาข่าย ครอบคุมอยู่ ออกไม่ได้ เหมือนลิงแก้แห แล้วคำว่าพรหมก็คือภพชาติของจิต สร้างภพชาติเป็นข่ายแห เพราะฉะนั้นที่ท่านจะอธิบายทิฏฐิจะได้ขยายความ เกรินไปอีก  ในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านเห็นแล้วว่าการปฏิบัติธรรมให้มวลของอาจารย์ต่างๆปฏิบัติย่อมอยู่ในสภาพนั่งหลับตาสมาธิอยู่ในป่านี้ออกจากสังคมไปป่าเขาถ้ำพูดง่ายๆว่านี้โลกนี้กามคุณมีโลกธรรมออกไปเข้าป่าเข้าถ้ำแล้วก็ไปมีวิธีนั่งหลับตาสะกดจิตนั่งหลับตาแล้วก็จะเข้าไปเย็ดในอดีตเย็ดในอนาคต ตัวอย่างเก่งก็ระลึกอดีตของจริงได้ ที่ผ่านมาก็เป็นอดีต 18 อย่างส่วนอนาคตนั้นปั้นเองสร้างเองมีเยอะแล้วปั้นเองสร้างเองที่มันเคยมีในโลกซึ่งตนเองอาจไม่เคยได้พันแต่ปั้นเองเป็นเองในโลกก็เป็นได้กลับที่ปั้นเองแล้วไม่มีในโลกเลยรวมแล้ว ท่านก็ บอกว่ามี 44 อย่างรวมทั้งหมดเป็น 62  มี18 เป็นอดีตอนาคตเป็น 44 ก็มี 2 อย่างอดีตกับอนาคตไม่ได้อยู่ในปัจจุบันซึ่งนักปฏิบัติธรรมในยุคโน้นนั่งหลับตาเข้าไปก็มีแต่อดีตกับปัจจุบันอนาคตปัจจุบันไม่มีเพราะไม่มีสัมผัสแต่ต้องทางตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่สัญญากำหนดเอาระลึกสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แม่จำได้ก็เป็นสัญญาหรือสร้างขึ้นมาใหม่ ตักกีวิมังสีโหติ  นี่คือทิฏฐิ 62 ท่านก็บอกว่าทั้งหมดคือมิจฉาทิฏฐิมีเท่านี้แหละ

       ผักใส่กระโจมในอดีตอนาคตก็เป็นคนนอกรีตหมดเลยการนั่งหลับตาออกป่าเขาถ้ำนี้ หนีออกจากกาม จากสรรเสริญโลกียสุข หนีจากโลกโลกีย์ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยเช่นผัสสะเสียไม่มีฐานะที่จะเป็นได้นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า

       แต่ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิหมด ก็เป็นมิจฉาทิฐิได้หมดที่พูดนี้อยากจะให้เข้าใจอาตมาก็เคยไปหลงนั่งหลับตามาทั้งนั้นแล้วก็รู้ในอุปาทานที่เคยเป็น ที่อธิบายมานี้ไม่ได้เอาตำรามาอธิบายแต่เอาของเก่ามาอธิบายทั้งนั้นเป็นผมรู้ของอาตมา เพราะฉะนั้นน่าสงสารศาสนาพุทธ เพราะจมอยู่ในทิฏฐิ 62 ที่เป็นมิจฉาทิฐิ ขออภัยที่อาตมาพูดเหมือนใหญ่เหลือเกินแต่นี่เป็นวิชาการ เพราะอาตมารู้ว่าอาตมาไม่ได้มีเครดิตอะไรมากมายแต่มีจิตปรารถนาดีที่จะบอกความจริงที่จะยืนยันอย่าหาว่าอวดเลย  ภาพผู้ฟังมีปรโตโฆษะมีโยนิโสมนสิการก็จะได้สัมมาทิฏฐิไป  จะได้เกิดปัญญาในการปฏิบัติไม่ใช่ว่าปัญญาเกิดมาเองจากการนั่งหลับตาไปไม่มีเหตุให้เกิดเลย

 

       พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนจะชมเราต้องชมเรายังเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ด้วยศีลแต่เป็นคำชมที่อย่างต่ำต้อยนะเพราะยังมี สมาธิมีปัญญามีพิรุธวิมุตติญาณทัสสนะอีกแต่แค่ละเว้นศีลทางกายวาจาใจหลุดพ้นจึงเรียกว่ามีศีลคือกายกรรมไม่ละเมิดมโนกรรมก็ไม่มีอาการในจิต ศีล5 ไม่ฆ่าสัตว์แล้วมือไม่ฆ่าปากไม่กล่าวฆ่าใจก็ไม่มีอาการอยากจะฆ่ามีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาช่วยเหลือสัตว์ แม้จะเป็นสัตว์ร้ายเป็นศัตรู และของคนอื่นไม่เอาก็ไม่เอาวาจาก็ไม่เอาใจก็ไม่ได้อยากได้ของคนอื่น ดีไม่ดีเรามีก็จะให้เขาอีกไม่ใช่ว่าเรารวยแล้วก็ยังอยากจะได้ของเขาอีกร้อยแล้วไม่พอยังอยากจะเป็นผู้บริหารตั้งงบประมาณเพื่อจะโกงได้ต่อไปอีก ได้มาก็เอาไปออกดอกออกผลนอกไงไม่มีวันจบยิ่งมากดอกเบี้ยก็ไหลอย่างกับน้ำก๊อกไม่รู้จักพออย่างนั้นไม่ใช่

       อย่างชุมชนชาวอโศกแต่ก่อนถือศีล 8 กัน ต่อมาก็ตามอย่างที่พระพุทธเจ้าว่าอย่างต่ำต้องมีศีล 5 เป็นศีลสามัญญตา โสดาบันก็ศีลเสมอโสดาบัน สกิทาฯก็เสมอสกิทาฯ อนาคามีก็เสมออนาคามี อรหันต์เสมออรหันต์

จุลศีล 26 ข้อก็ประพฤติปฏิบัติให้ได้ส่วนตัวตนส่วนมัชฌิมศีลเป็นรายละเอียดอีก 10 ข้อชั้นกันทากสะสมของการละเล่นการแข่งขันการพนันการทำนายทายทัก หรือไปสะสมของใหญ่ของต่อ

 ศีลเป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้นโดยเฉพาะมหาศีลเป็นเครื่องชี้บ่งว่า พุทธไม่มีในสิ่งที่ท่านให้เว้นขาดของมหาศีล จึงจะได้ชื่อว่าศาสนาพุทธ ในมหาศีลเป็นตัวแสดงศาสนาพุทธว่าเป็นเช่นนี้ เช่นศาสนาพุทธไม่มีรดน้ำมนต์ ไม่มีสิญจนยันต์ใช้น้ำใช้ไฟเป็นสื่อ ตรวจน้ำไม่มีหรอก ไม่มีเวียนเทียน

 ซึ่งตอนนี้อาตมามาพูดเขาจะฟังไม่รู้เรื่อง ศาสนาพุทธทุกวันนี้ศีลไม่มีแล้วจะมีอยู่บ้างก็ศีล 5 ศีล 8 พอจะเข้าใจบ้างแต่มหาศีลนั้นไม่มีมัชฌิมศีลนั้นก็ไม่เข้าใจชัดเจนไม่ต้องพูดถึงจุลศีล แต่กลับไปพูดถึงวินัยแล้วบอกว่าพระนับถือศีล 227 ซึ่งไม่ใช่ศีลแต่มันเป็นวินัย  นี่คือความเสื่อมของศาสนาที่ไม่ได้เอาศีลมาประพฤติให้เป็นขาดได้จนถึงกายวาจาใจ

 อาตมาเอามารื้อฟื้นได้จนถึงฆราวาส ก็สามารถทำได้ แต่ฆราวาสไม่ใช่ภิกษุก็ทำได้มากกว่าภิกษุตามฐานะแต่ภิกษุนั้น จะต้องเป็นสามัญญผลสูตร ว่านี้คือศีลของเธอประการหนึ่งท่านจะย้ำเลย  ว่าเป็นสามัญของผู้เป็นภิกษุของศาสนาพุทธ พูดไปแล้วก็เลยเหมือนว่าเขาแต่ถ้าฟังรู้เรื่องแล้ววัดไหนก็เลิกเลย วัดไหนที่ไม่มีเดรัจฉานวิชชาจะสาธุมากเลยจริง ไม่ได้พูดประชดนะพูดด้วยความจริงใจจะชื่นใจมากถ้าวัดไหนเลิกก่อนเลย แต่กลับเอาไปใช้เป็นเครื่องมือหากินเข้าเวรจริงๆเลยพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยประณีตแล้วยังแสวงหาในทางผิดด้วยติรัจฉานวิชชาฟังแล้วเจ็บแสบบ้างไหม

 อย่างที่เป็นนั่งหลับตาก็ถือว่าหยาบแต่ไม่หยาบเข้าเดรัจฉานวิชชา พวกนั่งหลับตาก็เป็นพวกมักน้อยสันโดษเข้าท่าอยู่ แล้วท่านก็พากเพียร แต่พวกที่ทำเดรัจฉานวิชชานั้นไม่พากเพียร แถมไปรวยเละอีกซับซ้อนปาราชิกอยู่ในนั้นไม่ว่าทั้งเรื่องของพุทธจริตศีลข้อ 2 ศีลข้อ 3 เละเทะแม้แต่ศีลข้อ 4 ก็ไม่พ้น ลปนา  พูดแล้วเดินเลียบเคียงหลอกลวง

 

  ทิฏฐิ 62

      [26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยากสงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:25:53 )

581128

รายละเอียด

581128_เทศนาประชุมมังสวิรัติ เอเซียแปซิฟิก ครั้งที่ 7

พ่อครูว่า... ณ ขณะนี้เวลา 9 นาฬิกา 7 นาที อาตมาก็ได้รับนิมนต์ให้มาสาธยายธรรม ในงานประชุมมังสวิรัติ เอเซียแปซิฟิก ครั้งที่ 7  วันนี้เป็นวันสุดท้ายของงานที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กำหนดเรื่องให้เทศน์ว่า บุญญาวุธหมายเลข 1

      คำว่าบุญญาวุธ คือเครื่องมือปหานที่ชื่อว่าบุญ คำว่าอาวุธที่ประหารนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงของคำว่าบุญ ภาษาบาลีคือ ปุญญะ ตัวคำว่าบุญหรือปุญญะ ภาษาบาลีว่า สันตานังปุนาติ วิโสเทติ

      สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลเป็นไทยว่า เครื่องชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด ปุญญะคือเครื่องมือประหาร เหมือนท่านเปามีเครื่องประหารหัวสุนุข ปุญญะต้องมีลักษณะนั้น แต่คนไทยเพี้ยนเอาคำว่าบุญไปใช้เป็นความหมายของกุศล

      กุศลเป็นความดีงามที่มนุษย์ต้องอาศัย แต่ปุญญะเป็นเครื่องมือตัดหัวกิเลสอย่างเดียว เครื่องมือไม่ใช่ของอาศัยเลย เป็นเครื่องประหาร แต่คือความผิดพลาดของศาสนาพุทธอันนี้ก็เลยล้มเหลวเพราะเข้าใจบุญผิดเพี้ยนไป เพราะถ้าใช้เครื่องมือผิดก็ปหานไม่ได้ ไปเอาขนมปังมาตัดคอคน เอาเกสรดอกไม้ไปประหารชีวิตได้อย่างไร แล้วไปหลงเกสรดอกไม้ แท้จริงเครื่องประหารต้องแรงจัดถึง ถ้าไม่แก้ไขให้ตรงสัจจะก็ไม่มีผล

      ทุกวันนี้ศาสนาเป็นเช่นนั้น เข้าใจบุญเป็นของที่น่าสะสมเอาบุญไปขายกัน เอาไปสะสมมากๆแล้วไม่มีประสิทธิภาพใช้งานไม่ได้ ก็เลยคนละเรื่องเลย สาระหรือผลที่จะได้ในศาสนาจึงล้มเหลว อย่างบริบูรณ์ ศาสนาพุทธก็เลยล้มเหลวเอาบุญมาขายกันว่าจะได้วิมาน เป็นการหลอกคนจะได้อะไรกลับมามากมายอีก คือความล้มเหลวสมบูรณ์แบบ

      บุญญาวุธคืออาวุธที่ชื่อว่าบุญ ผู้ศึกษาปฏิบัติของพุทธต้องมีและใช้เครื่องมือนี้ ท่านให้มากศึกษาการสร้างเครื่องมือประหารกิเลสเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อปหานได้ก็เรียกว่าวิมุติหรือนิโรธ กิเลสตาย ดับสนิทไม่เกิด อีกเลย คือนิโรธ เกิดวิชชาวิมุติ เกิดในตนได้เด็ดขาดเสถียรเลย กิเลสตายแล้วไม่เกิดอีกเลยเป็นคุณสมบัติ ผลบรรลุสุดยอดแล้วจะเสถียร อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)อย่างสูงสุดสัมบูรณ์ Absolute Altimate เลย

      ผู้ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิจะได้ผลเช่นนั้น แล้วบุญญาวุธหมายเลข 1 หมายถึงอะไรก็หมายถึงมังสวิรัติ บุญญาวุธหมายเลข 2 คือตลาดอาริยะ หมายเลข 3 คือกสิกรรมธรรมชาติ แล้วก็มีถึง 8 หมายเลขเลย แต่หมายเลข 1 นี้อาตมาใช้ทำนำสังคมมา เพราะอะไร

      เพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารคือสิ่งที่กิน เลี้ยงชีวิต อาหารเป็นปัจจัย 1 ในปัจจัย 4อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คนไม่มีเครื่องนุ่งห่มก็ไม่ตาย ที่พักอาศัยก็ไม่มีได้ ยารักษาโรค ก็จำเป็นชั่วคราว แต่ก็สำคัญทั้ง 4 อย่างเมื่อให้ชีวิตสมบูรณ์ก็เรียกว่าปัจจัย 4 แต่อาหารนี่ไม่ว่าคนยากจน ร่ำรวย คนสูงต่ำ ฉลาดหรือโง่ ตั้งแต่สัตว์ถึงมนุษย์ต้องอาศัยอาหาร สัตว์หลายชนิดไม่ต้องใช้ปัจจัย 4 อื่น แต่ก็ต้องใช้อาหาร อาหารจึงสำคัญที่สุดกับชีวิต

      แล้วอาตมามาให้งดเว้นเนื้อสัตว์เป็นอาหารมังสวิรัติ อาตมาปฏิบัติธรรม แล้วเกิดปัญญารู้ด้วยตนซึ่งเขาก็มีอาหารเจ อาหารมังสวิรัติอยู่ของเขาก่อนแล้ว ซึ่งอาหารเจจะงดเว้นบางอย่างมากกว่ามังสวิรัติ แต่มังสวิรัติงดเว้นเนื้อสัตว์ จะรวมถึงไข่ก็ไม่กิน แล้วแต่บางคนก็อนุโลม ถึงขนาดนม มังสวิรัติบางอย่างก็ไม่กินนมด้วย แต่สำหรับอาตมาไม่กินทั้งนมและไข่ เพราะอาตมาเป็นนักปฏิบัติธรรมต้องการตัดวิบากกับสัตว์

      วิบากคือผลลัพธ์ของกรรม ที่ไปเชื่อมต่อ เป็นกุศลหรืออกุศล หากเรายังมีชีวิตในโลกยังไม่ปรินิพพาน ก็มีอัตภาพที่ต้องรับวิบากต่อไป นี่คือศาสนาพุทธเชื่อกรรมเชื่อวิบาก อาตมาปฏิบัติธรรมเห็นจริงว่ากรรมมีผลวิบากมีผล กรรมเป็นของๆตน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีจริง ปฏิบัติมาก็ได้ผลจนชีวิตเราได้ดีขึ้นมา

      ในเยื่อใยที่จะต่อวิบากกับสิ่งมีชีวิตนั้น เร่ิมต้นรอยต่อ ระหว่างชีวิตสัตว์กับพืช กับพลังงานที่จะต่อระหว่างพืชกับอุตุนิยาม จะเชื่อมต่อกันตรงไหน เป็นลักษณะอย่างใด อธิบายใช้ภาษาวิทย์ ใช้คำว่า Genome ก็พยายามตัดวงจรที่เชื่อมโยง พีชะไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนา ซึ่งนามธรรมจะมี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่พีชะมีแต่สัญญา สังขาร มันมีเซลล์ที่เป็นตัวตนของมันไม่มี self ไม่มี ish ไม่มี selfish มีพลังงานประกอบตนเองได้แต่ไม่ไปรุกรานหรือดึงดูดกับสิ่งมีชีวิตอื่นไม่เบียดเบียนแย่งชิงใคร มันมีแต่สังขารกับตัวมันเองเท่าที่ทำได้ จะเรียกว่ามันแย่งก็ไม่แย่ง

      สรุปคือชีวะของพีชะ เป็นพลังงานระดับหนึ่ง ส่วนพลังงานของจิต เป็นสัตว์เป็นคนก็มีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มากขึ้นหลงมักใหญ่มักมาก ทำความเห็นแก่ตัวเกิดมาทำร้ายโลกทุกวันนี้

      อาหารที่ใช้ยังชีพให้เจริญพัฒนาหากเราไม่เข้าใจก็เป็นภัยต่อร่างกายต่อชีวิต อาตมาก็มีความรู้ทางธรรมว่า เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน ฉันเดียวกันกับ ควายมันไม่กินลูกชิ้นเนื้อเด้ง ควายมีปัญญารู้ว่าอันไหนไม่ใช่อาหารของมัน แต่คนโง่กว่าควายเอาอาหารที่ไม่ใช่ของคนมากิน เช่นเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน แต่ไปหลงติดเสพรสเนื้อสัตว์ แม้บางคนรู้แล้ว แต่กิเลสมันแรงก็พายึดติด ทำให้ชีวิตร่างกายเสียไปตามสัดส่วน

      คนโง่ลงทุกวันในสาระสัจจะ แต่ฉลาดขึ้นทุกวันในความโง่ ที่ไปเหลวไหลไร้สาระ มันเป็นพิษ แต่ไปหลงเป็นสาระ แท้จริงเป็นพิษภัยแก่ตน คือคนโง่ แล้วหลงว่าตนฉลาด ว่าได้รส ได้รูป ได้กลิ่น เสียงสัมผัสน่าได้น่ามีหรือสังคมมอมเมาว่า เป็นสิ่งน่าได้ ขี้หมาทาสีหลอกให้ผู้หญิงซื้อมาประดับ ว่าของไฮโซแบรนด์เนมนะ หลอกให้ซื่อของแพงๆ อาตมาเคยเห็น เสื้อผ้าของดีไซเนอร์ ตัดมาเรียบๆแล้วปักขนนกอันหนึ่ง ก็ขายได้ราคาแพงแย่งกันซื้อเพราะมีชื่อ แล้วคนซื้อไปก็ต้องใส่หนเดียวนะ เสร็จแล้วเอาไปแขวนทิ้งไว้ โง่ขนาดนั้นเลย หากใส่ซ้ำก็เสียหน้าที่คือโง่ดึกดำบรรพ์ของคน แล้วหลงว่าตนฉลาด

      ฉันเดียวกับกินอาหารปรุงแต่งค่านิยมราคาแพงอวดรวยเพราะถูกหลอกว่าดี มันโง่ยกกำลังไม่รู้เท่าไหร่ เขานึกว่าตนฉลาด แต่ถูกมอมเมาครอบงำ ไม่รู้ความจริง ผู้ศึกษาความจริงจะรู้ว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของคนสัตว์ที่กินเนื้อสัตว์ส่วนมากเป็นสัตว์ร้ายมีเขี้ยวมีพิษ สวนสัตว์กินพืชจะมีฟันกรามพวกสัตว์กินเนื้อสัตว์จะมีเขี้ยวแหลมcanine ส่วนสัตว์กินพืชมี molar มีกรามเคี้ยว มันคนละชนิด  พวกสัตว์กินเนื้อก็จะมีองค์ประกอบของสัตว์กินเนื้อพวกสัตว์กินพืชก็จะมีองค์ประกอบของสัตว์กินพืชเช่นสัตว์กินพืชมีฟันกราม molar เล็บเป็น nail ไม่ใช่ craw วัวควายช้างม้าเล็บแบบเดียวกัน การดื่มน้ำใช้ดูดสำหรับสัตว์กินพืช  แต่ถ้าสัตว์กินเนื้อใช้เลียเอา นี่เป็นองค์รวมของสัตว์ต่างชนิดกัน

       บอกว่าเราเป็นสัตว์ประเภทไหน  ลำไส้ของสัตว์กินพืชจะยาวกว่าสัตว์กินเนื้อออกมาแล้วองค์รวมจะบอกได้ว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชไม่ใช่สัตว์กินเนื้อแต่คนไปลืมกำพืดของตนเองถูกหลอกให้มากินเนื้อสัตว์ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านปีมาแล้วมันถูกหลอกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้คนก็ไปหลงกินเนื้อสัตว์กันผู้มีปัญญาเข้าใจแล้วก็กลับมาอยู่ในฐานของความเป็นจริงของตนเองคือคนเป็นสัตว์กินพืชเราก็ต้องกินพืชก็จะมีประโยชน์การมากินอาหารมังสวิรัติจะมีประโยชน์ในทางจิตสภาพ และทางกายภาพ

      ทางกายภาพมากินพืชเป็นสิ่งที่ปลูกได้ง่ายกว่าการเลี้ยงเนื้อสัตว์เพราะเราต้องปลุกหญ้าไปให้สัตว์กินแล้วก็จะสังเคราะห์มาเป็นเนื้อสัตว์กว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ก็ต้องเดินทางใช้เวลามากกว่าหลายต่อ ส่วนสัตว์นี้เป็นอาหารระดับ 2 ระดับ 3 ส่วนพืชเป็นอาหารระดับหนึ่งเป็นชั้น 1 เลยทันทีต่อเดียวไม่ไหลต่อ

       มันจะเกี่ยวกับกายภาพ 2 ประการคือ

1 ทางสุขภาพร่างกายก็ดีเพราะถูกต้องตามความเป็นจริงของสัตว์โลกที่กินพืชถูกต้องสาระสัจจะของมัน

2 เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น เพราะว่าอาหารถูกกว่าหาง่ายกว่าคนจะบอกว่ากินแต่พืชกินมังสวิรัติหากินยากอันนั้นความคิดไม่ถูกในร้านอาหารมีมังสวิรัติทั้งนั้นแต่คุณไปติดอยากกินเนื้อสัตว์พวกเนื้อสัตว์จะหมดก่อน จะเหลืออย่างน้อยมีพริกเหลือมีพืชผักเหลือ มีน้ำเต้าเหลือ อย่างน้อยก็มีหอมกระเทียมเหลือในก้นครัวตะไคร้ข่าอะไรก็เหลือมีเศษพืชผักเหลือมีมากกว่าเนื้อสัตว์ พวกเนื้อสัตว์จะหมดก่อนมันหาได้ยากกว่า เพราะเราหามารักษาก็ยาก จะเหม็นอีก เน่าอีก สรุปแล้วเลวกว่าพืชไม่รู้กี่ต่อมีความด้อยค่ากว่าพืช ไม่รู้กี่ต่อ

ชีวิตมนุษย์มีสิ่งที่เอามาใช้ประกอบในร่างกายชีวิตใช้อาศัยพืชมากกว่าสัตว์ไม่รู้กี่อย่าง ซึ่งจากความเป็นสัตว์เอามาให้แก่คนนั้นมาใช้เป็นองค์ประกอบให้แก่ชีวิตทั้งสัดส่วนของสัตว์เอามาใช้กับร่างกายน้อย จนกระทั่งไม่ต้องก็ได้แต่ใช้พืชมีเยอะกว่าตั้งแต่อาหารจนอาศัยอย่างอื่นต่างๆนานา เพราะฉะนั้นความเป็นพืชจึงสำคัญกว่าความเป็นสัตว์มากโดยเฉพาะอาหารคือสิ่งที่กินเข้าไปในร่างกายผู้ที่เข้าใจรู้ชัดเจนก็เลิก

       ทางด้านกายภาพ 2 อย่างก็ต้องดีขึ้นแน่นอนทั้งเศรษฐกิจและสุขภาพขอสรุปไว้แค่นี้ก่อน อาตมายังอายุไม่มาก ยังมีกำลังวังชาจะทำงานนี้ต่อไป

       ผู้ที่สามารถรู้จักสาระเป็นสาระรู้แกนเเท้สำคัญของชีวิตก็จะเอาสิ่งที่เป็นสาระให้แก่ชีวิต ผู้รู้ว่าอาหารที่เป็นพิษภัยก็จะเลิก แม้เราจะติดมันในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรก็แล้ว แต่เราก็ต้องล้างกิเลสที่มันติด นี่คือหน้าที่ของคน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดในความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้คือหน้าที่กำจัดกิเลส ก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าบุญให้ได้แล้วกำจัดไปตามลำดับ

ซึ่งบทเรียนของคำสอนพระพุทธเจ้ามีลำดับต้นกลางปลาย เช่นสมาทานศีล 5 ก่อนแล้วเรียนรู้จิตของตนว่ามีความโหดร้ายจะไปฆ่าสัตว์

มีกิเลสที่จะไปเอาของของเขาที่ไม่ใช่ของของเรา

มีกิเลสเครื่องราคะเรื่องกามเรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในกามคุณ 5 เรื่องเพศมันมากไปก็ต้องมาลด เรื่องเพศอยากจะสำส่อนก็ต้องมีคู่เดียวเมียเดียวผัวเดียว เรื่องกามที่จัดจ้านที่ไปหลงถูกเขาเมา ทุกวันนี้มันจัดจ้านให้เราหลงยึดติดอยากได้อยากมีอยากเป็นจัดจ้านเพิ่มขึ้นยิ่งสะใจ ยิ่งหนักหนาขึ้นคนก็โง่ลงไปตามลำดับ เราก็ดูว่าเราติดอย่างไหนก็เอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ให้พอประมาณพอเพียงเอาแค่นี้ ถ้ามันมากก็ลดลงตามลำดับลดลงได้ก็ลดลงไปอีก จนมันไม่ติดไม่คิดอะไรเลยนี่คือลำดับขั้นเป็นอัศจรรย์ เป็นการศึกษาที่จะรู้ต้นกลางปลายของตนเอง

       อย่างเบื้องต้นแล้วมาลดเนื้อสัตว์ก่อน เพราะถ้าจะพูดไปแล้วร้านรวงต่างๆมากมายก็มันเหงาไปหมดมันก็จะมากกว้างไปแค่ 1 ชั่วโมงจะไม่ได้อะไรเลย

       ส่วนทางด้านจิตภาพก็มี 2 อย่างคือ 1จะเพิ่มเมตตาในจิต  2 จะเกิดการเจริญทางวิญญาณ วิญญาณจะสะอาดขึ้น เพราะเราได้ล้างกิเลสออกจากจิตหนึ่งจิตจะเป็นพรหมมีเมตตาปราถนาดีถึงคนอื่น ช่วยเหลือคนอื่นมีสาราณียธรรม 6

       ทางจิตวิญญาณได้ลดละกิเลสอันนี้เป็นเรื่องของจิตภาพ ศาสนาพุทธผู้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธเข้าใจผิด ไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้วท่านก็ฉันเนื้อสัตว์เสวยเนื้อสัตว์จะมาก็ขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าเราไม่เคยฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เกิดมาเลยเพราะท่านเป็นพราหมณ์ชั้นสูง เป็นฮินดูชั้นสูง จะไม่ฉันเนื้อสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์มาแต่ไหนแต่ไรไปศึกษาจากคนอินเดียเลย  อันนี้ก็อย่างนึง คนที่ศึกษาไม่ดีก็จะไม่เข้าใจ เขาก็พยายามอธิบายหาพวกให้พระพุทธเจ้ากินเนื้อสัตว์เหมือนกับตอนนี้ก็เป็นบาปไปขี้ตู่พระพุทธเจ้า แต่คนก็ไม่มีหลักฐานอะไรมากมายก็ไปสืบสาวราวเรื่องราวดู ว่าพระพุทธเจ้าเป็นตระกูลกษัตริย์คือเป็นวรรณะที่สูง ไม่ใช่แพศย์ไม่ใช่สูทรไม่ใช่จัณฑาล

ประเด็นที่เขาเถียงกันว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์หรือไม่นั้นมีหลักฐานสำคัญ ในพระไตรปิฎก ล.13 ข.202  มีสีหเสนาบดี ไปอาราธนาพระพุทธเจ้าไปฉันอาหารที่บ้าน พระพุทธเจ้าก็รับนิมนต์ เสร็จแล้ว สีหเสนาบดีก็ให้ลูกน้องบริวารไปฆ่าสัตว์ซื้อเนื้อสัตว์เอามาเพื่อทำอาหารถวายพระพุทธเจ้าที่จะมาในวันรุ่งขึ้น

ข่าวก็แพร่ออกไปซึ่งพวกที่เป็นลัทธิอื่นคือพวกอเจลกะที่เสียประโยชน์จากการเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เลยจะดิสเครดิตพระพุทธเจ้าเพราะสีหเสนาบดีก็ยังไม่เข้าใจก็เลยจะทำอาหารเนื้อสัตว์ถวายพระพุทธเจ้าพวกลัทธิอื่นที่เสียประโยชน์ คือเสียบริวารฉันดีอย่างสีหเสนาบดี  พวกนิครนธ์ต่างๆจำนวนมากไปโพนทะนาพากันประคองแขนค่ำครวญ ตามถนนต่างๆ วันนี้สีหเสนาบดี ฆ่าสัตว์อ้วนพี ปรุงเป็นภัตราหารถวายพระสมณโคดม เจ้าข้าเอ้ย ทั้งๆที่รู้ พระสมณโคดมก็ทรงฉันเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าถวายนี้  ทั้งที่ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้มาฉันเลยประเด็นก็คือที่พวกลัทธิต่างๆ ไปโพนทะนาล่วงหน้าแล้วว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์แล้ว

ประเด็นก็คือถ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ท่านฉันเนื้อสัตว์อยู่เป็นประจำเป็นปกติพวกอเจลกะ จะไปประกาศว่าพระสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติธรรมดาท่านจะเสียเครดิตอะไร พ่อท่านฉันอยู่เป็นปกติเขาจะแหกปากร้องอย่างไรทำไมร้องไปทำไมว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์ ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ท่านจึงจะเสียเครดิตจากการไปโพนทะนาร้องป่าวประกาศว่า พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ตกต่ำแล้ว เสื่อมแล้วเสียหายแล้ว ไปฉันเนื้อสัตว์แล้ว

ประเด็นนี้เถียงไม่ได้เลยใช้ปฏิภาณปัญญานิดเดียวไม่ใช่หลักฐานเหตุการณ์ที่เกิดแต่เป็นปฏิภาณ ตามพระไตรปิฎกยืนยันนี่คือเครื่องชี้บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์จบไปแสดงเรื่องอื่นอาตมาว่าเหตุผลเรื่องราวอันนี้ชัดเจนที่สุดแล้ว

แล้วมีอีกสูตรหนึ่งคือชีวกสูตรคนก็เลี่ยงบาลีพระไตรปิฎกเล่ม 13 ข้อ 16 พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าการฆ่าสัตว์ไปถวายภิกษุนั้น เป็นบาป 5 ประการ แต่เขาก็เลี่ยงบาลีแปลไปเพี้ยนหน่อย

 ข้อที่ 1 ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่าท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา แค่เธอบอกว่าเอาสัตว์ชื่อโน้นมาชื่อนี้มาก็ย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก แค่บอกให้ไปจับสัตว์มาฆ่าสัตว์บาปแล้วสัตว์ไม่ใช่บริวารไม่ใช่สิ่งที่จะต้องถูกฆ่า มันมีชีวิตของมัน ถ้าคนไปจับมันมาแล้วไปผูกพวกมันมา มันก็เสียอิสรภาพแล้วก็บาปแล้ว  นอกจากคุณจะไปอ่อยเหยื่อถูกใจสัตว์ให้อยู่กับคนก็แล้วไป เช่นคนเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูให้อาหารมันมันก็หลงว่าคุณเป็นเจ้าของมันแล้วคนก็ฆ่าหมูฆ่าไก่กินอันนี้เวรจริงๆหมูไก่มันตายใจคิดว่าคุณเหมือนพ่อแม่เลี้ยงมัน แล้วพ่อแม่ก็ฆ่าฉันกินอันนี้เป็นความอำมหิตของคน

 ข้อที่ 2 สัตว์ถูกไปลากไปดึงมาให้มันทุกข์ทรมานก็เป็นบาปไม่ใช่บุญ

 ข้อที่ 3  ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่าท่านทั้งหลาย จงฆ่าสัตว์นี้ก็เป็นบาปมากขึ้นกว่าข้อที่ 2

 ข้อที่ 4 ลงมือฆ่าเลยก็บาปแน่นอนเป็นบาปซ้ำซ้อน 4 ฉันแล้ว

 ข้อที่ 5 ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคตให้ยินดีในสิ่งไม่ควร (อกัปปิยะ) ได้ชื่อว่าประสพบาปเป็นอันมากมิใช่บุญเลย

เพราะฉะนั้นคนที่เอาเนื้อสัตว์ไปถวายให้พระภิกษุฉันก็ได้บาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลย ตามหลักฐานพระไตรปิฎกนี้เป็นความผิดพลาดของศาสนาพุทธที่ไปไกลมาก

หลักฐานพวกนี้เป็นเรื่องควรเปิดเผยควรบอกกล่าวให้รู้ตัว ผู้เป็นชาวพุทธทุกคนศึกษาให้ดี แล้วเลิกเสียหยุดเสีย อย่าไปทำบาปเรื่องกิน เพราะเรื่องกายภาพก็ไม่ดี เศรษฐกิจก็เสีย สุขภาพเสื่อมโทรม ไม่ถูกต้องทั้งกายภาพและจิตภาพ

จิตภาพไม่เกิดเมตตา สะสมบาปเป็นวิบาก คุณกินสัตว์ใดๆมันก็มีวิญญาณของมันทั้งนั้น คุณเคยเข้าใจไหมว่า สัตว์มี เซนส์ของมันสูง ก่อนที่จะถูกฆ่ามันรู้แล้ว ในเซนส์ที่มันรักตัวตนมันก็ผูกพยาบาทอาฆาตลึก หยาบ แรงจัดกว่าคนเพราะมันต่ำกว่าคน สัตว์โลกมันพยาบาทอาฆาตแต่มันไม่บอกคุณหรอก

คำว่าอุทิส หรือสัญจิจจะ แปลว่าเจาะจง ถ้าแปลว่าเจาะจงบุคคลคือเบี้ยวบาลี แต่อุทิสคือสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยความเจาะจงของคน ไม่ใช่ว่า ไปเจาะจงฆ่าให้คนนี้คนนั้นกิน ในภาษาบาลีว่า สัญจิจจะปานังชีวิตาโมโรเปตุง คำว่าสัญจิจจะแปลว่าเจาะจง มุ่งหมาย มีบาลีแค่นี้ คือสัตว์มีชีวิตแล้วเจาะจงทำลายชีวิตสัตว์ ไม่ใช่เจาะจงชื่อคน นี่คือความน่าอายของคนเลี่ยงบาลีที่อยากกินเนื้อสัตว์เปิดช่องคนให้กินได้ให้ตนกินเนื้อสัตว์ได้นี่คือบาปของเขาที่เบี้ยวบาลีแล้ว  คุณไปสนับสนุนคนบาป ก็ต้องบาปไปด้วย ไปสนับสนุนโจรก็เข้าคุกไปด้วย

ความหมายของสัญจิจจะกับอุทิส คือการเจาะจงฆ่าสัตว์ให้ตายลง เช่นไปจับสัตว์ชื่อนี้มา สัตว์ถูกจับมาถูกผูกคอทรมานมา แล้วก็บอกให้ฆ่า ลงมือฆ่าสัตว์จนตายแล้วเอาไปทำอาหารมอมเมาพระ มอมเมาตถาคต ก็มอมเมาตถาคตไม่ได้หรอก มอมเมาได้แต่ภิกษุที่ไม่เท่าทัน แต่การไปเจตนามอมเมาให้ตถาคตและสาวกให้ยินดีในเนื้อสัตวก็บาปทับทวี ห้าเด้งเลย ซวยบรรลัยจักรเลย คนที่ทำกุศลด้วยเนื้อสัตว์ ไม่ใช่บุญด้วยเลย เขานึกว่าได้กุศลแต่แท้จริงได้บาปมิใช่บุญเป็นอันมากห้าเด้งเลย นี่คือความไม่รู้ของมวลมนุษยชาติ

นี่คือหลักฐาน บุญญาวุธหมายเลข 1 อาตมาเอาเรื่องนี้มาให้คนหยุดทำบาปให้จิตคนเกิดเมตตามาให้สร้างความโหดร้ายรุนแรงในจิตใจก็จะทำให้สังคมเจริญตัวผู้ที่ใจปฏิบัติได้ลดบาป เพิ่มเมตตาบทความรุนแรงโหดร้ายลงไปออกไปได้เรื่อย นี่คือการสร้างความเจริญให้แก่สังคมมนุษย์อาตมาถือว่าเป็นความสำคัญระดับต้นจึงเอามังสวิรัติเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ด้วยประการฉะนี้แล้วก็รณรงค์มาทุกวันนี้ก็เบาขึ้นเยอะเพราะมีผล

ในเมืองไทยเป็นเมืองที่ประหลาด ต่างประเทศไม่ได้ติดใจในเรื่องของมังสวิรัติพระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ไม่ได้ เขาไม่ฉันเนื้อสัตว์หรอกในอินเดียหรือประเทศอื่นก็ตามเป็นสากลเลยรู้กันทั่วไปว่าภิกษุของศาสนาพุทธไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์แต่มีเมืองไทยนี่บอกว่าภิกษุฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ 

คนต่างประเทศมาเมืองไทยก็แปลกใจว่า ทำไมภิกษุฉันเนื้อสัตว์กันเป็นว่าเล่น ทั้งที่เป็นเมืองพุทธแล้วในเมืองพุทธ ไปหาร้านอาหารมังสวิรัติก็หาได้ยาก มีแต่อาหารเนื้อสัตว์เต็มประเทศเลยมีตลอดโต้รุ่งด้วยต่างจากหลายประเทศที่เขาไม่เปิดขายอาหารกันขนาดนี้หรอกแต่เมืองไทยที่ขายไปเถิดไม่ใช่แค่ 24 ชั่วโมงนะตลอดชีวิตขายมันตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ จนมาถึงรุ่นลูกขายเนื้อสัตว์กันอาหารเนื้อสัตว์กันเช่นร้านนี้ร้านเนื้อเปื่อยชื่อดังขายเนื้อเปื่อยตั้งแต่รุ่นพ่อแม่สืบทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลานเลย

 อาหารเป็นเครื่องเลี้ยงชีพแต่คนไม่รู้ว่าอาหารที่ควรกินเป็นอย่างไร แล้วคนฆ่าสัตว์ให้เกิดจิตวิญญาณไม่ดีใส่เข้าไปในกระเพาะของคนมีวิญญาณผูกพยาบาทวันหนึ่งวันหนึ่งคุณพกวิบากพยาบาทของสัตว์พวกนี้ใส่ตัวเองวันละเท่าไหร่  แต่ก่อนที่คุณยังไม่ได้เลิกมีเท่าไหร่เป็นสัจจะจริงอธิบายไปคนที่ไม่ผูกพยาบาทขออภัยกันได้แต่สัตว์นี้มัรักชีวิตมันก็ไม่อภัยหรอกเพราะมีอะไรที่มันจะรักไปมากกว่าชีวิตของมันไม่มีหรอกเกิดมาเป็นสัตว์สิ่งที่มันรักที่สุดไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยหรือสัตว์ใหญ่ก็รักชีวิตที่สุดนอกจากคนนี้แหละโง่มันไม่รักชีวิตมันไปรักสิ่งที่ถูกหลอกว่าควรจะต้องเสียสละเพื่อสิ่งนั้นเช่นอาตมาเคยเล่าแล้วมีเรื่องจริง

ขนมหม้อแกงชิ้นสุดท้ายราคาสลึงเดียว ซื้อทิ้งไว้ไปธุระเสร็จนานมีลูกค้าอีกคนมาซื้อไปลูกค้าเก่าที่จองไว้ก็มาบอกว่าฉันซื้อแล้ว มาเจอกันพอดีก็ทะเลาะกันจะแย่งกันซื้อขนมหม้อแกงชิ้นเดียว สุดท้ายก็แทงกันตาย มันรักขนมหม้อแกงยิ่งกว่าชีวิต  อย่างนี้โง่ไหมล่ะต่างจากสัตว์ มันไม่รักขนมหม้อแกงกว่าชีวิต แต่คนโง่กว่าเป็นของกูของกู มีความยึดมั่นถือมั่นนี้ มันมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แต่ถึงอย่างไรสัตว์เดรัจฉานมันรักชีวิตหนึ่งเดียวมากกว่าคน เพราะคนถูกหลอกไปหลายอย่าง  จับมันจึงรักชีวิตยิ่งกว่าอะไรคนที่กินเนื้อสัตว์จึงใส่วิญญาณพยาบาทให้แก่จิตวิญญาณตอนนี้บาทของตนไปไม่รู้เท่าไหร่ในแต่ละวัน

 เพราะฉะนั้นการกินนี้อย่าซวยเลย ไม่ว่าจะกินจะใช้อะไรในชีวิตก็อยากให้มีพยาบาทมีวิญญาณพยาบาทต่อเนื่องเช่นคนจะกินพืชก็กินไปมันไม่มีวิญญาณพยาบาทไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ มันมีแต่สังขารมีสัญญามีแต่ self ไม่มี selfish มันมีชีวิตอยู่แต่ปัจจุบันกำหนดเอาธาตุที่มันจะสร้างชีวิตเท่านั้นและไม่ไปแย่งชิงทะเลาะวิวาทฆ่าแกงอะไรอย่างอื่น

 คนเราจึงมีการเกิดมาโง่ซวยสร้างคู่พยาบาทให้แก่ตัวเองมากเกินไปแล้วหยุดได้เลิกกินเนื้อสัตว์ก็ตัดวงจรพยาบาทจากสัตว์กับเราไป ตั้งแต่บัดนี้ก็ไม่มีวิบากต่อกันไป ไม่รู้อีกกี่ชาติที่จะต่อหากเราไม่เลิก

 ส่วนความเมตตานั้นในสังคมมนุษย์เมตรตานั้น เป็นพรหมวิหาร 4 อันแรกเลยที่มีกรุณามุทิตาอุเบกขาไม่ใช่มีแต่เมตตาอย่างเดียวแต่ทุกวันนี้ความรู้ทางธรรมะเพื่อนก็เลยมีแต่เมตตาตัวเดียว มีแต่เมตตาไม่มีกรุณาต่อ

 1 เมตตาคืออยากให้เขาพ้นทุกข์อยากให้เขามีสุขอยากให้เขาสบายอยากให้เขาเลิกความทุกวันนี้จิตปรารถนาจากนี้

2 กรุณา คือเราทำ ลงมือปฏิบัติช่วยเหลือเขาเมื่อเขาทุกข์ให้เขาพ้นทุกข์ให้เขาเป็นสุข ทนความลำบาก เมตตานี้เกิดจากจิตเท่านั้น ส่วนกรุณาก็ลงมือช่วย

3 มุทิตาคือเขาพ้นทุกข์ได้ปลอดภัยได้เราก็ยินดีด้วยนะว่าเขาพ้นทุกข์แล้ว  อย่างดาราชื่อปอคนก็เมตตากรุณาเกินไปไปจนเต็มโรงพยาบาลหมอพยาบาลทำงานลำบาก อธิบายประกอบเท่านั้นเอง คนที่ไม่มีธุระอะไร

ทุกวันนี้เขาอธิบายว่าเมตตาก็คืออยากให้เขาพ้นทุกข์กรุณาก้อคืออยากให้เขามีสุข มุทิตาคือยินดีที่เขาพ้นทุกข์  ซึ่งหากเราไม่ได้ลงมือกระทำมันก็ไม่เกิดอุเบกขาแต่ของพระพุทธเจ้านั้นให้ลงมือช่วยเขา แล้วเขาจะช่วยเรากลับหรือไม่ก็แล้วแต่ก็แล้วแต่เขา แต่ถ้าเราช่วยเขาแล้วก็อยากจะให้เขาช่วยตอบ มันก็เป็นการยึดถือไม่รู้จักจบไม่รู้จักปล่อย แม้คุณจะทำดีจริงก็ไม่หมดอัตตา 

ของพระพุทธเจ้านั้นสูงสุดไม่เหลืออัตราเลย ซึ่งพรหมวิหาร 4 หมายถึงกรรมกิริยาอย่างนี้ 1 เห็นเขาทุกข์ก็อยากให้เขาพ้นทุกข์ 2 ลงมือช่วย 3 ช่วยสำเร็จแล้วยินดีกับเขา แล้วเลิกถอนอัตตาไม่ต้องไปเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ไม่คิดเป็นบุญคุณ ให้วางปล่อยแล้วจบกิจไม่มีตัวตนอะไร อยู่ที่ว่างที่ 0 อุเบกขาให้จบ นี้คือพรหมวิหาร 4 หรืออัปปมัญญา 4

 อาตมาพาคนมาไม่กินเนื้อสัตว์ให้เกิดอาการของเมตตาเกิดในมนุษย์ แต่ก่อนนี้คุณยังกินเนื้อสัตว์จะไม่ค่อยระลึกถึงสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ก็กินเนื้อสัตว์กินทั้งนั้นถ้ามีไดโนเสาร์ของจะฆ่าไดโนเสาร์มากิน

 ไม่กินเนื้อสัตว์จะมีประสบการณ์เลยว่าสัตว์ก็มีชีวิต แต่ก่อนนี้ที่กินเนื้อสัตว์อยู่ เจอมดเจอปลวกและแมลงมันตกในโถส้วม คุณเคยรู้สึกว่าจะช่วยมันไหม ดีไม่ดีมีแต่หนี้ซ้ำใช่ไหมในขณะที่คนกินเนื้อสัตว์จะไม่มีจิตเมตตาเห็นแก่ชีวิตเขาชีวิตเราเลยแต่พอคนถือศีลว่าคนไม่กินเนื้อสัตว์เท่านั้นแหละคุณจะมีติดตัวนี้เลยไปปฏิบัติจะรู้เลยประสบการณ์ของตนจะรู้สึกว่าเขาก็ชีวิตเราก็ชีวิตแม้สัตว์เล็กสัตว์น้อยแม้แต่แมลงตกในโถส้วมไม่กล้าเอามือช่วงช่วยก็หาไม้หาอะไรมาช่วยมันขึ้นประสบการณ์อย่างนี้ใครเคยบ้าง

บุญญาวุธหมายเลข 1 ก็ถึงช่วงสุดท้าย ก็จะขอสรุปว่า...ใครก็ตามจะอ้างว่ากินเนื้อสัตว์คือติดยึดเห็นแก่ตัว

เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าจะรู้ถึงความต่อเนื่องของจิตวิญญาณในความรักความเมตตาความช่วยเหลือให้มาล้างสิ่งเหล่านี้ที่ไม่ดีออกจากจิจนกระทั่งเหลือเพียงเห็นแก่ชีวิตอื่นด้วยแล้วก็ช่วยชีวิตอื่นเขาต่อไไม่ทำร้ายไม่ทำลายสัตว์ใดได้อีกเลยไม่ทำร้ายชีวิตใดใดอีกเลยนี่เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณที่สูงสุดและเป็นได้ถึงขั้นมีหลักเกณฑ์มีทฤษฎีที่จะสอนให้รู้จักอาการของจิต จิต 89 ลักษณะ 121 ลักษณะ ตามลักษณะของพระอภิธรรมรวบรวมมาในจิต89 จิต52 เป็นอาการของจิต ก็มันเป็นรูอาการของจิต

 อาการที่เกิดผสมอยู่กับคำว่ากาย ตั้งเเต่กายนอกกายคือองค์ประชุมรูปนามของสิ่งอื่น กับจิตวิญญาณเราที่มีปฏิกริยาแล้วอ่านวิเคราะห์ลงไป อยู่ในกายนี้ ว่ามีเวทนาในเวทนาก็มีอกุศลเป็นตัวเหตุที่เป็นสมุทัยแท้จะต้องกำจัดไม่ใช่ไปกำจัดกายกำจัดเวทนาโดยตรง แต่กำจัดต้นเหตุที่เป็นเวทนาทำให้เกิดเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์เกิดผลักเกิดดูด ไปทำร้ายและรัก ก็จบเหตุตัวนี้ที่เรียกว่าอกุศลจิตถ้ากำจัดตัวนี้ได้สมบูรณ์

เวทนาที่เดิมมี 2 เทวธัมมา ก็ทำให้เป็นหนึ่ง เอกสโมสรณา เหลือเวทนากลางๆ อุเบกขา อทุกขมสุข โดยเรากำจัดเหตุ โดยสามัญคนก็มีเคหสิตอุเบกขา พักยกเฉยๆ โดยไม่รู้เหตุ แต่ของพระพุทธเจ้าทำให้หมดเหตุร้ายที่เป็นอกุศลจิตไม่มีแล้ว จิตวิญญาณเป็นจิตสะอาดที่มีพลังงานสูง ไม่เหมือนสายมิจฉาทิฐิที่เป็นเรื่องสะกดจิตให้จิตหมดพลังงาน อันนั้นไม่ใช่แบบพุทธ แบบพุทธตัดเฉพาะตัวร้ายออกไปยังมีปัญญามีทั้งแบบข่มไว้ ซึ่งแบบพุทธมีวิปัสสนาทำให้เฉพาะกิเลสในจิตตายได้อย่างถาวรมั่นคง จิตสะอาดถาวร

 แล้วจิตจะมีประสิทธิภาพ ไม่เหมือนกับการสะกดจิตที่ทำให้จิตไม่รู้เรื่องอะไรไม่มี แต่ของพุทธนี้จะยังเหลือรูปนามที่สะอาดขึ้นได้ ด้วยมีพลังงานซับซ้อนเพิ่มขึ้นช่วยมนุษย์ด้วยความสูงส่งเพิ่มขึ้น แทนที่จะเป็นคนที่กิเลสตายแล้วกลับกลายเป็นเชื่องช้าไม่รู้ไม่ชี้อะไรๆนั้นไม่ใช่ แต่เป็นคนปราดเปรียว มีกายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา มีองค์ประกอบพร้อมทั้งพัฒนาทั้งสัญญาทั้งสังขารทำงานให้แก่โลก อย่างพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)แท้จริง

หากเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิแล้ว การเรียนรู้พลังงานจิตแล้วสามารถที่จะทำให้เจตสิกตัวร้ายตายไปตามลำดับ ตีกรอบเอาทีละลำดับได้แล้วค่อยขยายไปเรียกว่ามีปริตตัง อย่าไปเอามากเป็นอัปปมัญญาไม่มีที่สิ้นสุดอะไรก็จะเอาไม่ได้ ต้องกำจัดจำกัดเหตุ ให้มีศีลตามลำดับศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ที่จะเป็นอธิศีล ไปตามลำดับ แล้วจะปฏิบัติจนจิตสะอาดถาวรได้ไปตามลำดับเป็นโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ที่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เอามาทำได้ผลพระพุทธเจ้าท่านศึกษาเรื่องมนุษย์และสังคม และมีวิชาความรู้จัดการอันนี้มีความรู้ทั้งทางด้านการเมืองสังคมเศรษฐศาสตร์พร้อมเป็นโลกะวิทูไม่ได้ขาดอะไรเลยถ้าสัมมาทิฏฐิ

อาตมาพาทำ ก็ทำให้พวกเราไปช่วยสังคมได้ ยังทำได้ไม่เก่งถ้าทำได้ดีกว่านี้จะช่วยได้มากกว่านี้ แม้เห็นแค่กินเนื้อสัตว์หรือไม่กินเนื้อสัตว์เท่านั้น ก็มีผลที่จะผูกพันธ์หรือจะทำลายสังคมได้ วิชาความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาความรู้ที่สุดยอดของความเป็นมนุษย์ในโลกแล้ว เมืองไทยโชคดีมากที่นับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่นั้นมาทุกวันนี้ก็ยังยึดถือศาสนาพุทธเป็นหลัก นับถือศาสนาพุทธอยู่ถึง 95 เปอร์เซ็นต์ แต่ความรู้ของพุทธศาสนานั้นผิดเพี้ยนไปหมดเลย ปฏิบัติไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ

ทุกวันนี้อาตมาพูดข่มแม้กระทั่งมหาเถรสมาคม เพราะว่าทำงานมา 45 ปีแล้วแก่วัดแล้วก็เลยหมดความเกรงใจแล้ว  ที่พูดนี้ไม่ได้พูดให้เสียหายแต่เป็นการพูดให้ปรับปรุงขึ้น ด้วยจริงใจและทำมา45 ปีแล้ว แล้วก็จะทำต่อไปอีก

 วันนี้มีโอกาสมาเทศน์ที่มหาวิทยาลัยซึ่งมีการศึกษา มหาวิทยาลัยคือแหล่งศึกษาค้นทุกวันนี้ศึกษาไปเรียนความรู้ทางโลกมาก แต่ขออภัย กลายเป็นวัวลืมตีนซึ่งตีนมีคุณค่าประโยชน์ต่อชีวิตสัตว์มาก ถ้าไม่มีตีนก็ตาย โดยเฉพาะพวกสัตว์ป่าต้องเลี้ยงตัวมันเอง ถ้ามันเดินไม่ได้มันตาย สัตว์อื่นก็เหมือนกันแต่ถ้ากลายเป็นวัวลืมตีนคืออะไรคือมาเรียนความรู้ที่โลกหลอกเป็นโลกียตศาสตร์ ไปสร้างเทคโนโลยีเทคนิคต่างๆเพื่อจะเก่งเพื่อสามารถเอาชนะคะคานคนอื่นเค้านะ เพื่อจะได้เปรียบเขา แต่ไม่มาเรียนรู้เรื่องความสำคัญของร่างกายและจิตวิญญาณ ก็เลยทำให้จิตวิญญาณกับร่างกายของเราพิการ โดยเฉพาะศาสนาพุทธสอนเรื่องนี้ชัดทั้งกายและจิตให้เริ่มที่การมาเป็นคนสมบูรณ์แบบ เป็นคนที่มีทั้งกายและจิตดีที่สุดเจริญที่สุดเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อคน หมดตัวหมดตน หมดการเห็นแก่ตัวได้บริบูรณ์

การศึกษาทุกวันนี้จึงเป็นการศึกษาที่ล้มเหลวอย่างน่ากลัวหมดทั้งโลกเขาไม่เคยเอาใจใส่เรื่องธรรมะโดยเฉพาะศาสนาพุทธที่จะสอนให้รู้จักฐานของความเป็นพรหมที่ประเสริฐแบบเรียนรู้ศาสตร์ตรา เป็นอาวุธไปแย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกันเหมือนกับให้อาวุธใส่มือ ใครมีอาวุธเก่งก็ไปแย่งคนอื่นชนะ แทนที่จะเอาศาสตราหรือความรู้เรื่องอาวุธ ไปให้คนรับใช้โลกรับใช้มวลมนุษยชาติไม่ใช่ ไปแก่งแย่งเอาจากคนอื่นจากสังคม แต่ให้เป็นคนไปรับใช้ไปช่วยสังคม ถ้าความรู้ไม่เป็นศาสตราแบบนี้แล้วแต่กลายเป็นศาสตราสำคัญ ฆ่าแก่งแย่งชิงกันขนาดมาห้องเรียนเดียวกันจบออกมาก็มาชิงตำแหน่งก็ฆ่ากันในตอนสุดท้าย นี่คือศาสตราความรู้ในโลกพูดนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ขี้ตู่เอามันตกต่ำเช่นนี้เพราะฉะนั้นถ้าคืนไม่หันกลับมาสู่ความสัมพันธ์ของมนุษยชาติของชีวิต มมเรียนรู้คุณธรรมสัจธรรมนี้ให้ได้รับรองว่าไปไม่รอด เพราะฉันนั้นใครใส่ใจสัจธรรมก็เชิญก็หมดเวลาเพียงเท่านี้ ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:26:31 )

581129

รายละเอียด

581129_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก โลกและอัตตา

ส.เพาะพุทธเกริ่นนำ ด้วยบทกลอน โลกและอัตตาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อครูจะเทศนาในวันนี้

พ่อครูว่า...ก่อนจะได้ สาธยาย ธรรมะที่อาตมาก็อิงจากหลักฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีบันทึกเป็นหลักฐานมาในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐที่ท่านแปลความออกมาจากบาลี อาตมาก็อ่านบาลียังไม่ค่อยเก่ง แต่อ่านภาษาไทยรู้ชัด ก็ยืนยันในพระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เป็นหลักในการที่จะใช้พัฒนา ในการนำธรรมะพระพุทธเจ้าออกมาสู่เส้นทางตามที่อาตมาเห็นว่า คนควรได้ความรู้ตามพระพุทธเจ้าเป็นที่สุดใครจะว่าอาตมาหลงใหลพระพุทธเจ้าก็ไม่ว่ากัน ก็ยอมรับทุกอย่างแต่ต่อมาจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่อาตมา

          อาตมาเชื่อมั่นในความคิดของพระพุทธเจ้า เรารู้ว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความรู้อย่างเดียวกัน เป็นความตรัสรู้เหมือนกันทุกพระองค์ คือตรัสรู้เรื่องโลกและตรัสรู้เรื่องอัตตาเป็นธรรมะ 2

           ในโลกมีธรรมะ 2 ในตัวเราก็มีเรา อย่างท่านพุทธทาสว่าคือ ตัวกูของกู ซึ่งก็น่าคิด ว่าทุกวันนี้มีกูที่จะรู้สารพัดรู้ถ้ากดลงไปที่กูนี้รู้หมด เท่าที่มันจะเก็บมาได้มันรู้มากกว่าใครในขณะนี้ทั่วโลก ถึงมันมีสัญญากำหนดรู้ ไม่ใช่ปัญญาทีเดียวแต่มันรู้ไปหมดทั้งโลก อะไรที่จะบันทึกกรรมบันทึกเก็บไปหมด บันทึกไว้รวมไว้โลกทั้งโลกนี้ คือโลกเป็นสารพัดที่จะเกิดมาเป็นสมุตติสัจจะซึ่งสัจจะก็มี 2 อย่างในโลกนี้คือสมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ ใครจะไปเอาฟากไหนก็สองฟากนี้

           อาตมาก็พอรู้ว่ามีองค์รวมแยกแค่นี้มี 2 แยกกันไปเช่นมี 0 กับ 1 แล้วก็มีทศนิยมแตกต่างกันไปแล้วก็ต่างกันต่างก็เถียงกันขัดแย้งกันยังไงจูฬวิยูหสูตร มีอยู่ 3 ประเด็น

 1 สัจจะไม่มีจริงในโลก อันนี้ฟังแล้วดูน่ากลัว

 2 สัจจะมีหนึ่งเดียว

 3 สัญญาย นิจจานิ คือ สัจจะที่ว่าเกิดจากสัญญาของแต่ละคนไปยึด

          ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นอะไร อะไรคนยึดก็ยึดอะไรควรวางสมควรวางก็วางอยู่กับโลกเขาแล้วก็รู้ว่าโลกที่ไม่มีจริงกับจะมีหนึ่งเดียวอะไรควรให้มีหนึ่งเดียวอะไรให้มีจริง ทำพวกคุณก็ได้ว่าไม่มีจริงเลย กับมีหนึ่งเดียว ถ้าให้คุณตัดสินจะต้องเอาอันหนึ่งอันเดียวให้ได้จะเอาอันไหน ...ส่วนใหญ่ยกให้สัจจะมีหนึ่งเดียว

           คือมันได้ทั้งสองอย่าง อาตมาเข้าใจว่าพวกเรายกให้มีอันหนึ่งอันเดียว มากกว่าไม่เอาอะไรสักอันคือพวกเรานี้จะยึดแบบไม่มีสัจจะหนึ่งเดียวมาก เป็นสัสตทิฏฐิ มีมากกว่าซึ่งก็ไม่ผิดในวงแคบ ให้มีส่วนที่ดีมีมากนั้นถูกต้องส่วนผู้ที่เอาไม่มีจริง พวกนี้เสี่ยงไปทางอุจเฉทิฏฐิ ระวังนะนรกอยู่ใกล้มาก ไม่มีอะไรเลยนี่ ทำบาปก็ได้ทำบุญก็ได้บ้าบ้าบอบอ อะไรก็ได้พวกไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเลยจะยังไปทางอุจเฉทิฏฐิ

           จริงๆคนจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นก่อนแล้วค่อยไปไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าคุณไม่เกิดก็ไม่มีอะไรมาตายเพราะฉะนั้นไก่ต้องเกิดก่อนไข่ ใครไปเอาไข่เกินก่อนไก่ก็บ้าแล้ว มันจะวน จะต้องรู้ลำดับของความมีกับความไม่มีจะต้องมีก่อนที่จะมีความไม่มี

          พูดแต่ความจริงใจว่าอาตมาไม่ค่อยเก่งทำอะไรได้ช้า คนอื่นเขาทำอย่างรวดเร็วแต่เราทนแล้วทนอีกก็ยังมีผิดเลยก็ต้องยอมรับก่อนจะเข้าสู่บทเรียนที่เป็นพระไตรปิฎกจนกว่าจะจบรายการก็ขอนำด้วยสมัยใหม่ที่เป็นเรื่องปัจจุบันเป็นบทความของคุณผักกาดหอมเขียนแทนคุณเปลวสีเงินในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

เรื่อง แบบว่า...เรื่องเบาๆ

 

สุดสัปดาห์ว่าด้วยเรื่องเบาๆ เพราะเหตุเกิดบนท้องฟ้า เรื่องที่ ตุรกี ยิงเครื่องบินรบรัสเซียหล่นตุ๊บ นักวิเคราะห์ขาจร ขาประจำ ว่ากันไปไกลถึงสงครามโลกครั้งที่ 3 แล้ว

ตั้งปุจฉา ถึงคราเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจไทยจะล่มสลายอีกรอบหรือไม่?

จะล่มจมหรือไม่ ยังไม่ใช่เพราะสงครามโลกครั้งที่ 3 แน่นอน ความวิบัติถึงขั้นสงครามโลกนั้นยังไกลไป...ที่เกิดขึ้นวันนี้ก็แค่สงครามระดับภูธร!

รัสเซีย อเมริกา อียู ตุรกี ซีเรีย กบฏซีเรีย ไอเอส ชนกลุ่มน้อย ยิ่งกว่ารักสิบเส้า มันพันกันวุ่นวายไปหมด ถ้าเป็นมวยก็ไม่รู้จะเชียร์ใครแล้ว

ตาลาย!!!

แต่ไม่ใช่มวย มันคือสงครามแย่งชิงผลประโยชน์

เอาเรื่องเครื่องบินขับไล่ เอฟ 16 ของ ทอ.ตุรกี ยิงเครื่องบินซู 24 ของรัสเซียตกก่อน เห็นเถียงกันไม่จบว่าตกลงแล้วมีการเตือนก่อนหรือไม่

ฝ่ายตุรกีบอกเตือนแล้วนะตั้ง 10 ครั้ง! พร้อมกับงัดหลักฐานคลิปเสียง ความยาว 21 วินาที ทำนองอย่าบินมาเฉียดหลังคาบ้านฉัน จงไสหัว (เครื่องบิน) ไปทางอื่น...

พร้อมกับจับเวลาได้ว่า เครื่องบินรัสเซียรุกล้ำน่านฟ้านานถึง 17 วินาที

เห็นตัวเลขแล้ว คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเตือนจนลิ้นรัวตั้งแต่เครื่องบินรบรัสเซียยังอยู่ในน่านฟ้าซีเรีย

นี่แหละปัญหา!

เส้นพรมแดนตุรกี ซีเรีย มันขยุกขยุย ไม่ได้ตรงเด่เหมือนซูเปอร์ไฮเวย์ เครื่องบินรบความเร็วระดับ 2 มัคขึ้น (1 มัคเท่ากับความเร็ว 1,225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ควบมาเต็มที่ ต้องมีคาบลูกคาบดอกกันมั่ง

"ปูติน" ถึงได้บ่นว่า ถูกเพื่อนทรยศแทงข้างหลัง!

ฉะนั้นหยุดเถียงกันดีกว่าใครรุกล้ำน่านฟ้าใครหรือไม่ เพราะสุดท้ายมันเข้าตัวหมดล่ะครับ

สงสัย "ปูติน" ยังเมาหมัด คิดอะไรไม่ออก งั้นผมบอกแทนแล้วกัน ที่บินว่อนในน่านฟ้าซีเรียวันนี้ ถามหน่อยมีเครื่องบินชาติไหนได้รับเชิญจากรัฐบาลซีเรียบ้าง

ที่เห็นมีรัสเซียชาติเดียว!!!

ส่วน ฝรั่งเศส อเมริกา ตุรกี และพันธมิตรที่เข้ามาใหม่อย่าง อังกฤษ เยอรมนี มีข่าวไปทิ้งบอมบ์ เคยขออนุญาตรัฐบาลซีเรีย บินผ่านน่านฟ้าหรือเปล่า

มันก็ฝ่าไฟแดงกันทั้งนั้น

เอาเถอะครับพูดไปก็ไลฟ์บอย เพราะแต่ละฝ่ายมีเหตุผลและกฎเกณฑ์ของตัวเอง แล้วจะไปสนใจกฎเกณฑ์คนอื่นทำไม

จนสุดท้ายแล้ว ไม่มีใครสนใจไปตามล่ากลุ่มไอเอสกันจริงๆ จังๆ หรอกครับ

เหมือนนิยายน้ำเน่า เรื่องนี้มี "อุยกูร์" มาเกี่ยวข้องด้วยครับ

แผนของ ประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป เอร์โดอัน ของตุรกี ตั้งเขตกันชนระหว่างตุรกีกับซีเรีย อ้างว่าเป็นพื้นที่สำหรับ "ผู้ลี้ภัย"

แล้วผู้ลี้ภัยเป็นใคร?

ส่วนหนึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยแถวๆ นั้น บางส่วนคือชาวซีเรียที่เป็นปฏิปักษ์กับประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซาด

และชาวอุยกูร์ ที่เดินทางไปจากจีน บางส่วนผ่านมาทางไทยนี่แหละครับ

ระเบิดราชประสงค์เอาเข้าจริง เพราะไทยเผลอไปเหยียบตาปลาใครเข้าหรือเปล่า? อันนี้ติดไว้ก่อน เพราะข้อมูลยังไม่ชัดเจน

ใครจะคิดกันล่ะครับว่า ที่ยิงกันตายเป็นเบือก็แค่หาคนเฝ้า "ท่อ"

รัฐบาลเอร์โดกัน หนุนชาวอุยกูร์ตั้งเขตปกครองตนเอง เพื่อเป็นกันชนกับซีเรีย แต่เขตปกครองตนเองอยู่ในเขตซีเรีย ไม่ได้ใช้แผ่นดินตุรกี

ทำไปเพื่อให้คนกลุ่มนี้ "เฝ้า" ท่อสายส่งน้ำมัน ที่ลากยาวมาจากซาอุดีอาระเบียไปยังยุโรป

เป็นแผนการที่อเมริกาและยุโรปแอบหนุนอยู่ข้างหลัง!

เมืองอะเลปโป (Aleppo) ของซีเรีย จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ที่โลกตะวันตกต้องการตั้งเป็นรัฐหรือประเทศใหม่ขึ้นมา

แต่รัสเซียยอมไม่ได้ เพราะหากแผนนี้สำเร็จ ท่อส่งก๊าซและน้ำมันจากรัสเซีย มีหวังเอาไว้ส่งลมไปยุโรปแทน พลังต่อรองกับพวกยุโรปก็จะวูบไปทันที

นั่นคือเหตุผลหลักๆ ว่าทำไมสงครามนี้มันมีหลายพวกหลายกลุ่ม ทับซ้อนกันมั่วไปหมด

ภารกิจหลักของอเมริกาและยุโรปในวันนี้จึงเป็นการยื่นมือช่วยเหลือฝ่ายกบฏซีเรีย แล้วคอยเอาปลายเท้าเขี่ย ไอเอส ไม่ให้มาสร้างความรำคาญ

ส่วนรัสเซียมุ่งถล่มฝ่ายกบฏซีเรียเป็นหลัก หากไม่มีเหตุการณ์เครื่องบินโดยสารรัสเซียถูกยิงตกในพื้นที่หุบเขาของคาบสมุทรไซนาย ทางตอนเหนือของอียิปต์ จนผู้โดยสารและลูกเรือรวม 224 คนเสียชีวิตเกลี้ยง ก็ไม่แน่ใจว่า รัสเซียจะส่งฝูงบินเข้าถล่มไอเอสหรือไม่

สรุปแล้ว การขจัดไอเอสก็ยังเป็นภารกิจรองของทุกชาติ ยกเว้นฝรั่งเศส ที่พกความแค้นไว้เต็มอกจำต้องยกออก

ขณะที่ไอเอสคิดการใหญ่เข้าไปทุกที จะกวาดเอาทั้งอิรัก ซีเรีย เป็นรัฐอิสลาม แต่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล ผู้คนจึงปักใจเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด สร้างความรุนแรงเพื่อเป็นเงื่อนไขให้เผ่าพันธุ์นอกอาหรับเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันออกกลาง

มองในมุมประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซาด ก็น่าเห็นใจ เพราะประวัติของกลุ่มกบฏที่อเมริกาหนุนหลัง สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มก่อการร้ายตัวเป้งของโลกไปเกือบหมด

อัลกออิดะห์ ของ อุซามะห์ บินลาดิน ก็เริ่มต้นจากการสนับสนุนของอเมริกาผ่านทางปากีสถาน เพื่อสู้กับรัสเซียที่เข้ายึดอัฟกานิสถาน

หรือแม้กระทั่งกลุ่มไอเอส มุสลิมหัวรุนแรงสุดโต่ง ก็มีจุดเริ่มต้นที่เกี่ยวโยงไปถึงนาวิกโยธินอเมริกา

อนาคตของฝ่ายกบฏซีเรียจึงยากที่จะคาดเดาว่าจะซ้ำรอยอดีตหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นซีเรียคือรัฐที่จะต้องล่มสลายเหมือนอิรักและอัฟกานิสถานไปอย่างถาวร

เรื่องยิงเครื่องบินจึงเป็นประเด็นขี้ผง เพราะมีเรื่องใหญ่ซ้อนอยู่ในนั้น และรัสเซียชิงจังหวะไปก่อน นำมาเป็นข้ออ้างในการเคลื่อนอาวุธหนักเข้าไปในซีเรียเรียบร้อยแล้ว

แต่กระนั้นสงครามใหญ่ยังไม่มี เกิดได้แค่สงครามเย็น แต่เย็นแบบปะแล่มๆ ไม่หนาวเข้ากระดูกเช่นสงครามเย็นในอดีต

จนกว่าท่อจะสร้างเสร็จและมีคนคอยเฝ้าท่อ คงอีกนานโข!

ครับ...ว่าด้วยเรื่องเบาๆ บนเวหา วกกลับมาดูเรื่อง ที่เบากว่าในบ้านเรากันบ้าง

จำคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่วิดีโอลิงก์ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 ได้มั้ยครับ

“พี่น้องทำมาเยอะแล้ว แต่เมื่อทำมาจุดหนึ่ง เหมือนผมจะข้ามฝั่ง พี่น้องแจวเรือพาผมข้ามฝั่ง มาถึงฝั่งผมต้องเดินต่อขึ้นภูเขา พี่น้องจะแบกเรือขึ้นภูเขาทำไม ถึงเวลาที่ผมจะนั่งรถขึ้นภูเขา แต่ผมไม่เคยลืมคนขับเรือมาส่งผม เหตุการณ์มันเปลี่ยน พัฒนาการมันเปลี่ยน หวังว่าพี่น้องจะเข้าใจว่าวันนี้เราได้ทำหน้าที่มาสุดทาง”

วันนั้นวิจารณ์กันขรม ทักษิณ ใช้บริการเสร็จก็ถีบหัวส่งคนเสื้อแดง

สุดท้ายอยู่ในคุกกันกี่คนแล้ว

วานนี้ (27 พฤศจิกายน) มีคำพูดที่คล้ายกันแต่มาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

“ผมไม่ใช่เรือจ้างพาพวกท่านไปส่ง แต่ผมเป็นแพและเป็นแพขนานยนต์ด้วยซ้ำ ต้องไปให้เร็ว และต้องไปด้วยกันทั้งหมด ขึ้นแพใหญ่ๆ ไป แค่เรือจ้างเรือแป๊ะไม่พอ เพราะผมต้องเอาคนทั้งหมดไป เอาประชารัฐไป ถ้าทุกคนแยกเรือกันไปมันจะไปไม่ได้"

ทักษิณ นั่งเรือให้เสื้อแดงไปส่ง แล้วทิ้งขึ้นภูเขาไป

แต่ลุงตู่ ขับแพขนานยนต์พาทุกคนไปด้วยกัน

เหตุที่ทำให้ความคิดของคนที่มาจากการเลือกตั้ง กับเข้ามาโดยรัฐประหาร ต่างกันราวปลายฟ้ากับก้นเหว คืออะไร

ฝากนักวิชาการ ที่ง่วนอยู่กับ เสรีภาพ ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง และ ม.112 ช่วยไปคิดเรื่องเบาๆ ที่ลอยบนน้ำต่อหน่อยครับว่า....คนที่นั่งเรือแจว กับคนขับแพขนานยนต์

ควรจะลอยแพใครมากกว่ากัน.

ผักกาดหอม

 

พ่อครูว่า นี่คือความฉลาดของคนในโลกแล้วก็ยึดกันไปเป็นสัญญายะ นิจจานิ ให้เข้าใจ 3 อย่างนี้ 1 สัจจะไม่มีในโลก 2 สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก ซึ่งใครยึดมั่นถือมั่นคนไหนก็แล้วแต่ก็เป็นสัญญายะ นิจจานิ ถ้าใครไม่ยึดอันไหนเลยแม้แต่สัญญายะ นิจจานิ ก็กลายเป็นคนกลิ้งกลมเลย มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกเป็น invisible man

ทุกอย่างถ้าเราไม่เข้าใจ ก็ไปวางสลับกันก็ไม่ถูกสภาพจริง นั้นเป็นความไม่มีตัวตนหรือเราไม่มีตัวตน แล้วก็รู้ว่าความมีตัวตนคืออะไร ควรจะใช้ตอนไหนจะจับอะไรตายตัวอันหนึ่งอันใดมาพูดไม่ได้เลย นัตถิอุปมา  ไม่มีอะไรเปรียบเทียบได้เป็นความรู้เฉพาะตนซึ่งยากมาก เป็นความลึกซึ้งของความมีกับความไม่มีในโลกนี้ สุดยอดที่จะต้องศึกษา และให้เข้าถึง เมื่อปฏิบัติเข้าถึงได้จริงก็จบแล้วก็เป็นอยู่ในโลกนี้ อย่างได้เรียนรู้ตามธรรมะพระพุทธเจ้าสามารถที่จะล้างอัตตาออกไปให้หมดจบพร้อมไปกับความเป็นโลก

           2 สภาพตั้งแต่โลกสองสภาพแล้วรวมเป็น 3 เป็นวงวน ก็เรียนรู้ความเป็นโลกที่เป็นวงวนเกิดจากสองจุดแล้วมีจุดที่ 3 สัมผัสปรุงแต่งกันขึ้นมาก็จะเกิดความสมบูรณ์ของโลก 1 โลกขึ้นมาทันที 2 อันไม่สมบูรณ์ต้องมีอันที่ 3 จึงจะเริ่มเกิดโลกเป็นวงวน  อาตมาว่าอาตมาเรียนรู้จบตรงนี้ก็รู้ว่าวาระไหนควรมีวาระไหนควรไม่มี อาตมาวางเป็นก็จบ

 

           พระไตรปิฎกเล่ม 9 มีหลักฐานเรื่องโลกกับอัตตาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ข้อ 27

พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงการบัญญัติความเป็นอัตตาและโลกของคนในโลกนี้คนก็ยึดถือกันต่างคนก็ต่างยึดถือแตกต่างกันมากมายหลากหลายแล้วก็ยึดมั่นถือมั่นกันว่าเที่ยงก็จริงว่าดีว่าถูก

 

โลก_อัตตา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 เริ่มตั้งแต่ข้อ 27 ไปเลยพระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงการบัญญัติอัตตาและโลกของคนในโลก แล้วก็ยึดถือกันต่างคนต่างยึดถือกันไปแตกต่างมากมายหลากหลาย

แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นกัน ว่าเที่ยง ว่าจริง ว่าดี ว่าถูก แล้วก็ขัดแย้งกันต่างยึดกันว่า เรานี่แหละถูก คนอื่นผิด ความแตกแยกเป็นธรรมะ 2 ในความเป็นสัจจะ 2 เกิดขึ้นตรงนี้

          เหตุคือต่างคนต่างฝ่ายก็มี สัญญายะ นิจจานิ พระไตรปิฎกเล่ม 25 ข้อ 419 นั่นคือต่างคนต่างยึดมั่นถือมั่นของตนอย่างแน่มั่นว่าเที่ยงว่าจริงว่าดีว่าถูก(ในพระไตรฯทั้ง45 เล่ม มีคำว่า สัญญายะ นิจจานิ คำนี้คำเดียวในพระไตรฯล.25 ข.419) ใครเข้าใจชัดตรงนี้ก็จบ เป็นผู้ไม่มีตัวตนแต่ใช้ความมีตัวตน ได้ถูกต้อง ทำประโยชน์ให้คนอื่น อาตมาก็อยู่สบายๆมีประโยชน์ให้แก่คนที่สัมผัสสัมพันธ์กับอาตมาคนที่จะสัมพันธ์อย่างศัตรูก็สัมพันธ์อย่างศัตรู คนจะสัมผัสอย่างมิตรก็สัมพันธ์อย่างมิตร อาตมาก็ช่วยได้มากได้น้อยแล้วแต่ พอใช้พอทำงาน พอดำเนินชีวิตไปพอสร้างพอสรรเท่าที่จะพอทำได้ตามบารมี

แล้วก็ต่างจะเอาของเป็นของตน หาพรรคพวกหาบริวารสร้างอำนาจแล้วก็เป็นใหญ่ในความเป็นโลกได้บำเรอสุขัลลิกะ ของตนสมใจปรารถนาของอัตตานั่นเอง

           ผู้ครอบครองโลก ตามความมีอัตตา ที่ประดาคนในโลกยื้อแย่งกัน ตั้งแต่เริ่มมีความคิดว่ามีโลก ตามกิเลสอัตตาของตน ที่มันอยากใหญ่อยากแผ่บารมีไปให้ทั่วโลก เหมือนอย่างที่ธัมมชโยแห่งวัดธรรมกายมีในมโนสัญเจตนา  โดยแฝงคำว่าธรรมะเป็นต้นรากลึกของจิต

           ต่างจากประเทศมหาอำนาจในโลกปัจจุบันนี้ ที่มีความคิดว่ามีโลกตามกิเลสอัตตาของตนที่มันอยากใหญ่อยากแผ่บารมีไปทั่วโลก เหมือนอย่างที่ธัมมชโยแห่งวัดธรรมกาย เหมือนอย่างนายทักษิณ ชินวัตรมีในมโนสัญเจตนา โดยแฝงคำว่าอำนาจ อธิปไตย หรือคำเต็มๆที่เบ่งอำนาจได้ในปัจจุบันคือประชาธิปไตยเป็นต้นรากลึกของจิต ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นตอนนี้ยังเป็นรองในรากลึกของจิต

           เพียงแต่ธัมมชโยกับนายทักษิณ ชินวัตรนั่น มีต้นรากลึกของจิตแตกต่างกัน ธัมมชโยยึดเอาคำว่าธรรมะหรือศาสนาตามความรู้ในความเป็นศาสนาเป็นธงอ้างกับชาวโลก ส่วนนายทักษิณ ยึดเอาคำว่าประชาธิปไตยหรือสังคมมนุษย์ตามความรู้ในความเป็นสังคมมนุษย์เป็นธงอ้างกับชาวโลก

           ซึ่งเป็นตัวการก่อสงครามอยู่ในโลก

           ส่วนประเทศต่างๆในโลกก็ต่างก่อสงครามกันอยู่ทั้งสิ้น อันมีความเป็นโลกและความเป็นอัตตาเป็นเหตุ จะมียิ่งขึ้นยิ่งขึ้นต่อไปในทุกวินาที ไปกับอนาคตจนกระทั่งถึงขั้นล้างโลกกันในที่สุดตามความเป็นโลกอัตตาขึ้นสมอง

           ตามที่พระทุกศาสนารู้แจ้งและพยากรณ์กันไว้กันทั้งนั้นทั้งนั้น ทางศาสนาคริสต์ บอกว่าน้ำท่วมโลกสอนศาสนาพุทธบอกว่าไฟไหม้โลกพระพุทธเจ้าบอกว่าผู้ที่จะรอดคือผู้ที่มีบุญมีกุศล

           เรามาเรียนรู้ความเป็นโลกและความเป็นอัตตา ให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกันดู

           แล้วอย่าไปหลงโลกหลงอัตตาจนกลายเป็น โรคอัตตาขึ้นสมอง เหมือนยังธัมมชโยและนายทักษิณ ชินวัตรซึ่งต่างก็มี สัญญายะ นิจจานิ ของตนอย่างวางไม่เป็น

           พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและตรัสรู้ความเป็นโลกและความเป็นอัตตา อย่างบรรลุความจริงสูงสุดปรมัตถสัจจะในความเป็นโลกและความเป็นอัตตา

           แล้วดำรงชีวิตอยู่กับโลกและกับอัตตาไปอย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในความเป็นสมมุติสัจจะของโลกของอัตตา ด้วยสัปปุริสธรรม 7 กับมหาปเทส 4 ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นโลกและความเป็นอัตตา

           อนุโลม_ปฏิโลมอยู่กับโลกกับสังคมมนุษย์ มีพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อย่างเป็นคุณต่อโลกต่อมวลมนุษยชาติไปจนตาย

           นี้คือคนเจริญจริงสูงสุดในแบบของพระพุทธเจ้า

 

พ่อครูว่า คุณทักษิณก็พูดไปอีกอย่างตามสัญญาที่ยึดของเขา สัญญายะ นิจจานิ   ส่วนลุงตู่เขาก็พูดไปตามสัญญายะ นิจจานิ  ของเขา  อาตมาก็ยึดตามของลุงตู่ แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าลุงตู่กบฏอาตมาก็ทิ้งลุงตู่เหมือนกัน ไปหาอะไรอย่างอื่นที่จะยึดได้ถ้าไม่มีใครให้ยึดก็ยึดตัวเองสัญญายะ นิจจานิ ก็จบ แต่ต่อมาว่าตอนนี้อาตมาก็ต้องอยู่กับพวกไม่ใช่ปลีกเดี่ยว อยู่กับหมู่ที่เห็นร่วมกันมากมายไปด้วยกันมาด้วยกัน

 

          พระไตรปิฎกเล่ม 9 เริ่มจากสูตรแรกเลย

          พระพุทธเจ้าให้ศึกษารูปกับนาม เป็นธรรมะสอง แล้วจะเกิดสาม  ถ้าเกิด 3 ที่ควบคุมได้ก็จะนำพาไปสู่ 4 5 6 7 8 9 ได้สามารถควบคุมให้อยู่ในอำนาจ ส่วนที่มันเกิดแรง เราแล้วก็รู้ตัวเองก็จะไม่เอาต่อ ถ้าเราควบคุมได้แค่ 3 ก็เอาแค่นี้ พอเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 ไปไม่ได้ก็ไม่เอา ถ้า 5  ควบคุมได้ก็เอาออกไปได้ก็เอาไปไม่ได้ก็ไม่เอา ผู้มีความจริงในสัจจะ จะรู้พลังงานรู้รังสีรัศมีที่จะไปถึงแค่ไหนรังสีนี้เป็นพลังงาน ถ้าราศีเป็นนามธรรมถ้ารังสีนี้เป็นรูปประธรรม

           พระพุทธเจ้าให้ศึกษาตัวเราก่อน แต่ถ้าศึกษาอย่างไม่มีอายตนะ 6 นี่คือความผิดพลาดของศาสนาพุทธ ไปเข้าใจว่าศึกษาแต่อัตตา นั่งหลับตาอยู่ในภวังค์มีแต่สัญญาจมอยู่ในสัญญาไม่ต้องกำหนดรู้อะไร แล้วมันจะรู้เอง เป็นความฟุ้งซ่านไป แต่ไม่ออกมารับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายไม่มีโลกะวิทู

ที่พูดนี้จะให้เห็นเขตต่อระหว่างความเป็นสัมมาทิฏฐิกับความเป็นมิจฉาทิฏฐิว่า อยู่ที่การไปนั่งสมาธิเข้าไปอยู่ในภพก็มิจฉาทิฐิทันที ของพระพุทธเจ้าจะต้องมาเกี่ยวข้องกับทุกอย่างตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมสัมผัส มีหลักฐานอ้างอิงได้ ถ้าของตนเองอย่างเดียวอ้างอิงกับใครไม่ได้อันนี้ไม่ใช่สัจจะ ของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้ามีทั้งสมมุติสัจจะที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา ข้าวของ ที่เป็นคนนี้แหละที่จะอ้างอิงได้ เป็นพยานหลักฐานได้คนอื่นก็ดูต่อไปเป็นคนที่ 2 3 4 5

 ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พวกมิจฉาทิฏฐิ 62 แบบ ก็มีพวกที่นั่งหลับตาสมาธิระลึกย้อนหลังไปไกลว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง ยึดในสัญญานั้นหรือเป็นอดีตก็ดีเป็นอนาคตก็ดี ก็อยู่ในโลกของตัวเองหมด ฟุ้งซ่านไป แม้แต่จะเป็นอดีตที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ถูกต้องว่าเคยผ่านมาก็ยังดีไป

ส่วนอนาคตนั้นยังไม่เคยเกิดเลย ก็ยังแบ่งอนาคตออกเป็นโลกที่เคยเป็นเคยมี เพียงแต่คุณเอง ไม่เคยเป็นแต่คนอื่นเขาเคยเป็น คนก็พอรู้จัก คนอื่นที่พอเป็น ก็ถือว่าเป็นอนาคตที่คุณไม่ได้เป็นด้วย แต่มันก็มี เพราะมันเคยเกิดกับคนอื่น จนกระทั่งถึงคนอื่นก็ไม่เคยเป็น เคยมีคุณก็ไม่เคยเป็นเคยมี แต่ก็สร้างไปหลอกคน อย่างธัมมชโยที่ไปสร้างวิมานมากมายหลอกคน จนกระทั่งเจ้าสัวสามีของคุณตั๊ก ก็ยังบอกว่าชาติหน้าผมจะรวยยิ่งกว่านี้ผมก็เลยทุ่มให้ธรรมกายนี่แหละ เจ้าของดีแทคชื่อเจ้าสัวบุญชัย

 

          พระพุทธเจ้าตรัสความเป็น กาย กับความเป็น สัญญา ไว้ใน สัตตาวาส 9  ซึ่ง
จะต้องศึกษาความเป็น สัตว์ ที่เป็น โอปปาติกะสัตว์ นี้ ในขณะมี วิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2  โดย การสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่  จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความสิ้นอาสวะด้วยปัญญาสัมบูรณ์

ความเห็นอันถือเอาที่สุด, ความเห็นผิดที่แล่นไปสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง ที่บาลีว่า  อันตคาหิกทิฏฐิ นั้นมี 10 เรื่อง ได้แก่ โลกเที่ยง-โลกไม่เที่ยง-โลกมีที่สุด-โลกไม่มีที่สุด ชีวะก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น-ชีวะก็อย่างหนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง
          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(ย่อมมีอยู่)
          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมไม่เป็นอีก(ย่อมไม่มีอยู่)
          อัตตา(ตถาคต,สัตว์)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี) ไม่เป็นอีก(ไม่มีอยู่)ก็ใช่(ก็มี)     
          อัตตา(สัตว์,ตถาคต)เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก(มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) ย่อมไม่เป็น
อีก(ไม่มีอยู่)ก็มิใช่(ก็หามิได้) [ในพระไตรปิฎกมีอยู่มากแห่ง เช่น เล่ม 13 ข้อ 147, เล่ม 18 / 88, เล่ม 24 / 193, เล่ม 31 / 337, เล่ม 35 / 1032]   [และคำว่า  อัตตา ในที่นี้ อรรถกถาบางแห่งหมายถึง สัตว์ ก็มี  ว่า  ตถาคตหรืออาตมัน  ก็มี   ว่า พระพุทธเจ้า ก็มี] 
          เรื่อง โลก และ อัตตา นี้ เป็นเรื่องถกเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไร เรามาอ่านที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กันดูอีกที 
          พระพุทธเจ้าตรัสว่า
          (1)  ดูกรมาลุงกยบุตร เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้น
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ ข้อนั้น ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตรความเห็นว่า นี้ทุกข์  นี้เหตุให้เกิดทุกข์  นี้ความดับทุกข์  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ (พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 152)
          (2) ดูกรวัจฉะ พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็นจักษุว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่นย่อมตามเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อพวกปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า โลกเที่ยงบ้าง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้บ้าง

ดูกรวัจฉะ ส่วนพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทรงพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ย่อมทรงพิจารณาเห็น หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ ว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เพราะเหตุนั้น เมื่อตถาคตถูกถามอย่างนั้นแล้ว จึงไม่ทรงพยากรณ์อย่างนี้ ว่า โลกเที่ยงก็ดี ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้ก็ดี ฯ (พระไตรปิฎก เล่ม 18 ข้อ 792)    

ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์นั้น ก็..เพราะข้อนั้น ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่
เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ศึกษาปฏิบัตินั้น คือ จะต้องมาเรียนรู้  ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ของเรานี่เลย ที่จะต้อง สัมผัส สัมพันธ์กับ โลก แล้วมี เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย  เกิดทุกข์เกิดสุขกันอยู่ใน วัฏฏะ  ก็เพราะไม่รู้ โลก  ไม่รู้ อัตตา นี้แลก็ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า...ย่อมพิจารณาเห็นจักษุว่านั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา... เห็นคำว่า  เป็นเรา -ตัวตนของเรา  ..มั้ยล่ะ?

 

พ่อครูว่า ที่ยกตัวอย่างมาคือพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างมี ทวาร 6 เลย ต้องมาเรียนรู้จากโลกและอัตตา ตามลำดับไป มีขั้นตอน

          ต้องมาเรียนรู้ทันจิตวิญญาณให้สูงสุด เป็นความบริสุทธิ์สะอาดสุด มีพระกรุณาธิคุณพระปัญญาธิคุณพระวิสุทธิคุณ จะนิยามจริงแล้วพระพุทธเจ้านี้คือพระบุตรคือพระเจ้าตัวแท้ เป็นของจริงที่จับต้องได้จึงต้องเรียนรู้ความเป็น อัตตา ตั้งแต่เริ่มกำหนดให้มาเรียนรู้ กาย เรียนรู้ จิต ไปตามลำดับ  กาย กับ จิต นี้แหละคือ โลก คือ สังขาร คือ อัตตา ที่อยู่ในตัวเราจริงๆ
มาเรียนรู้ใน ขนาดจำกัด ทีละขนาด เริ่มทีละน้อย ไม่ต้องมากเกินที่ควรแก่เราเอง หรือมาเรียนรู้ใน กามาวจร ของเราเองตั้งแต่ขั้นต้นไปตามลำดับ [ ขนาดจำกัด นี้ พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯท่านแปลมาจากคำว่า  ปริตตัง  ส่วนพระไตรปิฎกฉบับหลวงแปล ปริตตัง ว่า  กามาวจร ]
ศึกษาเรื่องของ กาย กับ จิต นี่แหละ
          คือ เรื่อง โลก กับเรื่อง อัตตา แท้ๆมิใช่ว่า  โลก ไม่มีให้ศึกษา  อัตตา ไม่มีให้ศึกษา หรือว่าไม่ต้องศึกษาความเป็น โลก  และความเป็น อัตตา  ก็หาไม่ก็ความเป็น โลก กับความเป็น อัตตา นี้แหละ คือตัวแท้ที่ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ที่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน แต่ต้องปฏิบัติที่พระพุทธเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์นั้น คือ ไม่ไปเสียเวลาทรงอธิบายอยู่แต่ว่า  โลก คืออะไร   อัตตา คืออะไร เที่ยงหรือไม่เที่ยง ใช่หรือไม่ใช่ ตายไปแล้วจะมีหรือไม่มี ตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก... อะไรต่างๆนั้น
          ถ้าศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วจึงปฏิบัติไปเป็นลำดับ ก็จะเริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริง
ความเป็น โลก ตามเป็นจริง และความเป็น อัตตา ตามเป็นจริงอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์
          อัตตา ที่พระพุทธเจ้าทรงให้เราเรียน
          คือ  อัตตา 3 [โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา] (พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 302)
มิใช่ว่า พอไปได้เข้าใจได้อย่างซาบซึ้งว่า  ทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่ตัวตน (สัพเพธัมมา อนัตตา)  แล้วก็เห็นไปว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแล้วไงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อัตตา-ไม่ใช่ตัวตน-ตัวตนไม่มี-ไม่มีตัวตนในที่ไหนๆทุกสรรพสิ่ง
          แล้วจะยังไปมัว เห็นว่า เป็นตัวตนกันอยู่ที่ไหนกันอีก ก็ในเมื่อ อัตตาไม่ใช่ตัวตน  แล้วจะไปงมหา ตัวตน มาจากไหนกันอยู่เล่า?
          ที่จริงแล้วความเป็น ตัวตน นี่แหละคือตัวการใหญ่ที่มันยังมี ทุกข์ มี สุข  มีกิเลส มีเรื่อง(นิทาน)ไม่จบ ต้องเรียนรู้เป็นลำดับแล้วชำระด้วยการปฏิบัติกำจัด ตัวตน (อัตตา)ให้หมดสิ้น อัตตา (ตัวตน)เกลี้ยงสนิท
          ไม่ใช่ไปหลงสุดโต่งว่า อัตตาไม่มี ให้เป็น อุจเฉทิฏฐิ  หรือเลยเถิดไปอีกทางหนึ่งว่า  อัตตาหรือาตมันหรือปรมาตมัน มีอยู่นิรันดร ..นั่นก็ สัสสตทิฏฐิ  สุดโต่งอีกฝ่าย
          ความเป็น อัตตา แล้ว ทีนี้ โลก บ้าง ก็ยิ่งมากมายหลากหลาย ที่ต้องศึกษาปฏิบัติ
ตั้งแต่ 

_โลก 2  ที่ใหญ่โตกว้างขวางสุดๆ ได้แก่ 1.เอกภพ(หนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง)
2.โลกจักรวาล (ทุกสรรพสิ่งในโลกหนึ่งเดียว)
_โลก 2  ได้แก่ 1.โลกที่ไม่มีภาวะของชีวะ(อชีวิตินทรีย์)  2.โลกที่มีภาวะของชีวะ
(ชีวิตินทรีย์)
_โลก 2  ได้แก่ 1.โลกชีวะ ที่ยังไม่ถึงขั้นวิญญาณ มีแค่ รูป,สัญญาและสังขาร(พีชนิยาม) 2.โลกชีวะ ที่ถึงขั้นวิญญาณ มีรูป,เวทนา,สัญญา,สังขารและวิญญาณ(จิตนิยาม)
_ โลก 2  ได้แก่ 1.โลกียะ(ปุถุชน,กัลยาณชน) 2.โลกุตระ(อาริยชน)
_ โลก 2  ได้แก่ 1.โลกนี้(อิธโลก,อยังโลก, อิมัญจ โลกัง) 2.โลกหน้า(ปรโลก,ปโรโลโก,ปรัญจ
โลกัง, สัมปรายิกะ)   
_ โลก 2  ได้แก่ 1.โลกสมุทัย(มีเหตุแห่งทุกข์) 2.โลกนิโรธ(ดับเหตุแห่งทุกข์)
_ โลก 2  ได้แก่ 1.โลกที่ไม่สุขไม่ทุกข์แบบปุถุชน(เคหสิตอุเบกขา) 2.โลกที่ไม่สุข
ไม่ทุกข์แบบอาริยชน(เนกขัมมสิตอุเบกขา)
_ โลก 2  ได้แก่ 1. กามโลก(หรือกามภพ ซึ่งเป็นโลกภายนอก) 2.ภวโลก(โลกภายใน) ซึ่งยัง
มีขั้นตอนละเอียดเป็น รูปโลก,อรูปโลก อีก
          ดังนั้น เมื่อแยกออกไปเป็น โลก 3  จึงได้แก่

1.กามโลก 2.รูปโลก 3.อรูปโลก
 _โลก 3 อีกหมวด ได้แก่ 1.สังขารโลก 2.สัตวโลก 3.โอกาสโลก(โลกอันมีในอวกาส,
จักรวาล,โลกอันกำหนดด้วยโอกาส ซึ่งได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันมีวิญญาณครอง  หรือได้แก่โอกาสที่เป็นสังขารอันไม่มีวิญญาณครอง) 
_ โลก 3 อื่นอีกคือ 1.มนุษยโลก(โลกที่มีร่างกายของสัตว์คนและจิตวิญญาณ) 2.เทวโลก
(โลกโดยเฉพาะของจิตวิญญาณที่เป็นสุขโลกีย์หรือสุขโลกุตระ) 3.พรหมโลก(โลกโดยเฉพาะของจิตที่ทำให้ไม่มีกิเลสได้ ทั้งที่เป็นโลกียะ และทั้งแบบโลกุตระ ซึ่งมีลำดับหรือขนาดต่างๆหรือแบบต่างๆ)
_ โลกที่เป็นวัฏฏะ 3 บ้าง ซึ่งมี 1.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกิเลสวัฏฏะ(วงจรกิเลส) 2.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยกรรมวัฏฏะ(วงจรกรรม) 3.โลกที่วนเวียนอยู่ด้วยวิปากวัฏฏะ(วงจรวิบาก)
_ โลกที่มีญาณ 3  ได้แก่ 1.โลกที่สามารถระลึกรู้ภาวะอันเคยอาศัยอยู่มาก่อน(ปุพเพนิวาสานุสติญาณ) 2.โลกที่สามารถกำหนดรู้ การตาย(จุติ) และ การเกิด(อุบัติ) (จุตูปปาตญาณ) 3.โลกที่สามารถหยั่งตรวจสอบรู้แจ้งความหมดสิ้นอาสวะในจิตตน(อาสวักขยญาณ)
 _โลก 6  ได้แก่ 1.อบายโลก 2.มนุษยโลก 3.เทวโลก 4.ขันธโลก 5.ธาตุโลก 6.อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14)
1. อบายโลก คือ ภาวะที่ชีวิตินทรีย์ในจิตยังเป็นรสสุขรสทุกข์เวียนวนอยู่กับอบายมุข หรือบายอื่นๆที่หยาบแล้วสำหรับตน และอบายที่หยาบรองลงไปเป็นลำดับได้แก่ ความต่ำทราม ความทุจริตอกุศล ความโกง ความหลอกลวง การพนัน ความเสื่อมเสีย ความเสียหาย ความหยาบ ความรุนแรง ความจัดจ้าน ความมากหรือใหญ่หรือหรูหราเกินเหมาะควร ความหลงในทรัพย์สมบัติมาก หลงในความมีอำนาจใช้อำนาจเกิน หรืออะไรต่างๆที่เสียมากกว่าได้

ทุกวันนี้อบายมุขที่หยาบมากก็คืออย่างธัมมชโยและทักษิณ ไม่ใช่อบายมุขเตะหัวหมาด่าแม่เจ๊กนะ แต่อย่างทักษิณธัมมชโยจับก็ยากรู้ก็ยากแต่หยาบมา


          2. มนุษยโลก คือ ภาวะที่เป็นคนมีชีวิตอยู่บนโลก ชีวิตินทรีย์ในจิตนั้นยังเป็น มนุษย์โลกีย์ อยู่ ทั้งที่เป็นปุถุชน และเป็นกัลยาณชน หลงเสพ สุขัลลิกะ (สุขเท็จ) ซึ่งเป็นสุขโลกีย์ เป็น เทวดาดาวดึงส์  และเสพทุกข์โลกีย์เป็นสามัญ หลงสร้างอุปาทานของตนเป็นวิมานขึ้นได้สำเร็จ และใฝ่เสพภูมิความเป็น มนุษย์ชั้นสูง  ได้เสพ โลก เสพ อัตตา ที่หลงว่ามาก ว่าใหญ่ ว่าสูง เป็นลำดับ จนที่สุดได้เป็น มนุษย์อารยะและมนุษย์อริยะ (ยังมิใช่อาริยะ)ตามทิฏฐิของแต่ละสำนัก สำเร็จสูงสุดตามทิฏฐิที่ตนยึดว่าจริง และประพฤติได้ผลนั้นๆ ให้ชีวิตอาศัยเป็นอยู่ไปจนตาย แล้วมีวิบากเป็นนรกกันมากกว่ามาก
          หากเป็นคนที่มี สูรภาโว-สติมันโต ก็จัดเป็น มนุษย์ชมพูทวีป  เพียงแต่ว่า ต้องใช้ สูรภาโว-สติมันโต กับความเป็น โลก ที่หลากหลายต่างๆอันเราสัมพันธ์อยู่นี้(อิธ) ใช้ปฏิบัติเพื่อสิ้น อัตตา  ให้บรรลุพรหมจรรย์
          เพราะผู้มีความเป็น มนุษยโลก ที่มี สูรภาโว-สติมันโต ครบพร้อม ก็ในความเป็น โลกนี้ (อิธ)แหละ ไม่มี โลกอื่น ที่สามารถจะปฏิบัติให้บรรลุถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้(อิธ พรหมจริยวาโส) [พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 225)
          แต่ถ้ายังไม่สามารถพัฒนาตนให้จิตใจมีภูมิบรรลุ โลกุตรธรรม  ก็ชื่อว่ามนุษย์โลกีย์สามัญ อย่างเก่งก็บรรลุ กัลยาณธรรม ได้ดี มนุษย์โลกีย์ ระดับนี้ยังไม่รู้(อวิชชา) ความเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดาดาวดึงส์ หรือความเป็นสัตว์นรกของตนอย่างสัมมาทิฏฐิ มีแต่ยังหลง วิมาน ของเทวดาดาวดึงส์ ยังไม่สามารถรู้ กาย อัน พ้นสังโยชน์ 10 ไปได้แม้แค่ สังโยชน์ ข้อที่ 1 จึงยังไม่สามารถ พ้นสักกายทิฏฐิ (กายขั้นต้น) ดังนี้ก็คือไม่มีภูมิรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น มนุษย์โลกุตระ ที่เป็น อเทวนิยม อย่าง สัมมาทิฏฐิ จริง
          ส่วนมนุษย์โลกที่ทำ ชีวิตินทรีย์ ในจิตให้บรรลุเป็น มนุษย์โลกุตระ ได้ ทั้งที่เป็นอาริยชนที่ลดการเสพสุขโลกีย์ ลดการเป็นทุกข์โลกีย์ ได้ตามลำดับ เพราะสามารถทำใจในใจ(มนสิกโรติ)ของตนได้ความเป็น โลกุตระ  และสูงถึงขั้น อาริยภูมิ  ลดกาม ลดอัตตาได้เป็นลำดับ ก็เป็น อุบัติเทพและวิสุทธิเทพหรือพรหม  จนที่สุดได้เป็น มนุษย์อาริยะ  สำเร็จสูงสุดตามทิฏฐิถึงขั้นอรหันต์

 

เกิดมาเป็นมนุษย์หากไม่เรียนรู้ให้จบความเป็นโลกความเป็นอัตตาก็ต้องวนเวียนไปอย่างน่าเบื่อแต่คนก็ไม่รู้จักน่าเบื่อ ...จบ         


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:27:13 )

581130

รายละเอียด

581130_ธรรมาธรรมะสงคราม ปฐมอโศก King of Kings

อ.กฤษฎาบอกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วงนี้ก็มีข่าวที่มีนักการทูตอเมริกัน ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งเป็นการก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศอย่างไม่ถูกต้องทำให้ประชาชนต่างลุกฮือขึ้นมาหลายกลุ่มในการต่อต้านกรณีนี้

      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงครองแผ่นดินโดยธรรมมาโดยตลอด อยากจะให้พ่อครูอรรถาธิบาย

พ่อครูว่า...เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นเรื่องของมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องที่เหมาะสมทั้งทางวัตถุและจิตใจ  ซึ่งคำว่าความเป็นจริงนั้นภาษาของพระพุทธเจ้ามีอยู่ 2 คำ ความจริงนั้นเรียกว่าสัจจะมี 2 อย่างคือสมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะ

       ความจริงสองคำนี้ยิ่งใหญ่มากเป็นความยิ่งใหญ่ที่อยากที่จะอธิบายให้ระดับสามัญเข้าใจได้ง่ายๆ แม่เข้าใจได้ก็ไม่สามารถจะปฏิบัติได้เลยจะลองขยายความถึงคำว่าความจริงนี้ต่ออีกสักนิด

       ในจูฬวิยูหสูตร พระสูตรนี้ตรัสถึงความจริงไว้เป็นความจริงที่ต้องขอท้าวความก่อน  แม้จะยาก ก็เป็นความสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ

      ในจูฬวิยูหสูตร ล.25 ข. 419 มีประเด็นที่สำคัญมาก ในเรื่องสัจจะที่มีสามบัญญัติ ซึ่งเป็นความหมายที่ยากหากเอาไปตีกินสำหรับพวกนักรู้นะคิดเอาไปใช้ประโยชน์ใส่ตัวเองเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้มากก็เป็นความเร็วของใครของมันแต่ที่จะพูดนี้เป็นเรื่องของสัจจธรรมที่จะขยายสู่ฟัง

      หนึ่งท่านบอกไว้ว่า สัจจะหรือความจริงนี้มันไม่มีหรอกในโลก หมายความว่าความจริงที่บอกว่าอันนี้ถูกอันนี้ปิดอันนี้ดีๆนี้ชั่ว มันไม่มีหรอกความจริงนั้นมันไม่มี

      อีกประเด็นหนึ่งก็คือบอกว่าความจริงมีสิ่งเดียวเท่านั้น

      2 ประโยคนี้ขัดแย้งกัน อันหนึ่งบอกว่าความจริงไม่มีในโลก อีกอันนึงบอกว่าความจริงมีสิ่งเดียวเท่านั้นแล้วมันจะมีหรือไม่มีกันแน่ในเรื่องความจริง

       ที่นี้ก็มีอีกคำหนึ่งมีพยัญชนะว่า สัญญายะ นิจจานิ  หมายความว่าการกำหนดหมายหรือสัญญาของแต่ละคน คุณจะรู้จักทำมาหรือไม่ก็แล้วแต่แต่คุณมีการใช้สัญญาทั้งนั้น ยิ่งคุณมีอวิชชาก็ใช้สัญญาทั้งนั้น เช่นคุณยึดอันนี้ว่าเป็นจริงว่าของฉันถูก แต่อีกคนหนึ่งจะบอกว่าของฉันถูก คนละอย่างคนละขั้วเลยก็ได้ มันเป็นเรื่องที่ต่างคนต่างยึด

      แล้วความจริงอยู่ที่ไหนตอนไหน ก็จริงอยู่ที่คนเดียวเท่านั้น

       ตอนนี้ล่ะ สมมุติสัจจะคือความจริงที่ร่วมรู้ แล้วรู้กันทั่วในโลกเรารู้กันอยู่ในกลุ่มใหญ่เป็นความรู้ของเยภุยสิกา คือความเห็นโดยรวมส่วนใหญ่เอาคะแนนเสียงส่วนใหญ่  คือเอาความจริงที่เกิดจากสมมุติของส่วนใหญ่ เข้าที่ประชุมเป็นที่ตัดสินเป็นส่วนรวมมาวิเคราะห์วิจัยกันสุดท้ายก็ตัดสิน เป็นหลักสุดท้ายของสังคมมนุษย์โลก ความเห็นของคนด้วยกันนี่แหละ ตกลงความเห็นของทุกคนเห็นด้วยกันอย่างนี้แล้วก็เอาอันนี้เป็นความจริง ความถูกต้องแม้แต่ผู้พิพากษาก็ถือเอาความเห็นส่วนรวมนี่แหละตัดสิน

ความจริงอันนี้เกิดจากคนที่มีความยึดถือยึดมั่นถือมั่นเช่นคน 25 คนก็มีความยึดถือว่านี้ถูกแล้วอีก 24 คนก็คิดว่าอันนี้ถูก ซึ่งต่างกัน คนที่ชนะคือพวกที่มี 25 คน นี่คือความจริงที่ยืนยัน เป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว เป็นความเห็นที่ถึงความจริง ส่วนรายละเอียดว่าความจริงใน 25 คนหรือ 24 คนจะมีอคติจะรับจ้างจะขี้โกงอะไรก็แล้วแต่ให้คะแนนเสียงนี้มากกว่า อันนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นความจริงเป็นต่อไม่บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่มันเกินวิสัย ก็ต้องหาทางแก้ไขอีกแล้วมันมีอะไรแทรกแซงแล้ว

เมื่อตัดสินว่าใครถูกต้องฝ่ายที่ 25 เสียงชนะฝ่ายที่มี 24 เสียงก็ต้องให้ความเห็นของฝ่ายที่มี 25 เสียงเป็นความถูกต้องที่จะใช้ปฏิบัติ

แล้วก็เหลือปรมัตถสัจจะ สมมุติว่า คน หนึ่งใน 49 คนนี้ สมมุติว่า คนที่เป็นผู้ที่เข้าถึงปรมัตถ์ สูงสุดทางจิตเจตสิก แล้วเป็นคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตนเอง หมดตัวตนแล้ว สมมุติว่าท่านอยู่ในฝ่ายเสียงข้างน้อยท่านก็เป็นฝ่ายแพ้ สมมุติอีกว่า ความเป็นของท่านนี้ที่เป็นอรหันต์นี้ท่านก็จะยอม เพราะสมมุติสัจจะที่จะใช้ในโลกนี้มีหนึ่งเดียว

ของประเทศอเมริกาก็เป็นอย่างประเทศอเมริกาไม่เหมือนกับประเทศไทยจะไปแย่งเขาไม่ได้ เขารวมคะแนนเสียงกันอย่างนั้นเป็นความถูกต้องความดีงามที่เขายึดถือแบบเขาเช่นเขาถือว่ามี free sex เป็นเรื่องธรรมดาแต่คนไทยไม่เอา ก็ของใครของมัน

เขาถือว่าถ้าพ้นไปแล้วบรรลุนิติภาวะแล้วก็ปล่อยให้เขาทำอิสระเสรีได้แต่ของคนไทยบอกว่าวัฒนธรรมไทย ก็ต้องดูแลเลี้ยงดูรับผิดชอบกันจนตายเป็นพ่อเป็นลูกกันจนตายปล่อยให้เละเทะไม่ได้ ไม่อาจจะระบุในกฎหมายว่าไม่ต้องรับรองเพราะเขาบรรลุนิติภาวะแล้วแต่ในความจริงของวัฒนธรรมในจิตวิญญาณทั้งเอเชียแม่ในประเทศไทยนี้ไม่ได้เป็นพ่อเป็นลูกกันทำอย่างนั้นได้อย่างไรแม้กฎหมายบอกว่าไปได้แต่ยิ่งใหญ่ของความเป็นลูกเป็นพ่อเป็นญาตินั้นสูงกว่าความเป็นกฎหมายเป็นความรู้สึกสัญญายนิจจานะ คนไทยจะยังยึดถือแต่อเมริกันไม่ยึดถือ

ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วเข้าใจสมมุติสัจจะ ท่านรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เมื่อท่านรู้หลักเกณฑ์ของสังคมตัดสินอย่างไรแล้ว สมมุติสัจจะก็มีหนึ่งเดียวถูกต้องก็ต้องใช้อันนั้นเป็นหลักการ

แล้วตัวพระอรหันต์นั้นท่านจะแพ้ก็แพ้ แต่ท่านไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่มีวิบาก แต่ถ้าสมมุติว่าความเป็นจริงที่เขาเข้าใจในฝ่ายที่ชนะ มี 25 เสียง มันมีผลดีก็ดีไปแม้มันไม่มีผลดี เขาก็ต้องกลับมาอีกอันหนึ่ง เพราะมันอาจจะผิดจริงๆมันล้มละลายเขาก็ต้องมาเอาอันนี้

พระอรหันต์จะรู้ถึงกาละถึงวาระมีกาลัญญุตาปริสัญญุตา หมู่กลุ่มนี้จะเอาอย่างนี้มันมีความลึกซึ้งซับซ้อนนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นอาตมาความเห็นของอาตมาหลายอย่างหลายครั้งว่าควรจะเป็นอย่างนี้ทำอย่างนี้ดีกว่า ก็แสดงความเห็นไปแต่หมู่สมณะฟังแล้วท่านก็ตัดสินกัน แต่ไม่เห็นด้วยกับอาตมาและขัดแย้งอาตมาก็ต้องยอม

อาตมาไม่ยอมดันที่จะทำ ก็จะยากต้องฝืนกับหมู่ใหญ่ที่เขายืนยัน สมมุติว่าอาตมายืนยันอยู่คนเดียว แต่หมดรวมทั้งหมดไม่เอาด้วย ต่อให้ทั้ง 48 คนมีความรู้ทำได้เท่านี้ตามกลุ่มของ 48 คน แม้ของอาตมาจะถูกกว่า 48 คน อาตมาก็ต้องทำคนเดียว อีก 48 คนเขาทำไม่ได้อาตมาก็ต้องยอมไปก่อน อย่างนี้เป็นต้น

มันยังไม่ถึงเวลามันได้เท่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องทำคนเดียว จะไปยืนหยัดยืนยัน เป็นเผด็จการเอาแบบฉันคนเดียว แล้วคนเหล่านั้นจะต้องฝืนทำมันไม่สนุกไม่ราบรื่นไม่เรียบร้อยไม่สมบูรณ์จะเกิดความวุ่นวายนี่คือไม่ใช่สัจจะไม่เกิดความสงบเรียบร้อย

นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้า แต่บางครั้งคะแนนชนะนี้เกิดความล่อแหลมเสร็จแล้ว(อาตมาไม่เคยใช้)ผู้คนที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยคะแนนใกล้เคียงกันแต่ต่อมาไม่เคยใช้ต้องให้คะแนนต่างกันมาก ก็ไม่ทำ ต้องเอาความเห็นหมู่ใหญ่เป็นหลัก ความเห็นของผู้ที่ไม่มีอัตตาจึงทำงานกับสังคมได้อย่างเรียบร้อยตลอด จะต้องคำนึงถึงสมมุติสัจจะสำคัญที่สุด ส่วนปรมัตถสัจจะเป็นของแต่ละคนเป็นส่วนตัว

อย่างที่อาตมาได้สอนพวกเรา คนถูกตัดสินให้หยุดทำ แต่คนที่ถูกตัดสินก็ยังยึดอยู่ สัญญายนิจจานิ  ของตนว่าจะต้องทำอยู่ก็เลยถูกบางทีก็ประชดประชันทำอะไรควรอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัว สำคัญที่สุดก็คือคนคนนั้นทุกข์เพราะยึดดีลองดีเป็นอัตตาตัวตนเป็นมานะ ไม่เห็นปรมัตถสัจจะเห็นแต่สมมติสัจจะว่าต้องมีถูกมีผิดตนเองยังยึดอัตราตนเองเป็นสัญญาที่ยึดถือไว้ว่าเป็นหนึ่งเดียวแต่ต้องเป็นของมนุษยชาติ ส่วนตนนั้นต้องมีสัปปุริสธรรม 7 เมื่อได้สัดส่วนก็เป็นมัตตัญญุ ตาเป็นองค์ประกอบทั้งหมดกลุ่มเป็นปริสัญญุตา

อ.กฤษฎาว่า….สมมุติทั้งสองอย่างเป็นตัวฆ่าอัตตาเลยนะ

พ่อครูว่า...ถ้าคนไม่เข้าใจแล้วยังยึดก็จะกลายเป็นตัวรวนอยู่ในนี้ในหมู่กลุ่มต่อไป

อ.กฤษฎาบอกว่าเหมือนพ่อแม่ที่ไม่ติดการเล่นหม้อข้าวหม้อแกงแต่ก็ลงไปเล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกๆ ที่ผ่านมาได้ทำงานกับหมู่ใหญ่ เราเป็นหัวหน้า จะมีอัตตาก็จะทุกข์ แต่ว่าทำแบบพ่อครูบอก ก็ไม่ยึดก็ผ่อนคลายมาก เราเป็นผู้นำจะเอาแต่ใจตัวไม่ได้

พ่อครูว่า...การที่จะอยู่กับกลุ่มหมู่มวลเราจะต้องไม่มีตัวเราแล้วเราก็ทำงานกับหมู่ไป อันนี้อาตมาเห็นว่าในหลวงเราไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ท่านลงพระปรมาภิไธยให้ เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวเองท่าน จึงทำได้เพราะองค์ประกอบตอนนั้นปริสัญญุตาตอนนั้นบุคคลตอนนั้น กาละเวลาตอนนั้น จะต้องประมาณอย่างมาก ถ้าไม่เป็นอย่างนี้จะยุ่งมากกว่านี้นะประเทศไทยนักหนาสาหัสคนนั้นมาก

 อ.กฤษฎาว่า...ผมเคยเถียงกับพ่อว่าลูกบอกว่าลูกควรทำอย่างนี้เราก็รับฟังแต่พอถึงเวลาแล้วพ่อกลับทำอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกับที่บอก วันนี้เข้าใจแล้วก็เพราะพ่อเป็นพ่อ เพราะเราไม่ได้ได้เป็นพ่อ 

อันนี้เป็นความรู้ที่สุดเลยถ้าใครเข้าใจสัจธรรมของคำว่าสมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะที่เป็นธรรมชาติ 2 แล้วเราเองจะต้องเป็นคนที่แยกอารมณ์และความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนาของเราให้เป็นหนึ่งให้ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ในพระไตรฯล.25 ในจูฬวิยูหสูตร จะอ่านให้ฟัง คนที่ไม่เคยได้ยิน ได้ฟังครั้งแรก ฟังแล้วไม่งงเลยก็ตาม คนที่ยึดแต่ของตนถูกเท่านั้น คนอื่นผิดหมด ไม่เอาของหมู่ ก็จะทำงานไม่ได้ลำบาก เพราะจะมีหลายครั้งที่ความเห็นของคุณไม่ตรงกับหมู่ ก็จะทำงานไม่ได้ แต่ถ้าจะผิดจะถูกอย่างไรก็ร่วมกันทำ แม้ผิดก็เร่ิมทำใหม่ ทั้งหมู่เลย ทำไปแล้วมันเสียก็ต้องรับผิดชอบด้วยกัน ก็จะกลับมาเอาอย่างที่คนที่ว่าแพ้นี่แหละมาทำใหม่ ก็ทำได้สงบ ความสงบเรียบร้อยสามัคคีเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าอัตตา

ความสามัคคีเป็นใหญ่กว่าอัตตา หลายคนไม่เข้าใจก็ยังยึด แต่ถ้าปล่อยได้ก็จะทำให้งานราบรื่นไปอีกเยอะเลย

คำว่าพระพุทธนิมิตเป็นจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าเอง เป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ว่าไว้ว่า..

 

จูฬวิยูหสูตรที่ 12

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า

      [419] สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้วปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่าผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้

พราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า

      หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้นเป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาลเป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ

ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้นก็จะไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม

เพราะว่าทิฐิของชนแม้เหล่านั้นล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา

เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชนเหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่าสมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้ แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้วก็วิวาทกัน เพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

 

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าสัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ

(อธิบายแทรกว่า ผู้เป็นอรหันต์ หากหมู่ไม่เอากับท่าน ท่านก็ไม่มีตัวตนก็เห็นกับหมู่ก็มีแต่หนึ่งเดียวไม่มีสอง แต่ถ้าคุณไม่เห็นกับหมู่คุณยึดว่าของคุณดี แม้ว่าจะดีจริงด้วย แต่ไปทำอะไรไม่ได้ ก็เป็นสองแล้ว แล้วใครทุกข์ ก็คนยึดก็ทุกข์)

พระพุทธนิมิตตรัสถามว่าเพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กันจะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า(สัญญาย นิจจานิ) สัจจะมากหลายต่างๆ กัน เว้นจากสัญญาว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย (คุณยึดสัญญาของคุณว่าเที่ยงอยู่คนเดียวทั้งๆที่สัจจะไม่มีอื่น นอกจากอาริยสัจะ ที่คุณทุกข์อยู่) ก็สมณพราหมณ์ทั้งหลายมากำหนดความคาดคะเนในทิฐิทั้งหลาย (ของตน) แล้ว จึงกล่าวทิฐิธรรมอันเป็นคู่กันว่า จริงๆ เท็จๆ

ก็บุคคลเจ้าทิฐิ อาศัยทิฐิธรรมเหล่านี้ คือ รูปที่ได้เห็นบ้าง เสียงที่ได้ฟังบ้าง อารมณ์ที่ได้ทราบบ้าง ศีลและพรตบ้าง จึงเป็นผู้เห็นความบริสุทธิ์ และตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้วร่าเริงอยู่ กล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลาไม่ฉลาด บุคคลเจ้าทิฐิย่อมติเตียนบุคคลอื่นว่าเป็นผู้เขลาด้วยทิฐิใด กล่าวยกตนว่าเป็นผู้ฉลาดด้วยลำพังตน ย่อมติเตียนผู้อื่นกล่าวทิฐินั้นเอง

บุคคลยกตนว่าเป็นคนฉลาด ด้วยทิฐินั้น ชื่อว่าเจ้าทิฐินั้นเต็มไปด้วยความเห็นว่าเป็นสาระยิ่งและมัวเมาเพราะมานะมีมานะบริบูรณ์ อภิเษกตนเองด้วยใจว่า เราเป็นบัณฑิต เพราะว่าทิฐินั้น ของเขาบริบูรณ์แล้วอย่างนั้น

ก็ถ้าว่าบุคคลนั้นถูกเขาว่าอยู่ จะเป็นคนเลวทรามด้วยถ้อยคำของบุคคลอื่นไซร้ ตนก็จะเป็นผู้มีปัญญาต่ำทรามไปด้วยกัน อนึ่ง หากว่าบุคคลจะเป็นผู้ถึงเวท เป็นนักปราชญ์ด้วยลำพังตนเองไซร้ สมณพราหมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีใครเป็นผู้เขลา ชนเหล่าใดกล่าวยกย่องธรรม คือ ทิฐิอื่นจากนี้ไปชนเหล่านั้นผิดพลาดและไม่บริบูรณ์ด้วยความหมดจด เดียรถีย์ทั้งหลายย่อมกล่าวแม้อย่างนี้โดยมาก เพราะว่าเดียรถีย์เหล่านั้นยินดีนักด้วยความยินดีในทิฐิของตนเดียรถีย์ทั้งหลาย กล่าวความบริสุทธิ์ในธรรม คือทิฐินี้เท่านั้น หากล่าวความบริสุทธิ์ในธรรมเหล่าอื่นไม่

เดียรถีย์ทั้งหลาย โดยมากเชื่อมั่นแม้ด้วยอาการอย่างนี้ เดียรถีย์ทั้งหลาย รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนนั้น อนึ่ง เดียรถีย์รับรองอย่างหนักแน่นในลัทธิของตนจะพึงตั้งใครอื่นว่าเป็นผู้เขลาในลัทธินี้เล่าเดียรถีย์นั้น

เมื่อกล่าวผู้อื่นว่าเป็นผู้เขลา เป็นผู้มีธรรมไม่บริสุทธิ์ ก็พึงนำความทะเลาะวิวาทมาให้แก่ตนฝ่ายเดียวเดียรถีย์นั้น ตั้งอยู่ในการวินิจฉัยทิฐิแล้ว นิรมิตศาสดาเป็นต้นขึ้นด้วยตนเอง ก็ต้องวิวาทกันในโลกยิ่งขึ้นไป บุคคลละการวินิจฉัยทิฐิทั้งหมดแล้ว ย่อมไม่กระทำความทะเลาะวิวาทในโลกฉะนี้แล ฯ

      จบจูฬวิยูหสูตรที่ 12

 

พ่อครูว่า...ถ้าใครยึดสัญญาของเราว่าถูกว่าเที่ยงคุณก็ถูกอยู่คนเดียวนอกนั้นก็ผิดหมด แต่ถ้าตัดสินไปด้วยกัน ต้องใช้สมมุติร่วมกันทั้งหมู่กลุ่มนี้ ตามกาละนี้ เนื้อหาสาระอะไรก็แล้วแต่ แต่ความสามัคคีต้องเป็นหลัก ถ้าสมมุติว่ามันไม่ดีจริงๆ 48 คนนี้ตัดสินผิด ทำไปก็ต้องหยุด สุดท้ายก็ต้องมาเอาตามคนที่ 49 ข้อสำคัญคุณอย่ามีมานะว่าเขาว่าสุดท้ายต้องมาเอาตามเราอีก ถ้าคุณหลงตัวว่าคุณใหญ่อีกก็บ้าของคุณ แต่ต้องเห็นใจกัน

อ.กฤษฎาบอกว่าถ้าเรายอมทั้ง 48 คนแล้วเราจะเป็นผู้นำแต่เราก็ยอมหมู่สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิด ในความรู้สึกของผู้นำ ว่าในวินาทีนั้นทำไมเราไม่ใช้ความเป็นผู้นำตัดสินไม่ให้เกิดการผิดพลาด

      พ่อครูว่า มันทำไม่ได้ เพราะเป็นงานรวม ย่ิงงานบริหารประเทศทำคนเดียวไม่ได้หรอก ต้องอาศัยหมู่ทำ สุดท้ายต้องออกความเห็นหมู่เป็นใหญ่ เยภุยสิกา ตอนนี้ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยต้องใช้หลักนี้ทั้งสิ้น

      อ.กฤษฎาว่าสุดท้ายก็ต้องมาทำตามหมู่และจะผิดก็ตามจะต้องกลับมาทำตามหนึ่งคนก็ต้องอย่าเย้ยหยันกัน

      พ่อครูว่า...ไปยึดไม่ได้ต้องเอาตามสมมุติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะคือคุณหมดตัวตน หากไม่หมดตัวตน คุณก็ยึดนิดหนึ่งก็ทุกข์นิดหนึ่ง ยึดมากก็ทุกข์มาก

อ.กฤษฎาว่าแม้จะต้องกลับมาใช้วิธีของ 1 คนถ้าไปเย้ยหยันเขาอีกก็ทุกข์อีก

พ่อครูว่า ต้องเอาไปตามสภาวะของสมมุติสัจจะ สามัคคียิ่งใหญ่กว่าอัตตา ถ้ายึดอยู่ก็มีอัตตา แต่ถ้าวางได้ก็สามัคคีเกิด ในโลกนี้เป็นสมมุติทั้งนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้คนลดอัตตา พระอรหันต์ทุกองค์อยู่กับสมมุติสัจจะ ต้องทำตามสมมุติ จึงเรียบร้อย

ถ้าสมมุติว่าเราเองอีกอย่าง หมู่เขาเห็นว่าถูกแล้วของเขา เขาก็ทำขัดแย้งกับเราเองเราวางแล้ว แต่หมู่จะทำก็ทำไป แต่เราก็หาโอกาสไปทำของเรา ของเราก็จะเกิดสภาพขึ้นมาไปตามจริง สุดท้ายถ้าเขาไม่ทำเราก็ต้องทำเอง อย่างที่ในหลวงก็จะทำอย่างนี้มาตลอดทำมา 4 พันกว่าโครงการเขาไม่ทำพระองค์ก็ทำของท่านเป็นสุดยอดแห่งพระราชา

 สุดท้ายพระองค์ก็ยืนยันว่าการบริหารประเทศที่จะให้คนไปรวยคนก็อยากจะรวยก็ต้องฆ่ากันก็ต้องแข่งขันกันแย่งกัน เราจะหาความสงบมาจากไหน จะหาความร่วมมือจะเป็นหนึ่งเดียวที่ใช้ร่วมกันสร้างสรรค์ได้ผลสมบูรณ์แบบจากไหนมันไม่ได้หรอก

พระเจ้าอยู่หัวท่านตรัสไว้ ใครรับได้ก็ทำ ใครรับไม่ได้ก็ไม่ทำ แต่จะอโศกเอามาทำแล้วไปรอดเป็นสุขสบายดีด้วยธรรมและเป็นประโยชน์คุณค่าต่อสังคมมนุษยชาติลดความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จริงๆ  เราเสียนี่แหละเราได้

 

      ทศพิธราชธรรม

     

      ทานคือการให้ปฏิบัติทานเพื่อให้เกิดการจาคะ ให้เกิดผลบรรลุธรรม ปัตตะ หรือปันนะ เช่นว่าเข้าถึงความบรรลุ(สัมปทา) ท่านใช้คำว่าจาคะไม่ได้ใช้คำว่าทาน

      คำว่าจาคะคือการให้ที่ใจมันให้ แต่คำว่าทานคือการให้โดยรวม ทานให้โดยนอก ถ้าใจคุณให้ก็คือใจคุณมีจาคะ แต่ถ้าให้ของภายนอกไป เป็นสมบัติวัตถุ แต่ใจไม่จาคะ ก็ได้ทาน เป็นกุศลโลกีย์ แต่ถ้าจิตคุณให้มีโลกุตระปล่อยไปไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ปล่อยว่างได้มากก็เข้าสู่ปรมัตถ์ได้มากเท่านั้น สุดท้าย ปริจาคะคือสิ้นรอบเลย จิตคุณให้บริบูรณ์จบ คือทานสมบูรณ์แบบ

      คำว่าทานนั้นเขาถึงจิตจาคะได้ แต่คำว่าาจาคะต้องเข้าถึงจิต ทุกวันนี้คนทานกันไม่เข้าถึงจิตไม่มีจาคะ สอนการทานก็คืออยากได้อะไรก็ขอเอา ใส่ข้าว 1 ทัพพีราคา 5 บาท แต่จิตก็ตั้งความโลภไว้มากมาย ทั้งทั้งที่จะต้องตัดความโลภ 5 บาทนี้แต่ก็กลับเอาแสนเอาล้านคิดสร้างความโลภยิ่งขึ้น นี่คือสอนทานอย่างมิจฉาทิฏฐิ สอนศีลก็คือศีลพรต กรรมวิธีปฏิบัติก็สอนมิจฉาทิฏฐิ ไม่สอนให้ลดกิเลสจากการปฏิบัติยิฏฐังหลักเกณฑ์นี้

ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา ต้องมีปัญญารู้ว่าลดกิเลสได้อย่างไร ทำทาน ทำศีล ได้ลดกิเลสได้ เนกขัมมะอย่างไร แล้วจะทำบารมีต่อไปอีกถูกได้อย่างไร จะมีวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานได้ถูกอย่างไร แต่ถ้าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญาได้ถูกก็จะทำวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานได้ถูกทำได้หมดก็เป็นพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อรหันต์อยู่กับ อุเบกขา กับเมตตา กับทาน

พระอรหันต์อยู่กับทาน อยู่กับการให้ มีเมตตา แล้วอุเบกขาเป็นตัวพัก

อาชวะ ความซื่อตรงต้องมีปัญญา รู้ว่าอะไรถูกต้องตรงไหนยังทำไม่ได้ตอนนี้ก็ต้องปล่อยไปก่อนทำตามลำดับ

ความอ่อนโยน (มทฺทวํ)คือจิตมุทุ อนุโลมปฏิโลมได้ เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกเหมือนอย่างที่ในหลวงบอกว่าเราไม่เคยทำผิดกฎหมายและกฎหมายก็คือสมมติฐานจากท่านก็ไม่เคยทำผิด

ความเพียร (ตปํ) คือ ความเพียร

ความไม่โกรธ (อกฺโกธํ) โกรธไปทำไมพระอรหันต์ท่านไม่โกรธแล้วมีอาการเล็กน้อยอย่างไรก็ทำออกหมดเพราะโกรธก็คือเชื้อของโทสะมูล ก็เป็นกิเลสอนุสัยอาสวะ หมดแล้วจะโกรธไปทําไมถ้าโกรธขึ้นมามันก็มองก็มัวขึ้นทันทีการจะใช้ความถูกต้องความรู้แจ้งอะไรก็ลดลงทันทีดีไม่ดีมืดหน้า เห็นช้างเท่าหนูเลย การคลอดนี้ไม่มีอะไรดีเลยถ้าเลิกได้ก็เลิกไม่ว่าการขนาดไหน

ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา)  แต่ว่าการจะมีการขัดเกลา สัลเลขธรรมต้องขัดให้กิเลสออก ให้ใส  แต่ถ้าไม่มีการขัดเกลาเลยก็ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นหลวงพ่อดีน้อมีอะไรก็ดีหมดอันนี้ไม่ใช่สัจจะของพระพุทธเจ้า  สัจธรรมคือความจริง _สัลเลขธรรมขัดเกลา_ นิยานิกธรรม คือพ้นทุกข์ _สันติธรรม  คือหลักธรรม สี่ของพจจ.

      แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่มีการขัดเกลาเลยปล่อยให้หมักหมมเน่าเฟะและกันไปทั้งมหาเถรสมาคมไม่มีการจัดการไม่มีการชำระ เพราะอะไรเพราะมันต่ำด้วยกันหมดต้องขออภัยที่ต้องพูดจริงเช่นนี้ ทำแล้วก็ต้องเข้าตัวจะไปทำได้อย่างไร มันซวยจริงๆเลยประเทศไทยเพื่อใครสามารถขจัดวันนี้ได้ก็จะดีมากเลย

ความอดทน (ขนฺติ) คนที่หัดอดทนได้จนไม่ต้องอดทนก็ไม่มีตัวตน ได้กำลังของความอดทนกำลังของความกล้า แต่ไม่มีตัวตนแล้ว แต่รู้จักใช้พลังงานนี้ คือขันติส่วนผู้ไม่บรรลุ ตนเองมีตัวตนก็ต้องอดทน จนไม่มีตัวตนแล้ว ก็รู้ว่าใช้พลังงานชนิดหนึ่งจะต้องระงับยิ่งพลังงานที่ใช้ปัญญาแล้วไม่ต้องอดทนเลยว่างไปเลยนั่นคือยิ่งไม่มีตัวตนเลยไม่ต้องอดอะไรเลยไม่ต้องทนอะไรเลย

ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนํ) คือไม่ประพฤติผิดธรรมเลย อันนี้เป็นคุณสมบัติวิเศษของผู้บริหารปกครอง ตามแต่ละจะรับผิดชอบ คุณรับผิดชอบเท่านี้สังคมอนุมัติให้รับผิดชอบเท่านี้ก็จะมียศเท่านี้แต่เมื่อรับผิดชอบมากขึ้นก็จะมียศตำแหน่งมากขึ้นเท่าที่จะทำได้เท่าที่สังคมมอบให้ทำ

      สรุปแล้วหมายถึงจอมจักรพรรดิ คืออาณาจักรทั้งหมดที่จะเป็นผู้ที่ดูแลควบคุมจัดการถ้าจัดการได้ดีที่สุดเรียบร้อยที่สุดเมืองไทย 60 กว่าปีมานี้ที่ในหลวงเราทรงบริหารมาทรงเป็นพระราชาของประเทศเป็นวิญญาณของประเทศ และคนไทยเป็นชาวพุทธ อยู่ในระบบนี้มาตั้งแต่ประเทศไทยมีสมบูรณาญาสิทธิราชย์

จนกระทั่งหลายร้อยปีจึงมาเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเมื่อเปลี่ยนแล้วก็เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงเข้าใจถึงความเป็นประชาธิปไตยอย่างจริงจริงเลยตามที่ท่านตรัสและมีพระลิขิตท่านเข้าใจประชาธิปไตยยิ่งกว่านักรัฐศาสตร์สมัยนี้ที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่ด้วย เสร็จแล้วท่านก็พร้อม ที่จะมอบให้ประชาชนเพราะตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ก็มีแนวโน้มเช่นนั้น ท่านจะพระราชทานประชาธิปไตยให้ประชาชนแต่ก็ไม่ทันกับความใจร้อนของคนบางพวก
      เมื่อพ้นจากราชการที่ 7 ก็มารัชกาลที่ 8 ที่บริหารไม่นานเท่าไหร่มาสู่รัชกาลที่ 9 ทรงงานหนักในเมืองไทยนี้ในหลวงที่บริหารประเทศอย่างประชาธิปไตยถึงว่าในหลวงองค์นี้องค์แรกที่ได้ส่งงานในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ

ท่านบริหารได้ดี จนพระราชินีของอังกฤษบอกว่าเป็น king of king ยังประเทศอังกฤษ ก็เป็นประชาธิปไตยสองขา ไม่มีปธน. แต่อเมริกา ไม่เคยมีปชต.สองขาเลย เป็นปชต.ขาเดียวมาแต่เกิดแล้วเป็นตนแบบของปชต.เขาเดียวเป็นมา 200 กว่าปีแล้ว

 ตอนนี้ประเทศฝรั่งเศสที่เคยเป็นประชาธิปไตย 2 ขาแล้วกลับมาเป็นประชาธิปไตย 1 ขาตอนนี้ก็กลับมาหวยหาอยากให้มีพระมหากษัตริย์มาปกครองแล้ว พระลึกลึกแล้วของผู้มีภูมิปัญญารู้แล้วว่าประชาธิปไตยขาเดียวมันไม่ใช่ของมนุษย์เพราะมนุษย์นั้นต้องมีกายกับใจมีรูปกับนามมีนอกกับในมีคู่เป็นธรรมชาติ 2 ตลอดเวลา

สิ่งที่มีขึ้นมาในโลกเป็นชีวะต้องมีสอง ถ้ามีหนึ่งเดียวก็ผิดไปหมดเพราะฉะนั้นประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีการสืบสันตติวงศ์ จะสืบสานทางด้านวิญญาณก็ไม่มีเพราะผู้เป็นราชาจะต้องสังวรสำนึกสำรวมในความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คำนี้ลึกซึ้งมากว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจริงแล้วความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็คือแผ่นดินผืนนี้เป็นของพระเจ้าจะต้องสร้างต้องบูรณะต้องจัดการแม้จะแบ่งเป็นประเทศใดใดแต่พระเจ้าก็คือของพระเจ้าดูแลให้เกิดความสมบูรณ์ดีงามทุกอย่าง

เมืองไทยพระเจ้าแผ่นดินประชาธิปไตยที่ได้บริหารแบบประชาธิปไตยพระองค์แรกก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 และทรงประชาธิปไตยด้วยความเลิศยอดในโลก เพราะเจ้าแห่งประชาธิปไตยคือ queen ของอังกฤษยังยอมรับว่าเป็น king of king อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระองค์แก่กว่าในหลวงนะสำหรับพระราชินีอังกฤษ  ในหลวงของเราอายุน้อยกว่าแต่ครองราชย์ยาวนานกว่าเป็นพี่ทางการครองราชย์แล้วก็ทรงพระจริยวัตรในการครองราชย์ จนพระราชินีประเทศอังกฤษต้องตรัสว่าไม่นึกว่าจะเจอ คิงออฟคิง อยู่ในโลกเป็นความหมายสูงสุดมาก

ไม่ได้หมายถึงการเป็นคอมมูนให้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานประชาธิปไตยแน่วันนี้เลิกซึ้ง  เมื่อคนมีกายมีจิตวิญญาณพร้อม  แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าสัจจะสุดท้ายคืออะไรท่านก็ส่งงาน อย่างดีซึ่งหลายครั้งอาตมาก็เห็นใจพระองค์ท่านมากเห็นพระจริยวัตรของในหลวงมา

อาตมาอายุแปดสิบกว่าปีแล้วเห็นท่านทรงงานมา 68 ปี ก็เห็นว่ามีคณะบริหารบริหารงานประเทศแล้วก็ส่งไปให้พระองค์ท่านลงพระปรมาภิไธย เช่นแต่งตั้งคนคนนี้เป็นรัฐมนตรีอาตมาก็ว่าไปตั้งคนคนนี้ทำไมไม่ควรจะไปตั้งเลยมันไม่เหมาะสมอย่างยิ่งถ้าจะมาก็เลยเห็นพระทัยท่านมากเพราะท่านก็ทรงลงพระปรมาภิไธยมาให้อีก เพราะบางรัฐมนตรีก็ทุจริตมากมาย ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ทรงรู้ดีกว่าพวกเราอีกมาก ก็เลยเห็นพระทัยท่านว่าท่านต้องใช้สัปปุริสธรรม 7 ประการแล้วก็เข้าใจสมมุติสัจจะยังรู้เลยว่ากาละนี้ยุคนี้จะเป็นไอ้เข้ขวางคลองไม่ได้นะ ก็ต้องตามน้ำไปอย่างนี้ก่อนอะไรอย่างนี้เป็นต้น

ความเรียบร้อยของประเทศไทยจึงเกิดขึ้นแม้จะมีปฏิวัติกันไม่ใช่น้อยเลยประเทศไทยแต่ก็ดีขึ้นเรื่อยเรื่อยขอใช้คำว่าประเทศไทยปฏิวัติมา 80 ปีแล้วปฏิวัติกันดีขึ้นมาเรื่อยการปฏิวัติครั้งสุดท้ายซึ่งคนชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ปฏิวัตินี้ไม่มีประเทศไหนจะปฏิวัติได้สวยงามเช่นนี้

ขอยืนยันว่าเป็น best record ในโลกที่ปฏิวัติได้เรียบร้อยสวยงามไม่ต้องใช้อะไรเลยใช้วาจาไม่กี่ประโยคหรือประโยคเดียวถ้าอย่างงั้นผมก็ขอยึดอำนาจก็จบเลยไม่ต้องเตรียมตัวด้วยไม่ต้องเอารถถังมาเตรียมไว้ไม่ต้องร่างคำประกาศยึดอำนาจ อาตมาก็ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำได้แล้ว แต่เสร็จแล้วก็ออกมาสวยงามนี่คือสิ่งที่ต้องเกิดต้องเป็นในประเทศไทยเท่านั้นประเทศอื่นจะไม่มีความสวยงามสูงสุดในเรื่องของสัจจธรรมเช่นนี้ไม่มีใครจะลบ best recordนี้ได้

 ในหลวงเราส่งงานประชาธิปไตยมาสวยงามที่สุดในโลกพระองค์ทรงทำสำเร็จเป็นมหาราชในโลกจริงๆ ขออ่านบทกวี ประปมาภิวาทะ

 

พระปรมาภิวาทะ

  1. วันพิเศษพสกทั้ง              ไผทไทย

  รำลึกน้อมภูวไนย                     ผ่านเผ้า

  เทิดทิตอิศเรศไอ-                    ศุริยะ ยิ่งเทอญ

  คุณค่าฟ้าปกเกล้า                    เลิศล้นบารนี

 

    2. ไทยมีกีรติก้อง                  ด้วยพระ

  วิริยะกรุณมหะ                       กว่าพร้อง

  ปรมาภิวาทะ                  ยิ่งวิเศษ สุดเลย

  คือ“แบบคนจน”ต้อง                 ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

 

    3. ทรงสรรคำอีกย้ำ                ชัดเจน

  “อาว์ล็อสอิสอาว์เกน”                ยิ่งซ้อง

  เสริมพระอริเยนทร์                   เปรื่องปราชญ์

  ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                พุทธแท้เธียรธรรม

 

    4. พระคำวิเศษนี้                   อาริยะ

  ใช่ตรัสแต่วาทะ                       แค่ถ้อย

  ราชจริยวัตระ                      ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

  ทรงกิจไว้ไม่น้อย                    กว่าร้อยเกินพัน

 

    5. พระสรรพระสฤษฎ์ให้           โลกระบือ

  คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                  ทิฏฐิฟ้า

  เคยมีฉะนี้หรือ                        ในโลก

  ที่ตรัสให้คนกล้า                      มักน้อยมาจน

 

    6. ปกครองคนด้วยแบบ            ขาดทุน

  ปรมัตถ์นี้คือบุญ                      แน่แท้

  ชำระกิเลสคุณ                     ใหญ่ยิ่ง  

  โลกวัดมิได้แม้                     ฉลาดด้วยปริญญา    

 

    7. วาทะนี้กว่าพื้น                   ปุถุชน

  ทั้งขาดทุนทั้งจน                     สุขได้ 

  สละชี้อัศจรรย์คน                     อาริยะ  

  ประหลาดแน่แต่จริงไซร้              เพราะแท้พุทธธรรม    

 

     ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

                                       ข้าพระพุทธเจ้า บุญนิยมทีวี

                    (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)    

                                                 28 ต.ค. 2557

 

ประชาธิปไตยสองขานั้นดีกว่าเพราะความเป็นคนครบความเป็นพฤติกรรมทุกสิ่งทุกอย่างในโลก อันควรเป็นเพราะมีวิญญาณเป็นตัวควบคุม มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา  วิญญาณเป็นความหมายของธาตุรู้ที่รวมเอาไว้หมดยังอยากอยู่อย่างใหญ่เรียกว่าจิตวิญญาณ วิญญาณนั้นรวมวัฒนาสัญญาซึ่งรวมไว้ 3 เจตสิก และวิญญาณนั้นจะมีจิตอยู่ในวิญญาณแยกออกไปอีก

จิตก็มีแจกออกเป็น 52 เจตสิก วิญญาณนั้นจะออกไปเป็น 3 คือเวทนาสัญญาสังขาร ส่วนจิตนั้นจะแจกไปเป็นเจตสิกต่างๆ เวทนาก็แตกออกเป็นต่างๆสังขารก็แตกออกเป็นต่างๆ สรุปแล้วก็เป็นคนและหน้าที่วิญญาณมีหน้าที่อย่างนี้มีลูกอยู่ 3

ส่วนจิตนั้นแจกลูกออกเป็น 52  มโนคือตัวสุดท้ายของจิตมาก่อนอย่างอื่นเมื่อทำงานตั้งแต่ภายนอกตั้งแต่วิญญาณ วิญญาณจะต้องเกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจคำว่ากายคือองค์ประกอบ 2 ต้องมีวิญญาณกับเหตุปัจจัยภายนอกทั้งหมดเรียกว่ารูปครบ 28 ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม ปรุงแต่งกันเข้าเป็นเรื่องราวเป็นอะไรทั้งหมด แล้วก็มีธาตุรู้คือจิต

เมื่อวิญญาณกระทบมาให้แล้วก็ทำงานเจตสิกต่างๆก็ทำงานมาถึงเวทนาเจตสิก ก็แจกแจงออกไปอีก เป็นการแจกละเอียดของจิตเจตสิก ดังนั้นเวทนา 108 ซึ่งเป็นทฤษฎีของศาสนาพุทธเท่านั้นหนึ่งเดียวในโลก

เอาเวทนาสำคัญคือมโนปวิจาร 18 คือ สุข ทุกข์ อุเบกขา กับ เวทนา 6 ไม่ปวดชนเมื่อสัมผัสแล้วเกิดเวทนาก็จะหลงสุขเป็นเคหสิตะ แต่ถ้าเรียนรู้ลดกิเลสได้ก็เป็นเนกขัมมะ ทำให้กิเลสลดได้เป็นอุเบกขาเวทนา อุเบกขาให้แข็งแรงขึ้นจันทร์เที่ยงแท้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือการศึกษาคำพูดที่รู้จักตัวสุดท้ายคืออุเบกขา มีจิตที่แข็งแรงสะอาดบริสุทธิ์ก็จิตตัวนี้ได้แข็งแรงสมบูรณ์ จะปรุงแต่งอะไรอยู่กับโลกก็อนุโลมปฏิโลมเป็นสมมุติสัจจะ สำหรับตัวเองนั้นสูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็ประมาณใช้สัปปุริสธรรม 7 โดยดูตัวเราก็เท่านี้

อย่างอาตมานี้ที่ทำงานมาเขายอมให้ทำเท่านี้ เพราะโพธิรักษ์เป็นใคร ไม่ให้ทำงานมากหรอก แต่ทุกอย่างที่ให้ไปก็เป็นกลางๆ อาตมาให้ไปไม่เคยคิดว่าเสียของหรือว่าทำออกไป 100 มีคนรับได้สัก .01 ก็ไม่ได้น้อยใจหรืออยู่ก็ได้เท่านี้

1 เราเก่งเท่านี้ 2 คุณก็ไม่เก่งเท่านี้ ก็คนเราก็โง่เท่าที่เราฉลาดใครๆก็ฉลาดพอที่จะแดงออกก็ได้เท่านี้ได้ก็เอาไม่ได้ก็ไม่เอา

สรุปลงไปที่ว่าผู้ที่สามารถละตัวตนได้จึงเป็นผู้ที่ทำงานรับใช้โลก โลกานุกัมปายะ อย่างในหลวงเราทรงงานมาด้วย พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

มีโครงการถึง 4000 โครงการ และท่านก็ตรัสว่ามาเอาแบบคนจนและขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่เขารู้กันที่ไหนว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันก็มีแต่จะเอากำไรทั้งนั้นไม่ยอมจะขาดทุนแล้วเมื่อไหร่มันจะสำเร็จจึงเห็นว่าในหลวงเราตลอดเวลาส่งขาดทุนมาตลอดแล้วก็อนุโลมปฏิโลมมาตามพรหมพระปัญญาของพระองค์ ท่านบำเพ็ญเป็นพระมหาชนกกับพระเตมีย์ใบ้บางครั้งท่านตรัสบอกว่าเรือใกล้จะล่มจมแล้วช่วยกันอุดรูรั่วหน่อย อันนี้เป็นภาษาของสมณะโพธิรักษ์

ขออภัยที่ต้องพูดว่าเห็นพระทัยท่านจริงๆ  บำเพ็ญเป็นพระมหาชนกที่ว่ายออกไปยังไม่เห็นแสงสว่าง ไปด้วยความอดทนอุตสาหะวิริยะด้วยพระปัญญาธิคุณด้วยความอดทน  แล้วท่านก็ตรัส แต่เขาก็ได้เท่านี้ในยุคนี้ และท่านก็เคารพคนไทยให้เกียรติกับปัญญาคนไทย คนไทยชุดไหนที่จะมาบริหารประเทศก็ตาม ท่านก็ให้เกียรติแก่ทุกคณะที่มาบริหาร แต่ละบุคคลจะเผด็จการใหญ่แค่ไหน ท่านก็ไม่ถือว่าท่านเป็นรัฏฐาธิปัตย์ในประเทศไทย ท่านก็ให้อำนาจคนที่เขาถือ ท่านเสียสละเป็นคนที่ไม่เบียดเบียนใครอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์

เป็นจิตวิญญาณที่รู้จักอนุโลมปฏิโลมและใช้สัปปุริสธรรมและมหาปเทส 4 ทำการบริหารโดยมีหลักเกณฑ์ชัดว่าต้องพากันมาจน ต้องขาดทุนให้สังคม ให้กับผู้อื่น การขาดทุนนั้นคือทำอย่างเสียสละ ไม่ถึงขั้นว่าทำงานต่อไม่ได้แต่ขาดทุนที่ทำงานต่อไม่ได้เคยใช้หลักเศรษฐศาสตร์อธิบายว่ามาสละแรงงานสละค่าของตนเอง

ถ้าตีราคา 100 เราก็เสียสละให้คนอื่นไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ถ้าเราเองเป็นคนมักน้อยกินน้อยใช้น้อยไม่เปลืองถ่านประหยัดแล้วก็ใช้แค่ 10_20 ก็พอ อีก 70 ถึง 80 ก็ให้คนอื่นไปคือเราขาดทุนไป 70-80 แต่เราก็อาศัยกินใช้แค่นี้นี่คือหลักวิชา ที่ใช้ยังได้เป็นความจริง

หลายคนไม่เข้าใจก็ไปหาว่าท่านรวยมากไปลงทุนทำอะไร แต่ในหลวงเราไม่เคยเรี่ยไรอะไรมาตลอดพระชนม์ชีพมีแต่จะให้ แล้วใครจะให้ท่านจะบริจาคให้ท่านมันก็เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ ท่านก็ทรงรับความปรารถนาดีของเขาเอามาบริหารงานไม่ได้ไปใช้สำเริงสำราญทางที่ท่านจะทำก็ได้

ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธรู้จักอนุโลมปฏิโลมมีความเห็นลึกลึก ว่าประชาธิปไตยคือความไม่เห็นแก่ตัวเอง ให้ฉลาดเสรีภาพไม่เอาอำนาจของตนไปเบียดเบียนใคร อันนี้เป็นสุดยอดของอิสระเสรีภาพเป็นสุดยอดของประชาธิปไตยซึ่งคนไทยมีในเลือดในวิญญาณมากน้อยก็แล้วแต่

เพราะฉะนั้นในปัญญาของคนไทยซึ่งรู้สัจธรรมอันนี้ เมื่อรู้สัจธรรมอันนี้จึงรู้ว่าในหลวงเรา พระวิเศษคุณมีอาริยคุณที่วิเศษประเสริฐสูงสุด จึงได้รับความเคารพเชิดชูบูชา คอยดูวันที่ 5 ธันวาคมไม่ใช่วันที่ 11 ธันวาคมนี้ที่จะมีbike for dad จะทำลายสถิติโลกที่จะไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้ คอยดูจะเกิดการไป bike for dad นี้เต็มประเทศเลย นี่คือจิตวิญญาณทั้งสิ้นใครไปบังคับเขา

ในหลวงออกมาใช้คำน้อยโปรโมทพฤติกรรมกิจกรรมนี้เมื่อไหร่มีแต่คนเขาจัดให้ทำให้ประชาชนข้าราชบริพารชักชวนกันเอง เพราะประเทศไทยมีวิญญาณวิญญาณนี่คือวิญญาณประชาธิปไตยที่สุดยอดซึ่งเกิดการปฏิวัติได้สุดยอดอย่านึกว่าปฏิบัติได้ง่ายๆเฉยๆนะ คุณประโยชน์อย่าถือว่าเป็นฝีมือคุณประโยชน์นะถ้าไม่มีในหลวงพระองค์นี้ไม่ใช่ประเทศไทยคุณไปทำที่ไหนก็ทำเถอะไม่ได้อย่างนี้หรอกนี่คือความจริงที่อาตมาจะสรุปแล้ว ก็คือว่าถ้าประชาธิปไตยมีสองขาก็มีวิญญาณเป็นตัวกำหนด มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมย าเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าให้ไม่เข้าใจก็แล้วไป

 เป็นความมีอิสระเสรีภาพความไม่เห็นแก่ตัวความบริสุทธิ์บริบูรณ์ในหลวงมีเกินร้อย เพราะฉะนั้นท่านทรงงาน เป็นพระจริยวัตรเป็นความจริงตลอดมาจึงได้รับความจริงนี้จากจิตใจประชาชนจากความจริงแท้ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยในเมืองไทยเขาบอกตรงนี้เลยว่าจะเจริญเป็นแบบอย่างของโลกในอนาคต

  จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:29:00 )

581201

รายละเอียด

581201_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก เรื่อง ทิฏฐิ 62 ตอน1

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 1 ธันวาคม 2558 เป็นเดือนสุดท้ายของปีแล้ววันนี้แรม 6 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม ผ่านน้ำนองเต็มตลิ่งมาแล้ว เราก็มาศึกษาธรรมะ อาตมารู้สึกชื่นชมกับพวกเราหลายผู้หลายคนชื่นชมว่าพวกเรานี้ ได้ฟังธรรมะ ก็ชื่นใจที่ได้ฟังธรรมะมีความพอใจยินดีที่ได้มานั่งฟังธรรมะ

ซึ่งธรรมะทั่วไป ที่เขาฟังกันสอนกันก็เป็นเพียงความดีงามทั่วไปไม่ได้เป็นโลกุตระ ซึ่งตรงนี้เป็นทางแยก ที่ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีนิโรธมีนิพพานแต่เขาก็เข้าใจในนิโรธ นิพพานไม่ได้เลย เขาเข้าใจว่านิโรธ นิพพานคือการดับ คือการดับไม่รับรู้อะไรเลย มีความมืดดำซึ่งออกนอกความหมายเนื้อแท้ของศาสนาพระพุทธเจ้า เพี้ยนไปหมดไม่รู้จะสำคัญที่เป็นจุดแท้จุดสำคัญของคำว่าดับ จนไม่มีตัวตน

ก็เลยผิเพี้ยนไปจนศาสนาพุทธในยุคนี้ ไม่ว่าสำนักไหนอาจารย์ไหน เท่าที่ได้ฟังคำอธิบายก็ผิดเพี้ยนไปหมด ยุคนี้เป็นยุคคนฉลาดแต่ทำไมรับโลกุตรธรรมไม่ได้ เพราะมันมีทิศทางคนละทิศโลกุตรธรรมก็มีทิศทางอีกอย่างโลกียะก็มีอีกทิศทางหนึ่ง จะต้องข้ามฝั่งให้ได้ ถ้าอยู่ในวงวนก็ออกจากโลกนี้ไม่ได้ ถูกกรอบครอบงำเอาไ ว้พูดอย่างไรก็เข้าใจไม่ได้

อาตมานำธรรมะพระพุทธเจ้ามาขยายความก็มีคนมาปฏิบัติได้แม้ไม่ได้มากก็ชัดเจนว่าเป็นยุคใกล้กลียุคคนจมอยู่ในนรกเยอะมาก เขาไม่รู้ ก็ชัดเจนไม่ได้สงสัยอะไร

วันนี้ก็จะเอาพระไตรฯล.9 มาต่ออีกจากวานนี้ ก่อนจะต่อก็เอา sms มาพูดกันก่อน

 

Sms 29-30 November 2015

0839975xxx ใครอยากเป็นโพธิสัตว์ ห้ามเป็นอริยะเด็ดขาด แม้แต่โสดาก็ห้าม หากใครก้าวเข้าขั้นโสดาหมดสิทธิ์เป็นโพธิสัตว์เด็ดขาด ฟังแล้วก็คันหัวใจเพราะโพธิสัตว์ที่บรรลุอรหันต์ ก็พ่อท่านโพธิรักษ์นี่ไง พระคึกฤทธิ์ไม่เห็นเลยหรือครับ แล้วถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีอาริยคุณ แล้วจะเอาอะไรมาสอน จะเอาอะไรมาปฏิบัติถูกมั้ยครับพ่อท่าน กราบขอบพระคุณครับ

ตอบ...โพธิสัตว์คือสัตว์ที่มีความตรัสรู้ไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ที่ไม่มีความรู้อะไร แต่มีความรู้ขั้นตรัสรู้ด้วยไม่ใช่ความรู้สามัญด้วย เป็นความรู้ที่บรรลุธรรมอย่างน้อยเป็นโสดาบันขึ้นไปถึงจะเป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจผิดเพี้ยนว่าโพธิสัตว์จะบรรลุธรรมไม่ได้แม้แต่โสดาปัตติมรรค ไม่ให้เลยสักขั้นเดียว ทำไมถึงยึดมั่นถือมั่นหวงแหนไม่ให้ใครเลย จะเอาไว้คนเดียว

ต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งปัญญาระดับอาริยธรรม เจริญพัฒนา ก็เป็นสัตว์โลกด้วยกัน ซึ่งโลกียเป็นสัญชาตญาณของกิเลสโดยตรง ถ้าได้สมกิเลสก็ถือว่าเจริญถ้าไปทำทุจริตได้สมกิเลสก็ถือว่าชั่วถ้าไม่มีการทุจริตเป็นสุจริต ด้วยความซื่อสัตย์ ในแรงงานในความรู้ความสามารถเราได้มาโดยสุจริตแต่บำเรอกิเลสอ้วนขึ้นอ้วนขึ้นเขาถือว่าเป็นความเจริญของโลกีย์ ได้มามากเท่าไหร่โดยสุจริตก็ถือว่าเป็นความเจริญโดยถ่ายเดียว มีแต่กิเลสอ้วนขึ้นร่ำรวยขึ้นหรือรวยบานไปไม่มีวันจบ แล้วบอกว่าสันโดษคือความพึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ถ้าไปถามบิลเกตส์เขาว่าพอไหมเขาก็ว่าได้มากแล้วพอแล้ว แต่จะให้ลดลงกว่านั้นไม่เอาแล้วไม่พอใจแล้ว แล้วเมื่อไหร่มันจะหมดตัวหมดตนซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องหมดตัวหมดตนใช่ไหม

 ในโลกีย มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ซึ่งความสุขแท้จริงไม่มี อารมณ์โลกีย์ ที่จะรู้กิเลสมันรู้ยากใครเริ่มรู้ได้แล้วก็ลดละไปตามลำดับตีกรอบเอาเท่านี้ก่อน ปริตตัง เช่นธรรมะ 2 ก็พัฒนาให้รู้ตัวที่ 3 ที่ปรุงแต่งกันเป็นเวทนา ตัวเวทนาจึงเป็นตัวเรียนรู้รวมลงที่เวทนา

กายคือธรรมะสอง มีสองสิ่งกระทบแล้วเกิดเป็นธรรมะที่สาม แต่ถ้าไม่มีกิเลสผสม ก็เป็นของธรรมชาติ เช่นสีแดงก็เป็นสีแดง แต่ถ้าเหลืองมาผสมเป็นสีส้ม ถ้าคนชอบสิ่งใหม่ ก็ชอบสีส้มสีแสด ซี่งสีแดงสีเหลืองเขาชินชาแลว ตัวสีแดงหรือเหลืองมาผสมกันก็ต้องเป็นสีส้มสีแสด มันปรุงแต่งก็ต้องเกิดส่ิงใหม่ เท่านั้นเอง แต่คุณไปชอบหรือไม่ชอบสีแสดเท่านั้นเอง ผสมสีใหม่แล้วไม่ชอบ ชอบสีเก่าก็แล้วแต่ ถ้าคุณไปชอบเกินสัจจะของมันก็เป็นกิเลส เรามีผลักมีดูด นั่นคือความอยู่ไม่สุข คือความทุกข์

ความทุกข์คือความอยู่ไม่สุข คือดิ้นไปดิ้นมาคืออยู่ไม่สุข เด็กมันซนดิ้นก็อยู่ไม่สุข แต่ใครสงบไม่ดิ้นรนก็คือคนไม่เดือดร้อน รู้สิ่งจริงตามจริง แต่พาซื่อไม่ดิ้นเลยอย่างหมดพลังงาน

แพ้จริงความไม่ดิ้นก็คือการหมดพลังงานที่จะไปดูดผักอะไร หมดความชอบกับความชัง โพธิสัตว์คือผู้ตรัสรู้และมาต่อภพภูมิก็ทรงไว้ซึ่งสิ่งที่เที่ยงแท้

 

0893867xxx คนรักสถาบันฯทำในสิ่งที่ถูกต้อง!แต่คนไม่มีสถาบันฯ ทำแต่สิ่งที่ถูกใจตัวเอง!ดัง มะกันที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ปย.!

ตอบ...กษัตริย์แท้ต้องเป็นอริยบุคคลถึงต้องมีทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นความหมายของอรหันต์แต่มาทำงานกับสังคมโดยอนุโลมปฏิโลม จะมีคุณสมบัติมากเท่าไหร่ก็ตั้งแต่โสดาบัน เป็นต้นไปแต่ถ้ากษัตริย์ไม่เป็นอริยบุคคลก็จะยาก ยิ่งเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็จะยากสำหรับประเทศชาติส่วนประชาธิปไตยยังมีการถ่วงดุล สังคมมีความเข้าใจแล้ว ถ้าไม่เป็นอริยบุคคลก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

อย่างไทยเรานี้ภาคภูมิใจได้ว่าในหลวงเราเป็นพระอาริยบุคคลแน่นอนส่วนเป็นระดับไหนนั้นมิอาจจะเปิดเผยไม่อาจระบุได้ เพราะมีอจินไตยมากเกินไปที่จะพูดได้ อธิบายไม่ไหว

พระโพธิสัตว์จะผ่านการเป็นพระเจ้าแผ่นดินด้วย แม้จะเป็นขอทานก็ต้องผ่าน เป็นสัตว์เดรัจฉานบางพวกก็ต้องเป็นจะเป็นนักร บอย่างพระเจ้าอโศกมหาราชฆ่าคนเป็นเบือเลยก็ต้องเป็นนะถึงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจมากเลย

 พระอรหันต์ที่เป็น ect มหาสาวก เป็นพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้นเป็นผู้บำเพ็ญบารมีทั้งสิ้นมีเจตนาฆ่าแต่ละด้านทั้งนั้นแล้วก็มาเป็นอัศวินให้เกิดการสร้างศาสนาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ต้องมีและอัศวินต่างๆก็มาตอบภพภูมิทั้งนั้น ท่านก็ไม่เรียกโพธิสัตว์ก็เรียกว่าอะไรทั้งนั้นบางท่านฟังธรรม 2 กันก็เป็นอรหันต์แล้วไม่ใช่คนธรรมดาเป็นผู้มีพื้นฐานมาแล้วเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งนั้นแต่ท่านไม่จำเป็นต้องประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์แต่ท่านมาบำเพ็ญโพธิสัตว์ทุกพระองค์

เมื่อเข้าใจแล้วโพธิสัตว์กับอรหันต์ก็เดียวกัน เป็นไปตามลำดับ อรหันต์ โสดาบันถึงอรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ถ้าในยุคใดที่คนไม่รู้เรื่องแล้ว ก็ต้องมีโพธิสัตว์เป็นออกมาอุบัติแล้วอรหันต์จะได้จากพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์แท้จริงจะเป็นอรหันตโพธิสัตว์ขึ้นไปอย่างน้อย อรหันต์ระดับโสดาบันก็มีธรรมะของพระพุทธเจ้าแท้จริงก็มาต่อเชื่อมกับโสดาบันได้

แต่ถ้าเข้าใจว่าโพธิสัตว์ไม่ใช่อริยะอย่างที่เถรวาทเข้าใจกันก็จะซวยไม่มีโพธิสัตว์ประกาศตัวแล้วจะได้เนื้อแท้ของอรหันต์ขึ้นมาได้จากโพธิสัตว์ได้อย่างไร

ปชต.ขาเดียวก็คล้ายกับคอมมิวนิสต์ก็ไม่เอาจิต หาว่าพวกจิตนิยม แต่แท้จริงตนเองก็เป็นวัตถุนิยมก็หาว่าพวกสอนศาสนาเป็นจิตนิยม เขาก็คล้ายกับปชต.ขาเดียวไม่เอาจิตวิญญาณ

กษัตริย์เป็นเรื่องจิตวิญญาณที่เจริญ อย่างน้อยโสดาบัน อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ก็เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์มาก่อน แม้แต่องคุลิมาลก็เป็นโพธิสัตว์ หยุดชั่วได้ทันที มีพลังโลกุตระ ซึ่งไม่ใช่ทำได้ง่ายนะ มาทีเดียวเที่ยงแท้ไม่หลุดเลย ไม่ง่ายนะ

คอมมิวนิสต์ตีทิ้งจิตวิญญาณ​แม้มะกันก็ตีทิ้งจิตวิญญาณ แล้วไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณ สถาบันกษัตริย์มีกฎมณเฑียรบาล มีวัฒนธรรม มีทศพิธราชธรรม ผู้จะสืบทอดต่อไป ไม่ว่าชาติไหนก็ต้องมีคุณสมบัติดีประเสริฐซื่อสัตย์สูงส่ง ควาเป็นกษัตริย์ต้องเป็นเช่นนั้น ต้องเป็นยอดแห่งปชต. แม้ว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะมีทรัพย์สินเป็นของผู้บริหารหมดแต่ก็เป็นผู้ที่มีคุณธรรม แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีเรี่ยวแรงกินข้าวรวบรวมแผ่นดินได้จนเป็นกษัตริย์แต่ก็ต้องปกครองแผ่นดิน โดยธรรมะ ถึงจะยั่งยืน ถ้าไม่ปกครองโดยธรรมก็อยู่ไม่ยั่งยืนไม่อยู่รอดอันนี้เป็นสามัญสำนึกคนก็เข้าใจ

สถาบันของกษัตริย์ ต้องเป็นอริยบุคคลแล้วเขาก็รักษากันถ่ายทอดมา แล้วประชาธิปไตยไม่มีสถาบันเช่นนี้จะเอาอาริยธรรมอาริยบุคคลที่ไหนมา จะรู้เรื่องจิตวิญญาณที่ไหน เขาก็รู้โดยปริยายว่าเป็นคนดีคนซื่อสัตย์ ใครขึ้นมาก็ได้ใครหลอกลวงประชาชนขึ้นมาเป็นใหญ่ได้เขาก็ยอมรับแม้ว่าต่อไปจะกลายเป็นเผด็จการครองอำนาจ

ก็เขาทำตัวให้ดีไม่ได้ ไม่อยากจะทำตัวเป็นคนดี ก็เลยไม่เอาแบบสถาบันกษัตริย์ เลยเอาแบบที่ตนเองทำ ตามใจตัวเองได้ สรุปคือสถาบันกษัตริย์ต้องเป็นสถาบันแห่งคนดีมาตลอดต้องรักษาไว้ให้ได้ แม้จะเป็นลูกหลานไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็ต้องเป็นเชื้อทั้งนั้นเลย นี่คือกรอบที่มามีมาแต่ดึกดำบรรพ์ สร้างกันมานานนับชาติไม่ใช่แค่พันปีหมื่นปีเท่านั้น ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น

 ประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้ซาบซึ้งเรื่องจิตวิญญาณแบบนี้ใครเก่งก็ขึ้นมาเป็นได้กลับเปลี่ยนกันไปเรื่อยไม่เคยระมัดระวังไม่เคยสร้างจิตวิญญาณที่ต่อทอดกันไปเพราะฉะนั้นคุณสมบัติของจิตวิญญาณของคนเหล่านี้จึงตื่นกว่าจิตวิญญาณของระบบที่มีสถาบันกษัตริย์ ยังเทียบกันไม่ได้เลย 

สำหรับเมริกาตอนนี้ก็กำลังปล่อยฑูตอเมริกามาแสดงสันดานของอเมริกาไม่รู้จักสัมมาคารวะ แล้วส่งมาได้อย่างไร โดยไม่เข้าใจสัมมาคารวะแค่นี้

ประชาธิปไตยขาเดียวแบบอเมริกาไม่ได้สืบสานสร้างสรรค์จิตวิญญาณที่ดีต่อเนื่องเลย แต่สถาบันกษัตริย์ต้องระวังถ้าเขียนรักษาไว้ให้ดีตลอด นี่คือสัจจะของสิ่งที่มีจริงเพราะฉะนั้นอเมริกันไม่เข้าใจหรอกเขาจึงสำแดงสันดานผิดผิดของเขา ดีไม่ดีเขาก็เกรงใจอยู่รักษามารยาทก็เลยพูดแค่นี้ถ้าไม่รักษามารยาทก็จะพูดมากกว่านี้นี่คือสันดานดิบของชาวอเมริกัน เขาอ่านไม่ออกว่านี่คือกษัตริย์ที่น่าเคารพจริงๆ  โดยสากลเขาก็ต้องเคารพกษัตริย์ของประเทศต่างๆต้องให้เกียรติตามมารยาทของโลกเท่านั้นเองแต่จิตใจของเขาไม่ได้เคารพอย่างจริงจัง

 แต่สัจจะจริงประเทศไทยประชาชนคนไทยเคารพเทิดทูนบูชาในหลวงไม่มีใครไปบังคับ แล้วในหลวงพระองค์นี้ไม่ได้ไปหาเสียงไม่ได้หลอกลวง ท่านทรงทศพิธราชธรรมเต็มกำลังของท่านแล้วคนก็มีปัญญาเห็นเองยอมรับนับถือบูชายกย่องเองจึงเกิดมาถึงทุกวันนี้ มันเป็นสัจจะโดยธรรมไม่มีใครไปบังคับหลอกลวงมอมเมาโฆษณาอะไร จนพระราชินีของอังกฤษที่เป็นกษัตริย์มานานแล้ว ต้องเปล่งพระโอษฐ์ไม่คิดว่าจะพบ king of king แม้ฝรั่งเศสก็โหยหาระบบกษัตริย์ให้กลับคืนมาแล้ว

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีมาคู่โลกในเรื่องของชีวิตของจิตวิญญาณ

 

0893867xxx ถ้าพุทธกระแสหลักไม่มีพระกู้ชาติพิทักษ์ราชบัลลังก์ดังหลวงปู่พุทธอิสระที่สู้รักษาช.ศ.กษ.ให้รวมเป็น1เดียว!ไทยก็คงหนีไม่พ้นระบ.ทุนการม.ผลปย.พง.ข้ามช.ที่คอยแยกปท.กลืนกินผลปย .ทั้งโลก!

ตอบ...ถ้าศาสนาไม่กอบกู้ขึ้นมาก่อน ก็จะยากไม่สำเร็จแน่ เราไม่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตั้งพระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนปุพพังคมาธัมมามโนเสฏฐามโนมยา ก็ขอฝากความหวังไว้ที่คสช.

0893867xxx สมมุติสัจจะเป็นความจริงอันผิวเผินมีปย.ไม่แน่อน!ปรมัตถสัจจะเป็นความจริงลึกซึ้งที่มีปย.สูงสุดแน่นอน!

ตอบ...อันนี้ก็จริง สมมุติสัจจะไม่เที่ยง ยึดเอาไม่ได้ ส่วนปรมัตถสัจจะเที่ยง ยึดได้มั่นถือมั่น อรหันต์ทุกข์องค์ยึดได้มั่นถือมั่นเที่ยงด้วย อรหันต์นี่แหละคือจอมเที่ยง แล้วท่านมีสัปปุริสธรรม 7 ว่าจะให้อะไรเที่ยง ตัวท่านช่วยท่านเป็น แต่สำหรับท่านท่านไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นภาวะกลับไปมาระหว่างสัจจะสอง ผู้ที่ได้ปรมัตถสัจจะแล้ว ผู้ได้ความเที่ยงแล้วจริงจะอยู่กับความไม่เที่ยง

0893867xxx ที่พ่อครูกล่าวสรุปว่าสัจจะทางโลกธรรมไม่มีไม่เที่ยง!แต่สัจจะอันที่เป็นจริงเที่ยงแท้แน่นอนในโลกุตระธรรมคือวิมุติฤานิพพานเท่านั้นถูกไหม?

0893867xxx ผู้ใดเพียรปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากโลกียกิเลส!ผู้นั้นคือ ผู้เพียรสั่งสมวิมุตินิพพานอันเป็นสัจจะที่จริงยิ่งแท้แน่นอน!เข้าใจถูกไหมหนอ?ตอบ...ถูก

 

พ่อครูว่า...มาเข้าสู่บทเรียน พรหมชาลสูตร เป็นเรื่องตั้งต้น ศีลกับปัญญา ปัญญาตัวเร่ิมคือทิฏฐิ คือความเข้าใจความรู้ แล้วพพจ.ท่านรวมทิฏฐิเอาไว้ในประดาผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นไว้ รวมทิฏฐิ 62 ผู้รู้ทิฏฐิ 62 อย่างรู้จริงอาจเคยเป็นมาหมดแล้ว รู้หมดจบแล้วตนก็ไม่ยึดนั่นคือผู้รู้แจ้งรู้จริง แล้วไม่ยึด แต่อยู่อย่างอนุโลมตามความจริง ช่วยคนไปตามฐาน

 

                      ทิฏฐิ 62

[26] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยากสงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?

 

พ่อครูว่า

1.   คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.   สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ถ้าบรรลุอย่างสัมมาทิฏฐิจะสงบแท้ แต่การไปนั่งหลับตาไม่สงบจริงหรอก การสงบของพพจ.ไม่ใช่สมถะเท่านั้นแต่ต้องอุภโตภาควิมุติด้วย มีจิตเจโตสงบได้ แต่ปัญญาก็เป็นตัวแท้ ที่ทำให้กิเลสตัวเหตุนั้นดับ กิเลสดับสงบนั้นจิตยิ่งแคล่วคล่องปราดเปรียวแข็งแรง มีประสิทธิภาพสูง เป็นพลังที่แรงที่มากที่เร็วไว  ยิ่งเป็นอรหันต์ตัวเหตุดับหมดสิ้นเลยก็ดิ้นได้แรงอิสระเต็มเหนี่ยวเลย เป็นมุทุภูตธาตุ ตัวเจโตก็เร็วไว ตัวรู้ก็รู้เร็ว เปลี่ยนได้เร็ว กลับไปกลับมาอย่างไม่มีทุจริตทำให้เปลี่ยนไป แต่เปลี่ยนไปตามกาละที่เหมาะสม ไม่ใช่กลับกลอกอกุศล

คำว่าสงบของพพจ.มีนัยสำคัญ ใช้คำว่าสันตาอันเดียวกันแต่สงบของพพจ.ไม่ใช่ชั่วคราวมืดตื้อเชื่องช้า แต่สงบอย่างวิเศษ

5.   ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.   อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7. นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) โสดาบันจะรู้ละเอียดระดับหนึ่งสกิทาฯก็จะละเอียดยิ่งขึ้น ไม่ใช่ไปปั้นภพใสนะ แต่ละเอียดที่รู้อกุศลที่ละเอียดขึ้นเป็นระดับขั้น

เช่นอบายมุข ก็ดับได้สิ้น ผ่องใสสะอาดจากความสกปรก ไม่ใช่สร้างภพชาติ เป็นอาการใสในภพ มันคนละเรื่องเลย มันต้องมีจิตเจตสิกที่อกุศลหมดไปใสสะอาด มีปัญญารู้สภาพครบพร้อม ผู้ศึกษาความหมายเหตุผลตรรกะไม่ใช่แค่คาดคะเน แต่เข้าถึงสภาวะ รู้ได้เฉพาะบัณฑิตจริง

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) ผู้ไม่บรรลุจริงจะคาดคะเนทั้งนั้น ไม่ใช่แค่พฤติกรรมตรรกะเท่านั้น

ความหมายของ 8 อย่างนี้  อาตมาก็นำมาใช้ตลอด อาตมาเห็นความสำคัญอย่างยิ่ง

 

 

                        ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18

[27] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ.

พ่อครูว่า...ก็คือของที่เคยมีเคยผ่านมาแล้วนั่นเองแต่ถ้าไม่เคยเกิดมาเลยก็คืออนาคตทั้งนั้น

                    สัสสตทิฏฐิ 4

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

                  ปุพเพนิวาสานุสสติ

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต

ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการคือ ตามระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้างร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้าง หลายแสนชาติบ้าง

ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น 

ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาทอาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ

ตามระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้างสามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้างห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายร้อยชาติบ้าง หลายพันชาติบ้างหลายแสนชาติบ้าง

ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้นมีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้นมีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาบังเกิดในภพนี้

ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

                    สัสสตทิฏฐิ 4

[28] 2. อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง

ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

เขากล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง

ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้นแม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

[29] 3. อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิวัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น

เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น ได้เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้

เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียดส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสอาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สิบสังวัฏฏวิกัฏฏกัปบ้าง ยี่สิบบ้าง สามสิบบ้าง สี่สิบบ้าง ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

[30] 4. อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด ส่วนเหล่าสัตว์นั้นย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกนั้นมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ นี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่มีทิฏฐิว่าเที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แล ที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                  จบภาณวารที่หนึ่ง.

พ่อครูว่า...ในขณะที่คุณมีคุณต้องยึดต้องอาศัย แต่เมื่อไปต่อไม่ได้แล้วก็ต้องรู้ ดีไม่ดีถูกเขารุกด้วย ก็ต้องหยุด เป็นผู้ยืดหยุ่น ไม่ใช่กลัวเกรง แต่ด้วยสัปปุริสธรรม ไม่ได้เหลาะแหละแต่รู้ว่าได้แค่นี้ ก็เอาแค่นี้ได้ สามารถร่วมกับใครก็ได้ นี่คือความสมบูรณ์

โลกกับอัตตา ท่านสรุปไว้ในมนุษย์จะศึกษาก็ศึกษาโลกกับอัตตา ก็คือธรรมะสอง แล้วก็มีธรรมะสาม คุณต้องศึกษาธรรมะสอง เอามากระทบสัมผัสกันก็จะเกิดสภาพใหม่เป็น 3 นี่คือปริตตังที่คุณจะต้องศึกษาเสมอเป็นกรอบที่ทำได้แล้วก็เป็นต้นทุนที่ทำได้สำเร็จแล้วก็แตกตัวเพิ่ม ทำได้ในสิ่งที่ยากขึ้น  เป็นธรรมะ 2 ได้แล้วก็เป็นธรรมะ 3 อีก ให้เรียนรู้เป็นลำดับอย่าไปทำแบบไม่มีขอบเขตแบบนั้นไม่ได้ของจริงแท้ไปเรียนโลกที่ไม่ได้กำหนดนี่คือเคล็ดลับที่ไม่รักกันจริงไม่บอก

 ส่วนมากเรียนกันและเธอไปหมดเลยในตรรกะไม่ได้จริงโรงมากแล้วเอาไปโม้ไปข่ม แต่พอเขาไล่เข้าก็จนใจ ไปเจอกับคนจริง เพราะฉะนั้นให้เรียนคำว่าโลก โลกนี้คืออัตตา คือตัวคนยึดของคนก็มาตีแตกเสีย ก็เข้าใจอัตตาที่จะหยุดแล้วเอามาตีแตก แต่เพราะคิดว่ามันเที่ยงมันจริงมันถูก อาตมาก็ลำบากกับพวกเรา คือเขาดีเขาถูก คุณก็ถูกและดี แต่หมู่ก็บอกว่าไม่เอาอันนี้หมู่เอาแบบนั้นหมด แต่คุณว่าคุณถูกคนดีคนเดียว แล้วเขาไม่เอากับคุณแล้วมันง่ายหรือที่จะทำ

ถ้าเผื่อว่าคุณดีจริง คนทั้งหลายเขายังไปไม่ถึงแบบคุณ ก็เขาทำไม่ได้แบบคุณ แม้คุณดีกว่าคุณใหญ่กว่าก็จริ งแล้วคุณเองจะต้องให้เขามาเอาแบบคุณแต่เขายังทำไม่ได้ นี่ก็หนึ่ง

2 คนพวกนี้ก็ดีเท่ากับคุณแต่เขาไม่ยึดตัวตนแล้วก็มารวมกับคุณ ดีไม่ดีเขาจะใหญ่กว่าคุณด้วยยกตัวอย่างอาตมายังเข้ากับหมู่เลย แม้อาตมาใหญ่กว่าคุณ แต่คุณก็บอกว่าเอาแบบกูไม่เอาแบบหมู่ อันนี้มันสัญญาย นิจจานิ แล้วเองจะเก่งอยู่คนเดียวหรืออย่างไร สมมุติสัจจะต้องเอาอย่างที่มีที่เป็นไปได้คนมีปรมัตถ์สูงสุดจริง แต่เวลาปฏิบัติการจะปฏิบัติอยู่คนเดียวได้อย่างไร ในโลกนี้ คนก็ต้องปฏิบัติกับสิ่งที่มีคนร่วมด้วย แต่ถ้าคุณไม่เอากับเขาจะอยู่ไปทำไม(วะ) นึกออกไหม อาตมาใช้ลีลากระแทกให้หลุดจากอัตตา คุณเลิกได้ปล่อยวางได้ก็เอาแบบหมู่  

แม้คนไม่เอากับหมู่แล้วแต่คุณก็ยังกระแทกแดกดันประชดประชันอีก ไม่ก็อีกอย่างว่าถ้าคุณไม่เอากับหมู่นี้ก็ออกไปเลย ไม่ได้ไล่นะ แต่ว่าถ้าคุณบอกว่าหมู่นี้ดีแล้วทำไมเอาแต่ของคุณ คุณจะไปโดดเด่นทำไมเอาของที่ดีๆของคุณมาเจือมาแบ่งให้คนอื่นมันจะดีกว่าไหม

 

มาต่อในทิฏฐิ 62

 

                        เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4

[31] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง จึงบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

5. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้พินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศอยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้กลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหม

ปรากฏว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหารมีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานนั้นแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสันความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหม เป็นสหายของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเองสัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

(พ่อครูว่าในรูปฌาน 4 เมื่อคุณทำได้แบบฤาษี ที่ว่าสมาธิคือจิตตั้งมั่นมีสองสายคือสมถะแบบมืดกับสมถะแบบสว่าง ก็จะมีสองอย่างในภพ อยู่ในวิมาน แล้วคุณก็สมมุติว่าเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็นน่ายึดมั่นถือมั่น คุณตายก็ไปในภพนั้นแบบใสๆก็แบบธรรมกาย กับแบบมืดก็คืออ.มั่น นี่คือพวกนั่งหลับตาสมาธิ นอกรีตของพุทธนะไม่มีทางไปนิพพานอะไรได้หรอก คุณไปยึดติดอันนี้จริงๆ ถ้าทิ้งเสียก็หยุดมาศึกษาแบบพุทธ เพราะถ้าทำได้แล้วก็จะผยอง ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนะ

อาตมาน่ะ เกิดมาชาตินี้อาตมาก็ไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง ไม่รู้ภูมิเดิมตัวเอง เหมือนพพจ.เกิดมากอายุถึง 35 ถึงรู้ภูมิตัวเอง แต่อาตมาอายุ 36 ก็ออกบวช ขณะลิงลมอมข้าวพองอาตมาก็ไปนั่งสมาธิกับเขา อาตมาก็ได้อรูปฌาน เหมือนหลุดปึ๊งออกจากโลก ใสเบา แต่ก็มีภูมิรู้อากาสาฯแล้วก็รู้ต้วเป็นวิญญานัญจาฯ พอรู้ได้แล้วก็ลัดขั้นได้เลยไม่ต้องผ่านรูปฌาน ก็มีแบบใสกับแบบมืดสองแบบ อาตมาเคยมีภูมิมาแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นก็เลยไปภูมิใจยึดติดหลงสิ่งนี้ที่ได้

เคยเล่าว่ามีฝรั่งคนหนึ่งมาบอกว่าเคยได้นิพพานใสสว่าง เคยได้ครั้งเดียวแล้วทำไม่ได้อีก ก็ตามหาอาจารย์จากอินเดียมาที่นี่ อาตมาก็บอกว่าไม่ใช่นิพพานเป็นเพียงภพเท่านั้น เขาก็ไม่เชื่อ บอกว่าต้องทำได้อีก อาตมาบอกว่าไม่ใช่หยุดเถอะ พูดอย่างไรก็ไม่ฟัง รุ่งเช้าก็หิ้วรองเท้าแตะไปเลย อาตมาบอกว่าคุณไปหลงส่ิงที่ไม่ใช่นิพพาน อาตมาเคยหลงมาแล้ว อาตมาก็ไม่อยากให้คุณหลงอีก

ถ้าไปบอกพวกธรรมกายเขาไม่เชื่อหรอก อย่างสม.สัจฉิกตาถ้าไปได้อย่างนั้นอาจมาทางนี้ไม่ได้ อาตมามีภูมิเก่าก็ไม่ติดยึดสิ่งเหล่านั้น อย่างอาม่าของอาเข่งก็ตายไปพร้อมกับอย่างนั้น มีแบบมืดหรือสว่างสองแบบ ไปติดอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

แต่คนที่เขาบอกว่าเคยได้นั้น บางครั้งทำได้บางครั้งทำไม่ได้ แต่ถ้าทำได้ก็จะติด แต่ไม่ง่ายในการทำหรอก อันนี้อันที่หนึ่งเจโตสมถะ แล้วเขาก็ระลึกชาติได้จริงๆ )

 

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างเป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น สัตว์เหล่านี้เรานิรมิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้ก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้ และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า

ท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจเป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเราอันพระพรหมผู้เจริญนี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า พวกเราได้เห็นพระพรหมผู้เจริญนี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณกว่ามีศักดิ์มากกว่า ส่วนผู้ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้วก็ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาทอาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า

ท่านผู้ใดแลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระเป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้นเป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง.

พ่อครูว่า เป็นได้สองนัย นัยหนึ่งคือตัวเราเองเปลี่ยนไปมาบางครั้งเป็นได้บางครั้งเป็นไม่ได้ ถ้าทิฏฐิทั่วไปคือมีผู้อื่นอีก คุณก็เปลี่ยนไปมา แล้วก็มีหลายคนเลยมีหลายพรหมเป็นใหญ่ว่าเราเกิดก่อนเราเป็นใหญ่ เราเป็นผู้สร้างภพนี้ก่อนนะ คุณมาทีหลังต้องเป็นลูกน้องเรา พรหมจึงมีสามพรหม

คือพรหมลูกน้องเป็นบริวาร แล้วก็มีกูรูพรหม เป็นมหาพรหมเลยที่ใหญ่กว่ากูรูอีก สรุปคือเป็นเรื่องของจิตที่หลง ถ้าอธิบายเป็นปัจจุบันธรรม ขณะนี้ก็แสดงความใหญ่ของปุโรหิตาพรหม ทั้งรัสเซียและอเมริกา ขยายจากจิตมาเป็นรูปธรรม จิตตัวเดียวกัน คุณก็มีเช่นกันเป็นพวกสัสตทิฏฐิ ต้องเป็นใหญ่ให้ได้ตายเป็นตาย

ขณะนี้รัสเซียกับอเมริกาแย่งกันใหญ่ ตอนนี้มีกลุ่มที่ 3 คือจีน มีประชากรมาก เขาก็พยายามให้ชนะทางเศรษฐกิจ ถ้าชนะได้ก็จะสร้างอาวุธ สร้างดาวเทียม สร้างไปจองดาวอังคาร ดาวเสาร์ไปอีก

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:30:14 )

581202

รายละเอียด

581202_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก ทิฏฐิ 62 ตอน2

พ่อครูว่า..วันนี้วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2558 แรม 7 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม

ชีวิตที่ค้นคว้าศึกษาธรรมะก็มีการใช้ชีวิตมีการทำงานอาชีพ แต่การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธไม่ใช่จะต้องไปหาเวลาไปวัด โดยเฉพาะที่นั่งเพื่อจะนั่งสมาธิหลับตาสะกดจิต แล้วบอกว่านั่นคือการปฏิบัติธรรม หรือไม่ก็พยายามทำสมถะให้เดินหนอย่างหนอก้าวหนอ คือทำงานอะไรอย่างอื่นไม่ได้กิริยากายวาจาใจจะต้องถูกจำกัด พยายามหยุดให้มากที่สุดจนหยุดนิ่ง ถึงจะสงบได้ นี่คือความเข้าใจที่มิจฉาทิฐิร้ายกาจที่สุดของศาสนาพุทธ เพราะเป็นความคิดของศาสนาสมัยโบราณที่เป็นความออกนอกรีตของพระพุทธเจ้า

สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็น supraconcentration ไม่ใช่ดับความรู้สึกหรือให้หยุดนิ่งแต่ของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งกิเลสลด จิตก็ยิ่งแข็งแรงมีประสิทธิภาพสูง รู้รอบรู้เร็วรู้ไวยิ่งทำงาน มีเวทนาสัญญาสังขารที่แคล่วคล่องว่องไวเป็นองค์รวมที่ปราดเปรียวยิ่งยงยอดเลย มันคนละขั้วคนละทิศทางเลยนี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธขอฝากไปถึงกระแสหลักเลย พวกนักธรรมะ ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ดีๆนะ อาตมาพูดในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ทางธรรม อายุมากแล้ว พูดในฐานะที่บวชนานเป็นรัตตัญญูอยู่ หรือจะมีที่อายุมากกว่าทำมาก็แล้วแต่แต่ต่อมาก็ผ่านการบวชมา 45 พรรษา ก็ทำการถ่ายทอดดูแลสืบสานศาสนาพุทธมีสิ่งที่ถูกก็บอกสิ่งที่ถูกสิ่งที่ผิดก็บอกว่าผิดอย่างไม่ได้เก้อเขิน ไม่มังกุ ถือว่าเป็นการบอกรุ่นหลังแท้จริง มีใจเกื้อกูลจริงใครจะหาว่าอวดดีก็แล้วไป ก็เข้าใจ

ธรรมะของพพจ.ให้รวมลงเป็นหนึ่ง จากสอง ต้องมีสองก่อน จากรูปและนาม ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้และการรู้ โดยเฉพาะไม่ปิดทวารนอกเลย พหิทารูปานิ ปัสสติ แล้วก็เรียนรู้ภายใน เป็นอัชฌัตตังอรูปสัญญี คือกำหนดรู้ภายในจนถึงอรูปเลย ขณะรู้สัมผัสนอก จิตก็เร็วแววไว จิตนั้นมีความเร็วกว่าแสงเมื่อตากระทบภายนอกก็รู้เขาไปหาข้างในอย่างเร็วๆมันง่ายกว่าที่จะคิดปั้นปรุงคำความ หรือปรุงภาษาองค์รวมของความรู้ความหมายที่จะมาเจรจาแสดงออกทางกายกรรมภายนอกมันเร็วมากแม้กระทั่งผู้ไม่ปฏิบัติธรรมก็เร็วเขาก็ทำได้เร็วแต่ไม่ฝึกให้มันเข้าร่องเข้ารอย อ่านจิตให้ทันที่จริง ก็อ่านพอทันกัน คนที่จะทำกายกรรมวจีกรรม ก็ต้องสั่งการมาจากจิต ทำให้เกิดสังขารในจิตถึงจะออกมาเป็นข้างนอก ส่วนตัวข้างนอกเองมันทำอะไรไม่เป็นแขนขากล้ามเนื้อมันไม่รู้หรอก นอกจากมันจะมีโมเมนตัมของมันอัตโนมัติ แต่ก็ต้องมีตัวสั่งการของมันจะเป็นสัญชาตญาณ สัญชาตญาณจริงๆมันไม่ได้ขาดญาณ

 สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์แต่ถ้าพูดที่สมาธิที่จะนั่งหลับตาแล้วรู้ภายในเอาไว้ตรวจสอบเป็นเตวิชโช  เป็นการทบทวนจะหลับตาหรือไม่หลับตาก็ได้ สามารถเข้าไปสั่งการปิดได้เรียกว่าอภิสังขาร คือการปรุงแต่ง จิต เพราะฉะนั้น จิตสังขารสังขารออกภายนอก เรียกว่ากายสังขาร

 จิตสังขารเกิดภายในสั่งการเป็นกายสังขาร เสร็จแล้วเป็นวจีสังขารซึ่งอยู่ภายใน แล้วถึงจะออกมาเป็น กายกรรม  การแสดงออกกายวาจาก็เกิดจากภายในทั้งนั้น  แล้วก็มาเรียกเป็นภาษาว่าหมายถึงอะไร บางท่าทีของเด็กๆมันก็เป็นท่าทีที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรก็ไปตั้งชื่อท่าที่นั่นอีกที

 อาตมาพยายามดึงสิ่งที่ผิดให้มาเป็นสิ่งที่ถูกพูดอย่างมั่นใจไม่ได้พูดอย่างวันดี แต่ก็มีสิ่งที่ดีที่จะบอกแต่ไม่ได้อวดเพราะว่าอยากก็เก๋หรืออยากใหญ่โตอะไร ประเทศไทยถ้าขืนดันทุรังต่อไป จะมีกี่คนไทยที่ร้ายแรงกว่าทักษิณกอดธัมมชโย เกิดขึ้นอีก ขนาด 2 คนนี้ ก็ร้ายแรงมากแล้ว ซึ่งเกิดจากต้นขั้วที่ถ่ายทอดพลังงานสนามแม่เหล็กที่ผิด เป็นองค์รวมของสังคมเพราะค่าเฉลี่ยของพลังงานมันผิดมีทิศเหนือทิศใต้ทิศตะวันออกทิศตะวันตกของสนามแม่เหล็กที่ผิด ก็มีอำนาจมีอิทธิพลที่จะหลอมคนในสนามแม่เหล็กหรืออณูใดที่ตกอยู่ในสนามแม่เหล็ก ก็จะถูกปรับให้เป็นทิศทางเดียวกันหมด

เพราะค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมในสังคมไทยมีความผิดพลาดจึงเกิดความเร็วหลายอย่างทักษิณกับธัมมชโย ยังธัมมชโยก็เป็นเชิงอวดอ้างอิงทางธรรม ะส่วนทักษิณก็ยิ่งแอบทางสังคมสามัญ ที่อาตมา 22 คนนี้มาพูดเพราะสองคนนี้เป็นอาชญากร ขออภัยที่ต้องพูดความจริง เขามีคดีอยู่ตลอด แต่มีอิทธิพลอยู่ตลอด ยังธัมมชโยมีคดีถึง 52 คดียิงในหลักฐานดูในหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร ก็ลงข้อเขียนของด็อกเตอร์มโน เลาหวณิช ที่เขียนไว้บอกว่ามีคดีตั้ง 52 คดีที่ถูกฟ้องทางโลก ในปี 42 แล้วแต่มีอิทธิพล ให้อัยการยกเลิกคดีให้ได้อีกเห็นไหมว่าร้ายกาจขนาดไหน นี่คือความตกต่ำของประเทศชาติขออภัยที่ต้องพูดความจริง

เห็นไหมว่าผีร้ายชนะ ประเทศชาติมีผีร้ายเป็นใหญ่ ประเทศไทยถ้าไม่จัดการเสียประเทศไทยก็จะเสียต่อไปจะเสียอีกมากมายเท่าไหร่ นี่คือความผิดพลาดของการสอนธรรมะอย่างมิจฉาทิฏฐิ

 ประเทศอื่นเขาก็มีศาสนาอื่นประชากรเขาก็ยังมีคุณธรรมสูงกว่าประเทศไทยพูดแล้วก็สะท้านใจ ในฐานะ เขาอาตมา  ไม่แปลกหรอกที่รัฐมนตรีข้าราชการจะโกงอย่างหน้าด้านด้าน ยิ่งกว่าในประเทศอื่น ทั้งที่เป็นเมืองพุทธ ที่ประชากรนับถือศาสนาพุทธ พระธรรมคำสอนถูกตรงตามศาสดาไม่ว่าศาสดาพระองค์ไหนท่านก็สอนให้คนดีทั้งนั้นแต่เพราะคนรุ่นหลังมาทำให้เสียทรง ไม่ว่าศาสนาใด ของพุทธนี้ก็ยิ่งเห็นชัดว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไปมากจนกระทั่ง เอาคุณธรรมไปเทียบกับชาติอื่นก็ตกต่ำ

มีหน่วยงานไหนไม่โกงกินบ้าง อย่างน้อยกินตามน้ำคือสินบน ถือว่าเป็นทำเนียม คำว่าทำเนียมมันเพี้ยนมาจากคำว่า ธรรมนิยมคือมันเกิดอย่างเที่ยงแท้เป็นหลักฐานแล้ว ธรรมเนียมที่เพี้ยนไปแล้วเลยกลายเป็นธรรมเนียมบ้าบอ อยู่ดีทำไมเงินในบัญชีเพิ่มขึ้นเอง คนที่มีตำแหน่งฐานะสูง ไม่รู้ว่าใครเอามาใส่ แต่พอนานเข้าเขาก็มาทวง มีนัยว่าฉันให้คุณไปเท่านี้ล้านนะที่พูดนี้ไม่ได้เป็นคนเคยทำ แต่พอจะรู้บ้างว่าเป็นเช่นนี้

 

_มีคำถามจากหลานหลวงปู่ ว่า 1 หนูมีความรู้สึกกลัวหลายหลายอย่างจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรก็ทำให้ปนเปื้อนในความทุกข์เราแล้วเราเราหาทางออกไม่เจอ รู้สึกกังวลเสมอ ว่าจะถูกคนมาปาดคอหนูเรื่องที่ 2 หนูมักจะฝันเห็นงูตัวใหญ่แม้จะเป็นงูพลาสติกแต่มันมีพิษมันพันอยู่ที่แขนเวลาจะแกะออก มันก็จะแว้งกัด เพื่อนจะมาช่วยมันก็แว้งกัดเขา เรื่องที่ 3 เมื่อจบสัมมาสิกขาตั้งใจว่าจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยข้างนอกแต่ก็กลัวที่จะสอบไม่ผ่าน ทั้งที่ก็น่าจะทำได้แต่มีคำพูดในใจบอกว่า น่าจะไม่ผ่านขอความกรุณาหลวงปู่คิดทางออกให้ด้วยค่ะ

ตอบ …ทั้งหมดนี้คือตั้งอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นมาเองทั้งสิ้น แล้วอาณาจักรแห่งความกลัวนั้น ก็มีเหตุปัจจัย กลัวสิ่งต่างๆอยู่ในนี้ ถ้าแบบนี้ก็ตายนะ ชีวิตนี้ถ้าไม่พยายามทำความเข้าใจให้ดีๆเข้าใจให้ดีเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความจริง คุณปั้นคุณคิดเองคุณกลัวเองคุณมโนเองทั้งสิ้นเลย ความกังวลเขายังไม่มาเลยก็กังวลว่าเขาจะมาปาดคอ แล้วจะมาปาดคอกันง่ายๆทั้งเมืองคนก็ติดคุกสิ ก็โง่ทุกคนจะมาปาดคอมันจะมาปาดคอง่ายๆได้ที่ไหนแล้วคนทำชั่วอะไรให้คนจะมาปาดคอ 

แม่ในฝันก็ยังกลัวอีกทั้งที่ความฝันมันไม่จริงอยู่แล้ว อย่างธรรมกายเขาก็ฝันในฝันกันนอกชั่วกันไปหมด เขาก็ใช้เป็นขี้ข้า เป็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระไปหรอกครอบงำว่าเป็นจริงแล้วมันเป็นจริงที่ไหนกลัวงูในฝันที่เป็นงูพลาสติกแล้วคนจะมาช่วยก็ไม่ได้อีกงูจะกัดอีกทำไมโง่สร้างเรื่องได้หลายชั้น

เข้าใจให้ดีแล้วเลิกเสียให้มีปัญญาฉลาดเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเธอพบไม่เกิดจริงเลยคุณกลับบ้านเอาไว้ก็มันจริงก็กลัวไปหมดอารมณ์แล้วข้อ 1 กับข้อ 2 มันกลัวก็เลยพลอยข้อ 3 ไปด้วยถ้าเป็นอย่างนี้อาการจะหนักขึ้นหมอไหนก็รักษาไม่ได้ ถ้าไม่เอาปัญญานี้ไปล้างเสียไปฉีดยาก็เสียตังค์เปล่า ดีไม่ดีจะได้โรคเพิ่ม

หลวงปู่สอนว่ารสอร่อย มันไม่ใช่ความจริงมันเป็นอุปทานเป็นความหลงยึด ว่าเป็นจริงแล้วก็ลงไปตามเขามันก็ยังเป็นความหลอกก็ต้องไปล้าง แต่ที่ในฝันนั้นมันโกหกเพ้อฝันชัดมันไม่จริงมากกว่าอีกอย่างนี้จะมาปฏิบัติธรรมล้างเวทนาในเวทนาได้อย่างไรไม่มีทางจะบรรลุได้เลย จะกลายเป็นโรคร้อนโรคประสาทเอเซีย ถ้าไม่ทำความเข้าใจให้แก่ตัวเองให้ตนเองจนหายกลัว รู้ตัวว่าโง่ก็เลิกเลยจะไปโง่ต่อทำไม

แม่เป็นงูพลาสติกก็ยังให้งูมันสามารถกลับไปอีกมันก็เป็นการหาเรื่องสร้างเรื่องที่ทับถมใส่ตนเองไปเรื่อยเรื่อย ไม่เรียนรู้ล้างแต่สร้างทุกใหม่ที่ไม่มีจริงแล้วก็เป็นจริง การหลงยึดรสอร่อยว่ามีจริง แต่แท้นั้นมันไม่จริง คนที่หมดอาการอารมณ์เวลาสัมผัสแล้วจากความอร่อยหรือไม่อร่อย มาเป็นความเฉยกลางกลางไม่ใช่ไม่รู้รสนะแต่รู้รสเค็มเผ็ดเปรี้ยวหวานแต่มันไม่มีบวกไม่มีลบไม่มีผลักไม่มีดูดไม่มีชอบไม่มีชัง นั่นคือการบรรลุธรรมที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง  จะเป็นอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ให้ขจัดความดูดความผลักนี้แหละ อย่างอาหารนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นมันเป็นจุดที่ง่าย ที่พูดนี้ชัดแล้วนะ

 

มีคนให้อธิบายโดยให้อ่านหนังสือยอดนิยายของโลก ข.174 แล้วก็ 181

ข้อ174 ความรู้ในเรื่องพลังงานทางจิตของพุทธนั้นลึกล้ำ

สติ เราก็เคยได้ยิน สติสัมปชัญญะ ปัญญา นี่คือสามคำที่ไทยเราเอาไปใช้ จากสติ ก็มาเป็นสติมันโต คือสติ + มันโต คือสติทั้งหมดทั้งภายนอก เป็นสติระลึกรู้ตื่นเต็ม เช่นเดียวกับที่คนอื่นรู้ ภายนอกภายในรู้ครบร่วมกันรู้ต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เรียกว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อมทั้งนอกและใน คือการตื่นเต็ม

ตากระทบรูปหกระทบเสียงดินกระทบรถ ตั้งแต่ภายนอกกลุ่มแต่งเข้าไปถึงภายในเป็นรูปภพ อรูปภพก็สามารถใช้สติอ่านได้ หลายคนปฏิบัติจนอ่านทะลุรูปภพอรูปภพได้

ก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ ถึงจะมีพลังงานจิตที่สามารถเรียนรู้อย่างละเอียดต่อไปได้ แต่คนปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ไปเรียนนั่งหลับตาเรียนรู้รูปภพอรูปภพซึ่งไม่ใช่เบื้องต้นที่ต้องใช้สติปัญญาอ่านองค์รวม ให้รู้ตัวทั่วพร้อมยังมีสติและมีสัมปชัญญะที่รู้ต่อเนื่องจากสติ

สัมปชาโน คือดูเข้าใจวิจัยความหมายต่างๆออก ชานะคือรู้ ปัสสะ คือเห็น  ไม่รู้ต่อไปจากสัมปชัญญะ

ต่อจากสัมปชาโน คือ ไม่รู้รายละเอียดว่ามันทำงานมันปรุงแต่งต่อกันอย่างไรเกิดเป็นเวทนาเป็นอารมณ์อย่างไรวิธีปฏิบัติพุทธเจ้าให้แยกเวทนาที่มีธรรมะ 2 ถ้าไม่มีผัสสะก็จะไม่มีเวทนา คนก็อาจจะเถียงว่า อยู่ภายในก็ไม่ต้องผัสสะก็มีเวทนาภายใน ก็ยังมีอารมณ์อีกนะแต่ที่จริงแล้ว ทำอย่างลืมตานี่แหละแต่ต่อเนื่องจากภายนอกเช่นกระทบดอกไม้ แม้ภายนอกไม่อยากได้แล้วแต่ไปไหนอาจจะมีนิดนิดตัวเล็กตัวละเอียดที่เป็นอรูปอยู่ ก็ปฏิบัติอย่างลืมตาเพราะตัวเหตุนี้อย่างไม่ต้องหลับตาไม่ต้องปิดทวารเลยถึงจะยืนยันความครบทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ

การดับเวทนาก็คือดับเหตุมันได้ให้เหลือ 1 เดียว เ ป็นเอกสโมสรณา เป็นเวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น แต่ก็อยู่กับ 2 ก็รู้กำกับว่าจิตฉันปราศจากกิเลส แม้มันจะมีเมื่อไหร่ก็มีรปภเป็นอรหันต์ คือเป็นรปภจริงๆ แล้วถ้ากิเลสจะเข้าแล้วก็รู้เลยว่าจะมาเมื่อไหร่ก็รู้ทันทีเลย รู้แล้วขจัดเป็นรปภชั้น 1 แม้คนร้ายมาตัวเล็กตัวน้อยเท่าไหร่ก็รู้หมดเป็นรปภที่มีตาทิพย์ชั้นพิเศษเลย

ก็จะมีสัมมสนะคือ การพิจารณาให้เกิด สัมมสนญาณ ความรู้ในการพิจารณา ปัญญาจะหลอมรวมเป็น สัมปทิตตะ (ก่อไฟ) จึงจะแปรตัวกลายเป็น สัมปัชชติ(ไฟ) ซึ่งเรียกว่าฌาน เป็นสัมปัชชลิตะ ทำลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้

คนต้องปฏิบัติจริงมีสภาวะอย่างสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติก็จะเกิดสภาวะยังเป็นลำดับเช่นนี้ถ้าคุณมีหนึ่งบวกหนึ่งแล้วคุณได้อันนั้นมาแล้วแต่ไม่รู้ชื่อก็ไม่เป็นไร ก็เป็นเจโตวิมุติแต่ถ้ารู้ชัดว่านี้เป็นอาการเป็นชื่ออะไร ก็จะเป็นปัญญาวิมุติเป็นผู้บรรลุอย่างสมบูรณ์สถาบันรู้อย่างเดียวมีเจโตแต่ไม่รู้ว่าตนเองบรรลุ แต่ก็ไม่รู้ว่าบรรลุอย่างไรก็สื่อสารกันได้ยาก

แต่ถ้ามีปัญญา แม่จะจบได้ระดับอาสวะสิ้น เหลืออนุสัยส่วนท้าย เป็นปัญญาวิมุติ รู้ว่ามันสงบมันควบคุมได้แล้ว มันไม่มีฤทธิ์แรงอะไรมาทำอะไรเราไม่ได้แล้ว หรือจะหลงว่ามันหมดเกลี้ยงเลยก็อาจเป็นได้แต่ถ้ารู้ว่ายังเหลือแต่ก็คงได้แต่ถ้าทำให้สิ้นซาก เกลี้ยงหมดเป็นอุภโตภาควิมุติ ก็เป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบจิตทำได้จริงมีปัญญารู้ว่าจิตทำได้จริงหรือความหมายว่ากิเลสตัวนี้มันหมดจริงๆมันเที่ยงแท้มั่นคงหรือยัง หรือคุณหลง แต่ที่จริงมันยังไม่หมดแต่คนก็รีบตัดสินแต่ถ้าคุณไม่รีบตัดสินก็ไม่ประมาทก็ทำให้ยางแข็งแรงถาวรไปตามสัจจะ

 

มาต่อที่ทิฏฐิ 62 ต่อจากวานนี้

[32] 6. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติก็ย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น

(พ่อครูว่า คนที่เป็นปุถุชนไม่รู้หรอกว่าตนอยู่ในอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานเหล่า นั้น มันเป็นผีทั้งนั้น เราต้องออกไปตามลำดับ)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกเรานั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้เช่นนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง.

     

(พวกที่สะกดจิตเจโตสมถะก็ไม่ไปสนุกสนาน แต่อีกพวกหนึ่งคือไปสนุกกับเขาไม่ได้ พวกสนุกสนานคือขิฑฑาปโทสิกะคือเป็นโทษนะ อีกพวกหนึ่งสะกดจิตตนไม่ไปแล้วแต่อรหันต์จะอยู่ได้ทั้งสองฝั่งจะเอากรอบตรงไหนก็ได้ สรุปแล้ว ขิฑฑาคือสนุกรื่นเริงเป็นโทษ ผู้สนุกรื่นเริงไปตลอดไม่หยุดโลกก็จะบานไปเรื่อยๆเสื่อมไปเรื่อยๆ ก็ซวย ต้องหยุดเสียบ้างในเรื่องบันเทิงเริงใจ

คนโลกๆยิ่งไม่หยุดที่จะปรุงแต่งหลอกกัน หลอกมอมเมากันให้เอาเงินมาให้ ยังกีฬาโอลิมปิกจริงแล้วเป็นกีฬาแห่งความโง่ดีไม่ดีจะเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็ได้สรุปแล้ว คนที่บอกว่าอย่างนี้เที่ยงหรือไม่เที่ยงก็เพราะเขารู้ว่า ตกลงเราจึงยังมีอยู่แต่พวกที่ยังหยุดก็มีอยู่ เขาหยุดเขาไม่ไปก็ไม่ทิ้งพวกที่สนุกจะไม่ไปเพราะคุณเองไปไม่ได้ หรือคุณจะรู้แล้วว่าไปได้แต่ไม่ไปคนนี้คือคนเจริญ แต่อีกพวกหนึ่งคือไปไม่ได้

แล้วบางอย่างที่ว่านี้ ก็คือจิตของตนเองไม่ใช่จิตของคนอื่นนะต้องรู้ว่าจิตของคุณหยุดหรือไม่หยุดยังหลงระเริงในเรื่องของความสนุกรื่นเริงหรือไม่ คุณหยุดด้วยปัญญาหรือว่าหยุดด้วยกดข่ม หยุดอย่างกดข่มก็คืออยากจะไปสนุกแต่ว่าไม่มีเงินจะไปก็ไปไม่ได้ ฉันจะดูฟุตบอลเป็นต้นต้องมีกล่องที่จะดูได้ถ้าไม่มีกล่องนี้ดูไม่ได้ก็ต้องจ่ายเงินเขา

ถ้าจะมาไม่มาทั้งนี้แต่ไปทางโลกีย์ป่านนี้ก็คงจะเปิดสำนักงานหัวใจสีชมพูร่วมมือกับคุณชวนทำงานทางนี้มากมายแล้ว ก็จะบ้าไปใหญ่ แต่บารมีของอาตมาก็ทำให้เป็นไปได้ตามทำเหมือนชาตินี้คิดนะว่าอยากจะแต่งงานสุดท้ายก็ไม่ได้แต่ง

 แฟนคนสุดท้ายของอาตมาเขาก็มีพ่อแม่พี่น้องที่เอ็นดูอาตมารักใคร่ดี เพราะอาตมาเป็นคนเลี้ยงน้องดี ตอนแรกก็ไม่เป็นแฟนกันแต่พอตอนหลังเขากลับมาจากอังกฤษก็ไม่ค่อยเข้าใจกันว่าเรามารักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พ่อแม่เขารู้ว่ารักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่เขาก็ไม่ชอบหน้าอาตมาเลยก็เล ยเป็นขีดขั้นเป็นเรื่องไปหมดเลย เป็นอุปสรรคซึ่งก็ไม่น่าจะมีอุปสรรคน่าจะฉลุยเพราะเขาก็เอ็นดูนิยมชมชอบว่าเป็นคนดีเรื่องง่ายๆช่วยเหลือกัน แต่เวลาจะให้เป็นลูกเขยก็ไม่ให้ไม่ชอบ

นอกนั้นก็เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ มากมาย ไปผูกเรื่องทำหนังได้ไม่รู้กี่เรื่องเลย)

 

[33] 7. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่(คำว่ามีอยู่ใช้คำว่าสันติ คำว่าอยู่ ใช้คำว่า วิหารติ) พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกันจึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

(คำว่ามีอยู่นี้ ผู้ใดมีไหวพริบรู้ว่าอานาปาสติ นั้นทุกขณะที่ผู้ใดมีลมหายใจเข้าออกอยู่(วิหารติ) คือพึงปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ให้ได้อยู่(วิหารติ) ซึ่งคำว่าวิหารตินี้ต่างกับคำว่ามีอยู่(สันติ) ซึ่งผู้ปฏิบัติโพธิปักขิธรรม 37 อยู่(วิหารติ)ย่อมมีโพธิปักขยิธรรม 37 นี้อยู่พร้อมไม่ได้ตัดขาดส่วนใดของโพธิปักขิยธรรม 37 นี้ไปเลย แม้ขณะทำอานาปานสติ และสติปัฏฐานอยู่ด้วย ทุกอานาปานสติต้องมีสติปัฏฐาน แล้วทุกสติปัฏฐานต้องมีอานาปานสติ ตลอดลมหายใจเข้าออก ถ้ามันมีลมหายใจเข้าออกอยู่(วิหารติ)ก็ต้องมีอานาปานสติ และมีสติปัฏฐาน

ปฏิบัติ กาย เวทนา จิตธรรมต่อไป

สติปัฏฐานคือใช้สติเป็นประธานแล้วปฏิบัติอยู่ มี สี่องค์ธรรมคือ

กาย เวทนา จิต ธรรม

คนมีอยู่ให้ปฏิบัติ  เมื่อถึงภาวะนั้นๆซึ่งจะมีต่อเนื่องไป พิจรณาให้ดีว่า วิหารติ กับ สันติ หมายถึงภาวะที่มีที่อยู่ในปัจจุบันขณะนั้น Now

แต่วิหารติเป็นกิริยา คือมีพฤติอยู่ หมายถึงอาการปฏิบัติ ประพฤติ เป็นคำกริยา Verbs ในปัจจุบัน Now นั้น ส่วนคำว่ามีอยู่ สันติ คือ ในปัจจุบันนั้นเช่นกันมีตัวตนอยู่ มีสภาพอยู่ มีลักษณะที่เป็นแล้วได้อยู่ หรือมีบุคคลอยู่ นั้นคือ สันติ มีสภาพอยู่มีบุคคลอยู่ เป็นการระบุบอกภาวะที่ใหญ่กว่าวิหารติ

วิหารติ คำนี้ใช้เป็นฐานะคำนาม คือ Nouns ในปัจจุบัน Now นั้นด้วย

แล้วมันรวมกิริยาด้วยไหม ก็รวมไว้ด้วย แล้วเอาเวลา Now ด้วย เป็น suddently บัดนั้นเลย ก็มีคนที่บรรลุธรรมตามว่า ในขณะที่พพจ.ตรัสสอน ขณะนี้อรหันต์ก็มีอยู่ อนาคามีก็มีอยู่ สกิทาคามีก็มีอยู่(สันติ) โสดาบันก็มีอยู่(สันติ) ผู้ปฏิบัติพรหมวิหาร 4 ก็มีอยู่ สติปัฏฐาน 4 ก็มีอยู่(วิหารติ) จะเห็นว่าพอการปฏิบัติก็ใช้คำว่า วิหารติ นี่คือความละเอียดของพพจ. ที่ใช้คำว่าวิหารติ กับ สันติ ก็ใช้ต่างกัน

      พพจ.ตรัสถึงอาริยบุคคลก็ใช้คำว่า สันติ คือมีอยู่เป็นคำนาม Nouns แต่ก็มีคำว่ากิริยาอยู่ verb ของอาริภูมิของผู้นั้นเป็น past perfect tense จึงมีทั้งปัจจุบันในขณะนั้นด้วย เป็นPast perfect continuous และมีปรากฎอยู่ Present tense ในขณะนั้น Now

      ส่วนความประพฤติท่านใช้คำว่าอยู่(วิหารติ) ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม อยู่(วิหารติ) ทั้งการเจริญ พรหมวิหาร เมตตากรุณามุทิตาอุเบกาอยู่(วิหารติ) ก็ต้องไม่แยกส่วนกัน ทั้งเจริญอานาปานสติอยู่(วิหารติ)ก็ต้องไม่แยกกัน

      การปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 หากไม่มีสัมมัปปธาน 4 หรืออื่นๆด้วยก็ไม่ใช่แล้วเพราะไม่มีกาย สำหรับสัมมัปปธาน 4 ขยายความกาย เช่นสำรวมอินทรีย์ 6 มีสังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน เวลาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4​จะทิ้งสัมมัปธาน 4 ไม่ได้ ต้องสังวรณ์อินทรีย์ 6 คือมีกายด้วย แต่ปัจจุบันเขามิจฉาทิฏฐิ ว่ากายมีแต่ร่าง แล้วจะพิจารณาเข้าไปสู่ภายในได้อย่างไร แต่พอปฏิบัติก็ไปนั่งสมาธิ พอเขาปวดขา ก็จะให้มันทนอยู่หยุดให้มันหายได้เหมือนกันแต่ก็สะสมความเสียสรีระ เป็นโรคกล้ามเนื้อเส้นเอ็นไปหมด

      อธิบายคำว่าอยู่ สามนัยคือ อยู่ มีอยู่ ปรากฏสภาพอยู่

      อยู่เป็นกิริยา แต่มีอยู่นี้รวมนามและกิริยา

 

(ต่อในพระไตรปิฎก)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่(คำว่ามีอยู่ใช้คำว่าสันติ คำว่าอยู่ ใช้คำว่า วิหารติ) พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกันจึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควรเมื่อไม่มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ก็ไม่คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างไม่คิดมุ่งร้ายกันและกันแล้ว ก็ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจ พวกนั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเราได้เป็นพวกมโนปโทสิกะ มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ก็คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน ก็พากันลำบากกาย ลำบากใจ พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

(พ่อครูว่า ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็จะกดข่มมีมารยาท ไม่อาละวาดใครก็เลยไม่รู้ส่วนพวกที่อาละวาดคนอื่นก็จะรู้ได้มากกว่า แต่คนที่ใช้วิธีสมถะไม่เกี่ยวข้องกับใครสะกดจิตให้แข็งควบคุม ก็จะไม่มีจิตวิญญาณไปรับรู้แม้จะระลึกรู้เขาก็หาวิธีดับให้มันไม่รับรู้จนชำนาญนี่คือผักมิจฉาทิฐิอาจมี เจโตสมถะที่ระลึกชาติไปไกล ก็ได้ตามกรอบที่ระลึกได้ แต่หลังจากนั้นก็ระลึกไม่ได้ ถึงไม่เหมือนศาสนาพุทธที่ไม่ห้ามกันทะลุทะลวงไปหมดเลยเราเรียนไปที่ละลำดับปะริตตังปะริตตังไปถึงอนันตัง คบได้หมดไม่เป็นภัยกับใครรู้หมดแล้วช่วยคนอื่น

โสดาบันก็รู้อบาย เหนืออบายได้ จะช่วยคนก็ไม่มีพลังเท่าไหร่ ก็พอบอกได้ สกิทาฯก็เก่งขึ้น อนาคาฯก็เก่งขึ้นอรหันต์ก็บอกได้หมด

พวกนี้ยึดว่าเที่ยง คำว่าเที่ยงนี้อรหันต์หลุดพ้นแล้วจึงเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่ตนเองสะอาดบริสุทธิ์อย่างเที่ยแท้ไม่เปื้อนอีกเที่ยงเลย ผู้นี้มีหนึ่งในสองได้ อย่างอาตมาพูดได้อย่างมั่นใจมั่นคง ถ้าไม่อย่างนั้นไม่ใช่

แต่พวกที่กดข่มจะแข็งนิ่งดับ เพราะออกไปแล้วกลัวจะคุมไม่ได้ ก็ไม่สามารถอนุโลมได้ ไม่สามารถใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ได้ ไม่บรรลุหรอก เอาตัวรอดคนเดียว ซึ่งเห็นแก่ตัวมาก)

 

นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

      [34] 8. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิดกล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่าจักษุก็ดี โสตะก็ดีฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายก็ดี นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผันเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยงยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้วปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับเฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

 

พ่อครูว่า… เรื่องของคุณและโทษ กับเครื่องของอุบายเครื่องออกคุณก็ต้องรู้ตั้งแต่สักกายะ ที่เป็นสังโยชน์เบื้องต้น แล้วก็ฆ่าด้วยอุบายเครื่องออกด้วยศีลพรต หรือวิธีปฏิบัติที่เป็นสัมมามรรค เป็นอุบายเครื่องออก หรือวิธีปฏิบัติเป็นสัมมัปปธาน4มีสังวรสำรวมแล้วพิจารณาตามสติปัฏฐาน 4 ตามโพธิปักขิยธรรม 37 คืออุบายเครื่องออก สรุปรวมเป็นไตรสิกขาคืออุบายเครื่องออก แล้วก็ปฏิบัติให้ได้ เท่าที่จะเข้าใจ

เมื่อปฏิบัติสุดท้ายจบก็จะรู้ว่าโทษคืออะไรพระอรหันต์ไม่ทำโทษอีกแล้วอนาคามีไม่มีโทษต่อผู้อื่นเหลือแต่โทษต่อตนเองจนเป็นอรหันต์แล้วคุณก็หมดความเป็นโทษแก่คนอื่นหมดความเป็นโทษแก่ตนเองก็จบแล้วแต่คุณอย่างเดียวยังกุศลให้ถึงพร้อม สัพพปาปัสสะ อกรณัง บาปทั้งปวงไม่ทำแล้ว ทำแต่คุณอย่างเดียวรู้คุณรู้โทษไม่ใช่คนตาบอดที่ไม่รู้ชั่วไม่รู้ดีอะไรเลย

 ขอวิจารณ์ท่านพุทธทาสหน่อยขออภัยซึ่งอาตมาเคารพท่านนะ เป็นบุคคลที่เบิกทางให้ตามมาได้ทำงานสบายๆได้หลายอย่าง เป็นคนที่น่าเคารพเป็นทักขิไณยบุคคลเป็นคนที่ควรได้รับการให้ของทานควรเคารพนับถือ ถ้าเราเรียนรู้เราจะไม่เป็นคนงมงายที่ไม่รู้คุณไม่รู้โทษ เราจะรู้โทษโดยที่หยุดโทษได้ด้วยเหลือแต่คุณอย่างเดียว พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ผู้บรรลุแล้วโลกจะทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นผู้เลยไปในกองไฟได้ ผู้ช่วยคนอื่นได้ดีคือคุณสมบัติพิเศษของอารยะของคนที่บรรลุธรรมไม่ใช่คนที่ไม่เอาชั่วดีไม่เกี่ยวอยู่คนเดียวดีไม่ดีกระทบอะไรก็ไม่ได้แต่ของพูดจะกระทบได้รู้หมด แต่จิตมีความนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

นี่คือคุณวิเศษที่แท้จริงเพราะฉะนั้นสิ่งเกิดสิ่งดับ ผู้ที่ผลมีโลกนิโรธแล้วก็สบายคือหมดสมุทัยของตนเองรู้สมุทัยของโลก

 อรหันต์บางองค์ โลกะวิทูได้ไม่เท่ากัน ก็รู้เท่าที่ตนเองรู้ได้ เหมือนหมอที่ไม่ได้เรียนรู้บางโรคมาเลยก็รักษาไม่ได้ อรหันต์องค์นี้ก็เป็นหมอรักษาคนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่อรหันต์จะมีภูมิโลกะวิทูรู้ทุกอย่าง แต่ท่านไม่มีโทษกับใครท่านไม่มีเชื้อโรคแล้วท่านช่วยขจัดเชื้อโรคสำหรับที่ท่านได้รู้ได้เรียนมา ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ต้องเป็นโรคนั้นได้ด้วยถึงจะไปรักษาเขาได้ซึ่งต้องเกิดอีก อาตมาต้องไปเกิดเป็นโรคเอดส์ถึงจะไปเป็นหมอรักษาโรคเอดส์ได้แต่ชาตินี้ไม่ได้เป็น

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:31:26 )

581203

รายละเอียด

581203_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก คำว่า อยู่ กับประชาธิปไตยแท้

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค. 58 แรม 8 ค่ำเดือน 12​ปีมะเมีย คราวที่แล้วได้อธิบายคำว่าอยู่ ว่ามีความหมายที่เป็นคำกริยา verb และอยู่ที่เป็นคำนาม Nouns ก็ได้ หรือแม้แต่จะเป็น past perfect tense  อดีตที่สมบูรณ์ก็ได้ คำว่าอยู่นี้แหละ คืออยู่อย่างนั้นแล้ว ผ่านมาแล้วแต่ก็ยังอยู่นะ เป็น present perfect tense

มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งอดีต แล้วไปแล้ว เสร็จแล้ว แล้วมีอยู่ทั้งกิริยา ทั้งนาม อาตมาก็ยังได้ความหมายของคำว่าอยู่นี้เพิ่มอีก

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 225

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

พ่อครูว่า...เป็นความยืนยัน ว่ามีภิกษุที่เป็นอรหันต์อยู่ เพราะในยุคนั้นไม่มีแล้ว แต่เมื่อพระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาแล้วคนก็ปฏิบัติได้อรหันต์ มีพฤติกรรมอยู่ให้เห็นในยุคพระพุทธเจ้า แล้วในยุคนี้มันก็เป็นยุคที่ไม่มีพระอรหันต์ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็ไม่มีจริง มีแต่ของเก๊ ไม่รู้จริง อาตมาก็เอาคำสอนพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิมาสอน คนก็ปฏิบัติได้ ก็มี พระอาริยบุคคล โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ ผู้สัมมาทิฏฐิก็มาตรวจได้เลย เอหิปัสสิโก เป็นเรื่องเป็นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อย่างที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ 

และยืนยันได้ทั้งพระโสดาบันพระสกิทาคามีพระอนาคามีพระอรหันต์แต่กระแสหลัก ที่เขาทำมาตลอดนั้นไม่มี ซึ่งท่านเองท่านยืนยันได้ไหมว่าคนนี้เป็นโสดาบันคนนี้เป็นสกิทาคามีแล้วเอาคำสอนพระอนุสาสนีมาอธิบายได้ว่าเป็นการสิ้นสังโยชน์ 1 สังโยชน์ 2 สังโยชน์ 3อย่างไรคนนี้แหละเป็นพระโสดาบันแล้วก็ถามผู้บรรลุว่าได้จริงหรือไม่พ้นสักกายทิฏฐิพ้นวิจิกิจฉา ศีลพรตที่ตนปฏิบัติ มีผลที่ได้อย่างไรมีวิมุติที่เป็นอาการอย่างไร มันถามกันได้แล้วก็ตอบกันได้ด้วยอย่างไม่เก้อไม่เขิน ไม่มังกุ ไม่ยาก ถามแล้วตอบได้ชัดๆ

เป็นลักษณะมีอยู่ปรากฏอยู่แล้วคำว่าอยู่นี้มันเวลานี้ยังมีอยู่ตลอด หรือยังอยู่ตลอดเวลา

อมตะ แปลว่า เวลานี้ยังอยู่ตลอด

ตลอดเวลาก็จะยังอยู่ตลอดถ้ามีเวลาใดๆปรากฎอยู่ ผู้มีอมตภาวะจะยังอยู่ตลอด

ส่วนนิรันดร นั้นคือยังอยู่ตลอดเวลา

พุทธันดร คือตลอดเวลาที่ไม่มีพุทธ

 

ไปทวนอธิบายเป็นพื้นฐานว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสในล.14ข.285ว่า

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ  เพราะสิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดาแม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสติปัฏฐาน  4  อยู่(วิหารติ)  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่(สันติ)  ฯ

(คำว่า อยู่ ภาษาบาลีใช้คำว่า สันติ กับ วิหารติ)

[286]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสัมมัปปธาน  4  อยู่(วิหารติ)  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญอิทธิบาท  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญอินทรีย์  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญพละ  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญโพชฌงค์  7  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญมรรคมีองค์  8  อันประเสริฐอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญเมตตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญกรุณาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญมุทิตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอุเบกขาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอสุภสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอนิจจสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          [287]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานสติอยู่  ฯ

 

(พ่อครูว่า คำว่าอยู่ ถ้าในปัจจุบัน ยังไม่เป็นpast perfect ไม่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติ เช่นผ่านอานาปานสติ แล้วท่านพ้นแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติโพชฌงค์หรือสติปัฏฐานอยู่ กิริยาที่เป็น verb ไม่ต้องแล้ว กลายเป็นคำนามไปแล้ว เป็นผู้มีอยู่แล้ว รายละเอียดพวกนี้พระพุทธเจ้าไม่ตกหล่นพยัญชนะเลย

ที่ท่านต่างๆเรียนบาลีก็มีรายละเอียดมาก เป็นไวยกรณ์ แต่อาตมาไม่ได้เรียนไวยกรณ์บาลีเยอะ เรียนมาแต่ไวยกรณ์ไทยที่หยาบกว่าไวยกรณ์บาลีเยอะเลย

พยัญชนะตัวไหนท่านสื่อสภาวะอะไร หากไม่เรียนรู้ก็ปฏิบัติไม่ได้ เช่นคำว่าอิตถีเพศกับปุริสเพศ สำคัญมาก ถ้าเข้าใจแค่ อิตถีกับปุริสสะเป็นเพียงตัวตนบุคคลเราเขา เป็นเพศหญิงชาย เช่นเทวดาก็บอกว่าเทพบุตรกับนางฟ้า หรือเป็นสัตว์นรก นามธรรมก็ยังติดว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไปนึกเทวดา หญิงชายก็เป็นรูปร่างเนื้อตัวบุคคลไปหมด

ถ้าเป็นเทวดานั้นต้องเข้าถึงอาหารลีลานามธรรม เขาเข้าใจไม่ได้ก็ไปติดแค่รูปร่างหญิงชาย พอบอกว่าปฏิบัติก็ไปนั่งหลับตา พอบอกเทวดาหญิงชาย ก็บอกว่านี่แหละเห็นรูปร่างปั้นเอาในจิตอีก ก็ไม่มีวันเข้าใจนามธรรมที่เป็นความรู้สึก แต่ไปนั่งเห็นเป็นตัวตน เทวดาสัตว์นรก ไม่เข้าใจอาการที่เป็นความรู้สึกเลย ปฏิบัติธรรมให้ตายก็ล้างเวทนาในเวทนาไม่ได้

เทวดาอุบัติเทพไม่มีรูปร่างเทวดาสมมุติก็ไม่มีรูปร่าง เช่นวันนี้ไปชิมไวน์รสชาติเยี่ยมเลยขอเป็นเทวดาได้เสพรสไวน์ อาการที่พอใจชื่นใจสดชื่นอาการอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร คุณก็ไม่ได้อ่านอาการนั้นเลย พออธิบายเป็นเทวดาคุณก็อธิบายเป็นรูปร่างไม่เข้าใจเทวดาที่เป็นปรมัตถธรรม พวกรถโลกิยรสคุณก็ไม่รู้เรื่องอ่านไม่เป็น

อาการ สอง คือสภาพแยกเพศชายหญิง เพศชาย คุณก็ต้องทำให้เป็นเอกบุรุษได้ ต้องเข้าใจก่อนว่าอาการสงบที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ส่วนอาการเพศหญิงคืออาการรสอร่อย รวมทั้งหมดเป็นสังขารจิต เป็นกายสังขาร ผสมทั้งสองอย่าง คือธรรมะสอง คุณแยกไม่ออกจากหนึ่ง แม้คุณเองปฏิบัติไม่บรรลุ ยังแยกไม่ออกหรือแยกได้แต่ทำออกไม่ได้

เช่นอาการอร่อยคุณแยกไม่ออก แล้วอาการจิตที่เหลือเป็นอย่างไร แม้คุณจะเอาอาการอร่อยออกได้หมด จิตคุณเฉยเป็นเคหสิตอุเบกขา แต่คุณก็ไม่รู้ว่ามันเฉย ตอนนี้มันก็เป็นหนึ่ง แต่เคหสิตอุเบกขา ไม่สุขทุกข์แต่ไม่เนกขัมมะอย่างขจัดกิเลสออก แล้วได้อุเบกขา ซึ่งมันต้องมีนัยสำคัญที่อธิบายได้ว่า

คุณรู้วิธีปฏิบติแล้วได้จางคลายอย่างไร ต่างจากเฉยๆพักยกที่ใครไม่ปฏิบัติธรรมก็เคยเป็น ต้องรู้ให้ได้ ยิ่งมันเฉยทั้งคู่ ไปนั่งหลับตาก็เฉยได้แต่ไม่ได้ล้างกิเลส คุณก็นึกว่าอุเบกขา แต่เป็นเคหสิตอุเบกขา

มโนปวิจาร 18 ที่รู้ตั้งแต่เคหสิตะ เวทนา ตามดูมันอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสีได้ จิตเจริญอย่างไรคุณจะไม่เข้าใจไม่รู้เลย

จะทำเป็นปัจจุบันที่ปฏิบัติอยู่ (วิหารติ) หรือมันมีอยู่ เป็น continous คุณก็ไม่รู้ คุณยังไม่ตาย ยังรับรู้อยู่ อธิบายให้คนอื่นรู้อยู่ได้ มีสภาวะรองรับก็พูดตามจริงที่ตนเป็น

ผู้ใดที่มีอยู่ในตัวเอง แล้วบอกกับคนอื่น อวดตัวว่าฉันเป็นฉันมี ทำได้ คนนี้ก็ไม่มีอาบัติอะไร เพราะเขามีจริง แต่ถ้ามีเสฐยจิต อยากอวด เป็นอุปกิเลสซ้อน แต่มีของจริงก็อาบัติแค่ปาจิตตีย์ โทษฐานอยากอวด แต่มีจริง แต่ถ้าไม่มีจริงแล้วอวดก็ปาราชิก สำหรับภิกษุ แต่ฆราวาสก็ไม่รู้จะปรับอย่างไร แต่เป็นบาปที่โกหก เป็นบาปราคาแพงตามที่กำหนดตัวเองว่าค่าเท่าไหร่ ได้ตามมโนสัญเจตนาที่เป็นจริง แต่ถ้าคุณไม่ได้เจตนาพระพุทธเจ้าถึงไม่ปรับอาบัติ ไม่เป็นโดยสัจจะ คนที่ไม่เจตนาก็ไม่มีผลอะไร ไม่มีจิตตั้งไว้เลย แต่มันเข้าคุกนะ ไม่เจตนาแต่ฆ่าเขาตาย ตีเปรี้ยง แต่เขาเดินมาถูกตายเลย ไม่ตั้งใจนะ หรือแฉลบไปโดนก็ได้

มีอยู่คราวในอดีต อาตมาใช้มีดอีโต้จะฟันปลาในน้ำ มันแฉลบเกือบโดนขาตัวเองเลย ถ้าใครมาอยู่ใกล้ก็ขาดเลยนะ

ไม่เป็นบาปของเรา แต่คนอื่นเขาถือ มดมันถือหากเหยียบมันตาย เราไม่เจตนา แต่มันถือสาพยาบาทเราแน่ สำหรับเราสูญ แต่มีเวรภัย ถ้าไม่ให้เกิดเลยดีกว่า

คำว่ามีอยู่ คือ สันติ เป็นคำนาม Nouns แต่ก็ยังมีกิริยา เช่นในสงฆ์หมู่นี้ ก็ยังมีอยู่คือมีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คือมีอยู่เป็นคำนามแล้วแต่ก็มีกิริยาของอาริยภูมิของโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ ที่เป็นpast perfect แล้วก็มีอรหันต์ที่มีนิพพานอยู่

มีกิริยาของอนาคามีก็มีอยู่ ในเวลานี้ก็เป็น continous อยู่ Now

มาฟังอยู่อีกหลายอัน

อยู่ ภาษาบาลี คือ วิหารติ ต่างจากคำว่า มีอยู่ (สันติ)

อยู่เป็นกิริยา ส่วน มีอยู่คือนาม

ปรากฏอยู่(ภาวะ) มีทั้งนามและกิริยา

คำว่ามีอยู่ หมายถึงกาละด้วย ปรากฏอยู่ บางทีปุถุชนปรากฏอยู่ ไม่มีอาริยคุณในปุถุชน แต่อยู่นี้ใช้ continous ได้

คำว่า อมตะ อาตมาแปลเป็นไทยว่า เวลายังอยู่ตลอด

ส่วนคำว่า ยังอยู่ตลอดเวลาคือ นิรันดร

          ต่างกันอย่างไร ถ้าเวลายังมีอันนี้อยู่ เอาเวลาเป็นหลัก ถ้าเวลานี้ยังมีอันนี้อยู่ นั่นคืออมตะ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องเกี่ยวกับเวลาเลย ยังอยู่ตลอดเวลาเลย อันนี้เอายังอยู่เป็นหลัก ยังอยู่ตลอดเวลาเลยจะเวลาไหนก็ไม่มีหมดตลอดนิรันดร มันยังอยู่ๆๆๆ ตลอดเวลา นิรันดร

          แต่อมตะนั้นเวลายังอยู่ตลอดที่มีเวลา ถ้าอมตะหมดได้แล้วหาในเวลาไหนก็ไม่มีแล้ว อันนี้เข้าใจยากลึก

อรหันต์เป็นอมตบุคคล แต่ท่านสูญไปแล้วไม่มีแล้ว เป็นอมตบุคคล หาที่ไหนก็ไม่เจอ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ตราบใดเรายังอยู่คนก็เห็นกายเห็นจิตเราเหมือนพวงมะม่วง แต่ถ้าพวงมะม่วงนี้ตกแตกกระจายไป ใครก็ไม่เห็นพวงมะม่วงอีก คือไม่มีใครจะเห็นกายเห็นจิตตถาคตได้อีก

เหมือนอาตมาอธิบายธาตุน้ำ ถ้าสลายเป็น ไฮโดรเจนและออกซิเจนแล้วก็ไม่มีน้ำนี้อีก

อมตะแปลว่าไม่ตาย ก็คือนิรันดร ก็จะอยู่ตลอด แต่อมตะนั้นเวลาที่ยังอยู่ก็ตลอดกาล แต่ถ้าท่านไม่อยู่แล้วเวลาใดก็ไม่เจอท่านได้อีกเลย

พุทธันดร คือ นร + อันตระ

คือตลอดเวลาที่ไม่มีพุทธ

นิรันดรคือมีพุทธตลอดเวลา

ขณะที่ไม่มีพุทธเรียกว่าพุทธันดร แต่ขณะที่มีเนื้อหาพุทธไม่เรียกพุทธันดร

ธัมมชโยนี่ไปแปลว่าพุทธันดรคือตอนมีพุทธอยู่ เอาแพะไปใส่แกะ

อาตมาขยายคำว่าอยู่ จะกำหนดด้วยเวลาเป็นหลัก มีอยู่ แล้วก็ยังอยู่ ถ้าไม่มีอยู่ก็คือในกาละนี้มันไม่มี

ไอสไตน์พูด spact and time คือในกาละ ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่อธิบาย ทุกอย่างในมหาเอกภพ คือ space and time of continuum คือทุกอย่างรวมทั้งความว่าง เนบูล่า แกแลกซี่ เศษอุกกาบาต ทุกอณู เรียกว่า space คือ ภาษาไทยแปลว่าเทหวัตถุแท่งทึบ ทั้งหมดเลย ใครตาดีก็จะเห็นว่ามีพระอาทิตย์ดวงดาว เห็นทุกอย่างในนั้น ยิ่งตาแหลมลึกเห็นว่าในดาวไหนมีสัตว์อยู่ ก็รวมใน space and time เป็นรูปธรรม

ส่วนของพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนามธรรม หมายเอาชีวะ ไปถึงจิตนิยาม แต่ท่านสอนจิตนิยามเป็นหลัก เมื่อรู้จิตนิยามก็จะรู้พีชนิยามได้ จิตของคนที่ละเอียดแล้วเมื่อเอามาใช้หยาบก็ใช้ได้แต่จิตคนหยาบจะเอามาใช้ละเอียดไม่ได้ พลังงานที่คลื่นต่ำก็มาใช้ละเอียดไม่ได้

อรหันต์ พอท่านทำจิตของท่านสะอาดได้ ท่านถึงมาใช้กับจิตที่หยาบได้สบาย แต่จิตที่หยาบจะมาใช้กับจิตอรหันต์ไม่ได้ แต่คนปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิจะไม่รู้ทำจิตหยาบกลางละเอียดอย่างถาวรไม่ได้ ว่าจะสะอาดเป็นลำดับไป ก็ใช้กับหยาบได้ละเอียดได้แต่ถ้าไปนั่งหลับตาใช้ไม่ได้

ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าอรหันต์เก๊ของเมืองไทยไม่มีโลกวิทู ไปกันตนเองว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ อาตมาเกิดในยุคนี้เลยต้องเจอ

การเมืองนี่คือกิจสงฆ์พระพุทธเจ้าคือจอมประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพราะเป็นผู้รับใช้ประชาชนเป็นโลกานุกัมปายะตัวจริง

 

มาพูดถึงความเป็นประชาธิปไตยชัดๆกันหน่อย  ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่แค่เลือกตั้งแต่ต้องมีเลือดมีวิญญาณของประชาธิปไตยอยู่ในคนนั้นด้วย

เลือดวิญญาณประชาธิปไตย ถ้าผู้ใดมีจริงก็แน่นอนต้องออกมาเป็นพฤติกรรมจริง กายวาจาใจ รับใช้ประชาชน เนื้อแท้ประชาธิปไตยคือรับใช้ประชาชน ไม่ใช่การเลือก ที่เป็นวิธีการเลือกคนมาทำงานเพราะไม่มีวิธีอื่นดีกว่า

 อย่างคุณทักษิณนี่ไม่ใช่นักประชาธิปไตยเลย แค่คุณใช้ประชาชนที่หลงรักศรัทธาให้ช่วยคุณหน่อย แต่พอช่วยแล้ว ผมจะเดินขึ้นเขา แล้วคุณจะตามมาทำไม เท่านี้ก็บอกได้ว่าคุณไม่ใช่นักประชาธิปไตย

วันนี้มีข่าวว่านายมาร์คซักเคอเบิก เจ้าของเฟสบุค ที่รวยมหาศาล มีลูกคนแรกก็เลยจะบริจาคทรัพย์สินที่เขามี 99% ให้สาธารณะ คนนี้ทำได้มากกว่า นายวอร์เรนบัฟเฟตต์อีก  เหลือไว้แค่ 1%  แต่ยังคุณทักษิณนี่ไม่มีทางได้ขึ้นจากนรกเลย

 ขณะนี้ทักษิณไม่ได้ใช้แค่เรื่องทางโลกแต่ใช้เรื่องทางธรรมมาใช้ประโยชน์ด้วยโดยร่วมมือกับธรรมกาย สองคนนี้ร่วมมือนั้นร้ายแรงที่สุดตกนรกจนไม่รู้จะมีที่ตกที่ไหนอีก ยิ่งธัมมชโยนี้ยิ่งตกหนักเพราะเอาธรรมะมาสอนมันคูณ 2 คูณ 4 คูณ 8 ไปเอามาหลอกซ้อนแล้วก็เล่นเงินระดับพันล้านหมื่นล้านแสนล้านเหมือนกัน แล้วคนก็ตายใจยิ่งกว่าคุณทักษิณเข้าไว้ใจธัมมชโยมากกว่าทักษิณเพราะฉะนั้นธัมมชโยนี้บาปกินหัว ได้ข่าวจากหมอมโนว่าเขาไปเขียนหัวให้สวยๆ นี่คือกามที่หยาบมาก ตื้นๆ ที่ถล่มหนักนี่ให้รู้ว่าใจคนนี่ คนที่มีใจเกลียดคนนั้นต่ำมาก อาตมาปฏิบัติธรรมจะไปมีใจต่ำทำไม  แต่จะกระหนาบแล้วกระหนาบอีกไม่มีวันหยุดต้องตีเหล็กขนาดที่ยังร้อนร้อน

ขณะนี้ต้องตีเหล็กขนาดยังร้อนสอนถ้ามันซาลงก็ไม่ได้แล้ว คสช.อย่าไปเกรง ว่าจะไปจัดการพระจะเป็นบาป ก็ใช่หากไปจัดการอาริยบุคคลหรือทักขิเนยบุคคลก็ไม่ดีแน่เป็นบาปต้องให้เกียรติท่าน แต่คุณทำกับคนที่ไม่ใช่พระ คุณไม่บาปหรอก คุณได้กุศลด้วยซ้ำ ไม่ได้ให้คุณไปได้ฆ่าเขานะ แต่ให้เขาหยุดทำชั่ว เป็นการตัดมือตัดไม้เขาไม่ให้ทำบาปอีก ถ้าไม่ทำผิดม.157  และเป็นบาปที่ไม่ทำในสิ่งควรทำด้วย

 ถ้าคุณจัดการอันนี้ก่อน รับรองว่า เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณคนที่นับถือศรัทธามันมีแนวลึกเช่นในหลวงนี้ไม่มีใครตีแตก แต่ถ้าตีแตกอันนี้ได้ คือตีธัมมชโย ก็จะได้ทำอะไรอีกมากมายได้ทันทีเลย

ขณะนี้เหล็กกำลังร้อน ถ้าผ่านตอนนี้ไปเหล็กมันไม่ร้อนแล้วดินเหนียวแข็งแล้วปั้นไม่ได้ มือหักนะ ขอยืนยันว่าคุณทำแล้วไม่บาป คุณจัดการคนหยุดทำชั่วจะไปบาปได้อย่างไรไปตัดมือตัดไม้ให้เขาติดคุกก็ทำได้สมเด็จพระสังฆราชก็ใช้วิจารณญาณของท่าน เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเลยเป็นพระลิขิตถึง 5 ฉบับ

 สมเด็จพระสังฆราชท่านเข้าใจในกฎหมายหลักเกณฑ์ดีเป็นสิ่งรับรอง แต่ถ้าไม่จัดการ ใกล้จะประชุมเพลิงในวันที่ 16 แล้ว สมเด็จพระสังฆราชจะต้องอาบัติสังฆาทิเสสติดไปนะ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยแต่อาตมาเป็นนานาสังวาสก็ได้แต่ปฏิกโกสนา พูดคัดค้านอย่างแรง

ประเทศไทยจะให้ตกอยู่ในความมืดนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ อีกไม่กี่วันเหลือแต่ 13 วัน ผู้ใดที่รับสินบนไว้แล้ว ถ้าคุณอกตัญญูต่อผู้ติดสินบนคุณ คือโจรติดสินบนคุณไปช่วยโจร เขาก็บาป โจรติดสินบนคุณ คุณไม่ช่วยโจรไม่บาป ไปช่วยบัณฑิต คุณได้เงินฟรีเลย ได้กุศลด้วย

คนที่ไปรับสินบนมาแล้วให้หยุดเลิกคบโจร แม้รู้แล้วว่าเงินโจร ถ้าไม่แก้ไขไม่ทำดีลบล้างก็จมกับบาปชั่วอีกเท่าไหร่ ต้องหยุดเลยไม่รับอีกแล้วมาช่วยฝ่ายดี สำนึกเสีย มันชั่วไปแล้วกรรมได้จบแล้ว แต่ถ้าไม่แก้ไขบาปก็เพิ่มไม่มีอะไรหักล้างได้

