@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

560923

รายละเอียด

560923_รายการเรียนอิสระ โดยพ่อครู ที่สวนลุมฯ

เรื่อง พ้นทุกข์อาริยสัจได้ประเทศไทยไปรอด

อ.กฤษฎาดำเนินรายการ....หลายคนมาชุมนุมได้เป็นเวลานานเพิ่มขึ้นก็คงจะเข้าใจในส่ิงที่เป็นเป้าหมายของการชุมนุม แล้วทางกองทัพธรรมได้นำกิจกรรมหลายอย่างเข้ามา เช่นตลาดอาริยะเป็นต้น ทำให้เข้าใจคำว่าขาดทุนคือกำไรเพิ่มขึ้น

       มีประเด็นหนึ่งที่ว่า เมืองไทยเรามีคนไทยประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า “ไทยเฉย” พ่อครูเคยบอกว่าเราแก้การเมืองด้วยการเมืองมา 81 ปีแล้วก็แก้ปัญหาไม่ได้ ทำไมเราไม่เอาธรรมะมาแก้ปัญหาบ้าง และเมื่อวานนี้พ่อครูได้นำเรื่องของทุกข์มาอธิบาย

       อริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วบ้านเมืองไทยเรากำลังทุกข์ แต่ทำไมยังมีไทยเฉยอยู่มากเลยในเมืองไทย

       พ่อครู...เรามาพูดเรื่องทุกข์กันให้ละเอียดเพ่ิมขึ้น คำว่าทุกข์ คือความไม่สบาย ความไม่สงบ ไม่โล่งไม่โปร่ง มันมีทั้งไม่สบายกายและไม่สบายใจ

       ทุกข์อย่างหนึ่งคือทุกข์ทั้งกายและใจ สำหรับคนไม่ศึกษาธรรมะ และก็แยกไม่ออกด้วยว่าอันไหนทุกข์กายหรือทุกข์ใจ และที่จริงคำว่า “กาย” ก็เป็นคำที่เข้าใจผิดกันมากในสังคม เช่น กายปัสสัทธิ หรืออื่นๆก็มีความหมายต่างๆกันไป แต่เฉพาะคำว่า “กาย” นั้นไม่ได้หมายถึงแค่รูปหรือวัตถุเป็นหลัก แต่จะหมายถึง “นาม” เป็นหลัก แต่คนไทยซวย เพราะเอาคำว่า “กาย” ไปผนวกกับคำว่า “ร่าง” ก็เป็น “ร่างกาย” ซึ่งหมายถึงภายนอกเป็นหลัก แต่ที่จริง คำว่า “กาย” นี้หมายถึงภายในจิตเป็นหลัก เช่นคำว่า สติปัฎฐานก็ต้องพิจารณากายในกาย ก็ต้องพิจารณานามธรรมเป็นหลัก เป็นเรื่องที่ยากมากเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงกาย ท่านก็ไม่ทิ้งรูปด้วย แต่ท่านก็แบ่งอธิบายข้างในไปเรื่อยๆ จนถึงขึ้นอากาศ ถึงอรูปด้วย

       ทุกข์ คือ ความไม่สบาย เช่น ร่างกายไม่สบาย องค์ประกอบขององคาพยพร่างกาย มันก็ไม่สมดุลดได้ มันก็เจ็บปวดได้ ทรมานได้ ก็คือ “ร่าง”หรือ Body ไม่สบายเพราะไม่สมดุล แล้วเราก็ทุกข์ แต่ผู้ที่แยกกายแยกจิตออกท่านก็ตัดแบ่งได้ ใจท่านไม่มีทุกข์

       อาการทุกข์ที่เกิดนั้น ถ้าเป็นความไม่สมดุลของร่างกาย ก็มีอาการเจ็บปวด ไม่สบายเป็นทุกข์ สำหรับคนประสาทปกติที่ไม่ได้ระงับไว้ ประสาทมันก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานได้ ทุกคนรู้สึกได้เหมือนกัน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือคนธรรมดา ดับมันไม่ได้ อาจแค่สะกดไว้ได้ อาจสะกดจิตไม่ให้รู้สึกปวดได้ เช่นพ่อครูเคยสะกดจิตคนไม่ให้ปวดได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้งไป

       เราต้องแยกออกให้ชัดว่า เรื่องกายทุกข์นี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติธรรม มันแค่คุณต้องรักษาร่างเท่านั้น ส่วนใจนั้น ถ้าร่างคุณไม่สบาย แล้วใจคุณก็ทุกข์ไปด้วย ใจป้อแป้ท้อแท้อ่อนแอ อันนี้เป็นทุกข์ทับถมตน เป็นคนฉลาดน้อย ย่ิงเพิ่มความทุกข์ไม่รู้กี่เท่า แต่ถ้าคุณตั้งใจสู้ คุณก็ทุกข์แต่กาย ดีไม่ดีหากฝึกใจได้มันก็สะกดอาการเจ็บปวดได้ด้วย

       แล้วทุกข์อาริยสัจ คือ ใจโดยตรง เกี่ยวกับกายไหม? ก็เกี่ยวด้วย เพราะตากระทบรูป หูหระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้่นกระทบรส กายสัมผัส มันก็รู้สึก แต่จิตคุณอวิชชาไปอุปาทานว่าอันนี้สุข อันนี้ทุกข์ แต่ละคนอาจต่างกันเหมือนกัน เช่นคนสัมผัสส่ิงเดียวกัน แต่คนหนึ่งสุข แต่อีกคนหนึ่งทุกข์ ก็คือบ้าไปแล้วแต่คน

       แต่ถ้าเห็นความจริงตามความเป็นจริง ก็จะเห็นหรือได้ยินเหมือนกันหมด เช่นคนด่าประเทศไทย คนหนึ่งได้ยินก็ทุกข์ อีกคนหนึ่งได้ยินเหมือนกันแต่เฉย เสียงเดียวกันได้ยินพร้อมกัน คนหนึ่งโกรธ อีกคนหนึ่งวางเฉย หรืออาจมีคนที่ดีใจเพราะอยากให้ประเทศไทยล่มจมก็มีได้ ด่าอันเดียวกันแต่เป็นได้ 3 อย่าง 1.ทุกข์โกรธ 2.เฉยๆ 3.ชอบใจ อาการต่างกันก็คือบ้าไปสุขทุกข์ แต่ถ้าจะไม่บ้าก็ต้องรู้สึกเฉย ถ้าเขาด่า ก็เป็นกรรมของเขา เป็นทุจริตกรรมของเขา เราก็ฟังรู้ว่าเขาทำกรรมชั่ว แล้วเราก็วางเฉย แต่ไม่ใช่ว่าวางเฉยบื้อๆธรรมดา

       เหมือนคนไทยทั่วไปมากมายที่เป็นไทยเฉย ทำมาหากินหาสุขสำราญตามเขาไป ไม่เกี่ยวกับเขา นี่คือไทยเฉย เห็นแก่ตัว เป็นเคหสิตอุเบกขาเวทนา อารมณ์วางเฉย อย่างคนโลกีย์ก็เฉยก็เฉยเป็นครั้งคราว ไม่ได้มีปัญญาเหตุผลที่รู้ มันพักยกไปตามอารมณ์

       ส่วนการเฉยที่ได้ยินเสียงด่าเหมือนกัน แต่ผู้นี้เฉยโดยเข้าใจความจริง อย่างฝึกมา รู้ว่าเรากระทบดับหรือเบาหรือแรงอย่างไร เราฝึกเวทนาในเวทนา ไม่ให้ผลักหรือดูด ไม่ให้ชอบหรือชัง รู้ความจริงเท่านั้นว่าเขาด่าหยาบคาย ด่าเบาอย่างไร แต่ใจไม่มีอารมณ์ เพราะไม่มีกิเลสไปร่วมปรุง อันนี้คือวางเฉยอย่างเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา คือฐานของนิพพาน คืออุเบกขา เราต้องฝึกอย่างนี้

       ไม่ใช่เฉยอย่างไปติดภพนั่งสมาธิหลับตา ชอบติดยึด ไม่ได้รู้จักเวทนา กลับหลงเวทนาสร้างภพชาติให้ตนเอง ของพุทธนั้นปฏิบัติลืมตา แล้วรู้อารมณ์ว่าเคหสิตะหรือเนกขัมสิตะ คนโลกก็มีเคหสิตเวทนา

       ส่วนอาริยบุคคลจะรู้จักเนกขัมสิตเวทน เราฝึกให้เฉยได้ เราทำแบบเนกขัมมะก็จะมีโสมนัสและโทมนัสได้เหมือนกัน แต่มันดีใจอย่างไม่ได้สมใจตามที่เราชอบหรืออยากเป็นอยากมี เพราะการดีใจแบบได้สมใจกิเลส กิเลสก็ได้บำเรอก็อ้วนใหญ่หรือปุถุเพราะได้อาหาร ภาษาศัพท์ทางธรรมเรียกว่าปีติ ทางโลกีย์ก็มีปีติจากได้บำเรอกิเลส แต่ว่าทางโลกุตระมีปีติจากการได้ลดละกิเลสสำเร็จ

    แบบเนกขัมสิตอุเบกขาคือสัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่าให้ชื่นใจสมใจตามกิเลส คุณรู้ว่าคุณมีกิเลสแต่คุณไม่ตามกิเลส ทำให้กิเลสมันลดลง หรือแม้ไม่หมดก็มันดีใจลดลงแต่ก่อนนี้ดีใจได้ตามกิเลสมาก แต่เดี๋ยวนี้ดีใจลดลงหรือว่า ไม่ดีใจเลยเราก็มีปีติที่ทำได้เรียกว่าเนกขัมสิตโสมนัสเวทนา ที่เป็นปีติ ทำให้กิเลสไม่ได้รับอาหารกิเลสลดได้แล้วเราดีใจซ้อนขึ้นมา นี่คือปีติในฌาน จะต่างจากปีติของโลกียะหรือเคหสิตะ

       เราลดเหตุลดตัวต้องการ ตั้งแต่กามตัณหา ภวตัณหา รู้กิเลสเรียกว่าสักกายะ คือกิเลสตัวเรา ใครอ่านกิเลสตัวเราออกก็เห็นสักกายะ ใครมีตาทิพย์เห็นอ่านออก เรียกว่าเห็นสักกายะ เช่นตาสัมผัสรูป หูกระทบเสียง แล้วจิตรับรู้ อ่านกิเลสออก จัดจิตที่มีกิเลสได้ อ่านได้ว่าจิตกำลังมีกิเลส แม้ไม่ถึงขั้นแยกออก แต่รู้ว่ามีกิเลสอยู่ เป็นญาตปริญญา ก็เรียกว่า พ้นสักกายทิฎฐิ อ่านรู้จับให้มั่นในขณะเกิด แล้วไม่ให้มัน เว้นขาด พอไม่ให้มันก็จะดิ้นเลย แล้วพิจารณาให้จริง ข้ารู้หน้าเอ็งเอ็งไม่ใช่ใจข้า ไม่ใช่ตัวตนข้า เอ็งคืออาคันตุกะ ถ้ากดข่มก็เป็นวิขัมภนปหาน แต่ถ้าพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง ก็จะมีปัญญาเพ่ิมขึ้น เป็นทุทัพยานุปัสสนาญาณ ….อาทีนวานุปัสสนาญาณ จนกระทั่งมุลจิตตุกัมยญาณ ด้วยพลังไฟฌาน คุณจะเห็นว่าคุณชนะมันด้วยปัญญา กิเลสบางเบาด้วยวิราคานุปัสสี เห็นหลัดๆเลยนี่แหละคนตาทิพย์ มีธรรมจักษุ เห็นกิเลสลดได้ เราทำทั้งสมถะและวิปัสสนา เป็นชานโตปัสสโตวิหารติ รู้อยู่เห็นอยู่เป็นปัจจุบันนั่นเทีียว

       มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี (อนุปัสสี 4)

       อ.กฤษฎาว่า...มีคนโทรมาว่า ดูกีฬาวอลเลย์บอลทีมไทยกำลังคะแนนลด พอเขาเพ่งให้ชนะคะแนนก็เพ่ิมขึ้น

       พ่อครูว่า...ไม่ใช่เพราะจิตเขาหรอก แต่เพราะมันจะชนะเองต่างหาก ก็ลองพิสูจน์ว่ามีอาจารย์เก่งกี่คนก็เอามา แล้วมาสร้างของขลังรวมกันเลย ไม่ต้องเสียเงินซื้ออาวุธ แต่เดินไปเลย มันก็แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก หมดเลย เดินไปเอานิ้วจิ้มตาเลย ข้าศึกวิ่งตูดชี้เลย  เพราะแทงไม่เข้ายิงไม่ออก ถ้ามันขลังจริงไม่ต้องซื้ออาวุธ ปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้คนละ 10 องค์เลย ถ้ามันจริง จะไปตั้งสถาบันอาวุธทำไม ถ้าจริงใครมันจะสู้ได้ พิสูจน์กันไหมล่ะ

       แม้แต่มหานิยม คุณได้มา ก็ว่าขลังแน่ รวยแน่ พันล้านหมื่นล้าน พอได้มา คุณก็เข้าห้องเลย กราบอธิษฐานของขลังเลย ไม่ต้องทำงานติดต่องาน แล้วมันขลังจริงไหมล่ะ แล้วมันจะมีอะไรมาให้คุณล่ะ

       ส่ิงเหล่านี้พ่อครูอธิบายเมื่อยแล้ว อธิบายมาตั้งแต่ต้น แต่เดี๋ยวนี้อธิบายอภิธรรมแล้ว ขออภัยคนที่ไม่ค่อยรู้ แต่มันถึงเวลาที่ต้องสร้างโลกุตรจิต

       ถ้าเราจะสามารถอ่าน เวทนา 108

        เวทนา 2 ก็คือเวทนากายกับใจ

        เวทนา 3 คือสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์

        เวทนา 5 คือเวทนานอกและเวทนาใน ก็มีทุกข์กับสุข(นอก) และโทมนัสโสมนัส(ใน) และก็มีอุเบกขาอีก แล้วมีสุข มาก กลาง น้อย ก็เป็นเวทนา 5 ชนิด

        เวทนา 6 คือเวทนาที่เกิดจาก ทวารทั้ง 6

        เวทนา 18 คือเวทนาทั้ง 6 มีทั้งแบบ สุข ทุกข์ อุเบกขา ในแต่ละทวาร รวมเป็น 18

        เวทนา  36 คือ เวทนา 18 ที่แบ่งเป็น เนกขัมสิตเวทนา และเคหสิตเวทนา

       ถ้าจะเป็นอาริยบุคคลต้องอ่านเวทนา เนกขัมมะและเคหสิตะออก แยกแยะออก

        เวทนา 108 คือเวทนา 36 ที่แบ่งเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมเป็น 108

       อะไรที่ทำได้แล้วก็เรียกว่าอดีต ทำได้แล้วทุกปัจจุบันก็ทำได้อีก สั่งสมตกเป็นอดีต เป็นฐานมั่นคงแข็งแรงแน่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโนอภินิโรปนา สั่งสมตกผลึกทุกปัจจุบัน แน่นอนทุกปัจจุบันได้พิสูจน์ว่ามาท่าไหนอย่าไรก็ชนะกิเลส ดังนั้นอนาคตก็พยากรณ์ได้เลยว่า สูญแน่นอน อดีตกับอนาคตเป็น สูญแน่นอน(เป็นอวิชชาข้อที่ 7 คือทั้งอดีตและอนาคตเป็นสูญ) ผู้ยืนยันทั้่งอดีตและอนาคตเป็นสูญได้ ญาณของคุณรู้แน่ว่า อย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) คนผู้นี้ก็ปฏิญาณตนเป็นอรหันต์ได้แล้ว

            พ่อครูว่า อันนี้เป็นความรู้ของตนเอง ที่มีสภาวะ ไม่เคยได้ยินคนไหนอธิบายมาก่อน มีแต่พยัญชนะอธิบายไว้ในอภิธรรม แต่ไม่มีคำอธิบาย แต่พ่อครูสามารถอธิบายได้

            พระอรหันต์นี่ผลของอดีตกับอนาคตก็ไม่เที่ยง เพราะทุกปัจจุบันท่านสัมผัสก็ไม่มีกิเลส แต่ท่านก็ทำกุศลอยู่ตลอด ก็มีกุศลไปบวกกับอดีตที่เป็นกุศล ก็กุศลเพ่ิมขึ้นๆ เช่นกุศลอดีต มี 10 ทำปัจจุบันอีก 1 กุศลก็เป็น 11 แต่พอไปถึงอนาคตก็ผ่านปัจจุบันอีกก็เป็น 12 หน่วยกุศลเป็นต้น

            แต่อวิชชาข้อที่ 7 นี่คืออดีตและปัจจุบันเป็นสูญ คือกิเลสไม่มี สูญถาวร ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

            อ.กฤษฎาว่า ...ยกตัวอย่างพรุ่งนี้เป็นอนาคต แต่เราจะไม่ไปเจอพรุ่งนี้เลย เพราะไปถึงพรุ่งนี้มันก็เป็นปัจจุบันแล้ว (อ.กฤษฎาเคาะจอกบนโต๊ะแล้วก็บอกว่าใจเราเป็นอย่างไร ถ้าใจเราไม่มีกิเลสก็เป็นสูญ) ธรรมะทำให้เรามีสติรู้ แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร บางคนบอกว่าปะทะเลย ให้รู้กันไปเลย แล้วเราทำไปบอกว่าให้เย็นไว้ ยาวไว้

            พ่อครูว่า..อันนี้คือการสร้างสติของพระพุทธเจ้า ...ซึ่งมันอาจจะยากเพราะมันลึก วันนี้คนก็ไม่น้อยเลย ถ้าฟังปรมัตถ์ได้ แม้จะไม่รู้หมดแต่ก็รู้สึกแปลก เป็นความลึกซึ้งได้ก็อนุโมทนาเลย เพราะเป็นโลกุตรธรรม มันอธิบายไกล สูง แต่ก็ต้องขออนุญาตอธิบาย หลายคนก็บอกว่าลดเวลาธรรมะของเวลาการเมือง ยังไงก็ขอแบ่งเวลาให้ธรรมะหน่อยวันละ 2 ชม. ก็ให้ทนพากเพียรฟังหน่อย เวลาอื่นก็เป็นเวลาการเมืองทั้งนั้นเยอะแล้ว

            เพราะมั่นใจว่า ไทยเรายังมีเนื้อหาธรรมะโลกุตรธรรม รู้จักจิตอย่างวิทยาศาสตร์ เป็นทั้งฟิสิกส์และเคมี สร้างธาตุทางจิตให้เป็นอาริยธาตุ ไม่ใช่พูดปากเปล่าลอยลมเพ้อเจ้อ เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่พิสูจน์ได้แม้นามธรรม เป็นสัจจะทางนามธรรมเป็นสภาวะจริง อย่างกุศลธาตุเป็นอย่างไร จิตอกุศลธาตุเป็นอย่างไร อ่านออกเลย เป็นนามรูปที่ชัดเจน

       พ่อครูทำมาจนได้เป็นหมู่บ้านชุมชนอโศก ไม่เชื่อว่าคนที่มาเป็นอโศกนี้มาหลอก แต่เขามาเป็นจริงสบายได้ ถ้ามาหลอกก็หน้าเขียวหน้าแดงหมดแล้ว แต่เขามาอยู่กันสบาย อยู่กันจนตายเลย  บางคนตายอย่างโยมเหมือนคำ พ่อครูก็ว่าเวลาตายให้ยิ้มนะ โยมเหมือนคำก็ตายยิ้มเลย ธรรมดาคนเราทำไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้ฝึกจิต เขาอายุมากพอสมควรแล้วอยู่ด้วยกันจนตายอยู่ที่ชุมชนเลย เราพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตายได้เลย

       คนที่มาอยู่นี่ด้วยระบบสาธารณโภคี พ่อครูทำมาอย่างหัวเดียวกระเทียมลีบ ถูกกดต้าน ไม่ได้รับความร่วมมือ และดิสเครดิตต่างๆนานา สารพัด แต่พ่อครูก็อธิบายเปิดเผย ไม่ได้ดันทุรัง คนแสวงหามารับได้จนเกิดหมู่กลุ่ม เป็นสัจธรรมที่ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยก็แสวงหาได้ เป็นโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้าแท้จริง

       ยืนยันเป็นปัจจัตตัง  โอปนยิโก(ของสูงที่ต้องเอื้อมเอาให้ได้) อกาลิโก เป็นเอหิปัสสิโก(ท้าทายให้พิสูจน์ได้)

มีหมู่กลุ่มที่เป็นสนามแม่เหล็กโลกุตระมันหยั่งลงแล้ว(โอกกันติ)และมันเป็นโอคทา(หยั่งลงเกิดรากแล้ว) คนถามว่าถ้าพ่อครูตายอโศกจะฝ่อไหม จะหยุดไหม? ...ก็ขอยืนยันว่า ไม่เลิกหรอก คนเขากลัวว่าเหมือนหลายๆอาจารย์ที่พออาจารย์ตายสำนักก็เสื่อมเพราะไม่มีราก แต่อ้างตามพระพุทธเจ้าท่านทำมา 45ปีก็มีคนมาสืบต่อไปอีกจนบัดนี้ จะมีคนสืบสานไปตามสัจธรรม โบราณาจารย์ทำนายไว้ว่า ศาสนาพุทธจะมีไปถึง 5000 ปี ซึ่งโบราณาจารย์ได้ทำนายไว้ ท่านมีอนาคตังสญาณมีจริง

       แล้วโลกุตระนั้นถ้าแค่นี้ก็ไม่ถึง 5000​ปีหรอก แต่มันต้องเจริญกว่านี้อีก เขาทำนายกันว่าเมื่อ 2500​ปีจะมีคนมาสืบต่อพุทธศาสนาอีก แล้วมาดูประเทศต่างๆ อินเดียก็ไม่มีแล้ว พม่าก็ไม่ได้ถูกยกย่องเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาเท่าเมืองไทย และแม้ในพม่า ศีรลังกา จีน ญี่ปุ่น ย่ิงเลอะแล้วเสียแล้ว หรือบางประเภทก็หนักไปทางจิต conservativeมากไป บางแห่งก็ไปทางโลกมากไป

       เมืองไทยนี่แหละพ่อครูบอกว่าเป็นชมพูทวีป เกิดพุทธศาสนาได้ แต่ก่อนอยู่อินเดีย แต่เมืองไทยมีเนื้อแท้พุทธศาสนามากกว่าใครก็คือชมพูทวีป คือมีสุรภาโว สติมันโต (เรียนรู้สติได้) อิทพรหมจริยวาโส เมืองไทยยังมีอภิธรรมอยู่มีทั้งเนื้อหาและบัญญัติ

       สรุปแล้ว พ่อครูก็มั่นใจว่าไทยเราจะกอบกู้ประเทศด้วยพุทธธรรมได้ นี่เป็นเรื่องที่พ่อครูมุ่งมั่นไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ถ้าขาดธรรมะก็เหลวหมด จะทุกข์ร้อนเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคหรือวิชาไหนจะขาดธรรมะไม่ได้ การแพทย์หากขาดธรรมะก็เป็นทันตแพทย์ไปหมดคือเป็นหมอฟันดะหมดเลย

       อ.กฤษฎาว่า..คนอยู่แดนไกลก็ว่าเขาทำอย่างตถตา

       พ่อครูว่า...คำว่า ตถตา เขาใช้อย่างเละเทะ ซึ่งตถตามีอยู่ 3 แบบ

       1.ตถตา แบบ ทั่วไป มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ห่านก็คอยาวๆ น้อยหน่าก็เป็นอย่างนี้ ฟักทองก็เป็นอย่างนี้ มะม่วงก็เป็นอย่างนี้กิ่งมันโตแต่ลูกมันเล็ก ฟักทองต้นมันเล็กแต่ลูกมันโต นี่คือตถตาอย่างอธิบายโยนทิิ้งไม่ได้ประโยชน์

       2.ตถตา แบบเข้ามรรค คืออ่านกิเลส อ่านจิตเป็นรู้ว่ากิเลสเป็นเช่นนี้เอง แล้วถ้าทำให้กิเลสลดก็รู้ว่ากิเลสลดเป็นเช่นนี้เอง สัจธรรมเป็นเช่นนี้เองหรือ อุทานเลยถ้ารู้

       3. ตถตา ระดับผล มันเป็นเช่นนั้นเองเป็นอัตโนมัติไม่ต้องทำอีกเสร็จกิจจบกิจแล้ว เป็นตถตาที่เป็นผลถ้วนบริบูรณ์ผัสสะก็ไม่เกิดกิเลสแล้ว

       คนแดนไกลก็ใช้ตถตาแบบที่ 1 คือมันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีเหตุผลอะไร เหมาเละไปเลย ปล่อยไปใช้เป็นคาถาในการปล่อยวางแต่ปล่อยวางอย่างสมถะลืมตา ใช้คาถา เรียกว่าสติปัฏฐาน ให้รู้ น่ิง เฉย ช่างมันเถอะอย่าไปยุ่งกับการเมือง ปฏิบัติเก่งๆเขาก็วางเก่ง แต่ไม่ใช่แบบพุทธ ซึ่งไม่ได้แยกแยะรู้จักกิเลสรู้จักเจตสิก พระพุทธเจ้าแจกแจงเจตสิกละเอียดมากมาย เช่นเวทนา 108 เป็นต้น สังกัปปะ 7 เป็นต้น ถ้าไม่เรียนรู้มีสภาวะจะอธิบายได้อย่างไร คนจะคิดเองไม่ได้ พ่อครูก็มีพื้นฐานมาจากพระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าฝึกเอาเอง แต่มันมีมาแล้วข้ามชาติ เป็นสยังอภิญญา พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้เองเป็นสยัมภู แต่ก็ต้องรู้จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เร่ิมจากโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์...ไม่สามารถลัดคิวได้

       อ.กฤษฎาว่า....เราฟังแล้วสามารถพัฒนาได้ไหม จะเข้าใจเพ่ิมขึ้นไหม....คนขานรับด้วยเสียงมือตบ

       พ่อครูว่า...นี่ไม่ง่วงก็ใช้ได้แล้ว มันไมใช่เรื่องง่ายและมันไม่สนุกเหมือนดนตรีด้วย การฟังธรรมก็บรรลุธรรมได้ เทศนาก็บรรลุ ไตร่ตรองก็บรรลุได้ ทำสมาธิก็บรรลุได้ แม้แต่จิตของเราเป็นแล้ว กิเลสลดแล้ว แต่เราไม่รู้ แต่พอฟังพยัญชนะแล้วตรงกับสภาวะเราก็เรียกว่ามีเจโตวิมุติแล้วฟังแล้วเกิดปัญญาวิมุติก็เป็นอุภโตภาควิมุติ   ถ้าไม่มีปัญญาสำทับไปรู้พระพุทธเจ้าท่านไม่รับรองการบรรลุเป็นอรหันต์เพราะแค่เจโตสามารถเวียนกลับได้อีก

       อ.กฤษฎาว่า...มนุษย์ทุกคนต้องการความเงียบสงบ

       พ่อครูว่า...ไม่ใช่เงียบ ความเงียบเป็นโลกๆ แต่ว่าความสงบหรือสันตาคือไม่มีสิ่งนิวแซนมาทำให้เป็นเหตุความไม่สงบ ให้ตัวการนี้ออกไปไม่อยู่เรียกว่า จิตสงบ สามารถมีพลัง 4 ทำงานได้อย่างไร

มี องค์คุณอุเบกขา 5 คือ

1.     ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.    ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.    มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) สามารถให้มีหรือไม่มีก็ได้ เป็นอมตะบุคคล

4.     กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ)

5.    ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

เป็นจิตที่มีสมรรถนะสูงคล่องแคล่วกว่าจิตธรรมดาเพราะไม่มีแรงต้าน ย่ิงเร็วย่ิงแรงยิ่งเย็น เป็นเรื่องพิเศษ ไม่มีแรงเสียดทาน

       อ.กฤษฎาว่า...หลายคนมาที่นี่ก็มาได้เลย ไม่ได้ติดยึดอะไร

       พ่อครูว่า...ติดโน่นคือติดงาน แต่ติดหนี้นี้พอทีไม่ต้องติดนานหรอก

อ.กฤษฎาว่า...ขณะนี้มีกลุ่มประชาชนมารวมตัวเป็นสภาปฏิรูปประชาชน

       พ่อครูว่า...นี่เป็นนิมิตดีที่เป็นเรื่องดี แทนที่จะเป็นไทยเฉย อยู่ในรู ใจดำ แต่คนคิดอ่านเอาภาระก็น่าเคารพบูชา น่าส่งเสริม แม้ว่า คนเหล่านั้นยังปรารถนาลาภยศสรรเสริญ เพราะไม่ใช่อรหันต์ แต่ก็ต้องอาศัย กุศลจิต เขาก็ต้องได้ลดละ เขาทำก็ได้ฝึกฝน ถ้ามีคนให้สติว่าเราควรทำไม่ได้เอาอามิส ต้องทำเพื่อส่วนรวม จิตนี้เป็นไปเพื่อประเทศชาติแท้จริง

  หรือคนที่มาทำด้วยไม่ต้องการโลกธรรมในคณะที่เราทำงานนี้ก็ตาม เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเอาโลกธรรม แม้แต่ปีติยินดีในใจบำเรอถ้าไม่มีได้ก็ยอดเยี่ยม เพราะถ้าไม่ลดปีติก็เป็นอุพเพงคาปีติจะเป็นภัยได้เพราะมันแรงมากเกิน

       แสดงว่าคนไทยยังมีคนเห็นแก่ประเทศชาติอยู่ นี่ดีแล้ว เหลือแต่รวมตัวกันไม่ติด ถ้ารวมตัวกันจะเป็นล้านคนเลย ยิ่งคนไทยเฉยตื่นมารวมกันได้ก็เป็นหลายล้านชนะแน่นอนเลย คนไทยไม่ใช่คนใจแล้งใจดำมากหรอก แต่รอเหตุปัจจัย แต่แทนที่จะรอก็ออกมารวมตัวกันเห็นหน้ากันบ่อยๆก็อุ่นใจเลย แต่ถ้าเป่านกหวีดจะมา ก็ไม่เห็นหน้ากันเลยสิ มาช่วยกันนิดหน่อยให้รู้หน้าตา ก็อุ่นใจหน่อย แต่นี่เงียบว้าเหว่ได้นะ

       อ.กฤษฎาว่า...กรณีเขื่อนแม่วงก์ อ.ศศินก็เดินเท้ามา คนก็ไปต้อนรับกันมากมาย

       พ่อครูว่า...นี่คือนิมิตดี ยังมีหวัง เห็นจุดดวงไฟในปลายอุโมงค์แล้ว ไม่ใช่จุดรำไร ซักวันไหนดวงไฟจะกระโดดมาข้างหน้านี้เลย ก็พากเพียรไปแสดงธรรมไป ส่งเสริมกันไปมีเป้าหมายเดียวกัน อะไรมีดีก็ยับยั้งกันไว้ อะไรบกพร่องก็เตือนกัน ก็ฟังกันบ้างแล้วจะเจริญกันไป

       อย่างที่พล.อ.ปรีชา พูดว่าด้วยเหตุปัจจัยทีี่แสดงออกมา มีรูปธรรม แม้อ่านนามไม่ออกก็อ่านรูปได้ เรารู้จักการเคลื่อนไหวเป็นกระแสสังคมเรียกว่า วิญญัติ ทาง กายวิญญัติ (กาย วาจา ใจ) ก็มีไม่น้อย สื่อออกมาก็ชัดเจน เราอ่านทั้งกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ยิ่งสามารถรู้นามธรรมเข้าไปขั้นหยาบ กลาง ละเอียด เป็นวิการรูป จนสามารถรู้เอกหรือรอง(โท)จาก อิตถินทรีย์ ปุริสสินทรีย์ได้ก็ย่ิงชัดเจน

       อ.กฤษฎาว่า...หมอดูหลายสำนักทำนายทิศทางเดียวกันเลย แล้วมันมีการทำนายอย่างไร

       พ่อครูว่า...ก็มีหมอดูฝ่ายแดงคุณไม่ไปฟังบ้าง หมอดูคู่หมอเดา แต่หมอดูมีสถิติ เอาดวงดาวเหตุปัจจัยมาทำนาย แม้แต่คนดูโหวงเฮ้งก็เอาดินน้ำไฟลมมาทำนาย

       พุทธรรมจะมองชัดเจนว่า ทุกอย่างเกิดแต่เหตุปัจจัย กว่าจะมาเป็นวัตถุธรรม ถ้ามีแต่ในใจไม่ออกมาข้างนอก ไม่กระทบใคร มันก็ทำให้แต่ตัวคนเดียวอยู่แต่ในใจ เราก็ต้องระมัดระวังกาย กับ วจี ให้ดี ถ้าฝึกระงับกายกับวจีได้ ไม่ให้เป็นอกุศล แล้วมันจะเป็นเองมาเข้ากันผสมผสานเป็นฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนเป็นจักรแก้ว ม้าแก้ว ช้างแก้ว มาพัฒนากัน

       เราก็ทำไป ไม่ใจร้อน อดทนและเพียรทำไป มีผู้นำพา ช่วยกันอยู่ ช่วยกันหมุนกลจักร ของทางอาณาจักร และธรรมจักร

       อ.กฤษฎาว่า...หลายคนบอกว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป อย่างนี้หลายคนก็อาจหวั่นไหว

       พ่อครูว่า...ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ...การกระทำ คือ กาย วาจา ใจ เป็นกิริยากระทำ พอคุณกระทำ เช่นตีหัวเขาโป้ก คุณทำเสร็จการกระทำก็เป็นของคุณ หรือพ่อครูทุบน้อยหน่าเละเลย พ่อครูทำกรรมกิริยานี้ การทุบน้อยหน่าให้พังไปเฉยๆนี่ชั่วแล้วใครทำ พ่อครูก็ต้องได้ ได้การกระทำ นี่คือการทำชั่วได้ชั่ว คุณได้จากกรรม ไม่ใช่ว่าคุณทำไอ้นี่เละแล้วมีคนเอาค่าจ้างมาให้ คุณรับจ้างเขามายกมือในสภาได้เงิน แล้วก็บอกว่าทำชั่วได้ดี นี่ผิดสภาวะจริง กรรมคือการกระทำ แต่การได้ลาภได้ยศได้เงินไม่ใช่กรรม  คุณทำชั่วก็ได้ชั่วทันที ทำดีก็ได้ดีทันทีเลย แต่ที่ว่าได้อามิสนั้นก็ไม่ใช่กรรม ไปเข้าใจคนละฝาคนละตัว

       กรรมคือการกระทำ เป็นของๆตน (กัมมัสกตา) ตนเป็นทายาสของกรรม(กัมทายาโท) ส่วนวิบากที่จะได้รับจากกรรมนั้นเป็นอจินไตย

       คุณชั่วนี่แต่ว่าคุณมีทำดีในอดีตเท่าไหร่คุณก็ไม่รู้ แล้วก็มีลักษณะการสังเคราะห์อีกมากมาย อย่าไปคิดเป็นอจินไตย คุณก็ทำกุศลเข้าไปทำลายอุกศลเรื่อยๆเถอะ มันเป็นนามธรรม จะไปลงบัญชีอย่างไร แต่การจะเปลี่ยนอะไรต้องทำขณะปัจจุบันทุกปัจจุบัน เพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แล้ว เราต้องจัดการที่ใจเราให้ดีได้ตลอดเวลา ทำกุศลให้ได้ตลอด ไม่มีอะไรสายที่จะทำดีทำถูก แต่มันจะสายเสมอสำหรับคนชั่ว

       อ.กฤษฎาว่า....ทำไมคนที่ทำชั่ว เขาก็สรรเสริญความชั่ว คือทำส่ิงดีในความชั่ว

       พ่อครูว่า...หมาด้วยกันมันก็ชอบขี้ด้วยกันเป็นธรรมดา

       อ.กฤษฎาว่า...ทำไมคนชั่วเขาทำชั่วแล้วเป็นนายแห่งความชั่ว แล้วก็ทำเป็นกระบวนการ

       พ่อครูว่า...ธรรมดาหมาก็รุมกันกินขี้เป็นธรรมดา คุณเป็นช้างก็ไม่กินขี้กับหมาคุณก็กินผักพืชสิ

       อ.กฤษฎาว่า...ทำไมชม.นี้เวลานี้จึงต้องศึกษาธรรม เราก็จะได้อ่านดีชั่วของตัวเราออก

       พ่อครูว่า...นี่คือรากฐาน ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ให้ใจเราเปลี่ยนแปลงจริง คุณก็ทำตัวนี้เป็นต้นทางเป็นประธาน เมื่อจิตเป็นจิตดีเป็นอาริยะ แล้วจะเป็นวจีหรือกายก็เป็นอาริยะ มีทั้่งเจโต(แรง) และมีปัญญา มันจะไปทำงานให้เกิดพฤติกรรมทางกาย วจี ทำอะไรก็มีจิตเป็นประธาน ก็ได้พัฒนาประธานคือจิตหรือมโน ให้สามารถเจริญ ระดับหนึ่งเรียกว่า กัมมนิยะ (สร้างจิตให้ดีเกิดฌาน จะสั่งสมเป็นมุทุภูเต กัมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต) เป็นการสั่งสมสมาธิ จะมีการงานอันเหมาะควร เกิด ปโหติ(เหมาะควรได้สัดส่วน) เราถึงพยายามมาเรียนรู้อภิธรรม แล้วคุณได้อันนี้จะเป็น มโนปุพพัง คมาธัมมา มโน เสฏฐา มโนมยา) คำว่าเศรษฐีคือผู้ประเสริฐ ไม่ใช่กฏุพีที่เป็นคนรวยที่เลว ถ้าทำได้ก็เป็นเสฏฐาหรือเศรษฐีต่อไป เรามาฝึกฝนจิตใจตนให้ดี เราพัฒนากรรม กาย วจีี แล้วเสริมจิตให้ดี ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปจะถึงจุดมุ่งหมายแน่นอน

พ่อครูว่า...มีหนูคนหนึ่งถามว่า...หลายวันก่อนเจอผัสสะแรงมาเขามาด่า แล้วเราก็สาธุเขาเลยโกรธตอบเพ่ิมอีก เขาเดินชนข้าวสองชามแล้วก็เอาขวดน้ำจิ้มหน้า แต่หนูไม่โต้ตอบ แต่เกิดปฏิฆะในใจแล้ว(ไม่ชอบไม่พอใจ) ถ้าโต้ตอบคงไม่ได้อยู่ในสวนลุมฯ เพราะตั้งตบะจะช่วยผู้ใหญ่เก็บหางขยะ เพื่อช่วยเท่าที่ทำได้ จะพยายามไม่พูดจะทำงานอย่างเดียว ด้วยหนูมีอาจารย์สอนว่าต้องอยู่กับความจริงให้ได้ ต้องเปลียนแปลงตัวเองให้ได้

       พ่อครูว่า...ดีแล้วเราก็เฉยๆ ถ้าไปสาธุซ้ำก็จะโกรธเพิ่ม พูดน้อยก็ดี ระงับไว้  เชื่อว่าจะทำได้ ขอให้หนูเจริญให้ทำต่อไป...

       อ.กฤษฎาว่า...ขณะที่ทำรายการก็มีคน sms ส่งประเด็นมาเพ่ิมเติม หลายคนก็คงได้เข้าใจเพ่ิม ว่าทำดีย่อมได้ดีเป็นเช่นไร ทำชั่วย่อมได้ชั่วเป็นอย่างไร กรรมก็คือการกระทำ ไม่ใช่ไปมองที่ลาภยศสรรเสริญ มันคนละฝาคนละตัว ใครทำกรรมอันใดย่อมได้กรรมอันนัน ไม่ต้องไปเร่งตนเองหรือเร่งคนอื่นขอให้กรรมมันติดจรวดอย่างนั้นเป็นอกุศลจิตเป็นความไม่ดีของใจเรา แม้จะตั้งจิตก็ให้เขาเจริญ แม้เจาจะตกต่ำอย่างไรก็อย่าปรารถนาร้ายต่อเขา แม้คนไม่ดีมากมายหากเขาหยุดกรรมไม่ดีได้ทันที เราก็กลับบ้านไม่ต้องมาอยู่ตรงนี้ ...และเรามาชุมนุมนี่จะรู้ว่าการเอาธรรมนำหน้าเป็นเช่นไร?.....จบ


เวลาบันทึก 06 มีนาคม 2563 ( 14:44:12 )

560926

รายละเอียด

560926_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ เรื่อง สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ ตอน 1

 

  อ.กฤษฎาดำเนินรายการที่สวนลุมฯ...ตอนนี้ที่บ้านราชฯน้ำท่วม...

   พ่อครู...ได้เล่าถึงประวัติที่ชาวอโศกสามารถอยู่กับน้ำได้อย่างปกติ ได้เล่าถึงประวัติการใช้เรือที่บ้านราชฯ...ตั้งแต่มีเรือแจวเรือพาย จนบัดนี้มีเรือเอี้ยมจุ๊นเกือบ 30 ลำ เป็นเรือใหญ่ ...พอน้ำท่วมก็มีการฉลองน้ำ สนุกสนานกันมากเลย ไม่มีกลัวน้ำ จนบัดนี้ทางอบต. อบจ. มายืมเรือเราไปใช้ ก็ให้ใช้เลย

       อ.กฤษฎาว่า...คราวที่แล้วกระบวนการคิด วิธีการแก้ปัญหา พุทธจะสอนให้ใช้ปัญญา

       พ่อครูว่า...เราไม่หนี เราจะอยู่เหนือมันให้ได้

       อ.กฤษฎาว่า...วิธีคิดแบบพุทธ คิดแบบมรรคองค์ 8 จะสามารถแก้ปัญหาในมิติต่างๆได้

       พ่อครูว่า...ตัวหลักของศาสนาพุทธคือใจวาง แต่วางอย่างลึกซึ้ง ในโสฬสญาณ ถ้าไปสู่ระดับที่จิตเจริญจริง ข้อที่ 6 มุลจิตตุกัมญญาณ ไม่ต้องบีบคั้นอะไร ปัญญามันจะเกิดรู้จริงๆ จะปล่อยวางโดยภูมิปัญญาเอง โดยวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ภูมิสมถะที่วางแต่ไม่วาง

       มีคนส่งจดหมายน้อยมาบอกว่า โยมเป็นญาติธรรมหน้าจอมา 3 ปี เป็นผู้ฟังรายการทุกข์ปัญหาชีวิตมาแต่ปี 47 ก็คิดว่าได้สัมผัสหมู่กลุ่มดีๆ โยมคิดว่าการจัดตลาดอาริยะเดือนละ 2 ครั้งนั้น ถี่เกินไป โยมคิดว่าควรจัดเดือนละ 1​ครั้ง

       พ่อครูว่า...ก็ได้เคยพูดคุยกันแล้ว ว่าตลาดอาริยะเป็นทั้งสัมคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ แล้วเราทำนี้เราฝืนเกินไป ไม่มีเตี้ยอุ้มค่อม อยากดังหรือเปล่า หรือเราเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า และมวลที่ร่วมจัดกระเบียดกระเสียนเกินไปหรือเปล่า แต่เราทำมา 3 ครั้งแล้วก็เป็นไปได้ ผู้มาร่วมก็เพ่ิมอีก ไม่ใช่ถอยไปๆๆ ก็ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่เห็นใจพวกเรา เราก็ขอทำไปอย่างนี้ก่อน แล้วถ้าทำไม่ไหวก็จะลดลง ตอนนี้ทำ 2 ครั้งไปก่อน ดีไม่ดีก็ทำ 3 ครั้งได้ เราก็เพิ่ม อันนี้เราไม่ฝืน ก็ขอบคุณอย่างมาก

       อีกเจ้าหนึ่งบอกว่า...ตอนนี้เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้ง เคยสงสัยว่าทำไมพ่อครูพาเรามาทวนกระแสโลกนะ จนมาเจอคำในพระไตรฯ อยากให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่พ่อครูสอนคือคำสอนพระพุทธเจ้าแท้จริง ให้เราเสียสละอย่างมีพรหมวิหารแท้จริงไม่สงสัยแล้ว “เมื่อเจอการเห็นของพระอาริยเจ้าทั้งหลายย่อมเป็นข้าศึกกับชาวโลกทั้งปวง บุคคลอื่นสิ่งใดว่าทุกข์ พระอาริยเจ้าว่าสุข จงเห็นธรรมที่รู้ได้ยากนี้เถอะ เพราะคนพาลผู้หลงย่อมไม่รู้แจ้งในการดับกิเลส”

       พ่อครูว่า...การเกิดดับก็วนเวียนสุขทุกข์ การตัดวัฏฏะสงสารคือตัดความวน ในโลกระดับไหนก็ตามที่เราวนเวียน ดับได้เป็นรอบๆ ตั้งแต่อบายภพ กามภพ อรูปภพ เป็นคนไม่มีโลก อยู่กับโลกแต่ไม่ได้วนกับเขา อยู่อย่าลอยตัว

       อ.กฤษฎาว่า...สภาวะนิพพานนั้น เราต้องอ่านความรู้สึกอารมณ์ของตนได้ เช่นเราต้องการให้จิตนิ่งไม่กระเพิ่่มอีก

       พ่อครูว่า...นั้นคือการกดข่ม ของพระพุทธเจ้านั้นใช้ปัญญา ไม่กดข่ม เราใช้ปัญญาตัดสินว่า เราควรออกไปร่วมชุมนุมกับเขาหรือไม่เป็นต้น

       มี sms

        _ม็อบต้องการความฮึกเหิม ดันเอาพระมาเทศน์ม็อบก็หายหมด เซ็ง

       _คุณเคยมาสวนลุมฯบ้างไหม มาช่วยกันจะได้ไม่เซ็ง

_กราบขอบพระคุณท่านสมณะสิกขมาตุที่ทำให้ได้เห็นมิสป่าตองในตัวเอง

       พ่อครูว่า...คนที่ได้ฟังแล้วเห็นตัวเองว่า เราบ้ากว่ามิสป่าตอง...พ่อครูก็ว่ามิสฯเขาก็หลงความสวยเขา คนๆหนึ่งในประเทศเขาก็หลงความสวยของเขาเหมือนกัน แต่คนละอย่างเท่านั้น ก็คนเห็นตัวเองก็สาธุอนุโมทนา คนไหนไม่เห็นก็เห็นด้วยกันบ้าง

       มีข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักพิมพ์กลั่นแก่นขออนุญาตเสนอพ่อท่านพิจารณาประชาสัมพันธ์   "ท่านใดที่ต้องการรับหนังสือ เราคิดอะไร ฉบับก้าวสู่ปีที่ 20 พร้อมหนังสือแุุถม "รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์"   กรุณาส่งแสตมป์ จำนวน 35 บาท ต่อหนังสือ 1 ชุด สอดซองจดหมาย  มาที่ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น 644 ซอยนวมินทร์ 44 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10240

       อ.กฤษฎาว่า...คุณค่าหรือคุณภาพของคนควรเป็นเช่นไร..

       พ่อครูว่า...คุณค่าของคนอยู่ที่ไหน ...อยู่ที่คุณธรรม อย่าเข้าใจว่าคุณค่าของคนอยู่ที่มียศลาภสูงๆ ไปไหนมีคนชมชื่นอยู่เยอะแยะ เพราะไม่ใช่คุณธรรม ไม่ใช่คุณค่า เป็นโลกค่า หรือค่าทางโลก ราคาทางโลก ไม่ใช่คุณความดีงาม ใครเคยได้ยินคำว่า ทาน ศีล ภาวนา นั่นแหละคือคุณธรรมของคน ผู้ใดมีพฤติกรรมมีใจเป็นทาน ยึดถือศีลมาเป็นเครื่องประพฤติ พอบรรลุแล้วก็เป็นคนมีศีล ศีลเป็นหลักเกณฑ์ ถ้าเร่ิม ทาน ศีล ภาวนา ศาสนาไหนก็เหมือนกัน มีหลักวัดคือศีล ก็ปฏิบัติตามหลักของศาสดาบัญญัติ

       ส่วนภาวนาคือการเกิดผล ผู้ใดปฏิบัติแล้วเกิดผล ถ้าได้ผลทางกาย วจีก็แค่ภายนอก ไม่ทำผิดศีล 5 ได้ แต่ใจยังมีกิเลส จิตยังไม่สะอาด แม่กาย วจีไม่ทำก็ถือว่ามีศีลอยู่ระดับหนึ่ง เป็นคนมีคุณค่า แต่ผู้ใดปฏิบัติศีลแล้วทำให้กายวาจาไม่ละเมิดแล้วใจทำได้ด้วย จิตหลุดพ้นได้ จากกิเลสที่มาบังคับ ล้างกิเลสได้เป็นอธิจิตสิกขา ก็คือความบริบูรณ์ของศีล ทำให้จิตเกิดหลุดพ้น ให้มันหมดจากจิตจริงและมีปัญญาด้วย        ศาสนาอื่นก็มีตามแบบของท่าน แต่ไม่เหมือนของพุทธ สรุปก็คือ​ศีล สมาธิ ปัญญา คือหลักวัดความเป็นคุณค่าสมบูรณ์ การทานถ้าไม่รู้จิตว่ามีอาการให้แล้ว ก็ไม่ได้มรรคผล ทุกวันนี้ให้ของกับมือแต่ใจไม่ได้ให้ ทำอย่างไรให้ใจมันให้ ถ้าเรียนรู้ผิด กายให้วจีให้แต่ใจไม่ได้ให้ ใจเป็นการเอา ทั้งที่บุญคือการชำระกิเลส อธิบายกันหลายสำนัก บางสำนักมอมเมากัน สร้างสวรรค์วิมาน ได้ความหรูหรามากมาย เขาเข้าใจออกแบบ

       อ.กฤษฎาว่า...พ่อแม่บางครั้งดูแลลูกแล้วก็ทวงบุญคุณลูกอีก

       พ่อครูว่า...พ่อแม่ลูกนั้นเกิดมาใช้หนี้วิบาก ด้วยโกรธ พยาบาท ด้วยรักก็ตาม พยาบาทเข่นฆ่ากันก็ทุกข์ เกิดมาเป็นลูกเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทุกข์ทรมาน บางคนก็เกิดมารักกัน อะไรนิดหน่อยก็ทุกข์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะก็ทุกข์ แต่ถ้ามีแล้วก็ต้องทำใจใช้หนี้วิบากกันไป เกลียดมาก็ทุกข์ ทำดีมากเกินก็ทุกข์ จะมาเป็นพ่อแม่ลูกหรือมิตรสหายกันก็ต้องเรียนรู้จิตวิญญาณ อย่าไปผูกพันธ์ด้วยโกรธ ด้วยรัก

       ถ้าเราเรียนรู้จนสามารถทำจิตไม่ให้เกิดอาการดูดผลัก ทั้งที่เรามีสัมผัสอยู่เราก็ไม่เกิดรักเกิดชัง คนที่สร้างรักชังใส่จิตก็คือโมหะอวิชชา เราต้องล้างทั้งพยาบาททั้งกาม เราไม่ทำอันใหม่ เราจะมีอานิสงค์ของพลังปัญญา เผาอกุศลจิตเป็นอจินไตย ทำได้จริงจะมีสมบัติทางจิต

       พ่อครูว่า...เอาตามฐานะ เช่นศีล 5 ก่อน เช่นศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ กระทั่งไม่กินเนื้อสัตว์ จะเห็นกิเลสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสในการกินเนื้อสัตว์เลย คุณก็ได้เรียนรู้ลดกามไปด้วย

       อ.กฤษฎาว่า..ศีลนี้ต้องมีทุกระยะทุกลมหายใจ หรือเราต้องมีศีลเมื่อไปรับศีล แล้วจริงๆควรเป็นเช่นไร

       พ่อครูว่า...ศีลข้อ 1 ล้างโทสะ ศีลข้อ 2 ล้างราคะมูล

       คุณจะถือศาสนาไหนก็ตาม ถ้าคุณฆ่าสัตว์ก็ได้กรรมวิบาก ทำร้ายชีวิตสัตว์อื่นให้ตกร่วงไป เป็นกรรมวิบากที่ต้องมีการจองเวร คุณตบยุง บี้มด ก็อย่านึกว่ามันไม่โกรธคุณ มันจะอภัยเราได้หรือ?...

       สัตว์แม้ตัวเล็กตัวน้อยก็รักตัว ศาสนาไหนก็มีกรรมวิบาก ถ้าคุณทำผิดศีลก็บาปทุกครั้ง เช่นคุณลักของคนอื่น ก็เป็นกรรมชั่ว คุณจะอยู่ศาสนาไหน คุณจะสมาทานศีลหรือไม่ก็บาป แต่ถ้าคุณสมาทานแล้วทำก็ดี ถ้าไปลาออกจากศีลก็โง่เลย ต้องทำไปจนตายเลย

       ศีลแปลว่าปกติ คือ กาย วาจา เราไม่ทำ บางทีใจเราก็ต้องสู้ ใจมันอยากละเมิดศีล พอทำแล้วกิเลสมันลด จิตหมดกิเลสจริง ปกติทั้งกาย วาจา ใจ ยังไงมันก็ไม่ละเมิด แม้มาแรงมาเบาอย่างไรก็ไม่มีเลย หมดเชื้อกิเลส คุณก็เป็นปกติ คือคนมีศีล เป็นศีลปกติแล้ว เป็นศีลบุคคล ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว แม้แต่กิเลสกาม ราคะก็หมดแล้วถอนอาสวะเลย ไม่มีทุกข์สุขกับมันเลย มันหยุดเลย แต่จิตไม่ได้น่ิง มันไม่มีกิเลสที่มาทำงาน เป็นสมาธิพุทธ มีลักษณะ

1.     ปริสุทเธ  (จิตบริสุทธิ์ไม่มีอุปกิเลสเครื่องยียวน)

2.    ปริโยทาเต  (ผ่องแผ้ว อย่างแข็งแรงอยู่กับผัสสะ)

3.    มุทุภูเต  (แววไวด้วยจิตหัวอ่อน - ดัดง่าย แก้ไขไว)

4.    กัมมนิเย  (ควรแก่การงานอันไม่โทษ ไม่มีกิเลส)

5.     ฐีเต  (จิตถึงความตั้งมั่น)

6.     อเนญชัปปัตเต  (จิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว)

       จิตเป็นปกติที่ไม่ละเมิดส่ิงที่ผิดศีลเลยทั้งกาย วาจา ใจ เพราะเหตุที่พาละเมิดไม่มีแล้ว เป็นอัตโนมัติ

       อ.กฤษฎาว่า...ที่พ่อครูพูดมานี้คือสัมมาทิฏฐิ 10
       พ่อครูว่า...ทิฏฐิ 10 เป็นประตูแรกของมรรคองค์ 7 ถ้าเข้าใจไม่ได้ทำไม่สอดคล้องกับทิฏฐิทั้ง 10 ไม่รู้ความหมายของทิฏฐิ(ความเห็น ความรู้ ความเข้าใจ)

       ในพระไตรฯล.14     มหาจัตตารีสกสูตร  (117)

       [252]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้

       สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี

เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว  ฯ

       พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ

อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  แก่เธอทั้งหลาย  พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น  จงใส่ใจให้ดี  เราจัก

กล่าวต่อไป  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระพุทธเจ้าข้า  ฯ

       [253]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ

อันมีเหตุ  มีองค์ประกอบ  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมา

อาชีวะ  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย  ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง

ประกอบแล้วด้วยองค์  7  เหล่านี้แล  เรียกว่า  สัมมาสมาธิของพระอริยะ  อันมีเหตุบ้าง  มีองค์

ประกอบบ้าง  ฯ

       [254]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  บรรดาองค์ทั้ง  7  นั้น  สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน  ก็สัมมา

ทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร  คือ  ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ

ความรู้ของเธอนั้น  เป็นสัมมาทิฐิ  ฯ

       [255]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว

ไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว 

       ยัญพิธีก็คือศีลพรต

       ศีลข้อ 1 คุณไม่ฆ่าสัตว์ แล้วจิตคุณเมตตา ไม่อยากฆ่าหรือเปล่า

       ศีลข้อ 2 คุณเห็นของคนอื่น คุณอยากได้ คุณก็ต้องทำใจ มันไม่ใช่ของคุณ 

       ไตรสิกขาไม่ได้แยกระหว่าง ศีล สมาธิ ปัญญา

       ศีลข้อ 3 ลดราคะ คุณอ่านจิตของคุณเองหรือไม่ว่าเกิดจิตราคะ โทสะหรือไม่ …

       เพลงหลายเพลงตอนสมัยฆราวาสที่เป็นเพลงรักๆโลกๆ พ่อครูก็นำมาเปลี่ยนเนื้อหาเป็นเพลงโลกุตระเช่นเพลงกระต่ายเพ้อเป็นต้น พ่อครูทำอัลบัมก็ต้องสอนนักร้อง สอนนักเรียน เพราะพ่อครูทำมาตั้งแต่เป็นฆราวาส พ่อครูตอนหลังก็ร้องเพลงด้วยไม่มีกิเลส มีสัจจานุโลมมิกญาณ ร้องเพลงไม่มีกิเลสก็มี หรือพ่อครูมาทำท่าทางอย่างนี้ก็บอกว่าไม่ได้ทำด้วยกิเลส

       ถ้าคุณปฏิบัติศีล 8 ก็ต้องสูงขึ้น ไม่มีเพศสัมพันธ์ หยุดเมถุนเรื่องเพศเรื่องคู่ ก็ทำตามฐานะสูงไปตามลำดับ ถ้าไม่ไหวก็ทำตามศีลต้นๆก่อน เอาเท่าที่ได้ ก็ต้องให้พอเหมาะพอดี

       สัมมาทิฏฐิข้อ 1ถึง 3 คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง)
 

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)
 

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)
 

คือคุณต้องทำอย่างอ่านจิตเป็นว่าจิตคุณได้เสวยผลได้ลดกิเลสหรือไม่ มีภาวนามัยหรือไม่ ถ้าไม่ได้ลดกิเลสก็ต้องรู้หุตังของคุณว่าไม่ได้ผล คุณอ่านจิตคุณหรือไม่? บุญนี่คือเขาให้เอาออกให้ล้างทิ้ง แต่ถ้าคุณไปทำอะไรมาแล้ว ก็เอาบุญมาฝาก ทั้งที่ท่านให้ทิ้ง ทั้งที่กรรมเป็นของๆคุณแบ่งใครไม่ได้ ที่คุณทำนั้นเกิดจากกรรมทั้งนั้น จะได้ผลอย่างไรก็คือผลเป็นวิบาก จะดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ก็ฝากไว้ก่อน วันต่อไปจะอธิบาย

       ใน 3 ข้อแรกเป็นตัวปฏิบัติ แล้วตัวที่ 4 ของทิฏฐิ 10 คือกรรม

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

       สรุปว่า..ถ้าสามารถรู้จักสมณพราหมณ์ คุณเจอไหม ท่านที่ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้รู้แจ้งตาม ว่าสัมมาสมาธิเป็นเช่นนี้หรือ ไม่ใช่ไปนั่งให้ก้นแตกอย่างนั้นหรือ? จะได้รู้กันว่าการทำสมาธิทั่วบ้านทั่วเมืองทำนั้นไม่ถูก

       ทำทาน ศีล ไม่เป็น ก็ไม่มีผลไม่มีภาวนา คุณอ่านจิตไม่เป็นก็ทำอย่างงมงาย ผู้ตั้งใจจะได้สิ่งประเสริฐอยากได้นิพพานจริงๆก็ตั้งใจฟัง คุณจะเจอ ต้องขอประกาศว่าตนเป็นโพธิสัตว์ เป็นสยังอภิญญา อย่างไม่ได้มีสาเฐยยะจิต ไม่ได้อยากให้ใครมาเป็นบริวาร ให้ใครมายกย่อง อธิบายด้วยความจริงใจ ปรารถนาดีให้คุณเห็นและได้ตาม คุณจะไม่เห็นด้วยไม่เอาก็ไม่เป็นไร แต่ใครจะมายินดีเห็นดีก็อนุโมทนาด้วย ทุกวันนี้เขาเห็นกันว่าไม่มีอาริยะแล้ว ก็ปิดประตูบรรลุธรรมเลย ซึ่งค้านแย้งคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านว่าตราบใดมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ คุณคิดเองไม่ได้ เป็นสาวก คุณต้องฟังจากผู้มีภูมิ ผู้เป็นบุคคล 4 บุคคล 8 คุณต้องฟังก่อนแล้วปฏิบัติตาม ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีใครรู้เองได้ ต้องสืบทอดจากผู้รู้ พระพุทธเจ้าก็ต้องรับจากองค์ก่อน พ่อครูก็รับมาจากองค์ก่อน ...จบ


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 13:29:56 )

560928

รายละเอียด

560928_รายการสงครามสังคมฯ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง มิสป่าตอง vsมิสป่าต๊อง

        พ่อครูดำเนินรายการที่สวนลุมฯ...

       เมื่อวันก่อนมีคนเอามิสป่าตองมานำเสนอ ดูมาหลายที แต่คราวนี้ซาบซึ้งทะลุปรุโปรงเลย ก็ไม่เจตนาจะไปว่าใคร แต่มันเป็นเรื่องของความรู้ของมนุษยชาติ เป็นเช่นนี้ได้ เป็นได้อย่างที่เรียกว่า หายากเหมือนกันนะ เป็นชนิดหายากชนิดหนึ่ง แต่ก็มีจนได้ เป็นมิสป่าตอง ก็สงสารแกนะ มันจึงมีสองอย่างเปรียบเทียบคือ

 

โง่ ตาใส 

โง่ ตาใส 

โง่ ซื่อตาใส

โง่ ด้านตาใส

ซื่อบริสุทธิ์

มีทุจริตเล่ห์แฝง

ใครเอ่ย????

ใครเอ่ย????

       อย่างมิสป่าตอง ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับหมู่กลุ่ม เพราะเขาซื่อตาใส แต่ว่าด้านตาใสนี่ฉิบหายวายป่วงเลย เรามาดูคลิปนี้กันเลยประมาณ 10 นาที

       จากนั้นเป็นคลิปมิสป่าตองที่เป็นคุณยายสูงวัยอายุประมาณ 80 ปีแต่หลงว่าตนเองเป็นคนอายุ 18 แกเล่าว่าในอดีต เคยประกวดมิสป่าตอง แล้วได้รับเลือก แกบอกว่าประชาชนตั้งให้ จึงติดว่าตนเป็นมิสป่าตองมาจนบัดนี้ แต่ตอนแรกแกไม่เชื่อว่าเป็นมิสป่าตอง แต่ประชาชนเขาเรียกเขายกให้เป็นมิสป่าตอง แกจึงเชื่อว่าแกเป็นมิสป่าตอง และภาคภูมิใจที่ตนได้ทำหน้าที่มิสป่าตอง ….

       พ่อครูว่า... นั่นมิสป่าตอง แล้วตอนนี้ก็ขอย้ำอีกที ว่าที่จะพูดนี่ไม่ได้เป็นการลบหลู่ส่อเสียด แต่เป็นการศึกษามนุษยชาติ พ่อครูเป็นคนที่ศึกษาทางจิตที่แท้จริง ก็เห็นความต่างที่แม้แยกยากก็รู้ได้

       มันเป็นคู่เคียงกันระหว่างมิสป่าตอง และมิสป่าต๊อง คนที่เป็นมิสป่าต๊อง ไม่ว่าใครก็เป็นได้คือมีความต๊องอย่างนั้น มิสป่าตองก็ไม่รู้ตัว เขานับถือยกย่องว่าเป็นมิสป่าตอง ฉันเดียวกัน 49 วันก็ได้เป็นมิสป่าต๊องเลย ประชาชนยกให้เหมือนกันจังเลย ชอบเสื้อผ้าเยอะ ชอบโชว์เหมือนกันอย่างกับแกะ เป็นนางสาว มิสไม่ใช่คนธรรมดา ชอบช่วยคนยากคนจน เป็นมิสตัวจริง ถ้าเผื่อว่า อย่างที่คุณเช็คเขาถาม ถ้าไม่มีมิสป่าตองตรงนี้จะอยู่ได้ไหม แกก็ตอบว่าไม่เหลือ ถ้าแกไม่อยู่ ที่อยู่ได้นี่เพราะมิสป่าตอง

       แล้วใครมอบหมายให้ทำ มิสก็คิดเอง และก็ทำนานเพราะมิสยังอายุน้อยอยู่ อยู่ 4 ปีก็ 8ปี 12 ปีก็อยู่เต็มๆ ก็เห็นว่าเป็นคนซื่อ ส่วนอีกคนก็เป็น แฟมิลี่เดียวกันเลย คือไม่รู้ตัว ตาใส คือโง่ตาใส ไม่รู้ตัวจริงๆไหม แต่มิสป่าตองพ่อครูเชื่อนะว่าใส แต่มิสป่าต๊อง พ่อครูไม่ค่อยเชื่อนะว่าซื่อใส มันมีความต่างแต่ก็มีความคล้ายความเหมือน แม้จะเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน มันคนละขั้ว

       มิสป่าตองก็ทำงานมีคนเห็นใจเกื้อกูลกันตลอด แต่อีกคนไปที่ไหนก็เจอป้ายแต่ก็ยืนยันว่าจะเป็นมิสป่าต๊องไปตลอด ต่างกับมิสป่าตอง กระแสสะท้องกับสังคมนั้นต่างกัน เป็นลักษณะที่ต่างกัน อันนั้นไม่ใช่ซื่อตาใส แต่เป็นด้านตาใสแน่ ส่วนมิสป่าตองนี่ซื่อตาใส แม่จะแฟมิลี่เดียวกันก็เถอะ แต่แตกสปีชีส์่กันก็คนละสปีชีส์ ก็เพ้อพกเพ้อฝันไป แต่เป็นเรื่องที่จริงมีปรากฎการณ์จริงให้นำมาศึกษา เป็นสิ่งที่น่าศึกษาจริง เพราะว่าถ้าคนชนิดนี้ไปมีผลกระทบต่อสังคม มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบ แต่เป็นคนชนิดนี้ เป็นด้านตาใส เป็นแฟมิลี่โง่ตาใส แต่คนละสปีชีส์ เป็นสปีชีส์ด้านตาใส  ก็มีผลกระทบต่อมนุษยชาติแท้จริง

       หลายคนก็หาว่าพ่อครูทำไมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เป็นปรากฎการณ์วิทยา (Phenominology) เป็นเรื่องจริงไม่ใช่มุข ก็ขออภัย จิตใจพ่อครูไม่มีจิตสาเฐยยะ หรือจิตถัมภะ ดื้อดึงหรือมีอกุศลจิต ถ้าจะให้พูดชัดๆก็คือสงสาร ทำไมสงสาร เพราะเขาทำกรรม ถ้าทำกรรมอย่างมิสป่าตอง กรรมอย่างนั้นไม่ได้เป็นอกุศลให้คนรอบข้างเดือดร้อน แต่คนรอบข้างย่านนั้นเอ็นดูด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลด้วย แต่อันนี้ไม่ใช่ มีคนสาปแช่งส่วนหนึ่ง แต่อาจมีคนที่แฟมิลี่เดียวกันก็หลงยกย่องกันไป แต่พวกคุณแฟมิลี่ไหนกัน? คิดว่าคงไม่ใช่คนละแฟมิลี่นะ ถ้าคนละแฟมิลี่สงสัยลงเทวีไม่ได้

       นี่เป็นการศึกษา มุมไหนที่เหมือนที่ต่าง มุมไหนที่ไม่ก่อความเลวร้าย อาจเป็นสีสันสังคมได้ ไม่ได้น่าเกลียดน่าชัง เป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นความจริงหรือวิสัยของแก เป็นความซื่อตาใส แต่อีกคนหนึ่งเป็นความเสแสร้ง เป็นวิแสร้ง ไม่ใช่วิสัย มันมีดรามาติก แอ็คในนั้นซ้อน แต่มิสป่าตองแกไม่แอ็คไม่ซ้อน แต่อีกคนแสดงท่าทีของ Woman touch มันเป็นมิสป่าต๊อง คนดีๆไม่กล้าทำหรอก เวทีระดับนั้นคุณกล้าทำไหม แล้วไม่เรียกมิสป่าต๊องได้อย่างไร มันเป็นเรื่องจิตประสาทที่ต้องศึกษาว่าคนเราเป็นเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ละครนะ เป็นเรื่องจริงของระดับประเทศระดับโลกเลย

      แบบนี้เราต้องศึกษาว่าจะส่งเสริมให้ไปทำงานระดับประเทศไหม สมควรหรือไม่? ผู้ที่เข้าใจไม่ได้จะเพ่งโทสก็จำนน แม้จะถูกลบหลู่ดูถูกหมดความเลื่อมใสก็เป็นได้ว่าเอาเรื่องนี้มาพูดทำไมก็ต้องยอม เพราะใครเป็นตัวหลักที่ทำความเดือดร้อนอยู่ทุกวันนี้ ในฐานที่ประชาชนต้องดูแลสังคมประเทศชาติ ก็ต้องรู้ว่าสังคมเราเป็นอย่างไร อย่าหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น

       มีคน sms มาว่า มิสป่าตองจะสวยหรือไม่ก็ตาม แต่มิสป่าตองจิตใจสวยกว่าเลดี้กูกู้ตั้งเยอะ?

       พ่อครูว่า...ก็ได้คิดเห็นตามก็พอรู้ว่าเลดี้กูกู้คือใคร นี่เป็นเรื่องกระทบต่อสังคมอย่างสูงด้วย ถ้าประชาชนจะได้ความรู้ก็สมควรรู้นะ น่าจะได้คิดได้ศึกษาในปรากฏการณ์ ไม่ใช่ว่าสร้างเรื่องเขียนนวนิยายครอบงำความคิดคน แต่เป็นเรื่องจริง มีผลกระทบต่อสังคม ถ้าเราไม่สนใจก็ปล่อยให้คนติงต๊องทำงานกับสังคมต่อไป มันต้องเข้าใจ เราแย่นะมีผลต่อเรา

       ก็ขอผ่าน พูดไปแล้วก็ใครที่ฟังแล้วก็รู้สึกมีความไม่สบายใจก็ขออภัย เจตนาให้เป็นการศึกษา เพราะมันมีผลกระทบต่อสังคมจริง แม้กาละนี้ แม้เหตุการณ์วันนี้ที่เกิดในสภาฯผ่านไป เป็นการไม่เชื่อในนิติรัฐนิติธรรมแท้จริงเลย เขาไม่เชื่อเขาก็ทำตามที่เขาเชื่อ แม้ว่าศาลให้สัญญาณมาว่าผิดรัฐธรรมนูญนะ แต่เขาก็รวมหัวกันทำ

       ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ทั้งๆที่รู้อยู่ว่ามีผลกระทบต่อตน แม้ตัวเองอาจไม่เดือดร้อน เราทำโมเมไปกับเขาก็อยู่รอดได้ รักษาฐานะตัวเองไป คนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไรไม่สน อย่างนี้คือเห็นแก่ตัวจัดจ้านมาก โดยที่ในสังคมยังมีเหตุปัจจัยอีกมาก เช่น วัฒนธรรม วินัย กฎระเบียบ ศีล ส่ิงเหล่านี้เป็นอาชญาหรืออาณาของสังคมจะต้องมี

       พุทธมี ศีลกับวินัย ศีลไม่ใช่อาชญา แต่วินัยเป็นอาชญาหรืออาณา มีลักษณะบังคับ และมีโทษด้วย แต่ศีลไม่มีใครไปลงโทษแต่มีวิบากกรรมโดยสัจจะ แต่วินัยมีโทษหากใครทำผิดต้องรับผิดตามกฎหมาย ในสังคมต้องใช้

    วัฒนธรรมก็ระดับหนึ่งเป็นกฎระเบียบระดับหนึ่งจะมาถึงกฎหมาย เป็นรัฐธรรมนูญ ถ้าเราไม่สนใจสมมุติสัจจะเหล่านี้แล้วไม่สนใจ ซึ่งสมมุติสัจจะนี้ล้มเหลวแล้ว มันทำให้สังคมเสียหายแล้ว คือฤทธิ์เดชสังคมนั้นใช้ไม่ได้ก็ต้องมีอาริยะขัดขืน คือคนมีภูมิรู้จะต้องขัดขืน ต่อกฏหลักที่มันเปลี่ยนแปลงใช้ไม่ได้แล้วโดยสัจจะมันต้องขัดขืน เรียกว่า อาริยะขัดขืน

       ผู้รู้อยู่ว่ามันเดือดร้อนมันผิด แต่คุณก็ทำเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ใครจะขึ้นม้าลงช้างก็ช่างเขา อย่างนี้เป็นอัตตาความเห็นแก่ตัว ไม่มีกรุณาปราณี ไม่มีกตัญญูกตเวที ไม่มีใจเอื้อเฟื้อเจือจานมนุษย์ ตนเองก็ยังทำมาหากินเอาอะไรจากสังคม คนอื่นเขาเสียสละให้คุณทำ เช่นเขาค้าขายแต่ต้องเสียสละมาประท้วง ก็เสียสละให้คุณ คุณก็ยิ่งบาปมากขึ้น ซับซ้อนโดยกรรมวิบาก ไม่ได้ใส่ร้ายไม่ได้หาเรื่อง เป็นกรรมวิบากที่อจินไตย ซับซ้อน

มีเรื่องอีกเรื่องคือตลาดอาริยะที่กำลังจะมีก็ได้รับจดหมายเจ้าหนึ่งพูดมาว่า ...ตอนนี้เข้าใจธรรมะแจ่มแจ้งเพราะได้อ่านธรรมะในไตรปิฎกมาอยากให้คนรู้ว่าสิ่งที่พ่อครูพาทำนี้เป็นความจริงไม่สงสัยแล้ว ว่า...การเห็นของพระอริยะเจ้าทั้งหลายผู้เห็นอยู่นี้

ย่อมเป็นข้าศึกกับชาวโลกทั้งปวง บุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใดว่าเป็นสุขพระอริยะเจ้าทั้งหลายกล่าวสิ่งนั้นว่าเป็นทุกข์ บุคคลเหล่าอื่นกล่าวสิ่งใด

ว่าเป็นทุกข์ พระอริยะเจ้าทั้งหลายรู้แจ้งสิ่งนั้นว่าเป็นสุข เธอจงเห็น

ธรรมที่รู้ได้ยาก คนพาลผู้หลง ไม่รู้แจ้งในนิพพานนี้

       มีญาติธรรมเป็นห่วงว่าทำไมต้องทำเดือนละสองครั้ง ทำแค่เดือนละครั้งก็พอ ...พ่อครูว่าเราทำนี้ไม่ได้ทำเพื่อโฆษณาหรือทำฉาบฉวย แต่เป็นกิจกรรมยืนยันความจริง แต่เราได้ฝึกฝนปฏิบัติตนได้ช่วยสังคมจริงๆ ยุคนี้เป็นยุคของแพงจริงๆ เพราะตอนนี้เดือดร้อนมาก มันก็ยิ่งสมควรจะทำยิ่งขึ้นด้วย พ่อครูก็ว่าทำถูกกาละเทศะนะ แล้วพวกเราก็ทำได้ พ่อครูก็บอกว่าถ้าไม่ไหวก็หยุด แต่พวกเราก็ทำได้ แล้วพวกเราไม่ได้ร่ำรวย เพราะไม่เป็นคนสะสม ไม่เป็นคนมีมากแล้วเอามาแจก แต่เราเอาของแต่ละคนละเล็กละน้อยมาเสียสละ ก็มีหลายร้าน และถ้ามีอีกหลายร้านก็จะทำได้ลดราคาได้อีก หาสินค้าได้หลากหลายกว่านี้อีก

       มันเป็นความจริงใจ ถูกกาละเทศะความเดือดร้อนของสังคม ทำมา 30 ปีแล้ว แต่ก่อนไม่เดือดร้อนขนาดนี้ แต่ตอนนี้เดือดร้อนมากก็ยิ่งจำเป็นสมควรยิ่งที่จะทำ คนไม่ชอบก็จะมี คนเห็นใจก็คงจะมีก็ขอบคุณคนเห็นใจ พอเป็นไปก็ทำไป

       เรื่องตลาดอาริยะเป็นเศรษฐศาสตร์  เรียกว่าเศรษฐศาสตร์บุญนิยม

       บุญแปลว่า ต้องชำระกิเลส ผู้ทำบุญคือการล้างกิเลสออกจากใจ

       ผู้ที่ทำทานแต่ไม่สละกิเลส นั้นผิด เสียประโยชน์  สอนกันมาผิด ทำใจในใจ(โยนิโสมนสิการ)ผิดมันก็นัตถิทินนังคือ ทานไม่มีผล รวมถึงหลักเกณฑ์หรือยิตถัง ที่ปฏิบัติเป็นศีลพรตในสังคม แล้วปฏิบัติไม่ได้ลดกิเลส ก็เป็นภาวะอย่างหนึ่งซ้อนอยู่

       พาณิชย์บุญนิยมเรามีเกณฑ์ 3 เกณฑ์

       1.คุณขายเกินทุน เช่นทุน 1000บาท แต่คุณขาย 2000 นี่คือระบบทุนนิยม ที่ถือว่าเก่งที่เอาเปรียบเอากำไรได้มากที่สุดยิ่งเยี่ยมยอด แต่ที่จริงคุณเพิ่มกิเลส คุณได้สมโลภกิเลสก็โตขึ้น กรรมกิจกรรมก็บาป เอาเปรียบเขา เป็นสัจธรรมที่คุณจะถือศีลหรือไม่ ศาสนาไหนก็เป็นบาป ไม่ละเว้น เป็นสัจธรรมของกรรม ถ้าไม่รู้ก็ทำไปอย่างนั้น

       บุญนิยมระดับ 1 คือ ขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด แต่ยังได้กำไร คือขายเกินราคาทุนอยู่ ระดับนี้คุณยังจำนนต้องทำบาป และเมื่อคุณขายต่ำลงเรื่อยๆ ลดราคาลงจนเท่าทุน ก็คือไม่บาปไม่บุญ อย่างนี้ก็ยังไม่ได้ล้างกิเลส เป็นบุญนิยมระดับ 2 อย่างนี้คุณก็ไม่ได้ประโยชน์ มันต้องต่ำกว่าทุนจึงได้ลดกิเลสโลภ ดังนั้นขายต่ำกว่าทุนจึงเรียกว่าบุญ ถ้าต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไหร่ก็ได้บุญเท่านั้นได้เสียสละเท่านั้น จนเกณฑ์สุดท้ายคือแจกฟรี ของทุน 1000 ก็ให้เขาไป 1000 เลย

       แล้วมันอยู่ได้อย่างไรนะ?....ขายขาดทุนน่ะ

       เป็นไปได้ เพราะในทุนเรารวมค่าแรงงานด้วย และค่าแรงงานไม่ใช่ถูกๆนะ ค่าตัวน่ะ แล้วก็ไปตั้งค่าอีกมาก ค่าความรู้ ค่าเอ็นเตอร์เทน สรุปคือสิ่งที่จะเอาให้ตนเองทั้งหลายคุณไม่เอาได้ไหม ค่าแรงคุณก็ลดได้ไหม ซึ่งในสังคมคนยิ่งทำงานระดับบริหารยิ่งเงินเดือนสูง ทั้งที่ได้แต่คิดเท่านั้น แล้วสั่งการ เป็นเรื่องบาปซ้อน แต่โลกเขาถือว่าเขาประสพผลสำเร็จ เขาได้มาก ทุกคนต้องจำนน เขาก็คิดว่าอย่างนี้ดี โลกต้องทำอย่างนี้

       สรุปแล้ว คนที่มาทำงาน นี่ขยันทำงาน มีฝีมือราคาก็แพง ค่าตัวสูง แต่คนสูงประเสริฐ ยิ่งไม่เอาราคาค่าแรง ยิ่งราคาค่าตัวแพงเขายิ่งไม่เอา เพราะเขายิ่งมักน้อยสันโดษ ไม่เปลืองมากหรูหราฟู่ฟ่า มันกลับกันไปหมดเลย อย่างนี้เป็นเรื่องสัจจะที่มี พ่อครูก็ได้นำเศรษฐศาสตร์บทนี้มาใช้ มันพอเพียงไม่เอามากกว่านี้จริง อยู่ในสังคมก็กินอยู่กับส่วนกลางสาธารณโภคี

       ผู้รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ต่อไปต้องศึกษาบทนี้ เรื่องเศรษฐศาสตร์บุญนิยม เป็นชนิดหนึ่งของเศรษฐศาสตร์เลย พ่อครูยังอยู่จะทำให้เจริญต่อไปอีกเรื่อยๆ

       แต่ว่าถ้าทำดี ถูก แต่ไม่เกื้อกูลคนอื่น คนอื่นจะมาร่วมมือก็ไม่ให้ทำ กั้นคอก อันนี้เป็นอัตตายึดดี จะให้ดีของตนอย่างเดียว แม้เราจะทำดีจริงใจ แต่ให้คนอื่นร่วมทำช่วยทำจะดีกว่า ให้ชาวอโศกลดอุปกิเลสตัวนี้ขอให้แก้ไข

       

        ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • ลังงานของไฟปัญญา มีประสิทธิภาพรูปแบบเดียวกันกับพลังงานทางฟิสิกส์ แต่สูงส่งกว่าเพราะเป็นพลังงานทางนามธรรม ที่สามารถทำลายไฟราคะโทสะโมหะ ได้จริง ใช่หรือไม่
  • ตอบ...ใช่
  • การเกิดแบบ สัญชาตินั้น จะมีความรู้ที่เรียกว่า สัญชาติญาณติดตัวมาเสมอใช่หรือไม่?
  • ตอบ...คำว่าสัญชาติ สัญญะคือความจำ สัญชาติญาณคือความจำที่ติดตัวมาแต่เกิด เช่นสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น ที่ถามมาก็ถูกต้อง
  • โบราณาจารย์หมายถึงพระอรหันต์อย่างเดียวหรือไม่?
  • ตอบ...มีทั้่งอรหันต์และไม่ใช่อรหันต์ โบราณาจารย์คือรุ่นก่อนรุ่นต้นเลย แต่รุ่นใหม่คือเรียกอาจารย์ แต่ถ้ารุ่นใหม่เรียกเถระ
  • ไกล ใกล้ หยาบ ละเอียด งาม ปราณีต ช่วยอธิบายด้วย
  • ตอบ...ไกล คือมันไม่ใกล้ ใกล้คือมันไม่ไกล มันก็ไม่น่าจะยาก ก็วัดระยะทาง หยาบ ละเอียดก็คือต้องวัดลักษณะ หยาบ ก็รู้แล้ว ส่วนงามกับประณีตจะยากหน่อย คำว่าประณีตแปลว่าละเอียดสุขุม ส่วนงาม เป็นลักษณะชม ลักษณะกาม ลักษณะน่าดู เป็นเรื่องบอกความนิยมของสังคม
  • ฟังพ่อท่านมา 30 ปีแล้วครับ ผมเชื่อกรรม แล้วกรรมถูกบันทึกในตัวคนเหรือในจักรวาล ทำอย่างไรจึงเลี่ยงผลแห่งกรรมได้
  • ตอบ....มันบันทึกที่ไหน ก็บันทึกในใจของสัตว์แต่ละตัว ของใครของมัน กรรมเป็นของตน ลูกทำก็ของลูก แม่ทำก็ของแม่ แบ่งกรรมกันไม่ได้ แบ่งบุญแบ่งบาปไม่ได้ ขนาดเป็นๆยังแบ่งให้ไม่ได้ พิสูจน์เดี๋ยวนี้เลย พ่อครูอาจมีบุญ นั่งอยู่ต่อหน้ากันนี่ แต่คุณตายไปจะอยู่บ้านเลขที่ไหนจะหากันอย่างไร แต่พระนี่เก่งจังส่งผลบุญให้ผู้ตายได้ แต่เป็นๆนี่ พ่อครูตั้งใจให้เต็มใจให้เดี๋ยวนี้ คุณมาเอาไปเลย แต่อย่าเอามีดมาถากนะ ก็ไม่ได้หรอก เพราะบุญหรือกรรมเป็นของๆตน  แบ่งกันไม่ได้ แต่ไปสอนให้แบ่งบุญบาปกัน มันเพ้อเจ้อ ถามว่าบันทึกที่ไหน ก็บันทึกที่อัตภาพของคุณ ก็คือจิตวิญญาณของคุณ บาปก็ไปทุคติ บุญก็ไปสุคติ แล้วมีสถานที่ไหม ไม่มีที่ยึดติด ยกตัวอย่างแต่ไม่ละเอียดเท่าวิญญาณเช่นพลังงานแสง พลังงานเสียง มันก็ไปทั่ว ไม่มีที่อยู่ ยิ่งจิตวิญญาณยิ่งละเอียดกว่าแต่ไม่มีสถานที่อยู่ แต่อยู่ในจิตวิญญาณคุณนี่แหละ แล้วทำอย่างไรจะเลี่ยงผลแห่งกรรมได้ คือต้องปฏิบัติธรรม ให้มีกุศลวิบากให้มากแล้วมันจะไปสังเคราะห์กัน ให้อกุศลลดได้ เพราะกุศลไปลด แต่ลดอย่างไร เป็นอจินไตย  อกุศลแม้นิดแม้น้อยอย่าทำ
  • สมควรแล้วที่เป็นมิสป่าต๊อง ไม่มีความสำรวม ไม่เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศน่าจะไปเป็นดารามากว่าผู้นำ มิสป่าตองดีกว่ามากเพราะทำประโยชน์ให้ประเทศ เขาคำนึงความสุขประชาชนโดยไม่เห็นแก่ตัวเอง แต่มิสป่าต๊อง มีโอกาส กลับเป็นโมฆะสตรี มากกว่าวีระสตรี
  • อยากเสนอแนะให้พ่อท่านทำโรงพยาบาลดีๆ รักษาฟรีไม่เลือกหน้าผมจะร่วมบริจาคด้วยครับ
  • ตอบ...พ่อครูเคยบ่นว่า ในชีวิต ได้ทำโรงเรียน ทำการศึกษา ทำอาหารการกินก็พาทำ เรื่องการศึกษาก็พาทำ แต่ยังเหลือเรื่องสุขภาพยังไม่เป็นองค์รวม ทำศาลาสุขภาพก็ทำอยู่ แต่พูดถึงรพ.นึกถึงคุณจำลอง มีเศรษฐีญี่ปุ่น(หมอโทคุดะ) มีรพ.เป็นของตนเองกว่า 300​แห่งทั่วโลก ก็บอกให้คุณจำลองทำรพ. มีทุนให้ทำอยู่แล้ว แต่คุณจำลองก็ไม่กล้าที่จะตั้งทั้งๆที่มีผู้อุดหนุนทำ จะกี่พันล้านก็ทำได้ แล้วพ่อครูหรือจะกล้า ถ้าพ่อครูจะทำก็ทำน้อยๆ จะเปิดกว้างคงไม่ไหว รับสมาชิกไม่มาก แต่ฉุกเฉินก็รับคนนอกได้ เป็นเรื่องใหญ่ต้องขอไว้ก่อน รพ.ไม่ใช่สถานที่เอาความเจ็บป่วยไปหาเงินมันก็ซ้อนบาปมาก คนกลัวตายก็ยิ่งไปรีดเขาอีก ก็บาปซ้อน
  • ช่วยขยายตลาดอาริยะไปต่างจังหวัดบ้าง
  • ตอบ...ก็พยายามขยายไปอยู่ อย่างที่อย่างที่หินผาฯ ภูผาฯ ร้อยเอ็ดฯ ที่หาดใหญ่ก็ทำ  ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างนี้เป็นประชานิยมอย่างสูง ถ้ารัฐบาลทำก็ได้คะแนนเสียงมากเลย ประชาชนได้ประโยชน์ แต่กลัวว่าถ้าเขาทำก็จะซ้อนโกงอีก
  • ยุคนี้พ่อครูมาช่วยประเทศต้องเจอปอบที่กินคนภาคเหนืออีสาน ส่วนกระหังก็ชุบสีกากี ชุดข้าราชการ ผมเป็นกำลังใจให้ท่านปราบผีปอบผีกระหังทุกสายพันธ์
  • ตอบ...พ่อครูก็ตั้งใจมาปราบออก แต่ไม่บังอาจว่าเป็นฝีมือตน เรามาให้ความจริง ส่วนผีคือจิตที่เลวร้าย ใครที่รู้ตัวว่ายังมีกิเลสก็ไปตรวจตัวเอง ว่าตนเป็นผีกระกังหรือเปรต นรก เดรัจฉาน อสุรกาย ก็ต้องรู้สัตว์โอปปาติกะในตน แล้วก็ต้องจัดการในตนเอง
  • ผมเป็นคนภายนอกจะไปช่วยงานบุญได้ไหม
  • ตอบ...เชิญ
  • ขอถามว่า...ดิฉันกำลังปฏิบัติธรรมแต่ไม่เชื่อชาติหน้า จึงไม่ทุ่มเททำ
  • ตอบ...ถ้าไม่มีชาตินี้ชาติหน้า คุณเกิดมากจากต้นทุนเท่ากันหมด คนทุกคนต้องเกิดมารวยจน สวยขี้เหร่ เท่ากันหมด เหมือนกันหมด นี่คือเหตุผลง่ายๆ ถ้าคนไม่มีชาตินี้ชาติหน้า จิตวิญญาณนั้นลูกแฝดทำไมจิตใจต่างกัน เพราะลูกแฝดนั้น มีโครโมโซมเหมือนกัน และเลี้ยงเหมือนกันทุกอย่างแต่จิตใจก็ต่างกัน นี่คือเหตุผลง่ายๆ ยังมีเรื่องลึกซึ้งอีกคนทำดีทำไมวิบากยังไม่ดี คนทำชั่วทำไมยังไม่ได้รับชั่ว เป็นเรื่องอจินไตยอีก  พ่อครูมาประกาศเป็นโพธิสัตว์ไม่ได้มีอาจารย์มีสำนัก แต่มีมาก่อน ตั้งแต่ต้นเลยที่มาบวช เพื่อยืนยันชาตินี้ชาติหน้า ให้รู้ว่าของที่ใช่นี่พ่อครูได้จากชาติก่อน เพราะชาตินี้ทางธรรมพ่อครูไม่ได้ไปศึกษาจากสำนักไหนๆ ไม่เชื่อก็ไปหาดูเลย ยืนยันว่าพ่อครูได้ความรู้ธรรมะจากไหน และที่สำคัญความรู้ของพ่อครูไม่เหมือนสำนักไหน เป็นเรื่องยืนยันว่ามาจากชาติก่อน ภาษาโลกๆเขาเรียกว่าพรสวรรค์ ไม่ใช่พรแสวง ไม่ได้หามาจากชาตินี้ เป็นของมาแต่เดิมแล้ว
  • พุทธวจนะแปลว่า
  • ตอบ...แปลว่าคำพูดคำสอนคำกล่าวของพระพุทธเจ้า
  • จิตวิญญาณของคนไทยตกต่ำสุดประมาณ คนชั่วสุดๆ สรุปว่านี่คือผลงานของสถาบันศาสนา ที่ชี้นำสังคม วิจารณ์ด้วยครับ
  • ตอบ...ไม่วิจารณ์เดี๋ยวหัวแตก คุณพูดถูกแล้ว พ่อครูว่า...สังคมมาถึงวันนี้ผู้ที่รักษาสถานะนำพาจิตวิญญาณสังคม คือหน่วยงานกระแสหลักทางสังคม สอนอย่างไรให้ลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างนี้ เพราะคุณเป็นสถาบันหลักสอนมา ให้คนมีคุณธรรมในสังคม ที่เขาไปเป็นใหญ่โตมากมากก็ลูกศิษย์คุณ แล้วทำอย่างไรให้ไปโกงเยอะแยะ
  • ในระบบทุนนิยม มีอาชีพไหนเป็นสัมมาอาชีพครับ
  • ตอบ...สัมมาอาชีพมีเงื่อนไขว่า ไม่เป็นอบายมุข(สิ่งต่ำสุด) เป็นสิ่งเกินค่าสามัญสังคม เช่นรวยจัด ก็ไม่สัมมาอาชีพ เอาเปรียบจัดปรุงแต่งรูปรสจัดก็ไม่สัมมา แต่สังคมเขาว่าต้องทำอย่างนี้ ให้แรงจัดให้คนติด ส่ิงเพิ่มความจัดจ้านคือสิ่งไม่สัมมา มันต้องลดละไปเรื่อยๆจึงสัมมา แต่ถ้าแรงจัดมักมากขึ้นนั้นไม่สัมมา ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อมักน้อยสันโดษธรรมนั้นเป็นของพระพุทธเจ้า
  • คุณปู...อยากรู้นักว่าคุณบริหารบริษัทของคุณใช้จ่ายอีรุ่ยฉุยแฉกอย่างนี้ไหม ประเทศไทยมีวิบากจริงๆที่ไปเจอผู้นำอย่างนี้ พ่อท่านว่าไหม
  • ตอบ...ว่าด้วย พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียประเทศไทย
  • ผมคิดว่าตระกูลชินฯเกิดมาเพื่อทำลายประเทศไทย ยุคพี่ชายก็มีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ ยุคนี้ก็มีอุทกภัย
  • ตอบ..เห็นด้วย
  • ครอบครัวผม มีภรรยาเอียงไปทางอโศกมากเกินไป ปฏิบัติธรรมมากเกินไป ป่านนี้ยังไม่กลับบ้านอีก เดิมทางบ้านมีสุข แต่ตอนนี้เป็นทุกข์ ภรรยาปฏิบัติธรรมเกินไป
  • ตอบ...เอาอะไรมาวัด พ่อครูว่าน้อยเกินไปหรือไม่ ...ก็ให้กลับบ้างหรือส่งข่าวบ้าง
  • เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติคือ
  • ตอบ...เจโตคือจิต ความเป็นธาตุรู้ ส่วนปัญญาคือความฉลาด เจโตคือจิตตัวตั้ง ปัญญาเป็นตัวทำงาน เจโตคือพลังงานบวกหรือพลังงานศักย์ ปัญญาคือพลังงานลบหรือพลังงานจลย์
  • ทำไมสำนักสงฆ์อ่านดูกร เป็นดูก่อน แม้แต่สำนักนี้
  • ตอบ...ก็อ่านว่าดู-กะ-ระ  แต่บางฉบับเขียนว่าดูก่อนก็อ่านว่าดูก่อน พ่อครูว่าถ้าเขียนว่าดูกรให้อ่านว่า ดู-กะ-ระ
  • ในความใกล้ชิดของขันธ์และกิเลส ให้ใช้ไฟฌานล้างกิเลสใช่ไหม ในการใช้กลไกสองอย่างนี้ต้องใช้การรู้รูปนามใช่ไหม
  • ตอบ....ใช่ ฌานคือไฟกองใหญ่ ไม่ใช่ว่าแปลว่าเพ่งอ่าน  แต่จริงๆแล้วคือไฟกองใหญ่ ที่สูงไปละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ แต่ถ้าไม่สูงพอก็ล้างไม่ได้เหมือนกัน  ทุกอย่างในโลกนี้มีแต่รูปกับนามเท่านั้น
  • ในกรณีมิสป่าตองจะมองว่าส่วนของขันธ์กับกิเลส เป็นความเหนียวแน่น
  • ตอบ...มิสป่าตองแกมีความยึดไม่เอาสมมุติสัจจะสังคม แกยึดของแก่ว่าแกเป็นคนมีคุณค่า แกก็ทำอย่างที่แกเข้าใจ และไม่มีผลเดือดร้อนต่อสังคม แต่คนที่ยึดเหมือนกันแต่เสียหายต่อสังคมเรียกว่ามิสป่าต๊อง 
  • ผมเห็นด้วยกับการให้ความรู้เรื่องการโค่นระบอบทักษิณแต่ว่าไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมนานๆ เพราะจะเข้าทางทักษิณ ดูหนังสือพิมพ์ไทยโพสท์กับแนวหน้าแต่ก่อนก็ด่าเรา แต่ว่าตอนนี้เราเอียงมาข้างปชป.เขาก็หนุนเรา ดังนันเราอย่าเอียงไปสองข้างนี้เลย อย่าอยู่นานเลย
  • ตอบ...ไม่เห็นด้วย พ่อครูว่ายาวให้เป็นเย็นเรื่อยๆไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ เป็นโอกาสที่เราจะได้เปิดเผยความจริงนะ ส่วนเขาจะด่าใครก็บาปของเขา คนด่าคนควรด่าก็ได้กุศล แต่ถ้าด่าคนไม่ควรก็ได้บาป เขาด่าเราก็ฟังเขา เอาเหตุผลดีมาใช้แต่ถ้าด่าไม่มีเหตุผลสาดเสียเทเสียเราก็สาดต่อไป แต่ถ้าดีก็ได้ประโยชน์ก็เอา....จบ


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 13:43:37 )

560929

รายละเอียด

560929_รายการวิถีอาริยธรรม ที่สวนลุมฯ

เรื่อง คำตำหนิและความจนสำคัญไฉน?

