@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

อย่างไรคือ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่แม้เขาจะเป็นโทษในศีลข้อที่ 1

รายละเอียด

ผู้ที่ถือศีลข้อที่ 1 รายละเอียดของศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ วางอาวุธ วางศาสตรา มีความกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แต่ละคำที่อาตมาพูด เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น จนกระทั่งสุดท้ายหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แม้เขาจะเป็นโทษ 

จะเป็นโทษกับอันนั้นอันนี้ เราก็ต้องฉลาดที่จะไม่ให้เป็นโทษ อันนี้ซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามสร้างประโยชน์แก่กันและกันจึงมีความซับซ้อน 

อาตมากำลังสร้างประโยชน์แก่ท่านมหาประยุทธ์ เป็นต้น แต่ท่านจะรับรู้หรือเปล่า อาตมาทำประโยชน์เพื่อมหาบัวหรือลูกศิษย์มหาบัว เป็นต้น โดยตำหนิ ด้วยความปรารถนาดี ด้วยการสอนอธิบาย ให้เปลี่ยนแปลงเสียจากสิ่งที่ท่านเป็น ให้หยุดได้ ถ้าไม่หยุดจุดนี้แล้วมันจะไปอีกไกลอีกนานเลย 

เช่น หลับตาปฏิบัติกันอยู่ ยังเสพติดสิ่งที่เหมือนกับอาจารย์อยู่ หลงใหลในเรื่องความขลัง เรื่องลึกลับ เรื่องที่จับมาพิสูจน์ไม่ได้และเป็นนามธรรมที่เวิ้งว้าง แล้วเอามาคุยโม้ ต้องศึกษาให้ดีๆ แล้วจะรู้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกครอบงำทางความคิด จะแย่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 14:44:15 )

อย่างไรคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์

รายละเอียด

“อนุสาสนีปาฏิหาริย์” คือ คำสอน “อนุสาสนี” แปลว่าคำสอน สอนอย่างนี้ สอนให้ละหน่ายคลาย สอนศีล สมาธิ ปัญญา สอนจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วจะละหน่ายคลายทุกข์ จะปรินิพพาน เพราะฉะนั้นคำว่าปรินิพพานนี่แหละ คนยินดีในปรินิพพานจึงจะสามารถมาศึกษาเรียนรู้แล้วหลุดพ้นปรินิพพานได้ ถ้าไม่มาศึกษา ไม่มีความยินดี ไม่พากเพียรเรียนรู้ ละหน่ายคลายตัวกิเลสที่โง่เง่าอวิชชาให้ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนจนสาธารณโภคีที่เหาะได้ทั้งชุมชน วันศุกร์ที่ 8 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 16:15:08 )

อย่างไรคือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์

รายละเอียด

ขอขยายความให้พิสดารชัดเจนขึ้นไป ของคุณตุ๊ก ฟังอาตมาและปฏิบัติตามก็เห็นตามเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือคำสอนพระพุทธเจ้า มันเป็นฤทธิ์เดชเป็นปาฏิหาริย์ให้บรรลุธรรมได้ คำสอน อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ ตรวจผลที่เป็นความสำเร็จเจริญแบบ รู้จักกิเลสแล้วล้างกิเลสได้ นี่คือเป้าหมายของศาสนาพุทธ ไม่ใช่ปาฏิหาริย์แบบอิทธิปาฏิหาริย์เหาะเหิน เดินน้ำ ดำดินได้ ไปหยั่งรู้ใจคนอื่น รู้ใจคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่ได้รู้จักกิเลสตัวเองเลย รู้จักแต่ความพิสดารของจิตที่มันหยาบ กลาง ละเอียด ของคนอื่นแต่ไม่เข้าไปรู้จิตใจตัวเอง ไม่ได้รู้กิเลสตัวเอง ไม่ได้แยกกาย แยกจิตตัวเอง มันก็เลยมองข้ามไปจากศาสนา 

ที่สามารถปฏิบัติตามอาตมาพูดและบรรยาย อาตมาพยายามจูงนำพูดให้ปฏิบัติให้ถูกให้เกิดมรรคผล เกิดสภาวะที่สัมผัสจิตอ่านจิตอ่านกิเลส แยกกิเลสได้ รู้จักการลดกิเลสแม้จะ กดข่ม ก็ได้ขั้นหนึ่งแล้ว ยิ่งเกิดการปัญญาญาณ รู้ถึงความไม่เที่ยงของกิเลสอันนี้ก็ลึกซึ้งในไตรลักษณ์สาม มันไม่เที่ยง ไอ้ตัวนี้มันเป็นตัวเหตุเป็นตัวการใหญ่จริงๆ เลย แล้วเราก็โง่กับมันจนเราฉลาดขึ้นมา ถ้าเราเลิกไม่ต้องไปคบกับมัน เพราะมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันก็จากจิตเราเราก็เห็นความเบาความว่างไม่ถูกกิเลสมันกัดเอา ชัดเจน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 09:02:10 )

อย่างไรคือ อภินิพพัตติ

รายละเอียด

เกิดความรู้ขึ้นมาจริงๆ สามารถทำให้เกิดความรู้ ความเกิด ความดับ นิพพัตติ จึงเป็นการรู้ความเกิดความดับและสามารถทำให้ความเกิดความดับนั้น ต้องการดับสิ่งที่ดับ แล้วก็ทำให้ดับได้จริงๆ จนจบ 

สิ่งที่ดับได้จริง จบแล้ว หมดแล้ว สุดยอดทำได้เก่งเรียกว่า อภินิพพัตติ คือการทำนิพพัตติ ทำให้เกิดความเกิดความดับ 

ความเกิดตรงนี้จึงมี 2 อย่าง 

1. ความเกิดของความเกิด 

2. ความเกิดของความดับ 

ทำความดับนั้นให้ปรากฏขึ้นมาได้ ก็เรียกว่าทำความดับ โดยการใช้พลังงานธาตุรู้ปัญญาทำให้มันดับได้จริง สุดยอด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่ามันดับได้เพราะมันมีเหตุ

อภินิพพัตติ คือ การรู้การเกิดการดับ หรือรู้ทำความดับให้แก่การเกิด จึงมาเลือกทำการเกิดกิเลส ดับตัวเกิดแต่กิเลสนะไม่ต้องไปดับวิญญาณหรอก จึงเห็นวิญญาณสะอาด เป็นธาตุเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันอยู่อย่างไม่เป็นตัวตนอะไรเลย เมื่อรู้แล้วจะมีปัญญามีธาตุรู้ ว่าอ๋อ ธาตุ จิตเจตสิกทั้งหลายแหล่คือธาตุ 2 ธาตุเทวะ เทวะแปลว่า 2 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:42:42 )

อย่างไรคือ อภิสังขารกับสสังขาริกัง

รายละเอียด

ทำได้ มีวสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจของตนเองได้ มีแต่ความรู้ความสามารถไม่มีกิเลส เรียกว่า อสังขาริกัง ไม่มีกิเลสเข้าไปปรุงแต่งร่วมด้วย แต่ทำอภิสังขารได้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีกิเลสเข้าไปปรุงด้วย จึงเรียกว่า อสังขาริกัง แต่คนที่ยังมีกิเลสร่วมปรุงแต่งด้วย ก็ยังเป็นสสังขาริกัง มีกิเลสเข้าไปแซม เข้าไปผสม เข้าไปยุ่ง เข้าไปวุ่นวาย เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการ เข้าไปเป็นนายเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 05:19:13 )

อย่างไรคือ อยู่อย่างเข้าใจไม่ยึดติดเลย

รายละเอียด

อย่างเช่นอาตมาเข้าใจ เทวะมันแปลว่า 2 แต่เขาก็แปลว่าหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปลงเที่ยงแท้แน่นอน เราก็เข้าใจเขา ส่วนเราก็เข้าใจอย่างเรา สำหรับของพระพุทธเจ้าที่สุดแล้วไม่ยึดติดเลย 1 ก็ไม่ติด 0 ก็ไม่ติด เข้าใจถูกต้องแล้วเราก็เกิดถ้าเรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้เราจะอยู่กับอะไร อยู่กับ 0 อยู่กับ 1 อยู่กับ 2 3 4 5 6 7 8 9 ร้อยพันหมื่นแสนล้าน เราก็อยู่กับสิ่งนั้นอย่างเข้าใจ อะไรที่เราเห็นว่าเราไม่เหมือนเขา อันนี้ควรจะดีกว่า ก็บอกเขาจะเอาด้วยหรือไม่ก็แล้วแต่ เป็นแต่เพียงเราออกความเห็นของเราอย่างนี้เราเห็นว่าถูก คนอื่นฟังธรรมอาตมา เขาฟังว่าอย่างนั้นผิด เช่น อาตมาบอกว่านั่งหลับตามันผิดหลักศาสนาพุทธนะ หาหลักฐานอ้างอิงยืนยันว่าไม่ถูกหรอก อาตมาก็ต้องพูดยืนยันอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่เถียงเขาหรอก แล้วเขามีเยอะด้วยนะ ยุคนี้เข้าใจศาสนาพระพุทธเจ้าผิด ปฏิบัติธรรมนั่งหลับตานี่แหละมีเยอะเลย แบบไม่นั่งหลับตามีน้อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:49:11 )

อย่างไรคือ อรหันต์ที่เป็นอมตะ

รายละเอียด

เป็นอรหันต์หมดกิเลส จะบำเพ็ญโพธิสัตว์หรือไม่ ถ้าไม่บำเพ็ญโพธิสัตว์ก็มีสิทธิ์ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย อรหันต์ทุกองค์มีสิทธิ์ ทำได้แล้วแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมได้แล้ว ความรู้ที่อาตมาเอามาเติมที่ทางเถรวาทศาสนาเดิม พุทธเดิม ที่มีอยู่เหลืออยู่ที่เข้าใจกัน ก็คือ อรหันต์ที่เป็นอมตะ มีวิมุติแล้วในมูลสูตร 10 หมดจากวิมุติก็มาเป็นอมตะ อมตะเป็นอันที่ 9 ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เป็นอันที่ 10 วิมุติเป็นอันที่ 8

อมตะบุคคลคือ สั่งตัวเอง จะตายสูญหรือตายเกิดอีกก็ได้ อย่างอาตมา อาตมาเอาความจริงที่อาตมามี อาตมาเป็นอยู่ จึงอธิบาย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อธิบายมูลสูตรทั้ง 10 ได้สมบูรณ์ แต่ก่อนไม่มีใครแจกแจงได้ เขาก็อธิบาย อมตะคือผู้ไม่ตาย แล้วเขาก็ว่าเที่ยง เขาก็วนอีก อมตะ คือไม่ตายแต่มีต่ออีก เขาก็ไปไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือมนุษย์อัศจรรย์ตามปหาราทสูตร วันพุธที่ 15 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2564 ( 19:22:27 )

อย่างไรคือ อาการน่าเลื่อมใส

รายละเอียด

ต่อลงมาชั้น 7 ท่านทำงาน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมดูน่าเลื่อมใส ดูนับถือสำหรับผู้รู้ สำหรับผู้ที่ไม่นับถือก็ดูบาดจิตบาดใจเขา จะพูดก็ตามแสดงท่าทีลีลา นัจจะ อย่างนี้เหมือนกับไปทุบเขาไปตีเขา ปากนี้ก็เป็นปากหอกไปเสียบแทงเขา มันก็จริง แต่อาการอย่างนั้นเป็นอาการที่น่าเลื่อมใส คนไม่รู้ก็เห็นเป็นตรงกันข้าม คนที่รู้ก็บอกว่าโอ้โห ที่จริง ท่านสอนเรานะ ท่านเตือนเรา เราก็โง่ นอกจากโง่แล้วก็ดื้อด้าน ทั้งโง่ทั้งด้าน ทั้งง่านทั้งโด้ ทั้งโด้ทั้งง่าน 

ก็รู้ตัวเองว่า หนอ เรานี่ คำสอนท่านอะไรต่ออะไร ที่จริงอาตมามาสอน อาการที่อาตมากระทำทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นอาการที่น่าเลื่อมใสทั้งนั้น แต่ผู้ที่รู้ไม่ได้ ดูไม่ออก ดีไม่ดีเขาก็เจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว คือเขาไม่รู้จักความเป็นตัวตนไม่รู้จักสิ่งสัมผัส ไม่รู้จักสิ่งที่ให้แท้ๆไม่รู้จักเอา ไปหลงงมงายอยู่กับสิ่งที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กับความรู้เก๊ความรู้ปลอม หรือความรู้จริงก็ได้ แต่คุณก็เอาไม่เป็น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อาการน่าเลื่อมใสในวรรณะ 9 ของพ่อครูเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 10:36:52 )

อย่างไรคือ อาศัย นิสัย วิสัย พุทธวิสัย ณานวิสัย

รายละเอียด

หมายความว่าสังคมพุทธทุกวันนี้มันสุดสิ้นทางที่จะดำเนินไปเป็นพุทธแล้วเพราะมันไร้จรณะ โดยเฉพาะพุทธคุณ 9 มีวิชชาจรณสัมปันโนเป็นเครื่องชี้บ่งที่เป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ คำว่า วิสัย เป็นคำลึก เช่น พุทธวิสัย ฌานวิสัย มันมี อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย ที่อาตมาเคยแยกแยะให้ฟัง ถ้าอาศัยคือ พฤติกรรมสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ถ้าสิ่งที่อาศัยนั้นซึมซับเข้าไปอยู่ในเนื้อของคน เป็นพฤติกรรมของคน ก็ลึกเข้าไป ทรงสภาพ จนเกิดเป็นความประพฤติอยู่ในตนได้ เรียกว่า นิสัย ส่วน สัย หรือ สย แปลว่า ตัวตน ตัวเรา  ยิ่งวิสัย ก็ยิ่งสูงส่ง วิ แปลว่ายิ่งเลิศยอดหรือแปลว่าไม่มีก็ได้ เพราะฉะนั้น สย ที่ไม่มีตัวตนที่ไม่มีกิเลสเป็น สย ที่เลิศยอดก็คือคำว่าวิสัย เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถสร้างวิสัยได้สูงสุด เรียกว่าพุทธะวิสัย รองลงมาก็คือฌานวิสัย สามารถสร้างพลังงานจิตให้มันไปเผากิเลสเป็นฌาน เผากิเลสได้เรียก ฌานวิสัย

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:04:04 )

อย่างไรคือ อาหารเครื่องอาศัยที่เฟ้อที่เกิน

รายละเอียด

คนไปหาสิ่งที่อาศัย ไปมีลิปสติกเอามาทาอาศัย ไปมีขนตาปลอมมาใส่ตา ไปเอาวิกมาใส่หัว ไปเอาอะไรมาเสริมแต่งต่างๆ แม้ข้างนอก  แม้ข้างใน อันนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะรู้สึกว่าตัวเองขาด นั่นก็เป็นอาหารของเขาเหมือนกัน เป็นเครื่องอาศัย เขาขาดนะ เขาไม่ได้ เขารู้สึกว่าเขาไม่ครบ เขาไม่เต็ม เขาจะต้องได้มา มันหมดความมั่นใจอะไรของเขาก็แล้วแต่ อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่เฟ้อที่เกินเพราะเขาวนเวียนไม่มีความรู้ ก็มีแต่สิ่งที่เฟ้อที่เกินไปเยอะแยะ 

จริงๆแล้วสิ่งที่ใช้เป็นอาหารนั้นน้อยนิดเป็นปัจจัย 4 หรือบริขาร แต่ก่อนมีบริขาร 8 เดี๋ยวนี้ก็มีมากกว่านั้นหน่อย เช่น แว่นตา สมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่มีแว่นตา ปากกา คอมพิวเตอร์ก็ไม่มี แต่สมัยนี้ก็ หยวน ถือว่าเป็นความจำเป็นเอามาใช้ ไม่เช่นนั้นมันก็ตามเพื่อนฝูงไม่ทันแทนที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันกับใครๆได้มากขึ้น เป็นประโยชน์ได้ลึกซึ้งขึ้น มันก็ไม่ได้ ก็ต้องทำเท่าที่ควร เท่าที่ทำได้ เท่าที่สามารถ 

อย่างหลวงปู่ไม่มีเวลาแรงงานเหลือพอไปเก่งทางคอมพิวเตอร์ที่จะทำอันนู้นอันนี้ได้ ก็อาศัยผู้อื่น อาศัยท่านแสนดิน อาศัยท่านดินไท อาศัยใครต่อใคร ท่านลั่นผา ท่านอะไรต่ออะไรช่วย อันนี้ติดขัดอีกแล้ว ขัดข้องทางนี้มันทำไม่รู้เรื่องแล้ว ก็มาช่วยกัน ก็เท่าที่ทำได้ ก็ไม่ได้ใช้อะไรพิสดารเท่าไหร่ คอมพิวเตอร์ใช้เขียนหนังสือ แม้แต่จะวาดจะเขียนอะไรก็ไม่เอา ทั้งๆที่ตัวเองก็วาดก็เขียนเรียนทางนั้นมาโดยตรงก็ไม่เอา เอาแต่เขียนหนังสือ ใช้แต่ตัวหนังสือกับองค์ประกอบที่ทำให้ตัวหนังสือมันได้ช่องไฟ ได้ลำดับ ได้ขนาด ดูดีอะไรต่ออะไรเท่านั้นเอง ซึ่งก็รู้แต่แทคติกของการทำพยัญชนะให้มันใช้ประโยชน์ได้ อย่างนี้เป็นต้น 

ในจิตรกรรมก็ดี ประติมากรรมก็ดี มันมีวิญญาณที่ลึกไปเฉยๆ แต่ในวรรณกรรมนี้มันเป็นสื่อ เป็นสิ่งที่ชี้บ่งบอก ทั้งตัวหนังสือทั้งภาษา 

ก็มีอีก Pure Art มี 5 อย่าง จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม นาฏศิลป์และเพลงดนตรี Music and Drama 

มี 5 อย่างที่เป็น Pure Art เดี๋ยวนี้แตกแขนงกันไปนับไม่ถ้วน เลย กลายเป็นศิลเปรอะไปหมด เช่น ศิลเปรอะในการเขย่า เขย่าเหล้าให้คนกินอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:48:36 )

อย่างไรคือ อาโลก

รายละเอียด

วิทยาศาสตร์ทางแพทย์ก็เลยอุปาทานเละเหมือนกัน แสงนี่แหละใน อภิภายตนะพระพุทธเจ้าตรัสถึงแสงสีเขียวสีแดงสีขาวไว้ชัดเลย จะรู้ความจริงเลยว่ามันไม่มี มันมีก็ต้องมีแสงจริง มีเหลืองมีเขียวมีแดงในแสงจริงๆ หลับตาแล้วจะมีแสงสีอะไร แล้วคุณก็บอกว่ามีสารเคมีหลั่ง มันอุปาทานทั้งนั้น อาโลก ตาก็มีรูปเป็นอาโลก หูก็มีเสียงเป็นอาโลก จมูกก็มีกลิ่นเป็นอาโลก ลิ้นก็มีรสเป็นอาโลก อรหันต์ หลับตาก็มีความมืดเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ถ้าไม่ใช่อรหันต์หลับตาแล้วมีแสงสีต่างๆก็เป็น กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน ภูมิต่ำกว่านั้นยังไม่ต้องแหยม อธิบายไว้เป็นเส้นทางในการนำทางเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าสัมมาทิฏฐิ ไม่ผิดหรอก แต่ว่ามันต้องพูดไว้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 15:46:40 )

