@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ชมพูทวีปย้ายจากอินเดียมาอยู่เมืองไทย

รายละเอียด

เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธเจ้า อาตมาเคยบอกไปแล้วว่า ชมพูทวีปย้ายมาจากอินเดียมาอยู่เมืองไทย ซึ่งไม่ได้พูดเล่นลิ้นไม่ได้พูดโก้ๆ เท่ๆ เล่นๆ แต่เป็นตัวจริงมีพฤติกรรมจริงมีจิตวิญญาณจึงเกิดอยู่เป็นอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ้นความโง่อวิชชากับ
ปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 19:37:54 )

ชมพูทวีปแท้จริง

รายละเอียด

มนุษย์ชาวชมพูทวีป  ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตร-กุรุทวีป และเทวดาชั้นดาวดึงส์  ด้วยฐานะ 3   คือ

เป็นผู้กล้า (สุรภาโว)  เป็นผู้มีสติ (สติมันโต)  อันนี้เป็นที่อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม (อิธ  พรหมจริยาวาโส)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย   มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป   และพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ  3  ประการนี้แล 

ที่มา ที่ไป

(พระไตรปิฎก เล่ม 23  ข้อ 225)

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2562 ( 16:19:09 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 07:56:27 )

ชมพูทวีปในยุคนี้อยู่ที่ใด 

รายละเอียด

ซึ่งอาตมาก็อยากจะพูดตรงที่ว่าในประเทศอื่นๆ ที่เป็นพุทธศาสนาซึ่งมีอยู่หลายประเทศ ก็ยังไม่มี มีในประเทศไทยเท่านั้นเพราะในยุค 2,500 ปี ยุคนี้มันเสื่อมหมดแล้ว ประเทศอื่นที่เป็นพุทธเขาก็ยกให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในแกนของศาสนาพุทธ เขาก็ยกให้ ซึ่งก็จริง อาตมาก็สำทับไปว่าเป็นชมพูทวีปในยุคนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 04:51:51 )

ชมเชยนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย ทำให้เหลิงทำให้หลงตัวด้วย

รายละเอียด

ชมเชยนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามันไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย ทำให้เหลิงทำให้หลงตัวด้วย จริงๆแล้วความดีที่มีอยู่กับคนอื่น ไม่ต้องไปรู้ไม่ต้องไปจี้ เขาดีอย่างนี้อยู่ที่คนเขาก็ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสะกิดไม่ต้องไปทำอะไรว่ามันจะเสียหาย แต่ความชั่วอยู่ที่คน ไม่สะกิดไม่เตือนให้บอกให้รู้ตัวมันซวยไหม แต่ความดีที่อยู่ที่เขาไม่ต้องไปพูดอะไรเขาก็ดีอยู่อย่างนั้นช่างปะไร แต่ถ้าไปชมอีกมันจะเหลิง เป็นผลกระทบที่ไม่ค่อยจะสวย 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 10:18:15 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:14:31 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:20:45 )

ชรตา

รายละเอียด

ความเสื่อมลง ความแก่ ความเปลี่ยนแปลงไปหาจุดที่ไม่ทรงอยู่อย่างดีในสภาพเดิมนั้น

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 281


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:16:36 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:41:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:22:31 )

ชรตา สูตรพลังงานสัมประสิทธิ์

รายละเอียด

คือ เกิดแล้วไม่มีอะไรไปเสริมต่อแล้ว มันก็ต้องเสื่อม แต่ถ้ามีพลังงานอะไรไปเสริมบ้าง ก็ต้องไปต่อ ถ้าเป็นบวกหรือเป็นสัมประสิทธิ์ระดับคุณก็จะก้าวหน้า การก้าวหน้าต้องมีสัมประสิทธิ์ ในภาวะที่ต้องเสริมในระดับคูณจึงมีการก้าวหน้า ต่อไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเอาแต่บวกๆๆ ช้า บางทีวิบากมาไล่ทันตายไปก่อนไม่ได้ทำอะไรทัน ในคณิตศาสตร์อธิบายสัมประสิทธิ์แค่ตัวคูณ แปลว่า สภาวะธรรมะอธิบายละเอียดกว่า คณิตศาสตร์จะต้องมีพลังงานนั้นในระดับไม่ใช่แค่บวก คูณ เพราะฉะนั้นสูตรที่สมณะโพธิรักษ์ เพิ่มเติมขึ้นจาก E =mc2 จึงมีถึงขั้น +A เป็น E =mc2 +A 
ถ้า A เป็นบวกไปเรื่อยๆ ก็ต้องเป็นคูณ แล้วก็คูณไปถึงยกกำลังก็ต้องเอามาเป็น C  ออกมาเป็น
E = C ( mc2 +A )  สูตรของสมณะโพธิรักษ์ จึงเป็น E = C ( mc2 +A )  สูตรนี้ก็จะมีนักวิทยาศาสตร์ เอาไปใช้แม้แต่ในด้านพลังงานวัตถุเป็นสูตรที่ก้าวหน้าทางสัมประสิทธิ์ยิ่งกว่าไอน์สไตล์

พลังงานปรมณูต่างๆ ที่เอาของไอน์สไตล์มาใช้ก็มีอยู่ทุกวันนี้ แต่สูตรของสมณะโพธิรักษ์นี้ทับทวียิ่งกว่าไอน์สไตล์แล้วไม่มีลิมิตง่ายๆ E = C ( mc2 +A )  สูตรนี้ไม่มีลิมิตง่ายๆ จะไปได้อีกมาก นักวิทยาศาสตร์เขาใช้แค่นี้ก็เหลือกินแล้วแค่  E =mc2  จริงๆ เขาไม่ทำวัตถุ เอาจิตวิญญาณให้เจริญขึ้นแก่ชาวโลก เอาไปใช้เป็นพลังงานปรมณูเพื่อสันติอย่างแท้จริงแต่ถ้านายคิมจองอึนหรือนายโดนัลด์ทรัมป์ออกไปก็จะบรรลัยจักรยิ่งกว่าไอน์สไตล์อีก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2562 ( 16:48:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 07:59:01 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:27:52 )

ชรตา อนิจจตา

รายละเอียด

เป็นธรรมชาติ ถ้าสมมุติว่าเราไม่ต่อ ธาตุที่เหลือมันก็จะค่อยๆหายไปเองถ้ายังมีเชื้อที่เหลือ ถ้ายังไม่มีธาตุเชื้อที่เหลือเป็นพระอรหันต์ที่เด็ดขาดได้ก็จะจบเลย ไม่มี ชรตา อนิจจตา ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เที่ยงเลยจบตัด ไม่ชรา ไม่ชะลอเลยตัดจบ แต่ผู้ยังเป็นเชื้ออนาคามีอยู่ตายแล้วก็ยังต้องมีเชื้อต่อ ชรตา เสื่อมไปอีก ระวังนะอย่าให้มันฟื้น อนิจจตา หากเป็นพระอนาคามี เป็นพระอนาคามีเต็มตัวแน่นอนก็จะไม่ต่อแล้ว ตายตรงนั้นก็จะไปอยู่ที่สุทธาวาส 5

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 31 มกราคม2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:06:01 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:00:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:31:48 )

ชลาพุช

รายละเอียด

การเกิดของชีวิตอย่างใหญ่ หรือหยาบที่สุดจนเป็นสักกายะที่สูงสุดในคน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 170


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:17:15 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:42:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:32:19 )

ชลาพุชโยนิ

รายละเอียด

1. สัตว์ที่เกิดในครรภ์

2. การเกิด หรือการมีลูกในแบบสัตว์ที่อาศัยมดลูกเป็นโรงงานในตัวตนสัตว์นั้นเลยเรียบร้อย 

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระ หน้า 227, ทางเอก ภาค 2 หน้า 420


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:18:28 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:43:06 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:33:17 )

ชวด

รายละเอียด

ภาษาแสลงแปลว่าหลุดมือไป ถ้าเราปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเราจะหลุดมือไปก็หลุดไป เราอยากให้หลุดให้พ้นด้วยซ้ำไป แล้วก็มีอิสระเสรีสบาย ความหมายลักษณะพวกนี้เป็นลักษณะธรรมะ เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งซับซ้อน พวกเราได้ศึกษาโลกุตรธรรมเป็นธรรมชาติที่สุดยอดวิเศษลึกซึ้งซับซ้อน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เอามาสอนไว้ สุดยอดจริงๆเลยความรู้ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็มีอะไรซับซ้อน จนเจ้าประคุณเอ้ย จนหมุนสมองให้ทันสมัย ก็ไปกันใหญ่เลย 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 14:25:56 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:02:07 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:34:54 )

ชวนกันมาจนดีอย่างไร แล้วจะอยู่กันอย่างไรต่อไป

รายละเอียด

มาจนมันดีอย่างไร ชวนกันมาจน จะอยู่อย่างไรต่อไป ขนาดเขารวยกันยังอยู่ไม่ค่อยพอเลย แล้วพวกนี้จนจะอยู่กันอย่างไร 

สรุปแล้วอาตมาขอย้ำอีกว่า พวกเราตั้งหน้าตั้งตาทำกสิกรรมให้เจริญรุ่งเรืองเต็มที่ นี่ก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะ ก็เพิ่มเติมขึ้น อย่าหยุดยั้งขยายผลไปเลย เอาให้ดี ให้มีทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นหลัก คุณภาพดีและปริมาณเพิ่มขึ้นๆๆ เราขายให้ถูก ขายไม่ออกก็แจก เพราะอย่างไรเราก็มีพอกินพออยู่แล้ว ก็ปลูกอย่างไรเราก็กินก่อน กินเหลือเราก็แจก หรือขายอย่างถูกไปเรื่อยๆ ซึ่งเรามีที่จบของพฤติกรรมชีวิต
 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 14:07:43 )

ชวนจิต

รายละเอียด

จิตที่มีประสิทธิภาพในความแววไว เร็วไว

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 289


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:19:06 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:42:38 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:35:52 )

ชอบ

รายละเอียด

ความสมใจอยาก

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 379


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:19:40 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:43:43 )

ชอบและไม่ชอบ

รายละเอียด

บุคคลทุกคนไม่ว่าชาติไหนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แต่เรียกด้วยบัญญัติคนละอย่าง คนยึดถืออะไรว่าเป็นสิ่งที่คุณชอบได้มาสมใจก็เป็นสุข ถ้าได้มาไม่ตรงสเปค คุณก็เกิดทุกข์

เพราะฉะนั้นสุขทุกข์อยู่ที่อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ที่ยึดถือไว้ในกองอนุสัยอาสวะ เคลื่อนตัวมาให้รู้เป็นความยึดมั่นถือมั่น ตื้นขึ้นมาก็เป็นตัณหา ยึดมั่นถือมั่นว่ากูต้องได้อย่างนี้ เปิดขึ้นมามีตา หู จมูก ลิ้น กายผสมกับลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็มี specification หมดแล้วว่ากูจะต้องได้อย่างนี้ ได้ลาภอย่างนี้ ได้ยศอย่างนี้ ยศตำรวจไม่เอาเอายศทหารหรือข้าราชการ เอายศแบบทางโลกแบบฆราวาสก็แล้วแต่ โดยไม่รู้รายละเอียดพรุ่งนี้ไม่ได้ศึกษา ถ้าหากรู้แล้วซะก็ไม่ต้องไปแย่ง เราทำความสุขความทุกข์ให้หมดไปจากจิตแล้ว มันจะรู้ดีรู้ชั่วไปในตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่หมดความสุขความทุกข์แล้วจะไม่ทำอะไรชั่ว จะทำแต่ดี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ยึดถือในสุขและทุกข์จะรู้จักกรรมวิบาก ไม่สั่งสมโดยเฉพาะสุขทุกข์ก็ไม่สั่งสม ก็เรียนรู้อยู่กับสมมติ พระอรหันต์มีชีวิตอยู่กับสมมติเท่านั้น หมดความสุขความทุกข์แล้ว ท่านก็อยู่กับสมมุติโลก อันนี้เขาสมมติว่าดี เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม เขาจะสมมติว่าอันนี้ชั่ว จะเห็นว่าดีก็แล้วแต่ หากไม่ทำตามเขา เขาก็ไล่ออกจากประเทศ เพราะวัฒนธรรมกฎหมายเขาก็เป็นอย่างนั้นไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:12:35 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:05:26 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:39:49 )

ชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกันเป็นอาบัติหนัก

รายละเอียด

เรื่องแต่งงานมีคู่ พระพุทธเจ้ากันไว้ถึงขั้นพระวินัยของภิกษุ ว่าอย่าไปชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน จัดอยู่ในอาบัติขั้นสังฆาทิเสส ไม่ใช่อาบัติน้อยๆ นะ เป็นอาบัติหนักรองปาราชิกเลย แล้วสมัยนี้ทำกันผิดๆ เป็นพระเป็นเจ้าไปส่งเสริม เขานิมนต์ไปงานแต่งงานก็สวดมนต์อวยพรเขาอีก อาบัติซ้อนอยู่ในนี้อีก..ไม่เข้าใจ เดี๋ยวไปส่งเสริมมันเป็นทุกข์ มันเป็นการต่อภพต่อภูมิ เป็นกรรมวิบากอย่างนั้น ใครตัดได้ชาติหนึ่ง มันก็ได้เป็นกรรมวิบากที่ดีชาติหนึ่ง ตัดได้ดีหลายชาติ มันยิ่งอิสระเสรี เยี่ยม มันเป็นทุกข์เป็นเรื่องของมนุษย์ที่ยาก การไม่แต่งงาน คนไม่แต่งงานแล้ว กลายเป็นคนนิสัยไม่ดีสำส่อนตายไว เดี๋ยวก็โดนฆ่า แต่ถ้าเผื่อว่าคนที่ไม่แต่งเพราะมีบารมี รู้จักลดละกามคุณ ทางกามมราคะให้มีน้อยลง อย่างนั้นเป็นบารมี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 20:00:01 )

ชัง

รายละเอียด

1. ไม่ชอบ 

2. ความอยากผลักออก หรือไม่ชอบ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 371, หน้า 379

 


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:20:29 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:44:14 )

ชัญญา

รายละเอียด

การรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:48:48 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:09:48 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:42:06 )

ชัดเจนด้วยปัญญาแล้ว การตายก็แค่เปลี่ยนร่างหรือแยกธาตุ

รายละเอียด

อย่างน้อยที่สุด คุณเข้าใจการตายการเกิด ตายเป็นตายไม่มีปัญหาอะไร ตายก็ตายสิ อาตมาก็ว่าพวกเราแม้ที่สุดออกสนามแล้วถูกยิงมีสติดีอยู่ก็ยิ้ม บอกว่าไปก่อนนะพ่อท่าน พบกันใหม่ชาติหน้า จริงนะ อาตมาว่าหากมันชัดเจนด้วยปัญญาแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร ตายไปแล้วก็เปลี่ยนร่างเท่านั้นเอง แม้ว่าเราเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายไปแล้วก็แค่เปลี่ยนร่าง ถ้ายิ่งเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ยิ่งสบายเลย ไม่มีปัญหาเหตุการณ์มันช่วยให้เราได้เลิกไปเลย แยกธาตุเป็นอุตุนิยามไปเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 21:18:54 )

ชัดเจนละเอียดลอออย่างไรใน จุลศีล ข้อ 1

รายละเอียด

สรุปว่าเรื่องฆ่าสัตว์ในศีลข้อที่ 1 ท่านก็ตรัสไว้ละเอียดลออชัดเจน แม้ไม่มีคำความที่มากแต่ก็ชัดเจนอยู่แล้ว จุลศีล ข้อ 1…ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ อาวุธชั้นไหนๆ ก็วางหมด กรุณา หากเราไม่มีกรุณา เราขนลุกขนพองเลย ทำไมเราโหดเหี้ยมเลวร้ายอย่างนี้ ความละอายก็ไม่มี เอ็นดูก็ไม่มี กรุณาก็ไม่มี มันจะอย่างไร สุดท้าย ไม่มีหวังร้ายเลย มีแต่หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:01:54 )

