@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ความเปิดเผยที่สะอาดบริสุทธิ์

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตรงกับวันคล้ายวันเกิด อาตมาเกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2477 วันนี้วันที่ 5 มิถุนายน 2566 

66 กับ 77 ลบกันเหลือ 89 ปี แล้ววันนี้วันที่ 5 มิถุนายนก็เป็นวันที่อาตมาจะเริ่มต้นปีที่ 90 วันที่ 1 อาตมาเกิดประมาณไม่รู้เวลาตกฟาก แม่ก็ไม่รู้จักเวลาตกฟาก บอกแต่ว่า เช้า พระกำลังเดินบิณฑบาตกลับเข้าวัด แล้วหลังบ้านเป็นวัด บ้านเป็นร้าน ที่จังหวัดศรีสะเกษ เห็นหลังไวๆ ตอนพระกลับจากบิณฑบาต บอกเวลาตกฟากได้เท่านั้นก็ประมาณเวลา 7:00 น พระต่างจังหวัดจะบิณฑบาตสายหน่อยก็ประมาณ 7 โมงกว่าๆไม่ถึง 8 โมง ก็ประมาณนั้น เกิดมาจนกระทั่งมาถึงวันนี้แล้ว 89 ปีกำลังจะย่าง 90 มาถึงวันนี้อาตมาก็ได้เปิดเผยตนเอง เปิดเผยด้วยความจริงใจเปิดเผยด้วยความตั้งใจเปิดเผยด้วยเมตตาจิตอย่างสมบูรณ์เต็มที่ เพราะมันเป็นความเปิดเผยที่สะอาดบริสุทธิ์ และก็เป็นความเปิดเผยจากคนที่ ขออภัยต้องกล่าวความจริงอีกว่า คนบริสุทธิ์คนสะอาด มีแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่แฝงเลยแม้แต่นิดหนึ่ง สิ่งใดแฝงที่มันไม่ใช่ความจริงจะเล็กจะน้อยประมาณน้อยขนาดอณู ปรมาณูขนาดไหนก็ไม่มี มีแต่ความจริงล้วนๆเต็มๆ 

อาตมาได้เกริ่นกล่าวถึงเรื่องนี้มาหลายวัน พยายามเรียบเรียงคำพูดคำบรรยายคำที่จะอธิบายจะบอกกล่าวตรงๆ อาตมาก็พยายามที่สุดที่จะให้มันครบให้มันแม่น ให้มันถูกตรงจริงๆให้มันจริงให้มันชัดให้มันง่าย โดยอาศัยสิ่งที่อาตมาได้ใช้ชีวิตทางธรรม ประกาศตนเองแสดงตนเอง พาทำ แล้วก็มีผู้มารู้มาเห็นตามเข้าใจตามและกระทั่งออกมา เป็นชาวอโศกตั้งแต่นักบวช มาบวชตาม เอาชีวิตมาทางนี้อย่างไม่ถอยหลังอีก นอกจากวิบากของบางคนไม่ถอยหลังแต่สุดท้ายไปไม่รอดตกร่วงไปถอยหลังอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่หลุดออกไป หลุดออกไปมีบ้าง มีมิจฉาทิฐิบ้างก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่มันมี สิ่งที่ขาดตกบกพร่อง error ย่อมเป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีกระเซ็นกระสายกระดอนออกไปบ้างจากกลุ่มสัจจะที่แท้จริง ก็มีจริงแต่มีน้อย นอกนั้นก็อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:10:01 )

ความเป็น 2 จะเกิดเมื่อเริ่มมีกาละ Coefficient

รายละเอียด

ความเป็น 2 จะเกิดเมื่อเริ่มมีกาละ .0000000001 ของวินาที เริ่มขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นก็เริ่มกาลขึ้นแล้ว จากกาละ ก็มาเป็นลักษณะที่คนจะรู้ คนจะจับเอาสิ่งที่เกิดในกาละนั้นขึ้นมา ก็เกิดเป็นตัวฐานะ เป็นตัวฐานะที่คนไปสำคัญมั่นหมาย ไปกำหนดเครื่องหมายว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ เป็นหนึ่งเดียวอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ แล้วมันก็จะเกิดอย่างนี้ๆ อันนี้แหละ มากขึ้นๆน ก็เกิดเทศะ เกิดความแตกต่างกัน เกิดเพศ​ เกิดบวกเกิดลบขึ้นมา เมื่อมันเกิดบวกเกิดลบนั่นแหละ เริ่มต้น จากบวกลบเป็น พลังงาน   E=(MC2)  เป็นพลังงานกรุ๊ปแรกหรือว่าเป็น cyclic order 3 เส้า มีตัวที่เกิดเป็นวงวนเลยกับพลังงาน 2 ตัว คือบวกกับลบ คือ M กับ C และเมื่อมีแรงเคลื่อนที่ในระดับยกกำลังตามที่ไอน์สไตน์เอามาใช้ มันก็เกิดพลังงานปฎิภาคทวี ทบไปเรื่อยๆเป็นเท่าตัวๆๆ คูณๆๆ เป็น Coefficient ไปเรื่อยๆๆเลย  นี่คือลักษณะของธรรมชาติใดๆ 

จิตวิญญาณของมนุษย์ก็นัยยะเดียวกัน จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวงที่อาตมาเริ่มเอาไว้ ตั้งแต่หัวหน้าเผ่า หัวหน้าครอบครัว จนกระทั่งมาเป็นผู้นำ เรียกว่าขุน เรียกว่าพระเจ้าแผ่นดิน อะไรขึ้นมา ในโลกทุกวันนี้ จนมันเกิดการแปรสภาพปรุงแต่งไป แล้วคนก็เข้าใจไม่ได้รอบ เข้าใจไม่ได้ครบถ้วน ก็เลยแก่งแย่งแข่งดีแข่งเด่นกัน กลายเป็นก๊กเป็นเหล่า กลายเป็นพวก 2 พวกอย่างใหญ่ๆ คือพวกผิดกับพวกถูก พวกดีกับพวกไม่ดี เป็น 2 พวกใหญ่ๆนี่แหละ อย่างไรสรุปลงไปก็จะเหลือ 2 พวกใหญ่ๆนี่ ตลอดเวลา 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 11:50:40 )

ความเป็น 2 ที่ต่างกันทางความหมาย

รายละเอียด

ความหมายทุกวันนี้ที่พูดแม้แต่ความเป็น 2 ที่ต่างกันนี่ต่างกันทั้งนั้น ฌานก็ต่างกัน สมาธิก็ต่างกัน ศีลก็ต่างกัน ไปปฏิบัติฌาน สมาธิ ก็ต่างกัน หนักเข้า การปฏิบัติรูปนาม กายก็เห็นต่างกันอีก รูปนาม ก็พอเข้าใจ รูป อันหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้ นาม อีกอันนึงเป็นจิตวิญญาณเป็นธาตุรู้ 

พอไปเป็นกาย รูปนาม ซึ่งมีภายนอกภายใน ซึ่งคำว่า กาย มีความหมายมากมายหลากหลายนัยยะเยอะแยะมากมาย อาตมาอธิบายหลากหลายจนบางคนก็ว่า ไปคิดให้หลากหลายมากมายได้อย่างไร อรรถกถาก็ไม่ได้ว่าไว้

ถ้าไม่เข้าใจการแยกกายให้ดีๆ มันไม่มีทั้งเบื้องต้นและไม่มีทั้งตอนปลาย ต้นและปลายมันผิดออกนอกทางไปหมด คำว่ากาย สำคัญมากในการปฏิบัติธรรม ซึ่งอาตมาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ อธิบายไปก็ยังวนๆ ยังตีไม่แตก จนกระทั่งจับมั่นคั้นตาย จับคอตีเข่าเปรี้ยงเดียวสลบหรือตายเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:04:01 )

ความเป็น 2 นี่แหละ ยากที่สุดในโลก 

รายละเอียด

บัญญัติเป็นอนัตตาของเขาอยู่ แต่คนนี้เขายังไม่ทะลุทะลวงความเป็นอนัตตาที่แท้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาอาจจะมีอนัตตาของเขาบางส่วน เขาไม่ยึดมั่นถือมั่นไม่ถือเป็นตัวเป็นตนของเขา เขาก็เชื่อในอันนั้นของเขา แต่มันเป็นระดับหยาบ สูงขึ้นไป สูงขึ้นไปก็ถึงขีดหนึ่ง เขาก็ตันแล้ว เขาไม่ไปต่อ ตันตรงนี้แล้ว เขาเอาอัตตามานะของเขามาปิดประตู มาปิดประตูโลกของเขา โลกของเขาก็จบอยู่แค่นี้ วนอยู่แค่นี้ ถ้าขีดเส้นก็คือกะลาครอบอยู่แค่นี้ ไม่ออกจากนี้แล้ว นี่แหละเรียกว่า โลกียะ คือมันไม่เปิดตลอด มันไม่รับไปตลอด แล้วก็ทำความเข้าใจหรือว่าทำความบรรลุธรรมให้ต่อไปได้เรื่อยๆ เขาขีดวงกลมของเขา เขาขีดความจบของเขาอยู่ในเขตเรียกว่า โลกียะที่แท้จริง เพราะฉะนั้น คนนี้จะไม่เข้าใจอะไรต่อได้เลย นี่คือ ความหมายที่เราพูดกันไปอันนี้ว่า จิตอนัตตา ไปควบคุมไม่ได้ เขาว่างั้นนะ เราก็ไม่ได้ควบคุม แต่เรารู้ความเป็น 2 ความเป็น 2 นี่แหละ ยากที่สุดในโลก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 11:25:32 )

ความเป็น 2 อย่าง คือ อย่างที่มี 1 ไปหา 2 เรียกว่า ไปหาความปรุงแต่ง ได้ไหม

รายละเอียด

ซึ่งเป็นความรู้ที่จบ อย่างอาตมา  ไม่มีอะไรสงสัยข้องใจ แล้วไม่ใช่แค่ตรรกะ ตัวเองเป็นได้ด้วย เพราะเกิดมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ก็ไม่มีปัญหาในการเกิดอีกกี่ชาติๆ หมดปัญหาหมดทุกข์ หมดทุกข์และหมดสุขด้วย หมดภาวะคู่ อาศัยภาวะ 1 กับ  0 อยู่ 

เพราะในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมาเป็นสัตว์โลกที่มีจิตนิยามแล้ว มันจะมี 2 คือธาตุรู้กับรูปธาตุ อาศัยอยู่อย่างแยกไม่ออก แยกก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม นามธรรมก็หายไป ธาตุจิตนิยามก็หายไป ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารไง ปรุงแต่งอย่างวิเศษมาหา 0 แต่ ถ้าคุณเองรู้และคุณทำได้แล้วเป็นอรหันต์ คุณจะรู้ว่าคุณทำได้ แต่ คุณจะยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หรืออย่างน้อย คุณเป็นอรหันต์แล้ว คุณรู้ที่จะวาง จะจบ จะตายแบบ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างนิพพาน 3 คุณก็หมดปัญหาทุกอย่าง หมดสงสัยไม่ต้องถามอีกแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 13:08:42 )

ความเป็นกลาง

รายละเอียด

ต้องกำจัดทั้ง "กามและอัตตา" ให้หมดสิ้นเกลี้ยงทั้งสองปลายข้าง (อันตา) ไม่เหลือ "ความเป็นปลายข้าง" (อันตา) ทั้งสองปลายข้างนั้น จึงจะเป็นผู้จบสัมบูรณ์ไม่มี "สายปลายข้าง" (อันตา) ที่ยังเป็น "กาม" และ "สายปลายข้าง" (อันตา) ที่ยังเป็น "อัตตา" บรรลุ "ความเป็นกลาง" (มัชฌิมา) แท้จริง

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 20


เวลาบันทึก 06 พฤศจิกายน 2562 ( 16:03:32 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:57:09 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:10:58 )

ความเป็นกลาง

รายละเอียด

ส่วนอีกฝั่งหนึ่งพวกกามสุดโต่ง จะต้องเสพกามให้สูงสุดเลยแล้วจะบรรลุ กามจะเป็นกามทางเพศ หรือจะเป็นกามทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) จัดจ้านมันทั้งหมดเลย ให้ทะลุวังเลย พูดให้เข้าสมัย ใช้ศัพท์ให้เข้าสมัย เอากันให้ทะลุเลย ทะลุวังเลย มันก็เป็นคนสุดโต่งไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้านี้จึงสอนความเป็นคนดี ความพอเหมาะ ความเป็นกลางไม่โต่งไปทางไหนเลย อันนี้คือมัชฌิมา แล้วก็ปฏิปทาเป็นข้อปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นกลางๆ มัชฌิมา หรือมัชเฌนธรรม ไม่ได้หมายถึงสภาพมิจฉาทิฏฐิประเภทที่ว่า แปลคำมัชฌิมาปฏิปทา เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่า กลาง มัชฌิมา ความเป็น กลางนี้ มันหมายถึงจิต หมายถึงเจตสิก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความเป็นแม่ที่ให้กำเนิดโลกุตรจิต วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 สิงหาคม 2566 ( 18:56:42 )

ความเป็นกลาง 3 แบบของผู้ไม่มีปัญญา

รายละเอียด

ที่จริงความ เป็นกลางอาตมาอธิบายไว้อย่างน้อย 3 นัยยะ 

1. เป็นกลางไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว เลยต้องอยู่เฉยๆเพราะไม่รู้ใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว ช่วยใครไม่ได้ 

2. รู้ว่าไอ้นี่ถูกไอ้นี่ผิด แล้วรู้ถูกเสียด้วย แต่กลัวว่าจะเสียโลกธรรม ถึงไม่เข้าข้างใครอยู่กลางๆ วันนี้น่าเขก

3. เป็นความเห็นผิด ที่ถูกใครสอนไปเชื่อเขาว่า ความเป็นกลางแม้จะรู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่วก็ตาม ก็ควรอยู่เฉยๆไม่ควรจะต้องไปอยู่กับฝ่ายไหน อยู่กลางๆ นี่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิคนๆนี้เป็นคนเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วคนที่ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดก็ยกไว้เพราะเขาไม่รู้ เขาก็อยู่เฉยๆกลางๆ 

พฤติกรรมเป็นกลางของผู้ไม่มีปัญญา 

1. โง่  ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก   

2. กลัว  จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า

3. เห็นผิด  คิดว่า เป็นกลางแล้วไม่ควรไปอยู่กับฝ่ายไหน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:49:34 )

ความเป็นกลาง เพราะรู้ 2 อย่าง

รายละเอียด

กลับมาสู่กามกับอัตตา อีกทีนึง คนจะเดินแล้วก็เข้าใจความเป็นกลาง เข้าใจสิ่งที่ตนเองได้แล้ว กลางแล้ว รู้จักกาม รู้จักอ้ตตา โดยไม่เข้าเป็นอะไรกับกาม ก็กิเลส เข้าไปเป็นอะไรกับอัตตา ก็กิเลส เป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่ รู้แล้วทั้ง 2อัน 2สิ่งแล้ว ไม่เข้าไปให้มี ไม่เข้าไปส่งเสริมให้มีทั้ง 2 อัน แต่รู้จัก อนุโลมปฏิโลมกับแต่ละฐานะของแต่ละคน เขาที่ปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ให้เขามีพัฒนาการขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นปฏิภาณความรู้ของผู้ที่จะ ช่วยรื้อขนสัตว์ หรือ เป็นผู้ที่ สัตถาเทวมนุสสานัง เป็นผู้สอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยไม่มีใครได้เทียบเท่า อาตมาก็ไม่เทียบเท่าพระพุทธเจ้า นั่นเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า แต่

อาตมาก็ไม่น้อยเหมือนกัน ก็พอใช้ได้ตามลำดับ วันนี้ก็ขอสรุปว่า ผู้ที่จะเป็นผู้ถึงความเป็นกลาง ไม่ใช่ไปมัวเดินแต่ในทางสายกลางแล้วจะไปถึงไหนไม่รู้เรื่อง แต่เป็นผู้ที่จะดำเนินอยู่ เป็นผู้ที่มีความเป็นกลาง เพราะรู้ 2 อย่าง แล้วก็ช่วย 2 อย่างให้หลุดพ้นขึ้นมา ไม่ใช่เดินลอยตัวเล่นเฉยๆ ไม่ใช่ จะช่วยคนสองฟากนี้ขึ้นมาเป็นงานหนัก งานใหญ่ งานสำคัญ ของมนุษยชาติ เมื่อบรรลุได้แล้วคุณก็มารวมกันเป็นหมู่กลุ่ม มีพลัง จะเรียกว่าอำนาจก็ดูแข็งไป แต่มีพลัง มีฤทธิ์ มีภาวะ ที่สงสารเอ็นดูเกื้อกูลผู้อื่น ช่วยผู้อื่นต่อไปๆๆ ด้วยความเมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขา สูงสุดเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 ธันวาคม 2565 ( 11:57:27 )

ความเป็นกลางของชาวอโศกเป็นเช่นไร

รายละเอียด

คำว่าเป็นกลางมีหลายนัยยะ อย่างน้อยที่สุดคนเข้าใจคำว่าเป็นกลางยังไม่ค่อยจะบริบูรณ์ ประเด็นที่ 1 คนที่เข้าใจ ความเป็นกลาง แล้วก็ไปว่าเขาทำไมคุณไม่เป็นกลาง ไปว่าเขา คุณต้องวางตัวเป็นกลาง ไปว่าเขา เพราะว่าเขาคนนั้นไปว่า ก็หมายถึงคนนั้นไปทำอย่างที่เขาว่า ความเป็นกลางต้องเป็นอย่างที่เขาหมายถึง หมายถึงอย่างไรก็ได้ แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าหมายถึงแบบไหน แต่อย่างชาวอโศกนี้บอกนะ เป็นกลางของชาวอโศกเป็นอย่างไร 

อาตมาเขียนเรื่องความเป็นกลางในขณะประท้วงเลยพิมพ์ออกไปเป็นแสนเล่ม เล่มเขียวเล่มเล็กๆ 

ความเป็นกลางฝ่ายหนึ่งก็มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าถ้าความเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร คุณต้องอยู่เฉยๆอย่างไรก็ต้องอยู่เฉยๆไม่เข้าข้างใคร 

ทีนี้คนที่ไม่เข้าข้างใครก็มีอีก 2 นัยยะ 

1. ก็คือคนไม่รู้ว่าจะเข้าข้างใคร เพราะไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดมันก็เลยไม่เข้าข้างใคร เพราะมันไม่รู้มันโง่เอาอย่างนั้นเลย มันโง่ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่วไม่รู้อันนี้แน่นอนเพราะว่าเขาซื่อเขาไม่รู้จะเข้าข้างใคร 

2. คนที่รู้ว่าข้างไหนดีข้างไหนชั่ว ก็แยกเป็น 2 อีก คนที่รู้ว่าข้างไหนดีข้างไหนชั่ว แต่ถ้าบอกว่าเป็นกลางใครจะดีใครจะชั่ว กูก็อยู่กลางๆ เอ็งก็ตีกันไป ใครจะดีจะชั่วก็ช่างเองเพราะข้าเป็นกลาง ข้าต้องอยู่เฉยๆ ข้าจะไปทำอะไรเพราะข้าฯเป็นกลาง 

3. อีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นแบบชาวอโศก ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้อง เข้าข้างคนดี อย่าไปเข้าข้างคนชั่ว อย่าไปเข้าข้างคนผิด นี่เป็นแบบอโศก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 09:23:10 )

ความเป็นกลางของผู้ยิ่งใหญ่เรียกว่าอภิภู จบเข้าเขตปาง 8

รายละเอียด

แต่ถ้าศูนย์กลาง หมายถึง ความเป็นกลางจริงๆ ที่มีอาศัยอยู่ ความเป็นกลางอันนี้ โอ้โหเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดที่คนจะต้องปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาตรงนี้แหละเป็นสำคัญที่สุดเลย ลักษณะ 

อีกภาษาหนึ่งท่านใช้เรียกว่า มัชฌิมา ผู้ที่บรรลุอันนี้ ผู้ที่บรรลุได้แล้ว นั้นก็เป็นตัวปฏิกิริยาไดนามิกอยู่ เรียกว่า อนุปคัมมะ เป็นคนเข้าถึงสภาพ 2 อย่างแล้วและก็มีอยู่ทั้ง 2 อย่าง ยังไม่ตายยังไม่สูญยังไม่ไปไหนมีวิจารณญาณอยู่กับความมี-ความไม่มี ซึ่งเป็นความลึกซึ้งสูงส่งมากเลยอันนี้ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็น อนุปคัมมะ หรือคนเป็นมัชฌิมา คือคนสุดยอดแล้ว จบแล้วในศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ เรียกว่า อภิภู จบเข้าเขตปาง 8 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2565 ( 20:56:27 )

ความเป็นกลางขอเปลี่ยนเป็นคำว่าอุเบกขา

รายละเอียด

ตั้งหลักให้ดีๆ ที่อาตมาอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ อธิบาย 2 ข้าง แล้วมาหากลาง มันเป็นสภาวะธรรม ที่ละเอียดลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) ถ้าไม่มีความจริงอย่างละเอียด จะพูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก ถ้าไปแปลมัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าทางสายกลางอย่างเดียว อาตมาก็เมื่อยที่จะแก้ปัญหาตรงนี้ ก็อาตมาแปลเช่นนี้ ให้ปฏิบัติให้ไปถึงความเป็นกลาง มัชเฌ ไปสู่สภาวะความเป็นกลางก็คือปฏิบัติไปสู่อันนี้ ความสุขอยู่ที่ มัชเฌ กับวิธีปฏิบัติ หากไปติดอยู่ที่ทางสายกลาง แล้วความเป็นกลางคุณยังไม่รู้เรื่องเลยว่าคืออะไร ความเป็นกลาง อาตมาก็ขอเปลี่ยนเป็นคำว่า อุเบกขา อุเบกขา จะมีพยัญชนะที่บอกสภาวะ 1. บริสุทธิ์ อุเบกขาคือ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ความเป็นกลางที่ไม่สุขไม่ทุกข์ อุเบกขา แล้วที่ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นกลางนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างไรเพราะมันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์อะไร บริสุทธิ์จากกิเลส นี่คือตัวที่ 1 ของอุเบกขา มันมี 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา พยัญชนะ 5 ตัวนี้มีใน ธาตุวิภังคสูตร มีอยู่ในพระไตรปิฎกหลายเล่ม