อย่างไรคือ อิสรเสรีภาพของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

อิสรเสรีภาพ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าไปเข้าใจว่าอิสรเสรีภาพคือการทำอะไรได้ตามใจตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องของการบำเรออัตตาเต็มรูป มันเป็นตัวตนเต็มตัว มันเป็นทาสของอัตตาตัวกูของกูเต็มรูปเลย เขาไม่เข้าใจ อย่างอโศกนี่มาดูได้เลย เป็นประชาธิปไตย สมบูรณ์แบบ ขอยืนยันประกาศได้เลย เพราะมันเป็นความจริง คนที่จบรัฐศาสตร์ประชาธิปไตยเรียนมาจบด็อกเตอร์มา รับรองว่ายังไม่ตรงที่ว่านี้หรอกอาจจะมีส่วนพาดพิงแต่ไม่ตรงกับที่ว่าอิสรเสรีภาพของพระพุทธเจ้านั้นมันอิสรเสรีภาพที่ทางอัตตาเทวนิยมทางตะวันตกเขาจะไม่เข้าใจอัตตาเขาจะเป็นเทวดาก็จะเป็นยิ่งใหญ่ตามพระเจ้า ไม่เข้าใจเข้าใจไม่ได้หรอก พูดยังไงก็ไม่เข้าใจอิสรเสรีภาพมันจะบำเรออัตตาตัวเองอีกทั้งนั้น ที่ไม่บำเรออัตตาคือตัวเองไม่มี จึงเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ มาดูได้จากอโศก

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:17:18 )

อย่างไรคือ อุเบกขาของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

อุเบกขาของพุทธเจ้ามีองค์ธรรมทั้ง 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา คือจิตที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส แม้กระทบสัมผัสกับอะไรต่างๆก็บริสุทธิ์อยู่เรียกว่า ปริโยทาตา จิตยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งเรียนถูกต้องตามสัมมาทิฎฐิพระพุทธเจ้า ไม่ต้องหลบเลี่ยงเลย ยิ่งกระทบสัมผัสเหตุปัจจัยต่างๆยิ่งจะทำได้เก่ง มีมุทุภูตธาตุ จิตยิ่งเร็วยิ่งไว ยิ่งแข็งแรงทั้ง Static และ Dynamic ทั้ง เจโตและปัญญา มุทุมีทั้งสองอย่างเลย เป็นกายปาคุญญตา และจิตปาคุญญตา ได้คล่องแคล่งว่องไว ทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่ว่า จิตบรรลุแล้ว เฉื่อย หนืด ไม่ใช่ แต่คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว ยิ่งมีสมาธิดี ยิ่งปราดเปรียว ยิ่งมีฌานดียิ่งปราดเปรียว นี่คือความเข้าใจที่เขายังเข้าใจผิดกันอีกเยอะเลย กลับไปทำให้มันเกิดความช้า ย่องหนอ หยุดหนอ มันตรงกันข้ามกับการศึกษาของพระพุทธเจ้าเลย ของพระพุทธเจ้าต้องศึกษาให้จิตใจมันเร็วขึ้น โดยแบ่งทำเป็นเรื่องๆตามศีล ศีลข้อที่ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 มี จุลศีลทั้ง 26 ข้อ คุณไปทำไม่ถึง 26 ข้อก็เป็นอรหันต์ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเถิด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:51:01 )

อย่างไรคือ เครื่องวัดว่าเศรษฐกิจดี

รายละเอียด

เศรษฐกิจดี คือ คนอยู่เย็นเป็นสุข พอมีพอกิน และมีเหลือด้วย เศรษฐกิจดีอาตมาตั้งค่าไว้แล้วบอกเป็นสูตรไว้แล้ว 

  1. ไม่เป็นหนี้ 

  2. ทำงานมีความรู้ความสามารถ พึ่งพาตนเองรอดมีอยู่มีกิน 

  3. เหลือ การทำงานของเราสร้างสรรมีผลผลิตเหลือเกินกินเงินใช้มีไปเผื่อแผ่แจกจ่ายคนอื่นได้

  4. สะพัด ให้ถูกที่สุดเท่าที่จำเป็นจะต้องขายบ้าง หรือแจกได้ก็แจกอย่างที่เราทำกัน

นี่คือเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจดีที่สุด เพราะฉะนั้น 4 ข้อนี้แหละเป็นเครื่องวัดว่าเศรษฐกิจดี มีความรู้ความสามารถทำแล้วก็อาศัยกินใช้รอดมีลาภธัมมิกา นอกจากเลี้ยงตัวเองรอดแล้วยังมีเหลือเกินกินเกินใช้ ถ้าคุณเข้าใจเกณฑ์หรือเครื่องมือการวัดมาตราการวัดว่าเศรษฐกิจดีคืออะไร 4 หลักนี้ จบเลย คุณมาวัดชาวอโศก แล้วเป็นไงอยู่สุขสบายไหม อยู่สุขสบาย

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:24:31 )

อย่างไรคือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ กับอสัญญี

รายละเอียด

คือไม่ต้องหรือยังต้องเป็นสัตว์อยู่ก็ต้องใช้สัญญี คือต้องใช้สัญญากำหนดรู้ให้ชัด รู้อะไรก็รู้ตัวที่ไม่ชัด เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ เนวคือรู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ มันต้องรู้ครบ แม้นิดแม้น้อยจึงจะพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ และพ้นจากความเป็นสัตว์ด้วย หรือพ้นเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ เป็นภูมิที่รู้แค่นี้ หลุดพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ จบรู้แล้วพ้นแล้ว ความไม่รู้ไม่มีแล้ว เพราะรู้จบ ไม่ต้องสัญญีอีก คืออสัญญีคือผู้นี้ไม่ต้องใช้สัญญากำหนดรู้แล้ว อสัญญีจะใช้คำว่าสัตว์ก็ได้ไม่ใช้ก็ได้ ถ้าใช้สัตว์ก็คือ ถ้าทำเนวสัญญาฯได้จบ อสัญญีก็จบ แต่ถ้าทำเนวสัญญาไม่จบ อสัญญีก็ไม่จบ ทำสำเร็จแล้วอสัญญีสัตว์ก็หายไปด้วย คุณพ้น เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ที่ว่ารู้ก็ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่ใช่ มันพ้นไปถึงขั้น พ้นอวิชชา พ้นอาสวะก็พ้นอวิชชาสวะ พ้นอวิชชานุสัย ไม่มีแล้วอวิชชาแม้อนุสัยก็สมบูรณ์แล้วจบแล้ว เพราะฉะนั้น อายตนะก็ไม่มี สัมผัสอีกก็อยู่เหนือมันหมด แม้จะรู้แล้วตอบไม่ได้ก็ยังไม่เก่งขยายความไม่ได้ ปัญญายังไม่คล่อง ไม่ถ้วนรอบ มีแต่สภาวะ เป็นเจโต แต่ถ้ารู้แบบปัญญาจะอธิบายได้มาก แต่พวกสายเจโตไม่ชำนาญอธิบาย อธิบายไม่ออก

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 09:48:54 )

อย่างไรคือ เนื้อแท้ของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

เรามีเนื้อแท้เป็นสูญเลย ตรงที่ไม่มีตัวตนเลย รับใช้เพื่อคุณ เสียสละเพื่อคุณให้คุณไปหมดเลย แล้วคุณจะมาเอาอะไรจากเราอีก หือ? ถามหน่อย เห็นไหม มันสุดแห่งที่สุดเลยนะ มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว มีแต่ดีอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วมันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นความไม่มีตัวตน ความเสียสละ ความมีปัญญา ยิ่งรู้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไรจบเลย มันไม่มีเปลี่ยนแปลง มันไม่มีสับสน ไม่มีเหลาะแหละอะไรเลย มันเปรี้ยงๆตรงๆอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นคุณคนนี้มองดีๆ ศึกษาดีๆ จะบอกว่าวิธีการรุกใส่ศาสนาพุทธแต่เอื้อต่อศาสนาอื่น มันก็ไม่ผิด มารุกใส่สิ ให้เราอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ ก็เกื้อกูลเสียสละแท้ให้ได้ ใครจะชนะก็เอาไปเลยก็ไม่เป็นไรไม่เป็น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 2 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 11:20:57 )

อย่างไรคือ เราไม่ได้ยากจนแต่เราเป็นคนจนโดยไม่ยาก

รายละเอียด

อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็มีผลผลิตมีผลงาน แม้สิ่งที่ปลูกไม่ได้ปลูกก็เป็นพืชพันธุ์ธรรมชาติ เช่นดอกโสน พวกเราขยันก็ช่วยกันไปเก็บผลผลิตพวกนี้ ไม่อย่างนั้นก็เหี่ยวแห้งสูญหายไป พวกนี้เป็นพืชล้มลุก เก็บไปไสศาลาปันสุข ให้ได้เรื่อยๆ ใครจะเอาไปกิน ตั้งกองเก็บไปเลย เราก็มีมะละกอเยอะ พริกก็มีมะเขือก็มีไม่ใช่น้อย เรากินไม่หมดหรอกมันจะสูญเสียแล้วมันก็จะแห้ง เราก็มีพันธุ์อยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้พวกเรายังมีความขยัน สมรรถนะในการสร้างสรรไปได้อีกเยอะ ถ้าเผื่อว่าเราเพิ่มพลังสร้างสรรพวกนี้ขึ้นมา แม้แต่เก็บผลผลิตขึ้นไปเพื่อที่จะเผยแพร่แจกจ่าย อาตมาว่าเป็นที่ศาลาปันสุข หรือไปแจกที่อุทยานบุญนิยม แจกที่สหกรณ์บุญนิยมก็ได้ถ้ามีมากพอ เก็บได้เท่า นี้ก็หมดแล้วก็เท่านั้นพรุ่งนี้ก็เอาไปแจกใหม่  ทำด้วยความจริงใจเป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่มีเหลือ เราไม่ได้ยากจน แต่เราเป็นคนจน เป็นแต่เพียงพวกเราเป็นคนอยากจน พวกเราไม่ใช่คนยากจน เพราะเราจนสำเร็จแล้ว เราต้องการจะมาเป็นคนจนแล้วเราก็จนสำเร็จด้วยไม่ต้องอยากเพราะเราเป็นได้อยู่แล้ว จึงกลายเป็นคนยากจนอยู่แล้ว แต่เป็นคนยากจนมหัศจรรย์ เป็นคนยากจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนยากจนที่ประเสริฐ เป็นคนยากจนที่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอยู่ได้เสมอ มันเป็นความขัดแย้งกันอยู่ในตัวทั้งหมดเลย ในสภาวะจริง พูดอย่างหนึ่งแต่สภาวะจริงอีกอย่างหนึ่ง นี่คือลักษณะสิริมหามายา เดี๋ยวก็พูดกลับไปกลับมา มันกลับยากหรือไม่ยากที่พูดเมื่อกี้นี้ พวกเราจนโดยไม่ยาก วันนี้เจอดอกกระเจียวนี่ ใหญ่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2564 ( 10:48:04 )

อย่างไรคือ เวทนาเก๊

รายละเอียด

กองทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น กองทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ กองทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ผู้ที่เห็นอันนี้ชัดเจนก็ไม่เอาแล้ว จะศึกษา เลิกจากที่มันมีในโลกนี้ ก็ศึกษาตามพระพุทธเจ้าสอนว่า เมื่อมันปรุงแต่งกันอยู่ ก็จับมันให้มั่นคั้นให้ตาย อย่าให้มันไปปรุงแต่งกัน ให้มันรู้อย่างเดียว เอกัคตารมณ์ ให้มันมีความรู้สึกอย่างเดียวให้ชัด มันจะเป็นความรู้สึกก็ใช้สัญญาไปกำหนดด้วยว่ามันรู้สึกกับอะไรอย่างนั้นอย่างเดียว อย่างที่มันเข้ามาร่วมปรุงนั้นมันเป็นตัวจร เป็นตัวกิเลส ให้มันผิดเพี้ยนไปจากความจริง อ่านอาการผิดเพี้ยนนั้นเป็นเวทนาเก๊ เป็นอารมณ์เก๊

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:56:06 )

อย่างไรคือ เวทนาเก๊ เวทนาแท้

รายละเอียด

เวทนาแท้รู้ความจริงตามความเป็นจริง เวทนาอีกอย่างมีความชอบความชัง คือเวทนาเก๊ เวทนาแท้คือ อันนี้เขียวคือเขียว อันนี้ขาวคือขาว อันนี้คือดำ อันนี้คือรสชาติเปรี้ยวหวานมันเค็มอย่างไรก็เป็นของแท้ คุณจะต้องวิจัยอ่านอาการอารมณ์ที่เป็นเวทนาเก๊ให้ได้ อันนี้มันไม่ใช่เวทนาที่มันเต็มๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง มันมีความชอบหรือไม่ชอบ อร่อยหรือไม่อร่อย สุขหรือทุกข์ อาการพวกนี้ คุณต้องอ่านว่า ก็มันของจริงจบแล้วมันก็เป็นอันเดียวอย่างเดียว ระกำอันนี้หวานดีนะ ใครมาแตะไม่ว่าจะเป็นลิ้นไทยฝรั่งแขกราวลิ้นจีน ถ้าประสาทไม่เสียก็จะตรงกันหมดว่ามันจะหวานก็อย่างนี้ จะเรียกโดยภาษาฝรั่งก็เรียกไปจีนก็ได้ ไปไทยก็เรียกไปคำว่าหวาน คืออะไรก็ภาษานั้น แต่รสอันเดียวกันของแท้ตรงกันหมดเรียกว่ารสแท้ แต่รสหวานแล้วเกิดความชอบอันนั้นแหละ บางคนกินหวานอย่างนี้ไม่ชอบ ความไม่ชอบนั้นมันของเก๊ มันไม่จริงหรอกมันเป็นผีหลอก นี่แหละทำให้อาการตัวชอบไม่ชอบนี้หมดไป รู้ของจริงตามความเป็นจริงนั้นมันก็เหมือนกันหมด โดยสัจจะมีหนึ่งเดียว มันไม่มี 2 หรอก 2 มันเป็นของเก๊ทั้งนั้น เทฺว ธมฺมา ก็ต้องทำให้เป็นหนึ่งเดียวให้ได้ของแท้ ถ้ามีของปลอมอยู่คุณยังไม่บรรลุธรรม มันยังมีผีหลอกอยู่ แล้วผีพวกนี้ชอบแต่งตัวเป็นเทวดา 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 11:17:59 )

อย่างไรคือ เศรษฐกิจพอเพียง

รายละเอียด

ใจพอ ในหลวงร.9 ใช้คำว่า พอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง  เศรษฐศาสตร์แบบพอเพียงก็คือ แต่ละคนมีใจพอ คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่แหละ อาตมาจะต้อง 1. พิสูจน์ร่วมกับชาวอโศก 2. จะต้องอธิบาย นัยที่ลึกซึ้ง มันไม่ได้จำเพาะอยู่ที่ชาวอโศกทำงานฟรี เพราะฉะนั้นให้คนทั้งประเทศมาทำงานฟรีหมดมันไม่ใช่ ต้องให้เขาอยู่ในฐานะเขา เขาจะต้องใช้สอยอยู่เขามีความจำเป็นต้องเลี้ยงดู ต้องรับผิดชอบ เขาก็ต้องมี ก็เรื่องของเขา มันก็เป็นฐานะไป ไม่เท่ากัน ผู้ที่จะอยู่ในฐานะที่อยู่ด้วยกันได้ มาเป็นเศรษฐกิจเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ คุณก็มาอยู่สิที่นี่ แต่ถ้าคุณเองไม่ได้หรอก นี่พวกเราบางคนมาอยู่ที่นี่อยู่ได้ตลอด บางคนอยู่ไม่ได้ตลอด ต้องไปตะลอนมีพิเศษอยู่ข้างนอก ก็ตามฐานะ ก็ต้องมี ลดหลั่นไป คนจะต้องใช้อาศัยมากก็เรื่องของเขา แต่ก็เข้าใจแล้วว่า มันจะต้องน้อยให้ได้ จิตใจของเขารู้ว่าทิศทางมันจะต้องน้อยให้ได้ แต่เขายังทำไม่ได้ จะเป็นความจำเป็นของเขาหรือกิเลสของเขา บางคนใจของเขาทำได้แล้วแต่เป็นภาระวิบากของเขาที่ต้องมี มันมีอีกเยอะที่เป็นเหตุปัจจัย ก็ค่อยๆศึกษาให้ดีแล้วจะรู้ว่าเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจแบบของพระพุทธเจ้านี้ มันยิ่งใหญ่จริงๆ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 13:19:22 )

อย่างไรคือ เศรษฐกิจแบบพุทธที่สุดยอด

รายละเอียด

ตอนนี้เราก็กำลังเน้นเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องการเมืองก็ให้เข้าใจ

เศรษฐกิจที่สุดยอดนั้นพระพุทธเจ้าค้นพบแล้ว และก็พาทำพาปฏิบัติ สรุปลงสั้นๆตามหลักแบบของพุทธก็คือแบบคนจน หรือเราขาดทุนอยู่เสมอ ขาดทุนอย่างที่เราอยู่ได้ ไม่ไปเอาเปรียบเอารัดเอากำไรจากผู้อื่นเลยจริงๆ มีปัญญาเห็นชัดว่าเราขาดทุนแก่ผู้อื่นได้นั่นแหละ เราเจริญแล้ว เราเป็นผู้ขาดทุนเป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ นั่นแหละคือเราสำเร็จผล เรียกว่าได้ก็ตาม yield มีประโยชน์สำเร็จแล้ว ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ใช้คำว่า Gain เป็นการได้เป็นการกำไรเป็นการมีประโยชน์ ภาษาคำนี้ไม่ได้ตรงตามเศรษฐศาสตร์ของคนทั่วโลกคนทั่วไป ที่บอกว่ากำไรเป็นการได้เปรียบมาให้แก่ตน แต่กำไรที่เราได้ให้ออกไปได้สละออกไป ง่ายๆสั้นๆ สัจจะ จริงใจ ให้ไปแล้วเราก็ไม่ตาย เราก็อยู่ได้ เหลือพอจะเลี้ยงตนได้ ช่วยผู้อื่นได้ ถึงให้ ไม่ใช่เดือดร้อนตัวเองเอามาให้กู้ยืมเอามาให้ ถ้าเรามีพอเหลือเฟือ ก็แจกจ่ายผู้อื่นพอสมควร ที่เราจะมีสำรองไว้บ้าง ไม่มาก ไม่กักตุน เพราะจะเสียของ เราจะมีปัญญาทางเศรษฐศาสตร์ บางอย่างเสีย เน่า เร็ว ผุพังเร็ว เราก็รีบสะพัด