ชัดเจนเถิดว่าปฏิบัตินั่งหลับตาไม่มีทวาร 5 เป็นโมฆะ

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่าท่านที่นั่งหลับตาชัดเจน ว่า หลับตาคำเดียวนี้มันเป็นโมฆะเลย เพราะมันไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มันไม่มีชาคริยานุโยคะ มันไม่ตื่น มันอยู่ในภพหลับตา แม้ว่าคนหลับตาปิด แล้วจะตื่นอยู่ภายในก็ตาม มันก็ไม่มีทวาร 5 แล้ว ก็หลับตามีแต่ทวารใจทวารเดียว มันไม่ตื่นภายนอก กายกรรมก็ต้องตื่นเต็ม วจีกรรมก็ต้องตื่นเต็ม มโนกรรมก็ต้องตื่นเต็ม คุณจะเอาแต่มโนกรรม กายกรรม วจีกรรมคุณไม่ตื่น ก็เอาแต่นิ่งไม่กระดุกกระดิก หายใจให้เบาลงๆ เหมือนฤาษีเดียรถีย์ดาบส กินแครอลี่ให้น้อยๆ เขาเอาไปฝังดิน 26 วันก็ทนได้ยังไม่ตาย กินอาหารให้น้อยที่สุด พลังงานก็สังเคราะห์ร่างกายอยู่เหมือนมนุษย์พืช มันก็ไม่ตาย ไม่ได้อาหารมันก็ทนได้ 26 วัน เขาพิสูจน์กันมีหลักฐาน อาตมาก็เล่าตามที่เขาพูด อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน วิบากของอรหันต์ที่อภิญญาน้อย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 17:33:13 )

ชัดเจนในตัวเองหรือยังว่าเป็นอรหันต์ขั้นไหน

รายละเอียด

ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจกระบวนการต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และพาทำมาตลอดเวลา จะได้มรรคผลของเราที่พิสูจน์ได้ อาตมาไม่เคยตกใจไม่เคยหวั่นไหวว่าพวกคุณจะได้มรรคได้ผลไปแล้ว ซึ่งคนเขาไม่ฟัง เราบอกว่าเรามีโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่พวกเราก็ยังไม่ชัดเจนในตัวเองว่าเป็นอรหันต์หรือยัง 

อรหันต์มีไม่รู้กี่ขั้น อรหันต์สูงสุดขั้นที่ 9 เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์รองลงมาขั้นที่ 8 เป็นมหาโพธิสัตว์ อรหันต์ขั้นที่ 7 ก็เป็นสัตบุรุษ ซึ่งไม่เท่ากัน ส่วนอรหันต์ขั้นที่ 6 ก็เป็น อนิยตโพธิสัตว์ อรหันต์ขั้นที่ 5 ก็เป็น อนุโพธิสัตว์ อรหันต์ขั้นที่ 1 2 3 4 ก็เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จะเรียกว่าอรหัตผลของโสดาบันก็ได้ อรหัตผลของสกิทาคามี อรหัตผลของอนาคามี อรหัตผลของอรหันต์ ถ้ายังไม่จบสมบูรณ์ ขั้นที่ 5 จึงจะเรียกว่าหมดตนจริงๆ อรหันต์ขั้นที่ 4 ก็เอาให้หมดตน ยังไม่หมดตนก็เป็นอรหัตตมรรค 

เพราะฉะนั้นต้องตรวจสอบตัวเองแต่ละคน เราติดยึดในสิ่งที่มันอยู่รอบตัวเรานี่แหละคือสิ่งที่มันอยู่ห่างไกล เราก็ตรวจสอบได้ทุกวันนี้สื่อสารมวลชนมีให้เรารู้เยอะแยะ สิ่งที่เราสัมผัสแล้วรู้สึกว่าไร้สาระไม่เอา แต่แค่สาระแค่นี้เรายังกอบโกยสะสมอยู่ มันมีอยู่เท่าไร เราก็ลดละไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 20:19:59 )

ชัดเจนในรูป 28 ต้องมีสภาวะ ไม่ใช่แค่รู้แค่ตัวหนังสือ

รายละเอียด

อาตมาไม่เป็นเรื่องโซเชียลมีเดียเลย กดก็ไม่เป็นเพราะว่าไม่ตั้งจิตที่จะไปเรียนรู้เรื่องนี้เลย วางทิ้งปล่อย เรียกว่าดับชีวิตินทรีย์ ชัดเจนในรูป 28 ต้องมีสภาวะ ไม่ใช่แค่รู้แค่ตัวหนังสือ รูป 28 สภาวะเป็นอย่างไรเราก็เข้าใจแล้วก็ทำได้ ถ้าเราทำได้เข้าใจได้มันจะจำได้หมดไม่ต้องท่อง มันจะเรียงลำดับ รูป 28 ซึ่ง 28 ตัวไม่ใช่ง่ายๆจะท่อง แต่จะจำได้จริง เพราะมันจะมีอย่างนั้นให้เราทำจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 15:40:50 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:15:03 )

ชั่ว

รายละเอียด

การกระทำที่ทำแล้วไม่เจริญ ทั้งในทางสังคมและในทางจิตใจก็ได้ ไม่เป็นไปในทางจิตใจก็ได้ (จิตใจเกิดกิเลสก็ได้ ไม่เกิดกิเลสก็ได้)

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 217, หน้า 218


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:22:38 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:44:46 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:45:05 )

ชั้นของคน(ในสังคม)

รายละเอียด

ระดับของคุณค่าแห่งความเป็นคนในสังคม 4 ระดับ ได้แก่

1) นักผลิต คือผู้สร้างผู้ทำเองแท้ ๆ เป็นเจ้าของเอง มีความรู้ความสามารถเอง เป็นกรรมกรเอง (เปรียบได้กับโสดาบัน)

2) นักบริการ คือผู้รับจ้าง ผู้ช่วยทำช่วยสร้าง ช่วยขนส่ง ช่วยแจกช่วยจ่าย ช่วยซื้อช่วยขาย ช่วยแบกช่วยหาม ผู้ไม่ใช่เจ้าของเองหรือไม่ใช่เจ้านาย เป็นแค่ผู้รับใช้หรือลูกจ้าง (เปรียบได้กับสกิทาคามี)

3) นักบริหาร คือผู้จัดการ ผู้ปกครอง ผู้ทำหน้าที่ดูแลจัดสรรให้กิจการงานของหมู่กลุ่มนั้น ๆ เจริญพัฒนา ผู้คุ้มครองป้องกันดูแลหมู่กลุ่ม ตามสัจจะก็คือผู้สูงกว่า มีความรู้ความสามารถและมีศีลมีธรรมยิ่งกว่าสองฐานะแรก ซึ่งในสังคมทั่วไปก็หมายถึงผู้ทำหน้าที่ผู้นำของนักบริการและนักผลิตนั่นเอง (เปรียบได้กับอนาคามี)

4) นักบวช คือผู้มีศีลมีธรรมสูงกว่าฐานะอื่น ๆ เป็นผู้มีวรรณะ 9 บริบูรณ์กว่าทุกฐานะ (เปรียบได้กับอรหันต์)

หนังสืออ้างอิง

วิถีพุทธ หน้า 79, หน้า 89, หน้า 90


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:21:22 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:45:26 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:47:03 )

ชั้นดุสิตถ้าไม่ใช่โพธิสัตว์ไม่รู้จัก

รายละเอียด

ส่วน ดุสิต เป็นแดนแห่งความพัก มันควรหยุดบ้าง แต่มันไม่หยุด พวกนี้บ้า ดุสิตไม่หยุดไม่พัก ผู้ที่รู้ว่าดุสิตคือแดนพักเป็นโพธิสัตว์ ดุสิต จึงเป็นแดนพักของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คือผู้ที่รู้โลก รู้อัตตาแล้ว รู้จักพักรู้จักเพียร ถ้าไม่ใช่เป็นโพธิสัตว์ไม่รู้จักดุสิตหรอก ให้พักไม่รู้จักพัก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:05:10 )

ชั้นนิมมานรดี และปรนิมมิตวสวัตตี

รายละเอียด

ดุสิต ยิ่งงมงาย ไม่รู้จักพัก นิมมานรดีก็เนรมิตเอาใหญ่เลย ไม่เอาก็เนรมิตเอาเองเลย ตามที่ต้องการ ตามความประสงค์ต้องการ รติ เนรมิตเองสร้างเอง 

จนสุดท้ายไม่พอ มีบริวาร ปรนิมมิตวสวัตตี มาร่วมสร้าง เลยกลายเป็นพวกบ้าทั้ง 6 ทั้งบ้าทั้งเมาทั้งมืดทั้งโง่ สวรรค์นี้คือแดนคนโง่ ฟังไว้ นี่โพธิรักษ์ เป็นคนปากกล้าคนเดียวที่พูดอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:06:24 )

ชั้นยามาต่อจากดาวดึงส์ คือสวรรค์ชั้นที่งมงายใหญ่

รายละเอียด

ทีนี้ยิ่งสวรรค์ต่อจากชั้นดาวดึงส์ คือชั้นที่งมงายใหญ่ ยามา แปลว่า ระยะเวลา คุณอยากได้ไปเลย ยามหนึ่งก็ไม่พอ ยามสองก็ไม่พอ ยามสามก็ไม่พอ เอามายามๆ ยามาคือ เวลาที่ไม่จบ จะไปหลงสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นวิมานบ้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:03:33 )

ชั้นวรรณะ ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นนามธรรมขั้นจิตวิญญาณของคนมีคุณค่าระดับโลกุตรธรรม มีกัมมันตภาพรังสีของโลกุตรธรรม แล้วโลกุตรธรรมคืออะไร คือความอยู่เหนือไม่ต้องไปปะทะ นึกออกไหมทำรูปให้ดูคุณอยู่ล่างเราก็อยู่บน ไม่ได้ปะทะไม่ได้มาปรบมือกันนะ ไม่ได้มาวุ่นวายกันนะ แต่อยู่เหนือ คุณก็อยู่ชั้นล่างเราอยู่ชั้นเหนือ ลอยกันอยู่คนละชั้น รู้จักขนมชั้นไหม มันอยู่กันคนละแผ่นมันไม่ปนกันนะ ต้องไปอ่านคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ขนมชั้น มันไม่ไปปนกันมันอยู่กันคนละชั้น มันมีกัมมันตภาพรังสีคั่นอยู่ มันไม่เข้าไปเชื่อมต่อกันแล้ว ขนมชั้นต่อขนมชั้นมันติดกันนะ แต่มันมีกัมมันตภาพรังสีของแป้ง สี น้ำตาล อะไรแล้วแต่ มันไม่เข้าไปปนกัน ขนมชั้นหลายๆ ชั้น แล้วก็หลอกคนกินว่านี่คือขนมชั้นนะจ๊ะ ที่จริงแล้วก็คือแป้งเดียวกันหมดนั่นแหละใส่สีต่างกัน ดีไม่ดีน้ำตาลเท่ากัน ความมันเท่ากันความหวานเท่ากัน แต่สีต่างกันเท่านั้นหลอกคน ขนมชั้นหลอกด้วยสี แล้วคนก็บอกว่าวันนี้ฉันกินขนมชั้น ปัดโธ่เอ๊ย ที่จริงแล้วกินแป้งกับน้ำตาล อาจจะมีมะพร้าว กะทิบ้างนิดหน่อย แต่ขนมชั้นไม่ได้ใส่กะทิอะไรมากมายจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ขยายความอะไรต่ออะไรสู่พวกเราฟังจะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น 

สรุปแล้วชีวิตของเราหรือชีวิตของคนทุกคน ในความเป็นปุถุชน ก็มีความทุกข์มีความวุ่นวายอะไรมากมาย พอมาเป็นกัลยาณชนก็รู้จักฐานของความดี มันก็แบ่งชั้นเลย มีชั้นมีวรรณะ แล้วชั้นวรรณะพวกนี้ที่อยู่ในสภาพของวิชาความรู้ ก็เป็นชั้นวรรณะ ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน ผู้ที่ชั้นสูงก็ช่วยชั้นล่าง ผู้ที่สูงกว่าก็ช่วยชั้นล่างกว่าเสมอ แต่ในอวิชชาในเรื่องของความโง่ แบ่งชั้นวรรณะแล้ว ข่มกัน เอาเปรียบกัน ดูถูกกันดีไม่ดีเหนือชั้นเหนือก็ฆ่าเลย มีสิทธิ์ฆ่า คนนี้เป็นทาส คนนี้เป็นนายทาสเป็นเจ้าของทาส ในยุคนี้ไม่มีความเป็นทาสแล้ว แต่ก็ยังข่มกันเป็นเจ้าเป็นนายกันอยู่ จึงมีคำว่า นายทุน คำว่านายทุน มีคำว่านาย แต่บุญ​ ไม่มีคำว่า นายบุญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47 วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 15 เมษายน 2566 ( 16:56:48 )

ชั้นวรรณะของศาสนาพุทธที่แท้เป็นไฉน

รายละเอียด

ในตัวโลกุตรธรรมเองก็รู้ยาก เห็นตามได้ยากอยู่ในตัวแล้ว แถมคนที่มาประกาศโลกุตระ เป็นโพธิรักษ์เขาเป็นคนอาภัพอัปภาคย์ขนาดหนักด้วย ประกาศความจริงออกไปแล้วก็ไปแย้งกับสิ่งที่เขายึดถือเขาอาศัย เขาอาศัยได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ เสวยสุขแบบโลกียะของเขาอยู่ เขาก็ได้อยู่อย่างนั้นเขาก็ปล่อยไม่ได้ 

สมเด็จต่างๆ ถ้าประกาศออกไปว่าต่อไปนี้อาตมาไม่เอาแล้วนะสมเด็จ เลิก เขาจะบอกเลิกได้ไหม แต่เขาบอกว่าไม่อยากได้หรอก มหาเถรสมาคมจับชื่อไปใส่ อย่างมหาบัวก็ได้เป็นชั้นธรรม พระธรรมวิสุทธิมงคล ระดับชั้นมีตั้งแต่พระครู ไปถึงเจ้าคุณ เป็นเจ้าคุณตั้งแต่เจ้าคุณพื้นฐานไป แล้วก็เป็นเจ้าคุณชั้นราช จากชั้นราชแล้วไปเป็นชั้นเทพ จากชั้นเทพจึงจะเป็นชั้นธรรม จากชั้นธรรมถึงจะไปเป็นชั้นพรหม เป็นหิรัญญบัฏ (เงิน) แล้วไปเป็นชั้นสมเด็จ เป็นสุพรรณบัฏ (ทอง) จากสมเด็จก็จะได้เป็นถึงสังฆราช 

ชั้นวรรณะของศาสนาพุทธเจ้าคือวรรณะ 9 มาทำให้ทุกชั้นวรรณะตามพระพุทธเจ้าเรียกว่าวรรณะ 9 แต่ของพราหมณ์อินเดียยึดถือกันเป็นวรรณะ 4 ไปกันใหญ่เลย หนักหนาสาหัส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 10 วันจันทร์ที่ 20 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:24:19 )

ชาคร

รายละเอียด

ตื่น

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 163


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:23:41 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:46:38 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:48:24 )

ชาคริย

รายละเอียด

1. จิตตื่น 

2. ทำการระวังรู้สึกตัวอยู่ หรือระมัดระวังตัว หรือเฝ้าดูตน

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร ? หน้า 255, ทางเอก ภาค 1 หน้า 420


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:24:25 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:48:22 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:49:20 )

ชาคริยะ

รายละเอียด

แปลว่า ตื่น ไม่ได้แปลว่าตื่นจากการนอนหลับเฉยๆ แต่เป็นการตื่นทางสติสัมปชัญญะด้วย มันเป็นการเต็มสติ สติเต็มรู้ เต็มทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจเต็มทั้งภายนอกที่ต้องรับรู้อย่างสมบุรณ์แบบ ชาครี ตาต้องกระทบรูปมีทำวิจัย แยกรูปแยกนามได้ 6 กระทบเสียงต้องแยกกิเลสได้ จมูกได้กลิ่น ลิ้นกระทบรส การสัมผัสเสียดสี ก็ต้องพิจารณาในรูปกลิ่นเสียงสัมผัสเหล่านี้ได้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชี่วิต บ้านราช  วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 14:48:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:16:47 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:52:07 )

ชาคริยัง อนุยุตโต วิหราติ  

รายละเอียด

1. เป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่

2. การเป็นผู้กระทำเนือง ๆ ในความตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 245, หน้า 247