 ฟังอีกทีโปรดฟังอีกครั้งพูดอีกที ผู้ที่ทำชั่วรับสินบนเข้ามาแล้วให้หยุดให้จบ รับความผิด ถูกลงโทษไปตามควรการลงโทษไม่ใช่เรื่องที่ผิดพระพุทธเจ้าก็ให้ลงโทษ

อย่างธรรมกายนี้เป็นลัทธิสะกดจิต วิธีการสะกดจิตก็คือทำกสิณให้เอาจิตไปจับที่จุดใดจุด 1ให้จิตนิ่งนี่คือการสะกดจิตร้อยเปอร์เซ็นต์ 1,000,000% แล้วจะสามารถสั่งการได้หมดให้ไปหาเงินมาให้ก็ได้ อันนี้มันเก่งกว่ารัสปูตีนอันนี้หลอกว่าจะได้วิมานอย่างไรก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ ลมๆแล้งๆมันหลอกขอยืนยันว่าลมๆแล้งๆนี้ไม่มีจริงแทนที่จะได้วิมานที่เค้าหลอกกลับจะได้นรกเสียอีก

          เขาใช้วิชาสะกดจิตมีคนที่ลองดีไปบอกว่าให้ทำนายว่าพ่อแม่เข้าไปอยู่ที่ไหนตายแล้วทั้งที่พ่อแม่เขายังไม่ตายจริงหรอกแต่ไปทดลองหลอกธัมมชโย ซึ่งธัมมชโยทำนายว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่เป็นเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้แต่เสร็จแล้วเค้าก็บอกว่าพ่อแม่เขายังไม่ตายธัมมชโยเสียเหลี่ยมสิ

          ถ้าทำได้ก่อนจะขึ้นปีใหม่ดีมากเลย ดอกเตอร์มโนบอกว่ามีคดีตั้ง 52 คดี อัยการสั่งยกเลิกคดีมันผิดหลักการหลักเกณฑ์ ไปจะยกเลิกได้อย่างไรมันร้ายกาจมากเมืองไทย สะกดจิตจนเขาหลงเชื่อ กล้าทำชั่ว เมืองไทยเอาคนผิดมาลงโทษไม่ได้อย่างไร คนที่อยู่นอกประเทศก็ยังไม่ชั่วเท่าที่อยู่ในเมืองไทย บาปซ้อนซ้ำมาก ต้องตัดหัวลมนี้ไปก่อนให้ได้ ประเทศไทยจะได้ล้างสิ่งชั่วร้าย ออกไป ถ้าเราเอาดำใหญ่ออกได้ก็จะสะอาดขึ้นมาก สัจจะจะปรากฏ

          ความไม่เจริญ 5 อย่างคือ ไม่เอาภาระ ไม่กล้า ไม่เด็ดขาด ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปก็จะยากมากเหมือนตอนทำการปฏิวัติหากไม่ทำตอนนั้นเข้าใจยากมาก ตอนนี้คนเห็นตามว่าผู้บริหารก็กล้ามากขึ้น เหลือแต่เด็ดขาด อย่าให้กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว

          ประชาธิปไตยคือการทำงานรับใช้ประชาชนประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งอย่างเดียว มีลุงคนหนึ่ง ทั้งวันทุกวันแกก็เก็บขยะช่วยประชาชนไม่ได้เคยจะไปเอาเงินเอาทองกับอะไรคนนี้คือนักประชาธิปไตย คือคนรับใช้ประชาชนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเลยยิ่งเป็นประชาชนส่วนรวมที่มีน้ำหนักมีอิทธิพลมีคนประโยชน์ส่วนรวมได้มากเท่าไหร่ทั้งปริมาณและคุณภาพพร้อมนี่คือนักประชาธิปไตย

          แม้เป็นประชาธิปไตยในระบอบสมบูรณายาสิทธิราช เป็นผู้ที่ทำเพื่อประชาชนถ้าไม่มีใครศึกสันตติวงศ์ต่อทรัพย์สินของท่านตกเป็นของประเทศชาติของประชาชนเพราะฉะนั้นคำว่าประชาธิปไตย เนื้อแท้คือการรับใช้ประชาชนอย่างบริสุทธิ์สะอาด ไม่ใช่ไปหลอกประชาชนว่าจะมารับใช้แต่หลอกล้วงตับกินไส้ประชาชน

          แม้จะชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยแต่เนื้อแท้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ชาวอโศกที่ออกไปช่วยประชาชนช่วยประเทศชาติไปรับใช้ชาติออกไปชุมนุมเราไม่เคยหวังผลตอบแทนอะไรถ้าวันนั้นเราทุกข์จริงตายไปเราก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไรเราทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวมเราให้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของแม้แต่ชีวิตเราก็ให้ได้ ถ้าวันนั้นอาตมาถูกยิงตาย 18 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งวันนั้นคิดก็ไม่ได้คิดกลัวเกรงอะไร มีแต่จิตคิดจะช่วยเพราะเป็นภาวะที่ร้อนแรงเร็ว ก็เหมือนเป็นผู้บัญชาการ หลายคนก็จะเดินให้ลงไปจากเวทีแต่จะไปได้อย่างไรอาตมาอยู่บนเวที เป็นลักษณะที่คนมีน้ำใจช่วยกันขอบคุณทุกคนทั้งที่อยู่ที่นี่และคนอื่นที่ไปช่วยกัน ก็เป็นบุญคุณของประเทศ

          ต้องมีจิตวิญญาณนำ หากไม่มีจิตวิญญาณนำก็ไม่ได้อย่างนี้ อาตมาพาคณะออกไป ก็ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ตั้งแต่อยู่ชไมยมรุเชฏ เขาจะกวาดให้หมดเลยแน่ ตั้งแต่สองยาม พออาตมาได้ข่าวก็บอกให้มานั่งใครจะพนมมือก็ได้ หรือจะนิ่งเฉยหรือสวดมนต์ก็ได้ เขาก็เคลื่อนไหวเอาเครื่องมือรถเครนมาหมด มีแบริเออร์มาเยอะ เจตนาจะเอาให้เกลี้่ยงเลย เสร็จแล้วมาเจอเข้า ผู้การแต้มก็คงงงว่ามาเจออย่างนี้ เขาก็เลยถอยไป ซึ่งเขาออกไปนี้เขาเสียหน้านะ

           อีกครั้งหนึ่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์อะไรที่ทำให้เค้าหยุดจะเป็นจิตสำนึกของเขาเองหรือว่าเค้าเห็นแสงจากมือสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา จะเห็นเองตามอุปาทานเขา ก็เห็น มันก็มีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้ามีผู้เหนือกว่าสั่งการได้ ก็สำเร็จผล ต้องมีผู้สั่งได้ก็ได้ หรือเขาสำนึกเอง ถ้ายิ่งมีทั้งผู้สำนึกเอง และก็มีคำสั่งด้วยก็ได้ คนไม่ตอบโต้เลยประนมมือสวดมนต์ เขาก็จะสำนึกแน่ คนนะไม่ใช่วัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นพลังงานทั้งเมตตากรุณา สำนึก โหดเหี้ยม ในเหตุการณ์ แต่พลังงานที่ดีเอาชนะพลังงานโหดเหี้ยม

          ประชาธิปไตยถ้ามี 1 คนก็มีมวล 1 คนถ้ามี 2 คน ก็เพิ่มขึ้นอีกถ้าเป็นมวลรวมเป็นประชาธิปไตยก็คือการรับใช้ประชาชน ถ้ามีคนจริงในสังคมที่ทำงานประชาธิปไตยให้แก่สังคม อาตมาขอยืนยันว่าพาพวกเราทำอยู่ แต่คนก็หาว่าไม่ใช่หน้าที่มันไม่ใช่กิจของนักปฏิบัติธรรม อาตมาเข้าใจคนที่พูดเช่นนี้

          ประชาธิปไตยคือเพื่อส่วนรวมส่วนมาก เป็นพหุชนหิตายะ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยจริง แล้วมีปรากฏการณ์จริงเกิดขึ้นแล้วขอยืนยันว่าชาวอโศกออกไปทำงานประชาธิปไตยกับสังคมขอยืนยันว่าพวกเราเป็นนักประชาธิปไตยของจริงอธิบายได้ ถ้าใครจะว่าค้านกับตำรับตำราไหนก็ว่ามา

          เกิดเป็นมวลรวมของประชาธิปไตยมี 70,000,000 คนและมีประชากร 36,000,000 คนเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตยได้ เราเองเราทำแม้น้อยเราก็ต้องทำ อาตมาพาพวกเราออกไป ก็ชวนคนอื่นมาร่วมทำ เราทำยังสะอาดบริสุทธิ์คนเขาเห็นก็เกิดความเชื่อถือและมาร่วมทำไม่ได้หลอกเข้านะ

          คนเช่นนี้มีมากคนร่วมกันไปตั้งแต่พระราชาแล้วก็มีอำมาตย์มีข้าราชบริภานร่วม กันทำกับในหลวง ก็คือก้อนของประชาธิปไตยแต่ละยุค อยู่ในระบอบที่ชื่อว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประชาธิปไตยก็เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยในเนื้อแท้ นี่คือนักรัฐศาสตร์เถื่อนเถื่อนพูดว่าประชาธิปไตยคือเช่นนี้ทำงานเพื่อประชาชนเช่นตามมาพาพวกเราทำถนนไม่ได้ใช้เงินของรัฐบาลเลยหมู่บ้านข้างเคียงเดือดร้อนเรื่องการประปาเราก็ไปช่วยเขาเป็นการทำงานภาคประชาชนการเมืองภาคประชาชน

          ทำพืชผักสวนครัวอยู่ข้างถนนแต่ถ้าไม่ช่วยกันดูแลก็ไปหมด ถ้าเรามีทุนรอนมากกว่านี้เราก็จะช่วยเขาได้มากกว่านี้ที่พูดเช่นนี้เงินเราก็ไม่ค่อยจะพอ ว่าจะทำประปาให้หมู่บ้านกุดระงุม ก็ยังทำไม่ได้ เคยจะช่วยทำที่บ้านคำกลาง น้ำมีมาก แต่เราใช้ไม่หมด เราเสนอว่าจะทำให้ แต่เขาก็ไม่เอา ซึ่งเค้าระแวงอะไรเราก็ไม่รู้ น้ำที่มีนี้เป็นน้ำสะอาดเป็นนำแร่ใช้ดื่มใช้กินได้หมดเลย เราเคยบอกว่าจะขุดลอกบุ่งเอาไปทำถนนให้ ถ้าไม่พอเราก็จะซื้อดินมาเพิ่มให้เราเสนอไปเค้าก็ไม่เอา แต่เค้าบอกว่าให้รอไปเทปูนถนนให้เข้าได้งบประมาณมาไม่พอเราก็ไปช่วยเค้าทำเราก็เอาเงินออกไปหลาย 100,000 บาท

          เราอยู่กันเป็นหมู่กลุ่มเป็นสาธารณโภคีนี้ก็เลยพอทำได้ เรามีพรรคการเมืองด้วย เราไม่คิดจะส่งผู้สมัครลงหาเสียงเลือกตั้งนอกจากกฎหมายบังคับส่ง เราจะรอให้ประชาชนบอกให้เราไปลงสมัครรับเลือกตั้งเราก็จะลงสมัครคุณจะเลือกหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:32:27 )

581203

รายละเอียด

581203_ธรรมาธรรมะสงคราม สันติอโศก คำว่า อยู่ กับประชาธิปไตยแท้

พ่อครูว่า..วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 3 ธ.ค. 58 แรม 8 ค่ำเดือน 12​ปีมะเมีย คราวที่แล้วได้อธิบายคำว่าอยู่ ว่ามีความหมายที่เป็นคำกริยา verb และอยู่ที่เป็นคำนาม Nouns ก็ได้ หรือแม้แต่จะเป็น past perfect tense  อดีตที่สมบูรณ์ก็ได้ คำว่าอยู่นี้แหละ คืออยู่อย่างนั้นแล้ว ผ่านมาแล้วแต่ก็ยังอยู่นะ เป็น present perfect tense

มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งอดีต แล้วไปแล้ว เสร็จแล้ว แล้วมีอยู่ทั้งกิริยา ทั้งนาม อาตมาก็ยังได้ความหมายของคำว่าอยู่นี้เพิ่มอีก

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 225

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

พ่อครูว่า...เป็นความยืนยัน ว่ามีภิกษุที่เป็นอรหันต์อยู่ เพราะในยุคนั้นไม่มีแล้ว แต่เมื่อพระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาแล้วคนก็ปฏิบัติได้อรหันต์ มีพฤติกรรมอยู่ให้เห็นในยุคพระพุทธเจ้า แล้วในยุคนี้มันก็เป็นยุคที่ไม่มีพระอรหันต์ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็ไม่มีจริง มีแต่ของเก๊ ไม่รู้จริง อาตมาก็เอาคำสอนพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิมาสอน คนก็ปฏิบัติได้ ก็มี พระอาริยบุคคล โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ ผู้สัมมาทิฏฐิก็มาตรวจได้เลย เอหิปัสสิโก เป็นเรื่องเป็นได้อย่างน่ามหัศจรรย์ อย่างที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ 

และยืนยันได้ทั้งพระโสดาบันพระสกิทาคามีพระอนาคามีพระอรหันต์แต่กระแสหลัก ที่เขาทำมาตลอดนั้นไม่มี ซึ่งท่านเองท่านยืนยันได้ไหมว่าคนนี้เป็นโสดาบันคนนี้เป็นสกิทาคามีแล้วเอาคำสอนพระอนุสาสนีมาอธิบายได้ว่าเป็นการสิ้นสังโยชน์ 1 สังโยชน์ 2 สังโยชน์ 3อย่างไรคนนี้แหละเป็นพระโสดาบันแล้วก็ถามผู้บรรลุว่าได้จริงหรือไม่พ้นสักกายทิฏฐิพ้นวิจิกิจฉา ศีลพรตที่ตนปฏิบัติ มีผลที่ได้อย่างไรมีวิมุติที่เป็นอาการอย่างไร มันถามกันได้แล้วก็ตอบกันได้ด้วยอย่างไม่เก้อไม่เขิน ไม่มังกุ ไม่ยาก ถามแล้วตอบได้ชัดๆ

เป็นลักษณะมีอยู่ปรากฏอยู่แล้วคำว่าอยู่นี้มันเวลานี้ยังมีอยู่ตลอด หรือยังอยู่ตลอดเวลา

อมตะ แปลว่า เวลานี้ยังอยู่ตลอด

ตลอดเวลาก็จะยังอยู่ตลอดถ้ามีเวลาใดๆปรากฎอยู่ ผู้มีอมตภาวะจะยังอยู่ตลอด

ส่วนนิรันดร นั้นคือยังอยู่ตลอดเวลา

พุทธันดร คือตลอดเวลาที่ไม่มีพุทธ

 

ไปทวนอธิบายเป็นพื้นฐานว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสในล.14ข.285ว่า

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ  เพราะสิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดาแม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสติปัฏฐาน  4  อยู่(วิหารติ)  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่(สันติ)  ฯ

(คำว่า อยู่ ภาษาบาลีใช้คำว่า สันติ กับ วิหารติ)

[286]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสัมมัปปธาน  4  อยู่(วิหารติ)  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญอิทธิบาท  4  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญอินทรีย์  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญพละ  5  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญโพชฌงค์  7  อยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญมรรคมีองค์  8  อันประเสริฐอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญเมตตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญกรุณาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความ  เพียรในอันเจริญมุทิตาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอุเบกขาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอสุภสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอนิจจสัญญาอยู่  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

          [287]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานสติอยู่  ฯ

 

(พ่อครูว่า คำว่าอยู่ ถ้าในปัจจุบัน ยังไม่เป็นpast perfect ไม่สำเร็จแล้ว ไม่ต้องปฏิบัติ เช่นผ่านอานาปานสติ แล้วท่านพ้นแล้วก็ไม่ต้องปฏิบัติโพชฌงค์หรือสติปัฏฐานอยู่ กิริยาที่เป็น verb ไม่ต้องแล้ว กลายเป็นคำนามไปแล้ว เป็นผู้มีอยู่แล้ว รายละเอียดพวกนี้พระพุทธเจ้าไม่ตกหล่นพยัญชนะเลย

ที่ท่านต่างๆเรียนบาลีก็มีรายละเอียดมาก เป็นไวยกรณ์ แต่อาตมาไม่ได้เรียนไวยกรณ์บาลีเยอะ เรียนมาแต่ไวยกรณ์ไทยที่หยาบกว่าไวยกรณ์บาลีเยอะเลย

พยัญชนะตัวไหนท่านสื่อสภาวะอะไร หากไม่เรียนรู้ก็ปฏิบัติไม่ได้ เช่นคำว่าอิตถีเพศกับปุริสเพศ สำคัญมาก ถ้าเข้าใจแค่ อิตถีกับปุริสสะเป็นเพียงตัวตนบุคคลเราเขา เป็นเพศหญิงชาย เช่นเทวดาก็บอกว่าเทพบุตรกับนางฟ้า หรือเป็นสัตว์นรก นามธรรมก็ยังติดว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ไปนึกเทวดา หญิงชายก็เป็นรูปร่างเนื้อตัวบุคคลไปหมด

ถ้าเป็นเทวดานั้นต้องเข้าถึงอาหารลีลานามธรรม เขาเข้าใจไม่ได้ก็ไปติดแค่รูปร่างหญิงชาย พอบอกว่าปฏิบัติก็ไปนั่งหลับตา พอบอกเทวดาหญิงชาย ก็บอกว่านี่แหละเห็นรูปร่างปั้นเอาในจิตอีก ก็ไม่มีวันเข้าใจนามธรรมที่เป็นความรู้สึก แต่ไปนั่งเห็นเป็นตัวตน เทวดาสัตว์นรก ไม่เข้าใจอาการที่เป็นความรู้สึกเลย ปฏิบัติธรรมให้ตายก็ล้างเวทนาในเวทนาไม่ได้

เทวดาอุบัติเทพไม่มีรูปร่างเทวดาสมมุติก็ไม่มีรูปร่าง เช่นวันนี้ไปชิมไวน์รสชาติเยี่ยมเลยขอเป็นเทวดาได้เสพรสไวน์ อาการที่พอใจชื่นใจสดชื่นอาการอย่างนั้นมันเป็นอย่างไร คุณก็ไม่ได้อ่านอาการนั้นเลย พออธิบายเป็นเทวดาคุณก็อธิบายเป็นรูปร่างไม่เข้าใจเทวดาที่เป็นปรมัตถธรรม พวกรถโลกิยรสคุณก็ไม่รู้เรื่องอ่านไม่เป็น

อาการ สอง คือสภาพแยกเพศชายหญิง เพศชาย คุณก็ต้องทำให้เป็นเอกบุรุษได้ ต้องเข้าใจก่อนว่าอาการสงบที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ส่วนอาการเพศหญิงคืออาการรสอร่อย รวมทั้งหมดเป็นสังขารจิต เป็นกายสังขาร ผสมทั้งสองอย่าง คือธรรมะสอง คุณแยกไม่ออกจากหนึ่ง แม้คุณเองปฏิบัติไม่บรรลุ ยังแยกไม่ออกหรือแยกได้แต่ทำออกไม่ได้

เช่นอาการอร่อยคุณแยกไม่ออก แล้วอาการจิตที่เหลือเป็นอย่างไร แม้คุณจะเอาอาการอร่อยออกได้หมด จิตคุณเฉยเป็นเคหสิตอุเบกขา แต่คุณก็ไม่รู้ว่ามันเฉย ตอนนี้มันก็เป็นหนึ่ง แต่เคหสิตอุเบกขา ไม่สุขทุกข์แต่ไม่เนกขัมมะอย่างขจัดกิเลสออก แล้วได้อุเบกขา ซึ่งมันต้องมีนัยสำคัญที่อธิบายได้ว่า

คุณรู้วิธีปฏิบติแล้วได้จางคลายอย่างไร ต่างจากเฉยๆพักยกที่ใครไม่ปฏิบัติธรรมก็เคยเป็น ต้องรู้ให้ได้ ยิ่งมันเฉยทั้งคู่ ไปนั่งหลับตาก็เฉยได้แต่ไม่ได้ล้างกิเลส คุณก็นึกว่าอุเบกขา แต่เป็นเคหสิตอุเบกขา

มโนปวิจาร 18 ที่รู้ตั้งแต่เคหสิตะ เวทนา ตามดูมันอนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสีได้ จิตเจริญอย่างไรคุณจะไม่เข้าใจไม่รู้เลย

จะทำเป็นปัจจุบันที่ปฏิบัติอยู่ (วิหารติ) หรือมันมีอยู่ เป็น continous คุณก็ไม่รู้ คุณยังไม่ตาย ยังรับรู้อยู่ อธิบายให้คนอื่นรู้อยู่ได้ มีสภาวะรองรับก็พูดตามจริงที่ตนเป็น

ผู้ใดที่มีอยู่ในตัวเอง แล้วบอกกับคนอื่น อวดตัวว่าฉันเป็นฉันมี ทำได้ คนนี้ก็ไม่มีอาบัติอะไร เพราะเขามีจริง แต่ถ้ามีเสฐยจิต อยากอวด เป็นอุปกิเลสซ้อน แต่มีของจริงก็อาบัติแค่ปาจิตตีย์ โทษฐานอยากอวด แต่มีจริง แต่ถ้าไม่มีจริงแล้วอวดก็ปาราชิก สำหรับภิกษุ แต่ฆราวาสก็ไม่รู้จะปรับอย่างไร แต่เป็นบาปที่โกหก เป็นบาปราคาแพงตามที่กำหนดตัวเองว่าค่าเท่าไหร่ ได้ตามมโนสัญเจตนาที่เป็นจริง แต่ถ้าคุณไม่ได้เจตนาพระพุทธเจ้าถึงไม่ปรับอาบัติ ไม่เป็นโดยสัจจะ คนที่ไม่เจตนาก็ไม่มีผลอะไร ไม่มีจิตตั้งไว้เลย แต่มันเข้าคุกนะ ไม่เจตนาแต่ฆ่าเขาตาย ตีเปรี้ยง แต่เขาเดินมาถูกตายเลย ไม่ตั้งใจนะ หรือแฉลบไปโดนก็ได้

มีอยู่คราวในอดีต อาตมาใช้มีดอีโต้จะฟันปลาในน้ำ มันแฉลบเกือบโดนขาตัวเองเลย ถ้าใครมาอยู่ใกล้ก็ขาดเลยนะ

ไม่เป็นบาปของเรา แต่คนอื่นเขาถือ มดมันถือหากเหยียบมันตาย เราไม่เจตนา แต่มันถือสาพยาบาทเราแน่ สำหรับเราสูญ แต่มีเวรภัย ถ้าไม่ให้เกิดเลยดีกว่า

คำว่ามีอยู่ คือ สันติ เป็นคำนาม Nouns แต่ก็ยังมีกิริยา เช่นในสงฆ์หมู่นี้ ก็ยังมีอยู่คือมีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คือมีอยู่เป็นคำนามแล้วแต่ก็มีกิริยาของอาริยภูมิของโสดาฯสกิทาฯ อนาคาฯ ที่เป็นpast perfect แล้วก็มีอรหันต์ที่มีนิพพานอยู่

มีกิริยาของอนาคามีก็มีอยู่ ในเวลานี้ก็เป็น continous อยู่ Now

มาฟังอยู่อีกหลายอัน

อยู่ ภาษาบาลี คือ วิหารติ ต่างจากคำว่า มีอยู่ (สันติ)

อยู่เป็นกิริยา ส่วน มีอยู่คือนาม

ปรากฏอยู่(ภาวะ) มีทั้งนามและกิริยา

คำว่ามีอยู่ หมายถึงกาละด้วย ปรากฏอยู่ บางทีปุถุชนปรากฏอยู่ ไม่มีอาริยคุณในปุถุชน แต่อยู่นี้ใช้ continous ได้

คำว่า อมตะ อาตมาแปลเป็นไทยว่า เวลายังอยู่ตลอด

ส่วนคำว่า ยังอยู่ตลอดเวลาคือ นิรันดร

          ต่างกันอย่างไร ถ้าเวลายังมีอันนี้อยู่ เอาเวลาเป็นหลัก ถ้าเวลานี้ยังมีอันนี้อยู่ นั่นคืออมตะ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องเกี่ยวกับเวลาเลย ยังอยู่ตลอดเวลาเลย อันนี้เอายังอยู่เป็นหลัก ยังอยู่ตลอดเวลาเลยจะเวลาไหนก็ไม่มีหมดตลอดนิรันดร มันยังอยู่ๆๆๆ ตลอดเวลา นิรันดร

          แต่อมตะนั้นเวลายังอยู่ตลอดที่มีเวลา ถ้าอมตะหมดได้แล้วหาในเวลาไหนก็ไม่มีแล้ว อันนี้เข้าใจยากลึก

อรหันต์เป็นอมตบุคคล แต่ท่านสูญไปแล้วไม่มีแล้ว เป็นอมตบุคคล หาที่ไหนก็ไม่เจอ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ตราบใดเรายังอยู่คนก็เห็นกายเห็นจิตเราเหมือนพวงมะม่วง แต่ถ้าพวงมะม่วงนี้ตกแตกกระจายไป ใครก็ไม่เห็นพวงมะม่วงอีก คือไม่มีใครจะเห็นกายเห็นจิตตถาคตได้อีก

เหมือนอาตมาอธิบายธาตุน้ำ ถ้าสลายเป็น ไฮโดรเจนและออกซิเจนแล้วก็ไม่มีน้ำนี้อีก

อมตะแปลว่าไม่ตาย ก็คือนิรันดร ก็จะอยู่ตลอด แต่อมตะนั้นเวลาที่ยังอยู่ก็ตลอดกาล แต่ถ้าท่านไม่อยู่แล้วเวลาใดก็ไม่เจอท่านได้อีกเลย

พุทธันดร คือ นร + อันตระ

คือตลอดเวลาที่ไม่มีพุทธ

นิรันดรคือมีพุทธตลอดเวลา

ขณะที่ไม่มีพุทธเรียกว่าพุทธันดร แต่ขณะที่มีเนื้อหาพุทธไม่เรียกพุทธันดร

ธัมมชโยนี่ไปแปลว่าพุทธันดรคือตอนมีพุทธอยู่ เอาแพะไปใส่แกะ

อาตมาขยายคำว่าอยู่ จะกำหนดด้วยเวลาเป็นหลัก มีอยู่ แล้วก็ยังอยู่ ถ้าไม่มีอยู่ก็คือในกาละนี้มันไม่มี

ไอสไตน์พูด spact and time คือในกาละ ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่อธิบาย ทุกอย่างในมหาเอกภพ คือ space and time of continuum คือทุกอย่างรวมทั้งความว่าง เนบูล่า แกแลกซี่ เศษอุกกาบาต ทุกอณู เรียกว่า space คือ ภาษาไทยแปลว่าเทหวัตถุแท่งทึบ ทั้งหมดเลย ใครตาดีก็จะเห็นว่ามีพระอาทิตย์ดวงดาว เห็นทุกอย่างในนั้น ยิ่งตาแหลมลึกเห็นว่าในดาวไหนมีสัตว์อยู่ ก็รวมใน space and time เป็นรูปธรรม

ส่วนของพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องนามธรรม หมายเอาชีวะ ไปถึงจิตนิยาม แต่ท่านสอนจิตนิยามเป็นหลัก เมื่อรู้จิตนิยามก็จะรู้พีชนิยามได้ จิตของคนที่ละเอียดแล้วเมื่อเอามาใช้หยาบก็ใช้ได้แต่จิตคนหยาบจะเอามาใช้ละเอียดไม่ได้ พลังงานที่คลื่นต่ำก็มาใช้ละเอียดไม่ได้

อรหันต์ พอท่านทำจิตของท่านสะอาดได้ ท่านถึงมาใช้กับจิตที่หยาบได้สบาย แต่จิตที่หยาบจะมาใช้กับจิตอรหันต์ไม่ได้ แต่คนปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิจะไม่รู้ทำจิตหยาบกลางละเอียดอย่างถาวรไม่ได้ ว่าจะสะอาดเป็นลำดับไป ก็ใช้กับหยาบได้ละเอียดได้แต่ถ้าไปนั่งหลับตาใช้ไม่ได้

ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าอรหันต์เก๊ของเมืองไทยไม่มีโลกวิทู ไปกันตนเองว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ อาตมาเกิดในยุคนี้เลยต้องเจอ

การเมืองนี่คือกิจสงฆ์พระพุทธเจ้าคือจอมประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพราะเป็นผู้รับใช้ประชาชนเป็นโลกานุกัมปายะตัวจริง

 

มาพูดถึงความเป็นประชาธิปไตยชัดๆกันหน่อย  ประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่แค่เลือกตั้งแต่ต้องมีเลือดมีวิญญาณของประชาธิปไตยอยู่ในคนนั้นด้วย

เลือดวิญญาณประชาธิปไตย ถ้าผู้ใดมีจริงก็แน่นอนต้องออกมาเป็นพฤติกรรมจริง กายวาจาใจ รับใช้ประชาชน เนื้อแท้ประชาธิปไตยคือรับใช้ประชาชน ไม่ใช่การเลือก ที่เป็นวิธีการเลือกคนมาทำงานเพราะไม่มีวิธีอื่นดีกว่า

 อย่างคุณทักษิณนี่ไม่ใช่นักประชาธิปไตยเลย แค่คุณใช้ประชาชนที่หลงรักศรัทธาให้ช่วยคุณหน่อย แต่พอช่วยแล้ว ผมจะเดินขึ้นเขา แล้วคุณจะตามมาทำไม เท่านี้ก็บอกได้ว่าคุณไม่ใช่นักประชาธิปไตย

วันนี้มีข่าวว่านายมาร์คซักเคอเบิก เจ้าของเฟสบุค ที่รวยมหาศาล มีลูกคนแรกก็เลยจะบริจาคทรัพย์สินที่เขามี 99% ให้สาธารณะ คนนี้ทำได้มากกว่า นายวอร์เรนบัฟเฟตต์อีก  เหลือไว้แค่ 1%  แต่ยังคุณทักษิณนี่ไม่มีทางได้ขึ้นจากนรกเลย

 ขณะนี้ทักษิณไม่ได้ใช้แค่เรื่องทางโลกแต่ใช้เรื่องทางธรรมมาใช้ประโยชน์ด้วยโดยร่วมมือกับธรรมกาย สองคนนี้ร่วมมือนั้นร้ายแรงที่สุดตกนรกจนไม่รู้จะมีที่ตกที่ไหนอีก ยิ่งธัมมชโยนี้ยิ่งตกหนักเพราะเอาธรรมะมาสอนมันคูณ 2 คูณ 4 คูณ 8 ไปเอามาหลอกซ้อนแล้วก็เล่นเงินระดับพันล้านหมื่นล้านแสนล้านเหมือนกัน แล้วคนก็ตายใจยิ่งกว่าคุณทักษิณเข้าไว้ใจธัมมชโยมากกว่าทักษิณเพราะฉะนั้นธัมมชโยนี้บาปกินหัว ได้ข่าวจากหมอมโนว่าเขาไปเขียนหัวให้สวยๆ นี่คือกามที่หยาบมาก ตื้นๆ ที่ถล่มหนักนี่ให้รู้ว่าใจคนนี่ คนที่มีใจเกลียดคนนั้นต่ำมาก อาตมาปฏิบัติธรรมจะไปมีใจต่ำทำไม  แต่จะกระหนาบแล้วกระหนาบอีกไม่มีวันหยุดต้องตีเหล็กขนาดที่ยังร้อนร้อน

ขณะนี้ต้องตีเหล็กขนาดยังร้อนสอนถ้ามันซาลงก็ไม่ได้แล้ว คสช.อย่าไปเกรง ว่าจะไปจัดการพระจะเป็นบาป ก็ใช่หากไปจัดการอาริยบุคคลหรือทักขิเนยบุคคลก็ไม่ดีแน่เป็นบาปต้องให้เกียรติท่าน แต่คุณทำกับคนที่ไม่ใช่พระ คุณไม่บาปหรอก คุณได้กุศลด้วยซ้ำ ไม่ได้ให้คุณไปได้ฆ่าเขานะ แต่ให้เขาหยุดทำชั่ว เป็นการตัดมือตัดไม้เขาไม่ให้ทำบาปอีก ถ้าไม่ทำผิดม.157  และเป็นบาปที่ไม่ทำในสิ่งควรทำด้วย

 ถ้าคุณจัดการอันนี้ก่อน รับรองว่า เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จิตวิญญาณคนที่นับถือศรัทธามันมีแนวลึกเช่นในหลวงนี้ไม่มีใครตีแตก แต่ถ้าตีแตกอันนี้ได้ คือตีธัมมชโย ก็จะได้ทำอะไรอีกมากมายได้ทันทีเลย

ขณะนี้เหล็กกำลังร้อน ถ้าผ่านตอนนี้ไปเหล็กมันไม่ร้อนแล้วดินเหนียวแข็งแล้วปั้นไม่ได้ มือหักนะ ขอยืนยันว่าคุณทำแล้วไม่บาป คุณจัดการคนหยุดทำชั่วจะไปบาปได้อย่างไรไปตัดมือตัดไม้ให้เขาติดคุกก็ทำได้สมเด็จพระสังฆราชก็ใช้วิจารณญาณของท่าน เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเลยเป็นพระลิขิตถึง 5 ฉบับ

 สมเด็จพระสังฆราชท่านเข้าใจในกฎหมายหลักเกณฑ์ดีเป็นสิ่งรับรอง แต่ถ้าไม่จัดการ ใกล้จะประชุมเพลิงในวันที่ 16 แล้ว สมเด็จพระสังฆราชจะต้องอาบัติสังฆาทิเสสติดไปนะ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยแต่อาตมาเป็นนานาสังวาสก็ได้แต่ปฏิกโกสนา พูดคัดค้านอย่างแรง

ประเทศไทยจะให้ตกอยู่ในความมืดนี้ไปอีกนานเท่าไหร่นะ อีกไม่กี่วันเหลือแต่ 13 วัน ผู้ใดที่รับสินบนไว้แล้ว ถ้าคุณอกตัญญูต่อผู้ติดสินบนคุณ คือโจรติดสินบนคุณไปช่วยโจร เขาก็บาป โจรติดสินบนคุณ คุณไม่ช่วยโจรไม่บาป ไปช่วยบัณฑิต คุณได้เงินฟรีเลย ได้กุศลด้วย

คนที่ไปรับสินบนมาแล้วให้หยุดเลิกคบโจร แม้รู้แล้วว่าเงินโจร ถ้าไม่แก้ไขไม่ทำดีลบล้างก็จมกับบาปชั่วอีกเท่าไหร่ ต้องหยุดเลยไม่รับอีกแล้วมาช่วยฝ่ายดี สำนึกเสีย มันชั่วไปแล้วกรรมได้จบแล้ว แต่ถ้าไม่แก้ไขบาปก็เพิ่มไม่มีอะไรหักล้างได้

 ฟังอีกทีโปรดฟังอีกครั้งพูดอีกที ผู้ที่ทำชั่วรับสินบนเข้ามาแล้วให้หยุดให้จบ รับความผิด ถูกลงโทษไปตามควรการลงโทษไม่ใช่เรื่องที่ผิดพระพุทธเจ้าก็ให้ลงโทษ

อย่างธรรมกายนี้เป็นลัทธิสะกดจิต วิธีการสะกดจิตก็คือทำกสิณให้เอาจิตไปจับที่จุดใดจุด 1ให้จิตนิ่งนี่คือการสะกดจิตร้อยเปอร์เซ็นต์ 1,000,000% แล้วจะสามารถสั่งการได้หมดให้ไปหาเงินมาให้ก็ได้ อันนี้มันเก่งกว่ารัสปูตีนอันนี้หลอกว่าจะได้วิมานอย่างไรก็ไม่รู้จริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้ ลมๆแล้งๆมันหลอกขอยืนยันว่าลมๆแล้งๆนี้ไม่มีจริงแทนที่จะได้วิมานที่เค้าหลอกกลับจะได้นรกเสียอีก

          เขาใช้วิชาสะกดจิตมีคนที่ลองดีไปบอกว่าให้ทำนายว่าพ่อแม่เข้าไปอยู่ที่ไหนตายแล้วทั้งที่พ่อแม่เขายังไม่ตายจริงหรอกแต่ไปทดลองหลอกธัมมชโย ซึ่งธัมมชโยทำนายว่าไปอยู่ที่นั่นที่นี่เป็นเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้แต่เสร็จแล้วเค้าก็บอกว่าพ่อแม่เขายังไม่ตายธัมมชโยเสียเหลี่ยมสิ

          ถ้าทำได้ก่อนจะขึ้นปีใหม่ดีมากเลย ดอกเตอร์มโนบอกว่ามีคดีตั้ง 52 คดี อัยการสั่งยกเลิกคดีมันผิดหลักการหลักเกณฑ์ ไปจะยกเลิกได้อย่างไรมันร้ายกาจมากเมืองไทย สะกดจิตจนเขาหลงเชื่อ กล้าทำชั่ว เมืองไทยเอาคนผิดมาลงโทษไม่ได้อย่างไร คนที่อยู่นอกประเทศก็ยังไม่ชั่วเท่าที่อยู่ในเมืองไทย บาปซ้อนซ้ำมาก ต้องตัดหัวลมนี้ไปก่อนให้ได้ ประเทศไทยจะได้ล้างสิ่งชั่วร้าย ออกไป ถ้าเราเอาดำใหญ่ออกได้ก็จะสะอาดขึ้นมาก สัจจะจะปรากฏ

          ความไม่เจริญ 5 อย่างคือ ไม่เอาภาระ ไม่กล้า ไม่เด็ดขาด ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปก็จะยากมากเหมือนตอนทำการปฏิวัติหากไม่ทำตอนนั้นเข้าใจยากมาก ตอนนี้คนเห็นตามว่าผู้บริหารก็กล้ามากขึ้น เหลือแต่เด็ดขาด อย่าให้กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้แล้ว

          ประชาธิปไตยคือการทำงานรับใช้ประชาชนประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งอย่างเดียว มีลุงคนหนึ่ง ทั้งวันทุกวันแกก็เก็บขยะช่วยประชาชนไม่ได้เคยจะไปเอาเงินเอาทองกับอะไรคนนี้คือนักประชาธิปไตย คือคนรับใช้ประชาชนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเลยยิ่งเป็นประชาชนส่วนรวมที่มีน้ำหนักมีอิทธิพลมีคนประโยชน์ส่วนรวมได้มากเท่าไหร่ทั้งปริมาณและคุณภาพพร้อมนี่คือนักประชาธิปไตย

          แม้เป็นประชาธิปไตยในระบอบสมบูรณายาสิทธิราช เป็นผู้ที่ทำเพื่อประชาชนถ้าไม่มีใครศึกสันตติวงศ์ต่อทรัพย์สินของท่านตกเป็นของประเทศชาติของประชาชนเพราะฉะนั้นคำว่าประชาธิปไตย เนื้อแท้คือการรับใช้ประชาชนอย่างบริสุทธิ์สะอาด ไม่ใช่ไปหลอกประชาชนว่าจะมารับใช้แต่หลอกล้วงตับกินไส้ประชาชน

          แม้จะชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยแต่เนื้อแท้ไม่ใช่ประชาธิปไตย ชาวอโศกที่ออกไปช่วยประชาชนช่วยประเทศชาติไปรับใช้ชาติออกไปชุมนุมเราไม่เคยหวังผลตอบแทนอะไรถ้าวันนั้นเราทุกข์จริงตายไปเราก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไรเราทำงานเสียสละเพื่อส่วนรวมเราให้ทรัพย์สินเงินทองข้าวของแม้แต่ชีวิตเราก็ให้ได้ ถ้าวันนั้นอาตมาถูกยิงตาย 18 กุมภาพันธ์ 2557 ซึ่งวันนั้นคิดก็ไม่ได้คิดกลัวเกรงอะไร มีแต่จิตคิดจะช่วยเพราะเป็นภาวะที่ร้อนแรงเร็ว ก็เหมือนเป็นผู้บัญชาการ หลายคนก็จะเดินให้ลงไปจากเวทีแต่จะไปได้อย่างไรอาตมาอยู่บนเวที เป็นลักษณะที่คนมีน้ำใจช่วยกันขอบคุณทุกคนทั้งที่อยู่ที่นี่และคนอื่นที่ไปช่วยกัน ก็เป็นบุญคุณของประเทศ

          ต้องมีจิตวิญญาณนำ หากไม่มีจิตวิญญาณนำก็ไม่ได้อย่างนี้ อาตมาพาคณะออกไป ก็ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ตั้งแต่อยู่ชไมยมรุเชฏ เขาจะกวาดให้หมดเลยแน่ ตั้งแต่สองยาม พออาตมาได้ข่าวก็บอกให้มานั่งใครจะพนมมือก็ได้ หรือจะนิ่งเฉยหรือสวดมนต์ก็ได้ เขาก็เคลื่อนไหวเอาเครื่องมือรถเครนมาหมด มีแบริเออร์มาเยอะ เจตนาจะเอาให้เกลี้่ยงเลย เสร็จแล้วมาเจอเข้า ผู้การแต้มก็คงงงว่ามาเจออย่างนี้ เขาก็เลยถอยไป ซึ่งเขาออกไปนี้เขาเสียหน้านะ

           อีกครั้งหนึ่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์อะไรที่ทำให้เค้าหยุดจะเป็นจิตสำนึกของเขาเองหรือว่าเค้าเห็นแสงจากมือสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา จะเห็นเองตามอุปาทานเขา ก็เห็น มันก็มีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ถ้ามีผู้เหนือกว่าสั่งการได้ ก็สำเร็จผล ต้องมีผู้สั่งได้ก็ได้ หรือเขาสำนึกเอง ถ้ายิ่งมีทั้งผู้สำนึกเอง และก็มีคำสั่งด้วยก็ได้ คนไม่ตอบโต้เลยประนมมือสวดมนต์ เขาก็จะสำนึกแน่ คนนะไม่ใช่วัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นพลังงานทั้งเมตตากรุณา สำนึก โหดเหี้ยม ในเหตุการณ์ แต่พลังงานที่ดีเอาชนะพลังงานโหดเหี้ยม

          ประชาธิปไตยถ้ามี 1 คนก็มีมวล 1 คนถ้ามี 2 คน ก็เพิ่มขึ้นอีกถ้าเป็นมวลรวมเป็นประชาธิปไตยก็คือการรับใช้ประชาชน ถ้ามีคนจริงในสังคมที่ทำงานประชาธิปไตยให้แก่สังคม อาตมาขอยืนยันว่าพาพวกเราทำอยู่ แต่คนก็หาว่าไม่ใช่หน้าที่มันไม่ใช่กิจของนักปฏิบัติธรรม อาตมาเข้าใจคนที่พูดเช่นนี้

          ประชาธิปไตยคือเพื่อส่วนรวมส่วนมาก เป็นพหุชนหิตายะ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยจริง แล้วมีปรากฏการณ์จริงเกิดขึ้นแล้วขอยืนยันว่าชาวอโศกออกไปทำงานประชาธิปไตยกับสังคมขอยืนยันว่าพวกเราเป็นนักประชาธิปไตยของจริงอธิบายได้ ถ้าใครจะว่าค้านกับตำรับตำราไหนก็ว่ามา

          เกิดเป็นมวลรวมของประชาธิปไตยมี 70,000,000 คนและมีประชากร 36,000,000 คนเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตยได้ เราเองเราทำแม้น้อยเราก็ต้องทำ อาตมาพาพวกเราออกไป ก็ชวนคนอื่นมาร่วมทำ เราทำยังสะอาดบริสุทธิ์คนเขาเห็นก็เกิดความเชื่อถือและมาร่วมทำไม่ได้หลอกเข้านะ

          คนเช่นนี้มีมากคนร่วมกันไปตั้งแต่พระราชาแล้วก็มีอำมาตย์มีข้าราชบริภานร่วม กันทำกับในหลวง ก็คือก้อนของประชาธิปไตยแต่ละยุค อยู่ในระบอบที่ชื่อว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในประชาธิปไตยก็เรียกว่าเป็นประชาธิปไตยในเนื้อแท้ นี่คือนักรัฐศาสตร์เถื่อนเถื่อนพูดว่าประชาธิปไตยคือเช่นนี้ทำงานเพื่อประชาชนเช่นตามมาพาพวกเราทำถนนไม่ได้ใช้เงินของรัฐบาลเลยหมู่บ้านข้างเคียงเดือดร้อนเรื่องการประปาเราก็ไปช่วยเขาเป็นการทำงานภาคประชาชนการเมืองภาคประชาชน

          ทำพืชผักสวนครัวอยู่ข้างถนนแต่ถ้าไม่ช่วยกันดูแลก็ไปหมด ถ้าเรามีทุนรอนมากกว่านี้เราก็จะช่วยเขาได้มากกว่านี้ที่พูดเช่นนี้เงินเราก็ไม่ค่อยจะพอ ว่าจะทำประปาให้หมู่บ้านกุดระงุม ก็ยังทำไม่ได้ เคยจะช่วยทำที่บ้านคำกลาง น้ำมีมาก แต่เราใช้ไม่หมด เราเสนอว่าจะทำให้ แต่เขาก็ไม่เอา ซึ่งเค้าระแวงอะไรเราก็ไม่รู้ น้ำที่มีนี้เป็นน้ำสะอาดเป็นนำแร่ใช้ดื่มใช้กินได้หมดเลย เราเคยบอกว่าจะขุดลอกบุ่งเอาไปทำถนนให้ ถ้าไม่พอเราก็จะซื้อดินมาเพิ่มให้เราเสนอไปเค้าก็ไม่เอา แต่เค้าบอกว่าให้รอไปเทปูนถนนให้เข้าได้งบประมาณมาไม่พอเราก็ไปช่วยเค้าทำเราก็เอาเงินออกไปหลาย 100,000 บาท

          เราอยู่กันเป็นหมู่กลุ่มเป็นสาธารณโภคีนี้ก็เลยพอทำได้ เรามีพรรคการเมืองด้วย เราไม่คิดจะส่งผู้สมัครลงหาเสียงเลือกตั้งนอกจากกฎหมายบังคับส่ง เราจะรอให้ประชาชนบอกให้เราไปลงสมัครรับเลือกตั้งเราก็จะลงสมัครคุณจะเลือกหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:32:27 )

581204

รายละเอียด

581204_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทิฏฐิ 62 ตอน 3

วันนี้วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นวันแรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม เราก็มาเรียนแล้วเรียนธรรมะ ใครจะว่าหลงธรรมะก็ไม่เป็นไร อะไรก็เห็นว่าธรรมะนี้ดีเหลือเกินอะไรก็ไม่สำคัญเท่าธรรมะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆเห็นว่าธรรมะนี้สำคัญที่สุดในชีวิตของมนุษยชาติไม่มีอะไรสำคัญเท่า

 คนทั้งหลายยุคนี้ เกิดมาน้อยนักที่จะเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องสำคัญจริงๆสำหรับชีวิต เคยดูแล้วน่าสงสารคนไม่ค่อยสำนึกไม่ค่อยเข้าใจไม่มีปฏิภาณแต่ลึกลึกถามใครใครว่าธรรมะนี้ดีไหมเขาก็จะบอกว่าดีแล้วธรรมะคนจะสำคัญกับชีวิตไหมให้ตั้งใจตอบดีๆตั้งสติดีๆ ถามใครก็ตาม จริงๆแล้วคนควรจะมีธรรมะควรจะสนใจธรรมะจริงๆ อ้าย เขาต้องบอกว่าควร แต่จริงๆแล้วไม่เอาธรรมะ มีชีวิตอยู่ไปแต่ละวันอยู่กับเรื่องโลกต่างๆนานาสารพัดไม่ใส่ใจไม่ได้นึกว่าธรรมะคืออะไร ธรรมะคืออะไรจะปฏิบัติธรรมะทำอย่างไร ไม่รู้จักรู้จิตก็ปล่อยไปกับกิเลส เป็นเจ้าเรือนไปเรื่อยเรื่อยๆน่าเสียดายมากๆ

 พูดไปอย่างนี้ออกอากาศไปพูดไป พอฟังแล้วได้ยิน ก็น่าจะตั้งใจ ฟังว่าคนเรา ก็ควรมีธรรมะทั้งนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ระลึกถึง

เหตุแท้คือคนทั่วไปเขาไม่เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมมะคือทำอย่างไรอันนี้ 1 และ 2 เขาเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมมะต้องเสียเวลา บางคนบอกว่าปฏิบัติธรรมมะต้องไปนั่งสมาธิหรือเข้าวัดถือศีลหรือไปหาอาจารย์ ที่สอนธรรมะถ้าเราไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมะคืออย่างไร ถ้าสำนึกว่าคนเราควรจะมีธรรมะ คนเราก็ควรจะรีบไปหาคนที่เขารู้จักธรรมะที่จะสอนธรรมะได้ที่พูดไปอย่างนี้ มันก็ยังไม่จุใจ บอกไปอย่างนี้คุณก็ไปหาแล้วก็เจอปัญหาเก่าก็จะเสียเวลา ก็จะต้องไปนั่งสมาธิ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องถือศีลอย่างไรจึงจะพาบรรลุธรรม เข้าใจยังไม่เข้าใจ

 จริงแล้วความผิดพลาดของศาสนาพุทธมันผิดพลาดไปไกลมาก คนไม่เข้าใจในการปฏิบัติธรรมะก็จะเสียเวลากลัวจะเสียเวลาทำมาหากินแต่ทั้งที่จริงแล้วการปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติได้ทุกลมหายใจเข้าออกไม่เสียเวลาเลยในการทำอาชีพ ตามมรรคมีองค์ 8 ที่ให้ทำอาชีพอย่างสัมมาอาชีวะ ก็ปฏิบัติธรรมไปพร้อมกับทำสัมมาอาชีวะแล้วก็จะลดกิเลส 3 สัมมาทิฏฐิถ้าอาจารย์ผู้ใดสอนให้ปฏิบัติธรรมะในขณะเดียวกันกับการทำงานอาชีพแล้วก็จะลดกิเลสได้จริงในขณะทำงานเลี้ยงชีพไม่ต้องปลีกเวลาไปวัดไม่ต้องเปลี่ยนเวลาไปนั่งสมาธิหรือหยุดทํามาหากิน ไม่ต้องพรากจากการทำงานอาชีพ หรือทำกิริยาอาการทุกอย่าง

 ปฏิบัติอาชีพก็ทำให้เกิดสัมมาให้ได้ทำกรรมกิริยาก็ให้เป็นสัมมาให้ได้เรียกว่าสัมมาชีพประพฤติตนเองทุกเวลาให้เกิดสัมมาชีพให้เกิดสัมมากัมมันตะ คือทำทุกกรรมกิริยากายวาจาใจนี่แหละ จะทำกรรมอะไรก็ตามก็ปฏิบัติให้เป็นสัมมากิเลสก็จะลดแม้พูดอยู่ก็ทำให้เกิดสัมมาวาจา ทำอย่างสัมมาคือทำให้กิเลสลดได้

ทุกๆของการคิดการสังกัปปะก็จะเป็นไปเพื่อให้กิเลสลด ทั้ง 4 ข้อนี้ทำได้ในทุกขณะ ทำอาชีพสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะสัมมาวาจา พูดจาก็ต้องมีอยู่ในตัวการคิดสังกัปปะก็ทำอยู่ในตัวเองตลอดเวลาจะทำงานอาชีพก็ทำไปสิ ทำยังมีสัมมาทิฏฐิ จะรู้ว่าปฏิบัติธรรมนี้ไม่ต้องไปนั่งเสียเวลา แล้วหยุดทํามาหากินทำอาชีพทำการสร้างสรรค์ไม่ใช่เลยไม่ต้องเสียเวลาอย่างนั้นเลย

จะทำกรรมกริยาอะไรก็ให้มีสัมโพชฌงค์ มีสัมมัปปธาน 4 มีสติปัฏฐาน 4  อิทธิบาท 4แล้วจะเกิดผลเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5  มีโพชฌงค์ 7 และมีมรรคมีองค์ 8 นี่คือหลักโพธิปักขิยธรรม 37 นี่เป็นหลักให้เกิดโลกุตรธรรม 37

เมื่อคุณเข้าใจอย่างสัมมาทิฏฐิมีโพธิปักขิยธรรม 37 ปฏิบัติไปก็จะเกิดทั้ง 37 จะมีพัฒนาการของทุกอันทั้ง 37 นี้พัฒนาการขึ้นไป ไม่ได้มีการแยกส่วนเลย จะมีองค์ประกอบต่างๆทำปฏิกิริยากันขัดเกลากันส่งเสริมกันเพื่อจะให้เกิดการบรรลุธรรมให้เกิดกิเลสลด กิเลสลดก็ปฏิบัติธรรมได้ทุกกรรมกริยาในชีวิตธรรมดานี่คือคำสอนเป็นพระอนุสาสนีย์ ของพระพุทธเจ้ามีหลักฐานในพระไตรปิฎก โลกุตรธรรม 37 ก็คือโพธิปักขิยธรรม 37

สมาธิก็อยู่ในข้อหลักของมรรคมีองค์ 8 ข้อที่ 8 คือสัมมาสมาธิผู้ปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิก็คือผู้ปฏิบัติโลกุตรธรรม 36 หรือโพธิปักขิยธรรม 36 ข้อนี้จะสั่งสมจิตเป็นสัมมาสมาธิ เป็นตัวที่ 37

 ก็จะเกิดโลกุตรธรรม 9 โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผลและ อรหัตตมรรค อรหัตตผล และนิพพานหนึ่ง เป็นโลกุตระทำ 9  ก็เป็นโลกุตรธรรม 37 รวมกับโลกุตระ 9 ก็เป็นโลกุตระ 46

ไล่ไปตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ มี 10 อย่าง เมื่อปฏิบัติ อย่างเข้าใจ 10 ข้อนี้เอาไปปฏิบัติให้เกิดสัมมาเป็นก่อนอื่นเลย ว่าปฏิบัติอย่างไรแล้วมันจะมีอะไรบ้างในสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะเข้าใจ ว่าจะทำทานทำอย่างไรมันถึงจะทำให้กิเลสลด ปฏิบัติศีลพรตต่างๆ ซึ่งก็มีวิธีปฏิบัติเป็นโพธิปักขิยธรรม อาจจะแยกเป็นจรณะ 15 หรือวิชชา 8 รวมเรียกว่าไตรสิกขาอะไรก็แล้วแต่ ก็มีหลักใหญ่แค่นี้ฃ

เริ่มตั้งแต่การลดกิเลสในกายสังขารในจิตสังขารในอานาปานสติ จะปฏิบัติลดกิเลสได้อย่างไรก็ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมนี่แหละ ในขณะเวลา ที่ปฏิบัติคืออานาปานสติ ที่ไม่ใช่ไปปลีกแยกนั่งหลับตา

ในอานาปานสติพระพุทธเจ้าว่าแม้จะนั่งหลับตาแม้จะนั่งตั้งกายตรงในตอนใดก็ตาม ชั้นในพระไตรปิฎกเล่ม 9 อธิบายต่อไป เป็นจรณะ 15 มีวิชชา 8 เมื่อตั้งตนในศีลก็ให้สำรวมอินทรีย์ แล้วก็จะต้องมีสติสัมปชัญญะแล้วก็จะต้องทำตนให้เป็นสัตบุรุษ ทำอย่างสัมพันธ์กัน

 เริ่มต้นปฏิบัติให้ปฏิบัติที่ศีลแล้ว 2 ให้สำรวมอินทรีย์ 3 ให้มีสติสัมปชัญญะ  พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในหลายสุดก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 นั่นเองหรือเป็นโพธิปักขิยธรรม ถ้าเข้าใจแล้วมันไม่ได้ยากเลยมีการขยายความกันไปต่างกันบ้าง

เมื่อปฏิบัติต้องเป็นการปฏิบัติกับการลืมตาเปิดผัสสะ ไม่ใช่นั่งหลับตาซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทิฏฐิ 62 การไปนั่งหลับตาอย่างเก่งก็เป็นพวกนักตรึกนึกคิดเอา ตักกีวิมังสี  แล้วเข้าใจว่าการตรึกนึกคิดนั้นคือพิจารณา แท้จริงการพิจารณานั้นไม่ใช่แค่นึกคิด แต่มีการไตร่ตรองมีการตรวจสอบมีการพิจารณาไตร่ตรองตรวจสอบใจ ตรวจสอบกาย ตรวจสอบเวทนา ตรวจสอบจิต ตรวจสอบธรรม ในขณะปฏิบัติธรรมมีการอ่านกิเลสในจิตมีการประหารกิเลสไม่ติด เห็นว่ากำลังทำสงคราม กำลังจัดการกำลังต่อสู้กำลังปรับปรุงปรุงแต่งอะไรก็แล้วแต่เป็นจิตในจิต เป็นการมนสิการ เป็นการปฏิบัติธรรมโดยมีองค์ประกอบภายนอกเพิ่มด้วย ถ้าเว้นจากผัสสะเสียไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตรถ้าเข้าใจไม่ชัดเจนในการปฏิบัติธรรมตามพระอนุสาสนีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องมีเวทนาในการปฏิบัติถ้าไม่มีเวทนาในการปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติที่ผิด

ก่อนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่มีหรอก ที่เป็นสมาธิแบบพุทธมีแต่สมาธิแบบหลับตา หรือสมาธิมิจฉาทิฏฐิแบบฤาษีแต่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว จึงมีสัมมาสมาธิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเลยว่านั่งหลับตาจะเกิดทิฏฐิ 62 หรือแม้คุณจะไม่หลับตาอยู่ในปัจจุบันก็ลืมตา แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ไม่รู้จักผัสสะ 6 ก็คือการเว้นผัสสะเสียก็ไม่มีการปฏิบัติได้ผลไม่เป็นฐานะในการปฏิบัติ ไม่เป็นสติปัฏฐานไม่เป็นที่ตั้งที่จะปฏิบัติ ไม่มีทางปฏิบัติให้เกิดสติสัมโพชฌงค์ไม่เกิดสัมมาสติ

ปฏิบัติตามสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จะคิดจะพูดจะทำอยู่ก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ มีสัมปชานะ  มีธาตุรู้ที่จะตามรู้ว่าเกิดอาการอะไรบ้างจากกิเลสได้ อยู่ ใช้คำว่าวิหารติ วิหารติคือ สำเร็จอิริยาบถอยู่  ที่ในวิโมกข์ 8 มีบอกด้วยว่าสำเร็จอิริยาบถอยู่

กำหนดกรอบขอบเขต ตามปริตตัง ปฏิบัติกาย เวทนา จิต ธรรม จนรู้ตัวอกุศลจิต สมุทัยแท้แล้วกำจัด ทุกอิรยาบถก็ทำให้เกิดสัมมาได้ ตั้งแต่สัมมาอาชีวะอย่างหยาบหยาบเป็นอาชีพขี้โกง กุหนา คือชั่ว คุณก็หยุดมาแล้ว ก็มาปฏิบัติในรายละเอียด ลปนา คือ มีการทุจริตในการพูดอยู่แล้วก็ปฏิบัติในฐานตั้งแต่ศีล 5 เป็นพระโสดาบันเลิกละมิจฉาอาชีพ มาเป็นสัมมาชีพ เมื่อกระทำแล้วสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างยังเป็น การเสี่ยงโชคอยู่ เนมิตกตา ไม่ใช่เสี่ยงโชคซื้อหวย แต่เป็นการปฏิบัติธรรมที่กำลังทดลองกำลังลองผิดลองถูก อย่างมีของจริงไม่ใช่การทำนายว่าจะได้หรือไม่ได้ แต่ปฏิบัติแล้วจะได้ผลหรือไม่ได้ผลนั่นเอง คือปฏิบัติแล้ว เรากำลังเป็นนักรบจะปรับข้าศึกได้หรือไม่ได้ นี่คือ เนมิตกตา

 เมื่อไหร่จะได้ผลจบก็เป็น การเพิ่มไปสู่ การไม่ไปร่วมอยู่กับโจรทำกับโจร เริ่มทำกับโจรก็ยังไม่บริสุทธิ์คุณต้องเลิกละมาอยู่กับหมู่มิตรดีหรือไม่ก็ทำส่วนตัวเอง คุณเป็นพระโสดาบันก็จะมาอยู่กับหมู่บัณฑิต เป็นเหมือนน้ำไหลไปหาน้ำน้ำมันไหลไปหาน้ำมัน

 

 มาอธิบายต่อ ที่เมื่อวานพูดทิฏฐิ 62 ไปบ้างแล้ว

 

 

                          อันตานันติกทิฏฐิ 4

          [35] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้นอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ.

(ที่บอกว่าสมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ท่านหมายถึงนักบวชทั้งหมด ตอนแรกท่านก็ยังไม่มีหมู่เป็นจำนวนมากเท่าไหร่)

          9. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาทอาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆอาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิตจึงมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด. ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

          [36] 10. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้? ดูกรภิกษุทั้งหลายสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่นอาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่าไม่มีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ สมณพราหมณ์พวกที่พูดว่า โลกนี้มีที่สุดกลมโดยรอบนั้นเท็จ

(พ่อครูว่า คนที่มิจฉาทิฏฐินั่งสมาธิหลับตาก็จะเห็นว่ามีโลกแบบที่มีตัวตน เห็นเทวดาก็จะเห็นเป็นตัวตนเหาะลอยไปลอยมา ก็จะไม่เห็นอาการของจิตที่เกิดจากการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่เป็นของหลอกเป็นรสโลกีย์ที่ไม่มีจริง เช่นยกตัวอย่างอาการที่คุณเคยสัมผัสการได้เงินเดือนครั้งแรก คุณได้สัมผัสทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายจริงๆ แล้วแยกแยะ ว่ามันมีอารมณ์ที่เป็นโลกียรสคุณจะเห็นอาการที่มันดิ้นดิ้นดิ้นดิ้นถ้าไม่ให้มันก็ไม่เห็นตาย นอกจากคุณจะไปยึดติดมากเหมือนติดยาเสพติดจนกระทั่งประสาทสลบลงไปเป็นบ้าไปแล้วฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวก็หาย ถ้ามันขาดใจตายมันก็ตายเหมือนกับคนแพ้พิษบาดแผล ทนพิษบาดแผลไม่ได้เข้ากันไม่ได้แต่บางคนเป็นหนักกว่าอีกทำไมถึงได้ไม่ตาย

คำว่าพิจารณากายสังขารไม่เกี่ยวกับภายนอกเลย ให้มาพิจารณา จิต มโน วิญญาณ ไม่ใช่ดับกิเลสที่กาย คนที่ไปนั่งสมาธิ นั่งแล้วปวดขา ปวดเอว เขาว่ากายไม่สงบ อันนี้ผิดหมด เพราะเข้าใจคำว่ากายผิดตั้งแต่ต้นว่า กายไม่ใช่ร่างกาย กายคือองค์ประกอบสองส่วนแล้วเวลาพิจารณาให้พิจารณาที่จิต

เช่นตาเห็นรูป ไม่ใช่ไปพิจารณารูปนอก มันมีสีอะไรไม่ใช่ มันต้องพิจารณาว่าคุณรู้สึกกับมันเช่นไร แต่เหตุปัจจัยภายนอกทำให้คุณเกิดกิเลสอย่างนั้น ซึ่งเป็นความจริงเพราะสัมผัสกับเหตุนั้นอยู่เป็นปัจจุบัน

 เชิญคุณสัมผัสกับฟักข้าว 2 ลูกนี้อันหนึ่งตอนแรกคุณก็ว่าชอบทั้ง 2 อันแต่พอพิจารณาอีกลูกไหนมีตำหนิมีเน่าคุณก็จะไม่ชอบมันก็จะมีเหตุปัจจัยให้คุณสัมผัสก่อให้เกิดกิเลส แม้แต่ฟักข้าว 2 ลูกนี้ ที่ไม่เหมือนกันคุณก็ยังเกิดอาการต่างกันซึ่งมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงได้

 สมมุติว่าคุณชอบอันนี้คุณก็จะเอาอันนี้แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้เพราะมีคนอื่นเค้าจองไว้แล้วเป็นเจ้าของคนมาทีหลังก็ไม่ได้ก็ต้องเอากันที่เหลือ คุณก็เลย เกิดความ เปลี่ยนใจมาชอบอันที่มีแผลหน่อย กิเลสของคุณมันไม่เที่ยงมากเดี๋ยวมันก็ชอบเดี๋ยวมันก็ไม่ชอบ บ้าบ้าบอบอทั้งนั้น

แม้แต่คนที่ได้เงินเดือนเดือนแรกแต่พอครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 มันไม่เหมือนเดิมดีไม่ดีเพื่อนคนอื่นเงินเดือนขึ้นเราก็เลยเซ็งว่าเราไม่ขึ้นเงินเดือนให้ได้ทั้งที่ได้ธนบัตรใบใหม่ๆเหมือนกันกับครั้งแรกรู้ทีหลังได้มาเป็นใบใหม่กว่าครั้งแรกอีกแต่ทำไมครั้งแรกยิ นดีครั้งต่อไปทำไมไม่ยินดี กลับไม่ยินดี เพราะว่าเงินเดือนตอนไม่ขึ้น)

 

ต่อในพระไตรปิฎก

 

โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรเป็นที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่าหาที่สุดมิได้ ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้วปรารภแล้วมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

          [37] 11. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้?

(มีพวกดับคือมีที่สุด แต่พวกที่ใสๆ คืออนันตา คือไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนคนโลภ พวกนักธุรกิจนี่โลภไม่มีที่สิ้นสุด พวกนักมักน้อยจะมีที่สิ้นสุด แต่บางคนเขาก็ไม่ถึง 0 ก็เอาไว้เท่านี้ แล้วแต่ใคร

อาตมาเทียบ วอเรนบัฟเฟต เขามีเงิน ก็บริจาค 80 % ของเงินที่เขามี มาเจอมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เขาบริจาค 99% ก็คือเขาพอของเขา เขาพอแค่เหลือเศษ 1 % เขามีเงินหลายแสนล้าน เหลือ 1% ก็ไม่รู้เท่าไหร่ น่าจะเหลือเป็นหมื่นล้านเล

แต่วิธีการของทุนนิยม ทำให้เงินไหลเข้ามาวันละไม่รู้เท่าไหร่เลย การที่เขาบริจาคก็ขอชมเชยว่าคุณก็ยังหมุนมาให้คนอื่น ถ้าคุณเอาไปลงทุนคุณก็จะได้เพิ่มอีก แต่ถ้าคุณไม่แล้วก็พอแล้ว นอกนั้นก็ไปฝากแบงค์ก็ออกดอกให้ เท่านั้นก็เหลือแหล่

การจะสละออกก็เรื่องจิตวิญญาณทั้งสิ้น คนที่ทำงานแบบปากกรวยบานออกไปไม่มีจบ แต่คนที่จะไปทางสูญ ก็ไปหาก้นกรวย แล้วอยู่กับระบบสาธารณโภคีนี่ดีสุด คนเป็นคนบรรลุธรรม แล้วขยันช่วยคนอื่น เขาก็จะเลี้ยงไว้ ตนเองไม่สะสม ไม่ริสยาใคร ถ้าได้เท่าที่ได้ก็ไม่ดื้อดึงดันเอา เป็นอรหันต์แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจมีบ้าง เป็นความเจริญของอรหันต์ ที่จะอยู่อย่างมีคนรักคนบูชา มันซ้อน คนยิ่งมักน้อยคนจะยิ่งมาช่วยเยอะ คนยิ่งขี้โลภ คนยิ่งไม่อยากช่วย เป็นธรรมชาติ คนธรรมดา ยิ่งแสดงความโลภออกมาเขาจะยิ่งไม่ให้ เขาจะบอกว่าเมื่อไหร่จะตายไป แต่ถ้ายิ่งคบกันคนนี้ยิ่งไม่เอาๆ มีแต่คุณประโยชน์มาให้ตลอดเวลาก็เป็นสัจธรรม ขอให้เป็นอาริยะสัมมาทิฏฐิจริง)

 

 ดูกรภิกษุทั้งหลายสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่นอาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่าโลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิตย่อมมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

          [38] 12. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกนี้มีที่สุดและหาที่สุดมิได้? ดูกรภิกษุทั้งหลายสมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิญาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ ทั้งสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุดนั้นเท็จ โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ จะบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ สมณพราหมณ์พวกนั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดนั้น ความดับไปคุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริงจึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                             อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4

          [39] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีทิฏฐิ ดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ?

          13. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล คำพยากรณ์นั้นของเราจะพึงเป็นคำเท็จ คำเท็จของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การกล่าวเท็จเพราะเกลียดการกล่าวเท็จ เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

          [40] 14. (2) อนึ่งในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิ ดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัว?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศลนี้เป็นอกุศล ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจในข้อนั้น พึงมีแก่เราข้อที่มีความพอใจ ความติดใจหรือความเคืองใจ ความขัดใจนั้น จะพึงเป็นอุปาทานของเราอุปาทานของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่อุปาทานเพราะเกลียดอุปาทาน เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

          [41] 15. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศลก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะเป็นดุจคนแม่นธนูมีอยู่แลแม้ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวทำลายทิฏฐิด้วยปัญญา เขาจะพึงซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนเราในข้อนั้น เราไม่อาจโต้ตอบเขาได้ การที่โต้ตอบเขาไม่ได้นั้น จะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เราความเดือดร้อนของเรานั้น จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การซักถาม เพราะเกลียดแต่การซักถาม เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

          [42] 16. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว?ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้เป็นคนเขลา งมงาย เพราะเขลา เพราะงมงาย เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ เขาจึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ถ้าท่านถามเราอย่างนี้ว่าโลกหน้ามีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า โลกหน้ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า โลกหน้ามี แต่ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ถ้าท่านถามเราว่า โลกหน้าไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี ...ถ้าท่านถามเราว่า โลกหน้ามีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย ... ถ้าท่านถามเราว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามี ... ถ้าท่านถามเราว่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี ... ถ้าท่านถามเราว่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้น มีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย ... ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้าท่านถามเราว่าผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามี ... ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มี เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มี ... ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีด้วย ไม่มีด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีด้วย ไม่มีด้วย เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีด้วย ไม่มีด้วย ... ถ้าท่านถามเราว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่ว มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่หรือถ้าเรามีความเห็นว่ามีอยู่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีอยู่ ... ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไม่มีอยู่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่าไม่มีอยู่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่าไม่มีอยู่ ... ถ้าท่านถามเราว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยหรือ ถ้าเรามีความเห็นว่า มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วยเราก็จะพึงพยากรณ์ว่า มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย ... ถ้าท่านถามเราว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่หรือ ถ้าเรามีความเห็นว่ามีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ เราก็จะพึงพยากรณ์ว่ามีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ แต่ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายสมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไปคุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริงจึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

พ่อครูว่า...ต้องเรียนรู้จากเวทนาทั้งนั้น เราจะอนุโลมให้มีหรือไม่มีก็อยู่ที่ พระอรหันต์พระอาริยะจะใช้ สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4

ก็ยังดีนะที่พวกคุณฟังแล้วไม่รำคาญเท่าไหร่ ..จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:33:28 )

581206

รายละเอียด

581206_วิถีอาริยธรรม 100 ปีชาตกาล คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง

สพ.ว่า...วันนี้รายการวิถีอาริยธรรม เป็นรายการพิเศษ

มีอาหญิง (อำพา สันติเมทนีดล) เป็นผู้ดำเนินรายการ

มีคุณพงษ์ศักดิ์ พยัควิเชียร  อ.วารยา พึ่งตนเพียร คุณคุณรวิอร ชิ้ววงษ์ ร่วมรายการ

ทั้งสามท่านเป็นผู้ทำงานใกล้ชิดกับคุณนิลวรร​ณ ปิ่นทอง ที่ท่านเกิด 6 ธ.ค. 2458 มาถึงวันนี้ก็อายุครบ 100 ปีซึ่งไม่ง่ายเลย ก็ขอกราบนิมนต์พ่อครูกล่าวนำ

พ่อครูว่า...ไม่ง่ายเลยที่จะมีอายุถึง 100 ปี ซึ่ง100 ปีของมนุษย์จึงเป็น 100 ปีที่มีคุณค่ายิ่ง ถ้าผู้ใดมีอายุ 100 ปีเช่นกัน แต่เป็น 100 ปีที่เลอะเทอะ เสพสุข ทำทุจริตอกุศล คนเช่นนั้น 100 ปีก็ไม่มีคุณค่าเลย นี่คือความหมายของอายุ พฤติกรรมของคนที่จะมีอายุไปกับกาลเวลา

อาตมาเคยสรุปว่า ชีวิตคนเรามีแต่กรรม กับ กาล ที่เป็นเครื่องชี้บ่งถึงชีวิตมนุษยชาติ

อ.นิลวรรณนอกจากมีคุณค่าต่อมนุษยชาติแล้ว อาตมาก็ต้องเคารพระลึกถึงท่านเสมอ

อาจารย์เอ็นดูอาตมาช่วยเหลือตามมาหลายอย่างหางานให้ทำเป็นคนที่มีไอเดียในการที่จะให้เงินคนก็ไม่ใช่จะให้เงินคนอย่างให้แล้วไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ให้รู้จักการรู้จักคุณค่าของงานการรู้จักคุณค่าของเงินไม่ใช่เอาเงินยัดใส่มืออย่างเดียวแต่ให้หางานทำ ไม่มีอะไรก็ให้หัดฝึกจับมือพิมพ์ ลงตัวตะกั่วในสมัยก่อนนี้กับโรงพิมพ์ ได้กี่หน้ากี่บรรทัด ให้ฝึกมาแล้วก็ให้ค่าแรงด้วยก็ได้เงินพวกนี้มาใช้ชีวิตเรียนหนังสือ จนกระทั่ง จนอาตมาทำงาน เขียนหนังสือ ถ่ายรูปลงหนังสือ ท่านก็จ่าย หางานให้ ไม่มีก็สร้างห้องสมุดที่วังสราญรมย์ก็ให้เป็นสาราณียกรเป็นผู้จัดการเป็นห้องสมุดประชาชนและได้เงินเดือนสำหรับใช้จ่ายเลี้ยงชีพตลอดเวลา แล้วยังจำไม่ได้อีกหลายอย่าง

       นอกจากจะเป็นคนเลี้ยงดูอุ้มชูเรื่องของอะไรอะไรแล้ว ในเรื่องของการศึกษาเล่าเรียนการที่จะให้อาตมาได้รับความรู้ความสามารถต่างๆจะพยายามส่งเสริมอย่างเช่นเรียนภาษาก็ไปซื้อตำราเรียนภาษาอังกฤษทั้งตำราไวยากรณ์ พจนานุกรมเอามาให้บอกว่าคุณรักเข้าไปดูเอาไปอ่านหนังสือ conversation อะไรต่างๆนานาซื้อมาให้สรุปแล้วก็คืออย่างกับแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงเรามาอาตมาเรียนจบแล้วไปทำงานที่สถานีโทรทัศน์แล้ว เชิญท่านไปเป็นวิทยากรออกอากาศหรือว่าจะทำงานร่วมกันออกอากาศที่โทรทัศน์เมื่อใดพอเสร็จแล้วท่านจะได้เงินค่าวิทยากรอาตมาก็เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลกำกับรายการเวทีอะไรก็แล้วแต่ก็ให้ท่านเสร็จรับเงินท่านก็เสร็จรับเงินเกษตรแล้วเงินก็หยิบใส่มืออัฐมาไม่เอาไปสักทีไม่เคยเอาเงินสักที เพื่อจะมาทำงานแล้วก็บอกว่าอาจารย์ตอนนี้ผมทำงานแล้วแต่อาจารย์เค้าว่าเธอเอาไปเธอมีลูกฉันไม่มีลูกเพราะท่านเป็นคนโสดแต่ทำไมไม่มีลูกแต่มีน้องต้องเลี้ยงทั้ง 6 คนท่านรู้ประวัติหมด เป็นเรื่องส่วนตัวเที่ยวตามมาก็ต้องเล่าหรือรำลึกถึงคุณงามความดีของคนทั้งส่วนตัวและส่วนรวมที่ท่านทั้งหลายมาร่วมรายการก็คงจะได้สาธยายตอนนี้ก็เกินเอาไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกันสำหรับอาตมา

 

ส.เพาะพุทธว่า…..บทกลอน

 

อยู่ยืนยาวสาวโสดประโยชน์สุข

สตรีสารเดินผ่านยุคอันยิ่งใหญ่

เป็นคุณย่าบรรณาธิการผ่านวัย

สร้างปัญญาแห่งยุคสมัยเสมอมา

 

สร้างคนด้วยการให้อย่างฉลาด

มีโอกาสผลิตนักเขียนเพียรคุณค่า

สร้างสืบสานบานผลิสติปัญญา

สร้างศรัทธา คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง

 

คุณอำภาว่า...นิลวรรณ ปิ่นทอง เกิดมาในครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย มารดาเสียชีวิตตั้งแต่เด็ก จบชั้นมัธยม 6 จากโรงเรียนเบญจมราชาลัย และเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ได้วุฒิป.ป. จากนั้นเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ (เป็นรุ่นที่ 4 ปี 2477) จบแล้วเป็นครู 1 ปี แล้วย้ายมารับราชการในกรมโฆษณาการอยู่ 9 ปี จึงลาออกมาทำงานด้านบรรณาธิกา เมื่อปี พ.ศ. 2491 เป็นบรรณาธิการนิตยสาร สตรีสาร และปี 2492 รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการอีก 2 เล่มคือ ดรุณสาร สำหรับเยาวชน และ สัปดาห์สาร สำหรับเรื่องข่าวสาร นิตยสารสตรีสาร ได้รับรางวัลพระเกี้ยวทองคำ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะนิตยสารส่งเสริมภาษาไทยดีเด่น เมื่อปี พ.ศ. 2530 จนดำเนินการถึงปี 2539 จึงได้ปิดตัวลงไป

นอกจากนั้นนิลวรรณ ยังเคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูถัมภ์ เคยได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการประชาชน จากมูลนิธิแมกไซไซ ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2505 และได้รับปริญญา อักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (กิตติมศักดิ์) เมื่อปี 2517 ยังได้รับการโปรดเกล้าฯ รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เปลี่ยนคำหน้านามเป็น "คุณ" (อันเป็นคำนำนามระดับชั้นเดียวกับสุภาพสตรีระดับ “คุณหญิง[1] แต่ใช้สำหรับสตรีที่มิได้สมรส) ปัจจุบันยังทำงานให้สมาคมสตรีอุดมศึกษา โดยก่อตั้งกลุ่มนักอ่านคัดเลือกหนังสือเพื่อพัฒนาตนขึ้น

 

ดิฉันได้อ่านหนังสือสตรีสารนี้เป็นหนังสือที่ถือว่าก้าวหน้ามาก แต่ไม่นานก็ปิดตัวลงในปี 2539 เสียดายหนังสือที่ให้สาระความรู้ปัญญาให้ผู้หญิงได้รู้จักตัวเอง การเสวนาวันนี้ มีท่านจันทร์ เป็นผู้ที่ดิฉันให้ความเคารพอย่างสูง มีอ.พงษ์ศักดิ์ พยัควิเชียร เป็นบก.นสพ.มติชนในอดีต เคยสัมภาษณ์อาตมาตอนเข้าทำงานที่มติชน เป็นผู้ที่ดุมากตอนนั้น เป็นผู้ที่บุกเบิกในเรื่องการทำข่าวแบบเจาะลึก

อ.พงษ์ศักด์ ...ตั้งแต่ผมไปยืนเกาะโต๊ะท่านตอนอายุ 12 ขวบ ท่านเป็นผู้ที่ใจดีมาก ไม่เคยดุผมเลย บ้านผมอยู่แถวเฉลิมกรุงใกล้โรงพิมพ์สตรีสาร วันพฤหัสบดีไม่ได้ไปไหนก็เดินมาที่โรงพิมพ์สตรีสารไปคอยเกาะแกะอยู่หน้าโต๊ะ ช่วยท่านหยิบโน่นนี่ ท่านไม่เคยดุ ท่านก็ให้ช่วยเหลาดินสอ แต่ละอันเหลาด้วยมืออย่างดี ผมก็คอยเดินไปมา ถามนั่นนี่ ท่านไม่ได้รำคาญอะไร แต่ถ้ากวนใจมากๆ ท่านก็บอกว่า นายป๋อง เธอไปดูโรงพิมพ์หน่อย ช่วยโน่นนี่หน่อย ผมเป็นคนเดียวที่สามารถเข้าโรงพิมพ์ได้ ทั้งที่ห้ามคนอื่นๆ ผมตื่นเต้นมากในการได้เห็นโรงพิมพ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์

ผมมีโอกาสได้เข้าไปที่โรงพิมพ์สตรีสาร ก็ไปช่วยงานเขา ผมทำนสพ.ในห้องเรียนมาตั้งแต่ 10 ขวบ ก็ได้เรียนรู้จากอ. สิ่งที่ผมได้รับ นอกจากให้ความรู้การศึกษาแล้ว ก็เป็นผู้ที่เร่ิมต้นอาชีพที่ทำมาได้ 55 ปีแล้ว พ่อท่านโพธิรักษ์ก็เป็นครูที่น่ายกย่อง พ่อครูสอนผมให้เล่นละคนวิทยุ ผมก็ได้เป็นตัวเอง เป็นผู้บรรยายด้วย

มีอยู่คราวหนึ่ง ผมไม่สบายไปสาย ผมก็ไปเล่นจนเป็นลม ท่านอ.นิลวรรณพอรู้ข่าว ท่านก็ดุคนผู้จัด ว่าทำไมให้ผมเล่น ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่ท่านให้ ท่านให้ไปสโมสรปรียา ซึ่งมีลูกศิษย์ที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตหลายคน เช่นคุณนรนิตย์ เศรษฐบุตร หรือพ่อท่านก็เป็นสมาชิกรุ่นใหญ่ในสโมสร อ.นวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

เราได้รับการถ่ายทอดมาจากตัวอาจารย์จิระวรรณผู้เป็นครู อาจารย์นิลวรรณปิ่นทอง เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่มีอีกหลายคน ลองมาเป็นตัวเป็นตนทุกวันนี้ มีความดีงามความภูมิใจในตัวเองทุกวันนี้ก็มาจากสโมสรปรียา มีอยู่คราวหนึ่งได้เชิญท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ปราโมช เขาบอกว่าใครจะเสนอตัวขึ้นไปถามอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ไม่มีใครเสนอตัวผมก็เลยยกมือขึ้นไปเพราะตอนเด็กๆผมได้อ่านหนังสือสยามรัฐของท่าน 50 สตางค์ผมก็ขึ้นไป กราบเรียนท่านผมก็เป็นเด็กวัดเก่าผมก็ถามท่านว่าเรื่องความเชื่อ เรื่องการล้างบาปก็สงสัยว่าล้างบาปของศาสนาคริสต์บอกว่าล้างบาปได้แล้วมันจะไม่ขัดกันหรือฉันแค่คริสก็อธิบายอย่างละเอียด ในเรื่องของพระพุทธศาสนาท่านก็ให้คำชมผมมาว่า หนูถามคำถามดีนะเราท่านกล่าวอวยชัยให้พร ขอให้เจริญก้าวหน้าทางสติปัญญาอันนั้น

ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเจริญเติบโตมาเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ยังบอกว่าพอที่จะชื่นชมตัวเองได้ว่าเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ดีที่ถูกต้องคนหนึ่งต่างๆเหล่านี้ ในสมัยนั้นที่โอกาสของเด็กจะมีน้อยมากมีสถานีวิทยุเพลงแค่ 2 สถานีที่มีรายการเด็กดื้อของ 1 ปณ. ที่เป็นรายการของให้สถานหนึ่งของกรมประชาสัมพันธ์ รู้สึกว่าเป็นของอาจารย์พร เล่นเพลงมีร้องเพลงในสมัยนั้นไม่ได้มี 2 สถานีแต่ระบบสังคมไม่มีสื่อมากมายอะไรขณะที่ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องราวที่ไม่มีคุณต่อประเทศไทยก็มี

คนอย่างผมได้เกิดขึ้นมาจาก 2 สถานีนั้นแล้วก็มีเด็กจำนวนมากที่เติบโตจากรายการ ของอาจารย์พร สมัยนี้มีทีวีเป็นร้อยเป็นพันสถานีโทรทัศน์หลายร้อยช่องวิทยุสื่อมากมายอาจจะมีรายการของเยาวชนมากขึ้นจะเป็นรายการซึ่งเป็นของหวานเป็นยาพิษที่เคลือบของหวาน ที่จะให้กับเยาวชนที่เป็นคนในชาติได้รับฟังมีแต่การขายการเอาไก่ได้สภาพของสังคมเราถึงเป็นอย่างนี้ ที่ทุกคนทุกฝ่ายต่างเรียกร้องว่าจะต้องปฏิรูป ปฏิรูปสังคมชีวิตที่เป็นอยู่ อย่างนี้มันไม่ใช่การปกครองการศึกษาวิถีชีวิตก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกหลานก็ไม่ใช่ สังคมเราต้องการปฏิรูปแต่ก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร

ขณะนี้เรายังยังคงมีชีวิตอยู่ วันครบร้อยปีก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่นี้อยู่ฉันยังคงรับที่จะให้พวกลูกหลานลูกศิษย์ลูกหาไปพบท่าน แล้วก็บอกสายตาถึงความเมตตาปราณีแล้วก็พูดถึงสิ่งเก่าๆให้เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ไปเยี่ยมเยียนท่านให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่เหมือนกับที่ท่านได้ทำมาตลอดชีวิตต่อไปไม่สิ้นสุด

แต่ขณะนี้โดยส่วนตัวความรู้สึกของผม ผมมีความรู้สึกว่าคนในสังคมส่วนใหญ่จะเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์หรือผู้หลักผู้ใหญ่ผู้อาวุโสผู้มีชีวิตไม่ว่าอยู่เท่าไรก็ตาม ไม่เอาธุระกับบุคคลอื่นไม่เอาธุระที่จะมองเห็นสิ่งอะไรไม่ถูกต้องหรือจะทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างไร ไม่เอาภาระจะสอนที่จะสั่งที่จะบอกถึงความดีงามจากอดีตของตัวเองมาเพื่อจะให้เป็นความรู้กับบุคคลในปัจจุบัน

ว่าปัจจุบันนั้นมีรากหน้ามีอดีตมีที่มาที่ไปให้รู้จักที่มาที่ไปรู้จักและเข้าของอดีตว่าสังคมนี้เป็นอย่างไรแล้วสามารถมีจุดปักหมุดเป็น bench mark อดีตไว้ถ้าเราเข้าใจรู้ซึ้งถึงอดีตความดีงามความถูกต้องประสบการณ์ทางที่ผ่านมาของผู้ที่ผ่านกาลมาก่อนเรา ก็จะเข้าใจปัจจุบันได้ง่ายด้วยวิถีชีวิตวัฒนธรรมรูปแบบของความเป็นอยู่ของเรา ไม่ใช่ไปเอารวบยอดมาจากตะวันตก สมัยหนึ่งญี่ปุ่นมาก็เอาอย่างญี่ปุ่น เกาหลีมาก็เอาอย่างเกาหลี หน้าตาคนไทยก็กลายเป็นเกาหลีกลับจากญี่ปุ่นมาเป็นเกาหลีจนกระทั่งเดินไปในถนนหน้าตาทุกคนออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันหมดแต่ไม่ใช่พิมพ์ไทย เป็นพิมพ์ต่างชาติซึ่งเราไม่รู้จักกำพืดจากที่มา ถ้าเราจะเข้าใจในขณะนี้ ถ้าไม่มีที่มาจากอดีตเราจะไม่เข้าใจปัจจุบันและจะไม่เท่าทันอนาคตได้

 ถ้าขีดเส้นตรงจากอดีตถึงปัจจุบันอนาคตมันก็จะเป็นเส้นตรงเดียวกัน อยากจะขอร้องว่าผู้ใหญ่ทุกคน ขอให้เป็น ผู้หลัก เป็นหลักของสังคม เป็นหลักของคนปัจจุบันและคนรุ่นหลังมือจะเป็นรุ่นเหลนรุ่นหลานให้สังคมนี้ได้มีปูชนียบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่างที่ผม ได้มีโอกาสได้พบผู้ใหญ่ที่เป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างท่านอาจารย์นิลวรรณ อย่างพ่อครูโพธิรักษ์และอีกหลายท่าน หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช ให้ทำเถิดครับ ทอดธุระในเรื่องเหล่านี้หน่อยเถอะครับ ในบ้านของท่านเห็นลูกหลานเอาแก้วน้ำวางไว้บนโต๊ะอยู่ตรงขอบท่านช่วยเดินเอาไว้ให้อยู่ในโต๊ะมากขึ้น อย่าให้ตกแตก ท่านสอนไปเถอะครับในสิ่งที่ดีงามที่ถูกต้อง เด็กจะฟังหรือไม่ฟังเขาฟังครับวันอย่างผมไม่อยากพูดเราทุกคน ที่ได้รับตอนเด็กเราก็ฟัง ขอให้เข้าใจแล้วก็ช่วยกันครับในสิ่งที่เราไม่ต้องการเห็นสังคมในขณะนี้เป็นอย่างไรเราอยากให้เป็นอย่างไรก็ช่วยบอกช่วยพูดช่วยทำช่วยสอนประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งถูกต้องทั้งดีทั้งที่ผิดพลาดเอามาเป็นตัวอย่างให้กับลูกหลานเรา

เพราะในขณะนี้สิ่งยั่วยวนท้าทายที่เป็นอบายมุข ที่เป็นกิเลสมันมีเยอะตื่นขึ้นมามันก็เข้ามาหลอกในขณะนอนเกรดก็เข้าไปอยู่ในความฝันเป็นผู้ใหญ่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นพี่เป็นครูบาอาจารย์ไม่ทำหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ แล้วเราจะมานั่งบ่น ว่าสังคมนี้เป็นอย่างนี้ มีปัญหาถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ปัญหาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาถ้ารอพินิจพิจารณาอย่างนี้ทุกวันตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันเราก็คิดว่า ความต้องการในการที่จะปฏิรูปสังคมของประเทศของเราให้เป็นสังคมของคนที่มีคุณธรรม เป็นสังคมที่มีคุณภาพ ก็ต้องนำต้นด้วยคุณธรรมก่อน เป็นธรรมของพรหม คุณธรรมต้องนำทุกอย่าง คุณธรรมต้องนำความรู้ คุณธรรมต้องนำการศึกษาคุณธรรมต้องนำการปกครองคุณธรรม ก็คือธรรมะของพระพุทธองค์คือเมตตาจริงคือกรุณาแท้มีมุทิตาต่อบุคคลอื่นและอุเบกขาก็จะตามมาในบริบทที่เหมาะสม

 ที่พูดอย่างนี้ผมก็ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ กราบขออภัยที่พูดออกนอกเรื่องแต่ทั้งหมดที่ได้มานี้คือได้มาจากอาจารย์นิลวรรณปิ่นทองที่มีจิตวิญญาณของนักหนังสือพิมพ์

อาหญิงว่า..สำหรับท่านต่อไปอาจารย์ วรายา พึ่งตนเพียร

อาจารย์วรยากล่าว….ขอบคุณสันติอโศกที่นึกถึงกันแล้วกรุณาให้เกียรติเราทั้งสองคน ทั้งๆที่คิวงานแน่นมาก แต่ก็คุยกับคุณนุ้ย(รวิอร) ก่อนว่ามีรายการนี้เกิดขึ้นในวันนี้อาจารย์บก.อายุครบร้อยมาบูชาครูกันดีกว่า เป็นการบูชาครูของเรา และเคยได้พบท่านโพธิรักษ์ที่ท่านมาเยี่ยมสตรีสารด้วย

 

ขอแนะนำตนเอง วารยา พึ่งตนเพียร ได้ทำสตรีสารในช่วง10 ปีหลัง ตั้งแต่เป็นนิสิตอยู่ปี 3 ปิดเทอม คุณแม่ก็บอกว่าให้ไปหา อ.บก.ว่ามีอะไรให้ทำไหม อ.ก็ให้เขียนเรื่องเด็กๆ ให้ทำงาน ตอนปิดเทอมที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ พอจบแล้ว อ.ก็ว่าตั้งโต๊ะให้แล้วก็มาทำงานได้ เราก็บอกว่าไปเที่ยวเดือนหนึ่งแล้วก็ไปทำงานจนจบสตรีสารไม่ได้หยุดเลย

คงจะมองผ่านสิ่งที่อ.สอน ทั้งสอนโดยตรงและสอนคนอื่นด้วยตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ที่สตรีสารท่านโพธิรักษ์บอกว่าคุณค่าของมนุษย์อยู่ที่คุณค่าที่ได้ให้ต่อมนุษย์ ในระยะที่เคยทำงานก็ยังไม่ได้ทราบจนเวลาผ่านไปสตรีสารได้ยุติก็ได้เข้าใจ หลายๆเครื่องมากขึ้นพูดถึงเรื่องที่อาจารย์สอนเช่น

ตอนแรกที่เข้าไปอาจารย์ก็ให้ทำอยู่ 2 สิ่งคือให้ดูภาคพิเศษสำหรับเด็กอยู่ตรงกลางเล่มแล้วให้แปลการ์ตูน ไปส่งอาจารย์เสร็จอาจารย์ก็แก้ตัวแดงมาเต็ม

….

เราก็ได้เห็นแนวทางวิธีการการตรวจแก้ต้นฉบับของอาจารย์ว่าควรจะเป็นอย่างไรลักษณะไหนแต่สิ่งหนึ่งที่เราค่อยค่อยจับสังเกตได้คือการให้เกียรติกับผู้เขียนการดูแลต้นฉบับเสียงดี ฝึกการอ่านให้ครบหมดทุกอย่างตรวจแก้อย่างตั้งใจถ้าใช่ไม่ใช่อย่างไรก็จะต้องมีโน้ตถามผู้เขียนนี่คือการแสดงความให้เกียรติกับผู้เขียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันทั้งๆที่ในนิตยสารรายสัปดาห์มนต้นฉบับเร็วมากต้องทำงานเร็วมากกลับดึกดื่นตลอดเวลาแต่ฉันก็มีรายละเอียดที่ทำให้รู้สึกว่าให้เกียรติกับผู้เขียน

เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องที่ การดูแลผู้อื่นชอบคนที่เขียนมาให้สัตว์อีสานมีความหลากหลายมากอาจารย์ทำให้เห็นว่าการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างหลากหลายเป็นอย่างไรผ่านคอลัมน์และผ่านการพบเจอกันจริงๆๆสุทธิสารจะแบ่งภาคเป็นผ้าของเด็กและผู้ใหญ่แต่ในระยะหลังก็จะมีเพิ่มในส่วนที่เรียกว่าส่วนของวัยสาววัยหนุ่มคือมีครบทุกช่องในการสื่อสารกับคนทุกกลุ่ม

สิ่งหนึ่งที่เมื่อกี้อาจารย์พงษ์ศักดิ์ได้เล่าและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวเป็นจำนวนมากเพื่อฉันพยายามเปิดโอกาสให้กับคนทุกวัยเขียนเรื่องมามีจำนวนมากพอได้พบเรื่องดีๆ ทั้งเรื่องสั้นทั้งเรื่องเล่าจากประสบการณ์อาจารย์ก็เริ่มจัดประกวดรางวัลสาวหนุ่มก็จะมีลำนำกวีเรื่องสั้นประสบการณ์มีการประกวดรับรางวัลในการเชิญผู้หลักผู้ใหญ่มาในงานนี้คนสามหนุ่มที่มาจากหลากหลายจากอ. เมืองจากอุบลจากภาคใต้จากหลายที่มาก ก็จะมีเพื่อนมาจากอะไรที่มากมาย เชิญคุณกฤษณาอโศกสิน

หนักเขียนสาวหนุ่มได้พบเจอนักเขียนรุ่นใหญ่อาจารย์บอกก็ได้เปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นได้พูดคุยเข้าไปนั่งรับประทานอาหารกันพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปขายกับที่อาจารย์พงษ์ศักดิ์ได้เล่าว่าจะบอกเป็นคนที่เปิดโอกาสให้กับคนทุกเพศทุกวัยเพิ่มเติมความรู้สร้างกำลังใจสร้างแรงบันดาลใจ ให้เราไปเจอคนที่เป็นเซเลบหรือ idol เป็นการสร้างแรงบันดาลใจเป็นลักษณะที่อาจารย์บอกก็ได้เปิดโอกาสให้กับคนสาวหนุ่มและรักษานี้

กรมที่เป็นนักเขียนผู้ใหญ่มากๆมีหลายท่านวิธีปฏิบัติต่อคนที่เป็นนักเขียนที่มีฝีมือมากๆแต่ทุกท่านที่เขียนมาลงสตรีสารหลายท่านก็บอกว่าเกร็งเพราะมาตรฐานสูง แต่จริงๆแล้วทุกคนก็จะอยากเขียนมาลงเพราะรู้สึกว่าเป็นความท้าทายประการหนึ่งที่จะได้ลงสตรีสารสิ่งที่อาจารย์คุณนิลาวัณย์ปฏิบัติตอนนักเขียนผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ปฏิบัติแบบให้เกียรติอย่างมากเหมือนกับให้เกลียดทุกคน เชิญชวนมาเขียนแต่ไม่ได้ตามใจถ้าสมุดวาดเขียนไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่มันไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ก็คุยกันเชิญมาคุยกันอาจจะมีโน๊ตเล็กๆเชิญไปด้วยกันว่าทำไมเป็นอย่างนี้คิดอย่างไรแล้วถ้าคิดว่าการนำเสนอด้วยถ้อยคำหรือความคิดแบบนี้ไปสู่คนจำนวนมากรักคนอ่่านมีจำนวนมากวาสนาสิ่งเหล่านี้ไปมันเป็นประโยชน์อะไรต่อความคิดหรือความรู้สึกเป็นความดีงามอะไรอย่างไรก็ลองแลกเปลี่ยนเล่าสู่กันฟังถ้าสมมุติว่ามันเป็นความดีงามก็จบไม่มีปัญหาแต่ถ้ามันมีลักษณะที่ล่อแหลมตัวอย่างเช่น

 ถ้าเป็นนวนิยายเขียนสะท้อนสังคมรุนแรงมากและบรรยายฉากอยากเห็นภาพชัดเจนมีความรุนแรงชัดเจนอาจารย์ก็จะบอกว่านิตยสารมีคนอ่านไลน์วัยรุ่นนี้สามารถทำให้รู้สึกถึงความรุนแรงแต่ไม่ต้องใช้ถ้อยคำให้เห็นกระจ่างมากได้ไหมมีกลวิธีในการเขียนที่ทำให้คนอ่านคิดได้เองรู้สึกถึงความรุนแรงเองแต่ใช้กรวีร์ในการเขียนให้ผู้เขียนยอมรับสิ่งที่อ.บก.บอกให้

 

อ.รวิอร ชิ้ววงษ์

 

ตอนทำงานใหม่ๆตอนเข้าไปทำงานอาจารย์ก็อายุมากแล้วอาจารย์ก็ไม่ค่อยได้เข้าไปในสตรีสารเท่าไหร่แต่ตอนเพื่อจันทร์เลิกกิจการและอาจารย์กลับไปเริ่มเก็บกวาดสตรีสารก็ได้ไปร่วมทำงานอาจารย์ก็มีความดำริใหม่ให้ทำงานมูลนิธิตัวเองเป็นคนขับรถได้ใช้คอมพิวเตอร์ได้เป็นรุ่นสุดท้ายที่อาจารย์สามารถให้เป็นไม้ติดมือทำโน่นทำนี่ได้ก็เลยได้รับหน้าที่ดูแลอาจารย์ ในทุกเรื่องที่เป็นเรื่องที่ติดต่อกับคนอื่นอาจารย์ขาดเหลืออะไรก็จะโทรบอกด้วยไปไหนก็ขับรถให้แต่ไม่จริงๆงานของตัวเองก็ทำงานตามอาชีพของตัวเองไปด้วยก็เลยมีอาชีพใหม่เป็นเหมือนเลขาคอยดูแลอาจารย์

 

หน่าจะเป็นอุดมการณ์อุดมคติคือความคิดถึงอาจารย์มาโดยตลอดที่บ้านอาจารย์ก็จะมีการเก็บเอกสารและรูปถ่ายเราก็จะได้เห็นว่าอาจารย์มีความคิดเรื่องพัฒนาคนอาจารย์เชื่อในพลังของหนังสืออาจารย์ช่วยของในโอกาสในการให้โอกาสของคนทุกกลุ่มใน malasia รายชื่อของคุณหญิงสมศรีก่อนได้ยกมาให้อาจารย์ทำต่อไม่เชื่อในสิ่งที่อาจารย์บอกรร. ทำอนาจารก็ทำห้องอ่านหนังสือพัฒนาตนเพื่อนำหนังสือส่วนหนึ่งของสตรีสารที่เลิกกิจการแล้วไปสร้างเป็นห้องอ่านหนังสือที่นั่นอาจารย์เริ่มทำตั้งแต่ใครๆเป็นมัดหนังสือที่สตรีสารและรถของเราเองของประเทศมูลนิธิอาจารย์คงมีภาพในใจแล้ว

 

อาจารย์เชื่อในตรังของสิ่งที่จะเกิดในห้องหนังสือในวัย 85 ย่าง 90 แล้วอาจารย์ก็มาช่วยจัดห้องอ่านหนังสือเสร็จอาจารย์ก็ยังเชื่อในเรื่องของเด็ก ข้างหลังมีอะไรที่เป็นชุมชนแออัดอาจารย์ก็มันคิดว่าเราจะให้คนเข้ามาอย่างไร man 192 อาจารย์อาจารย์ก็เดินเข้าไปชุมชนแออัดสะพานไม้อาจารย์ก็ขอให้เดินต่อก็ชวนกันไปดูครอบครัวเขาอาจารย์เอาแผ่นพับหัวใจด้วยตัวเองในวัยนั้นอาจารย์ได้รางวัลแมกไซไซคนแรกของเธอของประเทศไทยเล่าเรื่องเด็กเสิร์ฟชงนมให้เด็กมาทุกอาทิตย์เด็กก็มีกลุ่มอาจารย์ก็เชิญผู้มีชื่อเสียงเป็นจำนวนมากมาทำกิจกรรมกับเด็กในชุมชนต้นไม้ข้างละ 4-5 คนอาจารย์ก็ทำ

เรื่องของกลุ่มตั้งเตือนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นความรู้ของสังคมอาจารย์ก็จัดกลุ่มเรื่องของผู้บริโภคข้าวสารขึ้นมาตอนนั้นมีเรื่องอะไรบ้างเบื้องหลังของไทยอย่างไรบ้างอาจารย์ให้โอกาสคนทุกคนจริงๆแม้จะมีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียงประทับใจที่ท่านอาจารย์ไปตัดข่าวว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งที่มีกรอบเล็กๆในหนังสือพิมพ์เชิญมาพูดขนาดจานในวัย 90 กว่าก็ให้หนูโภชนานักศึกษาคนนี้มาเปิดในวงสนทนานี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์ทำให้เห็นแล้วว่า อาจารย์ได้ดำเนินเรื่องเหล่านี้มาตลอดแล้วก็ทำบุญให้พี่มาตลอดอายุ 80 เต้นต้นเพียงไปหมดเลยที่พักอาทิตย์จนถึงอายุ 94 ที่รัดชานเริ่มเดินทางไม่สะดวกแล้วทำที่โบราณที่มาเป็นสิบเป็นช่วงที่นุ้ยได้มีโอกาสร่วมทำงานกับอาจารย์มา

 

หลังจากสเปรย์สารแรก street 3 เล่ม 1 ต้นฉบับไม่มีแล้วแต่ตี 3 ทุกเล่มก็รวมเล่มไว้อาจารย์ก็มอบชุด 1 ให้อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพร้อมตู้พร้อมทุนสนับสนุนภาคไทยจะศึกษาต่อไปศึกษาค้นคว้าต่อที่มันเกี่ยวกับเรื่องสเปรย์สารเพื่อการคิดให้ครบอาจารย์หาที่เก็บให้เขาด้วยใครจะสนใจเรียนรู้ต่อ ตอนนี้ขนาดสารสาสน์ก็พยายามจะเอาไปใช้โดยสแกนเอาไว้หมด อีกชุดหนึ่งเจ้าอยู่ที่คุณสุรางค์เปรมปรีดิ์เป็นผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการ

 

เจ้าหญิงว่าที่ได้อ่านแล้วมีคุณญาคุณาเป็นสมาชิกสตรีสาร ตอนนั้นเป็นนักเรียนมัธยม รู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างน่าอ่านอ่านแล้วจะบ้าตายสบายใจตอนนั้นเรายังเด็กก็ยังไม่ค่อยรู้อะไร

 

 ท่านฉันบอกว่าเห็นภาพเธออยู่ที่อุบลราชธานีนั่งฟังมาโดยตลอด 3 ท่านที่ได้กล่าวมานี้ว่ากรณีคุณพงษ์ศักดิ์พยัฆวิเชียรก็มีประเด็นชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับพระครูด้วยตลอดจนกระทั่งอาจารย์นิลวรรณปิ่นทองด้วย แม้กระทั่งพี่น้องของเราที่นำเสนอประเด็นถัดมาที่เกี่ยวเนื่องอย่างใกล้ชิดจนถึงกับคนสุดท้ายเป็นเลขาที่ติดตามไปเดินเที่ยวฉันอยู่ระหว่างปิ่นทองทำงานจนถึงอายุ 94 ปีจนไปไหนมาไหนไม่สะดวกนะก็ทั้งรูปแบบของการให้ที่พระครูใหญ่ถึงตั้งแต่ต้นพระครูหมายถึงว่าจะนิลวรรณปิ่นทองมีการให้อย่างฉลาดเธอไม่ใช่คนชรามีแต่มีคนเป็นคนมีความตระหนักเวลาจะให้เงินคนก็ไม่ให้ใช่ให้ใส่มือสุ่ม 4 สุ่ม 5 แต่ให้งานคนไปทำไรให้เงินคนจากงานที่เขาทำงาน ที่เราทำพลาดไม่ได้เงินประมาณเท่านั้นหรอกแต่ท่านอาจารย์ก็จะให้

      ถึงธรรมของพระครูที่สอนว่าการช่วยคนมี 2 แบบ 1 การช่วยคนแบบสงเคราะห์ 2 การช่วยคนแบบสร้างคนสร้างแล้วอาจารย์นิลวรรณปิ่นทองพยายามที่จะช่วยคนแบบสร้างคนแม้กระทั่งเด็กชายอายุ 12 ขวบไปเกาะโต๊ะบรรณาธิการอยู่ก็พยายามที่จะเลือกซื้อเนื้อแก่เด็กอายุ 12 ขวบที่คุณพงษ์ศักดิ์พยัฆวิเชียรไม่ได้มีโอกาส

      dd

d

บอลโต๊ะทำงานของอาจารย์วีรวรรณมีดินสอที่เราว่าอย่างเรียบร้อยสมัยผมบวชแรกๆชอบครูใครพาคณะไปเยี่ยมผมเป็นหนึ่งในจำนวนผู้ติดสอยห้อยตามไปจำได้ว่าวันนั้นพระครูไปเยี่ยมโอชานิยายบุคคลที่มีชีวิตเกี่ยวเนื่องกับพ่อครู 2 ท่านท่านแรกคืออาจารย์บุญมาเล็กยิ้มแย้มแจ่มใสพูดคุยพ่อโอภาปราศรัยกับพ่อครูอย่างดีแววตาเป็นประกายฉายถึงความปลาบปลื้มปิติเวลาเจอพ่อครูผมยังจำป้ายหน้ามูลนิธิปรีดีพนมยงค์

อาจารย์นิลวรรณจะมีความเป็นท่าทีแห่งความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าส่วนอาจารย์องุ่นมาลิกก็จะมีท่าทีแห่งความปลาบปลื้มปิติ

 

พ่อครูว่า... ฉันมีทั้งสองอย่างเลย อย่างที่ท่านจันทร์ว่า ผู้ช่วยสงเคราะห์และช่วยสร้างคน ช่วยสงเคราะห์ และเราจะไม่ได้อีกซึ่งมีเยอะแยะในชีวิตยาวนานที่จะไม่ได้อีกที่จะไม่ได้อีก ที่จำไม่ได้อีกเป็นคุณค่าในการสังเคราะห์และสร้าง อย่างที่เรียกว่าเป็นเลือดเนื้อเป็นวิญญาณอันนี้เป็นคนนั้นนะคุณของอาจารย์ที่ได้ฟังนั้นเพื่อเธอ by เล่าประสบการณ์สงขลาและชา

พพจ.ท่านไม่ได้ทำงานอะไร การทำงานของพพจ.คือศึกษามนุษย์ ศึกษาสังคม แล้วสร้างมนุษย์สร้างสังคมเท่านั้น ส่วนความรู้ความสามารถต่างๆ พพจ.ท่านเข้าใจมนุษย์สังคมทุกระดับ แล้วทำงานอย่างสร้างมนุษย์สร้างสังคม สรุปได้ว่า ชีวิตมนุษย์ต้องรู้จักตัวเองที่ได้มีอวิชชาก็แก้อวิชชา หมดได้ก็จะเป็นต้นแบบของมนุษย์ เราก็จะรู้ความขึ้นต้น

คนก็ขึ้นต้นด้วยอวิชชาทั้งนั้น ถ้าไม่ได้เรียนรู้ให้หมดอวิชชา จะไปเรียนความรู้ทางโลกเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบไม่ได้ทำประโยชน์สูงสุด

ประโยชน์สูงสุดเท่าที่อาตมาสรุปได้ ว่าความรู้ของคน ความรู้ทางเทคนิคที่จะอาศัยใช้สอย ให้เป็นอยู่ได้และสังคมเป็นไปก็จำเป็น แต่เรื่องการชำระอวิชชาในตนให้หมด อันนี้มนุษย์ไม่ค่อยเห็นความสำคัญเท่ากับเรื่องเทคนิคการทำงาน ถ้ายิ่งได้ความรู้สามารถทางโลก แต่กลับเอามาเป็นศาสตรา คืออาวุธ ไม่ใช่ศาสตร์ที่เอามาเป็นประโยชน์ แต่เอาเป็นอาวุธห้ำหั่นคนอื่นเพื่อให้ตนได้มาก นี่คือการศึกษาทั้งโลก ส่วนมากจะเพิ่มขึ้นแต่ไม่รู้จักอวิชชาแล้วล้างอวิชชาในตน

คนถ้าเกิดมาแล้ว สรุปได้ว่า ถ้าไม่ศึกษาธรรมะโลกุตระของพพจ.แล้วลดละกิเลสได้จริง คนๆนั้นโมฆบุรุษ ใช้เวลาไปก็โมฆะตลอดทุกคน เกิดมาตาย เกิดมาตายทุกคนเป็นโมฆบุรุษทั้งสิ้น

อาตมามีครูเป็นตัวอย่าง ให้เห็นว่า การสงเคราะห์และการสร้างคนนี่คือสุดยอดของมนุษย์ ถ้ายิ่งไม่มีกิเลสหรือลดกิเลสให้น้อยลงจนเป็นอรหันต์ได้ด้วย จะยิ่งวิเศษ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้หนีสังคมและไปนั่งหลับตาสมาธิ ที่ทำกันทั้งสังคม การนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐิแล้วไปนั่งสมาธิก็จะได้ประโยชน์

เพราะธรรมะของพพจ. ทำได้ทั้ง การคิด พูด ทำ อาชีพ โดยกำหนดกรอบขอบเขตของศีลที่ทำได้ตามลำดับ ความเป็นลำดับนี้เป็นความอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ขอถล่มเพราะบวชมา 45 ปีแล้ว ก็ต้องพูดอย่างชัดอย่างผ่าเลย

สรุปแล้ว อาตมาได้รับความรู้การถ่ายทอดการทำหนังสือจากอ. แล้วมาศึกษาธรรมะของพพจ.ก็เห็นสอดคล้องกับแนวทางเดียวกัน จะเห็นคนลักษณะนี้ยากมาก มีสิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างอ.นิลวรรณคือเป็นคนไม่เอาเปรียบ ไม่สะสมการได้เปรียบ ทั้งๆที่เมื่อตนเองจะได้เปรียบก็ไม่สะสมความได้เปรียบ นี่คือที่อาตมาเห็นจากอ.นิลวรรณ คือไม่เอาเปรียบ คือคุณสมบัติที่ลึกซึ้งของมนุษย์

ที่ได้ทำงานร่วมกับอ.มา แม้ตอนทำงานส่วนตัวยังชีวิตก็ได้สัมผัสกับอ. แต่ต่างคนต่างมีงานก็ลดการสัมพันธ์แต่ก็ได้ทำงานร่วมกันทีไร อ.ก็จะสงเคราะห์อาตมา โอกาสที่จะทำได้อ.ไม่เคยละเว้นเลย ขนาดอาตมาช่วยตนเองได้แล้ว ทำงานแล้ว ท่านก็เห็นเหมือนลูกหลานมีน้ำใจสงเคราะห์ตลอดเวลา

เป็นคุณสมบัติคุณธรรมของมนุษย์ที่ติดตัวมา ผู้สัมมาทิฏฐิจะรู้ความเป็นคนที่เจริญได้อย่างไร สรุปคือเท่าที่ได้สัมผัส บอกได้ว่าเป็นอ.ที่เป็นอาริยบุคคล หลายคนที่อาตมาพอมีความรู้ทางธรรมแล้วก็ได้รู้การตัดเขตระหว่างอาริยบุคคลกับปุถุชน กับโลกีบุคคลได้ อย่างที่พยากรณ์ไอสไตน์ คานธีได้ ถ้าไม่รู้ แบบเคหสิตะกับเนกขัมมะได้ อ่านอาการจิตไม่ออกก็ไม่รู้รายละเอียดของอาการกาย วาจา ใจได้ก็สามารถตัดเขตได้ เป็นเรื่องสัจจะของพพจ. ก็ขอประกาศว่าตลอดชีพของอ.นิลวรรณว่าได้เป็นอาริยบุคคลคือคนที่ได้เป็นผู้ให้ผู้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นมากกว่าประโยชน์ส่วนตน

การตีราคาประโยชน์ตน ท่าน หากไม่เข้าใจรายละเอียดก็ยากมาก เป็นอจินไตย คิดเอาไม่ได้ ที่จะตีราคาวัดค่าประกอบ ต้องตีค่าทางสังคมและลักษณะของคนด้วย

สรุปแล้วอาตมาว่า ตัวอย่างความมีชีวิตพฤติกรรมที่ผ่านกาละมา เป็นกรรมกับกาละของอ.นิลวรรณหรือของใครก็แล้วแต่ ถ้าผู้ที่รู้ค่าของมนุษย์เป็นราคาปุถุชนหรืออาริยชน

อาริยชนคือไม่เอาเปรียบมนุษย์ ส่วนปุถุชนคือเอาเปรียบมนุษย์

สรุปคือ คนเราเกิดมา ถ้ามีชี่วิตเป็นอาริบุคคลได้ ตั้งแต่โสดาบัน จนถึงอรหันต์ ที่มีเกณฑ์ที่รู้ไม่ง่ายก็ขอผ่านไปก่อน

ผู้มีชีวิตทั้งชีวิตมีการได้ช่วยเหลือผู้อื่นมากกว่าการเอามาให้แก่ตน ไม่ว่าแรงงาน ความรู้ความสามารถทุกเวลา สรุปได้ว่ามีค่ามากกว่าที่ตนได้เอามาเสพเสวยแก่ตน ผู้อรหันต์คือหมดเสพ หมดเสวย(เสพรสโลกีย์) แก่ตน คือคนทำงานแล้วไม่เสพรส ราคะ โลภะ แล้ว ของตนก็ 0 เสพรสก็ 0 โทสะไม่ต้องพูดไม่มีภัยต่อใครแล้ว เป็นอนาคามีก็ไม่มีภัยต่อคนอื่น อรหันต์ยิ่งสมบูรณ์

อาตมานำความรู้ของพพจ.มาขายความชี้บ่งว่า อ.เป็นอาริยบุคคล เป็นชีวิตที่ไม่ขาดทุนเลย เป็นผู้กำไรได้ตลอด อย่างที่ในหลวงตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อ.เป็นผู้ที่มาขาดทุนให้แก่สังคม

ชีวิตของคนเราอ่านความเป็นจริงจากพฤติกรรมทุกกิริยาอาการ ที่จะตีค่าวัดราคากรรมกิริยาของคนก็จะรู้ว่า ผู้ใดมีค่าต่อโลก ต่อสังคมด้วย จริงๆแล้วคนรู้จักค่าที่มีค่าต่อตนได้น้อย ค่าต่อตนคือคนที่ได้เสียสละได้เอาออกไปให้คนอื่น คนที่ทำเอามาให้แก่ตนคือคนไร้ค่า แต่คนที่ทำให้คนอื่นคือคนมีค่า

ในหลวงเราคือพระโพธิสัตว์ ท่านมีอาริยคุณจริง

การเรียนรู้ความเป็นคนแล้วมาเป็นคนมีที่ขาดทุนให้แก่สังคมตลอดเวลาผู้นั้นคือผู้เป็นประโยชน์ต่อโลกตลอดเวลาตราบที่มีชีวิต หรืออย่างพระอวโลกิเตศวร ก็มีปณิธานที่จะช่วยคนจนเป็นอรหันต์หมดโลกก่อนตนจึงปรินิพพานเป็นต้น

 

ท่านจันทร์ว่า...ลักษณะเด่นชัดที่ปรากฏเห็นในอ.นิลวรรณ ปิ่นทองคือไม่เอาเปรียบไม่สะสมความได้เปรียบ อย่างที่แต่ละท่านได้ประสพมา ทราบว่า ท่านเกษียรตอนอายุ 80 ปีเศษ จากสตรีสาร กระนั้นก็ตาม ได้อ่านถ้อยคำทางอินเทอร์เน็ตที่บอกว่า มีคำสัมภาษณ์ ว่าดิฉันทำหนังสือสตรีสารเพราะว่าไม่ต้องการหาเงิน แต่มีใจรักที่จะทำงานเห็นคุณค่าของงาน

อาหญิงว่า...ได้สังเกตหนังสือสตรีสารเทียบกับนิตยสารในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันมีแต่หนังสือที่เน้นแต่โฆษณา

ท่านจันทร์ว่า...มีหน้าปกเป็นนางบาป แต่สตรีสารเป็นหนังสือทางเลือกที่นำเสนอเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ อ.ให้เกียรติและให้โอกาส ไม่ใช่ระบบแก้ไขอย่าง บนไปล่างแต่ให้มีการโต้ตอบสองทางได้ด้วย  เมื่อคืนนี้ได้โทรฯคุยกับคุณชไมยพร แสงกระจ่าง นายกฯสมาคมนักเขียนได้กล่าวว่า พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้ไปเยียมอ.นิลวรรณเมื่อไม่กี่วันนี้

ผมเห็นตั้งแต่เด็กจนอายุขนาดนี้ ผมเห็นเหมือนท่านเป็นพ่อแม่ เป็นพรหม   อย่างในหลวงเราได้ตรัสในพระปฐมบรมราชโองการว่า..
 

จิตวิญญาณของท่านทำงานเพื่อสร้างเพื่อให้ สตรีสารตั้งต้นก็เป็นสื่อของการให้ ตอนเริ่มต้นทำเป็นหนังสือเพื่อครอบครัว เป็นสารเพื่อสตรี ในนั้นมีหนังสือสำหรับสตรีสองฉบับ คือสตรีสารกับศรีสัปดาห์ คือเพื่อความดีงาม ความถูกต้องแต่อ.นิลวรรณมีมากกว่านั้นท่านเป็นครูและเป็นพรหม มีคอลัมน์เรื่องตายาย และมีหนังสือดรุณสารที่ออกในราว พศ.2497-98 ผมติดตามแต่ฉบับแรกก็เลยเข้าไปหาท่าน มนุษย์ในโลกไม่มีใครทำงานคนเดียว แต่ท่านมีกัลยณมิตรของท่าน ท่านมีอ.องุ่น มาลิก เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ทุนมาทำหนังสือสตรีสาร

ท่านจันทร์ว่า อ.นิลวรรณเป็นโสด

อ.พงษ์ศักดิ์ ว่าเป็นผู้ให้ผู้เป็นพรหม ว่ารายชื่อมีในผู้สนับสนุนการเงิน ท่านอ.องุ่นเป็นคนใช้นามปากกาว่า พี่ปรียา คนที่ไปสโมสรก็จะถามหาชื่อพี่ปรียา เหมือนในสกุลไทยก็มี ชื่อดอกไม้ป่า ก็จะมีแฟนประจำ ทุกคนไปสโมสรก็จะถามหาพี่ปรียา ตอนหลังก็มีอีกหลายคนทำ

ห้องหนังสือเป็นจิตวิญญาณของอ.นิลวรรณ ท่านอ.ให้…. ผมก็อ่านหนังสือมาเยอะ ท่านสอนวิธีทำชั้นหนังสือด้วย …..

 

 

 

คนเราก็จะเข้าใจสิ่งที่เป็นปัญญาเป็นความรู้ในระดับอริยะตามที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเขตแดนคิดเอาไว้เป็นความรู้ที่ปราศจากตัวตนปราศจากการเอาตัวเองเป็นเครื่องตัดสินเป็นความรู้ที่เห็นแก่สังคมส่วนรวมเห็นแก่ความอื่นความรู้ของผู้อื่นเป็นที่ตั้งไม่ใช่เอาความรู้ของตนเองเป็นที่ตั้งก็สุดยอด สำหรับตัวอย่างก็ต้องพูดถึงอาจารย์วีระวันนี้เป็นตัวอย่างของจริงของแท้เพื่อจะมากล่าวไปแล้วว่าเป็นอริยบุคคลเป็นบุคคลที่ข้ารวมแล้วทำตนมีชีวิตเพื่อผู้อื่นตลอดอายุการถึง 100 ปีเป็นเครื่องยืนยันชัดเจน อัฐมาไม่รู้นะอย่าเครียดทำไมไม่รู้จักท่านแต่สำหรับอาตมาเองตั้งแต่อาตมายังไม่ค่อยปฏิบัติธรรมอาตมายังเป็นคนเห็นแก่ตัวเป็นคนตะกละตะกรามหาทางเอาเปรียบมาตลอดจนได้มาเรียนรู้ธรรมะแล้วก็มาเข้าใจสัจจะที่แท้จริงก็มาเป็นคนที่ไม่พยามเอาเปรียบไม่พยายามที่จะได้เปรียบใครเสียเปรียบให้แก่ใครได้เป็นดีที่สุดสุดท้ายนี้ก็ขอกล่าวด้วยโคลงบทที่ 1 บทเดียวที่อยากจะมาได้เขียนให้แก่อาจารย์

 ขอคารวะย้ำรำลึก

 คุณค่าสุดสำนึกแนวโน้ม

รักคุณกว่าก้อนผลึกต่อดนุมาแห่มานาน

อายุแม่ร้อยคอมน้อบไหว้คุณอนุกุล

 

 จบแล้ว วันนี้เราก็ขอส่งใจให้ท่านหายป่วยสิ่งที่ท่านได้กระทำไว้เป็นบุญคุณต่อลูกหลานตลอดชีวิตพวกเราจนลูกลูกหลานสิ่งที่เราไม่อาจลืมได้คือคุณงามความดีเพื่อจะได้ทำมาทั้งหมดเป็นแบบอย่างและเตือนให้พวกเราได้มาถึงวันนี้ในวันนี้สิ่งดีๆเกิดขึ้นแล้ว


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:34:29 )

581207

รายละเอียด

581207_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทิฏฐิ 62 ตอน 4

พ่อครูว่า….วันนี้วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2558 วันแรม 12 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม อาตมาเกิดวันแรม 8 ค่ำเดือน 7 วันอังคารวันนี้แรม 12 ค่ำเดือน 12 อาตมาตั้งใจว่าจะ เริ่ม เลิกทำธรรมาธรรมะสงครามแล้ว เพราะทำสงครามธรรมะกับอธรรมมานานแล้วก็คิดว่าน่าจะพอน่าจะสงบสงครามได้แล้ว เพราะฉะนั้นรายการต่อไปก็จะขอเปลี่ยนเป็นการแสดงธรรม  ก็ได้ทำการติดสิ่งที่ควรติชมสิ่งที่ควรชม แต่เมื่อมันผิดไปมากแล้ว ต่อไปก็จะไม่ลงน้ำหนักอะไรมากเกินไป  จะปฏิกโกสนากันแต่เพลาๆ

ก็จะเอาพระไตรปิฎกมาเป็นหลักฐานว่าเป็นสิ่งยืนยันที่ดีที่สุด ที่ใช้กันในฉบับสยามรัฐแม้จะไม่ใช่ตัวอักษรบาลีเลยมาเป็นตัวอักษรไทยที่เขาแปลมาก็ตามอาจจะมีผิดเพี้ยนผิดบ้างเล็กน้อยก็พยายามใช้ภูมิสยังอภิญญาตรวจจากบาลีและสภาวธรรมของตน เคยพูดแต่ต้นแล้วว่าไม่ได้รู้จักภาษาบาลี แต่ไม่รู้กี่ชาติก็ใช้แต่ละภาษามา มายุคนี้จะยืนหยัดบาลีก็ได้

ตั้งแต่เป็นเด็กเรียนหนังสือ ชั้นมัธยมอาจารย์ก็พูดผ่าน ว่าภาษาศาสนาก็มีบาลีบ้างและมี 5 วรรคกับเศษวรรค  ซึ่งก็ยังจำได้มาถึงบัดนี้ไม่เคยลืมเลย คำว่ากะมีความหมายอย่างไร ขะ มีความหมายอย่างไร เป็นเรื่องของสัญญาของมนุษย์ที่มีจริงคุณมีกุศลก็ขึ้นกุศลมีอกุศลก็ขึ้นอกุศล  คนโง่ทึบโกหกไปอยู่หลักหลับอีกเดี๋ยวก็จะโกหกซ้ำซ้อนอีก เป็นเรื่องที่ตัวใครก็เชื่อด้วยตัวเอง

ก็จะเปลี่ยนชื่อรายการเป็นอย่างอื่น เกี่ยวกับศาสนาแต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

ใกล้จะถึงเทศกาลสอบ  ว.บบบ. แล้ว จะใช้หนังสือยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์เป็นหลักแต่ก็จะใช้เล่มอื่นด้วย ซึ่งเป็นวิธีการ ประพฤติปฏิบัติถ่ายทอดเล่นรู้ฝึกฝนที่ดี คนเขาจะบอกว่าอาตมาตายแล้วสำนักนี้ก็จะรอเวลาไปก็จริงเมื่อมันไม่ถึงรอบไม่ถึงคุณภาพก็จะเสื่อม แต่อาตมารู้มาตั้งแต่ต้นว่าพระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนาของท่านอย่างไรแล้วจะให้สืบทอดอย่างไร

ก็คือสร้างคนให้ได้ความจริงที่เป็นปรมัตถ์ธรรมที่แท้จริง เมื่อมีมากเท่าไหร่ได้ความรู้ลึกซึ้งเท่าไหร่มีจริงมากเท่าใดก็นั่นคือเนื้อ พระพุทธเจ้าองค์เดียวนั้นมีแน่แต่มวลของ อสีติมหาสาวกรวมกันเป็น package เนื้อในเต็มเลย แล้วท่านก็สั่งว่าไม่ให้เอาผู้ใดเป็นเอกให้เอาธรรมวินัยที่ต่างคนต่างรู้นั่นแหละ เป็นศาสดา

พุทธเจ้าทันสมัยมาตั้งแต่ยุคไหนไหนและเป็นนักประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ขอสับธงเลย ก็จะพาพิสูจน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) นี่คือวิมังสาหรือเนื้อแท้ของศาสนาพุทธและของประชาธิปไตย

 ซึ่งประชาธิปไตยเป็นธรรมาธิปไตยข้ามผลโลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตยหมดโรคหมดอัตตาที่จะไปยึดมั่นถือมั่นนี่คือสัจจะจะอยู่กับโลกอย่างอนุโลมปฏิโลม

ก็ให้เตรียมตัวสำหรับผู้ที่จะสมัคร ว.บบบ.  จะปิดรับสมัครในวันที่ 25 ธันวาคมวันที่ 27  เข้าพื้นที่ ที่จะบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม จะไปแจกปริญญาบัตรกันตอนเดือนเมษายน

 

มาดูไลน์ของคุณวินิจ บันเทิงส่งมาว่า

 

แต่"อโศก"หรือ"บุญนิยมทีวี"ก็มีส่วน"พาซื่อชวนตลก"อยู่บ้าง?.. แต่"ไก่,ปลา,กุ้งเคย"คงไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่?.. อาจเพราะไม่มี"แผนกตรวจสคริปท์รายการ"ก่อน"ออกอากาศสด"หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้?.. เช่น...

1.รายการ"วิปัสสนาข่าว,4-12-58".. นำเอาเรื่อง"ข้าวมันไก่จานละ10บาท"มาออกอากาศ"เชิงบวก".. ทั้งๆที่"อโศก"ไม่สนับสนุน"การฆ่าสัตว์และกินเนื้อสัตว์?".. และ"คนกินมังสวิรัติ"และ"ผู้ติดตามชมรายการ"คง"รู้สึกสับสน?"ว่า"อโศก"จะเอายังไงกันแน่?.. ใน"ทิศทาง,ท่าที?"และ"หลักการของอโศก"เรื่อง"ศีลข้อ1"และเรื่อง"มังสวิรัติ"ไม่ใช่น้อย?.. น่าจะ"กลั่นกรองเรื่องราว"ใน"สคริปท์รายการ"ก่อนออกอากาศนะ..?...

2.รายการ"วิเคราะห์ข่าววิปัสสนา,2-12-58".. มี"ปะตรงเตือน"เป็นพิธีกรทั้งที่เป็นถึง"สถานะปะ"ซึ่งใกล้ชิดต่อการเป็น"เผ่าพงศ์พุทธอโศก"เข้ามามากแล้ว.. แต่ก็ไม่รอบถ้วน?.. โดยการนำเอาเรื่อง"ภูมิปัญญาชาวบ้าน"ที่ใช้"กะปิ"(ซึ่งโดยปกติทำจาก"กุ้งเคย?")มาทำเป็น"ดินหุ้มกิ่งตอน?".. แล้วก็เอามา"นำเสนอออกอากาศสด"ผ่าน"รายการดังกล่าว"ทาง"ช่องบุญนิยมทีวี"(โดยไม่กลั่นกรองเรื่อง"ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากสัตว์?")อย่าง"หน้าตาเฉย?".. อย่างนี้เรียกว่า"ถี่ลอดตาช้าง..ห่างลอดตาเล็น?"หรือเปล่านะ?...

3.สคริปท์เรื่อง"เกษตรเชิงเดี่ยว,เกษตรประณีต"ซึ่งนำเสนออยู่เป็นประจำ.. เวลาผมดูทีไร..อดคิดแซวช่วงที่ว่า..**ส่วนนายเขียว"ตกปลาหน้าบ้าน"**(แบบรู้สึกขบขัน)ไม่ได้.. โดยพูดแซวว่า..**ส่วนนายเขียว"ทำบาปหน้าบ้าน?"**.. ---->ตกลงว่า"อโศก"จะเอาอย่างไร?. จะสนับสนุนการ"ตกปลา,ทรมานสัตว์?"เพื่อ"นำมาเป็นอาหารประจำวัน"(ผิด"ศีลข้อ1"โดย"ทำบาปได้อย่างสะดวก?"ที่"หน้าบ้านตัวเอง?"ได้เลย)ด้วยเช่นนั้น..ใช่ไหม?.. ใช่หรือไม่?.. แล้ว"คนอโศก"(ที่อยู่ใกล้ชิด)ที่"ได้ดูคริปท์นี้"ไม่มีใครสัก"คนครึ่งคน?".. ที่จะช่วย"ติติง,ทักท้วง?"ในการ"โฆษณาออกอากาศ"เลยหรือ?.. มันน่าแปลกดีนะ?.. "วางเฉยกันได้นิ่งดีจริง,รอดบาปเฉพาะตัว?"เท่านั้นใช่ไหม?.. ตกลงที่พูดกันเรื่อง"ศีลข้อ1?"และการ"ไม่กินเนื้อสัตว์?"กันอย่าง"เอาเป็นเอาตาย?"ใน"ช่วงเวลาที่ผ่านมา"นั้น.. ก็เป็นเพียง"สีลัพพัตตุปาทาน"เท่านั้น.. ใช่หรือไม่?.. ฉะนั้น.."อโศก"ก่อนจะ"แนะนำศีลข้อ1"ให้กับสังคม.. ก็ควรตรวจสอบ"สื่อของตน"ที่สื่อสารในสิงที่มี"เนื้อหาที่สวนทางกัน?"ก่อนนะ..?...

วินิจ บันเทิง

 

พ่อครูว่า...ก็ขอบคุณที่ติติงมาเป็นเรื่องที่ถูก แต่คุณเชื่อไหมว่าชาวอโศกทุกคนไม่ฆ่าที่เราสื่อไปเช่นนั้นเพราะชาวอโศกไม่ได้ยึดมั่นเป็นตัวกูของกูชาวอโศกไม่ฆ่าไม่ตกปลามีแต่เอาถั่วมาทำกะปิแต่อโศกรู้จักขั้นตอนในการอนุโลมปฏิโลม

 ถ้าเอาคุณไปเป็นคนยึดมั่นถือมั่นเอารูเดียวเลยมันก็มีแต่คุณ คนเดียวทำงานกับสังคมไม่ได้ทำงานอยู่กับตัวคนเดียวแต่เมื่อเราทำงานกับสังคมอย่างที่เราไม่ยึดตัวตน

 เหมือนกับชาวอโศกเป็นเหมือนแม่ที่ต้องอนุโลมเล่นหม้อข้าวหม้อแกงไปกับลูกเป็นขั้นตอนให้เขาได้พัฒนาขึ้นมา เอาอย่างคุณนั้นเข้าใจว่าดีแต่มันสตริ๊กเกินไป เรารู้จักขั้นตอนการอนุโลมปฏิโลมจึงอยู่กับโลกและทำงานกับโลกไปได้เรื่อย การจะไปทำเคร่งครัดเหมือนเทวทัตจะให้พระพุทธเจ้าออกพระวินัยไม่ให้ภิกษุกินเนื้อสัตว์ทั้งหมดจะเอาอย่างเทวทัตหรือ แต่ทำไมไม่เอาอย่างเทวทัตได้หรอกขออภัยไม่ได้ว่าคุณเป็นพระเทวทัตนะแต่เปรียบเทียบให้ฟัง ก็ขอบคุณมีอะไรก็เขียนมาอีกเรายินดีที่มีผู้มาช่วยมองเราและติติงเรา หรือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐดีกว่าการไม่ดูแลอะไรกันเลย เหมือนเราไม่มีตัวตนในโลกเลยเป็นหมาหัวเน่าแต่นี้ดีแล้วก็ขอบคุณ

 

 

_อีกกรณีในรายการ"วิปัสสนาข่าว"(หลายครั้งรวมทั้งวันนี้,4-12-58ด้วย).. มักมีการนำ"เรื่องราวเชิงบวก?"ของ"บางท่าน"ที่อยู่ใน"ตำแหน่งสำคัญ,sensitive?"ใน"องค์กรพุทธภาครัฐ?"มา"สื่อสารซ้ำ?"อยู่เสมอ?(เพราะการนำมา"ถ่ายทอดต่อ?"ก็เท่ากับเป็นการ"สนับสนุน?".. ใช่หรือไม่?..).. โดยไม่ดูการ"ส่งสัญญาณ"ของ"พ่อครู"ใน"นัยยะ"เรื่อง"หมีอุ้มหมี?"ซึ่งพ่อครูพูดถึงอยู่เรือยๆ(ซึ่งแม้ข้าพเจ้าเองก็อดกังวลใจไม่ได้เช่นเดียวกัน).. ซึ่งทำให้การ"ทำงานของอโศก?"ระหว่าง"นัยยะจากพ่อครู?"และการ"สื่อสารของบางรายการ?"(ของ"บุญนิยมทีวี")อาจ"ไม่สอดคล้อง"เป็น"เอโกธัมโม?".. หรืออาจถูกมองว่า"ผู้คัดเลือกสคริปท์ข่าว"มา"ออกรายการ"ของ"บางรายการ?"จะไม่ได้สนใจที่จะ"เรียนรู้?"หรือ"รับนโยบาย?"ที่พ่อครูพยายามจะ"สื่อสาร"เลย?.. จึงมักเดินกันไป"คนละทาง?".. ใช่หรือไม่..?..(ซึ่งหลายครั้งก็คล้ายจะ"โยนภาระวิปัสสนาข่าว"ให้"สมณะ,สิกขมาตุ"รับไป"ทั้งแท่ง,ทั้งกอง,ทั้งกะบิ?"เพื่อให้ท่านไป"ปรุงแต่ง?"หรือหาทางใช้"ไหวพริบหลบเลี่ยง?"ที่จะไม่พูดถึง"บางแง่มุม?"ที่อาจ"อึดอัดที่จะพูดถึง?"เอาเอง?.. ซึ่งข้าพเจ้าดูเหมือนจะสัมผัสได้หลายๆครั้งที่ได้ติดตามดูอยู่เสมอ..).. ดังนั้น.. "ผู้คัดเลือกข่าวสาร"ที่จะ"นำเสนอ"ต่อ"ผู้ชม"หรือ"สาธารณะ"จึงควร"คัดเลือก,กลั่นกรองเรื่องราว?"ให้ดีเสียก่อน?.. โดยให้เป็นเรื่องที่"น่าสื่อสารต่อ?"โดยไม่เกิด"ผลข้างเคียง?"ที่เหมือนไป"สนับสนุนในสิ่งที่ไม่ควรสนับสนุน?".. ก็จะ"ดีและถูกต้อง?"ตาม"หลักธรรมะในการสื่อสาร?"มากกว่านะ..?...

ผู้ชมฝากมา…

 

พ่อครูว่า...เราก็เข้มงวดในส่วนหนึ่งแต่ก็รู้ว่าเรื่องที่จะเสนอมีประเด็นที่จะเสนอเป็นของส่วนรวมแล้วก็จะมีจำนวนมาก ที่เขายังฆ่าสัตว์กันอยู่ ดังนั้นข่าวคราวที่เกิดในสังคมก็จะมีเรื่องอย่างนี้เรื่องโกงเรื่องทุจริตเราก็เอามาออก  แต่คุณก็ตำหนิว่าเรามาหลอกซ้ำซ้ำเป็นเชิงบวกและเชิงบวกที่เราออกนี้ส่วนมากเราก็เลือกบางอย่างเป็นเชิงบวก แต่เป็นเชิงลบสำหรับเราเราก็จะเจตนาให้เป็นเชิงบวกให้จากหัวโนก็กลายเป็นหัวแตกเลย

อย่างเช่นอาจจะมาตำหนิคนอื่นมันไม่สวยแต่สื่อแล้วชัดเจน การประมาณของคุณกับของพวกเรานั้นต่างกัน ก็ขอบคุณที่ติติงมาเราก็จะกลั่นกรองให้ดีกว่านี้ แต่ไม่มีเสียงหนึ่งด้วยเสียงอื่นด้วยคนไทยมักไม่ใช่ชอบตำหนิแต่ 1 เสียงที่ตำหนิก็เป็นสิ่งที่ดี 1 คะแนนจะเท่ากับ 1 หมื่นคน ก็ขอบคุณที่ให้ข้อคิดเข้าท่าดีทีเดียว

 

อธิบายจบเรื่องอดีต 18 ก็ท้าวความก่อน ตอนนี้เรากำลังเอาพระไตรฯล.9 หรือพระสูตร ล.1 มาบรรยายอย่างละเลียดเลย จบเมื่อไหร่ก็ทวนใหม่ได้

แล้วความเห็นที่เก่งที่ฉลาดอย่างไรพระพุทธเจ้าท่านก็ตีทิ้ง คือแบบพวกนักคิดนักตรึกตรรกะเอา เป็นตักกีวิมังสี กับพวกนั่งสมาธิหลับตา เป็นเจโตสมาธิ ที่ไม่ได้มีธรรมะสอง ไม่มีสมมุติสัจจะ

สมมุติสัตจะคือต้องร่วมรู้กันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ถ้ารู้อยู่คนเดียวไม่เรียกว่าสัจจะ ไม่เรียกว่าสัจจะ เรียกว่าสัญญา ต่อให้พระพุทธเจ้าถ้าท่านเห็นว่าอย่างนี้ถูกคนเดียวแล้วมาอุบัติในโลกท่านจะประกาศศาสนาได้อย่างไรเพราะคนอื่นไม่รู้ด้วยแล้วจะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรมีในมนุษยชาติไปทำไมเข้าใจไหม

 พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่าปัญญาจะเกิดในมรรคมีองค์ 8 และมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์จะต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อนแล้วเจริญมรรคมีองค์ 8 โดยมีสติสัมโพชฌงค์ 7 และธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวหลัก  ต้องมีผัสสะที่เห็นจริงเป็นจริงลดกิเลสได้อย่างจริงๆเป็นปรมัตถสัจจะ

 ความรู้ที่รู้กันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแล้วขยายไปอีก ขยายไปอีกชั้นรู้กันทั่วโลกธรรมะของพระพุทธเจ้าใช้ได้ทั้งโลกถ้าทำได้แล้วรับรองว่าประเสริฐจริงๆ เช่นประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้ารัฐศาสตร์แบบที่อธิบายนี้

เขาอธิบายรัฐศาสตร์ว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ แต่อาตมาอธิบายว่าการเมืองคือการลดละตัวตนไม่เบ่งอำนาจแต่ไปรับใช้ประชาชน

นั่งหลับตาเป็นเจโตสมาธิ กับตักกีวิมังสีเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้ง 62 แบบ แล้วท่านก็ประกาศของท่าน ไม่นั่งหลับตา อยู่กับสังคมก็มีต้น กลาง ปลาย เจริญไปตามลำดับ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ เป็นลำดับอันน่ามหัศจรรย์

ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ไปนั่งหลับตาสมาธินั้นโมฆะทั้งสิ้นไม่มีทางบรรลุธรรมจะบรรลุแต่มิจฉาสมาธิมิจฉาวิมุตมิจฉาอรหันต์ ขอยืนยันนี่คือบทแรกที่พระพุทธเจ้าประกาศต่อสาธารณะในยุคของท่าน  เหมือนกับธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่ท่านให้ลดกามลดอัตตาจนมัชฌิมาเป็นกลางไม่มีเศษโต่งไปข้างใดเลยซึ่งนัยนี้เขาก็ไม่รู้ว่าความเป็นกลางคืออย่างไร

มัชฌิมาปฏิปทาเค้าแปลว่าทางปฏิบัติที่เป็นกลางแต่ไม่ใช่ จะต้องปฏิบัติจนหมดกามหมดอัตตาเป็นลำดับซึ่งเป็นกลางสุดท้ายเลย

มิจฉาทิฏฐิก็มี 2 แบบคือไปนั่งหลับตาสมาธิกับพวกนั่งนึกคิดจนหัวบวม พวกนี้ไม่มีปรมัตถสัจจะไม่มีสมมุติสัจจะที่ลงตัวแบบของพระพุทธเจ้า

ในเรื่องสัจจะ มีในจูฬวิยูหสูตร ก็จะไม่ลงลึกในสัจจะ 3 ประเด็นนี้

ถ้าอยู่สองคนอีกคนหนึ่งเย็ดมากจะเห็นผลชัดเจนอย่างไรก็ไม่ยอมไม่ยอมเข้าใจคนที่ไม่มีตัวตนจะยอมคนที่ยึดก็อยู่ด้วยกันได้แต่ถ้าไม่ยอมก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ แม้คะแนนสองคนก็เป็นสัจจะจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่และเป็น 4 มีสองต่อสองก็ช็อกกันตายช่อง 3 ต่อ 1 สมุติสัจจะนี้จึงคือยึดผู้ใหญ่ส่วนมากเป็นหลัก แม้ว่าเราจะถูกต้องก็ต้องประมาณตัวตนเพราะการอยู่ในสังคมความสามัคคีความไม่ทะเลาะวิวาทเป็นสิ่งที่จำเป็น ความสามัคคี สำคัญกว่าอัตตา ถ้าคุณละตัวตนไม่ได้ก็อยู่กับหมู่ไม่ได้ต้องไปหาหมู่ใหม่

 

     อปรันตกัปปิกทิฏฐิ 44

      [45] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 44 ประการก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44ประการ?

                   สัญญีทิฏฐิ 16

      [46] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ.

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ?

สมณพราหมณ์เหล่านั้นย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย.

      19. (1) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.

      20. (2) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.

      21. (3) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา.

      22. (4) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.

      23. (5) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.

      24. (6) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.

      25. (7) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา.

      26. (8) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.

      27. (9) อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา.

      28. (10) อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา.

      29. (11) อัตตาที่มีสัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา.

      30. (12) อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา.

      31. (13) อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา.

      32. (14) อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา.

      33. (15) อัตตาที่มีทั้งสุขทั้งทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา.

      34. (16) อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการนี้แล.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 16 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้ชัดยิ่งกว่านั้นทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

(นั่งสมาธิเข้าไปไม่มีเวทนาครบทุกทวาร จะไม่รู้ว่าโลกเขายึดอย่างไร แล้วก็ไม่ได้เรียนกับใครเลย คุณออกมาก็ทะเลาะกับเขาหมด เพราะคุณจะยึดแต่ของคุณ อัตตาเต็มบ้องเลย น่าสังเวชใจ เขาก็จะหยุดอยู่กับหมู่ของเขาแล้วก็นึกว่าตรงกันแต่ที่จริงไม่ตรงกันหรอกถ้าลึกเข้าไปเขาจะเห็นจุดต่างๆเช่นธรรมกายคนหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้ามีหัวแหลม อีกคนหนึ่งเห็นพระพุทธเจ้ามีหัวปุ้ม ก็เลยทะเลาะกัน แตกกันเป็น 2 ฝ่ายตอนนี้เป็นชั้นเทพทั้งคู่มี 2 อาจารย์  เป็นสัญญายนิจจานิทั้งคู่

ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วสร้างความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ยึดก็อยู่ วางก็ดับ คุณจะรู้คุณและโทษ​จะยึดอะไร? ก็ยึดคุณ วางโทษ ยึดอย่างอาศัย แม้วางก็ไม่อาลัยมีแต่อาศัยใช้ในกาละควรให้ดีที่สุด เป็นพระเจ้าอย่างดี พระเจ้าคือเรา เราคือพระเจ้า วิญญาณมีตรีมูรติครบ มีพระกรุณาธิคุณ พระปริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณครบ รู้คุณโทษ รู้ทำดับทำเกิด รู้จักเกิดคืออุปจยะ รู้จักเสื่อมคือชรตา ท่านจะต่อหรือไม่สันตติหรือไม่ก็อยู่ที่ท่านมีลักขณรูป 4 มีอนิจจตา เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงต่อให้อุปจยะเกิดอยู่ก็ไม่เที่ยงสุดท้ายก็ชรตา

ฐานปฏิบัติธรรมคือเวทนา จึงสร้างความดับได้เฉพาะตน ดับได้คือไม่ยึดมั่นถือมั่น ตถาคตคือหลุดพ้น จะยึดสมาทานตามควรจะปล่อยก็ได้จริง)

 

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.(ถือเป็นอนาคต แต่ก็ยึดอดีต คือคุณมีสัญญาจริงๆ แล้วสัญญานี้ชัดหรือไม่ ถ้าชัดเป็นอดีตแท้ ถ้าสัญญานั้นไม่ชัดว่าจริงหรือไม่ พวกที่แท้มีประมาณ 18 แต่ที่แท้ก็ได้ไม่แท้ก็ได้มีมากกว่า มีตักกีวิมังสีโหติ อีก จึงมากรวมเป็น 44)

                    อสัญญีทิฏฐิ 8

      [47] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ?

สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย

      35. (1) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      36. (2) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.(เชื่อว่ามีแต่จำไม่ได้ อาตมาก็มีเยอะ)

      37. (3) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      38. (4) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      39. (5) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      40. (6) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      41. (7) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      42. (8) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน ไม่มีสัญญา.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญาด้วยเหตุ 8 ประการนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้น

ทั้งหมดย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 8 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลายกับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริงจึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

(ใครยึดรุนแรงก็ทะเลาะกับหมู่ตลอดเท่าที่ตนยึดจนตาย ถ้าไม่ยึดก็สบาย ปล่อยได้วางได้ คุณก็อยู่กับหมู่ไป ในสาธารณโภคี ใครอยากสบายหรือไม่อยากสบายก็ทำเอาเอง คุณจะทำหรือไม่ทำก็รู้ของคุณเอง เช่นแค่นี้พอไหมเราทำให้ตั้งเยอะแยะแต่เวลาเราจะใช้ให้เท่านี้เอง ขึ้นเขาให้เท่านี้คุณจะอยู่หรือไม่ นี่เป็นระบบ ที่เรียกร้องกัน ร้องหากันทั่วโลกอย่างระบบที่เราทำนี่แหละ )

                        เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ 8

      [48] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ ก็สมณพราหมณ์เหล่านั้น อาศัยอะไรปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ? สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมบัญญัติว่า เบื้องหน้าแต่ตาย

      43. (1) อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      44. (2) อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      45. (3) อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      46. (4) อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      47. (5) อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      48. (6) อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่.

      49. (7) อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่สัญญาก็มิใช่.

      50. (8) อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี สัญญาก็มิใช่.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการนี้แล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 8 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                    อุจเฉททิฏฐิ 7

      [49] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า ขาดสูญย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 7 ประการ?

      51. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้มีรูป สำเร็จด้วยมหาภูตรูป 4 มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด เพราะกายแตก ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด ฉะนั้นอัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้.

      52. (2) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้นอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้นข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เป็นทิพย์ มีรูป เป็นกามาพจร บริโภคกวฬิงการาหาร ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้นท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแลย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

      53. (3) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นอีกที่เป็นทิพย์ มีรูป สำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะใหญ่น้อยครบครัน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ท่านยังไม่รู้ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานี้จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้.

      54. (4) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะ มีอารมณ์ว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญาเพราะไม่ใส่ใจในนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศเบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

      55. (5) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะ มีอารมณ์ว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญเพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิดอัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

      56. (6) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ มีอารมณ์ ว่าไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะได้โดยประการทั้งปวงท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตกอัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

      57. (7) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะขาดสูญอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ท่านผู้เจริญ ยังมีอัตตาอย่างอื่นที่เข้าถึงชั้นนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีอารมณ์ว่า นั่นละเอียด นั่นประณีต ) เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวง ท่านยังไม่รู้ ท่านยังไม่เห็นอัตตาใด ข้าพเจ้ารู้ ข้าพเจ้าเห็นอัตตานั้น ท่านผู้เจริญ เพราะกายแตก อัตตานั้นแล ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเลิกเกิด อัตตานี้ จึงเป็นอันขาดสูญอย่างเด็ดขาด พวกหนึ่งย่อมบัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า ขาดสูญย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 7 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี?

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้น ความดับไป

คุณและโทษของเวทนาทั้งหลายกับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริงจึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

จบ..


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:35:45 )

581208

รายละเอียด

581208_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทิฏฐิ 62 ตอน 5

พ่อครูว่า...วันนี้วันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2558 เป็นวันแรม 7 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม... วันนี้จะเริ่มต้นที่ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ก็คือนิพพาน  แต่ทำไมท่านตรัสรวมไว้ในทิฏฐิ 62 ซึ่งทิฏฐิ 62 เป็นทิฏฐิที่ผิด ทั้งอดีต 18 และ อนาคต 62 ผู้ศึกษาธรรมะพพจ.ที่เรียนรู้ดีๆก็จะรู้ทั้งนั้นว่า ทิฏฐิ 62 คือมิจฉาทิฏฐิ

ในศาสนาพุทธที่เกิดขึ้น พพจ.ท่านตรัสเรื่องนี้เพื่อให้รู้กันไว้ว่า ความไม่ถูกต้อง ในทิฏฐิที่เป็นความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ลัทธิ จริงๆภาษาบาลีทิฏฐินี้ ก็คือ ทฤษฎีนั้นเอง

ผู้ใดเข้าใจว่า ทิฏฐิ 62 คือสายเจโตและปัญญา และท่านก็นับทิฏฐธรรมทิฏฐินี้ 5 อย่างก็จัดเข้าไปในอนาคต 44 อย่าง ซึ่งเป็นปัจจุบันที่ไม่สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าปัจจุบันนั้นสัมมาทิฏฐิก็จะพบนิพพาน

นิพพานจะมีในปัจจุบันเท่านั้น

ใครไปติดภพ ใครไปยึดที่ว่านิพพานจะได้ในอดีตอนาคตไม่ง่าย เพราะคนเราไม่เคยรู้ว่าเราเอาต้นรากที่จะเป็นความรู้ความจริงของตน เราไปหยั่งรากมาจากอดีต หรือไปในอนาคตฝันเพ้อ ก็จะเข้าใจยาก เพราะฉะนั้นการนั่งหลับตาทำใจโตสมาธิผู้สามารถมีพลังในการระลึกชาติได้จริงที่เคยเป็นมาก่อนในอดีตอันนี้มี 18 ทิฏฐิ แล้วเป็นผู้ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตนเองมีภูมิรู้ได้

ส่วนอนาคตนั้นมีนั่งเจโตสมถะด้วย แต่มีมิจฉาทิฐิที่ตนเองเห็นแล้วไปนึกว่าตนเองได้นิพพาน ยกตัวอย่างที่คนเขาว่าเป็นอรหันต์กันทั่วไป ทั้งนั้นเลย อาตมาว่า คือผู้ที่นั่งเจโตสมาธิทั้งนั้น ซึ่งการนั่งหลับตาสมาธิก็ตัดทิ้งได้เลยว่าไม่มีได้อรหันต์ ไม่มีอรหันต์ในการนั่งหลับตาสมาธิ แต่ไม่ได้หมายถึงว่านั่งหลับตาสมาธิแล้วจะไม่ได้อรหันต์เลย แต่ได้สำหรับผู้มีบารมี เช่นผู้มีเจโตวิมุติแล้วจิตบรรลุได้แล้วจริงก็มานั่งเจโตหลับตาสมาธิ ตรวจสอบ เตวิชโช ก็จะรู้จะเข้าใจว่า เรามีอาสวักขยญาณสิ้นแล้ว

ผู้จะบรรลุต้องอ่านอาการนั้นออก ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ อันบุคคลถือไว้อย่างนั้นแล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

ก็ตรวจสอบขณะมีชีวิตอยู่ ตรวจแล้วชีวะของกิเลสทางจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์โอปปาติกะนี้ได้ตายลงอย่างสนิทเรียบร้อยไม่กลับคืนมาได้อีกเลย สัตว์ตัวปลายคือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์

มี sms และคำถามมาก่อน

                             

1.เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ศกนี้ ก่อนแสดงธรรมพ่อครูได้ปรารภว่าจะเปลี่ยนชื่อรายการ"ธรรมาธรรมะสงคราม"เป็น"ศาสนาพุทธแท้แท้" ดิฉันเห็นว่าวลีที่พ่อครูปรารภนั้น "ศาสนาพุทธแท้แท้" เหมาะกับชื่อรายการ เพราะ เรียบง่าย ชัด ตรง ความกระชับ(ใช้คำว่า "แท้แท้" ดูแรงกว่าคำว่า"แท้ๆ" ) เป็นความเห็นแฉยๆค่ะ อาจมีชื่อที่ดีกว่านี้ก็ได้ค่ะ

 

ตอบ...อาตมาก็ตั้งใจจะเอาชื่อนี้ ถ้าใช้ชื่อว่าศาสนาพุทธแท้แท้มันก็ต้องรบกันคนอื่นเขาก็ว่าของเขาแท้ ก็จะรบกัน ชื่อที่อาตมาตั้งมีอยู่ ตั้งชื่อว่าศาสนาพุทธตามภูมิ เราก็จริงใจตามภูมิของเรา

 

                             

2.เมื่อราวสิ้นเดือนพฤศจิกายน เวลาเย็น มีรถตู้นำนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนหนึ่งมาจอดที่บริเวณเรือนโสเหล่ นักท่องเที่ยวหญิงคนหนึ่งนุ่งกางเกงขาสั้น ตะโกนโหวกเหวก ดิฉันมองดูอยู่แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการอะไรเพียงสังเกตอยู่ห่างๆ ตอนแรกตั้งใจว่าจะพูดในที่ประชุมชุมชน ต่อมาวันรุ่งขึ้น เวลาบ่าย มีผู้หญิงไทยคล้องบัตรอาจป็นบัตรไกด์ท้องถิ่นหรืออาจเป็นบัตรธุรกรรมอื่น นำหญิงฝรั่งนั่งตุ๊กๆมาจอดที่หน้าโรง ส.ข.จ.สักพักก็ออกไป ดิฉันยิ้มให้ ตั้งใจจะถามไถ่ให้ทราบความ แต่เขารีบออกไปก่อน ดิฉันเห็นว่าหากรอนำความนี้เข้าที่ประชุมชุมชน นักท่องเที่ยวจะมากันหลายกลุ่มแล้ว พ่อครูมีความเห็นอย่างไรคะหากราชธานีอโศกกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และมีการจัดการในประเด็นนี้อย่างไรคะ

ตอบ...อันนี้ก็เห็นอยู่ว่าในอนาคตเราจะประสบด้วยเฉพาะบ้านราช จะเป็นสถานที่ที่พวกท่องเที่ยวจะอยากมาในอนาคต ตอนนี้ก็มาประปราย ซึ่งก็ยังไม่ใช่นักท่องเที่ยวโดยทีเดียว ยังไม่มีสิ่งเร้าใจแบบลูกรอก ต่อไปในอนาคตมันจะมี ก็เคยพูดเรื่องการท่องเที่ยวถือว่าเป็นอบายมุขเป็นเรื่องที่คนยังเที่ยวบำเรอรถเกรดอำเภอใจตนเอง

ต้องแยกการเที่ยวกับการไปทัศนศึกษาให้ออก ซึ่งทัศนศึกษาไม่ใช่เที่ยว  ถ้าเขาจะมาชุมชนชาวอโศก จะมาทัศนาจรทัศนศึกษาก็มีอยู่ ก็ขอให้พวกรอคอยดู คอยเป็นปฏิคม ถ้าเขามีเจตนาเป็นนักท่องเที่ยวเราต้องให้เขารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่มาท่องเที่ยวเสพความสำราญบันเทิงเริงใจ บำเรออารมณ์แต่เราไม่ต้องการ จะไปหากินกับเรื่องแบบนี้

ซึ่งอาตมาค้านสังคม ประเทศทั้งโลก 2 เรื่องคือ 1 การหารายได้จากการท่องเที่ยว อาตมานิยมประเทศภูฏานที่เขาระมัดระวังเรื่องการให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในประเทศเขา ต้องอยู่ในเกณฑ์ที่จะดูแลได้เขาจะมาให้คนเข้ามามากเราก็ไม่ต้องการ

ถ้าคนเข้ามาชม แค่เปลือกนอกมอมเมาเขาก็เป็นการเสริมกิเลสเขาให้รื่นเริงสนุกสนานถ้าผู้มีปฏิภาณปัญญาไหวพริบบ้างเขาก็จะได้ความรู้บ้าง ก็สะดุดเกิดฉุกคิด เห็นสิ่งที่น่าศึกษาก็จะได้ประโยชน์แต่ถ้ามาเที่ยวสำเริงสำราญชิงเละเทะเหลือเท่าไหร คนที่จะต้อนรับ ก็ดูท่าทีเขา ถ้ามาท่องเที่ยวเปิ๊ดสะก๊าดมาก ถ้าพูดให้เขาออกไปเลยได้ก็ดีแต่ต้องมีมารยาท เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่มาสำเริงสำราญ

อันที่แอนตี้มากคือหาเงินสร้างฐานะด้วยการให้คนมาลงทุนในประเทศ เป็นเรื่องหลักของประเทศด้อยพัฒนา ก็จะหาเงินแบบนี้แม้แต่ประเทศเจริญก็เถอะ การจะให้มาลงทุนในบ้านในเมืองเขา แต่เขาก็มีหลักการเขาจะต้องได้เปรียบอย่างมหาศาลก่อนแม้เราเป็นประเทศด้อยพัฒนาก็ตาม ถ้าเขามาลงทุนแล้วเราตั้งหลักเกณฑ์เอาเปรียบเขาก็ยิ่งเลว แม้ไม่เอาเปรียบเขาเขาก็อย่ามาเอาเปรียบเราการที่เขาจะมาลงทุนในประเทศก็มาเอาเปรียบทั้งนั้น อย่าไปชักศึกเข้าบ้าน

หลักของศาสนาพุทธสอนให้คนอย่าเอาเปรียบในหลวงของเราตัดขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราต้องให้เขาไม่ใช่ไปเอาเปรียบเขาถ้าเขามาลงทุนในประเทศไทยก็ไม่มีใครหรอกที่จะมาลงทุนในระดับประเทศที่จะมาหัดทนให้เราก็ไม่มีมีแต่จะมาเอาเปรียบเอารัดเรา ไม่สมควรอย่างยิ่ง แต่ถ้าเราจะฉลาดเอาเปรียบเขาก็ไม่ได้เรื่อง ทั้งสองทิศทาง

ให้เขามาศึกษามาชื่นชม มาได้ประโยชน์ในความรู้ความประเสริฐถ้าประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยตามแบบอย่างในหลวงตรัสไว้คือเป็นประชาธิปไตยเศรษฐกิจพอเพียงประชาธิปไตยแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ตามที่ในหลวงของเราตรัส

 แล้วแบบคนจนใครจะมาเที่ยวใครจะมาเอาเพราะฉะนั้นคนที่จะมาเอาแบบคนจนเอาแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งคนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจแต่พระเจ้าอยู่หัวชัดเจนว่าแบบพอเพียงก็คือแบบคนจนและลึกเข้าไปอีกก็คือขาดทุนของเราคือกำไรของเราเป็นความประเสริฐของมนุษย์

 ประเทศที่มีความเจริญคือมีเศรษฐกิจพอเพียงบริหารแบบคนจนให้ขาดทุนของเราคือกำไรของเราจะเรียกว่าประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์ก็ตาม และประชาธิปไตยแบบขาเดียวก็เป็น materialism คือพวกวัตถุนิยม ให้ดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรต่อไป

ไม่ว่าประชาธิปไตยหรือว่าคอมมิวนิสต์ก็มีเนื้อหาเดียวกัน ถ้าเข้าใจการบริหาร ไม่ว่าระบอบไหนไหน ต้องทำเพื่อประชาชนรับใช้ประชาชน นั่นแหละคือการบริหารประเทศ

ในหนึ่งครอบครัวในการบริหารครอบครัวพ่อแม่ บริหารตระกูลหรือบริหารกรุงศรีให้เจริญ ก็เพื่อให้กรุงศรีไม่ใช่ให้ตัวเองนั่นแหละคือวิญญาณของมนุษยชาติจะเรียกชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการหรือราชาธิปไตยหรือจะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อะไรก็แล้วแต่ถ้าผู้บริหารนั้นสามารถที่จะทำงานเพื่อคนที่ตัวเองดูแลรับผิดชอบ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง นั่นแหละคืออธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ถ้าเรียกสมบูรณ์แบบก็คือธรรมาธิปไตย

 ในทางนิติศาสตร์ก็จะพูดว่าต้องบริหารให้มีนิติรัฐนิติธรรม แต่พูดไปทำไมทำไมเข้าใจไม่ได้ว่าอยู่ในสัจธรรมอยู่ในธรรมะที่สุดยอดไม่ว่าศาสนาไหนก็คือทำให้สังคมประเทศชาติมนุษยชาติอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งนั้นแหละทุกศาสนา ธรรมะจึงเป็นเรื่องหลักสำคัญในการบริหารประเทศอย่างยิ่ง

เหตุการณ์ที่เกิดในทำเนียบขาวอเมริกา ที่โป๊ปฟรานซิสไปพูดแล้วประธานสภาร้องไห้ลาออก นั่นคือเหตุการณ์ของความล้มเหลว ของการบริหารประเทศ ที่บริหารให้คนมีอำนาจเป็นใหญ่ เพื่อตัวเองเพื่อพรรคพวกแล้วซ่อนอำพรางตัวเองทำเป็น จะมาช่วยประชาชน จะอย่างดีก็แค่ไม่โลภมากเป็นนักธุรกิจใหญ่แต่ก็ได้มีฐานะ มีลาภยศสรรเสริญๆไปจนตายตลอดชีวิต

อย่างคุณชัช อุบลจินดา แสดงพฤติกรรมช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงใจครั้งเดียวดังไปทั่วโลก ได้รับเครื่องราชฯ อิสริยาภรณ์ ดูสิว่า คุณชัชแก่ไป แต่คุณชัชดังด้วยคุณธรรม ไม่ได้ดังด้วยตำแหน่งฐานะ ตอนนี้กรูเกรียว เพราะคุณธรรมอย่างเดียวนะ ดูว่าแก่ไปจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่อดีตนายกฯผู้ว่าฯ รมต. ไม่ใช่ แต่ผู้ที่ผ่านตำแหน่งพวกนี้มีทั้งรัฐให้และสังคมให้ แฝงไว้ในเชิงโลกีย์ไม่ใช่ธรรมะแท้ แต่อย่างคุณชัชนี่ธรรมะแท้ จุดเรื่องนิดเดียวแต่ก็ใช่ นี่คือนัยสำคัญของมนุษยชาติ

อาตมาพาพวกเราทำไม่ได้เด่นได้ดีได้โด่อะไร เราพาไปชุมนุมเสียสละขออภัยที่พูดเหมือนยกตัวเราเหน็ดเหนื่อย เสียงตาย ใครจะมานับถือใครจะมาเห็นจุดดีจุดเด่นก็ขออภัยที่ต้องพูดให้เป็นการศึกษาเอาสภาวะเอาปรากฏการณ์จริงมายืนยันอ้างอิงศึกษาไม่ใช่ต้องการพูดเพื่อทวงบุญคุณอะไร เขาก็ไม่เห็นว่าเรามีคุณค่าดีไม่ดีบางคนจะบอกว่าเอ็งอย่าไปอีกนะ  แต่สำหรับพวกเราถ้าจะพาไปอีกจะไปไหม พวกเราก็ไปกัน ฝากไว้ก่อนเจอกันเมื่อชาติต้องการ

เมื่อมันเป็นสิ่งที่ดีสิ่งที่ดีงามต้องช่วยประเทศชาติเราไม่ได้เอาไปเอาโลกธรรมอะไรแล้วมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว แต่มาพูดให้เห็นความนึกคิดของคน concept ของคนเป็นอย่างนั้นว่าทำแล้วมันจะต้องได้การยกย่องยอมรับนับถือแต่ของเราทำไป ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้อะไรกลับมานอกจากผู้มีปัญญาชนจริงๆจะเห็น

                   

581206-7 sms

 

0839975xxx กราบนมัสการครับพ่อท่าน กระผมนัฐดนัย(นัด-ดะ-นัย) ครับ

วันนี้กระผมจะมาต่อในประเด็นสำนักพุทธวจน พ่อท่านครับผมไม่ได้ตู่พระคึกฤทธิ์เลยนะครับ ผมได้ยินเช่นนั้นมาจริงๆ มีหลักฐานแน่นอน แต่ก็มีที่ผมพิมพ์ผิดอยู่ข้อหนึ่งครับ คือสมาธิ 8 ระดับ อันที่จริงต้องเป็น 9 ระดับครับพ่อท่าน อันนี้ผมขออภัยจากใจจริง ที่ผมนำคำสอนเหล่านี้ของพระคึกฤทธิ์มานำเสนอพ่อท่าน ไม่ใช่ว่าผมเกลียดชังพระคึกฤทธิ์นะครับ แต่ผมเห็นว่าที่ท่านสอนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงส่งข่อความผิดๆ เหล่านั้นให้พ่อท่านได้แก้ไขให้ถูกต้อง ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชาวพุทธทั้งหลาย วันนี้ผมยังมีตัวอย่างบางส่วนที่เห็นว่าพระคึกฤทธิ์นั้นสอนผิดมาให้พ่อท่านได้แนะนำสั่งสอนอีกนะครับ

1.แม่ฟังพุทธวจน ทุกวัน อ่านพุทธวจน ให้ลูกในท้องฟังทุกวันแต่ลูกเขาอยู่ด้วยไม่นาน แท้งออกมาแล้วพระคึกฤทธิ์ก็นำเด็กคนนั้นมาเป็นตัวอย่างว่าบรรลุอนาคามี เพราะผู้เป็นแม่ฟังพุทธวจน และอ่านพุทธวจนให้ลูกฟังทุกวัน

2.พระอรหันต์ยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ แต่ไม่ผิด เพราะนั่นไม่ใช่ตัวท่านของท่าน

3.ขณะที่คิดอะไรเพลินๆกายเราไม่มีวิญญาณครอง

4.อันนี้ขยายความต่อจากช่องว่างในที่แคบครับ พระคึกฤทธิ์บอกว่า เมื่อสัตตานัง เบื่อวิญญาณดวงเดิมที่เกาะอุเบกขา เมื่อจางคลายและดับไป สัตตานังมีความเบื่อหน่ายไม่อยากได้วิญญาณดวงใหม่นี่คือช่องว่างในที่แคบ ดังนั้นสติจึงต้องไวพอที่จะวางทันทีที่วิญญาณดวงเดิมดับและวิญญาณกำลังจะไปเกาะ นาม-รูปขันธ์อื่นช่องว่างในที่แคบคือการหลุดพ้น (กระผมอ่าน 10 รอบ บวกกับเอาหัวโขกเสาอีก 10 ครั้งยังไม่เข้าใจเลยครับ) และอีกคำสอนหนึ่งที่ฟังแล้วคันหัวใจมากๆเลยคือกินเนื้อสัตว์ได้ไม่บาป แต่ต้องไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ ว่าเขาทำมาเจาะจงเฉพาะตน อันนี้เป็นข้อที่5

 

ตอบ...พ่อครูตรวจดูบาลีแล้ว ไม่มีคำไหนที่แปลว่าเจาะจงชื่อผู้กิน

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

และอีกสูตรหนึ่ง มีคำว่า สัญจิจจะปานัง ชีวิตาโมโรเปตุง ทำให้วิญญาณสัตว์ตกร่วง แต่สัตว์ที่ตายเองหนึ่ง กับเดนสัตว์กินอีกหนึ่ง คือปวัตตมังสะ ไม่ใช่อุทิสมังสะ ไม่ใช่คนฆ่า แล้วเราก็เอาเดนสัตว์กินเหลือมากิน ท่านก็บอกว่ามีแค่นี้ที่กินได้ ส่วนสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยเจาะจง กินไม่ได้ทั้งนั้น จะเห็น ได้ยิน หรือส่งสัย ก็กินไม่ได้ เช่นสงสัยว่าเป็นปวัตตมังสะหรือไม่ ไม่เห็นไม่ได้ยินแต่สงสัยว่าเป็นเดนสัตว์กินหรือสัตว์ตายเองหรือไม่ หรือถูกคนเจาะจงให้มันตาย

 

ต่อไปข้อ6ครับ คือแปลสักกายทิฏฐิ ว่าคือความเห็นว่าขันธ์5ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตามความเห็นของผมนั้นสักกายทิฏฐิคือ ความเห็นว่ากิเลสนั้นๆ ไม่ใช่เรา เรานั้นไม่ใช่กิเลส เหมือนบุรุษชักดาบออกจากฝัก เขาย่อมรู้ชัดว่านี่ดาบ นี่ฝัก

พ่อครูว่า ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิ จะหาสักกายะอย่างไรก็ไม่เจอ ตอนที่เรามีคดี เจ้าคุณโสภณคณาภรณ์ก็บอกว่า โพธิรักษ์เข้าใจอะไร สักกายทิฏฐิก็ยังไม่พ้น ยังยึดตัวยึดตนอยู่ ผู้ที่หมดตัวหมดตนแล้วก็ค่อยมาพูดสักกายทิฏฐิ

ซึ่งสักกายทิฏฐินั้นหมดตัวตนที่ไหนกัน อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเข้าใจคำว่าสักกายะ โดยเฉพาะคำว่า กาย ที่เป็นองค์ประชุมของรูปและนาม ถ้าเข้าใจแหว่งว่าเป็นรูปอย่างเดียวหรือนามอย่างเดียว เพราะว่า กายเป็นธรรมะสอง เป็นเทวธัมมา 

ต้องรู้เวทนา 18 ที่เป็นเนกขัมมะ ที่ต้องแยกออกจาก เคหสิตเวทนาที่เป็นเวทนาสอง ต้องทำให้เป็นหนึ่งสุดท้ายคืออุเบกขา เอกัคคตา เป็นฌาน 4 ถ้าไม่เข้าใจอันนี้จริงๆเลย ปฏิบัติธรรมให้ตายก็โมเม แม้ข้อต้นแท้ๆก็ไม่ได้

 

7.สัตตาโอปปาติกา คือสัตว์ที่เกิดแบบผุดขึ้นเอง ไม่ได้เกิดในไข่ ในครรภ์ ในสิ่งปฏิกูล แต่ผุดขึ้นมาเองเช่น เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต เป็นต้น

พ่อครูว่า ผุดเกิดคำนี้ แปลแล้วเหมือนไม่มีเหตุใดๆ มันก็ให้ความหมายผิดไป คืออยู่ๆก็เกิดเป็นเปรต เทวดา เลย แล้วใครก็อยากให้พรหมมาเกิดทางจิต ใครก็อยากให้ผุดเกิดเป็นจิตพระเจ้าสูงสุด เขาก็เลยตีความให้นั่งหลับตา นั่งไปๆก็จะพรึบขึ้นมาเอง พพจ.สอนไว้พระอัสสชิ บอกพระสารีบุตรว่าทุกอย่างมาแต่เหตุ พระสารีบุตรซาบซึ้งมาก ก็โอปปาติกโยนิได้เลย นี่คือคำสอนที่ล้างคำสอน

สรุปคือโอปปาติกโยนิ คือการเกิดที่มีเหตุปัจจัยครบ เช่นเกิดเป็นโสดาบัน มันมีตัวสัตว์อบายตาย แล้วจิตก็ถือว่าเกิด การเกิดอย่างนี้เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณไม่ใช่เกิดทางเนื้อหนังวัตถุ แม้สังเสทชะก็เป็นตัวตน แต่นี่เป็นนามธรรม มีอาการของสัตว์ที่มีชีวะเป็นอบายตายไปก็เกิดเป็นโสดาบันหรือพรหมชั้น 1 ชั้นต้นเลยก็ได้ แต่โสดาบันก็หายากที่จะทีเดียวได้ไม่ตกต่ำเลยก็คงยาก นอกจากผู้มีบารมีเดิม ได้ฐานสยังอภิญญาหรือปัจเจกมาแล้วก็แล้วไป

การเกิดอันนี้คือนามธรรม ไม่มีทางวัตถุเลย เกิดอย่างไม่เห็นร่องรอย เรียกว่าเกิดอย่างผุดเกิดที่เป็นภาษาไทยที่เหมือนไม่มีเหตุ แต่ต้องทำเหตุให้ครบจึงเกิดผลได้ มีอาการจิตเกิดใหม่ ไม่ใช่ไม่มีเหตุ คำสอนพพจ.ไม่ค้านแย้งกัน ผู้ปฏิบัติธรรมจึงรู้เหตุสมุทัย ดับสมุทัยก็มีนิโรธ เกิดจิตวิญญาณได้แบบไม่มีซากไม่มีร่องร่อย อาการนั้นดับไปจากจิต ไม่มีอีกแล้ว หรือไม่สะอาดทีเดียวก็เถอะ ถ้าเป็นอนาคามีก็นิโรธเด็ดขาดจากภพ อย่างนี้เป็นต้น ทำเหตุครบก็เกิด แต่ไม่ใช่โผล่เลย นี่คือไม่สภาวธรรมก็เอาภาษาไทยที่แปลมาพูด

 

8.ข้อนี้เป็นเทคนิกการนั่งสมาธิของพระคึกฤทธิ์นะครับ คือนั่งหลับตา ตามรู้ลมหายใจที่เข้าออก ไม่ต่องคิดอะไร หากเผลอไปคิดให้รู้ทันว่านี่เราคิดให้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมาแล้วเริ่มรู้ลมต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับหนึ่งจะเริ่มหายใจละเอียดขึ้นๆๆ จนไม่รู้สึกถึงลมหายใจ ไม่มีความคิดอะไร ว่างโล่ง ฯลฯ อีกเยอะแยะเลยครับพ่อท่าน ผมยืนยันนะครับว่าผมไม่ได้เกลียดชังพระคึกฤทธิ์เพราะข้อดีท่านยังมีคือไม่ทำให้คนงมงาย ไม่ต้องบนบาน ไม่ต้องบูชาเทพ ไม่ต้องรดน้ำมนต์ ไม่ต้องมีศาล เรื่องพวกนี้พระคึกฤทธิ์ทำถูก 150% เลยครับ แต่พอมาเป็นการสาธยายพระสูตรกลับฟังแล้วคันๆๆๆหัวใจยิกๆๆเลยครับพ่อท่าน เกือบลืมไปครับ มีอีกหนึ่งคำสอนที่ฟังแล้วอยากจะเอาหัวโขกเสาสักพันครั้งคือ ใครอยากเป็นโพธิสัตว์ ห้ามเป็นอริยะเด็ดขาด แม้แต่โสดาก็ห้าม หากใครก้าวเข้าขั้นโสดาหมดสิทธิ์เป็นโพธิสัตว์เด็ดขาด ฟังแล้วก็คันหัวใจเพราะโพธิสัตว์ที่บรรลุอรหันต์ ก็พ่อท่านโพธิรักษ์นี่ไง พระคึกฤทธิ์ไม่เห็นเลยหรือครับ แล้วถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีอริยคุณ แล้วจะเอาอะไรมาสอน จะเอาอะไรมาปฏิบัติถูกมั้ยครับพ่อท่าน กราบขอบพระคุณครับ

 

พ่อครูว่า…

1.แม่ฟังพุทธวจน ทุกวัน อ่านพุทธวจน ให้ลูกในท้องฟังทุกวันแต่ลูกเขาอยู่ด้วยไม่นาน แท้งออกมาแล้วพระคึกฤทธิ์ก็นำเด็กคนนั้นมาเป็นตัวอย่างว่าบรรลุอนาคามี เพราะผู้เป็นแม่ฟังพุทธวจน และอ่านพุทธวจนให้ลูกฟังทุกวัน

พ่อครูว่า...นี่ไม่รู้เอาอะไรมายืนยัน อาตมาไม่มีผมจะไปรู้ได้เลยก็คงจะโง่ต่อไป...อาตมาขอโง่ต่อไป ไม่รู้ก็ได้ มีพุทธวจนที่ไหนนะ

 

2.พระอรหันต์ยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ แต่ไม่ผิด เพราะนั่นไม่ใช่ตัวท่านของท่าน

ตอบ...อันนี้ก็ไกลลิบเลย ใครฟังออกบ้าง ก็เพิ่มจะได้รับความรู้จากที่คุณณัฐดนัยเอาของพระคึกฤทธิ์มาให้อ่าน จะเป็นภัยมากต่อศาสนาพุทธ เอาจากพระวจนะ แต่ที่จริงตีความเอาเองจากพุทธวจนะ ฟังแล้วเป็นภัย

 

3.ขณะที่คิดอะไรเพลินๆกายเราไม่มีวิญญาณครอง

ตอบ...คิดอะไรเพลินๆ เขาเข้าใจอย่างไร ยิ่งมาพูดเรื่องกายนี้ไม่มีนามธรรมก็ไม่ได้เลย กายถ้าบางทีขาดรูปก็ยังได้ ในพระอนาคามี เมื่อปฏิบัติหลุดพ้นภายนอกแล้วสำหรับกามภพก็เหลือรูปภพอรูปภพที่เป็นนามธรรมภายในกายอย่างนี้ก็จะมีวิญญาณครองผ่านรูปธรรมได้ และที่บอกว่าคิดเพลินๆก็ตีความตื้นๆว่าจิตไปเกาะกับรูปธรรมหมดเลยบอกว่าไม่มีวิญญาณแต่ที่ยึดว่ากายเพลินๆนี้ตัวตนอยู่ที่กายใช่ไหม  เขาคงตีความว่าไม่รู้ตัวก็เลยไม่มีวิญญาณ เพิ่งจะรู้จักท่านคึกฤทธิ์ว่าท่านตีความไปไกลและฟาวล์มากเลย อาตมาจับไม่ติดเลยเวิ้งว้าง อาตมาจับได้แต่สิ่งที่มาจากเหตุ แต่นี่ไกลเกินเหตุ อาตมาจนแต้มเลย คือเข้าใจท่านคึกฤทธิ์ท่านนี้

 

4.อันนี้ขยายความต่อจากช่องว่างในที่แคบครับ พระคึกฤทธิ์บอกว่า เมื่อสัตตานัง เบื่อวิญญาณดวงเดิมที่เกาะอุเบกขา เมื่อจางคลายและดับไป สัตตานังมีความเบื่อหน่ายไม่อยากได้วิญญาณดวงใหม่นี่คือช่องว่างในที่แคบ ดังนั้นสติจึงต้องไวพอที่จะวางทันทีที่วิญญาณดวงเดิมดับและวิญญาณกำลังจะไปเกาะ นาม-รูปขันธ์อื่นช่องว่างในที่แคบคือการหลุดพ้น (กระผมอ่าน 10 รอบ บวกกับเอาหัวโขกเสาอีก 10 ครั้งยังไม่เข้าใจเลยครับ) และอีกคำสอนหนึ่งที่ฟังแล้วคันหัวใจมากๆเลยคือกินเนื้อสัตว์ได้ไม่บาป แต่ต้องไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ ว่าเขาทำมาเจาะจงเฉพาะตน อันนี้เป็นข้อที่5

ตอบ….สัตว์เบื่อวิญญาณแล้วรีบฉวยโอกาส มิน่าถึงได้ตีความว่า ลูกในท้องฟังแม่อ่านให้ฟังแล้วทำตนให้แท้งเลย ก็เพราะตีความเช่นนี้                          

ข้อ6ครับ คือแปลสักกายทิฏฐิ ว่าคือความเห็นว่าขันธ์5ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตามความเห็นของผมนั้นสักกายทิฏฐิคือ ความเห็นว่ากิเลสนั้นๆ ไม่ใช่เรา เรานั้นไม่ใช่กิเลส เหมือนบุรุษชักดาบออกจากฝัก เขาย่อมรู้ชัดว่านี่ดาบ นี่ฝัก

ตอบ...ถูกต้องอย่างคุณณัฐดนัยเข้าใจ แต่ท่านคึกฤทธิ์ท่านเอาแต่ว่า ขันธ์นี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา ถ้าตีความเช่นนี้ก็คือ ถ้าใครคิดว่าขันธ์ 5 นี่เป็นเรา ถ้าไปยึดขันธ์ 5 นี้เป็นเราอันนั้นก็คือตัวเราเป็นตัวตน ก็เป็นอัตตวาทุปาทานอยู่ที่พูดตามพุทธวจนะตื้นๆ ว่าถ้าใครไปยึดว่าขันธ์ 5 เป็นตัวเราก็เป็นตัวตนเป็นสักกายะ คือเขาต้องเห็นว่าขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเรา แท้จริงอรหันต์ก็มีขันธ์ 5 แต่ไม่มีอุปาทานในขันธ์ 5 แล้ว ไม่ใช่ไม่มีขันธ์ 5 แต่ถ้าไม่มี ขันธ์ 5 ก็ตายแล้ว คุณต้องบรรลุในขณะมีขันธ์5 แล้วหมดอุปาทาน ในขันธ์ 5 นี้ต่างหาก นี่คือติดยึดพยัญชนะแท้ๆ

ก็แปลพยัญชนะสู่พยัญชนะ นั้นลอยจากสภาวะหมดเลย มีแต่ตรรกะล้วนๆเลย วันนี้อาตมาเข้าใจแล้วว่า ท่านไปไกลมากท่านคึกฤทธิ์ ไปไกลจนตามไม่ติดจริงๆ

 

ที่จริงมีบทความอีกอันหนึ่งก็น่าจะอ่านสู่ฟังนะ

บทความในแทบลอยด์ ประจำ 6-12 ธค. คอลัมน์สมาธิชาวบ้านของอ.บูรพา ผดุงไทย

สมาธิ เป็นเรื่องของการอบรมจิตการอบรมจิตนั้นเป็นการที่เราอบรมความคิดภายในจิตใจเราพูดถึงคำว่าจิตเราที่เป็นผู้รู้ก็มีกันอยู่ทุกคนหูตาจมูกลิ้นกายทั้งหลาย พอสัมผัสสิ่งใดมันก็ส่งไปที่จิตนี่เองก็คือจิตผู้รู้ดีรู้ชอบหรือไม่ชอบรู้สุขสบายรู้ทุกข์ต่างๆก็รู้อยู่ที่จิตนี่เองไก่ทั้งหลายชั้นหูจับตาจะรินทั้งหลายมันเป็นอุปกรณ์ของกายเท่านั้นเองอุปกรณ์นี้ถ้าลองมันขาดจิตผู้รู้แล้วมันก็เป็นเพียงอุปกรณ์เฉยๆตาเห็นรูปถ้ามันไม่ไปสู่จิตผู้รู้แล้วมันก็เป็นรูปเฉยๆอารมณ์ของจิตไม่มีตาเป็นเพียงอุปกรณ์เฉยๆไม่สามารถรู้ได้ ว่าสวยไม่สวยถ้าไม่มีจิตผู้รู้ก็เป็นอุปกรณ์เช่นกันโฮไม่ได้เกิดความเข้าใจว่าสิ่งนี้ไพเราะหรือไม่ไพเราะมันส่งไปที่ผู้รู้ผู้รู้นี้เป็นตัวตัดสินทำให้เกิดอารมณ์จิตขึ้นอีกที ความพอใจไม่พอใจอยู่ที่จิตผู้รู้อุปกรณ์แค่ส่งไปเฉยๆหูตาจมูกต่างๆต้องส่งไปผู้รู้จึงจะเกิดการสร้างอารมณ์ต่างๆขึ้นมาได้ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้ปฏิบัติธรรมและผู้ปฏิบัติจริงทั้งหลายต้องทำความเข้าใจให้ได้ฉันนั้นเมื่อเราแยกไลน์ออกได้อุปกรณ์ต่างๆในกายที่ส่งไม่ถึงจิตมันก็จะไม่เป็นไรเช่นการเจ็บป่วยก็เป็นที่พึ่งสังขารเท่านั้นซึ่งเป็นเพียงอุปกรณ์ถ้ามันไม่ส่งถึงใจใช่ผู้รู้มันก็ไม่เจ็บ พอใจผู้รู้มันก็เลย จุดความเจ็บปวดไป กายสังขารก็เป็นไปตามเงื่อนไขทั้งรู้

ผู้รู้ได้ยินเสียงที่ไพเราะพูดดูก็มีความพึงพอใจ ผู้รู้ได้กลิ่นที่ชอบใจ พูดแล้วก็เกิดความพึงพอใจมันเป็นที่ผู้รู้เท่านั้นไม่ได้เป็นที่จมูกไม่ได้เป็นที่หอไม่ได้เป็นที่ตาหรือกายอะไรผู้รู้ไม่มีตัวตนในสังขารนี้เลยแต่เป็นนามธรรมที่แฝงอยู่ในสังขารนี้ผู้รู้จึงไม่มีที่ตั้งที่สมองผู้รู้ไม่ใช่หัวใจไม่ได้ตั้งอยู่ที่หัวใจแต่ผู้รู้เป็นนามธรรม

 กายทิพย์กายทิพย์นี้เป็นสิ่งที่รู้ที่ทราบทั้งหมดอารมณ์ต่างๆนี้ไม่ได้อยู่ที่สมองแต่อยู่ที่จิตจิตก็ไม่ใช่อวัยวะ 7 เป็นนามธรรมที่ปรับแสงอยู่ลอยลอยในกายสังขารสังขารมีหน้าที่ส่งไปให้ผู้รู้หรือจิตอีกทีพอเราอบรมสมาธิจิตคิดมันก็เด่นชัดขึ้นมากายสังขารก็เป็นของมันติดก็เป็นของมันนี่ความรู้แจ้งก็เห็นแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่ทำทำกันทั้งหลายมันเป็นการอบรมสิ่งที่เป็นนามธรรมคือจิตนี่เองกายไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยที่ว่าอบรมไปแล้วกายแข็งแรงไม่เกี่ยวกันเลย ได้เป็นเพียงสังขารที่พยุงให้จิตแจ้งไปกับเราได้อยู่เท่านั้นหมดกายสังขารแล้วจิตก็ยังอยู่เพลงแต่ว่าไม่มีกายสังขารเพราะกายเสื่อมสลายไม่สามารถรองรับผิดไม่ได้คิดก็จะไปรวมเป็นวิญญาณต่างๆทั่วไม่มีกายสังขารให้มันเข้าไปอยู่เหมือนคนขับรถที่ออกมาจากรถแล้วไม่มีรถมันก็ขับไม่ได้ถ้าอยู่ในรถก็สามารถขับรถไปในที่ต่างๆตามถนนได้รถที่มันสมบูรณ์ดีมันก็วิ่งได้ไกลเพราะไม่ได้เสียอะไรรถที่มันเก่าแล้วมันก็ซึมตรงนั้นตรงนี้ก็จะไปเหมือนรถใหม่ๆอายุน้อยน้อยไม่ได้รถแก่แล้วถึงแม้ว่าคนขับจะไม่แก้บนรถมันก็เป็นไปตามสังขารรถขับได้แค่นั้นวิญญาณมันไม่แก่แต่สังขารมันแก้ลงก็เหมือนคนที่ขับรถ คนขับรถยังไม่แก่แต่รถมันอายุมากแล้วเงียบไม่ไปยังแบนอย่างรวดเหล็กเสียหม้อน้ำตันมันจะไปวิ่งแบบรถใหม่ๆไม่ได้เหมือนกันกับสังขารนี้จิตมันไม่เคยแก่หรอก ยึดมันเป็นพลังงานมันก็เหมือนเดิมแต่สังขารมันเปลี่ยนแปลงไปมันทำไม่ได้เหมือนเดิมครับไปหัวใจมันก็เสื่อมลงปัจจุบันประสิทธิภาพมันไม่ถึง 50% แล้วเมื่อก่อนนี้ตับไตไส้พุงตอนเด็กๆมันก็ดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะอายุมากขึ้นอวัยวะพวกนี้มันก็เป็นไปตามสังขารที่ลดลงเพราะการทำงานมีประสิทธิภาพลดลงประสิทธิภาพของหัวใจตับไตปอดม้ามมันก็ลดลงไปด้วยมันไม่สามารถใช้สังขารเหมือนเดิมได้ ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโลกธาตุอวัยวะต่างๆมันก็มีอายุการใช้งานของมันทั้งหัวใจปอดตับไตมีอายุการใช้งานตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดอย่างมากก็ไม่เกินร้อยปีมันก็ต้องหมดอายุการใช้งานไปเป็นไปตามเงื่อนไขโรคหมดอายุใครแล้วก็ต้องตายถ้าพิจารณานามมรณสติได้แล้วแล้วก็จะรู้แจ้งอย่างนี้เองของที่ตั้งอยู่เฉยๆมันก็เปลี่ยนแปลงไปเองตามกาลเวลาเพราะมันเป็นอย่างนั้นเหมือนข้าวผัดตอนเช้าเพิ่งผ่าตัดใหม่ๆ มันก็หอมน่าทานดีตั้งทิ้งไว้เฉยๆจนเย็นจนค่ำข้าวผัดที่เคยหอมเคยนำกินมันก็บูดก็เสียเหมือนกายสังขารเมื่อตั้งอยู่แล้วในที่สุดก็ต้องแตกสลายดับไปเป็นของเสี ยเพราะเวลาเป็นตัวทำลาย มันก็เพราะมันเป็นอย่างนั้นเองเป็นไปตามเงื่อนไขของโลกธาตุ พอรู้ความจริงแบบนี้แล้ว ใจมันก็เบิกบานเพราะมันพอนะพิชชาไปพ้นจากความทุกข์ที่เป็นอวิชชาคือความไม่รู้ผู้รู้ผู้ตื่นแล้วก็เบิกบานเมื่อรู้ความจริงไม่รู้ความเท็จอยู่บนโลกจะพิจารณาอะไรก็เป็นธรรมไปหมดรู้เห็นเป็นธรรมะทั้งหมดไม่ลงโลกไม่อยากมีอยากได้อยากเป็นอะไรเห็นแก่นแท้ของมันเข้าใจมรณานุสติ มีปัญญาแล้วใจดวงนี้ไม่ติดกับดักโลกอีกไม่ต้องไปดูคนอื่นไม่ต้องเอาใครมาเปรียบเทียบอย่าไปเสียดายส่ิงชั่วๆ ว่าไม่ได้ทำเป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ

อวิชชาทำให้ติดยึดหวงแหน ทำให้จิตเราเป็นจิตยึดมั่นถือมั่นในความเป็นของๆตน ยึดติดในดินแดนพื้นที่ และกลายเป็นเจ้าที่ในที่สุด ถ้าไม่ยึดติดจะพบสัจธรรม พอรู้จริงแล้วปฏิบัติไปก็เห็นความจริงของใจและเห็นความจริงของโลกเป็นธรรมะเป็นปัญญาทั้งหมดและไม่ไปยึดติดกับสิ่งใดใดในโลกอีกต่อไป

 

การพิจารณาแบบนี้คือแบบอัปปมัญญา ไม่เร่ิมที่ปริตตัง ไม่ได้ตีความกายเป็นรูปกับนามแต่พิจาณาเป็นรูปร่างเป็นตรรกะไปหมด แล้วพิจารณาแค่ว่าภายนอก มันก็เกิดตั้งอยู่ดับไปแบบวัตถุ ซึ่งเขาแปลกายไม่ใช่จิตไม่ใช่มโนไม่ใช่วิญญาณ หากไปอ่านพระไตรฯ ว่า กายคือจิตคือมโนคือวิญญาณ เขาก็จะงงมาก

ต้องทำความเข้าใจกายสังขารว่าเป็นรูป นามปรุงแต่งกันอย่างไร ท่านไม่ได้ให้แปล กายว่า เป็นเพียงส่ิงภายนอก แม้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นอาการ 32 แต่เมื่อมันไม่มีประสาทรับรู้ไม่มีนามธรรมเกี่ยวข้องอันนั้นมันไม่ใช่กายแล้ว

เมื่อเข้าใจกายไม่ได้ก็ไม่รู้สักกายทิฏฐิ ในสัมมาทิฏฐิ 10 ก็สอนทานไม่มีกาย สอนทานมีแต่ทานวัตถุ เอาเงินไปทำทาน 99% สำหรับเจ้าของเฟสบุค เป็นสังคมศาสตร์แต่อาตมาไม่เชื่อว่า เขาทำใจเป็นทานแท้ แต่เขาจะมีความฝันอนาคตว่า เขาจะได้เป็นอยู่กับพระเจ้า การทำทานเขาเป็น นัตถิทินนัง ใจเขาไม่ได้ละหน่ายคลาย ทำใจในใจไม่เป็นมนสิการไม่เป็น เพราะทุกวันนี้เขาสอนทานก็ให้ได้รวยยิ่งกว่าเก่าได้สวรรค์วิมาน ยิ่งทานไปย่ิงจะได้รวยๆๆๆ นี่คือไม่รู้จักกาย ที่เป็นสักกายทิฏฐิ ตั้งแต่เร่ิม จับสักกายะไม่ได้

กายคือจิต ถ้าทำทานแล้วไปเพิ่มความโลภก็คือให้จิตเพิ่มความโลก ก็ไม่ใช้ทาน เราต้องอ่านเข้าไปถึงจิตว่าได้ทำทานหรือไม่ในพฤติกรรมองค์รวมของกายนี้และจะทำที่ไหนก็ต้องทำที่จิต ให้ลดที่สมุทัยที่เหตุเราทานวัตถุนี้แล้ว จิตเราจะให้หรือไม่ให้จะโลภหรือจะรักความโลภ

ขออภัยที่วิจารณ์อ.บูรพา แต่ไม่ได้เข้าหลักการรู้รูปนามของพพจ.เลย มีแต่เรื่องเพ้อตรรกะไปเยอะไปหมด อย่างท่านคึกฤทธิ์ก็พิจารณาแค่พยัญชนะไม่เข้าสู่สภาวะ การไม่เข้าใจอัตถะพยัญชนะ

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:37:40 )

581209

รายละเอียด

581209_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทิฏฐิ 62 ตอน 6

พ่อครูว่า..วันนี้วันพุธที่ 9 ธันวาคม 2558 แรม 14 ค่ำเดือน 12 ปีมะแม เราก็มาเรียนกันต่ อตราบใดที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ก็ต้องเรียนยังไม่จบกิจการศึกษาแม้จะจบอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ท่านก็ยังอยู่ในการฟังธรรม ฉันเดียวกันคนที่ยังมีรสโลกโลกชอบอันนี้เสพวันนี้อยู่ตลอดเวลาพักยกแล้วก็เสพใหม่บางอย่างก็นานหน่อยบางอย่างก็บ่อยบ่อยแล้วแต่ตามลักษณะต่อเนื่องไม่รู้จักจบ

ส่วนคนที่ไม่เสพแล้วก็หมดรสราคะ อันหนึ่งเนียนเป็นของตนเลยก็คือ โลภะอีกส่วนหนึ่งเอามาเสพรสก็คือราคะ ที่จริงโลภะก็เป็นการเสพที่เอามาเป็นของตน

 ผู้ศึกษาแล้วจบก็จะหมดราคะโทสะโมหะนั้นเป็นความหลงเหลือและเธอที่ไม่ตรง ถ้าตรงแล้วก็จะละราคะโทสะ ราคา โมหะออกจนหมดเกลี้ยง

ผู้ยังไม่จบก็มาเรียนต่อผู้ที่จบแล้วก็ยังมีธรรมะรสได้แต่ไม่ดูดไม่ผลักไม่เอาเป็นของเราเลย

ปีหนึ่งเราก็มาสอบ ไม่เสียตังค์สอบได้ก็ได้ สอบไม่ได้ก็ไม่ได้ เป็นการทดสอบ มาเรียนรู้ศึกษา เราทำฟรีหมด วันที่ 28 - 31 ก็บำเพ็ญคุณ 1-3 ก็บำเพ็ญธรรมแล้ว เป็นการสอบว.บบบ. วิชชาลัย บรรดาบัณฑิตบุญนิยม ทุกปีเราก็พยายามทำ นอกจากบางปีเราก็เว้น ตอนไปชุมนุมช่วยประเทศชาติ แต่ถ้าไม่หนักหนาเราก็ต้องทำ ตอนนี้ก็เปิดรับสมัคร แล้วหมดเขตสมัครวันที่ 25ธ.ค. ใช้หนังสือ ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ เป็นหลักแต่มีเล่มอื่นหรือเทศน์ตอนอื่นด้วย ปีหน้าก็จะเป็น เพชรพุทธ 13 กะรัต กำลังเพาะบ่มความคิดอยู่ เรียบเรียงรวบรวมอยู่

ปีนี้เป็นรุ่นที่ 4 ถ้าใครได้ครบก็จะได้ปัญญาบัตร ครบ 2 ใบเลย

วันนี้ก็จะเอาข้อแย้งของคุณณัฐดนัยที่กล่าวถึงคำเทศนาของพระคึกฤทธิ์ โสตถิภโล (กำลังของความสวัสดี)

 

                   

581206-7 sms

0839975xxx กราบนมัสการครับพ่อท่าน กระผมนัฐดนัย(นัด-ดะ-นัย) ครับ

วันนี้กระผมจะมาต่อในประเด็นสำนักพุทธวจน พ่อท่านครับผมไม่ได้ตู่พระคึกฤทธิ์เลยนะครับ ผมได้ยินเช่นนั้นมาจริงๆ มีหลักฐานแน่นอน แต่ก็มีที่ผมพิมพ์ผิดอยู่ข้อหนึ่งครับ คือสมาธิ 8 ระดับ อันที่จริงต้องเป็น 9 ระดับครับพ่อท่าน อันนี้ผมขออภัยจากใจจริง ที่ผมนำคำสอนเหล่านี้ของพระคึกฤทธิ์มานำเสนอพ่อท่าน ไม่ใช่ว่าผมเกลียดชังพระคึกฤทธิ์นะครับ แต่ผมเห็นว่าที่ท่านสอนนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงส่งข่อความผิดๆ เหล่านั้นให้พ่อท่านได้แก้ไขให้ถูกต้อง ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อชาวพุทธทั้งหลาย วันนี้ผมยังมีตัวอย่างบางส่วนที่เห็นว่าพระคึกฤทธิ์นั้นสอนผิดมาให้พ่อท่านได้แนะนำสั่งสอนอีกนะครับ

1.แม่ฟังพุทธวจน ทุกวัน อ่านพุทธวจน ให้ลูกในท้องฟังทุกวันแต่ลูกเขาอยู่ด้วนไม่นาน แทงค์ออกมาแล้วพระคึกฤทธิ์ก็นำเด็กคนนั้นมาเป็นตัวอย่างว่าบรรลุอนาคามี เพราะผู้เป็นแม่ฟังพุทธวจน และอ่านพุทธวจนให้ลูกฟังทุกวัน

ตอบ...พระคึกฤทธิ์ก็เอาภูมิของตนตอบเลยว่า เด็กคงจะบรรลุอนาคามีก็เลยแท้งเสียเลยไม่มาเกิดอีก แต่แบบนี้จะไปอยู่ในสุทธาวาส 5

1.      อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)

2.      อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)

3.      สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก  ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)

4.      อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)

5.      อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร  หรือไม่เป็นน้องใครอีก  แล้วปรินิพพานไว)

อาตมาว่า เขาตั้งใจคงจะยกย่อง พระพุทธวจนะ ใครเสพเอาใจใส่พุทธวจนมากๆก็จะหลุดพ้น ที่จริงเป็นการปลุกเร้าก็ไม่เสียหาย แต่ว่ามีใครบอกว่าฟังมากๆแล้วบรรลุก็ไม่น่าจะง่ายเช่นนั้นแล้วเป็นเด็กในครรภ์ด้วย ไม่ยอมมากเกิดเป็นมนุษย์เลย

ความเข้าใจว่าผู้ไม่มาเกิดเอาร่างมนุษย์คืออรหันต์หรืออนาคามีนั้นเป็นความเข้าใจผิดเพี้ยนไป เพราะอนาคามีหรืออรหันต์ก็มาเกิดในร่างมนุษย์ได้เสมอ ท่านไม่เสวยในสุทธาวาสเลยก็ได้

 

2.พระอรหันต์ยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ แต่ไม่ผิด เพราะนั่นไม่ใช่ตัวท่านของท่าน

ตอบ…จริงๆแล้วพระอรหันต์นั้นไม่เรียกว่ามีราคะโทสะโมหะแต่เรียกว่ามีมโนสัญเจตนา ที่อาตมาเคยพูดว่าจะเรียกว่าตัณหาก็ได้แต่เป็นตัณหาไม่มีภพ มีเจตนาบริสุทธิ์ มุ่งหมายปรารถนาทำสิ่งไม่บำเรอตนไม่ให้แก่ตน ไม่มีราคะ โทสะ โมหะเลย

ถ้ามีราคะโทสะโมหะอยู่ก็ยังทำผิด ก็คือตัวตนอยู่นั่นเอง

 

3.ขณะที่คืดอะไรเพลินๆกายเราไม่มีวิญญาณครอง

 ตอบ...วิญญาณมีเจตสิก 3 คือ เวทนา สัญญา สังขาร ถ้าคิดอะไรเพลินๆ ก็คือจิตยินดีชอบใจด้วยซ้ำ คือท่านสภาวะไม่ชัดก็เลยกำหนดไม่ชัด อาจจะไม่ใช้สัญญากำหนดอะไร แต่ที่จริง เพลินๆคืออาการสังขารแล้วนะ นี่ก็พูดให้ชัดๆ เพราะฉะนั้น ท่านว่าคิดอะไรเพลินๆ แล้วก็ว่ากายไม่มีวิญญาณครอง ท่านก็แปลกายว่า คือร่างสรีระ แต่ท่านมีวิญญาณคือธาตุรู้ก็คือมีวิญญาณ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้แล้วก็ไม่มีวิญญาณ แต่ถ้ากดทับไว้ กดข่มไว้ไม่ให้รู้อย่างฤาษี วิญญาณก็ไม่ดับ แต่มันถูกสะกดไว้แค่นั้น

การอยู่กลางๆอุเบกขา แบบเคหสิตะกับเนกขัมมะนั้นต่างกัน ต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกไม่มีทางจะไปรู้ว่า คุณหมดวิญญาณ หมดสังขาร หมดเวทนา ได้อย่างไร คนที่จะเข้าใจจริงต้องศึกษามโนปวิจาร 18 เคหสิตะกับเนกขัมมะ ปฏิบัติอ่านอาการของตนออกจริงๆจนอาการหมด อย่างเนกขัมมะไม่ได้แค่พักยกด้วย หรือสะกดจิตด้วย แต่มีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงจนหมด อาการที่เหลือน้อยนิด กับอาการที่หมดนั้นใกล้กันเหลือเกินยากที่จะเข้าใจ ผู้ใดที่เข้าใจลักษณะอาการอารมณ์ของจิตที่ใกล้กันเช่นนี้ เราต้องปฏิบัติจากของหยาบมาก่อน เราก็จะรู้ว่าเหลือน้อยกับหมดสิ้นจะเข้าใจเอง

ถ้าเข้าใจ เคหสิตะกับเนกขัมมะ ไม่ได้ ชัดเจนเลยว่ามันต่างกันอย่างไรแล้วทำให้เป็นเนกขัมมะได้อย่างมั่นคง อย่างนิจจังเลย คุณก็จะรู้ว่าวางปล่อยสนิทไม่มีธาตุรู้ ที่เป็นการยึดใน เวทนา สัญญา สังขารแล้ว ไม่มีอสังขาริกังเจตสิกเลย

 

4.อันนี้ขยายความต่อจากช่องว่างในที่แคบครับ พระคึกฤทธิ์บอกว่า เมื่อสัตตานัง เบื่อวิญญาณดวงเดิมที่เกาะอุเบกขา เมื่อจางคลายและดับไป สัตตานังมีความเบื่อหน่ายไม่อยากได้วิญญาณดวงใหม่นี่คือช่องว่างในที่แคบ ดังนั้นสติจึงต้องไวพอที่จะวางทันทีที่วิญญาณดวงเดิมดับและวิญญาณกำลังจะไปเกาะ นาม-รูปขันธ์อื่นช่องว่างในที่แคบคือการหลุดพ้น (กระผมอ่าน 10 รอบ บวกกับเอาหัวโขกเสาอีก 10 ครั้งยังไม่เข้าใจเลยครับ)

ตอบ...พ่อครูว่า จิตที่บรรลุธรรมมีอุเบกขา ที่มีองค์คุณ 5 อย่าง

1.      ปริสุทธา  (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)

2.      ปริโยทาตา (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.      มุทุ  (รู้แววไว อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) 

4.      กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงาน ไร้อคติ)  

5.      ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

ซึ่งที่พระคึกฤทธิ์ว่า ทำแบบนี้เหมือนนักฟุตบอลต้องฉวยโอกาสให้ไวพอ ไม่เกาะดวงใหม่เลย แต่ไม่ได้เอาอย่างที่พพจ.สอนให้มีอุเบกขา 5 องค์คุณเช่นนี้

 

_และอีกคำสอนหนึ่งที่ฟังแล้วคันหัวใจมากๆเลยคือกินเนื้อสัตว์ได้ไม่บาป แต่ต้องไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ ว่าเขาทำมาเจาะจงเฉพาะตน อันนี้เป็นข้อที่5

ต่อไปข้อ6ครับ คือแปลสักกายทิฏฐิ ว่าคือความเห็นว่าขันธ์5ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตามความเห็นของผมนั้นสักกายทิฏฐิคือ ความเห็นว่ากิเลสนั้นๆ ไม่ใช่เรา เรานั้นไม่ใช่กิเลส เหมือนบุรุษชักดาบออกจากฝัก เขาย่อมรู้ชัดว่านี่ดาบ นี่ฝัก

ตอบ...พยัญชนะคุณบอกว่าไม่ใชเรา แต่ที่จริงเรายังมีอยู่ ที่แย้งไม่ได้คือกิเลสต่างหาก กิเลสจะดับสิ้นอาสวะอนุสัยได้จริงขนาดไหน มันไม่อาศัยกับเราแล้วจะเล็กหรือน้อยก็ไม่มี สยะหรือสยัง คือตัวเราแล้ว ไม่มีกิเลสแต่มี ขันธ์5 อยู่ยังไม่ตาย เมื่อเราถอดไส้หญ้าออกจากปล้องหญ้าก็จะเหลือปล้องหญ้าคือขันธ์ 5 ไง

 

7.สัตตาโอปปาติกา คือสัตว์ที่เกิดแบบผุดขึ้นเอง ไม่ได้เกิดในไข่ ในครรภ์ ในสิ่งปฏิกูล แต่ผุดขึ้นมาเองเช่น เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต เป็นต้น

ตอบ ...คำว่าผุดเกิดคือมีตัวหนึ่งตายตัวหนึ่งเกิดทันที ถ้าใช้คำว่า ผุดเกิดก็เหมือนหลุดลอยไปก็ยากที่จะให้ตรงสภาวะนะ แต่เราต้องรู้เหตุที่ทำให้เกิดสัตว์นรก เทวดา หรือพรหม เทวดาคือสภาพสูงขึ้น ถ้าเทวดาโลกีย์คือสูงอย่างโลกีย์ แต่เทวดาโลกุตระคือลดกิเลสได้ก็เป็นเทพโลกุตระ สูงสุดหมดกิเลสก็เป็นเทวดาวิสุทธิเทพ

8.ข้อนี้เป็นเทคนิกการนั่งสมาธิของพระคึกฤทธิ์นะครับ คือนั่งหลับตา ตามรู้ลมหายใจที่เข้าออก ไม่ต่องคิดอะไร หากเผลอไปคิดให้รู้ทันว่านี่เราคิดให้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกมาแล้วเริ่มรู้ลมต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับหนึ่งจะเริ่มหายใจละเอียดขึ้นๆๆ จนไม่รู้สึกถึงลมหายใจ ไม่มีความคิดอะไร ว่างโล่ง ฯลฯ อีกเยอะแยะเลยครับพ่อท่าน ผมยืนยันนะครับว่าผมไม่ได้เกลียดชังพระคึกฤทธิ์เพราะข้อดีท่านยังมีคือไม่ทำให้คนงมงาย ไม่ต้องบนบาน ไม่ต้องบูชาเทพ ไม่ต้องรดน้ำมนต์ ไม่ต้องมีศาล เรื่องพวกนี้พระคึกฤทธิ์ทำถูก 150% เลยครับ แต่พอมาเป็นการสาธยายพระสูตรกลับฟังแล้วคันๆๆๆหัวใจยิกๆๆเลยครับพ่อท่าน เกือบลืมไปครับ มีอีกหนึ่งคำสอนที่ฟังแล้วอยากจะเอาหัวโขกเสาสักพันครั้งคือ ใครอยากเป็นโพธิสัตว์ ห้ามเป็นอริยะเด็ดขาด แม้แต่โสดาก็ห้าม หากใครก้าวเข้าขั้นโสดาหมดสิทธิ์เป็นโพธิสัตว์เด็ดขาด ฟังแล้วก็คันหัวใจเพราะโพธิสัตว์ที่บรรลุอรหันต์ ก็พ่อท่านโพธิรักษ์นี่ไง พระคึกฤทธิ์ไม่เห็นเลยหรือครับ แล้วถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีอริยคุณ แล้วจะเอาอะไรมาสอน จะเอาอะไรมาปฏิบัติถูกมั้ยครับพ่อท่าน กราบขอบพระคุณครับ

ตอบ...ประเด็นสำคัญคือใครอยากเป็นโพธิสัตว์ห้ามเป็นอาริยะเลย ตอนนี้คุณณัฐดนัยบอกว่าคันหัวใจแล้วยกตัวอย่างอาตมาเสียด้วย...อันนี้จริงที่สุดถ้าเป็นโพธิสัตว์แล้วบอกว่าเป็นอาริยะแม้โสดาบันไม่ได้เลย ก็เป็นการอธิบายตรรกะ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ในความละเอียดของสภาวะแล้ว ถ้าเป็นโสดาบันก็มีความลึกละเอียดของอนาคามีได้ โดยเอาหลักสังโยชน์ 10 คือโสดาบันจะดับสังโยชน์ 3 ได้ เหลืออีก 7 สังโยชน์คือสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน จะต้องดับอีก 7 เขาก็นึกว่าเจ็ดชาติ ก็แย่ที่สุดแล้ว ถ้าดีที่สุดคือเอกพีชีคือเกิดอีกชาติเดียว ไม่งั้นก็เป็นโกลังโกละคือ 2-6 ชาติ เขาก็ว่า เป็นอรหันต์แล้วจะกลับมามีร่างกายไม่ได้

ถ้าเป็นอรหันต์ก็อยู่ได้ในช่วงที่ไม่ตาย ทำงานกับโลกอย่างมีราคะโทสะโมหะได้ ไม่ผิดเพราะไม่มีตัวตน อันนี้ก็ไม่รู้จะแยกอรหันต์ออกจากคนอื่นได้อย่างไร ยิ่งถ้าเอาตรรกะคาดคะแน ถ้าราคะโทสะโมหะอรหันต์มีได้ รับรองว่ามีเมียดะเลยเจ้าชู้ไก่แจ้เลย ฆ่าใครก็ได้ไม่ผิดนี่

ที่จริงแล้ว ท่านไม่มีราคะโทสะโมหะ แต่อนุโลมไปกับเขาได้ แต่ไม่มีสังขาริกังไปปรุงเป็นราคะโทสะโหมะไปกับเขาแล้ว พูดอย่างนี้พระคึกฤทธิ์ไม่รู้จักอสังขาริกังเลย อรหันต์ท่านมีแต่สังขารไปอย่างอภิสังขารอย่างอยู่เหนือสิ่งที่มีกิเลส ท่านปรุงอย่างไรก็ไม่มีกิเลส แต่ปรุงอนุโลมปฏิโลมไปตามเขา เหมือนยกตัวอย่างแม่ครั่วทำอาหารอร่อยก็ปรุงให้เขากิน แต่ตัวเองไม่ได้ติดรสกับเขา หรือแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก ไม่ได้รู้สึกสนุกไปกับเด็กหรอก ให้เนียนเหมือนสนุกจริงๆเป็นต้น

เดาก็ได้แต่เดา ประเด็นสำคัญคือเขาไปยึดว่าอรหันต์นี้ตายแล้วเกิดอีกไม่ได้ ถ้าการเป็นอาริยะแล้วต้องเป็นตั้งแต่โสดาบัน แล้วจะเกิดอีก 7ชาติได้สูงสุด แล้วจะบำเพ็ญอีกได้แค่ 7 ชาติ บำเพ็ญอย่างไรจะได้เป็นพพจ. เพราะโสดาบันอย่างแย่ที่สุดเกิดได้อีก 7 ชาตินะ ก็ไม่สามารถบำเพ็ญเป็นพพจ.ได้หรอก ดังนั้นคุณเป็นโสดาบันไม่ได้นะ ถ้าจะเป็นพพจ.ต่อไป

ถ้าร่างกายตาย ก็ต้องสูญหากเป็นอรหันต์ ก็เลยเถิดถึงเป็นโสดาบันอีก 7 ชาติก็อรหันต์แล้ว แต่พพจ.กว่าจะได้เป็นต้องบำเพ็ญอีกไม่รู้กี่ล้านชาติ จะเป็นโสดาบันไม่ได้เลย ถ้าคิดอย่างเขา

แล้วอาตมาบอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้วเป็นอรหันต์ด้วยเขาไม่มีทางเชื่อเลย เพราะขัดแย้งกับสิ่งที่เขาสอน เพราะเขาสรุปแล้วว่าเป็นโพธิสัตว์แล้วเป็นอาริยะไม่ได้เลย แม้โสดาบัน

อย่างคำว่าสมาธิเขาก็ต้องไปนั่งหลับตา แต่มรรค 7 องค์เขาก็ปฏิบัติไปเป็นของแถม แต่สมาธิต้องไปนั่งหลับตา แต่ของเราปฏิบัติมรรค 7 องค์นั่นแหละไม่ต้องนั่งหลับตาเลยยังได้สัมมาสมาธิ ของเขาก็ว่า นั่งหลับตาอย่างเดียว อีก 7องค์ไม่ต้องปฏิบัติก็ได้มันคนละขั้วเลยกับของเรา

พพจ.ตรัสไว้ชัดว่าสัมมาสมาธิของพระอาริยะ

[253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์ประกอบบ้าง  ฯ

          [254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

          [255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้วไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ

ปฏิบัติ ทาน ยิตถัง(ศีล) หุตัง(ภาวนา) คือทาน ศีล ภาวนา ต้องตรวจว่าการทานการปฏิบัติศีลพรต เกิดผลหรือไม่คือเกิดภาวนาหรือไม่แล้วเป็นกรรมให้เกิด สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโกหรือไม่

ผู้มีสัมมาทิฏฐิจะแยกโลกนี้ที่เป็นเคหสิตเวทนา ออกจากโลกหน้าคือเนกขัมสิตเวทนาได้คือ ออกจากกาม ออกจากพยาบาท ได้ ก็จะรู้โลกนี้โลกหน้าว่าต่างกันอย่างไร อ่านจิตออก โดยมีบริขารที่ประกอบเป็นแม่หรือพ่อ ลักษณะขององค์ประกอบความต่าง ปัญญากับศีล เป็นองค์ประกอบที่ช่วยกันให้เกิดสัตว์โอปปาติกสัตว์ รู้ว่าแม่คืออิตถีภาวะ พ่อคือปุริสภาวะคือรูปกับนามช่วยกันทำให้เกิดโอปปาติสัตว์

ส่วนข้อที่ 10 คือสมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

คืออาตมาเป็นต้น มีของจริงที่ตนมี เป็นสยังอภิญญา แม้ไม่ใช่สยัมภูก็ตามก็มีของจริงของตน แล้วก็ไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะแล้วค่อยเป็นสยัมภู อาตมาก็บรรยายตามภูมินะผิดถูกก็ตามภูมิอาตมา ก็จะบรรยายในรายการต่อไปคือ พุทธศาสนาตามภูมิ รอให้โน้ตทำหัวรายการให้ต่อไป ก็จะมีลักษะปฏิกโกสนาลงแต่ก็ลดท่าทีลง มันเมื่อยนะ

 

 ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5

          [50] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบันย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบันบัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ?

          58. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้ เอิบอิ่ม พรั่งพร้อม เพลิดเพลินอยู่ด้วยกามคุณห้า

ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง. พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

(พ่อครูอธิบายแทรกว่า ธรรมดา นิพพานนั้นเป็นอทุกขมสุข เป็นฐานนิพพานคือไม่ทุกข์ไม่สุข เราต้องเนกขัมมะออกมาจนถึงอุเบกขา แต่คนที่ไม่รู้ตัวว่ามีอาการสุข เขาเองได้เสพ กามคุณ 5 เขาก็ว่าเขาสุขจริงๆ สภาวะที่เขาสุขจริงๆ นั่นแหละเขาถือว่าเป็นนิพพาน คนที่แสวงหาความสุข ถ้าสุขอย่างยิ่งก็จะจัดจ้านไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่เอาจัดจ้านก็ค่อยลดลง จนหมดสุขหมดทุกข์เลย ต้องมีปัญญาแยกออกว่าอาการสุขทุกข์เป็นอย่างไร อาการสุขโลกีย์กับอาการปรมังสุขังหรือโลกุตรสุข คืออาการนิพพานหรืออุเบกขา ผู้ทำอาการที่ไม่โต่งมีอันตาเลย ไม่เหลือปลายเลยทั้งกามหรืออัตตา ถ้าพ้นโอฬาริกอัตตาก็เหลือเป็นมโนมยอัตตา แล้วลดอีกเหลืออรูปอัตตาที่ละเอียด ก็รู้ว่าตนเหลือแล้วลดอีก จนหมดอาสวะ ถ้าใครทำได้ไม่มีฟื้นก็ตัดเขตเป็นอรหันต์ได้แต่ไม่หมดสิ้นเลย ก็จะต้องมีอุภโตภาควิมุติ ต้องหมดอนุสัยอีก 7 ที่ละเอียดอีก คือตัดสังโยชน์ 3ที่เป็นของโสดาบันหมดเลย

ถ้าผู้ที่อ่านอาการของจิตเจตสิกพวกนี้แล้วกำหนดนิมิตเครื่องหมายของมันไม่ตรงไม่ชัดก็ไม่มีวันบรรลุอรหันต์ อรหันต์เก๊ทุกวันนี้ไม่ได้มาอ่านจิตเจตสิกเลย แม้พวกอภิธรรมที่เรียนจิตเจตสิกแต่รู้จิตทำจิตได้อย่างตรงบัญญัติกับสภาวะจริงหรือไม่นะ

สรุปแล้วอันที่หนึ่งก็หลงกามคุณเป็นสุข ที่เหลือก็หลงในฌานทั้ง 4 เป็นนิพพาน

พพจ.ท่านใช้บัญญัติมาเรียกสภาวะได้ละเอียดมากที่จริงไม่ใช่แต่ของพพจ.องค์นี้แต่ของแต่ละองค์สะสมมามีบัญญัติสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้

 

          59. (2) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่า

ท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะกามทั้งหลายแปรปรวนเป็นอย่างอื่น จึงเกิดความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ โทมนัส และความคับใจ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบัน อันเป็นธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่อย่างนี้.

(พ่อครูว่า เขายึดได้ทั้งลืมตาและหลับตา การหลับตาไม่ใช่ของจริงเลยไม่มีสัมผัสจริงในปัจจุบัน มีแต่สัญญา มีมีทิฏฐธรรมนิพพานเลย ส่วนพวกลืมตาอย่างติชนัทฮันท์หรือหลวงพ่อเทียนก็จะพอเข้าใจอาการกามในการลืมตาแต่ก็สะกดจิตด้วยการลืมตา เช่นเห็นแล้วก็เลิกสะกดจิตให้ลืม ไม่ได้เห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน อ่านตอนกินใหม่ๆก็อร่อยพอกินไปก็อิ่มไม่อร่อย หรืออร่อยอันนี้แล้วก็ไปอยากอย่างอื่น วนเวียนไป พออยากอันนี้ไม่ได้กินก็ทุกข์ก็ต้องดิ้นรนแส่หา ไม่เที่ยง มันวนเวียนให้คุณต้องเป็นภาระตามหามาเสพ

ต้องอ่านอาการไม่เที่ยง ต้องอ่านการเที่ยงออก ไม่เที่ยงอย่างหยาบ กลางละเอียด ก็อ่านออก เรียกว่ามีอินทรีย์ 5 มีดีกรี 5 จะข้างนอกหรือข้างใน ข้างนอกนี้หยาบคือทุกขินทรย์ สุขินทรีย์แต่ถ้าข้างนอกไม่มีอาการแล้ว เป็นอนาคามีก็มีแต่ในใจ เป็นโสมนัสขินทรีย์ โทมนัสขินทรีย์ก็ต้องอ่านของคุณออก จนหมดเหลืออุเบกขินทรีย์ แม้อุเบกขาแล้วไปยึดก็เป็นอุปกิเลส ยึดเป็นฐานอาศัยจนวางไม่เป็นอนุโลมไม่เป็น อุเบกขาก็ปรุงเพื่อประโยชน์ผู้อื่นหรือตนแอบเสพแลบเลียเป็นคนธรรพ์ คือมันเล็กละเอียดแทรกในขนครุฑ เสพเมียครุฑ ของคนอื่น ของตนไม่ทำหรอก ฉันยังแอบอยู่กับเขานี่แหละสัมผัสอยู่ด้วยกันแต่ยอด pretender คนอื่นไม่รู้ด้วยหรอก แต่ตนก็ยังเสพอยู่

ไปอธิบายเป็นปุคลาธิษฐานเป็นหมัดของครุฑ จะไปสวรรค์ชั้นไหนก็มีคนธรรมพ์ไปด้วยเสมอ จะไปเสพชั้นฟ้ากับนางกากีที่ไหนคนธรรมพ์แอบเสพด้วยทั้งสิ้น 

 

60. (3) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

เพราะเหตุว่าปฐมฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีวิตกและวิจารอยู่ ท่านผู้เจริญ เพราะอัตตานี้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้นเพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

(พ่อครูว่า ฌาน 1 คุณทำได้สบายแล้ว เหลือเศษปีติกับสุข ปีติคืออาการพอใจชอบใจที่แรง คือสุขที่มีรสชาติปีติที่แรง ปีติมี 5 อย่าง

1.      ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)  นับความแรงเบา

2.      ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) นับเวลานานแค่ไหน

3.      โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ) ถ้าไม่เข้าใจปล่อยให้แรงให้นานก็เสียพลังงานเป็นอุพเพงคาปีติ เสียเวลาและพลังงานมีโทษสมบัติมากขึ้น

4.      อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)  ก็จะต้องทำให้จางคลายบางเบาเป็นผรณาปีติ

5.      ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

          ผู้ที่อาศัยบางเบาในขั้นหมดอาสวะอย่างอรหันต์ท่านก็มีปีติอาศัยเป็นอภิปโมทยังจิตตังคือมีความยินที่อย่างรู้เอาไว้อาศัยอย่างมีปัญญาเหนือมัน คุณเป็นอรหันต์ก็ได้ฝึกฝน ว่าต้องอาศัย ปุงลิงค์ หรือทำให้สูญคือนปุงสกลิงค์ ต้องหัดฝึกให้แคล่วคล่องว่องไว  จนอนุโลมปฏิโลมกับโลกได้ โดยตนเป็นเอกัคคตา คือเป็นเอกที่ยิ่งใหญ่ อยู่อย่างเหนือทำงานอนุโลมปฏิโลมได้มาก เป็นโพธิสัตว์คือพลังงานช่วยคนอื่น อรหันต์คือพลังงานของตนที่ไม่ลึกลับแล้ว

          คนที่ทำได้กับตนก็ช่วยคนอื่นรื้อขนสัตว์เจริญขึ้นได้จริงๆตามจริง

          อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็รู้จักตัวเอง มาอาศัยอัตตาอย่างอรหัตตาไม่ลึกลับแล้วมีปัญญารู้แจ้งมาทำงานช่วยคนอื่น ถ้าไม่มั่นใจ 80-90 % ก็ไม่ทำ เพราะไม่ได้มาเอาอะไรเพื่อตัวเอง โพธิสัตว์ระดับ 7 ศึกษามาระดับหนึ่งแล้ว ออกไปกลางสมรภูมิ คุณอาจกลัวแต่อาตมาไม่กลัวแล้ว

          ฌาน 4 มีจิตเป็นหนึ่งที่ย่ิงใหญ่ กับสุขที่ยิ่งกว่าสุข เรียกว่าปรมังสุขัง ไม่ใช่สุขอย่างยิ่ง เป็นของโลกุตระไม่มีในโลกีย์ มันสุขสงบอย่างกิเลส หยาบ กลาง ละเอียดตามฐาน โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์

          ผู้ที่ยึดกามเป็นทิฏฐธรรมนิพพานก็มีเต็มโลก เขาเสพสุข เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เสพแล้วพักยกแล้วก็เสพต่อ ผู้เร่ิมมาปฏิบัติธรรมก็จะรู้ว่าเป็นภาระเปล่าดายก็ลดมาเป็นระยะ เบาบางมาตามลำดับ อนาคามีก็เรื่องกามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่เป็นปัญหา มีเหลือยุกยิกในใจ แต่ข้างนอกนี้หิริโอตตัปปะสูง

          ถ้าหิริ คือละอายนั้นต่อหน้าก็ไม่เอาแต่ลับหลังก็เอา แต่ถ้าโอตตัปปะ คือกลัวต่อบาปทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ไม่เอา

          รูปราคะก็หยาบ กว่าอรูปราคะ ก็ใช้การประมาณของแต่ละคน ใครประมาณผิดก็นานช้าปฏิบัติได้

 

          61. (4) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไรเพราะเหตุว่า ทุติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยยังมีปีติเป็นเหตุให้จิตกระเหิมอยู่ เพราะอัตตานี้มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติเสวยสุขอยู่ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง พวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบัน เป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

          62. (5) สมณะหรือพราหมณ์พวกอื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น อย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ มีอยู่จริง อัตตาที่ท่านกล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ามิได้กล่าวว่าไม่มี ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ใช่จะบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้หามิได้ ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

เพราะเหตุว่า ตติยฌานนั้น ท่านกล่าวว่าหยาบ ด้วยจิตยังคำนึงถึงสุขอยู่ เพราะอัตตานี้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ ฉะนั้น จึงเป็นอันบรรลุนิพพานปัจจุบันอันเป็นธรรมอย่างยิ่งพวกหนึ่งย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ อย่างนี้.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลายก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์

ผู้ปรากฏอยู่ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ 5 ประการนี้เท่านั้นหรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตมีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด

สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าวด้วยเหตุ 44 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี ...?

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ62 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมกล่าวด้วยเหตุ 62 ประการนี้เท่านั้น หรือแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ไม่มี.

(พ่อครูว่า ผู้เป็นอรหันต์จะรู้จักว่าจะต่อหรือไม่ต่อ จะสันตติหรือไม่ก็ได้ ผู้ที่หมดตัวตนไม่มีโลกธรรม ท่านไม่ประมาทหรอก อปมาทะ เด็ดขาด รู้จักสิ่งที่เกิด อุปจยะรู้ลีลาของจิตเกิด อกุศลเกิดก็รู้ โดยเฉพาะอกุศลท่านรู้แน่และไม่มีเกิดอกุศลอีก ท่านรู้ว่าตัวกิเลสตัวบาปหมดสิ้นไม่เกิดอีกเลย เหลือแต่อนุโลมปฏิโลม ทำเต็มที่หรือไม่ทำเต็มที่ก็ประมาณเอา รู้จักความเกิด ความดับ ระหว่างกลางคือชรตาคือความเสื่อมจนเหลือ 0

รู้คุณและโทษ ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษทำกุสลสูปสัมปทาทำแต่กุศลให้ถึงพร้อม ทำทวนแล้วทวนอีก สั่งสมตกผลึกควบแน่นขึ้นเรื่อยๆๆๆ เป็นปฏิภาคทวีไปเรื่อยๆ จะอนุโลมปฏิโลมเท่าไหรก็กำหนดได้ สามารถอยู่กับโลกช่วยโลกได้ อย่างประมาณ รู้ตน อัตตัญญุตา ตัวเราก็เท่านี้ท่านจะอนุโลมเท่าที่ตนทำได้ ประมาณอย่างปโหติ พอเหมาะพอดี )

 

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถืออย่างนั้นแล้ว ยึดอย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น และตถาคตย่อมรู้เหตุนั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้นตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีตจะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.

                               จบทิฏฐิ 62.

 

ขอบอกผู้ที่จะมาสอบ ว.บบบ. วันนี้วันที่ 9 ธ.ค. แล้ววันที่ 25 ธ.ค. ก็เป็นวันสุดท้ายจะสมัคทางไลน์ก็ได้ จะมาเองก็ได้ หรือจะติดต่อทางไหนก็ได้

ชีวิตไม่มีอะไรดีกว่ามาศึกษาทางนี้ เราสามารถมีชีวิตปลอดภัยอยู่กับโลกอย่างไม่ทุกข์ อย่างปรมังสุขัง ไม่ใช่จืดชืด แต่อาตมายังตลกได้เสมอ แล้วก็รู้ว่าจะใช้ก็ตลก ไม่ใช้ก็อยู่สบายๆ เรารู้อาการจิตว่าเราไม่ได้เสพรสอันนี้ แต่เราอนุโลมปฏิโลม ปฏิสันถาร เชื่อมโยงกับสังคม อาตมาว่าของพพจ.ยังเหลือเชื้ออยู่ก็มาเอา ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:38:40 )

581213

รายละเอียด

581213_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แบบคนรวยกับแบบคนจน

ส.ฟ้าไทว่า….วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2558 พ่อครูก็ยังอยู่ที่บ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ วันนี้พ่อครูจะพูดถึงความจนความรวย

โดยธรรมชาติ ไม่มีใครอยากจะจน แล้วถามว่ารวยเอาไปทำไม ได้บ้านได้รถได้เสื้อผ้าได้เพชรได้พลอยแล้วอย่างไร ได้คนที่เราชอบเรารักได้บ้านได้เมืองได้แผ่นดินได้โลกทั้งโลก แล้วไงต่อ ถามว่าที่ได้ไปมีความสุขจริงไหม

ก็มีความทุกข์ที่ตะเกียกตะกายต่อไป ทำไมบิลเกตถึงไม่หยุด ก็ต้องตะเกียกตะกายต่อไป มีคนรวยในโลกนี้ที่ประกาศว่ามีความสุขที่สุดในโลกไหม ไม่เห็นมี มีแต่พระพุทธเจ้าที่มาจนแล้วประกาศว่า เรานอนเรานั่งในที่ใดก็เป็นทิพย์ เป็นความสุข นอนบนที่ไหนนอนบนพื้นดินนอนบนบรรจถรณ์ก็เป็นทิพย์

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระราชดำรัส ร.9) ตอน ทำเพื่อพ่อ ที่เข้าถึงปัญญาธิคุณ

 

พ่อครูว่า...ตอนนี้เรากำลังเป็นเดือนแห่งมงคลของประเทศไทยซึ่งผ่านการ Bike for Dad ซึ่งเป็นเหตุการณ์ของโลก มีคนลงทะเบียน 9 แสนกว่าคนส่วน ผู้ที่ไม่ลงทะเบียนก็มีอีกเยอะ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าจะเลยล้าน คนแห่ไปแสดงออก ถึงจิตวิญญาณที่เชิดชูในหลวงของเราพระองค์นี้

 ในหลวงของเราพระองค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ มีญาณปัญญาลึกซึ้ง อย่างทั้งตรัสว่าเศรษฐกิจพอเพียง คนก็ยังเข้าใจไม่ค่อยได้ ก็เลยตรัสเรื่องบริหารแบบคนจนก็ยังไม่เข้าใจ ท่านก็เลยตรัสออกมาชัดเลยว่า ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา แล้วท่านก็บอกว่าใช้ภาษาอังกฤษจะสั้นดี Our loss in our gain. ผู้ที่เสียไปนี่แหละคือผู้ที่ได้มา ข้าราชบริพารทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะทำตามท่าน ก็มีชาวอโศกนี่แหละที่พยายามทำตามจนตั้งนามสกุลเป็นแบบคนจนหลายอย่าง

มี มุ่งมาจน เต็มใจจน กล้าจน จนทุกชาติ ก็มีอีกหลายตระกูลเกี่ยวกับความจน  มีนามสกุล จนแล้วจึงรอด ด้วย ของนายป๊อป ลูกของคุณสังข์ทอง สีใส  อีกอันที่ไม่มีใครไปตั้งคือ จนอีหลีอีหลอ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเล่น ทำจริงๆ เราเป็นคนจน แต่ต้องมีคุณธรรมกิเลสลดจริงๆ มีคุณธรรมมักน้อยสันโดษ ภาษาทางพุทธศาสนาคือ ลดละตัวตน หมดตัวตน มีแต่เห็นแก่ผู้อื่น มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดกาล นี่คือนักการเมืองตัวจริงนักการเมืองตัวแท้ ที่ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบแล้วเอามาใช้

ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่มีพระปัญญาธิคุณนี้ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศ แล้วตรัสออกมากับพระโอษฐ์เอง ก่อนจะได้ยินเสียงจากพระโอษฐ์อาตมาขอกล่าวพระปรมาภิวาทะก่อน

 

พระปรมาภิวาทะ

https://www.youtube.com/watch?v=fEyzxvqNow8

 

 

    1. วันพิเศษพสกทั้ง                     ไผทไทย

  รำลึกน้อมภูวไนย                      ผ่านเผ้า

  เทิดทิตอิศเรศไอ-                     ศุริยะ ยิ่งเทอญ

  คุณค่าฟ้าปกเกล้า                   เลิศล้นบารนี

 

    2. ไทยมีกีรติก้อง                   ด้วยพระ

  วิริยะกรุณมหะ                         กว่าพร้อง

  ปรมาภิวาทะ                            ยิ่งวิเศษ สุดเลย

  คือ“แบบคนจน”ต้อง                  ทึ่งอึ้งคำสวรรค์

 

    3. ทรงสรรคำอีกย้ำ                ชัดเจน

  “อาว์ล็อสอิสอาว์เกน”                ยิ่งซ้อง

  เสริมพระอริเยนทร์                    เปรื่องปราชญ์

  ปรีชญาณพฤทธิ์พ้อง                 พุทธแท้เธียรธรรม

 

    4. พระคำวิเศษนี้                    อาริยะ

  ใช่ตรัสแต่วาทะ                        แค่ถ้อย

  ราชจริยวัตระ                           ประจักษ์สิทธิ์ พิสูจน์เทอญ

  ทรงกิจไว้ไม่น้อย                      กว่าร้อยเกินพัน

 

    5. พระสรรพระสฤษฎ์ให้          โลกระบือ

  คำใหญ่ยิ่งนั้นคือ                      ทิฏฐิฟ้า

  เคยมีฉะนี้หรือ                         ในโลก

  ที่ตรัสให้คนกล้า                       มักน้อยมาจน

 

    6. ปกครองคนด้วยแบบ           ขาดทุน

  ปรมัตถ์นี้คือบุญ                        แน่แท้

  ชำระกิเลสคุณ                            ใหญ่ยิ่ง  

  โลกวัดมิได้แม้                          ฉลาดด้วยปริญญา    

 

    7. วาทะนี้กว่าพื้น                   ปุถุชน

  ทั้งขาดทุนทั้งจน                       สุขได้ 

  สละชี้อัศจรรย์คน                     อาริยะ  

  ประหลาดแน่แต่จริงไซร้           เพราะแท้พุทธธรรม    

 

     ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

      ข้าพระพุทธเจ้า บุญนิยมทีวี

                                        (สไมย์ จำปาแพง  ประพันธ์)    

                                                 28 ต.ค. 2557

 

นี่คือบทกวีที่อยากจะเขียน อยากจะบอกคนทั่วโลกว่า ในหลวงเรามีพระปัญญาธิคุณ มีทฤษฎีหรือมีทิฏฐิ มีความจริง มีสัจจะที่ยิ่งใหญ่ เป็นทิฏฐิฟ้า ว่าต้องปกครองบริหารมนุษยชาติด้วยแบบคนจน ให้คนมาขาดทุนให้แก่สังคมมนุษยชาติ แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีชีวิตกำไรเป็นจริงนั้น คนคิดเอา ตรรกะเอาไม่ได้ในความหมายแบบนี้แล้วท่านก็ไม่ได้ตรัสเป็นภาษาเล่น แต่ท่านมีพระราชจริยวัตรเป็นประจักษ์พิสูจน์ได้ ทรงกิจไว้เยอะแยะมากมาย ตลอดพระชนม์ชีพที่ครองราชย์มาตลอด 60 ปี ก็ได้ทรงงาน จนตอนนี้ก็พระชนมายุมากแล้ว ก็เลยไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากแล้ว

เราก็จะต้องมาสรรเสริญพระปัญญาธิคุณ พระวิริยาธิคุณ ต่างๆ ท่านก็ตรัสของท่าน ด้วยภาษาที่ถือว่าเป็น the great word เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ เป็นทิฏฐิฟ้าไม่เคยมีหรอกในโลก ที่ตรัสให้คนกล้ามากน้อยมาจน ใครปกครองคนด้วยแบบขาดทุน พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จริง แต่ข้าราชบริพารต่างๆไม่ได้เข้าใจไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง จนทุกวันนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เราเป็นราษฎร พระองค์ก็ทรงงานอย่างนี้เราราษฎรก็ปฏิบัติตามที่ในหลวงทรงตรัส เป็นการสนองพระราชดำริอย่างแท้จริง เราก็มาขาดทุนคือกำไรของเรา โดยปัญญาเข้าใจจริงๆ ทำแบบจริงใจ เต็มใจเรา ก็เป็นสุขแล้ว ขาดทุนก็เป็นสุข ยากจนก็เป็นสุขเป็นเรื่องอัศจรรย์ของโลก เพราะไม่ใช่เรื่องของปุถุชน เป็นเรื่องของอารยชน

มาลองฟังคำตรัสของพระเจ้าอยู่หัวเลยที่เราเปิดเป็นประจำในบุญนิยมทีวี

 "แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ท­ำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่าง­มาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่าง­มาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต­่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึ­งหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคต­ยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ต­ำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"

ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534

(พระราชดำริ ควรเป็นสีอะไร?)

 

ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534

 

พ่อครูว่า...พระราชดำรัสนี้ อาตมาถือว่าเป็น the great words เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ถ้ามีปัญญาเข้าใจ ถึงความเป็นคนที่ไม่ต้องเอาสมบัติมาสะสม เป็นคนดี เป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนมีความรู้ความสามารถ และทำงานสร้างสรรค์สร้างสรรค์ได้ แล้วก็กินก็อยู่ก็ใช้อาศัยผลผลิต หรือแรงงานของเราก็จะเหลือ เพราะเรามีสมรรถภาพ มีความรู้ความสามารถเยอะกว่าที่เรากินเราใช้ ถ้าเราปฏิบัติชอบ ละตัวตน ลดละกิเลส ลดละสิ่งที่โลกมันหลอกเรา เราหลุดพ้นเลิกละมาได้จริงเราก็จะเป็นคนไม่สิ้นเปลือง เป็นคนกินน้อยใช้น้อย มีชีวิตเป็นผู้ที่อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชุมชนชาวอโศก แบบคนจน

 

นี่คือคนพิเศษของคน ที่พระพุทธเจ้าท่านใดค้นพบ แล้วมาประกาศมาขยายให้มนุษยชาติให้เรียนรู้และเห็นจริงตามปฏิบัติตาม ทีละบริบท ทีละกรอบ จนกระทั่งได้ ปริตตังเริ่มต้นที่ศีล 5 และปฏิบัติให้มีศีลสมาธิปัญญา มีวิมุติได้จริงๆ สำเร็จได้ 1 แล้วก็ทำ 2 ทำ 3 ทำ 4, 5 ไปเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ไปเรื่อยจนหมดกิเลสในตัวเอง หมดตัวหมดตนไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง ที่เป็นทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอน และทำได้จริง แต่ศาสนาพุทธในเมืองไทยมันเพี้ยน มันลืมเลือน จนปฏิบัติไม่ได้ แม้แต่ศาสนากระแสหลักของประเทศก็เข้าใจผิดเพี้ยนไป ไปหลงรวย ส่งเสริมความรวย แล้วก็ประกาศรวย ก็เข้ากับกิเลสคน คนก็ชอบ อย่างอาตมานี้พามาจน คนไม่ค่อยชอบหรอก มามากน้อยก็เป็นธรรมชาติ ที่คนจะแสวงหาความจนนี้น้อยกว่าแสวงหาความอยากรวย ที่สมกิเลส แต่เป็นสิ่งประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้านี้ ทวนกระแส มีความสุขสงบจากการที่มีใจพอ มีน้อยก็พอสันโดษได้จริง จนกระทั่งมีหมู่กลุ่ม ก็มารวมกันอยู่ช่วยกันทำงานศาสนาพุทธ ไม่ได้เป็นศาสนาปลีกเดียว แต่อยู่ร่วมกันเสียสละร่วมกัน แต่ตอนนี้เพี้ยนให้ไปออกป่าเขา ทำเหมือนที่พระพุทธเจ้าออกบวชใหม่ๆ 6 ปีแรก ก็ไปนิยมออกป่า  ไปคนเดียว แบบนั้นเป็นความผิดไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ออกป่า ศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งสะกดจิต ศาสนาพุทธปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีโพธิปักขิยธรรม 37

อาตมาพาทำมา 45 ปี ก็ได้เพียงเท่านี้ แต่ก็มีความเป็นจริง มีเศรษฐศาสตร์ มีรัฐศาสตร์ มีสังคมศาสตร์แบบนี้ มีความเกื้อกูลกันไม่มีความโลภโกรธหลง หรือมีก็เรียนรู้ที่ละล้างให้หมด จะแสดงความโกรธ จะแสดงความโลภ จะแสดงราคาจัดจ้านในชุมชนชาวอโศกก็จะไม่มี เพราะเราศึกษาการลดกิเลสจริงๆ หมู่บ้านราชธานีอโศกก่อตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว มีหมู่บ้านอื่นอีก ตั้งมา 30 ปีก็มี ถ้ามาอยู่เป็นสมาชิกชุมชนแล้ว มีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการชุมชนแล้ว ก็ทำงานฟรีกันทุกคน ใครมายังไม่เป็นสมาชิกแท้ก็มีส่วนตัวเรื่องของเขา เพราะเราก็ยินดีต้อนรับทุกคนเข้ามาได้

 ถ้าจะมาช่วยงานในนี้ ก็ทำงานให้ฟรีทั้งนั้น หรือบางคนจะมีงานส่วนตัวก็แล้วแต่ จะเอามาแบ่งให้ที่นี่ก็ได้ จะมีทฤษฎีมีวัฒนธรรมในการปฏิบัติแบบชาวอโศก ถ้าอยู่เข้าใจแล้ว เชื่อว่าที่นี่ดีก็ไม่อยู่ ถ้าเข้าใจแล้วมีสิทธิ์ที่จะบริจาคได้ ถ้าเป็นคนนอกยังไม่เข้าใจก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบริจาคให้ที่นี่ ต้องศึกษา ต้องเข้าใจ อ่านหนังสืออย่างน้อย 7 เล่ม แต่ก่อนนี้ต้องฟังเทปคาสเซ็ทอย่างน้อย 70 ม้วน จึงจัดได้รับบริจาคได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีหลักเกณฑ์อยู่แต่ไม่มีเทปคลาสเซ็ทแล้วเป็นอย่างอื่นแทน

ข้อสำคัญคือ จะมีสิทธิ์เอาของมาทานหรือบริจาคต้องมีปัญญารู้จริงๆ อ้างเลยว่าศกนี้เขาอยู่อย่างไร เราถือหลักเกณฑ์ตามพระพุทธเจ้าคือ ให้พึ่งตัวเองไม่เบียดเบียนใคร หมายความว่าเราไม่ไปเรี่ยไรไม่ไปแย่งชิงแน่นอน แม้แต่เราไม่เรี่ยไรไม่ขอร้องไม่แย่งชิงเอามาแล้ว แม้แต่จะเอามาให้ตัวเรา คุณจะต้องมาเข้าใจเราจริงๆ จะใช้คำว่าเราเป็นคนหยิ่งก็ได้ หรือเราพึ่งตนเองรอด ไม่เบียดเบียนใคร แม้แต่ภาษาคำพูดว่าจะต้องขอบ้างนะ พูดและเล็มเรียบเคียงหวานล้อมให้เขามาบริจาคไม่ใช่ที่นี่ ที่นี่ไกลจากสำนักอื่นแน่นอนไม่มีประกาศเรี่ยไร แน่นอนไม่หว่านล้อม ไม่ชักจูงให้มาบริจาคเงินไม่มี

อย่างพวกเรามานี่ มีสิทธิ์รับบริการจากที่นี่เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์จะบริจาคเป็นต้น

 คนทั้งโลกไม่ใช่แต่ประเทศไทยหรือในวงการศาสนาพุทธที่พระบรมศาสดาก็มีทฤษฎีคือทิฏฐิอันเดียวกับพระเจ้าอยู่หัวของเราคือ พาคนมาจนไม่ได้พาคนไปรวย

มาอ่านบทความของคุณเปลวสีเงิน

 

เรื่องคนรวยที่ต้องอวยในปี 2558 เปลว สีเงิน ไทยโพสต์

 

เห็นเขาจัดอันดับ "แชมป์เศรษฐีหุ้นไทย" ปี 2558 แต่ละคนรวยระดับครึ่ง-ค่อนแสนล้าน ก็พลอยตื่นเต้น "แกมอิจฉา" ตามสันดานแท้จนนอนไม่หลับ

และยิ่งไปดูรายชื่อ "50 มหาเศรษฐีไทย" ด้วยแล้ว ทั้งอิจฉา-ริษยามาพร้อมหน้า

ก็แหม...แต่ละราย "รวยล้ำ" มูลค่าทรัพย์สินมีระดับ 4 แสนล้าน ที่ "จนล้ำ" ก็...เฉียดหมื่นล้าน!

คนไทยรวย ต้องช่วยกันดีใจ.........

นั่นหมายถึงประเทศรวยด้วย ประชาชนจะสบายขึ้น เพราะรัฐเก็บภาษีจากการทำมาค้าขึ้นของคนรวย อีกทั้งคนรวยก็จะจ่ายภาษีรายได้ส่วนบุคคลเข้ารัฐมากขึ้น!