สรุปแล้วเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ถึงขั้นสาธารณโภคีด้วย เป็นเศรษฐศาสตร์แบบคนจนด้วย แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราด้วย มาศึกษาดีๆเถอะ ยืนยันว่าความรู้อันนี้เป็นความรู้สำเร็จรูปของพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นผู้มีภูมิปัญญา สั่งสมมา จนถึงชาตินี้ ปางนี้ ปัจจุบันนี้ และแสดงออกตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 หรือผู้อื่นที่ท่านเป็นสยังอภิญญา มีความรู้เก่า ภูมิเก่า และเอามาประพฤติจริงในปัจจุบันในยุคนี้กาลนี้ มีปรากฏการณ์จริงบุคคลจริงความประพฤติจริง มีเหตุปัจจัยที่สืบสาวราวเรื่องประวัติศาสตร์ได้ ยิ่งเห็นหลัดๆ อย่างชาวอโศก ทำมาแล้วก็ทำต่อ ก็จะพิสูจน์ให้ยาวนานไป อย่างมั่นใจว่าอันนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ผิดเพี้ยน ไม่เปลี่ยนอีกแล้ว สุดครบสมบูรณ์แล้วเราก็จะทำต่อไปจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:09:18 )

อย่างไรคือ เศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบเป็นตัวอย่างของสังคมได้

รายละเอียด

เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพาทำและในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นอันเดียวกัน ที่พูดนี้ไม่ได้ยกตนเทียบท่านหรอก แต่อาตมาพูดตามหลักวิชาการ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ก็อันเดียวกัน ประพฤติอันเดียวกัน ในหลวงพยายามทำให้คนมาเป็นคนจนแต่คนทำไม่ออก อาตมาก็ทำได้จำนวนหนึ่ง ผู้ที่มีอิสระเสรีภาพมีปัญญา เข้าใจก็มาทำจึงเป็นรูปธรรม เป็นเพราะท่านทำพฤติกรรมสังคมที่อยู่ร่วมกันเป็นสาธารณโภคี เศรษฐศาสตร์แบบนี้เป็นรูปลักษณ์ ของสังคมเป็นรูปแบบที่เห็นได้ มาสัมผัสได้ มาศึกษาได้เลย เป็นพฤติกรรมที่ชัดเจนทุกอย่าง ในการประพฤติปฏิบัติวัฒนธรรมพฤติกรรมชีวิต สมบูรณ์แบบเป็นตัวอย่างของสังคม ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วจิตมันก็จบจิตมันก็สงบ จิตมีความสันโดษพอใจแล้วแค่นี้ก็พอแล้วชีวิตนี้อยู่ได้แล้ว ผู้ที่ชัดเจนแล้วมีความชัดเจนในตัวเองว่าชีวิตนี้เราอยู่ดีแล้ว ใครรู้สึกอย่างนี้ลองยกมือดูซิ …เข้าใจกันได้ดีนะ ข้างนอกที่ฟังหน้าจอนี้ ยกมือ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:47:03 )

อย่างไรคือ เสมอสมานที่พระพุทธเจ้าใช้แทนความเท่าเทียม

รายละเอียด

แทรกตรงนี้ ความเท่าเทียม พระพุทธเจ้าท่านใช้ความว่าเสมอสมาน ก็คือผู้สูงนั้นทำตัวมาให้แม้จะต่ำกว่าผู้ที่เขาต่ำ ผู้ที่เขาสูงลดตัวลงมาต่ำก็ทำได้ เท่ากันก็ทำได้ อันนี้เป็นคุณวิเศษเป็นคุณธรรมชั้นยอดของผู้สูงจริงต่างหากเห็นไหม แต่คนที่ไม่รู้ก็นึกว่าพูดนี้ต่ำ ทั้งๆที่ท่านพยายามลดตัวลงมาต่ำ เช่นอาตมายอมแพ้ ขออภัยต้องพูดสัจธรรมอาตมาไม่ได้ต่ำกว่าท่าน แต่ก็ยอมแพ้ อาตมาไม่ได้ผิด ท่านผิด ที่จริงแล้วคนผิดจะต้องต่ำกว่าผู้ถูก อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจธรรมที่แม้จะใช้พยัญชนะก็เรียกสภาวะต่างๆมันมีหลากหลายซึ่งมันยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:17:05 )

อย่างไรคือ เหนือไม่ใช่หนี

รายละเอียด

รู้จริงๆว่าสิ่งที่เหลือไว้นิดนึง ก็รักษาไว้ สัมผัสแตะต้อง ไม่อย่างที่แม้รู้ตัวไม่รู้ตัวมาอย่างหยาบและละเอียดเราก็อ่านจิตเราได้ว่าเราไม่มี ไม่มีๆคุณก็ได้คำตอบได้ว่าสูญจากกิเลสได้อย่างหยาบกลางละเอียด คุณต้องทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ยิ่งกระทบกระแทกแรงอย่างไร สมาธิก็อยู่ดี ไม่ใช่ว่าไม่มีการกระทบเลยจะบอกว่ามีสมาธิอย่างนั้น ไม่ใช่เลยมันเป็นการหนี ไม่ใช่เหนือ มันเป็นการหนีสิ่งกระทบสัมผัส แต่นี่มันเหนือสิ่งที่กระทบสัมผัสอยู่ แม้กระทบอย่างแรงทีเผลอ มันก็ไม่เกิด มันก็ไม่มี แม้เราไม่ตั้งใจสู้ไม่รู้ตัวมันเล่นทีเผลอ ยิ่งเรามีสติรู้ตัวมันก็สู้ได้มันแข็งแรง เผลอหลายทีมันก็ไม่เกิด จนกระทั่งไม่รู้ตัว มาอีกก็ไม่สะดุ้งสะเทือนเลย นั่นเป็นตัวยืนยันว่าคุณหลุดพ้นแน่ชัด สมบูรณ์แบบ ต้องมีสติตื่นมีปัญญารู้อย่างครบครัน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาอยู่ในที่ลับไม่รู้เรื่องรู้ราวทิ้งหนีไปเลย มันคนละทิศทางกันเลย เห็นไหม นี่คือสภาวะของจริงที่เราสัมผัสได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 11:07:52 )

อย่างไรคือ เอกัคคตาจิต

รายละเอียด

ธรรมหนึ่งก็คือต้องรู้สิ่งไม่ดี แล้วเอาสิ่งไม่ดีออกให้หมด แล้วเป็นเอกัคคตา เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่หนึ่งเล่นๆ ง่ายๆตื้นๆ สะกดจิต จะไม่มีปัญญารู้รอบเลยเป็นหนึ่งแบบนั้น

เอกแบบนั้นคือเอกธรรมไม่ใช่เอกัคคตา แล้วไปเรียกจิตเป็นหนึ่ง มันไม่ใช่
เอกัคคตาจิต ซึ่งอัคคะนี้ยิ่งใหญ่ เอก อย่างประเสริฐสูงสุดยิ่งใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องลึกซึ้ง ความหมายของสัจธรรม หากไม่รู้ลึกซึ้งก็พูดไปเลอะเทอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 15:41:19 )

อย่างไรคือ แก่นสารสาระความเป็นสารีบุตรที่เป็นกันได้ทุกคน

รายละเอียด

ถ้าเข้าใจไม่ใช่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา สารีปุตโต คนที่ได้สาระธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นทุกคนเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคนที่ไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้เอาเนื้อแท้ของธรรมะ ก็เป็นสารีบุตรได้ทุกคน ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้อง ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมา เป็นโลกุตระขึ้นมา ก็เป็นสารีบุตรได้ทุกคน นี่เราไม่ได้ยึดเป็นตัวตนเป็นตัวเราของเรานะ ที่พูดนี้ อาตมาไม่มีตัวตน อาตมาไม่ได้เอาตัวตนมาพูดเลย เป็นธรรมะล้วนๆ ไม่ได้ยึดมั่นเป็นตัวเราของเรา คุณจะเอาธรรมะที่อาตมามีอาตมาพูด คุณเอาไปปฏิบัติให้เกิดธรรมะของคุณได้ทุกคน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา เข้าใจให้ถูกแล้วปฏิบัติให้ถูก ทรงมีไว้ในตนธรรมะขึ้นมาอย่างนั้น เป็นของพระพุทธเจ้าเลยเป็นโลกุตรธรรม คุณธรรมที่ไม่มีกิเลส กิเลสที่ดับอย่างถาวรไม่เกิดอีกเลย คุณทำให้ได้สิ นี่ต่างหากคือเข้าไปหาเนื้อหาสาระแก่นสารสาระเป็นสารีบุตร บุตรผู้รู้จักสาระของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มา ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ เรียนตามให้ถูกต้องและเอาไปปฏิบัติให้ได้ ก็ได้ตรงกันหมดนั่นแหละ อาตมาทำให้พวกคุณได้เข้าใจ จึงตรงกัน จึงมาเป็นคนจนร่วมกันได้ มาเป็นคนที่มีเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ มีสารณียะ ปิยกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ หรือมีวรรณะ 9 ได้อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม  ได้ลาภมาโดยธรรม อย่างสุจริตไม่มีทุจริตก็เอามากินใช้ร่วมกัน ไม่ต้องยึดถือเป็นของตัวของตน พูดไปแล้วมันน่าภาคภูมิใจ ทำได้ ไม่ใช่คนเดียวเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น จะเป็นแสนเป็นล้านอะไรก็ว่ากันไป เท่าไหร่อาตมาก็ไม่รู้ที่ทำได้ นี่สุดยอดแล้วพิสูจน์ได้ยืนยันได้ อะกาลิโก เอหิปัสสิโก ไม่จำกัดกาล ยุคของพระพุทธเจ้าก็ทำได้ ในยุคนี้ก็ทำได้ดีปกติก็ให้มายืนยันได้ เป็นของสูง โอปะนะยิโก สุดเอื้อมนะ แต่ทำได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 12:03:50 )

อย่างไรคือ โอกกันติ

รายละเอียด

โอกกันติคือ ความหยั่งลงคือ การเกิดที่คุณมีองค์ประกอบดินน้ำไฟลม มีองค์ประกอบของร่าง มีองค์ประกอบของกาย องค์ประกอบของสิ่งที่รวมกันเป็นรูปนาม แล้วก็มีกรรมกิริยาทุกอย่างขึ้นมาสั่งสมลงไปในสัญชาติ ท่านเรียกว่าหยั่งลงเป็นกรรมวิบากลงไปในจิต เมื่อยังไม่รู้เรียกว่าอวิชชา เมื่อไม่รู้ก็ปฏิบัติตามกิเลสของตัวเองหรือว่าตามอวิชชาของตัวเอง ได้กรรมเป็นอันทำ เมื่อเกิดกรรมนั้นก็ตกผลึกใส่เซฟ ใส่คลังของธาตุอัตตา หรือธาตุของจิตเรา สั่งสมรวมเป็นของตนๆ เรียกโอกกันติ ด้วยอวิชชามันก็เป็นเช่นนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:34:23 )

อย่างไรคือ ได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก ซึ่งฌานทั้ง 4

รายละเอียด

เราก็ทำตัวเราอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ซื่งฌานทั้ง 4 ก็มีวิตกวิจารบ้าง วิตกคือยังกังวล วิจารคือ ยังหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง นี่เรียกว่าฌาน 1 นะ

มันยังมีอัตตาเศษเหลืออุปกิเลสอยู่ จนกระทั่งเราเก่งและฉลาดขึ้น ความกังวลก็ลดลง วิจารหาเหตุผลให้แก่ตัวเองลดลง ขั้นมานะ อุทธัจจะ ลดลง จึงเป็นผู้เจริญด้วยฌาน 2 3 4 วิตกวิจารลด ทำได้ ดีใจ มีปีติ สุข ยังไม่เข้าขั้นอุเบกขา ฌาน 4 แต่เป็นฌาน 2

จนฌาน 3 ปีติลดลงเป็นสุขสงบ ถึงเริ่มนับเข้าสู่อุเบกขา อัตตาน้อยลงเหลือเศษอัตตาที่ติดสุข พริ้วพราย จนลดความสุขไปตามลำดับได้ จนกระทั่งเป็นความไม่ทุกข์ไม่สุข

ในความเป็นจริงของความเป็นกลางต้องมีญาณเพื่อรู้จักฌาน ฌาน 3 4 จะมีความลึกละเอียด ดูอาการของสุข อาการของทุกข์ ตั้งแต่ หยาบกลางละเอียด จะละเอียดไปไม่รู้อีกกี่ชั้น ละเอียดถึงขั้นอนุสัยอาสวะ อนุสัยคือสิ่งที่อาศัยน้อยที่สุดแล้ว สุดยอดแล้ว อาสวะคือสิ่งที่ยึด สยะนี้ละเอียดกว่าสวะ เป็นเรื่องที่ สภาวธรรมสุดยอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย  วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 12:44:11 )

อย่างไรคือ ไม่เดียงสา

รายละเอียด

ไม่เดียงสา มาจากศัพท์คำว่า ติงสา แปลว่า 33 คือ เขายังไม่เกิดสภาพที่มันเป็นความเจริญด้วย วัยวุฒิ หรือวุฒิอะไร ยังไม่มีอะไรครบครัน ยังไม่เกิดอาการที่ 33 ที่เป็นอาการของโลกุตระ ที่มันสูงสุดเลย แม้แต่ครบ 32 ทวัตติงสา แปลว่า 32 ติงสา ก็ปล่อยให้เขาเล่นไปทำไป เขาต้องศึกษา เขาต้องมียางเลือดที่หัวออกแล้วจึงรู้สึกว่าเจ็บ เหมือนคางคกเลือดหัวไม่ตกยางไม่ออกไม่รู้สึก เป็นเช่นนั้น แล้วไม่มีอะไรหรอก พวกผู้ใหญ่ไม่ต้องทำอะไรแล้วเขาจะตีกันเอง เหมือนกับฮ่องกงโมเดล ซัดกันเอง ก็ผ่านไปเรื่องนี้ไม่ขอวิจัยยาว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2564 ( 09:18:29 )

อย่างไรคือกายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน

รายละเอียด

ที่บอกว่าสัญญาเป็นอย่างเดียวกันเป็นอย่างไร 

กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน ก็หมายความว่า กายในรูปกาย คนหนึ่งปฏิบัติอย่างหนึ่งอีกคนหนึ่งปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง กายต่างกันของคน คืออีกคนหนึ่งลืมตาปฏิบัติ อีกคนหนึ่งหลับตาปฏิบัติก็อยู่ในสภาพที่กายต่างกัน

แต่มีสัญญาอย่างเดียวกัน สัญญากำหนดหมายว่า ปฏิบัติลืมตาก็ไม่ต้องการให้มีนิวรณ์ 5 ปฏิบัติหลับตาก็ไม่ต้องการให้มีนิวรณ์ 5 เป็นอันเดียวกัน 

เพราะฉะนั้นสัญญาจึงอย่างเดียวกัน เช่น ปฐมฌาน ฌาน 1 ไม่มีกิเลส ไม่มีนิวรณ์ เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:26:53 )

อย่างไรคือกายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน

รายละเอียด

อันที่สาม กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน …

สัมมาทิฏฐิแล้วก็รู้ว่าสัญญามันต่างกันได้ คือ ไปกำหนดหมายที่คนละสัญญา กำหนดหมายต่างกัน 

ในอันที่ 3 นี้เช่น ท่านยกตัวอย่าง จิตเป็นอาภัสรา อย่างเช่นธรรมกาย ลืมตาก็สว่าง หลับตาก็สว่าง ใสๆๆหมดเลย นี่พวกสายธรรมกายนี่ กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน

สภาพของอาภัสราพรหม สภาพของความใส คือรูปนาม ถ้ากำหนดรูปใส นามก็ใส แต่ใสไม่เท่ากัน เพราะกายใสนี่ในรายละเอียด คุณเห็นใสก็จริง แต่ถ้าตาของคุณรับแสงกระทบดีๆในประสาทตาอวัยวะของคุณรับรู้มันไม่เท่ากัน ตาบางคนมีต้อ บางคนสั้น ยาวต่างกันก็เห็นใสไม่เท่ากันนี่คือกายต่างกัน แต่เขาสัญญาว่าใส แต่ใส มันต่างกัน คุณใช้ภาษาว่าใสอันเดียวกัน 

อันที่ 3 กายอย่างเดียวกันคือใส แต่สัญญาที่กำหนดรู้ นามของคุณ ใสต่างกัน สัญญามันใสข้างนอกกายอย่างเดียวกัน แต่ตัวจิตที่รับรู้มันต่างกันแต่ต่างคนต่างบอกว่าอาภัสราคือใส แต่สัญญาจริงคุณคนละอย่าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:29:00 )

อย่างไรคือกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน 

รายละเอียด

อันที่ 4 สุภกิณหา กายอย่างเดียวกัน สัญญาอย่างเดียวกัน 

สุภ คือน่าได้ น่ามี น่าเป็น ก็คือ น่าได้ดำมืด กิณหา

คนที่สัมมาทิฏฐิก็อยากได้ คนที่มีจิตใจที่ดีก็อยากได้ สุภะ น่าได้น่ามีด้วยกันทั้งคู่ 

แต่ส่วนสัมมาทิฏฐินั้น รู้ว่า คุณหลับตาก็มืด ไม่ต้องการเห็นอะไร แต่ถ้าลืมตามันก็เห็น แต่พวกมิจฉาทิฏฐินั้นไม่ตรง ทั้งๆที่มันมืดก็เห็นสว่าง ทั้งๆที่เห็นสว่างแต่เขาก็ดำมืด เป็นพวกวิปลาส เพราะว่าเขามิจฉาทิฏฐิ ต่างกันที่เขามิจฉาทิฏฐิเขาก็ไม่ได้สิ่งที่จริง 

แต่ผู้ที่สัมมาทิฎฐิ สุภะก็เห็นความจริงตามความเป็นจริง มืดก็รู้ว่ามืด ดำก็รู้ว่าดำ สิ่งที่ไม่มืดไม่ดำ ยกตัวอย่างเช่น คุณหลับตาลงมีแต่มืดกับดำ แต่ถ้าคนที่ยังมีอุปาทาน หลับตาลงก็จะไม่ดำสนิท ดีไม่ดี เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังไม่เข้าใจไปสร้างแสงสี เมื่อหลับตาลง ก็เห็นแสง สีม่วง สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน แสงใส วิปลาส ไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:31:01 )