       ส.เพาะพุทธดำเนินรายการ เดิมเป็นรายการพุทธที่ไปนิพพาน ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นวิถีอาริยธรรม...เมื่อคืนวานพ่อครูนำเสนอประเด็น

มีคนส่งข้อความว่า...เห็นด้วยกับพ่อครูที่เห็นด้วยที่พุทธกระแสหลักไม่สอนให้คนเสียสละไม่คอรัปชั่น แต่กลับสอนให้คนค้าบุญ เอาสวรรค์ โดยไม่คำนึงว่าเงินที่ทำบุญอาจไม่บริสุทธิ์ สุดท้ายก็เปิดช่องให้อลัชชีแอปแฝงทำลายศาสนาเช่นเณร ค. เป็นต้น ต้องยอมรับว่าเงินจำนวนมากไหลไปกองที่วัด จนทำให้ประชาชนยากจนมากขึ้น เพราะสอนให้ทำบุญไม่ถูกวิธี

อีกข้อความหนึ่งบอกว่า...มีชายท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าห้ามกอบโกยกักตุน จึงน่่าจะทำป้ายติดที่ตลาดอาริยะว่า “ห้ามกอบโกย กักตุน ขี้โลภ เวียนเทียน” 

สิ่งที่อยู่ในมือพ่อครูตอนนี้คือสินค้าตลาดอาริยะที่ขายในราคาขาดทุน ซึ่งเป็นบุญนิยมระดับ 3 ส่วนระดับ 4 คือแจกฟรี

       ถ้าท่านใดสนใจส่งข้อความถึงพ่อครูก็ส่งมาที่เฟสบุ๊ค รักธรรมะ พระจันทร์ได้

       พ่อครูว่า...วันนี้รายการวิถีอาริยธรรมก็ขอพูดถึง อาริยธรรมกัน

        มีคนส่งข้อความหนึ่งมาว่า...ดู ๆ แล้ว เป้าหมายการชุมนุมของท่านโพธิรักษ์คือการเผยแพร่ธรรม ส่วนการโค่นระบอบทักษิณเป็นแค่ผลพลอยได้ ซึ่งเป้าหมายแบบนี้คงมีแต่สาวกของท่านเท่านั้นที่เห็นด้วย คนอื่น ๆ เขาจะมาร่วมเพื่ออะไร คนมาร่วมชุมนุมน้อย ท่านก็บอกว่าเป็นไทยเฉย หรือเป็นเพราะเขาไม่รู้ข้อมูล ข่าวสาร ท่านเชื่อกันอย่างนั้นจริง ๆ หรือ เพราะมีคนเป็นล้าน ๆ คนที่เขารู้เขาติดตามการเมืองอยู่ แต่ทำไมเขาไม่ออกมาร่วมชุมนุม ท่านเคยนำไปคิดวิเคราะห์กันบ้างหรือเปล่าว่าคนเป็นล้าน ๆ คนไม่ชอบรัฐบาลนี้เหมือนกัน แต่ทำไมเขาไม่ออกมาร่วมชุมนุม เขาไม่ได้กลัวอะไรรัฐบาลนี้หรอก ลำพังคนใน กทม ที่ไม่เอารัฐบาลนี้ ก็มีเป็นล้านแล้ว เพราะฉะนั้นท่านต้องกลับไปวิเคราะห์ดูในด้านของท่านด้วยว่ามีอะไรที่สื่อสาร ถึงคนเหล่านี้ให้เขาเห็นด้วยกับท่านไม่ได้บ้าง ถ้าท่านต้องการให้เขาเห็นด้วยกับท่าน ท่านเคยเปิดใจรับฟังพวกเขาบ้างหรือไม่ เพราะข้อมูลที่ท่านมีอยู่และดูจะเป็นข้อมูลที่ฟังมาจากคนอื่นทั้งนั้น หลายเรื่องมันเป็นเรื่องเท็จเรื่องใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นหรือเปล่า กรุณาลองนำไปพิจารณาดูให้ถ่องแท้ด้วย เท่าที่ติดตามดูท่านมา กลุ่มของท่านก็นับได้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่กลุ่มการเมืองที่เป็นมิตรสหายของท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมจริงหรือไม่ การที่ท่านรับข้อมูลจากกลุ่มเหล่านี้มาพูดมากล่าวหาผู้อื่นมันทำให้คนส่วน ใหญ่มองท่านเป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่เขาตั้งข้อรังเกียจโดยไม่คุ้มกัน เลย

 

        ก็มีอีกคนหนึ่งตอบไปว่า....คุณ พูดเหมือนจะบอกว่าเป็นเพราะท่านคนจึงไม่ออกมา ถ้าพรุ่งนี้FMTVยกวิกกลับวัดเพราะเชื่อคุณแล้วมันจะมีใครที่ไหนออกมาบ้างไหม เนี่ย ท่านเป็นสงฆ์ท่านมีหน้าที่สอนคนให้ความคิดคนท่านก็ทำถูกแล้วนี่ท่านให้ความ คิดคนทุกคนเลยนะทั้งฝ่ายที่กำลังโกงกินและทั้งไทยเฉย ผมว่ามัน เป็นยุคจิตวิญญาณของคนไทยมันเสื่อมเหมือนตอนกรุงศรีอยุธยาใกล้จะแตก จะทำประการใดได้ละครับท่าน นอกจากจะสมัครเป็นทหารพระยาตาก ตอนนี้พระยาตากมีแล้วคือคณะเสนาธิการร่วมไงแต่ยังขาดทหาร อย่ามัวแต่ว่าคนนั้นติคนนี้อยู่เลยเริ่มที่เราเถอะ ผมเองเชื่อจริงๆเรื่องไทยเฉย

      สรุปคือยังมีคนติงอยู่ว่าวิธีการที่พ่อครูพาทำนี้เขายังไม่เห็นด้วย ไม่ใช่น้อย ไม่แปลกใจ ถ้าคนมาเห็นด้วยมากๆเลยทันทีรวดเร็ว มันจะเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะเรื่องที่ทำนี้ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องพื้นๆคนก็เห็นด้วยมากสิ ไม่ได้คิดว่าคนจะมาเห็นด้วยอย่างถล่มทะลาย แม้แต่ในเมืองไทยขณะนี้มีคนอยู่ 3 ประเภท

        1.เห็นร่วมกับที่เราทำ

     2.ไม่เห็นร่วมด้วย ก็เห็นอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจง่ายๆกัน

     3.พวกไทยเฉย มีอยู่ 3 แบบ คือ 1.แม้เป็นอย่างเดียวกับพวกคุณที่เห็นว่าไม่ได้เรื่องอะไรที่ทำอย่างนี้ หรือ 2.เห็นด้วยกับพวกอาตมาแต่ก็เฉยอีก และ3.ยังมีพวกที่เห็นแก่ตัวทำมาหากินไป ไม่เอาตาดูหูแล ไม่กตัญญูต่อชาติ นั่นเฉยแน่พวกนี้

       งานที่มาทำนี่คือฝึกพวกไทยเฉย เห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เรามาให้สติไทยเฉยให้ออกมาทำหน้าที่ ทั้ง 3 แบบของไทยเฉย ว่าออกมาร่วมแสดงอำนาจอธิปไตยของประชาชน แม้ไม่เห็นด้วยก็ออกมาต้านได้ อธิปไตยของประชาชนคือออกมาแสดงตัว 1 คน 1 เสียง คุณทำหน้าที่ประชาธิปไตยที่ระบุไว้ ถ้าไทยเฉยคือมันผิดหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ ที่พ่อครูออกมานี่ให้สติพวกไทยเฉย ก็ควรออกมาทำหน้าที่แสดงความกตัญญูต่อชาติบ้าง

       ยืนยันว่า ไม่ได้มาเพื่อเอาชนะเอาแพ้ ไม่ได้มาทำงานเพื่อรบราฆ่าฟัน หรือมาหาชื่อเสียงหาทรัพย์ แต่มาทำงานกับมนุษยชาติ ประชาชน ให้สำเหนียก ในกาละที่ประเทศไทยได้รับภัยรุมเร้าหมดเลย ทั้งภัยธรรมชาติ ภัยทางสังคมการเมือง ก็ขึ้นอยู่ว่าไม่ใช่ธรรมชาติเป็นธรรมชุ่ย มันจงใจทำ คนมันผลักใสไม่ให้ท่วมบ้านตน ให้ไปท่วมบ้านคนอื่น จริงเท็จก็เอาคำพูดมาจากคนอื่นนะ

       ส.เพาะพุทธว่า ...คนไทยเฉยน่าจะเป็นคนที่อยู่ในคน 6 แบบที่พ่อครูเคยแจกแจงไว้ว่า...

 1.ไม่รู้ไม่ชี้  2.ไม่รู้แล้วชี้(พวกอวดตัว หลงตัว อยากอวดแหวนเพชร) 3.ไม่รู้แล้วก็ไม่ชี้ (คนซื่อตรงไม่รู้ตัวก็เลยไม่ชี้) 4.พวกรู้แล้วไม่ชี้ (ใจดำ ไทยเฉย ไม่รับผิดชอบ) 5.คนชี้แล้วไม่รู้(พวกขอไปทีคนไม่รู้จริง) 6.คนรู้แล้วชี้ (คนนี้ดีสุดเป็นบัณฑิตเป็นครูผู้ประเสริฐ) ไทยเฉยอยู่ในข้อที่ 1 และข้อ 4

       พ่อครูว่า...ในยุคกาลนี้คนก็ควรออกมาทำงานบ้าง อย่าเห็นแก่ตัวจัด ใจดำอำมหิตบ้าง พ่อครูไม่ได้มาทำรบราฆ่าฟันทะเลาะเบาะแว้ง ก็ออกมาทำหน้าที่ประชาธิปไตยกัน จะเห็นว่าข้างไหนถูกก็ออกมาชี้สิ ทั้งที่รู้แสนรู้แต่ไม่ออกมาทำหน้าที่ประชาธิปไตย ผู้ที่ไม่เข้าใจก็ทำตามที่ตนไม่เข้าใจแหละ

       ส.เพาะพุทธว่าในประเด็นที่ตู่ท้วงมาบอกว่า ...เท่าที่ติดตามดูท่านมา กลุ่มของท่านก็นับได้ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่กลุ่มการเมืองที่เป็นมิตรสหายของท่านเป็นคนดีมีศีลธรรมจริงหรือไม่ การที่ท่านรับข้อมูลจากกลุ่มเหล่านี้มาพูดมากล่าวหาผู้อื่นมันทำให้คนส่วน ใหญ่มองท่านเป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มที่เขาตั้งข้อรังเกียจโดยไม่คุ้มกัน เลย

       พ่อครูว่า...ข้อมูลเหล่านั้นเราได้ใช้วิจารณญาณ โดยเราสัมผัส มีภูมิรู้ ให้ความรู้ เราก็เอามารวบรวมกัน เป็นเหตุปัจจัยในการวินิจฉัยตัดสินว่าเข้าท่า ถูกหรือผิด สุดท้ายก็ตัดสิน ถูกหรือผิด หรือตัดสินไม่ได้ ก็มีอยู่ 3 อย่าง ถ้าเราสามารถมีข้อมูลอย่างใด ทุกคนก็มีข้อมูลอย่างนั้น ผู้ที่ติงมาก็บอกว่าเราได้ข้อมูลไม่ครบ ก็แน่นอนเราก็ได้ข้อมูลระดับหนึ่ง ก็ใช้ข้อมูลเท่าที่ได้ ตัดสิน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่พ่อครูทำนี่ก็ต้องตัดสินว่าอย่างที่ทำนี้ถูก มีผู้ต้านมาเรื่อยให้ข้อมูลเรื่อยๆ ก็รวมข้อมูลไว้ และแต่ละวันเวลา มีข้อมูลมาเติมเต็มไปเรื่อยๆตลอดเวลา เราก็พิจารณาตัดสินตลอดเวลา ว่าควรไม่ควร ซึ่งถ้าไม่ควร จะต้องเลิกเราก็จะหยุดเลิก ไม่ต่อ แต่ถ้ามันเป็นไปได้ดีอยู่เราก็ทำอยู่ ที่ติงมาว่าเราไม่ดูข้อมูลคนอื่น ว่าคนกทม.เกินล้านเปิดใจรับฟังบ้างสิ อาตมาว่าอาตมาเป็นคนเปิดรับข้อมูลนะ อย่างความเห็นของคุณก็นำมาอ่านให้ฟังสดๆ หลายเรื่องเป็นเรื่องเท็จใส่ร้ายอาตมาก็ใช้การวินิจฉัย ซึ่งอาจตัดสินต่างกันกับของคุณ อาตมาบอกตรงๆว่า ไม่ได้เป็นคนอยากหาเรื่อง ไม่อยากให้ใครเกลียดชัง จึงไม่ทำอย่างหาเรื่อง แต่ถ้าจะทำก็ต้องรู้ว่ามีประโยชน์ก็ต้องลงทุน และที่ลงทุนไปตำหนิ ข่ม ว่า ส่ิงที่ไม่เห็นด้วย ก็เป็นการลงทุนนะ เพราะการตำหนิคนนี่เขาจะชอบน้ันน้อย

       ส.เพาะพุทธว่านักปราชญ์จะชอบคำตำหนิ แต่มีจำนวนน้อยคน พ่อครูนั้นได้เขียนโศลกว่า

       พ่อครูว่า...การตำหนิข่มก็ต้องรู้ ไม่ได้ทำอย่างขาดสติ พ่อครูมีเพลงชีวิตบทหนึ่งว่าไว้ ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีมาถึงทุกวันนี้มิใช่ได้มากจากคำสรรเสริญคุณความดี แต่ได้ดีเพราะฟังคำคนตำหนิติเตียนทั้่งจากมิตรผู้หวังดีและศัตรูผู้หวังร้าย

       อันนี้เป็นความรู้สึกใจจริง เพราะคำชมทำให้คนเหลิงคนเสีย สำหรับคนกิเลสเยอะ และรู้ไม่เท่าทันโลกธรรม โดยเฉพาะตอนที่กระทบสัมผัสโลกธรรม ที่น่าโกรธแต่ถ้าเราไม่โกรธได้นี่สิจึงดี

       พ่อครูว่า...เพลงอริยะหมายเลข 10

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น
หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น
ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน
"ความถูกต้อง"
ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลายแล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ "ความผิดพลาด"
และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง แต่ละคราว ของข้าพเจ้า
จาก ทั้งผู้หวังดี
และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ นั่นต่างหาก.

17 พฤษภาคม 2526

       พ่อครูว่า...ตั้งแต่ 30​ปีที่แล้ว จริงๆไม่ตั้งใจพูดเรื่องนี้ แต่วันนี้ตั้งใจพูด ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แต่ก็ใช่อยู่แล้ว

       หลายคนว่า ทำไมชอบเท่าตนเองมาพูด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ

       1. เป็นเรื่องจริงไม่ใช่ละคร คนๆหนึ่งได้พบเจอจริง ไม่ใช่นิทานหรือจินตนาการ แต่เป็นของจริง เราเป็นเจ้าของเรื่องจริง

       2. เรื่องที่นำมายกนี้ เป็นเรื่องที่พ่อครูคิดเอง เชื่อว่าไม่เหมือนใคร แปลกใหม่จึงจำเป็นต้องเอามาพูดให้ฟัง มันหายาก ไม่เหมือนทั่วไป

       3. เชื่อมั่นว่า เรื่องที่ได้นั้นเป็นส่ิงดี ประเสริฐควรบอกแจ้งยืนยันให้คนรู้เข้าใจ ว่าเป็นได้นะ

       4. มันตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าด้วย

       5. ที่เจตนาพูดสิ่งที่มีที่เป็นเป็นของสืบทอดจากเก่าๆ ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วมายืนยันให้รู้ว่าคนเรามีชาตินี้ชาติหน้า วิบากกรรม ที่สะสมมา ดีหรือชั่ว ไม่ใช่แต่ชาตินี้ และย่ิงคนสมัยใหม่ไม่ค่อยเชื่อกรรมวิบาก ไม่เชื่อบุญบาป ทำให้สังคมเดือดร้อน ไม่เชื่อการตายการเกิด คนก็ไม่กลัวความเลว เขาก็ทำเลวได้ เขาฉลาดเท่าไหร่ก็ใช้ เพราะเขาเชื่อว่าตายก็จบ เขาก็ทำชั่วอย่างหนัก ฉลาดเท่าไหร่ก็เอามาทำ เพื่อให้ตนรอดไม่รับผิด และก็ทำชั่วอย่างไรก็ไม่มีชาติหน้า ตายแล้วก็จบ คนอย่างนี้เห็นตัวอย่างเลยว่าเป็นภัยต่อสังคมมาก

       ส.เพาะพุทธกล่าวว่า พันเอกดร. ...กล่าวว่า คนที่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า กับคนไม่เชื่อจะได้รับผลต่างกัน คนเชื่อได้รับผลคือเจ๊ากับเจี๊ยะ ถ้าไม่เชื่อก็คือเจ๊งกับเจ๊า

       คนไม่เชื่อกรรมวิบากเชื่อว่าตายแล้วจบ ถ้าตายแล้วจบคุณก็เจ๊า แต่ถ้ามีจริงคุณก็เจ๊ง ส่วนคนที่เชื่อชาตินี้ชาติหน้า ถ้าไม่มีจริงคุณก็ได้เจ๊า แต่ถ้าชาติหน้ามีจริงคุณก็ได้เจี๊ยะนะ

       พ่อครู..ว่าที่ต้องพูดเรื่องตนเองเพราะแน่ใจว่าจริง ทำมา 40 ปีแล้ว เอาท่านเพาะพุทธยืนยันว่าที่สอนนี้ไม่เหมือนใครสำนักไหน

       ส.เพาะพุทธก็ว่า...เมื่อคืนก็ฟัง พ่อครูสร้างจุดแปลก แทรกจุดเปลี่ยน คือไม่เหมือนใคร แต่ไปเหมือนคำสอนพระพุทธเจ้าในไตรปิฎก ทั้งการนำเสนอต่างกันลีลาต่างกันแต่เนื้อหาต่างกัน หลายเรื่องที่พ่อครูสอนไม่เป็นสาธารณะ ถ้าไม่มาฟังพ่อครูจะหาฟังที่ไหนไม่ได้นะ

       พ่อครูว่า....ไม่ใช่ยกยอนะนี่...

       ส.เพาะพุทธว่า...อยู่กับพ่อครูมีคำตำหนิมากกว่าคำชม และได้รู้อะไรเร็วขึ้นก็คือได้รับคำติเตียนคือติให้มันเตียน

       พ่อครูว่า....เขาล่าช้างม้าวัวควายเก้งกัน หรืออีกพวกล่าลาภยศสรรเสริญ แต่พ่อครูไม่ได้ทำเลย ไม่คิดไปทำด้วย แม้แต่ล่าลาภยศสรรเสริญก็ไม่ทำ แต่ว่าไล่ล่าเวลาอยู่ทุกวันนี้มันไม่ทัน เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันเลย

       ส.เพาะพุทธว่า..ความแก่จะกลัวคนผู้ไม่จำนนต่อความแก่ พ่อครูก็เลยไม่ทันแก่ มีคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่า ผมแก่แล้วจะเกษียรแล้วพักผ่อน ส่วนภรรยาแม้เกษียรแล้วก็ยังทำงานทำการหลายอย่าง บัดนี้คุณหมอผู้ชายตายไปแล้ว แต่คุณหมอผู้หญิงผู้เป็นภรรยายังอยู่เลย

       พ่อครูว่า...อาตมาไม่มีเวลาก็เลยต้องใช้เวลาให้คุ้ม ถ้าเอาแต่ชมคนก็เสียเวลา เพราะที่จะติคนนี่ก็ยังไม่ทันเลย แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปชมคน ก็เลยเซฟไม่ค่อยเอาเวลาไปชมคน เอาเวลาไปติ เพราะการติทำให้คนได้ประโยชน์ แต่คำชมทำให้คนเสีย ใครฉลาดก็พยายามให้เขารับคำตำหนิได้ ผู้ฟังคำตำหนิจากผู้รู้และบัณฑิตได้พระพุทธเจ้าว่าได้ดีแต่ถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าสรรเสริญ      

       พ่อครูรู้ก็สอดคล้องกับที่พระพุทธเจ้าสอนว่า

       อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม

       เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่

       อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด

       อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

       ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

       

       ส่วนอีกบทหนึ่งว่าไว้...

       อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม

       เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่

       อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด

       อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด

       ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้

       พ่อครูว่า...ที่พ่อครูพูดวันนี้ลองตั้งสติดู คนติเราเราไม่ค่อยชอบ แม้มีกิเลสก็ตั้งสติเอามาไตร่ตรองตรวจสอบ ถ้าเขาตำหนิเราถูก กราบเขาได้กราบเลย ต้องขอบคุณเขา แต่ถ้าเขาตำหนิไม่ถูก เราก็ต้องตรวจสอบอย่าให้มีความลำเอียง ตรวจแล้วเขาตำหนิเราไม่ถูก ก็คือ เขามีข้อมูลไม่ครบ ไม่ถูกต้อง หรือ ปัญญาเขาไม่พอ ปัญญาเขาน้อย เขาเห็นความถูกเป็นผิด เขาไม่ฉลาดพอจะรู้คำตำหนิ นั่นไม่เป็นผลเสียหายต่อเราเลย เราได้รับผลกระทบแต่เราไม่ได้เลวอย่างเขาว่า ไม่ต้องไปโกรธเคืองเขา เขาทำกรรมไม่ดี

       พ่อครูว่า...ที่อาตมาทำงานนี้ ที่มีคนแย้งว่า...ดู ๆ แล้ว เป้าหมายการชุมนุมของท่านโพธิรักษ์คือการเผยแพร่ธรรม ส่วนการโค่นระบอบทักษิณเป็นแค่ผลพลอยได้ ซึ่งเป้าหมายแบบนี้คงมีแต่สาวกของท่านเท่านั้นที่เห็นด้วย

       ที่พ่อครูมาทำงานการเมือง แต่ก็มาเผยแพร่ธรรมะเพราะการเมืองแก้ด้วยการเมืองนั้นเหลวมา 81 ปีแล้ว ก็ให้ตั้งสติดีนิดหนึ่ง ถ้าเอาแต่การเมืองๆก็รู้กันอยู่ การเมืองแก้ด้วยการเมืองแล้วมันแก้สำเร็จไหมเล่า 81 ปีแล้ว จนเป็นสำนวนเท่ห์ๆว่า การเมืองต้องแก้การเมือง และก็คิดต่อว่าการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะมีคนดีน้อยไป หมายถึงคนไม่มีคุณธรรมมีมาก ไปทำงานการเมืองนี่คือแก้การเมืองไม่สำเร็จ พ่อครูจึงพยายามที่สุดที่จะแก้ประเด็นนี้ เอาธรรมะมาใส่ เป็นการแก้การเมืองด้วยธรรมะ แต่ไม่ได้ละเลยการเมือง แต่เอาธรรมะเป็นเอก เอาการเมืองเป็นรอง แต่ก็รู้ว่า คนก็ชอบการเมืองตื่นเต้นการเมือง ส่วนธรรมะคนไม่ค่อยชอบ ก็รู้ แต่อาตมาก็จะขอดันทุรังหรือยืนหยัดยืนยัน ตามความเข้าใจความเห็นนี้ และก็เข้าใจว่ามันไม่ง่าย จึงต้องใช้โศลกว่า “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ”ด้านความรู้ความจริง จะเป็นธรรมาวุธไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงการเมือง คนจะจำนนผู้ผิดจะแพ้ ผู้ถูกจะชนะ

       พวกเรามีข้อมูลหลักฐานก็มากันมาช่วยกัน จะพูดดังพูดแรงอย่างไรคอแตกก็แล้วแต่แต่ขออย่าให้ผิดและหยาบ ออกมาให้ความรู้จนคนรู้ความจริงชัดๆมากพอ จะเกิดกำลังอธิปไตยของคน ออกมาชุมนุมประท้วง ยุทธวิธีพ่อครูเป็นเช่นนี้

       ก็ไม่คำนึงถึงเวลา จะได้ผล จะถึงจุดสันดาป จุดวิกฤติเมื่อไหร่จะเปลี่ยนสถานะการเมืองให้ดีขึ้นเมื่อไหร่ หากเราทำเหตุปัจจัยได้ครบก็จะเกิดผลได้ เชื่อและมั่นใจอย่างนี้ พยายามประคองไป ส่วนอื่นมีเหตุปัจจัยเสริมอยู่ตลอดเวลา มีคนปรารถนาดี และปรารถนาร้ายก็มี แต่คนปรารถนาดีก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือจะประสมรวม สุดท้ายจะแยกกันคือ ถูกกับผิด และจะไหลไปรวมกันในแต่ละขั้ว

       คนที่จะสร้างให้รุนแรงก็มี แต่พ่อครูเจตนาถ่วงไม่ให้เกิดความรุนแรง ทำสุดฝีมือ 1.ไม่ผิดกฎหมาย 2.เป็นสากลทั่วโลก 3.เป็นสัจจะที่แท้จริงเป็นความดีงาม   อย่ามาห้ามเสียให้ยาก เรามารับใช้ เพื่อให้เกิดส่ิงดีมีผลจริง ถ้าไม่ได้ก็แสดงว่าเราไม่มีความสามารถ เราไม่เป็นไทยเฉย พวกไทยเฉยอายอาตมาบ้างสิ

       ส.เพาะพุทธว่า...ได้ก็ได้ ไม่ได้เราก็ได้ ได้มาสั่งสมความดีไง และความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั้น เราได้สั่งสมหน่วยกิจความพยายาม  และผมได้ทราบว่าหลวงปู่พุทธทาสก็เป็นคนที่ได้สร้างจุดแปลกแทรกจุดเปลี่ยน และอีกบทหนึ่งคือ ถ้ามีธรรมะก็ไม่ต้องมีการเมือง แต่ว่าถ้ามีการเมืองต้องมีธรรมะ นี่คือคำของหลวงปู่พุทธทาส ท่านว่า ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องต่อรองผลประโยชน์แต่ถ้ามีธรรมะกัน ก็จะเห็นใจกัน และไม่มีการต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

       พ่อครูว่า...ถ้าทำได้ก็จบกันที่ ปกครองโดยไม่ปกครอง ไม่เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง มีแต่ความเอื้อเฟื้อเจือจาน เหมือนอย่างในหลวงที่ว่า อยู่กันอย่างอลุ่มอล่วย

       ส.เพาะพุทธ...มีอีกบทหนึ่งของท่านพุทธทาสกล่าวว่า ที่เราต้องเอาธรรมะมาไว้ในการเมืองก็เพราะการเมืืองไม่มีธรรมะ

       พ่อครูว่า...พระราชดำรัสของในหลวง ..แบบคนจน..“...คนที่ทํางานตามวิชาการจะต้องพึ่งตํารา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น เขาบอก “อนาคตยังมี”  แต่ไม่บอกว่าให้ทําอย่างไร ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา  ปดตําราแลวไมรูจะทําอะไร    ลงทายก็ตองเปดหนาแรกใหม่  เปดหนาแรกก็.. เริ่มตนใหม ถอยหลังเขาคลอง  แตถ้าเราใช้ตํารา“แบบคนจน” ใช้ความอะลุมอลวยกัน ตํารานั้นไมจบ..  เราจะกาวหนา “เรื่อยๆ”

       พ่อครูว่า...ในโลกจะแข่งขันกันอย่างไร แต่พระทัยของในหลวงไม่มีอย่างนั้นเลย ไม่ว่าจะตำราไหนก็เป็นอย่างนั้นถ้าตำราโลกีย์คือแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบคนจน ใช้ความอลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบมีแต่จะก้าวหน้าเรื่อยๆ นี่คือแต่ละคำๆของในหลวง

       พ่อครู...ว่าถือว่าเป็นสัจจะประเสริฐ คนที่จะเข้าใจว่าต้องบริหารประเทศแบบคนจน ขอถามว่าดร.ที่เรียนจบมาแต่ละประเทศ มีนัยที่ศึกษาแบบคนจนไหม เจอไหมในตำราไหน พ่อครูว่าเท่าที่นึกออกตอนนี้ลักษณะอย่างนี้ก็มีคานธี แต่ก็ไม่กล้าฟันธงอย่างในหลวง ที่บอกว่าเขาก้าวหน้าอย่างนั้นมันถอยหลังอย่างน่ากลัว ไม่ว่าประเทศไหนๆ จะใหญ่จะน้อยก็ตาม

       เป็นเรื่องอัจฉริยะสุดประเสริฐที่จะมีคนกล่าวเช่นนี้ สรุปที่ว่าเราได้สนองพระราชดำรัสนี้ ก็พาพวกเราทำอยู่ ชักชวนทำตาม ของความร่วมมือ ไม่บังคับใคร ก็โปรโมทส่ิงเหล่านี้ขึ้นมา พยายามชี้ชวนให้มาทำแบบคนจนเสียสละ มีความซับซ้อนต้องอ้างอิงชาวอโศก เราไม่รวย เราไม่สะสม เรามีก็สะพัดออก ในอโศกเราทำสำเร็จที่ไม่เป็นหนี้ข้างนอกทุกชุมชน แต่ภายในแต่ละชุมชนก็มีเงินเกื้อเงินหนุนกัน ไม่มีดอกเบี้ย เราทำอย่างอลุ่มอล่วยอย่างในหลวงบอก เราไม่สะสม ไม่เอาเปรียบคนอื่นเลย

        1.ไม่เอาเปรียบใคร 2.ไม่สะสม 3.แจกจ่ายเจือจานแก่คนอื่น ทั้งสามอย่างนี้ไม่มีวันรวยอย่าเป็นหนี้ก็แล้วกัน

       ส.เพาะพุทธต่ออีกว่า 4.ไม่มีวันรวย 5.ไม่มีวันเลว

       พ่อครูว่า...ไม่ใช่เรื่องพูดเอาโก้ แต่เป็นเรื่องจริง และเชื่อว่าในพระทัยในหลวงท่านตรัสอย่างเอาจริงนะ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป็นเรื่องตกผลึกเลยนะ เพราะท่านตรัสกับรัฐมนตรีของเกาหลี ที่ถามว่าจะบริหารประเทศอย่างไร ท่านก็ตอบว่าแบบที่ท่่านทำก็ดีแล้วเจริญแล้ว แต่เขาก็เซ้าซี้ถาม ในหลวงก็เลยบอกแนะนำว่า ให้ทำแบบคนจน “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไมเปนประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร พออยูได แต..ไมเปนประเทศที่กาวหนาอยางมาก  เราไมอยากจะเปนประเทศกาวหนาอยางมาก เพราะถาเราเปนประเทศกาวหนาอยางมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ประเทศเหลานั้นที่เปนประเทศที่มีอุตสาหกรรมกาวหนา จ ะ มี แ ต ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอยางนากลัว  แตถาเริ่มมีการบริหารที่เรียกวา “แบบคนจน” แบบที่ไมติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยูไดตลอดไป...”

       คำว่าถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านก็คงรู้ว่ามันน่ากลัว คนไประรานคนอื่นมันน่ากลัว เอาความเก่งความรวยความใหญ่ไประรานเขานี่คือคนพาล ต้องหลีกให้ไกลเลย เขาเป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า ซึ่งท่านว่ามีแต่ถอยหลัง การก้าวหน้าอุตสาหกรรมคือเก่งเทคโนโลยี คือสร้างอาวุธเก่ง ซึ่งเลว แม้สร้างเทคโนโลยีก็มีทั้งดีและเลวในนั้น แต่กิเลสคนจะรับความชั่ว เครื่องมือนี้ยิ่งพาคนทำชั่วได้มาก มันครอบงำให้คนกิเลสหนาๆ ขนาดในสภาฯยังเอาชั่วไปเปิดในสภา แล้วเด็กละ ไม่มีภูมิคุ้มกันก็เอาส่ิงเหล่านี้ไปยัดให้เด็ก ช่างฉลาดน้อยจริงๆเลย

       คือพูดไปอย่างไม่ได้คิดไม่มีสติ ไม่รอบคอบ นั้นไม่ใช่ แต่นี่คือสุดยอดแห่งความรอบคอบ มั่นพระทัยเต็มที่ แต่มันยาก แน่นอน ยาก แต่มันดี ดีหาที่เปรียบไม่ได้ด้วย ระบบระบอบแบบคนจนนี่ พอท่านตรัสกับรัฐมนตรีท่านนั้นแล้วท่านก็มาทบทวน แล้วมาตรัสกับมหาสมาคมในวันที่ 4 ธ.ค. อีก แล้วเราก็นำมาออกช่องโทรทัศน์เรา ไม่มีช่องอื่นเอาออก ถือว่าเป็นส่ิงที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเพื่อแก้ปัญหาประเทศ แต่่ผู้บริหารไม่ได้นำมาใช้แก้ปัญหา

       ถ้าเข้าใจถูกต้องทำได้จะแก้ปัญหาได้ พ่อครูพาพวกเราทำ พ่อครูเข้าใจอีกว่า พระปัญญาธิคุณในหลวงตรงกับพระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า เพราะพ่อครูเป็นคนกลาง ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้า เมื่อมาพบในหลวงจึงรู้ว่าในหลวงเป็นใคร ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ไม่ใช่คนสามัญ ความคิดเช่นนี้คนทั่วไปคิดไม่ออก แม้จบดร.มาก็ไขอันนี้ไม่ออก

       พ่อครูก็มั่นใจว่าทำส่ิงถูก เป็นเอหิปัสสิโก ตรวจสอบได้นะว่าเรามาทำเท่ห์แอ็คอาร์ทไหม หรือว่าทำจริง ก็ตรวจสอบได้ วันนี้เราเลยได้พูดจุดสำคัญ เป็นเรื่องดี ว่าไหม?

ส.เพาะพุทธว่า...ทำให้เรารู้คุณค่าของความจนมหัศจรรย์จนอย่างสมัครใจ จนส่วนตนแต่รวยส่วนรวม

       จนอย่างเป็นสุข เต็มใจ จนอย่างสัมบูรณ์ ถ้านำมาสำนึกให้ดี พวกเราจะทำส่วนตนให้จน แต่ทำให้ส่วนกลางรวย ใหญ่ ส่วนตัวให้มีเล็กๆ แม้แต่คำตรัสว่า ขาดทุนคือกำไร

       พ่อครูว่า...ท่านมาตรัสทีหลังอีกเรื่อง ขาดทุนคือกำไร คือเราจะจนได้ต้องขาดทุน ชีวิตต้องขาดทุน แล้วจะอยู่ได้อย่างไร เพราะโลกเขาถูกหลอกให้ไปรวยกันส่วนใหญ่ เขาก็ดูถูกว่ามาแบบคนจนจะอยู่ได้อย่างไร เราก็ดูไป แต่เราจนอย่างไม่ฝืน จนอย่างง่ายสบาย สะดวก จนอย่างเต็มใจภูมิใจ ไม่ใช่จนอย่างเอาเปรียบโกงกินสังคม จนเรายังมีแจกมาให้ เราให้คนที่รวยกว่าเราอีก เรามาให้มาแจกมีส่วนมากที่คนมารับบริการจากเรา ฐานะเขารวยกว่าเราส่วนใหญ่ อาจมีบ้างที่จนกว่าเราก็มี  

       เพราะเราสร้างจิตที่มีเจโตว่ามักน้อยใจพอจริงๆ ไม่เอาอีกหรอก และก็มักน้อย ไม่ใช่มักมาก ไม่ใช่มากก็พอ แต่เราน้อยก็พอ จนถึงที่สุดคือสูญ ไม่มีเลยเราก็พอ เราก็อยู่ได้ เป็นเรื่องปะหลาด คนไม่มีทรัพย์สินได้แต่อยู่ได้เพราะเรามีสังคม อย่างในอโศกทำงานเสียภาษี 10​0% ก็กินใช้ส่วนกลางไปวันๆ เป็นเศรษฐกิจบุญนิยมสาธารณโภคี ไม่ต้องห่วงสมบัติพัสถาน ไม่ต้องทำพินัยกรรม ไม่ห่วงว่าใครจะแย่งสมบัติ ตายแล้วก็อยู่ส่วนกลาง ใครอยู่ก็ใช้ต่อสิเป็นมรดกส่วนกลาง เป็นระบบที่พระพุทธเจ้าค้นพบสาธารณโภคีแล้วมาประกาศให้คนทำได้ พ่อครูภูมิใจที่ทำให้หมู่กลุ่มอย่างนี้เกิดได้ หลายคนว่าเป็นได้แค่จุลภาค เป็นมหภาคไม่ได้

       พ่อครูว่า..แม้อโศกมีแค่นี้ก็ช่วยสังคม เพราะไม่แย่งสังคม แต่ช่วยสังคม เราไม่อยู่อย่างปลิงอย่างทากเอาเปรียบสังคมโดยไม่มีประโยชน์ แต่เราอยู่เรามีประโยชน์เกินให้แก่สังคม จะมีกี่ชุมชนกี่หน่วยเราก็เป็น ถ้ารัฐบาลหน่วยงานการศึกษา เห็นดีและให้เกิดอย่างนี้ในไทยมากๆ มันจะต่ำต้อยลงหรืออย่างไร พ่อครูว่ามันจะยิ่งดีไม่เกิดการแก่งแย่ง จะเอื้อเฟื้อเจือจานกันมากยิ่งขึ้่น มันชัดเจน สำคัญอยู่ที่มาสร้างจิตวิญญาณคน การศึกษานั้นสำคัญ ต้องสร้างคนให้มีคุณธรรม การศึกษาทุกวันนี้ล้างผลาญโลก คนที่มีความรู้สามารถแต่กิเลสไม่ลดก็เอาความรู้สามารถไปเอาเปรียบเขาเพราะกิเลสไม่ลด การศึกษาทางโลกที่ไมลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ เมืองไทยเป็นพุทธสอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้าในหลวงมีทิศทางโลกุตระนี่คือศิวิไลซ์ที่แท้จริง แต่อย่างทุนนิยมนี่ศิวิไลซ์ปลอม

ลึกๆอยากเห็นผลสำเร็จประเทศไทยเป็นอย่างในหลวงอย่างพระพุทธเจ้า ประเทศไทยไม่เป็นหนี้ใคร แต่ตอนนี้รัฐบาลตั้งหน้าตั้งตาเป็นหนี้ท่าเดียว

       ส.เพาะพุทธว่า ใครไม่เห็นด้วยก็ให้ไปเซ็นการไม่รับสภาพหนี้ และใครเห็นด้วยก็ไปเซ็นรับสภาพหนี้ 2.2 ล้านๆ

พ่อครูว่า...ก็เปิดช่องแดงดูได้ยินโหวงเหวงพูดก็ฟังแล้วโหวงเหวงจริงๆเลย เราต้องเอาประชาธิปไตยคืนมา..อย่างนี้เป็นการครอบงำความคิด เขาเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นแบบที่เขาคิดเห็นจริงๆไหม เขาก็ยกย่องภรรยาเขาอ.ธิดา พ่อครูก็ฟังอ.ธิดาบรรยาย เก่งจริงๆในการใช้วาทะกรรมครอบงำคน ทำให้เห็นว่า พ่อครูย่ิงต้องมาทำอย่างนี้ จนเขามองว่าพ่อครูร้อนจีวร พ่อครูก็ว่าไม่เป็นไรหรอก จะว่าอย่างไร แต่เรารู้ใจเราว่ามุ่งหมายทำเพื่ออะไร เชื่อว่าเรามีกุศลเจตนาจริง และที่สังคมจะดีต้องทำอย่างไร ประชาธิปไตยต้องทำอย่างไรก็ตามภูมิพ่อครู มีมาแต่เดิม ชาตินี้ไม่ได้ศึกษารัฐศาสตร์ การเมือง ในชีวิตนี้ไม่เคยไปลงคะแนนเลือกตั้งเลย ตั้งแต่เป็นฆราวาสจนมาบวช แต่ก่อนไม่เคยรู้ว่าใครเป็นรมต.เลย ไม่เอาถ่านเลย อย่างนั้นจริงๆ แต่พอมาสำนึกถือว่ามาเกิดวุฒิภาวะมาบวชจึงมี รู้ว่าเราปล่อยปละละเลย ไม่ช่วยบ้านเมือง เห็นความเลวของตน ใช้ไม่ได้เลย มุ่งแต่ทำมาหากิน กอบโกยโลกธรรมเห็นความชั่วตนก็ยิ่งต้องมาใช้หนี้วิบาก แม้อยู่ทางโลกก็ไม่ได้น้อยหน้าเขาเลย ก็รู้ว่าเราชั่วมาก่อน ก็เลยต้องมาทำส่ิงทดแทนสิ่งเคยทำผิด เราก็มาทำส่ิงดีทดแทนไม่อย่างนั้นก็จะมีวิบากมาก ไม่อยากให้คนอื่นมาบาปเหมือนเราในอดีตด้วย บ้านเมืองเดือดร้อนขนาดนี้คนในระดับสูงก็รอดสิ แต่ว่าในระดับล่างระดับกลางจะแย่นะตอนนี้

       พ่อครูว่า...คนเรากว่าจะเข้าใจความดีความไม่ดีของตน ว่ากว่าจะเข้าใจว่าตนเลวชั่วมา 36 ปีตั้งหน้าตั้งตาทำมาหาเงิน แต่ตอนนี้รู้แล้วมาทำคืนใครอย่ามาห้ามเสียให้ยากเลย

ส.เพาะพุทธว่า...ท่านคานธีกล่าวเรื่องความยืนหยัดกับความดื้อรันไว้ว่า..
ความดื้อรั้นกับความยืนหยัด สองอย่างนี้แตกต่างกันมาก การพยายามบังคับให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับทรรศนะของตน เป็นความดื้อรั้นอย่างหนึ่ง ส่วนความยืนหยัด ได้แก่การที่เรามีแนวคิดเป็นของตนเอง
และปฏิบัติตนจนผู้อื่นเห็นด้วยกับแนวความคิดนั้นด้วยใจสมัครของเขาเอง

       พ่อครูว่า..ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสที่ว่า...ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ...  หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้นก็หามิได้

       ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

       ส.เพาะพุทธว่า...มีคนถามว่า “พุทธวจนะ” นั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งใช้สอนอยู่ แต่ไม่เห็นมีสมณะสิกขมาตุพ่อท่านนำมาสอนเลย แล้วเชื่อได้หรือไม่?...คือท่านอ.คึกฤทธิ์ ท่านพยายามนำคำสอนเฉพาะของพระพุทธเจ้าจากพระไตรฯมาสอนไม่พยายามนำมาจากที่อื่น ก็เห็นว่าเป็นส่ิงดี

   พ่อครูว่า...พ่อครูเป็นคนที่ไม่อ่านอรรถกถาและคำภีร์ระดับรองเลย อ่านแต่พระไตรปิฎก ในพระไตรฯไม่ใช่มีแต่พุทธวจนะเท่านั้นแต่มีของพระเถระ เถรีด้วย หรือแม้แต่ฆราวาสที่เป็นอาริยบุคคลก็มีด้วย พ่อครูเคารพในคำสอนเหล่านั้น ล้วนเป็นอาริยสงฆ์ ไม่ได้ตีทิ้ง....จบ


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 17:31:32 )

560930

รายละเอียด

560930_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิของพระอาริยะ ตอน 2

       อ.กฤษฎาดำเนินรายการ ...ตอนนี้เราอยู่มาสองเดือนแล้ว รายการอ.ประมวลที่ผ่านมานี้ ทำให้เห็นภาพการต่อสู้ของทิเบตเขาต่อสู้ยาวนานกว่าเรามาก

พ่อครูว่า...เรื่องของจิตวิญญาณศาสนาพุทธที่ได้ปรับตัวจากสมัยพระพุทธเจ้าก็ได้แปรรูปมาเรื่อยๆ จนกลายสภาพเป็นแบบหนึ่งที่เรียกว่านิกายทิเบต เขาทำได้ถึงขั้นผู้ที่ยิ่งใหญ่จริงๆคือทะไล ลามะ องค์เดียวเสร็จเลย ทั้งการเมืองรัฐศาสตร์และศาสนาองค์เดียวเลย ไม่แยกว่าการเมืองอย่าเอาศาสนามาด้วย พูดไม่ได้เลย นี่คือพุทธชนิดหนึ่งที่น่าทึ่ง เพราะคุณสมบัติการเมืองและศาสนาคืออันเดียวกัน ไม่ว่าการเมืองหรือธรรมะ ผู้นำหรือผู้สูงคือมีธรรมะ มันน้อยสันโดษ สมถะไม่มีกิเลส ไม่เห็นแก่ตัว ทำงานรับใช้ผู้อื่น เป็นแต่เพียงลักษณะต้องเข้าใจสังคม ท่านสูงประชาชนก็ยกให้ท่าน แต่ท่านก็ย่ิงไม่เอา เป็นสัจจะย้อนสภาพ เมืองไทยประชาชนยกให้ในหลวง แต่ในหลวงไม่ใช้อิทธิพลอย่างรัฐบาลนี้ใช้เลย ซึ่งเขาใช้อำนาจหลายอย่าง แต่ในหลวงท่านไม่ใช้เลย ท่านก็ทำงานรับใช้ประชาชนไป แต่ท่านเป็นสิ่งสูง ภาษาพระเรียกว่าสมณสารูป หรือจะเรียกว่า ราชาสารูป ทางนักบวชก็ต้องเรียกว่าสมณสารูป คือมีรูปสถานะที่ต้องยกไว้ระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันหมด ต้องนอนต้องกิน ต้องนั่งอยู่อย่างเดียวกันหมด ประชาชนก็ให้ท่านไม่เอาก็ไม่ได้

       พระสารีบุตรถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานจะให้จัดการพระศพอย่างไร คนอื่นๆเขาก็สั่งไว้แต่พระพุทธเจ้าไม่สั่งไว้ แม้แต่ท่านพุทธทาสก็สั่งไว้ แต่พระพุทธเจ้าไม่สั่งไว้ ท่านบอกว่า เธอไม่ต้องกังวล เขาจะจัดการเอง เขาจะทำพระศพอย่างเต็มที่เลย ไม่มีใครห้ามกันได้ ประชาชนต้องแย่งกันทำเทิดทูลกันทำ แต่ท่านไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้ทำอย่างเลิศ นี่คือที่สังคมยกให้ แต่ตอนที่ท่านทรงพระชนชีพท่านก็ว่าไป แต่ท่านปรินิพพานก็ให้เป็นเรื่องของโลกไป

       จิตวิญญาณที่มีศาสนานำอย่างอ.ประมวลมาเล่าก่อนก็ดีเลย อย่างที่อ.ประมวลมาสัมผัสที่นี่ก็ได้ยินโศลก ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยๆฯ อ.ประมวลก็เข้าใจเลย อ.สอนลูกศิษย์ลูกหามาเรื่องปรัชญาศาสนามากมายเลย เมื่อกี้นี้ก็พลาดไปอย่างไรไม่รู้ พลาดเวลากัน รายการอ.ประมวลก็เลยล่าไป ที่จริงจะออกตอนสี่โมง จนกระทั่งเกือบหกโมงก็มาออกรายการ พ่อครูเลยบอกว่ายกรายการของพ่อครูนี้ให้ทางอ.ประมวลเลย แต่อ.ประมวลก็ตั้งใจว่ายังไม่พร้อม เพราะว่ามีข้อมูลที่จะใช้อินเสิรท พ่อครูก็เลยต้องมาตามเดิม ก็นัดกันวันหลังเลย พ่อครูก็อยากฟัง เพราะจิตวิญญาณศาสนานี่ อย่างญี่ปุ่นสายปัญญา แต่ธิเบตเป็นสายเจโต เหตุปัจจัยที่พอเหมาะพอดีนั้นยาก ต้องอาศัยมหาปเทส 4

       อ.กฤษฎาว่า...ครั้งที่แล้วเราค้างเรื่องสัมมาทิฏฐิ แต่ก่อนไปประเด็นนั้นผมมีประเด็นเรื่อง...พุทธศาสนาเรา มีคำพูดว่าพุทธกับพราหมณ์ไปด้วยกัน พราหมณ์มาก่อนพุทธ แล้วกระบวนการพุทธแท้เป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันมีคำพูดกันว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

       พ่อครูว่า เรื่องนี้ลึกซึ้งถึงอจิยไตยเกินคิด แต่ผู้มีภูมิจะพอรู้บ้าง ก็ขออธิบายว่า...เรื่องพราหมณ์กับเรื่องพุทธ เป็นเรื่องศาสนาที่แยกกันไม่ออก แต่มันต้องรู้ว่าจะต้องใช้เหมือนเหรียญสองด้าน ผู้ที่เข้าใจชัดก็ใช้เหรียญสองด้าน จะใช้ด้านไหนเด่นในกาละไหน ยุคไหน ถ้ายุคไหนเป็นพุทธก็ใช้อย่าง       อเทวนิยมเป็นด้านหน้าอเทวนิยมเป็นด้านหลัง แต่ยุคไหนเป็นพราหมณ์ก็ใช้อเทวนิยมเป็นด้านหน้า

       พราหมณ์เป็นจิตเทวนิยม สมัยนั้นมนุษย์เหมาะสมจะใช้จิตวิญญาณอย่างนั้น ฮินดูบริหารเต็มๆ เขาก็อยู่เป็นสุข เป็นประเทศที่ใหญ่มากประชากรน่าจะมากกว่าจีนด้วย พลเมืองเขาก็อยู่สงบ แต่มันกลับไปกลับมาโดยจิตวิญญาณมนุษย์ จิตวิญญาณที่รับอันไหนได้ก็สมสมัย เช่นยุคเจโตก็เป็นศาสนาพราหมณ์มีพระเจ้า แต่ในช่วงวาระศาสนาที่พราหมณ์หรือฮินดูเสื่อม จนพราหมณ์กลายเป็นพราหมณ์มหาศาล คือพราหมณ์ที่หลงโลก หลงโลกีย์ ฟู่ฟ่าอู้ฟู่เลย คือความเสื่อมของนักบวช ในยุคที่ต้องใช้พราหมณ์อยู่ด้านหน้า เป็นพราหมณ์รวยมหาศาล ได้รับยกย่อง และยุคนั้นพราหมณ์มีอำนาจสูงกว่ากษัตริย์ มาอยู่วรรณะที่ 1 นั่นคือความเสื่อม

       ที่นี้พุทธล่ะเมื่อถึงยุคพุทธ ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นอเทวนิยม พุทธเกิดก็ทำให้ประชาชนบริสุทธิ์จนพุทธเสื่อม พระก็กลายเป็นพระมหาศาล พระเต็มไปด้วยอำนาจ ทรัพย์สมบัติ ฉันเดียวกัน ศาสนาพุทธกับพราหมณ์เป็นแฝดเหมือนเหรียญสองด้าน ยุคนี้เราเอาพุทธมาใช้ ไม่เอาพราหมณ์มาใช้ ยุคก่อนเป็นยุคจิตวิญญาณซื่อบริสุทธิ์ ผู้ที่เป็นศาสนาก็ต้องรู้เหมือนกันว่าจะใช้เจโตพราหมณ์ก็ต้องใช้ อย่างธิเบตเป็นต้น

       อ.กฤษฎาว่า...เมื่อเปรียบเทียบเป็นเหรียญสองด้านก็เข้าใจชัด เป็นการเกริ่นนำว่าเราต้องมีสัมมา และกระบวนการสัมมาสมาธิมองอย่างไร รู้มิจฉา รู้สัมมา ว่าเป็นอย่างไร มี 10 ประการ ก็เข้าประเด็นเลย

       พ่อครูว่า...สำทับอีกว่าในยุคนี้กัปป์นี้ ยุคปลายแล้ว ศาสนาก็เสื่อม ที่จริงธรรมะไม่เสื่อม แต่คนเสื่อมก็เป็นไป ที่นี้พอมาถึงยุคนี้ ครึ่งพุทธกาลคือครึ่งของ 5000​ปีก็เลยเสื่อมไปมาก เพี้ยนไปมาก ก็พูดด้วยจริงใจ ไม่ได้ยกตนข่ม พูดด้วยจริงใจ ก็ไปเจอมหาจัตตารีสกสูตร ที่มีพลความชัดเจน คือหัวใจศาสนาพุทธ คือมรรคองค์ 8

       จิตเป็นประธาน ปฏิบัติธรรมเอาที่จิต แล้วทำจิตได้ผลอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนอย่างอเทวนิยม แต่ก็ไม่ตีทิ้งอเทวนิยมเอาแบบเหรียญสองด้าน ต้องเข้าใจชัดเจน

       ในสูตรนี้ท่านอธิบายอธิจิตสิกขา อธิบายสมาธิ จิตที่เป็นเอกัคคตาคือกำจัดสิ่งที่เป็นกิเลสออกไป จนเป็นหนึ่งเป็นเลิศเป็นยอด ไม่มีอะไรมายอดกว่านี้แล้ว แต่ไปแปลเอกัคคตาว่าเป็นหนึ่งเดียว และไปอยู่เดี่ยวๆ ที่จริง เอกัคตาคือจิตไม่มีเพื่อนสองคือกิเลสตัณหา

       สัมมาสมาธิคือจิตเป็นหนึ่งเอกัคคตา ที่เกิดจากมรรค 7 องค์ แต่ไปนั่งหลับตาเข้าภวังต์ก็เลยไปได้มิจฉาสมาธิ คือไม่มีสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติเหมือนประธานที่ไม่สัมมาก็พาไม่ได้มรรคผลหรือเป็นมิจฉาผล และสัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อคือ

สัมมาทิฏฐิ 10 (ที่ยังเป็น “สาสวะ”) #

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง)

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง) คือปฏิบัติแล้วไม่ว่าทำทานหรือทำยัญพิธีหรือศีล ก็ย่อมได้เกิดผลที่จิต เมื่อทำแล้ว มีผลหรือไม่? คือสาระสัจจะคือคุณทำทาน ทำศีลพรต คือสังเวยที่บวงสรวงแล้วจิตคุณได้รับผลไหม ท่านเรียกสั้นๆว่าหุตัง

4. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ 

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) #

       เขาแปลและเข้าใจกับปฏิบัติไม่ได้ก็เลยทิ้งมหาจัตตารีสกสูตรไป

       ในมรรคองค์ 8 มีกรรมทั้งกาย วาจา ใจ และต้องอ่านสภาวธรรม ว่าจิตเราได้โลกุตรธรรมหรือโลกียธรรมต้องชัดเจนไม่งมงาย สรุปคือการปฏิบัติทำสัมมาสมาธิคือลืมตาทำกรรมกิริยาปกติ นี่คือสัมมาสมาธิของพระอาริยะ ถ้าไปนั่งหลับตาทำสมาธิก็มีแต่จมหนาวยะเยือกดิ่งไปใต้ก้นทะเลเท่านั้น

       ต่อไปจะอธิบายสัมมาทิฏฐิข้อที่ 5 และข้อ 6 ต่อไปจากครั้งก่อนๆ

5. โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6. โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

        ต้องพูดคำว่า ปโรโลโกคือโลกหน้าโลกอื่นหรือโลกใหม่ ไม่ใช่โลกที่คุณอยู่นี้ ที่คุณเป็นทาสโลกียะผู้ใดเนกขัมมะออกจากโลกของโลกีย์ที่วนเวียนอยู่ มันเกิดกิเลสแล้วก็บำเรอกิเลสแล้วก็ดับไปเกิดใหม่อีก เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แค่นั้น เช่นจิตคุณติดอบายมุข ติดความอร่อยสนุกสนาน ลาภยศ เป็นอบายมุข ที่ตนไม่ค่อยรู้คือพวกโกงระดับนักธุระกิจ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูงที่มีช่องทางการโกง พวกนี้พวกผีปอบ ผีโขมด ดูดเลือดประชาชนไป พวกนี้มหาอบายมุข นักธุระกิจ เล่นหุ้นการเงิน จอร์สโซรอส ใช้เชิงชั้นที่คนไม่รู้ทันหลอกคนกิน

       อย่างเผด็จการทางสภาตอนนี้กำลังสร้างหลุมนรกให้กับตนเอง ก็บอกให้เขารู้เท่านั้นเอง พอนิดๆหน่อยๆ ให้คนได้เข้าใจอบายมุขให้ดี คนที่ตกในอบายมุขสุขทุกข์เพราะอบายเหล่่านี้ สมบัติผลัดกันชม ได้มาก็ไม่เที่ยง มันก็จากคุณ คุณก็จากมัน แต่ก็แย่งกันมากมาย นึกว่าเราได้เขาก็ใช้ทุกอย่างโกงกิน แต่สัจจะกรรมวิบากมีจริง  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก ไม่ว่าศาสนาไหน จะเอาศาสนาหรือไม่ก็ทำกรรมแล้วได้รับผลกรรมของตนทั้งสิ้น คนไม่รู้เรื่องก็ไม่เข้าใจ แต่บางคนแม้เข้าใจแต่กิเลสไม่ยอม เขาเข้าใจได้ไอคิวเข้าใจได้ แต่ไม่ยอมทำดีอย่างที่เข้าใจ

       โลกนี่ค้อจิตที่วนเวียนตามกิเลส แต่โลกหน้าคือเร่ิมจัดการทำลายกิเลสได้ เริ่มก็เรียกว่าโสดาปัตติมรรค ..ไปตามโลกุตรธรรม 9 ขั้นคือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตมรรค อรหัตผล  นิพพาน

       ผู้ที่ไม่เข้าใจโลกนี้โลกหน้าคุณจะปฏิบัติอย่างไร คุณจะไปถูกได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะไปโลกไหน กุศลโลกียะกับกุศลโลกุตระคุณแยกออกไหม ต้องเข้าใจสังโยชน์ 3

1.     พ้นสักกายทิฏฐิ  (มีญาณรู้เห็นตัวกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) .

2.    พ้นวิจิกิจฉา  (พ้นความสงสัยในตัวตนสักกายะกิเลส ) .

3.    พ้นสีลัพพตปรามาส  (ไม่ปฏิบัติย่อหย่อนในศีลพรตแบบ   ลูบๆ คลำๆ  ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่เอาจริง  ยังอสุรกายอยู่)

       สักกายะคือโจร ต้องฆ่าโจรให้ถูกตัว แต่วิธีนั่งสมาธิคือไปฆ่าคนทั้งประเทศเผาประเทศเพื่อฆ่าโจร แต่ของพระพุทธเจ้าจับโจรให้ได้ แล้วจับโจรได้แล้วอย่าเลี้ยงมันไว้ ลูบๆคลำๆ ไม่ใช่แค่ศีลพตปรามาส รู้โจรจับโจรได้แล้วก็ต้องกำจัดโจรสิ แต่ถ้าเลี้ยงมันไว้ก็เป็นศีลพตปรามาส แต่ก็ดีกว่าศีลพตุปาทานที่เขาพาไปทำอะไรก็ทำตามจารีตประเพณี ตามอาจารย์ถูกหรือผิดไม่รู้

       ต้องแยกโลกียะกับโลกุตระได้ โลกียะนั้นแค่ทำดีแต่ไม่รูัจักปรมัตถ์ สักกายะคือตัวกิเลสต้องแยกจากจิตแล้วจับให้ได้ แล้วก็ทำปหาน 5 และต้องรู้ว่าโลกนี้โลกหน้าคืออะไร แต่ไปรู้แค่ว่าโลกหน้าคือตายไปแล้วจะไปสวรรค์นรกอย่างนี้ก็พิสูจน์ไม่ได้สิ ต้องตายไปพิสูจน์อย่างนี้ไม่เป็นเรื่องพิสูจน์ได้

       ในสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 4 เป็นเรื่องของกรรม เรื่องวิบาก เราต้องแยกได้ว่าเป็นกุศลโลกีย์หรือโลกุตระ ถ้าไม่รู้โลกุตระธรรมก็แยกไม่ออกหรอก ต้องรู้จิตเจตสิก

        7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

        8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

       คือแม่พ่อทางจิตวิญญาณไม่ใช่แม่พ่อทางร่างกาย ต้องรู้แม่ที่คลอดสัตว์อบายคือแม่ไม่มีศีล ทำคลอดออกมามีแต่สัตว์นรก ปัญญากับศีลจะช่วยกัน ศีลเป็นแม่ปัญญาเป็นพ่อปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ (โสณทัณฑสูตร ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ล.9  ข.193)

       ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

        9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

       มีสติวินัยพระพุทธเจ้าให้ยกไว้ในพระอรหันต์ แม้แต่ปาจิตตีย์ท่านมีสติรู้ว่าท่านจะทำอะไร มุ่งหมายทำอะไร พ่อครูไม่ได้ทำผิด พ่อครูเป็นสมณพราหมณ์ผู้นั้น กรณีปาจิตตีย์คือแม้มีอุตริมนุสธรรม แล้วอวดแก่ผู้ไม่เหมาะควรรับธรรมะไม่ได้ แต่พ่อครูได้อวดอย่างละเอียดละออ กาละนี้ได้พูดต่อหน้าสาธารณะเป็นจำนวนมาก พวกคุณก็ฟังกันได้ส่วนมาก หลายคนอาจตะหงิด แต่ก็มีธรรมรสก็มี

       ใน 10 ข้อนี้ถ้าคุณไม่เข้าใจ มิจฉาเป็นมิจฉา สัมมาเป็นสัมมา ผู้นี้ก็มิจฉาทิฏฐิ แต่ผู้แยกออกได้ว่าอย่างนี้สัมมา อย่างนี้มิจฉา ก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่นทานคุณแยกออกว่าอย่างนี้สัมมาอย่างนี้มิจฉา คุณก็สัมมาทิฏฐิ คุณแยกออกในแต่ละข้อสัมมาทิฏฐิว่าอันไหนสัมมา อันไหนมิจฉาก็คือคนสัมมาทิฏฐิ แยกออกว่าสัตว์ทางจิตวิญญาณไหนเป็นนรก เป็นเทวดา เป็นสมมุติเทพ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ ก็ไล่กันไปเป็นลำดับ มีปฏิพัทธ์สัมภาคทวี มันลึกซ้อน มีหลายมิติซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่นญาณ 16

4.(1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ

5.(2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย

6.    3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป 

10.   (7)ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง .  การปฏิบัติที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีกจนสำเร็จยิ่งขึ้น

11.   (8)สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางวางเฉยต่อสังขารปรุงแต่งทั้งหลาย

12.   (9)สัจจานุโลมิกญาณ  หรืออนุโลมญาณ ญาณอันเป็น ไปโดยอนุโลมต่อชาวโลก  ต่อสมมุติสัจจะทั้งหลาย   โดยใช้ สัปปุริสธรรม 7 ที่รู้จักประมาณสัดส่วนต่างๆ 

       ต้องรู้สังกัปปะ 7 คือ

1.     ความตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) .

2.    ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น  (วิตักกะ) .

  ความดำริ-มีความคิดปรุง  (สังกัปปะ) (ผลที่ดี ย่อมมีชำนาญในครรลองแห่งใจ จะคิด-ไม่คิด  ก็ย่อมทำได้ตามประสงค์  เพราะมี “เจโตวสิปัตตะ”)

4. ความแน่วแน่    (อัปปนา) . .

5. ความแนบแน่น (พยัปปนา)

6. ความปักใจมั่น  (เจตโส อภินิโรปนา) .

7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร)

       มีคนส่งข้อความว่ารู้แล้วว่าฟังพ่อครูก็รู้สึกเข้าใจปล่อยวาง แม้ฟังไม่เข้าใจทั้งหมด

       พ่อครูว่า..พอปฏิบัติมันก็จะมีอินทรีย์ 5 พละ 5 มันจะยินดีพึงใจ มีสติตื่นรู้ ย่ิงจะเกิดจิตตั้งมั่น

1.     สัทธา (ความเชื่อที่ปักมั่นยิ่งขึ้น เป็นสัทธินทรีย์ ฯ) .

2.    วิริยะ (ความเพียรที่มีพลังขึ้น เป็นวิริยินทรีย์ ฯ)

3.    สติ (ความระลึกรู้ตัวแววไวขึ้น เป็นสตินทรีย์ ฯ) .

4.     สมาธิ (ความมีจิตตั้งมั่นแข็งแรงเป็นฌานยิ่งขึ้น ฯ)

5.    ปัญญา (ความรู้จริงในความจริงแห่งธรรม ฯ) #

       อ.กฤษฎาว่า...มีคนบอกว่าพ่อครูคิดเอาเอง

พ่อครูว่า...สมัยที่มีพระพุทธเจ้าอยู่ก็ต้องปรึกษาพระพุทธเจ้าแต่สมัยนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ก็ต้องตัดสินใจเอง

อ.กฤษฎาว่า...พอเราเริ่มเข้าใจสัมมาทิฏฐิจะนำไปสู่การสะสมปัญญา เพื่อพัฒนาการปฏิบัติธรรม แต่คนทั่วไปไปนุ่งขาวห่มขาวมาก็ว่าไปปฏิบัติธรรม อย่างนี้ถูกไหม

       พ่อครูว่า...คนใดอาจารย์ใดก็ต้องเชื่อว่าของท่านถูก ส่วนคนไหนจะเป็นคนถูกจริงก็สัจจะตัดสิน ให้คนแต่ละคนคัดสรร ตัดสินใจเอง พระพุทธเจ้าจึงแยกสุดท้ายว่า เมื่อมีคนขัดแย้งกัน คุณก็ฟังทั้งสองสำนัก แล้วแยกแยะอันไหนเป็นธรรมวาที อันไหนเป็นอธรรมวาที ก็เลือกเอง ไม่มีใครครอบงำความคิด

       คุณต้องทำสังโยชน์ 3 คือ

1.     พ้นสักกายทิฏฐิ  (มีญาณรู้เห็นตัวกิเลสหยาบว่าไม่ใช่เรา) .

2.    พ้นวิจิกิจฉา  (พ้นความสงสัยในตัวตนสักกายะกิเลส ) 

3.    พ้นสีลัพพตปรามาส  (ไม่ปฏิบัติย่อหย่อนในศีลพรตแบบ   ลูบๆ คลำๆ  ทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่เอาจริง  ยังอสุรกายอยู่)#

       ไอคิวนี้คือพรสวรรค์เพ่ิมยาก แต่อีคิวนี้เพ่ิมได้ คือพรแสวง จะฉลาดรู้ข้างในและข้างนอกด้วย เป็นสิ่งใหม่รวมเหตุปัจจัยสู่จิต เป็นความฉลาดทางอารมณ์ ที่สำคัญกว่าความฉลาดไอคิว

       อ.กฤษฎาว่า...การฟังธรรมจะมีการพัฒนาอีคิว แล้วจะเข้าใจเข้าถึงและพัฒนาได้ จะเป็นคำตอบได้ต่อการออกมาชุมนุมได้

       พ่อครูว่า...วันนี้อธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 แค่นี้ก่อน

       พ่อครูว่า...เราจะสามารถสร้างเสริมมวล ทำให้ประชาชนเกิดอีคิวที่สร้างได้หรือพรแสวง ส่วนไอคิวคือต้นทุนของแต่ละคน ก็ไปแย่งเอายาก แต่เอาได้คืออีคิว Emotional Quotient

       อ.กฤษฎาว่า...มีคนพยายามตั้งประเด็นว่าคนน้อยลง

       พ่อครูว่า...ไม่มีปัญหาคนน้อยคนมาก แต่มั่นใจว่าการเมืองขาดธรรมะไม่ได้ แต่เพราะไปแยกธรรมะออกจากการเมือง ประเทศก็เลยซวย แต่ก็เห็นใจว่า ถ้าธรรมะอ่อนแอ และการเมืองแข็ง ส่วนมากธรรมะจะสู้การเมืองไม่ได้ การเมืองฉลาดแกมโกงกว่า หากปล่อยให้นักธรรมะมาเกี่ยวกับการเมือง นักการเมืองก็ใช้เจ้าอาวาสเป็นหัวคะแนนหมด ธรรมะก็เป็นเครื่องมือการเมืองหมด เขาก็ต้องกันไว้ แต่ที่พ่อครูออกมานี่ก็มั่นใจหมู่กลุ่ม ก็ค่อยๆออกมา จนทำได้ขนาดนี้ คนกลัวพ่อครูพาทำเสื่อม แต่พ่อครูก็ระมัดระวัง พ่อครูทำมาด้วยมือยากแสนยาก เลือดตาทะลัก พ่อครูระมัดระวัง ผู้ที่ไม่สามารถก็อย่าบังอาจมาทำในวงการเมือง มันเคี่ยวจริงๆ นักการเมืองวันนี้ ด้านตาใสจริงๆ

       การเมืองเอาการเมืองแก้ไม่ได้หรอกทำมา 81 ปีแล้ว การเมืองต้องแก้ด้วยธรรมะแต่เอาธรรมะโลกียธรรมมาแก้การเมืองไม่ได้ทั้งโลก ต้องเอาโลกุตรธรรมมาแก้ แบบที่คนมี พลัง4 แท้จริง ที่คุณว่า คนน้อยลง นั่นคุณตะกละ แต่คนที่มาชุมนุม พ่อครูแทรกโอสถทิพย์เข้าสู่รูขุมขนนะ แต่ก่อนให้เบาๆไม่ให้รู้สึกตัว แต่ตอนนี้ให้ยาแรงขึ้น และหลายคนก็รับยาแรงได้มากขึ้น แต่ก่อนนี้ไม่เอาก็ค่อยๆแทรกยาทิพย์เข้ารูขุมขน มาถึงวันนี้ก็บอกยาเลย ว่าขนานนี้เอา ขนานนี้ไม่เอา ก็ก้าวหน้าเรื่อยๆ

       เมืองไทยเป็นเมืองปัญญา ก็เข้าใจง่าย ส่วนถ้าเป็นแดนเจโตต้องแสดงขลังๆๆ แต่แดนปัญญาต้องแสดงปัญญาเปรี้ยงๆๆๆ สักวันหนึ่งดอกไม้บานสะพรั่ง สักวันหนึ่งคนจริงจังจักหลากหลาย สักวันหนึ่งคนดีทั้งหญิงชาย จักเกิดขึ้นมากมายในแผ่นดิน เป็นคำประพันธ์ของอ.สุเทพ อัตถากร

       ขอสรุปว่า ที่เราทำนี่ค่อยเป็นค่อยไป ก็ยาวให้เป็นฯ จะมีเหตุปัจจัยให้ค่อยๆเห็น ผู้รู้เขาจะรู้ อย่างอ.ประมวลมีเจโตคู่กับปัญญาด้วย และก็หนักไปทางเจโต คุณมาฟังอ.ประมวลต้องเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตา

       พ่อครูทำงานมา 43 ปีแล้ว บวชปี 13 ก็เห็นอัตราการก้าวหน้า ว่าเอาอภิธรรมมาอธิบายต่อสาธารณะ ก็ก้าวหน้าอย่างดีเลย แล้วมีคนบอกว่าคนหนีหมด เพราะเขาอยู่แต่ที่บ้านเห็นภาพไม่หมด ก็เป็นธรรมดาของคนเพ่งโทส จับผิด ไม่ศรัทธา ส่วนคนเข้าใจเพ่ิมขึ้นก็มี ไม่ต้องบังคับหรือขอร้อง เป็นเรื่องของจริงอย่างพระพุทธเจ้า ที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  #มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

       พ่อครู.ว่า...เราทำทั้งธรรมะ การเมือง  และสังคม ตอนนี้กำลังเคี่ยวงวดแล้ว เพราะเขาด้านตาใสมากเลย พ่อครูก็พาทำปิดทองลำไส้พระ เข้าไปปิดในที่ลึกๆ ในใจไม่ได้อยากออก แต่ก็ต้องทำอย่างที่ควร ปางนี้พ่อครูว่าเป็นปางหมาจรจัด ก็หลบปังตอ หลบน้ำร้อน หากินตามประสาหมาจรจัด หนีไม่ทันก็โดนตี โดนปังตอ โดนน้ำร้อน เหมือนแอบหากินไป โดยตนเองไม่มีอลังการอะไร รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ศักดิ์ศรีไม่มี ย่ิงธรรมะแล้วไม่มีสำนักไหนรับรองเลย

       พ่อครูเคยบรรยายตอนอยู่วัดมหาธาตุ ว่าจะแสดงธรรมให้ตายภายใน 5วันได้ เหมือนพระโมคคัลลานะก็ถูกเขาฆ่าตาย ขนาดมีฤทธิ์ แต่พ่อครูไม่มีฤทธิ์ก็ได้ขนาดนี้รอดมาขนาดนี้ก็ต้องชมแล้ว ใครไม่ชมก็ชมตัวเองแล้วกัน....จบ


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 17:34:03 )

5610013

รายละเอียด

5610013_รายการเทศน์หน้าศพสิกขมาตุผุสดี สะอาดวงศ์ โดยพ่อครู

เรื่อง สิกขมาตุองค์แรก รูปสำคัญของชาวอโศก

(อรหันต์รูปแรกของชาวอโศก)

 

       วาระนี้เป็นวาระที่สำคัญมากๆ คนทั่วไปก็คิดว่ามีงานศพก็มีคนมาฟังธรรมสวดศพก็ธรรมดา แต่เนื้อหาจะมีความสำคัญชนาดไหนก็ติดตามดู

       สิกขมาตุชื่อ ผุสดี คำว่าผุสดี มีความหมายว่า ถูกต้อง ,สัมผัส,ประกอบกัน,ประชุมกัน,สัมผัสไม่ขาดกัน,ยังรวมกันอยู่ ,แปลว่าบรรลุ,ความได้รับ,เป็นประกาย,โปรย ,พรม...ความหมายเหล่านี้ลึกซึ้งมาก

       ก็ขอเกริ่นก่อนเลยว่า สิกขามาตุรูปนี้เป็นองค์แรก รูปสำคัญ เป็นผู้บรรลุธรรม จะขั้นไหนจะใช้พระไตรปิฎกมาให้พวกคุณเทีียบ วันนี้เป็นครั้งแรกที่อาตมาจะประกาศว่าผู้นั้นผู้นี้บรรลุขั้นไหน จึงเป็นการบรรยายครั้งสำคัญ

       แม้แต่คำว่า ได้รับ ,เป็นประกาย,พรม ก็เป็นความหมายละเอียดลึกซึ้ง เป็นชื่อเดิม ไม่ได้ตั้งให้ใหม่ สิกขมาตุรูปอื่นอาตมาตั้งชื่อให้หมด แต่รูปนี้ไม่เคยเปลี่ยนท่านก็ไม่เคยบอกให้เปลี่ยน

       ก็ขอบรรยายถึงปรากฎการณ์จริง Phenomenol ซึ่งมั่นใจว่าชาวอโศกจะเป็นผู้ยืนยันถึง ปรากฎการณ์วิทยา(Phenomenology) ตั้งแต่ญาณศาสตร์(Prophecy) มาถึง ปรัชญา(Philosophy) มาถึง ญาณวิทยา(Epistemology) จนมาเป็นปรากฎการณ์วิทยา

       ญาณศาสตร์ อันแรกเลย มันจะพัฒนาไปเป็นความรู้ที่คนยอมรับคือเป็น ศาสดาพยากรณ์(Prophet) มีความรู้ลึกซึ้งบอกได้หมด อย่างนอสตราดามุส ถ้า ญาณศาสตร์(Prophecy) จะออกไปทางเจโต ส่วนปรัชญา(Philosophy) จะออกไปทางปัญญา ซึ่งแบบปรัชญามีหลักฐานอ้างอิง แต่ว่าญาณศาสตร์จะไม่มีเหตุมีผลอะไรเท่าไหร่

       แต่ปรัชญาก็ยังไม่มีหลักฐานอ้างอิงจริงเท่าญาณวิทยา ซึ่งมีเหตุมีผลเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ก็ถือว่าเป็นความรู้ที่สูงแล้ว ส่วนปรากฎการณ์วิทยา ก็ไม่รู้ว่ามีใครบัญญัติคำนี้ไหม ดูเหมือนมีการใช้อยู่เหมือนกัน แต่ว่าเราก็ใช้ของเราตามที่เราคิด ใครเห็นว่ามีสาระก็รับไป

       ปรากฎการณ์วิทยา(Phenomenology) อย่างเราไปทำงานการเมืองก็ไปทำอย่าง ปรากฎการณ์วิทยา(Phenomenology)มีสิ่งจริงเกิด มีบุคคลร่วมกันทำเป็นพฤติกรรมสังคม เราทำจริงไม่ใช่เสแสร้ง ไม่เป็นมายาภาพ เป็นการฝึกตนด้วย ผู้ฝึกได้จริงก็ได้เป็นของตน และมีผลต่อสังคมด้วย

       อาริยบุคคล (ขอไม่ใช้คำว่า อริยบุคคล,อารยะชน เราไม่ใช้เพราะเป็นการเจริญแบบโลกๆหรือว่าก็เป็นแบบฤาษี) ซึ่งขึ้น ปรากฎการณ์วิทยานั้นเป็นสิ่งจริงมีทั้่งรูปและนามอยู่ครบ จนเป็นบุคคลเป็นสังคมอโศก ว่าเรามีเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์เราอย่างนี้ แล้วเราเป็นภัยต่อสังคมไหม เป็น Phenomena ให้เข้าใจได้

       ผู้ที่ให้ข้อมูลมาเป็นผู้ใกล้ชิดให้ข้อมูลมา บอกว่า สิกขมาตุผุสดี สะอาดวงศ์ ท่านเป็นผู้จัดสมดุลได้ยอ่างลงตีว สามารถทำกิจกรรมของนักบวช ได้ตามวรรณะ 9 คือ

1. เลี้ยงง่าย  (สุภระ) # เราดูแลกันมาจนอายุ 88 จนสิ้นลม เราพึ่งเกิดแก่ เจ็บตายกันได้จริง เป็นไปตามบารมีจะได้รับความดูแลก็ตามบารมี

2.บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) #ไม่เป็นภาระกับใคร ไม่เรื่องมากผู้ดูแลอยู่ใกล้แล้วมีความสุข ซึ่งหายากที่คนแก่แบบนี้มีอยู่

3. มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) #แม้ช่วงเป็นฆราวาส ทำงานถูกโกงก็ไม่เอาเรื่องใคร ยิ่งมาเป็นนักบวชยิ่งสมถะ

4.ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

#มีใจพอ ได้ลาภมาก็แบ่งปันเอาเฉพาะที่กินใช้

5.ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) #เอาอาหารปนรวมกันแล้วฉันเป็นเรื่องปกติ จนวันสุดท้ายของชีวิต งดฉันนม สาหร่าย วันพระไม่เด็ดผักฉันเอง ถ้าได้ปัจจเวกขณ์แล้วใครมาถวายอาหารจะไม่รับ

6.เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) #ถือศีลกินเจมาตั้งแต่ 9ขวบ ฟังพระเทศน์ครั้งเดียวก็งดเนื้อสัตว์ แต่ยังกินไข่ ตอนหลังมาก็งดไข่ด้วย ทานอาหารมังสวิรัติบริสุทธิ์มา 75 ปี

7.มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  #เบิกบานแจ่มใส อารมณ์ดีเสมอ สวดมนต์ก่อนนอน ตื่นนอนเสมอ ฉันอาหารจะห่มชุดสิกขมาตุเสมอ ซักเสื้อผ้าเอง แม้ในวันสุดท้ายของชีวิต แม้ผู้ดูและจะบอกว่าไม่ต้องก็จะทำเอง

8.ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) #ได้รับอะไรก็แจกจ่ายหมดไม่กักตุน

9.ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) #ระดมความเพียร หรือขยันเสมอ ต่อเนื่องไม่ขาดตอน สบายใจ เหนื่อยก็พัก ไม่เหนื่อยก็ขยันทำงาน เราไม่พักเราไม่เพียร ทำอะไรเสมอต้นเสมอปลาย บิณฑบาตตลอด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตื่นมาออกกำลังกายแต่ตีสอง ตีสามก็จะสวดมนต์ทำวัตร ทำงานเสมอๆ พับถุงปุ๋ยที่โรงปุ๋ย ช่วงหลังไปลำบากอาวุโสก็จะนำถุงมาให้พับที่ที่พัก ท่านบอกว่าอยากทำงานไม่อยากอยู่เฉยๆ จะอยู่เฉยๆไปทำไม?