อย่างนี้ถือเป็น GDP รวยทรัพย์ แต่ละปี สังคมทุนเขานิยมจัดอันดับประกวด-ประชันกัน

จำรางๆ ว่า มีอยู่ยุค สรรพากรจะนำรายชื่อผู้เสียภาษีมากเป็นอันดับต้นๆ มาเปิดเผย แต่ก็เงียบหายไป หรือยังพร้อมจะเปิดเผยอยู่ก็ไม่ทราบ?

แต่ผมว่าดีนะ....!

เผยแพร่รายชื่อผู้เสียภาษีเข้ารัฐอันดับ 1-100 หรือถึง 1,000 ก็ช่างเถอะ ในความเห็นผม รายชื่ออันดับเศรษฐี แค่ตื่นเต้น

แต่รายชื่อผู้เสียภาษี นอกจากตื่นเต้นแล้ว ประชาสังคมจะรู้สึก ชื่นชม-ยินดี-ยกย่อง-สรรเสริญ

ชื่อเสียง-วงศ์ตระกูล จะถูกยกให้เป็นแบบอย่าง "รวยอย่างมีสาระ" คือรวยอย่างคนนี้-ตระกูลนี้!

คนไทยร่วม 70 ล้านคนแล้ว ในจำนวนร่วม 70 ล้าน.......

20 ล้าน ระดับเหลือกิน-เหลือใช้ ซัก 20-25 ล้าน ระดับมีกิน-มีใช้ ที่ขึ้น-ลง 20-25 ล้าน ระดับกระเดือกกิน-กระเดือกใช้

นี่สถิติอนุมานเอง แต่ที่ต้องเชื่อ เพราะเป็นตัวเลขทางการคือ ประเทศไทยมี "มนุษย์เงินเดือน" เฉียด 12 ล้านคน

แต่เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้จากคนประมาณ 2 ล้านคนเท่านั้น!

เนี่ย...เพราะอย่างนี้ เปลี่ยนวิธีเชิดชูเกียรติมหาเศรษฐีไทยใหม่ดีกว่า จากที่นับยอดรวยมาจัดอันดับ 1-2-3-4-5

ปีหน้าเอาใหม่ เผยยอดตัวเลขรวยแล้ว.......

ต้อง "เผยยอดตัวเลขเสียภาษี" ทั้งรายได้บุคคลและภาษีธุรกิจการค้าด้วย!

คนไทยจะได้ช่วยกันทั้งตื่นเต้น ทั้งชื่นชม ทั้งเชิดชูยกย่องว่า "รวยอย่างมีคุณอนันต์" เป็นศรีแก่สังคมชาติ

อีกอย่าง คนไทยชอบ "เลียนแบบเศรษฐี" อยากรวยเป็นเศรษฐีกันทุกคน รวมทั้งผม เมื่อเห็นเศรษฐีจ่ายภาษีเต็มเม็ด-เต็มหน่วย จ่ายแล้วรวยขึ้นทุกปี

จะได้เป็นแรงจูงใจให้คนที่อยากรวย ยินดี-เต็มใจ ควักเงินจ่ายภาษีกันเต็มเม็ด-เต็มหน่วยตามอย่างเศรษฐีบ้าง!

ทั้งสรรพากรเอง จะได้กระดิก-กระเดี้ยทางปัญญา วางระบบ-คิดวิธี กวาดต้อนทั้งคนธรรมดา คนค้า-คนขายตามถนนหนทาง-ห้างร้าน

รวมทั้ง "รวยแล้วหนีภาษี" และหลบภาษีซุกคำว่า "ปลอดภาษี" ให้เข้ามาอยู่ใน "ระบบภาษี" มากขึ้น!

อย่างสหรัฐฯ รวยระดับเศรษฐีมีมากถึงขั้น "รวยสามัญ" จนไม่มีใครให้กรี๊ดดดซักเท่าไหร่

"มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" รวยจนตัวเลขน่าเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรตื่นเต้นอีก ต่อเมื่อ 4-5 วันที่แล้ว ภรรยาเขาคลอดลูกสาว

"ประกาศยกหุ้นเฟซบุ๊ก" 99% มูลค่า 1.62 ล้านล้าน ให้การกุศลผ่าน "มูลนิธิชาน ซักเคอร์เบิร์ก อินนิเชียทีฟ" เป็นการรับขวัญ!

เถอะ...ถึงเป็นการเลี่ยงอย่างมีศิลป์ซึ่งเศรษฐีนิยมทำกัน จากที่ต้องจ่ายเป็นภาษี

ก็ตั้งมูลนิธิ แล้วบริจาคเข้ามูลนิธิตัวเอง แต่ก็ยังน่าชื่นชม

จากมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่คนหมดตื่นเต้นในความรวย ต้องหันมาตื่นเต้น ทั้งกล่าวขานยกย่อง-สรรเสริญไปทั่วหัวเอ็ดเจ็ดย่านน้ำอีกครั้ง

ไม่ได้ตื่นเต้นยอดเงิน....

แต่ตื่นเต้น-ยกย่อง "อัจฉริยะสมอง" พลิกความรวยที่น่าเบื่อหน่ายและต้องเกือบหมดไปกับภาษี ไปเป็นรวยคงที่ต่อสาธารณมนุษย์!

นี่...พูดกันตรงๆ...........

ทุกวันนี้ ที่ร้องกันว่าแย่...แย่ เศรษฐกิจไทยไม่ดี เงินทองฝืดเคือง นั้น ความจริง เงินสดของคนไทยในประเทศเวลานี้ ถ้าเอามากองรวมกัน

สูงเลยยอดภูเขาทอง!

นั่นคือ เงินมี แต่ลงทุนไปทำไมตอนนี้ เหมือนจุดไม้ขีดแล้วไม่มีขี้ไต้ หรือไส้ตะเกียงมารับไฟให้สว่างต่อ

ไฟลามกินก้านไม้ขีดหมด ก็มืดตื๋อ เท่ากับเสียไม้ขีดไปหนึ่งก้าน โดยไม่ได้อะไรงอกเงยทั้งตัวเองและสังคมรวม!

ทุกคนรู้จักกบ ฉะนั้น สถานการณ์อย่างนี้ ควรศึกษาการอยู่รอดของกบในหน้าแล้ง

กบยังจำศีล กินน้อย-ใช้น้อย "ถนอมชีวิต" คอยฤดูฝนได้ เราก็ควรแบบนั้น โวยวาย-เรียกร้องเอากับรัฐตะพึด-ตะพือ ก็เหมือนร้องหาฝนหน้าแล้ง

เศรษฐีน่ะ เมื่อไม่มีการลงทุน เงินเขาจะเหมือนกระดาษ "ด้อยค่า" ลงไปทุกวัน เขากลุ้มใจมากกว่าเราที่ไม่มีเงินต้องบริหาร...เชื่อเถอะ

เราพยายามกินน้อย-ใช้น้อย อยากโน่น-อยากนี่ให้น้อย รักษาพลังชีวิตเหมือนกบกันสักระยะเถอะ

รอปี 60-61 โน่นแหละ ฝนจะมาห่าใหญ่ เศรษฐกิจจะลื่นไหล การลงทุน การค้า-การขาย พรึ่บพรั่บเหมือนเห็ดดอกใหญ่กว่าหัวลำโพง

สิ่งที่สังคมไทยเราขาดและต้องการมากๆ ในทุกฤดูกาลคือ GDP ความดีของคนในสังคม

และสิ่งนี้ ถึงเศรษฐกิจด้านการลงทุนไม่ดี แต่ "ความดี" ของคนในสังคม จะช่วยให้สังคมชาติ "ใจเป็นสุข"

ยิ่งด้านอื่นฟุบ ฟูด้านท่องเที่ยว "ความดี" ของคนในสังคมชาติ จะเป็นตัวช่วยให้ฟูนั้น เป็นฟูที่ "ฟูเฟื่อง" กระเดื่องโลก

หันมาจัดอันดับ คนที่ทำความดีให้ไทยเป็น "เศรษฐีความสุข" ในความดีกันบ้าง ก็น่าจะดีนะ!

คนในระบบราชการและการเมือง "ทุจริต-คอร์รัปชัน" จนกลบความจริงอันเป็น "สิ่งมี-สิ่งเป็น" แท้ๆ ของสังคมไทยไปหมด

ถ้าคอยไล่เลียง เราจะพบข่าวแทบทุกเดือน แท็กซี่บ้าง คนกวาดถนนบ้าง รปภ.บ้าง พนักงานห้างบ้าง ชาวบ้านบ้าง นักเรียนบ้าง

พบกระเป๋าสตางค์แล้วนำส่งตำรวจ ประกาศหาเจ้าของ!

นักท่องเที่ยวต่างชาติ...ประจำ แล้วก็ซาบซึ้ง "ความซื่อสัตย์" และน้ำใจคนไทย

แต่ไม่ดัง สื่อไม่ถ่ายสด-ถ่ายแห้ง ไม่ส่งนักข่าวไปแจ๊ดๆๆๆๆ ถึงในพื้นที่เหมือนข่าวตะกวดระบอบทักษิณยกฝูง

หรืออย่างมีชาวบ้านตกทุกข์-ได้ยาก ยิ่งประเภท "เด็กกตัญญู" ด้วยแล้ว ออกโซเชียลมีเดียวันเดียว

ของเต็มบ้าน โดยไม่ต้องกินชาเขียวส่งฝา!

อย่างญี่ปุ่น เนปาล หรือที่ไหนประสบภัยพิบัติแรงๆ ระดับประชาชนด้วยกัน....

ประเทศไหนในโลก "ใจดี-มีเมตตา" เข้าถึงคำว่ามนุษยธรรม-เพื่อนมนุษย์เหมือนคนไทย...ไม่มี!

นี่คือ "จุดดี-จุดเด่น" ของคนไทย ประเทศไทย แต่พวกเรา ไม่มีใครหยิบไปพูดจา มาเอาไปทำให้มัน "ดังระดับโลก" อย่าง 50 อันดับมหาเศรษฐี หรืออย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กบ้างเลย?

คนที่ทำดี ทำให้ไทยให้เป็นประเทศ "มหาเศรษฐีความสุข" ในรอบปี เท่าที่ผมนึกได้ขณะนี้ เยอะแยะ

- ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ชุบชีวิตบอลไทย จากเน่าคาป่าช้า วันนี้ ฟุตบอลไทย อันดับ 133 ของโลก อันดับ 18 เอเชีย

และ...อันดับ 1 อาเซียน!

- บัวขาว บัญชาเมฆ ดำถึงไข่ ด้วยความน่ารักส่วนตัว ดังแล้วติดดิน ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ อุทิศตนเพื่อสังคม สปิริตท่ากับความเก่งกล้าด้านศิลปะมวยไทย

บัวขาวในสายตาทั้งคนไทย-คนเทศ "ขาวเหมือนบัวหิมะ"!

- เมย์ รัชนก อินทนนทน์ เด็กบ้านๆ บ้านทองหยอด ประคบประหงม อบรมบ่มเพาะกันเอง ทั้งนิสัยใน-นอกสนาม ทั้งฝีมือด้วยการฝึกฝน ไม่ลืมตัว-ลืมตน ลืมคนมีพระคุณ

อ่อนน้อมกับทุกคนในสนามแข่งขัน กระทั่งคนเช็ดคอร์ต น้องเมย์ทำให้คนทั้งโลกประทับใจ-ชื่นชม

นี่แหละไทย ที่ได้จากน้องเมย์!

- ชัช อุบลจินดา คนป่า-คนทะเล เห็นนักท่องเที่ยวชาวนอร์เวย์ผัวเมียติดหล่มโคลนดูดที่เขื่อนหน้าเมืองกระบี่

เอาตัวเองเป็นขอนรองตีน นอนให้นักท่องเที่ยวร่างยักษ์พยุงตัวขึ้นจากหล่มพ้นตาย แล้วตัวเองลุยโคลนจากไปโดยไม่สนใจรอแม้กระทั่งคำแต๊งกิ้ว

1 กระทำของคุณชัช มีค่ากว่าล้านคำพูดใดๆ เกี่ยวกับภาพลักษณ์ไทย และการชักชวนคนมาเที่ยว

ก็...เกรียวกราวไปทั้งโลก!

- จิมมี่ ชวาลา เห็นทองคำยอดปลีองค์พระบรมธาตุเจดีย์ นครศรีธรรมราช หมอง ต้องซ่อมบำรุง

ก้มกราบพระบรมธาตุ เปล่งคำบริจาคทองคำหนัก 20 กิโลกรัม ค่าประมาณ 28 ล้าน หุ้มห่อปลีแทนทองคำเก่าเดิมที่เป็นสนิม

ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช 2558!

ยังอีกหลายคน แต่ล้นหน้ากระดาษแล้ว ขอเก็บรายชื่อไว้ในใจก่อน ผมว่าบุคคลเหล่านี้ ถือเป็น "ความรวย" ที่สร้างสุขให้แก่สังคมชาติ-สังคมโลก เป็นรวยที่มนุษย์และเทวดาสรรเสริญที่ควรกันกู่ร้อง

ว่ามั้ยครับ?

พ่อครูว่า….ต้องขออภัยคุณเปลว ที่จะวิจารณ์เรื่องเหล่านี้ ข้อต้นที่อาตมาเห็นแย้งคือ เรื่องการส่งเสริมคนรวย เพราะการส่งเสริมคนรวยนี่ผิดในสังคมมนุษย์ ก็เท่ากับการส่งเสริมให้กิเลสต้องแย่งต้องชิง เขาจะรวยได้ก็ต้องแย่งชิง คนที่ไม่แย่งชิงมาเสียสละให้คนอื่นนั้นรวยไม่ได้หรอก

ไปส่งเสริมคนรวย คนก็นิยมคนรวย ก็ไปแย่งชิงกัน แต่ขนาดอาตมามาส่งเสริมความจน ข่มคนรวย ทำมา 45 ปีแล้ว เสนอธรรมะตามสัมมาทิฏฐิตามที่เข้าใจอย่างนี้มาแต่ต้น คนก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อเลย แต่คุณเปลวนี้ส่งเสริมให้คนรวยก็ได้ความสุข เป็นการสุขอย่างอบายมุข เช่นส่งเสริมซิโก้ที่ชุบชีวิตฟุตบอลไทยก็ส่งเสริมให้คนแย่งชิงฆ่าแกงกัน ในการละเล่นส่งเสริมความรุนแรงเหล่านี้

ถ้าไปบำเรอในความสนุกสนานเลยไม่มีการแข่งขันนี้เป็น โรแมนติกซ์(romanticism) แต่ถ้าแข่งขันชิงดีชิงเด่นเอาชนะคะคานกันก็เป็น ซาดิสม์(sadism) แต่ถ้าส่งเสริมความชอบใจพอใจ ก็เป็น romanticism เป็นกิเลสทั้งนั้นกิเลสได้รับความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น romanticism หรือsadism ก็คือ อัตตาทั้งคู่ เป็นอัตตาที่เสริม มาโซคิสม์(masochism) รุนแรง จนกระทั่งกลับมาทำร้ายตัวเอง

ซาดิสม์คือ เห็นคนอื่นเจ็บปวดแล้วชอบใจ  มาโซคิสนี้ต้องตนเองเจ็บปวดจึงจะมัน จึงจะพอใจเพราะฉะนั้น ซาดิสม์กับมาโซคิสม์ เจอกันก็อยู่ด้วยกันได้ คนหนึ่งเห็นความรุนแรงของผู้อื่นมีแล้วก็ชอบใจ ส่วนมาโซคิสม์ ตนเองได้รับความรุนแรงก็ชอบใจ ก็อยู่ด้วยกันได้สมประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยความรุนแรงในโลกแล้วเขาไม่เข้าใจก็ไปส่งเสริมกัน อย่างเช่นการชกมวยนี้เป็นความรุนแรงที่ตรงที่สุด มีแต่ต่อยกัน เลือดแตก มีวิธีการที่ให้หมัดหนัก ชกแล้วชักแหง่กแหง่กเลยก็ชอบใจ ส่งเสริมซาดิสม์ มาโซคิสม์ เขาก็ไม่เข้าใจกันทั้งโลกไม่เข้าใจโลกุตระ เข้าใจแต่โลกียะ

อย่างบัวขาวนี้ ก็ไปส่งเสริมว่าเป็นคนติดดิน แต่แท้แต่แท้จริงเป็นการแข่งขันความรุนแรง ส่วนรัชนก ก็เอาประเด็นที่เขาอ่อนน้อมถ่อมตน แต่แท้จริงโดยตัวหลักคือ เก่งที่จะหาทางเอาชนะเขาได้ ไม่ยอมเป็นผู้แพ้ เป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ กลับกลายเป็นได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข

 ส่วนคุณชัช อุบลจินดา นี้เสียสละจริงๆ ไม่ได้คิดจะเอาจากใครสักคน ทั้งโลกขาดแคลนเป็นจุดขาวเล็กๆในขอบฟ้ากว้างที่โลกขาดแคลนเหลือเกิน ที่คนเสียสละโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนั้นหายากเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรทั้ง 4 ของโลกการที่คุณชัชมาเสียสละ ไม่เอาอะไรตอบแทนเลยจึงดังทั่วโลกคนที่เสียสละจริงๆ ที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน นี่แหละที่หายาก

คนในโลกนี้ไม่เข้าใจประเด็นที่ควรส่งเสริม ก็ไปส่งเสริมอบายมุข ไปบำเรอความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่เป็นการสร้างให้ติดเลว คิดเอาชนะคะคานรุนแรงแย่งชิง นี่คือความยังไม่รู้รอบทั่วในธรรมะที่บริบูรณ์

 เมื่อไปพูดถึงคนรวยแล้ว มีคนรวยที่ไหนไม่เอาเปรียบเขา แล้วจะรวยคุณจะต้องได้เปรียบเขาจึงจะมีส่วนเกินใช่ไหม ถ้าไม่ทำส่วนเกินจะมีรวยได้อย่างไร แล้วคุณจะเสียเงินชื่นชมเศรษฐีที่เสียภาษีให้แก่สังคม ก็บอกว่าให้ส่งเสริมให้เสียให้มากกว่านี้หน่อย สวนส่วนใหญ่ก็จะซ่อน ไม่บอกทั้งหมด ก็ส่วนใหญ่เศรษฐีก็จะรวยได้ก็ต้องเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวกอบโกยมาให้แก่ตัวเอง เพราะฉันนั้นมามักน้อยสันโดษมาลดลงไปเรื่อยได้ดีกว่า จนกระทั่งตัวเองไม่เอาเลย ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างพวกอโศกอีก

 ในชุมชนชาวอโศกคนทำงานฟรี เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณเปลวสีเงินจะรู้หรือเปล่า เขาจะไปทำงานทางโลกได้เงินก็ได้ แต่เขาไม่ทำ ก็มาทำงานให้ที่นี่โดยไม่คิดรายได้ ก็เป็นคนไม่มีเงิน ก็เลยดูยากกว่าพวกนี้เป็นคนมีฐานะรวย แต่คนนี้เป็นคนมีความรู้ความสามารถทั้งนั้น มีสมรรถนะความสามารถ ไม่ขี้เกียจ แต่ไม่มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขให้เลย เป็นปัญญาและความพอใจของเขาที่จะทำ ส่วนคนทางโลกถ้าไม่มีเงินไม่มีลาภยศสรรเสริญให้ ก็จะขี้เกียจทำ  เราไม่มีเครื่องกระตุ้น แต่พวกนี้ไม่ต้องมีเครื่องกระตุ้นก็ทำ ขออภัยที่พูดเหมือนยกย่องตนเองพวกตนเอง

รัฐศาสตร์บุญนิยม เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นวิธีคิดที่เสียสละ อย่างในหลวงตรัสว่าเราเสียนี่แหละเราได้ มนุษย์ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเสียใจได้อย่างไร

 คนที่มีความรู้มาลดละเช่นนี้ไม่ง่าย แต่หมดได้จริงลดละกิเลสได้จริง ตามพระพุทธเจ้าตรัส อาตมาทำงานมา 45 ปีก็ได้คนมาเช่นนี้ ผู้ที่ลดละได้แล้วได้เลย ยั่งยืนถาวรที่แท้จริง ก็ยั่งยืนถาวร ที่ขั้วติดที่รากเหง้าของจิตเลย มันเห็นจริงด้วยปัญญาแล้ว ไม่เอาจิตมันไม่เอามันก็จริงๆมันหมดไปก็สบายดีแล้ว โดยเฉพาะยิ่งมาอยู่ร่วมกันซึ่งเกิดขึ้นแก่เพื่อนเจ็บเพื่อนตายกันได้

อย่างคุณเปลวยกย่องเศรษฐี ก็ว่าเสียภาษีให้มากหน่อย  คนก็ไปนิยมด้วยกัน คือไปยกย่องพวกอบายมุข ดีนะที่ไม่ไปยกย่องพวกบำเรอกามสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นนรกปหาสะ เป็น ขิฑฑาปโทสิกเทวดา  เล่นเรื่องสวยงาม เป็นเทวดากามคุณมีสองข้างคือ romanticism กับ sadism นี่คือธรรมะพระพุทธเจ้าที่สอนมา คุณเปลวยังไม่เข้าใจเรื่องซาดิสม์ ไปส่งเสริมกีฬาแข่งขัน ส่งเสริมมวย แต่ก็คงพอเข้าใจเรื่องกาม เรื่องบันเทิงเริงรมย์ ก็ไม่ค่อยยกตัวอย่าง เป็นภูมิธรรมของคุณเปลวสีเงินที่เข้าใจเช่นนี้ อาตมาก็เข้าใจตามภูมิของอาตมา

ถ้าข้ามเขตมาเลย เข้าใจว่าการเสียนี่แหละคือการได้ เหมือนในหลวงของเราเสียไปตั้งแต่ลักษณะที่มันจะบำเรอกามก็ตาม หรือจิตใจบำเรออัตตาก็ตาม ถ้ามันสามารถเข้าใจแล้วก็มาล้างลดจริงๆเลย ชีวิตของคนผู้นั้นก็เข้ากระแสเป็นอริยบุคคลที่แท้จริง ไม่ได้ใช้ภาษาบาลีว่า”อริยะ”หรือ”อารยะ”จะใช้คำว่า”อาริยะ” คือภาษามาจากศรีอาริยเมตตรัย ให้ต่างจากคำว่าอริยะ ที่ เขาเปลี่ยนไปเป็นการนั่งหลับตาสะกดจิต และมีฤทธิ์เดชมีพลังจิตเสกพระเครื่องได้เสกเหรียญตราอะไรทั้งนั้นที่นิยมกัน แต่ไม่ได้เรียนวิธีลดกิเลสจริงๆ เป็นการกดข่มกัน นั่งสะกดจิตเป็นสมาธิหลับตา ไม่ใช่พุทธ แต่เป็นศาสนาสามัญทั่วโลกครองโลกอยู่แล้ว แม้พระพุทธเจ้าออกบวช 6 ปี ภูมิธรรมของท่านยังไม่ขึ้น แต่แท้จริงท่านมีภูมิเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แต่ถูกโลกมอมเมาไว้ พอถึงวันเพ็ญเดือนหก ก็ถึงกาละที่จะตรัสรู้ ท่านก็ระลึกชาติได้ และระลึกวิธีลดกิเลสได้ ทำได้แล้ว ไม่เหมือนฤาษีชีไพรที่ไม่มีโลกุตรธรรม ที่มีแค่โลกียธรรม กัลยาณธรรม ไม่ข้ามเขตมา อาริยธรรม ดีที่สุดก็แค่สุจริต ไม่รู้จักเนกขัมมะ ไม่รู้จักนิพพาน พระพุทธเจ้าก็ระลึกไม่ออก แต่ว่าถึงเวลาวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ก็เป็นวันตรัสรู้ได้ ท่านระลึกชาติได้บำเพ็ญมากี่ชาติกี่ชาติ มีโลกุตรธรรมอย่างไร รู้แจ้งในอริยสัจ 4 มีศาสนาพุทธขึ้นในพระทัยของท่านในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เรียกว่า “ตรัสรู้” แปลว่าเกิดความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วนำมาตรัสแก่โลก ก็เรียกคำที่ตรัสจากความรู้ของท่านเองท่านเป็นเจ้าของธรรมะ เป็นธรรมสามี คำว่าตรัสรู้เป็นคำไทยที่ตรัสจาก สิ่งที่ท่านรู้ เอามาตรัสท่านบรรลุในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 แล้วก็ทบทวนอีก 49 วัน จนรู้ว่า มาเป็นเจ้าของธรรมะอย่างไร

 กรรมนั้นเป็นอันทำ สั่งสมเป็นอัตภาพของเรา จนกว่าเราจะสามารถแยกรูปนามได้จนหมดเหมือนแยกไฮโดรเจนออกจากออกซิเจน ถ้ามันจับตัวกันใหม่เรียกว่าธาตุน้ำ แต่พระพุทธเจ้าสามารถเป็นนักฟิสิกส์ทางจิตวิญญาณ แยกธาตุไฮโดรเจนออกจากออกซิเจนได้ ธาตุน้ำก็หายไปด้วย แต่แก๊สธาตุน้ำไม่มีตัวตนแล้ว เส้นเดียวกับจิตวิญญาณที่แยกรูปกับนามออกจากกันได้ จิตวิญญาณที่เป็นจิตนิยามของสัตว์โลกก็จะจับตัวกันจนกว่าจะมีความรู้ไปแยกธาตุนี้ได้ ผู้ที่มีความรู้ไปแยกธาตุนี้ได้คือ อริยบุคคล โสดาบัน ก็แยกธาตุได้เริ่มต้น สกิทามี อนาคามี อรหันต์ก็จะแยกธาตุได้มากขึ้นจนหมดเลย

โลกุตระนี้สอนให้คนมาจน สอนไม่ให้สะสมลาภยศสรรเสริญโลกียสุข และจะมีสุขที่ไม่ต้องมีความสุขอย่างสงบสุข หรือวูปสโมสุข เป็นสุขที่ลดละ ฉันนั้นถ้าหมดตัวตนเลย ไม่ยึดเป็นตัวเราของเราจึงมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นจริงๆเป็นผู้มีโลกะวิทู ที่จะมีบารมีแล้วก็ช่วยเหลือโลกได้เรียกว่าโลกานุกัมปา  โลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

อย่างที่พระพุทธรูปนี้ เป็น “ปางตรีลักษณ์” คือมีลักษณะ 3 นี้คือโลกุตระ(เหนือโลก) โลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก)

 คนของพระพุทธเจ้าจึงเป็นคนที่ มีความรู้ความสามารถ เพิ่มความรู้ความสามารถและทำงานให้แก่โลกอย่างเป็นมนุษย์ประเสริฐ มนุษย์ฉลาด มนุษย์ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่ประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นวิธีของเศรษฐศาสตร์ ของรัฐศาสตร์ ของสังคมศาสตร์ สร้างคนขึ้นมา แล้วเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อโลกอย่างแท้จริง

 พระพุทธเจ้าออกบวชตอนแรกก็ถูกมอมเมาให้ไป ทำแบบฤาษี ไม่ได้ทำแบบศาสนาพุทธเลย ซึ่งแบบศาสนาพุทธนั้น ปฏิบัติแบบมรรคมีองค์ 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต ที่ไม่มีการวิจัยในจิตเลย  วิธีการanalysis เป็นการสะกดจิตหรือ hypnosis  ไม่มีวันจะมีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่มีวันจะเกิด system analysis ไม่รู้ input ไม่รู้ process ไม่รู้ output ไม่รู้ outcome ไม่รู้ impact  แต่ของพระพุทธเจ้ามีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยนี่คือ system analysis  พระพุทธเจ้ารู้วิชาการทางโลก แต่ของท่านวิจัยไปถึงข้างในจิตเลยเป็นจิตในจิตสมบูรณ์แบบถึงขั้นนั้น

 ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ปฏิบัติอย่างเข้าไปถึงต้นรากของจิตหยั่งเข้าไปลึกถึงจิตเจตสิกรูปนิพพาน สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า”รูป”  เรียนรู้ลึกเข้าไปถึงเหตุในจิตคือกิเลส รู้กิเลส 1 ตัวกำจัดกิเลส 1 ตัว ก็จะสามารถรู้ไปถึงกิเลสอีกเป็นร้อยตัวพันตัวล้านตัว จะมีผลข้างเคียงคล้ายกัน ในแนวเดียวกันอีกเป็นล้านล้านเหมือนกัน ทำไปทำไปก็จะครบ

 วันนี้ตั้งประเด็นเอาคำว่ารวยกับจนมาตั้งประเด็นให้ฟัง คนที่ยังไม่มีจิตเข้าใจว่าคนจะต้องเกิดมาจน ถ้าแนวโน้มของจิตทิศทางของความเป็นจริง ยินดีที่จะมาจน ยังไม่เกิดตราบใด จิตของคุณก็ยังไม่เข้ากระแสเรียกว่ายังไม่เกิดโสตาปันนะ

กระแสมีโลกุตระกับกระแสโลกียะ มี trend โน้มไปทางไหน เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ผู้ที่มีทิศทางของกรรม เดินเข้าไปหาก้นกรวยไปเข้าหาศูนย์ ก็คือโลกุตระ ส่วนพวกที่เดินไปในทางปากกรวย บานไปรวยไม่มีวันจบ ก็คือพวกที่ไปทิศทางโลกีย ต้องอ่านจิตที่มีทิศทางสองทิศทาง คือโลกียะกับโลกุตระนี้ให้ออกแยกกันให้ออก

โสดาบันรู้จักทฤษฎีที่แท้มีอุบายเครื่องออก แล้วทำจิตให้กิเลสออกได้จริง ก็เป็นสกิทาคามี จนลดละได้

โสดาบันคือรู้วิธีเครื่องออกแล้วทำออกได้ พ้นสังโยชน์ 3 แล้วทำได้เจริญขึ้นก็เป็นสกิทาคามี จนหมด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขภายนอก ก็พ้นสกิทาคามี สูงขึ้นเป็นอนาคามี ถ้ากิเลสมี 100 ลดกิเลสได้ 50 ก็เป็นสกิทาคามี จนหมดกามภพก็เป็นอนาคามี  ศาสนาพุทธไม่ต้องหนีจากโลกไปอยู่กับโลกแต่อยู่เหนือโลกเป็นโลกุตระที่พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ คนโสดไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีลูกมาเลี้ยง แต่ว่ามีพี่น้องมากมายช่วยกันเลี้ยง

ได้ทำมาขนาดนี้  คนก็ยังไม่เห็นดี ยังไปนิยมไปสวยแต่รวย ไปแข่งดี ที่นี่เสียสละจริงยิ่งกว่า ชัช อุบลจินดาเสียอีก ที่นี่อาตมาพาเสียสละตลอด อาตมาพาไปชุมนุมเสี่ยงตาย อาตมาอยู่กับปากกระบอกปืน ที่พูดนี้ไม่ได้ทวงบุญคุณ อยากให้เขามาเห็นดีเห็นงาม แต่ไม่ได้ต้องการให้เขามายกย่องยกยออะไร  ที่เราทำนี้เสี่ยงตายยิ่งกว่าชัดอุบลจินดา ขออภัยที่พูดเหมือนไปข่มเขา เขาก็น่าชมเชย ทำอย่างไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทน ใจใครก็ตามทำได้ก็ประเสริฐสุดแล้ว

คนจะเข้ากระแสต้องเข้าใจจริงว่ามาจนดีกว่ามารวย 

ส.ฟ้าไทว่า...รู้แล้วว่ามาจนดีกว่ามารวย แต่คุณจะเอาอะไร?


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:41:33 )

581214

รายละเอียด

581214_ธรรมาธรรมะสงคราม ความเป็นมาฝั่งฟ้าฝากฟัน

พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2558 ขึ้น 4 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแมขนาดนี้ 18 นาฬิกา 22 นาที เราก็จะได้มาฟังธรรมกันต่อไปในรายการธรรมาธรรมะสงคราม ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนลักษณะการบรรยายให้กว้างขึ้นนิดหน่อย เปลี่ยนเป็น พุทธศาสนาตามภูมิ ตอนนี้เขาทำไตเติ้ลมายังไม่เสร็จ ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ก็ถือว่าเริ่มเมื่อนั้น เรียกว่ารายการใหม่แต่ก็เป็นธรรมะพระพุทธเจ้าทั้งนั้น

วันนี้ก็ที่ศาลาของเราก็มีศพของพ่อฟื้น คชสารทอง มาตั้งอยู่ ก็ถือว่าเป็นการเทศน์ หน้าศพ ไปด้วย ญาติที่มาก็ได้ฟังธรรมได้ประโยชน์ เป็นเอกเลย มาเห็นเรื่องงานศพก็ควรได้สิ่งนี้เป็นส่ิงประเสริฐ จนกระทั่งเขาเอายอดของพระไตรฯ คือพระอภิธรรมมาสวด คนก็นั่งหลับไป เจตนาดีแต่มันก็เกินไปหน่อย ก็เลยเป็นการสูญเปล่าก็ขอวิจารณ์หน่อย มันเลยกลายเป็นประเพณีที่สูญเสีย ประโยชน์อย่างแท้จริงอย่างน่าเสียดายมาก กลายเป็นเรื่องการค้าหาเงิน เป็นเรื่องปรุงแต่งตั้งเป็นจารีตประเพณีที่เลอะเทอะบานปลายเสียหายมาก

ทั้งที่ควรระลึกถึงความตายเรายังไม่ตายก็ควรระลึกถึงธรรมะชีวิตนี้เราไม่ได้เอาใจใส่ธรรมะไปวุ่นวายแต่โลกีย์เอากิเลสใส่จิตตนทุกวันเวลาทุกวินาที ก็ควรจะได้มาใส่ใจธรรมะที่เป็นประโยชน์ ยิ่งผู้ใดมีเพื่อนมากไปงานวัดไปงานศพมากๆก็จะได้ธรรมะจากผู้เสพสารธรรมะคือภิกษุจะได้บรรยายได้เทศน์ให้รู้เรื่องให้เข้าใจแต่กลับกลายแต่งตัวเป็นเรื่องของการเสริมกิเลส แทนที่จะทำให้รู้สึกตัวแล้วได้ลดกิเลสอันเป็นหลักสำคัญแท้ก็เลยไม่ได้เรื่องอะไร

 พ่อฟื้นนี้มีลูกชายเขียนประวัติมา ว่ากินมังสวิรัติตามแม่ธูปที่เป็นภรรยาพ่อฟื้นตั้งแต่ปี 2526 ส่วนแม่กินมาตั้งแต่ปี 2519 ไปช่วยงานที่สันติอโศกเป็นคนอำเภอไพศาลีงานที่ทำประจำคือ งานขนส่ง ตั้งแต่ 2520 ก็หยุดงานทํามาหากินส่วนตัวบางทีก็เป็นแรมเดือนเลย ขนส่งสิ่งต่างๆเพื่องานของชาวอโศก เช่นงานพุทธาภิเษกที่ไพศาลี หรืองานอื่นๆ ช่วยงานต่อเนื่องมาเป็นเวลานับ 10 ปี

 ครอบครัวนี้มีลูก 3 คน มีนายเปียมาตั้งแต่เล็กเลยก็เล่นสนุกไปและช่วยงานไปก็ซึมซับการเข้าวัดจากพ่อและแม่ ทำงานขับรถ อาหารการกินก็ไม่สะดวกสารอาหารอาจไม่พอ ตอนลูกคนเล็กเรียนจบพอดีพ่อก็ป่วยถึงขั้นผ่าตัดสมองช่วยเหลือตนเองไม่ได้ต้องนอนติดกับเตียงตั้งแต่บัดนั้นแม่และลูกลูกก็ดูแลกันตามอัตภาพตั้งแต่ปี 2546 จนถึงปี 2558 นับเป็นเวลา 12 ปี

แม่ก็เลยย้ายถิ่นฐานจากนครสวรรค์ไพศาลีมาอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี พ่อท่านเดินดินได้ชวนมาอยู่เป็นเพื่อนกับพ่อซึ่งเป็นญาติพี่น้องกันและอยากพาลูกลูกมาช่วยงานที่บ้านราชฯเพราะเห็นว่าสภาพแวดล้อมดี แต่ก็ต้องดูแลคนป่วยในชุมชนเรื่องไฟฟ้าเรื่องน้ำไม่สะดวกไม่ได้ใช้ไฟ 220 โวลต์ ก็เลยขยับไปอยู่ข้างวัดจะได้ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้สะดวก

 ทั้งลูกชายลูกสาวลูกเขยก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2559 ช่วยงานวัดไป ลูกชาย 2 คนนี้ก็จบมหาวิทยาลัยศิลปากร เรียนศิลปะมาทั้งคู่ก็มาช่วยงานในเช้าอโศกนี้แล้วแต่ว่าที่ไหนจะให้ไปช่วยงาน แม้ที่สันติอโศกก็ไปทิ้งฝีมือไว้ได้ฝึกฝนฝีมือไป ก็เป็นเรื่องของครอบครัวหนึ่งซึ่งเรามีอีกหลายครอบครัวในหมู่บ้านตั้งแต่ทำงานศาสนามา ก็มีครอบครัวที่เปลี่ยนวิถีชีวิตไม่น้อย

ต้องขอยืนยันว่าเป็นเรื่องของโลกุตระไม่ได้เป็นทาสของโลกโลกียที่เห็นแก่เงินเห็นแก่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ทำงานอย่างเข้าใจว่าทำงานเพื่อลดกิเลส ผู้ที่จิตเข้ากระแสโลกุตรธรรมจะอ่านจิตตนเองออกแล้วแยกแยะได้ โดยเฉพาะถ้าเข้าสู่กระแสโลกุตตระจะสามารถรู้เวทนาในเวทนา รู้จักมโนปวิจาร 18 รู้จักอาการของความรู้สึกในจิต

รู้ว่าเวทนาไปตามกระแสโลกีย์อย่างไรไปตามกระแสโลกุตตระอย่างไรทำให้เราสังวรสำรวมไม่ให้จิตไหลไปตามโลกีย สามารถทำใจในใจหรือโยนิโสมนสิการ เสมอเสมอยังไม่ใช่กดข่มจิตอย่างเดียวแต่ใช้ปัญญาวิเคราะห์วิจัยอาการกิเลสทำให้กิเลสลดด้วยปัญญาด้วยวิปัสสนาญาณหรือฌาน ถ้าฃดด้วยวิธีสมถะกดข่ม เป็น hypnosis เป็นการสะกดจิตไปเฉยๆให้สงบให้หยุดกิเลสขึ้นก็กดมันลงไปไม่ได้อ่านอาการของมโนปวิจาร 18 ไม่ได้รู้รายละเอียดของธรรมะตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้รู้ว่าการต่างๆของเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 ให้กิเลสลดลงจางคลายได้นี่แหละคือการเจริญ ภาวะจิตไม่ใช่การสะกดจิตให้จดจ่ออยู่ที่กสิณอย่างเดียวและจิตจะค่อยๆหรี่ลงหรือลงไม่ดิ้นไม่ดิ้น คือ hypnosisไม่ใช่analysisเป็นการสะกดจิตเฉยๆ ไม่ใช่การพิจารณาถึงกายในกาย เวทนาในเวทนาจิตในจิตธรรมในธรรม

วิธีของสมถะก็สามารถทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ได้ไม่ให้มีกล้ามไม่มีพยาบาทไม่ให้หรือรับไม่ฟุ้งซ่านได้ จิตว่างจากนิวรณ์ 5 แล้วเขาก็รอ ให้นิ่งดีแล้วก็จะเกิดจิตใสใส ไม่มีอะไรกวนก็จะระลึกรู้จะเกิดความรู้แล้วก็กำหนดว่าอันนั้นคือปัญญา หลวงว่านั้นคือปัญญาที่ได้จากสมาธิซึ่งผิด  ปัญญาจะได้จากการวิเคราะห์วิจัยอนาไลซิสเห็นจิตแล้วก็รู้ว่า เป็นสัมมาปฏิบัติสัมมามรรคไหม ปฏิบัติแล้วจิตจังใครไม่ใช่จิตตรีรับจนกิเลสดับ ไม่ใช่จิตดับ แต่จิตกลับสว่างจะรู้จักมีปัญญารู้สักกายะตัวกิเลสที่จางคลายลงเจ็บก็ยิ่งใสสะอาดขึ้น สว่างยังมีปัญญาเข้าใจความจริงรู้โลกอย่างอื่นไม่ใช่สะกดจิตให้หลับหูหลับตาซึ่งมันต่างกันมากเลยกับการนั่งสะกดจิต

hypnosis จะได้สมาธิ แบบ concentration แต่สมาธิแบบพุทธเจ้าจะได้ supraconcentration รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานรู้เหตุของกิเลสทำให้กิเลสลดรู้จักการประหาร 5 อ่านพิจารณาเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วเห็นอาการของจิตเจตสิกต่างๆ เห็นอาการองค์รวมที่เรียกว่ากายที่เรียกว่าเวทนาที่ปรุงแต่งเสร็จ รู้ตัวจิตที่มีเหตุแท้อยู่ข้างในมันจางคลายมันอยู่ที่ใจเราเรียกว่าธรรมะ แล้วก็ได้มักได้ผลจริงๆ นี่คือการปฏิบัติธรรมสติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรม 37 ของพระพุทธเจ้าที่ได้ผลแท้

วันนี้จะตอบปัญหาของนักศึกษาปริญญาโท

คำถาม จาก นศ.ป.โท

ช่วงนี้ งานโรงเรียน มีกิจกรรมมาก ๆ ทั้งเรื่องเรียนต่อ ก็จะต้องนำเสนอหัวข้อ..เพลง...เพื่อส่งอาจารย์ ป.โท อีก เลยต้องขอรบกวนพ่อท่าน ทางนี้ ใจจริงก็อยากจะมาคุยโดยตรง แต่พิจารณษเวลาแล้วไม่ตรงกันเลย...จึงขอถามทางนี้ เพื่อจะติดตามฟังทางทีวี และ จับเป็นประเด็นนำไปเป็นหัวข้อเสนออาจารย์ให้ได้ก่อน... หนูเน้นเฉพาะ เพลงพ่อท่านประพันธ์เท่านั้น โดย อยากรู้ว่า ณ ยุคที่แต่ง จะเป็นไปในเชิงปรัชญา เชิงดนตรี และหรือ หยั่งลงไปถึงเชิงวัฒนธรรม หรือ พ่อท่าน มุ่งทั้งสามแนวเลย จาก บทเพลงพ่อท่าน แต่ละเพลง

หากหนู เสนอผ่าน อาจารย์... หลังจากนั้น จะได้มาขอกราบสัมภาษณ์ค่ะ

******************************

หนู รบกวน ถามพ่อท่านว่า...การแต่งเพลงในแต่ละเพลง พ่อท่านได้แรงบันดาลใจจากอะไร ? ถึงได้แต่งออกมา

ยกตัวอย่างเช่น ฝั่งฟ้า ฝากฝัน พ่อท่านคิดอะไรอยู่ รึ เปล่า เจ้าคะ ถึงได้แต่งออกมาได้แบบดีสุด ๆ หรือว่า มองเห็นสิ่งใดอยู่ รึ เปล่า ทำให้เนื้อเพลงจึงออกมาเป็นแบบนี้...

หรือว่า.. พ่อท่านอยากให้คนที่ฟัง หรือคนที่สนใจ มองเห็นสิ่งเดียว กับที่พ่อท่านต้องการจะให้เห็น...งั้น รึ เปล่า ทั้งนี้ หนูก็รวมไปถึงเพลงอื่นๆ ของพ่อด้วยนะเจ้าคะ แล้วแต่พ่อ จะยกตัวอย่าง หนูอยากจะได้ชัด ๆ สักเพลงเป็นอย่างน้อย เพื่อหนูจะเอามาเป็นแนวทางสู่เพลงอื่น ที่ พ่อท่านแต่ง นะคะ...

กราบนมัสการ ขอบพระคุณค่ะ…

 

พ่อครูว่า...เพลงฝั่งฟ้าฝากฝัน เพลงนี้แต่งที่เดียวเลยทั้งเนื้อร้องและทำนอง แต่งวันที่ 21 วันที่ 22 ก็เสร็จ ตอนนั้นหมอพจน์ บุญศรีก็อยู่ ก็ยังได้กล่าวเนื้อร้องให้ฟัง หมอพจน์เสียไปแล้วก็เหลือลูกชายมาดูแลอาตมาต่อ

เนื้อเพลงว่า

• เพลง ฝั่งฟ้าฝากฝัน •/ เพียงดาว ประดับดิน

- อัลบั้มชุด ฟากฟ้าฝั่งฝัน / ครูรัก รักพงษ์ แต่งคำร้อง-ทำนอง

.. ฝั่งฟ้าเคยฝัน ว่าฟ้าคงซื่อ คงซึ้ง เชื่อฟ้าจึงฝันอยากเห็นแดนอันสุขศรี .. เพราะโลกทุกวันเสื่อมลง หลงโลภหลงโกง สิ้นดี .. ไม่มี ความหวัง มาฝัน..

.. ฝั่งฟ้าเคยฝัน ว่าฟ้าคงส่ง คงสูง .. ให้ฟ้าจูงหวัง ข้ามพ้นแดนคน หยาบหยัน .. เพราะโลกทุกวันเสื่อมลง หลงเกียรติ หลงกาม มั่วกัน ไม่เคยรู้ทัน เกียรติ-กาม ..

.. โดดเด่นก้าวหน้า.. ทว่า! ล้มเหลว เลวซ้อนความเลว เพราะเก่งแล้วทราม.. ทั้งกิน-เกียรติ-กาม สูงเด่นงดงาม มันฝังความทราม ท่ามกลางสังคม..

.. เฝ้าหมายฝากฝัน ฝั่งฟ้าคงไม่.. ใยดี.. โลกนี้จึงล้วน โลภหลงโกงกาม .. หมักหมม.. ฟ้าขาดเมตตาแน่เลย ถึงได้เฉยเมย ให้ตรม ต้องคนระดม .. ช่วยตน../

พ่อครูว่า..ไม่ใช่ว่าให้ไประดมช่วยโลกก่อนแต่ให้ช่วยตนเองก่อน ทำคุณอันสมควรก่อนค่อยไปสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง  เพราะโลกทุกวันเสื่อมลง หลงเกียรติ หลงกาม มั่วกัน ไม่เคยรู้ทัน เกียรติ-กาม ..

.. โดดเด่นก้าวหน้า.. ทว่า! ล้มเหลว เลวซ้อนความเลว เพราะเก่งแล้วทราม.. ทั้งกิน-เกียรติ-กาม สูงเด่นงดงาม มันฝังความทราม ท่ามกลางสังคม.. ขออภัยเถอะมันเป็นคำด่าที่ถึงถึงบทสุดท้ายก็ตัดพ้อฟ้า .. เฝ้าหมายฝากฝัน ฝั่งฟ้าคงไม่.. ใยดี.. โลกนี้จึงล้วน โลภหลงโกงกาม .. หมักหมม.. ฟ้าขาดเมตตาแน่เลย ถึงได้เฉยเมย ให้ตรม ต้องคนระดม .. ช่วยตน โลก

คำว่าฟ้าคือสิ่งที่มีอิทธิพลสูง โดยเฉพาะสามารถดูแลสังคมไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือนักธุรกิจที่คุมอำนาจของลาภยศสรรเสริญสุข คือผู้ที่อยู่ในฐานะสูงของสังคมที่มีโอกาสเจริญเจริญด้วยโลกธรรมหรือเจริญด้วยหน้าที่การบริหารบ้านเมืองสังคมประเทศชาติตามที่ได้รับแต่งตั้งหรือแม้แต่ข้าราชการ ที่ทำงาน อยู่ก็ตามก็ควรจะต้องถ่ายทอดความรู้ความจริง ให้เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นการลดกิเลสให้เข้าเป้าเลย

 แล้วเกิดแรงบันดาลใจอะไรถึงได้แต่งออกมาได้แบบดีสุดๆเข้าชมเชยอาตมา ก็ตอบได้ว่า มีสังคมเป็นแรงบันดาลใจเหตุการณ์ของสังคมน่าเศร้ามากเลวร้ายจริงๆ ก็เป็นแรงบันดาลใจที่ให้แต่งเพลงนี้ออกมาแล้วก็เป็นเชิงวรรณกรรมไม่ใช่ จะด่าว่าโดยตรงเหมือนการเทศนาเช่นนี้แต่ใช้ลีลาของฉันทลักษณ์ของสำเนียงเพลงของกาพย์กลอนเพื่อให้คน ฟังแล้วไม่รู้สึกเหมือนการแสดงธรรมแบบร้อยแก้ว แต่การร้อยกรองก็จะนิ่มนวลหน่อยแต่ก็แรงเหมือนกับด่าตรงตรงนี้แหละมันชัดดี

 เพราะว่าสังคมนั้นหนักหนาสาหัสจริงๆก็เลยจะถามว่าเป็นเรื่องปรัชญาใช่ไหมก็ใช่เลยแน่นอนเป็นเชิงดนตรีก็แน่นอนเอามาจากคอมโพซิชั่น เรียกว่าคอมโพสให้เกิดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสขึ้นมา ให้เกิดผลงานที่เป็นวรรณกรรมเป็นเพลง แล้วบอกว่าจะให้อย่างลงไปถึงวัฒนธรรมก็แน่นอนถ้าเผื่อว่ามีวัฒนธรรมที่ไม่เลวร้ายอย่างนี้

วัฒนธรรมคือความเจริญแต่สังคมทุกวันนี้ไม่ใช่วัฒนธรรมแต่เป็นหายนะทำเราต้องแก้กลับให้เป็นวัฒนธรรมแล้วยังลงให้เกิดจริงเป็นจริงในสังคม อาตมาก็พยายามทำจนเกิดสังคมชาวอโศกมีวัฒนธรรมมีพฤติกรรมชีวิต กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมหรือการทำงานอาชีพ การทำกรรมกิริยาอย่างการพูดจาแนวคิดเชิงคิดความคิดสังกัปปะให้เป็นไปเพื่อลดละหน่ ายคลาย และอยู่ในเกณฑ์ของการไม่เอาเปรียบสังคมไม่ให้ไปเบียดเบียนสังคม แต่ทุกวันนี้อาตมากล้าพูดว่าชาวอโศกนอกจากไม่เบียดเบียนเอาเปรียบสังคมแล้ว ยังช่วยเกื้อกูลขออภัยที่ต้องพูดอย่างวิชาการไม่ได้พูดเพื่อยกตัวยกตนเอาดีเอาเด่นแต่เราได้เกิดกูลช่วยเหลือสังคมไม่ว่าจะทางเศรษฐศาสตร์ทางรัฐศาสตร์หรือทางสังคมศาสตร์ ก็ประกอบการงานอาชีพทำกรรมกิริยาในชาวอโศกร่วมกันเป็นระบบสาธารณโภคีมีผลผลิตผลงาน ซึ่งผลงานเหล่านั้น เราก็อาศัยกินใช้ในสังคมเรามีเหลือพอก็สะพัดออกไปให้ที่อื่นสภาพไปให้กับสังคมซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่าให้ขายในราคาถูกเป็นราคาบุญนิยม 1 ต่ำกว่าราคาตลาด 2 เท่าทุน 3 ขาดทุน 4 แจกฟรีเลยสภาพด้วยวิธีขายก็คือใครในราคาต่ำกว่าราคาตลาดได้มากเท่าไหร่ก็เป็นความสำเร็จของชาวอโศกของผู้ปฏิบัติตามหลักบุญนิยมนี้

แม้แต่งงานการเมืองก็ไปช่วยสังคมยังไม่ได้เอาอะไรมาไม่ได้ไปหาชื่อเสียงไม่ได้ไปสร้างอำนาจทางการเมืองทั้งๆที่เรามีพรรคการเมืองแต่เราไม่เคยไปติดป้ายพรรคการเมืองเก่าเพื่อหาเสียงอะไรเราทำด้วยบริสุทธิ์ใจที่ตั้งพรรคการเมืองมาก็ไม่ได้เจตนาจะตั้งมันมีเหตุปัจจัยที่จะต้องตั้ง เราก็จะพยายามให้วัฒนธรรมความเป็นการเมืองแนวบุญนิยมเป็นการเมืองที่ทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมืองไม่ใช่การเมืองที่จะไปล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างที่ทำกันฉิบหายวายป่วงอย่างทุกวันนี้ซึ่งกำลังแก้ไขด้วย คสช.ตอนนี้

ตอนนี้ ก็จะขอสรุป ว่าที่อาตมาแต่งเพลงนี้ขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากสังคมที่ล้มเหลวอย่างแท้จริงจึงได้แต่งออกมา เป็นการแต่งในเชิงของสังคมเลยซึ่งแน่นอนเกี่ยวข้องกับการเมืองแน่เกี่ยวกับผู้บริหารเกี่ยวกับโลกกับสังคมกับนักธุรกิจหรือเป็นใครก็แล้วแต่  ทั้งโลกเต็มไปด้วยผู้บริหารผู้ผลิตที่เป็นคนเห็นแก่ได้ขี้โลภไม่ซื่อสัตย์กอบโกยเห็นแก่ตัวจัดจ้านไปหมดเพราะฉะนั้นในเพลงนี้ รวบรวมสั้นๆในเนื้อความนี้ หมายถึงสังคมทั้งด้านผู้ผลิตนักธุรกิจ แล้วก็มีครบทั้ง 1 นักผลิต 2 นักบริการ 3 นักบริหาร 4 นักบวช หรือนักบุญ

นักบุญเอาคำว่าบุญไปหากินไปหลอกคนทั้งที่คำว่าบุญไม่ใช่เรื่องของกุศล บุญเป็นเครื่องมือในการชำระกิเลส คือคุณงามความดีเป็นกุศลด้วยแน่นอนโดยปริยายแต่มันยิ่งใหญ่กว่ากุศลเพราะมันตัดต้นเหตุแห่งความไม่ดีความเป็นอกุศลอย่างถึงแก่นเลยถึงสมุทัยถึงที่โกรธ ที่เป็นอกุศลจิตคือกิเลสนั้นคือบุญคือการกำจัดกิเลส บุญ คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ บุญคือการชำระกิเลสจากจิตสันดานให้หมดจด

อาตมาเป็นนักแต่งเพลงคุณจะสัมภาษณ์ตั้งแต่ต้นก็ได้ ซึ่งอาตมา แต่งเพลงตั้งแต่อายุ 14 ขวบ รู้แต่ลีลาทำนองเสียงสูงเสียงต่ำ แต่อาตมาแต่งโคลงกลอนตั้งแต่อายุ 11 12 ปี พออายุ 14 ก็แต่งเพลง ที่มีบันทึกไว้ตั้งแต่พ.ศ. 2494 เป็นเพลงเก่าๆ ที่จริงก็มีที่แต่งก่อนหน้านั้นแต่ก็ประมาณนี้จนถึงทุกวันนี้ ตอนดึกๆก็แต่งไปตามโลกโลกเขา ซึ่งวันหลังค่อยบอกระดับของเพลง ที่เป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะ แม้เป็นเพลงดัง แต่จะเป็นศิลปะหรือไม่? ควรได้ความรู้นี้ใส่ในวิทยนิพนธ์

 ขอขยายความคำว่าวัฒนธรรมคือธรรมะอันพาเจริญรุ่งเรืองส่วนหายนธรรมคือธรรมะท่านพาชิบหายแปลว่าเสื่อมโทรม ซึ่งสังคมเสื่อมโทรมลงไปอย่างที่ว่านี้ ถึงได้เกิดเพลงผั่งฟ้าฝากฝันขึ้นมา อาตมาก็ขยายความไปแล้วเมื่อกี้นี้ แล้วก็เกิดเพลงขึ้นมาอีกหลายเพลงเพื่อแก้ไขให้ชนะทำให้มาเป็นวัฒนธรรมที่แท้จริงโดยอาศัยปัชญาโดยอาศัยดนตรีกาล ซึ่งก็ใช้อีกหลายด้านมาช่วยไม่ว่าจะเป็น การบริหารการสังคมแล้วก็ใช้ด้านศิลปะอื่นเช่นร้อยแก้วหรือศิลปะ 5 หลัก มีประติมากรรม จิตรกรรมสถาปัตยกรรมวรรณกรรม นาฏกรรม เดี๋ยวนี้ศิลปะเลอะเทอะออกไปอีกหลายแขนง ทั้งที่ pure art มี 5 อย่างนี้อาตมาก็ใช้หมด

การจะเปลี่ยนให้แล้วนะทำให้เป็นศิลปะวัฒนธรรมก็ใช้ศิลปะเป็นหลัก อมรินทร์ศิลปะก็รู้จากการจัดองค์ประกอบ คอมโพซิชั่น ให้แต่ละอย่างมาประกอบกันเป็นงานซึ่งงานแต่ละอย่าง ที่เป็นศิลปะนั้นเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณเสมอ ถ้าไม่เกี่ยวกับจิตวิญญาณก็เป็นแค่ฝีมือ

ให้ผู้ที่สัมผัสงานเกิดความประทับใจแล้วมีตัวอภิวัฒน์พัฒนาทางจิต ที่เกิดไปในทางธรรมะเห็นดีเห็นงามในความเป็นผลงานนี้ ทำให้คนสัมผัสงานนั้นลดกิเลสได้ไหมถ้างานนั้นทำให้ลดกิเลสได้งานนั้นคือศิลปะ ถ้างานนั้นทำให้คนเพิ่มเกรดงานนั้นเป็นงานอาจารย์เป็นข้าศึกแก่กุศล ถ้าศิลปะก็คือเป็นมงคลอันอุดม นี่คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า

ยกตัวอย่างง่ายๆจะเป็นงานศิลปะแนวไหนที่คอมโพซิชั่นมาแล้ว เป็นองค์รวมของผลงานทั้งรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งต้องมีทั้งสองอย่างนี้ร่วมด้วยทำให้จิตใจลดกิเลสได้นั่นคือศิลปะถ้าทำให้เกิดกิเลสนั้น นั่นคืออนาจาร ไม่ควรประพฤติไม่ควรกระทำ เป็นเรื่องเหลวไหลไม่ใช่ศิลปะ

 ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นคุณจะเขียนรูปนู๊ด ผู้ที่เขียนรูปนู๊ดแล้วคนสัมผัสเลขรถนั่นคืองานศิลปะถ้าเขียนรูปนู๊ดแล้วหรือปั้นรูปนู๊ดแล้วคนสัมผัสก็เกิดกิเลสขึ้นนั่นคืองานอนาจาร แม้ในงานเพลงก็เช่นกัน อย่างเช่นงานเพลงฝั่งฟ้าฝากฝันก็มีเรื่องของความเห็นแก่ตัว กามกินเกียรติโกงในนั้น ถ้าทำให้กิเลสลดได้นั่นคือศิลปะที่แท้ถ้าทำให้จางคลายลงก็เริ่มดีขึ้น อาตมาแบ่งศิลปะออกเป็น 5 ขั้น

1.ลามก

2.ราคะ

3.สาระ

4.ธรรมะ

5.โลกุตระ

 

อย่างเพลงผั่งฟ้าฝากฝันนี้เป็นเพลงโลกุตระซึ่งจะเข้าไปถึงเรื่องการกินเกียรติโกงแล้วให้รู้สึกตัว ให้ละเลิกไม่ได้มีเรื่องอื่นเลยคือประนามความชั่วชัดชัด

 

มาเข้าสู่โลกุตรธรรม ครั้งที่แล้วจบทิฏฐิ 62 จบที่ท่านตรัสไว้ถึงภาคอดีต อนาคต ปัจจุบันเสร็จ

 

พระไตรฯล.9 ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ

      [51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น.

      [52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [53] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [54] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [55] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [56] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [57] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

คนที่ไม่เอาจริงกับการศึกษาธรรมะจะรู้สึกว่าเยิ่นเย้อ หยุมหยิม ยุ่งยาก ไม่ทันใจเขา เพราะคนทุกวันนี้ใจร้อนจะต้องรีบรู้รีบได้ แล้วพวกคุณฉลาดนักหรือ อย่างกับเป็นอุคฏิตัญญูหรือวิปัญจิตตัญญู คนที่อยู่ใต้น้ำใต้โคลนชอบหลงตัวเองว่า อ่านพระไตรฯซ้ำซาก ยิ่งกว่าโขนที่เขาแสดงกันอยู่นี้ ยืดยาดกว่าจะง้างกว่าจะฟันกัน ก็เป็นเรื่องยากที่รวดเร็วลวกก็ผิดพลาดกันเยอะ  ขนาดเขาจะกินอาหารอร่อยยังบอกว่าใจเย็นๆเลยนี่เรื่องธรรมะลึกซึ้งนะ

มีสองอย่างที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้คือโลกและอัตตา เราก็ต้องสร้างพลังให้อยู่เหนือโลกเหนืออัตตา คือมีธรรมาธิปไตยรู้โลกรู้อัตตา โลกกว้างใหญ่ อัตตานั้นลึก

ผู้ที่เห็นว่าโลกเที่ยงก็จะยึดจะเห็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญ ฉันอาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธายังแสดงเดรัจฉานกถาอยู่ ก็คือเจริญอย่างผิดๆชั่วๆ เจริญทางหายนะ  เจริญอย่างไม่รู้ไม่เห็น ไม่เจริญอย่างมีทิฏฐิ โสตะ มุตะ

ทิฏฐิคือเห็นได้สัมผัส โสตะคือได้ยิน มุตะคือได้กลิ่น ได้สัมผัสตั้งแต่หยาบถึงละเอียดนั่นแหละ ต้องมี การรู้การเห็น เมื่อไม่รู้ไม่เห็น คำว่ารู้คำว่าเห็น คำว่ารู้คำว่าเห็นก็เป็นการกำกับว่าคุณจะต้องสัมผัส เมื่อไม่มีการสัมผัสก็ไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่ใช่การปฏิบัติแบบศาสนาพุทธจะไปนั่งหลับตา หลบเข้าไปอยู่ข้างในเป็น hypnosis ขอยืนยันว่าไม่ใช่ทางปฏิบัติที่เป็นสัมมาของพระพุทธเจ้าเลยแต่อาศัยนั่งหลับตาได้ไหมก็อาศัยในการศึกษาในการรำลึกอดีต เตวิชโช

 นั่งหลับตามีประโยชน์คือ 1 ได้พักผ่อนได้สงบ ทำให้จิตสงบได้ ได้พักจริงๆ 2 เป็นการศึกษาภาวะภายในอ่านอาการจิตตอนสงบสงบไม่มีสัมผัสภายนอกให้วุ่น เขาก็ยกตัวอย่างฤาษีเลี้ยงเหี้ย ให้ปิดรูทวารแล้วก็เหลือทวารเดียวคือจิต ไม่รู้ว่าเขาเอาที่ไหนมาเล่ากัน ขอยืนยันด้วยภูมิรู้ว่าไม่ใช่วิธีปฏิบัติของศาสนาของพระพุทธเจ้า

พรหมชาลสูตรท่านอธิบายถึงทิฏฐิ ผิดๆ 62 นี้ แล้วเรื่องโลกกับอัตตาให้เรียนรู้แบบลืมตาทั้งสิ้น ต้องรู้ด้วยการเห็นการได้ยินมีทิฏฐิ สุตะ มุตะ คือต้องมีสัมผัส 6 ทั้งนอกและใน

สูตรที่ 2คือสามัญผลสูตรมีสัมผัสทั้งหมด เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ส่วนพรหมชาลสูตร ให้เกิดจิตที่เป็นสมาธิ ปัญญา

พรหมชาลสูตรพูดถึง ศีลและทิฏฐิ ส่วนสามัญผล แสดงศีล สมาธิ ปัญญา ครบ สามัญผลคือการปฏิบัติที่ถูกต้องที่สุด

สูตรที่ 3 คืออัมพัฏฐสูตร คือสูตรที่ปรามเลย ว่าผู้ที่ออกปฏิบัติธรรมในป่านั้นผิดเป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ เพราะยุคนั้นพระพุทธเจ้าก็หลงผิดไปออกป่า 6 ปี ท่านบอกว่าทางผิดเสียเวลา

เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ  ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า  “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก  ท่านจะได้จากโพธิ-มณฑลที่ไหน  โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง”  ด้วยผลแห่งกรรมนั้น  เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก  สิ้นเวลา 6 ปี   เราถูก  บุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด  เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น  ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ ไม่มีโศก ฯลฯ  (ล.32  ข.392)

 

ความเสื่อมของผู้แสวงหาอันผิดๆ

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
  2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ก็คือสร้างให้ใหญ่โตเหมือนธรรมกายสมัยนี้แทนที่จะเป็นทางสี่แพร่งก็เป็นทุกทิศทางเลย แม้แค่ศีล 5 ศีล 8 เขาก็ไม่รู้เรื่องแล้วก็บอกว่ายิ่งใหญ่เป็นธุดงค์อันยิ่งใหญ่ แม้แต่ตนเองแสดงประดิษฐ์ประดอยดราม่าก็ไม่เข้าใจ ขออภัยที่ต้องตำหนิยังไม่ไว้หน้าเพราะนี่ก็ใกล้วันพระราชทานเพลิงศพพระสังฆราชแล้ว สมเด็จพระสังฆราชก็กลายเป็นผู้มีอาบัติสังฆาทิเสสติดไป

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีศีลแล้วมีแต่วินัย 227 ไม่รู้จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้ว ศีลไม่ใช่วินัย วินัยมีบทลงโทษ ศีลไม่มี บทแรกในเล่ม 9 นี้ศีลก็ไม่มี ทิฏฐิดก็วิบัติ แล้วไม่รู้ว่าปฏิบัติตามสามัญผลสูตรเพื่อให้เกิดความเป็นสมณะ 4 เหล่านี้ ก็ต้องปฏิบัติอย่างนั้น มีจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างไร มาถึงอัมพัฏสูตรก็บอกถึงความเสื่อม ทั้งที่ตอนพระพุทธเจ้าอยู่ศาสนากำลังเจริญท่านก็บอกทางเสื่อมไว้ก่อนแล้วว่าต้องไปหาอาจารย์ในป่า ออกป่า พูดอย่างไรเขาก็ไม่ค่อยกระเตื้องแล้วไปปฏิบัติ ไม่มีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์ไม่มีโพชฌงค์ 7 ไม่รู้กาย เวทนา จิต ธรรม

อยากจะรู้ว่ามีผู้สัมมาทิฏฐิที่ไหนอีกจะได้มาผนึกกัน มันlonely จริงๆหาพวกไม่ได้ บ่นไปก็ว่าเขาไป มาเข้าสู่บทเรียนต่อ

[52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

 

 

 

 

 

 

 

[58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [59] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [60] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [61] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

      [62] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

[53] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

คือพวกที่ระลึกชาติได้ โลกคือการปรุงแต่งของรูปกับนาม โลกคือสังขาร การปรุงแต่งของรูปกับนาม รูปโลก ถ้าจะว่าเป็นธรรมะสอง สังเคราะห์รวมกันอยู่ ติดเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำธาตุลม ธาตุไฟ จับตัวกัน ไฟคืออุณหธาตุหรือเตโชชาติ น้ำเป็นอาโปธาตุ มีสองอย่างจับตัวเป็นธรรมะสองเรียกว่าโลก เรียกว่าสังขารโลก มีการเคลื่อนการหมุน โลกคือการหมุน จับตัวมีสังขารก็เป็นสาม

รูปนามคือธาตุจิตวิญญาณ แต่โลกที่เป็นวัตถุถ้าไม่หมุนก็ไม่เรียกโลก อย่างผลหมากรากไม้ไม่หมุนวนก็ไม่เรียกโลก ส่ิงที่หมุนวนเป็นวงกลมหรือวงรี เรียกว่าโลก จะวนมาที่เก่า ถ้าการเดินทางของหนึ่งจุดกับอีกหนึ่งจุดไม่ได้เกิดองศาเลย เกิดระนาบ อันนั้นคือพีชนิยาม เป็นแนวระนาบ

พีชนิยาม ถ้าสมมุติว่ามันมีวงกลมสองอันลากเส้นระหว่างสองอันนี้ก็จะหมุนในระนาบไม่มีทศนิยมออกไปเลยไม่มีองศา แต่ถ้าเร่ิมมีตัวที่สาม เกิดนิดหนึ่งก็เริ่มมีวงวน มีความโค้ง เร่ิมเป็นวงรีที่มีองศาน้อยก็วิ่งไกลลิบเลย จนกว่าองศามาเป็น 60 ก็จะชิดขึ้นมา เป็นสามเหลี่ยม จึงเกิดความลงตัว เป็นวงกลม

ก็เรียกว่าโลกได้เต็มๆ มีวงวนของตนเองหมุนรอบศูนย์กลางได้ เรื่องของโลกที่ไม่มีนามเข้าไปร่วมด้วยก็เป็นวัตถุที่เราจะสัมพันธ์เกี่ยวข้อง แต่เรื่องที่จะต้องเรียนคือที่จิต พืชไม่มีความสามารถมาเรียนรู้ได้ แต่ถ้าเป็นสัตว์มีจิตแล้วก็จะมีรักมีช่างมีกรรมวิบากแล้วสั่งสมลงเป็นกรรมวิบาก มีรักมีพยาบาทมีติดยึกแน่นเลย ยิ่งไม่ใช่โลกุตระก็จะยิ่งยึดแน่นถือว่าเที่ยง แล้วจะสัมผัสกับโลกข้างนอกกับอัตตาคือใจตนไปหลงว่าเป็นเราเป็นของเรา

ก็มีสองอย่างคือโลกกับอัตตายึดเป็นธรรมะสองตั้งแต่เรากับวัตถุ เรากับพีชะ เรากับสัตว์ เรากับมนุษย์ ก็สัมพันธ์ผูกพัน ชอบและชัง ผลักและดูด สัตว์ทั้งหลายก็มีวิวัฒนาการไป สัตว์ก็มีการสร้างวิบากไม่มากเท่าไหร่จนสร้างวิบากได้มากถึงเป็นคนก็สร้างไปได้นับไม่ถ้วนเลย

ในสัตว์ที่ทารุณโหดร้ายถ้าเป็นสัตว์กินพืชก็จะยังไม่เกิดคู่อริ พยาบาทที่จะมาแก้แค้นทั้งรักทั้งชัง แต่พอเริ่ม มากินสัตว์ คือสัตว์ที่จะสร้างวิบากต่อกันและกันก็จะผูกพันสัมพันธ์ไป เมื่อสัตว์กินสัตว์ก็เกิดมาหมุนเวียนใช้หนี้ กันไปจนพัฒนาตัวเองมาฉลาดเกิดสัมผัสทางฉฬายตนะ สั่งสมกิเลสไปเรื่อยๆ จนได้มาเป็นคนก็จะมารับวิบาก สร้างดีและชั่ว สร้างดีเพิ่มขึ้น คนรู้ดีกว่าสัตว์ แต่ก็ซับซ้อนไปมาหลายรอบ

สรุปไว้ตรงนี้ว่า อัตตาและโลกนี่แหละเป็นสิ่งที่จะเรียนรู้ให้มีพลังงานควบคุมโลกและอัตตา เมื่อเก่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือโลกเหนืออัตตาได้ คือผู้มีธรรมะ เหนือได้โลกอบายอย่างเที่ยงแท้ ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจะมีความเที่ยงแท้จากความไม่เที่ยง แต่ก่อนนี้มีไม่เที่ยงที่คุมไม่ได้ พอคุมได้ก็เที่ยงอย่างไม่เกิดอีกแล้วเข็ดหลาบแล้วทำสมุทัยดับได้ก็อยู่เหนือ

ตั้งแต่เหนือโลกอบายได้ เหนือโลกข้างนอกเรียกว่ากามภพ เหลือรูปภพ อรูปภพ ถ้าคุณไม่ลดละก็เวียนกลับได้ หยาบมาเป็นกามได้อีก ถ้าไม่มีความเที่ยงอย่างนิยตะขึ้นไป โสดาบันต้องให้ถึงนิยตะ จะแค่โสตาปันนะอวินิปาตธรรมก็เวียนกลับได้ต้องให้ถึง นิยตะ ผ่านเขต 3 ใน 4 จึงจะเที่ยง แต่ละส่วนๆ ถ้าครึ่งหนึ่ง ห้าสิบห้าสิบยังไม่เที่ยงมีแรงดึงคุณลงได้ ต้องเลยขีดถึง 75 จึงเที่ยงแท้ เข้าเขตนิยตะเมื่อ 70 ขึ้นไปจนถึง 75 ก็นิยตะ เป็นส่วนที่สี่

ผู้ที่สามารถศึกษาความเป็นโลกกับเป็นตน ตั้งแต่โสดาบันจะรู้รูปภพอรูปภพไม่เก่งแต่เรียนรู้ กามมาจร เป็นหลัก จนปฏิบัติลดได้ถึงอนาคามี เราไม่หยาบภายนอกเป็นอนาคามี ดับภพกามได้แล้ว

โสดาบันคือผู้รู้ทฤษฎี รู้สักกายะ รู้โอฬาริกอัตตา กระทบภายนอกรู้กิเลสดับกิเลสได้ถ้าถึงนิยตะได้ก็ยิ่งดีก็เข้าเขตโสดาบัน รู้วิธีทำก็เอาวิธีนี้มาทำต่อจนเกิดสกิทาฯอนาคาฯ จนกระทั้งโลกภายนอกสัมผัสก็ไม่เกิดกิเลส ไม่สุขไม่ทุกข์กับมันได้แล้ว ไม่เวียนไปอยากไปแส่หาแล้ว ตัณหาหยาบที่เป็นกามตัณหาหมด มีแต่ภวตัณหา โสดาบันไม่นับว่ามีนิโรธ มีนิยตะได้สัมโพธิปรายนะได้ เที่ยงแน่นอน ก็ทำต่อไปอีก แล้วที่อย่างต้นก็จะจางคลาย จนเกิดญาณปัญญาหรือไม่เกิดก็ตาม แต่จิตโสดาบันที่ทำสัมมาทิฏฐิก็จะมีจิตขาด ดับอนุสัยอาสวะกับเหตุปัจจัยนั้น แม้แต่รูปภพอรูปภพก็ดับได้ บางคนมีปฏิภาณดี โสดาบันก็รู้ได้ก่อน แต่ก็ไม่ง่าย จนสกิทาฯก็รู้ได้ชัดขึ้น จนกว่าอนาคาฯก็รู้ขัดว่านิโรธเป็นอย่างไร แล้วนิโรธอย่างสัมผัสกามภพ แล้วเห็นอัตตาเราไม่มีกามโลก คือโลกที่เราต้องใคร่อยากบำเรอสัมผัสเสพรส ไม่มีแล้วก็จืดชืด คนเรากลัวความจืดชืด ทุกวันนี้มอมเมาทางทวารทั้ง 6นี่แหละ ปรุงแต่งกันมอมเมาขนาด

ผู้หญิงเป็นผู้ที่ถูกมอมเมามาก ปรุงแต่งมาก แต่ก็น้อยกว่ากะเทย ที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้หญิงอีก ปรุงแต่งมาก เพราะอยู่ในสายวิญญาณของจิตกะเทย ของผีพวกนี้ ที่ถล่มกะเทยเพราะสงสาร เขาไปจมโง่อยู่ทำไม ให้รู้ตัวเสีย มันข้ามธรรมชาติแล้ว ผู้หญิงก็มีราคะโทสะประมาณหนึ่งแต่กะเทยจัดจ้านกว่าธรรมชาติ มันพิลึกพิเรนทร์มากกว่าสามัญมาก สัมผัสกามคุณจัดจ้าน โลกธรรมจัดจ้าน จัดจ้านจนกระทั่ง เรื่องเพศการสัมผัสเสียดสีระหว่างเพศหญิงชายมันไม่เอา มันไปติดเสพสัมผัสเสียดสี ชายกับชาย หญิงกับหญิงก็ได้ เลยเถิดธรรมชาติไปแล้วซับซ้อนไปอีกชั้นแล้ว

ผู้หญิงชายสัมผัสเสียดสีได้ดมได้หอม ก็อุปาทานเรื่องหลอกทั้งนั้น โดยเฉพาะสัมผัสเสียดสีเพื่อต่อเชื้อต่อเผาพันธุ์ แต่ไม่ใช่เสพรส มันจึงวิตถารไม่เอาแล้วที่จะไปสัมผัสเสียดสีในช่องทวารที่จะต่อเผ่าพันธ์ุ แต่มันไปสัมผัสทางทวารอื่นก็ได้ หนักเข้าก็ได้ทุกทวาร มันหลงสัมผัสเสียดสีเท่านั้นไม่ได้ต่อเผ่าพันธุ์เลย มันจึงเลยเถิดไปไกลมาก สมมุติ รส กลิ่น เสียง สัมผัส หยาบ จัดจ้านไปหมด ถึงจัดจ้านทุกอย่างในกามคุณ 5 แม้แต่ใจก็สร้างภพชาติให้วิตถารพิเรนทร์พิลึกแล้วออกมาเป็นรูปธรรม จึงเป็นนักออกแบบดีไซด์ ปรุงแต่งทั้งทำอาหาร ทั้งทำทุกอย่างเชี่ยวชาญเพราะมันจัดจ้าน ที่พูดนี้สงสารนะ

เขาบอกว่าเป็นกะเทยสงสารเขาหน่อย ก็สงสารแต่ไม่ใช่ไปส่งเสริมให้เขาจมอยู่ชาติแล้วชาติเล่าแต่ปรารถนาดีให้ข่มฝืนไม่ใช่ตามใจ ในวัฒนธรรมที่เจริญไม่ตามใจกะเทย แต่ประเทศที่ไม่เข้าใจก็อนุโลมแต่งงานจดทะเบียนเห็นใจเขาสิ เป็นการส่งเสริมให้เป็นกะเทยหนักกว่าเก่าก็เรียกร้องกัน

โลกคือสัมผัสกับสิ่งภายนอกแล้วมายึดเป็นตัวกูของกู จนกลายเป็นกะเทย ไม่อยู่ในธรรมดาธรรมชาติจัดจ้านกว่าธรรมดา การสัมผัสเสียดสีที่จะต้องไปเสพรส เช่นการดมการหอมก็คือการสร้างกาม ตั้งแต่ดมของหอม สัมผัสเป็นรสชาติ เปรี้ยวหวาน หรือคลื่นเสียงในกามคุณ 5

ในการสัมผัสเสียดสี รูปก็คือรูป จะสี่เหลี่ยมกลมหรือแบนหรือไร้รูปก็เป็นสิ่งที่มันเกิดตามความเป็นจริงของมันเท่านั้น ถ้าคุณไปเห็นว่านี่แล้วเกิดรสชาติชอบใจก็เร่ิมแล้ว เสียง กลิ่น รสก็เช่นกัน เป็นตามจริงของมันแต่ถ้าคุณมีอาการเสริมว่าชอบใจอย่างนี้ ถ้าคุณบอกว่าสีอย่างนี้ใช้ประโยชน์ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าคุณว่าสีกลิ่นนี้น่าชอบใจก็มาเสพ แต่ถ้าเอาไปใช้ประโยชน์ เช่นกลิ่นก็ทำประโยชน์ไม่ได้มาก เอาไว้รักษาสภาพ แต่ถ้าเป็นพิษก็ไม่ต้องไปดมมันแต่ถ้าไปสมมุติว่ามันหอมมันเหม็น บางคนไม่ชอบหอม แต่ชอบกลิ่นแสบๆ ก็เป็นมาโซคิสม์ เป็นต้น

สรุปคือมีอาการอันหนึ่งที่เกินธรรมชาติที่มันเป็นของมัน ถ้าคุณเห็นว่าอันไหนเป็นธรรมชาติ แล้วอันไหนเลยเถิดเกิดธรรมชาติที่เป็นจริงอันนั้นคือกิเลส ตัวอุปาทานติดยึดสร้างอารมณ์ไปใส่อันหนึ่งของตนเรียกว่าอารมณ์มันเลยความรู้สึกตามธรรมชาติ แต่เป็นความรู้สึกที่ปรุงแต่งขึ้นมา

เพราะฉะนั้นเมื่อยึดเป็นเราของเรา ติดรสชาติของกามคุณ 5 ติดเข้ามาเป็นอัตตา ถ้าคุณไม่ติดแล้วก็หมดอัตตา ถ้าติดแล้วก็ต้องวนเวียน แต่ถ้าไม่ติดก็อาศัยใช้ได้แต่ไม่เกิดอารมณ์กิเลสที่สุขทุกข์ ชอบไม่ชอบก็หมดโลกและหมดอัตตา

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:42:36 )

581215

รายละเอียด

581215_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ ทิฏฐิ 62 ตอน 7

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2558 ...อีกครึ่งเดือนก็ขึ้นปีใหม่แล้ว วันเวลาผ่านไปไว สมัยหนุ่มหนุ่มคะนองคะนองก็จะบอกว่าวันเวลาผ่านไปเหมือนใจหญิง วันเวลาผ่านไปก็ผ่านไปแต่เราเองเราใช้เวลาให้ได้สิ่งที่ควรได้ สิ่งประเสริฐที่ควรต้องรีบตักตวงเอาให้ได้ เป็นสิ่งที่สำคัญไม่มีอะไรสำคัญเท่า พูดไปเหมือนคนคลั่งไคล้ธรรมะหลงใหลธรรมะ ซึ่งคนที่คิดเช่นนี้ก็เห็นใจเขาแต่เราเห็นค่าของธรรมะ ในการมีชีวิตเป็นมนุษย์ ถ้าเราเองไม่รู้ธรรมะไม่ได้ธรรมะ ไม่มีธรรมะ โดยเฉพาะโลกุตรธรรม แม้แต่ธรรมะระดับโลกียธรรมทำถ้าไม่มี ก็จะแย่ มีการเสียสละการทานแต่ไม่รู้จักปรมัตถธรรม

จะเป็นปรมัตถ์เมื่อใด ถือว่าเป็นปรมัตถ์ที่เป็นโลกุตระ บางทีโลกียะก็มีธรรมะส่งถึงขนาดเป็นศาสดามีคนนับถือมากมาย มีคนนับถือมากกว่าพระพุทธเจ้าเสียด้วยซ้ำแต่เขาเข้าไม่ถึงโลกุตระ ไม่เข้าถึงปรมัตถธรรมที่เป็นโลกุตระซึ่งตัดเขตระหว่างโลกียะกับโลกุตระตรงไหน

 ถ้าบอกว่าตัดเขตที่ตัดกิเลสได้เป็นคำตอบแบบกำปั้นทุบดินนั่นก็ใช่ แต่ถ้าละเอียดกว่านั้น คือการแยก ระหว่างเวทนา 2 จะแยกโลกียะกับโลกุตระได้ด้วยการแยกเวทนา 2 ระหว่างเนกขัมมสิตเวทนากับเคหสิตเวทนา

สุขทุกข์ก็คือเวทนา คนก็ติดตรงนี้ สุขแบบไหนที่คนต้องการ แบบโลกุตระก็เรียกว่าวูปสโมสุข เขาไปนั่งสมาธิหลับตา ก็มีความสงบ นั่นไม่ใช่พุทธ แต่สงบจากกิเลสมากวนตั้งหาก ที่เป็นแบบโลกุตระ

 อารมณ์ที่เกิดจากกระทบสัมผัสแล้วก็เกิดอาการ อ่านออกเป็นปัจจุบันว่าเป็นอาการของโรคยะ แล้วจับเหตุคือสมุทัยได้แล้วทำให้สมุทยนี้ลดละจางคลายเริ่มเห็นความไม่เที่ยง นี่เป็นตัวแรกของโลกอุตตระ เห็นกิเลสอ้วนขึ้นมากขึ้นเรียกว่าปุถุ  แล้วเราก็ทำให้มันลดลงได้ เป็นเนกขัมมะ กิเลสมันไม่เที่ยงแต่ก็เพิ่มขึ้นเป็นแบบปุถุชน

เราวิเคราะห์ได้เป็น analysis อ่านอาการจิตอย่างเป็น ของจริงเกิดหลัดๆ ไม่ใช่เอาสัญญามาทบทวน มันเป็นของแห้งไม่ใช่ของสดเป็นปัจจุบัน พพจ.เอาปัจจุบัน ไม่ปฏิบัติที่อดีตกับอนาคต ทำจนนิจจัง ทุวังสัสตังก็ใช่แล้ว ถ้าปัจจุบันใดมันมีแวบ เรานึกว่าเที่ยงแล้วแต่ว่ามันเกเรในปัจจุบันใดก็ไม่ใช่แล้ว แต่ถ้ามาทีเผลอทีตั้งใจไม่ตั้งใจก็เที่ยงก็แน่นอนแล้วแต่ถ้าตั้งใจก็ง่ายกว่าแต่ถ้าทีเผลอก็ไม่มีอาการก็เป็นการพิสูจน์ จะมาแบบหนักแรงเท่าใดมันก็ไม่มีปัญหาไม่เกิดขึ้น โลกมันแรงได้จัดได้เท่านี้เราก็ไม่ขึ้น

เช่นปัจจุบันกามคุณมันจัดจ้าน จะเงินแสนล้านจะหวั่นไหวไหม ไม่ใช่พูดเล่นนะ บางคนอาจว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครมาให้หรอก แต่ถ้านายมาร์คซักเคอร์เบิร์กให้มาละ เขาบริจาค 99 % เลยนะ อาการจิตจะไหวไหมนะ ก็ยกตัวอย่างให้ฟัง

จุดที่แบ่งโลกุตระกับโลกียะเกิดจุดทางจิต เจตสิก รูป นิพพาน ตัวเวทนาเป็นตัวแก้ไขปรับปรุง เวทนา เป็นตัวเกิด สัญญาเป็นตัวทำงานก่อเกิดเป็นปัญญา ส่วนสังขารนั้นแตกไปเป็น เจตนา ผัสสะ มนสิการ

เจตนาคือให้เกิดผล ผัสสะนั้นกลางๆ ไม่น่าจะเรียกว่านาม แต่ท่านจัดในนาม 5 ต้องมีปฏิฆสัมผัสโส แม้จะเป็นรูปกายก็ต้องสามารถรู้จากนามกายมาก่อน ถ้านามไม่เกิดก่อน รูปที่จะเรียกว่ากาย เรียกว่ารูปกายก็ไม่ได้ เรียกอธิวจนสัมผัสโสไม่ได้

ต้องเกิดปฏิฆสัผัสโส จึงอ่านอาการเป็นอาการทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอาการทางเวทนา คุณจะไม่สามารถขานชื่อได้ถ้าไม่ได้สัมผัส ยกตัวอย่างคุณจะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่กระทบสัมผัสมันก็ไม่เกิด แล้วจะเรียกรูปกายโดยอธิวจนสัมผัสโสไม่ได้ ถ้าไม่สัมผัส

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะ

นามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิตอุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ  ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

มันไม่ง่าย อาตมาก็พยายามเรียบเรียงภาษาให้เข้าใจ ในที่มันเนื่องด้วยคำว่ากาย ถ้าคำว่ากายไม่เข้าใจลึกซึ้งพอ ก็จะแยกนามกายรูปกายไม่ได้ แยกกายแยกจิตไม่ออก นี่คือสภาพที่ลึกซึ้ง คัมภีรา ฯ

ถ้าชีวิตคนไม่เข้ากระแสโลกุตระที่จะสามารถอ่านจิตเจตสิกจัดแจงปรับปรุงให้จิตเจตสิกของเราที่เป็นเวทนาสัญญาสังขารเปลี่ยน พออไม่มีเหตุปัจจัยปรุงร่วมก็ไม่มีสังขารไม่เกิดสุขทุกข์จะมีแต่ธรรมะหนึ่งเดียวไม่เป็นธรรมมะ 2   ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

ซึ่งทำจากเวทนาสองเราจะต้องรู้จักเพรชชนะ 2 ว่าเป็นอาการอย่างไรแล้วก็ทำให้เจริญได้ให้จิตเราเกิดผลเป็นอาริยะได้จริง

พูดถึงตรงนี้แล้ว อ่านมาถึงข้อ 51 ในพระไตรฯเล่ม 9

ฐานะของผู้ถือทิฏฐิ

          [51] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้(อชานาตัง)ไม่เห็น(อปัสสตัง) เป็นความแส่หา(ตัณหาคนาตัง) เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น มีเวทยิตตัง(เขาได้เสวยอารมณ์แล้ว)

          [52] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [53] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

พ่อครูว่า คือหาที่ปลายไม่เจอ หาที่สุดมิได้ เช่นใครรู้ว่าเอกภพหรือมหาจักรวาลนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่

          [54] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [55] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [56] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

[57] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [58] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [59] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตาย มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [60] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [61] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่ง ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

          [62] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44 ประการแม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หาเป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหาเหมือนกัน.

[63] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ62 ประการ แม้ข้อนั้นก็เป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรน ของคนมีตัณหา เหมือนกัน.

          [64] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ข้อนั้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [65] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการแม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [66] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

 

พ่อครูว่าแม้เขาเป็นลืมตาทำแต่ก็ตรรกะทั้งนั้นไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย มีแต่ทำสติ แล้วมีแค่ฌาน 1 ต้องเคร่งคุมอาการหนัก พออาการนี้ไม่มีเขาก็ไม่มีวิตกวิจาร แต่ก็มีปีติ ก็ลดปีติอีกก็เป็นสุขสงบอุเบกขา เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา นี่ก็เคหสิตะ ผู้ไม่มีสภาวะนี้ยากจะวิเคราะห์

 

จะอ่านพวกความคิดแบบตรรกะ (แทบลอยด์ไทยโพสต์ ธรรมะคือความเข้าใจความคิด คอลัมน์สมาธิชาวบ้าน)

คอลัมน์: สมาธิชาวบ้าน: ธรรมะคือการเข้าใจความคิด

 

ธรรมะเมื่อปฏิบัติไปจนจิตทรงตัวได้แล้ว ก็จะเห็นว่าการปฏิบัติทั้งหมดนั้นมันเกี่ยวเนื่องกับความคิดภายในจิตใจเราทั้งนั้นเลย เป็นเรื่องของความคิดอย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่น ความคิดที่มีความเข้าใจในจิตและอวิชชา แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่าเป็นจริงในปัจจุบันที่เราอยู่นี้ มันก็เป็นเพียงมิติของความฝันในความคิดเท่านั้น

 

 พ่อครูว่าใน พระไตรฯล.14 ข.341 จูฬสุญตสูตร ว่า…. เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความกระวนกระวายชนิดที่อาศัยกามาสวะ  ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ  มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย  คือ  ความเกิดแห่งอายตนะ  6  อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย  เธอรู้ชัดว่า  สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ  สัญญานี้ว่างจากภวาสวะ  สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ  และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิด  แห่งอายตนะ  6  อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย  ด้วยอาการนี้แหละ  เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้นด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย  และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่  ว่ามี  ดูกรอานนท์  แม้อย่างนี้  เป็นการก้าวลงสู่  ความว่าง  ตามความเป็นจริงไม่เคลื่อนคลาด  บริสุทธิ์  ของภิกษุนั้น  ฯ

อากิญฯ เป็นรูป เนวสัญญาฯ เป็นนาม อย่างอาฬารดาบส รู้อากิญฯ แต่ไม่รู้เนวสัญญาฯที่มีนิดน้อยจริงๆ เอาคำว่ามีมาเรียกก็เรียกว่ามีน้อยเหลือเกิน ตัวที่ไม่มีกับตัวที่เหลือน้อยนิดจริงๆมันแยกยาก ไม่ต้องกังวล ทำให้เที่ยงแท้ไปเถอะ มันเป็นจุดทศนิยมที่ไกลมากที่เหลือน้อย แต่ว่าเราไม่ประมาทก็ลดๆๆๆๆ สักวันก็สูญเพราะในอนาคามี ถ้ายังต้องสสังขาร ยังต้องปฏิบัติอยู่ เราไม่ประมาท จะเหลือเศษธุลีอย่างไรก็ทำมันไป จนชำนาญ จนเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา ตัดโดยอัตโนมัติ มันเป็นกิริยาที่ทำจนไม่ต้องทำ ซึ่งอันนี้เป็นได้ยิ่งกว่าพลังงานทางฟิสิกส์โลก หมดแล้วไม่มีอะไรอีก แต่จิตนั้นต้องทำจนเป็นเองตถตา พวกเราหลายอย่างสัญชาตญาณก็เป็นเองแล้ว แต่อันนี้ทำได้เนียนลึกซึ้งกว่าเยอะ ส่ิงที่เป็นตถตาก็เป็นจิตแต่เนียนจนกระทั่งทนทาน จะเกิดอีกกี่ชาติๆก็นานกว่านั้น คิดไม่ออกหรอก แต่ผู้ไม่ประมาทก็มีสติสัมปชัญญะเป็นตัวห้าม มีพลังงานปัญญาแข็งแรงห้ามโดยอัตโนมัติ

คนที่ปฏิบัติสมาธิลืมตาแต่มิจฉาทิฏฐิ มันก็สิ้นตัวกำหนดรู้จึงไม่เนวสัญญานาสัญญา

 

มาต่อที่บทความคอลัมส์สมาธิชาวบ้านต่อ...

          แต่เราเห็นว่ามันจริง เพราะมันต่อเนื่องแค่นั้น ทำให้เรานึกว่ามันจริง แต่มันไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงเลย เมื่อไรที่เรายังหลุดออกจากกรอบความคิดนี้ไม่ได้ จิตเราจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกธาตุแห่งนี้ ธาตุในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรัง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป ในที่สุดก็ต้องแตกสลายดับไป ขณะที่มันแตกสลายดับไปนั้นมันก็ไม่ได้หายไปจากโลก มันก็จะกลับไปสร้างเป็นสังขาร ตัวตน บุคคล หรือสัตว์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง วนเวียนไปอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

 

ธาตุดินมีอยู่เท่าไร ธาตุน้ำมีอยู่เท่าไร มันก็มีอยู่เท่าเดิม เพียงแต่เราเห็นมันแตกสลายไป เพราะมันไม่มีจิตไปยึดเหนี่ยวไว้เท่านั้นเอง สุดท้ายก็วนกลับมารวมเป็นร่างใหม่ ในบทบาทใหม่ เหมือนเม็ดทราย ครั้งหนึ่งอาจจะเคยเป็นปราสาททราย เป็นวิหารทราย เมื่อถูกน้ำกัดเซาะ เม็ดทรายเหล่านั้นก็แตกสลายกลับกลายเป็นกองทรายดังเดิม บอกไม่ได้ว่าเราเป็นทรายเม็ดไหน

 

จริงๆ การที่เราเจริญมรณานุสติแล้วเห็นอาการที่ธาตุมันแตกสลายไปนั้น จนถึงกระบวน การที่มันกลับมาเป็นคนใหม่ เมื่อเราพิจารณากระ บวนการนี้จนจิตเข้าใจไปถึงจุดจุดหนึ่งแล้วมันจะได้เป็นปัญญา มันไม่ใช่แค่ว่าเราเห็นมันเป็นธาตุกรรมฐาน และเน่าเป อยผุพัง แต่มันแสดงให้เราเห็นว่าโลกนี้ใบนี้มันไม่มีอะไรที่จีรัง เมื่อมีการเกิดขึ้นและตั้งอยู่แล้ว ในที่สุดก็ต้องแตกสลายดับไป

 

เพียงแต่ธาตุในโลกธาตุที่แตกสลายดับไปนี้ไม่ได้สูญสลายไปไหน ในที่สุดมันก็จะกลับไปรวมสร้างเป็นสังขารใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เราตายไปไม่ได้หายไปไหน หนอนมากินศพเรา ปลาก็มากินหนอน คนท้องก็ไปกินปลา ในที่สุดก็กลับมาสร้างเป็นคนใหม่ขึ้นมา(พ่อครูแทรกว่า คือเขาพูดแต่เป็นวัตถุไม่เป็นนามธรรมเลย เขาไปละเอียดในตรรกะจนเขาไม่รู้ว่ามันไม่ใช่นามธรรมนะ เอาสูญ เอาตรรกะมาใช้กับวัตถุ มันบางเบาที่เป็นทุกข์นั้นหยาบกว่ากิลมถะ(ความลำบากใจแต่ภายใน) หยาบกว่าทรถะ ส่วนพระอรหันต์หรืออรหัตตมรรค ที่ยังมีส่วนของความลำบากอยู่ แต่พอเป็นอรหัตตผลแล้วรู้ชัดมีพลังปัญญาที่ อธิบายได้ว่ามันเป็นภาระ เป็นสัมภาระของเราเท่านั้น ถ้าเราวางใจเสียว่ามันก็ต้องเป็นเช่นเรามีขา มันก็เป็นภาระ เราต้องใส่รองเท้า รำคาญมือบางทีก็เปื้อนก็เจ็บก็เลอะ ดีไม่ดีต้องให้สวย ให้งามเอาสีมาทา อันนั้นก็เกินไปเรื่อยๆ เขาไม่ถือเป็นภาระแต่คนเห็นแล้วก็ว่าไปทาสีมันทำไม จนคนเห็นว่าเป็นภาระก็เลิก จนกว่ามันจะเหี่ยวย่นก็ไม่เป็นไร ขอให้แข็งแรงใช้งานได้ก็จบ ไม่ถือเป็นภาระ) 

 

  เป็นวัฏจักรของโลกธาตุ เวลาที่เราทำสมาธิไป จิตก็จะต้องไปพิจารณาธาตุกรรมฐาน เนื่องจากว่าถ้าเราไม่มีเครื่องรู้ของจิต จิตมันก็จะนิ่ง ว่างเฉยๆ ไม่เกิดปัญญา ก็เลยต้องกลับไปพิจารณาธาตุกรรมฐาน พอเราพิจารณาธาตุในที่สุดของธาตุมันก็แสดงอาการให้เห็น แสดงอาการไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ในที่สุดก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ ปัญญามันเกิด มันเห็นตรงนี้แหละ แค่นั้นเอง

 

มันไม่ได้เกิดปัญญาตรงที่เราเห็นมันเน่าเป อยหรอก มันเกิดตอนที่จิตมันตั้งมั่น จิตตั้งมั่นเป็นจิตที่ถึงอารมณ์เดียว จะต่างจากจิตที่เป็นกลาง จิตเป็นกลางนั้นเป็นการวางแบบอุเบกขา คือการวางเฉย เป็นกลางอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ตั้งมั่น ไม่มีทั้งอารมณ์ยินดียินร้าย หรือที่เรียกว่าเป็นกลางแบบอุเบกขา

 

แต่การตั้งมั่นมันมีฐานที่ลึกกว่านั้น ตั้งมั่นแล้วมันไม่มีทางล้ม อย่างคนโดนผีหลอก เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วอาการความกลัวมันจะไม่มี เพราะฐานของจิตมันตั้งมั่นแล้ว คือความกลัวมันหายไป จิตที่ตั้งมั่นจะมีผลกับการเจริญปัญญามาก เพราะคนจะมีจิตตั้งมั่นได้นั้นไม่ง่าย เป็นสิ่งที่ยากเหมือนการหมุนของลูกข่าง ถ้าเราเอาลูกข่างมาตั้งเฉยๆ ลูกข่างมันตั้งไม่ได้ แต่ถ้าเหวี่ยงมันแรงๆ มันถึงตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยแรงเหวี่ยงมากๆ

 

เพราะฉะนั้น การที่จิตจะตั้งมั่นได้ มันต้องมีพลังที่เป็นกำลังจิตที่มาก มันถึงจะตั้งมั่นได้ เพราะอาการตั้งมั่นของจิตมันไม่ใช่แค่เป็นกลาง ไม่เป็นอุเบกขา จิตเป็นกลางนั้น จิตไม่ต้องตั้งมั่น (แต่อาตมาว่า จิตเป็นกลางต้องตั้งมั่น) เราก็เป็นกลางได้ เพราะเป็นการวางเฉย จิตที่ถูกฝึกจนตั้งมั่นได้แล้ว ก็เหมือนอาการของคนได้ปัญญาธรรม ได้แล้วได้เลย เพราะใจนี้ตั้งมั่นได้แล้ว คืออาการของจิตภายในที่เป็นธาตุรู้ เกิดอาการตั้งมั่นขึ้น และตั้งแต่เกิดอาการตั้งมั่นขึ้น จิตจะสามารถตั้งมั่นได้ตลอดไป

 

เหมือนคนที่ตรัสรู้แล้ว ยังไงก็รู้แล้วไม่มีวันหาย ใจตั้งมั่นแล้วก็ไม่หายเหมือนกัน ไม่ลบเลือนไปไหน จิตตั้งมั่นสามารถฝึกฝนได้จากการอบรมจิตสมาธิภาวนา จะค่อยๆ เกิดอาการตั้งมั่นขึ้นทีละนิดทีละน้อย เมื่อถึงที่สุดจึงจะตั้งมั่นยาวๆ ได้

 

และอีกหนึ่งวิธีที่จิตตั้งมั่นและสามารถเกิดขึ้นได้จากการเผชิญแรงกระแทกทางจิตจากประ สบการณ์ต่างๆ แบบสุดขั้ว เช่น เจอผี เจอเสือ และเฉียดความตาย จะเป็นอาการตั้งมั่นที่เกิดขึ้นแบบอัตโนมัติแล้ว จะตั้งมั่นได้ตลอดไป แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะตั้งมั่นได้ บางคนอาจจะวิกลจริตเสียสติไปเลยก็มี จิตที่ฝึกอบรมแล้วจะเกิด รู้อยู่สองตัว รู้ตัวแรกคือ รู้ธรรมที่มันอยู่ในตัว รู้อีกอันหนึ่งคือรู้โลก

 

บางครั้งตัวรู้ธรรมมันก็ไปรู้เห็นอารมณ์โลก มันก็จะนำธรรมนั้นไปอธิบายโลกได้ เพราะการที่เราฝึกอบรมจิตมาเป็นอย่างดี ถ้าเราไม่ได้ฝึกตรงนี้ เมื่อมีอารมณ์ทางโลกมากระทบ เราก็จะเกิดความโลภ เกิด โกรธ ขึ้นไปตามกระแสโลก เพราะความไม่รู้เท่าทันมัน ถ้าเราปฏิบัติ เจ้าตัวรู้ธรรมรู้โลกสองตัวนี้มันก็จะตื่น พอมันตื่นเวลาที่เรามีอารมณ์โลภ โกรธ หลง มาปะทะ มันก็จะมีตัวเห็นอารมณ์เหล่านี้ และก็ทำให้หมดอารมณ์นั้นเร็วขึ้น เพราะมันมีตัวที่เห็นอาการเหล่านั้นก่อน  ในการปฏิบัติเบื้องต้นความอยากของสมาธิคือรู้ทุกข์และเท่าทันทุกข์

 

เมื่อปฏิบัติเบื้องกลางเบื้องสูงไปมันจะรู้ปล่อยวางและหลุดพ้น เพราะทุกข์บนโลกเมื่อเท่าทันแล้ว โลกมันก็ลากเราไปทุกข์ไม่ได้ หรือลากไปได้น้อย ไม่ว่าอะไรบนโลกเกิดขึ้น จิตที่มันรู้ธรรมแล้วมันก็จะเห็นเหตุแห่งทุกข์ แม้มันทุกข์ มันก็ทุกข์น้อย หรือไม่มีทุกข์เลย พอเลยจากการรู้ทุกข์อย่างหยาบไป จิตมันก็จะเริ่มไปรู้พระนิพพานในที่สุด.

 

พ่อครูว่า….เป็นการเอาพยัญชนะมาหมุนต่อวนเวียนกันสรุปคือเขาไม่รู้จักอริยสัจไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์ที่เราต้องรู้เหตุได้รู้ขนาดหยาบกลางละเอียดจนกระทั่งทำให้มันหมด 0 ไปจนกระทั่งทำอาการศูนย์แล้วท่านยังให้พิสูจน์อาการศูนย์ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นพลังงานตกผลึกเป็นอดีตที่ 0 0 0 0 จะมาอนาคตลีลาไหนเวลาไหนก็ทำให้สูญได้ทุกปัจจุบันไม่มีสภาพที่อุเบกขาไม่ทุกข์ไม่สุขมีความว่างเป็นกลางยังแข็งแรงตั้งมั่น มันมีทั้งสองส่วน ไม่สลับไปสลับมามีทั้งความว่างและมีทั้งความศูนย์มีทั้งความสะอาดเป็นต้น

เราก็ขอบคุณอาจารย์บูรพาที่มีลักษณะตรรกะให้เราศึกษา อาตมาก็อ่านทุกทีแล้วเขาก็วนในตรรกะทุกทียังไม่เข้าเป้าถ้าเข้าเป้า  เขาจะพูดตรงเป้าแล้วจะซ้ำซากอย่างที่อาตมาทำ

 มาต่อที่พระไตรฯ

[66] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้มิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [67] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 5 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [68] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆบัญญัติอัตตาและโลกว่าเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [69] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการแม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [70] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [71] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

พ่อครูว่า...ตั้งแต่ข้อ 64 ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย

[72] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [73] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [74] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน บัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [75] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

          [76] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ62 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย.

         

พ่อครูว่า ผู้นั่งหลับตาสมาธิ ไม่มีเหตุปัจจัย ผู้ลืมตาปฏิบัติ มีผัสสะเป็นปัจจัย ผู้ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย มีแต่อดีตกับอนาคต ไม่มีปัจจุบันที่เป็นจริงเลย แม้แต่การขบคิดตรรกะเอาก็เป็นส่ิงที่มีสัญญากำหนดสร้างไม่ใช่ปัญญาที่เกิดจากการกระทบสัมผัสทั้ง 6 ในปัญญาจะเกิดได้จะต้องมี analysis  มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ มีมรรคมีองค์ 7 ปฏิบัติแล้ววิจัยในการผัสสะนั้นจนเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เป็นองค์ 6 ของปัญญา ไม่ใช่สัญญา ความเจริญของปัญญาต้องกำหนดรู้ทั้ง กาย  เวทนา จิต ต้องกำหนดรู้ปัจจุบัน ส่วนนั่งหลับตาไม่มีปัจจุบัน มีแต่อดีตกับอนาคต ไม่มีปัจจุบัน

[77] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีมิได้.

[78] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการเขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

 

พ่อครูว่า จะเกิดอาการรับรู้สึกในขณะนั่งหลับตา มีแต่สัญญา กำหนดเวทนา ไม่ใช่ปัญญาไปรู้เวทนา ปัญญารู้เวทนาต้องมีกัมมันตะ มีกาย วาจา ใจ มีครบ ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วทำการงานอาชีพพร้อม มีสติตื่นเต็มมีสติมันโต สุรภาโว ครบอาการ 32 อาการตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนกระทั่งถึงภายใน แต่ผมขนเล็บฟันหนังนี้จะเกี่ยวกับภายนอก ดินน้ำลมไปอากาศ ส่วนตัวเราคือวิญญาณกับองคาพยพน้อยใหญ่

แม้แต่ที่บอกว่าผม ขนเล็บฟันหนังที่ไม่ใช่กายเป็นอย่างไรที่ไม่ใช่กายเป็นอย่างไรก็ยังเข้าใจกันได้ยากสำหรับคนภายนอกเขาแยกไม่ออกหรอกว่าส่วนไหนไม่ใช่กาย

[79] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และหาที่สุดมิได้ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

[80] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิดิ้นได้ ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว ด้วยเหตุ 4 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [81] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆย่อมบัญญัติว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ด้วยเหตุ 2 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [82] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตมีความเห็นตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 18 ประการเขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [83] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ด้วยเหตุ 16 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [84] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ด้วยเหตุ 8 ประการเขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [85] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [86] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ ย่อมบัญญัติความขาดสูญ ความพินาศ ความเลิกเกิดของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

[88] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอนาคต มีความเห็นตามขันธ์ส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ 44ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานที่จะมีได้.

          [89] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดกำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด ด้วยเหตุ62 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้.

          [90] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านั้น สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่าเที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการพวกที่มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ... พวกที่มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ... พวกที่มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว ...พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ ... พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีต ... พวกที่มีทิฏฐิว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญา ... พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายไม่มีสัญญา ... พวกที่มีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ...พวกที่มีทิฏฐิว่าขาดสูญ ... พวกที่มีทิฏฐิว่านิพพานในปัจจุบัน ... พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอนาคต ...พวกที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต

กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 62 ประการ สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกจำพวกถูกต้องๆ แล้วด้วยผัสสายตนะทั้ง 6 ย่อมเสวยเวทนา เพราะเวทนาของสมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพเพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด ภิกษุรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งความเกิด ความดับคุณและโทษ แห่งผัสสายตนะทั้ง 6 กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากผัสสายตนะเหล่านั้นเมื่อนั้น ภิกษุนี้ย่อมรู้ชัดยิ่งกว่าสมณพราหมณ์เหล่านี้ทั้งหมด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด

สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดถูกทิฏฐิ 62 อย่างเหล่านี้แหละเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ติดอยู่ในข่ายนี้ถูกข่ายปกคลุมไว้ เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมงหรือลูกมือชาวประมงผู้ฉลาด ใช้แหตาถี่ทอดลงยังหนองน้ำอันเล็ก เขาคิดอย่างนี้ว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ๆในหนองนี้ทั้งหมด ถูกแหครอบไว้ อยู่ในแห เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ติดอยู่ในแห ถูกแหครอบไว้เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในแห ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย. สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ก็ฉันนั้นที่กำหนดขันธ์ส่วนอดีตก็ดี กำหนดขันธ์ส่วนอนาคตก็ดี กำหนดขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ดี มีความเห็นตามขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ปรารภขันธ์ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตกล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิด สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด ถูกทิฏฐิ 62 เหล่านี้แหละเป็นดุจข่ายปกคลุมไว้ อยู่ในข่ายนี้เอง เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้ ติดอยู่ในข่ายนี้ ถูกข่ายปกคลุมไว้เมื่อผุดก็ผุดอยู่ในข่ายนี้.

          ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต เปรียบเหมือนพวงมะม่วง เมื่อขาดจากขั้วแล้วผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่ ย่อมติดขั้วไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต.

          เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่าน่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ไม่เคยมีมา พระเจ้าข้า ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร พระเจ้าข้า.พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะฉะนั้นแหละ อานนท์ เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ว่า อรรถชาละก็ได้ว่าธรรมชาละก็ได้ ว่าพรหมชาละก็ได้ ว่าทิฏฐิชาละก็ได้ ว่าพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยมก็ได้.

          ครั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น มีใจชื่นชมเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ก็และเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่ หมื่นโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้วแล.

                                   จบพรหมชาลสูตรที่ 1.

                               _____________

พ่อครูว่า คนที่ยังปฏิบัติมีสรณะคือประกอบการรบทั้่งสิ้น คนไม่รู้ก็รบแบบโลกีย์สรณะของเขาก็คือโลกีย์ แต่คนที่รู้แล้วว่าต้องเลิกรบก็ไม่มีสรณะ หรือถ้ารบอยู่ก็รบอย่างโลกุตระมีโลกุตระเป็นสรณะ ไม่ต้องประกอบการรบก็อรณะแล้ว ผู้อรณะคือผู้ไกลจากกิเลสสูงสุดหมดการรบ สรณะคือผู้ไม่หมดการรบ แต่จะพึ่งแบบไหน แบบโลกียะกับโลกุตระ แม้จะไม่ต้องรบแล้ว จะยังทุกข์อยู่ก็เป็นทรถะ ในอรหันต์มีทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้อยู่ ...จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:43:20 )

581215

รายละเอียด

581215_พ่อครูเทศน์หน้าศพพ่อฟื้น คชสารทอง

พ่อครูอ่านคำกลอนก่อนเทศนา

ความตายเป็นคุณธรรมอันล้ำค่า

ที่พระเจ้าให้มาเป็นของขวัญ

เสมอสมัยใหม่เอี่ยมเท่าเทียมกัน

จนกว่าคนเรานั้นจะนิพพาน

 

ความตายมิใช่ของต้องโศกเศร้า

แค่คืนร่างกายเก่าสู่สถาน

ถ้าไม่ตายคนก็ทรมาน

หอบสังขารเรื่อยเปื่อยกันเรื่อยไป

 

ความตายจึงเป็นของต้องสร้างสรร

เป็นธรรมอันให้สิทธิ์ชีวิตใหม่

ญาติพี่น้องอยู่หลังต้องตั้งใจ

อนุโมทนาให้กับคนตาย

ไม้ร่มธรรมชาติอโศกได้เขียนอนุโมทนา เพราะว่าลูกชายเขา คุณพลังจิต คชสารทองบอกว่าวันนี้วันดี

ที่จริงคนเราต้องเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจะนิพพาน แม้นิพพานแล้วเป็นอรหันต์ อรหันต์จะตัดสันตติของจิตไม่ให้เดินทางต่อได้ ทำได้เด็ดขาดคืออรหันต์ ทำได้ตอนเป็นๆ อรหันต์เป็นอมตบุคคล จะไม่ตายอยู่นานเท่าไหร่เกิดวนเวียนตามวิบากไปได้กี่ชาติก็ได้ อย่างพระอวโลกิเตศวรท่านบอกว่าไม่ปรินิพพานง่ายๆจนกว่าทุกคนจะเป็นอรหันต์หมด

คนเราเกิดตายตายเกิดไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเป็นเรื่องวนเวียน อย่างสัตว์เดรัจฉานตายแล้วไม่เศร้านอกจากเจ็บป่วยก็จะเศร้า แต่พี่น้องของมันก็ทุกข์ คนเรายึดมากก็ทุกข์กว่าสัตว์ สัตว์นั้นมีความเป็นของเราของเขาน้อยกว่า

ถ้าเราศึกษาสัจธรรมรู้จะมีชีวิตเป็นประโยขน์คุณค่า ไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อตนต่อผู้อื่นได้ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ชาวอโศกมีชีวิตที่กำไร คือเราขาดทุนไปก็กำไรไปเรื่อยๆ ยิ่งใจเราสนิทขาดทุนอย่างเต็มใจไม่มีสัดส่วนมาลดค่าเลย เราก็เรียนรู้ทำจิตเราไม่ให้ลดค่าเศษส่วนที่ไม่สมบูรณ์ได้มากน้อยแค่ไหน เราเรียนรู้อ่านอาการจิตได้แค่ไหนละเอียดถึงไม่มีอาการ พลังงานชีวิตินทรีย์เลย ไม่มีพลังงานลบหรือบวกที่เราเห็นว่าเราต้องทำแล้วทำได้ตามที่ต้องการ

เป็นวิชาการยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ได้ย่ิงกว่าคนรู้ทางฟิสิกส์ที่วิเศษที่ได้อาศัยกัน แต่พลังงานจิตได้อาศัยอย่างไม่ทุกข์และโลกได้อาศัยพลังงานเรา ที่ไม่โลภไม่เอาเปรียบเราสร้างสรรเสียสละ แล้วเราไม่เอามากมักน้อยสันโดษ เป็นคุณสมบัติมนุษย์ประเสริฐ

เป็นโรงเรียนที่มนุษย์ควรมาฝึกฝน แต่กิเลสไม่ยอม บางคนรู้แต่มาไม่ได้ ต้องฝืนฝึกในขณะมีอาการ 32 ครบ เป็นสุรภาโว สติมันโต ทั้งภายนอกภายใน คุมกายวาจาใจสมบูรณ์แบบ นี่คือองคาพยพของร่างกายที่มีกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ

ผู้ใดเข้าใจแล้วก็พยายามพากเพียรรวมหมู่กลุ่มให้ได้ หมู่กลุ่มจะพาพัฒนาได้ อยู่กับโลกยิ่งถูกดึงลงหานรก คนเดียวก็ยาก เพราะพลังงานโลกดึงดูดก็ยากที่จะทนทานฝืนแต่ถ้าอยู่กับหมู่กลุ่มจะได้ดีกว่า

ที่จริงโยมฟื้นนั้นโยมธูปก็ให้มาอยู่ที่วัด แต่ก็เกรงใจก็เลยมาอยู่ข้างวัด ตอนนี้ฟื้นเสียไปแล้ว แล้วธูปจะมาหรือไม่นะ ลูกชายก็จะมาไหม ลูกสาวก็แล้วแต่ ลูกชายสองคนนี้โสดก็ไม่รู้ว่าสนิทหรือเปล่าก็แล้วแต่ตัวใครตัวมันไม่มีใครบังคับได้ ถ้ามาได้ก็ดี ไม่ต้องห่วงที่อยู่หรอก เรือมีอีกตั้งกี่ลำที่ไม่มีใครดูแล ซ่อมได้มาพักได้

คนเข้าใจแล้วก็ไม่มมีปัญญหา ใจไม่ได้โลภอะไร เปลี่ยนได้ อย่างเจ็กเอี๋ยว(ลึกๆ) อยู่ไปมีกะลากับตะเกียบคู่หนึ่ง แต่ก่อนอยู่หลังโน้น พอไม้ร่มจะมาอยู่ก็มาอยู่หลังนี้(เมรุสุดชีวิต)ก็เป็นตัวอย่างให้โลกที่เขามีแต่การยึดถือ เราถูก คนอื่นผิดเราดี คนอื่นชั่ว ก็มีการยึดสัญญา เรามาอยู่กับหมู่ก็ลดกิเลสของตนไป เราไม่ถือก็เป็นอะไรก็ได้ มีอะไรบกพร่องก็ช่วยเหลือกัน พึ่งแก่เจ็บตายกันได้

นี่คือทฤษฎีเอกของพระพุทธเจ้าที่ตอนนี้เลือนไปมาก อาตมาเป็นลูกคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์มารื้อฟื้นได้แค่นี้ เพราะยาก แต่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว....วันนี้ก็ได้สำทำคนที่ควรสำทับ ใครได้แง่คิดสำนึกได้ก็ดีอนุโมทนา

IMG_0144IMG_0146IMG_0145IMG_0142IMG_0141IMG_0148IMG_0149IMG_0154IMG_0156IMG_0163IMG_0165IMG_0179IMG_0181IMG_0183IMG_0187IMG_0194IMG_0202IMG_0211IMG_0213IMG_0223IMG_0227IMG_7929IMG_7935IMG_7938IMG_7945IMG_7949IMG_7950IMG_7959IMG_7962IMG_7963IMG_7964IMG_7970IMG_7973IMG_7988IMG_7995IMG_7996IMG_8003IMG_8006IMG_8008

 

581215_พ่อครูเทศน์หน้าศพพ่อฟื้น คชสารทอง

พ่อครูอ่านคำกลอนก่อนเทศนา

ความตายเป็นคุณธรรมอันล้ำค่า

ที่พระเจ้าให้มาเป็นของขวัญ

เสมอสมัยใหม่เอี่ยมเท่าเทียมกัน

จนกว่าคนเรานั้นจะนิพพาน

 

ความตายมิใช่ของต้องโศกเศร้า

แค่คืนร่างกายเก่าสู่สถาน

ถ้าไม่ตายคนก็ทรมาน

หอบสังขารเรื่อยเปื่อยกันเรื่อยไป

 

ความตายจึงเป็นของต้องสร้างสรร

เป็นธรรมอันให้สิทธิ์ชีวิตใหม่

ญาติพี่น้องอยู่หลังต้องตั้งใจ

อนุโมทนาให้กับคนตาย

ไม้ร่มธรรมชาติอโศกได้เขียนอนุโมทนา เพราะว่าลูกชายเขา คุณพลังจิต คชสารทองบอกว่าวันนี้วันดี

ที่จริงคนเราต้องเวียนว่ายตายเกิด จนกว่าจะนิพพาน แม้นิพพานแล้วเป็นอรหันต์ อรหันต์จะตัดสันตติของจิตไม่ให้เดินทางต่อได้ ทำได้เด็ดขาดคืออรหันต์ ทำได้ตอนเป็นๆ อรหันต์เป็นอมตบุคคล จะไม่ตายอยู่นานเท่าไหร่เกิดวนเวียนตามวิบากไปได้กี่ชาติก็ได้ อย่างพระอวโลกิเตศวรท่านบอกว่าไม่ปรินิพพานง่ายๆจนกว่าทุกคนจะเป็นอรหันต์หมด

คนเราเกิดตายตายเกิดไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าเป็นเรื่องวนเวียน อย่างสัตว์เดรัจฉานตายแล้วไม่เศร้านอกจากเจ็บป่วยก็จะเศร้า แต่พี่น้องของมันก็ทุกข์ คนเรายึดมากก็ทุกข์กว่าสัตว์ สัตว์นั้นมีความเป็นของเราของเขาน้อยกว่า

ถ้าเราศึกษาสัจธรรมรู้จะมีชีวิตเป็นประโยขน์คุณค่า ไม่เป็นภัยเป็นโทษต่อตนต่อผู้อื่นได้ เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ชาวอโศกมีชีวิตที่กำไร คือเราขาดทุนไปก็กำไรไปเรื่อยๆ ยิ่งใจเราสนิทขาดทุนอย่างเต็มใจไม่มีสัดส่วนมาลดค่าเลย เราก็เรียนรู้ทำจิตเราไม่ให้ลดค่าเศษส่วนที่ไม่สมบูรณ์ได้มากน้อยแค่ไหน เราเรียนรู้อ่านอาการจิตได้แค่ไหนละเอียดถึงไม่มีอาการ พลังงานชีวิตินทรีย์เลย ไม่มีพลังงานลบหรือบวกที่เราเห็นว่าเราต้องทำแล้วทำได้ตามที่ต้องการ

เป็นวิชาการยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ได้ย่ิงกว่าคนรู้ทางฟิสิกส์ที่วิเศษที่ได้อาศัยกัน แต่พลังงานจิตได้อาศัยอย่างไม่ทุกข์และโลกได้อาศัยพลังงานเรา ที่ไม่โลภไม่เอาเปรียบเราสร้างสรรเสียสละ แล้วเราไม่เอามากมักน้อยสันโดษ เป็นคุณสมบัติมนุษย์ประเสริฐ

เป็นโรงเรียนที่มนุษย์ควรมาฝึกฝน แต่กิเลสไม่ยอม บางคนรู้แต่มาไม่ได้ ต้องฝืนฝึกในขณะมีอาการ 32 ครบ เป็นสุรภาโว สติมันโต ทั้งภายนอกภายใน คุมกายวาจาใจสมบูรณ์แบบ นี่คือองคาพยพของร่างกายที่มีกายยาววาหนาคืบกว้างศอกพร้อมสัญญาและใจ

ผู้ใดเข้าใจแล้วก็พยายามพากเพียรรวมหมู่กลุ่มให้ได้ หมู่กลุ่มจะพาพัฒนาได้ อยู่กับโลกยิ่งถูกดึงลงหานรก คนเดียวก็ยาก เพราะพลังงานโลกดึงดูดก็ยากที่จะทนทานฝืนแต่ถ้าอยู่กับหมู่กลุ่มจะได้ดีกว่า

ที่จริงโยมฟื้นนั้นโยมธูปก็ให้มาอยู่ที่วัด แต่ก็เกรงใจก็เลยมาอยู่ข้างวัด ตอนนี้ฟื้นเสียไปแล้ว แล้วธูปจะมาหรือไม่นะ ลูกชายก็จะมาไหม ลูกสาวก็แล้วแต่ ลูกชายสองคนนี้โสดก็ไม่รู้ว่าสนิทหรือเปล่าก็แล้วแต่ตัวใครตัวมันไม่มีใครบังคับได้ ถ้ามาได้ก็ดี ไม่ต้องห่วงที่อยู่หรอก เรือมีอีกตั้งกี่ลำที่ไม่มีใครดูแล ซ่อมได้มาพักได้

คนเข้าใจแล้วก็ไม่มมีปัญญหา ใจไม่ได้โลภอะไร เปลี่ยนได้ อย่างเจ็กเอี๋ยว(ลึกๆ) อยู่ไปมีกะลากับตะเกียบคู่หนึ่ง แต่ก่อนอยู่หลังโน้น พอไม้ร่มจะมาอยู่ก็มาอยู่หลังนี้(เมรุสุดชีวิต)ก็เป็นตัวอย่างให้โลกที่เขามีแต่การยึดถือ เราถูก คนอื่นผิดเราดี คนอื่นชั่ว ก็มีการยึดสัญญา เรามาอยู่กับหมู่ก็ลดกิเลสของตนไป เราไม่ถือก็เป็นอะไรก็ได้ มีอะไรบกพร่องก็ช่วยเหลือกัน พึ่งแก่เจ็บตายกันได้

นี่คือทฤษฎีเอกของพระพุทธเจ้าที่ตอนนี้เลือนไปมาก อาตมาเป็นลูกคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์มารื้อฟื้นได้แค่นี้ เพราะยาก แต่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้ว....วันนี้ก็ได้สำทำคนที่ควรสำทับ ใครได้แง่คิดสำนึกได้ก็ดีอนุโมทนา

IMG_0144IMG_0146IMG_0145IMG_0142IMG_0141IMG_0148IMG_0149IMG_0154IMG_0156IMG_0163IMG_0165IMG_0179IMG_0181IMG_0183IMG_0187IMG_0194IMG_0202IMG_0211IMG_0213IMG_0223IMG_0227IMG_7929IMG_7935IMG_7938IMG_7945IMG_7949IMG_7950IMG_7959IMG_7962IMG_7963IMG_7964IMG_7970IMG_7973IMG_7988IMG_7995IMG_7996IMG_8003IMG_8006IMG_8008

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:44:42 )

581216

รายละเอียด

581216_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก เรื่อง เกาลึกอาการคันถึงจิตในจิต

 

พ่อครูว่า...วันนี้ก็สัญจรมาที่ศรีษะอโศก ให้ลูกหลานได้มาสังสรรค์กันถามไถ่กันสารทุกข​์สุกดิบมีอะไรที่จะพึงแบ่งปันกันสำหรับหลวงปู่นี้ อะไรที่จะแบ่งปันได้ก็มีแต่ธรรมะไม่มีสมบัติอะไรแล้ว หมดเนื้อหมดตัวมีแต่ธรรมะ จะชื่นชมจะหัวเราะก็เป็นธรรมะ จะดุจะด่าจะว่าก็เป็นธรรมะ จะมีกรรมกริยาอะไรต่างๆก็เป็นธรรมะ

 เพราะว่าธรรมะคือ สิ่งที่เรามีในเราทรงอยู่นะถ้าสิ่งที่ไม่มีก็เป็นอธรรม หรืออธรรมก็คือมีอยู่แต่มันไม่ดี มันเป็นตัวร้ายเป็นตัวที่ทำลายเป็นตัวเสื่อมเสียหายเดือดร้อนวุ่นวายพาทุกข์ เรียกอธรรม แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมะทรงอยู่ ก็จะไม่พาทุกข์พาประเสริฐพาเจริญอย่างมีคุณค่า

พีชะ เป็นพลังงานที่มีแต่ สัญญากับสังขาร ถึงไม่เกิดความหมุนวนจนมีวิญญาณที่เป็นสามเส้าไม่ครบสมบูรณ์ แต่ถ้ามีวิญญาณก็จะครบสี่เส้า คือครบรูปเวทนาสัญญาแล้วก็เกิดสังขาร เป็นสี่เส้า ซึ่งเป็นสังขารที่ไม่ใช่สังขารระดับของพืช แต่เป็นของสัตว์เป็นจุดที่ 4

ในระดับพีชะจะไม่ออกไปมีพิษภัยกับใคร ไม่สร้างเวรสร้างกรรมสร้างบาป ที่ไปเชื่อมต่อกับอะไรอื่น จบในตัวของตัวเองเรียกกว่า self ส่วนสัตว์มี ish เป็น selfish มีความชอบใจมีความไม่ชอบใจ มีผลักและมีดูด ดูดเอาอย่างอื่นมาเป็นของตน แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน เริ่มตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์ที่เรียกว่าเป็นภาวะของสัตว์ก็เริ่มต้นเป็นอย่างนี้ขยายไปเรื่อยจาก 4 เป็น 5 เป็น 6 จาก 7 เป็น 8 เป็น 9 จาก 9 เป็น 10 จาก 10 เป็น 11 เดือน 10 11 12 13 ไปเรื่อย

เซลล์ของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งเป็นตัวตนที่ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น ด้วยความไม่รู้ตัวเองก็สั่งสมไปตอนแรกก็ยังไม่ค่อยฉลาดมาก ก็ทำร้ายทำลายผู้อื่นไม่ค่อยเก่ง พอฉลาดมากก็ทำร้ายทำร้ายคนอื่นเก่งขึ้นเก่งขึ้น เป็น selfish เรียกเป็นภาษาบาลีว่าเป็น อัตตา เป็นตัวกูของกูเป็นตัวตนที่มีกิเลสที่เห็นแก่ตัวเองมากขึ้น หนักขึ้นไปเรื่อยๆ

พระพุทธเจ้าท่านค้นพบได้ละเอียดลออ จนถอดถอนตัวที่เห็นแก่ตัว จนเหลือเป็นระดับจิตนิยาม มาเป็นพีชนิยามมาเป็น self ลดตัวเลวร้ายตัวเห็นแก่ตัวลงได้ด้วยพลังงานก็ยังเหลืออยู่ จะฉลาดสามารถเท่าไหร่ก็ยังเหลืออยู่ แต่สามารถทำพลังตัวร้ายตัวเลวออกไปพลังงานร้ายถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานดี จึงเสริมพลังงานดีที่มีอยู่แล้วก็มีพลังงานเลวที่กลับตัวเป็นดีมาเสริมเข้าไปอีก จึงเหลือพลังงานที่ดีซ้อนๆ มาเป็นลักษณะของ พีชนิยาม self โดยทำให้ตัวตนอัตตา จากอกุศลมาเป็นกุศลจิตจึงเหลือตัวตนที่เรารู้แล้วว่าควรจะเหลือ ควรจะจัดการพลังงานให้ทำอะไร คืออภิสังขาร  ให้เป็นพฤติกรรมที่ดี

พลังงานที่เปลี่ยนจากอกุศลมาเป็นกุศล โดยใช้บุญฆ่ากิเลส หรือฆ่าอกุศลออกไปที่เป็นโทษสมบัติ ให้มาเป็นคุณสมบัติ ก็จะได้พลังงานเพิ่มขึ้น เป็นผู้เจริญที่มีพลังงานสร้างสรรค์มีคุณค่าเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษเลย จึงเป็นผู้ที่สร้างสรรค์ประโยชน์ขึ้นมา

 เห็นแก่ตัว ความเป็นพลังงานเลวร้ายหมดไป แต่ก็มีพลังงานสร้างสรรค์ที่เหลือมีมากขึ้น เป็นความมักน้อยลงไปอีก ไม่มากๆ น้อยก็พอ เป็นคุณสมบัติที่พระพุทธเจ้าท่านอ่านออก จากต้นตอของจิตเจตสิก ที่สามารถที่จะให้พลังงานควบคุมพลังงานจิตเจตสิกพวกนี้ ให้ไปทำในสิ่งที่เรียกว่ามนสิการ เป็นการทำจิตในจิตของตนเองอย่างจริงสามารถทำได้อย่างแท้จริง ซึ่งเกิดธาตุจิตใหม่ที่ไม่ลึกลับเรียกว่าอรหัตตา

 เกิดพลังงานใหม่ อรหัตตา ที่ไม่ลึกลับแล้วสามารถควบคุมได้เหมือนคนควบคุมสัตว์ใหญ่ได้ พบคุณช้างได้ควบคุมให้เชื่องได้ คนสามารถฝึกสิ่งที่ร้ายให้มาอยู่ในความควบคุมดูแลอยู่ในอาณัติ แล้วเอามาทำประโยชน์ได้ ผู้ที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ สิ่งอื่นได้ เป็นพหุชนหิตายะที่แท้จริง ต้องมาตั้งแต่เหตุคือ จิตที่เป็นประธาน มโนปุพพังคมาธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา สามารถทำให้สำเร็จบริบูรณ์รอบถ้วนตามที่จิตเป็นประธานได้นี่คือความครบพร้อมของพลังงานที่ยิ่งใหญ่

ไอสไตล์ ค้นพบพลังงานทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ แต่พลังงานทางจิตนี้เร็วแรง และยิ่งกว่าพลังงานทางฟิสิกส์ แล้วก็เอามาใช้ได้ ส่วนทางฟิสิกส์เอาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นพลังงานนิวเคลียร์ เอามาใช้ทำงานได้ ส่วนที่ไม่สามารถจับตัวมันมาได้มันหลุดลอยพ้นจากความสามารถที่จะเก็บเอามาใช้ได้ มันก็ลอยหนีไปเรียกว่า นิวเคลียร์ฟิชชัน(Nuclear Fission) ส่วนที่มันจะจับตัวมันเองตามธรรมชาติ เป็นself ตั้งแต่พีชะ จนมาเป็นจิตมันก็จับตัวมันเอง เรียกว่านิวเคลียร์ฟิวชั่น(Nuclear Fusion) แต่ถ้ายิ่งไม่ลึกลับดังที่อธิบายไปแล้ว ผู้ที่ทำพลังงานเลวร้ายให้แปรเปลี่ยนไป เป็นพลังงานดี จึงเกิดพลังงานรวมตัวที่จับตัวกันเพิ่มขึ้น เป็นปฏิภาคทวีของ พลังงานกุศลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เอามาใช้ทำงานได้

 นี่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่อาตมาศึกษาจากหลักสูตรของพระพุทธเจ้า จะทำได้ดีได้เก่งเท่าไหร่ ก็เท่าที่ตนเองมีความรู้ความสามารถ ที่อาตมาทำขนาดนี้ก็ไม่เก่งเท่าไหร่ ก็พยายามพากเพียรที่จะทำที่จะจัดการกับจิตให้ตัวที่มันต้านให้เราทำดี ให้กลับมาเป็นทำดีให้มาเป็นตัวประโยชน์คุณค่า ไม่เป็นโทษจัดการได้ยังรู้แจ้งรู้จริง ซึ่งเป็นวิชาการที่ยิ่งใหญ่มาก สำหรับมวลมนุษยชาติ เพราะสร้างคนให้เรียนรู้มีวิชาการและเป็นอย่างนี้ได้ก็จะเป็นคนไม่เป็นโทษเป็นภัยต่อสังคม ต่อผู้อื่น แล้วกลายเป็นคนที่มีคุณค่ามีประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อสังคมต่อโลกไปอีกอย่างนี้ ซึ่งเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่

 ความรู้ที่ไปสร้างอาวุธเข่นฆ่ากันเก่ง ทำได้ร้ายแรงยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น มันเป็นความรู้ที่เลวร้ายไม่ควรสร้าง แต่คนก็อำมหิตคิดสร้างเอาไว้ หลอกล่อคนที่เห็นแก่ตัวตนเห็นแก่พวกพ้องเห็นแก่รัฐ เพื่อจะห่วงแสนแย่งชิง ทำร้ายทำลายผู้อื่นเขาจะต้องมีอาวุธที่เป็นเครื่องมือสำหรับแย่งชิงทำร้ายผู้อื่น แล้วก็ค้าขายให้ แล้วคนโง่ที่จิตเห็นแก่ตัวจัด ก็ซื้อมา เพื่อจะแย่งเอาไว้แย่งกันมีอาวุธนั้นมี 2 นัย นัยหนึ่งคือเอาไว้ป้องกันตัวเอง อีกนัยหนึ่งคือเพื่อเอาชนะคนอื่นได้

 เช่นปืนมีไว้สำหรับป้องกันตัวเองก็ได้ หรือมีไว้เพื่อเอาชนะคนอื่นก็ได้ ที่นี้คนก็รักตัวเองก็ไม่ต้องการทำร้ายคนอื่นเท่าไหร่ ถ้าไม่เหลืออดเหลือทนกิเลสไม่แรงก็ควบคุมได้ก็ไม่ใช้อาวุธไปทำร้ายคนอื่น ไม่มีเอาปืนไปทำร้ายคนอื่น แต่เมื่อกิเลสมันแรงเมื่อมีเครื่องมือมีปืนที่จะทำร้ายได้ ก็เอาปืนไปทำร้ายคนอื่นได้ กิเลสมันแรงเกินคิด ที่จะควบคุมนี่คือพลังงานของจิตที่เป็นต้นเหตุ

แล้วเขาบอกเลยว่าคนที่ซื้อปืนมาเพื่อจะป้องกันตัวเอง เค้าไม่ได้ใช้มันสำหรับป้องกันตัวเองเท่าไหร่หรอก แต่มันกลับจะมาทำงานทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายคนที่ไม่ได้เจตนา เขาซื้อปืนเพื่อป้องกันคนป้องกันคนมาทำร้ายตนเอง แต่มันไม่ได้ทำอย่างนั้น มันกลับมาทำร้ายตนเอง หรือทำร้ายคนใกล้เคียง ที่เมื่อตนเองโกรธจนกิเลสมันอดไม่ได้ แม้จะเป็นคนที่เคยรัก หรือยังรักอยู่แต่อารมณ์โกรธขึ้นมา ก็ใช้ปืนยิงเพื่อนยิงพี่ยิงน้องยิงพ่อยิงแม่ ยิงคนที่มีคุณค่าต่อสังคม ซึ่งก็ไม่เจตนาไม่อยากจะฆ่า แต่อารมณ์กิเลสนั้นแรงจนมันทำให้หน้ามืด มันก็ใช้สิ่งที่เป็นอุปกรณ์ที่ตัวเองมีในมือมีปืนในมือตัวเองก็ใช้ปืนนี้ทำร้ายเลยอารมณ์ชั่ววูบวูบเดียว พอความโกรธนั้นลดลง ตาสว่างขึ้นก็เสียใจ

ชาวอโศกไม่หยาบอย่างนั้น แต่อาตมาก็พยายามห้ามไม่ให้มีปืนมาไว้ในตน หรือในหมู่บ้าน แต่บางคนก็ซุกซ่อนเอาไว้ในตัวเอง ด้วยความกลัวเกินไปด้วยความห่วงแหนจนเกินไป เพราะฉะนั้นอาตมาว่าอย่าหวงแหนเกินเลย จนกระทั่งต้องซุกซ่อนสิ่งที่เป็นพิษร้ายเป็นงูพิษ มันมีแต่โทษ แต่ไปเป็นบาปเป็นเวรไม่ดี ถ้าเราจะป้องกันตัวเองโดยที่ว่าสุดวิสัยคนอื่นเขาทำร้ายเรา เราก็ไม่มีอาวุธอะไรที่ไปสู้เขาได้ เราก็ยอมแพ้ยอมเจ็บยอมตาย หมายถึงตายก็ตาย ดีกว่าที่จะไปทำร้ายคนอื่นเขาตาย การไปทำร้ายคนอื่นเขาตายนั้นบาปจริงด้วยสัจจะอย่างปรมัตถสัจจะ และสมมุติสัจจะก็ร้าย คนก็รู้กันว่าการฆ่ากันนี่มันเลวร้ายรุนแรงยิ่งฆ่ากันด้วยจิตอำมหิตตั้งใจจะฆ่า จะทำร้ายทำลายกัน เขาก็รู้กันดังนั้นผู้พิพากษาจะรู้ลำดับความเลวร้ายความแรง จัดหาแรงมาก หรือแรงน้อย ก็จะตัดสินไปตามแรงพวกนี้

 คนคิดแล้วทำเรื่องมากๆ  เลวร้ายพวกนี้ก็จะถูกตัดสินให้ประหารชีวิต ตามที่ตนเองทำกรรมนั้นก็มี ติดคุกตลอดชีวิตก็มี ติดมากนานจนกระทั่งตายก่อนที่จะครบอายุที่ต้องติดคุกก็มี ก็มีคนที่ได้รับผลของกรรมพวกนี้ที่ตนเองไปทำเลวทำร้ายไว้ถูกพิพากษา ดังกล่าวนี้อยู่ นี่เป็นปัจจุบันธรรมส่วนที่ไม่เป็นปัจจุบันธรรม จิตก็ได้รับความเดือดร้อนเลวร้ายพวกนี้ไป แม้ยังไม่ได้รับวิบาก เกิดมาอีก วิบากพวกนี้ก็จะมาทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งรูปธรรม ดินน้ำลมไฟ เกิดมาอีกก็ยังมีวิบากบาป ทุกทรมานอย่างนั้นอย่างนี้ อีกต่างๆนานาอีกเยอะแยะ

คนไม่เชื่อกรรมวิบากนั้น น่าสงสาร พอจะสั่งสมกรรมวิบากที่เป็นอกุศล ทำให้ตนเอง ได้รับผลวิบากเลวร้ายไปเรื่อย พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กรรมชั่วแม้น้อย อย่าทำเสียเลย เพราะกรรมเป็นอันทำ กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุกรรม กัมมปฏิสรโณ กรรมคือการกระทำ แม้แต่มโนกรรมคิดชั่วขึ้นมา ฉันอยากจะตบคนนี้มันก็สั่งสมไปในวิบากแล้วนะ คิดอยากจะด่าคนนี้จังเลย ยิ่งด่าออกไปทางปากก็ยิ่งหนักขึ้นอีก สมบูรณ์เลยเป็นวจีทุจริตเป็นต้น

การจะพัฒนาอะไรไม่สู้มาพัฒนาคน ที่ให้เลิกจากต้นเหตุแห่งความทุกข์ ต้นเหตุแห่งความเลวร้าย ต้นเหตุแห่งความเสื่อมให้กลายเป็น ต้นเหตุแห่งความเจริญ ต้นเหตุแห่งความประเสริฐ ต้นเหตุแห่งความสุข ที่เป็นสัจจะที่จริงให้ทำที่เหตุ แล้วนิทานก็เปลี่ยนไป มีการปรุงแต่งเป็นโลก สมุทัยก็ดีขึ้น มีปัจจัยใหม่ที่ทำให้ดีขึ้น ก็จะเสริมสอนให้ใหม่ดีขึ้นเรื่อยๆต่อไปอีกก็ได้ ก็เป็นคุณค่าไปเรื่อย

 พวกเรานี้ อาตมาเอาสูตรของพระพุทธเจ้ามาประกาศ มาเผยแพร่ ผู้ที่รับได้ก็มาเป็นสมาชิกมาศึกษา มาเป็นนักศึกษา จนกระทั่งเกิดเป็นกลุ่มหมู่ที่เป็นโรงเรียนอันยิ่งใหญ่ โรงเรียนอโศกนี้เป็นโรงเรียนพัฒนาการศึกษา เรียกว่าไตรสิกขา เป็นสิกขา 3 อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

อธิศีล  กำหนดกรอบของตนเองเป็นปริตตัง เช่นเอาศีล 5 แค่นี้เราจะมีคำกริยาที่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เอาของของคนอื่นที่ไม่ใช่ของของเรา ในฐานะที่เป็นขโมยเอา แต่ของเราหรือถ้าของคนอื่นที่อนุญาต เขาให้ส่วนที่จะใช้ได้ ก็เป็นสิทธิในการที่จะไปใช้ได้ ถ้าเขาไม่ให้สิทธิก็ไม่ละเมิด

ศีลข้อ 3 ก็ไม่ให้ละเมิดเรื่องเพศเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ที่เป็นการเสพราคะ กามคุณ 5 แล้วแจกมาเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเสียดสี เราก็รู้ว่าของเราจัดจ้านแค่ไหน เป็นการเป็นราคะเราก็ลดลงมาตีกรอบเอาให้เป็นปริตตัง เอาแค่นี้แค่นี้ ไปตามลำดับเป็นต้น

ศีลข้อ 4 ก็ไม่โกหกไม่พูดส่อเสียดไม่พูดหยาบคายไม่พูดเพ้อเจ้อ ลดลงไปตามลำดับเอาที่กิเลสหยาบใจก่อนเป็นโอฬาริกอัตตา

  ศีลข้อ 5 ก็ลดเรื่องที่เป็น อบายมุขที่หยาบใหญ่ของเรา  เอาหยาบของเราก่อนแล้วตีกรอบ กำหนดสิ่งที่จะอาศัย และสิ่งที่จะงดเว้น ให้ตัดขอบเขตของเราก่อน จะเรียกว่าบริบทก็ได้ จะเรียกว่าปริเฉทก็ได้ โดยวิธีปฏิบัติให้มีผัสสะเป็นปัจจัย แล้วรวมลงที่เวทนา จะมีอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบ จะมีอารมณ์สุขหรือทุกข์ ก็จะมีเหตุของมัน สุขทุกข์เป็นของคู่กัน ชอบกับไม่ชอบ เป็นของคู่กัน ที่กลับไปกลับมา ชอบใจก็สุขไม่ชอบใจก็ทุกข์ บำเรออาการต้องการที่เป็นตัณหา เราก็เรียนรู้ตัวเหตุพวกนี้ แล้วก็ลดละ ซึ่งมีวิธีลดละ เช่น ปหาน 5 เป็นต้นเราก็ทำจริงๆ เมื่อสัมผัสเกิดอาการก็ให้ได้จับอาการนั้นให้ได้ แล้วเราเปลี่ยนอาการนั้นให้ลดละจากอาการอกุศลเจตสิก เห็นอาการมันจางคลาย กิเลสมันลด ก็เห็นว่ามันมีความต่างกันมีลิงคะ 

ยิ่งเข้าใจด้วยภูมิปัญญา ลดอย่างถาวร มีประสิทธิภาพกว่ากด พร้อมที่จะเวียนกลับช้า หรือไม่เปลี่ยนกลับเลย ส่วนการกดข่มนั้นมันก็จะเปลี่ยนกลับได้เสมอ เมื่อหมดพลังกดข่ม อาจไม่เวียนกลับทันที แต่ค่อยค่อยเวียนกลับด้านใหม่เต็มรูป เพราะฉะนั้นการกดข่มถึงช่วยได้บ้างเพื่อจะให้ สภาพที่กำลังปรุงแต่งเลวร้ายนั้นพอที่จะจับตัวเหตุ จับมันทันแล้ว จะได้เรียนรู้ด้วยพลังปัญญา ปัญญาคือ รู้ให้ได้ว่าไอ้พวกนี้มันไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นตัวปลอมมันเป็นอนัตตา มันเกิดขึ้นมาเพราะจิตเราเอง ไปยึดว่ามีตัวมีตน ความจริงมันไม่มีตัวมีตนอะไรหรอก มันเป็นเพียงเครื่องอาศัยกุศลและอกุศล ก็เป็นเครื่องอาศัย

อย่างอกุศล ถ้าคุณไม่ชอบมัน แต่มันก็มีในตัวคุณแล้ว มันออกฤทธิ์จนคุณควบคุมไม่ได้ ไม่อาศัยมันก็มีอยู่ต้องเรียนรู้ตัวจริงของมัน แล้วทำให้มันลด จะมีปัญญาว่ามันพาให้เราเป็นคนเลวร้าย เป็นคนไม่ดี ก็ต้องรู้ด้วยปัญญาว่า พลังงานพวกนี้เป็นพลังงานที่พาให้เราเลวร้าย ไม่เจริญ ต้องซ้ำซ้ำ ความรู้นี้ให้จริงๆให้เกิดพลังงานที่รู้ยิ่งรู้จริงจนมีประสิทธิภาพ ทำให้มันลดพลังงานที่ไม่ดี ที่ทุจริต ที่เอาคนเราพิสูจน์ได้

ทำจริงๆที่สุดได้ จะเห็นว่ามันไม่เที่ยง ซึ่งความไม่เที่ยงนี้ มีทั้งแบบที่มันโตขึ้นใหญ่ขึ้น มีแรงมากขึ้นได้ด้วย ร้ายมากขึ้นได้ด้วย ก็จะเห็นความไม่เที่ยงไปในทางเลวร้ายก็ได้หรือไปในทางที่ลดลงก็ได้ ถ้าไม่เรียนรู้มันก็จะทำตัวเองเลวร้ายด้วยความโง่ ด้วยอวิชชาที่เป็นเจ้าเรือนของมนุษย์

โง่กับฉลาดความฉลาดนั้น จะต้องควบคุมตนเองได้ ในฉฬายตนะทั้ง 6 ผู้ควบคุมได้ก็จะมีความเจริญความรู้ในทวารทั้ง 6 คือ จัดการพลังงานที่ทำชั่ว จากการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสภาพที่ตรง ที่สร้างขึ้นมา เมื่อเราจัดการเหตุร้ายในออกไปนั่นแหละคือ ความฉลาดเป็นปัญญา

แต่ความฉลาดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจทั้ง 6 ทวาร ฉลาดที่เราอาจไม่รู้ตัวมันแล้วมันก็ไปสร้างพลังงานที่เลวร้ายเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น อย่างนี้ก็คือฉลาด แต่ฉลาดสร้างความเลวร้ายให้แก่ตัวเองใส่ตัวเอง แล้วออกมาทางกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆด้วยตัวเองไม่รู้เหตุนี้ควบคุมมันไม่ได้ มันก็ทำงานให้แก่ตัวเอง เป็นปุถุชนคือหนาไปด้วยกิเลส

 

คำว่าหนานี้ทั้งใหญ่ทั้งมากทั้งโตทั้งกว้างทั้งลึกด้วย คำว่าหนานี้เป็นคำรวมของปริมาณมากและแน่นด้วย เรียกว่าสมบัติที่เลวร้าย เป็นสมบัติว่าวิบัติ เหมือนกับนิสัย

ผู้ที่เรียนรู้อาการที่เป็นพลังงานจิตคือ คนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าถึงปรมัตถธรรม เป็นผู้สามารถจัดการพลังงานพวกนี้ให้ดีขึ้น แต่ไม่ง่ายเพราะละเอียดลึกซึ้ง ทำไปก็จะเกิดพลังงานเกิดสมรรถนะ เกิดความสามารถเกิดความเก่ง เกิดประสิทธิภาพของการปฏิบัติ ทำได้ดีจนกระทั่งหมดเชื้อแห่งความชั่วความเลว หมดจากตนเองเลยเป็นอรหันต์ หรือเป็นอรหัตตมรรค เหลืออนุสัย คือความเป็นตนเหลือน้อยระดับ หลังอาสวะ เรียกว่าผู้มีตัวตนเหลือน้อย

โลกทุกวันนี้ก็อยากจะเป็นอาริยะ แต่เรียนรู้อย่างกดข่มไม่สามารถที่จะเข้าไปมีธรรมวิจัย ไม่ได้ฝึกตนเองเป็น analyser นักปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตา ไม่เกิดการมีจิตวิเคราะห์ ไม่รู้รูปนามไม่เกิดรูปนาม จึงไม่สามารถที่จะจัดการอย่างเป็นลำดับ ให้ละเอียดละออได้ ถ้าเรามีตาหูจมูกลิ้นกายและใจ อาศัยการกระทบสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส  มีอายตนะกระแทกกระเทือนสั่นสะเทือนทั้งนอกและในจิต ก็อ่านง่าย แล้วก็เป็นตัวจริงที่จิต ไม่ใช่ไปนั่งนึกคิดเอาว่า จะเกิดกระทบสัมผัสสั่นสะเทือนอย่างไร สร้างให้เป็นสัญญาเท่านั้น เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ครบสมบูรณ์ ที่ไม่เกิดจากความจริงครบถ้วน เป็นการเรียนรู้ที่ไม่ค่อยได้ผล อาจจะได้ผลบ้างที่เป็นอาการภายในเบาๆ ไม่ครบสมบูรณ์ของโลกที่มีทั้งดินน้ำไฟลม มีทั้งนามธรรมที่เป็นพลังงานที่เราจะจัดการได้

 สัตว์ที่จะเรียนรู้ได้เป็นเวไนยสัตว์ แต่อเวไนยสัตว์นั้น อย่าว่าแต่อยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานเลย พวกสัตว์เดรัจฉานจะมีอุปกรณ์เช่นสมองไม่ละเอียดพอ ที่จะเรียนรู้พลังงานละเอียดระดับปรมัตถธรรม จะเรียนรู้เรื่องกรรมเรื่องธรรมะไม่ได้ มันไม่รู้กรรมวิบาก แต่แม้แต่ร่างของคนขึ้นมามีอาการ 32 ก็ไม่สามารถ ถ้าเป็นคนที่เป็น อเวไนยสัตว์ สอนอย่างไรก็ไม่รู้ ท่านจัดให้เป็นบัวใต้ตึกบัวใต้โคลน ต่ำกว่าเนยบุคคลเป็นปทปรมะ  

คำว่าปทปรมะ คำว่าปรมะคือ ยิ่งใหญ่ คำว่าบทคือ บทเรียนบทสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นอาริยธรรม คือคนที่ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ก็สามารถเรียนธรรมบทต่างๆ เขาเรียนรู้ได้ในเหตุในผล ในความหมาย สามารถท่องได้ต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นปัจจัยเก่ง จึงเรียกกว่าผู้ที่รู้ธรรมะมาก ทรงจําธรรมะได้มากอยู่คือ ปทปรมบุคคล คือคนที่เรียนรู้ธรรมะได้มากท่องจำได้มาก สาธยายธรรมะได้มาก สอนคนอื่นด้วย แต่ไม่ได้บรรลุธรรมใดๆได้เลยในชาตินี้ ก็คือคนที่เรียนรู้แต่บัญญัติภาษา จบดร.ทางศาสนา ปรัชญา มีเหตุผลลึกซึ้งซับซ้อน แต่ทำใจในใจของตนไม่เป็นไม่ถึงที่เกิดไม่ถ่องแท้ถูกตัวกิเลสจริง แม้จะเก่งแค่ไหนรู้เหตุผลแค่ไหน ก็เป็นปทปรมบุคคล เป็นจับกังแบกลังทอง ตนเองได้แต่แบกทองให้คนอื่น แต่ตนเองไม่ได้มีทองเป็นของตน นี่คือครูผู้สอนมีเยอะทุกวันนี้ นึกว่าตนเองได้แล้วรู้แล้ว

ทุกวันนี้ ปัญหาต่างๆเกิดจากกิเลสเป็นตัวการทั้งนั้นเลย กิเลสเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ กิเลสเลวร้ายแย่งชิงเกิดกรณีต่างๆในโลก เพราะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่เคยหยุดที่จะอยากได้ ไม่เคยพอ เห็นแก่ตัวจัดกับอยากได้จัด 2 ตัวนี้กอดคอกันสร้างนิทานเลวร้ายอยู่ในสังคมอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้จักต้นเหตุ แล้วก็กำจัดเสียจนเป็นโลกนิโรธ โลกสมุทัย

เราก็กำหนดทำโลกเราในขอบเขตปริตตังของเรา เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เกิดอธิวิมุติ ก็รู้จบเสร็จกิจ ก็ทำอันอื่นเสริมซ้อนไปตามลำดับ สามารถพัฒนาตนเองได้ อาตมาเขียนหนังสือเล่มยอดนิยายฯ ก็พยายามไขพลังงานจิตนี่แหละ

การแก้ปัญหาสังคมคือ ให้คนมาได้อาริยธรรมนี้แหละ จะยั่งยืนถาวรและประเสริฐด้วย ที่นักการเมืองต้องเรียนรู้แต่ทุกวันนี้ ไปมีแต่เทคนิคที่จะเอาไปเอารัดเอาเปรียบหรือแม้จะสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องของวัตถุเป็นพฤติกรรมภายนอกไม่มาจัดการที่จิตวิญญาณ

เศรษฐศาสตร์บุญนิยมกับเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม

บุญ คือการชำระกิเลส ถ้าเราจะทำงานกับสังคมเราก็ทำงานกับสังคมชนิดที่ลดกิเลสอยากไปทำงานกับสังคม แบบชนิดที่เพิ่มกิเลส ให้ทำได้ตามกรอบเป็นลำดับของพระพุทธเจ้าเราสามารถเรียนรู้จิตเจตสิกของพระพุทธเจ้า เวลามีกรรมกริยาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เราก็แยกแยะวิเคราะห์ ให้จับตัวเหตุที่เป็นอกุศลจิตที่เป็นตัวการที่เป็นสมุทัยให้ได้แล้ว กำจัดตัวนี้อย่าให้มันออกมาให้มันหมดฤทธิ์แรงได้เลย กำจัดมันจริงๆ ให้มันกลับกลายมาเป็นพลังงานที่มีประเสริฐประโยชน์สร้างสรรค์ ได้อีกโดยไม่ต้องคิดว่าเป็นของตัวของตน

คนเรานี้คิดสร้างสรรสร้างเสร็จแล้วก็ยึดเป็นของตัว ไม่ให้ใคร  ถ้าจะให้ก็จะต้องเอาคืนเต็มค่า หรือเกินค่า เกินได้มากเท่าไหร่ก็ชอบใจเท่านั้น ส่วนบุญนิยมนั้นสร้างสรรค์แล้วได้ มีค่าเท่าไหร่ก็ไม่ห่วงแหน แต่กลับแบ่งกินแบ่งใช้ ถ้ามันมีส่วนเหลือส่วนเกินก็แจกก็แบ่งให้คนอื่น หรือจะขาย โดยมี ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ลาภหรือจะแลกของเขานั้น คำนวณแล้วที่จะให้เขาไป มีราคาทุนเท่าไหร่ เราจะต้องให้เขาไปโดยคิดราคาต่ำกว่าทุน ก็ถือว่าเป็นบุญนิยมแล้ว ถ้าราคาเท่าทุนยังไม่ถือว่าเป็นบุญนิยมตามที่ในหลวงที่เป็นพระโพธิสัตว์องค์นี้ตรัส

ขายเท่าทุน ก็ไม่มีใครได้ใครเสีย จะต้องขายต่ำกว่าทุน ซึ่งเป็นเขตตัดของความเป็นบุญนิยม  ทุนนิยมนั้นจะต้องให้ได้กลับมามากเท่าไร ให้ได้กำไรมากที่สุด เท่าไหร่ก็เอาทั้งนั้น ไม่มีขอบเขตจำกัดเรียกว่า maximize profit

 แต่บุญนิยมนั้นต้องให้ต่ำกว่าทุน จึงจะชื่อว่าบุญ เป็นการกำจัดกิเลส ไม่เอามาบำเรอตัวเอง การลดลงได้มากเท่าไหร่ ก็เป็นบุญมากเท่านั้น

 นี่คือทฤษฎีของบุญนิยมกับทุนนิยม ต่างกันเช่นนี้ ต้องอ่านจิตตนเองออก แล้วอ่านค่าเศรษฐกิจสังคมออกด้วยว่า เขาตีราคาวัตถุดิบ ค่าแรงงาน คิดค่าโสหุ้ยต่างๆ รวมแล้วเรียกว่าต้นทุนเสร็จแล้ว เราคิดค่ามาต่ำกว่าราคาต้นทุนที่รวมกันเสร็จแล้วนี้

แล้วค่าไฟค่าน้ำค่าโสหุ้ยต่างๆ ก็เป็นต้นทุนสิ่งที่แต่ละคนก็ได้คืนมา แต่ค่าแรงงาน ค่าความรู้ ค่าสมรรถนะของเรา เราก็ไม่เอาสมมุติว่า ราคาเฉลี่ยของสังคมค่าแรงในสังคมต้องได้เท่านี้ เราก็เอาราคานั้นเป็นมาตรฐานกลาง แล้วเราก็ต้องคิดต่ำกว่าราคามาตรฐานกลางนั่นคือ เราลดค่าแรงของเรา การลดค่าแรงของเรานี้ จะเหลือเท่าไหร่ แล้วก็เอามากินมาใช้แค่นั้นให้พอ ถ้าทำไม่พอคุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะกินมากใช้มากเกินกว่าที่ตนเองทำก็อยู่ไม่รอดอยู่แล้ว แต่บุญนิยมนั้น สามารถอยู่ได้โดยมีส่วนเหลือส่วนเกินที่จะแบ่งให้กับสังคม

ผู้ใดสามารถทำบุญนิยม ให้ลดต่ำกว่าทุน ลดกิเลสที่จะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ อย่างที่ว่านี้คือ ตัวผู้ที่มีลัทธิบุญนิยมยิ่งลดได้มากเท่าใด สมรรถนะของเราก็มากขึ้น มีความรู้ความสามารถแล้วเราก็ขยันทำงาน เป็นผลผลิตเป็นแรงงานออกไปให้กับสังคมมากขึ้นแต่เรายิ่งพัฒนาตนเอง กินน้อยใช้น้อย ผลาญน้อย อาศัยน้อย ซึ่งกิเลสนี้มันเผาผลาญเรื่องเยอะเราก็ลดราคาให้ได้เป็นปฏิภาคทวี

ไม่ใช่เป็นคนที่เป็นกรรมกิริยาหยุดนิ่ง ไม่ทำอะไร แต่กลับจะมีกรรมกริยาที่เหมาะควรแก่การงาน  กายกัมมัญญตา กายปาคุญญตา เป็นกรรมการงานที่แคล่วคล่องว่องไว เวทนาก็แคล่วคล่องว่องไว สัญญาก็แคล่วคล่องว่องไว สังขารก็ไม่ใช่นิ่งหยุดสะกดจิตไม่รับรู้อะไร นั่นเป็นของลัทธิอื่น ที่ไม่ใช่ของพุทธ การเป็นนักสะกดจิตด้วย hypnosis ไม่ใช่ analysis ไม่ใช่การวิเคราะห์วิจัย จิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นการไปสะกดจิต ให้จิต เจตสิก รูป เป็นการดับ เป็นนิโรธหมดหน้าที่ ไม่ฝึกฝนจิตเจตสิก คิดก็ไม่คิด พูดก็ไม่พูด ถึงเป็นความสูญเสีย ที่เป็นคนละทิศทางกับวิชาการของพระพุทธเจ้าเลย ซึ่งศาสนาพุทธทุกวันนี้ เขานั่งสะกดจิตหลับตา ไม่ออกป่า ก็อยู่ในเมือง และเป็นการสะกดจิต hypnosis เป็น hypnotize  ให้จิตมีความแข็งทื่อ ด้านยึดเกาะตาย ไร้คุณค่าและประโยชน์ที่สุด ความผิดพลาดของวิชาการศาสนาพุทธทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้

 พรหมชาลสูตรว่ามีสองพวกที่มิจฉาทิฏฐิคือ ตักกีวีมังสี กับ พวกหลับตาสะกดจิต ไม่ได้เรียนรู้ครบถ้วน

แม้ลืมตาก็ทำ ตักกีวิมังสีโหติ หรือหลับตานั่งก็ทำตักกีวีมีงสีได้ แต่พวกสะกดจิตนั้นเขานั่งหลับตาทำกันเป็นหลัก สมัยอาตมาเป็นฆราวาสก็ไปเรียนกับเขา สะกดจิต แล้วไปรู้ว่า การนั่งสมาธิเป็นการสะกดจิตหรือเปล่า ก็เป็นการสะกดจิตนั่นแหละเป็นพระสูตรแรกที่โบราณาจารย์เรียบเรียงของพระพุทธเจ้าไว้ในพระไตรปิฎก ก็มีพวกสะกดจิตดับจิตกับตักกีวีมังสีนี่แหละ ผู้ที่ค้นพบวิธีออกคือ พระพุทธเจ้า คือไม่ไปมีทิฏฐิแบบ 62 นี้ เราเลิกไม่เป็นแบบที่เขาติดยึด ที่ไปยึดอดีต 18 แบบ อนาคตอีก 44 แบบ

ใน อนาคต 44 มีหลงนิพพานว่าเป็นอนาคตอีก 5 คือหลงในอนาคตระลึกชาติล่วงหน้า ไม่ได้เป็นจริงเลย แต่มีทิฏฐิเห็น แต่ถ้าอดีตนั้นผ่านไปแล้ว แต่อนาคตยังไม่เป็นแต่อยากเป็น แม้ปัจจุบันอีก 5 คนเราอยากได้กามอยากได้นิพพาน แล้วไม่รู้จัก คนเราอยากพ้นกาม แม้กระทบสัมผัสก็ไม่มีกาม ไม่มีรูปราคะ อรูปราคะ

                    

ความไม่มีรสของความสุขทุกข์ คือ อทุกขมสุข

อาการไม่มีรสจะมีลักษณะอย่างไร

ขณะที่ตากระทบรูปก็รู้จักรูป หูกระทบเสียงก็รู้จักเสียง จมูกระทบกลิ่นก็รู้จักกลิ่น ลิ้นกระทบรสก็รู้จักรส กายสัมผัสก็รู้จักกายสัมผัส ปฏิฆสัมผัสโส แปลว่าการที่อุเบกขาที่กลางกลาง ไม่ดูดไม่ผลักเป็นอย่างไร เช่นรูปธรรมคุณเกาผิวหนังที่ไม่มีเชื้อที่จะคัน ที่จะรู้สึกคันหรือรู้สึกเจ็บ คนเกาตรงที่ไม่รู้สึกคัน ถ้าคันคนชอบ แต่ถ้าเจ็บคนไม่ชอบ ถ้าไปเกาถูกตรงที่เจ็บคุณก็ไม่ชอบ ถ้าไปเกาถูกที่มีเชื้อที่จะคันก็ชอบ แต่ถ้าไปเกาถูกที่จะคันจะมันก็ชอบ คุณเกาถูกที่คันคุณอร่อย คุณเกาไม่ถูกที่คันก็เฉยๆ นี่เป็นรูปธรรมที่ยกตัวอย่างมาให้ฟัง

 

สัมผัสเสียดสีผิวกายของคุณส่วนใด  ที่คุณไม่มีสมมติว่าหรือไปยึดว่าถ้าได้แตะตรงนี้แล้วมีรสชาติชื่นใจชอบใจ เช่นคนได้หอมแก้ม ได้เอาจมูกไปแตะแก้ม ก็รู้สึกชื่นใจทั้งทั้งที่มันไม่ได้มีชื่นใจเลย ก็เหมือนเอามือไปสัมผัสแตะต้อง คุณสมมุติเองก็มันได้ชื่นใจ แล้วก็แบ่งว่าเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายก็ชื่นใจ แต่ถ้าได้แตะต้องเด็กๆหรือได้หอมได้ดมคนที่เรานับถือ สัมผัสเสียดสีเราก็ชื่นใจ ที่จริงก็เท่ากับเราเอามือไปแตะมือ เอามือไปแตะผิวหนังตรงไหน เอามือไปแตะโต๊ะก็เหมือนกัน แต่แรงก็เจ็บ แต่พอสมควรก็สัมผัสเสียดสีเฉยๆ เท่านั้นเอง

 แต่พวกซาดิสต์หรือมาโซคิส ถ้าได้กระแทกได้สัมผัสอะไรๆก็จะยิ่งดี ยิ่งมัน พวกที่หลงที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่บันยะบันยัง คนไทยก็จะรู้ว่าไม่ดีไม่สุภาพ ส่วนพวกยุโรปไม่มีขอบเขตอันนี้ก็เลยวิตถารจัดจ้าน แล้วคนไทยก็แอบเอาของยุโรปมาบ้าบอคอแตก

สรุปว่า อาการเกาตรงที่ไม่มีเชื้อคัน หรือเชื้อเจ็บเข้าตรงไหน ตรงนั้นแหละคือสัมผัสที่เป็นอุเบกขา เป็นการรู้สัมผัสเฉยว่าเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรนี่คืออาการ อุเบกขา อทุกขมสุข

 ถ้าเรารู้ว่ามีอะไรกระทบมีความร้อนความเย็นกระทบ ถ้าร้อนเกินหรือเย็นเกินก็ไม่ไหว แต่ถ้าไปสมมุติว่าเย็นเท่านี้ ชอบให้เย็นเท่านี้ไม่ชอบ ร้อนเท่านี้จะชอบร้อนเท่านี้ก็ไม่ชอบ เป็นสัญญายนิจจานิ ไปกำหนดหมาย ยึดเอาของใครของมันทั้งสิ้น นี่คือความโง่คืออวิชชาของคนที่ไปยึดไปตั้งไว้เป็นสัญญายนิจจานิ ไปกำหนดหมาย ว่าเป็นเช่นนี้เช่นนี้ว่าเที่ยงแท้ แต่ถ้าคุณได้เท่านี้ก็ไม่เป็นไรน้อยลงไปได้ยิ่งดี คุณก็จะเจริญ แต่ถ้ายิ่งมากยิ่งดีคุณก็เสื่อมเท่านั้นเอง

แต่รสที่ลิ้นก็เหมือนกัน คุณก็รู้ว่าเปรี้ยวเค็มหวานอย่างนี้ แต่ถ้าไม่ไปสมมุติว่าเปรี้ยวมากกว่านี้ เปรี้ยวน้อยกว่านี้เกินค่าที่มันวัดเป็นมิเตอร์ตามธรรมชาติ แต่คุณจะต้องชอบมากกว่านี้ หรือชอบให้น้อยกว่านี้ ไม่เท่ากับค่ามิเตอร์ที่มันวัด คุณต้องการมากกว่า มันก็ผิดความเป็นจริง แต่ถ้าคุณกำหนดเท่านั้น มันเปรี้ยวเท่านั้นเท่านี้ ก็เอาเท่านี้ เช่นพริกเม็ดนี้มีความเผ็ดเท่านี้ คุณเองไปยึดเท่านี้ ว่าจะต้องได้สัญญายนิจจานินี้เท่านี้ เท่านี้ยังไม่พอ ต้องเผ็ดเท่านี้ คุณก็สร้างจิตของตนให้ทนได้ เช่นคนจีนชอบน้ำร้อน 100 องศาเซลเซียสก็ทนได้ นี่คือพลังงานของจิตทำให้ทนได้เหมือนกับคนที่เรียนรู้พลังงานจิตให้ฟันไม่เข้าได้จริงๆ

ถ้าไม่มีเชื้อจะไปเข้าไปสัมผัสเสียดสี ก็ไม่ชอบไม่ชัง แต่ถ้ามีเชื้ออยู่ มันก็จะเกิดอาการชอบอาการชังมากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้ก็ไม่พอ เช่นลิ้นกระทบรส มันยังไม่นัวไม่พอดี คุณก็จะต้องอยากจะเติมอะไรให้พอดี ที่เราสัญญายนิจจานิ

 ใครจะกำหนดมาตรฐานเท่าใด ถ้ามันมากกว่านี้มันจะเสียเปล่า เป็นพลังงานที่เกิน ถ้าน้อยกว่านี้หน่อยก็พอรับได้ ถ้าน้อยกว่านี้ ก็ไม่เกิดความพอดี เช่นความร้อนน้อยเกินไปการสัมผัสที่เบาไป ไม่เกิดพลังงานที่พอใช้ คนก็จะต้องกำหนดหมายที่พอเหมาะ แล้วกันกระทบทางกาย กระทบทางเสียง กระทบทางลิ้น ก็กำหนดให้พอเหมาะได้อาศัย แต่ต้องศึกษาว่าจริงๆแล้ว เราสามารถทำให้เรารู้สึกเฉยต่อรส รู้สึกเฉยต่อเสียง รู้สึกเฉยต่อลิ้น รู้สึกเฉยต่อการสัมผัสเสียดสีกระแทก สัมผัสเสียดสีได้ขนาดนี้

ถ้ากระแทกแรงขนาดนี้ก็เฉยๆ หนึ่งอวัยวะไม่ร้องไม่เจ็บ สองก็ไม่ชัง ถ้ากระแทกไม่ถึงขีดที่เรายึดไว้ไม่เต็มที่ ก็ไม่พอใจก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสแตะต้อง กระแทกกระทบต่างๆเหมือนกันหมด เป็นระดับเป็นอินทรีย์ เป็นดีกรีของความแรงความเบา ความหนักความเบา เรียกว่าอินทรีย์

 แต่ต้องพิสูจน์ว่า ถ้ามันหมดมันสุดเลย ก็ไม่มีปัญหา บางอย่างเราต้องอาศัยต้องได้กลิ่นเท่านี้ ต้องเดินรสเท่านี้ ต้องได้เสียงเท่านี้ ต้องได้ภาพเท่านี้ ต้องได้รูปเท่านี้บางอย่างก็ต้องอาศัย

เขาบอกว่าต้องเอารูปสวยเท่านี้ เราไม่ต้องเอาสวยขนาดนั้นได้ไหม เอาอย่างรูปธรรมง่ายๆ ต้องรูปใหญ่ขนาดนี้ ต้องกลมขนาดนี้ เราไม่ต้องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องกลมขนาดนี้ก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าไม่กลมขนาดนี้ไม่ได้ก็ว่าไป

อาตมาเขียนสัญลักษณ์ สุญญตาที่อยู่ในธง ก็เขียนจนถึงวงกลมข้างในมันมีวงกลมใหญ่ วงกลมเล็ก ซ้อนจนกระทั่งเกิดสุญญตาซ้อนกัน ไม่รู้กี่วงกลมมีวงเบี้ยวด้วยทั้งเล็กทั้งใหญ่ ถ้าขยายใหญ่ขนาดนี้ ก็ยังกลมอยู่ แต่ถ้าขยายใหญ่กว่านี้ก็จะรู้ว่าเบี้ยวที่มันไม่กลม ยิ่งขยายใหญ่ ก็จะยิ่งเห็นความไม่ได้รูปร่าง ตามที่เรียกว่าวงกลมนี้มากขึ้นและจะมีปุ่มมีปั่มมากขึ้น ถ้าเล็กลงก็จะยิ่งเห็นว่ามันกลมมากขึ้น เพราะฉะนั้นในรูปโลกก็จะมีปุ่มปั่มทั้งนั้นที่มันหมุนรอบตัวเองหมุนรอบจักรวาลนี้ไม่ว่าโลกลูกเล็กลูกใหญ่ก็ตาม แต่ความที่มันหมุนรอบตัวเองเร็ว ทำให้หลอกเราว่ามันกลม

 พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ที่สัมผัส เว้นผัสสะเสียจะไม่มีเวทนาให้ศึกษา ต้องเรียนรู้ที่เวทนาคือ อารมณ์จิตที่จะรู้จักผัสสะ จากสัมผัส ถ้าในใจมีแต่ 2 อายตนะ  มนายตนะกับธัมมายตนะ เอาไว้ศึกษาตอนปลายที่ใกล้จะจบแล้ว ใครที่เข้าใจว่าวิญญาณต้องศึกษาตอนตายแล้วก็จะล่องลอยออกจากร่าง อันนั้นเป็นความคิดที่ผิด เหมือนภิกษุสาติ แต่คำว่าวิญญาณนี้ ต้องเรียนรู้ในขณะที่เป็นเป็น มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้เข้าใจคำว่าวิญญาณผิด เพี้ยนผิดไปว่าวิญญาณล่องลอย

ปฏิบัติให้เป็นภาคมรรควิธีมาก่อน มีการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้จบเป็นฐานเป็นที่ตั้ง วุฏฐานะ คือการออกจากโลกีย์ แต่เขาไปแปลว่า วุฏฐานะ คือออกจากฌาน ออกจากภพ จริงแต่ต้องออกจากกามภพก่อน ต้องล้างกิเลสออกจากกามภพก่อน จากกามาวจรที่มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่เราไม่โคจระกับมันไม่ร่วมไปกับมันได้ อาการเรียกว่าอธิวจนสัมผัสโส จะเรียกชื่ออาการก็ไม่มี ต้องสัมผัสจากนามก่อน จึงเรียกชื่อได้ถ้านามไม่เกิดก็เรียนรู้ไม่ได้ 

แต่ถ้าเรียนรู้แต่ข้างใน มีแต่มโนมยอัตตา จนถึงอรูป ยิ่งเป็นอรูป ยิ่งไม่ได้ตั้งชื่อไว้ ก็ตั้งไว้ในอรูปฌาน 4 ก็ต้องเรียนรู้ตั้งแต่ภายนอก คือ ทวารทั้ง 6 จนคุณอยู่เหนือกามคุณได้ เป็นอนาคามีขั้นสูง ลดรูปราคะ ได้หลายส่วน เหลือแต่อรูปราคะที่ยังฟุ้งอยู่ ถ้าลดได้อีกหมด อรูปหมดไปได้เลยไม่มีมานะ ก็เหลือแต่อุทธัจจะ

อุทธัจจะ ท่านแปลว่ายังไม่อะไรแฝง ไม่บริสุทธิ์ ก็จะเขินเก้อนิดหน่อย เหลือเชื้อเล็กน้อย มาเป็นภาษาไทยว่าอุทธัจจะ กิริยาเก้อเขินที่ออกมากายวาจานิดหน่อย ถ้าอ่านในใจได้ จะรู้ว่ามันมีอาการจิตนิดหน่อย พอหมดอุทธัจ จะหมดลีลาเก้อเขินแล้วก็เหลืออวิชชาสังโยชน์ ก็คือยังยึดฐานความรู้ นั้นก็ทำให้เป็น0 จนไม่เกิดเลย รู้ชัดเจนไม่ใช่เนวสัญญา รู้ให้จริงไม่รู้ไม่มีหมดอวิชชาสวะ หมดอวิชชานุสัยเป็นผู้รู้จบรู้แจ้ง รู้ว่าสิ่งมีคือมีเราต้องอาศัยแค่นี้สิ่งไม่มีก็ไม่มีจริงๆ  จึงเรียกว่าสุญญตา สูญจากอาการที่ไม่ต้องการให้มี ไม่เหลือแม้นิดแม้น้อยเลย เท่าละอองธุลีแค่ไหนที่จะไม่ให้มี ก็ไม่ให้เหลือ คุณอ่านอาการเหล่านี้ได้จริง ก็จะตอบตนเองได้ว่า มีหรือไม่มีเป็นสุดท้าย

ผู้ที่รู้ ความมีความไม่มี ความเกิดความดับ รู้คุณรู้โทษ อันใดเป็นโทษเราไม่ให้มีในตนเลยไม่ว่ากายวาจา แม้ใจก็ไม่เหลือ แม้อนุสัยต้องเข้าใจกิริยาอาการของมัน ที่ละเอียด คุณจบสิ้นตรงนี้ ที่ไม่มีอาการจริงๆ อย่างไม่เนวสัญญาฯ จะรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ไม่ได้ ต้องรู้หมดจบ ไม่เหลือพลังงานไม่ดี เหลือแต่พลังงานดี ทำแต่ดี กุสลสูปสัมปทา เราทำอาการที่ไม่ดีให้หมดสิ้นเลย จะทำงานสังขารกับโลกก็ไม่มีเหตุพาร้ายเลย แม้ธุลีละอองก็ไม่มี เหลือแต่ตัวดี ก็กำหนดตัวดีให้ทำอย่างพอเหมาะ เรียกว่ากัมมัญญตา เรามีพลังงานดี แต่เราใช้แค่นี้ก็พอ แต่พลังงานชั่วไม่มีเลย ก็ประมาณพลังงานดีให้ทำงานตามสัปปุริสธรรม 7 ทำกับคนนี้ ทำกับหมู่นี้ ในกาละนี้ ทำประมาณนี้ ตัวเราก็เท่านี้เราจะทำกับสังคมนี้ก็ประมาณ

อย่างอาตมาประมาณ พาพวกเราออกศึกสนามรบการเมืองมาหลายสนาม ก็ไม่รู้สึกเสียผลอะไร ก็ได้ผลดีเป็นที่ยอมรับกัน แต่คนก็ไม่เชื่อว่าอาตมาทำงานเป็นนักรบพระพุทธเจ้า อย่าเพิ่งว่าอาตมาเป็นเสนาบดีกองทัพพระพุทธเจ้านะ แต่อย่าประมาทนะว่าอาตมาอาจจะใช่ก็ได้

อาตมาก็เลยจะลองพิสูจน์ดูอีกสัก 70 ปี จะรักษาขันธ์ว่าถึง 70 ก็น่าจะพอพิสูจน์ได้จะมีผลงานหรือไม่ อยากเห็นอย่ารีบตายให้มีชีวิตอยู่ให้ดี

 

ไปเรื่องของจุดที่เราสัมผัสแล้วอุเบกขา เป็นจุดฐานนิพพาน 1 สัมผัสแล้วทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ก็เกิดพอดีพอดี ซึ่งไม่เป็นโทษเลยมีแต่คุณ 2 เราก็ทนได้โดยไม่ยากทนได้โดยไม่ลำบาก จึงเรียกว่าไม่ต้องทน จนกระทั่งมันไม่ยากไม่ลำบากเลย เป็นฌาน 1 ไม่ยากไม่ลำบาก ร้อนขนาดนี้ หนักขนาดนี้ ได้สบาย ก็ไม่ต้องมีวิตกวิจาร แต่มีปีติ เป็นอุพเพงคาปีติ ก็ต้องให้ลด เหลือโอกกันติกาปีติ ให้ได้เท่าที่ควรยินดี แค่นี้อาศัยได้ ไม่เกินเลย พาเรามักมาก ต้องให้มักน้อยไว้ ถึงจะดีแล้ว จะเป็นคนที่มีการประมาณ ทุกวันนี้อาตมากระแทกแรง แต่ก็ทนได้ เพราะใส่วัคซีนไปเรื่อย ใส่เชื้อไปเรื่อย แต่ถ้าแรงกว่านี้เขาก็จะทนไม่ได้ เอาอาตมาตายก็ไม่อยากรบกับใคร

ที่ผ่านมาอาตมาพาทำนานาสังวาส แต่เขาก็ทำผิดธรรมวินัย เอาธรรมยุติกับมหานิยายมารวมกันทำสังฆกรรม ผ่านมานี้พิสูจน์กาลเวลามา มีเหตุปัจจัยว่าเป็นธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม เขาเลยไม่กล้ามาตอบโต้ อาตมาเลยเป็นคนช่างว่าช่างตำหนิ ว่าขนาดนี้ยังเฉยอีก

จบ

    

      

      

 

 


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:46:41 )

581217

รายละเอียด

581217_ธรรมาธรรมะสงคราม บ้านราชฯ มายาคติคืออะไร

พ่อครูว่า…วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2558 ขึ้น 7 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแมวันนี้วันโกนน้อย ก่อนจะได้เริ่มต้น บรรยายอะไรก็ขอประชาสัมพันธ์

วันที่ 25 ธันวาคมจะหมดเวลาสมัครสอบ ว.บบบ. ยังเหลืออีก 8 วันเพราะฉะนั้นตอนนี้ก่อนจะสอบ ตอนแรกก็เลยอยากจะเชิญชวนให้มาเข้าสัมมาอาริยมรรค  เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า ครั้งที่ 6 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 18 - อาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม 2558 รับสมัครผู้สนใจเข้าค่ายโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายใดๆ (จะมาเต็มค่ายหรือไม่ก็ได้)

สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือโทร 091-5063130(สิกขมาตุตรงธรรม)คุณชญาดา 087-4437865 คุณปองแสงพุทธ 099-6408898

ดาวโหลดใบสมัครได้ที่ http://www.boonniyom.net/?p=63012 และเฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP

ส่งใบสมัคร online ได้ที่ เฟซบุ๊กกองทัพธรรมFP หรือ อีเมล์ s.pupha@gmail.com

วันนี้วันพฤหัสบดี เด็กนักเรียนก็มาฟังธรรมใส่หมวกไหมพรมกันหลายคนเพราะอากาศเย็น วันนี้ก็จะเอาคำถามที่ส่งมาทางเฟสบุ๊คมาคุยกันเสียก่อน

 

เจ้าแรกของคุณหายโง่เขียนมาถาม            

กราบนัสการพ่อครูที่เคารพ

สมัยเป็นเด็ก ดิฉันเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ พระท่านสอนว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทวดา หลังวันออกพรรษา1วัน จึงมีการตักบาตรเทโว เพื่อระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีจิตรกรรมฝาผนังหลายวัดเสนอภาพจินตนาการเรื่องนี้ ขอความกรุณาพ่อครูโปรดอธิบาย(ที่จริงวันที่10ธันวาคมได้อธิบายเรื่อง ฉกามาพจร แล้ว แต่กรุณาอธิบายความเกี่ยวโยงกับการโปรดพุทธมารดาซึ่งได้ดับขันธ์ไปอุบัติยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์)

กราบขอบพระคุณค่ะ  กราบมาด้วยศรัทราและเคารพอย่างสูง

หายโง่

 

พ่อครูว่า... คำว่าแม่ไม่ใช่ตัวตนบุคคลหรอก ที่เขาว่าคนตายไปแล้ว ก็จะกลายเป็นล่องลอยไปพบกันไปช่วยกันทำอะไรก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ ขอให้หยุดเรื่องที่จะคิดต่อไปในอนาคตนอกตัวเลย พระพุทธเจ้าท่านบริภาษภิกษุสาติ ที่พูดถึงวิญญาณล่องลอยออกไปภายนอก ท่านพูดถึงขนาดว่า เธอจะขุดตถาคตหรือ การไปหาว่าพระพุทธเจ้าสอนแบบนั้นที่บอกว่าวิญญาณตายไปแล้ว จะล่องลอยอยู่ที่ไหนในนรกสวรรค์

วิญญาณของใครก็ตาม ถ้าตายลงไป วิญญาณก็จะไปตามวิบาก ก็จะไม่พบกับใครแล้ว ใครมาพบไม่ได้ ไปนรกก็นรกของตน ไปสวรรค์ก็สวรรค์ของตน ผู้ที่มีนิพพานแล้วก็ไปสู่ที่อาศัยของตน จะไม่เกี่ยวกับใคร ไม่รู้ไม่เห็นกับใคร

แต่คนที่ยังอวิชชา สมมุติว่าไปนรกตกหนักๆ ผู้ที่อวิชชาก็จะเห็นเป็นตัวเป็นตนตามที่เขาติดยึด เป็นอย่างนี้ก็เที่ยงอย่างนี้ เขาก็จะเป็นอย่างนั้น เขาก็จะมีภาพเช่นนั้นมีแดนนรกเช่นนั้น เหมือนในฝัน เหมือนตอนที่เราฝันก็เหมือนเป็นจริงๆ แต่ตายแล้วเป็นจริงยิ่งกว่าตอนฝัน เพราะจิตจะตกอยู่ในสภาวะนี้ ฝันที่ว่าเป็นเรื่องจริงกว่า แต่เป็นเพราะตนอุปาทานไว้ เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มีนรกอย่างไรมีกระทะทองแดง เขาก็มีจริงๆ ทุกข์จริง ทรมานจริงๆ แล้วจะมีวิบากตกอีกกี่ร้อยกัปร้อยกัลป์ก็ตกจริงๆ นรกมีจริง แต่สิ่งที่ลึกซึ้งคือว่า มันมีด้วยจิต ที่เป็นจริงๆตามอุปทานด้วยอวิชชานั้น

เหมือนคนทุกวันนี้ จิตของคุณอวิชชาคุณสนุกคุณเอร็ดอร่อย มันก็โกหกทั้งนั้น มันเป็นเท็จ สุขขัลลิกะ มันไม่จริง แต่คุณอร่อยจริงๆ แล้วก็ล้างมันออกยาก จะเป็นจะตายมันง่ายที่ไหน มันจริงๆด้วยความยึดถือด้วยอวิชชา จะบอกว่ามีจริงไหม ก็มีจริงแต่จริงๆแล้วมันอนัตตา เมื่อปฏิบัติลดละล้างออกไปมันก็ไม่มี แต่คนที่ยังไม่พ้นยังไม่หลุดพ้น ยังไม่เป็นอรหัตตผลสมบูรณ์ จะมีอยู่ทั้งสิ้น แม้แต่เป็นอนาคามีก็เหลือ รูปภพ อรูปภพ

คำโกหกและคนโกหกมีอยู่จริงไหม ก็มีจริงๆเต็มบ้านเต็มเมือง ขนาดเป็นพระเป็นเจ้ายังโกหกเลย

แล้วที่บอกว่าพระพุทธเจ้าไปโปรดแม่ เพราะไม่เข้าใจคำว่าแม่ ที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างสัมมาทิฏฐิ คำว่าแม่คือมาตา ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 7 ส่วนปิตาข้อที่ 8 และสัตตาโอปปาติกา ข้อที่ 9 เมื่อไม่เข้าใจแม่ที่เป็นนามธรรม เป็นสภาวธรรมก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ศีลคือแม่ ปัญญาคือพ่อ ทำให้เกิดโอปปาติกจิต เกิดมีอธิศีลอธิจิตอธิปัญญา เกิดเป็นโอปปาติกะโยนิ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ ดังนั้นแม่และพ่อคือ พระพุทธเจ้า

พ่อคือพระพุทธเจ้า แม่คือคนอื่นทุกคน ที่จะช่วยทำให้เกิดจิตวิญญาณได้ เช่น ท่านตรัสว่าพระสารีบุตร พระโมคคัลลาเป็นแม่ พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ ช่วยการอบรมสั่งสอนบริหารปกครองพระต่างๆ พระพุทธเจ้าปวารณาเข้าพรรษาอยู่ 3 เดือน ท่านจะไปไหนก็ต้องอยู่กับพระที่อธิษฐานพรรษาด้วยกัน

ให้รู้จักเทวดามารพรหมคือ แบบปรมัตถ์ เป็นจิตเจตสิก เป็นเทวดาอย่างไร ก็รู้จักเป็นอภิธรรม เป็นพรหมก็รู้จัก จิตวิญญาณที่เป็นมารคือจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์นรก ส่วนจิตวิญญาณที่เป็นเทวดา ถ้าเป็นปรมัตถธรรม เป็นโลกุตระเป็นอาริยธรรมก็เป็นอุบัติเทพ  เกิดเกิดเทวดาอย่างโลกุตระ

แต่ถ้าคนที่เป็นปุถุชน ก็จะเป็นสมมุติเทพ มีสุขขึ้นสวรรค์และตกนรกวนเวียนกันไปอย่างนี้ ตกนรกเป็นผีเป็นเปรต เมื่อไม่ได้เสพพอได้เสร็จก็เป็นเทวดา สมมุติขึ้นสวรรค์

ส่วนเทวดาอุบัติเทพก็คือทำให้สัตว์นรกลดลง จิตก็จะอุบัติเกิดเป็นเทวดา ที่เป็นอุบัติเทพ

ดาวดึงส์ก็คือ อาการที่ 33 เป็นอาการที่ปุถุชน หลงเป็นสุข เป็นกามาวจร  หลงวนเวียนสุขทุกข์เป็นสมมติเทพ การลงมาจากดาวดึงส์ก็คือออกจากดาวดึงส์ ก็คือทำจิตให้สูงขึ้นก็คือมาเปิดเผย คนที่แจ้งเอง เป็นคนเปิดเผย สอนให้คนอื่นรู้แจ้งตาม ก็คือเปิดเผยให้คนอื่น เห็นความเป็นมาร เห็นความเป็นเทวดา เห็นความเป็นพรหมของตน ผู้ใดสัมมาทิฏฐินำไปปฏิบัติก็เห็นสัตว์นรกของตน เห็นเทวดา เห็นพรหมของตนเอง จนเป็นเทวดาวิสุทธิเทพ เป็นพระพรหม แต่ก็ไม่ยึดเอามา เป็นของตัวเป็นของตน ก็จะมีอนัตตา ถ้ายึดอยู่ก็เป็นอัตตา ผู้ที่ฝึกหัดวางมาตั้งแต่ต้น  ก็จะวางในตอนปลายได้

พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระสารีบุตรพระโมคคัลลาเป็นแม่ แล้วสอนบรรดาพระภิกษุทั้งหลายนั่นคือ การโปรดมารดา ก็คือภิกษุทั้งหลายที่จะสืบทอดศาสนาไปออกลูกหรือไปสร้างลูก ที่เป็นอาริยบุคคลต่อไป ท่านก็เรียนรู้ธรรมะอยู่กับพระพุทธเจ้า 3 เดือน ท่านทั้งหลายก็บรรลุธรรม เป็นแม่กันเป็นแถว แล้วก็ไปสืบทอดศาสนาออกลูกเป็นโอปปาติกะต่อไป เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดต่อไปมีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ

เมื่อท่านโปรดมารดาที่ดาวดึงส์ พระสารีบุตรก็แอบฟัง อยู่ที่เชิงเขาพระสุเมรุ ก็ได้ยินตลอด ก็รับทราบได้ธรรม เป็นนามธรรม คือผู้ที่เอาสาระได้เก็บสาระได้ คือสารีบุตร มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง แอบฟั แล้วทำไมไม่ไปฟังที่ยอดเขา ก็เคยอยู่ที่นั่น จะว่าอยากฟังก็เป็นนัยยะสำคัญลึกซึ้ง

สรุปแล้วเทวดาก็คือ จิตวิญญาณพระพุทธเจ้า โปรดก็ไม่ใช่ผิดธรรมวินัย พระพุทธเจ้าอธิษฐานพรรษาอยู่ในนั้น ถ้าจะไปก็ต้องสัตตาหะไป แต่ท่านจะไปถึง 3 เดือนได้อย่างไร คนที่พาซื่อเห็นเป็นเทวดาลอยมาแล้วมาทักทายกัน บอกว่าพิภพเทวดา มีเทวดาจากเยอรมัน อาตมาก็เคยพบที่มหาบัวเขียนเอาไว้ว่า ได้พบเทวดาเป็นตัวเป็นตน แล้วก็สอนเทวดามีเทวดาต่างชาติด้วย ซึ่งยังเข้าใจปรมัตถธรรมที่แท้จริงไม่ได้ ยังมีตัวมีตนเป็นรูปเป็นร่าง

จะเข้าใจว่าเทวดานั้นเห็นด้วยจิตวิญญาณนั้น เห็นด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส  เห็นอาการที่แตกต่างกันคือลิงค  กำหนดรู้ด้วยนิมิต 

ท่านไปที่ดาวดึงส์ก็หมายความว่า มารดาของพระพุทธเจ้าก็ไปพักอยู่ที่ดาวดึงส์ ส่วนการพักนี้ก็คือดุสิต ไม่ใช่ดาวดึงส์ ที่บอกว่าไปโปรดพระมารดาอยู่ที่ดาวดึงส์ก็ไม่ใช่แล้ว ถ้าบอกว่าไปโปรดเทวดาที่ดาวดึงส์ก็ได้ ส่วนดุสิตคือที่พัก เป็นจิตพักจิตสงบ ในสัจจะต่างๆถึงยากยิ่ง ในมหายานยิ่งมีตั้งชื่อนรกอีกมาก สวรรค์อีกมากยากที่จะดึงกลับมาสู่ปรมัตถธรรม ยุคนี้เป็นยุคปลายภัทรกัปป์ที่อาตมาจะเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสืบทอดแล้วก็จะสิ้นศาสนาของพระสมณโคดมนี้อีก 2000 กว่าปีข้างหน้า

 

จาก Face book ของคนที่ติดตามฟังธรรมพ่อครูอยู่ที่ USA

Wasana Na Ubol

คำว่า"มายาคติ" จากหนังสือนวนิยาย "ไส้เดือนตาบอด ในเขาวงกต" ....

โยมเคยฟังพ่อท่านเทศน์ "มายาคติ"ไว้ ซึ่งได้อธิบายลึกละเอียดกว่าใครๆ

ตอนนี้อยากทบทวนอีก แต่ค้นหาไม่เจอ ขอความอนุเคราะห์พ่อครูด้วย ขอบคุณค่ะ/

ค้นจากเน็ตต่อได้ว่า..

ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ( ผู้แต่ง วีรพร นิติประภา ) คือ งานนวนิยายที่เหมือนกับโปรยบอกเลยว่าเป็นเรื่องราวที่น้ำเน่าเรื่องหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้เราย้อนกลับไปคิดก็คือ เมื่อหลายปีก่อน เราใช้เวลากับรายละเอียดความสวยงามอย่างเนิ่นนาน เรื่อยเฉื่อย เราใช้เวลากับเรื่องง่ายๆ อย่างเนิ่นนาน เราพูดในเรื่องที่ดูไม่เป็นสาระได้อย่างเป็นสาระ เราให้ความสำคัญกับเรื่องง่าย จนมองเห็นมิติว่ามันมีความซับซ้อนจนดูเป็นเรื่องยาก จนกระทั่งมาจนถึงวันนี้ เราใช้ชีวิตทุกอย่างในความเร็วที่ฉาบฉวย เราพูดอะไรไม่ได้ทุกเรื่อง เรามีบางสิ่งที่โดนห้ามแม้กระทั้งการคิด เรามีหัวข้อสนทนาที่ห้ามพูด โลกของเราเปลี่ยนไปเช่นนั้น

วันที่ 22 ตุลาคม 2558 เวลา 14.10 น. คณะกรรมการการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน(ซีไรต์) ประจำปี 2558 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ นวนิยายเรื่อง ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ของ วีรพร นิติประภา ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทยประจำปี 2558

      

 ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ของ วีรพร นิติประภา สะท้อนภาพความล้มเหลวของการบริหารจัดการชีวิตในสังคม เสพติดศิลป์ของคนหนุ่มสาวยุคใหม่ แสดงให้เห็นผลกระทบของการเผชิญหน้าระหว่างมายาคติกับอุดมคติของสถาบันครอบครัวไทย ในขณะเดียวกันก็รุ่มรวยไปด้วยการหยั่งถึงความงามอันบรรเจิดของศิลปะหลากหลายแขนง รวมทั้งความงดงามของธรรมชาติ

      

       ผู้เขียนนำเสนอเรื่องนี้ผ่านสุนทรียภาพทางภาษา แสดงภาพตราตรึงใจโดดเด่น มีภาวะกระทบทางอารมณ์สูงยิ่ง สามารถสรรค์สร้างคำและประโยคที่เป็นอัตลักษณ์ได้ดี

      

       นวนิยายเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ด้านกลับ สำหรับคนรุ่นใหม่เพื่อการหลุดพ้นจากความบอดใบ้ทางปัญญาและการไร้ศรัทธายึดเหนี่ยวในวิถีชีวิต ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ของ วีรพร นิติประภา จึงสมควรได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี 2558

 

 อาตมาตอนเป็นฆราวาสใครเขียนนวนิยายเรื่อง หัวใจเปลือย ชื่อมีศิลปินที่เขาวาดภาพของภรรยาเขา ด้วยตนเองโดยการกระโดดลงน้ำ และให้แฟนตัวเองเขียน แต่เขาหาว่าเป็นเรื่องลามกอนาจาร ซึ่งแท้จริงมันเป็นเรื่องของ ความบริสุทธิ์ที่สุด ก็มีผลต่อการเขียนเพื่อให้เห็นว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะมองกันตื้นๆ จากใจจริง ศิลปะนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้งข้ามขั้นไปกว่า แต่คนเขาก็ไม่เข้าใจ อาตมาก็ไม่เก่งที่จะสื่อภาษาให้ผ่านพ้นข้ามคำว่ากามไป เกินกว่าเขาจะเห็นความเป็นจริง เขาก็ด่ามา

มีอีกเรื่องหนึ่งมีคนขายน้ำเต้าหู้ แล้วก็ไม่รู้จะใส่อะไรถึงจะขายได้ ก็คิดได้ว่าน่าจะเอากระป๋องนมมาเจาะขาย ก็ขายได้ดี มีพลความตั้งแต่ต้นว่าทำมาหากินค้าขาย ต่อสู้ชีวิตพ่ายแพ้ ก็เลยมาเจอจุดขายที่พาให้ชีวิตรอดคือ เป็นคนยากจนที่จะดิ้นรนให้ชีวิตอยู่รอด  มีเขียนอีกหลายเรื่อง มากมาย

คำว่า “มายาคติ” คืออะไร คำว่ามายาก็คือ มารยาคือ ความหลอกช่อน ซึ่งคนที่แสดงมารยา ก็แสดงพยายามจะใช้ปัญญาของตนเองที่ซับซ้อน ไม่ให้คนจับได้ว่าเป็นเรื่องหลอกให้คนอื่นเขาหลง หลงรักเรา หลงคารมของเรา หลงเชื่อถือเรา เราต้องการอะไรจากคนนั้น ก็หาทางฉลาดหลอกคนอื่นให้หลง จนคนนั้นเขาต้องเอาสิ่งที่เราอยากได้มาประเคนให้ อยากได้เงิน อยากได้ทอง ก็สร้างสัจจะหลอก อยากได้อะไรอย่างอื่นก็ตาม อาจจะหลอกกันหลายชั้น ถ้าเก่งนี่ก็หลอกอย่างเดียวก็ได้ผลเลยให้ได้สิ่งที่ต้องการทันทีเลย

ตั้งแต่นิดน้อย จนกระทั่งซับซ้อนนี่แหละคือ คนที่ลงสร้างมายา พูดที่ไม่เข้าใจว่าตนเองสร้างมายาคือคนตกอยู่ในมายาคติทั้งหมด  ก็มีคนไม่เข้าใจเรียกว่าเทวบุตรมาร ก็หลอกตนก็หลอกคนอื่น โดยตนไม่รู้ว่าหลอก ตนจริงใจหลอกผู้อื่น หลอกอย่างสนิท เพราะตนเองก็ถูกหลอก ตนเองก็หลอกตนเอง ก็นึกว่าเป็นจริงอย่างที่ตนเองสร้างเรื่องราวเป็นภพเป็นชาติ ไปให้คนอื่นแสดงให้คนอื่น เช่นศิลปินนักวาด

สิ่งที่ตนเองก็ไม่รู้ต้นเองก็หลงว่าเป็นอุตมะ หรืออุดมจะพาไปสู่อุดมคติ ไปสู่ที่สูงขั้นอุดม ขั้นนิพพานขั้นอรหันต์  แต่คุณเองยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณสร้างมา จะเป็นภาพเป็นรูป เป็นความซับซ้อนด้วยเทคนิคลีลา การเขียนเส้นแสงสีสาย หรือเหตุปัจจัยอื่นเป็นก้อนเป็นแท่งมีอุปกรณ์ต่างๆ ประกอบเป็นภาพ แล้วก็ติดอยู่ที่เทคนิคของการประกอบภาพสื่อออกมา แล้วก็จินตนาการว่า ดีไม่ดีเจ้าตัวเองยังไม่รู้จะให้สาระอะไร ส่วนมากก็บำเรอความหลงของตนเอง ที่เขาว่าตนเองเป็นศิลปิน ก็ปั้นภพชาติไปตามตนเองจินตนาการ เหมือนธัมมชโยที่ปั้นภพชาติมีนรกมีสวรรค์ไม่รู้กี่ชั้นก็หลอกให้คนอื่นเอาอะไรมาให้

 โดยคนอื่นมาสัมผัสแล้วคล้อยตามสิ่งที่เสนอออกมาทั้งหลาย คือมายาคติซ่อนอยู่ในความหมายว่าอุดมคติด้วยตัวเองก็ไม่รู้ตัวอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งซับซ้อนลึกซึ้ง คนที่จะมาเสนอสิ่งที่ลึกซึ้งนั้น จะเอาสิ่งลึกซึ้งมาให้ตื่น แต่นี่เอาความตื้นหลอกซ้อนมาเป็นความลึกคือ มายาคติ

ทุกวันนี้อาตมาพยายามสื่อให้มันดูง่าย นัจจะคีตะวาทิตะ เป็นรูปธรรมให้เข้าใจได้ไม่ซับซ้อน ซึ่งทุกวันนี้ศิลปินก็พยายามที่จะมีอัตลักษณ์ของตนเอง บางคนก็เป็นสีเป็นเส้นให้ไม่เหมือนใคร คนอื่นดูแล้วก็ไม่เข้าใจตนเองก็เลยนำไปได้ มีบริวารก็หลอกขายสีหลอกขายกระดาษกันเต็มโลก เป็นเรื่องของมายาคติ แล้วบอกว่ามันลึกซึ้งมันให้อะไร

 ขอยกตัวอย่าง แวนโก๊ะ มีภาพเก้าอี้ตัวหนึ่งที่เขาเขียน ขายเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นล้าน แวนโก๊ะเองก็ไม่เคยอธิบายว่าหมายถึงอะไร พอเขียนแล้วเขาก็ตายไปภาพของเขาไม่ได้ดังนะ เขียนแล้วก็ตายก่อน คนก็มาสร้างมาโปรโมทปลุกแวนโก๊ะขึ้นมาดัง เขามีเทคนิคที่เรียกว่า ที เป็นวิธีการของเขาใช้สีเส้นใช้ลีลาลักษณะของเขา อย่างปิกัสโซ่ก็เป็นลักษณะคิวบิคซึ่ม เป็นรูปบิดเบี้ยวไปเอามาต่อกัน เป็นเชิงเรขาคณิตสามเหลี่ยมสี่เหลี่ยมรูปกลมรูปโค้งเบี้ยวไปหมด คนที่ตกอยู่ในการสะกดจิตก็ลงมายาคติทุกวันนี้เยอะเลย มันมีจุดหมายอะไรบ้างมุ่งจะให้คนมารู้อะไรที่จริง อภิธรรมขั้นสูง abstract ที่รู้ยากเป็นนามธรรม เป็นเรื่องลึกซึ้งๆเขาก็หมายถึงเรื่องที่ไร้รูป

ถ้าเป็นขั้นอภิธรรมอย่างว่า สัมผัสแล้วก็เกิดรู้ว่าโลกโลกีย์เป็นอย่างนี้ ให้น่าเบื่อหน่าย ต้องเลิกต้องลดละมาหาโลกุตระ นั่นแหละคือศิลปะโลกุตระ อย่างคุณเขียนภาพเปลือย เมื่อคนมาดูแล้วกิเลสลดนี่แหละคือศิลปะขั้นโลกุตระ แต่ถ้าเขียนรูปนู้ดแล้วคนดูก็กามขึ้นราคะก็ขึ้น นั่นคือภาพลามกเป็นภาพอนาจาร ไม่ใช่งานศิลปะ ไม่ได้เป็นมงคลอันอุดม แต่เป็นข้าศึกแก่กุศล ทำให้อกุศลจิตเกิด

ที่สุดแล้วต้นเองยังโง่หลอกตัวเองว่าใช่ ทั้งทั้งที่ไม่ใช่โลกุตระไม่ใช่อุดมคติอะไรเล ยนำไปสู่อุดมสู่อุตมะ ที่ออกจากโลกีย์ไม่ใช่เลย

อาตมาก็เรียนด้านเขียนภาพมา ออกแบบสัญลักษณ์มูลนิธิธรรมสันติ มีสี่เหลี่ยม มีเหลี่ยม มนกับแหลม แทนที่เจโตกับปัญญา ก็อธิบายได้ มีตรากองทัพธรรมอีก มีโค้งกับกลมในสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็อธิบายนัยเดียวกัน ก็เป็นงานออกแบบเสียส่วนใหญ่ ตอนนี้งานเขียนภาพไม่ได้เขียนเลย

อาตมาเขียนภาพไว้มีคนเก็บมาได้มีภาพเดียวชื่อ ฤาจะสิ้นโลกแล้วหรือ? มีคนเก็บได้จากปกหนังสือ ก็ให้ไม้ร่ม เขาก็สแกนไว้ เป็นภาพที่สีใกล้จะเน่าแล้ว 

คนทุกวันนี้เหมือนไส้เดือนตาบอดได้เดินอยู่ในเขาวงกตจริงๆ ไม่รู้จักมายาคติที่ซับซ้อน ถึงงานที่สื่อออกมาสู่สังคมทุกวันนี้ ตนเองก็ไม่รู้ว่าตนเองหลงเขาวงกตนี้ ว่าเป็นแดนนิพพานจนไม่รู้ว่าทางออกจริงคืออะไร แต่ไปหลอกคนอื่นว่านี่คือทางไปนิพพาน เหมือนกับธัมมชโย ขออภัยต้องลงที่นี้ทุกที แล้วมันจริงๆด้วย ขออภัยทักษิณก็เช่นกัน คนก็หลงมายาคติของทักษิณในทางโลกีย์ ส่วนธัมมชโยใช้แนวทางด้านธรรม ะมาซ้อนหลอกเข้าไปอีก เป็นมายาคติที่เลวร้ายหนักที่สุด แล้วหลอกว่าเป็นอุดมคติ คนก็ตกอยู่ในฐานะที่เป็นไส้เดือนที่ตาบอด ที่จริงไส้เดือนก็ไม่มีตา อีกด้านใส่ตาเข้าไปก็คือความหลอกมันไม่มีตา 

ก็ใช้ลีลาในการเขียนวันที่พระพุทธเจ้าว่า คนจะไม่ฟังธรรมะโลกุตระ ก็ไปหลงคำที่ไพเราะของคนรุ่นใหม่ แต่คำที่ไม่ไพเราะแต่เป็นคำที่บาดหูคือ การตำหนิคำที่ไม่ไพเราะ บาดหูคือคำตำหนิ แต่ถ้าคำปลอบประโลมคำที่ใช้อาบน้ำผึ้งน้ำอ้อย ฉาบเกสรดอกไม้ ที่เขาเรียกว่ากามเทพ ฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ ฆ่ากันด้วยหยาดน้ำผึ้ง เขาฆ่ากันอย่างนั้นจริง แต่เขาไม่รู้ว่าเขาฆ่ากันด้วยเกสรดอกไม้ ด้วยหยาดน้ำผึ้ง เขาไม่รู้ตนเอง เป็นคนสร้างยังไม่รู้นึกว่าของเราหวานดีมากหอมมาก ตนผู้สร้างก็ไม่รู้ ว่าตนเองคือจอมมายา

 

มีนักเรียนถามมาว่า การเรียนสูงสูง เป็นผลดีกับตัวเราไหม?

ตอบว่า ดีถ้าเรารู้ว่าเราเรียนเพื่ออะไร หลวงปู่จะบอกให้ถ้าเราจะเรียนไปเพื่อให้ได้ความรู้สามารถเอาไปหลอกเขาเอาเปรียบเขา ถ้าอย่างนั้นอย่าไปเรียน มาทำนากับหลวงปู่ก็พอ รับรองว่าอยู่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะยิ่งหลอกซ้อน ตนเองก็ไม่รู้ว่าหรอก เขานรกซ้อนนรก หลวงปู่ให้เรียนถ้ามั่นใจว่าเรียนแล้วจะเอามาใช้ประโยชน์ได้รับใช้มนุษยชาติอย่างแท้จริง อย่างนี้ก็จะส่งเสริม

นักเรียนของเราเราสอน ตอนนี้ก็มีถึงปวส. สอนแล้วก็ไม่คิดว่าจะต้องมาตอบแทนที่นี่ แต่ให้เป็นคนดีในสังคม ไม่ไปทำอะไรเลวร้ายเสียหาย ออกไปก็ได้รับการตอบรับดี ไปทำงาน ไปเรียนต่อที่ไหน ก็เป็นที่ชอบใจ ก็ดูจากของจริงจากปรากฏการณ์จริงก็ได้ ได้ทั้งความพากเพียร ความขยันทำงานเป็น ได้ทั้งศีลธรรมส่วนความรู้ ก็ไปเรียนกับเขาได้ มีปริญญาโท ปริญญาเอก คนข้างนอกเขาเรียนจบปริญญาแล้วไปรับใช้นายทุนกับผู้มีอำนาจ ถ้าอยากไปมียศศักดิ์ ก็ไปรับใช้ผู้มีอำนาจ จนตนเองไปเป็นผู้มีอำนาจ ก็หาผู้มีมาช่วยต่อในทางธุรกิจ ก็ไปรับใช้นายทุน แล้วก็เป็นนายทุนต่อ

พวกเราก็พยายามให้คนมีปัญญา ถ้าจะเรียนก็เรียนได้ แต่ให้มีต้นทุนทางจิตวิญญาณ มีโลกุตระ เราก็ส่งต่อ จะได้มาช่วยกันอีก หรือไม่มาช่วยก็ไม่ว่า แม่เราก็ยังฝืดแต่ก็ไม่ถึงกับแดดร้อนจนเกินไป

 จะเป็นผลดีต่อเราไหม ก็เป็นคนดีแล้วแต่ว่าเรามุ่งหมายอะไร ถ้าเราจะไปล่าลาภยศสรรเสริญ มีคู่แข่งมาก บอกให้รู้เลยเด็กๆทั้งหลาย เชื่อไหมว่ามีคู่แข่งเยอะ เพราะฉะนั้นมาสร้างตนเองให้มาทางนี้ดีกว่า คู่แข่งน้อย ที่นี่ไม่แข่งกันหรอก มีแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

_ถามว่าเรียนอย่างไร จะให้เรียนข้ามรุ่นได้เช่นใดเป็น ม. 2 ม. 3 เลย

ตอบว่า...จะตะกละไป โลภมากไป เห็นแก่ได้มากไป เห็นแก่ตัวมากไป ให้เรียนให้แน่น เรียนไปตามลำดับ ถ้าเราเก่งจริงๆสมควรจริง ครูบาอาจารย์เขารู้ว่าเสียเวลาก็จะให้ข้ามชั้นเอง ถามว่าเรียนอย่างไรก็ตั้งใจเรียนให้ดี เอาใจใส่ในการเรียน ผู้ใหญ่คอยดูแลอยู่ ให้ทำตามที่นี่ไปเถอะ คนไหนมากไปก็รู้จักจัดสรรเฉพาะบุคคล คนไหนน้อยไปก็ต้องเร่งรัด ใช้สัปปุริสธรรม 7

อย่าไปอยาก อย่าไปเอาล้ำหน้าเขา อย่าไปคิด พระพุทธเจ้าท่านส่งเสริมหรือสรรเสริญคนที่เรียนไปตามลำดับ อย่างละเอียดลออ ท่านเรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แล้วจะสวยงามไปได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรที่จะเร็วที่สุดและสั้นที่สุดเท่าเส้นตรง เส้นตรงที่ตรงที่สุด นั่นแหละคือสั้นที่สุด และเร็วที่สุดจะถึงเร็วที่สุด

 มาต่อช่วงสุดท้ายด้วยพรหมชาลสูตร

ในพรหมชาลสูตร เป็นสูตรแรกของพระสูตรเลยบอกว่าศาสนาพุทธต้องมีศีลและปัญญาเป็นหลักเป็นธรรมะสอง คือแม่และพ่อ พระพุทธเจ้าก็ขึ้นต้นด้วยศีลก่อน แล้วก็ต่อด้วยทิฏฐิ จนจบ จะเรียกว่าปัญญา ปัญญาพละ คือทิฏฐิ เป็นตัวรวมทั้งหมด

ทิฏฐิ เหมือน protoplasm รายละเอียดทั้งหมดเหมือน cytoplasm เป็นองค์รวมครอบคลุมทั้งหมด สรุปต้องเรียนรู้ทั้งศีลและปัญญา คือแม่และพ่อ

ถ้ามิจฉาทิฏฐิแต่ต้น จิตไม่มีทางออกจากข่ายไม่มีทางหลุดพ้น เพราะ ศีลคือแม่และปัญญาคือพ่อ จะไม่พาเกิดลูกที่เป็นโลกุตระเลย เพราะเป็นมิจฉาทิฐิ

ทิฏฐิที่คุณไปติดไปยึดมี 62 แบบ นี่คือสูตรแรกต้องรู้ แม่ และพ่อ อย่างสัมมาทิฏฐิ ในเนื้อหาบอกไว้ว่าเขาปฏิบัติผิด  หากทิฏฐิไม่สัมมาตั้งแต่ต้นปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่ถึงนิพพาน ขอสรุปได้ว่าทุกวันนี้ปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิกันส่วนมาก

 เริ่มต้นก็บอกเรื่องศีล เป็นหลักตายตัวคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล โดยเฉพาะมหาศีลเป็นศีลที่ประกาศความเป็นพุทธเต็ม ถ้านอกไปจากไม่อยู่ในกรอบของมหาศีลนี้ ละเมิดออกไปก็เป็นเดรัจฉานกถา เป็นเดรัจฉานวิชา เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธก็เลยเต็มไปด้วย ผิดมหาศีลนั่นแหละเต็มไปหมด มีแต่เดรัจฉานกถา คือคำสอนที่ไม่พาไปนิพพาน มันขวางทางไปนิพพาน ปิดทางไปนิพพาน

โดยเฉพาะธรรมะทุกวันนี้กลายเป็นมนตรยานไปหมด ได้แต่สวดๆๆ ก็ยังดีที่เอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวด แต่ก็ได้แค่สวด โดยไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ได้อะไรจากการสวด นอกจากไม่ได้แล้วยังเอาการสวดไปสร้างลาภยศสรรเสริญใส่ตนเองอีก ซึ่งพระพุทธเจ้าก็กันเอาไว้ ว่าอย่าเอาธรรมบทสวดพร้อมกันสองคนให้ฆราวาสเขาฟัง ถ้าจะสวดเพื่อสังคีติ คือสวดท่องจำเอาไว้ สวดมนต์หมู่ร้อยคนก็ตาม แต่สวดให้อยู่ในหมู่ที่จะรักษาคำสอนก็คือภิกษุให้ท่องไว้ อย่างหมู่ที่จะสวดพระวินัย ก็สวดพระวินัยกับพระอุบาลี เพราะสวดกันเป็นหมู่ก็จะจำได้ง่าย ส่วนทางด้านพระสูตรก็ไปหาพระอานนท์ก็จะท่องไว้ บทสวดกันอยู่ในหมู่ของสมณะเท่านั้นจะเป็นสวดกับฆราวาส ตั้งแต่ 2 รูปขึ้นไป อาบัติพระวินัย

การสวดนั้นมี 2 อย่างคือ สังคีติ กับ สังคายนา

สังคายนาคือ การตรวจสอบเช่นตรวจสอบพระธรรมบท ก็สวดขึ้น 1 คน แล้วมีผู้รู้ที่มานั่งฟังอันไหนผิดก็แค่ก็ท้วงกันเรียกว่าการสังคายนา เอาคนที่จำได้มาวิเคราะห์วิจัยกัน หรือแม้แต่การเอาผู้รู้มาเรียบเรียงจัดการหมวดหมู่ หรือแก้ไขอย่างเช่นพระกัสสปะมาเรียบเรียงตอนแรกก็เลยเป็นพระไตรปิฎกฉบับที่ถือกันมา คือการปรับแก้ตรวจสอบต้องเอาผู้รู้มาจริงๆ

 เนื้อหาก็คือ พระพุทธเจ้าท่านว่าพวกมิจฉาทิฐิ ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบคือ แบบเจโตสมาธิ นั่งหลับตากับแบบ ตักกีวีมังสี  คือพวกเอาแต่ความคิด ตรรกะไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง

ซึ่งปัญญาคือ การเห็นรูปธรรม นามธรรม แยกรูปธรรมแยกนามธรรมแยกกาย

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสภาวะธรรม หรือปัญญา หรือญาน ของผู้รู้ มีตัวรู้ไปสัมผัสรูปนั้นคือ สิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่หยาบเป็นมหาภูตรูป 4 จนกระทั่งเลื่อนเข้ามาข้างใน ถึงจิตเป็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม

ปัญญาคือ การรู้ความจริงตามความเป็นจริง เห็นรูปใดๆก็คือรูปนั้นๆ ตามที่คนอื่นก็เห็นเหมือนกัน แต่กลับไปมี สิ่งที่แปลกปลอม ว่าชอบอย่างนี้ ไม่ชอบอย่างนี้ เช่น หวานอย่างนี้ ชอบเปรี้ยวอย่างนี้ชอบ ทั้งที่จะว่าหวานจะเปรี้ยวจะขม คนก็รู้รสเช่นนี้เหมือนกัน  เช่น คนกินโอยั๊วะ คนไม่ชอบขมก็บอกว่าไม่ชอบ แต่บางคนก็บอกว่าชอบ บางคนก็ชอบขมน้อยหน่อย ซึ่งมันเป็นมายา เป็นสิ่งไม่เป็นจริง แล้วไปหลงสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นปัญญาแท้จริง ปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริง ของที่ทุกคนรู้ร่วมกันหมด หรือคนส่วนใหญ่เป็นสมมติสัจจะ

เพราะฉะนั้น สัจจะที่รู้ร่วมกันได้หมด เป็นสัจจะที่เป็นความจริงตามความเป็นจริง แต่ถ้าไปเอามันขึ้นมาสมมุติขึ้นมา คุณปั้นภพชาติ ใครจะไปรับรองกับคุณ แต่ถ้าสัมผัสข้างนอกร่วมกันหมดเลย หรือไม่เรียนรู้ศึกษาลึกซึ้งแล้ว สามารถรู้อาการอารมณ์ของความจริงตามความเป็นจริงของกามภพ ที่รู้เข้าไปข้างในไปปรุงแต่งเป็นเวทนาเป็นเชิงกาม ก็คือรสที่ไม่เป็นความจริงตามความเป็นจริงๆ

ใครที่รู้ความจริงตามความเป็นจริงของจิตวิญญาณ เมื่อรู้แล้วก็ล้างตัวที่หลอกตัวไม่จริงออกไป จนกระทั่งสัมผัสข้างนอก เป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ที่เป็นสีสันอะไรก็แล้วแต่สัมผัสแล้วทุกคนรู้ตรงกันนะว่า อารมณ์ทุกคนนั้นที่บรรจุนั้น ไม่มีเรื่องของตัวปลอมตัวหลอกตัวชอบตัวชังอะไรอีกเลย เฉยตรงกันหมด คุณจะไปสร้างแบบนั้นแบบนี้แบบไหนของใครของมัน แต่มันลงศูนย์ตรงกันมันมีอันเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียว พระอรหันต์จะรู้อรหันต์ด้วยกันตรงไหน ก็ตรงที่มันศูนย์ด้วยกัน จริงที่มันศูนย์ก็จบ เพราะฉะนั้นจบที่สมมติสัจจะ ส่วนปรมัตถสัจจะ ศูนย์ อรหันต์จึงเลิกปรมัตถ์ มาอยู่ที่สมมุติใช้มหาปเทส 4 กับสัปปุริสธรรม 7 อย่างจริงใจแล้วจริงๆท่านไม่หลอกคนอื่น และไม่หลอกตนเอง

เมื่อจะบรรลุธรรมต้องสัมผัสที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ถึงจะเรียกว่าทิฏฐธรรมนิพพาน ความเห็นของใครก็แล้ว แต่ต้องรู้ว่านิพพานนั้นคือ ที่ทิฏฐิปัจจุบันส่วนอดีตและปัจจุบันนั้นไม่เอา เพราะว่าอยู่ใน 44 ทิฏฐิ แม้จะหลงกามเป็นนิพพาน หลงฌานเป็นนิพพาน ท่านก็รวมไว้หมดแล้วในที่44 ความเห็นนี้

ส่วนคนหลงปัจจุบันที่ถือว่ากามเป็นนิพพาน เช่น เขาบอกว่า เกิดมาชาตินี้ไม่เคยทำเช่นนี้เลย นี่คือคนอวิชชาเต็มบ้องกับการมีสุขเท็จ

พวกที่ระลึกชาติได้ ต้องเคยผ่านมาก่อน เช่น พระพุทธเจ้าท่านจะพยากรณ์ใคร หรือจะบอกว่าใครเป็นอะไรในอดีต ก็ต้องเป็นผู้ที่เคยสัมผัสกับพระพุทธเจ้ามาก่อน ถ้าไม่เคยสัมผัสก็ระลึกให้เขาไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านเกิดมานับชาติไม่ถ้วน จิ้มดินตรงไหนไม่มีที่ไหนเลยที่ท่านไม่เคยเกิด เพราะฉะนั้นท่านก็เคยเกิดร่วมกับทุกคนในโลกนี้เลย ก็เลยทำนายได้หมด

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:47:53 )

581218

รายละเอียด

581218_ธรรมาธรรมะสงคราม สามัญผลสูตร ตอน 1

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน สามัญผลสูตร 1

 

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2558 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม เราได้สรุป พรหมชาลสูตร มาได้แค่ 18 ของอดีต บุพพันตะ ท่านก็พูดถึงเรื่องอัตตาและโลก ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่มีสิทธิ์รู้อัตตาไม่รู้จักโลกได้รอบถ้วน  ถ้าไปศึกษาแบบนั่งหลับตาทำสมาธิก็จะไปจมอยู่ในอดีตหรือไม่ก็ตักกีวีมังสี ตรึกคิดเอาก็ใช้ไม่ได้ เป็นต้น

อีกอันนึงก็เป็นอนาคต อปรันตะ ที่ท่านตรัสว่า มันเกิดจากวิธีปฏิบัติ เขาปฏิบัติกันในยุคนั้น ก็นั่งสมาธิหลับตาก็ได้เจโตสมาธิ ถ้าไม่นั่งเจโตสมาธิก็มีแต่ตักกีวีมังสี มีแต่การนั่งคิดหาเหตุหาผล เหมือนนักศึกษาปัจจุบันนี้ ไม่ได้ปฏิบัติอย่างมีหลัก ที่ท่านตรัสไว้ชัดเจนมากที่สุด ชัดเจนตรงที่ว่า เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ ไม่เป็นฐานะที่มีได้  

อันนี้เป็นปัจจุบันแล้วก็ต้องเต็มสภาพของ สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส เป็นมนุษย์ชมพูทวีป ตื่นเต็มพร้อมทุกองคาพยพ ทุกส่วนสัดในชีวิตร่างกายมีความรับรู้ทุกทวาร คือมีผัสสะ มีเวทนา ถ้าเราไปนั่งนึกเอาหลับตาเข้าไป มีสัญญาคำนึงถึงความรู้สึก ก็คำนึงระลึกถึงได้ถึงความรู้สึกที่เคยผ่านมา แต่มันไม่ใช่ความจริง ระลึกถึงที่เคยเป็นจริงผ่านมา แม้เป็นเรื่องจริงก็เป็นอดีต แม้จะเป็นจริงในสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่ก็เป็นอนาคตแม้ถูกต้องจริง

จริงๆแล้วมันปิดประตูเลย อาตมาถึงบอกว่าผู้มีปัญญาต่างๆมีตั้งเยอะแม่สูตรนี้สูตรเดียวมันบอกแจ้งชัดเจนว่า การปฏิบัติแบบฌาน meditation คือฌานหลับตา ไม่ใช่วิธีของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสว่ามรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา แต่ที่ท่านตรัสถึงการนั่งหลับตา เพราะสมัยนั้นคนเขาติดจะไปตีทิ้งทันทีตัดรอนทันทีไม่ได้

แล้วถ้ารู้วิธีนั่งหลับตาแบบสัมมาทิฏฐิก็ใช้เตวิชโชได้  ก็อาจจะไม่ต้องถึงนั่งหลับตา การเตวิชโช ไม่ใช่เวลาปฏิบัติ แต่เป็นเวลาตรวจสอบบัญชีทบทวนสิ่งที่ทำผ่านมา ไปนั่งหลับตาไม่มีหรอก อาสวักขยญาณ หรือจริงๆแล้ว คำว่าอาสักขยญาณ ในเตวิชโชคือสัมมาทิฏฐิ ลงทะเบียนทบทวนตรวจสอบ ว่าใช่ ถูกต้องจริง ว่าอาสวะสิ้นแล้ว ทบทวนกี่ทีก็ต้องทบทวนว่าทำได้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

หรือคุณต้องตรวจสอบต้องรักษาผล ว่าไม่มีแว่บ ไม่มีผิดพลาด จนเป็นเอง เป็นตถตา เป็นอัตโตมัติ เป็นเอง ก็ตรวจสอบที่ผ่านมาแต่ละวันๆ หรือทวนสัก 7 วันก็ได้ ยกยอดเป็นเดือนก็ได้ แต่ทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปมากแล้ว ไปตัดของพระพุทธเจ้า ที่สัมมาทิฏฐิเอาไปหมด จะดูว่าสักวันหนึ่งเขาจะตัดจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ออกไหม

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพุทธ ต้องมีแบบนี้ ไม่มีแบบนี้ แต่ทุกวันนี้กลับมาละเมิดหมด จะเหลือของพุทธอะไร ก็เลยน่าสังเวชใจในเรื่องของศาสนา

มาต่อในพระไตรฯ อัตตาเหนือไปจากการตาย มีสัญญา

นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

[72] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า อัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ บัญญัติว่าอัตตาเหนือขึ้นไปจากการตายมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ด้วยเหตุ 8 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย

[73] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า ขาดสูญ บัญญัติความขาดสูญความพินาศ ความเลิกเกิด ของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 7 ประการ แม้ข้อนั้น ก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย

[74] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน บัญญัติว่านิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ ด้วยเหตุ 5 ประการ แม้ข้อนั้นก็เพราะผัสสะเป็นปัจจัย

 

พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าฉันละเอียดลออ ท่านก็สรุปที่ว่า ถ้าไม่มีทักษะเป็นปัจจัย ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ การจะปฏิบัติต้องมีที่ตั้งสถานะ หรือฐานะ ให้เกิดการวุฏฐานะ  ที่เป็นผลเป็นการออกมาจากโลกีย์

ศานาพุทธมีขาดสูญได้ ไม่ใช่อุจเฉททิฏฐิ แต่เป็นสมุจเฉท โดยเฉพาะได้อรหัตตผล จะมีนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

โลกโลกุตระที่มีสัมมาทิฏฐิและถึงที่สุดจะเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล ไม่แปรเปลี่ยน ในทิฏฐิ 62 นี้ รู้หมดว่าอะไรผิดเป็นถูก อะไรเป็นความเกิดความดับ เพราะว่าสามารถปฏิบัติรู้ความเกิดความดับ เห็นทุกอย่างชัดเจน

ตั้งแต่ข้อ 50 ท่านก็ว่า ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนั้น  "เขาเหล่านั้นที่บัญญัติทิฐิต่างๆ ขึ้นมา เพราะต้องอาศัยผัสสะ  เว้นผัสสะเสียแล้วจะรู้สึกได้นั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้" คือท่านรู้ชัดว่าอย่างนั้นเขาเป็นกันแต่ท่านก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้วก็ทราบความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป คุณและโทษ ของเวทนาเหล่านั้น พร้อมทั้งมีอุบายเครื่องออก บอกให้เห็นว่าทิฏฐิ 62 นี้ท่านรู้หมด แล้วท่านก็ไม่ยึด รู้เกิดดับคุณโทษ รู้อุบายเครื่องออกที่เป็นสัมมาอาริยมรรค เป็นเครื่องออกจากเวทนา

ผู้ใดหลับหูหลับตาปฏิบัติจึงไม่มีเวทนา 6 ไม่เป็นฐานะที่ปฏิบัติได้ ส่วนทิฏฐิ 62 พระพุทธเจ้าทำได้หมด อาตมาก็ทำได้ แล้วเราก็มีอุบายเครื่องออกจาก 62 ทิฏฐิ อาตมาก็มี ก็โพธิปักขิยธรรม 37 มีวิญญาณ 6 ผัสสะ 6 สังขาร 3 อ่านนามรูป มีสัมผัสจึงเกิดอายตนะ 6 ก็เข้าใจรู้จักเวทนา 6 ที่เป็นฐานที่ตั้งอยู่ที่แท้จริง เรียกว่ามีวิญญาณฐีติ ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ปฏิบัติอ่านรู้กาย รู้ธรรมะสองรู้รูปรู้นาม เป็นของจริงหลัดๆ ส่ิงนั้นรู้อยู่เห็นอยู่ สำเร็จอิริยาบถอยู่เป็นปัจจุบันนั้นเชียว สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าไม่มีผัสสะแล้วไม่มีที่ตั้งแห่งเหตุปัจจัย ก็ไม่เป็นฐานะที่จะปฏิบัติได้ ที่ปฏิบัติไม่ตรงสัมมามรรค เพราะปฏิบัติโดยไม่มีอุบายเครื่องออกจากเวทนาเหล่านั้น เพราะไม่มีเวทนา 6 ให้ปฏิบัติเป็นกรรมฐาน มันมีแต่เวจ ที่แปลว่าส้วม ฐานของเวจ แปลว่าที่ขี้ แต่คำว่าส้วมคือที่นอนของลูกสาวนะ

ต้องรู้ชัดอย่างสัมมาทิฏฐิ จึงรู้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป คุณและโทษ ของเวทนาเหล่านั้น จึงไม่ยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติมิจฉาทิฏฐิจึงไม่มีอะไรเกิดจริงเป็นจริง ปฏิบัติอย่างไม่มีฐานให้ปฏิบัติ ต้องที่อารมณ์สุขทุกข์ หรือเวทนา ต้องทำตรงนี้ ทุกข์สุขไม่ได้เกิดที่สัญญา แต่เกิดที่เวทนาต้องรู้เวทนา หยั่งรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

อาการของเวทนากับสัญญา มันมีลิงคต่างกันอย่างไรก็รู้ แม้เวทนาในเวทนา ก็เอาเหตุที่มันเกิดทุกขเวทนา เมื่อดับเหตุ เวทนาที่เป็นทุกข์ก็ดับ เมื่อเวทนาที่เป็นทุกข์ดับอย่างแท้จริง สุขมันก็ดับ เพราะสุขมันไม่มี สุขมันเป็นเท็จ แต่ที่สุขกันในโลกีย์ ของจริงในปรมัตถสัจจะนั้นไม่มี มันมีในความเท็จที่คุณยึดว่ามี มันสุญญตา อนัตตา

อาการที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อาตมาได้อธิบายไปอย่างรูปธรรม คุณเกาผิวหนังถ้าคุณเกาตรงที่มีเชื้อคันคุณก็ชอบ ก็มันแต่ถ้ามีเชื้อเจ็บคุณเกาถูกก็ไม่ชอบ ถ้ามันมีเชื้อของชอบหรือชังก็เกิดเวทนา

      ถ้าเกาตรงที่มันเจ็บไม่มากก็อาจไม่รู้สึกเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณเกาถูกตรงที่คันแม้นิดหน่อยก็ชอบแล้ว ก็ต้องอ่านอาการ ที่สัมผัสรูปกาย แต่ถ้าคุณไปเกาตรงที่มันไม่มีรูปร่างกายก็ไม่รู้ว่าคัน ไปเกาที่อื่นที่ไม่ใช่กายก็ไม่รู้สึก ต้องมีนามธรรมอยู่ร่วม ถ้าไม่มีนามธรรม มีประสาทก็มีแต่นามธรรมไม่เข้าไปร่วมสัมพันธ์ คุณไปแตะเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึก อย่างคนเป็นอัมพฤกต์อัมพาต เหมือนแขนขาหายไป เพราะประสาทไม่เชื่อมโยงมาถึงความรู้สึก อย่างนั้นมันไม่มีทางปฏิบัติที่จะบรรลุมรรคผล

ตีทิ้งได้เลย ถ้าไม่มีสัมผัสทวารนอกทั้ง5  เป็นการปฏิบัตินอกรีตศาสนาพุทธตามสูตรที่ 1 ของศาสนาพุทธเป็นพระสูตรบทแรก ที่เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็มาบอกวิธีที่ถูกต้องในสามัญผลสูตรคือสูตรที่ 2 นี้

 

มาขึ้นสูตรที่ 2

 

 2. สามัญญผลสูตร

                    ______________

 

                       เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู

 

      [91] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 1250 รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำเป็นวันครบ 4 เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหีบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบน

ขณะนั้น ท้าวเธอทรงเปล่งพระอุทานว่า ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่าชมจริงหนอราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่าเบิกบานจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะจริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้ ครั้นท้าวเธอดำรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านปูรณะกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ

เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปูรณะ กัสสปนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปูรณะ กัสสป พระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้น กราบทูลอย่างนี้แล้วท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านมักขลิ โคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านมักขลิ โคศาลนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านมักขลิ โคศาลพระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านอชิต เกสกัมพล นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านอชิต เกสกัมพลพระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปกุธะกัจจายนะนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปกุธะ กัจจายนะ พระหฤทัยพึงเลื่อมใส. เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร พระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านนิครนถ์ นาฏบุตร นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านนิครนถ์นาฏบุตร พระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่

                        กถาปรารภพระพุทธคุณ

      [92] สมัยนั้น หมอชีวก โกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรู เวเทหีบุตร. ท้าวเธอจึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ ว่าชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า, หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

หมู่ใหญ่ประมาณ 1250 รูป พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า

เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส ท้าวเธอจึงมีพระราชดำรัสว่า ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้นท่านจงสั่งให้เตรียมหัตถียานไว้

หมอชีวก โกมารภัจจ์ รับสนองพระราชโองการแล้ว สั่งให้เตรียมช้างพังประมาณ 500 เชือก และช้างพระที่นั่งเสร็จแล้วจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าสั่งให้เตรียมหัตถียานพร้อมแล้ว เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จได้พระเจ้าข้า (สวนของหมอชีวกฯกับพระราชวังไม่ได้ไกลกันเลย)

ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้พวกสตรีขึ้นช้างพัง 500 เชือกๆ ละนาง แล้วจึงทรงช้างพระที่นั่งมีผู้ถือคบเพลิง เสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์. พอใกล้จะถึง ท้าวเธอเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นท้าวเธอทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัสกับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ตั้ง 1250 รูป จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จ

เข้าไปเถิดๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่ ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลม แล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า ขอเดชะ

นั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่.

ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า ขอให้อุทยภัทท์กุมารของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้

(พ่อครูว่า ที่พระเจ้าอชาตศัตรู ไม่เห็นพระพุทธเจ้าเพราะว่า พระพุทธเจ้านุ่งห่มเหมือนกับภิกษุทุกรูป เพราะสมัยนั้น พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ต้องเด่นกว่าใคร แต่ทำไมนั่งแล้วเหมือนกันหมด หมอชีวกฯก็เลยบอกว่าองค์ที่อยู่ตรงนั้น นั่งตรงนั้นๆ )

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาทั้งความรัก แล้วท้าวเธอทูลรับว่า พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉันขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด

      [93] ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน

      พ. เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์

      อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถพลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตรพลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณพวกนับคะแนน (นักการบัญชี) หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้

คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญบำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้บ้างหรือไม่?

      พ. มหาบพิตร ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ มหาบพิตรได้ตรัสถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว

      อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จำได้อยู่ ปัญหาข้อนี้ หม่อมฉันได้ถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว

      พ. ดูกรมหาบพิตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นพยากรณ์อย่างไร ถ้ามหาบพิตรไม่หนักพระทัย ก็ตรัสเถิด

      อ. ณ ที่ที่พระผู้มีพระภาคหรือท่านผู้เปรียบดังพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจ พระเจ้าข้า

      พ. ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรตรัสเถิด

 

                     วาทะของศาสดาปูรณะ กัสสป

      [94] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูปูรณะกัสสป ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับปูรณะ กัสสป ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วหม่อมฉันได้กล่าวคำนี้กะปูรณะ กัสสปว่า ท่านกัสสปศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรบ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ พวกนับคะแนน (นักการบัญชี)หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตนมารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่

เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสป ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า ดูกรมหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเอง ใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเองใช้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ทำเขาให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่ทางเปลี่ยว ทำชู้ภริยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หาผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบเหมือนมีดโกน สังหารเหล่าสัตว์ในปัฐพีนี้ ให้เป็นลาน เป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียนบาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ด้วยการให้ทาน การทรมาน อินทรีย์ การสำรวมศีลการกล่าวคำสัตย์ บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้ (ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง

ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูปูรณะ กัสสป ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

 

                     วาทะของศาสดามักขลิ โคศาล

      [95] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูมักขลิ โคศาลถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านโคศาล ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ... คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์ เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น

เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูมักขลิ โคศาล ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า

ดูกรมหาบพิตร ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาสาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาสาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมบริสุทธิ์ ไม่มีการกระทำของตนเองไม่มีการกระทำของผู้อื่น ไม่มีการกระทำของบุรุษ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ ไม่มีความบากบั่นของบุรุษ สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตะทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ในอภิชาติทั้งหก  เท่านั้น หนึ่ง กำเนิดที่เป็นประธาน 1,406,600 กรรม 100 กรรม 5 กรรม 3 กรรม 1 กรรมกึ่ง ปฏิปทา 62 อันตรกัป 62 อภิชาติ 6 ปุริสภูมิ 8 อาชีวก 4,900 ปริพาชก 4,900 นาควาส 4,900 อินทรีย์ 2,000 นรก 3,000 รโชธาตุ 36 สัญญีครรภ์ 7 อสัญญีครรภ์ 7 นิคัณฐีครรภ์ 7 เทวดา 7 มนุษย์ 7 ปีศาจ 7 สระ 7 ปวุฏะ 7 ปวุฏะ 700 เหวใหญ่ 7 เหวน้อย 700 มหาสุบิน 7 สุบิน 700 จุลมหากัป 8,000,000 เหล่านี้ ที่พาลและบัณฑิตเร่ร่อน ท่องเที่ยวไป แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้

ความสมหวังว่าเราจักอบรมกรรมที่ยังไม่อำนวยผล ให้อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้องกรรมที่อำนวยผลแล้ว จักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ ไม่มีในที่นั้น สุขทุกข์ที่ทำให้มีที่สิ้นสุดได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน ย่อมไม่มีในสงสารด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อมความเจริญ ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง พาลและบัณฑิตเร่ร่อน ท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้เอง เหมือนกลุ่มด้ายที่บุคคลขว้างไป ย่อมคลี่หมดไปเอง

ฉะนั้น ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูมักขลิ โคศาลกลับพยากรณ์ถึงความบริสุทธิ์ด้วยการเวียนว่าย ฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูมักขลิ โคศาล กลับพยากรณ์ ถึงความบริสุทธิ์ ด้วยการเวียนว่ายเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง

ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครู มักขลิ โคศาล ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

 

                    วาทะของศาสดาอชิตะ เกสกัมพล

 

      [96] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูอชิตะเกสกัมพล ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านอชิต ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง ...คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์ เลี้ยงชีพในปัจจุบันด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญบำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูอชิตะ เกสกัมพล ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า

ดูกรมหาบพิตร ทานไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาบิดาไม่มี สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งกระทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ไม่มีในโลก คนเรานี้ เป็นแต่ประชุมมหาภูตทั้งสี่ เมื่อทำกาลกิริยา ธาตุดินไปตามธาตุดินธาตุน้ำไปตามธาตุน้ำ ธาตุไฟไปตามธาตุไฟ ธาตุลมไปตามธาตุลม อินทรีย์ทั้งหลายย่อมเลื่อนลอยไปในอากาศ คนทั้งหลายมีเตียงเป็นที่ 5 จะหามเขาไป ร่างกายปรากฏอยู่แค่ป่าช้า กลายเป็นกระดูกมีสีดุจสีนกพิลาบ การเซ่นสรวงมีเถ้าเป็นที่สุด ทานนี้ คนเขลาบัญญัติไว้ คำของคนบางพวกพูดว่า มีผลๆ ล้วนเป็นคำเปล่า คำเท็จ คำเพ้อ เพราะกายสลาย ทั้งพาลทั้งบัณฑิตย่อมขาดสูญพินาศสิ้น เบื้องหน้าแต่ตายย่อมไม่เกิด ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูอชิตะ เกสกัมพล กลับตอบถึงความขาดสูญ ฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูอชิตะ เกสกัมพล กลับตอบถึงความขาดสูญ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้นหม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขตดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูอชิตะ เกสกัมพล ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

 

                    วาทะของศาสดาปกุธะ กัจจายนะ

 

      [97] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูปกุธะกัจจายนะ ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านกัจจานะ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านั้น คือพลช้าง ... คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้นเขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูปกุธะ กัจจายนะ ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า ดูกรมหาบพิตร

สภาวะ 7 กองเหล่านี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครนิรมิต ไม่มีใครให้นิรมิตเป็นสภาพยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด สภาวะ 7 กองเหล่านั้นไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกันและกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือทุกข์ หรือทั้งสุขและทุกข์แก่กันและกัน สภาวะ 7 กอง เป็นไฉน คือกองดิน กองน้ำ กองไฟ กองลมสุข ทุกข์ ชีวะเป็นที่ 7 สภาวะ 7 กองนี้ ไม่มีใครทำ ไม่มีแบบอย่างอันใครทำ ไม่มีใครนิรมิตไม่มีใครให้นิรมิต เป็นสภาพยั่งยืน ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด สภาวะ 7 กองเหล่านั้น ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวน ไม่เบียดเบียนกัน ไม่อาจให้เกิดสุขหรือทุกข์ หรือทั้งสุขทั้งทุกข์ แก่กันและกัน ผู้ฆ่าเองก็ดี ผู้ใช้ให้ฆ่าก็ดี ผู้ได้ยินก็ดี ผู้กล่าวให้ได้ยินก็ดี ผู้เข้าใจความก็ดี ผู้ทำให้เข้าใจความก็ดี ไม่มีในสภาวะ 7 กองนั้น เพราะว่าบุคคลจะเอาศาสตราอย่างคมตัดศีรษะกัน ไม่ชื่อว่าใครๆ ปลงชีวิตใครๆ เป็นแต่ศาสตราสอดไปตามช่องแห่งสภาวะ 7 กองเท่านั้น ดังนี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปกุธะกัจจายนะ กลับเอาเรื่องอื่นมาพยากรณ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปกุธะ กัจจายนะ กลับเอาเรื่องอื่นมาพยากรณ์ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วงตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า

ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดีไม่คัดค้านภาษิตของครูปกุธะ กัจจายนะ ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

.

                    วาทะของศาสดานิครนถ์ นาฏบุตร

 

      [98] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูนิครนถ์นาฏบุตร ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านอัคคิเวสนะ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง...คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญบำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูนิครนถ์ นาฏบุตร ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า

ดูกรมหาบพิตร นิครนถ์ในโลกนี้ เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ นิครนถ์เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ เป็นไฉน? ดูกรมหาบพิตร นิครนถ์ในโลกนี้เป็นผู้ห้ามน้ำทั้งปวง 1 เป็นผู้ประกอบด้วยน้ำทั้งปวง 1 เป็นผู้กำจัดด้วยน้ำทั้งปวง 1 เป็นผู้ประพรมด้วยน้ำทั้งปวง 1นิครนถ์ เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ อย่างนี้แล มหาบพิตร เพราะเหตุที่นิครนถ์เป็นผู้สังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการอย่างนี้ บัณฑิตจึงเรียกว่า เป็นผู้มีตนถึงที่สุดแล้ว มีตนสำรวมแล้วมีตนตั้งมั่นแล้ว ดังนี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉัน ถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ครูนิครนถ์ นาฏบุตร กลับตอบถึงสังวร 4 ประการ ฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูนิครนถ์ นาฏบุตร กลับตอบถึงสังวร 4 ประการ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง ฉะนั้น

หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขตดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูนิครนถ์ นาฏบุตร ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

 

                    วาทะของศาสดาสญชัย เวลัฏฐบุตร

 

      [99] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูสญชัยเวลัฏฐบุตร ถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านสญชัย ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ...

คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญบำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันเหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้ามีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ความเห็นอาตมภาพว่าอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ถ้ามหาบพิตรตรัสถามอาตมภาพว่า โลกหน้าไม่มีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า โลกหน้ามีด้วยไม่มีด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่า มีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า โลกหน้ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่าสัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มีหรือถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มี ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีด้วยไม่มีด้วยหรือ ... ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นมีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่าผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามี ก็จะพึงทูลตอบว่ามี...ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มีหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่มีก็จะพึงทูลตอบว่าไม่มี ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีด้วยไม่มีด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีด้วยไม่มีด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่ามีด้วยไม่มีด้วย ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่ามีก็มิใช่ไม่มีก็มิใช่ ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดอีกหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดอีก ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดอีก ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไม่เกิดหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าไม่เกิด ก็จะพึงทูลตอบว่าไม่เกิด ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดด้วยไม่เกิดด้วยหรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดด้วยไม่เกิดด้วย ... ถ้ามหาบพิตรตรัสถามว่า สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่หรือ ถ้าอาตมภาพมีความเห็นว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่ ก็จะพึงทูลตอบว่าเกิดก็มิใช่ไม่เกิดก็มิใช่ ... อาตมภาพมีความเห็นว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไป ฉะนี้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร กลับตอบส่ายไปเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง

ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า บรรดาสมณพราหมณ์เหล่านี้ ครูสญชัย เวลัฏฐบุตร นี้โง่กว่าเขาทั้งหมด งมงายกว่าเขาทั้งหมด เพราะเมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ อย่างไรจึงกลับตอบส่ายไป หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูสญชัย เวลัฏฐบุตร ไม่พอใจแต่ก็มิได้เปล่งวาจา แสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป

 

                       สันทิฏฐิกสามัญญผลปุจฉา

 

      [100] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระผู้มีพระภาคบ้างว่า ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดขบวนทัพพนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนังพวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อมช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ นักนับคะแนน หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมากแม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดีมีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ พระเจ้าข้า

      พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉนสมมติว่า

มหาบพิตรพึงมีบุรุษผู้เป็นทาสกรรมกรมีปกติตื่นก่อน นอนทีหลังคอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา

ความจริงพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ท่าน ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ต้องคอยฟังพระบัญชาว่าโปรดให้ทำอะไรต้องประพฤติให้ถูกพระทัย ต้องกราบทูลไพเราะ ต้องคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เราพึงทำบุญจะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน

ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลถึงพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า

ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นทาสกรรมของพระองค์ผู้ตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวดนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียวหรือว่า เฮ้ยคนนั้น จงมาสำหรับข้า จงมาเป็นทาสและกรรมกรของข้า จงตื่นก่อนนอนทีหลัง จงคอยฟังบัญชาว่าจะให้ทำอะไร ประพฤติให้ถูกใจ พูดไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตดูหน้าอีกตามเดิม

      พระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม

      มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์จะมีหรือไม่?

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้.

      ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อแรก

 

                       สันทิฏฐิกสามัญญผลเทศนา

 

      [101] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบันแม้ข้ออื่น ให้เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่?

      อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน สมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษเป็นชาวนา เป็นคหบดี ซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์อยู่คนหนึ่ง เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา

ความจริง พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้ เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นชาวนา เป็นคหบดีต้องเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ เราพึงทำบุญ จะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน

ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อยู่สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด

ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นชาวนา เป็นคฤหบดีซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ของพระองค์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เขาเป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียว หรือว่า เฮ้ย เจ้าคนนั้น เจ้าจงมา จงเป็นชาวนา เป็นคหบดีเสียค่าอากรเพิ่มพูนทรัพย์ตามเดิม

      จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนานะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม

      มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์ จะมีหรือไม่?