อย่างไรคือการทำทานที่ได้บาป

รายละเอียด

เป็นการทำทานที่ได้บาป คือ ทำทานที่ยินดีในทาน ติดยึดในทาน หลงว่าทานเป็นทรัพย์ จิตผูกพันกับทาน ผูกพันจนกระทั่งชาติด้านโน้นหลงว่าตายไปแล้วจะมีกองทานอันนี้เอาไว้ในชาติหน้า พระพุทธเจ้าสอนไว้ ล.23 ข.49 ทานสูตร อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

  1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ 

ทานังก็คือทาน เทติก็คือทาน สาเปกโขคือมีความหวัง เราทำทาน ต้องรู้จิตเรา ที่มีสาเปกโข อุเทสคืออาการของจิต แล้วจะมีลักษณะที่มีข้อเทียบ แล้วมีลิงคะ คือสิ่งที่ไม่เที่ยง คุณจะต้องรู้อาการของมันแล้วต้องเทียบอาการของมันได้ อาการมันจะเป็น 2 เสมอ โดยเฉพาะในวิญญาณที่มีรูปนามจะมี 2 เสมอคู่แรกเลย ในปุตตมังสสูตร ข้อที่ 4 วิญญาณาหารมีวิญญาณกับรูปนาม เธอรู้จักวิญญาณกับรูปนาม ก็เป็นอันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว คำนี้ตีหัวเข้าบ้านเลย จริงที่สุดเลย ใครรู้จักรูปนามอาศัยซึ่งกันและกันอย่างไร คนจะมีความรู้ทั้งรูปและนาม แล้วเอาคำว่ารูปนามนี้เป็นภาวะคู่ ไปอ่าน วิญญาณ แยกวิญญาณออก เข้าใจวิญญาณได้ แล้ววิญญาณแจกเป็นอภิธรรม เป็นจิตเป็นเจตสิก หรือเป็นขันธ์ ก็มี รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์เป็นต้น ยังมีความหวังสาเปกโข อย่างนี้ทานยังไม่ได้ผล ต้องทานอย่างไม่มีหวังอะไรเลยการทานนั้นมีผลสูง ถ้าหากทานแล้วยังมีความหวังอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ก็มีผลทางโลกีย์ แต่ถ้าอานิสงส์นี้มีผลทางโลกุตรธรรม มันเป็นทางสัจธรรมมีประโยชน์ทางโลกุตรธรรม ทางปรมัตถ์

  1. จิตผูกพันในผลให้ทาน​ ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ การทำทานต้องจบเลยกายกรรมให้ไปแล้ว วจีกรรมก็ให้ไปแล้วนะ บอกว่าของฉันของฉันก็ไม่มี มโนกรรมก็ให้ไปแล้วให้ไปเลย ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ  ทำทานโดยไม่มีจิตผูกพันเกี่ยวข้อง ก็มีอาการที่หยาบกว่า สาเปกโข อันนี้มีปฏิพัทธ์ มีตัวต่อเนื่อง 

  2. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ นิธิ แปลว่าคลัง เซฟ กองที่สะสมรักษา นิธิ นอกจากเกี่ยวพัน แล้วต้องออมทรัพย์ ใครขี้เหนียวมากก็ออมได้เก่ง เขาเรียกว่าขี้ไม่ให้สุนัขได้กินเลย อย่าว่าแต่ให้กิน ขี้ไม่ให้สุนัขได้กลิ่นเลย 

  3. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ อันนี้เละเลย 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 10:34:50 )

อย่างไรคือการปฏิฆสัมผัสโสกับอธิวจนสัมผัสโส

รายละเอียด

การเรียนธรรมะถ้าไม่เจอสัตบุรุษไม่เจอผู้รู้ที่จะอธิบาย ที่จะแยกแยะธรรมะให้เราได้รู้จัก สภาวะจริงบัญญัติจริง สภาวะก็อย่างหนึ่ง บัญญัติก็อย่างหนึ่ง บางทีก็เรียกว่าพยัญชนะก็อย่างหนึ่งสภาวะก็อย่างหนึ่ง ชัดเจน ซึ่งอีกภาษาหนึ่งท่านก็เรียกภาษาว่า อธิวจนะกับผัสสะ ผัสสะคือสิ่งที่จะรู้ด้วยความรู้สึก มีผัสสะก็จะมีความรู้สึก เป็นปฏิฆสัมผัสโส ถ้ามีภาษาด้วยก็เรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส ถ้าไม่ได้ตั้งชื่อเลยก็เป็น ปฏิฆสัมผัสโส ถ้าตั้งชื่อแล้วก็เรียกว่า อธิวจนสัมผัสโส ปฏิฆะคือก้อน ฆ คือก้อน ปฏิ คือกระทบสัมผัสกัน action Reaction เรียกว่า ปฏิฆะ เมื่อคุณสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายกับอะไรอยู่ action Reaction อยู่ คุณก็มีความรู้สึกได้ กับอันนี้มีธาตุรู้ร่วม ปฏิฆสัมผัส มีรูปนามสัมผัสอยู่  ฆ คือก้อนเกิดจากสัมผัส มีรูปนาม action Reaction สัมผัสกระทบ หากตั้งชื่อก็เป็น อธิวจนสัมผัสโส

ที่มา ที่ไป

เทศน์ ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:02:56 )

อย่างไรคือการปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

เข้าใจกายแล้ว ต้องมาปฏิบัติ จับสักกายทิฏฐิ จับกายที่ตัวเราให้ได้ มีรูปมีนามมีนอกมีในคุณปฏิบัติธรรมจะต้องมีนอกมีในเสมอ เราจะต้องกำหนดตัวเรากับอันอื่นที่มันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ต้องแยกรูปแยกนาม ปฏิบัติรูป 28 นาม 5 เสมอ โดยเฉพาะ นามตัว เจตนา ถ้าคุณไม่รู้จักเจตนา แยกเจตนาไม่ออกคุณไม่รู้จักตัณหา

ต้องล้างกามตัณหาก่อนแล้วก็ล้างรูป อรูปต่อ คุณก็หมด เหลือภพชาติสุดท้ายเป็นวิภวภพแล้วมีชีวิตอยู่ด้วยวิภวตัณหา นี่อธิบายอย่างโลกุตระ แต่เขาอธิบายวิภวตัณหาว่าไม่อยากมีภพ แต่มันแค่กลับกันไปมากับกามภพ ภวภพ อีกอันหนึ่งอยากมี อีกอันหนึ่งไม่อยากมีเท่านั้นแหละ แล้วไม่อยากมีคุณต้องเรียนรู้สิ่งที่มีให้หมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:18:30 )

อย่างไรคือการปฏิบัติธรรมไปตามลำดับ

รายละเอียด

ก็ปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 พักผ่อนให้ได้ไปตามลำดับ “คำว่าตามลำดับ”เขาไม่รู้เรื่องกันแล้ว เริ่มต้นมันเผินไปหมดเลย ศีล 5 เป็นพื้นฐานข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ เขาไม่ได้เอาใจใส่เลยนักปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาทำสมาธิกัน ไม่เกี่ยวข้องกับศีลเลย เมื่อเราเอาศีลมาบอกว่าศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ข้อที่ 2 ศีลข้อที่ 3 ต้องมาพิจารณาว่าจิตของเราเกี่ยวกับศีลข้อที่ 1 2 3 อย่างไร ส่วนข้อที่ 4 เป็นวาจา ข้อที่ 5 เป็นจิต 3 ข้อแรกเป็นหลัก 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 12:29:41 )

อย่างไรคือการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ

รายละเอียด

ต่อมา มีการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอริยะ ก็สามารถควบคุมดูแลเมื่อสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายในอินทรีย์ทั้ง 6 สำรวมทั้งภายนอกภายใน ภายในคือจิต  ภายนอกคือตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส เมื่อสัมผัสกันแล้วมันสังขารปรุงแต่งกันเกิดเรียนรู้เวทนา เป็นกรรมฐาน แล้วเราก็ปฏิบัติได้ ทำให้เวทนามันเป็นอุเบกขาเวทนา แล้วเริ่มต้นได้ก็จะเปรียบเทียบ มันไม่มีอาการดีใจที่เป็นรักหรือโทสะ มันลด คุณก็จะรู้แล้ว ขนาดหนึ่งไม่ใช่แค่ กดข่มเท่านั้น แต่เป็นฤทธิ์ของ ฌาน ปัญญา สลายกิเลสจนกระทั่งเป็นบุญ กิเลสหมด อาการที่กิเลสหมด ปัจจัตตัง แต่ละคนจะรู้ แล้วได้อย่างสมถะกดข่ม ก็จะเปรียบเทียบกับวิปัสสนามีปัญญา ก็จะรู้ กิเลสสลายไปไม่มีอย่างมีปัญญากับการไม่มีกิเลสอย่างกดข่ม ใครก็รู้แทนกันไม่ได้คุณก็จะรู้ คุณสำรวมอินทรีย์ก็จะรู้มรรคผล ว่าอันนี้เป็นสมถะหรือวิปัสสนา การสมถะก็สำรวมอย่างยิ่ง แต่มีนัยสำคัญที่ต่างกัน สมถะ พระพุทธเจ้าก็ให้อาศัย แต่ไม่ใช่ตัวจริงที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ จริงๆ ต้องมีวิปัสสนาญาณ เป็นวิชชาข้อที่ 1 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 13:10:21 )

อย่างไรคือการสำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ

รายละเอียด

เมื่อสำรวมอินทรีย์เป็นข้อที่ 2 แล้วเป็นอริยะ ก็จะมีผลทางโลกุตระ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะ คือมีสติ ความรู้ตื่น ตื่นรู้ เป็นอาริยะ ก็ต้องมีทั้งภายนอกและมีทั้งกายกรรม ก็อธิบายไม่รู้กี่ทีแล้ว มันตื่นเต็มทั้งกายกรรม ไม่ใช่คุณไม่มีกายกรรมภายนอกเลย ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้น ผิดแล้ว ไม่ใช่สติที่เป็นอริยะ เป็นสติที่บกพร่อง คุณจะตื่นเต็มอยู่ในใจขนาดไหนก็ตาม แต่คุณไม่ได้ออกมาข้างนอก ไม่ได้ฝึกฝนเรียนรู้อยู่กับปัจจุบันธรรม ตามศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 จนกระทั่งจบจุลศีล 26 ข้อเลย คุณไม่ได้ศึกษาแบบนี้เลย เพราะฉะนั้นมันไม่มีความจริง เพราะไม่มีปัจจุบัน ต้องตรวจสอบทั้งภายนอกและภายในครบ กาย คนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ สักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 คุณก็ไม่ผ่าน เพราะกายของคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิมีแต่ภายใน กายไม่มีภายนอกไม่ได้และไม่มีภายในก็ไม่ได้ กายต้องมีสอง ภายนอกและภายในเสมอ เพราะฉะนั้น สติกายกรรมของคุณก็ไม่เต็มสักที แม้ สติวจีกรรมของคุณก็ไม่เต็ม ยิ่งคุณหุบปาก กายกรรมก็ไม่มีพฤติกรรม มีแต่ภายใน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 13:12:06 )

อย่างไรคือการอธิบายธรรมะที่เป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะ

รายละเอียด

อธิบายธรรมะเป็นโลกุตระ หรือ อธิบายธรรมะเป็นโลกียะ แค่นี้มันก็ชัดเจน ถ้าอธิบายธรรมะเป็นโลกุตระ อธิบายไปพอเริ่มต้นเป็นโลกียะไปประเดี๋ยวก็เข้าหาโลกุตระ มันจะชัดเจน ไม่ถึงโลกุตระ ไม่ยอมหยุดง่ายๆ หรอกนอกจากไม่มีเวลา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนาธรรมกับปัจฉา เวทนา 108 ย่อความให้ง่าย  วันที่ 10 ตุลาคม 2561

ในสวนดาว ถอดความ 


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:39:21 )

อย่างไรคือการเดินจงกรม

รายละเอียด

จงกรมแปลว่าการเดิน ไม่ใช่เดินแบบที่ทำกัน แต่เป็นการเดินธรรมดาอย่างศึกษาที่ต้องดูว่า มีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงแต่งหรือไม่ แต่ถ้าเดินแล้วทำให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้นให้คนหลงยกย่องชมเชย มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นโลกธรรม เดินให้สวยงดงามเลย ทั้งนั้นเลย เป็นมัณฑนายะทั้งนั้น ตกแต่ง ยกย่องให้เป็นวิภูสนัฏฐานา สวยงาม มันโลกีย์ล้านเปอร์เซ็นต์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:47:12 )

อย่างไรคือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สูงสุดที่สุด

รายละเอียด

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจคืออะไร คือการทำให้คนจนอย่างพอใจจน..เต็มใจจน ตั้งใจจนและจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แล้วพอมีพอกิน พอเพียง สร้างสรรค์เกื้อกูลผู้อื่นต่อไป เป็นคนจนไม่ได้เบียดเบียนใคร มีแต่ช่วยโลก เพื่อผู้อื่น นี่คือการแก้ปัญหาที่สำเร็จสูงสุด  และเหตุที่ทำให้ชาวอโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จ เพราะชาวอโศกเป็น เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น เป็นคนจนที่เสียสละ อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นตลอดเวลา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 7 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:38:12 )

อย่างไรคือการแสดงธรรมตรงตามพระพุทธเจ้าสอน

รายละเอียด

ตกลงอาตมารับก็ได้ อาตมาปัญญาน้อยกว่าคุณก็ได้ อาตมาแสดงธรรม คนที่ฟังธรรมะอาตมาจะหลงทางหรือเจอทาง คนที่มาฟังธรรมะถ้าเขาเห็นว่าทางนี้ใช่แล้วเขาก็มาเอง ไม่ได้หว่านล้อมชักจูงแต่คนเข้ามาฟังเองเห็นดีเอง อาตมาแสดงธรรมตรงตามพระพุทธเจ้าสอน อาตมาเป็นผู้ไม่ได้มาหาบริวารไม่ได้มาทำให้คนหลงนับถือ ทำตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) 

มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) 

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  

มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้ 

ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ 

(พรหมจริยสูตร พตปฎ.เล่ม 21  ข้อ 25) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:51:32 )

อย่างไรคือความจริงที่เป็น 1 และเป็น 0

รายละเอียด

บรรลุธรรมะ อาริยสัจ 4 ผู้บรรลุด้วยกันเท่านั้นจึงจะเรียกว่าเป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียว มันแย้งไม่ได้เลย มันเป็นความจริงที่เป็น1 และเป็น 0 รวมเป็น 1 ได้และสุดท้ายก็เป็น 0 ถ้าเป็นจิตนิยามก็แตกเป็นอุตุนิยามได้ ตั้งแต่เป็นๆก็ทำได้ ทำได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆนี่แหละจึงจะตายจริงแล้วแยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้จริง จึงได้มาเป็นอรหันต์ จึงปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ มีศาสนาเดียวที่ทำได้ ศาสนาอื่นไม่มี พูดแล้วก็ขออภัยศาสนาอื่น เหมือนเป็นการยกตนข่มท่าน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 09:53:32 )

อย่างไรคือความลาดลุ่มของฝั่งทะเลแบบพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คนที่สัมมาทิฏฐิแท้ตรงตั้งแต่ต้น แล้วทำได้ละเอียดไม่แวะไปแวะมา ถ้าเส้นตรงนี้ไม่แวะออกนอกเส้นตรงก็ถึงจุดหมายเร็วกว่าการแวะไปที่ไหน นี่ล่ะคือความลาดลุ่มของฝั่งทะเล ของพระพุทธเจ้าคือราบเรียบตรงไม่แวะ เป็นความมหัศจรรย์ใครทำได้ดีที่สุด

พระพุทธเจ้าสมณโคดมชัดเจนเช่นนี้จึงได้เอามาตรัสไว้ เป็นเส้นตรงที่ไม่แวะเวียนอะไรเลย ท่านไม่แวะเวียนไม่เสียเวลาแม้แต่ใน สุทธาวาส 5

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:55:21 )

อย่างไรคือความหลงผิดเกี่ยวกับพระป่า

รายละเอียด

พระป่านี้ มีมาก่อนพระพุทธเจ้าอยู่ครองโลก พระพุทธเจ้าเกิดมาก็เจอพระป่าแล้วหลงไปออกป่าด้วย 6 ปี สุดท้ายก็รู้ว่าเป็นทางผิด ภูมิธรรมของท่านจึงขึ้นมาตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน 6 พระป่าที่เขายืนยันว่าเป็นชาวพุทธก็เป็นความหลงผิดเดิม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร พยากรณ์ไว้ตั้งแต่ศาสนาพุทธยังมีพระพุทธเจ้าอยู่ ตั้งแต่เริ่มสร้างศาสนาเลย บอกว่าต่อไปจะมีคนหลงผิดเข้าป่า ไปสร้างมุขสี่ด้านในทางสี่แพร่งดักคน เป็นเรือนไฟ ล่อรับคน นี่คือความผิด ความเสื่อม 4 ประการ สำหรับคนที่ยังยึดมั่นถือมั่นในทางนี้ก็จะเข้าใจได้ยากอยู่ ท่านพยากรณ์ไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างศาสนาไม่นาน ท่านตรัสกับอัมพัฏฐมานพ ที่เป็นพราหมณ์ ที่เรียนพระเวทอันเดียวกัน แต่ก็เข้าใจผิดไปไกลๆ เป็นพยัญชนะเดิมทั้งหมด แต่ความเข้าใจมันผิดไปเอง พระพุทธเจ้าก็ดึงกลับมาหาความถูกต้องอันเดิมอันเก่า ที่เข้าใจผิดนั้นก็ดึงเข้าหาความถูกต้องเท่านั้นเอง มันวนเวียนระหว่างพราหมณ์กับพุทธ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 10:24:45 )

อย่างไรคือความไม่ฉลาดของประเทศไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รายละเอียด

มันไม่มีอะไรมากหรอกเขาก็ต้องดิ้นไปตามประสาเขาหาเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาก็จะไม่มีประเด็นที่จะโชว์ออฟ การแก้รัฐธรรมนูญที่ 1 เสียเวลาเสียแรงงาน เหน็ดเหนื่อย รัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหามากหรอก ร่างมาฉบับไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ ทำให้ดีตามที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับร่างไว้ ทำให้มันดีเถอะ จะให้ดีสมบูรณ์แบบนั้นมันไม่มีหรอกในโลก มันเป็นกิเลสเท่านั้น ถ้าจะมาถึงชมเชยอินเดียเขา รัฐธรรมนูญของเขา ก็ร่างไว้ ฉบับเดียวตั้งแต่เริ่มเป็นประชาธิปไตยของอินเดีย ดร. เอ็มเบ็ดก้า ร่างไว้ ฉบับนี้ฉบับเดียว ใช้มาตั้งกี่ปีแล้ว จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้เขาไม่เห็นเดือดร้อนเลยพลเมืองเขาเป็นพันกว่าล้าน แต่ประเทศที่ไม่ได้เรื่องคือประเทศไทย มันเป็นเรื่องของความไม่ฉลาด เป็นเรื่องของความอยากใหญ่อยากเด่นอยากดังหาเรื่องไป มันก็เลยไม่ได้เรื่องอะไร เพราะฉะนั้นเอาเวลานี้มาส่งเสริมกัน

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 10:47:00 )

อย่างไรคือคำพูดที่เป็นอุปวาโท อนูปวาโท

รายละเอียด

อาตมาไม่ทำ แม้บางที คนไม่เข้าใจ อาตมา มีภาษาไปตำหนิ ไปว่าอันโน้นอันนี้ไปวิจารณ์อย่างนั้นอย่างนี้ ก็หาว่าอาตมาพูดเป็นอุปวาโท เป็นภาษาที่ไปทำร้ายทำลายคนอื่น มันไม่ใช่ อาตมามีแต่ อนูปวาโท มีแต่คำพูดที่ไม่มีหวังร้าย ไม่ได้มีความร้ายความเลวอะไร มีแต่ความปรารถนาดีที่จะวิพากษ์วิจารณ์ จะตำหนิติเตียน ถึงขั้นจะใช้คำว่าบริภาษ หรือ คำด่า อยากจะแปลคำพูดของอาตมาเป็นคำด่าก็แล้วแต่ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ใช้คำหยาบคาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 22:16:50 )

อย่างไรคือคุณภาพไม่เข้าขั้นบุญ

รายละเอียด

เพราะบาง“ปัจจุบันของกาละ”คนผู้ทำ“บุญ” สร้างพลังงานไม่สูงถึงขั้น“บุญ”ก็ได้

เนื่องจาก“คุณภาพ”ไม่เข้าขั้น“บุญ”

นั่นคือ “คุณภาพ”ของพลังงานจิตชำระกิเลสไม่ได้ นั่นเอง ก็ไม่เกิด“บุญ”ไง!