       ท่านเป็นตัวอย่างของนักบวชหญิงที่เคร่งครัด ทำอย่างต่อเนื่อง ทำอย่างเบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ

       สิกขมาตุผุสดีถือว่าเป็นนักบวชหญิงรูปแรกของชาวอโศก อาตมาไปอยู่ที่วัดอโศการามบวชแล้ว สิกขมาตุผุสดี ไปอยู่ที่วัดตอนหลัง แล้วก็อยากถือศีล 10 ไปขอกับท่านเจ้าคุณ แต่ท่านเจ้าคุณไม่ให้ ก็เลยมาขอกับอาตมา อาตมาก็เลยให้ศีล 10 เป็นคนแรก ในชุดขาวเป็นชีขาว แล้วทำจริง คือไม่สะสมเงินทองข้าวของ ปฏิบัติมาตั้งแต่รับศีลมาจนสิ้นชีวิต ซื่อตรง เป็นคนอยู่ในศีลในธรรมอย่างบริสุทธิ์สะอาด เห็นนามสกุลสะอาดวงศ์ญาติๆก็ดีใจเถอะ

       ที่จริงสิกขมาตุบวชอยู่ที่วัดอโศการามก่อน แต่สิกขมาตุนัยนามาทีหลัง ซึ่งชื่อนั้นมีความหมายในนั้นหมด เป็นเรื่องที่อย่าไปคิด มันต้องเป็นเช่นนั้น เช่นพระพุทธเจ้าอุบัติ แผ่นดินต้องไหว ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นอจินไตยเกินคาดคิด ในศาสนาเทวนิยมคือสิ่งที่เขารู้ไม่ชัดว่า มีเหตุปัจจัยครบก็จะเป็นได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ นามธรรมก็พิสูจน์ได้ พุทธรู้ได้ แต่ศานาเทวนิยมรู้ไม่ได้ เป็น ปรากฎการณ์วิทยา ที่ยืนยันสัมผัสพิสูจน์ได้ ใครมีนามธรรมถึงก็จะสัมผัสได้

       สิกขมาตุนัยนาบวชก่อน แต่ว่าก็ยอมยกให้สิกขมาตุผุสดีเป็นภันเต เพราะบวชเป็นชีขาวก่อน แต่ว่ามาเปลี่ยนเป็นชุดสีน้ำตาลทีหลัง ก็มีสิกขมาตุที่เป็นนักบวชหญิงของชาวอโศก ซึ่งตำรวจเขาติดไว้ที่รถตู้เขาว่า สิกขาตุหญิง สิกขมาตุชาย เขาก็เตรียมการไว้หมด ตำรวจเขาจัดการ

สิกขมาตุผุสดีจะเข้าข่ายตามอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้าได้แค่ไหนอย่างไร?

       บุคคลในโลกที่พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ เรื่องบุคคล 4

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   แต่ไม่ได้โลกุตร

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ     แต่ไม่ได้เจโตสมถะ .

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ   และได้ทั้งโลกุตระ

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ  และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

#     ซึ่งบุคคลชนิดที่ 4 มีอยู่มากทั่วโลก ส่วนพวกได้เจโตสมถะก็ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ ส่วนผู้ได้โลกุตระคือได้ฌาน ที่เป็นวิธีทำให้เกิดความสงบเกิดสมาธิ

       บุคคล 6 จำพวก

1.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า

3.พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มีนัยละเอียดคือ บุคคลใด้มิได้ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ไม่ได้สดับมาก่อน ทั้งบรรลุสาวกบารมีด้วย ก็คือยกตัวอย่างมาสองรูปที่เป็นแบบนี้ คือท่านรับช่วงจากพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม ต่อจากนั้นจะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ก็จะเป็นสยัมภูองค์ใหม่ ซึ่งจะเป็นพระสารีบุตร พระโมคัลลานะหรือองค์พระโพธิสัตว์องค์อื่นก็ได้ ดังนั้นข้อนี้คือ ผู้มีสยังอภิญญา แต่ไม่ขาดจากพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่จะต้องไปรับเอามา แม้พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสารีบุตรพระโมคคัลลานะก็จะมีสยังอภิญญา อาจไปรับจากพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีก เหมือนพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ได้รับจากพระพุทธเจ้าองค์อื่นอีก ทางมหายานถือว่าพระสารีบุตรและโมคคัลลานะเป็นโพธิสัตว์ แต่เถรวาทถือว่าเป็นอรหันต์ตอนที่มาพบพระพุทธเจ้า แต่ที่จริงท่านเป็นโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์มาก่อนแล้ว

4. พระอรหันต์ คือบุคคลผู้มิได้ตรัสรู้สัจจะทั้งหลายมาก่อน แล้วมาบรรลุอรหันต์ในชาตินี้

5.พระอนาคามี

6.พระโสดาบัน พระสกิทาคามี

 

        บุคคล 9

1.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2.พระปัจเจกพุทธเจ้า

3.อุภโตภาควิมุติ

4.ปัญญาวิมุติ

5.กายสักขี

6.ทิฏฐิปัฏฏะ

7.สัทธวิมุติ

8.ธัมมานุสารี

9.สัทธานุสารี

คำว่าอุภโตภาพ คือผู้บรรลุธรรมพร้อมครบทั้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ

        ในบุคคล 7 จะมี

       สายศรัทธา

1. สัทธานุสารี

3. สัทธาวิมุติ

5. กายสักขี 

(ต้องอาศัยวิโมกข์ 8)

        สายปัญญา

2. ธัมมานุสารี

4. ทิฏฐิปัตตะ

6. ปัญญาวิมุติ

(มีวิโมกข์ 8 มาตลอด)

7. อุภโตภาควิมุติ  รวมทุกสายที่บรรลุครบครัน

       อุภโตภาควิมุติไม่ว่าสายศรัทธา หรือสายเจโต ก็ถือว่าครบมีวิมุติพร้อมสองอย่าง แต่สิกขมาตุ     ผุสดีเป็นสายศรัทธา มีกายสักขี

       กายสักขี คำว่า กายคือองค์ประชุม ทั้ง กาย วาจา ใจ เห็นได้ด้วยตา ยืนยันได้ว่ามีวรรณะ 9 ในบุคคลนี้มีเงื่อนไขว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย มีสัมมัปปัญญา ต้องมีปัญญารู้วิญญาณฐีติ สัตตาวาส 9 มีปัญญารู้ว่า กายและเวทนา ต่างกันหรือตรงกัน องค์ประชุมของสัจธรรมเหล่านี้ แตกต่างกัน

       สัญญาเหล่านี้ต้องมีมิจฉาหรือสัมมา ต้องกำหนดให้รู้ได้ถึง เป็นสัตว์นรกหรือเทวดา สมมุติเทพหรืออุบัติเทพ หรือวิสุทธิเทพ มีภาษา แต่ภาษานั้นมีสภาวะรองรับ ต้องอ่านของตนออก

       ผู้เป็นสายเจโต ศรัทธา จะมีปัญญาลึกแหลมได้ยาก คนมีปัญญา แต่อ่านเจโตวิมุติไม่ออก ท่านเป็นอรหันต์แล้วแต่อ่านตนเองไม่ออก มีกายสักขีแล้ว แต่ไม่มีวิโมกข์ 8 ท่านรู้ไม่ครบ ปฏิกิริยาของจิตวิญญาณท่านรู้ไม่ครบ

       กายสักขีมีผู้สามารถดับอาสวะบางอย่างได้ แต่อาสวะสิ้นแล้วจริงๆ บอกเลยสิกขมาตุผุสดีมี เป็นของจริง อาตมารับรอง สายปัญญา ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่สัมมาทิฏฐิ แต่สายศรัทธาจะรู้ไม่ชัดหรอก

       ทิฏฐิปัฏฏะ ภาษาสันสกฤษคือทฤษฏี คือความเห็นความรู้ความเข้าใจมาปฏิบัติให้เข้าถึงเป็นปัฏฏะ

       สัทธาวิมุติ มีวิมุติอาจไม่สมบูรณ์ ต้องพิสูจน์ตนเองไม่มีครบพร้อม มีกาเยนผุสิตวา วิหาริติ เป็นปัจจุบันนั่นเที่ยง สัมผัสอยู่ก็อ่านออกหลัดๆว่า ว่างจากกิเลสอยู่ ไม่ใช่คาดคะเนเอาของเก่า แต่ว่านี่สัมผัสอยู่บัดเดี๋ยวนั้นเลย เป็นปัจจุบันธรรมเลย สัทธวิมุติคือทำวิมุติได้ด้วยศรัทธา แต่ปัญญาไม่ค่อยคล่อง จะทำกายสักขีได้ ยืนยันความจริงได้ เพียงแค่ไปฟังนิดหนึ่ง ใครรู้จักคุณปรีชากับคุณจำลอง คุณจำลองสายปัญญา แต่คุณปรีชาสายเจโต

       ธัมมาสุสารีย์ คือผู้หาธรรมะตามสาระ(สารีย์) ซึ่งต่างจากสัทธานุสารีย์ คือผู้มีศรัทธาเป็นตัวทำ เป็นประธาน บุคคลผู้ได้ผลในสายนี้จะได้เป็น สัทธาวิมุติ และได้กายสักขี แต่ต้องตรวจสอบด้วยวิโมกข์ 8 ครบด้วยกาย

        สิกขมาตุผุสดี มีบารมีเก่าแล้วมาแสดงหา พอมาฟังก็ได้เลย อาตมาเป็นสายปัญญาจะรู้ได้เร็ว อย่างพระสารีบุตร ที่ไปฟังพระอัสสชิ ที่เป็นพระอรหันต์รุ่น 1 เลย ก็เลยบอกว่าพระสารีบุตรว่า “พระสมณโคดมกล่าวว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ ดับเหตุทุกอย่างก็ดับ” พระอัสสชิพูดแค่นี้ก็เข้าใจเลย ตอนนั้นพระสารีบุตรเป็นศิษย์ของสนชัยเวลัทบุตร เป็นสำนักใหญ่ 1 ใน 6 ในสมัยนั้น เรียนเท่าไหร่ก็ไม่บรรลุ แต่ฟังพระอัสสชิแค่นิดเดียวก็บรรลุเลย ซึ่งไม่ใช้ปิ๊ง ซาโตริแบบเซน

       สายศรัทธานั้นเข้าใจยาก แต่ถ้าได้เข้าใจแล้ว บางทีแรง จะมีปีติ บางทีอุพเพงคาปีติ ปีติเวอร์เป็นได้สายเจโตจะเป็นมาก สายปัญญามีปีติไม่หวือหวามาก

       ผู้ที่ปฏิบัติแล้วอ่านจิตเป็นกำจัดกิเลสได้ มีตทังคปหาน หรือว่าด้วยปัญญา การข่มกิเลสนั้นพระพุทธเจ้าว่าไม่สมบูรณ์แม้เป็นกายสักขีที่สะกดจนกิเลสแห้งตาย แต่พระพุทธเจ้าว่าให้กระแทกสิกว่ากิเลสจะฟื้นไหม ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย มีทวาร 6 สัมผัส แต่ว่าคนที่ทำแต่ภายนอกแล้วไม่ได้จริง เป็นอรหันต์ฺลึกลับไม่รู้จะช้านาน แต่ว่าคนที่ทำตามเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายจะเร็วกว่า เขาจะคล่องจะเร็ว เหมือนคนเล่นดนตรี เรียนรู้ตัวโน้ต โดเรมีฯ จะเร็ว แต่คนเล่นไม่ลำดับจะช้า ของพระพุทธเจ้ามีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย จะเร็ว พระพุทธเจ้าสายปัญญาจะตรัสรู้เร็วกว่าพระพุทธเจ้าสายศรัทธาและสายวิริยาธิกะ

       สิกขมาตุผุสดี มีกายสักขี เราจะดูจากการปฏิบัติดังนี้

       พระอรหันต์ขีณาสพเป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ มีปัญญาวิมุติหรือดอุภโตภาควิมุติ ถือว่ามีจิตที่มีกิเลสดับ ปัญญาก็รู้แจ้ง จึงไม่ต้องไปกล่าวว่า สายปัญญาจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ท่านบอกว่าสายปัญญาหรือธัมมานุสารีย์ไม่ต้องกล่าวว่าต้องมี สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะการปฏัติมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอยู่แล้ว ท่านทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว

       สายศรัทธาจะอ่านกิเลสไม่เก่ง อย่างอุปกิเลส 16 มี

1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)

2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)

3. โกธะ (โกรธ)

4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)

5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)

7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)

8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)

9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง)

10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง)

11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก)

12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน)

13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา)

14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน)

15. มทะ  (มัวเมา)

16. ปมาทะ  (ประมาทเลินเล่อ)

       สายปัญญาจะอ่านอุปกิเลสออก แต่สายปัญญาจะอ่านออกรู้ได้ การปฏิบัติต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย การปฏัติต้องมีผัสสะ อยู่ในป่าไม่มีผัสสะอะไรมากเท่าอยู่ในเมือง พระอรหันต์ 60 องค์แรก พระพุทธเจ้าให้เข้าเมืองหมด ไม่ได้ให้เข้าป่าแม้สักองค์เดียว

        วิธีปฏิบัติ

       พระพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 อานาปานสติสูตร       

[285]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็น  พระอรหันตขีณาสพ

อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว  ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว  ปลงภาระได้แล้ว  บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดย

ลำดับ  สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว  พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็

มีอยู่  ฯ

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นอุปปาติกะ  เพราะสิ้นสัญโญชน์

ส่วนเบื้องต่ำทั้ง  5  จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ  มีอันไม่กลับ  มาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา

แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯ

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระสกคาทามีเพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  และเพราะทำราคะ  โทสะ  โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น  ก็จะทำที่สุด

แห่งทุกข์ได้  แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้  ก็มีอยู่  ฯ

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้  ผู้เป็นพระโสดาบัน  เพราะสิ้นสัญโญชน์

3  อย่าง  มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา  แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ใน  เบื้องหน้า  แม้ภิกษุเช่นนี้ใน

หมู่ภิกษุนี้  ก็มีอยู่  ฯห

       พระโสดาบัน จะบรรลุสังโยชน์ 3 เหลืออีก 7 สังโยชน์ เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมโสดาฯ

1.     เอกพีชี  เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  (พระบาลีไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิดแบบเป็นตัวๆ เลย)

2.    โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก 2-6 ส่วนสังโยชน์ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)

3.    สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพหรืออริยชาติอีกเพียง 7 ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)

       แต่ไปแปลว่าสกิทาคามีว่าเหลืออีกชาติเดียว ก็ไปตรงกับเอกพีชี ที่จริงก็ไล่ไปตั้งแต่โกลังโกละ

บุคคล 5

1.โสดาบัน

2.สกิทาคามี

3.อนาคามี

4.อรหันต์

5.คือผู้ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37

       สรุปคือโพธิปักขิยธรรม 37 นี่แหละคือหลักปฏิบัติ จะอธิบายจนปากเปียกปากแฉะตลอดเวลา

       แล้วสิกขมาตุผุสดี มีหลักธรรมเช่นนี้ ปฏิบัติเช่นนี้ไหม ก็มีผู้ยืนยัน มีและมีผลด้วย จากนั้นก็จะเกิดอัปปมัญญา 4 หรือพรหมวิหาร 4 เจริญด้วย นี่คือจิตพระเจ้า เป็นจิตอยู่ตามสภาพของพรหม จะอยู่กับความเมตตา ความกรุณา มุฑิตา อุเบกขา จะเป็นที่จิตเรา ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมจะเกิดจิตพระเจ้า พระพรหมณ์ ตามชื่อศาสนาฮินดู ศาสนาอื่นก็มีพระเจ้าของเขา ก็มีเมตตา กรุณา มุฑิตาอุเบกขา คนไปแยกพระเจ้าหลายชื่อ แต่ว่าที่จริงคือพรหมวิหาร 4 พุทธทำให้ได้ในจิตก็แล้วกัน

       เมตตา คือ มีจิตต้องการให้เขาพ้นทุกข์ ให้เขาเป็นสุข อย่างเจิรญอย่างโลกุตระด้วย อยากให้เขาเป็นสุขนิรันดร์ด้วย สุขกับทุกข์มันทะเลาะกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำลายทั้งสุขและทุกข์เลย ก็เป็นอุเบกขา แต่ไม่ใช่อุเบกขาแบบเฉยโง่ๆ แบบช่างเขา เห็นคนทำผิดก็อุเบกขา เป็นอุเบกขาเก แต่อุเบกขาพุทธ ไม่ต้องบังคับเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา แต่เคหสิตอุเบกขาคือพวกเฉยเด๋อ หรือพวกอยู่ในป่าไม่มีผัสสะ หรือพวกที่มีคาถาแม้ลืมตาก็กดข่มได้ เราต้องแยกเนกขัมสิตอุเบกขากับเคหสิตอุเบกขา

       ส่วนสม.ผุสดีนั้นบอกว่า ไปแบกมันไว้ทำไม แต่ท่านไม่ได้เข้าป่า ท่านก็แสดงออกมาทุกอย่างแม้กระทบอยู่ คนอื่นกระทบอยู่ก็เห็นแต่ว่าอุเบกขาได้

       จะต้องอ่านสัญญา 2 เป็น คือเจริญอนิจจสัญญา และ เจริญอสุภสัญญา คือไม่ได้มีไม่น่าได้ไม่น่าเป็น เป็นของเหมือนซากศพ เหมือนของเน่าเสียของทิ้งเหมือนฝี เห็นให้ได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างสม.ผุสดีสบายแล้วไม่ต้องมีเงินสักบาท จนตายเลย

       อนิจจสัญญา ทุกอย่างไม่เที่ยง มันต้องกำหนดรู้ อย่างเหล็กมันค่อยๆละลาย ดูมันนาน แต่มันก็สลาย แม้โลกลูกนี้ก็สลาย เราก็ดูที่สลายง่าย หรือเปลี่ยนแปลง เรียกว่าอนิจจัง แต่ไปจ้องส่ิงที่สลายยากมันก็นานสิ แต่อย่างอารมณ์อร่อยมันมีแวบเดียวตอนแตะลิ้น แล้วมันหายไป มันไม่ใช่ของจริง ถ้าเป็นของจริงมันต้องอยู่ตลอดสิ หรืออยากได้มะเฟืองกินแล้วอยากได้อีก แต่ว่าสัมผัสของเดิมมันก็ไม่เที่ยงแล้ว คุณหอมแก้มแฟนคุณครั้งนี้ อร่อยชอบใจ แต่อีกวันอารมณ์ไม่เหมือนเดิม ไปเคืองอะไรมานี่ก็บ่งความไม่เที่ยงเลย มีสิ่งเที่ยงอย่างเดียวคือนิพพาน

       ผู้จะเรียนรู้ความมีความไม่มีได้ถึงระดับรู้ว่าจิตเรามีโลภ โกรธ หลงได้ ต้องมีปัญญาระดับหนึ่ง แล้วกิเลสระดับกลางระดับละเอียดอย่างไรก็ต้องมีปัญญารู้ได้  รู้รูปนามได้ด้วย อาการลิงค นิมิต อุเทส เราทำได้แม้ทีเผลอหรือไม่เผลอ เราก็ไม่มี เราทำสั่งสมเป็นอดีต ปัจจุบันเราก็สูญได้ เราตัดสินอนาคตได้ว่าไม่เกิด นี่คือสัจจะพิสูจน์ได้

       ผู้จะนิพพานไม่ควรได้อะไรเลยในโลก เพียงแต่อาศัยใช้งาน ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อสังคม เราพึ่งตนได้แล้ว เราก็มีส่วนเกิน ทั้งแรงงานความรู้ความสามารถ เป็นวิถีดำเนินชีวิตที่พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายได้

       ผู้มาเผาครั้งนี้เป็นการมาเผาพระอาริยะ จะระดับไหนจะบอกตอนจบ

       จากนั้นก็เจริญ อานาปานสติ เป็นตัวปฏิบัติทีหลัง แต่คนทั่วไปไปทำอานาปานสติก่อน แต่ที่จริงต้องปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ก่อน ต้องเปิดทวาร 6 ปฏิบัติด้วย ต้องมีทั้งวิญญาณ 6 อายตนะ 6 เวทนา 6 ผัสสะ 6 ตัณหา อุปาทาน 4  ภพ 3 ชาติ 5  จึงจะรู้วิญหญาณ 6 อายตะ 6 ผัสสะ 6 แล้วจะอ่านตัณหา 3 อุปาทาน 4 เมื่อกำจัดตัณหาอุปาทานได้ ภพก็ดับ ดับแล้วก็สบาย ตายอย่างสม.ผุสดี มีกายิกทุกข์ให้สัญญาณนิดหน่อย ทำไมฉันร้อนนะ ผู้ช่วยก็ให้นั่งกึ่งนอน แล้วก็ไปเลย

       กายยิกทุกข์ที่มันให้สัญญาณเล็กน้อย ไม่ต้องทรมาน ไม่ต้องเป็นมะเร็ง 5 ปี 3 ปี แต่ก็ละเว้นคนมีวิบาก อรหันต์บางรูปก็มีวิบากนะ สิกขมาตุผุสดี ตามสบาย อย่าริสยา ต้องทำของตนเอง อาตมายังไม่รู้ว่ากายิกทุกข์จะตายอย่าวไรเป็นวิบากได้นะ

       เมื่อทำอานาปานสติเป็นต้องไม่ทิ้งกาย แม้เหลือลมหายใจเข้าออก ก็ไม่ทิ้ง ภิกษุใดจะอยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี (พระพุทธเจ้าอนุโลมมาก เพราะเขานิยมเข้าป่าอยู่ป่ากันมาก) แต่สมัยเรานี้ไม่ต้องเข้าป่า แต่ท่านต้องอนุโลมปฏิโลมมากมาย แม้พระโมคคัลลานะก็ถูกศัตรูทำร้ายจนตาย พระพุทธเจ้าว่าอยู่ป่าก็ดีไม่ใช่ว่าให้ไปอยู่ป่า แต่อนุโลมไม่ให้แข็งเกินไป ถ้าแข็งเกินไป อยู่ยากนะ แต่ครั้งนี้พล.อ.ปรีชา ยอมได้ แพ้ได้ พวกนั้นถือว่าชนะนะ เอาคน 3 หมื่นมาขู่คนแค่สามพัน เอาเงิน 175 ล้านมาเป็นเบี้ยเลี้ยงอีก

       จากนั้นพระพุทธเจ้าก็บอกว่า ผู้เจริญอานาปานสติอยู่ อย่างที่เขานั่งกัน แต่ที่จิรงเป็นผลในการทำจิตให้สงบ ให้ร่าเริง ให้มีการงานอันควรอยู่ แม้ลมก็เป็นกาย ยิ่งมีดินน้ำลมไฟที่ประกอบกันคุณก็ยิ่งรู้ชัด แม้จะหลับตาทำ คุณก็สัมผัสลมหายใจเข้าออกคุณก็ตามเห็นความไม่เที่ยงของจิต ตามเห็นว่าราคะจางคลาย แต่การจางคลายตอนหลับตาในภวังค์ก็เอาของแห้งความจำมาพิจารณา แต่ถ้าจางคลายตอนเราสัมผัสกระแทกกระเทือนอยู่นี่สิของจริงกว่า สั่งสมเป็นอดีตที่ตั้งมั่น ช่วยให้ปัจจุบันแข็งแรง ขึ้นเวทีจนชำนาญจนเก่ง พลังเยอะ ซักซ้อมมามากแล้ว แค่ขึ้นเวทีแต่ดีดก็กระเด็น สุดท้ายสุดยอดกระบวนท่าคือความว่าง ใครทำร้ายเราโดดมาผ่านที่ว่างคุณก็ล้มเองเลย อธิบายเป็นหนังกำลังภายใน

       สรุปเมื่อผู้ใดเจริญอานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 ก็เจริญ โพธิปักขิยธรรม 37 ก็เจริญ ทำให้ถูกกาย ให้ระงับเหตุ ให้ตัวการอกุศลจิตดับเกลี้ยงเลย จิตสังขารก็ไม่มีกิเลสเกิด แล้วทำจิตให้ร่าเริง  ทำให้จิตตั้งมั่น และก็ทำให้เปลื้องออก เปลื้องปล่อย คุณอ่านแล้วก็ระลึกชาติได้ ว่ามีเหตุการณ์เกิดร้อยทีพันทีกิเลสก็ไม่เกิดแล้ว มีสภาวะจริงเป็นPhenomenol

       สามารถปฏิบัติธรรมตามนี้จะมีของจริง เช่นสิกขมาตุผุสดีเป็นสายศรัทธา จึงไม่มีนิรุติปฏิภาณมาแจกแจงอะไรได้เยอะ ไม่เหมือนกับสิกขมาตุรินฟ้า สิกขมาตุกล้าข้ามฝันนี้ ใครจะเชื่อว่าป.4

       ผู้ได้คบคุ้นกับสิกขมาตุผุสดี หลายอย่างก็มีบกพร่อง แม้อรหันต์ก็มีข้อบกพร่อง แม้ยุคพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็มีดื้อด้าน มีคำหยาบ บางคนก็มีเพ่งโทสข้อบกพร่อง แต่สม.ผุสดีมีข้อบกพร่องน้อย คนหนึ่งอาตมาพยากรณ์แล้วคือสมณะพุทธชาโตเป็นอนาคามีภูมิ ส่วนผุสดีนั้นเป็นอรหันต์ นี่คืออาตมาพยากรณ์ ส่วนคุณเองจะไปพิจารณาเองก็ตามภูมิขอบคุณ ส่วนอาตมาตัดสินตามที่ได้คบคุ้นกันมาตามหลักฐาน ยิ่งกว่ากรรมการตัดสิน  คุณจะตัดสินให้ฝ่ายแดงเป็นอรหันต์ก็ได้ก็เรื่องของคุณ  ตัวใครๆแล้วแต่ ส่วนอาตมาก็บอกของอาตมาสู่ฟัง เป็นอรหันต์องค์แรกที่อาตมาพยากรณ์ จะมีข้อบกพร่องหรือไม่ ก็พูดแล้ว ว่าอรหันต์ก็มีข้อบกพร่องได้ ในฐานะของสมมุติสัจจะ แต่กิเลสส่วนตัวใครคุณจะไปรู้กับเขาได้อย่างไร เป็นอรหันต์องค์แรกของชาวอโศก หนึ่งแล้วใน 9 เอวัง.....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:59:24 )

561003

รายละเอียด

561003_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาท

อ.กฤษฎาดำเนินรายการ...มีประเด็นปัญหาที่มีผู้ส่งมาเพื่อให้พ่อครูตอบให้คลายสงสัย คำถามเช่นว่า...นมัสการเรียนถาม 1.ท่านโพธิรักษ์ระลึกได้ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์จากอะไร 1.1ถ้าจากญาณ 1.1.1จากอภิญญา หรือ 1.1.2วิปัสนาญาณ 1.2ญาณนั้นยังจะต้องโยนิโสมนสิการ คือ มีทั้งที่ผิดที่ถูกอยู่ ท่านโพธิรักษ์อาศัยอะไรทำให้ท่านเองเชื่อว่าที่ท่านรับรู้นั้นถูกต้อง

       พ่อครูว่า....คำถามมีอีกว่า นมัสการท่านโพธิรักษ์ ท่านกล่าวในทำนองว่า ท่านเองเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด(ผมอาจนำคำพูดจากท่านไม่ตรงนัก) ข้อนั้นผมไม่ติดใจ แต่ด้วยความเคารพท่านเกรงท่านจะถูกกล่าวว่าเป็นพวกสสสตทิฏฐิ เพราะตามพระพุทธธรรม นอกจากกิเลส และวิบาก ที่จะสืบเนืองแล้ว ไม่มีอะไรข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่รูปนาม-จิต เกิดพร้อมกัน เกิดที่ไหนดับที่นั่น มนุษย์นอกจากขันธ์5 อย่างอื่นนั้นไม่มี พูดตามภาษาชาวบ้านว่า เมื่อตายแตกดับไม่มีดวงวิญญาณลอยไปเข้าในครรภ์มารดาเพื่อเกิด ถ้าท่านอธิบายโลกุตรธรรมนี้กระจ่าง จักเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง กราบนมัสการ

       พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องวิญญาณล่องลอย พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษเรื่องวิญญาณล่องลอยในภาคปฏิบัติ ส่วนภาคอื่นจิตวิญญาณจะล่องลอยไปไหนมาไหนก็พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเอกจรัง ของตน ไม่เกี่ยวกับใคร คนมิจฉาทิฏฐิจะพูดเข้าใจกันว่า ตกนรกก็ไปเจอกัน ขึ้นสวรรค์ก็ไปเจอกัน มีเง็กเซีียนห้องเต้ และมีเซียนอื่นๆอีกมากมาย พ่อครูยืนยันว่านั้นคือเทวนิยม ที่สร้างภาพชาติ เรื่องเหล่านั้นคนอื่นที่ไม่ได้เข้าใจไม่บรรลุอย่างพ่อครู เขามีส่ิงนั้นเหมือนกันไหม ก็มีทุกข์อยู่ แต่ทุกข์มันไม่มีจริง อรหันต์หมดทุกข์แล้ว แต่เป็นคนเหมือนคุณ แต่ไม่ทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว คำพูดว่ามีกับไม่มีเป็นเรื่องยิ่งใหญ่

       ที่ว่านรกสวรรค์อย่างมีตัวตน มีเง็กเซียนมีไหม แต่ก็มีอยู่ในภพชาติของคนที่ยึด เป็นมโนมยอัตตาของคุณ คุณก็เห็นจริงๆว่ามี พ่อครูก็เคยมีสมัยที่ยังไม่หมด เคยหลงเคยเชื่อเคยยึดว่ามันมี แต่เมื่อหมดอุปาทานได้ก็ไม่มี

       มาเข้าเรื่องว่า พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุสาติที่เข้าใจว่าวิญญาณล่องลอย....จะบอกว่ามีหรือไม่มีดวงวิญญาณเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก

       วิญญาณจะเกิดได้ต้องมีเหตุปัจจัย เรียกว่าผัสสะ 3 ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

8. มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก      

       [440] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้: สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามก เห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น.    

       ภิกษุมากด้วยกันได้ฟังว่า ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น จึงเข้าไปหาสาติภิกษุแล้ว ถามว่า ดูกรท่านสาติ ได้ยินว่า ท่านมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อม ท่องเที่ยว เล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ?    

        เธอตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป มิใช่อื่นดังนี้ จริง.    

       ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตรจากทิฏฐินั้นจึงซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนว่า ดูกรท่านสาติ ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่ พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัย ปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัยมิได้มี.         

       ภิกษุสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร อันภิกษุเหล่านั้น ซักไซ้ ไล่เลียง สอบสวนอยู่อย่างนี้ ก็ยังยึดมั่น ถือมั่นทิฏฐิอันลามกนั้นรุนแรง กล่าวอยู่ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ข้าพเจ้าย่อมรู้ ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว เล่นไป ไม่ใช่ อื่น ดังนี้.

       พ่อครูว่า...คำว่า กิเลส นี่คือจิตไหม วิบากคือจิตไหม ก็คือจิตเป็นตัวเก็บวิบากคือผลของกรรมไว้ ไม่ว่าจะปุถุชน หรือพระอาริยะหรืออรหันต์ แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่หมดวิบาก จนกว่าจะปรินิพพาน ถ้ายังมีขันธ์ 5 ก็ยังไม่หมดวิบาก แต่ว่าคุณคนนี้บอกว่าไม่มีอะไรข้ามภพข้ามชาติ มีแต่่รูปกับนาม

       คำว่ารูปคือส่ิงที่ถูกรู้ ส่วนคำว่า นามคือตัวรู้ ถ้ามันถูกรู้เรียกว่า “นามรูป” เมื่อมีองค์ประชุมเรียกว่า “นามกาย” แม้ที่สุดเหลือแต่นาม คุณก็มีนามของคุณไปรู้นาม คือกำหนดรู้ในอรูป เป็นภวภพแล้ว ในภวังค์คุณก็ใช้นามดึงมารู้ได้ แม้ไม่มีทวารนอก ถ้าคุณตายคุณก็ระลึกรู้ตัวได้ในภพในภวังค์ คือผู้มีพลังจิตในภวังค์สูง สามารถปฏิบัติตามบารมีแม้ตายไปแล้ว

       และที่คุณสมัญญาสงสัยว่า ... 1.ท่านโพธิรักษ์ระลึกได้ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์จากอะไร?

       พ่อครูว่า...ก็ปฏิบัติข้ามชาติมาสิ แต่คุณสมัญญาว่า  เพราะตามพระพุทธธรรม นอกจากกิเลส และวิบาก ที่จะสืบเนืองแล้ว ไม่มีอะไรข้ามภพข้ามชาติ แม้แต่รูปนาม-จิต เกิดพร้อมกัน เกิดที่ไหนดับที่นั่น มนุษย์นอกจากขันธ์5 อย่างอื่นนั้นไม่มี 

        พ่อครูว่า...อย่างนี้พูดขัดขาตัวเอง ...อย่างพระพุทธเจ้าเพราะท่านสั่งสมสัมมาสัมพุทธะมานานนับชาติ แม้เหลือแต่นามขันธ์ พระพุทธเจ้าได้ร่างเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร ท่านมีธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้าสมบูรณ์แล้ว เป็นสยัมภู ก็พัฒนาในขันธ์ทั้ง 4 ข้ามชาติมาแล้ว ส่วนคนที่ไม่มีก็เอาไปข้ามชาติไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านมาเกิดใหม่ก็มีของท่านแล้ว ท่านนั่งสมาธิตรวจตอนวันตรัสรู้ ก็พบว่าท่านมีหมดแล้ว ท่านใช้เตวิชโช ระลึกย้อนไปได้นานมาก เดิมท่านระลึกรู้ไม่ได้เพราะเป็นลิงลมอมข้าวพอง

       และขอบตอบว่า พระพุทธเจ้าระลึกได้อย่างไร พ่อครูก็ระลึกได้ตามฐานะของพ่อครู ซึ่งได้ตามฐานะ พ่อครูไม่เคยบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่มีพุทธการกธรรม แต่คนประชดประชันพ่อครู เขาไม่เข้าใจว่า นอกจากสยัมภูที่รู้เอง แล้วมีระดับรองลงไปไหม ก็มีสยังอภิญญา ในสัมมาทิฏฐิ 10

       แต่ไม่ใช่ไปนึกเอา มีมโนมยอัตตา ปั้นเอาเองในจิตเป็นอุปาทานปั้นเสกเองหลอกตนเอง ว่าเป็นนั้นเป็นนี่ เช่นเป็นร.5 เป็นอื่นๆเป็นต้น ไม่ใช่อย่างนั้น

       คำว่าอภิญญาก็คือวิปัสสนาญาณ

       วิปัสสนะ คือสัมผัสเห็น มีสิ่งหนึ่งสัมผัสกับอีกส่ิงหนึ่งแล้วเห็น ไม่ใช่เรื่องสร้างเองเห็นเอง แต่วิปัสสนาญาณคือญาณที่เห็นตอนมีผัสสะหรือสัมผัสอยู่หลัดๆ แต่ถ้ามีแต่ข้างในเรียกว่า นามรูป ถ้ามีแต่รูป ไม่มีนาม เรียกว่า รูปรูป

        ถามว่าพ่อครูรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโพธิสัตว์ ก็รู้ได้จากสิ่งที่เคยเป็นอดีตกับปัจจุบันที่เคยเป็นมาแล้ว ในเวทนา 108 ที่มีการกำหนดอดีต กับอนาคต  เหมือนพระพุทธเจ้าก็กำหนดรู้ แม้ไม่รู้ทั่วถึงเท่าพระพุทธเจ้าก็รู้ได้แต่ไม่เท่าเทียมพระพุทธเจ้า แต่นัยเยี่ยงเดียวกัน พ่อครูรู้อนาคต จากอดีตกับปัจจุบัน

       เช่นพระพุทธเจ้าทำนายแม่นที่สุด เช่นรู้ว่าโพธิสัตว์จะไปเป็นพระพุทธเจ้าชื่อนี้ มีสาวกองค์นั้นองค์นี้ ก็แม่นยำมากไม่มีผิด เพราะเอาจากอดีตของเขามาเป็นเหตุปัจจัยที่พยากรณ์ แต่แม่นอย่างวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องที่คิดนะ

       แล้วคุณถามอีกว่า ญาณนั้นต้อง1.2ญาณนั้นยังจะต้องโยนิโสมนสิการ คือ มีทั้งที่ผิดที่ถูกอยู่ ท่านโพธิรักษ์อาศัยอะไรทำให้ท่านเองเชื่อว่าที่ท่านรับรู้นั้นถูกต้องวาว

       พ่อครูว่า..ถ้ายังไม่หมดกิเลส ยังไม่จบกิจก็ต้องทำให้หมด ทำให้สะอาดถ่องแท้แยบคาย ลงไปถึงที่เกิด ส่วนประเด็นสุดท้ายนี้ถามเกือบจนแต้มเลยนะ

พ่อครูว่า...อันนี้มันน่าจะต้องมีอะไรเป็นหลักฐานที่ถูกต้อง...พ่อครูเปิดเผยว่า...พ่อครูรู้ตัวว่าตนเป็นโพธิสัตว์ตอนแรกก็นึกเหมือนกันว่าจะประกาศอย่างไร?....ตอนแรกพ่อครูออกมาบวชเขาถามว่าทำไม? เพราะพ่อครูกำลังมีชื่อเสียงเป็นดารา หารายได้มากมาย พ่อครูก็บรรยายที่วัดธาตุทอง มีคนเขามาบอกว่ามีคนว่า “บ้าอะไรเป็นดารามีเงินเดือนมากมายเอามาให้กูเสียก็ดี” เขาว่าอย่างนั้นเลยนะ พ่อครูก็ขอยืนยันว่า พอบอกไปว่ามาบวชนี่เพราะบรรลุธรรม พ่อครูตอบอย่างนี้กับคนแรกที่ถามว่ามาบวชทำไม? ไม่ได้เจตนาอวด แต่คนหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม พอได้บอกว่า บรรลุธรรม คนก็ถามต่อว่าบรรลุแค่ไหนอย่างไร

       ถ้าพ่อครูตอบว่า บรรลุอรหันต์ เขาจะยึดถือ พ่อครูตายแน่เลย เพราะสังคมเขาเป็นเถรวาท เขาไม่เข้าใจโพธิสัตว์จึงตอบเลี่ยงว่าเป็นโพธิสัตว์ แต่มานึกทีหลังว่าไม่น่าพูด...แต่ไม่ได้มังกุหรือเหนียมอาย หลังจากนั้นก็เลยไม่ค่อยพูด แต่มาตอนหลังๆ ก็มีเหตุปัจจัยที่จะพูดก็ต้องพูด ว่าตนเป็นโพธิสัตว์

       ผลงานที่พ่อครูทำมานี่แหละ คือส่ิงที่ยืนยันว่าส่ิงที่พ่อครูทำถูกต้อง

       อธิบายผลงาน...ผลงานนี้เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรม ไม่ใช่เรื่องโลกธรรม โลกีย์ มีคนทิ้งโลกีย์ออกมาอยู่เป็นหมู่กลุ่ม พ่อครูไม่ได้เอาลาภยศสรรเสริญมาอ่อย หลายคนอยู่กันจนแก่ จนตาย ก็อยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้เอาโกลีย์มาล่อ ก็ให้ไปโลกุตระ ไปหาสูญ​จนไม่มีตัวมีตน คนเหล่านี้ไม่อ่อย ไม่ล่อ ไม่หลอกไม่ลวง ไม่มีอามิส ไม่มีสัญญาว่าจะได้ ไม่ได้แปลบุญว่าคือสิ่งที่จะได้ แต่คุณจะได้บุญคือเอาออกชำระออก พูดตรงอย่างนี้พวกคุณก็ยังอยู่ และไล่ก็ยังไม่ไป นอกจากจะผิดมากจะคณะเขาไม่ยอมให้อยู่

       เป็นระบบบุญนิยม คือส่ิงยืนยันว่าทำไมถึงรู้ว่าถูกต้อง คือมันเป็นโลกุตระ อยู่เหนือโลกีย์ เหนือโลกธรรม คุณก็มาดูสิ นี่คือหลักฐานยืนยัน ให้พ่อครูเชื่อมั่นว่าถูกต้อง

       40 ปีมาแล้วที่พ่อครูมีผลงาน ตลาดอาริยะก็เป็นหนึ่งในผลงาน ถามกันว่าเราจะอยู่ไป 500 วันไหม ซึ่งมาทำอย่างนี้มันไม่ง่าย

        เอาหลักตัดสินธรรมวินัย 8 มาตรวจ

1.เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ) คือทำให้กิเลสจางคลาย

2.เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ) ดับความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณได้ มีญาณเข้าใจสัตว์โอปปาติกะ รู้สัตว์อบาย รู้เทวดาสมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ให้พวกเราปฏิบัติก็ได้ผลจึงมาเป็นเช่นนี้

3.เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ) แต่ก่อนคุณสะสม แต่ตอนนี้ไม่ได้สะสม มาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้สะสมถ้ามาหลอกกันก็อยู่จนตายเลย หลายคนตายไปก็ไม่ได้สะสมอะไร

4.เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ) ก็เข้าใจว่าเรามาจนๆๆๆ น้อยลงๆๆ จนไม่มี แม้ไม่มีเราก็มีเครื่องอาศัยเกื้อกูลกัน สาธารณโภค

5.เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ) แค่นี้ก็พอ พอก็สุข ส่วนคนไม่พอก็ไม่สุขหรอก อยากได้เงินอยากได้อำนาจ อยากได้บ้านได้เมือง อยากได้ สองล้านๆไม่มีความสุขหรอก  เอาชนะคะคาน ดันทุรัง อย่างนี้ไม่สุขหรอก เขาด่าว่าอย่างไรก็จะเอาอย่างนี้ไม่สุข มันทุกข์

6.เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) ไม่ระรานรุนแรงแย่งชิงกับใคร

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) เป็นคนขยันเพียรสมำ่เสมอ เพียรเสมอต่อเนื่อง

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ) อยู่ง่ายกินง่ายเลี้ยงง่าย แต่ไม่มักง่าย เรื่องไม่มาก

       นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา 

       เอาอันอื่นมาตรวจอีกก็ได้ เช่นวรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 เป็นต้นว่าเข้าเกณฑ์พระพุทธเจ้าไหม

       คนอโศกมีเมตตากายกรรม_วจี_มโนกรรมไหม? แต่อาจมีบกพร่องบ้าง แม้จิตไม่หมดก็พยายามแสดงกายกับวจีให้ดี ถ้ามโนเมตตาอีกก็ยิ่งดีเลย

        สาราณียธรรม 6 มี

1.เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย(ลาภธัมมิกา-มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) 

5.มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)

6.มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย  (ทิฏฐิสามัญญตา)

 

       พ่อครูว่าอะไรทำให้เชื่อ คือสิ่งที่ทำแล้วเป็นผลไง ก็มีส่ิงอ้างอิง มาถึงวันนี้พ่อครูยืนยันได้ว่าเอาอดีตกับปัจจุบันมาเป็นตัวตั้ง เดินทางสู่อนาคต ไปเรื่อยๆ ขณะปัจจุบันนี้คืออนาคตของเมื่อ 40 ปีก่อน

       ตอนนี้เรามีพุทธสถาน สังฆสถาน ทั้งหมด 9 แห่ง นอกนั้นก็เป็นชุมชนที่ยังไม่ครบ บ้าน_วัด_โรงเรียน (บวร) ส่วนสังฆสถานก็มีสมณะอยู่ประจำแต่ยังมีน้อย คือสมณะเราเกิดยาก เพราะต้องมาปฏิบัติจริง กว่าจะได้เป็นก็อย่างน้อย 2 ปี บางคนก็ 10 ปี 20 ปี บางคนก็ Retriedไป บางคนก็สึกไป บางคนเราให้สึกไปก็มี จึงปริมาณไม่มาก เราเน้นคุณภาพ

       วันนี้ตั้งใจตอบสิ่งที่ตอบกันไม่ง่าย ไม่ได้มีกันได้ง่าย เอามายืนยัน จะหาว่าอวดก็ใช้ พ่อครูทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า อภิณหปัจจเวกขณ์ข้อที่ 10. ญาณทัสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลส  เป็นอริยะ  คือ  อุตริมนุสสธรรมอันเราได้บรรลุแล้ว  มีอยู่หรือหนอ   ที่เป็นเหตุให้เรา ผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว  จักไม่เป็นผู้เก้อ(เคอะเขิน)ในกาลภายหลัง . (อุตตริมนุสสธัมมา  อลมริยญาณ  ทัสสนวิเสโส  อธิคโต  โสหัง   ปัจฉิเม กาเล   สพฺรหฺมจารีหิ   ปุฏฺโฐ   น  มังกุ  ภวิสฺสามีติ)  # ก็ตอบไปอย่างสบาย ไม่มีกิเลสอยากอวด จะบอกว่าอุทธัจก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ขวยเขิน แต่มันไม่มีอะไรกระดุกกระดิกในใจ มันจริงใจ ไม่ขัดแย้งคำสอนพระพุทธเจ้าด้วย มีคนท้วงว่าแสดงอุตริมนุสธรรมอย่างนี้้อาบัติ แต่ฟังขนาดนี้พ่อครูก็ว่าเลยแล้ว มีสติวินัยแล้วไม่ต้องอาบัติหรอก

       บางทีพ่อครูอาจใช้พยัญชนะว่าพวกคุณอาจยังไม่เข้าใจได้ หรือว่าโง่ ก็เป็นพยัญชนะแต่ว่าใจไม่ได้คิดดูแคลน เป็นความเมตตาด้วย อย่างคุณปูนี่ก็เห็นใจ เมตตา พ่อครูก็กระทุ้งกระแทกให้รู้ตัว ทำไมด้านตาใสมากเลย อย่าว่าแต่คุณปูคุณทักษิณเลย พวกลิ่วล้อก็เหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าทำกรรมอะไร กุศลหรืออกุศล แล้วคุณไม่เชื่อกรรมวิบากหรืออย่างไร

       แม้บางคนไม่นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่คำสอนในศาสนาคุณ แต่คุณฆ่าสัตว์คุณมีวิบากแน่นอน คุณไม่สมาทานศีลข้อ 2 แต่คุณไปเอาของผู้อื่นในฐานะขโมยคุณก็บาป คุณไปผิดผัวผิดเมียใครก็บาป นี่คือสัจธรรม ชีวิตคือกรรมกับกาละ กรรมของคุณมีวิบากอย่างไรถ้าคุณทำกรรมปัจจุบันกับอดีตไม่มีบาปแล้ว คุณก็ทำแต่กุศล คุณก็ทำกุศลไปลดวิบากในอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้ให้จางลงได้ เช่นพระพุทธเจ้าในอดีตเคยทุ่มหินทับหัวน้องชาย ก็มีวิบาก แต่มีกุศลมาหักล้างในชาติเป็นพระพุทธเจ้าให้เทวฑัตกลิ้งหินทับพระบาทห้อพระโลหิต วิบากเป็นเรื่องอจินไตย ตีความเป๊ะๆไม่ได้ จะบอกว่าฆ่าอรหันต์แล้วชาติหน้าเราจะไปเป็นอรหันต์อย่างนี้พาซื่อเกินไป

       อ.กฤษฎาว่า...คนส่วนใหญ่ย่อมมีของเก่าอยู่ ศูนย์กลางพุทธคือเมืองไทย คือกรรมดีที่ติดคนไทยมามีฐานเดิมอยู่แล้ว

       พ่อครูว่า...อันนี้เป็นอจินไตย พ่อครูตอบไม่หมด แต่ว่าก็บอกได้ว่าเมืองไทยมีดีเอ็นเอพุทธมาตั้งแต่สร้างเมืองไทยมา ยกตัวอย่างเช่นในเมืองไทยนี้ระบุไว้ว่า พระเจ้าแผ่นดินต้องนับถือศาสนาพุทธเท่านั้น

       ศาสนาพุทธในไทยจึงยาวนานมา แม้ศาสนาอื่นจะเข้ามาเช่นคริสต์ หรืออิสลาม แม้แต่พราหมณ์ฮินดูตอนนี้ก็แทบไม่เหลือแล้ว ตั้งแต่ยุคพระนารายณ์ ก็มีคริสต์เข้ามา แต่ก็ได้ไม่มาก เขาตีพุทธไม่แตก พุทธยังมีมากแข็งแรง ยกตัวอย่างง่ายๆนี้

       อ.กฤษฎาว่า...อย่างนี้จึงเป็นความเชื่อที่ว่า พระสยามเทวาธิราช

       พ่อครู...หมายถึงคุณธรรมที่มีฤทธิ์ ปกป้องเมืองไทยไว้ ทำไมพ่อครูต้องเกิดมาเป็นคนไทย แล้วเอาโลกุตรธรรมมาเปิดเผย ในขณะที่พุทธธรรมเกือบจะหมดแล้วในเมืองไทย แม้ไม่หมดแต่ว่ามีน้อยจนไม่สามารถมาโดดเด่นได้ ไม่มีพฤติภาพเป็นหมู่กลุ่มอย่างพ่อครูพาทำ

        พุทธศาสนิกชน คือ คนทั่วไปที่บอกว่าตนเป็นพุทธตามบรรพบุรุษนับถือมาไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ ใจไม่ได้เป็นจริง

        พุทธมามกะ คือคนที่ใส่ใจตั้งใจเป็นพุทธ ตั้งใจศึกษาปฏิบัติจริง

       พุทธบริษัท คือ บุคคล 4 บุคคล 8 ที่ท่องในบทสวดมนต์ คือสาวกสังโฆ เป็นฆราวาสหรือภิกษุที่บรรลุธรรม ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค _โสดาปัตติผล...เป็นบุคคล 8 หรือบุคคล 4 ที่มีอาริยธรรมได้ผลแล้ว ต่างจาก พุทธศาสนิกชนหรือพุทธมามกะ

        พุทธบริษัทมี 4คือ

        1.อุบาสก คือผู้บรรลุตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไปที่เป็นผู้ชาย

       2.อุบาสิกา

       3.ภิกษุ

       4.ภิกษุณี

       พวกคุณตั้งใจฟังนี่คุณอาจบรรลุธรรมได้ ชาวอโศกส่วนใหญ่เป็นผู้บรรลุตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเป็นต้นไป อยากให้มีคนมาตรวจสอบ แต่ผู้ตรวจสอบต้องมีภูมิธรรม

       พ่อครูว่า...พ่อครูเขียนหนังสือ หรือแต่งนิยายประกวด ไม่เคยได้รางวัลเสียซักที พ่อครูก็อ่านผู้ได้รางวัลแต่ก็ว่าไม่เห็นเข้าท่า สู้ของเราที่มีเนื้อหาสาระดีกว่า ทำไม..แต่มารู้ทีหลังว่า กรรมการไม่มีปัญญาตัดสินของเรา มันเป็นโลกุตระมีเกินภูมิเขา เช่นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่พ่อครูเขียนเขาเข้าไม่ถึง เชิงจิต

       ตั้งชื่อเรื่องว่าเขียง...มีเร่ิมต้นด้วยเพื่อนสองคน เป็นแพทย์ สองคน คนหนึ่งอยู่ในคลินิค ในตู้เครื่องมือแพทย์มีเขียงไม้อยู่ เมื่อเพื่อนมาเห็นก็ถามว่า ทำไมมีเขียงในตู้เครื่องมือแพทย์ เข้าของเขียงเป็นแพทย์ก็ไม่อยากพูดก็ว่า เรารักของเราก็เอาไว้ แต่เพื่อนก็เซ้าซี้ เลยเล่าว่า...เขียงนี้ได้แต่ใดมา....

      สรุปว่า...เขียงนี้ได้มาเพราะออกมาเป็นแพทย์ออกทำงานอาสา วันหนึ่งก็ไปเจอเหตุการณ์ ผู้ชายคนหนึ่ง ต้้นไม้ล้มทับบาดเจ็บหนัก เมียก็ว่าให้ช่วยผัวเขาหน่อย เขาก็ไปรักษาพยาบาลให้ แล้วก็นำไปรักษาที่สุขศาลา ต่างจังหวัด เขาเป็นหมอมีอุดมคติ เสร็จแล้วก็รู้เรื่องทีหลังว่า ผู้ชายคนนี้ไปตัดต้นมะขามแล้วมันล้มทับ เขามีอาชีพทำเขียง พอรักษาเสร็จหายเขาก็กลับไป แล้วมาอีกทีหนึ่ง เมียพาผัวกลับมาหาเขาอีก ตอนนี้เป็นไทฟอย หมอก็รักษา พอรักษาเสร็จแล้วเมียก็ตอบแทนคุณหมอ โดยให้เขียงที่ดีให้หมอ เขาก็ซาบซึ้งใจ จึงเอาเขียงไปไว้ในตู้เครื่องมือ เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ทำไมคนไม่เข้าใจ เขาหาเขียงที่ดีที่สุดทำมาตอบแทนบุญคุณ มันมีรายละเอียด

       และมีเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง เช่นผัวเมียคู่หนึ่งรักกันมาก แล้วก็แต่งงานกัน เมียก็เอาใจผัวมา กินอะไรทำให้ จนผัวรำคาญ พอแต่งงานแล้วก็ทุกอิริยาบทผัวก็รำคาญ ก็หนีไปขับสามล้อ สามล้อเกิดไปถูกรถชน เมียก็ไปตามหา พอไปตามก็ถูกรถชนอีก เสร็จแล้วก็มีพล็อตไปอีกจำไม่ได้ แต่เรื่องนี้จบโดยที่ว่า...มีเจ้าหน้าที่ตื่นเช้ามาตกใจ ทำไมมีผู้หญิงผู้ชายกอดกันตาย

คือเรื่องของเรื่องคือสองคนนี้บาดเจ็บแล้วก็ไปรพ.ด้วยอาการโคม่าทั้งคู่ไปรพ.เดียวกันกอดกันตาย ที่จริงรักกัน แต่ต้องการอยู่ด้วยกัน แต่รำคาญเล็กๆน้อยๆ 

        อีกเรื่องหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งต้องการมีลูกแต่ก็ไม่ต้องการมีเมีย สุดท้ายก็มีผู้หญิงมารัก ก็แต่งเพื่อมีลูก แล้วค่อยหย่าทีหลัง พอทำเสร็จก็ได้ลูก แล้วก็หาเรื่องหย่าขาดจากเมียให้ได้ สุดท้ายก็อยู่กับลูกอย่างว่าเหว่ สุดท้ายก็ต้องจำนน ที่ลูกไม่มีแม่

       ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจิตวิญญาณ​หรือมีอีกเรื้องหนึ่ง มีผู้หญิงสองคนเป็นเพื่อนกันรักกันมา แต่คนหนึ่งเป็นโสเภนี แล้วพลาดมีลูก แต่ก็มอบลูกให้เพื่อนเลี้ยง และบอกเพื่อนว่าอย่าให้ลูกรู้นะ แล้วก็ตอนจบมาที่ สองคนนี่เกิดทะเลาะกัน พอทะเลาะกันเสร็จ ลูกก็โตพอสมควร แต่ยังไม่เดียงสาเท่าไหร่ พอทะเลาะกันตบตีกัน แม่เลี้ยงสู้แม่จริงไม่ได้ แม่จริงก็ไปนั่งคร่อมตบตี ลูกโผล่มาคว้ามีดได้ก็จ้วงแทงน้า ที่จริงแทงถูกแม่จริงของตัวเอง ….เรื่องนี้ได้เข้ารอบพอฟังรู้เรื่อง

อ.กฤษฎาว่า...พี่น้องฟังธรรมกับฟังเพลงก็ชนะแล้วไม่ต้องทำอะไร...แล้วที่เราทำจะมีธรรมฤทธิ์อย่างไร

       พ่อครูว่า...คนเขาเข้าใจธรรมะอย่างที่เขาเข้าใจ เขาไม่เชื่อว่าธรรมะมีธรรมฤทธิ์ พ่อครูก็ไม่มีปัญหาว่าใครจะมาเชื่อ แต่พ่อครูเชื่อธรรมฤทธิ์ พ่อครูทำงานมาอย่างจนๆ ไม่ได้เอาอามิสมาล่อ แต่ทำด้วยธรรมะคือเสียสละอ่อนน้อมถ่อมตนและเป็นผู้แพ้ พ่อครูก็ได้แต่งเพลงผู้แพ้ไว้แต่ตอนอายุ 20 ปี เพลงนี้ก็ดัง ตั้งแต่สมัยพ่อครูเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์

       แต่งเพลงผู้ชนะไม่เป็น สู้โลกด้วยความแพ้อย่างทางศาสนาพ่อครูไม่น่าแพ้แลย แต่สุดท้ายก็ถูกตัดสินให้แพ้ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ผิด แต่เป็นผู้แพ้ พ่อครูก็ทำงานมาด้วยการไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไรนอกจาก ธรรมฤทธิ์ พ่อครูเชื่อ ธัมโมหเวรักขติ ธัมจาริง คือ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

ถ้าแต่ละคนปฏิบัติธรรมมีผลจำนวนมากพอก็ชนะแต่ไม่ต้องเรียกว่าชนะ อย่างไปกรณีเสธ.อ้ายเราไม่ได้ผิดเราจึงเป็นผู้แพ้ พ่อครูว่าเราชนะอย่างสวยงามด้วยซ้ำไป  คนไม่เข้าใจสัจธรรมอ่านไม่ออกหรอก

       พ่อครูทำงานกับพวกเราก็ดูผลเหตุปัจจัย ถ้าผลมันได้ผลรายทาง แต่ชนะตามผลที่คาดว่าจะได้ พ่อครูว่า ไม่ไปตั้งเป้าอย่างนั้นหรอก ก็ดูผลที่มันจะเกิด 1บวก 1 เป็นสอง แล้ว 2บวก1 เป็นสาม หรือ 2บวก1 เป็น2.5 ก็ไม่ว่า แม้ไม่ถึง 10 อย่างที่ตั้งก็ไม่ว่า แต่ดูว่ามันมีอัตราก้าวหน้าอยู่ก็ทำ แต่ถ้าทำไปแล้วมันถดถอย 2บวก1 เป็น 2.5 อย่างนี้ก็ต้องหยุดทำ แต่ถ้าทำแล้วก้าวหน้า แม้ไม่ถึง 10 ก็ทำใครจะทำไม?

       อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูมีการประเมินอยู่ตลอด

       พ่อครูว่า...ใช้สัปปุริสธรรม 7 และมหาปเทส 4 ประเมินตลอด ไม่ใช่ทำอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า สร้างมาอย่างยากเย็นจะพาทำเสียหายล้มละลายทำไม ไม่ได้ทำชุ่ยๆนะ ไม่มักง่าย

       พ่อครูว่า...อย่างตลาดอาริยะไม่ได้ตั้งไว้ว่าจะทำเดือนละ 2 ครั้่งตลอดไป อาจเป็น 3 ครั้งหรือ 2.5 ครั้งก็ได้ หรือจะลดลงเหลือ 1 ครั้ง หรือเลิกไปก็ได้ เราไม่ได้ทำโดยเป็นหนี้ใคร ไม่ได้เอาเงินบริจาคในการชุมนุมมาใช้ทำตลาดอาริยะ เราใช้เงินชาวอโศกทำ เราช่วยกันทั้งส่วนกลางและส่วนตัว ถ้าเราทำได้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่เบียดเบียนตน_ท่านเราก็ทำไป ประชาชนก็เห็นดีอยู่เราก็ทำเรื่อยไป...

     อ.กฤษฎาว่า...จะกินเจแล้วอยากให้พ่อพูดเรื่องกินเจกับมังสวิรัติ

       พ่อครูว่า...เรื่องมังสวิรัติก็เป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ของอโศกเลย พระพุทธเจ้าไม่กินเนื่้อสัตว์ ในอินเดียพวกพรามหณ์ไม่กินเนื้อ ในอินเดียไม่กินเนื้อสัตว์กันส่วนใหญ่ ไม่ต้องตั้งกฎอะไรเลย แม้เทวฑัตจะมาให้พระพุทธเจ้าออกกฎบังคับให้ไม่กินเนื้อสัตว์ นี่ยืนยันว่าแม้พระเทวฑัตก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่เอาตาม เพราะส่วนใหญ่ไม่กินเนื้ออยู่แล้ว ยังมีหลักฐานอีกว่า มีเสนาบดี ที่กินเนื้อสัตว์ แล้วนิมนต์พระพุทธเจ้าไปฉันอาหารแล้วให้คนไปซื้อเนื้อสัตว์มาถวายพระพุทธเจ้า พวกอเจลกะก็กลัวเสียลาภจากคหบดี อเจลกะก็ไปประกาศว่าเจ้าข้าเอ้ย พระสมณโคดมรู้ทั้งรู้ว่าเสนาบดีให้ลูกน้องซื้อเนื้อสัตว์มาถวาย พระพุทธเจ้าก็กำลังไปกินเนื้อสัตว์นะ อย่าเคารพนะ คือดิสเครดิตพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ประเด็นนี้้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้วทำไมต้องไปดิสเครดิตว่าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ ส่วนเรื่องที่ท่านจะฉันหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน ในไตรปิฏกไม่ได้บอกไว้ ท่านจะเจเขี่ยหรืออย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ...นี่คือหลักฐาน

       พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ฆ่าสัตว์ ...คุณเป็นพุทธบริษัทจริงๆจะไม่ฆ่าสัตว์ นอกจากเป็นพุทธศาสนิกชนก็ถือตามๆกันไปก็แล้วแต่ แต่ในระดับพุทธศาสนิกชน หรือพุทธบริษัทก็ไม่ทำมิจฉาวณิชชา คือไม่ค้าขายสัตว์เป็น ไม่ค้าขายเนื้อสัตว์ ส่ิงเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่ให้ละเมิด เป็นการค้าขายที่ผิด ก็เมื่อไม่ค้าขาย และไม่ฆ่าเองแล้วจะเอาที่ไหนมากิน

       มีปวัตตมังสะ และอุทิสมังสะ ทุทิส คือเจาะจง คือสัตว์ที่คนเจตนาฆ่า นี่คืออุทิสมังสะ แต่ถ้าสัตว์ใดตายโดยไม่ใช่คนฆ่า เช่นตายเอง หรือสัตว์ฆ่ากันก็เรียกปวัตตมังสะ เช่นเดนเสือกิน (อย่าไปแย่งมันนะ) ปวัตตมังสะมีสองอย่างคือ เดนสัตว์กินและสัตว์ตายเอง ก็ไม่ครบองค์ 5 ของปาณาติบาต (สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เจตนาฆ่า พยายามฆ่า สัตว์ตายลง) แต่นี่ปวัตตมังสะก็กินได้     

       แต่ทุกวันนี้พุทธเขาขายเนื้อสัตว์กันโครมๆ ก็เบี้ยวบาลี ในนวโกวาท เขาแปล อย่าค้าขายสัตว์เป็น เขาไปแปลว่ามนุษย์ และแปลอุทิสมังสะไปแปลว่าการฆ่าเพื่อเจาะจงให้คนชื่อนี้กินไม่ได้ เช่นเพื่อนไปบ้าน ก็บอกให้ฆ่าไก่นี้เลี่้ยงเพื่อนคนนี้ อย่างนี้จำเพาะเพื่อนคนนี้ เพื่อนคนนี้กินไม่ได้ อย่างนี้เบี้ยวบาลีกัน

       สรุปเนื่้อหา...เนื้อสัตว์ไม่ใช่เนื้อที่ควรกิน หลายสูตรในลังกาวตารสูตรเป็นต้นในสูตรของมหายานนั้นพระพุทธเจ้าห้ามโดยตรง เมืองนอกที่เขานับถือมหายานเขาไม่ติดใจในเนื้อสัตว์เขาก็มังสวิรัติกัน ในศรีลังกา เขาก็มังสวิรัติ มีแต่ในเมืองไทยนี้แหละกินเนื้อกันมาก ในลังกาวตาลสูตร ท่านพุทธทาสแปลไว้ ว่าไม่มีสัตว์ตัวในไม่เคยเป็นพ่อแม่พี่น้องของเรา เราจะกินได้ลงหรือ?

       สรุปคือพวกกินเนื้อสัตว์เป็นกิเลสติดยึด และมันไม่มีต่อสุขภาพด้วย อย่างหมอบางทีก็แนะนำให้คนไม่กินเนื้อสัตว์ ทั้งที่หมอยังกินสัตว์อยู่ หรือลำไส้เรายาว เหมือนพวกสัตว์กินพืช เล็บมือเราเหมือนช้างม้า วัว ควาย เขี้ยวเราก็เหมือนพวกกินพืช สัตว์กินพืช เวลาดื่มน้ำใช้ดูดเอาไม่เลียอย่างพวกสัตว์กินเนื้อ หรือจะเอาเอนไซม์มาวัด หรือเอาอายุ เราชาวเอสกิโม ต้องกินเนื้อสัตว์เขาไม่มีพืช อายุเฉลี่ยเขาน้อยมาก แค่ 27 ปี แต่ชาวฮันซ่า ไม่กินเนื้อสัตว์ก็อายุยืนเกิน 100 ปี

       ชาอโศกจะอายุยืนต่อไป สรุปคือคนกินมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ จะเจริญบุญและเจริญวิญญาณด้วย ส่วนกายภาพ สุขภาพร่างกาย เศรษฐกิจก็จะเจริญ ทั้งจิตภาพและกายภาพ ...ที่สำคัญไม่กินเนื้อสัตว์ได้ลดกิเลส คนติดเนื้อสัตว์เป็นกิเลส เรากินพืชสบายๆ แต่ที่สุดไม่ติดกินพืชได้ด้วยก็ลึกซึ้งขึ้นอีก...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:23:54 )

561005

รายละเอียด

561005_รายการสงครามสังคมฯ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง พระโพธิสัตว์บันลือสีหนาท ตอน 2

       พ่อครูดำเนินรายการคนเดียว...มีsms ของผู้ที่ส่งมา...วันก่อนนี้เมื่อวันพฤหัสบดี...

        0894245xxx คำสอนของพ่อครูเป็นแบบมายานใช่ไหมคะมุ่งพุทธภูมิคือต้องบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ก่อนเพื่อช่วยคนอื่นยอมรับทุกข์เพื่อสุขของคนอื่นก่อนช่วยตนเอง/ครูอุบลคนกทม

       ก็ดีเรื่องของมหายานกับเถรวาท ...มหายานเขาเรียกมหาสังคิกะคือคณะใหญ่เป็นสงฆ์ส่วนใหญ่ ส่วนคณะเล็กเขาเรียกหินยานหรือเถรวาท มีสงฆ์ส่วนน้อย แล้วกลุ่มมหายาน โดยสิ่งที่เขายึดถือ เขายึดถือโพธิสัตว์ เช่นพระสารีบุตร โมคคัลลานะ พระอานนท์ พระมหากัสสปะ เขาสำคัญที่โพธิสัตว์ ส่วนทางเถรวาทเขาศึกษาทางอรหันต์

       สิ่งที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องคือ อรหันต์กับโพธิสัตว์คืออันเดียวกัน คนที่ยึดถือชอบโต่งไปทางด้านไหน เช่นชอบอรหันต์มากกว่าโพธิสัตว์ก็ไปเป็นเถรวาท ส่วนคนที่ชอบโพธิสัตว์มากกว่าก็เป็นพวกมหายาน หรืออาจาริยวาท คือรับคำสอนจากอาจารย์อื่นนอกจากพระพุทธเจ้า แม้เถรวาทในตอนหลังก็นับถือคำสอนของอาจารย์รุ่นต่อไป แต่เขายึดถือแต่อรหันต์ แต่มหายานก็เพี้ยนไปศึกษาแต่อรหันต์แต่ไม่ศึกษาโพธิสัตว์

       ที่จริงโดยเนื้อหาของอรหันต์กับโพธิสัตว์นั้น อรหันต์คือทำจิตตนให้บรรลุกิเลสดับ ส่วนโพธิสัตว์คือเอาประโยชน์ท่าน ส่วนเถรวาทเน้นประโยชน์ตน แต่ความจริงแล้ว ต้องทำประโยชน์ตนให้สำเร็จก่อนแล้วพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ศาสนามัวหมองเพราะผู้ปฏิบัติธรรมยังไม่มีคุณอันสมควรก่อนไม่บรรลุแล้วก็ไปสอนคนอื่น สอนข้ามขั้นไปถึงอรหันต์ ตนเองไม่บรรลุแม้โสดาบัน ศาสนาจึงมัวหมองเพราะไม่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า

       พ่อครูทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำประโยชน์ท่านแต่ไม่ได้ประโยชน์ตนก็จะเพี้ยนเสื่อมศาสนามัวหมองเพราะอย่างนี้ คำว่าโพธิสัตว์เป็นประโยชน์ท่านส่วนอรหันต์ประโยชน์ตนก็ถูก แต่มันต้องได้ทั้งสองอย่าง พระพุทธเจ้าว่าต้องทำประโยชน์ตนก่อนแล้วพร่ำสอนผู้อื่น และพ่อครูทำประโยชน์ตนแล้วจึงมาเผยแพร่ทำประโยชน์คนอื่น

       พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีกว่า อย่าพร่าประโยชน์ตนเพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก หมายความว่าเราอย่าให้เสียประโยชน์ตนแม้จะมีประโยชน์ผู้อื่นมากมาย เหมือนเราะจะเอาทรัพย์ไปช่วยคนอื่นต้องมีทรัพย์ของตนก่อนจะไปกู้คนอื่นมาทำก็ไม่ถูก

       คำว่าอรหันต์ หมายถึงผู้มีมรรคผลอยู่ในตัว ดับกิเลสได้สนิท อรหันตผลมีซ้อน ในโสดาปัตติผลก็มีอรหันตผลได้ในโสดาบัน คือทำให้กิเลสตัวนั้นจางคลายจนดับได้ โสดาบันก็มีอรหัตผลในนั้นซ้อนๆอยู่ เราต้องเรียนรู้ให้จริง ล้างกิเลสให้ได้ ปฏิบัติธรรมตามมรรคองค์ 8 เปิดทวาร แล้วมันมีกิเลสปรุงร่วมก็อ่าน ตรวจตักกะ วิตักกะ ทำมนสิการกับสังกัปปะ 7

       นัยละเอียดของโพธิสัตว์คือระดับกว้าง ส่วนอรหันต์เอาแต่ตัวเองเลยแคบ แล้วไปอยู่กับตัวเองจนนอกรีต นั่งหลับหูหลับตาสร้างสมาธิที่มิจฉา ไม่ปฏิบัตตามมรรคองค์ 8 ไม่ทำตามจรณะ 15 หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 ไปนั่งหลับตาทำก็เพี้ยนไปหมดเลย ศาสนาเถรวาทก็เพี้ยนแนวนี้

  ส่วนมหายานก็เพี้ยนไปทำแต่ประโยชน์ผู้อื่นแต่ไม่ปฏิบัติธรรมลดละ คนเห็นง่ายทำเสียสละช่วยสังคม แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์อ่านจิตตนเองไม่เป็นไม่เข้าปรมัตถ์ สรุปคือมหายานเสื่อมมากกว้างกว่าเถรวาท เถรวาทยังมีส่วนไม่เลอะเทอะ อย่างมหายานยานไปถึงมีผัวมีเมียได้ ในวินัยปาราชิก 4 ไม่มีแล้ว เป็นพ่อค้าแม่ขายทำมาหากินเป็นฆราวาส 100 % เลย

        0892772xxx กราบนมัสการพ่อท่านดิฉันติดตามรับฟังพ่อท่านเรื่องเรื่องวิญญาณดิฉันอยากทราบว่าคนทุกเชื้อชาติเมื่อตายแล้ววิญญาณจะไปเกิดอย่างไรเกิดประเทศเดิมและเกิดตามศาสนาเก่าของเขาไหม

       พ่อครูว่า...เป็นอจินไตย อธิบายยาก แต่ทุกเชื้อชาติของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์เมื่อตายไป กายส เพทา ปรัม มรณา วิญญาณออกจากร่าง มันไม่มีวิญญาณลอยไปลอยมาหรอก แต่วิญญาณเป็นกรรมเป็นวิบาก ผู้ใดมีวิบากในจิตที่มีกิเลส กิเลสก็อยู่ในกรรมวิบากเรา กิเลสดับในวิญญาณก็ไม่มีกิเลส ต้องทำตอนเป็นๆ ตอนตายไปแล้วทำไม่ได้หรือทำได้ยาก คนเรามีวิบากชุดหนึ่ง เช่นไปเกิดเป็นหมาก็จะมีวิบากของหมาก็ใช้อุปกรณ์ร่างของหมา คือมีตามีสมองมีร่างอย่างหมา ก็ใช้ได้แค่นั้น เป็นเรื่องยากอธิบายซับซ้อนมาก มันจะสังเคราะห์กัน พ่อครูกลัวบาป ไม่อวดดี และศาสนาเสื่อมเพราะความไม่รู้จริงเยอะ สรุปแล้ววิญญาณจะไปเกิดตามวิบากบุญและบาป ตายปุ๊ปก็ขาดจากพลังงานทางร่างกาย ทิ้งร่างกายไป จิตวิญญาณก็จะไปอยู่ในอีกลักษณะพระพุทธเจ้าไม่ให้เรียกว่าวิญญาณ แต่เป็นวิบาก ผู้ไม่มีกิเลสก็ไม่มีกิเลสไปเกิด คำว่ากิเลสกับอนุสัยอันเดียวกัน กิเลสก็เรียนรู้ได้แต่อนุสัยต้องมีภูมิรู้จึงรู้ได้ อนุสัยเดาไม่ได้ แต่กิเลสพอเดาได้ ต้องเรียนรู้อนุสัย 7 เป็นเรื่องยากขอผ่านไปก่อน

       และจะไปเกิดในประเทศเดิม ศาสนาไหน ?...ไม่แน่หรอก ตามวิบาก ระวังใครบางคนจะไปเกิดในเอธิโอเปีย ไปเกิดในนิวกินี ไม่ได้ว่าเป็นคนไทยจะไปเกิดเป็นคนไทยอีก แต่วิบากมันจะมีเชื่อมโยง แต่ถ้ามีวิบากบาปก็จะถีบส่งไปไกลไปเกิดมีความลำบาก กรรมจะจัดสรร กัมมัง สัตเต วิภัชชติ และศาสนาก็จะเปลี่ยนได้ ตอนเป็นๆก็ศึกษาแล้วเปลี่ยนศาสนาได้ จะเกิดที่จิตก่อน อย่างไอสไตน์เป็นศาสนายิว แต่ก่อนตายก็เป็นพุทธ แม้แต่คานธีก็เป็นฮินดู แต่จิตเป็นพุทธ มันอยู่ที่กรรมวิบากของจิต

        0814289xxx  พระโพธิสัตว์มี 2 แบบคือ ที่ได้รับพยากรณ์แล้วและ ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ ท่านเป็นอย่างไหนครับ.คนเมืองทอง นนทบุรี

       พ่อครูว่า..ก็อธิบายแล้ว ว่าเป็นโพธิสัตว์...แต่ละองค์ๆที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ส่วนโพธิสัตว์ที่จะได้รับพยากรณ์ก็ต้องมีคุณธรรม มีคุณสมบัติ เพียงพอจนพระพุทธเจ้าเห็นได้เลย มีเหตุส่วนอดีตส่วนปัจจุบัน (อปรันตา บุพพันตา) เพียงพอ สิ่งที่เป็นวิบากของแต่ละคน ผู้มีเจโตปริยญาณแท้จริงจะสัมผัสรู้ได้ ในเหตุที่เกี่ยวเนื่องกัน เผลอๆเจ้าตัวอาจไม่รู้ด้วย แต่พระพุทธเจ้ารู้ได้ อาศัยอย่างนี้

        0814727xxx   พธร บรรลุโดยอ่านคัมภีร์แลัวใช้จินตนาการแทนการปฏิบัติ

       พ่อครูว่า...ไม่ได้ใช้จินตนาการแทนการปฏิบัติเลย ...ระมัดระวังอย่างยิ่งที่จะแสดงออกไป ไม่อวดออกเต็มๆ แต่คุณ 4727 เพ่งโทสมา คุณเดาส่งมา อ่านตามอาการ พ่อครูเป็นคนอ่านน้อย พ่อครูเอาธรรมะที่เป็นสิ่งจริง ไม่เน้นความรู้ แต่เน้นความจริงมากกว่า แล้วเอาความจริงมาสาธยายอย่างประมาณด้วยไม่เอามาเปิดเผยหมด เพราะต้องระวังว่า บางทีเขารับไม่ได้ก็ต้องระวัง ต้องสงวนไว้ไม่ออกหมดทั้งเหตุปัจจัย กาละ มีมัตตัญญุตาชัดเจน คุณคนนี้ไม่เชื่อและไม่มีปัญญารู้ว่าเราทำอะไร

        0814727xxx   อ่านคัมภีร์ไม่แตกแล้วตีความผิด ๆ เหมือนสมาธิลืมตาหลับตานั่นแหละ

       พ่อครูว่า..คนนี้เห็นแย้งเพราะเขาคงเห็นด้วยกับสมาธิหลับตา แล้วใครที่อ่านไม่แตกกันแน่ เขาจะทำงานมาขนาดไหน ทำให้คนได้รับมรรคผลทางศาสนาเท่าพ่อครูไหม?ก็ไม่รู้ คำว่าสมาธิหลับตาและลืมตาก็เข้าใจ มันเพี้ยนมานาน ไปยึดสมาธิหลับตา

        0897630xxx  ประเทศไทยจะพ้นมือมารมั้ยพ่อท่าน

       พ่อครูว่า..ไม่ตอบเอง จะถามพวกเราซึ่งนั่งอยู่ที่นี่...ส่วนใหญ่ตอบว่าพ้น...

        0891844xxx  อยู่น.ฐจะไปสวนลุมฯนั่งสายอะไร?บ้างค่ะ!