      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้

      ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อที่สอง

 

      [102] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน แม้ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์เหล่านี้ได้หรือไม่?

      อาจอยู่ มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรจงคอยสดับ จงตั้งพระทัยให้ดี อาตมภาพจักแสดง

      ครั้นพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ทูลสนองพระพุทธพจน์ แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

ดูกรมหาบพิตร พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต

สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ

พ่อครูว่า เดี๋ยวนี้ก็เป็นคำสอนที่มีอยู่ เดี๋ยวโน้นก็มีอยู่ แต่มันไม่มีใครทำแล้ว อาจารย์ทั้ง 6 ไม่มีใครทำเลย สมัยนี้ เขาท่องบ่นกันแต่เขาทำไม ญาติปริวัตตังปหายะหรือไม่ โภคขันธาปหายะได้หรือไม่ ขนาดพวกเราอาตมายังพาสิกขมาตุก็ทำได้ พูดให้รู้ไม่ใช่พูดข่มนะ

 

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:48:54 )

581220

รายละเอียด

581220_รายการวิธีอารยธรรม พุทธศาสนา เถรวาท-มหายาน

          สมณะฟ้าไทว่า วันนี้มาพบกับรายการวิถีอารยธรรมอีกวันนี้วันที่ 20ธันวาคม 2528 ช่วงนี้เป็นบรรยากาศของการรับสมัครนิสิตว.บบบ.(วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม) ผู้มีคุณสมบัติสมัครได้คือรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างน้อย 70 % ใน 5 ปี ปีนี้เป็นปีที่สี่แล้ว รับสมัครถึงวันที่25 ธันวาคม เทคนิคการสอบในวันสุดท้ายของงานไม่ เน้น เรื่องเสร็จสภาวจิตสภาวธรรมเป็นหลักไม่เน้นเรื่องภาษา

          วันนี้พวกเราจะมาพูดเรื่องสำคัญของศาสนาศาสนาพุทธในเมืองไทยจะมีภิกษุที่ไม่ใช้เงินไหมคงจะหายาก เรื่องของศาสนาพุทธไม่ใช่เรื่องของการรดน้ำมนต์จุดธูปเทียนบูชาไฟ แต่เราเกิดมาก็เห็นแล้วว่าเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้มาเลิกหมด แต่หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็เวียนกลับมาเป็นแบบเดิมแต่คนเราก็ยึดถือกัน

          พ่อครูว่า...ยินดีต้อนรับผู้ที่มาเข้าค่ายสัมมาอริยมรรคครั้งที่ 6ที่บ้านราชฯบ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ เพื่อจะได้มาอบรมสิ่งที่ประเสริฐให้แก่ชีวิตคือธรรมะ ทุกวันนี้เสื่อมในทางธรรมมากจริงๆ ก็ไม่เห็นว่ามีอะไรดีกว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ครั้งที่ 6 นี้ก็มีคนมาเข้าค่ายยี่สิบห้าคน แต่ก็ไม่สงสัยหรอกเพราะธรรมะที่อาตมาประกาศนี้เป็นโลกุตรธรรมไม่เหมือนกับศาสนาอื่นๆ หรือที่อื่นที่เป็นประเพณีเป็นแบบจารีต พาคนสะกดจิตไม่มีจิตวิเคราะห์ของที่พระพุทธเจ้าสอนเน้นให้รู้จักกายเวทนาจิตธรรม แต่ทุกวันนี้ลงปฏิบัติแต่ในจิตกลายเป็นเรื่องปฏิบัติสะกดจิต สะกดจิตเข้าไปภายในซึ่งตรงกับสมัยยุคพระพุทธเจ้าเป็นกัน มีแต่ศาสนาสะกดจิตเข้าไปอยู่ในจิตเพียงอย่างเดียวให้เป็น 1เอกัคคตา แบบสะกดจิตหลับตา

          แต่ของพระพุทธเจ้านี้เป็นแบบsupra concentration มีรายละเอียดแยกแยะสัมพันธ์กันทั้งรูปและนาม เป็นปัจจุบันสำเร็จอิริยาบถอยู่แต่ศาสนาพุทธกลับไปสู่ความเพี้ยนผิิด ซึ่งธรรมะของพพจ.นี้

ภัมภีรา....

          พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก่อนแล้วว่าต่อไปในอนาคตคนจะไม่สนใจธรรมะที่ลึกซึ่งติดขัดเกลาคน เป็นภาษาโลกุตรธรรมคนจะไม่สนใจจะไปสนใจภาษาที่สละสลวยประโลมใจ ซึ่งอาตมาก็เป็นคนจังหวัดอุบลราชธานีที่เป็นเมืองปราชญ์​เป็นเมืองธรรมะยังหวังลึกลึกว่าธรรมะจะฟื้นคืนขึ้นมา ก็หวังเช่นนั้นพากเพียรไปชีวิตยังไม่ตาย

          ในหนังสือพิมพ์มติชนวันที่ 20ธันวาคมฉบับต่างจังหวัด มีคอลัมน์ที่เขียนโดยคุณเสฐียรพงษ์วรรณปก ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นตลาดและได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิต

 

          พระพุทธศาสนา เถรวาท-มหายาน

          ชื่อนิกายทั้งสองจัดเป็นคู่คู่ดังนี้

เถรวาท(วาทะของพระเถระ) _อาจาริยวาท(วาทะของอาจารย์)

หินยาน(ยานเล็ก,ยานเลว)_มหายาน(ยานใหญ่)

          ต่อมาทางเถรวาทโดยสมาชิกองค์กรการพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกได้มีมติไม่ยอมรับชื่อหินยาน ถือว่าเป็นชื่อที่ฝ่ายมหายานตั้งให้ด้วยความดูหมิ่นว่าเป็นพาหนะเล็กเลวไม่สามารถขนสรรพสัตว์ข้ามห่วงสังสารวัฏได้มากเหมือนกันของตนที่ใหญ่กว่า

          สมัยพุทธกาลไม่มีนิกาย ความขัดแย้งกันเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่เพราะมีพระพุทธองค์ทรงเป็นศูนย์กลางคอยไกล่เกลี่ย ทรงประทานให้โอวาท ความขัดแย้งกันก็สงบลงได้ดังกรณีพระเมืองโกสัมพีทะเลาะกันเป็นต้น

          ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเล็กน้อยพระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ต่อไปภายภาคหน้าถ้าสงฆ์ปรารถนาจะยกเลิกสิกขาบทเล็กๆน้อยๆยกเลิกได้

          เมื่อพระอานนท์รายงานเรื่องนี้แก่ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งประกอบด้วยพระอรหันต์ล้วนจำนวน 500 รูปในคราวสังคายนาครั้งแรก หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ 3 เดือนพระสงฆ์ไม่สามารถตกลงกันได้ว่าสิกขาบทเล็กน้อยคือข้อได้บ้าง จึงลงมติคือความเสียงข้างมากว่าไม่ยกเลิกยังคงรักษาไว้ตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

          เมื่อกาลเวลาผ่านไปได้หนึ่งร้อยปีมีพระกลุ่มหนึ่ง ชื่อว่าวัชชีบุตรได้เสนอแก้ไขสิกขาบท 10 ข้อด้วยกันคือ

ข้อที่ 1ตะวันบ่ายคล้อยไปประมาณ 2 องคุลี (คงประมาณบ่ายสองโมง) ฉันอาหารได้ ขัดกับสิกขาบทห้ามฉันอาหารในยามเวลาวิกาลตั้งแต่เที่ยงไป ภิกษุวัชชีบุตรคงเห็นว่ามันหิวนี่หว่ายืดเวลาออกไปอีกได้

ข้อที่ 2ให้เก็บเกลือไว้แล้วนำไปผสมอาหารฉันได้ตลอดไป ขัดกับสิกขาบทข้อห้ามเก็บสะสมอาหารใครฝ่าฝืนปรับอาบัติปาจิตตีย์ภิกษุวัชชีบุตรเห็นว่าเรื่องเล็กควรยกเลิกได้

ข้อที่ 3 วัดที่มีพระจำนวนมากแยกทำอุโบสถสังฆกรรมได้ ความเป็นสงฆ์เน้นความสามัคคีการแยกทำอุโบสถสังฆกรรมขัดกับหลักการที่ 2 บัญญัติไว้ในอุโบสถขันธกะ พระวินัยปิฎก ใครฝ่าฝืนปรับอาบัติทุกกฏ

ข้อที่ 4 ฉันอาหารในวัดอิ่มแล้ว เข้าบ้านเขาถวายอีกฉันอีกได้ แสดงความเป็นคนมักมาก เรียนยากไม่รู้จักพอ ปรับอาบัติปาจิตตีย์

ข้อที่ 5เวลาทำสังฆกรรมยังไม่นำฉันทะของรูปที่ขาดประชุมมา สงฆ์กระทำสังฆกรรมได้ ใครไม่มาก็ต้องมอบฉันทะมา คือเวลาประชุมและบอกว่าที่ประชุมมีมติอย่างไรก็ตามเห็นด้วยจะมาพูดภายหลังว่าเรื่องนี้ผมไม่ได้เข้าประชุมผมไม่รับรู้ พวกวัชชีบุตรบอกว่าแค่นี้ทำได้

ข้อที่ 6ข้อปฏิบัติที่อุปัชฌาย์อาจารย์ประพฤติมา แม้จะผิดก็ควรทำตาม วัชชีบุตรอ้างว่าต้องการเคารพครูอาจารย์ แต่ครูอาจารย์พาทำผิดผิดก็ไม่ควรทำตาม ควรยึดหลักพระวินัย

ข้อที่ 7ฉันนมสดที่ยังไม่แปรเป็นนมส้มได้ นมสดถือว่าเป็นอาหารแต่ถ้าเป็นนมส้มหรือนมเปรี้ยว(ทธิ) ฉันได้เรื่องแค่นี้ ใหญ่กว่านี้ยังได้เลย

ข้อที่ 8 ฉันสิราสุราอ่อนๆได้ ฉันกระแช่น้ำตาลเมาหรือไม่ก็สปายไวน์คูลเลอร์ อะไรเทือกนั้น วัชชีบุตรบอกว่าฉันได้สบายมาก

ข้อที่ 9ผ้าปู่ที่นั่งไม่มีชายใช้ได้ แต่วินัยบอกว่าห้ามใช้ ใครฝ่าฝืนปรับปาจิตตีย์ อันนี้คงไม่ทรงต้องการให้ของใช้ของสอยของพระสวยงามต้องตาขโมยกระมังจึงให้ทำชาย

ข้อที่ 10รับเงินทองได้ ความจริงมีวินัยบัญญัติห้ามรับเงินรับทองมีเงินมีทองในครอบครองโดยคนอื่นจัดการให้ วัชชีบุตรบอกว่ารับได้

          พระสงฆ์ได้โดยพระยสะ กากัณบุตร เป็นประธานได้คัดค้านข้อเสนอของพระวัชชีบุตร.จึงเลือกพระสงฆ์จำนวน 700 รูปทำสังคายนาวินิจฉัยวัตถุ 10 ประการนับเป็นสิ่งขัดพระธรรมวินัย การประชุมวินิจฉัยครั้งนี้ทำกันนานถึง แปดเดือน โดยพระเจ้ากาฬาโศก ทรงถวายความอุปถัมภ์ทำกัน่ี่วาลุการาม เมืองไพศาลี

          พวกวัชชีบุตรไม่ยอมรับการวินิจฉัยครั้งนี้รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ประมาณ 10,000รูปแยกไปต่างนิกายใหม่ชื่อมหาสังฆิกะ ในช่วงนี้พระสงฆ์แตกออกเป็น 2 นิกายคือ

          1 เถรวาท(หรือสถิรวาทิน) เป็นนิกายดั้งเดิมที่ยึดหลักพระธรรมวินัยสืบทอดมาตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ 1มีจุดยืนแน่นอนว่าจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระธรรมวินัย นิกายนี้มีศูนย์กลางอยู่ทางอินเดียใต้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าทักษิณนิกาย (นิกายใต้)

          2 มหาสังฆิกะ เกิดจากพวกวัชชีบุตรเมืองไพศาลี มีจุดยืนว่าพระธรรมวินัยที่ไม่เหมาะสมกับกาลสมัย เปลี่ยนแปลงได้นักวิชาการทางศาสนากล่าวว่านิกายสังฆิกะ นี้แหละได้แตกหน่อแตกใบออกมาเป็นนิกายมหายานในภายหลัง

          เอกลักษณ์ของมหายานคือ

          1 วินัยบัญญัติ สิกขาบททั้งหลายแก้ไขได้โดยอ้างพุทธวจนะตรัสไว้เป็นนโยบายกว้างกว้างไว้ก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานและอ้างว่าแม้พระองค์หลังจากส่งตราข้อบังคับไว้ บางครั้งก็ยังเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมาะสมขึ้น

          2 หลักธรรมแก้ไขได้หลักคำสอนพื้นฐานที่ถือว่าเป็นจุดยืนของพระพุทธศาสนาดังเดิมแก้ไขเพิ่มเติมได้

          3 ไม่เน้นความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตสงฆ์ ฝ่ายมหายานเห็นว่าชีวิตสงฆ์ ชีวิตของฆราวาส ไม่แตกต่างกันเพราะสามารถบรรลุธรรมได้เท่ากัน ก็เลยไม่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของเพศพรหมจรรย์ พระเองก็ถือว่าวินัยไม่สำคัญเท่ากับธรรมะขอให้มีธรรมะ เป็นใช้ได้ด้วยเหตุผลดังกล่าวเราจึงเห็นพระมหายานบางนิกายย่อยทำตนดุจคฤหัสถ์

          4 แนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์ เถรวาทสอนว่าพระโพธิสัตว์หมายถึงบุคคล 1 ซึ่งบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ภาวะพระโพธิสัตว์ไม่ทั่วไปแก่บุคคลอื่น ในยุค1 จะมีพระโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ภาวะพระโพธิสัตว์เป็นอันสิ้นสุด

          ส่วนมหายาน ถือว่าพระโพธิสัตว์ มี 2​ประเภทคือ

1.ธยานีโพธิสัตว์ หมายถึงผู้ที่บำเพ็ญบารมี 6 ประการมหายานถือว่ามี 6 บารมีเท่านั้นเต็มเปี่ยมแต่ไม่ยอมเข้าสู่นิพพานก็มีเจตจำนงแน่วแน่อยากช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์บางทีเรียกว่า เทวโพธิสัตว์ (โพธิสัตว์เทพ) มีมากมายหลายร้อยองค์

 

          ก็เป็นการรวบรวมประวัติศาสตร์และมีความเห็นส่วนตัวของคุณเสฐียรพงษ์วรรณปกด้วยก็ต้องขออภัยที่จะวิจารณ์กัน ซึ่งเป็นคนที่ก็คบหากันมาก่อน

          ก็จะไม่วิเคราะห์วิจัยในเรื่องการมี 2 นิกาย

          ไล่มาตั้งแต่ที่บอกว่ามีพระวัชชีบุตรจะแก้ไขสิกขาบท 10 ข้อ

          ข้อที่ 1ตะวันบ่ายคล้อยไปประมาณ 2 องคุลี คนนี้ตามมาไม่เคยเห็นหลักฐานที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่าไม่ให้ฉันหลังเที่ยงก็เห็นแต่ใช้คำว่าเวลาวิกาล คำว่าวิกาลแปลว่าเวลาที่ไม่ได้กำหนดกันไว้ เคยเห็นแต่กำหนดว่าให้ฉันในที่นั่งแห่งเดียวให้นั่งฉันเป็นกิจลักษณะไม่ให้ฉันจุบจิบพาลูกไปจากที่นั่งที่ฉันอาหารแล้วไม่ไปฉันอาหารที่เป็นของเคี้ยวแต่ดื่มเครื่องดื่มได้ ดังนั้นก็จะเห็นว่ามีแต่คำว่าวิกาลโภชนากับฉันในที่นั่งแห่งเดียว

          แม้แต่ฉันเสร็จแล้วก็ไม่ให้กักตุนอาหารไม่สะสมอาหารฉันเสร็จแล้วให้คว่ำบาตรล้างบาตร พระ ไม่มีหน้าที่สะสมอาหาร เมืองไทยที่เป็นเมืองเถรวาทแต่กลับไม่เคร่งครัดมีการเอาข้าวสารอาหารแห้งมาใส่บาตรอาหารกระป๋องใส่บาตรเราก็เก็บไว้กักตุนไว้ พระธรรมวินัยเละเทะ

          ทำไมพระพุทธเจ้าให้ฉันในที่นั่งแห่งเดียวจบกิจแล้วลุกจากที่นั่งก็ไม่กินอีก แต่ลุกไปปัสสาวะอุจจาระได้ ไม่พาซื่อ หมายถึงรับประทานอาหารเสร็จนั่นแหละจบลุกจากที่นั่ง

          แม้แต่บอกว่าไม่ให้ฉันหลังเที่ยงก็เลยซอยมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆเป็นหลายมื้อเลย ไม่ได้มี

โภชเนมัตตัญญุตาเลย ซึ่งขัดกับหลักปฏิบัติที่ไม่ผิด คืออปัณกปฏิปทา 3 ของพพจ. แต่ทุกวันนี้กลับไปนั่งรับตามปฏิบัติเสียไม่ได้มีผัสสะให้ปฏิบัติดังที่พระพุทธเจ้าสอน

          อปัณกปฏิปทาคือ...สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ

          สำรวมอินทรีย์ เค้าก็พานั่งหลับตาไม่ได้สำรวมเลย โภชเนมัตตัญญุตา ไม่มี ได้แต่นั่งรถตามสะกดจิตไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่มีการชาคริยานุโยคะ ธรรมะทุกวันนี้เพี้ยนไปหมดเลย

          แต่เดิมเขาดีอยู่แล้วแต่วัชชีบุตรก็มาแก้ให้สมใจกิเลสของตนเอง

          ข้อที่ 2ให้เก็บเกลือไว้แล้วนำไปผสมอาหารฉันได้ตลอดไป ก็แสดงว่าติดรสชาติ

          คำว่ายาวกลิก กับยาวชีก นี้เถียงกันน่าดู คำว่า ยาว คือให้ยาวออกไป คือเก็บได้ได้ยาวขึ้นไป แต่ก็เถียงกันว่าได้ยาวเท่าไหร่ดี ลักษณะของเคี้ยว       ที่ชื่อว่า ของเคี้ยว คือ เว้นโภชนะห้า 1 ของที่เป็นยามกาลิก 1 สัตตาหกาลิก 1 ยาวชีวิก 1 นอกนั้นชื่อว่า ของเคี้ยว.

          ลักษณะของฉัน ที่ชื่อว่า ของฉัน ได้แก่โภชนะ 5 คือ ข้าวสุก 1 ขนมสด 1 ขนมแห้ง 1 ปลา 1 เนื้อ 1. นี่ก็แปลเลี่ยงไป ที่ว่าปลาที่ว่าเนื้อนี่

          ข้อต่อไป ข้อที่ 3วัดที่มีพระจำนวนมากแยกทำอุโบสถสังฆกรรมได้ ..พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไปหมดว่าสังฆกรรมใดควรใช้สงฆ์กี่รูป วัชชีบุตรก็มีความคิดเห็นอยากจะแตกแยก

          ข้อที่ 4 ฉันอาหารในวัดอิ่มแล้ว เข้าบ้านเขาถวายอีกฉันอีกได้ ตอนนี้ก็แสดงถึงความมากๆจริงๆ

          ข้อที่ 5เวลาทำสังฆกรรมยังไม่นำฉันทะของรูปที่ขาดประชุมมา สงฆ์กระทำสังฆกรรมได้ ใครไม่มาก็ต้องมอบฉันทะมา ตอนนี้ทำไม่จำเป็นท่านไม่ให้ขาดประชุมหลังจากจำเป็นก็ให้มอบฉันทะ

          ข้อที่ 6ข้อปฏิบัติที่อุปัชฌาย์อาจารย์ประพฤติมา แม้จะผิดก็ควรทำตาม

          ข้อที่ 7ฉันนมสดที่ยังไม่แปรเป็นนมส้มได้ ข้อนี้เป็นหลักฐานว่าท่านไม่ให้ฉันแม้แต่นมสด แต่วัชชีบุตรก็แสดงความเห็นว่า ที่ไม่ให้ฉันนมสด คือวินัยห้ามไว้ไม่ให้ฉันแต่วัชชีบุตรฉลาดบอกว่านมสดที่ไม่แปรเป็นนมส้มนมเปรี้ยวฉันได้ แสดงว่าพระวินัยไม่ให้ฉันแม้นมสด ยิ่งเป็นนมส้มก็ยิ่งไม่ให้ฉัน เพราะว่ามียีสต์เป็นตัวสัตว์แล้วมันแตกตัวมีชีวะแล้ว อย่างนี้ฉันไม่ได้ แต่ถ้านมสดยังไม่มีตัวก็ให้ฉันได้ แต่ความเห็นคุณเสถียรพงษ์ว่า...เรื่องแค่นี้ ใหญ่กว่านี้ยังฉันได้เลย คือเนื้อสัตว์ยังฉันได้เลยนั่นเอง นี่คือความเห็นของเสถียรพงษ์ แสดงว่ากลบเกลื่อนธรรมะของพพจ.ที่ไม่ให้ฉันแม้นมสด

          ในร่างกายของคนก็มีจุลินทรีย์ทั้งนั้น การรักษาโรคต้องฆ่าจุลินทรีย์จะพาซื่อไม่ต้องฆ่าจุลินทรีย์ก็ตายสิ เช่นพยาธิเจาะลูกตา เอาออกจากตาเดี๋ยวมันตายสิ คือพาซื่อจนกระทั่งเลยเถิด

          ข้อที่ 8 ฉันสุราอ่อนๆได้ ฉันกระแช่น้ำตาลเมาหรือไม่ก็สปายไวน์คูลเลอร์

          ข้อที่ 9ผ้าปู่ที่นั่งไม่มีชายใช้ได้ แต่วินัยบอกว่าห้ามใช้ ใครฝ่าฝืนปรับปาจิตตีย์

          ข้อที่ 10รับเงินทองได้

          อาตมาดื่มสุราไม่เคยเมาเลย แม้ตอนเป็นฆราวาสจะถูกมอมเมาให้ดื่มมากเท่าใด แม้ไปเข้าทรงก็รู้ตัวตลอดไม่ได้หลงไปกับเขา ขออภัยที่เล่า อาตมาโดนข่มขืนผู้หญิงข่มขืน เสียตัว แต่อาตมาก็ไม่รู้สึกเฉยๆ ผู้หญิงก็โกรธด้วยซ้ำ แต่ผู้ชายต้องหลั่งน้ำ แต่เฉยๆ ก็งงตัวเอง ตอนนั้นอาตมาก็ยังมีอุปาทานอยู่นะ ลิงลมอมข้าวพอง กินอาหารอร่อยอยู่นะ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มีอารมณ์ตอนที่ไม่ฟื้นคืนภูมิรู้ จนเรามาปฏิบัติได้แล้วก็รู้ว่า ส่ิงที่เราถูกเขาครอบงำความคิดก็เลยติดไปตามเขา แต่พอเราฟื้นคืนภูมิรู้ก็ไม่มีอาการแบบที่ถูกมอมเมา จะรู้อารมณ์อุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร คนที่ไม่รู้ว่า เคหสิตอุเบกขากับเนกขัมสิตอุเบกขานั้นต่างกัน

          เคหสิตอุเบกขามี 1.ฝึกตนกดข่มเฉยๆ 2.ไม่ต้องฝึกแต่ปุถุชนก็มีพักยกเฉยๆ อุเบกขาได้เคหสิตอุเบกขา หรือใช้วิธีสะกดจิตให้เฉยๆได้

          ส่วนเนกขัมสิตะนั้นรู้ทุกอย่างแยกเวทนา 2 เวทนา 3 เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 ที่แยกระหว่างเคหสิตโสมนัส_โทมนัส กับเนกขัมสิตโสมนัส_โทมนัสได้ สัมผัสทางทวาร 6 รู้ ปฏิบัติอ่านแยกวิเคราะห์วิจัยออก ไม่ได้ hypnotize เป็นของเก่า พอปฏิบัติธรรมก็ขึ้นมา มีบารมีมีอาการพวกนี้

          ส.ฟ้าไทถามว่า พระสารีบุตรฟังธรรมจากพระอัสสชิจึงปฏิบัติต่อได้ แต่พ่อครูนี้ไม่ต้องฟังก็ได้ ต่างกัน

          พ่อครูว่า...อย่างพระท่านจะหลั่งน้ำกาม ตอนฝัน เรียกว่าหลั่งในตอนหลับตอนฝัน ถ้าผู้ที่ไม่มีอารมณ์แล้วอาการหลั่งน้ำกามตอนฝันก็เหมือนกับน้ำเยี่ยวหลุดออกมา ไม่มีรสชาติ แต่ถ้าคนที่ไม่หมดกิเลสจะมีอารมณ์แต่คนหมดกิเลสแล้วไม่มีอารมณ์ ยังเป็นหนุ่มแน่น ร่างกายต้องสร้างตามหน้าที่ของมันมันเต็มก็หลั่งออกขับออก ผู้หมดกิเลสก็เหมือนเยี่ยว แต่ผู้ไม่หมดกิเลสจะมีอารมณ์สุข

          เหมือนผู้หญิงต้องมีตกไข่ต้องมีเลือดประจำเดือนออกมา แม้จะเป็นอรหันต์แล้วก็มีเลือดประจำเดือนออกมา จะเห็นได้ว่าผู้หญิงนี้จะทุกข์แต่ผู้ชายนี้จะสุข แต่ก็ไม่รู้ว่าภิกษุณีที่เป็นอรหันต์เวลามีเลือดประจำเดือนจะตกหรือไม่

          คนที่ไม่เป็นอรหันต์จะมีเมนมีประจำเดือนบางคนก็ไม่มีทุกข์อะไรก็มีได้ นี่ก็ขยายความให้เลือกซึ่งเป็นเชิงวิชาการไม่ใช่ลามกอนาจารเป็นการศึกษา

          ศึกษาอารมณ์ด้วยอาการคือกิริยาอาการของนามธรรมละเอียดขนาดรูปและอรูป

          อาตมากำลังลงละเอียดถึงอาการของดินน้ำลมไฟ1 มีลักษณะ2 มีสสัมภาระ3อารัมนะ 4 สมมุติ

          ดินคือลักษณะปฐวี สัมภาระปฐวี อารัมนะปฐวี หรือสมมุติปฐวี มีพลังงานปรุงแต่งในพลังงานดินเราก็ดูลักษณะมันได้ ลักษณะปฐวี เป็นแท่งก้อนเข้มแข็งชิดกัน แม้จะเล็กละเอียดสามารถรู้ได้เช่นปฐวีธาตุที่เกิดขึ้นจุด1 ขึ้นมาตั้งแต่เซลล์แรกหรือเป็นแค่รูปกับรูปอุตุกับอุตุ เช่น h กับ o จับตัวกัน ยังไม่เป็นธาตุน้ำเป็นธาตุดิน

          ที่เรียกว่าลักษณะ คือรูปร่างลักษณะแม่แต่มันละเอียดเล็ก

           2 สสัมภาระ หมายความว่าการคิดปรุงแต่งกันขึ้นมา กำลังสังเคราะห์กันขึ้นมา อาการเช่นนี่งคือมะระนี่คือเสาวรสนี่คือมะละกอ เป็นธาตุน้ำธาตุดินธาตุลมธาตุไฟ เป็นสิ่งที่เป็นอุตุ

          พอมาถึงอารัมนะ ไม่ใช่อุตุแล้วแต่เป็นพลังงานจิตแล้ว เช่นเล็บของเราก็มีสสัมภาระ ปรุงแต่งกันมี ธาตุดินน้ำลมไฟอยู่ในนี้ทั้งสี่ธาตุ ดีไม่ดีมีอากาสธาตุด้วย เป็นความว่างชนิดที่เราจับความว่างไม่ได้ยังไงตั้งแต่ 2 ขึ้นไปจะมีความหวังคุณจะสามารถจับความว่างได้หรือไม่ ในทางฟิสิกส์เล็กละเอียด
แต่ในนามธรรมช่องว่างนั้นยิ่งละเอียดกว่าอีก

          อากาศนี้คือสุญญตารมย์ เช่นคนนั่งหลับตาสมาธิถึงอากาสานัญจายตนะ คือจิตคุณตกในภพว่าง คุณไม่รู้ตัวหรอก แต่คุณเสพช่องว่างนั้น คุณมีชีวะธาตุรู้แต่ไม่รู้ตัวเอง แต่คุณเสพรสอาการรู้อยู่คือเข้าฌานหลับตา พอรำลึกรู้ตัวว่านี่คือชั้น ก็คือ วิญญานัญจายตนะ

          นี่คือสมาธิหลับตาหรือลืมตาก็ตกภวังค์ตกภพได้ ไม่เห็นอะไรทั้งที่ลืมตาอยู่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าท่านเดินอยู่ในโรงกระเดื่อง ฟ้าผ่าวัวตาย4กับคนตาย2ท่านก็ไม่ได้ยิน จนคนเดินมาทักทายกันจึงรู้ว่ามีฟ้าผ่า

          พวกที่เข้าฌานฤาษีที่บอกว่าได้นิโรธสมาบัติเอาไฟมาจี้ที่ตัวไม่รู้สึก เป็นการสะกดจิตอย่างหนักคนธรรมดาก็ทำได้ อย่าว่าแต่ความรู้สึกเลยสะกดจิตแล้วประสาทตาเค้าไม่รับรู้บอกว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีอะไรเลยทั้งทั้งที่มีของอยู่เต็มไปหมด เขาก็มองไม่เห็นจริงๆ เอามือวักก็ไม่ถูก

          จิตไม่มีรายละเอียดสารพัดสามารถฝึกได้เป็นได้หนังเหนียวก็ฝึกได้แต่ไม่เที่ยงขนาดฤาษี ก็มีพลังงานเหาะได้ แต่เมื่อเหาะแล้วกามเข้า ก็เลยตกลงมาเหาะไม่ขึ้นเลยต้องเดินไป ฝึกได้แต่มันไม่เที่ยงและแปรปรวนมันเป็นกิเลสต้องหยุดหยิบมากๆแล้วก็เป็นได้พระพุทธเจ้าให้มาล้างความยึดติดแต่ถ้าไปติดหลังไม่ได้จะซวย

          อิทธิปาฏิหาริย์เทศนาปาฏิหาริย์นี้พระพุทธเจ้าท่านรังเกียจเบื่อหน่าย ที่ไปทำกันยังทำนายทายทักหาของที่หายได้ เสกหนังควายเข้าท้องได้ มันไม่เป็นไปเพื่อการละการหน่ายการคลาย ท่านบอกว่าอย่าเอามาวุ่น แม้เป็นได้ก็อย่าปฏิบัติ ถ้าปฎิบัติจะต้องอาบัติ แต่ถ้าไม่มีในตนแล้วหลอกว่ามีก็เป็นปาราชิก ถ้ามีแต่ปฏิบัติเป็นอาบัติ

          อาตมาเคยเล่นมาก่อนแต่ก็เลิกแล้ว เหมือนกล้องส่องทางไกลสามารถรวมแสงให้เป็น 1 ก็ได้เป็นจุดเล็กๆหรือจะให้กระจายออกกว้างไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้พระพุทธเจ้ารู้ทุกขั้นตอน

 

          ความรู้เรื่องพระโพธิสัตว์ของเถรวาทพระโพธิสัตว์หมายถึงบุคคล 1ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบำเพ็ญไปเป็นพระพุทธเจ้าสภาวะของโพธิสัตว์ไม่ทั่วไปแก่บุคคลหมายความว่ามีเฉพาะแก่พระโพธิสัตว์บุคคลอื่นที่ไม่มีบารมีไม่มีคุณภาพไม่มีคุณธรรมมีไม่ได้บอกว่าในยุค 1 จะมีโพธิสัตว์เพียงองค์เดียวเท่านั้นมาอุบัติในโลกจะมีซ้อนกัน 2 องค์ไม่ได้ พระโพธิสัตว์นี้มีในตำนานแต่เป็นตำนานของเถรวาท มีในพระไตรปิฎกที่สังคายนาไว้ในเถรวาท ก็คือความแค่นั้นจึงมีตำนานจึงมีตัวอย่างของพระโพธิสัตว์ในนั้นพูดถึงพระโพธิสัตว์ในประวัติของพระพุทธเจ้าเท่านั้นส่วนประวัติของพระโพธิสัตว์อื่นที่มายกตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้ากัสสปะโกนาคมณ ที่พระพุทธเจ้าเอามาเล่า เป็นพระโพธิสัตว์แต่ละเรื่องแต่ละพระองค์ก็ไม่ได้ขยายความว่าเป็นโพธิสัตว์อย่างไร ไม่มีระดับพระโพธิสัตว์หนึ่งสองสามสี่ห้าหกเจ็ดเป็นอย่างไร

          ดังนั้น เถรวาทจึงมีความรู้แค่ว่าเพื่อเป็นโพธิสัตว์มาเกิดเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้อธิบายถึงจิตเจตสิก ของพระโพธิสัตว์ เลยเอาความรู้ของเถรวาทที่สอนกันว่าโพธิสัตว์เป็นผู้ที่มีความรู้สอนคนอื่นช่วยเหลือคนอื่นได้เป็นคุณสมบัติที่เพื่อผู้อื่นคุณจะเป็นโพธิสัตว์ก็ช่วยคนอื่นไปแต่จะไม่ได้คุณสมบัติของความเป็นอารยะที่เป็นอรหันต์ถ้าเป็นพระโสดาบันไม่อันดับ 1 สัตตักขัตตุปรมโสดาบันก็ไม่ได้ เป็นโสดาฯที่ต้องทำอีก 7 รอบ แต่ก็แปลไปว่าต้องเกิดอีก 7 ชาติจากท้องแม่อีก ถ้าเป็นโสดาบันสูงขึ้นเขาก็เข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขาไป จะสอนคนอื่นสอนไปแต่ไม่เข้าใจความเป็นอาริยธรรมของตน

          ส.ฟ้าไทว่าไม่มีความรู้เรื่องอาริยธรรมๆจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร

          พ่อครูว่า...เมื่อไม่รู้จักอาริยธรรมแล้วจะเอาความรู้อาริยธรรมไปสอนได้อย่างไรเข้าใจว่าเป็นอาริยะแล้วก็ต้องตาย เป็นอรหันต์ต้องตายแล้วสูญ แต่ถ้าเป็นอาริยะต้องเกิดไม่เกิน 7 ชาติก็เป็นอรหันต์ นี่คือความเป็นคนของเถรวาท อาตมาอธิบายโพธิสัตว์ระดับ ต่างๆจึงเข้าใจไม่ได้ คนไม่มีปรโตโฆษะก็ไม่ฟังอาตมาเลย ขนาดฟังยังเข้าใจไม่ง่าย แล้วพวกไม่ฟังก็ไม่มีทางเลย ไม่สัมมาทิฏฐิแน่ เพราะเขาไม่สามารถรู้เลยในอาริยธรรม ไม่ว่าโพธิสัตว์หรืออรหันต์ก็ต้องรู้อาริยสัจ

          โสดาบันก็ต้องรู้อาริยสัจ 4 ช่วยตนเองแล้วก็ค่อยสอนคนอื่น จงสร้างคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง หากตนเองไม่บรรลุแล้วไปสอนคนอื่นในระดับฌานในระดับอภิญญาก็เลยเละเทะเป็นความเข้าใจที่จมลึกอาตมาบวชมา 45 ปีก็ขอไม่ไว้หน้าแล้ว

          แล้วจะไปบอกว่าโพธิสัตว์มี 2 ประเภท

1.เทวโพธิสัตว์ 2.เทวโพธิสัตว์

รู้หรือเปล่าว่าเทพคืออะไร โพธิสัตว์ที่เป็นเทพคือเข้าใจจิตเจตสิกได้ เมื่อเป็นโสดาบันก็รู้ได้ สัตว์นรกคือต่ำกว่า มนุสโสคือจิตกลางๆที่จะมีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส มีอาการ 32 แล้วรู้อาการ 33 ที่ต้องออกให้ได้ออกได้หมดกามหมดอัตตาได้ สามารถล้างจิตโลกีย์สมมุติเทพ เราออกจากโลกียรสมาเป็นอุบัติเทพในร่างมนุษย์ รู้จักจิต เจตสิก รู้จักมน รู้จักวิญญาณ

          เป็นโพธิสัตว์หรืออรหันต์ก็ทำเช่นนี้ล้างกิเลสไป ได้

          โสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ได้อรหัตตผลของโสดาบัน

          สกิทาคามีก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ได้อรหัตตผลสกิทาคามี

          อนาคามีก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ได้อรหัตตผลอนาคามี

          จนเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ได้อรหัตตผลของอรหันต์ ก็เป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่โพธิสัตว์เป็นอาริยบุคคลไม่ได้ไม่ใช่เลย นี่คือความรู้เรื่องโพธิสัตว์ในเถรวาทนั้นน่าสงสาร

          ส.ฟ้าไทว่า เราได้เรียนรู้ทั้งลึกและกว้าง เรียนรู้พระธรรมวินัยด้วย


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:49:44 )

581221

รายละเอียด

581221การแยกกายแยกจิตแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ

 

ฉบับที่แล้วเราได้อธิบายถึงการแยกกายแยกจิตแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่เรียนรู้จากอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ โดยมีธรรม 2เป็นองค์ประกอบของ รูปกับนาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่มีความเป็นอัตตา เป็นนัยสำคัญแห่งการเกิด-ดับ แล้วกำจัดตัวตน เฉพาะที่เป็นอกุศลจิตในอัตตาให้ดับ(นิโรธ) สิ้นไปจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์
      อาตมากำลังพยายามไขความลึกแห่งความจริงเรื่องนี้ด้วยความเชื่ออย่างยิ่ง ว่าเป็นความรู้และความจริงที่จะช่วยโลกยุค
นี้ หรือยุคไหนๆก็ตาม ได้แน่นอน เพราะต่างก็แสวงหากันอยู่ทั้งนั้นและรู้ยิ่งกันทั้งนั้น[แล้วได้อธิบายไป กระทั่งถึงตอนที่ว่า...]
      ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ 7ได้ผลจะมีวิชชา 5 เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่วิปัสสนา
ญาณเป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำมโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณเจริญขึ้นไปตามลำดับ
ซึ่งเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์(ปาฏิหาริย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า)อย่างเป็นจริง จะไม่ใช่วิชชา 5(หรืออภิญญา 5)ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างหลงผิดเด็ดขาด
      ผู้ปฏิบัติจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังกัปปะ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิตามพระวจนะ คือ ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่
สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผลเป็นอินทรีย์ 5ไปตามลำดับ กระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นพละ 5 ซึ่ง
ก้าวเดินด้วยโพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดิน คือมรรคองค์ 8 ตลอดเวลาในชีวิตสามัญจึงสามารถกำหนดสภาวธรรมที่เป็น
ตัวตนของกิเลส(อัตตา)ได้แท้แน่ชัด เพราะปฏิบัติสติสัมโพชฌงค์-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ววิจัยสังกัปปะ 7 ที่มีตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ-อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา-วจีสังขาร ว่า ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ)

นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้(อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูกต้องแน่แท้[ฉบับที่แล้วอธิบายมาได้ถึงตรงนี้ โปรดอ่านต่อ]


      อันแตกต่างกันกับการทำความดับ(นิโรธ) ที่ดับจิตไปทั้งจิต จนจิตดำ(กิณหะ) มืดมิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็นความดับที่ปฏิบัติกันรู้กันแพร่หลายอยู่เป็นสามัญทั่วไป ผลธรรมแบบนี้ ไม่ใช่ทางปฏิบัติหรือผลธรรมที่จะพาไปนิพพานอย่างประเสริฐ
ซึ่งถือกันว่าเป็นธรรมอันเลว(นาลมริยา ธัมมา)
      ดังนั้น วิธีปฏิบัติชนิดนี้ จึงมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นวิธีสะกดจิต-วิธีสมถะ(hypnosis)แท้ๆ ดับจิตให้ดำ(กิณหะ)มืด เมื่อดำมืดสนิทก็พึงใจ พอใจ ถือว่าเป็นโชค(สุภ)ที่ทำภาวะดำนี้ขึ้นในใจได้สำเร็จ อาการนี้ของจิตใจ จึงชื่อว่า สุภกิณหะ ซึ่งเป็นความหลงภาวะดำ(กิณหะ)นั้นแหละเป็นภาวะที่น่าพึงใจ(สุภ)
      มรรควิธีก็ผิด ผลที่ได้จึงผิดด้วย ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะไม่มีการวิเคราะห์วิจัย(analysis)แต่อย่างใด มีแต่การสะกดจิต-การทำสมถะ(hypnosis) จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 ซึ่งได้แก่ กายสังขาร(สังขารคือการปรุงแต่งของกายหรือการปรุงแต่งของรูปกับนาม) จิตสังขาร(การปรุงแต่งของจิตหรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกาย) วจีสังขาร(การปรุงแต่งของวจีหรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกายอยู่ในใจยังไม่เปล่งออกมาเป็นวจีกรรม)
      เมื่อไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 หรือยังอวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิ ในความเป็นสังขารอยู่ ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นไม่สามารถปฏิบัติอภิสังขาร ซึ่งก็มี 3 คือ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร ให้เกิดผลบรรลุธรรมได้เลยเด็ดขาด
กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิ จิตสังขารก็รู้กันไม่กระจ่าง โดยเฉพาะวจีสังขารนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ จะไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้นปรมัตถธรรม ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสัญญาเข้าไปสัมผัสกาย(องค์ประชุมของธรรม 2) หรือองค์รวมของรูปกับนาม สัมผัสเวทนา สัมผัสจิต สัมผัสธรรม จึงจะมีความรู้ที่เป็นวิปัสสนาญาณ เห็น(ปัสสติ)จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ซึ่งต้องจำแนกแยกแยะ(analyse)
ทั้งรูปกายทั้งนามกายต่างๆให้รู้แจ้งรู้จริงความเป็นรูปโดยเฉพาะความเป็นนาม ด้วยอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ จนถึงขั้นวจีสังขาร ซึ่งวจีสังขารนี้ยังมีสถานะแค่สภาวธรรมของจิตในจิตอยู่ภายในเท่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเป็นวจีกรรมภายนอก

      ความรู้แจ้งด้วยญาณปัญญาเช่นนี้แลชื่อว่า วิชชา 8 ที่เริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณ เป็นไปจนกระทั่งอาสวักขยญาณ ครบ 8
แต่..เพราะผู้ปฏิบัติใดถ้ายังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิในความเป็นอาการความเป็นกายของจิต-เจตสิก-รูป ไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะบรรลุพุทธธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ จนกระทั่งถึงนิพพาน

      เรื่องอาการนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องศึกษากันให้รู้แจ้งชัดเจนถ่องแท้จริงๆ อาการนี้เป็นภาษาบาลี ซึ่งมีความหมายลึกละเอียดยิ่งยอด ขั้นปรมัตถธรรม ที่เป็นความลึกละเอียดถึงขั้นจิต-เจตสิก-รูป(จิต)-นิพพาน อันวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ใดๆ
ก็ไม่สามารถเข้าถึงความลึกละเอียดนี้ได้ นอกจากพุทธศาสตร์ ศาสตร์เดียวเท่านั้น
      อาการไม่ใช่ภาษาไทย ซึ่งไทยเอามาใช้ก็เริ่มมาจากพุทธธรรมนี่เอง แต่มาถึงยุคนี้ความรู้ทางพุทธธรรมมันเสื่อมมาก
จนกระทั่งไม่มีความรู้ความเข้าใจความเป็นอาการได้ แม้ได้ก็ไม่ถึงขั้นโลกุตรธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติใดไม่สามารถเข้าถึงกาย(องค์ประชุมของรูปกับนาม ซึ่งเป็นเวทนา 2 ต่างๆ) ของความเป็นเวทนาในเวทนาได้ ก็ไม่อาจจะวิเคราะห์แยกแยะ(analye) เห็นอาการของเวทนาที่ต่างกัน(ลิงคะ)ของธรรมะ 2 สำคัญ คือ เคหสิตเวทนา 18 ที่เป็นโลกียธรรม กับเนกขัมมสิตเวทนา 18 ที่เป็นโลกุตรธรรม 
      ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิถ่องแท้(โยนิโส) และเข้าถึงสภาวะจริงแล้ว ก็จะอธิบายได้ อย่างเช่น อาตมาเคยอธิบายลักษณะพระโสดาบันจะเอาสังโยชน์ 3 ก็ได้ จะเอาศีล 5 ก็ได้ เป็นเกณฑ์กำหนดขนาด(ปริตตัง) เพื่อใช้สาธยายระบุคุณลักษณะของรูป 28 ของจิต 89 ของเจตสิก 52เป็นต้น ให้ฟังว่า ผู้นั้นมีจิตเข้ากระแส(โสตาปันนะ) ได้อย่างไร
      นั่นคือ เราต้องมีปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ รู้ว่าปฏิบัติอย่างไร และจิต-เจตสิก-รูปเป็นไป อย่างไร จิตจึงเข้ากระแสโลกุตรธรรมหรือเป็นอาริยธรรมได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 ว่า ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ ; สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพาน ธรรมเหล่านี้เป็น โลกุตระ รวมทั้งหมดคือ โลกุตรธรรม 46 ซึ่งบทปฏิบัติที่เข้าข่ายโลกุตรธรรม ก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 
      นั่นก็คือ โลกุตระเริ่มตั้งแต่กายในกาย อันเป็นข้อที่ 1 ในสติปัฏฐาน 4 หากสัมมาทิฏฐิ และสัมมาปฏิบัติ ก็นี่แหละคือ เครื่องชี้บ่งถึงความเป็นโลกุตรธรรม ไปกระทั่งจบข้อสุดท้ายคือ เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา อันเป็นเอกัคคตาจิต เป็นฐานแห่งนิพพาน จึงจะเข้าสู่อรหัตมรรค-อรหัตผล เป็นผู้โลกสูญ(สุญโญ โลโก) เป็นผู้มีความหลุดพ้น(วิมุตติ) สูญความเป็นโลก เพราะว่า สูญจากตน(อัตตา) และจากสิ่งที่เนื่องจากตน ฉะนั้น เรา(ตถาคต)จึงกล่าวว่า โลกสูญ(พระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 633)

      ฉะนี้แลผู้หลุดพ้นจากโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตยได้..เป็นผู้มีธรรมาธิปไตย ความละเอียดมีอีกมาก ผู้สนใจจะหาอ่านได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 31 ยุคนัทธวรรค สุญกถา ตั้งแต่ข้อ 633 ถึง 658   
      ซึ่งเป็นการมีญาณรู้จิตในจิตของตน  อันมีเวทนาในเวทนา มีธรรมในธรรม ที่สามารถทำองค์ประชุมของรูปกับนามที่เรียกว่ากายหรือธรรม 2 กายในกายก็คือธรรม 2 ผู้มีญาณ ขั้นวิปัสสนา(อันเป็นวิชชาข้อหนึ่งในวิชชา 8) ซึ่งสามารถรู้กายในกาย หรือรู้เวทนาในเวทนา หรือรู้จิตในจิต-รู้ธรรมในธรรม ล้วนหมายถึงธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ทั้งนั้น
      ธรรม 2นี้ก็คือ กายทั้งนั้น ใช่ไหม เมื่อผู้ปฏิบัติสัมผัสทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจแล้วสามารถอ่านเข้าไปถึงจิตได้
      จิตที่ว่านี้คือกาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 และข้อ 231 หมายถึง องค์ประชุมของรูปกับนามที่มีภายนอกและภายในขณะยังประชุมกันพร้อมอยู่ทั้งหลายนั้น โดยอ่านอาการที่เรียกว่า รูปกาย(องค์ประชุมของสิ่งที่เป็นตัวถูกรู้ ตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน นี่คือรูป) และนามกาย(องค์ประชุมของสัญญาหรือปัญญา ที่เป็นตัวกำหนดรู้เองแท้ๆ นี่คือนาม)ได้ รูปเป็นภาวะที่ถูกรู้(object) เมื่อเป็นรูปกายก็คือ องค์รวมของภาวะที่ถูกรู้ ซึ่งในการปฏิบัติธรรมนั้น กายก็เป็นภาวะของสังขารธรรมของธรรม 2 ที่ตาสัมผัสรูป-หูสัมผัสเสียง ฯลฯ เป็นต้น

      ส่วนนามกายคือ องค์รวมของภาวะที่เป็นตัวรู้เอง(subject) องค์รวมของธาตุรู้ ที่สัมบูรณ์ ตอนนี้กำลังเป็นวิชชา(วิปัสสนาญาณ) เข้าไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร(ตามปฏิจจสมุปบาท)ที่ธรรม 2 ซึ่งกำลังปรุงแต่งกัน(สังขาร)อยู่ มันก็คือ กาย ใช่ไหม?
      จากภาษาที่เรียกองค์ประชุมของรูปกับนามว่า กาย เราก็อ่าน ธรรมในธรรม เข้าไปในธรรม 2(สังขารธรรม)ก็กายในกาย นั้นแหละ ซึ่งธรรม 2นี้ก็คือกาย คือสภาวธรรมของจิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 อันเป็นธาตุรู้ (วิญญาณ) และการรู้ก็เกิดจากรูปและนาม หรือนามรูป ที่มีอายนตะกำลัง ทำให้เรารู้ในภาวะความรู้สึก(นามกาย = เวทนา หรือจิต)แท้ๆ ที่มีการปรุงแต่งของรูปกับนาม เกิดเวทนา แต่ชวนงงภาษาที่เรียกเท่านั้นเอง
      อธิบายมาถึงตอนนี้ เราก็จะเห็นชัดว่า  อิทัปปัจจยตา(ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย,กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย,กฎที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย)ของรูปกับนาม เมื่อมาถึงตอนนี้เรียกมันว่าเวทนา แต่แท้ๆมันก็คือ กายนั่นเอง ใช่ไหม?

      เห็นไหมว่ากายก็คือจิตหรือมโนหรือวิญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เวทนาตัวนี้ แท้ๆมันก็คือความรู้สึก(เวทนา) ที่ผู้ปฏิบัติเองนั้นแหละกำลังกำหนดรู้(นาม=สัญญา) ความเป็นจิต(มโน,วิญญาณ)ที่กำลังเป็นความรู้สึก(เวทนา) ให้ถูกรู้(รูป)   เช่น ศีลข้อ 1 ในชีวิตสามัญของเรา ขณะสัมผัสกับสัตว์ตัวหนึ่งขึ้นมา แล้ว
เราสามารถอ่านอาการของจิตใจของเราได้ เห็นอาการจิตอยากทำร้ายสัตว์หรืออยากฆ่าสัตว์ตัวนี้ ผู้มีวิชชามีภูมิรู้สัมมาทิฏฐิด้วยว่า นี่คือ สมุทัย(นี้คือ พ้นสังโยชน์ข้อ 1) ที่เราจะต้องกำจัด แล้วเราก็ปฏิบัติการกำจัด(ใช้ปหาน 5ด้วยวิปัสสนาวิธี มิใช่หลับตาสมาธิ)เป็นต้น

      โดยรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการของกายในกาย แยกรูปกายแยกนามกายได้ แล้วก็แยกเวทนาในเวทนา ต่อไปได้ว่า เวทนาส่วนที่เป็นเคหสิตเวทนา(มโนปวิจาร 18 ที่เป็นโลกียธรรม) มีอาการที่เป็นนั้น คืออย่างนี้ๆ
แยกจิตในจิตได้ว่า อกุลจิตต่างจากกุศลจิตอย่างไร แล้วก็ปหาน(กำจัด)เฉพาะอกุศลจิตตัวที่เป็นเหตุ(สมุทัย)เท่านั้น จัดการทำบุญ(ปุญญาภิสังขาร)ธรรม 2ให้กลายเป็นธรรม 1(เอกสมโสรณา ภวันติ) โดยเหตุแห่งกายนอกก็ยังมีอยู่ ส่วนเหตุแห่งกายในเราก็จัดการกำจัดส่วนที่เป็นสมุทัยที่เรียกว่า กายก็ดี เป็นเวทนาก็ดี เป็นจิตก็ดี ก็คือธรรมส่วนที่เป็นอธรรม(อกุศลธรรม)นี่เอง ให้ส่วนนี้เท่านั้น ดับลงจนสำเร็จให้ได้[เทฺว ธัมมา ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ]

      ธรรม 2ภายนอก ก็ยังสัมผัสรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่นั่นเอง แต่เราก็สามารถทำภายในของเราให้กลายเป็นเหลือเพียงธรรม 1(เป็นเอกัคคตาจิต)ได้จริง อย่างนี้ๆ นั่นคือ เราสามารถทำให้กิเลสตัวอกุศลจิต-สมุทัยนั้นลดละจางคลายลงหรือนิโรธได้ เราก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริง(เห็น)อาการของเนกขัมมสิตเวทนา(มโนปวิจาร 18 ที่เป็นโลกุตรธรรม)ว่า มีอาการเป็นอย่างนี้ๆ ฉะนี้เองคือ เทฺว ธัมมา  ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ ที่ท่านแปลเป็นภาษาไทยว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง  ในพระไตรปิฎก(ฉบับหลวง) เล่ม 10 ข้อ 60 หรือธรรม 2 อย่างนี้ ทั้ง 2 ส่วน รวมลงเป็นอย่างเดียวกับเวทนา ในพระไตรปิฎก(ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) เล่ม 10 ข้อ[112] 
      ผู้ปฏิบัติวิเคราะห์วิจัย(analye)เวทนาในเวทนา หรือจิตในจิตให้ยิ่งๆต่อขึ้นไปอีก จากความเป็นกายหรือธรรมะ 2ฉะนี้แล นี่คือ ความเป็นคู่ของรูปกับนาม ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีสภาวะ 2 (เทฺว ธัมมา) คือ มีรูปกับนาม หรือภาวะ 1 ถูกรู้ และอีกภาวะหนึ่งนั้นเป็นตัวรู้เสมอ แล้วทำสภาวะ 2นี้ ให้กลายสภาวะเป็น 1 (ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ ฯ)ให้ได้
      การปฏิบัติธรรมแบบของพุทธ จึงไม่ใช่หลับตาสะกดจิต(hypnotize)เข้าไปทำจิตให้เป็นหนึ่งอย่างสมาธิที่เป็น meditation แต่ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยมรรค 7 องค์ ให้เกิดจิตเป็นหนึ่งในขณะที่มีชีวิตเป็นปกติลืมตา มีสติตื่นมีกรรมกิริยาสามัญ แต่ต้องวิเคราะห์แยกแยะ(analyze)กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมที่มีสัมผัส 6อยู่ แล้วจัดการทำธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ให้เกิดเป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) ให้เวทนาเป็นหนึ่ง-ให้ธรรมเป็นหนึ่ง(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ)
      โดยมีทั้งการปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 มีทั้งอิทธิบาท 4เป็นไปตามโพธิปักขิยธรรม 37 จนกระทั่งเกิดสมาธิ ที่เป็นการทำจิตให้เป็นหนึ่งในแบบสัมมาสมาธิที่ชื่อว่า supra concentration การปฏิบัติแบบสะกดจิต(hypnotize)  ผู้ปฏิบัติฝึกฝนที่อบรมจิตตนให้เกิดสมาธิ ด้วยวิธี meditation นี้ จึงมีจิตเป็นหนึ่ง
(เอกัคคตาจิต) ต่างกันกับการปฏิบัติฝึกฝนที่อบรมจิตตนให้เกิดสมาธิด้วยวิธี supra concentration คนละทิศ มันตรงข้ามกัน 180 องศาเลยทีเดียว
เพราะสัมมาสมาธิ(supra concentration)นั้น แยกแยะวิเคราะห์วิจัย(analyze) จนจับมั่นคั้นตายได้ตัวสมุทัยแล้วกำจัดตัวร้ายตัวนี้ มันตายลง มันดับลง จึงทำให้เกิดจิตเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตาจิต ฉะนี้คือจิตเป็นหนึ่งแบบพุทธ ที่สัมมาทิฏฐิ แต่จิตก็ยังมีธรรม 2 อยู่เสมอ แม้กำจัดธรรม 1 คือ อกุศลจิตได้หมดไปแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติก็เห็นแจ้งจิต(กุศล) ส่วนที่เหลือ(รูป) เป็นจิตที่ว่างจากกิเลสแล้ว มีนิโรธแล้ว เห็นแจ้ง(สัจฉิ)ด้วยวิปัสสนาญาณหรือวิชชา(นาม)ของตนอยู่ ยังมีธรรม 2อยูู่่นั่นเอง มีรูปกับนามประกอบกันอยู่
      จิตไม่ได้ดับแบบถูกสะกดให้ดับ แบบดำ(กิณหะ)มืดลงไป ไม่เห็นแจ้งอะไรเลย ถือว่า เข้านิโรธหรือเป็นนิโรธ แล้วก็จะมีการออกจากนิโรธกันอีก แบบสมาธิ meditation แล้วก็เข้าๆ-ออกๆอยู่อย่างนั้น ไม่รู้แล้ว ไม่รู้เสร็จ ไม่มีภาวะจบกิจสัมบูรณ์ กล่าวคือ การทำสมาธิแบบหลับตา meditation นั้น ไม่ทำงานทำการเลี้ยงชีพ
(อาชีวะ)ใดๆเลย ทำการสะกดจิต(hypnosis) ไม่ทำอาชีพ แต่มีอาจารย์บางคนตีขลุมโมเมว่า ขณะอยู่นิ่งๆทำสมาธิอยู่นั่นแหละเขามีสัมมาอาชีวะแล้ว ..ว่างั้นเลย ขี้ตู่เอาแท้ๆ

ไม่มีการเคลื่อนไหวทางกายกรรม-วจีกรรม แม้มโนกรรม(กัมมันตะ)ก็กดข่ม สะกดให้อยู่นิ่งๆ ให้อยู่ในอารมณ์เดียว ด้วยการฝึกแบบสะกดจิต(hypnotye) ก็อย่างนี้

ซึ่งต่างจากแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ คือ ขณะทำอาชีพอยู่ ก็ปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาอาชีวะ 5 ในงานอาชีพที่เราทำนั้น จนกระทั่งเป็นสัมมาอาชีวะได้ไปตามลำดับบริบูรณ์ จิตที่ได้อบรมในขณะปฎิบัติไป ก็จะสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ   หรือขณะทำการงานทุกอย่าง(กัมมันตะ)อยู่ ก็มีการปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉากัมมันตะ 3 ในการกระทำทุกอย่างนั้นจนกระทั่งเป็นสัมมากัมมันตะได้บริบูรณ์ หรือขณะพูดอยู่ก็มีการปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาวาจา 4 ในการพูดนั้น จนกระทั่งเป็นสัมมาวาจาได้บริบูรณ์ แม้คิดแม้รู้อยู่ก็ปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาสังกัปปะ 3 ในการคิดนั้นจนกระทั่งเป็นสัมมาสังกัปปะได้บริบูรณ์ เช่น ถ้าเป็นเวทนาก็ยังเป็นอาการสุข แล้วยังแว็บวนมาทุกข์อีกอยู่ ไม่ถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์อย่างเดียวเด็ดเดี่ยวยั่งยืนตลอดกาล ชนิดที่ไม่กลับกำเริบแน่นอน จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ 2 อีกแล้ว เหลืออยู่แต่เวทนาเดียว คือ มีแต่ความรู้หรือรู้สึกกับสิ่งที่กระทบอยู่นั้นก็รู้แต่ความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่มีอารมณ์อื่น เช่น อารมณ์ชอบ หรืออารมณ์ไม่ชอบ ไม่มีทั้ง 2 อารมณ์ มีแต่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะที่สัมผัสอยู่นั้นตามที่เป็นจริงนั้นๆเท่านั้น จึงจะชื่อว่า ไม่ทุกข์ ไม่สุข(อทุกขมสุข) นี้แลคือ อุเบกขาเวทนา  
     
ซึ่งยังเป็นความรู้(ปัญญา,ญาณ,วิชชา) ที่เป็นความรู้ชนิดไม่มีอาการของความไม่รู้ เพราะรู้จนไม่มีอย่างอื่นเท่าอีกแล้ว สูงสุดแล้ว จบหมดแล้ว ไม่มีสุดกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งถึงสุดท้ายด้วยการพิพากษาจบสิ้นแล้ว หนึ่งเดียว ไม่มีสงสัย ไม่มีลังเล ไม่มีแว็บไหวเป็นอื่นอีก สูงแท้ จริงแท้ คมลึกแม่นชัดตรงเด่นแท้ แน่แท้สุดๆ นี่คือ พ้นอวิชชา  

กล่าวคือ คุณสมบัติที่ตนเองจะต้องมี จิต-เจตสิกต่างๆ ต้องมีรูป มีนามคู่กันมาเสมอๆ รูปทั้งหมด 28 ก็ต้องอ่านสภาวะ ที่ถูกรู้คือรูปได้ แม้จะเป็นจิตในจิตเรียกว่า นามกาย ก็อ่านสภาพนามกายให้ชัด ไม่ว่า จิต 89 หรือ 121 หรือเจตสิก 52 อาการของนาม เช่น อาการของเวทนา เวทนานี้เป็นนาม คือ จิตหรือเจตสิก เวทนามีอาการที่จะเรียนรู้ได้ ถึงความเป็นอาการของมัน ซึ่งมีทั้งอาการ
ภายนอก และทั้งอาการภายใน ที่รู้ได้ด้วย 4 ภาวะ ได้แก่
1. ลักษณะ หมายถึง รูปร่างของอาการ แม้แต่อาการของความเป็นอากาส หรือความว่าง กระทั่งอาการสูญคือไม่มี
2. สสัมภาระ หมายถึง อาการที่ทำการสะสม, อาการที่ทำการรวบรวมให้เกิดสิ่งนั้นๆขึ้นมาเป็นของใช้งานได้
3. อารัมมณะ หมายถึง อาการของความรู้สึก, อาการของการรับรส, อาการของความรู้ในภาวะที่เราสัมผัสอยู่
4. สมมุติ หมายถึง อาการที่เป็นความเห็นร่วม, อาการของความตกลงกันได้,อาการสงบชั่วคราว, อาการพักศึกชั่วครั้ง
      และทั้ง 4 ภาวะนี้ ก็ปรุงแต่งกันอยู่แต่ละภาวะ เป็นธาตุดิน(ปฐวี)บ้าง เป็นธาตุน้ำ(อาโป)บ้าง เป็นธาตุไฟ(เตโช,อุณหะ)
บ้าง เป็นธาตุลม(วาโย)บ้าง เป็นธาตุอากาศบ้าง เป็นธาตุวิญญาณบ้าง คือธาตุทั้ง 6 ธาตุที่ยังไม่ใช่ธาตุสูญ หรือสุญญตธาตุ(ธาตุที่หลุดพ้นสิ้นจากสิ่งนั้นๆ) แม้ที่สุดธาตุสูญ ซึ่งเรียกด้วยภาษาว่าธาตุนี้ มันไม่มีหรือมีอยู่ถ้าเป็นอุตุนิยามมันก็ไม่รู้ตัวมันเอง แต่ถ้ามันมีธาตุรู้แค่ขั้นสัญญาขึ้นมาตั้งแต่พีชนิยามมัน ก็จะรู้ในความมีนั้น ยิ่งเป็นขั้นปัญญา ก็ยิ่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงที่วิจิตรพิสดารมากขึ้นๆ
 
     
เราจึงสามารถศึกษาธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุไฟ-ธาตุลม-อากาศ-วิญญาณหรือสูญ ได้จากอาการว่า มีอาการนั้นอย่างไร มันไม่มีอาการนั้นอย่างไร มันเป็นอยู่อย่างปกติสามัญนั้นอาการอย่างไร มันเป็นอยู่อย่างไม่ปกติไม่สามัญนั้นอย่างไร ทั้งอาการภายในที่มันปรุงแต่ง(สังขาร) ให้เป็นตัวมันเองจนสัมบูรณ์ในความเป็นตัวเอง(self) ทั้งที่มันปรุงแต่งที่ไม่ยึดว่าเป็นตัวมันเลย ก็สามารถกระทบรู้อาการ หรือสัมผัสอาการนั้นๆได้(ปฏิฆสัมผัสโส) รูปกาย คือ สิ่งที่ถูกรู้(object) คือภาวะที่สัญญาเข้าไปรู้ด้วยการได้สัมผัสนามกาย คือ ตัวผู้รู้(subject) คือสัญญาที่เข้าไปสัมผัสจนสามารถรู้ แล้วศึกษา เมื่อมีความรู้แจ้งรู้จริงยิ่งๆขึ้นก็เป็นปัญญา-ปัญญินทรีย์ จนรู้รอบก็เป็นปัญญาพละ ทั้งความเป็นรูปกาย ทั้งความเป็นนามกาย สามารถรู้ได้จาก..อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทส ด้วยกันทั้งคู่
      คำว่า อาการนี้แลที่นักปฏิบัติธรรม ต้องสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง สัมผัสทั้งในขณะเป็นรูปธรรม ทั้งขณะเป็นนามธรรม
จากพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ที่ว่า
      ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ ทำให้เหลือเป็นเวทนาเดียวกันกับเวทนาโดยส่วน2(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ)
      จะต้องทำให้จาก 2 กลายเป็น 1 จนได้

      คำว่า อาการ มี 32 (ทวัตติงสาการ) แล้วก็มีอาการที่ 33 คือ ตาวติงสาการ หรืออาการของจิตที่หลงเสพรสสุข เรียกกันว่า เทวดาดาวดึงส์(คือ อาการที่ 33 ของจิตนั่นเอง เกิดเป็นมโนมยอัตตาอยู่ในจิตผู้อวิชชา) ซึ่งเป็นอาการที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา กำหนดเอง แล้วยึดเองว่าจริงว่าเที่ยง(สัญญายะ นิจจานิ) หลงเป็นแดนสุข ตามที่ตนติดสารพัดที่สัมผัสอยู่ภายนอกก็เรียกว่า กามคุณ 5 
      แต่ถ้าขาดจากภายนอกแล้ว เข้ามายึดเป็นตัวตนของตนอยู่ภายใน ก็ชื่อว่า รูปหรืออัตตา ที่สำเร็จด้วยจิตอยู่ภายในจิต ตกผลึกเป็นอาสวะหรืออนุสัย(มโนมยอัตตา) ถ้าเหลือแค่ขั้นอรูปก็เรียกว่า อรูปอัตตา
ผู้หลงเสพหรือยึดติดอยู่ก็มี(โหติ)จริง
 
     
ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งหมดความหลงเสพสิ้นความยึดติดได้แล้วจริง จึงเป็นผู้ไม่มี(น โหติ)ภาวะนั้นๆในใจสำเร็จจริง
แต่ถ้าตนยังมีหลงเวียนขึ้นมาแว็บใดเมื่อใดอีก ก็เป็นเท็จสำหรับตน คือ ยังหลงวนมามีสิ่งไม่จริงสำหรับตนอยู่ ก็ต้องทำ
ความหลง(โมหะ)ของตนนี้จนไม่มีในใจสำเร็จ เด็ดขาด ยั่งยืน ตลอดกาล สัมบูรณ์ ให้ได้ แต่ไม่ไปโทษ-ไม่ไปลบหลู่หรือขัดแย้ง
      ผู้ที่ยังมีอื่น เพราะเขายังมีอยู่แท้ บางทีตนก็อนุโลมมีกับผู้อื่นอยู่ตามความเหมาะสม ก็ต้องทำตามกาล แต่ตนไม่มีแล้วจริง
ผู้สามารถเข้าถึงที่สุดของสภาพมี(โหติ) และไม่มี(น โหติ) ทั้ง 2 นี้ได้แล้ว และไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาพทั้ง 2 นี้ได้จริงก็เป็นอรหันต์ขั้นอุภโตภาควิมุติ ที่จะอนุโลม-ปฏิโลมอยู่กับธรรม 2 ที่ไร้เพศ(นปุงสกลิงค์) หรือจะกว่า 2 ก็ได้โดยผู้นี้ทำความสูญให้
แก่ตนได้ยิ่งขึ้นๆจริงแล้ว ตามลำดับของบารมี

      ส่วนผู้ที่อนุโลม-ปฏิโลมได้แค่สภาพธรรม 1 หรืออนุโลมได้แค่น้อยๆอยู่(ปุงลิงค์)คือ อรหันต์ปัญญาวิมุติ อรหันต์จะไม่ทำ
อะไรเกินกว่าที่ตนจะทำได้อย่างเผื่อไว้เสมอ เพราะท่านสิ้นความประมาท(อัปปมาท)แล้วแท้ และท่านก็ไม่มีตน(อนัตตา)แล้วอย่าง
แน่นอนเด็ดขาดแท้เที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ฯ

      ทีนี้ มารู้จักอาการ 32 ได้แก่ อะไรบ้าง
(1) เกสา ผมทั้งหลาย (2) โลมา ขนทั้งหลาย (3) นขา เล็บทั้งหลาย (4) ทันตา ฟันทั้งหลาย (5) ตโจ หนัง (6) มังสัง เนื้อ
(7) นหารู เอ็นทั้งหลาย (8) อัฏฐี กระดูกทั้งหลาย (9) อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก (10) วักกัง ม้าม (11) หทยัง หัวใจ
(12) ยกนัง ตับ (13) กิโลมกัง พังผืด (14) ปิหกัง ไต (15) ปัปผาสัง ปอด (16) อันตัง ไส้ใหญ่ (17) อันตคุณัง ไส้น้อย

(18) อุทริยัง อาหารใหม่ (19) กรีสัง อาหารเก่า (20) ปิตตัง น้ำดี (21) เสมหัง น้ำเสลด (22) ปุพโพ น้ำเหลือง

(23) โลหิตัง น้ำเลือด (24)เสโท น้ำเหงื่อ (25) เมโท น้ำมันข้น (26) อัสสุ น้ำตา (27) วสา น้ำมันเหลว (28) เขโฬ น้ำลาย

(29) สิงฆานิกา น้ำมูก (30) ลสิกา น้ำไขข้อ (31) มุตตัง น้ำมูตร (32) มัตถเก มัตถลุงคัง เยื่อในสมอง
      ทั้ง 32 ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อาการ 32(ทวัตติงสาการ) ก็หมายความว่า องคาพยพทั้งหลายในร่างกายของคนนี้ ต่างก็มีอาการทั้งสิ้น นายแพทย์ที่รักษาร่างกายของคนที่ตรวจด้วย stethoscope(หูฟังของแพทย์ที่ใช้
ฟังอวัยวะภายใน) ก็ล้วนตรวจดูอาการของคนหรือสัตว์ แม้อยู่ภายในร่างกาย เช่น ตรวจหัวใจก็ดี ปอดก็ดี เป็นต้น ตรวจรู้ได้ว่า เป็นปกติ หรือผิดปกติ ในส่วนใดส่วนหนึ่งของอาการ 32นี้แล หรือ หมอแมะของจีนก็ดี ผู้สามารถตรวจดูอาการจากร่างภายนอกเพื่อรู้อาการ ของอวัยวะภายในด้วยการแมะก็ดี ก็ล้วนรู้ด้วยการสัมผัสจากเหตุปัจจัย จึงจะมีอาการให้รู้ ก็นัยเช่นนี้ทั้งสิ้น

      ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีขันธ์(ขันธ์ 5) โดยเฉพาะขันธ์ 5 ในปัจจุบันนี้(ทิฏฐธรรม)จะเป็นทั้งสมมุติสัจจะ และเป็นทั้งปรมัตถสัจจะ แต่ถ้ามีแค่อดีต หรืออนาคต ก็สัมผัสเรียนรู้ได้แค่สัญญา จะไม่บริบูรณ์ด้วยปัญญา ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่

ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาเลย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 149 และข้อ 151 จึงจะถือว่าเกิดปัญญาที่บริบูรณ์ทั้งภายนอก-ภานใน และทั้งรูป-ทั้งอรูป ตามวิโมกข์ 8ทุกข้อ ก็มีผัสสะ(สัมผัส)ทั้งนั้น  
จากพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 64 ถึง ข้อ 76 ก็ทรงยืนยันว่า จะสามารถรู้ได้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย และแม้ข้อ 77 ถึงข้อ 89 ก็ทรงย้ำหนักแน่นอีกว่า เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติ นั่นก็คือ ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีฐานที่จะให้การ กระทำ (กรรม) ไม่มีที่ตั้ง,หลักแหล่ง,ตำแหน่ง,เหตุ(ฐาน)ให้เรากระทำ(กรรม) ให้เราปฏิบัตินั่นเอง 
      เห็นไหมว่า ปัจจุบัน(ทิฏฐธรรม)ก็สำคัญมาก หรือสัมผัส(ผัสสะ)ก็สำคัญยิ่ง

ทีนี้ก็มารู้กันว่า อาการ คืออะไร
คือภาวะ 2หรือธรรมะ 2คือ สสารกับพลังงานก็ดี รูปกับนามก็ดี หรือภาวะที่มากเกินกว่า 2 ขึ้นไปก็ตาม มันปรุงแต่ง (สังขาร)กันเกิดเป็นธาตุต่างๆขึ้นมา
อาการของพลังงานจึงสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าทางวัตถุก็เป็นพลังงานทางอุตุ
นิยาม ซึ่งเรียนรู้กันเป็นวิทยาศาสตร์ของ
โลกทั่วไป ส่วนทางชีวะก็มีพีชนิยาม กับ

จิตนิยาม ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ของโลกก็
เรียนรู้กันอยู่ ทางธรรมก็เรียนรู้ โดยเฉพาะของพุทธเรียนรู้ถึงขั้นโลกุตรธรรม และขอยืนยันว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง
พุทธนั้นสามารถเรียนรู้อาการของ
พลังงานที่ปรุงแต่งกันระหว่างรูปกับนาม มันจะมี 2 ส่วน ทั้งรูปกับนามเสมอ เมื่อมันปรุงแต่ง(สังขาร)กัน ก็เกิดอาการขึ้นมา
อาการนี้แหละคือ ภาวะจะเป็นรูป

กับรูปปรุงแต่งกันอยู่ก็ได้ ก็เป็นเรื่องของ
อุตุนิยาม ถ้าเป็นรูปกับนามปรุงแต่งกันอยู่ก็นี่แหละที่นักปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องเรียนรู้ให้ถึงปรมัตถธรรมเพราะมีนาม มาเรียนรู้อาการที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ
รูปกับนามในความเป็น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,
หนัง ให้ถึงนัยสำคัญของมันดูบ้าง นักบวช
ของพุทธนั้น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง
ภิกษุทุกผู้ต้องศึกษาแยกกายแยกจิตในความเป็นกาย 5 คือกรรมฐาน 5นี้ให้สัมมาทิฏฐิ
ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรม
รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกายเป็นจิตที่
จะพาบรรลุอาริยธรรมได้เป็นอันขาด
เพราะจะปฏิบัติวิโมกข์ 8ไม่บริบูรณ์ หรือปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7ให้ดับความเป็นสัตว์(สัตว์โอปปาติกะ)ในตนจนหมดสิ้น ไม่ได้ เพราะกำหนดรู้(สัญญา)ความเป็นกาย ของสัตตาวาส 9(ความเป็นสัตว์โอปปาติกะที่อยู่
ในวิญญาณของคน โดยเฉพาะของตน) ไม่ถูกต้อง
คือเข้าใจความเป็นกายผิดไปเสียแล้ว
              ( อ่านต่อฉบับหน้า )    ความเป็นกายต่างๆ ย่อมรู้ผิดไปหมด ตั้งแต่คำว่า กายสังขารไปทีเดียว ไม่ต้องไป
พูดถึงกายอื่นๆ เช่น กายกลิ(กิเลส,สิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย)
-กายกัมมัญญตา(ความเป็นของควรแก่การงานแห่งกองเวทนา,สัญญา,สังขาร)

กายปาคุญญตา(ความคล่องแคล่วแห่งกองเวทนา,สัญญา, สังขาร)-กายคตา(สิ่งที่เป็นไปในกาย)

กายกรรม(การกระทำทางกาย)

กายานุปัสสนา(การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การพิจารณากายในกาย)

กายภาวนา(การทำให้เกิดผลของการอบรมกาย, การทำให้เกิดผลในการปฏิบัติของ
กาย) เป็นต้น และกายอื่นๆอีกมากมาย
ก่ายกองย่อมรู้ไม่สัมมาทิฏฐิแน่ๆ

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงกำชับว่า ทุกคนผู้บรรลุธรรมนั้นจะต้องปฏิบัติมีกายสักขี
เป็นเครื่องยืนยัน หมายความว่า จะเป็นคนผู้มีศรัทธาจริต(ศรัทธานุสารี)ก็ตาม หรือผู้มีพุทธิจริต(ธรรมานุสารี)ก็ตาม
ต้องมีกายเป็นพยานหลักฐานยืนยันว่า ได้ปฏิบัติชนิดที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ เพราะเห็นด้วยปัญญามาจริง จึงจะเรียกว่า บุคคลผู้เป็นวิมุต เช่น ปัญญาวิมุต หรือ อุภโตภาควิมุต เพราะอาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว (พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151)  
      ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนังนี้แหละเป็นชีวะ ขั้นจิตนิยามที่มีรูปธาตุและนามธาตุ ซึ่งผู้ปฏิบัติสามารถเรียนรู้อาการของธรรม 2 ที่ปรุงแต่งกันเกิดมา..เป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง ได้อย่างมีนัยะลึกซึ้ง

      ผู้บวชเป็นภิกษุของศาสนาพุทธทุกรูป จะได้รับกรรมฐาน 5 จากพระอุปัชฌาย์ ให้พิจารณาวิเคราะห์วิจัย(analyze) ศึกษาเรียนรู้อาการในความเป็นกาย เป็นจิตของ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ให้ถ่องแท้(โยนิโส)ทุกคน และต้องมีการทำใจในใจของตนให้แยบคาย ลงไปถึงที่เกิด(โยนิโสมนสิการ) จึงจะเป็นมรรคเป็นผลของการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ คือจัดการ(อภิสังขาร)กับการเกิด-การดับในจิตตนสำเร็จ เป็นผู้ทำความเกิดของอกุศลจิต ให้เป็นความดับแห่งอกุศลจิตได้แท้ ซึ่งไม่ใช่พิจารณาได้อย่างรู้แจ้งแทงทะลุว่า จิตนั้นย่อมเกิด-ดับ เกิด-ดับติดต่อกัน ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน อย่างละเอียดลึกซึ้งสุดลึกสุดรู้ แสนลึกล้ำแล้ว แค่ตรรกะเท่านั้น
แต่สัมผัสจิต หรืออาการของจิตที่เป็นรูปเป็นนาม รู้จักรู้แจ้งรู้จริงชนิดที่รู้แจ้งเห็นจริงจิตเกิด และจิตดับด้วยปัญญาอันยิ่ง(ญาณ,วิชชา,วิปัสสนาญาณ)จริงๆ

      กรรมฐานคือ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง 5 ภาวะนี้แหละ ที่ท่านให้เรียนรู้รูปรู้นาม มันมีรูปกับนามปรุงแต่งกันอยู่ทั้ง 5 คู่
ขณะใดที่มันยังมีนามร่วมรับรู้สึกอยู่ด้วย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนังนี้ก็ยังเป็นกาย จึงต้องศึกษากรรมฐานนี้ให้สัมมาทิฏฐิจนแยก
กายแยกจิตได้อย่างสัมมาทิฏฐิจริง เราจะได้ทำจิตดับให้แก่ตนสำเร็จแท้ ไม่ผิดพลาดไปจากดับส่วนที่เป็นอกุศลจิตเท่านั้น
เพราะการดับจิตไม่ใช่การดับจิตไปทั้งหมดแค่ให้ไม่รู้อะไรเลยไปชั่วระยะ ดังที่ผู้ทำสมาธิแบบมิจฉาทิฏฐิสะกดจิตตนให้ดับเท่านั้น และไม่ใช่ไปดับจิตส่วนกุศล หรือจิตส่วนอื่นที่ไม่ใช่จิตตัวอกุศลด้วย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง จึงเป็นกรรมฐานสำคัญยิ่ง ที่จะเรียนให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต และในกายนั้น ส่วนที่ถูกรู้คือ ฐานะของรูปนั้นว่าเป็นอกุศลจิตเกิด และเมื่อดับตัวนี้ก็คือจิตดับ เพราะผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง จิตที่ถูกรู้เป็นรูปอย่างแม่นยำคมชัดกันจริงๆ
??????????(จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)
      แต่แท้ๆแล้ว รูปที่ว่านั้น มันเป็นนามจริงๆที่อยู่ในกาย คือตัวที่เป็นอกุศลจิต ซึ่งเป็นส่วนที่จะต้องดับจึงจะสำเร็จผลแท้ๆ
ขั้นจิตดับกันจริงๆ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ก็เพราะได้ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิจากการเรียนรู้ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง อันยังเป็นกายที่เป็นอวัยวะของเรารู้สึกได้ คือองค์ประชุมปรุงแต่งกันอยู่ของรูปกับนาม เราจึงสามารถแยกจิต ทั้งในขณะมันเป็นกาย และขณะที่มันไม่เป็นกายได้ เพราะเรียนรู้รูป(ภาวะที่ถูกรู้) รู้นาม(ภาวะที่เป็นผู้รู้) เมื่อส่วนนั้นยังไม่พ้นจากความเป็นจิตที่เป็นทั้งรูปให้ถูกรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งของเรา ซึ่งที่แท้เป็นนามคือจิต

      แต่ถ้า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง นั้นเลยเขตของนาม(ธาตุรู้ที่เป็นจิตนิยาม) พ้นออกมาจากประสาทของคนแล้ว มันก็ไม่ชื่อว่า กาย แล้ว เพราะมันเหลือแค่รูปเท่านั้น มันไม่มีนาม(จิต,มโน,วิญญาณ)แล้ว จึงไม่ใช่ กาย แต่หากมันยังไม่ขาดจากร่างของคน มันก็ยังมีชีวะเจริญได้ ทว่าพลังงงานที่ยังทำหน้าที่ให้มันเจริญชีวะอยู่นั้น ก็เป็นแค่พลังงานของพีชนิยามทำหน้าที่มีอาการทำงานอยู่ใน ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง แต่ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ส่วนนี้ไม่มีจิตแล้ว ตัดขาดจากจิต(ธาตุรู้)แล้ว ไม่มีความรับรู้จากธาตุรู้ของเจ้าตัวแล้ว ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ส่วนนี้ จึงไม่นับว่า เป็นกาย การแยกกาย..แยกจิต จึงไม่ง่าย ต้องเรียนรู้กันอย่างสำคัญ ?????????  (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ ต่อไปจะทำตามที่ท่านตอบ แบบเดียวกันว่า จะคงไว้ หรือตัดออก เลยได้ไหม หรือแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน)

      ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง 5 ภาวะนี้ ยังเป็นปฐวีธาตุ ซึ่งเห็นภาวะของลักขณปฐวี จากรูปร่างที่จับตัวกันอยู่เป็นก้อน,แท่ง,
แข็ง,ข้น ในความเป็นปฐวีที่มีอาการ ปรุงแต่งอยู่ในภาวะธรรม 2นั้น นี้หนึ่ง และ สองก็นับเป็นสสัมภารปฐวีด้วย ซึ่งมีดิน,น้ำ,ลม,ไฟ,อากาศ ประกอบอยู่ในนั้น แค่ไม่มีวิญญาณ(จิตนิยาม)แล้วเท่านั้น แต่ถ้าปฐวีธาตุยังไม่ขาดจากร่างของสัตว์นั้น และยังมีวิญญาณ(จิตนิยาม)ร่วมประกอบกันอยู่ ก็ยังมีอาการของจิตวิญญาณทำงานอยู่กับ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ที่ยังติดอยู่กับร่างของสัตว์ ดังเดียวกันกับ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง และอวัยวะอื่นใน 32 อาการ(ทวัตติงสาการ)นั้น ที่ทำงานแต่ละหน้าที่  หากความรู้สึก(ธาตุรู้)ของคนผู้นั้นก็ไม่มีความรับรู้สึกในความเป็น..ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก)แล้ว ทั้งๆที่ยังเป็นองคาพยพของร่างกายเรา ยังมีชีวะ(แต่
ตอนนี้มันเป็นแค่ชีวะระดับพีชนิยามเท่านั้น) และยังติดอยู่กับตัวเรานั่นแหละ ทว่า 5 ส่วนที่พ้นจากประสาทนั้นไม่มีความรับรู้สึกแล้ว กระทบก็เฉยๆแล้ว จะตัดออกก็ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์แล้ว ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ส่วนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นกายแล้ว (จะเติมคนตายยังมี โมเม็นตั้ม)
      แต่นั่นแหละ ตรงนี้แหละ ถ้าผู้ใดยังมีความยึดติดว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ส่วนนี้ เป็นเรา เป็นของเรา หรือยังหวงแหน ยังต้องการมันอยู่ ใครมาตัด มาแย่งเอาไป ก็จะทุกข์ เพราะความยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราอยู่ ทั้งๆที่ตัดทิ้งมันก็ไม่เจ็บไม่ทุกข์ หรือยังหลงว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ของเรา ต้องสวย ถ้าไม่สวยก็ทุกข์ ก็อยากให้สวย ยึดไปต่างๆ ก็ทุกข์เพราะมัน เห็นชัดไหมว่า คนนั้นทุกข์เพราะยึดว่า เป็นเราอยู่แท้ๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่กายของเราแล้วชัดๆแจ้งๆกันปานนี้  ทั้งๆที่มันไม่มีเวทนา(ความรู้สึก)แล้ว เวทนาของเราไม่เกี่ยว หรือดับไปแล้ว มันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันไม่ใช่นามของเราแล้ว มันเหลือแค่ส่วนเดียว คือ รูปที่เรายึดว่าเป็นเราเท่านั้น

      ถ้าเราไม่ยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา เราก็ไม่ทุกข์ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่รู้สึกอะไรเลย ใครตัดไป ทำลายไปก็เฉยๆ ซึ่งผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก) ส่วนที่ไม่เป็นกายของเราแล้วนี้ เพราะไม่มีจิตของเราเข้าไปยึดมันถือมันว่าเป็นเรา-ของเรา เข้าใจชัดเจนไหม? แต่ตอนนี้รูปมันยังไม่ได้ขาดจากกัน รูปมันยังเนื่องเกี่ยวกับร่าง(สรีระ)อยู่ ผมก็ยาวออกมา ซึ่งพ้นจากปสาทรูปภายในแล้ว ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันส่วนที่เป็นภายนอกก็ดี ผิวหนังส่วนนอกที่พ้นรู้สึกก็ดี ยังเจริญติดร่าง(สรีระ)เราอยู่ แต่ประสาท(ปสาท)ภายใน
ตัดขาดการรับรู้ขั้นจิตนิยามไปสนิทแล้ว ยังมีความเป็นชีวะแค่ขั้นพีชนิยามเท่านั้น  คือ พลังงานมันโคจรข้ามเขตที่เป็นนามจะรับรู้ได้ไปแล้ว ไม่มีรูปโคจรของนามที่เป็นพลังงานจิตแล้ว มันโคจรเลยขีดความรู้สึกของสัตว์ไปแล้ว มันทำงานร่วมกันกับปสาทรูปทางจิตไม่ได้แล้ว โคจรตอนนี้มันเป็นแค่พีชนิยามเท่านั้น แค่พืช มันจึงโคจรเลยเขตของกาย ที่จะเป็นสัตว์ไปแล้ว เพราะไม่มีจิต-มโน-วิญญาณ รับรู้สึกร่วมด้วยกันแล้ว จึงพ้นความเป็นกายไป ไม่มีกาย แต่มันยังมีชีวะนะ ยังมีพลังงานขั้นพีชนิยามร่วมปรุงแต่งอยู่ด้วย ยังเป็นพืชธรรม 2(รูปกับนาม)ไม่ครบ 2 แล้ว องค์รวมของพลังงานนี้จึงไม่ใช่กายของสัตว์แล้ว เพราะกายพระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 230) เพราะพลังงานของธาตุจิต(จิตนิยาม)ไม่มีอาการปรุงแต่งร่วมด้วยแล้ว เหลือแต่ธาตุพืช(พีชนิยาม)เท่านั้น จิตไม่มีใน ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก) ที่ยังติดอยู่กับร่าง(สรีระ)เราแล้ว แต่ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง(ภายใน) มันยังมีอาการของชีวะที่ปรุงแต่งกันเสร็จเป็นธาตุดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-ชีวะ ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ ไม่แยกกัน
      แม้แต่คนที่สร้างความยึดติด(อุปาทาน)ใส่จิตตนเอง เช่น ผู้ปฏิบัติสมาธิหลับตา สะกดจิตให้จิตยึดความเป็นเราเป็นของเราไว้ได้อย่างแน่วแน่เป็นเจโตสมาธิตั้งมั่นได้ที่ แม้จะตายสิ้นลมหายใจไปแล้ว แต่ร่างกาย ก็ยังไม่เน่าเปื่อย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ก็ยังมีความเจริญได้อยู่ เพราะ???????????
 (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  
     
นั่นคือ ผมขนเล็บฟันหนังเป็นธาตุดิน และธาตุน้ำก็ดี ธาตุลมก็ดี ธาตุไฟก็ดี ยังมีปรุงแต่งกันอยู่ในนี้ จึงยังมีชีวะขั้นพืช
ภาวะที่พ้นขั้นพืช(พีชนิยาม) กลายไปเป็นอุตุนิยาม ก็คือ ธรรม 2 นี้แยกกัน ถึงขั้นรูปกับนามแตกสลายขาดจากกันสนิท หมดสิ้นความเป็นนามธรรม(ธาตุรู้) เหลือแต่รูปกับรูป ไม่มีนามกลับมาปรุงแต่งร่วมทำงานร่วมกันอีก แม้จะสัมผัส-กระทบกัน ก็ไม่เกิดรู้สึกใดๆในธาตุนั้นแล้ว  การแยกกายแยกจิต ต้องมีภาวะที่เป็นจริงชัดเจนกันอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ วิจัยแยกแยะ (analyse)รูป-นามในตัวเราแท้จริง จึงจะชื่อว่า ผู้แยกกายแยกจิตได้ เป็นโลกุตระ

      การปฏิบัติที่เป็น analysis (การจำแนกแยกแยะ) กับการปฏิบัติที่เป็น hypnosis (การสะกดจิต) แตกต่างกันมีนัยสำคัญฉะนี้ ผู้ปฏิบัติสมาธิเพ่งกสิณ หรือเพ่งตริตรึกนึกคิดดิ่งแน่วเป็นสมาธิ หรือหลับตาเข้าไปในภวังค์ทั้งหลาย จึงเป็น hypnosis (การสะกดจิต) เป็นการปฏิบัติที่ได้รู้ได้ถึงแต่จินตภพ-จินตภาพทั้งนั้น แม้ได้นิโรธการสะกดจิต(hypnosis) พพ(พพ นี้เกินมา หรือมีความหมายอะไร?ครับ)
     
ส่วนผู้ปฏิบัติที่เป็น analysis (การจำแนกแยกแยะ) จึงจะแยกรูปแยกนาม แยกธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ-อากาศ-วิญญาณ ออกได้ อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงบริบูรณ์สัมบูรณ์ ธาตุดินก็เป็นธาตุที่มีลักษณะหนึ่ง ธาตุน้ำก็เป็นธาตุที่มีลักษณะแตกต่างกันไปอีกอย่างหนึ่ง หรือ ธาตุไฟ-ธาตุลม-ธาตุอากาศ-ธาตุวิญญาณ ก็เป็นธาตุที่มีความแตกต่างกันไป ตามอาการของแต่ละธาตุ อาการของธาตุดิน(ปฐวีธาตุ) ก็ลักษณะหนึ่ง ภายนอก ข้น แข้น แข็ง จับตัวรูปร่าง เป็นก้อน เป็นแท่ง มีทั้งภานอกภายในตัวเรา รู้ได้ด้วยการสัมผัส เป็นหนึ่งในมหาภูต 4
      ภายนอกก็สัมผัสรู้อาการได้แจ้งกระจ่างง่าย แต่ภายในก็สัมผัสรู้อาการได้แจ้งกระจ่างยาก ดังนั้น ผู้จะสามารถเข้าไปเห็น(ปัสสติ) อาการของภาวะในภายใน ไม่ว่าจะเป็นอาการมหาภูตรูป ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ยากยิ่งจะเห็น(ปัสสติ)อาการของอุปาทายรูป หรือเห็นอาการนามธรรม เห็นอาการของวิญญาณก็ยิ่งยากกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน ปฐวีรูป ถ้ามีลักษณะ ข้น แข้น แท่ง ก้อน และรูปนั้นเมื่อได้สัมผัสอยู่หลัดๆ ก็เห็นอยู่ภายนอก เรียก ปฐวีรูป นี้ ว่า ลักขณปฐวี(กักขฬปฐวี) ซึ่งหมายถึง ธาตุที่หยาบโตกว้างใหญ่ สัมผัสลักขณรูปรู้ได้ง่าย
      ถ้าธาตุดินนั้นมีภาวะติดอยู่กับตัวเรา อยู่ภายนอกตัว เช่น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง  ส่วนที่มันไม่มีความรู้สึกของเราแล้ว ส่วนนั้นจึงไม่ใช่กาย เป็นแต่เพียงรูป รูปัง(มีเฉพาะรูปของรูปเท่านั้น ไม่มีนามร่วมด้วย) แต่ติดอยู่กับร่างภายนอกของเรา จึงเป็นแค่ร่าง(สรีระ) ทว่าไม่ใช่กายเราแล้ว เพราะพลังงานชีวะของเราไม่ถึงขีดของความเป็นจิตนิยามที่ทำงานร่วมสังขารอยู่ในนั้นแล้ว จึงเป็นธรรมะ 1 ที่ไม่มีพลังงานที่เรียกว่า จิตอยู่ในร่างส่วนนั้น เหลือแค่พลังงานพีชนิยามเหลืออยู่ในร่างส่วนนั้น ที่สัมผัสด้วยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส)รู้แค่รูปรูปเท่านั้น เพราะรูปรูปไม่มีนามกายที่กระทบสัมผัสแล้ว  ????????
 (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  

 

ถ้าเห็น(ปัสสติ)ภายใน ก็เป็น อุปาทายรูป เป็นภาวรูป เป็นต้น   
ส่วนอาการธาตุน้ำนั้น อ่านยากมาก รู้ได้ยากมาก ตัวธาตุน้ำ ตัว H 2 O ตัวแรกนี้ คุณจะรู้ได้ยากมาก ต้องมีธาตุน้ำหลายตัวรวมกันก็เห็นเป็นหมู่ เคลื่อนไปเคลื่อนมา
ไหลไปเหลวมาได้ จึงจะพอเห็นได้ด้วยอายตนะภายนอกของคน รู้อาการไหวภายนอก
ส่วนธาตุดินจับตัวกันเป็นก้อนนิ่ง ก็เห็นก้อนแห่งธาตุดินได้ง่าย แต่ในตัวของความเป็นธาตุดินมันก็มีอาการในการสังขารปรุงแต่งกันอยู่จึงเรียกว่า มีอาการภายในของความเป็นธาตุดิน อาการของมันก่อเกิดกันเป็นก้อนเข้า เป็นดินก็ผนึกเข้า หินก็ผนึกเข้า โลหะก็ผนึกเข้า มีอาการผนึก ก็เห็นรูปภาพดินที่มีอาการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่ แล้วก็มีอาการเสื่อมไป ของดิน หินก็เหมือนกัน โลหะก็เหมือนกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เสื่อมไป น้ำหรือลมและไฟก็เหมือนกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เสื่อมไปทั้งนั้น ล้วนไม่เที่ยง
ทีนี้ ธาตุดิน กับธาตุน้ำ เมื่อมันรวมตัวกันขึ้น เป็นกลุ่มธาตุดิน-ธาตุน้ำ เราก็สามารถเห็นอาการของมันได้ง่าย เพราะมันมีรูปร่างแห่งภาพเป็นมวลเป็นก้อนกว่าลมกับไฟ
ลมกับไฟนี้เห็นได้ยากกว่า ขนาดน้ำยังรู้จักภาวะของธาตุน้ำได้ยาก ยิ่งธาตุลมกับธาตุไฟก็รู้ได้ยากกว่า แต่มีอาการ ถ้ามีคุณสมบัติของอาการจัดจ้าน ก็ออกอาการอุตุธาตุ เช่น อาการของธาตุไฟก็เรียกว่า อุณหธาตุ,อุณหการ เตโชธาตุก็เรียก อาการของธาตุลมก็เรียกว่า วาโยธาตุ
อาการของมัน ถ้ามันร้อน เราก็อ่านอาการร้อนได้ มันไหวไป ไหวมา เคลื่อนไหวไปไหวมา ก็รู้ได้ นี่คือ อาการที่เราจะรู้จักในกายต่างๆของตนๆได้ กายแห่งรูปกาย(องค์ประชุมของรูปที่ถูกรู้) แห่งนามกาย(องค์ประชุมของญาณ หรือปัญญาของเราผู้รู้)

องค์ประชุมของรูปนาม องค์ประชุมของธรรมะ 2 ถ้าเป็นดินก็รู้ง่าย ถ้าเป็นน้ำก็รู้ยาก อณูน้ำรวมกันมากก็พอรู้ ถ้าเป็นลมก็รู้ได้ยากกว่า ยิ่งเป็นอุหณธาตุยิ่งรู้ได้ยากขึ้น
ภาวะที่เป็นตัวให้ถูกรู้(object) ให้เห็นอาการทุกข์ได้มาก ท่านเรียกว่าธาตุไฟ
คำว่า ธาตุไฟอาการของความร้อน  ถ้าต่ำกว่า 0 เรียกว่า ความร้อนมันน้อยลง ความร้อนน้อยลงไปต่ำจาก 0 เป็น ลบ 10 ลบ 20 คือ อุณหธาตุตีกลับ จากร้อนเป็นเย็น แล้วก็จัดขึ้นๆ เป็นเย็นจัดมากขึ้นๆๆ ตามทางวิทยาศาสตร์ ก็ถือว่าเป็นความร้อนที่ต่ำลงๆ จะเย็นจะหนาวเท่าใดๆ ก็คือ พลังความร้อนที่ต่ำลงๆๆ
??????????  (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  
อาการในใจคน ท่านจึงเรียก ราคะ-โทสะ-โมหะ เป็นไฟ ได้แก่ ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ เพราะเป็นอาการที่จะอ่านได้ในลักษณะเช่นนี้ จะรู้ได้ด้วยอาการ
อาการสุข หรืออาการทุกข์ ก็คือเย็นหรือร้อน ตามนัยสำคัญนี้ วิธีพิจารณาอาการจึงพิจารณาอาการในเวทนาว่า มันมีความรู้สึกเย็นหรือร้อนฉะนี้เอง
เย็นจัดเกินก็ทุกข์ ร้อนจัดเกินก็ทุกข์ นี่คือ อาการของมัน
เราอ่านอาการของเวทนาออก เย็นเกินหรือร้อนเกิน ก็เพราะราคะหรือเพราะโทสะมันมีอาการ คุณบอกว่าร้อนใจ ใช่ไหม? ร้อนใจ อย่างนี้เป็นต้น
นั่นแหละ ถ้าเข้าใจไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ ก็คือร้อนจากกิเลสทั้งนั้น อาการจากกิเลสที่มันไม่ปกติ มันไม่กลางๆ ร้อนน้อยก็ยังไม่สนิท เย็นน้อยก็ไม่สนิทต้องกลางๆ อุเบกขา

จึงอ่านอาการพวกนี้ให้ออก อาการของเวทนาก็อ่านออก ทีนี้อาการไม่ใช่มีแค่ร้อนเย็น แต่มีควบแน่นอย่างธาตุดินก็เป็นอาการ ธาตุน้ำก็ควบแน่น แต่รวมตัวแล้วก็เป็นลักษณะนั้น มันไม่เหมือนธาตุดินที่ควบแน่นแข็งอย่างนั้น นี่เป็นภาษาของของพระพุทธเจ้า ศาสนามิใช่ภาษาทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขามีภาษาแจกออกไปอีกเยอะไม่แค่สี่อย่างนี้ มีคำมหาศาลเลย ภาษาทางศาสนาก็มีธาตุ 4 หรือจะมี 6ธาตุ ก็คือ ธาตุอากาศ กับ ธาตุวิญญาณ ถ้าจะเอาให้ครบ
คำว่า อาการ ก็ต้องอ่าน ทุกข์ สุข อาการที่อยู่กับ 32 อาการ
อาการต่างๆ มันเป็นของจริง เป็นธรรมชาติของสัตว์ มนุษย์ที่ มันมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มาจนกระทั่งถึงปัสสาวะ(มูตร) เป็นอาการ 32 มีอยู่ในนั้นหมด ทีนี้อาการของ ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนังที่มันไม่มีอาการของเวทนา ไม่มีอาการของความรู้สึกแล้ว มันไม่ใช่กาย

คำว่า กายต้องมีจิต มโน หรือ ความรู้สึก วิญญาณ อยู่ร่วมเสมอ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม16 ข้อ230 ที่ท่านตรัสว่า

กายนี่เราเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง เวลาเราอ่านให้อ่านที่จิต ที่มโน ที่วิญญาณ แล้วทำใจในใจ ไม่ได้ทำกายนอกกาย ไม่เคยมีคำสอนพระพุทธเจ้าให้ทำกายนอกกาย มีแต่ทำใจในใจ จัดการที่ใจไม่ใช่จัดการที่กาย ถ้ากายมีแนวโน้มมาหาข้างนอกจนกระทั่งเลยเถิด อาตมาไม่เห็นอาจารย์สำนักไหนเลยอธิบายว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นจิต มีแต่บอกว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นร่างข้างนอกร่างกาย แต่จะเข้าใจไหมว่า เป็นนอกร่างกายนั้นมันไม่เป็นกายแล้ว ถามจริงพวกคุณเริ่มฟังได้อาตมาบอกยืนยันว่าผมขนเล็บฟันหนังนี้ไม่ใช่กายนี่งงไหม ?
คำว่า กายนี้ เป็นคำที่ไทยเอามาบวชไม่สึก(
เดาไม่ถูกครับ หรือแค่คำว่า “ใช้” แทน?) แล้วหมายความว่า ร่างภายนอก คำว่ากายนี้ บอกเป็นไทยแล้วมันแปลว่า ร่างภายนอก ใช่ไหม อาตมาพอไขความให้พวกคุณฟังว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่กาย คุณไม่งงหรือ อาตมาว่าพวกคุณต้องงง คุณไม่รู้รายละเอียดก็แยกไม่ออกแน
แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เนื่องอยู่กับปสาทรูป ที่มีประสาทรับรู้อยู่ จิตวิญญาณยังรับรู้ได้ เป็นส่วนของกาย ก็มีผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่เป็นกาย ทีนี้นอกนั้นจาก 5 นี้แล้วเป็นกายนะ ในอาการ 32 แม้หนังที่เป็นผิวเข้าไปจากหนังกำพร้า หนังนี้ก็เป็นกายแล้วนะ แสบแล้วนะ  เป็นอาการ 32 ส่วนที่แยกไม่ใช่กาย
แม้หนังไม่ใช่ผิว เป็นหนังกำพร้านี้ เป็นกายแล้วนะ แสบได้ รู้สึกได้
อย่าง ผัสสาหาร พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนวัวที่ไม่มีหนัง ถูกกับอะไรก็แสบไปหมด มันมีกายนะ แม้ไม่มีหนังก็มีกาย
ที่ท่านว่าเหมือนวัวไม่มีหนังหุ้มมันก็แสบไปหมด มีเวทนา ผิวหนังที่ไม่รับเวทนาแล้วมันไม่ใช่กาย
ทีนี้อาการนอกจาก 5 อย่างนี้ ต่อจากหนังก็เป็นเนื้อ มีอาการ เอ็นมีอาการ อาการที่ทำงานร่วมอยู่ข้างใน
อาการคือ พลังงานไฟ พลังงานลม  พลังงานที่สังเคราะห์เคลื่อนไหวกันอยู่แต่ละหน้าที่ เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด หัวใจ ทุกอย่างในร่างกายนี้ เหลืออีก 27 นั่นละ มีอาการเป็นกายหมด
ทีนี้ก็มีสภาพที่ไม่เป็นกาย ก็ต่อเมื่อ อย่างน้ำตาหลุดไหลออกมา ไหลออกมาจากข้างนอกแล้ว ไม่มีอาการ มีแต่จะทิ้งไปเป็นธาตุน้ำ ถ้าอยู่ข้างในก็มีอาการ เป็นหน้าที่ทำงาน วันนี้อธิบายให้ทราบว่าทำไมท่านเรียกว่าอาการ 32 มันมีอาการ มีหน้าที่นะ
อย่างสิ่งที่ออกมานอกตัว เช่น น้ำตา เสลด น้ำลาย หากออกมาจากร่างกายมันก็ไม่เป็นกาย ไม่เป็นรูปนามของเราแล้ว ส่วนอุจจาระยังอยู่ในท้องยังไม่ได้หลุดออกมาข้างนอกฉันเดียวกับน้ำตา น้ำลาย เสลด ที่ยังไม่ได้บ้วนออกมาภายนอก ยังทำงานทำหน้าที่เป็นโทษเป็นคุณได้
ถ้าออกมาก็เหมือนดินน้ำไฟลม ถ้าอยู่ในจมูกก็เป็นกายได้ แต่ออกมาภายนอกแล้วประสาทเราไม่รับกับมัน ไม่สัมผัส ก็เลิกทำงานกับเรา แต่ถ้าอยู่ในร่างกายก็ทำงานกับเรา
อุจจาระก็ทำนะ เช่น อาหารเก่าก็อุจจาระ อาหารใหม่ก็เพิ่งกินเข้าไป แล้วทำงานสังเคราะห์ไปเอาส่วนนั้นส่วนนี้เป็นธาตุไปใช้งาน ส่วนที่ไม่ใช้แล้ว ก็ขับเป็นอาหารเก่า ไปเรื่อยๆ จนไม่ใช้ก็ขับออกไป หลุดออกไปจากร่างกาย ก็ไม่ใช่กาย ฉันเดียวกับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่หลุดเขตปสาทรูป ก็ไม่มีอาการที่เกี่ยวข้องกับเรา
อาการที่ยังเกี่ยวข้องกับเราอยู่ มันทำงานกับเราเป็นโทษและเป็นคุณกับเราได้ทั้งนั้น นี่คืออาการของสรีระ 32 นี้คืออาการของสรีระทั้งนั้น
ภายนอกและภายในร่าง องค์ประกอบของร่างภายนอก และภายในทั้ง 32 นี้
ทีนี้อาการที่ 33 ล่ะ คือ อาการของจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของสรีระ ไม่ใช่เรื่องของธาตุ เป็นธาตุวิญญาณ
ก่อนจะถึงธาตุวิญญาณ ก็เป็นอากาสธาตุ ธาตุมีดินน้ำไฟลม แล้วก็มีอากาสธาตุ เป็นช่วงกลาง จิตวิญญาณสามารถรับ อาศัยอากาสธาตุได้ อากาศของรูปธรรมก็มี อากาศของทางนามธรรมก็คือ อุเบกขา
อุเบกขาเริ่มต้นเรียกว่าว่าง แล้วว่างยิ่งขึ้น เป็นอรูปฌานคือ กำหนดอาการความว่างของจิต
โดยเฉพาะนัยสำคัญคือ ว่างจากอาการกิเลส ว่างจากอาการกิเลส
ในความหมายของความว่างคือ ช่วงกลาง รูปธรรมก็ว่างได้ เช่น มีธาตุสามธาตุรวมกัน ก็เกิดช่องว่าง รูปกาย จะมีช่องว่างอย่างละเอียดเลย
ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็มีเยอะ เอาล่ะ ช่องว่างนี้ไม่เกี่ยวกับความรู้สึก แต่เมื่ออุเบกขาเป็นฐานนิพพาน มีความรู้สึกเฉย เพราะอากาศนี้ไม่ใช่ตัวความรู้สึก

                 

ในขณะนั่งหลับตาเข้าไป ทำฌาน เมื่อได้ฌาน 4 แล้ว?(คงไว้ไหมครับ) จะผ่านไปยังอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ คุณมีอายตะที่จะรู้ความว่าง อากาศอันนี้  มันจะว่างโดยไม่มีตัววิญญาณ ระลึกออกไปไหม ที่อาตมาเคยเล่าให้ฟัง คนนั่งหลับตาเขาจะอาศัยอากาศ ช่องว่างของอากาศตรงนั้นให้ได้ พอได้แล้ว ก็จะรู้สึกเบาว่างโล่ง เบากว่าอุเบกขา อุเบกขายังมีความคิดนึก แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 แล้วมันก็จะมีบรรยากาศที่ไม่เหมือนอากาศ แน่นกว่า มีถ่วงจำเพาะ หรือไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร แต่มันเบากว่ากันเยอะ พอมาเป็นอากาศมันต่างจากความว่างแบบอุเบกขา เพราะอุเบกขามีธาตุรู้มากกว่า เยอะกว่า พอมาเป็นอากาสธาตเป็นอากาสานัญจายตนะ มีอายตนะรับรู้ในภพ
นี่คือในพวกนั่งสมาธิหลับตา อยู่ในภพของจิต ภพนั้นไม่มีวิญญาณรู้ เป็นตัวถูกรู้ แล้วตนเองยังระลึกตัวเองไม่ออก แต่ตัวเองรู้สึกลึกๆ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร แต่รับรสรู้สึก เป็นเวทนาที่ยังไม่มีตัวตน พอรู้ตัวว่าเรามาอยู่ตรงนี้หรือ
มาอยู่ตรงอากาศ ออกนอกรูปโลก มาอยู่อรูปโลกแล้วหรือนี่ พอรู้ตัวเมื่อนั้นก็คือวิญญานัญจายตนะ ซึ่งไม่นานนักหรอกคนที่นั่งสมาธิหลับตา ที่จะรู้ตัวเอง แต่บางคนอาจจะนาน แต่สำหรับอาตมานี้ไม่นาน อากาสานัญจายตนะเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าเป็นเรา
ทีนี้อากาศในเรื่องของรูปวัตถุต่างๆก็เป็นช่องว่างของมัน เมื่อไม่มีธาตุเข้าไปร่วมรู้ ไปรับรู้ ก็ไม่รู้บรรยากาศว่าเป็นอย่างไร อย่างเช่น ในโลกที่มีแรง แรงดึงดูดแรงโน้มถ่วง ในโลกก็จะมากกว่า
ภายนอกโลกก็จะไร้น้ำหนักเบาบางกว่า ก็จึงอยู่ว่างเบาลอย แม้แต่ตนเองก็ไร้น้ำหนัก ถ้าคุณได้ออกนอกโลกจะรู้สึกอย่างนั้น ทีนี้ที่อาตมาจะเจตนาอธิบายต่อจากอากาศคือวิญญาณ
ตัวนี้มีอาการ อาการของวิญญาณ ตัวนี้คือตัว ตาวติงสา คือ ดาวดึงส

คำว่าดาวดึงส์ มีองค์ประกอบ ที่มีคำนิยามว่า คือมีสุข โลกีย์ก็สุขอย่างโลกีย์คนก็อยากได้อาการที่ 33 นี้ทุกคน ทุกคนมีอาการ 33 อยากได้สุข และความสุขก็มีคู่หูคือความทุกข์ คู่หูที่แกะกันไม่ออกเลย
ถ้าคุณไม่ฆ่าตัวเหตุแห่งทุกข์ให้มันดับไปเลย สุขคุณก็จะยังอยู่ คุณฆ่าเหตุแห่งทุกข์ดับหมดเมื่อใด สุขคุณก็ไม่มี นอกจากความจำ จำได้ว่าเป็นสุข แต่ในปัจจุบันของคุณมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ถ้าคุณฆ่าเหตุตัวนี้ได้แล้ว อาการสุขจะไม่มี ในวิญญาณมีอากาศ
ที่เจตนาจะย้ำคือ อาการของวิญญาณ อาการที่ 33?นี้แหละที่ต้องกำจัดเหตุ ส่วนอาการ 32 นี้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเท่าไหร่ ถ้าคนที่เก่งในด้านสามารถใช้จิตวิญญาณ เข้าไปควบคุมอาการทางสรีระ
คนนี้ก็สามารถเอาพลังงานจิตนี้ไปรักษา พลังอาการบางอย่าง ให้อาการที่ไม่สมดุลที่มากไปน้อยไป ให้พอดีได้ ในเอ็นกระดูก เยื่อกระดูก หัวใจ ตับ ปอด พวกนี้ที่ท่านเรียงเอาไว้เป็นอาการ 32 บางคนถ้าเล่นพลังงานทางจิต ก็เอาพลังงานจิตไปรักษา เช่นเจ้าคุณนอฯ ท่านรักษาได้ขนาดหนึ่ง แต่ท่านสู้มะเร็งมันไม่ได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาทนพิษบาดแผลไม่ได้ ตายไปนานแล้ว แต่ท่านรักษาอาการสมดุลของกายได้ ท่านก็รักษาอาการพวกนี้ คนที่พยายามรักษาอาการของวิญญาณ โดยการสะกดก็ได้ ให้มีพลังงานไปปรับแปร เรียกว่าอภิสังขาร จัดการ ก(ขาด? ไป?)
เพราะฉะนั้น เราสามารถสร้างอาการปรับปรุง หรือปรุงแต่งสังขาร อย่างอภิสังขาร คือสร้างบุญ สร้างอาการชำระกิเลส กิเลสเป็นอาการ เป็นอกุศลจิต คุณจึงสามารถสร้างอาการทางจิตวิญญาณเป็นอาการทางปัญญา แต่อาการแบบเจโต เขาก็สร้างอาการทางเจโตเอาไปสะกด ปรับแปรในวิธีหนึ่ง มันก็ได้ไม่เจ็บไม่ปวด แต่ไม่ได้หมายความว่า มันไปลดไปล้างอาการที่ยึดมั่นถือมั่นในจิตวิญญาณ 
แต่การศึกษาที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า สามารถเป็นบุญ สามารถชำระอาการของกิเลสได้ กิเลสมีอาการ เป็นอาการ
ใครอ่านอาการของตนเองกำลังโกรธได้ คนนั้นก็เห็นอาการของจิต
ถ้าคุณมีญาณ มีปัญญา มีวิปัสสนาญาณ หรือญาณทัสนวิเศษ สามารถ พอตาสัมผัสคนๆนี้มีอาการไม่ชอบหน้า อาการโกรธเกิด คุณก็อ่านอาการจิตโกรธนี้ได
คือตัวจิตโกรธแท้ๆ คุณอ่านได้
ก็รู้ได้ด้วยอาการ ถ้าสัมผัสคนนี้เกิดอาการชอบ ก็อ่านอาการได้ นี่แหละคือภาคปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่เน้นการรู้รูปนาม คือการรู้ธรรมะ 2 สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า “รูป” สิ่งที่เป็นตัวเข้าไปรู้คือ “นาม”
ที่เก่งสามารถเข้าไปรู้ความโกรธความโลภได้ เรียกว่าญาณ หรือเรียกว่าญาณทัศนะวิเศษ
เป็นพลังงานวิเศษที่ฉลาดรู้อาการกิเลสได้ จนคุณมีวิธี แล้วทำให้มันลดได้กดข่มก็อย่างหนึ่ง สมถะกดข่มไว้ พลังงานอุณหธาตุที่มันไปสลายไฟราคะโทสะโมหะที่เป็นอาการกิเลสได
คุณก็จะรู้จะเห็นอาการเหล่านั้น เห็นมันอย่างเกิดจริงเป็นจริง นี่แหละคือ ตาทิพย์ คือวิชชา ซึ่งปัสสติ หรือปัสสนะ หรือปัสสี ปัสสะ มันเห็นอย่างสัมผัส มันมีญาณปัญญาสัมผัสอาการนี้ได้เลยนะ แล้วมีการวิจัยรู้ด้วย มีธัมวิจัยได้ว่าอาการนี้คือ อาการกิเลส อาการอันนี้คือ อาการสลายจางคลาาย ดับ ไม่เหลือ เป็นญาณทัสนวิเศษ หรือวิชชาที่ รู้ความจริงตามความเป็นจริงนั้นๆตลอดเลย
ที่พูดเน้นแรงนี่ไม่ได้โกรธนะ แต่น้ำหนักให้ดูให้เกิดความเข้าใจ เน้นให้ถึงๆ
ฟังแล้วมีน้ำหนักเหมือนจิ้มเข้าไปในความรู้สึกที่ใจ เป็นวิธีการของอาตมา ใครจะเลียนแบบก็ไม่ว่า แต่เอาไปทำงานนะ จะไปเน้นทะเลาะวิวาทก็ได้ แต่เอาไปเป็นประโยชน์ดีกว่า ใครจะถือสาก็แล้วแตที่แรงๆนี่คนเขาถือว่าเป็นความโกรธ พวกคุณแรงคือ พวกโกรธตามความหมายที่เขาถือ ก็ไม่เป็นไร  อาตมาก็ดูที่อาการจิตตนว่าเป็นอย่างไร อาตมาแสดงออกไปแล้วอาตมาไม่ได้มีอาการพวกนี้อยู่เลย อาตมาก็แยกออกได้  นี่อวดอุตริมนุสธรรมนะ ที่พูดนี้ไม่ใช่ธรรมดาว่าอาการโกรธไม่มี มีอสังขาริกัง ไม่มีตัวเชื้อที่จะพาให้เกิดทุจริตเลย แม้จะดูเน้นหนักเหมือนมีอารมณ์ ก็เป็นอารมณ์ที่ก็มีความต้องการอย่างวิภวตัณหา ไม่มีภพชาติไม่มีกิเลสอะไรหรอก อาตมาขยายความถึงขั้นนี้แล้ว
ก็มาถึงอาการตาวติงสาการ คืออาการของดาวดึงส์นี่แหละ เป็นตัวเทวดาขี้หลอกที่คนหลงมันจัง อยากได้อยากมีอยากเป็นจัง ในอาการที่ 33 ก็เลยต้องเริ่มต้นล่า ออกไปเป็นจตุมหาราชิกา คำว่าราชะ คือกิเลสต้องการความรื่นรมย์ รชะ
คือต้องการรสชาติของความพอใจ เป็นรากศัพท์เดิม
ก็จะไปล่า เป็นมหาราชทั้ง 4 ทิศคือ จตุมหาราช ดีไม่ดี ฆ่ามันเสียเอาเมียมันมา หรือฆ่ามันซะ เอาบ้านเอาเมือง ฆ่ามันซะเอาทรัพย์เอาสิน ฆ่ามันซะให้สมโกรธสมแค้นสมความไม่ชอบใจอะไรก็แล้วแต
คุณฆ่าเขาตายได้สมใจก็ได้อาการดาวดึงส์ ก็พอใจ เป็นอาการที่ 33 เป็นซาดิสม์ ส่วนพวกโรแมนติกอิซึ่มก็เข้าใจง่าย สุขสบายชอบใจ รสหอมหวานยินดีปรีดา แต่ทางซาดิสม์คุณก็สมใจเหมือนกัน สมใจอย่างนั้นคือ อาการตาวติงสาการ เป็นอาการที่ 33 คุณล่าได้มากขึ้นก็เป็นมหาราชสูงขึ้น เก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นมหาราชใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ยามะคือ เวลา จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามาคือเวลา คุณก็อยากให้ความชอบใจอยู่นานๆคือยามา อยู่ตลอดเวลาได้ก็ยิ่งชอบ
จนกว่าจะเบื่อจะเซ็งก็ไปหาอะไรใหม่ๆ เอาดาวดึงส์ใหม่ก็ไปหาเสพใหม่ ก็เป็นคนไม่เที่ยงอยู่แล้ว ไม่ได้แน่นอน ได้ดาวดึงอันนี้ก็อยู่กับอันนี้ จะไปเอาอันอื่นทำไม ประเดี๋ยวได้สนุกทางตา ก็ไปเอาสนุกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปเอาทางอิริยาบถนั่ง อิริยาบถนอน อิริยาบถเดิน อะไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดีก็เต้นตีลังกาหกคะเมนก็แล้วแต่คุณ ก็เอาสนุกทั้งนั้น แล้วแต่จะสมมุติอะไรไปหลงที่พาสนุกสนาน ไม่เรียกว่าบ้าๆบอๆก็ไม่รู้จะเรียกอะไร  สมัยโบราณไม่ได้สมมุติอะไรกันมากไม่สนุกอะไรมาก คนป่าคนดอยก็จะเต้นกันด้วยท่าทางไม่มากมายอะไร ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เด็กหนุ่มๆเต้นกันหัวหมุน ไม่มีหรอก ไม่คิดสมมุติแบบนั้นหรอก แต่อย่างนี้นึกพิเรนทร์ไปหาดาวดึงส์ เสพอาการสมใจที่ตนได้สมมุตินั้น อยู่อย่างนั้นแหละ
คนถูกหลอกว่าให้ได้ทรัพย์มากๆ ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินเจ้า ได้เป็นเจ้าของอำนาจ ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน แม้แต่ผู้หญิงถูกหลอกให้เอาขี้มาทาสีมาประดับก็มา ก็เป็นสุข อะไรก็ไม่รู้ที่เขาสมมุติ เอามาทาสี แล้วก็หลอกกัน ได้มาแล้วก็เป็นดาวดึงส์ เป็นยามา แต่ไม่นานก็เบื่อ หรือต้องหยุดพัก หยุดพักคือดุสิต

ดุสิตแปลว่าที่พัก แปลว่าเย็น สิตะ แปลว่าเย็น สันตุสิเทวราช เป็นเจ้าที่เมืองแดนดุสิต พักหยุดสงบเฉย มันก็มีวาระ 
แต่จะสุขอย่างไรก็พักยกเป็นดุสิตของโลกีย์ ส่วนอรหันต์อย่างโลกุตระก็ไปพักที่ดุสิต เพราะไม่มีอาการทาง 32 กายวาจาใจเลย อรหันต์ก็พักที่ดุสิต
จนกว่าจะเกิดมาในโลกก็คือ พัก สงบ สันตุสิต ได้เป็นสันตุสิตเทวราช ก็มีอาการพักนิ่ง ไม่ต้องเดาหรอก โบราณาจารย์มีพยัญชนะบอก แต่ถ้าโลกียะก็พักยกเป็นดุสิต
ส่วนนิมมานรดีปรนิมมิตวสวัตต
ก็เป็นพลังงานของอำนาจ เนมิต นิมานรดี สร้างโลกย์ใส่ตน ที่เป็นกามาวจร 6 ชั้น คุณก็ได้สร้างเสพสุขได้ทุกอย่างคือ การเก่งมหาราช เป็นจตุมหาราชแล้วเนรมิต ให้สม รตี ให้สมกิเลสความยินดี เป็น รตี หรือ รติ นิมมานรตี ก็หลงระเริง ส่วนปรนิมมิตวสวัตตีก็มีบริวาร มีคนอื่นช่วยสร้างอีกด้วยอำนาจ คือ วสวัต  เพราะคุณชนะเขาได้ เขาก็มาเป็นบริวาร มาช่วยสร้างช่วยทำให้คุณอีก ส่วนนิมมานรดีก็ทำเองคนเดียว ก็ไปแย่งเขาเป็นมหาราชนั่นแหละ แล้วก็วนเวียนที่ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต วนอยู่ตรงนี้แค่นี้ กับสามอย่างนี้ ดาวดึงส์ ยามา จะนานเท่าไหร่ไม่รู้แล้วก็พักยก
“ดาวดึงส์” คือเกิดขึ้น

“ยามา” คือตั้งอยู่

“ดุสิต” คือดับไป พักยก แล้วก็วนกลับมาเป็น “มหาราช” แสวงหามาเอามาเสพใหม่ เอามาเป็นของข้าใหม่ ถ้าได้มาก็เป็น “นิมมานนรดี”เก่งสุดยอดก็เป็น “ปรนิมิตตวัสวัตตี” มีบริวารมีคนอื่นช่วยทำด้วยหาให้ด้วยเลย  นี่คือ แดนเทวดา 6 ชั้น
ตัวจริงๆๆก็คืออาการที่ 33 นี้เท่านั้น
จะได้นานหรือตั้งอยู่เท่าไหร่แล้วพักยกเท่านั้น วนเวียนเท่านั้น เสร็จแล้วส่วนอีก 3 เทวดา ก็อธิบายเป็นสภาวะเทวดาขี้หมานี้ให้ฟังแล้ว อาตมาเลิกเป็นอย่างเด็ดขาดเทวดาขี้หมา 6 ชั้นนี้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า เราย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ชัดนั้น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเครื่องออกจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตถึงหลุดพ้น
อาตมาก็พูดได้ว่า โพธิรักษ์จึงหลุดพ้น ก็นัยเดียวกัน ตามสัจธรรม

อาตมาไม่ใช่เข้าใจความหมายได้เพียง
อย่างเดียว ทว่าอาตมาทำได้ด้วย ซึ่งแน่นอนคุณวิเศษไม่เท่าพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาก็รู้เหตุรู้ปัจจัยนั้น ส่วนที่เป็นของอาตมา
แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นความรู้ ทราบความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป หรือคุณและโทษและอุบายเครื่องออกจาก
เวทนาทั้งหลาย จึงสร้างความดับได้เฉพาะตน
คำพูดของอาตมาตอนนี้ เท่ากับพาคุณไปถ่ายรูปในห้องน้ำแล้วนะ เปิดเผย(ตัวตน)จนหมดแล้ว
เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอจะรับได้ไหม?
ขออภัยผู้ที่ไม่เชื่อถืออาตมา ก็คงจะหมั่นไส้หนักหนาสาหัส ว่า โพธิรักษ์นี่มันอวดตัวอวดตนเกินไปเสียแล้ว
วันนี้ก็เลยตั้งใจอธิบายอาการ จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้น ได้รับไหม ให้แล้วนะ

ถ้าพูดไปแล้วพวกคุณไม่รู้เรื่องเลย อาตมาก็เป็นคนเพ้อเจ้อเหมือนพูดกับตอไม้ ลมๆแล้งๆ ทั้งๆที่เป็นความจริง ซึ่งการเพ้อเจ้อนั้น ต่อให้คุณพูดสัจจะสูงส่งเท่าไหร่แต่พูดกับคนที่เขาไม่รู้เรื่องเลย คุณก็เพ้อเจ้ออยู่คนเดียวแล้ว คนที่อยากอวดก็มักจะเอาอะไรมาพูดที่เขาไม่รู้
วิธีปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้อาการเป็นเรื่องหลัก เรื่องใหญ่เลย ต้องเรียนรู้อาการของนามรูป หรืออาการของรูปนาม เมื่อสัมผัสแล้วก็จะมีอาการของวิญญาณที่เป็นวิญญาณผีวิญญาณสัตว์นรก ที่จะต้องจัดการก่อนจนสัตว์นรกหมด แล้วก็ยังมีเทวดาหลอกในกามภพ ก็ต้องฆ่ามันอีก จนเป็นอนาคามีแล้วอาการของกามภพหมด ก็ต้องอ่านอาการรูปภพ อรูปภพต่ออีก จัดการอีก
นามมี 5 ประการที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
5ตัวนี้คือตัวปฏิบัติ มโนสัญเจตนาคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

จิตที่อาศัยอาการของมโนสัญเจตนาหาร อรหันต์หมดกามตัณหา ภวตัณหา เหลือแต่วิภวตัณหา อาศัยใช้อันนี้อาตมาอาศัยวิภวตัณหา อยากให้คุณได้อันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสกับมารว่า เราจะไม่ปรินิพพานจนกว่าพุทธบริษัท 4 เราแข็งแรง ท่านก็ไม่อยากตาย แต่ด้วยวิภวตัณหา พระพุทธเจ้ามีตัณหา อาตมาบอกพวกคุณก็เฉยรับได้ แต่คนอื่นเขาอาจจะประท้วงว่าหมิ่นพระพุทธเจ้าก็ได้
อาการ 32 ในร่างกายนั้นมีอาการจริงๆ แต่เราจะไปอ่านอาการของตับ เราจะไปอ่านอย่างไร แต่พวกหมอแมะเขาแมะอาการรู้ว่าคนนี้ตับไม่ดี หัวใจไม่ดี ปอดไม่ดี รู้ว่าธาตุต่างๆในร่างกายทำงานไม่ดมีดินน้ำไฟลมอากาศและวิญญาณทั้ง 6 ธาตุ และสามารถอ่านและการได้ส่วนหมอสมัยใหม่ก็ใช้ stethoscope ขอฟังอาการทั้งนั้น แต่ว่าไม่เก่งเท่าหมอแมะ จีน
อาการทางกายกรรมอาการทางวจีกรรมก็เรียกว่าวิญญัติ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล
แสดงอาการได้ ส่วนท่าทีล่ะก็แสดงออกได้ ถ้าครบทั้งหมดก็เป็นนัจจะคีตะวาทิตะ

ผู้ปฏิบัติจึงจะสามารถเห็น(ปัสสติ)
ความดับ(นิโรธ) ที่เห็นภาวะวจีสังขารใน
จิตที่ดับ(นิรุชฺฌติ)ก่อนกายสังขาร และก่อนจิตสังขารเป็นลำดับ อันอยู่ในกระบวนการของสังกัปปะ 7
ผู้สัมมาทิฏฐิจริงเท่านั้นจึงจะรู้จักรู้แจ้ง
รู้จริงสังขาร 3 และทำอภิสังขาร 3ได้แท

จึงจะบรรลุนิโรธสมาบัติแบบพุทธที่
สัมมาทิฏฐิรู้แจ้งเห็นจริงแบบนี้ ลืมตาเห็น
(ปัสสติ) และลืมตารู้(ชานาติ)ภาวะภายนอก-ภายใน เป็นธรรม 2อยู่ตลอด ตามที่ภิกษุณีธัมมทินนา
สาธยายไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 509-510
วจีสังขาร(มิใช่วจีกรรม)ดับก่อนสังขาร อื่น แล้วกายสังขาร(คือวิญญาณ คือมโน)จึงจะดับเป็นขั้นต่อมา และจิตสังขาร(คือจิตที่เป็นกาย)จึงจะดับเป็นภาวะสุดท้าย

ส่วนการเกิดขึ้น(วุฏฐาน)หรือการออกมา(วุฏฐาน)ของจิตใหม่ หรือการอุบัติภายหลัง
นิโรธ ก็เป็นจิตสังขารเกิดก่อน แล้วจึงเกิดกายสังขาร สำหรับวจีสังขารนั้นจะ
เกิดหลังท้ายสุด

ผู้มีการทำใจในใจอย่างถ่องแท้(โยนิโส
มนสิการ) จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในกระบวนการ ของสังกัปปะ 7 จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงวจี
สังขารถ่องแท้ หรือรู้แจ้งในสังขาร 3 
ผู้ทำสมาธิแบบหลับตาเข้าไปอยู่ใน
ภวังค์จะทำเป็นแต่เข้านิโรธ-ออกนิโรธ
เข้าๆ-ออกๆ กันอยู่อย่างนั้น ไม่มีจบ

ส่วนสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า นิโรธนั้นไม่ใช่เข้าๆ-ออกๆ แต่เป็นการบรรลุผลที่ได้ไปตามลำดับ ได้สัมบูรณ์แล้ว
ก็จบกิจ ไม่ใช่เข้าๆ-ออกๆกันอยู่นั่นแล้ว
ผู้เข้านิโรธ-ออกนิโรธแบบหลับตาเป็นนิโรธ จะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงการเกิด-การดับ ที่ว่านี้ได้เลย
ผู้อวิชชาหรือผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถจะบรรลุธรรมของพุทธได้อย่างสัมมาทิฏฐิก็เพราะไม่รู้จักสังขาร ปัจจัยข้อต้นในปฏิจจสมุปบาทนี่เอง
จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในภาวะของสังขาร 3ดังกล่าวนั้นแน่
เมื่อข้อต้นของอวิชชาแท้ๆยังไม่รู้จัก
รู้แจ้งรู้จริงเลย กายสังขารเป็นอย่างไรที่ถูกที่แท้ ก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ผู้ใดไม่สัมมาทิฏฐิแม้แต่ความเป็นกาย แล้วจะปฏิบัติให้บรรลุธรรมของพุทธจึงเป็นอันหมดทาง
เพราะในสังขาร 3 ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร นั้น กายสังขารเป็นลำดับแรกขั้นต้นแท้ๆ ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในความเป็นกายสังขารเสียแล้ว

                 

เนื่องจากคำว่ากาย ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ
แล้วจะปฏิบัติเพื่อทำความสงบรำงับในความเป็นกายสังขาร(กายสังขารัง ปัสสัมภยัง) ไม่ผิด
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอานาปานสติ จะทำได้ถูกต้องมีมรรคผลได้อย่างไร?
แม้จะเชื่อว่าตนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร แต่แค่กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ฉะนี้เอง ความเป็นกายจึงต่างกัน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิญญาณฐิติ 7 หรือสัตตาวาส 9 ปฏิบัติธรรมให้ตายกี่ชาติก็ไม่บรรลุเด็ดขาด
เพราะการปฏิบัติที่เข้าไปอยู่ในภวังค์ซึ่งมีแต่สัญญา ไม่มีวิญญาณ 6ให้สัมผัส จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกายในวิญญาณฐีติ 7ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ ครบแน่นอน ในเมื่อไม่ได้ปฏิบัติในขณะที่มีวิญญาณฐีติ คือ มีความตั้งอยู่ของวิญญาณ 6 ซึ่งมีวิญญาณ
ทั้งภายนอกภายในขณะปฏิบัติ ที่ผู้ปฏิบัติ
รู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั้นกันทีเดียว
ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขารที่เริ่มตั้งแต่
ความเป็นกายสังขารได้ จึงจะปฏิบัติธรรมเป็นขั้นต้นไปตามลำดับได้บริบูรณ์ ถ้าไม่เป็นลำดับตามพระวจนะของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีหวังจะประสพการบรรลุธรรมเด็ดขาด
นี่คือการศึกษาในเรื่องอัตตา ซึ่งจะจัดการอัตตา 3ด้วยการปฏิบัติกับกายใน
กาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมใน
ธรรมได้สำเร็จเสร็จสัมบูรณ์ ไปตามลำดับ
ในฉบับที่แล้ว ได้อธิบายถึง
พุทธเป็นประชาธิปไตยถึงขั้นมีอิสระ
เสรีปลดแอกโลกีย์ ไม่เป็นทาสโลก
ไม่อยู่ใต้อำนาจของโลกธรรม อันได้แก่ ลาภ,ยศ, สรรเสริญ,สุขเท็จ เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกอย่างแท้จริง และได้กำจัด
อัตตาตนเองไปได้จริง เป็นคนมีคุณธรรมอันวิเศษเหนือโลกธรรมได้สุดยอดจริง แต่
ไม่เบียดเบียนโลก จึงไม่แย่งอำนาจที่คนยึดติดความเป็นโลก ให้อำนาจเป็นของโลก ให้อำนาจเป็นของมวลประชาชน อย่างจริงใจ จึงชื่อว่าประชาธิปไตย
เพราะจริงๆแล้ว ความเป็นอำนาจ หรืออธิปไตยนั้น ของโลกก็ต้องเป็นของ
โลก
ย่อมเป็นกระแสพลังงานที่ปฏิสัมพัทธกันอยู่ในสังคมโลก และของประชาชนแต่ละคนก็ต้องเป็นของประชาชน นั่นก็เป็นสัจจะอยู่แท้ ที่เป็นอิสระของแต่ละคน
ผู้ไม่ต้องไปเอาอำนาจของอะไร ทั้งของโลก และทั้งของประชาชน มาเป็นของตน มาบังคับให้เป็นของตน หรือมาเป็นอัตตา ไม่ต้องบำเรอตนแล้ว จึงเป็นอิสระ ทั้งตน ทั้งทุกอย่าง แม้แต่ตนก็ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของตน หรือไม่เอาตนไปเป็นอำนาจกับใคร กับอะไรในที่ไหน
เพราะเป็นอิสระเสรีไม่เป็นทาสโลก
ไม่อยู่ใต้อำนาจโลกแท้จริงแล้ว อำนาจ
โลกก็เป็นไปอย่างอิสระตามที่มันเป็น
อำนาจของคนแต่ละคนประดามีในมวลประชาชนของโลก เขาก็มีความยึด-มีความแย่งกันไปตามจริงที่มีกันอยู่ ก็ล้วนเป็นอิสระทั้งนั้น ย่อมเกิด ย่อมเป็นตามจริง นี่คือ ธรรมาธิปไตย เพราะพุทธเรียนรู้ความเป็นอัตตาทั้ง
3 อัตตา(โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) และที่มันเป็นตัวตนที่เห็นแก่ตัวเองอยู่จริง และได้กำจัดอัตตาที่เป็นตัวเอง-ความเห็นแก่ตัวเองไปจากจิตใจตนได้จริง
เพราะกำจัดความเป็นตนอย่างรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง ตัวตนนั้นๆ กำจัดตัวตนนั้นๆลดละจางคลาย และหมดสิ้นไปได้เป็นลำดับ ชนิดที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ตัวตนหรืออาตมัน-อัตตานั้นๆ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
เมื่อกำจัดได้หมดสิ้นจริง จึงไม่มีตนจริง ชีวิตจึงมีแต่ผู้อื่น อยู่กับผู้อื่น รู้คุณ รู้โทษของสรรพสิ่ง ทำงานกับผู้อื่นอย่างไม่มีความเป็นตัวตน ไม่เห็นแก่ตัวตน ภาวะที่ทำงานสร้างสรรใดๆอยู่ จึงทำเพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น
เพราะเป็นภาวะที่ปราศจากตัวตนจริง อำนาจความเป็นตัวตนจึงไม่มีเลยแท้จริง  
พุทธสร้างคนให้เป็นอรหันต์ ผู้มีอิสระ เสรีปลดแอกโลกีย์ได้สูงสุด ชื่อว่า อรหันต์ เป็นผู้หมดความเห็นแก่ตัวแท้จริง จึงเป็นผู้เห็นแก่ผู้อื่นจริงแท้ ไม่กดข่ม ไม่เสแสร้ง มีชีวิตทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆ เป็นผู้มีชีวิตให้ผู้อื่นคือประชาชนเลี้ยงไว้(ปรปฏิพัทธา เม
ชีวิกา) มีชีวิตทำงานทำประโยชน์ให้กับปวงประชาชนแท้ๆแน่ๆ(พหุชนหิตายะ) 
เพราะทำงานอย่างผู้ที่หมดความเห็นแก่ตัวจริงสำหรับผู้อรหันต์ เป็นผู้มีประชาธิป
ไตยเต็มใบ เต็มตัว ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ผู้หมดตัวตนจนสิ้นเกลี้ยง ก็เป็นอนาคามี ผู้หมดความเห็นแก่ตัวตนไปกว่าค่อนกว่าครึ่ง ถึง 3 ใน 4 เหลือแต่โทษภัยสำหรับตน ที่ยังเป็นกิลมถะ ความทุกข์-ความลำบากส่วนตัวเท่านั้น ภายนอกที่เป็นกามภพอนาคามีไม่มีโทษมีภัยกับใครใดแล้ว ไม่แย่งไม่ชิงโลกกับเขาแล้ว มีแต่ทำงานรับใช้โลกอยู่อย่างบริสุทธิ์จริง
ถ้าเป็นสกิทาคามีก็หมดความเห็นแก่ตัวตนไปเศษ 2 ส่วน 4 เป็นแค่โสดาบันก็หมดความเห็นแก่ตัวตนไป 1 ใน 4 ถ้าปฏิบัติเป็นโลกุตรธรรมถูกต้องสัมมาทิฏฐิแน่แท้ ก็จะหมดตัวตนมีคุณสมบัติอันวิเศษนี้จริงฉะนี้
ส่วนผู้ปฏิบัติไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่น ผู้เข้าป่าปฏิบัติ หลงสมาธิหลับตาเข้าภวังค์ว่าเป็นสัมมาสมาธิ หรือผู้ปฏิบัติอยู่ในบ้านก็ตามที่ก็ยังหลงสมาธิหลับตาเข้าภวังค์ ยังไม่สัมมาทิฏฐิในสัมมาสมาธิจริง เท่าที่ผู้ใดผู้นั้นมีมิจฉาทิฏฐินั้นๆ จึงไม่มีทางจะหมด
โลกธรรม ไม่มีทางหมดตัวตน เพราะความเป็นตัวตน(อัตตา)ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นโลกก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นรูปเป็นนาม เป็นกายเป็นจิต แม้แต่คำว่าบุญก็ด้วย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถหมดความเป็นตัวตน(อัตตา) และไม่สามารถหมดความเป็นโลก
?????????????
(ตัดออก?)
เพราะไม่หมดความเป็นโลก จึงมีแต่สร้างอำนาจ(อธิปไตย)ด้วยความไม่รู้ความวนเวียน(โลก) ด้วยความไม่รู้ตัวตน(อัตตา) จึงยิ่งกลายเป็นผู้ก่อความเป็นโลกาธิปไตยใส่ตน และใส่โลก ด้วยอวิชชา พากันหลงอำนาจโลก หลงอำนาจตัวตน หรืออำนาจอัตตา แล้วหลงสร้างเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยใส่โลก ใส่สังคม อย่างไม่เป็นธรรม
อธิปไตยหรืออำนาจของตน ก็คือ สร้างตัวกูของกูให้ยิ่งใหญ่กว่าใครในสังคม โดยตนเองก็เพิ่มความฉลาด(ฉลายตนะ
ใช่ สฬายตนะ ไหมครับ?)ซับซ้อนที่ตนเองอวิชชาคือ ไม่มีความรู้ที่เป็นอัตตาและที่เป็นโลก จึงยิ่งสร้างความเป็นตนและความเป็นโลกที่ใหญ่ยิ่งขึ้น อย่างลึกลับซับซ้อนซ่อนเชิงด้วยความฉลาดแกมโกง(เฉโก,เฉกตา ซึ่งมิใช่ปัญญา)แต่มีปฏิภาณ
ว่ากุศลคืออะไร ก็เป็นนักแสดงที่สร้างภาพให้เก่งกาจเยี่ยมยอดอยู่ในโลก ที่ซับซ้อนซ่อนเชิงยิ่งๆขึ้น ความลึกลับที่หมุนรอบเชิงซ้อน จึงยิ่งหนักยิ่งหนาไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ที่คนผู้ไม่ฉลาดพอย่อมตกเป็นเหยื่ออยู่แน่เป็นธรรมดา  จึงหลอกคนด้วยความฉลาดแกมโกง ว่า ตนเป็นคนดีอย่างเป็นมายาสาเถยยใส่โลก ให้แก่คนในโลก ให้แก่คนผู้ยังติดโลกเหมือนกันหลงยิ่งขึ้นๆๆๆๆ เป็นบริวาร ช่วยกันทำลายสังคมในโลก ตามที่มีให้เห็นได้จริงในปัจจุบัน และในประวัติศาสตร์
แต่ฉลาดปรุงแต่ง(สังขาร)ในความโลภลาภ-โลภยศ-โลภสรรเสริญ-โลภสุขที่ เป็นเคหสิตเวทนาให้ตนด้วย มอมเมาโลกให้หลงหนักหน้าด้วย


อำนาจของโลกก็คือ กูจะเป็นเจ้าโลกที่ผู้อวิชชาลึกลับซับซ้อนซ่อนแฝงสุดๆ โดยตนเองก็เพิ่มความฉลาด  เพราะไม่มีความรู้จริงแท้ในความเป็นโลก(ความยังหมุนยังวนอยู่) อันเป็นภายนอก จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความหมุนวนวุ่นวายอยู่กับ
เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยของโลก-สังคม-พฤติกรรมของความเป็นคน
เพราะไม่มีความรู้จริงแท้ในความเป็นอัตตา(ตัวตน)อันเป็นภายใน จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความเห็นแก่ตัว(อัตตา)ที่ยังหลงทำเพื่อตัวเพื่อตน จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความยึดอยู่กับ เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยของตัวตน ที่ตนเองยิ่งมีพฤติกรรมของความเป็นตัวตน แล้วทำเพื่อตัวตนอยู่อย่างร้ายแรงยิ่งๆขึ้น

ผู้ไม่รู้ที่ว่านี้ ยังไม่รู้ทั้งอัตตา-ตัวตน ทั้งโลกนั่นเอง ไม่ว่า กามโลก(กามภพ)-รูปโลก(รูปภพ)
-อรูปโลก(อรูปภพ) เช่นที่ ในพระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 228 เป็นต้น และที่อื่นมากมาย
หรือไม่ว่า อบายโลก-มนุษย์โลก-เทวโลก-ขันธโลก-ธาตุโลก-อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14) ซึ่งมีความเป็นโลกที่ลึกซึ้งละเอียดสำคัญยิ่ง ??????????
(เอาออก?)
      ศาสนาพุทธ มีความเป็นคอมมูนสต์ ก็มีที่สุดยอดยิ่ง ทุกคนซื่อสัตย์ เสียสละ ไม่มีอัตตา ที่จะเห็นแก่ตัว สามารถเสียภาษีให้ส่วนกลาง 100 % อย่างสมัครใจ เป็นอิสระ มิได้บังคับเลย ทุกคนสมัครใจเสียภาษี รับใช้สังคมแท้
พุทธเป็นเผด็จการที่เยี่ยมยอดเกินที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องของจิตใจแห่งโลกุตรธรรมที่มีจริง ในความหมดตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่มวลมนุษยชาติอย่างบริสุทธิ์ใจที่เป็นอาริยภูมิจริง จึงใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อมวลชนจริงซื่อสัตย์สุด ไม่ทำงานรับใช้มวลมหาชนเพื่อตัวตนเลย
เพราะพุทธสร้างคนให้มีธรรมาธิปไตยได้ด้วยทฤษฎีพิเศษ ที่เป็นคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม) และสร้างให้คนไม่ใช้อำนาจโลกาธิปไตย เพราะอาริยะหรืออรหันต์ เป็นผู้ล้างความเป็นทาสโลกไปจากใจ จนเป็นผู้อยู่เหนือโลก(โลกุตระ) ที่เป็นลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ได้จริง มีชีวิตให้ประชาชนคนอื่นเลี้ยงไว้(ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) อย่างไม่ห่วงหาอาวรณ์ตนเลย สบายจริงๆ จึงทำงานช่วยสร้างลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขให้คนอื่น ไม่แย่งลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ของสังคมของใครในโลก เพราะท่านหยุดเสพโลกียรสแล้วจริง สิ้นความติดโลกธรรมแล้ว จึงเป็นคนไม่ต้องแย่งโลกมาให้ตนแล้ว มีแต่ธรรม(โลกุตรธรรม) และท่านไม่มีอัตตาธิปไตยได้ ชนิดที่มีประสิทธิภาพแท้ เพราะได้ล้างอัตตา 3 (โฮฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) จากจิตไปได้หมดสิ้นเกลี้ยงจริง ด้วยทฤษฎีหรือวิธีปฏิบัติพิเศษของพุทธ จึงเป็นคนไม่มีอัตตา (อนัตตา) ก็ไม่มีอัตตาที่จะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับใครๆ จึงใช้แต่ธรรมาธิปไตยบริสุทธิ์
ผู้สัมมาทิฏฐิแท้ ปฏิบัติพุทธธรรมก็จะเป็นคนดังว่านี้ ทำงานรับใช้ปวงชนอยู่ทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช และจะมีอาริยบุคคลที่เป็นฆราวาสนั่นแหละทำงานให้สังคมมากกว่านักบวช ซึ่งคนที่เป็นอรหันต์ย่อมน้อยกว่าอาริยบุคคลระดับต่ำกว่าแน่นอน แต่หากสังคมพุทธมีสัมมาทิฏฐิกว้างขวางจริง ก็จะมีอาริยบุคคลในสังคมมาก ที่สัมมาทิฏฐิ
ไม่กว้างขวางแน่นอน ใช่มั้ย?
ศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิแท้ จึงแตกต่างจากลัทธิที่ไม่ใช่พุทธทั้งหลาย ซึ่งพุทธมีวิธีปฏิบัติเฉพาะหนึ่งเดียวของพระพุทธเจ้า

 

วิธีปฏิบัติ หรือแนวคิด ที่เรียกกันด้วยสำนวนง่ายๆว่า ลัทธิพระป่า,พระธุดงค์,พระกรรมฐาน เป็นต้นนั้น แม้จะไม่ใช่พระป่าของลัทธิอื่น จะเป็นพระชาวพุทธเองก็ตาม ยังหนีโลกธรรม ยังเป็นโลกียะ ยังไม่ได้ศึกษาเรียนรู้สมุทัยของโลกด้วยการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วกำจัดเหตุแห่งโลกียะนั้นๆ จึงยังกำจัดกิเลสไม่ได้จริง ยังไม่สามารถสัมผัสสักกาย อันเป็นกายของตน(สัก) จนพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อยังไม่พ้นสักกายทิฏฐิ จึงยังพิจารณากายในกายอย่างไรก็ไม่เป็น ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่แน่นอน ไม่อาจจะเข้าถึงปรมัตถธรรมแน่ๆแท้ๆ เพราะยังทำใจในใจ(มนสิกโรติ) ไม่สัมมาทิฏฐิตามโพธิปักขิยธรรม 37 จึงเริ่มทำใจในใจตั้งแต่ความเป็นกายในกายก็ไม่ได้
เพราะกายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 จึงยังไม่สามารถโยนิโสมนสิการที่จะปฏิบัติกายคตาสติ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับอานาปานสติ อย่างปฏิสัมพัทธ์ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะส่วนมากลัทธิพระป่าดังว่านี้ แม้แต่ปริยัติคำว่าสักกายหรือแค่คำว่า
กายก็ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นสัมมาทิฏฐิ จะยังหลงเข้าใจผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ว่า กาย นั้นคือ ความเป็นร่างกายภายนอกเท่านั้น ไม่เข้าใจว่า กายนั้นคือ องค์รวมของทั้งรูป ภายนอกและนามภายในด้วย ขาดกันไม่ได้ เมื่อพิจารณากายในกายก็พิจารณาแค่ร่างกาย หรือพิจารณาแค่อิริยาบถของอาการที่เคลื่อนไหวปรากฏอยู่ภายนอก
เท่านั้น ไม่พิจารณาความเป็นอาการที่เป็นองค์ประกอบของจิต-มโน-วิญญาณ เป็นหลักตามที่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้แน่นอน  

นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แม้แต่พระป่า จึงได้แต่ปฏิบัติสมถะเป็นหลัก และ
บรรลุเจโตสมถะเท่านั้น ไม่ได้ความเป็นโลกุตระ ต่อให้เป็นผู้สำรวมอินทรีย์เคร่ง
ครัดจัดหนัก และประพฤติมักน้อย สันโดษ เต็มอัตราแห่งผู้นิยมมักน้อย [เหมือนพวกศาสนา เช่น ที่มีถึงขนาดเปลือยกาย ไม่นุ่งผ้า ปานนั้น] ปานใดก็เถอะ ก็จะไม่คลุกคลีกับหมู่มนุษย์สังคมกามาวจรที่เป็นตัวตนของบุคคลเราเขา ที่เป็นสังคมมนุษย์สามัญของโลก(อสังสัคคะ) จึงไม่รู้โลก ไม่รู้ทันโลกีย์ ทิ้งโลกีย์ ลืมโลกีย์
แต่ลัทธิพระป่านี้ก็คลุกคลีกับหมู่สวรรค์ในภพ(สังคณิกะ) สร้างสวรรค์ที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจรกันอย่างอวิชชาฉกาจฉกรรจ์ ซึ่งเป็นการคลุกคลีหนักจัดกับหมู่
กองอัตตาชนิดนี้ ซึ่งได้แก่ มโนมยอัตตา กับอรูปอัตตาอันเป็นอัตตาในภวังค์ (ซึ่งไม่ใช่อัตตาในกามาวจรภูมิ) ชนิดที่พระป่าทั้งหลายไม่รู้ ไม่เข้าใจไม่ไหวทันเลย (แม้แต่พระบ้านทุกวันนี้ ก็แทบจะไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ทันเช่นกันมั้ง!) และหลงสะสมอัตตา 2 (รูปภูมิกับอรูปภูมิ) นั้นกันอย่างจัดจ้านตามแบบฤาษีดาบสมาแต่ไหนแต่ไร แบบเดียวกันกับอาฬารดาบส-อุทกดาบสนั่นเอง สะสมมโนมยอัตตากับอรูปอัตตา โดยติดยึดหลงใหลกันด้วยอวิชชาเต็มที่ จึงเป็นผู้เต็มไปด้วยอัตตา เพราะอวิชชาในความเป็นอัตตา การหลับตาทำสมาธิได้เจโตสมถะนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มีอุปการะมาก ถ้าผู้นั้นสัมมาทิฏฐิ ควรทำอย่างยิ่งซึ่งอุปาการะในประเด็นสำคัญ ที่ให้ประโยชน์ยิ่งนั้นก็คือทำเตวิชโช ที่นักปฏิบัติพุทธทุกคนต้องทำการหาเวลาพิเศษ มานั่งทำเจโตสมถะ หรือต้องอยู่ในที่สงบหลบมาทำเจโตสมถะ

เพ่งจิตเป็นสมาธิ เพื่อตรวจภูมิธรรมด้วยเตวิชโชนี้เป็นการทบทวนตนเอง เป็นการตรวจผลของตนที่มีชีวิตผ่านประสพการณ์
มา(ปุพเพนิวาส) ก็ควรตรวจความเกิด-ความดับอันเป็นความเกิด-ความดับของกิเลส
หรืออกุศลจิตในตนที่เป็นมรรคผล(จุตูปปาต)
ก็ต้องตรวจต้องทำ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหนีเข้าป่าเขาไปไกลลิบลับ เอาชีวิตไปจมเสียเวลาอยู่กับป่าอะไร อย่าเข้าใจผิด
หรือถึงวาระที่ผู้ปฏิบัติยังสงสัยข้องใจในความละเอียดสุด ว่า ถ้าเราไปตกอยู่ในที่
ไม่มีโลกธรรม ที่เงียบสงบเช่นในป่า ในที่ไกลสังคม เป็นต้น เราจะหลงจม(สังสีทิสสติ)
ติดป่า หรือจิตเราจะฟุ้งซ่าน(อุปฺปิลวิสฺสติ)ยังตัดโลกธรรมไม่ขาด กันบ้างหรือหนอ
ถ้าผู้ใดยังจะต้องปฏิบัติเช่นนี้ ก็ได้แก่ ผู้ที่ภูมิธรรมสูงแล้ว มีสมาธิระดับอรหัต
มรรค หรืออย่างน้อยก็ขั้นอนาคามีภูมิ สัมมาทิฏฐิจริง จึงจะพึงปฏิบัติ ถ้าไม่ใช่ฐานะขั้นนี้ก็ไม่ควร[ดูอุปาลีสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 99]

แต่ถ้ายังมิจฉาทิฏฐิ หรือยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ได้ปฏิบัติตนจนกระทั่งบรรลุธรรม เป็นลำดับถึงขั้นดังที่อาตมากล่าวนี้ ก็อย่าหลงผิดว่า การปฏิบัติธรรมของพุทธนั้น คือ การออกไปปฏิบัติในป่านั้นคือ แบบวิถีทางอันสัมมาทิฏฐิ ของผู้นับถือศาสนาพุทธ
นั่นมันลัทธิมีมาแต่ไหนแต่ไร เก่าแก่ที่เป็นสามัญโลกีย์ มิใช่โลกุตระของพุทธ

การปฏิบัติธรรมของพุทธที่สัมมาทิฏฐิ นั้นไม่หนีโลกธรรม คือ ไม่หนี หรือไม่ต้องทำเป็นไกล ห่างลาภ,ยศ,สรรเสริญ,รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสกายไปไหนหรอก ไม่ต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำไปอยู่ในที่เงียบสงบ ไม่ต้องหลบ เข้าไปอยู่ในป่าช้า ไปอยู่ในเรือนว่าง เรือนที่ไม่มีผู้คน พาซื่อกันปานนั้นเลย ปฏิบัติอยู่กับชีวิตสามัญ คนที่มีลาภ,
ยศ,สรรเสริญ,รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสกายนี่แหละ เพียงแต่รู้วิธีกำหนดขนาดจำกัด
หรือในกามาวจร(ปริตตัง)ให้พอเหมาะแก่ตนไปตามลำดับ แล้วปฏิบัติกำจัดละลดประหาร
เหตุที่มันก่อเรื่อง(นิทาน)ให้เราต้องทุกข์-ต้องสุข-ต้องไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่ เพราะไม่มีใครจะ สามารถปฏิบัติ ทำการต่อสู้กับกิเลสทั้งหมดของตนที่ไม่มีขนาดจำกัด หรือไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตัง)ไปพร้อมกันทั้งหมดได้แน่นอน [ดูในพระไตรปิฎก เล่ม 10 เริ่มตั้งแต่ข้อ 57 เป็นต้นไป]
พระพุทธเจ้าจึงมีวิธีปฏิบัติของพระองค์เป็นที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา อย่างมีลำดับ ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ที่มีกุศโลบายอันวิเศษ สามารถจัดการกับกิเลสได้ ขั้นเป็นตอนไปได้วิเศษสุด โดยอยู่กับโลกธรรมดา แต่เหนือโลกธรรม(โลกุตระ) ยังอยู่กับโลกธรรมได้ดีเป็นปกติ มีฌานแบบได้โดยง่าย(นิกามลาภี) ได้โดยไม่ยาก(อกิจฉลาภี) ได้โดยไม่ลำบาก(อกสิรลาภี) เพราะเป็นฌานลืมตา เมื่อปฏิบัติบรรลุสัมมาฌานตามแบบพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมตามความปรารถนา (นิกามลาภี) เป็นผู้ได้โดยไม่ยากในฌาน 4 โดยไม่ลำบากในฌาน 4 [จตุนฺนัง ฌานานัง อาภิเจตสิกานัง ทิฏฐธัมมสุขวิหารานัง นิกามลาภี โหติ อกิจฉลาภี อกสิรลาภี] เชิญตรวจสอบ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ เป็นต้นว่า ในพระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 33 และในที่อื่นๆอีกมาก  

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติที่ไปหลงอยู่ป่าเป็นวัตร อยู่เสนาสนะอันสงัด แต่ไม่ได้ตามปรารถนา,ไม่ได้โดยง่าย,ไม่ได้โดยไม่ยาก(ก็คือได้โดยยากนั่นแล) ไม่ได้โดยไม่ลำบาก(ได้โดยลำบาก) ซึ่งฌาน 4 เพราะไปหลงลัทธิพระป่า เป็นดาบสฤาษีนั่นเอง [โน จ จตุนฺนัง ฌานานัง อาภิเจตสิกานัง ทิฏฐธัมมสุขวิหารานัง นิกามลาภี โหติ อกิจฉลาภี อกสิรลาภี] ตรวจดูดีๆ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ เป็นต้นว่า ในพระไตรปิฏก เล่ม 24 ข้อ 8 ซึ่งมีความหมายหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกล้ำ(คัมภีรา,ปฏินิสัคคะ)

พระป่า หรือผู้ที่ยังหลงผิดว่า การปฏิบัติธรรมแบบพุทธที่จะมีมรรคผลนั้น ต้องออกไปอยู่ที่เงียบ ในป่าเขาถ้ำ หนีจากผู้คนสังคม ไม่มีสัมผัส 6 ผิดทางพุทธ  
เอาแต่หนีไปอยู่ป่า อยู่เสนาสนะอันสงัด ตามที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ เกือบทั้งนั้นเข้าใจกันอย่างนี้ จึงพากันได้ฌาน 4โดยยาก ????????????
(ตัด?) ไม่เหมือนผู้ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยการปฏิบัติมรรค 7 องค์เป็นวิธีปฏิบัติ
ซึ่งชาวพุทธที่หลงออกนอกทางอริยมรรคอันมีองค์ 8นี้ไป แล้วไปได้มิจฉาฌาน
แบบฤาษีอาฬารดาบส หรืออุทกดาบสกัน ก็เป็นผู้ได้โดยยาก ได้โดยลำบากในฌาน 4


โลกธรรมนั้นก็อยู่ในสังคมนั้นเป็นธรรมดา เป็นแต่ว่าเราไม่ได้ร่วมโลภ-ร่วมโกรธ-ร่วมหลง โลกธรรมส่วนที่เราหมดกิเลสกับปัจจัยนั้นแล้ว เราก็ไม่ได้เอาเปรียบหรือทุจริต
อกุศลกับคนที่ยังโลกธรรมนั้น เราก็ร่วมทำงานอยู่ในสังคมที่มีโลกธรรมนั้น
ทีนี้..เมื่อจิตสำนึกขั้นต้น(conscious) ซึ่งเป็นจิตขั้นสามัญถูกกำจัดกิเลสดับไปได้จริง ไม่มีกิเลสขั้นต้นในจิตสำนึกสามัญ (conscious)นั้นแล้ว จิตสำนึกสามัญก็ว่างจากกิเลสขั้นต้นนี้ไปแล้วจริง จิตสำนึกสามัญในภูมิขั้นต้นนี้ก็ว่างจากกิเลสนั้นไปแล้วจริง
กิเลสที่เหลือซึ่งเป็นกิเลสในจิตใต้สำนึก(subconscious) และหรือกิเลสในจิตไร้สำนึก(unconscious) มันยังมีอยู่ มันจึงเป็นกิเลสที่ต้องทำหน้าที่เป็นขั้นต่อมา ตามที่กิเลสที่เหลือนั้นยังมีอยู่ในจิต ของผู้ที่ได้กำจัดกิเลสขั้นต้น คือ กิเลสในขั้นสำนึกสามัญ(conscious)ไปได้แล้วจริง
กิเลสในจิตสามัญสำนึก(conscious)

ในภูมิชั้นต้นที่กำจัดได้แล้วนี้ เรียกว่า วีติกกมกิเลส[วีติกกม แปลว่า การก้าวล่วง] ผู้เรียนอย่างสัมมาทิฏฐิ รู้ของพุทธถูกต้อง จะปฏิบัติเป็นลำดับ ผู้ปฏิบัติก็เริ่มที่กิเลสอยู่ในจิตสำนึกสามัญได้จริง แล้วกิเลสขั้นต่อมาเรียกว่า กิเลสขั้นกลางอันเป็นกิเลสขั้นจิตใต้สำนึก(subconscious) ก็ต้องทำงานปกติของมัน เมื่อเรายังสัมผัสสัมพันธ์กับโลกธรรมอยู่ปกติ กิเลสที่เหลือมันถูกยั่วด้วยการสัมผัส มันก็ทำหน้าที่ของมันตามปกติที่มันเป็นกิเลส เพราะมีเหตุปัจจัยของกิเลส แต่เป็นกิเลสขั้นกลาง ซึ่งไม่หยาบไม่ร้ายเท่าขั้นต้นที่ต่ำที่หยาบหนานั้นแล้ว เจ้าตัวผู้มีกิเลสจึงได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกิเลสตัวใหม่ให้เราได้กำจัดต่อมาได้จริงชนิดที่มีของจริง ซึ่งวิธีปฏิบัติหรือทฤษฎีปฏิบัติแบบนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ มีในศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น ในศาสนาอื่น หรือแม้แต่ชาวพุทธผู้ไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้ความสำคัญในประเด็นสำคัญยิ่งนี้ จึงไม่สามารถจะกำจัดกิเลสขั้นต้น คือกิเลสในสามัญสำนึก(conscious) แล้วจึงจะมีกิเลสขั้นกลาง คือ กิเลสในจิตใต้สำนึก(subconscious)ขึ้นมาให้กำจัดต่อไปได้ เป็นลำดับจริง
และสุดท้ายกิเลสขั้นอนุสัยขั้นปลายคือกิเลสในจิตไร้สำนึก(unconscious)จึงจะขึ้นมาให้ผู้ปฏิบัติกำจัดได้อย่างวิเศษ เป็นจริงได้  อันเป็นลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ไหลเลื่อนต่อเนื่องมาอย่างเป็นลำดับลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ที่วิเศษแท้ การดับกิเลสได้ แบบของพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า คุณวิเศษ ซึ่งเป็นไปได้ชนิดที่เป็นลำดับๆ อย่างวิเศษแท้จริง ตามลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย อย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสตัวที่เราก้าวล่วงมันไปได้แล้ว แล้วจากนั้นกิเลสตัวกลางมันจึงจะเลื่อนจากขั้นกลางขึ้นมาเป็นตัวต้นแทนที่ เราจึงจะกำจัดกิเลสตัวกลางที่เลื่อนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสามัญสำนึกเป็นตัวต้นแทนที่นี้ได้ต่อมา เรียกกิเลสขั้นนี้ว่า ปริยุฏฐานกิเลส

ปริยุฏฐาน หมายความว่า การเลื่อนขึ้น การลุกขึ้น ความรู้ความเข้าใจที่สูงขึ้น
[296 เชื่อมต่อตรงนี้] (ดูเหมือนยังไม่สมบูรณ์ ต้องเติมอะไรไหมครับ)
ตอนนี้กิเลสตัวที่เลื่อนตัวขึ้นมาแทนที่จิตสำนึกสามัญ(conscious) คือเลื่อนมาจากจิตใต้สำนึก(subconscious) กิเลสตัวใหม่นี้ นั่นแหละมันยังครอบงำเราอยู่ ตอนนี้ตัวนี้ที่จะต้องพยายามกำจัดมันต่อไป ปริยุฏฐานกิเลสจึงคือ ความครอบงำ, ความพยายาม ผู้นั้น ในตอนนี้อยู่
กิเลสจึงเป็นกิเลสของจิตใต้สำนึก(subconscious)นั่นแหละเป็นลำดับต่อมา ที่จะต้องกำจัดมัน ในชีวิตที่เป็นอยู่กับสามัญสำนึก
ดังนั้น หากมีเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลสขึ้นมาอีกเมื่อใด จึงเป็นกิเลสขั้นต่อมานี่เอง เป็นลำดับที่ 2 ที่เราจะต้องกำจัดมันต่อไป
ต่อมา เมื่อมีการสัมผัสของกายภายนอก กิเลสที่มันยังเป็นกิเลสอยู่จริง ซึ่งเป็นกิเลสขั้นกลาง คือกิเลสขั้นที่2 เป็นจิตใต้สำนึก ก็เกิดให้เรากำจัดเป็นลำดับต่อไป แทนที่ในตำแหน่งของจิตสามัญสำนึก (conscious) ซึ่งมีการสัมผัสอยู่กับภายนอกปกติ
ผู้จะสามารถกำจัดกิเลสขั้นกลางคือ ผู้ก้าวล่วง(วีติกกม)กิเลสขั้นต้นได้ก่อน แล้วจึงจะมีกิเลสขั้นที่ 2 เลื่อนขึ้นมาปรากฏตัว ให้เจ้าตัวกำจัดมันได้
กล่าวคือ กิเลสปกติขั้นต้นของคนทั่วไปนั้นเป็นกิเลสที่ดำเนินอยู่ในจิตสามัญสำนึก(conscious) กำจัดกิเลสขั้นที่ 2 นี้ที่มันเลื่อนขึ้นมาแทนที่ขั้นที่ 1 ได้อีกจริง ต่อมา กิเลสขั้นที่ 2 คือกิเลสของจิตใต้สำนึก(subconscious) ก็หมดไปอีก จึงจะมีกิเลสอื่นเลื่อนขึ้นมาแทน
กิเลสนี้หมดสิ้นลงไปอีก ก็จะเหลือกิเลสขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นกิเลสจากจิตไร้สำนึก (unconscious)นั่นเอง ที่จะเลื่อนขึ้นมาอยู่แทนที่กิเลสขั้นที่ 2 ที่หมดสิ้นไป
เพราะได้กำจัดกิเลสตัวกลางที่เลื่อนขึ้นมาเป็นตัวต้นนี้ได้อีกเสียก่อน กิเลสตัวที่อยู่ลึกขั้นที่ 3 คือจิตไร้สำนึกมันจึงจะเลื่อนขึ้นมาแทนที่จิตสำนึกสามัญได้
เมื่อกำจัดกิเลสตัวที่ 2 ของจิตใต้สำนึกได้แล้ว ต่อมาตัวที่ 3 จิตไร้สำนึก (unconscious)ซึ่งเป็นจิตขั้นปลายสุดแท้ๆ ก็จะเลื่อนขึ้นมาเป็นตัวต้น(conscious) แทนตัวที่ 2(subconscious)อีกที อยู่ในตำแหน่งสามัญสำนึก(conscious) อันมีเหตุปัจจัยภายนอกสัมผัสอย่างสามัญ กิเลสก็จะเกิดได้ทันทีให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเมื่อมีการกระทบ

วิธีการปฏิบัติเช่นนี้ต้องมีความจริงที่ครบพร้อมด้วยกาย คือองค์ประชุมของรูปภายนอก(พหิทธารูปานิ) กับนามซึ่งเริ่มตั้งแต่สัญญา การกำหนดรู้ ที่ทำหน้าที่อย่างสำคัญ ร่วมกับกาย ตามที่พระพุทธเจ้า
ตรัสไว้ในวิญญาณฐิติ 7 ในสัตตาวาส 9 
จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์โอปปาติกะ สัตว์ทางวิญญาณที่เกิดอยู่ได้้เห็น(ปัสสติ)ความจริงหลัดๆทุกปัจจุบัน
[จบ256] ???????  อ่านต่อฉบับหน้า
(ต้องแก้ไขไหมครับ?)
ไม่ว่ากิเลสที่เป็นจิตสำนึกสามัญ(conscious) จิตใต้สำนึกขั้นกลาง(subconscious) และจิตไร้สำนึกขั้นกลาง(unconscious) จึงจะสามารถกำจัดกิเลสได้เกลี้ยงสิ้น ตามลำดับ อย่างมีความจริง-ของจริง ไม่ใช่แค่ความจำ ชนิดที่เห็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบันนั้นทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ธรรมวินัยนี้ของพระองค์ มีความลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ มันยิ่งใหญ่ถึงขั้นนับว่าเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาก่อน(อัจฉริยา อัพภุตธัมมา)
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชัดเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่ามีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา(อัจฉริยา อัพภุตธัมมา)ประการที่ 1   
ความจริงนั้นคือ มโนมยอัตตา คืออารมณ์อย่างนั้นแหละที่ตนเองปั้นขึ้นมา
เองสำเร็จด้วยมโนของตนเอง

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ มันไม่ใช่ตัวตนแท้จริงหรอก มันมีคู่แฝดอยู่คือทุกข์ คือภาระ คือความเป็นนายที่ต้องรับใช้มัน คือถ้าใครยังยึดว่า มันเป็นสุขจริงๆ ที่เรายังต้องการ จะต้องได้เสพลักษณะนั้นแหละอยู่ ผู้นั้นก็ยังมีอยู่ ยังไม่หมดไปจากจิต จากอนุสัย ซึ่งมันก็เป็นDNAของตน เป็นเผ่าพันธุ์ของตน ของความเป็นตนอยู่  จึงเป็นทุกขอริยสัจ(ความจริงที่เป็นทุกข์ ซึ่งผู้เป็นอริยะจึงจะ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง และมีข้อปฏิบัติให้หลุดพ้น หรือดับไปจากตนสำเร็จได้จริง) ที่เป็นความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ไม่ใช่ความเจ็บความปวดที่ร่างภายนอกได้รับ รู้ให้ชัด จำไว้ให้ดีเถิดว่า สัตว์นรกนั้น มีแต่อยู่กับทุกข์ ไม่มีอื่น
ไอ้ที่เล่ากันเป็นตุเป็นตะ สารพัดนิยายนั้น เป็นเรื่องจริงก็แค่อารมณ์ทุกข์ นอกนั้นอุปาทานที่นิมิตไปของตนเองทั้งสิ้น ตนเป็นเองมีเองในภพของตนเองเท่านั้น อัตภาพของใครก็ของคนนั้น ไม่มีอะไรออกไปเกี่ยวอะไรกับใครอื่นเลยแม้แค่ธุลีน้อย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 273 ว่า เวทนาสามอย่างนี้ คือ

 

สุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1 อทุกขมสุขเวทนา 1

อัคคิเวสสนะ ...ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้สุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น... ดังนี้เป็นต้น
หรือในเล่ม 10 ข้อ 63 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ...อานนท์ ในสมัยใดอัตตาเสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
ในสมัยใดอัตตาเสวยอทุกขสุขเวทนา ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

      ในสถานะของกายที่แตกตายไปเป็นสัตว์นรกนั้นมีแต่นามเท่านั้นเป็นอัตภาพ
ดังนั้น ขณะที่มีแต่นามซึ่งไม่มีรูป และไม่มีกาย ในสมัยนั้นมีแต่เวทนา ซึ่งเป็นอัตตาแท้ๆ กำลังตกนรกรับทุกข์ทรมานอยู่ จึงจมอยู่กับทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ที่ตนต้องรับการทรมานนั้น ไม่มีอื่น
จนกว่าจะได้พ้นวิบากบาปเท่าที่ต้องใช้หนี้บาปนั้นครบ จึงจะได้เปลี่ยนสถานะสำหรับคนที่ยังมีชีวิต แม้จะมีรูป มีนาม มีขันธ์ 5 ครบอยู่ก็เถอะ แต่สมัยใดไม่อยู่ในสถานะที่มีกายคือ ไม่มีองค์ประกอบของรูปภายนอก(พหิทธารูปานิ) ให้สัมผัสกับนามที่ทำหน้าที่เห็น(ปัสสติ)อยู่
ในปัจจุบันนั้น(วิหรติ) ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ สมัยนั้นก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะเรียนรู้ปฏิบัติธรรมอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้าแล้ว นี้ก็เป็นเครื่องชี้บ่งไว้ชัด เพราะในสมัยนั้นหรือในขณะนั้นไม่มีกายให้เรียนรู้ ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์(โอปปาติกะ)ในตัวเรา ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อกำจัดความเป็นสัตว์ และต้องเรียนรู้ในขณะที่มีวิญญาณฐิติด้วย นั่นคือ ในขณะที่มีวิญญาณตั้งอยู่ในบัดนั้น คงไม่ลืมนะว่า วิญญาณนั้นต้องไม่ใช่วิญญาณ ตามที่ภิกษุสาติหมายถึงแน่ เพราะวิญญาณที่ภิกษุสาติหมายถึงนั้นคือ วิญญาณล่องลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สัมผัสไม่ได้ ไม่เป็นสวากขาตธรรม ไม่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเลย
วิญญาณล่องลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แบบภิกษุสาติเข้าใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิ ต้องเป็นวิญญาณที่มีเหตุมีปัจจัยสัมผัสกันอยู่ในปัจจุบันนี้ของตน คือ มีสัมผัส 3 ดังได้กล่าวถึงมามากแล้ว 
 
ศาสนาพุทธนั้น มีคุณธรรม 6 เป็น
สวากขาตธรรม(ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดัแล้ว)
เป็นธรรมะที่พิสูจน์ความเป็นวิญญาณได้ชนิดที่สามารถเปิดเผยสำหรับทุกๆคน เป็น เอหิปัสสิโก เป็นอกาลิโก เป็นสันทิฏฐิโก
คำว่า กาย ที่จะเรียนรู้ในวิญญาณฐิตินั้น คือองค์ประกอบของรูปกับนาม
ไม่ขาดรูป ไม่ขาดนาม และรูปก็ต้องมีทั้งรูป28 ที่ขาดดิน-น้ำ-ไฟ-ลมไม่ได้
ขาดปสาทรูป5ไม่ได้ เป็นต้น จึงจะชื่อว่าองค์ประกอบ(กาย)ที่สัมผัสวิโมกข์ทั้งภายนอก และภายใน (วิโมกข์ข้อที่ 2)
ซึ่งวิโมกข์8นี้ ทำความเข้าใจให้ดีเถิด เป็นทฤษฎีหลักที่ยืนยันเรื่องรูปที่ต้อง
สัมผัสรูปนั้นๆ ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง จึงจะได้เรียนรู้ปฏิบัติ กระทั่งสามารถทำใจในใจของตน บรรลุได้ครบทุกสรรพสิ่ง ครบบริบูรณ์
ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่พุทธอย่างถูกต้องของแท้ และบรรลุสัมบูรณ์ไม่ได้
พุทธแท้นั้นทำสมาธิด้วยการปฏิบัติมรรค 7 องค์อย่างสัมมาทิฏฐิ สั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์ที่ 8 ของมรรค อันมีองค์ 8 แบบลืมตาในชีวิตปกติ และเจริญวิชชา 8(ซึ่งมีวิปัสสนาญาณ
-มโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณ-ปุพเพนิวาสนุสติญาณ-จุตูปปาตญาณ-อาสวักขยญาณ) ตามปฏิจจสมุปบาททั้งสายบริบูรณ์ ทั้งอนุโลม-ทั้งปฏิโลม
จนสามารถแยกธรรมทั้งหลายออกว่า จิตส่วนใดเป็นกิเลส หรืออกุศลจิต จิตส่วนใดเป็นกุศลจิต จากองค์ประชุมของรูปนาม(กาย) ตั้งแต่ขั้นหยาบ-กลาง และละเอียดกระทั่งขั้นปลายสุดอาสวะ(มีธรรม
วิปยุต) กระทั่งพ้นอวิชชา8(ข้อที่1 ความไม่รู้ทุกข์ ข้อที่2 ความไม่รู้ทุกขสมุทัย ข้อที่3 ความไม่รู้ทุกขนิโรธ ข้อที่4 ความไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อที่5 ความไม่รู้ในส่วนอดีต ข้อที่ 6 ความไม่รู้ในส่วนอนาคต ข้อที่7 ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและทั้งส่วนอนาคต ข้อที่ 8 ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท)

อวิชชาข้อที่ 8 นี้ คือ อวิชชาต้นตอแห่งปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ อันผู้ปฏิบัติ
จะต้องศึกษาปฏิบัติให้พ้นอาสวะในความเป็นกาม(พ้นกามาสวะ) พ้นอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาที่พ้นได้นั้น มีอาสวะ4 เป็นต้น กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
เพราะพ้นอวิชชาจึงสามารถเห็น(ปัสสติ) ความเป็นสังขารด้วยวิชชา8 ไป
ตามลำดับ  เฉพาะอย่างยิ่งสามารถเห็นชนิดที่ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นสังขาร จนกระทั่งมีความสามารถทำใจในใจ(มนสิกโรติ) ของตนได้เป็นอภิสังขาร3(ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร)มีผลตามลำดับ
เพราะมีวิชชาเริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณข้อที่ 1 ถึง 8 มีผลปฏิภาคทวี เป็นพลวัตร ปฎิสัมพัทธกัน จนกระทั่งถึงที่สุด

บรรลุอาสวักขยญาณ จึงได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ทั้ง
กายสังขาร ทั้งจิตสังขาร ทั้งวจีสังขาร อย่างถ่องแท้(โยนิโส) กระทั่งลงไปถึงที่เกิด(โยนิโส) จากการได้ปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ(โยนิโสมนสิการ)
ซึ่งได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกาย ความเป็นจิต ความเป็นวจี ที่สังขาร
กันในทุกมิติ ครบครันทั้งรูปทั้งนามมาตลอด เพราะปฏิบัติอย่างมีวิญญาณ6 ให้ศึกษาในขณะที่มีการดำรงอยู่,การตั้งอยู่(ฐิติ) ของวิญญาณโทนโท่หลัดๆ จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัตว์ทั้งวิญญาณฐิติ7 ทั้งอายตะ2 (ผู้สนใจ จากพระไตรปิฎก เล่ม 10 วิญญาณฐิติ ข้อ 65 ควรอ่านตั้งแต่ข้ต้น 57 จนถึงข้อสุด 66)
??????????????
(คงไว้ไหมครับ?)

                 

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป นามรูปก็มีทั้งรูปกายทั้งนามกาย
-อายตนะ6-ผัสสะ6-เวทนา6-ตัณหา ครบ โพธิปักขิยธรรม37 ที่มีสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะ ครบพร้อมด้วย
จะเห็นได้ชัดว่า การปฏิบัติหลับตาทำสมาธิอยู่ในภวังค์ที่ปฏิบัติกันดื่นดาษอยู่
ทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า meditation นั้น มันไม่เข้าข่ายของการปฏิบัติ ที่มีกายที่ครบทั้ง ตา-หู-จมูก-ลิ้นให้ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้(สัญญา)
และพิจารณาทั้งกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมบริบูรณ์ได้เลย ซึ่งไม่ตรงพระวจนะของพระพุทธเจ้า(พตปฎ.เล่ม10 ข้อ65) เพราะไม่มีวิญญาณฐิติ7 ไม่มีอายตนะ2 ไม่มีวิญญาณที่เกิดใน
สัมผัส3(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 162)
  
ไม่มีกายนั้นคือ ไม่มีทั้งรูป และไม่มีทั้งนามเลยในที่ใดๆ ทั้งหมดในเอกภพ หรือในมหาจักรวาลไหนๆ สูญสลายสิ่งที่เคยมี
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสความสำคัญนี้ไว้ชัดในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 90 ปริจเฉทเกือบสุดท้ายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดามนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่
เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต
เปรียบเหมือนพวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่(เท่าที่จะมีดำรงอยู่ อาศัยอยู่) ย่อมติดขั้วไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กาย

ของตถาคตยังดำรงอยู่
เมื่อกายแตกสิ้นแล้ว  เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต


นี้คือ คำตรัสที่ยืนยันชัดเจนยิ่งว่า คนที่บรรลุธรรมสูงสุดขั้นอรหันต์แล้วก็ดี แม้จะบรรลุถึงขั้นสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี เมื่อตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้วก็สามารถยังมีขันธ์
ยังดำรงอยู่ได้ จะตัดสันตติของตนเอง
กล่าวคือ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วก็สามารถเกิดอีกมีขันธ์ 5อีก ในชาติต่อไป ซึ่งเป็นขันธ์ 5 ที่ไร้อุปาทาน ได้อีกนั่นเอง
แต่ชาวเถรวาททุกวันนี้ได้หลงผิดพากัน
อุจเฉททิฏฐิว่า เข้าใจว่าผู้บรรลุอรหันต์แล้ว หากสิ้นใจตายลง คือกายแตกตายเมื่อใด ทุกอย่างต้องขาดสูญ ไม่มีอะไรเหลือ อรหันต์ทุกองค์ต้องขาดสูญทั้งนั้น [มีความเข้าใจว่า
อรหันต์ทุกองค์ตายกายแตกลงแล้ว ต้องสูญ ไม่ละเว้น]
นี้คือ มิจฉาทิฏฐิ ที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ ชนิดหนึ่ง
ที่จริงนิพพานของพระอรหันต์นั้น มีได้ทั้งที่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน และอนุปปาทิเสสนิพพาน ????????????
(คงไว้ไหมครับ?)
สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพานที่ยังเหลือขันธ์5 อาศัยอยู่ เช่น ผู้ที่บรรลุ
อรหันต์แล้ว ยังไม่ตายกายแตก ในชาติที่ตรัสรู้เป็นอรหันต์นั้นเอง ชีวิตยังไม่ตาย ท่านก็ชื่อว่า อรหันต์ผู้สอุปาทิเสสะ(ผู้กิเลสาสวะหมดแล้ว แต่ขันธ์5 เหลืออยู่ หรือมีบางคนตีความว่า กิเลสส่วนหนึ่งหมด ยังมีบางส่วนเหลืออยู่ อย่างนี้ก็มี)
ส่วนอนุปปาทิเสสนิพพานนั้น คือ อรหันต์ผู้นี้กายแตกตายลง ก็ไม่มีอะไรเหลือ  นิพพานที่ไม่มีอุปาทิ หรือขันธ์5 เหลือ  
หรือแม้จะกายแตกตายลงไปแต่ละชาติ ก็ยังจะเหลืออุปาทิ วนเวียนมาเกิดอาศัยขันธ์5 ต่ออีก ก็ยังได้ [นี้แย้งกับชาวเถรวาท]

ส่วนผู้ที่บรรลุนิพพานเป็นอรหันต์แล้ว และเมื่อถึงขั้นจะตายกายแตกลงไป แล้วท่านก็จะไม่เหลือขันธ์ 5 อาศัยอีกต่อไปอีกแล้ว ท่านก็ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิอีก(อัปปณิหิตนิพพาน) เป็นปรินิพพานขั้นปริโยสาน คือตั้งจิตไม่เกิดมามีขันธ์ 5 อีกก็ปรินิพพานอย่างสูญสิ้นเกลี้ยงหมด ไม่เหลืออะไรอีก สำหรับอัตภาพของตน ท่านก็ทำได้ เรียกว่า อนุปปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่เหลืออุปาทิ ไม่เหลืออะไรอีกเลย  )
หรือแม้จะตีความเป็นอนุปปาทิเสสนิพพานว่า เป็นการตายเพียงกายแตกตายไป โดยการทิ้งรูปขันธ์ของชาตินี้ ไม่เหลือแค่รูปขันธ์อันเป็นกายส่วนหนึ่งเท่านั้น  แต่ยังเหลือนามขันธ์อันเป็นกายอีกส่วนหนึ่ง แล้วยังวนมาเกิดอีกอยู่ ก็หมายเอาได้ ขอให้พิจารณา ทุกคำความของคำตรัสพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ แล้วจะเข้าใจชัดเจน

กายตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดามนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคต
ยังดำรงอยู่  นั่นคือ แม้ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว นั้นหมายถึง หมดสิ้นตัณหาแล้ว แต่กายคือองค์ประชุมของรูปกับนามก็ยังมีอยู่ได้ ทั้งที่ในชีวิตเป็นๆ ทั้งที่กายแตกตายไป แม้ไม่มีรูป ได้แก่ดินน้ำไฟลมแล้ว ไม่มีรูปคือ ตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว แต่ยังมีนาม แม้มีแค่นามเทวดาผู้ตาทิพย์จริงก็ยังเห็นได้ ส่วนผู้ไม่มีตาทิพย์ก็แน่นอน
ย่อมไม่สามารถเห็น แต่ภาวะที่ยังมี ก็ยังดำรงอยู่ ไม่ว่า จะดำรงอยู่ในภาวะที่มีกาย(องค์ประชุม) หรือไม่มีกายแล้ว เช่น รู

การแยกกายแยกจิตแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ

 

ฉบับที่แล้วเราได้อธิบายถึงการแยกกายแยกจิตแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่เรียนรู้จากอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ โดยมีธรรม 2เป็นองค์ประกอบของ รูปกับนาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่มีความเป็นอัตตา เป็นนัยสำคัญแห่งการเกิด-ดับ แล้วกำจัดตัวตน เฉพาะที่เป็นอกุศลจิตในอัตตาให้ดับ(นิโรธ) สิ้นไปจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์
      อาตมากำลังพยายามไขความลึกแห่งความจริงเรื่องนี้ด้วยความเชื่ออย่างยิ่ง ว่าเป็นความรู้และความจริงที่จะช่วยโลกยุค
นี้ หรือยุคไหนๆก็ตาม ได้แน่นอน เพราะต่างก็แสวงหากันอยู่ทั้งนั้นและรู้ยิ่งกันทั้งนั้น[แล้วได้อธิบายไป กระทั่งถึงตอนที่ว่า...]
      ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ 7ได้ผลจะมีวิชชา 5 เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่วิปัสสนา
ญาณเป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำมโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณเจริญขึ้นไปตามลำดับ
ซึ่งเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์(ปาฏิหาริย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า)อย่างเป็นจริง จะไม่ใช่วิชชา 5(หรืออภิญญา 5)ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์อย่างหลงผิดเด็ดขาด
      ผู้ปฏิบัติจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังกัปปะ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิตามพระวจนะ คือ ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่
สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผลเป็นอินทรีย์ 5ไปตามลำดับ กระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นพละ 5 ซึ่ง
ก้าวเดินด้วยโพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดิน คือมรรคองค์ 8 ตลอดเวลาในชีวิตสามัญจึงสามารถกำหนดสภาวธรรมที่เป็น
ตัวตนของกิเลส(อัตตา)ได้แท้แน่ชัด เพราะปฏิบัติสติสัมโพชฌงค์-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ววิจัยสังกัปปะ 7 ที่มีตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ-อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา-วจีสังขาร ว่า ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ)

นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้(อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูกต้องแน่แท้[ฉบับที่แล้วอธิบายมาได้ถึงตรงนี้ โปรดอ่านต่อ]


      อันแตกต่างกันกับการทำความดับ(นิโรธ) ที่ดับจิตไปทั้งจิต จนจิตดำ(กิณหะ) มืดมิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็นความดับที่ปฏิบัติกันรู้กันแพร่หลายอยู่เป็นสามัญทั่วไป ผลธรรมแบบนี้ ไม่ใช่ทางปฏิบัติหรือผลธรรมที่จะพาไปนิพพานอย่างประเสริฐ
ซึ่งถือกันว่าเป็นธรรมอันเลว(นาลมริยา ธัมมา)
      ดังนั้น วิธีปฏิบัติชนิดนี้ จึงมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นวิธีสะกดจิต-วิธีสมถะ(hypnosis)แท้ๆ ดับจิตให้ดำ(กิณหะ)มืด เมื่อดำมืดสนิทก็พึงใจ พอใจ ถือว่าเป็นโชค(สุภ)ที่ทำภาวะดำนี้ขึ้นในใจได้สำเร็จ อาการนี้ของจิตใจ จึงชื่อว่า สุภกิณหะ ซึ่งเป็นความหลงภาวะดำ(กิณหะ)นั้นแหละเป็นภาวะที่น่าพึงใจ(สุภ)
      มรรควิธีก็ผิด ผลที่ได้จึงผิดด้วย ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะไม่มีการวิเคราะห์วิจัย(analysis)แต่อย่างใด มีแต่การสะกดจิต-การทำสมถะ(hypnosis) จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 ซึ่งได้แก่ กายสังขาร(สังขารคือการปรุงแต่งของกายหรือการปรุงแต่งของรูปกับนาม) จิตสังขาร(การปรุงแต่งของจิตหรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกาย) วจีสังขาร(การปรุงแต่งของวจีหรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกายอยู่ในใจยังไม่เปล่งออกมาเป็นวจีกรรม)
      เมื่อไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 หรือยังอวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิ ในความเป็นสังขารอยู่ ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นไม่สามารถปฏิบัติอภิสังขาร ซึ่งก็มี 3 คือ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร ให้เกิดผลบรรลุธรรมได้เลยเด็ดขาด
กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิ จิตสังขารก็รู้กันไม่กระจ่าง โดยเฉพาะวจีสังขารนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ จะไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้นปรมัตถธรรม ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสัญญาเข้าไปสัมผัสกาย(องค์ประชุมของธรรม 2) หรือองค์รวมของรูปกับนาม สัมผัสเวทนา สัมผัสจิต สัมผัสธรรม จึงจะมีความรู้ที่เป็นวิปัสสนาญาณ เห็น(ปัสสติ)จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ซึ่งต้องจำแนกแยกแยะ(analyse)
ทั้งรูปกายทั้งนามกายต่างๆให้รู้แจ้งรู้จริงความเป็นรูปโดยเฉพาะความเป็นนาม ด้วยอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ จนถึงขั้นวจีสังขาร ซึ่งวจีสังขารนี้ยังมีสถานะแค่สภาวธรรมของจิตในจิตอยู่ภายในเท่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเป็นวจีกรรมภายนอก

      ความรู้แจ้งด้วยญาณปัญญาเช่นนี้แลชื่อว่า วิชชา 8 ที่เริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณ เป็นไปจนกระทั่งอาสวักขยญาณ ครบ 8
แต่..เพราะผู้ปฏิบัติใดถ้ายังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิในความเป็นอาการความเป็นกายของจิต-เจตสิก-รูป ไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะบรรลุพุทธธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ จนกระทั่งถึงนิพพาน

      เรื่องอาการนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องศึกษากันให้รู้แจ้งชัดเจนถ่องแท้จริงๆ อาการนี้เป็นภาษาบาลี ซึ่งมีความหมายลึกละเอียดยิ่งยอด ขั้นปรมัตถธรรม ที่เป็นความลึกละเอียดถึงขั้นจิต-เจตสิก-รูป(จิต)-นิพพาน อันวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ใดๆ
ก็ไม่สามารถเข้าถึงความลึกละเอียดนี้ได้ นอกจากพุทธศาสตร์ ศาสตร์เดียวเท่านั้น
      อาการไม่ใช่ภาษาไทย ซึ่งไทยเอามาใช้ก็เริ่มมาจากพุทธธรรมนี่เอง แต่มาถึงยุคนี้ความรู้ทางพุทธธรรมมันเสื่อมมาก
จนกระทั่งไม่มีความรู้ความเข้าใจความเป็นอาการได้ แม้ได้ก็ไม่ถึงขั้นโลกุตรธรรม ถ้าผู้ปฏิบัติใดไม่สามารถเข้าถึงกาย(องค์ประชุมของรูปกับนาม ซึ่งเป็นเวทนา 2 ต่างๆ) ของความเป็นเวทนาในเวทนาได้ ก็ไม่อาจจะวิเคราะห์แยกแยะ(analye) เห็นอาการของเวทนาที่ต่างกัน(ลิงคะ)ของธรรมะ 2 สำคัญ คือ เคหสิตเวทนา 18 ที่เป็นโลกียธรรม กับเนกขัมมสิตเวทนา 18 ที่เป็นโลกุตรธรรม 
      ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิถ่องแท้(โยนิโส) และเข้าถึงสภาวะจริงแล้ว ก็จะอธิบายได้ อย่างเช่น อาตมาเคยอธิบายลักษณะพระโสดาบันจะเอาสังโยชน์ 3 ก็ได้ จะเอาศีล 5 ก็ได้ เป็นเกณฑ์กำหนดขนาด(ปริตตัง) เพื่อใช้สาธยายระบุคุณลักษณะของรูป 28 ของจิต 89 ของเจตสิก 52เป็นต้น ให้ฟังว่า ผู้นั้นมีจิตเข้ากระแส(โสตาปันนะ) ได้อย่างไร
      นั่นคือ เราต้องมีปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณ รู้ว่าปฏิบัติอย่างไร และจิต-เจตสิก-รูปเป็นไป อย่างไร จิตจึงเข้ากระแสโลกุตรธรรมหรือเป็นอาริยธรรมได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 620 ว่า ธรรมเหล่าไหนเป็นโลกุตระ ; สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญผล 4 และนิพพาน ธรรมเหล่านี้เป็น โลกุตระ รวมทั้งหมดคือ โลกุตรธรรม 46 ซึ่งบทปฏิบัติที่เข้าข่ายโลกุตรธรรม ก็คือ โพธิปักขิยธรรม 37 
      นั่นก็คือ โลกุตระเริ่มตั้งแต่กายในกาย อันเป็นข้อที่ 1 ในสติปัฏฐาน 4 หากสัมมาทิฏฐิ และสัมมาปฏิบัติ ก็นี่แหละคือ เครื่องชี้บ่งถึงความเป็นโลกุตรธรรม ไปกระทั่งจบข้อสุดท้ายคือ เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา อันเป็นเอกัคคตาจิต เป็นฐานแห่งนิพพาน จึงจะเข้าสู่อรหัตมรรค-อรหัตผล เป็นผู้โลกสูญ(สุญโญ โลโก) เป็นผู้มีความหลุดพ้น(วิมุตติ) สูญความเป็นโลก เพราะว่า สูญจากตน(อัตตา) และจากสิ่งที่เนื่องจากตน ฉะนั้น เรา(ตถาคต)จึงกล่าวว่า โลกสูญ(พระไตรปิฎก เล่ม 31 ข้อ 633)

      ฉะนี้แลผู้หลุดพ้นจากโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตยได้..เป็นผู้มีธรรมาธิปไตย ความละเอียดมีอีกมาก ผู้สนใจจะหาอ่านได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 31 ยุคนัทธวรรค สุญกถา ตั้งแต่ข้อ 633 ถึง 658   
      ซึ่งเป็นการมีญาณรู้จิตในจิตของตน  อันมีเวทนาในเวทนา มีธรรมในธรรม ที่สามารถทำองค์ประชุมของรูปกับนามที่เรียกว่ากายหรือธรรม 2 กายในกายก็คือธรรม 2 ผู้มีญาณ ขั้นวิปัสสนา(อันเป็นวิชชาข้อหนึ่งในวิชชา 8) ซึ่งสามารถรู้กายในกาย หรือรู้เวทนาในเวทนา หรือรู้จิตในจิต-รู้ธรรมในธรรม ล้วนหมายถึงธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ทั้งนั้น
      ธรรม 2นี้ก็คือ กายทั้งนั้น ใช่ไหม เมื่อผู้ปฏิบัติสัมผัสทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจแล้วสามารถอ่านเข้าไปถึงจิตได้
      จิตที่ว่านี้คือกาย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 และข้อ 231 หมายถึง องค์ประชุมของรูปกับนามที่มีภายนอกและภายในขณะยังประชุมกันพร้อมอยู่ทั้งหลายนั้น โดยอ่านอาการที่เรียกว่า รูปกาย(องค์ประชุมของสิ่งที่เป็นตัวถูกรู้ ตั้งแต่ภายนอกถึงภายใน นี่คือรูป) และนามกาย(องค์ประชุมของสัญญาหรือปัญญา ที่เป็นตัวกำหนดรู้เองแท้ๆ นี่คือนาม)ได้ รูปเป็นภาวะที่ถูกรู้(object) เมื่อเป็นรูปกายก็คือ องค์รวมของภาวะที่ถูกรู้ ซึ่งในการปฏิบัติธรรมนั้น กายก็เป็นภาวะของสังขารธรรมของธรรม 2 ที่ตาสัมผัสรูป-หูสัมผัสเสียง ฯลฯ เป็นต้น

      ส่วนนามกายคือ องค์รวมของภาวะที่เป็นตัวรู้เอง(subject) องค์รวมของธาตุรู้ ที่สัมบูรณ์ ตอนนี้กำลังเป็นวิชชา(วิปัสสนาญาณ) เข้าไปรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร(ตามปฏิจจสมุปบาท)ที่ธรรม 2 ซึ่งกำลังปรุงแต่งกัน(สังขาร)อยู่ มันก็คือ กาย ใช่ไหม?
      จากภาษาที่เรียกองค์ประชุมของรูปกับนามว่า กาย เราก็อ่าน ธรรมในธรรม เข้าไปในธรรม 2(สังขารธรรม)ก็กายในกาย นั้นแหละ ซึ่งธรรม 2นี้ก็คือกาย คือสภาวธรรมของจิตบ้าง-มโนบ้าง-วิญญาณบ้าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 อันเป็นธาตุรู้ (วิญญาณ) และการรู้ก็เกิดจากรูปและนาม หรือนามรูป ที่มีอายนตะกำลัง ทำให้เรารู้ในภาวะความรู้สึก(นามกาย = เวทนา หรือจิต)แท้ๆ ที่มีการปรุงแต่งของรูปกับนาม เกิดเวทนา แต่ชวนงงภาษาที่เรียกเท่านั้นเอง
      อธิบายมาถึงตอนนี้ เราก็จะเห็นชัดว่า  อิทัปปัจจยตา(ความเป็นไปตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย,กระบวนธรรมแห่งเหตุปัจจัย,กฎที่ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น,ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย)ของรูปกับนาม เมื่อมาถึงตอนนี้เรียกมันว่าเวทนา แต่แท้ๆมันก็คือ กายนั่นเอง ใช่ไหม?

      เห็นไหมว่ากายก็คือจิตหรือมโนหรือวิญาณ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส เวทนาตัวนี้ แท้ๆมันก็คือความรู้สึก(เวทนา) ที่ผู้ปฏิบัติเองนั้นแหละกำลังกำหนดรู้(นาม=สัญญา) ความเป็นจิต(มโน,วิญญาณ)ที่กำลังเป็นความรู้สึก(เวทนา) ให้ถูกรู้(รูป)   เช่น ศีลข้อ 1 ในชีวิตสามัญของเรา ขณะสัมผัสกับสัตว์ตัวหนึ่งขึ้นมา แล้ว
เราสามารถอ่านอาการของจิตใจของเราได้ เห็นอาการจิตอยากทำร้ายสัตว์หรืออยากฆ่าสัตว์ตัวนี้ ผู้มีวิชชามีภูมิรู้สัมมาทิฏฐิด้วยว่า นี่คือ สมุทัย(นี้คือ พ้นสังโยชน์ข้อ 1) ที่เราจะต้องกำจัด แล้วเราก็ปฏิบัติการกำจัด(ใช้ปหาน 5ด้วยวิปัสสนาวิธี มิใช่หลับตาสมาธิ)เป็นต้น

      โดยรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาการของกายในกาย แยกรูปกายแยกนามกายได้ แล้วก็แยกเวทนาในเวทนา ต่อไปได้ว่า เวทนาส่วนที่เป็นเคหสิตเวทนา(มโนปวิจาร 18 ที่เป็นโลกียธรรม) มีอาการที่เป็นนั้น คืออย่างนี้ๆ
แยกจิตในจิตได้ว่า อกุลจิตต่างจากกุศลจิตอย่างไร แล้วก็ปหาน(กำจัด)เฉพาะอกุศลจิตตัวที่เป็นเหตุ(สมุทัย)เท่านั้น จัดการทำบุญ(ปุญญาภิสังขาร)ธรรม 2ให้กลายเป็นธรรม 1(เอกสมโสรณา ภวันติ) โดยเหตุแห่งกายนอกก็ยังมีอยู่ ส่วนเหตุแห่งกายในเราก็จัดการกำจัดส่วนที่เป็นสมุทัยที่เรียกว่า กายก็ดี เป็นเวทนาก็ดี เป็นจิตก็ดี ก็คือธรรมส่วนที่เป็นอธรรม(อกุศลธรรม)นี่เอง ให้ส่วนนี้เท่านั้น ดับลงจนสำเร็จให้ได้[เทฺว ธัมมา ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ]

      ธรรม 2ภายนอก ก็ยังสัมผัสรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอยู่นั่นเอง แต่เราก็สามารถทำภายในของเราให้กลายเป็นเหลือเพียงธรรม 1(เป็นเอกัคคตาจิต)ได้จริง อย่างนี้ๆ นั่นคือ เราสามารถทำให้กิเลสตัวอกุศลจิต-สมุทัยนั้นลดละจางคลายลงหรือนิโรธได้ เราก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริง(เห็น)อาการของเนกขัมมสิตเวทนา(มโนปวิจาร 18 ที่เป็นโลกุตรธรรม)ว่า มีอาการเป็นอย่างนี้ๆ ฉะนี้เองคือ เทฺว ธัมมา  ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ ที่ท่านแปลเป็นภาษาไทยว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง  ในพระไตรปิฎก(ฉบับหลวง) เล่ม 10 ข้อ 60 หรือธรรม 2 อย่างนี้ ทั้ง 2 ส่วน รวมลงเป็นอย่างเดียวกับเวทนา ในพระไตรปิฎก(ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) เล่ม 10 ข้อ[112] 
      ผู้ปฏิบัติวิเคราะห์วิจัย(analye)เวทนาในเวทนา หรือจิตในจิตให้ยิ่งๆต่อขึ้นไปอีก จากความเป็นกายหรือธรรมะ 2ฉะนี้แล นี่คือ ความเป็นคู่ของรูปกับนาม ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องมีสภาวะ 2 (เทฺว ธัมมา) คือ มีรูปกับนาม หรือภาวะ 1 ถูกรู้ และอีกภาวะหนึ่งนั้นเป็นตัวรู้เสมอ แล้วทำสภาวะ 2นี้ ให้กลายสภาวะเป็น 1 (ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ ฯ)ให้ได้
      การปฏิบัติธรรมแบบของพุทธ จึงไม่ใช่หลับตาสะกดจิต(hypnotize)เข้าไปทำจิตให้เป็นหนึ่งอย่างสมาธิที่เป็น meditation แต่ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยมรรค 7 องค์ ให้เกิดจิตเป็นหนึ่งในขณะที่มีชีวิตเป็นปกติลืมตา มีสติตื่นมีกรรมกิริยาสามัญ แต่ต้องวิเคราะห์แยกแยะ(analyze)กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมที่มีสัมผัส 6อยู่ แล้วจัดการทำธรรม 2(เทฺว ธัมมา)ให้เกิดเป็นหนึ่ง(เอกัคคตา) ให้เวทนาเป็นหนึ่ง-ให้ธรรมเป็นหนึ่ง(ทฺวเยนะ เวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ)
      โดยมีทั้งการปฏิบัติสัมมัปปธาน 4 มีทั้งอิทธิบาท 4เป็นไปตามโพธิปักขิยธรรม 37 จนกระทั่งเกิดสมาธิ ที่เป็นการทำจิตให้เป็นหนึ่งในแบบสัมมาสมาธิที่ชื่อว่า supra concentration การปฏิบัติแบบสะกดจิต(hypnotize)  ผู้ปฏิบัติฝึกฝนที่อบรมจิตตนให้เกิดสมาธิ ด้วยวิธี meditation นี้ จึงมีจิตเป็นหนึ่ง
(เอกัคคตาจิต) ต่างกันกับการปฏิบัติฝึกฝนที่อบรมจิตตนให้เกิดสมาธิด้วยวิธี supra concentration คนละทิศ มันตรงข้ามกัน 180 องศาเลยทีเดียว
เพราะสัมมาสมาธิ(supra concentration)นั้น แยกแยะวิเคราะห์วิจัย(analyze) จนจับมั่นคั้นตายได้ตัวสมุทัยแล้วกำจัดตัวร้ายตัวนี้ มันตายลง มันดับลง จึงทำให้เกิดจิตเป็นหนึ่ง เป็นเอกัคคตาจิต ฉะนี้คือจิตเป็นหนึ่งแบบพุทธ ที่สัมมาทิฏฐิ แต่จิตก็ยังมีธรรม 2 อยู่เสมอ แม้กำจัดธรรม 1 คือ อกุศลจิตได้หมดไปแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติก็เห็นแจ้งจิต(กุศล) ส่วนที่เหลือ(รูป) เป็นจิตที่ว่างจากกิเลสแล้ว มีนิโรธแล้ว เห็นแจ้ง(สัจฉิ)ด้วยวิปัสสนาญาณหรือวิชชา(นาม)ของตนอยู่ ยังมีธรรม 2อยูู่่นั่นเอง มีรูปกับนามประกอบกันอยู่
      จิตไม่ได้ดับแบบถูกสะกดให้ดับ แบบดำ(กิณหะ)มืดลงไป ไม่เห็นแจ้งอะไรเลย ถือว่า เข้านิโรธหรือเป็นนิโรธ แล้วก็จะมีการออกจากนิโรธกันอีก แบบสมาธิ meditation แล้วก็เข้าๆ-ออกๆอยู่อย่างนั้น ไม่รู้แล้ว ไม่รู้เสร็จ ไม่มีภาวะจบกิจสัมบูรณ์ กล่าวคือ การทำสมาธิแบบหลับตา meditation นั้น ไม่ทำงานทำการเลี้ยงชีพ
(อาชีวะ)ใดๆเลย ทำการสะกดจิต(hypnosis) ไม่ทำอาชีพ แต่มีอาจารย์บางคนตีขลุมโมเมว่า ขณะอยู่นิ่งๆทำสมาธิอยู่นั่นแหละเขามีสัมมาอาชีวะแล้ว ..ว่างั้นเลย ขี้ตู่เอาแท้ๆ

ไม่มีการเคลื่อนไหวทางกายกรรม-วจีกรรม แม้มโนกรรม(กัมมันตะ)ก็กดข่ม สะกดให้อยู่นิ่งๆ ให้อยู่ในอารมณ์เดียว ด้วยการฝึกแบบสะกดจิต(hypnotye) ก็อย่างนี้

ซึ่งต่างจากแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิ คือ ขณะทำอาชีพอยู่ ก็ปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาอาชีวะ 5 ในงานอาชีพที่เราทำนั้น จนกระทั่งเป็นสัมมาอาชีวะได้ไปตามลำดับบริบูรณ์ จิตที่ได้อบรมในขณะปฎิบัติไป ก็จะสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ   หรือขณะทำการงานทุกอย่าง(กัมมันตะ)อยู่ ก็มีการปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉากัมมันตะ 3 ในการกระทำทุกอย่างนั้นจนกระทั่งเป็นสัมมากัมมันตะได้บริบูรณ์ หรือขณะพูดอยู่ก็มีการปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาวาจา 4 ในการพูดนั้น จนกระทั่งเป็นสัมมาวาจาได้บริบูรณ์ แม้คิดแม้รู้อยู่ก็ปฏิบัติตนให้ปราศจากมิจฉาสังกัปปะ 3 ในการคิดนั้นจนกระทั่งเป็นสัมมาสังกัปปะได้บริบูรณ์ เช่น ถ้าเป็นเวทนาก็ยังเป็นอาการสุข แล้วยังแว็บวนมาทุกข์อีกอยู่ ไม่ถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์อย่างเดียวเด็ดเดี่ยวยั่งยืนตลอดกาล ชนิดที่ไม่กลับกำเริบแน่นอน จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ 2 อีกแล้ว เหลืออยู่แต่เวทนาเดียว คือ มีแต่ความรู้หรือรู้สึกกับสิ่งที่กระทบอยู่นั้นก็รู้แต่ความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่มีอารมณ์อื่น เช่น อารมณ์ชอบ หรืออารมณ์ไม่ชอบ ไม่มีทั้ง 2 อารมณ์ มีแต่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงภาวะที่สัมผัสอยู่นั้นตามที่เป็นจริงนั้นๆเท่านั้น จึงจะชื่อว่า ไม่ทุกข์ ไม่สุข(อทุกขมสุข) นี้แลคือ อุเบกขาเวทนา  
     
ซึ่งยังเป็นความรู้(ปัญญา,ญาณ,วิชชา) ที่เป็นความรู้ชนิดไม่มีอาการของความไม่รู้ เพราะรู้จนไม่มีอย่างอื่นเท่าอีกแล้ว สูงสุดแล้ว จบหมดแล้ว ไม่มีสุดกว่านี้อีกแล้ว ซึ่งถึงสุดท้ายด้วยการพิพากษาจบสิ้นแล้ว หนึ่งเดียว ไม่มีสงสัย ไม่มีลังเล ไม่มีแว็บไหวเป็นอื่นอีก สูงแท้ จริงแท้ คมลึกแม่นชัดตรงเด่นแท้ แน่แท้สุดๆ นี่คือ พ้นอวิชชา  

กล่าวคือ คุณสมบัติที่ตนเองจะต้องมี จิต-เจตสิกต่างๆ ต้องมีรูป มีนามคู่กันมาเสมอๆ รูปทั้งหมด 28 ก็ต้องอ่านสภาวะ ที่ถูกรู้คือรูปได้ แม้จะเป็นจิตในจิตเรียกว่า นามกาย ก็อ่านสภาพนามกายให้ชัด ไม่ว่า จิต 89 หรือ 121 หรือเจตสิก 52 อาการของนาม เช่น อาการของเวทนา เวทนานี้เป็นนาม คือ จิตหรือเจตสิก เวทนามีอาการที่จะเรียนรู้ได้ ถึงความเป็นอาการของมัน ซึ่งมีทั้งอาการ
ภายนอก และทั้งอาการภายใน ที่รู้ได้ด้วย 4 ภาวะ ได้แก่
1. ลักษณะ หมายถึง รูปร่างของอาการ แม้แต่อาการของความเป็นอากาส หรือความว่าง กระทั่งอาการสูญคือไม่มี
2. สสัมภาระ หมายถึง อาการที่ทำการสะสม, อาการที่ทำการรวบรวมให้เกิดสิ่งนั้นๆขึ้นมาเป็นของใช้งานได้
3. อารัมมณะ หมายถึง อาการของความรู้สึก, อาการของการรับรส, อาการของความรู้ในภาวะที่เราสัมผัสอยู่
4. สมมุติ หมายถึง อาการที่เป็นความเห็นร่วม, อาการของความตกลงกันได้,อาการสงบชั่วคราว, อาการพักศึกชั่วครั้ง
      และทั้ง 4 ภาวะนี้ ก็ปรุงแต่งกันอยู่แต่ละภาวะ เป็นธาตุดิน(ปฐวี)บ้าง เป็นธาตุน้ำ(อาโป)บ้าง เป็นธาตุไฟ(เตโช,อุณหะ)
บ้าง เป็นธาตุลม(วาโย)บ้าง เป็นธาตุอากาศบ้าง เป็นธาตุวิญญาณบ้าง คือธาตุทั้ง 6 ธาตุที่ยังไม่ใช่ธาตุสูญ หรือสุญญตธาตุ(ธาตุที่หลุดพ้นสิ้นจากสิ่งนั้นๆ) แม้ที่สุดธาตุสูญ ซึ่งเรียกด้วยภาษาว่าธาตุนี้ มันไม่มีหรือมีอยู่ถ้าเป็นอุตุนิยามมันก็ไม่รู้ตัวมันเอง แต่ถ้ามันมีธาตุรู้แค่ขั้นสัญญาขึ้นมาตั้งแต่พีชนิยามมัน ก็จะรู้ในความมีนั้น ยิ่งเป็นขั้นปัญญา ก็ยิ่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงที่วิจิตรพิสดารมากขึ้นๆ
 
     
เราจึงสามารถศึกษาธาตุดิน-ธาตุน้ำ-ธาตุไฟ-ธาตุลม-อากาศ-วิญญาณหรือสูญ ได้จากอาการว่า มีอาการนั้นอย่างไร มันไม่มีอาการนั้นอย่างไร มันเป็นอยู่อย่างปกติสามัญนั้นอาการอย่างไร มันเป็นอยู่อย่างไม่ปกติไม่สามัญนั้นอย่างไร ทั้งอาการภายในที่มันปรุงแต่ง(สังขาร) ให้เป็นตัวมันเองจนสัมบูรณ์ในความเป็นตัวเอง(self) ทั้งที่มันปรุงแต่งที่ไม่ยึดว่าเป็นตัวมันเลย ก็สามารถกระทบรู้อาการ หรือสัมผัสอาการนั้นๆได้(ปฏิฆสัมผัสโส) รูปกาย คือ สิ่งที่ถูกรู้(object) คือภาวะที่สัญญาเข้าไปรู้ด้วยการได้สัมผัสนามกาย คือ ตัวผู้รู้(subject) คือสัญญาที่เข้าไปสัมผัสจนสามารถรู้ แล้วศึกษา เมื่อมีความรู้แจ้งรู้จริงยิ่งๆขึ้นก็เป็นปัญญา-ปัญญินทรีย์ จนรู้รอบก็เป็นปัญญาพละ ทั้งความเป็นรูปกาย ทั้งความเป็นนามกาย สามารถรู้ได้จาก..อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทส ด้วยกันทั้งคู่
      คำว่า อาการนี้แลที่นักปฏิบัติธรรม ต้องสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง สัมผัสทั้งในขณะเป็นรูปธรรม ทั้งขณะเป็นนามธรรม
จากพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60 ที่ว่า
      ธรรมทั้ง 2 เหล่านี้ ทำให้เหลือเป็นเวทนาเดียวกันกับเวทนาโดยส่วน2(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ)
      จะต้องทำให้จาก 2 กลายเป็น 1 จนได้

      คำว่า อาการ มี 32 (ทวัตติงสาการ) แล้วก็มีอาการที่ 33 คือ ตาวติงสาการ หรืออาการของจิตที่หลงเสพรสสุข เรียกกันว่า เทวดาดาวดึงส์(คือ อาการที่ 33 ของจิตนั่นเอง เกิดเป็นมโนมยอัตตาอยู่ในจิตผู้อวิชชา) ซึ่งเป็นอาการที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเองด้วยอวิชชา กำหนดเอง แล้วยึดเองว่าจริงว่าเที่ยง(สัญญายะ นิจจานิ) หลงเป็นแดนสุข ตามที่ตนติดสารพัดที่สัมผัสอยู่ภายนอกก็เรียกว่า กามคุณ 5 
      แต่ถ้าขาดจากภายนอกแล้ว เข้ามายึดเป็นตัวตนของตนอยู่ภายใน ก็ชื่อว่า รูปหรืออัตตา ที่สำเร็จด้วยจิตอยู่ภายในจิต ตกผลึกเป็นอาสวะหรืออนุสัย(มโนมยอัตตา) ถ้าเหลือแค่ขั้นอรูปก็เรียกว่า อรูปอัตตา
ผู้หลงเสพหรือยึดติดอยู่ก็มี(โหติ)จริง
 
     
ผู้ปฏิบัติจนกระทั่งหมดความหลงเสพสิ้นความยึดติดได้แล้วจริง จึงเป็นผู้ไม่มี(น โหติ)ภาวะนั้นๆในใจสำเร็จจริง
แต่ถ้าตนยังมีหลงเวียนขึ้นมาแว็บใดเมื่อใดอีก ก็เป็นเท็จสำหรับตน คือ ยังหลงวนมามีสิ่งไม่จริงสำหรับตนอยู่ ก็ต้องทำ
ความหลง(โมหะ)ของตนนี้จนไม่มีในใจสำเร็จ เด็ดขาด ยั่งยืน ตลอดกาล สัมบูรณ์ ให้ได้ แต่ไม่ไปโทษ-ไม่ไปลบหลู่หรือขัดแย้ง
      ผู้ที่ยังมีอื่น เพราะเขายังมีอยู่แท้ บางทีตนก็อนุโลมมีกับผู้อื่นอยู่ตามความเหมาะสม ก็ต้องทำตามกาล แต่ตนไม่มีแล้วจริง
ผู้สามารถเข้าถึงที่สุดของสภาพมี(โหติ) และไม่มี(น โหติ) ทั้ง 2 นี้ได้แล้ว และไม่ยึดมั่นถือมั่นในสภาพทั้ง 2 นี้ได้จริงก็เป็นอรหันต์ขั้นอุภโตภาควิมุติ ที่จะอนุโลม-ปฏิโลมอยู่กับธรรม 2 ที่ไร้เพศ(นปุงสกลิงค์) หรือจะกว่า 2 ก็ได้โดยผู้นี้ทำความสูญให้
แก่ตนได้ยิ่งขึ้นๆจริงแล้ว ตามลำดับของบารมี

      ส่วนผู้ที่อนุโลม-ปฏิโลมได้แค่สภาพธรรม 1 หรืออนุโลมได้แค่น้อยๆอยู่(ปุงลิงค์)คือ อรหันต์ปัญญาวิมุติ อรหันต์จะไม่ทำ
อะไรเกินกว่าที่ตนจะทำได้อย่างเผื่อไว้เสมอ เพราะท่านสิ้นความประมาท(อัปปมาท)แล้วแท้ และท่านก็ไม่มีตน(อนัตตา)แล้วอย่าง
แน่นอนเด็ดขาดแท้เที่ยง(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ฯ

      ทีนี้ มารู้จักอาการ 32 ได้แก่ อะไรบ้าง
(1) เกสา ผมทั้งหลาย (2) โลมา ขนทั้งหลาย (3) นขา เล็บทั้งหลาย (4) ทันตา ฟันทั้งหลาย (5) ตโจ หนัง (6) มังสัง เนื้อ
(7) นหารู เอ็นทั้งหลาย (8) อัฏฐี กระดูกทั้งหลาย (9) อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก (10) วักกัง ม้าม (11) หทยัง หัวใจ
(12) ยกนัง ตับ (13) กิโลมกัง พังผืด (14) ปิหกัง ไต (15) ปัปผาสัง ปอด (16) อันตัง ไส้ใหญ่ (17) อันตคุณัง ไส้น้อย

(18) อุทริยัง อาหารใหม่ (19) กรีสัง อาหารเก่า (20) ปิตตัง น้ำดี (21) เสมหัง น้ำเสลด (22) ปุพโพ น้ำเหลือง

(23) โลหิตัง น้ำเลือด (24)เสโท น้ำเหงื่อ (25) เมโท น้ำมันข้น (26) อัสสุ น้ำตา (27) วสา น้ำมันเหลว (28) เขโฬ น้ำลาย

(29) สิงฆานิกา น้ำมูก (30) ลสิกา น้ำไขข้อ (31) มุตตัง น้ำมูตร (32) มัตถเก มัตถลุงคัง เยื่อในสมอง
      ทั้ง 32 ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อาการ 32(ทวัตติงสาการ) ก็หมายความว่า องคาพยพทั้งหลายในร่างกายของคนนี้ ต่างก็มีอาการทั้งสิ้น นายแพทย์ที่รักษาร่างกายของคนที่ตรวจด้วย stethoscope(หูฟังของแพทย์ที่ใช้
ฟังอวัยวะภายใน) ก็ล้วนตรวจดูอาการของคนหรือสัตว์ แม้อยู่ภายในร่างกาย เช่น ตรวจหัวใจก็ดี ปอดก็ดี เป็นต้น ตรวจรู้ได้ว่า เป็นปกติ หรือผิดปกติ ในส่วนใดส่วนหนึ่งของอาการ 32นี้แล หรือ หมอแมะของจีนก็ดี ผู้สามารถตรวจดูอาการจากร่างภายนอกเพื่อรู้อาการ ของอวัยวะภายในด้วยการแมะก็ดี ก็ล้วนรู้ด้วยการสัมผัสจากเหตุปัจจัย จึงจะมีอาการให้รู้ ก็นัยเช่นนี้ทั้งสิ้น

      ผู้ปฏิบัติจึงต้องมีขันธ์(ขันธ์ 5) โดยเฉพาะขันธ์ 5 ในปัจจุบันนี้(ทิฏฐธรรม)จะเป็นทั้งสมมุติสัจจะ และเป็นทั้งปรมัตถสัจจะ แต่ถ้ามีแค่อดีต หรืออนาคต ก็สัมผัสเรียนรู้ได้แค่สัญญา จะไม่บริบูรณ์ด้วยปัญญา ที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่

ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาเลย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 149 และข้อ 151 จึงจะถือว่าเกิดปัญญาที่บริบูรณ์ทั้งภายนอก-ภานใน และทั้งรูป-ทั้งอรูป ตามวิโมกข์ 8ทุกข้อ ก็มีผัสสะ(สัมผัส)ทั้งนั้น  
จากพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 64 ถึง ข้อ 76 ก็ทรงยืนยันว่า จะสามารถรู้ได้เพราะผัสสะเป็นปัจจัย และแม้ข้อ 77 ถึงข้อ 89 ก็ทรงย้ำหนักแน่นอีกว่า เว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติ นั่นก็คือ ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีฐานที่จะให้การ กระทำ (กรรม) ไม่มีที่ตั้ง,หลักแหล่ง,ตำแหน่ง,เหตุ(ฐาน)ให้เรากระทำ(กรรม) ให้เราปฏิบัตินั่นเอง 
      เห็นไหมว่า ปัจจุบัน(ทิฏฐธรรม)ก็สำคัญมาก หรือสัมผัส(ผัสสะ)ก็สำคัญยิ่ง

ทีนี้ก็มารู้กันว่า อาการ คืออะไร
คือภาวะ 2หรือธรรมะ 2คือ สสารกับพลังงานก็ดี รูปกับนามก็ดี หรือภาวะที่มากเกินกว่า 2 ขึ้นไปก็ตาม มันปรุงแต่ง (สังขาร)กันเกิดเป็นธาตุต่างๆขึ้นมา
อาการของพลังงานจึงสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าทางวัตถุก็เป็นพลังงานทางอุตุ
นิยาม ซึ่งเรียนรู้กันเป็นวิทยาศาสตร์ของ
โลกทั่วไป ส่วนทางชีวะก็มีพีชนิยาม กับ

จิตนิยาม ซึ่งทางวิทยาศาสตร์ของโลกก็
เรียนรู้กันอยู่ ทางธรรมก็เรียนรู้ โดยเฉพาะของพุทธเรียนรู้ถึงขั้นโลกุตรธรรม และขอยืนยันว่าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง
พุทธนั้นสามารถเรียนรู้อาการของ
พลังงานที่ปรุงแต่งกันระหว่างรูปกับนาม มันจะมี 2 ส่วน ทั้งรูปกับนามเสมอ เมื่อมันปรุงแต่ง(สังขาร)กัน ก็เกิดอาการขึ้นมา
อาการนี้แหละคือ ภาวะจะเป็นรูป

กับรูปปรุงแต่งกันอยู่ก็ได้ ก็เป็นเรื่องของ
อุตุนิยาม ถ้าเป็นรูปกับนามปรุงแต่งกันอยู่ก็นี่แหละที่นักปฏิบัติธรรมของพุทธจะต้องเรียนรู้ให้ถึงปรมัตถธรรมเพราะมีนาม มาเรียนรู้อาการที่ปรุงแต่งกันอยู่ของ
รูปกับนามในความเป็น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,
หนัง ให้ถึงนัยสำคัญของมันดูบ้าง นักบวช
ของพุทธนั้น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง
ภิกษุทุกผู้ต้องศึกษาแยกกายแยกจิตในความเป็นกาย 5 คือกรรมฐาน 5นี้ให้สัมมาทิฏฐิ
ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรม
รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกายเป็นจิตที่
จะพาบรรลุอาริยธรรมได้เป็นอันขาด
เพราะจะปฏิบัติวิโมกข์ 8ไม่บริบูรณ์ หรือปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7ให้ดับความเป็นสัตว์(สัตว์โอปปาติกะ)ในตนจนหมดสิ้น ไม่ได้ เพราะกำหนดรู้(สัญญา)ความเป็นกาย ของสัตตาวาส 9(ความเป็นสัตว์โอปปาติกะที่อยู่
ในวิญญาณของคน โดยเฉพาะของตน) ไม่ถูกต้อง
คือเข้าใจความเป็นกายผิดไปเสียแล้ว
              ( อ่านต่อฉบับหน้า )    ความเป็นกายต่างๆ ย่อมรู้ผิดไปหมด ตั้งแต่คำว่า กายสังขารไปทีเดียว ไม่ต้องไป
พูดถึงกายอื่นๆ เช่น กายกลิ(กิเลส,สิ่งชั่วช้าที่อยู่ในกาย)
-กายกัมมัญญตา(ความเป็นของควรแก่การงานแห่งกองเวทนา,สัญญา,สังขาร)

กายปาคุญญตา(ความคล่องแคล่วแห่งกองเวทนา,สัญญา, สังขาร)-กายคตา(สิ่งที่เป็นไปในกาย)

กายกรรม(การกระทำทางกาย)

กายานุปัสสนา(การตั้งสติกำหนดพิจารณากาย, การพิจารณากายในกาย)

กายภาวนา(การทำให้เกิดผลของการอบรมกาย, การทำให้เกิดผลในการปฏิบัติของ
กาย) เป็นต้น และกายอื่นๆอีกมากมาย
ก่ายกองย่อมรู้ไม่สัมมาทิฏฐิแน่ๆ

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงกำชับว่า ทุกคนผู้บรรลุธรรมนั้นจะต้องปฏิบัติมีกายสักขี
เป็นเครื่องยืนยัน หมายความว่า จะเป็นคนผู้มีศรัทธาจริต(ศรัทธานุสารี)ก็ตาม หรือผู้มีพุทธิจริต(ธรรมานุสารี)ก็ตาม
ต้องมีกายเป็นพยานหลักฐานยืนยันว่า ได้ปฏิบัติชนิดที่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ เพราะเห็นด้วยปัญญามาจริง จึงจะเรียกว่า บุคคลผู้เป็นวิมุต เช่น ปัญญาวิมุต หรือ อุภโตภาควิมุต เพราะอาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว (พระไตรปิฎก เล่ม 36 ข้อ 151)  
      ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนังนี้แหละเป็นชีวะ ขั้นจิตนิยามที่มีรูปธาตุและนามธาตุ ซึ่งผู้ปฏิบัติสามารถเรียนรู้อาการของธรรม 2 ที่ปรุงแต่งกันเกิดมา..เป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง ได้อย่างมีนัยะลึกซึ้ง

      ผู้บวชเป็นภิกษุของศาสนาพุทธทุกรูป จะได้รับกรรมฐาน 5 จากพระอุปัชฌาย์ ให้พิจารณาวิเคราะห์วิจัย(analyze) ศึกษาเรียนรู้อาการในความเป็นกาย เป็นจิตของ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ให้ถ่องแท้(โยนิโส)ทุกคน และต้องมีการทำใจในใจของตนให้แยบคาย ลงไปถึงที่เกิด(โยนิโสมนสิการ) จึงจะเป็นมรรคเป็นผลของการปฏิบัติธรรมแบบพุทธ คือจัดการ(อภิสังขาร)กับการเกิด-การดับในจิตตนสำเร็จ เป็นผู้ทำความเกิดของอกุศลจิต ให้เป็นความดับแห่งอกุศลจิตได้แท้ ซึ่งไม่ใช่พิจารณาได้อย่างรู้แจ้งแทงทะลุว่า จิตนั้นย่อมเกิด-ดับ เกิด-ดับติดต่อกัน ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน อย่างละเอียดลึกซึ้งสุดลึกสุดรู้ แสนลึกล้ำแล้ว แค่ตรรกะเท่านั้น
แต่สัมผัสจิต หรืออาการของจิตที่เป็นรูปเป็นนาม รู้จักรู้แจ้งรู้จริงชนิดที่รู้แจ้งเห็นจริงจิตเกิด และจิตดับด้วยปัญญาอันยิ่ง(ญาณ,วิชชา,วิปัสสนาญาณ)จริงๆ

      กรรมฐานคือ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง 5 ภาวะนี้แหละ ที่ท่านให้เรียนรู้รูปรู้นาม มันมีรูปกับนามปรุงแต่งกันอยู่ทั้ง 5 คู่
ขณะใดที่มันยังมีนามร่วมรับรู้สึกอยู่ด้วย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนังนี้ก็ยังเป็นกาย จึงต้องศึกษากรรมฐานนี้ให้สัมมาทิฏฐิจนแยก
กายแยกจิตได้อย่างสัมมาทิฏฐิจริง เราจะได้ทำจิตดับให้แก่ตนสำเร็จแท้ ไม่ผิดพลาดไปจากดับส่วนที่เป็นอกุศลจิตเท่านั้น
เพราะการดับจิตไม่ใช่การดับจิตไปทั้งหมดแค่ให้ไม่รู้อะไรเลยไปชั่วระยะ ดังที่ผู้ทำสมาธิแบบมิจฉาทิฏฐิสะกดจิตตนให้ดับเท่านั้น และไม่ใช่ไปดับจิตส่วนกุศล หรือจิตส่วนอื่นที่ไม่ใช่จิตตัวอกุศลด้วย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง จึงเป็นกรรมฐานสำคัญยิ่ง ที่จะเรียนให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต และในกายนั้น ส่วนที่ถูกรู้คือ ฐานะของรูปนั้นว่าเป็นอกุศลจิตเกิด และเมื่อดับตัวนี้ก็คือจิตดับ เพราะผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง จิตที่ถูกรู้เป็นรูปอย่างแม่นยำคมชัดกันจริงๆ
??????????(จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)
      แต่แท้ๆแล้ว รูปที่ว่านั้น มันเป็นนามจริงๆที่อยู่ในกาย คือตัวที่เป็นอกุศลจิต ซึ่งเป็นส่วนที่จะต้องดับจึงจะสำเร็จผลแท้ๆ
ขั้นจิตดับกันจริงๆ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ก็เพราะได้ศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิจากการเรียนรู้ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง อันยังเป็นกายที่เป็นอวัยวะของเรารู้สึกได้ คือองค์ประชุมปรุงแต่งกันอยู่ของรูปกับนาม เราจึงสามารถแยกจิต ทั้งในขณะมันเป็นกาย และขณะที่มันไม่เป็นกายได้ เพราะเรียนรู้รูป(ภาวะที่ถูกรู้) รู้นาม(ภาวะที่เป็นผู้รู้) เมื่อส่วนนั้นยังไม่พ้นจากความเป็นจิตที่เป็นทั้งรูปให้ถูกรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งของเรา ซึ่งที่แท้เป็นนามคือจิต

      แต่ถ้า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง นั้นเลยเขตของนาม(ธาตุรู้ที่เป็นจิตนิยาม) พ้นออกมาจากประสาทของคนแล้ว มันก็ไม่ชื่อว่า กาย แล้ว เพราะมันเหลือแค่รูปเท่านั้น มันไม่มีนาม(จิต,มโน,วิญญาณ)แล้ว จึงไม่ใช่ กาย แต่หากมันยังไม่ขาดจากร่างของคน มันก็ยังมีชีวะเจริญได้ ทว่าพลังงงานที่ยังทำหน้าที่ให้มันเจริญชีวะอยู่นั้น ก็เป็นแค่พลังงานของพีชนิยามทำหน้าที่มีอาการทำงานอยู่ใน ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง แต่ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ส่วนนี้ไม่มีจิตแล้ว ตัดขาดจากจิต(ธาตุรู้)แล้ว ไม่มีความรับรู้จากธาตุรู้ของเจ้าตัวแล้ว ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ส่วนนี้ จึงไม่นับว่า เป็นกาย การแยกกาย..แยกจิต จึงไม่ง่าย ต้องเรียนรู้กันอย่างสำคัญ ?????????  (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ ต่อไปจะทำตามที่ท่านตอบ แบบเดียวกันว่า จะคงไว้ หรือตัดออก เลยได้ไหม หรือแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน)

      ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง 5 ภาวะนี้ ยังเป็นปฐวีธาตุ ซึ่งเห็นภาวะของลักขณปฐวี จากรูปร่างที่จับตัวกันอยู่เป็นก้อน,แท่ง,
แข็ง,ข้น ในความเป็นปฐวีที่มีอาการ ปรุงแต่งอยู่ในภาวะธรรม 2นั้น นี้หนึ่ง และ สองก็นับเป็นสสัมภารปฐวีด้วย ซึ่งมีดิน,น้ำ,ลม,ไฟ,อากาศ ประกอบอยู่ในนั้น แค่ไม่มีวิญญาณ(จิตนิยาม)แล้วเท่านั้น แต่ถ้าปฐวีธาตุยังไม่ขาดจากร่างของสัตว์นั้น และยังมีวิญญาณ(จิตนิยาม)ร่วมประกอบกันอยู่ ก็ยังมีอาการของจิตวิญญาณทำงานอยู่กับ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ที่ยังติดอยู่กับร่างของสัตว์ ดังเดียวกันกับ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง และอวัยวะอื่นใน 32 อาการ(ทวัตติงสาการ)นั้น ที่ทำงานแต่ละหน้าที่  หากความรู้สึก(ธาตุรู้)ของคนผู้นั้นก็ไม่มีความรับรู้สึกในความเป็น..ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก)แล้ว ทั้งๆที่ยังเป็นองคาพยพของร่างกายเรา ยังมีชีวะ(แต่
ตอนนี้มันเป็นแค่ชีวะระดับพีชนิยามเท่านั้น) และยังติดอยู่กับตัวเรานั่นแหละ ทว่า 5 ส่วนที่พ้นจากประสาทนั้นไม่มีความรับรู้สึกแล้ว กระทบก็เฉยๆแล้ว จะตัดออกก็ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์แล้ว ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ส่วนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นกายแล้ว (จะเติมคนตายยังมี โมเม็นตั้ม)
      แต่นั่นแหละ ตรงนี้แหละ ถ้าผู้ใดยังมีความยึดติดว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ส่วนนี้ เป็นเรา เป็นของเรา หรือยังหวงแหน ยังต้องการมันอยู่ ใครมาตัด มาแย่งเอาไป ก็จะทุกข์ เพราะความยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราอยู่ ทั้งๆที่ตัดทิ้งมันก็ไม่เจ็บไม่ทุกข์ หรือยังหลงว่า ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง ของเรา ต้องสวย ถ้าไม่สวยก็ทุกข์ ก็อยากให้สวย ยึดไปต่างๆ ก็ทุกข์เพราะมัน เห็นชัดไหมว่า คนนั้นทุกข์เพราะยึดว่า เป็นเราอยู่แท้ๆ ทั้งๆที่มันไม่ใช่กายของเราแล้วชัดๆแจ้งๆกันปานนี้  ทั้งๆที่มันไม่มีเวทนา(ความรู้สึก)แล้ว เวทนาของเราไม่เกี่ยว หรือดับไปแล้ว มันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันไม่ใช่นามของเราแล้ว มันเหลือแค่ส่วนเดียว คือ รูปที่เรายึดว่าเป็นเราเท่านั้น

      ถ้าเราไม่ยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา เราก็ไม่ทุกข์ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่รู้สึกอะไรเลย ใครตัดไป ทำลายไปก็เฉยๆ ซึ่งผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก) ส่วนที่ไม่เป็นกายของเราแล้วนี้ เพราะไม่มีจิตของเราเข้าไปยึดมันถือมันว่าเป็นเรา-ของเรา เข้าใจชัดเจนไหม? แต่ตอนนี้รูปมันยังไม่ได้ขาดจากกัน รูปมันยังเนื่องเกี่ยวกับร่าง(สรีระ)อยู่ ผมก็ยาวออกมา ซึ่งพ้นจากปสาทรูปภายในแล้ว ขนก็ดี เล็บก็ดี ฟันส่วนที่เป็นภายนอกก็ดี ผิวหนังส่วนนอกที่พ้นรู้สึกก็ดี ยังเจริญติดร่าง(สรีระ)เราอยู่ แต่ประสาท(ปสาท)ภายใน
ตัดขาดการรับรู้ขั้นจิตนิยามไปสนิทแล้ว ยังมีความเป็นชีวะแค่ขั้นพีชนิยามเท่านั้น  คือ พลังงานมันโคจรข้ามเขตที่เป็นนามจะรับรู้ได้ไปแล้ว ไม่มีรูปโคจรของนามที่เป็นพลังงานจิตแล้ว มันโคจรเลยขีดความรู้สึกของสัตว์ไปแล้ว มันทำงานร่วมกันกับปสาทรูปทางจิตไม่ได้แล้ว โคจรตอนนี้มันเป็นแค่พีชนิยามเท่านั้น แค่พืช มันจึงโคจรเลยเขตของกาย ที่จะเป็นสัตว์ไปแล้ว เพราะไม่มีจิต-มโน-วิญญาณ รับรู้สึกร่วมด้วยกันแล้ว จึงพ้นความเป็นกายไป ไม่มีกาย แต่มันยังมีชีวะนะ ยังมีพลังงานขั้นพีชนิยามร่วมปรุงแต่งอยู่ด้วย ยังเป็นพืชธรรม 2(รูปกับนาม)ไม่ครบ 2 แล้ว องค์รวมของพลังงานนี้จึงไม่ใช่กายของสัตว์แล้ว เพราะกายพระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง(พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 230) เพราะพลังงานของธาตุจิต(จิตนิยาม)ไม่มีอาการปรุงแต่งร่วมด้วยแล้ว เหลือแต่ธาตุพืช(พีชนิยาม)เท่านั้น จิตไม่มีใน ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง(หนังภายนอก) ที่ยังติดอยู่กับร่าง(สรีระ)เราแล้ว แต่ ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง(ภายใน) มันยังมีอาการของชีวะที่ปรุงแต่งกันเสร็จเป็นธาตุดิน-น้ำ-ไฟ-ลม-อากาศ-ชีวะ ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ ไม่แยกกัน
      แม้แต่คนที่สร้างความยึดติด(อุปาทาน)ใส่จิตตนเอง เช่น ผู้ปฏิบัติสมาธิหลับตา สะกดจิตให้จิตยึดความเป็นเราเป็นของเราไว้ได้อย่างแน่วแน่เป็นเจโตสมาธิตั้งมั่นได้ที่ แม้จะตายสิ้นลมหายใจไปแล้ว แต่ร่างกาย ก็ยังไม่เน่าเปื่อย ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,หนัง ก็ยังมีความเจริญได้อยู่ เพราะ???????????
 (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  
     
นั่นคือ ผมขนเล็บฟันหนังเป็นธาตุดิน และธาตุน้ำก็ดี ธาตุลมก็ดี ธาตุไฟก็ดี ยังมีปรุงแต่งกันอยู่ในนี้ จึงยังมีชีวะขั้นพืช
ภาวะที่พ้นขั้นพืช(พีชนิยาม) กลายไปเป็นอุตุนิยาม ก็คือ ธรรม 2 นี้แยกกัน ถึงขั้นรูปกับนามแตกสลายขาดจากกันสนิท หมดสิ้นความเป็นนามธรรม(ธาตุรู้) เหลือแต่รูปกับรูป ไม่มีนามกลับมาปรุงแต่งร่วมทำงานร่วมกันอีก แม้จะสัมผัส-กระทบกัน ก็ไม่เกิดรู้สึกใดๆในธาตุนั้นแล้ว  การแยกกายแยกจิต ต้องมีภาวะที่เป็นจริงชัดเจนกันอย่างนี้ จึงจะชื่อว่า มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือ วิจัยแยกแยะ (analyse)รูป-นามในตัวเราแท้จริง จึงจะชื่อว่า ผู้แยกกายแยกจิตได้ เป็นโลกุตระ

      การปฏิบัติที่เป็น analysis (การจำแนกแยกแยะ) กับการปฏิบัติที่เป็น hypnosis (การสะกดจิต) แตกต่างกันมีนัยสำคัญฉะนี้ ผู้ปฏิบัติสมาธิเพ่งกสิณ หรือเพ่งตริตรึกนึกคิดดิ่งแน่วเป็นสมาธิ หรือหลับตาเข้าไปในภวังค์ทั้งหลาย จึงเป็น hypnosis (การสะกดจิต) เป็นการปฏิบัติที่ได้รู้ได้ถึงแต่จินตภพ-จินตภาพทั้งนั้น แม้ได้นิโรธการสะกดจิต(hypnosis) พพ(พพ นี้เกินมา หรือมีความหมายอะไร?ครับ)
     
ส่วนผู้ปฏิบัติที่เป็น analysis (การจำแนกแยกแยะ) จึงจะแยกรูปแยกนาม แยกธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ-อากาศ-วิญญาณ ออกได้ อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริงบริบูรณ์สัมบูรณ์ ธาตุดินก็เป็นธาตุที่มีลักษณะหนึ่ง ธาตุน้ำก็เป็นธาตุที่มีลักษณะแตกต่างกันไปอีกอย่างหนึ่ง หรือ ธาตุไฟ-ธาตุลม-ธาตุอากาศ-ธาตุวิญญาณ ก็เป็นธาตุที่มีความแตกต่างกันไป ตามอาการของแต่ละธาตุ อาการของธาตุดิน(ปฐวีธาตุ) ก็ลักษณะหนึ่ง ภายนอก ข้น แข้น แข็ง จับตัวรูปร่าง เป็นก้อน เป็นแท่ง มีทั้งภานอกภายในตัวเรา รู้ได้ด้วยการสัมผัส เป็นหนึ่งในมหาภูต 4
      ภายนอกก็สัมผัสรู้อาการได้แจ้งกระจ่างง่าย แต่ภายในก็สัมผัสรู้อาการได้แจ้งกระจ่างยาก ดังนั้น ผู้จะสามารถเข้าไปเห็น(ปัสสติ) อาการของภาวะในภายใน ไม่ว่าจะเป็นอาการมหาภูตรูป ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ยากยิ่งจะเห็น(ปัสสติ)อาการของอุปาทายรูป หรือเห็นอาการนามธรรม เห็นอาการของวิญญาณก็ยิ่งยากกว่าขึ้นไปอีกแน่นอน ปฐวีรูป ถ้ามีลักษณะ ข้น แข้น แท่ง ก้อน และรูปนั้นเมื่อได้สัมผัสอยู่หลัดๆ ก็เห็นอยู่ภายนอก เรียก ปฐวีรูป นี้ ว่า ลักขณปฐวี(กักขฬปฐวี) ซึ่งหมายถึง ธาตุที่หยาบโตกว้างใหญ่ สัมผัสลักขณรูปรู้ได้ง่าย
      ถ้าธาตุดินนั้นมีภาวะติดอยู่กับตัวเรา อยู่ภายนอกตัว เช่น ผม,ขน,เล็บ,ฟัน,ผิวหนัง  ส่วนที่มันไม่มีความรู้สึกของเราแล้ว ส่วนนั้นจึงไม่ใช่กาย เป็นแต่เพียงรูป รูปัง(มีเฉพาะรูปของรูปเท่านั้น ไม่มีนามร่วมด้วย) แต่ติดอยู่กับร่างภายนอกของเรา จึงเป็นแค่ร่าง(สรีระ) ทว่าไม่ใช่กายเราแล้ว เพราะพลังงานชีวะของเราไม่ถึงขีดของความเป็นจิตนิยามที่ทำงานร่วมสังขารอยู่ในนั้นแล้ว จึงเป็นธรรมะ 1 ที่ไม่มีพลังงานที่เรียกว่า จิตอยู่ในร่างส่วนนั้น เหลือแค่พลังงานพีชนิยามเหลืออยู่ในร่างส่วนนั้น ที่สัมผัสด้วยการกระทบ(ปฏิฆสัมผัสโส)รู้แค่รูปรูปเท่านั้น เพราะรูปรูปไม่มีนามกายที่กระทบสัมผัสแล้ว  ????????
 (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  

 

ถ้าเห็น(ปัสสติ)ภายใน ก็เป็น อุปาทายรูป เป็นภาวรูป เป็นต้น   
ส่วนอาการธาตุน้ำนั้น อ่านยากมาก รู้ได้ยากมาก ตัวธาตุน้ำ ตัว H 2 O ตัวแรกนี้ คุณจะรู้ได้ยากมาก ต้องมีธาตุน้ำหลายตัวรวมกันก็เห็นเป็นหมู่ เคลื่อนไปเคลื่อนมา
ไหลไปเหลวมาได้ จึงจะพอเห็นได้ด้วยอายตนะภายนอกของคน รู้อาการไหวภายนอก
ส่วนธาตุดินจับตัวกันเป็นก้อนนิ่ง ก็เห็นก้อนแห่งธาตุดินได้ง่าย แต่ในตัวของความเป็นธาตุดินมันก็มีอาการในการสังขารปรุงแต่งกันอยู่จึงเรียกว่า มีอาการภายในของความเป็นธาตุดิน อาการของมันก่อเกิดกันเป็นก้อนเข้า เป็นดินก็ผนึกเข้า หินก็ผนึกเข้า โลหะก็ผนึกเข้า มีอาการผนึก ก็เห็นรูปภาพดินที่มีอาการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่ แล้วก็มีอาการเสื่อมไป ของดิน หินก็เหมือนกัน โลหะก็เหมือนกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เสื่อมไป น้ำหรือลมและไฟก็เหมือนกัน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-เสื่อมไปทั้งนั้น ล้วนไม่เที่ยง
ทีนี้ ธาตุดิน กับธาตุน้ำ เมื่อมันรวมตัวกันขึ้น เป็นกลุ่มธาตุดิน-ธาตุน้ำ เราก็สามารถเห็นอาการของมันได้ง่าย เพราะมันมีรูปร่างแห่งภาพเป็นมวลเป็นก้อนกว่าลมกับไฟ
ลมกับไฟนี้เห็นได้ยากกว่า ขนาดน้ำยังรู้จักภาวะของธาตุน้ำได้ยาก ยิ่งธาตุลมกับธาตุไฟก็รู้ได้ยากกว่า แต่มีอาการ ถ้ามีคุณสมบัติของอาการจัดจ้าน ก็ออกอาการอุตุธาตุ เช่น อาการของธาตุไฟก็เรียกว่า อุณหธาตุ,อุณหการ เตโชธาตุก็เรียก อาการของธาตุลมก็เรียกว่า วาโยธาตุ
อาการของมัน ถ้ามันร้อน เราก็อ่านอาการร้อนได้ มันไหวไป ไหวมา เคลื่อนไหวไปไหวมา ก็รู้ได้ นี่คือ อาการที่เราจะรู้จักในกายต่างๆของตนๆได้ กายแห่งรูปกาย(องค์ประชุมของรูปที่ถูกรู้) แห่งนามกาย(องค์ประชุมของญาณ หรือปัญญาของเราผู้รู้)

องค์ประชุมของรูปนาม องค์ประชุมของธรรมะ 2 ถ้าเป็นดินก็รู้ง่าย ถ้าเป็นน้ำก็รู้ยาก อณูน้ำรวมกันมากก็พอรู้ ถ้าเป็นลมก็รู้ได้ยากกว่า ยิ่งเป็นอุหณธาตุยิ่งรู้ได้ยากขึ้น
ภาวะที่เป็นตัวให้ถูกรู้(object) ให้เห็นอาการทุกข์ได้มาก ท่านเรียกว่าธาตุไฟ
คำว่า ธาตุไฟอาการของความร้อน  ถ้าต่ำกว่า 0 เรียกว่า ความร้อนมันน้อยลง ความร้อนน้อยลงไปต่ำจาก 0 เป็น ลบ 10 ลบ 20 คือ อุณหธาตุตีกลับ จากร้อนเป็นเย็น แล้วก็จัดขึ้นๆ เป็นเย็นจัดมากขึ้นๆๆ ตามทางวิทยาศาสตร์ ก็ถือว่าเป็นความร้อนที่ต่ำลงๆ จะเย็นจะหนาวเท่าใดๆ ก็คือ พลังความร้อนที่ต่ำลงๆๆ
??????????  (จะเก็บเครื่องหมายนี้ไว้?ไหมครับ)  
อาการในใจคน ท่านจึงเรียก ราคะ-โทสะ-โมหะ เป็นไฟ ได้แก่ ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟโมหะ เพราะเป็นอาการที่จะอ่านได้ในลักษณะเช่นนี้ จะรู้ได้ด้วยอาการ
อาการสุข หรืออาการทุกข์ ก็คือเย็นหรือร้อน ตามนัยสำคัญนี้ วิธีพิจารณาอาการจึงพิจารณาอาการในเวทนาว่า มันมีความรู้สึกเย็นหรือร้อนฉะนี้เอง
เย็นจัดเกินก็ทุกข์ ร้อนจัดเกินก็ทุกข์ นี่คือ อาการของมัน
เราอ่านอาการของเวทนาออก เย็นเกินหรือร้อนเกิน ก็เพราะราคะหรือเพราะโทสะมันมีอาการ คุณบอกว่าร้อนใจ ใช่ไหม? ร้อนใจ อย่างนี้เป็นต้น
นั่นแหละ ถ้าเข้าใจไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ ก็คือร้อนจากกิเลสทั้งนั้น อาการจากกิเลสที่มันไม่ปกติ มันไม่กลางๆ ร้อนน้อยก็ยังไม่สนิท เย็นน้อยก็ไม่สนิทต้องกลางๆ อุเบกขา