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:34:45 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:05:26 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:11:22 )

ความเป็นกลางคือผล

รายละเอียด

กลางคือจิตไม่มีเอียงไม่มีกิเลส ไม่มีเอียงไปทางกาม ไม่มีเอียงไปทางอัตตา ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าตรัส ผู้ที่อ่านจิตเป็นแล้วทำจิตเป็นให้ไม่มีกาม และไม่มีอัตตา ช่วยกันลดลง จนเหลือน้อยเป็น รูปราคะ มานะ อุทธัจจะ หมดอาสวะ จิตก็เป็นกลางมัชฌิมา แต่แปลมัชฌิมาปฏิปทาว่าทางสายกลาง ก็เลยเดินทางแบบไม่รู้ว่าจะหนีจากกามจากอัตตาอย่างไร ก็เดินไปตามทางสายกลาง แต่ไม่ได้เข้าใจสัมมาทิฎฐิว่าจะไปเดินไปสู่จุดไหน เหมือนกับพ่อแม่ลูกที่เดินไปตามทาง จนเสบียงอาหารหมด ก็บอกกันว่าจะไปเดินไปหานิพพาน เดินไปจนหมดอาหารก็ฆ่าลูกกิน เพื่อจะได้มรรคผล เพื่อจะบรรลุจุดมุ่งหมายที่เรียกว่าพระนิพพาน โดยไม่ได้รู้จักเรื่องของ กาม อัตตาสองข้างทางเลย นี่คือผู้ที่มิจฉาทิฐิเดินตามทางสายกลาง ฆ่าลูกกินแล้วก็ยังคร่ำครวญถึงลูกว่าลูกไปไหน คำเปรียบเทียบของพระพุทธเจ้าทำให้เห็นว่าเขาไม่มีทางเดินไปถึงนิพพานเลย ต้องแยกชัดเจนว่า กลางคือผล ลดกาม ลดอัตตาไปเรื่อยๆให้น้อยลงๆ จนหมดกามหมดอัตตาก็สูญ ไม่มีกามไม่มีอัตตา นี่คือผล พูดภาษาทำให้เข้าใจความหมายเป็นภาษาไทยโดยต้องแปลงมา จากภาษาบาลี เขาทำให้สับสนและงง เดินทางสายกลาง พูดถึงอันนี้แล้วก็นึกถึงตัวเองอาตมาปฏิบัติธรรม พยายามลดละอะไรต่างๆ ปฏิบัติตามภูมิปัญญาของตัวเองตั้งแต่อยู่ที่ทำงานโทรทัศน์อยู่ พูดถึงหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยบอกว่า รัก เอ๋ย ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติทางสายกลางนะ… อาตมาก็ว่าอาตมาเข้าใจนะทางสายกลาง แต่ก็ไม่ได้พูดขัดแย้งเพราะเขานับถือท่านว่าเป็นปราชญ์ หม่อมเจ้าพูนพิศมัย เป็นธิดาของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นามสกุลดิศกุล อาตมาก็ว่าไม่ใช่ง่ายที่จะเข้าใจอย่างลึกซึ้งชัดเจน มัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าให้เดินทางสายกลางอย่าไปแปลอย่างนี้เลย ถ้าหากอธิบายอย่างนี้จะหลงเดินทางกลางๆไม่เรียนรู้ว่า วิธีปฏิบัติไปสู่ความเป็นกลางเป็นอย่างไรไม่รู้ กาม ไม่รู้อัตตา หากปฏิบัติไม่รู้จักกาม รู้จักอัตตา เช่นไปนั่งหลับตาแล้วจะรู้จัก กามไหม ทิ้งกามคุณ 5 ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นโมฆะตั้งแต่เบื้องต้น คุณจะแปลเองว่าทางสายกลาง คุณก็ไม่มีทางที่รู้จักกามแล้วใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ยิ่งอธิบายแล้ว ผู้ที่ตั้งใจฟังดีๆที่นั่งหลับตาปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ จะสะดุ้งตีลังกากลับ เอาหัวเดินต่างตีนกันกี่ชาติแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ปฏิบัติธรรมกับอาหารในพระสูตรต่างๆ วันพุธที่ 4 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2562 ( 19:52:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:15:14 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:11:44 )

ความเป็นกลางคือไม่เข้าใกล้ส่วนสองใดๆ

รายละเอียด

สองอย่างที่ไม่ไปเข้าใกล้ เช่น กามกับอัตตา รูปกับอรูป ก็ไม่ไปเข้าใกล้ สรุปแล้วอะไรมี 2 อย่างก็รู้ทั้งสองอย่างแต่ไม่มีทั้ง 2 อย่าง มีทั้งสองอย่างที่เขามีในโลก แต่ถ้าไม่มีความยึดเป็นเราเป็นของเรา คือ ความเป็นกลาง กว่าอาตมาจะตายน่าจะอธิบายได้มีรายละเอียดยิ่งๆขึ้นอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:19:31 )

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนถูก

รายละเอียด

 ก็น่าจะใช่ อาตมาก็ยังไม่เห็นว่าใครจะพูดว่าความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนถูกหรือแม้แต่ในต่างประเทศก็ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังคนใดพูด ประโยคนี้ ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีคนถูก 

คนดี คนถูก ก็รู้แล้วนะ คือคนที่ต้องเป็นหลัก ทีนี้คนที่จะรู้จักคนดีคนถูกจะต้องมีปัญญา และเป็นปัญญาที่จริงด้วยนะ ถ้าปัญญาไม่ค่อยจริง ปัญญามิจฉาทิฏฐิ ปัญญาเป๋ๆ มันจะไปรู้จักคนดีคนถูกที่จริงได้อย่างไร คนดีคนถูกตัวจริง ยิ่งมันโง่ก็จะไม่รู้จักคนดีคนถูกตัวจริง เพราะฉะนั้นคำว่า ความเป็นกลาง จึงยิ่งใหญ่ที่สุด คือคนมีปัญญา ในคำตรัสของพระพุทธเจ้าคือ จงคบบัณฑิต อย่าไปคบคนพาล นี่แหละแปลว่า จงไปเข้าไปอยู่กับคนที่เป็นบัณฑิต อย่าไปอยู่กับคนพาล นี่แหละคือความเป็นกลาง จงไปอยู่กับบัณฑิต อย่าไปอยู่กับคนพาล นี้คือความเป็นกลาง ชัดเจน 

คนที่ยังไปคบคนเป็นมิตรสหายอยู่กับคนพาล ก็คือคนโง่ เพราะฉะนั้นคนเป็นกลางต้องคบหาบัณฑิต ต้องช่วยกันกับบัณฑิต ต้องส่งเสริมบัณฑิต ต้องช่วยกัน ถ้าเราไม่ช่วยคนที่เป็นบัณฑิตหรือคนที่ดี คนที่ถูกต้อง ยิ่งเรามีปัญญาถูกต้องแล้วไม่ช่วยส่งเสริม เราก็ใจดำ 

แม้คุณจะมีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด รู้จักสิ่งที่ดี แต่คุณทำเฉย ไม่ทำอะไร หนักแผ่นดิน ที่พูดไปแล้วเคยพูดไปแล้ว มันเป็นคนรกแผ่นดิน หนักแผ่นดิน ตายซะคนพรรค์นี้ นี่กินข้าวหายใจออกอากาศเขาเสียบรรยากาศในโลก ฉะนั้นมีชีวิต มีชีวิตเป็นปลิงเกาะสังคมไป เพื่อที่จะถึงวันตาย ไม่ได้เรื่อง คนไร้สาระ เพราะฉะนั้นความเป็นกลางจึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องของคนมีปัญญา และเขาต้องเข้าข้างคนดี 

จะเห็นได้ว่ากระแสของเมืองไทยชัดเจนขึ้น เข้าข้างคนดี เด็กๆเล็กๆผู้ใหญ่เห็นด้วย ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องจบด็อกเตอร์คือคนฉลาด ไม่ใช่ เด็กๆเล็กๆมันก็ฉลาดเป็น นี่เป็นธรรมชาติที่ลึกซึ้ง เป็นคนฉลาดจริง การจะรับว่าเขาเป็นคนดีโดยเขาไม่ต้องมาหาเสียง ไม่ต้องมาปะเหลาะ นี่คือคนของสังคม เป็นคนสาธารณะ ใครก็เห็นใช่ไหม เด็กๆก็เห็นได้นี่แสดงว่า นายกตู่นี่เป็นคนทำงานของบ้านของเมือง เป็นนายก เป็นผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง ทำงานจนกระทั่งเข้าตาเด็กๆ ผลงานเข้าตาเด็กๆ นายกไม่ได้ปะเหลาะ เด็กมันจะประสีประสาอย่างไร นายกจะหาเสียงอย่างไร เด็กจะไปรู้เรื่องอะไร แต่ความลึกซึ้งเด็กมันมี หนุ่มสาวมี ผู้ใหญ่มี คนแก่มี เพราะฉะนั้นคนที่มีปัญญา รู้ความจริง คนโง่เท่านั้น คนเป็นพาลเท่านั้นที่ไม่รู้ความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบคนมืดบอดให้เห็น ผลงาน 8 ปี นายกฯลุงตู่ วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2566  แรม 6 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2566 ( 10:26:49 )

ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีหรือคนไม่ดี

รายละเอียด

อาตมาเคยพูดแยกแยะไว้ชัดเจน เรื่องความเป็นกลางเข้าข้างคนดีหรือเข้าข้างคนไม่ดี มีอยู่ 3 ประเภท 

1. โง่  ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก   

2. กลัว  จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า

3. เห็นผิด  คิดว่า เป็นกลางแล้วไม่ควรไปอยู่กับฝ่ายไหน

ข้อ 3 นี้ไปถูกครอบงำความคิดมา ใครถูกใครผิดรู้แต่ว่าก็ไม่เข้าข้างใคร เป็นกลางๆอันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิและก็ยังโง่อยู่นั่นเอง นี่คือ อาตมาจำได้ เขียนรายงานที่ไปชุมนุมเป็นหนังสือเล่มเขียวเล็กๆ พิมพ์แจกเป็นแสนเล่ม โดยเฉพาะ 3 ประเด็นนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นความโง่อวิชชากับ ปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 19:05:08 )

ความเป็นกลางที่ถูกต้องคืออย่างไร

รายละเอียด

ที่ถูกต้องความเป็นกลางต้องเข้าข้างความดีความถูกต้อง สมทบความดีให้มีอำนาจ ให้มีกำลัง คนยิ่งมีฐานะทางสังคม ยิ่งมีตำแหน่งหน้าที่ได้รับการยอมรับทางสังคมสูงๆ ยิ่งมีพลัง ยิ่งควรเข้าข้างคนดีคนถูกให้มาก คนที่ได้รับความนิยมชมชอบทางสังคมมากแล้ว ถ้านิยมชมชอบความถูกต้องจริง ท่านจะเข้าข้างคนถูกต้องคนจริง เพราะท่านเป็นคนจริงคนถูกต้อง แต่ถ้าท่านไม่จริงไม่ถูกต้องก็จะไม่เข้าข้างคนดี ไม่เข้าข้างคนถูก มันก็เป็นของท่านถูกแล้ว เพราะความฉลาดของท่านยังไม่มีมากพอ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น 

ส่วน มวล ประชาชนใครจะเห็นอะไรเป็นธรรมวาที หรืออธรรมวาที ก็เป็นส่วนตัวแล้ว ตัวใครตัวมัน เราไปบังคับไม่ได้ก็ต้องจบอยู่ที่ตัวของใครเอง ต้องฉลาดรู้จักศึกษาให้ดีๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พ้นความโง่อวิชชากับ ปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 19:06:24 )

ความเป็นกลางที่มิจฉาทิฐิ 2 แบบ

รายละเอียด

​พวกสื่อสารเป็นพวกหาเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องมาเขียนเขาก็ขายไม่ได้ ก็ต้องแสดงออกว่าข้าไม่เข้าข้างฝ่ายใด ทั้งๆที่แท้ๆเขาควรจะรู้ว่ากาลเวลานี้ควรจะเข้าข้างใคร ผู้ที่เป็นกลาง คือผู้ที่เข้าข้างคนดีคนถูกต้อง ผู้ที่เป็นกลางไม่เข้าข้างคนดีคนถูก คือคนมิจฉาทิฐิ ที่คิดว่าการเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนใด เป็นมิจฉาทิฐิข้อ 1

ข้อที่ 2 ความโง่ดักดาน แบบแก้ไม่ได้ เพราะว่าเราควรส่งเสริมความดีให้มันแข็งแรงใช่ไหม แต่คุณไม่เข้าข้างคนดีแล้วความดีมันจะแข็งแรงขึ้นไหม ทั้งๆที่คุณรู้ ถ้าหากว่าคนที่ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว เขาก็เลยอยู่กลางๆเฉยๆ เขาไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกก็แล้วไปเป็นคนโง่ ถ้าเขาไม่รู้ แต่ถ้ารู้อยู่ว่าอันไหนดีอันไหนชั่ว แต่กูไม่เข้าข้างคนไหน แล้วเอ็งจะอยู่อย่างไร เอ็งจะอยู่กับคนโง่หรือคนดี อยู่ในประเทศนี้ควรจะเอาคนดีให้เจริญให้แข็งแรงหรือจะเอาคนโง่ แล้วไม่เข้าข้างใคร นี่คือความโง่ 100% โง่แบบพัฒนาไม่ได้ โง่ดักดาน ไม่มีทางฉลาดได้ ถ้าโง่แบบนี้ตายเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 21:22:05 )

ความเป็นกลางที่เป็นมัชเฌนธรรม

รายละเอียด

เมืองไทยเป็นเมืองที่ อิสระที่สุด สบายที่สุด สงบที่สุด อบอุ่นที่สุด อิ่มเอมที่สุด เกษมใสที่สุด มีใจเกื้อกูลเสียสละที่สุด ไทยเป็นอย่างนั้นอยู่จริง มีจุดหนึ่งที่อาตมาอยากจะสำทับให้ผู้บริหาร หรือแม้แต่นักวิชาการ ก็ควรจะรับทราบว่า ความเป็นกลาง จงระลึกหรือเรียนรู้และทำให้มันเป็นไปได้ ว่าความเป็นกลางนี่ดีที่สุด แม้คุณจะยังเข้าถึงความเป็นกลางที่เป็นมัชเฌนธรรม ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม มันพอเข้าใจได้ตามประสาคนอยู่แล้ว และมีภูมิตามควรอยู่แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 12:32:29 )

ความเป็นกลางระหว่างความมีกับความไม่มีมันสุดยอดแห่งความเป็นคน

รายละเอียด

ลองทวนดู ความมีกับความไม่มี ในพระไตรปิฎก ความมีก็คือ มี ความไม่มีก็คือความจบความสูงไป ความเข้าใจ 2 อย่างนี้ สรุปเข้ามา 2 อันนี้มันตรงกันข้ามกันเลย ความมีกับความไม่มี มันเป็นสุดท้ายที่สุด ที่อาตมาก็เคย ยืนยัน  พระไตรปิฎกด้วย เอาสภาวธรรมมาอธิบายด้วย 

ยืนยันอ้างอิง ว่ามันเป็นสภาพของ 2 สภาพ ที่ผู้ที่เป็นอภิภู หรือ อนุปคัมมะ แล้ว เป็นผู้ที่ถึงขั้นเจอความเป็นกลางแล้ว ระหว่าง 2 ความมีกับความไม่มี แล้วก็ไม่สงสัยในความมีกับความไม่มี จะเป็นอะไรก็เป็นได้จะเป็นไม่มีก็เป็นได้ จะเป็นมีก็เป็นได้ ควรอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ที่สุดอย่างไร ก็ทำที่สุดอย่างนั้น 

ควร ก็คือยังมีอยู่ ที่สุดก็คือไม่มีแล้ว ตัดสินที่สุด ก็สุดไป ก็ทำได้ทุกอย่าง มันสุดยอดแห่งความเป็นคนที่จะทำทุกอย่างได้ ในความเป็นจิตนิยามของเรา จิตนิยามของเราเป็นตัวธาตุรู้ของเราเอง เราจะจัดการกับจิตนิยามของเรา ให้มีหรือไม่มีให้อยู่ ให้ไม่อยู่ ให้ควรหรือให้ไม่ควร ยังไง ได้หมด สุดท้ายก็ หมดไปเลย หมดจิตนิยามไปเลย แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เรียกว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 15:13:31 )

ความเป็นกลางหรือมัชฌิมา

รายละเอียด

แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ทาง 2 ข้างแล้วลดกิเลสทั้ง 2 ด้านแล้วมาสู่จุดกลาง ไม่มีกิเลสทั้งสองข้างเรียกว่าหมด อันตา สองข้างก็มีฝ่ายกามกับฝ่ายอัตตาต้องเรียนรู้ลดกาม ลดอัตตาจะเป็น 0 เรียกว่าจบ ความเป็นกลางหรือมัชฌิมา วิธีการที่จะทำให้เกิดความสูญเสียเป็นอย่างนี้ แต่นี่ไปแปลว่าทางสายกลาง คนก็เลยไปสำคัญที่ทางเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้ ความเป็นกลางของทั้ง 2 ข้างแล้วต้องรู้เหตุปัจจัยของทั้งสองข้างแล้วลดเหตุแล้วมันก็จะลดลงๆ เข้ามาชิดกลางมากขึ้นเรื่อยๆมันเป็นอย่างนั้นซึ่งมันลึกซึ้งละเอียด ก็ค่อยๆว่าไป มันเป็นความหมายยิ่งใหญ่สำคัญอันนี้ก็เลยต้องขออภัยอธิบายยาวไปหน่อย 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 12:41:12 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:05:12 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:12:01 )

ความเป็นกลางแบบมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

ส่วนเห็นผิดก็อีกนั่นแหละ รู้หมดว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เข้าใจผิดว่าต้องอยู่เฉยๆกลางๆอย่าไปเข้าข้างคนดีคนชั่ว ไปเข้าข้างคนดีมันก็จะไม่กลาง ไม่เข้าข้างคนดีจึงจะเป็นกลางก็ต้องอยู่เฉยๆ เด๋อๆ โง่ๆ เป็นหัวตอก็ยังไม่ได้ หัวตอ ก็ยังเอาไปทำฟืนได้ แต่นี่ทำอะไรไม่ได้เลย หัวตอ บางทีก็นั่งได้ เอามาประดับประดาก็ได้ แต่คนพันธุ์นี้อย่าเอามาประดับเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:52:43 )

ความเป็นคนอภัพพของสมณะโพธิรักษ์

รายละเอียด

อาตมาเวลาแสดงธรรมต้องจริง แต่ก็มีแถมเป็นมุขตลกแซม ดีไม่ดีเล่านิทานประกอบ เขาก็เลยบอกว่าคนจริงเขาไม่มาเล่นหัวหรอกต้องเคร่ง เพราะว่าในคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคนจริงไม่ได้เหลาะแหละ แต่อันนี้เป็นเรื่องอนุโลมตามยุคสมัย มันก็เลยเข้าใจยาก ใช้สำนวนทางโลกว่าอาตมาเป็นคนอาภัพ แต่จริงๆแล้วอาตมาเป็นคนอภัพพ เป็นคนไม่น่าจะเป็นได้เลยในยุคนี้ คนที่ควรเป็นน่าจะเป็นคนอื่นไม่ใช่อาตมา แต่อาตมาเป็นคนในยุคนี้และเป็นจริงด้วย ถึงได้บอกว่ายาก ไม่รู้จะพูดอย่างไร อธิบายได้แค่นี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ธรรมะคือเครื่องถ่วงดุลยุคทุนนิยมเคออส วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 14:18:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:16:03 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:12:33 )

ความเป็นคนและความเป็นสังคมอย่างไรที่ควรศึกษา

รายละเอียด

ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนคนให้เป็นพระอรหันต์ มันมีเท่านี้แหละมนุษยชาติ อาตมาก็เคยพูดไม่รู้กี่ทีว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไร ท่านก็ศึกษาเรื่องความเป็นคน กับเรื่องของความเป็นสังคม ท่านมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้า ท่านไม่ทำงานอื่น ท่านก็มาทำงานให้คนรู้จักตัวเอง ให้รู้จักความเป็นคนของตัวเอง และก็รู้จักสังคม ทำให้ตัวเองหมดพิษหมดภัย มีแต่ประโยชน์ คุณค่า และก็รับใช้มวลชนไป เมื่อคุณทำได้ก็จบแล้ว ควรจะเกิดมา อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเกิดมาอีกกี่มาช่วยคนจะพิสูจน์ว่ามันมีอีกมากมายที่เรายังไม่เคยเป็น เราจะต้องไปเป็นให้ได้หมด จะไปเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังทำอยู่นี่ พากเพียรสร้างสรรทำไปอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็คือสัจจะที่จะต้องศึกษา มนุษยชาติศึกษาอันนี้จบแล้วคนที่เป็นพระอรหันต์หมดพิษภัยมีแต่ประโยชน์เท่านี้แหละในสังคมมนุษยชาติ จะเป็นใครก็ตาม จะเป็นคิมจองอึน จะเป็นโดนัลด์ทรัมป์ ก็ได้ศึกษาพวกนี้แหละเป็นตัวกระทบอยู่ในโลกเป็น อิทัปปัจจยตา ยกตัวอย่างตัวเด่นในโลกขณะนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:48:12 )

ความเป็นคู่ในโลก

รายละเอียด

คือ ความเป็นคู่ของโลกียสุขจะต้องชัดเจนว่า  สุข ทุกข์ คือ สองด้านที่คนยึดถือคนที่เป็นอรหันต์ก็เข้าใจความสุข  ความทุกข์ที่เขายึดถือกันไม่ย้อนแย้ง  คุณยึดก็มีทุกข์มีสุข  คนไม่ยึดแล้วไม่มีสุข ทุกข์ คนอยู่กับความยึดถือทั้งนั้น  แม้แต่เป็นความยึดถือที่ผิด  ก็เป็นต่างคนต่างเห็น เราก็ไม่เถียงไม่วิวาทกับใคร