       พ่อครูว่า..คุณถามผิดตัวแล้ว ทุกวันนี้ออกจากสันติอโศกก็ไม่รู้ทางเลย แต่ถ้า 50ถึง 60  ปีก่อนไม่กลัวเลย พ่อครูเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ ไปทั่วเลย ไม่ได้กลัวหรอก ทั้งกทม.และธนบุรี ไปได้ทุกซอกซอย แต่ทุกวันนี้ไม่รู้จักเลย ตึกรามมากมาย แต่ก่อนนี้ตึกสูงสุดมี 9 ชั้น หรือ 7 ชั้นเท่านั้น แต่ตอนนั้นพ่อครูถือว่าตึกต่างเป็นแดนสวรรค์ แต่ตอนนี้เป็นแดนนรก ก็ตึกที่ขึ้นมาเหมือนป่าช้าที่มีเสาพวกนี้ขึ้นมาก ทุกวันนี้หมดสภาพเลยไปไม่ถูก แต่พ่อครูตอบไม่ได้ว่าจะมาสวนลุมฯอย่างไร

       0839735xxx  มังกุ พ่อท่านแปลว่า ตะขิดตะขวงใจ ค่ะ

       พ่อครูว่า...มันมีอะไรนิดๆในจิตไม่แรงอย่างเคอะเขิน ขวยเขิน

        0850126xxx       มีโอกาสได้ฟังธรรมจากหน้าจอทำให้เกิดปิติในจิตใจ ช่วยให้ลดความสับสน และเกิดแง่คิดในปฎิบัติตน สาธุจากastv shop mk

       0847460xxx พ่อครูแสดงธรรมคนดูคนฟังธรรมทางFMTVอย่างใช้ปัญญาดูพ่อครูท่านปฏิบัติก็รู้ว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ผมตามมา40กว่าปีแล้วผมหาเกจิมาทั่วประเทศปลดทุกไม่ได้เลยแตู่ดูFMTVมา7ปีกว่าตอนนี้เนื้อสัตว์ ไม่ทานเหล้าบุรี่ไม่ได้เงินคนมีปัญญาผมมั่นใจว่าพ่อครูคือ พระโพธิสัตว์ เจริญธรรม

       0895484xxx ที่ผมเจริญธรรมได้ทุกวันนี้ตามภูมิตามฐานะก็เพราะได้ฟังธรรมเทศนาจากพ่อท่านครับ/พณพล

       0857308xxx ผู้น้อยเป็นผู้มาศึกษาใหม่ได้เข้าใจธรรมเป็นลำดับขั้นก็เพราะฝึกปฏิธรรมแนวอโศก จากแต่ก่อนเคยเรียนรู้ธรรมแบบพายเรือในอ่าง

       0897202xxx พระโพธิสัตว์ท่าน80ปีแล้วท่านยังร่าเริงสดใสเหมือนวัย20ปีเห็นดว้ยมั้ยค่ะ

พ่อครูว่า...วันนี้มีคนเอาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มาตรวจ เครื่องก็รายงานว่า...เครื่องมันบอกว่าพ่อครูอายุ 8 ปี แต่ไปตรวจที่บำรุงราษฏร์บอกหัวใจอายุ 18 ปี ส่วนบางอย่างบางประเด็นเครื่องตรวจไม่เจอ ก็เลยนึกถึงพระวังคีสะ เหมือนพระพุทธเจ้ายื่นกระโหลกให้วังคีสะเคาะว่าตายแล้วไปเกิดที่ไหน พระพุทธเจ้ายื่นกระโหลกอรหันต์ให้ตรวจ วังคีสะก็ตรวจไม่ได้ คือลักษณะไม่มีกิเลสก็อ่านไม่เจอ เขาก็บอกว่ามีหวังอายุ 151 ปี

       กิเลสมันพาคนมืดดำฤษณา เป็นคนที่มีความมือดำ ถ้าบอกว่ามืดก็มืดตาใส หรืออย่างด้านตาใส แล้วพ่อครูว่าเขารู้นะ เขารู้ แต่เขาทำอย่างด้านตาใส คนนี้เลวร้ายกว่าคนซื่อตาใส เขาแกล้งมืดที่จริงเขารู้ จนกระทั่งมีตนเดาจะไปเป็นผู้บริหารระดับสูงของประเทศ เขาด่ายังกับอะไรดีทำไมยิ้มอยู่ได้ อย่างกับพระอรหันต์ เขาจะไม่รู้อะไรเชียวหรือ ถ้าสมัยพระพุทธเจ้าสมเด็จพ่อก็ปิดไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้เลย แม้แต่คนแก่ คนเจ็บคนตายก็ไม่ให้รู้เลย ปิดบังเลย แต่ยุคนี้อมภูเขาเอเวอเรสต์มาพูดก็ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าจะไม่รู้ว่าคนเขาด่าขนาดนี้ แต่หน้าด้าน ทำเป็นยิ้มย่องผ่องใส ไหลรื่นเรื่อยเจื้อยไร้สาระ พูดก็เหนื่อยนะ

       ขณะนี้มีหนังสือนิตยสารของโลก นิตยสารTime เล่มใหม่เป็นเล่มที่มีหน้าปกเป็นเรื่องของท้องฟ้าประเทศ และมีคำว่า Majority Rule แล้วเขาก็ขีดฆ่าคำนี้ไว้ หมายความว่าระบบเอาหมู่ใหญ่เป็นกฎนี้มันล้มได้แล้ว    

       แบบตื้นๆใช้เงินซื้อเสียง ใช้อำนาจข้าราชการบังคับให้คนออกเสียงให้ แล้วเอาคะแนนเสียงมาหลอกคนที่เข้าใจตื้นๆมิติเดียว ว่านี่คือคะแนนเสียงของประเทศนะ มี 15 ล้านเสียงนะ พ่อครูว่า...ทำไมในประชากรไทย 65 ล้านคนจะมีเสียงต่างจาก 15 ล้านเสียงนี้ได้ ก็คนไทยไม่ออกมาแสดงตัวนะ พ่อครูก็พูดซ้ำซากว่าต้องออกมา ประชาธิปไตยคือออกมาชุมนุมแสดงตัว 1 คน 1 เสียง 10 คน 10 เสียง ล้านคนล้านเสียง เป็นคะแนนเสียงสดๆ

       ขณะนี้ต้องการให้รัฐบาลคณะนี้เลิกไหม คนไทยเห็นด้วยไหม ถ้าเห็นด้วยเขาเป่านกหวีด ว่าทำอย่างนี้ไม่ถูกต้องคุณเห็นด้วยก็ออกมา ไม่ต้องมาทำอะไร แต่มาแสดงเสียงปชต​. ยืนยันความจริง ในอำนาจอธิปไตย ทำไมมันยากไม่เข้าใจ หรือเข้าใจแต่เห็นแก่ประโยชน์ตน ไม่เห็นแก่ประเทศชาติ คนใจดำเห็นแก่ตัว

       จริงๆ พ่อครูพูดได้เลยว่าอาตมาไม่เดือดร้อนนะ ประเทศไทยจะล่มจม ก็อยู่กับหมู่กลุ่มไป แนะนำสั่งสอนกันไป พ่อครูไม่เดือดร้อนเลยนะ แต่พ่อครูเห็นว่าไม่ได้ ต้องมาเตือนให้สติให้ความจริง เท่าที่เราจะมีปัญญารู้ความจริง ว่าประชาธิปไตยควรทำอย่างไร เมื่อเห็นอยู่รู้อยู่ว่าไม่ต้องการให้เกิด ก็ออกมาสิ มาทำตามรัฐธรรมนูญ ตามสิทธิทำหน้าที่พิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์ สิ่งใดเสื่อมไม่ว่าผู้บริหารหรือรัฐสภา ประชาชนมีสิทธิประท้วง ประชาธิปไตยคือการออกมาชุมนุมประท้วง นี่คือประชาธิปไตย ก็สงสัยจริงๆเลย แล้วทำไมไม่ทำ ถ้าทำจะเห็นฤทธิ์เลย ประชาชนไทยไม่ต้องออกมา 65 ล้านก็ได้ แต่ออกมาแต่ละหมู่บ้านแต่ละจังหวัดก็รวมตัวกัน นัดแนะกัน ไม่เอาเรื่องอะไรก็นัดกันประท้วง เช่นไม่เอาเขื่อนเป็นต้น

       ถ้าประชาชนทั้งประเทศเคลื่อนไหวอย่างนี้ คือไม่ให้คนทำผิดทำชั่ว ถ้าไม่ช่วยกันอย่างนี้นั่นคือประเทศไม่เจริญประชาธิปไตย ที่พูดนี้ง่ายนะไม่ได้ยากเย็นอะไร คนที่จนเดือดร้อนก็ยิ่งต้องออกมา คนระดับกลางระดับสูงก็มีน้ำใจหน่อย คุณมีฐานะดีกว่าคนจนอีก เมื่อถึงเวลาก็กตัญญูกตเวทีต่อชาติบ้าง นอกจากคุณไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป

       แต่คนที่เห็นอยู่รู้อยู่แท้ๆ นี่ใจดำนะ ถือว่าบ่นก็บ่น ในวาระที่ควรบ่น มันเลวร้ายนะ ไม่เกรงฟ้าดินเลย น่าเกลียดน่าชัง ทุเรศทุรังการ

       ในขณะนี้ที่กล่างถึงหนังสือพิมพ์ไทม์เขาขีดฆ่าทิ้่ง Majority Rule ส่อให้เห็นว่าอเมริกาที่เป็นประเทศใหญ่ตีทิ้งMajority เลย ส่วนไทยนั้นใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำลายนิติรัฐนิติธรรม เลวจริงๆ เลวไม่สร่าง ใช้เผด็จการเสียงส่วนมากเผด็จการรัฐสภามาทำลายประเทศ จริงๆไม่ซื่อสัตย์ต่อกฎ แต่มีคะแนนเสียงที่โหวตชนะมาล้มล้างสิ่งที่ต้องการล้มล้าง เขาก็ทำอย่างหน้าด้านหน้าทน คำว่า Minority Right มันหมายถึงสิทธิมนุษยชนด้วย

ถามพวกคุณหน่อยว่า...ความเห็นของพระพุทธเจ้าองค์เดียวกับความเห็นของพวกคุณแสนล้านคน คุณจะให้เชื่อใครเอาใคร ...ส่วนใหญ่ตอบว่าเอาแบบพระพุทธเจ้า นั่นแหละคือ Minority right ประเทศเจริญแล้วเขาถึงมีวิธีเข้าไปหา ตัวนี้ ที่แปลว่าทั้งความถูกต้องและสิทธิประชาธิปไตย ผู้มีภูมิปัญญาจะมองสิ่งที่ถูกต้องได้ชัดได้ดี ต้องคำนึงถึงจุดนั้นด้วยที่จะให้โอกาสแก่ส่วนน้อยที่ถูกต้องมามีอำนาจทดแทน ไม่เอาแต่คะแนนเสียงส่วนมากเท่านั้น นี่คือประเด็นที่ลึกซึ้ง

 

        ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • เป็นห่วงสถานะทางบ้านเมืองจังเลย เรากำลังสู้กับอันธพาลครองเมือง เราจะต่อสู้ได้อย่างไรหวังได้แค่ไหน?
  • ตอบ...เราไม่รอ เราไม่หวัง แต่เราทำ พ่อครูออกโศลกนี้มาหลายปีแล้ว เพราะประเมินสังคมอย่างนี้จริงๆ พระพุทธเจ้าสอนให้พึ่งตนเอง เมื่อพึ่งตนได้ดีก็ช่วยผู้อื่น ขณะนี้เราก็ทำอย่างไม่รอไม่หวังแต่เราทำตามเหตุปัจจัย ขอให้เรายึดถือปรัชญาเอกของพระมหาชนก แม้ไม่รู้ฝั่งก็ว่ายเข้าไปๆๆ ในหลวงทำยืนยันให้เราดูนะ สักวันหนึ่งก็จะเห็นผลดี
  • ท่านสอนว่าบุญใครทำใครได้ แบ่งกันไม่ได้ เวลาเราอุทิศส่วนกุศลแก่ญาติผู้ใหญ่จะได้รับไหม?
  • ตอบ...สับธง...เรื่องบุญบาป กรรมวิบาก แบ่งกันไม่ได้ ในคำสอนพระพุทธเจ้า ใครทำดีทำชั่วก็เป็นผลวิบากของตนเอง กัมมสกตา และต้องรับวิบากของตนเป็นกัมมทายาท จะทำอย่างแก่อย่างอ่อนอย่างไรก็รับเท่านั้น ส่วนลัทธิแบ่งบุญแบ่งบาปกันได้นั้นนอกพุทธ มันเป็นเหตุปัจจัยที่ต้องการขายบุญของสำนักที่ล่อลวง คนที่เอาบุญมาแบ่งแจกนั้นเป็นกลเม็ดหลอกคน บุญบาปแบ่งกันไม่ได้ หรือกรรมของใครก็ต้องรับของตน กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ คนที่แบ่งบุญแบ่งบาป แก้กรรมกันได้ คนนี้เก่งกว่าพระพุทธเจ้า คนนี้น่ากลัวที่สุด เอาตอนนี้คุณกับอาตมายังไม่ตายจากกัน พ่อครูจะมีบุญมากน้อยอย่างไร แบ่งให้ไปเลยใครก็เอาไปเลย แต่คุณจะเอาไปอย่างไร คุณจะเอาส่วนบุญจากอาตมาไปได้อย่างไร ยกตัวอย่าง คุณตีหัวคนเป็นบาป ส่วนคนที่ไม่ได้ตีไม่ได้ทำ แล้วคนตีหัวก็ว่าเอ็งที่ไม่ได้ตีแบ่งบาปไปได้ไหม ก็ไม่ได้ ส่วนบุญก็เหมือนกัน คุณทำสิ่งดี ทำเสร็จแล้วจะแบ่งการกระทำให้คนที่ไม่ได้ทำจะแบ่งได้อย่างไร บุญบาปคือกรรมดีชั่วถูกผิด ถ้าเข้าใจไม่ถูกฝาถูกตัวก็สอนกันเลอะศาสนาก็เพี้ยนกลายเป็นศาสนาหลอกกิน ใครเอาบุญมาล่อหลอกก็เพี้ยนไป บุญคือการชำระกิเลสคือการเอาออก แต่เขาแปลว่าของควรได้ แต่นัยลึกคือคุณควรได้สละออก ไม่ใช่เรื่องได้มาให้แก่ตัวเองนะ
  • รู้สึกว่าเทศน์ของพ่อครูที่สวนลุมฯ เป็นชุดความรู้พิเศษที่ต่อเนื่องอย่าพลาดชมนะ
  • มรณานุสสติหมายความว่าอย่างไร?
  • ตอบ....ตามระลึกถึงความตาย เป็นคำสอนพระพุทธเจ้า คนเราตายแล้วถ้าตายทางร่างกายก็จบไม่ครบขันธ์ 5 ซึ่งคนที่มีขันธ์ 5 ครบเป็นคนมี สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส จะปฏิบัติธรรมให้บรรลุไม่ได้ ต้องปฏิบัติในขณะเป็นๆเลย ท่านให้ระลึกอยู่เสมอ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะตายเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้เดินไปชนอะไรตายเองเยอะหรืออะไรชนตายก็เยอะ ท่านก็ให้ระลึกถึงความตาย ท่านให้ศึกษาขันธ์ 5 แต่ขั้นลึกซึ้งกว่านั้นเป็นระดับอรณะคือตายของกิเลส
  • การดับกิเลสกับการดับจิตเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
  • ตอบ...ผู้นั่งสมาธิไปดับจิตทั้งนั้นแล้วเรียกการดับจิตว่าคือนิโรธ แล้วยึดถือว่านี่คือนิโรธของพระพุทธเจ้าซึ่งผิด เป็นนิโรธแบบฤาษี ดับจิต ส่วนการดับกิเลส คือต้องเรียนรู้กิเลส เอาเฉพาะกิเลส เรียกว่าอกุศลจิตหรือกิเลส แล้วจะรู้ได้ก็ต้องมีกระทบทวาร 5 ชัดที่สุด ต้องเรียนรู้แต่กามภพ แล้วกำจัดกิเลสพระอนาคามีฆ่ากิเลสระดับกามภพหมด เหลือแต่รูปภพ อรูปภพ แต่ก็ลืมตาปฏิบัติแต่เรียนรู้กิเลสในรูปราคะ อรูปราคะ แล้วดับกิเลสในระหว่างมีผัสสะตลอด ทำสมาธิลืมตา ดับกิเลสไม่ได้ดับจิต  ต้องดับอย่างมีตาเปิด เอาตั้งแต่อบายคือกามภพ แล้วเป็นสกิทาคามีก็ฆ่ากามภพต่อ แล้วเป็นอนาคามีดับกิเลสรูปภพ อรูปภพ จนเป็นอรหันต์ ทำอย่างครบทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ
  • พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เสียชีวิตผมฝันเห็นบ่อยๆ แสดงว่าวิญญาณท่านยังวนเวียนไม่ไปเกิดใช่ไหม
  • ตอบ...ไม่ใช่ เป็นความบ้าของคุณ คุณเองติดยึดแล้วปั้นเอาเป็นฝันของคุณ จิตวิญญาณเมื่อตายไปก็อยู่กับกรรมวิบากของตน เป็นเดี่ยวเดียวๆ ไปหาใครก็ไม่ได้ ใครไปหาก็ไม่ได้ ยกตัวอย่าง
  • สึนามิ คนตายเป็นหมื่น ญาติก็ตามหากันให้ควักไปหมด ถ้าวิญญาณนี้ไปหากันได้ ก็ต้องมาบอกแล้ว ว่าศพอยู่ที่นี่ หรือคนเป็นๆ ที่ตายไปแล้วตอนเป็นๆเป็นคู่พยาบาทกัน ตอนเป็นพยาบาทกัน ตอนตายหากไปกากันได้ก็เอาอะไรไปจิ้มลูกกะตากันตายไปแล้ว ตอนเป็นๆนี้ถ้าฆ่ากันจะติดคุกแต่ตายไปก็ฆ่ากันได้เลยสิไม่ต้องไปติดคุกด้วย หรือคนรักกันตายไปก็ต้องมาหากันสิ นอกจากจะมีมโนมยอัตตาหลอกหลอนตัวเองเท่านั้น พ่อครูเคยใช้โศลกว่า เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ตอนเป็นๆนี่ให้เลี้ยงพ่อแม่ให้ดี โดยเฉพาะให้รู้จักโลกุตรธรรมนี่แหละ พระพุทธเจ้าตรัสว่าแม้คุณจะเลี้ยงพ่อแม่อย่างหาสมบัติหาแคว้นหารัฐให้พ่อแม่ก็ไม่ถือว่าได้กตัญญูกตเวทีเรหรือว่าเลี้ยงให้ขี้เยี่ยวอยู่บนบ่าเลย ขนาดนั้นพระพุทธเจ้ายังไม่ถือว่าได้ทดแทนคุณพ่อแม่ แต่การทดแทนคุณคือทำให้ท่านเกิดศรัทธา เกิดศีลเกิดจาคะ เกิดปัญญา นั่นคือจึงจะได้ชื่อว่าการได้ทดแทนคุณพ่อแม่  แต่ว่าการให้วัตถุก็ควรทำ ต้องเลี้ยงดูด้วยนะ ไม่ทำเบื้องต้นก็บาปได้ พระพุทธเจ้าบอกเรื่องกตัญญูอย่างลึกซึ้งด้วย  จะทดแทนพ่อแม่ได้คือทำดี คุณอยู่ในสกุลนี้ ต้องทำดีอย่าให้สกุลคุณเลว อย่าทำลายสกุลถือเป็นการทำลายพ่อแม่ปู่ย่าตาทวด
  • ขอท่านอธิบายคำว่าปัจเจกพระพุทธเจ้า อาริยสงฆ์ องค์สงฆ์ ปัจเจกพุทธเจ้า?
  • ตอบ...อริยะคือผู้บรรลุธรรม ตั้งแต่โสดาบันเป็นต้นไป แต่ละคนได้บรรลุธรรมก็คืออาริยบุคคล  ผู้ใดบรรลุถึงโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์  4 ขั้นนี้เรียกว่าอาริยสงฆ์ แล้วเขาก็เอาทั้ง 4 อย่างนี้มาเรียงกัน ถ้าองค์สงฆ์ให้มีพระสี่รูปก็ครบองค์สงฆ์ ที่ท่องว่าสาวกสังโค นี่คืออย่างนี้ โดยสัจจะคือคุณธรรม 4 อย่างนี้ เมื่อได้ 4 องค์ครบเป็นอาริยสงฆ์ บุคคลนี้เป็นสงฆ์แล้ว ส่วนคำว่าปัจเจกพุทธเจ้า คำว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธคือสูงสุดเป็นผู้ได้ความเป็นสัมมาสัมพุทธะส่วนตน แต่ไม่สามารถเป็นเจ้าของศาสนาได้ ไม่สามารถสร้างศาสนาได้จะด้วยเหตุปัจจัยใดก็ตาม บางท่านสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้แต่ท่านไม่ทำ สรุปคือปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือมีคุณสมบัติครบเป็นพระพุทธเจ้าได้แต่ไม่สร้างศาสนา สามารถสอนได้ให้คนบรรลุได้ มีพุทธการกธรรมแล้ว แต่ท่านไม่ได้ประกาศเป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านก็ปรินิพพานไป นัยหนึ่งคือลาออกเอง อีกนัยหนึ่งคืออนันตริยกรรมท่านมากเกินไป บำเพ็ญอย่างไรก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอนันตริยกรรมมีมากอย่างพระเทวฑัตเป็นต้น
  • คนข้างบ้านด่ากระทบในหลวงให้ฟัง ดิฉันเครียดๆๆๆทำอย่างไรดี
  • ตอบ...มาปฏิบัติธรรมเถอะจะได้รู้จักเวทนา จะได้ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ รู้จักเวทนาในเวทนาจะได้ทั้งล้างได้อย่างไม่ต้องกดข่ม ก็ต้องหัดวางไปก่อนอย่างเอาใจใส่เขาเลย
  • ในหลวงท่านเน้นเรื่องการศึกษา เพราะท่านรู้ว่าหากคนไทยฉลาดจะได้ไม่ถูกหลอก หากเราล้มทักษิณได้ต้องให้การศึกษาจะแก้ปัญหาสังคมได้ใช่ไหม
  • ตอบ...ใช่ เราต้องแก้ได้ด้วยการศึกษา ตอนนี้ไทยเสื่อมเพราะไม่ได้ให้การศึกษา แต่ว่าการศึกษาที่ทั่วไปให้กันตอนนี้เป็นเดรัจฉานวิชชา ยิ่งเรียนรู้มากยิ่งเอาเปรียบมาโกงมาก ถ้าจะให้ความรู้กันก็ขอเถอะขอให้มีการศึกษาพุทธให้มีมรรคผล ทุกวันนี้การศึกษาไปหลงตำราเมืองนอก ถ้าเราเอาแบบพระพุทธเจ้าที่มีไตรสิกขา มีศีล สมาธิ  ปัญญา จะดีมาก ส่วนความรู้เทคนิคทางโลกเราก็ไม่ทิ้ง เรามีโรงเรียนสัมมาสิกขาที่มีปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา เขาห่วงว่านักเรียนเราจะด้อยความรู้แต่นร.เราจบไปเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้เกียรตินิยมกันนะ
  • ถ้าเขาซื้อเสียงมาแล้วเรารับเงินแต่ไม่เลือกเขาได้ไหม?
  • ตอบ... คุณรับเงินเขาไปแล้วไม่ลงคะแนนให้เขา ถ้าเขารู้ก็จะมาหาเรื่องเราได้ อย่าตะกละอย่าเห็นแก่ได้ แล้วเป็นเงินทุจริตด้วย
  • ชวนเพื่อนคนที่พอจะคิดเป็นบ้างมาสวนลุมแต่เขาปฏิเสธว่าไม่อยากมีเรื่องกับใครทำอย่างไรดี
  • ตอบ...ก็ชวนเพื่อนคนอื่นสิ คนปิดประตูใจก็ปล่อยไป เราก็หาเพื่อนคนที่รับได้สิ
  • ผมขอเสนอว่า ท่านน่าจะบอกว่าพระมหากษัตริย์จุติจากผู้มีบุญ อย่าดูหมิ่นจาบจ้วงจะเป็นบุญต่อพวกเขานะ
  • ตอบ...พ่อครูก็ว่าก็บอกอยู่ แล้วขอบคุณที่บอกมาอีก
  • ท่านบรรลุอรหันต์หรือยัง? แล้วท่านเป็นโพธิสัตว์ ท่านจะนิพพานไหม? แล้วท่านระลึกชาติได้หรือไม่?
  • ตอบ...อาตมาเลยอรหันต์ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ระดับ 7 พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ก็ต้องมีนิพพาน แล้วก็รู้จักกิเลสเอาความจริงของตนมาอธิบาย คำว่าโพธิสัตว์อธิบายแล้ว แล้วระลึกชาติได้ไหม?ก็ได้ อธิบายแล้วพระพุทธเจ้าหรือพ่อครูก็มีตามบารมีหากรู้อดีตกับปัจจุบันก็รู้อนาคต เยธัมมาเหตุปัพพวา ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่ว่าพูดโดยไม่มีหลักฐาน แต่อดีตก็ของใครก็ของใคร มาบอกยืนยันยาก ในชาตินี้พ่อครูไม่ได้มีครูบาอาจารย์ เอาของเก่าตนเองมีแล้วมาสอน ใหม่ๆยืนยันก็ไม่มีใครเชื่อ แต่ตอนนี้มีสิ่งยืนยันว่าทำได้จริงจนเป็นหมู่กลุ่ม เอาอะไรยืนยันก็เอาอดีตกับปัจจุบันยืนยันได้ ผ่านมา 40 ปีมีสิ่งที่ปรากฏจริงเป็นหมู่กลุ่มอโศก เอาธรรมวินัย 8 มาตรวจสอบได้ เอากถาวัตถุ 10 วรรณะ 9 มาตรวจได้ 40 ปีมาแล้วก็น่าจะพูดได้แล้วนะ แต่ก่อนก็พูดไปไม่ดี แต่เคยบอกแต่สมัยบวชใหม่ๆว่า จะพูดให้ตนเองถูกชาวพุทธกระทืบหรือรัฐเอาตายได้ จับเป็นผีบุญประหารชีวิตได้เลย แต่ตอนนี้มีสิ่งยืนยัน คนจะมาจับเป็นผีบุญ ก็มีพยานมากช่วยยืนยัน ….จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:26:04 )

561006

รายละเอียด

561006_รายการวิถีอาริยธรรม ที่สวนลุมฯ

เรื่อง กายในกายอย่างพิศดาร

ส.เพาะพุทธดำเนินรายการ...วันนี้ได้ไปร่วมงานที่มีเรื่องเกี่ยวกับอ.ศศิน เฉลิมลาภ ที่ได้เดินทางไกลเพื่อหยุดการสร้าวเขื่อนแม่วงก์ ท่านบอกว่า เดินทางผ่านความไกลไม่ยากกว่าเดินทางผ่านความกลัว

       อ.ศศินว่า หน้าที่ในการเดินเป็นหน้าที่ของผม แต่หน้าที่ตัดสินใจเป็นของเจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบฯ เป็นธรรมะที่ให้เห็นว่า คนจะประสพผลสำเร็จได้ไม่ต้องทำเองทั้งหมดหรอก

       และมีธรรมะอีกที่ได้ฟัง เรื่องความดื้อผมไม่เป็นรองใคร แต่ที่ต้องเดินเท้า 388 กม. ท่านเชื่อว่าจะมีคนดีกว่าเก่งกว่ามาสานต่อภาระหน้าที่ แต่เราไม่รู้ว่าคืออะไร อาจจะไม่เกิดก็ได้ แต่เรามีหน้าที่ทำให้ดีที่สุด เราไม่รอ เราไม่หวัง แต่เราทำ  คนจะรู้เรื่องหรือจะไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่คนต้องมั่นใจว่าผมรู้เรื่อง พ่อครูมักพูดอยู่เสมอว่ายืนหยัดแตกต่างจากดื้อรั้นดันทุรัง

       พ่อครูว่า...ตั้งใจว่าวันนี้จะพูดถึงเรื่องของชีวิต ที่มีชาติ ความเกิด แล้วก็มีการตาย ซึ่งคนเราเกิดมาแล้วก็ตาย แต่ชีวิตเป็นๆนี่แหละยุ่ง ยุ่งเพราะอวิชชา ยุ่งเพราะไม่รู้ ไม่รู้ว่าเราเกิดมาจะจัดการกับตัวเองอย่างไร สิ่งที่จะจัดการมนุษย์คือจิตวิญญาณของแต่ละคน จิตเป็นประธาน มโนปุพพัง คมา ธัมมา

       พระพุทธเจ้าให้ศึกษาในจิต มโน แล้วจัดแจงจัดการปรุงแต่ง สังขาร ถ้าเราไม่รู้จักการสังขาร อวิชชาจะเป็นตัวจัดการ ที่เขาแปลอวิชชาว่าโง่ คำว่าโง่คำนี้ ไม่ได้แปลว่าไม่รู้การบวกเลข ไม่รู้ว่าจะแกงมัสมั่นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมาสวนลุมฯมาไม่ถูกเป็นต้น

        0860618xxx  "ท่านไม่รู้จักทางไป" "สวนลุมฯ" "ไม่เป็นไรแต่ถ้าท่านรู้ทางไป" "สวนธรรม" เพื่อสวนทางอธรรมนั่นแหละคือความยิ่งใหญ่ของพลังประชาธิปไตย

       ที่ว่าไม่รู้ว่าเขาด่าเต็มบ้านเต็มเมืองก็ไม่รู้อีก มันย่ิงกว่ามหาอวิชชานะ ไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้ แต่ใช้หน้าทนเอานะ

       คนที่จะรับหน้าที่ไปช่วยคนอื่นต้องรู้จัดแจงใจตนได้ก่อน ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วจึงพร่ำสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ช่วยคนอื่นยากกว่าช่วยตนเองให้รอด

       พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งสมบูรณ์ ที่จิตใจ จิตวิญญาณ คือพลังงานหลักของชีวิต ของสัตว์โลก มันบงการโดยเราไม่รู้ตัว คือตัวจิตที่ถูกตัว สัญชาติ หรือสัญชาตญาณเป็นตัวสั่งการ ตนเองไม่มีสติสัมปชัญญะมาควบคุม จิตคนนั่นแหละที่สั่งการ มันเห็นผิดว่าดีก็ทำ สั่งให้ตนเองทำ บงการให้ตนเองทำ นี่คือจุดที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ความเป็นสัตว์โลก สัตว์เดรัจฉานเราสอนให้เปลี่ยนจิตวิญญาณไม่ได้ เป็นอเวไนยสัตว์ ส่วนคนนั้นก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นอเวไนยสัตว์ สอนไม่ได้ บังคับไม่ได้ ฆ่าก็ตายเปล่า เพราะองค์ประกอบขององคาพยพชีวิต แม้มีร่างกายเต็ม แต่จิตวิญญาณเขามีคุณภาพเท่านั้นเอง เวลาที่เขาจะศึกษาเล่าเรียนก็มีภูมิจำกัด ผู้ที่สนใจเรียนธรรมะต้องรู้ตนเอง ว่าเราสามารถทำธรรมะระดับโลกุตระ หรือระดับอารยชน

       คือฟังรู้เรื่องมีธรรมรส เอาใจใส่ ฟังรู้เรื่องแล้วเอาไปทำนี่คือาริยชน หรือเรียก ศิวิไลซ์ เป็นคนเจริญแท้จริง

       แต่คนที่ไม่เข้าใจธรรมะที่เยี่ยมยอด คนเราเกิดมาร่างกายก็ต้องตายทุกคน แต่ตอนไม่ตายนี่สิ ต้องมีการสังขาร คนใดไม่เข้าใจสังขาร ผู้นั้นก็อยู่ภายใต้อวิชชา ซึ่งอวิชชามีสังขารเป็นเหตุให้เกิด

       การเกิดที่สำคัญคืออย่างไร ที่ร่างกายเกิดและก็เจริญแล้วเสื่อมนั้นก็ใช้ แต่ว่าถึงวาระสุดท้ายก็ต้องตาย และจะเจริญหรือไม่ก็มีเหตุมีระยะของมัน ทุกคนเหมือนกันหมด แต่ส่วนใจนี่คือ  ชาติในกาย หรือ “กายในกาย” ที่อยู่ในหลักสติปัฏฐาน 4 เขาก็เรียนกัน แต่มันไม่สัมมาทิฏฐิ

       คำว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม คือสติปัฏฐาน 4 เป็นหมวดแรกใน โพธิปักขิยธรรม 37 มีหลักจำตัวเลขที่ 45 78  

        4 คือสัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 สติปัฏฐาน 4

       5 คือ อินทรีย์ 5 พละ 5

       7 คือโพชฌงค์ 7

       8 คือ มรรคองค์ 8

       ถ้าเข้าใจเนื้อหาสาระก็จะร้อยเรียงกันไปเป็นลำดับ เช่นเมื่อปฏิบัติสติปัฏฐาน 4​

       กายในกาย ไม่ใช่กายนอกกาย คำว่า กาย คำนี้ ต้องแก้ไขความเข้าใจของคนไทย คำว่ากายนี้คนไทยเข้าใจว่าไม่เกี่ยวกับนามธรรมเลย เข้าใจแค่ว่าคือ ร่างกาย แต่ที่จริงกายนั้นต้องเน้นที่นามธรรมเลย

        คำว่า กายในกาย ต้องมี สัมผัสทางภายนอก เมื่อสัมผัสก็รวมเป็นองค์ประชุมของกาย หรือเรียกว่าสัมผัส โผฏฐัพพะ รวมทั้ง 5 ตัวเรียก โคจรรูป คำว่าโผฏฐัพพะไม่นับอยู่ในรูป 24 เพราะถือว่ารวมอยู่ใน ตากระทบรูป หูสัมผัสเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส แต่ละอย่างก็คือโผฏฐัพพะ ถ้าเอากายไปร่วมก็คือองค์ประชุมของ ตา หู จมูก ลิ้น

       เราสามารถรู้องค์ประชุมของสัมผัสนอกได้ เช่นหูได้ยินเสียง คุณได้ฟังเสียงอาตมา รูปก็คือเสียงที่ถูกรู้ได้ด้วยหู ตัวเสียงเมื่อได้ยินก็ประชุมลงในจิต ถ้าไม่มีจิตรับรู้เลยเสียงมันจะดังอย่างไรก็ไม่รับรู้เลย หรือแม้ลืมตาดูนี่หูฟัง แต่เราไม่ใส่ใจก็ไม่ได้รับรู้เสียงนั้นเลย

       เสียงที่เรารับรู้ก็เกิดวิญญาณ แต่ถ้าจิตไม่รับก็ไม่มีวิญญาณ แม้เสียงเข้าหูแต่จิตไม่รับ ไม่ได้เอาอะไรอุดหูเลย คุณไม่ได้ยินเสียงเลย เพราะจิตคุณไม่รับ วิญญาณคือธาตุรับรู้มันไม่รู้ แต่พอมันรู้นี่แหละ จิตวิญญาณที่รับรู้นี่คือ กายในกาย กายนี่คือนามธรรม

       ถ้าเข้าใจกายไม่ผิดเพี้ยนแล้วนี่ กายคือข้างในที่เชื่อมอยู่กับข้างนอก แม้คุณเป็นอนาคามี คุณก็มีสัมผัสข้างนอก ในกามภพคุณไม่มีกิเลสเลย แม้กระทบสัมผัสทวารนอกกิเลสก็ไม่เกิด รับรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีกิเลสไปปรุงร่วม เหลือกิเลสในรูปภพ อรูปภพ แต่ในนามกาย ตาก็กระทบรูป หูก็กระทบเสียงอยู่ แต่องค์ประชุมทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่มีกิเลสแล้ว จิตวิญญาณก็ทำงานกับสิ่งที่กระทบข้างนอกไม่มีโลภโกรธหลงก็ไม่มีพิษภัยกับใคร จิตอย่างนี้คือจิตพระเจ้า มีพรหมวิหาร เป็นอัปปมัญญา มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติ ศานาไหนที่นับถือพระเจ้า นี่แหละคือพระเจ้าจริง พระอนาคามี มีผัสสะแต่กิเลสเหลือแต่ข้างใน ไม่ได้หลับตา แต่กิเลสที่เหลือคือกิเลสภายใน แล้วปฏิบัติต่อก็ล้างกิเลสขณะลืมตาทำงานกับโลกอย่างพระเจ้าแต่ไม่สูงสุด ไม่เท่าอรหันต์ ตนเองไม่มีพิษภัย ช่วยโลกได้อย่างแท้จริง จิตอนาคามีก็รู้วิธีกำจัดกิเลสที่เหลือได้ง่ายได้ถูกต้องจนเป็นอรหันต์

การปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ไปนั่งหลับตาทำก็ไปปิดทวารก็ไม่รู้การปฏิบัติเร่ิมต้น จะเข้าบ้านไม่รู้ประตู คุณจะหายตัวเข้าไปได้อย่างไร นี่คือความผิดพลาดที่อธิบายสติปัฏฐาน 4 ผิด กายในกายก็อยู่ข้างใน แต่เกิดจากการกระทบข้างนอก เป็นองค์ประชุม เรียกว่า “กาย” เมื่อเป็นกายในกายก็คือความรู้สึก เป็นธาตุรู้ที่เรียกว่า จิต หรือมโน แล้วแยกเป็นอาการเรียกเจตสิก

       แล้วเราต้องมีญาณอ่านอาการจิต หรือวิญญาณที่ตาสัมผัสรูปเกิดวิญญาณ...หู...จมูก...ลิ้น...กาย สามารถอ่านอาการจิตที่ไม่มีตัวตนรูปร่าง แต่มีอาการ ลิงค นิมิต ที่เรากำหนดหมายรู้มันได้ ว่านี่คืออาการจิต พอกระทบปรุงปุ๊บมันก็สังขารเลย เสียงนี้น่าฟัง เสียงนี้รู้เรื่อง เสียงนี้ไม่รู้เรื่อง หรือหนักเข้าก็ปรุงว่าไม่ชอบเลยพอฟัง มันก็สังขาร จัดแจงเลย นั่นแหละคือองค์ประชุม ที่คุณชอบหรือไม่ชอบ คือความรู้สึกหรือเวทนา คือองค์ประชุมทั้งนอกและใน  เมื่อเรียนคุณก็จะแยกแยะได้ องค์ประชุมของความชอบและไม่ชอบ คืออิฏฐารมย์​อนิฏฐารมย์

       มันไหลเลื่อนมาเป็นเวทนา มาถึงชอบและไม่ชอบ แล้วทำไมไม่เหมือนกัน สัมผัสเสียงเดียวกันแต่คนนี้ชอบคนนี้ไม่ชอบ เวทนานี่แหละเกิอชอบหรือไม่ชอบก็คือจิต เสร็จแล้วเมื่อเรียนรู้วิธีปฏิบัติก็ให้เรียนรู้ จิตในจิต

       จิตในจิต มีสราคะ สโทสะ สโมหะ ให้ล้างมันลดมันให้เป็น วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ  

       เรียนรู้ตัวชอบหรือไม่ชอบให้พิจารณาว่าควรชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเป็นกามเป็นอบาย เช่นไปชอบเล่นพนัน ชอบขี้เกียจ เป็นอบาย เราก็รู้เลยว่าตัวที่ชอบไม่ดีนี่คืออาการที่มันชอบมันยึด มันอยากได้อยากมีอยากเป็น ถ้าได้มามันสมใจ ทีหลังไม่ให้มันฟังไม่ให้มันดู ไม่ให้มันได้กลิ่น ไม่ได้ให้มันรับรส มันก็ดิน อาการดิ้นคือตัวนรก ต้องจัดการกับตัวนี้ กำจัดตัวนี้

       วิธีกำจัดมี ปหาน 5

1.     วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.    ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.    สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.     ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.    นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

       เรามาเรียนรู้ว่าเรายังมีผู้ชายก็เรียกว่า “ไอ้โง่” ส่วนผู้หญิงก็คิดเอา เราต้องรู้ว่าเรายังอวิชชายังโง่อยู่ ต้องพิจารณา ถ้าเรารู้แล้วกดข่มก็เพียงชั่วคราวไม่เด็ดขาด แต่ถ้ามีไฟฌาน เป็นไฟปัญญา มีพลังของปัญญามากพอที่จะทำให้ราคะโทสะ ออก เราต้องแยกออกก่อนด้วย แล้วอาการราคะโทสะ มันสู้ไฟฌานเราไม่ได้ มันอ่อนตัว ตามเห็นเลยว่าเราทำให้มันจางคลาย มีวิราคานุปัสสี วิธีพิจารณาคือกิเลสมันไม่เที่ยงไม่คงที่นิรันดร มีเหตุให้มันเกิด ถ้ายังมีเหตุในใจมันก็เกิด ถ้ากระทบแล้วมีเหตุมันจึงเกิด แต่มันไม่เที่ยงไม่อยู่กับเราตลอด เราต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนา ให้มีปัญญาไฟฌานทำให้กิเลสมันจางคลาย เรียกว่ามีวิราคานุปัสสี ต่อมาจาก อนิจจานุปัสสี นี่คือสติปัฏฐานในขณะเป็นๆมีชีวิต ลืมตาปฏิบัติ มีทวารรับวิถีทั้งหมด ตรงกับมรรคองค์ 8 ที่ทำงานทำการมีกระทบสัมผัสอยู่เป็นปัจจัย จะเก่งสติปัฏฐานไม่ใช่แค่นั่งหลับตาปฏิบัติเท่านั้น

       เมื่อทำให้มันวิราคานุปัสสี แล้วทำให้กิเลสดับก็เรียกว่า นิโรธานุปัสสี อย่างเห็นๆรู้เลยลืมตารับสัมผัส ไม่ใช่แบบอสัญญี ไม่รู้เรื่องดับปี๋ ที่ไม่ตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าเพราะไม่มีกาย การปฏิบัตินั่งหลับตาไม่มีกาย แต่อย่างลืมตานี้ดับได้อย่างเห็นๆ ทำได้เก่งเป็นสมุจเฉทปหาน จะได้ชั่วคราวก็ตาม จนได้เก่งขึ้นเรื่อยๆก็ทำซำ้เรียกปฏิปัสสัทธปหาน ทำได้สำเร็จสลัดหมดได้แตะปั๊ปก็กิเลสไม่มีเรียก นิสสรณปหาน

       ต้องแยกแยะตัวอกุศลจิตที่เราจะดับ แล้วก็จะเหลือกุศลจิตที่สะอาด สจิตตปริโยทปนัง เอากิเลสออกได้ กายของคุณก็กลายเป็น กายกัมมัญญตา ในขณะปฏิบัติสมาธิคือทำมรรค 7 องค์ เรียก กัมมันตา เป็นการงานที่เหมาะควร สุดท้ายก็เป็นกัมมัญญา เป็นกัมมัญญตา หรือเรียกอีกคำว่า กายปาคุญญตา หรือกายกัมมัญญตา เป็นความแววไวคล่องแคล่งขององค์ประชุมนามธรรม ที่ทำได้ดีได้เร็วเป็นมุทุภูตธาตุ เป็นองค์ธรรมของจิตที่ไปสู่ฌานที่สูงขึ้นแม้อุเบกขาเฉยต่อเหตุภายนอก เหตุภายในเราฆ่าตายหมด แม้ภายนอกมีกระทบแต่ก่อนเรามีกิเลสเกิดในสัมผัส แต่เมื่อฆ่าเหตุภายในแล้วกระทบอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส คนพ้นอวิชชาแล้วก็เร่ิมล้างเหตุแห่งกิเลสได้ จะมาจากเหตุทางทวารนอก กิเลสก็ไม่เกิด นี่คือนิโรธของพุทธ ความดับสนิทของพุทธ ต่างจากการนั่งหลับตาทำดับ เป็นอสัญญีสัตว์(สัตว์ข้อ 5 ของสัตตาวาส 9) ต้องกำหนดรู้กาย และต้องมีสัญญาที่สัมมทิฏฐิ

       ธรรมในธรรม คือผลธรรม ถ้าดับได้สนิทคือนิโรธคือได้นิพพาน เป็นนิโรธแท้สัมบูรณ์

       แล้วสัมมัปปธาน 4 มี

1.     สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)

2.    ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว) .

3.    ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)

4.     อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)

       ก็คือปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นี่แหละ คุณต้องทำในตัวเลย พระพุทธเจ้าเรียบเรียงไว้ ปธานแปลว่า เพียร คุณก็พากเพียรปฏิบัติ เป็นมหาสติปัฏฐานที่มีอานาปานสติเป็นองค์รวมเดียวกัน ไม่แยกกัน ใครแยกปฏิบัติก็ซวย

       เมื่อรู้จักสัมมัปปธาน 4​ ก็ทำต่อ ด้วยความเพียรอิทธิบาท 4

       คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อ่านทุกเวลาปฏิบัติ อิทธิบาทต้องเป็นยาดำที่ใช้ทุกอย่าง เพราะถ้าไม่มีอิทธิบาทก็ไม่สำเร็จ ฉันทะอยู่ในแสงอรุณ 7 อยู่ในมูลสูตรข้อที่ 2 เป็นการจัดแจง ทำให้ใจเราสะอาดจากกิเลส

       เมื่อปฏิบัติได้ผลก็จะมี อินทรีย์ 5 พละ 5 แล้วจะมีตัวองค์แห่งสัมมาทิฏฐิที่เป็นอนาสวะเกิด คือ

การสร้างสัมมาสมาธิคือต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์ เป็นเหตุให้เกิดสัมมาสมาธิ เมื่อปฏิบัติก็จะมีโพชฌงค์เกิด ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 คือสัมโพชฌงค์ มีสติที่จะพาไปสู่การตรัสรู้ โพชฌงค์คือการตรัสรู้ กิเลสจะลดได้ต้องมีธัมวิจัย เช่นวิจัยว่า ถ้าเรารีบรวบรัดเอาเข้าสภา แล้วเรามีสส.มากกว่า ก็เอา Majority rule ยกมือชนะก็ทูลเกล้าแล้วบอกว่าชนะนี่ไม่ใช่ธัมวิจัย

       คุณก็วิจัยอย่างอำนาจโลกๆ แต่ที่พ่อครูอธิบายนี้เป็นอำนาจธรรม คุณก็วิจัยลงในสติปัฏฐาน4 อะไรเป็นกิเลสก็กำจัด เป็นปหานขั้นไหน คุณจะเห็นจริงถ้าปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอน

       กระทำได้ก็เกิด สัมมาทิฏฐิ 6 ที่เป็นอนาสวะ ของ พระอาริยะ  (ทิฐิรอบในที่พัฒนามีกำลังเข้าโลกุตระมากแล้ว) 

1.     ปัญญา-รู้เห็นจริงตามสัจจะของจริง (ปัญญา) 

2.    ปัญญินทรีย์ (ปัญญินทริยัง)

3.    ปัญญาพละ (ปัญญาผลัง) มีพลังงาน static แฝง

4.     ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ (ธัมมวิจัยสัมโพชฌังโค)

5.    ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ทิฐิรอบในที่เจริญขึ้น 

6.    องค์แห่งมรรค (มัคคังคะ) มีพลังงาน Dynamic แฝง

       ที่ได้นี่ค่าสูงกว่าเพชรนะ ถ้าทำได้ผลคุณจะทำตลอดไม่กินไม่นอนเลยนะไม่ต้องเชื่อใครแม้แต่อาจารย์แต่เชื่อผลที่เราทำได้จะมีกำลังของศรัทธาเป็นสัทธินรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ก็ย่ิงจะเกิดสูงขึ้นๆ จนจบก็เป็น สัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ เกิดจากมรรคองค์ 7 และโพชฌงค์ 7 มีธัมวิจัย ทำให้เกิดนิโรธ

       ทำมรรคทั้ง 7 องค์สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ อย่างมั่นคงแข็งแรง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

            ทำให้มีผลเกิดฌาน 1 ก็มีปีติสัมโพชฌงค์ ทำต่อไปก็จะเกิดความสงบคือปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่สงบอย่างสมาธิหลับตา จะมีความคล่องแคล่วว่องไวของนามกาย มีกายปาคุญญตา

            กายสักขีต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย พระพุทธเจ้าจึงจะยอมรับเป็นอาริยบุคคล อย่างบางลัทธิแก้ผ้าโทงๆเดินมาในเมือง มีสาวๆไปจูบจู๋ฤาษีไม่มีกระดิก พวกฤาษีของอินเดียเขามีกายสักขี แต่พระพุทธเจ้าไม่รับรองเป็นอรหันต์ ต้องมีกายสักขีทำตามลำดับขั้นไม่สะกดข่ม จิตไม่มีมุทุภูเต กัมมนิเย ฐีเต อเนญชัปปัตเต ไม่เป็นการปฏิบัติฌาน ไม่มีอุเบกขาที่มีคุณสมบัติ

1.         ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.        ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.        มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ)

4.        กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) 

5.        ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ)  

            ในข้อที่จะเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ นั้น

เป็นสัมมาทิฏฐิ 6 ที่เป็นอนาสวะ ของพระอาริยะ

       ต้องปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างลืมตาทำมรรคทั้ง 7 องค์ให้เกิดสัมมาสมาธิ สัมมาทิฏฐิที่อยู่ในองค์ 6 นี่จะเจริญเป็นปฏิภาคสัมพัททวี เป็น Procession หรือ Processing ยืนยันว่าธรรมะมีความสัมพันธ์ทวนไปมาซ้อนไปมาสูงขึ้นๆ

       ต้องรู้ว่าอาการอย่างนี้คือศรัทธา อย่างนี้คือวิริยะนะ แม้ศรัทธาน้อยหรือมากก็ต้องแยกแยะรู้ วิริยะมากหรือน้อยก็ต้องรู้ได้ว่า มันมีน้ำหนักแตกต่างกันนะ

       หมวดไหมขึ้นด้วยศรัทธาก็จะจบด้วยปัญญา เช่น

ศรัทธาเป็นตัวน่ิงหรือศักย์ส่วนวิริยะเป็นพลังงานเคลื่อนไหวเป็นพลังงานจลน์ ยกตัวอย่างอธิบายชัดๆ

       ส.เพาะพุทธว่า ศรัทธาเป็นฐาน ส่วนปัญญาจะต่อยอดไปใช่ไหม

       พ่อครูว่า...คันศรเป็นศรัทธา  วิริยะคือสายศรและลูกศร

       สติเป็นตัวรู้ ปฏิบัติ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ได้ผลก็สั่งสมเป็นจิต อัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโนอภินิโรปนา (ปักมั่น)  สมาธิคือจิตตั้งมั่่น สติคือตัวรู้ตัวทำงาน เช่นลูกข่าง  ย่ิงเร็วยิ่งน่ิง มีมุทุภูตธาตุ นี่คือคุณสมบัติสมาธิพุทธ ย่ิงเร็วยิ่งนิ่ง ย่ิงลูกข่างวิ่งหมุนเร็วจะยิ่งน่ิงมากยิ่งขึ้น ต้องมีทั้งตัวเคลื่อนไหวและตัวเสถียร

       จะต่อด้วยสัมมาสังกัปปะ 7 สำคัญมาก หากคุณไม่สามารถอ่านเข้าไปรู้ว่าทั้ง 7 ตัวนี้คืออะไร

1.ความตรึก (ตักโก)

2.ความตรึกอย่างแรง (วิตักโก)

3.ความดำริ (สังกัปโป) --> (เป็นปุญญาภิสังขาร)

4.ความที่จิตแนบอยู่ในอารมณ์ (อัปปนา)

5.ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ (พยัปปนา)

6.ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ (เจตโส  อภินิโรปนา)

7.ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ)

       ข้อ 1 2และ3 คือลักษณะของพลังงานจลน์ เป็นตัววิ่ง จิตที่สัมผัสแล้วจะรู้องค์รวม ต้องมีญาตปริญญา แยกแยะออกว่ามีกิเลสปนไหม แยกแยะองค์รวมของจิตได้ มันจะเกิดตักกะ จิตที่รับมาเป็นองค์รวมก้อนๆนี่มันมีสังขารไหม เป็นอวิชชาไหม แล้วเราจะให้เกิดความรู้หรือวิชชาอย่างไร เห็นตัณหาจับตัณหา(ตัวเคลื่อนไหว)ได้ ซึ่งก็คือตัวเดียวกับอุปาทาน(ตัวนิ่ง) ถ้าฆ่าตัณหาได้ก็กำจัดอุปาทานได้ ฆ่าตัณหาก็ดับสมุทัยหรือเหตุของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท

ให้รู้ว่ามันมีกามหรือพยาบาทหรือวิหิงสา(ตัวละเอียดของกามหรือพยาบาท)มาปรุงแต่งร่วมด้วยหรือไม่ ในองค์ธรรมแรกคือ วิตก(รู้ไตรตรอง) รู้พฤติกรรมว่ามันมีเหตุต้องวิจัยแยกแยะที่มันดำริขึ้นมาหรือตักกะขึ้นมา

       ส่วนวิตักกะ คำว่า วิ คือตัวสังเคราะห์วิจัยวิจาร อ่านกิเลสออก กำจัดได้ วิ คำนี้ก็เป็นแปลว่า เก่ง ยอด หรือแปลว่าไม่ก็ได้ คือดับกิเลสได้ จิตก็หมดกิเลส คือหมดจากกาม พยาบาทได้ จิตก็เป็นจิตปัญญาที่สะอาด แล้วจะทำงานผ่านด่านจิตเจโตที่ตั้งมั่นแข็งแรง คืออัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา(จิตตั้งมั่นระดับสูง) แข็งแรง อยู่กับกรรมการงานการประกอบอาชีพ เมื่อกำจัดกิเลสได้ ก็จะเป็นวจีสังขาร ที่ไม่มีกิเลส ตัวปัญญาก็เหมือนต้นหล ส่วนอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นต้นกล ถ้าปัญญาคือต้นหลมีกำลังเท่าไหร่ก็สั่งให้ต้นกลส่งออกไป ถ้าปัญญาแรงแต่ไม่มีแรงส่งออกคือต้นกล เรือก็ส่งออกไม่ไปก็หมดแรง คือตัวรู้กับตัวแรงต้องช่วยกัน

       มันมีตัวอนุโลมปฏิโลมด้วย ตัวอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา มีปัญญาอยู่ในนั้นด้วย ก่อนจะออกเป็นวจีสังขาร

ส.เพาะพุทธว่า...วันนี้เราได้เรียนรู้ลักษณะของภาคปัญญาและภาคเจโต ที่ต้องช่วยกันทำงาน ทั้งกัปตันต้นหล) และต้นกลคือเจโตมีความพอเหมาะพอดี เรือก็จะไปด้วยดี

       พ่อครูว่า...ต้องมีสัดส่วนพอดี จึงได้ผล พ่อครูใช้การประมาณว่าควรได้ผลมากกว่า 70 เปอร์เซนต์ก็จะทำ ต้องมีสัปปุริสธรรม 7

       สรุป สังกัปปะ 7 คือสนามรบใหญ่ของนักปฏิบัติธรรม จะต้องรู้จักทั้งภาคปัญญาและเจโต ช่วยกัน ไม่ใช่ทำดับสะกดจิตอย่างเดียว ตัวปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิจะได้ปัญญา และจะได้จิตสงบเพราะดับกิเลส ไม่ใช่ไปสะกดจิตให้นิ่งสงบอย่างไม่มีปัญญา ส่วนความสงบของพุทธคือกิเลสตาย จับได้ถูกตัวทำให้มันจางคลายและดับสนิท ตั้งมั่นแข็งแรง ศัตรูหายไปไม่กล้าสู้เลย ลูบหัวล้านผีนรกได้เลย ผีนรกยอมแพ้ แล้วใช้กิเลสเป็นพลังงานดี ในตัวความต้องการหรือเจตนาเป็นตัวทำงานด้วย ใช้ช่วยคนอื่น...เป็นความต้องการที่ไม่มีตัวร้ายคือกิเลสแล้ว พระพุทธเจ้ามีวิภวตัณหา เป็นอากังขาวจร ก็ได้...จบ        

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:30:58 )

561008

รายละเอียด

561008_เทศน์เบิกฤกษ์ยกระดับชุมนุมประท้วงแนวใหม่ข้างทำเนียบ

เรื่อง คนผู้ไม่ทำงานการเมืองคือคนเดรัจฉาน

       โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

       พ่อท่านมาเยี่ยมข้างทำเนียบ 08:45 น.มาถึงข้างทำเนียบ ขณะนี้ที่สถานีเอฟเอ็มทีวี วันนี้เบิกฤกษ์ นีโอโพรเทส เป็นการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ครั้งนี้น่าจะเป็นครังแรกที่เราประท้วงโดยใช้ธรรมนำหน้าอย่างแท้จริง การชุมนุมประท้วงที่อื่นที่ก็มีที่บอกว่า ใช้ธรรมนำหน้า แต่ว่าครั้งนี้น่าจะเป็นการใช้ธรรมนำหน้าอย่างแท้จริง และจะใช้พุทธรรมเป็นหลัก เป็นอาริยธรรมแม้จริง

เจริญธรรมทุกๆคนไม่ว่าคนไทยหรือต่างชาติก็ย่อมมีกายและใจเป็นคนเหมือนกัน คนย่อมทำอะไรตามประสาของคน “คน” มาจากภาษาบาลีว่า “มนุสโส” หรือ “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง ส่วนคำว่า คน เป็นคำไทยแท้ ซึ่งแยกจากคำว่า เดรัจฉาน หรือติรัจฉาโน สรุปคือ คนนี่ มีจิตวิญญาณ สัตว์ก็มีจิตวิญญาณ อย่ในตระกูลของ จิตนิยาม ทั้งคู่ ในนิยาม 5(อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรม) ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และบรรยายไวั คนสามัญไม่สามารถบัญญัติ แยกแยะพลังงาน 5 ชนิดนี้ได้ นักวิทยาศาตร์เก่งแค่ไหนก็แยกแยะไม่ได้ พลังงานทางจิตเป็นอรูป ไม่มีสีสันรูปร่าง แต่มีประสิทธิภาพสูงส่งมาก

       คำว่า จิต คือรวมไว้หมดเลยของจิต หรือวิญญาณ หรือ มโน มนัส ก็คือแปลว่า จิตหรือใจ นั่นเอง ถ้าเรียนรู้แล้ว ถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจนถึงสภาวธรรมจะรู้ว่าพลังทางจิตนี้สุดยอด พลังงางทางฟิสิกส์ แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า ในจิตวิญญาณก็มีลักษะพลังงานอย่างนั้น แต่ประสิทธิภาพ ของพลังทางจิต สูงส่งกว่าทางพลังงานทางฟิสิกส์ ที่เขาเอามาใช้งานได้ ในแสงสีเสียงต่างๆ เขาก็เอาไปทำทั้งประโยชน์และโทษ เอาไปใช้เป็นโทษก็เยอะ แต่คนดีคนฉลาดก็เอาไปใช้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ผู้ศึกษาวิทยาศาสตร์ทางโลก เขาก็เอาไปใช้ได้ พลังงานในโลกนี้เราได้รับมากจากที่อื่น ดาวโลกของเรา ไม่ใช่ดาวฤกษ์ อย่างพระอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ โลกเรารับพลังงานมาจากดวงอาทิตย์มาใช้ อาตมาเสียดายแดด หรือแสงแดด เป็นพลังงานที่มีอะไรอยู่ในนี้เยอะ และจะใช้แทนน้ำมัน ถ่านหิน อะไรได้มาก จนทุกวันนี้เขาเอามาใช้แทนอื่นๆได้มากแล้ว แปรรูปไปทำพลังงานใช้ จะเป็นด้านฟิสิกส์ก็ได้มากเลย และไม่หมดง่ายตราบที่ดวงอาทิตย์ไม่ดับ ทุกวันนี้ก็เอามาใช้ได้มากขึ้นแล้ว นิยาม 5 นี้สำคัญมาก

       อุตุ คือสิ่งที่กำเนิดเป็นธาตุฟิสิกส์ ทั้งหมด เป็นความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า คนนำมาใช้ได้มากมาย แต่มีเงื่อนไขว่า ไม่ใช่พลังงานที่มีชีวิต มันอยู่กรอบขอบเขตของมัน แล้วจะพัฒนามาเป็นชีวะได้ จะเป็นระดับเซลล์เดียว เป็นพืช ก็เริ่มต้นเป็นชีวะแล้ว

       พีชะ คือระดับสอง พีชะ พวกชีววิทยาก็ศึกษาในระดับนี้ขึ้นไป และก็จะพัฒนาขึ้นอีกเป็น สัตว์ มีตัวเลข 7 มาเป็นตัวเลขสำคัญ เอามาเป็นหลักในการคำนวณอะไรได้ดี ถ้าใช้เป็นในอัตราของสังขยาเลข ไม่ใช่ทำนาย แต่เป็นหลักที่ต้องมีความรู้ภาวะสัจจะ คือส่งที่ปรากฏจริงเป็นสัจจะภาวะ หรือปาตุสัจจะ เป็นตัวจริง ของจริง สัมผัสได้ โดยทวารทั้ง 6 เป็นปรากฏการณ์จริง Phenomenal ที่จะรู้ได้ทุกคน ที่มีประสาทสมบูรณ์ ไม่ใช่ความรู้แค่ Philosophyที่แปลว่า “ปรัชญา” หรือEpistemology ที่แปลว่า “ญาณศาสตร์” แต่เป็นความรู้ระดับ Phenomenology เป็นปรากกฎการณ์วิทยา นี่แหละเป็นของพุทธ เป็นPhenomena คือเป็นสิ่งสัมผัสได้จริง ในคนมีประสาทครบ มีอายตนะครบ จะรู้ได้เหมือนกันหมด เป็นสิ่งปรากฏให้เป็นที่รับซับซาบได้ ถ้าเป็นคนก็เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก เป็นPhenomenal manเลย หรือบางที่ก็ตีกลับมาเป็นตัวอาเพศเลย ไม่สามารถแตะต้องได้ มันมีความหมายสองด้าน ด้านดีก็สุดยอด ด้านไม่ดีก็ตีทิ้งเลย นี่คือความเข้าใจของมนุษย์ มีสองแบบ เหมือนคนบ้ากับอัจฉริยะมันใกล้เคียงกัน เป็นปรากกฎการณ์สูงส่งที่คนอาจคิดว่าเป็นคนบ้าแต่ที่จริงเป็นอัจฉริยะ

       ที่เราทำอยู่นี้เราทำนี้อยู่ในระดับปรากกฏการณ์วิทยา ในสังคมโลกนี้จะมีการตราคำว่า Phenomenologyหรือยังก็ไม่รู้ได้ เขาอาจมีตราไว้แล้ว แต่เราเอามาพูด หรือเราริเริ่มมาก่อน เป็นความรู้ปรากฏการณ์วิทยา ไม่ใช่แค่ Epistemology คือญาณวิทยา หรือญาณศาสตร์ ที่ว่าด้วย กำเนิดลักษณะความถูกต้องความรู้ หรือวิธีหาความรู้ สูงสุดก็คืออันนี้แหละในทางโลก ญาณวิทยาคือความรู้ทุกอย่าง เกี่ยวกับกำเนิดธรรมชาติ และความเป็นมนุษย์ เขาจะพยายามซอกแซกรู้ธรรมชาติให้ได้มากที่สุด แต่มีสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้นในมหาจักรวาล คือ “นิพพาน”

       ผู้ที่มีธรรมะที่เป็นนิพพานจะรู้ว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ มีอยู่ในมนุษย์ที่มีจิตนิยาม จึงสามารถหยั่งรู้เข้าไปถึงนิพพาน คือจุดสำคัญสูงสุดที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ที่ทรงไว้ ไม่มีการเกิด หรือชาติ ธรรมะอันนี้จะเกิดหรือไม่เกิดอยู่ที่เจ้าของนิพพาน เจ้าของจะให้เกิดหรือไม่ก็ได้ เรียกว่า เป็นมนุษย์อมตะ จะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด ตัวเองเป็นผู้กำหนดเอง เรียกว่าธรรมะที่ไม่มีการเกิด ผู้ถึงนิพพานนั้น จิตวิญญาณของท่านจะให้เกิดธรรมชาติก็ได้ จะไม่ให้มีธรรมชาติก็ได้ เป็นความเห็นที่ถูกตรง

       และที่เขาว่าธรรมะคือธรรมชาตินั้นถูกครึ่งเดียว ธรรมะต้องรู้ธรรมชาติทั้งโลกีย์และโลกุตระ ศาสนาไหนก็รู้ธรรมชาติ แต่ไม่มีศาสนาไหนที่ล้วงลึกไปถึงการดับชาติได้สนิท ยืนยันว่าธรรมะพระพุทธเจ้าสูงกว่าธรรมะคือธรรมชาติ พระอรหันต์เป็นต้นไปดับธรรมชาติ ดับอกุศลกรรมทางจิตได้ แม้แต่กุศลจิต พระอรหันต์ก็ระงับไให้เกิดได้

       เป็นการกล่าวเกริ่นที่สูงไปลึกไป แต่รู้แจ้งได้จริง เป็นปรากฏการณ์วิทยา พิสูจน์ได้ อกาลิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ยุคใดผู้มีพากเพียรมีบารมีพอก็จะบรรลุได้ ได้แล้วท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ เป็นของสูงส่งที่มนุษย์ควรเอาให้ได้อย่างยิ่ง ควรแสวงหา จะได้เป็นของตน รู้เองเห็นเอง เข้าใจเอง บอกคนอื่นยาก ผู้ใดมีจริงเป็นจริงได้ด้วยตนเองอย่างแท้จริง

       ปรากฏการณ์วิทยาคือความรู้แท้จริง ที่มนุษย์ใดก็ไม่สามารถค้นพบได้นอกจาก พระพุทธเจ้ากับสาวกสังโฆ เท่านั้น คำว่าญาณวิทยาไม่ใช่ญาณศาสตร์ ญาณศาสตร์คือวิชาที่ยังเดา ไม่สูงเท่าญาณวิทยา ซึ่งมันเป็นความรู้ขั้นคาดคะแนด้นเดา อาจใช้สถิติ แต่ว่าญาณวิทยาเป็นการเข้าถึงความจริงมากกว่า ญาณศาสตร์ ที่ว่าจะสามารถล่วงรู้อนาคต มันเป็นแค่ คำพยากรณ์ ผู้พยากรณ์ รู้ได้ด้วยตำรา ทำนายพยากรณ์กันไป ส่วนญาณวิทยาจะสูงกว่า ผู้ที่ศึกษารายละเอียดของความจริงความรู้พวกนี้จะหยั่งรู้รายละเอียดได้มาก จำเป็นต้องนำบทนี้มากล่าวนำมาก่อน

       ขอสรุปนิยาม 5 ก่อน คือ พีชะ คือเริ่มเป็นชีวะ ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวเช่นพืชผัก อย่างมนุษย์ที่เป็นมนุษย์พืช ไม่สามารถฟื้นมาสูงกว่านี้ได้ มีตัวแยกที่จะแตกต่างระหว่างพีชะกับจิตนิยาม คือจิตนิยามสามารถมีกรรม มีธรรมะได้ แต่เดรัจฉานอาจไม่รู้กุศล อกุศล แต่มันมีกรรมมีวิบาก แต่พีชะนั้นไม่มีกรรม ไม่มีวิบาก มันจะไปดันหินแตก หรือทำดีให้ใครมันก็ไม่มีบุญหรือบาป เพราะเป็นอนุปาทินกสังขาร แม้มนุษย์พืชก็สัมผัสกาย วาจา ใจไม่รู้แล้ว เป็นอนุปาทินกสังขาร คือสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองแล้ว ถ้าแน่ใจว่าเป็นมนุษย์พืชแล้ว ถอดเครื่องช่วยหายใจได้ไม่บาป พีชะแม้แต่สัญญากับสังขาร แต่ไม่มีการจองเวรไม่มี ผู้รัก ผู้ชัง ไม่สามารถต่อเนื่องข้ามชาติได้ ในพลังงานพีชะแท้ จึงไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีเวทนา ไม่รักไม่ชัง ไม่ทุกข์ไม่สุข ส่วนสัตว์ที่มีจิตวิญญาณครอง เราจะทำบาปทำบุญแม้เล็กแม้น้อยก็สะสมแล้ว

       เราจะได้บุญ นั้นต้องคือ ได้การเอาออก ได้การให้คนอื่น ไม่ใช่เอาเข้ามาเลย เอาเข้ามาคือบุญปลอม การตั้งจิตมีความรู้สึกนึดหนึ่งว่ามาเป็นของเรานี้ไม่ได้บุญ บุญต่างจากกุศล กุศลคือความดีที่กว้างมาก บุญนั้นจำเพาะว่า จิตวิญญาณต้องไปสู่ความไม่มีตัวตน ต้องเอาออกจากตัวตน การเป็นคนหมดบุญหมดบาปคือไม่ต้องชำระกิเลสแล้ว อปุญญาภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งอย่างไม่ต้องล้างชำระอีกแล้ว เป็นอภิสังขารขั้นสูงของพุทธ แต่ทุกวันนี้แปลบุญบาปปนกัน อปุญญะคือไม่มีอีกแล้วที่ต้องชำระ ผู้ทำอปุญญาภิสังขารคืออรหัตตผล

       สรุปคือ จิตวิญญาณคือตัวรู้กรรมวิบาก สั่งสมบุญสั่งสมบาป ส่วนพีชะไม่สั่งสมบุญบาป อกุศลหรือกุศล ส่วนกรรมหรือวิบาก แม้จะเป็นคน มีเซลล์มากมาย รับรู้ได้มาก แต่ก็ยังแบ่งเป็นอเวไนยสัตว์ และเวไนยสัตว์ เช่นคนที่โกงกินมากเป็นร้อยเป็นพันล้าน นี่คือเดรัจฉาน คนโกงหนักหยาบคายหน้าด้านหน้าทน ก็ต้องเทศน์ จะได้ช่วยกันหยุดเขา เราสงสารเขา เวทนาเขา ไม่อยากให้เขาทำ

คนระดับที่จะแยกกรรมกับธรรมะนั้นต้องเป็นเวไนยสัตว์ระดับโลกุตระ ส่วนเวไนยสัตว์ระดับที่จะรู้ทำกุศลนั้นศาสนาไหนก็ทำกัน แต่ผู้ที่จะเข้าถึงปรากฏการณ์วิทยาได้รู้จิตเจตสิกต้องเป็นศาสนาพุทธ ศานาอื่นไม่น่าจะถึงศาสนาพุทธนะ

 

        มาสู่ปัจจุบันธรรม เป็นปรากฏการณ์จริงที่เกิดทั่วเลย ที่คนสัมผัสได้เลย อย่างนี้ทุจริต เอาเปรียบ ไม่ถูกนิติรัฐ นิติธรรม เช่น ขณะนี้ก็ยังงงว่าผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 157 ทำไมไม่ทำหน้าที่ ยกตัวอย่าง ผู้ที่มีหน้าที่ตำแหน่งรับผิดชอบความมั่นคงของชาติ สูงสุดหรือรองก็ตาม ดูแลคณะทหาร กลาโหม แต่เสร็จแล้วตนเองไปทำผิดกฏหมาย คบกับนักโทษเด็ดขาดที่ศาลพิพากษาแล้วว่าให้ติดคุก และยังมีคดีอีกมากที่รอตัดสิน การคบกันก็ผิดมาตรา 157 แล้ววางแผนยึดครองประเทศ อย่างนี้ถือว่ากบฏ เป็นเรื่องล้มประเทศ วางแผนยึดประเทศ เป็นกบฏ แต่เหตุการณ์ทำไมยังลอยนวลอยู่ เราจึงไม่รอ ไม่หวัง แต่เราจะทำ ทำอย่างไร ก็ออกมาทำงานการเมือง ออกมาประท้วงอย่างนีโอโพรเทส มาให้ประโยน์คุณค่ากับการพัฒนาประชาธิปไตย มุ่งเอาความจริงความรู้ตีแผ่ ไม่มุ่งเอาแพ้เอาชนะ ไม่รุนแรงไม่หยาบคาย เพื่อยกระดับการต่อสู้เป็นวิถีอาริยชน

       เมืองไทยน่าจะเป็นเมืองศิวิไลซ์ให้ได้ มั่นใจว่าชาวไทยเป็นพุทธ ยังไม่สูญเชื้ออาริยะ โลกุตระ เรามาทำงานการเมืองที่นี่อาตมาจะเปิดตัวเต็มที่เลย เราขึ้นป้ายว่า กองทัพธรรมร่วมกับกองทัพประชาชนเลย ว่าจะโค่นล้มระบอบทักษิณ ซึ่งรู้กันในคนไทย แม้คนที่จะไม่เอาตาดูหูแล ใครจะเป็นอย่างไรไม่เกียว เอาอบายมุขมอมเมาประเทศ คนไทยจะฉิบหายวายป่วงอย่างไร กูไม่รับผิดชอบ คนชนิดนี้เลวร้ายมาก ยิ่งรู้ว่าตนเองเอาความเลวร้ายใส่ในมนุษยชาติ ยกตัวอย่างคนทำน้ำเมาให้คนเมาแต่ตนเองไม่ดื่มเลย ได้เงินได้ทองระดับโลก เขารู้ว่าสิงนี่ไม่ดี ตนเองก็ไม่แตะต้อง คนชนิดนี้น่ากลัว บาปเป็นของเขา ที่พูดนี้สงสารเขานะ

       การชุมนุมประท้วงนีโอโพรเทส คือเป็นเรื่องของคนที่เข้าใจจะทำนะ ชาตินี้พ่อครูไม่ได้มีหลักประกันทางโลก ไม่มีปริญญาซักใบรับรองเลย สรุปแล้วพ่อครูรู้การเมืองและประชาธิปไตยตามประสา การเมือง เกิดเป็นคนต้องทำงานการเมือง คนผู้ไม่ทำงานการเมือง คือ ผู้มีชีวิตเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไป นี่ไม่ได้พูดด่าใครนะ แต่เพื่อให้เขาไปถึงใจคน คนเกิดมาเป็นคนทุกคนต้องทำงานการเมือง นอกจากไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ผู้รู้แล้วไม่ช่วยกันทำนี่คือเท่ากับสัตว์เดรัจฉาน อย่างสัตว์เดรัจฉาน ก็อยู่ของเขาไป

       อย่างคำว่าการเมืองนี้ เขารู้ว่าไม่ต้องทำก็ได้อาจเพราะเป็นเรื่องอิสรเสรีภาพ มี แต่การเมืองนั้นเป็นสิ่งควรทำของมนุสโส ในระดับเวไนยสัตว์ที่รู้ดีรู้ชั่วแล้ว คนที่เกิดมา หรือเป็นมนุษย์แล้ว ถ้ามีปัญญาพอจะรู้ว่าเกิดมาเป็นคนต้องทำงานการเมือง อย่างน้อยคุณไม่ทำเขาก็เกณฑ์คุณไปทำเช่นการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้สูงส่งอะไร เป็นเพียงอำนาจระดับที่ 5 อำนาจที่ 4 คือกฏหมายที่ให้สิทธิ์เลือกตั้ง อำนาจที่ 3 คือสถาบันหลักคือศาล ที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้

      และพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจแทนประชาชนที่เป็นอำนาจที่ ประชาชนคนไทยทั้งหมดคือลูก ลูกจะชั่วจะดีก็คือลูก พ่อก็พูดไม่ได้ ลูกชั่วเลวร้ายแค่ไหนก็คือลูก ท่านก็ให้สัญญาณ ท่านจะไปว่าตรงๆก็ไม่ได้ เห็นพระทัยท่านมากเลย ท่านบำเพ็ญปางนี้คือปางเตมีย์ใบ้ หน้าที่ลูกคือยกพ่อไว้อย่าให้ท่านด่างพร้อย เราไม่ดึงท่านลงมา แต่เป็นเหตุที่จะไปถึงพระองค์ให้เป็นราชประชาสมาสัย ประชาชนต้องแสดงออกเต็มที่แสดงความเดือดร้อนออกมา แล้วยืนยันว่าเดือดร้อนอย่างไร ออกมาชุมนุมให้รู้ว่านี่คือมวลประชาชน ประชาธิปไตยคือออกมาแสดงอำนาจประชาชน รวมตัวให้มาก คือคะแนนเสียงประชาชน โดยสงบ ไม่รุนแรง ในรัฐธรรมนูญบอกไว้หมดแล้ว ตำรวจมากีดกั้นประชาชนที่จะมาชุมนุมอย่างถูกกฏหมายไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การกีดกั้นไม่ให้ประชาชนมานี่ผิดแแล้ว ผิดรัฐธรรมนูญ เขาจะมาทำงาน เอาอะไรมาทำงาน เอาเครื่องเสียงเป็นต้น ตำรวจต้องอำนวยความสะดวก ต้องสนับสนุน จึงชื่อว่าส่งเสริมประชาธิปไตยไม่อย่างนั้นผิดกฏหมาย เราออกมาชุมนุมให้ถูกกฏหมายทุกกระเบียดนิ้ว เรามาอยู่ที่ถนนนี้ตำรวจก็ปิดเอง แล้วเรามาชุมนมจนคนเต็มแล้วต้องปิดถนนก็เป็นเรื่องสุดวิสัยที่เป็นไปตามธรรมดา ไม่ผิดกฎหมาย

       ต้องชัดเจนว่าเราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ต้องขอบคุณตำรวจที่มากั้นที่ให้เราอยู่ ประชาชนมาได้อีกมาก เราไม่ได้มาเอาแพ้ชนะ เรามาทำตามประชาธิปไตย ประชาธิปไตยให้เราประท้วงได้ ใครทำร้ายเราผิด ใครปิดกั้นเราผิด กฎหมายบอกชัดว่าต้องอำนวยความสะดวก ขอร้องพวกเราว่าอย่าทำผิด ไม่เอาอาวุธเข้ามา แต่มีดทำครัวหรือคัตเตอร์ใช้งานก็ไม่ผิดกฎหมายนะ ศาลท่านจะรู้ ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ไม่ใช่อาวุธก็ต้องมี แต่อย่าละเมิดไปมีเล่ห์อย่างศรีธนนชัยไม่ดี

       ตอนนี้คนไทยเดือดร้อนมากทุกหัวระแหง ไม่เคยมีความหน้าด้านหน้าทน ชั่วเลวที่จะชิงอำนาจประเทศ แม้อำนาจของประมุขเขาก็ไม่เกรงใจ เขาท้าทายยั่วยวนประชดประชันแดกดันมา อ่านได้อย่างนั้น เราต้องเห็นจริงและให้เขาหยุด อย่าทำต่อไปเลย ยกตัวอย่างประเทศที่เป็นไปแล้วอย่างฮิตเลอร์ที่เอาอำนาจเสียงส่วนใหญ่มาทำลายคนส่วนน้อยที่เขามีสิทธิ์ ที่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องช่วยดูแล เขาไม่ใช่คนผิดคนพาลอะไร แม้แต่อเมริกาก็กำลังสะเทือนเลื่อนลั่นอย่าง เรื่อง Majority Rule เขาไวนะสื่อสารเขาเยี่ยมยอด แต่สื่อสารเมืองไทยเราตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัวและโลกธรรม ไม่เอาสัจธรรมมานำหน้า เป็นสื่อสารที่ถูกครอบงำ กลัวตายตกอยู่ในอำนาจโลกธรรม คนไทยไม่น่าตกต่ำขนาดนี้ ขอบอกว่าเราต้องใช้ราชประชาสมาสัย และจะเกิดได้ต้องเกิดที่ประชาชน พระเจ้าอยู่หัวคือพ่อ ลูกต้องมารวมตัวให้มาก เชื่อมั่นในหลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน ถ้ามีมวลมาก ไม่ต้องไปทำร้ายใคร ออกมาแสดงตัว ถ้าออกมากห้าล้านคน ยื่นไปเลยท่านผู้บริหารหยุดทำนะ ประธานสภาฯหยุดนะ นั่นคืออำนาจเด็ดขาดใหญ่ อำนาจสูงสุด เป็นAuthorityที่ยิ่งใหญ่ของโลกประชาธิปไตย คืออำนาจประชาชนอำนาจนี้เป็นอำนาจขั้น ยิ่งใหญ่ที่สุด ต้องมาแสดงอำนาจนั้น ลูกส่วนดีถ้าออกมายืนยันมากพอ ท่านก็จะบอกว่าลูกที่ทำไม่ดีก็ต้องหยุดนะ เพราะเขามาแสดงตัวแล้ว ออกมาแสดง Sovereign Powerคนไทยขาดความรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ความเป็นชปต. คือคนออกมาแสดงตัวรวมเป็นคะแนนเสียงประชาชน 1 คน 1 เสียง 5 คน 5 เสียง ล้านคนล้านเสียง เอาคนจริงใจ ที่ควรต้องมาช่วย อยากรู้สำนึกอันนี้ของคนไทย คนไทยเดือดร้อนกันจริงไหม ถ้ารู้ว่าความเดือดร้อนเกิดจากผู้บริหารหรือข้าราชการที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต นิติรัฐนิติธรรม ถ้าออกมาไม่มากก็ไมเป็นPhenomena ต้องช่วยกันออกมา

       งานนี้เป็นงานกองทัพธรรมร่วมกับกองทัพประชาชน ไม่ได้มีเจตนาร้าย เราทำด้วยสัปปุริสธรรม และมหาปเทส 4  ผู้ใดจะร่วมกันใช้อำนาจก็มาร่วมกัน จึงเกิดมวลประชาชนที่จะเกิดประชาธิปไตย เป็นปรากฏการณ์ที่แท้จริง เชื่อว่าคนไทยจะทำได้ ไม่ใช่อเวไนยสัตว์เราจะรอท่านมา เราไม่ไปไหน จนกว่าจะสุดทาง เมื่อยล่ะ จะเป็นจะตายล่ะ เราก็จะกลับ ไม่ใช่ออกมาทำงานแล้วไม่สำเร็จก็เสียเหลี่ยม เราไม่มีอัตตาตัวนั้น จะชนะก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ทำงานที่ควรทำอย่างยิ่ง เกิดเป็นคนต้องทำงานการเมือง ผู้ไม่ทำงานการเมืองคือเดรัจฉาน เพราะเดรัจฉานไม่รู้ว่าอะไรควรทำ แต่คนหรือมนุษย์นี่ชื่อว่าผู้มีใจสูง ศึกษาจนรู้ว่าคนต้องทำงานการเมือง ระบอบไหนก็ตองทำงานการเมือง ไม่ว่าระบอบไหนก็ตาม สมบูรณายาสิทธิราช ก็โค่นฮ่องเต้ได้ ด้วยวิธีโบราณ ฆ่าแกงประหารชีวิต แต่หน้าที่ของประชาชนนี่คือทุกชนิด ไม่ว่าระบอบไหน ไม่ว่าคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการก็ได้ นักการเมืองคือประชาชนที่จะต้องออกมาทำงาน    สรุปอีกที ผู้เกิดมาเป็นคน แล้วไม่ทำงานการเมืองคือเดรัจฉาน คือเขาไม่รู้ว่าตนต้องทำหน้าที่ จนรัฐธรรมนูญต้องกำหนดเลยใน“บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุช ส่วนม.71 บอกว่าบุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์ชาติตามกฎหมาย”

สรุปแล้วประชาชนมีหน้าที่ต้องช่วยทำงานการเมืองแต่การศึกษาทำให้คนชังการเมือง ไม่รู้การเมือง สังคมก็เลวร้ายทุกข์ทรมานกันจนทุกวันนี้ การศึกษาไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ถ้าสอนไม่ให้เข้าใจหรือสนใจการเมือง ไม่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องอยู่ร่วมไปจนตาย ไม่ว่าจะปกครองระบอบใดๆ ต้องรู้ว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน       

       ขณะเทศน์ฝนตกมาไม่มากนัก พ่อครูบอกว่า...ฝนตกนี่มาลองใจเขย่าฉากเล็กน้อย อุปสรรคเป็นการสร้างคน ไม่มีอุปสรรคคือเจริญไม่ได้ อะไรก็ฉลุยหมด ไม่มีเกิดกำลัง การเพิ่มอุปสรรคคือสิ่งที่สร้างความเจริญ จะมีคนมาแจกเสื้อกันฝนเอง

       อาตมาจะพาพวกเราชุมนุมประกาศสัจธรรมความดีแท้ ถ้ามีErrorก็อย่าได้ถือสา มันต้องมีแน่ ก็ต้องอภัยกันบ้าง มีสิ่งบกพร่องก็ต้องอภัยกันบ้าง จะหาความสะอาด 100% ในหมู่คนมากไม่ได้หรอกเราต้องรู้สัจจะความจริงนี้ ที่ทุกข์นั้นคืนคนตกอยู่ในโลกธรรมจัดจ้าน หลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทำอะไรน่าเกลียดได้อย่างอำมหิตจริงๆ นี่คือคนสามัญที่อยู่ในโลกไม่สนใจการเมือง หรือสนใจการเมืองแล้วใช้ความได้เปรียบทางการเมืองสร้างอำนาจแล้วเอาอำนาจมาทำร้ายมนุษยชาติ อย่างที่เป็นในเมืองไทยทุกวันนี้ ถ้าไม่แก้ไขไปไม่รอด

       แต่คนเป็นผู้มีใจสูง ต้องมีปัญญาช่วยเกื้อกูลกัน สัตว์เดรัจฉานในหมู่กลุ่มของมันมันก็ยังช่วยกัน ถ้าคนไม่ช่วยกันก็ต่ำกว่าเดรัจฉาน แล้วประเทศเดือดร้อนขนาดนั้นยังจะสร้างหนี้อีก วิธีการบริหารแบบนั้นมีแต่จะสร้างความเดือดร้อน ถ้าประชาชนไม่ออกมาช่วยกันในตอนนี้ประเทศไทยล่มจมแน่นอน อาตมายังไม่สิ้นความหวัง ต้องออกมาช่วยกัน ลึกๆเชื่อมั่นว่าไทยจะเป็นตัวอย่างของโลกที่จะออกมาชุมนุมอย่างสวยงาม สันติอหิงสา ตามNeo protest

       ตั้งแต่เริ่มชุมนุมกัน ก็มั่นใจว่าไทยจะเป็นไปได้ ถ้าเป็นได้เมื่อไหร่ไทยจะเป็นมหาอำนาจทางธรรม ตามที่พระเจ้าอยู่หัสได้มีพระราชดำรัสเรื่องแบบคนจน หรือขาดทุนคือกำไร พระเจ้าอยู่หัวคือพระโพธิสัตว์ ท่านตรัสเรื่องขาดทุนคือกำไรและเรื่องแบบคนจน ก็ภาคภูมิใจในอโศกที่พึ่งตนและช่วยคนอื่น แม้มีน้อย แต่ถือว่าคือ Minority Rightมั่นใจคำว่า Rightนี่คือสิทธิมนุษยชน เป็นคนกลุ่มน้อยที่ถูกต้องมีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ตามนิติรัฐนิติธรรม ขอย้ำอีกว่า คนที่เป็นหลงลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข และโลภโมโมสันคุณมีแต่กิเลสหนา ต้องมาเรียนรู้ความพอ ความเสียสละ เอาของตนให้แก่คนอื่น ไม่ใช่เอาของคนอื่นมาเป็นของตน นั้นคือเพิ่มกิเลสทุกอณูที่เอามาเป็นของตน เกิดมาโมฆะบุรุษเกิดมาตายเปล่าไม่ได้ธรรมะที่มนุษย์ควรได้ คนอยู่อย่างเอาเปรียบสังคม คือคนบาป คนเอาเปรียบสังคมแล้วเสียสละแก่สังคมคือคนบุญ ยิ่งเสียสละมากเป็นบุญ บุญไม่ใช่ว่ามาเอา บุญเขาว่ากันว่าให้ตั้งจิตอยากได้นิพพาน แต่นิพพานคือสูญหมดเนื้อหมดตัว นิพพานคือของไม่มีต้องปรารถนาความไม่มีแล้วมันจะได้อะไรมา มันหมดภาษาพูดแล้ว ไม่ต้องไปเถียงโดยภาษาพูด อยากได้นิพพานคืออยากได้ความไม่มีไม่เอาไม่เป็น ได้มาก็ช่วยเหลือคนอื่น คืออรหันต์ของพระพุทธเจ้าที่ไม่ลึกลับในความจริง ยืนยันว่าคนที่อยู่ในสังคมก็หลงโลกธรรมเป็นพื้นฐาน

       ส่วนคนอีกชนิดคือคนไม่เอาอหนีโลกธรรมไปเข้าป่าเขาถำ้ นี่ก็เห็นแก่ตัวอีกแบบหนี่งเหมือนกัน แล้วเรียกตัวเองว่านักปฏิบัติธรรมด้วยนะ แต่ที่จริงไม่ได้เห็นแก่ใครๆ เอาแต่เองตนเอง อยู่กับตัวเอง จะสัมพันธ์กับคนอื่นบางก็คนที่ตนรักตนอาศัย เห็นแก่ครอบครัวหมู่กลุ่มของตนเท่านั้น แม้ไม่รบกวนคนอื่น ก็คือเห็นแก่ตัวอยู่ดี เป็นคนเห็นแก่ตัวในวงแคบ ก็ยังดีกว่าไปแย่งชิงสังคมเท่านั้นเอง คนพวกนี้จึงน่าเคารพกว่า คนเป็นพระป่าไม่หมดอัตตาหรอก เขาไม่ได้เรียนรู้อัตตาที่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายหรอก แบบนี้ในอินเดียมีมาก  คนไทยก็มาหลงแบบนี้อีก เป็นคนเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง ไม่ใส่ใจสังคม ไม่เกี่ยวข้อง เสพสุขแต่ตัวเอง อยู่เงียบไม่ฟุ้งซ่าน จิตไม่ฟุ้งซ่าน หยุดคิดหยุดนิ่งเงียบ คนเหล่านี้นิยม อยู่ป่าเขาถ้ำ ไม่ชอบใช้ชีวิตกับสังคมส่วนรวม ปลีกแยกไปจากสังคมส่วนรวม เอาแต่หมู่พวกตนเอง เพราะอยู่คนเดียวอยู่ยาก จึงไม่หมดตัวกูของกู บำเพ็ญเป็นนักพรต ดีไม่ดีนึกว่าตนได้นิพพาน แต่ได้นิพพานปลอม เป็นมิจฉานิพพานไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้า นิพพานของพระพุทธเจ้าเป็นจักุขุมาปรินิพพุโพติ มีจักขุ ญาณ ปัญญ วิชชา แสงสว่าง

        สรุป  ยืนยันว่าพวกอยู่ในโลก แต่โลภโกรธหลงอยู่เต็มประตู หลงเสพสุข โลกธรรมมีมาก ส่วนพวกหนีเข้าป่าเขายึดทิฏฐิ พวกนั้นพูดไม่เข้าหูหรอก ไม่ต้องหวัง แต่คนส่วนมากอยูในโกลีย์พูดรู้เรื่อง ศาสนาพุทธไม่ได้ส่งอรหันต์เข้าป่า ไปสอนคนในป่า คนหลงเข้าป่านั้นเสื่อมตามพระพุทธเจ้าพูดในอัมพัฏฐสูตร ไปตรวจดู พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ก่อนเลย ว่าคนยุคต่อไปจะไปหลงอาจารย์ในป่า ในป่ามีลิงค่างเยอะ คนน้อย จะไปสอนทำไมคนน้อย ต้องสอนคนมากในเมืองนี้แหละ

       พระพุทธเจ้าเป็นฉลาด สอนคนในเมือง เราต้องพัฒนาให้ถูกต้อง คนต้องทำงานการเมืองถ้าเป็นมนุสโส ส่วนคนไม่ทำงานการเมืองคือคนในระดับเดรัจฉาน ยืนยันว่าพูดถูก เพราะคุณอยู่ในสังคม ไปออกหนีสังคมไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังดีกว่าพวกแย่งชิงกับสังคมอีกนะ อย่างอินเดียเขาจะอยู่นานกว่าจีน ประชากรจีนจะมีจำนวนลดลงจนมีน้อยกว่าอินเดียในอนาคต คนเราจะต้องพัฒนาให้ถูกต้องอย่าหลงผิดทาง ออกป่าเขาถ้ำไม่เอาการเมืองนี้ผิด ส่วนคนในเมืองก็เป็นเดรัจฉานอีกชนิดหนึ่งแย่งชิงทำร้ายมนุษยชาติ คนทั้งสองแบบเข้าป่าหรืออยู่กรุง เราอยู่กรุงต้องรู้ว่าเราอาศัยบ้านเมืองอยู่นะ ไม่ใช่เอาเปรียบทำร้ายบ้านเมือง

       ต้องมาทำตนเองให้ไม่เป็นหนี้ จึงพ้นทุกข์แท้จริง พึ่งตนเองให้รอด ขยันมีสมรรถนะ ไม่มีงานที่อื่นก็มาทำงานกับอโศกได้ ให้ทำงานทำการให้เหลือกินเหลือใช้ มีเหลือแจกจ่ายผู้อื่น ชาวอโศกจะเป็นเช่นนี้ ...ใครจะมาเป็นเช่นนี้บ้าง ....ยกมือเกือบหมด

       สรุปอีกที คนอยู่กับเมือง อยู่กับมวลมนุษย์ ไม่ใช้เสือสิงห์ที่อยู่อย่างฝูงเล็กๆ มนุษย์อยู่อย่างโขลงใหญ่ต้องมีปัญญาอยู่อย่างไม่เบียดเบียนกัน และเกื้อกูลกันอย่างฉลาด ช่วยให้พ้นทุกข์ได้มากๆ ได้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นมากๆขึ้น นี่คือมนุษย์แท้ การเมืองคืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง พวกบ้านพวกเมือง ไม่ใช่เพื่อพวกกูของกู ผึ้งมันยังเข้าใจปลวกมันยังเข้าใจ แล้วคนนี่จะเลวกว่าผึ้งกว่าปลวกได้อย่างไร เป็นเดรัจฉานก็เลวกว่าปลวกกว่าผึ้ง เรามาชุมนุมนี้ตั้งอกตั้งใจทำงานการเมือง ตั้งใจเอาธรรมะเข้าไปสู่การเมือง ตนต่างชาติยังมาร่วมชุมนุมเลย คนไทยต้องเข้าใจ สละเวลามาบ้าง ถ้าได้มารวมตัวกันเป็นล้านคนสิ มาดูว่าอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นล้านคนจะมีธรรมฤทธิ์อย่างไร ออกมาอย่างจริงใจ

       ตอนนี้ได้ข่าวว่าตำรวจกำลังกระชับพื้นที่มาเรื่อยๆ เราไม่ต้องไปด่าตำรวจ ให้เขาทำปรากฎการณ์ว่าเขาทำผิดกฎหมาย เขาอำนวยความสะดวกหรือทำลายความสะดวก ช่วยประชาชนหรือช่วยอำนาจที่ตนถูกสั่งการ        เป็นสัจจะเราไม่จำเป็นต้องไปด่าทอ แต่ก็เห็นใจคนที่ทนไม่ไหวก็ต้องทำ และเห็นใจตำรวจผู้น้อยที่ต้องทำตามหน้าที่ ส่วนคนเลวร้ายก็เป็นบาปของเขา เราทำสุดที่ที่เราจะทำได้ ส่วนใครทำชั่วก็เป็นกรรมของเขา อยากรู้ว่าประเทศไทยความถูกต้องดีงามจะชนะความชั่วร้ายได้ไหม เราต้องเอาความดีงามชนะความชั่ว เอาความถูกต้องดีงามชนะความผิดให้ได้ ถ้าเราแพ้เราก็กลับ ไม่มีเสียหน้าเราได้ทำงานเพื่อมนุษยชาติแล้วใครจะมารวมกับอาตมาก็มา....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:37:58 )

561008 อำนาจสองอย่าง

รายละเอียด

561008_รายการสงครามสังคมฯ ณ เวทีข้างทำเนียบ โดยพ่อครู เรื่อง อำนาจสองอย่าง

       พ่อครูมาเทศน์ที่ข้างทำเนียบเป็นกัณฑ์ที่สอง ในวันนี้ จากที่เทศน์ไปแล้วในภาคเช้า 1 กัณฑ์เป็นการเบิกฤกษ์การยกระดับการชุมนุมของกองทัพธรรมร่วมกับกองทัพประชาชนจากสวนลุมฯมาที่ข้างทำเนียบรัฐบาลประตู 3

       พ่อครูว่า...เรื่องของสังคมตอนนี้ต้องครบทั้งสงคราม ธรรมะ และการเมือง ชื่อรายการนี้ตั้งไว้ครบ วันนี้คงต้องอย่างนี้...เห็นมีคลิปออกอากาศคนเอาหัวไปไว้ในปากไอ้เข้ มันจะงับหรือไม่ก็ไม่รู้เราก็คล้ายๆกันเอาหัวเข้าปากไอ้เข้

ตอนเช้าได้เทศน์ปูพื้นเรื่องการเมืองไป...ตอนนี้ก็เลยพยายามกระชับเท่าที่จะเป็นไปได้ ตอนเช้านี้ได้พูดเรื่องอธิปไตย เขาก็พูดกันว่าการเมืองคือการแสวงหาอำนาจ ในวิชารัฐศาสตร์ว่าไว้เลยว่าผู้ใดได้อำนาจก็มีหน้าที่จัดการประชาชน เขาก็ต้องสร้างอำนาจ ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบการเมืองของประชาชนโดยประชาชน  เพื่อประชาชน

       เขาก็ทำอย่างไรก็เพือ่ให้ได้สส.เสียงส่วนมาก เพื่อได้อำนาจเผด็จการรัฐสภา เขาก็หาวิธีทำทุกวิถีทางให้ได้สส.จำนวนมากที่สุดในสภา มันมีเหตุปัจจัยมากมาย เมื่อเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ตัวแทนมากที่สุดในสภาฯ ขณะนี้ก็มีหลงจู๊ที่ทำสำเร็จมาตั้งแต่ปี 44​จนเขามั่นใจว่าทำได้อย่างที่เขาคิดเลย