 


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:25:12 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:49:40 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:53:06 )

ชาคริยา

รายละเอียด

คือ การตื่นไม่ใช่การหลับตา ชาคริยาต้องมีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ต้องมีทวารทั้ง 6 กระทบสัมผัส ถ้าหลับตาแสงสว่างก็ไม่มี มันก็ไม่บริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 256


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:25:46 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:50:13 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 12:54:23 )

ชาคริยา

รายละเอียด

ชาคริยาแปลว่าผู้ตื่น ตื่นเต็มถ้าใครไม่ตื่นเต็มซึมๆ เซื่องๆ อย่างที่ไปนั่งหลับตาแล้วอยู่นิ่งสะกดจิตให้นิ่งๆอันนั้นมันออกจากการสร้างชาคริยานุโยคะ ออกจากการทำตัวให้ตื่น เพราะฉะนั้นจะมีสติเต็มไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:59:24 )

ชาคริยา ปฏิบัติให้ตื่นรู้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ลืมตาไม่ตื่นขึ้นมา ชาคริยา แล้วก็ปฏิบัติให้ตื่นรู้ ไม่ใช่ไปรู้ในหลับ รู้ในตื่น 

อปัณณกปฏิปทาข้อ [1] “สำรวมอินทรีย์ 6” ที่มีตา, หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ “สัมผัส” เห็นรูปทางตา, ได้ยินเสียงทางหู, ได้กลิ่นทางจมูก, ได้รสทางลิ้น, ได้กระทบกายภายนอก-ภายใน, ได้สัมผัสกันเองของใจกับในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป ซึ่งมี “ภาวะ 2” คือ มี “ภายนอก” ด้วย มี "ภายใน” ด้วยอยู่ตลอดการปฏิบัติ

อปัณณกปฏิปทาข้อ [2] “โภชเนมัตตัญญุตา” ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ 

อปัณณกปฏิปทาข้อ [3]  “ชาคริยานุโยคะ” ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆ อยู่เสมอ และมี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” ไปตลอด แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป “หลับตา” ปฏิบัติกัน  การหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ “อปัณณกปฏิปทา 3”

มันผิด “วิธีปฏิบัติของพุทธ” แม้ภาษา “อปัณณกปฏิปทา” ก็ยืนยันอยู่โต้งๆ  ชัดๆ อีกปานฉะนี้  ก็ยังไม่ยอมรับความผิดนี้ รู้ให้น้อยลงอย่าไปรับรู้ให้มากนั่นแหละคือโง่ นี่พูดตรงๆ ไม่ได้เบี้ยวบาลีไม่ได้เบี้ยวไทย พูดตรงๆ ภาวะเป็นอย่างนั้น มันก็ต้องรู้มากจนเราเลือกเอาสาระได้ ไม่ใช่รู้สะเปะสะปะ แต่ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงไม่สะเปะสะปะหรอก

3. ผู้นำวิธี “หลับตา” มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น “นาค” หรือ “งู” ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ในพุทธ มีปฏิภาณรู้เหมือนกันว่าไม่ต้องไม่พยายามนอนหลับ ก็เลยไปนั่ง ไปนั่งหลับ ก็คือเนสัชชิ เป็นการปฏิบัติของสายพระป่า เจ้าของลัทธิเนสัชชิคือ พระมหากัสสปะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 12:19:17 )

ชาคริยานุโยค

รายละเอียด

ไปแปลแค่ว่า ต้องตื่นจากหลับ อย่าเอาแต่นอนหลับ ตื่นขึ้นมาบ้าง ก็คนเราก็ต้องตื่นอยู่แล้ว ก็เลยไม่ต้องไปปฏิบัติอะไร ก็เลยไม่ลึกซึ้ง ชาคริยานุโยค เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า คุณจะต้องมี อนุโยคะ คือความเพียร เพียรให้ตื่นทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม การนั่งหลับตานั้นมีแต่มโนกรรม คุณก็ตื่นอยู่ในภพของคุณ มันจะไปยากอะไร แต่มันไม่พอ มันไม่ได้เรื่องอะไรหรอก มโน มันต้องควบคุมวาจาและกายอยู่แล้ว หากว่าคุณฝึกชาคริยา กับกายกรรม วจีกรรม จิตของคุณก็เก่งขึ้นแล้ว หากฝึกกับกาย วจี จิตก็จะเก่ง คุณล้างกิเลสได้ตั้งแต่ภายนอก ได้แล้ว เหลือแต่ภายในก็เรื่องเล็กของคุณเลย ไม่ต้องอาศัยข้างนอกก็ยังได้ สะดวกที่สุดแล้วก็มีเวลามากที่คุณจะจัดการมัน แต่ภายนอกคุณไม่รู้เรื่องเลย ขออภัยอย่างมหาบัวไม่รู้เรื่องกามภายนอก ไม่รู้เรื่องการเสพติด แล้วจะไปรู้เรื่องภายในจิต ที่เป็นอุปกิเลส ที่เป็น มานะ อติมานะ ก็ไม่มีทางรู้ได้ อย่างที่เห็นว่าตนทำดี โดยเฉพาะไปติดลาภยศสรรเสริญ ไปเรี่ยไรได้ลาภ ก็อ้างว่าเอาเข้าคลัง เขาก็ให้สิ แต่ก็ต้องนับถือว่าทำจริง จะหกตกหล่นบ้างก็แล้วแต่ จนได้เยอะ จนคนอื่นทำไม่ได้เพราะมีองค์ประกอบมาก มันก็ได้มีเครื่องช่วยตัวช่วยเยอะ อย่างน้อยเอาชาติอ้างก็ได้ มีคนยอมรับก็ได้เข้าใจหาเหตุแวดล้อมเพื่อให้ทำได้ แต่หลงภูมิใจว่าไม่มีใครทำได้อย่างนี้ มันก็จริงอยู่ ที่ทำได้มันก็ดีส่วนหนึ่ง แต่ในส่วนที่เสียที่ตัวเองไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้ตัวเองติดแล้วจมไม่ลงหนักหนาอยู่ไม่รู้แม้แต่เรื่องของกาม จิต อัตตามานะ อติมานะที่ตัวเองติด สาเฐยยะ ก็เป็นอัตตาภายในจิตก็ไม่รู้จัก แล้วหลงแถมอีกว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว แค่นี้ก็มืดยกกำลังมืดเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 27 มีนาคม 2563 ( 12:06:21 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:45:11 )

ชาคริยานุโยค, ชาคริยานุโยคะ

รายละเอียด

1. มีความตื่นโพลง เลิกหลับไหล เลิกพร่าพราง มีกำลังในการจะรู้-พร้อมเต็มตัว 

2. ความตื่นเต็มที่พากเพียรปฏิบัติอยู่ , ความระมัดระวังเต็มที่พากเพียรปฏิบัติอยู่ , ความมีสติรอบคอบ , การระวังอันตราย

     ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่พยายามจะให้ถึงซึ่งความดีพร้อม

3. ตื่นจากการหลงหลับไหลอยู่ในโลกีย์ 

4. ประกอบความเพียรให้เป็นอยู่เสมอ นั่นก็คือให้มีสติสัมปชัญญะเต็มตื่นอยู่เสมอ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 617, ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 261, เปิดโลกเทวดา หน้า 65, ค้าบุญคือบาป หน้า 244


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:26:58 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:50:54 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:01:03 )

ชาคริยานุโยคะ มีสติตื่นเต็มแม้ขณะลืมตา

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง ชาคริยานุโยคะ ให้พากเพียรทำตนเองให้ตื่น อย่าไปทำตนเองให้หลับหรี่ ขณะที่คุณเองลืมตา จิตใจของคุณก็ไม่ตื่นเต็ม ไม่มีสติตื่นเต็มอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ชาคริยา ของคุณต้องมีสติตื่นเต็ม แม้กระทั่งลืมตา เพราะฉะนั้นยิ่งไปปิดแสง พยายามไม่ให้ตาเห็น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส หูไม่ได้ยิน คนนี้ยิ่งออกไกลจากสิ่งไปติดยึด จมดิ่งอยู่ในถ้ำ ออกนอกศาสนาพุทธ อย่างไม่รู้จะว่าอย่างไร นี่เป็นการอ้างอิงจากพระไตรปิฎกนะ แต่พวกคุณทำไมหลงดำดิ่ง เข้าใจธรรมะโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 14:17:03 )

ชาคริยานุโยคะกับวิริยะ

รายละเอียด

ชาคริยานุโยคะก็คือวิริยะพากเพียรให้เกิดความตื่น ส่วนวิริยะนั้นไม่ได้จำกัดความอะไรมีแต่คำว่าวิริยะความพากเพียร มันก็ต่างกันเท่านั้นเองเหมือนกันตรงที่มีความเพียรเหมือนกันแต่ความต่างก็คือไม่มีตัว ชาคริยะที่แปลว่าความตื่น คำว่า ชาคระ ชาคริยะ นี้คือมีความตื่น ความตื่นคำนี้ลึกซึ้งกว่าแค่ตื่นจากการนอนหลับเท่านั้น  มีกายกรรมตื่นมีสติเต็ม วจีกรรมตื่นมีสติเต็ม มโนกรรมตื่นก็มีสติเต็ม นี่คือชาคริยา สั้นๆแค่นี้น่าจะชัดเจนเพราะฉะนั้นในขณะที่มีกายกรรมคุณก็มีสติเต็มร้อย เวลาพูดอยู่คุณก็มีสติเต็มร้อย สติคืออธิปไตยคือพลังงานที่เต็มแข็งแรงมีความแรงอํานาจอธิปไตยเต็มๆใช้กับกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมเต็มๆ จึงเรียกว่าเป็นผู้ตื่นเต็ม ชาคริยาฝึกให้เพียรให้เป็นให้ได้ก็คืออนุโยคะ มีอำนาจการตื่นเต็มอย่างที่พูดไป ไม่ใช่ไปทำให้ความตื่นมันลดลงเป็นความหลับความคิดก็ให้น้อยลง มันตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลยมันคนละเรื่องกันเลย ที่ที่ปรากฏอยู่ในอปัณกปฏิปทานั้น ก็คือความหมายเช่นนี้ สรุปแล้วเป็นความเพียรเหมือนกัน แต่คำว่าชาคริยานั้นมีคำกำกับให้เป็นพูดอื่น ซึ่งถ้าจะต่อคำจำกัดความไปอีกก็ได้ อนุโยค ต่างๆนานา ต่างกันก็บอกชัดเจน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2563 ( 09:45:19 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:47:12 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:02:50 )

ชาคริยานุโยคะแบบพุทธะ

รายละเอียด

ชาคริยานุโยคะ คือตื่นอะไร ตื่นจากนอนหลับ นอนหลับอย่างนั้นมันชาคริยาอย่างนั้นก็คือ จะเรียกว่าอะไรตื่น wake up มันอะไรล่ะภาษาบาลีจะว่ายังไง มันตื่นอย่างที่อาตมาหมาย

ที่จริงภาษาที่เขาเรียกว่าความตื่นคือพุทธะ คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นก็ต้องเรียนรู้ จากการตื่นๆ ไม่ใช่ไปตื่นรู้ในขณะหลับ หลบๆ หรี่ๆ หลับๆ ไม่รู้ พระพุทธเจ้ารู้แจ้งสว่างรู้จริงรู้ครบ ศาสนาที่ยังลึกลับๆ หลบๆ หลับๆ คุณจะเรียนรู้อีกกี่ชาติกี่ชาติก็ไม่มีทางจบหรอก แค่ตื้นๆ  แค่นี้รู้ไม่ได้ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งอะไรหรอก ไปหลับตาไปหลงสมมุติว่าพระเจ้าเป็นผู้สอนและพระเจ้าลึกลับอยู่ที่ไหนไม่รู้จัก ยาก มาเรียนรู้อย่างแบบพุทธเถอะ คุณจะนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอะไรก็แล้วแต่ มาเรียนอย่างพุทธให้ดีๆ จบแล้วก็จะได้บอกสอนทางโน้นเขาว่า เราก็ชื่อว่าศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ศาสนาฮินดู ชื่อว่าศาสนาอะไรก็แล้วแต่สอนอย่างนี้เถอะ แล้วคุณจะสบายหลุดพ้นหมดเลยรู้จักพระเจ้าด้วย แล้วก็อยู่กับพระเจ้านิรันดรได้ถ้าคุณจะอยู่ เพราะมันยิ่งกว่าสุข

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:13:49 )

ชาดก

รายละเอียด

ชาตกะ ชาติแล้ว ชาติเล่า เป็นวิบากกรรมหมุนเวียนเป็นสัจจะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 20:00:26 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:18:12 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:04:00 )

ชาตกะ, ชาดก

รายละเอียด

เรื่องเก่า เรื่องเล่าซ้ำของเดิม เรื่องปรัมปราที่ผูกร้อยกันไปที่สืบต่อกันมา

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 158


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:27:49 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:51:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:04:41 )

ชาตรูปรชตะ

รายละเอียด

ทอง ๆ เงิน ๆ , เงิน ๆ ทอง ๆ

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 65, เปิดโลกเทวดา หน้า 145


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 08:28:28 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:52:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:06:09 )

ชาตัตตะ

รายละเอียด

1. ตัวตนที่เกิดขึ้น , ตัวตนที่เกิดอยู่ , ความเกิดแห่งตัวตน

2. ตัวตนของผู้ยังเกิดอยู่ 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137, หน้า 192, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 34


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 09:55:36 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:52:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:10:47 )

ชาติ

รายละเอียด

มี 2 นัย

1. เกิดมาได้ชีวิตเป็นคน,สัตว์ แล้วก็ตายไป เรียกว่า ชาติหนึ่ง ตามสามัญความรู้พื้นๆ นี่คือ "สมมุติสัจจะ"

2. อีก "สัจจะ" หนึ่งก็คือ "ชาติ" ที่เป็นความเกิดของสัตว์ "โอปปาติกะ" หรือคำว่า "ชาติ" ในปฏิจจสมุปบาท

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 91


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2562 ( 12:29:21 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:17:30 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:11:43 )

ชาติ

รายละเอียด

1. การเกิด

2. ความเกิด

3. เกิดอยู่ , ตั้งอยู่ 

4. การเกิดอยู่ 

หนังสืออ้างอิง

 รหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 45, ทางเอก ภาค 3 หน้า 185, รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 68, คนคืออะไร? หน้า  292, หน้า 332, เปิดโลกเทวดา หน้า 45


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 09:57:02 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:53:19 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:12:44 )

ชาติ

รายละเอียด

คือ การเกิด เป็นหลักสำคัญไว้ 5 ประการ

1.ชาติ

2.สัญชาติ

3.โอกกันติ

4.นิพพัตติ

5.อภินิพพัตภิ

หนังสืออ้างอิง

“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 264


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 13:14:38 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:18:09 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:16:26 )

ชาติ 10 มิติ

รายละเอียด

1.แดนเกิดแห่งชาติ,ต้นถิ่นที่เกิด (ชาติสัมภวะ)

2.ขอบเขตที่เกิด (ชาติกเขตตะ)

3.ตัวตนที่เกิดขึ้น,ความเกิดแห่งตัวตน (ชาตัตตะ)

4.การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร (ชาติสังสาร)

5.ความดับสิ้นแห่งการเกิด (ชาตินิโรธ)

6.ความสิ้นไปแห่งการเกิด (ชาติกขยะ)

7.ความแตกต่างแห่งชาติ (ชาติสัมเภทะ)

8.ความถึงพร้อมด้วยชาติ (ชาติสัมปันนะ)

9.ความดับการเกิดของกิเลสนั้นได้สำเร็จ (ชาติมยะ)

10.ความเป็นผู้ระลึกชาติได้ (ชาติสสระ)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 201-202


เวลาบันทึก 06 กันยายน 2562 ( 07:51:08 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:18:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:20:29 )

ชาติ 4 ชาติ 5 ชาติ 10 เป็นอย่างไร 

รายละเอียด

ชาติ 4 ชาติ 5 ชาติ 10 เป็นอย่างไร อาตมาได้อธิบาย ปฏิจจสมุปบาท เรื่องของ ชาติ มาในครั้งก่อน และอธิบายไปแล้วว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็มีชาติ 4 บ้าง ชาติ 5 บ้าง 