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 15:57:03 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:16:41 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:12:54 )

ความเป็นชาวอโศกกับการเริ่มต้นงานเขียนสาระนิพนธ์

รายละเอียด

ไม่ยากเริ่มต้นจากจุดอโศกนี่แหละ แผ่นดินอโศก บุคคลอโศก สิ่งอาศัยของอโศก บุคคลของอโศก ธรรมะของอโศก เป็นสัปปายะ 4

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 22:03:34 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:17:46 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:13:20 )

ความเป็นชีวะ  พีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 

รายละเอียด

ความเป็นชีวะ  พีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง  คือ เล็บที่ยาวออกมาแล้ว ที่ไม่มีจิต  แต่มีธาตุรู้ สัญญากับสังขาร  ตัวมันเองมีชีวะอยู่  อาหารหล่อเลี้ยง คุณจะตัดมันออกมันก็ไม่รู้สึก  เหมือนคนที่จิตตกเป็นมนุษย์พืช  ไปทำอะไรกับร่างกายนี้ก็ไม่รู้เรื่อง  หากเป็นคนมีจิตนิยามเต็มรูปต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้  จึงทำจิตให้เป็นพีชะได้  ไม่ทำบาป  ไม่ทำบุญ  หมดบาป หมดบุญ  ปุญญปาปปริกขีโน  อรหันต์ไม่ตาย แต่สิ้นบุญสิ้นบาป  หากไม่เข้าใจสภาวะอย่างนี้บุญบาปไม่มี  แต่เป็นพีชธาตุ จิตไม่เจ็บปวด  แต่สรีระเจ็บปวดได้  ไม่สมดุล เจ็บปวดได้  แต่จิตไม่มีเจ็บใจ ปวดใจไม่มีจริงๆ ทุกข์ สุขไม่มี  รัก โกรธ ไม่มี  เทวะคู่ที่มีรักชัง สุขทุกข์  คู่สองเทวะต่างๆ ไม่มีแล้ว  ผู้ดับเทวะได้ คือ อรหันต์  ผู้ดับเทวะไม่เป็นเทวะแล้ว เรียกว่า “อเทวะ”  พ้นแล้วในธาตุคู่อาศัยธาตุเดี่ยว คือ 1 กับ 0 ได้เป็นคนมีเอกัคคตารมณ์อาศัย  จิตเป็น 1 อย่างยิ่งใหญ่ เอกกับอัคคะ พระอรหันต์  คือ ยอดแห่ง เอกกัคคะตารมณ์

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 13:02:49 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:18:44 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:14:07 )

ความเป็นฌานเกิดขึ้นได้อย่างไร

รายละเอียด

ความเป็นฌานไม่ได้ไปนั่งหลับตา จะเกิดฌานที่ 1 2 3 4 ก็มีภูมิปัญญาเข้าใจเหตุปัจจัยเรียกว่าวิตกวิจาร คุณจะเห็นสิ่งที่จิตกำลังเกิด แล้วก็อ่านพฤติกรรมของมันเรียกว่า จาระ แล้วคุณก็ต้องวินิจฉัย วิจัยและวินิจฉัย ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นมา ตักกะ วิตักกะสังกัปปะ มันมีเหตุปัจจัยมีกิเลสประกอบแล้วก็รู้กิเลส แล้วก็ต้องทำให้กิเลสมันจางคลาย นั่นแหละคือสรุป คุณทำจิตของคุณในสังกัปปะ 7 คุณจะทำแบบนี้ แจก รายละเอียดลงไปจะต้องรู้จัก รู้จักกายรู้จักเวทนารู้จักจิต แล้วทำให้เกิดธรรมะ กายเวทนาจิตธรรม เวทนา เป็นตัวหลักให้ปฏิบัติ กายคือ คุณต้องมีรูปมีนาม

ที่มา ที่ไป

ทำวัตรเช้า วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 12:24:37 )

ความเป็นทาส

รายละเอียด

ทุกวันนี้อย่านึกว่าความเป็นทาสไม่มีนะ มันมีแต่มันซับซ้อนลึกซึ้งเหมือนกับวิธีการหากินของเขาพวกนี้ ซับซ้อนลึกซึ้งมากเลย นั่นน่ะ เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นเขาจะซับซ้อนจะเฉลียวฉลาด แล้วเขาก็มาประพฤติปฏิบัติกับมนุษยชาติเอาเปรียบอาศัยหากินกับมนุษยชาติเอาเปรียบ บาปทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 15:42:55 )

ความเป็นธรรมะโลกุตรธรรมไม่ต้องอาศัยความรู้ทางโลกเลย

รายละเอียด

แต่ก่อนอาตมารู้สึกเหมือนกันว่าเป็นความด้อยที่เราเอง มันสมองอย่างเราจะเรียนจบปริญญาตรีสักใบทำไมไม่ได้ มันเป็นอย่างไร แต่ตอนหลังมารู้ว่า โดยกรรมวิบาก เราจะต้องเป็นอย่างนี้ เพราะจะต้องพิสูจน์ความจริงว่า ธรรมะไม่อาศัยความรู้ทางโลกเลย ความเป็นธรรมะโลกุตรธรรมไม่ต้องอาศัยความรู้ทางโลกเลย เพราะฉะนั้นถ้าอาตมามีปริญญาตรีโทเอกทางโลกมา 2-3 ใบ ใครจะมานั่งเข็นรถถ้าตัวเองจบปริญญาตรี โท เอก มาตั้ง 2-3 ใบก็รู้ ตอนนี้อาตมาไม่มี แต่อาตมาต้องพูดเศรษฐกิจร่วมสมัยการเมืองร่วมสมัย ไม่ใช่ร่วมด้วย Advance ด้วย ก้าวหน้ากว่าด้วย ก้าวหน้าไปถึงขั้นเศรษฐกิจ ให้คนมาเสียภาษี 100% พวกคุณทำงานที่นี่เสียภาษี 100% สีจิ้นผิงทำได้ไหม ไม่ได้ 

รัสเซียทำได้ไหม.. ไม่ได้ อเมริกาทำได้ไหม.. ไม่ได้ คิมจองอึนล่ะ ทำได้ไหม.. ทำไม่ได้ โพธิรักษ์ทำได้ แต่อยู่ในแวดวงที่นี่เท่านั้นนะ เราไม่บังอาจที่จะทำให้คนทั้งประเทศมาได้ ก็ได้กลุ่มหนึ่ง แต่คนที่มายินดีเสียภาษี 100% นี่นะ ถูกบังคับหรือเปล่า ถูกหลอกลวงให้มาหรือเปล่า ถูกปะเหลาะให้มาหรือเปล่า ไม่เลย คราวหน้าคุณจะได้อย่างนี้นะ อายุ 16 คุณจะได้ 10,000 บาทนะ มีหรือเปล่า ไม่มี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 11:13:49 )

ความเป็นธรรมในสังคม

รายละเอียด

คือ เขาแปลความเป็นธรรมในสังคมว่า  เราต้องได้มาก เราต้องเป็นคนในฐานะความรวย  ถ้าแปลความเป็นธรรมว่าเราเป็นจนเรามี 0 ก็จบ ถ้าแปลความเป็นธรรมว่าจะต้องรวยมัน มันก็ต้องเอาให้มีมากๆ  แทนที่จะบอกว่าฉันต้องไปมีเท่าคนนี้สิ  มันต้องมาจนสิ ถ้าไปอย่างนี้มันจบนะ  แต่ถ้าไปอย่างนั้นมันก็ไม่จบ แปลกันคนละทิศ  อย่างพวกเราแปลจบแล้ว  แล้วเราก็ทำสำเร็จแล้ว  เราก็ได้แต่มองเขาที่เขายังทำไม่เสร็จทำให้จบ  ตีกันวุ่นวาย

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:29:39 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:19:28 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:15:32 )

ความเป็นนิรันดรทั้งความมี- ทั้งความไม่มี

รายละเอียด

มันเป็นเรื่อง“อจินไตย” เป็นเรื่องนิรันดร “ทั้งความมี- ทั้งความไม่มี” โลกียะเขาก็“นิรันดร”ใน“ความมี” ส่วนพุทธ ที่เป็น“โลกุตระ ก็“นิรันดร”ใน“ความไม่มี”  ก็“นิรันดร”ทั้งคู่

ผู้“มี”ก็คือ“ผู้ยังต้องมี” ส่วนผู้“ไม่มี”ได้แล้วจริง ก็เป็น “ผู้ไม่มี” จึงทำที่สุดแห่งที่สุดที่“ความไม่มีนิรันดร”ได้จริง

ศาสนาพุทธเป็น“อเทฺวนิยม” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ของไตรลักษณ์ มี“อนัตตา” มี“สุญญตา” มี“นิพพาน” และที่สำคัญมี“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” 

“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”คือ คนผู้เป็นเจ้าของ“จิตวิญญาณ”เองสามารถจัดการกับ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น “อุตุนิยาม” นั่นคือ “จิตวิญญาณ”ของคนผู้นั้นสูญสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้น“อัตตา”ของตนไปนิรันดรเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2565 ( 20:54:14 )

ความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าที่พาทำนั้นคือ...

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ในแนวคิดที่เป็นแนวคิดที่อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าจริงๆ เป็นแนวคิดออกมา จนแม้แต่ที่สุดอาตมาพูดว่า เป็นคำพูดของอาตมา ในยุคของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำพูดนี้ เป็นคำพูดที่อาตมาเอามาประยุกต์ร่วมสมัยยุคนี้ จะมาพูดว่า พระพุทธเจ้านี่แหละเป็นนักประชาธิปไตยสุดยอด สมัยพุทธเจ้าไม่มีคำว่าประชาธิปไตย  มีแต่โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย อัตตาธิปไตย แต่คำว่าประชาธิปไตยไม่มี แต่อาตมาเข้าใจถึงสารัตถะ ของความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าที่พาทำ 

ความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าที่พาทำนั้นคือ ประเด็นที่ชัดเจนมากก็คือ ประชาชนมีอิสรเสรีภาพ ประชาชนมีภราดรภาพ ประชาชนมีสันติภาพ ประชาชนมีสมรรถภาพ ประชาชนมีบูรณภาพและแถมยังมีสุญภาพและสุนทรียภาพ 

นี่เป็นคุณลักษณะแท้ๆของพระพุทธเจ้า สร้างคน ประชาชน พระพุทธเจ้าสร้างคนลักษณะนี้ได้สำเร็จ ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคทาส ในยุคที่เขาไม่รู้จักสิทธิมนุษยชนกัน ถูกพระเจ้าแผ่นดินริบสิทธิไปหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อจำกัดมากที่พระพุทธเจ้าจะทำกับประชาชนทั่วไปได้ ท่านก็มีกุศโลบายที่ชัดเจนว่าให้มาอยู่กับท่านแล้วมาเรียนรู้พระธรรมวินัยเรียนรู้หลักเกณฑ์ศีลสมาธิปัญญาตามแบบ 

ท่านก็มีกุศโลบายที่ชัดเจนว่าให้มาอยู่กับท่านแล้วมาเรียนรู้พระธรรมวินัยเรียนรู้หลักเกณฑ์ศีลสมาธิปัญญาตามแบบของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ตามแบบของเราก็แล้วกันอาตมา เน้นคำว่า bank note คำว่า ธนบัตร เป็นเรื่อง  เป็นวัตถุมายาที่เลวร้ายที่สุดเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูพบคุณตู่-จตุพร และทนายนกเขา ดำเนินรายการโดย คุณสุชัย เจริญมุขยนันท์ วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2565 ( 12:02:07 )

ความเป็นประชาธิปไตยของไทยสมบูรณ์ที่สุดแล้วอย่างไร

รายละเอียด

ก่อนจะจบก่อนจะหมดวันนี้ ขอยืนยันว่า เมืองไทยเป็นเมืองตัวอย่างของโลก ในเรื่องของการบริหารก็ดี ในเรื่องของการมีคุณธรรม โดยเฉพาะคุณธรรมเป็นรากฐานของมนุษยชาติของสังคม มวลประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ย  85% ขึ้นไปในพุทธศาสนิกชน เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายเสนอ มีฝ่ายค้านที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่ใช่อันเดียวกันกับรัฐบาลแค่ 15% เท่านั้นที่ออกมาประท้วงกันเย้วๆๆๆอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งเป็นธรรมดาธรรมชาติของประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้าน ถ้าไม่มีฝ่ายค้านเลยเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์  มันไม่ได้มันไม่ดี มันต้องมีคนท้วงติงกันไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นมันไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นพยายามทำความเข้าใจถึงความลงตัวความเหมาะสม ของความเป็นประชาธิปไตยของไทยนั้นสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ต้องมีฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน 85% กับ 15% นี้สวยงามที่สุดแล้ว เอาแค่นี้ก่อน พูดไปพรุ่งนี้ก็ยังไม่หมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 21:08:30 )

ความเป็นประชาธิปไตยคืออะไร 

รายละเอียด

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประชาธิปไตยก็มีความจบพอดี ความเป็นประชาธิปไตยคืออะไร ความเป็นประชาธิปไตยคือ ความเป็นดีอยู่ดีของมวลมนุษย์ อยู่ดีแล้ว อยู่ดีกินดี อยู่กันอย่างสบาย ไม่ทะเลาะวิวาทกันเกินควร แน่นอนคนมีกิเลสทั่วไป ก็มีทะเลาะวิวาท มีเรื่องมีราวต้องมีขึ้นโรงขึ้นศาล มีตำรวจมาจับ มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่งานมันจะน้อย 

ถ้าสังคมใดที่สงบ เอาตัวอย่างสังคมของชาวอโศก ชาวอโศกไม่ต้องมีตำรวจ ไม่ต้องมีศาล มีผู้ดูแลเป็นชั้นเป็นตอน พิจารณาตัดสินกันไป ตามลำดับได้ แล้วก็หยุดได้ง่ายดาย ไม่ต้องเรื่องมาก ทุกวันนี้ ยกตัวอย่าง เรื่องที่พวกเราไม่ค่อยลงตัวกัน ไม่ค่อยมาถึงอาตมา เขาจัดการตกลงตัดสินกันเป็นขั้นตอนไม่ค่อยมาถึงอาตมา อาตมาไม่ค่อยได้ยุ่งยากที่จะไปช่วยตัดสินอย่างนี้เป็นต้น เพราะมันลงตัวสมบูรณ์แบบแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2566 ( 19:40:09 )

ความเป็นประชาธิปไตยโลกุตระ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอาตมาสรุปประชาธิปไตยลงไปในคำสอนพระพุทธเจ้าคือ อายะ 3 พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อายะคือรายได้ ประโยชน์หรือกำไร หรือ Gain อายะ 

1. ประโยชน์ หิตะประโยชน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) 

สุขอย่างไม่ใช่โลกียะด้วย แต่เป็นการอนุโลมตามลำดับ เพราะว่าคนจะให้มาเป็นสุขโลกุตระเป็นปรมังสุขังเลยทันทีไม่ได้ มันต้องอาศัยจนกระทั่ง จางแล้ว ถึงค่อยมาเป็นโลกุตระ มันจึงจะหมดเนื้อหมดตัวจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 13:33:03 )

ความเป็นปราชญ์ที่แตกต่างกันไม่มีใครตัดสินได้นอกจากตัวคุณ

รายละเอียด

พูดอย่างไม่ได้อวดตัวอวดตน พูดว่าไม่ได้เอามาจากตำรา เอามาจากของตนเอง เพื่อยืนยันว่าที่พูดนี้เป็นเรื่องของความจริง เพื่อจะให้เห็นว่า อาตมาก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนเราทุกคน เหมือนปราชญ์ทั้งหลายในยุคนี้ เป็นคนเหมือนกัน แต่ความเป็นปราชญ์ของท่านกลับค้านแย้งกับของอาตมา แล้วอาตมาขอยืนยันว่าอาตมาจะไม่พูดผิด อาตมาจะพูดแต่สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นจะขัดแย้งกับปราชญ์ที่ไหนก็ช่าง อาตมาก็ไม่ได้ไปกังวลว่าจะขัดแย้งกับปราชญ์ที่ไหน อาตมามีหน้าที่ที่จะพูดความจริงตามที่อาตมามั่นใจว่าควรพูด 

เพราะว่ามันต้องเอาความจริงที่ถูกต้องถูกตรงที่สุด เข้าไปตราสถาปนาลงไปในความรู้ โดยเฉพาะความรู้ที่ชื่อว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าถูกจริงหมด ตรงหมด อาตมาก็ว่าอาตมาตรงจริง ตามที่อาตมาเชื่อมั่นว่าตรงกับของพระพุทธเจ้า ส่วนใครจะตัดสินมันไม่มีหรอก ไม่มีใครสามารถจะมาตัดสินได้หรอก เพียงแต่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้นเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1 วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 19:42:39 )

ความเป็นผู้สันโดษที่สัมมาทิฏฐิและมิจฉาทิฏฐิต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

จบตรง เป็นผู้สันโดษ อาตมาแปลว่า เป็นผู้ใจพอ แต่เขาแปลกันว่า เป็นผู้พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ อาตมาว่าอันนี้คนตีกินได้ ไปถาม เศรษฐีธนินท์ เศรษฐีเจริญ เขาก็พอใจในสมบัติที่เขามีอยู่ เขาจะไม่พอใจได้อย่างไร ร่ำรวยขนาดไหนก็พอใจ แต่สันโดษมีนัยยะสำคัญว่า ให้มามักน้อย น้อยๆ ก็พอ ใจพอ ไม่ต้องไปมีมาก เป็นผู้ชอบน้อยๆ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น

สรุปแล้ว ที่พระพุทธเจ้าตรัส เป็นกระบวนการเป็นภาษาเป็นบทมนต์ที่รวมไว้ว่าพระพุทธเจ้ามีพุทธคุณ 9 แล้วก็มาประกาศธรรมะ คนอื่นได้รับฟังก็ศรัทธาเลื่อมใส ออกมาบวชตาม แล้วการออกบวชตาม มาปฏิบัติตนเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ควบคุมทวารทั้ง 6 มีสติสัมปชัญญะจนเป็นผู้มีความสันโดษ ความเป็นผู้สันโดษในความหมายที่มิจฉาทิฏฐิ จะหมายถึงว่าเป็นผู้อยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร จะหมายถึงว่าเป็นผู้อยู่คนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร ออกป่า ไม่ช้าไม่นานก็จะได้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นความเข้าใจ เป็น Concept ของชาวพุทธไทยทุกวันนี้ ซึ่งฟังแล้วมันก็โอโห! ตีทิ้ง จรณะ 15 วิชชา 8 เพราะว่าจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้ออกไปนอกชีวิตสามัญ ชีวิตสามัญอยู่เต็มๆ แต่ปฏิบัติศีลเป็น อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ  และวิมุติญาณทัสสนะสมบูรณ์แบบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 38 อัมพัฏฐสูตรและกายในกาย วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 15:17:45 )

ความเป็นพรรคการเมืองที่แท้คืออย่างไร

รายละเอียด

พรรคการเมืองเป็นเรื่องเหลวไหล ประชาธิปไตยต้องไม่มีพรรคการเมือง แต่พรรคการเมืองก็จะต้องมี นี่ภาษาสิริมหามายา 

พรรคการเมืองมีคืออะไร คือคนที่มีความเห็นร่วมกันจะมารวมกันแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นจะมารวมตัวกันเอง นี่คือความเป็นพรรค ทำไมต้องมาตั้งว่าใครจะต้องเป็นหัวหน้าพรรค มีเลขาพรรค มันจะมีเอง มันจะรู้เอง ว่าคนนี้อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้นำได้น่าเชื่อถือ คนนี้แบบนี้คนนี้แบบนี้น่าเชื่อถือแบบนี้ มันจะเข้าใจเอง 

กฎหมายที่ออกมาว่าจะต้องมีพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยที่ล้าสมัย เพราะฉะนั้นในอนาคตต่อไปพรรคการเมืองจะไม่กล้าออกกฎหมายว่า ให้ต้องมีพรรคการเมืองไม่มีพรรคการเมืองผู้ที่ไม่อยู่ในพรรคการเมืองมาเป็นนักการเมืองไม่ได้ เชยแหลกเลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:00:31 )

ความเป็นพระพุทธเจ้าทุกคนมีสิทธิ์ไขว่คว้า! มันเป็นสุดยอดแห่งเสรีภาพ และสุดยอดแห่งเสมอภาค!