จึง“ไม่มีภาวะที่กิเลสถูกชำระ”เกิดขึ้น

“ภาวะการฆ่า”ก็ยังไม่เกิด การฆ่าไม่มี

แต่ภาษาที่ว่า “ฆ่า”นี่! มันบอก“เชิงร้าย”

แต่“ภาวะที่กิเลสถูกฆ่า”นั้นเป็นภาวะ “ดี”แน่ๆ ที่คนควรทำให้ตนก็จริงแท้

ทว่าเมื่อมันยังไม่มีขึ้น ยังทำไม่สำเร็จ

จึงยังไม่มี“ภาวะดี”อะไรเกิดขึ้น “ร้าย”ก็ไม่มี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561
ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู (สมาธิพุทธ) ตอน บุญคือ อธรรม มิใช่ ธรรมะ


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:04:27 )

อย่างไรคือฌานของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ฌาน ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติด้วยการลืมตา ฌานคือไฟ ฌานแปลว่าไฟ เผา ทำให้ร้อน ให้ละลาย ไม่ได้แปลว่าเพ่งด้วย เพ่ง เป็นพฤติกรรมที่คุณผิด เอาไปใช้เพ่ง เพ่ง เข้าไปที่จิต เข้าที่กสิณ ให้จิตมันสงบสมถะ แล้เอาตัวเพ่งมาเรียกวาฌาน แต่ฌาน แปลว่าไฟ ฌาน หรือฌาปนะ มันแปลว่าไฟ แปลว่าเผา เป็นเครื่องละลายเป็นความร้อน ไม่ได้แปลว่าเพ่ง แล้วเพ่งให้รวมด้วยนะ แต่นี่ให้สลายให้กระจายให้สูญเสียทำให้มันแตกพังหมด แต่ฌาน ของเขาให้รวมเกาะแน่น มันคนละทิศเลย นี่อาตมาอธิบายสภาวะแท้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 15:08:53 )

อย่างไรคือบูรณภาพ

รายละเอียด

สิ่งที่ยังไม่เต็ม บูรณภาพ เพราะฉะนั้นจะรู้ความเต็มความสมบูรณ์ บูรณะ ความสมบูรณ์ สิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์ต้องทำให้เติมความบริบูรณ์ ให้เต็มขึ้นเสมอ ล้นก็ไม่เอาขาดก็ไม่เอา นี่คือบูรณภาพ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:24:26 )

อย่างไรคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน

รายละเอียด

ส่วนคำว่า ปรินิพพานเป็นปริโยสานนั้น คือผู้ที่มีปรินิพพานได้แล้วเป็นอมตะบุคคลอย่างนี้ ได้แล้ว คุณคนนี้ จะเกิดอีก ในร่างใหม่ บำเพ็ญโพธิสัตว์ไปจนเป็นพระพุทธเจ้า แล้วถึงจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน มีคนอุตริคิดเหมือนกันว่า พระพุทธเจ้าจะต้องมาเกิดอีก เป็นพระพุทธเจ้าสมัยที่ 2 ได้ อันนี้เขาก็คิดได้ แต่มันไม่มีหรอก เพราะว่าเป็นพระโพธิสัตว์ก็เมื่อยแสนเมื่อยสอนมาพากเพียร รื้อขนสัตว์มามากมายเท่าไหร่แล้วจนเป็นพระพุทธเจ้า มันเต็มที่สุดแล้ว ไม่ใช่แบบนายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เอาความคิดแบบโลกไปใส่ความคิดพระพุทธเจ้า ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนทำหรอก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 11:45:31 )

อย่างไรคือสัมมาอาริยมรรค

รายละเอียด

สัมมาอาริยมรรค มรรค แปลว่า วิธีปฏิบัติ หรือทางที่จะเดินไป สัมมา แปลว่าแบบของพระพุทธเจ้า อาริยะ แปลว่าประเสริฐ สัมมาอาริยมรรคคือวิธีปฏิบัติที่ประเสริฐที่สุด มันเป็นของพระพุทธเจ้า ถ้ามันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้ามันก็เป็นมิจฉา เป็นมิจฉาอริยมรรคก็ตามใจ ไม่ถูกตรงตามพระพุทธเจ้ามันก็เป็นมิจฉา คุณจะหลงว่าเป็นอาริยะเป็นของประเสริฐก็เรื่องของเขา ต้องชัดเจนว่าทั้งสัมมา ทั้งเป็นอาริยะ นี่เป็นทางที่วิเศษอย่างไร เพราะฉะนั้นสัมมาอาริยมรรคจะให้ความหมายแปลให้ฟังก็คือ วิธีปฏิบัติที่เป็นของพระพุทธเจ้า ไปสู่ความประเสริฐแบบอาริยะ คนอื่นก็ถือว่าของเขาเป็นอาริยะ เป็นศิวิไลซ์ แต่ของพระพุทธเจ้าก็เป็นของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2563 ( 08:34:41 )

อย่างไรคือสารีบุตรจริงแท้

รายละเอียด

อาตมาพูดตามที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ได้โง่ไม่ได้งมงาย พูดอย่างตีทิ้งนี่แหละสัจจะแท้ๆเลย บุคลิกของลูกพระพุทธเจ้าจริงๆ นี่แหละ นี่พูดตัวจริงนะ แล้วคุณจะรู้ว่าอาตมาคือสารีบุตรจริงไหม เอาสาระมาเปิดเผยมาทำมาสอนจริงๆ อย่าไปเข้าใจเลยว่าพระสารีบุตรองค์นั้นมาเกิด แต่นี่คือสัจจะสาระแท้ๆแล้วอาตมาพูดนี้คือสาระเป็นโลกุตระธรรมแท้ๆเป็นผู้สืบทอด เอา DNA ของศาสนาพุทธมาสืบทอด เอาอันนี้สิ อย่าไปเอาดินน้ำลมไฟแท่งก้อน ในอุปติสสะ เอาดินน้ำลมไฟ ของมิสเตอร์อุปติสสะมาทำไม ก็ธรรมะของโพธิรักษ์พูดไม่ใช่ธรรมะของอุปติสสะ พูดในยุคพระพุทธเจ้า นี่ธรรมะอาตมาพูดแล้วไม่บอกว่าของมิสเตอร์อุปติสสะ มันคนละคน ธรรมะก็ไม่เหมือนกัน และองค์ประกอบสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน สื่อภาษาสำเนียงไม่เหมือนกัน เอาคนในยุคนั้นมาพูดกับคนในยุคนี้ก็ไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าบอกว่าให้สอนเป็นภาษาถิ่น นี่แหละคือดินแดนไทย สอนเป็นภาษาไทยให้คนไทย อ้างอิงภาษาบาลีเท่านั้นแต่จริงๆก็พูดภาษาไทย นี่คือภาษาถิ่น คุณไปเกิดที่สิงหลก็ไปพูดภาษาสิงหลไปเป็นฝรั่งก็พูดภาษาฝรั่ง เข้าใจกันได้เป็นมาเดอร์ทั้ง สื่อกันได้รู้เรื่อง จะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นเนื้อแท้ๆแล้วขยายออกเป็นภาษา 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 15:16:46 )

อย่างไรคือแดนวิมุตแบบพุทธเกษตร

รายละเอียด

ยังอยู่หน้าพระพุทธ พูดถึงตรงนี้ก็น่าสงสารที่เขามีทิฐิตรงนั้นแล้วเมื่อไหร่จะได้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ปรินิพพานพระอรหันต์ก็ไม่ให้ปรินิพพาน แล้วยังมีวิญญาณล่องลอยไปมา ยินดีกับสิ่งแบบนี้อีก หลวงปู่มั่นบรรลุอรหันต์มาแสดงอนุโมทนาสาธุด้วยอย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ ดินแดนของเขาจะเป็นแดนวิมุตแบบพุทธเกษตร มีพระพุทธเจ้าไม่รู้กี่องค์อยู่เต็มไปหมด ซึ่งเป็นแดนเนรมิตขึ้นมาเอง เขาเนรมิตขึ้นมากันในความคิด คือเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เห็นและพูดตามกันเล่าสืบต่อกันมา ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ในวิชาการก็คือเป็นนิรมาณกายเป็นวิมาน หรือเป็นมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต เนรมิตขึ้นมาเองมันไม่มีหรอกแต่ปั้นขึ้นมาเป็นโลกทิพย์เป็นแดนสวรรค์เป็นแดนวิมาน เหมือนหนังเรื่อง Harry Potter เรื่อง Lord of the Rings หนัง Star Wars อะไรพวกนี้เหมือนเลย สร้างขึ้นมา โอ้โห สนุก อย่างเช่น Harry Potter ขายกันระเบิดเถิดเทิงทั่วโลกรวยเละเลย JK rowling รวยเละเลย คนมันโง่งมงายกันทั่วโลก จึงขาย Harry Potter กันได้เยอะ หรือว่าทำ Lord of The Ring เป็นหนังรวยเละเลย หนัง Star Wars อย่างนี้เป็นต้น สร้างวิมานสร้างเรื่องขึ้นมา นั่นแหละเป็นการสร้างเรื่องวิมาน สตาร์วอร์ออกไปนอกโลก เราจะมีโลกดวงดาวต่างๆมีมนุษย์ต่างดาวเอามรบกัน สร้างสถานีอวกาศขึ้นมา ยิงกันสนุกชิบหายเลย เสียเงินเสียทองได้เงินได้ทองกันมา Harry Potter ก็มีเวทมนตร์คาถามีหายตัวได้มีฤทธิ์เดชอะไรสนุก เหมือนกันเลย นิยายเหมือนกันอย่างที่ว่านี้ เป็นวิธีการเล่าที่แสดงให้รู้ว่าอาจารย์มั่นนี้ยิ่งใหญ่พระพุทธเจ้าก็ต้องมา พระอรหันต์สาวกก็มา แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาจารย์มั่น เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง.. พระพุทธเจ้าไม่รู้ว่าหน้าตาอย่างไรพูด 2 ทีก็หน้าตาไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก ก็คือผู้ที่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วมาประกาศศาสนาในโลก ถ้าหากเป็นปัจเจกพุทธเจ้าก็ไม่ได้ประกาศและมีความรู้เท่ากับพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:34:48 )

อย่างไรคือโลกของคนตาบอดสอดตาเห็นอทิสมานกาย

รายละเอียด

ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องโลกของคนตาบอดสอดตาเห็นทั้งนั้น  คือ คนตาบอด นี่ เขาไม่เคยเห็นเมฆสีขาวแสนสวยอยู่บนฟ้าเลยนะ แต่คนตาบอดก็บอกว่าเมฆสีขาวสวยอยู่บนฟ้า พวกนี้ตาบอดสอดตาเห็น ต่างคนก็ต่างเห็น แต่ทั้งนั้น พวกนี้มีอทิสมานกายทั้งนั้นไม่มีใครเห็นของกันสักคน ไม่มีจริงให้เห็นสักคนอทิสมานกาย เป็นกายเพ้อเจ้อที่เขาฝันกัน มีสิ่งที่ถูกรู้กับมีผู้รู้แล้วเอามาพูดกันถ่ายทอดกันให้หลงละเมอเพ้อพกกันไป เป็นการสร้างมิจฉาทิฏฐิส่งต่อกันไปเป็นคนตาบอดสอดตาเห็น ฉันก็เห็นฉันก็เห็น ทั้งที่จริงไม่ได้เห็นจริง แต่อุปาทานมันมีจริงเหมือนคนเห็นผีเดินไปเดินมา ก็เป็นอุปาทาน เห็นเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปข้างนอกเลยเหมือนคนเห็นผีนางตานี ผีกระสือ มีไส้เป็นพวง ตาเขาเห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆแต่มันเป็นอุปาทานเป็นมโนมยอัตตา สร้างภาพขึ้นมาหลอกตัวเองแล้วเชื่อว่ามีจริง คนที่เห็นก็จะบอกว่าคุณไม่เคยเห็นแต่ฉันเห็น เห็นจริงๆแต่เป็นดวงตาที่เป็นโรคชนิดหนึ่งเป็นภาพลวงตา ภาษาหมอเรียก psychosis หรือว่า neurosis

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:40:31 )

อย่างไรคือโลกทิพย์ตาทิพย์

รายละเอียด

นี่เป็นโลกที่เขาพูดกันเฉพาะมีตาทิพย์โลกทิพย์ พบพระพุทธเจ้า สาวกพระพุทธเจ้า สามเณร อรหันต์มาชุมนุมกัน มาแสดงความยินดี ให้กับพระอาจารย์มั่น พวกคุณไม่เห็นกันนะ แต่เขาเห็นกันอย่างนิรมาณกาย คือกายที่สร้างขึ้นมาในภพความคิดของแต่ละคน สร้างขึ้นมา แต่ละคนสร้างขึ้นมาก็มาพูดกับคนอื่น ก็บอกว่าใช่ๆ เลยเป็นอุปาทานหมู่ร่วมกันเป็นสัมโภคกาย บริโภคสิ่งมีจริงมีพระพุทธเจ้ามากมาย แสดงความยินดีกับพระอาจารย์มั่นมีพระพุทธเจ้า มีสามเณร อรหันต์ด้วยมากมายนับไม่ถ้วน มีกระเช้าผลไม้มากมาย แต่ที่เห็นกันนั้นเป็นอาทิสสมานกาย ไม่มีจริงเป็นจริงแต่เป็นตาบอดสอดตาเห็น เหมือนพวกตาบอดพูดกันบอกว่าเมฆขาวสวย อาตมาว่าเปรียบเทียบกันให้เห็นจริงแล้วนะ พวกตาบอดสอดตาเห็นพวกนี้ยังไม่พอ ไปชวนคนใบ้ ไปดูหนังอีก แล้วหนังยังเป็นหนังใบ้อีก คนตาบอดเขาก็ไม่เห็นหนัง แล้วก็ชวนคนหูหนวกไปดูหนัง แล้วเป็นหนังใบ้อีก ชัดเจนขึ้นมา คนโง่ต่อคนโง่ชวนกันโง่ก็ยิ่งมืดบอดไปด้วยกัน ยิ่งมืดบอดยิ่งหูหนวกไปเรื่อยๆ ขออภัยที่อาตมาอธิบายธรรมะ ไม่ได้ไปตั้งใจถล่มทลายเขาหรอก แต่มันก็น่าถล่ม 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:46:31 )

อย่างไรจึงชื่อว่ามีโลกุตรผล และมีความเป็นอาริยบุคคล

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการได้พบสัตบุรุษ การได้พบพระพุทธเจ้า การได้พบถึงขั้นได้เชื้อของโลกุตระ ที่ท่านพูดให้ฟัง จนเราเข้าใจเพิ่มเข้าใจขึ้นมาก่อนแล้วเข้าใจเพิ่ม แล้วได้นำมาปฏิบัติจนกระทั่งเกิดบรรลุผลขึ้นมาในจิตตน จึงจะชื่อว่าเรามีโลกุตรผลและมีความเป็นอาริยบุคคลขึ้นมา เกิดมาชาติไหนก็จะเป็นผู้ที่มีบุพเพกตปุญญตา ระลึกดึงสัญญาจากบุญเก่าที่ตนเองเคยมีมาแล้ว

ได้บุญที่จริงคำนี้ไม่มี แต่มีแต่การกระทำที่เคยเป็นบุญมาแล้ว เป็นการกระทำที่ตนเองได้เคยทำมาแล้ว ทำบุญจริงๆ จึงไม่มีตัวตน ซึ่งผลของบุญ ที่ผู้ที่ระลึกชาติได้เพราะมีผลบุญที่ท่านได้เคยทำมาแล้วแต่ชาติก่อน เพราะว่าเคยมีปุพเพกตปุญญตา มีบุญเก่าที่เคยได้ทำมาแล้ว จึงจะเลือกเอาได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:13:44 )

อย่างไรจึงเกิดกายสงบ จิตสงบในปัญญาข้อที่ 3 

รายละเอียด

มาสรุป ปัญญา 

ข้อที่ 1 ต้องได้รับฟังจากศาสดาหรือผู้ที่อยู่ในฐานะครู จึงจะเกิดปัญญา ปัญญาเกิดเองไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าที่จะเป็นเจ้าของปัญญา 

ข้อที่ 2 เมื่อพบแล้วต้องรีบเข้าฟังต้องรีบเข้าหาเข้าใกล้ ไปถามเนื้อความต่างๆ มีภาษิตอย่างไร มีการกำหนดพูดขึ้นมาอย่างไรบ้าง ซักไซ้ไล่เลียงให้พ้นความสงสัยในธรรม อันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย ลดความสงสัยได้ทำให้แจ้งได้ สมบูรณ์แบบ 

เมื่อคุณเข้าใจสิ่งเหล่านั้น คุณเอาไปปฏิบัติ จึงจะเกิดปัญญาข้อที่ 3 ปฏิบัติแล้วจะทำให้เกิด กายสงบ จิตสงบได้ คำว่า กาย คำเดียวนี้ก็ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งเดี๋ยวนี้เพี้ยน กายเป็นวัตถุหมด กายไม่ใช่วัตถุและวัตถุก็ไม่ใช่กาย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:51:25 )