ชาติ 4 คือ โยนิ 4 

1. ชลาพุชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์) 

2. อัณฑชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ) 

3. สังเสทชโยนิ (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) 

4. โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   

(พตปฎ.เล่ม 11 ข้อ 263) 

โอปปาติกโยนิ ถ้าหากจิตไม่มีการติดยึด ไม่มีอุปาทาน ถ้าตายก็ตายอย่างจิต สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างนิพพาน 3 ตายอย่างสูญ ตายแล้วสลายจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมดกิเลส ตัณหาอุปาทานสูญไปเลย 

เมื่อพระอรหันต์ตายด้วยนิพพาน 3 นี้ ก็จบ เป็นดินน้ำไฟลมแยกธาตุไป แต่ถ้าไม่ตายด้วยนิพพาน 3 นี้ สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน แต่มาตั้งจิตต่อ อย่างอาตมาตั้งจิตไม่ตายสูญ จะเกิดอีก มาสืบสานธรรมะพระพุทธเจ้าจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ อาตมาก็ตั้งจิตต่อ ตั้งนิมิตต่อตามลำดับ มันก็ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็สอนต่างๆ นานาไว้แล้วทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10

วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 14:08:25 )

ชาติ 5

รายละเอียด

1. ชาติ (ความก่อเกิด) ทรงสรีระ

2. สัญชาติ (ความเกิดครบพร้อม)

3. โอกกันติ (ความหยั่งลง) จิตเกิดผัสสะ

4. นิพพัตติ (ความบังเกิด) ทางจิตใจเป็นผีหรือเทวดา

5. อภินิพัตติ (ความบังเกิดเฉพาะ) เกิดเป็นอาริยบุคคล 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม  12 "สัมมาทิฏฐิสูตร"  ข้อ  118

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 23:29:08 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:19:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:22:13 )

ชาติ 5

รายละเอียด

1ชาติ(ความเกิด)

2. สัญชาติ(ความเป็นขึ้น)

3. โอกกันติ(ความหยั่งลง)

4. นิพพัตติ(ความอุบัติขึ้น, บังเกิดขึ้น)

5. อภินิพัตติ(ความอุบัติเฉพาะ, บังเกิดเฉพาะ)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 12 “สัมมาทิฏฐิสูตร” ข้อ 118


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 19:09:21 )

ชาติ 5 การเกิดเป็นประเทศชาติ

รายละเอียด

มาต่อ ชาติ 5 ที่อาตมายังไม่จบสักที ที่อาตมาคลี่ขยาย ไม่ได้บัญญัติใหม่ แค่ขยายความหมายให้มันลึกซึ้งลึกล้ำพิสดารออกไป อธิบายเลยจากอันที่ 3

1. เกิดทางร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ 

2. เกิดทางใจ โอปปาติกโยนิ 

3. เกิดลิงลมอมข้าวพอง (อธิบายไปแล้ว)

4. การเกิดเป็นประเทศชาติ หรือชาติรัฐ จะเรียกสหรัฐก็ใช้คำนี้ คือชาติของรัฐ ประเทศ​ที่หมายถึงแว่นแคว้น รวมไปทั้งหมด อันนี้ก็คือชาติที่หมายถึงองค์รวมทั้ง 1 สถานที่แผ่นดิน มีขอบเขตว่าเป็นชาตินั้นชาตินี้ แต่ละชาติตอนนี้แบ่งขอบเขตกันหมดแล้วทั้งโลก 

ในคนมีสัญชาติ เชื้อชาติ เกิดมาเป็นคนไทย ต้นตระกูลไทยใจช่างเหี้ยมหาญ อาตมาว่าน่าจะใช้คำว่า กล้าหาญ (หลวงวิจิตรวาทการแต่ง) ก็มีรัฐชาติ รัฐประเทศ เราช่วยกันบูรณะชาติสร้างชาติ ใครมากบฏต่อชาติทำลายชาติก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันยับยั้งหยุด ดีไม่ดีถึงขั้นต้องปราบกันเลย

ประเทศชาติ รัฐชาติ มีสถานที่มีบุคคล มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรม มีทั้งความคิดความอ่านการสร้างสรรความเป็นอยู่พึ่งตนเอง จนพึ่งตัวเองได้จนเหลือเฟือ จนเกื้อกูลผู้อื่นได้ดีที่สุด

5. ชาติแบบตรรกะ คือยึดทิฏฐิ ยึดอัตตา คำว่า “ทิฏฐิ” คำว่า “อัตตา” ส่วนยึด คืออุปาทาน

คำว่า “ทิฐิ” หรือคำว่า “อัตตา” อยู่ในอุปาทาน 4 จะมีคำว่ากามุปาทาน, สีลัพพตุปาทาน, ทิฏฐุปาทาน, อัตตวาทุปาทาน

อุปาทาน 4 ยึดกิเลสถือมั่นเป็นเรา

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ดับชาติ 5 ด้วยวิชชา 8 วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:35:09 )

ชาติ 5 ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

มาต่อซีรีย์ของชาติ ก็ทวนตั้งแต่ชาติ 5 ของพระพุทธเจ้าก่อน 

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ชาติ คือ รูป การเกิดทางกาย เกิดชาติพันธุ์ ประชาชาติ 

ชาติ คือ นาม การเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ ได้แก่

1. ชาติ (ความเกิด) คำว่า ชาติ รวมการเกิดไว้ทั้งหมด ชาติปิทุกขา 

2. สัญชาติ (ความบังเกิด)

3. โอกกันติ (ความหยั่งลง)

4. นิพพัตติ (การเกิด)

5. อภินิพพัตติ การเกิดจำเพาะ ท่านแปลอย่างนั้น อาตมาเห็นใจว่าท่านไม่มีสภาวะในการแปล แต่อาตมามีสภาวะ อาตมาเป็นพระอรหันต์ก็ต้องรู้ความเป็นจริงพวกนี้ ถ้าไม่รู้ความเป็นจริงพวกนี้ไม่มีสภาวะเหล่านี้ อาตมาจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร อาตมาอธิบายชาติ 5 นี้ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:04:42 )

ชาติ 5 คลี่ขยายความตามพุทธบัญญัติ

รายละเอียด

ชาติ

1.ชาติที่มีร่างกาย

2.ชาติที่มีใจ

3.การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง

4.การเกิดเป็นประเทศชาติหรือชาติรัฐ 

5.การเกิดแบบ ตรรกะ ยึดทิฏฐิ ยึดอัตตา

อาตมาไม่ได้บัญญัติสิ่งไหนที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ แต่อาตมาคลี่ขยายความละเอียดลออสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมขึ้นมา ไม่ได้ไปล้มล้างและไม่ได้ทำใหม่ คำกล่าวของพระพุทธเจ้าแต่ขยายออกไป พระพุทธเจ้าสมณโคดมสอนใบไม้กำมือเดียวไม่ได้สอนทั้งป่าพระโพธิสัตว์จะรู้ใบไม้ทั้งป่า อาตมายังรู้ไม่หมดหรอก ไม่ได้รู้ทั้งหมดป่าแต่รู้เพิ่มเรื่อยๆ ในระดับ 7 ก็รู้ได้มากพอสมควร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:09:44 )

ชาติ 5 พ่อครูอธิบายขยายความ

รายละเอียด

ชาติ 5 ของอาตมา ที่อาตมาคลี่ขยาย ไม่ได้ไปบัญญัติใหม่ ขยายให้รู้ว่ามีอะไรบ้าง 

1.ความเกิดที่มีร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ ถ้าหากตายก็หมดไปชาตินึง ก็สลายเป็นดินน้ำไฟลม 

2.การเกิดทางใจโอปปาติกโยนิ ถ้าความเป็นสัตว์ตายจากใจ สัตตาวาส 9 คุณทำให้จิตของคุณพ้นจากความเป็นสัตว์ สัตว์ตายไปก็เกิดเป็นผู้เจริญเป็นอรหันต์จบเลย เกิดเป็น อุปัติเทพ ก็ต้องขยายความ พระพรหมก็ต้องขยายความ ผู้ที่จะตายจากใจหนึ่งกิเลสตาย กิเลสก็ คือใจ คือ อกุศลจิตหรือบาปตายไปจากใจจิตคุณก็สะอาดเป็นผู้เจริญไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ สามารถที่จะมีภูมิธรรม สามารถที่จะตายอีก ครั้งสุดท้ายเรียกว่าตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสาน การตายอย่างนั้นก็คือแยกจิตตัวเองได้ทำให้จิตตัวเองเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย ตายครั้งสุดท้ายที่ตายแยกธาตุจิตให้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลยแม้แต่ พีชะ ก็ไม่เป็น เป็นน้ำไฟลมเลยศูนย์เลยอัตภาพของคุณหมดไปจากวัฏสงสาร หมดไปจาก กาละ อันนี้ต้องทำการเกิดที่ใจโอปปาติกโยนิ ให้พ้นจากความเป็นโอปปาติกะสัตว์ให้หมดเลย3.การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง  มีชีวิตหลงมัวเมาไปกับโลกีย์ชั่วคราว ท่านเรียกว่าชั่วคราว ไม่ได้เป็นไปตลอดกาล

4.การเกิดขึ้นเป็นประเทศชาติชาติรัฐ 

5.การเกิดแบบตรรกะความยึดถือทิฏฐิยึดถืออัตตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิต สมาธิ นิมิต วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:02:00 )

ชาติ 5 สภาวะเกิด 5 ลำดับ

รายละเอียด

ชาติ คือรูป  การเกิดทางกาย  เกิดชาติพันธุ์  ประชาชาติ

ชาติ คือนาม  การเกิดทางจิตโอปปาติกโยนิ  ได้แก่... 

1.ความเกิด (ชาติ)   

2.ความบังเกิด (สัญชาติ)

3.ความหยั่งลง (โอกกันติ)

4.เกิด (นิพพัตติ) 

5.เกิดจำเพาะ (อภินิพพัตติ) 

 

ที่มา ที่ไป

[ล.16  ข.7]  , 
ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 21:30:51 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:15:37 )

ชาติ 5 อย่าง

รายละเอียด

คำว่าชาติคำนี้ลึกซึ้งมาก คำว่าชาติ พระพุทธเจ้าแจกเป็น 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 09:38:37 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 13:48:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:24:27 )

ชาติ 5 อย่างสั้นกระชับ

รายละเอียด

ชาติ 5 เป็นโครงสร้างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 7 มีชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

ชาติ คือการเกิด รวมเรียกการเกิดต่างๆ ว่าชาติทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 21:03:28 )

ชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท 

รายละเอียด

ชาติในปฏิจจสมุปบาทกับชาติ 5 พยัญชนะมันตรงกัน คำว่า ชาติ

เรารู้แล้วว่า ชาติคือความเกิด อาการเกิด มันเหมือนกันทั้งนั้น จะเป็นการเกิดในปฏิจจสมุปบาท หรือจะเป็นการเกิดที่ท่านตรัสไว้ในการเกิด 5 ก็ตาม ที่จริงแล้วถ้าเข้าใจสภาวธรรมที่ชัดเจนแล้ว ทุกอย่างมีการเกิดกับการดับ 

เช่น คุณเกิดอวิชชา ก็เป็นการเกิด คุณก็จะมีความไม่รู้ เกิดสิ่งไม่รู้ เกิดความโง่ๆ เกิดความไม่เข้าใจอะไร พอเกิดอวิชชา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไปต่อ ปฏิจจสมุปบาทก็เป็นสังขารปรุงแต่งรูปนาม เมื่อมีรากฐานของอวิชชา ไม่รู้มันก็ไม่รู้ว่าเป็นการปรุงแต่งอย่างไร สังขารเป็นอย่างไร

จะรู้จักชาติอย่างที่ว่านี้ แต่คนที่อวิชชาสังขารปรุงแต่งอย่างไรก็ไม่รู้ ตัวสังขารที่ปรุงแต่ง ก็ต้องรู้ด้วยปัญญา เลิกเหตุที่ไม่เข้าท่ามาเป็นชาติ ก็ลดมันลง 

คุณก็ศึกษาจากนามรูป เวลาปฏิบัติก็ต้องมีผัสสะ ถ้ามันไม่มีผัสสะกันเลย มันไม่มีการ กระทบสัมผัสกันเลย ไม่มี Action reaction มันอยู่แต่ ฆ ไม่มี ปฏิ มันก็ไม่เกิดอะไร ไม่รู้เรื่องจนมันเกิดปฏิฆะ จากตัวตั้งเป็น ฆ ตัวหนึ่งเป็นตัว static ตัวหนึ่งเป็นตัว Dynamic กระทบกันจึงจะสามารถอ่านผัสสะที่มันกระทบกันขึ้นมาได้ ตัวกระทบกันจึงจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์หรือเวทนา ให้ศึกษาตัวนี้แหละ เวทนาตัวนี้เป็นแกนเป็นกรรมฐาน เป็นตัวจุดสำคัญที่สุด เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของศาสนาพุทธ ศึกษาเวทนานี้มันจะเป็น 2 แล้วก็เป็น 2 ที่รู้ได้ว่า 2 มันมีตัวหนึ่งเป็นจริง อีกตัวนึงมันเป็นตัวเก๊ มีผีมาร มีตัวมาผสมร่วมก็เลิกมันได้ รู้จักความจริงตามความเป็นจริงก็จบแล้ว จึงจะมีความรู้ว่าปัญญามันเป็นอย่างนี้ ตัวที่นิ่งอยู่คืออุปาทาน 

มันเกิดแล้วฝังอยู่ก็เรียกว่า ภพ มันเคลื่อนที่ก็เรียกว่า ชาติ นี่คือปฏิจจสมุปบาทถึงสุดท้ายคือชาติ พระพุทธเจ้าก็แจกเอามาใช้ภาษาเรียกเป็น 5

1. ชาติ 2. สัญชาติ 3. โอกกันติ 4. นิพพัตติ 5. อภินิพพัตติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 21:01:59 )

ชาติ 5 การเกิดสัญชาติ (สัญชาติญาณ)

รายละเอียด

สุดท้าย ชาติ เป็นตัวสุดท้าย ทำการเกิด การเกิด พระพุทธเจ้าสรุปลงมี 5 

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ท่านแปลกันไม่ค่อยรู้เรื่อง การเกิด บังเกิด หยั่งลง ความเกิดก็แปลจากนิพพัตติอีก อภินิพพัตติเขาว่าเกิดจำเพาะ มันก็ยิ่งไม่รู้เรื่องอาตมาเลยต้องมาขยายความสภาวะให้ชัดเจนลงไปอีก 

ความเกิด เป็นคำกลางๆ การเกิดของทุกสิ่งทุกอย่าง การเกิดของโอปปาติกะสัตว์เกิดแล้วก็สั่งสมเป็นสัญชาติ คนเราเกิดมาก็มีสัญชาติญาณ ญาณที่เกิดมาจากความรู้เดิมเป็นบุพเพกตะ แต่สัญชาติ ยังไม่เป็นบุญยังไม่สามารถชำระกิเลสได้ ของสัตว์โลกมันก็มีสัญชาติธรรมดา จิงโจ้มันเกิดมามีสัญชาติก็ตามหากระเป๋าหน้าอกแม่ มันมาหากินนมแม่ เกิดมามันต้องกินนม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ที่ไม่เลี้ยงลูกด้วยนมก็ว่ากันไปมันก็มีสัญชาติของมันติดมาจากของเก่า จากสัญญาความจำ เกิดมาอย่างนี้ความจำอย่างนี้ติดตัวเป็นอัตโนมัติ ก็มาทำตามสัญชาติ ติดอยู่ก็ต้องล้างสัญชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:58:56 )

ชาติ การเกิด 3 แบบ

รายละเอียด

คำว่าชาติ คำว่าเกิด ซึ่งอาตมาหยิบเอาคำว่าชาติ 3 ประเด็นหลักๆ 

1. ชาติที่ท่านอธิบายไว้ในชาติ 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  