รายละเอียด

ความเป็น“พระพุทธเจ้า”นี้ ไม่สงวนสิทธิ์ ทุกคนมีสิทธิ์ ถ้าคนผู้นั้นอุตสาหะวิริยะพากเพียรสั่งสมบารมีจนได้จนถึงแท้ 

นี้คือ “อิสระเสรีภาพ”และเป็น“ความเสมอภาค”อันยิ่งใหญ่บริบูรณ์สัมบูรณ์ที่สุดของความเป็น“คน”ในโลกที่แท้จริง

ไม่มีอะไรจะเป็น“อิสระเสรีภาพ”และ“ความเสมอภาค”จริงยิ่งเยี่ยมใหญ่ยอดสุดๆในความเป็น“คน”ทั้งหลายเท่านี้อีกแล้ว

เพราะพระพุทธเจ้าก็คือ“คน”เท่าเทียมกันกับทุกคนในโลกซึ่งพระองค์พิชิต“ความสำเร็จสูงสุดในความเป็นผู้ตรัสรู้นี้”ด้วย“กรรม”ของพระองค์เอง มิใช่ด้วย“อำนาจ”ของสิ่งอื่นใดเลย 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 258 หน้า 208


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 13:18:11 )

ความเป็นพระโสดาบัน 4 ประการ

รายละเอียด

อาตมายิ่งพูดถึงธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วนี่ ยิ่งนึกถึงว่าเกิดมาเป็นคนแล้ว มันไม่มีอะไรดีไปกว่ามาศึกษาเอาธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ให้ได้ แล้วทีนี้ชีวิตคุณเป็นอาริยะแล้ว คุณก็อยู่ตามวิบาก อยู่ตามบารมี อยู่ตามฐานะแต่ละคนที่จะอยู่ และเราก็รู้แล้วว่าชีวิตเราจะอยู่อย่างนี้ จะเป็นอย่างนี้ เราได้คติที่สุคติดีที่สุดแล้ว คติคือที่จะดำเนินไป สุคตินี่ 

คนถึงสุคติ ชาวอโศกนี่คือคนผู้ที่ถึงสุคติ พ้นจากทุคติมาอย่างชัดเจน การดำเนินชีวิตไปไม่มีทางตกต่ำ

พระพุทธเจ้าท่านตรัส มาตรวัดคนเจริญไว้ 

1.จิตเข้ากระแส 

2.จิตเจริญ ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

3.เที่ยงแท้ 

เป็นคนเจริญที่เป็นอาริยะเข้ากระแสความเจริญแล้วไม่ตกต่ำขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 เที่ยงเลย ไม่มีจะยึกยักอย่าง อวินิปาตธรรม ท่านแปลเป็นไทยว่า ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา คืออาจจะยึกยัก ยึกยักแต่ไม่หลุดออกไปจากกระแส..ขั้น 2 นี้ พอขั้นที่ 3 นี้ไม่ยึกยักเลย เที่ยง ไม่มียึกยักลงมาหาล่าง มีแต่ฐานที่เป็น Falcum เป็นจุดสตาร์ทเลย สัมโพธิปรายนะ มีแต่พุ่งไปสู่ที่สูงที่สุดท่าเดียว เห็นภาพพจน์คำตรัสพระพุทธเจ้าไหม ความเจริญของมนุษย์ 4 ขั้น 

โสตาปันนะ อวินิปาตธัมโม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ 

คุณธรรมลักษณะนี้ คือคุณธรรมของอาริยะขั้นต้นของพระพุทธเจ้า นี่คือคุณธรรมของโสดาบันนะ โสดาบันมีความเที่ยงแท้ในตัว เป็นอาริยะเข้ากระแสโลกุตระ 

เพราะฉะนั้นคนที่จะเป็นโสดาบัน นี่คือ ในประวัติในตำนานของพระพุทธเจ้ามีบางคน เป็นโสดาบันเข้ามาในแวดวงพระพุทธเจ้ามาบวช บวชแล้วสึกไป จะไปสำมะเลเทเมาถึง7เที่ยว แล้วก็กลับมาบวชอีก ออกไปแล้วกลับมาบวชอีก ถึง 7 เที่ยวถึงค่อยเที่ยง ถึงค่อยเป็นโสดาบัน ไม่สึกอีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือก้อนแห่งสัมมาทิฏฐิที่คนต้องมีฉันทะมาเอา วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 19:07:08 )

ความเป็นพหูสูต

รายละเอียด

คือ  ผู้มีจิต ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ สะสมจิตที่เกี่ยวกับสัตว์ กับข้าวของ เกี่ยวกับศีลข้ออื่นๆ คุณก็เป็นพหูสูต ก็คือเป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่เจริญสูงขึ้นมากขึ้น หรือบางที่เรียกว่า พาหุสัจจะ คือ คนผู้มีความจริงมากยิ่งขึ้นเป็นความรู้ที่เป็นโลกุตระ มีสภาวะจริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณยิ่งมีพหูสูต ก็มีสัมประสิทธิ์  วิริยะ สติ ปัญญา พากเพียร อิทธิบาทเจริญยิ่งๆขึ้นๆ    

@ ชีวิตรูป 1 =13  ชีวิตตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส มันยังเป็นสภาพที่ยังไม่ตาย ตายลงไปแล้วบ้าง ตายลงไปเยอะแล้ว เหลือน้อยลง เป็นชีวิตน้อยลง คุณก็จะรู้ดีกรีของความตายความจางคลายของความเป็นชีวิต ความดับของชีวิต ชีวิตหรี่ลง เบาลง มันเหย้า (ภาษาอีสาน)   จนไม่ใช่แค่อ่อน แต่ดับ หยุด ตาย เรียกว่านิโรธ ดับ  ไม่มีอาการมันเกิดขึ้นมา คุณก็จะรู้อาการของมันด้วยปัญญา  ด้วยความรู้ว่า อาการอย่างนี้ คือ อย่างนี้ของใครของมันไปรู้ของคนอื่นได้อย่างไร ต้องทำเองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ  ก็จะรู้ว่ามีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต พละเรียกว่าแรงอินทรีย์ คือ ชีวิต มีพลังแรงลงก็อินทรีย์เหลือน้อย จนมีน้อย กับไม่มี ต้องแยกกันให้ได้ให้มันมี คือ มี 0 มีอะไร คือ มีความไม่มี พระพุทธเจ้าบอกว่า คนส่วนมากจะเรียนรู้ โลกสมุทัยกับโลกนิโรธ (ความดับหรือมีเหตุอยู่)

@ อาหารรูป1 = 14 กวฬิงการาหาร จนถึง วิญญาณอาหารมี 4

1. กวฬิงการาหาร (อาหารคำข้าวให้รู้กิเลสเบญจกาม) ในอาหารคำข้าว จะมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คุณชอบหรือไม่ชอบอย่างไร  ก็เอามาอธิบายเฉพาะที่เกี่ยวกับสัมผัสได้ทั้งนั้น  กิเลสในนี้เยอะคุณพิจารณาแค่อันนี้ก็ถึงอรหันต์ได้อาสวะสิ้นได้จนถึงหมดอนุสัยเลยได้  อาสวะหมดเป็นปัญญาวิมุติ อรหันต์ได้แล้ว

2. ผัสสาหาร (อาหาร คือ ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา)

3. มโนสัญญเจตนาหาร (อาหาร ใจ ที่เจตนามุ่งกับตัณหา)

4. วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้ นาม รูป อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขารเพื่อเกิดในภพใหม่ คือ มีปัจจัยเกิด ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และความคับแค้น)

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชธานีอโศก วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 15:44:04 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:01 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:16:12 )

ความเป็นพุทธดีกว่าพระเจ้าอย่างไร

รายละเอียด

ทีนี้ความเป็นพุทธ กว่านั้น จัดการให้เกิดความไม่ทุกข์ไม่สุขได้เลยเฉยๆกลางๆ ทุกอย่างเกิดแต่ตัวมันเองมีเหตุปัจจัยในตัวมันเอง เราเองเป็นผู้จัดการ เป็นธาตุรู้ เราไม่ยึดถือมาเป็นตัวเราเป็นของเรา เราอยู่กับมันได้เราก็เอา เราอยู่กับมันไม่ได้ก็ไม่เอา อันนี้มันดีเราก็เอา อันนี้ไม่ดีเราก็ไม่เอา ก็อยู่กันอย่างเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้เลือก เลือกเอาหรือไม่เอาก็ได้ ให้มันมามีฤทธิ์อำนาจเหนือเราไม่ได้ เราเป็นผู้ตัดสินเองเราเป็นผู้กำหนดเองผิดถูกเราโง่เองเราเลือกสิ่งที่ไม่ดีมาใช้มารับ เราทำเราปฏิบัติก็เกิดวิบากเอง เกิดความทุกข์นั้นเอง หากเอาสิ่งที่ดีมาทำก็ไม่เกิดความทุกข์ร้อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19  สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 ที่ปฐมอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:27:47 )

ความเป็นพุทธแท้ต้องมีประโยชน์ต่อสังคมเป็นกลุ่มเป็นก้อนต่อประเทศชาติ

รายละเอียด

มันเป็นความเกื้อกูล เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่อาตมากำลังพยายามพูดอยู่ เศรษฐศาสตร์ที่เจริญคือเศรษฐศาสตร์ที่เรานี่แหละ ให้เขาได้ เสียสละให้เขาได้ ไม่ใช่เรายิ่งมีธนบัตรมากมีทองคำมากมีอะไรต่ออะไรมาเป็นของตัวมาก กักตุนสะสมไว้เป็นของตัวของตนเยอะๆ แล้วก็ถือว่านี่เราเป็นคนที่ฐานะดี คนที่ฐานะดีที่สุดคือคนที่ไม่สะสมอะไรเลย อปจยะ มี วิริยารัมภะ เป็นทรัพย์ มีความขยันหมั่นเพียรกับมีสมรรถนะ

อาตมาเคยสรุปแล้ว ทรัพย์อันยิ่งมนุษย์คือ 1. สมรรถนะความรู้ความสามารถ 2. ความขยัน นี่คือทรัพย์ที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ใครปล้นออกไปไม่ได้ อยู่กับตัวเรา เรามีความรู้ความสามารถที่จะทำได้และขยันทำด้วย มันก็เป็นผลผลิตเป็นสิ่งที่ก่อที่เกิด เช่นเราไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก แค่เป็นกสิกรนี่แหละเป็นผู้ที่ปลูกผักปลูกพืช ซึ่งเป็นพื้นฐานของมนุษยชาติเลย เป็นช่างเป็นกสิกรนี่แหละ สูงกว่านั้นไปคุณจะมีความรู้อะไรก็ตามแต่ที่มันเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษยชาติ คุณก็ทำไปแบ่งกัน จะถึงอย่างไรกสิกรก็เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก สร้างอาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ในโลก เพราะฉะนั้นอาตมาเคยบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองอยู่ในเขตศูนย์สูตรที่ดี มีน้ำมีดินมีอากาศที่สมบูรณ์บริบูรณ์เลย 

เพราะฉะนั้นเราเอาความเป็นจริงอันนี้ที่เรามีอยู่แล้ว ทำสิ ทำอันนี้ให้มันเจริญงอกงาม ไปที่ไหนก็ปลูกผักพืช ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้มันเจริญงอกงามเพื่อที่จะแจกจ่ายเจือจานไปเป็นสินค้าออก เป็นสิ่งที่เผื่อแผ่แก่โลก เราก็มีกินพอเหลือเฟือ ขายถูกหรือแจกฟรีเอาไปเลย อันนี้แหละจะชนะลูกระเบิด จะชนะลูกปืน อาหารนี่ จะชนะลูกระเบิด จะชนะลูกปืน จะชนะอาวุธที่มันพิสดาร  ต่อให้คิมจองอึน ต่อให้ปูติน ต่อให้ใครก็แล้วแต่ คิดอาวุธร้ายแรง เก่งขนาดไหน เขาโยนลูกระเบิดมา  เราปามะเขือเทศไปให้ เราปาฟักแฟงแตงกว่าไปให้ เอาสิ สู้กัน ดูซิว่าใครจะชนะ อย่างเก่งเขาก็ระเบิดเราตายเท่านั้นเอง ผู้ที่อยู่ก็ปลูกสิ่งเหล่านี้อีกโยนเข้าไปให้ หนักเข้าไม่ต้องโยนให้มันหรอก ให้มันเอาลูกระเบิดโยนมาเดี๋ยวให้มันกินลูกระเบิด มันก็ต้องเอาเวลาแรงงานทุนรอนไปสร้างลูกระเบิดแล้วก็เอาเวลาแรงงานทุนรอนไปสร้างอาหาร เอาจริงใครจะยืนยงกว่ากัน จริงๆนะอันนี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์กันได้เลย 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธที่มีโลกุตรธรรม อาตมายังแน่ใจยังมั่นใจว่าโลกุตรธรรมที่อาตมาอธิบายไปคร่าวๆนี้ มันจะเป็นสิ่งที่ช่วยมนุษยชาติอุ้มชูมนุษยชาติ ทำให้มนุษยชาติเป็นอยู่สุข ที่สุดแห่งที่สุดแล้วอาตมาสรุปได้ 8 คำ 

1.อิสระ 2.สบาย 3.สงบ 4.อบอุ่น 5.อิ่มเอม 6.เกษมใส 7.ใจเกื้อกูล และ 8.เพิ่มพูนการเสียสละ  นี่เป็นคุณสมบัติของมนุษยชาติของสังคม ที่เป็นคุณสมบัติที่มนุษยชาติแต่ละคนมีรวมกันเป็นสังคมมีคุณสมบัติ 8 ข้อนี้แหละ จะเป็นสิ่งที่สุดยอดในมนุษยชาติ ทำให้สังคมโลกนี้อยู่เย็นเป็นสุข ได้แล้ว 

ถ้ามีมวลมนุษย์มีคนชนิดนี้ อยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของโลกหรอก       มีประมาณหนึ่งของโลก ก็ช่วยโลกได้แล้วอย่างเห็นชัด ยิ่งมีมากเกินกว่าครึ่งแล้วโลกนี้สบายหมดเลย แล้วคนนี้มันไม่โง่จนกระทั่งไม่รู้อะไรคือคุณค่า อะไรคือคุณประโยชน์ อะไรคือคุณธรรม มันไม่ใช่มันจะโง่ดักดานจนไม่รู้กันจริงๆจังๆหรอก มันจะต้องรู้ในสักวันใดวันหนึ่งได้แหละแม้มันจะโง่ดักดานไม่นานเกินล้านๆๆปีหรอก สำหรับคนนะ ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานก็แล้วไปกว่ามันจะวิวัฒนาการมาเป็นคนแล้ว กว่าจะมาเป็นคน มิลักขชน กว่าจะเป็น คน อาริยกะ ก็ค่อยๆวิวัฒนาการไป เพราะฉะนั้นสังคมคนที่ไม่มีโลกุตรธรรมนั้น คือสังคมคนที่ไม่พ้นทุกข์ สังคมที่มีคนไม่พ้นทุกข์ก็คือ มันยังมีทุกข์อยู่ แต่มันไม่รู้ทุกข์ มันยังหลงทุกข์ว่าเป็นสุข ยกตัวอย่าง ภาษา มาโซคิส เป็นภาษาฝรั่ง มาโซคิสคือทำให้ตนเองเจ็บปวดแล้วเป็นสุขชอบใจ อันนี้ร้ายแรงกว่าซาดิสม์

ซาดิสม์คือเห็นคนอื่นเจ็บปวดเช่นชกกันชกกันก็เป็นสุข ขึ้นไปชกเองจะไม่สุขหรอกต้องเห็นคนอื่นเขาชกกันแตกเลยสลบเลย พวกนี้พวกซาดิสม์ ส่วนพวกมาโซคิสม์นั้นให้คนอื่นมาทำรุนแรงกับตัวเองมาทำให้ตัวเองเจ็บปวด คนอื่นไม่ทำ ตัวเองก็ทำตัวเองให้เจ็บปวดด้วย อันนี้ยิ่งร้ายแรงกว่าด้วย มันโง่ซ้ำโง่ซ้อน ไม่รู้ทุกข์ 

เพราะฉะนั้นคนที่รู้ทุกข์นั้นแม้จะตีกันชกกันให้บาดเจ็บ มันก็ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงวางศาสตรา วางอาวุธ มีความเอ็นดู มีความกรุณา ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำร้ายทำลายกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างนี้ต่างหากคือคนอาริยกะ ถือว่าเจริญ เพราะฉะนั้นสังคมที่มีคนพ้นทุกข์จะเป็นสังคมอย่างไรไฉน คนที่มีความเป็นคนพ้นทุกข์คือคนที่ย้อนทวนกลับไป ไม่รู้เจ็บ ไม่รู้ปวด ไม่เป็นพวกที่เป็นมาโซคิสม์หรือพวกที่ซาดิสม์อยู่ 

ซาดิสม์คือเห็นคนอื่นเจ็บปวดแล้วสุขถูกใจ ถ้าเป็นมาโซคิสม์คือทำตนเองให้เจ็บปวด แล้วชอบใจ ซาดิสม์คือทำให้คนอื่นเจ็บปวดก็ชอบใจ พวกนี้ยังรุนแรง เพราะฉะนั้นคนที่หมดความรุนแรงมีแต่ความปรารถนาดีต่อกันทำให้คนเป็นอยู่สุขสบาย นั่นแหละเรียกว่าโลกเจริญที่แท้จริง 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #35 ที่สุดแห่งที่สุดที่จะเกื้อกูลโลกได้คือโลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2566 ( 19:04:24 )

ความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม

รายละเอียด

สองคำนี้เป็นเรื่องที่พุทธเจ้าท่านได้ศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม นอกนั้นก็เป็นเรื่องรายละเอียดทั้งหมด เช่นในสัปปุริสธรรม 7 ข้อเกือบสุดท้าย ปุคลปโรปรัญญุตา ปริสัญญุตา คือเป็นผู้เข้าใจเรื่องของหมู่กลุ่ม มีญาณปัญญา อัตตัญญุตา รู้หมู่กลุ่มที่มีซ้อนกันเล็กถึงใหญ่ แม้กลุ่มโลกียะบุคคลก็ผสมผสานในโลกุตรบุคคล

แม้โลกียบุคคล ร่างเป็นคน แต่ใจยังเป็นสัตว์ อย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งถึงสัตว์เดรัจฉานจริงๆ ก็รวมกันอยู่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้แต่สัตว์ทั้งหลายก็อยู่กันอย่างมีหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่กันและกันอยู่ เป็นความลึกซึ้งความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกมนุษย์ พอมาเป็นจิตวิญญาณแล้วจะสัมพันธ์เชื่อมต่อกันด้วยกรรม กรรมไปกับกาละ จนกว่า ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์กับผู้ไม่บรรลุธรรม ก็จะช่วยกัน ผู้บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ก็จะช่วยผู้ที่ไม่บรรลุต่อไปเท่าที่จะช่วยต่อไปได้ อรหันต์แต่ละองค์ อรหันต์บางองค์ตายแล้วไม่ต่อภพภูมิ บางองค์ก็ต่อภพภูมิไปอีกบางองค์ต่อไปจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า บางองค์ต่อไปไม่กี่ชาติก็ล้มเลิกตนเองปรินิพพานเป็นปริโยสานอีกเยอะ ผู้จะต่อพุทธภูมิจริงๆจะมีไม่มาก มีอรหันต์ที่พยายามบ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสามัญเป็นเรื่องยาก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:50:53 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:44 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:16:32 )

ความเป็นมาของคำว่ากฐิน

รายละเอียด

กฐิน แปลว่า สะดึง ที่เป็นสะดึงใหญ่เท่ากันกับความใหญ่ของจีวร พระ นี่แหละ แล้วก็ไปหาผ้ามา  ไปเก็บมาเอามาตัดต่อเป็นสี่เหลี่ยม จะได้เย็บรวมกันได้ ก็เลยเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าบ้างสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่เหลี่ยมอะไรต่ออะไรไม่เสมอกันหรอก แต่เขาก็พยายามตัดให้มันเข้าที่เสมอกัน จะได้ต่อเป็นแถวเป็นแนวมา เพื่อที่จะได้เต็มสะดึงเป็นผ้าจีวร ก็ดูทรมานสมัยโบราณ ได้เต็มสะดึง นางวิสาขาเห็นเข้าก็เลยสงสาร กว่าจะได้ผ้ามาก็ต้องไปเก็บมาจากผ้าห่อศพ จะได้ผืนโตหน่อย ผ้ากระปริดกระปรอยเรียกว่าผ้าบังสุกุล ผ้าที่เขาทิ้งขว้าง เศษผ้าคลุกขี้ฝุ่น บังสุกุลผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เก็บมาได้ก็เจียนให้เป็นรูปเหลี่ยมเพื่อจะต่อในสะดึงไปได้เรื่อยๆ ผ้าที่เก็บมาได้เรียกว่า  ผ้าบังสุกุลหรือผ้าป่า หรือ เรียกเป็นศัพท์พื้นๆ ว่าผ้าป่า หรือ ผ้าบังสุกุล เก็บมาได้ก็เอามาต่อกัน ด้วยความอุตสาหะพยายามซึ่งผ้าก็หายากจริงๆ นางวิสาขาซึ่งร่ำรวยเห็นเข้าก็สงสาร ก็เลยขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่า ขอทอดกฐินของคหบดีได้ไหม กฐินของคหบดีคือ คนที่มีฐานะ คนที่ร่ำรวยมีสตางค์ ไปหาผ้ามา แล้วก็เย็บเป็นผืนหรือว่าทำเป็นผืนใหญ่เลย เอามาให้ ได้เป็น 3 ผืน เป็นไตรจีวร เรียกว่าชุดเลย ไตรจีวร เอามาถวายเป็นชุดๆเป็นไตรจีวร 

พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้มาถวายได้ จึงเกิดการถวายผ้าไตรจีวรกัน เรียกว่าวิวัฒนาการมาเดี๋ยวเล่าไปจะยาว ให้ไปศึกษากันเอา อาตมาก็ขอสรุป กฐินบาปนี้ก็แล้วกันว่า กฐิน ทุกวันนี้เป็นกโลบาย หรือเป็นกลวิธีของมายากล เป็นมายากล ของมาร ของผู้ที่ เอาล่ะผู้ที่ยังไม่รู้ ก็เป็นมารโดยไม่รู้ตัว ที่ไปทำกฐินตามจารีตประเพณี ถ้าได้ฟังอาตมาพูดนี้แล้ว คุณเลิกได้ แล้วก็จะได้เลิกบาป ที่ว่าเป็นบาปเพราะอะไร เพราะมันทำให้เกิดจารีตประเพณีที่ทำลายพระ ทำลายนักบวช ทำลายภิกษุ ทำลายตัวเอง ถ้าตัวเองเป็นภิกษุที่อวิชชา ไม่มีความรู้ แล้วมีครูบาอาจารย์ที่มีพรรคพวกพาไปทำ จนกระทั่งกลายเป็นราชประเพณีขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องพูดความจริง มันผิด มันควรจะเลิกได้ มันควรจะค่อยๆเพลาลงก็ได้ ถ้ามันเลิกไม่ได้ทันที ก็ค่อยๆเพลาลง หาวิธีที่จะลดลงๆ ให้ได้ ผู้รู้หรือผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ที่บวช ผู้ที่ดูแลบริหารสงฆ์ บริหารสังคมอยู่ขณะนี้ ก็ช่วยกันหน่อยทำความเข้าใจ ฟังดีๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 11:58:14 )

ความเป็นมาของพระธาตุที่พระวิหารพันปี

รายละเอียด

จนกระทั่งวันหนึ่งได้บิณฑบาตอยู่หน้าพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม วันที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เดินบิณฑบาตข้ามสะพานเจริญศรัทธา ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเอาสตางค์มาใส่บาตร อาตมาก็รับเป็นพิธี รับเสร็จแล้วก็มอบคืนอย่างที่เราเคยทำ เราปฏิบัติธรรมมาแล้วบวชแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินใช้ทองไม่ได้รับเงินมาเพื่อเป็นของตัวของตน เพราะผิดวินัยทำไม่ได้ ก็เลยรับกรรมที่เขาศรัทธาใส่แล้วด้วยใจจริงแล้วก็คืนเขาไป บอกว่าเรารับมันไม่ได้เขาก็รับเงินคืนไป