อย่างไรจึงเป็นศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ศาสนาพุทธมาถึง 2,500 กว่าปี หมดจริงๆ เสื่อมไปไม่เหลือความเป็นศาสนาพุทธ ที่อาตมาย้ำว่าเป็นศาสนาพุทธ อย่างไรจึงเป็นศาสนาพุทธ อย่างไรไม่เป็นศาสนาพุทธ 

ศาสนาพุทธคือศาสนาที่มีโลกุตรธรรม ศาสนาที่ยังไม่มีโลกุตรธรรมก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาทั่วไปที่มีแต่โลกียธรรม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณีสูตร ว่ากลองอานกะ มันถูกเปลี่ยนแปลง ถูกเปลี่ยนไม้ถูกเปลี่ยนหนังถูกเปลี่ยนเนื้อของตัวกลองออกไปหมดมีแต่ชื่อ เนื้อแท้ๆของกลอง ที่ชื่อ ก็เป็นกลองที่เป็นโลกุตระ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ยังทรงมีพระชนม์ชีพซึ่งเป็นความจริงที่สุด มาถึง 2,500 ปีนี้ก็จริง กลองอานกะไม่เหลือเนื้อแท้เก่าแล้ว

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:56:35 )

อย่างไรจึงเป็นสุข

รายละเอียด

อย่าไปโทษเขา ดูแลของตัวเอง อย่าไปทำอย่างที่เขาทำที่เราไม่ชอบ ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น จบ เราจะไปห้ามเขาได้อย่างไรเขาเป็นอยู่ เขาอาจจะรู้ว่ายังไม่ดีแต่เขาห้ามตัวเองยังไม่ได้ หรือเขาไม่รู้ก็เป็นเรื่องของเขาบอกเขาได้ไหมล่ะ ว่าอย่าไปทำอย่างนี้ บอกได้ก็บอกกันดีๆค่อยๆบอก ถ้าบอกไม่ได้ก็ต้องปล่อยเขา จะมีความสุขก็คือเราอย่าไปยุ่งอะไรเขามาก 

แต่ถ้าเผื่อว่าชีวิตเราห่างมาอย่างไรมันก็จะต้องมีอยู่ เป็นขีดจำกัดสุดท้าย มันต้องมีอะไรที่จะต้องอยู่ด้วยร่วมกับหมู่กลุ่มที่เรียกโดยภาษาว่าสงบ อบอุ่นที่สุด 

เพราะฉะนั้น กลุ่มหมู่ที่มีพฤติกรรมที่ไม่แรงไม่หยาบอะไร สงบอบอุ่นที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเงียบเฉย ไม่ใช่ แต่พฤติกรรมที่ร้ายแรงมันไม่มี เป็นสังคมอย่างชาวอโศก 

คนที่มาอยู่ในกลุ่มชาวอโศกแล้ว ซึ่งมันพอดีแล้ว แรงที่สุดประมาณนี้ สวยที่สุดแล้ว ขนาดนี้เรายังทนไม่ได้ เราก็ต้องศึกษาตัวเองแล้วว่า เราไปติดยึดอะไร เขาจะแรงขนาดนั้นอย่างนั้น ซึ่งมันไม่แรงแล้วของชาวอโศก ข้างนอกมันแรงกว่านี้เยอะๆทั้งนั้น แต่ชาวอโศกไม่แรงแล้ว 

ขณะนี้คุณอยู่กับหมู่นี้ ที่พยายามที่สุดแล้ว หมู่ที่จะเป็นไปได้ถือว่าดีที่สุดแล้ว คุณจะไปเลือกหาหมู่ที่องค์รวมดีขนาดนี้ที่อื่นยาก นี่ไม่ได้พูดคุยตัวอะไร แต่พูดความจริง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แรม 2 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2565 ( 17:48:12 )

อย่างไรจึงเรียกนินทา

รายละเอียด

นินทา หมายความว่า เป็นคำพูดที่ไม่ดี เป็นคำพูดที่ร้าย แล้วจะต้องเข้าข่ายอย่างไรจึงเรียกนินทา พูดเรื่องไม่ดีของคนอื่นที่ไม่ต่อหน้า พูดลับหลัง จะบอกว่าประเด็นอย่างนี้เป็นนินทาก็ได้ ทีนี้จะเอาแค่นี้มาเป็นเครื่องตัดสินแล้วตกลง เราก็พูดลับหลัง หรือเอามาเป็นคำอธิบายสาธยายลับหลัง โดยเฉพาะยิ่งคนตายไปแล้ว ก็เอาเรื่องของคนตายเป็นข้อบกพร่องของคนตายมาพูดเรื่องปัจจุบันนี้เป็นการศึกษา เป็นข้อมูลเป็นหลักฐานอ้างอิงของความเป็นมนุษย์ที่เขาเป็นได้ เขาเป็นอย่างนั้นได้ แต่มันไม่ดี ก็เอามาศึกษาเป็นข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ ถ้าไปห้ามไว้มันก็พูดไม่ได้ มันก็ไม่ครบ ความจริงมันก็ขาดก็ไม่บริบูรณ์ ใครจะเป็นอย่างนั้นก็คิดได้เป็นได้ แต่อาตมาขออนุญาตไม่เห็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 12:37:39 )

อย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นชาวโลกุตระ

รายละเอียด

หลวงปู่นี่เป็นนักร้องวงเดียวกับสุเทพ วงศ์กำแหง แต่บารมีมันไม่ไปทางโน้น มันเลยไม่แข่ง แข่งกับเขาไม่ขึ้น เขาก็เลยชนะเด่นขึ้นไปเรื่อยๆไม่เป็นไร หลวงปู่ไม่ริษยาเขาหลอก เพื่อนกันรุ่นเดียวกัน เขาแก่กว่าอาตมา 2 เดือน มาพร้อมๆกันรุ่นเดียวกัน อาตมามาสายทางล้วน ควรธรรม เขาไปสายไสล ไกรเลิศ อาตมาก็เรียกพี่ทั้งสองคน พี่ไสลกินเหล้า พี่ล้วนไม่กินเหล้า ก็รู้จักกันดี นี่นักร้องนะ แต่นักร้องนี้เป็นโลกุตระ กับเขาร้องเป็นโลกียะ ที่จริง นักร้องนักแต่งเพลง ที่ไม่เป็นโลกุตระมีเยอะ นักร้องนักแต่งเพลงที่แต่งเพลงที่เป็นสาระเพื่อชีวิตหรือเป็นเพลงธรรมะ แต่งเพลงเป็นปรัชญามีบ้าง แต่จะข้ามเขตมาโลกุตตระ ยังไม่เป็น เพราะยังเข้าใจโลกุตระไม่ได้ว่าโลกุตระคืออะไร

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 12:01:45 )

อย่างไรต้องปรโตโฆษะ

รายละเอียด

ปรโตโฆษะ ไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ฟังผู้อื่น แต่แปลว่าคุณต้องฟังผู้อื่นบ้าง แง้มออกมารับฟังและพิจารณาบ้าง แล้วอย่ายึดมั่นถือมั่นของตัวเองจนเป็นชาล้นถ้วย เต็มแล้วว่าฉันรู้นี่ คุณพูดมาอย่างไรก็ฟังเหมือนอาบน้ำกลัวเปียก ฉันไม่รับคุณเลย คุณจะฟังอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คุณปิดประตูที่จะรับแล้ว เป็นน้ำชาล้นถ้วยแล้ว มันก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน 

ฉะนั้นเรื่อง ปรโตโฆษะ เรื่องที่อาตมาเห็นอยู่มากเหลือเกิน ปิดประตู ปรโตโฆษะ เขาไม่ปิดหรอกกับคนอื่น แต่กับโพธิรักษ์นี่เขาปิดประตูมิดเลยนะ อันนี้รังเกียจบุคคล อาตมาไม่หล่อหรืออย่างไร เป็นคนขี้เหร่หรืออย่างไร อาตมาอธิบายธรรมะนี้วิจิตรพิสดาร ซับซ้อนลึกซึ้งมากมาย อย่างนี้คุณฟังรู้เรื่องไหม ตั้งใจฟังดีๆสิ อาตมาไม่ได้คุยโม้นะ อาตมามาสาธยาย ธรรมะอันวิจิตรอันลึกซึ้งต่างๆ เป็นนัยยะของโลกุตระ อันวิจิตรนัยยะลึกซึ้ง ซึ่งเดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วเหมือนกลองอานกะ อย่างนี้เป็นต้น แต่เขาก็ไม่ฟังอะไรกัน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:35:22 )

อย่างไรถือว่าสิ้นอาสวะอัตตาได้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ดี ก็หมดการบำเรออัตตา ไม่มีอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่ มโนมยอัตตา 

โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา โอฬาริกอัตตาคือ อัตตาหยาบภายนอกก็ลดได้ เหลือ มโนมยอัตตา เหลือภายใน ภายในที่เป็นเนื้อหยาบอยู่ จนละเอียดลึกลงไปเรื่อยๆ เรียกว่า อรูป สุดท้ายเก็บละเอียดหมด อรูปอัตตา ดับสุดสูญ นั่นถึงจะถือว่าสิ้นอาสวะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 17:30:44 )

อย่างไรที่เรียกว่า “ดับสัญญา”!

รายละเอียด

เลยทิ้ง“สัมผัสภายนอก” เอาแต่ปฏิบัติ“หลับตา”มุ่งเข้าไปจัดการ“ดับภายใน”  

มันก็ได้แต่“ดับสัญญา”ของตนเองเท่านั้น “สัญญา”คือ “ความจำ” และ“การกำหนดรู้ในปัจจุบัน”นั้น ซึ่งการกำหนดรู้ในปัจจุบันขณะที่“หลับตา”ปฏิบัตินั้น

มันกำหนดรู้กันเพียงใน“ภวภพ”ภายในเท่านั้น มันไม่มี“กามภพ” มันเป็นแค่“ปัจจุบันขณะที่ผู้ปฏิบัติอยู่ในภพภายใน” 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 149 หน้า 134


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 05:16:22 )

อย่างไรนิโรธดำ อย่างไรนิโรธขาว!

รายละเอียด

เฉพาะอย่างยิ่งในความเป็น“นิโรธ”คำเดียว 

ฝ่ายนี้เข้าใจว่า“ดับ(นิโรธ)”นั้นคือ ดับไปหมดทั้ง“เวทนา” ทั้ง“สัญญา”! 

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจคำว่า“สัญญา เวทยิต นิโรธ”ที่อยู่ใน “อนุปุพพวิหาร 9”นั้น “ดับ”ด้วยการใช้“สัญญา”ทำงานกำหนดรู้เฉพาะ“กิเลส” อย่างแม่นคมชัด จึงเป็นผู้ปฏิบัติมีทั้ง“สัญญา”ทำงาน มีทั้ง“เวทนาในเวทนา”ที่ถูกแยกแยะแล้วจึงจัดการ“ดับ”เฉพาะกิเลส แต่“อนุปุพพนิโรธ”นั้น ไม่มี“สัญญา เวทยิต”ทำงานเลย มีเฉพาะ“นิโรธ”ถ่ายเดียว ดื้อๆ ทื่อๆ ซื่อๆ 

ส่วนของพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นเป็น“นิโรธ”ที่มีทั้ง“สัญญา” ที่กำหนดรู้“เวทนา”อย่างละเอียดลออหมดจดครบถ้วน แล้วจัดการกับ“กิเลส”เท่านั้นที่“นิโรธ”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 424 หน้า 308


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 14:20:42 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:26:14 )

อย่างไรเป็นการสอนแบบเพ้อเจ้อและแบบออสโมซิส

รายละเอียด

คุณจะผิดศีลตรงไหน? เขาไม่รู้เรื่อง คุณบอกเขาเป็นสัมมาจริงๆ ก็เขาไม่รู้เรื่องเท่านั้น คุณจะไปผิดศีลตรงไหน? ไปสอนโดยไม่รู้ฐานะของคนฟัง สอนแล้วเขาไม่รู้เรื่อง ก็เป็นการเพ้อเจ้อ อย่างนายธัมมะ ธัมโม อาตมาสอนปรมัตถ์เขาก็ไม่รู้เรื่องก็เท่ากับสอนต้นเสา แต่ดีกว่าที่คนที่รับเป็นคนมีสัญญามีสิ่งที่เข้าหู ถ้าหากเด็กที่เขามีจิตใสๆ จิตเขาศรัทธาด้วย เขาก็จะจำคำไว้จำภาษาได้ แม้เขาจะทำสภาวะไม่ได้ สักวันหนึ่งเขามีสภาวะก็จะรู้ว่าอันนี้ใช่ ก็เป็นการบันทึกไว้ ที่เขาวิ่งไปวิ่งมาอยู่นี่อย่านึกว่าเขาไม่ได้อะไร เขาได้นะ เรื่องเล็กๆน้อยๆ เมื่อต่อไปเขาก็จะรู้ สิ่งเหล่านี้มันสูงสุด ท่านเรียกว่าเป็นการออสโมซิส มันซึมไหลเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว มันมีจริง เป็นจริง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:13:05 )

อย่างไรเป็นการแข่งเพื่อความดีงามระหว่างไทยกับญวน

รายละเอียด

โซนเมืองไทยโซนทางเอเชียจะเป็นเมืองพืชพันธุ์ธัญญาหาร คู่แข่งของเมืองไทยตอนนี้ก็น่าจะเป็นพวกญวน เป็นคู่แข่งสำคัญเลย เราก็จะต้องไม่ใช่แข่งเพื่อเอาชนะคะคาน แต่เป็นการแข่งเพื่อความดีงามเพื่อประโยชน์ แข่งกันสร้างประโยชน์ ให้สร้างให้มีคุณภาพของให้ดีๆ ขายให้ถูกๆ หรือแจกไปได้ แล้วเราก็ทำได้เจริญงอกงามดีและเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น แล้วเราก็อยู่รอดสบาย อุดมสมบูรณ์ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เอื้อไออุ่น วันพุธที่ 16 ธันวาคม 2563 ที่ปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 04 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:52:11 )

อย่างไรเป็นคนมีอวรรณะ 6

รายละเอียด

1. เลี้ยงยาก  (ทุพภระ) 

2. บำรุงยาก  (ทุปโปสะ) 

3. มักมาก  (มหัปปิจฉะ) 

4. ไม่รู้จักพอ  (อสันตุฏฐิ) 

5. เกียจคร้าน  (โกสัชชะ) 

6. คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา) 

(พตปฎ. เล่ม 1  ข้อ 20)  ตรงข้ามกับ วรรณะ 9

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 04:57:11 )

อย่างไรเป็นนักประชาธิปไตยตัวเอ้

รายละเอียด

สมรรถภาพเรามีไม่เสื่อมหรอก และมีบูรณภาพตลอดเวลาไม่มีตกต่ำ สันติภาพก็มีเงื่อนไขสำคัญว่ามันเรียบร้อยไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวาย เป็นคุณสมบัติสำคัญในสังคมนั้นจริงๆ อิสระเสรีภาพก็เป็นของบุคคล ภราดรภาพก็เป็นส่วนรวมครบแล้ว ยังมีค่าเงื่อนไขอื่นถ้าจะเอาอีกถ้าเป็นประชาธิปไตยอาตมาเขียนมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ในหน้าปกของเราคิดอะไรก็เขียนมาพูดมาแต่งออกเป็นกวีเรื่องประชาธิปไตยไม่รู้กี่บท ถ้าหยิบเอามาอธิบายก็จะอธิบายได้ตั้งเยอะ คำว่าประชาธิปไตยในความหมายที่อาตมารู้ ก็ยืนยันว่าอาตมาพาพวกเรานี้เป็นนักประชาธิปไตยตัวเอ้ พวกเราเป็นนักประชาธิปไตย ตัวเอ้ คือ นักประชาธิปไตยตัวสำคัญ อาตมาเองอาตมาภาคภูมิใจว่าพวกเรานี้แสดงความเป็นประชาธิปไตย โดยที่อาตมารู้อยู่กับตัวเองเป็นผู้ที่พาทำแต่อาตมาไม่ใช่เป็นตัว เบ่ง อวดใหญ่ยิ่งอะไร แล้วพวกเราก็ฉลาด พวกเราก็เข้าใจเต็มใจทำ ตั้งแต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่อาตมายืนยันจนทุกวันนี้ที่เขายังไม่เข้าใจ ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 12:14:09 )

อย่างไรเป็นปริสุทธา

รายละเอียด

พอทำอุเบกขาได้เรียกว่า บริสุทธิ์จากกิเลส เรียกว่า ปริสุทธา เมื่อทำได้แล้วคุณก็ทำอีกทำอีกก็สั่งสม ตกผลึกด้วย ปริสุทธา มีเหตุปัจจัยมากขึ้น มีเหตุปัจจัยก็ทำให้สะอาดมากยิ่งขึ้น มาลีลาอย่างนั้นอย่างนี้หลายเหลี่ยมอย่างไหน อย่างหลายเหลี่ยมหลายมุม หลายท่าหลายทางก็สู้ได้รับได้ทุกทิศ ยิ่งกว่าจอมยุทธ คุณสามารถผสมจิตมุทุภูตธาตุได้ เหมือนหนังจีนเลยเก่งได้ คุณก็เอามาประกอบกรรม กัมมัญญา ทุกเวลาที่คุณประกอบกรรม มีมหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 อนุโลมปฏิโลมไปกับเขาได้จิตใจตัวเองไม่ได้หลงไปกับเขา แต่ไม่ใช่หลอกเป็นมายา แต่รู้ชัดเจนทุกอย่างว่าเราอนุโลมไปขนาดนี้ชัดเจน มีเจตนาดีปรารถนาดี มั่นใจว่าสิ่งที่ปรุงแต่งเป็นอภิสังขารเป็นกุศลเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ที่อาตมาสอนนี้อย่านึกว่าเป็นความละเอียดสุดยอดแล้ว มันไม่ใช่ หลายอย่างอาตมาไม่ได้หยิบเอามาอธิบาย หลายอย่างยังไม่ได้ทำความเข้าใจให้ดี เพราะอาตมายังแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 หลายอย่างยังมีอีก ยังมีพุทธพิสัยอีกเยอะแยะ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:56:42 )

อย่างไรเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ

รายละเอียด

ถ้าใครเข้าใจได้ รูปรสอร่อยนี้ทุกคนเคยผ่านทุกคน เสียงไพเราะ มันสนุกสนานมันเป็นรสจริงๆเลยที่เคยมีกันทุกคน มากน้อยแล้วแต่ หลงติดมาทั้งนั้น แต่เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วอย่างพวกคุณ เออ มันหายไป หลายคนยังไม่หมดเหลือน้อยๆ หลายคนก็หมดไปแล้ว เห็นสภาพพวกนี้ที่เคยดูเคยเห็น เคยสัมผัสอย่างที่เคยมีที่เคยปรุงแต่งอย่างนี้ เราก็สัมผัสอย่างที่เคย ดีไม่ดีมันยิ่งจัดจ้านกว่าเก่าด้วย เราก็ไม่เกิดอารมณ์ อารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ อารมณ์ชอบ อารมณ์อะไรอย่างนั้นเลย มันเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ต้องมาดูได้ด้วยตนเอง เกิดความบรรลุธรรมที่รู้ว่า ความไม่มีหรือความมีที่เราเคยหลง ตอนนี้มันไม่มีแล้ว มันเกิดในจิตเราจริงๆแล้ว เราเองเป็นผู้ที่จะรู้เองได้ด้วย และเป็นความไม่มีที่สว่างแจ้งด้วยความจริงด้วยปัญญาอันยิ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 26 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2563 ( 10:00:39 )