2. ชาติที่เกิด ในการปฏิบัติ 

3. ชาติที่เกิดใน ปฏิจจสมุปบาท 

เพราะฉะนั้นคุณรู้อาการของการเกิดนี้ เข้าใจหลักเกณฑ์ว่าชาติ 5 คุณก็ปฏิบัติให้เป็น นิพพัตติ อภินิพพัตติ เข้าสู่โลกุตระให้ได้ คุณก็ปฏิบัติชาติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาติในมุมไหนก็แล้วแต่ ที่มันเป็นการเกิดชาติ 5 อาตมาก็ไม่ค่อยแม่น การเกิดชาติ 5 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 19:39:50 )

ชาติ การเกิดของมนุษย์โลกุตระ

รายละเอียด

ชาติ คือ การเกิด ทุกอย่าง ทุกชนิด มีความหมายกลางๆ ทั่วไป ไม่ว่า การเกิดของพลังงานที่เป็นไปของ “มหาภูต 4” วัตถุดิน น้ำ ไฟ ลม สสาร อวกาศ มหาจักรวาล ที่ยังไม่นับเป็น “ชีวะ” 

      ซึ่งแตกต่างจาก “การเกิด” ของ “ชีวะ”  ที่เริ่มตั้งแต่  “เห็ด (อหิจฉัตตกะ)” แล้วก็ “ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต-ปาณะ-เจตสิก-สัตตะ-จิตวิญญาณ-มนุษย์ “มิลักขะ” จนถึงมนุษย์อารยะหรืออริยะแบบโลกียะ” อันยังไม่ใช่ “อาริยะ” อยู่ 

      จนกว่าจะมี “ความรู้” ขั้น “ปัญญา” รู้จักรู้แจ้งรู้จริง “การเกิด” ของ “ชีวะ” ที่เป็นมนุษย์ “อาริยะแบบโลกุตระ”

      มนุษย์อาริยะแบบโลกุตระ จึงจะ “พ้นอวิชชาสวะ 8”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 19:40:31 )

ชาติ การเกิดลิงลมอมข้าวพอง

รายละเอียด

ทีนี้ชาติ อาตมาก็มาขยาย ชาติ 5 ที่ไม่ใช่อาตมาบัญญัติ แต่ขยายความตามมหาปเทส

1.การเกิดมีร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ ถ้าตายก็คือชีวะที่เป็นคนเป็นสัตว์ คือ ชาติที่เกิดทางร่างกายกับจิตวิญญาณตายไปก็เป็นชาติๆ หนึ่ง

2.การเกิดใจ เรียกว่าโอปปาติกโยนิ ถ้าเผื่อว่าวิญญาณที่ตายจากข้างใน แยกกันระหว่างร่างกายกับจิตวิญญาณ ตายจากชาตินี้แล้ว ถ้าคนธรรมดาสามัญปุถุชน จิตก็ออกไปเป็นสัมภเวสี กายก็ทิ้งให้เขาเผาหรือเน่าไป ส่วนจิตวิญญาณถ้าเป็นของปุถุชนก็เป็นสัมภเวสีไปหาที่เกิดใหม่ไปตามวิบาก ผู้ที่มีวิบากลงนรก ก็ต้องไปลงนรก ถ้ามีสวรรค์ก็ไปเกิดในสวรรค์ สวรรค์ก็คืออารมณ์ยินดีอารมณ์สุขอารมณ์สบายใจ

อรหันต์ที่ตั้งจิตไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จะต่อภพภูมิไป เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 8 ส่วนพระอรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 นั้นก็เป็นโพธิสัตว์ตั้งจิตต่อจะให้สร้างภพภูมิต่อไปเรื่อยๆ ก็จะไปเป็นพระพุทธเจ้า เขาเป็นตั้งแต่พระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ก็จะต่างกับคนที่ตั้งจิตไม่เป็นโพธิสัตว์คนนี้เอาแต่อรหันต์ก็จะจบเร็วกว่า ตายไปแล้วก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สูญไปเลย อย่างนี้เป็นต้น 

3. เกิดอย่างลิงลมอมข้าวพอง เกิดอย่างไม่เจตนา แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม พระโพธิสัตว์ก็ตาม ส่วนปุถุชนไม่ต้องพูดเลย ลิงลมอมข้าวพองก็คือสิ่งที่ไม่ถาวรหรอก ถูกกระแสโลกปัจจุบันครอบงำ อย่างเช่นพระพุทธเจ้าถูกกระแสโลกีย์ของโลกเขาครอบงำ เมื่อท่านอุบัติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนจะตรัสรู้ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้วมีสัมมาสัมโพธิญาณตั้งแต่ชาติก่อน ในตอนเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีเวลามาปฏิบัติธรรมหรอก ไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอกเพราะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว บริบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นมาเกิดก็จะมาเปิดธรรมะ มาสร้างธรรมะ มาเอาธรรมะ กระจายธรรมะไม่ต้องไปเสียเวลาสร้างอีก มีของเดิมเต็ม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตามแม้แต่พระสมณโคดมก็ถูกพระราชบิดาครอบงำ ไม่รู้อะไรเลยมีแต่สุขโลกีย์เต็มที่ ทุกข์ที่เป็นโลกุตระความเกิดแก่เจ็บตายไม่รู้เรื่อง คนแก่ก็ยังไม่รู้จัก คนเจ็บคนป่วยไม่รู้จักคนตายยังไม่รู้จัก ฟังแล้วเหมือนโง่เต็มที่เลย ไม่รู้จักคนแก่คนเจ็บคนตาย เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะว่าถูกครอบงำจริงๆเลย นึกว่าโลกนี้มีอยู่แค่นั้น จนกระทั่งท่านเล็ดลอดออกไปนอกวังได้ ไปกับนายฉันนะถึงไปเจอคนป่วยคนแก่คนตายแล้วไปเจอสมณะคือเทวทูตทั้ง 4 ท่านก็ถามว่าคืออะไรหรือ คนเจ็บคนป่วยทรมานคนต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ นายฉันนะก็บอกว่าเป็นพระองค์ก็ไม่พ้นไปได้ ท่านก็ตกใจว่า เราจะต้องเป็นอย่างนี้ด้วยหรือ ก็เริ่มเข้าใจทุกข์อริยสัจ ท่านก็บอกว่าอย่างนี้ไม่เอา แต่จะไม่เอาได้อย่างไรเกิดเป็นคนแล้ว ไปเจอคนแก่หง่อม ท่านก็ถามว่าอะไร เขาก็บอกว่าคนแก่ มีความเสื่อมของร่างกายไม่เต็มบริบูรณ์ ท่านก็ตกใจว่าคนต้องเป็นอย่างนี้ด้วยเหรอ เขาก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่พ้นไปจากนี้ ท่านก็บอกว่าไม่เอาหรอก กลัวความแก่ ไปเจอคนตายนอนนิ่ง ก็ถามว่าอะไร ไม่หายใจเลย เขาก็บอกว่าคนตาย ไม่ฟื้นแล้ว ยิ่งกว่านอนหลับไปเลย ท่านก็ตกใจว่าคนจะต้องตายด้วยเหรอ เขาก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่พ้นความตาย ท่านก็กลัวแก่เจ็บตาย ครั้นไปเจอสมณะ ก็ถามว่าอะไร เขาก็บอกว่าคือ ผู้แสวงหาทางออกไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ท่านก็ว่า อ๋อ.. คนอย่างนี้ เขาก็บอกว่าพ้นได้ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ว่า อ๋อ 

ท่านรู้ว่าการเกิดมีแล้วคือ ตอนลูกท่านเกิด ท่านก็อุทานว่า เกิดแล้วหรือ ห่วง ภาษาบาลีว่า ราหุลังพันธนังชาตัง ห่วงเกิดมาแล้วหรือ...ท่านก็ชวนนายฉันนะออกบวช จากนั้นถูกนักบวชครอบงำให้ไปทรมานตน ทุกรกิริยาอีก 6​ ปีก็ไม่บรรลุ เพราะภูมิเดิมไม่เกิด อยู่ในภาวะของลิงลม อมข้าวพอง  ถูกนักบวชในยุคนั้นครอบงำเหมือนในยุคนี้ ไปนั่งหลับหูหลับตาแบบเดียรถีย์ อาตมาพูดจนเหนื่อย แต่ก็ต้องพูด เตือนว่าอย่าออกป่าเขาถ้ำ ของพระพุทธเจ้าเป็นแบบตื่น จรณะ 15 วิชชา 8

สรุป ลิงลมอมข้าวพอง การเกิดชนิดหนึ่ง แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องเกิด อาตมาก็ไม่พ้นก็ต้องเสียเวลาไปตั้ง 36 ปี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:59:31 )

ชาติ คือ การเกิด

รายละเอียด

ชาติ คือการเกิด เป็นคำกลางๆ ชาติ คือการเกิดทั้งหมดเรียกว่า ชาติปิทุกขา การเกิดอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 20:28:25 )

ชาติ ชรา มรณะ กับอรณะ

รายละเอียด

ที่อาตมาทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ คำ “ชาติ” ตัวเดียวในปฏิจจสมุปบาท จากตัวชาติ แม้จะมีสมมุติสัจจะก็ยังมีชรา มรณะ มรณะเป็นสงครามจิตวิญญาณจบไปในชาติหนึ่งชาติหนึ่ง มันจะต้องเป็น “อรณะ” คำว่า “รณะ” คือสงคราม “อรณะ” ก็คือหมดสงคราม แต่ถ้า “มรณะ” คือสงครามของจิตก็ยังต้องเกิดมาอีก ยิ่งอวิชชาเกิดมาก็ยิ่งสร้างภพชาติ จากชรา มรณะ ก็เกิดภพชาติ แม้ว่ามันจะชรามรณะ คุณก็มามีชรา มรณะใหม่ มีโศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:31:03 )

ชาติ มีความหมายต่างกับคำว่า ภพ อย่างไร

รายละเอียด

คำว่าชาติมีความหมายต่างกับคำว่าภพอย่างไร 

ภพ คือ แดนเกิด 

ชาติ คือ อาการเกิด

ภพคือ แดนเกิด คือสถานที่ แหล่งที่ เป็นภาวะของรูปธรรม 

ส่วนชาติ คืออาการของจิต มันเกิด 

กามภพ ไปเกิดในกามภพ ก็คือจิตของเรามีกามเข้าไป แสดงพฤติกรรมของกามในจิต จิตเข้าไปได้กาม ไปติดอยู่ปั๊บก็ตกในภพ 

อันนั้นมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน อย่างที่ปฏิจจสมุปบาทว่า มีภพก็มีชาติเป็นปัจจัย เมื่อมีชาติก็มีภพ เป็นปัจจัยแก่กันและกันระหว่างภพกับชาติ โยงกันตรงไหนก็โยงกัน เกิดอีกอันนึงก็เกิด เป็นแต่เพียงว่าอีกอันหนึ่งเป็นนาม อีกอันหนึ่งเป็นกิริยา ภพเป็นนาม ชาติ เป็นกิริยา 

มันก็โยงเกี่ยวกันอยู่อย่างนี้ เป็นรูปนามคู่ ก็ดีแล้วล่ะรู้ตัวว่าเห็นเส้นไม่ได้ เป็นคนติดเส้น ดีล่ะ ไม่ไปทำราชการ ถ้าไปทำราชการจะวุ่นวายกับการเล่นเส้นยุ่งเลยนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูผู้ปราบมารเพื่อยังพุทธศาสนาให้ถึง 5,000 ปี วันพุธที่ 10 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 05:26:04 )

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ

รายละเอียด

ชาติ คือ ความเกิดรวมทั้งหมด สัญชาติคือมีสัญญะ มีคลังความจำของตนเองแล้ว เป็นคลังความจำของกรรมวิบากเกิดแล้ว ถ้าอวิชชามีสัญชาติสั่งสมอวิชชาเป็นโอกกันติ ก็ไม่มีทางที่จะสูญ เขามีแต่อยากเป็น อยากมี อยากใหญ่ อยากโตอยากต่อไป มันไม่เลิกมีแต่อัตภาพ ก็วนเวียนเป็นสมบัติผลัดกันชม ฆ่าแกงกัน แย่งชิงกัน ดูดดึงกัน อยู่ในสนามรบอย่างนั้นตลอดกาลนาน จนกว่าจะมาพบสัตบุรุษชี้ทางออก ให้เลือกเฟ้นตัวที่เป็นกรรมกิริยา เป็นวิบากที่จะสั่งสมลง ให้มันเป็นตัวที่ไม่เป็นการเจริญไปเป็นโลกีย์ ให้ไปเป็นทางโลกุตระ เป็นตัวเลิกที่จะมีตัวมีตนอีก เหตุของมันคือมีตัวโง่ ตัวกิเลส รู้ตัวกิเลสให้ได้ว่ามันเป็นตัวโง่ ตัวที่พาให้วนเวียนสับสนอยู่ไม่เลิก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 10:39:53 )

ชาติ เป็นทั้งรูปและนาม

รายละเอียด

ก็แปล คำว่า ชาติ 5 ชาตินี้ก่อน

ชาติ ตัวแรก ชาติ คือ ความเกิดที่เป็นการเกิดกลางๆ กว้างๆ รวมๆ ทั้งหมด ก็คือการเกิดรวมทั้งชาติข้อที่ 2-5 ตีขลุม เหมือน รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ 

รูป คือทางนอก เหตุปัจจัย 1 นาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น ก็ต้องเรียนให้รู้จักการแบ่งรูปแบ่งนามให้ดี แล้วเกิดการสังเคราะห์สังขารไปตลอดคู่เป็นเทวะ จนกระทั่งจบนิพพาน รู้สภาพสอง ของการเกิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 16:35:16 )

ชาติ เริ่มเรียนรู้ที่สังขารจึงรู้ชาติ

รายละเอียด

ผู้ที่รู้ชาติก็จะเริ่มรู้สังขาร เริ่มปฏิจจสมุปบาทแล้วนะ แต่ก่อนนี้อวิชชา สังขารก็ไม่รู้ ชาติก็ไม่รู้ ยาวมาตั้งแต่วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ 

เมื่อไม่รู้ตั้งแต่สังขารคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะรู้ชาติ 

ชาติ ตัวนี้จึงเริ่มไปเรียนที่สังขาร มันปรุงแต่งกันอยู่จึงเป็นชาติ แล้วชาติอันแรกคือวิญญาณ จากสังขารปรุงแต่งเสร็จก็เป็นวิญญาณ เมื่อเกิดวิญญาณแล้วถ้าคุณไม่สามารถเรียนรู้วิญญาณ โดยแยกวิญญาณคือ เทวะ เทวะคือวิญญาณ เป็นธรรมะ 2 ได้แก่รูปนาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:34:40 )

ชาติ แปลว่าความรู้สามเส้า

รายละเอียด

มาเรียนรู้ชาติ คำว่า “ชา” แปลว่าความรู้ กับ “ติ” คือ 3 คือความรู้สามเส้า

ชานโต ปัสโต วิหรติ คำว่า “ติ” คือ 3 วงวน cyclic order วงแรก 

เมื่อเรารู้อะไรต่างๆ ที่อาตมาแยกแยะอย่างละเอียดให้ฟัง เราก็สามารถที่จะนำสภาวธรรมต่างๆ ออกมาใช้กับสิ่งที่มันจะเข้า หรือจะขัดจะทำลายกัน ก็เอามาใช้เอามาปรุงแต่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:33:11 )

ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท หมายถึงการเกิดของอะไร

รายละเอียด

ทีนี้คำว่า ชาติ คำว่าชาติหมายถึงการเกิดของจิตหรือการเกิดภพชาติทางร่างกาย คำว่า กาย เอาคำว่าร่างมาใส่ ภาษาไทย มาใส่คำว่า ร่างกาย กายจะต้องมีจิตเสมอ เพราะฉะนั้นการเกิดที่บอกว่า ชาติ เป็นการเกิดของจิตวิญญาณเสมอ ชาติ มีรากศัพท์คือชา แปลว่ารู้ เป็นธาตุรู้แล้วที่จริง ติ แปลว่า 3 คือ 1 รอบของวัฏฏะ ชาติ ก็เกิดเป็นปริวัฏฏ์แล้ว ก็แปลว่าการเกิดของภพชาติ ภพ หมายความว่ามันมีจิตอยู่ร่วม สิ่งที่คุณไม่มีธาตุรู้ มันไม่รู้หรอกว่าภพคืออะไร 