แล้วเขาก็บอกว่า…ใช่แล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าเขาว่าใช่อะไรนะ แล้วเขาก็ควักสิ่งของในกระเป๋าออกมา ควักเอาตลับสีแดงออกมา ตลับสำหรับใส่ทองคำ ก็นึกในใจว่าคงเป็นทองคำเอามาให้อีก อาตมาก็บอกว่าจะรับอย่างไรเพราะเห็นว่าตลับสำหรับใส่ทองคำ เขาก็บอกว่าอันนี้ใส่พระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์ ที่เขาได้มา ซึ่งอาตมาไม่กล่าวว่าได้รับมาจากใคร เพราะไม่ควรกล่าวได้รับมาจากคนที่สูง เขาบอกว่า ถ้าพบผู้ที่มี ความควรจะรับพระบรมสารีริกธาตุก็ให้ไป เขาก็บอกว่า เจอแล้ว ใช่แล้ว ตอนนั้นเราไม่เพียงแต่ไม่รับเงินแต่เดินบิณฑบาตสงบมาก ไปเห็นกิริยาตอนนั้นสงบเนียนดีมากเลยทุกอย่าง ทุกอย่างตอนนั้นเรานิ่งมาก

เสร็จแล้วเขาก็ยืนยันว่าท่านต้องรับไป อาตมาก็เห็นว่าปรารถนาดีไม่ใช่ระเบิดแน่นอน อาตมาก็รับมา รับมาจนกระทั่งบิณฑบาตเสร็จ กลับมาที่สนามตรงพระปฐมเจดีย์ จึงเปิดออกมาเห็นเป็นพระบรมสารีริกธาตุ 12 องค์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึกครั้งที่ 37 วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2561 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:32:12 )

ความเป็นลำดับนอกในของกามเทพและกามตัณหา

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถรู้จักวิญญาณ ก็ต้องแยกนามรูปได้ แยกนามรูปได้เป็นอันรู้หมด จะศึกษาได้เลย ศึกษากามฉันทะศึกษาเวทนา เวทนาที่มีกามภพ รูปภพ อรูปภพก็ทำได้ หรือมาที่เจตนาที่มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ที่เวทนากับเจตนา มีคำซ้ำคำซ้อนกันอยู่เวทนา ต้องเรียนรู้ กามภพ รูปภพ อรูปภพอรูปนี้เป็นวัตถุ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ละเอียดกว่ารูป ส่วนเจตนานั้นเป็นนามกามตัณหา กามภพ รูปภพ อรูปภพกามตัณหา ภวตัณหา ​เหมือนกัน 2 ตัวแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2563 ( 11:10:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:22:19 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:16:54 )

ความเป็นวิญญาณมันคืออะไร

รายละเอียด

ที่จริงแล้วจิตวิญญาณอยู่ในตัวของเราเอง อันอื่นๆก็เป็นแต่มิจฉาทิฏฐิก็เป็นไปตามอุปาทานตามความเห็นที่เป็นมโนมยอัตตาเป็นไปตามเรื่อง ที่มันจะสำเร็จด้วยจิตอุปาทานว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ไป  มันก็ไม่ง่าย ถ้ามันง่ายก็ไม่ใช่ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ รู้ความจริงของสิ่งเหล่านี้กระจ่างแจ้งหมดทุกอย่าง อาตมาก็สืบทอดมาเอามาขยายความ จนตอนนี้เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขยายมาหลายชาติ ชาตินี้ก็ขยายอยู่ พวกเราได้รับซับทราบก็ยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้น มันก็ยังจะต้องละเอียดต่อไปอีก อาตมาก็ยังมั่นใจว่ามันไม่ใช่เข้าใจได้สมบูรณ์แบบได้ง่ายๆเท่าไหร่หรอก แต่ก็สมบูรณ์ไปเรื่อยๆ หมดความยึดติด หมดความไม่รู้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงมากขึ้นเรื่อยๆ  มีสัมผัสกับของจริงจนกระทั่งเราไม่ไปยึดถือให้มันเป็นมันมีหรืออาศัยหมดแล้ว มันก็ได้ไปตามลำดับๆๆ 

เพราะฉะนั้นสร้างเรือนไฟ สี่ทิศ เดี๋ยวนี้ก็สร้างเรือนไฟ 4 ทิศเพื่อจะล่อให้มีคนมาบริจาค ตามที่คุณพันธ์ พอเพียงถามมา ก็ได้ก็เป็นอยู่น่ะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 04:57:27 )

ความเป็นวิมุติและอุเบกขา ต้องมีทั้งตัวรู้และตัวเป็น คือเช่นไร

รายละเอียด

เริ่มออกจากกามได้เป็นตัวแรก พุทธมีปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะต้องมีจิตที่เป็น เนกขัมสิตอุเบกขาได้ก่อน จากกาม ไปเป็นรูป อรูป ต้องทบทวนว่า อรูปนี้สิ้นอาสวะแน่นอนแล้วนะ จิตต้องสิ้นอาสวะอย่างแน่ใจ มีวิมุตติญาณทัสสนะตรวจแล้วตรวจอีก เห็นในความเป็นวิมุติจริงนะ เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เด็ดขาดแล้วนะ ถูกกระทุ้งกระแทกกระเทือนอย่างไร พิสูจน์จนแน่ใจ ว่ากิเลสคุณตายสนิทเด็ดขาด จิตไม่เกิดกิเลสอีกจริง ถึงจะเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นองค์ 5 อุเบกขา 

ปริสุทธาคือบริสุทธิ์ ปฏิบัติแล้วปฏิบัติอีกอย่างไรก็บริสุทธิ์ ปริโยทาตา เพราะสภาวะ2 เทวะ 2 คือมุทุภูตธาตุ มันทั้งเร็ว ทั้งเก่ง ชัดเจนทุกอย่าง รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ ทั้งไว ทั้งเร็ว ทั้งเป็นได้เอง ทั้งรู้ด้วยตัวเอง มีสภาวะ 2 ทั้งตัวรู้ทั้งตัวเป็นเป็นได้ แล้วก็รู้ของตัวเราเองทั้งธาตุเจโตและธาตุปัญญา หรือธาตุของศรัทธากับธาตุปัญญา ครบทั้งสองด้าน มีสภาวะ 2 บวกลบ หรือเทวะ หรือทุกอย่างที่มันจะต้องมีการสังขาร ต้องมี 2 มาปรุงแต่งกัน แล้วมีธาตุรู้มาเป็นประธาน มี S H แล้วมี I มาเป็นประธานตลอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 08:36:19 )

ความเป็นสองคือเทวะ อเทวะตีแตกคำว่า 2

รายละเอียด

ความเป็นสองเป็นเทวะ เทวะแปลว่า 2 อันนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติความยิ่งใหญ่ของโลก คำว่าเทวะ กับอเทวะ

ศาสนาพุทธค้นพบคำว่า อเทวะ ตีแตกคำว่า 2 คำว่าสองคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ในมหาจักรวาลนี้คือภาวะธรรมะ 2

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19  สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ตีให้แตกแยกให้ออกในธรรมะ 2 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561 ที่ปฐมอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:07:38 )

ความเป็นสารีบุตรในปัจจุบันของพ่อครู

รายละเอียด

ตอบนะ อาตมาก็ตอบอยู่ตลอดเวลา มันก็เข้าใจยากเหมือนกัน เพราะคุณไปยึดมั่นถือมั่นเที่ยงแท้ในตัวตน ถ้าอาตมาเป็นพระสารีบุตร องค์ที่เกิดอยู่ต่อหน้าพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าคนนั้น อาตมาก็ตายจากความเป็นสารีบุตรไปแล้ว แล้วมาเกิดใหม่ 1.ร่างกายแน่นอนดินน้ำไฟลม มาเป็นร่างโพธิรักษ์นี้ คนละตัวแน่ คนละแท่งคนละก้อนแล้ว ไม่ใช่พระสารีบุตรอันนั้นแล้ว 2. ความรู้ วิบาก ที่เป็นความรู้ธรรมะ คือผลที่ได้สะสมความรู้มา ความรู้ของอาตมาก็ไม่คงเดิม ถ้าอาตมา คุณบอกว่าอาตมาเป็นสารีบุตร แล้วก็ต้องมีความรู้เป็นสารีบุตรคงเดิม คุณดูถูกอาตมานะ เพราะอาตมาก้าวหน้ามา ตั้ง 2,500 กว่าปีมา พระสารีบุตรตายตั้งแต่โน่นแล้ว มาถึงวันนี้อาตมาก็พัฒนาเกิดมาหลายรอบแล้ว กว่าจะมาได้ร่างโพธิรักษ์ เกิดมาเป็นชาติคนหลายรอบแล้ว เสร็จแล้วคุณก็มาหาว่าอาตมายังเป็นพระสารีบุตรอยู่เท่าเดิมนั้น เป็นการดูถูกอาตมา อาตมาความรู้ก็ไม่ใช่แค่ของสารีบุตรแล้ว แล้วความรู้อย่างสารีบุตรอาตมามีไหม นี่เป็นสำคัญ สาระปุตโต บุตรที่มีสาระของพระพุทธเจ้าอาตมามีไหม เอาอันนี้เป็นสารีบุตร มีไหม…มี อาตมาก็สารีบุตรแล้ว แล้วอธิบาย ไม่เหมือนพระสารีบุตรด้วย ในพระไตรปิฎกอาตมาก็อธิบายให้ละเอียด คุณอ่านภาษาของพระสารีบุตรในพระไตรปิฎกนั้นยากกว่าอาตมาอธิบายให้ฟังใช่ไหม  ที่แจงไม่ได้แปลกใหม่แต่ขยายความตามกาละเทศะฐานะ ขณะนี้ก็จะต้องสื่อด้วยภาษาพยัญชนะอย่างนี้ เนื้อแท้สัจจะก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวอันเก่า คนจะเข้าใจสัจจะก็ต้องอาศัยองค์ประกอบของภาษาหรือท่าทาง สุ้มเสียง ประกอบให้ฟังคุณก็เข้าใจได้ อันนี้ต่างหาก พระสารีบุตรองค์นั้นอธิบายไม่ได้เหมือนโพธิรักษ์หรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 12:00:33 )

ความเป็นหนึ่งของพระอรหันต์ตรงกันหมด

รายละเอียด

ความเป็นหนึ่งของพระอรหันต์ตรงกันหมดทุกองค์ มีความรู้ความจบตรงนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอันนี้ว่า สัจจะมีหนึ่งเดียวคือนิพพาน แล้วก็มีความรู้ความจริงที่พระอรหันต์รู้เทวะ 2 ความรู้ความจริงอันนี้ตรงกันหมดไม่แย้งกันเลย นอกนั้นไม่ใช่พระอรหันต์แย้งกันหมด หรือทางโลกเขาแย้งกันพระอรหันต์ก็รู้ ท่านมีปัญญาเข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 17:04:39 )

ความเป็นหนึ่งมันไม่เที่ยงหรอกเป็นสมบัติพลัดกันชม

รายละเอียด

ดินน้ำไฟลมก็สั่งสมตัวเองจนกระทั่งมีแรงดูดเป็นตัวเป็นตนถึงขั้นเป็นพืช แล้วก็สั่งสมการดึงดูดเป็นตัวเป็นตนไปจนถึงเป็นจิต แล้วก็มีธาตุรู้เขาก็ทำด้วยอวิชชาหรือด้วยความรู้ ทำได้เอาอวิชชาก็ก่อตัวเองให้เป็นหนึ่งให้ได้เสร็จแล้วมันก็ไม่เที่ยง มันได้ในขณะที่เราเองพยายามดูดจึงพยายามเอาความเป็นหนึ่งอย่างนี้ไว้ รักษาไว้ แต่มันไม่เที่ยงหรอกสักเวลาใดเวลาหนึ่งมันก็จะมีคนที่โง่ๆหลงเข้าไปเป็นหนึ่งเหมือนกันขึ้นมาแย่งชิง เรียกว่าสมบัติผลัดกันชม 

ในโลกนี้เป็นสมบัติผลัดกันชมไม่เที่ยงหรอก ไม่เป็นเรื่องถาวรได้ นิรันดรไม่มี เพราะฉะนั้นถ้าจะเอาแต่ความเป็นหนึ่งๆ อย่างเดียวนี้เหนื่อย ลำบากลำบนทรมาน แล้วสุดท้ายจริงๆแล้วมันต้องสลายไปเลย เลิกยึดถือเป็นชีวะหรือเป็นจิตนิยาม แม้แต่เป็นพืชก็ไม่เป็นไร เป็นวัตถุไปเลยมันก็ไม่มีตัวตน มันก็สุดจบ วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 27 จนเป็นที่ 1 ในโลก แต่สร้างอาหารช่วยโลก วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 พฤษภาคม 2565 ( 13:19:36 )

ความเป็นอนัตตาของอุตุกับพีชะ

รายละเอียด

อนัตตาคือความไม่มีตัวตนหรือไม่ใช่ตัวตนไม่เป็นตัวตน ของ อุตุนิยาม กับ พีชะ

อนัตตา เป็นสภาพ 1 มันเป็นอุตุ มันไม่มีตัวตนที่เป็นจิตนิยาม มันเป็นอุตุก็ไม่มีตัวตน พีชะมันสลายจากจิตนิยามสลายจาก พีชะก็เป็นอุตุแล้วคือไม่มีตัวตน มันก็ต้องต่างกัน พีชะ มันไม่รู้เรื่องของมัน มันก็สร้างตัวมันเอง กะหล่ำปลีก็สร้างตัวมันเอง บล็อคโคลี่ก็สร้างตัวมันเอง ข้าวโพดก็สร้างตัวมันตามที่ตัวมันเป็นมันมี มันก็ทำของมัน พีชะ ไม่เบียดเบียนทำร้ายใครไม่จองเวรจองกรรมใคร มันก็ทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 19:59:56 )

ความเป็นอมตะของพุทธกับของเทวนิยมต่างกัน

รายละเอียด

จะอยู่ต่อก็อยู่ได้ จะแตกธาตุจิตนิยามตัวเองสลายเป็นดินน้ำไฟลมก็ได้ ได้ทั้งสองอย่าง ได้ ก็คือ ความยึดว่ามี แต่ความยึดว่ามีโดยไม่รู้คือเทวนิยม ความยึดว่ามีหรือไม่มี ก็คือ อวโลกิเตศวรหรือกวนอิม อันนั้นหมายความว่ารู้แล้วว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้เป็นอมตะ ส่วน เทวนิยมไม่ใช่อมตะ แต่หลงตัวเองว่าเป็นนิรันดร ว่าเป็นอมตะ 

ใช่ เขาสลายไม่ได้ก็เลยยอมรับว่า ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอมตะ นิรันดร สลายไม่ได้ คนถามมา เลยไม่ได้เฉลยเลยว่าใครเป็นโพธิสัตว์ สุดท้าย จะเลือกเป็นปราชญ์ในหมู่เปรต หรือจะเลือกเป็นเปรตในหมู่ปราชญ์ อันหลังจะได้เป็นปราชญ์แท้จริงได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 11:00:49 )

ความเป็นอยู่ที่ชุมชนราชธานีอโศก

รายละเอียด

พลังงานหรือเวลาที่เราจะเอาไปเสียในทางโลก โลกที่เขาพาเป็น เราก็เก็บมาหมดแล้ว มันก็ไม่มีเหลืออยู่ในพวกเราไอ้พวกนั้น เพราะฉะนั้นจะเอามากองทิ้งไปเฉยๆเลยวันๆหนึ่ง เราก็ออกกำลังทำงานทำการไปเท่านี้เท่านี้ เสร็จแล้วกลางคืนก็พัก มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร มันพอ เพียรหนักพักพอ มีเพียรหนักพักพอได้ มันก็จะได้ประโยชน์ได้งานได้การ ได้ขึ้นมาจริงๆ 

อาตมาก็คิดอย่างนี้ก็ทำไปแต่เห็นว่า มันยังต้องเผื่อพอ มันยังต้องทำให้มากจนไว้ใจได้ เผื่อพอ อันนี้มันยังไม่ได้เผื่อพอเลย มันยังไม่เต็มที่ด้วยซ้ำก็ต้องทำต่อๆไปอีกก็เลยลากสังขารอยู่นี่ ยังไม่ยอมตาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2567 ( 17:29:46 )

ความเป็นอยู่สุขของผู้ที่มีชีวิตอยู่รับใช้ประชาชน

รายละเอียด

สรุปแล้วความเป็นอยู่สุข แล้วผู้ที่มีชีวิตอยู่รับใช้ประชาชนที่แท้จริง

ดูอย่างพวกเรารับใช้ประชาชนรับใช้มวลมนุษย์เราก็อยู่อย่างนี้ เราไม่ต้องการประโยชน์ไม่ต้องการอะไรต่ออะไรที่จะเอามาสะสมกอบโกย ไม่มีความคิดที่จะกอบโกยไม่มักมาก อาศัยพอกินพอใช้กับผู้อื่นอย่างพวกเรานี้มันสมบูรณ์แล้ว มันไม่น้อยเกินไปจนกระทั่งกลายเป็นพวกเชนอยู่อินเดีย ผ้านุ่งก็ไม่นุ่ง กินก็ไม่สะสมอะไรเลย..เก่งๆๆ แต่เจ้าประคุณเอ๋ย! ..ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับมนุษยชาติเลยไม่มีประโยชน์จริงๆ เป็นคนเสียเปล่าเกิดมามีชีวิตนี้มีความรู้มีสมองมีพฤติกรรมที่จะทำงานให้แก่สังคมมนุษยชาติได้ แต่ไม่มีเลย เกิดมายิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานสักตัวเลย พวกเชนไม่มีประโยชน์อะไรเลยยกตัวอย่างชัด บางพวกอยู่ในป่าเขาถ้ำนั่งสมาธิอยู่ป่าเขาถ้ำ แล้วก็หลงว่าภพชาติอย่างนั้นคือนิพพาน  คือสงบ โถ! ..มันน่าสงสารจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญคือคนที่เสียเปรียบมากกว่าได้เปรียบ วันพุธที่ 20 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 20:46:53 )

ความเป็นอรหันต์

รายละเอียด

ความเป็น“อรหันต์”ถือว่า “จบกิจ”ตรงที่สามารถทำ “กายในกาย-เวทนาในเวทนา*จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ของเราเป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา”สำเร็จเสร็จ“กิจ”ได้แล้วจริง เพราะ“จิตในจิต”ของเราได้หมดสิ้น“กิเลสาสวะ”เด็ดขาด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:29:49 )

ความเป็นอรหันต์

รายละเอียด

ความเป็นอรหันต์นั้น คือ ผู้นั้นรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมือนกับใช้กำปั้นทุบดิน ก็ต้องรู้จิตเจตสิกตัวเอง แยกแยะจิตเจตสิกตัวเอง และเรียนแยกจิตเจตสิก ย่อยมาเป็นเจตสิก จิตนี่แหละต้องย่อยมาเป็นเจตสิก และโดยเฉพาะเจตสิกที่จะพาให้บรรลุนิพพานนั้นอยู่ที่เวทนา 

ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่เรียนรู้เวทนาได้ อ่านเวทนาออก แล้วก็ปฏิบัติทำเวทนา 108 ได้ แยก มโนปวิจาร 18 ออก โดยรู้ไม่ยากว่า เวทนามันทุกข์สุขและไม่สุขไม่ทุกข์ 

หรือเวทนามันมีทุกข์ แล้วก็สุข หมดทุกข์สุขที่มันหยาบแล้วก็เป็นโสมนัส โทมนัส จนเป็นอันที่ 5 อุเบกขา เพราะฉะนั้นพลังงานหรือดีกรีของทุกข์สุขหมดไประดับโน้น เบาบางลงโสมนัส โทมนัสก็รู้ทำออกหมดจนหมดทุกข์หมดสุข ก็เป็นอุเบกขา เพราะ พระพุทธเจ้าไม่ใช่อุเบกขาเพราะสะกดจิต แต่อุเบกขาเพราะจิตสะอาดจากกิเลส 

จิตสะอาดจากกิเลสก็เป็นจิตกลางว่างเปล่า แล้วก็ทำแล้วก็แข็งแรงถาวรด้วย โดยปฏิบัติ มโนปวิจาร 18 เคหสิตะ 18 เนกขัมมะ 18 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีก 6 แล้วตาก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หูก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ลิ้นกายใจก็เช่นกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:39:53 )

ความเป็นอรหันต์เจ้ากับเทวนิยมใหญ่ในพระมหากัสสปะ

รายละเอียด

ที่เรียกว่าเทวนิยมใหญ่ คือ เป็นเจ้าแห่งเทวนิยมเป็นใหญ่ทางเทวนิยม เป็นเทวนิยมที่พระพุทธเจ้ายอมรับว่าเอาหละเป็นอรหันต์ได้ ยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาพอที่จะรู้จัก อัตตา รู้จักการลดละอัตตา เป็นคนมักน้อยอยู่แล้วเพราะฉะนั้นแม้จะลดละอัตตาได้นิดหน่อย มันก็อาศัยสบายอยู่แล้ว ทางสายมักน้อย พวกนี้ น้อยจนเกินจนกระทั่งไม่เอาอะไรไปอยู่ป่า ถ้าไม่มีพระวินัยก็ขุดดินขุดเผือกขุดมันกิน เด็ดต้นไม้กินเลย แต่ว่ามีวินัยของพระพุทธเจ้าว่า เป็นภิกษุเป็นผู้บวชแล้ว อย่าพรากพืช อย่าไปขุดดินกินหัวมันหัวเผือก ไม่เอา ให้พึ่งฆราวาส พึ่งพาอาศัยกันฆราวาสกับภิกษุต้องพึ่งพาอาศัยกัน นำพากันไปสู่นิพพาน ไม่เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องสุดโต่งไปหนักเข้าจะไปเป็นแบบพวกเชนเลย เป็นพระป่าพระเทียนไม่รู้เรื่องโลกเลย ไม่เอา มันสุดโต่งไป มันไม่มีประโยชน์คุณค่ากับมวลมนุษยชาติ อย่างเพียงพอสมดุลมันโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง กามสุขัลลิกานุโยคก็โต่งไปอัตตกิลมถานุโยคก็โต่งไป พระพุทธเจ้าไม่เอาทั้งสองอย่าง ท่านให้ผลออกมาดีที่สุด ศึกษาให้ดีจัดสัดส่วนมันจะได้ความมัชฌิมาพอเหมาะพอดีได้อย่างสมส่วนที่สุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:30:24 )