       จึงเป็นอำนาจที่ไม่ชอบด้วยธรรมะที่มันเป็นอำนาจฉ้อฉล คำว่าอำนาจนี้สำคัญมาก ถ้าไม่สามารถจะสร้างอำนาจให้เป็นอำนาจที่ดี ที่ให้เป็นอำนาจเขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษ ถาเราไม่สามารถสร้างอำนาจให้ดีเป็นอำนาจที่เป็นธรรม

       อำนาจ มีภาษาอังกฤษหลายคำที่บอกลักษณะ เช่น Power energy force Sovereign Power  คืออำนาจสูงสุด คือ supreme เป็นอำนาจสุดยอด dependent ลอยตัวสูงสุด

       ในAuthority จะมีอำนาจแตกต่างจาก force

       force เป็นลักษณะพลังอำนาจเผด็จการ ข่มขี่ บังคับ ยัดเยียด ครอบงำให้จำนน ในไทยเป็นอำนาจแบบนี้ในตอนนี้ ทีเขาเรียกว่าประชาธิปไตย ผู้ที่ได้อำนาจขณะนี้เจ้าของอำนาจใช้แบบ Force ให้จำนน ตามความมากหรือน้อย เขาก็อ้างความมาก แต่อ้างแล้วกดขี่บังคับ ไม่ได้เป็นอำนาจที่เขายกให้ แต่เป็นสั่งการเอง ชี้ สั่ง ที่เขาทำนี้จึงเข้าข่ายเผด็จการ

       ถ้าอำนาจที่กดขี่บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อย ถ้ามีน้อยเท่าใดลงมาๆ อำนาจเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง เป็นตัวสำคัญมากเลย พระพุทธเจ้านี่มีอำนาจ เต็มรูปเลย มี Authority ไม่มี Force เลย แต่ Force สามารถพัฒนาได้โดยลดอำนาจกดขี่ลง จะเป็นอำนาจที่ดีขึ้นจนเป็นอำนาจโดยธรรม เป็นเจ้าของอำนาจแต่คนยกให้เอง เช่น

       ชัดๆคือ อำนาจในประเทศไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามสากลเลย พระประมุขของประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กษัตริย์ทรงมีอำนาจเป็นรัฐาธิปัตย์เลย มีอำนาจสูงสุด ไม่ว่าประเทศที่ปกครองระบอบไหนจะมีกษัตริย์หรือไม่ก็ตาม จะมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจใหญ่ แม่ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ตาม ประชาชนจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ในมาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้

       ส่วนมาตราที่ 2 ของรัฐธรรมนูญ..ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ประมุข แปลว่าหัวหน้า ประชาธิปไตยคืออำนาจเป็นของประชาชน แล้วมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคือหัวหน้า เช่นโดยความเข้าใจทั่วไปแล้ว ประเทศจะต้องปฏิบัติตามหลักของประเทศคือกฏหมายรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจสูงสุด ในรัฐธรรมนูญระบุเช่นนี้ก็ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

       มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล อำนาจนี้อยู่ในกรอบ คนเข้าใจว่ามันมีอำนาจจริงแล้วคนนั้นใช้อำนาจอย่างเผด็จการ เผด็จการคือใช้อำนาจโดยตนเป็นเจ้าของอำนาจ ยกตัวอย่างเช่น อำนาจของอดอล์ฟฮิตเลอร์ เป็นประชาธิปไตยแล้วใช้อำนาจ ได้อำนาจแล้วไปแก้รัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจเผด็จการเต็มรูปแบบเลย จนกระทั่งกลายเป็นพรรคเดียวของประเทศเรียกว่าพรรค นาซี มีคนไทยลอกเลียน กำลังลอกเลียนไปเรื่อยๆ

ที่เราออกมาทุกวันนี้ก็มาต้านไม่ให้อำนาจอย่างนี้เกิดในไทยใช่ไหม คนที่ไม่เชื่อโดยปัญญาเขาก็มีอยู่จริง

       หมู่หนึ่งคือเชื่อว่าผู้ที่สร้างอำนาจนี้เลียนแบบฮิตเลอร์อยู่ ไม่เชื่อ เขาเชื่อว่าบริสุทธิ​์ เขาเชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยที่ดีทำเพื่อประชาชนจริง ก็มีในไทยอยู่และกำลังครองอำนาจในประเทศไทยอยู่ อำนาจนั้นใช้ผ่าน สภาฯ ก็เป็นของเขาแล้ว เขาผ่านครม.อำนาจบริหารด้วย คุมไว้หมด แล้วกำลังจะใช้วิธีคุมตุลาการอีก เขากำลังสร้างอำนาจนี้ขึ้นไป แต่ในโลกที่ประชาธิปไตยฯ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจนั้นได้ ทุกประเทศยอมรับว่าพระประมุขเป็นผู้ถือว่ามีอำนาจสูงสุด เป็นรัฐาธิปัตว์ สูงกว่าอำนาจใดๆด้วย เรียกว่า Supreme Law เลย

       แต่ในหลวงไม่พยายามใช้เผด็จการไม่ใช้ Force เลย ท่านใช้อำนาจได้หลายอย่างแต่ท่านไม่ใช้ ท่านเคารพประชาชนจริง แต่ผู้ที่ครองอำนาจอยู่ขณะนี้กำลังพยายามควบคุมอำนาจในประเทศให้หมด เช่นข้าราชการ ที่ควรเป็นผู้รับใช้ประชาชนแต่กลับมาเป็นนายประชาชน และเขาก็ควบคุมแทบจะไม่เหลือแล้วตอนนี้

       ความเป็นอำนาจแบบ Force ในคนสร้างมาด้วยโลกธรรม มีวิธีการซับซ้อนเลห์กลทุจริต ประกอบด้วยกิเลส จนคนอื่นตกอยู่ใต้อำนาจเงิน ลาภ ยศ สรรเสริ​ญ หรือความสุขที่เขาประเคนให้เพื่อหลอกล่อเอาใจ ใช้ประชานิยม มีกลเม็ดเด็ดพรายในการหาเสียงเผยแพร่ให้ประชาชนหลงผิดว่าเขานี่แหละคือผู้มาช่วยโลกช่วยสังคม จนพ่อครูต้องออกโศลกว่า เลวที่สุดในแผ่นดิน คือหากินบนคำว่า ช่วยเขา ประชาชนก็หลงว่าเขาคือผู้มาช่วยประชาชน เขาทำสำเร็จ คนหลงเชื่อเขาส่วนหนึ่ง

       ในไทยตอนนี้มีสองขั้วใหญ่ ขั้วที่กำลังชิงอำนาจบริหาร ตุลาการ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวท่านมีอำนาจนี้อยู่แล้วแต่ท่านไม่พยายามใช้

       เขาใช้ประชานิยม โดยการหลอกว่าช่วยประชาชน จนคนหลงเชื่อสนิท

แต่อาตมาก็ยังเชื่อว่าเขาเป็นที่รักของคนในประเทศเท่าพระเจ้าอยู่หัว ก็รออยู่ว่าผู้ที่ไม่เชื่อออกมาแสดงตัวหน่อยได้ไหม คือมาเลือกข้าง คือข้างที่เขาก็ยกย่องเขาบางทียกย่องสูงส่งกว่าในหลวงเลย มีการลบหลู่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่เสียดายผู้มีหน้าที่ไม่จัดการ เช่นในเว็บไซด์ ผิดกฎหมายด้วยนะ

       ส่วนคนกลางๆก็ไม่เอาทั้งฝ่ายอำนาจนี้และอีกด้าน เขาว่าเขาเป็นกลางแต่วิเคราะห์แล้วพวกนี้มีสองอย่างคือ ไม่รู้หรือโง่ ไม่รู้ว่าควรต้องไปอยู่ช่วยอำนาจด้านไหน ซึ่งในประเทศกำลังชิงอำนาจนี้จริง ถ้าไม่รู้ตัวแล้วประเดี๋ยวก็รู้ ถ้าอำนาจในหลวงพ่ายแพ้ ประเทศไทยเสร็จแล้ว เสร็จเขาเลย ตอนนี้ล่อแหลมมาก ถ้าเราไม่พยายามรู้สึกตัว ไม่เท่าทัน แล้วก็มาทำอำนาจประชาชน ทำอำนาจประชาธิปไตย อาตมาก็บอกบ่อยๆว่า ประชาธิปไตยคือประชาชนออกมาแสดงตัว 1 คน 1เสียง ล้านคนล้านเสียง เป็นอำนาจที่ 1 เลย แต่การเลือกผู้แทนเป็นอำนาจระดับที่ 4 แต่อำนาจที่ออกมาตัวเป็นๆมานั่งนี่คือมาแสดงอำนาจอธิปไตยลำดับที่ 1 แล้วถ้าเราจะบอกว่าอำนาจที่ 2 คือในหลวง เพราะในหลวงก็จะยกให้อำนาจใหญ่สุดเป็นของประชาชน เหมือนสากล ยกตัวอย่างในหลวงจะเสด็จอเมริกาที่เขาไม่มีในหลวง เขาก็ต้องต้อนรับท่านในฐานะที่เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ไม่ทำไม่ได้ แม้เขาไม่มีพระมหากษัตริย์ก็ตาม เขาก็ต้องรับไปตามบท นี่คืออำนาจสูงสุดของสากล

       ขณะนี้อำนาจของในหลวงกำลังถูกสั่นคลอนอย่างมาก ทั้งที่พ่อครูไม่เชื่อว่าคนไทยจะมอบอำนาจแก่บุคคลที่มาชิงอยู่นี่ เขารวมพวกที่เชื่อและนับถือเขา แม้พวกที่นับถือเขาก็แบ่งรับแบ่งสู้ว่าเขาเทิดทูนในหลวง แต่ลึกๆในหมู่ที่เขายกอำนาจให้คนผู้นี้ ถามจริงๆ เขาก็ยกอำนาจให้ในหลวงเหมือนกัน แต่พฤติกรรมมันชัดเจนทุกอย่างเลย อมภูเขาเอเวอเรสต์มาพูดก็ไม่เชื่อ เพราะพฤติกรรมมันส่อเจตนาชัด

       ก็ขอให้พวกเราใช้วิจารณญาณ เหตุการณ์ตอนนี้เขากำลังล้มรัฐธรรมนูญ สร้างรัฐธรรมนูญใหม่ให้เป็นแบบฮิตเลอร์ แล้วจะริดรอนพระราชอำนาจอย่างไรก็ได้ ถ้าเขาผ่านอันนี้จะออกกฎหมายมาริดรอนอย่างไรก็ได้เลย สุดท้ายประเทศไทยก็จะไม่มีหรือมีในหลวงเป็นเพียงสัญลักษณ์จนกว่าราชวงค์จะโรยรา ดังหลายประเทศที่เป็นเช่นนั้น มันลอกเลียนแบบกันมา

       จะทำอย่างไร เราจะพยายามสร้างอำนาจอย่าง Authority มาจากรากศัพท์คำว่า Author ซึ่งแปลว่าผู้แต่งหรือเจ้าของ เป็นผู้สร้างสรรเหมือนพระเจ้า แต่ในความหมายลึกๆนั้นต่างจาก Force ที่เป็นการบังคับกดขี่ เป็นCommander ถ้าเป็นForced คือถูกบังคับถูกบีบเลย เป็นการใช้กำลังโดยพละการ คือ Forcible เป็นการใช้พยัญชนะมาอธิบายลักษณะอำนาจ

       ส่วน Authority มีความหมายเชิงอีกอย่างไม่บังคับ คำว่า Authorize คือยินยอมมอบอำนาจให้ เป็นลักษณะตามธรรมชาติของการยินดีถ้าใครมีอำนาจนี้ คนเห็นว่าผู้มีอำนาจนี้คนก็ยอมยกให้ เหมือนพระพุทธเจ้าคนก็ยอมยกให้เลยท่านจะบัญญัติศีลหรือวินัย คนก็ยกให้ท่านบัญญัติเลย แล้วสั่งห้ามแก้ห้ามเปลี่ยนแปลงด้วย คนก็รับได้เลย นี่คือAuthority คนก็ให้สามารถรับได้ เพราะเชื่อมั่นในพระองค์ ไม่ใช่ท่านจะมาใช้อำนาจบังคับหรือมีอคติ ผู้ใช้อำนาจนี้ก็เรียก Authoritative มีลักษณะมีหลักฐานพิสูจน์ยืนยันได้ อย่างในหลวงหรือพระพุทธเจ้า เขาจะเอาไปพูดได้ว่าพระพุทธเจ้านี่จอมเผด็จการ แต่ในหลวงเราก็มีลักษณะอำนาจวาสนาบารมีเลย ในวันออกมหาสมาคมก็ออกมาเต็มลานพระรูปฯเลย

       ถ้าเอากันจริงๆไหมว่า จะเอาฝ่ายในหลวงหรืออีกฝ่าย ตอนนี้เราก็เป่านกหวีด กองทัพธรรมร่วมกับกองทัพประชาชน เพื่อยืนยันให้เกิดปรากฏการณ์นี้ให้เกิดขึ้นมา เป็นPhenomemology คนไทยที่จะยืนยันอธิปไตยก็ออกมารวมกันให้ปรากฎเลย พรุ่งนี้มาให้เต็มนี่เลย เป็นระยะเคี่ยวข้น ทางโน้นจะกระชับพื้นที่เราก็ขยับออกไปได้เลย ก็ไม่รู้ว่าสื่อที่ออกไปนี่จะออกเต็มตามที่พูดนี้หรือไม่อาจโดนรบกวนได้ เขาทำได้ ถ้าแน่จริงไม่ต้องรบกวนเราสิ คุณได้เปรียบเราอยู่แล้ว เรามีสื่อน้อยอยู่แล้ว เอาเปรียบกันหลายต่อ แม้เอาเปรียบหลายต่อเราก็ไม่ว่า เราไม่มีอำนาจ เราไม่เคยใช้Force เลย เราใช้แต่Authority ตามสัจธรรม

       อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสเลยว่าจะไม่ใช้อำนาจใดๆเลย ท่านมาเปิดเผยศาสนาโดยมาบอกความจริง ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ...หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  #มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้

       ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

       เห็นลักษณะอย่างนี้ในในหลวงจริงๆ เห็นแล้วสงสารพระองค์ (พูดแล้วเหมือนเตี้ยอุ้มค่อม) เห็นว่าท่านบำเพ็ญสองลักษณะใหญ่ของพระโพธิสัตว์คือ เตมีย์ใบ้ กับพระมหาชนก จนพระชนมายุก็มากอย่างนี้ ทรงมีอะไรที่ไม่เป็นตามวัยนัก แล้วก็ท่านก็ยังทำงานอยู่ ยังว่ายไปตามที่่ท่านสามารถเหมือนพระมหาชนก ว่ายอย่างไม่เห็นฝั่ง ทรงช่วยประชาชนตลอดเวลา แล้วท่านก็เป็นนักเตมีย์ใบ้ จะตรัสแต่ละทีก็อย่างเกรงใจบท เกรงใจผู้นั้นผู้นี้ เกรงใจผู้จะสร้างอำนาจ ตรัสออกมาให้เกียรติแก่คนทุกคน ก็ชื่นชมบูชาในพระจริยาวัตรนี้ ถ้าใครเชิดชูในหลวงอยู่ก็ออกมา ไม่ได้โหนในหลวงนะ แต่อธิบายสัจธรรม

       ทุกคนนั่งอยู่ที่นี่ใครก็อยากได้ในหลวง ในหลวงอยู่ในธนบัตร แต่ธนบัตรไม่มีเป็นของอาตมาสักใบ มีมาก็ผ่านไปให้ทำประโยชน์ และจะไม่ใช้ธนบัตรที่เขามาทำบุญกับอาตมา ตั้งใจเป็นปณิธานเลยว่า แม้ไม่มีข้าวกิน หิวข้าว เจ็บป่วยจะตาย และมีธนบัติค้างอยู่ที่อาตมา ก็ไม่ใช้เพื่อตัวเอง ให้ป่วยตายเลย แล้วจะมาโหนในหลวงอย่างไร แม้ธนบัตรก็สละ และลาภ ยศ สรรเสริ​ญ อาตมาสละออกหมดแล้ว

       อยากให้เข้าใจแล้วปฏิบัติ ถ้าผู้ใดเชิดชูในหลวงและอยากรักษาอำนาจให้ในหลวงก็ออกมาแสดงอำนาจอธิปไตย

       อำนาจพระเดชไม่ยั่งยืนเท่าพระคุณ Authority by force is not enduring than force by kindnessคืออำนาจโดยพระเดช ไม่ยั่งยืนเท่าอำนาจพระคุณ ในหลวงไม่ใช้พระเดช แต่หลายคนใช้อำนาจพระเดชจนคนกลัวลาน เขาเก่งจนคนกลัว คนที่กลัวคือคนตกภายใต้อำนาจลาภยศสรรเสริญสุข จึงสยบให้อำนาจนี้มากดหัว มา Forcible โดยพละการ และเสียท่าน จะว่าคนที่สามารถใช้อำนาจนี้จนคนเกรงกลัวก็เก่งนะ แต่อาตมาไม่นิยมชมชื่น

       ถ้าใครจะไปสร้างอำนาจแบบนี้ อย่าทำเลย ไม่น่าทำเลยสำหรับรสนิยมอย่างอาตมา ส่วนใครจะสร้างอำนาจ Made a forcible ก็เชิญ

       สรุป อำนาจที่มีอยู่ในสังคมโลก มีอำนาจที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่ามีอำนาจของ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และธรรมาธิปไตย

       โลกาธิปไตยคืออำนาจโลกธรรม ถ้าใครสร้างอำนาจด้วยส่ิงนี้ ก็เป็นโลกาธิปไตย แล้วถ้าสร้างตัวเองให้มีอำนาจซ้อน โดยใช้โลกธรรมคือฉลาดแกมโกง เก่งฉิบหายเลย ก็เป็นอัตตาธิปไตยซ้อนในคนๆนี้อีก

ส่วนธรรมาธิปไตยต้องไม่เป็นทาสโลกธรรมและไม่เป็นทาสอัตตาตัวตนของตนด้วย อย่างในหลวงและพระพุทธเจ้านี่่ท่านมีอำนาจแต่ท่านไม่ใช้ คนอื่นยกอำนาจมอบให้ท่านอย่างเชิดชูบูชา โดยไม่ต้องใช้อำนาจกดขี่ใดๆเลย ท่านได้Authorityเองเลย

       คนลำบากลำบนทุกวันนี้เพราะเป็นทาสโลกธรรม แต่ไม่รู้ตัวเองด้วย ไม่รู้เรื่องอัตตาเลย ดีไม่ดีสอนเรื่องอัตตากันไม่รู้เรื่อง ล้างอัตตากันไม่เป็นเลยเต็มไปด้วยอัตตาและโลกธรรมซ้อนกัน อธิปไตยในโลกนี้เลยเป็นอธิปไตยบ้าๆบวมๆผีบ้าอะไรไม่รู้

      เราจำเป็นต้องสถาปนาการเมืองลงไปในการเมืองและการศึกษา ต้องสร้างการศึกษาให้คนมีธรรมะในตนให้ได้ ความรู้ทางโลกเราไม่ดูถูก ก็ให้รู้เลี่้ยงตน แต่ความรู้ทางธรรมนี้ประเสริฐกว่า ทุกวันนี้อาตมาไม่ได้ทำงานเลี้ยงตนเลย แต่ธรรมะเลี้ยงอาตมาไว้ได้ด้วย อาตมาไม่ทำอาชีพ แล้วก็สอนคนให้มาช่วยตนเองจนไม่มีตัวตน ทำงานช่วยคนอื่น ทำงานฟรี แล้วทำได้สำเร็จ ในหมู่ชนชาวอโศกด้วย ในประเทศไทยมีแล้ว ชุมชนอโศกทำงานฟรีทุกคน ไม่ต้องรับรายได้ นี่คือส่ิงสุดยอดของธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ตกอยู่ใต้โลกธรรม และตังเองก็ต้องไม่มีอัตตาเรียกร้องเพื่อตนอีก

       ในหลวงตรัสว่า ให้เอาแบบคนจน เอาเศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนคือกำไร แต่ผู้มีหน้าที่ทำไม่กระดิกหู น่าเสียดายที่ไทยเรามีทั้งพุทธและในหลวง แต่ก็ใกล้เกลือกินอึกัน ไม่อยากเรียกว่าใกล้เกลือกินด่าง แต่ไม่ใช่ มีเกลือไม่กินเกลือแต่ไปกินอึ กินอึนี่ไม่ใช่คนนะ ไม่ได้ด่าใครนะว่าเป็นอะไร หมูก็กินอึมันชอบนะ....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:39:30 )

561009

รายละเอียด

561009_รายการสงครามสังคมฯ โดยพ่อครู ที่ข้างทำเนียบฯ

เรื่อง  ถ้าเขามาสลายการชุมนุมจะทำเช่นไร

       ชีวิตไม่เจออุปสรรค ชีวิตนั้นไม่เจริญในโลก อุปสรรคทำให้คนใช้ความคิด ความรู ้สมรรถภาพ ทั้งกาย วาจา ใจทั้งหมดเลย พวกเราที่มารวมตัวกันก็คิดดูเถอะ คนที่มีชีวิตเอาแต่กินๆนอนๆ เที่ยวๆ สบายๆ ไม่มีเจริญ เอาแต่สนุกสนาน เพลิดเพลินกับสุขโลกีย์ ตัวสุขโลกีย์นี้เป็นตัวร้าย สุข เป็นคู่ของทุกข์​ สุขหมดเมื่อใด ทุกข์หมดเมื่อนั้น

       จิตใจของคนมีความรู้สึก มีอารมณ์ แล้วมีกิเลสที่เรียกว่าสวรรค์หรือสุขัลลิกะ สวรรค์มี 2 แบบ แบบที่ต้องเรียนรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ในอนุบุพิกถา มี ทาน ศีล สัคคะ กามาทีนวะ เนกขัมมะ

        อนุปุพพิกถา คือคำสอนเบื้องต้นสำหรับผู้ศึกษาธรรมะ กามาทีนวะคือโทษของกาม เนกขัมมะคือออกจากกาม เมื่อปฏิบัติก็จะได้เป็นพระอาริยะหรือคนเจริญหรือคนอาริยะ ชาติที่มีคนอาริยะก็คือชาติิอาริยะ เจริญแท้จริง แต่คนเดี๋ยวนี้ใฝ่หากิเลสกันมาก เป็นยุคใกล้กลียุค ที่เราเหน็ดเหนื่อยกันมาก็คือกิเลสโลกีย์ เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นสัจจะที่คนเชื่อยาก

       อย่างพ่อครูอยู่ในสังคมโลก เป็นฆราวาส 36 ปีค่อยออกบวช รู้แจ้งเป็นจริงค่อยออกบวช ก็รู้ความจริง เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตั้งแต่โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ ก็นำมาเปิดเผยตลอด ตายแล้วก็ขอต่อพุทธภูมิ จะเกิดต่อมาอีกมาสืบสานศาสนาพุทธให้ถึง 5000 ปี หลายคนอาจว่าเพ้อเจ้อก็ไม่ว่าอะไร

       ที่เราต้องมีอุปสรรค มานั่งมานอนอย่างนี้ นี่คือข้อสอบ ให้เราได้ทำ เราต้องใช้ทั้งกายกรรม ทั้งปัญญา สมรรถนะ โดยเฉพาะจิตใจ เป็นเรื่องหลักจริงๆ

       การเมืองหรือเรื่องประชาธิปไตย เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยาก อาตมาได้บรรยายมาแล้ว ว่าการเมืองคืออะไร การเมืองคืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ทุกคนในสังคมต้องกตัญญูต่อบ้านเมือง ทำงานให้บ้านเมือง การทำให้ไม่ใช่การทำเอา ทำให้คือการเสียสละ ทำเอาคือต้องได้ส่ิงแลกเปลี่ยน ใครทำเพื่อเอาชนะก็ผิดแล้ว เรามาทำงานไม่ใช่เพื่อทั้งแพ้ ทั้งชนะ และชนะหรือแพ้คือจำกัดความอย่างไร นั้นมันลึกซึ้งมาก

       ขณะนี้เรากำลังทำงานการเมือง เป็นประชาธิปไตย ถูกหรือผิด

ประชาธิปไตยตามนิยามของประธานาธิบดี ลินคอน คือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนและอำนาจหรืออธิปไตยนั้นมีทั้งอย่าง Force และแบบ Authority  ผู้ที่ทำเพื่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริงจะได้ Authority จะได้อำนาจที่สุดยอด เป็นอำนาจโดยธรรม คนให้ก็ให้ด้วยใจ ให้ด้วยศรัทธาและปัญญา ย่ิงปัญญาลึกซึ้งยิ่งชัดเจน ว่าคนๆนี้ตายแทนได้เลย เพราะท่านมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ สำหรับเราถึงมีประโยชน์ก็สู้ท่านไม่ได้ ถ้าจะตายเราตานแทนก่อน คนนั้นจึงได้อำนาจโดยไม่ใช่กดข่มเขาหรือแย่งชิงเขา ไม่ใช้อำนาจโดยพละการเลย เป็นอำนาจที่คนเขาให้ด้วยคุณงามความดี ด้วยความรู้สามารถ เฉลียวฉลาดที่จะทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ให้อยู่รวมกันอย่างมีประโยชน์คุณค่าแท้จริง ไม่ต้องสร้าง แต่ทำดีเพื่อมวลชนจริง คนจะเห็นว่าคนนี้น่าเชิดชู ไม่ใช่Force แต่เป็น Authority เพราะเขาไม่เห็นแก่ตัว แม้เสียสละชีวิตได้เลย ไม่ต้องพูดเลยถึงวัตถุ หรือความรู้ก็ให้ได้ ชีวิตเขาก็เสี่ยงเพื่อให้แก่ปวงประชาชนได้

       ศานาพระพุทธเจ้าเมื่อทำสำเร็จ เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว จิตวิญญาณจะเป็นอย่างนั้นเลย เป็น Author เป็นเจ้าของผู้สร้างสรรคุณธรรมนั้นเอง คนอื่นก็ให้ความเคารพนับถือ เขาให้อย่างยินยอม ว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจ สีคุณค่าจริง เขาให้ด้วยใจ วิ่งมาให้เลย ไม่ต้องไปเอามา

       คุณงามความดีนัยนี้ เป็นความรักเทิดทูน อย่างประชาชนไทยในวันที่มาแสดงออกในวันที่ในหลวงออกมหาสมาคม เป็นจิตวิญญาณที่ยกมอบให้ในหลวงอย่างแท้จริง เต็มหน้าลานพระบรมรูปฯเลย ประชาชนยินยอมพร้อมใจให้ท่านอย่างแท้จริงเลยauthorize = อนุมัติ, ยินยอม, อนุญาต, มอบอำนาจ, แต่งตั้ง, มอบหมาย ผู้ใดสามารถสร้างอำนาจอย่างนี้ได้ ก็สามารถauthorizable = พอจะมอบอำนาจให้ได้, พอจะยอมรับได้ มี  authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี, เชื่อถือได้, มีหลักฐานพิสูจน์ได้, ท่านจะตรัสหรือทำอย่างเผด็จการก็ทำได้ แต่ท่านไม่ทำเลยในชีวิตที่เห็นท่านมา ไม่มีลักษณะ command มีแต่คำพูดให้คนเข้าใจและทำเอง ที่พูดนี้ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหรือเกินไป ผู้มีอำนาจนี้เบ็ดเสร็จเรียกว่าauthoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ [Authority by force is less enduring than authority by kindness.

            อำนาจนี้เกิดได้ แต่คนเดี๋ยวนี้ไปสร้างอำนาจแบบ Force แต่ที่พูดนี้คนมีปัญญาพอสมควรก็พอรู้ได้ แต่ทำไม่ได้จริง เขาก็เลยต้องไปสร้างอำนาจแบบ Force ในสังคมกันเต็มไปหมด คนสร้างแบบ Authority ก็มีแต่ไม่สมบูรณ์

            คนไทยไม่มีปัญญารู้ความจริงอันนี้ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น คนไทยน่าจะรู้และเข้าใจ แต่คนไทยเหล่านั้นทั้งรู้ก็ยังตกอยู่ใต้อำนาจ Forced กดขี่ จนคนไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความกลัว กลัวจะเสียโลกธรรม กลัวเสียความสุขทางโลกีย์ กิเลสมันหวงแหนโลกธรรมนี้มาก เพราะมันหลง อวิชชาจริง ว่าคนเราเกิดมาต้องได้อย่างนี้ กิเลสหนา ปุถุกันอยู่ตลอด ปุถุชนก็บำเรอกิเลสไปทุกลมหายใจ เพราะอวิชชาคือไม่รู้  คนที่จะลดลาภยศสรรเสริญก็มีบ้าง ไปกดข่มเอาก็มีบ้าง แต่ว่าไม่มีสัมมาทิฏฐิที่จะทำลายกิเลสอย่างถูกตัว แล้วกุศลจิตจะเจริญเอง มันจะรู้โลก จะเข้าใจเอง ว่าลาภ ยศ สรรเสริญคืออะไร แม้ทำสุจริตก็คือกิเลส เป็นอุปกิเลส อาริยะก็จะทำออก จนสิ้นเกลี้ยง

            โลกทุกวันนี้ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรแห่งความกลัว กลัวเสียความสุข กลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะอวิชชา จึงลำบากลำบนอย่างนี้

            ที่พาพวกเราออกมาทำงานก็เพื่อช่วยประชาชนที่เดือดร้อน ถ้าเหตุการณ์ครั้งนี้เราไม่สามารถผู้ที่หลงอำนาจ ทำทุจริตหน้าด้านหน้าทนทุกวันนี้ เขาไม่เชื่อว่ากุศลอกุศลมีและคืออย่างไร เราก็พยายามเอาพลังประชาชน มารวมตัวกันในฐานะที่ไทยเราเป็นสากลใช้ระบอบประชาธิปไตยที่ดีที่สุด

            ประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคือที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คำว่า พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ หมายถึงประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ พหุคือส่วนใหญ่ พระอรหันต์ 60 องค์แรกของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าก็ส่งไปช่วยประชาชน ไม่ให้ไปซ้ำกันในแต่ละแห่ง ไปเดี่ยวๆเลย ท่านก็ตรัส 3 คำนี้แหละ  ไปทำประโยชน์ต่อประชาชน คือไปเผยแพร่ประชาธิปไตยนั่นเอง

            ท่านบรรลุธรรมแล้วก็สร้างรัฐอิสระในตัวท่าน แล้วก็สร้างรัฐอิสระคือศานาของท่าน ในยุคสมบูรณายาสิทธิราช ท่านเป็นจอมจักรพรรดิ์โดยธรรม เพื่อมวลมนุษยชาติเรียกว่าพหุชนหิตายะ รับใช้โลกคือพหุชนสุขายะ ทฤษฏีพุทธยืนยาวมาจนทุกวันนี้

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีจุดสำคัญมากคือต้องมีจิตใจเป็นประชาธิปไตยจริง

จิตใจเป็นประชาธิปไตยคือจิตใจที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรือหมู่พวกตัวเอง แต่ทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง จริงกายและจริงใจ ผู้บรรลุอรหันต์ทุกคน แม้อนาคามีก็มีกิเลสเหลือส่วนตัว ส่วนข้างนอกอนาคามีช่วยประชาชนเหมือนอรหันต์เลย ส่วนสกิทาคามีก็ช่วยได้ลดลง ซึ่งโสดาบันก็เริ่มหมดอัตตาไปตัวหนึ่งก็มีวิธีช่วยเหลือประชาชนอย่างไรแล้ว

            โสดาบัน หมดอบาย คือกิเลสหยาบๆ ท่านเร่ิมไม่เอาเปรียบโลกแล้ว แต่ยังมีการเอามาเป็นของตัวโดยสุจริต มีศีล 5 ท่านไม่ทำรุนแรงโหดร้าย ใครทำร้ายก็ไม่ทำร้ายตอบ ไม่โลภ ไม่เอาของคนอื่นมาเป็นของตน สูงไปอีกก็เสียสละได้ไม่มีของเราเลย แต่เบื้องต้นไม่โกงไม่ทุจริตแล้ว เช่นเป็นนักค้าขาย โสดาบันจะค้าขายไม่เอาเปรียบเพ่ิมมีแต่จะลด เรื่องกามก็ผัวเดียวเมียเดียว ไม่จัดจ้าน กระทบสัมผัสเสียดสีก็จะมีความรู้ไม่พูดปด ไม่มีโกหกสีขาว นั่นคือคนหลอกลวงหลายชั้น ไอ้ปดนี่มันเลวแล้วมันคือความดำ คือเท็จ มันจะสีขาวได้อย่างไร นี่คือหลอกประชาชนเห็นประชาชนเป็นคนโง่เชื่อตาม  

            จริงๆแล้วคนรู้ว่าปดไม่ดีไม่งาม แต่เขาสิ้นทางก็เลยหาคำโก้ๆมาพูดว่าปดสีขาว สมัยนี้คนใช้     วาทะอย่างนี้ทำร้ายสังคม

            มีพี่น้องมาเพ่ิมอีก วันนี้จะนอนที่ไหนจะบอกเลย ไม่เคยคิดทำร้ายใคร ตั้งแต่บรรลุธรรมออกมาทำงานก็ไม่เคยเศร้าเลย แม้ถูกคนกลั่นแกล้ง เพราะไม่มี โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส ตั้งแต่มาทำ

งาน ตั้งแต่บรรลุธรรมแล้วก็ไม่มีส่ิงเหล่านี้ และก็มาตั้งคณะชาวอโศก คือไม่โศก ซึ่งไม่ได้ตั้งใจตั้งมาก่อน

            อาตมาไม่เคยเศร้าเคยหม่นหมองเลย แต่พูดสัจธรรมว่ายุคนี้ยังมีอีกนะคนเช่นนี้ เหมือนอวดตัวนะ อย่าเชื่ออาตมา เชื่อคำพูดไม่ได้หรอก เห็นดีคุณปฏิบัติพิสูจน์ฺ และยืนยันว่า อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก 

            คนที่รู้จักสังคม รู้จักชีวิต เกิดมาทำไม เกิดมาก็กิน ก็ขี้ เยี่ยว สืบพันธ์ เหมือนสัตว์โลก เรารู้แล้วเราก็ไม่ทำส่ิงที่เพื่อตัวเองอีก เราเอาชีวิตให้เขาเลี้ยงไว้ เราจะทำงานก็ให้เขาอนุเคราะห์ ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา

            เป็นว่าธรรมพระพุทธเจ้าประเสริฐ จึงนำมาบรรยาย คนรับได้ก็ปฏิบัติมารวมตัวเป็นชาวอโศก มีมวลพอได้ก็ออกมาทำงานกับสังคม ตั้งแต่งานอาชีพเราก็ทำกสิกรรม เราไม่เก่งอุตสาหกรรม มีอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้เลี้ยงตน แล้วก็มีส่วนเหลือเกินก็มาขายหรือแจก ให้มันถูก ให้คนได้รับของดี เราทำพาณิชย์บุญนิยม การศึกษาบุญนิยม สื่อสารบุญนิยม แม้การเมืองบุญนิยม อาตมาพาทำ กองทัพธรรมออกมาตั้งแต่ปี 49 ที่จริงเราทำการเมืองมาตลอด แต่คนไม่เข้าใจ แต่ถ้าอ้างว่ามาชุมนุมกับประชาชนก็ตั้งแต่ปี 49 เลย แบบบุญนิยมที่เรียกว่า Neoprotest

            เราออกมาชุมนุมประท้วงนี่แหละคือประชาธิปไตย เชื่อว่าคนไทยทำได้ แม้ครั้งนี้ไม่สำเร็จ อาตมาก็ยังจะทำต่อไปอีก หลายคนมุ่งมั่นว่าจะต้องสำเร็จต้องชนะ แต่พ่อครูไม่มุ่งมั่นชนะหรือแพ้ ถ้าไม่ตายเสียก่อน ทำต่ออาตมาไม่หยุดหรอก เพราะเป็นงานเพื่อมนุษย์ ต้องทำ มั่นใจว่าไม่มีทำผิด ขอร้องกันว่าอย่าทำผิด มันจะแพ้ก็แพ้ไป แพ้ก็แพ้ชะตาทรามดวงใจทรงความมั่นคง อย่าเข้าข้างตัวเองก็แล้วกัน แพ้ก็แพ้เป็นเรื่องของทางโลก

            ถ้าเขามาสลายเราเราจะทำอย่างไร ก็พูดกันมาตลอดว่าเรามาปฏิบัติธรรมอย่างสงบสัันติ ชุมนุมอย่าง 1 คนออกมาประท้วงก็เป็นประชาธิปไตยเราไม่เห็นด้วยกับนักบริหารหรือนักการเมือง ที่ต้องรับใช้ประชาชนมาอาสาเสียสละ ซึ่งนิยามการเมืองอาตมาได้นิยามไว้ว่า

การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ     

1. การเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล ต้องเป็นคุณงามความดี เป็นความเฉลียวฉลาด(กุศล) เพื่อมวลมนุษยชาติ        

2. นักการเมืองต้องรู้จักประชาธิปไตยที่แท้ มีอิสรเสรีภาพที่นำไปสู่คุณภาพคุณธรรม  เพื่อให้อำนาจความเป็นใหญ่เป็นของประชาชน ไม่ใช่อำนาจใหญ่เป็นของตัวกู

3. นักการเมืองต้องสอนหรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน ประชาชนก็ต้องขวนขวายศึกษาความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่า...นักการเมืองครอบงำทางความคิดประชาชน แล้วก็ทำให้ประชาชนงมงาย หรือว่าโง่ไปเรื่อยๆ แล้วก็จะได้ประชานิยม เอาประชาชนเป็นบริวาร

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตนเองได้แล้ว มีความรู้ความสามารถเลี้ยงตนได้แล้ว หรือเป็นคนขยันทำงานตีเป็นมูลค่าต้องมีคุณค่าเกินที่ตนกินตนใช้ จนเหลือเผื่อแผ่ผู้อื่น

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ต้องเป็นคนจน(มหัศจรรย์) รู้จักพอ ไม่สะสม ซึ่งเราได้บทเรียนราคาแพงจากคนรวยแล้วไม่โกงมาแล้ว

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

7.  นักการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ อาสาหมายความว่า เราเข้าไปเสนอตัว ขอทำงานนั้นโดยไม่ได้ทำงานเพื่อที่จะเรียกร้องเอาอะไรตอบแทน จึงจะเป็นการอาสาเสียสละ 

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ คือไม่มีความลำเอียงในใจ ไม่อคติลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ไม่อคติเข้าข้างหมู่ฝูงตัวเอง ไม่อคติเข้าข้างครอบครัวตัวเองแคบๆ ไม่อคติเข้าข้างพรรคพวกตัวเอง

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ถ้าเจ้านายทำผิดเราก็ไม่ต้องไปทำตามเราออกมาเสียสิ

10. การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเองพ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจากพรรคของตน

 

            ก็ตอบปัญหาว่า ถ้าเขาเข้ามาสลายการชุมนุมพวกเราจะปฏิบัติตัวอย่างไร

            เราจะนั่งสงบ นั่งตรงนี้แหละ เคยนั่งสมัยผู้การแต้มเอาตำรวจจะมากวาดล้าง ก็นั่งลงอย่างที่เคยพาทำ เขาจะทำอย่างไรก็ให้เขาทำ ถ้ามวลมานั่งนี้สักล้านคนก็ให้ไปเกณฑ์มาเลยสักล้านคน ดูสิว่าตำรวจจะทำอย่างไร แม้คนน้อยแต่มีประสิทธิภาพ คนมีคุณธรรมพอเขาจะไม่ทำร้ายคนดีหรอก อย่างหมาตัวที่เก่งมันก็ไม่ทำร้ายหมาที่ยอมหงอ มันมีคุณธรรมด้วย แต่ว่าหมาเลวมันก็ขยำ้เลย แต่ถ้าหมามีคุณธรรมมันไม่ทำหรอก อย่างน้อยหมาตัวใหญ่มันไม่เคยกัดหมาที่ตัวเล็กๆไปเล่นกับมันหรอก

            อาตมามั่นใจว่า ความสงบสยบความรุนแรงได้ แน่นอน ไม่ใช่แค่ในหนัง ถ้าไม่แน่ใจก็ออกมาช่วยกันสิ ออกมาสักล้านคนสิ แล้วเราต้องการอะไรก็เสนอไป เขามาเราก็นั่งกันอย่างนี้ เราแสดงความเป็นตัวตน 1 คน 1 เสียง ของประชาชน มาคราวนี้นี่คือวิธีที่เราจะทำ บอกให้รู้เลยผู้จะมาสลาย และบอกพวกเราด้วย แล้วคุณจะแก้ไขอย่างไรก็เชิญ เราก็กำลังสร้างประชาธิปไตยยิ่งใหญ่แก่โลก ไม่เชื่อว่าท่านผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ จะละเมิดสันติ จนดังไปทั่วโลก เราไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังอำนาจ เรามีแต่ความจริงใจปรารถนาดีต่อประเทศชาติ คนที่มาที่นี่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเป็นส่วนมากเลย บางคนอาจเดือดร้อนก็เลยมาก็มี แต่คนที่ไม่เดือดร้อนเลยเป็นคนชั้นกลาง ชั้นสูง สามารถเลี้ยงตัวเองได้ แต่เราเห็นแก่มวลส่วนใหญ่ที่เดือดร้อน แม้เขาจะอยากมาก็มาไม่ได้เพราะภาระเขามากมาย ค่ารถก็แพงฉิบหาย มาแล้วก็เข้ายากอีก กั้นไว้อีก ผิดรัฐธรรมนูญเขาก็ทำ

            วิถีที่เราจะทำคือทำส่ิงที่ถูก สิ่งที่ผิดอย่าทำ เราเอาความถูกต้องมาสู้ แม้สู้ไม่ได้ก็สู้ สู้ด้วยความถูกต้อง สู้ด้วยความดี ตายเป็นตาย(วะ) ใครสมัครใจจะทำร่วมกับอาตมาก็เชิญ ไม่ไปขู่ใครหรอก กี่คนก็ได้ เรามาทำส่ิงจริงทำไปเถอะเกิดกี่ชาติก็ทำ นี่คือคำตอบ ว่าเราจะทำอย่างไร ถ้าเขามาสลาย จะปฏิบัติตัวอย่างไร ลงมานั่งเฉยเมื่อรู้ตัว ส่วนคนหลับไม่รู้ตัวก็แล้วไป สงบเลย ไม่ไปด่าว่า ไม่โต้ตอบ เขาจะกล้าตีก็กล้าเจ็บบ้าง อาตมาไม่เชื่อว่าเขาจะกล้ายิงเอ็ม 79 มาหรอก มันก้าวหน้าข้ามมาแล้ว เป็นการปฏิบัติการเม่ืองที่ดีงามได้แล้ว คนชั่วก็ทำเลวได้มากอีก เราก็ยิ่งทำดีถ่วงไว้มากอีก ดีมากขึ้น ชั่วก็มากขึ้นมากขึ้นอีก เราก็ทำดีขึ้นอีก คนที่ทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ

            แม้ทำดียังไม่ประสพผลสำเร็จ แต่มั่นใจว่าส่ิงที่เราทำดี ก็พอ มันจะแพ้ชนะก็ไม่เป็นไร ตายไม่เป็นไร ตายก็จบ แล้วมาต่อ ถ้าอาตมามีชีวิตก็จะพาคนทำดีทำถูกต้องใครจะทำด้วยก็เชิญ ไม่ได้มาทำแข่งแพ้ชนะใคร ไม่แข่งทำดีด้วย เราทำดีเพื่อความดี สังคมทุกวันนี้ล้มเหลว เพราะคนดีท้อแท้ คนดีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เห็นแก่ตัว พยายามมาทำส่ิงนี้กันขึ้นมา

            ก็ขอสรุป ว่า ขอบคุณพวกเราทุกคน อย่างจริงใจ ย่ิงพวกเรามาเหน็ดเหนื่อยหนักหนา คนแสดงออกทางนั้นทางนี้ก็ขอขอบคุณทุกคน เพื่อความเจริญไปข้างหน้า วิธีที่เราทำนี้ให้ศึกษาให้ดีว่าเราทำดีไหม กองทัพธรรมมันเกิดโดยธรรม ไม่ได้ตั้งใจหรอก มันมีอจินไตยหลายอย่าง ประธานกองทัพธรรมเขาก็ไม่มา มีเวลาจะเล่าให้ฟัง

            อาตมาก็เชื่อว่าหลายคนก็ตั้งใจมาดี แม้ไม่ตั้งใจมาทำดีก็ตกกระไดพลอยโจร ก็มาช่วยกันทำให้สำเร็จไปจนลุล่วงมาอยู่อย่างนี้ ใครยังมาไม่ทันก็มาได้ตลอด ตั้งแต่วินาทีนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า พรุ่งนี้เช้าจะต่ออย่างไรก็ว่ากันอีกที   อวยพรก็แค่นั้น อวยพรด้วยฝีปากก็แค่นั้น ที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ มันอยู่ที่บารมีของคนต่างหาก ...


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:42:00 )

561010

รายละเอียด

561010_รายการเรียนอิสระฯ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง แพ้คือชนะชนะคือแพ้

       ส.เดินดินดำเนินรายการ...พวกเราก็เหมือนกับไปสอบไล่มา ก็ดูเหมือนหลายๆอย่างในสนามสอบก็ยังไม่สามารถเฉลยได้ว่า ได้คะแนนมากหรือน้อย สอบได้หรือตกอย่างไร และยังมีประเด็นค้างใจของนักรบที่ไปสู้แล้วสุดท้ายต้องถอยร่นกลับมาที่สวนลุมฯ​เหมือนแพ้ แต่พ่อครูก็ยืนยันว่าเราไม่ได้แพ้ ซึ่งในสนามรบไม่สามารถมีเวลาอธิบายได้ ดูรูปแล้วเหมือนแพ้ แต่ความจริงแล้วเป็นอย่างไร ขอนิมนต์พ่อครูอธิบายครับ

       พ่อครูว่า...จะให้อธิบายก็คงต้องอธิบาย เพราะชีวิตนี้อาตมามีแต่แพ้และแพ้ตลอด แม้แพ้ แต่ก็ทำให้ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเลย เป็นสิ่งเกินคิดเลย แล้วก็ทำให้ได้รู้ว่าทำไมต้องแต่งเพลงผู้แพ้ และไม่คิดจะแต่งเพลงผู้ชนะอีกเลย เพลงผู้แพ้แต่งมาตั้งแต่ปี 2497 คือแต่งมา 59 ปีแล้ว ก็ตอนนั้นพอดีอาตามาอายุ 20 ปีพอดี

       เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งแม้อาตมาก็ทำไมต้องแต่งเพลงผู้แพ้ และก็แพ้มาตลอด แต่แพ้นี้ก็ไม่ได้ทำให้อาตมารู้สึกแพ้หรือท้อ อาตมาเข้าใจคำว่าแพ้หรือชนะที่เป็นสมมุติสัจจะในโลก คือการมีมานะอัตตาตัวตนเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ผู้ใดที่ต้องการชนะเขา ก็แสดงความจริงว่าคุณกำลังต้องการความเป็นใหญ่ คุณกำลังสร้างอัตตาให้ตัวเอง เป็นกิเลสพันเปอร์เซนต์ เป็นอาการจิต เดี๋ยวนี้มีผู้ปลุกเร้ากันมากมายในเรื่องของเกมกีฬา มันเป็นลักษณะที่ยิ่งใหญ่ในคนเลว แต่ยิ่งแย่ในภาษาสัจธรรม ที่มาปลุกเร้าให้คนเอาชนะคะคานกัน หรือแม้กระทั่งฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา จิตใจแบบนี้เลวร้ายจริงๆ

       ก็เห็นใจคนมีกิเลส ในฐานะที่ทำงานโพธิสัตว์มา อาตมาก็เทศน์เสมอว่า เรามาชุมนุมประท้วง ภาษาโลกว่าเราต้องการชัยชนะมีเป้าหมาย มีมโนสัญเจตนาคือมี แต่จะได้หรือไม่ ทุกวินาทีคืออนิจจัง จงเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นอภิมหาอนิจจัง มันยอดอนิจจังเลย ยิ่งทุกวันนี้เป็นยุคแห่งความเร็ว ของข้อมูลใหม่ เป็นตัวแปรที่คิดไม่ถึงเลย เปลี่ยนแปรได้ทุกเสี้ยวแห่งวินาที แบ่งเป็นร้อยส่วนพันส่วนของวินาทีเลย

       เราจึงไม่มีปัญหาในเรื่องชนะหรือแพ้ในสมมุติสัจจะ คือที่เขาถือใช้กันในวงการมนุษย์โลก อาตมาก็เข้าใจอย่างเขา แต่ว่าอาตมาดูรายละเอียดลึกซึ้่งลงไปในปรมัตถสัจจะ

       ที่ไปทำงานไม่กี่วันข้างทำเนียบกับพวกเรา เราได้ปรมัตถสัจจะหลายเลย อาตมาเห็นพวกเราในวันนี้ที่เทศน์ตีห้าของวันนี้ถึง 8 โมงกว่า ก็ 3 ชม. พวกเรานั่งฟังธรรมรับปรมัตถสัจจะแท้ๆเลย อาการที่ฟังธรรม ก็ประเมินผลว่าอาตมาประสพผลสำเร็จ ตอบอาตมาได้ไหมว่าเมื่อเช้านี้คุณตั้งใจฟังจริงๆ...มียกมือน้อย เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ไปที่ข้างทำเนียบฯ  แต่ก็เห็นว่านั่งไม่กระดุกกระดิกเท่าไหร่ อาจมีเหตุปัจจัยอื่นๆอีกนะที่ทำให้ต้องฟังนิ่ง

       แต่ว่าเทศน์ปรมัตถ์ระดับนั้นในหมู่กลุ่ม บริษัทขนาดนั้น ที่วัดตาม ศรัทธา 10 ก็เห็นจริงว่า พุทธบริษัทใหญ่ขึ้นๆ และคนที่แสดง หมู่กลุ่มของบริษัทใหญ่ขึ้น ถ้าไม่มีภูมิธรรมแท้ ไปแสดงต่อหมู่ใหญ่ขึ้นจะเกิดปฏิกิริยาหวั่นไหว แต่อาตมาว่าอาตมาไม่มีปัญหา แต่เป็นการแสดงในหมู่กลุ่มใหม่ จำนวนอาจถึงจำนวนพัน

       และก็หมู่นี้เขาก็ทรมาน ข้าวก็ไม่ให้กิน ที่ขี้ก็ไม่ให้เอาเข้า ซึ่งมันเป็นการทำผิดมาก เพราะคนติดคุกเขาก็ยังต้องให้กินข้าวเลย นี่ก็คือประเด็นที่เขาแพ้แล้ว

       แต่ในประเด็นที่จะพูดจะไปทางจิตวิญญาณ ทำไมแพ้คือชนะ และชนะคือแพ้

       ถ้าใครเคยได้ยินว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นั่นคือสัจจะที่หมายความเลยว่า ผู้ยังมีการเอาชนะคะคานผู้อื่นยังมีกิเลสอยู่ก็ยังไม่พ้นผีพ้นมาร ผู้ไม่มีกิเลสนั่นแหละคือผู้ชนะแท้หรือพระแท้ เราแข่งตรงนี้ ถ้าจะแข่งตนเองก็แข่งตนเอง ส่วนข้างนอกเป็นเหตุปัจจัยต่างๆนานาที่เราจะใช้สมมุติสัจจะในการประเมิน ซึ่งเราแพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง จะให้ชัดคือมันต้องเป็นอย่างนั้นคือ Born to be ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย ยากที่จะสมมุติเพราะเป็นเรื่องปรมัตถ์ (ความจริงที่ยิ่งใหญ่)

       ส่วนสมมุติสัจจะคือคนส่วนใหญ่รู้กันได้ทั่วไป แต่ปรมัตถสัจจะนั้นคนจะรู้ได้ต้องมีภูมิธรรม

       อย่างการชุมนุมวันนี้ทำไมเลิกล้ม บางคนแสดงอาการไม่ได้ดั่งใจออกมา เราก็เห็นใจจริงๆ มันเป็นปรมัตถสัจจะในใจเขา เราไม่ลงโทษเขาเลย สงสารเขา เขาไม่เข้าใจก็เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ดั่งใจ เป็นเด็กค่อนข้างดื้อด้วย เขายึดว่าสิ่งที่เขาทำนี้ดี ถูกต้องแล้ว แต่การตัดสินพฤติกรรมในการถอยนี้ มันขัดแย้งกับเขาที่เขาว่าถอยไม่ได้ เราก็เข้าใจปรมัตถสัจจะ

       การแพ้หรือชนะในเชิงปรมัตถสัจจะหรือสมมุติสัจจะ

       ปรมัตถสัจจะถ้าใครยังไม่เข้าใจชัดเจนก็ย่อมเห็นเป็นผิดได้เลย เพราะฉะน้ันแพ้คือชนะ ชนะคือแพ้ ส่วนในรายละเอียดของคำว่าชนะ เราก็ว่าเรามีผลชนะรายทางหลายอย่างนะ ไม่อยากจะพูดว่าตำรวจเขาแพ้กลลวงนะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องหลอกมันเป็นเรื่องสัจจะ ไม่ใช้เล่ห์กลหลอก เป็นความจริงที่ออกผล

       มองว่าสัจจะความจริงนี้ช่างสวยงาม มันเลี่ยงเจ้าล่อเอาเถิดในการที่จะคุยกัน เลี่ยงไปเลี่ยงมาจนสุดท้ายพล.ต.อ.ประชา ไม่กล้าเผชิญหน้าต้องให้หนังหน้าไฟมาแทน นี่คือความชนะทางปรมัตถสัจจะ แต่รายละเอียดผู้ที่ยังดิ้นเหมือนเด็กเขาก็ยังไม่รู้หรือแม้รู้ก็ไม่เข้าใจเหมือนเขาไม่เดียงสา เขาไม่เห็นรายละเอียดในส่ิงที่เราปฏิบัติ ก็มาจากต่างจังหวัด หอบเสื้อผ้ามา อยากได้น้ำใจอย่างนี้จริงๆ เขาก็ให้มาแล้วก็อนุโมทนา ก็ไปชุมนุมที่อุรุพงษ์นะ ทนายนกเขาก็พยายามไม่ทำให้ผิดกฎหมายเหตุปัจจัยสร้างขึ้นทั้งนั้น

       เรารับปากเขามาว่าเราจะถอย แต่เขาชุมนุมที่นั้นก็มีสิทธิ์ เราจะพูดสนับสนุนเราก็ไม่ผิด เราเห็นด้วยกับประชาชนที่มีความเห็นอย่างเรา เรายังไม่หยุดความมุ่งมั่น แต่เรามียุทธการ วิธีรบ ที่ควรทำ มันต้องมีทีถอยทีรุก มีทีสงบ มีทีต้องส่งเสียง ต้องมีหลายกระบวนท่า อันนี้เรื่องจริง

       ที่เราเองเราได้ประโยชน์ที่ถือว่าชนะคือ เราได้มีเหตุการณ์ประสพการณ์แท้จริง เหตุการณ์ที่เราได้ร่วมทำอย่างเหนื่อยยาก ส่ิงเหล่านี้หล่อหลอมความเจริญของพวกเราขึ้นมาอย่างสำคัญ​ ที่พวกเราไปปฏิบัติการชุมนุม การชุมนุมของเราต่างจากคณะอื่น ยกตัวอย่างของนปช.หรือของพรรคปชป. มีนัยต่างจากที่เราชุมนุม อย่างลึกซึ้งมาก

       เอาประเด็นง่ายๆ อย่างนปช.ขออภัยที่ต้องพูดไม่ได้มายกดีข่มผู้อื่น เอาง่ายๆว่าการชุมนุมของนปช.คือม็อบ แต่ของเรานี่ไม่ใช่ม็อบ ขอร้องว่าอย่าเรียกเราว่าม็อบ ไม่ใช่กลุ่มชนที่ก่อความวุ่นวาย เราไม่ใช่ เราเป็นการชุมนุมที่เจตนาทำให้ได้ดีเจริญที่สุด และเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ

การชุมนุมครั้งนี้มีพัฒนาการมากกว่าการชุมนุมของเสธ.อ้ายมากเลย มองให้ออกว่าอะไรเจริญก้าวหน้ากว่ากัน เจริญอย่างไร? ยกตัวอย่างเสธ.อ้าย พวกตำรวจเลวร้ายหยาบคายจัดจ้าน ปฏิบัติการรวกเร็ว แต่คราวนี้เขาไม่กล้า แต่เขาเพ่ิมตำรวจมามากกว่าคราวเสธ.อ้ายมากเลย ถ้ายังมีอีกเขาก็เติมมาอีก ประชาชนเรามีเท่าไหร ตำรวจแค่หมื่นก็พอแล้ว อย่างนี้เจตนามาผลาญงบฯนะ และมีคนเห็นว่า เขามีผ้าพันคอสีที่บ่งว่า หน่วยนี้เป็นแบบโหด เขาจะใช้

       เขาลงทุนจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงแล้ว เรารักษาชีวิตคนดี คนดีแค่ 1 คนก็มากกว่าคนเลวร้อยคนพันคน กว่าจะได้คนดีมานะ กว่าจะได้อย่างพวกคุณมาแต่ละคน อาตมาตายไปวินาทีนี้ก็คุ้มแล้ว และคุณก็ได้ส่ิงประเสริฐนั้นแล้ว อาตมาว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ทำให้พวกคุณได้เข้าใจสัจธรรม ใครจะว่าหลงตัวก็ไม่เป็นไร เสนอแนะมาได้ก็รับฟัง เป็นเรื่องคุณค่า อาตมารู้สึกว่าได้ดิบได้ดีเพราะคำติเตียน เคยอ่านเพลงอาริยะหมายเลข 9 ให้ฟังแล้ว ….

เพลงอริยะหมายเลข 10

ข้าพเจ้าได้ดิบได้ดีวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้น
หรือ เป็นคนที่น่านับถือเคารพได้นั้น
ไม่ใช่เพราะการเป็นผู้ชี้ยืนยัน
"ความถูกต้อง"
ให้ใคร ๆ รู้ ได้หลากหลายแล้ว ๆ เล่า ๆ นั้นดอก !

แต่… เพราะข้าพเจ้าน้อมรับ "ความผิดพลาด"
และ มีการแก้ไขในแต่ละครั้ง แต่ละคราว ของข้าพเจ้า
จาก ทั้งผู้หวังดี
และ ทั้งศัตรูผู้หวังร้ายแท้ ๆ นั่นต่างหาก.

       ถ้าเราชุมนุมต่อ พวกอุรุพงษ์ก็ชุมนุมต่อ แล้วจะมีกลุ่มที่กำลังมาสมทบอีกจะเป็นหมู่ใหญ่ ส่วนตำรวจนี้ที่เขาเคลื่อนตัวมารอบๆทำเนียบ เขาเคลื่อนขบวนมาได้อย่างรวดเร็ว เขาจะล้อมอย่างล้อมพวกเราก็ทำได้ แต่เขาไม่ทำ แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เขาจะมองกลุ่มนี้ที่ชุมนุมกับกลุ่มของเรามีน้ำหนักอย่างไร เขาจะปฏิบัติกับสองกลุ่มนี้อย่างไร อันนีก็ต้องอ่านรู้ ต้องรู้ความสำคัญของสองกลุ่มนี้ ถ้าเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อกลุ่มนี้เหมือนเรา เราก็มีความสำคัญมากกว่ากลุ่มนี้ กลุ่มนี้อาจมีจำนวนมากกว่ากลุ่มเรา เพราะเป็นผลที่เราทำมา กลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นAccident Good luck และก็พูดได้เลยว่าประชาชนมามาก เป็นส่ิงบ่งบอกว่า เป็นดัชนีวัดค่าประชาชนได้ เราสนับสนุนกลุ่มที่เขาชุมนุมนี้ ผู้ไม่ผิดกฎหมายเราสนับสนุน นี่คือประชาธิปไตยคือการออกมาชุมนุมประท้วง ตามสิทธิ​ที่รัฐธรรมนูญกำหนด ถ้าเขาทำเช่นนั้นเราสนับสนุน 100 % เต็มแล้วและจิตใจของผู้ที่ยังค้าง เขาก็จะได้คลาย ได้ทำส่ิงที่มุ่งมั่นก็ดีแล้วล่ะ ประชาชนชาวไทยเอ้ย

       เหตุปัจจัยมันเกิด ที่ชัดเจนก็พูดสู่ฟัง ประเด็นอย่างนี้ก็มีความชนะมาเรื่อยๆ ของประชาชนที่มีการพัฒนาการ บูรณาการของประชาธิปไตย เป็นความเจริญของประชาธิปไตยแท้จริง

       ถ้าสมมุติ กลุ่มที่ชุมนุมนี้เกิดมีถึงแสนคน อาตมาจะให้คะแนนความชนะเพ่ิมในประชาชนไทยมีคะแนนประชาธิปไตยก้าวหน้าเลย ปิดถนนเลย อย่าเข้าในเขตที่เขาประกาศพรบ.มั่นคงฯ ทนายนกเขาก็ทำมีอุดมการณ์เหมือนเราเลย ก็ขอให้ประสพผลสำเร็จเถิด ถ้าทำสำเร็จเราไม่ริสยาเลย นั่นคือความสำเร็จของประชาชน ที่เราทำนี้มันเนื้อหาเดียวกันเลยนะ เหตุการณ์มันน่าดูกว่าไปดูละคนน้ำเน่า นี่ย่ิงกว่าละคร สร้างไม่ได้ง่ายๆหรอก

       ยังพูดอีกเลยว่า ที่จะเห็นพฤติกรรมของตำรวจที่ว่า คนติดคุกเขายังให้อาหารกิน แต่นี่คนไปทำงานปรารถนาดี เรายืนยันว่าเราไม่ผิด เขาก็จะไม่ให้กินไม่ให้ขี้ไม่ให้เยี่ยว เราก็พยายามที่สุดเลย หนังก็สร้างไม่ได้จริงเท่านี้ การส่งข้าวของเราก็เอาข้ามท่อประปาที่มีลวดหนาม ต้องขึ้นไปรับอาหารหม้อเบอร์ 50 เป็นการทรมานทรกรรม ไม่ไหวก็เอามาทางน้ำใช้แพหรือพยุงมาทางน้ำ อาตมาว่า นักเขียนบทหนังที่จะคิดมาจะทำได้รายละเอียดขนาดนี้ไหมหนอ แล้วตำรวจก็เฉย อาตมาเห็นว่ามีทั้งมุมอมหิตและมุมเมตตา มุมอมหิตคือผู้สั่งการ อาตมาว่าอาจมีตำรวจบางคนน้ำตาตกในหรือตกนอกก็ไม่รู้ อาตมาว่ามีพวกเราหลายคนร้องไห้กันไม่รู้กี่คน มันสมเพสเวทนาส่ิงที่เกิดนี้นะ

       คนมีปัญญาจะรู้สิ่งเหล่านี้ มันมีทั้งอำมหิตและเมตตาในนั้น ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องมนุษยชาติ รู้เรื่องจิตโกรธ โลภ หลง เราต้องมาเรียนรู้แล้วล้างมันออกจากจิตให้ได้ สิ่งนี้ชนะทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ คุณจะเกิดไปอีกกี่ชาติก็ขอให้อย่าลืม ต้องศึกษาให้จิตเรามีธรรมะให้ได้ มันจะช่วยทั้งตนทั้งสังคม ไม่อย่างนั้นจะตกนรกขึ้นสวรรค์ลวงไปตลอดกาล นี่คือทฤษฏียิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาลที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ไม่มีสูตรไหนย่ิงใหญ่กว่านี้ แม้แต่ E=mc2 ของไอสไตน์ก็ไม่เทียบของพระพุทธเจ้า

       มันเป็นสุขประเสริฐไม่นับกาละเวลา เป็นความสำเร็จของจิตวิญญาณของคนแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ต้องได้ โสดาฯ​สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์หรือเลยกว่านั้น เป็นส่วนผสมทั้งเถรวาทและโพธิสัตว์ อรหันต์ทุกคนมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่านทุกคน ใครจะจบกิจก็แล้วแต่ แต่อรหันต์ทุกคนจบกิจตน ล้างกิเลสตนหมดแล้ว คือหมดประโยชน์ตน มีแต่ประโยชน์ท่านอย่างเดียว แต่ในขณะเราปฏิบัติธรรมเราก็มีประโยชน์สองอย่างเสมอ เราให้ทานคนอื่นก็ได้จากเรา เราเรียนรู้ปรมัตถ์เราก็ลดกิเลสได้ ทำโยนิโสมนสิการให้จิตเราลดกิเลสจริง เขาก็ได้ประโยชน์เรียกว่าอุพยถะ เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน เมื่อหมดประโยชน์ตนก็จบกิจก็สร้างประโยชน์แก่มนุษยชาติไปตลอด ถ้าเป็นอรหันต์แล้วจะต่อภพภูมิคนนี้ก็สร้างประโยชน์แก่โลกตลอดเรียกว่าโพธิสัตว์ อย่างพระอวโลกิเตศวรมีปณิธานย่ิงใหญ่คือจะช่วยคนให้ปรินิพพานให้หมดโลก ท่านจึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย

       อัตตภาพนี้ต้องทำตั้งแต่จิตนิยาม พัฒนาตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว พัฒนาจนมาเป็นคน จนเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็จะปรินิพพานทุกพระองค์ไม่มีใครจะเป็นพระพุทธเจ้าสองสมัย มีแต่คนมีกิเลส แล้วก็คิดเองว่าของดีทำไมหยุด ก็ทำต่อไปสิ เป็นการเดา ท่านเหน็ดเหนื่อยๆมาไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆชาติ ชีวิตนี้สั้นนิดเดียว ยุคนี้อายุแค่ 100 ปีในหนึ่งกัปป์ แต่ยุคอื่นคนมีชีวิตเป็นหมื่นปีก็มีในหนึ่งกัปป์ เป็นเรื่องอจินไตย

       ชีวิตนั้นสั้นนัก แม้อายุ 8 หมื่นปีก็ไม่ได้ยาวเลย ในตามอัตราการวัดเวลาของโลก ย่ิงตอนนี้อายุไม่ถึง 100 ปีก็สั้นมากเลย ใครจะพยายามให้อยู่เกินร้อยอย่างอาตมาบ้าง ก็ต้องทำให้ดีนะไม่ดีไม่ถึงนะ และชาวอโศกนี่จะเป็นคนตระกูลอายุยืนยาว เป็นตระกูลทางวิญญาณนะ ในอนาคต ตอนนี้มีวิบากเก่าบ้าง แต่ถ้าพัฒนาขึ้นก็ได้อายุยาวขึ้นได้ เพราะจิตวิญญาณไม่หาพิษใส่ตัว ไม่มีมลพิษทางจิตวิญญาณคือกิเลส เป็นมลพิษร้ายให้อายุสั้น

       ยกตัวอย่างคนชอบตีรันฟันแทง นักเลงหัวไม้ เดี๋ยวอายุก็สั้น ใช่ไหม เกิดจากจิตวิญญาณเท่านั้น ในชีวิตนี้อาตมาเคยยิงปืนตอนเป็นนักศึกษารักษาดินแดน ไปกดไม่กี่ลูกมันดันมันถีบ ไม่สนุกเลยส่วนปืนสั้นไม่เคยจับเลย จับแต่ปืนเด็กเล่น เห็นแต่ไม่แตะ ขอบอกเลยว่า คนที่ซื้อปืนไว้สำหรับป้องกันตัวคือคนโง่ เขาซื้อมาป้องกันตัวเพื่อยิงศัตรูหรือโจร เขาซื้อไปส่วนมากจะไปยิงตัวตายหรือยิ่งคนในครอบครัวมิตรสหายตายมากกว่า เจตนาบ้างไม่เจตนาบ้าง โกรธจัดก็ยิ่งตัวเอง ทั้งที่ซื้อมาไม่ได้เจตนาทำอย่างนั้น บางทียิงคนที่ตนเองรักด้วย คนที่ซื้อปืนมาเพื่อป้องกันตนเองนั้นโง่ ยิ่งไปหัดยิงปืน ย่ิงเก่งก็จะอยากไปก่อเรื่องด้วย

       การชนะหรือแพ้นี้ เป็น ปฏินิสสัคคะ เป็นสัจจะย้อนสภาพ เป็นคัมภีราวะภาโส  คือมีปัญญารอบรู้ลึกซึ้งเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเรียกปฏินิสัคคะ คือรู้จักสวรรค์ มันสลับกลับมา ผู้ศึกษาสัจธรรมจะรู้จักภาวะนี้ แม้สวรรค์ก็มีสองแบบคือโลกีย์กับโลกุตระบ

       สุขเท็จคือสุขัลลิกะ คนโลกีย์อยู่ในสุขเท็จทั้งสิ้น คนปฏิบัติธรรมคือทำจิตให้เป็นเอกัคคตา คือเข้าสู่ฌาน 1ถึง 4 คุณสมบัติของฌานคือ เอกัคคตะ คือความเป็นหนึ่ง จะแปลว่าอย่างยอดอย่างเยี่ยมก็ได้ เป็นความเป็นหนึ่งด้วย และก็ขยายด้วยอัคคะด้วย คือหนึ่งนี้โดดเด่นเป็นยอด เลิศ เยี่ยม ย่ิงใหญ่ คือจิตที่เป็นหนึ่ง ไม่มีเพื่อนสอง ไม่ใช่แปลว่าไปผู้เดียวอยู่ผู้เดียวแปลไปเป็นบุคคลตัวตนเราเขา ทั้งๆที่เป็นเรื่องปรมัตถ์ไม่เกียวกับบุคคล ยกตัวอย่าง สัตตาวาสข้อ 2 คืออัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ เขาก็แปลว่าไม่สำคัญไม่กำหนดหมายในอรูปในภายใน แล้วเอโกคำนี้แปลว่าคนผู้หนึ่ง ซึ่งแปลไม่รู้เรื่อง ควรแปลว่าส่วนตน ภายในของตน กำหนดรู้ของตน แม้อรูปก็ต้องกำหนดรู้ด้วย ตั้งแต่รูปหยาบภายนอกไปจนถึงอรูปภายในต้องกำหนดสัญญาให้เป็น จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

        ตัวฌาน 1 ก็เร่ิมเป็นเอกัคคตา แต่มีองค์ธรรม 4 คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

       ส.เดินดินว่า...งานนี้พูดถึงป้ายที่ติดหน้ารถเวทีข้างทำเนียบ คนที่ออกแบบป้ายกองทัพธรรมไปอยู่ข้างบน ที่จริงคนออกแบบนั้นทำสองผืน เป็นกองทัพธรรมอันหนึ่งอีกอันก็เป็นกปท. คนติดก็ติดไปแล้วจะไปเปลี่ยนกลางครันก็ไม่ดีก็เลยต้องติดไปอย่างนั้น

       พ่อครูว่า พลังงานกิเลสคือพลังงานเลว ต้องใช้ไฟฌานในการเผากิเลส ฌานของพระพุทธเจ้าทุกวันนี้เขาปฏิบัติมิจฉาฌานกันมาก ก็เข้าใจว่าฌานคือการนั่งหลับตาเข้าภวังค์ แล้วเอาแต่จิตตน เอกัคคตานั้นพระพุทธเจ้าว่าต้องเกิดจากมรรค 7 องค์ ก็คำเดียวกับฌาน ไม่ได้ไปนั่งหลับตาทำ แต่เกิดจากมรรค 7 องค์

       ฌานเป็นอุตริมนุสธรรม เมื่อเข้าใจฌานผิดก็สมาธิผิด เอาสงบแบบฤาษีเป็นความสงบ แต่คำว่าปัสสัทธิหรือสมถะแปลว่าสงบ เขาทำผิดของพระพุทธเจ้าหมด

ส.เดินดินว่า...งานนี้ทำไมมีกองทัพธรรมแล้วไม่มีประธานกองทัพธรรม...

พ่อครูว่า...ตั้งแต่ตั้งมูลนิธิกองทัพธรรมมาก็มีประธานคนเดียวคือคุณจำลอง ขอลาออกสมาชิกก็ไม่ให้ลาออก เวลาเซ็นธุรกรรมของมูลนิธิก็ให้คุณจำลองเซ็นทุกที กองทัพธรรมมูลนิธิเป็นเจ้าของที่ดินมิใช่น้อย เกิดกรณีที่ดินของบ้านราชฯต้องขึ้นศาล คุณจำลองก็ต้องไปขึ้นศาลด้วย เอาใจใส่ก็ทำหน้าที่ประธาน แต่ยังไม่มามันมีเหตุสำคัญ

       อันนี้มันเป็นเรื่องมานะอัตตาของคุณจำลองเอง อาตมาพูดไม่เกรงใจ เรื่องอะไร เรื่องแพ้หรือชนะ อุดมการณ์ของพธม. คุณจำลองไปร่วมจะมีความคิดเช่นเดียวกับพธม.หรือไม่ก็ตาม อุดมการณ์ของพธม.คือ ต้องชนะ ถ้าออกมาต้องชนะไม่ชนะไม่ออก นี่คือมานะอัตตา แต่เราออกมาไม่ได้เอาแพ้เอาชนะ เห็นใจคนใจร้อนอยากชนะแบบโลกีย์ซึ่งมันไม่เที่ยงเดี๋ยวเดียว จึงขอเสนอการเมืองใหม่ Neopolitics ใหม่เพราะทั้งโลกยังไม่มี เอาความสงบสยบความรุนแรงได้ เห็นใจคนยังอยากเอาชนะ ที่มาร่วมกับอาตมานี่ก็น้อยคน ก็ไม่แปลกใจที่คนจะว่าทำไมทำไม จะต้องเอาชนะให้ได้ ก็เห็นใจเขา

       การพัฒนาการตอนชุมนุมเสธ.อ้าย เขาหยาบและแรง แต่ครั้งนี้เขาหยาบลดลงตามปัญญาเขา แต่ความอำมหิตแรงขึ้นซับซ้อนซ่อนเชิงมากขึ้น แต่คราวเสธ.อ้ายนั้นแรงและหยาบ ในการปราบปราม แต่คราวนี้อำมหิต คราวนี้เรามีน้อยกว่าคราวเสธ.อ้ายเยอะ แต่ตำรวจมีมากกว่าคราวเสธ.อ้ายเยอะเลย

     ในโลกในจักรวาลทุกอย่างคือเหตุปัจจัยหรือรูปกับนามเท่านั้นเอง เหมือนวิทยาศาสตร์มีพลังงานกับสสาร พ่อครูว่ามีพลังงานทางจิตด้วย

       เรารู้ว่าแพ้ชนะเป็นอย่างไร แต่เราไม่เอาอย่างนั้น แต่เป้าหมายที่จะชนะเราต้องการไหมก็ต้องการแต่เราไม่บำเรอความต้องการ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราไม่ทำอย่างโลกที่ร่างโครงการแล้วมีสิ่งที่คาดว่าต้องการจะได้ แต่ว่าพอทำไปทำไม่ได้ก็โมเมทำไป ฟ่ามๆหลวมๆทำ แต่มันเพี้ยน ซึ่งเขาคิดว่าสำเร็จ

       อาตมาจึงเป็นคนNo planning No project

       ส.เดินดินว่า...พ่อครูคอยจังหวะที่ถ้าเราชนะก็จะ

       พ่อครูว่า...เป็นการถืออีกแบบ เราไม่เกี่ยงว่าเราจะเตะหมูเข้าปากหมา อะไรเตะมาเราไม่อ้าปากรับ แต่คนที่อ้าปากรับ เรามีเป้าหมายว่า สิ่งที่เราจะเอาลงคือส่ิงเลวร้ายสุด พอเอาลงได้ ขั้นต่อไปจะมีใครปฏิบัติแบบเดิมอีกก็ยืนยันว่ามันไม่เก่งไม่แรงเลวร้ายเท่าคนนี้หรอก ถ้าเรามีฝีมือเอาคนนี้ลงได้ ถ้าใครจะมาเลียนแบบเราอย่ากลัวเลย ชัดเจนว่า ไม่เป็นไร ใครจะมาคว้าพุงไปก็ไม่ว่า ถ้ามีอีกเราก็ทำอีก ทำซัก 3 ทีดูสิว่าจะมีใครกล้า ของเรายาวให้เป็นเย็นเรื่อยๆ

       เราไม่มีเราไม่มีเขา เราจะแยกกันเดิน ร่วมกันตีอย่างไร อย่างคอมมิวนิสต์เขาว่าก็เอามาใช้สอดคล้อง ขณะนี้เราแพ้ฝ่ายแดงเพราะเขาใช้อันนี้เป็น แต่ฝ่ายเราสิกัดกันตลอดเลยแพ้เขา ฝ่ายเราโดยสัจจะมากกว่าเขาแน่นอน ก็เห็นรำไรว่าน่าจะรวมกันได้ แต่กิเลสอัตตามานะมี เมื่อไหร่หนอ พระพุทธเจ้าจะดลบันดาลให้เขาระงับชั่วคราว มารวมกันก่อนได้ไหม?

       มีประเด็นถามว่า...ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม แล้วผู้ที่รู้จักธรรมะแล้วไม่ประพฤติธรรมล่ะเป็นอย่างไร

       ตอบ...โจทย์นี้เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาใช้ 1.ถ้าศรัทธาไม่พอเขาไม่ทำ 2.หรือถ้าทุกข์ไม่มากมันก็ไม่ทำ มีปฏิภาณรู้ ดีไม่ดีเป็นดร.ทางธรรมะด้วย แต่หยำเป มีเมียมาก เป็นโรคแอลกอฮอลิซึ่มด้วย แม้รู้ธรรมะแต่ไม่ประพฤติธรรม  แม้ศรัทธาพอใช้ธรรมหากินด้วยแต่ตนเองมีกิเลสมากก็ไม่ประพฤติธรรม ก็เรียนรู้แต่ตรรกะ แต่ศรัทธาไม่ถึง

       ความเชื่อมี 3 ระดับ เชื่อถือ เชื่อฟัง เชื่อมั่น

       เชื่อถือ คืออย่างคนไทยเชื่อพุทธมากใครมาแตะไม่ได้นะ แต่ตนเองไม่ปฏิบัติธรรม แต่ศรัทธามาก

       เชื่อฟัง คือคนปฏิบัติตาม คนนี้เร่ิมปฏิบัติธรรม พอทำได้ผลมากขึ้นก็เป็น เชื่อมั่น เป็นอัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนา(ปักใจมั่น)....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:44:17 )

561012

รายละเอียด

561012_รายการสงครามสังคมฯ ที่สวนลุมฯเรื่อง ชัยชนะของผู้แพ้

            พวกเราหลังชุมนุมรู้สึกสดชื่นไหม? เหตุการณ์ที่เราไปชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลมา มีตัวละครที่เป็นเรื่องจริงตัวแสดงจริงทั้งหมด ทำไมตำรวจต้องร้องไห้ ทั้งที่เขาต้องมาจัดการเราไม่ให้กินไม่ให้ขี้ให้เยี่ยว แต่เขาก็ต้องร้องไห้ เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้สร้างขึ้นมา อาตมาว่าอาตมาได้ความรู้ความจริงมาอีกเยอะ ถ้าลงทุนสร้างหนังเรื่องนี้พันล้าน เราได้คุ้มถึง หมื่นล้าน มีคน  sms  0894358xxxวันนี้ไม่แพ้แบบหน้าแหกก็นับว่ามีผู้นำที่ฉลาดแล้วรู้ไว้ด้วยคนแค่หยิบมือจริงมะ

            อาตมารู้ข้อมูลมาว่า ตำรวจมาคราวนี้ 3 หมื่น ไม่ใช่ข้อมูลเท็จ แต่ผู้ให้ข้อมูลเป็นคนทำงานอยู่ในนั้นเอง เป็นเรื่องที่เราทำถูกต้องทุกอย่าง แต่ในสายตาตื้นๆทั่วไปเขาว่าเราแพ้ เขารู้แบบนั้นเขาก็ไม่ผิด เราแพ้ก็ได้ เราชนะก็ได้ ซึ่งเราไม่ได้ไปเอาแพ้เอาชนะ

            มีอีกคนหนึ่ง 0852090xxx คนเราน้อยแต่สามารถต่อรองกับรัฐบาลได้ออกมาเสมอกันถือว่าการรบครั้งนี้เราชนะคะพี่น้อง

            หลังชุมนุมนั้นหลายคนก็ตั้งหลักได้เกิดมีปัญญา มาทบทวนก็มาขอโทษขอโพยกับพล.อ.ปรีชา

            มีผู้ส่งข้อความมาว่า ….หนูได้ฟังพ่อครูพูดถึงลุงจำลอง ขอเรียนถามว่า เท่าที่รู้จักคุณลุงจำลองมา ตอนแรกรับไม่ได้เพราะลุงระเบียบมาก ประมาณแล้วประมาณอีก โดยเฉพาะเรื่องที่จะเอามาให้สาธารณะ  ต่อมาได้ร่วมชุมนุมได้เห็นน้ำใจคุณลุงคนนี้ก็ประทับใจที่ท่านรักษาธรรม รักษาระเบียบวินัย แต่ขาดความยืดหยุ่น พวกเราก็ได้รับการขัดใจจากคุณลุง ไม่ทุกครั้งทุกคน แต่ส่วนใหญ่รับได้ เพราะความเป็น ล่าสุดพ่อครูวิจารณ์คุณลุงว่ามีอัตตามานะที่ไม่มาร่วมชุมนุม ขอพ่อครูขยายความค่ะ....