ภพ คือสิ่งที่มันปรากฏเป็นแดนเกิด สัมภพ ปภพหรือสัมภวะ ปภวะ คือ มีแดนเกิด มีสถานที่เกิดแล้วเกิดมันจะต้องมีธาตุรู้อยู่ ที่จริงดินน้ำไฟลมมันก็เกิด แต่เราไม่เรียก ชาติ มันเป็นดินน้ำไฟลมไม่มีอะไรไปรู้แล้ว พีชะ มันมีชีวะแล้วแต่มันก็ไม่รู้การเกิดการตาย ขนาดเป็นสัตว์เป็นคน อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย มันไม่รู้แน่ มาเป็นคนแล้วมาเป็นอาริยะเป็นชาวพุทธจบเปรียญ 9 จบปริญญาเอก คุณก็ยังไม่เข้าใจเรื่องการเกิดการตาย 

เพราะฉะนั้นการเกิดจริงๆ ก็หมายเอาวิญญาณแท้ๆ จนกระทั่งคุณสามารถทำให้วิญญาณนี้มันดับได้ คุณจะเลิกวิญญาณได้สุดยอดเลย เป็นพระอรหันต์ เป็นต้น คุณสามารถแยกธาตุวิญญาณนี้เมื่อกายแตก ทำ กายส เภทา ปรัมมรณา คุณก็แยกธาตุจิตวิญญาณเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่ก็คือคุณจบอยู่เหนือ ทำสำเร็จ   

อาตมาอธิบายไม่ยากที่จะอธิบายให้ฟัง แต่คุณจะยากที่จะทำความเข้าใจได้  เพราะอาตมามีสภาวะจริง อาตมาอธิบายได้ไม่ยาก แต่อาตมาพยายามจะใช้ภาษาไทยขยายความขยายสภาวะของมันให้ฟัง ภพชาติ ภพมันก็เป็นรูป ชาติก็เป็นนาม ตัวสุดท้ายคู่สุดท้ายก็คือภพชาติ 

การเกิดของคุณมีเริ่มต้น คุณก็มีตาหูจมูกลิ้นกาย คุณหลับตาก็มีแต่รูปภพ อรูปภพเป็นข้างใน อย่างนี้เป็นต้น รูปภพ อรูปภพก็ไม่มีทวารภายนอก 5 การไปหลับตาปฏิบัติมันไม่มีภพข้างนอกที่ หยาบ ต้องรู้ก่อนต้องทำก่อน คุณจะกินทุเรียนก็เอาปากทิ่มหนามทุเรียนเข้าไปกินเลย คุณจะบ้าหรือเปล่า จะไปกินเนื้อในมัน แต่คุณไม่ได้เลาะปอกเปลือกออกให้เกลี้ยงแล้วค่อยกิน เอาหนามเอาเปลือกเอากระพี้มันออกหมดแล้ว จึงกินเนื้อของมันเนื้อทุเรียน คุณถึงจะได้กินเนื้อทุเรียนจริงๆ แท้ๆ แต่คุณดันเอาปากทิ่มเข้าไปทิ่มเข้าไปเพื่อจะไปกินทุเรียน ขนาดลิงมันยังไม่กล้าทิ่มเข้าไปกินเลย มันยังฉลาด แล้วคุณจะโง่ไปกินเนื้อทุเรียน คุณก็ปากทิ่มเข้าไป ไปนั่งหลับตา แล้วก็คิดว่าได้ จะเอาปากทิ่มผ่านหนามทุเรียนเข้าไปถึงเปลือกทุเรียนเข้าถึงกระพี้ทุเรียน กว่าจะถึงเนื้อคุณจะได้กินหรือปากคุณพังหมด 

อธิบายง่ายอย่างนี้ แต่ฟังเข้าใจไหมเข้าใจง่ายนะ อาตมาว่าอาตมาอธิบายง่ายเข้าใจง่ายแล้ว เพราะฉะนั้นถึงน่าสงสารคนที่ไปหลับตาปฏิบัติมันเหมือนไปกินเนื้อทุเรียนโดยเอาปากทิ่มหนามทุเรียนเข้าไป จะไปกินเนื้อทุเรียนให้ได้ อาตมาว่ายกตัวอย่างถูกต้องแล้วโดยเฉพาะมันมีทุเรียน สมัยพระพุทธเจ้าสงสัยทุเรียนยังไม่เกิดมั้ง ไม่เห็นพยัญชนะบาลีมีคำว่าทุเรียนเลย เอาล่ะอาตมาอธิบายมามากมายจนกระทั่งถึงคำว่า ภพชาติ ชาติทางร่างกายก็ต้องมีองค์ประกอบร่างกายเป็นรูปธรรมนามธรรม เป็นคนแล้วมันก็ขยายความขึ้นไปอีก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8 (8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 11:51:08 )

ชาติกขยะ

รายละเอียด

ความสิ้นไปแห่งการเกิด

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 21


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 09:58:00 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:53:49 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:25:24 )

ชาติกับสัญชาติคืออะไร

รายละเอียด

“ชาติ" ก็คือ ความเกิดทั่วไปทั้งหมด เป็นคำกลางๆ 

“สัญชาติ” เป็นความเกิดที่ประกอบด้วยสัญญาเก่า เอามาใช้ สัตว์โลก ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน จะมีสัญชาติจะมีความรู้ตามสัญชาติ เรียกรวมว่าเป็นสัญชาตญาณ คือ ความรู้ตามสัญญา คลังความจำเดิม ความเกิดแต่เดิมของตน ตั้งแต่สัตว์ก็มีสัญชาตญาณ คนก็มีสัญชาตญาณ ยิ่งเป็นอาริยบุคคลก็ยิ่งมีสัญชาตญาณที่ระลึกเอาความเกิดเก่ามาใช้ได้มากขึ้นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเกิดคือชาติ 5 ในปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:48:30 )

ชาติกเขตตะ

รายละเอียด

ขอบเขตที่เกิด, ภพที่เกิด

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137, หน้า 192, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 21


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 09:58:42 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:54:19 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:26:25 )

ชาติของสุขกับทุกข์

รายละเอียด

ก็มาเข้าสู่ชาติ ที่เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้าเลย จับที่ตรงปลาย ปฏิจจสมุปบาท 

ชาติ ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ อายตนะ รูปนาม วิญญาณ สังขาร อวิชชา

อวิชชาเป็นขั้วหัว ชาติเป็นขั้วปลาย

คนเริ่มด้วยอวิชชาขั้วหัว ก็จะเป็นไปตามปฏิจจสมุปบาทหมดเลย เพราะมีอวิชชาเป็นเนื้อแท้เป็นอำนาจเป็นต้นตระกูล ก็ครอบงำหมดครอบงำสังขารวิญญาณ ไม่รู้จักนามรูปไม่รู้จักวิธีต้องมีผัสสะต้องมีอายตนะ และจะต้องเกิดเวทนาและปฏิบัติที่เวทนานี่แหละเป็นตัวกลางเป็นตัวสำคัญ เพราะเวทนาเป็นตัวกรรมฐานหลัก เป็นตัวปฏิบัติหลักไม่มีเวทนาไม่มีที่ตั้งให้ปฏิบัติไม่มีฐานะให้ปฏิบัติ 

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติไปดับเวทนาไปหลับตาดับเวทนาไม่มีผัสสะอายตนะไม่มีภายนอกมันโมฆะมันปิดประตูเลย สำหรับพวกหลับตาปฏิบัติ ไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติมีแต่สัญญากำหนดไป 

และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เกิดชาติของสุข เกิดชาติของทุกข์ นี่แหละ  ในจิตของใครยังมีชาติอาการของสุขโดยเฉพาะทุกข์ที่มันร้ายแรงรู้ก่อนรู้ง่าย แต่สู้กับพวกนี้จริงๆ แล้วก็คือมายาทั้งคู่ แล้วก็เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออกเหมือนกระดาษแผ่นเดียว เผาสุขหรือเผาทุกข์ได้หายไปหมด เหมือนกระดาษแผ่นเดียว 

เพราะฉะนั้นทำอย่างไรจะกำจัดอาการของจิตที่ยังมีอาการของสุขอาการของทุกข์ พระพุทธเจ้าเลือกให้มาศึกษาทุกข์เพราะมันเป็นการรู้ง่ายดูอาการได้ง่าย หากว่าไปให้เลือกความสุขใครจะไปยอมเพราะมันโง่เต็มที่ มันไม่รู้จักสุขจักทุกข์ ว่ามันเป็นมายามันไม่มีจริงหรอกเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน สุขทุกข์ไม่มีจริงไม่มีตัวตน แต่คุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อเพราะอาตมาไม่มีตัวตนของสุขทุกข์แล้ว อาตมาปฏิบัติได้ แล้วจิตก็เป็นอุเบกขา จิตใจไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นจิตบริสุทธิ์จากกิเลสที่พาให้สุขให้ทุกข์ มันหมดกิเลสแล้วก็ไม่มีสุข เกลี้ยงสิ้นอาสวะสิ้นอนุสัยแล้ว มันก็ไม่มี 

ไม่มีแล้วเราก็มีปัญญาญาณหยั่งรู้ ว่าจิตของเรามีความรู้จริงๆ ว่าอาการของสุขของทุกข์เป็นอย่างไร อันนี้ชาติสุขอันนี้ชาติทุกข์ มันจะเกิดอยู่ก็ดูหน้าตาของมัน อาตมาสามารถพูดสภาวะภาษาให้สื่อสภาวะให้คุณเข้าใจ เพราะสื่อก็คือภาษาให้คนอื่นรู้ได้ตามของจริง ถ้าไม่ใช้สื่อไม่ใช้ภาษาพยัญชนะภาษาคำพูด สื่อด้วยใบ้ๆ ก็พอรู้เป็นภาษาใบ้มันก็ยาก แต่ถ้ามีภาษาที่กำหนดเลย เป็น อธิวจน ปฏิฆสัมผัสโส อธิวจนสัมผัสโส ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยมีแต่แค่ ปฏิฆสัมผัสโส ยังไม่มีอธิวจนสัมผัสโส ก็เลยไม่รู้กันได้ง่ายๆ เรารู้ได้ก็ภาษาพระพุทธเจ้าแม้แต่เป็นบาลีแล้วเขาก็เอามาอธิบายให้เป็นภาษาไทยให้ฟังให้เข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:30:24 )

ชาติข้อที่ 1 ข้อที่ 2 การเกิดแห่งตัวตนและแดนเกิดแห่งชาติคือ

รายละเอียด

เกิดแห่งตัวตนอธิบายอยู่ทุกวัน การเกิดแดนเกิดแห่งชาติก็คือ ภพหรือแดน จิตมันก็ไปเกิด เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นสัตว์นรก มันก็ไปอยู่ในแดนนั้น มันก็เป็นสิ่งที่อาศัยของจิตวิญญาณตนเอง ที่ไปตามองค์ประกอบของมัน องค์ประกอบของนรกก็เป็นทุกข์ องค์ประกอบเป็นสวรรค์ก็เป็นสุข หลอกทั้งนั้น มายาทั้งนั้น ให้อยู่กับปัจจุบันนี้ จะได้ไม่ถูกหลอก จะมีปัจจุบันเป็นแดนเกิดอันนี้จริง ไปอยู่ในภพนึกคิดเอาเองเป็นอดีตอนาคตมันไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่ถึง แต่ปัจจุบันนี้แก้ไขได้เปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาอยู่กับสิ่งที่เป็นการเปล่าประโยชน์ในอดีตกับอนาคตเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 14:51:49 )

ชาติคือความเกิดที่เป็นปัจจุบันกับความเกิดที่วนเวียน

รายละเอียด

แม้แต่ความเกิดที่เป็นปัจจุบันกับความเกิดที่วนเวียน ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ในชาติ 5 ก็พูดทวนแล้วทวนเล่า ย้ำแล้วย้ำอีก ถ้าคุณเข้าใจไม่ถูก สัญญาไม่ถูก แปลไม่ถูก เช่น ที่เขาแปลกันในพระไตรปิฎก แปลไม่รู้เรื่องกันเลย 

นิพพัตติ เขาแปลว่า ความเกิด อภินิพพัตติ เขาแปลว่า เกิดจำเพาะ อ่านคำแปลแล้วมันก็เลยยาก ใช้ภาษาไทยมันไม่พอ แต่ถ้าคนเข้าใจสภาวะและเข้าใจภาษาบาลีก็จะเข้าใจได้เลย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  ชาติ คือ การเกิด ภาษากลางๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 14:13:09 )

ชาติที่ยังมีชีวิตินทรีย์ดับเวทนาอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นอธิบายตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ไปถึงชาติ ทวนจากชาติมา

เมื่อมีความรู้ในชาติ ดับชาติได้จึงดับภพได้ จึงดับอุปาทานได้ ดับตัณหาได้ ดับเวทนา พอดับเวทนาได้แล้ว ตัวนี้แหละจึงมาเรียนรู้ว่าดับเวทนานี้มันไม่ได้ดับเวทนาทั้งหมด สำหรับผู้ยังมีชาติ ยังมีความเกิดของความจริง เกิดอะไร ก็เกิดชีวิตินทรีย์ เกิดพลังงานของชีวิต ยังอยู่ยังไม่ได้แตกสลาย ชีวิตินทรีย์นี้ไป เป็นพลังงานของความเป็นชีวิตยังมีอยู่ยังไม่แตกสลายไปมันก็ต้องมี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 13:56:29 )

ชาตินิโรธ

รายละเอียด

1. ความดับสิ้นแห่งการเกิด 

2. ความดับสิ้นของการเกิด หรือดับการเกิดนั้นได้สนิทแท้ ไม่วนเวียนกลับมาเกิดอีกแล้วเด็ดขาดทั้งในวัฏสงสารหรือในมหาเอกภพ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 22


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 09:59:30 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:54:53 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:27:16 )

ชาตินี้ พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ 5 คำ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ 5 คำ

1. ชาติ  แปลว่า ความเกิด

2. สัญชาติ คือความบังเกิด

3. โอกกันติ คือ เขาแปลว่า ความหยั่งลง พ่อครูแปลว่า ความเกิดที่ต่อเนื่องตรงข้ามกับคำว่า ขณิกะ(คือขณะ) แต่ถ้ามันต่อเนื่องไม่มีขาดคือผู้บรรลุสูงสุด ไม่มีตัวอกุศลมาคั่น จะมีแต่กุศลต่อเนื่องไม่ขาดสาย

4. นิพพัตติ คือ ใกล้กับคำว่า นิพพาน คือการเกิดอย่างลดกิเลสได้ อันหนึ่งตายอีกอันหนึ่งเกิด อกุศลจิตตาย กุศลจิตก็เจริญขึ้น นักวิทยาศาสตร์เขาเถียงกันว่า แสงเป็นควันตัม กับ แสงเป็นโฟตอน ซึ่งทั้งไม่ขาด และไม่เป็นก้อน แต่ต่อเนื่องกันไป นิพพัตติ คือการเกิดในจิตที่เรียกว่า “โอปปาติกโยนิ”

5. อภินิพพัตติ ท่านแปลว่า เกิดจำเพาะ แต่พ่อครูแปลว่า “เกิดสูงสุด” คือมันเกิดอย่างแข็งแรงถาวร อภิคืออย่างยิ่ง อย่างยอดเยี่ยม เราจะเห็นอาการเหล่านี้เกิด ถ้ารู้สภาวะก็จะอ่านรู้ได้

       สัตว์โลกทุกตัวก็มีการเกิดตามสัญชาติญาณ แต่เราจะทำอย่างโอกกันติ ทำที่ไม่ให้มันเกิดสำเร็จได้ เราเกิด เราทำอกุศลจิตตายได้เราก็เกิดเป็นเทวดาเป็นอุบัติเทพ เป็นวิญญาณที่ถูกสำรอกกิเลสออก มีการเกิดการตายอย่างมีปัญญา เรียก โอกกันติ จนเป็นนิพพัตติ สุดท้ายหมดเกลี้ยงเป็น อภินิพพัตติ

ที่มา ที่ไป

560811


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2563 ( 12:58:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:28:32 )