ความเป็นอาตมัน

รายละเอียด

คือ ภาวะ“3เส้า”ของพลังงาน“จิต นิยาม” ได้แก่ “พลังงานบวก(ชาย = H)-พลังงานลบ(หญิง= S)- และประธาน(คือเราเอง= I)เป็นผู้จัดการบังคับบัญชา“พลังงาน จิต”3เส้านี้ เริ่มตั้งแต่เป็น“พีชนิยาม”ก็จัดการด้วย“พีชธาตุ” และถึงขั้น“จิตนิยาม”สูงขึ้นก็จัดการด้วย“วิญญาณธาตุ”อัน มี“เวทนา-สัญญา-สังขาร”เป็นหมวดของ“เจตสิก 3”ดำเนิน การทำงานอยู่ตลอดเวลาในความมีอยู่ของ“จิตนิยาม”ไปกับ ความเป็น“กาล”อันยาวนาน และ“กรรม”อันหลากหลาย

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1  หน้า 392


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 15:26:40 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:55:22 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:17:25 )

ความเป็นอาริยะ 4

รายละเอียด

มันมีอยู่ 4 ข้อ

  1. มีศีลอันเป็นอริยะ  

  2. สำรวมอินทรีย์เป็นอาริยะ 

  3. มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ 

  4. มีความสันโดษอันเป็นอริยะ 

ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ปฏิบัติแล้วอ่านจิตเป็น ไม่ใช่ทำแค่กายกับวาจา ต้องรู้ถึงจิตว่ามีความละอายมีหิริโอตัปปะ ปฏิบัติถูกต้องตามจรณะ 15 มีการสัมผัสจริง สำรวมอินทรีย์ 6 จริง แล้วก็มีของสัมผัสที่มีเครื่องกินเครื่องใช้ สัมผัสกับสัตว์ก็ตาม สัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้นี่แหละตัวร้าย โภชเนมัตตัญญุตา เวลาคนที่ปฏิบัติเรื่องของสัตว์แล้วเข้าใจแล้วตัดเลยไม่ต้องเกี่ยวกับสัตว์ ให้มันเป็นไปตามเวรกรรม ก็เอาเกี่ยวกับคนนี่แหละเป็นเหตุปัจจัยที่จะต้องปฏิบัติศีล ส่วนเรื่องของ โภชเนมัตตัญญุตาที่อยู่ในข้อหลักของ อปัณณกปฏิปทา 3 คุณสัมผัสแล้วหากไม่เข้าใจจริงๆคุณจะมานั่งนึก ที่จะมีหิริโอตตัปปะ หรือมีการรู้จิตของเรา มีอารมณ์ มีกิเลส เวทนาเก๊หรือไม่ ถ้ามีคุณก็ละอายต่อตัวเอง มีตัณหาเป็นอาการที่ให้รู้ได้มันมาจากอุปาทาน ที่เป็นตัว static ส่วนตัณหานั้นเป็นตัว dynamic อุปาทานเป็นตัวนิ่งไม่ค่อยรู้ง่าย แต่จะรู้ได้เมื่อเรายังยึดถืออยู่ มันออกมาเป็นตัณหา เป็นเหตุปัจจัยแก่กัน อาตมากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ สรุปแล้วตัวศีลก็ดีที่เป็นอาริยะ คืออะไร มันจะต้องมีจิตเจตสิก รูป นิพพาน จะต้องขยายโดยการมี จรณะ 15 มีเวทนา 108 บางทีมันไม่ได้ละอายถึงมากหรอก ก็หยุดแล้ว ก็คือหิริแล้ว ไม่ต้องไปถึงขั้นโอตตัปปะหรอก เราก็หยุดทันที มันเป็นคุณสมบัติของสัทธรรม 7 คุณก็ทำมันอีกเรื่อยๆสัมผัสมันอีกคุณก็ไม่ต้องไปหลบหลีกแล้ว ทางกายกรรมวจีกรรมไม่ทำแล้ว แม้แต่จิตมันมีอาการอยู่ก็ต้องปฏิบัติ ศีลไม่ใช่ตัดรอบแค่ปฏิบัติกาย วาจา ส่วนมะโน คือไปปฏิบัตินั่งหลับตาสมาธิ แบบนั้นมันมิจฉาทิฏฐิ มันไม่ใช่ มันได้แล้วกายไม่มีอาการแล้วไม่แสดงออกให้เขาเห็นแล้ว ว่าคุณยังเกี่ยวข้องยังติดยึดยังอยากอยู่ไม่แล้ว ดูภายนอกเหมือนกับเป็นอรหันต์แล้ว แต่เขาไม่รู้ในจิตของเราที่มีโอตตัปปะ คุณก็ปฏิบัติต่อไปอีก รู้ว่ามันเป็นผีที่มันมาหลอก มันไม่ใช่ตัวจริง แค่เราพยายาม พิจารณาอย่างนี้ว่า เราไปหลงกับสิ่งที่มันไม่มี แต่พอเราไปมี ไปหลงกับตัวที่มันไม่มี แต่เราโง่มี เออ ก็มันไม่มีแต่เรามี ถ้าเรายึดแล้วเราก็ไม่มี อันนี้เป็นสภาวะที่ลงตัวสองเป็นหนึ่ง สัจจะมีหนึ่งเดียว แต่สองคนก็ยึดสัจจะกันคนละอย่างเลยมี 2 อัน ต้องอ่านทำความเข้าใจ กำลังเขียนหนังสืออยู่เขียนมาหลายรอบแล้วรอบนี้จะละเอียดยิ่งขึ้น หากอยู่ไปอีกหลายสิบปีก็คงจะได้เขียนละเอียดยิ่งขึ้นคงจะเก่งยิ่งกว่านี้ มันเหมือนเรื่องเก่า แต่มันมีความละเอียดลออใหม่ จะเข้าใจได้ลึกเป็นอานิสงส์แห่งการฟังธรรมมันก็จะมีจริง สรุปอีกทีหนึ่ง ความเป็นอาริยะของ 4 ประเด็น ทีนี้สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เป็นอาริยะ ก็หมายความว่า ตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ภายนอกมี 5 และ 6 คือจิต ก็จะรวมกันอยู่รวมกันอยู่เป็น 6 จาก ตา  หู จมูก  ลิ้น  กาย และใจ ของเราเองเป็นตัวกลางตัวใหญ่ เพราะฉะนั้นตัวใจนี้ต้องสัมผัสใจด้วยจึงหักออกไป 1 จึงเหลือทวารนอกอีก 5 นับนอกใจ รวมกันเป็น 9 ใจมันร่วมกับทวาร 5 ภายนอกหมดเลย จะไปนับที่ใจอีกก็ไม่ได้ แต่ถ้ามันไม่มี 5 ไปนอกใจมันก็ไม่มีร่วม ก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้าเอาใจคุณไปร่วมใน 5 นี่แหละ มันก็เลยต้องเหลือแค่ 9 เพราะอธิบายในเรื่องรูป ไม่ได้อธิบายนาม รูปก็เลยเหลือ 9 เพราะไม่มีรูปของใจ ตัดใจออกไป ตา หู  จมูก  ลิ้น กาย มีคู่ก็รวมเป็นเป็น 10 ถ้าเอาใจไปร่วมหมดก็เป็น 12 ใจก็มีใจของมันเองอีกคู่คือ ธรรมายตนะ กับ มนายตนะวิการรูป 5 ใน 5 นี้มี กายวิญญัติ วจีวิญญัติ แต่2 อันนี้ก็มี 2 ภายนอกอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงของ วิการรูป ขาดกายวิญญัติ วจีวิญญัติไม่ได้ ก็เลยต้องหักออก 2 เหมือนกัน หักออก 2 ก็จะเป็นรูป 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:03:46 )

ความเป็นอุปธิวิเวก

รายละเอียด

ความเป็นอุปธิ ผู้ใดทำให้ 3 อย่างนี้เป็นผลสำเร็จฆ่ากิเลสได้ ด้วยอภิสังขารฆ่ากิเลสในรูปเวทนา สัญญา สังขา รวิญญาณ ให้เป็นขันธ์ที่สะอาดปราศจากกิเลส คุณก็เป็นอุปธิวิเวก เป็นผู้สะอาด ปราศจากกิเลสเป็นจอมยุทธทำให้กิเลสตายได้จริง เกิดนิพพานที่เป็นอมตะ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:16:13 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:17:52 )

ความเป็นอุปาทานก็คือความที่เพี้ยนไปจากความจริง

รายละเอียด

 คืออุปาทาน เมื่อพูดมาอย่างนี้อาตมาก็เข้าใจแล้วว่าเป็นอุปาทานอย่างหนึ่ง อุปาทานคืออะไร อุปาทานคือสิ่งที่สร้างขึ้นเห็นภาพก็คือสิ่งที่หลอกตา อย่างเช่น คนเห็นผีหรือว่าคนเห็นเทวดาเป็นรูปร่างอะไรต่างๆ เขาเห็นด้วยตาเขาสัมผัสว่าเขาเห็น แต่มันคือการสร้างเป็นนิรมานกาย เป็นกายทิพย์ ซึ่งกายทิพย์นี้ไม่ใช่ของดีนะ เป็นเรื่องที่มันละเอียดมันรู้ไม่ได้ง่าย แต่คุณสร้างขึ้นมาของคุณเอง คุณปรุงแต่งขึ้นมาด้วยจิตของคุณเอง โดยเกิดจากคุณไปเชื่อที่เขาสอนมา ได้ยินได้ฟังจากชาติไหนก็แล้วแต่มาถึงชาตินี้ คุณก็ยังจำได้เห็นได้ อย่างคนที่มีอุปาทานยึดติด อย่างเช่น คนเข้าทรงจำได้ในชาติโน้นชาตินี้หรือผ่านมาในชาติไหนก็แล้วแต่ เราก็ทำเป็นสั่นแล้วทำให้ตัวเองไม่รับรู้ดับสัญญา สะกดจิตสะกดสัมปชัญญะตัวเองให้มันไปตามเรื่อง มันก็มีแต่สัญญาที่คุณจำได้ว่าต้องออกท่าทีอย่างนี้ 

อาตมาผ่านมาจะว่าเล่นก็จริงๆ ตั้ง 8 ปี ไสยศาสตร์เข้าทรงทำมาแล้วแล้วก็มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงรู้สิ่งนั้น ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นกิเลสอุปาทานทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความจริงเห็นสิ่งจริงก็คือตากระทบรูป คนส่วนมากเห็นอย่างไร กระทบหัวกะหล่ำปลี คนที่ตาดีตาไม่เบี้ยวตาไม่เพี้ยนสี พบรูปร่างสีสันอะไรมันก็เห็นรูปร่างสีสันอย่างนี้เหมือนกัน นี่เรียกว่าความจริง ความเป็นอุปาทานก็คือความที่เพี้ยนไปจากความจริง ปั้นเองเนรมิตเองแล้วก็หลงไปเป็นตาทิพย์ตาทองตาวิเศษอะไร นั่นก็คือความโง่อวิชชา 

วิชชาจริงๆ คือความรู้ความจริงตามความเป็นจริง ตากระทบรูปอย่างไรคนธรรมดาสามัญไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาไหนก็จะเห็นเหมือนกันหมด ไม่แย้งหรอก อาจจะใช้ภาษาต่างกันเรียกไปเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องของอุปาทานที่คุณพูดมานี้ เคยเห็นภาพคนแต่ไม่มีตัวตน มีแต่ภาพเหมือนฉายหนัง อย่างนี้คืออะไร ก็อธิบายมาแล้ว แล้วเดี๋ยวนี้มีเยอะอย่างนี้คนยังหลงเลอะเทอะอย่างนี้ อย่างเช่น หมอปลาไปปราบผีปราบสางอะไรนี่แหละ ไม่รู้จะทำอย่างไร เสร็จแล้วเขาก็มีเจตนาทำให้หายไปขั้นหนึ่ง เปลี่ยนแปลงค่อยยังชั่วไปขั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ค่อยถูกต้องตามวิชชาศาสนาพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังสาธยายธรรมจากคำถามของคนจริง วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2566 ( 11:45:47 )

ความเป็นเทวะกับอเทวนิยม

รายละเอียด

โลกจึงแบ่งระหว่างเทวกับอเทวนิยม ความเป็นเทวะ คือ สมบูรณ์แบบ, 2 ก็ได้ เป็น 1 0  เลยก็ได้ แต่คุณนิรันดรคุณไม่มีทาง 0,  2 ของคุณแล้วคุณก็ลองไปเป็น 1, แล้วคุณก็หลงเป็น 1 อย่างเป็นอัตตานิรันดร แต่ของพระพุทธเจ้ามีอนัตตา สลายหมดเลย ไอ้ที่มีอยู่คือสมมุติ ไอ้ที่มีอยู่คืออาศัย มนุษย์ที่ยังไม่รู้คือมันยังมี พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความไม่มี ไม่มีสูงสุด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างสุดท้ายก็สลายเลยเป็นไม่มี สูญเลย จบ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชธานีอโศก ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ บุญกับฌานเป็นเรื่องทวนกระแสโลกีย์ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:57:41 )

ความเป็นเทฺวคือภาวะ 2 ที่ครอบจักรวาล

รายละเอียด

ความเป็น“เทฺว” คือ “ภาวะ 2”ที่ครอบจักรวาล

ซึ่งความเป็น“เทฺว”นี้ใครจะแยก“เทฺว”ให้ขาดจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เอี่ยวเกี่ยวกันเลยขั้นเด็ดขาดไม่ได้

แต่ถ้าจะไม่ให้“มีเทฺว”เลย ก็ต้อง“ดับเทฺว”ไป“ทั้ง

2 ทั้ง 1”ที่แยกกันเด็ดขาดไม่ได้นั้นแหละ เป็น“0”ไปเลย

การจะทำเช่นว่านั้นได้ ก็ต้องมี“ปัญญา” หรือมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าแรงกว่าจริงๆ จึงจะทำได้  

และ“การดับเทฺว”นี้ ผู้ยังไม่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้

จริงในความเป็น“เทฺว” ยังหลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น “อัตตา”เป็นตัวตนของตนเอง ซ้ำมิหนำก็จะหลงผิดว่า “ผู้ดับเทฺว”นั้นไปละลาบละล้วงความเป็น“เทฺว”ที่เขาหลงยึด ทั้งที่ยึดว่า เป็น“พระเจ้า”ผู็ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครไป“ดับท่านได้” ท้ั้งที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่า “เทฺว”เป็น“ตัวตนของตน(อัตตา)นิรันดร  ไม่มีสูญหายไปจากกาลเป็นเด็ดขาด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 21:05:33 )

ความเป็นเทฺวคือภาวะ 2 ที่ครอบจักรวาล

รายละเอียด

ซึ่งความเป็น“เทฺว”นี้ใครจะแยก“เทฺว”ให้ขาดจากกันอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เอี่ยวเกี่ยวกันเลยขั้นเด็ดขาดไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่ามนุษย์มีวัตถุกับจิตมีกายกับจิต มีธาตุรู้กับดินน้ำไฟลม นั่นแหละเป็นภาวะ 2 ที่ปรุงแต่งกันอยู่อย่างสนิทเนียนของธรรมชาติของการปรุงแต่ง ยิ่งใหญ่มากเลย ออกมาเป็นจิตนิยามยิ่งใหญ่มาก แล้วมันยิ่งใหญ่จนกระทั่งมันจะมีอยู่อย่างนี้แหละ มันก็จะเป็นสภาวะที่เกี่ยวข้องกัน ผู้รู้ก็คือผู้รู้ ผู้ไม่รู้ก็คือผู้ไม่รู้ 

แต่ถ้าจะไม่ให้“มีเทฺว”เลย ก็ต้อง“ดับเทฺว”ไป“ทั้ง 2 ทั้ง 1”ที่แยกกันเด็ดขาดไม่ได้นั้นแหละ เป็น“0”ไปเลยการจะทำเช่นว่านั้นได้ ก็ต้องมี“ปัญญา” หรือมีฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าแรงกว่าจริงๆ จึงจะทำได้  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565 แรม 15 ค่ำเดือน 4 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2565 ( 14:16:48 )

ความเป็นโทษ 2 อย่าง ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ

รายละเอียด

ไม่ได้เป็นประโยชน์แบบโลกียะ มันชะมัด สนุกสนานรื่นเริงเป็นขิฑฑาปโทสิกะ เอร็ดอร่อย มัน มันแยกเป็นโลกุตระ กับโลกียะ แบบลดไปหาความเบา กับการไปหาการสังขาร เอร็ดอร่อยมากยิ่งขึ้น มันๆๆยิ่งขึ้น ไม่รู้จะไปช่วยกันอย่างไรในโลกที่เขาจมอยู่ในรสของความเอร็ดอร่อย ขิฑฑาปโทสิกะ แปลว่า มีความเอร็ดอร่อยเป็นโทษ 

พระพุทธเจ้าท่านแยกความเป็นโทษ 2 อย่างก็คือ ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ

มโน คืออัตตา คือจิต ยึดเป็นโทษ แต่นี่ยึดสนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจ อะไรอร่อยเป็นโลกีย์คือ ขิฑฑาปโทสิกะ หรือเรียกอีกศัพท์หนึ่งก็คือ ปหาสะ เป็นรสปหาสะ รสสนุกสนาน เป็นนรกปหาสะ ขิฑฑาปโทสิกะ ก็เรียกว่า ความสนุกสนานเป็นโทษ ปโทสิกะคือ ประกอบไปด้วยโทษ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 20:51:44 )

ความเป็นโทษยิ่งใหญ่ 2 อย่างในโลกนี้ คือ ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ 

รายละเอียด

มีแต่สติพล มีแต่สติ เป็นกำลังไป แล้วไม่เกิดพัฒนาอะไร จนการพัฒนา แล้วเมื่อไหร่มันจะชัดเจนเมื่อไหร่มันจะได้พัฒนา ที่เขาทำมันก็เรื่องศีรษะคุณ คุณคิดของคุณอยู่ในศีรษะของคุณ แล้วคุณไปยุ่งกับเขาทำไม เขาจะทำอย่างนั้นก็เรื่องศีรษะของเขา คุณว่าคุณฉลาดคุณก็ตามสบายของคุณเหมือนกัน เขาก็ว่าอย่างนั้น แต่คุณก็ไปบ้าสวดมนต์ข้ามปีอีก พูดถึงตรงนี้อาตมาก็คิดอยู่เมื่อคืนนี้ว่า จะพูดถึง ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ 

คนที่หลงความรื่นเริงต่างๆนานาไม่รู้จบไม่เห็นเป็นโทษนั่นคือ ขิฑฑาปโทสิกะ ส่วน มโนปโทสิกะ มโนคือจิต ปโทสิกะคือ เป็นโทษเพราะไปยึดติดใน มโน พวกนี้เป็นสาย เจโตปริยญาณ 16

ส่วน ขิฑฑาปโทสิกะ คือ สายโรแมนติก จะเพลินอย่างไรก็แล้วแต่ เพลิดเพลินด้วย 2 วิธี 1. วิธีเอร็ดอร่อย 2. สะใจๆๆ แยกเป็นภาษาได้ 2 คำ คือภาษาอังกฤษคำว่า ซาดิสม์ซึ่ม กับ romanticism 

ซาดิส แรงเท่าไหร่ได้ก็ยิ่งดี แรงกว่าคนอื่น ก็เป็นซาดิส ถ้าไปแรงกับตนเองเลยเรียกว่ามาโซคิส แรงเท่าไหร่ เจ็บปวดเท่าไหร่ยิ่งชอบพวกมาโซคิส ถ้าเห็นคนอื่นถูกทำรุนแรงบาดเจ็บเท่าไหร่ตัวเองยิ่งชอบใจนี่คือซาดิส นั่นคือพวกเจ็บปวดพวกแรง ส่วนพวกยัง นิ้งน้องๆ Romanticism หวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบไป มันอธิบายไม่หมดนะ ใช้ภาษาขยายความก็ไม่หมดความเป็นสัจจะ 

พระพุทธเจ้าสรุป โทษยิ่งใหญ่มี ขิฑฑาปโทสิกะ กับ มโนปโทสิกะ 2 อย่างเท่านี้ วันนี้ขยายความได้เท่านี้ก่อน วันต่อไปจะขยายความให้มากยิ่งกว่านี้ เอาไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า วันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 20:35:18 )

ความเป็นโพธิสัตว์เป็นกันตอนไหน

รายละเอียด

ประเด็นนั้นก็พูดไปแล้ว เป็นพระโพธิสัตว์ ใช้สำนวนว่าเป็นโพธิสัตว์ที่เป็นปุถุชน เป็นสัตว์ใต้ต้นโพธิ์ คือเป็นแค่พยัญชนะ เป็นแค่จิตของเราอยากเป็นโพธิสัตว์ สำหรับผู้ที่มีความรู้ในเรื่องโพธิสัตว์ โพธิสัตว์คือความตรัสรู้ ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ ส่วนเทวนิยมเขาไม่รู้หรอกว่า โพธิสัตว์ สัตว์ที่มีโพธิ สัตว์ที่มีความตรัสรู้นั้นไม่ใช่สัตว์ใต้ต้นโพธิ์ ไม่ใช่สัตว์ที่ปรารถนาความเป็นโพธิสัตว์เพียงเท่านั้น แต่คือผู้ที่มีเนื้อหาของความเป็นโพธิสัตว์ มีความตรัสรู้โลกุตระ เริ่มตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป 

ผู้ที่มีภูมิธรรมโสดาบันขึ้นไป จึงจะเป็นโพธิสัตว์ระดับที่ 1 ก็อธิบายกันมาจนหมดแล้ว มีภูมิธรรมถึงสกิทาคามีเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 อนาคามีโพธิสัตว์ ระดับ 3 อรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 4 

โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

สรุป ผู้ที่ยังไม่รู้จักสุขทุกข์ ผู้ที่ยังไม่รู้จักกิเลส ผู้ที่ยังไม่รู้จักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตรธรรม ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวมาเป็น โพธิสัตว์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 11:10:35 )

ความเป็นโลก-อัตตาและธรรม 3 คำ หากขาดปัญญาก็ไม่รอด!