จึงอ่านอาการพวกนี้ให้ออก อาการของเวทนาก็อ่านออก ทีนี้อาการไม่ใช่มีแค่ร้อนเย็น แต่มีควบแน่นอย่างธาตุดินก็เป็นอาการ ธาตุน้ำก็ควบแน่น แต่รวมตัวแล้วก็เป็นลักษณะนั้น มันไม่เหมือนธาตุดินที่ควบแน่นแข็งอย่างนั้น นี่เป็นภาษาของของพระพุทธเจ้า ศาสนามิใช่ภาษาทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขามีภาษาแจกออกไปอีกเยอะไม่แค่สี่อย่างนี้ มีคำมหาศาลเลย ภาษาทางศาสนาก็มีธาตุ 4 หรือจะมี 6ธาตุ ก็คือ ธาตุอากาศ กับ ธาตุวิญญาณ ถ้าจะเอาให้ครบ
คำว่า อาการ ก็ต้องอ่าน ทุกข์ สุข อาการที่อยู่กับ 32 อาการ
อาการต่างๆ มันเป็นของจริง เป็นธรรมชาติของสัตว์ มนุษย์ที่ มันมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มาจนกระทั่งถึงปัสสาวะ(มูตร) เป็นอาการ 32 มีอยู่ในนั้นหมด ทีนี้อาการของ ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนังที่มันไม่มีอาการของเวทนา ไม่มีอาการของความรู้สึกแล้ว มันไม่ใช่กาย

คำว่า กายต้องมีจิต มโน หรือ ความรู้สึก วิญญาณ อยู่ร่วมเสมอ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม16 ข้อ230 ที่ท่านตรัสว่า

กายนี่เราเรียกว่าจิตบ้างมโนบ้างวิญญาณบ้าง เวลาเราอ่านให้อ่านที่จิต ที่มโน ที่วิญญาณ แล้วทำใจในใจ ไม่ได้ทำกายนอกกาย ไม่เคยมีคำสอนพระพุทธเจ้าให้ทำกายนอกกาย มีแต่ทำใจในใจ จัดการที่ใจไม่ใช่จัดการที่กาย ถ้ากายมีแนวโน้มมาหาข้างนอกจนกระทั่งเลยเถิด อาตมาไม่เห็นอาจารย์สำนักไหนเลยอธิบายว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นจิต มีแต่บอกว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นร่างข้างนอกร่างกาย แต่จะเข้าใจไหมว่า เป็นนอกร่างกายนั้นมันไม่เป็นกายแล้ว ถามจริงพวกคุณเริ่มฟังได้อาตมาบอกยืนยันว่าผมขนเล็บฟันหนังนี้ไม่ใช่กายนี่งงไหม ?
คำว่า กายนี้ เป็นคำที่ไทยเอามาบวชไม่สึก(
เดาไม่ถูกครับ หรือแค่คำว่า “ใช้” แทน?) แล้วหมายความว่า ร่างภายนอก คำว่ากายนี้ บอกเป็นไทยแล้วมันแปลว่า ร่างภายนอก ใช่ไหม อาตมาพอไขความให้พวกคุณฟังว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่กาย คุณไม่งงหรือ อาตมาว่าพวกคุณต้องงง คุณไม่รู้รายละเอียดก็แยกไม่ออกแน
แต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เนื่องอยู่กับปสาทรูป ที่มีประสาทรับรู้อยู่ จิตวิญญาณยังรับรู้ได้ เป็นส่วนของกาย ก็มีผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่เป็นกาย ทีนี้นอกนั้นจาก 5 นี้แล้วเป็นกายนะ ในอาการ 32 แม้หนังที่เป็นผิวเข้าไปจากหนังกำพร้า หนังนี้ก็เป็นกายแล้วนะ แสบแล้วนะ  เป็นอาการ 32 ส่วนที่แยกไม่ใช่กาย
แม้หนังไม่ใช่ผิว เป็นหนังกำพร้านี้ เป็นกายแล้วนะ แสบได้ รู้สึกได้
อย่าง ผัสสาหาร พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนวัวที่ไม่มีหนัง ถูกกับอะไรก็แสบไปหมด มันมีกายนะ แม้ไม่มีหนังก็มีกาย
ที่ท่านว่าเหมือนวัวไม่มีหนังหุ้มมันก็แสบไปหมด มีเวทนา ผิวหนังที่ไม่รับเวทนาแล้วมันไม่ใช่กาย
ทีนี้อาการนอกจาก 5 อย่างนี้ ต่อจากหนังก็เป็นเนื้อ มีอาการ เอ็นมีอาการ อาการที่ทำงานร่วมอยู่ข้างใน
อาการคือ พลังงานไฟ พลังงานลม  พลังงานที่สังเคราะห์เคลื่อนไหวกันอยู่แต่ละหน้าที่ เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด หัวใจ ทุกอย่างในร่างกายนี้ เหลืออีก 27 นั่นละ มีอาการเป็นกายหมด
ทีนี้ก็มีสภาพที่ไม่เป็นกาย ก็ต่อเมื่อ อย่างน้ำตาหลุดไหลออกมา ไหลออกมาจากข้างนอกแล้ว ไม่มีอาการ มีแต่จะทิ้งไปเป็นธาตุน้ำ ถ้าอยู่ข้างในก็มีอาการ เป็นหน้าที่ทำงาน วันนี้อธิบายให้ทราบว่าทำไมท่านเรียกว่าอาการ 32 มันมีอาการ มีหน้าที่นะ
อย่างสิ่งที่ออกมานอกตัว เช่น น้ำตา เสลด น้ำลาย หากออกมาจากร่างกายมันก็ไม่เป็นกาย ไม่เป็นรูปนามของเราแล้ว ส่วนอุจจาระยังอยู่ในท้องยังไม่ได้หลุดออกมาข้างนอกฉันเดียวกับน้ำตา น้ำลาย เสลด ที่ยังไม่ได้บ้วนออกมาภายนอก ยังทำงานทำหน้าที่เป็นโทษเป็นคุณได้
ถ้าออกมาก็เหมือนดินน้ำไฟลม ถ้าอยู่ในจมูกก็เป็นกายได้ แต่ออกมาภายนอกแล้วประสาทเราไม่รับกับมัน ไม่สัมผัส ก็เลิกทำงานกับเรา แต่ถ้าอยู่ในร่างกายก็ทำงานกับเรา
อุจจาระก็ทำนะ เช่น อาหารเก่าก็อุจจาระ อาหารใหม่ก็เพิ่งกินเข้าไป แล้วทำงานสังเคราะห์ไปเอาส่วนนั้นส่วนนี้เป็นธาตุไปใช้งาน ส่วนที่ไม่ใช้แล้ว ก็ขับเป็นอาหารเก่า ไปเรื่อยๆ จนไม่ใช้ก็ขับออกไป หลุดออกไปจากร่างกาย ก็ไม่ใช่กาย ฉันเดียวกับผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่หลุดเขตปสาทรูป ก็ไม่มีอาการที่เกี่ยวข้องกับเรา
อาการที่ยังเกี่ยวข้องกับเราอยู่ มันทำงานกับเราเป็นโทษและเป็นคุณกับเราได้ทั้งนั้น นี่คืออาการของสรีระ 32 นี้คืออาการของสรีระทั้งนั้น
ภายนอกและภายในร่าง องค์ประกอบของร่างภายนอก และภายในทั้ง 32 นี้
ทีนี้อาการที่ 33 ล่ะ คือ อาการของจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของสรีระ ไม่ใช่เรื่องของธาตุ เป็นธาตุวิญญาณ
ก่อนจะถึงธาตุวิญญาณ ก็เป็นอากาสธาตุ ธาตุมีดินน้ำไฟลม แล้วก็มีอากาสธาตุ เป็นช่วงกลาง จิตวิญญาณสามารถรับ อาศัยอากาสธาตุได้ อากาศของรูปธรรมก็มี อากาศของทางนามธรรมก็คือ อุเบกขา
อุเบกขาเริ่มต้นเรียกว่าว่าง แล้วว่างยิ่งขึ้น เป็นอรูปฌานคือ กำหนดอาการความว่างของจิต
โดยเฉพาะนัยสำคัญคือ ว่างจากอาการกิเลส ว่างจากอาการกิเลส
ในความหมายของความว่างคือ ช่วงกลาง รูปธรรมก็ว่างได้ เช่น มีธาตุสามธาตุรวมกัน ก็เกิดช่องว่าง รูปกาย จะมีช่องว่างอย่างละเอียดเลย
ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็มีเยอะ เอาล่ะ ช่องว่างนี้ไม่เกี่ยวกับความรู้สึก แต่เมื่ออุเบกขาเป็นฐานนิพพาน มีความรู้สึกเฉย เพราะอากาศนี้ไม่ใช่ตัวความรู้สึก

                 

ในขณะนั่งหลับตาเข้าไป ทำฌาน เมื่อได้ฌาน 4 แล้ว?(คงไว้ไหมครับ) จะผ่านไปยังอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ คุณมีอายตะที่จะรู้ความว่าง อากาศอันนี้  มันจะว่างโดยไม่มีตัววิญญาณ ระลึกออกไปไหม ที่อาตมาเคยเล่าให้ฟัง คนนั่งหลับตาเขาจะอาศัยอากาศ ช่องว่างของอากาศตรงนั้นให้ได้ พอได้แล้ว ก็จะรู้สึกเบาว่างโล่ง เบากว่าอุเบกขา อุเบกขายังมีความคิดนึก แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 แล้วมันก็จะมีบรรยากาศที่ไม่เหมือนอากาศ แน่นกว่า มีถ่วงจำเพาะ หรือไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร แต่มันเบากว่ากันเยอะ พอมาเป็นอากาศมันต่างจากความว่างแบบอุเบกขา เพราะอุเบกขามีธาตุรู้มากกว่า เยอะกว่า พอมาเป็นอากาสธาตเป็นอากาสานัญจายตนะ มีอายตนะรับรู้ในภพ
นี่คือในพวกนั่งสมาธิหลับตา อยู่ในภพของจิต ภพนั้นไม่มีวิญญาณรู้ เป็นตัวถูกรู้ แล้วตนเองยังระลึกตัวเองไม่ออก แต่ตัวเองรู้สึกลึกๆ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองคือใคร แต่รับรสรู้สึก เป็นเวทนาที่ยังไม่มีตัวตน พอรู้ตัวว่าเรามาอยู่ตรงนี้หรือ
มาอยู่ตรงอากาศ ออกนอกรูปโลก มาอยู่อรูปโลกแล้วหรือนี่ พอรู้ตัวเมื่อนั้นก็คือวิญญานัญจายตนะ ซึ่งไม่นานนักหรอกคนที่นั่งสมาธิหลับตา ที่จะรู้ตัวเอง แต่บางคนอาจจะนาน แต่สำหรับอาตมานี้ไม่นาน อากาสานัญจายตนะเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าเป็นเรา
ทีนี้อากาศในเรื่องของรูปวัตถุต่างๆก็เป็นช่องว่างของมัน เมื่อไม่มีธาตุเข้าไปร่วมรู้ ไปรับรู้ ก็ไม่รู้บรรยากาศว่าเป็นอย่างไร อย่างเช่น ในโลกที่มีแรง แรงดึงดูดแรงโน้มถ่วง ในโลกก็จะมากกว่า
ภายนอกโลกก็จะไร้น้ำหนักเบาบางกว่า ก็จึงอยู่ว่างเบาลอย แม้แต่ตนเองก็ไร้น้ำหนัก ถ้าคุณได้ออกนอกโลกจะรู้สึกอย่างนั้น ทีนี้ที่อาตมาจะเจตนาอธิบายต่อจากอากาศคือวิญญาณ
ตัวนี้มีอาการ อาการของวิญญาณ ตัวนี้คือตัว ตาวติงสา คือ ดาวดึงส

คำว่าดาวดึงส์ มีองค์ประกอบ ที่มีคำนิยามว่า คือมีสุข โลกีย์ก็สุขอย่างโลกีย์คนก็อยากได้อาการที่ 33 นี้ทุกคน ทุกคนมีอาการ 33 อยากได้สุข และความสุขก็มีคู่หูคือความทุกข์ คู่หูที่แกะกันไม่ออกเลย
ถ้าคุณไม่ฆ่าตัวเหตุแห่งทุกข์ให้มันดับไปเลย สุขคุณก็จะยังอยู่ คุณฆ่าเหตุแห่งทุกข์ดับหมดเมื่อใด สุขคุณก็ไม่มี นอกจากความจำ จำได้ว่าเป็นสุข แต่ในปัจจุบันของคุณมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้นกาย ถ้าคุณฆ่าเหตุตัวนี้ได้แล้ว อาการสุขจะไม่มี ในวิญญาณมีอากาศ
ที่เจตนาจะย้ำคือ อาการของวิญญาณ อาการที่ 33?นี้แหละที่ต้องกำจัดเหตุ ส่วนอาการ 32 นี้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันเท่าไหร่ ถ้าคนที่เก่งในด้านสามารถใช้จิตวิญญาณ เข้าไปควบคุมอาการทางสรีระ
คนนี้ก็สามารถเอาพลังงานจิตนี้ไปรักษา พลังอาการบางอย่าง ให้อาการที่ไม่สมดุลที่มากไปน้อยไป ให้พอดีได้ ในเอ็นกระดูก เยื่อกระดูก หัวใจ ตับ ปอด พวกนี้ที่ท่านเรียงเอาไว้เป็นอาการ 32 บางคนถ้าเล่นพลังงานทางจิต ก็เอาพลังงานจิตไปรักษา เช่นเจ้าคุณนอฯ ท่านรักษาได้ขนาดหนึ่ง แต่ท่านสู้มะเร็งมันไม่ได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาทนพิษบาดแผลไม่ได้ ตายไปนานแล้ว แต่ท่านรักษาอาการสมดุลของกายได้ ท่านก็รักษาอาการพวกนี้ คนที่พยายามรักษาอาการของวิญญาณ โดยการสะกดก็ได้ ให้มีพลังงานไปปรับแปร เรียกว่าอภิสังขาร จัดการ ก(ขาด? ไป?)
เพราะฉะนั้น เราสามารถสร้างอาการปรับปรุง หรือปรุงแต่งสังขาร อย่างอภิสังขาร คือสร้างบุญ สร้างอาการชำระกิเลส กิเลสเป็นอาการ เป็นอกุศลจิต คุณจึงสามารถสร้างอาการทางจิตวิญญาณเป็นอาการทางปัญญา แต่อาการแบบเจโต เขาก็สร้างอาการทางเจโตเอาไปสะกด ปรับแปรในวิธีหนึ่ง มันก็ได้ไม่เจ็บไม่ปวด แต่ไม่ได้หมายความว่า มันไปลดไปล้างอาการที่ยึดมั่นถือมั่นในจิตวิญญาณ 
แต่การศึกษาที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้า สามารถเป็นบุญ สามารถชำระอาการของกิเลสได้ กิเลสมีอาการ เป็นอาการ
ใครอ่านอาการของตนเองกำลังโกรธได้ คนนั้นก็เห็นอาการของจิต
ถ้าคุณมีญาณ มีปัญญา มีวิปัสสนาญาณ หรือญาณทัสนวิเศษ สามารถ พอตาสัมผัสคนๆนี้มีอาการไม่ชอบหน้า อาการโกรธเกิด คุณก็อ่านอาการจิตโกรธนี้ได
คือตัวจิตโกรธแท้ๆ คุณอ่านได้
ก็รู้ได้ด้วยอาการ ถ้าสัมผัสคนนี้เกิดอาการชอบ ก็อ่านอาการได้ นี่แหละคือภาคปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่เน้นการรู้รูปนาม คือการรู้ธรรมะ 2 สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่า “รูป” สิ่งที่เป็นตัวเข้าไปรู้คือ “นาม”
ที่เก่งสามารถเข้าไปรู้ความโกรธความโลภได้ เรียกว่าญาณ หรือเรียกว่าญาณทัศนะวิเศษ
เป็นพลังงานวิเศษที่ฉลาดรู้อาการกิเลสได้ จนคุณมีวิธี แล้วทำให้มันลดได้กดข่มก็อย่างหนึ่ง สมถะกดข่มไว้ พลังงานอุณหธาตุที่มันไปสลายไฟราคะโทสะโมหะที่เป็นอาการกิเลสได
คุณก็จะรู้จะเห็นอาการเหล่านั้น เห็นมันอย่างเกิดจริงเป็นจริง นี่แหละคือ ตาทิพย์ คือวิชชา ซึ่งปัสสติ หรือปัสสนะ หรือปัสสี ปัสสะ มันเห็นอย่างสัมผัส มันมีญาณปัญญาสัมผัสอาการนี้ได้เลยนะ แล้วมีการวิจัยรู้ด้วย มีธัมวิจัยได้ว่าอาการนี้คือ อาการกิเลส อาการอันนี้คือ อาการสลายจางคลาาย ดับ ไม่เหลือ เป็นญาณทัสนวิเศษ หรือวิชชาที่ รู้ความจริงตามความเป็นจริงนั้นๆตลอดเลย
ที่พูดเน้นแรงนี่ไม่ได้โกรธนะ แต่น้ำหนักให้ดูให้เกิดความเข้าใจ เน้นให้ถึงๆ
ฟังแล้วมีน้ำหนักเหมือนจิ้มเข้าไปในความรู้สึกที่ใจ เป็นวิธีการของอาตมา ใครจะเลียนแบบก็ไม่ว่า แต่เอาไปทำงานนะ จะไปเน้นทะเลาะวิวาทก็ได้ แต่เอาไปเป็นประโยชน์ดีกว่า ใครจะถือสาก็แล้วแตที่แรงๆนี่คนเขาถือว่าเป็นความโกรธ พวกคุณแรงคือ พวกโกรธตามความหมายที่เขาถือ ก็ไม่เป็นไร  อาตมาก็ดูที่อาการจิตตนว่าเป็นอย่างไร อาตมาแสดงออกไปแล้วอาตมาไม่ได้มีอาการพวกนี้อยู่เลย อาตมาก็แยกออกได้  นี่อวดอุตริมนุสธรรมนะ ที่พูดนี้ไม่ใช่ธรรมดาว่าอาการโกรธไม่มี มีอสังขาริกัง ไม่มีตัวเชื้อที่จะพาให้เกิดทุจริตเลย แม้จะดูเน้นหนักเหมือนมีอารมณ์ ก็เป็นอารมณ์ที่ก็มีความต้องการอย่างวิภวตัณหา ไม่มีภพชาติไม่มีกิเลสอะไรหรอก อาตมาขยายความถึงขั้นนี้แล้ว
ก็มาถึงอาการตาวติงสาการ คืออาการของดาวดึงส์นี่แหละ เป็นตัวเทวดาขี้หลอกที่คนหลงมันจัง อยากได้อยากมีอยากเป็นจัง ในอาการที่ 33 ก็เลยต้องเริ่มต้นล่า ออกไปเป็นจตุมหาราชิกา คำว่าราชะ คือกิเลสต้องการความรื่นรมย์ รชะ
คือต้องการรสชาติของความพอใจ เป็นรากศัพท์เดิม
ก็จะไปล่า เป็นมหาราชทั้ง 4 ทิศคือ จตุมหาราช ดีไม่ดี ฆ่ามันเสียเอาเมียมันมา หรือฆ่ามันซะ เอาบ้านเอาเมือง ฆ่ามันซะเอาทรัพย์เอาสิน ฆ่ามันซะให้สมโกรธสมแค้นสมความไม่ชอบใจอะไรก็แล้วแต
คุณฆ่าเขาตายได้สมใจก็ได้อาการดาวดึงส์ ก็พอใจ เป็นอาการที่ 33 เป็นซาดิสม์ ส่วนพวกโรแมนติกอิซึ่มก็เข้าใจง่าย สุขสบายชอบใจ รสหอมหวานยินดีปรีดา แต่ทางซาดิสม์คุณก็สมใจเหมือนกัน สมใจอย่างนั้นคือ อาการตาวติงสาการ เป็นอาการที่ 33 คุณล่าได้มากขึ้นก็เป็นมหาราชสูงขึ้น เก่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นมหาราชใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ยามะคือ เวลา จตุมหาราช ดาวดึงส์ ยามาคือเวลา คุณก็อยากให้ความชอบใจอยู่นานๆคือยามา อยู่ตลอดเวลาได้ก็ยิ่งชอบ
จนกว่าจะเบื่อจะเซ็งก็ไปหาอะไรใหม่ๆ เอาดาวดึงส์ใหม่ก็ไปหาเสพใหม่ ก็เป็นคนไม่เที่ยงอยู่แล้ว ไม่ได้แน่นอน ได้ดาวดึงอันนี้ก็อยู่กับอันนี้ จะไปเอาอันอื่นทำไม ประเดี๋ยวได้สนุกทางตา ก็ไปเอาสนุกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไปเอาทางอิริยาบถนั่ง อิริยาบถนอน อิริยาบถเดิน อะไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดีก็เต้นตีลังกาหกคะเมนก็แล้วแต่คุณ ก็เอาสนุกทั้งนั้น แล้วแต่จะสมมุติอะไรไปหลงที่พาสนุกสนาน ไม่เรียกว่าบ้าๆบอๆก็ไม่รู้จะเรียกอะไร  สมัยโบราณไม่ได้สมมุติอะไรกันมากไม่สนุกอะไรมาก คนป่าคนดอยก็จะเต้นกันด้วยท่าทางไม่มากมายอะไร ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เด็กหนุ่มๆเต้นกันหัวหมุน ไม่มีหรอก ไม่คิดสมมุติแบบนั้นหรอก แต่อย่างนี้นึกพิเรนทร์ไปหาดาวดึงส์ เสพอาการสมใจที่ตนได้สมมุตินั้น อยู่อย่างนั้นแหละ
คนถูกหลอกว่าให้ได้ทรัพย์มากๆ ได้เป็นเจ้าของแผ่นดินเจ้า ได้เป็นเจ้าของอำนาจ ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน แม้แต่ผู้หญิงถูกหลอกให้เอาขี้มาทาสีมาประดับก็มา ก็เป็นสุข อะไรก็ไม่รู้ที่เขาสมมุติ เอามาทาสี แล้วก็หลอกกัน ได้มาแล้วก็เป็นดาวดึงส์ เป็นยามา แต่ไม่นานก็เบื่อ หรือต้องหยุดพัก หยุดพักคือดุสิต

ดุสิตแปลว่าที่พัก แปลว่าเย็น สิตะ แปลว่าเย็น สันตุสิเทวราช เป็นเจ้าที่เมืองแดนดุสิต พักหยุดสงบเฉย มันก็มีวาระ 
แต่จะสุขอย่างไรก็พักยกเป็นดุสิตของโลกีย์ ส่วนอรหันต์อย่างโลกุตระก็ไปพักที่ดุสิต เพราะไม่มีอาการทาง 32 กายวาจาใจเลย อรหันต์ก็พักที่ดุสิต
จนกว่าจะเกิดมาในโลกก็คือ พัก สงบ สันตุสิต ได้เป็นสันตุสิตเทวราช ก็มีอาการพักนิ่ง ไม่ต้องเดาหรอก โบราณาจารย์มีพยัญชนะบอก แต่ถ้าโลกียะก็พักยกเป็นดุสิต
ส่วนนิมมานรดีปรนิมมิตวสวัตต
ก็เป็นพลังงานของอำนาจ เนมิต นิมานรดี สร้างโลกย์ใส่ตน ที่เป็นกามาวจร 6 ชั้น คุณก็ได้สร้างเสพสุขได้ทุกอย่างคือ การเก่งมหาราช เป็นจตุมหาราชแล้วเนรมิต ให้สม รตี ให้สมกิเลสความยินดี เป็น รตี หรือ รติ นิมมานรตี ก็หลงระเริง ส่วนปรนิมมิตวสวัตตีก็มีบริวาร มีคนอื่นช่วยสร้างอีกด้วยอำนาจ คือ วสวัต  เพราะคุณชนะเขาได้ เขาก็มาเป็นบริวาร มาช่วยสร้างช่วยทำให้คุณอีก ส่วนนิมมานรดีก็ทำเองคนเดียว ก็ไปแย่งเขาเป็นมหาราชนั่นแหละ แล้วก็วนเวียนที่ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต วนอยู่ตรงนี้แค่นี้ กับสามอย่างนี้ ดาวดึงส์ ยามา จะนานเท่าไหร่ไม่รู้แล้วก็พักยก
“ดาวดึงส์” คือเกิดขึ้น

“ยามา” คือตั้งอยู่

“ดุสิต” คือดับไป พักยก แล้วก็วนกลับมาเป็น “มหาราช” แสวงหามาเอามาเสพใหม่ เอามาเป็นของข้าใหม่ ถ้าได้มาก็เป็น “นิมมานนรดี”เก่งสุดยอดก็เป็น “ปรนิมิตตวัสวัตตี” มีบริวารมีคนอื่นช่วยทำด้วยหาให้ด้วยเลย  นี่คือ แดนเทวดา 6 ชั้น
ตัวจริงๆๆก็คืออาการที่ 33 นี้เท่านั้น
จะได้นานหรือตั้งอยู่เท่าไหร่แล้วพักยกเท่านั้น วนเวียนเท่านั้น เสร็จแล้วส่วนอีก 3 เทวดา ก็อธิบายเป็นสภาวะเทวดาขี้หมานี้ให้ฟังแล้ว อาตมาเลิกเป็นอย่างเด็ดขาดเทวดาขี้หมา 6 ชั้นนี้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า เราย่อมรู้เหตุนั้นชัดทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นถือมั่นในความรู้ชัดนั้น เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ทราบความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย กับทั้งอุบายเครื่องออกจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ยึดมั่น ตถาคตถึงหลุดพ้น
อาตมาก็พูดได้ว่า โพธิรักษ์จึงหลุดพ้น ก็นัยเดียวกัน ตามสัจธรรม

อาตมาไม่ใช่เข้าใจความหมายได้เพียง
อย่างเดียว ทว่าอาตมาทำได้ด้วย ซึ่งแน่นอนคุณวิเศษไม่เท่าพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น อาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า แต่อาตมาก็รู้เหตุรู้ปัจจัยนั้น ส่วนที่เป็นของอาตมา
แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นความรู้ ทราบความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป หรือคุณและโทษและอุบายเครื่องออกจาก
เวทนาทั้งหลาย จึงสร้างความดับได้เฉพาะตน
คำพูดของอาตมาตอนนี้ เท่ากับพาคุณไปถ่ายรูปในห้องน้ำแล้วนะ เปิดเผย(ตัวตน)จนหมดแล้ว
เป็นอย่างนั้นจริงๆ พอจะรับได้ไหม?
ขออภัยผู้ที่ไม่เชื่อถืออาตมา ก็คงจะหมั่นไส้หนักหนาสาหัส ว่า โพธิรักษ์นี่มันอวดตัวอวดตนเกินไปเสียแล้ว
วันนี้ก็เลยตั้งใจอธิบายอาการ จะได้รับความรู้เพิ่มเติมขึ้น ได้รับไหม ให้แล้วนะ

ถ้าพูดไปแล้วพวกคุณไม่รู้เรื่องเลย อาตมาก็เป็นคนเพ้อเจ้อเหมือนพูดกับตอไม้ ลมๆแล้งๆ ทั้งๆที่เป็นความจริง ซึ่งการเพ้อเจ้อนั้น ต่อให้คุณพูดสัจจะสูงส่งเท่าไหร่แต่พูดกับคนที่เขาไม่รู้เรื่องเลย คุณก็เพ้อเจ้ออยู่คนเดียวแล้ว คนที่อยากอวดก็มักจะเอาอะไรมาพูดที่เขาไม่รู้
วิธีปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้อาการเป็นเรื่องหลัก เรื่องใหญ่เลย ต้องเรียนรู้อาการของนามรูป หรืออาการของรูปนาม เมื่อสัมผัสแล้วก็จะมีอาการของวิญญาณที่เป็นวิญญาณผีวิญญาณสัตว์นรก ที่จะต้องจัดการก่อนจนสัตว์นรกหมด แล้วก็ยังมีเทวดาหลอกในกามภพ ก็ต้องฆ่ามันอีก จนเป็นอนาคามีแล้วอาการของกามภพหมด ก็ต้องอ่านอาการรูปภพ อรูปภพต่ออีก จัดการอีก
นามมี 5 ประการที่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
5ตัวนี้คือตัวปฏิบัติ มโนสัญเจตนาคือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

จิตที่อาศัยอาการของมโนสัญเจตนาหาร อรหันต์หมดกามตัณหา ภวตัณหา เหลือแต่วิภวตัณหา อาศัยใช้อันนี้อาตมาอาศัยวิภวตัณหา อยากให้คุณได้อันนี้ พระพุทธเจ้าตรัสกับมารว่า เราจะไม่ปรินิพพานจนกว่าพุทธบริษัท 4 เราแข็งแรง ท่านก็ไม่อยากตาย แต่ด้วยวิภวตัณหา พระพุทธเจ้ามีตัณหา อาตมาบอกพวกคุณก็เฉยรับได้ แต่คนอื่นเขาอาจจะประท้วงว่าหมิ่นพระพุทธเจ้าก็ได้
อาการ 32 ในร่างกายนั้นมีอาการจริงๆ แต่เราจะไปอ่านอาการของตับ เราจะไปอ่านอย่างไร แต่พวกหมอแมะเขาแมะอาการรู้ว่าคนนี้ตับไม่ดี หัวใจไม่ดี ปอดไม่ดี รู้ว่าธาตุต่างๆในร่างกายทำงานไม่ดมีดินน้ำไฟลมอากาศและวิญญาณทั้ง 6 ธาตุ และสามารถอ่านและการได้ส่วนหมอสมัยใหม่ก็ใช้ stethoscope ขอฟังอาการทั้งนั้น แต่ว่าไม่เก่งเท่าหมอแมะ จีน
อาการทางกายกรรมอาการทางวจีกรรมก็เรียกว่าวิญญัติ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล
แสดงอาการได้ ส่วนท่าทีล่ะก็แสดงออกได้ ถ้าครบทั้งหมดก็เป็นนัจจะคีตะวาทิตะ

ผู้ปฏิบัติจึงจะสามารถเห็น(ปัสสติ)
ความดับ(นิโรธ) ที่เห็นภาวะวจีสังขารใน
จิตที่ดับ(นิรุชฺฌติ)ก่อนกายสังขาร และก่อนจิตสังขารเป็นลำดับ อันอยู่ในกระบวนการของสังกัปปะ 7
ผู้สัมมาทิฏฐิจริงเท่านั้นจึงจะรู้จักรู้แจ้ง
รู้จริงสังขาร 3 และทำอภิสังขาร 3ได้แท

จึงจะบรรลุนิโรธสมาบัติแบบพุทธที่
สัมมาทิฏฐิรู้แจ้งเห็นจริงแบบนี้ ลืมตาเห็น
(ปัสสติ) และลืมตารู้(ชานาติ)ภาวะภายนอก-ภายใน เป็นธรรม 2อยู่ตลอด ตามที่ภิกษุณีธัมมทินนา
สาธยายไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 509-510
วจีสังขาร(มิใช่วจีกรรม)ดับก่อนสังขาร อื่น แล้วกายสังขาร(คือวิญญาณ คือมโน)จึงจะดับเป็นขั้นต่อมา และจิตสังขาร(คือจิตที่เป็นกาย)จึงจะดับเป็นภาวะสุดท้าย

ส่วนการเกิดขึ้น(วุฏฐาน)หรือการออกมา(วุฏฐาน)ของจิตใหม่ หรือการอุบัติภายหลัง
นิโรธ ก็เป็นจิตสังขารเกิดก่อน แล้วจึงเกิดกายสังขาร สำหรับวจีสังขารนั้นจะ
เกิดหลังท้ายสุด

ผู้มีการทำใจในใจอย่างถ่องแท้(โยนิโส
มนสิการ) จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในกระบวนการ ของสังกัปปะ 7 จึงจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงวจี
สังขารถ่องแท้ หรือรู้แจ้งในสังขาร 3 
ผู้ทำสมาธิแบบหลับตาเข้าไปอยู่ใน
ภวังค์จะทำเป็นแต่เข้านิโรธ-ออกนิโรธ
เข้าๆ-ออกๆ กันอยู่อย่างนั้น ไม่มีจบ

ส่วนสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า นิโรธนั้นไม่ใช่เข้าๆ-ออกๆ แต่เป็นการบรรลุผลที่ได้ไปตามลำดับ ได้สัมบูรณ์แล้ว
ก็จบกิจ ไม่ใช่เข้าๆ-ออกๆกันอยู่นั่นแล้ว
ผู้เข้านิโรธ-ออกนิโรธแบบหลับตาเป็นนิโรธ จะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงการเกิด-การดับ ที่ว่านี้ได้เลย
ผู้อวิชชาหรือผู้ปฏิบัติธรรมไม่สามารถจะบรรลุธรรมของพุทธได้อย่างสัมมาทิฏฐิก็เพราะไม่รู้จักสังขาร ปัจจัยข้อต้นในปฏิจจสมุปบาทนี่เอง
จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในภาวะของสังขาร 3ดังกล่าวนั้นแน่
เมื่อข้อต้นของอวิชชาแท้ๆยังไม่รู้จัก
รู้แจ้งรู้จริงเลย กายสังขารเป็นอย่างไรที่ถูกที่แท้ ก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ผู้ใดไม่สัมมาทิฏฐิแม้แต่ความเป็นกาย แล้วจะปฏิบัติให้บรรลุธรรมของพุทธจึงเป็นอันหมดทาง
เพราะในสังขาร 3 ได้แก่ กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร นั้น กายสังขารเป็นลำดับแรกขั้นต้นแท้ๆ ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในความเป็นกายสังขารเสียแล้ว

                 

เนื่องจากคำว่ากาย ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ
แล้วจะปฏิบัติเพื่อทำความสงบรำงับในความเป็นกายสังขาร(กายสังขารัง ปัสสัมภยัง) ไม่ผิด
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอานาปานสติ จะทำได้ถูกต้องมีมรรคผลได้อย่างไร?
แม้จะเชื่อว่าตนรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร แต่แค่กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ฉะนี้เอง ความเป็นกายจึงต่างกัน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิญญาณฐิติ 7 หรือสัตตาวาส 9 ปฏิบัติธรรมให้ตายกี่ชาติก็ไม่บรรลุเด็ดขาด
เพราะการปฏิบัติที่เข้าไปอยู่ในภวังค์ซึ่งมีแต่สัญญา ไม่มีวิญญาณ 6ให้สัมผัส จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงกายในวิญญาณฐีติ 7ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ ครบแน่นอน ในเมื่อไม่ได้ปฏิบัติในขณะที่มีวิญญาณฐีติ คือ มีความตั้งอยู่ของวิญญาณ 6 ซึ่งมีวิญญาณ
ทั้งภายนอกภายในขณะปฏิบัติ ที่ผู้ปฏิบัติ
รู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั้นกันทีเดียว
ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขารที่เริ่มตั้งแต่
ความเป็นกายสังขารได้ จึงจะปฏิบัติธรรมเป็นขั้นต้นไปตามลำดับได้บริบูรณ์ ถ้าไม่เป็นลำดับตามพระวจนะของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีหวังจะประสพการบรรลุธรรมเด็ดขาด
นี่คือการศึกษาในเรื่องอัตตา ซึ่งจะจัดการอัตตา 3ด้วยการปฏิบัติกับกายใน
กาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมใน
ธรรมได้สำเร็จเสร็จสัมบูรณ์ ไปตามลำดับ
ในฉบับที่แล้ว ได้อธิบายถึง
พุทธเป็นประชาธิปไตยถึงขั้นมีอิสระ
เสรีปลดแอกโลกีย์ ไม่เป็นทาสโลก
ไม่อยู่ใต้อำนาจของโลกธรรม อันได้แก่ ลาภ,ยศ, สรรเสริญ,สุขเท็จ เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นโลกอย่างแท้จริง และได้กำจัด
อัตตาตนเองไปได้จริง เป็นคนมีคุณธรรมอันวิเศษเหนือโลกธรรมได้สุดยอดจริง แต่
ไม่เบียดเบียนโลก จึงไม่แย่งอำนาจที่คนยึดติดความเป็นโลก ให้อำนาจเป็นของโลก ให้อำนาจเป็นของมวลประชาชน อย่างจริงใจ จึงชื่อว่าประชาธิปไตย
เพราะจริงๆแล้ว ความเป็นอำนาจ หรืออธิปไตยนั้น ของโลกก็ต้องเป็นของ
โลก
ย่อมเป็นกระแสพลังงานที่ปฏิสัมพัทธกันอยู่ในสังคมโลก และของประชาชนแต่ละคนก็ต้องเป็นของประชาชน นั่นก็เป็นสัจจะอยู่แท้ ที่เป็นอิสระของแต่ละคน
ผู้ไม่ต้องไปเอาอำนาจของอะไร ทั้งของโลก และทั้งของประชาชน มาเป็นของตน มาบังคับให้เป็นของตน หรือมาเป็นอัตตา ไม่ต้องบำเรอตนแล้ว จึงเป็นอิสระ ทั้งตน ทั้งทุกอย่าง แม้แต่ตนก็ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของตน หรือไม่เอาตนไปเป็นอำนาจกับใคร กับอะไรในที่ไหน
เพราะเป็นอิสระเสรีไม่เป็นทาสโลก
ไม่อยู่ใต้อำนาจโลกแท้จริงแล้ว อำนาจ
โลกก็เป็นไปอย่างอิสระตามที่มันเป็น
อำนาจของคนแต่ละคนประดามีในมวลประชาชนของโลก เขาก็มีความยึด-มีความแย่งกันไปตามจริงที่มีกันอยู่ ก็ล้วนเป็นอิสระทั้งนั้น ย่อมเกิด ย่อมเป็นตามจริง นี่คือ ธรรมาธิปไตย เพราะพุทธเรียนรู้ความเป็นอัตตาทั้ง
3 อัตตา(โอฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) และที่มันเป็นตัวตนที่เห็นแก่ตัวเองอยู่จริง และได้กำจัดอัตตาที่เป็นตัวเอง-ความเห็นแก่ตัวเองไปจากจิตใจตนได้จริง
เพราะกำจัดความเป็นตนอย่างรู้จักรู้แจ้ง รู้จริง ตัวตนนั้นๆ กำจัดตัวตนนั้นๆลดละจางคลาย และหมดสิ้นไปได้เป็นลำดับ ชนิดที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ตัวตนหรืออาตมัน-อัตตานั้นๆ ด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
เมื่อกำจัดได้หมดสิ้นจริง จึงไม่มีตนจริง ชีวิตจึงมีแต่ผู้อื่น อยู่กับผู้อื่น รู้คุณ รู้โทษของสรรพสิ่ง ทำงานกับผู้อื่นอย่างไม่มีความเป็นตัวตน ไม่เห็นแก่ตัวตน ภาวะที่ทำงานสร้างสรรใดๆอยู่ จึงทำเพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น
เพราะเป็นภาวะที่ปราศจากตัวตนจริง อำนาจความเป็นตัวตนจึงไม่มีเลยแท้จริง  
พุทธสร้างคนให้เป็นอรหันต์ ผู้มีอิสระ เสรีปลดแอกโลกีย์ได้สูงสุด ชื่อว่า อรหันต์ เป็นผู้หมดความเห็นแก่ตัวแท้จริง จึงเป็นผู้เห็นแก่ผู้อื่นจริงแท้ ไม่กดข่ม ไม่เสแสร้ง มีชีวิตทำงานเพื่อผู้อื่นจริงๆ เป็นผู้มีชีวิตให้ผู้อื่นคือประชาชนเลี้ยงไว้(ปรปฏิพัทธา เม
ชีวิกา) มีชีวิตทำงานทำประโยชน์ให้กับปวงประชาชนแท้ๆแน่ๆ(พหุชนหิตายะ) 
เพราะทำงานอย่างผู้ที่หมดความเห็นแก่ตัวจริงสำหรับผู้อรหันต์ เป็นผู้มีประชาธิป
ไตยเต็มใบ เต็มตัว ถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ผู้หมดตัวตนจนสิ้นเกลี้ยง ก็เป็นอนาคามี ผู้หมดความเห็นแก่ตัวตนไปกว่าค่อนกว่าครึ่ง ถึง 3 ใน 4 เหลือแต่โทษภัยสำหรับตน ที่ยังเป็นกิลมถะ ความทุกข์-ความลำบากส่วนตัวเท่านั้น ภายนอกที่เป็นกามภพอนาคามีไม่มีโทษมีภัยกับใครใดแล้ว ไม่แย่งไม่ชิงโลกกับเขาแล้ว มีแต่ทำงานรับใช้โลกอยู่อย่างบริสุทธิ์จริง
ถ้าเป็นสกิทาคามีก็หมดความเห็นแก่ตัวตนไปเศษ 2 ส่วน 4 เป็นแค่โสดาบันก็หมดความเห็นแก่ตัวตนไป 1 ใน 4 ถ้าปฏิบัติเป็นโลกุตรธรรมถูกต้องสัมมาทิฏฐิแน่แท้ ก็จะหมดตัวตนมีคุณสมบัติอันวิเศษนี้จริงฉะนี้
ส่วนผู้ปฏิบัติไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่น ผู้เข้าป่าปฏิบัติ หลงสมาธิหลับตาเข้าภวังค์ว่าเป็นสัมมาสมาธิ หรือผู้ปฏิบัติอยู่ในบ้านก็ตามที่ก็ยังหลงสมาธิหลับตาเข้าภวังค์ ยังไม่สัมมาทิฏฐิในสัมมาสมาธิจริง เท่าที่ผู้ใดผู้นั้นมีมิจฉาทิฏฐินั้นๆ จึงไม่มีทางจะหมด
โลกธรรม ไม่มีทางหมดตัวตน เพราะความเป็นตัวตน(อัตตา)ก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นโลกก็ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นรูปเป็นนาม เป็นกายเป็นจิต แม้แต่คำว่าบุญก็ด้วย ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถหมดความเป็นตัวตน(อัตตา) และไม่สามารถหมดความเป็นโลก
?????????????
(ตัดออก?)
เพราะไม่หมดความเป็นโลก จึงมีแต่สร้างอำนาจ(อธิปไตย)ด้วยความไม่รู้ความวนเวียน(โลก) ด้วยความไม่รู้ตัวตน(อัตตา) จึงยิ่งกลายเป็นผู้ก่อความเป็นโลกาธิปไตยใส่ตน และใส่โลก ด้วยอวิชชา พากันหลงอำนาจโลก หลงอำนาจตัวตน หรืออำนาจอัตตา แล้วหลงสร้างเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยใส่โลก ใส่สังคม อย่างไม่เป็นธรรม
อธิปไตยหรืออำนาจของตน ก็คือ สร้างตัวกูของกูให้ยิ่งใหญ่กว่าใครในสังคม โดยตนเองก็เพิ่มความฉลาด(ฉลายตนะ
ใช่ สฬายตนะ ไหมครับ?)ซับซ้อนที่ตนเองอวิชชาคือ ไม่มีความรู้ที่เป็นอัตตาและที่เป็นโลก จึงยิ่งสร้างความเป็นตนและความเป็นโลกที่ใหญ่ยิ่งขึ้น อย่างลึกลับซับซ้อนซ่อนเชิงด้วยความฉลาดแกมโกง(เฉโก,เฉกตา ซึ่งมิใช่ปัญญา)แต่มีปฏิภาณ
ว่ากุศลคืออะไร ก็เป็นนักแสดงที่สร้างภาพให้เก่งกาจเยี่ยมยอดอยู่ในโลก ที่ซับซ้อนซ่อนเชิงยิ่งๆขึ้น ความลึกลับที่หมุนรอบเชิงซ้อน จึงยิ่งหนักยิ่งหนาไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น ที่คนผู้ไม่ฉลาดพอย่อมตกเป็นเหยื่ออยู่แน่เป็นธรรมดา  จึงหลอกคนด้วยความฉลาดแกมโกง ว่า ตนเป็นคนดีอย่างเป็นมายาสาเถยยใส่โลก ให้แก่คนในโลก ให้แก่คนผู้ยังติดโลกเหมือนกันหลงยิ่งขึ้นๆๆๆๆ เป็นบริวาร ช่วยกันทำลายสังคมในโลก ตามที่มีให้เห็นได้จริงในปัจจุบัน และในประวัติศาสตร์
แต่ฉลาดปรุงแต่ง(สังขาร)ในความโลภลาภ-โลภยศ-โลภสรรเสริญ-โลภสุขที่ เป็นเคหสิตเวทนาให้ตนด้วย มอมเมาโลกให้หลงหนักหน้าด้วย


อำนาจของโลกก็คือ กูจะเป็นเจ้าโลกที่ผู้อวิชชาลึกลับซับซ้อนซ่อนแฝงสุดๆ โดยตนเองก็เพิ่มความฉลาด  เพราะไม่มีความรู้จริงแท้ในความเป็นโลก(ความยังหมุนยังวนอยู่) อันเป็นภายนอก จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความหมุนวนวุ่นวายอยู่กับ
เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยของโลก-สังคม-พฤติกรรมของความเป็นคน
เพราะไม่มีความรู้จริงแท้ในความเป็นอัตตา(ตัวตน)อันเป็นภายใน จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความเห็นแก่ตัว(อัตตา)ที่ยังหลงทำเพื่อตัวเพื่อตน จึงไม่รู้จริงรู้แท้ในความยึดอยู่กับ เหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยของตัวตน ที่ตนเองยิ่งมีพฤติกรรมของความเป็นตัวตน แล้วทำเพื่อตัวตนอยู่อย่างร้ายแรงยิ่งๆขึ้น

ผู้ไม่รู้ที่ว่านี้ ยังไม่รู้ทั้งอัตตา-ตัวตน ทั้งโลกนั่นเอง ไม่ว่า กามโลก(กามภพ)-รูปโลก(รูปภพ)
-อรูปโลก(อรูปภพ) เช่นที่ ในพระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 228 เป็นต้น และที่อื่นมากมาย
หรือไม่ว่า อบายโลก-มนุษย์โลก-เทวโลก-ขันธโลก-ธาตุโลก-อายตนโลก(พระไตรปิฎก เล่ม 29 ข้อ 14) ซึ่งมีความเป็นโลกที่ลึกซึ้งละเอียดสำคัญยิ่ง ??????????
(เอาออก?)
      ศาสนาพุทธ มีความเป็นคอมมูนสต์ ก็มีที่สุดยอดยิ่ง ทุกคนซื่อสัตย์ เสียสละ ไม่มีอัตตา ที่จะเห็นแก่ตัว สามารถเสียภาษีให้ส่วนกลาง 100 % อย่างสมัครใจ เป็นอิสระ มิได้บังคับเลย ทุกคนสมัครใจเสียภาษี รับใช้สังคมแท้
พุทธเป็นเผด็จการที่เยี่ยมยอดเกินที่คนจะเข้าใจได้ง่ายๆ เพราะเป็นเรื่องของจิตใจแห่งโลกุตรธรรมที่มีจริง ในความหมดตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่มวลมนุษยชาติอย่างบริสุทธิ์ใจที่เป็นอาริยภูมิจริง จึงใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อมวลชนจริงซื่อสัตย์สุด ไม่ทำงานรับใช้มวลมหาชนเพื่อตัวตนเลย
เพราะพุทธสร้างคนให้มีธรรมาธิปไตยได้ด้วยทฤษฎีพิเศษ ที่เป็นคุณวิเศษ(อุตตริมนุสสธรรม) และสร้างให้คนไม่ใช้อำนาจโลกาธิปไตย เพราะอาริยะหรืออรหันต์ เป็นผู้ล้างความเป็นทาสโลกไปจากใจ จนเป็นผู้อยู่เหนือโลก(โลกุตระ) ที่เป็นลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ได้จริง มีชีวิตให้ประชาชนคนอื่นเลี้ยงไว้(ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) อย่างไม่ห่วงหาอาวรณ์ตนเลย สบายจริงๆ จึงทำงานช่วยสร้างลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุขให้คนอื่น ไม่แย่งลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข ของสังคมของใครในโลก เพราะท่านหยุดเสพโลกียรสแล้วจริง สิ้นความติดโลกธรรมแล้ว จึงเป็นคนไม่ต้องแย่งโลกมาให้ตนแล้ว มีแต่ธรรม(โลกุตรธรรม) และท่านไม่มีอัตตาธิปไตยได้ ชนิดที่มีประสิทธิภาพแท้ เพราะได้ล้างอัตตา 3 (โฮฬาริกอัตตา-มโนมยอัตตา-อรูปอัตตา) จากจิตไปได้หมดสิ้นเกลี้ยงจริง ด้วยทฤษฎีหรือวิธีปฏิบัติพิเศษของพุทธ จึงเป็นคนไม่มีอัตตา (อนัตตา) ก็ไม่มีอัตตาที่จะใช้อำนาจบาตรใหญ่กับใครๆ จึงใช้แต่ธรรมาธิปไตยบริสุทธิ์
ผู้สัมมาทิฏฐิแท้ ปฏิบัติพุทธธรรมก็จะเป็นคนดังว่านี้ ทำงานรับใช้ปวงชนอยู่ทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช และจะมีอาริยบุคคลที่เป็นฆราวาสนั่นแหละทำงานให้สังคมมากกว่านักบวช ซึ่งคนที่เป็นอรหันต์ย่อมน้อยกว่าอาริยบุคคลระดับต่ำกว่าแน่นอน แต่หากสังคมพุทธมีสัมมาทิฏฐิกว้างขวางจริง ก็จะมีอาริยบุคคลในสังคมมาก ที่สัมมาทิฏฐิ
ไม่กว้างขวางแน่นอน ใช่มั้ย?
ศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิแท้ จึงแตกต่างจากลัทธิที่ไม่ใช่พุทธทั้งหลาย ซึ่งพุทธมีวิธีปฏิบัติเฉพาะหนึ่งเดียวของพระพุทธเจ้า

 

วิธีปฏิบัติ หรือแนวคิด ที่เรียกกันด้วยสำนวนง่ายๆว่า ลัทธิพระป่า,พระธุดงค์,พระกรรมฐาน เป็นต้นนั้น แม้จะไม่ใช่พระป่าของลัทธิอื่น จะเป็นพระชาวพุทธเองก็ตาม ยังหนีโลกธรรม ยังเป็นโลกียะ ยังไม่ได้ศึกษาเรียนรู้สมุทัยของโลกด้วยการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วกำจัดเหตุแห่งโลกียะนั้นๆ จึงยังกำจัดกิเลสไม่ได้จริง ยังไม่สามารถสัมผัสสักกาย อันเป็นกายของตน(สัก) จนพ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 คือ สักกายทิฏฐิ เมื่อยังไม่พ้นสักกายทิฏฐิ จึงยังพิจารณากายในกายอย่างไรก็ไม่เป็น ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่แน่นอน ไม่อาจจะเข้าถึงปรมัตถธรรมแน่ๆแท้ๆ เพราะยังทำใจในใจ(มนสิกโรติ) ไม่สัมมาทิฏฐิตามโพธิปักขิยธรรม 37 จึงเริ่มทำใจในใจตั้งแต่ความเป็นกายในกายก็ไม่ได้
เพราะกายคือ จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230 จึงยังไม่สามารถโยนิโสมนสิการที่จะปฏิบัติกายคตาสติ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับอานาปานสติ อย่างปฏิสัมพัทธ์ครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะส่วนมากลัทธิพระป่าดังว่านี้ แม้แต่ปริยัติคำว่าสักกายหรือแค่คำว่า
กายก็ยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเป็นสัมมาทิฏฐิ จะยังหลงเข้าใจผิด(มิจฉาทิฏฐิ)ว่า กาย นั้นคือ ความเป็นร่างกายภายนอกเท่านั้น ไม่เข้าใจว่า กายนั้นคือ องค์รวมของทั้งรูป ภายนอกและนามภายในด้วย ขาดกันไม่ได้ เมื่อพิจารณากายในกายก็พิจารณาแค่ร่างกาย หรือพิจารณาแค่อิริยาบถของอาการที่เคลื่อนไหวปรากฏอยู่ภายนอก
เท่านั้น ไม่พิจารณาความเป็นอาการที่เป็นองค์ประกอบของจิต-มโน-วิญญาณ เป็นหลักตามที่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้แน่นอน  

นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แม้แต่พระป่า จึงได้แต่ปฏิบัติสมถะเป็นหลัก และ
บรรลุเจโตสมถะเท่านั้น ไม่ได้ความเป็นโลกุตระ ต่อให้เป็นผู้สำรวมอินทรีย์เคร่ง
ครัดจัดหนัก และประพฤติมักน้อย สันโดษ เต็มอัตราแห่งผู้นิยมมักน้อย [เหมือนพวกศาสนา เช่น ที่มีถึงขนาดเปลือยกาย ไม่นุ่งผ้า ปานนั้น] ปานใดก็เถอะ ก็จะไม่คลุกคลีกับหมู่มนุษย์สังคมกามาวจรที่เป็นตัวตนของบุคคลเราเขา ที่เป็นสังคมมนุษย์สามัญของโลก(อสังสัคคะ) จึงไม่รู้โลก ไม่รู้ทันโลกีย์ ทิ้งโลกีย์ ลืมโลกีย์
แต่ลัทธิพระป่านี้ก็คลุกคลีกับหมู่สวรรค์ในภพ(สังคณิกะ) สร้างสวรรค์ที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจรกันอย่างอวิชชาฉกาจฉกรรจ์ ซึ่งเป็นการคลุกคลีหนักจัดกับหมู่
กองอัตตาชนิดนี้ ซึ่งได้แก่ มโนมยอัตตา กับอรูปอัตตาอันเป็นอัตตาในภวังค์ (ซึ่งไม่ใช่อัตตาในกามาวจรภูมิ) ชนิดที่พระป่าทั้งหลายไม่รู้ ไม่เข้าใจไม่ไหวทันเลย (แม้แต่พระบ้านทุกวันนี้ ก็แทบจะไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ทันเช่นกันมั้ง!) และหลงสะสมอัตตา 2 (รูปภูมิกับอรูปภูมิ) นั้นกันอย่างจัดจ้านตามแบบฤาษีดาบสมาแต่ไหนแต่ไร แบบเดียวกันกับอาฬารดาบส-อุทกดาบสนั่นเอง สะสมมโนมยอัตตากับอรูปอัตตา โดยติดยึดหลงใหลกันด้วยอวิชชาเต็มที่ จึงเป็นผู้เต็มไปด้วยอัตตา เพราะอวิชชาในความเป็นอัตตา การหลับตาทำสมาธิได้เจโตสมถะนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง มีอุปการะมาก ถ้าผู้นั้นสัมมาทิฏฐิ ควรทำอย่างยิ่งซึ่งอุปาการะในประเด็นสำคัญ ที่ให้ประโยชน์ยิ่งนั้นก็คือทำเตวิชโช ที่นักปฏิบัติพุทธทุกคนต้องทำการหาเวลาพิเศษ มานั่งทำเจโตสมถะ หรือต้องอยู่ในที่สงบหลบมาทำเจโตสมถะ

เพ่งจิตเป็นสมาธิ เพื่อตรวจภูมิธรรมด้วยเตวิชโชนี้เป็นการทบทวนตนเอง เป็นการตรวจผลของตนที่มีชีวิตผ่านประสพการณ์
มา(ปุพเพนิวาส) ก็ควรตรวจความเกิด-ความดับอันเป็นความเกิด-ความดับของกิเลส
หรืออกุศลจิตในตนที่เป็นมรรคผล(จุตูปปาต)
ก็ต้องตรวจต้องทำ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหนีเข้าป่าเขาไปไกลลิบลับ เอาชีวิตไปจมเสียเวลาอยู่กับป่าอะไร อย่าเข้าใจผิด
หรือถึงวาระที่ผู้ปฏิบัติยังสงสัยข้องใจในความละเอียดสุด ว่า ถ้าเราไปตกอยู่ในที่
ไม่มีโลกธรรม ที่เงียบสงบเช่นในป่า ในที่ไกลสังคม เป็นต้น เราจะหลงจม(สังสีทิสสติ)
ติดป่า หรือจิตเราจะฟุ้งซ่าน(อุปฺปิลวิสฺสติ)ยังตัดโลกธรรมไม่ขาด กันบ้างหรือหนอ
ถ้าผู้ใดยังจะต้องปฏิบัติเช่นนี้ ก็ได้แก่ ผู้ที่ภูมิธรรมสูงแล้ว มีสมาธิระดับอรหัต
มรรค หรืออย่างน้อยก็ขั้นอนาคามีภูมิ สัมมาทิฏฐิจริง จึงจะพึงปฏิบัติ ถ้าไม่ใช่ฐานะขั้นนี้ก็ไม่ควร[ดูอุปาลีสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 99]

แต่ถ้ายังมิจฉาทิฏฐิ หรือยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ ได้ปฏิบัติตนจนกระทั่งบรรลุธรรม เป็นลำดับถึงขั้นดังที่อาตมากล่าวนี้ ก็อย่าหลงผิดว่า การปฏิบัติธรรมของพุทธนั้น คือ การออกไปปฏิบัติในป่านั้นคือ แบบวิถีทางอันสัมมาทิฏฐิ ของผู้นับถือศาสนาพุทธ
นั่นมันลัทธิมีมาแต่ไหนแต่ไร เก่าแก่ที่เป็นสามัญโลกีย์ มิใช่โลกุตระของพุทธ

การปฏิบัติธรรมของพุทธที่สัมมาทิฏฐิ นั้นไม่หนีโลกธรรม คือ ไม่หนี หรือไม่ต้องทำเป็นไกล ห่างลาภ,ยศ,สรรเสริญ,รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสกายไปไหนหรอก ไม่ต้องหนีเข้าป่าเขาถ้ำไปอยู่ในที่เงียบสงบ ไม่ต้องหลบ เข้าไปอยู่ในป่าช้า ไปอยู่ในเรือนว่าง เรือนที่ไม่มีผู้คน พาซื่อกันปานนั้นเลย ปฏิบัติอยู่กับชีวิตสามัญ คนที่มีลาภ,
ยศ,สรรเสริญ,รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสกายนี่แหละ เพียงแต่รู้วิธีกำหนดขนาดจำกัด
หรือในกามาวจร(ปริตตัง)ให้พอเหมาะแก่ตนไปตามลำดับ แล้วปฏิบัติกำจัดละลดประหาร
เหตุที่มันก่อเรื่อง(นิทาน)ให้เราต้องทุกข์-ต้องสุข-ต้องไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่ เพราะไม่มีใครจะ สามารถปฏิบัติ ทำการต่อสู้กับกิเลสทั้งหมดของตนที่ไม่มีขนาดจำกัด หรือไม่มีที่สิ้นสุด (อนันตัง)ไปพร้อมกันทั้งหมดได้แน่นอน [ดูในพระไตรปิฎก เล่ม 10 เริ่มตั้งแต่ข้อ 57 เป็นต้นไป]
พระพุทธเจ้าจึงมีวิธีปฏิบัติของพระองค์เป็นที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา อย่างมีลำดับ ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ที่มีกุศโลบายอันวิเศษ สามารถจัดการกับกิเลสได้ ขั้นเป็นตอนไปได้วิเศษสุด โดยอยู่กับโลกธรรมดา แต่เหนือโลกธรรม(โลกุตระ) ยังอยู่กับโลกธรรมได้ดีเป็นปกติ มีฌานแบบได้โดยง่าย(นิกามลาภี) ได้โดยไม่ยาก(อกิจฉลาภี) ได้โดยไม่ลำบาก(อกสิรลาภี) เพราะเป็นฌานลืมตา เมื่อปฏิบัติบรรลุสัมมาฌานตามแบบพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นผู้ได้ฌานทั้ง 4 อันเป็นธรรมอาศัยซึ่งจิตอันยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมตามความปรารถนา (นิกามลาภี) เป็นผู้ได้โดยไม่ยากในฌาน 4 โดยไม่ลำบากในฌาน 4 [จตุนฺนัง ฌานานัง อาภิเจตสิกานัง ทิฏฐธัมมสุขวิหารานัง นิกามลาภี โหติ อกิจฉลาภี อกสิรลาภี] เชิญตรวจสอบ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ เป็นต้นว่า ในพระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 33 และในที่อื่นๆอีกมาก  

ส่วนผู้ที่ปฏิบัติที่ไปหลงอยู่ป่าเป็นวัตร อยู่เสนาสนะอันสงัด แต่ไม่ได้ตามปรารถนา,ไม่ได้โดยง่าย,ไม่ได้โดยไม่ยาก(ก็คือได้โดยยากนั่นแล) ไม่ได้โดยไม่ลำบาก(ได้โดยลำบาก) ซึ่งฌาน 4 เพราะไปหลงลัทธิพระป่า เป็นดาบสฤาษีนั่นเอง [โน จ จตุนฺนัง ฌานานัง อาภิเจตสิกานัง ทิฏฐธัมมสุขวิหารานัง นิกามลาภี โหติ อกิจฉลาภี อกสิรลาภี] ตรวจดูดีๆ ทำความเข้าใจให้ชัดๆ เป็นต้นว่า ในพระไตรปิฏก เล่ม 24 ข้อ 8 ซึ่งมีความหมายหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกล้ำ(คัมภีรา,ปฏินิสัคคะ)

พระป่า หรือผู้ที่ยังหลงผิดว่า การปฏิบัติธรรมแบบพุทธที่จะมีมรรคผลนั้น ต้องออกไปอยู่ที่เงียบ ในป่าเขาถ้ำ หนีจากผู้คนสังคม ไม่มีสัมผัส 6 ผิดทางพุทธ  
เอาแต่หนีไปอยู่ป่า อยู่เสนาสนะอันสงัด ตามที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ เกือบทั้งนั้นเข้าใจกันอย่างนี้ จึงพากันได้ฌาน 4โดยยาก ????????????
(ตัด?) ไม่เหมือนผู้ปฏิบัติสัมมาสมาธิด้วยการปฏิบัติมรรค 7 องค์เป็นวิธีปฏิบัติ
ซึ่งชาวพุทธที่หลงออกนอกทางอริยมรรคอันมีองค์ 8นี้ไป แล้วไปได้มิจฉาฌาน
แบบฤาษีอาฬารดาบส หรืออุทกดาบสกัน ก็เป็นผู้ได้โดยยาก ได้โดยลำบากในฌาน 4


โลกธรรมนั้นก็อยู่ในสังคมนั้นเป็นธรรมดา เป็นแต่ว่าเราไม่ได้ร่วมโลภ-ร่วมโกรธ-ร่วมหลง โลกธรรมส่วนที่เราหมดกิเลสกับปัจจัยนั้นแล้ว เราก็ไม่ได้เอาเปรียบหรือทุจริต
อกุศลกับคนที่ยังโลกธรรมนั้น เราก็ร่วมทำงานอยู่ในสังคมที่มีโลกธรรมนั้น
ทีนี้..เมื่อจิตสำนึกขั้นต้น(conscious) ซึ่งเป็นจิตขั้นสามัญถูกกำจัดกิเลสดับไปได้จริง ไม่มีกิเลสขั้นต้นในจิตสำนึกสามัญ (conscious)นั้นแล้ว จิตสำนึกสามัญก็ว่างจากกิเลสขั้นต้นนี้ไปแล้วจริง จิตสำนึกสามัญในภูมิขั้นต้นนี้ก็ว่างจากกิเลสนั้นไปแล้วจริง
กิเลสที่เหลือซึ่งเป็นกิเลสในจิตใต้สำนึก(subconscious) และหรือกิเลสในจิตไร้สำนึก(unconscious) มันยังมีอยู่ มันจึงเป็นกิเลสที่ต้องทำหน้าที่เป็นขั้นต่อมา ตามที่กิเลสที่เหลือนั้นยังมีอยู่ในจิต ของผู้ที่ได้กำจัดกิเลสขั้นต้น คือ กิเลสในขั้นสำนึกสามัญ(conscious)ไปได้แล้วจริง
กิเลสในจิตสามัญสำนึก(conscious)

ในภูมิชั้นต้นที่กำจัดได้แล้วนี้ เรียกว่า วีติกกมกิเลส[วีติกกม แปลว่า การก้าวล่วง] ผู้เรียนอย่างสัมมาทิฏฐิ รู้ของพุทธถูกต้อง จะปฏิบัติเป็นลำดับ ผู้ปฏิบัติก็เริ่มที่กิเลสอยู่ในจิตสำนึกสามัญได้จริง แล้วกิเลสขั้นต่อมาเรียกว่า กิเลสขั้นกลางอันเป็นกิเลสขั้นจิตใต้สำนึก(subconscious) ก็ต้องทำงานปกติของมัน เมื่อเรายังสัมผัสสัมพันธ์กับโลกธรรมอยู่ปกติ กิเลสที่เหลือมันถูกยั่วด้วยการสัมผัส มันก็ทำหน้าที่ของมันตามปกติที่มันเป็นกิเลส เพราะมีเหตุปัจจัยของกิเลส แต่เป็นกิเลสขั้นกลาง ซึ่งไม่หยาบไม่ร้ายเท่าขั้นต้นที่ต่ำที่หยาบหนานั้นแล้ว เจ้าตัวผู้มีกิเลสจึงได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงกิเลสตัวใหม่ให้เราได้กำจัดต่อมาได้จริงชนิดที่มีของจริง ซึ่งวิธีปฏิบัติหรือทฤษฎีปฏิบัติแบบนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ มีในศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิเท่านั้น ในศาสนาอื่น หรือแม้แต่ชาวพุทธผู้ไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้ความสำคัญในประเด็นสำคัญยิ่งนี้ จึงไม่สามารถจะกำจัดกิเลสขั้นต้น คือกิเลสในสามัญสำนึก(conscious) แล้วจึงจะมีกิเลสขั้นกลาง คือ กิเลสในจิตใต้สำนึก(subconscious)ขึ้นมาให้กำจัดต่อไปได้ เป็นลำดับจริง
และสุดท้ายกิเลสขั้นอนุสัยขั้นปลายคือกิเลสในจิตไร้สำนึก(unconscious)จึงจะขึ้นมาให้ผู้ปฏิบัติกำจัดได้อย่างวิเศษ เป็นจริงได้  อันเป็นลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย ไหลเลื่อนต่อเนื่องมาอย่างเป็นลำดับลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ที่วิเศษแท้ การดับกิเลสได้ แบบของพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า คุณวิเศษ ซึ่งเป็นไปได้ชนิดที่เป็นลำดับๆ อย่างวิเศษแท้จริง ตามลำดับขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย อย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสตัวที่เราก้าวล่วงมันไปได้แล้ว แล้วจากนั้นกิเลสตัวกลางมันจึงจะเลื่อนจากขั้นกลางขึ้นมาเป็นตัวต้นแทนที่ เราจึงจะกำจัดกิเลสตัวกลางที่เลื่อนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งสามัญสำนึกเป็นตัวต้นแทนที่นี้ได้ต่อมา เรียกกิเลสขั้นนี้ว่า ปริยุฏฐานกิเลส

ปริยุฏฐาน หมายความว่า การเลื่อนขึ้น การลุกขึ้น ความรู้ความเข้าใจที่สูงขึ้น
[296 เชื่อมต่อตรงนี้] (ดูเหมือนยังไม่สมบูรณ์ ต้องเติมอะไรไหมครับ)
ตอนนี้กิเลสตัวที่เลื่อนตัวขึ้นมาแทนที่จิตสำนึกสามัญ(conscious) คือเลื่อนมาจากจิตใต้สำนึก(subconscious) กิเลสตัวใหม่นี้ นั่นแหละมันยังครอบงำเราอยู่ ตอนนี้ตัวนี้ที่จะต้องพยายามกำจัดมันต่อไป ปริยุฏฐานกิเลสจึงคือ ความครอบงำ, ความพยายาม ผู้นั้น ในตอนนี้อยู่
กิเลสจึงเป็นกิเลสของจิตใต้สำนึก(subconscious)นั่นแหละเป็นลำดับต่อมา ที่จะต้องกำจัดมัน ในชีวิตที่เป็นอยู่กับสามัญสำนึก
ดังนั้น หากมีเหตุปัจจัยให้เกิดกิเลสขึ้นมาอีกเมื่อใด จึงเป็นกิเลสขั้นต่อมานี่เอง เป็นลำดับที่ 2 ที่เราจะต้องกำจัดมันต่อไป
ต่อมา เมื่อมีการสัมผัสของกายภายนอก กิเลสที่มันยังเป็นกิเลสอยู่จริง ซึ่งเป็นกิเลสขั้นกลาง คือกิเลสขั้นที่2 เป็นจิตใต้สำนึก ก็เกิดให้เรากำจัดเป็นลำดับต่อไป แทนที่ในตำแหน่งของจิตสามัญสำนึก (conscious) ซึ่งมีการสัมผัสอยู่กับภายนอกปกติ
ผู้จะสามารถกำจัดกิเลสขั้นกลางคือ ผู้ก้าวล่วง(วีติกกม)กิเลสขั้นต้นได้ก่อน แล้วจึงจะมีกิเลสขั้นที่ 2 เลื่อนขึ้นมาปรากฏตัว ให้เจ้าตัวกำจัดมันได้
กล่าวคือ กิเลสปกติขั้นต้นของคนทั่วไปนั้นเป็นกิเลสที่ดำเนินอยู่ในจิตสามัญสำนึก(conscious) กำจัดกิเลสขั้นที่ 2 นี้ที่มันเลื่อนขึ้นมาแทนที่ขั้นที่ 1 ได้อีกจริง ต่อมา กิเลสขั้นที่ 2 คือกิเลสของจิตใต้สำนึก(subconscious) ก็หมดไปอีก จึงจะมีกิเลสอื่นเลื่อนขึ้นมาแทน
กิเลสนี้หมดสิ้นลงไปอีก ก็จะเหลือกิเลสขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นกิเลสจากจิตไร้สำนึก (unconscious)นั่นเอง ที่จะเลื่อนขึ้นมาอยู่แทนที่กิเลสขั้นที่ 2 ที่หมดสิ้นไป
เพราะได้กำจัดกิเลสตัวกลางที่เลื่อนขึ้นมาเป็นตัวต้นนี้ได้อีกเสียก่อน กิเลสตัวที่อยู่ลึกขั้นที่ 3 คือจิตไร้สำนึกมันจึงจะเลื่อนขึ้นมาแทนที่จิตสำนึกสามัญได้
เมื่อกำจัดกิเลสตัวที่ 2 ของจิตใต้สำนึกได้แล้ว ต่อมาตัวที่ 3 จิตไร้สำนึก (unconscious)ซึ่งเป็นจิตขั้นปลายสุดแท้ๆ ก็จะเลื่อนขึ้นมาเป็นตัวต้น(conscious) แทนตัวที่ 2(subconscious)อีกที อยู่ในตำแหน่งสามัญสำนึก(conscious) อันมีเหตุปัจจัยภายนอกสัมผัสอย่างสามัญ กิเลสก็จะเกิดได้ทันทีให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงเมื่อมีการกระทบ

วิธีการปฏิบัติเช่นนี้ต้องมีความจริงที่ครบพร้อมด้วยกาย คือองค์ประชุมของรูปภายนอก(พหิทธารูปานิ) กับนามซึ่งเริ่มตั้งแต่สัญญา การกำหนดรู้ ที่ทำหน้าที่อย่างสำคัญ ร่วมกับกาย ตามที่พระพุทธเจ้า
ตรัสไว้ในวิญญาณฐิติ 7 ในสัตตาวาส 9 
จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์โอปปาติกะ สัตว์ทางวิญญาณที่เกิดอยู่ได้้เห็น(ปัสสติ)ความจริงหลัดๆทุกปัจจุบัน
[จบ256] ???????  อ่านต่อฉบับหน้า
(ต้องแก้ไขไหมครับ?)
ไม่ว่ากิเลสที่เป็นจิตสำนึกสามัญ(conscious) จิตใต้สำนึกขั้นกลาง(subconscious) และจิตไร้สำนึกขั้นกลาง(unconscious) จึงจะสามารถกำจัดกิเลสได้เกลี้ยงสิ้น ตามลำดับ อย่างมีความจริง-ของจริง ไม่ใช่แค่ความจำ ชนิดที่เห็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบันนั้นทีเดียว
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 109 ธรรมวินัยนี้ของพระองค์ มีความลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ มันยิ่งใหญ่ถึงขั้นนับว่าเป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาก่อน(อัจฉริยา อัพภุตธัมมา)
ดูกรปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชัดเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการ ปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง ดูกรปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่ามีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมา(อัจฉริยา อัพภุตธัมมา)ประการที่ 1   
ความจริงนั้นคือ มโนมยอัตตา คืออารมณ์อย่างนั้นแหละที่ตนเองปั้นขึ้นมา
เองสำเร็จด้วยมโนของตนเอง

มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เที่ยง ไม่แท้ มันไม่ใช่ตัวตนแท้จริงหรอก มันมีคู่แฝดอยู่คือทุกข์ คือภาระ คือความเป็นนายที่ต้องรับใช้มัน คือถ้าใครยังยึดว่า มันเป็นสุขจริงๆ ที่เรายังต้องการ จะต้องได้เสพลักษณะนั้นแหละอยู่ ผู้นั้นก็ยังมีอยู่ ยังไม่หมดไปจากจิต จากอนุสัย ซึ่งมันก็เป็นDNAของตน เป็นเผ่าพันธุ์ของตน ของความเป็นตนอยู่  จึงเป็นทุกขอริยสัจ(ความจริงที่เป็นทุกข์ ซึ่งผู้เป็นอริยะจึงจะ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง และมีข้อปฏิบัติให้หลุดพ้น หรือดับไปจากตนสำเร็จได้จริง) ที่เป็นความจริง ความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน ไม่ใช่ความเจ็บความปวดที่ร่างภายนอกได้รับ รู้ให้ชัด จำไว้ให้ดีเถิดว่า สัตว์นรกนั้น มีแต่อยู่กับทุกข์ ไม่มีอื่น
ไอ้ที่เล่ากันเป็นตุเป็นตะ สารพัดนิยายนั้น เป็นเรื่องจริงก็แค่อารมณ์ทุกข์ นอกนั้นอุปาทานที่นิมิตไปของตนเองทั้งสิ้น ตนเป็นเองมีเองในภพของตนเองเท่านั้น อัตภาพของใครก็ของคนนั้น ไม่มีอะไรออกไปเกี่ยวอะไรกับใครอื่นเลยแม้แค่ธุลีน้อย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 273 ว่า เวทนาสามอย่างนี้ คือ

 

สุขเวทนา 1 ทุกขเวทนา 1 อทุกขมสุขเวทนา 1

อัคคิเวสสนะ ...ในสมัยใดได้เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้สุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น... ดังนี้เป็นต้น
หรือในเล่ม 10 ข้อ 63 พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ...อานนท์ ในสมัยใดอัตตาเสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา  คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
ในสมัยใดอัตตาเสวยอทุกขสุขเวทนา ไม่ได้เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

      ในสถานะของกายที่แตกตายไปเป็นสัตว์นรกนั้นมีแต่นามเท่านั้นเป็นอัตภาพ
ดังนั้น ขณะที่มีแต่นามซึ่งไม่มีรูป และไม่มีกาย ในสมัยนั้นมีแต่เวทนา ซึ่งเป็นอัตตาแท้ๆ กำลังตกนรกรับทุกข์ทรมานอยู่ จึงจมอยู่กับทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ที่ตนต้องรับการทรมานนั้น ไม่มีอื่น
จนกว่าจะได้พ้นวิบากบาปเท่าที่ต้องใช้หนี้บาปนั้นครบ จึงจะได้เปลี่ยนสถานะสำหรับคนที่ยังมีชีวิต แม้จะมีรูป มีนาม มีขันธ์ 5 ครบอยู่ก็เถอะ แต่สมัยใดไม่อยู่ในสถานะที่มีกายคือ ไม่มีองค์ประกอบของรูปภายนอก(พหิทธารูปานิ) ให้สัมผัสกับนามที่ทำหน้าที่เห็น(ปัสสติ)อยู่
ในปัจจุบันนั้น(วิหรติ) ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ สมัยนั้นก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะเรียนรู้ปฏิบัติธรรมอย่างเป็นสัมมาทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้าแล้ว นี้ก็เป็นเครื่องชี้บ่งไว้ชัด เพราะในสมัยนั้นหรือในขณะนั้นไม่มีกายให้เรียนรู้ ก็ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์(โอปปาติกะ)ในตัวเรา ให้เราได้เรียนรู้ เพื่อกำจัดความเป็นสัตว์ และต้องเรียนรู้ในขณะที่มีวิญญาณฐิติด้วย นั่นคือ ในขณะที่มีวิญญาณตั้งอยู่ในบัดนั้น คงไม่ลืมนะว่า วิญญาณนั้นต้องไม่ใช่วิญญาณ ตามที่ภิกษุสาติหมายถึงแน่ เพราะวิญญาณที่ภิกษุสาติหมายถึงนั้นคือ วิญญาณล่องลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สัมผัสไม่ได้ ไม่เป็นสวากขาตธรรม ไม่เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเลย
วิญญาณล่องลอยอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แบบภิกษุสาติเข้าใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า มิจฉาทิฏฐิ ต้องเป็นวิญญาณที่มีเหตุมีปัจจัยสัมผัสกันอยู่ในปัจจุบันนี้ของตน คือ มีสัมผัส 3 ดังได้กล่าวถึงมามากแล้ว 
 
ศาสนาพุทธนั้น มีคุณธรรม 6 เป็น
สวากขาตธรรม(ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดัแล้ว)
เป็นธรรมะที่พิสูจน์ความเป็นวิญญาณได้ชนิดที่สามารถเปิดเผยสำหรับทุกๆคน เป็น เอหิปัสสิโก เป็นอกาลิโก เป็นสันทิฏฐิโก
คำว่า กาย ที่จะเรียนรู้ในวิญญาณฐิตินั้น คือองค์ประกอบของรูปกับนาม
ไม่ขาดรูป ไม่ขาดนาม และรูปก็ต้องมีทั้งรูป28 ที่ขาดดิน-น้ำ-ไฟ-ลมไม่ได้
ขาดปสาทรูป5ไม่ได้ เป็นต้น จึงจะชื่อว่าองค์ประกอบ(กาย)ที่สัมผัสวิโมกข์ทั้งภายนอก และภายใน (วิโมกข์ข้อที่ 2)
ซึ่งวิโมกข์8นี้ ทำความเข้าใจให้ดีเถิด เป็นทฤษฎีหลักที่ยืนยันเรื่องรูปที่ต้อง
สัมผัสรูปนั้นๆ ชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง จึงจะได้เรียนรู้ปฏิบัติ กระทั่งสามารถทำใจในใจของตน บรรลุได้ครบทุกสรรพสิ่ง ครบบริบูรณ์
ไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่พุทธอย่างถูกต้องของแท้ และบรรลุสัมบูรณ์ไม่ได้
พุทธแท้นั้นทำสมาธิด้วยการปฏิบัติมรรค 7 องค์อย่างสัมมาทิฏฐิ สั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์ที่ 8 ของมรรค อันมีองค์ 8 แบบลืมตาในชีวิตปกติ และเจริญวิชชา 8(ซึ่งมีวิปัสสนาญาณ
-มโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณ-ปุพเพนิวาสนุสติญาณ-จุตูปปาตญาณ-อาสวักขยญาณ) ตามปฏิจจสมุปบาททั้งสายบริบูรณ์ ทั้งอนุโลม-ทั้งปฏิโลม
จนสามารถแยกธรรมทั้งหลายออกว่า จิตส่วนใดเป็นกิเลส หรืออกุศลจิต จิตส่วนใดเป็นกุศลจิต จากองค์ประชุมของรูปนาม(กาย) ตั้งแต่ขั้นหยาบ-กลาง และละเอียดกระทั่งขั้นปลายสุดอาสวะ(มีธรรม
วิปยุต) กระทั่งพ้นอวิชชา8(ข้อที่1 ความไม่รู้ทุกข์ ข้อที่2 ความไม่รู้ทุกขสมุทัย ข้อที่3 ความไม่รู้ทุกขนิโรธ ข้อที่4 ความไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อที่5 ความไม่รู้ในส่วนอดีต ข้อที่ 6 ความไม่รู้ในส่วนอนาคต ข้อที่7 ความไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและทั้งส่วนอนาคต ข้อที่ 8 ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท)

อวิชชาข้อที่ 8 นี้ คือ อวิชชาต้นตอแห่งปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ อันผู้ปฏิบัติ
จะต้องศึกษาปฏิบัติให้พ้นอาสวะในความเป็นกาม(พ้นกามาสวะ) พ้นอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท อวิชชาที่พ้นได้นั้น มีอาสวะ4 เป็นต้น กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ
เพราะพ้นอวิชชาจึงสามารถเห็น(ปัสสติ) ความเป็นสังขารด้วยวิชชา8 ไป
ตามลำดับ  เฉพาะอย่างยิ่งสามารถเห็นชนิดที่ รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ความเป็นสังขาร จนกระทั่งมีความสามารถทำใจในใจ(มนสิกโรติ) ของตนได้เป็นอภิสังขาร3(ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร)มีผลตามลำดับ
เพราะมีวิชชาเริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณข้อที่ 1 ถึง 8 มีผลปฏิภาคทวี เป็นพลวัตร ปฎิสัมพัทธกัน จนกระทั่งถึงที่สุด

บรรลุอาสวักขยญาณ จึงได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ทั้ง
กายสังขาร ทั้งจิตสังขาร ทั้งวจีสังขาร อย่างถ่องแท้(โยนิโส) กระทั่งลงไปถึงที่เกิด(โยนิโส) จากการได้ปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ(โยนิโสมนสิการ)
ซึ่งได้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นกาย ความเป็นจิต ความเป็นวจี ที่สังขาร
กันในทุกมิติ ครบครันทั้งรูปทั้งนามมาตลอด เพราะปฏิบัติอย่างมีวิญญาณ6 ให้ศึกษาในขณะที่มีการดำรงอยู่,การตั้งอยู่(ฐิติ) ของวิญญาณโทนโท่หลัดๆ จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงสัตว์ทั้งวิญญาณฐิติ7 ทั้งอายตะ2 (ผู้สนใจ จากพระไตรปิฎก เล่ม 10 วิญญาณฐิติ ข้อ 65 ควรอ่านตั้งแต่ข้ต้น 57 จนถึงข้อสุด 66)
??????????????
(คงไว้ไหมครับ?)

                 

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป นามรูปก็มีทั้งรูปกายทั้งนามกาย
-อายตนะ6-ผัสสะ6-เวทนา6-ตัณหา ครบ โพธิปักขิยธรรม37 ที่มีสัมผัสวิโมกข์8 ด้วยกาย จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง เพราะ ครบพร้อมด้วย
จะเห็นได้ชัดว่า การปฏิบัติหลับตาทำสมาธิอยู่ในภวังค์ที่ปฏิบัติกันดื่นดาษอยู่
ทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า meditation นั้น มันไม่เข้าข่ายของการปฏิบัติ ที่มีกายที่ครบทั้ง ตา-หู-จมูก-ลิ้นให้ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้(สัญญา)
และพิจารณาทั้งกายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรมบริบูรณ์ได้เลย ซึ่งไม่ตรงพระวจนะของพระพุทธเจ้า(พตปฎ.เล่ม10 ข้อ65) เพราะไม่มีวิญญาณฐิติ7 ไม่มีอายตนะ2 ไม่มีวิญญาณที่เกิดใน
สัมผัส3(พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 162)
  
ไม่มีกายนั้นคือ ไม่มีทั้งรูป และไม่มีทั้งนามเลยในที่ใดๆ ทั้งหมดในเอกภพ หรือในมหาจักรวาลไหนๆ สูญสลายสิ่งที่เคยมี
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสความสำคัญนี้ไว้ชัดในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 90 ปริจเฉทเกือบสุดท้ายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดามนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลา
ที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่
เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต
เปรียบเหมือนพวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้วแล้ว ผลใดผลหนึ่งติดขั้วอยู่(เท่าที่จะมีดำรงอยู่ อาศัยอยู่) ย่อมติดขั้วไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้ว ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตได้ก็ชั่วเวลาที่กาย

ของตถาคตยังดำรงอยู่
เมื่อกายแตกสิ้นแล้ว  เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต


นี้คือ คำตรัสที่ยืนยันชัดเจนยิ่งว่า คนที่บรรลุธรรมสูงสุดขั้นอรหันต์แล้วก็ดี แม้จะบรรลุถึงขั้นสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี เมื่อตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้วก็สามารถยังมีขันธ์
ยังดำรงอยู่ได้ จะตัดสันตติของตนเอง
กล่าวคือ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วก็สามารถเกิดอีกมีขันธ์ 5อีก ในชาติต่อไป ซึ่งเป็นขันธ์ 5 ที่ไร้อุปาทาน ได้อีกนั่นเอง
แต่ชาวเถรวาททุกวันนี้ได้หลงผิดพากัน
อุจเฉททิฏฐิว่า เข้าใจว่าผู้บรรลุอรหันต์แล้ว หากสิ้นใจตายลง คือกายแตกตายเมื่อใด ทุกอย่างต้องขาดสูญ ไม่มีอะไรเหลือ อรหันต์ทุกองค์ต้องขาดสูญทั้งนั้น [มีความเข้าใจว่า
อรหันต์ทุกองค์ตายกายแตกลงแล้ว ต้องสูญ ไม่ละเว้น]
นี้คือ มิจฉาทิฏฐิ ที่เป็นอุจเฉททิฏฐิ ชนิดหนึ่ง
ที่จริงนิพพานของพระอรหันต์นั้น มีได้ทั้งที่เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน และอนุปปาทิเสสนิพพาน ????????????
(คงไว้ไหมครับ?)
สอุปาทิเสสนิพพานคือ นิพพานที่ยังเหลือขันธ์5 อาศัยอยู่ เช่น ผู้ที่บรรลุ
อรหันต์แล้ว ยังไม่ตายกายแตก ในชาติที่ตรัสรู้เป็นอรหันต์นั้นเอง ชีวิตยังไม่ตาย ท่านก็ชื่อว่า อรหันต์ผู้สอุปาทิเสสะ(ผู้กิเลสาสวะหมดแล้ว แต่ขันธ์5 เหลืออยู่ หรือมีบางคนตีความว่า กิเลสส่วนหนึ่งหมด ยังมีบางส่วนเหลืออยู่ อย่างนี้ก็มี)
ส่วนอนุปปาทิเสสนิพพานนั้น คือ อรหันต์ผู้นี้กายแตกตายลง ก็ไม่มีอะไรเหลือ  นิพพานที่ไม่มีอุปาทิ หรือขันธ์5 เหลือ  
หรือแม้จะกายแตกตายลงไปแต่ละชาติ ก็ยังจะเหลืออุปาทิ วนเวียนมาเกิดอาศัยขันธ์5 ต่ออีก ก็ยังได้ [นี้แย้งกับชาวเถรวาท]

ส่วนผู้ที่บรรลุนิพพานเป็นอรหันต์แล้ว และเมื่อถึงขั้นจะตายกายแตกลงไป แล้วท่านก็จะไม่เหลือขันธ์ 5 อาศัยอีกต่อไปอีกแล้ว ท่านก็ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิอีก(อัปปณิหิตนิพพาน) เป็นปรินิพพานขั้นปริโยสาน คือตั้งจิตไม่เกิดมามีขันธ์ 5 อีกก็ปรินิพพานอย่างสูญสิ้นเกลี้ยงหมด ไม่เหลืออะไรอีก สำหรับอัตภาพของตน ท่านก็ทำได้ เรียกว่า อนุปปาทิเสสนิพพาน (นิพพานไม่เหลืออุปาทิ ไม่เหลืออะไรอีกเลย  )
หรือแม้จะตีความเป็นอนุปปาทิเสสนิพพานว่า เป็นการตายเพียงกายแตกตายไป โดยการทิ้งรูปขันธ์ของชาตินี้ ไม่เหลือแค่รูปขันธ์อันเป็นกายส่วนหนึ่งเท่านั้น  แต่ยังเหลือนามขันธ์อันเป็นกายอีกส่วนหนึ่ง แล้วยังวนมาเกิดอีกอยู่ ก็หมายเอาได้ ขอให้พิจารณา ทุกคำความของคำตรัสพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ แล้วจะเข้าใจชัดเจน

กายตถาคต มีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดามนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคต
ยังดำรงอยู่  นั่นคือ แม้ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพ ขาดแล้ว นั้นหมายถึง หมดสิ้นตัณหาแล้ว แต่กายคือองค์ประชุมของรูปกับนามก็ยังมีอยู่ได้ ทั้งที่ในชีวิตเป็นๆ ทั้งที่กายแตกตายไป แม้ไม่มีรูป ได้แก่ดินน้ำไฟลมแล้ว ไม่มีรูปคือ ตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว แต่ยังมีนาม แม้มีแค่นามเทวดาผู้ตาทิพย์จริงก็ยังเห็นได้ ส่วนผู้ไม่มีตาทิพย์ก็แน่นอน
ย่อมไม่สามารถเห็น แต่ภาวะที่ยังมี ก็ยังดำรงอยู่ ไม่ว่า จะดำรงอยู่ในภาวะที่มีกาย(องค์ประชุม) หรือไม่มีกายแล้ว เช่น รูปไม่มี ทว่ามีแต่นาม ก็ตาม ก็คือ ยังดำรงอยู่,ยังทรงอยู่
ถ้ามีแต่นาม ไม่มีรูป ผู้เป็นเทวดาตาทิพย์จริง ก็เห็น ก็รู้สึก ของตัวเอง ในตัวเองนั้นได้ ผู้ไม่มีตาทิพย์เท่านั้น ที่ไม่สามารถเห็นส่วนที่เหลือดำรงอยู่ที่เป็นนามนี้
ต่อเมื่อ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือ
ตายกายแตก(กายัสสะเภทา)เป็นครั้งสุดท้าย กล่าวคือ กายก็แตกตายด้วย จิตก็ไม่มีที่ตั้ง(อัปปณิหิต)ด้วย จิตไม่ตั้งความปรารถนา

 

ปไม่มี ทว่ามีแต่นาม ก็ตาม ก็คือ ยังดำรงอยู่,ยังทรงอยู่
ถ้ามีแต่นาม ไม่มีรูป ผู้เป็นเทวดาตาทิพย์จริง ก็เห็น ก็รู้สึก ของตัวเอง ในตัวเองนั้นได้ ผู้ไม่มีตาทิพย์เท่านั้น ที่ไม่สามารถเห็นส่วนที่เหลือดำรงอยู่ที่เป็นนามนี้
ต่อเมื่อ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คือ
ตายกายแตก(กายัสสะเภทา)เป็นครั้งสุดท้าย กล่าวคือ กายก็แตกตายด้วย จิตก็ไม่มีที่ตั้ง(อัปปณิหิต)ด้วย จิตไม่ตั้งความปรารถนา


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 18:51:32 )

581221

รายละเอียด

581221_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เรื่อง จริงใจตามพุทธภูมิ

พ่อครูว่า...ผู้ใดสังเกตเล็กน้อยรายการธรรมะ วันนี้ของโทรทัศน์บุญนิยม เวลา 6 โมงเศษๆจนถึง 2 ทุ่มเศษๆ ชื่อรายการ “ธรรมะธรรมะสงคราม” มานาน มาถึงวันนี้ ถ้าใครเห็นไตเติลแล้ว ชื่อรายการเปลี่ยนไปแล้ว เป็นชื่อรายการ “พุทธศาสนาตามภูมิ”

ก็ตั้งใจบอกไปแล้วว่าจะเป็นชื่อ แล้วจะพยายามแสดงธรรมในลักษณะอย่างที่ว่าเต็มที่ จะไม่พยายามให้เป็นสงคราม เหมือนอย่างที่เคยมามากแล้ว ก็จะลดลงบ้าง หรือบางทีก็อาจจะ มีอะไรจะค้านจะแย้งจะท้วงจะติง จะต้องขัดกันมันแน่นอน จะต้องมีห้ามไม่ได้ คำว่าสงคราม ไม่ได้จะตีรันฟันแทง หรือรบรากันจริงๆ แต่เป็นการแสดงออกซึ่งความเห็น ต่อไปนี้ก็จะแสดงความเห็นเต็มที่ ที่ว่าตามภูมิ ภูมิของอาตมามีอย่างไร ขออภัยที่ต้องใช้คำว่าไม่ไว้หน้า แต่ก่อนก็บรรยายบรรยาย ค่อยถนอมและประมาณกันมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้

ซึ่งอาตมารู้ตัวตั้งแต่ต้น ว่าเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งเถรวาทในประเทศไทย ก็เข้าใจพระโพธิสัตว์อย่างหนึ่ง ก็รู้อยู่ถึงใช้คำว่าโพธิสัตว์ ไม่ได้ใช้คำว่าบรรลุอรหันต์ ตั้งแต่แรก เพราะถ้าใช้ว่าบรรลุอรหันต์ตั้งแต่แรกก็จะตาย ไม่เกิน 5 วันแน่นอน ก็จะไปว่าไปข่มอรหันต์ที่เขานับถือกันด้วย ที่อาตมาถือว่าเป็นอรหันต์เท็จ ที่มีแต่เจโตมีแต่จิต ก็จะตั้งใจเอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมาบรรยายให้ครบถ้วนละเอียดลออ จะได้รู้ชัด ว่าที่อาตมาพูดนี้เป็นความถูกต้องที่แท้จริง

ที่บ้านราชนี้ ก็ขึ้นตัวหนังสือแผ่นดินพุทธ มั่นใจว่าเมืองไทย เป็นเมืองชมพูทวีปแล้ว เพราะมีมนุษย์ชมพูทวีป ความเป็นมนุษย์ชมพูทวีปคืออย่างไรก็ดี ขยายความตามพระไตรปิฎก คือสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ตามภูมิที่จะขยายความได้ จนทุกวันนี้เปิดเผยตัวล่อนจ้อน ตามภูมิตามลำดับ

ต่อไปนี้บัดนี้  วันนี้วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม 2558 เป็นวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 1 ปีมะแม รายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ซึ่งก้าวจากเลข 0 มาเป็นเลข 1 ถ้านับไม่มีการเหลื่อมการเกิน ในหนึ่งสัปดาห์ก็มีตั้งแต่ 1 ถึง 6 แล้วก็เป็นรอบใหม่ เป็น1 ใหม่ หรือจะนับเป็น7 ไปอีก วันนี้วันจันทร์ที่ 21 ก็นับเป็นหนึ่งของรอบใหม่ ถ้าเส้าที่ 1 มีสาม เส้าที่2 อีกสาม เป็นหก ต่อจากนั้นก็เป็น 7 ก็จะก้าวหน้าต่อไป ถ้า 7 แล้วเป็นหลักที่เกินไม่มีตกต่ำ เดินหน้าถ่ายเดียวไม่มีถอยหลังอีกแล้ว เลข 7 เป็นหลักของอะไรต่ออะไรอีกเยอะ ลักษณะก้าวหน้าไม่ถอยหลัง

วันนี้ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 1 อีก ตองสาม วันนี้เร่ิมรายการ 18นาฬิกา 17 นาทีอีก ก่อนจะได้เริ่มรายการก็ขอประกาศสำหรับพวกเรา ลูกๆหลานๆทั้งหลายคือนักเรียนศิษย์เก่าของสัมมาสิกขาชาวอโศกทุกแห่งทั่วประเทศ บางคนก็จบม. 6 บางคนก็ไม่จบม.6 ก็ถือว่าเป็นศิษย์เก่าก็มา เรามีรายการคืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำสัมมาสิกขา ระบุว่าวันที่ 28 ถึง 30 ธันวาคม ก็ขอเปลี่ยน เพราะตอนช่วงนั้น ไม่ค่อยเหมาะสม ก็จะเปลี่ยนไปอยู่ เดือนเมษาวันที่ 10 11 12 เมษายน 2559 ก็จะได้มาร่วมรายการตลาดอาริยะ และสงกรานต์ ที่ราชธานีอโศกที่นี่ งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธอีกด้วย  แต่ถ้าเป็นรายการคืนถ้ำนี้เป็นของนักศึกษา

วันนี้จะมีเรื่องดีๆเบิกฤกษ์ของการแสดงออกทางภูมิ ด้วยบริสุทธิ์ใจ จริงใจตามภูมิแน่นอน มาดู sms ก่อน

จากไลน์คุณพัน พอเพียง

  • ว่าด้วยจิตอันลามกของภิกษุวัชชีบุตร เรื่องเถียงอาจารย์คือ ในกรณีตัวเองเป็นศิษย์ เมื่อคำสอนใดแย้งกับความเห็นตนเองก็เถียงได้ เพื่อหาเรื่องที่จะแยกออกมา แต่ครั้นเมื่อตนเองได้เป็นอาจารย์เสียเองก็ห้ามลูกศิษย์เถียง เพื่อจะได้ง่ายต่อการปกครองแบบเผด็จการ ผมเห็นดังนี้ครับ  กราบนมัสการครับ

พ่อครูว่า เป็นความฉลาดที่มีอัตตาเป็นหลัก เป็นเฉโก ก็เห็นด้วยกับความเห็นนี้ ประเด็นที่เขายกตัวอย่างเรื่องนมส้ม กับนมสดนี่แหละ คือเขาบอกว่านมสดน่าจะฉันได้ ถ้าเป็นนมส้มก็ไม่น่าฉัน เพราะว่ามีตัวเชื้อก็ขอยกเลิกนมส้ม ก็แสดงว่าในยุคพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันแม้แต่นมสด อย่าว่าแต่นมส้มเลย แต่นี่เขาอ้างว่าสมส้มมีเชื้อก็ไม่ควรฉัน ถ้าขนาดนั้นคุณก็เป็นแบบนิครนธ์สิ สัตว์เล็กสัตว์น้อยเชื้อโรคในตัวก็ไม่ต้องฆ่าสิ ไม่รู้จักความควรไม่ควร หาข้อคิดเอาชนะ เพื่อจะได้ฉัน เหมือนคนพูดเรื่องฉันเนื้อสัตว์ ถ้าบอกว่าเนื้อนี้ไม่ได้เจาะจงบุคคล ว่าฆ่าเพื่อบุคคลนี้ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าว่า เนื้อที่เจาะจงฆ่า พระพุทธเจ้าว่า ถ้าฆ่าสัตว์นำเนื้อมาทำอาหารถวายพระพุทธเจ้าและสาวก เพื่อให้ยินดีในเนื้อสัตว์ ก็เป็นบาปมิใช่บุญเป็นอันมากแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องฆ่าอย่างเดียว

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา”

(อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ    ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  เล่ม13   ข้อ60

แม้จะเอาเนื้อสัตว์มาถวายอย่างเป็นกุศล แต่การนำเนื้อสัตว์มาถวายมิใช่บุญแม้นิดน้อยเลย บุญจริงๆไม่ได้มีเลย การฆ่าสัตว์จะได้บุญที่ไหน กุศลก็ไม่มี จะไปบอกว่าได้บุญตรงที่มาถวายพระพุทธเจ้า หรือสาวกพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บุญไม่ได้กุศล แต่ได้บาปเป็นอันมากเลย

อุทฺทิสฺส(เจาะจง)  ปาณํ(ชีวิต)   อารภติ(การฆ่า) คือคนเจาะจงฆ่าสัตว์ชื่อนั้นตัวนั้น ฆ่าเสร็จก็มีหน้าเอาเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้าถวายสงฆ์ เอาไปถวายเว็จถวายฐานที่ไหนก็ถวาย เว็จแปลว่าส้วม แปลว่าที่ขี้

ถ้าพูดถึงเรื่องประเด็นการฆ่าสัตว์ที่เป็นกรรมโดยตรง ครบองค์แห่งปาณาติบาต ก็เป็นบาปเต็มๆ ไม่มีการได้กุศลหรือบุญเลย

ในการฆ่าสัตว์ มีองค์แห่งการฆ่า 5 อย่าง  สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตายลง ก็ครบองค์แห่งปานาติบาต 5 คือสัตว์มันมีชีวิต แล้วก็รู้อยู่ว่ามันมีชีวิต แล้วก็มีเจตนาตั้งใจจะฆ่า แล้วก็พยายามฆ่า แล้วมันก็ตายตามจริง ที่เจตนาพยายามสมบูรณ์แบบ นี่คือองค์แห่งความโหดเหี้ยมของมนุษย์

ส่วนอีกห้าข้อ เป็นการหลงว่าเป็นบุญ แท้จริงเป็นบาป มีศาสนาบางศาสนา เขามีพิธีฆ่าสัตว์ แล้วเขาก็ว่าได้บุญเป็นการส่งวิญญาณสัตว์ไปหาพระเจ้า นี่ก็อย่างอื่นอีก ในช่วงคริสต์ที่ตนจะเอาประโยชน์ใส่ตัวเห็นแก่ตัว แล้วก็หาทางกลบเกลื่อนกลบเรื่อง โดยเฉพาะความเป็นชีวิตในระดับจิตนิยาม ที่เป็นสัตว์ ไม่ใช่ชีวิตในระดับพืช ก็ขอวิจัยพุทธศาสนาตามภูมิ

0893867xxx นมก.พ่อครูฯเล่าเรื่องอดีตวัยหนุ่มท่านมีจิตเหนือกามารมณ์มาแต่เก่าก่อน! ผ่านปร ะสบการณ์ไสยเวท มีจิตก้าวพ้นไสยศาสตร์! ท่านมีภูมิ ธรรมเดิมสัญญาเก่าจริงๆ สาธุ๊

 

ถ้าคุณทำกรรมบาปมาก มันก็จะทบทวีไม่มีทางบรรเทาเลย คือกุศลหรือบาปที่เป็นกรรมที่ทำ ทำแล้วเป็นอันทำ แล้วมันอยู่ตลอดกาลและนาน จนกว่าคุณจะแตกดับ เป็นการเลิกอัตภาพ พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างเหมือนพวงมะม่วง เหมือน H2O คือธาตุน้ำ ที่มีลักษณะไหลไปไหลมา จับต้องได้ แต่ถ้า H กับ O ไม่รวมตัวกัน ก็ไม่เป็นธาตุน้ำ มันไม่มาเกี่ยวกัน มันก็ไม่เป็นธาตุน้ำ ก็เป็นอีกอย่างนึงเลย ถ้ามันแตกตัว เหมือนกับจิตวิญญาณของคน ก็คือพลังงานที่พัฒนาจากอุตุ มาเป็นพีชะ มาเป็นจิต มาก็มาเป็นกรรม ถ้าไม่รู้จักธรรมะ ก็จะเป็นโลกิยะ กรรมที่ยิ่งแรงขึ้นแรงขึ้น ถ้าทำดีก็ได้เสวยได้อาศัย ถ้ามันชั่วก็จะได้ชั่วร้ายอาศัย ต้องได้อาศัยไม่กาละใดกาละหนึ่ง ต้องเวียนมาถึง บรรเทาไม่ได้ คุณต้องรับ

ของพระพุทธเจ้าสามารถบรรเทาไม่ให้มาถึงได้ คนผู้นี้ไม่ทำชั่วทำบาปอีกเลยสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำแต่ดีจะดียิ่งอยู่นาน ยิ่งมีกำแพงของกุศล ของความดีนี้เพิ่มขึ้น ส่วนบุญนั้นไม่มีอะไร เป็นเครื่องมือตัดกิเลสแล้วก็จบ เป็นพระอรหันต์แล้ว หมดบุญหมดบาป ส่วนกุศลก็เป็นสภาพนำมาทำ ที่เป็นกำแพงกั้นไม่ให้พลังของอกุศลหรือจะเรียกว่าบาปก็ได้

แต่ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังมีกระแสบาปตามมาทัน เศษบาปที่เคยฆ่าน้องชายตาย ก็มีเศษวิบากที่มีสะเก็ดหินมากระทบพระบาทให้ห้อเลือดเท่านั้น

 คนที่ไม่เชื่อกรรมไม่เชื่อวิบาก แล้วก็กระทำกรรมชั่ว น่ากลัว พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมชั่วแม้น้อยอย่าทำเสียเลย พยายามหยุดให้ได้ บาปใดๆให้หยุดให้หมด อกุศลใดๆให้หยุดให้หมดให้ได้ อันไหนที่มันเกินแรงก็ต้องรับไป แต่ก็ต้องพยายามอีกเพื่อจะหยุด แล้วอย่าท้อแท้ ข้อสำคัญผู้ที่ทำผิดแล้วขอเตือนพวกเราหลายคน ทำผิดแล้วมีอัตตาขึ้น อายหมู่อายกลุ่ม ทั้งๆที่หมู่กลุ่มก็เข้าใจ คุณมาได้ตามเกณฑ์ ขออนุญาตอนุโลมแล้วขออภัยแล้ว เข้าหมู่ได้ แต่ตนเองมีมานะซ้อน เป็นภัมภะ ถือตัวเป็นความสะดิ้งของอิตถีภาวะ ถ้าหมู่ไม่ให้เข้าจะเข้ามาได้อย่างไรถ้าหมู่ให้เข้ามา จงเข้ามา มันเป็นลักษณะของสารัมภะ คู่กับภัมภะ คือดื้อด้าน แต่สารัมภะเป็นพริ้วหยิ่งผยองตนเอง แล้วยึดถือที่พริ้วนี้เป็นเชิงยึดดี แต่ถัมภะเป็นเชิงยึดชั่ว

ที่ควรอยู่ในหมู่ ก็ให้อยู่ในหมู่อย่าออกไป นอกจากคุณแข็งแรงก็ออกไปชั่วครั้งชั่วคราว หรือที่สุดที่ดีที่สุดคุณจะออกไปจากหมู่ นี้นานาสังวาส คุณก็ต้องเป็นคนแข็งแรงที่จะไปตั้งคณะใหม่อีกคณะหนึ่งเลย เพราะขนาดนี้อารมณ์ไม่ได้อย่างนั้นก็แล้วไป แต่ถ้าจะไปตั้งคณะใหม่อีกคณะหนึ่งแข่งกัน อย่าทำเลยมันแตกแยกถ้าแข่งกัน แต่ถ้าแยกกันแล้วก็ช่วยกันเสริมกัน

 เช่นกันนะ ของหมอเขียวอย่างนี้เป็นต้น เข้าใจแล้วรู้ว่ามีอีกคณะหนึ่งมา เขามีผลงานทำมา พอจะตั้งขนาดได้แล้ว ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลเข้าใจ ใครสูงใครต่ำ มีคุรุกรณะ ไม่มีนอกจิตนอกใจ  อย่างพวกเรามีสมณะบางรูปแยกออกจากอาตมา ไม่มีลักษณะเช่นนั้น มีการลบหลู่มีการแข่งดี แต่จริงๆก็ไม่กล้า เพราะทำมาก็สู้อาตมาไม่ได้ บางมุมเขาดูมีลาภยศสรรเสริญๆมากกว่า ก็จะมาอ้างอิง อาจจะทำให้มีโลกธรรม ลาภยศสรรเสริญอย่างธรรมกายได้มาก ในเชิงฉลาดเฉโก  เหมือนธรรมกายก็ทำได้ ได้อย่างนั้นบาป ซ้ำซ้อน เลวร้ายยิ่งนัก เป็นขั้นอนันตริยกรรม

คนที่แยกนิกายคือ อนันตริยกรรม พระของอาตมา พูดตรงตรงว่าคือของพระพุทธเจ้า ถ้าคนแยกออกจากคณะที่อาตมาทำ ก็คือแยกจากคณะของพระพุทธเจ้า เป็นสังฆเภทก็เป็นอนันตริยกรรม ฟังสิ่งที่มันเนื่องต่อกันเป็นอิทัปปัจจยตา ให้ดี

 

0822712xxx พระพุทธเจ้าให้ฉันนมส้มได้ แต่นมสดไม่ได้ เพราะนมส้มเห็นในคำภีร์บ่อย

พ่อครูว่า ก็อย่างมหายานก็ยานโตงเตง บานทะโร่ เรื่องผู้หญิงผู้ชายก็มีผัวมีเมียได้ เรื่องเงินทองก็รับเละเลย เรื่องอวดอุตริก็เลอะเทอะ เหลือเคร่งที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะมีแนวซ้อนอย่างไรไม่รู้นะ อาตมาอธิบายเขาว่าเป็นมหายาน แต่อาตมาว่าอาตมาตัวเถรวาทแท้ แท้ยิ่งกว่าเถรวาทของมหาเถรสมาคม ขออภัยไม่ใช่ธรรมาธรรมะสงครามนะ แต่ระบุตามภูมินะ

0893867xxx คนที่เขียนนิกายเถรวาทมหายานน่าจะเขียนเรื่องพระโพธิสัตวกวนอิมตอนท่านเป็นพระธิดาในขณะปฏิบัติธรรมพระองค์ไม่เสวยเนื้อสัตว์ทรงมีเมตตาต่อเวไนยสัตว์ คือพระโพธิสัตว์แท้จริงสาธุ

0893867xxx จิตผู้น้อยตอนนี้เบื่อโลกธรรม อยากไปให้พ้นโลกธรรมธรรมที่พ่อครูแสดงคือ ความรู้ทางโลกุตรธรรมที่พาตนพ้นโลกธรรมได้จริง  ทุกขณะที่รู้ใจตน

0893867xxx ผู้หญิงมีหลายร้อยอารมณ์ปรวนแปรไปตามธาตุดินน้ำลมไฟจริง แต่จะหมดอารมณ์เมื่อวัยทองมาเยือน พร้อมหมดฮอร์โมนเหลือแต่พยุงสังขารรักษาจิตเพ่งรู้ทันโลกธรรม 40หยกๆ 50หย่อนๆ

ตอบ..อันนี้ภูมิของอาตมาไม่ถึงนะ แต่ตามภูมิของอาตมาใช่ เป็นผู้หญิงนี้มีสรีระที่ช่วยตนเองให้มีกิเลส ในส่วนน้อยส่วนมากขึ้นอยู่กับสรีระที่มี แต่ผู้ชายนั้น พลังงานของจิตใจเหนือกว่าสรีระ ดังนั้นผู้หญิงมีอารมณ์กามมากกว่าผู้ชายในบางมุม แต่ในบางมุมผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิงก็ไม่รู้จะยกตัวอย่างอย่างไร ก็คงจะคิดออก ก็ไปคิดแทนอารมณ์ของผู้หญิงยากเหมือนกัน ก็ถึงขนาดปลุกปล้ำอาตมาก็ได้ ก็ยกตัวอย่าง เขาใช้เหลี่ยมคูใช้เหตุผล จนกระทั่งอาตมาไม่เล่า ก็เป็นสัจจะอันหนึ่ง  โทรมาเข้าใจสัจธรรมแล้ว ก็รู้ว่าอาตมามีภูมิเดิมที่เหนือชั้น  แม้กระทั่งเรื่องไสยศาสตร์ต่างๆก็มีอยู่แล้ว อาตมาก็เลิกเลยเรื่องไสยศาสตร์ไม่โหยหาอาวรณ์

0893867xxx จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง, ยกผลงานให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น,กินอาหารของ ความว่างอย่างพระกิน, ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวทีตรงกับความว่างดังพ่อครูสอนไหมหนอ?

0893867xxx ตาดูหูฟังกายใจรับรู้สิ่งที่โลกมีด้วยจิตว่างทั้งที่รู้ดีว่าที่โลกเป็นอยู่คือล้วนมีฤาไม่เคยมีสิ่งที่ว่างเปล่าเลยถูกไหมหนอ?

ตอบ...ก็หมายความว่าความว่างเปล่าจริงไม่มี แล้วก็รำพึงว่าถูกไหมหนอ ก็ขอขยายความตรงนี้ก่อนว่า ความว่างเปล่าจริงในโลกนี้มีไหม โลกเป็นที่อยู่ เป็นเหตุปัจจัยของสสารพลังงานทั้งหมด ล้วนมีทั้งนั้น ไม่เคยมีสิ่งที่ว่างเปล่าเลย มีทั้งนั้น  ถ้าจะพูดด้วยสัจจะก็จริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความมี ในเรื่องที่ไม่ถูกควบคุมด้วยจิตวิญญาณ ซึ่งมีลักษณะพลังงานชนิดหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อพลังงานเกิดขึ้น เป็นพลังงานระดับจิตนิยามขึ้นมา มันก็เป็นself  เป็นตัวตน  ถ้าเป็นเซลล์ ก็ยังไม่มีตัวตนเป็นพีชนิยาม และถ้าเริ่มจับตัว เป็นตัวตนที่เลยเขต 4 ขึ้นไป ถ้า 3 นี้เป็นวงวนไม่ออกไปนอก ไม่มี 4  จะเป็นพลังงานออกไปก็เป็นพลังงานชนิดนิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นไอโซโทป สัมผัสได้ แต่จับมาไม่ได้คือนิวเคลียร์ฟิชชัน แต่มันมีแรงมากเลย ละเอียดมากจนจับไม่ได้ คนไม่มีอุปกรณ์ไม่มีวิธีใดจับได้ในทางวัตถุ เขาเรียกว่าราศีไม่ถึงกับรังสี

กัมมันตภาพรังสีที่เขาเรียก อันที่จริงไม่ใช่ต้องเป็นกัมมันภาพราศี ที่ละเอียดคนไม่สามารถจับเอามาใช้ได้ เป็นราศี ถึงฉัพพันทรังสี ก็สุดยอด คนธรรมดาก็มีแค่ราศี คือลักษณะแผ่ออกที่ดีงาม แต่ลักษณะฉัพพันทรังสีเป็นลักษณะแผ่ออกที่ยิ่งใหญ่ใช้กับผู้สูงสุดคือพระพุทธเจ้า

ถ้าคุณคนนี้บอกว่าไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้ที่ว่างเลย ก็จริงในลักษณะที่สสารอยู่ห่างกันไปในเวลาหนึ่ง สักวันก็จะรวมกันใหม่อีก อาจเป็นล้านๆๆๆปี ก็มาใหม่ไม่สูญหายไปจากโลก อย่างไอสไตน์บอก เพราะวนเวียนกันไป ถ้าไม่มีพลังงานแตกอัตภาพได้ก็ไม่มีสิทธิ์เลิก ต้องเวียนมาถึงจะอีกกี่ล้านๆๆๆๆๆๆๆ ปี ก็ขนาดปีแสงคุณยังนับกันไม่หวาดไหวเลย

จะบอกว่าทุกอย่างไม่ว่างเลย ก็ได้แต่ของพระพุทธเจ้านั้นบ้าง ได้จริงเพราะตีแตก สลายชีวะ สลายพลังงานที่เป็นจิตนิยามได้สูงสุดไม่กลับมาอีก นี่คือสุดยอดแห่งวิธีการ ความรู้สูงสุดของพระพุทธเจ้า

ของพระพุทธเจ้าจิตว่าง ต่างจากของท่านพุทธทาส กับของอาตมาไหม ต่างกันที่ของท่านพุทธทาสนั้นจับเป้ายังไม่ชัดยังไม่แม่น เพราะท่านยังไม่ถึงปรมัตถ์พระอภิธรรมนี้ท่านตีทิ้งเลย ขออภัยนะนี่พูดตามภูมิ ไม่ได้ธรรมาธรรมะสงคราม อาตมาเคารพท่านพุทธทาสด้วยจริงใจและก็ไปเคารพท่านหลายครั้งตั้งแต่ท่านมีชีวิตอยู่ ขอบคุณท่านอย่างยิ่งที่ท่านเปิดโลกโลกุตระตามภูมิของท่าน ท่านก็กระหน่ำอบายมุขมาก่อน แต่ในปรมัตินั้นท่านยังไม่เข้าถึงอภิธรรม พอท่านบอกว่าอภิธรรมนี้เป็นธรรมะเม็ดมะขาม ที่บอกว่าจิตดวงนั้นดวงนี้ ท่านใช้ไม่เป็น

พระอภิธรรมนั้น สามารถที่จะให้เราเจาะลึกละเอียดถึง อาสวะ อนุสัย แต่ท่านพุทธทาสท่านตีทิ้ง ก็แสดงว่าท่านไม่ถึงในเรื่องจิตเจตสิก นี่คือสิ่งที่ยืนยันตามภูมิของอาตมา จิตว่างของท่าน ท่านไม่รู้จักว่าจิตว่างจากกิเลส ซึ่งกิเลสมีหยาบกลางละเอียดอีกเยอะ แต่ท่านก็จะไปเอาจิตว่าง ไม่ว่าง ไม่มีที่สิ้นสุด คุณก็พูดได้ อนันตังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หรืออันตังก็ไม่มีที่สิ้นสุด หาที่สุดมิได้

แต่มันสิ้นสุดด้วยเหตุใด ก็อธิบายได้อย่างที่อาตมาอธิบาย ถ้าใช้พยัญชนะว่ามีกับไม่มี ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ที่ท่านตรัสเรื่องโลกสมุทัยกับโลกนิโรธ  สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ ก็ใช้ภาษาว่ามีกับไม่มี แต่ผู้ที่ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ความมีก็ไม่มี ความไม่มีก็ไม่มี มันหมดเลยไม่เหลือความมีแน่นอน แม้แต่ความไม่มีก็ไม่มี มันหมดจนไม่มีอะไรจะเปรียบได้  นัตถิอุปมา

ฉะนั้นเป็นต้องรู้จักธรรมะ 2 คำว่าธรรมะแปลว่าสิ่งที่มีสิ่งที่ทรงอยู่ ส่วนคำว่าอธรรม แปลได้สองนัย อธรรมแปลว่าไม่มี หรือเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดออก มี 2 นัย นอกนั้นธรรมะแปลว่าทุกสิ่งทุกอย่าง คำว่าอธรรมจะว่าไม่มีก็ได้ แต่จะบอกว่า อธรรมไม่มีไม่ได้ ก็คือยังมีอยู่ แต่มันมีสิ่งที่ไม่ดี ต้องทำให้เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง  ให้เป็นปุงลิงค์ ไม่เป็นอิติถีลิงค์ ก็เป็นธรรมหนึ่งเดียว ผู้ที่จะทำอุภโตภาคคือ ต้องทำนปุงสกลิงค์ให้ได้ คือทำจิตให้เป็นศูนย์ ไม่ใช่เป็นหนึ่งเท่านั้น คือทำให้จบอนุสัย

ผู้เป็นอรหันต์นั้นมี 1 ไม่มีสองแน่นอน แต่ถ้าเป็น นปุงสกลิงค์ก็เป็น 0 คือ อมตบุคคลได้ คืออนุโลมให้เป็น 2 อย่างไม่มีกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีอนุสัย ก็อนุโลมได้แล้ว แต่อมตบุคคลผู้นั้นจะแยกธาตุหรือไม่ ที่สุดท้ายอย่างพระอวโลกิเตศวรก็นานกว่าจะแยกธาตุ

ต้องเข้าใจธรรมะสองนี้เป็นหลัก ถ้ายังมีคือมีธรรมะต้องเข้าใจธรรมะสอง แล้วอยู่เหนือธรรมะสองที่จะอนุโลมให้ได้ เมื่อจิตถึงนปุงสกลิงค์ คือผู้ที่ว่างที่สูญได้ สูญถึงอุภโตภาควิมุติ แล้วก็อนุโลมปฏิโลมตามควร คือเริ่มเป็นผู้ฝึกหัด เข้ากระแสโสดาบันความประมาทจะลดลง สกิทาคามีก็จะลดประมาทลงอีก จะรู้ว่าประมาทเลวร้ายที่สุด เมื่อโสดาบันก็จะประมาทลดลง ยิ่งเป็นอนาคามีสัมมาทิฏฐิตามลำดับจะไม่ประมาทเลย

พูดถึงอนาคามี ท่านจะไม่ประมาท มีความประมาทน้อยมากยิ่งเป็นอรหันต์แล้ว แม้จะเป็นในระดับปัญญาวิมุติก็จะไม่ประมาท ยิ่งเป็นอุภโตภาควิมุต ก็จะเผื่อพอตลอด ไม่แสดงเต็มสภาพเต็มที่ หมายถึงไม่เสี่ยงเต็มที่ ถ้าคนที่เก่ง 50ต่อ 50 เขาก็เสี่ยงได้ แต่เก่งเท่าใดก็ไม่เสี่ยง เอาอย่างประมาณแล้ว เพราะถ้าเสียแล้ว จะมีสำนึกว่าถ้าเสียแล้วจะไปทำทำไม ค่ามันแพงสำหรับผู้มีสำนึกสูง แต่ผู้สำนึกต่ำก็จะไม่มีค่า แต่ผู้สำนึกสูงจะยิ่งแพง

สรุป ความว่างของอาตมากับของท่านพุทธทาสนั้นห่างกันพอสมควร ก็พูดด้วยความจริงใจตามภูมิ

มาอธิบายตามที่อาตมาเรียบเรียงดีกว่า

                 

                 

กายแยกจิตแบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ

ที่เรียนรู้จากอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ โดยมีธรรม 2 เป็นองค์ประกอบของรูปกับนาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ในเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย ที่มีความเป็นอัตตาเป็นนัยสำคัญแห่งการเกิด-ดับ แล้วกำจัดตัวตน เฉพาะที่เป็นอกุศลจิตในอัตตาให้ดับ (นิโรธ)สิ้นไปจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์

คุณก็ทำอธรรมที่ทรงไว้ซึ่งอกุศลในจิตให้ดับ แต่ตัวนี้คือนิโรธของพระพุทธเจ้า จะเข้าใจเลย ดับจนยั่งยืนถาวร ได้ซ้ำๆแม้แต่ให้นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ถ้าเข้ามาแล้วมีตัวตนว่าใหญ่กว่า ก็พิสูจน์กันว่าใครใหญ่ใครเล็ก มวลจะเป็นตัวรับรองถ้าหมู่มวลของคนจริงมีปัญญา เป็นโลกุตรปัญญาจริงๆ รวมตัวกันอยู่ สมมุติมีมวล 100 คน คุณเข้ามาก็มีสองแล้ว ถือว่าจะมาแข่งกับหนึ่งก็แสดงความจริง 100 คนก็มีปัญญาจริงโลกุตระ ก็จะดูจะเห็นว่าสองคนนี้ใคร คุณต้องมีมวลผู้เห็นจริง ก็พวกคุณมีปัญญาจริงใน 100 ก็เลือกตั้งโดยประชาธิปไตย ไม่ต้องเลือกก็จะเข้าใจโดยปริยาย ซึ่งจะห่างกัน ที่จะใกล้กันจริงก็จะยาก โพธิสัตว์จะห่างกัน ถ้าโพธิสัตว์สูงขึ้นยิ่งก็จะหาคนใกล้ได้ยาก แต่โสดาบันกับโสดาบันก็ตีกันเยอะเลยมีวิบากอีกมาก สกิทาฯก็ลดลงไป อนาคาฯก็ลดไป

อย่านึกว่าโสดาบันกับโสดาบันไม่ตีกันนะ แต่ไม่รุนแรง แต่มีน้อย 45ปีผ่านมาถือว่า errorมี ไม่มากมาย

คนที่จะสามารถบรรลุโสดาบัน ก็จะมีภูมิรู้จักสัมมาสังกัปปะ 7

อาตมากำลังพยายามไขความลึกแห่งความจริงเรื่องนี้ด้วยความเชื่ออย่างยิ่ง ว่าเป็นความรู้และความจริงที่จะช่วยโลกยุคนี้ หรือยุคไหนๆก็ตาม ได้แน่นอน เพราะต่างก็แสวงหากันอยู่ทั้งนั้นและรู้ยิ่งกันทั้งนั้น

[แล้วได้อธิบายไป กระทั่งถึงตอนที่ว่า...]

ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ7 ได้ผล จะมีวิชชา5 วจีสังขารเป็นตัวองค์รวมเป็นกาย ของสังกัปปะ วจีสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร3 ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่วิปัสสนา คนไม่สัมมาทิฏฐิจะแยกวจีสังขารกับกายสังขารได้ยาก ดีไม่ดีจะเข้าใจกายสังขารว่าเป็นภายนอก ส่วนจิตคือองค์รวมภายใน แต่ถ้ามีวิญญาณต้องมีธรรมะสองคือ มีนอกในสัมผัสแต่จิตนี้แยกเป็นเดี่ยวได้  แต่วิญญาณต้องมีคู่ ส่วนมโนคือตัวเล็กตัวปลายท้ายของอาการจิตที่เหลือ

ผู้มีสัมมาทิฏฐิแท้จะมี วิปัสสนาญาณ เห็นตั้งแต่ภายนอก เห็นตั้งแต่ภายนอก มีทิฏฐะคือรูป สุตะคือเสียง มุติคือกลิ่นกับรส ส่วนกายนั้นสัมผัสเสียดสีทั้งห้าคือกาย

จะมีวิปัสสนาญาณ ปัสสะคือเห็นในทวารทั้ง 6 ตานี่ยิ่งใหญ่ เสียง กลิ่น รส ก็เข้าไปภายในมากขึ้น ส่วนกายเป็นองค์รวม จะมีวิปัสสนาญาญาณในวิชชา8 ญาณเป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำมโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณเจริญขึ้นไปตามลำดับ

มโนมยิทธิญาณ ไม่ใช่เรื่องอิทธิเก่งโลกีย์ แต่ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า มโนมยิทธิญาณ หรืออิทธิวิธญาณคือ ความหลากหลาย diversity เป็นอิทธิทางนามธรรม ทางละหน่ายคลายทำให้กิเลสลดละหน่ายจางคลาย ไม่ใช่ทางฟิสิกส์ telepathy ที่เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ เหาะเหินเดินน้ำดำดินประหลาดไม่ใช่ จะไม่ใช่วิชชา5(หรืออภิญญา 5) ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์

อภิญญา 5 เว้นบุพเพนิวาสานุสติญาณกับจุตูปปาตญาณไป แต่ก็ต้องตรวจบัญชีลงบัญชีของตน ปัจจุบันทันก็ทันแต่ไม่ทันก็ต้องตรวจว่าครบหรือไม่เกินหรือผิด คือเตวิชโช

แต่ของพุทธเป็นปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์(ปาฏิหาริย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า)อย่างเป็นจริง

ผู้ปฏิบัติจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น สังกัปปะ 7

_ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือแกนปัญญาแกนกว้าง

_อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คือแกนลึก แกนเจโต

สังกัปปะ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิตามพระวจนะ คือ ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่

สติปัฏฐาน 4 -สัมมัปปธาน 4 -อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผลเป็นอินทรีย์ 5 ไปตามลำดับกระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นพละ 5 ซึ่งก้าวเดินด้วยโพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดิน คือมรรคองค์ 8ตลอดเวลาในชีวิตสามัญ จึงสามารถกำหนดสภาวธรรมที่เป็น ตัวตนของกิเลส(อัตตา)ได้แท้แน่ชัด เพราะปฏิบัติสติสัมโพชฌงค์-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ววิจัยสังกัปปะ7 ที่มีตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ-อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา-วจีสังขาร ว่า ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ)นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้(อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูกต้องแน่แท้

ห้าอย่างคือ อินทรีย์5 สูงสุดที่ปัญญา ที่มีอินทรีย์ มีพละ คือมีกำลังไปสู่สูงสุด มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ ต้องมี สำรวมอินทรีย์​6 มีตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัส ทำกิเลสลดได้ก็มีปีติสัมโพชฌงค์

ปีติมี 5 แบบ

1.   ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย)

2.   ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ)

3.   โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

4.   อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

5.   ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน)

(จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

      ต้องอย่าให้ปีติแรงเป็นอุพเพงคาปีติ ให้ทำให้เป็นผรณาปีติบางเบาไปทั่ว ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ไม่มียินดี แต่เก็บความยินดีให้ไปทั่วองคาพยพของจิตวิญญาณเราเสมอ มันจะได้ไม่กระโดดออกมาจะได้อาศัยไว้ เขาจะบอกว่าศาสนาพุทธจืดชืดแห้งเหี่ยวไม่ใช่ ทุกวันนี้อาตมาสนุกสุขสบาย แต่ก็ไม่ไปทำลิงโลดเกินเหตุ ถ้าสนิทกันก็ทำอะไรให้ดูบ้าง แต่ข้างนอกถือสากันมาก ก็ไม่ทำ เรื่องอาตมาหาวเป็นดาวเป็นเดือนเป็นต้น เป็นลูกกลมของฟองน้ำลาย ก็หาว่าอาตมาเล่นน้ำลาย อาตมามาปางนี้เป็นปางหนุมาน เป็นลิง ใช้ลักษณะลิงมากหน่อย แต่ก็ปางรามแต่เอาส่วนหนึ่งของพระรามคือ หนุมานมาใช้ น้ำลายบางขณะก็ทำไม่ออก บางขณะก็ทำได้ดี บางทีทำแล้วมันแตก

      จากปีติสัมโพชฌงค์ ก็ทำให้เป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ มาสู่สมาธิสัมโพชฌงค์ สุดท้ายมาอยู่อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นฌาน 4  ก็ยึดอาการสุขเท่าที่คุณเหลือน้อย คนมีบารมีมาก ก็ปรุงได้มาก คนบารมีไม่มากก็ปรุงได้ไม่มาก ถ้ามากจะห่าม ต้องเข้าใจอุเบกขาเคหสิตะ และเนกขัมมะ ที่ทำให้อกุศลลดลงได้แล้วต้องทำอุปกิเลสให้ลดได้ ต้องรู้จัก อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทสที่ได้อธิบายให้ฟัง คุณไม่เป็นปัจเจก หรือสยังอภิญญาก็อธิบายไม่ได้ แต่ถ้าภูมิใหม่ๆเช่นโสดาฯก็มักอยากอวด มีทองเท่าหนวดกุ้งก็เอาไปโชว์ มันไม่เคยพบเคยเห็นก็ระวัง

      อยู่ในมรรคองค์ 8 ที่มีมรรค 7 องค์ สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ  ไม่ต้องเลี่ยงไปจากชีวิตประจำวัน เอาปริตตังตามของเขตเรา ตามศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

 

ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ)นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้(อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูกต้องแน่แท้

เพราะปฏิบัติโพชฌงค์ 3​ตัวแรกมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมนอกใน แล้วก็ต้องวิจัยวิจารณ์ อ่านรูปนาม สภาวะต่างๆ จนกระทั่งวิจัยสังกัปปะ 7 เป็น ทำวจีสังขารเป็น คำว่าวจีสังขารจึงเป็นตัวที่ นิโรธคือ ดับวจีสังขารนี้ก่อน ถ้าเวลาทำให้เกิดต้องปรุงเป็นจิตสังขาร แล้วมาเป็นกายสังขาร จิตเลือกเฟ้นก่อน เรามี 100 ตอนนี้เราเอาออกมาใช้ 70 เป็นต้น

ส่วนวิธีดับคือ ดับธาตุสองให้เหลือหนึ่ง เพื่อจะออกเป็นกายกรรมวจีกรรม วจีสังขารก็เป็นตัวดับ จิตสังขารก็เป็นตัวปรุงก่อนออกมา

ต้องพิสูจน์ทุกปัจจุบันที่ดับถูกตัวตน ดับตัวตนต้องให้ถูกต้องตนที่ต้องดับ อย่างไม่ใช่แค่เหตุผลหรือวาทะอย่างอัตตวาทุปาทาน อันแตกต่างกันกับการทำความดับ (นิโรธ)ที่ดับจิตไปทั้งจิต จนจิตดำ(กิณหะ)มืดมิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็นความดับที่ปฏิบัติกันรู้กันแพร่หลายอยู่เป็นสามัญทั่วไป ผลธรรมแบบนี้ไม่ใช่ทางปฏิบัติหรือผลธรรมที่จะพาไปนิพพานอย่างประเสริฐ ซึ่งถือกันว่าเป็นธรรมอันเลว(นาลมริยา ธัมมา)

ดังนั้น วิธีปฏิบัติชนิดนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นวิธีสะกดจิต-วิธีสมถะ(hypnosis)แท้ๆดับจิตให้ดำ(กิณหะ)มืด เมื่อดำมืดสนิทก็ พึงใจ พอใจ ถือว่าเป็นโชค(สุภ)ที่ทำภาวะดำนี้ขึ้นในใจได้สำเร็จ อาการนี้ของจิตใจ จึงชื่อว่า สุภกิณหะ ซึ่งเป็นความหลงภาวะดำ(กิณหะ)นั้นแหละเป็นภาวะที่น่าพึงใจ(สุภ)

พวกสะกดจิตใสก็มีคืออาภัสสรา ก็มีสองแบบคือกิณหะกับอาภัสสรา ก็เป็นพวกสะกดจิตทั้งคู่ สายดับกับสายสว่าง

สายทางพระป่านั่งสะกดจิตหลับตาคือไปสู่ความดับกิณหะ ส่วนพวกที่อยู่ในเมืองก็เป็นพวกสายสว่าง พวกเขียนหนังสือธรรมะขาย สายปัญญาตักกีวีมังสีโหติ

ถ้าอ่านกิเลสไม่เป็นแยก ทิศทางโลกุตระกับเนกขัมมะไม่ออกก็จบเหถ้าอ่านอาการลิงคนิมิตของตนไม่ออก ตรงนี้ก็หมดทาง

พวกสายลืมตาสะกดจิต ติชนัทฮันท์ คือสายลืมตา สายหลวงพ่อเทียน พวกนี้สมาธิลืมตา เบื้องต้นก็มีที่เกาะง่ายๆ อ.แป้นก็เอาจิตไปไว้ที่กลางมือยกขึ้นเป็นวิปัสสนา ก็คือสมถะนี่แหละ หลวงพ่อเทียนก็เคลื่อนไหว ก็ว่าเป็นวิปัสสนา ส่วนติชนัทฮันท์ก็เอาแต่สติให้ต่อเนื่อง พวกนี้ไม่ทะเลาะกับใครอย่างธรรมกาย ที่เอาแต่ความดี คนโง่มากในโลกก็ติดแต่ดีนิดหน่อยที่รู้ง่าย เขาปิดประตูไม่ให้รู้อันอื่นช่องนี้ช่องเดียว สะกดจิตให้เชื่อได้ ยีงกว่าควาย จูงได้ทุกอย่าง ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าตกเป็นทาสได้อย่างไร ขออภัยยิ่งกว่าควายเลย ขออภัยจริงใจตามภูมิ ไม่ได้โกรธเกลียดเลย ไม่น่าตกเป็นเหยื่อ ผู้ใดรู้ตัวก็รีบถอนตัว

ลักษณะแพร่หลายคือสะกดจิตให้สว่างกับดับ

เมื่อมรรควิธีก็ผิด ผลที่ได้จึงผิดด้วย ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะไม่มีการวิเคราะห์วิจัย(analysis)แต่อย่างใดมีแต่การสะกดจิต-การทำสมถะ(hypnosis)

  1. จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 ซึ่งได้แก่ กายสังขาร(สังขารคือการปรุงแต่งของกายหรือการปรุงแต่งของรูปกับนาม) จิตสังขาร(การปรุงแต่งของจิตหรือการปรุงแต่งของธรรม 2ที่เป็นนามกาย) วจีสังขาร(การปรุงแต่งของวจีหรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกายอยู่ในใจยังไม่เปล่งออกมาเป็นวจีกรรม)

เมื่อไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 หรือยังอวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิ ในความเป็นสังขารอยู่ ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นไม่สามารถปฏิบัติอภิสังขาร ซึ่งก็มี 3 คือ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร ให้เกิดผลบรรลุธรรมได้เลยเด็ดขาด

กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิ จิตสังขารก็รู้กันไม่กระจ่าง โดยเฉพาะวจีสังขารนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ จะไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้นปรมัตถธรรม ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมี สัญญาเข้าไปสัมผัสกาย(องค์ประชุมของธรรม 2) หรือองค์รวมของรูปกับนาม สัมผัสเวทนา สัมผัสจิต สัมผัสธรรม จึงจะมีความรู้ที่เป็นวิปัสสนาญาณเห็น(ปัสสติ)จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ซึ่งต้องจำแนกแยกแยะ(analyse)ทั้งรูปกายทั้งนามกายต่างๆให้รู้แจ้งรู้จริงความเป็นรูปโดยเฉพาะความเป็นนามด้วยอาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศจนถึงขั้นวจีสังขาร ซึ่งวจีสังขารนี้ยังมีสถานะแค่สภาวธรรมของจิตในจิตอยู่ภายในเท่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเป็นวจีกรรมภายนอกความรู้แจ้งด้วยญาณปัญญาเช่นนี้แลชื่อว่า วิชชา 8ที่เริ่มตั้งแต่วิปัสสนาญาณเป็นไปจนกระทั่งอาสวักขยญาณครบ 8

แต่..เพราะผู้ปฏิบัติใดถ้ายังไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง หรือรู้อย่างมิจฉาทิฏฐิในความเป็นอาการความเป็นกายของจิต-เจตสิก-รูป ไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะบรรลุพุทธธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ จนกระทั่งถึงนิพพาน

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:27:34 )

581222

รายละเอียด

581222_ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ จิตวิเคราะห์แบบพุทธ

พ่อครูว่า….วันนี้วันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2558 ขึ้น 12 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม วันนี้ก็จะตอบผู้ที่สงสัยใน sms แล้วก็มีในสามัญญผลที่จะต้องต่อจากวานนี้ อีกอันหนึ่งก็จะเจาะลึก นัยยะที่ลึกซึ้ง เพิ่มขึ้นอีก ก็มีผู้ที่จะร่วมวิเคราะห์วิจัยก็ส่งมา อย่างของคุณใบฟ้า ที่ส่งมาก็เป็นเชิงวิชาการ เพราะเคยเป็นอาจารย์มาก่อน อาตมาไม่เก่งเรื่องวิชาการ

พวกเราก็เร่งรัดให้มาสอบ ว.บบบ.กัน ส่วนอาตมาก็พูดไปเรื่อยๆ วันที่ 25 ก็หมดเขตรับสมัคร เข้าพื้นที่วันที่ 27 ธ.ค. ก็มีตารางงานออกมาแล้ว

การมาเรียนมาสอบ ว.บบบ.นี้ ได้ลงทุนทองคำไป รวมแล้วเป็นล้านบาท เข็มหนึ่ง มีทองกว่าครึ่งบาท มีคนทัก ว่าทำไมต้องใช้ทองคำ ความจริงต้องเข้าใจว่า การได้รับเกียรติได้รับการยอมรับว่าเรามีความรู้ มีความเจริญก็เป็นคุณค่าพิเศษ ที่ทำนี้เป็นเรื่องมีความหมาย ถ้าจะใช้แค่คารม ให้ฮึกเหิมก็ใช้ได้แล้ว แต่ก็ไม่อยากจะครอบงำความคิด แต่อยากให้สำนึก ให้ได้ปัญญา เป็นสำนึกของแต่ละคน และเป็นปัญญาของตนเองที่รู้เข้าใจจริงๆและมีปฏิภาณ ความหมายถึงอะไรบ้าง ที่ให้ทองคำนี้ เป็นการให้ค่าของความเจริญ คุณได้รับการรับรอง วัดสูงขณะนี้ขณะนี้

 เหมือนรับรองตำแหน่งว่าที่โสดาบัน มีตำแหน่งสกิทาคามี มีตำแหน่งอนาคามี มีตำแหน่งอรหันต์แล้วนะ อาตมาพูดไปอย่างนี้คุณจะรู้สึกอย่างไร จบปริญญาตรี จบปริญญาโท จบปริญญาเอก เขาก็รู้สึกว่าสูง ถ้ามีโพสต์ด็อกเตอร์อีกทำวิจัยต่อไปอีกกี่เล่มกี่เล่ม ก็มีหลักฐานรับรองกัน ก็เป็นบัญญัติเป็นเรื่องโลกๆ ที่ไม่ได้หมายถึงเรื่องจิตใจ แต่ความเจริญจริงๆ โสดาบันเจริญภาษาว่าเป็นขั้นต้นของอริยะ ขั้นต้นของปริญญาตรี แต่ความเป็นโสดาบัน ปริญญาตรีที่ว่าไม่ใช่ธรรมดา

 ความหมายของวัตถุ ความหมายของบัญญัติสิ่งกำหนดของโลก อย่างนี้ กับความเป็นจริงของความเจริญทางจิตวิญญาณ ปริญญาตรีกับโสดาบันนี้เทียบกันได้ไหม ก็เทียบได้เป็นขั้นต้น แต่ที่ไม่ได้แนวลึก ชั้นเดียวกันกับการใช้ทองคำ เหมือนกับเอาปริญญาเอกมาใส่มาให้ ก็ให้ตั้งแต่ปีหนึ่ง ปีสองปีสามปีสี่ แล้วทองคำที่เป็นเช่นนี้ก็เท่ากันหมด จะเข็มที่ 1 ถึง 4 ก็เท่ากันหมด ในเรื่องปรมัตถ์จะมีความหมายลึกซึ้งกว่านี้อีกเยอะ

ซึ่งมันยากนะที่จะมีเงินมาซื้อทองคำให้พวกเรา ก็เลยเอาเงินกองศึกฯก็แล้วกันเป็นส่วนกลางจริงๆ ถ้าขาดเหลือถ้าจะว่ากันจริงๆ ครั้งหนึ่งๆ สำเร็จปีแรก 154 เข็ม เข็มหนึ่งหนักเกินครึ่งบาท ก็ทองคำหนักเท่าไหร่ ประมาณ 70 กว่าบาท แต่ละปีถ้าไม่มาคืนอาตมาคงคลานแล้ว แต่ก็เอามาคืนกันหลายคน รักษาไว้เดี๋ยวหาย อาตมาก็เลยถือว่าถ้าคืนแล้วก็ถือวิสาสะ เอาอันนี้มาหมุนเวียนไป ก็ลบรุ่นเท่านั้นข้างหลัง ก็พอเป็นไป แต่ความหมายคืออยากให้เรารู้สึกว่าอาตมาให้ค่า มาถึงวันนี้ ความรู้สึกนี้เข้าใจกันในพวกที่เข้าใจแม้แต่พวกเด็กๆ เขาก็ยังขมีขมัน ใฝ่การศึกษาใฝ่มาสอบ

ก็ขอบอกว่า อันนี้เป็นเครื่องเป็นวิธีกระทำอันหนึ่งที่อาตมาจะพยายามทำไป จนกว่าพวกเราจะเห็นค่าพอสมควร จะเจริญขึ้นหรือไม่อย่างไรก็ค่อยว่ากัน อย่างน้อยก็ได้ขวนขวายศึกษา อย่างน้อยก็อ่าน ก็ฟังธรรมถ้ายิ่ง เอาไปปฏิบัติ ยิ่งเป็นที่หมาย ก็ลงทุนขนาดนี้แหละปี 1 จะสอบทีหนึ่ง นอกนั้นก็ปล่อยคุณจะสนใจหรือไม่ก็ปล่อย  ถ้าผู้ใส่ใจจะขวนขวายตลอดปี ซึ่งเราจะต้องสอบทุกปีในตอนปลายปีอย่างน้อยเราก็ต้องสอบให้ได้ 4 เหรียญ ก็ถือว่าจบ ก็ปล่อยให้มีสำนึกเองมีปัญญาเอง นี่ก็เข้าปีที่ 4 แล้ว ก็เพิ่งจะบอกจุดหมายรายละเอียดปีนี้

ซึ่งอาตมาก็รู้ว่าคนที่มีปฏิภาณสำนึกเองมีปัญญาเองในหมู่นี้มี ได้บ้างไม่ได้บ้างไม่เป็นไร เพราะว่าการสำนึกเอง มีปัญญาเอง ประพฤติเองมันเป็นของจริงเป็นเรื่องจริงของแต่ละคน แล้วได้ผลมาก ส่วนถ้าจะได้รับการกระตุ้นการบอกก็เป็นผลดี ไม่ละเลยเราก็ทำตามก็เป็นผลดีแต่มันไม่ดี เท่ากับการสำนึกเองมีปัญญาเองเป็นตัวจริง

sms 211258

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯเมตตาอธิบายข้อธรรมะที่ผู้น้อยสงสัยให้หายสงสัยจนเข้าใจสาธุ๊!

0804687xxx ปีแสงน่าจะเป็นหน่วยบอกระยะทางนะครับ กราบนมัสการครับ

ตอบ...ก็ใช่แล้ว เป็นความลึกซึ้งทางธรรมะ

 

 นิโรธสมถะกับนิโรธของพุทธ

0893867xxx ฟังพ่อครูอธิบายโพชฌงค์ 7 คู่โพธิปักขิยธรรม 37 ในพระไตรปิฏก จักกวัตติสูตร, ปาสาทิกสูตรคงมีแต่ผู้ปฏิบัติรู้ถึงความดับขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธที่มิใช่นิโรธสมถภาวนาได้จริงที่ทำได้!

ตอบคุณ 3867 แยกออกระหว่างนิโรธสมถะกับนิโรธของพุทธ แล้วอ้างอิงพระไตรฯ ซึ่งสัญญาวเทยิตนิโรธ เชื่อว่าปราชญ์ผู้รู้ทั่วไป ก็เข้าใจว่า ดับสัญญาดับเวทนา ก็หมายความตรงๆ ที่จริงก็ถูกดับเวทนาสัญญา แต่มันเป็นการดับเวทนาในเวทนา สัญญาในสัญญา คือดับเวทนาที่จะต้องดับ แต่รูปนี้ดับหมดสิ้นไม่ได้ รูปยิ่งดับยิ่งเป็นรูปชัด

รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ รูปยิ่งดับยิ่งจะชัด เป็นรูปของแท้ รูปของปลอมจะหายไป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นของแท้ แต่ดับเฉพาะอุปาทานในขันธ์ 5 นี้

บอกว่าดับ เวทนา สัญญา ก็ใช่ แต่ไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจ เพราะท่านเข้าใจว่าดับเวทนาคือดับความรู้สึกรับรู้ไปหมด แม้แต่สัญญาก็เป็นการรับรู้ สัญญานี้เป็น subject แต่เวทนาเป็น object ในการปฏิบัติผู้ปฏิบัติจะใช้สัญญาตนเอง เวทนาตนเอง ไม่ใช่แส่รู้จักเวทนาคนอื่น รู้จักธรรมะสองในเวทนา ตนเอง แล้วล้างเวทนาตัวอกุศล ก็เป็น เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ  ก็ดับเคหสิตเวทนา เหลือแต่เวทนาหนึ่งเดียว รวมลงเป็นหนึ่งเดียวได้ จากเวทนาสองมาเป็นเวทนาหนึ่งได้ของตนเอง

จะบอกว่าดับเวทนา สัญญาก็ใช่ แต่มีนัยลึกซึ้ง ถ้าไปเข้าใจว่าดับเวทนาสัญญาอย่างดับดำมืดไม่รู้สึกไม่รับรู้ อย่างนั้นไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าเป้าของพุทธที่หมาย

ของฤาษีมีเข้าหรือออกสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ของพุทธได้แล้วไม่ต้องออกไม่ต้องเข้า ถ้ายังไม่ตกผลึกสมบูรณ์สุดท้ายจบกิจ อย่างนิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) คุณก็ต้องรักษาสั่งสมผล จนถึงขั้นนั้น จนเป็นเอง ตถตา มันไม่ต้องทำก็เป็นได้ไม่เป็นอื่นเลย มันเป็นการตกผลึกสั่งสมผลที่ผนึกอัดแน่นอย่างสมบูรณ์

อาตมาไปเข้าใจคำว่า ในหลัก system analysis อาตมาไม่เคยเรียน แต่รู้ทีหลังก็เทียบกับของพระพุทธเจ้า อย่างปฏิจจสมุปบาทคือลักษณะ system analysis มีเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยโยงใยกัน

เหตุคือ input ใส่เข้าไปเป็นต้นทุนแล้วมี นิทานคือเรื่องราว คือกระบวนการ process แล้วก็มีสมุทัยคือ output จากสมุทัยก็จะสังเคราะห์ปรุงแต่งกันไปอีก เป็น outcome จะเรียกว่าผลขั้นหนึ่ง แล้วก็ต่อมีผลเป็น impact อีกก็ได้แต่ของพระพุทธเจ้ามีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย

impact จึงหมายถึงพลังงาน แรง ผลของสิ่งที่ได้ คือพลังงานจิตเจตสิก หรือวิญญาณในธาตุจิตนิยาม มันเกิดจากการกระทบกระแทกแล้วเกิดการสังเคราะห์ อัดกัน ลึกสุดของพลังงาน จึงเป็น นิวเคลียร์ฟิวชั่น เมื่อกระทบกันแตกตัวเป็นธรรมะสอง นิวเคลียร์ฟิวชั่นฟิชชั่นก็สอง มันก็มีกระจายกับจับตัว

ถ้าเราเอามาเรียนแล้วก็จับตัวกันวิเคราะห์วิจัย ขจัดพลังงานที่แล้วออก ที่เหลือก็จะเป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่จับต่อกัน จะมีการสัมผัสกระแทกกระทบนั่นคือลักษณะ impact หรือจับตัวกัน เป็นพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่น ส่วนที่ไม่จับตัวกันก็กระจายออกไปเป็นไอโซโทปของนิวเคลียร์ฟิชชัน ที่สุดมันจับตัวสุดท้ายก็มีพลังงาน ที่มีฤทธิ์มีแรงมีอำนาจ เป็นพละกำลัง จะมีลักษณะ เป็นอิทธิผลหรืออิทธิพล ขึ้นมา

 ของศาสนาพุทธ ผลสุดท้าย คือผลของกรรมวิบาก คือ impact ที่เป็นปฏิจจสมุปบาทตรงที่เรารับเป็นผล เช่นคุณเองมีสังขารเป็นตัว process เป็นนิทาน แต่คุณอวิชชามีเหตุปัจจัยต้องกระทบ เริ่มตั้งแต่ตากระทบรูปก็มีสังขาร มีเวทนา เช่นตากระทบมะละกอลูกนี้ เหลืองเปลือกงามลูกโต สงสัยว่าผ่าออกมาจะน่ากิน ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นเรื่องราวสังขาร แล้วรวมจบกันว่ามันน่ากิน พอน่ากินแล้วมันก็เกิดอารมณ์ชอบเป็นเวทนา ซ่อนลึกอยู่ในอารมณ์ชอบคืออยากกิน เป็นปัญหา นี่คือ system analysis ที่คุณจะต้อง วิเคราะห์ให้ได้ ต้องมีวิตกวิจาร ต้องมีธรรมวิจัยอย่างนี้

 เพราะมีการรวมของรูปนามเรียกว่ากาย มีเวทนาอย่างอัตโนมัติ เช่นตากระทบมะละกอเห็นสีสันเห็นลูกใหญ่ พามาว่าน่ากินแน่นอน แต่เรื่องราวที่ปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นนิทานแล้วมันรวมกันบอกว่า เป็นอิฏฐารมณ์ คืนอาการชอบใจแล้วเบื้องหลังเบื้องลึกของตัวชอบใจนั้นคือ ได้กินก็ดี หรืออยากกินแล้วนะ ต้องวิจัยหาสมุทัยออกมาให้ได้ ในเหตุและปัจจัยที่เป็นธรรมชาติ 2 แล้วเกิดปฏิกิริยากัน ปฏิฆสัมผัสโส  ทุกกระบวนการไป ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีการสัมผัส เว้นผัสสะเสียไม่เป็น ไม่มีเวทนา 

ก็มีแต่การแส่หาเป็นตัณหา ตามทิฏฐิ 62 ที่ไม่เข้าหลักการปฏิบัติ ไม่ได้เข้าสูตรของการมีผัสสะและมีเวทนาจึงเป็นเว้นผัสสะเสียไม่มีฐานะที่จะมีได้

กรรมที่ออกมา เป็นกรรมดีกรรมชั่วเลว ก่อนจะเป็นกรรมก็ต้องตามเข้าหาตัวเหตุหลัก คือสมุทัย

สรุปแล้วภาษาต่างที่สื่อแม้เป็นภาษาอังกฤษภาษาไทย ภาษาบาลีถ้ามีสภาวธรรม คุณมีตัวยา ก็เอาป้ายยามาแปะได้ โลกรู้ว่านี่ยารักษาปวดท้อง ไข้หวัดแก้ไอ

สรุปคือต้องมีนามเข้าไปร่วมด้วย

ที่อาตมาอธิบายคือทำให้จิตนิยามเป็นพีชนิยามได้ คือมีความซับซ้อนลึกซึ้งมีพฤติกรรมแบบพีชนิยามแต่มีพลังงานประเสริฐกว่าพีชนิยามมาก รู้เท่ากับจิตนิยาม เฉลียวฉลาดอัจฉริยะขนาดไหน มันยังรู้หมด สามารถเป็นปฏิภาณปัญญา ไม่ได้ดับความรู้ทิ้งหมดแต่กลายเป็นความรู้ประเสริฐเอาอกุศลออกไปหมดเท่านั้น

เป็นพีชนิยามที่ไม่มีโทษกับใคร แต่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ องค์ประกอบของมะละกอก็มีเนื้อมีเปลือกอะไรเยอะก็เป็นของสัตว์โลกที่จะใช้ธาตุต่างๆในมะละกอนี้นำมาใช้สำหรับกินเข้าไป เอาเข้าไปในร่างกายของสัตว์ของเรา เพื่อให้มันแยกธาตุเหล่านั้นออกไปใช้ ที่จริงคุณกินดินได้ก็จะกินได้ แต่เป็นคนแล้วไม่ซื้อเท่าไหร่ก็ไปกินดอกใบผลเมล็ดเนื้อเอาธาตุเข้าไป องค์ประกอบของมะละกอนี้ มันไม่มีอะไรนอกจากมันจะสร้างตัวของมันเองแล้วก็จะทิ้งเชื้อเป็นเมล็ด ที่จะไปต่อเผ่าพันธุ์ไว้เท่านั้นเอง

จิตวิญญาณ เหมือนพีชนิยามแต่ลดพลังงานเลวหมดก็เป็นปฏิภาคทวียกกำลัง มันไม่ทำจริงๆ โสดาบันก็เริ่มลดภัยในตนเอง ส่วนหนึ่งลดจริงๆ ลดอย่างฆ่าเหตุ ฆ่าพลังงานสำคัญคือพลังงานจิตเจตสิก จะเรียกว่าพลังงานถึงขั้นนิวเคลียสก็ได้ คือพลังงานสุดท้ายของฟิสิกส์ ที่เป็นอกุศลก็วิจัยนิวเคลียสออกเป็นสองแล้วขจัดพิษภัยที่เป็นนิวเคลียร์กัมมันตภาพรังสีออกไป แล้วได้ตัวนั้นมา นี่คือวิชชาคือศาสตระของพระพุทธเจ้า ทำได้ถาวร โดยมีปัญญา เมื่อปัญญาถึงขีดจะไม่เป็นอื่น อวิปริณามธัมมัง จนแข็งแรงจับตัวแน่นจนไม่มีอะไรสลายได้นอกจากตนเองจะสลายเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน แยกธาตุสุดท้ายได้ ไม่แยกเราก็มีความสามารถให้ปรุงต่อนานเท่าไหรก็ได้ จะเท่าพระอวโลกิเตศวรก็ได้

 

 9. นิโรธสูตร

                           ว่าด้วยสัญญาเวทยิตนิโรธ

          [517] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีแล้ว กลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต เข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง. ครั้งนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปยังพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระสารีบุตรมาแต่ไกลจึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า อาวุโสสารีบุตร อินทรีย์ของท่านผ่องใสนัก สีหน้าของท่านหมดจด ผ่องใส วันนี้ ท่านพระสารีบุตรอยู่ด้วยวิหารธรรมอะไร?

     ท่านพระสารีบุตรตอบว่า อาวุโส ดังเราจะบอก เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานเสียได้โดยประการทั้งปวงอยู่. อาวุโส เรามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว. แท้จริง ท่านพระสารีบุตร ถอนอหังการ มมังการ และมานานุสัยออกได้นานแล้ว ฉะนั้นท่านพระสารีบุตรจึงมิได้คิดอย่างนี้ว่า เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ หรือว่าเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว หรือว่าออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว.

พระสารีบุตรเอากิเลสออก อหังการมมังการ คือรวมตัวกูของกูหมดเลย เอาออกหมดแล้วไม่ใช่ต้องเข้าหรือออกนิโรธ แต่พวกที่ทำนิโรธแบบดับมืด ดับสัญญาดับเวทนา ทำได้เก่งขึ้น

0893867xxx ขออภัยญาติธรรมชาวอโศกที่3867 ถามประเด็นธรรมมากเกินบ่อย จนแย่งเวลาเทศน์ของพ่อครูกับผู้อื่นที่มีประเด็นอยากถามบ้าง! ขอบคุณบุญนิยมจรธ.

มาประเด็นของคุณใบฟ้า….กราบนมัสการพระครูด้วยเศียรเกล้า จันทร์ที่ 21 เป็นวันแรกของรายการโทรทัศน์พุทธศาสนาตามภูมิซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่ง กราบขอเรียนเสนอพิจารณาสีตัวอักษรตามภูมิเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีอื่นจะดูดีขึ้น อาตมาก็ว่าเค้าทำให้ก็ขอบคุณแล้ว

 พ่อครูให้ความรู้ ที่น่า analysis ให้เป็นรูปธรรมตามภูมิ นั่นคือโสดาบันต้องรู้เข้าใจ ธรรม 3 หมวดคือ สังกัปปะ 7 สังขาร 3 และวิชชา 5 กราบขอเวลาตรวจสอบแก้ไขด้วยค่ะ

 กรณี โสดาบันบุคคลกับกิจวัตรทำวัตรเช้า

 พฤติกรรมที่พึงประสงค์ เข้าร่วมทำกิจวัตรเช้าอย่างสม่ำเสมอทำวัตรเช้า

 หมวดธรรม 1 สังกัปปะ 7

 1.1 ตักกะ คิด อาจารย์ 2 ผืนฟ้า เคยพูด กิจวัตรเป็นหลัก กิจกรรมกิจการเป็นรอง

 1.2 วิตักกะ คิดถึงเช้ามืด สวดมนต์แปล ฟังธรรมล้วนเป็นงานที่น่ายินดี

 1.3 สังกัปปะ คิดปรุง ต้องบริหารเวลา จัดการกับกิจกรรมกิจการ ที่จะไม่ก่ออุปสรรค ในการเข้าร่วมทำวัตรเช้า

 1.4 อัปปนา คิด ทำกิจวัตรทำวัตรเช้า น่าสนใจน่ายินดีเข้าร่วมจริงๆ

 1.5 พยัปปนา คิด เราคนหนึ่งที่จะเข้าร่วมทำกิจวัตรทำวัตรเช้าทุกครั้งของหมู่

 1.6 เจตโสอภินิโรปนา คิด ตั้งใส่ใจจดจำบันทึกวันเวลาของการทำวัตรเช้า

 1.7 วจีสังขาร คิด กิจวัตรนี้ต้องบอกกล่าวประชาสัมพันธ์พี่น้องให้มาร่วมรวมกัน

 หมวดธรรม 2 สังขาร 3

 2.1 กายสังขาร รูป ปฏิทินทำให้จำได้ว่าพรุ่งนี้มีการทำวัตรเช้า

                   นาม ดีใจที่จะได้ร่วมทำวัตรเช้า เนกขัมสิตโสมนัสเวทนา

 2.2  จิตสังขาร รูปกาย อาติ๋วตื่นมาประมาณตี 2 มาเตรียมศาลา

                    นามกาย จะพยายามตื่นมาเป็นผู้ช่วยอาติ๋ว ร่วมบุญร่วมบุญ

 2.3 วจีสังขาร รูปกาย อาติ๋วสุดยอดมั่นคง

                    นามกาย เราก็โอเคอยู่นะ ที่ยินดีไม่ขี้เกียจ

หมวดธรรม 3 วิชชา 5

 3.1 วิปัสสนาญาณ ถีนมิทธะ อิทธิบาท และความขี้เกียจ เป็นกิเลสของกิจวัตร

 372 มโนมยิทธิ ขจัดกิเลสข้างต้นกิจวัตรก็ต่อเนื่องยั่งยืน

 3.3 อิทธิวิธญาณ พักให้พอสร้างจิตกระตือรือร้นขยันเบิกบาน

 3.4 ทิพยโสตญาณ แววไวต่ออาการง่วง จิตทื่อๆ และขี้เกียจ(ต้องแววไวในการรู้นิวรณ์ทั้ง 5 เลยไม่ใช่แค่อาการง่วงเท่านั้น)

 3.5 เจโตปริยญาณ ชัดเจนถึงสภาวะจิตของตนในการทำวัตรเช้าว่าเนกขัมสิตะ(ยินดี) เคหสิตะ(ไม่ยินดีขี้เกียจ) หรืออุเบกขา(ปกติ) หรือขยันมั่นคงเป็นปกติ เนกขัมสิตอุเบกขา

 กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะใบฟ้า

 

พ่อครูว่ากายเป็นองค์รวมของธรรมะทั้งหมด ด่านแรกคือ วิจัยกายในกาย มาเป็นเวทนาในเวทนาต่อมา ก็จะได้ตัวการใหญ่ คือเจตสิกหรือจิต ที่มันเป็นตัวการของสังขาร ก็จับตัวนี้กำจัดจนหมด สังขารของคุณก็ยังอยู่ คุณจับตัวนั้นได้ มันเป็นตัวการ คือสสังขาริกัง มีกามหรือพยาบาทเป็นตัวนำ เป็นมิจฉาสังกัปปะ กำจัดตัวนี้จนเป็นอสังขาริกัง เป็นอภิสังขารเป็นอปุญญาภิสังขารที่คุณกำจัดตัวเหตุได้แล้ว ชำระกิเลสได้เรียบร้อยแล้ว

เวลาจะนิโรธ ต้องดับวจีสังขารก่อน แต่ถ้าจะเกิดก่อน ก็ต้องจัดการกับจิตก่อน เป็นจิตสังขารก่อนเป็นกายสังขาร แล้วเป็นวจีสังขารที่จะออกไปทำงาน ถ้าผู้ไม่รู้จริงตอบไม่ได้

สังขาร 3 ผู้ปฏิบัติธรรมและจริงๆก็รู้จักกายสังขาร จิตสังขารและกายสังขารว่าหมายถึงอะไร

 กายสังขารคือ องค์รวมทั้งหมด แล้วพยายามทำที่ในจิต และการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าไม่ทิ้งภายนอก  พหิทารูปานิปัสสติ แล้วปฏิบัติเข้าไปในจิตตั้งแต่กิเลสหยาบ โอฬาริกอัตตา ให้เป็นลำดับไปถึงขั้น รูปจิต อรูปจิตภายใน อัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ

ในพระไตรปกฎก แปลอัชฌัตตังอรูปสัญญี เอโก พหิทารูปานิปัสสติ  ว่า ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน ย่อมเป็นรูปทั้งหลายในภายนอก สัมผัสที่ท่านแปลก็คือว่า ท่านพยายามแปลโดยพยัญชนะ ก็รู้ได้ว่าท่านไม่ได้เข้าใจวิโมกข์ข้อนี้

วิโมกข์ 8

1. ผู้มีรูป(รูปฌาน)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้)

2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี เอโก  พหิทธารูปานิ  ปัสสติ)  (พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูปก็ต้องใส่ใจกำหนด)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ, หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พระไตรปิฎก เล่ม10  ข้อ66 /  เล่ม23  ข้อ163

 

ถ้าคุณใช้สัญญาของตนเองปฏิบัติธรรมไม่เป็นก็จบเลย คุณทำใจในใจ ต้องจัดการ ต้องมีผัสสะ ศึกษา แล้วก็ต้องตามหาตัวมโนสัญเจตนาที่มีสาม

1.กามตัณหา 2.ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา

 

 อภิภายตนะ 8 อย่าง เล่ม11 ข้อ349

1. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปในภายนอกที่เล็กมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้ เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง ฯ

2. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่ใหญ่มีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น อันนี้เป็นอภิภายตนะ ข้อที่สอง ฯ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:28:26 )

581223

รายละเอียด

581223_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สามัญผลสูตร ตอน2

พ่อครูว่า…. วันนี้วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2528 ขึ้น 13 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม ตอนนี้ก็วันใกล้จะหมดรับสมัครสอบ ว.บบบ.แล้ว ปิดรับสมัครวันที่ 25  ก็ขอเติม ที่บอกว่า เข็มพระธรรม มีน้ำหนักไม่เกินครึ่งบาท แต่ที่จริง น้ำหนักมัน 13.27 ซึ่งทองคำ 1 บาทหนัก 15 กรัม  ราคาตอนนี้ 1 บาท ก็ประมาณ 18,000 บาท

ที่อาตมาจำภาษาบาลีได้มาก ก็ใช่ แต่เรื่องไม่ใช่ธรรมะนี้ก็ไม่เอาถ่าน อันนี้ก็ไม่ค่อยดี ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากจะได้พลังงานความจำนี้ได้เพิ่ม เพื่อจะได้จำธรรมะใหม่ๆเพิ่มขึ้น

 

ก่อนจะได้บรรยาย วันนี้คิดว่าจะบรรยายที่เราอ่าน ก็รู้สึกว่าใกล้วันว.บบบ. ก็คิดว่าจะได้อธิบายเนื้อธรรมะลึกๆ ถ้าจะอ่านก็อ่านสามัญผลสูตรที่เป็นสูตรที่สอง ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่ท่านเรียบเรียงมาก็ต้องมีจุดมุ่งหมาย สูตรที่ 1 เป็นสูตรสำคัญมากที่คนต้องรู้ก่อน เพราะศาสนาพุทธเพิ่งเกิดท่ามกลางที่เขามีทฤษฎีทิฏฐิ ความเห็น ความเข้าใจองค์รวมของศาสนาอื่นๆ แต่ท่านก็ประกาศศาสนาของท่านขึ้นมา

สูตรแรกที่โบราณาจารย์ยกขึ้นมาก็ยืนยันว่าพุทธมีทิฏฐิมีลักษณะเช่นนี้ ถ้าต่างจากนั้นไม่ใช่นะ พระพุทธเจ้าท่านก็ประกาศ ในพรหมชาลสูตรกล่าวถึงศีลว่า เขาชมหรือติอาจารย์ต่างๆ ของท่านปรากฏในสังคมก็ต้องมีคนติคนชม ก็ไม่แปลก รวมทั้งอาตมาด้วยก็ต้องมีคนติหรือชม

ท่านก็ว่าถ้าจะชม ก็ต้องชมว่า เราตถาคตหรือศาสนาพุทธมีหลักเกณฑ์ หรือกรอบของศาสนาคือ ศีล อย่างนี้ ซึ่งของคริสต์ก็มี ten commandments ของพุทธก็มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ตอนนั้นเราอ่านถึงตอนที่พระเจ้าอชาตศัตรูไปหาพระพุทธเจ้า ก็กล่าวว่าไปหาอาจารย์ทั้ง 6 มาก็ไม่ get พอมาถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบโดยย้อนทวนถามไป

วนไปถึงพรหมชาลสูตร สำคัญคือ มีหลักธรรม สำคัญคือ ศีล เป็นการประกาศ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ที่เดี๋ยวนี้เสื่อมไปหมดแล้ว

มหาศีล เป็นการบ่งบอกความเป็นพุทธ จุลศีล คือศีลส่วนตนที่ต้องปฏิบัติมีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 มีผลขัดเกลาตน แต่มหาศีลบอกแจ้งพุทธศาสนาว่าไม่มีเดรัจฉานวิชชา แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง อยู่ในสามัญญผลสูตร แต่ทุกวันนี้ภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้เป็นศีลของเธอก็ไม่มีแล้ว ถึงสรุปได้ว่า พระทุกวันนี้ที่ประกาศว่าตนเป็นศาสนาพุทธและจะประกาศว่าพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่ศีลเบื้องต้นยังไม่มี ไม่ได้รักษาความเป็นศาสนาพุทธ ซึ่งมหาศีลเป็นศีลที่รักษาความเป็นพุทธ สวนมัชฌิมศีล เป็นศีลขยายจากจุลศีล ส่วนวินัยเป็นกฎหมายอาญาที่มีบทลงโทษ  พูดไปแล้วอาตมาก็เกรงใจคนเขา

 

วันนี้ทำงานมา 45 ปี ก็เปลี่ยนชื่อจากรายการ ธรรมาธรรมะสงครามมาเป็นรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ

พ่อครูอ่านบทกวี อ.เป็นต้น นาประโคน เกี่ยวกับการสอบ ว.บบบ.

 

Sms 22 12 58

0893867xxx นมัสการพ่อครูฯ ผู้น้อยหาใช่ผู้รู้เรื่องนิโรธโลกุตระเองไม่! ท่านเคยเทศน์บ่อยว่านิโรธสมถภาวนาคือนิโรธแบบฤาษี ที่มิได้ดับด้วยความรู้แจ้งในจิต-เวทนา-สัญญา-สังขารฯ โดยตนด้วยตนเองได้!

ตอบ...นิโรธอย่างพุทธไม่ใช่แบบฤาษีที่ไปทำอยู่แต่ภายในจิตนั่งสะกดจิตนั่งหลับตาทำ อย่างนั้นไม่ใช่แบบพุทธ แบบพุทธต้องลืมตาเปิด เห็นภายนอกพร้อม ทั้งรู้ภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปา นิปัสสติ

0809630xxx กราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะสิกขมาตุ ด้วยเคารพยิ่ง

0893867xxx กราบขอบคุณพ่อครูฯที่สอนเรื่องการดับด้วยญาณรู้แจ้งในจิตในเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณด้วยตนเองกำหนดรู้ในตนเองคือสัญญาเวทยิตนิโรธ!เป็นประจำ

 

มาเข้าสู่บทที่จะบรรยาย สามัญผลสูตร ซึ่งต่อจากพรหมชาลสูตที่บอกว่า ทิฏฐิ 62​ นี้ผิด ไม่ใช่พุทธ ของพุทธเป็นแบบสูตรต่อไป ส่วนที่จะบอกว่าจะชมตถาคตต้องชมพระพุทธเจ้าหรือชมพุทธศาสนาว่า ต้องมีศีล ผู้ใดมีศีลเป็นหลักตั้งแต่ศีล 5 คือพุทธศาสนิกชน พุทธมามกะ (กำลังตั้งใจเป็นพุทธ) เป็นพุทธบริษัท (คืออาริยบุคคล)

เมื่อเริ่มต้นสามัญผลสูตรก็มีพระเจ้าอชาตศัตรูก็เดือดร้อนใจเพราะว่าฆ่าพระราชบิดาแล้วยึดราชสมบัติก็เลยร้อนใจ ไปหาบรรดาอาจารย์ที่มีในยุคนั้นเพื่อปลดความไม่สบายใจ สุดท้ายก็มาหาพระพุทธเจ้าโดยชีวกโกมารภัจจ์ แนะนำมา มาพบพระพุทธเจ้าก็ถามพระพุทธเจ้า เหมือนกันกับที่ถามอาจารย์ทั้ง 6

ว่าจะมีผลที่ได้ไหม แต่ทางโน้นทางนี้ก็ตอบนอกเรื่องไม่บอกผลที่ได้ พระพุทธเจ้าเลยไล่ไปตามลำดับ ว่าถ้าเผื่ออย่างนี้จะเป็นผล จนถึงวิชชาจรณะ บอกว่าพระพุทธเจ้าเองท่านเป็นพระพุทธเจ้า

พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

อาตมาเปิดเผยมา 45 ปีก็จริงใจทุกอย่างไม่มังกุ อุทธัจจะไม่เหนียมเก้อเขินไม่ได้ยาก พูดไปอย่างไม่มีอะไรสะดุดใจ พูดอย่างประมาณแล้ว

เมื่อพระพุทธเจ้าพูดถึงผลสามัญที่ปฏิบัติแล้ว คือถ้าเป็นคนรับใช้คนสนิทของพระเจ้าอชาตศัตรู แล้วเขามาฟังธรรมพระพุทธเจ้าฟังแล้วเกิดมาปฏิบัติธรรมตาม มาบวชตาม เป็นผู้ลดละ สำรวมกาย วาจา สันโดษ มีจรณะ 15 เมื่อมีผลอย่างนี้ มาเปลี่ยนแปลงตนเอง เป็นผู้สำรวมลดละมักน้อยสันโดษ ท่านก็เข้าใจดีว่าถ้าอย่างนี้ก็เป็นผลสิ เป็นผู้ที่ปฏิบัติเป็นคนใหม่ ยินดีในความสงบ ถ้าเขาได้ผลอย่างนี้แล้ว พระองค์จะมาเอาทาสของพระองค์นี้คืนไปไหม ให้กลับไปเป็นทาสอย่างเก่าไม่ยอมให้มาปฏิบัติธรรม พระเจ้าอชาตศัตรูบอกเลยว่าไม่ใช่ มีแต่หม่อมฉันจะลุกรับเขาเคารพเขากราบไหว้เขา

อย่างชุมชนของเรา คนทั้งชุมชนเป็นคนมีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ ใครทำผิดเราก็ชำระไม่ปล่อยปละละเลย ผู้ละเมิดเกินก็ลงทัณฑ์ จนกระทั่งให้ออกนอกหมู่กลุ่มไปก่อน กี่ปีก็ทำมาตลอด เป็นสังคมไม่มีอบายมุข มีศีล กี่ปีต่อกี่ปี เป็นสามัญผล เป็นการทำให้เกิดความเป็นสมณะ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมมีคุณธรรมประจำตน เป็นสามัญญะ แล้วเป็นหมู่มวลสอดคล้องกันอย่างเป็นจริง ไม่ใช่เป็นบ้าง ไม่มีหมู่กลุ่ม

อย่างสังคมวัดต่างๆ ผู้ปฏิบัติมีมรรคผลสังวรระวังเป็นภิกษุแล้ว แต่ละเมิดเยอะโดยเฉพาะมหาศีล ไม่เข้าใจ ยังบูชาไฟยังบูชาน้ำ พ่นน้ำมนต์ อะไรต่างๆนานาและไม่รู้ว่าที่พูดที่บรรยายเป็นเดรัจฉานกถา แล้วที่มีผลประโยชน์ต่างตอบว่าพระที่น่านับถือคือพระเดรัจฉานวิชชารับปลุกเสกพระเก่งเป็นพระกรรมฐานธุดงค์ พวกนี้มันนอกรีตทั้งนั้น ไม่เป็นสามัญญผลตรงสัมมาทิฏฐิของพุทธ

เป็นพราหมณ์แบบโลกีย์เป็นพระมหาศาลแต่ก่อนเป็นพราหมณ์มหาศาล แต่เดี๋ยวนี้เป็นพระมหาศาล เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุขปรีดิ์เปรม มันไม่ใช่ สามัญญผลมันไม่ใช่มรรคผล ที่ดูได้รู้ได้เป็นรูปธรรมมันไม่ใช่

ศาสนาพุทธที่มีตำแหน่งยศศักดิ์ วันนี้มันไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ยุคโน้นพระเจ้าอชาตศัตรูเห็นเลยว่า เขาเป็นกันแบบนั้นตามมหาศีล ในยุคนี้ มหาศีลเขาให้งดเว้นให้ขาดแต่เขาไม่งดไม่เว้นไม่ขาด ขอย้ำว่าเป็นความเห็นตามภูมิของอาตมา ศาสนาพุทธทุกวันนี้ ได้แต่พิธีกรรมสวดมนต์ เรื่องการสวดมนต์อย่างนั้นมันผิด เอาบทธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ให้ฆราวาสได้ยินได้ฟังสวดพร้อมกัน ท่านห้ามเอาไว้มันเป็นอาบัติ เดี๋ยวนี้เป็นศาสนาสวดมนต์ มีทำนองมีคำร้องยืดยาว สวดด้วยคำร้องทำนองอันยืดยาวก็ผิดแล้ว

อาตมาพาทำมา 45 ปี ไม่มีรับให้พวกเราไปสวดบทมนต์ตั้งแต่ 2 คน มีแต่ไป เทศนาธรรมทีละคน ตอนนี้เขาสวดกันเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน รวมกันน่าสงสารศาสนา ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่พยายามแสดงความจริงใจตามภูมิ

ต่อมา อันที่สาม พระพุทธเจ้าก็เข้าสู่พระองค์เลย เข้าสู่ศาสนาว่า เมื่อโลกมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นท่านก็ตรัสถึงพุทธคุณ 9 ของพระองค์เอง แล้วก็มีคฤหบดี

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลี

บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

แต่สมัยนี้ แม้แต่ศาลตัดสินว่าได้ยักยอกเงินแล้ว พระก็เอาเงินคืน ไม่ติดคุกไม่อาบัติเสียอีก แต่พระพุทธเจ้าว่าท่านให้เป็นผู้ละกองสมบัติออกมาบวช อาตมาทำได้แม้ในยุคนี้ แม้สิกขมาตุ ไม่ถึงภิกษุณี ถือศีล 10 เท่าสามเณร ก็สามารถญาติปริวัตตังปหายะ โภคขันธาปหายนะ สิกขมาตุเราก่อนบวชก็ให้สละทรัพย์สินออกหมด มีที่ดินก็ให้เซ็นสละให้หมด ทั้งสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ มาปฏิบัติธรรมก็จะเห็นจิตตนว่าเรายังห่วงหาอาวรณ์ มีปริโพธะหรือไม่ หลายคนก็อยู่จนตายไปหลายองค์แล้ว

ก็อยู่กันมาสบายดีไม่เดือดร้อนอะไร อย่างท่านเดินดินเป็นลูกชายคนเดียวด้วย มีนานาทรัพย์ศฤงคารเป็นพันๆไร่ต่างๆนานา พอดีมีน้องสาวก็รับเละคนเดียว พี่สาวก็ไปต่างประเทศหลายสิบปีแล้วแต่ไม่เกี่ยวกับทรัพย์ศฤงคาร ท่านก็ออกบวชสบายๆ ทั้งที่เป็นลูกชายคนเดียว ก็ควรสืบต่อ น้องสาวก็เลยรับเละคนเดียว น้องสาวยังเอารถเบนซ์มาถวายเลย เป็นเบนซ์เกาหลีนะ

ก็มีฐานะโภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะไม่ห่วงหาอาวรณ์ ดูแลกันตามฐานะ ต้องอ่านจิตเราว่าญาติของเราเรายังมีจิตห่วงหาอาวรณ์หรือไม่ แต่การทำตามสมควรวัฒนธรรมก็ต้องมีการอนุโลมปฏิโลมพระพุทธเจ้าก็อนุโลมสำหรับญาติชั้น 1 เช่นพ่อแม่ลูก นอกนั้นญาติชั้นอื่นท่านก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร ดูท่านให้เป็นผู้ปวารณาได้เป็นต้น

พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่าถ้ามีผู้ฟังธรรมแล้วเลื่อมใส มาปฏิบัติตามก็จะเริ่มให้หลักเกณฑ์คือสมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ

บริสุทธิ์แม้อาชีพ 5

หยุด กุหนา คือโกงทั้งกายวาจาใจ

หยุด ลปนา คือใช้วาจาในทางที่ผิด พระพุทธเจ้าละเอียด ถึงไม่และเล็มเลียบเคียงเลยในศีล

หยุด เนมิตกตา คือมีหลักปฏิบัติเฉพาะตนให้ได้ ตามลำดับ ต้น กลาง ปลาย แม้มาบวชก็ต้องมีศีลตามลำดับ ภิกษุอย่างน้อยก็ต้องมีศีลไม่น้อยกว่าเณร

เป็นผู้ที่ไม่มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา ต้องอยู่ในคณะที่บริสุทธิ์ ไม่ไปร่วมทำกับพวกที่ไม่บริสุทธิ์

ที่สุดไม่ใช้ลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ที่สำคัญคือ เทศนาแล้วรับค่าเทศน์ ไม่รับสิ่งตอบแทนในการแสดงธรรม ในการทำงานศาสนา อย่างนี้เป็นต้น ไม่เป็นผู้รับจ้าง  แต่เป็นผู้รับใช้ประชาชนที่ไม่ผิดธรรมวินัย แต่สิ่งควรทำกับประชาชนคือ ทำงานรับใช้ประชาชน เป็นผู้คุ้มอาหารที่ประชาชนให้แล้ว เขาให้โภชนะให้บริโภคด้วยศรัทธาแล้วยังจะละเมิดส่ิงต่างๆมันน่าอาย

ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ  นี่คือหลักปฏิบัติแบบพุทธคือ วิชชาจรณะสัมปันโน

1.   ถึงพร้อมด้วยศีล         09. ปรารภความเพียร

2.   คุ้มครองทวารอินทรีย์       10. สติอันเป็นอาริยะ

3.   ประมาณในโภชนา          11. ปัญญา 

4.   ประกอบความตื่น       12. ปฐมฌาน

5.   ศรัทธา (เชื่อมั่น)        13. ทุติยฌาน

6.   หิริ (ละอายต่อบาป)    14. ตติยฌาน

7. โอตตัปปะ (สะดุ้งบาป) 15. จตุตถฌาน

8.   แทงตลอดในพหูสูต    (ล.13/34)

ประมาณในโภชนา ให้มีสัมผัสเป็นปัจจัย ให้รู้ว่ามีสิ่งดูด ผลัก ในเหตุปัจจัยมีสันโดษในบริขารของภิกษุ นอกนั้นก็งดเว้น อย่างบริขารก็ตามมหาปเทส แต่ก็ต้องตรวจดูว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ เช่นคอมพิวเตอร์ก็ต้องสังวรการใช้

มีอยู่ สี่ประเด็น

  1. สังวรสำรวม คือศีล
  2. สำรวมอินทรีย์
  3. มีสติสัมปชัญญะ
  4. เป็นผู้สันโดษ

นี่คือสี่ประเด็นหลักของจรณะที่สรุปลง จรณะคือกรรมกิริยาต่างๆ แล้วทั้งสี่นี้เป็นอาริยะ ศีลเป็นอาริยะเป็นอย่างไร สำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะเป็นอย่างไร สติอันเป็นอาริยะ หรือสันโดษอันเป็นอาริยะคืออย่างไร ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเป็นอาริยะ

นี่คือสามัญผล ที่จะให้ผลเป็นผู้บรรลุเป็นสมณะ สี่เหล่า คือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี่คือสามัญผล ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำเลย นี่บรรยายไม่ได้ว่านะ แต่บรรยายตามภูมินะ

 

ศีลทั้งหมดคือ ปาติโมกข์ (จุลศีล)
 

ศีลทั้งหมดคือ ปาติโมกข์

   จุลศีล

      [103] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล.

      1. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรามีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของ เธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า นี่คือศีลของภิกษุ จะถือว่าถึงพร้อมด้วยศีลก็ต้องมีเช่นนี้ ศีลข้อ 1 คือไม่ฆ่าสัตว์ แม้แต่ตบยุงก็ไม่ตบ มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

บางศาสนาเคร่งกว่าศาสนาพุทธ ป่วยก็ไม่กินยา แต่ของพุทธไม่ใช่โต่งแบบนั้น เรื่องการฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ อาตมาก็นำเอามาทำจริง เขาก็แย้งกันมา

นักบวชชั้นดีของศาสนาพราหมณ์ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ฮินดูชั้นสูงก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์มาแต่ต้น เป็นสามัญของอินเดียเลย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ห้าม ใครจะติดก็ไม่ว่า แม้พระเทวทัตก็ไม่กิน จนมาขอพระพุทธเจ้าให้ตราเป็นวินัยเลยว่าห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าว่าเราไม่บัญญัติก็อนุโลมไปตามควร ใครจะฉันอยู่ก็ตามใจ ให้สำนึกเอง แต่ส่วนใหญ่ท่านไม่ฉัน แล้วเขาก็นับถือกัน

อาตมาได้อ้างประเด็นนี้เลย ถ้าผู้มีปัญญาจะยอมรับในสีหสูตรที่สีหบดี เป็นอเจลกะ มาศรัทธานับถือพระพุทธเจ้าก็อาราธนาไปฉันที่บ้าน ก็ให้บริวารไปหาเนื้อสัตว์มาฆ่าถวายพระพุทธเจ้าพรุ่งนี้ พวกอเจลกะที่เป็นผู้อยู่ในรีตเดียวกับสีหเสนาบดี ซึ่งสีหเสนาบดีเป็นคนสำคัญของอเจลกะ เขาก็เดือดร้อนว่าจะมานับถือพระพุทธเจ้า อเจลกะก็ต้องการดิสเครดิต บอกให้บริวารประกาศว่า พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ที่สีหเสนาบดีถวาย ไปร้องแรกแหกกระเชอเลยให้คนได้ยินว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นการถวายด้วยความไม่บริสุทธิ์ด้วยส่วนสาม

คือเป็นสัตว์ที่ฆ่าโดยอุทิสมังสะ คือสัตว์ที่ฆ่าโดยเจตนา หรือเป็นสัญจิจจะ คือสัตว์นี้ถูกฆ่าโดยคน ไม่ใช่แปลว่าเจาะจงชื่อคนกิน

มีบาลีว่า ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ

ไม่มีคำไหนแปลว่า เจาะจงชื่อคนกิน การทำอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวก เป็นการทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป  มิใช่บุญ)

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

แล้วอเจลกะก็ไปป่าวประกาศว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ที่ไม่บริสุทธิ์โดยส่วนสามคือ ได้เห็นได้ยินสงสัยว่า ฆ่ามาหรือถูกคนฆ่ามาให้ฉันนั่นเอง แต่ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ อเจลกะจะไปป่าวประกาศทำไม แต่เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ อเจลกะเลยป่าวประกาศเพื่อดิสเครดิตพระพุทธเจ้า ถ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นประจำ การป่าวประกาศจะได้อะไร เพราะคนก็รู้อยู่แล้ว แต่ถ้าท่านไม่ฉันก็ต้องดิสเครดิตท่านบอกว่าท่านฉันเนื้อสัตว์

มาต่อ จุลศีล

2. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า ควรใช้สำนวนว่ารับแต่ของที่เขาให้ ไม่ควรใช้สำนวนว่าต้องการแต่ของที่เขาให้ ควรบอกว่ารับแต่ของที่เขาให้ การบอกว่ารับก็มีความหมายสูงกว่าอยากนะ เป็นผู้สะอาดอยู่ เป็นผู้โภคขันธาปหายะ

3. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง

พ่อครูว่า ข้อนี้คือถือพรหมจรรย์ ไม่จีบไม่หาคู่ ละเอียดอย่างนั้น ไม่ใช่แค่เว้นจากการสมสู่ แต่พรหมจรรย์คือรวมหมด คือไม่พยายามสร้างความเป็นคู่ ถ้าเป็นเรื่องเพศก็ไม่ ในอาบัติข้อพูดเกี้ยว ไปแตะร่างกายก็เป็นอาบัติสังฆาทิเสส ถ้ามีกิเลสกามแล้วไปจับต้องกายหญิงก็อาบัติสังฆาทิเสส แต่คนไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่รู้ แต่คนซื่อสัตย์จะรู้จิตตน

มีจิตราคะแล้วไปพูดเกี้ยวพาราสีก็เป็นสังฆาทิเสส อย่างนี้เป็นต้น นี่เรื่องคนคู่ไม่ต้องถึงมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้ามีก็ปาราชิกเลย

4. เธอละการพูดเท็จ เว้นขาดจากการพูดเท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ มีถ้อยคำเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง.

5. เธอละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้นเพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า อันนี้แหละลึกซึ้งซับซ้อน ทุกวันนี้ก็พูดปรองดอง เพื่อไม่ให้แตกร้าวกัน คำส่อเสียดคืออะไร คือคำที่พูดแล้วทำให้เกิดสองฝ่ายไม่ชอบใจกันหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบอีกฝ่ายหนึ่งก็ส่อเสียด

นักข่าวนี้ล่อแหลมต่อการส่อเสียด เพราะเอาความข้างนี้ประกาศแล้วเอาความอีกข้างประกาศ แล้วก็เอาสองฝ่ายประกาศ แล้วแย้งกันจะไม่ปรองดองกันง่าย จึงยากในการเขียนข่าว โดยเฉพาะนักข่าวการเมือง จึงยากมากต้องใช้ศิลปะมากเลย

6. เธอละคำหยาบ เว้นขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รักจับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า...คำหยาบ คือคำที่มันทิ่มแทง มันบาดเสียดใจ เกิดไม่ชอบใจ ถ้าจะพูดก็ต้องพูดให้คนที่เขายอมรับได้ หรือเป็นปิยวาจา คำพูดอันนี้ที่ถือว่าไม่หยาบก็คือ คำตำหนิการว่าความผิดของคนอื่นนี้หยาบ ยิ่งว่าหนักๆเต็มคำ ใช้น้ำหนักแข็งก็หยาบ แต่ถ้าพูดคำตำหนิให้คนดื่มคำตำหนิได้พระพุทธเจ้าว่าคือปิยวาจา คำตำหนิภาษาบาลีว่า เปยยวัชชะ ถ้าเรากล่าวคำตำหนิเขาให้เขารับได้ดื่มได้ คนนั้นคือคนกล่าวปิยวาจา ไม่ใช่ไปกล่าวคำไพเราะไม่ตำหนิใครอย่างนั้นไม่มีนัยลึกซึ้งอะไร

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาตำหนิค้นหาความเลวกำจัดจิตที่เลว ไม่ใช่ศาสนาค้นหาความดีแล้วทำแต่ดี ความชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย ของเราเลย อย่าไปเกี่ยวข้อง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งอริยสัจ 4 คือให้รู้ทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วกำจัดเหตุแห่งทุกข์เหตุที่ไม่ดีไม่งามที่ต้องว่าต้องตำหนิ ต้องกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ผู้ที่ได้ตำหนิด้วยจิตบริสุทธ์ด้วยเมตตา อย่างอาตมาบอกว่าด่าเอาบุญ เป็นเรื่องน่าสงสารน่าช่วยเหลือ อาตมาไม่มีจิตเกลียดชังโกรธ ไม่ได้ริสยา คนที่ได้รับสรรเสริญมากกว่าอาตมา ได้ยศศักดิ์ อะไรมากกว่าอาตมาก็ไม่ได้ริสยาโลกีย์อะไรเลย ที่ตำหนิก็ด้วยใจบริสุทธิ์ตรงตามพระพุทธเจ้าสอน นิคคัณเห นิคคหารหัง

คำหยาบนั้น บางคนเขานับถือกันสนิทกันก็พูดด้วยคำถึงๆ เช่นกูๆมึงๆ สมัยโบราณแต่ก่อนก็ใช้ เดี๋ยวนี้ก็ใช้กับคนสนิท แต่เดี๋ยวนี้สังคมก็เปลี่ยนเป็นคำสุภาพกว่า แต่ก็ต้องเข้าใจว่าใช้ก็อย่างไม่ได้มีจิตหยาบคายอะไร แต่อย่างอาตมาใช้คำบางคำเพื่อยืนยันสภาวะนั้นๆ ไม่ได้หยาบหรือลามกแต่อย่างใด

      7. เธอละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์โดยกาลอันควร แม้ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า...คำเพ้อเจ้อต่อให้คนพูดธรรมะชั้นสูง แต่คนไม่ได้เข้าใจ ไกลเกินเขาเข้าใจ พูดแล้วไม่ได้ประโยชน์เลย อันนี้คือเพ้อเจ้อ ไม่ประกอบด้วยกาละอันควร คำเพ้อเจ้อไม่ใช่แค่พูดตลกโปกฮา เล่นหัว แต่ที่จริงบางคำที่สนุกๆ สังคมเราก็อนุโลมกัน เป็นคำขำขันบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ใช่ทำเป็นกิจลักษณะเป็นนิสัย ก็ทำเป็นนิดหน่อยอนุโลมก็พอได้ สรุปคือคำพูดไร้สาระไร้ประโยชน์นั่นเอง

      8. เธอเว้นจากการพรากพืชคามและภูตคาม.

พ่อครูว่า ทำไมท่านไม่ให้ภิกษุพรากพืช หรือขุดดินฟันหญ้า ที่พระพุทธเจ้าห้ามทั้งที่พืชนี้กินได้จะพรากจะเด็ดก็ได้ ถือว่าไม่มีกรรมไม่มีบาป แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เมื่อมาบวชแล้วไม่สะสมข้าวน้ำไม่มีครัวทำกับข้าวกินเองไม่ได้ทิ้งหมดแล้ว มาบวชแล้วบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่สะสมกักตุนข้ามวันด้วย สรุปคือไม่พรากพืชเป็นสังคมศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องกรรมวิบาก พระต้องรับของกินได้จากฆราวาส ไม่รับธัญญหารดิบ(ที่ต้องมาปรุงต้องต้มแกงจึงกินได้)แต่ของดิบที่กินได้ก็รับได้

ไม่พรากภูตคาม ถ้าดินเป็นขุดไม่ได้ ถ้าดินตายก็ขุดได้ คือดินใหม่ที่สัตว์ยังไม่จับตัว ดินตายคือคนเขาขุดขึ้นมาแล้วไม่มีรังสัตว์แล้ว ยังไม่จับตัว เป็นดินสดใหม่ไม่ใช่ดินตาย แต่ถ้าดินเก่ามีตัวสัตว์มีรังสัตว์แล้ว มีวงจรสัตว์ ก็ขุดไม่ได้ท่านให้งดเว้น

อย่างในอัมพัฏฐสูตรที่บอกความเสื่อมสี่ประการคือ

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
  2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

สรุปคือให้นักบวชของพุทธต้องอาศัยญาติโยมในการกิน คือเขาให้โภชนะเพื่อบริโภคแล้วก็อย่าละเมิดศีล เพื่อภิกษุพึ่งญาติโยม ญาติโยมก็ได้พึ่งธรรมะจากภิกษุ ฉันเสร็จแล้วคว่ำบาตร พรุ่งนี้ไปบิณฑบาตใหม่ ถ้ามีคนมาถวายอาหารก็ต้องมีหลักอีกหลายอย่าง อย่างอาตมาก็มีเจ้าประจำทำมา แต่ก็หมุนไปสันติฯไปปฐมฯบ้าง แต่ก็ควรให้มีหลายเจ้าหมุนเวียนไปจะดีกว่า

หลายอย่างที่อาตมาพูดก็ให้ใช้กามลามสูตรในการเชื่อ สรุปแล้วท่านไม่ให้ไปเด็ดผักพืชสำหรับภิกษุ อย่าไปขุดดินฟันหญ้าสำหรับดินเป็น ดินตายได้

9. เธอฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล.

พ่อครูว่า วิกาลคือไม่กำหนดเวลา แต่ทุกวันนี้เขาแย้งว่าไม่เลยเที่ยง แต่ก่อนเที่ยงนี้ฉันได้ แต่ที่นั่งเดียวนะ แต่เที่ยงแล้วยังอยู่ที่นั่งเดียวก็ฉันต่อได้ ก็ว่ากันไป แต่ตอนค่ำนี้ไม่ได้แล้วแต่ทางเหนือนี้ล่อกันทั้งคืนเลย ส่วนมหายานไม่มีมื้อเลย พระเป็นกุ๊กเลย

10. เธอเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการเล่น อันเป็นข้าศึกแก่กุศล

พ่อครูว่า สำคัญที่ว่า ข้าศึกแก่กุศล อาตมานี่กว่าจะเอาโทรทัศน์มาในวัด ขนาดไหนจะเป็นข้าศึกแก่กุศลก็เลยตั้งหลักเกณฑ์

  1. เกิดอาริยญาณ
  2. ทำการปฏิบัติ
  3. อัดพลังกุศล
  4. ฝึกฝนโลกวิทูเพิ่มพูนพหูสูตร

ให้สังวรระวัง สัมผัสด้วยตา หู ก็เกิดกิเลสหรือไม่ปฏิบัติธรรมให้เห็นทุกข์ รู้สมุทัย นิโรธ มรรค จะเห็นว่าคนนี่มีรัก ชัง แค้นกัน แล้วเร่งเร้าให้เกิดรักกันมาก ชังกันมากก็ต้องเห็นทุกข์

ก็ต้องเซ็นเซอร์หนังกัน แต่ก่อนอาตมาก็ทำจนเมื่อย ต่อมาก็ยกให้ท่านที่ทำได้ โดยที่ท่านไม่ตกหลุมไปกับมัน ก็รู้สึกจะมีท่านซาบซึ้งทำอยู่องค์เดียว แต่พวกเราก็ไม่ได้ติดหนังกันเท่าไหร่ประกาศให้มาดูก็ไม่เห็นจะมาเลย ขนาดเรื่องฮิตก็ไม่มา

สรุปคือผลงานอะไรที่ถ้าเป็นข้าศึกแก่กุศลอันนั้นเป็นอนาจาร ไม่ควรสัมผัส กิเลสขึ้นทุกที ก็ละเว้นก่อน แต่ถ้าคุณดูแล้วสู้ได้ปฏิบัติธรรมได้ประโยชน์ก็ดูได้ แต่ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง เป็นเรื่องละเอียดละออมาก

11. เธอเว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตบแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอมและ เครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

พ่อครูว่า อะไรที่ไม่ใช่การตกแต่งเพื่อเกินตัวไปหลอกกันว่าเป็นศิลปะ อย่างโต๊ะของเราที่จัดเราก็จัดกันมีฝีมือกันนะ ไม่ได้เรียนศิลปะอะไรก็จัด

ถ้าโต่งไปเช่นจะทายากันผิวแตกก็ไม่ได้ใช้นำมันทากันแตกก็ไม่ได้คือไม่รู้เจตนา คือทำเพื่อรักษาสุขภาพก็ไม่เข้าใจพาซื่อเกินไป

      จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:30:14 )

581224

รายละเอียด

581224_พุทธศาสนาตามภูมิ เรื่อง สัมมาสิกขาเผ่าพันธุ์พุทธ

สัมมาสิกขาเผ่าพันธุ์พุทธ

 

พ่อครูว่า... วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2558 วันนี้มารวมกันอุ่นหนาฝาคั่ง พร้อมหน้าพร้อมตา จวนจะถึงวันสำคัญของชาวอโศก เราก็จะได้โอกาสให้มารวมกัน คือนร. ม.1-6 สัมมาสิกขาตามที่เรามี เราพยายามให้เขาสามัคคี รู้จักกันมีประโยชน์ร่วมกันทำงานร่วมกัน เป็นเรื่องสังคมวิทยาที่สมควรอย่างย่ิง เราก็ได้พยายามทำกันตลอดมา ตั้งแต่เราเปิด รร.มา

รร.สัมมาสิกขา เปิดมาตั้งแต่กว่า 25 ปีแล้ว วันนี้วันโกน พรุ่งนี้วันพระ วันนี้อาตมาก็เจตนา นานๆคิดว่าจะได้พูดกับนักเรียน เพราะว่าไม่ได้ค่อยพูดกับนร.เท่าไหร่ แต่ก่อนก็พยายามสอน สอนโดยตรงวันละ 2 หรือ 3 ชม. อยู่ที่ไหนก็สอนที่นั่น พยายามทำ ตอนหลังนี่เหมือนพูดแก้ตัวไม่ได้พบปะไม่ได้สอนโดยตรง แต่พวกเราสมณะสิกขมาตุก็สอน แม้แต่ญาติธรรมก็สอน ให้ความรู้

เพราะว่ารร.นี้ เป็นรร.ที่อาตมาเจตนาเลยว่า เป็นรร.ที่จะต้องเรียนให้ได้ความรู้ที่เป็นคนประเสริฐ ฟังดีๆนะเด็กๆทั้งหลาย พยายามสอนให้เป็นคนประเสริฐที่ภาษาบาลีเรียกว่าอาริยะ เจตนาเรียกให้ต่างจากอริยะ ให้เป็นคำมีความหมายเจตนาสำคัญ อาริยะคือความประเสริฐที่มีความลึกซึ้งอย่างไร

คำว่าประเสริฐทั่วไปใช้คำว่า อารยะ หรือ อริยะ อาตมาก็เอาสองคำนี้มารวมกันพูดเป็น อาริยะ 

คำว่าอาริยะ แปลว่าเป็นคนมีพฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมประเสริฐ ประเสริฐคือดี มีทั้งความรู้ มีทั้งคุณธรรม มีคุณธรรมชั้นเกินกว่าสามัญปุถุชน คนโลกๆทั่วไป จะเป็นความดีก็ได้ระดับหนึ่งที่เป็นกัลยาณธรรม ที่เป็นความรู้เก่งสร้างลาภยศสรรเสริญสุขให้แก่ตน หรือแม้แต่ให้แก่สังคม

อารยะ นี่เป็นความหมายที่กว้างไกลรู้กันทั่วโลกจะใช้คำนี้ เช่นอารยประเทศ หรืออารยธรรม ก็พากันเจริญทางลาภ ยศ สรรเสริญ​โลกียสุข มีความรู้ความสามารถทางเทคนิค เป็นความเจริญทางอุตสาหกรรมทางวิทยาศาสตร์ ทั้งความรู้สมัยใหม่ แต่ละชาติก็เจริญ แม้จะเก่งในการสร้างอาวุธฆ่าคน เราก็ยอมรับนับถือกันว่าเป็นความเจริญ อาตมาเอง ไม่ยอมรับความเจริญแบบนี้

 จิตของผู้ที่มีปัญญารู้ ว่าการสร้างมีเครื่องมือไว้ฆ่าคน สร้างได้เก่ง ได้มีประสิทธิภาพสูงแล้วขายแพงแพง เป็นความเลวซับซ้อน เพราะเครื่องมืออาวุธที่สั่งมาฆ่าคน ไม่ได้ทำมาสร้างมาฆ่าช้างฆ่าม้า  การสร้างอาวุธมาฆ่าคน ก็เป็นความเลว และสร้างได้เก่งเอามาขายแพงอีก เป็นอาวุธร้ายแรงมีประสิทธิภาพสูง เขาก็คิดราคาแพงแพงคนก็ซื้อมาเพื่อป้องกันตนต้องป้องกันประเทศ เขาถือว่าเป็นความเจริญของโลก อาตมาเห็นว่าเป็นความเสื่อมของโลก

 ถ้าประเทศไทย จะไม่มีอาวุธร้ายฆ่าคนนี้เลย อาตมาจะภาคภูมิใจในประเทศไทยมากว่าเป็นประเทศที่เจริญเป็นอาริยะสูงสุด ประเทศที่ไม่ใช้อาวุธ ไม่มีกองทหารคือ สวิตเซอร์แลนด์ จริงเท็จอย่างไรก็ไม่ทราบ

หรือยกตัวอย่าง คนยิ่งศึกษาสูงย่ิงเสียสละได้ดี  ยิ่งศึกษาสูงมีความเจริญ มีความประเสริฐยิ่งหมดความเห็นแก่ตัว ไม่สะสมจะเกิดเป็นคนจน จะทำตนเป็นคนมักน้อยสันโดษใช้พอ ความมักน้อยแปลว่ากล้าจน นั่นคือคนเจริญ แต่ถ้ายิ่งศึกษาเรียนรู้แล้วก็เอาความรู้ความสามารถไปกอบโกยเอาเปรียบเอารัด ให้ได้เงินแล้วใช้วิธีการเงิน ตามระบบทุนนิยม เพื่อกอบโกยมาให้แก่ตนเองมากยิ่งขึ้นๆ แล้วยังไม่พอ เอาเศษเงินของตนไปต่อยอดหาเงิน หาปันผล หาดอกเบี้ยซับซ้อน หรือจะไปค้าขายลงทุนให้ได้เพิ่ม นั่นคือความไม่เจริญไม่ประเสริฐของคน

การศึกษา ถ้าศึกษาแล้วให้คนเป็นคนหมดโลภ โกรธ หลง แล้วก็ยังมีความรู้ความสามารถเหมือนอย่างเขาทางวิทยาศาสตร์อุตสาหกรรมวิศวกรรมกสิกรรม ช่างเทคนิคต่างๆที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิตสังคม ก็เรียนได้ มีความรู้ความสามารถเหมือนกัน ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้หนีทิ้งการศึกษา ให้มีสัมมาอาชีพ ทำงานในสังคมได้อย่างพ้น ลาเภ นลาภัง นิชิคิงสนตา ไม่ใช้ลาภแลกลาภ ทำงานรับใช้มนุษยชาติในสังคมอย่างจริงจัง เหมือนคนทางโลกที่มีความรู้เทคนิคได้

อาตมาพาพวกเรามาเป็นนักศึกษาแบบนี้ ไม่ง่ายที่จะพาคนลดกิเลส ทุกวันนี้ทำงานมา 45 ปีสร้างคนให้มีผลประเสริฐเช่นนี้คืออริยะ คำว่าอารยะที่หมายถึงความเจริญทางความรู้สมรรถนะ ทางวิทยาศาสตร์สื่อสาร อื่นๆเก่งเจริญในทางวิทยาศาสตร์คนจะโกงกินกันอย่างไร เขาไม่คำนึงถึง เขาก็พอมีปฏิภาณรู้ว่ามันไม่ดี แต่เขาก็ไม่เห็นความสำคัญที่จะลดเลิกสิ่งเหล่านั้น ให้จริงจังยิ่งกว่า ความเจริญทางโลกๆ

 ต้องให้ความเจริญที่จะลดกิเลสมากยิ่งกว่าความเจริญทางเทคนิค เขาไม่เคยเน้นพวกนี้เลย แม้แต่ในทางศาสนา เขาก็สอน ศาสนาอื่นเขาก็สอนมากกว่าศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนี้ไม่เอาถ่านเลย ถือว่าเป็นความล้มเหลว คนกลายเป็นมีความซับซ้อน ว่าคนที่เป็นอารยะ ประเสริฐ เข้าไปหมายความว่าเป็นความเจริญ

อารยะ คือ มีความเก่งความรู้ทางเทคนิค รุ่งเรืองก้าวหน้าในการสร้างสรรค์ เขาถือว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ สามารถสร้างอะไรแล้วก็ขายเป็นสินค้าออกได้มาก

ส่วนอริยะนั้น เขาก็หมายถึงคุณธรรมของคนที่ต่างจากอารยะ  คำว่าอริยะเขาหมายถึง คนที่บรรลุธรรม เป็นโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์แล้วในประเทศไทยก็เข้าใจอรหันต์ อริยะ ว่าไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคเลย ไม่มีก็ให้เลิกเลยให้หยุด อย่าไปทำเลย  เรื่องจริงสำหรับบางอย่างที่พระพุทธเจ้าห้ามเช่นมีความรู้เรื่องการค้าขาย เทคนิคก็ไม่ให้ทำ แต่ไม่ใช่ว่าแนะนำไม่ได้ เช่นเรื่องเศรษฐกิจศาสนาพุทธก็รู้จักเศรษฐกิจ ที่จะพยายามสร้างงาน แล้วสะพัด แรงงานค่าแรงงานหมุนเวียนกันอยู่ในสังคม

 ของพุทธมีเศรษฐกิจแบบสาธารณโภคี เป็นระบบคอมมูน หรือเป็นคอมมิวนิสต์ แต่เป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์เท่ากับของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยก็มีการรวม ทรัพย์สมบัติเข้าสู่ส่วนกลาง ด้วยวิธีเก็บภาษีรายได้จากประชาชน เข้าส่วนกลางเพื่อบริหารประเทศ แต่คอมมิวนิสต์เขาบังคับ แล้วเขาก็กล้าที่จะให้ เอามาจากคนที่ได้มากๆรีดให้เข้ากองกลางได้เสียสละ พุทธนั้นมีความรู้เช่นนั้นเลย ทำงานอย่างเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีการสะสมไว้เป็นของตนเลย เอาเข้ากองกลางหมด เป็นสาธารณโภคี นี่คือเศรษฐกิจแบบพุทธ แบบบุญนิยม

เราทำได้อย่างเป็นแกนหลักของสังคมชาวอโศกก็ทำได้นานปี แล้วนักเรียนที่มาเรียนที่นี่เป็นคนข้างนอกสมัครเข้ามาเรียน เราก็มีวิธีรับสมัคร

 1 ต้องเข้าใจว่านักเรียนที่มาเรียนอะไร มาเรียนที่นี่มาเรียนในระบบสัมมาสิกขา เป็นระบบแบบของพระพุทธเจ้า ที่จะต้องมาเรียนรู้ ลดกิเลสเป็นหลัก แล้วทำงานฝีมือเทคนิค ไปด้วย และความรู้เชิงโลก ที่เขามีความวิชาการทางโลก ตามที่เขามีข้อบังคับกระทรวงศึกษาบังคับว่า แต่ละชั้นปีจะต้องเรียนอะไรบ้าง เราก็ไม่ทิ้ง ให้เรียนไปด้วย

 เพราะฉะนั้นเด็กที่มาเรียนที่นี่ เด็กจะเรียนหนักถึง 3 เท่า เพราะต้องเรียนรู้ธรรมะจะต้องเรียนรู้งานฝึกฝนเทคนิค แล้วก็เรียนรู้ตามกระทรวงกำหนดตามเกณฑ์ เราก็ต้องทำ แต่เรื่องของการเป็นงานนั้นโรงเรียนอาชีวะ โรงเรียนสัมมาสิกขาก็คือโรงเรียนอาชีวะฝึกฝนการงานอาชีพ  ของเราเรียนอย่างเป็นบ้านวัดโรงเรียน การงานอะไรที่หมู่บ้านนี้มี สังคมที่มีนักเรียนเข้าร่วมรู้ร่วมฟังร่วมประชุม เริ่มทำงานด้วยกลุ่มสร้างสรรค์ด้วย รวมคิดร่วมอ่านอะไรบ้างตามประสาที่เป็นเด็กก็ให้ร่วมด้วย เป็นการศึกษาให้อยู่กับสังคมจริงๆไม่ใช่ตัวเองอยู่ในกล่อง

 เราเอาบ้านวัดโรงเรียนมารวมกันหมด เรามีหลักเกณฑ์จะเรียกว่าคำขวัญหรือปรัชญา ว่า “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” แล้วมีเกณฑ์ว่า ศีลเด่น ต้องสอนให้ถึง 40% เป็นงาน 35% ชาญวิชา 25%

ชาญวิชา 25% ไม่ได้หมายความว่าเราสอน 25 เปอร์เซ็นต์จากร้อยเปอร์เซ็นต์ที่เขาให้เรียน แต่เราก็ให้เรียนเต็มร้อยเหมือนกับเขา

 ของเราให้นักเรียนอยู่กันอย่างเป็นลูกเป็นหลาน ไม่ใช่เหมือนนักเรียนข้างนอกที่มาเรียนเหมือนเป็นนักเรียนเท่านั้น เจ้าของโรงเรียนก็ดูแลโรงเรียนไป แต่ของเรานี่เจ้าของโรงเรียนคือ ประชาชนสมาชิกของสังคมชุมชนชาวอโศกทุกคนช่วยกันเลี้ยงดูลูกหลาน เป็นลูกหลานในบ้าน รู้ว่าเป็นลูกหลาน เรียนจบแล้วก็อยู่ที่นี่ไปจนตายเลยก็ได้ เราอยากได้แต่จนป่านนี้ 25 ปี ยังไม่ค่อยเข้าใจในความเข้าใจของตนเลย แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจดีนะ

เพราะระบบสาธารณโภคีนี้มีความยิ่งใหญ่กว่าสังคมแบบยูโทเปีย ที่โทมัสมอร์คิด เป็นสังคมที่เกิดคุณดูแลกันเหมือนคนในครอบครัว เห็นแก่ส่วนรวมเห็นแก่ส่วนใหญ่เป็นหลัก มีน้ำใจเหมือนลูกเหมือนเต้า เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายาย พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ สมบัติก็เป็นของสังคมกลุ่มหมู่ตลอดเลย

คนไม่เข้าใจเพราะระบบสาธารณโภคีนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในโลก ในสังคมวงกว้าง แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าก็ทำสาธารณโภคีได้แค่ในวงของสงฆ์หรือนักบวชเท่านั้น ยังไม่เปิดกว้างให้มีฆราวาสที่เป็น บ้านวัดโรงเรียนอย่างนี้ทำไม่ได้ แต่ยุคนี้ทำได้ ที่อาตมาทำได้ไม่ใช่อาตมาเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือทำเลยคำสอน อาตมาไม่ได้นอกรีต หรือเก่งเกินพระพุทธเจ้า แต่ได้เพราะยุคสมัยยุคนี้ยุค ปชต. (ประชาธิปไตย) ยุคเศรษฐกิจอิสระ

คำว่าเศรษฐกิจอิสระ หมายความว่าคนเข้าใจในเศรษฐศาสตร์ และปฏิบัติเศรษฐศาสตร์อย่างอิสระ เป็นอิสระที่มีคุณธรรมประเสริฐสุด คือทำเศรษฐกิจที่ไม่โลภมาให้ตน ผู้ใดศึกษาเศรฐกิจสูงสุดคือ อรหันต์ แม้แต่โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯก็มีเศรษฐกิจนี้ได้ เช่น ชาวอโศก แม้คนไม่บรรลุอาริยะก็มีได้ แม้จะปฏิบัติหน้านองน้ำตาอยู่เหมือนยุคพระพุทธเจ้า

ยกตัวอย่างในภิกษุผู้มาบวชแล้ว ในยุคพระพุทธเจ้า ภิกษุทุกรูปต้องโภคขันธาปหายะ และญาติปริวัตตังปหายะ

โภคขันธาปหายะ คือทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานนั้น ถูกสลายความเป็นตัวกูของกู แล้วมารวมกันเป็นสาธารณโภคี แล้วเป็นทรัพย์ศฤงคารที่ร่วมกินร่วมใช้กัน ผู้ที่มีคุณธรรมน้อยก็อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ เช่นไม่เป็นอาริยะแต่สมัครใจอยู่ก็ต้องอยู่ตามหลักเกณฑ์ที่นี่ เช่นเดียวกับทางโลกมีกฎหมาย

แต่หลักเกณฑ์ข้อบังคับนี้ เราก็ต้องตีเกณฑ์ไว้ว่าคนจะมาเป็นสมาชิกที่นี่ต้องอยู่ในระเบียบแบบแผนนี้นะ อยู่ฟรีกินฟรีแต่ก็ต้องอยู่ในศีล 5 ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ที่จริงของพระพุทธเจ้ามาบวชแล้วท่านไม่ได้ห้าม ท่านอนุโลม แม้เป็นพระเป็นเจ้า เป็นเรื่องสังคมศาสตร์สัจศาสตร์ซับซ้อนหลายชั้น

คนอยู่ในระบบสาธารณโภคีเป็นคนประเสริฐ อยู่ในการดูแลควบคุมตนเองมาฝึกฝน มาเป็นสมาชิกที่นี่ไม่มีใครบังคับใคร สมัครใจมาถึงเรียกว่าอิสระ ถ้าไม่สมัครใจอยู่ก็ออกได้ทุกวินาทีไปอยู่ข้างนอกได้ทุกวินาที แต่ถ้าอยู่ในหมู่กลุ่มนี้ก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ระเบียบวินัย แบบแผนวัฒนธรรมของชาวอโศก

เป็นคนที่ศึกษาฝึกฝน ให้มีอาริยธรรม จนถึงไม่มีอะไร อัตตาตัวตนเลยคือ เรียนรู้ความเป็นอัตตาของตนที่เกี่ยวข้องกับสมบัติวัตถุกรรม กิริยาข้างนอก สัมผัสกับเราแล้ว เรารู้กิเลส ว่ามีกิเลสกาม และกิเลสอัตตา ก็สามารถล้างกิเลสอัตตา กิเลสกามที่เป็นตัวกูของกู ที่เกิดจากสิ่งที่สัมผัสกับตัวเราไม่ว่าจะเป็นวัตถุสมบัติทรัพย์สินเงินทอง บ้านช่องเรือนชานตัวตนบุคคล จนถึงกรรมกิริยาคำพูดต่างๆของมนุษย์ กระทบแล้ว รู้ทันหมด เป็นอาการที่ สามารถ กระทบแล้วเกิดกิเลส แล้วเรารู้กิเลสนั้น ล้างกิเลสออก

สรุปแล้วก็คือ หมดกิเลสทั้งสองด้านไม่เหลือส่วนเศษ ที่เป็นอาการทางจิต สิ้นกาม สิ้นอัตตา หมดทั้งสองทางไม่มีอัตตา จิตเป็นกลาง เรียนรู้ตัดหมดอาการที่ 33 ดาวดึงส์ ไม่มีเทวดา ไม่มีสัตว์นรก เพราะเทวดาสมมุติเทพ จะมีสัตว์นรกอยู่ด้วยเสมอ หมดตาวติงสา จึงเป็นผู้ไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา กามนั้นสะสมในจิตก็เป็นอัตตาที่เกี่ยวกับภายนอก ถ้าหมดกิเลสกาม ก็เหลือแต่ภายใน รู้ตนเองเท่านั้น ก็ล้างต่อจนหมด ก็เป็นอรหันต์ไม่ลึกลับแล้ว อนาคามีคือผู้มีความดับกามภพได้แล้ว เป็นผู้มีนิโรธจริง จึงมีอรหัตตาได้ระดับหนึ่ง พอหมดทั้งกาม ทั้งอัตตาเกลี้ยงจิตเป็นกลางไปตลอดเรียกว่ามัชฌิมา

จิตไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ผลักไม่ดูด ไม่ว่าจะสมมุติเป็น ปฐวี สสัมภาระ อารัมนะ สมมุติ ไม่ว่าจะเป็นอาการทางลักษณะ หรือทางที่สะสมตัวเรียกว่า กสสัมภาระหรือทางอารมณ์เรียกว่า อารัมนะ หรือรู้ร่วมกันกับคนอื่นได้คือ สมมุติ ส่วนอารัมนะคือปรมัตถสัจจะ ส่วนสมมุติคือ สมมุติสัจจะว่าเราไม่เหลือความเป็นกามความเป็นอัตตา

สรุปคือการศึกษาของพระพุทธเจ้า เรียนรู้ความเป็นอัตตาดังกล่าว เด็กอยู่ที่เราแม้ขั้นอนุบาลก็มี ประถม มัธยม ก็มี ตอนนี้เรามีรร.อาชีวะ สูงขึ้นไปอีก 2 ปี เป็น 14 แล้ว จะสอนอย่างนี้ ถ้าทำได้จะให้จบปริญญาตรี โท เอกได้ แม้โพสต์ดอกเตอร์ก็จะต่อให้ เราคำนึงคุณธรรมมากกว่าคุณภาพ เขาจบสำเร็จ ม.6 หรือ ปวส. เรากำลังทำเรื่องเป็นปริญญา เขายังไม่ให้ เราพยายามให้เรียนอยู่กับเราให้นานที่สุดให้เป็นอาริยะคนประเสริฐอยู่ที่นี่ ช่วยกันทำงานรับใช้สังคมดีกว่าไปรับใช้สังคมบาป สังคมไม่บริสุทธิ์ ที่พูดนี้เป็นสัจจะความจริง ตามภูมิสังคม โลกเขาไม่บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ถ้าอยู่ในกลุ่มกลุ่มนี้ ถ้ามาบวชพระพุทธเจ้า บอกว่าเป็นทางที่บริสุทธิ์ ส่วนเดียวดุจสังข์ขัด เป็นทางที่ปลอดจากธุลี ทางโปร่งที่จะพาขัดเกลาส่วนเดียว ถ้าไปทางนอกนั้นแทบจะไม่มีโลกุตระเลย เรามีหลักเกณฑ์ในการล้างกิเลสไปตามขั้นตอนตามระบบวิธี

การศึกษาเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติ ไม่เร่งร้อน อุดมศึกษาก็ค่อยทำไป  ถ้าได้ก็ดี พวกเราแม้แต่ผู้มาช่วยกันสอนดูแลช่วยทำงานอย่างอาริยธรรม อาริยสังคม อาริยบุคคลอย่างที่เราพาเป็น ก็ยังไม่ซาบซึ้งยังไม่เข้าใจที่อาตมาพาทำนี้เป็นระบบการศึกษา ทุกวันนี้ยืนยันว่าอาตมาเป็นนักศึกษา สิกขา อยู่กับระบบการศึกษา ฝ่ายหญิงถ้าจะมาปฏิบัติที่นี่เรียกว่าสิกขมาตุ คือนักศึกษาตลอดตาย บรรลุโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-อรหันต์ ก็จบ จบแล้วก็ไม่ไปไหนหรอกแน่ใจเลยอยู่ไปจนตาย ส่วนสมณะนั้นก็มีไตรสิกขาแน่นอนก็ให้จบ ถ้าไม่จบก็อยู่ให้ตายจากกันไป จะเกิดใหม่อีกถ้ามีสิทธิมาได้ก็รีบมา มาร่วมศึกษาอีก ไม่เป็นเรื่องประหลาดเป็นเรื่องจริง

อาริยะบุคคลจะเหมือนน้ำที่มารวมกับน้ำ น้ำมันที่มารวมกับน้ำมัน

 

คำถามคือหลวงปู่อยากให้อยู่ที่นี่...อยู่ที่นี่ มีสมบัติพัสถานที่นี่ให้ช่วยกันดูแล ให้สานต่อกันไป ช่วยดูแลกันไป จะมีสัจจะในตัวของมันมีกฎระเบียบ มีวัฒนธรรม มีเรื่องของสงครามจิตวิญญาณอยู่ในนี้ เหมือนอย่างครอบครัวครอบครัวหนึ่งมีพ่อมีแม่มีลูกมีหลาน พ่อแม่ก็เป็นคนดูแลทรัพย์ศฤงคารของครอบครัว พ่อแม่เป็นคนจัดสรรการกินอยู่ใช้สอย ก็นับลูกนับหลาน พี่ป้าน้าอา ถ้ามารวมกันอยู่ พ่อแม่ก็ให้ตามสมควร ตามภูมิของพ่อแม่จะลำเอียงหรือซื่อสัตย์ก็ตาม ถือว่าเป็นผู้บริหารหลักเป็นเจ้าของ หรือบางครอบครัวให้รวมกันเป็นสาธารณโภคี อย่างชัดเต็มหรือเล็กน้อยให้ลูกหลานมีสิทธิ์ออกความเห็น มีส่วนแบ่งแจกก็มีบางครอบครัวก็ทำ แต่ง่ายๆคือ พ่อแม่จัดสรร ลูกหลานใช้อะไรก็แล้วแต่พ่อแม่อนุมัติ ให้ลูกหลานช่วยบริหารก็แล้วแต่จัดสรร

ที่นี่ก็จะมีการบริหาร ทุกคนมีสิทธิ์ แต่ทุกคนจะทำหน้าที่หรือไม่ ก็อยู่ที่ความเหมาะสมของหมู่กลุ่มจะให้ แต่ของสังคม ลูกเป็นผู้บริหาร พ่อแม่เป็นผู้อยู่ในอาณัติไม่ค่อยมีหรอก แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่เป็นใหญ่ แต่สังคมเรานี่คัดเลือกกันขึ้นไป หรือคนนี้เอาภาระดีให้บริหารการงานทรัพย์สินเงินทอง รายได้ทรัพย์สินก็แบ่งกันช่วยกันทำ  อาตมาพูดไม่รู้กี่ครั้งว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ศึกษาอะไร ท่านศึกษาความเป็นมนุษย์ กับความเป็นสังคม ท่านรู้แจ้งจบว่าควรอยู่กันอย่างไร จะจบชีวิตตนอย่างไร จิตตนเป็นเช่นไรก็มีกรรมวิธีศึกษาจนทำกิจของตนให้จบได้ ก็จบความเป็นมนุษย์สังคมแต่ละคน

แล้วคนนั้นก็จะอยู่กับสังคมที่ตนเลือก อาตมากล้าท้าทายว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าคนไหนจบอรหันต์แล้วไม่ไปไหนอยู่นี่ในสังคมนี้แหละ เขาจะเข้าใจว่าที่นี่คือแดนศิวิไลซ์ แดนอาริยะ บ้านอาริยะ ครอบครัวอาริยะที่เราเองเป็นลูกหลานของพ่อแม่บ้านอาริยะนี้ อนาคามีก็ไม่ไปแล้ว โสดาบันอาจมีแว่บวาบ สกิทาคามีก็มีวิบาก อาจไปๆมาๆได้ แต่รู้แสนรู้ แต่วิบากไม่ให้มาก็อจินไตย

แต่ถ้าอนาคามี อรหันต์แล้วต้องหาทางมาให้ได้ นอกจากมีวิบากขนาดหนักมายาก แต่ถ้าไม่มีวิบากหนักภูมิถึงอนาคามี อรหันต์จะรู้จักที่อยู่ น้ำจะวิ่งไปรวมกับน้ำ น้ำมันจะวิ่งไปรวมกับน้ำมันนี่เป็นสัจจะแน่แท้

อาตมาทำงานมา 45ปี เกิดสังคมอบรมชาวอโศก  แต่ละครอบครัวก็มารวมกันเป็นกงสีใหญ่  เป็นญาติทางธรรมเป็นพี่น้องทางธรรม มีสมบัติร่วมกันทั้งหมดคือสาธารณโภคี มีระบบวิธีที่เผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อกันเพื่อคุณกัน มันเกิดได้มาดีระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ดีมาก แน่ใจว่าเกิดแล้ว เป็นสาธารณโภคีที่อยู่กันด้วยความเมตตา ที่ในหลวงเราตรัส ว่าจะอยู่กันอย่างไรก็อยู่กันอย่างเมตตา  เป็นสังคมเมตตากายกรรม-เมตตาวจีกรรม-เมตตามโนกรรม แล้วมีศีลสามัญญตามีทิฏฐิสามัญญตา ส่วนลาภที่ได้โดยธรรมที่ช่วยกันสร้าง มารวมกันเป็นสาธารณ สาราณียธรรมมี 6 ข้อ

1.   เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

2.   เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.   เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.   แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ลาภธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .

5.   มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย

      (สีลสามัญญตา)

6.   มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ทิฏฐิสามัญญตา) . (พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 282-283)

 

ทำไมเรียกว่าลาภโดยธรรม เพราะเราทำมาอย่างสุจริตไม่เบียดเบียนใคร เอาลาภที่ได้มารวมกันเป็นสาธารณโภคี เป็นลาภปฏิลาโภ ไม่ได้แย่งชิงใครไม่เป็นหนี้เป็นบาป เป็นลาภโดยธรรมแล้วมากินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีมีศีลเป็นหลักเกณฑ์ของชีวิต แล้วก็มีทฤษฎี มีหลักๆมีทิฐิที่สามัญญตามีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และมีทิฐิว่าเราจะต้องปฏิบัติชีวิต ศึกษาฝึกฝนเป็นนร.ไปจบอรหันต์มีเป้าหมายเหมือนกันหมด แม้เด็กนร.ยังไม่รู้ชัดแท้ว่านิพพานอรหันต์คืออะไรก็รู้บัญญัติก่อนหรือเด็กบางคนก็รู้สัจธรรมก่อน เนื้อแท้แต่เขาไม่เข้าใจพยัญชนะนักก็มี 

พระพุทธเจ้าเรียนรู้สังคมกับการเป็นอยู่กับสังคม ทำกรรมการงานอาชีพที่บริสุทธิ์สะอาดถึง ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา ทำงานฟรีไม่ทำงานรับจ้างที่ไหน มีแต่ทำงานรับใช้สังคมไม่แลกอะไรกลับคืนมาเลย ทำงานแล้วก็เอาเข้าส่วนกลางกินใช้ร่วมกันไป ผู้ที่ชัดเจนแล้วก็อยู่นี่กินใช้ร่วมกันไปจนตาย บางคนก็อาจมีวิบากบ้าง เป็นเมืองอาริยะจริงๆ

ก็ขอย้ำอีกทีสำหรับเด็กๆทุกคน ลูกหลานทั้งหลาย ส่วนผู้ใหญ่ไม่ยอมแล้ว แต่ก็จะยอมให้เด็กๆฟังไม่ได้ดูถูก แต่อาจไม่เข้าใจพอ ก็ขอย้ำว่าสังคมที่หลวงปู่พาทำนี้ โดยเอาเรื่องที่สังคมประเทศเขามีหน้าที่สอน ต้องรับผิดชอบการศึกษาให้แก่เยาวชนของประเทศอย่างน้อยจบ ป.6 หรือ ม.6 ประเทศชาติต้องรับผิดชอบการศึกษาเช่นนี้ หลวงปู่ก็เอามาให้การศึกษาด้วย โดยสามารถทำได้ ขออภัยที่ต้องพูดว่าเกินกว่ารัฐบาลที่ทำ เพราะเป็นการศึกษาที่ฟรีจริงๆ เลี้ยงดูทั้งการกินอยู่หลับนอนทั้งชีวิตจนกระทั่งโต อยู่ 12 ปีก็อยู่ไป แต่รัฐบาลก็ไม่ได้เลี้ยงอย่างลูกหลานเขาให้ บำรุงการศึกษาให้ครบ แต่ที่นี่ให้การศึกษาครบถ้วน แต่ก็ยังดีที่รัฐบาล อยากให้เงินการศึกษา มาส่วนนึงแก่โรงเรียนราษฎร์ ที่เรานี้เขาเห็นว่า รร.ราษฎร์ก็ยังดีเบาแรงไปนิดหนึ่งแต่เปิดใหม่ๆตอนแรกเราไม่เอาหรอก แต่เขาก็ว่าต้องให้ตามนิตินัย ตอนแรกก็ไม่ให้ รร.เราครูสอนฟรี แต่เขาก็ต้องให้หักเงินเดือนเอามาให้ กว่าเขาจะเข้าใจก็นาน เขาว่าเงินเดือนที่นี่เขาจะหัก 3% ของเงินเดือนเป็นหลักประกันให้ครู เราก็ไปบอกว่าหัก  3% ก็ให้แต่เราเงินเดือน 0 บาทก็หักไป ก็ 0 บาท ไม่ได้เล่นลิ้นนะ และรัฐบาลจะสะสมให้อีกทบทุน คุณก็หักไป ที่นี่เงินเดือน 0 แล้วก็สะสมให้ครูที่นี่แต่ก็ 0 อีก รัฐบาลก็ไม่ต้องจ่ายอีก เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร พูดตรงๆไม่ได้เล่นลิ้นนะ เรื่องจริง แต่เขาไม่เข้าใจต้องขับเคี่ยว

คนในยุคนี้สมัยนี้เห็นแก่ตัวจัด หลงระบบทุนนิยมโลกีย์จัดไม่เข้าใจระบบโลกุตระที่ลดเห็นแก่ตัวจนหมดเห็นแก่ตัวเลย คนข้างนอกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนี้มหัศจรรย์แต่มันคือความมหัศจรรย์ของสังคมโลก ที่คนไม่เห็นแก่ตัวคนเสียสละให้แก่คนอื่นจนหมดตัวตนแล้วอยู่ได้เป็นองค์รวมมิตรการบริหารกันเหมือนกับสังคมหมู่กลุ่มหมู่บ้านชุมชนอำเภอจังหวัดหรือประเทศ แล้วก็อยู่ได้อย่างปลอดภัย

 อาตมาว่าอย่างนี้คือ สังคมมนุษย์ชมพูทวีป ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน มนุษย์ชมพูทวีปคือ มนุษย์ที่มีคุณสมบัติ แบบอุตรกุรุทวีป เหนือกว่าดาวดึงส์ เพราะสติมันโต สุรภาโว มีอิธพรหมจริยวาโส สามารถมีพรหมจรรย์อยู่ในโลกนี้ แต่จิตจะอยู่อย่างอุตรกุรุทวีป

 มนุษย์อุตรกุรุทวีปคือ มนุษย์ที่ไม่มีกิเลสในจิต (อมโม) อปริคโห (ไม่หวงแหน) นิยตายุโก (ผู้อมตบุคคล) คือจิตวิญญาณที่พ้นจากดาวดึงส์คือ สุขทิพย์อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ คือดาวดึงสา ที่เป็นเรื่องไม่จริงเป็นวิมานลอยลม หลงวรรณะ หลงอายุ อยากจะได้นานๆเป็นยามา เสพอายุทิพย์วรรณะทิพย์สุขทิพย์ตามโลกีย์ เป็นกามาวจร พระพุทธเจ้าสอนอาตมาก็เรียนตาม ยุคนี้อาตมาพูดตามภูมิว่า ไม่รู้กันแล้วว่ามนุษย์อุตรกุรุทวีปคืออะไร มนุษย์ดาวดึงส์คืออะไร มนุษย์ชมพูทวีปคืออะไร แต่อาตมารู้จัก ไม่ใช่อวดดี แต่อวดอุตรกุรุทวีป ขอยืนยันว่าอาตมารู้ความจริงไม่ผิดพลาดเลย

แม้แต่เทวดาดาวดึงส์ อาตมาก็สอน เป็นภพภูมิกามาวจร เป็นวิมานเพ้อฝัน ผู้เรียนรู้ไม่ไปหลงดาวดึงส์ เป็นอาริยชนดินแดนที่มีอาริยบุคคลคือ ดินแดนชมพูทวีป ที่อินเดียไม่มีแล้วมีที่เมืองไทย อาตมายืนยันว่าชาวอโศกเป็นชมพูทวีป ที่มีจิตอุตรกุรุทวีป เข้าใจดาวดึงส์ ไม่ไปล่าโลกธรรมอย่างจตุมหาราชิกา แม้มีอัตตาหรือกามก็สังวรระวัง ฝึกฝนล้างเทวดาดาวดึงส์ที่เป็นสมมุติ อาศัย อาการ 32 ที่มีสติที่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ให้เป็นลำดับให้เป็นสัมมาสติ เป็นผลไปเรื่อย จนบริบูรณ์ด้วยอุเบกขา มีคุณสมบัติ 5 อุเบกขาจน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

อาตมาเรียนจบหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนก็เอามาสอนต่อ

ก็ขอยืนยันขอบอกให้เด็กๆทั้งหลายทราบว่า สอนอย่างลูกหลาน อยากให้อยู่ต่อไหม เด็กๆก็พอเข้าใจ ผู้ใหญ่ก็มาเป็นญาติธรรม เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นครอบครัวพระพุทธเจ้าอาตมาเป็นทวด พวกเราก็อยู่กันไปดูแลกันไป ตายจากกัน ก็อยู่กันเป็นเชื้อสายเผ่าพันธุ์กันไปเรื่อย เป็นเชื้อสายเผ่าพันธ์พุทธ เป็นมนุษย์พุทธะ 

 

ถ้าพ่อแม่ไม่ให้เรียนที่สัมมาสิกขาต่อ จะทำอย่างไร

 

มีคนบอกมาว่าที่อาตมาพาทำการศึกษาแบบบุญนิยม คือศึกษาไปแล้วก็ชำระกิเลสไปด้วย บุญคือเครื่องชำระกิเลส เขาอยากให้เน้นเรื่องศีล ศีลเป็นเครื่องคุ้มครองภัย แก่เด็กๆวัยเรียนอย่างไร

ระเบียบปฏิบัติของโรงเรียน ทำไมจึงสำคัญให้ศีลเป็นระเบียบปฏิบัติของรร.เราทุกระดับ ขนาดเด็กอนุบาลเขายังพูดถูกเลยว่าอันไหนเป็นโลกียะโลกุตระหรือศีล ถามเขาก็รู้ เช่นฆ่าสัตว์เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ขโมยของคนอื่นเป็นโลกียะหรือโลกุตระ ไม่ขโมยจึงเป็นโลกุตระ แล้วหนูอยากได้อะไร เด็กอนุบาลก็ตอบถูก

ศีลทำไมสำคัญ นร.ที่มักทำตัวออกนอกลู่นอกทาง ด้วยพลาดพลั้งกันไป หลายๆอย่าง หลวงปู่ฝังชิปไว้เขาก็ยังพลาดเข้าเรียนปีแรก 30 เหลือจบม.6 แต่ไม่เท่าไหร่ หลวงปู่จะสอนหรือไม่ เช่น เรียนเข้ามาตอนแรก 50 คน พอ ม.5 ออกหมดก็สอนเท่าที่เด็กรับได้ ถ้าไม่เห็นว่าสิ่งดีที่สุด จะมีอะไรเท่ากับที่จะให้นี้ แม่เขาจะทนอยู่ได้ไม่จบแต่อันนี้คือสิ่งที่คุณควรได้ ใครจะเอาน้อยเอามาก ก็ให้เท่าที่เขามี จะมาเอาไม่เกี่ยง ถ้ามีคนน้อยหรือมากก็ไม่เกี่ยวเพราะเราไม่มีเลือดทุนนิยม เราไม่มีเศรษฐกิจทุนนิยม เศรษฐกิจของเราไม่มีการขาดทุนมีแต่กำไรลูกเดียว

 เช่นยกตัวอย่างเด็กมาเข้า ม. 1 พอจบ ม. 6 ไม่มีสักคน ไม่เหลือเลยรวม 5 คนเดียวก็จะขึ้น ม.6 ก็ลาออกไปเรียนที่อื่นต่อ สรุปแล้ว ม.6 ก็ไม่จบไปจากที่นี่ นั่นแสดงว่าเราไม่ได้ผล ไม่ได้คนจบ แต่ได้ฝังชิปไปแล้วตั้งแต่ ม. 1 ถึง ม. 5 แล้วกี่คนก็เท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้

 

มีเด็กๆเขาถามมาว่า หนูว่าการศึกษาบุญนิยมที่เรากำลังเรียนรู้อยู่เป็นการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก ยังมีความอบอุ่นจากลุงป้าดูแล หนูก็อยากอยู่ แต่ถ้าพ่อแม่หวังกับหนูไว้มากจะทำอย่างไร แล้วความฝันของหนูอีก จะทำอย่างไร แล้วความเข้าใจสาธารณโภคีนี้ก็ยังไม่มากพอด้วย จะทำอย่างไรดีคะ

ตอบ...ถ้าจะอยู่ที่นี่แล้วแต่ภาระของครอบครัวเขาหวังไว้กับหนู พ่อแม่หวังไว้มาก ประเด็นว่าพ่อแม่หวังอะไรจากหนู ก็คงจะหมายความว่า หวังว่าจะเป็นคนอย่างโลกๆมีลาภ ยศ สรรเสริญ​มีสุขอย่างโลกๆ ก็แน่นอนเป็นโลกียภูมิก็คิดเช่นนั้น อาตมาก็ไม่บังอาจไปล้มล้างความหวังพ่อแม่ แต่ถ้ามีพ่อแม่ที่หวังเช่นนั้นจริงเราก็ต้องทำตาม แต่เราก็ไม่ทิ้งธรรม หนูก็ไปปฏิบัติธรรมที่บ้าน พ่อแม่ให้เรียนก็เรียน เรียนแล้วก็จบ อายุก็คงจะ 20 พ้นวุฒิภาวะก็หาทางมา อาจไม่มาประจำ ก็ทำการงานทางบ้านให้ดีไม่ขาด แต่ถ้าโชคดีพ่อแม่เห็นดีงามว่าหนูจริงจัง พ่อแม่ก็ให้มาด้วยก็ให้มาเลยก็ดี ก็ใช้ศิลปวิธีว่าถึงวาระหนึ่งก็พ่อแม่ก็ตาย หรือบางทีลูกตายก่อนก็มี นี่ไม่ได้แช่งใครนะ เป็นวิบากของเราก็ต้องอนุโลมไปตามควรฟังให้ดี หลวงปู่ไม่ได้แย่งลูกหลานใครนะ ใช้ศิลปวิธี พิสูจน์ความจริง

สังคมชาวอโศกหลายคนผู้ตั้งหน้าปฏิบัติธรรมเจริญไปได้เรื่อยๆ พ่อแม่จะเข้าใจ จนสุดท้ายเข้าใจว่าลูกเราไปทางดีจริง แล้วยอมให้ลูกมาทางนี้เลย ถ้าพ่อแม่ช่วยตนเองได้ แต่ถ้าทำได้ดีพ่อแม่ก็จะเข้ามาได้ หลายครอบครัวก็ทำได้

อีกอย่างคือความฝันที่หนูอยากเป็น นี่สิ เป็นส่ิงสำคัญ ทำไมไม่ฝันอยากเป็นอาริยะ โสดาฯ สกิทาฯ หนูอยากเป็นอะไร ถ้าหนูอยากเป็นนี่ เป็นเรื่องหลัก ก็ตนเองอยากเป็นคนโลกๆ อยากไปมีโลกธรรมเยอะ โด่งดัง อยากมีสุขโลกีย์อันนี้เป็นที่ตัวเองจะทำอย่างไร ขออธิบายลึกลงไปว่าอยากเป็นอะไร อยากเป็นแพทย์อยู่ที่นี่ก็จะส่งให้อยากเป็นวิศวะอยู่ที่นี่ก็จะส่งให้ตอนนี้พูดได้แล้วว่า เรามีฐานะพอที่จะส่งเรียนได้ มีเงื่อนไขบอกไว้ก่อน ถ้าให้เรียนแพทย์เรียนวิศวะก็ตาม ตัวให้เด่นอะไรก็ตามบอกไว้ก่อนว่าจบแล้ว ส่งเสียให้เรียนจบแล้วก็อยากให้ช่วยงานอยู่ที่นี่ แต่จริงแล้วถ้าผู้ใดอยู่ในเกณฑ์ที่ที่นี่ส่งให้เราต้องพิจารณาจากกรรมการ ให้ส่งไปเรียนได้ตามที่ต้องการ แม้จบแล้วไม่ทำงานให้ที่นี่ก็ไม่ว่า ถ้ากรรมการพิจารณาให้ทุนแล้วหวังว่าจะทำงานต่อที่นี่หรือไม่ ไปทำงานรับใช้นายทุนหรือเป็นนายทุนเอง ก็ไม่เป็นไร เราให้ความรู้แล้วจะไปหาฐานะภายนอกก็ไม่ว่า ถ้ากรรมการพิจารณาแล้วว่าจะให้ทุน แต่ถ้าคนไหนไม่ควรเขาก็ไม่ให้ทุน ถ้าเราเองเป็นคนดีพอควรที่ที่นี่ส่งให้ก็จะส่ง ดีไม่ดีให้เรียนจนจบดร.ก็จะให้ ส่วนจะขบถทีหลังก็ไม่ว่าถือว่าบาปใครบุญมัน นี่พูดให้ชัดๆ ถ้าส่งเสียเรียนจบแล้วไม่รับใช้นายทุน ไม่เป็นนายทุนเองแต่มาทำงานรับใช้ศาสนามาอยู่กับอโศก ก็คือส่ิงที่ปรารถนาอย่างยิ่ง แต่จะไม่ได้ก็ไม่ว่า เมื่อกรรมการพิจารณาว่าควรส่งเสีย ส่งเสียแล้วจะไปรับใช้สังคมก็ไม่ว่า แต่พูดให้เพราะแท้จริงคือเป็นนายทุนเองหรือรับใช้นายทุนข้างนอกแต่ถ้ามาอยู่ที่นี่ ที่นี่พาทำรับใช้สังคมมีแต่บุญนิยมไม่มีทุนนิยม

ความเข้าใจสาธารณโภคีหนูยังไม่เข้าใจพอก็ไม่ง่ายนักขอเอาไว้ก่อนก็ค่อยเรียนรู้ไป

_หลวงปู่คะขณะหลวงปู่เทศน์มันจะซึมเข้าไปแม้จะไม่เข้าใจ แต่หนูอยากทราบว่าเวลาหลวงปู่เทศน์แต่พวกหนูคุยกันจะบาปไหม

ตอบ..บาปคือโง่คือ ได้กิเลส แทนที่จะฟังเพื่อล้างกิเลสเราก็กลับไปคุยกับหมู่ คุยเรื่องโลกๆ แม้แต่ว่าจะคุยเรื่องธรรมะขณะที่หลวงปู่พูดธรรมะ ก็ไม่บาป แต่ถ้าไม่คุยเรื่องธรรมะคุยเรื่องโลกๆก็บาป แต่มันควรไหมเมื่อหลวงปู่เทศน์ เราจะพูดคุยกันจะดีไหมก็ไม่ควร แต่บางทีเราก็จะพูดคุยเพื่อถามไถ่เพื่อความเข้าใจ ก็เป็นได้ แต่ถ้าไปคุยกันเรื่องโลกๆเสริมกิเลสก็เป็นเรื่องบาป

 

 

_คำถามจาก นร. หญิง สัมมาสิกขาปฐมอโศก ม.5  มีคำถาม เข้ารายการ

กราบนมัสการ หลวงปู่ค่ะ หนูขอถามว่า ถ้าเราพูดคำหยาบ แต่ใจไม่ได้คิดหยาบตอนที่พูด เราจะผิดศีล เราจะบาปมั๊ยคะ "

ตอบ...เป็นคำถามที่ดีแต่อ่านจิตตนเองออกไหมว่ามีความหยาบหรือไม่เข้าใจไหมว่าความหยาบความลามกคืออะไร คือความอยากความเร็วของความคิด ถ้าเราคิดไปในทางพยาบาท เราก็เป็นความคิดที่หยาบที่ผิด ที่บาป ถ้าเราคิดไปในทางราคะไปในทางกาม ความคิดนั้นก็หยาบ ความคิดนั้นก็ผิด  ความคิดของเรามีกามหรือพยาบาทผสมไหม ถ้าไม่มีก็ไม่บาป แต่ถ้าพูดออกมาหยาบ แต่ว่า ไม่หลงไม่ลืมมีสติรู้ว่า จิตเราที่เป็นประธานใช้คำพูดออกไป ว่าจิตเรามีกาม พยาบาทอย่างหยาบ กลางละเอียดไหม ถ้ามีอย่างใดก็เป็นเช่นนั้น อะไรตัดสินคำว่าคำหยาบ เช่น

ยกตัวอย่างง่ายๆคำว่ารัก เป็นคำง่ายๆตื้นๆ ถ้าเราพูดว่า  เรารักคนคนนี้ หรือคำว่าน่ารักจังเป็นต้น คำว่าน่ารักคำนี้เป็นความเมตตาเป็นความเอื้อเฟื้อเจือจานเกื้อกูลมันไม่ใช่คำหยาบ แต่ถ้าบอกว่าน่ารักจังเป็นคำพูดที่หมายถึงกามารมณ์เป็นความหยาบ

อย่างแม่บอกว่าเดี๋ยวแม่ตีนะ คำพูดออกไปนี้ เหมือนคำหยาบ เป็นคำหยาบ แต่ใจไม่ได้คิดตีเลย แต่เป็นคำขู่คำปราม บอกว่าเดี๋ยวแม่ตีนะๆ  เป็นคำเหมือนโกรธพยาบาทแต่ใจของแม่ไม่ได้คิดตีเลย แต่ถ้าอยากตี มีความอยากตีผสมไปด้วยก็หยาบ แต่ถ้าไม่ได้อยากตีเลยก็ไม่หยาบไม่บาป

 

ถ้าอยากพ้นจากลาภยศสรรเสริญต้องทำอย่างไรครับ

 

_พ่อท่านครับสมมุติว่าผมอยากพ้นจากลาภยศสรรเสริญต้องทำอย่างไรครับ

ตอบ...หลวงปู่สอนอยู่นี่สอนเพื่ออันนี้อันเดียว ต้องทำอย่างที่หลวงปู่สอนจนกว่าหลวงปู่ตาย เราทำได้เข้าใจจะไม่เป็นทาสลาภยศสรรเสริญ ต้องเรียนให้มากๆเรียนให้ดีๆตามหลวงปู่พาทำ

ที่อยู่กันนี้ พี่ป้าน้าอาที่พาสอนพาทำนี้ ให้ศึกษาด้วยดีย่อมเกิดปัญญาจะพบวิธีเลิกลาภ ยศ สรรเสริญ คำว่าเราจะเลิกลาภไม่ใช่ว่า เราไม่สร้างสรรเกิดผลผลิตแรงงานลาภ ที่เกิดไม่ใช่นะ แต่เป็นคนร่วมทำงานเกิดผลผลิต เป็นประโยชน์แต่เราไม่ติดยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไม่หวงไม่งก ตีผลงานเป็นของเรา เอามามากกว่าเก่า ขี้โกงเอาเปรียบเอารัดมากกว่าเก่า แต่เอามาแบ่งแจกกัน ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้แย่งลาภยศ แต่ได้โดยธรรม คนนี้มีคุณธรรมอาริยบุคคล เป็นยศโดยธรรม โดยสัจจะ มีสรรเสริญโดยธรรม มีสุขอันประเสริฐโดยธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีลาภยศสรรเสริญแต่มีอย่างไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา ไม่เสพไม่เสวยโลกธรรม หลวงปู่มีโลกธรรมก็มีโดยธรรมส่วนหลวงปู่จะยึดหรือไม่ยึดก็อยู่ที่หลวงปู่ หลวงปู่รู้ว่าจะทำอย่างไร หลวงปู่ยิ้มหวานนะ

แต่บางทีหลวงปู่ฉุกเฉินลืมยิ้มอย่างวันที่ 18 ก.พ. 57 ก็ลืมยิ้ม แต่ถ้าต่อไปจะยิ้มก็ยิ้มได้ ให้เห็นว่าไม่โกรธ ไม่มีไม่ชอบใจหรือชอบใจก็ยิ้มได้ คนเราขอให้หมดความโกรธในใจจะเป็นคนยิ้มง่าย….พ่อครู 24 ธ.ค. 58

 

ความสำคัญของมิตรภาพ

 

_คำว่ามิตรภาพหมายความว่าอย่างไรแล้วเพื่อนทุกคนไว้ใจได้ไหม

ตอบ...ควรไว้ใจเพื่อนทุกคน ...คือ 1 ก็อย่าไประแวง แต่ต้องระวัง อย่าระแวง แต่ต้องระวังคือะไร คือเพื่อนทุกคนถือว่าเป็นเพื่อนเรา แม้เขาจะเป็นศัตรูก็อย่าให้ทะเลาะกัน ทำอย่างไรจะมีศิลปะอยู่ได้แม้กับศัตรู เป็นศิลปะชั้นสูง รู้ให้จริงว่าเขาชอบหรือไม่ชอบเรา แต่ถึงเขาจะชอบหรือไม่ชอบเราก็ไม่ควรไม่ชอบใจ คืออยู่อย่างไม่ระแวงแต่ระวัง

มิตรภาพหมายถึง สิ่งที่เรามีเพื่ออยู่กับโลกกับคน ควรมีมิตรภาพ หรือมิตรภาวะ เราควรเป็นมิตรกับทุกคนทั้งกาย วจี มโน อย่างน้อยมโนเราเป็นมิตรก่อน ถ้าจิตเป็นมิตร วาจาก็จะเป็นมิตรตาม กายก็จะเป็นมิตรตาม ควรทำจิตตนให้เป็นมิตรก่อน อาจจะกดข่มควบคุมก็ต้องทำ จิตเราไม่เป็นมิตรก็อย่าเป็นศัตรูกับใคร ถ้ายิ่งเป็นปัญญาทำจิตตนไม่เป็นศัตรูกับใครเลยในโลก ยิ่งทำชั่วคราวก็ยังดี ยิ่งทำได้ตลอดเลยก็ยิ่งดี แม้เขาจะเป็นศัตรูกับเราเราก็เป็นมิตรกับเขา แต่เราก็ต้องระวัง เพื่อจะทำกรรมอย่างไรจะไม่เกิดผลดีจะเกิดทะเลาะวิวาท เราก็ไม่ทำ

 

มิตรภาพหมายความว่า ไม่มีภาพทั้งข้างนอกและข้างในเป็นศัตรูเลย มีแต่มิตร กาย วาจา ใจ เป็นมิตร เมื่อใจเป็นมิตร กายวาจาก็แสดงเป็นมิตรได้เสมอ

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:31:16 )

581225

รายละเอียด

581225_พุทธศาสนาตามภูมิ สามัญผลสูตร ตอน 3

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2558 ขึ้น 15 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม เป็นวันคริสต์มาส เป็นวันเกิดของเยซู คริสต์ และก็เป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร ว.บบบ.ด้วย เราก็ใช้วันนี่แหละ ทำประโยชน์ไปเรื่อยๆ เป็นประโยชน์ที่ควรได้ อาตมาก็ย้ำเหมือนคนหลงใหลคลั่งใคล้ธรรมะ อาตมาว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่ามาสนใจธรรมะ

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนให้คนอยู่ในชีวิตจริง อยู่กับสัจธรรมที่ประเสริฐ อยู่กับสิ่งที่มนุษย์ควรได้ ควรมี ควรเป็น ควรรู้อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าค้นพบว่ามนุษยชาติ ถูกอวิชชาหรือกิเลส จัดการ กลายมาเป็นความวุ่นวายทุกร้อน หนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นถ้าไม่สนใจทำมา แล้วปล่อยชีวิตไปตามโลกที่เขาพาเป็นหนักหนาขึ้นทุกวันจนตอนนี้ใกล้กลียุคแล้ว สังคมเลวร้ายขนาดหนักเลย นั่นเป็นสัจจะที่ยิ่งที่จริงที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา 2600 ปีแล้ว

ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้คนนี้ไปจากชีวิตสามัญ แต่ใช้ชีวิต ได้อย่างดียิ่ง ที่จะรู้ว่า เราไปหลงทาง สวนทางธรรมะ ที่สอนกันในศาสนาพุทธก็สอนให้หนีไป จนกระทั่งคนเข้าใจว่ามาสนใจปฏิบัติธรรมะ ก็จะเสียเวลาทำมาหากิน ก็จะสู้ชีวิตที่อยู่กับโลกไม่ได้ กลายเป็นอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้ว จะสู้กับชีวิตที่อยู่กับโลกได้อย่างดีที่สุดและจะเป็นคนที่มีคุณค่าต่อโลกต่อสังคมอย่างยิ่งด้วย

 

อธิบายคำว่าลักขณะ สสัมภาระ อารัมนะ และสมมุติ ตอนตอบคำถามทาง sms

ก่อนจะได้บรรยายต่อก็จะอ่าน sms ก่อน

เจ้าหนึ่งขอให้อธิบายว่า………….

กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ขอรบกวนพ่อครูช่วยอธิบายสภาวะที่ดิฉันมีตอนเช้านี้ด้วยว่า ดิฉันเข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหมคือ

คำถามที่ 1. กามภพนั้นหมายถึงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสหยาบๆของเรานั้น มีผัสสะมากระทบกับกายของเราแล้วเกิดความชอบความชังความอยากที่เกิดขึ้น แล้วเราก็ไม่ได้ใช้กายในกายของเราพิจารณาเลย เราก็เสพกามภพเต็มรูปสมกิเลสได้อย่างใจทุกอย่างนี่คือกามภพที่ชีวิตจิตใจ เราวนอยู่กับสิ่งเหล่านี้จึงยังไม่พ้นอบาย

 

พ่อครูตอบว่าที่พูดนี้ถูกต้อง กามภพนี้หมายถึงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสหยาบๆของเรา มีผัสสะมากระทบกับกายของเราแล้วก็เกิดความชอบความชัง เราก็ไม่ได้ใช้กายในกายของเราพิจารณา เราก็เสพกามภพเต็มโลกสมกิเลส ได้อย่างใจทุกอย่าง นี่คือกามภพ ที่ชีวิตจิตใจเราวนอยู่อย่างนี้จึงไม่พ้นอบาย แต่ควรจะใช้คำว่า เราก็ไม่ได้ใช้ความพยายาม จะใช้สัญญา เคยใช้ปัญญา ใช้การศึกษาใช้ความรู้พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมต่อ เป็นองค์รวมของสติปัฏฐาน 4 จะต่อเนื่องเป็นปัจจยาการ จะรู้แจ้ง กาย เวทนา จิต ธรรม ในธรรมะสองนี้จะเหลือธรรมะหนึ่งได้ นี่เราได้ศึกษาตำราของพระพุทธเจ้ามา

ผู้ใดไม่รู้จักกายเลย สัมผัสแล้วก็เสพไปเรื่อยๆ คืออบาย น่าสงสาร เกิดจริงเป็นจริงน่าสงสาร กิเลสก็พอกไป เต็มอาสวะอนุสัย ก็มีต่ออีกว่า

 

คำถามที่ 2. รูปภพนั้นก็คือกามภพที่เป็นรูปหยาบๆนั่นเอง

 

พ่อครูตอบว่า ก็ได้ ถ้าเข้าใจสภาวะที่บอกมานี้ อาตมารู้จากความหมายที่เขาหมาย รูปภพก็คือกามภพหยาบๆ ที่จริงรูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ ตาเรากระทบก็เป็นรูปภายนอก ขณะเห็นภายนอก เราก็อ่านภายในด้วย ไม่ใช่เห็นแต่ภายนอก แต่ไม่อ่านภายใน ต้องต่อเนื่องมาเห็นภายในด้วย จะใช้คำว่ารูปก็ตาม จริงๆแล้วอันนี้มันเป็นอาการ นามกาย รูปกาย ถ้ามีข้างนอกเราเรียกว่ารูปกาย ขานชื่อเสียงที่เป็นข้างนอกได้หมดเลย กระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้ร่วมกันหมดเรียกว่ารูปกาย จะขานชื่อได้ต้องมีนามกายเกิดก่อน

นามกายเกิดก่อน ถ้านามกายไม่เกิด รูปกายที่ตาคุณสัมผัสแล้วไม่มีอาการของนามหรือองค์ประชุมภายใน รูปคุณก็ไม่รู้จัก แข็งทื่อ เช่นคนมองดูรูปข้างหน้าแต่ฟุ้งซ่านไป นามกายคุณไม่มาอยู่กับผัสสะทางตา หรือหูกระทบเสียง แต่คุณไม่เอาจิตวิญญาณนั้นมาทำการสนใจ มีสติสัมปชัญญะเข้ามาร่วมตรงนี้ ก็เอาจิตคุณไปอยู่ที่อื่น วิธีนี้เป็นวิธีทำจิตรู้จิตแต่คุณทำโดยอัตโนมัติ จิตคุณไปอยู่ที่โน่นก็เลยไม่รู้ส่ิงที่เห็น ทั้งที่ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส แต่คุณไม่รู้จักสิ่งที่กระทบก็ไม่เกิดนามกาย รูปกายก็ไม่มี แม้มันมีโดยสภาพก็ไม่รู้รูปกาย นามกาย

เช่นเดียวกับคนปฏิบัติสมาธิ meditation สู่สิ่งที่คุณกำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่างธรรมกาย กำหนดดวงใสๆ ให้นิ่งกับดวงใสๆ นิ่งกับลมหายใจเข้าออกไม่สนใจทวารนอกเลย คือวิธีสะกดจิต รู้แค่สิ่งที่ตนหยุดอยู่กับมัน เป็นวิธีเจโตสมถะอย่างเดียว ไม่ใช่การเรียนรู้ธรรมะอะไรเลย เป็นสะกดจิตดับอย่างเดียว ดับได้ถือว่านิโรธ

ส่วนฝ่ายธรรมกายดับ เขาก็คือสะกดจิตเป็นหนึ่งเอกัคคตา ได้แล้วก็อยู่กับวิมาน ปั้นไป เป็นอุปาทาน มโนมยอัตตา ไม่ศึกษาธรรมะหาความจริงในโลกเลย ยิ่งหลับตาสะกดจิตสร้างวิมานเรื่องราวเพ้อเจ้อเพ้อพกไป เป็นพวกที่ตักกีโหติวีมังสี

ขออธิบายแทรกความให้ฟัง การปฏิบัติไม่สัมมาทิฏฐิก็น่าสงสารอย่างนี้

ที่ถามมาว่า รูปภพคือกามภพหยาบๆ ที่จริงกามภพ เราก็สัมผัสแล้วก็รู้รูป เป็นองค์ประชุมที่ถูกรู้ แล้วเข้าไปรู้กายภายในที่เป็นองค์ประชุม เช่น รูป เสียง กลิ่น รส เย็นร้อนอ่อนแข็งไปรู้ข้างในเป็นองค์ประชุมแรกเรียกว่ากาย แล้วกายในกายก็คือ เวทนา ในเวทนา แล้วก็มีจิตในจิตที่ทรงอยู่ตั้งอยู่ จะเรียนรู้ได้ด้วยอาการ

ถ้าอาการที่เป็น ลักขณะ สสัมภาระ อารัมนะ สมมุติ

คือสี่อย่างที่เกิด เป็นภาวะ ปฐวี คือธาตุดิน เป็นน้ำ เป็นธาตุลม เป็นลักษณะธาตุไฟ เรียกว่าลักขณะปฐวี ลักขณะอาโป เตโช วาโย

หรือจะเป็นสสัมภาระก็ 4 ดินน้ำไฟลมเช่นกัน อารัมนะก็ 4 สมมุติก็ 4 เราจะเกิดความเข้าใจความรู้

ลักษณะคือรูปร่างแท่งก้อนเหลี่ยมข้นแข็งที่เป็นอาการรวมตัวก้อนแท่ง ธาตุดิน เป็นลักษณะที่ถูกรู้ขั้นต้น

สสัมภาระ คือสังขารที่ปรุงแต่งทำงานประกอบกัน มีพลังงานเคลื่อนไหว

อารัมนะ คือความรู้สึก ที่จะรู้ ดิน น้ำ ไฟ ลม อารมณ์ก็จะมีลักษณะตามนั้น เช่นดินก็แน่นแข็งข้น น้ำก็ไหล ลมก็ไหว ไฟก็ร้อน

สมมุติ คือรู้ร่วมกับคนอื่นในความรู้ สามนี้ สรุปคือต้องรู้ลักษณะเหล่านี้ด้วยอาการ เกิดจากการรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ทั้งนั้น

อาการ นั้นละเอียด เคลื่อนไหว  อาการที่เล็กละเอียดถึงนิวเคลียร์ หรือนิวเคลียส ถ้าแยกแตกออกมาก็เป็นนิวเคลียร์ นิวเคลียส คือธรรมะสองจับตัวกันอยู่ แตกตัวกันเมื่อไหร่ก็เป็นฟิวชั่น กับฟิชชั่น วิทยาศาสตร์เอามาทำงานได้ทั้งประโยชน์และโทษ

ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นก็พอเทียบเคียงกันได้ ก็จะไม่ต่างกัน แต่จะละเอียดลึกซึ้งกว่ากัน ก็เรียนได้เข้าใจได้ด้วยตัวเอง ให้เป็นปรมัตถธรรม เป็นธรรมชาติอันยิ่ง อันสูงส่ง สรุปง่ายๆว่าต้องอ่านอาการออกตั้งแต่ภายนอกแล้วรู้ว่ากาม เป็นรูป เป็นขั้นที่ 2 แล้วมาถึงอรูป

เพราะที่ผู้ถามเขียนมาว่า “อรูปคือสิ่งที่ไปกังวลกับอดีตและอนาคตที่ผ่านมา เรื่องอนาคตที่ยังไม่ถึงแล้วเราก็ตั้งความหวังไว้ฝันไว้ด้วยความอยากความกังวลที่เป็นภพในความคิดในจิต พุ่งเพ่งไปอยากได้สมใจ ซึ่งอยู่ในภวภพเพราะจิตไม่อยู่กับความเป็นจริงแล้วไม่ได้ใช้สังกัปปะ 7 เดินมรรค (ถ้าจะให้ยกตัวอย่างจะยาวมาก แต่ดิฉันคิดว่ามีคำตอบให้ตัวเองค่ะ) มารู้จักเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยว่าการปฏิบัติธรรมแบบลืมตามีผัสสะเป็นปัจจัยคืออย่างไร และการปฏิบัติก็ไม่ง่าย ที่สำคัญภาษาบาลีต่างๆเช่น สังกัปปะ 7 มรรคมีองค์ 8 ก็ยังเรียงไม่ค่อยถูก จำไม่ค่อยได้เลยค่ะ”

คนถามเขียนต่ออีกว่า “วิภวภพนั้นหมายถึงความยึดดี ซึ่งเป็นของอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่ใจเรานั้นเราอยากให้เกิดขึ้น อยากให้ได้สมใจ อยากให้คนอื่นดี แล้วคนนั้นเขาก็ดีด้วย จิตถึงมีแต่ความคาดหวัง ตกอยู่ในปัญหาต่างๆ สิ่งที่ทำให้จิตของเราต้องตกอยู่ในภพเช่นนี้ ดิฉันจะเป็นบ่อยมากคือ ทำไมเขาไม่ทำอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้ แล้วจะได้ผลอย่างนี้นี่คือสิ่งที่เราวาดหวังไว้ลืมความเป็นจริงของปัจจุบันที่เรามีที่เราได้ ก็เลยวิ่งไปกับผัสสะต่างๆทั้งหลายมากมา ยจนรู้สึกฟุ้งซ่าน แต่วันนี้เข้าใจคำว่าวิภวภพอย่างนี้ถูกไหมคะ”

ตอบ  สภาวะของคนเข้าใจอย่างนั้นแล้วก็รู้ว่ากิเลสตัณหาของคุณเป็นอย่างนั้นคุณเข้าใจถูก แต่พยัญชนะที่เข้าใจนั้นไม่ตรงกับความหมายที่แท้จริงเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนปฏิบัติไปเถิด แต่อย่าเพิ่งไป อาตมาบอกให้ว่าพยัญชนะ ที่ใส่เข้าไปเช่น วิภวภพนั้นมันเร็วไปหน่อยไม่ตรงกับสภาวะแต่สภาวะที่คุณบรรยายนั้นดีมากถูกต้อง ปฏิบัติอย่างที่คุณอธิบายมาแล้วถูกต้อง แล้วก็กำจัดกิเลสที่ว่าในภพต่างๆดีแล้ว ตอนนี้เอาอย่างนี้ก่อน อย่าไปคำนึงถึงภาษาเหล่านี้

เขาเขียนต่อว่า “สภาวะตอนนี้ดิฉันกำลังเบื่อกับขยะ ดิฉันได้สภาวะเช่นนี้เพราะลูกศิษย์ของหมอเขียวคนนึงแนะนำมา ดิฉันจึงจัดตั้งตบะว่า จะไม่บ่นเบื่อเรื่องขยะ และจะพยายามเข้าค่ายของหมอเขียวที่มาจัด และปฏิบัติให้ได้”

ก็เข้าใจดี จะปฏิบัติตามหมอเขียวก็ดี

_ มีคำถามที่ว่า “อาหารเจปลอมเช่นปลาเค็มเจลูกชิ้นเจหมูเจที่ร้านค้าของชาวอโศกบางพุทธสถานยังขายอยู่ และมีผู้ใหญ่ใจดีมาเบิกไปทอดนึ่งแจกแบบเพียวเพียวไม่ผสมผักเลยสมควรหรือไม่ คนแรงงานสงสารคนหาเงินให้วัด ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ร้านค้าหรือการเงินเขาไม่กล้าพูด” 

ตอบ...ถ้าจะไปมองละเลียดเช่นนั้นก็จะเป็นอย่างที่คุณว่าได้ อาหารเจปลอมต่างๆ ก็มีคนไปซื้อมีผู้ใหญ่ใจดีมาเบิก แต่ว่าใช้เงินของทางวัดไปเบิกมา แล้วก็มานึ่งแจกอย่างไม่ผสมผัก แจกพวกเราข้างใน ถามว่าสมควรหรือไม่ อาตมาก็เห็นด้วยนะที่คุณมองอันนี้เห็นด้วยว่ามันไม่สมควรจะทำ ถ้าคุณเอาเงินของคุณเองก็แล้วไปเถิด คุณยังเห็นว่าอย่างนี้น่าจะกิน แต่ที่จริงมันก็ หลายอย่างมันมี เคมีอะไรผสมในของปลอมพวกนี้เพราะฉะนั้นก็ บอกตัดสินไปว่าอย่าไปนิยมชมชื่น ไม่ใช่ส่งเสริมแต่ควรเลิก เลิกได้จะดี ก็ซื้อธรรมดาธรรมชาติ พืชผักผลไม้ เดี๋ยวจะซื้อแป้งก็ซื้อไปสิ แม้แต่มันมี มีบ้างก็เอา ก็ไม่ต้องถึงขนาดปลอมเป็นปลาเป็นหมูเป็นไก่ เขาต้องคิดเงินที่ทำมา ให้บอกเงินมาซื้อก็ไปซื้อราคาที่เขา ทำมาแล้วมากินถ้าคนฉลาดก็หยุดประจำงวดต่อไป ผู้ที่จ่ายสตางค์ให้ไปซื้อพวกนี้ก็คิดเอาก็แล้วกันอาตมาก็เห็นว่าไม่สมควร

 

0888109xxx ที่สุดของคน คือ การเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข

ตอบว่า ถ้าคุณเข้าใจความเป็นธรรมดาอยางปรมัตถ์ลึกซึ้ง ที่มีคนเคยถามว่าพระอรหันต์คือคนเช่นไร อาตมาก็ตอบว่าคือคนธรรมดา ถ้าเข้าใจธรรมดาอย่างปรมัตถ์ลึกซึ้ง แต่ความสุขนั้นอันนี้ชัดเจน คำว่าความสุข ถ้าไม่ใช่ภาษาของปรมัตถธรรมแล้ว คุณเรียกว่าความสุขมันก็คือผู้ที่ศึกษาจริงแล้วไม่มีหรอกความสุข แต่ถ้าศึกษาเป็นปรมัตถ์จริงจะรู้ความสุขที่เป็น ปรมัตถ์แท้ ผู้ที่บรรลุสูงสุดแล้วอารมณ์จิตถือว่าสุข เป็นปรมังสุขัง นิพพานังปรมังสุขังคือ สุขที่ยิ่งกว่าสุข  ถ้าไม่เข้าใจปรมัตถ์ พูดคำเหล่านี้ก็เป็นตรรกะทั้งนั้น

0893867xxx การมีธรรมะแท้จริงคือสามารถดำรงตนอยู่เหนือปัญหาฤาความทุกข์ทั้งปวงไม่เกี่ยวกับปริญญาบัตรพิธีรีตรองฤาหลักปรัชญาชนิดฟิโลโซฟีใดๆ!

การศึกษาธรรมะกับพ่อครูทำให้รู้จักสัมมาทิฏฐิมีคารวโตนิวาโตรับฟัง, ปรโตโฆสะเปิดหู,โยนิโสมนสิการเปิดใจ เป็นคุณธรรมที่ช่วยทำให้การเดินทางสู่โลกุตระ เป็นสัมมาทิฏฐิมาถูกทาง

ตอบ มีคนอยู่เหนือปัญหา แบบที่ว่า ถ้าปัญหามาคุณก็บอกว่าเป็นไตรลักษณ์แล้วก็วางไป ไม่รับรู้โง่ซื่อทิ้งไปเฉยๆ ไม่หยิบมาพิจารณาเกี่ยวข้อง เป็นกุศล อกุศลอย่างไร จนมีความรู้ความฉลาดที่อยู่เหนือส่ิงเหล่านั้นที่พาให้ทุกข์ได้

ถ้าถูกต้องต้องรู้แจ้งแต่ไม่ยึดถือ มีวิชชาก็ถูกต้อง

 

0893867xxx ขอมอบคำขวัญวันเด็กปี 59จากนายกลุงตู่ให้เด็กสัมมาสิกขาเยาวชนไทยว่า เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต!

0893867xxx อ่านพระไตรปิฎกทุกวันแต่ไม่เคยอ่านใจตน!ที่ศึกษาพร ะตปฎ.มาก็เท่ากับว่าไม่ได้ เข้าถึงธรรมใดๆเลย

ตอบ...ถูกต้อง

หมด sms แล้ว

 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

เราอ่านมาในสามัญผลสูตร ส่วนพรหมชาลสูตรท่านก็ว่า ต้องมีศีล รู้ทิฏฐิ 62 มีศีลเพื่อประกาศว่าศาสนาพุทธต้องเป็นเช่นนี้ ต้องเว้นขาดงดเว้น อรติ วีรติ ปฏิวีรติ เวรมณี คือในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

จุลศีล คือศีลที่ปฏิบัติแล้วได้มรรคผลส่วนตน มัชฌิมศีลก็ขยายจุลศีล ส่วนมหาศีลเป็นศีลที่ใหญ่ จะอย่างไรต้องละเว้นก่อน เป็นของศาสนาพุทธบ่งบอกความเป็นคนในศาสนาพุทธ ประกาศว่าศาสนาพุทธเว้นขาดจากส่ิงเหล่านี้ ทั้งหมดในมหาศีล  แต่ทุกวันนี้สิไม่มีแล้วในศาสนาพุทธ โดยเฉพาะละเมิดในมหาศีล มีแต่เดรัจฉานวิชา มีไสยศาสตร์ ที่เขายกย่องพระปฏิบัติ ในศาสนาพุทธตอนนี้มีแต่เก่งทางเดรัจฉานวิชาปลุกเสกพระ ในหน้าหนังสือพิมพ์มีแต่โฆษณาขายของ ที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย สิ่งที่เป็นสัจธรรมของศาสนาพุทธไม่ได้ถูกสื่อสารอธิบายขยายผลไปแพร่เลย มีแต่เผยแพร่เดรัจฉานวิชา

ทำไมพูดแล้วก็เหมือนต้องยกย่องพวกตน แล้วพวกอื่นไม่มีถูกบ้างเลยหรือ? เพราะอคติที่เขาได้ประกาศ เถรสมาคมได้ประกาศแล้วว่าโพธิรักษ์เป็นพวกนอกรีตไม่ใช่ศาสนาพุทธ อันนี้เป็นก้อนใหญ่ที่ขวางทางมหึมา ตัดสินอาตมาแล้วก็เชื่อเต็มที่ไม่มีปรโตโฆษะเลย อาตมาก็พยายามโน้มเข้าหาธรรมะพระพุทธเจ้า อ้างอิงพระไตรฯจนน่าหมั่นไส้ ไม่ได้เก่งแต่ต้องทำ ไม่งั้นหาว่าอาตมาพูดเอาเอง

สูตรแรกบอกศีล บอกปัญญา เรื่องทิฏฐิ 62 คือนอกศาสนาพุทธ สรุปคือศาสนาพุทธในสูตรแรกบอกถึงศีล กับปัญญา แต่สามัญผลจะอธิบายจิต ท่านตรัสศีลกับปัญญาก่อนในสูตรแรก พรหมชาลสูตร มาสูตรที่สองเกิดจิต แต่ต้องมีศีลกับปัญญาก่อนจึงเกิดจิต

สามัญผลสูตร ได้อ่านไปแล้ว ถึงพระเจ้าอชาตศัตรูเดือดร้อนใจ แล้วไปถามอาจารย์ต่างๆ เขาก็ตอบแบบถามมะม่วงตอบขนุนสำมะลอ พระเจ้าอชาตศัตรูก็เลยมาถามพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้าก็ทรงให้ปัญญา ว่าถ้าคนในยุคนั้นที่เป็นทาสของท่าน เป็นทาสรับใช้ท่านอย่างดีที่ท่านรักใคร่ มีประโยชน์อยู่ใกล้ชิดเลย ที่ท่านต้องพึ่งพาเขาเลย  ถ้าคนนั้นมาสนใจธรรมะของพระพุทธเจ้าก็มาออกบวชตาม แล้วท่านจะมาเอาทาสคนนี้คืนไปไหม โดยที่ท่านบอกว่ามาเป็นผู้ปฏิบัติดีเป็นผู้สงบเป็นผู้เคร่งครัดเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้ผลอันนี้แล้ว แล้วท่านจะมาเอาไปคืนกลับไปเป็นทาสไหม นี่แหละคือผลที่เห็นได้ปรากฏ ก็จะมีคนมาออกบวชมาเข้ารีตอย่างนี้ไม่เป็นทาสของท่าน ซึ่งสมัยนั้นเป็นสมัยทาส ท่านเป็นนายทาส ท่านมีสิทธิ์ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาเขามาได้นะ หรือถ้าจะออกมาเอง สมัครใจมาแล้วมาออกบวชเองก็ไม่ได้  แต่นี่คือผล ที่คนมาปฏิบัติแบบนี้คือผลท่านเจ้าคืนไปไหม ซึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูก็เป็นผู้ที่มีปัญญาก็บอกว่าถ้าเขามาปฏิบัติแบบนี้แล้ว ต้องสนับสนุนส่งเสริมมีแต่ที่จะต้องรุกรับต้องไหว้เขาส่งเสริมให้เจริญต่อไป นี่คือผลข้อ 1

 ผลข้อที่ 2 สมมุติว่าประชาชนที่เป็นชาวนาต้องทำงานเสียภาษีให้แก่ท่าน  ท่านก็ต้องได้รายได้จากเขาซึ่งไม่ใช่เป็นทาสแล้วแต่เป็นคนหาเงินหาทองเข้าพระคลังของท่านท่านมีสิทธิ์ เพราะท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะเก็บภาษีเขา ที่เป็นประชาชนของท่าน แต่ประชาชนเหล่านี้มาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มาโภคคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ แล้ว จะเอาเขากลับไปเป็นประชาชนเหมือนเดิมไหมเจ้าคืนไปไหน  พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าใจเพราะมีปัญญา ก็เห็นว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว เป็นผู้รักในความสงบสงัดสำรวมในปาติโมกข์ สามัญง่ายๆว่าพวกนี้มาปฏิบัติดีแล้วเป็นผู้เจริญ ในความเป็นนักบวช เป็นผู้มีคุณธรรมขึ้นมาพระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าใจ

 อันที่ 3 ต่อมาบอกว่ามีพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นในโลกมีพุทธคุณ 9 และประกาศศาสนา นี่แหละคือสามัญญผลที่จะเกิดขึ้นสูงขึ้นเรื่อยแล้วพระพุทธเจ้าก็ประกาศเรื่องต้นคือศีล ถ้าทาสหรือประชาชนของท่านมาปฏิบัติตั้งแต่ถือศีล

เราอ่านมาถึงจุลศีลข้อ 11 แล้ว

 11. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการทัดทรงประดับและตบแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องประเทืองผิว อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว.

 12. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่ง ที่นอนอันสูงใหญ่.

 13. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทองและเงิน.

 [7] 14. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับธัญญาหารดิบ.

15. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ.

16. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมาร.

17. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส.

18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

21. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน.

[8] 22. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรม และการรับใช้.

 

พ่อครูว่า ทุกวันนี้เขามีธรรมฑูตที่จะเป็นทูตทางธรรม เป็นกรรมชนิดหนึ่ง หมายความว่าอย่างไรการไม่ประกอบฑูตกรรม ก็คือเป็นคนที่ไม่ เป็นผู้ติดต่อ ฑูตกรรมคือการติดต่อ เรื่องราวแบบโลกๆที่จะสร้างงานหาเรื่องราวที่เป็นแบบโลกีย์ ถ้าจะไปช่วยงานการก็ไม่ใช่ต้องไปติดต่อให้เป็นเรื่องผูกพันมีพันธกิจ มันเป็นปลิโพธะ คือความผูกพัน ไม่ทำ และการรับใช้ ที่เขาทำกันนี่เป็นการรับจ้าง คือต้องมีสิ่งตอบแทนไปมา  ต้องไม่รับจ้างแต่ไปรับใช้

23. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการซื้อการขาย.

เช่นมีพระไปซื้ออาหารมังสวิรัติเราเราก็ติดป้ายห้ามซื้อหา ต้องมีลูกศิษย์หรือไวยยาวัจกรมาด้วย

24. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอมและการโกงด้วยเครื่องตวงวัด.

25. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง.

26. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้นและการกรรโชก. 

แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ท่านละเว้นไว้ ทุกข้อก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่งทั้งนั้น ศีลทุกข้อต้องศึกษาให้จริงในความหมายแล้วตั้งใจประพฤติ ยิ่งสูงขึ้นในทางปรมัตถ์ อย่างข้อ 26 ก็รวมไปหมดตั้งแต่หยาบถึงละเอียดเลย

                       จบจุลศีล.

                       มัชฌิมศีล

      [9] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

 1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม เห็นปานนี้ คือ พืชเกิดแต่เง่า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอดพืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้า.

(คือเราปฎิญาณตนแล้วว่าจะญาติปริวัตตังปหายะ โภคขันธาปหายะแล้ว มาเป็นพระหรือพราหมณ์ของพุทธ แต่มาเป็นพระมหาศาล พราหมณ์มหาศาล ฉันอาหารที่เขาให้ด้วยปราณีตแล้วยังไม่พอกินหรือ ยังไปทำการที่ผิดศีลอีก ยังมีน้ำหน้าอีก มาบวช ปฏิญาณตนต่อฆราวาส เขาเลี้ยงดูไว้แล้วยังมีหน้าไปทำเช่นนี้อีก)

      [10] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้เห็นปานนี้ คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอนสะสมเครื่องประเทืองผิว สะสมของหอม สะสมอามิษ.(พระมาโภคขันธาปหายะแล้วยังมีหน้าตลบแตลงสะสมของอีก ผู้ที่จะขึ้นเป็นสังฆราชนี้สะสมรถเก่าเยอะแยะเลย มันน่าสงสารไหมศาสนาพุทธ)

      [11] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศลเห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาล การเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโคชนแพะ ชนแกะ ชนไก่ รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพลการจัดกระบวนทัพ กองทัพ.

      [12] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการขวนขวายเล่นพนันอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายเล่นการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท  เห็นปานนี้ คือ เล่นหมากรุกแถวละแปดตา แถวละสิบตา เล่นหมากเก็บ เล่นดวด เล่นหมากไหว เล่นโยนบ่วง เล่นไม้หึ่งเล่นกำทาย เล่นสะกา เล่นเป่าใบไม้ เล่นไถน้อยๆ เล่นหกคะเมน เล่นกังหัน เล่นตวงทรายเล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ เล่นเขียนทายกัน เล่นทายใจ เล่นเลียนคนพิการ.

      [13] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่เห็นปานนี้ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาวเครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน 16 คน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง.

      [14] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบการประดับตบแต่งร่างกายอันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบการประดับตบแต่งร่างกาย อันเป็นฐานแห่งการแต่งตัว เห็นปานนี้คือ อบตัว ไคลอวัยวะ อาบน้ำหอมนวด ส่องกระจก แต้มตา ทัดดอกไม้ ประเทืองผิวผัดหน้า ทาปาก ประดับข้อมือ สวมเกี้ยว ใช้ไม้เท้า (ใช้ไม้เท้าเพื่อประดับแต่ถ้าใช้เพื่อพยุงร่างกายก็ใช้ได้) ใช้กลักยา (นาฬิเก เหมือนกระเป๋าคล้ายเจมส์บอนด์ แม้แต่ย่ามก็เข้าข่ายนาฬิเก) ใช้ดาบ ใช้ขรรค์ ใช้ร่มสวมรองเท้า ประดับวิจิตร ติดกรอบหน้า ปักปิ่น ใช้พัดวาลวิชนี นุ่งห่มผ้าขาว นุ่งห่มผ้ามีชาย.

อาตมาได้ข่าวว่าหัวหน้าสำนักใหญ่ตกแต่งร่างกาย แม้แต่ตีนผมนี่ก็ทำ ทำได้สารพัด ปิ๊งเลยนะ

                    ติรัจฉานกถา

      [15] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากติรัจฉานกถา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบติรัจฉานกถาเห็นปานนี้ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องกองทัพ เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำเรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้ เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคมเรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำเรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ.

พ่อครูว่า คนพาซื่อก็เลยบอกว่าจะกล่าวถึงเรื่องพระราชาจะกล่าวถึงเรื่องโจรก็ไม่ได้ ดูแล้วพูดอะไรก็ไม่ได้เลย ความเจริญหรือเสื่อมก็ห้ามพูด มันก็ไม่ต้องพูดสิ แต่ไม่เข้าใจประเด็นแท้จริงคุณพูดได้หมดที่อ่านชื่อมา แต่อย่าพูดให้เป็นเดรัจฉานกถา อย่าพูดขวางทางนิพพาน พูดแล้วต้องให้ไปทางละหน่ายคลาย หากพระพูดแล้วไม่ไปหานิพพานก็ผิดศีล แต่ทุกวันนี้ไปฟังสิ

      [16] 8. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกัน เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังกล่าวถ้อยคำแก่งแย่งกันเห็นปานนี้ เช่นว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูกถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อน ท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลัง ท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว ท่านจงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย ถ้าสามารถ.

พ่อครูว่า ถ้ามีจิตไม่ดีอยากเอาชนะ ฉันถูกเธอผิด ก็อย่าไปพูด แต่ถ้าพูดว่าสิ่งนี้ผิดสิ่งนี้ถูก ก็ต้องพูด แต่ไม่ได้แก่งแย่ง อาตมาถึงบอกว่า จะเข้าใจผิดว่า เป็นธรรมาธรรมะสงคราม ไม่เอาแล้ว มาบอกพุทธศาสนาตามภูมิกัน

      [17] 9. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายประกอบทูตกรรมและการรับใช้เห็นปานนี้ คือ รับเป็นทูตของพระราชา ราชอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีและกุมารว่า ท่านจงไปในที่นี้ ท่านจงไปในที่โน้น ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ไป ท่านจงนำเอาสิ่งนี้ในที่โน้นมา ดังนี้.

      [18] 10. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการพูดหลอกลวงและการพูดเลียบเคียง เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังพูดหลอกลวง พูดเลียบเคียง พูดหว่านล้อม พูดและเล็ม แสวงหาลาภด้วยลาภ.

ในคำบาลีว่า กุหกา   จ  โหนฺติ  ลปกา  จ  เนมิตฺติกา จ   นิปฺเปสิกา   จ  ลาเภน  จ  ลาภ  นิชิคึสิตาโร  ฯ

อันนี้เป็นมิจฉาอาชีวะ 5 ไม่ว่าจะมิจฉาสังกัปปะ 3 (กาม พยาบาท วิหิงสา) มิจฉาวาจา 4 (หยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ หยาบคาย) มิจฉากัมมันตะ 3 (ฆ่าสัตว์ ขโมย ผิดในกาม) มิจฉาอาชีวะ 5 (กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสิกตา ลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนตาป

 

 

                    จบมัชฌิมศีล.

                    มหาศีล

                 ติรัจฉานวิชา(ความรู้ที่ไม่พาลดละหน่ายคลายไม่พาไปนิพพาน)

      [19] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปุถุชนกล่าวชมตถาคต พึงกล่าวเช่นนี้ว่า

      1. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา  เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ (ดูโหวงเฮ้ง) ทายนิมิต ทายอุปบาต (พวกดวงดาว)  ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ (เอาไฟเป็นอัคคียัญ) ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทางเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์.

      [20] 2. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะผ้าทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาสทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทาทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค.

      [21] 3. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชาจักไม่ยกออกพระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอกจักยกเข้าประชิดพระราชาภายในจักถอย พระราชาภายในจักมีชัย พระราชาภายนอกจักปราชัยพระราชาภายนอกจักมีชัย พระราชาภายในจักปราชัย พระราชาพระองค์นี้จักมีชัย พระราชาพระองค์นี้จักปราชัยเพราะเหตุนี้ๆ.

      [22] 4. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราสดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทางดาวนักษัตรจักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จักมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้องดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรจักกระจ่าง จันทรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ดาวนักษัตรเดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตรเดินผิดทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหางจักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหวจักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรขึ้นจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรตกจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรมัวหมองจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดาวนักษัตรกระจ่างจักมีผลเป็นอย่างนี้.

ถ้าศึกษามาเพื่อประกอบการสอนศาสนาก็ได้ แต่ถ้าเรียนมาทำมาหากินเลยก็เป็นบาป บางพวกเอาธรรมะพระพุทธเจ้าไปทำมาหากินค้าขายด้วย

[23] 5. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่ายจักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญหาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวล แต่งกาพย์ โลกายตศาสตร์

      [24] 6. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอนดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ.

      [25] 7. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัดถุ์ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัดรักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ปุถุชนกล่าวชมตถาคต จะพึงกล่าวด้วยประการใด ซึ่งมีประมาณน้อย ยังต่ำนัก เป็นเพียงศีลนั้นเท่านี้แล.

                     จบมหาศีล.

ไม่ใช่ว่า ดูดายไม่รักษานะ แต่พระด้วยกันรักษาได้ พพจ.เคยบอกว่า พระมาบวชแล้วตัดญาติขาดมิตร มาแล้วก็ต้องช่วยดูแลกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ตายเหมือนหมูเหมือนหมา ต้องดูแลรักษากัน แต่ว่าไม่ใช่ไปรับรักษาคนทั่วไป เพราะมันเสี่ยงตายนะ การรักษาไข้เหล่านี้

ศีลคือหลักเกณฑ์ ที่ใช้สร้างศาสนา โดยเฉพาะจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล เป็นหลักใจที่เป็นพุทธธรรมนูญ  แต่เดี๋ยวนี้มีแต่พระวินัย 227 พ่อเขาบอกว่ามีสิทธิ์เท่าไหร่ก็บอกว่ามีศีล 227 ไปโน่นเลยทั้งทั้งที่พระวินัยเกิดที่หลังศีล เพราะมีคนทำผิดก็เลยเกิดพระวินัย แต่ศีลนี้คือกรอบปฏิบัติแท้  ศีลทำให้เกิดโมกขธรรม ถ้าจะปฏิบัติ 227 ก็ได้ถ้าเข้าใจให้เกิดโมกขธรรมก็ได้แต่หลักแท้นี้คือ จุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:33:26 )

581227

รายละเอียด

581227_ วิธีอาริยธรรม บ้านราชฯ กำไร-ขาดทุน 2 แบบ

สมณะฟ้าบอกว่าวันนี้วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2558 รายการวิถีอาริยธรรมครั้งสุดท้ายของปีนี้ วันนี้ที่ราชธานีอโศกก็จะจัดงาน วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ว.บบบ.  ก็จะมีบัณฑิตมาฝึกฝนคุณธรรม คุณสมบัติของผู้ที่จะมาสมัครคือถือศีล 5 ละอบายมุขกินมังสวิรัติมาอย่างน้อย 5 ปี วันนี้ก็จะเป็นวันที่จะต้องลงทะเบียนผู้สมัครและให้เขียนใบบุญเก่าส่งให้เสร็จเลย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน กำไรขาดทุน 2 แบบ(1)

วันนี้พ่อครูจะเทศน์เรื่องของ กำไรขาดทุน 2 แบบ และเรื่องความจนหรือความมั่งคั่งกันแน่ที่ยั่งยืน เป็นวิถีอาริยธรรมส่งท้ายปีเก่า

พ่อครูว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่าอยากได้แล้วก็จะได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าได้เสียไปนี่แหละคือการได้ เอาให้ชัดๆ ได้เสียสิ่งที่เราคิดว่าเป็นตัวเป็นตนออกไปจนหมดตัวตนไม่มีตัวตนไม่มีของตัวของตน ให้ต่างหากคือความหมายของศาสนาพุทธ อย่าไปเอาอยากได้ ถ้าจะอยากได้ให้อยากได้ความไม่มีตัวตน ความที่จะออกไปให้หมดตัวหมดตน ภาษาบาลีคือวิภวตัณหา หมดกามภพหมดรูปภพหมดอรูปภพ เป็นความดับธรรมะสิ้น เป็นธรรมะนิโรธสุดท้ายแล้วเรายังมีความรู้เรายังมีจิตที่สะอาดเรามีสิ่งที่จะไม่ให้ตั้งให้จิตได้  สะอาดผ่องแผ้วหมดจด ไม่เหลือส่ิงเป็นอกุศลนี่คือผู้บรรลุอรหันต์ คือผู้ไม่ตาย มีจิต เจตสิก รูป นิพพานอยู่ หมดอาการของกาม ของรูป ของอรูป ถึงอากิญจัญญายตนะจนถึงหมดเนวสัญญานาสัญญายตนะนี่คือสุดยอดที่มีอายตนะ 2 มีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ มีอายตนะสัมผัสรู้ธรรมะ 2  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) เอาธรรมะที่ไม่ดีออกไปให้หมดให้เหลือแต่ธรรมะเดียว อย่าง ไม่มีอะไรหักล้างได้ อสังหิรัง

อาตมาได้รับความคิดของคุณดำริ เมืองเริง เขียนมาให้อย่างสวยงามว่า เรียนนำเสนอโครงการปฏิวัติระบบการค้าแนวทฤษฎีใหม่โดยการน้อมนำเอาพระราชดำรัสของพระอรหันต์ของแผ่นดิน ก็คงจะหมายถึงพระเจ้าอยู่หัว มาทำให้เป็นจริงกับคำว่าขาดทุนของเราคือได้กำไรของเรา ไม่เช่นนั้นจะถูกต่างชาติบุกเข้ามายึดตลาดภายในประเทศและต่างประเทศไปหมดด้วยการสร้างตลาดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แทบเป็นศูนย์นี่ก็เป็นความคิดความรู้ของคุณดำริ เมืองเริง

 ก็ขอสารภาพตรงตรงว่าอาตมายังไม่ได้อ่านโดยละเอียด อาตมาก็มีงานโน้นงานนี้ก็เลยให้คนอื่นช่วยอ่านแล้วก็มาร์คมาให้

ก็เข้าใจเป็นลำดับตั้งแต่ต้นที่แยกตอนต้น

ผู้ผลิตสินค้าขายได้ในราคาสูงถ้าทำแบบที่คุณดำริว่า ผู้บริโภคมีโอกาสซื้อสินค้าได้ต่ำกว่าทุนของผู้ผลิต อันนี้ก็สอดคล้องกับที่อาตมาหมาย แต่ว่าผู้ผลิตสินค้าจะขายได้ราคาสูงผู้บริโภคมีโอกาสซื้อสินค้าได้ต่ำกว่าทุนของผู้ผลิต ก็แสดงว่าสอดคล้องที่ว่า การขายสินค้าของระบบบุญนิยม มี

1 ขายเกินกว่าทุน แต่ต่ำกว่าราคาตลาด ยิ่งต่ำกว่ามากเท่าไหร่ถือว่าเป็นความเจริญของระบบบุญนิยม

2 เท่าทุนเป็นความเจริญระดับที่ 2 ไม่มีใครได้ใครเสียในโลก

3 ขายได้ในราคาต่ำกว่าทุน

อันนี้ก็สอดคล้องแต่คุณบอกว่าผู้ผลิตสินค้าขายได้ในราคาสูงแต่ความหมายของอาตมาให้ขายได้ในราคา 0 ไม่ใช่สูงเป็นการแจกฟรีนี่คือความหมายสูงสุด แต่ของคนที่บอกว่าขายได้ราคาสูงแต่ต่ำกว่าทุนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ 1

 ตอนที่ 2 บอกว่าเพราะว่าพ่อครูเข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าที่บอกว่าธรรมะก็คือธรรมชาติ ก็ขอแถมนิดหน่อยที่เขาพูดกันกว้างขวางในวงการศาสนาว่าผู้ใดปฏิบัติธรรมเข้าถึงธรรมชาติผู้นั้นเข้าถึงธรรมถูกต้องแต่ยังไม่เป็นผู้จบการปฏิบัติธรรม

ธรรมะก็เป็นชาติ เป็นข้อต้นของชาติ 5 ชนิด คือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ แต่คนดำหรือยังไปถึงชาติอันแรกอยู่เลยแม้แต่ผู้ใดจนก็ตามก็เป็นเช่นเดียวกัน

 ส่วนธรรมะที่เป็นโลกุตระนั้นรู้ทิศทางของการเกิด ว่าจะเป็นกุศลและอกุศลสามารถหยุดเหตุของอกุศลได้อย่างเด็ดขาดมีความเป็นนิโรธจะรู้ความเป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมฐิติเป็นธรรมนิโรธ  เป้าหมายของพระพุทธเจ้าสอนให้เข้าถึงธรรมะนิโรธไม่ใช่ถึงแค่ธรรมชาติหรือธรรมฐิติ การจะรู้จักธรรมชาติก่อนนะถูกแล้ว ก็จะรู้ว่ามันมีคุณมีสัญชาติเกิดอย่างไร แล้วดับอกุศลจิตได้เป็นนิพพัตติ คือการเกิดของการดับ จนดับได้สนิท จนบริบูรณ์สมบูรณ์จึงต้องเรียนรู้ชาติ 5 จากพระไตรปิฎก ในปฏิจจสมุปบาท

เขาหมายเหตุอีกว่า แต่พ่อครูสามารถทำให้ทุกคนอยู่ได้อยู่แบบมีความสุขกับกิเลสของตนเอง

คำว่าสุขในความลึกซึ้งคือแม้เขาจะฝืนจะขัดเกลาแต่ก็อยู่อย่างมีความสุขได้เรียกว่ามีกิเลส ส่วนคนไม่มีกิเลสเลยในจิตใจ ก็สบายโล่งว่างเฉย

อีกอันหนึ่ง คือ ผู้ผลิตก็มีโอกาสรวยนี่คือความคิดของคุณดำริหรือเปล่าแต่อาตมาบอกไปแล้วว่าประสงค์ที่จะให้ศูนย์เลย มาใส่ร่วมกันกินใช้ร่วมกัน แล้วจะเหลือพอในสภาพองค์รวม ให้อยู่ร่วมกันจะอยู่เดียวไม่ได้ลักษณะของพระพุทธเจ้าบังคับเลยว่าจะต้องมาอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ไม่ร่วมรวมกันกับหมู่ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปลีกไปอยู่เดี่ยวไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมาร่วมรวมอยู่กับหมู่อย่างไม่มีตัวตนอย่างไม่มีตัวกูของกูอาศัยพึ่งพากัน ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงเป็นศาสนาที่พึ่งพากันอาศัยกันและกันเป็นศาสนาสาราณียธรรม-ปิยกรณะ-คุรุกรณะ เป็นศาสนาที่ระลึกถึงกันไม่ใช่ไม่นึกถึงใครอยู่กับตัวคนเดียวไม่ใช่  เคารพในวัยวุฒิคุณวุฒิสมมุติกันอย่างไร สังคหะเกื้อกูลกันจริง อวิวาทะไม่ทะเลาะกันขัดแย้งกันอย่างพอเหมาะรู้จักเก็บรู้จักพอ รู้จักระงับมีความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันเป็นเอกีภาวะ เป็นปึกแผ่นแน่นหนาหนึ่งเดียวแข็งแรง อย่างอโศกนี่เขากลัวความเป็นปึกแผ่นแน่นใน เขาไม่ได้กลัวอโศกตรงที่ความใหญ่ เขากลัวความยั่งยืน ไม่มีอะไรทำลายได้ อันนี้ข้าศึกกลัวมาก ตีอย่างไรก็ไม่แตก

ของเราทำงานไม่รับเงินจากภายนอกถ้าจะมาบริจาคต้องมีกติกาว่ามาคบคุ้นเข้าใจเรามากพอ เรามีน้อยแต่เราก็มีพอ มีเหลือแจกจ่ายให้สังคมด้วย

ประเด็นต่อไป ว่านี่คือผลของการตัดขั้นตอนของค่าการตลาดที่มีอยู่ 60% ของการค้า….โดยเราพร้อมใจกันมาช่วยกันซื้อกันขาย เพื่อแย่งกำไรส่วนต่าง 60% นั้นมากองรวมกันแล้วมาในระบบการซื้อขายแบบ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เขาพยายามให้รู้ทันชาวโลกเขา เราเอาน้อยกว่านั้นอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นมันมีความพอไม่เอาเกินนี้ แต่ทางโลกที่ตั้งไว้เอาเกินกว่า 60% อีก เขาจะเอาไม่สิ้นสุด แต่ของเรามีสันโดษ แม้ไม่เกินก็ไม่เบียดเบียนสังคม แล้วก็ต้องยิ่งลดลงได้อีก เมื่อผู้ใดหมดตัวทำงานเสียภาษี 100% ก็มากินใช้ในสาธารณโภคีจนตาย ตายแล้วช่วยเผาให้ด้วย สวัสดิการสุดท้าย

ประเด็นสุดท้ายคือคุณดำริบอกว่า ทุกคนมีสิทธิ์รวยได้แต่ไม่มีสิทธิ์จน ต่างจากจุดหมายของอาตมาที่จุดหมายคือไม่รับรายได้เลย ให้ส่วนกลางหมด เท่านั้น

ในสังคมเราที่เรียกรวมๆว่าการเมือง การเมืองคืองานของบ้านเมือง เช่นผู้บริหารบ้านเมือง ก็คือนักการเมืองแล้วไปบริหารบ้านเมืองก็เพื่อปรับปรุงประเทศเปลี่ยนแปลงประเทศ จากภาวะที่ลำบากมาเป็นภาวะที่สบายขึ้น จนกระทั่งสบายอย่างสบายๆ อย่างไม่มีสะดุด หรือมีความลำบากนักหนา

  มีความสันโดษคือใจพอ ไม่ใช่พอใจ หลวงตามหาบัวจะบอกว่าพอใจพอใจ ศัพท์คำว่าพอนี่มีความหมายลึกมากมาย ในหลวงท่านก็คำว่าพอ มีเศรษฐกิจในระดับพอเพียงและเพียงใดของใครให้อยู่ในคำว่าพอ  คุณพอที่ 1,000 ถ้าเอามาใช้เกินพันก็ไม่ใช่คนจริง ถ้าไปตั้งความพอที่หมื่นล้านก็มากไปหรือเปล่า  ถ้าตั้งค่าไว้มากก็จะยิ่งแข่งขันแย่งกันเอามาให้แก่ตน ระบบทุนนิยมถ้ามีแสนร้านก็เอาไปกองไว้ส่วนตนเสีย 9 หมื่นล้านให้ประเทศ 1 หมื่นล้าน คนส่วนใหญ่ก็ลำบากแล้ว 9 หมื่นล้านนี้ไม่ได้เอากองไว้เฉยกระเป๋าไปอาละวาดเพิ่มเงินให้กับตนเองอีกเช่นนี้เป็นความเลวร้ายมาก

ต้องมาทำงานให้ตนเองบริสุทธิ์ไม่เอาไว้แก่ตน หมดตัวตน แล้วพาให้ชาวโลกละความเห็นแก่ตัวแล้วกระจายสู่คนอื่น ให้รู้จักพอ ผู้ใดพอระดับหมื่นล้านเลวร้ายมาก แม้พันล้านก็เลวแล้วมันเกินไป ชีวิตคนจะเอาอะไรนักหนา แม้จะสร้างกิจการขยายงาน คุณก็ลงทุนไป แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของคุณ คงคลังของคุณ ไม่ควรมีถึงพันล้านหรอก มีบาทเดียวก็มากแล้วคงคลังนี่นอกนั้นคุณก็จะหมุนเท่าไหรก็หมุนไป คุณเก่งจะหมุนเป็นหมื่นล้านก็ทำไป ได้มาก็สละแจกไปแจกคนใกล้ถึงคนไกล ลดให้แก่ลูกค้าอีก แจกได้อีก นี่คือคนประเสริฐเป็นอาริยบุคคล ยิ่งคนเก่งที่สุดตนเองไม่ต้องมีสักบาทแต่อยู่ในสาธารณโภคี ตนเองก็ทำงานแล้วก็สะพัดออกไปรับรองว่าไม่มีใครไม่นับถือ 

เคยยกตัวอย่างว่าถ้าเป็นผู้บริหารบริษัทแต่เอารายได้ทรัพย์สินที่ได้มาปันผลที่ได้มาแจกจ่ายให้ลูกน้องหมดตนเองก็จนลงแต่ลูกน้องก็จะรวยกว่า ถามว่าเจ้าของบริษัท ที่สุดท้ายเขาไม่มีของตนเองเลยด้วยหลักฐานนิตินัย แล้วลูกน้องจะฆ่าเขาไหม ลูกน้องคนใดคิดฆ่าเขา เอาเขาออก ลูกน้องคนนั้นจะถูกลูกน้องคนอื่นที่นับถือเขาฆ่าใช่ไหมสำหรับคนเลวที่ไม่กตัญญูเขาจะเอาไว้หรือ

เคยคิดตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสว่าจะตั้งบริษัทแท็กซี่ให้เขาเช่าแล้วส่งค่าแท็กซี่ เราก็เอาเงินของเขาที่จ่ายมา มาบริหารจัดการให้เขา สุดท้ายให้ผู้ที่มาเช่านี้จะได้แท็กซี่ไปเป็นสมบัติของเขาได้เลย คนใหม่ก็จะมาเพิ่มขึ้น หมุนเวียนไปอย่างนี้

 สรุปแล้วจิตของคนที่ปฏิบัติตามคำสอนพระเจ้าอย่างได้ผลจะมี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

ผู้ที่มาเสียสละได้มากเท่าไหร่ ราคาการสละก็สูงๆๆ ยกกำลัง ถ้าไปเสียสละในหมู่คนที่ฐานะไม่สูง เป็นคนขี้โลภจัดๆ มันก็ได้ขนาดนั้น ไปในฐานะคนดีกว่านั้นโลภน้อยกว่านั้นกัลยาณชนลงมาไปเสียสละในนั้นก็ค่าการเสียสละไม่แพงเท่าไหร่ ยิ่งมาเสียสละในหมู่คนที่เสียสละด้วยกันยิ่งมีค่ามาก ยิ่งเสียสละในหมู่อรหันต์ยิ่งมากหลายเท่า ส.ฟ้าไท ว่า มาเป็นหุ้นส่วนกับอาริยชนดีกว่า

ในเรื่องการบริหาร ทุกวันนี้ประเทศก็ลำบากเรื่องบริหาร สงสารตรงที่ว่าผู้บริหารเหล่านั้นไม่เป็นอาริยบุคคล ไม่เรียนรู้จักกิเลสตนแล้วลดกิเลสไปตามลำดับ

 

ธรรมะกับการเมือง

มาถึงบทความของคุณเปลว สีเงิน

ถ้าจะเปลี่ยนประเทศ คนไทยทั้งประเทศจะได้รับของขวัญปีใหม่ชิ้นใหญ่อยู่ชิ้นหนึ่ง

แต่ต้องรอหลังฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปแล้วครับ!

วันที่ 11-17 มกราคม 2559 กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะเปิดรายละเอียดร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา

ชอบ ไม่ชอบ จะด่า หรือสนับสนุน ตามอัธยาศัย

เบื้องต้น "มีชัย ฤชุพันธุ์" ประกาศเอาไว้ชัดเจน

“เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ จะทำให้การเมืองมีทิศทางเป็นไปตามธรรมชาติ ขจัดคนทุจริตออกไปจากวงการเมือง มีการทุจริตน้อยลง ในขณะที่การตรวจสอบการทุจริตเพิ่มมากขึ้น กลไกทางการเมืองก็จะสอดคล้องกับบริบทของสังคมไทย มีคนมาถามผมว่า กรธ.กลัวพรรคการเมืองพรรคโน้นพรรคนี้ ขอยืนยันว่าเราไม่กลัว และไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อกีดกันพรรคการเมืองใด ขอให้ได้พรรคใดก็ได้ที่เข้ามาแล้วบริหารบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม”

จะว่า "มีชัย ฤชุพันธุ์" ขายฝันก็คงจะพูดได้

แต่หากมองในมุมนักกฎหมาย การเขียนรัฐธรรมนูญให้มีกลไกที่สามารถปราบการทุจริตได้จริง มันไม่ง่ายครับ!

เพราะต้องคำนึงถึงผลของการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญด้วย

การเมืองที่มีทิศทางเป็นไปตามธรรมชาติ ขจัดคนทุจริตออกไปจากวงการเมือง แค่ฟังก็ยากแล้ว แต่ถ้าตีให้ถูกจุด ถือว่าเปลี่ยนประเทศได้เลยทีเดียว

ประเทศไทย หากปราศจากนักการเมืองชั่ว กับ การคอร์รัปชัน ก็แทบไม่มีปัญหาอื่นให้แก้ไขกันเท่าไหร่แล้ว

เบื้องแรก      การยกร่างรัฐธรรมนูญถูกกำหนดโดยมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557

มาตรา 35 กำหนดให้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้ครอบคลุมเรื่องดังต่อไปนี้ด้วย

(4) กลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและตรวจสอบมิให้ผู้เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเคยกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรม เข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเด็ดขาด

ตรวจสอบจากที่กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญเขียนไปแล้ว การปราบโกงดูจะไปเน้นหนักที่ คุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

เช่น การกำหนดคุณสมบัตินายกฯ และรัฐมนตรี เพิ่มเติมประเด็นการมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน

กำหนดให้มีหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี เพื่อกำกับการทำงานให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อป้องกันไม่ให้ใช้อำนาจการบริหารที่อาจก่อให้เกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ หรือการเงิน หรือวินัยการคลัง และเพื่อให้เป็นมาตการการตรวจสอบฝ่ายบริหาร

หาก ครม.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่อาจเป็นเหตุให้ถูกร้องเรียนเพื่อขอให้ตรวจสอบและอาจมีผลต่อการพ้นจากตำแหน่ง

กรณีที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งซึ่งอาจด้วยเหตุฝ่าฝืนการกระทำที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดกัน หรือการไม่ปฏิบัติหน้าที่ บุคคลผู้นั้นต้องเว้นวรรคการเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้การฝ่าฝืนการปฏิบัติหน้าที่หรือกระทำการที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์นั้นอาจนำไปสู่การพิจารณาและตัดสินให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้

เพิ่มคุณสมบัติผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ให้องค์กรอิสระประชุมกำหนดมาตรฐานจริยธรรม

ห้ามนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี มีหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทเอกชน และห้ามเป็นลูกจ้างใดๆ หากฝ่าฝืนให้พ้นจากตำแหน่ง และไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่ง รมต.ได้ภายใน 2 ปี

สำหรับคุณสมบัติ ส.ส. การสั่งเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง จะเป็นอำนาจของศาล

ถ้าเกิดกรณีที่มีการยุบพรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญ ผู้บริหารจะถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง ไม่ใช่สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง

การเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นของใหม่ในรัฐธรรมนูญ จึงยังไม่เคยมีใครถูกเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งมาก่อน

การถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง จะมีผลให้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ มีเวลาจำกัด 5 ปี แต่การเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง จะสมัครไม่ได้ตลอดชีวิต แต่มีสิทธิ์ไปลงคะแนนได้

ครับ...คร่าวๆ ที่พอจะจับมาแสดงเป็นตัวอย่างได้!

แต่...แค่นี้พอแล้วหรือที่จะขัดขวางไม่ให้นักการเมืองทุจริต?

ที่ผ่านมานักการเมืองพัฒนาวิธีโกงได้แยบยลขึ้น หลายครั้งเราจะเห็นว่าคนที่ต้องรับโทษแทนคือ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ

กรณีเงินสดพันล้านในบ้าน "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่เรื่องแดงขึ้นมาเพราะโจรมีปัญญาขนไปแค่ 200 ล้านบาท

เงินสดเยอะขนาดนั้นปัจจุบันยังล่องหน ไปอยู่ในมือใคร วันนี้ไม่มีการพูดถึงแล้ว

นี่เป็นตัวอย่างของการขี้ไม่สุดในการปราบคอร์รัปชัน

และนักการเมืองมักรอดเสมอ!

ปัญหาท้าทายที่กรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องนำไปขบคิด การกำหนดคุณสมบัตินายกฯ และรัฐมนตรี เพิ่มเติมประเด็นการมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชนนั้น จะถูกนำไปแปลความที่ต่างกัน

ในเมื่อวันนี้ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยมองว่า ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีจริยธรรม เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน

แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร?

ความนิยมในตัวนักการเมือง กับ ความซื่อสัตย์ สุจริต มีจริยธรรม คุณธรรม ถูกแยกจากกันมานานแล้ว

เพราะการตัดสินใจเลือกตัวแทน หรือที่เรียกว่าเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น มีพื้นฐานจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน

ดี-เลว เป็นเรื่องรอง ทุกวันนี้มันถึงได้ฉิบหายกันอยู่

ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่า หลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้แล้ว ประเทศจะเปลี่ยนโฉมไปทันที มีแต่นักการเมืองน้ำดี

ในบรรยากาศประชาชนแบ่งเป็น 2 ค่ายเช่นนี้ เราต้องใช้เวลาอีกพอควรครับ

สุดท้ายจึงอยู่ที่ประชาชนครับ ว่าตื่นรู้ทางการเมืองหรือไม่

พูดเรื่อง "ตื่นรู้" ที่เห็นตั้งแก๊งอ้างเป็นนักศึกษาวิ่งพล่านอยู่ในวันนี้ เสียดายครับน่าจะตื่นซะก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557

ดันมาตื่นเอาตอนโจรถูกจับแล้ว!

ไม่ง่ายที่จะทำให้ประชาชนแยกนักการเมือง ชั่วน้อย กับชั่วมาก ออกจากกัน

ที่สำคัญไม่อาจเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญได้

แต่การยกระดับคุณภาพของประชาชน สามารถทำได้ด้วยการปฏิรูปการศึกษา เรื่องนี้เหมือนหยิบเอาเรื่องนามธรรมมาพูดกัน

ที่เป็นนามธรรมเพราะ ไม่เคยมีการทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรมจับต้องได้ แม้ครั้งเดียว

หลายประเทศในโลก เปลี่ยนประเทศด้วยการเริ่มต้นที่ปฏิรูปการศึกษา ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ

สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

หากจะลอกแบบไม่ต้องไปไกลถึงยุโรป อเมริกา เอาข้างบ้านเรานี่แหละครับ วัฒนธรรม วิถีชีวิตใกล้เคียงกัน ปรับโน่นนิดนี่หน่อย ก็ใช้ได้แล้ว

ธรรมชาติคนไทยพูดกันง่ายครับ แต่ต้องจี้ให้ถูกจุด

ใช้ประโยชน์จากไทยมุง ตัดผลประโยชน์ส่วนตัวออกให้หันมามุงเรื่องส่วนรวม

ร้อยเรียงความรู้เรื่อง สิทธิ และหน้าที่เสียใหม่

ถ้ายังคิดว่ายาก ก็คงต้องร่างรัฐธรรมนูญกันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ.

พ่อครูว่าหน้าที่ของมนุษยชาติที่ดีที่สุดคือ หน้าที่ที่เห็นแก่ส่วนรวม  จะเจริญขึ้นต้องเห็นแก่ส่วนรวมเพิ่มขึ้นให้เห็นแก่ส่วนตัวก็คือเลวลงหรือเลวขึ้น คนเราต้องรู้จักสิทธิและหน้าที่ผู้ที่มาร้องว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายเข้าออกมาแล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วต้องรับของประเทศไหนก็เช่นนี้เมื่อคุณอยู่ในประเทศในสังคมไหน ถ้าไม่รับกฎเกณฑ์ของประเทศนั้นแล้วสิทธิมนุษยชนจะเกินกว่าสังคมนั้นคุณก็ออกไปจากประเทศนี้เสีย ยิ่งคนมาตะโกนอยู่คนเดียวก็บ้าแล้วเพราะคนอื่นเขาก็รับกฎเกณฑ์นี้คุณจะรักกฎเกณฑ์นี้ก็ต้องหาประชากรของประเทศนี้เกินกว่าครึ่งหนึ่งกฎเกณฑ์นี้

เราเข้าใจสิทธิและหน้าที่ คนไม่เข้าใจเพียงพอก็ละเมิด สังคมใดมีวัฒนธรรมมีกรอบแล้วคุณอย่าเลยกรอบนี้ ไม่เช่นนั้นคุณต้องหนีจากประเทศนี้สิ ในกรอบของสิทธิมนุษยชนก็อย่าดันทุรังไม่รู้ขอบเขต ประเทศเขากำหนดเช่นนี้ แต่ก็บอกว่าประเทศอื่นก็ยังทำได้ คุณก็ต้องไปอยู่ประเทศโน้นสิ นี่คือคนไม่รู้สิทธิหน้าที่ คนมีหน้าที่ช่วยสังคม

ที่เราไปประท้วงไปแสดงน้ำหนักของความจริง ไปแสดงความเอื้อเฟื้อเจือจาน แสดงความรับผิดชอบ ไปช่วยเขาได้ไปอยู่แนวหน้าได้ ไม่ใช่อวดดี แล้วมีสิ่งลึกซึ้งคือธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม จะเรียกโดยภาษาเทวนิยมคือพระเจ้าคุ้มครองคนประพฤติธรรม ชาวอโศกถึงไม่ตาย ออกมากี่ยกแล้ว มีแค่ถลอกปอกเปิกเท่านั้น เขาเอาระเบิดมาลงก็ตาม เรายังไม่ถูกสะเก็ดระเบิดเลย  มีคนบาดเจ็บบ้างก็เป็นค่าที่เล็กน้อย ทั้งที่ไปอยู่แนวหน้ากันแต่ก็ไม่โดน

จริงของคุณเปลว ในประเทศใดสังคมใดที่ต้องร่าง รธน. ไปเรื่อยๆคือสังคมยังไม่ฉลาด อย่างอินเดียมี รธน. เดียวของเอ็มเบ็ดก้า หรืออังกฤษก็ไม่มี รธน.เลย เขาก็อยู่ได้ เป็นต้นฉบับปชต. เขาก็อยู่ได้โดยรากเหง้าของประชากร เขาก็เป็น ปชต.สองขา เขามีในหลวงมีนายกฯ ออกจากอังกฤษไปตั้งอเมริกา อวดดีเป็น ปชต.ขาเดียว ทุกวันนี้เป็นไง ปชต.ขาเดียว กับแบบสองขาที่เกิดก่อน ใครเป็นอยู่สุขกว่ากัน พอดูออกไหม

ยกตัวอย่างเป็นตัวตนเลย คุณว่าสมเด็จพระราชินีอังกฤษกับโอบาม่าใครเป็นสุขกว่ากัน หรือแม้แต่นายกฯของอังกฤษกับโอบาม่าก็ตาม ส่ิงเหล่านี้เราดูได้จากสัจจะ อาตมาแสดงตามภูมิของอาตมา

ข้าราชการคือผู้ไปรับใช้ประชาชนแล้วรับเงินเดือนเลี้ยงชีพ รู้ตัวไหมว่าข้าราชการคือข้าทาสรับใช้ประชาชน ต้องเสียสละให้ประชาชน แต่กลับทำตัวเป็นเจ้านายไม่รับใช้ปชช.จริง (ประชาชน) ก็เป็นขบถต่อปชช. ไม่ว่าขรก. (ข้าราชการ) การเมืองหรือขรก.ประจำก็เป็นข้ารับใช้ปชช.จริง คุณอาสาไปทำนะ แม้พ่อแม่จับยัดแต่ถ้าคุณไม่ยอมก็ไม่ได้ สรุปคือคุณต้องสมัครเข้าไปถึงได้ หรือนักการเมือง ถ้าสมัครเอง คุณว่าคุณจะไปเป็น นกม. (นักการเมือง) ก็ว่าอาสารับใช้ ปชช. ก็ทำโดยไม่มีนิตินัย แต่ถ้าเป็นนิตินัยก็รับใช้โดยนิตินัย แต่ถ้าไม่มีนิตินัยก็เป็นนกม.โดยอาสาโดยพฤตินัย นกม.ที่อาสารับใช้ปชช.โดยไม่เอาสิ่งตอบแทนคือ นกม.ตัวจริง นกม.ที่อาสาไปทำแต่รับค่าตอบแทนแม้ได้รับเลือกจาก ปชช. แต่รับค่าตอบแทนไม่ใช่ นกม.ตัวแท้กว่าผู้ที่ไม่รับเงินตอบแทนจาก ปชช. อโศกไม่รับเงินเดือนจากใคร แล้วทำงานรับใช้ ปชช. คือ นกม.ตัวแท้ นี่ก็ใช้ นกม.หัวโล้น

สรุปคือชีวิตคนเราถ้าทำงานเพื่อผู้อื่นมากเท่าไหร่ ก็ตาม เผื่อแผ่จากคนของเรา เป็นสังคม เป็นประเทศไป ยิ่งกว่าในประเทศออกไปเผื่อนอกประเทศก็ยิ่งมีประสิทธิภาพของคน คุณค่าประโยชน์ของคน พหุชนหิตายะ โลกานุกัมปายะ อันนี้แหละ คนเราอย่างในหลวงตรัสว่าเราต้องมาขาดทุน อย่าไปหากำไรในโลก ขาดทุนก็อยู่ได้ ขอยืนยัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน กำไร-ขาดทุน 2 แบบ(2)

 

อาตมาเตรียมร่างอะไรมาเพื่อจะอ่านให้ฟังสองแผ่น

                   

                      กำไร-ขาดทุน 2 แบบ

          กำไร ของโลกียะ คือ ไม่ยอมขาดทุน ทั้งทางวัตถุ โดยเฉพาะ ทางจิตใจ จะต้องได้เปรียบเสมอ
          กำไร ของโลกุตระ คือ ขาดทุนจริงๆ ทั้งทางวัตถุ โดยเฉพาะ ทางจิตใจจะต้องเสียเปรียบเสมอ
          ขาดทุน ของโลกียะ คือ ได้มาไม่เท่าทุน ไม่เกินทุนที่ลงไป ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ เป็นที่สุด
                   แม้หมดหวังว่า จะได้กลับคืนตอบแทนมาในอนาคตข้างหน้า ไม่ชาตินี้หรือชาติหน้าก็ตาม ก็ยังมีอนุสัยที่ไม่หมดตัวตน ยังหวังว่าจะได้เหลืออยู่ในจิตลึกก้นบึ้งสุด โดยที่เจ้าตัวไม่สามารถรู้จักกิเลสนี้
          ขาดทุน ของโลกุตระ คือ ได้มาไม่เท่ากับทุนที่ลงไป ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ โดยเฉพาะ ไม่หวังว่า จะได้กลับคืนตอบแทนมาในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า  ชาวโลกุตระแต่ละระดับก็จะยินดีที่ตนขาดทุนได้ตามลำดับภูมิธรรมของตน คนผู้มีอรหัตตผลก็ไม่มีจิตหวังคืนเลยเด็ดขาด
          กำไรสูงสุด ของโลกียะ คือ ได้มาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดกาล จะมีแต่ได้เพิ่มที่ยิ่งๆขึ้นไปๆๆ
          กำไรสูงสุด ของโลกุตระ คือ ได้เสียสละไปจากตนจนหมดสิ้น ไม่เหลือเศษ เป็นสูญอยู่เสมอ
          กำไรของโลกียะ จึงเป็นความโลภที่ไม่มีวันหมดสิ้นเด็ดขาด มีแต่จะโลภยิ่งๆขึ้น
          กำไรของโลกุตระ จึงเป็นความหมดสิ้นความโลภอย่างเด็ดขาด ไม่มีความโลภเกิดในใจอีก
          โลกียะ แม้จะขาดทุนหรือเสียไป ก็จะยอมเสียบ้าง แต่ยังหวังจะได้คืน ไม่คราวนี้ก็คราวหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า
          โลกุตระนั้น ยินดีขาดทุนจริง สละไปจริง ยอมเสียจริง ไม่หวังได้คืน ไม่ว่าคราไหน ชาติไหน
          โลกียะ จึงเป็นผู้ขาดทุนไม่จริง จะขาดทุนอย่างมีเล่ห์ ขาดทุนอย่างใช้ความฉลาดแกมโกง (เฉกาไม่ใช่ปัญญา) และขาดทุนเพื่อจะได้มายิ่งๆขึ้นในอนาคตทั้งนั้น
          โลกียะคือ ระบบทุนนิยมแท้หรือเทียม เท่านั้นในโลก เพราะลดกิเลสไม่ได้จริง เพราะลดกิเลสไม่เป็นโลกุตระ คือ ไม่สามารถจับตัวสมุทัยคือ ตัวกิเลส และไม่มีวิธีที่จะกำจัดมันได้อย่างเด็ดขาด เหมือนระบบบุญนิยม โลกียะไม่มีบุญ คำว่าบุญนี้เป็นวิธีหรือเครื่องกำจัดกิเลสได้จริง ในศาสนาพุทธ
          ส่วนโลกุตระคือ ระบบบุญนิยมจริง เป็นไปตามลำดับตามที่ทำได้จริง หรือยังไม่เต็มที่ แต่ก็พยายามลดกิเลสอย่างมีวิธีที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะมีวิธีหรือเครื่องกำจัดกิเลส (บุญ) ที่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น 
          สรุปแล้ว เศรษฐกิจจริง ของชาวโลกีย์นั้น เป็นทุนนิยมแท้ วนเวียนอยู่ ไม่หยุดจริงแท้ลงได้ สมบัติผลัดกันชม  ส่วนเศรษฐกิจจริง ของชาวโลกุตระนั้น เป็นบุญนิยมจริง สุดแห่งที่สุดหยุดวนเวียนเด็ดขาด

          ความเป็นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในระบบเผด็จการ หรือคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่ประชาธิปไตย ก็ตาม
          ของชาวโลกีย์ ก็จะเป็นทุนนิยมตลอดกาล มีแต่กิเลสหนักหนาสาหัสยิ่งๆขึ้น หรือเบาบางชั่วคราว แล้วก็จะยังวนเวียนอยู่ตลอดกาล ทุกระบอบ ไม่ว่าเผด็จการ-คอมมิวนิสต์-ประชาธิปไตย ที่ยังเป็นโลกียะ
          ส่วนชาวโลกุตระ จึงจะเป็นบุญนิยมที่จริงเด็ดขาด ลดกิเลสจริง และหมดสิ้นกิเลสจริงเที่ยงแท้ (นิจจัง) ยั่งยืน (ธุวัง) ตลอดกาล (สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนแปลงอีก (อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้ (อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ (อสังกุปปัง) หมดสิ้นกิเลสความเห็นแก่ตัวแท้จริง เสียหรือสละแก่ผู้อื่นอยู่อย่างจริงใจ ตามภูมิของคนที่เป็นโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี ถึงอรหันต์สูงสุดก็หมดตัวหมดตนเกลี้ยงสิ้นอย่างแท้จริง   

          ความเป็นเศรษฐกิจ ของชาวโลกีย์ กับของชาวโลกุตระ จึงแตกต่างกันอย่างยิ่ง เดินทางคนละทิศ
          แม้แต่ความเป็นเศรษฐกิจพอเพียงของชาวโลกีย์ก็ยังเป็นทุนนิยม ของชาวโลกุตระเท่านั้นที่เป็นบุญนิยม จึงแตกต่างกันอย่างลึกซึ้งที่มีนัยสำคัญ โลกปัจจุบันนี้ก็มีได้ ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสัมมาทิฏฐิ.
          “เศรษฐกิจพอเพียง” ต้องเป็นโลกุตระ เป็นบุญนิยม จึงจะขาดทุนของเราคือกำไรของเราจริง และเราก็จะอยู่ในสภาพ “คนจน” เสมอ ไม่มีวันรวยเลยในฐานะตัวเราพอใจเอง

 

                       

 ความจนหรือความมั่งคั่งกันแน่ ที่ยั่งยืน       *********************************************************************************

          ความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ใช่หลักประกัน ที่มั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ ตลอดไป อย่างแน่นอน เด็ดขาด
          เพราะมีเหตุมากมาย หลายเหลือ ที่จะเซาะบ่อน ชอนไช ยื้อแย่ง แข่งข่ม ถล่มทะลาย ถึงขั้นเข่นฆ่าคนผู้มั่งคั่งร่ำรวย เพื่อเปลี่ยนแปรความมั่งคั่งร่ำรวยที่ได้ที่มีแล้วนั้น ให้กลายกลับไปเป็นความจนได้อยู่ตลอดเวลา จริงๆ
          ความมั่งคั่งร่ำรวยโดยตัวมันเองแท้ๆ ไม่ว่าความมั่งคั่งร่ำรวยจะมากล้นยิ่งใหญ่ที่สุดปานใดๆ หรือจะมากขึ้นๆไปอีก จะน้อยลงแล้ววนกลับไปมีมากขึ้นอีก วนอย่างไรก็เถอะ
          ความมั่งคั่งร่ำรวยนั้น ก็ไม่มั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป จริงเท่ากับคนจนผู้มีความรู้ความสามารถ และขยันหมั่นเพียร อยู่แท้ 
          เพราะคนจนชนิดนี้ไม่ต้องการความร่ำรวยอีกแล้ว ชีวิตพอเพียง มีพออยู่พอกิน พึ่งตนเองได้-สร้างสรรเลี้ยงตนรอด มักน้อย-ใจพอ-สันโดษ มีเหลือมีเกินกินเกินใช้ของตน ก็แบ่งแจกเจือจานผู้อื่นอยู่  ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เอาของผู้ใดมาเพิ่มเป็นของตนต่อไปอีก อยู่ในฐานคนจน หรือสภาพคนจนนั้นแหละ ที่ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป สงบ สบาย
          ความยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป นี้จึงเป็นหลักประกัน ที่เป็นสัจจะแน่นอน ตลอดกาลจริงกว่า
          เพราะไม่มีเหตุความร่ำรวย มาให้คนเซาะบ่อน ชอนไช ยื้อแย่ง แข่งข่ม ถล่มทะลาย ถึงขั้นเข่นฆ่า เพื่อเปลี่ยนแปรความจนที่ได้ที่มีแล้วนั้น ให้เปลี่ยนแปรกลายกลับไปเป็นความจนได้อีกแล้ว มีแต่จะยิ่งจนๆๆๆ ที่สุดหมดเนื้อหมดตัว หมดตัวตน เป็นสูญสำเร็จจริงนิรันดร
          แล้วคนทั้งหลายใช้ปัญญาตรองดูเถิดว่า คนมั่งคั่งร่ำรวยชนิดที่..ต่อให้เก่งแสนเก่งสุดๆอย่างไร ปานใด ก็เถิด ที่ยังอยู่ในสังคมโลก กับความจนชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิแท้ ซึ่งก็อยู่กับสังคมโลก เช่นกัน ฝ่ายไหนจะมั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป จริงกว่ากันแน่..????


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:34:35 )

581227

รายละเอียด

581227_พ่อครูให้โอวาทปิดอบรมเชิงปฏิบัติการบุคลากรบุญนิยมทีวี

สื่อธรรมะพ่อครู(สื่อสารบุญนิยม) ตอน บุญนิยมทีวี

พ่อครูว่า….ก็ปรับปรุงกันไปเรื่อยๆดี ที่เห็นข้อบกพร่องคือ ไม่เหมือนที่ๆมีนายจ้างลูกจ้าง อาตมาผ่านงานที่เป็นบริษัทนายจ้างลูกจ้าง เขาจะไม่ให้บกพร่องในหน้าที่ มีผู้ดูแลเวที (floor manager) ใครจะออกจะเข้าจะส่งเสียงมีผู้ดูแลหมด แต่ของพวกเรานี้ไม่มี จะไปจะมาอย่างไรไม่มีใครดูแลเลย เป็นความจริงที่ไม่อยู่ในหลัก ในสภาพที่ไม่น่าถ่ายทอดให้คนดูทางบ้าน

ดูว่า ถ้าเป็นคนดูทางบ้านจะรู้สึกว่าไม่ให้เกียรติคนดูทางบ้าน ถ่ายส่งๆไป อันนี้บอกพร่องมาก จะต้องพยายามศึกษา หน้าที่ Floor manager ภายในช่วงที่ออกอากาศต้องมีผู้ดูแล รู้อะไรควรให้ออกหรือไม่ออก มีอำนาจให้ออกหรือไม่ออกในบริเวณที่รับรอง

สองช่างกล้องเห็นว่าหายาก ไม่ครบ แต่ถึงอย่างนั้น ปฏิภาณดูแล ผู้ควบคุมกล้อง director เป็นผู้กำกับรายการ รู้ล่วงหน้าได้หมด ของเราก็ต้องดู แต่อาจไม่รู้หมดก็ไม่เป็นไร พอรู้คร่าวๆเป็นแนวทางนั่นหนึ่ง

กล้องขาดตกบกพร่องแล้วไม่ค่อยมีคนมาทำ แม้มีมาทำนี่ก็ไม่ค่อยมีคนบอกสอน เช่นตอนนี้คนพูดอยู่นี่กล้องก็แช่อยู่ที่คนพูด แต่ที่กล่าวชื่อเสียงแนะนำคนนี่ แนะนำใครไปควบจับกล้องที่คนนั้น ให้ทางบ้านได้ดู เรามีหน้าที่ที่จะให้เขารู้ เหมือนเราต้องเขียนชื่อ บอกอะไรไปในชื่อ หรือที่พูดถึงใครก็ควรแพนไป ควรมีปฏิภาณ ไม่เช่นนั้นก็ตั้งกล้องนิ่งไว้ switchingก็กด

switching กับ director นั้นต่างกัน หรือถ้าไม่มี director จะswitchingเองเลยก็ได้ ในตัวเลย นี่เป็นงานที่จะต้องฝึกเข้าไปให้ได้

แต่ของเราเป็นงานอิสระ ไม่ได้จ้าง มีน้ำใจ ก็ต้องขอบคุณพวกเราถูไถมาได้ เจ็ดแปดปีแล้ว ช่องไหนๆก็ต้องจ้างพนักงานแพง แต่ของเราไม่ได้จ้างมีข้าวให้กินก็ดีแล้ว ของเราเป็นเรื่องจิตวิญญาณที่ได้สร้างสรร เป็นบารมีของธรรมะพระพุทธเจ้าเห็นควรก็มาช่วยกันไป

แต่ข้อบกพร่องที่พูดถึง ก็ควรพยายามดู ให้รู้กัน แล้วช่วยกันทำให้สมบูรณ์เต็มที่ ดีขึ้น นี่เป็นข้อบกพร่องในระดับหยาบๆ ไม่ลึกซึ้งถึงศิลปะอะไรเลย

ถ้าผู้ใดมีน้ำใจ เด็กๆที่ไม่ได้เข้ามาฟังเห็นว่าควรจะมาช่วยใครจะมาทำก็มาฝึก เห็นหน่วยก้านก็มาฝึก แล้วเป็นวิชาความรู้ติดตัว มาแล้วจะช่วยต่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ได้ความรู้ความสามารถสร้างให้ไปเอาตัวรอดได้ก็ดีแล้ว แต่จะกลับมามีกตัญญูมาช่วยก็ดี ผู้อยู่ประจำเลยหลายคนก็มีปักหลักอยู่ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ผู้ที่ตามมาก็ค่อยๆมาก็ดี

นอกนั้นก็มีปฏิภาณความรู้ที่เรียนมาจากตำรา อาตมาไม่ได้เรียนมาจากตำรา อาศัยการคลุกคลีกับงานมาจากได้รู้เห็นได้ทำจริง บางหน้าที่ก็ไม่ได้ทำเลยเช่น switching ทำแต่ผู้กำกับรายการ กำกับเวที โดยเฉพาะเป็นผู้จัดและออกรายการเอง นี่ทำมาก เป็นพิธีกร เป็นผู้หาเรื่องราว สร้างรายการต่างๆ ไม่ได้อยู่ฝ่ายเทคนิค ยิ่งเรื่องซ่อมแซมอะไรก็ไม่มีความรู้เลย

งานสื่อสารที่หลวงปู่ต้องทำ เพราะเป็นการเผยแพร่ธรรมะอย่างตรงสายเลย จึงจำเป็นที่กระเสือกกระสนทำสถานีโทรทัศน์ เป็นไปได้เพราะธรรมะแท้ๆ ไม่มีรายได้เลย นอกจากบางคนก็ส่งมาช่วยบ้าง มีเจ้าประจำคือโยมหวน เดือนละพันบาท นอกนั้นก็แต่ละชุมชนสมทบมา รวมเดือนๆหนึ่งจ่ายเป็นล้านบาทเลย ทั้งเช่าสัญญาค่าส่งก็ปาเข้าไปหลายแสน

ดีที่พวกเราไม่ได้เสียค่าเบี้ยเลี้ยงเงินเดือน ที่อื่นทำไม่ได้หรอก ที่เราทำได้เพราะมีธรรมะ ช่องธรรมะอื่นๆก็ทำไม่ได้เหมือนเราอาตมามั่นใจ เขาต้องจ้างไม่น้อยคนเลย ช่างเทคนิคก็ตาม อาจจะผู้เป็นพิธีกรอาจไม่จ่ายได้ แต่ช่างเทคนิคประจำไม่ใช่หาง่ายนะ แต่ของเราก็มีผู้ช่วยทำอยู่ จะสามารถบ้างไม่สามารถบ้าง ทำพังบ้างก็มี ไม่เจตนา แต่ไม่รู้เลยทำเสียก็ว่ากันไป

การสืบสานพวกนี้เห็นพวกเราขมีขมันเอาใจใส่ หาความรู้รวมกันเป็นพลังงานสร้างสรรเป็นสิ่งดีแล้ว ถ้าเข้าใจหลวงปู่ไม่ได้ทำเพื่อหาลาภ หายศสรรเสริญแก่ตน แต่ทำเพื่อมนุษยชาติแท้ๆ เป็นการกุศลที่จริง ผู้ใดได้มาฝึกก็ได้เรียนรู้ธรรมะไปด้วย ตนเองก็ลดละกิเลสไปด้วยได้ทั้งบุญทั้งกุศล

ส่วนเรื่องบุญนี้ทุกวันนี้เพี้ยนไป บุญไม่เป็นการชำระกิเลสแล้ว น้อยคนที่จะมาทำงานอยู่กับสังคมแล้วได้ลดละกิเลส ก็ศึกษาเอาให้ได้ส่วนกุศลนั้นได้แน่หากทำดีต่อไป ส่วนจะได้บุญ ก็ต้องศึกษารู้แนวทางการลดกิเลส ก็ทำการลดกิเลส

ถ้าทำงานคนเดียวทำหลายอย่างเกินไป แม้จะชำนาญก็พลาดได้ ควรมีช่วยกันหลายคน เดี๋ยวนี้เครื่องมือมีมากมาย เหลือเฟือแล้ว

เรื่องสื่อสารทุกวันนี้กลายเป็นสื่อที่หลงเป็นทาส แล้วหลงว่าเป็นเรื่องสนุกเพลิดเพลิน เป็นเรื่องเก่งเสียอีก ในหลวงเราตรัสไว้เป็นเรื่องลึกซึ้ง อาตมาถึงรู้ว่าในหลวงเป็นใคร ท่านตรัสมาแต่คนไม่เข้าใจกันมาก อ่านตรัสแบบคนจน แต่แม้นายกฯประยุทธยังบอกอีกว่าเราต้องต้องมั่งคั่งร่ำรวย

อาตมาพาทำนี้ หนึ่งอยู่รอด สองอยู่ได้ สามก้าวหน้า

ยกตัวอย่างการก้าวหน้าแรกๆ อาตมาก็ว่าจะอยู่ไหวไหม คนจะมาขอออกรายการ คุณทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มาขอของรายการเหมือนช่องอื่นๆ ซื้อรายการเข้ามา อาตมาก็บอกว่าไม่เอา จนป่านนี้ยังไม่มาตอแยกับเราอีก แต่ก่อนยังบอกว่าจะมาร้องเพลงให้แต่ก็ไม่มา แต่ก่อนเราหาโฆษณาอยู่บ้าง อาตมาก็ว่าได้ไม่คุ้มเสีย ขัดแย้งอุดมการณ์มาก ก็เลยหาทางพึ่งตนเองให้รอด

จนเกิดถึงทุกวันนี้ไม่มีโฆษณา หาเงินที่ใช้จ่ายจากพวกเรา นี่เป็นความเจริญเป็นความก้าวหน้า ไม่ใช่ก้าวหน้าโลกีย์ แต่มาลดๆๆ ทางโลกเขามีแต่จะเพิ่ม จนบางสถานีว่า ผอ.เงินเดือนห้าแสน แต่ที่นี่ผอ.ก็ทำหน้าที่ภารโรง แล้วทำจริงๆด้วย ไปช่วยเก็บขยะขัดเกลา เห็นไปหว่าผอ.บุญนิยมทีวี ถ้าไม่ดูหน้าเกลียดก็เอาออกอากาศบ้างว่าผอ.เราทำเช่นนี้ แต่ก็อย่าให้ดูเหมือนเราจงใจ แต่ให้มีศิลปะให้รู้ว่าผอ.เราไม่ได้ยึดติดอะไร ทำงานฟรี เป็นสัจจะที่หายากในสังคมโลก แล้วเราก็ง่าย ผอ.ไม่ต้องทำอะไรนอกจากเก็บขยะ ไม่ต้องเต๊ะท่า มีอะไรก็ติงบ้าง งานเบา แต่เบาโดยสัจจะไม่ใช่ขี้เกียจ

ส่วนงานที่พวกเราไม่ค่อยอยากทำ เช่นต้องไปเช็ดถู เอาไปทิ้งขยะ นี่คือสัจจะยิ่งใหญ่ยิ่งเล็ก ไม่ใช่ไม่มีสิ่งจริงรองรับ ไม่มีใครบังคับ เป็นสัจจะอันแท้จริงของพพจ.ที่แนวทางนี้

 

_อาผาภูถามว่า...อยากให้พ่อครูให้นโยบายบุญนิยมทีวี

 

พ่อครูว่า อาตมาเองก็ดึงไม่ขึ้นแล้วที่เคยพูดไป

 

นโยบาย บุญนิยมทีวี

 

1. เป็นโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง

2. เผยแพร่ธรรมะโลกุตระให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

3. สัมพันธ์กับสังคมให้ได้ทุกระดับยกเว้นระดับที่เป็นอบายมุข

4. เป็นโทรทัศน์ที่ไม่แสวงหาผลประโยชน์จากการเผยแพร่เลย

 

........พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ 25 พ.ย. 2558

 

ทุกวันนี้อาตมามีแต่จด แต่จำไม่มี จำหายไป ก็ทวนเอา ใครอยากได้ก็ไปถามเอาจากผู้เก็บไว้ เราทำเพื่อมนุษยชาติ ไม่ใช่ได้ลาภยศสรรเสริญ แต่ได้สรรเสริญก็มีโดยธรรม มันเป็นสิ่งดีก็ได้สรรเสริญโดยธรรม เลี่ยงไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวไม่ใช่ท่านได้สรรเสริญเพราะหาเสียง แต่ได้โดยธรรม สัจธรรม สุขก็ใจใครใจมัน แล้วแต่ใครจะเข้าใจสุขคืออะไรกัน

 

_อาในน้ำคำ อยากทราบ Road map ของปีนี้

 

พ่อครูว่า...สิ่งที่อาตมาcomment ไปเมื่อกี้นี้ในทางเทคนิค ส่วนทางจิตวิญญาณโดยรวมเราได้เสียสละเพื่อส่วนรวมเราทำอยู่แล้ว เพราะมันรวมในสัจจะความเป็นจริงทางจิตวิญญาณ ให้พัฒนาทางเทคนิคที่ให้ไป ไม่ว่าจะการจัดฉาก จะเข้าจะออก จะหมดเวลาไม่หมดเวลาของเราก็พอได้ แต่พวกที่เรียนตามตำราเป๊ะมาก็จะว่าเราใช้ไม่ได้ เขาเรียบเรียงมาเป็นแบบแผน แต่มันเป็นไปได้

เหมือนทางศิลปะ หรือโทรทัศน์เขาต้องการธรรมชาติมากกว่า ดราม่า แต่ทุกวันนี้หลงดราม่า แต่เราต้องการธรรมชาติ ใครจะว่าของเรานี่ ของเราออกอากาศถ่ายมีเสียงดังหรือมีใครเดินไปมา สมณะก็จัดบาตรไปก็มี เป็นแบคกราวด์จริง ทั้งนั้นแทบทุกวันเลย ถึงบอกว่าลึกๆพวกนี้ต้องการแบบนั้นเป็นธรรมชาติ แต่แท้จริงเขาสับสน มาแอค วิภูสนัฏฐานา แอคตลอดไม่เป็นธรรมชาติเลย จริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ โทรทัศน์พวกเราตกแต่งฉากก็ธรรมชาติเลย เป็นเรื่องซ้อนในสังคม อาตมาเรียนศิลปะมาจริงๆน่าจะสตริ๊กแต่อาตมารู้ว่าอะไรควร อะไรแข็งก็ปรับให้อ่อน ศึกษาดูให้ดีจะรู้ว่าคนเขาต้องการ แต่เขาไม่รู้แน่

ยกตัวอย่างเดินธุดงค์ อย่างพวกเราสมณะไปฝึกเดิน ฝึกความสงบ ความสัมผัสก็ทำ แต่ส่วนโลกอย่างธรรมกายจัดเดินธุดงค์ก็ดราม่าอย่างหนัก สร้างสิ่งประกอบให้หรูหรามีหน้าม้าครบเครื่องเลย แล้วคนก็หลงกันว่ายิ่งใหญ่ ใครจะมาทำได้ขนาดนี้ จริงย่ิงใหญ่ ไปจ้างคนปลูกดอกดาวรวย แล้วก็แอคไป แข็งเป๊กเลย อาตมาเห็นแล้ว แล้วทุกคนเลยผู้เดินต้องแบกกรดเหมือนกันใหม่งามท่าต้องตรงกันเป๊ะ เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาว่าสุดยอดแล้ว จัดระเบียบนั่งเป็นแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็เหน็ดเหนื่อย แต่เสร็จแล้ว เวลาศึกษาจริงๆอย่างนั้น เป็นเรื่องเสแสร้งอวดอันใดอันหนึ่งเท่านั้น แท้จริงไม่ใช่เรื่องจริงใจที่พอเหมาะพอดี ก็ค่อยเรียนรู้เข้าใจ แต่ไม่ใช่ทำเละๆแล้วบอกว่าเป็นธรรมชาตินะ

 

_คุณพิมพ์เพชรรุ้งถามว่า...อยากให้พ่อครูแนะนำพิธีกร

พ่อครูว่า ใช้ได้แล้ว ถ้ามีอะไรไม่เหมาะไม่ควรก็จะส่งสัญญาณเอง มากบ้างน้อยบ้างก็ใช้ได้แล้วขนาดนี้

พวกช่องธรรมะเขาไม่มีโฆษณาแต่ก็มีเรี่ยไร แต่ของเราไม่โฆษณาไม่เรี่ยไร ถ้าไม่อยู่ในกติกาเรามาบริจาคเราก็ไม่รับอีก

 

_อาดินนาบอกว่าทุกวันนี้เวลาเด็กเราไปถ่ายทำนอกพื้นที่ เขาก็จะให้เงินแต่เด็กเราก็คืนไป เขาก็รู้กัน บางทีก็เลี้ยงอาหารแทนเป็นต้น


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:35:30 )

581228

รายละเอียด

581228_เทศน์เปิดงานว.บบบ.ครั้งที่ 4​ โดยพ่อครู

พ่อครูว่า... วันนี้วันเริ่มต้นของวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ซึ่งอาตมาได้จัดแจงองค์ประกอบรวบรวมขึ้นมา และก่อสร้างให้เป็นกิจกรรม และกิจการอันหนึ่งขึ้นมาสำหรับมวลมนุษยชาติรวมไปหมด เพราะฉะนั้นที่นี่ไม่ได้กำหนดอายุ คนจะมาร่วมเข้าร่วมอันเดียวกันหมด จะสอบไล่ด้วยกันหมด ตั้งแต่กี่ขวบถ้าสามารถก็มาเลย นายปองเยี่ยมจะมาสมัครก็ได้ถ้าสนใจ อายุเท่าไหร่ก็ตาม อายุสูงสุดปีนี้คือ 85 ปี

 มาศึกษาร่วมกันแล้วก็จะแจกแจงไปตามฐานานุฐานะ เป็นงานและกิจการ ที่เสมอภาค เป็นความรู้ที่ทุกคน มาเอาตามฐานะของตน ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตามแต่ฐานะ เช่นอาตมาจะพูดถึงธรรมะสูง คนที่รับได้ก็ได้ รับไม่ได้ก็ไม่ได้ รับได้บ้างไม่ได้บ้างก็มี คนที่แม้จะพูดธรรมะขั้นต่ำไม่ยาก แต่ก็ดูถูก ไม่เอาความรู้ระดับต่ำมีอัตตามานะเขาก็ไม่ได้ เขาก็นึกว่าเขารู้แล้วเป็นธรรมชาติของคนที่มีมานะอัตตา แต่ที่ให้ไปเป็นความรู้ระดับ ต้น กลาง ปลาย

มาถึงวันนี้แล้วสังคมไทยกระเตื้องขึ้น จะกระเตื้องขึ้นมาแล้ว จนกระทั่งมีฟ้าแบ่งสี เมฆแบ่งเขต ในสื่อสารก็พูดกัน สิ่งเหล่านี้จะได้สัดส่วนอย่างอจินไตย

อาตมาปางนี้ก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พูดอย่างไม่ได้เก้อเขินอะไรไม่ได้ปิดบังไม่ได้ที่มีลักษณะของเก้อเขินเหนียมอายไม่มี ตรงๆ สะอาดบริสุทธิ์ พูดให้ตรงลัดสั้นให้เร็วที่สุด

อาตมาทำหน้าที่เต็มหน้าที่  ผู้ที่สนใจมาศึกษาก็เชิญชวนผู้ที่จะเห็นว่า ไม่ดีก็ไม่เป็นไรได้ประมาณนี้ก็ดี ปีนี้ได้ 674 คน ไม่ถึง 700 คน เท่าไหร่ก็เท่านั้น ผู้ที่จะมาร่วมทางนี้มันไม่ง่าย มันไม่ใช่เรื่องบำเรอกิเลสคน มันเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสคน ซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนว่ายาก จะมาเห็นดีเห็นงามว่าเราควรได้สิ่งนี้ควรเอาสิ่งนี้ ควรพยายามอุตสาหะลงทุนลงแรงบ่าวเรื่องนี้ ผู้นั้นก็มา ผู้ที่เห็นว่าไร้ค่าไม่สมควรเสียเวลาเสียแรงงานเสียทุนรอนเขาก็ไม่เอา

 เท่าที่ภูมิของอาตมามีเห็นว่าทุกวันนี้เมืองไทยเราได้แยกขั้วโลกียะกับโลกุตระออกแล้ว หรือแยกสามัญปุถุชนกับอาริยะชนแล้ว มีคนรู้มีตัวตนบุคคลจริงเข้าใจเห็นจริงก็รู้ได้ แล้วเต็มใจเสียสละเวลาทุนรอนแรงงานมาเอา

 

อ.เป็นต้น นาประโคนเขียนกวีมา

เรื่องฟ้าแบ่งสีเมฆแบ่งเขต

 

 นี่เป็นบทกวีของ อาจารย์เป็นต้น นาประโคน

 อาตมาก็จะเริ่มกลั่นว่า ว.บบบ.นี้ กำเนิดมาอย่างไร แล้วจะไปอย่างไร  เร่ิมจากการศึกษา 3 ของพระพุทธเจ้าให้มาแต่ไหนว่า คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีลธรรมนูญ ไปตามลำดับ ปฏิบัติศีลให้เกิดผล ขัดเกลากิเลสไป เห็นได้ในกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ซึ่งมโนกรรมจะมีพลังไปควบคุม กายกรรม วจีกรรม  เมื่อปฏิบัติแล้วจะมีประสิทธิภาพดีขึ้น ในลักษณะของจิต เจโตและตัวปัญญาความรู้ช่วยกัน 2 อย่าง เป็นธรรมะ 2 คู่กันตลอด

ถ้ามีหนึ่งเดียวสูงสุดคือ 0 ซึ่ง 0 ถือว่าไม่มีแล้ว ถ้าถือว่ามีก็คือว่างๆ แล้วจะมีอะไรเริ่มจาก 0 เพิ่มไป จุดเริ่มจุดแรกจะมีห้องว่างว่างหรือช่องว่างๆ เรียกว่า niche แล้วเร่ิมต้น ถ้าเป็นชีวะระดับพีชะ จะมีจุดหนึ่งติดอยู่กับผนังห้องว่างนี้ ขนาดไหนก็เร่ิมเป็นเซลล์ คือ มีผนังกับชีวะที่ติดอยู่ไม่หลุดจากกัน จนจะมีลักษณะมากกว่านั้น เคลื่อนออกจากผนัง เคลื่อนได้เมื่อใดเราเรียกว่าชีวะระดับจิตวิญญาณ

พืชจะเกาะติดกับอย่างอื่น แต่ถ้าหลุดออกมาได้ก็จะมี self คือจาก cell มาเป็น self ทุกอย่างไม่ว่ารูปธรรมหรือนามธรรม จะเริ่มจาก 0 ไป 1 ไป 2  ไป 3 ไป 4 ไป 5 ไป 6 เรื่อยๆ  หากไม่มีการสืบต่อไม่มีทศนิยมก็จะหยุดจะเสื่อม เจ้าตัวจะต้องสร้างเอง

จิตวิญญาณ มีสภาพทางลึกทั้งเล็กทั้งเร็ว ก็มีสภาพเป็นนามธรรม พวกศึกษาทางนามธรรมยิ่งรู้จักรูปธรรมสมบูรณ์ ยังอาตมานี้ไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์เคมี แต่ว่าอาตมามีพื้นความรู้ทางนามธรรมเรื่องจิต จึงสามารถรู้ความรู้ทางเคมีฟิสิกส์ เอาบัญญัติภาษามาใช้ได้  ความรู้เหล่านี้เป็นรากฐานของคนที่รู้แล้ว จะรู้พลังงานที่ดีกับพลังงานที่ไม่ดี แล้วเราก็จะขจัดพลังงานไม่ดีออกไปจากตัวเรา ช่วยให้คนอื่นรู้แล้วก็ช่วยขจัด เขาก็เขาขจัดของเขา ถ้าเราไปช่วยได้ก็ช่วยในรูปธรรม แต่ถ้านามธรรมไม่มีใครช่วยของใครได้ ไม่มีใครช่วยนามธรรมคนอื่นให้หลุดออกได้

 จุดสำคัญคือ จุดที่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรดีอะไรไม่ดีจนเราทำสิ่งที่ไม่ดีออกไปได้ชั่วตลอดกาลและนานและความดีก็ควบแน่นตกผลึก จนกระทั่งจับตัวแน่นจนไม่มีอะไรไม่มีพลังงานใดจะมาสลายอันนี้ลงได้ นี่คือพลังงานความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ยังยืนที่สุด  และที่สำคัญจับตัวได้แข็งแรงที่สุดแต่เจ้าตัวสามารถแยกมันออก อย่างจริงจังและเด็ดขาดได้ด้วย นี่คืออมตะบุคคลเป็นบุคคลที่ไม่ตาย แต่ถ้าจะตายเราทำความตายให้แก่ตัวเองไม่มีใครจะมีสิทธิ์ทำความตายให้แก่เราได้

 เราทำลาย สลายสิ่งที่เล็กที่สุดให้ได้ ส่วนอันอื่นนั้น เราไปตามวิบากกรรม ไปช่วยให้เขาออกไม่ได้เขาต้องออกของเขาเอง ให้เขายินดีของเขาเอง ก็สมัครใจของเขาเอง เรามีสิทธิ์เพียงทำตัวเราให้เขารู้ ถึงไม่มีการเบียดเบียนใครเลย มีแต่การแบ่งความรู้ ใครจะรับก็ได้ไม่รับก็ได้ ความรู้นี้ฟรี ใครเห็นว่าดีก็มาเอาไป ไม่เห็นว่าดีก็ไม่มาเอา ไม่มีใครเอาก็ทิ้งไว้ในมหาจักรวาลนี้ ถ้าตั้งอยู่ไม่ได้ก็หายไปเองที่สุดแห่งที่สุด

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความมี กับ ความไม่มี

 

…………………………………………………………………………...เช่น จับตัวกันขึ้นมาเป็นความร่ำรวยเป็นความมั่งคั่ง เป็นความดีมาก กิเลสของคนก็จะมีตัวตน เป็นตัวเราเป็นของเราก็จะใหญ่ ของเราก็มากๆ ฤทธิ์เดชก็จะเยอะ เป็นต้น เป็นลักษณะที่สะสม ตัวตน ธรรมดาธรรมชาติ

 ผู้ศึกษาแบบของพระพุทธเจ้า จะไม่สนใจเรื่องที่จะต้องสร้างตนเองให้ใหญ่ให้โต ให้มากให้รวยให้เยอะไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เอา แต่ศึกษาทางที่จะมาสู่การสลายตัวตนให้ได้ ผู้มาศึกษาสู่ความสูญ จะเป็นผู้ที่มีความรู้สิ่งที่มี ผู้จะศึกษาความไม่มีได้ จะต้องรู้ว่าเรามีอะไร แล้วทำให้เป็นความไม่มี จากความมีอะไรให้ได้เมื่อทำได้จริงก็จะเกิดความไม่มี ผู้ศึกษาที่เอาแต่ความไม่มี จะไม่รู้จักความมี ส่วนคนศึกษาแต่เฉพาะความมี จะไม่มีวันจะได้ศึกษาความไม่มี  พรุ่งนี้จะได้แต่ความมี แต่ผู้ศึกษาความไม่มี จะสามารถรู้ทั้งความมีและไม่มี ก็มันเกิดตัวตนก่อน เมื่อเกิดตัวตนก็เป็นธาตุรู้ที่สะสมมันก็มีตัวตน แล้วก็ต้องรู้ว่าตัวตนคืออะไร ก็คือความมี เราจะให้ไม่มีเราก็ต้องมีตัวมีก่อน แล้วถึงจะให้ไม่มี  ส่วนผู้ที่จะเอาแต่ความมี ก็ไม่สนใจความไม่มี ไม่มาศึกษาความไม่มี พวกนี้จึงรวย รู้แต่ความมี มันไม่ลงไปหาความไม่มี ก็เลยที่จะไม่มีทางรู้ตัวไม่มีที่เป็นตัวต้น เขาจะเอาแต่มีก็ไปหาความมีก็เลยไม่มีทางรู้ ว่าสุดท้ายจริงๆคือตัวไม่มี

 ที่ศึกษาเอาแต่ความมี หรือความรวย จึงไม่ใช่แบบพุทธเจ้า ประเทศไทยในหลวงเราตรัสเรื่องความจนหรือความไม่มี เป็นความขาดทุนของเราคือกำไรของเรา คือปราชญ์แท้ คือลูกของพระพุทธเจ้า  แน่ใจว่าท่านคือพระโพธิสัตว์

ความจนกับความมั่งมีนั้น ความไม่มีเป็นตัวแรก ไม่ใช่ความมีเป็นตัวแรก พูดจบว่าไม่มีได้สุดยอด ในขณะที่คุณยังไม่แตกสลายตัวเองมันก็คือความมี เพราะฉะนั้นจึงรู้ทั้งมีและไม่มี และสามารถจะสร้างความดีนั้นได้ตามที่ตัวเองประสงค์จะสร้างตามบารมี

 ผู้มีแต่ไม่รู้จักรู้แจ้งความไม่มี เขาไม่ศึกษาที่สุดของความไม่มี ก็จะเป็นคนขาดพร่อง ดูได้ทางเดียวแค่ความมี แต่ไม่สามารถรู้จักธรรมะ 2 เทวธัมมาคือ มีและไม่มีได้

ความจนคือ ความไม่มี กับความมั่งคั่งร่ำรวยคือความมี อะไรมันยั่งยืนกว่ากัน ก็คือความจน น่าจะเย็นได้อย่างไร เพราะไม่มีอะไรแต่เขามีมากๆ ควรจะยังยืนกว่าหรือไม่

 ความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ใช่หลักประกันที่มั่นคงยั่งยืนถาวรเที่ยงแท้ตลอดไปอย่างแน่นอนเด็ดขาด

       

           

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนหรือความมั่งคั่งกันแน่ ที่ยั่งยืน        ********************************************************************************
      ความมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ใช่หลักประกัน ที่มั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ ตลอดไป อย่างแน่นอน เด็ดขาด เพราะมีเหตุมากมาย หลายเหลือ ที่จะเซาะบ่อน ชอนไช ยื้อแย่ง แข่งข่ม ถล่มทะลาย ถึงขั้นเข่นฆ่าคนผู้มั่งคั่งร่ำรวย เพื่อเปลี่ยนแปรความมั่งคั่งร่ำรวยที่ได้ที่มีแล้วนั้น ให้กลายกลับไปเป็นความจนได้อยู่ตลอดเวลา จริงๆ

      ความมั่งคั่งร่ำรวยโดยตัวมันเองแท้ๆ ไม่ว่าความมั่งคั่งร่ำรวยจะมากล้นยิ่งใหญ่ที่สุดปานใดๆ หรือจะมากขึ้นๆไปอีก จะน้อยลง แล้ววนกลับไปมีมากขึ้นอีก วนอย่างไรก็เถอะ
      ความมั่งคั่งร่ำรวยนั้น ก็ไม่มั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป จริงเท่ากับคนจนผู้มีความรู้ความสามารถ และขยันหมั่นเพียร อยู่แท้
 
     
เพราะคนจนชนิดนี้ไม่ต้องการความร่ำรวยอีกแล้ว ชีวิตพอเพียง มีพออยู่พอกิน พึ่งตนเองได้-สร้างสรรเลี้ยงตนรอด มักน้อย-ใจพอ-สันโดษ มีเหลือมีเกินกินเกินใช้ของตน ก็แบ่งแจกเจือจานผู้อื่นอยู่  ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เอาของผู้ใดมาเพิ่มเป็นของตนต่อไปอีก อยู่ในฐานคนจน หรือสภาพคนจนนั้นแหละ ที่ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป สงบ สบาย
      ความยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป นี้จึงเป็นหลักประกัน ที่เป็นสัจจะแน่นอน ตลอดกาลจริงกว่า เพราะไม่มีเหตุความร่ำรวย มาให้คนเซาะบ่อน ชอนไช ยื้อแย่ง แข่งข่ม ถล่มทะลาย ถึงขั้นเข่นฆ่า เพื่อเปลี่ยนแปรความจนที่ได้ที่มีแล้วนั้น ให้เปลี่ยนแปรกลายกลับไปเป็นความจนได้อีกแล้ว มีแต่จะยิ่งจนๆๆๆ ที่สุดหมดเนื้อหมดตัว หมดตัวตน เป็นสูญสำเร็จจริงนิรันดร
      แล้วคนทั้งหลายใช้ปัญญาตรองดูเถิดว่า คนมั่งคั่งร่ำรวยชนิดที่..ต่อให้เก่งแสนเก่งสุดๆอย่างไร ปานใด ก็เถิด ที่ยังอยู่ในสังคมโลก กับความจนชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิแท้ ซึ่งก็อยู่กับสังคมโลก เช่นกัน ฝ่ายไหนจะมั่นคง ยั่งยืน ถาวร เที่ยงแท้ แน่นอน ตลอดไป จริงกว่ากันแน่..????

 

นี่เป็นภาวะของความรวยและความจนจึงเป็นภาวะที่เป็นจริง  เห็นว่าคนมาเป็นคนจนที่มีภูมิปัญญาแท้ ถึงยุคนี้สมัยนี้กาละนี้ คนมันฟูมฟักสร้างสรรค์ความเป็นคนฉลาดที่เรียกว่าปัญญาหรือเฉกาเขาก็ทำนะ ปัญญาก็ฉลาดคนละนัยกับเฉกา

 เพราะฉะนั้น คนในโลกนี้จึงมีสองทิศทางชัด ทิศทางคนที่มีตัวตน แล้วชอบความมั่งมีร่ำรวย กับทิศที่จะไปหาความสูญ ต่างคนต่างปฏิบัติประพฤติ มีพลังงาน มีอาการมีกิริยามีกรรม การกระทำคนละอย่าง  ถ้าจะเรียกโดยภาษาว่ากำไรกับขาดทุน มากขึ้นหรือน้อยลงทั้ง 2 แบบ จะใช้ภาษาบอกว่ากำไรมากขึ้นคือขาดทุนของเรา คนก็ฟังภาษาแล้วว่ากำไรคือสิ่งที่เราได้มา  เราจะได้ความน้อยลงน้อยลงก็คือคนเดินทางไปสู่ความร่ำรวย ใช่ไหม ไม่ใช่เค้าเดินทางไปสู่ความมากขึ้น จะเรียกว่าได้มาคือกำไร ก็ใช้พยัญชนะแทน  อยากรู้ว่ากำไรของเราคือขาดทุน ก็คือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ที่สุดแห่งที่สุดในหลวงตรัสท่านก็จบ ใครจะรู้ก็ช่างไม่รู้ก็ช่าง ท่านไม่เป็นลักษณะอิตถีภาวะ เป็นปุริภาวะ ปุริสภาวะตีทีเดียวจบส่วนอิตถีภาวะตีหลายทีก็ยังไม่จบ ส่วนปุริสภาวะทีเดียวแตกน็อก

 

 

                กำไร-ขาดทุน 2 แบบ

      กำไร ของโลกียะ คือ ไม่ยอมขาดทุน ทั้งทางวัตถุ โดยเฉพาะ ทางจิตใจ จะต้องได้เปรียบเสมอ
      กำไร ของโลกุตระ คือ ขาดทุนจริงๆ ทั้งทางวัตถุ โดยเฉพาะ ทางจิตใจ จะต้องเสียเปรียบเสมอ

 เป็นรถยนต์คันใหญ่ เครื่องดีประสิทธิภาพสูง แต่กินน้ำมันน้อยมาก ขึ้นต้นเองกินน้อยใช้น้อยและทำงานให้มากขยันให้มากสร้างสรรค์ จึงมีเหลือตลอดเวลาไม่ต้องไปเบียดเบียนไม่ต้องแย่งกับใคร
      ขาดทุน ของโลกียะ คือ ได้มาไม่เท่าทุน ไม่เกินทุนที่ลงไป ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ เป็นที่สุด
      แม้หมดหวังว่า จะได้กลับคืนตอบแทนมาในอนาคตข้างหน้า ไม่ชาตินี้หรือชาติหน้าก็ตาม ก็ยังมีอนุสัยที่ไม่หมดตัวตน ยังหวังว่าจะได้เหลืออยู่ในจิตลึกก้นบึ้งสุด โดยที่เจ้าตัวไม่สามารถรู้จักกิเลสนี้
      ขาดทุน ของโลกุตระ คือ ได้มาไม่เท่ากับทุนที่ลงไป ทั้งทางวัตถุ และทางจิตใจ โดยเฉพาะ ไม่หวังว่า จะได้กลับคืนตอบแทนมาในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า  ชาวโลกุตระแต่ละระดับ ก็จะยินดีที่ตนขาดทุนได้ตามลำดับภูมิธรรมของตน คนผู้มีอรหัตตผลก็ไม่มีจิตหวังคืนเลยเด็ดขาด

      กำไรสูงสุด ของโลกียะ คือ ได้มาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดกาล จะมีแต่ได้เพิ่มที่ยิ่งๆขึ้นไปๆๆ
      กำไรสูงสุด ของโลกุตระ คือ ได้เสียสละไปจากตนจนหมดสิ้น ไม่เหลือเศษ เป็นสูญอยู่เสมอ
      กำไรของโลกียะ จึงเป็นความโลภที่ไม่มีวันหมดสิ้นเด็ดขาด มีแต่จะโลภยิ่งๆขึ้น

      กำไรของโลกุตระ จึงเป็นความหมดสิ้นความโลภอย่างเด็ดขาด ไม่มีความโลภเกิดในใจอีก
      โลกียะ แม้จะขาดทุนหรือเสียไป ก็จะยอมเสียบ้าง แต่ยังหวังจะได้คืน ไม่คราวนี้ก็คราวหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า
      โลกุตระนั้น ยินดีขาดทุนจริง สละไปจริง ยอมเสียจริง ไม่หวังได้คืน ไม่ว่าคราไหน ชาติไหน
      โลกียะ จึงเป็นผู้ขาดทุนไม่จริง จะขาดทุนอย่างมีเล่ห์ ขาดทุนอย่างใช้ความฉลาดแกมโกง(เฉกาไม่ใช่ปัญญา) และขาดทุนเพื่อจะได้มายิ่งๆขึ้นในอนาคตทั้งนั้น
      โลกียะคือ ระบบทุนนิยมแท้หรือเทียม เท่านั้นในโลก เพราะลดกิเลสไม่ได้จริง เพราะลดกิเลสไม่เป็นโลกุตระ คือ ไม่สามารถจับตัวสมุทัยคือ ตัวกิเลส และไม่มีวิธีที่จะกำจัดมันได้อย่างเด็ดขาด เหมือนระบบบุญนิยม โลกียะไม่มีบุญ คำว่าบุญนี้เป็นวิธีหรือเครื่องกำจัดกิเลสได้จริง ในศาสนาพุทธ

ผู้ที่มีความสามารถกำจัดพลังงานที่จะเอามาให้แก่ตนได้ ถ้ามันได้ให้ศูนย์เลย นั่นแหละคือ พลังงานที่พิเศษ เรียกว่าบุญ เป็นพลังงานที่สามารถชำระพลังงานที่มันสะสมมาให้เก็บตัวนั้นได้จริง เรียกสภาวะนั้นว่าบุญ
      ส่วนโลกุตระคือ ระบบบุญนิยมจริง เป็นไปตามลำดับตามที่ทำได้จริง หรือยังไม่เต็มที่ แต่ก็พยายามลดกิเลสอย่างมีวิธีที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เพราะมีวิธีหรือเครื่องกำจัดกิเลส(บุญ) ที่มีในศาสนาพุทธเท่านั้น นอกจากไม่มีแล้วเขาไม่รู้ด้วย

 การเรียนรู้อาการของกิเลสที่มันเล็กละเอียดลงไป จนกระทั่งภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า นิวเคลียร์ ใช้ภาษาว่ากัมมันตภาพรังสี ที่เป็นรังสีกระจายออกไป แต่ถ้ามันนิ่งสนิทไม่มีอะไรก็ดี ก็ออกมาเลย มันก็ดำมืดอยู่ของมันจะเล็กจะใหญ่ขนาดไหนก็ตามไม่มีอะไร แต่ถ้ามันมีอะไรออกมา ก็จะกลายเป็นสภาพที่คุณสามารถสัมผัสได้ ที่คนสัมผัสได้มากที่สุดคือ แสง กับ เสียง

 แสงละเอียดเร็วแรงกว่าเสียง  ส่วนเสียงเบากว่าแสง เสียงก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง สัตว์โลกสัมผัสได้ด้วยหู บางชนิดสัมผัสได้ด้วยอวัยวะอื่น  จะรู้ได้ด้วยการสัมผัสถ้าไม่มีการสัมผัสก็ไม่มีทางจะรู้ได้ พลังงานจึงมีมากมายหลากหลายขนาด เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เป็นวัตถุ แล้วเปลี่ยนเป็นไอ เปลี่ยนเป็นลม เป็นอากาศ เป็นช่องว่าง  แสงบางอย่างโลกนี้ไม่มี แต่ที่พระอาทิตย์มีเป็นต้น ทั้งร้อนและแรงอยู่ในโลกนี้ไม่ได้

 

 “บุญ” คือการชำระให้หมด “ทุน” คือการเพิ่มไม่มีที่สิ้นสุด

คนที่จะอยู่ในทิศทางของบุญ หรือจะอยู่ในทิศทางของทุนก็อยู่ที่จะมาศึกษา ถ้าคุณมีเชื้อที่จะเป็นทุนก็ไม่มาหรอก มันเป็นสัจจะ มันเป็นตัวจริงของจริง ใครอยากได้ก็มาเอา มาก็ให้ ใครไม่อยากได้ก็ไม่มาเอาเป็นธรรมดาธรรมชาติ ถ้าไปยัดเยียดเขาเขาจะโกรธเขาจะรำคาญได้ เราจะไปทำทำไม  ถ้าเราไปตอแยจะให้เขามันเสียพลังงานจะทำไปทำไม ที่มาเท่านี้ก็เหนื่อยพอแล้ว เท่านี้ก็ยังมีทะเลาะกันเลย แต่อาตมาว่ามันอยู่ในขั้นผู้ดีที่นี่ไม่ทะเลาะกันแรงจัดจ้านเท่าไหร่หรอก ทำงานมา 45 ปีพวกเรานี้ทะเลาะกันก็น้อย ถึงขนาดลงมือจนเลือดไหล ก็ไม่มี  นี่คือโลกของอาริยะ โลก civilization ที่แท้จริง เป็นความเจริญจริงๆ

  คนที่ยังต้องการมาให้แก่ตนไม่มีจบ มีแต่จะมากขึ้น จึงอยู่ในเชื้อของทุนนิยม ผู้ที่ชัดเจนแล้วและประสงค์จะมาทิศทางนี้ เป็นสังคมทุนนิยมซึ่งมีจำนวนน้อย มาถึงยุคที่เป็นปลายยุคหยาบ พระพุทธเจ้าไม่มาเกิด ต้องให้โพธิสัตว์อย่างโพธิรักษ์ให้เหมาะสม ก็มาตามหาลูกหลาน ที่จะไปในตระกูลนี้จริงๆ ไม่จริงเขาก็ไม่มา ขนาดมาแล้วก็ถอยก็มี

ขอบอกนะอาตมาไม่มีเวลาไปตามพวกที่หนีไปนะ อย่าหาว่าใจดำใจจืด จะมาก็กรุณามาเถิด มาเอง อาตมาทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่ลำบาก เพราะเวลาไม่พอ แค่ตามเวลาก็ลำบาก อย่าให้ไปตามคนเลย

 ในโลกนี้คนที่มีตระกูลมีเชื้อของ “ทุนนิยม” ถึงเป็นคนละตระกูลเชื้อกับ “บุญนิยม” คำว่า เสฏฐะคือประเสริฐ คือเศรษฐี แปลว่าเจริญ ​แต่ทุกวันนี้คนเศรษฐีไม่เจริญ เป็นกฎุมพีไปหมดแล้ว คนประเสริฐคือคนที่กินอยู่ใช้พอตัว คือกินใช้ สูญ อยู่อย่าง สูญ มี แต่ สูญ
      สรุปแล้ว เศรษฐกิจจริง ของชาวโลกีย์นั้น เป็นทุนนิยมแท้ วนเวียนอยู่ ไม่หยุดจริงแท้ลงได้ สมบัติผลัดกันชม  ส่วนเศรษฐกิจจริง ของชาวโลกุตระนั้น เป็นบุญนิยมจริง สุดแห่งที่สุดหยุดวนเวียนเด็ดขาด ไม่มีพลังงานของกู ให้ไปแล้วจบ เป็นผู้ที่อยู่ 0 กับ สูญ​ ไม่มีอะไรต่อ
      ความเป็นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะอยู่ในระบบเผด็จการ หรือคอมมูนิสต์ หรือแม้แต่ประชาธิปไตย ก็ตาม ของชาวโลกีย์ ก็จะเป็นทุนนิยมตลอดกาล มีแต่กิเลสหนักหนาสาหัสยิ่งๆขึ้น หรือเบาบางชั่วคราว แล้วก็จะยังวนเวียนอยู่ตลอดกาล ทุกระบอบ ไม่ว่าเผด็จการ-คอมมูนิสต์-ประชาธิปไตย ที่ยังเป็นโลกียะ
      ส่วนชาวโลกุตระ จึงจะเป็นบุญนิยมที่จริง เด็ดขาด ลดกิเลสจริง และหมดสิ้นกิเลสจริง เที่ยงแท้(นิจจัง) ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนแปลงอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) หมดสิ้นกิเลสความเห็นแก่ตัวแท้จริง เสียหรือสละแก่ผู้อื่นอยู่อย่างจริงใจ ตามภูมิ ของคนที่เป็นโสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี ถึงอรหันต์สูงสุดก็หมดตัวหมดตนเกลี้ยงสิ้นอย่างแท้จริง   
      ความเป็นเศรษฐกิจ ของชาวโลกีย์ กับของชาวโลกุตระ จึงแตกต่างกันอย่างยิ่ง เดินทางคนละทิศ
      แม้แต่ความเป็นเศรษฐกิจพอเพียงของชาวโลกีย์ก็ยังเป็นทุนนิยม ของชาวโลกุตระเท่านั้นที่เป็นบุญนิยม จึงแตกต่างกันอย่างลึกซึ้งที่มีนัยสำคัญ โลกปัจจุบันนี้ก็มีได้ ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสัมมาทิฏฐิ

      “เศรษฐกิจพอเพียง” ต้องเป็นโลกุตระ เป็นบุญนิยม จึงจะขาดทุนของเราคือ กำไรของเราจริง และเราก็จะอยู่ในสภาพ “คนจน” เสมอ ไม่มีวันรวยเลยในฐานะตัวเราพอใจเอง

สังคมชนิดนี้จึงเป็นสังคมคนที่จะอยู่เป็นหมู่กลุ่ม ไม่อยู่เดี่ยว อยู่เดี่ยวไม่ได้ คนที่จนแล้วยังไม่มีตัวตนอยู่คนเดียวไม่นานก็ตาย แต่ถ้าอยู่กันอย่างเป็นหมู่ ไม่ตายง่ายๆ เพราะจะพึ่งพากัน จะช่วยกัน เผื่อแผ่กัน  ช่วยเหลือกันอย่างที่ชาวอโศกทำทุกวันนี้ ใครที่คิดจะไปอยู่คนเดียวมันไม่ใช่เชื้อของโลกุตระ เอาไปเชื้อของตกโลกเรียกว่าอหิวาห์ตกโลก

ถ้ามีปัญญารู้อาการกิริยาการเดินทางของจิต คนอ่านอาการจิตออก รู้ทิศทางแยกเคหสิตะกับเนกขัมมะ จะรู้จุดแบ่งอาการของสิ่งที่เรียกว่าจิตอย่างแท้จริง รู้จุดแบ่งของการเดินทางเข้าสู่กระแสโลกุตระ หรือมันไม่เข้ากระแสก็จะรู้ของตนเอง นี่คือสัจจะตัวแทน ผู้ใดมีญาณปัญญาอ่านอาการของตนเองออก คนนั้นก็เข้าเกณฑ์ของโลกุตระ ใครยังอ่านไม่ออกก็พยายามศึกษาอาการจิต อาการจิตของเรากำลังโกรธ

ถามนายแน่น ว่าเคยรู้จักอาการใจของตนกำลังโกรธอ่านออกไหม...ก็อ่านออก  คนเราอ่านอาการโกรธในใจ รู้จักอาการข้างในของเราอาการกำลังโลภ โลภคือได้มาเป็นของตน อาการราคะคือได้มาสัมผัส เสพรส

นี่คือพลังงานที่เล็กละเอียดในจิตใจมนุษย์ เป็นพลังงานแบบพลังงานทางฟิสิกส์ มีปัญญาอ่านได้จะเล็กแค่ไหนก็อ่านออกได้ แต่พลังงานทางฟิสิกส์นั้นแม้จะเล็กละเอียด ก็อ่านตัวมันเองไม่ได้  มันมีธาตุรู้ที่เป็นตัวกำกับ และเป็นธาตุรู้ที่เป็นกำลังสามารถจัดการได้ ส่วนธาตุวัตถุที่เป็นอุตุนั้น แม้มันจะรู้ตัวเองมันก็ไม่สามารถจัดการตัวมันเองให้ไปให้มา ให้มี ไม่มีได้

สัตว์โลกที่มีพลังงานในตนที่หลอมรวมเป็นจิตนิยาม เป็นพลังงานที่สุดแห่งมหาจักรวาลนี้ ที่สามารถที่จะจัดการมหาจักรวาลนี้ได้ ที่ใช้ศัพท์เรียกว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างเป็นผู้ทำลายเอง ในฮินดูจะมีปางทำลายและปางสร้าง ส่วนศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามก็แยกไม่ออกเลย แยกออกก็ไม่เอา จะเอาแต่ทางด้านดี ไม่สามารถจัดการกับทางด้านร้าย  สวนพุทธนั้นเรียนรู้หมดทั้งสองด้านทั้งดีและร้าย จึงเรียกว่าเป็นผู้รู้จักสูงสุด ฉันอยากไป 2 คู่ คู่หนึ่งคือเกิดกับดับ อีกคู่หนึ่งคือคุณกับโทษ เท่านั้นแหละจบเลย  เป็นสองสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

นี่คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ หรือสิ่งที่ทรงอยู่  สิ่งที่ไม่มีอะไรทรงอยู่เลย ในวัตถุตัวมันเองก็ไม่มีวันรู้ตัวมันเองว่าจะมี หรือไม่มีอยู่ แต่จะรู้หรือไม่รู้ก็อยู่ที่ธาตุของจิตนิยามที่เริ่มต้น แม้แต่เป็นพีชนิยามมันก็รู้ตัวที่มันพอรู้ พีชนิยามก็จะรู้ตัวมันไม่มี self แต่ยังไม่มี ish เมื่อเริ่มต้นมี ish ที่แปลว่าตัวเลวร้าย เป็นตัวกูของกู 

ตอนนี้ขยายเป็น 3 ลักษณะให้เข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วจะชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งธรรมะก็แบ่งเป็น 3 มี 1 ธรรมชาติ 2 ธรรมธิติ และ 3 ธรรมนิโรธ

ที่บอกว่า  ธรรมะคือ ธรรมชาติก็จริง แต่ศาสนาพุทธไม่ได้มีแค่ธรรมชาติ ยังมีธรรมะธิติ และธรรมนิโรธ และสามารถทำต่อยอดได้ด้วย จึงเรียกว่าที่จบ ถ้ารู้แต่ตัวมี แต่ทำตัวไม่มีคือ ตัวนิโรธไม่ได้ ไม่ใช่พุทธ

ธรรมะคือ สิ่งที่มี ที่ทรงอยู่แล้ว ก็ขยายออกไปเป็นธรรมธิติ เป็นสิ่งที่เป็นพิษ หรือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็ขยายตัว ส่วนผู้ที่สามารถเรียนรู้ว่าควรไม่มีอะไร แล้วก็ทำให้ไม่มีอะไรได้ สามารถทำให้ไม่มีได้จนเรียกว่าไม่มี ที่เรียกว่านิโรธ พอดับได้เป็นธรรมนิโรธ ก็ไม่มีอะไรทรงอยู่ นิโรธดับความทรงอยู่หมดสิ้น แต่ก็ต้องรู้ว่า แล้วตัวเองยังมีอยู่หรือไม่  ยังมีตัวตนหรือมีอย่างไม่มีตัวตน และตัวตนของเรานี้ซื่อสัตย์สุจริตจริงใจ มีตัวตนที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มีแต่คุณ คือมีแต่ให้ประโยชน์กับอย่างอื่น ไม่มีโทษ ที่สุดจึงมีคุณและโทษเท่านั้น เพราะฉะนั้นเกิดและดับ มีกับไม่มี เกิดก็ไม่มี ดับก็ไม่มี นี่คือตอนจบของศาสนาพุทธ ที่ทำสรุปไว้มีเท่านี้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 แม้แต่เล่ม 9 หรือเล่มอื่นก็มี ที่สุดท่านก็สรุปว่าผู้นั้นย่อมรู้จักการเกิดการดับ รู้จักคุณและโทษ

 อาการที่เคลื่อนไหวอยู่แล้วมีธาตุรู้ไปรู้ได้ ถ้าไม่เป็นจิตนิยามก็ไปรู้ไม่ได้ ถ้าเป็นจิตนิยามจึงสามารถเรียนรู้ได้ ทำให้จิตเกิดให้ด้วยจิตดับได้ ถ้ามันจะเกิดก็ต้องให้มันเกิดอย่างเป็นคุณ

 คนที่รู้ชัดเจนว่าถ้าจิตของเราไม่มีลักษณะสะสม โลภะ ราคะ หรือโทสะ คนนั้นก็จบเลย ชีวิตก็สบาย ได้มีพลังงานเหลือ มีความรู้ก็อยู่อย่างสร้างสรรค์ ตนเองก็ใสเท่านั้นเอง กินก็น้อยใช้ก็น้อย นอกนั้นก็เผื่อแผ่กันไปแบ่งจากกันไป   ที่พูดนี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็นำมาเผยแพร่ต่อ เมืองไทยเป็น ชมพูทวีป มีจิตนิยามที่มีบุคคลที่สามารถเรียนรู้วันนี้ได้  เกิดพลังงานรวมที่เป็นโลกุตระได้จริง

 ใครยังสงสัยว่าชาวอโศกเป็นโลกุตระได้จริง ก็ไม่สงสัย แล้วเราก็มีโลกุตระได้  แล้วก็เผยแพร่เชื้อไป ดูเหมือนน่ากลัวแต่ของเราไปแพร่เชื้อแล้ว น่ารักน่าเคารพน่าศรัทธา เราจะช่วยมนุษย์ช่วยโลก ช่วยสังคมโลกมนุษย์ ต้องการความช่วยเหลือชนิดนี้ ช่วยเหลือโดยไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอามาเป็นส่วนตัว พวกเราทำได้ไหม แค่นี้ยังไม่สมบูรณ์แบบนัก แต่มันก็เป็นรูปเป็นร่างเป็นสัจธรรมโลกุตระแล้ว จึงเจริญ เราจะต้องโชว์ความเจริญอย่างนี้ แล้วมันจะมีซับซ้อนเอง จนกระทั่งคนเขาจะมาตู่บอกว่า ไหนบอกว่าตนเองไม่รวยไงเราก็จะสร้างตนและสร้างคนอื่นให้มาเป็นคนที่มีความสุข แต่สุขอย่างหมดรส หมดตัวตน สุขสงบจากกิเลส ไม่ใช่สุขอย่างโลกีย เสพรส แล้วคนเหล่านี้ก็จะมารวมตัว มีพลังงานสร้างสรรค์เสียสละจริงใจเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง

ในปี 59 นี้อาตมาว่าราชธานีอโศกจะมีความก้าวหน้าอย่างเห็นได้ ตอนนี้มีคนจองที่จะสร้างบ้าน 200 กว่าบ้าน ไม่ถึง 300 ก็เชื่อว่าคนที่จะมาจอง มาสร้างบ้าน เขาก็จะสร้างมากพอสมควร คนก็จะตามมา อาตมาก็จะได้พากันศึกษาและสร้างสรรค์ต่อไป  มวลของบ้านราชครั้งนี้น่าจะถึงพันคน กำลังจะสร้างอาคารใหญ่ กว้าง 80 กว่าเมตร ยาว 200 กว่าเมตร สูง 12 เมตร สองชั้น ชั้นบนใช้เรื่องการศึกษา ชั้นล่างเป็นเอนกประสงค์ จะมีลำธาร หาดทรายต้นไม้ แม้แต่อินผาลัมก็จะปลูก ตอนนี้กำลังเพาะอยู่

1 ธรรมชาติ 2 ธรรมธิติ และ 3 ธรรมนิโรธ

ธรรมชาติคือสิ่งที่ทรงอยู่ ถ้ามันเกิดมามี 1  2  3  4  5 ...คือสะสมภาระ คือสสัมภาระ มีหน้าที่สะสมเรียกว่าธรรมธิติ ธรรมะมีสองทิศทาง ไปสู่ความตั้งอยู่ หรือความดับ

พระพุทธเจ้าสอนชาติ ที่มัน เกิด ตั้งอยู่ แล้วก็ดับได้ ท่านให้เรียนรู้ชาติ 5 คือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ล.16 ข.7 หรือเล่มอื่นๆก็มี ท่านตรัสถึงการเกิด เกิดแล้วมีอดีตเรียกว่าสัญชาติ เกิดสะสมเป็นอดีตไป เรามีธาตุรู้ จำได้ก็เป็นสัญชาติ รู้ไม่ได้ก็เป็นชาติ ถ้ามีภูมิระลึกรู้ก็เป็นสัญชาติ แม้รู้ไม่ได้มันก็มีสัญชาติแค่คุณไม่มีญาณรู้ และควบคุมไม่ได้ โอกกันติ เป็นคำกลางของชาติ 5 แบบ นิพพัตติ คือความไม่มี ส่วน อภินิพพัตติ คือมีความไม่มีสุดยอด

ต้องเรียนรู้ปฏิบัติให้เกิดโอกกันติ คือหยั่งลงให้เดินทางไปหา 0 อย่าให้มันเดินไปสู่การมีมากขึ้น นี่คือชาติ 5

อาการของพลังงานจิต มีลักษณะอาการ ลิงค นิมิต อุเทส คำว่าอุเทสคือ การยกเอามาบรรยายสาธยาย แล้วก็ไปศึกษาอาการที่คุณต้องมีจิตหมาย สัญญากำหนดรู้ นิมิตว่าอันนี้คืออย่างนี้ อย่างบอกว่าอาการโกรธคือ นิมิตแบบนี้ อาการโลภก็ไปรู้สภาวะนิมิตของอาการโลภ สิ่งเหล่านี้ถ้าสองส่ิงเหล่านี้ขึ้นไปมันมีความต่างของเพศ มีเพศผู้เพศเมียเสมอ มันจะต่างกันเสมอ ปรมาณูสองส่ิงเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นสองมีความต่างกันทั้งสิ้น อ่านอาการที่ต่างได้ทำให้เกิดอาการหนึ่งได้ จะมาหาเล็กลงคือ สูญ

ต่อไปเป็นการปฏิญาณตน

                 

สัตยาบัน ว.บบบ.

ตั้ง “นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” 3 จบ ก่อน

(แล้วกล่าวนำ ให้ทุกคนที่ร่วมตั้งสัตยาบันกล่าวตาม)

       บัดนี้ ณ สถานที่อันเป็นแผ่นดินพุทธแห่งนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย

ตั้งจิต..ขอให้สัตยาบันต่อพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ นับแต่นาทีนี้ไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอปฏิญาณว่า

จะประพฤติธรรมะ มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำในชีวิต

จะพากเพียรบำเพ็ญ ให้เจริญสูงขึ้นๆไปตามลำดับ

จะพยายามประพฤติศีล-ประพฤติธรรม

ให้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรม

อย่างน้อยจะเว้นขาดอบายมุข และอบายภูมิต่างๆ

และข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอเว้นขาดอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ทั้งปวง

จะเป็นผู้..ไม่เป็นภัยแก่สัตว์ใดๆ ไปตลอดชีวิต

ข้าพเจ้าทั้งหลายจะซื่อสัตย์ต่อการปฏิบัตินี้

       ข้าพเจ้าทั้งหลายเต็มใจและตั้งใจให้สัตยาบัน

ปฏิญาณต่อพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์ ไว้ ณ ที่นี้

หากข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ปฏิบัติตามสัตยาบันนี้

ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เจริญ

ย่อมเสื่อมไปตามสัจจะ

ดังนั้น ข้าพเจ้าจะพากเพียรปฏิบัติให้เต็มความสามารถ

ให้เจริญตามพระธรรมของสมเด็จพ่อสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไปจนกว่าจะบรรลุสูงสุดในพุทธธรรมทั้งหลาย เป็นที่สุด

       นโม พุทธายะ สาธุ สาธุ สาธุ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:38:13 )

581228

รายละเอียด

581228_ธรรมะภาคค่ำ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอน 1

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 1

 

พ่อครูว่า  วันนี้วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2558 เป็นวันแรกที่จะเริ่ม เทศนาในงานนี้งาน ว.บบบครั้งที่ 4 ก็จะเทศนาเกี่ยวกับ “มหานิทานสูตร”  คนเราเกิดมามีนิทานเรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจนตายเกิดจากเหตุสมุทัยปัจจัย รวมแล้วเรียกว่าเหตุนิทานสมุทัยปัจจัย เป็นองค์ประกอบที่ปฏิสัมพัทธ์กันต่อเนื่อง เป็นอิทัปจยตา หรือปัจยการ

เหตุเป็นตัวเกิดก่อน ปัจจัยเป็นตัวเกิดเนื่องกันไป แปรทับกันซึ่งมันกลายเป็นต้นเหตุต่อกัน ยิ่งมีสมุทัยมาอีก มันก็จะเกิดแปรไปอีกเป็นปัจจัยใหม่  ปัจจัยก็เป็นเหตุให้เกิดสมุทัยอันใหม่ในปัจจุบันนั้นอีก เป็นปัจจุบันใหม่ที่แปรเปลี่ยน เป็นปัจจัยใหม่แล้วก็มาเป็นเหตุอีก ก็เป็นสมุทัยใหม่ จัดการสังเคราะห์สังขารกันเกิดเป็นปัจจัยใหม่อีกก็กลายเป็นตัวให้ดีก็มีสมุทัยใหม่อีกเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลนาน

พระพุทธเจ้าเรียนรู้ว่าถ้าเปลี่ยนแปลงสมุทัยได้ ซึ่งสมุทัยเป็นตัวบอกแจ้งอาการของจิตเจตสิกต่างๆในพลังงานของจิตนิยาม  จิตเป็นตัวรวมทั้งหมดตั้งเเต่อนุสัยมาจนกระทั่งจิตที่เกิดอยู่กับปัจจุบัน และกำลังจะมีตัวใหม่ที่จะเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็จะเกิดเหตุตัวใหม่เกิดสมุทัยตัวใหม่ มีการสังเคราะห์สังขารขึ้นไปอีก

 อาการจึงเป็นตัวสำคัญที่สุดที่จะต้องเรียนรู้

การท่องในสมัยพระพุทธเจ้ามี สังคีติ กับ สังคายนา พระธรรมบทของพระพุทธเจ้านี้จะสาธยายได้เพียงทีละคนเดียว โดยเอาความจำของตนท่องเพื่อตรวจสอบ

ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้ท่องพร้อมกัน เพราะว่าตอนนั้นศาสนาอื่นก็ท่องกันเป็นหมู่ ที่หลงกันทุกวันนี้บอกว่าสวดมนต์มากแล้วจะเป็นอานิงส์ ป่วยไข้จะหาย เจริญขึ้น อย่างนี้เรียกว่า มนตรยาน ศาสนาอื่นก็ทำกัน พระพุทธเจ้าเลยตราพระวินัยว่าอย่าเอาธรรมบทไปสวดพร้อมกันตั้งแต่สองรูปให้ฆราวาสฟัง

สองสวดด้วยคำอันยาวลากเสียงใส่ทำนอง อันนี้ก็ผิดนี่เป็นความผิดของการไม่ประสีประสาเรื่องศาสนา แล้วก็เอามาสวดทำมาหากินอีก

การสาธยายกับอธิบายก็ต้องสาธยายอธิบายคนเดียว คนไม่เข้าใจก็ไปสวดพร้อมกันทีละมากรูป คนที่สวดเขาก็ท่องจำทำตามกันมา จะไปลงโทษคนทุกวันนี้ก็ไม่ได้ที่เขาสวดกันนี้ แต่มันเป็นเรื่องผิด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็มีลัทธิเหล่านี้แล้ว  พุทธเจ้าบอกว่าเป็นของไม่มีประโยชน์ให้มีคุณค่า เป็นเรื่องมอมเมา ท่านก็เลยออกพระธรรมวินัยของท่านเอง

การไปสวดพร้อมกันเรื่องอื่น อย่างประณามคาถา คือคำที่ร้อยกรองมาเป็นคำสรรเสริญพุทธคุณ พวกที่ท่องได้ท่องพร้อมกันก็ไม่ผิดพระวินัย

เช่น เขาท่องศีล 8 เป็นคำประณามคาถาไม่ใช่ธรรมบท มหากาฯ เป็นคำแต่งขึ้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแม้แต่ภวตุสัพฯ ก็เป็นคำแต่ง ไม่ใช่ธรรมบท สงฆ์จะสวดพร้อมกับฆราวาสก็ได้ การที่เขาจะยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นธรรมดา การจะไปสวดมนต์ข้ามปี ก็ใช้ประณาคาถาได้แต่อย่าเอาธรรมบทมาสวด ซึ่งธรรมบทต้องสวดทีละรูป อย่างอาตมาเอาธรรมบทมาสาธยายคนเดียวอย่างนี้ไม่ผิด

การสวดที่จำเอาไว้เรียกว่า สังคีติ

วันนี้อธิบายการเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามากล่าวต่อหน้าสาธารณชน ก็เป็นเริ่องผิดธรรมวินัย ศาสนาพระพุทธเจ้าทุกวันนี้กลายเป็น ศาสนามนตรยาน ตอนนี้ศาสนาพุทธเหลือเป็นมนตรยาน ไปออกงานพิธีไหนก็มีแต่สวดอย่างเดียว บางทีใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆก็เป็นสวดอย่างเดียว สาธยายก็มีน้อย ก็ยังดี แต่ไปอาศัยสวดนี้เลยกลายเป็นเครื่องมือสร้างลาภ ยศ สรรเสริญให้แก่ผู้สวด

ที่เขานึกว่าถ้าสวดแล้วจะเป็นมงคลเป็นกุศลก็เสียเวลา การสวดแล้วคนฟังจับคำความได้เข้าใจปฏิบัติได้ก้าวหน้าอย่างนี้มีประโยชน์จะมีบ้างไหม

 

มหานิทานสูตร เป็นสูตรที่ 15 ของพระไตรปิฎกเล่ม 10 นี้

 

              2. มหานิทานสูตร (15)

     [57] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:

      สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ นามว่า กัมมาสทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลความข้อนี้กับ พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น    อานนท์ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกรอานนท์   เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอบาย ทุคติวินิบาต(คือนรกที่ต่ำ แบบไม่มีที่ต่ำไปกว่านี้อีกแล้ว นรกลึกสุด ชั่วที่สุดของใครก็ของมัน ทุกคติคือไปกับความทุกข์ อปายะคือไม่เจริญไม่มีประโยชน์)

 ดูกรอานนท์   เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า  ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ชาติ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ภพ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็น ปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทาน มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขา  ถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัยเธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหา มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่ามี ถ้าเขาถามว่า ตัณหามี อะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย

 

ตัณหาคือ ยึดตัวเรา เพื่อเพิ่มตัวเราไปอีก อยากได้เสพรสมาให้แก่ตนคือ ราคะโลภะ เป็นตัณหา เป็นปัจจัย

 

เมื่อเกิดตัณหา ตัณหามี 3 แล้วเวทนาก็มี 3

ตัณหามี ​3 คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ถ้ากามก็เป็นภพข้างนอก ภว ก็คือภพข้างใน วิภว คือลดภพข้างนอกข้างใน เป็นตัณหาที่ต้องการไม่มีภพชาติเลย

ตัณหามีเวทนาเป็นปัจจัย เวทนาก็มีสาม สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สุข และทุกข์คือโลกีย์ ไม่สุขไม่ทุกข์ที่เป็นอุเบกขาเนกขัมมะคือโลกุตระ ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์ก็พักยก เกิดอะไรก็เฉย ที่จริงมันเซ็งมันเบื่อ มันทุกข์แล้ว แต่เป็นเคหสิตอุเบกขาคือปุถุชน สุข ทุกข์ อุเบกขามีได้ในสามัญปุถุชน การล้างอุปาทานกับลดอุปาทานนั้นอาการต่างกัน

ฐานะแห่งการศึกษา แหล่งแห่งการศึกษาคือเวทนา เว้นผัสสะเสียแล้วไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติได้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

คนทั้งหลายต้องรู้จักอาการของกรรม จะดี ชั่ว ทุกข์ สุข เป็นผลจากกรรมทั้งนั้น แต่ละคนจะมีฐานะแห่งฐานคือ กรรมฐาน แหล่งที่คุณจะประพฤติคือกรรมจะไม่มีได้ นักปฏิบัติธรรมทุกคนมีกรรมฐานแหล่งแห่งการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น กรรมฐานชาวอโศกคือ กิน(โภชเนมัตตัญญุตา) อยู่(สำรวมอินทรีย์ 6) หลับนอน(ชาคริยานุโยคะ) ให้ศึกษาอาการความหลับความนอนของพฤติกรรมรวมคือ ปิดทวารทั้ง 6 แต่หลับนอนของสติคือ ความรับรู้องค์รวมคำว่าสติ มาจากคำว่า สตะ แปลว่า 100 คือการตื่นครบ 100 เรามีฐานะแห่งการปฏิบัติ กิน อยู่ หลับ นอน เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิดของศาสนาพุทธ

การไปหลับตาปฏิบัตินั้น ไม่สามารถทำจิตวิเคราะห์ได้ ไม่เหมือนของพุทธ กรรมฐานของชาวพุทธทุกวันนี้เป็นวิธีสะกดจิตแบบเดิม hypnotize ทั่วโลก ไม่ได้เป็นของยากเลย แต่การวิจัยรายละเอียดของเจตสิก รูปนิพพาน เป็นของยากมาก แต่พระพุทธเจ้าให้ตีกรอบให้ทำทีละปริตตัง ตั้งแต่กรรมหยาบห้าข้อ เป็นรอบต่ำสุดที่ต้องละเว้นแล้ว

 

เมื่อเธอถูกถามว่าเวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอ พึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูป  เป็นปัจจัย

นาม คือธาตุจิตเรา รูป คือสิ่งที่จิตเราไปกระทบแล้วมีปฏิฆสัมผัสโส กระทบทางข้างนอกแล้วไปสู่ข้างใน ถ้าไม่มีธาตุจิตทำงานรับรู้แต่จิตไม่เกิดอาการ นิ่งเฉย ไม่ถือว่ามีธาตุจิตทำงาน ถ้าจิตทำงานก็จะรู้ได้ แต่ถ้าไม่ทำงานจะรู้ได้อย่างไรว่า มีคุณหรือโทษ เกิดหรือดับ จึงต้องตื่นมาให้รู้ แล้วมีปัญญาญาณอ่านอาการได้ มันโกรธขนาดไหนเราก็รู้ได้ การรู้ตามภูมิไปตามลำดับ

นาม คือตัวธาตุรู้ของเรา รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ มีปสาทรูป โคจรรูป สัมผัสแล้วเกิดวิญญาณ กาย ก็คือข้างนอกรวมกับข้างใน เรียกว่า วิญญาณ ถ้าไม่มีสัมผัสข้างนอกไม่เรียกวิญญาณ ถ้าไม่มีภายนอกแล้วก็มีมโนภายในอีก

รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ จะเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมก็เป็นรูป ส่วน อรูปจิต นั้นเล็กละเอียดจนไม่มีภาษาจะเรียกแล้ว คือไม่มีรูป แต่มันยังมี ผู้รู้จะรู้อาการเคลื่อนไหวของนามธรรมนี้ได้

 

 เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูป มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัยเธอพึงตอบว่า มี วิญญาณ เป็นปัจจัย เมื่อ เธอถูกถามว่า วิญญาณ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มี นามรูป เป็นปัจจัย

มีธาตุรู้ของเรา เมื่อมีการกระทบสัมผัส เมื่อรู้แล้วก็จะรู้ร่วมกับคนอื่น หรือคุณจะบัญญัติเองของคุณก็ช่าง ยิ่งมาพูดกับคนอื่นให้รับรู้ร่วมด้วยก็ยิ่งชัดเจน เรียกว่าสมมุติสัจจะรู้ร่วมกัน อันนี้เรียกว่านาฬิกา ภาษาไทย ก็ที่จริง นาฬิกานี่มันแปลว่าอะไรไม่รู้

 

ดูกรอานนท์  เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิด นามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิด เวทนา เพราะเวทนาเป็น ปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน   เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็น   ปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส ฯ

พระพุทธเจ้าว่า รูปี คือสิ่งที่จะถูกกำหนดรู้ รูปีรูปานิปัสสติ คือเห็นอย่างสัมผัสทางทวารทั้ง 5 ภายนอก ต้องสัมผัสถ้าไม่มีสัมผัสคุณก็รู้ไม่ได้ ไม่มีฐานะที่จะปฏิบัติ หรือเรียนรู้หรือทำอะไรได้เลย คุณไม่มีผัสสะ เวทนาไม่เกิด เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา …..จนถึงชรา มรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส อุปายาส ตัวโสกฯนี้เกิดจากชาติ

ความเกิดมีแล้วก็ต้องมี ชรา มรณะ อุตุนิยาม เรียกว่ามรณะ พีชนิยามก็มีมรณะ แต่จิตนิยามไม่มีมรณะ มรณะแต่รูปภายนอก แต่จิตวิญญาณไม่มรณะ มันยังต่อเนื่องตลอด จะมรณะตลอดเลย เมื่อคุณเป็นจิตนิยามแล้วก็มีมรณะตลอด สัตว์ก็ไม่ค่อยรู้ อเวไนยสัตว์ คือไม่ค่อยรู้มรณะ แต่มรณะตลอด จนกว่าจะมาเป็น อาริยชน ก็เป็นอมโม ไม่มีมรณะแล้ว มีแต่อรณะ

มรณะ คือสงครามของจิตมีตลอด ตราบใดที่ไม่มีอรณะ คือหมดสงครามก็ต้องมีมรณะตลอด เมื่อมีมรณะก็มีสรณะ คำว่าสรณะคือการประกอบสงคราม อาตมานี่ไม่ทำสงครามกับใคร แต่พูดไปกระทบเขา จิตเขามีไม่ชอบได้ คนบางคนก็ชอบ ชอบเพราะอยากได้เป็นของเขา คุณมาชอบอาตมาไม่ได้อยากได้เนื้อหนัง แต่อยากได้วิชชาไปล้างอวิชชาที่คุณติดยึด อาตมาจะหล่อหรือไม่หล่อก็ไม่เกี่ยวหรือใครจะมาเอาความหล่อก็เป็นพระวักกลิ นะ แต่ถ้าอาตมามีความรู้ให้คุณได้ต่อให้พิการก็มาเอา

      ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ

พ่อครูว่า อาตมาเกิดมาพาพวกเรานี้เป็นปางอโศกะคือ ไม่โศก แต่ก็ไม่ค่อยรื่นเริงอยู่ แต่ปาง 8 จะไม่ใช่โศกะ มีแต่วิรชะ คือจะมีแต่ความรื่นเริง มันต้องให้หมดรชะต่อไป

 

      [58] ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรา มรณะ ดูกรอานนท์ ก็แลถ้าชาติมิได้   มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพแห่งพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต เพื่อความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์ เพื่อความเป็น  สัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวกปักษีเพื่อความเป็น สัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความ เป็นอย่างนั้นๆ แห่งสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า ฯ

ธาตุ อันนี้อาศัยอยู่ในอะไร เพื่อแอบเสพ เช่นคุณเอง ข้างนอกไม่มี แต่ใจคุณแอบเสพนั้นคือ คนธรรมพ์ของคุณ ท่านก็ยกตัวอย่างเป็นเล็นแทรกในขนพยาครุฑ พยาครุฑคือกาม พวกสวรรค์สูงใหญ่ บินได้เหาะได้ เป็นเจ้าแห่งเวหา ยิ่งกว่ายักษ์ เพราะจับตัวไม่ได้ คนธรรมพ์จึงคือภาวะของเทพ คือดาวดึงสา อาการที่ 33 นี้แหละ ส่วนจตุมหาราชคือ ธาตุรู้คุณต้องแย่งชิงเอาหมดทั้งสี่ทิศ แย่งได้เท่าไหร่ก็มหาราชเท่านั้น ราช คือสิ่งเสพติด เอามาให้ชื่นใจพอใจ คือรชะ วิรชะ คือตัวปลายสุดท้าย อาตมาแปล อโศกะ ว่า ธุลีหมอง ส่วน วิรชะคือ ธุลีเริง

อโศก นี้คือต้องมาทำเศษเหลือแห่งความหมอง คนไหนหมดความโศก อยู่ในอโศกเรียกว่าวิรชะ มีแต่ยินดีพอใจ ไม่มีเศร้าหมอง พวกเราเศร้าหมองน้อย เพราะอโศกะระดับ 7 แต่ที่ระริกระรี้อยู่ก็ต้องลดลงไป จนเกษม เขมังได้

เทพ คือเทวดาดาวดึงส์ เทวดาเสพสุขทั้งหมด ความเป็นคนธรรมพ์คือ ตัวเทพดาวดึงส์ อาศัยแฝงคนอื่น แต่ที่สำคัญคือแทรกในตัวเอง

เป็นยักษ์ แห่งพวกยักษ์คือไปแย่งเขา เบียดเบียนเป็นภัยต่อคนอื่น ยักษ์คือ กุหนา ภูติคือ ลปนา คือแฝงเอาจากคนอื่น แต่ยักษ์นี้เปิดเผยที่จะเอาเลย มนุษย์คือ จิตสูงขึ้น ผู้ใดมีการศึกษา รู้จักจิตรู้จักมนะแล้วให้เกิดจิตสูงขึ้นได้

ถ้าทำจิตไม่สูงขึ้น ก็สักแต่ว่าได้ร่างมนุษย์แต่จิตคุณไม่ได้เจริญเลย

สูงขึ้นก็มีทิศทางสองทางคือ สมมุติสัจจะ ถ้ามีลาภโดยธรรม ยศโดยธรรม ก็มีโลกธรรมตามปกติมนุษย์แต่ถ้าไม่ได้โลกธรรมโดยธรรม ก็ไม่มีเชื้อมนุษย์เลยคือ สัตว์นรก ไม่ใช่มนุษย์ ได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างไม่เป็นธรรมคือ สัตว์นรก

 ท่านยกตัวอย่างถึงกิ้งกือที่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน หรือไปถึงพวกไม่มีเท้าเลย พวกนี้ก็เอารูปร่างมายกตัวอย่างที่เป็นสัตว์นี่เท้าสัตว์เลื้อยคลานมีรูปร่าง แต่พวกเทพ คนธรรมพ์ ยักษ์ พวกภูติ ไม่มีรูปร่าง เป็นนามธรรม เรียกว่ายักษ์คือ ร้ายกาจ เป็นยักษ์รุนแรงคือ มหาราช ของยักษ์สี่ทิศ คือจตุมหาราชิกา แต่พวกภูติผีร้ายก็เล็กลงมา จะเป็นปักษีตัวร้าย อย่างเหยี่ยวอินทรีย์ หรือสัตว์บินได้ดึกดำบรรพ์ ตัวโตขนาดไหนที่มันเคยมีมาในโลก สรุปคือร้ายแรงกับเบาลง จากน้ำก็ขึ้นมาบก จากบกไปดิน

ทั้งสัตว์ที่เป็นเทพ คนธรรมพ์ ยักษ์ พวกภูติ ก็คือนามธรรม

ส่วนตั้งแต่มนุษย์ลงมาคือ รูปธรรมที่มีได้ ครบ สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ถ้าคุณสามารถรู้อาการที่สังเคราะห์แล้วรู้ว่า อาการสสัมภาระทางตา สังเคราะห์ผสมส่วนสมดุลก็ไม่บกพร่อง อาการมันก็เจริญสมดุล จะเป็นอาการของตับก็สังเคราะห์สสัมภาระตามหน้าที่อย่างสมดุลสมบูรณ์อยู่ ถ้าคุณอ่านอาการนี้ได้ คุณก็สามารถตรวจอาการของตับได้ อย่างหมอแมะ หรือหมอปัจจุบันใช้ strethoscopeตรวจได้ แล้วก็รักษาให้มันดีขึ้นได้

อาตมายังคิดอยู่ว่า จะรักษาอาการไอของตนเองก็ยังไม่มีเวลา โอกาส ที่จะทำการรักษา ทุกวันนี้ก็เลยมีอาการ หมอทุกวันนี้ก็เลยไม่ชัดเหตุ ก็มีกระเปราะที่หลอดลมที่โตมาเบียด ก็เลยไม่เต็มหน้าที่ มีอาการไป

ถ้าเผื่อว่าอาตมาเก่งสามารถมีพลังงานทำให้อันนี้ฝ่อได้ ก็คิดว่าหาย แต่อาตมาจะมีเวลาทำเท่าไหร่ไม่รู้เลย แต่มันก็ไม่ร้ายแรง ถ้าจะอยู่ต่อไปจนอายุถึง 100 ก็ไอบ้าง ถ้ามีอาการขยายหรือแฟบลงมันก็มาเบียดตามรูปร่างของมัน มันผมลงก็ขัดข้องได้ มันอ้วนก็ขัดข้องได้ พลังงานก็ต้องไอ เพื่อจะปรับตามสภาพ

ที่จริงก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนมากมาย ก็พอเป็นไป นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่แย่ ไปตรวจปอด หัวใจ หรืออื่นๆเขาก็ว่าหนุ่มอยู่ทั้งนั้น แต่ไม่ประมาท ก็มีผู้ใกล้เคียงคอยเตือน ทั้งปัจฉาฯก็ดี หรือคุณนิ่มก็ดีเขาก็อยากให้อาตมาอยู่

ที่ท่านตรัสเรียกว่านี่คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพแห่งพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต เพื่อความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์ เพื่อความเป็น  สัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวกปักษีเพื่อความเป็น สัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลานก็ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความ เป็นอย่างนั้นๆ แห่งสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า ฯ

เหตุปัจจัยตั้งแต่นามธรรม ถ้าไม่มีชาติมันก็ไม่มีการเกิดอะไรต่อเนื่องอีก การเกิดใดๆคือ ทุกข์  ชาติปิทุกขา ไม่ว่าเกิดเล็กน้อยอย่างใดก็ทุกข์ได้ แม้ทุกข์อย่างอรหันต์ก็มีทรถะ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่ง ชรา มรณะ  ก็คือ ชาติ นั่นเอง ฯ (ของพระพุทธเจ้านี่มี system analysis ที่ละเอียดมากกว่าทางโลกอีก ที่เป็นแค่วัตถุ)

      ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่าเพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าภพมิได้มีแก่ใครๆ    ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อภพไม่มีโดย ประการทั้งปวง เพราะภพดับไปชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติ ก็คือภพนั่นเอง ฯ

อาการลักษณะพวกนี้คุณรู้ได้ด้วย ญาณปัญญา คนรู้แล้วอาการพวกนี้ไม่มีหรอก พวกโศกปริเทวะอะไร ไม่มีเสียใจปวดใจเจ็บใจ หากคุณรู้สัจจะแท้อาการพวกนี้ไม่มีหรอก ใจคือธาตุรู้มีเท่าไหร่ก็เท่านั้นไม่เว้าแหว่งอะไรนี่ แต่นี่ไปปวดไปเจ็บ อาตมานี่นะมาเข้าใจขัดเจนว่า เราหยุดหายปวดหายเจ็บได้ ทำไมเราโง่นักนะ มันไม่หรอกปวดเจ็บ ใจคือธาตุรู้รู้อาการ แต่อาการ 32 ที่ปวดเจ็บมันก็คือธาตุ แต่ใจไม่มี ใครเสียใจ แล้วมันเสียไปไหน? ใครไปปวดใจ มันเป็นอย่างไร การปวดใจ แต่ที่พูดไปนี้ไม่ใช่อาตมาไม่เคย แต่พอหยุดปวดแล้วก็รู้ว่าแต่ก่อนเราโง่จริง เขาหักอกเรา เราก็ปวดใจ อาฆาตเจ็บใจปวดใจ ฮึ่ม ก็บ้าเองทั้งนั้นโง่เองทั้งนั้น ใช้ความเข้าใจอาการไม่ปกติที่อยู่ในใจคือความโง่ทั้งนั้น

พวกนี้มันด่าเรากระทบกระแทกเรา ถ้ามันจริงเขาด่าเราถูกเรา ก็ยอมรับว่าเขาด่าเราถูก แต่ถ้าเขาด่าเราไม่ถูกเราจะเดือดร้อนทำไม เช่นเขาด่าเราไอ้บ้า ไอ้หมา แต่เราไม่ได้เป็น เราก็ไม่เดือดร้อน เขาด่าเราไอ้เหี้ยจะไปเดือดร้อนทำไม คำด่ามันอยู่ที่ปากเขา แต่คุณไปรับมาเองก็โง่ แต่จริงๆคุณไม่ได้เป็นด้วยซ้ำ แต่คุณรับมาทำไมนี่แหละ

เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย คือ เรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน แล้วยึดกันที่นิทานนี่แหละ เป็นเรื่องราว

      ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดัง ต่อไปนี้ ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้ กล่าวไว้ว่า

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะ   อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

“กามภพ” คือ ลักษณะยึดเป็นแดนเป็นภพมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตแล้ว คุณยึดมันจึงมีภพ ยึดคืออุปาทาน ยึดในความใคร่อยากเรียกว่า กาม กามมีทั้งโลภยึดเอามาเป็นของเรา “ราคะ” คือเอามาเสพสัมผัสรสคือกาม คุณเองคุณเกิดยึดจากข้างนอกเรียกว่า “กามภพ” คือ กามคุณ 5 คุณยึดถือว่าเป็นคุณ แต่แท้จริงยึดมาก็เป็นโทษ คนที่เกิดญาณปัญญาเห็นว่า “อาทีนวะ” ไม่ใช่ “กามคุณ”นะ ทุกวันนี้คนทั้งหลายรู้จักแต่คำว่ากามคุณ ไม่รู้จัก “กามาทีนวะ” ถ้าคุณใคร่อยากได้มา หรือมาเสพรสก็เป็นโทษทั้งนั้น ทั้งที่มันไม่มีตัวตนอะไรหรอก มันก็เป็นรสตามที่มันเป็น ตามสัมผัสทวาร 5 ตามที่มันเป็นของมัน มีความรู้สึกต่อการสัมผัสอย่างนั้นๆ ตั้งชื่อกันไปตามภาษา แล้วแต่ชนชาติไม่เหมือนกัน

สรุปแล้วกามภพก็เพราะคุณยึดเป็น “กามุปาทาน” ยึดมาเป็นของเราก็คือโลภ ยึดมาเสพรสก็เรียกว่าราคะ เท่านั้นเอง ยึดมาได้ก็เป็นภพ ยึดมาได้ก็เป็นอาการ ยึดได้ก็เป็นกามภพ อาการยึดคืออุปาทาน ยึดภายนอกคือ กามภพ

ผู้ที่อยากหนัก ในสภาพนอก ต้องล้างให้จริงไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้แต่ข้าวของก็ตาม อย่างชาวอโศกทำงานได้ทรัพย์สินเงินทองหรือวัตถุก็เข้ากองกลาง อะไรที่จะใช้ก็ใช้อยู่ จะยืมใช้ก็ใช้ คนหวงก็หวง มันหายก็หาย จะพังก็พังไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา เราลดความเป็นเราเป็นของเราได้มาก อาตมาว่าพวกเรามีคุณธรรมเจริญไม่ใช่น้อยเลย เราไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา ได้สงบดีมากเลย แต่ดีกว่านี้ได้อีกไหมก็ได้ แต่ละคนถ้าทำให้ดีกว่านี้จะดีมากเลย

อาตมาทำงานมา 45 ปีก็เอาสัจธรรมอะไรมาขยายความ ขณะนี้กำลังขยายความปฏิจจสมุปบาทให้ดีขึ้นได้ เชื่อว่าคนที่อยากจะมาใกล้ชิดศึกษา สำหรับผู้มีธาตุรู้ที่จะหาทางออกหานิพพานให้ตนก็จะมาเพิ่ม เรายังมีที่ดินให้จองอีก

การตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจ จึงเกิดการรักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิด

การพะวง เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือ จึงเกิดความตระหนี่ เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกัน จึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น

 

จบ...


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:39:39 )

581229

รายละเอียด

581229_ธรรมะรับอรุณ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอน 2

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 2

 

พ่อครูว่า..วันนี้วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2558 ก็เป็นวันที่ 2 ของงาน ว.บบบ. เราก็มาเรียนกันต่อ  พระพุทธเจ้าท่านสอนเราถึงอาการ 32 อาการ 33​ คำว่า “อาการ” มาบวชเป็นไทยนานแล้ว จนจำชาติไม่ได้ นึกว่าตนเองเป็นไทยแล้ว

“อาการ” เป็นความเคลื่อนไหว พอมันทำงานทำหน้าที่เรียกว่า “สสัมภาระ” ตับ ก็ทำหน้าที่ของมัน ไตก็ทำหน้าที่ของมัน เดินตามทางของมัน พวกนี้ซื่อสัตย์ ถ้าเกี่ยวข้องถึงจิตวิญญาณก็เป็นอารัมนะ ลักษณะ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีลักษณะที่ดูได้ เป็นรูปเป็นก้อนใหญ่เล็ก ถ้าแข็งเป็นก้อนก็เรียกปฐวี ถ้ามันอ่อนเปลี่ยนแปลงไปมาก็ได้ว่าเป็นธาตุน้ำ ละเอียดเป็นเม็ดดิ้นไปดิ้นมาก็ได้ ลมหรือวาโย  ถ้ามีความร้อนความเย็นก็เรียกว่าเตโช เป็นลักษณะสสัมภาระ  แต่ละลักษณะก็ทำหน้าที่โดยตัวมันเอง ทางฟิสิกส์ เขาก็เรียนพลังงานเหล่านี้ที่เป็นสสารต่างๆ ก็พยายามเรียนกันมา ไม่ว่าจะเป็นอาการ 32 ต่างๆ ที่มี

ส่วนต่างๆคือ อวัยวะในร่างกายที่มีอาการ มีสสัมภาระของมันทั้งสิ้น ผู้ที่อ่านรู้อาการเคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านี้อย่างหมอแมะก็อ่านอาการถึงอวัยวะภายใน หมอสากลเขาก็เรียนใช้ stethoscope ฟังตรงนั้นตรงนี้ ฟังอาการเคลื่อนของมัน

บางคนก็ยังไม่รู้ว่าอาการหมายถึงอะไร มันหมายถึงอาการเคลื่อนไหว ฟักข้าวนี้ก็มีอาการของมัน ที่มีการสังเคราะห์กันของมัน มี road map ของมันทุกอย่าง ก็เดินไปตามโรดแมปของมัน  แต่พวกนั้นพวกนี้มันเก่ง เดินตามพิมพ์เขียวของมันได้เป๊ะ

 ผู้ใดสามารถรู้จักอาการ และจัดการกับกลุ่มอาการ ก็สามารถรักษาตัวเองได้ อย่างหมอแมะ

แมะตัวเองก็รู้ก็รักษาตัวเอง อวัยวะส่วนนั้นส่วนนี้ ถ้าเขาเก่ง ก็รักษาตนเองได้

มันมีลักษณะอยู่ 4 อย่าง “อารัมนะ” ก็คืออารมณ์ อาการที่เนื่องกับจิต ก็คืออารมณ์  เช่นเล็บของเราก็เป็นดินน้ำไฟลม ที่สังเคราะห์อยู่ในนี้ พร้อมบรรยายออกมาก็มีประสาทต่อเนื่อง ก็ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วม  เป็นส่วนที่ปสาทรูป ออกมาเกินปสาทรูป จะทำงานร่วมได้แล้ว มันไม่มีลักษณะสอง มีแต่รูปไม่มีนามธรรมเข้าไปร่วมด้วย ก็ไม่เรียกว่า กาย เล็บนี้มันพ้นปสาทรูป ก็ไม่ใช่กาย ผม ขน ฟัน ส่วนที่ไม่มีประสาทจะกรอก็ไม่เจ็บ ผิวหนังมันบางผิวส่วนที่พ้นประสาทก็ไม่รู้สึก ขัดทิ้งได้

ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าบอกให้ภิกษุทุกรูปจับกรรมฐาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปพิจารณาว่ามันไม่เที่ยงมันพ้นทุกข์แล้ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันไม่เกี่ยวกับจิต เมื่อไหร่ก็คือเมื่อพ้นออกมา ก็ไม่เกี่ยวกับกายแล้ว แล้วอันไหนยังเป็นกายอยู่ก็รู้ได้ ถ้าแยกกาย แยกจิต ขาดจากนามก็ไม่ใช่กายแล้ว

พระพุทธเจ้าบอกว่า กายคือ จิต มโน หรือวิญญาณ ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็แยกกายว่าคือภายนอก ผมขนเล็บฟันหนัง ที่ออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว ก็เหมือนกับเป็นพีชะ ที่ติดอยู่กับกายเท่านั้น แม้แต่พวกที่นั่งสะกดจิต หมดชีวะทางร่างกาย ทางชีวิตตายไป คนก็เอาอาจารย์ใหญ่ๆใส่โลงแก้วไว้ก็ไม่เน่า ผิวหนังก็สดอยู่มี protoplasm ผมขนเล็บก็ยาวออกมาเขาก็ศรัทธาเลื่อมใสว่าเก่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พลังงานที่มีอยู่มันไม่หมดมี momentum ก็จะงอกออกมาได้อีก ไม่ได้เก่งอะไรเป็นเรื่องสมถะ สะกดพลังงานไว้ เหมือนเก็บไว้ในหม้อแบตเตอรี่ ทำไมไม่นานก็หมดหม้อเท่านั้นเอง ไม่ได้วิเศษ ที่รู้จักอาริยสัจ 4 มันเป็นเรื่องพลังงานฟิสิกส์โดยตรง

จะบอกว่าเก่งก็คือ เก่งที่เก็บพลังงานไว้ในก้นบึ้งในอนุสัยของจิต ไม่ยอมจบไม่ยอมเลิกอย่างนี้ยิ่งไม่ศึกษาการนิพพานสุดการเลิก ไม่ปล่อยวาง มีแต่การยึดแล้วยึด ตรงกันข้ามกับการศึกษาของพระพุทธเจ้า  คนก็นับถือแบบที่ผิดทางของศาสนาพุทธ ฤาษีที่สะกดจิต ก็จะมีธาตุที่เย็น พอเผาเสร็จ สุดท้ายแคลเซียมต่างๆก็ก่อตัวกัน

“อารัมนะ” เป็นอารมณ์ก็ปรุงแต่งกันมา ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นอุปาทาน รู้ว่ามีแม้การชอบหรือไม่ชอบ การสวย การงาม  แล้วแต่การยึดว่าสุขอย่างนั้น ชอบอย่างนั้น ก็ต้องศึกษาอารมณ์ ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเวทนา

ส่วนอันที่ 4 เรียกว่า “สมมติ” อันนี้ภาษาไทยเรียกว่ากลุ่ม ภาษาจีนก็เรียกอีกอย่าง อันนี้เรียกว่าแดงไทยเรียกว่าแดง จีนเรียกว่าอะไร ฝรั่งเรียกว่าอะไร อังกฤษเรียกว่าอะไร เขาสมมุติด้วยกันเขาก็รู้ร่วมกัน ไทยเราก็รู้ร่วมกัน  ไม่ว่าจะด้านนามธรรม ด้านรูปธรรม ก็ตั้งชื่อร่วมกันเรียกกันไป ก็เป็นอธิวจนะของภาษานั้น 

ถ้านำมาทำกับรูปธรรม ทำปฏิกิริยาสัมผัสกัน ก็จะรู้ ถึงจะเรียก ชื่อ “อธิวจนสัมผัสโส”ได้ แต่ถ้าสัมผัสกันแต่ไม่ได้มีนามไปรับรู้ เช่นแสงตกบนจอประสาทตา แต่ประสาทคุณไม่ทำงาน หรือนามกายคุณไม่ได้ทำงานคุณจะเรียกชื่อมันได้ไหม...ก็ไม่ได้ นามกายไม่เกิด รูปกายจะกล่าวชื่อได้ไหม นั่นแหละที่พระพุทธเจ้าอธิบายไว้

นามกายจึงสำคัญ แล้วรูปกายจึงเป็นการกำหนดสมมุติรู้ร่วมกัน ส่วนข้างในเราก็กำหนดชื่อแต่รู้ของเรา อาการข้างในของเรามันร้อน แต่เราไปหัดฝึกไม่รับรู้สึกมันมาก มันก็ไม่ร้อน คุณก็บอกว่าไม่ร้อน คนอื่นก็แล้วแต่คนอื่น จะมีมิเตอร์อย่างไร คนจีนซดน้ำร้อน 100 องศาเซลเซียส  ก็ไม่ร้อน เขาจับความรู้สึกของเขาได้แบบนั้น  คนที่ทนเจ็บทนกระแทกอะไรได้ ถ้าคนไม่ได้ฝึกก็ไม่ได้ทนก็เจ็บมาก คนที่สุดทนก็บอกว่าไม่เจ็บหรือเจ็บน้อย  พลังงานแล้วก็กำหนดได้ฝึกได้ คนที่ฝึกไปนั่งกลางหิมะ หนาวเย็น เขาก็เฉยๆ แต่เราเข้าไปตาย ดีไม่ดีก็ตายจริงๆทนไม่ไหว พวกชาวไร่ชาวนานั่งตากแดด แต่ผิวแต่เขาก็เฉย มันก็อยู่ที่การฝึกทั้งนั้น ความรู้สึกหรือเวทนากดข่มได้ฝึกได้แต่ไม่ใช่วิธีที่เราจะรู้ด้วยปัญญาเข้าใจ วันนี้พอดีอันนี้ไม่พอดีอันนี้มากไปน้อยไปก็ไม่ได้หัดกดข่มอะไร

      อย่างอาตมาไม่ได้ฝึกทนเรื่องความเผ็ด แตะเข้าไปไม่ค่อยได้เลย ก็เลยคิดว่าจะฝึกฝนใหม่ ก็ยังไม่ค่อยได้

“เหตุ” คือหลักของ system analysis มันก็มีผลวิบากตามเหตุที่สังเคราะห์กัน ได้รับวิบากไปตามจริง คำของ system analysis นิทานเขาเรียกว่า process เป็นองค์ของการสังเคราะห์ของสิ่งต่างๆ สองอย่าง,สามอย่าง,สี่อย่างมาร่วมกัน มนุษย์ก็มีทั้งกรรมกิริยาที่เกี่ยวข้องมาสังเคราะห์กันเป็น process เกิดนิยายเรื่องราว คือ เหตุ นิทาน สมุทัย เป็นปัจจัย ก็เกิดเรื่องใหม่ เป็นเหตุอีก มีout put มี outcome เป็นเหตุใหม่ผลใหม่ impact ก็กลายเป็นเหตุใหม่อีกสังเคราะห์สังขารไปอีก

พระพุทธเจ้าก็มาแบ่งเขตฐานสมุทัยปัจจัยเหล่านี้ เรียกว่าเป็นเพราะข้างนอก ที่ต้องมาล้างความยึดถือในภพภายนอกนี้ออกก่อน ฉันควรยึดถือว่าการได้ดูเตะบอลนี้ชอบมาก รู้สึกมีปฏิกริยาได้ยังได้แข่งกันออกลีลาลวดลายอะไรก็แล้ว แต่ชูดเข้าโกทีไรมันๆทุกที มันเก่งเท่าที่เราผูกถือหางไว้ข้างไหนสนุกมันอร่อย คนก็เกิดรสก็เป็นสุข ผู้ใดยึดถือว่ามันเป็นเรื่องที่คุณต้องร่วมสนุก ต้องการมากก็ลงทุนหนัก เสียเงินเสียทองเสียเวลาแรงงาน มันเตะกันต้องไปดูสดสดเหมือนอยู่คนละฟากโลก ก็ต้องเสียค่าเครื่องบินไป จะต้องไปซื้อตั๋วอีก ก็แย่งชิง ซื้อตั๋วมันขายโก่งราคาก็ซื้ออีก ก็มีเท่านี้เป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของตัณหาของความอยากของความยึด อุปทานเป็นพลังงาน ที่มีตัณหาเป็นความเสน่หาให้สมใจสมใจในราคาสมใจด้วยเศษได้เอามา

 ให้ทำว่าได้สุกเอามากี่กระป๋อง ใส่กระป๋องมาดู ก็ไม่มี สนุกผ่านไปแล้วก็มีแต่ความจำ จำได้อยู่ในกระป๋องของความจำ เอาออกมาดูก็ไม่ได้แสดงกิริยาหรือพูดให้ดูได้แล้วจะไปรู้สึกตามคนได้อย่างไร รู้สึกว่ามันดีมันเป็นอย่างไรคุณเองก็สมมุติของคุณคนเดียว สัมผัสของคุณคนเดียว ตอนนี้ไม่ได้สัมผัสด้วย แต่ถ้าจะรู้สึกอินไปตามก็รู้สึกดีๆเหมือนกัน ถ้าเอามาเล่าก็จะโน้มน้าวให้สนุกร่วมกันได้ ถ้าใครไม่รู้สึกสมมติร่วมกันด้วย คุณฟังคุณก็เฉยๆ ไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นคนที่ไม่สมมติตามเขาแล้วจบ สัจจะในสมมุติไม่มี เพราะเป็นปรมัตถ์ที่คุณตัดแล้วคิดของคุณก็ไม่ร่วมกับสมมุติ เขาจะสมมุติกันไปคุณก็สามารถเข้าใจได้แต่คุณไม่ตรงไม่รั่วไม่สนุกด้ว ยไม่ชอบให้ชังไม่มีอาการบวกไม่มีอาการลบ คุณฟังคุณก็เฉย แต่ผู้มีปัญญารู้ก็เข้าใจรู้

เมื่อคุณหมดอุปาทานหมดความยึด ที่เป็นแดนนรกแดนสวรรค์ เป็นความชอบหรือความไม่ชอบ มันก็หมดไป  แต่เข้าใจในภาษาที่เขาพูดที่เขาว่ามันดีเร็วดีแรงดี แตะเข้าไปแล้วก็มันรับไม่อยู่ เราก็รู้เข้าใจ บอกว่าคนเตะมันแตะแรงจนคนรับมันรับไม่อยู่คนรับล้มไปเลย บางคนเตะไม่ถูกแต่จนคนรับรับไม่ได้เลยหรือปล่อยให้โกลหลงทางเลยเก่งชิบหาย คุณก็ไปมันอยู่อย่างนั้นแหละ ทำไมอาตมาจะไม่รู้ว่าจะมาก็เคยเล่นบอลมาเป็นทีม  ถึงขนาดแต่งเพลงออกมาคนนี้เป็นโกลคนนี้เป็นแบคนี้เป็นวิง เราก็แต่งเป็นเพลงเชียร์ของทีมเรา

ถ้าเราหมดอุปาทานก็หมดความเกิด ไปกับเขา แต่เราก็รับรู้ร่วมไปกับเขา ไม่ได้โง่รู้ทุกอย่างที่เขาเป็นกัน รู้ได้ ไม่ได้น้อยไปกว่าเขา แต่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร คุณจะชวนกันไปติดยึดเราก็ไม่ไป ชวนเราก็ไม่ไป ชาวอโศกอยู่ที่นี่ ชวนออกไปตะลิดติดชึ่งข้างนอกก็ไม่ไป เราไปปลูกผักดีกว่าเสียเวลาเสียแรง  เอาเวลาเอาทุนรอน เอาแรงงานของเรากลับมาเอามาปลูกกล้วยปลูกข้าวดีกว่า

คนรู้ว่าอะไรเป็นสาระก็เอาสาระ คนไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาระก็ไม่เอาสาระ ก็จะเสียเวลาเสียแรงงานเสียทุน เราไม่เอาแล้ว เราก็มาทำสิ่งที่เป็นสาระ นี่คือเศรษฐกิจบุญนิยม ชาวอโศกจึงมีเศรษฐกิจบุญนิยม เซฟจากแรงงานทุนรอน แรงงานที่คนไปหลงเปลืองผลาญมาได้เยอะ เอาเวลาแรงงานทุนรอนมาสร้างสิ่งที่เป็นสาระ แล้วพวกเราก็ไม่เสพไม่ติดแบบทุนนิยม ไม่มีเราก็ไม่เสพ

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้ กล่าวไว้ว่า

เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน คือรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา  รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา

เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ ตัณหาดับไป อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งอุปาทาน ก็คือตัณหานั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เรากล่าวอธิบายไว้ ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่าเพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าเวทนามิได้มี   แก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ เวทนาที่เกิดเพราะจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัสมโนสัมผัส เมื่อเวทนาไม่มี   โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งตัณหา ก็คือเวทนานั่นเอง ฯ

      [59] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา

พวกปฏิบัตินั่งหลับตาเป็นการสะกดจิต ไม่ใช่ การมีจิตวิเคราะห์ เป็นความผิดพลาดของศาสนามาก

เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหา จึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการ รักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เพราะอาศัยการพะวง จึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความ ตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท

การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วย

ประการฉะนี้แล ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวว่า

เรื่องในการป้องกันอกุศลธรรม อันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ

แก่งแย่ง การ  วิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น

 

พ่อครูว่า  คนไม่โต้ตอบเลยคือผู้ชนะ พ่อครู…. 29 ธ.ค.​58

ไม่มีการโต้ตอบ จิตอยู่กับสิ่งที่ควรยึด อย่างคานธีถูกยิง เมื่อมี action แล้วมี reaction ไม่เกิด คือหนึ่งเดียวเอกสโมสรณา ไม่มี reaction คือความจบ แล้วเราก็มีปัญญารู้ว่าเจ็บก็คือเจ็บ เราไม่ตอบโต้ คือเราสิหยุดแล้วเธอสิไม่หยุด

 ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการป้องกันมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน    เมื่อไม่มี การป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้องกัน อกุศลธรรมอัน  ชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท     การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียดและการพูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้ บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการเกิด ขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การ  แก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ก็คือการป้องกันนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้

การป้องกันรักษามีสองนัยว่า ถ้าสิ่งไม่ดีรักษาไว้ก็ไม่ดีแต่ถ้าเป็นส่ิงดี ที่ต้องรักษาดูแลก็จะดี รักษาไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามาก็ได้หรือรักษาให้ส่ิงไม่ดีหายไปก็ได้ พวกเรามีความบกพร่องที่ไม่รักษาดูแลข้าวของ เก็บรักษาสิ่งควรเก็บ

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ  ตระหนี่มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตระหนี่  โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่ การป้องกันจะพึงปรากฏได้    บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการ   ป้องกัน ก็คือความตระหนี่นั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบาย  ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้   กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ   ยึดถือมิได้มีแก่ใครๆ ในภาพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความยึดถือโดย  ประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความตระหนี่จะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตระหนี่ ก็คือความยึดถือนั้นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบาย    ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้  กล่าวไว้ว่า

เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการพะวงมิ  ได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการพะวงโดยประการ  ทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ยึดถือ ก็คือการพะวงนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าวอธิบาย ดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้    กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ รักใคร่พึงใจมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความรัก ใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความรักใคร่พึงใจเสียได้ การพะวงจะพึง ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการพะวง  ก็คือความรักใคร่พึงใจนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าว   อธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าความ ตกลงใจมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตกลงใจ   โดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจเสียได้ ความรักใคร่พึงใจจะพึงปรากฏ  ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรักใคร่    พึงใจ ก็คือความตกลงใจนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าลาภมิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภ ความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ  ตกลงใจ ก็คือลาภนั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้

 

ถ้าเราไม่ตกลงใจเราก็โสด ไม่เห็นเหงาเลย มีพ่อแม่ปู่ย่าตายยายลูกหลาน ล้วนอยู่อย่างสงบสุข มีอวิวาทะ สังคหะ อวิวาทะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ เป็นเอกีภาวะ ปึกแผ่นแน่นเหนียว อะไรก็ตีไม่แตก เป็นสังคมที่โลกปรารถนา แต่เขาก็ไม่รู้เราสร้างได้แล้วสังคมคนที่อยู่แบบนี้ อยู่อย่างสาราณียะปิยกรณะคุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ จึงเกิด กาย วจี มโน เมตตามี  ลาภปฏิลาโภ เกิดลาภร่วมกัน เราทำข้าวก็ได้ข้าว ลาภแล้วหนอเราได้ข้าวของเรา เราก็มาแบ่งกินกันในนี้สบายดี พระพุทธเจ้าตรัสถึงทฤษฎีนี้ที่วิเศษ อาตมา ถ้าพวกเราทำมาได้แม้จะมีการขัดแย้งแต่ก็ขัดแย้งอันพอเหมาะไม่มีด่าว่ามึงมึงกูกูไม่มีถือมีดถือไม้มาไล่ตีกัน สังคมแบบนี้ท้าพิสูจน์มา 30 ถึง 40 ปีดีไหม ก็มาเถิดมาอย่าช้าอยู่ไหนรีบมา เธอมีตราและจอบเสียม และจะเกิดสมรรถนะอันยิ่งใหญ่      

อาตมาจะพาทำให้แผ่นดินพุทธเกิดเป็นแกนของโลก คนศีลสูงกว่าก็ยิ่งมีเมตตาดูแลผู้ที่ต่ำกว่าไปเรื่อยๆ มีทิศทางไปสู่นิพพานวิมุติหรือกิเลสหมด คนก็รู้ร่วมกันนี่คือโกลของชีวิตหรือเป้าที่จะพุ่งไปสู่จุดนี้ ตรงกันมีทิฏฐิสามัญตา ไม่ผิดเพี้ยน

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา   ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวงหา มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการแสวงหาโดย  ประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหาลาภจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภ ก็คือ การแสวงหานั่นเอง ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดังต่อ   ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เมื่อ  ไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะดับตัณหาเสียได้ การแสวงหาจะพึงปรากฏ   ได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการ    แสวงหาก็คือตัณหานั่นเอง ฯ

กามคือ การได้มาเสพรสก็เป็นราคะ อยากได้มาเป็นของกู ก็เป็นโลภ ได้กลิ่นมาแต่ไกลก็เอา ได้ยินได้เห็นก็เอา ได้สัมผัสเสียดสี พวกมาโซคิสหรือซาดิสม์ก็ต้องสัมผัสแรงๆจึงจะถึงๆ ผู้ที่พอเป็นก็จะเอาแค่นี้เท่าที่อาศัยก็จบ ถ้าไม่อาศัยสิ่งสองจะต้องกระทบสัมผัสหรือแม้จะกระทบสัมผัสก็ต้องรู้จักความพอดี การประทบก็มี ฆ จะ เรียกกลุ่มเรียกว่าก้อน ก็เป็นสิ่งนี้ทั้งนั้น  ถ้ามากเกินไปมันเปลืองก็ไม่เอาท่านน้อยเกินไปไม่เป็นรูปร่างไม่พอเหมาะก็ไม่เอา ปฏิฆะคือสภาพเข้ากับออก มี reaction กับ action

 ตามที่เรายึดถือ 1 ยึดถือเพื่ออาศัย 2 ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา แบบนี้ไม่เอา เราใช้ยึดเพื่ออาศัยเท่านั้น คำว่าอาศัยนี้มาจาก สยะ คำว่า อา ​มีทางออกและมีเข้าแต่ถ้ามัน 0 แล้วไม่มีออกหรือเข้า ไม่ไปไม่มา ถ้ามันมีมันก็ต้องมีการเคลื่อน  มันก็ยังมีของข้านี่แหละเคลื่อน ส่วนอีกคนก็บอกว่า ไม่เคลื่อน ของข้าเคลื่อน ของข้ามี ก็ฆ่ากันระหว่างสองข้างนี้

กามตัณหามีข้างนอก หมดข้างนอกก็เหลือแต่ภายใน อนาคามีไม่ปรุงแต่งกับภายนอกแล้ว มีแต่ภายใน แต่อนาคามีกระทบเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็รู้หมด แต่เราไม่ยึดถือเท่านั้นเอง ความหยาบความแรงกระทบกระแทกภายนอกเรียกว่ากาม  ถ้าหมดแล้วจะกระทบแรงหรือเบาเราก็ไม่ถือ แรงจนสรีระของเรามันเจ็บหรือแตกเลยก็ต้องมานั่งรักษา  หรือบางทีเค้าแรงจนเราตายเลย ถ้าเราไม่พยาบาทเราก็ตาย ช่างเขาเถอะ ถ้าเราเองไม่พยาบาทแล้วการเกิดร่วมก็จะไม่เกิดมาใกล้กัน แต่ถ้ายังมีแรงดูดกันอยู่คุณอย่างพยาบาทยังห่วงหาอาวรณ์ พลังงานนั้นก็จะเกิดมาหากัน ก็ไม่พรากจากกัน ถ้าพลังงานที่มันไม่รวมแล้วมันจะเกิดร่วมกันมันก็ไม่ดูดไม่แตะ แตะมันก็ไม่ดูด  อรหันต์อยู่กับใครที่น่ารักก็ไม่รัก ก็อยู่ทำงานร่วมกันไปไม่ผูกไม่พันอะไร  ก็ทำงานสร้างสรรค์ร่วมกันไปภายนอก แต่เราไม่ค้างอะไรในจิตเรา ถ้ายังเหลือใยเป็นรูปธรรมเป็นรูปภพก็ต้องล้างอีก ถ้าเหลือเยื่อใยข้างใน เป็นภาวะของเราเท่านั้นตัดจากกามภพแล้วอันอื่นไม่เกี่ยวกับเรา

แต่ถ้า “รูปภพ” มีแต่ตัวเอง รูปก็อย่างหนึ่ง ถ้าตัดความอยาก ก็เหลือแต่รูป ไม่มีสัจจะเรียกแล้วมันไม่ใช่รูปแล้ว เบาบางก็คือรูปที่เหลือนั่นแหละ จนกว่าจะหมดสนิทไม่เหลืออะไรเลย จนกว่าจะพ้นอรูป จะเรียก อรูป ก็แล้วแต่

หมดอย่างเก่งเรียกว่า “วิภวภพ” หมดอย่างไม่เหลือจริงๆ เป็นวิภวตัณหา เป็นความประสงค์ที่ไม่มีภพ  แล้วแต่ความต้องการที่สร้างสรรค์ เช่นพระพุทธเจ้ามีความต้องการจะสร้างศาสนาให้มีนักบวชหญิงนักบวชชายอุบาสกอุบาสิกาที่มีความเก่งกาจสามารถสามารถปรับวาทะแก้ไขสิ่งที่มันไม่ลงตัวได้ แต่ท่านพร้อมจะหมดภพจบได้ทุกเมื่อ  เป็นวิภวตัณหาของท่านที่ตรัสกับมาร เมื่อมารบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ตายก็สูญไปเสีย แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าเรายังไม่ตายเราจะสร้างศาสนาก่อน

 

      [60] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา   โดยส่วนสองด้วยประการดังนี้แล ฯ

      ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ  ไปนี้  ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว   ไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆ   ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส

เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะ ดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

ถ้าถูกวางยาสลบก็ไม่รู้อะไรไม่รับรู้อะไร จะเรียกชื่ออะไรได้ แม้แต่ว่า เสียงกระทบหู แต่จิตไม่รับรู้ว่าจะไปได้ยินอะไร แสงมากระทบที่จอประสาทตาแต่คุณไม่รับรู้ก็ไม่เห็นภาพอะไร โดยภาพมันก็มีอยู่แล้วในรูปวัตถุและจิตคุณไม่รู้นี่แหละคือคน ที่พลังงานไม่ร่วมสัมผัสด้วยทั้งทั้งที่มีพลังอื่นกระทบ พระพุทธเจ้าเดินอยู่จงกรมในโรงกระเดื่องตั้งจิตแน่วนิ่งไม่รับเสียงอะไรเลยมีแต่ตาดูทางไปมา เสียงอื่นตัดหมดฟ้าผ่าใกล้ๆ วัวตาย 4 คนตาย 2 ท่านก็ไม่ได้ยิน

อาตมาเคยเดินจงกรมหน้ากุฎิวัดอโศการาม  กำหนดเดินตรงไปโดยไม่กำหนดว่าจะจบแค่ไหน ตนเองก็เอาแต่เดิน เดินไปก็ชนหน้าแข้งโดน ที่จะขึ้นสู่กุฏิ ไม่ได้กำหนดเดินไปกลับ

ถ้ารูปกับจิตคุณมันมีปฏิกิริยาร่วมกัน แต่คุณไม่รู้ มันก็ทำร้ายคุณ แต่ถ้าเราควบคุมดูแลได้ มันก็สามารถที่จะสู้ได้ เช่นเพ่งพระอาทิตย์ แรงแรงานเข้าจนกระทั่งเคยชิน ไม่แสบตา  แม้ที่สุดจะทำให้หนังเหนียวก็ทำได้ มีดเฉือนไม่เข้า และนามธรรมสำหรับจิตนิยามจึงมาก่อนรูป

มีถามเขียนมาแทรกว่า….เห็นคณะกรรมการการเงินตัดสินเงิน จะตัดสินช่วยแบบไหน เช่น 1 บอกว่าเขาจะจ่ายก็ปล่อยเขาไปเรามีเงินเยอะ 2 สอบถามคณะกรรมการว่าสิ่งที่ตัดสินไปแล้ว ขอทวงติงได้ไหม อนุมัติเงินง่ายไป ฉันขอซื้อมือถือราคาเป็นหมื่น ขอซื้อโน๊ตบุ๊คราคา 60000 เป็นต้น บอกสมณะบอกพ่อท่าน เพื่อเป็นที่มาของการออกนโยบายการใช้เงินให้รัดกุม และอยู่ในศีลอันสมควรก็ยังศรัทธาของโหมดการใช้เงินที่ไม่เหมาะสม เป็นเหตุแห่งการลดศรัทธาหมู่ น่าจะมีมาตรการชัดเจนว่าใครสมควรจะมีโทรศัพท์มือถือ ipad หรือยี่ห้อต่างๆ คอมพิวเตอร์ราคา 60000 บาทน่าจะมีขั้นตอนมากกว่านี้ทุกวันนี้ใครกล้าขอ คนอื่นก็ไม่กล้าขัดใจ เกรงว่าจะเกิดความไม่สามัคคี กรรมการก็เลือกมาแล้วเหมือน ส.ส. ประชาชนชาวบ้านไม่กล้าวิจารณ์เราเลือกมาแล้ว จะให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า คนส่วนใหญ่คิดแบบนั้นคือยกให้คณะกรรมการ

 ตอบ...ถ้าเราวางใจยกให้คณะกรรมการ คุณก็ไม่ต้องทุกข์อะไรเลยก็จบ แต่ถ้าคุณจะแย้ง จะเสนอกรรมการในข้อเสนอ เสนอไปแล้วในคณะกรรมการได้ตัดสิน คุณเสนอเข้าไป เขาก็ต้องพิจารณา แน่นอนในกรรมการ 10 คนคงไม่มีใครชังคุณหมด แต่ถ้าชังคุณหมด คุณก็ออกไปจากหมู่นี้เถอะ แต่ถ้ามีกรรมการที่เข้าใจชอบคุณอยู่ 6 คนก็ยังดี 5 คนก็ยังดี พอใจ 8 ก็ยังดี แต่ถ้าเขาพอใจกับคุณแค่สองคนก็อยู่ลำบากเหมือนกัน ถ้าคุณรำคาญก็ปล่อยไปเถอะ คุณหยุดคุณปล่อยคุณวางมือ ทั้งหมดนี้ก็ต้องให้เกียรติเขา เขาก็ต้องใช้สมองเขาก็เลือก 10 คนนี้โดยเขาเลือกแล้ว คนในนี้รวมกันตั้งพัน คุณเป็นหนึ่งในร้อยในพัน ถ้าคุณไม่ชอบจะสู้กับ 100 ได้อย่างไร

 เขาเลือกมารับผิดชอบจะพังก็พังด้วยกัน ก็ต้องให้เกียรติกัน ได้อย่างไร ถ้าคุณมีน้ำหนักมีความรู้มากกว่าเขาก็ยอมคุณ อาตมาออกเสียงก็มีน้ำหนักมากกว่า ท่านเดินดินแสดงความเห็นก็มีน้ำหนักมากกว่าอยู่ แต่ละคนมีปัญญาเสนอ  หมู่เขาก็จะมีการพิจารณา ถ้าคุณฉลาดกว่า คนอื่นยอมรับคุณก็ได้คนเดียวจะชนะทั้งหมดหมู่เขายกให้ พระพุทธเจ้าคนเดียวตัดก็ชนะทั้งหมดประมาณนี้  แต่อาตมาไม่ได้ทั้งหมด คุณเลือกมาอยู่กับหมู่นี้แล้วก็ไหนว่าหมู่นี้ดี อยู่ที่สิทธิของเราตัดสิน  

 ถ้าคุณเก่งกว่าหมู่ หมู่เขาก็จะยกให้เอง  ต้องให้เกียรติหมู่เขา ก็มีมันสมอง ถ้าคุณจะไปอยู่กับหมู่อื่นก็แล้วแต่ จะไปอยู่กับหมู่กับควาย อาตมาจะอยู่กับหมู่ที่ฉลาด ถ้าอยากจะเป็นใหญ่ตลอดกาลก็ไปอยู่กับควาย

คำถามนี้ถ้าคุณดีหมู่เขาก็ยกให้คุณ ถ้าคุณยังไม่ดีเขาก็ไม่ยกให้ ให้เกียรติกัน ถ้าคุณใหญ่แล้วหมู่ไม่ยกให้คุณคุณต้องหาหมู่ใหม่อยู่แล้ว

 

      เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนา ก็คือผัสสะนั่นเอง ฯ ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ ไปนี้

      ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว  ไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามกาย  ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิตอุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ    นั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ   เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึง    ปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ   นิมิต อุเทศ

เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อ    ก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ     เมื่ออาการเพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

      ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

     จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:41:16 )

581230

รายละเอียด

581230_ธรรมะภาคค่ำ งาน ว.บบบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอนที่ 5

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 5

 

พ่อครูว่า….วันนี้ตอนเย็นภาคเย็นของวันที่ 30 ธันวาคม 2558 ก็มาฟังการบรรยายกันต่อ ก็จะพูดสื่ออย่างตรง อย่างเป็นสัตย์ชัดๆ ไม่มีแม้แต่มารยาแห่งความปราณี หรือไม่ใช้กลปราณีแล้ว จะใช้ความซื่อความตรงความสัตย์ชัดๆ ไม่ขอใช้แม้แต่มารยาท

 ก็จะได้ฟังอะไรที่ผ่าที่ตรงที่แรง มันแรงเพราะเป็นความจริง เมื่อพูดออกไปแล้วมันไปกระทบความจริงและความจริงที่ถูกกระทบคือความไม่จริง คือความผิดของคน ใครก็ตามที่มีความผิดความไม่ดีแล้ว ถ้าได้ยินคำพูดถึงความไม่ดีไม่งามออกมาตรงตรง ไม่มีกระมิดกระเมี้ยน ไม่มีมารยาทแห่งความปราณี  ไม่ใช้กลอุบายที่ไม่ให้ตรง  มันก็เลยต้องกลายเป็นสัจจะที่แรง เพราะพูดถึงความผิดความไม่ดีไม่งาม คนที่เป็นก็จะรู้สึกว่าแรง เหมือนโดนด่า โดนเทศนา

อาตมาขอเลิกที่จะใช้มารยาท พอพูดอย่างไม่มีมารยาแห่งความปราณีใดๆแล้ว ขอพูดอย่างตรงอย่างซื่อสัตย์ ก็เลยดูว่าพวกเราฟังได้ดีเพราะไม่เพ่งโทส เข้าใจดีแล้วศรัทธาด้วย แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจลึกซึ้งก็จะเป็นเช่นนั้น

ก็เลยบรรยายไปแล้ว รู้สึกว่าอาตมาพูดได้ง่าย พูดได้ตรงพูดได้จริงพูดได้ชัด ก็คิดว่ามันเป็นประโยชน์มากๆ พวกเราก็ให้รับประโยชน์ได้มากๆด้วย ก็ยิ่งเห็นว่าน่าจะต้องทำแบบนี้ต่อไป

_มีคำถาม

_ผมเพิ่งมาเข้าใจคำว่า “อธิวจนะ” กับ “บัญญัติ”ครับ อธิวจนะเพียงแค่เรียกชื่อ ไม่ใช่การบัญญัติที่มีอินทรีย์แก่กว่า (พ่อครูว่า แสดงว่าบัญญัติมีดีกรีแก่กว่าอธิวจนะ ส่วนบัญญัติมีดีกรีแก่กว่า มีความลึกมากกว่า ความมากกว่า ความเข้มกว่า )ผมเคยคุยทางเฟสกับสำนักพุทธวจนะ เขาตำหนิพ่อท่านว่า บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ คือเรื่อง อรหันต์ในโสดาฯ อรหันต์ในสกิทาฯ อรหันต์ในอนาคาฯ อรหันต์ในอรหันต์… ผมคิดว่าพ่อท่านไม่ได้ทำแบบสัทธธรรรมปฏิรูป เป็นแต่พ่อท่านเพียงอธิวจนะ

ตอบ...ใช่ เพราะอาตมาจะไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติแน่นอน แต่ผู้เข้าใจคำว่าบัญญัติไม่ตรงก็หาว่า อาตมาบัญญัติสิ่งใหม่ที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ อาตมาเป็นแต่เพียงใช้ภาษาเรียกให้รู้ความหมาย ยกตัวอย่างว่าโสดาบันมีอรหัตตผล หรืออรหันต์ในโสดาฯ มีอรหันต์ในสกิทาฯ อรหันต์ในอนาคาฯ อรหันต์ในอรหันต์

อรหัตตา หมายถึงอะไร อาตมาแจกว่า อรหะคือไม่ลึกลับ อัตตา หมายได้สองนัย นัยหนึ่งคืออัตตาที่มีกิเลส อีกนัยคืออัตตาไม่มีกิเลส แต่ยังมีอัตตา

อัตตา ที่อาตมาหมายคือ อัตตาที่ไม่ลึกลับรู้เนื้อหาของสัจธรรม รู้ความไม่มีอัตตา ไม่มีกิเลส ของสิ่งที่ตัวเองได้ตนเองเป็นก็จบอันนั้น เป็นนิยตะ เป็นความแน่นอนเที่ยงแท้ โสดาบันก็มีความแน่นอนเที่ยงแท้ที่ไม่เวียนกลับแล้ว สกิทาคามี ก็มีความจริง ตามแต่ฐานะ อาตมาเอาสภาวะมาขยายความมาพูด แต่ผู้ที่ท่านยึดแต่ภาษา อย่างที่ผู้เขียนมาบอกว่า อธิวจนะกับบัญญัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่ามาทำลายหรือลบล้าง ที่ทำให้บัญญัติของพระพุทธเจ้าเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนไป หรือไปบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ อาตมาก็ไม่ได้ทำถึงขั้น “บัญญัติ” มีแต่ “วจนะ” ที่เรียกเท่านั้น สภาวะนั้นๆให้คนเข้าใจก็ไม่ติดยึดไม่ได้ถือสา แต่คนที่อยากติเตียนก็หาข้อติเตียนหาแง่มุมมาติ เขาก็หาได้ ไม่มีปัญหาผู้ที่จะหาเรื่องมาแย้งก็ดี อาตมาไม่ถือเป็นโทษภัย เขาก็แย้งตามภูมิ แต่เขาแย้งมาอย่างผิดเพี้ยนก็เป็นคนน่าสงสาร ทำให้เขารู้ตัวต่อไป แต่อาตมาคงไปสอนให้เขาฟังยาก ก็ได้แต่แสดงออกในสาธารณะ เขาจะรับฟังด้วยดี หรือจะเพ่งโทสอาตมาก็ห้ามเขาไม่ได้

_ในหน้า 108 ข้อ 77 พีชนิยาม ไม่มีโอฬาริกอัตตา และ มโนมยอัตตา มีแต่อรูปอัตตา แต่ในหน้า 45 ข้อ 23 บรรทัดที่ 4​ จากบน อัตตาก็คือ จิตใจของคนที่เป็นพลังงานจิตนิยาม ไม่ว่าใครจะทำอะไร  แล้วอะไรคือ อรูปอัตตาที่มีในพีชนิยาม

ตอบ...ก็คือสภาพที่คงสภาพรู้ของเขา เขามีแต่ตัวตนที่ไม่มีรูปเรื่องตัวตนอื่น มีแต่ตัวตนของตนเอง เป็น self ไม่มี selfish มีแต่ความเป็นตัวตนสร้างตัวตนได้เท่าไหร่เท่านั้น ไม่มีไปเปรียบเทียบกับใคร โดยเฉพาะไม่อยากมีตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยเฉพาะมโนมยอัตตาที่จะพิสดารมาก ที่จะเป็นสิ่งที่คนอื่นรู้ด้วยไม่ได้ ส่วนมโนมยอัตตาไปยึดเอา โอฬาริกอัตตาไปสร้างเองได้ กำหนดเองแต่งเอง ขึ้นมาเอง โดยไม่มีเลยจากอะไร คิดสร้างเองก็ได้ จนกระทั่งไม่มีเลย แม้แต่ลืมตาไม่ได้ยินเสียงภายนอก แต่คนมีมโนมยอัตตาสามารถเห็นได้ยิน อย่างกับมีผัสสะ 5 จากภายนอกได้จริง เหมือนกับคนเห็นผี ที่ไม่มีตัวตนแต่เขาปั้นเห็นได้จริง

แต่พลังงานของพีชะมันไม่ถึงขนาดมีโอฬาริกอัตตา หรือมโนมยอัตตา มีพลังงานน้อยแต่ระดับอรูปอัตตา

_พ่อท่านโปรดอธิบาย อสัญญีสัตตายตนะ กับเนวสัญญานาสัญญายตนะว่าอะไรเป็นรูปอะไรเป็นนาม

ตอบ...อายตะ คือทรงอยู่ คำว่าอธรรมไม่ได้หมายถึงสิ่งไม่มีตัวตน แต่มีในตนที่เป็นธรรมะที่ไม่ดีไม่ควร เมื่อล้างอธรรมออกจากตน ตนก็มีธรรมะที่ทรงอยู่ตราบที่ตนไม่ตาย

คำว่า “อสัญญีสัตตายตนะ” กับ “เนวสัญญานาสัญญายตนะ” เป็นอายตนะสองสุดท้าย คู่สุดท้าย ถ้าผ่านสองอันนี้ก็เป็นภูมิสัญญาเวทยิตนิโรธ คำว่าอสัญญีสัตตายตนะ กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ อันไหนเป็นนามอันไหนเป็นรูป เนวสัญญาฯเป็นสัญญา ส่วนอสัญญีสัตตายตนะ คือสัตว์ พยัญชนะก็บอก

อายตนะคู่สุดท้าย คุณต้องทำเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้สำเร็จสูงสุด เมื่อสูงสุดอายตะก็สมบูรณ์แบบรู้จบ เป็นผู้มีอสัญญี คือไม่ต้องทำสัญญากำหนดรู้แจ้งจบ สัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ ได้ใช้สัญญาทำงานเคล้าเคลียอารมณ์ หรือจบสุดแล้ว เวทนาทั้งหลาย รู้จบแล้วเกิดนิโรธ มี(โหติ) เป็นแล้วเป็นนิโรธสมบูรณ์แบบ คำว่าอสัญญีสัตตายตนะคือ อายตนะของสัตว์ตัวสุดท้าย ที่คุณทำได้สำเร็จไม่ต้องเป็นผู้สัญญาอีก ก็จบคำว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภพหรือสัตว์) ยังเป็นสัตว์ขั้นสุดท้ายในสัตตาวาส 9 นี่คือ ธรรมะคู่สุดท้าย

คำว่า “อสัญญีสัตว์” กับ “อสัญญีสัตตายตนะ” ต่างกัน ถ้าจะเรียกว่า “อสัญญีสัตว์” คือ สัตว์ที่ไม่ต้องทำงานอีกแล้วอสัญญี หรือมีความหมายอีกอันหนึ่งคือ สัตว์ที่ไม่มีสัญญา ไม่กำหนดสัญญา สัญญาไม่ทำงาน ไปดับสัญญาไว้ แต่ไม่ใช่ผู้มีอสัญญีสัตตายตนะ สมบูรณ์ ส่วน “อสัญญีสัตตายตนะ” คือ อายตนะสุดท้ายของสัตว์ ที่ทำงานจบอสัญญี

อสัญญีที่มีความหมายอย่างสัมมาทิฏฐิจึงไม่มีสัญญาอย่างจริง แต่ที่จริงก็มีสัญญาอยู่ในของพุทธ เหมือนกันไม่มีเวทนาแต่มีเวทนาเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน

แต่อสัญญีสัตว์ของพวกมิจฉาทิฏฐิคือ ไปดับไม่ให้มันทำหน้าที่เท่านั้น อสัญญีสัตว์อยู่ในลำดับ 5 ของสัตตาวาส 9

คำว่าอสัญญีสัตว์ใช้กับมิจฉาทิฏฐิ ส่วนสัมมาทิฏฐินั้น เป็นสัตว์จิตสะอาดบริสุทธิ์ ท่านเรียกว่าพรหมสัตว์ ก็สะอาดบริสุทธิ์

 

_อุปาทายรูป 24 แบ่งตามประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน

1.ประโยชน์ตนคือ... ปสาทรูป 5 โคจรรูป 4 ภาวรูป 2 หทยรูป 1 ชีวิตรูป อาหารรูป ปริเฉทรูป

2.ประโยชน์ท่านคือ...วิญญัติรูป 2 วิการรูป 3 ลักขณรูป 4

ถามว่าแบ่งเช่นนี้ถูกหรือไม่..