อย่างไรเป็นมโนมยอัตตา

รายละเอียด

สิ่งที่ถูกรู้ด้วยประสาทสัมผัสของเราทั้ง 5 ภายนอก หรือแม้แต่คุณไปกำหนดรู้อยู่ข้างใน ไม่มีใครเห็นกับคุณ แต่คุณก็สัญญากำหนดรู้ กำหนดภาพขึ้นมาในจิตใจ เป็นมโนมยอัตตา เป็นรูปที่สำเร็จด้วยจิต คุณสร้างคุณมีก็มีของคุณไป มันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้เหมือนกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:49:56 )

อย่างไรเป็นสัมมาสมาธิหรือสมาหิโต

รายละเอียด

จึงเกิดจิตสะอาดมาสะสม ตกผลึกรวมกันเป็นจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นสมาหิโต ถึงไม่ใช่จิตตื้นๆ ง่ายๆ ดังที่เขาคิด เขาทำเอาอย่างนั้นเป็นลัดๆ ไม่ใช่ ต้องละเอียดลออ ครบครัน ไม่มีขาดหกตกหล่น บริบูรณ์เป็นลำดับ ต้นกลางปลาย ที่ละเอียดลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล สุดยอดเลย

จึงสะสมตัวสมาธิ เรียกด้วยพยัญชนะแทนไปก่อนแต่สะสมเป็น สมาหิตะ จึงเรียกว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า 

เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าแค่ ฌานเลย ฌาน คือตัวต้นที่จะเผากิเลส ทำลายกิเลสให้ได้ พอได้ก็เรียกว่า บุญ จากฌานมาเป็นบุญ พอบุญก็ได้จิตสะอาดมา สะอาดแน่ จบแล้วนะ ไม่ต้องมาทำบุญ ทำฌานอีก ไม่ต้องมานั่งเผากันใหม่ จบการเผาแล้วเป็นบุญแล้ว เป็นจิตที่ทวนแล้วทวนอีก จนเป็นวิมุตติญาณทัสสนะแล้ว จิตนี้ตกผลึกรวมกันเป็นสัมมาสมาธิหรือใช้พยัญชนะว่า สมาหิโต ยืนยันอยู่ในเจโตปริยญาณ 16 

เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้อธิบายคำนี้กันแล้ว เขาอธิบายแต่คำว่าสมาธิ แต่กลายเป็นมิจฉาสมาธิเลอะไปหมด มันจึงไม่เกิดสภาพจริงของจิตสะอาดบริสุทธิ์ ที่ถาวรยั่งยืน  นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 19:44:26 )

อย่างไรเป็นอนุปคัมมะ และพระอวโลกิเตศวร

รายละเอียด

แต่ผู้ที่มีที่เป็นได้แล้ว เป็น 0 หรือเป็นเท่าไหร่ก็ได้ แต่เราไม่เป็นทั้งสองอย่าง เป็นอนุปคัมมะ เราเป็น 0 ก็ได้จะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ อย่างพระอวโลกิเตศวรท่านจะไม่ยอมจบง่ายๆ  ปณิธานของท่านจะรื้อขนสัตว์โลกให้หลุดพ้นหมด ท่านจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย เป็นปณิธานที่สุดยอดจริงๆ จะมีตัวตนคนจริงๆหรือไม่ก็เป็นแบบเทวนิยม เป็นแบบมหายาน แต่ปณิธานที่ดีที่สุดซึ่งไม่ใช่ปณิธานไม่ดี สุดยอด แย้งไม่ได้เถียงไม่ได้ แต่มันจะทำได้หรือไม่ล่ะ  ถ้าทำได้มันดีแน่เลย แต่มันจะเป็นไปได้ไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาความเข้าใจเรื่องกายของอ.แปลง วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2564 ( 11:20:07 )

อย่างไรเป็นอุเบกขา

รายละเอียด

สุข ทุกข์นี้ เรียกเป็นพยัญชนะว่าอุเบกขา ขยายความอีกทีว่าไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เลยวนเวียนไปหาความไม่สุขไม่ทุกข์อีก ที่จริง มันไม่มีอาการของความสุขไม่มีอาการของความทุกข์ทั้งคู่และเป็นยังไง ก็เป็นอุเบกขา แล้วอุเบกขาเป็นยังไง ก็ไม่มีคำอธิบายก็คือมันไม่สุขไม่ทุกข์ แต่อาการความสุขไม่มีความทุกข์ก็ไม่มี คุณจึงต้องเข้าใจอาการความสุขความทุกข์ให้ดีเลย ว่ามันเป็นอาการอย่างไรของจิต อาการที่ไม่มีความสุขความทุกข์เลยนั่นแหละเรียกว่า อาการอุเบกขา ภาษาไทยไม่มี ต้องใช้พยัญชนะของพระพุทธเจ้า อุเบกขา บอกว่าไม่เข้าข้างฝ่ายใดอันนี้ไม่ใช่อันนี้ เพราะว่าของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรธรรมสุดยอด แล้วความจบของศาสนาพระพุทธเจ้า ความสุดยอดอยู่ที่สุขที่ทุกข์อยู่ที่อุเบกขา

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:55:02 )

อย่างไรเรียกคนมีพรหมจรรย์ 

รายละเอียด

ปัญญาเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ พรหมจรรย์นี้เป็นความบริสุทธิ์สูงสุด 

ความบริสุทธิ์สูงสุดนี้มีอยู่ตลอดกาล แต่เขามาเรียกคนมาเรียกผู้หญิงพรหมจรรย์ เป็นการขี้โกง ไม่หรอกเดี๋ยวก็ไม่บริสุทธิ์หรอกผู้หญิงพรหมจรรย์ เพราะฉะนั้นผู้หญิงจะบริสุทธิ์ตลอดกาลก็คือจะต้องบริสุทธิ์ไม่แต่งงานตลอดจนตาย นั่นเรียกว่าผู้หญิงพรหมจรรย์ ไม่มี แปดเปื้อนทางเพศทางอะไรพวกนี้เลย ยิ่งไม่มีอารมณ์กามตลอดเลย คนนั้นมีพรหมจรรย์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 พาปฏิญาณศีล 8

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2564 ( 21:51:12 )

อย่างไรเรียกว่ากาย

รายละเอียด

ทำไม่ได้ก็ยังมีกายอยู่ เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่มี กายอยู่ กายเป็นชีวะ ไม่ใช่สรีระ ดินน้ำไฟลมอย่างเดียว ไม่ใช่ กายเป็นชีวะ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้ ตถาคตเรียกว่าพระไตรปิฎกเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฏกเล่มที่ 16 ข้อ 230 จำข้อได้ผิดพลาดบ้าง เราไม่ได้ความจำเก่งเหมือนพระอานนท์ ท่านหนักแน่นยังจำพระไตรปิฎกเล่มนั้นเล่มนี้ได้เก่งกว่าอาตมา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:21:01 )

อย่างไรเรียกว่ากายเดียวกันสัญญาต่างกัน

รายละเอียด

อย่างพวกที่เล่นไสยศาสตร์ อาทิเช่น อิทธิปาฏิหาริย์ มันเป็นเรื่องอุปาทานร่วม อุปาทานหมู่กันทั้งนั้นเลย แต่มันเป็นจริงนะ เขาเห็นผีเขาเห็นร่วมกันจริงๆ ไม่ใช่ผีเป็นคนเลยอย่างเช่นหลวงปู่แหวน เขาก็เห็นร่วมกันจริงๆ เห็นเหมือนกันแต่ของใครของมัน เรียกว่ากายเดียวกันสัญญาต่างกัน กายเห็นรูปอย่างเดียวกัน แต่สัญญาข้างในจิตของใครของมัน ต่างกัน กายอย่างเดียวกัน แต่สัญญาต่างกัน เป็นสัตตาวาส ยังไม่ถูกต้อง ก็ยังงงๆ สับสนอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ความจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:16:11 )

อย่างไรเรียกว่าคนนี้จบความเจริญ 

รายละเอียด

ลักษณะอย่างนี้แหละทุกวันนี้โลกเขารู้แล้วเขาไม่เอาหรอก เขาจะต้องให้สิทธิเสรีภาพทุกคนมีความคิดความอ่าน ดีไม่ดีคิดถูกกว่าเรา ดีกว่าเรา ก็ได้ ต้องให้สิทธิคนอื่น ไม่เป็นอัตตา ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเป็น อัตตานี่ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็ไม่เอาแล้ว อัตตา ต้องแยกได้ แยกเป็น 2 คนอื่นเท่าเทียมได้ หรือคนอื่นอาจจะเหนือกว่านะ จนกระทั่ง คนนี้เหนือกว่าจริงๆ มันถึงจะเกิดการเจริญ ถ้าคนไหนสูงสุดแล้วไม่มีใครสูงสุดกว่านี้อีกแล้วคนนั้นเจริญอีกไหม?.. ไม่ คนนี้จบความเจริญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 22:32:50 )

อย่างไรเรียกว่าคนบ้า

รายละเอียด

คุณดูจากอาการ ตามกาลามสูตร เขาก็ว่าอาตมาใกล้จะบ้า อันนี้ก็น่าเห็นใจ คนที่เข้าใจว่าบ้าคือคนอยู่ในภพ เลอะเทอะไม่เป็นสาระจริง คนบ้าที่เป็นสาระแต่คนเข้าใจสาระของเขาไม่ได้นี่คือคนบ้า ที่คนไปนึกว่าบ้า เขามีสาระที่พูดโลกุตรธรรมด้วยเป็นสิ่งที่สูงส่งจนคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ แล้วคนพูดก็ไม่สามารถเรียบเรียงภาษาให้คนอื่นเข้าใจตัวเองได้ คนคนนี้มีภูมิธรรม แต่สื่อสารด้วยภาษาไม่ได้ คนอื่นก็เลยหาว่าบ้า คนอย่างนี้ก็น่าสงสารถูกจับไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้าก็มี 

ส่วนคนบ้าจริงๆ ที่เลอะเทอะเละเทะ ก็แล้วไป มันมีมากกว่านั้น 

เพราะฉะนั้นคำบ้าคำนี้ ที่จริงแล้วมีอีกหลายแบบ ต้องไปศึกษาตามโรงพยาบาลบ้าเขาจะอธิบายลักษณะนี้ได้ แต่อาตมาไม่มีความรู้ละเอียดเท่าไหร่ถ้าอยากรู้คนบ้าแบบนั้นก็ไปศึกษา แต่อาตมาไม่ได้เป็นคนบ้าอย่างชนิดนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:49:00 )

อย่างไรเรียกว่างานศิลปะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นนิยามของพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม เป็นโลกุตระ ถ้าเข้าใจ โดยเฉพาะชาวพุทธลูกพระพุทธเจ้าแล้วตั้งใจมาทำ จิตรกรรมก็ตาม ประติมากรรมสถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรีการนาฏศิลป์ ทำให้เป็นโลกุตระ คิดดูสิว่ามันจะเป็นความเจริญขนาดไหน 

คือ ถ้าเผื่อว่าคุณเขียนรูป คนดูรูปแล้วกิเลสลด นี่คืองานศิลป์ แต่ถ้าดูแล้วสัมผัสรูปแล้วกิเลสขึ้น กิเลสกามขึ้น กิเลสปฏิฆะขึ้น พยาบาทขึ้น ไม่ใช่เป็นงานศิลป์ ไม่ใช่ศิลปะ แต่ถ้าคุณสัมผัสแล้วกิเลสลด สิ่งที่เหนือโลกที่สิ่งที่เหนือโลกจริงๆ คุณพูดถึงเรื่อง กาม คุณเขียนรูปคนเปลือย คนดูแล้วกิเลสหดเลย ดูรูปเปลือยที่คุณเขียนดูแล้วกิเลสหด มันคือศิลปะ แต่ถ้าคุณยิ่งดูมันยิ่งกิเลสขึ้นมันไม่ใช่งานศิลปะ แต่เป็นงานลามก งานราคะ 

ที่อาตมาแบ่ง ลามก ราคะ สาระ ธรรมะ โลกุตระแยกว่าอะไรเป็นศิลปะหรือไม่เป็นศิลปะ ลามก ราคะ ไม่ใช่ศิลปะ สารคดี  ก็ยังไม่ใช่ ธรรมะก็ยังเป็นธรรมะก็ยังดี เฟ้นเอาแต่ดี ยิ่งโลกุตระเป็นโลกุตรธรรมแน่นอนนี่คือศิลปะ อาตมาก็มาขยายความอธิบายไว้ต่างๆ นานา เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะอาตมาอธิบายไปถึงโลกุตระมันก็เลยยาก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 18 วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 ธันวาคม 2564 ( 19:40:13 )

อย่างไรเรียกว่าตั้งมั่น

รายละเอียด

หลักธรรมพระพุทธเจ้ารู้จักสภาวะจริงแล้วจะไปปฏิเสธได้อย่างไร เราไม่งมงายเลอะเทอะเกินไปก็พอรู้ว่าเรายังมีราคาอยู่เท่านี้ มีกามเท่านี้ หมดกาม เหลือรูปราคะ อรูปราคะ เหลือมานะกับอุทธัจจะเท่าไหร่ แล้วคุณไม่รู้หรือ?.. เป็นแต่เพียงว่าคุณจะตั้งมั่นหรือไม่เท่านั้นเองรู้แล้วก็ ให้มันตั้งมั่นจนกระทั่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นั่นเองใช่ไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 19:22:15 )

อย่างไรเรียกว่าทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ

รายละเอียด

หนึ่ง อาตมาทำประโยชน์ต่อประเทศชาติเสมอมา อย่างเราทำตลาดอาริยะ ขายขาดทุน ทำเศรษฐกิจบุญนิยม มีหลายระดับที่ได้เสียสละแก่สังคมเสมอมา แต่คนที่เข้าใจว่าอาตมาทำเพื่อสังคมนั้นมีน้อย นักเศรษฐศาสตร์ที่จะเข้าใจอย่างนี้ก็น้อย ถ้าเขาเข้าใจก็จะเอาไปเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติแน่นอน หรือถ้าเขาเข้าใจแต่ก็ไม่กล้าเพราะว่าได้ถูกเถรสมาคมได้สร้างบาปไว้ว่าอย่ามายกชาวอโศก หรือส่งเสริมชาวอโศก เขาคือเถรสมาคมก็ตีตราอโศกไว้แล้วว่าเลวในโลก คนก็เลยไม่กล้ารับรอง

เรื่องการเมืองอาตมาก็พาพวกเราเป็นนักการเมืองที่ไม่ก่อความวุ่นวายไม่ไปแทรกแซงการบริหารประเทศมีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูล และช่วยต่อสู้ด้วย ถ้ามีการเมืองที่เลวออกมาพวกเราก็ออกไปช่วยไปบอกว่าเลว แล้วถึงขั้นจะต้องไล่ออก ก็ไปประท้วงไล่ออก ไปทำมาแล้ว จะบอกว่า ชาวอโศกไม่ได้ไปช่วยประเทศชาตินั้นขออภัย คุณไม่ตาบอดคุณก็ไม่ลืมตาคุณจึงไม่เห็น หรือจะพูดให้ชัดก็คือคุณไม่มีปัญญารู้ความจริงที่เต็ม เป็นฟีโนมีนอน เป็นปรากฏการณ์จริงเกิดจริงอยู่ในสังคมประเทศไทย ไม่ได้ทำมาน้อยด้วย ทำมาเป็นหลายปีแล้ว ออกไปช่วยประเทศชาติสังคมทางการเมือง เศรษฐศาสตร์ก็ได้ช่วย รัฐศาสตร์การเมืองก็ได้ช่วยประเทศชาติ ทางสังคมอาตมาพาให้เกิดประชากรสังคมที่รวมกันเป็นหมู่บ้านชุมชน จนเกิดเป็นหมู่บ้านทางนิตินัยอย่างเช่นราชธานีอโศก หรือศีรษะอโศกก็เป็นหมู่บ้านนิตินัย หรือแม้แต่ชุมชนไม่เป็นนิตินัยก็อยู่อาศัยกันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นสังคมกลุ่มมนุษย์ที่มีบทบาทอย่างนั้น 

คุณเข้าใจสาระเข้าใจเนื้อแท้ของมนุษย์ พฤติกรรมสังคมมนุษย์ที่เป็นจริงอยู่ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐศาสตร์ไม่ว่าจะทางรัฐศาสตร์สังคมศาสตร์ คุณอ่านสภาวะจริงนี้ไม่ออก แล้วมาบอกว่าอาตมาไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมไม่ได้ ขอยืนยันว่าอาตมาทำมาตลอดเกือบ 50 ปีแล้ว แต่คุณไม่เห็นหรือคุณตาบอดหรือคุณไม่มีความรู้ที่จะรู้คุณจึงได้พูดเช่นนี้ ขออภัยอาตมาไม่ได้ด่าได้ว่า อาตมาเข้าใจว่าคุณเจตนาดี ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญานะ 

คุณพูดมาว่าอาตมาไม่ได้ทำประโยชน์แก่ประเทศชาติ อาตมาก็เลยต้องชี้แจงว่าอาตมาก็ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:19:40 )

อย่างไรเรียกว่าทำให้หมาเสียหมา

รายละเอียด

แมวหมาก็ยังพึ่งตัวมันเอง มีหมาที่คนเอามาเลี้ยงจนมันเสียนิสัย หมาเลยเสียหมาเลยเลี้ยงตัวเองไม่เป็นต้องพึ่งคน

คนใดที่เอาสัตว์มาเลี้ยงประคบประหงม จนมันเสีย คนนั้นก็บาป แต่เขาเข้าใจผิดว่าเขาได้ช่วยเหลือหมา แต่แท้จริงแล้วเขาทำให้หมาเสียหมาสัตว์มันก็บำเพ็ญเลี้ยงตัวมันเอง มีแต่คนนี่แหละ ประหลาดไหม พอคลอดออกมาพ่อแม่ไม่เลี้ยงก็ตายเลยนะ คนต้องใจไม่ดำ ใจดำไม่ได้ต้องเลี้ยงเด็กเลี้ยงลูก โดยเฉพาะลูกตัวเองต้องเลี้ยง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อัตภาพและสังสารวัฏ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:04:32 )