รายละเอียด

ผู้ไม่มี“ปัญญา”ที่สัมมาทิฏฐิแท้จริง จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง

ความเป็น“โลก” ความเป็น“อัตตา” และความเป็น“ธรรม”ที่เป็น

“โลกุตรธรรม”แน่นอน 

จึงล้วน“ตกอยู่ใต้”อำนาจโลกและใต้อำนาจอัตตา 

แม้แต่อำนาจ“ธรรม”ที่เป็น“โลกียธรรม”อยู่เป็นธรรมดา 

ก็เป็นคน“โลกีย์”ผู้ยังทรงสภาพ“เทฺวนิยม”ที่ยัมี“อวิชชา”เป็น

เจ้าเรือนเป็นปกติสามัญ

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 112 หน้า 111


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 21:02:01 )

ความเป็นโลกนี้คือมีอวิชชา กับความเป็นโลกหน้าที่มีวิชชาหรือปัญญา

รายละเอียด

อ่านกิเลสตัวเองเมื่อสัมผัสแล้วกิเลสเกิด แม้จะเกิดอย่างหยาบนั้นรู้ง่ายแน่ มันเกิดแรงก็รู้ง่าย แม้ที่สุดได้เรียนรู้ลดละแล้ว จนกระทั่งมีพลังงานปัญญา สามารถทำให้กิเลสลด สู้พลังงานปัญญาไม่ได้ พลังปัญญามันชัดเจนกว่ามันรู้ว่าไอ้ที่ไปติด ไอ้ที่มีพลังอ่อนแอให้กิเลสมันกินตัวอยู่อย่างนั้น มันโง่มัน อวิชชา ก็รู้ว่าตัวเองจะเอาอวิชชาหรือจะเอาปัญญา นั่นก็ชัดเจนมากแล้ว เราอย่าไปโง่ ปัญญาเจริญ อวิชชาก็ลดลงๆ ความเป็นโลกนี้คือโลกที่มีอวิชชา ความเป็นโลกหน้าคือโลกที่มีวิชชาหรือปัญญาหรือญาณ เป็นพลังงานทางจิตเลย

คนใดที่ทำจิตในจิต ทำใจในใจ มนสิการหรือมนสิกโรติ ทำให้พลังงานปัญญาเกิดแทนที่พลังงานอวิชชา เกิดพลังงาน เมื่อก่อนมิจฉาทิฏฐิก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเป็นสัมมาทิฏฐิก็เจริญด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม 37 จิตก็เจริญขึ้นจริงๆ ต้องสัมผัสของจริง ตากระทบรูปแล้วก็เห็นของนั้นด้วยตา กิเลสเกิดไม่เกิด หูกระทบเสียง แล้วกิเลสเกิดก็อ่านกิเลสเกิดจากเสียงได้ ชอบไม่ชอบ ชังไม่ชัง เป็นสุขเป็นทุกข์อะไร จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสสัมผัสรส ก็เกิดชอบเกิดชัง เกิดกิเลสพวกนี้ อ่านได้เห็นของจริง แล้วก็ลดได้จริงแล้วจริงๆ ผู้นั้นถึงขั้นปฏิบัติธรรมถึงขั้นสภาวธรรม จัดการกับสภาวธรรมของจริง จริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 11:03:43 )

ความเป็นโลกนี้โลกหน้า ไม่ใช่เรื่องที่จะที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ

รายละเอียด

ความเป็นโลกนี้ก็ตามโลกหน้าก็ตามจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ 

โลกนี้คือสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นเป็นอยู่อย่างคิดไม่ออกเลย เข้าใจไม่ได้เลยว่ามันมีอื่นอีก มันมีความเป็นอื่นอีก ที่จิตเราเป็นนามรูป สามารถที่จะกระทบแล้วมีความรู้สึก เป็นทัศนคติ เป็นความเข้าใจเป็นความรู้เป็นความเห็น เป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง มันคนละทิศ 

เทวนิยมกว่าจะเข้าใจโลกุตรธรรมได้ พวกที่ไปสั่งสมโลกียะจิตเอาไว้แน่นไม่มีทางที่จะรู้ได้ง่ายๆ จะเรียนรู้พยัญชนะบัญญัติ ก็เรียนรู้ไปอย่างนั้น ยาก กว่าจะเปลี่ยนจิตมาเป็นโลกุตระเป็นโลกหน้า จะเคลื่อนจากโลกนี้มาเป็นโลกหน้า ไม่ง่าย 

เพราะฉะนั้นประกาศไปเถอะโลกุตระนี้ อธิบายไปเถอะ คนก็ไม่ได้มาชื่นชม ไม่ได้มายินดี ไม่ได้มารู้สึกว่าเป็นคุณค่า อย่างพวกเราประกาศไปนี่แหละ โลกียะเขาก็อยู่อย่างนั้นแหละ เต็มไปด้วยโลกียะที่ เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียะสุข เขาก็แย่งกันอยู่อย่างนั้นแหละ เราก็บอกว่ามาอยู่นี่ไปหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียะสุขอยู่ทำไม เขาฟังไม่ขึ้นเขาก็งมงายอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่อย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 11:45:47 )

ความเป็นโลกุตระของปัญญาเป็นความรู้อื่นจากศาสนาเทวนิยม

รายละเอียด

ความเป็นโลกุตระของปัญญา ปัญญา 8 อาตมาเอามาพูดซ้ำซาก คนก็อาจจะบอกว่าพูดซ้ำซากวนเวียนไม่ไปไหน ที่จริงแล้วเขาไปตั้งลึกซึ้งเท่าไหร่แล้ว คนที่ได้ความลึกซึ้งก็จะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฟังอันเก่านี้มันก็ลึกซึ้งขึ้นไปอีก มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ ใครจำได้บ้าง 

1 ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง  (อัสสุตัง  สุณาติ) 

2 เข้าใจยิ่งขึ้นในสิ่งที่เข้าใจได้แล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ) 

3 หมดความลังเลสงสัย (กังขัง  วิหนติ) 

4 ความรู้ความเห็น ความเข้าใจความรู้ถูกตรง คุณว่าคุณรู้ตรงแล้วคุณก็ตรง แต่ตรงเป๋อยู่ พอยิ่งฟังธรรมะที่เป็นโลกุตระ ผู้ที่เป็นปราชญ์จริงๆมาพูด ตรงเป๋ก็จะตรงเป๋งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) 

5 ที่ฟังก็ยิ่งชื่นใจ (จิตตมัสสะ  ปสีทติ) 

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202) 

ในพระไตรปิฎกปัญญามี 8 ชั้น ปัญญาคือความรู้โลกุตระ ปัญญาคือความรู้ที่เป็นอื่นจากคนโลกเขารู้กันจากศาสนาเทวนิยมเขารู้กัน ปัญญานี้นอกเหนือจากความรู้ของศาสดาที่ประดามีของเทวนิยม เป็น อัญญธาตุ เป็นอันอื่นจากศาสดาทั้งหลายที่เขารู้ ฟังถึงความแตกต่างที่พิเศษไปจากที่สามัญปุถุชน พุทธชนโลกียะ หรือเทวนิยมเขารู้กันให้ได้ชัดๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:47:14 )

ความเป็นโสดาบันที่จะไปสู่สกิทาคามีเป็นเช่นไร 

รายละเอียด

แสดงว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นโสดาบัน โสดาบันก็ตามหลักวิชาการก็คือผู้ผ่านสังโยชน์ 3 คือผ่าน สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาส 

ผู้ที่จะผ่านสังโยชน์ข้อที่ 1 มันลึกซึ้งมากเลยนะ คำว่า “กาย” คำว่า “สักกะ” “สักกายทิฏฐิ” หรือความเห็นความรู้ความเข้าใจเบื้องต้น

จะเข้าใจสักกะได้แค่ไหน จะเข้าใจกายแค่ไหน 

สักกะคือตนเองของตนเอง สักกะต้องอ่านสภาวะของตนเองอ่านอะไร อ่าน “กาย” อ่านความเป็นกาย

ความเป็นกาย นี่แหละ ยิ่งใหญ่มาก ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจความเป็นกาย ได้สมบูรณ์ครบถ้วนง่ายๆ

เพราะคำว่า กาย นี้ ทั้ง เริ่มต้นทั้งเป็นตัวนำพาปฏิบัติตลอดสายไปจนกระทั่ง จบสุด ตรวจสอบ ตัดสินผล ก็ต้องใช้ กาย กับ สัญญา เป็นการตรวจสอบ ตัดสินผลสุดท้ายจบ อย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นคำว่ากาย คำนี้ หมายถึงสภาพตั้งแต่ 2 เป็นรูปเป็นนาม 2 นี่แหละ เหมือนเทวะ แปลว่า 2 ภายนอกภายใน

ไม่มีภายนอกมีแต่ภายในก็ไม่ได้ เหมือนอย่างพวกสายหลับตาปฏิบัติ ผิด มีแต่ภายในไม่มีภายนอกเลย โมฆะเลย หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า เพราะผิดตั้งแต่คำว่ากาย

หลับตานี่ อาตมาก็เตือนบอกสอนแนะนำ เมื่อไหร่จะรู้สึกตัวก็ไม่รู้จะเข้าใจแล้วเลิก มาศึกษา จรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติอย่างลืมตามี อปัณณกปฏิปทา 3  โดยมีศีลแต่ละข้อกำกับจะเกิด สัทธรรม 7  

ก็ดึงดันตามทฤษฎีที่ตัวเองยึดถือกันไป ไม่ว่าจะเป็นพระป่าหรือพระบ้าน อาตมาเป็นผู้ที่มาบรรยายธรรมะในชาตินี้ยุคนี้ ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ไม่ได้มีสำนัก ทฤษฎีที่นำมาพูดต่างเขาหมด เขาก็บอกว่าอาจารย์ก็ไม่มี สำนักก็ไม่มี แล้วมาจากไหน ก็บอกอีก อาตมาเป็นผู้ที่มีสยังอภิญญา แปลเป็นภาษาบาลีเขาก็รู้ว่ามีอภิญญาส่วนตน มีความรู้นั้นมาเองของตนเอง สยังอภิญญา มาแต่ชาติก่อน ก็เรียนรู้เหมือนกันนะ บุพเพกตปุญญตา หมายความว่า เป็นผู้ที่สั่งสมปฏิบัติบุญได้แล้ว ปฏิบัติบุญเป็นแล้ว ปฏิบัติบุญสำเร็จแล้ว บุญ กตะ บุพเพกตปุญญตา ปฏิบัติตนได้สำเร็จมาก่อนแล้ว คนผู้นี้ มีแล้ว ผ่านมาแล้วได้แล้วตั้งแต่บุพเพเก่าก่อน

เขาก็แปลพยัญชนะ บุพเพกตปุญญตา แปลว่า บุญเก่าอันทำไว้ก่อน โดยเข้าใจคำว่าบุญยังไม่ได้ เข้าใจว่าบุญเป็นโลกุตระไม่ได้ 

บุญเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ จนอาตมาต้องมาเปิดยุคบุญนิยม เอาคำว่าบุญมาขยายความจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังยากอยู่เลยที่เขาจะเข้าใจ ครบถ้วน เพราะเขาไปเข้าใจว่าบุญเป็นกุศลอีก ที่จริงแล้วบุญนี้เป็นเพชฌฆาต กิเลส ไม่ใช่นักบุญหรอก นักฆ่า

เขาได้ยินแล้วก็บอกว่าอะไรวะ บุญเป็นกุศลจะเป็นนักฆ่าได้อย่างไร เห็นไหม คนละขั้วเลย เพราะโลกียะกับโลกุตระ มันสวนกระแส ตรงกันข้ามกัน เปรี้ยงเลย มันอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละ ก็เข้าใจนะ ปฏิโสตังทวนกระแส เขาก็ไม่รู้ไม่กระเตื้องไม่เข้าใจไม่ฉุกคิดได้ 

เดินเข้ามานี่ ท่านสมณะทั้งหลายแหล่ พ่อท่านสู้ๆๆ ให้กำลังใจ หรือยุส่งก็ไม่รู้นะ ทั้งคู่ก็ได้ อาตมาก็ไม่ใช่นักท้อถอยอะไร เพราะฉะนั้นก็พอๆกันกับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา พอได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่ถอยไม่ท้อ ของแท้ไม่มีท้อ ผู้ท้อก็คือผู้ไม่แท้ ตายเป็นตาย 

สกิทาฯ เมื่อคุณรู้ว่าคุณเป็นโสดาบันแล้ว คุณก็ต้องรู้คุณธรรมเพิ่ม อย่างน้อยคุณก็ต้องรู้ว่า ศีล ที่คุณมีเป็นโสดาบันแล้ว อย่างไร แค่ไหน ที่คุณเลิกได้ ก็เอาศีลไปวัด อย่างน้อยก็ถือศีล 5 

ถ้าอธิศีล ของศีล 5 หรือศีล 6 ศีล 7 ศีล 8 อันนั่นหละเพิ่มสูงเป็นอธิศีล ทำให้เกิดอธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ก็จะเกิดความเป็นสกิทาคามีขึ้นไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชาวหรรษาที่แท้จริง วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 19:22:11 )

ความเป็นไปของพ่อครูกับพี่ๆน้องๆ

รายละเอียด

.เราเป็นคนที่เกิดมามีพี่น้อง ก็มีรายละเอียดซับซ้อน อย่างเช่นอาตมาในยุคนี้ไม่มีลูก  ไม่มีคู่ครอง แต่มีพี่น้อง อาตมาเป็นพี่คนโตมีน้อง ก็ต้องเลี้ยงน้องเพราะว่าพ่อแม่ไปหมดแล้ว ก็เลี้ยงมาจนกระทั่งเรียบร้อย เห็นว่าควรจะออกมาได้แล้วก็เรียกประชุมน้องๆทั้งหลาย ก็จะมีน้องชายคนหนึ่งส่งไปเรียนอเมริกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ สมัยก่อนเงินมันแพง ส่งไปเรียนอเมริกาเงินดอลลาร์มันก็แพง ก็มาประชุมกัน 

ก็มีผู้ที่รับผิดชอบคือกิ่งรัก ส่วนน้องชายอาตมาคนโตก็ไปบวชแล้วก็หลงตัวเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าคนเดียว อาตมาออกมา ทรัพย์สินก็ยกให้ทั้งหมดเลยจะออกมาบวช ส่งน้องชายคนที่ยังไม่จบ นายฟ้า นายต๋อน จะรับผิดชอบไหวไหม กิ่งรัก บัวบูชา  อิ๋ว-นิตยา เป็นน้องของนายฟ้าอีกทีหนึ่ง  ว่าจะส่งไหวไหม ก็บอกว่าได้ ทรัพย์สินอาตมาก็ยกให้หมด แล้วเขาก็มีรายได้พอเขาก็ช่วยกัน เขาก็บอกว่าได้ 

อาตมาก็เห็นว่า ตกลงเรียบร้อย  อาตมาก็ออกมาบวช ก็ออกมาเลย ไม่อยู่แล้ว นี่ภาพนี้ คนที่ไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวอยู่ในป่ากลางเมืองกาญจน์ ตอนนี้เสียไปแล้ว ท่านก็ตั้งตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็จับขึ้นศาล เป็นทนายให้ตัวเองด้วย ผู้พิพากษาก็ซักไซ้ไล่เลียงบอกว่า ทำไมบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วใครตั้งให้ ท่านก็บอกว่า ก็ตั้งเองสิ ผู้พิพากษาก็บอกว่าไปตั้งเองได้อย่างไร เขาก็บอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ไหน ท่านก็ตั้งตัวเองทั้งนั้นไม่มีใครมาตั้งให้ท่านทั้งนั้นแหละ ผู้พิพากษาก็ตกบัลลังก์เลย ยอมปล่อยมา 

เพราะท่านไม่มีคณะ ท่านไม่ได้เป็นผีบุญ ท่านไม่ได้หว่านล้อมใคร ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวโด่เด่ ฉันมังสวิรัติ  ทำอะไรต่างๆทำงาน เก่งทางช่าง เป็นสารพัดช่าง ก็ช่วยคนไปหมด ท่อไอเสีย เครื่องกลเครื่องยนต์เสีย ท่านก็ซ่อมให้เขาทั้งเป็นพระนะ ซ่อมให้เขาหมด เขาก็เลยยอมรับนับถือ องค์เดียวอยู่ป่านั่นแหละ สุดท้ายขับมอเตอร์ไซค์ไปบิณฑบาต มอเตอร์ไซค์ชนตายก็เลยเสียชีวิต ในภาพนั้นก็มีอาตมา กิ่งรัก ส่วนแม่ก็โทรมมากแล้ว เป็นวัณโรคผอม เอาของเก่าๆมา ก็บอกว่าคนพูดของเก่านั่นมันแก่แล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:14:26 )

ความเป็น“กาย”จึงอธิบายความเป็น“พญานาค”

รายละเอียด

เพราะ“โลกุตรธรรม”นั้นวิเศษ พิเศษเหนือไปจาก“โลกียธรรม”จริงๆ ที่ต้องเริ่มต้นด้วย“ทิฏฐิ”คือ“ความเข้าใจ” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงนับตั้งแต่ความเข้าใจ“กาย” ซึ่งเรียนรู้ได้จาก ที่มี“ของตน”ที่บาลีว่า “สัก” นั่นคือ ต้อง“พ้นสักกายทิฏฐิ”

หากเข้าใจความเป็น“กาย”จากภาษาว่า“กาย”นี้แล ไม่ได้อย่างเป็น“สัมมาทิฏฐิ”ละก็ ต่อให้พากเพียรอุตสาหะหนักหนาอุกฤษฏ์ปฏิบัติปานใด ก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุพุทธโลกุตระ

เช่น หลงผิดเอาวิธี“หลับตา”เข้ามาใส่ในศาสนาพุทธ หรือเข้าใจว่า “กาย”คือ “ร่างภายนอก”ที่หมายเอาเฉพาะแต่ “สรีระ”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมอยู่ด้วยก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”แท้  

ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของ“เดียรถีย์”ในพุทธ ชื่อว่า “โจรร้าย”ของศาสนาพุทธ เป็นผู้ทำลายพุทธแท้   

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:45:02 )

ความเพลิดเพลินของพระอริยะชั้นต้นต่างจากพระอรหันต์หรือไม่

รายละเอียด

จริงๆแล้วไม่ควรถามมากหรอก อยากรู้ในสิ่งที่เรายังไม่ถึง ก็ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก แม้มีอาการนั้นอยู่ที่เราแล้ว มันก็เข้าใจไม่ได้เพราะเรายังมีภูมิไม่ถึง ถามไปก็เท่านั้นเอง  ได้รับภาษาที่บอกเท่านั้น ที่จริงแล้วภาษาบาลีเรียกว่า  สัปปายะ มาเป็นคำไทยว่า สบาย ผู้รู้จะเข้าใจว่า ภาษาแต่ละคำ สนุกสนาน มันฉิบหายเลย นี่ไม่ได้หยาบนะ ใช้ภาษากับคนระดับนั้น มันฉิบหายสนุกมากเลยนะ   เพลิดเพลิน หรือว่าสบายๆ คนที่เข้าใจแล้วใช้เป็นก็จะใช้ได้ทุกสภาวะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:54:58 )

ความเพลิน

รายละเอียด

ความใคร่ในกามทั้งหลาย , ความปรารถนาในกาม , ความเสน่หาในกาม , ความเร่าร้อนในกาม , ความหลงในกาม , ความติดใจในกาม

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 162


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 06:51:19 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 15:45:48 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:18:13 )

ความเพี้ยนจนเป็นทางสายกลาง

รายละเอียด

หากว่าไม่รู้ตั้งแต่กามหยาบ ไม่รู้อัตตาภายใน แล้วไปประกาศว่าเป็นพระอรหันต์มันจะได้อย่างไรไม่รู้ 2 อย่างนี้ ไม่ได้ดับเหตุที่เกิดกาม เกิดอัตตา จึงเป็นจิต 0 ไม่ไปหากาม ไม่ไปหาอัตตา ซึ่งอันนี้เขาอธิบายเพี้ยนไปจนกลายเป็นทางสายกลาง อธิบายผิดไปหมด ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) อาตมาก็ประกาศหาผู้พี่อยู่ ในยุคไอที Globalization ก็น่าจะรู้กันได้ ฟ้าบ่กั้น มันรู้กันหมด ไม่มีอะไรเป็นความลับ ก็ไม่น่าจะไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ไหนเป็นอย่างไร

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 34


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 12:12:30 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 12:38:40 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:18:53 )

ความเมตตาเป็นแก่นแท้หรืออนุสัยอาสวะของจิตที่ประเสริฐ

รายละเอียด

ในความเมตตา มันเป็นเนื้อเป็นแก่นแท้ของอนุสัยอาสวะของจิตคน เมตตา เป็นแก่นแท้เนื้อจิตที่แท้จริง ซึ่งเป็นทางดีทางประเสริฐ เป็นอาสวะหรือเป็นอนุสัยที่ประเสริฐ 

แต่คนยังเข้าใจยากที่อาตมาจะบอกว่าเป็นอาสวะหรืออนุสัย ก็แค่อาสวะหรืออนุสัยที่เลวยังเรียนรู้ไม่ได้ปราบออกไปจากจิตไม่ได้ แล้วจะให้ไปรู้ว่าจิตวิญญาณที่เป็นลักษณะอาสวะหรือเป็นลักษณะอนุสัย ซึ่งใช้พยัญชนะ สว หรือ สย ยืนยันว่านี่เป็นตัวตน ก็ต้องอธิบายกันไป เรื่องนี้รายละเอียดลึกซึ้ง คิดว่าอาตมาต้องอธิบายรายละเอียดพวกนี้ให้พวกเราได้เข้าใจหรือเป็นหลักฐานบันทึกไว้ในหนังสือเขียนไว้ สก สว สย ต่างกันอย่างไร โดยใช้พยัญชนะที่อาตมาไล่ให้ฟัง พยายามอธิบาย เป็นพยัญชนะวรรค หรือลำดับของพยัญชนะ พยายามอธิบายเนื้อหาว่ามันมีสภาวธรรมของมันอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2ตอน 4 วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 15:44:58 )