ตอบ...จริง ประโยชน์ตนของใครแทนกันไม่ได้ ปสาทรูป โคจรรูป ก็ของใครของมัน  ภาวรูป คือธรรมะสอง หทยรูป คือตำแหน่งที่เราสัมผัสได้ เรามีความรู้สึกก็ตามอ่านอาการได้ตรงไหนก็ตรงนั้นไม่มีสถานที่แหล่ง เป็นตัวที่เกิดภาวะจริงในปัจจุบัน ผู้ที่จับตัวอาการหทรูปนี้ได้

ชีวิตรูป คือมันยังไม่ตายไม่หาย ไม่ดับสนิท มีพลังงานอยู่ เราอ่านอาการมันออกว่าเป็นชีวะ ในชีวิตของมันก็แบ่งเป็นพลังงานเรียกว่า ชีวิตินทรีย์ เป็นพลังเป็นอาการที่ดิ้น เคลื่อนที่อยู่ จะแรง เบา น้อย เป็นอินทรีย์ ถ้าอินทรีย์ที่เป็นชีวะน้อย คุณต้องมีคุณภาพ มีพลังงานให้ชีวิตน้อยนี้ดับ หรือพลังงานอ่อนเป็นอินทรีย์ คือพลังที่อ่อนที่ด้อยกว่าพละ จบสุดก็เป็นพละ 5

อินทรีย์_พละ 5 คือศรัทา วิรยะ สติ สมาธิ ปัญญา

แล้วอาหาร 4 ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร

ปริเฉทรูป คือตัดส่วนตัดกรอบเท่าที่จะทำได้มาทำ เป็นปริเฉท chapter หรือเรียก concept หรือcontext คือตัดกรอบมาเฉพาะอันหนึ่ง

ภาวรูป 2 คือความต่างกันมีอันที่ดี กับอันที่ไม่ดี คือปุริสภาวะ(ดี) อิตถีภาวะ(ไม่ดี) ในที่ปฏิบัติกันอุปาทายะคือ ให้ทำไปตามลำดับ ตั้งแต่กวฬิงการาหาร แต่ในนั้นก็มีจะมีผัสสะ มีวิญญาณ ร่วมด้วย เมื่อคุณเรียกนโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ก็ต้องมีงาน มีรูปแน่ จากหทยรูป ไปก็นับหนึ่ง ส่วนวิญญัติรูป มีวิการรูป กับลักขณรูป

ต่อจากนั้นคือ ลหุตา ต้องให้อยู่ในฐานเบาก่อน ทำประโยชน์ท่านต้องไม่ให้แรง ให้ถ่อมตนเข้าไว้ ต้องเอาให้ตื้นตามฐานะของตน อย่าเห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง ต้องให้แน่ใจถึง 70 - ​90 % ถึงจะทำ เพราะเราไม่ได้หวังจะเอาอะไรนี่นา ถ้าไม่แน่ใจจะเสียผลก็ไม่ควรจะทำ

ชรตา เมื่อหมดพลังงานจะต่อมันก็เสื่อมลง แต่ทุกอย่างก็ต้อง อนิจจตาคือไม่เที่ยง มีเที่ยงแท้อย่างเดียวคือนิพพาน

 

_สัตตาวาส 9 คือวิญญาณฐีติ 7 อายตนะ 2 ใช่หรือไม่

ตอบ...ใช่

 

_ขอพ่อครูอธิบายซ้ำเรื่องรูปกายนามกาย พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ตอบ...รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ กายคือองค์ประชุม นามคืออาการของจิตทั้งหมด กายคือองค์ประชุม องค์ประชุมของนาม คือองค์ประชุมของความรู้สึกทัง้หมด ส่วนรูปคือ สิ่งที่ถูกรู้

รูปจิต อรูปจิต

รูปจิตคือ สิ่งที่ถูกรู้

อรูปจิตคือ สิ่งที่ถูกรู้ เป็น object ไม่ใช่ subject เช่นสุขเวทนา คือนาม คุณก็อ่านว่าสุขเวทนาคืออย่างไร ทุกขเวทนาคืออย่างไร มันถูกเรารู้คือรูปจิต อรูปจิต หยาบก็รูปจิต ละเอียดก็อรูปจิต ต้องอ่านไม่ใช่เดา ต้องรู้จักกัน แตะกันสัมผัสกันมีธรรมะสองที่คุณต้องรู้มัน จนมันมีตัวถูกรู้ กับนามที่ไปรู้ เป็น subject ส่วนรูปคือ object

 

_เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

 เหมือนหรือต่างจาก 

ตอบ...เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

 คือหลากหลายทำให้เป็นหนึ่งได้ ทีนี้ธรรมะสอง คือเทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ

 อะไรก็ตามที่จับตัวเป็นสองก็คือ เทวธัมมา ส่วนทวเยนคือ ทำให้เวทนารวมเป็นหนึ่ง แต่เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ เป็นคำกว้างๆ แต่ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ คือหลายหลากมากมาย ทำให้เป็นหนึ่งได้ก็เท่ากับทำเทวธัมมา จับคู่เป็นสอง แล้วมาทำ ทวเยนะ เวทนายะคือ จำเพาะลงที่ทำเวทนาสองให้เป็นหนึ่ง

คุณจะมีเวทนากี่ตัวก็จับคู่แล้วทำให้เป็นหนึ่งได้ เป็นหนึ่งได้ก็อยู่กับสองนี่แหละ คือโดยส่วนสอง คือทำเวนาสองให้เป็นหนึ่ง เช่นเวทนาที่เป็นกุศลกับอกุศล ทำให้เป็นเนกขัมสิตะถาวรไม่เป็นเคหสิตะอีก ก็เป็นหนึ่ง

 

_มีคนท้วงคำว่าอัตรา น่าจะเป็นคำว่าอัตตา

แต่พ่อครูว่า อัตราถูกแล้วคือ มีการเพิ่มการขยายตามอัตรานั่นเองคือ จากพีชนิยาม จะมีอัตราขยายจนจะเป็นจิตนิยามตอนไหน พีชนิยามคืออยู่ในสามเหลี่ยมนี้ไม่ออกไปเป็นสี่เลย ออกไปก็เป็นพลังงานทิ้งไป ไม่รวบรวมพลังงานที่เลยกรอบสามนี้เลย ตัวที่รวมตัวเป็นฟิวชั่นก็จะเป็นตัวตน พีชนิยามเอาแต่พลังรวมของตน ส่วนฟิวชั่นพีชนิยามไม่เกี่ยวเลย มันปล่อยไปหมด มันจึงไม่ออกเป็น 4 แม้มี 4 ก็เป็นกัมมันตรังสี แต่ตัวมันไม่เกี่ยว

มันจะแบ่งขีดเมื่อขึ้น 5 ใน 9 ก็คือตัวเกินครึ่งใน 9 เป็น 7ก็จะเที่ยงแท้นิยตะ เป็นสัมโพธิปรายนะ ไปสู่ 8 ไปสู่ 9 ได้ แต่ถ้า 4 ก็ยังถ้า 5 ก็ตรงกลาง จะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ ถ้าหดลงก็ชรตา ถ้า เป็น 6 ก็ไม่แน่ อาจโดนสลายได้ แต่ถ้ามีกรรมตัดรอนแข็งแรงก็ขาดไ ด้แต่มันก็มีภาวะที่จะเจริญแล้วแต่ถ้าเป็น 7 ก็นิยตะ พีชนิยามจะมาเป็นจิตนิยาม เมื่อใดต้อง 7 ขึ้นไปจะแน่นอน

 

_เวลาที่พ่อท่านอธิบายเกี่ยวกับโลก และอัตตา หรืออัตตาย่อมเสวยเวทนาเป็นธรรมดา ก็เข้าใจดีแต่จะให้สื่อออกมาพูดให้คนอื่นฟังก็ไม่รู้จะสื่อออกมาอย่างไร เป็นเพราะเข้าใจแค่ภาษา แต่ไม่มีสภาวะ แต่ถ้าไม่มีสภาวะก็ทำไมเข้าใจ

ตอบ...คนที่เข้าใจได้แต่ปฏิบัติไม่ได้มีเยอะ แต่คนที่ปฏิบัติได้แต่ไม่มีภาษาสื่อออกก็มี มีแต่นามธรรม คนที่ทำได้จริงๆ เร็วกว่า แต่คนที่ไปหลอกกันว่าให้มีบัญญัติภาษา มันง่าย เขาก็ไปเรียนแต่บัญญัติภาษา เขาเอาแต่บัญญัติไม่ทำจิตเลย ก็ไม่มีวันทำจิตได้ แต่คนที่ทำจิตได้จะเรียกบัญญัติง่ายกว่า เช่นคนที่ปรุงยาเป็น คนที่ทำเป็นแล้วง่ายกว่า คนที่รู้แต่ชื่อยาก็ยากที่จะผสมยาได้

สรุปแล้วเจโตก็บรรลุเร็ว พระโมคัลลานะบรรลุ 7 วัน พระสารีบุตร 15 วัน จอมปัญญา จอมฉลาดอย่าหลงตนเอง เจียมตัวเสียบ้าง คนที่บรรลุเจโตเขาหมดทุกข์แล้วสบายแล้วแม้ไม่ไปบอกใครได้แต่ปัญญาไม่บรรลุเลย เอาแต่บอกคนอื่นได้เวลาตนทุกข์ก็ทำใจไม่ได้

 

หมดคำถามวันนี้

 

ต่อเรื่อง มหานิทานสูตร ข้อ 65 ต่อ

      [65] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2 เหล่านี้ วิญญาณฐิติ 7    เป็นไฉนคือ

      1. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวกพวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 1

พ่อครูว่า สัตว์อันที่ 1 นี้ยังปฏิบัติอะไรไม่ได้เลย จะไม่รู้จักกาย รู้จักเทวดาด้วยซ้ำ แต่ตกนรกขึ้นสวรรค์หอฮ่อตลอดกาล

      2. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย 4 นี้เป็นวิญญาณ  ฐิติที่ 2

พ่อครูว่า อันนี้คุณมีสัญญามิจฉาหรือสัมมา ถ้ามีสัญญาสัมมาก็จะได้กายสัมมา ยังไม่สำเร็จก็ไม่สัมมาแต่สัญญาต้องสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้เรียนรู้ว่าทำทานต้องทำเช่นนี้ เมื่อสัมมาก็จะทำฌาน 1 ได้อย่างที่อาตมาพาทำแต่ทำให้จิตไม่มีนิวรณ์ได้ คุณลืมตาปฏิบัติก็ทำให้ไร้นิวรณ์ได้จนทำได้ดีสมุจเฉทปหาน ก็ทำทวนปฏิสัทธิ จนนิสรณปหาน

แต่ทำฌานแบบหลับตา ก็เพ่งไม่ให้เกิดนิวรณ์ได้ แต่ได้แค่สะกดนิ่งไปแล้วก็มีลักษณะคุมเชิงว่าในใจเราจะต้องมีการเห็นอะไรเหมือนมีแสงสว่าง ความจริงแล้วในการหลับตาไม่มีแสงสว่าง แต่ที่เห็นอันนั้นอันนี้อยู่มันเป็นมโนมยอัตตาทั้งนั้น คุณหลับตาโดยที่คุณไม่มีอุปาทานอะไร หลับตามันก็มืด แต่ถ้าเห็นแสงก็คืออุปาทานคนสัมมาทิฏฐิจริงๆหลับตาก็จะมืดไม่เห็นแสง แต่ถ้ามีคือ อุปาทาน

เมื่อสัมมาทิฏฐิก็ปฏิบัติสมาธิแบบ supra concentration ส่วนปฏิบัติสมาธิสะกดจิต ก็มีจิตให้เกาะกสิณนิ่งจนสำเร็จ ก็นิ่งได้ กลางได้ แต่ยิ่งไปกำหนดว่าต้องสว่างอากาสาฯ โล่งไกลโปรงใส่ไม่มีสิ้นสุดก็อยู่กับอาภัสรา เป็นสายสร้างภพสว่างเป็นอาภัสรา

ส่วนสายที่ดับก็ไม่เอาสว่างต้องดับให้ไม่มีอะไร แม้แสงสว่างหรือจิตไม่ต้องรู้อะไร หากรู้สว่างหรือว่างก็ตาม พวกนี้เรียนว่านิโรธคือดับ แต่สายธรรมกายไม่มีดับ เอาแต่สว่างให้มีพระพุทธเจ้าอยู่พุทธเกษตร ยังไปถวายข้าวพระพุทธเจ้าได้

การนั่งหลับตาสะกดจิตมีสว่างกับมืด ที่มิจฉาทิฏฐิ ก็ได้กายสว่างกับกายดำมืด

แต่ถ้าคุณทำสัมมาทิฏฐิก็ได้กิเลสหมด ก็ได้สภาพโล่งสบายจากกิเลส ไม่มีตัวประกอบที่ต้องมัวหมองอีก ไม่ได้ดับดำมืด แต่สว่างรู้โลก คนละโลกกับโลกที่ใสแบบสร้างภพ พวกธรรมกายเขาสร้างปั้นใสในจิต โสดาบันก็ใสอีกแบบ สกิทาฯก็ใสอีกแบบ จนอนาคาฯอรหันต์ก็จะใสคนละแบบใสๆๆๆ สมมุติภาษาแล้วให้คนปั้นเป็นมโนมยอัตตาไป

กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกันคือ ไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน คือสัญญาอย่างเดียวกัน แต่กายที่ได้ต่างกัน

ของลืมตา ฆ่าอบายจริง เช่น อบายติดส้มโอ ก็ฆ่ากิเลสติดส้มโอ แต่ก็ไปติดมะม่วงมะละกอต่อเป็นต้น ก็ลืมตาแต่ที่ไปหลับตาไม่ได้แยกแยะวิเคราะห์จิตเลย

      3. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร   นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 3

พ่อครูว่า...คุณลืมตาก็ใสสว่างเพราะกิเลสตาย มันไม่มีกิเลสมาเลยมันตายแล้ว ก็ได้กายที่ใส ที่สะอาด ไปสร้างภพเขาก็ได้กายใสสะอาด แต่การกำหนดความใสสะอาด คือมโนมยอัตตา ไม่ได้กำหนดรู้กระทบสัมผัสทวาร 5 แล้วล้างกิเลสให้จิตใจ ในขณะที่คุณเองได้ภพใส นามของคุณก็กำหนดรู้ว่าใส

      4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4     

พ่อครูว่า คือเทพสุภกิณหะ คือของงามของดีที่ควรได้ แต่คุณไปกำหนดสิ่งที่ควรได้ตามที่คุณกำหนดว่านิโรธ สัมมาทิฏฐิก็กำหนดนิโรธอย่างหนึ่ง ของมิจฉาทิฏฐิก็กำหนดนิโรธอย่างเขา จิตที่ดับก็คือนิโรธ แต่หมดนิวรณ์ 5 เขาดับอย่างดับจิต แต่ของสัมมาทิฏฐินี้ดับนิวรณ์ 5 จริงๆ คำว่านิโรธนี้ องค์ประกอบของขณะที่เข้านิโรธ หลับตาเขาก็ไม่มีนิวรณ์ 5 แต่ตอนออกมาจากหลับตาเขาไม่มีฌาน เขากำหนดกิณหะคือนิโรธดับเขาก็ว่าสุภะของเขา แต่สัมมาทิฏฐินั้นรู้จักตัวกิเลสหมด ก็คือนิโรธสัญญาอย่างเดียวกัน  แต่กายก็ว่าได้นิโรธองค์ประชุมรูปนามอย่างเดียวกัน แต่พวกมิจฉาทิฏฐิได้นิโรธแต่ตอนหลับตาทำ แต่พอตื่นมาไม่มี

มันได้ตามที่เขาสัญญาว่าดับ แต่สัมมาทิฏฐิฆ่ากิเลสได้ถาวร แต่ไม่มีนิวรณ์ไม่มีกิเลสได้เหมือนกัน ของมิจฉาทิฏฐิไม่เที่ยง แม้จะสะกดจนลืมตาก็ไม่มีแต่สะกดไว้ ไม่ได้ฆ่าสุดท้ายก็ต้องฟื้นไม่เวลาใดเวลาหนึ่ง

นิโรธเหมือนกัน สัญญาก็เหมือนกัน สุภะเหมือนกัน เขาก็ทำสำเร็จด้วย ส่วนนิโรธพุทธสำเร็จนิรันดร

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

พ่อครูว่า ถ้าเผื่อว่าเป็นมิจฉาเขาก็สู่ภพ เป็นมโนมยอัตตาใสว่าง แม้ได้ฌาน 4 ก็เป็นภาวะที่สัญญากำหนดหมาย สัญญาของแต่ละคนก็สัญญาว่า มันไม่ค่อยว่างโล่งโปร่งก็ไม่หมด  โลกมีแรงดึงดูด มีอากาศ ตัวเรายังไม่เบาไม่โล่งเท่าไหร่ แต่ถ้าเราหลุออกนอกโลกจะเบา คุณก็ใช้สัญญาใช้จินตนาการ พอเขานั่งสะกดจิต เขาก็จินตนาการได้ว่าเขาหลุดออกนอกโลกได้ เบาว่างโล่ง อาตมาเคยทำได้ แม้ตอนเป็นลิงลมอมข้าวาพอง ก็ทำได้ ได้รูปฌาน อรูปฌานก็หลุดออกไปนอกอวกาศปึ๊ง ไม่แปลกใจที่มหาบัวบอก หรือฝรั่งที่มาบอกว่าเคยทำได้แล้วก็ตามหาอาจารย์ให้เขาทำได้อีกให้ได้ ขณะที่คุณเสพอาการว่างคือ สภาวะอากาสานัญจายตะ เสพรส เช่นเดียวกับคุณตกภวังค์คุณไม่รู้ตัวเองหรอก แม้ลืมตาก็เป็นได้เสพรสว่าง แต่ไม่รู้ตัวเองอันนั้นคือ สภาวะอากาสานัญจายตนะในภพนั่งหลับตาทำ ก็มีแต่เวทนารู้สึก แล้วก็ไม่ยอมออกมันว่างย่ิงกว่าอุเบกขา

ถ้าจะเป็นอากิญจัญญายตนะ เพราะคุณเรียนมากว่ามีแต่สว่างโล่งก็ไม่ใช่การดับ ก็ต้องดับต่ออีก ไม่ให้รู้อะไรเลยแม้นิดหนี่งน้อยหนึ่ง สะกดจิต ต่อไป แต่สะกดอย่างไรธาตุรู้คือจิต มันต้องรู้ตัวขึ้นมาแวบ แต่อาฬารดาบสไม่มีความสามารถรู้แวบนี้ได้ แต่อุทกดาบสก็สามารถรู้แวบได้ แต่เนื่องจากมิจฉาทิฏฐิที่ต้องดับต่อก็เลยดับต่ออีก นี่คือภพภูมิสุดท้ายแล้ว ของพวกนั่งหลับตา คนนี้มีภูมิมากว่าอาฬารดาบส

ส่วนฌานของลืมตานั้นก็เอาลืมตาเลย ไม่ไปแบบหลับตา สภาวะมสนิการคือ ทำใจในใจ เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5 ที่ว่าดับปฏิฆสัญญา คือเมื่อมีสภาวะปฏิฆสัมผัสโส ก็กำหนดรู้เลย ทำการดับเวทนาให้เป็นหนึ่ง จนหมดภาวะที่มี action, reaction จนนิ่งไม่เป็น ฆ เลย แม้เป็นธุลีละอองก็ไม่มี แสดงว่าคุณกำหนดรู้ทุกอย่างตั้งแต่รูป ถึงอรูป ล่วงรู้สิ่งที่รู้มาหมดเลย แม้จะกระทบก็ไม่มี ฆ ไม่มีธุลีละอองเลย ไม่มีตัวที่จะให้ดับจากจิตเลย แม้จะปฏิฆะก็ไม่มี​ ฆ เกิดเลย

อมนสิการก็แปลว่าจบไม่ต้องทำใจในใจอีกเลย แต่เขาแปลว่าไม่ใส่ใจ ก็คือปล่อยมันช่างมันไม่เกี่ยวไม่ใช่เลย แต่แท้จริงคือใส่ใจจนจบกิจแล้วไม่ใส่ใจถึง นานัตสัญญา คำว่านานา หรือนานัตแปลว่าอัตตาต่างๆ ต้องกำหนดรู้อัตตาต่างๆมีสภาพเช่นนี้เรียกว่าอมนสิการไม่ต้องทำอีกแล้วในอัตตาต่างๆ ทั้งกามรูป รูปรูป อรูปรูป รูปราคะ แม้มานะ อุทธัจจะ ไม่มีธุลีละออง ไม่มี action , reaction เลย แต่ไม่มี ฆ เลย

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:42:36 )

581230

รายละเอียด

581230_ธรรมะรับอรุณ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอน 4

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 4

 

พ่อครูว่า….วันนี้วันพุธที่ 30 ธันวาคม 2558 ขณะนี้วันนี้มีผู้มาร่วมลงทะเบียน ทั้งหมด 719 คนยังไม่นับรวม ผู้ที่มาสังเกตการณ์อีก ก็เป็นผู้ที่ใส่ใจสนใจจะมา ร่วมพัฒนาตนเอง

ในร่างกาย มีอาการ 32 ก็ยังอยู่ครบ แต่อาการที่ 33 นี้ไม่มีแล้ว เป็นคนที่ไม่มีดาวดึงส์แล้ว ไม่มีอายุทิพย์ วรรรณะทิพย์ สุขทิพย์แล้ว ไม่ไปฝันเพ้อกับสิ่งที่ไม่เป็นความจริง

ชีวิตก็จมกับดาวดึงส์ตรงภพนี้ เมื่อใดจิตของเราเป็นสุขโดยสร้างภพ  จะสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัส แล้วก็ปรุงเป็นวิมานสบายใจสุขใจ คนไม่ได้ศึกษามีอวิชชาก็จะปั้นขึ้นมา เป็นภพชาติสวยอารมณ์ ปรุงขึ้นมาเป็นสามัญปกติชีวิตมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เป็นสามัญปกติของคนทุกผู้ทุกนาม จะเป็นอารมณ์เล็กน้อย ที่เป็นอรูปอัตตา ก็เป็นดาวดึงส์ของตนเป็นอรูปภพ ปั้นขึ้นมา หรือเป็นรูปเป็นร่างเป็นรูปภพจริงจังเหมือนจริง ดีไม่ดีก็เห็นข้างใน เป็นจิตทิพย์สร้างภาพสร้างรูปสร้างร่างอะไรขึ้นมาเป็นจริงจังหลับตาก็เห็นลืมตาก็เห็น เห็นอยู่ข้างใน  ก็เรียกกันว่าเป็นตาทิพย์หรือมโนมยอัตตา คือรูปที่สำเร็จด้วยจิต จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอะไรก็แล้วแต่อยู่ในจิต

เมื่อลืมตาสัมผัสออกมารับสัมผัสข้างนอกจนถึงภายใน  ข้างนอกสัมผัสเติมเต็ม ข้างในก็ร่วมด้วย ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ก็เห็นสภาพเต็มสภาพ แล้วก็รวมออกมาเป็นสุข สุขอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าองค์ประกอบครบพร้อมอยู่ในบรรยากาศในเมืองสวรรค์ในดาวดึงส์ ก็แสวงหา เพื่อที่ จะได้เสพสัมผัส ทั้งนั่งนอน ทั้งเดินทั้งกินเป็นเเดนแสนสุข ก็อยู่กับโอฬาริกอัตตาเต็มคราบ ถือว่าเป็นส่ิงประกอบนอกในครบพร้อม อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิปัสสติ สำเร็จอิริยาบทอยู่ในปัจจุบันนั้นเที่ยวก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น  ไม่ว่าจะนั่งจะนอนจะเดินจะไปจะมาจะขยับตัวก็เพื่อเสพสุข แดนที่เสพสมใจมีองค์ประกอบพร้อมให้แก่ตนเอง

เพื่อให้มีองค์ประกอบเป็น สุขทิพย์ อายุทิพย์ วรรณาทิพย์

 สุขทิพย์ คือสิ่งที่ห้อมล้อม เราตั้งแต่ วัตถุหรือบุคคลก็ตาม อยู่ในชั้นสวรรค์ วรรณะ ผู้ที่ประกอบพร้อมก็ดีกว่า ชั้นสูง ไฮโซ  ตอนนี้จะต้องไปกินในภัตตาคารหรูดูแพงแพงชั้นสูง จะต้องไปตรงนั้นตรงนี้ ต้องโน้นที่เป็นแดนที่ตนเองสรรว่าเป็นชั้นสูง ทุกที่ไป เป็นแดนสุขาวดีทั้งนั้น

 แล้วก็อยากจะอยู่ให้นานเป็นอายุทิพย์ ให้เป็นสุขตลอดๆทุกเศษเสี้ยวแห่งวินาที ขอให้สุขอย่างนี้ ขอให้สุขอย่างนี้ ซึ่งจะต่างกับ นิยตายุโก อมโม อปริคโห อมโมคือ ผู้หมดตัวตนหมดอหังการ ส่วนผู้ปริคโหคือ ผู้หมดอวิชชา คือผู้มีอายุแน่นอนเป็นอมตบุคคล จะอยู่ยาวหรือสั้นจะตายหรือเกิดก็ได้

ที่สุดแล้วจะตายอย่างปรินิพพาน หรือจะตั้งจิต ตายแล้วตอบภพภูมิ ปณิหิตตังจิตตัง หรืออัปปณิหิตตังจิตตัง หรือสุญญตนิพพาน ปรินิพพานเป็นปริโยสาน อรหันต์จะมีนิยตายุโก มีอายุแน่นอน

ผู้ปฏิบัติตนจนเข้าถึงก็จะได้อย่างที่กล่าว แต่ผู้หลงดาวดึงส์จะมีสภาพ  ดิ้นรนแสวงหาด้วยตัณหา เป็นผู้ไม่รู้ อชานาตัง เป็นผู้ไม่เห็น อปัสสตัง เป็นความดิ้นรนของตัณหา แล้วก็อาศัยอารมณ์ที่ทุกขณะ ที่ตนดิ้นรนแส่หา ตรงไหนๆคือ เวทยิต คือเสวยอารมณ์นั้นอยู่เคล้าเคลียอารมณ์นั้นอยู่

 สรุปเราเป็นคนที่แต่ละเวลาของคนก็จะแสวงหาแต่ดาวดึงส์ ได้เสวยเสร็จก็สุข ไม่ได้สมใจไม่ได้เสวยก็ดิ้นรนทุกข์ทน อันไหนไม่ต้องอารมณ์ ก็หนีไปเอาอันอื่นที่ต้องอารมณ์ นี่คือผู้ที่ไม่รู้ อชานาตัง เป็นผู้ไม่เห็น อปัสสตัง ในสัจธรรม  จะมีของใหม่ที่จะประกอบ ร่วมกับอดีตอนาคต ปรุงแต่งจิตตนเอง โดยเฉพาะอดีตนั้นจะเป็นอวิชชาเป็นอนุสัย เอามาใช้ปรุงแต่งเข้าไป ร่วมด้วยกับอนาคต ในขณะเดียวกัน คนที่มี 3 ลักษณะประกอบกันหมุนๆๆๆอยู่คือ อดีตปัจจุบันอนาคต  เอามาปรุงแต่งแล้วก็เสร็จทำให้ตนได้เสวยอารมณ์ (เวทยิตตัง)  มันไม่ชอบก็เป็นตัณหาคตานัง หรือคือเป็นเพียงความแส่หา(ตัณหาคตานัง)

 เป็นความดิ้นรนของตัณหา (ปริตัสสิตัง  วิปผันทิตเมวะ)

 เพื่อให้เป็นแดนอายุทิพย์ ให้นานที่สุดเป็นยามา  อย่าให้หมดนะ อย่าให้หมดนะ จนพอแล้วก็เคลื่อนย้ายไปหาอันใหม่ดินรนแสหาจริงๆ ค้นหาวิชาก็ไม่รู้ ดินรนอยู่ตลอด พอแล้วก็ไปหางานใหม่ จนกว่าจะพอใจ เสพอันใหม่เพราะเบื่อแล้วก็ไปหาอันใหม่ ดิ้นรนไปตามตัณหา

ถ้าศึกษาจริงศึกษาดีๆจะเห็นว่า คนเราทุกวันนี้น่าสงสารมาก หลงใหลในโลกกันไม่ใส่ใจในเรื่องของธรรมะ ไม่ต้องพูดถึงศาสนาอื่นเขา ศาสนาอื่นเขายังใส่ใจเอาจริงเอาจังในศาสนา อย่างศาสนาอิสลาม ในเมืองไทยคนอิสลามเขาเอาจริงเอาจังเอาใจใส่ศึกษา เกิดมาเขาก็ปลูกฝังแต่เล็กแต่น้อยจนถึงโต มีโรงเรียนมีความรู้ทางศาสนา ให้ละหมาดอย่างน้อยวันละ 5 ครั้งอยู่กับพระเจ้า พยายามจริงๆ เขาก็รักษาไว้ได้ ส่วนศาสนาพุทธอิสระเสรีภาพมาถึงปีนี้มาถึงวันนี้ 2600 กว่าปีมาแล้ว 2558 บวกกับ 80 เท่ากับ 2638 ก็ไม่ค่อยเอาถ่าน ในพุทธศาสนิกชน แต่ไปอยู่กับโลกเขาหมด ไปแสวงหาดาวดึง  ส่งไปเสพสุขทิพย์หรือสุขเท็จ ที่เป็นอัลลิกะแล้วหลงว่าเป็นทิพย์  สมัยใหม่เดี๋ยวนี้ก็จิ้มแท็บเล็ต เสียเวลา ทุนรอนแรงงานอันยิ่งใหญ่

ถ้าเอาความสูญเสียของข้าคืนมาไม่ว่าจะเป็นเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน  ทั้งแรงกาย และสติปัญญา ให้เอากลับคืนมาได้ จะมีประโยชน์อีกมหาศาล พวกชาวอโศกเป็นนักเศรษฐกิจแบบบุญนิยม เอาความสูญเสียขึ้นมาได้มากมาย จนคนเขางงว่าอยู่กันได้อย่างไร แบบคนจน จะมาแกล้งหลอกคนอื่นว่ามาจนหรือไม่จน วันนี้ตั้งนามสกุลจนมากมาย  จนแรกที่ตั้งให้คือ ของคนน้อยร้อยแจ้ง คือ จนดีจริง  ตอนแรกจะใช้ว่าจนดี แต่ก็มีคนตั้งแล้ว ขึ้นคำว่าจนนี้อาจจะหมายถึงว่าจนกระทั่งถึงก็ได้

 จนจนกระทั่งถึงเป็นอนาคาริกชนก็ได้ แต่คนไม่ค่อยอยากจะเป็น อนาคาริกชนนั้นเป็นคนที่ไม่สะสม ไม่สะสมบ้านช่องเรือนชานทรัพย์ศฤงคาร แจ้งชาวอโศกนี้ส่วนใหญ่ จะไม่สะสม แต่บางคนกิเลสยังไม่หมด  ก็เป็นคนที่เมาคือ จะเอาหรือไม่เอายังไม่ชัดเจน มาตั้งใจที่จะไม่เอาแต่ก็สะสมไว้ ใครที่สามารถสละออกจนกระทั่งไม่ต้องเป็นของเรา เรามีระบบสาธารณโภคีแล้ว อาศัยใช้สอยในนี้สบาย ช่วยเหลือบำรุงรักษาดูแลบริหาร แบ่งแจกเอื้อเฟื้อเจือจานผู้อื่น สังคมก็เป็นสุขเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องมีเงินคงคลังเยอะ แต่การหมุนเวียนนั้นคล่องตัวหมุนได้มากขึ้นเร็วขึ้น ก็จะมีเงินคงคลังเพิ่มขึ้นตามลำดับบ้าง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่ได้สัดส่วนตามเศรษฐกิจพอเพียงที่มีคุณภาพ มีประโยชน์สะพัดออกสร้างสรรค์ได้มากขึ้น และก็มีคงคลังมากขึ้นเพื่อจะหมุนรอบออกไปได้ดีขึ้นยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น นี่คือความเจริญของเศรษฐกิจบุญนิยมหรือเศรษฐกิจพอเพียง

จะมีจิตเป็นสาราณียะ คือไม่ใจดำ แต่ระลึกถึงกันอย่างญาติธรรม เป็นที่พึ่งกันได้ เราจะไปช่วยเขาได้อย่างไรหนอ เมื่อระลึกถึงกัน ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อมด้วย อย่างพระพุทธเจ้าตื่นมาก็นึกถึงว่าจะไปโปรดใคร ท่านเป็นที่พึ่งของโลก ชาวพุทธต้องพึ่งตนจนเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ เส้นชีวิตที่  ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา เป็นชีวิตที่ผู้อื่นดูแลเลี้ยงเอาไว้ชีวิต เนื่องด้วยผู้อื่น ไม่ต้องถึงขนาดพระพุทธเจ้าอาตมาเองก็เหมือนกัน ไม่มีอาการที่จะบำเรอจิต อาการที่ 33​ ไม่ต้องทำเพราะมันพอแล้ว สันโดษแล้วในอารมณ์ที่จะบำเรอตนเองด้วยอาการทั้งหลายที่จะปรุงแต่งเป็นดาวดึงส์ไม่ต้องแล้ว ไม่มีสุขทิพย์ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์แล้ว ทุกวันนี้ประกาศตัวตนหมดบอกไปหมดแล้วเปิดหมดแล้ว

เพราะฉะนั้นจึงพูดละเอียดละเอียด ฟังให้ดีจะเป็นธรรมชาติชัดเจน ถึงขนาดว่าอาตมาเป็นตัวอย่างที่เป็นคนชนิดนี้อยู่ในโลกนี้ ตั้งใจจะอยู่จนอายุ 151 ก็ตาม  ก็จะอยู่อย่างสาราณียธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์ผู้อื่น  ขออภัย แม้แต่ปวดขี้ก็ต้องอั้นไว้ เพราะตอนนี้ต้องทำต่อ กำลังคิดได้ เดี๋ยวมันลืม ก็ลืมปวด แต่เดี๋ยวก็ปวดใหม่อีกแล้ว เป็นเช่นนั้น ฟังดูเวอร์เหมือนกัน แต่ก็จริง มีสาราณียะ ปิยกรณะ เป็นความรักมิติที่ 7 ขึ้นไป

มิติที่ 1- 4 ก็เป็นมิติที่ต้องศึกษา

มิติที่ 1 ก็ต้องเป็นคู่ยังอยู่เดียวไม่ได้ ไม่เป็นเอกกับบุรุษต้องมีธรรมะ 2 คนที่มีธรรมะ 2 คือต้องพึ่งพาคนอื่น โดยที่ตนเองพึ่งตนเองไม่ได้ ไม่มีอัตตาหิอัตตโนนาโถที่แท้จริง ผู้ที่พึ่งตนเองสูงสุดก็เป็นอรหันต์ ส่วนอนาคามีก็ถือว่าพึ่งตนเองรอดแล้วอย่างแท้จริง สกิทาคามีก็พึ่งผู้อื่นตามกิเลสที่มี  ปฏิบัติตนจนไม่ต้องพึ่งภายนอกแล้ว มีมรรคผลของตนเอง มีกิเลสส่วนเหลือของตนเองเป็น รูปราคา อรูปราคา เป็นสังโยชน์เบื้องสูง ก็เป็นอนาคามี

 โสดาบัน สกิทาคามี ก็ยังพึ่งเพื่อนฝูง อนาคามี นั้นพึ่งตนเองรอดให้คนอื่นพึ่งได้ด้วยตน อรหันต์ ก็เป็นสมบูรณ์ พึ่งตนรอดสมบูรณ์ ไม่เป็นหนี้เลย ที่จริงอนาคามีก็ไม่เป็นหนี้แล้ว แต่ยังมีหยาบภายในอยู่

ผู้รู้ผู้เห็นก็จะรู้ได้ แต่ผู้ไม่รู้ไม่เห็นก็จะมีแต่ความดิ้นรนแส่หาของตัณหา พระพุทธเจ้าให้มาศึกษาให้จิตวิญญาณ มีจิตอย่างนี้คือ สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นจิตพระเจ้าที่แท้จริง ศาสนาพุทธรู้จักพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณด้วยตนเองเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แท้ๆ มีสาราณียะ ระลึกถึงกัน นอกจากนอนพัก พอตื่นก็จะไปโปรดใครช่วยใคร ก็ไปด้วยรัก ด้วยปิยกรณะ ด้วยคุรุกรณะ ไปช่วยเหลือเกื้อกูล สังคหะ ไม่ก่อวิวาทที่คือความขัดแย้งกันไม่พอเหมาะ

 การจะพัฒนาเจริญได้ต้องมีแรงเสียดทานอันพอเหมาะ จะมีพลังสูงสุดถ้าไม่มีแรงต้านเลยก็จะไม่ได้สูงสุด ในหลักวิศวกรรม ไม่ถึงกับวิวาท แต่มีปฏิฆสัมผัสโสได้พอดีพอเหมาะ ปโหติ ได้สัดส่วนที่ดีที่สุดประโยชน์สูงประหยัดสุด ก็อยู่กันไปอย่างสามัคคีธรรม สามัคคียะ  สงบเรียบร้อยราบรื่นง่ายงามสันติ เป็นแดนสันติเป็นแดนแห่งอิสระเสรีภาพเป็นแดนแห่งภราดรภาพ เป็นแดนแห่งสันติภาพ เป็นแดนแห่งสมรรถภาพ เป็นแดนแห่งบูรณภาพ(integrity)  จะเป็นความซื่อสัตย์สุจริต เจริญงอกงาม อะไรบกพร่องก็จัดการเติม พัฒนาขึ้นไม่หยุดอยู่ มีแต่ก้าวหน้า อะไรบกพร่องก็เติมให้เต็มเสมอ

บูรณาการเอาธรรมะพระพุทธเจ้าที่ได้มาแต่ปางบรรพ์ มาทำงานต่อเนื่องจนถึงปางนี้ ปางที่ 7 ก็ยังจะต้องทำต่อไปอีก ทำไปจนกว่าจะถึงปณิธานของตนเอง สูงสุดถึงสัมมาสัมโพธิญาณได้ก็จบ

 อันนี้เป็นปางที่คนไม่ค่อยจะเห็นดีด้วย ต้องพยายาม ก็พยายามหาวิธีการให้มารวมกัน  วันนี้วันที่ 3 แล้ว ก็อาจจะมีที่ลุกมาไม่ขึ้น

 เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าความรู้ชนิดนี้ ใครจะว่าหลงธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ไม่ว่ากัน เพราะการศึกษาของพระพุทธเจ้าความรู้ชนิดนี้ เป็นเอก แล้วก็ไม่ได้ทิ้งความรู้อื่นที่จะรู้ได้ตามฐานะ วิชาเอกก็เป็นพุทธวิชา รองก็มีอีก คุณมีพลังจะศึกษาวิชาข้างเคียงกี่อย่าง ก็ไปจัดสรรเอาเอง แต่ธรรมะต้องเป็นเอก เป็นวิชาเอก ถ้ายังไม่จบอรหันต์ก็ต้องถือเป็นวิชาเอก แต่ผู้ที่เป็นโสดาบันแล้วก็จะได้ในตัว เท่าที่ได้ ก็จะมีวิชาอื่นเพิ่มพลังงานตามฐานะ สกิทาคามีก็มีสิ่งที่ให้ผู้อื่นได้เพิ่ม อนาคามีก็มีสิ่งที่ให้ผู้อื่นเพิ่มมากอีก อรหันต์ก็ทำเพื่อผู้อื่นหมด จบวิชาเอก ก็ไม่ต้องมุ่งเพื่อจะทำตนเอง จบแล้วมีแต่เหตุปัจจัยที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

อรหะ(ไม่ลึกลับ) + อันตา(ที่สิ้นสุด)  คือไม่ลึกลับในอัตตาของตนแล้ว ศึกษาเพื่อช่วยผู้อื่นต่อพระโพธิสัตว์ ศึกษาเพื่อช่วยผู้อื่น เพราะฉะนั้นบางทีบางปางก็ไม่ใช่คน  จะไปเกิดเป็นสัตว์เพื่อศึกษาที่จะช่วยสัตว์ ถ้าพระโพธิสัตว์บางองค์สงสัยว่าชีวิตไส้เดือนจะเป็นอย่างไร วงจรชีวิตมัน จะเจริญหรือเสื่อมอย่างไรก็ไปเกิดเป็นไส้เดือนซะ แต่ฐานะของไส้เดือนมันไม่มีอะไรมากก็คงจะไม่ไปเกิดหรอก จะไปเกิดเป็นช้างไปเกิดเป็นสัตว์อื่น ที่ควรจะเป็นประโยชน์ แต่ไม่ไปเกิดเป็นจุลินทรีย์เชื้อโรคที่ร้ายแรงที่สุด ก็เป็นความชัดเจนในชีวิตที่แท้จริง ที่จะชัดเจนในความเกิดมาเป็นคน แล้วก็มีภูมิปัญญามีความรู้ที่เป็นองค์ประกอบ มาเป็นตัวสัตว์โลกจนกระทั่งเป็นมนุษย์ จนกระทั่งเป็นอรหันต์ จบทุกอย่างแล้วต่อจากนั้นไปก็เป็นสัตว์โลกที่ทำเพื่อผู้อื่น จะเวียนตายเวียนเกิดอีกเท่าไหร่ก็ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นไป

ที่พูดไปนี้ไม่ใช่เพ้อเจ้อไร้สาระเป็นจริงไม่ได้ แต่เป็นจริงได้ บอกแล้วจะเข้าใจชัดเจน จะเกิดศรัทธาที่จะพัฒนา ให้เกิดศรัทธินทรีย์ มีจิตเจริญ​เป็นอุเบกขา สูงขึ้นหรือเป็นมรรคก็เป็นอุเบกขาของฌาน 4 สูงขึ้น ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ประภัสสรา  ก็ยังเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากขึ้น ด้วยตนเองไม่ต้องดูแลตนเองคนอื่นดูแลให้ ปรปฏิภัทธา เม ชีวิกา

 ปีนี้ปี 2558 มีคนฉลาดมาสมัคร 719 คน มาลงทะเบียน นอกนั้นฉลาดไปสมทบก็มี  เป็นพวก แอบแสวงประโยชน์โดยไม่ลงทะเบียนก็ไม่ว่ากัน ไม่ได้ไปลงโทษไม่เอาโทษ อภัยก็ได้ แต่ก็น่าจะให้รู้หน่อย อย่างน้อยเราก็จะได้เอามาคุยโม้ได้ เป็นตัวไรแฝงในขนแอบดูดเลือดพญาคุรฑ แอบเสวยเสพกากี แอบเป็นกิ๊กของกากี ระวังพญาครุฑ เอาตายนะ

ก็มาเข้าบทเรียนต่อ พระไตรปิฎก เล่ม 10

 

 [64] ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ไม่    เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้     ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน ทั้งรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

อานนท์  ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตายสัตว์ไม่มีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย ว่าเบื้องหน้าแต่ตายสัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้ ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร ข้อนั้น เพราะเหตุไร

      ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติบัญญัติ ทางแห่งบัญญัติ  การแต่งตั้งทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตราบใด วัฏฏสงสาร ยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้น เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึงหลุดพ้น ข้อที่มีทิฐิว่า ใครๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นภิกษุผู้หลุดพ้น เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น  นั้นไม่สมควร ฯ   

 

โลกโลกีย์ก็รู้แต่บัญญัติโลกีย์ ก็เลยเอาบัญญัติโลกุตระไปใช้กับโลกีย์เลย อย่างมรรคองค์8 ก็เอาไปใช้ทำมาหากินเป็นอาชีพ เช่นทำอาชีพหาลาภยศสรรเสริญให้แก่ตนจนกลายเป็นพระมหาศาลทุกวันนี้ 

ผู้ที่รู้จักวัฏสงสารจริงๆเป็นผู้ที่หลุดพ้นไม่ควรจะไปว่าผู้นี้ อย่างน้อย 719 คนนี้รู้อาตมา ยังมีคนที่อยู่ทางบ้าน ที่เป็นคนธรรพ์อยู่  แต่ก็แสดงตัวเถอะ อาตมาว่าคนที่ไม่แสดงตัวเช่นนี้มีไม่น้อย เป็นคนshut in ปิดตัวเอง โดยเฉพาะปิดตัวเอง อายครูบ่รู้วิชา อายภรรยาบ่มีบุตร เปิดตัวเถอะ

  มีคนเข้าใจผิดว่า โลกนี้ไม่มีคนที่บรรลุหรอก อย่าไปกล่าวเช่นนั้น  ไม่ลงด้วย ไม่ลง ไม่ลงแต่ต้องการสอบ ก็ต้องการ

      [65] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ 7 อายตนะ 2 เหล่านี้ วิญญาณฐิติ 7    เป็นไฉนคือ

      1. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวกพวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 1

      2. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่องในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย 4 นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 2

      3. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร   นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 3

      4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ ชั้นสุภกิณหะนี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4     

      5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะ

ดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึง นานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

      6. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 6

      7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร    เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7

      ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

      ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง 7 ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ 1 มี ว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก   พวกวินิบาตบางพวกผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ   และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้นและรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ  ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

            ฯลฯ   

 

      วิญญาณฐิติที่ 7 มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการ ว่า ไม่มีอะไรเพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควรเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง 2 นั้นเล่า ข้อที่ 1 คือ อสัญญีสัตตายตนะ ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ และโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะ

ข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก อสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้น อีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ส่วนข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ    ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลิน เนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ และอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 เหล่านี้ ตามเป็น  จริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า ปัญญาวิมุตติ ฯ

 

พ่อครูว่า มาทวนตั้งแต่วิญญาณฐีติ 7 และอายตนะ 2 รวมเป็น 9

วิญญาณฐีติ คือ การปฏิบัติที่ต้องครบพร้อมขณะที่มีวิญญาณทั้ง 6 ตั้งอยู่ ยืนยันว่าศาสนาพุทธนั้นถ้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติก็โมฆบุรุษ เพราะไม่มีวิญญาณฐีติ 7 ให้คุณปฏิบัติเลย ไม่มีกาย ไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายเลย แม้แต่คำว่ากายก็มิจฉาทิฐิกันไปหมด

ในวิญญาณฐีติข้อแรก

1. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพบางพวก พวกวินิบาตคือ พวกที่ตกต่ำจนไม่มีที่จะตกต่ำกว่านี้อีกแล้ว บางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 1 กายคือ องค์ประชุมรูปกับนาม ส่วนสัญญาคือ จิตตัวที่กำหนดหมายรู้ หรือมีหน้าที่ค้นคว้าเรียนรู้ทุกอย่าง ต้องใช้สัญญาตลอดเวลา ถ้าใช่สัญญาไม่เป็น หรือไม่รู้ก็มิจฉาฯ มันมีกายต่างกัน คนหนึ่งมิจฉาฯ คนหนึ่งสัมมาฯ ส่วนสัญญาก็เช่นเดียวกัน  คนหนึ่งมิจฉาฯ คนหนึ่งสัมมาฯ

ผู้มีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน ก็จะเห็นเทวดาต่างกัน อย่าไปแส่หาวิญญาณนอกตัวล่องลอยเหมือนภิกษุสาติ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอน ต้องรู้ว่าจิตวิญญาณมีลักษณะแบบนี้ คุณสมบัติแบบนี้ ถ้าเป็นเทวดาโลกีย์ก็เป็นเทวดา 6ชั้น ถ้าเป็นเทวดาโลกุตระ จะลดจะหยุดพักจากที่แส่หายึดติดโลกีย์ อยู่ดุสิต 

ต้องมาลดความเป็นยักษ์ เป็นจตุมหาราชิกาคือ ลดความเป็นรสชาติของกิเลสหรือรชะ , ราชา  เทวดา หรือยักษ์ ก็เป็นคุณตอนนี้ อาตมามาโปรดพวกคุณ พวกคุณจะเป็นแม่ไปคลอดบุตรต่อไป อาตมาก็เป็นพ่อผู้เชื้อโคตรของพุทธ ไปต่อเผ่าพันธ์ุต่อไป  คุณต้องสร้างเทวดาของคุณเองให้ได้ พระพุทธเจ้าสร้างเทวดา สร้างพรหม เป็นผู้รู้จักจิตเจตสิกแล้วเป็นผู้สร้าง

คนที่มีสัญญาตรงกัน เช่น ตรงกับอาตมา ก็จะมีตรงมากตรงน้อยต่างกันไป

2. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ ผู้นับเนื่องในชั้นพรหม ผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย 4 นี้เป็นวิญญาณ  ฐิติที่ 2

หมายความว่ามีการกำหนดรู้ถูกต้องเหมือนกัน ฌาน 1 ก็คือจิต ไม่มีนิวรณ์ 5 แล้ว จะลืมตาหรือหลับตาก็ตามก็ต้องรู้ชัดเจนว่าเป็นสภาวะอย่างนั้นแหละ ของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติลืมตา ได้แล้วหลับตาไม่ยากหรอก 

ไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะนั้นจิตคุณเป็นฌาน จะลืมตาหรือหลับตาก็ตาม คนที่เข้าใจความเป็นฌานแบบนี้ คุณสัญญาแบบนี้ได้ ถ้าทำได้ตามที่กำหนดคุณก็จะเป็นพรหม ถ้าทำไม่ได้อย่างที่กำหนด คุณไปสร้างองค์ประกอบรูปนามสร้างได้ก็เป็นสัตว์พรหม สร้างไม่ได้ก็เป็นสัตว์อบาย

รู้ว่าฌาน 1 เป็นแบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้ ยังมีนิวรณ์อยู่ยังง่วงนิดๆ พยาบาทนิดๆ กามก็มีนิดๆยังข้องใจวิจิกิจฉา ไม่โปร่งโล่งว่าเราไม่นิวรณ์​5 ถ้าไม่รู้ก็เป็นสัตว์อบายตัวแท้ แต่ถ้ากำหดรู้ชัดจริงแม่นจริง ว่าสะอาดจากนิวรณ์​5 แม้จะเป็นฌาน 1 เคร่งคุมอยู่ วิตกวิจารอยู่ ทำฌาน 1 ยังไม่เก่ง เหมือนนักขี่จักรยานที่เพิ่งหัดขี่จักรยาน

ผู้สามารถทำฌาน 1 เป็นผู้รู้องค์ประชุมรูปนาม ที่เป็นฌาน 1 ​แต่ยังเคร่งคุมมาก ยังไม่คล่องตัว ฌาน 1 ระมัดระวังมากก็ไดบ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่มีนิวรณ์แน่ มีปีติแน่ มีจิตเป็นหนึ่งได้ จึงต่างกัน เรียกกายต่างกัน แต่สัญญาตรงกันแล้วว่าไม่มีนิวรณ์ ก็ไม่มีนิวรณ์ตอนนั้น

วิตักกะคือ ตรวจสอบไตร่ตรองระมัดระวังควบคุม คือยังกังวลอยู่

3. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร   นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 3 เช่นอาภัสราคือ ภพสว่าง สว่างอย่างพวกธรรมกาย ปั้นได้สารพัด เช่นปั้นเป็นวิมานเพชรพลอย ชั้นต่างๆ อย่างฤาษีลิงดำ เป็นต้น ต่างกันได้ไม่มีกำหนดของใครของมันจึงต่างกัน วัคค่าไม่ได้ ไม่เหมือนแสงทางฟิสิกส์ แต่นี่วัดไม่ได้

จบ


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:43:25 )

581230

รายละเอียด

581230_โอวาทประชุมตลาดอาริยะ ในงานว.บบบ.ครั้งที่ 4 บ้านราชฯ

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ตลาดอาริยะ

 

พ่อครูว่า...มาถึงวันนี้แล้วตลาดอาริยะ เป็นบุญญาวุธหมายเลข 2 ที่เราทำต่อจากมังสวิรัติที่เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 มังสวิรัตินั้น มันเป็นผลต่อตัวเราเองเป็นเอก ผลต่อมวลมนุษยชาติเป็นรอง ส่วนตลาดอาริยะนั้น ผลประโยชน์ต่อมนุษยชาตินั้นเป็นเอก ผลประโยชน์ต่อเรานั้นเป็นรอง แต่ถ้ามองในแง่ธรรมะก็เป็นเอกทั้งนั้น ที่เราจะได้ใช้ลดกิเลสไม่ว่าจะเป็นบุญญาวุธหมายเลขเท่าไหร่ การตัดกิเลสของเราก็เป็นได้ทั้งนั้น เป็นเอกตลอดกาล

 

 เรื่องมังสวิรัตินั้นเราก็ทำได้ดีประสานกับพวกที่กินเจได้กว้างขวางออกไป หน้าเทศกาลกินเจที่ก็เกิดทั่วประเทศ จนกระทั่งจังหวัดอุบลมีร้านอาหารเจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในหน้าเทศกาลกินเจ และก็คล้ายกันอย่างพิสดารกว่าทุกร้านในหน้าเจ ที่ที่อื่นเขาขายกัน โอกาสขายแพงขึ้น แต่เราถือโอกาสขายถูกลง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องเจริญก้าวหน้าไปได้ดีมาก

 ตลาดอาริยะ ก็อยากจะกำชับพวกเราอยากจะขอร้องด้วย ว่าอย่าพยายามทำให้ตลาดอาริยะนี้เสื่อม เรื่องการพาณิชย์เรื่องการซื้อขาย เป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติ ที่จะไปข้างหน้าอีก ตลอดกาล ให้มารู้จักการแบ่งแจก จะเป็นตัวที่จะถ่วงดุลของสังคม ให้ถ่วงทุนนิยมที่บ้าเลือดไม่ยอมลดไม่ยอมขาดทุน จะต้องช่วยคนเดือดร้อน

มาพูดถึงเรื่องตลาดอาริยะนี้ เป็นบุญนิยม ขั้นที่ 3 คือขายขาดทุน ไม่ใช่บุญนิยมระดับขายต่ำกว่าราคาตลาด หรือขายเท่าทุนนะ ไม่ใช่งานแจกฟรี แต่เป็นการค้าขายแลกเปลี่ยน เป็นการแลกเปลี่ยนของเงิน ก็ตาม เอาต่ำที่สุดอย่างเช่นขายอาหาร ทั้งที่เราก็แจกฟรีได้ แต่เราก็ขายจานละบาท

ก็ขอร้องว่าถ้าไม่ขาดทุนจริง อย่าใช้ชื่อเรียกว่าตลาดอาริยะ จะใช้คำว่าตลาดบุญนิยมก็ได้ ได้มากที่สุดก็เท่าทุน หรือเอาเปรียบน้อย แต่จะมีสินค้าบางชนิดขายต่ำกว่าทุนบ้างบางรายการ แต่ว่าคุณจะบอกว่าเป็นตลาดอาริยะไม่ได้ เฉลี่ยแล้วไม่ใช่ ที่จริงคืออยากให้ต่ำกว่าทุนทั้งหมดทุกอย่างทุกชิ้น

ถ้าเราทำตลาดอาริยะให้บริสุทธิ์ เป็นการยืนยันว่าการค้าของอาริยชนจริงต้องขายต่ำกว่าทุน ถ้าการค้าของชาวอโศกเจริญจริง มีแกนแก่น เช่นสินค้าของชุมชนบ้านราชฯจะขายชิ้นใดก็ต่ำกว่าทุนหมด นี่คือคนเจริญ​มีผลิตมากมายขายในประเทศไทยก็ยังเหลือ จะขายต่างประเทศเราก็ขายต่ำกว่าทุนให้ต่างประเทศ เราไม่เอาเปรียบต่างประเทศมาให้แก่ตน นั่นเป็นทุเรศคติ ไม่ใช่ทุรคติ ไม่ใช่อุดมคติ เป็นหายนคติ

เพราะฉะนั้นเราทำในบ้านเมืองในประเทศในสังคมกลุ่มเล็ก ปริตตัง กรอบนี้ขยายกรอบไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ก็ทำแต่ละที่ๆย่อยลงไป ก็อยากให้รักษาสภาพตลาดอาริยะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งเลยตีกินแฝงหลอกสังคม แล้วใช้อันนี้ไปได้กำไรอย่างโลก อย่าไปทำอย่างเล่ห์ชาวโลก

ปีกลายนี้เรามีเงินหมุนเวียนขายถึง 32 ล้านบาท แล้วกำไรอาริยะ ทั้งหมดรวมแล้วแปดล้านสองแสนกว่า ก็เท่ากับปีหนึ่งเรารวมกันมา คืนให้แก่สังคมอีก มีครั้งย่อยๆอีก แต่ตัวหลักงานใหญ่เราก็มีปีหนึ่งก็ครั้งหนึ่ง มันน่าจะปีละ 20 ล้านนะ ก็ใจใหญ่ไว้

คือการสมทบมีการสมทบเป็นหน่วยงาน หรือเป็นบุคคลเอกชนส่วนตัวก็มารวมได้ คือพวกเรานี่แหละไม่เอาเงินคนข้างนอกหรอก เช่น อเมริกาจะสนับสนุนตลาดอาริยะปีละห้าร้อยล้านอย่างนี้เราไม่เอา ถ้าเรารับก็เป็นอานานิคมของเขา พวกคนร่ำรวยก็ใช้ซื้อทาสไว้ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

ที่เราเอาตลาดไปใกล้แม่น้ำมูน เพราะเราจะปลุกชีวิตแม่น้ำมูน แต่ก็ไม่ง่ายเพราะองค์ประกอบยังไม่พอ จัดองค์ประกอบศิลป์ไม่ง่าย มีสิ่งชี้ชวนยังไม่ถึง แต่ถ้ามันเมื่อยมันหนักหนาสาหัสแรงงานก็ไม่ไหว คือเราจะได้เรือไปแสดง เรือก็จะวิ่งไปวิ่งมา พยายามให้เขาขึ้นเรือวิ่งไปมา แต่ก็ไม่เวิร์คเท่าไหร่ ถ้าเห็นว่าไม่ไหวก็พักก่อน อาตมามีความคิดว่า ซึ่งต้องหนักหนาเหมือนกัน คืออยากซื้อที่ดินฝั่งตรงกันข้าม เสร็จแล้วงานตลาดอาริยะ ถ้าเราจะทำเราก็จะใช้พื้นที่นั้น พอถึงหน้าตลาดอาริยะเราก็จะประโคมฝั่งโน้นขึ้นมา เราทำแพขนานยนต์ ซึ่งก็ไม่ได้มีพิมพ์เขียวอะไร เราก็จะได้มีถนนหนทาง เขามาที่นี่ได้ ทางโน้นก็ต้องมาจากทางโน้น

ปีนี้เห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นภูมิราชธานีอโศกอีกเยอะ ก็จะมีอะไรมาก่อ สถานที่ก่อสร้างเครื่องประดับประดา เป็นงานศิลปะ ที่ไม่ใช่ธรรมดาสามัญ แต่เป็นสุนทรียศิลป์ เพื่อดึงดูดคนเข้ามาที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับคนมาเที่ยวแต่คนมาเพื่อเอาสาระ หรือจะดูแค่วัฒนธรรมเราก็ไม่ขายวัฒนธรรม ทุกวันนี้มันไม่มีแล้ว แต่ของเราจะมีวัฒนธรรมจริง เป็นวัฒนธรรมบุญนิยม เป็นวัฒนธรรมจริงที่หาค่าบ่มิได้ ให้คนเขาอยากให้ได้เป็นอย่างนี้ นั่นคือเราสืบต่อวัฒนธรรม ต่อเชื้อออกไป เขามาที่นี่ไม่ใช่มาแค่เที่ยว แต่ได้รับสาระมากกว่านั้น เขารู้ว่ามาที่นี่จะได้อะไรไม่ใช่บำเรอบำรุงกินเสพสูบ อันนั้นโลกีย์ไม่ใช่

หมู่บ้านเราต่อไปสำเร็จแล้ว จะเป็น complex ที่ใหญ่ มีอาการเคลื่อนไหว ดำเนินการเป็นสัมภาระ ดำเนินไปทำหน้าที่ของมันเต็มสภาพ หมู่บ้านนี้ก็เดินเต็มสภาพตามวิถีบุญนิยม เป็นโมเดลหลักของสังคมไทย ที่จะบรรจุในสถานที่ท่องเที่ยวเราไม่คิดแต่มันมาแน่ แต่เราจะไม่ใช้เป็นหน้าที่หาเงิน แต่จะยิ่งใหญ่กว่าวัดพระแก้ว เราก็ต้องมีกฎเกณฑ์ ไม่ใช่ให้มาแสดงแบบโลกๆทั่วไป มีธรรมเนียมเหมือนที่วัดพระแก้ว มีเจ้าหน้าที่ๆจะทำหน้าที่ไม่ใช่ชี้บอก แต่ให้ทำเป็นวัฒนธรรมที่ต้องเคารพคนมาโดยวัฒนธรรม เหมือนกับไปวัดพระแก้ว ของเราเป็นทั้งศาสนา วัฒนธรรม จะมีสมเด็จปู่ขึ้นมาจะเป็นที่เคารพแน่นอน ยังมีโมโนลิทอีก เป็นห้างสรรพสินค้า complex  ไม่อยากเปิดเผยพิมพ์เขียวเดี๋ยวจะเหมือนโม้


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:44:03 )

581231

รายละเอียด

581231_ธรรมะรับอรุณ ว.บบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอน 6

พ่อครูว่า…

วันนี้วันสุดท้ายของปี 2558 เป็นวันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2558 ก่อนจะเข้า บทเรียน ก็มีนักกวี เขียนกวีมาส่งท้ายปีเก่า

 

พรปีใหม่ให้ชาวพุทธจงหยุดขอ  แต่จงก่อกรรมงามตามคำสอน 

ผลแห่งกรรมจะทำให้ได้รับพร การวิงวอนอ้อนขอส่องมงาย

 

มีอายุที่ยังเหลือ เพื่อดับชาติ      ด้วยแรงฤทธิ์อิทธิบาทไม่ขาดหาย

จาคะทำย้ำดำริมิเสื่อมคลาย      ก่อนชีพวายได้ละลดหมดตัวตน

 

ให้อาจองทรงวรรณะอันประเสริฐ ยัญพิธีที่ล้ำเลิศจงเกิดผล

มีศีลเคร่งเก่งธุดงค์จงฝึกตน      เพราะกล้าจนทนเสียดสีมีน้ำใจ

 

ให้มีสุขในทุกฌานการเพ่งเผา ล้างนิวรณ์ถอนรากเหง้าเหล่าอนุสัย

ขณะที่มีผัสสะกระทบใจ          เกิดวสีมีวิจัยใฝ่ประจัญ

 

เป็นเศรษฐีมีโภคะมหาศาล พรหมวิหารบานในใจใฝ่สร้างสรรค์ ประโยชน์ตนสนใจไม่รอวัน ประโยชน์ท่านหมั่นก่อไม่รอนาน

 

เกิดอินทรีย์มีพลังล้างสังโยชน์ เกิดนิโรธ เห็นโทษภัยในสังสาร

เกิดวิมุตหลุดพ้นเกิดผลญาน     เกิดนิพพานทุกกาลกัลป์ ทุกท่านเทอญ

 

 อโศกสัมปวังโก เป็นผู้แต่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 6

 

มาต่อที่สัตตาวาส 9 ถึงข้อที่  4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ   ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4  

มันเป็นสุภะแล้วแต่การกำหนดหมาย คนนี้ไปกำหนดหมายความดับดำมืดเป็นสุภะ ไม่คิดนึกอะไร แต่ของพระพุทธเจ้าครบพร้อมทั้งทวารนอก/ใน เต็มรอบด้วยความรู้ ปัญญา ญาณ​ วิชชา แสงสว่างอาโกลา ก็มีความต่างกันตรงนั้น แต่สัญญามันเหมือนกัน ตรงเชื่อว่าคือ นิโรธ ฝ่ายมิจฉากำหนดดับดำมืด แต่ของสัมมาว่า สว่างอย่างเห็นๆ

ผู้ที่ไปกำหนดหมายว่า ต้องดับจิตดำมืด แล้วเขายินดีในดับดำมืดว่าใช่ แล้วเขาก็ว่าคือจุดสูงสุดที่เขาพึงได้ที่เรียกว่า นิโรธ เขาได้ก็ว่า น่าพึงใจที่ได้ เป็นสุภกิณหา แต่ของสัมมานั้นให้ดับที่กิเลส ที่จริงมันไม่ได้ดับ แต่มันล่วงมันพ้นไป (สมติกฺกมา) มัน อตฺถงฺคมา คือการถึงความเสื่อมสุด หรือพระอาทิตย์อัสดงลงไปหมด หรือการสูญการถูกทำงานแล้ว อตฺถงฺคมา ความหมายเดียวกับ นิโรธ แต่นิโรธมีสองนัย นัยหนึ่งดับจิตหมด แต่อีกนัยดับเฉพาะอกุศลให้หายไป แต่มันกำหนดว่านิโรธเหมือนกัน จึงสัญญาอย่างเดียวกัน

อสัญญี ถ้ามิจฉาคือไม่ใช้สัญญาเลย แต่อสัญญีของพุทธคือ ดับสัญญาที่อกุศล เหลือแต่สัญญาที่ดี จนไม่ต้องไปดับอีกเลย มันดับสนิทแต่ไม่ดับ

 

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้น อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึง นานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

คุณอ่านตรงนี้ ถ้าอาการไม่สุขไม่ทุกข์ มันก็จบไม่เหลือ หมดไม่สงสัย หมดอาการแล้ว เท่านี้คุณก็หยุด ผิวหนังของคุณ คุณลองเกาดู เกาไปๆๆ  มันจะรู้สึกว่าถ้ามันมีเชื้อมันอยู่ มันจะเจ็บ ก็จะหยุดเกา ถ้าคุณกระทำการเกาต่อไป ถ้ามีเชื้อที่เจ็บ คุณก็จะหยุด แต่ถ้าคุณยิ่งเกายิ่งมัน คุณก็เกาต่อไป แล้วจะเอามีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ

ถ้าคุณจะหยุด มีอะไรขึ้นมาคุณก็ต้องหยุด อะไรขึ้นมาก็หยุดมัน ก็ต้องหยุดสิ สัตว์ที่ยังต่ออยู่ โดยประการทั้งปวง 1.รูป สมติกฺกมา คุณก็พ้นล่วงมาแล้ว มันยังเคลื่อนอยู่กับความมี เมื่อมันยังเคลื่อนอยู่กับความมี มันสุดแห่งที่สุดแล้วในสภาวะความมี แล้วถ้าคุณจะเอามี ก็ต้องมีเป็นสอง คุณจะเอาไม่มี ถ้ามันมีสองก็ตายเลยนะ หนึ่งกับหนึ่งลบกันก็สูญ สมติกฺกมา ปฏิฆสฺาน อตฺถงฺคมานานตฺตสฺาน อมนสิการา อนนฺโต อากาโสติ อากาสานฺจายตนูปคา อยปฺจมา

ในพยัญชนะบาลีมีราก

ก เร่ิมมี

ข ไม่มี

ค เร่ิมดำเนินไป

ฆ จับตัวเลย

คุณเร่ิมกำหนดหมายตัวที่เร่ิมมีเล็กได้เท่าใด ฆ ก็หมด ล้าง action reaction ฆ ก็หมด ล้างปฏิ ตัว ฆ ก็หมด ล้าง ฆ ตัว ปฏิ ก็หมด

มีส่ิงที่ไม่มี ไม่มีคือ มันไม่มีอันมี เมื่อผ่านอันนี้หมดแล้ว อากาสานัญจายตนะ คือว่าง สู่วิญญานัญจายตนะ วิญญาณคือธาตุรู้ แต่คุณอย่าลืมว่าคุณมีญาณรู้ว่ามันว่าง รู้ว่ามันเป็นธาตุรู้ ก็กำหนดหมาย เมื่อรู้แล้วก็อากิญจัญญะ คือไม่มีเลย คุณจบที่ไม่มีเหมือนอาฬารดาบสก็จบ หรือต่อไปเป็นอุทกดาบส

คุณจะอยู่อย่างเอาเท่าไหร่ แต่บางคนบอกว่าไม่เอาอะไร แต่คุณก็อยู่กับชีวิตความไม่มี แต่ก็อยู่กับหมู่ที่มีด้วย ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา เขาเลี้ยงไว้แม้ตายแล้ว คนที่ไม่ยอมให้สูญเขาก็ดองไว้ ใส่ตู้กระจกไว้ แต่บางคนไม่ก็เผาเลย

ถ้าคุณมีแต่ของคุณ ไปกระทบกับอย่างอื่นคุณไม่เกิดอาการอะไรแล้วมันก็หมดของเรามันมีแต่ตัวเราแล้วตัวเรานี่มันก็ไม่มีออกไปไหนคุณจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ก็ช่างหัวปะไร ตัวคุณนี่ใครเขาจะเอาไปทำอะไรเป็นประโยชน์ก็แล้วแต่ ให้คนอื่นอยู่นิรันดร

เมื่อมันมีพลัง 2 อันเคลื่อนจะไปจะมาถ้ามันไม่จับตัวกันก็จะสูญถ้ามันจับตัวกันก็ไปต่อไป พระอรหันต์ทำงานหรือไม่จับตัวเคลื่อนก็เคลื่อนไป แล้วก็หยุดจบเสร็จ

คุณกำหนดรู้ ปฏิฆะ ก็ดับอันนี้ นานัตตสัญญา แปลว่าไม่ต้องทำใจโดยใจเราอีกแล้ว คือ อมนสิการา ไม่ต้องไปแปลว่าไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงคือ  ไม่ต้องทำใจในใจอีกแล้ว 

6. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 6

      7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร    เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7

      ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

 

    ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง 7 ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ 1 มี ว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก   พวกวินิบาตบางพวกผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ   และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้นและรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ  ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

            ฯลฯ    ฯลฯ

      วิญญาณฐิติที่ 7 มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการ ว่า ไม่มีอะไร

เพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัด   วิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติ   ข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควร    เพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง 2 นั้นเล่า ข้อที่ 1 คือ อสัญญี    สัตตายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ    และโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก   อสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้น   อีกหรือ ฯ

การเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์ ชาติปิทุกขา  ถ้าอยากพ้นชาติก่อนก็ต้องเอาดับ กุมาร      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ส่วนข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานา    สัญญายตนะข้อนั้น

รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานา    สัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็น

เครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ    ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานา

สัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ   และอุบาย

เป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 เหล่านี้ ตามเป็น  จริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น

ได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า     ปัญญาวิมุตติ ฯ

      [66] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ 8 ประการเหล่านี้ 8 ประการเป็นไฉน คือ

      1. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1

      2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็น    วิโมกข์ข้อที่ 2

      3. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3

      4. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้     เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดย ประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 4

      5. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้  เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ 5

      6. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วง   วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 6

      7. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 7

      8. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ   โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 8

 ข้อที่ 8 พ้นความไม่รู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าแปลว่าไม่รู้อะไรเลยแต่รู้เคล้าเคลียอารมณ์ทุกอย่าง เคล้าเคลียความรู้ทุกอย่างนั้นแหละคือการดับคือนิโรธ  ดับอย่างไม่มีอะไรที่จะไม่รู้จบที่ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ มันดูจนไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว

 ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ 8 ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ 8 ประการ  เหล่านี้ เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้าง   ออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ ตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์  จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะ       ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน

อานนท์ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไป กว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ

               จบมหานิทานสูตร ที่ 2

 

เมื่อคุณเองสุดแห่งที่สุดตรงไหนคุณก็จบ  ถ้าคุณมีคนกำหนดให้มันมีที่ผิวหนัง ตรงไหนก็แล้วแต่แล้วคุณก็เก่ามันก็มัน แต่ถ้าคุณไม่มีคุณจะเกาอย่างไรมันก็เฉยดีไม่ดีมันเจ็บ เอาด้วย เกาแรงๆ ก็เจ็บมันไม่มีความมัน ก็อย่าไปปลูกมันอีก

 

บทความ คอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร เราคิดอะไร ฉ.306            

ฉบับที่แล้วเราได้อธิบายถึงการแยกกาย แยกจิต แบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ

ที่เรียนรู้จาก อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ โดยมีธรรม 2 เป็นองค์ประกอบของรูปกับนาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่มีความเป็นอัตตา เป็นนัยสำคัญแห่งการ เกิด-ดับ แล้วกำจัดตัวตน เฉพาะที่เป็น อกุศลจิตในอัตตา ให้ดับ(นิโรธ) สิ้นไปจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์

อาตมากำลังพยายามไขความลึกแห่งความจริงเรื่องนี้ ด้วยความเชื่ออย่างยิ่ง ว่าเป็นความรู้ และความจริง ที่จะช่วยโลกยุคนี้ หรือยุคไหนๆก็ตาม ได้แน่นอน เพราะต่างก็แสวงหากันอยู่ทั้งนั้น และรู้ยิ่งกันทั้งนั้น

[แล้วได้อธิบายไป กระทั่งถึงตอนที่ว่า...]

ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ 7 ได้ผลจะมี วิชชา 5 เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่่ วิปัสสนาญาณ เป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำ มโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณ เจริญขึ้นไปตามลำดับซึ่งเป็น อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า) อย่างเป็นจริง จะไม่ใช่ วิชชา 5(หรืออภิญญา 5) ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ อย่างหลงผิดเด็ดขาด

มีผู้ถามว่า มีในความไม่มี เข้าใจง่าย เช่น เราไม่ติดเนื้อสัตว์แล้ว เพราะมีสภาวะความไม่ติดเนื้อสัตว์แล้วได้ไหมคะ พ่อครูว่า ก็ได้ ชักจะเก่งแล้ว

เจโตปริยญาณ คำว่า ปริยะ แปลว่าอันที่ชอบอันที่รัก สุดท้ายแห่งสุดท้าย ปริ แปลว่า รอบ 

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน (ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

1.   สราคจิต  (จิตมีราคะ)

2.   วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

3.   สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

4.   วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

5.   สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

6.   วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นจริตนิวเคลียร์ฟิวชัน

8.   วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) เป็นผลิตนิวเคลียร์ฟิชชัน

       คุณล้างราคะโทสะโมหะได้แล้ว  ก็แล้วแต่เจริญของใครว่าจะจับตัวเป็นก้อน หรือฟุ้งกระจาย

09. มหัคคตจิต   (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

11. สอุตตรจิต    (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต    (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

13. สมาหิตจิต    (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต  (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต      (จิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต    (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

     

ผู้ปฏิบัติจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น สังกัปปะ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิตามพระวจนะ คือ ปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่ สติปัฏฐาน 4 - สัมมัปปธาน 4 - อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผลเป็น อินทรีย์ 5 ไปตามลำดับ

กระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็น พละ 5 ซึ่งก้าวเดินด้วย โพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดินคือ มรรคองค์ 8 ตลอดเวลาในชีวิตสามัญ

เมื่อผู้ใดสามารถเข้าใจถึงโพชฌงค์ 7 พระพุทธเจ้าอุบัติ เขาจึงบอกว่าพระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าว  แน่นอนจะต้องมี 8 , 9 , 10 ต่อไป จะมีทางกับการเดินถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ โพชฌงค์ 7 ไม่อุบัติในโลก ไม่มีการเดินมรรคมีองค์ 8 ในโลกโพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 นี้ เป็นธรรมะ 2 ทำงานร่วมกันตลอด โพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดิน ทางเดินนี่คือ มรรคมีองค์ 8

จึงสามารถกำหนดสภาวธรรมที่เป็นตัวตนของกิเลส(อัตตา) ได้แท้แน่ชัด เพราะปฏิบัติ สติสัมโพชฌงค์-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ววิจัยสังกัปปะ 7 ที่มี ตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ-อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา-วจีสังขาร ว่า ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ) นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้ (อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูก

อันแตกต่างกันกับการทำความดับ(นิโรธ) ที่ ดับจิตไปทั้งจิต จนจิตดำ(กิณหะ) มืดมิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็นความดับที่ปฏิบัติกันรู้กันแพร่หลายอยู่เป็นสามัญทั่วไป

ผลธรรมแบบนี้ไม่ใช่ทางปฏิบัติหรือผลธรรม ที่จะพาไปนิพพานอย่างประเสริฐ ซึ่งถือกันว่าเป็นธรรมอันเลว(นาลมริยา ธัมมา) ดังนั้น วิธีปฏิบัติชนิดนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็น วิธีสะกดจิต-วิธีสมถะ(hypnosis) แท้ๆดับจิตให้ดำ(กิณหะ)มืด เมื่อดำมืดสนิทก็พึงใจ พอใจ ถือว่าเป็นโชค(สุภ) ที่ทำภาวะดำนี้ ขึ้นในใจได้สำเร็จ อาการนี้ของจิตใจ จึงชื่อว่า สุภกิณหะ ซึ่งเป็นความหลงภาวะ ดำ(กิณหะ) นั้นแหละเป็นภาวะที่น่าพึงใจ (สุภ) มรรควิธีก็ผิด ผลที่ได้จึงผิดด้วย

ไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะไม่มีการวิเคราะห์วิจัย(analysis) แต่อย่างใดมีแต่การสะกดจิต-การทำสมถะ(hypnosis)

จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 ซึ่งได้แก่

กายสังขาร(สังขาร คือการปรุงแต่งของ กาย หรือการปรุงแต่งของรูปกับนาม)

จิตสังขาร(การปรุงแต่งของ จิต หรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกาย)

วจีสังขาร(การปรุงแต่งของ วจี หรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็น นามกาย อยู่ในใจยังไม่เปล่งออกมาเป็น วจีกรรม)

เมื่อไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น สังขาร 3 หรือยังอวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิ ในความเป็นสังขารอยู่ ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นไม่สามารถปฏิบัติอภิสังขาร ซึ่งก็มี 3 คือ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร ให้เกิดผลบรรลุธรรมได้เลยเด็ดขาด

กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิ จิตสังขารก็รู้กันไม่กระจ่าง โดยเฉพาะวจีสังขารนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ จะไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้น ปรมัตถธรรม ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมี

สัญญาเข้าไปสัมผัสกาย(องค์ประชุมของธรรม 2) หรือองค์รวมของรูปกับนาม สัมผัสเวทนา สัมผัสจิต สัมผัสธรรม จึงจะมีความรู้ที่เป็น

วิปัสสนาญาณ เห็น(ปัสสติ) จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ซึ่งต้อง จำแนกแยกแยะ(analyse) ทั้งรูปกายทั้งนามกาย ต่างๆ ให้รู้แจ้งรู้จริง ความเป็น รูป โดยเฉพาะความเป็น นาม

ด้วย อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ จนถึงขั้น วจีสังขาร ซึ่ง วจีสังขารนี้ ยังมีสถานะแค่สภาวธรรมของ จิตในจิต อยู่ภายในเท่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเป็น วจีกรรม ภายนอกความรู้แจ้งด้วยญาณปัญญาเช่นนี้แล

ชื่อว่า วิชชา 8 ที่เริ่มตั้งแต่ วิปัสสนาญาณ

เป็นไปจนกระทั่ง อาสวักขยญาณ ครบ 8


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:45:47 )

581231

รายละเอียด

581231_ธรรมะรับอรุณ ว.บบ.ครั้งที่ 4 มหานิทานสูตร ตอน 6

พ่อครูว่า…

วันนี้วันสุดท้ายของปี 2558 เป็นวันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2558 ก่อนจะเข้า บทเรียน ก็มีนักกวี เขียนกวีมาส่งท้ายปีเก่า

 

พรปีใหม่ให้ชาวพุทธจงหยุดขอ  แต่จงก่อกรรมงามตามคำสอน 

ผลแห่งกรรมจะทำให้ได้รับพร การวิงวอนอ้อนขอส่องมงาย

 

มีอายุที่ยังเหลือ เพื่อดับชาติ      ด้วยแรงฤทธิ์อิทธิบาทไม่ขาดหาย

จาคะทำย้ำดำริมิเสื่อมคลาย      ก่อนชีพวายได้ละลดหมดตัวตน

 

ให้อาจองทรงวรรณะอันประเสริฐ ยัญพิธีที่ล้ำเลิศจงเกิดผล

มีศีลเคร่งเก่งธุดงค์จงฝึกตน      เพราะกล้าจนทนเสียดสีมีน้ำใจ

 

ให้มีสุขในทุกฌานการเพ่งเผา ล้างนิวรณ์ถอนรากเหง้าเหล่าอนุสัย

ขณะที่มีผัสสะกระทบใจ          เกิดวสีมีวิจัยใฝ่ประจัญ

 

เป็นเศรษฐีมีโภคะมหาศาล พรหมวิหารบานในใจใฝ่สร้างสรรค์ ประโยชน์ตนสนใจไม่รอวัน ประโยชน์ท่านหมั่นก่อไม่รอนาน

 

เกิดอินทรีย์มีพลังล้างสังโยชน์ เกิดนิโรธ เห็นโทษภัยในสังสาร

เกิดวิมุตหลุดพ้นเกิดผลญาน     เกิดนิพพานทุกกาลกัลป์ ทุกท่านเทอญ

 

 อโศกสัมปวังโก เป็นผู้แต่ง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน มหานิทานสูตร ตอน 6

 

มาต่อที่สัตตาวาส 9 ถึงข้อที่  4. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ   ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 4  

มันเป็นสุภะแล้วแต่การกำหนดหมาย คนนี้ไปกำหนดหมายความดับดำมืดเป็นสุภะ ไม่คิดนึกอะไร แต่ของพระพุทธเจ้าครบพร้อมทั้งทวารนอก/ใน เต็มรอบด้วยความรู้ ปัญญา ญาณ​ วิชชา แสงสว่างอาโกลา ก็มีความต่างกันตรงนั้น แต่สัญญามันเหมือนกัน ตรงเชื่อว่าคือ นิโรธ ฝ่ายมิจฉากำหนดดับดำมืด แต่ของสัมมาว่า สว่างอย่างเห็นๆ

ผู้ที่ไปกำหนดหมายว่า ต้องดับจิตดำมืด แล้วเขายินดีในดับดำมืดว่าใช่ แล้วเขาก็ว่าคือจุดสูงสุดที่เขาพึงได้ที่เรียกว่า นิโรธ เขาได้ก็ว่า น่าพึงใจที่ได้ เป็นสุภกิณหา แต่ของสัมมานั้นให้ดับที่กิเลส ที่จริงมันไม่ได้ดับ แต่มันล่วงมันพ้นไป (สมติกฺกมา) มัน อตฺถงฺคมา คือการถึงความเสื่อมสุด หรือพระอาทิตย์อัสดงลงไปหมด หรือการสูญการถูกทำงานแล้ว อตฺถงฺคมา ความหมายเดียวกับ นิโรธ แต่นิโรธมีสองนัย นัยหนึ่งดับจิตหมด แต่อีกนัยดับเฉพาะอกุศลให้หายไป แต่มันกำหนดว่านิโรธเหมือนกัน จึงสัญญาอย่างเดียวกัน

อสัญญี ถ้ามิจฉาคือไม่ใช้สัญญาเลย แต่อสัญญีของพุทธคือ ดับสัญญาที่อกุศล เหลือแต่สัญญาที่ดี จนไม่ต้องไปดับอีกเลย มันดับสนิทแต่ไม่ดับ

 

5. สัตว์ที่เข้าถึงชั้น อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึง นานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 5

คุณอ่านตรงนี้ ถ้าอาการไม่สุขไม่ทุกข์ มันก็จบไม่เหลือ หมดไม่สงสัย หมดอาการแล้ว เท่านี้คุณก็หยุด ผิวหนังของคุณ คุณลองเกาดู เกาไปๆๆ  มันจะรู้สึกว่าถ้ามันมีเชื้อมันอยู่ มันจะเจ็บ ก็จะหยุดเกา ถ้าคุณกระทำการเกาต่อไป ถ้ามีเชื้อที่เจ็บ คุณก็จะหยุด แต่ถ้าคุณยิ่งเกายิ่งมัน คุณก็เกาต่อไป แล้วจะเอามีเชื้อหรือไม่มีเชื้อ

ถ้าคุณจะหยุด มีอะไรขึ้นมาคุณก็ต้องหยุด อะไรขึ้นมาก็หยุดมัน ก็ต้องหยุดสิ สัตว์ที่ยังต่ออยู่ โดยประการทั้งปวง 1.รูป สมติกฺกมา คุณก็พ้นล่วงมาแล้ว มันยังเคลื่อนอยู่กับความมี เมื่อมันยังเคลื่อนอยู่กับความมี มันสุดแห่งที่สุดแล้วในสภาวะความมี แล้วถ้าคุณจะเอามี ก็ต้องมีเป็นสอง คุณจะเอาไม่มี ถ้ามันมีสองก็ตายเลยนะ หนึ่งกับหนึ่งลบกันก็สูญ สมติกฺกมา ปฏิฆสฺาน อตฺถงฺคมานานตฺตสฺาน อมนสิการา อนนฺโต อากาโสติ อากาสานฺจายตนูปคา อยปฺจมา

ในพยัญชนะบาลีมีราก

ก เร่ิมมี

ข ไม่มี

ค เร่ิมดำเนินไป

ฆ จับตัวเลย

คุณเร่ิมกำหนดหมายตัวที่เร่ิมมีเล็กได้เท่าใด ฆ ก็หมด ล้าง action reaction ฆ ก็หมด ล้างปฏิ ตัว ฆ ก็หมด ล้าง ฆ ตัว ปฏิ ก็หมด

มีส่ิงที่ไม่มี ไม่มีคือ มันไม่มีอันมี เมื่อผ่านอันนี้หมดแล้ว อากาสานัญจายตนะ คือว่าง สู่วิญญานัญจายตนะ วิญญาณคือธาตุรู้ แต่คุณอย่าลืมว่าคุณมีญาณรู้ว่ามันว่าง รู้ว่ามันเป็นธาตุรู้ ก็กำหนดหมาย เมื่อรู้แล้วก็อากิญจัญญะ คือไม่มีเลย คุณจบที่ไม่มีเหมือนอาฬารดาบสก็จบ หรือต่อไปเป็นอุทกดาบส

คุณจะอยู่อย่างเอาเท่าไหร่ แต่บางคนบอกว่าไม่เอาอะไร แต่คุณก็อยู่กับชีวิตความไม่มี แต่ก็อยู่กับหมู่ที่มีด้วย ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา เขาเลี้ยงไว้แม้ตายแล้ว คนที่ไม่ยอมให้สูญเขาก็ดองไว้ ใส่ตู้กระจกไว้ แต่บางคนไม่ก็เผาเลย

ถ้าคุณมีแต่ของคุณ ไปกระทบกับอย่างอื่นคุณไม่เกิดอาการอะไรแล้วมันก็หมดของเรามันมีแต่ตัวเราแล้วตัวเรานี่มันก็ไม่มีออกไปไหนคุณจะอยู่อีกนานเท่าไหร่ก็ช่างหัวปะไร ตัวคุณนี่ใครเขาจะเอาไปทำอะไรเป็นประโยชน์ก็แล้วแต่ ให้คนอื่นอยู่นิรันดร

เมื่อมันมีพลัง 2 อันเคลื่อนจะไปจะมาถ้ามันไม่จับตัวกันก็จะสูญถ้ามันจับตัวกันก็ไปต่อไป พระอรหันต์ทำงานหรือไม่จับตัวเคลื่อนก็เคลื่อนไป แล้วก็หยุดจบเสร็จ

คุณกำหนดรู้ ปฏิฆะ ก็ดับอันนี้ นานัตตสัญญา แปลว่าไม่ต้องทำใจโดยใจเราอีกแล้ว คือ อมนสิการา ไม่ต้องไปแปลว่าไม่ใส่ใจ แต่ที่จริงคือ  ไม่ต้องทำใจในใจอีกแล้ว 

6. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด มิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 6

      7. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร    เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ 7

      ส่วนอายตนะอีก 2 คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ 1) และข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

 

    ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง 7 ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่ 1 มี ว่า สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวก   พวกวินิบาตบางพวกผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ   และโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้นและรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ  ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

            ฯลฯ    ฯลฯ

      วิญญาณฐิติที่ 7 มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการ ว่า ไม่มีอะไร

เพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัด   วิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติ   ข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควร    เพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง 2 นั้นเล่า ข้อที่ 1 คือ อสัญญี    สัตตายตนะ

ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ    และโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก   อสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้น   อีกหรือ ฯ

การเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์ ชาติปิทุกขา  ถ้าอยากพ้นชาติก่อนก็ต้องเอาดับ กุมาร      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ส่วนข้อที่ 2 คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานา    สัญญายตนะข้อนั้น

รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานา    สัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็น

เครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ    ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานา

สัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ

      ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

      ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษ   และอุบาย

เป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ 7 และอายตนะ 2 เหล่านี้ ตามเป็น  จริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้น

ได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่า     ปัญญาวิมุตติ ฯ

      [66] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ 8 ประการเหล่านี้ 8 ประการเป็นไฉน คือ

      1. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 1

      2. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็น    วิโมกข์ข้อที่ 2

      3. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3

      4. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้     เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดย ประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 4

      5. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้  เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ 5

      6. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วง   วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 6

      7. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ  โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 7

      8. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ   โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ 8

 ข้อที่ 8 พ้นความไม่รู้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าแปลว่าไม่รู้อะไรเลยแต่รู้เคล้าเคลียอารมณ์ทุกอย่าง เคล้าเคลียความรู้ทุกอย่างนั้นแหละคือการดับคือนิโรธ  ดับอย่างไม่มีอะไรที่จะไม่รู้จบที่ไม่มีอะไรที่จะไม่รู้ มันดูจนไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว

 ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ 8 ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ 8 ประการ  เหล่านี้ เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้าง   ออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ ตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์  จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะ       ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน

อานนท์ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า อุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไป กว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชม พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ

               จบมหานิทานสูตร ที่ 2

 

เมื่อคุณเองสุดแห่งที่สุดตรงไหนคุณก็จบ  ถ้าคุณมีคนกำหนดให้มันมีที่ผิวหนัง ตรงไหนก็แล้วแต่แล้วคุณก็เก่ามันก็มัน แต่ถ้าคุณไม่มีคุณจะเกาอย่างไรมันก็เฉยดีไม่ดีมันเจ็บ เอาด้วย เกาแรงๆ ก็เจ็บมันไม่มีความมัน ก็อย่าไปปลูกมันอีก

 

บทความ คอลัมน์ คนจะมีธรรมะได้อย่างไร เราคิดอะไร ฉ.306            

ฉบับที่แล้วเราได้อธิบายถึงการแยกกาย แยกจิต แบบพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิ

ที่เรียนรู้จาก อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ โดยมีธรรม 2 เป็นองค์ประกอบของรูปกับนาม ก็จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยที่มีความเป็นอัตตา เป็นนัยสำคัญแห่งการ เกิด-ดับ แล้วกำจัดตัวตน เฉพาะที่เป็น อกุศลจิตในอัตตา ให้ดับ(นิโรธ) สิ้นไปจากจิตใจเรา อย่างถาวรนิรันดร์

อาตมากำลังพยายามไขความลึกแห่งความจริงเรื่องนี้ ด้วยความเชื่ออย่างยิ่ง ว่าเป็นความรู้ และความจริง ที่จะช่วยโลกยุคนี้ หรือยุคไหนๆก็ตาม ได้แน่นอน เพราะต่างก็แสวงหากันอยู่ทั้งนั้น และรู้ยิ่งกันทั้งนั้น

[แล้วได้อธิบายไป กระทั่งถึงตอนที่ว่า...]

ผู้ปฏิบัติสัมมาสังกัปปะ 7 ได้ผลจะมี วิชชา 5 เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงสังขาร 3 ได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ตั้งแต่่ วิปัสสนาญาณ เป็นญาณหลัก แล้วจึงจะสามารถทำ มโนมยิทธิญาณ-อิทธิวิธญาณ-ทิพพโสตญาณ-เจโตปริยญาณ เจริญขึ้นไปตามลำดับซึ่งเป็น อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (ปาฏิหาริย์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า) อย่างเป็นจริง จะไม่ใช่ วิชชา 5(หรืออภิญญา 5) ที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ อย่างหลงผิดเด็ดขาด

มีผู้ถามว่า มีในความไม่มี เข้าใจง่าย เช่น เราไม่ติดเนื้อสัตว์แล้ว เพราะมีสภาวะความไม่ติดเนื้อสัตว์แล้วได้ไหมคะ พ่อครูว่า ก็ได้ ชักจะเก่งแล้ว

เจโตปริยญาณ คำว่า ปริยะ แปลว่าอันที่ชอบอันที่รัก สุดท้ายแห่งสุดท้าย ปริ แปลว่า รอบ 

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน (ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

1.   สราคจิต  (จิตมีราคะ)

2.   วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)

3.   สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)

4.   วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ)

5.   สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)

6.   วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ)

7. สังขิตฺตํจิตตํ (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นจริตนิวเคลียร์ฟิวชัน

8.   วิกขิตฺตํจิตตํ (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) เป็นผลิตนิวเคลียร์ฟิชชัน

       คุณล้างราคะโทสะโมหะได้แล้ว  ก็แล้วแต่เจริญของใครว่าจะจับตัวเป็นก้อน หรือฟุ้งกระจาย

09. มหัคคตจิต   (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)

11. สอุตตรจิต    (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ)

12. อนุตตรจิต    (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า)

13. สมาหิตจิต    (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว)

14. อสมาหิตจิต  (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์)

15. วิมุตตจิต      (จิตหลุดพ้น)

16. อวิมุตตจิต    (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง)

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135)

     

ผู้ปฏิบัติจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น สังกัปปะ 7 อย่างสัมมาทิฏฐิตามพระวจนะ คือ ปฏิบัติ โพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่ สติปัฏฐาน 4 - สัมมัปปธาน 4 - อิทธิบาท 4 ก็จะเกิดผลเป็น อินทรีย์ 5 ไปตามลำดับ

กระทั่งบรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็น พละ 5 ซึ่งก้าวเดินด้วย โพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดินคือ มรรคองค์ 8 ตลอดเวลาในชีวิตสามัญ

เมื่อผู้ใดสามารถเข้าใจถึงโพชฌงค์ 7 พระพุทธเจ้าอุบัติ เขาจึงบอกว่าพระพุทธเจ้าเดิน 7 ก้าว  แน่นอนจะต้องมี 8 , 9 , 10 ต่อไป จะมีทางกับการเดินถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ โพชฌงค์ 7 ไม่อุบัติในโลก ไม่มีการเดินมรรคมีองค์ 8 ในโลกโพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 นี้ เป็นธรรมะ 2 ทำงานร่วมกันตลอด โพชฌงค์ 7 ไปตามทางเดิน ทางเดินนี่คือ มรรคมีองค์ 8

จึงสามารถกำหนดสภาวธรรมที่เป็นตัวตนของกิเลส(อัตตา) ได้แท้แน่ชัด เพราะปฏิบัติ สติสัมโพชฌงค์-ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์-วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ววิจัยสังกัปปะ 7 ที่มี ตักกะ-วิตักกะ-สังกัปปะ-อัปปนา-พยัปปนา-เจตโส อภินิโรปนา-วจีสังขาร ว่า ตัวตนที่จะทำความดับ(นิโรธ) นั้นคือ ดับเฉพาะอกุศลจิตตัวใด ต้องให้แม่นยำถูกตัวตนของกิเลสตัวนั้น จนหมดสิ้นตัวตนนี้ (อนัตตา) ถึงจะเป็นโลกุตระถูก

อันแตกต่างกันกับการทำความดับ(นิโรธ) ที่ ดับจิตไปทั้งจิต จนจิตดำ(กิณหะ) มืดมิดขึ้นในใจ ซึ่งเป็นความดับที่ปฏิบัติกันรู้กันแพร่หลายอยู่เป็นสามัญทั่วไป

ผลธรรมแบบนี้ไม่ใช่ทางปฏิบัติหรือผลธรรม ที่จะพาไปนิพพานอย่างประเสริฐ ซึ่งถือกันว่าเป็นธรรมอันเลว(นาลมริยา ธัมมา) ดังนั้น วิธีปฏิบัติชนิดนี้จึงมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็น วิธีสะกดจิต-วิธีสมถะ(hypnosis) แท้ๆดับจิตให้ดำ(กิณหะ)มืด เมื่อดำมืดสนิทก็พึงใจ พอใจ ถือว่าเป็นโชค(สุภ) ที่ทำภาวะดำนี้ ขึ้นในใจได้สำเร็จ อาการนี้ของจิตใจ จึงชื่อว่า สุภกิณหะ ซึ่งเป็นความหลงภาวะ ดำ(กิณหะ) นั้นแหละเป็นภาวะที่น่าพึงใจ (สุภ) มรรควิธีก็ผิด ผลที่ได้จึงผิดด้วย

ไม่มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะไม่มีการวิเคราะห์วิจัย(analysis) แต่อย่างใดมีแต่การสะกดจิต-การทำสมถะ(hypnosis)

จึงไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสังขาร 3 ซึ่งได้แก่

กายสังขาร(สังขาร คือการปรุงแต่งของ กาย หรือการปรุงแต่งของรูปกับนาม)

จิตสังขาร(การปรุงแต่งของ จิต หรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็นนามกาย)

วจีสังขาร(การปรุงแต่งของ วจี หรือการปรุงแต่งของธรรม 2 ที่เป็น นามกาย อยู่ในใจยังไม่เปล่งออกมาเป็น วจีกรรม)

เมื่อไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น สังขาร 3 หรือยังอวิชชา หรือยังมิจฉาทิฏฐิ ในความเป็นสังขารอยู่ ก็แน่นอนว่า ผู้นั้นไม่สามารถปฏิบัติอภิสังขาร ซึ่งก็มี 3 คือ ปุญญาภิสังขาร-อปุญญาภิสังขาร-อเนญชาภิสังขาร ให้เกิดผลบรรลุธรรมได้เลยเด็ดขาด

กายสังขารก็ยังมิจฉาทิฏฐิ จิตสังขารก็รู้กันไม่กระจ่าง โดยเฉพาะวจีสังขารนั้น ผู้มิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนี้ จะไม่สามารถปฏิบัติถึงขั้น ปรมัตถธรรม ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องมี

สัญญาเข้าไปสัมผัสกาย(องค์ประชุมของธรรม 2) หรือองค์รวมของรูปกับนาม สัมผัสเวทนา สัมผัสจิต สัมผัสธรรม จึงจะมีความรู้ที่เป็น

วิปัสสนาญาณ เห็น(ปัสสติ) จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ซึ่งต้อง จำแนกแยกแยะ(analyse) ทั้งรูปกายทั้งนามกาย ต่างๆ ให้รู้แจ้งรู้จริง ความเป็น รูป โดยเฉพาะความเป็น นาม

ด้วย อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ จนถึงขั้น วจีสังขาร ซึ่ง วจีสังขารนี้ ยังมีสถานะแค่สภาวธรรมของ จิตในจิต อยู่ภายในเท่านั้น ยังไม่ได้แสดงออกมาเป็น วจีกรรม ภายนอกความรู้แจ้งด้วยญาณปัญญาเช่นนี้แล

ชื่อว่า วิชชา 8 ที่เริ่มตั้งแต่ วิปัสสนาญาณ

เป็นไปจนกระทั่ง อาสวักขยญาณ ครบ 8


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2563 ( 19:45:48 )

590101

รายละเอียด

590101_ธรรมะภาคค่ำ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 พรปีใหม่ 2559

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 1  มกราคม 2559 อ่านบทกวีก่อ

                             

             ปีใหม่ไทยจะก้าวไกลกว่าเก่า ถ้า...
                ******************************************
                     (1) ปีใหม่ไกลกว่าก้าว   หน่อยเทอญ
                   ยำย่ำย้ำช้าเกิน                กล่าวแล้ว
                   ไทยจักเห็จหาญเหิน                  เจริญรุ่ง เรืองเอย
                   หากศาสน์สะอาดแผ้ว                ผ่องหล้าพาไสว
                     (2) ไทยมีอำนาจแท้                คือพุทธ       
                   อธิปไตยแลวิมุตติ            วิสุทธิ์ล้ำ
                   ศาสดาตรัสชัดสุด             วิเศษยิ่ง จริงเฮย
                   โลกุตระจะช่วยค้ำ           ชาติไว้ไทยคง
                     (3) แต่ไทยหลงโลกแล้ว เลอะธรรม
                   จึงต่ำสองเหตุทำ              ทบซ้ำ
                   ธรรมและโลกขยี้ขยำ                ขย้ำหนัก
                   จึ่งยากลำบากล้ำ              ทุกข์ท้นทับถม
                     (4) จมเจ็บจนสุดแล้ว               ขุกเข็ญ
                   สองอำนาจชั่วเป็น           เหตุร้าย
                   ไทยเสื่อมสุดลำเค็ญ                  ยิ่งยวด
                   เพราะชั่วสองเปื้อนป้าย    บิดเบี้ยวทุกกรรม
                     (5) จึงจำแก้ทั้งโลก                 ทั้งศาสน์
                   สองชั่วนี้แหละฉลาด                  เฉกแท้
                   ฉลาดชั่ว(เฉก)ช่วยเชือดชาติ     หายนะ มานา
                   ปีใหม่ใครช่วยแก้            ทวิได้ไทยเจริญ
                     (6) เชิญช่วยกันทุกผู้               คนไทย
                   สร้างรัฏฐาธิปไตย            วิศิษฏ์นี้       
                   เศรษฐกิจและจิตใจ          ไทยจัก รุ่งเลย
                   แปดสิบสามปีชี้                ชาติแพ้โจรสอง              
                      (7) ทุกข์ของกายจิตนั้น ครบเข็ญ
                   เพราะอวิชชาเป็น            เหตุแท้
                   ถ้าไทยตื่นตัวเห็น             ทางรอด สัมมารา
                   สองชั่วคือจุดแก้              เหตุให้ไปนิพพาน

                                                    สไมย์ จำปาแพง                  
                                                             5 ธ.ค. 2558
                   [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 306 ประจำเดือน มกราคม 2559]

พ่อครูว่า...อาตมาก็ถือว่าอันนี้เป็นพรนะ ส่วนอ.เป็นต้นนั้นบอกว่าพุทธไม่ให้พร ที่แต่งไปนี้เป็นคำพรจริงๆ ไม่ใช่แค่คำเพ้อสายลมแสงแดด ต้นไม้ใบหญ้าเฉยๆ ก็ไม่ใช่เช่นนั้นทีเดียว ที่หมายนั้นเห็นว่าไทยเป็นเมืองพุทธ ซึ่งสอนไว้ชัด ในเรื่องอัตตา แต่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน สิ่งที่พาเราเสื่อมคือโลกและอัตตา

ได้กล่าวพาดพิงไปว่า สิ่งที่พาเสื่อมคือไม่รู้ทันโลก ไม่รู้ทันอัตตา แม้แต่โลกต้องใช้ธรรมะ จึงศึกษาโลกที่มีกิเลสประกอบ ตั้งแต่โลกหยาบ ที่ประกอบเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ติดยึดเป็นอัตตา โลกและอัตตามันเนื่องกัน แยกกันโดยความลึกและสถานะที่ประกอบกัน คนก็ไปยึดสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นเราต้องเอามาเสพ แย่งชิงขี้โกงเลวร้ายอันนี้คือโจรใหญ่ คืออัตตาและโลก ต้องศึกษาให้พ้นสองอย่างถึงเป็นธรรม

การศึกษาทางโลกเพียงแย่งโลกธรรม แย่งสุขเท็จ เรื่องรู้กันยากๆเป็นคุณธรรมขั้นโลกุตระอาริยธรรมที่แท้จริงมีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียว ที่ศึกษาจนรู้แจ้ง ถึงตัวเหตุปัจจัยแท้ในจิตที่มีความโลภ มีความหลง มีอวิชชาที่แท้จริง สามารถจับสภาพนั้น ใช้ธาตุรู้ที่มีปัญญา สามารถสร้างจิตปัญญาตอนนี้ อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

แล้วต้องอ่านขณะมันมีอาการที่เห็น คนที่ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย ก็อ่านไม่ได้ อาการจิตคือตัวเหตุ จะมีญาณปัญญาสามารถอ่านออกจริงๆ

 พวกเราเรียนกันมาขนาดนี้อาการที่กล่าวมาคร่าวๆมันอ่านได้จริงไหม?

 ก็จริง อย่างหยาบกลางละเอียด ทำให้อย่างหยาบเบาบางลงซึ่งมีความต่าง เป็นคนละตระกูล ก็กำหนดหมายรู้ได้ว่ามันต่างกัน เราจะเกิดญาณปัญญารู้ มันไม่ใช่มีแท่งก้อน แต่ของเราเกิดขึ้นเมื่อใดก็อยู่ที่เรา คนอื่นก็เห็นของเขาไม่มีสิทธิ์ไปรู้ของคนอื่นได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน กาละใดที่ไม่ต้องมีพระพุทธเจ้า

ไม่มีศาสดาใดสามารถเรียนรู้ปรมัตถ์นี้เท่าพระพุทธเจ้า เป็นสุดยอดของมนุษย์แล้ว คนที่เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือสุดยอดแห่งมนุษย์ในมหาจักรวาล

ท่านเกิดมาก็เพื่อจะช่วยมนุษย์กาละใดที่ ไม่ต้องช่วยมี 2 กาละคือ…

 1. กาละที่คนมีความดีงามมีความสุขไม่เดือดร้อน ศาสนาพุทธก็ไม่ต้องมาเกิดเพราะเขาดีอยู่แล้วเรียกว่าพุทธันดร

2. อีกช่วงหนึ่งคือกาละที่คนแย่จริงๆสอนไม่ได้ ช่วยไม่ได้เขาแย่เกินไป พระสมณโคดมเป็นองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปป์ สอนคนให้เป็นอรหันต์ได้จำนวนน้อยสุด

แม้ยุคนี้คนก็จะได้มาทางโลกุตระน้อย อย่างธรรมกายกับอโศก เกิดพร้อมกัน ธัมมชโยกับอาตมาก็บวชใกล้ๆกัน แต่สมาชิกใครมากกว่า อาตมาก็รู้ดีชัดเจนไม่ได้น้อยใจเลย อาตมาจึงไม่เคยท้อแท้ท้อถอยไม่ลดวิริยะที่จะไม่ยอมตายง่ายๆ แต่พวกคุณอย่าประมาทนะ

ธรรมะที่เป็นพุทธศาสตร์ช่วยโลกมาแต่ไหนแต่ไรเมื่อมนุษย์ควรต้องช่วย อาตมาก็เปิดเผยมา 45 ปีแล้วก็ตอนนี้บอกหมดเนื้อหมดตัวไม่มีเก้อเขินอะไรก็พูดตามภูมิไม่ได้หลอกล่อไม่ต้องการอะไรตอบแทน ไม่สร้างนิยาย จึงจำเป็นที่ต้องปรามธัมมชโยที่อย่าทำบาปต่อไป หรือผู้สนับสนุนก็ตามบาปไม่ใช่เล็กๆนะ แม้พระพุทธเจ้าอดีตเคยไปสบประมาทต่อปัจเจกพระพุทธเจ้ากัสสปะ
         

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน คนบริหารบ้านเมืองต้องเหนือกามเหนืออัตตา

การที่จะไปบริหารประเทศนั้น ต้องเป็นอาริยบุคคล หากไม่เป็นก็ไปยาก แม้ฆราวาสก็เป็นอาริยะได้ บางคนมีภูมิเก่า เจ้าตัวก็ไม่รู้ก็มีแต่ก็ต้องมาทำงานอะไรบางอย่างให้แก่โลก บางคนก็พอรู้ว่าตนมีภูมิธรรมนั้น ก็เป็นได้แต่แม้ไม่รู้ก็เป็นจริง จะต้องออกมาทำงานอย่างนั้นอย่างนี้

ตัวสองที่อาตมาย้ำไว้ในกวีนี้ก็คือ สองโจรคือ โลก กับ ธรรมะที่ถึงขั้นอัตตา เป็นจิตวิญญาณของบุคคล หากไม่เรียนรู้แก้ไขลดกิเลส

ลดอัตตาตัวตนเพราะรู้โลก และเหตุที่ต้องวนเวียน เป็นลูกจ้างเป็นเบี้ยให้แก่ยักษ์มาร หรือเทวดาโลกีย์งมงาย เป็นเจ้าอำนาจ เจ้าฐานะทางโลกีย์ เช่นใครจะกล่าวนามก็ ทักษิณ เขาใช้อำนาจ ขนาดเป็นนักโทษแท้ๆ แล้วหนีคดีด้วยอยู่ต่างประเทศ ขรก.ระดับสูงก็ยังต้องไปคารวะเลย ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน มีอำนาจถึงขนาดนั้น มีอำนาจเงิน กับอำนาจทางอำนาจ

ในเรื่องการเมืองหากนายทุนร่วมกับผู้มีอำนาจเช่นทหาร ถ้ารวมหัวกันเมื่อไหร่เสร็จเลย ประเทศก็ตกอยู่ใต้อำนาจเลย ต้องเป็นความจริง ผู้ไม่เป็นทาสโลกีย์อยู่เหนืออำนาจยศศักดิ์ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แพ้ได้ไม่เอาพลังโลกีย์มากดข่มเบ่งเลย ไม่ใช่อำนาจยศศักดิ์ แล้วก็ทำงานอย่างจริงใจ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นอำนาจของธรรมะเป็นธรรมาธิปไตย สูงด้วยธรรมะ เป็นธรรมคุณธรรม เช่นที่อาตมายืนยันว่า ความสงบสยบความรุนแรง เป็นอำนาจที่ลึกซึ้ง เป็นไปได้แล้วนี่คือพลังงานนามธรรมที่อธิบายยากมาก ต้องมีเหตุการณ์จริงที่เกิด อาตมาคงไม่พาคุณไปรบอย่างสงครามเกาหลีหรอก เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหวแบบนั้นคงไม่พาไป ถ้าไปทำขนาดนั้นจะมีพลังต้านไหวไหมยังไม่รู้เหมือนกัน แต่มีเหตุปัจจัยที่จะสยบได้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ลึกลับ ไม่ใช่เรื่องตลกเหมือนเล่นกล ประหลาดๆ

เช่นบอกว่าคุณยายจันทร์ปัดลูกระเบิดไปไม่ให้ตกที่เมืองไทย เลยไปตกที่ญี่ปุ่นอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ อุบาสิกาแก้ว รัตนอุบาสิกาใหญ่ เขายกย่อง เมืองไทยนี่รอดเพราะโยมจันทร์ปัดไม่ให้ปรมาณูตกที่เมืองไทย แต่เราไม่เชื่อเรื่องเมจิคอลเช่นนี้แต่เป็นสัจธรรมที่น่าชื่นใจน่าทึ่งจริงๆ

ที่อาตมาได้พาพวกเราพิสูจน์กันก็เล่าให้คุณฟัง ก็ต้องมี อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ในฐานะอาตมาก็พอมี แต่เข้าใจได้ไปตามยุค แล้วไม่ใช่เวลาก็ว่าไป เป็นสัจจะโลกุตระ อาริยะแท้ ให้ทำอย่างถ่อมตนแท้ ดีไม่ดีก็ตายได้อย่างพระโมคคัลลานะ สมัยพระพุทธเจ้าผู้ช่วยกอบกู้ศาสนาก็ตายเยอะ แม้แต่สาวกรุ่นแรก 60 รูปก็ตายหมดด้วยการทำงานเพื่อศาสนาไป ก็ปูด้วยชีวิตของผู้คน แต่ของเราก็ไม่กระไร เราก็มีวิบากแบบใช้ได้

ขยายธรรมะของพระพุทธเจ้าหลายนัยด้วยพิสดาร ก็ฝึกไขความเป็นโลกกับอัตตา ถ้าเห็นดีเห็นงามก็ต้องให้เกิดการศึกษาในประเทศที่จะเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะเรียนรู้โลกกับอัตตานี่แหละ ในพระไตรฯล. 9 พรหมชาลสูตรเรียนรู้ลดละโลกกับอัตตา จนเป็นผู้มีธรรมาธิปไตย เหนือโลกเหนืออัตตาจริงจึงจะช่วยโลกได้จริง

ฆราวาสทางโลกก็เป็นอาริยะทำงานร่วมกับนักบวชได้ แม้เป็นนักบวชหรือฆราวาสจึงมีสองลักษณะหรือวรรณะ คือกษัตริย์และพราหมณ์ ผลัดกันทำงานร่วมกันเด่น แต่ละอย่างๆ ที่จะทำงานขึ้นไปให้แก่โลก ยุคนี้บอกได้ว่า วรรณะกษัตริย์จะเด่น วรรณะพราหมณ์จะช่วยเหลือ ซึ่งจะค่อยๆเป็นไปเสมอ เป็นเรื่องลึกซึ้ง อย่างกษัตริย์กับพราหมณ์ ร่วมกัน กษัตริย์เป็นพฤติกรรมเอกช่วยสังคมแต่พราหมณ์เป็นครูสอนกษัตริย์ พราหมณ์เป็นนามธรรม แล้วก็ต้องช่วยกษัตริย์ได้ กษัตริย์เป็นรูปธรรม พราหมณ์เป็นนามธรรม ไม่ได้ริสยา แบ่งหน้าที่กันทำ คือหน้าที่จะช่วยโลกช่วยสังคม เหน็ดเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ เป็นสัจจะที่ธรรมดาๆ

อาตมาก็กล่าวถึงบทกวีว่า  ปีใหม่ไทยจะก้าวไกลกว่าเก่า ถ้า …

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5

นิพพานในทิฏฐธรรมนิพพาน 5….

- คนหลง “กาม”ก็คิดว่ากามคือนิพพาน

 -ส่วนคนหลง “จิต” ก็หลงว่าฌาน 1คือนิพพาน

 - ส่วนคนหลง ฌานที่มิจฉา ฌาน 1 2 3 4 เป็นนิพพาน ทุกปัจจุบันก็เรียก..ทิฏฐธรรมนิพพาน

ส่วนคนสัมมาทิฏฐิก็หมดสุขกับกามกับฌาน 1 - 4

 ส่วนพวกมิจฉาทิฏฐิ ก็สุขของเขาในปัจจุบัน แต่พวกสัมมาทิฏฐิก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ แต่พวกที่ยังสุขยังทุกข์ ใครเคยได้ยินบ้างว่าที่เขาเรียกว่าสุขทั้งหลายอรหันต์ไม่มีแล้ว มีจิตว่าง แต่คนไม่รู้เขาก็สุขมีอารมณ์จริง แล้วยึดติดด้วย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน Supra concentration ต่างจาก Meditation

 ผู้ที่ไม่ยึดไม่ติดจริงๆแล้ว จึงเป็นผู้ไม่จมทั้งกาม ทั้งฌาน 1- 4 แล้วนัยซ้อนต้องเป็นฌานอย่าง supraconcentration จึงเป็นฌานที่มีอำนาจเหนือโลกเหนืออัตตาจริง

ส่วนโลกีย์ก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือโลกีย์แน่ ส่วนพวกนั่งหลับตาได้ฌานก็ไม่สามารถเหนือโลกีย์ได้ เป็นแค่ meditation เขาก็แค่เสพสุขอย่างนั้น ไม่มีประโยชน์เป็นพหุชนหิตาย พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ

 เขาบอกว่าธรรมะไม่เกี่ยวกับการเมืองไม่เกี่ยวกับสังคม เขาจะหนี พวกนี้ไม่มีอธิปไตย ไม่มีพลังงานที่วิเศษ ที่จะสามารถไปช่วยโลกอย่างนั้นได้ มีแต่หนี ก็เลยต้องยอมรับว่า ธรรมะไม่เกี่ยวกับการเมือง ธรรมะไม่เกี่ยวกับเรื่องโลกๆ แล้วจะเป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)ได้อย่างไร

แต่ไม่ห่ามนะ พูดเช่นนี้พวกเราจะห่าม จะต้องไปช่วยโลก หนีไม่ได้จะเป็นพวกขี้หมา ไม่ใช่ ช่วยได้แต่ต้องรู้ฐานะกาละเวลา ถ้าอวดดีก็ไม่ใช่เสียชีวิตเสียร่างกายอย่างเดียว แต่เสียธรรมด้วยถ้าประมาณผิด เป็นเรื่องต้องระมัดระวัง

 

มาพูดถึงบทกวีของอ.เป็นต้น นาประโคน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ศาสนาพุทธไม่มีเสมอภาค

ขอพรจากพระเจ้าทำไม ทวยเทพอยู่หนใดไป่รู้ พระเจ้าจะรู้ใจสรรพสัตว์จริงฤา เป็นมนุษย์บ่สู้บ่สร้างได้ไฉน

นี่คือบทแรกเลย  การขอพรจากพระเจ้า ว่าพระเจ้ามีอำนาจเหนือมนุษย์ริบอำนาจของมนุษย์ไปหมด มีอำนาจใหญ่ทั้งเอกภพ แต่มาห้ามซาตานเกิดไม่ได้ พลังซาตานพลังมารอยู่เหนืออำนาจพระเจ้าเพราะเกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า

พระเจ้าเป็นพลังงานไม่มีตัวตน ศาสนาพุทธเข้าใจความไม่มีตัวตนที่ถึงสุญญตาแท้จริง พิสูจน์ได้หลัดๆ เป็น ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ว่าพลังงานพระเจ้านั้นคนไม่มีสิทธิ์รู้ไม่มีสิทธิ์เป็นอย่างพระเจ้าเลย คนก็เลยไม่มีสิทธิ์สัมผัสความจริงได้ตลอดกาล จริงไม่จริงก็ไม่รู้ว่าใครตัดสิน

แล้วถ้าสมมุติว่าพระเจ้ามีจริง แล้วทำไมพระเจ้าถึงต้องการให้โลกซวยหรือไง พระเจ้าย่อมต้องการให้คนเป็นสุข ก็เอาอำนาจของพระเจ้าช่วยเลยสิ ทำไมต้องให้พระบุตรมาไถ่บาปให้ แล้วบาปคืออะไร บาปคือพลังงานตรงข้ามพระเจ้าถ้าพระเจ้าต้องการให้ทุกส่ิงดีมีสุขไม่ทำชั่วก็ทำได้เลยสิ ให้เสมอภาค

คำว่าเสมอภาคจึงเป็นคำโกหก เสมอภาคไม่มีในจักรวาล ศาสนาพุทธไม่มีเสมอภาค มีแต่ภราดรภาพ

ศาสนาพระเจ้ามีแต่เสมอภาคภราดรภาพและอิสรภาพ

 ความเสมอภาคนั้นมันไม่มี แต่มีอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพสมรรถภาพกับบูรณภาพ อันนี้เป็นตัวพิเศษเป็นอัตตาหิอัตโน นาโถเป็นอิสระเสรีภาพแท้ มีสมรรถภาพกับบูรณภาพ  เป็นตัวความรู้ความสามารถ

ผู้ที่สูงนี่ดีกว่าใช่ไหม แต่เป็นผู้รับใช้ผู้ที่ต่ำ แต่การรับใช้นี้ซ้อน เพราะรับใช้ในฐานะความสูงของท่าน นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เป็น คัมภีราวภาโส หรือปฏินิสสัคคะ ยากที่จะเข้าใจ แต่สังเคราะห์มาได้เป็นสองอย่าง

เป็นผู้ชนะแต่ต้องเป็นผู้แพ้ แล้วผู้แพ้นี่แหละคือผู้ชนะ อย่างอาตมาแพ้ทางโลก แล้วใครรู้ไหมว่าอาตมาพาพวกเราชนะมาจนถึงปลายทางเลย อาตมามาบอกว่า ขอพรได้หรือ แล้วเทพอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พระเจ้าจะรู้ใจสรรพสัตว์จริงหรือแต่ของพระพุทธเจ้านี่พอรู้แต่อาตมาไม่แสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์ ส่ิงที่จะรู้ใจคนก็จะมีเทคโนโลยีสร้างมาหยั่งรู้ใจคน ทุกวันนี้ไม่ต้องใช้เหาะเหินเดินน้ำดำดินเลย มีหมดแล้วทางวัตถุ เพราะยุคนี้วัตถุเจริญ ไม่จำเป็นต้องเอาความเก่งทางจิตวิญญาณไปแบกทางวัตถุ

เมื่อมนุษย์มีพลังงานที่เป็นธรรมาธิปไตยสูงจริงแล้ว อำนาจที่เราเช่นเราอยู่เหนือคอมพิวเตอร์มีทั้งสิ่งหลอกสิ่งจริง คนที่อยู่เหนือก็เหนือส่ิงเลวในคอมพิวเตอร์ได้จริง คุณเข้าใจวัตถุแค่นี้มันจะเก่งอย่างไรใจมันก็ชนะวัตถุ เห็นไหม แต่คนแพ้คุณก็แพ้ส่ิงที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เราต้องอยู่เหนือมัน จริงๆก็แพ้ส่ิงไม่ดีในนั้นจะเป็นกาม เป็นรูป เป็นอรูปในนั้น

ผู้ที่เป็นพลังงานที่เป็นมนุษย์แล้วเรียนรู้ให้จริงแล้วมาช่วยกันทำ อาตมาได้บอกว่าพวกเราต้องมีการศึกษาอย่าง phenomenology มีทั้งนามธรรมและรูปธรรม

 

ครืนๆเสียงโลกร้องครวญคราง จากอัสดงฟ้าสางสว่างฟ้า โลกหนอโลกอำพราง โลกก็อำพรางเหมือนในป่าลึก เสือซ่อนเล็บในป่า

ขอพรพี่พี่ให้หรรษา อนงค์นุชสุกัญญาทุกข์สิ้น  อนงค์คืออิตถีเพศ ก็ทุกข์อยู่ จะเป็นอนงค์ก็ต้องศึกษาให้เป็นปุริสภาวะ

กรรมสามที่ทำมา บุญบาปบงการ พี่บ่ได้เล่นลิ้นหลอกน้องสวาทนา

ใครจะหยุดใครยังอยู่ได้บ่มีคือจะต้อง ถอนกดรากแก้ว แม้จะมีรากแก้ว ในต้นไม้ใหญ่มีกาฝากขนาดไหนก็ต้องกู้พุทธศาสนาอีกครั้งที่พระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาแล้วตอนนี้ก็เสื่อมซึ่งต้องมากอบกู้อีกครั้ง ธรรมาวุธศาสตราตรวจสอบเลยก็ต้องใช้ธรรมาวุธไปเรื่อย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(บุญญาวุธ) ตอน บุญญาวุธ 7 หมายเลข

อาตมาใช้บุญญาวุธหมายเลข 1 ได้ผลมาแล้ว ต่อมาบุญญาวุธหมายเลข 2 คือตลาดอาริยะ ได้กุศลได้ละกิเลส ขอยืนยันว่ามาทานอาหารมังฯได้ละกิเลสที่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงเนื้อสัตว์แล้วมีอะไรซ้อนอีก

ตลาดอาริยะก็มีประโยชน์เห็นคุณค่าซ้อนมาเพราะยุคนี้ไม่ใช่ยุคพระพุทธเจ้าที่ไม่มีการค้าอะไรมากมาย มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันไม่ได้ค้าขายกันอย่างยุคนี้ แต่ก็แบ่งแย่งกันเอาวัตถุโลกตามที่ตีราคา เรื่องพาณิชย์ที่เอาวัตถุเป็นหลักเจ๊งไปไม่ออก แล้วมาการค้าแบบพุทธแบบอาริยะ จัดมาห้ามความเสื่อมที่เกิด ต้องเอาสัจจะไปเหมือนสงบสยบความรุนแรงเอาความเสียไปสู้กับพวกหน้าเลือดที่กูเสียไม่ได้แพ้ไม่ได้ เหมือนโฮมิโอพาธี ก็ใช้หนามยอกหนามบ่ง แต่นี่เป็นนามธรรม หนามยอกหนามบ่งนี่ สุดยอด

ตลาดอาริยะนี้ต้องช่วยกันอย่าเอากิเลสเรามาทำลายตลาดอาริยะ หากเราทำไม่ได้ก็อย่าทำเลย ก็ค่อยฝึกตนมา ไม่เช่นนั้นจะเสียประสิทธิภาพ

สามการศึกษาบุญนิยม

สี่สุขภาพบุญนิยมพวกเราก็ค่อยเพิ่มเสียสละเพื่อมนุษยชาติ

ห้าการศึกษาบุญนิยม

หกสื่อสารบุญนิยม

เจ็ดการเมืองบุญนิยม

 

นี่คือบุญญาวุธหรือธรรมาวุธที่เราต้องสร้างให้สังคม บุญญาวุธ 6 อย่างต้นๆนี้คนเข้าใจ ได้ พอบอกว่าการเมืองอาริยะเขางง อย่างสื่อสารอาริยะ เขางงไหม ที่อื่นต้องพึ่งนายทุนหรือเรี่ยไร มีไหมสถานีธรรมะที่ไม่พึ่งนายทุนแล้วเรี่ยไร มีช่องนี้ช่องเดียว แล้วธรรมกายเป็นธรรมะโลกียะ ที่ขี้หมาที่สุดเท่านั้นเอง สถานีอื่นเขายังพอทำเนาไม่เลวร้ายตะกละหน้าไม่อายอย่างนั้น ไม่เท่าธรรมกาย แต่กระนั้นโทรทัศน์บุญนิยมก็ไม่ใช้ทั้งเรี่ยไรและนายทุน เรารีดเลือดจากปู เลือดสีน้ำเงินนะ

การเมืองคือการรับใช้ปวงชนไม่ว่าระบอบใด เผด็จการหรือปชต.หรือคอมมิวนิสต์อย่างฮิตเลอร์เขาก็ช่วยปชช.ที่ข้างเขา แต่กิเลสเขาเยอะมาก ก็เลยเลวซ้อนเขาก็เอาประชานิยมสิ่งที่ปชช.ชอบใจเป็นสินค้าหาเสียงเท่านั้น แต่ของเราไม่ใช้ เอาจิตใจบริสุทธิ์ทำ แต่ทำเพื่อปชช.จึงเป็นปชต.ที่เพียวกว่าคอมมิวนิสต์หรือปชต. ราชาธิปไตยก็เป็นปชต.แต่ท่านต้องอยู่สมฐานะ แต่หน้าที่ท่านทำเพื่อปชช.จะไปบอกว่าท่านต้องมีเงินเท่าปชช.แล้วจะไปช่วยปชช.ได้อย่างไร อธิบายยากอย่างพวกแดงเขาไม่เข้าใจเลยว่ากษัตริย์ควรมีฐานะเช่นใดเขาว่าต้องเท่าเทียมแต่ทีทักษิณทำไมรวยกว่าคนอื่นมีกิจการเยอะแยะ แล้วในหลวงต้องเท่าหรือ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็เอาไว้ทำประโยชน์ต่อปชช.ต่อลูกหลาน

 

สภาพที่เป็นจริงอย่างคำกลอนอ.เป็นต้นนี่ก็ดีอาตมาก็ใช้อธิบายไปตามภูมิอาตมาเพิ่มให้

 

_มีคนถามมาว่าผมดูข่าวชาวไทยทั่วประเทศสวดมนต์ข้ามปีกว่า 18 ล้านคน พอปีใหม่ก็ไปใส่บาตรกันดูแล้วมีความรู้สึกดี แต่น่าเสียดายที่พระในเถรสมาคมพาทำผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมวินัย นานแค่ไหนถึงกลับมาทำตามธรรมวินัย

ตอบ..ตอบไม่ได้ว่านานไหม ตอบไม่ได้ เพราะความต้องการของอาตมาหรือคุณก็ต้องการให้เร็วแต่จะเร็วก็ขึ้นอยู่กับส่ิงจริง เป็น phenomena นี่สร้างบ้านไว้กว่าสองร้อยเจ้า สร้างบ้านเอาตัวมาเพิ่ม อาตมาตั้งใจทำที่นี่จริงๆให้เป็นเมืองหลวงของบุญนิยม ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศไทยนะ เมืองหลวงของชาวโลกุตระของชาวคนจน เมืองหลวงของผู้แพ้ เมืองหลวงของคนจน ทางโลกีย์นี้แพ้หมดทั้งนั้น แต่ทางโลกุตระนี้เราชนะ เป็นเรื่องจริงมาช่วยกันทำ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ศาสตร์แกนหลักของมนุษยชาติ

อาตมาชื่นใจผู้มาทำว.บบบ. แล้วมีว.นบ.อยู่ปักหลักแต่นี่มาเพิ่มอีกจำนวนตั้งมากเห็นสามัคคีกัน เห็นอดทน เห็นส่ิงที่รู้สาระได้โลกุตรธรรม เป็นสิ่งประเสริฐ ถ้าจะมาเลื่อนชั้นจาก นักศึกษา ว.บบบ.มาเป็นว.นบ. สูงกว่า ว.นบ.ก็เป็นพลเมือง เต็มร้อยในชาวอโศกเลย ที่จริงคนในอโศกทุกคนก็เป็นว.นบ.ได้แต่ก็ควรให้มาลงทะเบียนเข้าระบบ ส่ิงที่อาตมาพาทำ ทำไมต้องสร้างใหญ่เหมือนเปลืองผลาญ มันเรื่องซ้อน โลกต้องมีอะไรใหญ่เป็นสุนทรีย์ศิลป์ เป็นเรื่องพระโพธิสัตว์ที่จะต้องเป็น ต้องมีสิ่งที่เป็นสุนทรียศิลป์ที่จะจงนำ พระสร้างบ้านราชฯเสร็จไม่ต้องห่วงว่าคุณจะไม่มา ชม แต่ต้องมาชมยังไม่ใช่นักท่องเที่ยวมาชมอย่างศึกษามาชมด้วยความรู้ด้วยความลึก มาศึกษาเอาอะไรไม่ใช่มาเที่ยว ความผิวเผินเหมือนกับนักท่องเที่ยวมาเสพอารมณ์อร่อยเพลิดเพลินสนุกสนาน สวยงามเฉยๆ  มันไม่ใช่เรื่องโลกีย์เลย เราไม่ได้ทำเพื่อหลอกล่อหากิน คนที่จะมาชมนี้ไม่ใช่สถานที่จะมาเอาเงินใคร เหมือนที่ภูฏาน ขอให้ไปศึกษาไม่ใช่ไปเสพ

ของเราเป็นเรื่องซ้อนมากเลย อาตมาเห็นว่าเขาจะมาชมภูเขาก็สร้างภูเขาเขาอยากจะไปชมน้ำตกก้อสร้างน้ำตกเขาอยากจะมาชมหาดทรายก่อสร้างหาดทรายเขาอยากจะมาชมน้ำใสเราก็ต้องสร้างเขาอยากจะชมแก่งมีแก่งสระโพธิ์ล้อเลียนกับแก่งสะพือแก่งสระโพธิ์ของหลวงพ่อโพนี้ยังไม่เสร็จนะ น้ำจะไหลตลอดวันเพราะเราจะใช้พลังงานจากพระอาทิตย์ กลางคืนนอนกลางวันทำงาน เราไม่ตะกละต้องทำทั้งวัน แต่ตอนนี้มันหนักบางคนต้องอดหลับอดนอน คนบุกเบิกก็หนัก ใครมาช่วยก็ดี คนทำหนักก็ได้กุศล ถ้าคุณมีปัญญาบทเรียนที่ต้องใช้ลดละกิเลสก็มีเยอะมียากมีหนักก็ได้ดี ถ้าได้ก็ได้สูง อาตมาพยายามให้เป็นสิ่งที่เป็นส่ิงที่เชื้อเชิญ ชวนเชิญที่จะให้แมลงมาตอม มนุษย์มีอะไรชวนเชิญก็ใช้บ้างไม่ใช่มอมเมาเขา แต่ให้เขามาได้แก่น

ผึ้งไม่ได้ไปเอาสีกลิ่นรสแต่ไปเอาธาตุอาหารในดอกไม้ไปใช้งาน ศิลปินจะต้องรู้สารศิลป์กับสุนทรียศิลป์ คนติดสวยติดงามแต่ไม่ได้แก่น อันนั้นไม่ใช่ศิลปะเพียงสิ่งหลอกล่อ ไม่รู้ว่าสารศิลป์ของคุณคืออะไร ก็มีแต่ดึงดูดด้วยความซับซ้อน จนกลายเป็นabstract ปั้นวิมานหลอกกันเป็นความเพ้อพกแฝงฝังหลอกให้คนติด ขอยกตัวอย่างง่ายๆ

อย่างดอกทานตะวันที่เป็นงานของแวนโก๊ะ ดอกทานตะวันเหี่ยวๆ มีสาระอะไรในดอกทานตะวัน แล้วคุ้มกับเงินที่ซื้อภาพนี้ไปไหม เราได้อะไรจากนั้น เค้าก็ติดที ติดอะไรของแวนโก๊ะเท่านั้น แล้วแหวนก็ตายไปแล้วก็เลยมีน้อยชิ้น ก็เลยเหมือนสิ่งที่หายากเป็นเพียงหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่านั้นเหมือนเครื่องสังคโลกแต่เขาก็บอกว่ายอดเยี่ยมและคนที่ซื้อไปไม่ใช่นักประวัติศาสตร์เขาซื้อไปโชว์ความรวย อวดรวยเท่านั้นไม่ได้รู้จักศิลป์อะไรหรอก ซื้อแล้วหลอกได้แพงๆ ประมูลแย่งกัน เพราะมีชิ้นเดียว นี่คือมันหลอกกันทั้งโลก ประเทศไทยก็โง่ไปตามเขา พระพุทธเจ้าสอนอาตมานี้เหนือชั้นกว่าศิลปะแบบเขาเยอะ แล้วเป็นมงคลอันอุดมด้วย

ในเนื้อหาแท้ของสัจจะของพระพุทธเจ้าสุดยอดแล้ว เรียนวิชานี้รู้ทั้ง เศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ อันนี้เป็นแกนหลักของมนุษยชาติ และจะรู้ศาสตร์อื่น อื่นอีก และจะช่วยมนุษย์ได้ ช่วยได้จริง อาตมาใช้วิชาของพระพุทธเจ้าชาตินี้อาตมาจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนสาขาอะไรสารพัด การเมืองทำไมต้องเรียนเศรษฐศาสตร์ยังจะต้องเรียนบ้าง แต่ก็ยังไม่ใช่แก่นแก่นแท้ของมนุษยชาติคือการเมือง อาตมาไม่ต้องเรียนเพราะมีแกนมากพอ การเมืองคือการรับใช้ประชาชนเท่านั้น จะเป็นประชาธิปไตยก็รับใช้ประชาชนคอมมิวนิสต์ก็รับใช้ประชาชนสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็รับใช้ประชาชน ไม่กดขี่ประชาชนให้ประชาชนได้รับประโยชน์ประชาชน ก็ยอมรับพระราชาองค์นั้น พระราชาเป็นอริยะไม่เสร็จสบายไม่เสร็จโลกีย์มากมายนั่นแหละคือจอมจักรพรรดิ เป็นอริยะแท้ไม่เสร็จสบายไม่เสร็จกามคุณไม่เสพรูปภพอรูปภพอย่างน้อยท่านเป็นอนาคามีภูมิเป็นต้นไป เป็นพระราชา ซึ่งยอดเลยเป็นสัจจะ

แบบประชาธิปไตยขาเดียว หรือคอมมิวนิสต์ไม่เอาศาสนาเลย เขาก็แตกคอกันแย่งกันถึงไปไม่รอดคอมมิวนิสต์ถึงอยู่ได้แค่ 70 ปีก็พังตอนนี้ก็แปลตัว เหลือรัสเซียหรือจีน

 เรารับใช้ประชาชน โดยที่เรามีความรู้เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพาทำถึงสาธารณโภคี ทุกคนทำงานเสียภาษี 100 เปอร์เซ็นต์ ในชุมชนชาวอโศก ก็ช่วยกันสร้างสรรค์ทำงานด้วย แต่การเสียภาษีในประชาธิปไตยนั้นซับซ้อน ไม่มีจิตใจที่เต็มใจ ตัวอย่างของเรานี้เต็มใจเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างเต็มใจ แต่ข้างนอกนี้ ไม่เต็มใจก็จะเลี่ยงภาษี  จะมีการคิดโกงก็เยอะ

มาอยู่ที่นี่จะขี้โกงเราก็ต้องลดละ จะเอาเปรียบก็ต้องลดละ บริสุทธิ์ใจอยู่ในนี้ใครที่รู้ว่าตัวเองยังเอาเปรียบเอารัด ก็จะละอาย ใครยังหลบเลี่ยงก็จะละอาย ทิศทางเดินมันต่างกัน

 แต่ก็ต้องพาทำ นี่ก็เริ่มต้นทำกันมาขนาดนี้ก็ยังเล็ก ไปช่วยโลกเขาก็ยังไม่ได้มาก ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรแต่แม้มันเล็กแต่มันสะอาด เทียบกับธรรมกายที่เขาใหญ่มากแต่สกปรกชิบหาย หน้าด้านมากด้วย แต่ที่นี่ไม่มีคนหน้าด้านแบบนั้น  เห็นเครือข่ายความหน้าด้านที่ไม่ใช่มีแค่หัวของธรรมกายไหม แม้แต่เถรสมาคมก็หน้าด้าน  เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลาผลัดวันประกันพรุ่ง คนที่เป็นไปได้ก็มารวมตัวกันสร้างสรรค์ เพราะ มิตรดี สหายดี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน แสงอรุณทั้ง 7

 อยู่ในแสงอรุณทั้ง 7 นี่แหละคือ กลุ่มของมวลมิตรดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มิติหมายถึง จิต สหายหมายถึงร่วมงาน ร่วมประโยชน์ร่วมกิจการร่วมประโยชน์ร่วมองค์รวม กัลยาณสหาโย  กัลยาณสัมปวังโก ใช้ประโยชน์ร่วมกันหมด สิ่งแวดล้อมดี

 แสงอรุณข้อต่อไปคือ ศีลเป็นหลักเลยที่ต้องศึกษา พื้นฐานคือศีล 5 ต้องเรียนรู้ให้บรรลุธรรม มนุษย์ศีล 5 ก็เป็นโสดาบัน ต้องมาศึกษาศีล 5 เป็นเบื้องต้น ผู้ไม่มีศีล มาเละเทะในนี้ก็ไม่ควรมา แต่คนมีศีลที่ยังไม่มาก็ให้มา แล้วศีลจะทำให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดวิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ทำไปตามลำดับปริตตังอย่ามักมาก ทำตามฐานะ

มิตรดีเป็นหลักแรก ต่อมาต้องสำคัญที่ศีล  สังคมที่มีศีล 5 ทุกวันนี้คือสังคมของชาวอโศก  คนอื่นก็พยายามจะทำให้เกิดหมู่บ้านศีล 5 คุณก็ไปดูเขาสิ สังคมไหนล่ะมันเหมือนที่นี่ไหม แล้วการปฏิบัติศีลมีสัมมาทิฏฐิไหม เพื่อจะให้เกิดอธิจิตเกิดสัมมาสมาธิ ปฏิบัติศีล 5 ที่เกิดการผัสสะเกิดเวทนาก็ไล่ไปตามกิเลสระดับ

ฉันทะ ถ้าคุณไม่ยินดีคุณมาที่นี่ไม่ได้หรอก ไม่ยินดีที่จะต้องฝืนก็ต้องสู้คุณเห็นดีจริงๆ อ้าย มันก็อยู่รอดถ้าไม่ยินดี มาก็ฝืนฝืน อยู่ไม่ได้นานหรอก แต่ถ้าคุณชัดเจนว่าเป็นของดีเห็นดียินดี พอใจยินดีก็มา แม้หน้านองน้ำตาก็มา แล้วอย่าไปโทษใคร ถ้าเราทำไม่ได้ คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าที่นี่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มาทนเท่าไหร่ใจก็เลยได้ที่นี่ก็ไม่ต้องกลัวเผาให้ทั้งนั้น ไม่เสียค่าทำศพมีโลงเย็นให้นอนด้วยสัปเหร่อก็ทำให้ฟรี พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายกันได้จริงๆ

ต้องทำใจให้เต็มให้แจ้งว่ามันน่ามาไหม คุณจะไปอีกกี่ชาติไปตามวิบาก เพราะแม้ตั้งจิตอยากจะมา แต่ไม่ได้เติมผลที่จะให้มาได้ก็ไม่เกิดผล อยากจะมาแต่อยู่ข้างนอกจะได้มาหรือ

1 ที่นี่ก็ไม่บำเรอกิเลสคุณ แต่ข้างนอกนั้นมาเมาคุณ ผู้บำเรอก็เยอะผู้มอมเมาก็เยอะ แต่ถ้าคุณยิ่งอ่อนแอคุณก็ต้องมา อยู่ข้างนอกก็ถูกบำเรอมาก แต่ที่นี่บำเรอน้อยกว่าก็สบายกว่า แต่ข้างนอกกิเลสเราย่ิงหนา

มาแล้วก็เรียนรู้อัตตาไม่ใช่ใช้แบบที่ว่า สัพเพธัมมาอนัตตาติ อะไรก็ไม่ใช่อัตตาสักอย่าง อย่างนี้ก็โง่ตายชัก ไม่มีทางที่จะลดละได้ ไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่หยาบ ขนาดกิเลสใหญ่อย่างกับช้างยังไม่รู้ไม่มีวันที่จะถึงอรูปอัตตา กิเลสตัวเท่าช้างคุณยังไม่รู้เลยแล้วจะ ลดได้อย่างไรกิเลสมันก็เอาตาย กว่าจะหมดอัตตามันง่ายที่ไหน

 เมื่อเรียนรู้อัตตาแล้วก็ต้องทำสัมมาทิฏฐิให้ได้ลดละไปตามลำดับ ทรงไว้ให้เป็นธรรมฐีติ มีจริงทรงไว้ ไม่ใช่แบบถอนไม่ออก แต่เป็นสัจจะคุณธรรมที่คุณมี เป็นคุณวิเศษที่คุณได้ คุณยึดส่ิงที่คุณไม่ยึด คุณมีส่ิงที่คุณไม่มี

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาทิฏฐิ โลกนี้โลกหน้า

ผลวิบากของกรรม

สัมมาทิฏฐิข้อที่4 ต้องสั่งสมกรรมเป็นผลให้เป็นโลกุตระ มีโลกุตระ 37 หรือ 46 ก็เกิดจากทวารทั้ง 6 จากกรรม 3 ก็อ่านอาการของนามธรรมเป็นตัวตั้ง อาการข้างนอกก็เกิดจากจิตเป็นประธานทั้งนั้น ก็จะรู้ความเป็นโลกเช่นนี้ โลกนี้ โลกหน้า

โลกนี้

โลกนี้ ก็คือโลกที่คุณมี อดีตต้องทำให้เป็นปัจจุบันแข็งแรงตั้งมั่นสั่งสมตกผลึกให้แข็งแรงจะไปในอนาคตอีกกี่ชาติก็ไม่แปรอื่นไม่มีอะไรหักล้างได้ ตลอดกาลนาน

หนึ่งคุณรู้โลกที่เป็นอดีตทำให้เป็นปัจจุบันสมบูรณ์แบบ อนาคตจะแข็งแรงจากทุกปัจจุบัน จนตัดสินได้อดีตกับอนาคต 0 ทั่งคู่ไม่เปลี่ยนแปลง ในอวิชชา 8 ข้อ 5 อดีต ข้อ 6 อนาคต แต่ 7 นี่อดีตกับอนาคตที่ 0 ตลอดกาลนาน

ถ้าเป็นปุถุชนอดีตกับอนาคตไม่เท่าเดิม กุศลอกุศลมี แต่อรหันต์ เที่ยงที่อกุศลไม่มี มีแต่กุศลเพิ่มไม่เที่ยงเช่นกันแต่คนละทิศทาง ปุถุชนไม่เที่ยงสักอย่าง

โลกหน้า

โลกหน้า คือโลกโลกุตระ คุณดับอบายได้ก็ดับโลกกามต่อ กาแฟเจ้านี้คุณก็วนไปเสพอยู่นั่นแหละ อาตมาเคยเล่าน้องเขยอาตมาติดบุหรี่ บุหรี่หมด กลางคืนแล้วมันต้องนอนแล้วก็หลบเมียไปปากซอยเดินไปซื้อให้เงียบที่สุด เวียนวนเช่นนั้นต้องไป คุณติดอะไรก็ต้องวนเวียนเช่นนั้น ก็ต้องเสพ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็วน นี่คือโลกเช่นนี้ที่ต้องปฏิบัติ จนคุณไม่ต้องวน ไม่ไปไม่มานิ่งอยู่อย่างเก่าสูญ หมดโลก ดับโลก ติดโลกอะไรก็ดับโลกนั้น ไม่ต้องไปสัมผัสไปได้ไปเป็นไปมีมันก็จบหมด

มาตาปิตา สัตตาโอปปาติกา

ในสัมมาทิฏฐิที่คุณจะต้องรู้แม้ มาตาปิตาคุณต้องเข้าใจ ขณะนี้คุณแน่ใจสมณพราหมณ์สัมมัคตาแล้วใช่ไหมต้องมาอธิบาย มาตาปิตาสัตตาโอปปาติกา

เจริญธรรมสำนึกดีปีใหม่


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:40:34 )

590101

รายละเอียด

590101_ธรรมะรับอรุณ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 ธรรมะปีใหม่ 2559

พ่อครูว่า…...เจริญธรรมสำนึกดีปีวอก ปีนี้เป็นปี พศ.2559 วันนี้วันแรม 7 ค่ำเป็นวันโกน ที่อยู่ตรงหน้านี้บนโต๊ะมีลูกอะไรนี่ พุทธา ลูกใหญ่นึกว่าแอปเปิ้ล ใช้นมสดเป็นน้ำหมักจุลินทรีย์รดมันก็เลยลูกขนาดนี้ มาจากวังน้ำเขียว

 

กว่าจะถึงธรรมนิยาม

อ.เป็นต้น เขียนกลอนมา ที่จริงอาตมาก็มีบทกวี แต่ว่า มันก็มีความบกพร่อง มีร่างกายที่เป็นมนุษย์ยุคนี้ ซึ่งต่างจากมนุษย์ยุคก่อน วิวัฒนาการมาเป็น รูปนามอย่างนี้ รูปก็เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยเรื่อยไม่เที่ยง ถ้ารูปร่างของคนเหมือนลิงที่เขาค้นคว้าจินตนาการว่าคนเมื่อล้านๆปีรูปร่างเหมือนลิง แล้วค่อยวิวัฒนาการมาเป็นรูปร่างเหมือนคนตอนนี้ก็เป็น การใช้ชีวะ ร่างกายนี้ดำรงตน องคาพยพในร่างนี้

 องคาพยพในร่างนี้มีจิตวิญญาณขับเคลื่อนอยู่ วิวัฒนาการไปตามจิตใจที่เป็นเจ้าเรือนนำพากันไปจนกระทั่งมีการศึกษาในการเรียนรู้ จนมีความรู้ที่พึงมีในประดาความรู้ทั้งหลายในโลก อาตมาก็ว่าความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ใครที่พลาดการศึกษาเรียนรู้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่นี้ เกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่ง

 ที่บอกว่าไม่มีบุญนี้ชัด ถ้ามีศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่มีบุญ ศาสนาอื่นใดใดในโลกไม่มีบุญมีความรู้มีการศึกษาที่ยังไม่ถึงขั้นที่จะเกิดบุญ มีแต่ได้กุศลเท่านั้น ไม่ได้ทำบุญ คือไม่สามารถเข้าถึงสัจจะที่เรียกว่าปรมัตถสัจจะ  บทเรียนของพระพุทธเจ้ามีให้ปฏิบัติจนถึงชำระได้จนถึงจิตสันดาน ของแต่ละคนตัวใครก็ตัวใครต้องเรียนรู้อยู่ดีๆมาเล่นดู ลุกขึ้นมาเอง ก็ต้องได้สั่งสมความรู้ นั้นเก็บไว้ในสัญญา ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณจิตใจของสัตว์โลกเป็นอย่างนี้ ธรรมะที่ชื่อว่าจิต

ในโลกใบหนึ่ง ใบหนึ่ง มีสัตว์โลกเกิดมาในโลก อยู่ในจักรวาลนี้ ซึ่งโลกลูกนี้เกิดมากี่ล้านล้านปี จนกระทั่งมีความเป็นชีวะในโลกใบนี้ถึงกระทั่งถึงทุกวันนี้ ก็มีวิวัฒนาการไปได้ ก็จะมีคนหรือมนุษย์นี่แหละที่เป็นสิ่งที่พัฒนาการจากพลังงานต่างๆมา จนนำมาทำด้วยตัวเองหรือจิตวิญญาณนักศึกษาเดินรู้จักกระทั่งพบความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรู้เปลี่ยนแปลงเป็นแปลงธาตุที่บงการร่างนี้ได้อย่า ไม่มีคำกริยาที่ทรงไว้ซึ่งคุณค่าสูงสุด ให้มีความรู้สูงสุด ในพลังงานตัวมันเอง ที่จับตัวรวมกัน

 ธาตุดินธาตุหินธาตุเพชรก็จับตัวรวมกัน ทำให้เกิดพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชัน พลังงานที่มันรวมตัวกันเป็นนิวเคลียร์ แต่มันก็จับรวมตัวกัน รวมแล้วก็เป็นร่างกาย เป็นตัวเป็นก้อนแท่ง  ตั้งแต่อากาศจนพัฒนาขึ้นมาเป็นธาตุวิญญาณ มีธรรมะ 2 มีอากาศและวิญญาณ เป็นธรรมะ 2 มีช่องว่างกับมีสิ่งหนึ่ง วิวัฒนาการมาเป็นชีวะ

 เป็นจุดแรกที่สังเคราะห์รวมตัวกันมา เป็นร่างกาย ของสัตว์โลกของมนุษย์ และวิวัฒนาการธาตุรู้ที่เรียกว่าวิญญาณมาเป็นปัญญา มันเป็นความรู้มาเป็นวิชา แล้ววิชชานี่แหละจะสร้างกรรม  เป็นธาตุที่รวมตัวกันปรุงแต่งมีสสารกับพลังงาน  มีพฤติกรรมของโลก ซึ่งมีตัวสัตว์หรือมนุษย์เป็นตัวแปรของโลกโลกนี้จะพังสลายไป หรือว่าโลกนี้จะอยู่สมดุลดีขึ้นเจริญขึ้น เป็นโลกที่มีรูปร่าง ของ เปลือกโลก ให้คนอาศัยนี้  สสารและพลังงานเป็นตัวทำให้โลกนี้เป็นแปลงเสื่อมหรือเจริญ  แล้วก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปหมุนเวียน เป็นเช่นนั้นทุกอย่าง

 เมื่อเกิดเป็นคนเป็นส่วนหนึ่งของมหาจักรวาลของเอกภพนี้เราก็เป็นส่วนหนึ่งของสังขารของมหาจักรวาลถ้าเราได้ศึกษาได้เรียนรู้ถึงพลังงานที่มันขับเคลื่อนตัวเรานี้ เป็นself ตัวเรา ทรงอยู่ก็เรียกว่าแท่งธรรมะแต่ผู้ใดที่ยังไม่เป็นแท่งธรรมะที่เป็นธรรมชาติจริงๆคือผู้ที่ไม่ได้ศึกษาจนจบกิจ

 หน่วยของ ธรรมะ 2 ที่เป็นส่วนของสังขาร ไม่ว่าจะดินน้ำลมฟ้าไฟอากาศ  ถึงมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไป ดีไม่ดี ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ โดนแล้วแต่เป็นส่วนของมหาจักรวาลนี้  เราก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณที่ทำให้มีการขับเคลื่อนไปเป็นพฤติกรรม และความรู้ ก็เป็นองค์ประกอบของรูปกับนามจะรวมตัวจับตัวกัน สังขารกัน และมีส่วนประกอบของตัวมันเอง เป็นคนเป็นมนุษย์ จนทำให้เกิดความเจริญสูงสุดที่เรียกว่าธรรมะ ที่พัฒนาได้สูงสุดตามความรู้ของพระพุทธเจ้า ได้แท่งก้อนที่ปราศจากโทษมีแต่คุณ  ใครจะมีอายุขัยเท่าไหร่ก็ตาม ตามแต่ยุคที่มันเป็น เป็นเรื่องที่คนจะต้องมาศึกษาพัฒนาจิตวิญญาณ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของมหาจักรวาลนี้ของเอกภพของโลกของประเทศ ของตัวล่างล่าง 1 จนได้วิวัฒนาการ จนกว่าจะเป็นจิตนิยาม สามารถพัฒนาธรรมะเป็นอรหันต์ สูงที่สุด

 สามารถที่จะ พัฒนานิวเคลียส แล้วก็เป็นสังขาร 1 ของโลก ที่เป็นสังขารขับเคลื่อนตนเอง ด้วยพลังงานที่กำหนดตนเอง แล้วก็ให้ขับเคลื่อนไป เป็นคำกริยาอยู่ในเอกภพนี้ เป็นสังขารที่จะมีประโยชน์สูงสุดในมหาลัยเอกภพนี้ ก็คืออรหันต์

มีสัญญาณเคลื่อนที่ อยู่ในมหาเอกภพ คนที่ไม่ปรินิพพาน แต่มีของตนเองเป็นสัญญาของตนเอง เป็นสิ่งที่ยังไม่หายไปจากเอกภพยังเป็นตัวตน self แม้รับการศึกษาสูงสุดแล้วเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นธรรมะสอง ยังเวียนวนในมหาเอกภพนี้ได้

ทำไมศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็จะเกิด วิญญาณที่มีสัญญา ออกผล เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมีในโลกเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ที่อยู่ร่วมกับสสารที่จะรวมตัวกันได้ มีนิวเคลียร์ ฟิชชันกับนิวเคลียร์ฟิวชัน ที่รวมตัวและมีการจับตัว

 

 

 มาอ่านกลอนอวยพรปีใหม่ที่อาจารย์เป็นต้น เขียนมา

 

พุทธไม่ให้พร

 

 พุทธไม่ให้พร แม้ได้เป็นผู้สูงสุด ที่ทำให้แท่งก้อนน้ีประเสริฐสุดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีวิญญาณธาตุที่สูงสุด ในบรรดา เอกภพนี้ ธรรมธาตุที่ยิ่งใหญ่คืออะไร คืออรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรินิพพานสลายเป็นดินน้ำไฟลมในมหาเอกภพนี้ 40.30 น.

 

ที่พูดไปคือธรรมะสอง จนกว่าจะสลายธาตุ จะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรืออรหันต์อนุพุทธ อย่างหมอเขียวประกาศตนว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ก็เป็นอนุพุทธที่หมุนเวียนไปในโลกที่จะไม่ปรินิพพานเป็นธรรมธาตุเป็นธรรมะสอง ถ้าเป็นอรหันต์แต่ไม่ปรินิพพานธรรมธาตุนี้ก็พัฒนาตนไปสู่ความเป็นอรหันต์ ในมหายานเดาว่าจิตวิญญาณจะไปเป็นพุทธะกันทั้งนั้น

คนทุกคนที่ได้ธรรมธาตุจับตัวเป็นอัตตาหนึ่ง แล้วต้องศึกษาพุทธธรรม อย่างเลข 5 นี่เกิดแล้ว มีทศนิยมไปหาศูนย์แล้ว เกินครึ่ง ของ เก้า ถ้ายังไม่เจริญสูดไปเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือไม่เป็นอรหันต์ก็วนเวียนสูงต่ำ ถ้าธรรมธาตุนี้รีไทร์กลางทางก็จบไม่ต่อ 

 อาตมาก็ไม่ได้ให้พร อาตมามีหน้าที่ทำกรรมกิริยาเคลื่อนไหว ว่านี่คือกายวิญญัติ ประกอบเป็นคำพูดคำกล่าวเป็นภาษาไทย มีวาทะออกไปให้คนได้ยินได้ดัง ให้มันออกไปเป็นพร เป็นแท่งธรรมธาตุที่ พูด คิดทำ ก็เป็นพร  ประเสริฐทั้งนั้นอรหันต์แล้วถือว่าไม่เป็นผู้ที่ผิดถ้าหมู่กลุ่มยกให้ด้วยสติวินัย

โสดาปัตติมรรคที่ยังไม่มีธรรมธาตุที่ได้โสดาปัตติผล ตายแล้วเกิดมาไม่ได้เป็นโสดาบันอีก ใครได้เป็นโสดาปัตติมรรคแม้ได้รับคำพรจากพระอรหันต์ ว่าในโลกนี้มีวิญญาณธาตุที่มีความรู้เป็นอริยบุคคล ผู้ที่เป็นโสดาปัตติผล ที่เรียกว่าอริยบุคคลเพราะครบ 2 ธรรมะ  ถ้าตายไปแล้วจะมารวมตัวกันอีก ถ้าแค่โสดาปัตติมรรคที่ยังไม่แน่นอนไม่เที่ยงแท้ ก็ไม่เป็นแท่งเป็นธาตุที่เป็นธรรมธาตุที่จะเป็นอริยะต่อ ยังไม่เกิดโสดาปัตติผลที่เป็นธรรมชาติที่ได้ผลเป็นอริยะ ถึงจะไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ที่จะมีการเดินทางไปสู่การเป็นอรหันต์

 ผู้จะพัฒนาสู่ความเป็นพุทธได้นั้นสูงสุดยอดนั้น ผู้ไม่มีโสดาปัตติผลก็ไม่มีหลักประกันไปสู่ความเป็นพุทธะก็จะหมุนวนเวียนตายเกิดในมหาจักรวาลนี้ ก็สั่งสม อธรรมธาตุ  ปุถุชนยิ่งเกิดก็ยิ่งเสื่อม มันมีแต่รู้ความจริงปลอมปลอม เรียกภาษารวมๆว่าสมมติสัจจะ จนกว่าจะพัฒนาตนให้เป็นอรหันต์

พุทธไม่ให้พรคือมีหน้าที่ทำกรรมอย่างเดียว เป็นตัวอย่างให้จิตวิญญาณคุณสัมผัสได้ คุณสัมผัสแท่งธาตุอรหันต์ก็เป็นส่ิงประเสริฐ แล้วภาษาที่พูดออกมาก็เป็นพรให้คุณพัฒนาแท่งธาตุสู่อรหันต์  มาสัมผัสสิ่งนี้ก็จะได้สิ่งนี้

ที่บอกว่าไม่ให้พรก็มีสิทธิ์ที่จะแสดงธรรม  มีกายกรรมวจีกรรม อย่างที่อาตมาแสดงเป็นการเดี่ยวไมโครโฟนไม่เอาตังค์ยิ่งกว่าอุดม แต้พานิช เพราะไม่หากินกับใคร ใครจะเอาเงินบริจาคให้อาตมาก็ไปสร้างสิ่งประเสริฐไม่ได้ไปเรี่ยไร แต่ที่พูดไปเมื่อกี้ไม่ได้ถือว่าได้เรี่ยไรนะ แต่อธิบายธรรมะ อาตมามีเจตนาให้แต่ให้ไปแล้วคนที่ไม่มีความรู้แต่ฟังไม่ด้วยดี ทุสูสัง ลภเตเฉกัง มีคนที่เอาที่อาตมาพูดไปใช้แกมโกง แม้พวกเราก็เอาคำดีที่อาตมาพูดไปใช้ในทางไม่ดี

 พรให้ไปแต่คุณก็ไม่ได้ ก็ไม่ใช่พร เพราะเราได้ไปแล้ว ขอไปทำชั่วเอาไปทำไม่ดี ให้ระวัง  แม้จะเจอหน้าให้แต่คนรับไปทำเสียเป็นคำหายนะ  เป็นคำที่หลอก ทำร้ายคนอื่น ให้ต่ำลงเสื่อมลง อันนั้นเป็นคำหายนะ

 ที่พูดไป ผ่านไปนี้ ไม่ได้ให้พรนะเป็นแต่เพียงแสดงธรรม นี่เป็นการยิ่งกว่าสวดมนต์ข้ามปีนะ

 

_ผู้จะรู้จักรู้จริงรู้แจ้งในรูปกายและนามกายต้องแยกกายแยกจิตเป็นใช่ไหม

ตอบ... ถูกต้อง นอกจากแยกเป็นแล้วยังแยกถูกต้องด้วย ว่าตัวไหนจะเป็นเป้า ที่ทำธรรมาธรรมะสงคราม สื่อธรรมะในตนให้เป็นธรรมหนึ่งเดียว เป็นสังกัปปะที่ทำการ กระบวนการสังกัปปะ 7 นี่ เปลี่ยนแปลงเป็นสัมภวะ เป็นแดนอาริยธรรม มีรูปกับนามที่เป็นธรรมะสอง เกิดเดี๋ยวนี้เกิดปฏิกิริยาเป็นปฏิฆสัมผัสโส คุณอ่านรู้ก็ทำนามทำจิตทำมโน ให้จิตคุณมีมนสิการให้เป็นธรรมะหนึ่งได้ก็ได้อาริยธรรมใส่จิตวิญญาณตนตลอด

 

สังกัปปะเป็นฐานปฏิบัติแท้

 _พ่อครูช่วยอธิบายความหมายของวิตักกะด้วยครับแ

 

ตอบ...สังกัปปะเป็นฐานปฏิบัติแท้ ทำสัมมาสังกัปปะ 7 เท่ากับคุณทำฌาน ทำวิมุติ ทำได้อย่างถูกต้อง

วิตักกะ  เป็นคำที่ 2 ในสังกัปปะ 7  หรือถ้าไม่มีความรู้ก็สังขาร อย่าเอาวิชาต่อไป แต่ถ้ามีความรู้สามารถทำให้เกิดเป็นสังฆธรรมที่เป็นอาริยธรรม เป็นวจีสังขาร เป็นจิตก่อนออกมาเป็น...  

กายวิญญัติ  วจีวิญญัติ

ก่อนจะทำวจีสังขารได้อย่างอาริยธรรม คุณก็จะต้องทำจิตให้ วิตก ให้หมดความกังวล คำว่า วิตก ในภาษาไทยแปลว่า กังวล คุณไม่ต้องกังวลเมื่อทำจิตให้เป็นวิสังขารได้แล้ว เพราะคุณสามารถรู้จัก ตักกะ แล้วสังกัปปะให้สัมมา  ในมรรคองค์ 8 คุณได้เรียนทิฏฐิ ทฤษฎี รู้สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็ทำ จิตวิตักกะได้ ก็เดินผ่าน อัปปานา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จิตวิญญาณจะส่งความคิดออกไปก็รับไม่ได้ง่ายๆหรอก ต้องออกเป็นกาย วจี จึงอ่านออกได้ เมื่อส่งออกตรวจสอบก่อนออกไป เหมือนส่งสินค้าออกต่างประเทศ อย่างรัฐบาลปูส่งข้าวเน่าออกต่างประเทศก็ไม่ดีหรือบางรัฐบาลต่างประเทศก็ส่งอาวุธเป็นสินค้าไปฆ่าสัตว์ฆ่าคน การสร้างอาวุธก็เป็นบาป ในการคิดแล้ว แล้วไปขายอีกเพื่อฆ่าคนก็บาปหลายชั้น ไม่เป็นบุญเลย  เพราะรู้ว่าสัตว์มีชีวิต สัตว์ก็มีชีวิต มีจิตคิดฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตายลงก็เข้าปาณาติบาต

เพราะไม่ได้มีการควบคุมสังกัปปะ 7 ด่าน ก็สมรู้ร่วมคิดกับตัวการต้นคิด ล้วนแล้วแต่มี สังขาริกัง มีกิเลสเป็นตัวนำพาไปเป็นปุถุชน จนหนาทั้งอ้วนใหญ่ รวม ตัวกันะจนตกผลึกแข็งหนาแน่น เพราะไม่รู้จักจัดการกิเลส

 ถ้าคุณจับอาการจิตได้ก่อนเจตนาหรือพร้อมกับเจตนา ที่จะออกเป็นกามตัณหา หรือมีพยาบาทร่วมด้วยไหม ใครอยากทำร้ายทำลาย เป็นความปรารถนาร้าย หรือถ้าเป็นกรรมก็คือทำดีก็ดีมาเป็นแบบตัวกูของกู ซึ่งมันก็เป็นดีที่ไม่ดี

ถ้าไม่เป็นอริยบุคคลแล้ว ถ้าทำงานออกมาข้างนอก เราไม่รู้ว่ามีกิเลสร่วมปรุงแต่งโดย มีเจตนา แล้วก็มีสัญญากำหนดหมาย ก็สังขารปรุงแต่ง ออกมาข้างบนเป็นกายกรรมวจีกรรม จะเป็นความโลภความโกรธเพราะโมหะไม่รู้

ถ้าคุณดับ อกุศล ตรงนี้ได้ที่ ตักกะ จิตก็เป็น วิสังขารเป็น วิตักกะ ผ่านอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วก็เป็น วจีสังขาร เตรียมออกไปต่างประเทศ

วิตักกะ คือจิตหมดสิ้นความกังวลเป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์จากนิวรณ์ จากกิเลสที่เป็น สสังขาริกัง

 

เราจะตรวจวัดตนเองได้อย่างไรว่าบรรลุธรรมขั้นไหน

_เราจะตรวจวัดตนเองได้อย่างไรว่าบรรลุธรรมขั้นไหน

ตอบ...ผู้ใดทำสังกัปปะ 7 ได้คือผู้มีกระบวนการ แต่ถ้าทำได้แค่กายกับวาจาก็ต้องทำให้ถึงจิตถ่องแท้แยบคายจับเหตุได้ แต่ถ้าทำสังกัปปะ 7 ไม่เป็น ก็แยกก้อนธรรมธาตุ มีวจีสังขารเตรียมพร้อมออกต่างประเทศหากไม่เรียนรู้ก็ทำไม่สำเร็จ ถามมาว่าจะบรรลุขั้นไหน อาตมาก็บอกมาตลอด

โสดาบันก็ทำสังกัปปะ 7 ถ้าไม่รู้ ก็ทำอภิสังขารไม่ได้ ก็ทำอภิอายตนะไม่เป็นคือคุณทำวิโมกข์ 8 ไม่ได้

วจีสังขารเป็นต้นทางของมนุษย์

มนุษย์มีอวิชชาแล้ว สังขาร...วิญญาณ ...นามรูป ...อายตนะ...ผัสสะ ...เวทนา...ตัณหา...ภพ ...ชาติ ...ชรา..มรณะ...โศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ….ผู้ไม่รู้ชาติก็ออกมาเป็นอธรรมสัตว์ เป็นสัตว์ที่ไม่ดี ตัวเองแสดงกาย วจี ออกมาไม่ชวนลดละหน่ายคลาย ชวนให้คนสร้างกิเลส พูดออกมาเป็นเดรัจฉานกถา ขวางทางนิพพาน แม้คุณเป็นโสดาบันก็ต้องอ่านจิตเป็น  ที่จะก่อเคหสิตเวทนา ทำเนกขัมสิตเวทนาได้ แม้ตัวแรกทำได้เป็นอาริยธรรม ทำเนกขัมมะได้ (เนกขัมมะไม่ใช่ไปบวชนะ)

สรุปแล้วโสดาบันจะไปรู้สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์ไม่ได้หรอก ต้องเข้าใจจิตของตนเองจะให้คนนั้นคนนี้บอกว่าตนเป็นโสดาบัน สกิทาคามี คุณก็ฟังแบบเมาเมา ต้องมีปัญญารู้ของตนเอง คุณจะไปอาการของจิต เพราะทำให้กิเลสลดได้นั่นแหละคุณพ้นสังโยชน์ 3 (พ่อครูไปห้องนำ้)

โสดาบันระดับต้นก็ต้องมีคุณสมบัติ จิต เจตสิกอ่านอภิธรรมเป็น

 

อภิสังขาร3

 ทำ ปุญญาภิสังขารให้เป็น อปุญญาภิสังขารให้ได้ แล้วรักษาผลเป็นอเนญชาภิสังขาร ก็เป็นอภิสังขาร 3

  เมื่อเริ่มศึกษาของพุทธ ก็จะมีวิชชา มีสัมมาปฏิบัติ ทำให้เกิด

สัมมา สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

 ทำไม?ท่านให้สัมมาสังกัปปะเกิดก่อน ต่อจากสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน

 คุณมีสัมมาทิฏฐิ ก็เริ่มทำจิตในจิตมีมนสิการเป็น ในมูลสูตร 10 ผู้ที่สามารถ ทำใจในใจเป็น จนโยนิโสมนสิการ  คุณยินดีที่จะมางานนี้ก็มีมูลสูตรข้อแรก มีฉันทะเป็นมูล แล้วก็ต้องมาศึกษาเพื่อจะทำใจในใจอย่างไร ถึงจะเป็นโสดาบันให้พากเพียรผลจากปุถุชนมาเป็นอริยะชนเป็นคนเจริญระดับหนึ่งแล้ว 

คนที่เกิดมาแล้วไม่คิดจะเป็นอริยะชนไม่พากเพียรเป็นอาริชนก็ถูกเต่าปลากิน เสียชาติเกิดทั้งนั้น  แม้มาพากเพียรเป็นโคตรภูมิบุคคลปฏิบัติธรรมหน้าน้องน้ำตาอยู่ แต่ไม่มีโคตรภูจิตก็ข้ามโคตรไม่ได้ ยิ่งเป็นปุถุชนก็ยิ่งตกต่ำเป็นธรรมดาวนเวียน

เมื่อทำจิตก็ต้องทำขณะมีผัสสะ เห็นสมุทัย อ่านผัสสะเป็น

จากผัสสะ มีอายตนะ มีนามรูป เกิดวิญญาณ วิญญาณ นั่นคือ สังขาร คุณอ่านออกตั้งแต่ผัสสะ ที่มีเวทนาเป็นปัจจัย ก็อ่านตัณหาที่อยู่ในจิต คุณก็วิจัยจิตหรือมโน วิญญาณที่เรียกว่ากาย แยกจิตเจตสิกออกจากตัวกิเลสกำจัดกิเลสได้ วิชชาก็เจริญๆๆๆ วันหนึ่งก็เป็นอรหันต์

 

 

เหลือเวลาตั้งใจพูดเรื่องแสงอรุณ คุณจะได้เห็นพระอาทิตย์หรือใช้พระอาทิตย์ที่เป็นมรรคมีองค์ 8 ได้นั้น ที่บ้านราชนี้อาตมาตั้งใจจะเอาแสงอาทิตย์เป็นพลังงาน จะเอาโซล่าเซลล์ เอามาติดตั้ง  ให้เป็นหมู่บ้านที่เป็น แสงพระอาทิตย์ พลังงานทั้งหมดนี้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ให้ได้ ขอให้ได้ทำงานร่วมกับพระอาทิตย์โดยตรง ไม่ต้องพึ่งพลังงานฟอสซิล ทุกวันนี้ ชีวิตในสังคมพึ่งพลังงานน้ำมันจากฟอสซิลมากเหลือเกิน แต่ก่อนก็ใช้ฟืนหรือถ่าน เท่านั้นเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้เสื่อมไม่เสื่อม อย่างไร

 

แสงอรุณ7 (สุริยเปยยาล)

 คุณจะปฏิบัติมาได้ ต้องได้รับแสงอรุณก่อน ต้องเห็นแสงอรุณก่อนจึงจะได้เห็นพระอาทิตย์คือมรรคมีองค์ 8 ต้องมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก

มี ผู้นำสมัยก่อนมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำใครเข้าใกล้ก็ได้เจอกับมิตรดี เมื่อคุณยังไม่ได้มีผู้รู้ ไม่ได้พบ ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

ในชีวิตคุณก็ยังไม่มีมิตรดี มีแต่มิตรที่เป็นปุถุชน อันนี้ลึกซึ้งมาก คำว่ามิตรชั่ว มิตรที่พาไปรวย เป็นพวกมิตรชั่วทั้งนั้น แม้ช่องธรรมะนี้ก็คงมีคนที่ไม่ผ่านตามากหรือผ่านก็ผ่านเลยมีมาก

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฏฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

 

ที่นี่มีแสงอรุณ เริ่มต้นคนต้องมี ฉันทะเป็นมูล มีฉันทะ จะรู้จักอัตตา แล้วต้องทำลายอัตตากำจัดอัตตา รู้ว่าตัวเองมีตัวมีตนมีกิเลส

ชาวพุทธทั่วไป. ถามว่า คุณมีกิเลสไหม?

เขาจะตอบว่า อย่างไร เขาก็บอกว่ายังมีกิเลส

 คุณจะลดกิเลสได้ต้องมาดู ทิฏฐิ จะต้อง มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน

เมื่อรู้แล้วต้องเตือนตนว่าอย่าประมาท

แล้วตัวที่ 7 จงโยนิโสมนสิการให้ได้เสมอเสมอให้มาก มาก

ให้ได้ถึง ตทังคปหาน ปหานกิเลสให้ได้มากเสมอ

 ครั้งใดก็เสร็จ ทำตทังคปานได้สำเร็จก็สามารถสมุจเฉทปหาน รักษาผลไป เพราะ ปัสสัทธปหานทำจิตให้สงบจากกิเลสได้ ก็รักษาผล จนนิสรณปหาน สำเร็จทำอุบายเครื่องออกจบเสร็จ

 ถ้าคุณไม่มีแสงอรุณ ก็ไม่มีสิทธิ์มีสภาพนี้ ดีไม่ดีปฏิเสธมิตรดีด้วย จะไม่รู้จักตัวเองเมื่อจากอัตตา ไม่รู้ selfish มีแค่ไหน เราก็มาล้างการสะสมตัวตน

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:41:59 )

590102

รายละเอียด

590102_ธรรมะภาคค่ำ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 ปรากฏการณ์ของว.บบบ.

พ่อครูว่า…. เจริญธรรมทุกคนวันนี้คาบเย็นของวันที่ 2 มค. 2559 แล้ว  วันนี้วันพระน้อย แรม 8 ค่ำเดือนอ้ายปีวอก เราก็มาสาธยายกันคาบสุดท้าย อาตมาก็เป็นคาบสุดท้าย ในงานที่จะมาร่วมกันสอบร่วมกันสามัคคีร่วมกันมาฝึกตน ร่วมกันมาทดลองตนเองจริงๆ เป็นภาพปรากฎการณ์จริงของความเป็นจริงไม่ใช่ตรรกะไม่ได้เรียนแต่ใช้สมองก็คิดอยู่ในห้องเรียน อยู่ที่อื่นใดใดแต่ทั้งมาประพฤติอยู่ได้กระทบสัมผัส ทั้งได้มีและการระวังสังวร จะไม่เหมือนเวลาเราปล่อยชีวิตอยู่กับโลกๆ

ถ้าเรามาเราก็จะรู้ว่าเราต้องมาเข้าสนามรบหรือสนามสอบ แม้จะได้ไปในสนามรบประจันหน้ากับศัตรูที เดียว ก็มีการตั้งสติรู้ตัวทั่วพร้อมมากกว่าอยู่ข้างนอก เราจะมีสติสัมปชัญญะมีความสังวรระวังมากกว่าปกติ ยิ่งมีการฟังธรรม มีการปฏิบัติต่อเหตุปัจจัยต่างๆที่เราจะได้เห็นอาการต่างๆที่จะมากระทบเรา เราได้เรียนรู้ธรรมะมาว่า วิธีปฏิบัติตนปฏิบัติธรรมคืออย่างไร? การมาใช้เวลา 7 วันนี้ที่ได้ทดสอบตนเอง ชื่อว่าเป็น การทดสอบความจริงอย่างเป็น phenomenology ที่ถูกต้องและดีที่สุด ก็ช่วยกันเอาใจใส่มีน้ำใจกันถ้วนทั่วเลย ดูแลกันเองช่วยเหลือเกินไป

มันเกิดเหตุการณ์ เกิดบทบาทที่สำคัญมากเลย คนที่มีปัญญา ผ่านพบเข้ามาในจังหวะนี้ จังหวะที่พวกเรามีพฤติกรรมสังคมในหมู่บ้าน แล้วก็มาสังเกตการณ์มาดูมาเห็น อย่างครูบาสุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ได้ผ่านเข้ามา ชื่อว่าเป็นปราชญ์ คนหนึ่ง เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่มีปฏิภาณปัญญา มีบทบาทต่อสังคม จนได้ชื่อว่าครูบาทั้งๆที่เป็นฆราวาสแท้ ก็เรียกกันเป็นครูบาติดปาก มาสัมภาษณ์แล้วก็ไป comment ไปในทาง facebook เขาได้มา ก็จะได้เปิดเผยความเห็นของผู้อื่นที่มาพร้อมสัมภาษณ์เข้า แล้วกล้าแสดงออกต่อสาธารณะ ต่อสังคมใน social media อาตมาว่ามันเป็นฤกษ์ดี เป็นเวลาที่มีคนยอมรับชาวอโศกขึ้นมายังสำคัญแต่ก่อนจะได้อ่านของครูบาสุทธินันท์ก็มีอันหนึ่งมาว่า

 

งานศพคนตายขายคนเป็น

 สดสดร้อนร้อนที่ฉันเพิ่งไปงานศพของลูกคนเล็กที่พึ่งเสีย อายุเพียง 39 ปีเอง น่าอเนจอนาถใจ กับพระข้างนอก อะไรอะไร ก็ต้องเป็นเงินใส่ซองไปหมด ร้อยขึ้นไปตามลำดับ ตามระบอบของทางวัดเก็บกระดูกก็ต้องใส่ซอง สวดส่งกระดูกวิญญาณ ก็ต้องใส่ซองบ้าบอคอแตกก็ใส่ซอง มีแต่เรื่องแนะนำเป็นเงินทั้งนั้นแล้วก็จะให้ทำบุญ 7 วัน เลี้ยงพระ 50 วัน 100 วัน บวชหน้าศพก็ซอง ดิฉันจะเป็นลมหลายตลบกับพระข้างนอก หากินอย่างรคดเลือดกันจริงๆ ต้องกู้เงินจัดงานศพแสนกว่าเกือบ 2 แสน

 ก่อตั้งหน้าเป็นหนี้กันต่อไป คือลูกชายคนโตของดิฉันไม่ต้องพูดเรื่องซองที่ได้รับลูกชายคนโตก็ได้รับการเรียนรู้ด้วยตนเองว่า พระ หรือแพะ ที่เขาหากินกัน กราบแทบเท้านมัสการค่ะ  ผขร.

อาตมาสงสารคนในศาสนาพุทธมากคนไม่กล้าตายเพราะเป็นกันอย่างนี้นี่เป็นเหตุการณ์จริง ตายแล้วต้องเป็นหนี้ตั้งแสนสองแสนสำหรับคนเป็น เป็นเรื่องที่น่าอดสูใจจริงๆ เป็นเรื่องทารุณของสังคมจริงๆมันจะนอนด้วยนะ ห้ามผีตกป่าช้าแล้วไม่ฟังเขาเขาจะเอาเท่าไหร่ ก็ต้องให้ต้องจ่าย จะอะไรก็ไม่ได้มันอะไรกันนักกันหนาชีวิตในสังคมมนุษยชาติ วัดใดที่รุ่มรวยก็เพราะเป็นไปแต่วัดใดที่เป็นอย่างที่ว่าไปเจอวัดไหนก็ไม่รู้นี่ สุดทรมานทรกรรม ที่ต้องมาพูดนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องให้สติ แต่เขาคงไม่ฟังกันหรอกที่เราพูด เราจะแสดงออกอย่างไร ผ่านหูเขาก็ไม่สนใจไม่รับรู้ดีไม่ดีรับฟังเข้าใจแต่จะด่าเราตอบเลย เป็นอย่างนั้น ซึ่งมันสุดแล้วสังคมทุกวันนี้ อาตมาจึงจำเป็นจะต้องแรงต้องชัดต้องอุตสาหะวิริยะต้องสู้ทน ที่จะต้องพยายามเปิดเผยความจริงแล้วก็ชี้แจงความชั่วความผิด เป็นเรื่องจำนวนที่จะต้องทำ ขณะที่พูดกันอย่างนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจไม่รู้สึกยังเห็นว่าอาตมามาหาเรื่องมาส่อเสียด มาเที่ยวด่าว่าคนนั้นคนนี้เขามันไม่ใช่ เรานี่ก็ลำบากใจอยู่อย่างนี้เพราะเราจะพูดถึงความผิดความไม่ดีมันก็ไปเจอคนที่เขาผิดเขาไม่ดีจำนวนมากในสังคม แต่พอเราจะพูดถึงความถูกต้องความดีงาม มันก็เป็นคนน้อยนิดในสังคม และสิ่งสำคัญคือดันมาเป็นพวกเราที่ถูกที่ดีอีกพูดแล้วก็เลย เหมือนกับข่มคนอื่น มันเป็นอย่างนี้แหละท่านผู้ฟัง มันเรื่องจริงใช่ไหม ก็เลยไม่รู้จะเรียกอย่างไร เรามีพฤติกรรมแสดงในสังคมมา 30 40 ปีก็มีคนเห็นไม่น้อย

 

 

 

 นี่เป็นบทความที่เอามาจาก facebook ของครูบาสุทธินันท์ปรัชญพฤทธิ์

https://www.facebook.com/sutthinun.pratchayapruet?pnref=story

สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์ ------

 

ฮอมบุญตักบาตรที่ราชธานีอโศก

 

      นับเป็นเรื่องพิเศษปลายปีของชีวิต ที่ได้มีโอกาสมานอนแหล่งนักบุญถึง 2 คืน คนนอกส่วนมากก็มาแบบผ่านมาแล้วผ่านไป ชมไปทึ่งไปแล้วก็กลับ ..สถานที่นี้ แทบจะเรียกว่า เป็นอาณานิคมชาวสะเทินบกแห่งเดียวของประเทศไทย ที่ก่อร่างสร้างตัวจากที่ลุ่มอันรกเรื้อของแม่น้ำมูล เป็นพื้นที่ๆไม่มีใครสนใจ ..

 

หน้าน้ำหลาก น้ำท่วมไหนท่วมหนึ่ง ท่วมจนถึงเพดานบ้านทุกปีๆ

แต่ด้วยปรีชาชาญหาญกล้า ที่จะฟันฝ่าอุปสรรคให้ลุล่วง

จ า ก ก า ร ล อ ย ค อ เ รี ย น อ ยู่ เ รี ย น ทำ ชาวราชธานีอโศกก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า

..อยู่ได้ อยู่ดี สบายมาก !

นึกดูสิเธอ พื้นที่ราบเรียบธรรมดา ก็สาหัสแล้ว แต่นี่น้ำท่วม และท่วมประจำ

มาที่นี่เราจึงเห็นเรือบรรทุกข้าวในลำน้ำเจ้าพระยาขนาดใหญ่ ชาวอโศกขนมาดัดแปลงเป็น

โรงเรียน> ลอยน้ำ ร้านค้าลอยน้ำ ที่พำนักอาศัยลอยน้ำ

จ น ก ล า ย เ ป็ น ห มู่ บ้ า น ส ะ เ ทิ น น้ำ ส ะ เ ทิ น บ ก

เคยได้ยินใช่ไหม ..น้ำมาปลากินมด..น้ำลดมดกินปลา

ที่นี่ > >

< น้ำมาขึ้นเรือใหญ่< น้ำลดไปลงพื้นเพาะปลูก

คนบ้านราช เล่นเอาเถิดเอาล่อกับน้ำจนคุ้นชิน

ทุกสิ่งที่เป็นปัญหา ชาวบ้านราชเอามาเป็นโจทย์การเรียนรู้ทั้งสิ้น ไม่ต้องไปรอให้ใครแนุมัติหลักสูตร หรือมาประเมินหลักสูตร พวกก๋าๆทางการศึกษามาที่นี่อาจจะโดนถีบ มันเป็นการบริหารการศึกษามือคนละชั้น ..

 

> น้ำท่วม ใช้เรือ ลอยเรือ ก็ตั้งโครงการสร้างอู่ซ่อมเรือของตนเอง จนมีนักศึกษาทางด้านนี้มาศึกษาอยู่เนืองๆ

> ดินเสื่อมดินเลวก็สร้างโรงปุ๋ยยักษ์เหลือใช้ ออกจำหน่ายราคาเยา

> พืชผลต้องการน้ำ ก็วางระบบน้ำหยด ประหยัดน้ำให้พอดีแก่พืชผักนั้นๆ

> อาหารปลอดสารพิษ ผลิตเอง 100 %

> พันธุ์ผักพันธุ์พืชเก็บรักษาไว้ตลอด GMO กระจอกทันที

> จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ค้นคว้าผลิตของตนเอง ส่งไปประกวดระดับนานาชาติ ได้อันดับ 2

> วิธีปลูกผัก พืชผลต่างๆ ใครอย่ามาคุย ที่นี่ทำจนเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย

> ด้านการรักษา ยาสมุนไพร ครบเครื่องสมบูรณ์แบบ

> ทุกครัวเรือน กำลังสร้างสวนครัวเล็กๆดูดีมาก ทั้งๆที่อาหารโรงรวมก็เหลือล้น

> ความรักความสามัคคี ที่เป็นปัญหาของสถาบันหรือองค์กรภายนอก ที่นี่บ่มีเด้อ ขอบอก ชาวอโศกหัวใจเดียวกัน ! ก็เห็นแล้วมิใช่รึ จะให้ปักหลักอยู่ราชดำเดิน 10 ปี สบาย

> ระบบการเรียนรู้ มีทุกระดับ ประถม มัธยม กำลังจะผลิตบุคลากรอุดมศึกษา ป.ตรี - ถึงเอก ในไม่ช้า

> ศักยภาพของบุคลากร เธอจะเอาระดับไหนล่ะ ดร. เดินชนกันจนตีนบวม !

ปีนี้ที่ไหนๆก็แล้ง แต่ชาวราชธานีอโศกบอกกำลังดี น้ำลดลงไปแค่ไหน แปลงผักตามไปถึงนั่น ใช้วิชาความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้อย่างยอดเยี่ยม จอมยุทธด้านดิน-ด้านน้ำ-ด้านพืชผัก -ด้านปุ๋ย -ด้านวิศวะกรรม -ด้านพลังงาน มีครบจิปาถะที่โลกภายนอกเขามี โรงพยาบาลมีแล้ว โรงปุ๋ยมีแล้ว โรงผลิตยาสมุนไพรมีแล้ว กำลังตอกเสาเข็ม ส ร้ า ง ม ห า วิ ท ย า ลั ย ..

มันคักอีหลีเด้อนางเด้อ

ตี 3 ได้ยินเสียง เตือนให้สวดมนต์ ซึ่งก็หมายถึงได้เวลาและลงมือเรียน ภาควิชาจิตใจ

พอฟ้าเรื่อเรืองตั้งแถวรอใส่บาตร ตลอดเส้นทางประมาณ 1 กม. ชาวอโศกจะรอใส่บาตรกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

..พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ เดินหน้าพาขบวนมารับบาตร ท่านยิ้มแย้มทักทาย เป็นภาพการใส่บาตรที่อิ่มเอิบอิ่มบุญจนยากจะอธิบาย ความรักความศรัทธากันและกันอย่างเปี่ยมล้น เป็นอุปนิสัยของชาวอโศก

ใครจะนึกบ้างไหมว่า พื้นที่ๆมีอุปสรรคสุดโหดจะกลายเป็นพื้นที่สร้างบุญให้ปรากฏเชิงประจักษ์

บรรยากาศที่อบอวลความผาสุก ความสดชื่นโดยธรรมชาติ ผู้คนอยู่ภายใต้ชุดสีครามเดียวกัน

กริยาสงบเรียบร้อย แต่ขยันขันแข็งเหลือเกิน !

มองหาคนลงพุงไม่เจอ มองหาคนหน้าบูดก็ไม่เจอ มองหาคนวิกลจริตอวดเบ่งคับโลกก็ไม่เจอ

มองหาคนเมาเหล้าเมายาบ้าก็ไม่เจอ มองหาคนขี้เกียจก็ไม่เจอ มองหาคนบ้าอำนาจก็ไม่เจอ

มองหาคนเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ไม่เจอ มองหาคนเจ้ายศเจ้าอย่างก็ไม่เจอ

มองหาคนฟุ่มเฟือย มักง่ายก็ไม่เจอ มองหาลิงหลอกเจ้าก็ไม่เจอ

 

อย่างนี้ใช่ไหมเล่า คือการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขด้วยตนเอง พึ่งพาตนเอง นำพากันเองไปสู่สันติสุขอย่างแท้จริง ! เศรษฐกิจพอเพียง ชาวอโศกทำเป็นรูปธรรม สนองพระราชดำริของในหลวงจนจบเจนใจ

ที่นี่มีแต่ของจริง ของปลอม อยู่ที่ไหน ใครๆก็รู้  จะพูดไปให้ถูกถีบ ต อ น ปี ใ ห ม่ ทำ ไ ม ล่ ะ

 

                                                 

         

ตอนท้ายการเทศนา

 

วิธีทำใจเมื่อได้มาสอบว.บบบ.

พวกเราบำเพ็ญคนบำเพ็ญธรรมกันมาตั้ง 6 วันไม่รู้ว่าเข็ดหรือว่าหนีกันไปบ้างหรือไม่ก็เอาเถอะแต่ว่าอาตมาจัดว.บบบ.มาวันนี้  เห็นพัฒนาการเห็นความได้ประโยชน์ได้ผลคุ้มต่อกันเหน็ดเหนื่อยลงทุนใช้เวลาทุนรอนแรงงานไปทำ ก็ขอขอบคุณที่ทำให้สิ่งนี้มันเกิดสำเร็จเป็นพฤติกรรมสังคมขึ้นมาในสังคมมนุษย์มันเป็นสุดยอดแห่งการบำเพ็ญประพฤติ

อาตมาก็ใช้วันเวลาช่วงนี้ที่จะวัดใจกัน เป็นวัน holiday เป็นวัน long weekend หยุดให้ตั้งหลายวัน เป็นวันนักขัตฤกษ์ที่ต้องหยุดกันแต่คนก็ไม่ใช้วันเหล่านั้นไปสำมะเลเทเมาไปไร้สาระหรือเป็นโทษเป็นภัย แต่กลับเกิดปัญญารู้จักสิ่งควรประพฤติควรกระทำ ใครยังมีอาการโหยหาว่าเราไม่ได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ไม่ได้ไป countdown ที่นั่นที่นี่ตามที่แต่ที่เขาจะหลอกกันสารพัด ว่าน่าสนุกน่าอร่อยเพลิดเพลินก็ว่ากันไป เขาก็หลอกกันไปสารพัด ใครยังโหยหาอยากจะไประริกระรี้กันอยู่บ้าง…..ไม่ต้องยกมือ

ก็มากันได้ขนาดนี้คุณมาฝืนกันได้ 6 วันพรุ่งนี้ก็เข้าห้องสอบ คุณก็อยู่จนได้อนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นสิ่งประเสริฐรู้คิดมีภูมิปัญญาใช้วันเวลาแรงงานทุนรอนมาทางนี้ มันก็เป็นเรื่องประเสริฐ

อาตมาก็สบายใจที่มันมีลักษณะที่ดีมีสิ่งประเสริฐมีสิ่งที่อ่านได้วัดได้ยืนยันได้ว่ามันดีอย่างไรเท่าที่อาตมาจะมีภูมิรู้ยิ่งเห็นพวกคนประพฤติกระทำกันอาตมาก็พอใช้ภูมิปัญญาปฏิภาณของอาตมาว่าคุณมีคำกริยาพฤติกรรมความประพฤติการปฏิบัติมีอาการให้เห็น มีกายวิญญัติ วจีวิญญัติ อะไรแค่ไหน ประมวลเหตุปัจจัยต่างๆอาตมาเข้าวัดว่ามันมีการก้าวหน้ามีการเจริญกว่าเก่า

 หลายคนมีลักษณะดีอย่างนี้ซ้อนว่าคือมาสอบครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 แล้วหลายคนก็ไม่ได้เข็มมาถึงครั้งนี้ก็วางใจไม่ได้เข็มก็ไม่เป็นไรอันนี้เป็นความเจริญครั้งแรกอาการแรงกว่านี้เยอะทั้งที่ 2 บางคนอาจจะอยากได้มากกว่าเก่าเอาให้ได้แต่มันไม่ได้ข้อสอบอีกครั้งที่ 3 อยากได้อีกมากก็ได้หรือว่าวางใจบ้างก็ได้แต่ครั้งที่ 4 นี่วางใจไปเยอะยิ่งเป็นการก้าวหน้าเลย มัน 3 ครั้งแล้วครั้งที่ 4 จะได้ไหมนี่นี่คือวิวัฒนาการของจิตวิญญาณด้วย  ยกตัวอย่างมาให้คุณอ่านใจตัวเอง

 ดูแม่แต่บางคนก็มีความชินชาบางคนได้ตั้ง 3 เข็มแล้วกำลังจะเอาเข็มที่ 4 ก็เกิดชินชาไม่ได้หมายความว่าเฉยเมย คำว่า “ชิน” แปลว่าชนะ คำว่า “ชา” แปลว่ารู้ ในภาษาบาลีแท้ๆ ชินะแปลว่าชนะ ส่วนคำว่า ชา หรือชานาติ ปรีชาแปลว่ารู้รอบ

มันรู้แล้วก็ชนะแล้วก็เลยชิน ก็เลยภาษาอีสานว่ามันลึ่ง ก็คือชินชา คือวางเฉยแล้ว มันไม่มีอาการที่กระดี๊กระด๊าเพิ่มแต่ดีใจลดลงจนชินไป เป็นอาการที่เจริญก้าวหน้า  ทั้งทั้งที่เราก็มาขยันจะสอบ ขวนขวายเรียนรู้แต่อาการชินชามันเกิด ลดลง ใครมีอาการนี้เกิดก็ดูของเราเอง

เราต้องสอบต้องมีความรู้ต้องเอาใจใส่แต่อาการ ปีติ ที่มันดีใจชื่นใจนั้นลดลง จากแรงๆจากอุพเพงคาปีติก็ลดลง ถ้าใครเฉยๆแล้วก็ยิ่งดีเป็นความเบาบางแผ่ซ่านไปในจิตเฉยๆ เนียนๆลึกๆไม่มีอะไรมาก หากอุพเพงคาปีติก็แรงเป็นภัยต่ออารมณ์เป็นภัยต่อจิตต่อตนเอง

อาตมามีหน้าที่ที่จะต้องมาช่วยคนทำให้คนเจริญ ไม่เบื่อไม่หน่ายอาตมาเป็นโพธิสัตว์มาหลายชาติ มาทำหน้าที่นี้ ตั้งใจอยู่ต่อไปอีก เพราะว่ามันไม่เสียหลายมันมีผล มีประโยชน์เกิดได้เป็นได้ มันเป็นไปได้ไม่ใช่ว่ามาทำแล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยหรือมีน้อยจนน่าเหี่ยวใจ อาตมาได้มากขนาดนี้ ได้คนมาขนาดนี้ก็ชื่นใจแล้วอาตมาก็รู้ตัวว่าอาตมาไม่ใช่คนมีบารมีคนเก่งกาจเกินไป ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว แต่ได้มากกว่านี้มันก็ดี แต่ได้มากก็ไม่ใช่คนมากวนมารวน แต่ได้มาแบบตั้งใจอย่างนี้ดีแล้วเพราะวิธีการที่อาตมาพาทำนี้มีลักษณะอาการคัดเลือกอยู่ในตัว ก็เลยได้ผู้ที่ต้องมีใจจริง ยินดีพากเพียรอุตสาหะพากเพียรก็ได้อันนี้ไป

พ่อแม่ทางจิตวิญญาณ

ความเจริญของ  ที่อาตมาทำงานมาถึงวันนี้วินาทีนี้ยังทำให้อาตมามีพลัง ยังไม่ได้ลดพลังที่จะพากเพียรทำงาน รู้สึกว่าธรรมะพพจ.นี้มาถึงยุคนี้แล้ว เห็นกระแสหลักองค์รวมนั้นมิจฉาทิฏฐิเป๋ไป๋ไปจนกระทั่งกู้ไม่ขึ้นหรอกบอกได้เลย

รู้อาตมาเป็นพ่อ รู้มวลสมณะสิกขมาตุ พี่ป้าน้าอาผู้ใหญ่ที่มีภูมิธรรมช่วยกันเป็นแม่เลี้ยงแม่นม ช่วยกันทำให้จิตวิญญาณเราเกิด สัตว์โอปปาติกะเกิด มาตาคืออย่างนี้ ปิตาคืออย่างนี้

ปุริสภาวะคือปิตา อิตถีภาวะก็เป็นมาตา เป็นเรื่องปรมัตถธรรมที่แท้จริง ช่วยกันทำให้เกิดเป็นองค์ประกอบที่พร้อมพรักเป็นแดนเกิดของมนสิการ เป็นสัมภวะ แต่ที่ไม่มาอยู่ที่นี่เป็นสัมภเวสีทั้งนั้น พวกที่อยู่นอกที่นี่เป็นสัมภเวสีล่องลอยไป พาวิญญาณไปหานรกสวรรค์เก๊อยู่อย่างนั้นแต่ผู้เข้ามาที่นี่จิตวิญญาณจะได้รับการขัดเกลาหล่อหลอมทำให้เกิดพัฒนาขึ้นมา

แม่ คือองค์ประกอบที่เป็นอิตถีภาวะ เป็นอาการก็ได้ ทั้งแม่และพ่อ อาการทางจิต ทางกายกรรม วจีกรรม ก็ช่วยกันร่วมกัน สิ่งที่ดีกันต่อไปเถิดเทอญ...จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:43:21 )

590102

รายละเอียด

590102_ธรรมะรับอรุณ ว.บบบ.ครั้งที่ 4 มาสู่แสงอรุณบนแผ่นดินพุทธ

พ่อครูว่า...เจริญธรรมสำนึกดีปีใหม่ …

ปีใหม่ขอฝากฟ้า                        ฝากฝัน

บ้านราชฯเร่งโรมรัน                  รับใช้

เรียกลูกอโศกกระสัน                 สู้ศึกสร้างสรรค์

กลัวกลับแกล้งบ่ใกล้                  สดับแล้วรีบมา

กวีบทนี้ยาก แต่ลึก สำหรับพวกเราต้องชัดเจน ปีใหม่ของฝากฟ้าฝากฝัน อ.เป็นต้น รำพึงมา อ.เป็นต้นสุดท้ายมานี่ ไปบอดที่ไหนมานานตอนนี้สว่างแล้วก็มา ก็เลยนึกถึงผู้ที่บอดอยู่ข้างนอก ตอนนี้ได้แสงอรุณแล้วก็เลยระลึกถึงเพื่อน

ตอนนี้บ้านราชฯ ใครมาเห็นแล้วก็คงจะเห็นว่าเร้าเรื่องโรมรันแต่เราสู้ศึกด้วยสร้างสรรค์ เราผ่านขั้นปรองดองมาแล้ว โลกทั้งโลกยังปรองดองไม่สำเร็จ เมืองไทยคงทำปรองดองสำเร็จ แต่เมืองไทยก็มีแกนปรองดองสำเร็จ คือเรา  รูปเราก็เลยกำลังสร้างสรร เรียกลูกอโศกกระสัน กระสันมานิพพาน มีวิภวตัณหาอย่างแรงกล้า

กลัวกลับแกล้งบ่ใกล้ สดับแล้วรีบมา เป็นอิตถีภาวะบอกว่าจะมาแต่ไม่มา ที่นี่อยากจะให้มีคนทำเองสร้างเองสำหรับแผ่นโซล่าเซลล์ มันหนักที่ซื้อแผ่นนี่แหละ อาตมาทำแน่เซ็นสัญญากับพระอาทิตย์แล้ว อาตมาเอาแน่ ได้ ok กับพระอาทิตย์แล้ว เพื่อที่จะให้เป็นพลังงานธรรมชาติจริงๆ หมุนเวียนธรมชาติ อาตมาต้องมาสร้างทุกอย่าง

ตั้งแต่อยู่บ้าน อาตมาเป็นคนจน  สร้างบ้านจากการผ่อนเงินจากรัฐที่ 62 ตารางวา เกิดจากทิฐิ 62  แล้วค่อยค่อยต่อเติมขึ้นมา เป็นบ้านธรรมดา 2 ชั้น ก็ต่อเติมเป็น 4 ห้องข้างบน และข้างล่าง หาต้นไม้มาปลูก ปลูกต้นใหญ่ได้ต้นเดียวนอกนั้นก็ปลูกต้นคูณอยู่หน้าบ้านแล้วก็ตกแต่ง ก็มีคนมา ขายหิน มารถกระบะ คนเห็นมาขาย 10 กว่าก้อน ขายพันห้าร้อยบาท ไม่มีใครซื้อมันแพง อาตมาเงินเดือน 750 บาท หมดเงินเดือนสองเดือนเลย แต่ก็ซื้อตั้งใจซื้อ ตัดใจซื้อ เสร็จแล้วก็ใช้หินนั่นแหละสร้างเป็นป่าเขาตามภูมิอาตมา แม้ที่สุดทำน้ำตกรูปหัวใจก็ทำ เอาแผ่นปูนทำด้วยตีนวางไปตามพื้น ลุงมาเห็นก็ว่าทำไมทำเป็นรูปตีนเพื่อให้คนเดินมาสู่บ้าน  อาตมาก็บอกว่าบ้านหลังนี้ตีนหมายถึงลำแข้ง ก้าวเดินด้วยลำแข้ง บ้านนี้ชื่อว่าบ้านร่ม

ก็คิดว่าจะสร้างบ้านอีกหนึ่งหลังชื่อว่าเรือนรัก เป็นบ้านร่มรื่นรัก มีโมเดลที่สร้างขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทันลงมือสร้างหลังใหม่เรือนรัก แต่ก็ไม่ได้ทำมานี่เสียก่อน

มาถึงหมู่บ้านปฐมอโศกก็สร้างน้ำตก ภูเขา แม่น้ำ ขยายมาจากบ้าน ก็มีไม้ร่มมาช่วย ดีง่ายก็ช่วยขับแบคโฮลตลอด ดีง่ายก็ตื่นมาช่วยกันยกก้อนหินเรียงเป็นน้ำตก เป็นภูเขา จนหินทุกก้อนเรียงเสร็จ มีในลำธารด้วย

มาที่สันติอโศก สร้างน้ำตกอีก ไม้ร่มเป็นคนวางหินกับดีง่าย  มีแบคโฮลคันแรก เจ้าแจคเพื่อนยาก ใช้งานตั้งแต่ปฐมฯ สันติฯ มาบ้านราชฯ ตอนนี้อยู่ปฐมอโศก เลยไปทะเลธรรมด้วย ตอนนี้เรามีแบคโฮลตั้งหลายคนั่งมี 800 มี 400 มี200 ก็ใช้

ตอนนี้เราก็จะทำหาดทราย ที่คลองถอยหลังเข้า มี แก้งสระโพธิ์ แก้งตำอิด แก้งติดราม แก้งสามใส แก้งไผใหญ่ แก้งไทฌาง มีสะพานข้ามตรงแก่งติดราม

สิ่งเหล่านี้เป็น system analysis มีการสังเคราะห์เป็นรูปร่างเรื่องราว จนได้ผลมาเป็น output มีเหตุ สมุทัย ปัจจัย เกิดเหตุซ้อนกันไป เป็น input process out put มี เกิดสังเคราะห์เป็น outcome เป็น impact เป็นปลายผลสุดยอด ไม่ใช่กายไปแบบ นิวเคลียร์ฟิชชั่น เพราะเรามีสันโดษ เหมือนปฐมอโศก สันติอโศกก็มีที่จบ มีการพัฒนาการอีกอย่างหนึ่ง ที่สันติฯตอนนี้ทาวเฮ้าส์ก็ทุกเจ้าออกไปแล้วก็จะรื้อ แล้วออกแบบขึ้นใหม่ที่เป็น อาวาส อารามมากกว่านั้น ที่เป็นด้านหน้าเป็นอาคารพาณิชน์ ตอนนี้ยังไม่ตกผลึก ก็จะพัฒนากันไป

เราจะสร้างบ้านแปลงเมืองด้วยทฤษฎีบุญนิยม ที่จะพยายามพัฒนาตั้งแต่พาณิชย์ กสิกรรม การศึกษา สื่อสาร การเมือง นอกนั้นก็มีบุญนิยม 12​ ด้านอีก

คำว่าบุญนิยม ก็คือทำอย่างที่คนมีบุญ คนมีบุญเป็นคนที่มีสิ่งที่ไม่มี ได้สำเร็จ มันเป็นภาษาของการย้อนแย้งในตัว dialactic เหมือนกับโฮมีโอพาธีย์ ที่ใช้พลังงานเล็กละเอียด เป็นย้อนสภาพที่เกิดพลังงานสูงสุดในความละเอียดสุด เช่นพลังงานทางสงบไปสยบความรุนแรงได้

 

นิโรธสุภกิณหะ(ดับแบบฤาษี)

นิโรธสุภกิณหา พอเกิดวิญญาณฐีติ หรือสัตตาวาส 4

​มันจะเกิดลักษณะสภาพที่ กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน

มันก็นิโรธด้วยกันทั้งคู่ แต่อันหนึ่งฉลาดปราดเปรียว ว่องไว

แต่อีกอันหนึ่งดับนิ่ง ต่างคนก็ต่างว่าได้นิโรธ ดับ แต่คนละภาค

 ภาคหนึ่งสว่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ในเวทนาสัญญาสังขารเป็นมุทุธาตุ ทั้งปัญญาและเจโต

 แต่อีกอัน ดับนิ่งแข็งทื่อ

เปรียบเทียบอย่างลาวกับอินเดีย อินเดียต้องการเกลือ แต่ลาวต้องการปลาแดก เขาได้นิโรธด้วยกันทั้งคู่นะ แต่อินเดียต้องการเกลือ แต่ลาวต้องการปลาแดก ลาวก็แคว้นเล็ก อินเดียแคว้นใหญ่เกลือสะอาดกว่า ลาวไม่ติดทะเล ได้สมใจเหมือนกันได้เค็มเหมือนกัน

ที่ขยายความนี้เป็นทุกอย่างที่ผสมผสานสังเคราะห์ในมหาจักรวาล เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ลักษณะที่จะครองโลกคือลักษณะที่ไม่มีชีวิต แต่ชีวิตก็เกิดแต่ตายเร็วกว่าสิ่งที่เป็นอุตุ อุตุจะอยู่นานกว่า แม้แต่พีชะก็อยู่นานกว่า ซ้อนๆกันอยู่เช่นนี้เราจะเข้าใจธรรมะสอง รูปกับนามทำงานในโลก ทางฟิสิกส์รู้สสาร พลังงาน แต่ใน ชีวะระดับจิตนิยาม ชีววิทยาเข้าไปไม่ถึง จิตวิทยาทางโลกก็ได้แค่ระดับตื้นๆ emotional quotient เขาก็เรียนได้ระดับหนึ่ง ส่วนจิตวิทยาทางธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ครบทุกอย่างจนถึงมหาจักรวาล อาตมามีภูมิพอรู้ได้ว่าเอกภพอยู่อย่างไร

 

เราก็ทำตามประมาณของเราน้อยไว้ เผื่อพอไว้ อย่าให้เสียผล อย่าไปคิดโง่ อาตมามีตัวอย่าง มีเศรษฐีคนหนึ่งไปเล่นหุ้นรวยหุ้น เป็นหลายร้อยล้าน ครั้งสุดท้ายหมดไปหลายร้อยล้านเสียใจฆ่าตัวตาย เมียก็ร้องไห้เรามีเหลือตั้งสองร้อยล้านจากมือเปล่า เราคนจนมาได้ พวกเราอย่าท้อแท้

คนผิดพลาดแล้วเราได้สำนึกจริงก็หยุดอย่าผิดซ้ำสอง ลืมเสียแล้วเข้ามา ถ้าทุกคนให้อภัยแล้วไม่ติดใจอะไรแล้วก็มาเต็มที่ เข้ามาร่วมไม้ร่วมมือ ในโลกนี้ก็มีจุดๆหนึ่งที่เราเลือก เมื่อเราเลือกแล้วก็มาจะไปไหนเสีย ไปเราก็ทำเต็มที่ มันก็มีจุดหนึ่งที่เป็นเรา มีหนึ่งเดียวในแต่ละยุค มีสิ่งที่สุดในอะไรอันใดอันหนึ่งเท่านั้น โลกของโลกุตระก็มีอันหนึ่ง ถ้าอาตมาเจอโพธิสัตว์ที่ใหญ่กว่าอาตมาอาตมาก็จะไป เขาสร้างรูปธรรมชัดเจนใหญ่กว่าอาตมาก็จะไป ติชนัทฮันห์อาตมาก็รู้ ฉือจี้อาตมาก็รู้ แต่อาตมาว่าอาตมาครบครันกว่านะ

 

_

ตอบ...จะนานหรือเร็วก็ตาม อโศกเกิดแล้ว  ไม่รู้ที่จะไปก็โง่ก็เชิญ คุณจะรอทำไมเรารู้นะว่าเราเจริญยังไม่เต็มที่ เรามาสร้างสิ เราควรมาต่อยอด ก็มา ถ้าเห็นที่ใดดีกว่าก็ไปช่วย แต่เรายังดีไม่สุดก็มาช่วยทำ จะรอให้ดีสุดแล้วก็ชุบมือเปิบหรืออย่างไร

การสวดมนต์ข้ามปี เป็นแค่จับกังแบกลังทอง มีแต่สีลลัพพตุปาทาน ผิดก็ยึดผิด เป็นอาบัติด้วย ไม่รู้สัมมาทิฏฐิ อัตตา 3 ขออภัยที่ยกตัวอย่างเช่นทิเบตก็ได้แต่เจโต เก่งมีพลังงานที่จะใช้ได้ แต่อโศกจะมีหลากหลายศาสตร์แต่เป็นศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ การสวดมนต์เป็นความจำนนของเขาก็เหมือนวนิพก นี่คือความเสื่อมของศาสนา มันคือมีตลอดไม่มีภูมิจะช่วยเหลือเขาได้มากกว่านั้นก็ไปร้องคร่ำครวญโหยหวนให้เขาฟังให้เขาติด ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น จะนำพาแ อะไรไม่เป็น

อาตมาไม่ได้ไปข่มนะ ไม่ได้ซ้ำเติมย่ำยีแต่พูดสัจธรรม ให้รู้ทางออก

และจัดการอารมณ์ของตนเอง

 อาตมาจะสร้างโมเดลของโลก มีมนุษย์ชมพูทวีปเป็นแกน จะต้องทำงานให้แก่โลก ช่วยคนได้ในยุคสุดท้าย เราอยู่ในเกณฑ์สงบไม่ไปทำร้ายด้านไหน ใครมีวิบากก็ถูกฆ่าไป คนไหนรอดก็ มีวิบากดีแท้อย่าห่ามก็แล้วกัน

_คนข้างวัดและคนนอกวัด คนนอกวัดมีเวลาอยู่สบาย นิ่งนิ่ง มีเวลาอ่านหนังสือ สอบได้ตั้ง 2 เข็ม 3 เข็ม คนวัดทำงานมาก ไม่มีเวลาอ่านหนังสือ สอบไม่ได้สักเข็ม คนนอกวัด สอบได้แล้วก็ยังมาว่าคนวัดอีกว่าทำไมสอบไม่ได้สักเข็มอีก คนวัดบางคนก็บอกว่า กิจวัตรเขาก็ไม่ได้ทำ แต่เขากลับสอบได้ ให้พ่อท่านช่วยวิเคราะห์ให้ฟังหน่อย

ตอบ...ก็หมดปัญญาวิเคราะห์  ที่สุดก็คือ เป็นผู้ที่ทำด้วยมือ ชนะด้วยเรี่ยวแรง ไม่ใช่ไปนอนกินแล้วบอกว่าฉันเก่งฉันเก่ง เราก็ลงทุนลงแรงช่วยอาตมาสร้าง หาเงินไปซื้อทองคำให้เขา เลือกเอาจะนอนกิน หรือช่วยอาตมาหาเงินไปซื้อทองคำให้เขา จบ

 

อ่านอาการกิเลสได้อย่างไร?

_รู้โทสะ วีตโทสะ อย่างไร?ให้สัมมา

ตอบ..ต้องมาดู อาการมันเคลื่อนไหวขึ้นมา เกิดอาการเป็นชีวิตอินทรีย์ของโทสะเป็นอาการอย่างไร?

 คุณก็ต้องทำให้หมดอาการ หมดชีวิต 1 ศพหมดสูญหาย

 อากาสาฯก็ว่างนิ่งเงียบ ใสสว่างว่างสด

 วิญญานัญจาฯ มีสัจจะชีวิตเรารับรู้ว่า ว่างสุดยัง มีอีกไหมเหลือเศษอีกไหม?

อากิญจัญฯ  เล็กละเอียด ว่างสุดๆยังมีอีกไหม?ตรวจอีก ก็ตรวจเข้าไปอีกจนแน่ใจว่า อากิญจัญญายตนะ ไม่เหลือแม้เศษเล็กน้อย

 จนรู้แจ้งว่ามันหมดจริง พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ พ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย ไม่เหลือความไม่รู้  จึงเรียกว่าสัญญาเวทยิตตังนิโรธังโหติ จบเหลือแต่อาลัย อาศัย หมดเยื่อใยส่วนต่อ

ถ้าจะตายจบไม่มีอะไรอาศัยไม่ตั้งอยู่นี่แหละ จะรู้อาการแยกตระกูลราคะต่างจากโทสะ ในโทสะมีต่างกันมากหรือน้อย เหลือกับไม่เหลือ สิ้นอย่าง นิจจัง ธุวัง สัสตัง อวิปรินามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

 

_ผู้ใหญ่วางใจจิตไม่มีโทสะ(วีตโทสะ) ปล่อยให้เด็กคุยกัน เพราะตนเองผัสสะแล้วไม่คุ้ม กับผู้ใหญ่เกิดสโทสะว่า ทำไมเป็นนักเรียนสัมมาสิกขาแล้วไม่รู้กาละเทศะ ผู้ใหญ่ก็มาบอกก็รู้ แต่คุรุวางใจเหมือนกับผู้ใหญ่คนที่ 1 สรุปก็คือ เด็กก็ยังไม่ทราบว่าอะไรควรหรือไม่ควร

 ตอบ  ก็คุณนั้นแหละไปบอกเอง ก็แล้วกันก็จบบอกไม่ได้ คุณก็กลับดึกก็แล้วกัน ก็จบคนก็ต้องยอมเด็ก ก็มันสุดแล้ว คนไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว มันย้อนแย้งซ้อนที่สุดด้วย ผู้ที่ทำความสงบสยบความเคลื่อนไหวได้ ผู้ใช้ความสงบสยบความรุนแรงได้ ก็เก่งระดับหนึ่ง ผู้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวได้ก็เก่งระดับ 1 ถามว่าความเคลื่อนไหวกับความรุนแรงอะไรมันจบอะไรมันสูงอะไรมันต่ำกว่ากัน

ภาพเคลื่อนไหว มากกว่าที่มันเคลื่อนไหวรุนแรง จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเคลื่อนไหวรุนแรง กลับรุนแรงล่ะ อันไหนมากกว่า และรุนแรงกับรุนแรง จะไปเคลื่อนไหวรุนแรง มันก็ยังวนซ้อนไม่รู้จักจบ

 เพราะฉะนั้นใครหยุดก่อนคนนั้นชนะก็จบแล้ว ไม่เช่นนั้นคุณก็จะรุนแรงกันต่อไม่จบใครหยุดก่อนคนนั้นก็ชนะ

 

Sms 010159

0893592xxx อัลลอฮ์คือผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาล อิสลามเป็นศาสนาแห่งมนุษย์โลก ต้องปรองดองเราพี่น้องกัน

0868911xxx สิ้นปีได้ฟังธรรมต้นปีได้ฟังธรรม(จากพ่อครูฯ)...ปีติใจ

0893867xxx นมก.พ่อครูฯวันปีใหม่ขอถวายพรแด่พ่อครู สมณะ.  สิกขมาตุ ญาติธรรม มวลชนคนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกพุทธสถานเจริญสุขสงบสันติด้วยพระพรในพ่อหลวงฯด้วยใจรักภักดีฯ พสกนิกร ขอน้อมนำพระพรในพ่อหลวงฯให้มีกำลังกายที่แข็งแรงมีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่นและมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอฯมาประพฤติตนเป็นสุจริตชนปฏิบัติทุกหน้าที่โดยสุจริตใจสุจริตธรรม!สกก.มวลช นคนรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์

0893867xxx เอ!ไฉนปีใหม่ฟังธรรมสุขสง บกว่าปีเก่าเยอะแยะเลย!skk

0893867xxx วันหยุดนี้ถามประเด็นธรรมเกี่ยวกับสติได้ไหม?สติมี หลายระดับสติปุถุชน,สติ กัลยาชน,สติอาริยชน!สติร ะดับใดจะรู้เท่าทันทุกสถานการณ์ได้ดี?skk

 

สติปุถุชน สติโลกุตรชน ต่างกันอย่างไร

ตอบ… สติปุถุชน ยังไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี หรือรู้ดีก็ทำดีไม่ได้ ส่วนผู้ที่รู้ดีแล้วทำดีได้ก็คือกัลยาณชน คุณมีสติรู้ทุกอย่างแล้วทำได้

สติโลกุตระคือ คนรู้โลกียะโลกุตระ รู้อาการจิตถูกต้องว่า คือราคะ โทสะ โมหะ แล้วทำการลดได้จริง  คนที่ทำจิตให้ลดกิเลส ได้จริง

ผู้รู้ว่านี่เป็นสติขั้นโลกุตระแต่ยังทำไม่ได้ก็เป็นกัลยาณชน แต่ขั้นจิตที่จะทำให้จิตดับจิตจางคลาย อย่างนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ไม่ได้สมบูรณ์ก็เป็นกัลยาณชน

 

0893867xxx พ่อครูกล่าวในเรื่องยอดนิยายของโลกว่าสติเป็นอธิปไตย-ปัญญาเป็นอุตระหมาย ถึงจิตยิ่งใหญ่คือจิตมีพลัง เหนืออัตตาธิปไตยโลกาธิปไตย!โปรดอธิบายเพิ่มเติมได้ไหม?skk

ตอบ...สติเป็นอธิปไตย เป็นพลังงานอำนาจ ในอำนาจคือแรง ต้นกลกับต้นหนใครใหญ่กว่ากัน ต้นหนใหญ่กว่า ต้นกลอยู่ในก้นบึ้ง ต้นหนจะพาไปชนภูเขาน้ำแข็งเมื่อไหร่ก็ได้ ต้นกลมีหน้าที่บอกทาง เร่งถอยช้าเร็ว ปัญญาจึงนำเจโต ในคำสอนพพจ.นั้น ปัญญานำเจโตศรัทธาต้องตามปัญญา

สติก็เป็นตัวยังไม่สูง เป็นอธิปไตย แล้วจะรู้ถึงอำนาจ รู้ถึงสาระ เป็นผู้อมตะคือจบสาระ ชี้เกิดชี้ตายของตนเองได้

 

 

0850951xxx แบกกลดเดินเหยียบย่ำ ดอกไม้ อุตริสงฆ์น่าเวทนา?

0893867xxx ยุ่งกับพิธีกรรมธรีมกายไปใย?ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมหาเถรสมาคม.เป็นเช่นนั้นเอง!

 

 

อ่านใจตนได้ด้วยสติปัฏฐาน

_การทำใจในใจอย่างไร? การทำธัมวิจัยทำอย่างไร? การแยกกายแยกจิตทำอย่างไร?

ตอบ...อ่านใจตนได้ด้วยสติปัฏฐาน การตั้งสติ สติคือระลึกได้ สัมปชัญญะคือรู้ตัว สัมปชานะคือรู้ยิ่งขึ้นไป ก็ทำต่อไป ทำใจตนเป็นด้วยโยนิโสมสนิการ

 อ่านใจตนได้  ด้วย สติปัฏฐาน การตั้งสติ  สติ (คือ ระลึกได้  สัมปชัญญะ(รู้ตัว)  สัมปชานะ (รู้สึกตัวยิ่ง)

ทำใจตนเป็น  ด้วย โยนิโสมนสิการ .  สัมปัชชติ (เกิดขึ้น กลายเป็น)  สัมปัชชลติ(ลุกไหม้)  สัมปัตตะ (เข้าถึง)

ใจแสนสงบ  ด้วย สัมมาวิมุติ   เป็นสัมปันนะ (สำเร็จดี)

ใจแสนรู้   ด้วยสัมมาญาณะ  เป็นโลกวิทู

ใจแสนสบาย   ด้วยสัมมาสมาธิ  อันมีคุณสมบัติ สะอาด  สว่าง  สงบ  สร้างสรร  สมรรถนะ  สามัคคี  ได้อานิสงส์พ้นทุกข์  ชีวิตมีสุข  มีชีวิตที่เป็นประโยชน์.

 

กายคือองค์ประชุม จิตคือหนึ่ง เมื่อสองอันนี้กายกับใจรวมกันแล้วแยกเป็นจิต รวมหัวสองนี้ให้เป็นเอกสโมสรณา ถ้าจะชรตาเป็นสอง เราก็ไปหาหนึ่งใหม่ซ้อนอย่างนี้ เราต้องรู้ฐานะที่พอดีพอเหมาะกับตน ปโหติ ตามที่เราตัดสินแล้วหยุดเสียที ลังเลก็ไม่ได้ทำอะไรเสียที ถ้าหยุดตรงนี้ได้ก็จบ

 

_หนูเป็นเด็กถูกผู้ใหญ่ว่ายึดถือ แต่หนูก็ต้องทำตามผู้ใหญ่อีกที ทีแรกรู้สึกว่าเขาด่าหนู แต่หนูก็นึกอีกทีว่า หนูไปยึดหลักเกณฑ์นั่นเองก็เลยเข้าใจผู้ใหญ่ ว่าเราไปยึดทำให้ผู้ใหญ่ลำบาก

ตอบ..ปฏิฆสัมผัสโส คือเมื่อสัมผัสเกิดปฏิฆ คือสองอัน คือเจโต

ปฏิคือ สอง เราก็ปฏิ ขึ้นไปเป็นสอง เมื่อกระทบกันเราก็ทำให้เป็นหนึ่ง ถ้าคุณจะไปสองกับเขาก็ไปทุกสอง คุณจะอยู่สองหรืออยู่หนึ่ง

 

_แสงอรุณข้อที่ 4 คืออัตตสัมปทา อธิบายซ้อนถึงแสงอรุณ​7 ขยายถึงทิฏฐิ 10 แล้วขยายถึงโลกนี้โลกหน้า กำลังจะอธิบาย มาตา ปิตา

โลกนี้คือโลกโลกีย์ ส่วนโลกหน้าที่คุณยังทำไม่ได้ในอนาคตแต่ถ้าทำได้ก็จะเป็นโลกุตระ ทุกปัจจุบันที่ทำได้ ก็จะเกิดโลกหน้า ที่เคลื่อนเป็นโลกุตระขึ้นไปเรื่อย

แม่มีหน้าที่ทำให้เกิดลูก เกิดผลสำเร็จเมื่อเกิดแล้ว แม่กับพ่อคุณก็ต้องเลือกเอา 1 แล้วก็ปล่อย 2 ออกไป หลุดไป พ่อก็จะไปก่อน แม่ก็จะปล่อยตามแม่ก็จะกลายเป็นพ่อ ได้ 2 แล้ว 1 ก็จะปล่อยไป ปล่อยสองแล้วเอา 1 ตลอดกาล เป็นปุงลิงค์ แล้วมาเป็น นปุงสกลิงค์ แล้วก็กลับไปกลับมาได้ ถ้าช่วยเขาก็เป็นปุงลิงค์ ช่วยเสร็จเป็นนปุงสกลิงค์

พ่อกับแม่ก็เช่นเดียวกัน พ่อคือ 0 แม่คือ 1 อาตมาจึงพักที่ตัวเองคือพ่อ ทำงานก็ทำอย่างแม่ แต่คุณว่างานเยอะ ให้อาตมาทำงานเยอะหรือพักเยอะ คุณอยากให้อาตมาพักเยอะแต่อาตมาต้องทำงานเยอะ เห็นไหมไม่มีภาษาพูดต่อแล้วนะ คุณเสร็จจบหรือยัง ก็ยังจะให้อาตมาหยุดได้อย่างไร คุณทำให้เสร็จเป็นอรหันต์อาตมาจะได้พัก

นี่คือสภาพที่มันเนื่องกันอยู่มีหยุดมีพักได้ พพจ.จึงจบที่เราไม่พักเราไม่เพียร จบ พักคือหยุดเพียรคือทำ เราไม่พักเราไม่เพียรนั่นแหละเราข้ามโอฆสงสารสำเร็จแล้ว  เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

เมื่อใดเรายังพักอยู่ (สันติฏฺฐามิ) เมื่อนั้นเรายังจมอยู่โดยแท้ เมื่อใดเรายังเพียรอยู่ (อายูหามิ) เมื่อนั้นเรายังลอยอยู่โดยแท้ เราไม่พัก เราไม่เพียร ข้ามโอฆะได้แล้วอย่างนี้แล   (พตปฎ. เล่ม 15  ข้อ 2)

เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด องคุลิมาลเลยเป็นอรหันต์ มาบวช ...จบ  


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:44:08 )

590104

รายละเอียด

590104_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สามัญผลสูตร ตอน 4

พ่อครูว่าวันนี้วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2559 จบการสอบ ว.บบบ. ไม่รู้ว่า ว.นบ.จะไปกับว.บบบ.ไหม ...ทางโลกเขาก็ตายกันเยอะเพราะเรื่องเที่ยว คนที่มีจิตใจเรื่องเที่ยวนี้ ไม่ใช่อริยะ ถ้าเป็นอริยะพอสมควรไม่รู้จะเที่ยวไปทำไม? มันเมื่อย        

โดยเฉพาะยิ่งอนาคามีขึ้นไป ก็ไม่เที่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จะไปทำไมภูเขาก็อย่างนั้น ถ้ำเหวก็ลึกลงไป น้ำไหลก็ไหลไป เรามาทำเองก็ได้ ภูเขาก็จะทำ น้ำตกก็จะทำ ถ้ำก็จะทำ แต่คงไม่มีที่ที่จะทำเหว เราก็ทำ ไม่เห็นจะมีอะไร ส่วนพวกเรานั้น แม้จะมีเวลา long weekend เท่ากันกับเขา แต่เราก็เอาวันเวลามาทำประโยชน์กัน

คนที่ปฏิบัติธรรมโลกุตรธรรมจริงของพระพุทธเจ้าแล้วมันชัดเจน เราก็ไม่รู้จะไปทำอะไร รสของโลกีย์มันจางคลาย มันหายไปจากจิตวิญญาณจริงๆ นี่เป็นสัจจะที่เราต้องเรียนรู้ว่าอริยะบุคคลเป็นเช่นนี้

 ปุถุชนเขาเป็นคนโลกๆ เป็นเช่นนั้น มันเป็นที่จิตจริงๆ เราเรียนรู้และก็จะเข้าใจไม่ต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิตอะไร ปฏิบัติสัมมาทิฏฐิตามพระพุทธเจ้า อย่างการนั่งสงบที่จะทำการเตวิชโชก็เป็นอุปการะ หรือจริงๆมันเมื่อยก็นั่งพัก

เจโตสมถะนั้นมีประโยชน์คือ

1 นั่งพักสบายสงบ

2 นั่งเพื่อศึกษาในจิตที่ไม่ได้เปิดประตูตา หู จมูก ลิ้น กาย มีอยู่แต่ในใจเราในรูปจิต อรูปจิต ทำการเตวิชโช ระลึกถึงสิ่งที่เราเคยติดมา

 

พ่อครูแปลความหมายของ กิเลส ว่าอย่างไร

อาตมาเคยแปลกิเลสให้ฟังว่า กิเลส คือ สิ่งที่เราเคยสัมผัส ยิ่งเป็นสิ่งใหม่ที่เราสัมผัส แล้วเราก็ไปเอาที่สัมผัสนั้นมา แล้วก็เกิดจิตพอใจ ยึดติดไว้ เสร็จแล้วก็ยิ่งพอใจมากขึ้น หรือยิ่งได้สัมผัส เขาพูดอะไร ก็เชื่อตามที่เขาพูด เป็นเรื่องที่ กิระดั่งได้ยินมา คือกิเลส  เสร็จแล้วก็ไปเอาอันนั้นมาเป็นเราเป็นของเรา นั่นคือกิเลส

 คนที่จบแล้ว รู้ว่าสิ่งที่เขาว่า มีมาก มีใหม่ มีดี อย่างไร เราก็รู้กับเขาได้ แต่เราไม่แสวงหาจนลนลานให้ได้มาสมโลภะ สมใจ เสพรสราคะอร่อย แล้วก็ยึด ยึดแล้วถ้าไม่ได้มาก็โกรธ โกรธหนักเข้าก็แย่งชิง แย่งชิงไม่ได้ก็ฆ่าแกง เราต้องลงแรงงาน เวลาที่ต้องใช้ และทุนรอน ต้องใช้ทุนรอนประกอบ เป็นเหตุปัจจัยที่เป็นวัตถุหรืออะไรก็แล้วแต่ ดีไม่ดีก็เอาชีวิตเข้าแลกหนักหนาสาหัส

 

 พวกเราได้มาเปลี่ยนวิถีชีวิตมา ชื่นใจ เวลาที่เขาได้หยุดได้เที่ยวเสพเสวยสุขใจ ไปตายเสียในช่วงนี้ ฉลองปีเก่า ฉลองปีใหม่ทุกปีเป็นร้อยหลายร้อยเขาก็พยายามลดลงมา แต่ที่ไม่ตายก็ไปเอาเชื้อโรค คือเชื้อกิเลส ที่อาตมาเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ไปหามาเพิ่มมาเติม หาตัวที่ใหม่มา เติมของเก่าก็เติมน้ำหนักมา ปีนี้ดีปีหน้าต้องเอาอีก นี่คือความเป็นปุถุชนที่เขาไม่รู้จริงๆ เขาก็ทำอะไรต่ออะไร

 วันนี้ก็เป็นวันที่ชาวโลกเขากลับไปทำงานรับภาระชีวิตต่อไป ถ้าไม่รู้เขาก็วนเวียนบำเรอตนเองอีก จนวันนี้วันที่ 4 มกราคม 2559 แรม 10 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม เราก็มาศึกษาเข้มข้นบำเพ็ญคนบำเพ็ญธรรม เฉลยข้อสอบเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปแล้ว ไม่กลับก็อยู่ต่อไปอยู่ในชุมชน

ก็ขอเขาอยู่ ถ้าชุมชนไหนให้อยู่ก็อยู่ เป็นความเจริญของเขา บางคนก็อยู่ที่ชุมชนอื่นมาหลายปีก็อยากจะมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องไปเจรจากับชุมชนเก่าก่อน เพราะเขามีงานที่ต้องพึ่งคุณ เพราะคุณเป็นคนมีคุณค่า นี่คือสังคมของพวกเรา มาถึงวันนี้แล้วก็เห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้มีผลเป็นไปได้มีความสำเร็จจริง อย่างที่เห็นนี่แหละ ก็ยังเชื่อมั่นอยู่ว่าโลกนี้ยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ โลกไม่ว่างจากอรหันต์เป็นไปได้แน่นอน อาตมาก็ต้องขมีขมันเพิ่มเติมเพื่อมาทำให้พวกเราเข้าไปตั้งใจรับตั้งใจปฏิบัติให้บรรลุ แล้วเราจะได้มาช่วยกัน จะได้ช่วยมนุษย์โลกเขาต่อไป

 

พรหมชาลสูตร สามัญผลสูตร อัมพัฏฐสูตร

มาทบทวน ตั้งแต่พระสูตรเล่มแรก สูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร ที่มีทิฏฐิที่ยึดผิด 62 ประการ ต้องมีหลักของศีลเป็นหลักสำคัญคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจเขาทิ้งไปแล้ว ทั้งทั้งที่ในพระไตรปิฎกก็ตรัสไว้ชัดเจน กลายเป็นหลงไปเอาวินัยมาเป็นศีล พระภิกษุผู้บวชก็มีแต่วินัย

ศีล 43 ข้อนี้เป็นศีลของภิกษุทั้งหลายที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ มหาศีลเป็นศีลที่เป็นเครื่องชี้บ่งว่านี่คือลักษณะของศาสนาพุทธ เพราะที่อื่นสำนักอื่นเป็นเดรัจฉานกถาเดรัจฉานวิชา เป็นสิ่งนอกรีตของศาสนาพุทธในมหาศีลห้ามไว้ พระพุทธเจ้าห้ามในวงการศาสนาพุทธแต่เดี๋ยวนี้มีเต็มไปหมด นี่คือเครื่องชี้บ่งว่าเป็นความเสื่อมของศาสนาอย่างแท้จริง เราก็ต้องมาฟื้นคืนมาทำขึ้นมา ส่วนจุลศีลก็เป็นสิ่งที่ต้องหัดลดเอามาสมาทาน แต่มหาศีลนี้เป็นภิกษุจะต้องมี แล้วฆราวาสจะต้องรู้ด้วยว่ามันไม่ใช่เรื่องของพุทธ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้แล้วละลาบละล้วงลงไปถึงฆราวาส ก็กำหนดแต่ในภิกษุ มาบวชแล้วจะต้องไม่มีที่มหาศีลห้ามไว้ สิ่งที่ท่านห้ามก็ไม่ทำเสีย หากทำไม่ได้ก็ต้องพยายามเข้า

ศีลเป็นหลักของศาสนา คนไม่มีศีลก็ไม่ใช่พุทธ มีศีลคือสมาทานละเว้นแล้วเสีย ศีลจะไปขัดเกลากิเลสที่เรามี นั้นแหละคือเริ่มมีศีล ลดละจางคลายจนเกลี้ยงกิเลสในแต่ละข้อของศีลไม่มีอีก ก็เป็นคนมีศีล เพราะกิเลสที่ลดตามศีลนั้นไม่ใช่แค่กายกับวาจา แต่ละกิเลสด้วยปัญญาและวิมุติ มันมีปัญญารู้หมดเป็นอุภโตภาควิมุติ นั่นคือผู้มีศีล

อานิสงส์ของศีลตามกินมัธยัสถ์สูตรนั้นมีความไม่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นผลเบื้องต้นแล้วเกิดผลตามลำดับ จนถึงนิโรธ

1. อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)

2. ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)

3. ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)

4. ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)

5. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)

6. สมาธิ (จิตมั่นคง)

7. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)

8. นิพพิทา (เบื่อหน่าย)

9. วิราคะ (คลายกิเลส)

10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน) 

(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24  ข้อ 1 ,  208)

ทิฏฐิ 62 คือพวกได้เจโตสมาธิ กับพวกตักกีวิมังสี คือพวกตรึกนึกคิดเอาเอง นั่นคือพรหมชาลสูตร สูตรที่ 1 ชี้บ่งถึงความสำคัญของศีล หลักที่จะปฏิบัติ และชี้บ่งความเป็นศาสนาพุทธ

ต่อมา สามัญผลสูตร คือสูตรที่บอกมรรคผลของศาสนาพุทธ มรรคคือจรณะ 15 คือวิชชาจรณะสัมปัณโณ ผลคือวิชชา 8 ไม่ใช่ไปนั่งเจโตสมาธิแบบผิดๆตามทิฏฐิ 62

ส่วนสูตร 3 ก็อธิบายแถมไปหน่อยคือ อัมพัฏฐสูตร ชี้บ่งซ้ำไปอีกว่า ศาสนาจะมีอย่างนี้ แล้วจะมีคนที่ท้วงที่ยึดถือ พุทธจริงๆแท้ก็คือพราหมณ์ แล้วก็เวียนกลับไปเป็นเดรัจฉานวิชชาอันเดิม เนื้อแท้มันเปลี่ยนไป แต่ชื่อศาสนาพราหมณ์ก็ชื่อเดิม พระพุทธเจ้ากล่าวว่าจะมีแต่พวกนุ่งห่มผ้าขาว ผ้ากาสาวะ ก็จะเสียต่อผ้ากาสาวะจะเสียก็ไม่นุ่งผ้าขาวอีก แต่ของเรานี้ไม่ได้แปลงอะไรเลยเราก็จะฟื้นคืนของพระพุทธเจ้ากลับมา แล้วก็จะแปลงไป ตอนนี้ก็นุ่งผ้าขาวกันเต็มอย่างธรรมกายหรือแม้แต่สายนั่งหลับตาทั้งหลาย ไปวัดก็นุ่งผ้าขาว  ก็เป็นพราหมณ์ที่ทำเสียหายเหมือนเก่าเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่ว่าจะพวกนั่งหลับตาสายสว่างหรือสายมืด

ตอนนี้คนก็นิยมผ้าขาว สายพระป่าหลับตา หรือพระบ้านที่กำลังสร้างวิทยาศาสตร์มีจานบินโลกีย์ร้อยเต็มเลย ทั้งสองสาย พูดไปแล้วก็อย่าไปรังเกียจผ้าขาวหรือมีอคติในใจก็ไม่ต้อง พพจ.ก็ย้ำในอัมพัฏสูตร ท่านก็ย้ำว่าความเสื่อมสี่ประการจะเกิดขึ้น

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
  2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

 

ที่อาตมาพาพวกเรามากินมังสวิรัติเป็นศีลเคร่ง แล้วทำสังคมสาธารณโภคีก็เป็นแก่นแกน แต่ต่อไปจะมีอนุโลมเป็นสาธารณโภคีไปตามลำดับ เชื่อมโยงกัน แต่ระดับที่เต็มที่คือทำงานฟรี 100 % เราอยู่ในหมู่มิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นสมาชิกใน ส่วนสมาชิกที่เชื่อมต่อกันไป นอกขึ้นก็จะมีสมาชิกที่ทำตามระเบียบของเราเป็นขั้นตอนสมาชิกภายในเลยก็จะมีสวัสดิการ ตามระเบียบเป็นต้น ก็เป็นหลักเกณฑ์ของสังคม ก็จะพัฒนาไป และจะขยายอนุโลมปฏิโลมไป เป็นเครือแหที่ซ้อน ทั้งนอกและใน ทั้งเปลือกนอกและจิตภายในขยายไป เช่น สมมุติชัดๆ บางคนที่เป็นคนจิตสูงแล้ว ดีไม่ดีเป็นจิตระดับอนาคามี แต่ต้องออกไปจากชุมชนไปทำงานข้างนอก ดีไม่ดีไปอยู่ข้างนอกจนกระทั่ง เขาไม่ได้มีสวัสดิการร้อยเปอร์เซ็นต์แบบในนี้ แต่เป็นถึงอนาคามี ก็ไม่ได้หมายความว่าเพราะเป็นคนตกต่ำ แต่เขาจะต้องไปทำงานเชื่อมโยงเป็นต้น หรือแม้แต่เดี๋ยวนี้ก็มีคนที่ทำงานเชื่อมกับชาวอโศกเป็นคนนอก แต่เป็นจิตอนาคามีก็มี ไม่ได้มีสวัสดิการร้อยเปอร์เซ็นต์แบบสมาชิกภายใน เหมือนคนข้างวัด อย่างนี้เป็นต้น นี่แถมให้ฟัง

 

ศีลที่เป็นอริยะ

ปฏิบัติศีลไปตามลำดับ จุลศีล เป็นศีลของบุคคลให้เกิดปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ เมื่อปฏิบัติศีลได้ผล ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสพภัยแต่ไหนๆเลย เพราะศีลสังวรแล้วเหมือนพระราชาที่ได้มุรธาภิเษก กำจัดอริราชศัตรูได้แล้ว ย่อมไม่ประสพภัยเพราะราชศัตรูนั้นๆ ไม่ใช่ไปฆ่าศัตรู แต่ไม่ประสบภัยจากศัตรูแล้ว (121) พระมหาบพิตรภิกษุก็ฉันนั้น สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนไหน เพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน ดูกรมหาบพิตรด้วยประการต่างๆนี้แหละภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

 ความสุขอันนี้เป็นความสุขสงบจากกิเลส ไม่ใช่สงบแบบที่ดับไปเฉยๆที่ไม่มี จิตวิเคราะห์ system analysis แต่เป็น hypnosis เท่านั้น

ศีลอาริยะคือศีลที่ทำให้ลดกิเลสได้ เริ่มเป็นโสดาบันก็เป็นอาริยะในโสดาบัน มีศีล 5

เช่น ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ เริ่มลดละจางคลายกิเลสได้ เริ่มมีมรรคผล เริ่มเข้ากระแส  25 เปอร์เซ็นต์ สูงขึ้นไปถึง 50% ก็เป็นสกิทาคามีผล มันไม่ใช่บุคคลแต่เป็นจิตที่ลดกิเลส ส่วนปัญญานั้นอาจจะรู้ไม่ค่อยชัด แต่ให้จิตเป็น ให้จิตลดกิเลสได้เป็นหลัก แต่โสดาบันจะไม่มีญาณปัญญาที่อ่านกิเลสได้ละเอียด แต่จิตจะค่อยค่อยได้ไปจนเกิน 50% พอเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าเข้าขีดแล้วอวินิปาตธรรม ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา ได้ไปถึงขีด 75 เปอร์เซ็นต์จึงจะนับว่านิยตนะ เที่ยงแท้แน่นอนไม่ถอยหลัง เลย 75% นี้สัมโพธิปรายนะ  จนถึงสมบูรณ์ก็เป็นอรหัตผลในศีลแต่ละข้อ เป็นอรหันต์น้อยน้อย เป็นอรหันต์ในเนื้อสัตว์ก็ได้ จิตของคุณหมดเลยเกลี้ยงเลย คุณก็รู้จิตของคุณด้วย ว่าคุณถอนอาสวะของเรื่องเนื้อสัตว์ได้ ก็จะอ่านอาสวะเป็น เข้าสังโยชน์ 10 ก็จะขยายซ้อนไป

 หนึ่ง คุณรู้จักเลยว่าอันนี้เป็นองค์ประชุมรูปนาม ตัวตนของกิเลสจนชัดเจนพ้นวิจิกิจฉาอันเป็นสังโยชน์ข้อ 2 มีอุบายเครื่องออก มรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 แม้พระโสดาบันจะไม่รู้รายละเอียดนักก็ตาม ก็จะมีการปฏิสัมพัทธ์ซับซ้อนทางมรรคมีองค์ 8 และโพชฌงค์ 7

 คุณอ่านกิเลสเรื่องเนื้อสัตว์ คุณไม่ฆ่าเอง เขาก็ฆ่ามาให้ ก็ต้องเลิกด้วยประการทั้งปวง ไม่เป็นเหตุให้คนฆ่าหรือตนต้องทำให้เขาตาย เพราะคุณไม่ได้ยินดีในเนื้อสัตว์เลย เอามาให้ก็ไม่ยินดี เป็นความไม่ยินดีด้วย อาจจะยังไม่เฉยๆสำหรับโสดาบัน ไม่ยินดีในเนื้อสัตว์สมบูรณ์แล้ว ถ้ายังยินดีเนื้อสัตว์ก็เป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมาก

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาป  มิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ วา   อุทฺทิสฺส  ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60

ศีลนี้มีมรรคผล เรียกว่า อาริยะศีล ศีลเป็นอาริยะ ผู้ที่ไม่เข้าใจว่าโสดาบันจะอาริยะถึงสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ได้อย่างไร ในเหตุปัจจัยใด ก็อ่านธรรมะสองที่เกี่ยวข้องกับจิตเรา แล้วเราก็ติดยึดเป็นของกู หรือเอามาเสพรส อยากทำลายอยากฆ่าแกงบ้าง

อาริยกันตศีล นี่เริ่มต้นศีลอันเป็นอาริยะ เริ่มต้นศีลก็เป็นอาริยะ แต่ถ้าปฏิบัติแค่กายกับวาจาจะเป็นอาริยะได้อย่างไร มันต้องปฏิบัติถึงจิต ต้องเข้าใจสังโยชน์ 3

คุณอ่านสักกายะจากองค์ประชุมหรือกายได้ คุณต้องมีญาณปัญญา นามธรรมที่รู้ กายหรือนามกาย ศีลพรตก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติแล้วกิเลสก็ลดลงจางคลายก็พ้นสังโยชน์ 3 ต้องมีญาณรู้เห็นของตนเอง แม้ไม่รู้เห็นแต่ก็ต้องลดละ อ่านอาการจางคลายวิราคานุปัสสี อาการมันลดลง ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์มันก็ลดลง แม้ยังไม่รู้ว่าอันนี้เจโตอันนี้ปัญญาก็ได้

จากสังโยชน์จะไปหาอรหัตตผล แม้เรื่องเนื้อสัตว์ก็เป็นกามราคะปฏิฆะ เมื่อมีเนื้อสัตว์มาแล้วคุณไม่ยินดี แม้ไม่ถึงกับจิตกลางๆได้ก็ตาม แต่ถ้าถึงจิตที่เป็นกลางก็จะอนุโลมก็ได้ แต่ถ้าเป็นโสดาบันที่อัตตามากก็อาจไม่ยอมกิน อาจทะเลาะกันได้หากถูกบังคับ แล้วก็ยึดมากเกินไปก็เท่านั้นเอง ถ้ายึดมากก็ทะเลาะกันได้อยู่

 เมื่อไม่ยินดีแล้วก็อาจจะไปยึดในทางไม่ยินดี เราต้องยินดีก็ไม่ใช่ ไม่ยินดีก็ไม่ใช่ ต้องมีอาการความเป็นกลางในจิต มีในสำนวนเยอะ มีก็ไม่ใช่ ไม่มีก็ไม่ใช่ ถ้าเข้าใจสภาวะแล้วก็จะไม่งง  คือจิตมันกลางกลางระหว่างปฏิเสธและการรับ

 

อินทรีย์สังวรที่เป็นอริยะ

 การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าคือมีศีล เป็นข้อแรก ข้อต่อมาต้องมีการสำรวมอินทรีย์ นี่คือสามัญญาผลที่จะเกิดผลเป็นสามัญของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่การนั่งหลับตาปฏิบัติแบบเจโตสมาธิ อันนี้คือ สัมมาสมาธิ

มีบุคคล 4 คือ

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   แต่ไม่ได้โลกุตระ

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ      แต่ไม่ได้เจโตสมถะ 

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

พตปฎ. เล่ม 36  ข้อ 10,  ข. 137,  ข.525

คนในนี้ก็มีที่มีแต่โลกุตระไม่มีเจโตสมถะก็เยอะ อาตมาก็มีบ้างที่บางทีมีงานเยอะ ก็จะกว่าจะไม่ปรุงก็ต้องใช้เวลาในบางครั้งเพราะบางเรื่องสำคัญที่จะต้องปรุงต่อ

พระไตรปิฎก ล.9

อินทรียสังวร

          [122] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย?

ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ

เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก

คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์

ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...

รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต(ตัวแก่น) ไม่ถืออนุพยัญชนะ

(ตัวองค์รวมที่ประกอบ) เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์

ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌา และ

โทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่า

รักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน

ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.

 

พ่อครูว่าอย่างอาตมาถูกปลุกปล้ำ เสร็จเรื่องแล้วทำไมอาตมาเฉยๆ มันหลั่งก็เฉยๆไม่มีรสชาติอะไร พูดด้วยหลักวิชาไม่ได้โกหกเป็นเรื่องจริง อาตมาก็มารู้ชัดเจนว่า ตอนนั้นอาตมายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ยังเป็นลิงลมอมข้าวพอง อยู่ในโลกีย์ แต่มาถึงขั้นนั้นแล้วเราก็งงสงสัยว่า เรากลายเป็นคนกามตายด้านหรือเปล่า เป็นอย่างนั้นเลย นี่ก็อธิบายให้ละเอียดละออ

จริงๆเรื่องนี้ไม่ต้องไปลอง ทุกคนไม่จำเป็นต้องไปลอง มันหยาบ ลองแล้วมันไม่ดี ถ้ายิ่งเราติดมากแล้วไปใหญ่เลย เป็นสิ่งไม่สมควร

มีอินทรีย์ของมนะ แล้วก็มีอารมณ์เรียกว่าธรรมารมย์ ไม่เรียกว่าธัมมินทรีย์ ก็เรียกว่าธรรมารมณ์ เป็นอารมณ์ที่ทรงอยู่เกิดจากชีวะของจิตยังมีพลังงานของสัตว์ อาการนั้นๆเป็นสัตว์โอปปาติกะ คือสัตว์ภายใน อาการภายในเป็นมนะ คือส่วนในที่ไม่สำรวมแล้วเกิดอกุศลกรรมลามก ครอบงำ

ชี้ลงไปว่าผู้ที่ทำอย่างนั้นได้ชื่อว่า รักษามนินทรีย์ สังวรอินทรีย์อันเป็นอาริยะ ผู้ไม่ติดในนิมิตในอนุพยัญชนะแล้ว ไม่ติดในสิ่งที่เป็นอาการของรูปแล้ว ตั้งแต่กาม ที่ถูกกำหนดรู้ จนกระทบภายนอกอย่างไรก็ไม่เกิด แต่มีระริกระรี้อยู่ภายในเป็นรูปราคะ อรูปราคะ พอหมดรูปราคะก็เหลือแต่อรูปราคะ ก็มีแต่ชีวิตินทรีย์ที่ทรงในตัวเราเรียกว่าธัมมารมณ์ เป็นชีวิตของโอปปาติกะตัวปลายตัวภายในสุด มโนเป็นตัวในสุด วิญญาณก็ประกอบกับภายนอก เป็นอาการของจิต แล้วก็ผ่านไป เมื่อปฏิบัติก็มารวมที่จิตปรุงแต่งในจิตก็ทำกายสังขาร เกิดวิญญาณ พอเริ่มเข้ามาข้างในก็จิต สังขารในจิต โดยโยงจากภายนอก รวมทั้งหมดก็คือจิต ปฏิบัติหยาบให้หมด จนเหลือแต่จิตภายในคือมโน เหลือแต่ธรรมะ จะเรียกว่าอารมณ์นิพพานหรืออุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์นิพพาน ไม่มีชีวิตินทรีย์ของสัตว์โอปปาติกะตัวนั้น เช่นตัวติดเนื้อสัตว์ หรือตัวติดมะละกอ หรือส้มตำที่เคยติด ชีวิตนี้หากไม่ได้กินตำส้มก็แห้งเหี่ยว

 

สติสัมปชัญญะที่เป็นอริยะ

                               สติสัมปชัญญะ

          [123] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ?

ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแลในการเหลียว

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม

ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืนการนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง

ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล

ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

 

คนที่ไม่ได้ศึกษาก็ไม่ได้มีสติอะไรเวลาสัมผัส หรือแม้เรียนมาแล้วมีสัมมาทิฏฐิแล้ว แต่ไม่ได้สังวรสำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะก็ไม่ได้ร่วม สติก็ไม่มี ก็เป็นสติปุถุชน 100% ถ้าผู้มีสติ รู้กระทบสัมผัสแล้วสำรวม คนที่มิจฉาทิฏฐิ ปฏิบัติสะกดจิต พอสัมผัสแล้วรู้สึกอาการกิเลสเลาๆจางๆ ก็ทำการดับการหยุด ไม่มี analyse ไม่มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ เขาก็ถือว่าสังวรดับได้ ถ้าสำรวมได้ก็เป็นกัลยาณชนไม่เกิดกิเลสนี้ สะกดไว้

แม้คุณลืมตา พอสัมผัสกิเลสก็บอกตนว่า ลืมไป แม้ลืมตาสัมผัสก็เรียกว่าสมถะลืมตา อย่างสายติชนัทฮันห์ สายอ.แป้น สายหลวงพ่อเทียน สัมผัสแล้วก็เฉยปล่อยวางๆ ก็สะกดจิตทั้งนั้น ไม่ได้มีญาณถึงนิพพิทาญาณ มุญจิตตุกัมมยตาญาณ เป็นปัญญาพละที่ทำให้เกิดคุณสมบัติของจิตคุณสมบัติของญาณ ที่เป็นโสฬสญาณ

 

ต่อพระไตรฯ

 

สันโดษที่เป็นอริยะ

                                 สันโดษ

          [124] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุใน

ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง

เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิสาภาคใดๆ

ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่อง

บริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิสาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง

ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.

 

พ่อครูว่า อย่าง พวกฑิฆัมพรมีความมักน้อยสันโดษมาก ไม่ใส่เสื้อผ้า การตัดผมก็ไม่ตัด ใช้วิธีถอนเอา เขามักน้อยจริงๆ แต่เป็นมิจฉาสันโดษ ไม่ใช่อารยะสันโดษ สันโดษคือความพอเหมาะพอดี คุณถือศีล 5 คุณยังมีลูก มีบ้านมีช่อง มีทรัพย์สินเงินทอง คุณก็เอาให้พอ องค์ธรรมของความเป็นสันโดษ คุณตั้งศีลขึ้นมา เช่น เอาเรื่องเงินทอง เรื่องกิน ของใช้ก็ได้ สมมุติว่าคุณใช้เงินมากเดือนนึง ก็มักน้อยลงมา อัปปิจฉะ จากห้าพันเหลือสามพัน ตั้งใจปฏิบัติ เจริญ ก็เพราะจิตของคุณล้างกิเลสได้ เกิดใจพอ เกิดสันโดษ จิตก็เกิดปวิเวก สงบเพราะกิเลสลด สวรรค์ก็หายไป อสังสัคค จิตไม่ต้องเกี่ยวข้องอีก แต่ยังคงขยันหมั่นเพียร วิริยารัมภ

 

          [125] ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษอัน

เป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะ อันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ

ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง(อยู่ไม่ไกลจากบ้าน เป็นของในเมือง) ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์

ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก(คือกาม) มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่

ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้ายคือพยาบาท ไม่คิดพยาบาท

มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือ

พยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง

มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจะกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่

ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจะกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว

เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก

วิจิกิจฉาได้.

                  

พ่อครูว่า ในปริเฉทนี้กล่าวกว้างแต่พูดถึงคนอยู่ป่าด้วยกัน ท่านถึงบอกว่าอยู่ป่าก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี คือธรรมดาอยู่ในเมืองหรือที่ไหนก็ปฏิบัตเช่นนี้ ลืมตาแบบนี้ ไม่ใช่ไปนั่งอยู่ในภพ การอยู่ในภพมันผิดหมดเลย แต่นี่ท่านอนุโลมให้พวกนั่งหลับตา เหมือนพวกแม่ครัวปรุงอาหารให้เขากิน แต่ตนไม่ติดยึด เป็นแม่ครัวมือเที่ยง ปรุงแล้วได้รสนี้เลย คนติดฝีมือ แต่แม่ครัวทำให้เขากินแล้วแต่ตนเองก็กินน้ำพริกเฉย ที่ทำให้เขากินคืออนุโลม เหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกเป็นต้น

บริบทที่พพจ.สอนตอนแรกสอนกับคนในป่าจึงพูดอนุโลม แม้คนในเมืองที่ติดป่าก็ต้องพูดอย่างนี้ แสดงถึงบริบทในป่านี้มีเยอะ ส่วนที่แจ้งลอมฟางท่านก็กล่าวให้รู้ว่าทำที่ใดก็ได้ ในเรือนว่างก็ได้ ถ้าจะนั่งเช่นนี้ หรือไม่นั่งก็ปฏิบัติแบบตาเปิด ทำกรรมปกติถึงถูกต้องครบตามที่พพจ.สอน

เรียนแต่ในสัญญาล้างจากความจำ คนหลับตาเข้าไปในจิตแล้ว มันมีกามสดๆ หรือตากระทบรูป หูกระทบเสียงจริงหรือไม่ ก็ไม่มีจริง คุณกำหนดรู้ตั้งแต่ข้างนอก ยิ่งได้ผลข้างนอกแล้วก็เหลือแต่ภายใน เป็นรูป จนหมดรูปอีกก็เหลืออรูปอีก

ความสันโดษหรือใจพอนั้นต้องสู่ความน้อยลงให้มาก ใช้น้อยลงจนตนเองไม่เอาอะไรเลย สูญเลย วันคืนล่วงไปๆ สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราไม่ป่วย กำลังก็มากอยู่ งานก็มีให้ทำ เรี่ยวแรงก็ยังดีอยู่ คุณกำลังทำอะไรอยู่ กำลังลอยชาย ไปอยู่อย่างนั้นทำไม งานที่สมควรจะทำ ที่นี่ งานตกคนนะ ไม่ใช่คนตกงานนะแดนนี้ ไม่ใช่แดนเสื่อมต่ำเดือดร้อนวุ่นวาย แดนไหนที่คนตกงานสังคมนั้นเป็นสังคมเสื่อม แย่ แต่แดนไหนงานตกคน แดนนั้นเป็นแดนอาริยะ เจริญ ใช่ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นพวกเราวิ่งหัวปักหัวปำ หาคนเก็บผักยังยากเลย เพราะคนกินมากขึ้น ถึงบอกว่าปีนี้ปี 59 อย่าให้อาตมาอกหักอกพังนะ เตรียมที่ให้อยู่แล้ว

 

อุปมานิวรณ์

          [126] ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงาน

ของเขาจะพึงสำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขา

จะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และ

ทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก

บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้

และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก

บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้

และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้น

เป็นเหตุ ฉันใด.

          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจาก

เรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็อย่างนี้ว่า เมื่อก่อน

เราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้อง

เสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำ

นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน

ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น

เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นทาส

พึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้น

แล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้ เขาจะพึงได้

ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดาร

หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้าน

อันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติ

เดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้นบรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.

          ดูกรมหาบพิตร ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้

เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณา

เห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือน

การพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:44:48 )

590105

รายละเอียด

590105_ พุทธศาสนาตามภูมิ แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย

พ่อครูว่าวันนี้ วันที่ 5 มกราคม 2559 ยังอยู่ในช่วงปีใหม่ เพิ่งเสร็จจากกิจกรรม ว.บบบ. ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว อาตมาพยายามแก้ไข ที่เป็น concept ของการท่องเที่ยว มันไปทางสนุกบำเรอกิเลส มาที่นี่ไม่ใช่มาบำเรอกิเลส สนุกพอได้ไม่อับเฉา ไม่หม่นหมองมีแต่เบิกบานแจ่มใสรื่นรมย์ รมเยศ แต่ไม่ใช่เป็นร่าซ่า ขิฑฑาปโทสิกะ

ศาสนาพุทธเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานไม่ใช่อับเฉาจืดชืดเย็นชามะรื่อทื่อ เป็นผู้มีปฏิสันฐานเบิกบานจริงใจร่าเริง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ดีที่สุดแล้ว ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้านิยมยอดที่สุด  ตอนนี้มี แม้กระทั่งคนต่างชาติก็มามีอาจารย์เป็นต้นคอยเป็นรีเซฟชั่น ขอรายงานมาว่า สรุปการต้อนรับชาวต่างประเทศ

 ชาวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยี่ยมบ้านราชประจำเดือนธันวาคม 2558

จากสหรัฐอเมริกามี 3 คน จากฟิลิปปินส์ 1 คน คำถามของชาวต่างชาติที่เด่นๆก็มีบอกว่า การปฏิบัติธรรมมุ่งไปสู่นิพพานใช่หรือไม่ ซึ่งคนที่แสวงหาความรู้ก็จะเข้าใจแต่พวกท่องเที่ยวไม่รู้คำว่านิพพานแล้วไม่ถามด้วยเพราะฉะนั้นคนมาที่นี่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่คนก็จะมาหาสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐ

1ที่บอกว่าปฏิบัติธรรมมุ่งสู่นิพพาน คำตอบก็คือถูกต้องที่สุด

2 ท่านถือศีลกี่ข้อ ตอบ 10 ข้อ

3 ข้อไหนที่ท่านบอกว่ายากที่สุดในศีล 10 มีคนตอบมาทันทีว่าข้อ 10 อาจารย์เป็นต้นก็มีเหตุผล ข้อ 10 ที่ว่ายากที่สุดสำหรับผม เพราะการไม่ได้สะสมเงินทองเป็นของตัว การเดินทางแต่ละครั้งถึงลำบาก นี่คืออะไรเหตุผลของอาจารย์เป็นต้น ส่วนคนอื่นนั้นเหตุผลก็คงจะไม่ใช่แค่การเดินทาง

 ก็ค่อยๆก้าวหน้าขึ้น แล้วประเด็นที่ต่อไปนี้ น่าจะได้พูดถึง เพราะเป็นเรื่องทันสมัยเรื่องการสะสมเงินทอง อาตมาว่าทุกวันนี้เรื่องเงินเป็นเรื่องทุจริตมากที่สุดในโลก ไม่ว่าชาติไหนประเทศไหน เรื่องตั๋วแลกเงิน ธนบัตรที่ใช้เป็นแก้วสารพัดนึก มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นแก้วสารพัดนึกที่มีฤทธิ์มาก จนคนตกเป็นทาสน้ำเงินโงหัวไม่ขึ้น ไม่รู้จักสัจจะอันนี้ จนเกิดเรื่องอะไรต่างๆนานา

อาตมาก็เทศน์บรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ เรียกรวมๆว่า เศรษฐกิจ  เอาตัวเลขของเงินเป็นเครื่องวัดค่าในประเทศที่สำคัญ ทุกวันนี้เป็นเช่นนั้น ตกเป็นทาสอันนี้ ยิ่งเห็นอาตมาก็ยิ่งสงสารเวทนาเห็นใจ ว่าเขายังอวิชชายังไม่เข้าใจสัจธรรม อันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยประกาศ สองพันหกร้อยกว่าปีทุกวันนี้คนที่เป็นพุทธก็เสื่อมไปจากความหมายเดิมไปจากความรู้ของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงไป จนตีลังกากลับ จากความรู้ของพระพุทธเจ้า

อาตมาได้เขียน เป็นกวี เขียนเป็นบทความต่างๆ พูดแล้วพูดอีก ประเด็นหลักคือเรื่องเศรษฐกิจของชีวิตมนุษย์ ซึ่งมันเป็น หลักของสังคมมากจริงๆ ในเรื่องของเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องของการเมืองคนไม่เอาถ่านจะเป็นจะตายอย่างไรก็แล้วแต่ มันเลวร้ายจนคนไม่ทุกข์ไม่สุขกับการเมืองและเศรษฐกิจนี้คนสุขทุกข์ตั้งแต่คนพื้นล่างจนคนชั้นสูงก็เศรษฐกิจทั้งนั้น ส่วนการเมืองก็ไม่ไกลเศรษฐกิจนั้นเป็นปัญหาหลักทั่วโลก

 อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ได้ความเป็นเศรษฐกิจหลัก ของมนุษย์จนตั้งชื่อให้สมสมัยว่าเศรษฐกิจบุญนิยม เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรม ก็วันนี้มาเปิดเผย จนกระทั่ง ได้มารับพระราชดำรัสของในหลวง อีกด้วยก็เลยยิ่งชัดว่าในหลวงนี่เป็นโลกุตระบุคคลเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ตรัสถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ขยาย เพิ่มเติมจากคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแบบคนจน ไม่ชัดท่านก็ตรัสอีกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา  ยิ่งแน่ใจว่าในหลวงทวนกระแสโลกของทั้งโลก อาตมาก็เลย เห็นว่าเมืองไทยมีในหลวงเป็นพ่อของประเทศ ทรงมีพระปัญญาธิคุณ ท่านก็ตรัสออกมาแล้ว แต่คนก็รับไม่ค่อยเข้าไปในปัญญา ยังไม่แจ้งใจไม่ชัดเจนเรื่องนี้อยู่ เพราะโลกุตรธรรมเป็น คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา

ปีใหม่จะก้าวไกลกว่าเก่าถ้ารู้จักคำว่าโลกกับคำว่าธรรมะ

เพราะสองคำนี้คนยังเข้าใจความหมายแล้วปฏิบัติความเป็นโลกกับความเป็นธรรมไม่ชัดเจนก็เลยเป็นไปได้ยาก แล้วเห็นว่าโลกยังวนเวียนในโลกียะ มันควรรู้ในโลกุตระอันเป็นโลกใหม่ที่พระพุทธเจ้าประกาศ แต่ก็ไม่ง่ายก็ค่อยว่ากันไป ก็บอกแค่นั้นในบทกวีที่อยู่ใน รสพ.เราคิดอะไรฉบับใหม่ เจ็ดบท ก็บอกในลักษณะของคำว่าโลกกับธรรมะสองคำนี้ที่บอกว่าแย่

                             

             โลกที่เปิดกว้าง แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย
               *********************************************************
                     (1) เอ.อี.ซี.เปิดแล้ว                 เป็นไป    
                   จักเผล็ดผลอย่างไร                   เกิดบ้าง
                   วาดหวังสุดสวยใส                     เลอเลิศ
                   โดยเริ่มหัวข้ออ้าง                      ยกขึ้นชูประเด็น
                     (2) เป็นคำความเรียกโก้ ประชาคม-
                   เศรษฐกิจอาเซี่ยนรม-                เยศรื้น
                   จักสร้างเศรษฐกิจสม-                ใจวาด หวังฤา
                   เมื่อโลกยังครึกครื้น          อยู่ด้วยโลกีย์
                     (3) เศรษฐกิจมีแบบให้            ศึกษา
                   แบบหนึ่งโลกุตรา                      ใหม่แท้
                   ซึ่งต่างจากโลกิยา                     โลกเก่า
                   หากไม่เปลี่ยนแบบแล้                เก่าซ้ำบ่สม
                     (4) รมเยศคงล่มะย้ำ                เยี่ยงเดิม(ล่มะย้ำ=ล่มย้ำ..ออกเสียงล้อคำรมะเยศ)         
                   เศรษฐกิจอำนาจเหิม                 มหะหล้า
                   โลกาธิปไตยเสริม                      ความใหญ่
                   เซลฟิชก็เก่งกล้า                       ยึดข้า..อธิปไตย(เซลฟิช=selfish=เห็นแก่ตัว)
                     (5) แก่นใจคือแก่นแท้             ชาติตน
                   เป็นแก่นแห่งใจคน                    ทุกผู้
                   หากสร้างแก่นใจผล                  แก่นชาติ เลยแล
                   อำนาจจึงจักกู้                           โลกไว้ดังหวัง
                     (6) หากใจยังไป่แท้                แก่นจริง
                   แก่นชาติใดก็อิง                        เก่าแล้ว                
                   อาเซี่ยนก็คงชิง                         กันใหญ่
                   เศรษฐกิจจึงบ่แคล้ว                   วิบัติซ้ำคงเดิม                 
                     (7) ถ้าเสริมสร้างแก่นให้         ภายใน
                   ตรงแก่นคือมุ่งใจ                      วิสุทธิ์ได้
                   บรรลุอธิปไตย                           จนครบ สามเฮย
                   โลก,อัตตา,ธรรม ไซร้                อำนาจนี้แก่นชัย
                     (8) ไทยพาอาเซี่ยนให้            ลุผล
                   เศรษฐกิจแบบคนจน                  วิเศษฟ้า                         
                   โลกมหัศจรรย์สน-                     ธาดั่ง หวังเลย  *(สนธา=คำมั่นสัญญา,ความปรองดอง)
                   อาเซี่ยนเรืองรุ่งหล้า                  แน่แท้จริงจริง
                      (9) หยุดอิงอำนาจค้า             โลกีย์ ทีเทอญ
                   กถาวัตถุธรรมมี                         สิบข้อ
                   อัปปิจฉะ,สันตุฏฐี,                     ปวิเวก, อสังสัคค์,(มักน้อย,พอเพียง,สงบ,ไม่สร้างสวรรค์)
                   วิริยารัมภะ(เพียรอยู่เสมอ)ก้อ     ครบห้ากถาธรรม
                      (10) สำหรับผู้ใฝ่รู้                 ศึกษา
                   ผลทวิ-ไตรสิกขา                       อีกห้า
                   ศีล,สมาธิ,ปัญญา,                      วิมุติ, แจ้งวิมุตติ (วิมุตติญาณทัสสนะ)
                   ปฏิบัติให้กาจกล้า                      จักได้ดังหวัง
                      (11) สมดังพระวจนะผู้           อยู่เศียร      
                   เศรษฐกิจพอเพียงเพียร             สำเร็จได้
                   ขาดทุนสู่ทางเธียร                     ผลยิ่ง กำไรแฮ
                   ระบอบแบบคนจนไซร้               ทิฏฐิต้องสัมมา
                      (12) ศึกษาลำดับให้               สำคัญ
                   ฝึกมักน้อยกำหนดกัน                 ต่างผู้
                   เหมาะสำหรับใครสรร                กำหนดแก่ ตนแล
                   สันโดษ-ใจพอรู้                         อ่านด้วยอาการกาย
                      (13) อุบายพาสงบได้             ตามมา
                   ใช่สงบ(ปวิเวก)ด้วยวิชา             สะกดไว้
                   ยิ่งสัคคะอสวรรคา                     อุตตริ ไปเลย
                   ไม่ทุกข์ไม่สุขไซร้                     สงบฟ้าเกินสวรรค์
                      (14) สุดขยันสรรค่าสร้าง       คุณวิเศษ
                   วิริยารัมภะเหตุ                          วิศิษฏ์แท้
                   เศรษฐกิจจึ่งเกินเกรด(grade)    ชาวโลก   
                   เป็นโลกเหนือโลก(โลกุตระ)แล้   แต่ล้วนเป็นจริง
                      (15) พิงธรรมพิเศษไซร้                   โลกุตระ
                   โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น
                   อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย   
                   ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร                

                                                    สไมย์ จำปาแพง                  
                                                             4 ม.ค. 2559
                   [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 307 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2559]

 

แก่นใจโลกุตระของคนไทย

แก่นของคนไทยก็คือใจ และต้องเป็นใจที่เป็นโลกุตระด้วยไม่ใช่ใจโลกียะ

AEC คือ  Asean economic community ก็จะเปิดแล้วคนตั้งชื่อว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เปิดแล้วก็จะออกผลอย่างไร ต่างก็หวังกันไว้ เขาก็มีพิธีการ ตามนักบริหารที่ร่วมกันคิดทั้ง asian ก็ตั้งชื่อ ชูประเด็นว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เป็นคำความเรียกโก้โก้ วาดหวัง ให้หวานให้สวย คนก็พออกพอใจ แต่จะสร้างเศรษฐกิจให้สมใจวาดหวังนั้นหรือ เมื่อโลกยังครึกครื้นอยู่ด้วยโลกีย์  ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมไม่จบ ไม่หยุดที่จะแย่งกัน จะต้องรวยโลกธรรม รวยลาภรวยยศด้วยอำนาจ ได้เสร็จสรรเสริญเยินยอหลงโลกียสุข ก็วนเวียนอยู่เช่นนั้น โลกียก็เป็นเช่นนี้ตลอดกาลและนานไม่มีวันจบสิ้น ตราบมหาจักรวาลหรือเอกภพที่มีแต่ไม่ใช่แค่โลกลูกนี้แตก

 พระพุทธเจ้าค้นพบทางจบ เป็นความรู้ที่สุดยอดไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ พูดได้ภาษาศาสนาอื่นยังไม่รู้ มีศาสนาเดียว ที่รู้โลกุตระสมบูรณ์แบบ บางศาสนาก็เข้าใจได้ ไม่ระบุตัวตน ก็พอรู้แต่ไม่มีทฤษฎีที่ชัดเจน เพราะคำว่าอนัตตาตัวตน self ต่อเป็น selfish  ก็เห็นแก่ตัวกันไม่รู้จักตัวตน self ที่เป็นพีชนิยาม จนพัฒนาเป็น selfish ให้มีเล่เหลี่ยมให้ทุกคนจำนนเชิดชูด้วย นอกจากคนโลกุตระที่ไม่เชิดชูไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาเป็นเบี้ยล่าง ต้องมาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

 ของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีคำว่าเก่า จะเก่าก็เก่าเยี่ยมแต่ไม่มีเก่าไม่ล้าสมัยไม่ว่ายุคไหนใช้ได้หมดทุกยุคขอให้ทำให้สัมมาทิฏฐิจริงเพราะฉะนั้นในยุคนี้เกิดจะไม่รู้เรื่องแล้วว่าโลกจะรับเป็นอย่างไร อาตมานำทฤษฎีโลกุตระออกมายืนยัน มีท่านพุทธทาสกล่าวนำหน้าอาตมาก่อน แต่ท่านก็ ขยายได้ประมาณ 1 ก็พอรู้ได้ประมาณ 1 แต่ท่านก็ยังเกิดกลุ่มของ community ไม่ได้ ไม่เป็นกลุ่มก็รู้เป็นส่วนตัวเท่าที่เป็นไปได้และรวมกันไม่ติด ไม่มีแก่น

โลกุตระนี้ต่างจากโลกเก่าโลกียะ ที่เขาเป็นกันทั่วโลก  โลกียะไม่มีใหม่มีแต่หมุนเวียนกัน คนที่ได้เปรียบมากๆ ได้ไหมอย่างไรคนก็ตามทำกัน ส่วนโลกุตระนั้น ไม่ไปซับซ้อนแบบนั้นมีแต่ลดละไม่เห็นแก่ตัว ลดจนถึงศูนย์ ที่อยู่ของโลกุตระคือศูนย์ เป็นที่สุดท้าย ไม่มีขึ้นไม่มีจุดทศนิยมในผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นแล้ว

 ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงให้เข้ากระแสแล้วมีโลกุตรจิตด้วย

โลกียะนั้นเอาประชาชนมาเป็นเบี้ยอย่างที่เรียกว่าประชานิยม หลอกล่อ แต่ตนได้เปรียบตลอดกาลนาน ไม่ได้เสียสละไม่ได้รับใช้จริง พูดออกมาทีไรขี้ฟันหึ่งเลย selfish คือเห็นแก่ตัว ข้าคืออธิปไตย ไม่ใช่ปชช.คือธิปไตย ถ้าประเทศไหนเป็นมหาอำนาจ มหาอธิปไตยที่เป็นมหะหล้า เป็นเจ้าโลก ตัวเขาก็คือ ข้าอธิปไตย สามารถที่จะสั่งการเอาเปรียบเอารัดต่างๆนานา นี่คือสังคมโลกียะ ไม่จริง มีแต่ภาษาคารมปรัชญาโก้ ซ่อนเชิงหลอกล่อ ไม่มีใจจริง ได้บ้างเล็กน้อยแต่ยิ่งซับซ้อนลึกซึ้ง ดูเหมือนได้แต่หลอกซับซ้อนยากจะรู้ทัน

ของพุทธรู้จักแก่นใจ รู้จักพลังงานจิตจริง แต่ละคนก็ทำใจให้มีแก่นใจเป็นแก่นแท้ คนทุกคนเรียนรู้แก้ไขปรับใจตนให้เป็นแก่นปชต.ที่แท้จริง ไม่ยึดอำนาจเป็นของตน ให้ปชช.มีอำนาจ อย่างจริงใจไม่ตลบแตลง ไม่มีตอแหล

หากสร้างแก่นใจ ในประชาชนชาติไหน มีแก่นใจเป็นโลกุตระได้ มากเท่าใด ประเทศนั้นชาตินั้นก็มีแก่นชาติที่เป็นโลกุตระเป็นอธิปไตยที่ไม่ไปใช้โลกใช้อำนาจมวลอย่างลวงแล้วตนเองก็อาศัยอำนาจมวลลวงให้ตนเป็นนาย เป็นเจ้าบริวาร มีประชานิยมเลี้ยงปชช.ให้เป็นทาสในเรือนเบี้ยแท้จริง เขาไม่ขัดคนก็พอรู้แต่แก้ไม่ได้

หากใจยังไม่แท้จริง แก่นชาติใดก็เหมือนเก่าคือโลกียะ อาเซี่ยนก็คงชิงกันใหญ่เหมือนเดิม เปิดมาคราวนี้ก็เช่นเดิม สมมุติว่าอาเซี่ยนเรารวมกันได้ก็จะรวมกันเพื่อเอาประชากรโลกหรือประเทศต่างๆในโลกเป็นเบี้ยต่อไป

เราหลุดพ้นแล้วเป็นธรรมาธิปไตย เราไม่อยู่ใต้โลกาธิปไตยและอัตตาธิปไตย มีธรรมะเสียสละสร้างสรร พึ่งตนเองรอด มีกินใช้ ไม่เบียดเบียนใคร ทำได้ทำกินทำอยู่ทำได้เหลือเฟือ เหลือเกินกินใช้ของตน และของหมู่อย่างชาวอโศกมีเหลือก็ช่วยสังคมได้ไม่ขนาดมีมากไปช่วยประเทศได้ก็แล้วแต่ แต่เรามีของจริงที่ทำได้อย่างนี้ เมื่อเราช่วยตนเองรอด

1.ไม่เป็นหนี้ ปลดหนี้เลยไม่เป็นหนี้โลกเขาอีกเลย ส่วนจะเกื้อหนุนกันในหมู่ก็ไม่มีดอกเบี้ยไม่มีการชักดาบด้วยมีสัจจะจริงใจไม่เห็นแก่ตัวไม่โกงทุจริต อาจมีบกพร่องบ้างในบางคนน้อยคน

2.พึ่งตนรอด

3.มีส่วนเหลือ ส่วนเหลือมีแต่สาระแก่นสารชีวิตไม่มอมเมาตั้งแต่ปัจจัย 4 ยิ่งไปหาอุตสาหกรรมก็ช้ากว่า แต่กสิกรรมเป็นอาหารเป็นต้นรากของชีวิตทั้งหลายจึงยืนอยู่บนกสิกรรม และเป็นที่ๆเป็นโซนทำกสิกรรมได้ดีกว่าที่อื่น ในหลวงเราว่าไม่เอาแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้า ที่เอาเปรียบกันเอาอำนาจขู่ เช่นเอาอาวุธขู่ หรือเอาเทคโนโลยีมาขูดรีด ให้ทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เศรษฐกิจทุนนิยมไม่มีใครทำ มีแต่หลอกว่าจะให้แต่ก็เอาของเขา มีแต่โลกุตระที่ทำจริง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละเราได้เรามีเหลือก็แบ่งแจกให้เขาได้ โดยเราอยู่ได้อย่างไม่ลำบากไม่ขัดสนไม่เป็นหนี้

การหมดหนี้ได้เป็นหนึ่งในโลกุตรธรรมที่ต้องทำก่อน ชาวอโศกใครที่ปลดหนี้ที่มีดอกเบี้ยไม่ได้ ไม่ใช่คนเข้ากระแส สัตว์เดรัจฉานทุกตัวพึ่งตัวเองได้ เป็นคนแต่พึ่งตนเองไม่รอดไปอยู่กับหมูกับหมาไป….พูดอย่างสมสมัย คนทุกวันนี้ซาดิสม์มากกว่าโรแมนติก ดูเข้าฟรอยด์รวยที่สุดทางชกมวย

ถ้าไม่สามารถทำให้เกิดแก่นใจก็ไม่สามารถทำเศรษฐกิจบุญนิยมได้ ถ้าทำให้ลดกิเลส บรรลุอธิปไตย3 ได้ ต้องเข้าใจความเป็นโลกความเป็นอัตตา เราหมดความเป็นทาสโลกทาสอัตตา มีโลกุตระเหนือโลกทั้งหมด โลกธรรมไม่มีในจิต

 อัตตาก็คือ ตัวเดียวกัน แต่มีตัวเราที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาตัวเรามาเป็นโลกและไม่เอาโลกมาเป็นตัวเรา ไม่เอาตัวเราไปเป็นโลก..แต่อยู่กับโลกช่วยโลกรับใช้โลกโดยไม่เห็นแก่ตัว ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่าที่มีสมรรถนะ เป็นโลกุตระ เป็นอะไรจากอันเดียวกันขึ้นมารวมกันแล้วจะมีพลังรวมที่ช่วยโลกเขาไปตามเป็นจริง

 เราช่วยตนเองรอดนั้นมันสูญแล้ว คนที่เที่ยงแท้แล้ว กินใช้อยู่ตัวแล้ว แต่สมรรถนะความขยัน พลังงานแรงกายแรงใจยังมีอยู่ ไม่แก่หง่อม ไม่เจ็บป่วยหรือไม่พิการ ยังสามารถสร้างให้ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น จะมีทักษะความรู้ มีสิ่งที่เจริญขึ้น แต่ความเจริญเหล่านั้นไม่ได้ให้แก่ตัวเลยถ้าเป็นอรหันต์จบมีแต่เป็นประโยชน์ให้คนอื่น มีความรู้ความสามารถความขยันหมั่นเพียรเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้คนอื่นได้มากตนเองจะกินจะใช้ก็ ไม่มีเกินที่จะใช้

อย่างที่ในหลวงตรัสว่า แบบ อุตสาหกรรมนั้นมีแต่ถอยหลังและถอยหลังอย่างน่ากลัว ระยะห่างกันแข่งกันเป็นสมบัติผลัดกันชมตลอดเวลา ดูตามประวัติศาสตร์ประเทศที่ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ เดี๋ยวก็จัดการให้ประเทศอื่นเป็น มีอำนาจทางเศรษฐกิจกับอำนาจทางการเมือง เป็นเครื่องมือ

ทุกวันนี้มี dna ทางโลกุตระเกิดแล้ว อโศกเรานี่แหละมีดีเอ็นเอโลกุตระแท้ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งโลกเขาแสวงหาจุดนี้ คนที่มีปัญญารู้ก็จะมาแต่ไม่เอาก็ไม่เป็นไร เพราะมวลของเรานี้อยู่ในระยะก้าวหน้าไม่เสื่อม จะไปอีก ตัวแรงของเนื้อเชื้อที่แท้จะพาให้เจริญเป็นอีก 500 ปี จาก 500 ปีก็จะค่อยๆ อยู่ในความซับซ้อน เป็นหมุนรอบเชิงซ้อนที่จะคล้ายๆ ชรตา ตอนนี้ยังอปุจยะ เชื้อนี้ไปอีก สองพันกว่าปีก็จบ

ไทยพาอาเซี่ยนให้ ลุผล หากเปิด aec แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ต้องไปวนเวียนเอาเปรียบเอารัด รวมหัวกันไปเอาเปรียบเขา แล้วในนี้ก็ไม่ใช่สงบ เพราะมีความเป็นโลกีย์ แต่เขาจะพยายามรวมกันให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็เอาชนะอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ทางยุโรปก็มี ทางตะวันตกก็มี ข้างเอเชียก็จะพยายามให้ยุโรปมาร่วมเป็นเจ้าของอำนาจ คิดว่ายุโรปเขาจะมาไหม ก็คอยดูกันต่อไป ถ้ายุโรปมาขอเป็นเจ้าของสัมปทาน ทางเอเชียจะให้ไหมเขาไม่ยอมหรอก

ถ้าทำเศรษฐกิจแบบคนจนได้ก็วิเศษฟ้าเลย เกิดความปรองดองที่ย่ิงกว่า mou เก๊ๆที่เฉพาะเซ็นกันเฉยๆ ให้หยุดอิงอำนาจโลกีย์กันเถิด เราก็ค่อยอนุโลมจนมาสู่จุดสำคัญ

 

กถาวัตถุ 10 กับศีล

ทฤษฎีพระพุทธเจ้าจะมีกถาวัตถุ 10 ข้อที่หยุดการค้าโลกีย์

อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ คือมักน้อยพอเพียงคือใจพอ ปวิเวกก็สงบ ไม่สร้างสวรรค์โลกีย์ มันสวรรค์เก๊สวรรค์เทียม โลกุตระนี้หมดสวรรค์หมดนรก

 นอกจากกถาวัตถุ 5 ข้อแรก ก็มีผลต่อไปสำหรับผู้ใฝ่รู้ คือ ศีล สมาธิปัญญาคือไตรสิกขา

แล้วมีผลสองคือวิมุติ กับวิมุติญาณทัสนะ ปฏิบัติกถาวัตถุ 10 ให้ได้ผล สมดับคำตรัสของพระเจ้าอยู่หัว

มาจนจริงๆไม่หลอกล่อ อย่างชาวอโศกหมดเนื้อหมดตัวแล้ว สูญจริง อาตมาภูมิใจที่นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาพิสูจน์ยืนยันได้จริง ว่ามีมรรคผลแท้จริงในศาสนาพระพุทธเจ้านี้

ศึกษาไปตามกำหนดกรอบขอบเขตของตน(ปริตตัง)เอาศีล 5 ก็แค่นี้แล้วก็ทำให้น้อยลง ตั้งศีลเพิ่ม พอจิตหมดกิเลส สวรรค์โลกีย์ก็หายไป แล้วเป็นยอดขยันเสมอ วิริยารัมภะ ขยันต่อเนื่องเสมอ ถึงเวลาควรพักก็พัก ควรเพียรก็เพียรต่อเนื่อง เป็นผู้ขยันสร้างสรรไม่เอามาเป็นของตัว

ผู้ศึกษาจริงรู้จักมักน้อยรู้เขตพอ ได้แล้วก็น้อยลงไปอีกให้พอ ก็หมดสวรรค์ไปเรื่อยๆ ขยันก็เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

จะรู้อาการใจพอด้วยอาการลิงคนิมิตอุเทส ทำให้เป็น อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร มีสังขารที่เป็นอดีตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นกายปาคุญญตา ทำกัมมัญญตา ที่ดีที่เหมาะสมช่วยโลกได้ด้วยจิต เจตสิกที่คล่องแคล่ว มีปริสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ

จะเกิดอุบายกุศลเพิ่มขึ้น มีอุบายเครื่องออกที่ปฏิบัติพาให้สงบได้ ซึ่งไม่ใช่สงบด้วยวิชาสะกดไว้ ไม่ใช่ปวิเวกะ ที่สะกดไว้ ยิ่งสัคคะก็ไม่เอาแล้ว ไม่เอาสวรรค์เพราะเกินสวรรค์แล้ว

 

โสดาบันเป็นผู้ที่มีเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน

 ผู้ที่เป็นโสดาบันเป็นผู้ที่เป็นเอกราชทั่วทั่งแผ่นดิน ไปที่ไหนๆก็เหนือโลกนั้นหมดเลย เป็นเอกราช เช่นว่าอยู่เหนืออบายมุขแล้ว คุณอยู่ไหนอบายมุขไม่ได้กินคุณหรอก ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆ ไม่เอาอัตตาตนไปเบ่งกับใคร เราเป็นผู้รับใช้ผู้เสียสละ

 อาตมาว่าพวกเราที่มานี่มีปัญญาพอรู้ความจริงว่า เราจะไปเป็นผู้รับใช้เสียสละ จะเป็นเช่นนั้นจึงเป็นผู้มีธรรมะไม่เอาโลกไม่เอาอัตตา เป็นธรรมะที่ไม่เบ่งอำนาจ เป็นอำนาจทางธรรม ไม่ใช้อำนาจเลย แต่คนอื่นยกให้บูชาเคารพยกย่อง ไม่ได้อยากได้แต่เขาให้เองให้อย่างเชื่อมั่น เช่นให้ลาภ มีแต่ท่านเอาไปเป็นเนื้อนาบุญ ข้าวเมล็ดหนึ่งงอกเป็นรวงมากมายแจกคนอื่นต่อ เป็นจริงของผู้เป็นจริง คนที่เชื่อมั่นเขาจะให้ ไม่เบ่งอำนาจแต่เขายกให้เอง ไม่ล่อหลอกไม่เรียกร้องไม่ประเล้าประโลม ไม่โน้มน้าวให้ใครเอามาให้

ทำอย่างนั้นจริงๆ ถึงมีธรรมาธิปไตย ไม่เบ่งอำนาจแต่มีอำนาจโดยธรรม เช่นบอกให้เราสั่งการเขาเต็มใจแต่เราไม่ชอบใช้อำนาจ ถ้าสั่งไปแล้วผิดก็เสียเรา เราถ่อมตนก็ไม่อวดดี ให้ช่วยกันคิด สัจจะจะเป็นเช่นนั้น

 แม้โสดาบันจะเป็นเช่นนั้น มีคุณสมบัติอิสระลอยตัว เป็นสกิทาฯก็ให้มีความเป็นคนพ้นโลกเพิ่มขึ้น เป็นอนาคาฯก็พ้นกามราคะ มีมานะไม่เบ่งอวดด้วย จะระวังตนเอง นอกจากพวกไม่เป็นลำดับ ถ้าเป็นลำดับจะมีมานะเหลือน้อย จนเหลืออุทธัจจะ อวิชชา

จะเป็นคนที่สุดขยันสรรค่าสร้าง  คุณวิเศษ จะไม่เป็นคนขี้เกียจ เราอ่านรู้เลยว่าพออาการขี้เกียจมี จะไม่ทำ จะเพิ่มความขยันให้แก่ตนเอง โสดาบันจะขยันเพิ่มแต่ก็มีก้อนตกค้างให้ปฏิบัติต่อ อรหันต์ไม่มีความขี้เกียจ เราไม่พักเราไม่เพียร นอกนั้นก็ทำเต็มที่ เพียรมากกว่าพัก พระพุทธเจ้านอนแค่สี่ชม. อาตมายังไม่ไหว ทุกวันนี้ก็ไม่ฝืนตนเอง
          วิริยารัมภะเหตุ                          วิศิษฏ์แท้
          เศรษฐกิจจึ่งเกินเกรด(grade)    ชาวโลก   
          เป็นโลกเหนือโลก(โลกุตระ)แล้   แต่ล้วนเป็นจริง
          (15) พิงธรรมพิเศษไซร้            โลกุตระ
          โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น
          อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย   
          ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร

 

เป็นอำนาจที่ไม่อาชญาไม่เบ่งข่ม ไม่สั่งการ ไม่commander เป็นผู้ที่ย่ิงใหญ่ นี่คือโลกุตระที่อาตมาเอามาแพร่ขยายให้ได้รับประโยชน์ พอได้ไหม

 

เรื่องรายละเอียดที่สัตว์ตายด้วยเจตนาฆ่า เป็นเรื่องการฆ่าสัตว์กินเนื้อสัตว์ที่อาตมาได้ประเด็นจากชีวกสูตร อาตมาว่าเขาเบี้ยวบาลี เห็นเช่นนั้นจริงๆก็เลยเอาประเด็นนี้มาไขให้พวกเราได้ชัด เรียบเรียงเขียนยังไม่ได้เท่าไหร่ไม่ละเอียดพอก็เอาไว้ก่อนพรุ่งนี้ค่อยต่อ

 

ศีลอันเป็นอาริยะต้องปฏิบัติอย่างไร

ศีลอันเป็นอาริยะนั้น อย่างศีล 5 ก็ปฏิบัติ …

-สำรวมอินทรีย์ 6  มีวิญญาณ​6  อายตนะ 6  เวทนา 6  ตัณหา 6

- แล้วก็รู้จักมโนสัญเจตนาที่มีตัณหา 3..