ชาตินี้พ่อครูสามารถพาปฏิบัติจนมีสาธารณโภคีได้ท่ามกลางสังคมทุนนิยม

รายละเอียด

ใช่ อาตมาจำไม่ได้ ชาติก่อนๆ สามารถพาให้พวกเรามีความรู้มาประพฤติปฏิบัติจนมีสาธารณโภคี ปางก่อนๆ ระลึกไม่ได้ แต่ชาตินี้ปางนี้ขณะนี้ท่ามกลางสังคมในเศรษกิจทุนนิยมแย่งชิง แต่ของเราสังคมเราอยู่อย่างสบาย ไม่ต้องแย่งชิง ใครมีของตัวของตนก็เข้าใจต้องพากเพียร ต้องละออกบ้างนะ แต่คนไหนสบายแล้วไม่ต้องยากอะไร เราอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน เครื่องกินเครื่องใช้อะไร เพราะว่าจิตใจของเราเข้าใจแล้วไม่มีการบำเรอตัวเองแต่มีไว้อาศัยอย่างพอเหมาะ ปัจจัย 4 ก็มีเท่านี้ บริขารได้ก็ได้ไม่ได้ก็ไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 19:12:15 )

ชาตินี้พ่อครูอยู่ได้ด้วยการยอมแพ้เพราะเป็นสิ่งที่ลดอัตตาจริงๆ

รายละเอียด

อาตมาก็ใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ประมาณจริงๆเลย และก็ใช้มานานฝึกมานานแล้วจนมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ใช้ สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว ก็มาใช้ในองค์ประกอบกระบวนการ ก็ต้องทำ ก็ได้ ตามที่เราได้ฝึกใช้มาทำมา การยอม จนกระทั่งในชาตินี้ ฟังอาตมาตลอดก็จะรู้ว่าอาตมาอยู่ได้ด้วยการยอม ชาตินี้ อยู่ได้ด้วยการยอม และการยอมอย่างที่คุณพูดมา เพราะฉะนั้นการยอมแพ้นี่แหละ เป็นสิ่งที่ ลดอัตตาจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2563 ( 11:06:35 )

ชาตินี้พ่อครูเกิดมาเป็นนักวิชาการ

รายละเอียด

อาตมาเกิดในชาตินี้มาพูดตรงๆ อาตมามาเป็นนักวิชาการ เกิดมาในปางนี้ชาตินี้มาเป็นนักวิชาการ มาสาธยายความรู้มาเป็นปุโรหิต มาเป็นผู้ที่นำความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เป็นผู้ตรัสรู้สูงสุด ในความเป็นมนุษยชาติและสังคม พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากความเป็นมนุษย์และสังคม ก็เข้าใจองค์ประกอบแต่ละยุคสมัยที่มันสังขารปรุงแต่งกันอยู่ตามเหตุปัจจัย เสร็จแล้วก็บริหารอภิบาลกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เทวนิยมใหญ่สุดโต่งอย่างไรในศาสนาพุทธ วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มิถุนายน 2564 ( 19:02:48 )

ชาตินี้พ่อครูเจริญกว่าพระสารีบุตรอย่างไร

รายละเอียด

ซึ่งคำว่าบุญมันไม่ง่าย อาตมาก็อธิบายมามาก เขียนหนังสือเรื่องเปิดยุคบุญนิยม เป็นคอลัมน์ในหนังสือเราคิดอะไรจนเอามารวมเล่มมา 2-3 เล่มแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องที่ขยายความละเอียดลออ ขึ้นมามากกว่าเก่า เพราะอาตมาเจริญ พูดง่ายๆ ว่าอาตมาเจริญกว่าพระสารีบุตร พระสารีบุตรในยุคพระพุทธเจ้าก็มีภูมิเท่านั้น แต่อาตมามาชาตินี้ ถ้าใครคิดว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมีเชื้อเจริญมาเป็นพระโพธิรักษ์ ก็ต้องสูงกว่าเก่า จะไปย่ำต๊อก อยู่ที่เก่าไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นถ้าใครมาบอกว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตร ก็เป็นการดูถูกอาตมา อาตมาไม่ได้เป็นพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ตายไปแล้วตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้า ถ้าจะบอกว่าสิ่งเชื่อมต่อ อาตมาเชื่อมต่อพระสารีบุตรมา ก็ต้องเจริญกว่าพระสารีบุตร แล้วก็ต้องเป็นคนละคนกันแล้ว ไม่เมานะ ไม่สับสนนะ อาตมาพูดอย่างนี้ก็เป็นการอธิบายที่ละเอียดลออในการเกิดการดับ การเกิดการตาย การเวียนวน เลื่อนชั้น เดินทางไปแต่ละชาติๆ ชาติที่เกิดมาเป็นร่างกายได้ขันธ์ 5 แต่ละชาติ ซึ่งศาสนาพุทธเท่านั้นที่มีรายละเอียดอย่างนี้ อันเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ลักลั่น แต่เป็นลำดับที่เรียงกันอย่าง ต้น กลาง ปลาย เหมือนฝั่งทะเลที่มีหาดทรายทะเลซัดมาราบเรียบ เทียบกับลมพัดทะเลทรายก็เรียบ แต่น้ำนี่ทำได้เรียบราบยิ่งกว่าทะเลทราย หาดทรายที่ทะเลราบเรียบกว่าหาดทรายที่ทะเลทราย เพราะที่ทะเลทรายเป็นลมมันไม่แน่น แต่ทรายของแม่น้ำมันแน่น ไม่เชื่อใครมีกองทรายก็เอาน้ำไปฉีดมันก็ยุบลง มันแน่นเข้า

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:15:11 )

ชาตินี้พ่อครูไม่ไปบริหารเน้นธรรมะ

รายละเอียด

ชาตินี้อาตมาไม่ไปบริหารเพราะชาตินี้อาตมาจะเน้นธรรมะ โลกนับถือการศึกษามีปัญญามีฐานะทางสังคมมีความรู้เป็นปราชญ์ มีความรู้เป็นปัญญาชนในสยาม รู้ แล้วก็ไปบริหารอย่างมีเครดิตมีคนฟังคนเชื่อ แต่อาตมาไม่ต้องอาศัยอลังการมีฐานะทางการศึกษา มีตำแหน่งยศศักดิ์ทางการศึกษา หรือยศศักดิ์ทางโลกที่รับรอง แม้จะได้รับรางวัล (รางวัลแมนเฮ) ก็เป็นแบบกระจุ๋มกระจิ๋มเล็กๆ น้อยๆ ว่า นี่ช่วยสร้างสันติภาพให้แก่โลก แหม ลูกตาเขาก็ตาดีอย่างไรนะ มองอาตมาออกว่า เป็นผู้ที่ให้สันติภาพแก่โลก ทางรางวัลแมนเฮ กับที่วัดชิลซังซา อีกอันนึงเป็นรางวัลจาก ฯพณฯ สัญญา ธรรมศักดิ์ ให้อาตมาเป็นอันแรก บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมาเป็นผู้ที่มีคุณช่วยโลก ส่วนตัวท่านศรัทธาอาตมา ท่านก็เลยรับรองเป็นองค์กรเป็นองค์การให้ยอมรับว่าอาตมาทำประโยชน์ เพราะอาตมาทำงานทางศาสนา ซึ่งท่านสัญญาท่านสนใจทางศาสนา ท่านเป็นลูกศิษย์ท่านพุทธทาส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 12:29:04 )

ชาตินี้ยังมีคนฟังธรรมที่เป็นโลกุตระ

รายละเอียด

มีคนแสวงหาโลกุตระธรรม ปีใหม่ก็มา คนอย่างพวกเรานี้ รู้สึกสนุกสนาน ใจยังรอนๆ เพื่อนยังไปสนุก แต่เรารักดีจะมาที่นี่แต่จิตใจก็ยังคิดถึงเพื่อนยังสนุกน่าดู คนที่มาทางนี้แล้วจะรู้คุณค่าสาระของชีวิต คนที่ไม่รู้สาระก็เอาชีวิตไปไร้สาระ แทนที่ปีใหม่จะทำให้กิเลสลดลง มาหาทางชำระกิเลส ดันไปโปะกิเลสใส่กิเลสเข้าไปอีก คนเรามันอวิชชา เห็นคนโง่กับคนฉลาดต่างกันไหม

บางคนมีอัตตาหาว่าพ่อท่านทำอะไรเหมือนเด็กๆ ครูถามก็ยกมือให้ครูเห็นคำตอบหน่อยสิทำเป็นผู้รู้ยิ่งใหญ่ ทำเหมือนกับเด็กๆ ก็ยกให้อาตมาดูหน่อย ครูผู้สอนจะได้รู้ว่านักเรียนสอนไปแล้วรู้เรื่องหรือเปล่า คำตอบก็เป็นข้อสอบนะ ไม่สอบ แล้วเมื่อไหร่ครูจะได้รู้ ครูก็จะไม่รู้ว่าคุณได้หรือไม่ได้ (อู๊ดว่า คนโง่ที่สุดผมขอสัมปทานครับ) พ่อครูว่า ทำเท่ๆพูดคำคม (ญาติธรรมว่า ธรรมะของพ่อครูรู้ได้แต่บัณฑิต) อาตมาว่าสนุกนะพูดธรรมะพุทธเจ้าพวกคุณก็รู้แล้วพวกคุณก็ทำได้ด้วยไม่เป็นหมัน พยายามเผยแพร่ธรรมะนี้

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:51:46 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:29:57 )

ชาตินี้เกิดมาเป็นพ่อ

รายละเอียด

ที่จริงก็เป็นจริงอาตมาไม่ได้สะทกสะท้านเขินอาย ในชาตินี้อาตมาไม่ได้เกิดมาเป็นแค่พี่ เป็นไก่ตัวพี่ ในสำนวนคือไก่ตัวพี่แต่จริงๆแล้วอาตมาในชาตินี้เกิดมาเป็นพ่อ มันเป็นไปตามจริง เกิดมาปุ๊บคนที่เรียกอาตมา ก็ตั้งคำที่จะเรียกอาตมา ทั้งๆที่ตอนเป็นหนุ่มสาว อาตมาเมื่อมาบวชใหม่ๆ คนที่มาใกล้ชิดแล้วก็จะทำงานร่วมกันไป เป็นลูกศิษย์ ก็เริ่มต้นก็ให้เรียกอาตมาว่าพ่อ ทั้งที่เป็นหนุ่มสาวก็ให้เรียกว่าพ่อ เป็นคนใต้ก็เรียกว่าพ่อท่านตามสำนวนคนใต้ สํานวนคนใต้เขาเรียกพระที่น่านับถือว่าพ่อท่าน อาตมาก็ได้ฉายาว่าพ่อท่านมา จนกระทั่งหลังๆนี้ก็มีคนเปลี่ยนให้เป็นพ่อครูเสีย อาตมาก็เห็นว่าน่าจะดีเพราะถ้าเรียกว่าพ่อท่านมันน่าจะศักดินาพอสมควร พ่อท่านนี้ใช้เรียกผู้ที่มีเชื้อพระวงศ์ ในระดับหม่อมเจ้า ถ้าระดับหม่อมราชวงค์เรียกคุณชาย แต่ระดับหม่อมเจ้าเขาเรียกพ่อท่าน อาตมาก็เลยได้ฉายาว่าพ่อครู

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 17:24:04 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:34:01 )

ชาตินี้เจอมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีแล้วมาอยู่ให้ได้

รายละเอียด

เศรษฐกิจที่เราพาทำถึงขั้นสาธารณโภคี แล้วก็มีคนอื่นๆอีกพวกเราก็อยู่ในระดับที่ต่างจากชาวโลกมากตามฐานะแต่ละภูมิของตัวเองแต่ละคน จนกระทั่งถึงชั้นอยู่ข้างนอกแต่ก็สนใจชอบอโศกแต่ยังมาไม่ได้ ยังเขลอะแบกหามอยู่ก็ยอมรับความจริง แต่ก็อย่าไปเหยาะแหยะ ชาติหน้าวิบากตามไปอีก ชาตินี้เจอมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีแล้ว มาอยู่ให้ได้ เรายินดีต้อนรับอยู่เลย ถ้าได้ 777 คนก็ฉลองให้ยิ่งใหญ่เลย ว่าจะทำเหรียญสักอัน คนที่ 777 แต่ก่อนคนสองร้อยคนสามร้อยคนก็ยาก แต่ เดี๋ยวนี้มีอัตราการก้าวหน้าแล้วก็มีคนคอยทีอยู่ จะมาๆ อย่าเอาแต่คอยเลย มาเร็วๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:33:04 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:36:09 )

ชาติปิ ทุกขา

รายละเอียด

1. การเกิดแม้แต่อย่างใด ๆ ก็ล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้น

2. ชาติในแบบใด ๆ ก็ล้วนเป็นทุกข์ 

3. การเกิดเป็นทุกข์ 

4. หากยังมีการเกิดอยู่ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 170, ทางเอก ภาค 2 หน้า 420, หน้า 433, ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 45


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:00:46 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:55:26 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:51:34 )

ชาติปิทุกขา มีการเกิดอยู่เมื่อใดก็มีทุกข์เมื่อนั้น

รายละเอียด

“ชาติ” คือการเกิดทั่วไปรวมกันเกือบทุกอย่าง “ชาติปิ” การเกิดทุกอย่าง เมื่อยังมีการเกิดอยู่เมื่อใดก็มีทุกข์เมื่อนั้น แม้แต่การเกิดของพระอรหันต์ การเกิดของกุศลสิ่งดีงามมันก็ยังเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ที่ยังจำนนเพราะยังไม่แตกสลายเป็นปรินิพพานปริโยสาน ยังไม่แตกธาตุที่เป็นธาตุไม่มีวิญญาณ จบธาตุรู้กลายเป็นดินน้ำไฟลม ถ้าตราบใดยังมีชีวะเป็นจิตนิยามอยู่ นั่นคือชาติปิทุกขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:46:41 )

ชาติปิทุกขา มีอวิชชาเป็นเจ้าเรือน

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นการเกิดของธาตุรู้ ชาติ มันเกิดเป็นคำกลางๆ ชาติปิทุกขา มันเกิดมาก็พาให้ทุกข์ทั้งนั้น ฝังการเกิดด้วยอวิชชา ฝังมาเป็นรากฐานมาตั้งแต่สัตว์โลก จนกระทั่งวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์หรือเป็นคน มันก็ต้องมีอวิชชาเป็นเจ้าเรือน ใครจะไปแปลว่า จิตเดิมแท้เป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นคนโมเม จิตมันเป็นอวิชชาทั้งนั้น แล้วค่อยมาล้างตัวโง่ ตัวอวิชชา ตัวกิเลสนี่ให้หมด จิตใจจึงสะอาดได้ เป็นจิตของอรหันต์ ซึ่งจิตเดิมแท้ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์สะอาด พวกมหายาน สายเซน เอาพยัญชนะมาเล่นกันเลอะเทอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 21:06:09 )

ชาติมยะ

รายละเอียด

ความดับการเกิดของกิเลสนั้นได้สำเร็จ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:01:29 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:52:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:54:07 )

ชาติสสระ

รายละเอียด

ความเป็นผู้ระลึกชาติได้

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:02:11 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:57:08 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:55:16 )

ชาติสังสาร, ชาติสังสาระ

รายละเอียด

1. การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร 

2. ตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เวียนวนอยู่ในโลกการตาย – การเกิด...เกิด – ตาย...ตาย – เกิด ไม่รู้ทิศทางที่จะจบ จึงหยุดเกิดหยุดตายไม่ว่าทางรูปธรรมหรือนามธรรมก็ทำไม่ได้สำเร็จเด็ดขาดสัมบูรณ์

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137, พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 21


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:03:10 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:57:39 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:57:45 )

ชาติสัมปันนะ

รายละเอียด

ความถึงพร้อมด้วยชาติ , ผู้ถึงพร้อมด้วยชาติ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137 , 192


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:04:08 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:58:21 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 13:59:08 )