ความเร็วของจิตเร็วกว่าแสง

รายละเอียด

คือห้องที่อาตมาทำงานมีโทรทัศน์  3 จอ ไปที่สันติอโศก มี  3 จอ  ให้ ปฐมอโศก มี 2  จอ  อาตมาดูรู้เรื่องนะ  ถ้าดูไม่รู้เรื่องจะเปิดทำไมให้มันเสียค่าไฟ  ทำไมรู้เรื่อง  เพราะความเร็วของจิตนั้นเร็วกว่าแสง เพราะฉะนั้นดูแค่ 3 จอ ง่ายมาก  เสียงเดินทางช้ากว่าแสง  กว่าเสียง  แสง ของสามจอมา  อาตมาฟังทันหมดแหละ  ดูแล้วก็อะไรเพิ่มขึ้นที่จริง เกรงใจนะ  มี 3 จอ  แต่ที่จอทำงานก็มีอีก1  เป็น 4 จอ  แต่ได้ยินเสียง บางที่ได้ยินเสียง  ก็รู้ว่าเรื่องนี้ควรดู  ก็ได้พักสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่อย่างนั้นคนก็จะมาว่า เรานั่งนาน ที่จริง  เวลาทำงาน  เขียนหนังสือ  มันมี อิริยาบถเปลี่ยนอยู่นะ  อาตมาก็  relax    อยู่ในนั้น  อาตมาพอทำได้  ก็ขอบคุณที่ห่วง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:25:19 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:19:25 )

ความเลื่อมใสศรัทธาอันบริบูรณ์โดยรอบ

รายละเอียด

1. ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในธรรม เช่น อริยสัจ เป็นต้น) 
2. ศีล  (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่งจรณะ15) 
3. พหูสูต / พาหุสัจจะ  (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) 
4. เป็นพระธรรมกถิกะ  (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง) 
5. เข้าสู่บริษัท  (ปริสาวจโร = สู่หมู่กลุ่มอื่น) 
6. แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท (วิสารโท จ ปริสาย  ธมฺมํ  เทเสติ) 
7. ทรงวินัย        (สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร เล่ม 24  ข้อ 8) 
8. อยู่ป่าเป็นวัตร ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) 
9. ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌาน 4  
10. ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้ 
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบและเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2562 ( 17:20:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 04:25:05 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:21:08 )

ความเสมอภาคไม่มีจริงในโลกมีเท่ากันอยู่ที่อรหันต์นอกนั้นไม่มี

รายละเอียด

ริงๆแล้ว สาธารณโภคี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมาเป็นคนหมดเนื้อหมดตัวเลยอย่างนี้ทั้งหมด มันไม่หรอก แม้แต่ในชาวอโศกเอง มันก็มีเหน็บพกห่ออยู่พอสมควร หรือคนที่ยังมีในแบงค์อยู่เยอะก็ยังมีพอสมควรแต่คนเหล่านั้นคนเขาเข้าใจแล้วว่ามาเป็นอย่างนี้ได้ล่ะสูงสุดชัดเจนไม่ได้สงสัยแต่เขายังเป็นไม่ได้  ตามบารมีของเขา เขาไม่ได้จริงๆ แต่เขายอมรับเลย เขาถึงนับถือยกย่องให้ คนที่ทำได้ โดยสัจจะ ความเสมอภาคไม่มีจริงในโลกมีแต่พวกฝรั่งเศสงมงายในความเสมอภาค ไม่มีอะไรเสมอภาค ของสองสิ่งไม่มีอะไรเท่ากันหรอกแม้แต่ปรมาณูฝาแฝดก็ยังไม่เท่ากัน มันมีเท่ากันอย่างเดียวก็คืออะไรอาริยสัจ 4 คือเป็น 0 อย่างเดียว ในจูฬวิยูหสูตร มีสูงสุดหนึ่งเดียวไม่มีสองคืออาริยสัจ 4 เป็นนิพพาน 0 เท่ากันหมด ผู้ที่เป็นอรหันต์เท่ากัน นั่นแหละเท่ากัน เท่ากันอยู่ที่อรหันต์นอกนั้นไม่มี 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 14:04:32 )

ความเสียเปรียบที่สูงส่งกว่าความเสมอภาค

รายละเอียด

ความเสมอภาค คือ  ความไม่มีใครได้เปรียบ ไม่มีใครเสียเปรียบ  นั้นดี แต่ไม่ดีที่สุด แน่นอนว่า ดีกว่าการมีคนถูกเอาเปรียบในสังคม

แต่ที่ดีกว่าความเสมอภาค ก็คือ  มีการเสียเปรียบของคนผู้ยินดีเสียสละให้แก่คน แก่สังคมอย่างสมัครใจและเต็มใจ

อาจจะถึงขั้นเสียเปรียบ แม้แต่สละชีวิตตนฉะนี้แหละ  คือ ความเสียเปรียบที่สูงส่งกว่า ความเสมอภาค

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 12:10:20 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:07:49 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:21:54 )

ความเสียเปรียบสูงส่งกว่าความเสมอภาค

รายละเอียด

 ความเสียเปรียบสูงกว่าความเสมอภาค ความเสียเปรียบทั้งๆที่รู้แต่เราไม่ได้เสียรู้ ส่วนคนที่เอาแต่เสมอภาค ต้องเท่ากันๆ 1 ความเสมอภาคเป็นไปไม่ได้ในโลกก็เป็นความจริงอันหนึ่ง มีบางประเทศอย่างฝรั่งเศสเขาเอาความเสมอภาค ผู้หญิงผู้ชายต้องเสมอภาค ไม่มีเลย ปรมาณูสองอันเกิดมาแล้ว จะเล็กเท่าไหร่ก็ตาม เกิดมาแล้วไม่มีอะไรเท่ากันจะเป็นอิตถีภาวะและ

ปุริสภาวะทั้งสิ้น เมื่อมาเทียบกันแล้วระหว่าง 2 อย่างไม่มีอะไรเท่ากันทั้งสิ้น แม้คุณจะทำให้เท่าเทียมกันเสมอภาคก็แค่ไม่เจ๊า ไม่มีใครได้ไม่มีใครเสีย แต่ถ้าในสังคมมีคนยอมเสียสละด้วยเต็มใจเสียสละแล้วเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนในการเสียสละ ไม่ได้ลำบากลำบน หรือแม้จะลำบากนิดหน่อยทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไม่ได้เสื่อมอะไรมากมาย ไม่ถึงกับทำลายชีวิตตนเองเราก็เสียสละ

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 16:37:35 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:20:37 )

ความเสื่อม 4

รายละเอียด

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน  แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่ 

ที่มา ที่ไป

อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9 ข้อ 163

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2562 ( 21:17:50 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:32:19 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:23:04 )

ความเสื่อม 4 ประการ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าก็สรุปว่า อัมพัฏฐะ ความเสื่อมนั้นมี 4 ประการ คือ เมื่อไปเชื่อ ไปคิด ไปเห็น ไปเข้าใจว่า จรณวิชชาสมบัติ จะต้องอยู่กับพระป่า เพราะฉะนั้นใครจะได้จรณวิชชาสมบัติ จะต้องออกไปหาอาจารย์ในป่า แล้วก็ไปเรียนรู้ถ่ายทอดวิชชาจรณะกับอาจารย์ที่มีวิชชาจรณะในป่า นี่คือความเสื่อม คนไปเข้าใจว่าถ้าจะเอาจรณวิชชาสมบัติ อาจารย์ผู้ที่มีวิชชาจรณสมบัติ ต้องเป็นอาจารย์ในป่า เสร็จแล้วเธอก็จะเข้าป่า ไปเจอใครเข้าก็ไม่รู้ ตั้งตนเป็นอาจารย์ทางศาสนาพุทธ บอกว่าเป็นผู้ที่มีวิชชาจรณะ แต่แท้จริงแล้วไม่มีหรอก สอนแล้วไม่มีวิชชาจรณะ แต่คุณก็หลงกันว่านี่แหละเข้าใจวิชชาที่เป็นเดียรถีย์ ฌานก็แบบเดียรถีย์ สมาธิก็แบบเดียรถีย์ วิมุติก็แบบเดียรถีย์

แล้วไปเข้าใจว่า เดียรถีย์  นั่นแหละคือพุทธะ แล้วไปบำเรออาจารย์ในป่า เหมือนกับเดี๋ยวนี้หลงใหลพระป่า ว่าถูกต้องถ้าจะบรรลุอรหันต์ต้องปฏิบัติแบบพระป่า แม้แต่เป็นพระบ้าน ทุกวันนี้ก็ยังมีความคิดเชื่อว่า จะต้องปฏิบัติอย่างพระป่า ตัวเองอยู่บ้านก็จะต้องนั่งหลับตาสะกดจิต เดินจงกรม ย่างหนอก้าวหนออยู่เหมือนกัน ไม่ได้ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 เลย  พระป่า เขาก็มีความสงบบ้างเหมือนกัน ยิ่งพระบ้านไม่มีความสงบเลย เมื่อเข้าใจผิดเช่นนั้น เป็นความเสื่อมในประเด็นที่พระพุทธเจ้าท่านย้ำกับอัมพัฏฐะคือ ไปอยู่ป่ากัน ท่านแยกเป็นความเสื่อม 4 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ว่าจะมีความเสื่อมเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งก็เกิดจริงเพราะว่าศาสนาพระพุทธเจ้าผ่านมา 2,500 กว่าปี กึ่งหนึ่งของศาสนาพุทธแล้วมันก็เสื่อมถึงขีด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 14:53:09 )

ความเสื่อม 4 ประการ  

รายละเอียด

ย้ำอีกว่า พระไปหลับตาก็ดี เข้าป่าก็ดี มันนอกรีต เป็นเดียรถีย์ ศาสนาพุทธไม่ได้ออกป่า จรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้อยู่ในป่า อาจารย์ผู้ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ในเมือง ในอัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ความเสื่อม 4 ประการ 

ความเสื่อม 4 ประการ  

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ 

  2. ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า 

  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ 

  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565  แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 18:44:21 )

ความเสื่อม 4 ประการของพุทธ

รายละเอียด

ที่จริงอยู่ในข้อที่ 4 ของความเสื่อม 4 ประการ 

  1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ 

  2. ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า 

  3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ 

  4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)  แต่เขาไปเข้าใจว่าเป็นความเจริญ มันเวรจริงๆ ไม่ใช่Well

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2563 ( 11:21:07 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:05:50 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:20:30 )

ความเสื่อมของความรู้ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้ามันเสื่อมตั้งแต่คำแรกคือคำว่า  กาย

รายละเอียด

ความเสื่อมของความรู้ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้ามันเสื่อมตั้งแต่คำแรกคือคำว่า  กาย

กายนี่คือ ก.ไก่ สระ อา แล้วเอาตัวเศษวรรคตัวต้น ย ร ล ว ส ห ฬ อ

กายคือสภาพสอง กะ คือ 1 พอ กา ขึ้นมาก็ 2  กา เป็นบวกก็ได้ เป็นคูณก็ได้ แล้วจากบวก จากคูณ​ก็มาเป็นหาร คือ ขีดกลาง มีจุด 2 จุด อยู่บนล่าง กา ของทางพุทธ มันจะไขว้กัน เป็นบวกก็แปลว่าสมดุล เป็นคูณก็คือ มีความแตกต่างระหว่างองศาเล็กองศาใหญ่ บวกก็รู้ได้ยาก แต่เป็นคูณรู้ได้ง่ายกว่า กระทั่งเป็น 1 สนิท 

ถ้า 1 สนิท เทวนิยม แยกออกมาจะเป็นคูณ แต่ของพุทธแยกออกมาเป็นหาร คือจุดล่างจุดบน ระหว่างขีด พอเริ่ม 3 จะมีตัวตนรู้เรียกว่าประธาน 2 คือ S กับ H คือ บวกกับลบ คือ He กับ She เสร็จแล้วมันก็มีประธานขึ้นมาอีกตัวนึง เป็นตัวที่รู้ ความต่างของ 2 ตัว และกำหนด 2 ตัวนี้ ควบคุม 2 ตัวนี้ ก็กลายเป็นตัวประธาน มีสามเส้าจัดการกันได้ 

จากสามเส้าจะออกมาเป็น 4 ก็ต้องมีแรงจะออกมานอก วงวน cyclic order ออกนอกวงที่มีแรงมากเหนือจากจุดกลางออกมาได้ ต้องเป็นแรงที่ 4 ที่สำคัญมากที่เขาเอามาใช้เป็นพลังงานออกไปนอกโลกอะไรต่ออะไรพวกนี้ 

ทางสันติอโศกส่งข่าว เป็นกาละพิเศษที่ทางสันติอโศก รวมตัวกัน มีงานกินข้าวสวน รวมตัวกันเกี่ยวข้าว มีทั้งศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันรวมตัวกันเกี่ยวข้าวจำนวนกว่า 50 ชีวิต โดยมีศิษย์เก่ามารวมกันถึง 9 คน ก็มี ออย ละไม เจียม ต้า เบนซ์ จาจ้า มิตร กอล์ฟ โด้ ศิษย์ปัจจุบันที่ไม่ได้กลับบ้าน แม้ปิดเทอมก็ไม่กลับ ประมาณ 10 คนก็มี มีชาวชุมชนด้วย ทุกคนรวมตัวกันเกี่ยวข้าวน่าประทับใจอย่างยิ่ง คนเหล่านี้ได้จ้างเขามาไหม

ไม่ได้จ้างมา คนเหล่านี้มาทำงานฟรีมีจิตใจเห็นว่าควรมาร่วมกันทำ เขาเห็นใจส่วนรวม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 35 จิตวิญญาณแห่งสาธารณโภคีที่มีในชาวอโศก วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 13:50:23 )

ความเสื่อมของชาวพุทธ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธในยุคนี้ไม่รู้แม้กระทั่งอรหันต์มีหลายระดับ เช่นอาตมาบอกว่า อาตมาเป็น สยังอภิญญา อาตมารู้มา อาตมามีความรู้เอง ชาตินี้ไม่มีอาจารย์อาตมามีความรู้เอง อ๋อ..มันเป็นของพระพุทธเจ้า คนนี้ว่าอาตมานี้ก็แสดงว่าคุณแยกอรหันต์หลายระดับไม่ออก อาตมาไม่เคยบอกว่าอาตมาเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเป็นแค่อรหันต์นิยตโพธิสัตว์ก็บอกฐานะของตัวชัดเจนอาตมาไม่ได้เบลอไม่ได้เลอะเทอะว่า โมเมว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 คนก็ไม่เข้าใจ 

จนมาถึงทุกวันนี้อาตมาขยายความพวกเราเข้าใจคนข้างนอกเริ่มเข้าใจด้วย ถ้าคนติดตามดีๆไม่มีอคติตั้งใจฟังด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง จะได้เข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 15:17:46 )

ความเสื่อมของชาวพุทธ

รายละเอียด

เรื่องชาวพุทธไปเที่ยวได้จุดธูปจุดเทียนบูชาของประหลาดอะไรบูชาเคารพ ขอให้เจริญอย่างโน้นอย่างนี้ นี่มันแสดงถึงความเสื่อมของความรู้ศาสนาพุทธกันชัดๆเลย โอ้ ไปนับถือไอ้ที่ลึกๆลับๆ มีพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เข้าเรื่องเข้าราว มีพลังบันดลบันดาลพลังอะไรต่ออะไร 

ศาสนาพุทธไม่ได้สอน พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องเหล่านี้เลยพระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรม  กรรมอันเป็นปัจจุบัน กรรมหรือการกระทำทางกาย วาจา ใจ ที่เป็นปัจจุบัน แล้วมันเป็นผลอะไรขึ้นมา มันเกิดอะไรตามมาจากการกระทำนี้ต่างหากล่ะคือของจริง ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ มันเกิดจากเหตุปัจจัยของกรรมทางกายที่คุณได้ทำ กรรมทางวาจาที่คุณได้ทำ มาจากมโนเป็นประธาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาส่งท้ายปีเก่า 2566 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 1 วันวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2566 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2567 ( 15:26:18 )

ความเสื่อมของชาวพุทธ 7

รายละเอียด

1. ภิกขุทัสสนัง  หาเปติ  ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ

2. สัทธัมมัสสวนัง  ปมัชชติ ละเลยการฟังธรรม

3. อธิสีเล  น  สิกขติ ไม่ศึกษาในอธิศีล (ศีลชั้นสูง)

4. ไม่เลื่อมใสอย่างมากในภิกษุทั้งที่เป็นเถระ (ผู้ใหญ่) เป็นผู้ใหม่ และปานกลาง

5. ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี ตั้งจิตติเตียน คอยเพ่งโทษฟังธรรม

6. พหิทธา  ทักขิเณยยัง  คเวสติ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนาพุทธ

7. ตัตถะ  จ   ปุพพการัง  กโรติ ทำสักการะก่อนในเขตบุญภายนอกศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 23  "หานิสูตร"  ข้อ 27

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก หน้า 116


เวลาบันทึก 05 กรกฎาคม 2562 ( 15:01:47 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:57:49 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:24:23 )

ความเสื่อมของชาวพุทธ 7

รายละเอียด

1. ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ

2. ละเลยการฟังธรรม

3. ไม่ศึกษาในอธิศีล ศีลชั้นสูง)

4. ไม่เลื่อมใสอย่างมากในภิกษุ

ทั้งที่เป็นเถระ (ผู้ใหญ่) เป็นผู้ใหม่ และปานกลาง

5. ตั้งจิตติเตียน คอยเพ่งโทษฟังธรรม

6. แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนาพุทธ

7. ทําสักการะก่อนในเขตบุญภายนอกศาสนาพุทธ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 23 “หานิสูตร” ข้อ 27


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 15:38:29 )

ความเสื่อมของนักบวช

รายละเอียด

คือ ไม่มีเนื้อแท้แห่งธรรม ไม่เป็นเนื้อนาบุญ

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า139


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:26:21 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:58:09 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:24:51 )

ความเสื่อมของพระข้างนอก

รายละเอียด

พระข้างนอกเขา หากท่อง 7 ตำนานได้สวด7 ตำนานได้ก็ถือว่า เป็นพระแล้วหากินคล่อง มันเป็นความเสื่อมที่สุดแล้ว ไม่มีความเสื่อมใดๆที่จะเสื่อมยิ่งกว่านี้อีกแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 09:51:26 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 13:06:18 )

เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 17:25:10 )

ความเสื่อมของศาสนาพุทธ 

รายละเอียด

นี่เขาก็เอาประสบการณ์ที่คนสอนกันเอามาพูด มันจะทำให้เห็นได้ว่าคนเราก็ยังเข้าใจและเชื่อถือกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี เรื่องสวดมนต์แล้วจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ สวดมนต์แล้วก็เอาน้ำมาอาบ เอาน้ำมาลูบหัว ในแม่น้ำคงคา พวกศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดูเก่าเขาก็ทำก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไปเห็นเขาทำก็บอกว่า ถ้าอยู่ในน้ำสวดมนต์อาบน้ำล้างตัวแล้วก็ทำให้เกิดเจริญขึ้น พวกปูปลาอยู่ในน้ำมันก็เจริญก่อนพวกเราหนอ มันชัดเจนนะท่านก็ว่า มันไม่ใช่ 

การสวดมนต์เพื่อให้สงบชั่วครู่ พวกสวดมนต์เก่งๆต้องติดปากแต่ใจไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกมันไปเที่ยวไหนๆๆๆสวดติดปาก คล่องปรื้ดเลย ยิ่งอยู่กับหมู่ด้วยไปกับหมู่ได้สบายเลย สวดไปได้แล้วใจของเราก็ไปเที่ยวไป สวดเสร็จจบ เที่ยวยังไม่หยุด คุณจรรยาประเสริฐจับเป้าประเด็นได้แล้ว เจริญ เจริญเถิด 

ขอวกเข้าไปการสวดมนต์ ตอนนี้โพธิรักษ์กำลังสวดนะ คือสวดสาธยาย คือการสวดมนต์ทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าท่านพยายามที่จะตัดเรื่องนี้ พยายามที่จะมีพระวินัยไว้ กันไม่ให้เอามาสวดมนต์แล้วก็ติดการสวดมนต์ จนเอาสวดมนต์มาเป็นพิธีการ จนเป็นราชพิธีอย่างทุกวันนี้ ท่านกันไว้หมดแล้วแต่ไม่อยู่ นี่แสดงถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธ อาตมาเคยพูดและขอย้ำว่าจริง ว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากสวดมนต์ เป็นจารีต เป็นประเพณี เป็นกิจของสงฆ์เดี๋ยวนี้ เมื่อมาบวชแล้วก็ท่อง 7 ตำนาน 12 ตำนานให้รอด ได้แล้ว มีเครื่องหากินแล้ว เป็นอย่างนี้จริงๆไหม โอ้โห ศาสนาพุทธเหลือเท่านี้นี่คือความเสื่อม สุดๆแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ประชาธิปไตย 3 อย่าง ในโลก วันพุธที่ 4 มกราคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 12:45:23 )

ความเสื่อมของศาสนาพุทธข้อที่ 1 หลงว่าผู้ที่มีจรณะวิชชาสมบัติคือพระป่า

รายละเอียด

ยุคนี้ เขาหลงว่า ผู้ที่มีจรณะวิชชาสมบัติ หลงว่าไปอยู่กับพระปฏิบัติที่ถือว่าเป็นพระป่า ใน นี่เป็นความเสื่อม อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้ายืนยันเป็นความเสื่อม 4 ประการ ท่านตรัสไว้ตั้งแต่ท่านยังมีพระชนม์ชีพ ว่าศาสนาพุทธนี้มีความเสื่อม ถือว่าเริ่มเสื่อมข้อที่ 1 

ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า 

สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้วพำนักรอท่านผู้มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163)  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 12:53:31 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์