            ขอฟ้องพ่อครู พวกหนูรู้สึกว่าคุณลุงน่าจะออกมาช่วยกองทัพธรรมทำงานมากกว่านี้หน่อย พวกหนูเริ่มไม่ชอบคุณลุงแล้ว จะทำใจอย่างไร และคุณลุงจำลองคงมีเหตุผลของท่าน

            พวกหนูได้มาฟังธรรมพ่อครูและสมณะสิกขมาตุ ทำให้เหมือนได้เตรียมตัวเตรียมใจในการไปออกศึก ทำให้เปิดใจรับฟังแกนนำได้ค่ะ

            พ่อครูว่า...นี่คือรายได้อันงดงาม ขอตอบประเด็นคุณคนนี้ว่า....ควรคิดอย่างไรจึงเจริญในธรรมมีสูตรเดียวคือคุณต้องวางใจให้สบาย มันต้องมีคลื่นให้ไม่ราบเรียบ แต่เราต้องทำใจให้ราบเรียบ ทุกอย่างอาตมาอยากให้มองเจตนารมณ์กับพฤติกรรมสังคมให้ชัดเจนสมบูรณ์ ถ้าเรารู้เจตนาว่าเขาทำเพื่ออะไรเขาบริบทไหน เขาทำในกรอบขอบเขตความคิดไหนด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะออกนอกกรอบขอบเขตที่เป็นจริง จุดมุ่งหมายมีสองอย่างคือ จุดมุ่งหมายสูงสุดยอด และจุดหมายเพื่อการก้าวหน้า ในชีวิตอาตมาไม่เคยทำเพื่อผลสุดยอดในอะไร ไม่เคย  แต่ทำเพื่อผลก้าวหน้า เพราะได้เรียนรู้จากพระพุทธเจ้าว่า อย่างสุดยอดนั้นไม่มี มีแต่สมบัติผลัดกันชม เกิดขึ้นตั้้งอยู่ดับไป ไม่เคยยั่งยืนถาวรเลย จะให้นักการเมืองเก่งสุดยอดขนาดไหนเท่าที่สถิติมีมาบริหารก็ตาม ก็ไม่เที่ยงแท้ยั่งยืนหรอก ตัวอย่างของประเทศอื่นก็เหมือนกัน เขาก็ครองบัลลังก์ได้ระยะหนึ่ง เป็นการครองบัลลังก์ไม่เป็นไปโดยธรรมโดยความดีงามเขาก็สร้างความเสียหายในประวัติศาสตร์ทุกเจ้า ในประวัติศาสตร์มีของจริงยืนยัน ในเรื่องการเมืองจะวางใจอย่างไรต้องทำใจถึงความไม่เที่ยง ไม่ยึดมั่นถือมั่น และแน่นอนคุณจำลองมีข้อบกพร่องบ้างหรือมีที่ไม่ถูกใจเรา แต่หลายอย่างถูกต้องแต่ไม่ถูกใจคุณ อย่าเพิ่งไปรีบตัดสิน คนที่มีองค์ประกอบแต่ละคนนั้นมีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องที่ดี

            ประเด็นที่ตอบโต้มาหลายอย่างว่าอาตมาว่าคุณจำลอง หรือพาดพิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เขาก็ออกมาพูดบรรยายออกรายการ ก็เข้าใจเขา พ่อครูว่าอาตมานับถือคนเหล่านี้ ขอให้เป็นการศึกษาธรรมะระดับลึกเรื่องมานะอัตตา ทางโน้นก็รับเหมือนกันว่าเขามีอัตตา ว่าเขาจะทำอย่างนี้ ก็ไม่มีปัญหา แต่ผู้ฟังต้องฟังให้เข้าใจว่าเราไม่ได้ไปทะเลาะกัน คุณสนธิทำถูกต้องในฐานะของนักรบ คุณสนธิต้องการชนะ แต่อาตมาไม่มีเป้าหมายเรื่องจะเอาชนะหรือแพ้ แต่อาตมามาทำงานสร้างทหารให้คุณสนธิ คุณสนธิจะทหารไปรบก็เอาสิ และทหารที่อาตมาสร้างเป็นทหารที่ดีด้วย ในเรื่องอัตตามานะเป็นเรื่องที่มีก็เข้าใจ เขาก็ทำไปสิ อาตมาสนับสนุนด้วยสิ ไม่ได้คัดค้าน เขาเอาเป้าหมายคือความชนะก็ทำเลย อาตมาจะสร้างทหารให้ ไม่ได้ขัดแย้งเลย

            แม้การแพ้ที่เขาถือว่าแพ้ในครั้งนี้ มี SMS มาว่าก็มาก เราไม่ต้องอ่านรื้อฟื้นให้ขัดแย้งกัน เพราะก็พอเข้าใจกันอยู่แล้ว

         นักกฎหมายออนไลน์ท่านหนึ่งบอกว่าการชุมนุมคือประชาธิปไตย แล้วการชุมนุมของเสื้อแดงเป็นประชาธิปไตยใช่หรือไม่ คุณลักษณะของประชาธิปไตยมีอะไรบ้าง แค่ออกมานอนมานั่งข้างถนนแค่นี้หรือ? ท่านเรียกคนมาชุมนุมเป็นล้าน แต่คนออกมาไม่ถึงขาดแค่เก้าแสนกว่าเท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรต่อ จะชุมนุมเป็นปีแล้วคนมาไม่ถึงจะทำอย่างไรครับ

ตอบ....ก็ขอพูดย้อนทวนขยายความที่คุณสนธิคุณจำลองทำก็อนุโมทนาที่ช่วยกันทำ แต่ทำคนละหน้าที่คนละจุดมุ่งหมาย  ไม่ได้แก้ตัวนะยืนยันว่า แม้เคลื่อนไปที่ข้างทำเนียบหรือที่นั่นที่นี่ ก็ไม่ได้เพื่อเอาแพ้เอาชนะ ก็เทศน์ยืนยันว่าไม่มาเอาแพ้เอาชนะ แต่ทำงานให้มีอัตราก้าวหน้า ให้คลายใจเสียสำหรับเหตุการณ์ปรากฏ ผู้ที่มุ่งมั่นต้องการเอาชนะเป็นอัตตามานะ คนทำหน้าที่นั้นก็ตอ้งทำ  ยกตัวอย่างทหาร ถ้าไม่มีจุดมุ่งมั่นและไม่ทำอย่างนั้นก็อย่าไปเป็นทหาร มาทำหน้าที่กวาดขยะอย่างพวกเราดีกว่า ทหารเขาทำหน้าที่หนักกว่าเรานะ เราต้องเคารพสิ่งเหล่านั้น ต้องเข้าใจสภาพเหล่านี้ให้ชัดเจน ถ้าไม่เข้าใจคุณก็ชอบอันนั้นชังอันนี้นี่แหละคืออวิชชา เป็นการศึกษา ไม่ได้บังคับความคิดใคร  แต่ละคนมีการตัดสินว่าที่พูดนี้ถูกหรือผิด

            จะให้ขอโทษคุณจำลอง คุณสนธิก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ตำหนิตามคำสอนพระพุทธเจ้าว่าตำหนิสิ่งควรตำหนิชมสิ่งที่ควรชม เพียงแต่อาตมาจะค่อนไปทางติมากจึงได้รับกลับมาอย่างนี้แหละ ก็ขอขอบคุณอยู่อย่างเคย อาตมาได้รู้จักพฤติกรรมแสดงอ่านจากนัจจะคีตะวาทิตะที่แสดงออกว่า คุณสนธิรู้สึกแค่ไหน รับอาตมาและยกให้อาตมาได้แค่ไหน ก็ดีทำให้เข้าใจลึกขึ้นอีกเป็น Pheonomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา เป็นการศึกษาจิตวิญญาณเป็นมิเตอร์ที่วัด ศึกษาจากข้างนอกทำให้รู้ข้างในได้ จะเป็นเชิงรู้ใจคนอื่นบ้าง แต่ไม่ใช่เป็นอย่างพระพุทธเจ้าที่หยั่งรู้ใจสัตว์โลก เป็นเจโตปริยญาณ ซึ่งเป็นข้อหนึ่งในวิชชาจรณสัมปันโณ

            เจโตปริยญาณ ปรสัตตานัง ไม่ใช่หมายถึงคนอื่นสัตว์อื่น แต่เป็นจิตเราเองเป็นจิตปรโลก เป็นสัตว์ชั้นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ที่ต่างจากโลกเก่า

            เหตุการณ์ที่มีผู้ผิดหวังจากการไปครั้งนี้แล้วไปชุมนุมที่อุรุพงศ์ เป็นความก้าวหน้าของประชาธิปไตย มันไม่ได้วางแผนมาก่อน ไม่ได้มีพิมพ์เขียวมาก่อน ซึ่งบางอย่างอาตมาก็พูดไม่ได้ มันเป็นเรื่องเคล็ดวิชาของจอมยุทธ เปิดเผยจะเสียงานหมด เคล็ดวิชานี้ไม่ได้มีการวางแผน แล้วเหตุการณ์นี้เกิดโดยธรรมชาติที่มีพลังงานจิตทำให้เกิด บ่งถึงการตื่นรู้เรื่องประชาธิปไตยของประชาชนชาวไทย เหตุปัจจัยมีว่า พวกหนึ่งแพ้แต่พวกนี้ไม่ยอมแพ้ เรายอมหน้าแหก แหกเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดี ถ้าเรามีตัวตนหน้ามันจะแหก แต่เราไม่มีตัวตน มันน่าทำนะ ขอนับถือพล.อ.ปรีชา คุณปรีชารบมาไม่เคยไปออกรบแล้วจะถอยเลย แต่ครั้งนี้พล.อ.ปรีชาเลื่อนชั้น เป็นการยกระดับของคุณปรีชา ชนะอย่างโลกุตระ ชนะอย่างอาริยะ เห็นน้ำใจของคุณปรีชาเลย  นี่คือกำไรที่เราได้ ได้อย่างเอาอะไรมาตีราคาไม่ได้เลยเป็นเรื่องหาค่า บ่ มิได้ อาตมาไม่ได้จากใครได้จากพล.อ.ปรีชาคนเดียวก็คุ้มสุดคุ้มเลย แต่ว่าไม่ใช่แค่คุณปรีชาด้วย ได้จากพวกเราทุกคนด้วย คณะเสนาธิการด้วยเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วลีลาเหลือกินเหลือใช้ บางอย่างคิดไม่ถึงเลยเก่งกว่าเราอีก จบอย่างสวยงามมาก ไม่เสียเกียรติยศด้วย

            เราได้เห็นพฤติกรรมของมนุษยชาติ การชุมนุมของเสธ.อ้ายคนเป็นหมื่น แต่ครั้งนี้คนของเราสามพัน แต่เขาเอาตำรวจมา 3 หมื่น นี่คือชี้บ่งพฤติกรรมว่าแพ้หรือชนะหว่า มารังแกกัน กินก็ไม่ให้กิน ขี้ก็ไม่ให้ขี้ นี่คือPhenomenology ปรากฎการณ์วิทยา สูงกว่า Epistemologyหรือญาณวิทยา สูงกว่า philosophy หรือ ปรัชญา

            ญาณวิทยานั้นไม่ใช่ญาณศาสตร์ Prophecy คือการทำนายพยากรณ์ แต่ญาณวิทยาสูงกว่า ส่วนญาณศาสตร์เป็นเรื่องลึกลับไม่เข้าหาความจริง แต่Epistemology จะเข้าหาความจริงมากกว่า ส่วน ปรัชญาเป็นความรู้ลึกซึ้งในปราชญ์ ผู้ปฏิบัติธรรมจะก้าวสู่ ญาณวิทยา ส่วนญาณศาสตร์จะลึกลับ มายากล ไม่เข้าหาความจริง เป็นความรู้สามประการที่คนศึกษาพัฒนากันในสังคม ของเราก้าวหน้าสู่ Phenomenology เข้าถึงปรากฎการณ์จริง

            ขอยืนยันว่ามาทำงานการเมืองมาสอนมาแนะนำ ไม่ใช่สอนแต่ปาก แต่พาทำด้วย สอนสาธยายอธิบายด้วยและพาทำด้วย แต่ลักษณะการสอนไม่เอาใจ แต่มีเชิงแข็งๆ ที่จริงอาตมาเป็นคนสุภาพอ่อนโยน เพราะทำงานสื่อสารมาก่อนก็ต้องทำให้คนชอบใจ เป็นนักพูดนักบรรยาย ทำงานหากินมา แต่ตอนนี้มาเป็นนักพูดตัวจริงไม่ทำอย่างนั้น ส่วนมากไปตำหนิติเตียนเขาส่วนมากเขาก็ไม่ชอบ ไอ้จิตวิทยาตื้นๆไปชื่นชมเขาก็พอใจไม่ใช่ทำไม่เป็น ทำเป็น ถ้าอาตมาจะเรียกมวลให้มากก็ทำได้

            เพราะอาตมามีความรู้ทางธรรม อาตมาเล่นไสยศาสตร์เป็นและมีความรู้ทางสื่อสารทำการตลาดเป็นด้วย ถ้าจะใช้สามอย่างนี้ให้คนมามาก รับรองวัดอาตมาแตกเลย แต่อาตมาใช้ธรรมะอย่างเดียว และไม่ทำการตลาดที่เป็นสิ่งน่ารังเกียจ เคยอยู่ในวงการนี้มาก็รู้

            การยืนหยัดกับดันทุรัง มันคลายกันแต่คนละเรื่องกัน ถ้าใครเข้าใจไม่ได้ก็ต้องยอมเขา คนเข้าใจก็ไม่มีปัญหา เราได้จากคนมีปัญญา อาตมาไม่ต้องการคนที่เราหลอกได้ เราใช้จิตวิทยาหลอกได้ เราก็ไม่ต้องการ ยิ่งประเล้าประโลมในเชิงหาหมู่กลุ่มซึ่งเป็นการทำขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าอาตมาไม่ทำ พวกคุณมาที่นี่ไม่ได้ให้คุณมานับถือ ไม่ได้ให้คุณมายกยอ แต่คุณมาโดยธรรมะ โดยสัจธรรม เป็นปัญญาของคุณเอง ถ้าเราจะได้คนน้อยเราก็ไม่เป็นไร เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง

            เราเอาเนื้อไม่ได้เอามาก เน้นลากไม่ต้องไปเร็วก็ได้ เราเอาจริงไม่เอาแบบแค่นๆ มาด้วยใจจริงใจ อย่างคาๆข้องๆ ถูกบังคับไม่เอา เราต้องการของจริง เน้นแก่นไม่เอากว้าง ยิ่งกว่ากว้าง โศลกนี้สลักอยู่ที่หินโมโนลิทที่ปฐมอโศก ตอนนั้นจ้างเขาสลักราคาแพงตั้งหกพันบาท

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • เมื่อวันที่แกนนำตัดสินใจถอยกลับพ่อครูมีความเห็นอย่างไร ถ้าเราไม่กลับ ตำรวจจะมา สลายเราหรือไม่เพราะมาเจรจาถึง 3 ครั้งเขาลังเล  ถ้าไม่ถอยแล้วเราโดนสลาย เราใช้วิธีสงบสันติ คนจะออกมาร่วมมากเพิ่มหรือไม่ แล้วโดยใจจริงพ่อครูอยากให้เป็นอย่างไรครับ
  • ตอบ....เหตุการณ์วันนั้นบ่งบอกปรากฎการณ์วิทยา ที่ผู้ฉลาดต้องศึกษา เป็นการเรียนภาคสนามที่แท้ เป็นความรู้ความจริง ถ้าคนฉลาดจะรู้ว่าเรามาทำงานรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์อย่างสำคัญเลย ที่สมบูรณ์แบบ ในพฤติกรรมที่เราไปทำงานนั้น ผ่านกิจกรรมมา เป็นเรื่องจริงเป็นPhenomena บ่งบอกความจริงความรู้ใหม่ที่ใช้ความสงบเป็นหลักถูกต้องเป็นหลัก นี่คือชนะที่แท้ที่เราได้ เห็นไหมว่าผู้ที่ทำกับเราเขาทำผิดทั้งกฎหมาย และมนุษยธรรม ผิดทุกอย่างเลย ปรากฎการณ์จริงที่นำมาศึกษาได้ ไม่ใช่สมมุติไม่ใช่ละคร บ่งบอกว่าเราได้เห็นสิ่งจริงในบทเรียนของเศรษฐศาสตร์สังคมบทหนึ่งที่เรียกว่าสาธารณโภคี ใช้กินอยู่กับหมู่กลุ่ม ถ้าทำได้ก็ใช้ทั้งประเทศเลย กำลังพยายามสร้างให้เกิดในมนุษย์จริง ตอนนี้เราได้ระดับหมู่บ้าน และรวมเป็นเครือแห รวมหลายมิติ จากเล็กๆแต่มีตัวรวม โดยสัจจะไม่แยกชนชั้น มนุษย์ชั้นสูง มนุษย์ชั้นต่ำ มีแต่จิตช่วยเหลือผู้อื่น มีฐานปิรามิด เป็นเครือแห ไม่ใช่เครือข่าย เป็น Pyramidal web ในการที่เราไปชุมนุมจะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้
  • แล้วโดยใจจริงอยากให้อยู่ต่อหรือกลับหรือแล้วแต่แกนนำ อาตมาไม่มีจุดที่ตั้งเอาไว้ในจิตเลย ว่าจะกลับหรืออยู่ เพราะอาตมาไม่เชื่อมั่นว่าอาตมาจะชนะก่อนจึงจะถอยกลับ แต่แน่นอนว่าอาตมาพาทำ ถ้าตรงนั้นจะอยู่ไปห้าร้อยวันก็ไม่มีปัญหา เราจะพยายามอยู่ให้ได้ เราเคยมีปรากฎการณ์มาแล้ว ชีวิตนี้เราไม่มุ่งหมายชนะ อาตมาจึงเป็นผู้แพ้ในสายตาของคนอื่น แต่ชนะหรือแพ้เรารู้ว่าเราได้ลดหรือเพิ่มกิเลส เราได้อาริยทรัพย์หรือไม่
  • แล้วตำรวจจะกล้าสลายเราหรือไม่?....เป็นความจำนนที่เขาไม่อยากทำ เขาทำได้แค่นั้น ถ้าเผื่อว่าเรา...ไม่ถอยกลับคิดว่าตำรวจจะกล้าสลายเราหรือไม่?....ถามพวกคุณ....ส่วนใหญ่ตอบว่ากล้า....เขามีกำลังพล สามหมื่น ของเราสามพันไม่ถึง มีทั้งยุทโธปกรณ์ อำนาจ เราแพ้แต่อยู่ในมุ้งแล้ว แต่ตำรวจทำกับเรานุ่มนวลกว่าเก่า นี่คือพัฒนาการ นี่คือการพัฒนาการการเมืองใหม่ เรียนรู้ให้ดี ในรูปตื้นๆเป็นเรื่องเด็ก ถ้าจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาวัดค่า มันต้องให้ลึกซึ้ง หลายคนว่าเราเสียเปรียบเสียรู้ แต่เรามองลึกถึงจิตวิญญาณ เป็นอาริยธรรมที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่สารณปุถุชนจะรู้ได้ ถึงบอกว่านับถือเสนาธิการที่ตัดสินใจ ถึงบอกว่าการรบอย่างนี้คุณปรีชาไม่เคยทำ แต่ครั้งนี้คุณปรีชาก้าวข้ามพ้นอันนั้นไปแล้ว ไม่ได้มายกยอกันนะ
  • ถ้าเราไม่ถอยแล้วเราโดนสลายเราก็ใช้วิธีสงบสันติ ภาพที่เห็นเราโดนรังแกจะมีคนออกมาช่วยหรือไม่ จะเกิดผลอย่างไร?
  • ตอบ...นองเลือดแน่ เพราะเราจะแซนวิชตำรวจ แต่ตำรวจจะแซนวิชเราอีก เขามีมากอีกมากนะ เต็มไปหมดเลย รถตู้กับรถดำ รถดำเขียนด้วยว่า สมณะหญิง สมณะชาย เขาขนเราใส่รถไปเหมือนไปกรือเซะเลย เขาทำมาแล้ว นักอาชญวิทยานี่เขาทำเป็น แม้จะมีคนมากมาก็จริง ตอนนี้เกิดที่อุรุพงษ์ไง
  • จากประวัติศาสตร์พระนเรศวรกว่าจะฝ่าวงล้อม ต้องตัดหัวแม่ทัพออกมา อย่างเราฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็เป็นการตัดหัวทักษิณ
  • ตอบ...อนุญาตให้คิดได้
  • ฝากบอกลุงปรีชา ก่อนออกรบให้ไหว้ภูมิเจ้าที่ด้วยกล้วย แล้วอธิษฐานว่าขอให้ศึกครั้งนี้ง่ายเหมือนกล้วยๆแล้วก็เอาไปไหว้ที่สนามรบด้วย ดิฉันทำสำเร็จมาหลายครั้งแล้ว
  • ตอบ...ไหว้เจ้าด้วยมังสวิรัติ พวกไหว้เจ้าหยุดไหว้ด้วยเนื้อสัตว์เสียทำ ได้แต่ซีกุ้ย คือผี แต่ถ้าไหว้ด้วยมังสวิรัติจะได้เจ้าชั้นดี
  • การไปครั้งต่อไปพื้นที่ๆเหมาะสมน่าจะเป็นหน้าทำเนียบรัฐบาล กำลังพลน่าจะพันคนก็พอ ขอให้ไม่สูบบุหรี่ดื่มสุรา ให้ยาวให้เป็นฯ เท่านั้น
  • ตอบ...เราก็ทำมีพัฒนาการมาเรื่อยๆ แต่ครั้งนี้ได้แค่ 3 คืน 4 วัน
  • หลักรัฐศาสตร์ที่พ่อท่านได้ประยุกต์กับธรรมะนั้นดีมาก อยากให้ออกซ้ำ
  • ตอบ...ใจเย็นๆโอกาสอย่างนี้น่าจะเกิดอีก เพราะประชาธิปไตยคือการมาชุมนุมประท้วง
  • ประเด็นของวิญญาณาหาร เปรียบกับ พวกนักการเมืองโกงกินทำไมฆ่าไม่ตายเสียที แต่กรณีอย่างเสธ.อ้ายพอไม่สำเร็จก็เลิกเลย ทำไมจิตคนดีไม่เหนียวหมือนพวกคิดอกุศล
  • ตอบ...เสธ.อ้ายเขาทำตามที่เขาพูดว่าเขาจะหยุด  ส่วนวิญญาณาหาร ในสิ่งที่สัมพันธ์กัน เกิดเพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนั้นจึงมี
  • ฝ่ายกปท.สามารถสมานอัตตาได้กับตำรวจระดับหนึ่ง แต่ในกปท.เองกลับแตกร้าวในทิฏฐิและอัตตา เราควรยึดถือสมานอัตตาระหว่างหมู่กลุ่มหรือของผู้ปฏิปักษ์
  • ตอบ....ผู้ปฏิปักษ์ที่เราสมานไม่ได้เราไม่สมานอยู่แล้ว เราก็ต้องสมานกับหมู่กลุ่มอยู่แล้วผู้ปฏิปักษ์เราไม่ปรองดองอยู่แล้ว ก็ให้เขาปรองดองด้วยเลห์ของเขาไป เพราะพาลกับบัณฑิตเข้ากันไม่ได้อยู่แล้ว

           อัตตาเป็นภาวะแห่งตนที่สั่งสม อาจเกิดจากทิฏฐิ และอุปาทาน ก็สั่งสมลงในจิตเป็นอุปาทานเป็นตัวตนเป็นอัตตา ทิฏฐิต่างกันได้ แม้ทิฏฐิของอรหันต์จะมีทิฏฐิทางโลกีย์ต่างกันได้ แต่ในทิฏฐิปรมัตถ์ในการกำจัดกิเลสอรหันต์ทุกองค์เหมือนกันหมด ตั้งแต่เป็นอรหันต์ไม่มีกิเลส ไม่สร้างบาปตามโอวาทปาติโมกข์ ท่านทำสำเร็จแล้ว

  • คนยังไม่ถึงธรรมมากพอ จึงไม่ออกมาช่วยกัน คนยังฟังธรรมไม่มากพอใช่ไหม
  • ตอบ...ต้องฟังธรรมและปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น อาตมาจะพากเพียรมากกว่านี้อีก
  • พ่อท่านครับพี่ผมมั่นใจยุคนี้เรารบมันแน่นอนครับ
  • ตอบ...ที่มุ่งหมายเป็นการเมืองใหม่เรามุ่งหมายให้เกิดความดีความถูกต้อง คนไทยก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เข้าใจยอมรับความจริง แม้เขาจะมีกลเม็ดซ้อนเชิงมาก็แสดงว่าเขารู้ว่าที่เขาทำเดิมมันไม่ควรทำ แต่เขาก็ซ้อนเหมือนพูดดีแต่หลอกล่อใช้เล่ห์กล หยาบคายขึ้นทั้งสองมุม อกุศลเจริญงอกงามฉิบหาย คำว่าฉิบหายคือหายนะ
  • การเปลี่ยนแปลงการเมืองต้องใช้อำนาจ ?
  • ตอบ..ให้ได้อำนาจที่เป็นอำนาจโดยธรรม ไม่ใช่อำนาจเผด็จการ เราไม่ต้องการอำนาจแต่ประชาชนจะให้อำนาจแก่เรา นี่คือดีที่สุด ไม่ใช่ใช้เลห์เหลี่ยมคดโกงเอาอำนาจมา จะบอกว่าการเปลี่ยนแปลงการเมืองต้องใช้อำนาจ แต่ต้องศึกษาว่าอำนาจแบบ Force หรือ Authority
  • สิ่งที่ผู้ชนะรอบโลกทำไม่ได้คือการเป็นผู้แพ้ ถ้าทำได้เขาจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงหมายความว่าอย่างไร
  • ตอบ....ก็ได้อธิบายไว้แล้ว ว่าชนะคือแพ้ แพ้คือชนะ ก็ให้ดูทางเว็ปไซด์ได้
  • เสื้อแดงชุมนุมเป็นประชาธิปไตยไหม?
  • ตอบ...เป็นประชาธิปตาย

 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 07:47:26 )

561014

รายละเอียด

561014_รายการเรียนอิสระฯที่สวนลุมฯ

เรื่อง การเมืองคือเรื่องของคนมีธรรม

       อ.กฤษฎาว่า วันนี้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งเหตุการณ์นี้ พ่อครูเคยไปเดินบิณฑบาตในตอนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เรามีภาพให้ดูด้วย

 

 
 

 

 

       พ่อครูว่า..รูปนี้คือรูปของคณะพระชาวอโศก เดินบิณฑบาตในวันที่ 14 ตุลาคม ยังกระจองอแงร้องห่มร้องไห้กัน ตอนแรกออกไปก็ฝนตก ช่วยด้วยเจ้าข้า เดินออกจากสี่แยกบางขุนพรหม เริ่ม หกโมงเช้า ตรงโค้งที่ว่า ไปธรรมศาสตร์ จากธรรมศาสตร์อ้อมสนามหลวง กลับไปถึงผ่านฟ้า กว่าจะไปถึงบางขุนพรหมอีกทีก็ สี่โมงเช้า ค่อยไปถึง มีซากปรักหักพัง ไฟไหม้อยู่แล้ว กรมตำรวจโดนเผา เราก็ไปก็ร้อนที่สุด ตอนนั้นเราเดินบิณฑบาตงามที่สุด พศ. 2516 พวกสมณะพระพวกเรานี่สุขุม เดินสวยที่สุด เดี๋ยวนี้เรื้อแล้ว แม้แต่อาการบิณฑบาตเดินสงบ มันเป็นน้ำที่จะพรมหัวใจร้อนๆได้อย่างดีที่สุด มั่นใจว่าจะสร้างอันนี้ให้จริงๆ เป็นนิมิตหมายว่า ทำไมเราต้องไปตรงนั้น ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปอย่างนี้นะ ออกไปแล้วจึงประสพ ตอนนี้ไม่ได้วุ่นวายกับการเมือง เรายังอยู่ในรูของเรา ไม่เกี่ยวข้องกับสังคมการเมือง เรายังไม่เคยคิดอ่านเลย ถึงวันนี้มันคนละเรื่อง คนละกาละเทศะเลย แต่มีนิมิตอันหนึ่ง เราทำให้เกิดความสะดุดใจ จุดลงไปในความรู้สึกว่า เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องช่วย (ขออภัยที่พูดเหมือนอวดตัวตนว่ามีอะไรไปช่วยเขา) ก็พูดด้วยจริงใจ เราจะมาช่วยมนุษยชาติ

       โดยหลักธรรมเรามีหน้าที่ทำงานรื้อขนสัตว์ ช่วยยกฐานะของมนุษย์ ช่วยพัฒนา ยกฐานะให้พัฒนาขึ้นมาเป็นอาริยะเป็นคนเจริญ เป็นความเจริญขึ้นอาริยะเป็นโลกุตรธรรมที่แท้จริง ซึ่งเข้าใจยาก เห็นใจคนไม่เข้าใจก็ด่าทอมา เราก็รับฟังเขาเห็นใจเขาเหมือนกัน

       เพลโตเป็นปราชญ์ บอกว่า ปราชญ์ ที่ไม่สนใจเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง จึงถูกลงโทษด้วยการมีผู้ปกครองที่โง่เง่ากว่าตน

       พ่อครูว่า...มันเป็นความจริงไม่ใช่แค่ปรัชญา ชัดเจนมากเลย อย่างที่เห็นตำตา ตั้งแต่เกิดตอนนั้นมี 26โดนคดีความ มีทนายอาสามาว่าความให้ 53 คน ยังมีอีกที่แจ้งทีหลังอีก เราก็ตั้งคณะทนายความก็ต้องขอบคุณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

       เรื่องที่เรามาทำงานขณะนี้ ก็ยังไม่เข้าใจกัน หลายอย่างเป็นเรื่องซับซ้อน เช่น

       ในทางดูเหมือนว่าเรารุก และในทางอันหนึ่งดูเหมือนว่าเราก็มีแต่รับ แล้วจะรุกหรือจะรับ แล้วรับจะรับไปทำไม คนเข้าใจว่าเราออกมาทำงานนี่เรามารุกเพื่อเอาชนะ เพื่อจะล้มอันนั้นอันนี้ ซึ่งต้องเป็นจริงด้วย ต้องพูดด้วย และพร้อมกันนั้นก็พูดว่าเรามาทำการศาสนานี่คือทำการเมือง ก็ตรงกับพระพุทธเจ้าและคานธี

       ซึ่งคำว่าการเมืองใครก็ชังแต่ที่จริงการเมืองไม่ขาดจากทุกคน ถ้าไม่ยุ่งการเมืองก็มายุ่งกับคุณ เช่นกฎหมายออกมาว่า ต้องออกไปเลือกตั้ง ถ้าไม่ออกไปเลือกตั้งก็ผิดกฎหมาย อย่างน้อยก็ต้องไป เป็นการเมืองแท้ๆ

       สมมุติว่าเขาจะเคอร์ฟิว คุณก็ต้องทำตามเคอร์ฟิว ต้องปฏิบัติทุกคน ละเว้นได้ที่ไหน ประกาศภาวะฉุกเฉินคุณละเมิดได้ที่ไหน

       ข้าราชการก็คือการเมือง พรรคที่ใหญ่ที่สุดคือพรรคข้าราชการประจำ ทำไมเรียกว่าการเมืองก็คือทำงานรับใช้ประชาชนโดยตรงเลย กินภาษีประชาชนจ้างไว้ แต่มันเพี้ยนไปหมดเลยไปเป็นนายประชาชน คนเป็นข้าราชการก็หลงผิด สังคมบิดเบี้ยว ไม่ตรงสัจธรรมก็ล้มเหลว สัจธรรมไม่เกิด ไม่เจริญแน่ นักการเมืองถ้าอ่อนน้อมถ่อมตนตั้งใจทำเพื่อประชาชนประเทศทำไมจะไม่ดี ทั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการ ตำรวจนี่ก็ข้าราชการประจำ

       พวกเรามาทำงานตรงนี้สิ่งที่เป็นหลักคือสื่อ ที่เรามาทำนี่คือสื่อ เรามาทำหน้าที่สื่อแท้ๆ ตรงๆเลย ไม่ใช่ทำเป็นอาชีพหากิน มาช่วยเหลือสังคม มาช่วยเหลือการเมืองด้วย ทำงานอย่างไม่อยู่ใต้อำนาจลาภยศสรรเสริญ เราทำงานอย่างรู้หน้าที่

       หมู่สื่อสารส่วนใหญ่เขาไม่เฮโลกันไปเราก็ไปทำให้ อย่างที่เราออกชุมนุม เขามาเก็บภาพ แต่ไม่ออกสื่อให้ ไปถึงบก.ก็เก็บไว้หมด ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่าพวกนี้กระจอก ไม่เป็นคุณค่า แต่เราเองเข้าใจว่ามาทำนี่ (ไม่ได้พูดสร้างค่าให้ตนเอง) เรามาทำหน้าที่แจกจ่ายกระจายความรู้ข้อเท็จจริง มาสนับสนุนอย่างเอาจริงเอาจังในการเมือง การเมืองตอนนี้กำลังล้มเหลวเราก็มาทำเรื่องนี้ มีผลกระทบต่อประเทศอย่างมหาศาล จะปล่อยปละละเลยไม่ดูดำดูดี ปล่อยให้เขาปู้ยี้ปู้ยำไป ขนาดเราตะโกนออกไปว่าต้องมาช่วยกันทำหน้าที่ตามมาตรา 70,71 ก็ยังไม่แลเลย แต่เราไม่ท้อ เราไม่ขึ้นกับอามิส ไม่ขึ้นกับโลกีย์ เราดูดที่แก่นแท้สาระของมัน เหน็ดเหนื่อยเราไม่ว่า แพ้ชนะไม่ว่า เราทำให้เกิดคุณค่าเจริญต่อสังคม ทุกวันนี้พอใจมีอัตราก้าวหน้าของผลได้พฤติกรรมของเรา

       ผู้นำทางจิตวิญญาณยอ่มต้องมีบทบาททางการเมือง เพราะไม่หวังลาภยศสรรเสริญ

       คนทำงานให้แก่บ้านเมืองอย่างไม่หลงลาภยศสรรเสริญ ต้องเป็นอาริยบุคคล เราก็ไม่เห็นต้องเป็นอะไร มันจะตายหรืออยู่ไม่ได้จะเสียหายก็ไม่นะ เขากล่าวถึงพวกเราว่าม็อบ เขาใช้ศัพท์เรียกพวกเราว่า “ม็อบตังค์ทอน” ในสังคมมีสองอย่างคือม็อบตังค์ทอนกับ “ม็อบเติมเงิน”

       ม็อบเติมเงินคือม็อบที่ได้เงินเต็มที่ แต่ม็อบตังค์ทอนคือได้เงินไม่เต็มที่ ทั้งที่เราบอกว่าพวกเราไม่ใช่ม็อบ เราคือโพรเทส อย่างที่เราไปข้างทำเนียบ ถ้าเป็นม็อบจริงๆก็ต้องวุ่นวายรวนเรมากแล้ว แต่เราไม่ใช่อย่างนั้นเรียบร้อย จนเขาต้องเอารถมาส่ง เรารู้สาระว่าเราทำอย่างไร ให้ถูกต้องหลักเกณฑ์ ไม่ใช้ม็อบ แต่เขาก็ใช้ภาษานี้เรียกกันถัวๆไปหมดแล้ว เขาจะเรียกอย่างอื่นก็คงยาก

       อ.กฤษฎาว่า โทรศัพท์ระบบเติมเงิน จะยืดเวลาหมดอายุกับการใช้เงิน เป็นเจตนาบิดเบือน

       มีคนบอกว่า ทักษิณนี่มันโชคดีฉิบหายนะที่ใครจะมาโค่นมันก็จะมีอันทะเลาะกัน

       พ่อครูว่า...คุณรู้ไม่ครบนะ เพราะที่มาประท้วงโค่นทักษิณไม่ได้ทะเลาะกันแต่มีความต่างทางความเห็น ภาพข้างนอกดูเหมือนแยกกัน แต่เขาไม่ได้ทะเลาะกันนะ มันเป็นความร่วมกันในแนวลึก คุณเชื่อไหมว่าเรามีเป้าเดียวกันหมดเลย ถ้าทะเลาะกันก็ตีกันแล้ว แย่งอำนาจกัน แต่เรากินอาศัยช่วยกันในที จะมีกิเลสดูไม่กลมกลืน แต่ก็มีความขัดแย้งอันพอเหมาะเรียกว่าสามัคคี หลายคนบอกว่าสามัคคีคือไม่มีขัดแย้งกลมกลืน เหมือนกันเต็มร้อย ก็ฝันไป ขนาดพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งองค์ก็ยังทะเลาะกันเลย สงฆ์ไล่พระพุทธเจ้าเลย     

       ขนาดพระอรหันต์ก็ไม่เท่ากัน มีปัญญากับเจตนารมย์ไม่เท่ากัน แต่ท่านไม่มีอกุศลนะ เขาว่าให้เรากลับไปคืนอยู่สวนลุมเสียเขาหมายความว่าอย่างไรนะ

       เราเจตนาสร้างคนให้เจริญให้ลดโลภโกรธหลง เสียสละเพิ่มขึ้น นี่คือเนื้อแท้ เจตนารมย์ ที่มีสูตรสำเร็จของพระพุทธเจ้าแท้ๆ เราก็ประเมินค่าที่เราทำแล้วได้ผลแค่ไหน ส่วนจะแพ้จะชนะก็โยนทิ้งเลย ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญาอย่างเดียว คนมีปัญหาคือคนไม่มีปัญญา

       อ.กฤษฎาว่า...เรื่องแพ้ชนะเป็นเรื่องของกรรม เมื่อวานเป็นวันตำรวจ เขาว่าเขาทำหน้าที่ เขาภูมิใจ เขามองว่าเราสร้างปัญหา แต่อีกด้านหนึ่งก็ว่าทำหน้าที่นี้มันใช้หรือที่ทำให้คนอดข้าว แล้วหน้าที่ที่แท้จริงคืออย่างไร

       พ่อครูว่า...ซับซ้อนมาก แม้แต่ในกฎหมายก็มี ว่าให้ช่วยดูแลพิทักษ์ผู้มาทำหน้าที่เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้มากดขี่ทำร้ายออกนอกกติกาเลย แต่เขาแสดงออกไม่ถูกต้องมารยาทและคุณธรรมสังคมไม่เห็นมีเลยนั่นแหละคือกรรม ใครทำก็ได้อันนั้น ส่วนที่จะแพ้ชนะเป็นเกมเรื่องโลกีย์จะเอาชนะคะคานด้วยเล่ห์กล ลงมือลงไม้ ทำร้ายกัน

       เราไปอดทนเหน็ดเหนื่อยหนักหนา แต่มีความสุข หมดทุกข์หมดรำคาญ ตำรวจมาทำหน้าที่มาพิทักษ์รักษากฎ ก็ทำหน้าที่ก็ควรยินดีกับหน้าที่ และควรมีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือจริง ไม่ใช่แค่ปากพูดว่าจะช่วยเหลือ แต่ฉลาดซับซ้อนหลอกพรางลวง เป็นเฉกา กรรมของใครทำ ส่ิงเหล่านี้ถ้าเราโกหก แล้วเราทำตามที่เราพูด เราโกหกแล้วเราก็ทำตามโกหก มันก็ค่าราคาบาประดับหนึ่ง แต่ถ้าพูดไปแล้วกลับไปหลอกอีกว่าฉันทำดีฉันจริงใจ อย่างนี้บาปซับซ้อนอีก ส่วนอำมหิตมากราคาบาปก็มากขึ้นอีก ทำแล้วจะบอกว่าไม่ทำก็ไม่ได้เป็นกรรมแล้ว       

       อ.กฤษฎาว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร ก็พิสูจน์แล้ววันนี้

       พ่อครูว่า มีเพลงอาริยะเพลงหนึ่งว่า แม้คุณจะตาบอกหูหนวก คุณก็มีวิญญาณที่จะรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วคนทำบาปขนาดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร

       พฤติกรรมหน้าที่ของคนที่ทำหน้าที่ในสังคม นักธุรกิจ ข้าราชการ จะเห็นได้ว่าหยาบมากเลย เอาเปรียบเอารัด ทุจริตโกง หยาบจัดจ้าน จนคุณดับทุกทวารอย่างไรมันก็รู้ได้ เพราะมันหยาบร้อนแรงมาก หลบมันยังมาถึงตัวเลย อยู่ในที่ลับมันยังรู้ได้เลย

       ประเทศไทยรุนแรงมากตกตำ่มาก แต่หลายคนไม่สะดุ้งสะเทือน เพราะคนไทยจำนวนหนึ่งเป็นคนใจไม่ร้ายพอ แม้คนจำนวนร้ายขนาดไหน เขาก็ไม่ถือสา ให้อภัย ไม่โต้ตอบ การปะทะล้มล้างจะไม่เหมือนประเทศอื่น ถ้าเหตุการณ์อย่างไทยนี้ประเทศอื่นนองเลือดไปแล้ว แต่คนไทยไม่เหมือนมีจิตดี

       มีการถ่วงไว้ไม่ให้เกิดความรุนแรง อย่างประเทศอื่นมีความรุนแรงมาก อย่างหนึ่งคือคน อย่างหนึ่งคือไทยเรายังอุดมสมบูรณ์ ที่จะไม่แย่งลำลากลำบนเดือดร้อนเหมือนประเทศอื่นเขา ในทรัพยากรนั้นอุดมสมบูรณ์ ยังมีอะไรให้ขูดรีดอยู่ พวกเราก็ยังไม่เป็นคนขี้เหนียวขี้หวงแหนเกิน ของข้าใครอย่าแตะ ยังไม่ขนาดนั้น เป็นต้นทุนของคนไทย

       อาตมาทำงานมา 40 ปีเห็นพฤติกรรมของคนไทยอันนี้ เช่นออกมาประท้วงก็มีรายละเอียดต่างๆนานา เราพัฒนาจากการประท้วงก่อนๆ จนเป็นนักประท้วงมืออาชีพขึ้นมานะ ได้ข่าวว่าที่อุรุพงษ์เขาก็พยายามจัดระบบเหมือนที่เราทำนะ เช่นจัดการขยะเป็นต้น

       อ.กฤษฎาว่า ผมไปร่วมเห็นผู้ชุมนุมเขาทานอาหารเสร็จแล้วก็นำกล่องใส่ในถุงดำ

       พ่อครูว่า...การชุมนุมที่อุรุพงษ์​เขาเอาความถูกต้องเป็นที่ตั้งไม่เอาชนะคะคานอย่างเดียว ฟังแล้ว ได้ฟังทนายนกเขาพูดแล้ว มันเป็นเรื่องที่ดีมากเลย มันเจริญขึ้น แม้การประท้วงก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะคะคานตีรันฟันแทง แต่มีการพัฒนาเจริญขึ้น เราก็ยาวให้เป็นฯ มันจะยั่งยืนเข้าหาสาระแก่นสาร ทำแล้วมันเรียบร้อย

       มีคนหนึ่งบอกมาเขาเป็นตำรวจพธม.อายุ 82 ว่า...ผมเข้าใจพ่อท่านและคุณปรีชา ผมก็มาร่วมจะร่วมจนชีวิตจะหาไม่ด้วย

        มีคำถามหนึ่งถามมาว่าท่านระลึกชาติได้ ชาติปางก่อนท่านเป็นอะไรครับ

       ตอบ...อาตมาเอง อาตมาระลึกชาติไม่เหมือนอย่างพวกคุณเข้าใจ ที่เข้าใจว่าระลึกเป็นตัวตน ไปเกิดเป็นคนนี้ เป็นช้างเป็นม้า แต่เราไม่เอาอันนั้นเป็นสาระ เพราะอย่างนั้นไม่มีหรอกหายไปแล้ว แต่เหลือคือแก่นสารสาระ อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือนหก ท่านก็ระลึกไปถึงชาติที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขาด้วย แต่สิ่งสำคัญกว่าคือเนื้อหาสาระมากกว่า ที่เราปฏิบัติได้เลื่อนชั้นอย่างไร จนปัจจุบันได้เป็นอะไรขนาดไหน และที่เข้าป่าไปก็เป็นการผิดทาง ซึ่งพุทธเราเข้าใจผิดไปมากแล้ว

        ความเสื่อมของศาสนาพุทธเสื่อมเพราะ

1.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ

2.ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า

3.สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์

4.สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

       ผู้มีวิชชาและจรณะจะไปป่าไหม ก็ไป ไปศึกษาในบางคน แต่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วไม่จำเป็นต้องไป อาตมาเขียนเป็นหนังสือไว้ชื่อ ป่ากับศาสนาพุทธ ป่าไปได้ แต่ต้องไปอย่างผู้มีสมาธิ

       คำถามที่ว่าระลึกชาติได้ นั้นพ่อครูว่าบอกเป็นตัวตัวเป็นตนไม่ได้ มันจะยุ่ง พ่อครูเคยพูดกับพวกเราว่า อยากจะรู้ว่าอาตมาคือใคร ก็ใบ้ไว้นิดหนึ่งว่าอาตมาคือผู้อยู่ในทิฏฐิ 10...สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ) #

       ส่วนเป็นใครนั้นบอกไม่ได้ ผ่านอะไรมาอีกก็บอกยาก บอกแล้วคุณจะรู้ได้อย่างไร บอกแล้วเดี๋ยวคุณตาค้าง

ประเด็นการที่คนไทยส่วนใหญ่ยังเป็นไทยเฉยอยู่จนต้องรอให้ล่มสลายมากกว่านี้ จึงตื่นรู้ ก็สงสารพระทัยในหลวงที่ต้องทนเห็นประเทศล่มสลายแล้วคนไทยก็ทุกข์ด้วย

พ่อครูว่า...เห็นด้วยอย่างที่คุณว่า...แต่มันเป็นยุคสมัยที่ต้องเป็นเช่นนี้ ไทยเฉยนี่แหละคือคนที่ทำให้ในหลวงต้องทุกข์หนักยิ่งขึ้น

       สมมุติว่าถ้าคนไทยออกมาสัก 30 ล้านคนพรึ่บ ในหลวงก็ต้องลงมา ว่าประชาชนเดือดร้อนตั้ง 30 ล้านท่านก็ต้องลงมาช่วย เป็นราชประชาสมาสัยทันที ให้อำนาจอธิปไตยยืนยันกับส่ิงที่ประชาชนต้องการ เรามีเป้าหมายอย่างนี้ ให้คุณออกไป ในหลวงก็ต้องมีพระบรมราชโองการทันที ไม่ผิดเลย แต่ตอนนี้ทำไม่ได้เพราะประชาชนไม่ออกมา ยังไม่เป็นอำนาจอะไรเลย เขารังแกอย่างกับอะไรดี อำนาจอธิปไตยคือ 1 คน 1 เสียง ล้านคนล้านเสียง มีแต่ที่เขาเล่นเลห์ว่าได้ 15 ล้าน แล้วเราไม่มีสักล้านเลย มีแต่หัวล้าน เมื่อไหร่พวกเราจะมีน้ำใจแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง

       อาตมาพูดไปอย่างเสียรังวัดไปเยอะเลย แต่อาตมาไม่ติดใจรื้อ       

       แยกความเป็นกลาง กับมัชฌิมาปฏิปทา ก่อน  เขาไปแปลกันว่า ทางสายกลางกัน แต่ความเป็นจริงคำว่า มัชฌิมาปฏิปทา มีสองคำ คำว่า มัชฌิมา แปลว่ากลาง ก็ถูก คำว่าปฏิปทาคือทางปฏิบัติ  มันก็ถูกเหมือนกัน แต่ความจริงมันลึกกว่านั้น กลางนั้นคือกลางๆ ส่วนข้างหนึ่งคือกามสุขขัลลิกะ ส่วนอีกข้างคืออัตตกิลมถะ ไม่โต่งไปสองข้างนั้น แต่ไปแปลกันว่าเอาให้พอเหมาะแต่ต้องให้ตั้งตนบนความลำบาก กุศลกรรมจึงเจริญย่ิง ต้องมี ทมะ ขันติ แต่ที่สบายๆคือกิเลสกินหัวหมดแล้ว

       เนื้อแท้ของ “กลาง” คือต้องลดทั้งกามและอัตตา ไม่ให้ไปอยู่ข้างใดเลย มันต้องเกื้อกูลกัน ลดกามกับลดอัตตาต้องทำคู่กัน สุดท้าย กลาง คือไม่มีทั้งกามและอัตตา นี่คือความย่ิงใหญ่

       เขาเข้าใจทางสายกลางคือมรรค ไม่เข้าข้างไหน ทั้งที่พระพุทธเจ้าว่าให้คบบัณฑิต ทางวจีกรรมก็ต้องตำหนิสิ่งควรตำหนิ ชมสิ่งควรชม ไม่ใช่ว่าทางสายกลางคือต้องไม่ว่าใคร ไม่ชมใคร แต่พระพุทธเจ้าว่า นิคคัณเห นิคคาหารหัง ปัคคันเห ปัคคาหารหัง

        อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธออย่างทะนุถนอม เหมือนพวกช่างหม้อทำแก่หม้อที่ยังเปียก-ยังดิบอยู่ อานนท์ ! เราจักขนาบแล้วขนาบอีก ไม่มีหยุด อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ไม่มีหยุด ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร  ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ #

       แล้วมโน ต้องทำใจให้มีปัญญาปาสาโท

มโนกรรม  ย่อมรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก  โดยไม่มีอคติ 4 !

วจีกรรม    กล่าวตำหนิคนที่ควรติ  ยกย่องคนที่ควรยก.

กายกรรม  เข้าร่วมกระทำกับฝ่ายที่ถูกต้อง (คบหาบัณฑิต)

        พฤติกรรมเป็นกลางของผู้ไม่มีปัญญา #

1. โง่  ไม่รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก  

2. กลัว  จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสียตำแหน่ง เสียหน้า ไม่เข้าข้างคนถูกต้องก็ลำเอียงสิ นี่ชั่วกว่าคนไม่รู้นะ รู้ทั้งรู้แต่ไปเข้าข้างคนผิดอีก มันไม่ใช่เป็นกลางหรอก แม้คุณไม่เข้าข้างใคร เราทำหน้าที่ของเรา แต่ทั้งที่มีหน้าที่ก็พูดเลี่ยงไปอีก  นี่คือพวกตกใต้อำนาจโลกธรรม

3. เห็นผิด  คิดว่า เป็นกลางแล้วไม่ควรไปอยู่กับฝ่ายไหน คือพวกมิจฉาทิฏฐิ

       พ่อครูว่า.. อธิปไตยของประชาชนเกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้อง 30 ล้านคนหรอก เอาแค่ 1 ล้านคนก็พอแล้ว

       ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 2​  อำนาจเป็นของประชาชนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 3 ในหลวงทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน 3 สถาบัน

       แต่มันอยู่ที่จิตวิญญาณของคนมันเห็นแก่ตัวจัด เป็นทางโลกีย์มากเกินไป อาตมาต้องทำงานหนักให้คนลดกิเลส เพ่ิม จิตวิญญาณจะเข้มแข็งกล้าหาญมาช่วยกำจัดสิ่งผิด จะมีความกล้าหาญองอาจแกล้วกล้าจริงในอาริยบุคคล ไม่ใช่คนแหย เป็นแก่ตัว โลภโมโทสัน ทำมาหากินไปวันๆ พวกนี้ใจดำ ไม่ได้ด่านะ แต่รายงานความจริง คือบอกลักษณะว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ลักษณะการด่า คือมีกิเลส หรือผิด ไม่มีสาระคือด่าสาดเสียเทเสีย ด่าอย่างไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่องเลย

       มีคนบอกว่าผ้าครองพ่อครูลุ่ยออกมา พ่อครูจึงบอกว่า พวกเราต้องนุ่งห่มอย่างนี้ เพราะต้องคดี ไม่ให้แต่งกายเหมือนพระนั่นเอง เราก็เลยพยายามนุ่งห่มไม่ให้เหมือนพระ และก็ไม่โกนคิ้วด้วย

       มีคนเขียนประเด็นมาว่า...การออกสนามรบครั้งนี้ ทำให้คิดถึงอาจำลองอาสนธิ ที่ให้เตรียมตัวให้ดี มีปัญญา ออกรบไม่ถอย ที่อาทั้งสองไม่ออกเพราะได้สอนไว้แล้ว ผู้รักชาติต้องออกมาเอง โดยไม่ต้องให้คนจูง แต่ที่คนทำมันคนละด้านค่ะ พวกหนุ่มสาวต้องเตือนตนให้แววไว ผู้รู้จอมยุทธเข้าใจการทหารดี ต้องหัดไปปรึกษา อย่ารอท่านมาหา เราต้องหัดปรึกษาอย่างอ่อนน้อม ครั้งนี้ดีที่มีหลายนายพลเข้าร่วม

       มีคนว่ามาทาง sms ว่า คนหนีไปหมดแล้ว เอาแต่เทศน์ ...พ่อครูว่า...หนีที่ไหน ก็มีคนมามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มรายการมีไม่มากเท่าตอนนี้เลย

     อ.กฤษฎาสรุปว่า...เราคงเข้าใจมากขึ้นต่อกระบวนการที่มาร่วม ทำไมเราต้องยาวให้เป็นฯ แล้วทำไมต้องเอาธรรมนำหน้า ...อย่าลืมทบทวนธรรมะ ฟังธรรมะทุกวันจะได้เข้าใจเพ่ิมขึ้น...การไม่ชนะใจตนก็ไม่ชนะหรอก เราบอกว่าเราเป็นฝ่ายธรรมะแต่เราก็ไม่ต่างจากเขาเอง กระบวนการที่เราไปข้างทำเนียบ ได้ฝึกฝนตนเองอย่างมาก เป็นการปฏิบัติธรรม อย่างมีผัสสะอย่างยิ่ง เป็นปรากฎการณ์ทางปัญญา ….จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:02:29 )

561021

รายละเอียด

561021_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง ธรรมาวุธสุดมีฤทธิ์

      ส.ฟ้าไทดำเนินรายการ...ธรรมะของพ่อครูทำให้เราลดกิเลสได้ เป็นทรัพย์ติดตัวไปทุกชาติ ถ้าไม่ได้ส่ิงนี้ก็ถือว่าเสียเวลาเกิด แม้เราจะมีอะไรมากมาย แต่ไม่ได้สิ่งนี้ก็สูญเปล่า วันนี้พ่อครูก็จะมาอธิบายเรื่องธรรม เรื่องการเมือง เรื่องอื่นๆ

       พ่อครูว่า...อาตมาได้หายไปจากสวนลุมฯหลายวัน ก็พยายามเร่งเขียนหนังสืออยู่ เขียนแล้วก็ยาก แก้แล้วแก้อีก หนังสือชื่อ “รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์”

       สงครามที่เรากำลังทำนี่เป็น ธรรมาธรรมสงคราม คือสงครามที่ใช้ธรรม รบกันระหว่างธรรมะกับอธรรม รบกันระหว่างเทพกับมาร แม้จะหยาบมากเราก็ใช้ธรรมะเป็นอาวุธ เราใช้ สันติ อหิงสา อโหสิ สันติคือสงบ อหิงสาคือไม่รุนแรง ส่วนอโหสิคือ แม้เขารุนแรงเราก็ไม่ถือสาให้อภัย เราก็ต้องใช้จริงๆ ก็พาทำเช่นนั้นมาตลอด แล้วก็บอกกันว่าจะชนะหรือ อาตมาว่า ไม่ชนะเราก็แพ้ แต่เราจะไม่รุนแรงจริงๆ อย่างดีก็แค่ปากหอก (มุขสตี) มุขคือปาก ,สตีคือศาสตรา หรืออาวุธ อย่างดีก็แค่หอกปาก เสียบกันด้วยคำพูด เลือดไม่ตกยางไม่ออกหรอก ยุคไหนก็มี มันสุดวิสัย นี่คือการรบที่พาทำ

       มั่นใจเพราะประเทศไทยเป็นประเทศศาสนาพุทธ อย่างคานธีใช้ความสงบสยบความรุนแรงเป็นสัตยาเคราะห์ เชื่อว่าเมืองไทยถ้าใช้ธรรมาวุธอย่างนี้ได้ประโยชน์แน่นอน พยายามไม่เร่งรัด ให้เกิดเจโตและปัญญา ใครจะว่านี่เขารบกันแต่นี่มาสอนธรรมะจะบ้าหรือเปล่า อาตมาก็ว่า บ้าก็บ้า

       แต่ว่ามันไม่ง่าย แต่ละประเทศที่เปลี่ยนแปลงล้วนเลือดตกยางออก แม้แต่คานธีก็หนักหนาสาหัส เพราะเขาตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมานาน

       การศึกษาของโลกไม่ทำให้ลดละกิเลสได้ แม้แต่จะศึกษาสายศาสนาอย่างคริสต์ อิสลาม แต่พุทธนี่ให้อิสระมากที่สุด นัยศาสนาพุทธเป็นผู้ดี แม้แต่ออกมาในสังคมขนาดนี้ ตั้งแต่ปี 49 ประมาณ 6 ปี ก็เห็นอัตราการก้าวหน้า พัฒนาการทางสังคม ที่มาได้รับความรู้ความจริง ก็วัดตามประสาอาตมาก็เห็นอัตราการก้าวหน้าจริง มีอัตราก้าวหน้าเกินกว่าเก่า

       มาถึงครั้งนี้ที่ประท้วงก็ได้ผล พัฒนาอุดมการณ์เกิดความสงบ เกิดธรรมฤทธิ์ ขึ้นมา ยกตัวอย่างตำรวจเขาทำแล้วก็หยาบคายหน้าด้านลดลงไป เปลี่ยนแปลงไป แต่เขาก็ลงมือหนัก ทำอะไรใหญ่ขึ้น แต่ทางนามธรรมของเขาสะดุด เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจเขา แต่เขาเกรงใจมนุษย์โลก เพราะทุกวันนี้เป็นโลกาภิวัฒน์ แม้เขาปิดนักข่าวไทยได้ แต่นักข่าวต่างประเทศเขาปิดไม่ได้หรอก

       มาพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ปัจจุบัน ก็ต้องย้ำซ้ำซากว่า ประชาธิปไตยคือ ประชาชน กับอำนาจอธิปไตย อำนาจคือ พลังมวลของประชาชนที่จะมาแสดงมวลให้ปรากฏความประสงค์ ความต้องการ ความเห็น มวลของประชาชนส่วนใหญ่คือคะแนนเสียงของประชาชน เรื่องประชาธิปไตยถ้าเข้าใจและปฏิบัติถูกต้องจะมีฤทธิ์อำนาจ เป็น sovereign power ถ้าคนไทย 35 ล้านคน ซึ่งมันเป็นไปได้ยาก ออกมาแสดงความเห็นว่าคุณหยุดทำนะ ข้าราชการหรือนักการเมืองก็ดี เพราะพวกนี้เป็นผู้รับใช้ประชาชน มายืนยันเลย 35 ล้านคน เขาจะต้องหยุดแน่นอน ถ้าไม่หยุดให้ฆ่าชีวิตอาตมาเลย ถ้าเขาไม่หยุดตามที่คน 35 ล้านคนออกมาบอกให้หยุด แต่ที่จริงไม่ต้องใช้คนมากขนาดนั้น แม้ในรธน.ก็ใช้คน 50,000 คะแนนเสียง สามารถยื่นปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือไล่นักการเมืองได้ นี่เป็นสากลทั่วโลก เราจะสร้างคะแนนเสียง ออกมาให้สงบเรียบร้อย ถ้ามากเขาก็ไม่กล้าทำร้าย แต่ถ้าน้อยเขาก็ทำร้ายได้ เมื่อไหร่จะเข้าใจกัน

       ออกมาชุมนุมประท้วง นี่คือความเป็นประชาธิปไตย เมืองไทยยังไม่มีคนมาประท้วงมากขนาดนี้ แม้ 14 ตุลาฯหรือ พฤษภาคม 35 ที่ว่ามีคนมามากอย่างไรก็ไม่มากถึง 1 ล้านคน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงเผด็จการได้ เขาก็ทำสำเร็จ แม้เขาทำตอบโต้ด้วยอาวุธคนก็เสียชีวิต เขาก็พ่ายแพ้ ยิ่งใช้อาวุธยิ่งพ่ายแพ้เร็ว กระแสของต่างประเทศจะมาร่วม เป็นปฏิกิริยาของมนุษยชาติ ย่ิงทำแรงและมวลประชาชนมากพอ ยิ่งเขาทำแรงเขายิ่งไปเร็ว ข้อสำคัญคือให้มากพอ

       ถ้าประชาชนออกมาไม่ต้อง 35 ล้าน เอาแค่ 1 ล้านก็เผด็จศึก แม้เขาจะเตรียมตัวใช้กองทัพตำรวจ หรือจะมีทหารบางส่วนมาสมทบ ถ้าประชาชนล้านคน ต่อให้ตำรวจและทหารรวมกันมีล้านคน ก็ไม่เชื่อว่าตำรวจและทหารล้านคนจะมาจัดการกับประชาชนล้านคน ยุคนี้พูดได้เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสังคม สงครามคุณธรรมใครทำสำเร็จก่อนเป็นมหาอำนาจในโลก สงครามอย่างอาวุธนั้นเก่าแล้ว คนมีปัญญาพอแล้ว รู้แล้วว่าการรบเอาชนะกันด้วยเขี้ยวเล็บเรี่ยวแรงอาวุธคือแบบสัตว์เดรัจฉาน มันเก่าดึกดำบรรพ์โบราณแล้ว

       ยุคนี้ต้องชนะด้วยความถูกต้อง ชนะด้วยคุณธรรม ผู้ชนะนั้นเป็นเลิศ ยอด ประเทศไหนสำเร็จประเทศนั้นเป็นมหาอำนาจ ไม่ใช่มหาอำนาจเบ่งขี้แตกเป็นตำรวจโลกควบคุมโลก แต่เป็นมหาอำนาจที่คนกราบไหว้เคารพ ที่คนทั้งโลกกราบไหว้บูชาเคารพ ผู้ชนะด้วยธรรมาวุธ

       อย่าอยากเฉยๆ คนทางบ้านฝากให้คิด ถ้าพวกคุณมารวมตัวกัน ตอนนี้ก็พยายามเป่านกหวีดเป็นวิธีที่ถูกต้อง เป็นการมาลงคะแนนเสียงประชาธิปไตยแสดงเสียงประชาธิปไตย แม้ที่สุด มารวมตัวกันในกทม.ไม่ได้ เป็นล้านคนมันยาก ก็แสดงออกในทุกจุดในประเทศได้ มีเป้าหมายอันเดียวกันหมด ยืนหยัดยืนยันเลย ตามแต่ละจังหวัด มีจำนวนคนเป็น 10 ล้าน ได้ ก็เกิดผลแน่นอน แต่ตอนนี้ถ้าพอเป็นไปได้ มาร่วมกันที่กทม.กันก่อน จะเป่านกหวีดก็มาเลย

       ในระยะนี้กำหนดวันกัน ถ้าคนออกมาถึงล้าน จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ต้องปิดบังบอกเปิดเผยเลย เป็นการยืนยันมวลประชาชนแท้จริงเลย ให้มาลองดูสักล้านคน เอาง่ายๆถ้าตั้งแต่ลานพระรูปฯไปถึงสนามหลวงนี่เกิดพลังเปลี่ยนแปลงแน่ ให้เหมือนกับวันที่ 5 ธันวาคม 55 ออกมามากมายแล้วยืนหนังสือเท่านั้นแหละอาตมาว่าเขาจะไม่อยู่รับหนังสือนะ

       ตอนนี้อาหารจะจานละ 50 บาทแล้ว อาตมาเคยกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 50 ตังค์ ลอดช่องเคยกินชามละ ครึ่งตังค์ (ชามใหญ่กาไก่นะ) เขาไม่มีตังค์ทอนก็เอาเงินเราไว้บอกว่าพรุ่งนี้มากินอีกชาม ลอดช่องตอนนั้นกับตอนนี้ก็เหมือนกัน แต่ว่าราคาต่างกันมาก

       ก๋วยเตี๋ยวแต่ก่อน ชามละ 50 ตังค์ แต่ตอนนี้ปาเข้าไปชามละ 50 บาทแล้ว น้ำมันก็แพงขึ้นมาก ยืนยันให้เห็นว่าทุกส่ิงทุกอย่างเลวร้ายไปมาก เงินราคาตก แต่คนต้องแสวงหาเงินมาเลี้ยงชีพ คนแสวงหาเงินมาก แต่คนฐานรากระดับล่างหาเงินไม่ได้มาก คนระดับล่างจะมีรายได้น้อย แต่อัตราการก้าวหน้าของคนขี้โลภได้เปรียบทวีขึ้นเท่าไหร แต่คนชั้นล่างก็ยังต่ำเช่นเดิมหรือเป็นหนี้ติดลบไปอีก ช่องว่างระหว่างคนจนกับรวยก็ย่ิงห่าง

       ในยุคไม่มีชั้นวรรณะแต่ก็มีการเป็นชั้นวรรณะดูถูกกันมากขึ้น ในสังคมโลกก็พยายามแก้ไข พระพุทธเจ้าแก้ไขสำเร็จตั้งแต่พุทธกาล ตั้งแต่ยังไม่มีประชาธิปไตย ทำคอมมูนแบบสาธารณโภคีได้ เหมือนอย่างชาวอโศกทำมา พยายามทำให้เป็นส่วนกลางมากที่สุด ส่วนประชาธิปไตยให้อิสระ ประชาธิปไตยอิสระถึงขึ้นไม่ต้องเก็บภาษี ทุกคนทำงานได้เท่าไหร่เสียภาษี 100 % เกิดได้เพราะจิตใจพวกคุณ ไม่มีใครบังคับให้มาทำอย่างนี้

       แล้วถูกหลอกไหม คุณสมัครใจมาทำนี่ภูมิใจไหม เป็นเรื่องจิตวิญญาณทั้งสิ้น เป็นของยากของสูงแต่คนทำได้ ยืนยันได้ เชิญให้มาพิสูจน์ได้ แม้ยุคใกล้กลียุคยังทำได้เลย เป็นการพิสูจน์สวากขาตธรรม

       อ่านให้ลึกเป็นสังคมที่แย่งชิงทะเลาะรุนแรงหรือสงบไหม สงบไม่ใช่อยู่เฉยๆนะ สงบนี่ทำงานจ้าละหวั่นเลย แต่ไม่มีทุจริตอกุศล สงบแบบไม่สนใจอะไร เฉยๆนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่สงบแบบพุทธนั้นลึกซึ้งกว่ามาก เป็นของเป็นได้ยาก แต่ควรได้มาแก่ตน

       นี่คือลูกพระพุทธเจ้าแท้จริง จิตวิญญาณมีเชื้อ ดีเอ็นเอ พุทธ มันยังไม่สูญหาย มนุษย์ยังทำได้ยังเหลือเชื้อแท้ของพระพุทธเจ้าอยู่ ทำได้ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากอรหันต์ อย่างน้อยอรหันต์โสดาฯ อรหันต์สกิทาฯ ...จนถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือสัจจะที่เป็นไปได้อยู่

       สังคมไทยเช่นนี้เราไม่ท้อ ตั้งใจอยู่ให้นาน พวกเราก็มาช่วยเปิดเผย สิกขมาตุก็มาช่วยกัน ฆราวาสบางคนอธิบายธรรมะยิ่งกว่าสมณะอีก จนคนต้องเดินหนี ช่วยกันด้วยปรารถนาดี ถ้าได้อันนี้เป็นธรรมาวุธ ไม่ไปทำร้ายใคร มีแต่ของดีที่ประเสริฐ

       สรุปว่า ...ถ้าพวกเราได้ทำงานจนมีคนเห็นดี หลายคนมีบารมี ตนเองไม่เจตนาได้หลุดเข้ามาก็มี ทุกอย่างมาแต่เหตุ ถ้าสามารถเรียนรู้สัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ แล้วเอามาใช้ได้ทุกเชื้อชาติสัญชาติ ปฏิบัติให้ถูกก็แล้วกัน

       ไม่ได้พูดเล่นว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยเป็นโพธิสัตว์ พูดด้วยภูมิธรรมของอาตมา เช่นอาตมารู้ว่าคานธี ไอสไตน์ ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ เขาไม่เป็นคนรบกวนใคร ไม่ทำร้ายใคร ไอสไตน์เป็นโพธิสัตว์ทางวัตถุธรรม แต่คานธีเป็นโพธิสัตว์ทางนามธรรม แต่พฤติกรรมเขาไม่ไปทำร้ายใคร แต่ส่ิงที่เขาทำคนจะเอาไปทำร้ายก็เป็นได้ อย่างคนเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าไปทำร้ายคนได้ ต้องชมว่ามีฝีมือฉิบหายเลย เหมือนกันกับคนเอาความรู้ทางโลกไปฉลาดทำร้ายทำเลว ให้สังคมประเทศชาติล่มจมก็เกิดจากอวิชชาทั้งนั้น

       คำว่าอวิชชาไม่ได้เแปลว่าโง่เท่านั้น แต่คือไม่มีคุณธรรม คำว่าวิชชาของพระพุทธเจ้าคือคุณธรรม แบบพุทธ วิชชา 8 ประการเป็นต้น

       Knowledge คือความรู้ ที่เขาเรียนหาความรู้กันทั้งนั้น ความรู้ในโลกนี้มีสองสายคือ

       สายเจโต ก็คือจิตที่ได้รับการศึกษากล่อมเกลามาใช้ เป็นทางในๆลึกๆ แต่ทางปัญญาจะเป็นทางข้างนอก แจ้งสว่างกว่า

       สายเจโตเรียกว่า ญาณศาสตร์ Prophecyส่วนสายปัญญาเรียกว่า ปรัชญา Philosophy ผู้ที่มีปัญญาสูงมากเขาก็ยกย่องว่าเป็น Philosopher ส่วนนายเจโตก็เรียกว่าProphet เป็นศาสดา แต่ศาสดานั้นอธิบายไม่ได้เหมือนปรัชญา แต่ปรัชญาอธิบายได้แต่ไม่เข้าถึงจิตลึก แต่ว่าสายเจโตจะใช้จิตลึกเป็นแต่อธิบายไม่ได้

       สายพุทธก็มีสัทธานุสารีกับธัมมานุสารี ก็คือเจโตกับปัญญา คนในโลกก็ใฝ่หากันสองแบบเพื่อให้เกิดความรู้ที่แท้จริง ทางปัญญาและเจโตก็พยายามค้นคว้าศึกษาให้เข้าถึงความจริงมากขึ้นก็เรียกว่า ญาณวิทยา Epistemology เป็นความรู้หลักวิชาการที่สอนกันสูงขึ้นๆ แต่ก็ได้ประมาณหนึ่งทฤษฎีไม่สมบูรณ์ แต่ของพระพุทธเจ้าสมบูรณ์ทั้งกายและใจ ทั้งวัตถุนิยมและจิตนิยม แต่จิตเป็นประธาน ให้เกิดความจริงเรียกว่า ปรากฏการณ์วิทยา ให้มีวิธีการปฏิบัติให้เกิดความจริง คือ Knownledge Truth through Practice นำไปสู่ความรู้ความจริงสูงสุด Genuine Knownlegde

       เป็นความรู้ที่พิสูจน์ได้รู้ทั้งนอกและใน หลักพุทธเรียกวิโมกข์ 8 คือความรู้ที่จะให้พ้นจากอวิชชา นี่คือความรู้จากศาสนาพุทธ คนยังเข้าไม่ถึงกัน แต่ไม่ว่าการศึกษาใดก็ต้องการความรู้ที่แท้จริงนี้

       ที่อาตมานำของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย พยายามประกาศ ให้พวกเราได้รู้กัน แต่อาตมามีบารมีแค่นี้ ชาตินี้มาลองของ มาอย่างไม่มีอะไรเป็นทุนเลย ไ่ม่มีทุนทางสังคมเลย ใช้สัจจะธรรมะมาแสดงคนเข้าใจยาก เขาหาว่าเกาะคุณจำลอง หรือโหนในหลวง ซึ่งก็เปล่าเลย ถ้าอาตมาไปเกาะอะไรอาตมาเสียเหลี่ยมหมดเลย มันต้องตัวเองสิ แล้วอาตมาระมัดระวังที่จะไม่ไปเกาะคนอื่นใช้ลาภยศสรรเสริญ กาม อัตตา พวกนี้เป็นอามิสไม่ใช้เลย ใช้ธรรมะเป็นธรรมาวุธ ตัวเดียว พิสูจน์มา 40 กว่าปีแล้ว ได้ผลจริงๆ ได้ผลจนเป็นชาวอโศกเป็นหมู่กลุ่มสาธารณโภคี ให้เขาเห็นอยู่นี่

      พวกเรามาทำอยู่ในสังคมนี่พวกเราเสแสร้งหรือเอาจริงเอาจังนะ ...มาหลอกคนอื่นหรือคุณมาทำเพื่อขัดเกลาตนเพื่อรับใช้สังคม รายได้ของเราคือการได้ขัดเกลากายวาจาใจ ส่วนผลได้คือเราได้รับใช้เขา เท่าที่เราทำได้ คนเช่นนี้มีคนเดียวก็ดี ถ้ามีมากกว่านั้น เป็นร้อยพันหมื่นแสนประเทศจะสงบสุข

       มันมีปรากฎการณ์จริงเป็น Phenomena ไม่ได้พูดเพื่ออวดตนเอง แต่มายืนยัน เป็นคนปะหลาดมหัศจรรย์ เป็นไปได้ยังไง เปิดตลาดอาริยะ เราไม่ใช้เงินบริจาคในการชุมนุมมาทำตลาดอาริยะนะ มีของส่วนตัวและของส่วนกลางของอโศกมาทำนะนี่ มาออกร้านเปิดขาย ตอนนี้เราทำได้ 5 ครั้งแล้ว อัตราการช่วยสูงขึ้น 3 แสน 7 แสน ล่าสุดนี่ถึงล้านกว่าแล้วที่เราทำตลาดอาริยะ ใช้เงินชาวอโศกจัดงานตลาดอาริยะนะ เราไม่ทำประชานิยม ที่เอาเงินของรัฐคือเงินประชาชนมาหลอกล่อ แล้วทำไม่สำเร็จขายขี้หน้าเลย เช่นว่าจะให้กระชากราคาน้ำมัน แต่ทำไม่ได้ก็คือ ขี้หย้อง ขี้แบ๊ะ ดีแต่พูด ไม่ได้สาระอะไรเลย ทำอะไรไม่สำเร็จ โดยเฉพาะรัฐบาลนี่คุณธีรยุทธเขาตั้งฉายาว่า ขี้ถ่อง คือได้นิดหน่อยได้ส่วนหนึ่ง รัฐบาลทำก็ได้แค่นี้ ไม่ได้สำเร็จอะไรเลย แล้วก็ช่างตั้งชื่อ ขี้ขำ คือขี้คาตูด

       สังคมจมขี้จนปี้ป่น ทนแทบไม่ไหว เป็นเพลงที่อาตมาแต่งไว้ มันก็จะเกิดผลขึ้นมา หยิบมายืนยันไม่ได้อวดตัวตน หลายอย่างคิดไม่ออกแต่เป็นไปได้อย่างน่ามหัศจรรย์แปลก สังคมเราทำดีๆไปสักวันเหตุปัจจัยจะครบสมบูรณ์ ถึงจุดวิกฤิต จุดชวาน จุดสันดาป จะเปลี่ยนการเมืองการสังคมจะจุดระเบิดได้สักวัน

       ที่นี้เราก็ต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงหรือสงบ ต้องให้เรียบร้อยง่ายงาม ราบรื่น ต้องเป็นเช่นนั้น สำเร็จ สันติคือความเรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม จะสำเร็จก็สำเร็จด้วยความสงบ มนุษย์ทำได้ อาตมาไม่ท้อ ถ้าทำได้สำเร็จไทยจะเป็นมหาอำนาจจริงๆ ไม่ต้องไปชนะด้วยเล่ห์เหลี่ยม ไปครอบงำประเทศให้เป็นอาณานิคม ทุกวันนี้ไม่ได้ใช้กำลังแต่ใช้วัฒนธรรม เราไม่ต้องไปเป็นเจ้านายแต่เขายกให้เราเองด้วยคุณความดี เป็นมหาอำนาจแบบนั้น เราเป็นประโยชน์ต่อคน ช่วยสังคมให้เกิดสันติสงบเรียบร้อยเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นคอมมูนสมบูรณ์แบบเผด็จการสมบูรณ์แบบ ประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ เผด็จการสั่งการได้ แต่ทำเพื่อผู้อื่น บริหารโดยไม่ต้องบริหาร ปกครองโดยไม่ต้องปกครอง สั่งได้โดยยอมรับโดยดุษณี แล้วผู้มีอำนาจอย่างนั้นจะไม่ข่มขี่ สั่งการโดยอำนาจ อย่างเก่งจะแค่บอก มนุษย์ต้องทำให้ได้

       ความรู้ที่แบ่งแจกเอามาจากพฤติกรรมของมนุษย์ ถ้าศึกษาของพระพุทธเจ้าก็ครบทุกอย่าง แม้วิชาทางเทคนิคก็ศึกษาไปสิ แต่เรื่องสังคมแท้ก็มีรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เท่านั้นแหละ ให้เจริญอย่างวิเศษ แม้เรื่องมานุษยวิทยาก็วิเศษ ส่วนวิชาเทคนิคบางอย่างเช่นการชงเหล้าเราไม่ศึกษา การชกมวยให้เก่งเราไม่ศึกษา การสร้างอาวุธเราไม่เอา เราจะรู้ว่าความรู้อันไหนน่าส่งเสริมหรือคัดค้าน อย่างฟุตบอลนี่ อาตมาเคยเป็นนักบอลนะ แต่ก่อนเวลาจะแข่งต้องไปเกณฑ์คนไปนั่งดู เดี๋ยวนี้ต้องเสียเงินค่าตั๋วดู นี่คือการหลอกมอมเมากัน ไม่มีอะไรนอกจากชนะกันด้วยเทคนิค ชนะแล้วได้อะไรมาไม่ได้อะไรเลย เสียแรงเปล่า แล้วได้พนัน เสียเวลา เสียสื่อสารต้องออกข่าว มันเกือบทุกชม.เลย นี่คือความสูญเสียที่โลกไม่รู้ ไปชกกันปากแตก    

       นี่มันยุคไหนแล้ว มันยุคที่ต้องช่วยกัน คนล้มต้องช่วยกันพยุงขึ้นมา คนช่วยคนด้วยเมตตาต่างหากคือคนชนะ แม้ช่วยเขาด้วยเมตตาแล้วแพ้ก็ยังเอาวะ ช่วยเขาด้วยจิตใจปรารถนาดีจริงๆ อย่างที่อาตมาพาทำ ไม่ได้อยากแพ้นะ แต่แพ้ก็แพ้ เราได้ทำส่ิงประเสิรฐแล้วให้เขารับส่ิงดีงาม ในเรื่องธรรมลึกซึ้งนี้ ยุคนี้คนฉลาดแล้ว สังคมจึงลดลงไม่เหมือนเก่า

       บางประเทศที่ไปรุกรานเขาจึงได้รับการลดเครดิต อย่างอเมริกาไปรุกอิรัก หาความเขาว่ามีนิวเคลียร์ พังประเทศเขาแล้วไม่เจอนิวเคลียร์ก็เสียเครดิต สมัยนี้ไม่ใช้ไปทำลายเขา แต่ควรไปช่วยเขาต่างหาก ช่วยอย่าไปอยากได้อะไรจากเขา หากเราเรียนรู้พระพุทธเจ้าแล้วทำจิตให้บริสุทธิ์ เป็นอรหันต์

       พระพุทธเจ้าเปิดมหาวิทยาลัยมีอรหันต์ 60 รูปเกิด ก็ให้ไปสู่นิคม ไม่ใช่ไปป่า อย่าไปซ้ำที่กัน โดยสำทับว่า ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ไปทำประโยชน์รับใช้ประชาชนให้เป็นสุข พหุชนหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ

       ยังมีทฤษฏีสมบูรณ์อยู่ โพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 เป็นต้น ถ้าทำได้สัมมาทิฏฐิ จะมีผล พระพุทธเจ้าว่า ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่โลกไม่ว่างจากอรหันต์

สิ่งที่ยากมีอยู่ 3 อย่าง

        1.ให้ส่ิงที่ให้ได้ยาก สิ่งที่ให้ได้ยากที่สุดคือ กิเลส หวงจังเลย เราต้องลองให้แรงงาน ให้วัตถุ จนแม้แต่ตัวเราคนก็ตำหนิได้ ด่าได้ คือการทดสอบวิญญาณเรา แม้เขารุนแรงกับเราเราก็อภัย ศาสนาคริสต์ว่าแม้เขาตบแก้มขวาเราก็ยืนแก้มขวาให้ตบอีก แต่อาตมาว่าไม่ดี เขาก็ตบแรงขึ้นอีก

        2.ช่วยสิ่งที่ช่วยได้ยาก ตอนนี้เรามาช่วย สมควรอย่างย่ิงที่จะมาช่วยกันประท้วง จะรอให้ยับเยินอีกเท่าไหร ขณะนี้ไม่พอหรือไง ทำไมซาดิสม์มาซูคิสขนาดนั้น

        3.อดทนในส่ิงที่อดทนได้ยาก

       อ.ประมวลนี่ก็พากเพียรศึกษา มีความลึก มีภาษาวิชาการในการสื่อ เป็นด็อกเตอร์ ชาตินี้อาตมาไม่มีทุนทางสังคมเลย เพราะต้องให้พิสูจน์เนื้อแท้ธรรม อย่าไปเอาอำนาจอื่นเช่นความรวย ความสวย ใบรับรองเปรียญ ปริญญา ก็ไม่ต้องได้ ในชีวิตนี้ด้อย ไม่ได้แกล้งพูด ท่านต้องการให้อาตมาพิสูจน์ธรรมะเพียวๆ จะนำพาไปรอดไหม มาถึงวันนี้มั่นใจว่ารอด พาไปรอดแน่ เป็นแต่เพียงพวกเราจะช่วยกันนำพามนุษยชาติไปสู่ความประเสริฐ อาตมาคนเดียวทำงานไม่ได้หรอก ต้องช่วยกัน คนก็เข้าใจเพ่ิมขึ้น ให้มีบรรลุธรรมแล้วจะจริงไปเรื่อยๆ

        มาฟังคานธีดูในบาป 7 ประการในทัศนะมหาตม คานธี ได้กล่าวถึงบาป 7 ประการในทรรศนะของท่านคือ

  1. เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการ
  2. หาความสำราญโดยไม่ยั้งคิด
  3. ร่ำรวยเป็นอกนิษฐ์โดยไม่ต้องทำงาน
  4. มีความรู้มหาศาลแต่ความประพฤติไม่ดี
  5. ค้าขายโดยไม่มีหลักศีลหลักธรรม
  6. วิทยาศาสตร์เลิศล้ำแต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์
  7. บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ

        นี่มาจากโพธิสัตว์คานธี เล่นการเมืองโดยไม่มีหลักการที่เป็นธรรม เขามีหลักที่เป็นหลักโกงกัน อาตมาพาเล่น  การเมืองโดยหลักการของพระพุทธเจ้า

         หาความสำราญโดยไม่ยั้งคิด อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง โดยเฉพาะข้อคบมิตรชั่ว คนโกงประเทศ พวกคอรัปชั่น ในวงราชการไหนไม่มีคอรัปชั่นบ้าง นักการเมืองที่โกงกินนี่ย่ิงกว่าอบายมุข พระพุทธเจ้าตรัสว่าเราเป็นมิตรดีของเธอ

1.มีมิตรผู้มี“ทิฏฐิ”ตรงกัน ปรารถนาดีต่อกัน (กัลยาณมิตโต) .

2.มีมิตรดี ผู้มีความร่วมมือ ร่วมประโยชน์ดี (กัลยาณสหาโย)

3.มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี (กัลยาณสัมปวังโก) .

นี้เป็นทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ (คือ ทั้งสิ้นของศาสนา)

       พวกทรราชย์อย่าไปคบเชียว ถ้าคบแล้วบรรลัยตนเองบรรลัยชาติแน่นอน

       วิธีการทุนนิยมพยายามให้ร่ำรวยโดยไม่ต้องทำงาน แม้ค่าลิขสิทธิ์ อย่างบิลเกตต์น่าจะทำให้สังคมนะ อย่างไอสไตน์แกไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ ไม่มานั่งรับค่าลิขสิทธิ์เลย อย่างอาตมาคิดออกนี่เอาไปใช้เลยไม่เสียค่าลิขสิทธิ์

       มีความรู้มหาศาลแต่ประพฤติไม่ดี มีมากเลยในสังคม เราก็เคยเป็นมา เอาความรู้ไปเอาเปรียบเขายิ่งเอาเปรียบเขามากเท่าไหร่ยิ่งเลว แล้วภูมิใจอีกซวยไหม พวกมิจฉาทิฏฐิ

       สรุปแล้วความรู้ทางโลกนี้มีมากแต่ไปเอาเปรียบนี่เลวแล้ว ยิ่งให้คนตกอยู่ใต้อำนาจ แม้ความรู้มหาศาลอย่างไรก็เลย

       ค้าขายไม่มีหลักศีลธรรมนี่มีมากในสังคม แต่พวกเรามาทำพาณิชย์บุญนิยม ขายราคาต่ำเท่าใดยิ่งเป็นบุญ เรากินน้อยใช้น้อย ก็อยู่รอด แต่เขาสอนให้มักมาก เฟ้อหรูหราฟู่ฟ่า เอาเปรียบไม่หยุดหย่อน แต่ของเราพยายามมาให้เป็นบุญนิยม แม้ขายเท่าทุนก็ยังไม่เป็นบุญ แต่ถ้าขาดทุนได้คือเป็นบุญ ถ้าให้ฟรีได้คือได้บุญเต็มเลย เราไม่ทำเล่น แต่ทำจริงให้ถาวรเลย

       วิทยาศาสตร์เลิศลำ้แต่ไม่มีธรรมแห่งมนุษย์ พาให้คนป่วย คุณกินอาหารทุกวันนี้ เป็นพิษภัย วิทยาศาสตร์สร้างมามีทั้งผลดีผลเสีย หากไม่มีธรรมะก็พาเสีย กิเลสพาเอาเปรียบ วิทยาศาสตร์ที่คิดได้แล้วไปเอาเปรียบคนอื่น ไม่มีธรรมะสังคมก็บรรลัย อย่างคอมพิวเตอร์หากใช้เลวก็มอมเมาตนเอง สามารถใช้ประโยชน์ได้ดี แต่ก็ทำหายนะได้มาก มอมเมาได้มาก

       บูชาสูงสุดแต่ไม่มีความเสียสละ อันนี้คือลัทธิทางเจโต พวก Prophecy ญาณศาสตร์ เห็นแก่ตัวมักน้อยจนไม่ให้ใคร แม้แต่ผ้านุ่งก็ไม่มี ลัทธิทิฆัมพร มักน้อยไม่ไม่ช่วยใคร นี่คือพวกบูชาสูงสุดนะ ยกย่องบูชากันในสายโจโต ไม่เบียดเบียนใครแต่ก็อาศัยข้าวเขากินนะ ไม่ทำนาทำไร่เดี๋ยวกลัวสัตว์ตาย มีที่ปัดจุลินทรีย์ไม่เบียดเบียนนะ

       จึงมีผลต่อสังคมตามลำดับ ตามภูมิ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ​อรหันต์ ก็พัฒนาโลกุตรจิต มีโลกานุกัปายะ ไป

   ส.ฟ้าไทสรุป...วันนี้เราได้ฟังพ่อครูมีประเด็นที่นำเสนอเรื่องศาสนา ไทยเราทุกวันนี้ต้องการให้คนมาแสดงอำนาจประชาธิปไตย  ไม่ต้องมากทม.ก็ได้ มาต่างจังหวัดก็ได้ ถ้ามาสองล้านคนนี่อยู่ไม่เกิน 7 วันหรอก ธรรมะจะพาไปสู่ส่ิงสูงสุดได้ ….


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:04:32 )

561031

รายละเอียด

561031_รายการเรียนอิสระ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง สลายอัตตามากู้ชาติ

ส.ฟ้าไทดำเนินรายการที่สวนลุมฯ วันนี้พ่อครูก็มาจัดรายการได้หลังจากที่ได้เขียนหนังสือเสร็จ พระเจ้าอโศกมหาราชได้กล่าวไว้ว่า

            พ่อครูว่า...ไม่ได้มาหลายวันเพราะเขียนหนังสือ ชื่อเรื่อง “รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์” พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสัตว์ออกเป็น 9 เป็นสัตตาวาส 9 ให้รู้ครบหมดเลย แล้วก็ทำลายความเป็นสัตว์ให้หมดเลย เรียกว่าทำลายโซ่ที่ผูกสัตว์หรือคุกที่ขังสัตว์ไว้ คือสังโยชน์ หนังสือเล่มนี้รวบรวมความรู้ว่า คนคืออะไร สุขคืออะไร รู้คุกคืออะไรที่ขังสัตว์ สัตว์อยู่ไหน แล้วจับสัตว์ให้ได้ แล้วกำจัดเหตุแห่งสัตว์ได้  พระพุทธเจ้าใช้เวลาเรียนกว่าจะครบก็ล้านๆๆๆๆชาติ คือเวลานับไม่ได้เลย

            ขณะนี้เขากำลังจะโกยออกมาโกง 2.2 ล้านๆบาท ยังนับกันยากเลย แต่นี่มันล้านๆๆๆชาติ พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ พบพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมาย หนังสือเล่มนี้จะไขความเป็นกุศลอกุศลให้ละเอียดละออ

            เรื่องกำลังเขม็งเครียด เราอย่าไปทำอาการเช่นนั้น เรารู้ว่ามันพาทุกข์เราอย่าไปทุกข์ด้วย เหตุการณ์ไม่ได้เกิดมาให้เรากลุ้ม เกิดมาให้เราแก้ไข ตามภูมิปัญญาความสามารถ

            มีผู้ที่ส่งคำถามส่งประเด็นมาก็มีบ้าง

ประเด็นว่า...อนิจจังทุกขังอนัตตา หมดสิ้นแล้วหรือชาติไทย ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งอธรรมต่างๆได้แล้วหรือ มีเพียงเท่านี้ละหรือผู้กล้า ชาติ บัลลังก์จะต้องละลายไปกับเหล่าร้ายเหล่านี้กระหรือ พ่อท่านมีความหวังอะไรอยู่ในใจ โพธิรักษ์ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของพวกชั่ว เพราะมีส่วนในการขัดขวางการของพวกมันมาตลอด ไม่มีพลังในจะหยุดการกระทำของพวกมันได้ ไปมุดหัวอยู่ไหนหมดพวกเจ้าใหญ่นายโต ออกมาเป็นผู้นำให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ จะไปหวังกับทหารไม่มีทาง แม้แผ่นดินเกิดก็ยกให้เขาได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ....ทำไมสังคมไทยไม่ยอมรับพระสมณะพูดวิจารณ์การเมือง มีข้อห้ามหรือไม่

            ทางการออกกฎหมายสำทับอีกว่า ถ้าใครจะออกมาทำงานสาธารณกุศล ห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เวลาเขียนระเบียบการ ต้องระบุเลยว่า จะต้องเขียนไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ศาสนาก็เลยถูกกันไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย ทั้งรูปธรรมและนามธรรม บ้านเมืองก็เลยยิ่งพัง สัจจธรรมก็เลยถูกบั่นทอนอย่างอวิชชา ทำไมสังคมไทยไม่ยอมรับการที่พระสมณะวิจารณ์การเมือง ....นั้นไม่มีข้อห้ามและไม่มีข้ออนุญาต ในมหาปเทส 4 มีว่าไว้

            ในยุคพระพุทธเจ้าไม่ใช่ยุคประชาธิปไตย จึงไม่เหมือนกันในบริบท แต่ยุคนี้เรียนรู้หมดแล้ว สามารถทำกับสังคมได้อย่างไม่มีปัญหา ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็ยึดติดอย่างนั้น เขาถูกครอบงำสำเร็จทั้งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งหลักวิชาการและมนุษยชาติ ศาสนาอิสลาม การเมืองกับศาสนาอันเดียวกันเลย พุทธธิเบตก็หนึ่งเดียวกันระหว่างการเมืองกับศาสนา ไม่มีข้อห้ามหรือนุญาต แต่มันสมควร คนไม่มีภูมิคุ้มกันไม่มีความสามารถอย่าออกมาทำ ถ้าออกมาก็เป็นเบี้ยเป็นลูกกะโล่ให้เขา ถูกพวกฉลาดแกมโกงเอาไปรับใช้เป็นเบี้ยล่าง แม้ขนาดมีกฎหมายห้าม เขายังทำเลย เอาพระมาเป็นหัวคะแนน พวกเรารู้ดีเอาไปเป็นหัวคะแนนไม่ได้หรอก

            เราพิสูจน์ไปเถอะ เราออกมาไม่ได้ไปล้มล้างใคร ออกมามีแนวลึกด้วย เป็นประชาธิปไตยแบบใหม่ เป็น Neo-Democracy ไม่ได้เป็นแบบที่คนเป็นอยู่ทั้งโลก เพราะเขาเป็นอย่างโลกีย์ แต่ของพระพุทธเจ้าพาเป็นแบบโลกุตระ แล้วยากที่จะรู้ ยากเพราะเกี่ยวกับนามธรรมเยอะ มีนัยสำคัญลึกล้ำ ซับซ้อน ไม่ลับ ศึกษาดีๆ เพราะจะเหนือชั้น ไม่ใช่คุยอวดโอ่ แต่จะไม่เหมือนโลกๆ ชาวโลกุตระจะไม่เอาชนะคะคานใคร ให้ดีที่สุดประเสริฐสุด ไม่มีความรุนแรงเลย แต่มีพลังมหาศาล เป็นพลังเมตตาอันชุ่มเย็น โอบอุ้มโลก ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ยกตัวอย่างเช่น เราไปทำกับสังคมมาตลอดเวลา เช่นที่เรามาอยู่ที่สวนลุมฯ เราเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างพอได้ เราอโศกเป็นคนเล็กๆ ไม่มีอำนาจ ยศ ศักดิ์ เงินทอง ยุทธภัณฑ์ มีแต่น้ำใจและบริขารที่จะประกอบการทำงาน เช่นเต็นท์เครื่องเสียง ไม้กระบองจะตีหัวคนยังไม่มีเลย เรามีแต่เรื่องรับใช้คน เราทำด้วยภาคภูมิใจ

            ผลที่เกิดมีความชนะรายทาง คือคุณค่าความดีต่อสังคม ศัตรูก็อ่อนลง รุนแรงน้อยลง มีปัญญามากขึ้น สำนึกดีมากขึ้น แม้ลึกๆจิตจะอำมหิตมากขึ้นแต่ต้องแสดงออกอย่างซับซ้อน เป็นสัจจะย้อนสภาพ เป็นธรรมาธรรมะสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม ที่ธรรมะชนะไปทีละนิดๆทีละก้าวๆ นี่คือการชนะ แต่ในสายตาโลกที่มุ่งหมายชนะ ถ้าออกมาแล้วแพ้ไม่ได้ อันนั้นเป็นบริบทของทหาร เราต้องเข้าใจให้ชัด แต่ของเราไม่ได้มาทำหน้าที่ทหาร เราทำหน้าที่ประชาชนเต็มขั้น เราอยู่อย่างสงบ ปรองดอง เราทำปรองดองอย่างไม่เห็นแก่ตัว ที่เขาทำปรองดองในสภา เป็นการปรองดองเพื่อตนเองเพื่อพรรคพวกตนเอง เขาอ้างเพื่อตนเองได้ แต่ตอนนี้พวกเขาเองก็ชักรู้ตัวแล้ว ว่านี่ทำเพื่อตัวเองนี่หน่า

            ที่เราออกมาชุมนุมไม่ใช่ไม่เข้าใจ ประเด็นที่จะชนะคือประชาชนออกมามากๆเขารู้กันหมดทั่วโลกแล้วละป้าเอ้ย แต่ทำไมไม่ทำ มันมีความเห็นแก่ตัวหลายชั้นมากเลย
1. ถ้าออกมาต้องชนะ นี่คือความเห็นแก่ตัวชนิดหนึ่ง แพ้ไม่ได้นี่คือตัวตน

2. อื่นๆเช่น เห็นแก่ตัวเพราะรักตัวกลัวตาย ไม่สบาย ขี้เกียจ แม้แต่ถูกครอบงำความคิดแล้วไม่ออกมาก็เห็นแก่ตัว ธุระไม่ใช่ ประชาชนก็ออกมาทำมาหากิน ใครเล่นการเมืองก็เล่นไปเราทำมาหากินไป บ้านเมืองเป็นไง เราก็ปล่อยมันไป ไม่เกี่ยว 

            คนไม่เดือดร้อนหนักหนามีเยอะ แต่ยิ่งไม่เดือดร้อนก็ยิ่งต้องออกมาช่วย คนที่เขาเดือดร้อนจนออกมาไม่ได้มีมาก แต่คนที่พอมาได้ทำไม่ไม่ออกมาช่วย นั้นเพราะมีความเห็นแก่ตัวมาก

            มีคนเขียนมาว่า ที่เป็นไทยเฉยเพราะเบื่อเอือมระอาต่อการเป่านกหวีดที่หาเป้าหมายประโยชน์ไม่ได้ ....นี่คือซ้อน เมื่อเป่านกหวีดต้องชนะ นี่คือเห็นแก่ตัว ทุกคนก็อยากให้ออกมาก็เลยออกมาเป่ากันใหญ่เลย แล้วจะจบเมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่ต้องมุ่งหมายว่าจะจบเมื่อไหร จบแล้วแพ้หรือชนะก็ไม่ต้อง แพ้ก็จบได้ ชนะก็จบได้ หยุดได้ทั้งสองอย่างถ้าสมควร ถ้าแพ้แล้วเสียหน้าไหม? คุณก็แบกอัตตาไปสิ เราไม่มีหน้าตาตัวตน แพ้ก็ได้ชนะก็ได้ ไม่ได้พูดเล่นด้วยโวหารนะ เราเป็นจริง ครั้งเสธ.อ้าย เราก็ถอย ครั้งพล.อ.ปรีชาก็ถอย เราก็ไม่มีเสียหน้า เพราะไม่มีหน้าให้เสีย เราก็มีกำลังทำงานไป ขอให้มีจิตโลกุตระถึงเถอะน่า มีคนสงสัยว่าอย่างนี้เป็นได้จริงหรือ?