ชาติสัมปันนะความถึงพร้อมด้วยชาติอย่างสัมบูรณ์เป็นอย่างไร

รายละเอียด

9.ความถึงพร้อมด้วยชาติ (ชาติสัมปันนะ) อย่างสัมบูรณ์ พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเป็นชาติสมบูรณ์ที่สุด จบ พระโพธิสัตว์ก็สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ รู้จักความเป็นชาติเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นชาติที่ดี ไม่ติดใจในชาติ รู้การดับชาติ จนสุดท้ายดีที่สุดเป็นอย่างไร ถึงดีที่สุดเป็นโลกีย์ เป็นโลกุตระไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างไร เกิดมาก็ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเกณฑ์ของความจริง 

1. ความดีความชั่ว เราต้องทำแต่ดี สัพพปาปส อกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง)

2. กุสลสูปสัมปทา (ทำกุศลให้ถึงพร้อม)

3. สจิตตปริโยทปนัง (ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) 

แล้วมันก็จะไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ดีชั่วก็ทำแต่ดีไม่มีตกต่ำไม่มีทำไม่ดีแล้ว เป็นโลกียะสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นโลกุตระ สุขทุกข์ก็ไม่มีอีก นี่คืออรหันต์ ทีนี้คุณจะเกิดอีกเท่าไหร่ก็เกิดไปสิ จนสุดท้ายพิสูจน์ความเป็นมนุษยชาติ จบที่เป็นพระพุทธเจ้า ก็หมดคำเว่าแล้ว หมดคำจะพูดต่อแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 20:43:50 )

ชาติสัมภวะ

รายละเอียด

1. แดนเกิดแห่งชาติของสัตว์โอปปาติกะ , ต้นถิ่นที่เกิด

2. ต้นเหตุที่ทำให้เกิด 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137,192

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 21


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:05:03 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 15:59:40 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:01:18 )

ชาติสัมเภทะ

รายละเอียด

ความแตกต่างแห่งชาติ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 137


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:05:41 )

เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 16:00:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:04:48 )

ชาติหรือความเกิด 5

รายละเอียด

ชาตินัยที่ 1 การเกิดของสัตวโลก สามัญทั่วไป ได้แก่ ชีวิตของคนหรือมนุษย์,สัตว์เดรัจฉาน เกิดมาได้ร่างและวิญญาณ แล้วก็ตายไป ร่าง(สรีระ)แตกดับ(กายัสสะเภทา)ลงไป ก็สลายหายไป จบความเป็นชาติ ชาติหนึ่งนี้คือ

ชาติความหมายที่ 1 ตามสามัญความรู้พื้นๆของโลกแบบสามัญ คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ตามไตรลักษณ์ที่เป็นสามัญลักษณะ ซึ่งธรรมดาของธรรมชาติก็เป็นเรื่องปกติทั่วไป นี่คือ สมมุติสัจจะ

            แม้ใครเรียนรู้ความเป็นจริงนี้ หรือไม่เรียนเลยก็ตาม ความจริงนี้ก็เป็นจริงอยู่อย่างนี้ ตลอดกาล จะเรียนรู้ หรือไม่เรียนรู้ ก็เปลี่ยนแปลงความเป็นธรรมดาธรรมชาตินี้จากความจริงนี้ไปไม่ได้

            การเกิดของสัตวโลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดชนิด อัณฑชโยนิคือ เกิดออกมาจากตัวสัตว์เป็นไข่ก่อนแล้วไข่จึงจะฟักออกมาเป็นตัวอีกที

            หรือจะเกิดชนิดชลาพุชโยนิคือ เกิดเป็นตัวในท้อง ในมดลูกแล้วคลอดออกมาเป็นตัวทีเดียว

            หรือจะเกิดชนิดสังเสทชโยนิคือ สัตว์ที่เกิดจากเหงื่อไคล หรือของชื้นแฉะโสโครก

            ล้วนเป็นการเกิดคือชาติ มีชีวิต แล้วตั้งอยู่ในเวลาช่วงหนึ่ง แล้วก็ดับไปหรือตายไป ก็เป็นลักษณะ 3(ไตรลักษณ์) ลักษณะ 3 อย่างนี้ เรียนก็รู้ ไม่เรียนก็รู้ได้ ไม่เห็นยากอะไรเลย ไม่ลึกซึ้งลึกลับอะไร สำหรับชาติหรือการเกิดสัตวโลกทั้งแบบอัณฑชโยนิ-ชลาพุชโยนิ-สังเสทชโยนิ ไตรลักษณ์ที่เป็นสามัญลักษณะแบบนี้ ไม่ยาก

            ชาติแบบที่ 1  การเกิดแบบนี้ ใครๆก็รู้ได้

ชาตินัยที่ 2 การเกิดทางจิตวิญญาณ อันเป็นการเกิดของสัตว์ที่เรียกด้วยศัพท์ทางพุทธธรรมว่า สัตว์โอปปาติกะ(สัตตา โอปปาติกา)  ซึ่งก็เป็นสามัญทุกคนมี-ทุกคนเป็นกันอยู่ ได้แก่ ชีวิตของสัตว์ในจิตใจของมนุษย์ สัตว์ในร่างของคนเป็นๆที่เกิดอยู่ในจิตวิญญาณ เช่น จิตใจเราเป็นสัตว์นรกอยู่-สัตว์เทวดาอยู่นั้น มีภาวะอย่างไร? ต้องมาเรียนรู้ว่า

            ตั้งอยู่ที่ไหน? ต้องรู้หทัยรูปตามที่เป็นอยู่จริง มันเกิดวิญญาณตอนที่ผัสสะทางทวาร ุ6 ไง แล้วมีอาการอย่างไร เป็นอิตถีภาวะและปุริสภาวะอย่างไร อาการเคลื่อนคือความมีใช้ประโยชน์ได้ แต่ไม่เอาที่เป็นโทษ ใช้เสร็จแล้วหยุดจบนิ่งปุริสสภาวะ

            เช่นตากระทบแก่นตะวัน แล้วคุณก็รู้ว่ามันเป็นอะไร ตามปฏิภาณปัญญา รูปร่างน่าดูหรือไม่ สีสันน่าดูหรือไม่ ก็อยู่ที่อุปาทานคุณเองกำหนด ไปเซ็นสัญญาไว้เอง ซึ่งสัญญานี้ร้ายกาจมากไปสัญญาไว้หมดว่านี่คือ ขี้หมา นี่คือดอกไม้ สัญญามันเอามาใช้ทันทีเลย

            สรุปแล้ว ทหยรูปคือที่ตั้ง เป็นนามธรรมอธิบายยาก ซึ่งอภิธรรมเขาก็ไปกำหนดเป็นสถานที่ตัวตนรูปร่าง มันก็เลยจับอาการนามธรรมไม่ได้ ไปกำหนดว่าอยู่ที่หัวใจเป็นต้น ต้องอ่านที่เวทนา ชอบหรือชัง อ่านรู้นั่นก็คือหทยรูปนั่นแหละ มันต่อเนื่องจากมหาภูตรูปมาสู่อุปาทายรูป เป็นเวทนา เราก็ต้องเจาะลงในเวทนา แล้วเจาะเวทนาในเวทนาอีก จับตัวการตัวเหตุแห่งทุกข์ต่ออีก เมื่อจับตัวการได้ ก็รู้ที่ตั้งมันได้ จัดการมันได้ มันก็ถูกตัวมันในที่ตั้งของมัน แล้วต่อมาที่ชีวิตรูป

            มีความเป็นชีวิตอยู่อย่างไร? ต้องรู้ชีวิตรูป เข้าใจชัดในชีวิตินทรีย์ของความเป็นชีพหรือชีวะนั้นๆว่า ยังทรงอยู่อย่างไร? แค่ไหน? เราจะสามารถให้เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปได้อย่างไร? แค่ไหน? ภาวะใดควรอยู่ ควรดับ

            อาการลีลานี้มันยังมีชีวิตหรือชีพ ของจิตวิญญาณ ยังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ อ่านให้รู้ว่าชีวิตมันเกินมันเฟ้อไป มันเลวมันชั่วแล้วนะบาปแล้วนะ ไม่ดีแล้วคุณต้องมีปัญญามีญาณเลือกเฟ้นเอาออกได้

            มีอาหาร 4ที่ต้องเข้าใจอย่างสำคัญ ก็ต้องรู้อาหารรูป และต้องรู้ถึงความเป็นอาหารอย่างไร? แค่ไหน? ซึ่งเป็นเครื่องอาศัยยังชีวิตให้เกิดขึ้นอย่างไร? แค่ไหน? และตั้งอยู่อย่างไร? แค่ไหน? แม้แต่ที่จะให้ดับไปอย่างไร? แค่ไหน? ชนิดที่เป็นปรมัตถธรรมถูกสัดส่วนอันควรอย่างพอเหมาะ(ปโหติ)

ในกวฬิงการาหารนี้มีสิ่งที่คุณติดยึดอีกมากต้องพิจารณาผีร้ายที่มากับอาหาร ที่เราต้องได้ต้องกำหนดหมายและยึดต้องเอาอย่างนี้ๆ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ชอบ ถ้าได้ก็ชอบ ซึ่งมันไม่ตรงกันหมดหรอก มีทั้งคล้ายกันมากและต่างกันไป แต่ถ้าเหมือนกันหมดก็แย่งกันเละเลย เราเอาอาหารที่เป็นแค่เครื่องอาศัย

            รูป_รส_กลิ่น_เสียง_สัมผัส_ใจ ทางทวาร ุ6 มันก็มีแต่อาการ ชอบกับไม่ชอบ อย่างเช่นรูป ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นรูปอย่างเดียวกัน แต่ว่าความชอบกับไม่ชอบก็ต่างกันไป เราต้องรู้เหตุและดับเหตุ เราจะเห็นความดับในความเกิด อย่างเช่นเลือกเฟ้นว่า อย่างนี้เราจัดการอาการชอบ_ไม่ชอบได้ จะเกิดสาระประโยชน์ขึ้นได้ ทำให้เกสชอบหรือชังหายไป จิตคุณก็เกิดใหม่เป็นจิตสะอาด นี่คือเห็นความเกิดความดับอย่างแท้จริง ไม่เหมือนพวกนั่งหลับตาดับ ก็เรียนรู้ได้แคบๆแต่ในสัญญาในความนึกคิด ความจำเท่านั้น เป็นของแห้งไม่ใช่ของสด คุณอ่านได้คุณให้มันเกิดมันดับก็ได้ แต่ของสดคุณไปกระทบแล้วคุณเกิดพยาบาทเกิดรัก แล้วคุณไม่ให้มันขึ้นได้ หยุด โกรธหยุดรักได้ นี่อันนี้สิจริง แล้วไปอยู่ในใจมันก็ไม่มีแรงแล้ว ขนาดสัมผัสปัจจุบันมันยังไม่ขึ้นเลย แล้วเหลือในใจมันก็ไม่ขึ้นหรอก จะมีอาการในใจนี่แหละคือส่วนเหลือ ไอ้เหลือนี่จะหมดจากความจำนี่แหละนาน แต่ไม่มีปฏิกิริยารักหรือชังแล้วขณะมีผัสสะ

            มีการจำกัดบทตอน ตัดแบ่งตอนอย่างเหมาะสมกับตนกับการปฏิบัติ และรู้แต่ละบทแต่ละตอนว่าเกี่ยว สัมพันธ์มากน้อย ใกล้ไกล แน่นบางอย่างไร? แค่ไหน?

            นั่นคือ ต้องรู้ปริเฉทรูปหรือรู้จักบริบทของภาวะนั้นๆที่ปฏิบัติไปตามลำดับ ให้แต่ละบทแต่ละตอนให้ถึงที่สุดความหมด กระทั่งเป็นความสูญ(สุญญ)-ความว่าง(อากาส)

            จึงไม่เป็นสามัญเลย ที่ทุกคนจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง ว่าเกิดขึ้นอย่างไร? ตั้งอยู่อย่างไร? ดับไปอย่างไร?

            ซึ่งเป็นสัตว์ที่ไม่มีร่าง(สรีระ) ไม่มีรูปทรง(สรีระ) ที่เรียกว่าสรีระ แต่เป็นสัตว์ที่เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปอยู่จริง เป็นจิตเป็นวิญญาณที่ปรากฏจริงในคนเป็นๆที่เห็นได้จริงจึงเป็นวิสามัญอย่างยิ่งเพราะวิเศษกว่าสามัญ

เพราะเป็นผู้สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นสัตว์โอปปาติกะของตนในตนจริง ว่าเกิดอย่างไร? ดับหรือตายอย่างไร?

            โดยเฉพาะดับจริงๆ ตายจริงๆ ซึ่งเป็นการตายหรือดับไปอย่างสนิทไม่เกิดขึ้นในใจเราอีกเลยนั้นอย่างไร? ถ้าใครสามารถทำให้ดับหรือตายสนิทไม่เวียนวนมาเกิดในจิตใจเราได้อีก นี่แหละคือ สิ้นการเกิด คือชาติดับสนิท

            ชาติตามนัยที่ 2 นี้เอง คือ ชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสเป็นหลักธรรมสำคัญไว้ในปฏิจจสมุปบาทที่ผู้มีวิชชารู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็นชาติตามนัยที่ 2 นี้ แล้วดับชาติ นี้ได้ อย่างสัมมาทิฏฐิ ฉะนี้เองเรียกว่า นิโรธหรือนิพพาน  

            ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงการเกิด-ตั้งอยู่-ดับไปของสัตว์โอปปาติกะในจิตวิญญาณตนเอง และศึกษาปฏิบัติกระทั่งสามารถทำให้ความเป็นสัตว์ในจิตวิญญาณของตนลดลง หรือตายดับไปได้สนิท-ไม่มีการเกิดของสัตว์ทางจิตใจนี้อีก

            เช่นนี้ ผู้นี้ชื่อว่า ผู้รู้แจ้งไตรลักษณ์ที่เป็นปัจจัตตลักษณะ คือ ลักษณะที่ทำได้ในตนเองเฉพาะตน ซึ่งเป็นไตรลักษณ์เกินสามัญคนปุถุชนจะรู้จะเป็นกันได้ หรือทำไม่ได้ง่ายๆ

            ซึ่งในธรรมที่เป็นพุทธอย่างถูกต้องแท้จริง ต้องเรียนรู้ให้สัมมาทิฏฐิ แล้วปฏิบัติจนเกิดสัมมาผล ก็จะได้เห็นจริงในผลของตนเองในตนเองว่า ธรรมชาติของสมมุติธรรมนั้น เป็นสามัญลักษณะอย่างไร? และมันแตกต่างกับธรรมที่ไม่มีชาติของปรมัตถธรรมอย่างไร 

            ตั้งแต่ชาติของความเป็นสัตว์ที่ตนเองเริ่มกำจัดได้ จนกำจัดสำเร็จหมดเกลี้ยงสิ้นชาติความเป็นสัตว์นั้นๆ

            ผู้ปฏิบัติมีมรรคผลจริงอันเป็นผู้มีปัจจัตตลักษณ์ จึงเป็นไตรลักษณ์ที่นัยสำคัญต่างกันกับสามัญลักษณ์ฉะนี้ 

ชาตินัยที่ 3 การเกิดที่เรียกว่า ลิงลมอมข้าวพองของผู้มีปัจจเจกภูมิหรือสยังอภิญญา(บารมีที่มีเองเป็นของตนเองมาจริง) แต่ชีวิตที่สัญชาตญาณอันเป็นปัจเจกภูมิหรือสยังอภิญญาของตน ยังไม่ถึงวาระที่จะออกมามีพลังแท้

ทำงานเต็มที่ ยังหลงไปกับสังคมสิ่งแวดล้อมนั้นๆอยู่ ซึ่งเป็นอำนาจของโลกีย์ ก็เป็นการเกิดชั่วขณะที่ตนยังถูกครอบงำไปชั่วระยะหนึ่ง

ชาตินัยที่ 4 การเกิดที่เรียกว่า ชาติในความเป็นปรเทศ เป็นรัฐ ซึ่งเรียกกันว่า ประเทศชาติหรือชาติรัฐ

ชาตินัยที่ 5 การเกิดที่เรียกว่า ชาติในความเป็นทิฏฐิ หรืออัตตา แล้วก็หลงยึดทิฏฐิ-อัตตา เป็นภพ เป็นชาติของตนก็ได้สิ่งที่ยึดนั้นๆเป็นตัวตน(อัตตปฏิลาโภ)

ที่มา ที่ไป

560812


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2563 ( 13:07:54 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:31:18 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 14:25:13 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์