  กามตัญหา   ภวตัณหา.     และวิภวตัณหา

เบื้องต้น มีสติสัมปชัญญะปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมโพชฌงค์.    ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์.   วิริยะสัมโพชฌงค์ ได้ผล จิตก็สงบ

ได้มาตอนแรกก็จะมี ปิติ เหมือนฌานที่มีปีติมีสุขและมีวิตกวิจาร ดูยังเคร่งคุม จะมีวิตกอยู่แต่ทำให้กิเลสลดได้ยังไม่ถึงกับสมุจเฉท ได้ชั่วคราว.   ตทังคปหาน จนเก่งขี้นสงบดีขึ้น ปัสสัทธิ ทำ ปฏิปัสสัทธิปหานได้ตามลำดับจนนิสรณปหานสมบูรณ์

 การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ hypnotize แต่เป็น supraconcentration ไม่ใช่สมาธิสามัญ แต่ทำได้ในชีวิตปกติสามัญ เมื่อเอาโพชฌงค์ปฏิบัติแล้วอยู่ในทางของมรรค 8 ขยายร่วมกันเป็นปฏิสัมพัทธ์กัน

เมื่อได้สงบเป็น ปีติสัมโพชฌงค์ ต่อเป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงต์ เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ มีมรรค 8 กับโพชฌงค์ 7

ทางโลกหากไม่ปฏิบัติโลกุตรธรรมก็ไม่จริง ถ้าจะสร้างนักการเมืองให้ไม่ทุจริตต้องมาฝึกให้เป็นคนโลกุตระ ไม่เช่นนั้นหลอกเก่ง อย่างคุณทักษิณนี่หลอกเรามาแล้ว ตอนนั้นเรายังเขียนจม.บอกให้เขาทำเต็มที่เลย ฝากไปทางคุณจำลอง แต่เขาก็ทำฉิบหายเต็มที่เลย ก็ต้องมาปลงอาบัติกันอีก เขาก็มีบารมีเป็นจาตุมหาราชิกา เป็นย.ยักษ์เขี้ยวใหญ่ รอเรือพายไปอาศัยขึ้นเรือแล้วถีบเรือทิ้ง

ตำราทางโลกมีมากมาย แต่ไม่แยแสตำราของพระพุทธเจ้า น่าสงสารประเทศไทยเมืองพุทธ

พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติตามจรณะจะได้ผลจริง เกิดหิริโอตตัปปะ ไปตามลำดับเป็นขั้นตอนเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายได้แน่นได้จริงมีพหูสูตร ที่ไม่ใช่แค่ผู้คงแก่เรียนแต่คือผู้มีการบรรลุธรรมไปตามลำดับมากขึ้นๆ พหูสูตรหรือพาหุสัจจะ มีสัจจะมากขึ้นตามลำดับ แล้วจะมีวิริยะ สติ  ปัญญา  ไม่มีคำว่าสมาธิใน จรณะ 15 ได้ผลเป็นฌาน 1-4 เป็นการเพ่งรู้เพ่งเผา กิเลส หมดหรือไม่ก็รู้ ต้องมีปัญญาตรวจสอบว่ากิเลสหมดหรือไม่

การรู้ก็คือวิชชา 8 นี่คือสัจจะที่เป็นจรณะ 15 เมื่อปฏิบัติฌานลืมตา เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ในตนแล้วละได้แล้ว คือทำอบายภพก่อน เป็นนิวรณ์ 5 ของหยาบๆโอฬาริกอัตตา ได้แล้วก็มีปราโมทย์ มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข จิตย่อมตั้งมั่น(สมาธิ) จิตสงัดจากอกุศล บรรลุฌาน ฌานไม่หลับตา แต่ฌานมีศีล มีไม่เดือดร้อนใจ เช่นเดือดร้อนใจเพราะอบายมุขก็มาลดละได้ตามลำดับ ลดได้อวิปฏิสาร แต่ก่อนเดือดร้อนเพราะสนุกสนานเมื่อยก็เอา จนได้เรื่อยๆ เป็นผลจากอวิปฏิสารก็มีปราโมทย์ มีปีติ แล้วก็ สุข แล้วก็สมาธิ เป็นยถาภูตญาณทัสนะก็รู้ตัวที่เราลดได้จริง เกิดนิพพิทาวิราคะ เข้าสู่วิมุติญาณทัสนะ ไม่ใช่แค่ศีลได้แค่กายกับวาจาส่วนสมาธิก็นั่งหลับตาเอาแต่ศีลสมาธิปัญญานั้นต่อเนื่องเป็นองค์รวมกัน

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:45:22 )

590106

รายละเอียด

590106_พุทธศาสนาตามภูมิ สามัญผลสูตร ตอน 5

พ่อครูว่า...เจริญธรรมสำนึกดีปีใหม่ วันนี้วันพุธที่ 6 มกราคม 2559 january 2016 แรม 12 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม แต่ทางทั่วไปเขาบอกว่าเป็นปีวอกแล้ว แต่ทางเรานี้ยังขานชื่อว่าปีมะแม ยังเป็นแพะ แต่ไม่ใช่แพะรับบาป

วันนี้เราก็จะฟังบรรยายต่อจากเมื่อวาน  ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นลึกซึ้งซับซ้อน พวกเราก็ได้เอาไปปฏิบัติ ได้ไม่ถึงครึ่งเลย

 

ตลาดอาริยะมีนิยามอย่างไร

พูดถึงตลาดอาริยะก็ขอปรามข้างนอก คำว่าตลาดอาริยะ ขอให้สงวนคุณภาพ คุณสมบัติของคำว่าตลาดอาริยะไว้ให้ดี

ตลาดอาริยะนั้นหมายถึง ตลาดที่ต้องขายต่ำกว่ากองทุน เราทำอย่างที่เราไม่เป็นหนี้แล้วอยู่ได้ แต่ทีนี้หลายเจ้าอยากจะเอาไปทำเอง แล้วเอาคำว่าตลาดอาริยะไปใช้ ต้องขาดทุนจึงได้ชื่อว่าตลาดอาริยะ ถ้าต่ำกว่าราคาตลาดก็ไม่ใช่ หรือจะมาคละเคล้ากันไปมีทั้งต่ำกว่าราคาตลาดหรือไม่ต่ำก็ไม่เอา แล้วตลาดเราไม่แจกฟรี แม้ขาย 1บาทก็ใช่ ตลาดอาริยะเราใช้ระดับเดียวคือ ต่ำกว่าทุน(พ่อครู59/01/06)

 ก๋วยเตี๋ยวชามละบาท สังคมเราทำได้เพราะมีปิยกรณะ คุรุกรณะ ยืนยันได้ถึงพฤติกรรม ปรากฏการณ์ phenomena เกิดจริงเป็นจริง

 

อาตมาถึงมั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระแท้ แม้จะเสื่อมไปมาก ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เสื่อม มีรากฐานอยู่ พระไตรฯฉบังสยามรัฐนี้ใช้ได้ ในสามัญผลสูตรมีพระเจ้าอชาตศัตรูมาถามคำถามท่านก็ตอบไปตามลำดับ

แล้วท่านก็พูดถึง ศีล สำรวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะเป็นเช่นนี้ อินทรีย์สังวรคือผู้คุ้มครองในทวารทั้ง 6

             [122] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย?
ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะเธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วย
ประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.

 

[123] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร? ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแลในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉันการดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืนการนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แลภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

 

เราปฏิบัติลืมตามีกายสังขาร ปฏิบัติหลับตาไม่มีกายสังขาร

อาตมาไม่ได้ตีทิ้งนั่งหลับตาสมาธินะ แต่ทำต้องรู้ประโยชน์ ซึ่ง4 อย่างนี้ คือได้ พักจิต ได้ศึกษาจิตในภวังค์ ได้เตวิชโช

เตวิชโช เหมือนเราทำการงานค้าขาย เราต้องลงบัญชี ว่าได้จริงหรือไม่ แล้วตกหล่นอย่างไรบ้าง

 การระลึกชาติก็ไม่ต้องไปถึงกับระลึกถึงชาติก่อนว่าเราเกิดเป็นอะไร? อันเป็นนิมิตเพ้อฝัน เราไม่ต้องไปกังวล เราเข้าใจดี เราแค่ระลึกไปเมื่อวานนี้ว่าเรามีพฤติกรรมอย่างไร มีกระทบสัมผัสเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย อย่างไร มีการวิจัย กาย เวทนา จิต ธรรม ของจริงในเรา ไม่ใช่เพ้อพกในอดีตกับอนาคต

ไม่ต้องถึงกับชาติที่แล้วแต่เอาชาตินี้แหละว่า เราได้ลดละกายวาจาใจหรือไม่ เราจับสักกายทิฏฐิ ได้จริงหรือไม่ นั่นต่างหาก

เราจะต้องเข้าใจสภาวะปฏิบัตินั่งหลับตาเตวิชโชดังว่าด้วย ขณะนั่งหลับตามีแต่ธรรมารมณ์ ขยายมาเป็นมนายตนะกับธรรมายตนะ มีสะพานเชื่อมต่อภายในของเราเอง เมื่อมันทำงานร่วมกันเข้ามี ปฏิ เคลื่อนไหวสัมพันธ์ มนะ คือธาตุรู้ สัมพันธ์กันเกิดผลเป็นตัวที่สามเกิดธาตุรู้ เป็นจิตสังขาร วจีสังขา

 แต่ถ้ามันเกิดแต่ข้างใน*เราไม่เรียกกายสังขาร

 แต่ถ้าต่อเนื่องกับภายนอกรวมทั้งในด้วยเรียกว่ากายสังขาร

 คำว่ากาย ต้องมีนอกและใน

ถ้าเราปฏิบัติลืมตาเราก็มีกายสังขาร

ถ้าเราปฏิบัติหลับตาก็ไม่มีกายสังขาร

มันเป็นจิตที่เป็นองค์รวม จิตสังขาร แล้วก็วิเคราะห์วิจัยสามารถเรียนรู้วิตก และวิจาร

วิตกคือจิตเร่ิมดำริ มันจะปรุงสังขาร วิเคราะห์วิจัย มีอาการเรียกว่าจาร ถ้าเราสามารถทำตัวเหตุคือสมุทัยลดลงได้ พฤติกรรมจิตที่เรียกว่าจาระ เป็นวิสังขาร สังกัปปะ ทำให้เป็นวิสังขาร แม้ชั่วคราวเรียกว่าตทังคปหานก็เร่ิมรู้จนทำได้แข็งแรงเรียกว่าสมุจเฉทปหาน เรามีดาบอาญาสิทธิ์แล้ว ตทังคะก็ได้ครั้งคราว จนแข็งแรงขึ้น ทำให้ปฏิปัสสัทธิปหาน ให้มีความแข็งแรงเพิ่มเติมขึ้น ทำทวนไปทวนมา จนแข็งแรงขึ้นเป็นนิสรณปหาน

นี่คือการปฏิบัติแบบพระพุทธเจ้าในขณะมีธรรมารมย์ที่มีอายตนะสองภายใน

 ถ้าทำภายนอกหมดแล้วก็เหลือแต่ อสัญญีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ

 

ธรรมารมณ์กับธรรมายตนะต่างกันอย่างไร

ธรรมารมณ์กับธรรมายตนะต่างกันอย่างไร?

ธรรมารมณ์ คือความรู้สึก

ธรรมายตนะ คือบทบาทการเชื่อมต่อ เป็นนามรูป คือธรรมารมณ์กับธรรมายตนะ อย่างคู่ของ อสัญญีสัตตายตนะกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ธรรมายตนะ คือตัวปรุงแต่ง

ส่วนธรรมารมณ์ คืออารมณ์นี้ เจาะลงไปว่ามันสุขหรือทุกข์ เราก็จะรู้มโนปวิจาร คือพฤติกรรมของจิต 18 ลักษณะ ที่เกิดจากสัมผัส 6 และแยกเป็น 3 สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

เราก็สามารถอ่านวิจารของเคหสิตะ ทำให้เหตุปัจจัยลดให้เป็นเนกขัมมะได้ อ่านให้รู้วิตก วิจาร มันปรุงแต่งเราก็จัดการให้สำเร็จเป็นวิจาร ก็เป็นเนกขัมสิตเวทนา พวกเราเรียนมาขนาดนี้เข้าใจดีไหม เอาไปทำได้ไหมหรือสอบได้เข็มพระธรรมเฉยๆ ได้เข็มทองคำ แต่ไม่สำคัญเท่ากับการทำได้จริง นี่คือเป้าการศึกษา

เวลาเราทำอย่างนี้เสร็จถึงอาสวะดับสิ้นได้ อาสวะที่เป็นปฏิฆในจิต มันเกิด ปฏิกิริยาเป็นพลังงานสองสัมผัสกันแล้วเกิดภาวะ ตั้งแต่กาม ก็เป็นอาการโอฬาริกอัตตา ดับกามได้ก็เหลือ รูปอัตตา ลดรูปอัตตาก็เหลืออรูปอัตตา

เราเรียกอัตตาสองว่าเป็นรูปอัตตาที่มันปรุงแต่งเป็นเรื่องราว สังขารตามมา แล้วเราก็แยกสังขารนั้นได้ เป็นสมุทัยตัวชัดที่สังขารเป็นองค์รวมเป็น ถ้าเราทำได้เป็นผล ก็เกิดเป็นสองอย่าง ตอนแรกเป็นสังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง

สังขิตตังคือ เป็น นิวเคลียร์ฟิวชั่น รวมตัว

ส่วนที่มันกระจาย(วิกขิตตังจิตตัง)ไปก็เป็น นิวเคลียร์ฟิชชั่น

ลักษณะ สังขิตตัง จะเป็นฟิวชั่นก็จะรวมตัวไม่มาก แต่สายศรัทธาจริตก็จะรวมแน่นกว่า

ปฏิบัติมี สติสัมปชัญญะ แล้วปฏิบัติลืมตาทุกอิริยาบถ สั่งสมเป็นสัมมาวิมุติ สั่งสมเป็นสันโดษ เป็นความพอความหยุด เราหยุดแล้วเธอสิยังไม่หยุด เราหยุดจริงๆมันพอ เราไม่ได้มากดข่ม แต่มันพอจริงที่ใจ เราใช้แค่นี้ก็พอ ที่เหลือเราสะพัดแจกจ่ายได้ ตั้งแต่เป็นชิ้นเป็นก้อนผลผลิต จนแรงงานกาย วจี มโน หรือความรู้ที่ถ่ายทอดออกมาก็ได้ สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้จริง เป็น กถาวัตถุ 10 คือองค์รวมของสันโดษใจพอ พอได้ก็วิเวก ไม่มีสวรรค์นรก อสังสัคคะ มีสมรรถนะ ตามจริงของตน เป็นโลกวิทู รู้จักการงาน มีพลัง 4 คือ ปัญญาพละ วิริยพละ อนวัชชะ สังคหะ แจกจ่ายเจือจานผู้อื่น มีปัญญารู้จริงๆ เป็นญาณ วิชชา เรารู้อย่างมีพลัง สามารถสร้างสรรได้ดี เหนือกิเลสได้ มีพลังวิเศษมาก เป็นพลังของวิริยะด้วย เป็นวิริยินทรีย์ มีวิริยพละ ทำการงานอันไม่เป็นโทษตลอด ไม่ใช้พลังงานมอมเมาสูญเปล่าหรือมีพิษภัยแต่เป็นพลังงานเป็นประโยชน์แก่โลก เห็นจริงเลย สังคหะ เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นอย่างมีพลัง 4

ผู้ใดปฏิบัติได้เป็นอาริยะทั้ง ศีล สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ ทั้งสันโดษ แต่ก็ยังอยู่ในอาราม พระเจ้าอชาตศัตรูไปพบในอาราม เขาคิชกูฏ ก็ไม่ไกลจากวัง พอบอกว่าจะไปก็ยกทัพไป ช้างห้าร้อย ม้าห้าร้อย นางกำนัลห้าร้อย ไปประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว แสดงว่าใกล้เมืองแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ คือ concept การปฏิบัติธรรมสมัยนั้นคือย่อมต้องเข้าไปป่า ปลีกวิเวก ทั้งภูเขาป่าถ้ำที่แจ้งลอมฟาง ลอมฟางก็ควรอยู่ในเมือง ชาวไร่ชาวนา หรือชนก็ไม่ใช่ป่าเขาถ้ำ ก็เป็นนิคมแล้ว แม้จะเป็นอย่างนี้ก็ตาม

 

สันโดษอันเป็นอาริยะเกิดผลอย่างไร
          [124] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ? ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้องเธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ดูกรมหาบพิตร นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไปฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เองดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ.
          [125] ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษอันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสนะ อันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง

ในกาลภายหลังภัต เธอกลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า เธอละความเพ่งเล็งในโลก มีใจปราศจากความเพ่งเล็งอยู่ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความเพ่งเล็งได้ ละความประทุษร้ายคือพยาบาท ไม่คิดพยาบาทมีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่างมีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้วเป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้.

พ่อครูว่า แม้แต่ลืมตาก็ถีนมิทธะได้ จมภพอยู่กับอะไรก็แข็งทื่ออยู่

ถ้านั่งหลับตาก็ไม่ได้สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ ถ้าทำแบบลืมตาก็จะทำไปตามลำดับได้ เกิด ศรัทธา มีหิริ ละอายต่อบาป จนอินทรีย์ของหิริมากขึ้นจนเป็นโอตัปปะ เกิดกลัวต่อบาป มี พหุสัจจะ ปฏิบัติอยู่กับชีวิต อยู่กับเครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งบันเทิงเริงรมย์เราก็หยุดแล้ว ไม่เอามาเล่นหัว เอามาใช้อาศัยเท่านั้น ไม่ฟุ้งเฟ้อ แฟชั่นนั้นใส่แล้วเหาะได้หรืออย่างไร เลอะเทอะเสียเปล่า ใส่แล้วทรมาน แต่หลงว่าเท่ชะมัดหลงฟูใจ เราไม่บ้าก็เห็นแปลก

สมัยดาราอาตมาก็จอมแฟชั่นบ้าไปกับเขาสั่งซื้อเสื้อมองตากูเลย  ซื้อทุกสีเลย ซื้อมาแล้วต้องใส่ออกไปนั่งรถไปโชว์เขาอีก เปลืองอีก สร้างบ้านช่องก็ต้องชวนเพื่อนฝูงมากินฉิบหายไปเรื่อย ติดแอร์ที่ห้องก็พาเพื่อมาเล่นไพ่ในห้องแอร์ โชว์ไปสารพัดบ้าๆบอๆ เรารู้แล้วเราก็ลดลงมา ชีวิตก็มีสันโดษ จิตที่เจียนสิ่งที่ติดออกเรียกว่าเพ่งรู้เพ่งเผาเป็นฌาน

ฌาน 1 ก็มีวิตกวิจาร แยกโลกียะโลกุตระออก จนทำได้ดี วิตักกะสำเร็จเป็นสัมมาสังกัปปะ มีวิตกอย่างสำคัญ ต้องใช้การเคร่งคุม

วิตก คือยังไม่โปร่งไม่ง่ายไม่อัตโนมัติ แม่นว่าอาการอย่างนี้ในใจ ให้ออกมาเป็นวจีกรรม เป็นกายกรรมอย่างนี้ให้มีมุทุภูตธาตุ มีกัมมนิยะเพิ่มขึ้นจนปีติก็ลด สุขก็ลด เป็นฌาน 4 มีญาณปัญญารู้ของจริง เรียกว่าวิปัสสนาญาณ ได้มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทำได้หลากหลาย มี variety มี diversity

มีอิทธิวิธญาณ คือทำมโนมยิทธิ ทำได้สำเร็จด้วยอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ อย่างไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร เสร็จแล้วก็ละเอียดสูงไปเป็นทิพยโสต คือแกนของเจโตปริยญาณ 16 จนถึงสมาหิตัง จนอนุตตรจิตสุดท้าย

สุดท้ายก็เป็นอาสวักขยญาณ ต้องมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ

วิชชา 8 ก็เกิดตามจรณะ ลืมตาปฏิบัติตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า

 

ทำได้แล้วเหมือน อุปมานิวรณ์

[126] ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงานของเขาจะพึงสำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขาจะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่นเป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นทาสพึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดารหาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติเดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้นบรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
             ดูกรมหาบพิตร ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้ เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล.

พ่อครูว่า...ได้ฌานก็ได้ความหลุดพ้น เป็นวิมุติหรือนิพพานเป็นผล ท่านสรุปไว้

  [127] เมื่อเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 เหล่านี้ ที่ละได้แล้วในตน ย่อมเกิดปราโมทย์เมื่อปราโมทย์แล้วย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้วย่อมได้เสวยสุขเมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น. เธอสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจารมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือพนักงานสรงสนานผู้ฉลาดจะพึงใส่จุรณสีตัวลงในภาชนะสำริด แล้วพรมด้วยน้ำ หมักไว้ ตกเวลาเย็นก้อนจุรณสีตัวซึ่งยางซึมไปจับติดกันทั่วทั้งหมด ย่อมไม่กระจายออก ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่าทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า..ถ้าทำจิตให้ระงับเป็นจิตสังขาร ก็ทำจิตให้มีอภิปโมทยังจิตตังเบิกบานไม่ร่าซ่า ลืมตาไม่เศร้าโศกไม่แข็งทื่อ เป็นคนสดชื่นเบิกบาน อาตมาว่าอาตมามีสภาพนั้น ไม่สนุกสนานแบบโลกๆ ก็ไม่มีปัญหา อยากจะสนุกก็ทำได้ ไม่สำรวมก็เป็นลิงเป็นค่างได้ บางครั้งก็ทำไป เราไม่ได้ติดยึด เรารู้ว่าเราปรุงแต่งทำไม

จุณสี คือก้อนสีน้ำเงินเหมือนผลึก เหมือนสารส้มออกสีน้ำเงินสีฟ้าใส่ลงไปแล้วละลายเหมือนสารส้ม อยู่ในอ่างน้ำของเรา

 [128] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตก วิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอทำกายนี้แหละ ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่าน ด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง.

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนห้วงน้ำลึกมีน้ำปั่นป่วน ไม่มีทางที่น้ำจะไหลมาได้ ทั้งในด้านตะวันออกด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านเหนือ  ทั้งฝนก็ไม่ตกเพิ่มตามฤดูกาล แต่สายน้ำเย็นพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้นแล้ว จะพึงทำห้วงน้ำนั้นแหละให้ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไหนๆแห่งห้วงน้ำนั้นทั้งหมด ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้องฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า เป็นพลังงานแทรกตัวในทั่วทุก cytoplasm แทรกตัวยิ่งกว่ายาดำ อยู่อย่างลหุ มีวิการรูป อยู่อย่างเบามีมุทุ และพร้อมที่จะทำงาน เป็นกัมมัญญตา นี่คือวิการรูป 3 ที่จะใช้งาน ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา เป็นการงานอย่างยิ่ง ได้อย่างรู้ว่าเราจะไม่รุนแรงมีมุทุภูตธาตที่คล่องแคล่วทั้งเจโตและปัญญา คล่องแคล่วทั้งเวทนาสัญญาสังขาร เป็นกายกัมมัญญตา เป็นองค์ประชุมรูปนามที่คล่องแคล่วว่องไว มีกายปาคุญญตา ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาเฉื่อยเนือยเฉย ขออภัยไม่เหมือนอย่างหลวงพ่อเกษมที่นั่งทื่อ ไม่ยิ้มไม่แย้มถามอะไรไม่รู้เรื่องตอบเล็กๆน้อยๆ

  [129] ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอทำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขอันปราศจากปีติไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัวที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตรเปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวงหรือดอกบัวขาว บางเหล่าซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ดอกบัวเหล่านั้น ชุ่มชื่นเอิบอาบซาบซึมด้วยน้ำเย็นตลอดยอด ตลอดเหง้า

ไม่มีเอกเทศไหนๆแห่งดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ทั่วทุกส่วน ที่น้ำเย็นจะไม่พึงถูกต้อง ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้นแล ย่อมทำกายนี้แหละให้ชุ่มชื่นเอิบอิ่มซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า ฌานนี้จะมี ตัววาง ตัวกลางไม่บวกไม่ลบ ปลดปล่อยวางได้ เรารู้ตั้งแต่อุปาทายรูป 24 ทำมา จนทำให้เป็นปุริสภาวะ จับองค์ประชุมรูปนาม ที่หทยรูป ที่รู้ว่ามีชีวิตินทรีย์ กำหนดรู้ชีวิตสัตว์ แล้วทำการดับชีวิตของสัตว์ หมดสัตตาวาสไปเรื่อยๆ  รู้สภาวะรูปนาม เป็นกายที่ปราศจากกิเลสตั้งแต่กาม จนถึงอุปกิเลส วิตกวิจาร ปีติ จนถึงสุข แล้วเจริญถึงอุเบกขา ฌาน 3 เร่ิมมีลักษณะปล่อยวางได้ อ่านอาการไม่สุขไม่ทุกข์เป็น ขณะสัมผัสอย่างลืมตามี supraconcentration รับรู้ทุกทวาร

สุ คือดี ข คือความว่าง

ก คือเซลล์เร่ิมเกิด หากไม่หยั่งลงไม่ตั้งลงก็ไม่เกิดอะไรแต่ถ้าอยู่ได้ก็เกิดสอง ส่ิงที่มีก็อยู่ในความว่างยังไม่เกิดกิเลสไม่มีselfish

ใครเข้าใจว่าสุขโลกุตระคืออย่างไร เราก็ยืมคำว่าสุขมาใช้เท่านั้น เคหสิตโสมนัสกับเนกขัมสิตโสมนัสต่างกันอย่างไรเราก็รู้

[130]  ดูกรมหาบพิตร อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละ ด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง  ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงนั่งคลุมตัวตลอดศีรษะด้วยผ้าขาว ไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายทุกๆ ส่วนของเขาที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เธอนั่งแผ่ไปทั่วกายนี้แหละด้วยใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีเอกเทศไหนๆ แห่งกายของเธอทั่วทั้งตัว ที่ใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วจะไม่ถูกต้อง ดูกรมหาบพิตรนี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า สรุปว่าฌานทั้ง 4 ของพพจ.นั้นมีครบรูปนาม นอกใน ครบเวทนา 108 มีตัณหา 6 ให้ปฏิบัติจัดการกับตัณหา 3 ใช้วิภวตัณหาล้างตัณหา ล้างกามภพ หมดแล้วก็ทำภวภพให้หมด แล้วก็ยังมีความต้องการสามัญที่ไม่มีตัวเองไม่มีภพชาติของตัวเองทำงานเพื่อจะอยู่กับสังคมช่วยสังคม เราทำงานเรียกว่าเราเสีย แต่นี่และคือเราได้ เราเป็นคนไม่สูญเปล่าเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าตลอดเวลา เป็นส่ิงประเสริฐที่ควรเกิดได้

ผู้ที่มีฌานถึงฌาน 4 ถึงอุเบกขาฐานแล้ว ที่ประเสริฐสุด

 

 

 [131] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ 1- เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แล มีรูปประกอบด้วยมหาภูต 2- 4 เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสดไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายเป็นธรรมดาและวิญญาณของเรานี้ ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาวสมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น บุรุษมีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้ายเขียวเหลืองแดงขาวหรือนวลร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้นฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล

เมื่อจิตเป็นสมาธิ(สมาหิเต จิตเต) บริสุทธิ์(ปริสุทเธ)ผ่องแผ้ว(ปริโยทาเต) ไม่มีกิเลส(อนังคเณ) ปราศจากอุปกิเลส(วิคตูปักกิเลเส) อ่อน(มุทุภูเต) ควรแก่การงาน(กัมมนิเย) ตั้งมั่น(ฐีเต) ไม่หวั่นไหว(อเนญชัปปัตเต)อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสนะ

เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า กายของเรานี้แลมีรูป ประกอบด้วยมหาภูต 4เกิดแต่มารดาบิดา เติบโตด้วยข้าวสุกและขนมสด ไม่เที่ยง ต้องอบ ต้องนวดฟั้น มีอันทำลายกระจัดกระจายเป็นธรรมดา และวิญญาณของเรานี้ก็อาศัยอยู่ในกายนี้ เนื่องอยู่ในกายนี้ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
           [132] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่านี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเองอีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก

@1. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ        @   ปัจจเวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ
@2. ได้แก่ธาตุ 4 คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่งก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า คุณมีฐานนิพพานมีวิมุติแล้ว ก็เพิ่มฐานความเก่ง เป็นอิทธิวิธญาณ คือสามารถเนรมิต คือทำจิตของเรา คือองค์ประชุมรูปนามคือกาย ที่เราจะอภิสังขารปรุงแต่งขึ้น เช่นเราสามารถสร้างสังขารใหม่เป็นวจีสังขาร ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ได้ก็มีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ก็จัดสังขารอย่างวิเศษเป็นวิสังขาร จัดการปราบอกุศลหมดแล้วเหลือแต่คุณวิเศษ เป็นวิสังขาร คือสังขารที่ไม่มีกิเลส แต่เป็นสังขารที่ยิ่งใหญ่ที่จะสามารถปรุงแต่งเนรมิต ด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4​ เพราะมีสังขารุปเปกขาญาณ มีสัจจานุโลมมิกญาณ ในการทำงานร่วมกับโลก มีปฏิสังขารญาณคือทำเพิ่มขึ้น จะมีการทำงานอย่างสัจจานุโลมมิกญาณ คือการทำงานเนรมิต อยัง กายยัง อยังคือปัญญา คือปัญญาสุดยอด อัญญา

 แต่ถ้าเป็นอัญญาณคือไม่มีญาณปัญญา

แต่ถ้าอัญญา คือสุดยอดของญาณของศาสนาพุทธ สร้างองค์ประชุมรูปนามด้วยกายา ด้วยอัญญา

ที่อาตมาพาพวกเราไปทำงานแสดงก็คือด้วยปรุงแต่งสร้างสรรเนรมิต ไม่ใช่เรื่องเลอะเทอะมอมเมาแล้ว

จบ..


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:46:02 )

590107

รายละเอียด

590107_พุทธศาสนาตามภูมิ บาปที่สัตว์ตายด้วยคนเจตนาฆ่า

พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2559 แรม 13 ค่ำเดือนอ้ายปีมะแม ก็มาว่ากันต่อ พวกเราที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ตั้งใจฟังตั้งใจปฏิบัติตั้งใจศึกษา ตามที่ได้สาธยาย ครบแล้วนะ 45 ปี แต่ว่าพวกเราจะได้แค่ไหนก็ไม่รู้

 ก็ไปเรื่อย อาตมายังแข็งแรง ยังสู้ สู้ทำงานนี้ที่ดีที่สุดไม่มีท้อไม่มีถอย ใครยังรับ ตั้งใจยอมรับ อตามาก็เต็มใจที่จะสาธยายออกไป วันนี้จะต่อ เราได้เข้าสู่ สามัญญผลสูตร คือผลของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้โบราณอาจารย์ก็ได้เพียงรวบรวมไว้ ถึงผลที่เป็นสมณะ เป็นอริยบุคคล ในสมณะ 4 เหล่าพระพุทธเจ้ายืนยันว่ามีแต่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียว ศาสนาอื่นไม่มีสิทธิ์ที่จะมีสมณ 4 เหล่า ( โสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี-และอรหันต์) มันยิ่งใหญ่กว่าเห็นเพชรเห็นทองก้อนเท่าหัว

อาตมาไปทบทวนดูชีวกสูตรที่อ้างอิงกันทั่วไปในเถรวาท ว่าพระพุทธเจ้าสอนเรื่องเนื้อสัตว์ เขาว่าถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วมันต้องมีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เขาก็บอกว่ากินได้ถ้าบริสุทธิ์โดยส่วนสาม 

คือ ได้เห็น ได้ยิน ไม่รังเกียจ

ได้เห็น คือเขาบอกว่า ฆ่าเฉพาะบุคคล คำว่าเฉพาะบุคคล เขายึดติดกันว่าเป็นอย่างไร เถียงกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าเลย ผู้ฉลาดก็เลี่ยง ตำราก็มีอยู่ อาตมาดูแล้ว

 

เนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค 3 อย่าง

ชีวกสูตร เรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์

[56] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
         สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นแล หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดม
ทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ?

 

เนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค 3 อย่าง
 

[57] พ. ดูกรชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดมพระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ชนเหล่านั้นจะชื่อว่ากล่าวตรงกับที่เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง ดูกรชีวกเรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยินเนื้อที่ตนรังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ นี้แล

ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ คืเนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการนี้แล.

ถ้าเห็นว่าเขาฆ่าสัตว์เพื่อตัวเองมากับตา ได้ยินด้วยว่าเขาฆ่าเพื่อตัวเอง ก็แสดงว่าจะฆ่าเพื่อเรา เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินใจไม่รังเกียจ ดีไม่ดีก็ชอบเอาด้วย

จะมีข้อขัดแย้งที่ว่า เฉพาะตน คืออย่างไร

                             

บาปที่สัตว์ตายด้วยคนเจตนาฆ่า
            ***********************
สัตว์(ปาณํ)ที่จิตคนมีเจตนา,เจาะจง(อุทฺทิสฺส)ตั้งแต่มีเครื่องหมายแสดงออก(อุทฺทิสฺส),แล้วก็มีทิศทาง(อุทฺทิสฺส),หันไปทาง(อุทฺทิสฺส),บ่งชี้ไปยัง(อุทฺทิสฺส) และมีอาการของจิตที่ขยายละเอียดขึ้นไปอีกคือ อารภนฺติ
          และสัตว์(ปาณํ) ที่มีคนเกิดจิตต่อสัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง กล่าวคือ ตั้งแต่..ปรารภ(อารภนฺติ), เริ่มต้น(อารภนฺติ),  รับทำ(อารภนฺติ), พยายาม(อารภนฺติ), ร้ายกาจ(อารภนฺติ) ที่สุดประหารหรือฆ่า(อารภนฺติ)
          โดยสัตว์ตัวนั้น ถูกคนทำตามอาการของอารภนฺติ 4 ขั้นนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นอาการร้ายขึ้นๆแรงขึ้นๆๆ กระทั่งสัตว์ถูกฆ่าตายจบชีวิตด้วยอาการของจิตคนตั้งแต่เริ่มแรกปรารภ(อารภนฺติ) ขั้นอ่อนเบา แล้วก็แรงขึ้นๆ กระทั่งหนักสุดถึงขั้นฆ่าสัตว์ตายสำเร็จ เป็นลำดับที่ 4 จบกิจแห่งการตายของสัตว์ ที่คนย่อมมีเจตนาเป็นระยะๆตามนั้นแน่ กระทั่งถึงขั้นฆ่าสำเร็จ
          อาการของจิตคนผู้ฆ่าสัตว์ จนได้เนื้อสัตว์นั้นไปถวายเจาะจงพระตถาคตหรือสาวกพระตถาคต นี้คือ คำความมากจาก อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60 ความว่า...

          ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า...
      -
  ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 1 นี้
      -  สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 2 นี้
      -  ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 3 นี้
      -  สัตว์นั้นเมื่อกำลังถูกเขาฆ่า ย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 4 นี้
     -   ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อ เป็นอกัปปิยะ ชื่อว่า ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 5 นี้
          ดูชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาป มิใช่บุญ เป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการนี้

          ซึ่งมาจากบาลีว่า สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ
          ทั้งหมดมี 5 ข้อ  สำหรับข้อ 1 ถึง 4 นั้นคือ อาการ 4 ขั้นของอารภนฺติตั้งแต่..

1.เริ่มมีอาการปรารภว่า ไปเอาสัตว์ตัวนั้นมาซิ(อารภนฺติ)

2. รับทำ ไปผูกคอมันมา(อารภนฺติ)

3.พยายาม บอกให้ฆ่า(อารภนฺติ) 

4.ร้ายกาจขั้นถึงสุดท้ายฆ่าสัตว์นั้นตาย(อารภนฺติ)
          ซึ่งอาการต่างๆ 4 ขั้นของอารภนฺตินี้เป็นอาการของจิตโทสมูลที่รุนแรงขึ้นๆตามลำดับ
          พระพุทธเจ้าตรัสในข้อ 58 ว่า ตถาคตและภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมมีเมตตา อันไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ แม้ในจิตจะดำริ(ตักก)ยินดีในอาหารที่แสนประณีตนั้น ก็ต้องพิจารณาจิตตนว่า ยินดีมีอาการกาม
หรืออาการพยาบาท หรืออาการวิหิงสา ที่เบียดเบียนตนเบียดเบียนสัตว์อื่น หรือไม่ (พิจารณาความเป็นเป็นมิจฉาสังกัปปะ 3)


          หรือมีผู้ถวายอาหารอันประณีต คืออาหารชั้นดีเยี่ยมสูงส่งราคาแพง เป็นที่นิยมยกย่องของสังคมทั่วไปก็ต้องไม่หลงยินดีว่า อาหารนี้ ประณีต ยอดจังเลย ที่คฤหบดีถวายอาหารปานฉะนี้ คฤหัสนี้น่าจะได้ถวายอาหารที่ประณีตเยี่ยมยอดอย่างนี้อีก แม้ในคราวต่อไปๆๆๆ
          อาการของจิตอย่างนี้ ต้องไม่มีแก่ภิกษุผู้สำรวมสังวรดีแล้ว ย่อมไม่กำหนัด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนอาหารนั้น
          โดยเฉพาะ มีปกติเห็นโทษด้วยปัญญาเป็นเครื่องถอนตน
จึงเป็นภิกษุผู้บริโภคด้วยอปัณณกปฏิปทา 3
          อย่าได้หลงตามอายตนะ 6 รูปหยาบ(พยัญชนะ) ที่สัมผัสอยู่นั้น แล้วหลงไปตามความนิยมของชาวโลกแล้วหลงง่ายๆไปตามชาวโลกีย์ว่า ดีหนอ ไปเรื่อย เป็นผู้ไม่มีการศึกษา 
          แล้วท่านก็พิจารณา ถึงจิตตนที่ยินดีในอาหารประณีตนั้น ว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง มันยิ่งเยี่ยมยอดตามความนิยมของสังคมอย่างใด ก็พิจารณา แล้วปฏิบัติในสิ่งที่ควรปฏิบัติ
          โดยไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย การรับประทานอาหารนั้นจึงจะชื่อว่า รับประทานอาหารไม่มีโทษ
          ก็ขอแวะถามผู้ที่ฟังอาตมาอธิบายอยู่ขณะนี้ ว่า ผู้ได้ศึกษามาดีแล้วว่า ความพยาบาทเพราะราคะ โทสะ โมหะที่เกิดในจิตสัตวโลกทั้งหลาย ย่อมเกิดและสั่งสมใส่ๅจิตเป็นอาสวะ เป็นอนุสัยอยู่แน่ ใช่ไหม ..สำหรับสัตว์ที่ยังอวิชชา(สัตว์เดรัจฉานยังมีอวิชชาอยู่แน่ยิ่งกว่าแน่)
          แล้วความพยาบาท ที่มีในอาสวะในอนุสัยสัตว์นั้นย่อมมีอยู่เพื่อพยาบาทต่อไป จึงยังสร้างเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัยของสัตวโลก มีโศกปริเทวะทุกขโทมนัสอุปายาส สำหรับผู้ยังไม่หมดสิ้นราคะ โทสะ โมหะ ดังที่ในสังคมมีอยู่อย่างไม่รู้จบสิ้นของสัตวโลกผู้ไม่หมดสิ้นอาสวะหรืออนุสัยอยู่แน่นอน จึงเวียนเกิดเวียนตายมีนิทานของตนไปจนกว่าจะสิ้นอวิชชา
          พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า บุคคลพึงมีความพยาบาทเพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา    
          ถามว่า ผู้ไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น หรือเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย ที่เข้าใจในความพยาบาท ของอาสวะหรืออนุสัยสัตว์ที่ยังมีอวิชชาจริง จะรับประทานเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่ามาโดยคน ซึ่งเป็นอุทฺทิสฺสะ มังสะ (ไม่ใช่ปวัตตะ มังสะ)นี้มั้ยล่ะ? เพื่อให้สัตว์พยาบาทต่อไปมั้ย?
          ต่อจากนั้น ชีวกก็กราบทูลอีกว่า เคยได้ยินมาว่า พรหมนั้นมีปกติอยู่ด้วยเมตตา บัดนี้เห็นแล้วว่าพระพุทธองค์ทรงมีปกติอยู่ด้วยเมตตา
          นั่นคือ ชีวกย่อมเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้า ทรงมีปกติเมตตาอย่างไรในทุกเวลาที่ชีวกได้สัมพันธ์คบคุ้นอยู่ด้วย ชีวกก็ต้องเห็นพระพุทธเจ้าทรงมีพฤติกรรมอยู่อย่างไร ท่านจะฉันอาหารที่มีเนื้อสัตว์ที่ทำอย่างประณีตนั้นไหม? ก็ลองคิดกันดู
          แล้วพระพุทธเจ้าตรัสถามชีวกว่า ดูกรชีวก บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มีราคะ โทสะ โมหะมีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา
          ผู้มีราคะ,โทสะ,โมหะในตนหมดสิ้นแล้ว ท่านจะต่อความพยาบาท ด้วยการรับประทานเนื้อสัตว์อีก ซึ่งเป็นเนื้อของสัตว์ที่ยังมีอวิชชาฝังอยู่ในอนุสัย ย่อมยังมีความพยาบาทอยู่แน่นอน นั้นมั้ย? ก็ตรองดูกันให้ชัดๆ

 

 

 

เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ดูกรชีวก ถ้าเธอกล่าวนี้จะหมายเอา การละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้น [นั้นคือ ความหมายของผู้มีจิตเมตตา] เราก็อนุญาตให้เธอหมายเอาเช่นนั้น [ซึ่งเป็นความถูกต้องแล้ว ผู้มีเมตตานั้น คือ ผู้ไม่มีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะ นั่นเอง]  
          ชีวกจึงกราบทูลตอบพระพุทธเจ้าไปอย่างเข้าใจดีว่า เขาก็หมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ ตามนั้นแล

 ดูกรชีวก บุคคลพึงมีความพยาบาท เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะโมหะนั้น ตถาคตละแล้ว มีมูลอันขาดแล้ว เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกินต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรชีวก ถ้าแลท่านกล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ โมหะ เป็นต้นนี้เราอนุญาตการกล่าวเช่นนั้นแก่ท่าน.
             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากล่าวหมายเอาการละราคะ โทสะ และโมหะเป็นต้นนี้.

          ทีนี้ ข้อ 59 พระพุทธเจ้าก็ทรงขยายความเพิ่มจาก..เมตตาไปเป็นกรุณา..มุทิตา..อุเบกขา ก็มีครรลองเดียวกัน เพียงแต่ความเป็นกรุณา..มุทิตา..อุเบกขาเท่านั้นที่มีนัยะแยกต่างไปตามความหมายของคำความนั้นๆ
          นั่นคือ เมตตา นั้นเกิดที่จิตใจ รู้ว่าคนมีทุกข์ ก็มีอาการอยากช่วยเขาให้เป็นสุข พ้นทุกข์นั้นอย่างเป็นอริยสัจ
          กรุณา ก็ลงมือช่วย ด้วยความสามารถ
          มุทิตา ช่วยได้ เสร็จจนเขาเป็นสุข พ้นทุกขอริยสัจ
แล้วก็ยินดีไปกับเขาตามที่เป็นจริงนั้น
          อุเบกขา จบ แล้วก็ปล่อยวางใจ ไม่ยึดในดีที่เราทำแล้วนั้นเป็นเราเป็นของเรา หมดสิ้นความยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็น ใจกลางๆ ไม่มีอาการดูดและผลักเรื่องนั้นแล้ว ใจว่างจากยึดดีนั้น ใจก็ไม่ว่างกับงานอื่นต่อไป ..ไปจับงานอื่นที่ควร      ใจว่างก็ดี จิตว่างก็ดี จึงไม่ใช่จิตว่างไร้ความหมาย ว่างเวิ้งว้าง ว่างอย่างลอยๆ ว่างอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป ว่างอย่างไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย อธิบายถึงเหตุ-นิทาน-สมุทัย-ปัจจัย ซึ่งมีองค์ประกอบพร้อม กระทั่งถึงผลสุดท้าย จบสุด ไม่ได้
          เป็นใจประกอบด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน จึงไม่กำหนัด ไม่สยบ ไม่รีบกลืนอาหาร มีปกติเห็นโทษ มีปัญญาเครื่องถอนตน บริโภคตามที่ควรบริโภคแก่ชีวิตอยู่ ไม่คิดเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย

 

จิตว่างจากกิเลส

จิตว่าง หมายถึงว่างจากกิเลสในกามภพ รูปภพ อรูปภพอย่างสัมบูรณ์   

จิตว่างจึงหมายถึง จิตว่างจากกิเลส และว่างจากแม้แต่จิตดีที่เราได้ทำดีให้ตนเองแท้ๆ ว่าเป็นเราตามลำดับ จากดับกิเลสกามได้หมด ดับกิเลสในภพได้หมด และสุดท้ายดับกิเลสในอรูปภพได้หมดสิ้นสนิท แม้กิเลสมานะ กิเลสอุทธัจจะ สิ้นอวิชชา กิเลสานุสัยไม่เกิดอีกเลยแล้วจริง
        เพราะสิ้นกิเลสในกามภพ ถือว่าจบกิจในกามภพ ก็มีธรรมาธิปไตยอยู่เหนือกามภพ

หรือสิ้นกิเลสในรูปภพก็มีธรรมาธิปไตยอยู่เหนือรูปภพ ถือว่าจบกิจในรูปภพ ก็มีธรรมาธิปไตยอยู่เหนือรูปภพ
        และสิ้นเกลี้ยงกิเลสในอรูปภพ ก็มีธรรมาธิปไตย
อยู่เหนืออรูปภพ ก็จบสุดสิ้นกิเลสในภพ 3สัมบูรณ์
        เป็นผู้หมดสิ้นกามตัณหาและหมดสิ้นภวตัณหา ทั้ง 3 ภพ โดยมีวิภวตัณหาเป็นพลังตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาล้างตัณหา จนกระทั่งสิ้นภพจบชาติสนิทแท้แน่แล้ว ก็ยังคงเหลือแต่วิภวตัณหา ที่บัดนี้ สิ้นภพจบชาติ เป็นวิภวคือไม่มีภพสิ้นสนิทสัมบูรณ์
เป็นตัณหาวิเศษ ตัณหาหรือความอยากที่ไม่มีภพแล้ว ไม่มีกิเลสอีกแล้ว วิภวตัณหานี้ก็ทำงานรับใช้โลก(โลกานุกัมปายะ) ด้วยจิตว่าง
จากกิเลส หมดตัวตนเกลี้ยงสนิทแน่ ชนิดที่เที่ยงแท้(นิจจัง)
ยั่งยืน(ธุวัง) ตลอดไป(สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนแปรอีก(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง)ต่อไปอีกชีวิตอยู่กับอมตะ นานเท่าที่ตนยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

          นี้คือ จิตพระเจ้าแท้ ที่พิสูจน์ได้ในคนผู้สัมมาทิฏฐิ และสัมมาปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุผลถึงที่สุดสัมบูรณ์ 

 

 

ชีวกสูตร(การไม่กินเนื้อสัตว์)
          ทีนี้ มาวิจัยละเอียดต่อไป แต่ละคำความอื่นอีก หยิบมาแจกแจงที่มันลับๆ มาเจาะกันลึกๆ ให้ชัดๆเจนๆดู    
          ตั้งแต่ สมณํ โคตมํ อุทฺทิสส ..นี้หนึ่ง คือ เจาะจงเฉพาะพระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็เป็นส่วนสำหรับพระพุทธองค์
          และ ปาณํ อารภติ ..นี้อีกหนึ่ง คือ ส่วนที่เป็นของคนทั่วไปที่ มีอารภติ 


          ในชีวกสูตรนี้ เริ่มเรื่องตั้งแต่ข้อ 56 ว่า ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว กราบทูลถามว่า
          ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
ด้วยคำอันไม่จริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม  การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ ฯ
          ข้อ 57 พระพุทธเจ้าจึงตรัสปฏิเสธชัดเจน ว่า ดูกรชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นจะชื่อว่า กล่าวตรงกับที่เรากล่าว หามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่ เราด้วยคำที่ไม่จริง
          ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ 
          ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ นี้แล คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่รังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค ด้วยเหตุ 3 ประการ นี้แล ฯ

          แม้เนื้อความในข้อ 58-59 อาตมาก็ได้สาธยายมาบ้างแล้วว่า พระองค์เต็มไปด้วยเมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา อันไม่มีประมาณ อย่างที่ได้สาธยายผ่านมานั้น  ดังที่อาตมาได้อธิบายความเป็นพรหมวิหาร 4นี้ ผ่านมาบ้างแล้วนั้น
           และสุดท้าย ข้อ 60 พระพุทธเจ้าก็ตรัสสรุป ว่า สัตว์ที่ถูกฆ่า ตามอาการ 4ของอารภน็อคติที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น มันเป็นบาปแท้ๆ ที่สัตว์ย่อมเกิดความพยาบาท ที่มันทุกข์ เพราะราคะ โทสะ โมหะใด ราคะ โทสะ โมหะนั้นย่อมเป็นบาปที่ยังก่อเวร ด้วยความพยาบาทอยู่ในอนุสัย    
          ย่อมมิใช่บุญ เป็นอันมาก(พหุํ อปุญฺญํ ปสวติ) แล้วเจตนา,เจาะจง(อุทฺทิสฺส)เอาไปถวายพระตถาคต หรือสาวก ตถาคต แถมเข้าไปอีก ซึ่งไม่ถูกต้อง(อกัปปิยะ), ไม่สมควร(อกัปปิยะ), ไม่เหมาะสม(อกัปปิยะ) อย่างยิ่ง
          เพราะพระตถาคต หรือสาวกพระตถาคตนั้น เป็นคนแห่งบุญ พระตถาคตนี้แลเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีทำบุญ คือชำระกิเลสจากจิตสันดานได้จริงแท้(ปุญญ = สันตานัง ปุนาติ วิโสเธติ ซึ่งเป็นเรื่องขั้นปรมัตถสัจจะแท้ๆ)เป็นคนเจ้าของทฤษฎี
การทำความเป็นบุญที่สัมมาทิฏฐิที่สุด จริงที่สุด ที่ทำได้สำเร็จแน่แท้ด้วย ถูกต้องตัวตนของกิเลสหมดสิ้นไปจริง
          บุญ(ปุญญ)แปลว่า ชำระกิเลสในจิตสันดานให้สะอาดหมดจด(สัตตานัง ปุนาติ วิโสเธติ)
          ทุกวันนี้คำว่าบุญ มิจฉาทิฏฐิกันไปจนไม่เข้าเป้าของความหมายที่แท้จริงกันแล้ว ไปเข้าใจกันว่าเป็นกุศลที่ได้จากการทาน ได้จากการทำคุณงามความดีทั้งหลายทั่วไป เสร็จแล้วได้ผลวิบาก เป็นภาวะที่มี ที่เป็นสมบัติ สะสมใส่อัตตา อาศัยในความเป็นชีวะนั้นไปตลอดกาลนาน
          กุศลนั้นเป็นผลวิบาก(ผลัง วิปาโก)ของกรรมที่ทำแล้วได้เป็นภาวะสะสมใส่ไว้ในจิตต่อไป ให้อัตตภาพอาศัย ไปตลอดท่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน
          ส่วนบุญเป็นผลวิบาก(ผลัง วิปาโก)ของกรรมที่ทำสำเร็จแล้วไม่มีภาวะสะสมในจิตอีกต่อไป ผลวิบากเป็นสูญ สิ้นซากสิ้นสูญไปแล้ว(ปริกขีโณ) ไม่เหลืออะไรเลย 
          ตามบทที่ว่าสุกตทุกฺกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก
          บุญที่ปฏิบัติเป็นผลจึงไม่ใช่สิ่งที่ได้ ที่มี ที่เหลือ
          แท้จริงบุญมีนัยสำคัญเฉพาะพิเศษยิ่ง ไม่เหมือนกุศล เพราะบุญเป็นเครื่องมือในการชำระกิเลสโดยตรง เมื่อทำหน้าที่บุญเสร็จจบสัมบูรณ์แล้ว บุญก็หมดหน้าที่ ในความเป็นเครื่องมือ บุญจึงสิ้นหมดไปพร้อมกับบาป หรืออกุศลนั้นๆ เพราะได้ปุนาติ(ชำระกิเลส) สะอาดหมดจดเสร็จแล้ว(วิโสเธติ) จึงจบกิจด้วยคำว่าสิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกฺขีโณ) ชัดเจนยิ่งอยู่อย่างนี้
          ผู้ที่ได้ชำระบาปด้วยการทำบุญอย่างสัมมาทิฏฐิ หมายความว่า ได้ชำระกิเลสไปจนหมดสิ้นบาปแล้ว ก็เป็นอันสิ้นบุญไปด้วย จบกิจ เป็นผู้สิ้นบุญด้วย สิ้นบาปด้วย คือ ปุญฺญปาปปริกฺขีโณ ซึ่งเป็นผู้จบกิจของตน ไม่ทำบาปทั้งปวงอีกต่อไปได้จริงแล้ว(สัพพปาปัสสะ อกรณัง)
          ต่อจากนั้นคนผู้นี้ทำกรรมใด ก็มีแต่กุศลถ่ายเดียวเท่านั้น(กุสลัสูปสัมปทา) ตนไม่มีบุญใดกันอีกแล้ว เพราะตนเองจบกิจเรื่องบุญแล้ว ตนได้ทำบุญจนกระทั่งหมดสิ้นทั้งบุญทั้งบาปแล้วสัมบูรณ์
          เพราะได้ทำจิตให้สะอาดหมดจด(สจิตตปริโยทปนัง) สำเร็จสัมบูรณ์ จบกิจแล้ว กิจนี้ไม่ต้องทำอีกแล้ว
          พระอรหันต์ขึ้นไปจนถึงพระพุทธเจ้านั้นท่านไม่ตั้งใจปลงสัตว์จากชีวิต แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต(ชีวิตเหตุปิ สัญญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปยฺยามาติ ; พระไตรปิฎก เล่ม 5 ข้อ 80) นั่นคือ ท่านไม่ตั้งใจฆ่าสัตว์ใดแล้ว แม้ตนจะถึงตายก็ไม่ฆ่าผู้อื่น (สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง ; พระไตรปิฎก เล่ม 23 ข้อ 211,212)
          พระพุทธเจ้าเป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว ส่วนพระสาวกบางท่านก็บริสุทธิ์แล้ว บางท่านก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กำลังปฏิบัติเพื่อเอาบาปออกจากตนให้หมดสิ้นอยู่ เป็นผู้ควรเคารพ เป็นผู้มีคุณธรรม เป็นผู้มีคุณงามความดี เป็นผู้ควรยกไว้สูง ไม่ควรเอาสิ่งที่เป็นบาปจนครบ 4 ขั้นร้ายปานนั้นไปให้ท่าน ทำให้ท่านแปดเปื้อนบาป ใครใดเอาเนื้อสัตว์ไปให้ท่านยินดีฉันเนื้อนั้น จึงเป็นบาปเป็นอันมาก มิใช่บุญเลย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ยืนยันอยู่นี้
โดยผู้ให้ก็จงใจ,เจตนา,เจาะจงจะให้ท่านผู้บริสุทธิ์และพยายามทำความบริสุทธิ์ให้ตนอยู่จริงจังนี้ จึงไม่ถูกต้อง(อกัปปิยะ) ไม่สมควร(อกัปปิยะ) ไม่เหมาะสม(อกัปปิยะ) ที่จะเอาสิ่ง(เนื้อสัตว์)ที่ไม่บริสุทธิ์ หรือสิ่งที่บาปเต็มขั้นนี้  ไปถวายพระพุทธเจ้า(ตถาคต) หรือสาวกพระพุทธเจ้า(ตถาคตสาวก)
          สรุปชัดๆการเอาเนื้อสัตว์ที่คนเป็นเหตุแห่งบาปเป็นอันมาก จนเกิดเนื้อที่บาปเพราะอารภติไปตั้งแต่ปรารภ(อารภติ), เริ่มต้น(อารภติ), รับทำ(อารภติ), พยายาม(อารภติ), ร้ายกาจ(อารภติ), ประหารหรือฆ่า(อารภติ) กระทั่งมันตายจบชีวิต ซึ่งร้ายขึ้นๆแรงขึ้นๆๆ จึงบาปถึง 4 ขั้นแล้วนี้ แล้วนำไปเจาะจงเฉพาะ(อุทฺทิสฺส)ต่อพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า(ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ)ให้ยินดีด้วยเนื้อที่เป็นก้อนบาปเต็มคราบนั้น บาปของผุ้เอาไปถวายก็ยิ่งเพิ่มทวีหนักหน้าขึ้นไปอีก เพราะเอาไปให้แก่ผู้ที่ควรเคารพยิ่ง จึงไม่สมควรเลย เป็นอกัปปิยะจริงๆ
          เนื้อสัตว์เป็นทรัพย์บาปของโจรที่ปล้นฆ่าชีวิตสัตว์ นำไปให้ใคร ผู้นั้นก็รับของโจร ก็ต้องมีผิดบาปผิดไปด้วย 
          เท่ากับผู้นำเอาทรัพย์บาปโจรร้ายปล้นฆ่าชีวิตสัตว์แท้ๆ แล้วยังมีหน้าจะเอาเนื้อสัตว์อันเป็นของโจรที่โจรทุจริตร้ายปล้นฆ่านี้ ซึ่งเป็นเนื้อที่อาศัยกรรม(ปฏิจฺจ กัมมันติ ; พตปฎ. เล่ม 13 ข้อ 57)ที่โจรเองทำบาปเป็นอันมาก มิใช่บุญเลย ด้วย
อารภติครบ 4 ขั้น ไปให้แก่ท่านผู้บริสุทธิ์ จึงไม่สมควร(อกัปปิยะ) ไม่ถูกต้อง(อกัปปิยะ) ไม่เหมาะสม(อกัปปิยะ)อย่างยิ่ง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ละเอียดลออในชีวกสูตร(พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60)  
          แล้วผู้ทำบาปที่เจาะจงเฉพาะพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า(อุทฺทิสฺส) เป็นการเอาก้อนบาปร้ายนี้ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้า อันเป็นการไม่สมควร(อกัปปิยะ)จะถวายเลย ซ้ำเข้าไปอีก ก็ยิ่งได้อกุศลหรือบาปเป็นอันมาก มิใช่บุญเป็นอันมากมาทดแทนยิ่งขึ้นๆไปอีก ชัดๆอย่างนี้เอง เป็นขั้นที่ 5 ขั้นสุดยอดแห่งการทำบาป-ทำอกุศล ด้วยเจาะจงเฉพาะ(อุทฺทิสฺส)ซ้ำเข้าไปยิ่งๆๆๆๆ นั่นแหละเพราะเป็นการนำก้อนบาป(สัตว์ที่ต้องตายด้วยกรรม บาปกรรมอกุศล มิใช่บุญเลย ตามลำดับสูงขึ้นๆจนครบ 4 ระดับนั้น) อกุศลหรือบาปที่ไม่ใช่การทำบุญ(ชำระกิเลส)ที่มากขึ้นๆ ไปตามลำดับ แต่กลับเป็นบาปตั้งแต่ปรารภ(อารภติ),เริ่มต้น(อารภติ),พยายาม(อารภติ),ร้ายกาจ(อารภติ),ประหารหรือฆ่า(อารภติ) ตามที่พระพุทธเจ้าทรงไล่เรียงอาการของจิตอารภติที่เป็นบาปเป็นลำดับขึ้นไปเป็นขั้นๆจนเต็มคราบ ให้เห็นอย่างละเอียดประณีตยิ่งนี้
          จึงได้ก้อนบาปที่พระพุทธเจ้าทรงขยายขั้นชั้นแห่งบาปของอารภติแล้ว ผู้อวิชชาก็นำเนื้อสัตว์ที่บาปถึงขั้นที่ 4 ฆ่าสัตว์นั้นเป็นที่สุด เป็นบาปเต็มรูป-อกุศลเต็มรูป แห่งเจตนาไปทางร้ายนี้มามุ่งเฉพาะ(อุทฺทิสฺส)หรือเจาะจง(อุทฺทิสฺส)จึงไม่ใช่แค่บาปหรืออกุศลตามเจตนาหรือจงใจหรือเจาะจงหรือมีจิตหันทางไปในทางร้ายแค่ครึ่งๆกลางๆ แต่หันทิศไปทางร้ายจนทะลุบาปตั้งแต่ขั้น 1 ถึงขั้นที่ 4ที่สุดฆ่า จึงไม่ใช่เจตนาที่มีทิศทางไปในทิศของการละลดจางคลายความร้าย-ความบาป อันเป็นบุญเลย หรือไม่ได้ไปในทิศทางชำระกิเลสจากสันดาน(สันตานัง ปุนาติ)เลย นี่แหละคือ ไม่ใช่บุญ(อปุญญ)  แล้วยังจะเอาไปเติมบาปขั้นที่ 5
          ฉะนี้แล บาปที่มีขั้นตอนของเจตนาเฉพาะหรือจงใจหรือเจาะจงอันภาษาบาลีว่า อุทฺทิสฺสอย่างละเอียดลออชัดเจนแท้ๆ แต่ไทยเอามาใช้จนติดปากว่าอุทิศและผิดเพี้ยนความหมายเดิมไปเป็นว่า ส่งไปให้ผู้ตาย ไปโน่นเลย 
          แล้วก้อนบาป-ก้อนอกุศลนี้แทนที่จะเอาหนีไปไกลๆพระตถาคต หรือสาวกพระตถาคต ยังจะมีหน้าเอาเนื้อบาปเป็นอันมาก มิใช่บุญแม้สักน้อยนิดนี้ มาเจาะจงเฉพาะ ตถาคตหรือสาวกตถาคต(ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ) มันก็ยิ่งบาปมหาบาปหนักหนาสาหัสเข้าไปอีกกี่ชั้นกันล่ะ? ก็ได้บาปหรืออกุศลเป็นอันมาก ซึ่งมิใช่บุญเป็นอันมาก อย่างที่คนผู้ถวายเจาะจง(อุทฺทิสสะ)จะได้ เพราะมิจฉาทิฏฐิแท้ๆที่มีความพยายาม  มันก็ได้บาปมหาบาปเท่านั้น
          มันไม่ใช่บุญเป็นอันมาก แม้แค่กุศลแต่อย่างใดเลย มันยิ่งได้บาป ได้อกุศลหนักหน้ายิ่งๆขึ้นเป็นขั้นที่ 5 คือ นำเนื้อสัตว์ที่เป็นบาปแล้ว เพราะมันตายเพราะอารภติของคนบาป 4 ขั้นแล้ว ไปเจาะจงเฉพาะตถาคตหรือสาวกตถาคต ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในชีวกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60 นี้ แจ่มแจ้งละเอียดยิ่งกว่ายิ่ง ฟังแล้วพอจะเห็นความจริงนี้กันไหมล่ะ
          นั่นคือ เรื่องของอุทฺทิสสะ มังสะที่วิเคราะห์วิจัยตามหลักธรรม หลักฐานอย่างไม่มีอคติใดๆ
          ที่บาป เพราะมันไม่ใช่เนื้อที่เป็นปวัตตะ มังสะคือ เนื้อของสัตว์ที่ตายโดยไม่ได้เจาะจงเฉพาะผู้หนึ่งผู้ใด(อุทฺทิสสะ มังสะ) หรือแม้เนื้อนั้นจะเป็นเนื้อที่ตนไม่ได้เห็น(อทิฏฐัง) ที่ตนไม่ได้ยิน(อสุตัง) ที่ตนไม่ได้รังเกียจ(อปริสังกิตัง) ว่าเป็นเนื้อที่
ตายเพราะอารภติ 4 ขั้นของคน ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่มันตายเอง หรือเนื้อที่เหลือเป็นเดนสัตว์กินแล้ว(ปวัตตะ มังสะ)
          ถ้าเนื้อที่เป็นปวัตตะ มังสะตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต(พระไตรปิฎก เล่ม 5 ข้อ 80 ตอนท้ายข้อ) ตถาคตหรือสาวก ตถาคตก็ฉันเนื้อนั้นได้
          หรือที่สุดแห่งที่สุดแม้เนื้อนั้นจะเป็นเนื้อที่คนนั่นแหละฆ่ามันด้วยอารภติจนครบ 4 ขั้น และแถมยังเจาะจง(อุทฺทิสสะ)เฉพาะบุคคลนั้นๆอีกด้วย แต่ถ้าผู้นั้นไม่ได้เห็นคนฆ่ากับตา(อทิฏฐัง) แม้ไม่ได้เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินคนเขาพูดกันว่าเนื้อนี้คนฆ่ามานะ(อสุตัง) หรือทั้งเห็นทั้งได้ยินก็ไม่ทั้งนั้น แต่ไม่ได้รังเกียจ(อปริสังกิตัง) ก็รับประทานหรือฉันเถอะ ถ้าจะรับประทาน เพราะจำเป็นหรือสมควร แต่ก็พ้นบาป เพราะเรารับก้อนบาปของโจรทำบาปมาก่อนแล้ว ไม่ได้ 
          ยิ่งเอาประเด็นว่า ผู้ฆ่าเขาไม่ได้เจาะจงเฉพาะเรา เขาฆ่าแบบทั่วไป ก็ยิ่งสบายเลย ผู้นั้นจะรับประทานหรือจะฉันก็ได้ แน่นอน เพราะไม่เชื่อนี่ หรือไม่รู้ว่า มันจะมีบาป 5 ขั้นหรืออกุศล 5มากับเนื้อนั้น ผู้นั้นก็จะกินด้วยยินดีชอบใจเข้าให้กันเลยแหละ
          บาปหรืออกุศลในก้อนเนื้อสัตว์นี้ ยังไม่ลึกลับนะ ยังมีเนื้อสัตว์ที่เป็นก้อนบาปอยู่โต้งๆ มีที่มาที่ไปอยู่หลัดๆ โต้งๆปัจจุบันยืนยันได้ แต่เข้าก็ไม่เชื่อความจริงนี้
          ทว่าคนพวกนี้ปักใจเชื่อว่า การส่งบุญหรือกุศลที่หลงว่าได้จากทานหรือได้จากทำคุณงามความดี แล้วให้พระสวดยถาสัพพีฯ ไปให้ผู้ตาย ต้องพระด้วยนะ แม้พระนั้นจะเป็นพระแท้หรือไม่แท้ พระบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์
          ซึ่งจริงๆแล้ว ผู้สวดส่งนั้น ก็ไม่รู้ว่าผู้ตายอยู่ไหน บ้านเลขที่เท่าไหร่ ตั้งอยู่ที่ไหนในนรกนั้น หรือในสวรรค์นั้น แล้วส่งบุญที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุญคืออะไร นั้น ไม่มีก้อนบุญที่มีเหตุปัจจัย เหมือนก้อนบาปที่เรากำลังพูดถึงว่าอยู่ในเนื้อสัตว์นี้ด้วยซ้ำ ก็ส่งไปให้กัน เป็นประเพณีที่ยอมรับกันในวงการมนุษย์ทั้งผู้โง่ทั้งผู้ฉลาด เชื่อว่า ส่งไปถึงน่า!!! 
          แต่ที่อาตมาพยายามอธิบายอย่างมีเหตุมีปัจจัย และมีหลักฐานจากคำตรัสของพระพุทธเจ้ายืนยัน มีในพระไตรปิฎก ที่ยอมรับนับถือกันอย่างยิ่ง อ้างอิง อธิบายด้วย ก็ยังไม่เชื่อ
          ที่พยายามวิจัยวิเคราะห์นี้ก็พิจารณาดูกันให้ชัดๆ ดีๆเถิด 
          ยิ่งพิจารณาตามพลความในชีวกสูตรนี้ ก็ยิ่งชัดเจนยิ่งว่า เรื่องนี้ใครจับประเด็นของเรื่องอย่างไร ก็ลองพิจารณาตามบาลีในชีวกสูตรนี้ดูกันดีๆ
          เช่น ตั้งแต่ข้อต้นของสูตรนี้ ข้อ 56 คำความแรกที่จะ พิจารณาคือ ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม
          ท่านแปลมาจากบาลีว่า สมณํ โคตมํ อุทฺทิสส ปาณํ อารภนฺติ ซึ่งอุทฺทิสฺสที่แปลว่าเจาะจง หรือเจตนา หรือจงใจ หรือเพ่งเล็งถึง หรือมุ่งหมาย หรือหันไปทาง หรือบ่งชี้ไปยังนี้แหละ ที่ต้องพิจารณากัน ใครจะหมายเอาว่า อย่างไร? แค่ไหน? ลองมาพูดไปตามหลักฐานพระไตรปิฎกกันดู
          ซึ่งมันไม่ได้หมายเอาแค่ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดมเท่านั้น เพราะคำบาลี มีว่า  สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ 
          ไตร่ตรองตามดีๆ ความว่า สมณํ โคตมํ อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺตินี้ มันมีคำความที่หมายถึงความบาปที่ฆ่าสัตว์(ปาณํ อารภนฺติ)ด้วย มันจึงมีทั้งเจาะจงทั้งถวายพระพุทธเจ้า(อุทฺทิสฺส) มีทั้งภาวะใจคนที่อารภติ คือ คนฆ่าสัตว์นั้น ตั้งแต่ขั้นต้นไปจนถึงขั้นแรงสุดสำเร็จบาปเป็นอันมาก อันไม่ใช่บุญเลย 4 ขั้น(ปาณํ อารภนฺติ) ก็คือเนื้อสัตว์ที่เขาเจาะจงให้ พระพุทธเจ้าเสวยนั่นเอง(อุทฺทิสฺสะ) ถวายเข้าก็เป็นบาปหนักหนาแท้ๆ ขั้นที่ 5 ซึ่งมิใช่บุญเป็นอันมาก ยึดผิดๆกันมาแท้ๆ
          ในพระไตรปิฎกคำที่แปลกันว่า เจาะจงพระพุทธเจ้าก็คือ อุทฺทิสสะ ซึ่งยังมีคำว่าปาณะ อารภติอีกด้วยก็ชัดๆ
         
อารภนฺติ นี้ก็คือ ภาวะธรรมของใจคน ที่มีอาการ เริ่มตั้งแต่อาการปรารภในใจ แล้วก็เจตนาที่เริ่มเป็นอกุศลจิต แล้วก็หนักแรงขึ้นจนที่สุดทำร้ายถึงขั้นฆ่าสัตว์
         
ปาณํ อารภนฺติ จึงคือ สัตว์ตายลงเพราะคนฆ่าด้วยกรรมทำร้ายมัน แล้วคนก็เอาเนื้อนั้นมาให้พระพุทธเจ้าทรงบริโภคเนื้อที่เนื่องด้วยการกระทำ(ปฏิจจ กัมมันติ ; ข้อ 57 นี่ก็ยืนยันอีก) ที่อกุศลมาตามลำดับกรรม 4(อารภนฺติ 4 ขั้น) ตรงกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าอย่างบริบูรณ์ นั่นแหละ
          มันควรมั้ยล่ะ..?
          คำความในพระไตรปิฎกต่อไปว่า พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่  ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ท่านแปลมาจากบาลีว่า ตํ สมโณ โคตโม ชานํ อุทฺทิสฺส กตํ มํสํ ปริภุญฺชติ ปฏิจฺจ กมฺมนฺติ
          และที่ว่า ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส หรือ? พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบแล้ว ว่า ชนเหล่านั้น จะชื่อว่า กล่าวตรง กับที่เรากล่าว หามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง (พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 57)
          พอจะยืนยันได้บ้างไหมว่า พิสูจน์แล้ว ท่านเข้าใจยังไม่ตรงตามคำสอนคำตรัสของพระพุทธเจ้า แล้วพากันยึดถือผิดๆกันมานานแสนนาน
          จนที่สุด ข้อที่เป็นคำตอบของพระพุทธเจ้าในข้อ 60 ก็ได้สาธยาย ไล่เรียง ตามหลักฐาน เหตุผล ว่ามีแต่บาปล้วนๆ มิใช่บุญเป็นอันมาก แต่อย่างใดเลย ไล่เรียงบาปที่มี ที่เกิด เป็นประการที่ 1 เป็นประการที่ 2 เป็นประการหนักร้ายขึ้นๆ จนที่สุดขั้นที่ 5 อาตมาก็สาธยายพุทธศาสนาตามภูมิ ได้อย่างนี้ ประมาณนี้ ก็จงไตร่ตรองศึกษาเอา แต่ละท่านแต่ละคนเทอญ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:46:39 )

590108

รายละเอียด

590108_พุทธศาสนาตามภูมิ สามัญผลสูตร ตอน 6

พ่อครูว่า….วันนี้วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2559 ...เรื่องการแต่งตั้งสังฆราชก็มีประชาชนออกไปคัดค้านเหตุผลเพราะว่าประชาชนไม่เห็นด้วย จะเป็นส่วนน้อยหรือมากก็ไม่รู้ คนที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรในสังคมอีกเยอะ เอาแต่ทำมาหากิน เราในฐานะพุทธศาสนิกชน ก็ได้แต่นั่งมองเพราะเราเป็นนานาสังวาส

เราจะพูดถึงเรื่องสาระธรรมะคัดค้านกันตำหนิกัน จะผิดจะถูกอย่างไร? ผิดอย่างนี้ถูกได้ แต่เราจะไปเกาะอาทิตย์ก่อน ไม่คาดคั้น ไปทวงไปห้าม ไปทำอะไรก็ทำไม่ได้ ยังมีหลายคนเข้าใจไม่ได้ ทำไมชาวอโศกไม่เอาภาระเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ มันทำไม่ได้จะแสดงความเห็นว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะเอาคนไม่บริสุทธิ์ในศาสนาพุทธ สงฆ์ไม่บริสุทธิ์เข้าร่วมสังฆกรรมอะไรไม่ได้ ยิ่งเป็นผู้ที่ควรแก่การสังฆาทิเสส อย่าว่าแต่ปาราชิกเลย แค่สงสัยว่าเป็นสังฆาทิเสสแค่นั้นก็ถือว่าเป็นผู้ควรแก่การสังฆาทิเสสแล้วอย่างนี้เป็นต้น

 อย่างท่านพุทธอิสระท่านทำได้เต็มที่ ว่ากันเป็นคดีความเลยได้ ตามธรรม แต่เราทำไม่ได้เราได้แต่พูดออกความเห็นได้ แต่ไปทำให้เกิดวิวาทไม่ได้  ความเห็นเราก็ไม่เห็นด้วยเลย แต่เถระสมาคมจะทำอย่างไร ก็แล้วแต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย  พระองค์นี้เป็นสังฆราชประเทศไทยจะหนักมากเลยเพราะคดีความหมักหมมมามากมาย ความเสียหายนั้นสูงมาก

 เพราะธรรมะคือจิตใจคือจิตวิญญาณ ตอนนี้มันหนักแล้วจะไปให้หนักกว่านี้อีก อาตมาว่าประเทศไทยน่ากลัวความเลวร้าย

พ่อครูอ่านบทกวีของอ.เป็นต้น นาประโคน ในเรื่อง AEC เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ คนเขาถือว่าเงินจับจ่ายใช้สอยสะพัดถือว่าเป็นเศรษฐกิจดี แต่อาตมาเห็นว่าเป็นเรื่องตื้นเขินมาก ยิ่งมีเงินรวยเท่าไหร่ถือว่าดี มันตรงข้ามกับของพระพุทธเจ้า อย่างชาวอโศกประสพผลสำเร็จเรื่องเศรษฐกิจคือไม่เป็นหนี้ไม่มีดอกเบี้ย เสร็จแล้วก็พึ่งตนเองรอด เลี้ยงตนเองได้ ไม่ต้องไปเบียดเบียนเอาเปรียบใคร ไม่ต้องเอากำไรในชีวิตคือได้เปรียบได้ส่วนเกินมาให้แก่ตน ของเราทำงานไม่เอารายได้เสียภาษี100% มันคนละทิศทางเลย

พระเจ้าอยู่หัวตรัสเรื่องนี้ยังสำคัญด้วย เป็นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง แต่เมืองไทยยังไม่มีคนที่จะเข้าใจนำไปทำให้ได้เกิดผลจริง เมืองนอกเขาเข้าใจเขาถวายรางวัลเชิดชูพระเกียรติ แต่เมืองไทยไม่เอาเนื้อแท้ โดยรวมตกต่ำ แต่ก็ยังมีชาวอโศกที่ทำได้ ทำแบบในหลวงตรัส เศรษฐกิจพอเพียงแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

พ่อครูอ่านบทกวี  เปิดประเทศระวังฝูงเปรตจะมา

 

  • เอ.อี.ซี. เปิดแล้ว               คิดไฉน

คนนิยมหลั่งไหล                       ทะลักแท้

นักท่องเที่ยวเข้าไทย                 เงินท่วม หลังคา

ประเทศจะรวยแปร้                    ตอบเปรี้ยง ระวัง

 

  • นายทุนฤาถอดเขี้ยว         เล็บลง

ฝูงเปรตฤาจะปลง                      โลภได้

สยามประทเศฤาคง                   เศรษฐกิจ พอเพียง

ขอฝากประเทศไว้                     อย่าเว้น สังวร

 

  • เมืองสยามยืนอยู่ด้วย        กสิกรรม

ปู่ย่า ตายาย นำ                         ก่อนนี้

ลูกหลานสืบทอดทำ          นาไร่ สวนเรา

ผลผลิตช่วยบ่งชี้                       เฉกเชื้อ บรรพชน

 

  • ไออุ่นเพราะโอบเอื้อ         อาทร

พระศาสดา ทรงสอน                  มนุษย์ไว้

ไมตรีอย่าตัดรอน                      สามัค-คี เฮย

มนัสอ่อนน้อมถ่อมไว้                 วัตรนี้ สังวร

 

  • ร่ายมธุรสร้อย                  วาที

เรียงพจน์เป็นบทกวี                   ฝากไว้

ล้วนหลายหลากวลี                    โลดแล่น ลีลา

สอดประสานเสียงให้                 สู่ห้วง สรวงสวรรค์

 

  • สนามสอบสำเร็จสิ้น สอบใจ

สนามศึก สงครามใน                 ต่อสู้

สนามสร้าง สี่ปัจจัย                    เลี้ยงชีพ สูเอง

สนามสื่อสาร สดับได้                 แยกด้วย ปัญญา

 

  • เข็มพระธรรม พ่อให้        คนึงหา

สำนึกในเจตนา                         ท่านไซร้

ใช้เทียบที่ราคา                         ทองแท่ง ลูกเอย

ควรคิดให้แหลมคมไว้               เปรียบคล้าย ปลายเข็ม

 

อ.เป็นต้น นาประโคน 8 มกราคม 2559

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน มโนมยิทธิญาณ

ตอนนี้เราเข้าสู่บทเรียน ในสามัญผลสูตร มีวิชชาจรณสัมปัณโณ เข้าสู่ฐานนิพพานคืออุเบกขา

1.วิปัสสนาญาณ มีปัญญารู้ว่าเรามีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

2.มโนมยิทธิ คือ อำนาจ พลังของจิตตามอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ทำให้ละหน่ายคลาย ละราคะ โทสะ โมหะได้จริง

 [132] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิต รูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักไส้ออกจากหญ้าปล้อง เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่านี้หญ้าปล้อง นี้ไส้ หญ้าปล้องอย่างหนึ่ง ไส้อย่างหนึ่ง ก็แต่ไส้ชักออกจากหญ้าปล้องนั่นเองอีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักดาบออกจากฝัก เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้ดาบ นี้ฝัก

@1. ญาณทัสสนะ เป็นชื่อของญาณชั้นสูง คือมรรคญาณ ผลญาณ สัพพัญญุตญาณ ปัจจ-
@   เวกขณญาณ และวิปัสสนาญาณ ฯ
@2. ได้แก่ธาตุ 4 คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ฯ
ดาบอย่างหนึ่ง ฝักอย่างหนึ่ง ก็แต่ดาบชักออกจากฝักนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงชักงูออกจากคราบ เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า นี้งู นี้คราบ งูอย่างหนึ่ง คราบอย่างหนึ่งก็แต่งูชักออกจากคราบนั่นเอง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อนิรมิตรูปอันเกิดแต่ใจ คือนิรมิตกายอื่นจากกายนี้ มีรูปเกิดแต่ใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

การที่นั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบครัน ไม่ได้นิโรธจริง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อิทธิวิธญาณ

 [133] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจ
ทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกร มหาบพิตร เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

พ่อครูว่า นี่เป็นพระอนุสาสนีย์ แต่เมื่อไม่มีสภาวะก็ไปคิดเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ฉันทำคนเดียวเป็นหลายคน คนก็เลยคิดเป็นแบบ นั่งคนเดียวแล้วก็พรึ่บเป็นหลายคนเลย  อย่างนั้นไม่ใช่ มันต้องเป็นทางปรมัตถธรรม ในพระบาลีมีบอกว่า เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ

ไม่ได้มีคำว่าบุคคลเลย มีฤทธิ์ มีมโนมยิทธิ มีอิทธิวิธี หลากหลายมากมาย ที่มีฤทธิ์ สามารถทำจิตให้เป็นผลสำเร็จสามารถบรรลุธรรมได้อย่างวิเศษ

จริงแล้วคนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ เช่นอาตมาคนเดียว มีคุณธรรมมีคุณสมบัติ มีความเป็นอาริยะ ก็ทำให้คนอื่นเป็นขึ้นมาได้หลายคน นี่คือความหมายที่แท้จริง ทำให้จิตของแต่ละคนบรรลุได้  แต่ก่อนทุกคนเป็นปุถุชน แต่ทุกคนก็มีจุดหมายปลายทางมันอย่างเดียวเป็นทิฏฐิสามัญญตา ตรงกันและมีสัมมาทิฏฐิที่จริง แต่ก่อนนี้มีความเห็นแตกต่างกันมากมายตามโลกที่หลอกกันไปนับไม่ถ้วน จนสุดท้ายมาหมดตัวตนอนัตตา ลดทั้งอบายทั้งกาม สามารถเนรมิตขึ้นมาอย่างเรียนรู้ปฏิบัติ ให้ลดละหน่ายคลาย ให้เกิดคุณธรรมขึ้น

 โสดาบันก็เหมือนกัน คือลดละกิเลสอบายของโลก มาเป็นสกิทาคามีอนาคามีก็หมดกาม ลดกิเลสรูปโลกอรุปโลกก็เป็นอรหันต์เหมือนกันได้ นี่คือ 1 คนมาเป็นหลายหลายคนมาเป็นหนึ่งได้  ก็มาช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมช่วยกันคนละไม้คนละมือ ให้ไทยเป็นมหาอำนาจที่ไม่ใช่มหาอำนาจอย่างโลกีย์แต่เป็นมหาอำนาจทางโลกุตระ ที่จะเป็นประเทศที่ ไม่ร่ำรวยแต่อุดมสมบูรณ์ จะเป็นประเทศจนก็ได้แต่จนอย่างอุดมสมบูรณ์

 เราน่ะจะไม่สะสมแต่เรามี ไม่ใช่มากอบโกยสะสมเอาไว้ แต่จะสะพัดของเราก็กลับงอกงาม เพิ่มขึ้น จะมีสิ่งรองรับ สูงขึ้นสูงขึ้น

ในสภาวะของส่วนตัว ก็ลดน้อยหมดลงหมดลง อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ  แตกต่างจากคนทั้งโลก ที่เขาหมุนเวียนในโลกีย์ ไม่ได้พูดในวงการศาสนา ที่มิจฉาทิฏฐิไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น มาบวชก็เป็นพระมหาศาล ก็มีผู้ที่บวชแล้วมามากน้อยไม่สะสมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้บ้าง แต่ถ้าเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าบอก แล้วลดละตัวตนก็จะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม เป็นอาริยะจริงๆ ไม่ใช่อารยชนหรืออริยชน แต่เป็นอาริยชนที่มีคุณสมบัติประเสริฐจริง ทำงานทำการช่วยสังคม แต่ตอนนี้เราทำยังไม่ได้มาก เรายังอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว

 แต่เช่นเราออกไปชุมนุมประท้วงก็ส่งเสริมในส่วนรวม คำว่าคนเดียวเป็นหลายคน หลายคนเป็นคนเดียวคือเช่นนี้ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ หมายถึง จิต (พ่อครู590108)

เมื่อเราทำได้แล้วเราก็สามารถสืบสานต่อเชื้อ DNA ให้คนอื่นได้จริง อย่างอาตมามีจิตเช่นนี้แล้วขยายให้พวกเรา โดยใช้ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ จนกระทั่งได้ประชากรทั้งนักบวชและฆราวาส อาตมาเป็นพ่อผู้ที่บรรลุธรรมตามก็ร่วมกันเป็นแม่ สามารถที่จะแพร่เชื้อสัตว์โอปปาติกะ เป็นมาตา เป็นปิตา ทำให้จิตพ้นความเป็นสัตว์ สัตตวาส 9 ได้อย่างแท้จริง

นัยซับซ้อน หนึ่งเป็นหลายคนก็มีนัยดังอธิบายไป มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา มีองค์รวมเป็นหนึ่ง ได้มาแล้วก็แบ่งกินใช้เลี้ยงชีวิตไป ได้มามากก็เอาไว้กินเฉพาะจำเป็นที่เหลือก็เผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือผู้อื่นไปตลอด

 

ต่อมาทำให้ปรากฏก็ได้ทำให้หายไปก็ได้ เป็นอมตบุคคล จะใช้อาศัยส่ิงนี้ให้มีก็ได้ ให้ไม่มีก็ได้ โดยเฉพาะเรื่องของจิต เจตสิก เรื่องความสามารถทางจิต ให้มีความอนุโลมปฏิโลมทำกับผู้อื่น โดยตนเองอยู่ในฐาน 0 บริสุทธิ์อยู่อย่างเดิม ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

จิตมุทุประเสริฐ ปรับตัวได้ไว รู้ได้ไว ปรับตัวไว้ อนุโลมกับเขาได้ มีสัปปุริสธรรม อยู่กับสังคมทำการงานอย่างที่ประเสริฐเหมาะสมเหมาะควรโดยไม่ให้เกิดความเสียหายมีแต่ความเจริญในสังคม จิตก็แข็งแรง ปภัสสร ผ่องแผ้วตลอดกาล เป็นคุณสมบัติ 5ของอุเบกขา

ทำโลกสมุทัยเป็นโลกนิโรธได้ โลเกนัตถิตา ก็ทำให้เกิดเป็น นโหติได้  อาศัยสองอย่างคือความมีกับความไม่มี ไม่มีคือการหายไป ทำให้มีหรือทำให้ไม่มีก็ได้เหมือนคนเก่งเดี๋ยวก็หายตัวเดี๋ยวก็มีตัว

นี่เป็นสัจจะ ถ้าไม่เข้าใจสภาวะ แล้วทำให้ปรากฎหรือหายได้อย่างปรมัตถ์ ก็เลยเข้าใจเป็นตัวตนแท่งก้อน

แต่นี่เป็นเรื่องของจิต  ตั้งแต่โลเกนัตถิตา ทำให้มีผลได้ แล้วจบด้วยนโหติ ก็อาศัย โหติ หรือ นโหติ คือ ความมี กับ ความไม่มี คือทำให้ปรากฏหรือทำให้หายไป ได้

มีอิทธิวิธี ทำให้มีก็ได้ไม่มีก็ได้ เป็นอมตบุคคล ใช้อนุโลมปฏิโลม อภิสังขารหรือวิสังขาร ผู้บรรลุสูงสุดคือวิสังขาร ปฏิบัติจนปุญญาภิสังขาร จนเป็นอปุญญาภิสังขาร รักษาผลเป็นอเนญชาภิสังขาร จะเนรมิตได้เป็นอมตบุคคลที่เก่ง อนุโลมปฏิโลมได้ มีคุณสมบัติพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

นี่คือทำให้ปรากฏก็ได้ ไม่ปรากฏก็ได้ไม่ใช่เรื่องตลกหายตัวได้

 

ทะลุฝา กำแพง ภูเขา คืออาตมาว่าไม่เคยเห็นที่พระพุทธเจ้าว่าไปเดินทะลุกำแพงภูเขาเหมือนหนังกำลังภายในนะ ในโลกนี้กองกิเลสนี่ยิ่งกว่าภูเขา แข็งหนายิ่งกว่าฝายิ่งกว่ากำแพง กองกิเลสที่โลกมีอยู่ แต่ผู้บรรลุแล้วเหมือนเดินอยู่ในที่ว่าง หรือทะลุฝากำแพงภูเขา

 พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำลายกำแพงภูเขา แต่ให้ทำตนให้อยู่ได้ท่ามกลางกองกิเลสที่หนาเท่ากำแพงยักษ์ อยู่ได้สบาย เร่ิมต้นเป็นโสดาบันก็เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน เป็นโสดาบันก็มีฤทธิ์อันนี้แล้ว อบายโลก กิเลสเท่าภูเขากิเลสอบายก็มีอยู่ หนากว่าเก่ากองใหญ่ขึ้นไม่ได้ลดลงเลย ไปสู่ยุคกลียุค ยิ่งหนายิ่งแข็งกองโต

แต่ผู้เป็นโสดาบันบรรลุแล้ว เป็นเอกราชไปไหนก็ไม่ติดขัดทั่วโลก เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ธรรมดาคนเดินบนน้ำไม่ได้ ดำดินก็ไม่ได้แต่นี่มันกลับกันเลย อภินิหารมีฤทธิ์พิเศษ คนเขาทำไม่ได้แต่เราทำได้นี่คือฤทธิ์พิเศษ บริหารประเทศแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อย่างในหลวงว่า ที่พูดไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์ก็ว่าพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ก็หมายความว่าเขาไม่เข้าใจ อธิบายอีกเขาก็งงๆ มันก็เหมือนพวกเอาหัวเดินต่างตีน มีฤทธิ์มหัศจรรย์ไม่ใช่คนธรรดาจะทำได้

 

ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้

คุณไปลูบพระอาทิตย์จริงไม่ได้หรือ แต่แท้จริงคือสัมผัสโลกที่เต็มไปด้วยไฟราคะ โทสะ โมหะ แต่เราก็สัมผัสอยู่ได้เหมือนสัมผัสด้วยฝ่ามือไม่ต้องหนีเลย อยู่กลางกองไฟ จับลูบคลำพระอาทิตย์ด้วยฝ่ามือไม่ไหม้ เย็นด้วย แล้วช่วยคนอื่นให้ลดละไฟราคะโทสะโมหะได้ด้วย

ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ อำนาจกาย คือองค์ประชุมของรูป นามสามารถไปตลอดพรหมโลก จิตวิสุทธิเทพรู้โลกทั้งหมดช่วยโลกทำให้โลกเป็นโลกแห่งพรหม คือพระเจ้าสร้างโลก เนรมิตโลก ช่วยทำให้โลกเป็นส่ิงดี รู้หมดตั้งแต่โลกอบาย โลกกาม โลกรูปโลก โลกอรูปโลก รู้หมดแล้วไปได้หมดทั่วพรหมโลก โดยรูปนามขันธ์ 5ของเรานี่แหละ ผู้ทำได้ก็จะชัดเจน ไม่ใช่หายตัวไปไหนมาไปเที่ยวสวรรค์แต่อยู่ด้วยนี่แหละหลัดๆ พรหมโลกคือรู้จักโลกสะอาดโลกสกปรก (พ่อครู 590108) แล้วสร้างโลกที่เลอะเทอะด้วยอบาย หมักหมมเน่าใน ยิ่งกว่าแบคทีเรียเลวร้าย ช่วยล้างแบคทีเรียต่างๆ เป็นพระพรหมเสียเอง

เราก็ทำความดีชนะความชั่ว คนชั่วเขาจะทำร้ายเพราะเขาชั่ว ถ้าเราเป็นผู้ที่เก่งสามารถที่จะเนรมิตเหมือนอยู่ในที่ว่าง คนชั่วก็ทำอะไรเราไม่ได้เหมือน Invisible man คนไม่เห็นตัว เขาจะพยายามมาทำแต่ไม่ถูกตัวเรา เรามีธรรมฤทธิ์ที่เก่ง เอาความดีไปช่วยเขาเปลี่ยนแปลงเขา เขารับไม่เป็น เราเอาดีไปให้ เขาชั่วหนักเข้าไปอีกก็ต้องช่วยกันหน่อย แต่อาตมาว่าเท่าที่ทำมาก็ชั่วเขาก็ลดลงนะ

นี่คืออิทธิวิธญาณที่ไม่ได้เกิดจากอาวุธเข่นฆ่าทำร้าย มีแต่ธรรมาวุธวิเศษ มีอิทธิวิธี

 

เปรียบเหมือนช่างหม้อหรือลูกมือของช่างหม้อ ผู้ฉลาด เมื่อนวดดินดีแล้ว ต้องการภาชนะชนิดใดๆ พึงทำภาชนะชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้

เปรียบเหมือนช่างงาหรือลูกมือของช่างงาผู้ฉลาด เมื่อแต่งงาดีแล้ว ต้องการเครื่องงาชนิดใดๆ พึงทำเครื่องงาชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ อีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนช่างทองหรือลูกมือของช่างทองผู้ฉลาด เมื่อหลอมทองดีแล้ว ต้องการทองรูปพรรณชนิดใดๆ พึงทำทองรูปพรรณชนิดนั้นๆ ให้สำเร็จได้ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออิทธิวิธี เธอบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงไปได้ ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้
ผุดขึ้นดำลงในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

 

ก่อนจะมีสัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 ต้องมีแสงอรุณทั้ง7 ก่อน

ใครมาอยู่ที่นี่ต้องเข้าเบ้าศีล 5 เลย ต้องทั้งพ่อแม่เต็มใจ เด็กเต็มใจ โรงเรียนก็ยินดีเต็มใจที่จะรับเข้าเรียนจึงได้ผลสำหรับเด็กที่จะเข้ามา

คนที่จะเป็นเจ้าสำนักก็ต้องเอาคำสอนที่ดีแง่ดีเป็นกัลยาณชนมาสอนทั้งนั้น อย่างธรรมกายนี้เอาความดีโรยหน้า แต่ล้วงตับกินไส้กันมากมายมหาศาล เขาก็บอกว่าสอนให้ทำดี ใครจะโง่ว่าสอนให้ทำดีจะไม่ได้รับความนิยม เหมือนกับประชานิยมก็อย่างเดียวกันใช้เลห์เหลี่ยมแต่ของศาสนาธรรมะไม่มีเล่ห์เหลี่ยม รู้ทันด้วยแต่ไม่ใช้ คนบางคนใช้ดีมาบังหน้าแต่ตนเองเสวยสุข อย่างมหาริชชี มีโรลสรอยด์เป็นร้อยคัน มีเครื่องบินส่วนตัวอีกเท่าไหร่ ก็ถูกไล่จากอเมริกา ไปอินเดียวเขาไม่รับอีกก็ไปอยู่ศรีลังกา ก็ตายที่นั่น เขาก็สอนให้สงบหลับตาสมาธิ คนก็ชอบเพราะคนส่วนใหญ่วุ่นวาย เขาสอนเรื่องดีแต่เป็นแค่กัลยาณธรรมไม่ใช่เรื่องล้างกิเลส

แก่นแท้ของเวทนาคือทำตรงนี้คือทำเคหสิตเวทนาให้เป็นเนกขัมสิตเวทนา มีผัสสะเป็นปัจจัย ทำเวทนาครบ 108 ให้ได้ (พ่อครู590108)เขาไม่รู้ก็ทำไม่ได้

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ทิพยโสตญาณ

[134] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส อ่อนควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เขาจะพึงได้ยินเสียงกลองบ้าง เสียงตะโพนบ้าง เสียงสังข์บ้าง เสียงบัณเฑาะว์บ้าง เสียงเปิงมางบ้าง เขาจะพึงเข้าใจว่า เสียงกลองดังนี้บ้าง เสียงตะโพนดังนี้บ้าง เสียงสังข์ดังนี้บ้าง เสียงบัณเฑาะว์ดังนี้บ้าง
เสียงเปิงมางดังนี้บ้าง ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อทิพยโสตธาตุ เธอย่อมได้ยินเสียง 2 ชนิด คือเสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้ด้วยทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ล่วงโสตของมนุษย์ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

สามารถสัมผัสรู้ถึงกิเลสที่รับสัมผัสทางทวารทั้ง 6 แม้แต่ได้ยินเสียงแว่วมาก็รู้ว่าเสียงอะไร เป็นเสียงดนตรีอะไรแยกแยะออกมีความสามารถแยกออกว่าอันนี้เสียกลอง อันนี้เปิงมาง อันนี้บัณเฑาะว์ รู้ได้ไปตามลำดับ แล้วมี จิตวิเคราะห์มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยตักกะออกว่าอันไหนกิเลสอันไหนไม่เป็นกิเลส แยกธรรมะสองแล้วทำลายอกุศลได้ แต่ปุถุชนไม่รู้เรื่องไม่มีฤทธิ์ ไม่รู้ทิพย์

ถ้าไม่แยกแยะมาตั้งแต่หยาบๆแล้วขั้นละเอียดๆก็ไม่มีสิทธิ์รู้ได้ แต่ฟังแล้วเข้าใจง่ายแม้คนธรรมดาสามัญแต่ก็ทำได้ยากนัก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน เจโตปริยญาณ

[135] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณเธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
          ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนหญิงสาวชายหนุ่มที่ชอบการแต่งตัว เมื่อส่องดูเงาหน้าของตนในกระจกอันบริสุทธิ์สะอาด หรือในภาชนะน้ำอันใส หน้ามีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้ามีไฝ หรือหน้าไม่มีไฝ ก็จะพึงรู้ว่าหน้าไม่มีไฝ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่นของบุคคลอื่นด้วยใจ คือจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะหรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่านจิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรรคต จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นหรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น ดูกร มหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.

เป็นมาตรวัดกิเลสของเรา จิตมันมีอาการกิเลสอย่างไรตามเจโตปริยญาณ 16 ก็รู้ได้ลดละไปตามลำดับขั้นตอน อันนี้เป็นวิชชาที่ 5 อันสำคัญ ที่สุดอาสวักขยญาณก็อยู่ในเจโตปริยญาณ 16 นี้

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:47:20 )

590110

รายละเอียด

590110_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก่นใจพุทธต้องกล้าจน

ส.ฟ้าไท... ได้เกร่ินกล่าวเร่ิมรายการก่อน

สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน แก่นใจพุทธ

พ่อครูว่า... ทุกวันนี้จะพึ่งสังฆังสะระณังคัจฉามิ จะพึ่งพระสงฆ์ทุกวันนี้ พระสงฆ์มีวิธีการ ที่จะให้เราทำทาน เก่งมาก อย่างธรรมกาย ถึงขั้นต้องชมว่าเก่งฉิบหาย เป็นพิธีการหลอกล่อขูดรีดเอาไปให้หมดเลยถ้าจะพึ่งพระสงฆ์

2 จะพึ่งพระสงฆ์ในทางปรมัตถ์ ก็ไม่รู้หรอกโลกุตรธรรม อาริยธรรมก็พึ่งไม่ได้ สอนได้แค่กัลยาณธรรม ได้แค่ทำดี แต่การสอนให้ทำดีแต่ไม่ละล้างกิเลสราคะโทสะโมหะแล้ว อาจกดข่ม ด้วย meditation เป็นวิธีนั่งสะกดจิตใจที่เขาเข้าใจชั่วไปก็ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อกลับตาก็มีพลังกดข่มได้ แต่ถ้าไม่ทำหรือทำน้อยลง ก็จะกลับคืนมาไม่ถาวร ไม่นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ทำไมทำสมาธิแบบ super concentrate ชั่นคือสัมมาสมาธิแบบพระพุทธเจ้าที่ต้องปฏิบัติแบบลืมตามีสัมผัสทางทวาร 6 อายตนะ 6 มีตัณหา 6 ให้เรียน ทำกิเลสให้ลดลงอย่างปล่อยวางกิเลสจริงๆลดกิเลสจริงอย่างมีปัญญาแล้วทำให้มีเจโตหลุดร่อน  กิเลสดับอย่างถาวรไม่เกิดอีก

ขณะนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนา แล้วเขาจะให้มารวมกันหมดทั้งโลกอันนี้เป็นเรื่องที่ดีเป็นเรื่องประเสริฐแท้ถ้าทำได้ ขนาดนั้นชาวอโศก มีแก่นแกนของจิต ที่เป็นแก่นแกนต้นเหตุต้นธาตุต้นธรรม จิตที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม เป็นจิตที่เป็นต้นธาตุของวิมุติ ของนิโรธได้เป็นแก่นแกนแล้วรวมตัวกันเป็นสังคมเป็นมนุษยชาติรวมกันได้เป็นหมู่กลุ่มชาวอโศก ที่มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทฤษฎีที่สัมมาเรามั่นใจว่าสัมมา เป็นสัมมาทิฏฐิเอามาปฎิบัติลดและกิเลสได้จริง แล้วก็มารวมตัวกันเหมือนน้ำไหลไปหาน้ำน้ำมันไหลไปหาน้ำมันจริงๆ เป็นพลังนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นธรรมชาติของพลังงานที่เล็กที่สุด แล้วมารวมตัวเป็นธาตุ ส่วนที่ไม่รวมตัวก็จะกระจาย จับตัวเป็นสองสภาพ เป็นพลังงานและสสาร หรือพลังงานกับพลังงานเล็กละเอียดขนาดนิวเคลียสแตกตัวออกไป

พลังงานที่จับตัวกันเป็น fusionสังขิตตังจิตตัง ส่วนพลังงาน คิดเช่นนั้นเป็น วิกขิตตังจิตตัง ถ้าชัดเจนแล้วไม่สงสัย จิตเป็นต้นธาตุต้นธรรมของมนุษย์คนคนหนึ่งสามารถทำให้จิตวิญญาณเรานี้ มีความเป็นแก่น เป็นสาระที่สูงสุด เป็นแก่นจิตแก่นใจ เมื่อแก่นจิตแก่นใจของเราได้คุณสมบัติได้คุณไม่วิเศษ อันนี้เราจริงก็เกิดจริงแล้วก็มีชีวิตอย่างนั้น ทั้งความเห็นทั้งความรู้ทั้งรสนิยมทั้งความพอใจความไม่พอใจจะมีความครบถ้วนในตัวเอง จะรู้คุณรู้โทษ แล้วจะสามารถทำความดับหรือไม่ให้เกิดเป็นอมตะบุคคลได้ โดยเราเป็นผู้ควบคุม ผู้จัดแจงอย่างแท้จริง

เมื่อเขามีสัญญาประชาคมว่าจะเป็น aec โดยชาว asian มารวมตัวกันจับมือกัน มาเซ็นสัญญากันแล้ว ตั้งแต่เริ่มเปิดตัวที่จะรวมตัวกัน ให้มีการสังเคราะห์ร่วมไม้ร่วมมือ มีอะไรที่ขัดแย้ง หรือจะข้ามเขตกันมา จะมีวีซ่าหรือไม่จะมีเหตุปัจจัยอีกมากมายสำหรับมนุษยชาติ

 เข้าร่วมกันทางเศรษฐกิจ โดยรวมกลุ่มของชาวเอเชียรวมมนุษยชาติของเอเชีย ภาคนี้ รวมกันเข้าเรียกว่า community พระเจ้าร่วมกันรังสรรค์เศรษฐกิจ เขาจะทำเศรษฐกิจตามความหมายที่เขาหมาย ให้มันเจริญรุ่งเรือง ให้มันเป็นประโยชน์รับใช้สังคมมนุษยชาติได้ดีที่สุดขั้นไหน ว่าจะมาขออภัยที่จะต้องกล่าวว่าความรู้ของชาวโลกส่วนใหญ่ทั้งหมด ก็รู้ในระดับกัลยาณชนกัลยาณธรรม คือทำให้สุจริต ไม่ทุจริต แล้วก็มีปัญญารู้ว่าดีอะไรชั่วคืออะไร ดีคือสิ่งที่เป็นสมมติสัจจะรับรู้ร่วมกันว่าอันนี้ดีอย่างมารวมกันเป็น asian จะร่างเป็นหลักเกณฑ์หลักการกฎหมายสำหรับเอเชียเลยก็ได้เรียกว่าสมมติรู้ร่วมกันเป็นสัจจะยึดถือเป็นสัจจะว่าจะเอาอย่างนี้อย่างนี้ถือว่าถูกอย่างนี้ถือว่าผิดสวนยุโรปอเมริกาเขาจะถืออย่างไรจะเซ็นสัญญาอย่างไรก็คนละเรื่องกันไม่ได้สมมุติกับเราไม่รู้ร่วมกันกับเรา อาจจะเหมือนกันบ้างหรือแตกต่างกันคนละขั้วอะไรก็ได้

ของพุธนี้รู้แจ้งรู้จริงตัวกิเลสตัณหาอุปทานไม่ลึกลับเลยแล้วล้างกิเลสตัณหาอุปทานออกจากจิตได้เกลี้ยงสนิทแล้วอยู่กับจิตที่เป็นอรหัตตาเป็นอัตตาที่ไม่ลึกลับชัดเจนในความเป็นอัตตาคือองค์รวมของจิตที่เป็นสังขารธรรม เป็นแท่งของสังขาร เป็นสังขตธรรม แล้วปรุงแต่งตามกิริยาของสังขตธรรม มีกิริยาออกเป็นสังขาร ก็สามารถรู้สังขตธรรม ว่ามีกิเลสอยู่ไหมก็ล้างออกจากเป็นก้อนสังขตธาตุที่ไม่มีกิเลส เป็นพลังงานจิตไร้กิเลสไม่มีตัวตน อาศัยก้อนสังขตธรรมนี้ทำงานเพื่อผู้อื่นไม่ทำเพื่อตัวเองหรือพวกพ้อง อย่างบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริงเกิดจากจิตที่เป็นต้นธาตุต้นธรรม ยังไงมูลสูตรนั้นว่าไว้สามารถล้างกิเลสจนถึงแก่นใจ

 ให้เป็นแก่นใจที่สะอาดหมดจดและมีปัญญาใช้แก่นใจ เราเป็นผู้ใช้สอยให้เกิดพลังงานด้วยปัญญาด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาประเทส 4  ยังมีคุณค่าประโยชน์เหมาะสมกับสังคมไม่มีอคติ 4

ผู้ที่ทำการแก่นใจสมบูรณ์อย่างนี้เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมีหลักวิชาทฤษฎีเอกที่สอนเรื่องนี้แต่ทุกวันนี้ (พูดอย่างตรงหลักวิชาไม่ได้หาเรื่อง) ผู้สามารถมีจิต แก่นใจอย่างนี้คือผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้ชาวไทยพุทธของไทยไม่ได้ผล ตามที่มีในพระไตรปิฎกว่าไว้แต่เข้าใจไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ยังเป็น อเวไนยสัตว์  ทุกวันนี้อาตมาพยายามเปิดเผยแต่เขาก็รับไม่ได้ก็แสดงว่าเขาเป็นอเวไนยสัตว์ เขาไม่มีปรโตโฆษะ ก็ทำใจในใจไม่โยนิโสฯ ไม่เข้าทางสัมมามรรค ก็ไม่มีสัมมาผล ขอยืนยันเลย

ความล้มเหลวในศาสนาพุทธที่เมืองไทยจึงมีมากมาย เป็นการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

 

ขออ่านบทกวีของไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก

 

ชีวิตไร้ระเบียบแต่เรียบง่าย                  มีกรรมก่อเกิดกายให้อาศัย

จนแล้วจนรอดตลอดไป                       นิพพานได้ดั่งใจจินตนา

 

กระทั่งมีคนชั่วกลัวเสนียด                    เอากามเกียรติเชื่อมซ้ำมาต่ำช้า

เก็บเกี่ยวโกงโมงยามตามมารยา           ชุบชีวา ง่ายหงายให้คว่ำลง

 

จนเกิดมีพระพุทธสุดเลิศล้ำ                  พลิกของคว่ำให้หงายได้ประสงค์

ชุบชีวิต ตื่นฟื้นขึ้นยืนยง                      เพิ่มพูนพงศ์นิพพาน ฆ่ามารร้าย

 

คืนสู่ทางแสงเทียนเวียนสายเก่า           ไม่มัวเมาบริสุทธิ์ด้วยจุดหมาย

โอ้ชีวิต นิทานผ่านนิยาย                     ไม่ถึงตายก็ซึ้งถึงนิพพาน

 

อีกบทกวีของอ.เป็นต้น

                             

เปิดประเทศระวังฝูงเปรตจะมา

         

  • เอ.อี.ซี. เปิดแล้ว                        คิดไฉน

คนนิยมหลั่งไหล                       ทะลักแท้

นักท่องเที่ยวเข้าไทย                           เงินท่วม หลังคา

ประเทศจะรวยแปร้                    ตอบเปรี้ยง ระวัง

 

  • นายทุนฤาถอดเขี้ยว                            เล็บลง

ฝูงเปรตฤาจะปลง                      โลภได้

สยามประทเศฤาคง                   เศรษฐกิจ พอเพียง

ขอฝากประเทศไว้                     อย่าเว้น สังวร

 

  • เมืองสยามยืนอยู่ด้วย                           กสิกรรม

ปู่ย่า ตายาย นำ                         ก่อนนี้

ลูกหลานสืบทอดทำ                   นาไร่ สวนเรา

ผลผลิตช่วยบ่งชี้                       เฉกเชื้อ บรรพชน

 

  • ไออุ่นเพราะโอบเอื้อ                            อาทร

พระศาสดา ทรงสอน                           มนุษย์ไว้

ไมตรีอย่าตัดรอน                      สามัค-คี เฮย

มนัสอ่อนน้อมถ่อมไว้                           วัตรนี้ สังวร

         

  • ร่ายมธุรสร้อย                                     วาที

เรียงพจน์เป็นบทกวี                   ฝากไว้

ล้วนหลายหลากวลี                    โลดแล่น ลีลา

สอดประสานเสียงให้                           สู่ห้วง สรวงสวรรค์

         

  • สนามสอบสำเร็จสิ้น                   สอบใจ

สนามศึก สงครามใน                           ต่อสู้

สนามสร้าง สี่ปัจจัย                    เลี้ยงชีพ สูเอง

สนามสื่อสาร สดับได้                           แยกด้วย ปัญญา

 

  • เข็มพระธรรม                                      พ่อให้ คนึงหา

สำนึกในเจตนา                         ท่านไซร้

ใช้เทียบที่ราคา                         ทองแท่ง ลูกเอย

ควรคิดให้แหลมคมไว้                         เปรียบคล้าย ปลายเข็ม

 

.เป็นต้น นาประโคน 8 มกราคม 2559

 

ชีวิตไร้ระเบียบแต่เรียบง่าย ชีวิตที่ไม่หลงโลกก็ไม่ยุ่งเหยิงมาก ถ้าหลงโลกมากก็จะวุ่นวายไร้ระเบียบปวดหัวมากเลย พูดได้ชัดเจนรู้แล้วว่าโลกมีอะไรมากมายให้หลงให้ติดยึด ผู้มีภูมิพอสมควรหนึ่งก็ลดละมาแล้ว รู้ความหมายความควรสิ่งที่เราไม่ติดมายึดแล้วมันยังมีอยู่ก็มีไปเราไม่ปรารถนาไม่เอาไม่ต้องได้มามีมาเป็นของเราไม่ต้องสัมผัสอะไรก็ได้ตามลำดับที่โลกมันมี แต่เราอยู่เหนือมันเราไม่ต้องอาศัยมัน เราพยายามคัดเฟ้นเอาแต่สาระ จนวิมุต เหลือสาระที่เป็นปัจจัยอย่างแท้จริงและชีวิตตั้งแต่ปัจจัย 4 หรือมีองค์ประกอบเพิ่มบริหารเท่าที่จำเป็นอย่างจริงๆเป็นประโยชน์คุณค่าเกินกว่านั้นก็ตัดทิ้งไป ตามความไร้สาระไร้แก่นสารได้อย่างมีปัญญาจัดสรรให้แก่ตนเอง และช่วยโลก ล่าล้างให้ไม่ติดยึดเหมือนกับเราเราก็จะเป็นคนช่วยโลกเป็นคนที่อยู่เหนือโลก chaos เป็นชีวิตไร้ระเบียบแต่เรียบง่าย

 มีกรรมก่อเกิดกายให้อาศัย กรรมเป็นตัวสร้างตัวก่อให้เกิดกายหรือองค์รวมของรูปนามกายคือองค์รวมของรูปนาม ผู้ศึกษารูปนามดีแล้วก็จะใช้รูปนามเป็นรูปนามคือสิ่งที่เรากำหนดได้ รูปคือสิ่งที่เรากำหนดได้น้ำคือตัวจิตตัวปัญญาของเราเป็นพลังงานเอกที่จะเอารูป ตั้งแต่หยาบข้างนอกเข้ามาใช้กับตัวเรา

คำว่ากายนี้ ถ้าไม่มีนามธรรมร่วมอยู่ด้วย ธรรมกายธรรมนั้นไม่ใช่กาย ในตถาคตตรัสว่า  กายคือจิต มโน วิญญาณ​ ล.16 ข.230

มีคุณนักรบธรรมถามเรื่อง พระจุลปัณฎก ว่าท่านบรรลุเพราะถูผ้าขาว… พ่อครูว่า ท่านเห็นอนิจจังได้เพราะนัยนั้น แต่เพราะท่านมีบารมีมาแล้ว อันนี้เป็นภูมิรู้ของพพจ.ที่จะรู้วิสัยของสัตว์ คุณไปเอาผ้าขาวมาจัดอย่างพระจุลปัณฎกอีกร้อยชาติก็ไม่บรรลุ อย่าเห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง ให้ทำตามสูตรที่พพจ.สอน อย่าไปทำตามข้อพิเศษของท่านเป็นวาสนาบารมีของท่าน

ท่านมีเซลล์สมองไม่เก่งแต่ท่านมีบารมีเรื่องจะบรรลุธรรม แค่ขัดถูผ้าขาวเห็นขี้ไคลก็บรรลุ แต่คุณไปขัดอีกกี่ปีจะบรรลุ แต่ถ้าคุณบรรลุได้ก็ทำสิ ถ้าคุณดันสิ่งที่ไม่ตรงช่องโดยไม่เรียนสิ่งที่เป็นกลาง อาตมาไม่ได้สอนเหมือนที่พพจ.สอนพระจุลปัณฎกหรอก ท่านเป็นโพธิสัตว์รูปหนึ่ง ใครเป็นแค่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ก็อย่าเลย พระสาวกต่างๆที่ช่วยงานพพจ.ล้วนแต่เป็นโพธิสัตว์ เพราะท่านไม่บอก เถรวาทไม่นิยมโพธิสัตว์ก็ไม่กล่าวในแบบใดๆของโพธิสัตว์ ถ้าคุณนิยมแบบนี้จะช้า ต้องทิ้งอันนั้นเสียก่อน เพราะอันนั้นเป็นของเฉพาะบุคคล คุณพอรู้ไหมว่า ก้อนสองคุณ ปัญญาคุณจะเข้าใจสิ่งที่อาตมาอธิบายได้ก็ทิ้งอันนั้นเสีย ถ้าไปกังวลอันนั้นชอบอันนั้นมากจะไปได้ช้า ถ้าไม่เชื่อไปเอาแต่อันโน้นจะเป็นการฉุด 

อาตมามาปางนี้ไม่ได้เอาอลังการอะไรมาใช้เลย เป็นคนธรรมดาๆนี่แหละแต่ทำได้ คือมีบารมีสูง คนที่จะมาช่วยก็ไม่ได้ชั้นสูงอะไร มีแต่ผู้ต่ำ(ทางสังคม) แต่ใครที่สูงก็จะมาไม่ได้ก็ต้องทำตนให้เหมือนเป็นคนต่ำแล้วลงมามาช่วยกัน

ส่วนกวีอ.เป็นต้น เน้นให้ไทยเรายืนด้วยกสิกรรม อย่างในหลวงตรัส ส่วนเจริญแบบอุตสาหกรรมอย่างตะวันตกที่ก้าวหน้ากัน จนตอนนี้เกาหลีเหนือ เก่งสร้างระเบิดไฮโดรเจน ประเทศเขาก็ชื่มชมยินดีก็กิเลสหนาปุถุขึ้นทุกวันๆ เกาหลีเหนือจน รีดนาทาเร้นจึงอยู่ได้ แต่ชาวอโศกนี่ อาตมาสอนไม่ได้ตรงที่สุรุ่ยสุร่ายให้ลดลงไม่ได้ มันมีอุดมสมบูรณ์เกินไป มีความเจริญงอกงามทั้งคุณภาพและปริมาณมากเกินแล้วทิ้งขว้างอาตมาสอนอันนี้ยังไม่ได้ พวกเราพอกินพอใช้แล้ว ถ้าเราเก็บตกหล่นตรงนี้ได้ในอโศกเราจะเหลือมากกว่านี้ จะสามารถมีสิ่งอาศัยมากกว่านี้ที่จะเกื้อกูลคนอื่นต่อ มันมีเหลือแต่ก็ซ้อนว่าไม่ใช่ตัวกูของกูก็เลยไม่เก็บงำ ปล่อยทิ้งขวางเสียหาย

มาอ่านบทกวีของอาตมาบ้าง

                             

             โลกที่เปิดกว้าง แก่นชาติต้องมีธรรมาธิปไตย
               *********************************************************
                     (1) เอ.อี.ซี.เปิดแล้ว                 เป็นไป    
                   จักเผล็ดผลอย่างไร                   เกิดบ้าง
                   วาดหวังสุดสวยใส                     เลอเลิศ
                   โดยเริ่มหัวข้ออ้าง                      ยกขึ้นชูประเด็น
                     (2) เป็นคำความเรียกโก้ ประชาคม-
                   เศรษฐกิจอาเซี่ยนรม-                เยศรื้น
                   จักสร้างเศรษฐกิจสม-                ใจวาด หวังฤา
                   เมื่อโลกยังครึกครื้น          อยู่ด้วยโลกีย์
                     (3) เศรษฐกิจมีแบบให้            ศึกษา
                   แบบหนึ่งโลกุตรา                      ใหม่แท้
                   ซึ่งต่างจากโลกิยา                     โลกเก่า
                   หากไม่เปลี่ยนแบบแล้                เก่าซ้ำบ่สม
                     (4) รมเยศคงล่มะย้ำ                เยี่ยงเดิม(ล่มะย้ำ=ล่มย้ำ..ออกเสียงล้อคำรมะเยศ)         
                   เศรษฐกิจอำนาจเหิม                 มหะหล้า
                   โลกาธิปไตยเสริม                      ความใหญ่
                   เซลฟิชก็เก่งกล้า                       ยึดข้า..อธิปไตย(เซลฟิช=selfish=เห็นแก่ตัว)
                     (5) แก่นใจคือแก่นแท้             ชาติตน
                   เป็นแก่นแห่งใจคน                    ทุกผู้
                   หากสร้างแก่นใจผล                  แก่นชาติ เลยแล
                   อำนาจจึงจักกู้                           โลกไว้ดังหวัง
                     (6) หากใจยังไป่แท้                แก่นจริง
                   แก่นชาติใดก็อิง                        เก่าแล้ว                
                   อาเซี่ยนก็คงชิง                         กันใหญ่
                   เศรษฐกิจจึงบ่แคล้ว                   วิบัติซ้ำคงเดิม                 
                     (7) ถ้าเสริมสร้างแก่นให้         ภายใน
                   ตรงแก่นคือมุ่งใจ                      วิสุทธิ์ได้
                   บรรลุอธิปไตย                           จนครบ สามเฮย
                   โลก,อัตตา,ธรรม ไซร้                อำนาจนี้แก่นชัย
                     (8) ไทยพาอาเซี่ยนให้            ลุผล
                   เศรษฐกิจแบบคนจน                  วิเศษฟ้า                         
                   โลกมหัศจรรย์สน-                     ธาดั่ง หวังเลย *(สนธา=คำมั่นสัญญา,ความปรองดอง)
                   อาเซี่ยนเรืองรุ่งหล้า                  แน่แท้จริงจริง
                      (9) หยุดอิงอำนาจค้า             โลกีย์ ทีเทอญ
                   กถาวัตถุธรรมมี                         สิบข้อ
                   อัปปิจฉะ,สันตุฏฐี,                     ปวิเวก, อสังสัคค์,(มักน้อย,พอเพียง,สงบ,ไม่สร้างสวรรค์)
                   วิริยารัมภะ(เพียรอยู่เสมอ)ก้อ     ครบห้ากถาธรรม
                      (10) สำหรับผู้ใฝ่รู้                 ศึกษา
                   ผลทวิ-ไตรสิกขา                       อีกห้า
                   ศีล,สมาธิ,ปัญญา,                      วิมุติ, แจ้งวิมุตติ(วิมุตติญาณทัสสนะ)
                   ปฏิบัติให้กาจกล้า                      จักได้ดังหวัง
                      (11) สมดังพระวจนะผู้           อยู่เศียร      
                   เศรษฐกิจพอเพียงเพียร             สำเร็จได้
                   ขาดทุนสู่ทางเธียร                     ผลยิ่ง กำไรแฮ
                   ระบอบแบบคนจนไซร้               ทิฏฐิต้องสัมมา
                      (12) ศึกษาลำดับให้               สำคัญ
                   ฝึกมักน้อยกำหนดกัน                 ต่างผู้
                   เหมาะสำหรับใครสรร                กำหนดแก่ ตนแล
                   สันโดษ-ใจพอรู้                         อ่านด้วยอาการกาย
                      (13) อุบายพาสงบได้             ตามมา
                   ใช่สงบ(ปวิเวก)ด้วยวิชา             สะกดไว้
                   ยิ่งสัคคะอสวรรคา                     อุตตริ ไปเลย
                   ไม่ทุกข์ไม่สุขไซร้                     สงบฟ้าเกินสวรรค์
                      (14) สุดขยันสรรค่าสร้าง       คุณวิเศษ
                   วิริยารัมภะเหตุ                          วิศิษฏ์แท้
                   เศรษฐกิจจึ่งเกินเกรด(grade)    ชาวโลก   
                   เป็นโลกเหนือโลก(โลกุตระ)แล้   แต่ล้วนเป็นจริง
                      (15) พิงธรรมพิเศษไซร้                   โลกุตระ
                   โลกอธิปไตยะ                           หลุดพ้น
                   อัตตาธิปัตย์ชนะ                        ในจิต ตนเฮย   
                   ธรรมอธิปไตยต้น                      ธาตุแท้บริหาร                

                                                    สไมย์ จำปาแพง                  
                                                             4 ม.ค. 2559
                   [นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ 307 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2559]

 

FcisdFc


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:48:08 )

590111

รายละเอียด

590111_พุทธศาสนาตามภูมิ สามัญผลสูตร ตอน 7

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน สามัญผลสูตรเกิดผลอาริยบุคคล 4

พ่อครูว่า….วันนี้วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2559 ก็ไม่ได้ข่าวคราวเหตุการณ์ในประเทศไทย เขาได้เสนอ สังฆราช ขึ้นไปหรือเปล่า ก็ยังไม่เห็น ปรากฏว่ามีเสียงบอกมาหลายคนว่าไม่ได้เสนอก็ยังดีนะ เมืองไทยก็ยังเป็นประชาธิปไตยฟังเสียงนกเสียงกา ในฐานะอาตมาเป็นชาวพุทธ แม้ว่า ทางด้านเถรสมาคม เป็นนานาสังวาสกับเรา ทางโน้นเป็นกระแสหลักกระแสใหญ่ของประเทศ  อิทธิพลในประเทศที่จะแต่งตั้งขึ้นไป

 เราอยู่ในเมืองไทยทำงานกับประชาชนก็หวังดีต่อประชาชน แม้ว่าจะเป็นนานาสังวาส   ในสังคมมีความแข็งด้านในการเป็นอัตตายึดความเห็นสูงมากแล้ว ก็ได้แต่แสดงสัจธรรมไป ผู้ที่รับได้ได้ประโยชน์ก็มี อย่างน้อยก็พวกเรา อาตมาก็บรรยายเกือบทุกวัน บรรยายสดเกือบทุกวันออกอากาศทุกวัน ก็มีผู้ตั้งใจมารับการศึกษา ไม่ต่ำกว่าร้อย โดยเฉลี่ย ก็ได้ประโยชน์ไปเรื่อย เป็นหน้าที่ ของอาตมาที่จะมาสาธยาย ความรู้ความเห็นอันนี้ไว้ลงไปในโลกยุคนี้

ธรรมะ 2 สุดท้ายคือเลือดกับวิญญาณ เลือดคือหัวใจ วิญญาณคือจิตใจ เลือดมีตะกอนตั้งอยู่ที่หัวใจ ส่วนวิญญาณมีที่ตั้งอยู่ที่หัวสมองในมนุษย์ ก็ทำได้เท่าที่มันเป็นไปได้

 เรามาต่อเรื่องวิชชา พระพุทธเจ้าประกาศศาสนามีวิชชาจะระณะสัมปันโน อยู่ในพุทธคุณ 9 ของพระพุทธเจ้าซึ่งทุกพระองค์ก็จะมีเช่นนั้น ไม่เข้าใจไม่ได้ไม่ได้ปฏิบัติก็ไม่ได้สมบัติอันนั้น

 เริ่มตั้งแต่สามัญญผล ที่ทำให้เกิดผลเป็นอริยบุคคล 4 โสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ สามารถหลุดพ้นจากโลก ปลดแอกจากโลก ออกมาจากความเป็นทาส ของคนธาตุของบุคคล จนกระทั่งหมดความเป็นทาสของโลก  โลกคือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข พระพุทธเจ้าอธิบายให้พระเจ้าอชาติศัตรูเป็นลำดับว่าผลเป็นเช่นไร ซึ่งชัดเจนและง่าย พระเจ้าอชาตศัตรูมีภูมิปัญญาก็เข้าใจ ฉันว่าให้คนที่เสียภาษี มันเป็นทาสเป็นพลเมืองของพระเจ้าอชาตศัตรู มาบวชเสร็จแล้วหรือมาเข้ารีตที่พระพุทธเจ้าเสียแล้ว โภคขันธาปหายะ ญาติปริวัตตังปหายะ  มาเข้าอยู่กับพระพุทธเจ้ามีศีลสมาธิปัญญา ก็ไม่มีเงินทองไปส่งเสียเป็นภาษีแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูก็เข้าใจยกให้ ถ้าได้อย่างนี้ถึงจะเจริญเป็นความเจริญเป็นผลที่แท้จริง ไปถามอาจารย์ในระดับยอดยอด 6 สำนัก ก็ไม่ได้คำตอบ มาฟังพระพุทธเจ้าก็ได้คำตอบอย่างนี้เป็นต้น

พระพุทธเจ้าก็ให้ผ่านถือศีลปฏิบัติศีล มีประพฤติสำรวมอินทรีย์มีสติ จนกระทั่งลดกิเลสได้มีความเป็นคนสันโดษ ก็เกิดคุณธรรมอีก7 อย่าง แล้วเกิดจิตใจที่เจริญเป็นฌาน 1 2 3 4 และมีปัญญามีวิชชาเกิดไปตั้งแต่ต้น 

เกิดวิปัสสนาญาณเป็นความรู้เริ่มต้นเป็นปัญญาทางปรมัติเห็นตัวตนเห็นกิเลสของตนเห็นจิตเจตสิก อ่านความเป็นรูปจิต ที่เป็นกิเลสจากตัวการที่จะต้องลดและกำจัดมันได้ สำรวมศีลอันเป็นอาริยะ สันโดษอันเป็นอาริยะ

มีอิทธิวิธญาน มีอิทธิวิธีหลากหลาย

เจริญขึ้นไปเป็นทิพยโสตเป็นความรู้ที่ลึกซึ้ง แม้ละเอียดไกล บางเบา เล็กน้อยอย่างไรก็สามารถที่จะเข้าใจแล้วเรียนรู้ถึงนำมาทำในระดับลึกซึ้งอย่างนั้นได้ ได้ยินทิพย์เพ็ญทิพย์ มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ประกอบด้วยกิเลส แม้เล็กลงในกิเลสกามภพดับไป ไม่อาจลงเป็นรูปภพก็เห็นก็ได้ยินเป็นอรูปภพก็เห็นก็ได้ยิน  เป็นเสียง 2 ที่คนกระทบทางทวารทั้ง 6 ก็รู้เหมือนกันหมด แต่เราสามารถเห็น ได้ยินเสียง 2 คือกิเลสที่เป็นตัวการที่แท้จริงได้และมีวิธีลดและปฏิบัติตามลำดับ ดับได้จริงไปได้ด้วยตามลำดับ ก็มีมาตรวัดคือ

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน เจโตปริยญาณ 16

 [135] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อเจโตปริยญาณ(การโน้มน้อมนี้คือทิศทางที่ไปสู่นิพพาน วิมุติ จิตโน้มไปเพื่อเจโตปริยญาณ ท่านก็ว่าโน้มไปแล้วก็เข้าสู่ความเจริญแบบเจโตปริยญาณ อ่านตามที่ท่านแปลแล้วเหมือนกับโน้มกิ่งไม้แต่ที่จริงเป็นจิตที่เอนเอียง ไปหาสัจจะที่เจริญขึ้นได้ ไปสู่ทิศทางที่เป็นโกล เป็นเป้าหมายอย่างถูกทาง)
          เธอย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ (ใจของเราเองเป็นตัวรู้ ใจของเราเป็นสัตว์อื่น เป็นบุคคลอื่น ไม่ใช่อื่นนี้คือสัตว์ตัวอื่น ไปรู้ใจหมาใจวัวใจม้าไม่ใช่สัตว์คือจิตเราเอง ไปรู้ใจบุคคลอื่น คือ บุคคลโสดาบันแต่ก่อนใจเราคือปุถุชน บุคคลที่เป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี่คือความถูกต้อง ต้องยืนยันว่าเป็นความถูกต้อง ที่ไปยืนยันว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง ก็เลยแปลอื่นนี้ว่าเป็นตัวตนบุคคลเราเขาข้างนอก อันนั้นผิดกำหนดผิด ไม่เข้าเป้าการเรียนปรมัตถธรรมที่แท้จริง เหมือนบอกว่าปรโลกคือโลกอื่นที่ตายไปแล้วหรือไปดาวอังคาร ที่บอกว่าเห็นน้ำแล้วไปจองที่กัน การรู้ใจของสัตว์อื่นบุคคลอื่น ใจเราคือปัญญากำหนดรู้ )

 

 คือจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ(โทสะคือจิตของสัตว์เก่าสัตว์โบราณ สัตว์โลกสามัญปุถุชน ทำให้จิตเจริญดับความเป็นสัตว์โลกๆที่หยาบ กลาง ละเอียดไปตามลำดับ) จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ(ทำให้ไม่มีไปตามลำดับก็เห็นได้ ขั้นแรกทำให้จิตเปลี่ยนแปลงได้ลดกิเลส แล้วจิตก็แบ่งเป็นสองสายคือ ถีนนังมิทธัง กับอุทธัจจะ ลดได้ก็ยังแบ่งเป็นสองสาย

คือสังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง ตอนแรกลดได้ก็ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้หยุดได้ ทำให้มันลดอิทธิพลลงได้ แต่ลักษณะที่จิตได้เป็นแบบ

1.สังขิตตัง จับเป็นก้อน เหมือนผมคนเป็นสังขตัง จับเป็นก้อนกระจุก ส่วนวิกขิตตังจิตตังมันก็ได้แต่จับไม่ติดกระจายกระเด็นกระดอน แต่ลึกๆก็ลดลง กิเลสน้อยลง รู้จักเห็นมีญาณที่อ่านออก เทียบกับวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ชั้นสูงที่รู้จักพลังงานขั้นนิวเคลียส พอเราทำสำเร็จก็เหมือนตีแตกได้ พอตีแตกจากนิวเคลียสก็กลายเป็นนิวเคลียร์

สังขิตตังจิตตังก็เป็น นิวเคลียร์ฟิวชั้น

วิขิตตังจิตตังก็เป็น นิวเคลียร์ฟิชชั่น

แต่ของพระพุทธเจ้าทำได้แล้วไม่ใช่ว่าไม่อยู่ในอำนาจ อย่างเขาทำระเบิดปรมาณูเขาก็ทำให้แตกตัวระเบิดแรง แต่คุมไม่ได้เป็นการแตกตัวนิวเคลียร์ฟิวชั่นกับฟิชชั่น มันเป็นวัตถุ จิตของคนก็แตกตัวได้แต่เอามาใช้ได้หรือไม่

ของพระพุทธเจ้ากำจัดตัวร้ายได้ หรือพลังงานที่เอามากำจัดตัวร้ายนี้ได้ ถ้าจะว่าแล้วกิเลสตัวที่เป็นเป้าหมายคือนิวรณ์ แม้จะมีลักษณะ 5 มันรวมหมด ต้นตระกูลราคะโทสะโมหะนั่นแหละอยู่ในนิวรณ์ 5 ทำได้แล้วควบคุมได้มีผลสำเร็จได้ พลังงานนั้นเอามาใช้เพื่อให้กำจัดราคะโทสะโมหะ กำจัดตัวกิเลส โดยมีปัญญามีความรู้ความสามารถเอานิวเคลียร์นี้มาใช้ เป็นพลังปัญญาที่ยิ่งใหญ่ทำลายนิวรณ์ 5 หรือราคะโทสะโมหะนี้ลงได้ เมื่อทำได้ก็รู้จักวิธีทำให้เจริญขึ้นอีกได้ )

 จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหรรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรรคต หรือจิตไม่เป็นมหรรคต(หมายความว่าให้ยิ่งขึ้นเสริมขึ้นยิ่งใหญ่ขึ้นก็พัฒนาขึ้น ถ้าเราทำยังไม่ได้ก็รู้ ว่าอมหรรคตะ ไม่ใช่ทำอย่างกดข่ม ทำอย่างรู้ว่าเจริญได้ตามเป้าหมายหรือไม่ ทำได้ก็เจริญเป็นมหรรคตะ จนเจริญไปยิ่งกว่า)

จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า(สอุตรจิต) ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า (คือมีญาณรู้ว่ามีดีกว่านี้อีกยังไม่สูงสุด เป็นจิตเหนือโลกขึ้นไปเรื่อยๆ ประกอบด้วยจิตเหนือโลกแต่ยังไม่สุดเป็นอนุตตรังจิตตัง ก็รู้ไม่งมงาย ชัดเจน ท่านแปลว่า) หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ
ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น (เจโตปริยญาณเป็นมาตรวัดจิต ต้องอ่านรู้จิตตน ตรวจสอบด้วยเตวิชโช สามวิชชาสุดท้าย ให้รู้ให้เข้าใจ เหมือนอาตมาบรรยายเสมอว่า ทำงานแล้วต้องตรวจสอบว่าอะไรขายไหมเหลืออยู่ ตรวจสต็อก ได้ราคาเท่าไหร่ ได้ดีจำหน่ายดี เหมือนกับเราทำได้เจริญจริงไหม อะไรควรทำเพิ่มหรือลด ลงบัญชีไปเรื่อยๆ ต้องทำต่อ จิตดีกว่านี้ยังมีอีก ไม่ใช่อนุตตรังจิตตัง หลักสูงสุดคือวิชชาและวิมุติ หรือนิโรธ หรือว่าเรียก จิตสงบ รู้สมบูรณ์ว่าไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า เพราะกิเลสเกลี้ยงหมดสิ้นไม่เหลือ ตรวจดูหมดเลย การจะรู้ว่าเราเรียนมาแล้วว่าเราต้องรู้อะไร ปฏิบัติแล้วเรียนรู้จริงๆคือเวทนา  ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )

บทเรียน กาย เวทนา จิต ธรรม ตัวปฏิบัติแท้ที่จะตรวจสอบคือเวทนา คืออาการเวทนาสุขทุกข์ ไปหลงสุขโลกียะคือสุขขัลลิกะก็คือเวทนา พอดับเหตุลงก็ไม่มีที่จะไปสุขเพราะดับเหตุแห่งสุข หรือทุกข์สมุทัย ก็ดับสุขดับทุกข์เป็นอทุกขมสุข เป็นอุเบกขา เราเห็นชัดรู้ชัดมีตาทิพย์ อ่านเวทนา เห็นจิตที่มีพฤติกรรมเป็นเวทนา 18 เป็นมโนปวิจาร 18 อ่านรู้ว่ามันเกิดขึ้น ปวิจาร 18 ลักษณะที่เป็นแบบโลกีย์ เกิดลักษณะเวทนาที่เป็นตัวทุกข์อาริยสัจ หรือสุขขัลลิกะ คืออาการแท้ของอาริยสัจ 4 ผู้ไม่รู้เวทนาในเวทนาอย่างสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ปริยัติ ที่มีอาจารย์หรือผู้รู้หยิบหัวข้อมาอุเทส

ตั้งแต่เวทนา 2 เป็นสภาพเกิดจากกาย จากจิต แยกกายแยกจิตเป็น กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา แยกกาย จิตอย่างสัมมาทิฏฐิ รู้กาย จิตอย่างสัมมาทิฏฐิ กายไปเข้าใจว่าคือมหาภูตรูปเฉยๆก็ผิด กายต้องมีนามธรรมร่วมเสมอ

อย่างผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นกรรมฐานที่อุปัชฌาย์ต้องให้ กรรมฐานคืออันนี้ไม่ใช่ไปเพ่งพุทโธหรือลมหายใจเข้าออก อันนั้นคือกสิณ คือให้จิตเกาะเป็นของศาสนาอื่น เป็น meditation ไม่ใช่กรรมฐานที่เป็น supraconcentration ไม่ใช่กรรมฐานของสัมมาสมาธิ ที่ต้องดูอาการ 32

แต่จะไปดูตับไตไส้พุง ลำไส้เล็กใหญ่ในอาการ 32 ทั้งหมดมันก็ยาก ท่านก็ให้เรียนรู้ 5 กรรมฐานนี้ก่อน แล้วจะรู้ความเป็นกาย เป็นจิต จะสามารถรู้อาการรูป นามของนามธรรม กายนี้คือเจตสิก จิตหรือมโนคือวิญญาณ นามธรรมที่เป็นตัวการกิเลส ต้องตรวจอ่าน ต้องพิจารณาให้รู้กาย

ตอนนี้ก็นึกถึงสมณะบวชใหม่ของเรานี่ สมณะอุตตโม อาตมาก็เปรยๆว่า เราบวชนี่ให้กรรมฐาน 5 หรือเปล่า เราไม่ได้ให้กันเลย สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่เพิ่งสิ้นไปนี้ท่านก็ว่าต้องให้กรรมฐาน 5 แก่ผู้มาบวชนี้ด้วย แต่ในหลักการจิต นั้นต้องทำ เป็นหลักสำคัญในมูลกรรมฐาน 5 ทุกวันนี้เพี้ยนไปเอากสิณมาเป็นกรรมฐาน แต่ก่อนกสิณมี 10 แต่ตอนนี้แตกเป็นกสิณ มากมาย มีทั้งพุทโธ ยุบหนอพองหนอ มีลูกแก้วเป็นกสิณ ใสๆเป็นกสิณ เกินกสิณ 40 แล้ว เอายกมือขึ้นลงก็เป็นกสิณ เอาจิตไปเกาะลมหายใจก็สะกดจิต hypnotize ให้จิตนิ่งดับดิ่ง จนกระทั่งถ้าสะกดจตให้คนเขาควบคุมจิตเราได้เลย สะกดจิตตนแล้วตนก็ดับ ก็เลยให้คนอื่นสะกดเราได้ต่อ

กรรมฐาน5 นี้เราจะแยกกายแยกจิตออก เล็บ ผม ขน ฟัน หนัง เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดไม่เป็นกาย มันมีอาการเมื่อปรุงแต่งกับนามธรรม ตั้งแต่มหาภูตรูป ก็มีดิน น้ำ ไฟ ลม ก็สังเคราะห์มาเป็นอาการ 32 แล้วปรุงแต่งกันอยู่สังขารกันอยู่ทุกอย่างใน 32 นี้ พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้อาการ คำว่าอาการนี้ต้องเรียนรู้ ถ้าไม่เรียนรู้อาการก็ไม่เรียนรู้รูปนาม

ที่ประชุมเป็นกาย นามก็เป็นกาย รูปก็เป็นกาย แต่รูปกายต้องมีนามร่วมเสมอ ถ้ามีแต่รูปกับรูปไม่เป็นกาย เป็นพีชะ เช่นฟักเขียวกับถั่วพร้า มันปรุงแต่งเป็นสังขารแบบพืช ไม่มีธาตุจิตนิยาม มีแค่สัญญากับสังขาร จะต้องเข้าใจว่า เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเจตสิก 3ของวิญญาณ

อาการเวทนาเป็นอย่างไร อาการสัญญาที่ทำงานรู้กำหนดไป กำหนดจนสัญญาเป็นปัญญา ปรุงแต่งสังขารอย่างไร กายสังขาร  วจีสังขาร จิตสังขาร เราก็รู้ ลดสมุทัยลงได้ชำระได้ก็เกิดบุญ ทำบุญสำเร็จ จนหมด อปุญญะ ไม่ต้องชำระแล้ว เข้าฐานนิพพานเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา

เหตุปัจจัยเกิดจากองค์ประกอบส่ิงที่เป็นอาการปรุงแต่ง แล้วมันถูกเรารู้ด้วยญาณปัญญาวิชชา วิปัสสนาญาณ ทำได้ก็เป็นมโนมยิทธิ ทำเก่งอิทธิวิธี โสตทิพย์ ตรวจสอบด้วยเจโตปริยญาณ แล้วก็ตรวจสอบ ด้วย เตวิชโช คือญาณ อีก 3

มุทุภูตธาตุคือ จิตที่อ่อนเร็วไว เจโตเปลี่ยนไว ปัญญารู้ไวปรับได้ เหมาะควรต่อการงานที่เป็นประโยชน์มีกายกัมมัญญตา มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4

อาตมาก็พาทำได้เท่านี้ ขนาดออกไปอยู่ในสนามรบอย่าง 18 ก.พ.57 ถ้าหัวขบวนหนีไปพวกเราก็ไม่เหลือ แต่อาตมาไม่ได้ห่าม มีแต่จิตปรารถนาดีต่อเขา จะห้ามปราม มีแต่ความสงบ มีแต่เมตตา สยบความรุนแรงได้ เราก็ทำได้แค่นั้น ได้แค่ไหน คุณจะเอาปืนเอาระเบิดไปฆ่าเขาตายแล้วชนะอย่างนั้นจะไปเก่งอะไร เขาทำมาตั้งแต่ช้างม้าวัวควายมีเล็บมีเขามีเขี้ยวมีส้นเท้าอย่างยีราฟหรือม้าก็ไปทำร้ายเขาเจ็บปวดตายก็ชนะ ทำมาตั้งแต่เดรัจฉาน

เราเป็นคนจะมาหาอาวุธไปทำร้ายกันเพื่อชนะก็มีสัญชาตญาณเดรัจฉานอย่างเก่า เราต้องทำอย่างไม่เบ่งข่มทำร้ายแต่ช่วยเหลือเขาเมตตาเขา อาตมาพาไปทำนั้นยิ่งใหญ่กว่าสงครามโลก ยิ่งใหญ่กว่าสงครามอื่นๆเราทำมาตั้งแต่เล็กๆนี่แหละ

ที่อาตมาเคยยกตัวอย่างตอนผู้การแต้ม ยกพลมา ที่ทำเนียบ เพื่อจะเอาชนะปราบเราให้ถอย เราก็สู้ด้วยสงบ จนคณะนั้นถอยไป อาตมาว่า จนผู้การแต้มเสียท่า ตอนนั้นก็มีจักรทิพย์กับผู้การแต้มกำลังชิงกันอยู่ ผู้การแต้มก็เลยถอยไปลาออกให้คนอื่นขึ้นมา ทางโลกเขาเห็นว่าผู้การแต้มแพ้ ที่จริงก็ต้องแพ้ให้ความสงบ เสียผลไปถึงโลกธรรม ที่เล่าไปนี้ก็เห็นว่าผู้การแต้มดีมีคุณธรรม ถ้ามาปราบพวกอาตมาที่นั่งประนมมือก็จะเห็นว่าเป็นอย่างไรนะ บาปเวรพวกนี้ แต่ผู้การแต้มก็ชนะทางธรรมนี้มันชนะด้วยกันอย่างนี้ ถ้าผู้การแต้มก็ปราบเรา เราจะสู้ได้อย่างไร ดีไม่ดีเราก็อาจตาย ซึ่งไม่สมควรเลย แต่นี่เป็นเหตุการณ์ที่ประเสริฐ อาตมาถึงเห็นว่าความสงบสยบความเคลื่อนไหวได้ชัด แต่ผู้ไม่มีดวงตาก็ไม่เข้าใจ เพราะเป็นเรื่องลึกซึ้ง คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา บัณฑิตเวทนียา

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน เตวิชโช ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ

ต่อไปเป็นเตวิชโช

 

ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
 

[136] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ย้อนไปวินาทีที่ผ่านไป นาทีที่ผ่านไป ชม.ที่ผ่านไป วันที่ผ่านไป สัปดาห์ที่ผ่านไป เดือนที่ผ่านไป ปีที่ผ่านไปว่ามีราคะโทสะโมหะไปร่วมกับองค์รวมพฤติกรรมเราไหม)

เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้างสี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิ ฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏ(ต่อเนื่องกัน)วิวัฏฏกัป(คือขาดตอน)เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น(วรรณะคือระดับ เช่นอบาย กาม ภพ ชาติ) มีอาหารอย่างนั้น(อาหารคือเครื่องอาศัย 4 อย่าง ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ทำให้ร่างกายเจริญ แล้วมีสิ่งที่สัมผัสเรียกว่าผัสสาหาร ทั้งสิ่งที่เป็นอุปโภคบริโภคด้วย เป็นอาหาร จากผัสสะ แล้วก็มีมโนสัญเจตนา เป็นกามตัณหา ภวตัณหาหรือวิภวตัณหาคือตัณหาล้างตัณหาให้กิเลสลด) เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ(เกิดจากกิเลสตัณหา เกิดเวทนาเราก็รู้ลดมันได้ก็รู้ อย่างเคหสิตะมาเป็นเนกขัมมะก็รู้) มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น(ไม่ใช่อายุร่างกายแต่เป็นอายุกิเลส มันยังมาเกิดหรือไม่หรือไม่เกิดแล้ว ช้าลงๆ จนหายไปนาน จนกระทั่งมันไม่มาดับสนิท เราทำสำเร็จจากเวทนา 2 ให้เป็นหนึ่ง เราชนะมันเราเป็นโลกุตระจิต แต่เราก็อยู่กับโลกโกียะได้)

ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมากพร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้(จากกามภพมาเป็นรูปภพ จากรูปภพก็เป็นอรูปภพ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทส การอุเทสคืออย่างอาตมาบรรยายนี่แหละ เหตุผลข้อความความหมายพร้อมหมด ) ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงจากบ้านตนไปบ้านอื่น แล้วจากบ้านนั้นไปยังบ้านอื่นอีก จากบ้านนั้นกลับมาสู่บ้านของตนตามเดิมเขาจะพึงระลึกได้อย่างนี้ว่า เราได้จากบ้านของเราไปบ้านโน้น ในบ้านนั้น เราได้ยืนอย่างนั้นได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น เราได้จากบ้านแม้นั้นไปยังบ้านโน้น แม้ในบ้านนั้นเราก็ได้ยืนอย่างนั้น ได้นั่งอย่างนั้น ได้พูดอย่างนั้น ได้นิ่งอย่างนั้น แล้วเรากลับจากบ้านนั้นมาสู่บ้านของตนตามเดิม ดังนี้ (โบราณาจารย์ท่านแปลว่าจิตเดิมแท้ตรงคำว่าบ้านเดิม คือจิตที่ตั้งแต่เร่ิมต้น รู้อย่างไม่มอมเมาตั้งแต่เป็นพีชนิยาม ไม่มี i คือตัวตน ไม่มี s คือ she ไม่มี h คือ he ที่เป็น ish พีชนิยามไม่มี ish แต่อย่างสัตว์ก็มี ish ของตนแค่วงจำกัด ไม่เท่าไหร่ แต่เราสามารถรู้สภาพของต้นเดิมของจิต คือจิตเราเป็นพีชนิยาม เป็นแค่ self เป็นแค่วงวนของชีวะ แล้วไม่มีตัว สี่ห้าหกเจ็ดที่หลงโลกีย์บานปลาย นั่นแหละจิตเดิมแท้ เรามาปฏิบัติลดกิเลสที่เป็นอบาย ที่เป็นกาม ที่เป็นรูปภพ อรูปภพหมดไป จิตเราก็ไม่ได้หายไปแต่ลดรังสีตัวโง่ไป กลายเป็นพลังธรรมัญญารังสี เป็นจิตไม่เป็น ish​ ไม่มีตัวตนก็เอาจิตมาใช้กับพีชนิยามทำงานได้เกินสามัญ ที่ท่านอธิบายเป็นภาษาสามัญ ว่าจากบ้านโน้นไปบ้านโน้นไม่ได้กลับมาบ้านเก่าเลย แต่นี่ท่านทำแล้วกลับมาบ้านเก่ามาสู่จิตเดิมแท้ได้ ไม่ใช่ตรรกะ ที่เขาทำกันปัจจุบันที่ว่าจิตเดิมแท้ ไม่รู้ไม่เข้าใจแล้วทำให้เป็นจิตเดิมแท้ตามขั้นตอนไม่ได้

จิตเดิมแท้คือเวทนาสัญญาสังขารตามเดิมแล้วเวทนาก็มาเสริมให้การทำงานของจิตดีขึ้น เป็นเวทนาที่เนกขัมสิตอุเบกขา เป็นฐานอุเบกขาเป็นพลังงานที่พอกพูนกลับมาอยู่บ้านเก่า ไม่ใช่จิตวิ่งไปหาบ้านโน้นนี้นั้น เป็นบ้านโลกีย์ที่พร้อมพรั่งด้วยโลกธรรม

อย่างบ้านของบิลเกตต์ เขาสร้าง มโหฬารพันลึกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีทุกอย่าง คนเดินเข้าไปในเขตนี้เขารู้เห็นหมดแต่ไกล ทุกส่วนเห็นหมด ซึ่งนายไมเคิลแจคสันก็พยายามสร้างบ้านให้เต็มรูปบันเทิงโลกๆ แต่สู้บิลเกตต์ไม่ได้

เขาก็ทำทุกคนในโลกีย์จะทำเช่นนั้นออกจากบ้านโน้นสู่บ้านนั้น จะเป็นบ้านจริงๆทางอาณาจักร อย่างเราทำใหญ่ตึกรามเราใหญ่ แต่แปลกที่ส้วมเราทำใหญ่ แต่บ้านไม่เห็นทำเพิ่ม ดีไม่ดีเล็กลงๆ เป็นสัจจะที่ชัดเจน ส้วมเป็นหน้าเป็นตาของคน เราทำให้สะอาดน่าอยู่ เรามีบ้านที่ไหนจะนั่งนอนที่ไหนก็เป็นทิพย์พอเป็นพอไป อยู่อย่างพอเหมาะพอดี มันจะมีปัญญาความรู้ลึกซึ้ง

เรื่องบ้านเรือนที่อยู่อาศัยองค์ประกอบชีวิตเราจะรู้ว่าควรไม่ควรอย่างไร มีวิหารที่อาศัย มีอาหารที่อาศัยด้วยปัญญา

รู้จักการเกิด แต่ก่อนอดีตเราหลง แล้วเราก็วาดอนาคต จนเราปฏิบัติสำเร็จ สร้างทุกปัจจุบันให้เป็นบ้านใหม่จนเป็นพีชนิยามกลับสู่บ้านเก่าได้สำเร็จ อาตมาพยายามโยงใยถึงจิตเดิมแท้ แต่เป็นจิตประสิทธิภาพสูงเพราะไม่ได้มีแค่พลังพีชะ แต่นี่มีพลังกว้างลึกมาก แต่ทว่าลดพลังเลวร้าย แปรสภาพพลังงานเหล่านั้นให้กลายเป็นพลังงานดี เจริญ

 

ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้วไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ(ก็ระลึกเหตุนิทานสมุทัย ปัจจัยแล้วพยายามตรวจสอบ จนรู้กิเลสหมด  เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้างสามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้างตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้นเสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้นแม้ในภพนั้นเราก็มีชื่อนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ดูกรมหาบพิตรนี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ข้อก่อนๆ.
 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน เตวิชโช จุตูปปาตญาณ

จุตูปปาตญาณ

 [137] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วง จักษุของมนุษย์ (ถ้าเจริญด้วยสุจริตโลกีย์ก็หลงสุขมันก็ย่ิงช้า ถ้าโง่หลงทุจริตก็บาปซ้อน แม้หลงโลกียะสุจริตก็หลง ต้องอยากได้ ไม่ได้ก็ทุกข์ เช่นสวรรค์โลกียสุจริต คุณตายไปก็ไม่มีทวารนอก แต่ตายไปไม่รู้ว่าเราไม่มีทวารนอกไว้เสพ แต่ก็อยากได้ในจิต แต่องค์ประกอบสังขารไม่มีแล้วก็ต้องไปเนรมิตสร้างเอาที่เป็นของไม่ง่าย เหมือนคุณนั่งหลับตาสมาธิ ปั้นภพก็ทำไม่ง่ายนะ แต่คนที่เคยนั่งสมาธิ ตายไปก็หลงสวรรค์ที่เขาปั้นก็จมอยู่ในนั้น จะเสียเวลานานมาก มันขึ้นสูงมันก็ตกลึก กว่าจะขึ้นใหม่ก็ต้องสะสมใหม่อีก คุณยิ่งไปสร้างอย่างที่คุณติดใจมากแล้วก็ดิ้นตกไปลึกก็ยิ่งต้องการสร้างให้ได้อย่างที่ต้องเคยได้ก็จะร้อนใจใจเร็วไม่ได้ดั่งใจจะประดังไม่ได้ยกใหญ่ อาการของจิตที่ดิ้นรนแส่หานี้จะแรงไม่รู้ว่าอาการดิ้นนี้มันร้อนทุรนทุรายอยากได้ ถ้าคุณเคยอยากยาเสพติดก็ทุรนทุราย ใครเคยปวดใจไม่ได้ดังใจ พลาดหวังในเรื่องใดๆ ไม่ได้แล้วปวดใจจนฆ่าตัวตาย ที่ปวดใจเจ็บใจคือของปลอมที่เขาไม่รู้แล้วดิ้นรนแส่หา ทรมานทรกรรมปวดเจ็บคือจิตเป็นจริงเป็นนรกด้วยอวิชชา พอเข้าใจตามไหม จริงๆอาการเจ็บปวดใจไม่มีหรอก คุณทำเองในภพเอง ทำแล้วใครจะมาสะกิดคุณออกมาได้ นานมาก น่ากลัว นรกนี่นานมากเพราะอวิชชา

ที่บอกว่าผิวพรรณดีผิวพรรณทรามฟังแล้วไม่น่ากลัวแต่ที่จริงน่ากลังมากสวรรค์เก๊ นรกจริง เกิดที่จิต สวรรค์นั้นเก๊เร็วแต่นรกทรมานนาน สวรรค์ทำไมมันเร็วจริง

ได้ดีตกยากคือสคติกับทุคติ คือสวรรค์กับนรก แต่เขาแปลว่าได้ดีตกยากมันไม่น่ากลัวเลย

 

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต  วจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า(เอามาใส่ให้รู้ว่าติเตียนพระอาริยเจ้าเป็นบาปหนักนะ คนไม่รู้ก็ไม่เข้าใจ การที่คุณมองพระอาริยะผิด แล้วคุณจะได้อะไร เพราะถ้าติคนธรรมดาไม่อะไรจากคนธรรมดาก็ไม่กระไร แต่การไปติพระอาริยะที่คุณควรได้สิ่งดีนั้นคุณก็จะไม่ได้สิ่งดี มันจะไปอีกกี่ตลบ เมืองไทยมีสัจธรรมพุทธตั้งแต่เกิดประเทศไทย ตอนนี้มันเสื่อมจนพระอาริยเจ้ามาเกิดก็รวมหัวจะเอาพระอาริยะตาย รวมหัวกันทั้งธรรมยุติและมหานิยายที่ผิดธรรมวินัย ร่วมกันทำสังฆกรรมอัปเปหิอาตมาออกจากสงฆ์ออกจากพุทธ แล้วประกาศว่าสำเร็จ ที่จริงโมฆะทั้งนั้น เป็นความเสื่อมของพุทธรรมไกลลิบ มาถึงวันนี้ก็เลยเห็นอย่างนี้จะยกใครมาเป็นสังฆราช คือมันไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วถล่มมากแล้วหมดปัญญาถล่มแล้ว ใช้ศัพท์ว่าแก่เกินแกง น่าสลดใจไทยเมืองพุทธจริงๆ (ผู้ใดไม่ติเตียนอาตมาแต่ไม่เคารพเขาก็จะได้สวรรค์เก๊เท่าที่เขาเข้าใจแต่ถ้าเขารู้ว่าคือส่ิงไม่สามัญ อาจแอบเอาหรือมาเอาจริงเลยก็ได้ หรือมีอัตตาก็ไม่กล้าก็แอบเอาก็ไม่ว่าจะได้แก่ตัวเอง แต่ถ้ากล้ามาแสดงตัวมาเอาเต็มใจก็เป็นไปตามธรรม ผู้ที่แม้ไม่ติเตียนแต่ไม่มาเอาวางเฉยก็ไม่ได้แต่ถ้าไม่ติเตียนแต่แอบเอา คล้ายกับคนธรรพ์ อาตมาก็ไม่ว่า เพราะไม่เอากามโลกีย์แบบคนธรรพ์แต่แอบมาเอาส่ิงดีขอให้จริงใจเจริญได้))เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ เปรียบเหมือนปราสาทตั้งอยู่ ณ ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนคร บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนปราสาทนั้น(เป็นปัญญาปาสาโท เป็น Bird eyes views  จะพึงเห็นหมู่ชนกำลังเข้าไปสู่เรือนบ้าง กำลังออกจากเรือนบ้าง กำลังสัญจรเป็นแถวอยู่ในถนนบ้าง นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนครบ้าง เขาจะพึงรู้ว่า คนเหล่านี้เข้าไปสู่เรือน เหล่านี้ออกจากเรือนเหล่านี้สัญจรเป็นแถวอยู่ในถนน เหล่านี้นั่งอยู่ที่ทาง 3 แพร่งท่ามกลางพระนคร ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย
          เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรกส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ.
(เป็นตาทิพย์ที่ไม่ใช่เห็นเป็นรูปร่างตัวตนที่แบบเดรัจฉานวิชชาแต่คือการเห็นจิตวิญญาณมนุษย์ที่เป็นโลกียะแล้วพัฒนาเป็นโลกุตระ แต่อย่างอาตมาที่วิจารณ์ภูมิธรรมของคนอื่นบ้าง เช่นกัลยาณธรรมก็บอก หลงผิดก็บอก จะว่าไม่รู้ของคนอื่นก็พอรู้ แต่ชาตินี้อาตมาไม่มีเวลาไปค้นคว้าไปคบหา อย่างท่านเพาะพุทธแต่ท่านก็ได้ตามของท่าน อาตมารู้จักคนน้อย ก็ดูตามที่มีข้อมูลว่าอย่างไหนปลอม อย่างไหนโลกุตระก็บอกไปบ้างตามสมควร ไม่ได้บอกกันมากมายเพราะผิดพลาดไปไม่ดี โดยเฉพาะทางโลกเขานับถือกัน อาตมาก็พูดตามเหมาะควร แต่ถ้าจะให้พูดถล่มก็ได้มากมายเลยแต่พูดเพื่อให้เข้าใจที่ต้องพูดพาดพิงบ้างก็คือให้เข้าตรวจสอบ เพราะมันทำให้มนุษยชาติแย่อาตมาไม่ได้หรือริสยาหรอกเหมือนอุจจาระที่ออกไปแล้วไม่อยากได้กลับมาหรอก

พูดไปแล้วคนก็อาจบอกว่าพูดเลอะ เช่นคนที่เชื่อถือธัมมชโย ธัมมชโยพูดไปอย่างไรเขาก็เชื่อถือ อย่าตามมาก็ยิ่งเห็นว่ามันเลอะเทอะมากไปใหญ่ท้วงไปอย่างไรก็ไม่เคยเข้าใจไม่เคยแก้ไข  ก็ไม่มีทางอื่นก็ต้องท้วงไป สำหรับผู้ที่ศรัทธาก็จะยิ่งเข้าใจ ยิ่งเอาพระไตรปิฎกมาอ่านให้ฟังแล้วอธิบายก็ยิ่งจะเข้าใจซาบซึ้ง แม่ผู้ไม่เคยได้อ่านฟังตามก็จะเข้าใจได้

พรุ่งนี้มาฟังต่อ อาตมาจะพยายามพูดให้ดีที่สุด

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:48:39 )

590112

รายละเอียด

590112_พุทธศาสนาตามภูมิ สามัญผลสูตร ตอน 8

พ่อครูว่า….สบายดีไหม ถ้าอยู่ที่บ้านราชฯนี้ไม่สบายก็คงแปลก เป็นคนวิปลาส ​คนเราก็มีวิปลาส 4 คือเห็นความทุกข์ว่าสุข เห็นความไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งไม่น่าพึงใจว่าน่าพึงใจ เห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนว่ามีตัวตน นี่มันเป็นความวิปลาสที่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น วันนี้อังคารที่ 12 ม.ค. 2559 ขึ้น 4 ค่ำ เดือนยี่ปีมะแม(วอก)

พวกเรานี่เรียนพระไตรปิฎกกันไม่ใช่ธรรมดา เป็นสิ่งประเสริฐในชีวิตที่ควรได้ควรมีควรเป็นแท้จริง

 

Sms 100159

0893867xxx โลกโลกียะอบายมุขยิ่งโต!ชนอธรรมยิ่งขยาย!ชนธรรมะยิ่งพากเพียร!ขยับโลกุตระพามนุษยชนเจริญพ้นโลกธรรม!

พ่อครูว่า...อบายมุขนั้นเนื้อหาสาระคือสิ่งที่ไปติดไปยึดทั้งที่มันไม่น่าเป็นสิ่งที่ควรติดยึด เพราะเป็นสิ่งจัดจ้าน ไปติดยึดกันในโลกีย์โลกๆ ในการไปชื่นอกชื่นใจในรสชาติของกามารมณ์จัดจ้าน ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสจัดจ้านก็อบายมุข ยึดติดในอัตตาจัดจ้านก็โลกธรรม ในโลกธรรมจัดจ้านก็อบายมุข ยึดติดเหลี่ยมโกงไปหาได้ลาภ ได้ยศ แม้สรรเสริญก็เหลี่ยมโกง เสพสุขจัดจ้านก็อบายมุข ทุกวันนี้เขาต้องเสร็จความสุขอย่างจัดจ้าน อย่างรุนแรง ขึ้นเรื่อยๆก็คืออบายมุข แล้วยิ่งเสริมให้หนักหน้าจัดจ้านขึ้นอีกไปเรื่อย

 เพราะไม่สนใจสาระสัจจะของพระพุทธเจ้า ก็เลยไปกับอบายมุข เรียนธรรมะเพื่อจะได้เอาไปเพื่อจะเก่งเพื่อจะรู้มาก เพื่อจะเอาไว้เป็นเครื่องมือ ล่าลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กามและอัตตา ทั้งนั้น

 

0893867xxx ในโลกที่ท่วมด้วยคนหัวสูงมีแต่คนติดดินอยู่กับดินเข้าใจชีวิตคนเดินดินแล้วนำพาคนบนดินพ้นทุกข์จากโลกธรรมมีเพียงพระพุทธเจ้าที่ลงจากที่สูงตรัสรู้บนดิน และพ่อหลวงฯที่ทำงานติดดินอยู่กับพสกนิกรบนดินจริงๆ แล้วพ่อครูก็เจริญรอยธรรมตามพระศาสดาตามปรัชญาพอเพียงในพ่อหลวงแบบคนติดดินจริงๆมีแต่คนติดดินเท่านั้นที่จะเข้าถึงธรรมจริงๆคนหัวสูงหยิบโหย่งรวยลาภยศเจ้ายศเจ้าหยิ่งคอแข็งเชิดหน้ามีใจพอที่จะรู้จักคำว่าพอเพียงได้ดีกว่าคนติดดินกินอยู่กับดินที่เข้าถึงความพอเพียงได้ฤา?

พุทธศาสนาสอนให้เรามีจิตใจอย่างนี้ คือให้มีจิตใจเป็นอิสระอยู่เหนือวิสัยชาวโลกไม่หวั่นไหวไปตามสถานการณ์ทุกอย่างในโลก! มีแต่ความพอเพียงพาให้ยืนหยัดอยู่รอดได้ท่ามกลางสงครามอำนาจลาภยศที่ถมทุกทวีปเต็มไปด้วยโลกธรรมอันฟุ้งเฟ้อหรูหราฟุ่มเฟือยแปดเปื้อนกลิ่นควันปืนหยดเลือดเปื้อนน้ำตา!

พ่อครูว่า...ตอนนี้เกาหลีเหนือก็ไม่ฟังเสียง มีระเบิดไฮโดรเจนเลย อเมริกาก็บอกว่าต้องมีสันติภาพๆ แต่ตนเองก็ทำอย่างตรงกันข้ามเลย ทางรอดอย่างพวกเรามีสาราณียธรรม 6

สาราณียธรรม 6 ประการนี้ 6 ประการ เป็นไฉน

เนื้อหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาราณียธรรม 6 ประการนี้ 6 ประการ เป็นไฉน คือ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุแบ่งปันลาภทั้งหลายที่ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม แม้โดยที่สุดบิณฑบาต ย่อมบริโภคร่วมกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้มีศีล แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฏฐิไม่ยึดถือเป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีทิฏฐิอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออก นำออกไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_สังขาร) ตอน ลดกิเลสในจิตได้ถึงเป็นอภิสังขาร

Sms 11jan59

0839975xxx กราบนมัสการครับพ่อท่าน กระผมนัฐดนัยครับ วันนี้ผมไม่ได้มาในประเด็นพระคึกฤทธิ์ครับ แต่ผมจะมาสอบถามพ่อท่านเรื่องกายสังขาร วจีสังขาร และ จิตสังขาร ว่าตามที่ผมเข้าใจนี้ ถูกต้องไหมครับ

 กายสังขาร คือ การปรุงแต่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีผัสสะกระทบนามรูป และเกิดวิญญาณ เมื่อกระบวนกระเหล่านี้ครบถ้วนก็จะเกิดความชอบ ความไม่ชอบ ความดูดความผลัก อาการเหล่านี้คือกายสังขารใช่มั้ยครับ

พ่อครูว่า...ใช่ คือองค์รวมความรู้สึกทั้งหมดหรือเวทนาก็ใช่เป็นปฏิจจสมุปบาท

 เมื่อเกิดกายสังขารแล้ว จิตก็จะเป็นด่านต่อไปที่จะเกิดการปรุงแต่งถ้าจิตดีจิตประเสริฐก็จะเกิดเป็นอภิสังขาร แต่ถ้าจิตยังชั่ว ยังโง่อยู่ก็จะสังขารไปในทางกาม พยาบาท เบียดเบียน ปรุงแต่งไปในอกุศลทั้งหลาย

พ่อครูว่า...เป็นการสรุปที่ถูกต้อง ทุกวินาทีของปุถุชนก็ก่อสังขารด้วยอวิชชาตลอด นักปฏิบัติธรรมที่ไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้ว่าต้องสังวรอะไร กลับไปนั่งสมาธิในภพ ออกมาก็ไม่รู้กายสังขาร การมักน้อยสันโดษ เขาก็ว่าเอาวัตถุมาใช้น้อยๆ ไม่ใช่เกิดจากจิตที่ใจพอ รู้และละวางจากมหัปปิจฉะ ลดลงมาจางคลายลงมา อัปปิจฉะลงเรื่อยๆ มีปัญญาทำให้จิตปล่อยวาง นั่นเรียกว่าความใจพอความมักน้อย แต่การไปนั่งสมาธิหลับตานั้นไม่ได้ทำจิตปล่อยวางอย่างมีปัญญา ไม่มีจิตวิเคราะห์ ไม่มีเบื้องต้น กลาง ปลาย แทนที่จะมีศีลกำหนดกรอบปริตตัง อย่าไปทำร้ายชีวิตเขา อย่าไปแย่งทรัพย์สินเขา อย่าไปโลภรสราคะแรง ต้องจำกัดว่านี่ไม่ใช่ผัวเราเมียเรานะ หรือกามคุณ 5 ที่เราไม่ควรแย่งชิงเขา เราควรมีขอบเขตกำหนดให้แก่ตน นี่นัยลึกซึ้ง แต่เขาทำไม่ได้สังวรไม่ได้ฝึกอย่างที่ว่า ต้องฝึกให้ใจพอมักน้อยสันโดษแท้จริง ให้มีศีล สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะสมบูรณ์ในมรรค 8 และสัมโพชฌงค์ มีจิตสันโดษใจพอที่เป็นไปตามลำดับอย่างน่ามหัศจรรย์ ละวางปล่อยจริงมีมุญจิตตุกัมมยตาญาณ การไปกดข่มตามจารีตประเพณีแบบอย่างนั้น ไม่เกิดการลดที่จิตที่เป็นลำดับขั้นตอนอย่างน่าอัศจรรย์ มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติไปตามลำดับ

สิ่งที่ปรุงอยู่ในจิตนี้คือจิตสังขาร เป็นสิ่งที่เราควรตามเห็นความไม่เที่ยง ความจางคลาย ความดับไป ของกิเลส และคอยเฝ้าดูตรวจตราอยู่เสมอๆ ไม่ให้กิเลสฟื้นคืนชีพ

พ่อครูว่า...ไม่ใช่แค่เฝ้าดู แต่ต้องเห็นมันเลย คุณก็ทำตามหลักศีล สมาธิ  ปัญญา แล้วเห็นกิเลสเป็นอย่างไร ทำให้มันลดได้อย่างไร ดับกิเลสได้อภิสังขารได้ ปฏิบัติไปตามขั้นตอน ที่สอนกันว่าตามเห็นความไม่เที่ยงคือเห็นอะไร??เป้าหมายแท้คือเห็นกิเลส

เห็นกิเลสไม่เที่ยงตรงที่มันไม่เท่าเดิม มันโตขึ้น อ้วนใหญ่หนาขึ้นๆ ก็คือปุถุชน คือหนาอ้วนใหญ่มาก เห็นเลยว่ามันไม่เที่ยง ตัวกิเลสที่เรากำหนดในปริตตังเรา ศีล 5 มีเรื่องราวประมาณนี้ อ่านมีผัสสะเป็นปัจจัย วิจัยกิเลส จับกิเลสได้ ทำให้จางคลายได้มันไม่เที่ยง แต่ก่อนเท่านี้ แต่เราทำให้มันลดได้ คือความไม่เที่ยง ถ้ามันเพิ่มเราก็เห็นมัน แล้วทำให้มันลด จึงวิราคานุปัสสี ทำให้ลดได้ตามที่ท่านสอนในอานาปานสติสูตร ตามเห็นความดับ เราก็ทำซ้ำ รักษาผล ปฏินิสสัคคานุปัสสี ให้ไม่เกิดสวรรค์ทำไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือสวรรค์ ไม่หลงสวรรค์ ทำซ้ำไปเรื่อยๆ

 

 

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท_สังขาร) ตอน กำจัดกิเลสในวจีสังขารด้วยสังกัปปะ 7

เมื่อเกิดกายสังขาร จิตสังขาร ต่อไปก็จะเกิดความคิดหนึ่งที่จะแว๊บเข้ามาในสมองเรา

พ่อครูว่า...วจีสังขารไม่ได้แวบเข้ามาในสมองเรา

เป็นชุดคำพูดที่เป็นคำสั่งให้เรานั้นแสดงออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม สิ่งนั้นเรียกว่าวจีสังขาร ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร

พ่อครูว่า...อันนี้ร้อยเรียงตามที่ตนเข้าใจในพยัญชนะ แต่ไม่เป็นลำดับตามสภาวะ

 แต่ถ้าเราจับมาสโลโมชัน พระศาสดาก็สอนว่า ไอ้เจ้าวจีสังขารเนี่ย กระบวนการของมันเริ่มตั้งแต่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา จึงจะเกิดออกมาเป็นวจีสังขารา

ส่วนวจีสังขารจะปรุงแต่งให้เราเกิดกรรมดี หรือ ชั่วนั้นก็อยู่ที่เรานั้น ดำริออกจากกาม พยาบาท เบียดเบียน หรือว่าเรานั้น ดำริเข้าไปสู่กาม พยาบาท เบียดเบียน

 ที่ผมเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องไหมครับพ่อท่านช่วยขนาบ ช่วยตักเตือน ช่วยติ ช่วยสั่งสอนอบรม ลูกด้วยนะครับ กราบขอบพระคุณครับ

พ่อครูว่า...กายสังขารคือรวมทั้งภายนอกภายใน คำว่ากาย คือตัวหนึ่งที่มีเหตุปัจจัยข้อแม้ว่า กายต้องเกี่ยวเนื่องกับภายนอกตามลำดับ คือองค์ประชุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย กายต้องมีสัมผัสนอกและในจิตที่รู้ด้วย รู้กายสัมผัสองค์รวมที่ปรุงแต่ง ของรูปกับนาม นั่นคือกายสังขาร แล้วในกายสังขาร เรียกว่ากิเลสภายนอกว่า กาม จะขยายขั้นต่ำของกามว่า อบาย คุณก็ทำไป ลดละได้ กิเลสคุณก็ดับไป คุณก็ลืมตามีร่างนอก แต่จิตคุณสะอาดแล้วก็ทำต่อมา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คุณก็เหนือมัน ไม่ได้ปิดหูปิดตา จิตคุณเหนือคุณเจริญก็ทำขั้นต่อมา

สมมุติว่าคุณพ้นสกิทาคามี มาอนาคามี หมดกิเลสนอก ก็มีสัมผัสนอกอยู่ แต่จิตคุณทำกับรูปราคะ อรูปราคะที่เหลือ จิตทำมาตั้งแต่ขั้นต้นอบาย แล้วอยู่เหนือกายภายนอกมาเรื่อยๆ รูปราคะ อรูปราคะหมดก็เหลือมานะ อุทธัจจะ เป็นอรูปที่เหลือก็ได้ ก็ทำให้หมดอีกก็ตรวจสอบด้วยอรูปฌาน คุณก็ยังลืมตามีกายสังขาร จิตสังขาร

ขณะปฏิบัติกายสังขาร จิตสังขาร ตามสำนวนของคุณนี้ คุณเข้าใจสังกัปปะ 7 เมื่อปฏิบัติตาม ก็คือจิตในจิต ที่จะพิจารณาธรรมในธรรมต่อ เมื่อจิตดำริขึ้นมา ก็จับให้ได้ แยกแยะจิตเราอารมณ์ ก็คือต้องมีผัสสะภายนอก ถ้าคุณไม่มีผัสสะก็ไม่เกิดเวทนา เว้นจากผัสสะเสียไม่เป็นฐานะแห่งการปฏิบัติ จะปฏิบัติต้องมีกรรมฐาน แล้วปฏิบัติด้วย กาย วจี มโน ก็ต้องทำด้วยกรรม

เมื่อคุณสามารถแยกแยะวิจัยวิจารออกก็ลดละเจริญมา ภิกษุณีธัมมทินนาอธิบายให้วิสาขอุบาสก ที่เป็นสามีเก่ามาถามธรรมะว่า เวลากิเลสดับ วจีสังขารดับก่อน แล้วเวลาดับแล้ว อะไรเกิดก่อน ก็คือจิตสังขารเกิดก่อน

ในวจีสังขาร จัดการ กาม พยาบาท วิหิงสา(กามกับพยาบาทที่ละเอียด) พอทำได้กำจัดกิเลสนั้นได้ จัดการมิจฉาสังกัปปะคือกามกับพยาบาท พอทำได้ก็วิสังขารสำเร็จ เป็นองค์รวมของสัมมาสังกัปปะ ก็เรียกภาษากลางๆว่า วิตักกะ คือทำให้กิเลสมันหมดไป สำเร็จอย่างวิเศษ หรือดีเยี่ยม

ปฏิบัติกายสังขาร ที่จิตนั่นแหละ เพราะกายพระพุทธเจ้าตรัสว่าคือจิต คือมโนคือวิญญาณ เพราะสิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งนี้ สัมผัสข้างนอกมาเป็นข้างใน ถ้าไม่มีข้างนอกก็ไม่มีเหตุปัจจัยต่อเนื่องมา ต้องทำจิตให้บริสุทธิ์เป็นวิตักกะ สั่งสมเป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ทำปฏินิสสัคคะไปเรื่อยๆ ก็เกิดส่วนเจโตแข็งแรงขึ้น

ได้ทั้งเจโตและปัญญาอย่างถ้วนบริบูรณ์ เสร็จแล้วหลังนิโรธ จะทำวจีสังขารให้เกิด เมื่อลดกิเลสลงไปได้ เวลาที่คุณปฏิบัติ คุณรู้นามกาย รู้รูปกาย รู้อาการลิงค นิมิต อุเทส เมื่อมีปฏิฆสัมผัสโส พอรู้แล้วคุณก็ขานชื่อมันได้เรียกว่าอธิวจนะที่สัมผัสอยู่ข้างนอกนี่แหละ เป็นองค์ประชุมรูปนาม คุณจะขานชื่อมันได้ตลอดว่า ตอนนี้เราสัมผัสฟักข้าว ส้มโอ แล้วมีกิเลสอยากกินส้มโอ

ภาษาว่าอยากกินส้มโอก็อธิวจนะมันได้ ลดความอยากได้ก็ขานชื่อมันได้ ถ้ามันมีชื่อก็อ่านกิเลสเป็นหรือไม่เคยเห็นเลยไม่รู้จักชื่อ แต่ก็เกิดกิเลสได้ ลูกมันน่ากินจังเลย คุณสัมผัสมันก็มีวจีสังขารว่าน่ากิน ก็ดับมันได้

วจีสังขารก็เรียกชื่อ กล่าวนาม กล่าวชื่อ จริงๆอาการจิตเป็นนาม เช่น อาการอยาก คุณก็กำจัดมันได้ก็นิโรธ กำจัดตัวอยากกินส้มโอฟักข้าวนี้ ให้เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา แล้วเป็นวจีสังขารที่จะเกิดหลังจิตสังขาร กายสังขารเป็นองค์รวมอยู่ตรงกลาง ทำนิโรธก็อยู่กลาง พอทำเสร็จจะออกไปก็อยู่กลาง พอดับเสร็จแล้ว นิโรธอะไรเกิดก่อน จิตเกิดก่อน ว่าจะเอาขนาดไหนเป็นวจีสังขารหรือปรุงแต่งออกไป เช่น ปรุงแต่งฟักข้าวส้มโอก็เป็นวจีสังขาร

ถ้านิโรธได้แล้วก็ไม่มีกิเลสร่วม แต่ถ้าคนอวิชชาก็มีกิเลสร่วมด้วยตลอด เช่นบอกว่าไอ้หนูเอาฟักข้าวไปทำกินให้อร่อยๆ ก็มีแต่ปรุงแต่งกิเลสไปให้กัน จะกล่าวชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ คุณก็เอาไปทำเป็นกายกรรมวจีกรรมไป

ถ้าคุณเข้าใจตรงกับที่อาตมาเข้าใจนี้ ดูแล้วท่าทางคุณเข้าใจ อาตมาว่า เท่าที่อ่านเรียบเรียงภาษามา ภาษาอาจไม่ตรงกับอาตมาบ้าง

พวกคุณฟังมาเป็นปีๆหลายปีแล้ว หากไม่มีธรรมรสเลยก็ทนไม่ได้แน่ บางคนไม่เข้าใจก็อาจไม่มีรส แต่บางคนว่าทำไมไม่เข้าใจ ก็เลยเกิดฮึดว่ามาบ่อยๆ จะได้เข้าใจเพิ่มมีอุตสาหวิริยะน่าให้คะแนนอย่างยิ่ง เป็นคนพากเพียร รู้ว่าตนไม่ค่อยได้ก็เลยพากเพียร เกิดธรรมรสไปตามลำดับ จนสามารถฟังได้ดีขึ้น เกิดธรรมรสมากขึ้นๆ ใครเป็นเช่นนี้บ้าง ได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่

 

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน อาสวักขยญาณ

เราได้มาผ่านเจโตปริยญาณมาแล้วมาถึงเตวิชโชเมื่อวานนี้ มาถึงอาสวักขยญาณ

เป็นญาณรู้ตัวสุดท้ายเรียกว่าอาสวะ

เราก็จะรู้กิเลสมาตั้งแต่เบื้องต้น กว่าจะเรียกว่าอาสวะ เราต้องรู้กิเลสตามลำดับ จัดการได้ตามลำดับ

อาสวักขยญาณ

[138] ภิกษุนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว. รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนสระน้ำบนยอดเขาใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว
บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนขอบสระนั้น จะพึงเห็นหอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้าง ฝูงปลาบ้าง กำลังว่ายอยู่บ้าง หยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำ เขาจะพึงคิดอย่างนี้ว่าสระน้ำนี้ใสสะอาด ไม่ขุ่นมัว หอยโข่งและหอยกาบต่างๆ บ้าง ก้อนกรวดและก้อนหินบ้างฝูงปลาบ้าง เหล่านี้กำลังว่ายอยู่บ้าง กำลังหยุดอยู่บ้าง ในสระน้ำนั้น ดังนี้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงานตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้ อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ
แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อก่อนๆ ดูกรมหาบพิตร ก็สามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์ข้อนี้ ย่อมไม่มี.

พ่อครูว่า...เมื่อเป็นปุถุชน จิตก็เพิ่มกิเลสอยู่ทุกปัจจุบัน แต่ว่าเมื่อมาเป็นอาริยชนก็ตั้งหน้าตั้งตาลดกิเลสในทุกปัจจุบัน ไม่ทำบาปอีกแล้ว อดีตก็สั่งสมกิเลส 0 อนาคตก็ไม่เที่ยง เพราะว่าคุณทำกุศลแต่ถ่ายเดียวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สามัญญผลสูตรนี้มีผลที่สูงสุดแล้ว

 

สื่อธรรมะพ่อครู(สามัญญผลสูตร) ตอน พระเจ้าอชาตศัตรูแสดงพระองค์เป็นอุบาสก

 [139] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธ พระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ได้กราบทูลพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันนี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่
วันนี้เป็นต้นไป โทษได้ครอบงำหม่อมฉัน ซึ่งเป็นคนเขลา คนหลง ไม่ฉลาด หม่อมฉันได้ปลงพระชนมชีพ พระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมเพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับทราบความผิดของหม่อมฉันโดยเป็นความผิดจริง เพื่อสำรวมต่อไป.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า จริง จริง ความผิดได้ครอบงำมหาบพิตรซึ่งเป็นคนเขลา คนหลงไม่ฉลาด มหาบพิตรได้ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เพราะเหตุแห่งความเป็นใหญ่ แต่เพราะมหาบพิตรทรงเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริงแล้ว ทรงสารภาพตามเป็นจริง ฉะนั้น อาตมภาพ ขอรับทราบความผิดของมหาบพิตร ก็การที่บุคคลเห็นความผิดโดยเป็นความผิดจริง แล้วสารภาพตามเป็นจริงรับสังวรต่อไป นี้เป็นความชอบในวินัยของพระอริยเจ้าแล.

             [140] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอได้กราบทูลลาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลาไปในบัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ขอมหาบพิตรทรงสำคัญเวลา ณ บัดนี้เถิด. ครั้งนั้นแล พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ทรงเพลิดเพลินยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จไป. เมื่อท้าวเธอเสด็จไปไม่นานพระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระองค์นี้ถูกขุดเสียแล้ว
พระราชาพระองค์นี้ถูกขจัดเสียแล้ว  หากท้าวเธอจักไม่ปลงพระชนมชีพพระบิดาผู้ดำรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรมไซร้ ธรรมจักษุ ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน จักเกิดขึ้นแก่ท้าวเธอ ณ ที่ประทับนี้ทีเดียว. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสคำเป็นไวยากรณ์นี้แล้ว. ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.
          จบสามัญญผลสูตร ที่ 2.

พ่อครูว่า...เพราะอนันตริยกรรม จึงทำให้บรรลุไม่ได้ตอนนี้ เป็นอจินไตย คนเขาไม่เชื่อกรรมอนันตริยกรรม หรือไม่เชื่อกรรมอันใดก็แล้วแต่ ทั้งหยาบหรือหนัก ก็เป็นของเราตามจริงลบล้างไม่ได้ด้วย แล้วมีอำนาจมีฤทธิ์เดชจริง คนเชื่อกรรมก็พยายาม ไม่ทำกรรมบาปใหม่ตามลำดับ ถ้ารู้เลยว่ากรรมอันน้อยนิดแม้ไม่ดีก็อย่าทำเลย จะบอกว่าไม่เป็นไรเล็กน้อยนั้นไม่ได้อย่าทำเสียเลย ถ้าคุณรู้อยู่ คุณจะไม่ทำก็ได้ เพราะมันเล็กน้อย แต่อย่าประมาท มันทำแล้วก็อยู่กับคุณจนปรินิพพาน ไม่สูญหาย ศาสนาพุทธล้างบาปไม่ได้

ถ้าทำแล้ว บาปทุกปัจจุบันมาหาคุณ เป็นวิบากเก่า มันออกฤทธิ์มันไม่หาย หากคุณหยุดบาปทุกปัจจุบัน คุณทำแต่กุศล กำแพงกุศลก็จะดันบาปนั้นให้ตามมาไม่ถึงได้ เป็นอจินไตย มันจะมาได้ยากขึ้นๆ เบาลงๆ ไม่ได้หมายความว่ามันสูญหายไปนะ กรรมบาปแม้แต่พระพุทธเจ้าแล้วมันยังมีส่วนเศษตามทันท่านเลยเป็นวิปากทุกข์ เลี่ยงไม่ได้ แต่มันน้อยลงบางเบาลง หรือไม่ถึงเลยก็ได้ เพราะกำแพงนี้จะดันไว้ แต่มันเหมือนหมาไล่เนื้อ มันควบอยู่มันก็ต้องมา ต้องสร้างกำแพงกุศลไว้เรื่อยๆๆ ไม่ประมาท แล้วหยุดวิบากบาปทุกปัจจุบันไว้

พระเจ้าอชาตศัตรูเข้าใจปริยัติแต่ทำใจไม่ได้ ไม่มีพลังพอ เพราะวิบากบาปมีมาก ความหมายที่ว่า บาปแม้น้อยอย่าทำเสียเลย ก็คือบาปแม้น้อยไม่ทำก็ได้ ก็ไม่ประมาท อย่าทำเลย แต่ถ้าบาปใหญ่ก็แบ่งไม่ทำได้ เอาที่เราไม่ทำได้ ที่เล็กน้อยที่เลิกได้ก็จงเลิก

 

สื่อธรรมะพ่อครู(ประวัติศาสตร์อโศก) ตอน ความในใจของพระโพธิสัตว์

ขอทวนสามัญผลสูตร ต่อในเวลาที่เหลือ

สามัญผลสูตรนี้ชัดเจน ท่านยังไม่ได้กล่าววิชชาจรณะในสูตรนี้ แต่ท่านกล่าวแต่ต้นว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้มีวิชชาจรณะ เพราะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสามี เป็นเจ้าของศาสนา เป็นศาสนาเดียวในโลก เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ที่เป็นศาสนาโลกุตรธรรม ศาสนาอื่นทำได้บ้างแต่ไม่เต็ม เอาไปได้บ้างเพราะรู้ว่าดี แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์ เหมือนกับยุคนี้

พุทธศาสนาทุกวันนี้บัญญัติโลกุตระ ผู้ศึกษาเอาโลกุตระไปบ้างผิวเผิน นิดๆหน่อยๆก็ได้บ้าง ถ้าว่ามี อาตมากล้าพูดว่า ท่านที่ได้ไปไม่ถึงครึ่งโลกุตรธรรม ที่จะแสดงรูปร่าง หรือบัญญัติชี้แจงถึงจิตเจตสิกถึงอภิธรรม เช่นแจกแจงเวทนา 108 ไม่ได้ แจกแจงคำว่ากาย แจกแจงคำว่าบุญอย่างที่อาตมาแจกแจงไม่ได้ เพราะไม่มีโลกุตระ ไม่ถึง ห้าสิบเปอร์เซ็นเลย อาจรู้บัญญัติ ความหมายเลาๆ แต่เข้าไม่ถึงจิต เข้าไม่ถึงความเหนือโลก

โลกทุกยุคสมัย หากไม่มีศาสนาพุทธมาประกาศโลกุตรธรรมก็ไม่มี แต่เมื่อประกาศแล้วก็มีขึ้นมา จนก็เลือนหายไปตามเวลา มาถึงวันนี้ 2600 ปีก็เลือนไปเกือบหมดแล้ว

อาตมาเดินมาเจอสระน้ำลึก เห็นมนุษย์ตกน้ำสำลักน้ำเต็มไปหมด จมแล้วก็เยอะแยะ อนันตริยกรรมก็เยอะ อาตมาช่วยไม่ได้ก็เยอะ แต่ก็ลอยคออยู่อีกมาก อาตมาก็เลยต้องช่วย เอาเครื่องมือช่วยคนตกน้ำคือโลกุตรธรรม

เสร็จแล้วมันวุ่นเหลือเกิน ถ้าอาตมาไม่แข็งพวกนี้ดึงอาตมาจมน้ำหมด แต่อาตมาพอฉลาดบ้างก็เลยรอด ช่วยคนมาได้บ้าง แล้วตนเองก็ไม่ตาย เป็นอย่างนั้นอาตมานำเครื่องมือช่วยคือโลกุตรธรรม อาริยธรรม คนทุกวันนี้ไม่มีชูชีพช่วยตนเอง ก็เลยต้องมาช่วย

คนที่ได้รับการช่วยยอมให้ช่วย ก็ได้ขึ้นฝั่ง คนไม่ยอมให้ช่วยไม่เชื่อว่าอาตมาช่วยได้ หาว่าอาตมาจะมาช่วยให้ตายอีกด้วยก็มี เพราะทำลายความหลงของเขา ถ้าลึกซึ้งก็คือคุณหลงว่ายในน้ำ ตกนรก สำลักน้ำจะตายชัก ก็นึกว่าตนเองอยู่ในสวรรค์มีสุข

อาตมาบอกว่าหลงสุข ให้มาขึ้นบก เขาก็ไม่เชื่อจะสำลักน้ำอยู่เช่นนั้น

พอมาสามัญผลสูตรก็ขยายความไว้เบื้องต้น

เขาวิปลาสเห็นว่าสิ่งไม่ดีไม่งามเป็นสิ่งดีงาม เราบอกว่านี่ขี้ เขาก็ไม่เชื่อว่าขี้ แถมบอกว่าเราจะมาทำลายกองขี้เขาอีก เป็นกันทั้งโลกมีแต่กองขี้เต็มไปหมด จะทำร้ายเราอีก เราก็รักษาตัวรอดมาได้ เรารอดได้เพราะสร้างความจริงในโลก และโลกนี้ก็ยังดีที่มีผู้มีปัญญา รู้ว่าอะไรใช่ของจริง ก็เลยมีธรรมที่รักษาผู้ประพฤติธรรม เพราะคนยังมีปัญญา

แม้ยุคนี้ได้น้อยก็ยังหวังว่าจะได้มากขึ้น เป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์นะ แม้ไม่ได้มากขึ้น อาตมาก็จะยืนหยัดยืนยันเช่นนี้ แม้จะไม่ได้มาก อาตมาก็พากเพียรให้พวกเราเจริญกว่านี้ เมื่อเจริญขึ้น รูปธรรมก็จะดีกว่านี้ คนก็จะเห็นได้ง่าย เท่าที่อาตมาฝืนสังขารยืนยาวไป ตั้งเป้าไว้ 151 ปี ก็ไม่ได้คิดว่าจะถึงไม่ถึงก็พากเพียรไป ไม่ได้ดูถูกตนเองนะ อาตมาไม่ได้ตั้งที่มาตัวเลข 151 นี้นะ

อาตมาว่าถ้าอาตมาอยู่ได้จริง ลองเดาดูว่าศาสนาพุทธที่อาตมาต่อมานี้จะคล่องตัวกว่าไหม มั่นใจว่ามนุษยชาติแสวงหาอันนี้ แต่ 1 เขาไม่เข้าใจว่าโลกุตระต้องมาขาดทุนของเราคือกำไรของเราหรือเอาแบบคนจนเช่นนี้หรือ เขาไม่เข้าใจแม้เข้าใจก็ไม่เชื่อ หาว่าเสแสร้งกดข่มไว้ พวกคุณนี่รอวันออกไปหรือ ถ้าอาตมาตายไปก็แตกกันหมดอย่างนั้นหรือ อาตมาว่าไม่ใช่นะ มันมีญาณลึกรู้ว่าอย่างนี้ใช่ๆ

จบ


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:49:10 )

590113

รายละเอียด

590113_เทศน์ก่อนฉันศีรษะอโศก การเกิดของโลกสู่แผ่นดินพุทธ

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน พลังงานพีชนิยามไม่ยึดแบ่งเราเขา

พ่อครูว่า...ก็มาที่ศีรษะอโศกอีกวาระ ศีรษะนี้ก็มีอาการ 32 ในอาการ 32 นี้ที่เป็นตาหูจมูกลิ้นกายก็รู้ง่าย แต่ภายในส่วนที่เป็นอาการ 32 อื่นรู้ได้ยากมาก องค์รวมของรูปนาม เรียกว่ากาย คำว่ากายต้องมีสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งที่ถูกรู้ และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสิ่งรู้ ที่ปรุงแต่งกัน ต้องเป็นธรรมะ 2 นี้ตลอดกาลและนาน วิทยาศาสตร์ทางโลกไม่สามารถเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถึงขั้นวิญญาณ

 ผมขนเล็บฟันหนังเป็นกรรมฐาน 5 เรียกว่ามูลกรรมฐาน ที่พระภิกษุทุกรูปในศาสนาพุทธอุปัชฌาย์จะต้องให้กรรมฐานนี้ เพื่อเรียนรู้แยกกายแยกจิต

ต้องอ่านศึกษารูปและนามธรรมเหล่านี้ รูปและนามธรรมที่ย่นย่อลึกสุดนามธรรมก็คือวิญญาณ รูปที่ลึกสุดในชีวของสัตว์โลกที่เป็นจิตนิยาม รูปที่ลึกที่สุดคือ ธาตุน้ำ ส่วนเล็กที่สุดของชีวะที่เป็นจุดแรกคือ เซลล์ ภาษาพระพุทธเจ้าเรียกว่ากลละ ถ้าไม่มีอะไรเชื่อมต่อก็จะเสื่อม แต่ถ้ามีอะไรเชื่อมต่อ มีชีวะเพิ่มขึ้นก็จะต่อ มีสองชิ้น คือความว่าง กับกลละ สองอย่างนี้ปรุงแต่งเป็นสาม ก็เป็นชีวะขึ้นมาเป็นธาตุใหม่ มีสามเส้า คือ ความว่าง+1+2 เป็นสาม

ถ้าเป็นสามนี้เรียกว่า พีชนิยาม เซลล์นี้ก็เป็น self เป็นตัวตน เป็นตัวเองขึ้นมา เป็นธาตุชีวะมีสาม 0 กับ 1 กับ 2 หรือ จะเรียก 1 2 3 ก็ได้ แต่ถ้ามี 4 ขึ้นมาก็เรียกว่ามี ish เริ่มมีเราก่อน คือตัว i พอมีเธอ มีเขา ก็คือมี she มี he ขึ้นมา

ish นี้ รวมกับ self จึงเป็น selfish คือเห็นแก่ตัวขึ้นมา แล้วก็แตกตัวจาก สามเส้า เป็นสี่เป็นห้าเป็นหก ก็มีสองเส้า แล้วเริ่มมีเจ็ด ก็ไปอีกเป็น แปดเป็นเก้า ก็เป็นสามเส้าใหญ่ แล้วก็แตกออกไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

นี่คือพัฒนาการของพลังงาน พลังงานคือการเคลื่อนที่อยู่ ถ้านิ่งนิ่งไม่มีบทบาทอะไรเป็นตัวเองเท่านั้นเอง

 

สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ธรรมะสองของชีวจิตนิยามคือเลือดและวิญญาณ

ทีนี้ที่อาตมาอธิบายกันมาถึงขั้นชีวะระดับจิตนิยาม ก็จะมีน้ำที่เรียกว่าเลือด

หรือ โลหิตะ

เลือด คือธาตุน้ำที่เล็กละเอียดที่จะมีวิญญาณผสมเข้าไป อย่างเพศหญิงกับเพศชาย จะมีไข่แล้วมีตัวน้ำเชื้ออสุจิเป็นเชื้อชีวะ ถ้า 2 อันนี้รวมกันเข้าปรุงแต่งจับตัวเป็นพลังงานใหม่เรียกว่าวิญญาณ จับตัวเป็น 3 เป็นวงจรสมบูรณ์เป็นธาตุใหม่  เป็นชีวของสัตว์ แต่ถ้าไม่มีวิญญาณเกิดก็เรียกว่าวิญญาณล่วงเลย หรือว่าถ้าไม่มีตัวเชื้อของเพศชายไปผสมก็ไม่เกิดวิญญาณ

 สำหรับผู้หญิงโสดก็จะสร้างไข่ก็คือเลือดไข่ขาวผสมกับไข่แดงที่แยกมาแล้วก็จะละเอียดซ้อนไป ที่พูดนี่เป็นเรื่องของธาตุน้ำ อาโป ทั้งนั้น ยังไม่เป็นธาตุดิน ธาตุไฟ เข้าไปผสม ถ้าไม่มีวิญญาณร่วมก็จะหายไป เพราะฉะนั้นไข่ที่ไม่มีอสุจิผสมถึงเวลาก็จะสลายกลายเป็นเลือดไหลออกมา ก็คือเชื้อของชีวะที่เริ่มเกิดเป็นเซลล์หรือกลละ ไหลออกมาเป็นเลือดท่านเรียกว่าระดู หรือ ภาษาบาลีว่าอุตุ อุตุนี่ทิ้งออกมาแล้วนะ ถ้ายังเป็นเลือดไม่เรียกว่าระดู แต่เรียกกลละ

กลละ อัพพุทะ เปสิ คณะ ปัญจสาขา  เปสิคือกลางๆ ถ้าได้รับการผสมก็จะเกิดสภาพของคณะ เป็นการรวมก้อน แล้วจะเกิดปัญจสาขา

ถ้าได้รับผสมก็เป็นชีวะ เป็นเลือดแท้ เป็นคณะ เป็นวิญญาณ ครบปัญจสาขา สิ่งลึกซึ้งในความเกิดธาตุแท้เรียกว่าธรรมะสองของชีวจิตนิยาม คือ เลือดและวิญญาณ เป็นธรรมะสอง

ผู้สามารถเข้าใจเลือดและวิญญาณ และสามารถปรับปรุงสองอย่างนี้ให้เจริญคนนี้เจริญตลอดกาล ในร่างกายเลือดสร้างโดยหัว วิญญาณสร้างโดยจิต เราเรียกในภาษาว่า ใจเป็นองค์รวมของเลือดและวิญญาณ สิ่งที่จะให้เกิดหัวท่านเรียกว่าหัวใจ สิ่งที่จะให้เกิดวิญญาณท่านเรียกว่าจิตใจ

หัวใจกับจิตใจ หัวใจนี้คือแหล่งที่จะเกิดเลือด อยู่ในก้อนหัวใจที่สูบฉีดเลือด เรียกว่าหัวใจ เป็นแหล่งที่ให้เลือดอาศัยและสร้างเลือดเรียกว่าหัวใจ ส่วนหัวกะโหลกนี่มีสมอง สมองนั้นคือหัวใจของกะโหลก ส่วนสำคัญของกะโหลกทั้งหมดคือสมอง สมองเป็นที่ให้จิตใจอยู่อาศัยทำงาน ธาตุของวิญญาณทำงานที่สมอง ส่วนที่ธาตุเลือดทำงานอยู่ที่ออฟฟิศของเลือดอยู่ที่หัวใจ ออฟฟิศของวิญญาณอยู่ที่สมอง

นี่คือแหล่งจิตใจกับแหล่งของหัวใจทำงานอยู่อย่างสัมพันธ์กัน หากหัวใจวายหรือสมองวายก็ตายทั้งคู่

ที่พูดมานี้เป็นโครงสร้างระดับลึก แต่ถ้าขยายมาโครงสร้างใหญ่ มีตำบลอำเภอ จังหวัด จนถึงรัฐจะถึงประเทศจะถึงทั้งโลก ก็คือสิ่งที่ให้มนุษย์อาศัยอยู่ในนี้แล้วก็ดิ้นด๊อกแด๊กมีพฤติกรรมอยู่ในนี้ร่วมกัน ถ้าจิตใจไม่เจริญเป็นธาตุรู้ที่ดีแล้วเลือดเป็นเลือดที่ไม่สะอาด ที่ถูกปรับปรุงแต่งจิตพลาดไปจากความสมดุล ก็เป็นเลือดเสีย

ถ้าขยับมาเป็นตัววัตถุ คนแต่ละคนนี่คือก้อนเลือดสังคมทั้งสังคมที่มีการเคลื่อนไหว มีพลังงานผลักดันอยู่อย่างสมดุล ก็เรียกว่าองค์รวมของธรรมะสอง คือคนกับพฤติกรรมสังคมที่อยู่อย่างสมดุล สงบเรียบร้อย ราบรื่นง่ายงาม ทำงานตามหน้าที่อย่างได้สัดส่วนสมดุล ถ้าเข้าใจโทษและเข้าใจคุณ แล้วเราไม่ให้เกิดโทษไม่ให้เกิดอกุศล เกิดแต่คุณ มีแต่คุณเป็นทศนิยมขึ้นไปเรื่อยๆ สังคมนั้นไม่เกินและไม่ขาด สังคมนั้นก็อยู่อย่างสมดุลหมุนเวียน อยู่อย่างสงบเรียบร้อยดี นี่เป็นสูงสุดแห่งสภาพที่จะต้องจัดการเรียกว่า อภิสังขาร จัดแจง ปรุงแต่ง ปรับปรุงให้ดี

 จิตวิญญาณเป็นต้นทาง เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เกิดจากมโนหรือจิตวิญญาณ วิญญาณนี่เป็นองค์รวม จิตเป็นธาตุรู้พร้อมทำงานเลย แยกจากจิตก็เป็นเวทนา สัญญา สังขาร เจตสิกสามที่ทำงานตลอดเป็นสามเส้าเลย ก็คือธาตุรู้ที่รู้กุศล อกุศล รู้คุณรู้โทษ รู้ควรไม่ควร ไม่ให้สิ่งไม่ควรอยู่ ให้มีแต่สิ่งควรอยู่ ก็จะเรียบร้อยดี ผู้ที่เข้าใจพลังงานอย่างที่กล่าวคร่าวๆ แล้วจัดสรรจิตวิญญาณตัวตนของตัวเองและให้คนอื่นรู้ได้ด้วยตาม

 เมื่อธาตุกุศลมากพอ มากกว่าธาตุอกุศลสังเคราะห์กันและสามารถทำให้มันลงตัว เป็นธาตุอภยกฤติ ที่เป็นกลาง ที่จะมีพลังงานเกิดหรือเสื่อม คืออุปจยะกับชรตา ผู้รู้จะจัดสรรให้พอเหมาะ ถ้ามากเกินไปจะเสียค่า พอดีพอเพียงจะได้สัดส่วนจะไปด้วยดีตลอดเวลา ผู้สามารถทำได้ถึงขั้นจิตวิญญาณเป็นประธานในคน และเป็นคนที่มีกุศลมากกว่าอกุศล คนนั้นก็จะเป็นตัวหลักของสังคม เป็นคนที่มีแต่กุศลมากกว่าอกุศลก็เป็นตัวหลักของสังคม สามารถทำให้พลังงานร่วมสังเคราะห์ตลอดเวลาดำเนินไปอย่างดีสงบสุข และมีพลังงานสร้างสรรประเสริฐ

เป็นพลังงานที่เป็นเลือดและวิญญาณที่เป็นธรรมะ 2 สุดท้ายแล้วที่จะเรียนรู้ในความเป็นชีวะในโลก และควบคุมจัดการชีวะที่เป็นพลังงานขั้นจิตนิยามกับองค์ประกอบทั้งหลาย

 

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ไทยเป็นประชาธิปไตยสองขาที่มีทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐ

เมื่อขยายจากคนก็เป็นหมู่บ้าน มาเป็นตำบล เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด เป็นประเทศ เป็นสหรัฐ เป็นสาธารณรัฐ (สายคอมมิวนิสต์) ส่วนสายสหรัฐก็เป็นสายประชาธิปไตย สาธารณรัฐคือส่วนกลาง ส่วนสหรัฐนี้ยังมีศักดินาผสม มีชั้นสูงชั้นต่ำ ทางอเมริกาเขาไม่เรียกตนว่า สาธารณรัฐ แต่ทางรัสเซียหรือลาวก็เรียกว่าสาธารณรัฐคือ commune ไม่โดดเดี่ยว เป็นองค์รวมมากกว่า

ไทยเรานี่เป็นอะไร? จะเป็นสาธารณรัฐหรือสหรัฐ ลักษณะของไทยนี้จะเป็น 2 อย่างเป็นธรรมชาติ 2 ลักษณะของรูปจะเป็นสหรัฐ ลักษณะของนามจะเป็นสาธารณรัฐ จะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตย 2 ขา คือจะมีพระเจ้าแผ่นดินด้วย แล้วก็จะมีนายก จะมีการบริหารอย่างประชาธิปไตยเรียกว่าประชาธิปไตย 2 ขา นายกก็จะเป็นผู้ที่เป็นหัวหน้าดูแลบริหารรัฐ ส่วนพระมหากษัตริย์ก็จะเป็นเพราะพรหมมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่แท้จริง ไม่อคติ ไม่ลำเอียง อย่างประเทศไทยนี้เป็นตัวอย่างชัดเจน เป็นตัวอย่างองค์รวมของประชาธิปไตย 2 ขา มีในหลวงที่เป็นผู้ยอดและมีการบริหารที่มีนายก เช่นเดียวกับอังกฤษ ที่เป็นต้นทางความรู้ที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตย

แต่แล้วอังกฤษก็เปลี่ยนไป จนไม่สามารถทำได้ดีเท่ากับประเทศไทย เพราะฉะนั้น king ของอังกฤษมาเห็น king ของไทยเข้า ก็เลยอุทานเลยว่าเกิดมาไม่คิดว่าจะพบ king of kings ที่ปกครองในธรรม ที่ดีเยี่ยม ลึกๆพระราชินีอังกฤษก็คงจะรู้ว่ายังมีผีรุกรานในประเทศไทยอีกเยอะ แต่ในหลวงของเราก็สามารถที่จะอยู่กับผีเหล่านี้  ทำให้ผีเหล่านี้แพ้ภัยตัว หลุดออกไปหลุดออกไปจนกระทั่งเหลือผีตัวสำคัญคือทักษิณ อาการหนักมากเลย

ช่วงระยะเวลา 60 ปีในหลวงที่ครองราชย์นานกว่าในหลวงของอังกฤษ ในหลวงของอังกฤษอายุมากกว่าในหลวงของเรา แต่ในหลวงของเราครองราชย์ก่อนราชินีอังกฤษ ในหลวงเราประพฤติเป็นประชาธิปไตยได้มากกว่าดีกว่าที่อังกฤษ นี่เป็นพุทธศาสนาตามภูมิที่อาตมาเล่าไปสู่ฟังอย่างวิชาการไม่ได้คิดว่าต้องข่มใคร

ในประเทศไทยมีเสือสิงห์กระทิงแรดที่ในหลวงจะต้องทำงานอย่าง ธรรมะขันติ ทมะ จาคะ ท่านก็ประคองให้ประเทศไทยไม่เกิดสงครามกลางเมือง อังกฤษที่แตกตัวเป็นอเมริกา ไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ทุกวันนี้ถ้าใครสามารถเข้าใจได้ ความอบอุ่นความเป็นอยู่ดีของอเมริกาสู้อังกฤษไม่ได้หรอก อังกฤษแก่กว่าอเมริกาด้วย อเมริกาสร้างตัวเองมา 200 กว่าปีเอง เขาเติบโตทั้งกามและอัตตา เราอย่าเอาเป็นแบบอย่าง

ถ้าเข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ จะรู้ว่าในหลวงเราไม่ใช่ธรรมดาเลย มีความลึกซึ้งในภูมิธรรมของท่าน ท่านตรัสถึงการบริหารประเทศแบบคนจน ตรัสถึงลักษณะขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ส่วนคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็เป็นคำกลางๆของความสันโดษ แต่คนเข้าใจไม่ได้ แต่อาตมาเข้าใจ จึงนำมาเป็นหลักยึดทั้งอธิบายและทั้งพาประชาชนให้อยู่ในระบอบเศรษฐกิจพอเพียง ระบอบแบบคนจน ระบอบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะมีชีวิตเช่นนี้ไปตลอด เกิดอีกกี่ชาติ ตายอีกกี่ชาติ ก็จะยืนหยัดยืนยันอยู่ในลักษณะนี้ เป็นคนจนที่เลี้ยงตนเองรอด ขยันทำงานสร้างสรร สัตว์เดรัจฉานมันก็สร้างก็ก่อตามที่มันสามารถทำได้ คนเราก็พึ่งตนเองก็ได้เช่นกัน

 

สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ไม่เห็นแก่ตัว

ของอโศกเรามีสาธารณโภคี และมีความเป็นสห เป็นมิตรดี สหายคือ ผู้ร่วมประโยชน์ เป็นกัลยาณมิตรที่ดีทั้งองค์รวม สัมปวังโก เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ชาวอโศกเราทำได้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

ตั้งแต่เกิดรวมตัวเป็นชุมชนสังคมเป็นแหล่ง เกิดศีรษะอโศก ศาลีอโศก ปฐมอโศก สันติอโศก จนเกิดชุมชนอโศกมากมาย แล้วมารวมตัวกันที่ราชธานีอโศกปฐมอโศกและศีรษะอโศกไขว้กัน จริงๆแล้วเกิดพร้อมกันคือศาลีอโศกและศีรษะอโศก ศาลีอโศกและศีรษะอโศกก็เป็นพลังงานระดับหนึ่ง พอมาเกิดเส้าที่ 3 ก็เป็นปฐมอโศกกับสันติอโศกซ้อนกันขึ้นมา ที่จริงสันติอโศกเกิดก่อนปฐมอโศก สันติอโศกเป็นวงกว้าง ปฐมอโศกเป็นวงแคบจึงเกิดก้อนแท่งที่มีความควบแน่นเป็นพลังงาน ก็เลยพึ่งตนเองได้รอดก่อน ตอนนี้สันติอโศกก็กำลังสังเคราะห์ตัวไปเรื่อย 

พวกเราเป็นรูปแบบของสังคมที่รวมกันทั้งสหรัฐและสาธารณรัฐ เป็นธรรมะสองเสมอ ถ้าเป็นชีวะต้องมี 2 เสมอ สันติอโศกกับปฐมอโศกก็เป็นคู่ ศาลีอโศกกับศีรษะอโศกเป็นอีกคู่ ศาลีอโศกเป็นไทยๆชาวบ้านๆ ส่วนศีรษะอโศกเป็นอินเตอร์ อินเตอร์แบบชาวบ้าน สันติอโศกเป็นเมือง ปฐมอโศกก็เป็นเมือง แต่ปฐมอโศกพึ่งตนเองรอด แต่สันติอโศกนี่รวมตัวยาก คนจะมาอยู่ต้องเคี่ยวข้น มีลักษณะนิวเคลียร์ฟิวชั่นน้อยกว่าฟิชชั่น ส่วนปฐมอโศกมีนิวเคลียร์ฟิวชั่นมากกว่านิวเคลียร์ฟิชชั่น

ตอนนี้แต่ละแห่งกำลังก่อร่างสร้างตัวพัฒนาตัวเอง อย่างสีมาอโศก ภูผาฟ้าน้ำ จนแม้กระทั่งเกิดเก้าอาวาสสถาน พัฒนาการขึ้นมาตลอดเป็นไปตามจริงขึ้นเรื่อยๆ เกิดสังคมเครือแหของชาวอโศก หรือเครือแหสาธารณโภคี เป็นสหกรณ์ มีสหกรณะคือร่วมมือทำ

อาตมาเคยคิดจะให้พวกเราตั้งสหกร(ไม่มี ณ) เราทำแบบไม่ต้องนิตินัย จะมาจับเราไม่ได้ เราไม่ได้อยู่ในสหกรณ์ของคุณ นี่เลี่ยงได้ ร่วมมือกันทำ อาตมาเข้าใจ ความหมายลึกซึ้งอันนี้ เราร่วมกันในสมมุติสัจจะร่วมกันเลย สหกรนี่ส่วนตัวไม่มี ณ ไม่สมมุติกับข้างนอก เราทำอย่างซื่อสัตย์ เรามั่นใจว่าของเราซื่อสัตย์สุจริตทำอย่างจริงใจ แต่ไม่อยากเป็นนิตินัยจะพูดกันยากกับเขา

ถ้าแต่ละที่ภายในเป็นอยู่อย่างดี มีความขัดแย้งกันพอเหมาะ ร่วมมือกันอย่างดี อย่างปฐมอโศกนี่ร่วมมือกันอย่างดี ขัดแย้งพอเหมาะ พฤติกรรมบทบาทของการเคลื่อนที่จะสร้างสรร

ที่สันติอโศกจะรวมกันยาก เรามีธนาคารที่ไม่มีดอกเบี้ย มารวมกันมีผู้จัดการทำงาน เราก็มี มีกองบุญส่วนกลาง ส่วนสัจจะออมทรัพย์ก็มีปันผล ซ้อนกันสองแบบนี้ดำเนินไป ถ้าไม่ซื่อสัตย์กันแล้วก็จบทุกอย่าง ถ้าซื่อสัตย์อยู่ก็ไปรอด แล้วก็จะไปดี เพราะจะมีเครือแห มีพลังงานที่จะสร้างสรรต่อไป

จะมีตัวจริง อย่ามีตัวเก๊ กิเลสที่เกเร มันเก แล้วเกเร แล้วก็เก๊ พวกเรานี่มันจะเกไปเรื่อย พอถึง เร ก็ห่ามไป ห่ามไปอีกทีก็ เก๊เลย  แต่ละคนต้องพยายามรักษาความตรงแล้วก็จะไปได้ คนที่ทำงานจะต้องขยายออก ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้มันก็จะรวนเลย มันจะเก แล้วเร เรรวน จากนั้นคือเก๊เลย นี่ไม่ใช่เล่นภาษานะ

อย่างศีรษะอโศกถูกกระทบก็เลยเริ่มเป๋เริ่มเก แล้วเริ่มควบคุมไม่ได้ก็เร รวนเร แล้วจะเก๊ ต้องเอามารวมกันให้ตรง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดด้วยฟลุค เกิดโดยสัจธรรม พวกคุณเป็นหน่วยอณูของสังคมนี้ แต่ละหน่วยแต่ละหน่วยของอโศก ของ ศีรษะอโศกเนี่ย แต่ละคนเข้ามาสัจจะพามา แต่คุณจะเอาสัจจะนี้ต่อหรือไม่เอาก็อยู่ที่ตัวเอง ถ้าคุณเลือกแล้ว ไหนว่าหมู่นี้ดีแล้ว อาตมาก็ขอรับรองว่าหมู่นี้ดีแล้ว เมื่อเราเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปอยู่ที่อื่น ก็ทำงานทำการปักหลักปักแหล่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ชาวอโศกแม้ว่าคุณจะปักหลักอยู่ที่นี่ อโศกทุกแห่งก็เป็นญาติของคุณแท้ทั้งสิ้น ที่คุณจะไปกินไปนอนไปพักอาศัย อยู่นานหรือไม่นานก็แล้วแต่ได้หมด ถ้าเรามีคุณภาพไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ไม่มีใครเขาไล่คุณออก นอกจากคุณจะเกเรบางคราวจนถูกขับออกไป 5 ปีบ้าง 10 ปีบ้าง หรือออกไปแบบไม่มีกำหนด นั่นถือว่าซวยมาก คุณต้องทำความดีจนคนเขารับได้ ให้เข้ามาอีกก็ได้

 ตอนนี้เรามาพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า เมืองไทยนี้เป็นชมพูทวีปประเทศไทยมีคนนับถือศาสนาพุทธกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้ลดลงแต่อาจจะเพี้ยนไปบ้างตามสำมะโนครัว แต่ว่าเลือดลึกลึกก็รักพระพุทธศาสนา รักจนกระทั่งตายแทนได้ก็แล้วแต่ รักแต่ไม่เอาเนื้อแท้ของพุทธนี่มันงมงายจริงๆ รักแต่ว่าไม่ได้เนื้อหนัง ได้แต่เป็นจับกังแบกลังทองไปให้เขา ได้แค่ค่าจ้าง แต่เนื้อทองนี้ไม่ได้จับเลย อย่างนี้ไม่ดี จะต้องเป็นเจ้าของทองให้ได้

ตอนนี้อโศกแต่ละแห่ง ที่นี่เป็นหัวของใจเริ่มแรก อย่าให้เพี้ยนนะศรีษะอโศกเป็นหัวของใจ อโศกทุกแห่งรวมตัวกันชื่อว่าใจ หัวเป็นเจ้าของเลือด จิตใจเป็นเจ้าของวิญญาณ ก็เป็นธรรมะสอง สูงสุดในมหาจักรวาลก็มีเท่านี้

เมื่อเรารู้กายรู้จิต จัดแจงให้เป็นอภิสังขาร ไม่มีเชื้อเลวร้ายในโลกเลย ก็จะมีแต่ความซื่อตรงซื่อสัตย์ มีพลังงานสร้างสรร ไม่มีตัวตน ไม่มี ish ไม่มี i ไม่มี she ไม่มี he แต่ก็ต้องอยู่กับองค์รวมของสามนี้เสมอ แต่ถ้าไม่ลำเอียงแล้ว i คือตัวเรารู้จักเขา รู้จัก she กับ he แล้วรวมตัวกันให้ได้

she กับ he เขาจะทะเลาะกันตลอดกาล มีอิตถีภาวะและปุริสภาวะ เราต้องเป็นนปุงสกลิงค์ให้ได้ เราอย่าไปเป็นเพศชายที่ข่มเพศหญิง ถ้าเขารวมกันมาต่อต้านเอกบุรุษนะ ก็ยากเลย เพศหญิงนี่รวมหัวกันเก่งนะ

ถ้าไม่ใช่ช้างมาตังคะเก่งจริง ออกจากหมู่ก็เจริญได้ยาก หรือไปไม่รอด แต่ถ้าเป็นมาตังคะ ที่เป็นช้างตัวเองรู้ว่าอยู่กับหมู่ไม่รอด พัฒนายากก็จะออกมาพัฒนาหมู่ของตนได้ อย่างอโศกออกจากเถรสมาคม

ศีรษะอโศกนี้เป็นเนื้อใน เป็นหัว ก็ต้องดูเนื้อในให้ดีๆ ให้ผู้ที่เป็นหัวหน้านี้ไม่ไปเบ่งทับใคร แล้วเป็นคนที่ยอม แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดี มีน้ำใจมีเมตตามีภูมิธรรมในตัว ให้ทำไปเถอะ คุณมีคุณค่าในตัว คุณทำดียอมไป ทุกคนจะเห็นความจริงได้ ทุกคนจะยกให้คุณเอง คุณไม่ต้องอยากได้เลยที่จะให้ใครมายกย่องเชิดชู ให้เราเป็นเบอร์ 1 ไม่ต้องอยากเลยเขาจะให้ ขอให้คุณทำเถอะ ขอให้คุณทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ

ในหลวงของเรานี้ทำเพื่อผู้อื่นมาตลอดจริงตามฐานะของพระองค์ เพราะพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่คนไม่เข้าใจจะให้มาเสมอภาค ทุกอย่างต้องเหมือนกันหมด ไม่มีสิ่งที่จะต้องยกให้ยกไว้ คนนั้นเป็นคนที่ไม่รู้จักสัจธรรมที่สมบูรณ์แบบ

ศีรษะอโศกนี่มีลักษณะของ Big bang เป็นครั้งคราว พอเกิดแล้วก็ให้อยู่กันอย่างนิวเคลียร์ฟิวชั่นให้ได้ อย่าไปอยู่แบบนิวเคลียร์ฟิชชัน ให้รวมตัวกันรังสรรกันต่อ มีลักษณะ Big bang เป็นครั้งคราวแตกตัวกัน แล้วก็รวมกัน ถ้าเราเองเรามั่นคงเราแน่นอนและเป็นผู้ถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ถ่อมตนและรับใช้อยู่ตลอด ไม่ต้องถือตัวคิดว่าตัวเองเก่ง เรามีสมรรถนะเก่ง เราจะมีเราก็ทำเต็มที่ ทำให้แก่สาธารณโภคี

เราเดินทางมาถึงขนาดนี้แล้ว เราเลือกแล้วว่าหมู่นี้ดี รวมกันเป็นญาติธรรมที่มี dna เป็นพุทธ เป็นสัมมาด้วย คุณจะไปเลือกที่ไหนอีก ไปหา dna ที่เป็นพุทธอย่างสัมมาที่ไหนอีก ไปหามาหน่อย dna ที่เป็นพุทธ ถูกต้องตรงตามพระอนุสาสนีย์มีรูปธรรมมาจริงๆปรากฏอยู่ในโลก อยู่ไหน มีตัวบุคคลมาเลย ถ้าเป็น dna พุทธจริงจะมีลูกหลานมาแน่นอนเป็นของแท้ ใครจะแท้กว่าใครก็แล้วแต่ ผู้ที่มีสัจธรรมแท้จะรู้ว่าใครเป็นของแท้ อาตมารู้ว่าในหลวง ไอน์สไตน์ คานธีนี้เป็นพระโพธิสัตว์

ในหลวงท่านเป็นคนมักน้อยสันโดษมาจน แต่ท่านอยู่ในฐานะในหลวงเท่านั้น ท่านจนที่สุดแล้ว คนก็หาเรื่องว่าท่านไปเล่นหุ้นไปหาสัมปทานอะไรต่างๆจริงเท็จอย่างไรไม่รู้ แต่พวกนี้คนให้ได้ ยัดเยียดให้ได้ เล่นหุ้นลมที่จะให้แก่ผู้มีเครดิตทางสังคม เพื่อให้ประโยชน์แก่ตนเอง ผู้ไม่รู้สัจธรรมความจริงก็ขี้ตู่กันไป แต่เราดูพฤติกรรมพระจริยวัตรของในหลวง พระราชินีของอังกฤษอุทานว่าได้พบคิงออฟคิงที่แท้จริงจนถึงทุกวันนี้ ท่านไม่ได้หาเสียง ท่านทรงงานมีพระจริยวัตรอย่างจริงพระทัยอย่างเต็มพระทัย ซึ่งท่านทำได้เป็นพุทธที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระโพธิสัตว์

ขนาดสหประชาชาติยังมาให้รางวัลถ้วยเป็นเกียรติยศ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เขาพอเข้าใจแต่ก็ลงลึกยังไม่ได้ เข้ายังไม่ถึง ประเทศไทยนี้มีสัจธรรมมีสภาวะเป็นจริงอยู่แล้ว จงมาร่วมกันสร้างเศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน หนึ่ง เราพึ่งตนเองรอด สอง เราทำให้เหลือให้มาก สาม แล้วก็แบ่งให้ผู้อื่น ให้แล้วเขาจะตอบแทนหรือไม่ก็แล้วแต่คุณความดีความกตัญญูของเขา ไม่ต้องไปบังคับเขา เขาไม่รู้จักปฏิภาณจะกตัญญู ก็ปล่อยเขาไปที่ชอบที่ชอบ แต่ที่ชอบที่ชอบนี่คือนรก ก็ลงต่ำเอง

ในหลวงเรานี้มาบำเพ็ญปางพระเตมีย์ใบ้และพระมหาชนก ดูแล้วท่านก็ยังคงพยายามพากเพียรอยู่ ท่านอายุ 88 ปีแล้วอาตมาอายุ 82 ปีต่างกันร่วม 7 ปี อาตมาก็พยายามจะรับสืบทอดและทำ แต่อาตมามาสายธรรมะ ไม่ใช่สายโลก ก็จะไม่ไปทำอะไรกับโลกมาก พระพุทธเจ้าก็เอาทางเดียว ไม่เอาทางพระมหาจักรพรรดิ์

 เราก็พยายามทำ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ

ภราดรภาพคืออยู่อย่างพี่อย่างน้อง เป็นญาติธรรมกันถึงสาธารณโภคี เสียภาษีให้ส่วนกลางเต็มร้อย ใครไม่สมัครใจก็ไปอยู่เขตอื่น แต่ถ้าเข้ามาในเขตนี้ มารับสวัสดิการจากที่นี่คุณก็เสียภาษี 100 เปอร์เซ็นต์ 

ทุกวันนี้อโศกเรามีความเป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว มีสติมันโต มีอิทธพรหมจริยวาโส  หูตาจมูกลิ้นกายใจที่เปิดรับวิถี รู้อย่างสมเหมาะสมควร ไม่เกิดเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นจนเกินไป มีเอกภาพเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ไม่เป็นกลุ่มเอาเปรียบเอารัดสังคม เป็นหมู่ที่เสียสละแก่สังคม อยู่อย่างขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา แม้ขาดทุนเราก็อยู่รอด เพราะเราพึ่งตนเองรอด ต่อไปในอนาคตเราจะสร้างสิ่งที่เราต้องอาศัย

ทางด้านวิศวกรรม ก็อยากให้พวกเราศึกษาพลังงานจากพระอาทิตย์มาใช้ พระอาทิตย์ท่านสบายมาก ใครจะจดทะเบียนเอาไปเป็นของตัวเองไม่ได้ พลังงานฟอสซิลนี้จะหมดลงไปเรื่อยๆ แต่พลังงานจากพระอาทิตย์นี้ไม่มีวันหมดจนกว่าพระอาทิตย์จะแตกดับ

ที่ราชธานีอโศกนี้เราจะใช้พลังงานจากพระอาทิตย์นี้แหละ จึงอยากให้พวกเรามีความรู้เรื่องสร้างเรื่องซ่อมพลังงานโซล่าเซลล์นี้ให้ได้ เราถึงต้องตั้งโรงเรียนตั้งวิทยาลัยเพื่อจะให้มาศึกษาพวกนี้ เด็กๆที่ได้ยินได้ฟังแล้วหรือผู้ใหญ่ได้ฟังแล้วก็ให้รู้ให้มาเริ่มต้นช่วยทำ จะเกิดเป็นรากฐานของสังคมมนุษย์ที่จะเป็นแกนหลัก ถ้าทำได้ก็จะช่วยประเทศได้ เช่น เราสร้างแผ่นโซลาร์เซลล์ได้อย่างละเอียดเนียนเล็กๆ ก็มีคุณภาพสูงได้ เราก็จะสร้างเพื่อใช้และเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้อื่น ถ้ามันเหลือใช้ก็จำหน่ายด้วยราคาขาดทุน ใช้เหลือเราเผื่อแผ่ชุมชนข้างเคียง

บ้านราชเราจะมีน้ำตกลำธารที่ไหลด้วยพลังงานพระอาทิตย์ที่มีทศนิยมไม่รู้จบ ส่งมาตลอดเวลา เราจะไม่มีตัวขาด เรามีแต่ตัวเร่ง เราเอามาไม่หมดหรอกพลังงานจากพระอาทิตย์นี่นะ

พลังงานบางอย่างเป็นพลังงานที่เป็นลบจะเข้ามาทำให้เกิดการสังเคราะห์ที่ทำให้เกิดประโยชน์ได้มากขึ้นอีก จะต้องควบคุมและกำกับให้ได้ ในศีรษะอโศกก็กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ปฐมอโศกทำมาก่อนแล้วไปรอด เกิด Big bang แล้วแตกตัวแล้วก็สงบแล้วก็ไปรอด นิวเคลียร์ฟิวชันจับตัวกันได้ดี นิวเคลียร์ฟิชชั่นก็เลยทำอะไรไม่ได้

ที่ปฐมอโศกมีโรงงานปุ๋ยและโรงงานยาสมุนไพรเป็นหลัก และมีอื่นๆประกอบอีกบ้าง รวมแล้วก็เกิน เพราะเรากินน้อยใช้น้อยกว่ารายจ่าย ก็เลยมีเกิน

อันนี้นักเศรษฐศาสตร์ต้องมาศึกษาว่าขาดทุนแต่ทำไมอยู่ได้ ทุนนิยมที่ Maximize profit นี้บรรลัยจักร เราต้องทำเศรษฐกิจแบบ Minimize profit คนที่สูญแล้วจะกินน้อยใช้น้อยที่สุด จะทำงานได้อย่างมากที่สุด จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนรับใช้ ไม่มีเห็นแก่ตัวเลยทำได้ หนึ่งหน่วยก็เป็นอรหันต์หนึ่งหน่วย ทำได้เต็มก็เป็นอรหันต์เต็มร้อย เข้าใจกันไหม แต่ที่ทำไม่ได้เพราะอัตตา แล้วจะเอาอัตตาไปไว้ทำไม ถ้าทำได้ไม่เอา ish เลย ish อยู่รวมกันอย่างดี มีทศนิยมสัดส่วนถูกต้อง มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 เป็นนักคำนวณชั้นยอด

อาตมาพาทำการเมืองเศรษฐกิจสังคมตลอด แม้ไม่ได้ไปประท้วงอย่างเคยทำมาแล้วก็ตาม เราก็ใช้ความสงบ คุณธรรม เสียสละ ปัญญาเสนอให้เขา ก็ผ่านสงครามมา ชนะหรือแพ้? เราก็ชนะมาเห็นๆ ความสงบสยบความเคลื่อนไหว

ที่นี่ผู้ที่ถูกการปรับเปลี่ยนก็ไม่เป็นไร ส่งเสริมกัน ผู้ที่จะขึ้นมาทำงานก็ทำให้เต็มที่

ความบริสุทธิ์เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลก ในที่สุด ถ้าเข้าใจอันนี้แล้วใช้ให้ตรง จบ นี่เป็นโศลกที่จบ ไม่มีอะไรที่สูงสุดไปกว่านี้ เช่น ความบริสุทธิ์ใจของเรา เรามีอัตตาไหม

ถ้าคุณไม่รู้จักอัตตา ยังยึดว่าตนถูกตนดีก็ยังมีตัวตนอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าไม่ยึด เราเชื่อว่าดีก็ทำไป เราเชื่อว่าถูกก็ทำไป หมู่จะทำก็ประสานกันให้ได้ ถูกผิดหรือดีชั่วก็เป็นสมมุติสัจจะ เราไม่มีอะไรขัดแย้งกับหมู่ ถ้ามีตัวเราก็ขัดกับหมู่ ถ้าไม่มีตัวเราก็ไปกับหมู่ได้ พลังงานจะรวมแรงเร็วไปได้ดีกว่า พระพุทธเจ้าว่าสัจจะไม่มีในโลก แต่สัจจะมีหนึ่งเดียว แล้วก็ สัญญา ย นิจจานิ สัจจะที่ตนยึด

ผู้ที่ยึดแบบไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อได้องค์รวมพอเหมาะ หมู่ใหญ่เห็นอย่างนี้ก็จบ เพราะเราเองมาอยู่กับหมู่นี้ เราก็ต้องคัดเลือกแล้วว่าหมู่นี้คือปัญญาชนสุจริตชน เป็นคนที่มีความรู้ทางพุทธธรรมแท้ ปรมัตถ์แท้ คุณเลือกแล้วก็ต้องให้เกียรติทุกคน แม้เป็นกรรมการ คนจะมาร่วมสังฆกรรมก็คัดเลือกตามฐานะ บางคนอายุไม่ถึง ไม่มีคุณสมบัติก็ยังไม่ได้มาเป็นคณะกรรมการ ต้องคัดมาแล้ว ถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ยกให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว

อย่างเมืองไทยเราก็มีในหลวง อาตมาถึงสะท้อนใจน้ำตาไหลครั้งหนึ่ง เมื่อระลึกถึงในหลวง อาตมาได้รับทราบข้อมูลว่า ท่านมองไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็เปรยว่าเราไปทำอะไรให้เขาหนอเขาถึงทำกับเราเช่นนี้ แล้วน้ำพระเนตรท่านก็ไหล อาตมาก็สะท้อนใจที่สุด น้ำตาไหล ที่ในหลวงได้รับการยอมรับเพราะคุณธรรมคุณวิเศษ ท่านไม่ได้หาเสียง ท่านไม่ใช้อำนาจข่มเบ่ง ท่านยอมด้วยซ้ำ อย่างพระราชินีอังกฤษต้องบอกว่า ไม่นึกว่าจะได้เจอ king of kings อาตมามั่นใจว่าพูดถูกและมีหลักฐานพอสมควร เราเป็นส่วนหนึ่งอณูหนึ่งของโลก เรามาพัฒนาปรมาณูเราให้มีประสิทธิภาพ สมรรถนะที่ดี เพื่อเป็นตัวจักรหนึ่งที่จะได้ช่วยประเทศชาติ ช่วยโลกได้ต่อไป

เพราะคอมมิวนิสต์ก็พังแล้ว ประชาธิปไตยก็เป๋ไปมาก เหลือแต่ในเมืองไทยนี่จะพิสูจน์ตัวเอง ถ้าประชาธิปไตยในประเทศไทยเอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาโลกหรือเอาอัตตาเป็นหลัก โลกนี้หมายถึงมวลชนส่วนใหญ่ เราเอาปัญญาเราเป็นหลัก ไม่ได้เพื่อตนเอง ไม่ได้เพื่อครอบครัวหมู่ฝูง ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ทำเพื่อประชาชนจริง ถ้าแน่ใจอย่างนั้นแล้ว มีอาญาสิทธิ์ควรทำจงทำ

 ตอนนี้ทางธรรมะหรือสัจธรรมมันเกิดเลวร้ายสุดสุด รู้เห็นกันอยู่ว่ากลุ่มที่ทำผิดร่วมมือสุมหัวกันอยู่เป็นคณะใหญ่ เมื่อคณะใหญ่ที่ผิดรวมกันก็บรรลัยมาก ขงเบ้งรวมกับเล่าปี่เตียวหุย คณะใหญ่อย่างโจโฉก็แพ้ได้ เมืองไทยมีอาญาสิทธิ์จงใช้ มั่นใจว่าเราถูกจริงไหม ใช้ปัญญาตนเองไม่ต้องบังคับใคร ถ้าจริงแล้วต้องเอาถูกเข้าว่า ไม่เอาทางผิด

อาตมาก็ใช้ปัญญาว่าตนลำเอียงไหม ไปว่าธรรมกายหรือทักษิณเขามากไปไหม อาตมาก็ว่าตรงๆไม่ลำเอียง ถ้าขืนให้อำนาจทางธรรมที่ผิดนี้ขึ้นมา แล้วคุณต้องกราบต้องเคารพด้วยนะ แม้ในหลวงด้วย จะไปไหนรอด มันมีหลักฐานทั้งตัวตนยืนยันครบหมด ในประเทศไทย เหตุการณ์ครั้งนี้ทางด้านวิญญาณก็ตัดสิน รูปธรรมก็ตัดสิน

ด้านวิญญาณสมเด็จพระสังฆราชก็ตัดสินปาราชิก ทาง dsi รูปธรรมก็ตัดสินปาราชิก แล้วจะรออะไรอีก แม้เราไม่รู้ก็มีผู้ช่วย ทั้งคู่ท่านทำงานมาทั้งคู่แล้วท่านก็ตัดสินแล้วนะ จะรออะไรอีก ถ้าอาญาสิทธิ์ไม่ลงอาญา อาตมาว่าบ้านเมืองไทยยากและขอพูดต่อไปนี้ไม่ได้ไปว่าไปขู่นะ

ผู้มีอาญาสิทธิ์แต่ไม่ทำตามสมควรนั้นก็รับวิบากเอง เพราะได้อาญาสิทธิ์แล้วไม่จัดการ ได้ดาบอาญาสิทธิ์เอาไปปราบมารแล้วไม่ปราบมารก็ผิด 157 โดยโลก โดยสัจธรรมก็ผิดด้วย 

ประเทศไทยกำลังทำงานระดับโลกนะ ถ้าทำได้ดี อาเซี่ยนจะไปได้ดี เขามองเราอยู่นะ ถ้าเราทำตามสัจจะได้ดีจริงที่สุด ประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษยชาติมากที่สุดก็ควรทำเถอะ จะทำหรือไม่ทำก็แล้วแต่ท่าน เป็นแต่เพียงแนะให้ความเห็นไม่บังอาจไปสั่งท่านหรอก

พวกเราแต่ละคนก็อ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ผู้ใดยอมก่อนก็ชนะก่อน ผู้ใดยอมทีหลังก็เป็นผู้แพ้ พวกเรานี้เหลือแต่มานะอุทธัจจะ นอกนั้นราคะ เรื่องกาม ปฏิฆะโลกๆก็สบายกันแล้วไม่ลำบากอะไร ก็ขอให้กำลังใจ อาตมาจะมีพลังที่จะให้ได้เท่าไหร่ให้พวกเราหมดเลย อาตมาหาเอาใหม่ โดยเฉพาะหัว ตอนนี้ปฐมอโศกพึ่งตนเองรอดแล้วช่วยพี่ช่วยน้อง ถ้าศีรษะอโศกพึ่งตนรอดและช่วยน้องได้อีก เป็นเสือติดปีกแน่... เจริญธรรม


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:51:49 )

590113

รายละเอียด

                             

590113_ทีมสมอ.มาสัมภาษณ์พ่อครูเรื่อง ว.บบบ. และสุรุ่ยสุร่าย

สื่อธรรมะพ่อครู(การศึกษาบุญนิยม) ตอน พัฒนาการ ว.บบบ.ปี 4

บรรยากาศปีนี้ก้าวหน้าไปมาก ทั้งคุณภาพและปริมาณนะ ปีแรก แปดร้อยกว่า ปีนี้ครั้งที่สี่ก็เจ็ดร้อยกว่า ก็ไม่ได้น้อยลงเพราะเป็นการคัดเลือก แม้แต่เด็กเขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องลึกๆต้องเอาใจใส่ เห็นได้ว่าเด็กแม้ไม่ประสีประสาก็ขมีขมันเกินเด็ก เป็นแนวลึกของจิตวิญญาณมนุษย์ ที่อาตมาเห็นตามภูมิ

          สรุปแล้วโดยปริมาณแม้ดูลดลงแต่เจริญขึ้นซับซ้อนลึกซึ้ง

          ด้านคุณภาพเจริญแน่มีการเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างสำคัญ เรื่องที่จะได้เข็มไม่ได้เข็ม เป็นการปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เพ่งมากนักแล้ว ตั้งใจมาทดสอบตนเอง บางคนก็เรียนมาทั้งปี บางคนเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง บางคนก็ไม่ค่อยเรียนแล้วก็อ่านหนังสือมาสอบ มาเสียสละเดินทางเหน็ดเหนื่อย เราก็เพิ่มสภาพบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม ทำงานทำการหนัก เหนื่อย แดดร้อน แต่เขาเบิกบานร่าเริงดี สัมผัสได้ทั้งภายนอกภายใน มันเป็นพัฒนาการมีความก้าวหน้าที่น่าพอใจมาก

          สอบปีนี้ปีที่สี่แล้ว พ่อท่านเห็นวิวัฒนาการอย่างไรบ้าง ...ก็ของพวกเรานี่พัฒนาการ แต่ของคนข้างนอกก็เข้ามา มีวิวัฒนาการพัฒนาการลึกซึ้งซับซ้อน เช่นมีการคืนเข็มพระธรรม ลดความตระหนี่ถี่เหนี่ยว เข้าใจแก่นสารมากกว่า จะมองอย่างโลก ที่มองว่าทองคำน่าได้น่ามีน่าเป็น เขาก็ลดโลกีย์ลง เรามองว่าเราไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราก็ได้ ทั้งโลกีย์และโลกุตระก็พัฒนาได้ มันเป็นการทดสอบว่าคนหลงราคาโลก โดยจิตเขาไม่ยึดมั่นเป็นตัวกูของกู เอาไปให้คนอื่นดีกว่าเป็นประโยชน์ มันมีความเข้าใจปล่อยวางได้ สละออกได้

แม้บางคนเหน็ดเหนื่อยหนักหนาก็รู้ว่ามีค่ามีประโยชน์มีความต้องการมากขึ้นก็ส่อแสดงถึงญาณปัญญาที่ดีขึ้น มีพวกสมทบเยอะขึ้น มาเดินทางเพื่อต้องการฝึกปฏิบัติแท้ๆ ยิ่งไม่ได้ต้องการทองคำอะไรก็ส่อชัดเจน เราเปิดกว้างเปิดทาง แม้คนป่วยคนพิการก็มาได้ เมื่อสนใจฝึกฝน เป็นเรื่องดีทั้งนั้น

 

พ่อท่านเปรยว่า พ่อท่านยังสอนชาวอโศกไม่ได้เรื่องการไม่รักษาข้าวของ ไม่เก็บงำไม่ดูแล สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย คืออย่างไร?

ตอบ...ลึกๆ จิตของคนที่ลดละไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรามันเป็นจริง เมื่อไม่เป็นเราเป็นของเรา ในความหมายง่ายๆคือไม่เอาถ่าน ทิ้งขว้างเลย แท้จริงมันซับซ้อน นี่ไม่ใช่ของเราแต่เป็นของส่วนรวมของเรา เราสมมุติว่าเป็นของเราแต่ปรมัตถ์เราก็ไม่ยึด เราก็อาศัยใช้สอย แต่คนอื่นที่เป็นญาติมิตรสหายเราจะได้ใช้งานก็ควรเก็บงำรักษา ไม่ปล่อยปละละเลยสุรุ่ยสุร่าย ก็น่าจะทำ มันเป็นความเจริญของปัญญาของคน แต่เมื่อปัญญาไม่เจริญก็ไม่ปฏิบัติ ทุกวันนี้แม้จะสุรุ่ยสุร่ายแต่ก็พอกินพอใช้ แต่มันไม่ควรจะบกพร่อง เป็นจุดไม่ดีงาม ทางโลกเขาถือว่าไม่เจริญเหมือนกัน การฟุ่มเฟือยไม่ดีแน่ ทั้งตื้นและลึกเลย

 

ในหมู่พวกเราเขาทำอย่างนี้ พอเห็นคนสุรุ่ยสุร่ายก็เพ่งโทษขัดแย้ง

          ตอบ...ก็ดีที่เขารู้สึกเช่นนั้นจะได้ช่วยกันเตือน เราทำเป็นตัวอย่างนำพากัน ถ้าเขาไม่รู้สึกเลย ไม่รู้สึกว่าบกพร่องเป็นสิ่งไม่ดีงาม หากไม่รู้สึกเลยก็ไม่ถูก ก็ควรต้องมีภูมิปัญญาปฏิภาณบ้าง แล้วช่วยกันปรับปรุง

 

          พ่อท่านจะหันมาเคี่ยวในพวกเรามากขึ้น

พ่อครูว่า...อันนี้เป็นการขันชะเนาะของอาตมา ก็ได้เท่าที่อุตสาหะพากเพียร ทั้งเทศนาและทำเป็นตัวอย่าง มีเวลาให้มากขึ้น ก็ขมีขมันเอาใจใส่พากเพียร


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2563 ( 12:49:51 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์