            ต้องเชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ มาตรวจสอบได้ มีของจริงอยู่ที่นี่ ต้องมาทำเอง จะได้เป็นเอหิปัสสิโก เห็นเองโดยตัวเอง อย่างพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นตถาคตา เหนือชั้นกว่า ตถตา ไปก็เป็นแล้ว มาก็เป็นแล้ว จะอยู่อย่างไรก็เป็น เป็นจนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้สุดยอดจริงๆ มาปฏิบัติให้เกิดตถตาก่อน เป็นของตนก่อน แล้วมาเป็นต้นเชื้อให้คนอื่นมาเป็นได้อีก นี่คือสัจจะที่สุดยอดของพระพุทธเจ้า

            มั่นใจในชาวอโศกที่มีเชื้อโลกุตระเช่นนี้ กำลังฟูมฟักเลี้ยงดู พยายามสร้างอบรมให้เจริญงอกงามตามลำดับ เราออมารบ (สรณะ)จนจบสุดท้ายได้ไม่ต้องรบอีก จบ (อรณะ) ก็ทำไป

            สงครามที่เรากำลังทำแบบโลกุตระนี้คนจะรู้ยาก แม้แต่ตนเองยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรก่อน แต่ทำตามปัจจุบัน
            ธรรม นั้น เร็วรู้เร็วรับ เอามาประกอบสังเคราะห์ มีมุทุภูตธาตุ มีชวนจิต ดัดได้เร็ว มีจิตหัวอ่อน มีไหวพริบเร็วไว ปรับได้ง่าย ไม่ดื้อแข็งไม่ด้านชา คล่องแคล่วชำนาญ ไว ง่ายดาย แต่มีปัญญาประกอบ ไม่มีใครครอบงำได้ เป็นตัวของตัวเองสูง แต่ไม่หยิ่งผยอง ทำอย่างมีประมาณ ทำเสร็จแล้วก็เป็น กัมมัญญตา มีมหาปเทส 4 สัปปุรสิธรรม 7 เหมาะสมทุกเวลา ทำด้วยอุเบกขา สังขารุเปกขา มีคุณสมบัติของอุเบกขา 5 ประการ ซึ่งลึกซึ้งมาก

            สุดยอดของธรรมะพระพุทธเจ้า มีต้นรากคุณธรรมที่มีคุณลักษณะสูงเป็นคุณวิเศษที่ทำงานให้สังคมมนุษยชาติ ตอบคำถามที่พูดมาว่า หมดสิ้นแล้วหรือชาติไทย พ่อท่านมีความหวังอะไรในใจ....ก็ขอบอกว่า ....บอกตรงๆ พูดด้วยความจริงใจ ทำงานมา 40 กว่าปีนี้รู้สมบัติทางธรรมของคนไทย เท่าที่อาตมามีภูมิวัด อาตมายังเห็นโอกาส ยังมีความหวังว่า พุทธธรรมหรือโลกุตรธรรมยังมีอยู่ คือเมืองไทยยังมีพระสยามเทวาธิราช ยังมีคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ดูแลปกป้องประเทศชาติอยู่ เป็นพลังงานโอบอุ้มประเทศอยู่ เป็นนามธรรมที่แท้จริงไม่ใช่หลอกๆ เป็นคุณธรรมสุดประหลาดมหัศจรรย์มีธรรมฤทธิ์ แต่ไม่เหมือนพวกหวังธรรมฤทธิ์โดยประมาทคือพวกหวังโดยไม่ทำอะไร แต่ของพระพุทธเจ้าเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วเราต้องทำด้วยทำให้เหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย เราต้องช่วยตัวเองก่อน แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเราทีหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีตัวตน พระสยามเทวาธิราชมี แต่เราต้องทำนำหน้าท่านแล้วท่านจะออกมาช่วยเรา ขอให้ประชาชนออกมาเถอะ อะไรก็จะออกมาช่วย กองทัพก็จะออกมาช่วย แม้ศัตรูก็จะแปรพรรคออกออกมาช่วย

            แต่ประชาชนติดที่อัตตาตัวตน ถ้าคนไทยถอดตัวตน แล้วออกมารวมตัวกันให้ได้งานนี้สำเร็จประชาชนชนะ พวกที่บ้านอย่าเอาแต่เชียร์เฉยๆอยู่ที่บ้านนะ ออกมาๆ เรียกเบาๆไม่ขอเรียกดัง งานนี้มีไม่รู้กี่ทัพ สงสัยคราวนี้จะเป็นสงคราม 9 ทัพนะ

            ทำไมเลข 9 เพราะเลข 10 หรือ 0 เป็นพลังงานที่ไม่ออกบทบาท มันนิ่งแล้ว แต่ถ้า  9 จะเต็มที่ในการออกบทบาท แม้แต่มีกองทัพ 5 กองแต่เต็มนามธรรม 9 ทัพก็ใช้ได้ แม้จะอยู่กัน 9 จุดก็รวมเป็นหนึ่ง กลมเกลียวสมบูรณ์ อะไรก็ชนะ จะเคลื่อนย้ายโลกไปที่กาแลกซี่ไหนก็ได้ ถ้ามีพลังรวมจริงๆ เป็นเรื่องสัจจะ

            บอกว่าอาตมามีความหวังก็ คือเมืองไทยยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก เหลือแต่ว่าเราจะอย่างไม่รุนแรงไม่เสียหายน้อยที่สุด ก็เหลือแต่ผู้ที่ค้านแย้งเป็นปฏิปักษ์อยู่เท่านั้น แต่ก็เป็นพัฒนาการ อาตมาจึงไม่ท้อ ตั้งหน้าตั้งตาทำ เพราะความจบของเวลานั้นไม่มี ไม่ต้องไปห่วงหรอก ทำไปให้เรียบร้อย ให้มีสิ่งจริงในสังคม ที่จะเกิดกระบวนการซับซ้อนไปเรื่อยๆ เราตายไปกระบวนการก็ดำเนินไป คนสืบสานก็ทำต่อ เวลาไม่มีจบ ถ้าเป็นของจริงมันจะเดินไปสู่ความสำเร็จอย่างไม่มีอะไรห้ามกั้น เป็นแต่ระหว่างทางจะมีอะไรทำให้เกิดความสูญเสียบ้างเท่านั้น แต่เราจะพยายามให้สูญเสียน้อยที่สุด

            ในสมาธิพุทธ น.440 ....ผู้ที่ทำงานแล้วทุกข์มีเหตุหลายประการ 1. ทำแล้วไม่ดีเท่าที่ตนหวัง(เพราะตั้งความหวังไว้สูงเกินไป) 2.ทำแล้วไม่ให้ผลเท่าที่ตนหวัง 3.ทำเพราะฝืนใจ 4.ทำสิ่งที่รู้ว่าไม่สมควรทำ 5.ทนคำติไม่ได้ 

            ที่ออกมานี่เพื่อช่วยเขาอย่างไม่มีอัตตาด้วยนะ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเท็จด้วยนะ ตัวอาตมารับรองตัวเอง ไม่โกหก ไม่พูดปด พูดปดมั่นชั่ว แม้จะไวท์ไลก็ตาม สิ่งที่อาตมาหวังก็คือหวังความก้าวหน้าของมนุษยชาติ ก็เห็นคนไทยพัฒนาก่อน จนกว่าจะสิ้นชีวิต ใครจะมาต้านกั้นก็หลบเลี่ยง ไม่ทำร้ายเบียดเบียนใคร ทำสุดที่ ตอนนี้การเมืองไทยกำลังน่าสนใจ น่าบันทึกไว้ในพงศาวดาร

            เราออกมาทำงานกับสังคมอย่างนี้ ถ้าไม่ออกมาจะได้ชื่อว่า พหุชนะหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะได้อย่างไร เราทำนี่ยังน้อยไปด้วย เราทำไปตามลำดับ ทำอย่างจริงใจเต็มใจทำ ทำอย่างไม่น้อยใจเศร้าใจแหว่งใจ เพราะตนเองทำใจเสียเอง น้อยใจเอง โง่เองทั้งนั้น แพ้ไม่ได้พลัดพรากก็ไม่น่าจะเสียใจอะไร ได้มาก็ไม่น่าจะดีใจอะไร ก็รับสิ่งที่ควรรับได้ มากเกินก็เผื่อแผ่แจกไป สบายจริงๆชีวิต

            มีกระทู้ธรรม....ว่า...คำว่าแพ้ สะกดไม่เป็น ท่านเห็นไหม.....พ่อครูว่า... คนนี้ล่ะยอดอภิมหาอัตตา เขาไม่รู้ตัวนะที่เขาสรรหาคำพูดนี้น่าอาย เขาโง่ที่ไม่รู้ว่าเขาประกาศอัตตาตัวเองนะ เขาคิดว่าพูดเท่ห์นะ แต่ที่จริงโง่ฉิบหายเลย อาตมาเคยมีโศลกว่า ผู้ที่ชนะเกือบรอบโลกทำไม่ได้ ก็คือการเป็นผู้แพ้ ถ้าทำได้เขาจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง .... อำนาจใหญ่คับฟ้าโกลาหล กระจายเชื้อความชั่วทั่วมณฑล ยกตัวตนหมายกลับมา เป็นนิ้วโป้งตัวป้อมไม่ซอมซ่อ .......

            เราก็เลยมาเป็นผู้แพ้ เราไม่เอาแพ้เอาชนะ เราพยายามสร้างจิตไม่เห็นแก่แพ้ชนะ อย่างกีฬานี่มันเอาแพ้เอาชนะกัน แต่ที่เราจะชนะนั้นเอาชนะกิเลสในตน เอาชนะความชั่วในตนให้ได้ เขาจะดีเท่าไหรก็ไม่ต้องไปริสยา เอาเขาเป็นตัวอย่างเท่านั้น แม้เราทำเลยหน้าก็ไม่ต้องไปข่มเขา พากันเจริญไปข้างหน้าด้วยกันอีก

            คิดแล้วเป็นจริงได้ เป็นความจริงเหนือโลก เหนือสามัญ แล้วยืนยันว่าเป็นได้ด้วย พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วพาเป็นได้จริง ไม่ใช่เรื่องคุยอวดกัน คนที่ไม่ออกมาช่วยกันคือมีตัวตนทำให้ไม่กล้า เพราะกลัวเสียลาภยศ กลัวเมื่อย กลัวลำบาก กลัวบกพร่อง ไม่กล้าแม้ที่สุด เข้าใจยังไม่ถูกต้องว่าต้องทำอย่างนี้ด้วยหรือ มีความสำคัญจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่? อาตมาว่าน่าจะเข้าใจได้ เห็นได้นะ อาตมาร่างหนังสือไว้ 300 หน้า แต่ก็ต้องเกลาอีก ก็เลยจบแค่ 200 หน้าเศษๆ ต้องตัดจบ ถ้าไม่ตัดจบก็ไม่ได้ออกมาเป็นเพื่อนพวกเรา มาช่วยกัน อาตมาเห็นว่าจำเป็นสำคัญเร่งด่วย ใครไม่เห็นแต่อาตมาเห็น

            เมืองไทยมีคุณธรรมพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ถ้าถอดตัวตนออกมา ก็เอามาใช่ได้เลย เรามีอุปกรณ์อยู่เยอะเลย ติดอยู่ที่อัตตา ถ้าถอดอัตตาได้ไปได้เลย คนไทยรู้แต่ติดอยู่ที่อัตตา การถอดอัตตาคือต้องมาร่วมชุมนุม ไม่เกี่ยงว่าความเห็นต่าง ความริสยาก็ต้องมี เราต้องทำใจว่า เขามีเราก็ไม่ต้องไปมีสิ

            ถ้าจะออกมาครั้งนี้ได้ปลดตัวตน ต้องเข้าใจว่าคนที่ยึดอยู่มีอวิชชาก็มี เราก็อย่าไปมีอย่างเขาสิ คนเขายึดก็ทุกข์ เราไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ เชื่อแล้วทำให้ได้สิ เหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยากเห็นจังเลย ไทยนี่แหละน่าจะเกิดให้โลกได้เห็น คุณสังเกตุไหมว่าอาตมาพูดอย่างสดชื่นไม่ซีเรียสเลย  เรื่องเขม็งแน่นอยู่แล้วเราไปแน่นด้วยเครียดเคร่งด้วยโง่มากเลย อาตมาหยุดโง่แล้ว ใครจะโง่ก็เชิญ ขออภัยที่ต้องกระทบ แม้คนที่บอกว่าออกมาต้องชนะไม่ชนะไม่ออก เสียเหลี่ยม นั่นแหละอัตตา เราแพ้ก็ไม่เป็นไร ออกมาร่วมกัน แม้แต่ครึ่งคนก็ออกมา คือคุณมาครึ่งหนึ่งเต็มใจ อีกครึ่งไม่เต็มใจก็มาเถอะ ขอให้ออกมา รู้ว่าดีก็ออกมา แม้ติดอัตตาตัวกู ไม่แน่ใจว่าจะชนะ ออกมาเลยแม้ไม่เต็มใจ

            อาตมายังเชื่อว่าข้างที่เราถือมากกว่าเขา ติดอยู่ที่อัตตาเท่านั้น เก็บอัตตาไว้ก่อน แม้มาแค่หนึ่งในสี่ก็ออกมาเถอะ ถ้ายิ่งติดแค่หนึ่งในสี่ ก็ออกมาเลย นี่ง้อมากแล้วนะ

            เชื่อว่าความเข้าใจของคนไทยเข้าใจมากแล้ว อยากรู้ความเชื่อที่ว่าฝ่ายเราจะมากกว่า จะเป็นจริงไหม? เอาตัวตนใส่เซฟลั่นดานซัก 5 ชั้นก่อน เอามาใช้งานก่อนได้ไหม เสียสละบ้างสิ ความไม่กล้าจะเสียอะไรบ้างเลย ออกมาทำเพื่อชาติบ้าง มันเกิดกรณีหนักเลย ดูสิออกไปประกาศว่าจะไปสามเสน พลังต้านทำทุกวิถีทางเลย ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เอาทุนรอนพวกเราทำด้วย ไม่เชื่อว่าประชาชนไทยจะยอมนะ

            คำว่าตัวตนตัวกูที่ยึดอัตตา มันยิ่งใหญ่ การลดอัตตา หยุดอัตตาตัวนี้ชั่วคราวก็ยิ่งใหญ่แล้ว ถ้าคุณวางตัวตนเป็นอรหันต์ได้ก็ยิ่งใหญ่เลย คุณมาทำงานนี่ไม่ได้อะไรหรอก อย่าไปหวังเลย นอกจากสิ่งที่ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข หรือเราจะทุกข์อยู่คนเดียวแต่ประชาชนเป็นสุขก็ยังได้เลย

            ส.ฟ้าไท ว่า...ฟังพ่อครูวันนี้แล้วรู้สึกประทับใจที่ท่านเสียสละ เสียสละความเป็นตัวตนท่าน แม้มาง้อคนปกติอยู่กับพ่อครูไม่มีลีลาง้อคนเลย แต่ท่านยอมเสียสละความเป็นท่าน เพื่อประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข แม้ท่านทุกข์ แต่ประชาชนเป็นสุขท่านก็ยอม.... The End


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:07:01 )

561102

รายละเอียด

561102_รายการสงครามสังคมฯ ที่สวนลุมฯ

เรื่อง ถ้ามาล้านคนเป็นสงครามครั้งสุดท้าย

       พ่อครูจัดรายการที่สวนลุมฯ...เรื่องที่กำลังร้อนฉ่าคือ “การเมือง” เป็นคำดี ไม่ใช่คำเสีย แต่คนปฏิบัติเรื่องการเมืองจนชั่ว เลว การเมืองเลยเป็นคำเสีย คนรังเกียจ ก็เลยพลอยรังเกียจพฤติกรรม การทำการเมืองด้วย เพราะรังเกียจตัวนักการเมือง ที่ทำเลย ทำร้าย ทำเสีย คนเลยพาลเกลียดไป แม้แต่ชื่อการเมือง ความหมายเรื่องการเมืองเลยเสียหมดเลย นี่คือความซวย ที่ทำส่ิงดีเป็นส่ิงเสียหาย บาปกินหัว เป็นสัจจะเรายังมีสิทธิ์

       และก็ไม่สามารถเปลี่ยนคำนี้ได้ ก็เลยต้องมาทำการเมืองให้ดี คืองานที่ทำให้บ้านเมือง พลเมืองดีขึ้น ไม่ใช่เลวลง ใครจะทำเสีย เราก็ต้องมากู้กลับ ให้ดีคืนมา ตั้งใจอย่างนั้นนะ 

       ที่จริง ไม่่ว่าจะคอมฯ หรือเผด็จการ หรือประชาธิปไตย คือเนื้อหาเหมือนกัน เป็นงานการเมืองที่เนื้อหาเหมือนกัน คือให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข พวกเผด็จการที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขก็เข้าเป้า จะมีวิธีการอย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยคอมมูนก็ตาม เข้าใจได้ไม่สับสน จะไม่ทะเลาะกันว่าเป็นระบอบไหน แต่ดูเนื้อหาเป็นหลัก และของพระพุทธเจ้านี้เยี่ยมยอดกว่าเผด็จการหรือคอมมูน เป็นประชาธิปไตยที่มีเนื้อหาสาระสุดประเสริฐ พระพุทธเจ้าคือจอมเผด็จการ ทุกคนยกให้ มั่นใจความซื่อตรง มั่นใจในกายวาจาใจของพระเจ้า ที่มีพระกรุณาธิคุณ ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ ครบบริบูรณ์ ตรีมูรติ สามอย่าง มีพระกรุณาธิคุณ มีเมตตา ทำอย่างเห็นๆเลยกับมนุษยชาติ อย่างชัดเจนถูกต้อง จะอยู่ในชื่อเรียกอะไรก็ตาม ท่านออกกฎหมาย ออกธรรมนูญ บัญญัติ ศีล วินัย ต่างๆ ท่านบัญญัติของท่านเอง ทุกคนยอมให้หมด มาถึงวันนี้ก็แก้ของท่านไม่ได้ ของท่านสมบูรณ์สุด ultimate สุดยอดแล้ว ไม่ต้องแก้ไข เป็นคำสอนที่เก่าสมัยใหม่เสมอ เมื่อไหร่ก็ของเก่าทุกสมัย แต่ใหม่ไม่เคยเปลี่ยน นำสมัยด้วย ก้าวหน้ากว่าสังคมไหนๆเลย

       ขออภัยที่ต้องพูดยกยอมาก คือประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าเหนือชั้นกว่าทุกประเทศ แม้อังกฤษเป็นต้นตำรับประชาธิปไตยแม้อเมริกาที่ยอมรับกันว่าประชาธิปไตยสุดยอด แต่ของพระพุทธเจ้าเหนือกว่าที่เป็นประชาธิปไตยสองขา อเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว แล้วไปหาว่าคอมมิวนิสต์เป็นวัตถุนิยม

   พระพุทธเจ้าในยุคของท่านศาสนาท่านยิ่งใหญ่ขนาดแค้วนที่ใหญ่ๆ ใหญ่กว่าแคว้นศากยะของพระพุทธเจ้าเขาก็ยกให้ท่านหมด ยกให้ท่านเป็นเอกหมด ไปไหนก็เหมือนมีธรรมนูญของท่าน ทุกคนยอมหมดเลย มีประสิทธิภาพสุดยอด อาตมาดีใจมาที่สัจธรรมพระพุทธเจ้าบรรลุแล้วคนนำมาปฏิบัติตามจนได้ผล มีคอมมูนระดับสาธารณโภคี ที่นำมาปฏิบัติได้

       มีลักษณะชุมชนหมู่ชนที่เป็นหนึ่งเดียวกัน กินใช้ข้าวของร่วมกัน เป็นจริงนะ ท่ามกลางสังคมโลกที่แสนจะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ รวยไม่เสร็จ ใช้ความรู้ความสามารถซับซ้อนหลอกกัน จนคนรวยคนจนมีช่องว่างห่างกันลิบเลย คอมมูนสาธารณโภคีจึงเหมือนใหม่มากแต่ที่จริงของเก่าของพระพุทธเจ้าเลย มันเหนือชั้นกว่าเขาเลย ยุคพระพุทธเจ้าก็เหนืออยู่แล้ว ยิ่งยุคนี้ยิ่งเหนือกว่ามากเลย เพราะคนใช้อำนาจซับซ้อน ในสมัยพระพุทธเจ้าจำกัดการใช้อำนาจในคนส่วนน้อย แต่ทุกวันนี้เฉลี่ยไปมากคนหน่อย แต่คนที่อยู่สูงก็ข่มคนที่อยู่ใต้อำนาจ มันเฉลี่ยคนข่มมากขึ้น ไม่ใช่ยุคทาส ในยุคทาสมีนายทาส จำนวนคนข่มน้อย บุคคลถูกข่มเอาเปรียบกระจาย แต่ทุกวันนี้คนข่มกันมากขึ้น สมัยโน้นทาสไม่มีสิทธิ์ไปข่มกัน แต่ยุคนี้ข่มกันหมดเลยไล่เป็นลูกระนาดเลย  ข้างล่างแบนตะแล๊ดแต๊ดแต๋เลย

       มาพูดในปัจจุบันธรรม ประชาธิปไตยของไทยกำลังดำเนินไป กำลังอภิวัฒน์พัฒนาไป เห็นว่ากำลังยอดเยี่ยมจริงๆ เป็นแต่เพียงว่าคนไทยที่ยังไม่กระเตื้อง ติดอยู่ที่อัตตา ยึดเชิงนั้นเชิงนี้ มีอัตตากับกาม

       กามนี่เสพรสอร่อย เสพรสทางรูป เสียงกลิ่น รสทางทวาร 5 พอได้เสพสมใจก็ชื่นชมยินดี ในโลกียสุข ส่วนสุขของการบำเรออัตตา ไม่ได้บำเรอทวาร 5 แต่บำเรอการพอใจในอำนาจ นอกไปจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ละเอียดมากมายกว่า เป็นนามธรรม เช่นได้ลาภมาสุข มันก็เป็นอัตตาแล้ว ได้ยศได้สรรเสริญ ก็เป็นอัตตา หรือได้สมมานะก็เป็นอัตตา ขณะนี้ถ้าพวกเราแก้ไขได้นะเข้าใจได้ว่าอันนี้เป็นมานะนะ

       เช่นว่าเราออกมานี่ต้องชนะ ถ้าไม่ชนะไม่ออกมา เสียหน้า นี่แหละคืออัตตา  เสียเหลี่ยมลูกกำนัน เสียเหลี่ยมลูกขอทาน เป็นต้น ตั้งเป่้าว่าต้องชนะ

       ถ้าบริบทของทหารต้องมีเป้าว่าจะชนะ ถ้าไม่ชนะเสียหายทั้งประเทศ หรือเพชรฆาต ในบริบทเขาต้องทำหน้าที่ฆ่า ใครจะด่าว่า จะบาปบุญ เขาสมัครมาทำก็ต้องทำส่วนเรื่องวิบากก็เรื่องของเขา เขาต้องรับกรรมของเขา

       1.งานการเมืองต้องทำเพื่อคนส่วนใหญ่

       2.ต้องเป็นนิติธรรม เป็นความดีที่ลึกซึ้งเข้าใจกันได้  มีความลึกซึ้งซับซ้อนด้วย เช่นทำแล้วชนะต้องไม่รวย ดีไม่ดีเสียสละซ้อนด้วย ไม่รวยแน่ อย่างนี้เป็นต้น ที่บอกว่าคนชนะต้องได้ตอบแทนนั้นไม่ใช่การเมือง แต่ถ้าได้มาเพื่อแก่ส่วนรวมไม่เสีย แต่ถ้าได้มาเพื่อส่วนตัวจะเสีย

       ตอนแรกพวกแดงก็ว่าเขาเป็นประชาธิปไตย พอกฎหมายนิรโทษกรรมออกลาย ก็เลยรู้ว่าเพื่อคนๆเดียวนี่หว่า ใช้เราเป็นเบี้ยเป็นลูกกะโล่ พวกฝ่ายแดงที่ฉลาดก็ชักรู้ตัว ว่าถูกหลอกให้ทำเพื่อคนๆเดียว ประเด็นที่ว่าจะนิรโทษให้คนฆ่า ใครฆ่าเขาก็ไม่ยอมให้นิรโทษทั้งนั้นไม่ว่าฝ่ายไหน ต้องเอาเรื่องสิ เขาฆ่าญาติข้านะ กูไม่ยอมสิ ลูกเสธ.แดงก็ไม่ยอม จตุพรก็ไม่ยอม แต่ว่าอาจมีอะไรซับซ้อนน่าดูเลย  เอามายกตัวอย่างนะ ใครทำชั่วก็ได้ชั่วเอง จิตอาตมาเป็นกุศลนะ ไม่โง่ทำจิตอกุศล แต่อธิบายสัจธรรม ดูเหมือนข่มติเตียนเขา แต่ถ้าตื้นๆก็ว่าตำหนิข่มใครก็เพราะเกลียด แต่ที่จริงไม่มีจิตข่ม คนชั่วก็ตำ่อยู่แล้วไม่ต้องข่มให้เมื่อย ไม่ต้องข่มให้เสียแรง เขาตำ่อยู่แล้ว

       ขณะนี้การเมืองไทยเจริญขึ้น แต่คนก็ยังเห็นแก่ตัว ยึดตัวตน ไม่อยากเสียเวลาแรงงาน เสียเวลาทำมาหากิน เป็นอัตตามานะทั้งสิ้น ถ้าเสียสละได้เพื่อเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดเพ่ิมเรื่อยๆ

       ประชาธิปไตยคือประชาชนออกมาแสดงคะแนนเสียง 1 คน 1เสียง 100 คน 100 เสียง ล้านคนล้านเสียงไม่ต้องรอไปเลือกตั้ง ออกมาเป็นคะแนนสดๆเลย อย่างกฎหมายนิรโทษกรรมนี่ ที่ผ่านวาระ 3 แล้วนี้ แม้ไม่สมบูรณ์ต้องผ่านอีกหลายด่าน มีบางคนว่าจบผ่าน 3วาระแล้วก็เสร็จ แต่ว่าต่อให้จบแล้วเขาก็แก้ได้ พวกแดงนี่แหละแก้ได้ ทีที่ศาลตัดสินแล้วยังแก้ได้เลยให้ติดคุกไปแล้ว เสร็จฏีกาแล้วยังจะมาล้างผิดได้ เอ็งเอาเปรียบมากไปไหมนี่ ใช่ไหม? คือทำอะไรน่าเกลียดก็ไม่รู้ตัวเขาก็เห็นว่าพวกเรากินหญ้า

       ขณะนี้ประชาชนก็ออกมามากแต่ยังไม่พอ พวกเขาก็พยายามยุแยงให้พวกเราแตกกัน พวกเราอย่าเอาเรื่องเล็กให้งานใหญ่เสีย พวกเรามารวมตัวกันให้ดี อยู่ให้ได้ เขาให้ไปรวมตัวกันที่ไหนก็ไปได้เลยเหมือนนินจา หายตัวได้ วับๆๆๆ เลย พวกเราเข้าใจแล้วก็ออกมากัน ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ...ไม่อยากพูดนะว่า...ที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ได้อยากพูดนะ ...อาตมาว่าคราวนี้มันน่าจะเป็น สงครามครั้งสุดท้าย แต่เงื่อนไขมีว่า...ประชาชนต้องออกมาเป็นล้าน ถ้าออกมาเป็นล้านแล้วไม่ครั้งสุดท้ายค่อยจับอาตมาไปประหารชีวิต

       ใครมีอัตตารู้ตัวว่ามีอัตตามากก็เอาอัตตาใส่เซฟแล้วลงกุญแจได้ 8 ชั้นได้ไหม ใครเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งก็ออกมาเลย มาสัก 5ล้านได้ ถ้าไม่ชนะให้ตัดคอเลย จริง

       ดูอาตมาทำลีลาไม่ดูสงบเรียบ ไม่สุภาพ แต่ว่าอาตมาได้ถือตัวถือตนเรื่องนี้หรอก แต่ก่อนอาตมาก็ทำได้เรียบร้อนสงบ สุภาพมาก แต่ว่าในบริบทนี้มุ่งให้เกิดประโยชน์สูงประหยัดสุด ต้องประมาณให้ได้สองส่วนนี้เป็นสัดส่วนที่ดี เกิดคุณค่าพอเหมาะเป็นปัญญาเป็นสัปปุริสธรรมของแต่ละคน ทำอย่างไม่มีมานะไม่มีอุปกิเลสทั้ง 16 อย่าง ใครจะว่าอาตมาตกต่ำก็ไม่เป็นไร คุณเอาพฤติกรรมทางกายมาวัดทางจิต คุณประมาณตามอาการเท่านั้น ในกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าว่าไว้

       อาตมากำลังเขียนหนังสือ มีเรื่องของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีจิตที่บริสุทธิ์มาเก่า แต่ว่าท่านเกิดมาก่อนตรัสรู้นั้นก็เป็นไปตามโลกเขาพาเป็น 29 ปีเป็นฆราวาสธรรมดา คนก็เห็นได้ว่าเป็นโลกๆ ก็จริง ยกตัวอย่างอาตมาก็ไปเสียเวลาตั้้ง 36 ปีที่เป็นลิงลมอมข้าวพอง

       ทำไมพระพาหิยาทารุจริยะฟังธรรม 4​ประโยคก็บรรลุอรหันต์ แต่บางคนฟังธรรมปฏิติธรรมมากมายทำไมไม่บรรลุ หรือพระยสะฟังธรรมสองกัณฑ์ก็บรรลุอรหันต์เป็นต้น เพราะคนเหล่านี้เป็นอุคติตัญญู เป็นบัวพ้ันน้ำ ส่วนพวกคุณเป็นบัวใต้ตึก มันจึงต่างกัน

       บางคนแต่ก่อนเคารพอาตมา แต่ตอนนี้แสดงออกมาว่า ความเห็นชักไม่ตรงกันแล้ว ไม่อยู่ในร่องในรอยแล้ว แต่ก่อนเคารพดี แต่ว่าความเชื่อพอไม่ตรงกับตัวเอง อาตมาก็เข้าใจว่าเป็นเดรัจฉานวิชชาขนาดไหน เป็นเทวนิยมขนาดไหน ก็เข้าใจเขา ไม่ได้ถือสา คนไหนพอติงเตือนได้ก็บอกไป แต่คนไหนไม่อยากให้บอกจะโกรธก็ต้องเว้นไว้ แต่คนมีปัญญาของเขาแล้วก็ต้องยกให้เขา

       เป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกีย์ แม้รู้ว่าผิดก็ต้องยอม ยอมอยู่ใต้บาทาเขาก่อน เปลี่ยนสีก่อน แต่คุณถวิลไม่ได้เปลี่ยนสีนะ

       การเมืองไทยถ้าเราทำให้เป็นปึกแผ่นนะ คือเป็นโอกาสที่เราต้องออกมารวมตัวกันต่อต้านส่ิงไม่ดีนะ เราทำปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นะ ขณะนี้เสียหายมากแล้ว แล้วจะไม่ช่วยกันออกมาก็ผิดรัฐธรรมนูญนะ มาตรา 68 (การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย) บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้

        แม้แต่ศาลก็บอกมาแล้วว่าทำไม่ได้ เข้าข่าวกบฎ กบฎรัฐสภา  ผิดตามรธน.มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไวในรัฐธรรมนูญนี้ มิได้  เราก็ออกมาต่อต้านโดยสันติวิธี เราทำแล้ว

        มาตรา 70 ที่ประชาชนมีหน้าที่พิทักษ์ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และมาตรา71 ในการป้องกันประเทศ

       พวกเราทำตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ที่เราทำมานี้ แม้แต่จนท.รัฐก็ทำผิดกฎหมาย ไม่ได้ส่งเสริมเลย จนท.มีหน้าที่พิทักษ์กฎหมายกลับทำผิดกฎหมายเสียเอง คนจะมาชุมนุมตามกฎหมายรธน. แต่มาต้านกั้นเสีย อย่างนี้มันผิดกฎหมายไหม ข่มตีทำเกินหน้าที่สารพัด อันนี้ก็ผิดมาตรา 151

       

       ถ้าเขาจะมาทำร้ายทำอะไรเราเราก็นั้งนิ่งๆ ใครจะเข้าเจโตสมถะเลย ให้มาเป็นล้าน อยากดูธรรมฤทธิ์อันนี้จริงๆ แต่ถ้าไม่ขนาดนั้น แต่ละวันที่ออกมาก็มานับหัว แต่ละวัน มีที่นั้นที่นี่ รวมหลายที่เป็นล้านเลยนะ ที่สวนลุมฯมี ห้าหมื่น ที่สามเสนมีแสนหนึ่ง ที่อุรุพงษ์มีเจ็ดหมื่นที่อื่นมีจังหวัดละหมื่นรวมเป็นห้าล้านเลยนะ แล้วพฤติกรรมอันเดียวกันมุ่งหมายเดียวกันคือไม่เอาพรบ.นิรโทษกรรมอันนี้ ถ้าทำได้อยากดูนัก พลังประชาธิปไตยจะมีฤทธิ์พอไหม จะเป็นอิทธิฤทธิ์ของประชาธิปไตย อำนาจของประชาธิปไตยคือเห็นรวมกันแล้วมาแสดงออก

       ตอนนี้ย่ิงมีหลายเรื่องก็ยิ่งดีใหญ่เลย จนจะทนกันไม่ไหวแล้วหลายคนพูดไปก็ร้องไห้ไป ข้างล่างก็ร้องไห้ตามกันไปนะ จะให้มันต้องเดือดร้อนลำบากลำบนกันไปถึงไหน ทำไมต้องรอช้ากันขนาดนี้ ควรต้องเร็วไว ให้เกิดความเป็นอยู่ดีของประเทศชาติ ออกมารวมเป็นพลังประชาธิปไตย ถ้าออกมาก็จะช่วยดูแลบ้านเมือง พวกเราต้องรู้ว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี ย่ิงหยาบขนาดนี้ไม่รู้ได้อย่างไร นอกจากคนมีผลประโยชน์มีกิเลสก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่มองออก มันจัดจ้านหยาบขนาดนี้แล้ว มองออกว่าชั่ว

ถ้าไม่มาช่วยกำจัดความไม่ดีงามแล้วมันจะระงับของมันเองได้อย่างไร เราก็ต้องมาช่วยกัน เป็นวิธีสากล ต่างประเทศก็ทำได้ คนไทยน่าจะทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย พล.อ.ปรีชาออกมาพูดว่า ออกมามากๆไม่ต้องทำอะไรเลย ออกมามากๆ ชนะ มันชัดเจนเลย ออกมาไม่ต้องทำอะไร มานิ่งๆ เป็นคำตอบที่ชัดเจนสั้น แต่ทำไมคนไม่เข้าใจกัน

       ตอนนี้ความจริงเปิดเผยมากแล้ว ขนาดฝ่ายแดงที่ไปปักใจเชื่อเขาก่อนยังเห็นได้เลย คนเห็นกลางๆก็น่าจะเห็นได้แล้ว ไม่น่าเห็นแก่ตัวเลย ออกมาช่วยกันหน่อย ถามกระซิบๆหน่อย ...คุณรู้ตัวไหมว่าคุณมีความเห็นแก่ตัวอยู่กี่กก. คุณจะไปเพิ่มอีกทำไม มาลดลงหน่อยได้ไหม?

       ถามหน่อย คุณเองใครก็แล้วแต่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มา แต่รู้อยู่ว่ามาชุมนุมนี่ดี แต่ฉันไม่มา อาตมาขอยืนยันว่าคุณยังเห็นแก่ตัวอยู่ ก็ถามตรวจตัวเองหน่อย ว่าความเห็นแก้ตัวคุณมีอยู่ไม่น้อยแล้ว ทำไมไม่ลดความเห็นแก่ตัวซะ ลดความเห็นแก่ตัวของตัวเองแล้วออกมา ง้อแล้วนะ ขอซักงานน่า

ที่เราทำนี่เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประชาธิปไตยคือเสียงที่ต้่องออกมาประท้วง เป็นการดูแลบ้านเมือง ไม่ใช่มอบอำนาจให้ผู้แทน เขาริบอำนาจไปหมด คุณจะเข้าใจอำนาจคุณแค่นี้ก็ไม่สากลหรอก ของอาตมาไม่ใช่แบบนั้น มันประชาธิปไตยคนละฉบับกับของอาตมา เรายังมีสิทธิ์แม้เลือกผู้แทนแล้วแต่เอ็งทำไม่ถูก แสดงไม่เข้าตาเรา เรามีสิทธิ์เชิญออกได้ ในกฎหมายมีเขียนไว้ 

       เขาสัญญาว่าจะให้อย่างนั้นอย่างนี้แล้วไม่ให้ก็ผิดแล้ว สัญญาว่าจะลดราคาน้ำมัน ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วทำไม่ได้ เรามีสิทธิิ์เอาออกได้ ไม่ต้องเอาอะไรมาหรอก เอาแต่ว่า ดญ.บิวตี้อ่านคอนกรีตออก แต่ว่านายกฯอ่านคอ_นก_รีด มันอย่างไร ดญ.บิวตี้ยังรู้เลยว่า แทงกิ้วทรีทามคืออะไร? เพราะฉะนั้นเราก็เห็นว่าถ้าให้บริหารประเทศต่อไปก็เอาแต่เที่ยว ในสภาฯกำลังมีเรื่องสำคัญแต่นายกฯไปปล่อยนกปล่อยปลา เขาจะพิจารณากฎหมายสำคัญขนาดไหนก็ let it be แหม เอากำนันเชยมาเป็นนายกฯดีกว่า ยังรู้หน้าที่ดีกว่านะ คือเห็นโต้งๆชัดๆ ก็ไม่รู้ความสำคัญในความสำคัญ ไม่รู้สาระในสาระนะ มันเกินอินโนเซ้นต์ มันอีเดียดนะ พูดหนักหน่อยเพราะอธิบายธรรมะ ย่ิงเรื่องอื่นอีก ไปนับถือศรัทธาในบุคคลที่ไม่ควรศรัทธา ไปละเมิดในบุคคลที่ไม่ควรละเมิด อย่างน้อยที่สุดต้องเคารพกฎหมาย เราอยู่ในสังคมก็ควรให้เกียรติ เช่นบุคคลที่สมมุติของสังคมเขาเคารพ แม้เราไม่ได้นับถือจริง แต่ตามระเบียบสังคมเราต้องเคารพ ยกตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีระเบียบว่า ภิกษุที่บวชก่อน แม้ผู้บวชทีหลังจะมีคุณธรรมมากกว่า ผู้บวชทีหลังก็ต้องกราบผู้บวชก่อน แม้จะเป็นปุถุชนก็ตาม ต้องกราบตามสมมุติ แต่นี่ไม่ได้เคารพเลย ไม่รู้จักคุณวุฒิ วัยวุฒิเลย โง่ที่ไม่รู้จักสัจธรรม ไม่รู้จักคารโว ไม่รู้จักคุรุกรณะ ที่ต้องทำความเคารพกัน โดยวัย โดยสมมุติตามสังคม แค่นี้ก็ไม่เข้าใจกัน ถ้ามีคุณธรรมบ้างก็จะรู้จัก ยิ่งมีปรมัตถ์จะรู้จักสมมุติได้ดีลึกซึ้งมากเลย

       พูดถึงปรมัติแล้ว ภูมิใจที่ยุคนี้ยังเป็นอกาลิโก ยังมีคนฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติจนเกิดมรรคผล เป็นธัมมานุธัมมปฏิปัตติน่าอนุโมทนากับคน แม้ยุคนี้มีสนามแม่เหล็กแห่งโลกีย์ อบายมุข โลกธรรมสูงมาก แต่ก็มีคนหลุดจากแรงเหนี่ยวนำของพลังแม่เหล็กของสังคมได้ เป็นสุดยอดของการชนะ เป็นคนมีความสามารถย่ิง

       ยุคพระพุทธเจ้าไม่ยากเท่าไม่จัดจ้านเท่ายุคนี้ แต่ยุคนี้คนหลุดมาได้นี่ ราคาแพงมาก ในอุปสงค์อุปทาน ในค่าทางเศรษฐกิจ ย่ิงราคาคุณธรรมโลกุตระด้วย ตีราคาแพงลิบลิ่วเลย ภูมิใจที่ชาตินี้เกิดมาได้อาริยะแต่ละคนมานี่ เทียบล้านคนยังน้อยไปนะ ถ้าเทียบ 65 ล้านได้อาริยะมา 65 คน คุณว่าอาตมาจะภูมิใจขนาดไหนนะ อาตมาว่าเอาอาริยะ 65 คนสังคมจะเป็นสุข ความเป็นมนุษยชาติจะดีขึ้นเยอะเลย ไม่ได้พูดลบหลู่ดูถูกใครแต่อธิบายสัจธรรม

       ยังเชื่ออยู่ว่าคนไทยเป็นพุทธ 95ใน 100 ยังมีคนได้คุณธรรมพุทธอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่ต้องเอื้อมเอาให้ได้ อย่าให้เสียชาติเกิดที่ได้เป็นมนุษย์มา อย่าเป็นโมฆะบุรุษเลย ที่จะไปล่าลาภยศคุณเกิดอีกกี่ชาติก็ไม่มีปัญหาหรอก คุณไปชนะได้เอาเปรียบเขามากเท่าไหร่คือตกต่ำมากขึ้นเท่านั้น แต่ได้โดยธรรมก็อีกอย่างหนึ่ง แต่ที่คุณได้โดยเอาเปรีียบเขา โกงเขา คุณย่ิงซวย โลกธรรมมันหลอกคน งมงายจนปล่อยไม่ไปเสียที เมื่อไหรจะรู้เสียที พระพุทธเจ้าสอนอย่างมีลำดับขั้นตอน มีทฤษฎีสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว

 

        ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • คนที่มี ซิกเซนส์ sixth sense  ไสยศาสตร์มีจริงไหม?
  • ตอบ...ซิกเซนส์คือความรู้เกินปกติ พิเศษ เกินกว่าทวาร 5 เป็นความรู้ย่ิงของใจ ทำไม่เอา 5 เพราะใจเป็นหน่วยหนึ่ง แล้วคนรู้เกินนั้นต้องเกิดจากการสัมผัสทางทวาร 5 แต่ถ้าไม่มีสัมผัส ใจคุณก็บ้าไปเอง ก็ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่ิงจริง ที่เกิดจริงสดๆ คือการเห็นพิเศษกว่าคนอื่นเห็น ซิกเซนส์คืออะไร เช่นดอกไม้นี้สีแดง ตาคนทั่วไปก็เห็นสีแดงเหมือนกันทุกคน แต่คนที่มองได้เกินกว่าสีแดงนี้ได้ คือรู้จิตตนเองหรือจิตคนอื่นว่ามีอารมณ์ชอบหรือชัง แต่ที่เขาเห็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ นั้นไม่ใช่เป้าหมายของศาสนาพุทธ เป็นศาสนาอื่นอาจนิยมชมชอบ แต่พระพุทธเจ้า เบื่อหน่ายเกลียดชังระอา คนไปเข้าใจ sixth sense แบบนอกรีต คนใช้ไสยศาสตร์ซิกเซนส์มีจริงไหม ก็มีจริง หลวงปูมี ซิกเซนต์ไง รู้จักเจโตปริยญาณ 16 ไง เป็นอุตริมนุสธรรม
  • คนชั่วทำร้ายคนชั่ว กับคนชั่วคนเดิมทำร้ายคนดี ความรุนแรงของบาปต่างกันหรือไม่
  • ตอบ...คนทำชั่วเราก็บอกว่าเขาทำชั่วไม่ดี ไม่ให้เขาทำไม่ดีได้ก็ดี คุณไปทำร้ายคนดีก็บาปกว่าไปทำร้ายคนชั่วแน่ 
  • ทักษิณเป็นเหตุให้คนแตกแยกกันใช่ไหม
  • ตอบ...ใช่ เราพยายามไม่ให้แตก แต่สัจจะมันมีแตก เราก็เห็นใจเขา
  • ทำอย่างไรให้คนออกมามากพอ ที่ออกมาไม่ได้เพราะหนี้สินมัดคอเขาอยู่ เป็นไปได้ไหมว่า จะเอานโยบายปลอดหนี้ให้เขาเป็นพลังออกมา
  • ตอบ...เราได้พากันทำแล้ว เบื้องต้นให้ลดอบายมุข หลายครอบครัวปลดหนี้ได้ถ้าลดอบายมุข
  • เสนอ ให้ใช้นำ้กลั่นแทนน้ำกรด ให้ใช้สันติภาพแทนสงคราม ใช้คุณภาพแทนปริมาณ ใช้ความจริงแทนความเท็จเป็นต้น
  • ศาสนาพุทธ ธรรมะของพุทธองค์คือธรรมชาติที่เป็นตรรกะ ผู้เห็นได้เปรียบเหมือนบัวพ้นน้ำ )รมยาณีย์)
  • ตอบ...เป็นขั้นตอน ธรรมชาติคุณก็ต้องรู้ ถ้ารู้แล้วคุณก็ยังหลงธรรมชาติก็คือคนโลกๆ เสพธรรมชาติ อย่างพวกออกป่าเขาถ้ำ ไปเสพธรรมชาตินี้ไม่ได้เลิกเสพติด ปฏิบัติไม่ถูกมีแต่จมกับลอย สายจมคืออัตตา สายลอยคือสายกาม มีสองสาย ถ้าศึกษาไม่ดีแล้ว คุณจะไม่สามารถรู้จักธรรมชาติ แล้วจะจมหรือลอยกับธรรมชาติ ติดธรรมชาติทำลายสังคมน้อยกว่าติดกาม ศาสนาพุทธไม่ให้ติดกาม ติดธรรมชาติ ศาสนาพุทธให้เหนือธรรมชาติ รู้ธรรมชาติแล้วล้างความติดธรรมชาติ เช่นสีแดงเหลือง คุณก็รู้แต่ไม่ติดมันได้ อย่างเงินล้านเอาไปทำทุจริต จ้างคนมาทุจริตผลาญบ้านเมือง เราก็รู้ธรรมชาติเงินล้านก็คือเงิน เราก็ไม่ติด เราเหนือธรรมชาติได้ ธรรมะ พระพุทธเจ้ารู้ธรรมชาติแล้วเหนือธรรมชาติได้ การหลุดพ้นไม่ใช่แค่ธรรมะคือธรรมชาติ แต่โลกุตระคือเหนือธรรมชาติ
  • อยากทราบว่าพระอรหันต์ที่ตายไปแต่ไม่ปรินิพพาน ยังมีวิบาก แล้ววิบากพาเกิด แต่พระอรหันต์ท่านหมดความเป็นสัตว์แล้วเหลือแต่วิบากท่าน ท่านตายแล้วเรากราบท่านท่านจะรู้ได้หรือไม่่ว่ามีคนระลึกถึง
  • ตอบ...ก็ถ้าท่านปรินิพพานแล้วก็ระลึกไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์เป็นๆ คุณระลึกถึงท่าน ก็ไม่ได้หมายความว่าอรหันต์จะมีจิตหยั่งรู้คุณได้ คำว่าปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง นั้นไม่ใช่ว่าไปรู้จิตอื่นของคนอื่น แต่ที่จริงคือรู้ความเป็นสัตว์ในจิตของเรา แต่ก่อนเราเป็นปุถุบุคคลแต่ตอนนี้เราไม่ได้เป็นแบบเก่าแล้ว เราเป็นสัตว์พรหม สัตว์เทวดาแล้ว ไปเรียนผิดที่ ผิดหทยรูป เขาไปแปลผิดอีกว่าคือหัวใจเป็นก้อนๆ สูบฉีดโลหิต แต่ที่จริงคืออาการของจิตที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือหทยรูป สรุปคือคุณจะกราบเคารพนั้นจิตคุณดี แม้เป็นๆก็ตาม ระลึกถึงส่ิงดีมันก็ดีแล้ว ถ้าระลึกสิ่งชั่วแล้วจิตคุณไม่ดีก็ไม่ดี เราระลึกสิ่งดีด้วยอิทธิบาทย่ิงดีขยันทำไป...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:11:15 )

561103

รายละเอียด

561103_ A best model

            วันนี้ (3 พ.. 56)พ่อท่านให้โอวาท แก่คณะทำงานที่สวนลุมฯ ที่ถามมาเกี่ยวกับนโยบายในการชุมนุม ในห้วงเวลาที่เหตุการณ์เคี่ยวงวดเข้ามาอย่างยิ่ง พ่อท่านให้ความเห็นว่า ให้พวกเราอย่าทำกร่าง อย่าทำเป็นใหญ่ อย่าทำตัวเป็นผู้นำ ให้ทำตัวเป็นผู้รับใช้ เป็นคนตาม พยายามทำดีไป “ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ” ให้ทำดี่ต่อไปจนเขายกให้ ถ้าเขายังไม่ยกให้ อย่าทำตัวให้นำ อย่าทำตัวใหญ่

            ให้เข้าใจจิตวิทยาของคนในยุคนี้ ที่คนส่วนใหญ่อยากเป็นผู้นำ จะไม่ชอบที่จะตามใคร ยกตัวอย่างคุณจำลอง แม้คนส่วนใหญ่รู้ว่าคุณจำลองดี เป็นคนเก่ง คนกล้า มีความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต แต่ว่าคนก็ยังไม่ยอมยกให้เลย

            แต่ต้องนับถือสิ่งที่คุณจำลองทำ ที่พยายามจะไม่เป็นผู้นำ ไม่ทำตัวใหญ่ ทั้งที่ตนเองนั้นใหญ่ ตนเองทำได้ คุณจำลองพยายามเลี่ยงมาตลอด แม้ใครจะมายกให้ทำ ยกให้เป็นผู้นำอย่างไร ก็พยายามเลี่ยงตลอด ไม่ได้ทำเพราะเป็นจิตวิทยาด้วย แต่ทำเพราะว่าเป็นความจริงใจของคุณจำลองเอง

            เมื่อความจริงมั่นใจ และทุกคนมีมติ คุณจำลองก็เต็มใจ รับหน้าที่เต็มที่มาตลอดชีวิต จนอายุป่านนี้ นี่คือ A best model idol.

          • แจ้งหมายความเคลื่อนไหวฝ่ายต่อต้าน รัฐบาล วันที่ 3 พ.ย.2556
            1. เวลา 10.00น. กลุ่มราชนิกูล นำโดย พล.ต.ม.จ.จุลเจิม ยุคล แถลงข่าวปกป้องราชบัลลังก์และค้านพ.ร.บ. นิรโทษกรรม ที่โรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ สุขุมวิท 53
            2. เวลา 13.00น. กลุ่มนักธุรกิจสีลม จะร่วมแถลงข่าวกับเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่หลังเวทีอุรุพงษ์ เรื่องการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
            3. เวลา 15.00-16.00น. กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ จะแถลงข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:13:02 )

561103 สันติอหิงสาคือธรรมาวุธสุดประเสริฐ

รายละเอียด

561103_รายการวิถีอาริยธรรม ที่สวนลุมฯ

เรื่อง สันติอหิงสาคือธรรมาวุธสุดประเสริฐ

       พ่อครูขึ้นเทศนา หลังจากที่มวลชนที่สวนลุมฯเดินเท้าไปร่วมชุมนุมที่อุรุพงษ์

       ตอนนี้อาตมาก็จะพูดไปแบบUnplug ใครจะไปสมทบที่อุรุพงษ์ก็เชิญ ส่วนใครจะอยู่ที่สวนลุมฯก็เชิญ ใครจะอยู่ก็อยู่เพื่อรักษาฐาน ใครออกไปทำงานทำหน้าที่ก็เต็มที่เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนงง หลายคนไม่รู้ อย่าถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี บางคนก็ว่าเราน่าจะรู้ก่อนก็เป็นอัตตา แม้เราไม่รู้ก่อน ไม่ให้เรารู้ก่อน ก็ถือตัว เขาไม่ให้ความสำคัญเรา สองอัตตานี้ตัวสำคัญคือ เราเองแหละอยากรู้ก่อน ที่ว่าไม่ให้เรารู้ก่อน เป็นอัตตาตัว อวดตัวอวดตน เป็นตัวออกนอกหน้า ส่วนตัวข้างในลึกๆคือ อยากรู้ เป็นความซ้อน มันไม่ได้รู้ก็เกิดมานะอัตตา ออกมาว่า ทำไมไม่ให้ข้ารู้ก่อนนะ ถ้าคนยึดถือมากก็ออกมาแรง ส่วนคนไม่ยึดมากก็ว่าเราน่าจะรู้นะ ส่วนคนที่ไม่มีอัตตาตัวแรงก็แค่มีตัวอยากรู้ข้างใน อำนาจตัวอยากรู้ข้างในไม่แรงมาก เป็นอัตตาชนิดหนึ่งที่มีข้างใน

       เมื่อเราทำงานนี้เป็นเหตุปัจจัยที่สมควรเข้าท่า สมควร แม้แต่ที่คนทำงานด้วยกันยังไม่รู้เรื่อง เป็นยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมมากเลย เป็นยุทธวิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้เลย หลายคนทำยุทธการด้วยกันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างนี้ เราก็ไม่รู้นี่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายเมื่อเป็นมติที่ทำกัน โดยไม่แยก มีเงื่อนไขนี้ว่าไม่แยก จะจำนน หรือไม่เต็มใจก็ตาม เป็นมติแล้วก็ต้องทำด้วยกัน ยิ่งไม่เป็นไร แม้เราไม่เห็นด้วยก็ทำตามไปก็แล้วกันเป็นที่สุดแล้วว่าเราต้องทำได้ด้วย ก็ปล่อยวาง ก็ยิ่งดี คนที่ฝืนใจทำไปก็ต้องขอบคุณ แม้จิตฝืน แต่พฤติกรรมไม่ได้เป็นไปคนละทาง ร่วมมือกันอย่างปกติ งานก็สำเร็จได้ด้วยรูปธรรมจะเป็นตัวจริง นามธรรมก็เป็นของแต่ละคน ๆ ดูแลกันของแต่ละคน ผู้ที่รู้ดีไม่ติดยึด นามธรรมเป็นอย่างไรก็ได้ การทำงานนี้ มันชนะก็ได้ แพ้ก็ได้ ถูกก็ได้ ผิดก็ได้

 

       มาถึงวันนี้จะอธิบายผิด ถูก ชั่ว ดี  บาป บุญ ให้ฟัง

       ชั่วดีนี้จะแถมกุศล อกุศลเข้าไปก็ได้

       เรื่อง กรรม การกระทำนี่ มันมีอยู่ 3 เส้าใหญ่ๆ เส้าที่ 1 คือ ผิดหรือถูก เส้าที่ 2 ชั่วหรือดี หรือกุศลอกุศล เส้าที่ 3​คือ บาปกับบุญ

       กรรมคือการกระทำทางกาย วาจา ใจ เป็นกิริยา คำว่า กายนี้ อธิบายมากแล้วว่า หมายถึงองค์รวมทั้งรูปธรรมและนามธรรม และหมายหนักไปทางนามธรรมมากกว่ารูปธรรมด้วย จะขาดจิตวิญญาณไม่ได้

       รูปกาย นามกายนั้น เขาก็แปลกันว่า รูปกายคือภายนอก ไม่มีจิตใจ ส่วนนามกายนั้นเอาแต่นามธรรม ไม่เอารูป อันนี้เป็นการเข้าใจผิด หาทางบรรลุธรรมยาก ไม่มีทางเป็นอรหันต์แน่ จะบรรลุก็ได้บางส่วน

       เริ่มตั้งแต่กายนอกเข้ามาเป็นกายใน จากมหาภูตรูป 4 ในรูปทั้งหมดมี 28 รูป มหาภูตรูป 4 ตัดออกไปก็เหลือรูป 24 และทั้ง 24 รูปนี้ก็ยังเกี่ยวเนื่องกับมหาภูตรูปอยู่ แต่เราละไว้ในฐานที่เข้าใจ ต่อเนื่องจากมหาภูตรูป ก็จะเกิดที่นามธรรม ใน เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญาณเป็นตัวรวมทั้งหมด ของเวทนา สัญญา สังขาร

       วิญญาณจะสะอาดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ เวทนา สัญญา สังขาร นี่แหละ เมื่อผู้ใดสามารถแยกนาม แยกรูปได้ก็จะศึกษาองค์ประชุม คือกาย ได้ เป็นลำดับๆไป

       เช่นรู้จัก กายในกาย คำว่า กายคือองค์ประชุม เมื่อเราเห็นแล้ว เราก็ต่อเนื่องมาสู่จิต สิ่งที่ถูกรู้คือ รูป เราหลับตามันก็ยังมีสัญญาจำได้อยู่ในใจ เราก็อ่านรู้อาการของจิตที่เกิดต่อเนื่องจากการสัมผัสนอก ตัวรู้ก็คือ นาม ส่วนตัวถูกรู้ก็คือรูป คนก็รู้กันอย่างสมมุติคือรู้ร่วมกัน สัจจะที่สมมุติคือตั้งแต่สองคนไปจนถึงกลุ่มชุมชน เรียกว่า สมมุติสัจจะ ก็ต่างกันไปกัับสมมุติของกลุ่มอื่น

       กรรม คือการกระทำ ทำเสร็จก็สำเร็จแล้วทันที ณ บัดนั้น ใครทำก็เป็นของคนนั้น ทั้งกาย วาจา ใจ ในใจใครไม่รู้ด้วยก็เป็นอันทำ ทำแล้วก็ฝังลงที่สัญญา หรือความจำ นอกจากคุณจะทำลืมๆ ก็ลืมได้เหมือนกัน แต่บางทีความลืมนั้นที่จริงบันทึกไว้ในอนุสัยจิต แต่สามัญสำนึกนั้นไม่ได้บันทึก จิตมี ทั้งจิตสำนึก จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก ถ้าคุณไม่ได้เรียนก็ห้ามไม่เป็นด้วย

       เมื่อทำแล้วก็บันทึกเป็นอัตภาพ ทุกศาสนามีสัจจะเดียวกัน สัตว์มันไม่ช่างจำ ไม่ช่างพยาบาท ไม่ชั่งรักแรงเหมือนกับคน คนนั้นยึดถือมากกว่าสัตว์มากจึงทุกข์จึงลำบากมาก กรรมเป็นอันทำ ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาไหน มีผลวิบากเดียว ถ้าสมมุติกันว่ากรรมอย่างนี้ถือว่าผิด ถือว่าถูก ถือว่ากุศล อกุศล ถือว่าดีถือว่าชั่ว ถือว่าแรงถือว่าเบา ก็ค่อยทำความเข้าใจกัน

       สุกฏทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก ทำไปแล้วก็สั่งสมวิบากนั้น พระพุทธเจ้า ตรัสชัดเจน ตามภาษาบาลี คือผลวิบากที่ทำแล้วไม่ว่าจะดีหรือชั่วถูกหรือผิด เรียกว่าอัตถิ สุกฏทุกฏานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก ทำกรรมแล้วก็สั่งสมอยู่ในอัตภาพเป็นอัตโนมัติ ถ้าผู้มีอวิชชา อัตภาพนี้ก็ยังมีสัตว์อยู่

       อุตุนิยาม ยังไม่เป็นชีวะนั้นจะมีพลังงานมากมาย มีฤทธิ์อย่างไร ก็มากมายที่เราเอามาใช้นี้ใช้ไม่หมดหรอก ดวงอาทิตย์เราเอามาใช้ยังไม่ได้อีกเยอะ เราใช้ได้ประมาณหนึ่งเท่านั้น ที่เกินกว่าที่เราจะเอามาใช้ได้ มีแต่สัญญา กับสังขาร มันมีแต่

       พีชะ มีแต่ สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนา กับวิญญาณ กับ พีชะนั้นเคลื่อนที่ไม่ได้ ถ้าเริ่มเคลื่อนที่ได้ ก็เรียกว่าสัตว์ เป็นจิตนิยาม เริ่มมีวิญญาณ

       สัตว์นั้นมีทั้งเวไนยสัตว์ และอเวไนยสัตว์ เวไนยสัตว์ก็แบ่งเป็นโลกุตระกับโลกียะอีก โลกียะเวไนยสัตว์นั้น อ่านจิตเจตสิกไม่ได้ชัด ไม่รู้จักการชำระกิเลว รู้แต่ทำกุศล

       ส่วนโลกุตระเวไนยสัตว์นั้น รู้จักบาปบุญ

โลกียะกับโลกุตระต่างกันตรงที่โลกุตระน้ันมีปัญญารู้จักบาปและบุญชัด

       บุญคือ รู้จักตัวกิเลส แล้วคุณมีวิธีกำจัดกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสได้เรียกว่าบุญ ถ้ากำจัดไม่ได้ไม่เรียกว่าบุญ คำว่าบาป บุญ คือต่างจากคำว่า ดีชั่ว ถูกผิด

       ผิด ถูกนั้นตื้นกว่าเพื่อน ผิด ถูกคือการกระทำไม่ตรงตามที่สังคมนั้นๆยึดถือกัน ตั้งแต่หลักเกณฑ์ รัฐธรรมนูญ ไปถึงวัฒนธรรม ที่ยึดถือในสังคมนั้น ที่ยอมรับร่วมกัน ตามที่กำหนดหมายไว้ เรียกว่าสมมุติ แม้แต่อัตรา เลข จำนวน ขนาด แบบ อย่าง ตัว ทาง เป้า ระเบียบ ผัง แผน ฯลฯ ทั้งนั้น ที่จะกำหนดไว้รับรู้ร่วมกัน

       รับรู้ว่าอย่างนี้ถูก ถ้าทำไม่ตรงนั้นก็จับผิดจับถูกกัน แม้เรื่องผิดศีลผิดธรรมก็ตาม คำว่า ศีลธรรมเป็นคำร่วมกันระหว่างจิตวิญญาณแล้ว ศีลธรรม ลึกถึงจิตวิญญาณ เข้าสู่โลกุตระที่ผู้ที่จะรู้จักการชำระกิเลส

       การยึด ผิด ถูกก็ยึดถือกันตามสมมุติสัจจะ จึงถือไม่ตรงกัน ถ้ายึดมากๆก็ร่วมอะไรไม่ได้ คนไม่ยึดมากก็ร่วมได้มาก การทำผิด แต่ไม่ชั่วก็ได้ หรือไม่บาป คือไม่ตกนรกได้แน่  ทำชั่วแต่ไม่ตกนรก ทำชั่วทำผิด แต่ไม่บาปได้

       ทำผิด ก็ขัดแย้งกับหมู่กลุ่ม ก็ไม่เรียบร้อย ไม่ราบลื่น ไม่มีพลังร่วม ถ้าทำถูก คนทำถูก ชั่วก็ได้ บาปก็ได้ อย่างทำถูกกฏหมาย ก็ล้างผิดให้คอรัปชั่น ที่บาปอยู่แล้วทำผิดศีลข้อ 2 แต่ทำนิรโทษกรรม ไม่ให้ผิดกฎหมาย ที่ทำกันอยู่ในสังคมไทย

       ความถูก เป็นความชั่ว เป็นบาปก็ได้ คือตกนรก เสื่อม ตอนเป็นๆนั้นอาจบังคับได้เหมือนไม่เสื่อม มีอำนาจฝืนได้ แต่ตายไปนั้นไปตามวิบาก คุณมีวิบาก คือตัวกิเลสจะบงการเลย ตกนรกไม่มีอะไรห้าม ไม่มีอำนาจอะไรห้ามได้ อำนาจตำรวจ ศาลก็ห้ามไม่ได้ ยมบาลจริงๆไม่มี มีแต่สัจธรรม อย่างโลกๆว่า ยมบาลอนุโลมได้ นั้นมันสมมุติเอา ศานาอื่นก็มีอย่างที่สมมุติเขาไป ถ้าจิตคุณมีกิเลสก็ได้นรก ส่วนถ้าไม่มีกิเลสก็ได้สวรรค์​

       สวรรค์มีสองแบบ โลกุตระกับโลกียะ สวรรค์มี 6 ชั้น มีโลกุตระอยู่จุดเดียวคือ ชั้นดุสิต พระโพธิสัตว์ตายแล้วไปจุติที่ดุสิตแห่งเดียว ส่วนนอกนั้นก็กระจายไป

       สงบมีสองอย่าง คืออย่างอวิชชา กับวิชชา การไม่รู้พักยกกับไม่พักยก ก็เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนสงบอย่างโลกุตระนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง สงบนิรันดร์กาล นิจจัง ทุวัง สัสตัง ฯ

       คนตายไปแล้วตกนรก ไปแต่ทางเสื่อม เป็นผู้ถึงทางเสื่อมไม่ถึงทางเจริญ หมายความว่าหลังจากกายแตกตายแล้วต้องไปตามวิบาก คุณต้องไปตามวิบาก ตอนคุณเป็นคุณมีอาการ 32 ไว้ห้ามกันไว้ไม้ให้ตกนรก ให้ขึ้นสวรรค์ได้แต่ตอนตายไปแล้วไม่มีอาการ 32 ตกนรกขึ้นสวรรค์ตามวิบาก

       ผู้หมดเหตุจะบังคับจิตได้ ไม่มีกิเลสมาบังคับแล้ว แต่คนที่ไม่หมดเหตุ ไม่หมดกิเลสก็จะบังคับจิตไม่ได้ หลังตาย บาปบุญใครก็ตกอยู่ใต้อนุสัย 7 นั้น

       ภูมิแห่งความรู้ที่สำคัญยิ่งคือ มีกิเลสหรือไม่มีกิเลสเป็นหลัก ถ้าไม่มีกิเลสแล้ว ตายไปจะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ เรียกว่าไม่เป็นไปตามอำนาจโลกีย์ แม้เกิดมาก็จะมีภูมิธรรมติดตัวไปตลอด มีตัวอย่างเช่น ในมิคสาลาสูตร หรืออย่างพระองคุลีมาล ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร แต่ว่ามาฟังธรรมพระพุทธเจ้าก็บรรลุได้ อย่างพระพาหิยทารุจริยะฟังธรรม 4 ประโยคก็บรรลุอรหันต์ อย่างพระยสะก็ฟังธรรมสองกัณฑ์ ก็เป็นอรหันต์ แต่ของพวกคุณก็ฟังมาจนหูแฉะก็ยังไม่บรรลุ

       มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อมิคสาลา ทีนี้ เพื่อนของพ่อกับพ่อของมิคสาลา ในชีวิต มิคสาลาก็เห็นว่าเพื่อนของพ่อนี่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็เสพกามกับตนเองอยู่ ส่วนพ่อนั้นปฏิบัติด้วยรูปธรรม ด้วยอาการ ไม่เสพเมถุน ไม่เสพอบายมุข ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ดูได้ก็คาดคะเนว่ามีมรรคผล เสร็จแล้วมีอยู่วันหนึ่งพระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ว่า ทั้งสองคนตายไปก็เป็นสกทาคามีทั้งสองคน มิคสาลาก็เลยไม่เข้าใจ เพราะการปฏิบัติของทั้งสองคนต่างกันทำไมได้สกทาคามีเหมือนกัน ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้สาธยายให้ทราบและว่า เป็นเรื่องของภูมิรู้ของพระพุทธเจ้า มิคสาลานั้นไม่สามารถรู้ได้ หรอก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องของภูมิธรรมเก่า ของเพื่อนของบิดาที่มีของเก่าอยู่แล้ว เป็นสกทาคามีอยู่แล้วนั่นเอง แม้เพื่อนของพ่อดูจะประพฤติชั่วในสายตาของนางก็ตาม

       ชั่วหมายถึงความไม่เจริญทั้งทางสังคมและจิตใจ กล่าวคือจิตใจเกิดกิเลสก็ได้ไม่เกิดกิเลสก็ได้ เป็นเรื่องสมมุติของสังคม บางคนผิดกฎหมาย ชั่ว แต่จิตเขาไม่มีกิเลสได้ อย่างอาตมานี่เขาว่าผิดว่าชั่ว ก็ไม่เถียง แต่ว่าบาปไหม อาตมาไม่บาปหรอก สมมุติว่าจิตอาตมามีกิเลส แต่ว่าบอกคุณไปว่าจิตไม่มีกิเลส การผิดโดยที่จิตไม่รู้จริงๆ อันนี้เรียกว่าโมหะ พระพุทธเจ้าไม่เอาผิด แต่มีเวรภัย เป็นมานะ ตัวมีกิเลส แต่นึกว่าตนเองไม่มี พอผิดสัจจะก็จะทำตนผยอง เพราะมีกิเลสก็จะทำตนไม่สมบูรณ์ทั้งนอกและใน เกิดวิบากแน่นอน แม้ว่าไม่เจตนา แต่โดยวิบากมันมี แต่ถือว่าผิดโดยสมมุติไหม พระพุทธเจ้าไม่ให้เอาผิด จะอวดอุตริมนุสธรรมอย่างไรก็แล้วแต่

       บุญคือการชำระกิเลสหรือ สันตานัง  ปุนาติ วิโสเธติ แปลว่าชำระจิตสันดานให้หมดจด ถ้าเผื่อว่าผู้ไม่เข้าใจชัดเจนลึกซึ้ง คมชัดเต็ม ก็เพี้ยนเพราะนัยธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ คัมภีรา ทุทสา ทุรนุโพธาฯ

       คนนี้จิตสะอาดอย่างถาวร ตลอดกาลเลย เมื่อไหร่ก็ไม่มีอะไรหักล้างเลย อะไรทำให้เปื้อนไม่ได้เลย เป็นแล้วเป็นเลย จิตสัมบูรณ์แล้ว คนที่มีจิตอย่าง

       ในโอวาทปาติโมกข์ มีว่าไม่ทำบาปแล้ว แต่ท่านทำกุศล กุศลทำผิดได้ในสายตาของโลก พระพุทธเจ้าจึงให้มีสติวินัย อย่าไปเอาผิดกับอรหันต์ ท่านไม่มีมโนสัญเจตนาที่เป็นอกุศลแล้ว แต่ทำผิดในสมมุติได้ ท่านจะมีสภาพที่ย้อนแย้งกับโลกได้คือสภาพ สัจจะย้อนสภาพคือปฏินิสสัคคะ จะย้อนทวนสวรรค์ เหมือนมีนรกแต่ใจท่านไม่ได้มีนรก อย่างพระมาลัยโปรดสัตว์ในนรก อย่างอรหันต์จี้กง ท่านดื่มเหล้าเป็นต้น ท่านไม่ได้ติดเหล้ายา เหมือนพ่อแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูกทั้งที่ใจไม่ได้สนุกไปกับลูกหรอก อาจเรียกว่า ปฏิปัสสัทธิ คือสงบ แต่พอทวนแล้วเหมือนคนไม่สงบ ปฏิสรณะเหมือนคนไม่มีที่พึ่ง แต่ที่จริงมีที่พึ่งแล้ว

       ส.เพาะพุทธว่า เป็นอรหันต์ทำผิดได้ แต่ขอบเขตที่ผิดจะผิดเล็กๆน้อยๆ อย่างพระนี่มีอาบัติระดับต่างๆ แต่คิดของผมเองว่า อรหันต์จะไม่ผิดหนักแน่

       พ่อครูว่า ท่านรู้แล้วว่าสมมุติเป็นอย่างไรในโลกนี้ ท่านจะไม่ผิดคุรุกาบัติ(อาบัติหนัก) ไม่สังฆาทิเสส หรือปาราชิก เพราะผู้สามารถรู้รูป 28 ได้ ซึ่งรูป 4 นั้นเป็นมหาภูตรูป เหลืออีก 24 เป็นอุปาทายรูป

        [40] อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24
. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์)
1.
จักขุ (ตา - the eye)
2.
โสต (หู - the ear)
3.
ฆาน (จมูก - the nose)
4.
ชิวหา (ลิ้น - the tongue)
5.
กาย (กาย - the body)

. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของอินทรีย์ )
6.
รูปะ (รูป - form)
7.
สัททะ (เสียง - sound)
8.
คันธะ (กลิ่น - smell)
9.
รสะ (รส - taste)
0.
โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ข้อนี้ไม่นับเพราะเป็นอันเดียวกับมหาภูต 3 คือ ปฐวี เตโช และ วาโย ที่กล่าวแล้วในมหาภูต


. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ) หยิน หยาง
10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง - femininity)
11.
ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย - masculinity)

. หทัยรูป 1 (รูปคือหทัย - physical basis of mind) (แปลตามทั่วไปตามพจนานุกรมประมวลศัพท์ฯ)
12.
หทัยวัตถุ* (ที่ตั้งแห่งใจ, หัวใจ – heart-base) ซึ่งแปลแบบนี้จะผิดสัจจะ ที่จริงคือ ไม่มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่งหรอก แต่ว่ารู้ได้ด้วยอาการลิงคนิมิตอุเทส เป็นนามธรรม

 

. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต)
13.
ชีวิตินทรีย์ (อินทรีย์คือชีวิต)


. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร)
14.
กวฬิงการาหาร (อาหารคือคำข้าว, อาหารที่กิน) พ่อครูว่าที่จริงหมายถึงอาหาร 4 ทั้งหมด

. ปริจเฉทรูป 1 (รูปที่กำหนดเทศะ)
15.
อากาสธาตุ (สภาวะคือช่องว่าง )

. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย)
16.
กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย)
17.
วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา)

. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลงทำให้แปลกให้พิเศษได้)
18. (
รูปัสส) ลหุตา (ความเบา - lightness; agility)
19. (
รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
20. (
รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)
0.
วิญญัติรูป 2 ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ.

. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะหรืออาการเป็นเครื่องกำหนด : material quality of salient features)
21. (
รูปัสส) อุปจย (ความก่อตัวหรือเติบขึ้น : growth; integration) คือเจริญ
22. (รูปัสส) สันตติ (ความสืบต่อ : continuity)
23. (
รูปัสส) ชรตา (ความทรุดโทรม : decay) ความเสื่อม
24. (รูปัสส) อนิจจตา (ความปรวนแปรแตกสลาย : impermanence)

            ผู้อรหันต์จะรู้จักทำความเที่ยงได้ โดยจัดการกับจิตของตนจะให้อุปจยหรือให้ชรตาได้ พระอรหันต์จะไม่ทำให้เสื่อม แต่จะทำให้เจริญ จิตคุณเที่ยงแล้ว ก็สามารถให้มันเกิดในทางเจริญ ไม่ให้เกิดในทางเสื่อมได้

            .เพาะพุทธว่า คนที่เข้าถึงโลกุตระธรรม ก็สามารถควบคุมภาวะหลังตายได้

            พ่อครูว่า ไม่ต้องควบคุม เพราะไม่มีกิเลสแล้ว

            คำว่า กายนี้ต้องไม่เข้าใจว่า เป็นแค่ร่าง เท่านั้น คนที่เรียนผิดเข้าใจว่า กายมีแต่โครงร่าง พอไปนั่งสมาธิก็ไปเข้าใจ ไปเห็น เทวดา ผี เป็นรูปเป็นร่าง ความเป็นจริงนั้น มีแต่อาการลิงค นิมิต อุเทส ที่เป็นตัวแท้ ให้พิจารณาตัวนี้ ส่วนโครงร่างนั้นอย่าไปยึดติดมัน ก็เลยยึดอยู่แค่นั้น ศึกษาแต่เทวดาเป็นรูปร่าง ที่ปั้นเอาเอง จำได้ก็ปั้นเอา หรือจำไม่ได้ก็ปั้นเองเองก็ได้

            .เพาะพุทธว่า เมื่อเราได้ผัสสะ จะมีความรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ แต่วันนี้เราได้รู้เรื่องอกุศล กุศล เรื่องผิดเรื่องถูกด้วย ซึ่งเรื่องที่ต่ำสุดคือเรื่องสมมุติสัจจะคือผิดถูก  ส่วนบุญบาปนั้นอยู่ที่การเพิ่มหรือลดกิเลส พระอรหันต์หมดบาป บุญ แล้ว แต่คงไว้ซึ่งกุศล

            .เพาะพุทธว่า ตอนนี้ผู้ชุมนุมของสวนลุมฯเดินไปรวมกับที่อุรุพงษ์แล้ว คนแน่นมากเลย

            พ่อครูว่า...วันนี้ธรรมะลึกซึ้งวันนี้ ใครเข้าใจได้ก็อนุโมทนา ใครเข้าใจไม่ได้ก็เอาไว้ก่อน แต่เหตุการณ์วันนี้เป็นเรื่องไม่เจตนา คนทำอะไรไม่เจตนา แต่ลึกๆมีเจตนาดีเป็นเค้าเป็นตัว สสังขาริกัง เป็นตัวนำพา อยู่ลึก ส่วนเจตนาวางโครงการเราไม่วางไว้เลย แต่มีเจตนาดีอยู่แล้ว เมื่อหลายหัวมารวมกันคิด ยิ่งปัจจุบันธรรม ทำอย่างไรดี คนมาเยอะๆจะทำอย่างไร ไขความลับให้ฟัง

            เราตั้งใจว่าจะให้คุณจำลองเป็นหัวหน้าในการชุมนุม ก็ตกลงกัน แล้วคุณจำลองก็ได้ไตร่ตรองแล้วว่าอย่าแสดงตัวเป็นผู้นำเลย เป็นความละเอียดละออของคุณจำลอง ทำอย่างแหลมลึก และซื่อด้วย และบอกคนไม่เป็น เป็นสายเจโต ไม่ใช่สายปัญญา ก็ทำด้วยความจริงใจ แต่มีปัญญา  เขาทำด้วยใจของคุณจำลองด้วย

            คบกับคุณจำลองมาแต่ ปี 2522​ เป็นยังเติร์กอยู่ ก็รู้จักกันมานานพอสมควร ก็ยืนยันว่า คุณจำลองเป็นคุณจำลองตามชื่อเขา จำลองแปลว่าโมเดล ไม่ได้อยู่ตายตัวนะ พัฒนาโมเดลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปเรื่อยๆ ก็เจริญมา แต่ก่อนสะสมบ้านช่องเรือนชาน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว

            คุณจำลองเป็น            A Best Model เป็นหนึ่งในโมเดลที่ดีที่สุดในยุคนี้ คุณจำลองประพฤติตอนนี้ เชื่อเถอะว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นเรื่องดีขอยืนยัน แต่ว่าคนเข้าใจไม่ได้ อาตมาเข้าใจได้ แต่ขยายความยังไม่ครบหรอก ก่อนเหตุการณ์นี้ก็ให้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ แต่ว่ามีเหตุการณ์เปลี่ยนก่อน เห็นว่าเป็น accident good luck อย่างหนึ่ง ที่เกิดเหตุการณ์นี้

            วันนี้ ที่เกิดมันมีการคุยกัน มีการตกลงกันปรึกษาหารือกันพอสมควร ไม่ใช่เราทำงานโดดเดี่ยว เอาแต่ใจ เราทำอย่าง จริงใจกัน เสนาธิการฯก็มีใจมาทำ คุณจำลองก็มีใจมาทำ จุดหมายเดียวกัน แต่ความเห็นก็ต่างกันบ้าง เป็นของดีเป็นความหลากหลาย แล้วเรามาพิจารณาว่าจะเอาอะไรดี

            คุณจำลองได้รับปากแล้วก็เปลี่ยนแปลงอีก ไม่ใช่ว่าคุณจำลองไม่อยู่ในร่องในรอย แต่ที่เปลี่ยนเพราะมีน้ำหนักของความเห็นของตนที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องกลับกลอก แต่มีข้อมูลใหม่ที่สดใส ที่ดีกว่า อย่างมั่นใจ ไม่ใช่เรื่องเจตนากลับกลอกซ่อนแฝง เป็นเรื่องลึกซึ้ง ก็พูดได้ประมาณนี้อาตมาไม่เป็นคนชอบยกย่องคน ที่พูดนี้ไม่ใช่มายกย่อง แต่ปัจจุบันนี้ก็เป็น A Best ใครจะเข้าใจได้อย่างไรก็แล้วแต่

เมื่อคุณจำลองรับปากว่าจะมาร่วมวันนี้ก็มาแล้วแต่เดิมรับปากว่าจะประกาศ แต่ว่าในที่สุดก็ไม่ประกาศเป็นผู้นำ แต่ว่าขอเป็นผู้ตาม ไปกับเขา เอาง่ายๆเพราะมันมีหลายกลุ่ม พอไปรวมกับทางโน้นก็จะไปใหญ่ไปเบ่งก็ไม่ดี แต่ตอนนี้ไปรวมกันก็ไม่มีคนไปเบ่งใหญ่

            เรื่องนี้ที่กำลังทำงานกัน ทุกอย่างดำเนินไปอย่าง เคี่ยวข้นและคลี่คลาย และมีอะไรกำลังสะสาง ที่สื่อนี้ก็ยังสื่อสภาวะไม่หมด แต่ก็พอสื่อได้บ้าง มีลักษณะดีขึ้น แต่ก็ทำให้ใจระทึกขึ้นพอสมควร แต่มีอะไรดีขึ้นหลายอย่าง แต่ไม่พูด ในนี้มี คนที่ห้า มาด้วยนะมาบันทึกเทปทั้งภาพและเสียงอยู่นะ แต่ว่าเราไม่ได้มีความลับอะไร มั่นใจว่าไม่ได้ทำสิ่งเลว ถ้าผิดพลาดก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว

            ที่บอกว่าคลี่คลาย แม้การเคลื่อนไหวจากที่มั่น เป็นวิธีการให้เกิดการกดดันในการประท้วง ถ้าอยู่กับที่คนเขาไม่กลัว แม้มากเท่าใด แต่ถ้ามากเขาก็กลัวคือเขากลัวว่าจะเคลื่อน ถ้าเต็มสวนลุมฯแต่ไม่เคลื่อนเขาก็ไม่หวั่นไหว ถ้าคุณมัวแต่อยู่บ้านในที่สุดคุณก็จะไม่มีแม้แต่บ้านอยู่

            ที่เกิดการเคลื่อนทำให้เกิดปฏิกิริยา ศัตรูข้าศึกจะต้องคิดว่า เราเคลื่อนไปไหน เร็วไว ทุ่มโถมอย่างไร แล้วมามีอาวุธมาหรือเปล่า พวกเราอาจไม่มีอาวุธไปเลย แต่เขาเชื่อไหม? เรากำชับไว้แล้วว่าให้เอาอาวุธไป แต่จะออกอาวุธผิดไหม อาวุธเราคืออหิงสา สงบ ถ้าใช้บุญญาวุธอันนี้สำเร็จนะ ชนะเลย

            ถ้าสมทบกับที่อุรุพงษ์ จะมีเท่าไหร่ก็ตาม อาจไปยืนหลับนกกันบ้าง แต่ก็น่าจะคลี่คลายเพราะสิ่งเหล่านี้กระทบจิตทั้งรูปธรรมและนามธรรม จะมีใครหวั่นไหวนะ

            เหตุการณ์ที่เกิดตอนนี้ใช้คำว่า “งาม” ได้ เพราะยังไม่เคยเกิด แต่ก็เกิดได้ ยังเหลือแต่ว่าด้านที่เขาจะจัดการเขาจะทำอย่างไร ก็ดูไป Go on and see out สิ่งเหล่านี้เป็นการชี้บ่งว่า ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ขอให้ใจเราเจตนาดีปรารถนาดี เราไม่ได้ปรารถนาเพื่อตนได้ลาภยศสรรเสริญสุข มาลำบากแน่นอน พยายามวางใจในกายิกทุกข์ ใจเราวางแล้ว ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ตั้งใจอย่าติดยึด

            ความจริงใจของฝ่ายโน้นมีส่วนหนึ่ง แต่มีความไม่จริงใจมากมีคนแฝงโลกธรรมมาก แต่พวกเรามีผู้แฝงโลกธรรมน้อย แต่มีคนจริงใจเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติมากกว่า มั่นใจเลย เพราะฉะนั้นทำไปเถอะ สัจธรรมยืนยัน ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่บาป ใครจะมีแฝงก็ของใครของมัน ถ้าไม่มีแฝง งานนี้ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญอยู่แล้ว  คนที่จริงใจอุตสาหะและมีความมุ่งมั่นมามากพอก็ชนะประตูเดียว

            ในรายการสงครามสังคมฯ มี sms ว่า เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ในขณะที่เราไม่ได้หวังว่าจะได้โลกธรรม เราก็ไม่ต้องทุกข์กับการเสื่อมโลกธรรม ไม่ต้องรู้สึกสูญเสียเพราะเราไม่หวังว่าจะได้แล้ว

 

            อีกประเด็นที่คนสงสัยถามมาว่า งานทอดกฐินกับงานชุมนุม อันไหนจะได้บุญมากกว่ากัน

      .เพาะพุทธว่า...การทอดกฐินปัจจุบันไม่ได้บุญทางพุทธศาสนาแน่ แต่การออกมาชุมนุมเพื่อบ้านเพื่อเมืองเป็นบุญกว่าแน่นอน

พ่อครูว่า...การทอดกฐินทุกวันนี้คือการทอดกระทะทองแดงให้แก่นรก เป็นกระทะทองแดงที่ทั้งร้อนและใหญ่ บางสำนักว่าให้ทำไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน ถ้าต่ำกว่านี้ไม่เป็นมาตรฐานนะ บางสำนักตั้งไว้ 10ล้าน สำนักเหล่านี้ล้วนสร้างกระทะทองแดง ให้ตน ตกนรกหมกไหม้แล้ว

            .เพาะพุทธว่า ที่จริงเรื่องกฐินคือการร่วมกันทำผ้าของพระ เอาผ้ามาต่อกัน ไม่มีเรื่องของโยมมาเกี่ยวเลย

            พ่อครูว่า ..แม้แต่ผ้าป่าก็ไม่ใช่เรื่องของโยมเลย เป็นเรื่องของพระล้วนๆ ….