อย่างไรเรียกว่านรชนผู้บรรลุ

รายละเอียด

ชีวิตของคน อัตตาของคน มันทำได้แล้ว ชีวิตของเราก็ยังอยู่ อัตตาของเราก็ยังอยู่ แต่อัตตาของเราโลกครอบงำไม่ได้แล้ว ตัวเราก็ไม่ครอบงำ เราก็อาศัยมันไป ตั้งอยู่ วิหารติ หมดแล้วแต่อยู่ เพราะยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังมีรูปนามขันธ์ 5 ก็ยังต้องอาศัยมันอยู่ เพราะฉะนั้นธรรมะที่รู้แจ้งด้วยทุกอย่างทวารทั้ง 5 หมดแล้ว ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักน่าใคร่น่าพอใจแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับผลัก รู้ว่ามันมีก็รู้ แล้วเราก็ไม่ได้ไปเพลินชมเชยยึดถือสิ่งนั้นที่มันตั้งอยู่ ชื่อว่านรชน ผู้บรรลุ แต่นรชนผู้ที่หลงอยู่ก็ยังจมอยู่กันคนละทิศ คนหลุดพ้นคือคนอีกทิศทางหนึ่ง คนที่จมอยู่ก็คือตามพระสูตรจมอยู่ในถ้ำ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 19:23:22 )

อย่างไรเรียกว่านับถือความโง่เป็นความฉลาด 

รายละเอียด

แม้ตายแล้วก็ไม่ยอมทิ้งร่างจนกลายเป็นคนไม่เน่า เป็นคนโง่เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ คนที่ตายแล้วไม่เน่าแล้วก็กราบเคารพคนมิจฉาทิฐิ คนอวิชชา สอนกันมาผิดๆแล้วยึดถือกันผิดๆแล้วกลายเป็นคนผิดตายแล้วก็คือตาย จิตวิญญาณก็ต้องออกไปหมด ระดับของจิตนิยามหายไปแล้วเหลือแต่ พีชนิยาม เพราะว่าไม่ได้เรียนรู้ความละเอียดลึกซึ้ง 

ถ้าได้อาหารเหมือนกับพืช ก็จะอยู่ไปอีกนานไม่เน่า ทำปฏิกิริยาเป็นพืช คนตายแล้วยังมีเชื้อพืชอยู่ ไม่เน่า เนื้อหนังมังสา เล็บ ผม ก็ยังเหมือนเดิม ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิที่ไปเรียนมาผิด ไปนิยมนับถือบูชาใส่โลงกระจกโลงแก้วปิดทองเข้าไปอีก นี่คือมิจฉาทิฏฐิ 

พระพุทธเจ้าสอนให้ทิ้งอะไรก็ไม่ใช่ของเรา นี่ยึดเป็นเราจนกระทั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาว่ายึดถือในเรานี่แหละยิ่งไม่เน่า ยิ่งเป็นผู้ที่มีความเก่งทางธรรมะ ถือว่าเป็นความพิเศษซึ่งมันตรงกันข้ามกัน ไปยึดถือความผิดเป็นความถูกต้อง เป็นความเข้าใจผิดเลยกลายเป็นเอาความโง่มาเป็นความฉลาด มานับถือความโง่เป็นความฉลาด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 19:21:15 )

อย่างไรเรียกว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์ที่รองแชมป์ขึ้นไป ใกล้ๆจะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ก็จะใกล้พระพุทธเจ้าไปหา 9 ในที่สุด เป็นผู้ที่มีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า เรียกว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ก็เหมือนโพธิสัตว์ แต่ท่านนั้นไม่คิดจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง จะตั้งปณิธานไว้แต่ต้นมาก็ตาม อย่างอาตมาเข้าใจแล้ว แต่อาตมาตั้งใจเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แต่พระปัจเจกก็ส่วนตัวของท่าน ท่านจะไม่ตั้งก็ได้ หรือท่านจะตั้ง แต่ท่านก็บอกว่า ท่านไปล้มล้างทีหลังว่าไม่เอาแล้วไม่ประกาศศาสนา ทำงานโพธิสัตว์มาก็พอๆกันกับพระพุทธเจ้านั่นแหละ กว่าจะมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า ก็ทำงานเท่ากันนั่นแหละ เมื่อยมาเท่ากันนั่นแหละ เป็นแต่เพียงว่า ไม่ประกาศศาสนาเป็นของตนเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 20:46:22 )

อย่างไรเรียกว่าปัญญา

รายละเอียด

ปัญญาจะต้องรู้ภายนอกภายในครบ จึงจะเรียกว่าปัญญา เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจความหมายละเอียดพวกนี้ไม่ได้ปฏิบัติ ธรรมะไม่ได้ เช่น ไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วทำฌานทำสมาธิหลับตา แล้วทำจิตให้ว่างอุเบกขาอยู่ในภพ โดยไม่ลืมตาไม่รับรู้ทวารภายนอกเลย รู้แต่ในจิตข้างใน เสร็จแล้วจิตก็ดับเป็นอุเบกขาแบบสมถะ ดับเป็นอุเบกขาสมถะ เคหสิตอุเบกขาเวทนาได้แล้ว

เสร็จแล้วนิ่งเขาก็บอกว่านิ่งแล้วเสร็จแล้วเดี๋ยวปัญญาจะเกิดตาม นี่คือการไม่รู้ธรรมะ อธิบายผิด ตัวที่จะเกิดตามหลังจากการนั่งหลับตาสนิทได้ มีแต่สัญญาเท่านั้นไม่มีปัญญาเกิดเลย เพราะปัญญาต้องมีภายนอก แต่อานาปานสติหลับตาแล้วก็ไม่รับรู้ภายนอก เหลือแต่ลมหายใจเข้าออก ท่านเรียกว่ากาย ถ้าคุณไม่รับรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณอยู่ในภพภายในหมดเลย คุณก็ไม่มีกาย เมื่อปฏิบัติธรรมไม่มีส่วนกายไม่มีธรรมะ 2 ไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย ออกนอกรีตนอกทางไป ฉะนั้นปัญญาไม่มี มันวนอยู่ในสัญญา ก็จะมีแต่ทิฏฐิ 62 ทําในพรหมชาลสูตร

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:16:38 )

อย่างไรเรียกว่าพ้นทุกข์

รายละเอียด

แล้วคำว่าพ้นทุกข์นี้ลึกซึ้งมาก พ้นทุกข์นี้

ทุกข์คืออะไร ทุกข์คือไปหลงลาภ ไม่ได้ลาภมาก็ทุกข์ หลงยศ ไม่ได้ยศก็ทุกข์ ใครมานินทาว่าร้ายก็ทุกข์ หรือไม่ได้สิ่งที่ตนเองอุปาทานไว้ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แม้แต่ไม่ได้สมอัตตาก็ทุกข์

นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วสอนไว้ชัด ท่านจึงสอนให้อย่าไปยึดถือไปหลงก็เท่านี้แหละมนุษย์ เมื่อมาเรียนรู้ไม่ต้องแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขแล้ว ไม่แย่งแล้วทำอะไร กำลังไปไหน กินข้าวกินน้ำเปลืองพืชพันธ์ุธัญญาหาร ที่ต้องใช้สอย ต้องมีที่อยู่ พระพุทธเจ้าว่าพอตรัสรู้ มารก็ว่าตายเสียเลยดีกว่า อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน เหมือนกัน บรรลุอรหันต์แล้วจะทำอะไรก็ตายเสียสิ ก็บรรลุแล้วจบแล้ว ก็เหลือแต่ว่าเราพ้นทุกข์แล้ว พ้นเรื่องที่ตรงข้ามกัน ก็มีธรรมะสองดีกับไม่ดี ควรกับไม่ควร เราก็รู้ความควร ความดี อะไรไม่ควร ไม่ดี เราก็แนะนำอธิบายคนอื่นต่อ เพราะเขาไม่รู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน อัตภาพและสังสารวัฏ วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:12:38 )

อย่างไรเรียกว่ามนสิการ

รายละเอียด

การปรุงแต่งหรือการทำใจในใจหรือการจัดการปรับปรุง จิตของเรา ทำใจในใจของเรา การกระทำที่เรียกว่า การ มนสิการ คำว่ามนสิ แปลว่าที่ใจ การคือ งานกระทำ บทบาทพฤติกรรม ทำที่ใจ มนสิการนี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 04:29:01 )

อย่างไรเรียกว่ามีปัญญา 

รายละเอียด

อาตมาเอาเรื่องปัญญาก็ดี อนัตตา มาเป็นชื่อตัวภาษาเรียกหัวข้อ มาบรรยายในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธครั้งที่ 44 นี้ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แล้ว 

ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ในโลก มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้เรื่องปัญญา คนอื่นไม่มีปัญญาหรอก คนอื่นเอาปัญญาไปเรียกความฉลาดแบบเฉโก แม้แต่ในชาวพุทธก็ไม่ใช่ว่ามีปัญญา อย่านึกว่าตัวเองมีปัญญา ปัญญาไม่ได้มีง่ายๆ ปัญญาต้องเป็นโลกุตระ ปัญญาต้องรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ปัญญาต้องพ้นสักกายะทิฐิ และพ้นวิจิกิจฉา และพ้นศีลลัพตปรามาส 

กระทั่งสามารถทำให้กิเลสลดได้จึงจะเริ่มมีปัญญา 

ทำให้กิเลสลดได้อย่างรู้อย่างเห็นเลย เป็นโสดาบันที่กิเลสของเราลดไปจริง แล้วเราก็เลิกเบาสบายคลายจางจากความคิดในโลกอบายของเรา อย่างนี้เรียกว่าปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูตอบปัญหาระดมปัญญา-อนัตตา งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 44 วันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 16:44:51 )

อย่างไรเรียกว่ามีปัญญาในการทำทาน

รายละเอียด

สมบัติ จะเป็นกุศลหรืออกุศลหรือไม่เป็นกุศลหรืออกุศล แต่มีปัญญาทำทานคือให้สิ่งที่ควรให้ แล้วภพชาติของจิตคุณไม่ต้องไปสร้างต่อเลย คุณรู้อันนี้สมควรให้ทาน คุณก็ให้ จบในตัว ในทานสูตรพระพุทธเจ้าตรัสไว้สั้นๆจบในตัว ท่านขยายความอีกพอสมควร ก็เข้าใจว่าปัจจุบันควรทำทานในสิ่งที่ควร ผู้นี้สมควรได้สิ่งนี้แหละสำคัญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 20:07:59 )

อย่างไรเรียกว่ายอมกัน

รายละเอียด

ยอมกันก็คือ คุณคือคุณ เราคือเรา

คุณก็คืออย่างนี้ คุณก็คือ หนึ่ง เราก็คือสอง มันก็เหมือนกันไม่ได้ คุณก็คือบวก เราก็คือลบ คุณลบเราก็คือบวกก็เท่านั้นเอง ก็ลบกับบวกก็อยู่กันให้ได้ เป็นนิวเคลียสสิ

ที่มา ที่ไป

ธรรมะ 2 รวมเป็นเวทนา 1 โดยส่วน 2 ภาคประสานงาน

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ธรรมะ 2 รวมเป็นเวทนา 1 โดยส่วน 2 ภาคประสานงาน วันที่ 13 กรกฎาคม 2561


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 14:55:57 )

อย่างไรเรียกว่าราชประชาสมาสัย

รายละเอียด

ก็ขอสรุปความหน่อยนึงเพราะเวลาจะหมดแล้ว สำหรับวันนี้ก็ขอสรุปความว่าประชาธิปไตย 3 เส้า สามเส้านี้มีหลายหมวดนะ  มีกษัตริย์ มีประชาชน มีวิญญาณกษัตริย์ประชาชนแล้ววิญญาณนั้นวิญญาณของกษัตริย์ วิญญาณของประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกัน 3 เส้าเรียกว่าราชประชาสมาสัย รวมราชประชาคือราชากับประชาอาศัยซึ่งกันและกันเกื้อกูลกันอยู่อย่างสนิทเนียนอยู่อย่างเข้าใจอยู่อย่างนับถือมีทุกอย่างพร้อมตามลำดับของความเคารพครับลูกละนะพร้อมทั้งสาราณียธรรม ปิยกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ภาวะคุณธรรมทั้ง 7 ชนิดนี้มีอยู่ในจิตประชาชน มีในจิตพระมหากษัตริย์ ระลึกถึงกันในหลวงกรณีถึงประชาชนประชาชนก็ระลึกนึกถึงในหลวง มีความรักซึ่งกันและกันมีความเคารพซึ่งกันและกันสังคหะช่วยเหลือกันและกันเกื้อกูลกันและกันตลอด วิวาทะไม่ขัดไม่ทะเลาะวิวาททะเลาะกันสามัคคียะรวมกันอยู่สามัคคีภาวะไม่มีอะไรตีแตกเป็นภาวะหนึ่งที่ไม่มีอะไรตีแตกแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 12:16:37 )

อย่างไรเรียกว่าสสังขาริกัง กับอสังขาริกัง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดรสชอบรสชัง หมดรสอร่อยไม่อร่อยก็รู้จริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ลิ้นไอ้เข้รสอะไรก็ไม่รู้ ไม่ใช่ หวานมาเค็มมา เรียกมาผสมส่วนมาก็รู้ตามคนที่เขารู้ทั้งนั้น แต่เรารู้สังขารที่มันไม่มีแล้วของเราคนอื่นยังสังขารปรุงแต่งอยู่อย่างนี้เป็นกิเลสตัวชอบไม่ชอบก็ไปปรุงร่วม เรียกว่าสสังขาริกัง ของเราอสังขาริกัง ไม่มีกิเลสพวกนี้ไปปรุงร่วม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 27 วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:18:47 )

อย่างไรเรียกว่าสัปปายะ 4

รายละเอียด

สิ่งที่จะสมพร้อมดำเนินไปได้ด้วยดีท่านเรียกว่าสัปปายะ สัปปายะ 4 สถานที่มันก็ต้องมีสถานที่ ไม่ต้องใหญ่ต้องโต อาตมาว่าก็ได้ตามบารมี ไปได้ที่น้ำท่วมคนไม่เอา และพยายามอยู่กับน้ำท่วม อยู่ได้ยากก็เอาเรือมาเป็นเครื่องช่วย ก็เลยต้องมีหน้าที่สะสม ซ่อมแซมเรือ เจ้าประคุณ อาตมาหมดเงินไปกับเรือ ที่เอาไปประกอบ หมดไปไม่รู้กี่ล้าน ไม่มีใครทำงบดุล หมดไปอย่างไม่รู้ตัว แต่มันจำนน จำเป็น เราไปได้อย่างนั้นไม่มีบารมีกว่านี้ เปลืองมากเหนื่อย ไม่ได้ขอความเห็นใจทีเดียว แต่พูดให้ฟังตามสัจจะ ก็คิดว่าจะเป็นเสนาสนะสัปปายะ ก็มีบุคคล มีคุณภาพ มีคุณธรรม บุคคลของเรา อัปปมัญญา มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในจิตจริง มีจิตช่วยเหลือเฟือฟาย ปรารถนาดี เผื่อแผ่กันจริงๆ อาตมามั่นใจว่าสิ่งใดเป็นสัจจธรรม มีเสนาสนะดี มีสิ่งอาศัย สุนทรียะเป็นเครื่องอาศัย สาระเป็นเครื่องอาศัย จนเขาเต็มใจ รู้ดีว่าจะต้องมาอยู่กับกลุ่มนี้ เขาก็จะค่อยทยอยเข้ามา เขาได้รับอาหารสัปปายะ เครื่องอาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อาหารทางพฤติกรรมทางความเจริญฉลาด ก็จะค่อยๆได้ๆๆๆ เป็นอาหารที่เจริญไปได้เรื่อยๆ เสร็จแล้วอาหารเหล่านั้น ประมวลลงก็เป็นธรรมะ ธรรมะสัปปายะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:16:03 )

อย่างไรเรียกว่าอภิสังขาร 

รายละเอียด

โดยอีกคำหนึ่งก็คือ สังขาร ปรับปรุง ปรับแต่ง จัดการ อย่างยิ่ง เรียกว่า อภิสังขาร 

เพราะฉะนั้นปรับปรุงปรับแต่งอย่างยิ่งที่เป็นการสังขารปรับปรุง ปรับปรุงอย่างยิ่ง โดยการรู้จักกิเลส  รู้หน้าตากิเลส จับตัวกิเลสถูกตัวถูกตน ไอ้คำว่า ถูกตัวถูกตนนี้แหละมันเป็นเครื่องตัดสินได้ยาก ที่ทางตักกะ บัญญัติทางที่เรียนรู้แต่ความหมายภาษาคำพูด เขาเข้าไม่ค่อยถึงสภาวะจริง อารมณ์ผิวเผิน อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ อารมณ์สนุกรื่นเริงบันเทิง ออกมาประกอบกับกายกรรม วจีกรรม ภายนอกมากมาย เขาเข้าใจได้ แต่พอมีแต่อาการใจ ทางพวกบัญญัติทางเรียนพยัญชนะภาษา เรียนคำพูดการกำหนดหมายแบบเหตุแบบผล เขาเข้าไม่ถึง อันนี้แหละยากมาก เข้าไม่ถึง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 04:30:10 )

อย่างไรเรียกว่าอัญญธาตุ

รายละเอียด

เจาะกระเปาะไข่ออกมาได้จะมีธาตุรู้ชนิดใหม่เรียกว่า อัญญธาตุ พระพุทธเจ้าท่านตรัส เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้รู้อันนี้ อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ หมายความว่าโกณฑัญญะเป็นผู้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าเกิดธาตุรู้ตัวนี้ขึ้นมา ธาตุที่รู้โลกุตรธรรม เป็นธาตุตัวแรก เมื่อมีธาตุรู้ตัวที่ 2 ขึ้นมามีผู้รู้ร่วมด้วยเป็นเทวะความเป็น 2 ขึ้นมา มันก็จะเริ่มแตกกระบวนการ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 09:49:56 )

อย่างไรเรียกว่าอาริยบุคคล

รายละเอียด

แต่คุณต่างหากเข้าใจภาษาเข้าใจธรรมะเข้าใจคุณค่าที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้ คุณก็ไปตีค่าว่า คนคนนี้เอาภาษาของคนที่พูดกับคนไม่รู้เรื่อง มาพูดก็เป็นคนบ้าทั้งนั้น คุณก็เอาความหมายอันนี้มาแปะอาตมา อาตมาก็ขอบอกว่าคุณกำลังแปะผิด อาตมาไม่ใช่คนที่คุณว่าเป็นคนบ้า อาตมาเป็นคนดีที่ดีเกินกว่าสามัญที่เรียกว่าโลกุตระไม่ใช่สามัญ อาตมาไม่ใช่คนปกติสามัญธรรมดา อาตมาเป็นคนเหนือปกติ เหนือสามัญ เหนือธรรมดามนุษย์ เรียกว่าอาริยบุคคล พูดภาษาไทยธรรมดาไม่ใช่พูดภาษาเลอะเทอะ แต่พูดภาษาวิชาการนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:50:58 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์