            ตอนแรกว่าจะใช้คำว่า A Best Idol Model แต่มีคนท้วงว่า คำว่า Idol เป็นตัวอย่างของดาราใช้กัน แต่ว่าบางคนก็ว่าคำว่า Idol นี้เป็นสิ่งที่คนนิยมตัวอย่างสูงสุดแล้ว ตกลงก็เลยใช้คำว่า A Best Idol Model หรือ A Best Modelก็ได้

.เพาะพุทธว่า...จริงๆวันนี้มีคุณจำลองตามไปด้วยก็ทำให้รู้สึกดีมิใช่น้อย....จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:15:15 )

561103 โอวาทพ่อครูหลัง กปท.เดินไปร่วมกับ คปท.ที่อุรุพงษ์

รายละเอียด

561103_โอวาทพ่อครูหลัง กปท.เดินไปร่วมกับ คปท.ที่อุรุพงษ์

         ใครจะไปสมทบที่อุรุพงษ์ก็เชิญ ส่วนใครจะอยู่ที่สวนลุมฯก็เชิญ ใครจะอยู่ก็อยู่เพื่อรักษาฐาน ใครออกไปทำงานทำหน้าที่ก็เต็มที่เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนงง หลายคนไม่รู้ อย่าถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี บางคนก็ว่าเราน่าจะรู้ก่อนก็เป็นอัตตา แม้เราไ่ม่รู้ก่อน ไม่ให้เรารู้ก่อน ก็ถือตัว เขาไม่ให้ความสำคัญเรา สองอัตตานี้ตัวสำคัญคือ เราเองแหละอยากรู้ก่อน ที่ว่าไม่ให้เรารู้ก่อน เป็นอัตตาตัว อวดตัวอวดตน เป็นตัวออกนอกหน้า ส่วนตัวข้างในลึกๆคือ อยากรู้ เป็นความซ้อน มันไม่ได้รู้ก็เกิดมานะอัตตา ออกมาว่า ทำไมไม่ให้ข้ารู้ก่อนนะ ถ้าคนยึดถือมากก็ออกมาแรง ส่วนคนไม่ยึดมากก็ว่าเราน่าจะรู้นะ ส่วนคนที่ไม่มีอัตตาตัวแรงก็แค่มีตัวอยากรู้ข้างใน อำนาจตัวอยากรู้ข้างในไม่แรงมาก เป็นอัตตาชนิดหนึ่งที่มีข้างใน

         เมื่อเราทำงานนี้เป็นเหตุปัจจัยที่สมควรเข้าท่า สมควร แม้แต่ที่คนทำงานด้วยกันยังไม่รู้เรื่อง เป็นยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมมากเลย เป็นยุทธวิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้เลย หลายคนทำยุทธการด้วยกันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างนี้ เราก็ไม่รู้นี่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดด้วยเหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายเมื่อเป็นมติที่ทำกัน โดยไม่แยก มีเงื่อนไขนี้ว่าไม่แยก จะจำนน หรือไม่เต็มใจก็ตาม เป็นมติแล้วก็ต้องทำด้วยกัน ยิ่งไม่เป็นไร แม้เราไม่เห็นด้วยก็ทำตามไปก็แล้วกันเป็นที่สุดแล้วว่าเราต้องทำได้ด้วย ก็ปล่อยวาง ก็ย่ิงดี คนที่ฝืนใจทำไปก็ต้องขอบคุณ แม้จิตฝืน แต่พฤติกรรมไม่ได้เป็นไปคนละทาง ร่วมมือกันอย่างปกติ งานก็สำเร็จได้ด้วยรูปธรรมจะเป็นตัวจริง นามธรรมก็เป็นของแต่ละคน ๆ ดูแลกันของแต่ละคน ผู้ที่รู้ดีไม่ติดยึด นามธรรมเป็นอย่างไรก็ได้ การทำงานนี้ มันชนะก็ได้ แพ้ก็ได้ ถูกก็ได้ ผิดก็ได้

         เรื่องนี้ที่กำลังทำงานกัน ทุกอย่างดำเนินไปอย่าง เคี่ยวข้นและคลี่คลาย และมีอะไรกำลังสะสาง  แต่ก็ทำให้ใจระทึกขึ้นพอสมควร แต่มีอะไรดีขึ้นหลายอย่าง

         ที่บอกว่าคลี่คลาย แม้การเคลื่อนไหวจากที่มั่น เป็นวิธีการให้เกิดการกดดันในการประท้วง ถ้าอยู่กับที่คนเขาไม่กลัว แม้มากเท่าใด แต่ถ้ามากเขาก็กลัวคือเขากลัวว่าจะเคลื่อน ถ้าเต็มสวนลุมฯแต่ไม่เคลื่อนเขาก็ไม่หวั่นไหว ถ้าคุณมัวแต่อยู่บ้านในที่สุดคุณก็จะไม่มีแม้แต่บ้านอยู่

         ที่เกิดการเคลื่อนทำให้เกิดปฏิกิริยา ศัตรูข้าศึกจะต้องคิดว่า เราเคลื่อนไปไหน เร็วไว ทุ่มโถมอย่างไร แล้วมามีอาวุธมาหรือเปล่า พวกเราอาจไม่มีอาวุธไปเลย แต่เขาเชื่อไหม? เรากำชับไว้แล้วว่าให้เอาอาวุธไป แต่จะออกอาวุธผิดไหม อาวุธเราคืออหิงสา สงบ ถ้าใช้บุญญาวุธอันนี้สำเร็จนะ ชนะเลย

         เหตุการณ์ที่เกิดตอนนี้ใช้คำว่า “งาม” ได้ เพราะยังไม่เคยเกิด แต่ก็เกิดได้ ยังเหลือแต่ว่าด้านที่เขาจะจัดการเขาจะทำอย่างไร ก็ดูไป Go on and see out ส่ิงเหล่านี้เป็นการชี้บ่งว่า ดีหรือชั่ว ถูกหรือผิด ขอให้ใจเราเจตนาดีปรารถนาดี เราไ่ม่ได้ปรารถนาเพื่อตนได้ลาภยศสรรเสริญสุข มาลำบากแน่นอน พยายามวางใจในกายิกทุกข์ ใจเราวางแล้ว ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ตั้งใจอย่าติดยึด

         ความจริงใจของฝ่ายโน้นมีส่วนหนึ่ง แต่มีความไม่จริงใจมากมีคนแฝงโลกธรรมมาก แต่พวกเรามีผู้แฝงโลกธรรมน้อย แต่มีคนจริงใจเพื่อส่วนรวมเพื่อชาติมากกว่า มั่นใจเลย เพราะฉะนั้นทำไปเถอะ สัจธรรมยืนยัน ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่บาป ใครจะมีแฝงก็ของใครของมัน ถ้าไม่มีแฝง งานนี้ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญอยู่แล้ว  คนที่จริงใจอุตสาหะและมีความมุ่งมั่นมามากพอก็ชนะประตูเดียว....


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:16:58 )

561104

รายละเอียด

561104_เทศน์กัณฑ์พิเศษที่แยกอุรุพงษ์ การชุมนุม คปท.รวมกับ กปท.        

       พ่อครูได้รับนิมนต์ให้มาเทศน์ที่แยกอุรุพงษ์​ กทม. ท่ามกลางบรรยากาศผู้ร่วมชุมนุมจำนวนหลายพันคน จนต้องปิดถนนทุกเลนที่แยกอุรุพงษ์

พ่อครูว่า...นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอย่างอาตมาเป็นพระเป็นเจ้าจะได้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อยู่บนนี้ มันแปลกพอได้ทีเดียว แต่ก็เป็นไปนะ เป็นกาละที่บ้านเมือง เท่าที่ภูมิปัญญาอาตมาก็เห็นว่าประเทศไทยคลี่คลายขึ้นเยอะ

       คนไทยตอนนี้มี 2 อย่างใหญ่ๆ อย่างหนึ่งคือเจริญขึ้นๆ ทั้งการเมือง ,จิตวิญญาณ มีพฤติกรรมการเมือง ดีขึ้น สวยงามขึ้น มาถึงวันนี้ ตั้งแต่วันที่ ​4 ก.ค. ไม่มีเหตุร้ายคนเจ็บคนตายเหมือนแต่ก่อน นี่คือความก้าวหน้าของประชาธิปไตย เห็นได้ว่าเป็นพฤติกรรมบ่งชี้ประชาธิปไตยที่ดีขึ้น ก็ช่วยกันประคอง อยากให้พวกเรา “ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆหมดๆ” แล้วสิ่งที่จะบรรลุผล เราไม่อยากเรียกว่าชนะ จะเรียกว่าแพ้หรือชนะก็ไม่มีปัญหา แต่เกิดการบรรลุผลอย่างดี สวยงาม

       ตอนนี้ เกิดเหตุการณ์คาดไม่ถึง เขาเรียกว่าเข็มขัดสั้น ก็เกิดขึ้นได้ อย่างรูปธรรม แค่พวกเราจากสวนลุมยกพวกมาสมทบกับที่นี่ แม้แต่พวกอาตมายังงงเลย ขนาดกรรมการอยู่ด้วยกันยังงงเลย แล้วมันก็ Accident Good luck แม้วันนี้เขาก็ถอนหน่วยทัพจากสามเสน ไปอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเรียบร้อย ซึ่งก็เข็มขัดสั้นอีกแหละ มันจะเกิดไปเองตามปัจจัยที่เหนือปกติสามัญ คือจะเกิดเหตุการณ์เข็มขัดสั้น คาดไม่ถึง พุงมันโตกว่าเข็มขัด

       ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพวกเราทุกคนที่ เสียสละ อดทน เพราะว่ามันเข้าถึงขั้นสำคัญที่สุดแล้ว ที่ต้องใช้เรี่ยวแรงอุตสาหะเต็มที่เพื่อให้ไปให้ถึง ยำมาหลายทีแล้ว ประชาธิปไตยต้องมีธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตยคืออำนาจของประชาชน เมื่อมีธรรมะก็มีธรรมะร่วมกับประชาชน ก็มีธรรมาธิปไตยเข้าผนึกอย่างเหน่ียวแน่น

       ธรรมะที่ผนึกเข้าไปนั้นทำให้สมบูรณ์​ประชาธิปไตยทั่วโลกยังไม่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ส่วนเผด็จการนั้นขาเดียวแน่ มีอำนาจใหญ่สั่งการ ส่วนคอมมิวนิสต์ก็ขาเดียว ประชาธิปไตยที่เป็นแบบโลกีย์นั้นขณะนี้ยังไม่ครบสมบูรณ์เป็นประชาธิปไตยขาเดียว ยังไม่ครบสองขา

       คำว่าสองขาคือ ต้องมีรูปและนามครบ หรือขยายความว่า ต้องมีกายกับใจครบ อย่างเผด็จการเขาเรียกว่า วัตถุนิยม แม้เผด็จการ แต่คนเผด็จการมีคุณธรรม แต่เสียสละซื่อสัตย์สุจริต บริหารเพื่อประชาชนจริง นี่คือจิตวิญญาณเป็นประชาธิปไตยจริง แม้รูปแบบเป็นเผด็จการ แม้แต่คอมมิวนิสต์ ถ้าจิตวิญญาณไม่มีธรรมะ ก็จะไม่ครบ มันขาดวิญญาณ เผด็จการนั้นเขาใช้จิตวิญญาณไม่ปฏิเสธศาสนา ส่วนคอมมิวนิสต์ปฏิเสธศาสนา คือไม่เอาจิตวิญญาณ

       จิตวิญญาณที่ต้องเน้นคือการมาเสียสละไม่ซ่อนแฝง แม้รู้ว่าดีแต่จิตไม่เป็นจริงกก็ไม่ได้ แม้ผู้มีธรรมะจะอยู่ในระบอบใดเช่นเผด็จการ แต่จิตวิญญาณเสียสละจริงแล้ว รับรองประชาธิปไตยจะดีแน่ ไม่ว่าจะชื่อว่าระบอบไหน

       ประชาธิปไตยทั่วโลกไม่ครบสองขา แม้รูปแบบมี อย่างประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างไทยนี่จิตวิญญาณของไทยอยู่ที่พระเจ้าอยู่หัว และท่านเป็นประมุขที่มีประชาธิปไตยสูงส่งจริงๆ ไม่ได้แกล้งยอ แต่ว่าปรากฏจริง ไม่ได้ทำตามธรรมเนียนประเพณี แต่จริงถึงนามธรรม จิตถึงจริง พฤติกรรมจริง

       ในหลวงเราเป็นโพธิสัตว์ แต่จะไม่ขยายข้อนี้มาก ประเทศไทยเราไม่เข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องมีจิตวิญญาณเข้าร่วม แม้อเมริกาเขาเป็นประชาธิปไตย แต่ว่าจิตวิญญาณเขาเสพอัตตา ไม่ใช่เพื่อผู้อื่น อย่างเราจะเอาวัฒนธรรมเขามาใช้ อเมริกันแชร์ นั่งกันกันร่วมกันก็ต่างคนต่างจ่าย ในบ้านยังจ่ายใครจ่ายมันเลย ไม่มีเผื่อแผ่ ไม่มีพึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ มันมีแต่ตัวใครตัวมัน เขาก็ได้ประชาธิปไตยอย่างนั้นแหละ ไม่เต็มสองขา เห็นได้ชัดว่าวัฒนธรรมเขาเป็นเรื่องตัวใครตัวมัน ไม่เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง

       อย่างของเรามีศาสนา อย่างชุมชนเราอโศก เป็นหมู่บ้านเลย มีสาธารณโภคี ร่วมกินร่วมใช้ทรัพย์สินส่วนกลาง เป็นกระเป๋าเดียวเลย แต่คนไม่ค่อยเชื่อนะว่ามีได้ ของเราทำงานในสังคมอโศก ทำงานแล้วเสียภาษี 100 เปอร์เซนต์ ยกให้ส่วนกลางหมด มีระบบใช่จ่ายของส่วนกลาง

       ที่บรรยายนี้ปูพื้นฐานเพื่อให้รู้ว่า ประเทศไทยกำลังทำประชาธิปไตยให้บริบูรณ์ด้วยสองขาอย่างที่ว่า ตอนนี้เกิดมาตามลำดับแล้ว อย่างพวกเรามานั่งอยู่นี่ใครมีมากก็เอามาแชร์มาบริจาคกัน มาอยู่นี่อาจไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้านแต่ก็เป็นไปได้ ในสนามรบไม่เหมือนบ้านแน่แต่ก็ไปได้

       ประชาธิปไตยที่มีคุณธรรมนั้น ศาสนาไหนๆก็สามารถทำได้ ให้จิตมนุษย์มีธรรมะก็จะเป็นได้ ตอนนี้คนไทยกำลังมีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณสูงขึ้น พัฒนาขึ้น อย่างเหตุการณ์นี้พลิกล็อค แล้วไม่รุนแรง มีการกระทบกระแทกพอสมควร แต่ไม่รุนแรง ครั้งก่อนๆมันรุนแรงบาดเจ็บล้มตาย

       ตั้งแต่เราก่อหวอด ชุมนุมมาแต่ 4 ก.ค. ยังไม่มีเหตุร้ายแรง จนเกิดหมู่กลุ่มชุมนุมหลักๆ ขณะนี้มีสามกลุ่ม สวนลุมฯ อุรุพงษ์ สามเสน ตอนนี้เป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังมีกลุ่มย่อยอีกหลายกลุ่ม มันมีเป้าหมายเดียวกัน เข้าใจร่วมกันเสมอกัน จุดเดียวกัน เรียกว่าทิฏฐิสามัญตา มีพฤติกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนก็ทำได้ จะมีธรรมฤทธิ์ ไม่ต้องรุนแรง แต่เอาความจริงมาตีแผ่ อย่างยาวให้เป็นฯ

       เรียกว่าอาวุธ แต่เป็นธรรมาวุธ ไม่ใช่อาวุธไปทำร้ายรุนแรง แต่เป็นอำนาจทางธรรม ที่คิดไม่ออก คิดยาก มีการเจริญก้าวหน้าอันใหม่ ลึกๆแล้วอาตมาว่า มันใกล้ความจริงเข้ามาเรื่อยๆแล้ว ไม่ไปว่าฝ่ายตรงกันข้าม แม้แต่ตำรวจ ที่มีปฏิกิริยาที่น่าขัดใจ ก็ยืนยันว่า เขายังมีใจดีอยู่ ยังมีปัญญาได้คิด

       ดั้งนั้นยืนยันหลักฐานความจริงออกมาเรื่อยๆเถอะ ความจริงมี 3 อย่างใหญ่

        1.ประชาชนออกมานับหัวให้ได้ 2ถึง3 ล้านคน ได้ นั่นแหละเรียกว่ามวลยืนยัน มายืนยันเป็นรูปธรรมแล้ว

        2.ใจที่มีปัญญา เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออย่างนี้หรือ ประชาธิปไตยคือออกมาร่วมตัวยืนยันอำนาจประชาธิปไตย แม้เลือกผู้แทนฯรมต. นายกฯ ก็เป็นผู้แทนประชาชน ที่ประชาชนจ้างไว้ด้วยเงินเดือนแสนกว่า เขาเป็นตัวแทนเป็นผู้รับใช้ ประชาชนต้องรู้หน้าที่รู้สิทธิ ออกมาชุมนุมกัน ไม่ต้องให้ใครบังคับ มาด้วยปัญญาตื่นรู้จริงๆ

        3. ความเป็นประชาธิปไตยที่บริบูรณ์ด้วยสองขา แล้วรู้กาละเวลา ว่าอย่ามัวแต่เห็นแก่ตัวอยู่ ใครจะมาทำบ้านเมืองล่มจมก็ไม่สนใจ หรือแม้รู้ว่าอย่างนี้ไม่ดีก็ยังไม่ออกมาคัดค้าน กลัวเมื่อย เสียเวลา ขี้เกียจ กลัวเสียผลประโยชน์ตนเอง อันนี้เป็นลักษณะอัตตา ถ้าลดอัตตาเก็บอัตตาได้ก็จะมากันพรึ่บได้

       ตอนนี้ได้เวลาแล้ว มันเข้าสู่จุดสุดท้ายแล้ว คนที่ยังไม่มานี้ มีอยู่ 3 ประเด็นใหญ่คือ

        1. เขาถือว่าเขาเป็นกลาง เขาก็เลยเฉยๆ คือประเภทไม่มีปัญญา ว่าควรเข้าพวกไหน ตอนนี้มีสองฝ่าย พวกนี้ไม่มีปัญญารู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนชั่ว ก็เลยไม่เข้าข้างไหน

        2. พวกที่รู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนถูกต้อง ฝ่ายไหนผิด แต่เขาไม่กล้าแสดงตัว ไม่กล้ามาช่วยฝ่ายดี เพราะเขากลัวเสียลาภ ยศ ตำแหน่งของเขา นี่ก็เห็นแก่ตัว ทั้งที่มีปัญญารู้ว่าอันไหนดี แต่ว่าอำนาจโลกธรรมมันสูง เรียกว่าคนขี้กลัว ก็เลยเป็นกลางแบบเป็นกลัว เสียโลกธรรม หรือว่ามาแล้วกลัวลำบากนี่ก็เห็นแก่ตัว

        3. ผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ คือเข้าใจผิดๆว่า เข้าใจว่าความเป็นกลางคือต้องไม่เข้าข้างใคร ทั้งที่มีปัญญารู้ว่าฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนชั่ว แม้สื่อสารมวลชนนี่ก็เข้าใจผิด แทนที่จะส่งเสริมคนที่ถูกต้อง อย่างไทยโพสต์นี้ก็เปิดเผยเลยว่ากล้าเลือกข้างคนดี ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าแล้วต้องเข้าข้างคนดี เข้าใจผิดว่าเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร ใครจะดีจะชั่วก็แล้วแต่

       พระพุทธเจ้าสอนให้ทำกาย วาจา ใจ ให้เข้าข้างคนดี อย่าไปคบคนพาล ให้คบคนดี อย่าไปอยู่กับคนโง่ ให้อยู่กับคนดีคนถูกต้อง อย่างในสภาฯเป็นต้น

       วจีกรรม พระพุทธเจ้าให้ ต้องติเตียน ว่ากล่าว คนเลวคนชั่ว คือด่าคนชั่ว พูดหยาบๆ (นิคคัณเห นิคคหรหัง) และให้ยกคนดี ชมคนดี (ปัคคัณเห ปัคคหารหัง) ให้ทำปัญญาให้เป็น ปัญญาปาสาโท คือมีปัญญาเหมือนคนมองอยู่บนยอดปราสาท รู้ว่าอะไรคืออะไร อะไรดีอะไรชั่ว ถูกผิด เมื่อรู้แล้วก็ชมคนที่ควรชม ติคนที่ควรติ แล้วก็ให้อยู่กับบัณฑิต อย่าไปอยู่กับคนพาล คนดีมารวมตัวกับคนดี อย่าไปร่วมกับคนชั่ว ทั้งกาย วาจาใจ และก็ไปเข้าใจผิดกันว่าอย่าไปเข้าข้างใคร คือเป็นกลางอย่างนี้สังคมก็พังสิ

       โดยสามัญนั้น คนที่มีปัญญา คนเสียสละ คนมีธรรมนั้น คนเหล่านี้คือยอดปิรามิด ยอดนั้นจะมีน้อยกว่าฐานแน่นอน แต่ยอดเป็นของสูงของดี มันก็ต้องน้อยคนสิ ใช่ไหมเล่า เพราะฉะนั้น ยิ่งคนดีมีน้อย เพราะคนที่ไม่มีปัญญา นั้นมีมาก แต่คนรู้มีน้อย ยิ่งคนดีต้องมารวมตัวกัน ตอนนี้มันสุดท้ายแล้ว Final แล้ว ถ้าเผื่อว่าเราเข้าใจสัจธรรมอย่างว่านี้ จะเป็นได้แท้

       เรากำลังมาทำให้สัจธรรมเกิด ที่มารวมตัวกันนี่ถูกต้องแล้ว การเมือง คือการออกมาแสดงตัวแล้วแสดงความมุ่งหมายว่าจะไม่เอาสิ่งใด ไม่เอากฎหมายนิรโทษกรรม แล้วบริหารประเทศเช่นนี้ก็ไม่เอา เศรษฐกิจฉิบหายอย่างนี้ไม่เอา ก็ออกมายืนยัน ออกมาประท้วง คนไม่เห็นก็ต้องออกมาชี้ทางออก เพราะเราเป็นเจ้าของประเทศ

       คนที่มาบรรยายธรรม เป็นคนยอดสุดเลย แล้วมาบรรยายธรรมะลึกซึ้งอย่างเรียบง่าย แต่คนฟังไม่ค่อยได้รับการกระตุ้นไม่มีการปรุงแต่งเลย รสจืดเป็นธรรมะสงบจืด เทสน์ไปๆคนฟังก็หลับ เทศน์ไปทำไม เทศน์ให้ตอฟัง คุณเทศน์ธรรมดีอย่างไรก็คือเพ้อเจ้อ ต่อให้มีภูมิปัญญาเอกเลย แต่ไม่เข้าใจการปรุงแต่งหรือสังขารธรรมที่ให้พอเหมาะทั้ง ท่าทางลีลา ภาษา ปรุงแต่งให้พอดี ให้พวกเราดื่มได้ โดยเฉพาะเป็นคำตำหนิติเตียนให้คุณรับได้

       ที่พูดนี้กำลังตำหนิ ตั้งแต่บอกว่าคนเป็นกลางไม่ถูกทั้งสามอย่าง นี่คือตำหนิทั้งนั้น คนที่จะทำคำตำหนิให้คนดื่มได้นี่คือ ปิยะวาจา เป็นภาษาอันน่ารัก อันเป็นที่รักที่ควร หรือโดยศัพท์ตัวแท้ว่าเปยยวัชชะ เป็นวาจาอันเป็นที่รัก แล้วตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าหมด คำว่าวัชชะคือคำตำหนิ เปยยะคือของควรดื่ม ใครก็ตามมาตำหนิแล้วคุณดื่มได้ นี่คือความสามารถในการทำปิยะวาจา ส่วนการชมคนให้คนรักนี่ไม่ใช่ฝีมือหรอก เด็กก็ทำได้แต่ตำหนิให้คนรักสิ นี่คือปิยะวาจา

      เขาแปลกันตื้นๆโลกๆว่าปิยะวาจาคือวาจาอันเป็นคำชมให้คนรัก คนชอบ แต่ที่จริงต้องตำหนิให้คนดื่มได้ นี่คือวาจาที่น่านับถือ

       ที่มาในงานนี้อย่างนี้ มันไม่ง่ายที่จะเอาธรรมะระดับโลกุตระเกินสามัญมาพูด เป็นคุณธรรม แต่มีความจำเป็นมาก เราจะต้องสถาปนาธรรมะเข้าไปในการเมืองในคน คานธีบอกว่าต้องเอาธรรมะเข้าไปสถาปนาในการเมือง ถ้าไม่เอาธรรมะเข้าไปในการเมืองไปไม่รอด คานธีทำสำเร็จแล้วอาตมาก็ทำแบบคานธีจะมีฝีมือเท่าไหรก็ทำสุดสามารถ คนทุกวันนี้รู้แสนรู้ เก่งแสนเก่ง แต่ไม่มีธรรมะ มันฉลาดฉิบหายเลย แต่ไม่มีธรรมะ เขาใช้ความฉลาดตลอดเวลา ตีกลับหมด พูดอย่างนี้ตีความอย่างอื่น ฉลาดฉิบหายเลย

       ที่ว่าฉลาดฉิบหายนี้ ตินะ ไม่ใช่ชม ตอนนี้ความรู้ความฉลาดพอแล้ว คนไทยไม่ด้อยเลย แต่ว่าธรรมะสิขาด โดยเฉพาะนักการเมือง ข้าราชการ ไม่ซื่อตรงเพราะขาดธรรมะ จุดไหนบ้างไม่คอรัปชั่น ในข้าราชการ นี่คือขาดธรรมะแล้วคอรัปชั่นอย่างเลวร้ายหนัก แม้พฤติกรรมที่เป็นอยู่ขณะนี้ ไม่เห็นแก่กฎหมายเลย พูดไป ตัวเองจะแก้กฎหมาย ไม่ยอมรับจะแก้ จะแก้ไปไหน เพื่อตัวเอง ตัวเองผิดขนาดติดคุกแล้วจะแก้ไม่ให้ติดคุก  ตัวเองถูกกฎหมายพิพากษาไปแล้ว แล้วมาออกกฎหมายล้มล้าง ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่ทำได้นะ หยาบคายชั่วช้าที่สุด ถ้าทำได้แล้วกินเนสบุคจะบันทึกว่า เป็นประเทศที่ออกกฎหมายได้หยาบชั่วช้าที่สุด มันตลบกลับไปหมดเลย

       แม้เล็กๆน้อยๆเขาละเมิดมาตลอด แม้แต่การชุมนุมประท้วง ตำรวจกั้นทางไม่ส่งเสริมให้เรามาประท้วงก็ผิดหน้าที่ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องส่งเสริมประชาธิปไตย แต่นี่แกล้งทุกอย่างเลย ตรวจค้น เอาตะปูเรือใบมาโปรย ผิดกฎหมายนะไม่ส่งเสริมสนับสนุนประชาธิปไตย

       ตอนนี้ก็ได้ติไปแล้ว ตอนนี้ตำรวจ ถูกเราชี้ความจริงอันนี้ตอกยำ้เลยค่อยยังชั่วขึ้นนิดหนึ่ง ก็ขอบคุณ ที่ไม่แรงเหมือนก่อนนี้ แต่ก็แรงนะ ขนาดที่พล.อ.ปรีชา พาไปข้างทำเนียบ เล่นไม่ให้กินข้าวกินน้ำ ไม่ให้ขี้ให้เยี่ยวเลย เขาไปอย่างสงบไม่ผิดกฎหมาย แต่ตำรวจผิดกฎหมายเสียเอง

       จะอ่านกวีให้ฟังบทหนึ่ง... ชื่อว่า

       “ความเย็น ดับกลียุค”

        หมู่เมฆทมินมากแม้  เหมือนมาร

ผองเผ่าพงษ์พวกพาล               เพื่อนผู้

กรรมก่อเกิดเกินการ         กูเก่ง

ร้อนเร่าราษฏร์รับรู้           เร่งเร้า รุนแรง

       บาปบงการบทบู๊      รัฐบาล

โดยด่วนบอกสันดาน        ดิบได้

ต้อยต่ำติรัจฉาน             แตกต่างมนุษย์เฮย

คุมสติตั้งมั่นไว้               สู่ห้วงอหิงสา

       รุนแรงมาอย่าได้      แรงตอบ

จิตมุ่งมั่นโดยชอบ            แกร่งกล้า

ใช้ทั้งปลุกทั้งปลอบ          รับศึกสูเอย

จันทร์บดบังเมฆฟ้า          ส่องฟืนเมฆฉาย

       ความดีเริ่มเกิดได้     คนดี

ส่องประทีปวิถี               ถ่องแท้

ราษฏร์มาร่วมบารมี          สมานสมัคร ร่วมสมัย

จิตบ่มุ่งชนะแพ้              สงบได้ ดังเดิม

       ลุกขึ้นพรึบพรั่งพร้อม เพรียงกัน

สามัคคีสมานฉัน             ชาติไทร้

ธรรมประทีปจรัสจรัล        จรุงโรจน์ ไทยเจริญ

กู้แผ่นดินคืนได้              สู้ด้าวสยามเดิม

       ความเย็นย่อมสยบได้ กลียุค

รื่นๆระเริงรุก                เร่งแล้ว

ดำรงศักดิ์สงบสุข            สวรรค์เสก เสวย แฮ

ดั่งเพชรพร้ิงเพิศแพร้ว       พรั่งพร้อมพรรณราย

                             อ.เป็นต้น นาประโคน

       สรุปว่า อดทนหน่อย พากเพียรหนอย อย่าถามว่าเพื่อไหร่จะเสร็จ จะเสร็จต่อเมื่อพวกเราพรั่งพร้อมดี อดทนไม่หนี แล้วมาเพ่ิมให้มากๆๆ รับรองว่าชนะแบบไม่มีประตูแพ้ เพราะพวกเราพรั่งพร้อมและสงบได้ แกนของสันติสงบมีพอแล้วมีพลังร่วมเย็น และรู้จักว่าจะอยู่อย่างไร ดูตารู้แล้วว่าจะทำอย่างนี้ๆ เหมือนเมื่อวานออกจากสวนลุมฯ ไม่มีใครรู้เรื่องเลย แต่พอบอกเดินมาอุรุพงษ์ก็มาได้เลย อย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องมีอะไรมา ขยิบตารู้กัน ไม่มีปฏิกิริยาเลย ไม่ขัดแย้ง ต่างกันปฏิกิริยาที่ข้างทำเนียบ พอคุณปรีชาบอกเลิก ก็เกิดอุรุพงษ์ แต่เมื่อวานนี้เกิดแล้ว ไม่ต้องห่วง แม้ปิดเป็นความลับแต่ความลับนี้ก็แจ๋ว ...เอวัง


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:18:46 )

561106

รายละเอียด

561106_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีผ่านฟ้าฯ โดยพ่อครูฯ

เรื่อง สงครามโลกุตระ ชนะด้วยการแพ้

       พ่อครูจัดรายการสงครามฯเป็นครั้งแรกที่เวทีผ่านฟ้าฯ ซึ่งกองทัพธรรมและกปท.ได้ย้ายการชุมนุมจากที่สวนลุมฯมาอยู่ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาสตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 56

       เป็นสนามรบที่ก้าวหน้าในยุคอาริยะ ยุคศิวิไลซ์ เป็นยุคที่ไม่ใช่รบอย่างเจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์มหาราช ที่รบอย่างเอาอาวุธยุทธภันฑ์ฆ่าแกงกันล้มตายกันเป็นเบือ แต่เป็นยุคของมนุษย์ มนุษย์คือผู้มีใจสูง มีปัญญารู้ความแท้จริงว่าโลกต้องการความสงบ สุภาพเรียบร้อย อหิงสา ไม่ต้องการความรุนแรง โลกสากลรู้กัน แต่ยังทำไม่ได้ ยังมีการรบ ยังมีการสร้างอาวุธ มีการซื้ออาวุธมาป้องกันประเทศ หลายประเทศซื้อไปก็ไม่ได้ใช้ ก็ตกรุ่น เก่า ทิ้งไปแล้วซื้อใหม่ๆๆ แต่ยุคเจริญแล้วไม่ต้องใช้อาวุธยิงกันฆ่ากัน การฆ่ากันทำร้ายกันด้วยเรี่ยวแรงถือว่าตกยุคแล้ว ยุคนี้มีแต่จะช่วยกัน คนล้มก็ช่วยกันประคองให้ลุกขึ้นมา ไม่ว่าจะใครล้มหรือศัตรูล้มก็ตามเราก็ต้องช่วยประคองกันขึ้นมา ไม่ใช่ไปซ้ำเติม ว่าคนนี้คือคนที่เราต้องฆ่าแกง แบบกระทืบซ้ำนั้นป่าเถื่อนตกยุค ยุคนี้โลกทั้งโลกเข้าใจแล้ว แต่เขายังทำกันไม่ได้

      เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่นำร่องทำได้ก่อนประเทศอื่น และก็เชื่อว่าจะเป็นความจริงด้วย แม้อาตมาจะแต่งเพลง “เพ้อ” ซึ่งมีสองเวอร์ชั้น แบบที่แต่งมาแต่แรกในปี 2512 ใช้ในหนังโทน ชื่อว่าเพลงกระต่ายเพ้อ วันนี้คุณอัญชลี ไพรีรักษ์ ก็นำมาใช้ เพลงนี้ติดหูเขาอย่างไรก็ไม่ทราบ ซึ่งเพลงกระต่ายเพ้อนี้เป็นแบบแรกที่มีเนื้อหาความรักแบบโลกีย์ แต่พออาตมามาบวชแล้วก็มาใส่เนื้อหาใหม่ ทำนองเดิม ก็เป็นธรรมะเลย ให้เห็นสัจธรรมว่าคนเราเพ้ออะไร เพ้อในโลกธรรม

        สงครามครั้งนี้เป็นสงครามสมัยใหม่ เป็นสงครามแข่งกันใครเป็นพระองคุลีมาลก่อนชนะ เป็นพระองคุลีมาล คือเข้าใจแล้วว่าความประเสริฐเลิศยอดของมนุษย์คือความหยุดโหดร้ายรุนแรง หยุดทุจริต หยุดชั่ว เอาเปรียบเอารัด หยุดใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงหลอกล่อ แต่จะต้องให้เป็นคนมีน้ำใจเสียสละช่วยเหลือเกื้อกูลพึ่งพากัน คนมีความสามารถมีกำลังมากช่วยคนมีกำลังน้อย เป็นพลังเย็นโอบอุ้มมหาจักรวาล

       อาตมาพาทำงานนี่พยายามทำให้เรียบร้อย ไม่ทำรุนแรง ไม่พยายามเป็นสาเหตุหรือชนวนให้เกิดความรุนแรง เราทำมาตลอด ตรงหน้าเรานี่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าฯนี่เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 55 ที่ผ่านมา ในวันนั้นที่พากันออกมาทำงานร่วมกับเสธ.อ้ายเสร็จแล้วเราก็ชนะรายทาง ทำให้ไม่เกิดความรุนแรงได้ คือเห็นแล้วว่าขืนทำต่อไปรุนแรงแน่ ขนาดพระๆเจ้าๆเขายังไม่ไว้หน้า ซัดเลย ก็เจอเข้าเต็มเปา อาตมาว่าคนจิตใจเช่นนี้อย่าไปล้อเล่นกับเขาเลย คนเขาก็หาว่าเราแพ้ ก็ไม่เป็นไร เขาจะมองตื้นๆก็ไม่เป็นเรา ทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลง

แล้วเราชนะรายทางมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตำรวจเขาก็ออกโฆษณาอันนี้ไปทั่วเลย...คือที่พูดนี้ไม่ได้ยกเมฆ ตำรวจเขาออกป้ายเหมือนกับที่เราไปข้างทำเนียบ เขาหาว่าเราไปปิดถนน เล่นเล่ห์ทั้งที่เขาเองเขากั้นปิดถนนเอง ตำรวจมาไม่รู้กี่หมื่นคนขึงพรืดปิดถนน แล้วใส่ความว่ากองทัพธรรมปิดถนน แต่คราวนี้เขาว่าอย่างนี้...เขาบอกว่า...เขาเขียนป้ายว่า “คนที่ถูกกลั่นแกล้งยอมให้อภัยแล้ว พวกคุณยังไม่หยุดอีกหรือ? ขอให้คนไทยทุกคนให้ใช้ดุลยพินิจด้วยใจเป็นธรรม ประเทศจะเดินต่อไปได้” พ่อครูว่า ไม่รู้ว่าใครแกล้งใคร แล้วคนที่ให้อภัยนี่ใคร ต้องรู้สัจจะว่า คนกระเหี้ยนกระหือรือคือใคร? เขาหาว่าเราประท้วงนี่แหละคือพฤติกรรมไม่หยุด คือการบุกรุก อย่ามาตีกินตื้นๆพูดให้เด็กอมมือฟังนะ เขาว่าพวกเรามาทำอย่างนี้ประเทศเลยเดินต่อไปไม่ได้ แล้วไอ้ที่ประเทศมันเดินต่อไปไม่ได้นี่มันเพราะใครกันแน่? ที่เป็นตัวเหตุใหญ่ตอนนี้คือใคร ทำไม่ไม่มองตนเองกลับไปโทษคนอื่นตลอด เขาไม่รู้จริงๆหรือว่าตัวเหตุใหญ่คือใคร? เราประท้วงให้คุณหยุด แต่คุณยังไม่เคยหยุดเลย คุณยังตีกินนิรโทษกรรมอยู่เลย อะไรต่างๆนานา

        เสืออยู่ในกรงบอกกวางว่า เข้ากวางน้อยเอ๋ย ปล่อยข้าเถอะ นิรโทษกรรมข้าเถอะ เมตตาข้าเถอะ แต่เสือนี่มันกินสัตว์มานับไม่ถ้วนจนจะหมดป่าแล้วนะ เสือกำลังดิ้นหาทางออก ก็เลยอ้อนใหญ่เลย เมตตาข้าเถอะน่า ข้ารับรองว่า ถ้าได้ออกนอกกรงนิรโทษกรรมนี้แล้วข้าสัญญาว่าจะไม่กินเจ้าตลอดชีวิต  แล้วเสือบอกว่าจะเปลี่ยนชาติมาเป็นชาติมังสวิรัติ แล้วสัตว์ป่าจะเชื่อไหมหนอว่าจะมากินหญ้าเหมือนกวางแล้ว เสือจะมากินหญ้าเหมือนกวางแล้ว ใครจะเชื่อเสือเจ้าเล่ห์หนอ นี่คือวิชามารที่เขาใช้อยู่ตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นการรบหรือสงครามที่ดีมากเลย ท่าทีเขาดี ดีตรงไหน? ดีตรงที่เขารู้ว่า สำนึกเขารู้ว่า ต้องอภัย สงบ หยุดความรุนแรง เขาหยุดรุนแรงพอได้ แม้แต่ตำรวจก็เปลี่ยนท่าที นี่คือชนะรายทางของเรา ไม่อย่างนั้นเอาแบริเออร์สองเมตรมาขู่แล้ว มายืนคุมหมดแล้ว แต่ตอนนี้ประชาชนตื่นแล้ว รู้ในปัญญาของประชาชน ว่าใครถูกใครผิด ใครดีใครชั่ว ใครจริงกว่ากัน เรากำลังรบด้วยเอาจริงกว่าถูกกว่ามาสู้กัน

       อาตมาทำพระปางนี้ เรียกว่าสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา  วิชิตอวิชชา แปลว่า ชนะอวิชชา ตอนนี้เรากำลังรบอยู่กับข้าศึก คืออวิชชาของมนุษย์  สงครามต้องมีแพ้มีชนะ แต่สำหรับเรานั้น มันลึกซึ้งซับซ้อนเรียกว่า สัจจะย้อนสภาพ ขอให้เราทำส่ิงดี กรรมจบแล้ว เขาอาจมองไม่ออก พฤติกรรมเราดูเหมือนแพ้ ก็ไม่เป็นไร เหมือนยกตัวอย่างกรณีเสธ.อ้ายหรือกรณี ครั้งที่พล.อ.ปรีชา พาถอยจากจากข้างทำเนียบกลับสวนลุมฯ แล้วก็เกิดการขัดแย้ง จนเกิดกองทัพอุรุพงษ์  มันเป็นเหตุปัจจัย เหลือเชื่อ ทำไมมันต้องเกิดเช่นนั้น เพราะมันต้องเกิด

       เรามาสร้างรูปแบบใหม่ ของสงครามที่รบรากันด้วยสงครามแบบใหม่ เป็นสงครามโลกุตระ ชนะกันด้วยการแพ้ ใครแพ้ก่อนคนนั้นชนะ แพ้คือไม่ทำอะไรรุนแรง สู้กันด้วยการไม่รุนแรง เช่นคานธีพาพลเมืองสู้้กับอังกฤษ มีทหาร มีอาวุธ เขาจะตีจะทำร้ายก็ไม่ให้ยกมือป้องกัน ไม่ยกมือรับเลย ตีก็ตีไป โลกคือสามัญที่ว่าใครทำลายคนอื่นให้ยับเยินคนนั้นชนะ สมัยนี้คนทำให้ยับเยินคือคนแพ้ สมัยนั้นคานธีกอบกู้ชาติด้วยการรบอย่างอาริยสงคราม อาตมามั่นใจ ประเทศไทยต้องทำได้ ช่วยกันหน่อยจะใช้เวลานานเท่าไรก็ได้ มันเร็วได้ก็ดี มันเร็วได้เพราะคนตื่น ไม่ใช่ตื่นตระหนกนะ แต่ตื่นเกิดปัญญาเกิดแสงสว่าง รู้สัจธรรม คนที่ย่ำคนล้มแล้วชนะนัั้นมันเก่าแล้วแต่คนไม่ย่ำคนแพ้ นี่คือคนหมดเชื้อเดรัจฉานแล้ว คนมีเชื้อเดรัจฉานก็ต้องใช้เรี่ยวแรงข่มขู่ ผู้ใดเสียสละ ผู้ใดช่วยเหลือเกื้อกูลกันคนนั้นชนะ

       ถ้าเราสามารถสร้างให้เป็นรูปธรรมได้ พูดแล้วพูดอีกว่าเราจะมาต่อสู้กันใน Neo Protest มาประท้วง ด้วยความสงบ สันติ อหิงสาต่างๆ ทำมาตลอดเวลา แล้วชนะรายทางมาเรื่อยๆ มีปรากฏการณ์ความจริงเห็นมาเรื่อยๆ แม้ปัจจุบันเรามายึดพื้นที่นี้ได้โดยสงบก็คือเจริญ ตำรวจก็เข้าใจเพ่ิมขึ้นว่าเราไม่ได้มาผิดนะ มาอย่างถูกต้องนะ เป็นหน้าที่ของประชาชนอย่างสากล แต่ก่อนเขาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มตลอด เอาตำรวจมาข่มขู่มีเรี่ยวแรงอุปกรณ์อะไรก็เอามาแสดงขู่เลย ฟ่อๆๆ จนพวกเรากลัว ไม่ออกมา ไม่กล้าออกมา กลัวเดือดร้อน

       มาวันนี้แล้วเขาเข้าใจบทบาท ลดความรุนแรง ที่เขาแสดงออกมาบอกว่า เราเป็นองคุลีมาล เธอสิยังไม่หยุด ทำอย่างพระพุทธเจ้าเลยนะ ก็สนับสนุนให้ทำ แต่เราต้องสงบยิ่งกว่า ความสงบจะสยบความรุนแรงไม่ใช่ในหนังจีน แต่มนุษยชาติจะทำได้ ใครจะมาช่วยทำก็มาเลย

       มวลชนที่จะมาแสดงพฤติภาพ ถ้าประชาชนตั้งแต่ลานพระรูปฯ เต็มจากราชดำเนินนอก ราชดำเนินใน ไปถึงสนามหลวงเลย แล้วสงบ อาตมาว่าแล้วคอยดูกันว่าจะสยบความเคลื่อนไหว แล้วจะสยบศัตรูได้หรือไม่ ก็รออยู่นะ อย่างที่คุณอัญชลีว่า ในเพลงกระต่ายเพ้อ ว่า เฝ้าแต่รอ ร้อ รอ...รออะไร รอประชาชนออกมารวมตัวกันที่นี่ ทุกวันนี้้เป้าของประเด็นที่คนไทยไม่ชอบใจมีเป้าเดียว

       อย่างที่คุณคือเสือ คุณต้องถอดเขี้ยวเล็บถอดกล้ามเนื้อถอดกำลังสิ ว่าคุณหยุดจริงๆ ให้กวางมาทำงานแทน เสือหยุดแล้วมาถอดเขี้ยวเล็บกล้ามเนื้อ ที่มีมาแต่ปางไหน แล้วยังมาใช้เล่ห์สุดท้ายอีก ว่าปล่อยเราไปเถอะแล้วเราจะไม่กินเธอเลยตลอดชีวิต ไม่เอาหยุด ให้กวางมาทำบ้างสิ เพราะยังไงๆ กวางเขาก็ไม่มีเขี้ยวเล็บไม่ไปขย้ำใครหรอก ไม่ทำร้ายใครหรอก ให้เขาทำสิ

       ที่ว่า Set Zero คุณต้องทำให้สูญก่อนสิ เรานั้นซีโร่อยู่แล้วเราไม่ไปทำร้ายใครอยู่แล้ว แต่คุณนั่นแหละทำอยู่ มีพฤติกรรมลักหลับอยู่คือใช้กำลังคนหมู่มากมาข่มขืนนะ ทำทีว่าไม่ให้ใครรู้แต่พฤติกรรมก็คือข่มขืนนะ นี่คือความแฝงเลห์เหลี่ยมอยู่

       สรุปคือสิ่งที่เขาไม่ไว้ใจให้คุณพักก่อนได้ไหม ให้คนอื่นมาทำสิ ถ้าเขาทำไม่ดีก็ค่อยให้เขาหยุดสิ แต่นี่เอาเปรียบอยู่นะ

       ตอนนี้เป็นสงครามธรรมาธรรมะสงคราม ไม่ใช่สงครามแบบเก่าอย่างเจ็งกิสข่าน ใครตกยุคก็ต้องบอกว่าตื่นได้แล้ว ตั้งแต่คานธีทำสำเร็จมาก่อน ใครไม่ทำร้ายทำลายใคร ใครเอาความถูกต้องกว่ามาใช้ก็ชนะ เรามาทำงานครั้งนี้เราไม่ใช้คำว่า สู้ไม่สู้ สู้ๆ แต่ว่าเราจะใช้คำว่า จริงไม่จริง ใช่ไม่ใช่ เราเอาชนะกันด้วยความจริงความถูกต้อง ยาวให้เป็นฯ เพื่อให้คนไทยตื่นรู้มาแสดงรัฐาธิปัตย์ ไม่ใช่อำนาจของรัฐบาลนะ แต่รัฐาธิปัตย์คืออำนาจของคนทั้งประเทศ แต่ตอนนี้รัฐบาลริบอำนาจไปใช้อย่างผิดนิติรัฐนิติธรรม อำนาจของรัฐคืออำนาจของประชาชน โดยเฉพาะอำนาจของรัฐนี่ ในประเทศไทยมีประชาธิปไตยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อำนาจอยู่ที่ประชาชน พระมหากษัตริย์ก็เป็นประชาชน แต่เป็นหัวหน้าประชาชน มีอำนาจตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจแทนประชาชนผ่านสามสถาบัน

       รัฐาธิปัตย์คืออำนาจของประชาชนกับพระเจ้าอยู่หัว เป็นประชาธิปไตยสองขา อำนาจอันหนึ่งมาจากจิตวิญญาณ ที่ส่งมาต่อเนื่องกันมาอย่างประเสริฐสุด ประชาธิปไตยที่มันเกิดแต่แรกคือที่อังกฤษ เป็นประชาธิปไตยสองขา แล้วเขาก็รักษาจารีตวัฒนธรรมได้เยอะเลย แม้ทุกวันนี้เขาก็ไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญ เขายอมรับในจารีต เป็นประเทศที่มีรัฐาธิปัตย์อยู่ได้ ทั้งที่เป็นผู้หญิงเป็นกษัตริย์ ส่วนอเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่มีการต่อเชื้อทางจิตวิญญาณเลย

       อย่างในหลวงมีจิตวิญญาณหนึ่งเดียว ไม่ได้ทรงหาเสียงเลย แต่ทรงงานมาตลอดพระชนชีพย์ เพื่อมนุษยชาติเพื่อปวงชน เราเห็นโลกเห็นรับรู้ นอกจากคนตาบอดที่ไม่รับรู้ไม่เทิดทูน คนไทยทั้งประเทศยังเคารพเชิดชูบูชา ไม่ได้เชิดชูเพราะติดตัวบุคคล แต่ท่านมีพฤติธรรม ทรงงานเพื่อประเทศชาติประชาชนอย่างเลิศยอดเลย ด้านจิตวิญญาณได้มาอย่างแท้จริงไม่ต้องหาเสียงเลย ประชาชนยกให้เป็นของจริง

       ผู้จะใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อำนาจโลกธรรมขู่ไว้ ใช้โลกธรรมสร้างอำนาจเห็นๆ แต่ในหลวงไม่ใช้เลย เมืองไทยยังมีคนเข้าใจ เราจะใช้การทำงานช่วยคนอย่างในหลวงทรงงานเป็นอำนาจ

       ท่านเป็นพ่อจะทำอย่างไรกับลูกชั่ว เดี๋ยวเขาหาว่าลำเอียงได้ ดั้งนั้นลูกดีต้องมาช่วยพ่อปรามลูกชั่ว ให้ลูกชั่วยอมรับว่าผิด ไม่มีฆ่าแกงกันทะเลาะกัน ถ้าจบได้อย่างนี้คือสงบเรียบร้อยยิ่งกว่าปรองดองปูดองด้วย คนผิดต้องรู้ตัวแล้วหยุด ให้คนดีมาทำแทนสิ

       เราก็พยายามเปิดเผย ขณะนี้แม้แต่ผู้พิพากษา 63 คนรวมตัวกันออกมาแถลงว่า กฎหมายนิรโทษกรรมนี้ผิดนิติรัฐนิติธรรม เท่ากับพิพากษาประกาศสู่สาธารณชน รู้ตัวไหมว่าตนเองผิด ตัดสินแล้วนะ ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาออกไปอย่างหน้าใสๆแล้ว แต่นี่ด้านอยู่อย่างหน้าดำเลย เราก็รออยู่ที่นี่แหละเป็น กลุ่มประชาชนปักหลักเพื่อให้คนที่เข้าใจในเสียงประชาชนออกมา 1 คน 1เสียง ล้านคน ล้านเสียงออกมา ใครจะอยู่ไหนก็ออกมารวมกันที่นี่แหละ ถ้ามากันมากขนาดคน จากสนามหลวงจนจรดลานพระรูปฯก็มากัน แล้วให้เขาคำณวนกันสิว่ามีจำนวนคนเท่าไหร่ จะนับผิดก็ตามนับได้น้อยกว่าความจริงอย่างไรก็ตาม

       เราจะทำความจริงให้ปรากฎจนคนตาบอดเห็นได้ มาช่วยกัน อาตมาว่าเป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทย ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา นร. วัยรุ่น สายบันเทิง ตลกก็ออกมาก กำลังขานเป็นเสียบเดียวแล้ว มาผนึก ถ้าไม่ออกมาเอาแต่เชียร์อยู่ในบ้านไม่มีใครเห็นนะ อยู่แต่ในบ้าน ออกมาหน่อยได้ไหม

       เราไม่อยากพูดว่าเราออกมาก่อนแล้วสู้ทนมานานแล้ว อย่างน้อยที่สุด ในเวลาเช่นนี้ เลิกงานเลิกกิจก็มารวมตัวกันที่นี่ ห้าโมงเย็นเป็นต้นไปแสดงมวลปรากฏแล้วสี่ทุ่มค่อยกลับก็ได้ มาแสดงคะแนนเสียงประชาธิปไตย ประชาชนไทยช่วยกันหน่อยได้ไหม

       สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา จะพาเราทำอย่างสงบ สันติ อหิงสา อาจให้ท่านวิศิษฐ์มานำทำเจโตสมถะ เพื่อให้มีพลังรวม ที่สงบ ผู้ที่มีอารมณ์รุนแรง จงช่วยกันทำอย่างสงบ การทำสงครามนี้ต้องช่วยกันให้สงบ อย่าทำอย่างใครมาก็ฆ่าแกงกัน อย่างนั้นตกยุคแล้วเราต้องทำอย่างนำสมัย ที่อื่นเขาทำร้ายกัน บางทีเผา เราไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างตกใจแล้วเผา ตกใจแล้วเข้าห้างเอาของเขา อย่างนี้ลัทธินี้เราไม่เอาแล้วคนมีความคิดเช่นนี้มาบริหารเราก็ไม่เอา คุณไปถอดเขี้ยวเล็บก่อน คุณหยุดเสีย ถ้าไม่หยุดคุณก็ไปอยู่กับฝ่ายอื่นเสีย

       ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้รักสงบ จริงไหม แล้วช่วยกันออกมาแสดงคะแนนเสียง ที่นี่จะเป็นที่แสดงว่าประชาชนเป็นรัฐาธิปัตย์ของประเทศ ถ้าประชาชนออกมา ตั้งแต่ห้าโมง ถึงสี่ทุ่มทยอยกันออกมา แม้แต่ในต่างจังหวัดก็ช่วยกันทำที่ต่างจังหวัดได้รวมกันทำ

       ถ้าประชาชนออกมาแสดงกันมากพอ ทุกอย่างก็จะมารวมกันที่นี่หมด แม้แต่ศาล นักวิชาการ วัยรุ่น บันเทิง ตลก แม้แต่ทหาร ถ้าเอาอาวุธออกมาก็ไม่เอา แต่ถ้าออกมาอย่างประชาชนช่วยกันก็มาเลย แม้แต่พระสยามเทวาธิราชก็จะออกมาช่วย

       ส่ิงที่ชัดเจนที่สุดคือประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เราเห็นว่าสิ่งนี้ดีส่ิงนี้ควรก็มา ส่ิงนี้ไม่ดีสิ่งนี้ไม่ควร เราก็ไม่ให้ทำต่อ ทำประเทศฉิบหายมาหลายปีแล้วต้องหยุดเด็ดขาดเลย ให้กลุ่มใหม่มาทำงาน คนไ่ทยไม่โง่ แต่เขาเข้าใจว่าคนไทยกินหญ้ากินแกลบตลอดเวลา จะดูถูกกันมากไปแล้ว...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:20:15 )

561107

รายละเอียด

561107_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีราชดำเนิน

เรื่อง มัฆวานผ่านฟ้าประชาธิปไตย ตอน 1

       วันนี้เป็นวันแรกที่กองทัพธรรมและกปท.ตั้งเวทีใหญ่ใหม่ อยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง พ่อครูมาเทศน์ที่เวทีใหญ่นี้เป็นวันแรก

       วันนี้คงต้องยำ้ซ้ำเดิม อย่างพระไตรปิฎกที่มีคำความซ้ำย้ำ ให้อ่านหลายครั้ง อ่านหลายครั้งก็จะเข้าใจเพ่ิมขึ้น ทั้งที่คำความเดิม ภาษาเดิม ไม่มีใครไปเปลี่ยนคำความแต่อย่างใด อ่านซ้ำซากเราจะเข้าใจเพ่ิมขึ้น

       พระพุทธเจ้าค้นพบประชาธิปไตยสูงสุด จุดสูงสุดคือ คำว่า “นานาสังวาส” กับอีกหมวดหนึ่งที่ยืนยันลักษณะของประชาธิปไตย คือ “พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ” และอีกคำหนึ่งที่เป็นคำสุดยอดเลยคือคำว่า “ตถตา” คือประชาธิปไตยสูงสุด

       ตถตตา คำว่า ตา เป็นปัจจัยมาเติม เป็น suffix เป็นความจริงของสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรเสมอภาค เท่าเทีียมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สองเป็นต้นไป จะเป็นวัตถุ หรือนามธรรมละเอียดขนาดไหนก็ตาม จะไม่มีส่ิงใดเท่าเทียมกัน  แต่มีส่ิงเดียวเท่านั้นที่เท่ากันในมหาจักรวาลนี้คือนิพพาน คือความจริงสุดยอด ที่ไม่มีอะไรเปรียบ นัตถิอุปมา ถ้าผู้ใดได้ถึงความจริงสุดยอดนี้ เป็นอุภโตภาควิมุติ (เจโตและปัญญาวิมุติ)

       ผู้ที่มีนิพพานจะเห็นเองเป็นเอง ไม่มีใครจะเห็นของใครได้ ผู้ที่มีความเป็นตถตาหรือนิพพานี้ ในตนแล้วจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในโลกีย์ แต่จะมีความมั่นที่สุดในนิพพาน เป็นสภาพสองชนิด แต่เป็นหนึ่งเดียวกันที่เป็นมุมเดียวเท่ากันคือนิพพาน นิพพานของผู้หญิงก็เป็นได้ กับนิพพานของผู้ชาย เป็นนิพพานหนึ่งเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าท่านจำนนพระอานนท์ตรงนี้ที่ว่าผู้หญิงก็บรรลุธรรมได้ ก็ต้องให้ผู้หญิงบวชได้

       ตถตานี้เป็นสภาพสูงสุด ท่านรู้ว่ามันไม่มีอะไรเกิดต่อ แต่ท่านรู้ว่ามีอะไรเกิดต่อ เป็นภาวะสองอย่าง และตถตานี่แหละจะลงตัวกันได้ในแบบนานาสังวาส ส่ิงไม่ในโลก คือ น โหติ เมื่อทำความไม่มีในโลกเกิด เป็นนิพพานคือความไม่มี(ไม่มีสมุทัย) ขึ้นมา ส่วนส่ิงที่สูงกว่านี้ก็เป็น โหติ เป็นภาวะมี

       ผู้ที่ถึงซึ่งตถตา ก็จะรู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร มันก็เป็นเช่นนี้แหละ เขาก็ทุกข์ของเขา เขาก็มีส่วนดี คนไม่ดีกับคนดีเขาก็ไม่ชอบใจกัน ก็ไม่เป็นปัญหาท่านก็ไม่ได้รังเกียจ สรุปแล้วนานาสังวาส คือความต่างมาอยู่ร่วมกัน คือส่ิงที่มีอยู่แล้ว มันย่อมต่างกัน แต่คุณอยู่ด้วยสมานสังวาส พระอรหันต์ทุกองค์ก็เหมือนกันและมีความต่างกัน แต่ร่วมกัน ถ้าจะไม่ร่วมกันเพราะต่างกันมาก็คือนานาสังวาส ไม่อาบัติ เรามีความปรารถนาดีให้อยู่ร่วมกันได้ และอยากให้เลิกบาป ไม่ใช่ความอิสสาริษยา

       ผู้ที่มีความรู้ในส่ิงดีและอยู่สมานสังวาสกับส่ิงดี และรู้ว่าสิ่งไหนไม่ดีที่จะไม่สมานสังวาส รู้ว่าโลกียะก็เป็นเช่นนี้ แล้วอยู่กันอย่างมีสัจจานุโลกมิกญาณ จะอยู่กับคนอย่างไม่มีภัยไม่มีโทษ นอกจากสุดวิสัยที่ท่านเข้าใจไม่ได้เข้าใจไม่พอ พระอรหันต์บางรูปก็เข้าใจโลกไม่พอ ไม่รู้สมมุติของโลก เกินนั้นแล้วท่านไม่รู้ ท่านก็เข้าใจผิดพลาดได้  ท่านรู้ในกรอบในcontent concept ของท่านอย่างนี้ ท่านก็จัดการตามประสา

       ในกระดานหมากรุกทั้งหมดคือตัวเล่น เรียกว่า content หรือภาษาเรียกว่า สารบัญ ส่วน context คือตัวรวมอยู่ในนั้นแล้วคนนี้เข้าใจหมด ประสานตั้งแต่หยาบไปถึงละเอียด พระอรหันต์ท่านก็ทำ context ได้เท่าที่ท่านมีความรู้แต่ท่านไม่มีมโนสัญเจตนาในทางร้ายอย่าปรับอาบัติท่าน

       สรุปคือท่านมีแต่ความจริงใจ มีโลกวิทู ทำงานอยู่กับโลก ท่านจึงมีโลกานุกัมปายะ(อนุเคราะห์โลก) มีความรู้ความสามารถเท่าใดก็เพื่อประโยชน์ต่อสังคมโลก ให้อยู่อย่างสงบสุข เป็นวูปสโมสุข เป็นปรมังสุขัง ไม่ใช่โลกียสุข คนที่ยังไม่รู้จักวูปสโมสุข คือคนที่แยกระหว่าง เคหสิตเวทนากับ เนกขัมสิตเวทนาไม่ออก ทุกวันนี้ก็สงสารศาสนาพุทธที่แยกไม่ออก ในเคหสิตอุเบกขา กับเนกขัมมสิตอุเบกาขา ซึ่งมันเป็นความเป็นกลางที่เขาเข้าใจผิด ไปเห็นว่าความเป็นกลางคือไม่เข้าข้างใครเลย ที่จริงต้องเข้าข้างคนดี ต้องตำหนิคนชั่ว (นิคคัณเหนิคคหารหัง) การตำหนิการยกย่อง นั้นต้องมีปัญญาปาสาโท คือปัญญาที่เหมือนมองจากที่สูงบนยอดปราสาท มององค์รวมทั้งหมดออก

       ลักษณะของส่ิงที่สุดยอดทั้งรูปธรรม นามธรรม ว่า คนที่สามารถปฏิบัติธรรมะจะรู้จักการกำหนด “กาย” ในวิญญาณฐีติ 7 จะรู้ว่าความเป็นสัตว์ ให้หมดความเป็นสัตว์ ให้จิตเป็นมนุสโส ถ้าทำไม่สำเร็จก็มีความเป็นสัตว์อยู่เป็นสัตว์ในสัตตาวาส 9 ต้องอ่าน “กาย” ให้ออก มีสัญญากำหนดความเป็นอากาสไม่ได้ ว่างในรูปธรรม ในนามธรรม ผู้ที่จะรู้ความว่างในนามธรรมคือผู้มีอรูปฌาน 4 มีความหยั่งรู้ กายที่เป็นอากาส อยู่ในปริเฉทรูป คืออากาสธาตุ ส่วนอากาศที่เป็นรูปธรรมโดยตรงฟิสิกส์เขาก็เรียนรู้อยู่แล้วไม่ยาก แต่อากาศของนามธรรม เช่นขั้นพรหม อาภัสราพรหม เป็นแสงสว่างใส คำว่าใสสะอาด คืออาภัสรา ต้องอ่านจิตที่ใสสะอาดได้ อนันโตวิญญานัญติ รู้จักวิญญาณตลอดทั่วถ้วนเลย วิญญาณว่าง สะอาดบริสุทธิ์ เพราะวิญญาณยังมีความเป็นชีวะเป็นนามธรรม ส่วนอากาศนั้นไร้ชีวะ

       เรารู้ว่าอะไรไม่มี อะไรที่จะไม่ให้มีแล้วจะมีอะไร คือสุดท้ายต้องพ้นเนวสัญญานสัญญายตนฌาน คือสุดจบ แต่ถ้าพวกฤาษีคือจะไม่พ้นเนวสัญญาฯ​จะเป็นอสัญญีสัตว์ ได้นิโรธดับมืด คือเขาคิดว่านี่คือสุดยอดของส่ิงที่ควรได้ เป็นความมืดดับ ว่าเป็นโชคของเราที่ได้ส่ิงสูงสุดเท่าที่จะสัญญาได้ เรียกว่ามิจฉานิโรธ เขาก็ได้ส่ิงนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านแยกนิโรธของโลกีย์ ที่ถือว่าสูงสุดก็ได้ความมืดความดับ แต่ถ้านิโรธของสว่างก็ได้อาภัสราพรหม เป็นสายใสๆๆ อยู่ในภพ อย่างนั้นไม่มีจบ ทางด้านใสจะไปไกลเป็นความยาวนานไม่มีวันจบ คนพวกนี้ชอบส่ิงที่ไกลๆ ไปไม่มีที่สิ้นสุด ปั้นเทวดาส่วนพวกนิโรธดับจะไม่ปั้นอะไรเหมือนพวกสว่าง เพราะมันมืดดับได้สุดยอดแล้ว เป็นวิสัญญี ทำให้ประสาทไม่รับรู้ อย่างหมอวิสัญญีที่วางยาสลบ

 

ต่อไปเป็นเรื่องของเหตุการณ์บ้านเมือง....

       ตอนนี้กลุ่มประชาชนที่ตื่นตัวเอาจริงที่สุด ตอนนี้มีสามกลุ่ม มีสามเส้า หลายคนยังรู้สึกว่าขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ลักษณะสมานมันมีมากกว่าในสามกลุ่มนี้ กลุ่มที่เกิดได้ก่อนคือกลุ่มที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มถัดมาคือกลุ่มที่ผ่านฟ้า ส่วนกลุ่มที่เกิดถัดมาคือมัฆวาน เป็นสามกลุ่ม เป็นสามเส้า มีการเคลื่อนที่เป็นเส้าที่สี่ออกมาได้ ถ้าเส้าที่สี่รวมกันเคลื่อนเมื่อไหร่ก็จบ พลังงานที่ 4 เกิดก็จบ อาตมาไม่เชื่อว่าความยากของงานการเมืองจะต้องถึงขั้นที่สามเส้าซ้อนสองรอบ ที่จะต้องสู้กันถึง 7 จึงจะต้องชนะ ไม่เชื่อว่าคนไทยจะตกต่ำขนาดนั้น แม้คนหรือกลุ่มที่เราจะต้องปราบ จะแรงจะร้าย จะเลวชั่วขนาดไหนก็ตาม ที่คนไทยไม่เคยเจอ มาเจอครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัส แต่ก็รู้สึกว่าไม่เท่าไหรหรอก ถ้าสมานกันให้ดี โดยเฉพาะผู้คุมเกมนี่แหละ ต้องคุมให้ดี โดยเฉพาะตัวอัตตาของแต่ละคนนี่แหละ ชอบพูดกันว่าผมไม่มีอัตตา ซึ่งอัตตาตัวนี้เป็นอรูปอัตตา ไม่ใช่รู้กันได้ง่ายๆนะ มาพูดกันว่าผมไม่มีอัตตา อย่ามาพูดเลย แม่แต่โอฬาริกอัตตาก็ยังติดอยู่เลย   อาตมาไม่ใช่ชาวอินเดียในชาติก่อนก็ใช่ภาษาบาลีไม่ได้ชำนาญนะนี่

      อาตมาเคยพูดว่าชมพูทวีปตอนนี้ย้ายจากอินเดียมาอยู่เมืองไทย จะอยู่ไปอีกนาน และชมพูทวีปนี้หมายถึง หทัยรูป ซึ่งย้ายมาอยู่ที่คนไทย ที่เป็นพุทธมีมากกว่าประเทศอื่น ก่อนอาตมาเกิดก็มีมาแล้ว พุทธมีอยู่แล้วในไทย ผู้ที่จะมาเป็นอรหันต์ต้องมาที่เมืองไทยนี่ ต้องมาถ่ายทอดเชื้อของความเป็นอรหันต์ให้ เชื้อนี้คิดเอาเองไม่ได้ ต้องมีตัวเชื่อมถ่ายทอด ต้องมาแต่เหตุ ถ้ายังไม่ถึงสยังอภิญญาก็ไม่ได้ ต้องรับจากของคนอื่น

       ส่ิงที่เกิดจริงขณะนี้ที่เกิด ราชดำเนินนี่คือที่เกิดประชาธิปไตยมันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ส่วนราชประสงค์นั้นไม่ใช่ของจริงเป็นแค่ประสงค์ แต่่ว่าราชดำเนินคือที่ๆราชามาดำเนิน ลงมาเดินแล้ว ไม่ใช่แค่ประสงค์ ผู้ที่จะดำเนินมาสู่ตรงนี้ถูกแล้ว เริ่มที่กลุ่มสามเสนมา ไม่มีใครรู้ว่าจะมายึดที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

       นักประท้วงที่ใครคิดว่า ต้องเคลื่อนไหวจึงจะกดดันนั้นไม่ใช่แล้ว ยุคนี้ไม่ใช้การกดดันคือการเคลื่อนไหว แต่ใช้ตัวหยุดนิ่งเป็นตัวกดดัน แม้แต่ตำรวจยังใช้ยุทธวิธีนี้เลย เลียนแบบดารา

       ตอนนี้ตำรวจก็เปลี่ยนแปลงแล้ว คนไทยโกรธง่ายหายเร็ว ไม่พยาบาทมาก แต่ว่านายกฯดูยังไม่ยอมจริง ยอมไม่ยอมไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง เป็นเหมือนหุ่นกระบอก แล้วก็บอกว่าดิฉันคิดเองทำเอง ใครเชื่อบ้าง?

       พระโพธิสัตว์มหาโพธิสัตว์จะมาอุบัติในโลก นั้นเป็นตถตาต้องเป็นเช่นนั้นเอง พระพุทธเจ้าจะเกิดวันนี้ ตรัสรู้วันนี้ ทุกอย่างต้องลงตัวทั้งรูปและนาม ใครจะเลียนแบบเป็นเรื่องยาก จะไม่แสดงพยากรณ์ ไม่แสดงอย่างนอสตราดามุส อย่างหมอดูดีทีก็ไม่เอา แม้นักพยากรณ์ใต้ต้นมะขามก็ไม่ทำ

       นี่ไม่ได้ทำนายว่าจะชนะนะ แต่ว่าถ้าสามเส้าร่วมกันก็เป็นสี่จะชนะ แต่ถ้าสามเส้านี้รวมกันไม่ได้ก็ไม่มีวันชนะ

       คนเขาไล่ล่าสัตว์ ล่าลาภยศสรรเสริญ แต่อาตมาไล่ล่าเวลา จะซื้อก็ไม่ได้ จะเช่าก็ไม่ได้ ไล่ล่าเวลา เดี๋ยววันๆ แก่ไม่ทันเลย

       อาตมาก็ให้ความรู้ทางธรรมะเป็นหลัก ส่วนการเมืองนั้นก็มีคนให้ความรู้อยู่ การเมืองที่สุดยอดที่ทำมาคือ Neo Protest ทำแผ่นพับเผยแพร่แจกออกไป มีแปลภาษาอังกฤษด้วย และยืนยันว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิมที่ทำมาแต่อย่างใด

       สรุปคือเราต้องทำความเข้าใจ ทำสมานสังวาสกัน ผู้ที่เป็นแกนนำ แม้ไม่คิดว่าเป็นแกนนำ อีกอันหนึ่งที่จะต้องพูดคือ ลักษณะที่สมบูรณ์ส่ิงที่บ่งบอกคือ ว่าที่นี่มันสมบูรณ์คือที่ๆเราเดินมาแล้วมีนักรบทางธรรมคู่กับนักรบทางโลก อาตมาเป็นนักรบทางโลก พล.อ.ปรีชาเป็นนักรบทางโลก คบมาไม่เคยแพ้เลย อาตมารบมาตลอด 40 ปีไม่เคยชนะเลย มันเป็นหนึ่งเดียวกัน ขอให้ทุกคน One for allให้ได้ ...เอวัง       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:21:36 )

561108

รายละเอียด

561108_เทศน์หน้าศพแม่ของคุณถึงไท

(ธรรมรงค์ แสงสุริยจันทร์) ที่สันติฯโดยพ่อครู

พ่อครูเทศนาที่สันติอโศก...วันนี้เป็นวันงานศพคุณ...พ่อครูได้อบรมพวกเราให้เลิกกลัวผีกันแล้ว ผีที่คนเห็นเป็นผีหลอกนั้นเป็นเรื่องของอุปาทานในจิต ตนเองมีอุปาทานในตนแล้วปั้นมาหลอกตัวเอง เรียกว่ามโนมยอัตตา การอุปาทานนี้เกิดได้ เช่นตอนนั่งสมาธิหลับตาในภวังค์ก็เห็นผีได้ มีรูปรสกลิ่นเสียงในภพที่เขาปั้นไว้ อาจเป็นคนมีการคบหากันเขาว่าอีกโลกหนึ่ง สามารถคบกันอยู่ แต่ไม่กลัว กลับหลงว่าตนมีอำนาจมาก เสพอีก อันนี้ปั้นจนตนเองสำเร็จเป็นตัวเป็นตน อันนี้ไปเข้าใจคำสอนมาแล้วทำได้ ก็หลงตนว่าเก่งอีก มีในพวกนั่งสมาธิทำฌาน และนักการศาสนาที่มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจว่าตนไปนิพพาน ทั้งที่วิญญาณหรือจิตนั้นไม่มีตัวตนรูปร่าง แต่เป็นพลังงานทางจิตที่ละเอียดมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังงานแสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้า

       มาพูดถึงการตายการเป็น

       การตาย มีภาษาว่า “มรณะ” ภาษาไทยอ่าน(มอ_ระ_นะ) แต่บาลีอ่านว่า(มะ_ระ_นะ) เป็นการรบทางจิต ผู้ที่ตายแล้ว จิตไปสู่สนามรบ แต่เขาจะต่อสู้ไม่ได้ ต่อสู้ด้วยความแพ้ คือไปตกนรก ทรมานทรกรรม ไม่มีรูปร่าง แต่จิตต้องเป็นมีวิบากจริง ไม่มีรูปร่างอย่างที่คนเขาปั้นเขาเขียนแสดงหรอก

ภาวะการศึกษาทางธรรมของพระพุทธเจ้าคือมาล้างภาวะที่ทำให้ทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์โลกีย์ แล้วทำให้หมดสุขทุกข์โลกีย์ได้นั่นคือเป้าหมายของพุทธ เมื่อเรียนรู้ไม่สัมมาทิฏฐิจะไม่รู้จักการตายขณะเป็นๆ ตอนเป็นๆเรียกว่า “สรณะ” คำว่า ส หรือสก หรือสย หรือสยัง คำว่าส อย่างเดียงก็หมายถึงตัวเรา คำว่า “สรณะ” คือตัวเราอยู่ในสงคราม ต้องพึ่งตัวเรา ที่เราต้องต่อสู้คือยังมีโลภ โกรธหลงอยู่ พอจิตหมดโลภ โกรธหลงก็หมดสรณะ กลายเป็นที่พึ่งอย่างดีเลย ผู้ที่มีที่พึ่งไม่ต้องรบแล้ว เพราะเรากำจัด ข้าศึกคือโลภ โกรธหลงตายหมด ก็ไม่ต้องมีสงคราม เรียกว่า “อรณะ” คือหมดกิเลส หมดโลภ โกรธหลง เป็น สรณะที่มีอรณะ คือไม่ต้องมีสงครามแล้ว เป็นที่พึ่งอันเกษม สามารถเรียนรู้จนสามารถอ่านจิต ทบทวนจิต รู้แจ้งทะลุครบ ในสรณะ มีปัญญารู้ในปฏิสรโณ เพราะได้ทวนรู้ทวนเห็นศึกษา ปฏิต่างๆ จนปฏินิสสัคคะ รู้ดับเหตุสวรรค์โลกีย์ ดับเหตุที่หลงสุขนี่แหละทำให้พ้นทุกข์ได้ ปฏิปัสสัทธิ ทวนทำให้สงบ จนมั่นใจว่าอเนญชา ตั้งมั่่นสมบูรณ์​เป็นปฏินิสสัคคะ ไม่ต้องหลงเกี่ยวกับสวรรค์อีก

       พวกเรามีพื้นฐานจะเข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นธรรมะเชิงขยายความเพิ่มขึ้น..ขยายสภาวธรรม ผู้มีพื้นฐานจะเข้าใจได้ดีขึ้น

       ถ้าราคะคือไปหลงเสพ แม้เข้าไปข้างในก็ไปหลงรูปราคะ ก็เรียนรู้ต่อ พระอนาคามีเมื่อไม่หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ภายนอกแล้ว หมดกามราคะ ที่ต้องสัมผัสกามคุณ 5 เมื่อไม่มีกิเลส พอสัมผัสทางทวาร 5 พระอนาคามีหมดสุขทุกข์ ทั้งปฏิฆะและกามราคะแล้ว หยุดดูดกับผลักสองด้าน เรารู้แล้วไม่ต้องไปแย่งชิงรบราแสวงหา ก็มีพลังงานไปทำงานสร้างสรรเสียสละ เป็นการงานอันเหมาะควร ไม่ต้องเสียเวลา เสียพลังงาน มีเหลือพลังงานสร้างสรร จะมีญาณปัญญา รู้ว่าอะไรควรใช้อาศัย

       ไม่เสียเวลา พลังงานไปบำเรอกาม บำเรออัตตา เพราะเรียนรู้ดับเหตุได้จริง ไม่เสียเวลาทุนรอน แรงงาน ทั้งกายและจิต จะทุ่นจะประหยัดได้หมดเลย เอาที่ได้คืนมาทำสร้างสรรมีประโยชน์สูง   

       การตาย อรณะ ดับกิเลสได้ เป็นการตายที่ชาวพุทธต้องศึกษา ทำการตายอกุศลจิตได้ แล้วเป็นคนไม่ทุกข์ร้อนมีประโยชน์ตน_ท่านอย่างแท้จริง ดับได้ถาวรเพราะดับอย่างมี จักษุ​ ญาณ​ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่ดับนิ่งเฉย ทั้งสายลืมตาดับก็นิ่งได้ทั้งลืมตา แต่ก็หยุดคิดได้ยาก แต่สายหลับตาจะดับจิตได้หยุดคิดได้ ตนเองไม่รู้เรื่องรู้ตัวได้เลย เป็นอสัญญีสัตว์ เขาถือว่าเป็นสภาพบรรลุธรรม ไม่มีทุกข์ ไม่มีปฏิกิริยาบทบาททำดีทำชั่วกับใคร ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่ทำอะไร ไม่ทำกิริยากายวาจาใจ ไม่มีประโยชน์แม้ประหยัด แต่ไม่มีประโยชน์ สะกดไว้นานๆด้วยเจตนาฝึกฝน ให้เกิดเจโตสมถะ มันก็ไม่ขึ้นง่าย มีพลังปัญญาสำนึกรู้ว่าเอ็งอย่าขึ้นมาด้วย มีเจโตด้วย แต่ไม่ได้ฆ่าอย่างมีญาณปัญญา ไม่ได้ทำฌาน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น พลังฌาน คือไฟพิเศษ เป็นพลังปัญญา ถ้ามีเพียงพอจะจัดการไฟโลภะ โทสะ โมหะ ให้สูญหายได้เลย เป็นเรื่องคิดไม่ออกแต่พิสูจน์ได้ ทำได้อย่างเห็นรู้เลย

       รู้ว่ากิเลสตั้งแต่ตัวโต เรียกว่า “สักกายะ” เป็นตัวกิเลสที่เรารู้แล้วว่าจะต้องจัดการ มันเกิดขึ้นเราก็วิเคราะห์ทันทีเลย มันกำลังมีอาการ ราคะ โทสะ ทางกาย วาจา ใจ ก็มีญาณปัญญารู้ตัวจริงมันออก เรียกว่า รู้สักกายะ ทำโดยวิธีของพระพุทธเจ้าโดยใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา เรียนรู้ทาง อายตนะ 6 เวทนา 6 ตัณหา 6 (ตัณหา 3ซ้อนในตัณหา 6) ก็เรียนรู้ว่าเป็นตัณหาปรุงแต่งในเวทนา แล้วเรียนรู้เวทนาในเวทนา ที่มีตัณหา 3 เกิดเมื่อมีการกระทบทางกาย วาจาใจ เรียนรู้แล้วทำการกำจัดด้วย ปหาน 5

1.     วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)
 

2.    ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) 
 

3.    สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง)

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา)
 

5.     นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)
 

       นี่คือการทำความตายทางจิตวิญญาณ ต้องตายทุกคน แม้จิ๊นซี ฮ่องเต้ก็ต้องตาย  ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยในวิบากของเราด้วย นี่ก็กำลังพิสูจน์ว่าอาตมาจะอายุได้ 151 ปีไหม ที่จริงอายุขัยตนเองอายุ 72 ปี ก็ว่าเรายังไม่น่าตายก็ใช้อิทธิบาทอยู่ต่อมาจนจะอายุ 80 ปีแล้ว คนเห็นก็ว่าไม่น่าจะใช่คนอายุ 80 ปี

       มีคนฝากตอบประเด็นว่า...ให้พ่อท่านขยายความคำว่า นายกว่าให้ “อภัย” ให้ชาวพุทธให้อภัย แล้วตรงกับคำว่า “อภัย”ที่ชาวพุทธควรทำอย่างไร แล้วชาวพุทธควรให้อภัยอย่างไร

       คำว่า “อภัย” คือไม่ให้เกิดภัยแก่ตนและผู้อื่น ตัวทำภัย คือ โลภ โกรธหลง ในปัจจุบันอย่างนายกฯแทนที่จะเป็นสุขสงบ แต่ก็มีผู้ต้านกั้น มีผู้สนับสนุนสอพลอก็มี ส่วนผู้ต้านกั้นก็ไม่ แต่จิตสามัญอย่างหนึ่งว่า “ทำไม่ดี ไม่มีใครอยากให้ทำ” เป็นสามัญสำนึกกลางๆ คนทำสิ่งไม่ดีไม่มีใครอยากให้ทำหรอก เช่นเราเห็นคนตีคนอื่นเราก็ไม่ได้อยากให้เขาทำ แต่ถ้าคนซาดิสม์ก็จะรู้สึกมันดี ดูดี ดูอร่อย คือจิตไม่ปกติ ชอบให้รุนแรงทำร้ายกัน ให้คนชกกัน คนนี้จะชอบดูการตีกันแทงกัน หลอกกันให้ซาดิสม์ ทำให้สังคมไม่ลดความรุนแรง ทำร้ายทำลายกัน เป็นสังคมไม่ฉลาดไม่รู้ว่าสิ่งควรเลิกคืออะไร

       สรุปสั้นๆว่า ยังมีโลภโกรธหลงสะสม มันก็เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น เป็นโลภก็ไปเอาจากคนอื่น เป็นโทสะก็ไปทำร้ายคนอื่น เป็นโมหะก็ทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์เสียประโยชน์

       คำว่า อภัย คือคุณอย่าไปมีจิตโลภโกรธหลง แม้มีก็อย่าไปแสดงอาการจะไปทำร้ายทำลายเขา ไม่ต้องเกลียดโกรธกัน ให้วางปล่อยให้อภัย หยุด กายวาจาใจที่เป็นกิเลส ล้างจิตหมดก็หมดภัย อภัยก็เกิด

       แม้ราคะ โลภะ ต้องไปแย่งในเหตุปัจจัยเขา ได้มาเสพรส ก็เป็นภาระของตนเองเช่นกัน ต้องเลิก โลภน้อยลงก็แย่งคนอื่นน้อยลง แล้วก็สร้างสรรมีแจกจ่ายเป็นคุณค่าอีก นี่คือการหมดภัยโลภะโทสะก็เป็นการอภัย

       ที่นายกฯพูดให้อภัยกันนั้น คิดว่าคงไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด แต่ว่าคงเป็นว่านายกฯว่าให้อภัยคือหยุดเถิด ให้ฉันได้ทำตามอย่างใจฉัน อย่ามาต้านกั้นไม่ให้ฉันทำสะดวกเถอะ นี่คืออ่านใจนายกฯว่าต้องการอย่างนี้ คือขอให้นายกฯหยุดเถอะ มีอิสระเต็มที่ในการคอรัปชันโลภโมโทสัน เอาพี่ชายกลับมาอย่างเท่ห์ๆ มีขบวนแห่เข้ามาอย่างนั้นเลย ซึ่งประชาชนที่ต้านกั้นก็รู้  ส่วนเสื้อแดงก็รู้ว่าต้องการให้กลับมา ทั้งสองฝ่ายก็ต่อต้านกัน ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน  

       แล้วชาวพุทธจะต้องอภัยอย่างไร ก็คือว่าใครทำถูกทำผิด ก็คือไม่ให้เขาทำบาปทำชั่ว ให้เขาได้ใช้วิบากกรรมเราอย่าไปหาวิบากให้เขาอีก ให้เขาล้มล้างผิดทำวิบากกรรมผิดๆ ออกกฎหมายผิดกฎหมายซ้ำซ้อนกันเข้าไปอีก

       เราต้องเรียนรู้จิตของเราในการปลดปล่อย อภัยกันจริงๆ อาตมาไม่เกลียดชังเขาจริงๆ เขาทำก็มีวิบากเขา เราก็เลยต้านกั้น ที่ทำนี่เมตตาเขา แต่เขาไม่เข้าใจดีไม่ดีหาว่าเราทำผิดอีก เราทำผิดใน 100 แต่ทำถูก 10000 หนึ่งเขาไม่เห็น เขาก็ขอทำชั่วให้หนักต่อไปอีก อาตมาไม่ใจร้ายพอ ก็มาต้านกั้นไม่ให้ทำผิดต่อ ไม่ให้เกิดภัย ที่ทำนี่ ทำเพื่อให้เขาหยุด เป็นเมตตาหวังดีอย่างหนึ่ง พวกเราเข้าใจได้ แต่เขาอาจเข้าใจไม่ได้ หาว่าอาตมาพูดกลับคำ ใช้วาทะ แต่ที่จริงเขาเข้าใจผิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำทุจริตอกุศลเพ่ิม พอเราบอกเขาทำผิด เขาก็ว่าเขาทำถูก

       เราไม่อยากให้เขาทำ เราก็มาให้เขาหยุด เขาก็หาว่าเราเป็นศัตรู แต่เราไม่เป็นศัตรูกับใคร เขาไม่รู้หรอกว่าเราช่วยแต่แม้เขาไม่รู้เราก็ต้องทำ เพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย เป็นประโยชน์ต่อตัวนายกฯและคนไขลานนายกฯด้วย ก็เป็นเรื่องยากแต่ก็ต้องทำไป

       ตอนนี้มีผลดีขึ้น สังคมไทย แม้แต่นายกฯก็บอกว่าหยุดเถอะ อภัยเถอะ ขอให้ดิฉันทำงานเต็มที่ บ้านเมืองจะได้เดินหน้าได้ ทั้งที่เขาทำนี่เป็นความฉิบหายต่อบ้านเมือง พยายามไม่ให้เราต้านกั้นจะได้ฉิบหายมากขึ้น คนที่ทำร่วมก็บาปมากขึ้น คนที่ไปต้านกั้นก็ต้องได้รับผลด้วย เพราะทุกอย่างในมหาจักรวาลนั้นไม่มีอะไรขาดจากกัน เชื่อมต่อกันหมด แต่พูดในสิ่งที่ใกล้กันอย่างนายกฯกับประชาชนไทยก็ต้องตัดวงจรความเลวร้ายให้ได้ ในบริบทที่ควรทำปัจจุบันนี้

       ในเรื่องของตัวภัยร้ายคือโลภโกรธหลง แม้แต่ตัวลูกหลายก็คือตัวผูกพันธ์หรือเรื่องพยาบาทก็เป็นการจองล้างจองผลาญ ส่วนอีกพวกก็เป็นผูกพันยึดติดให้ติดกัน อย่างกรณี คุณถึงไท ก็น่าจะถึงไท เป็นอิสระ ตอนนี้ก็จะไปทำงานทำการประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก่อนนี้ก็ดูแลแม่ที่ป่วยหนักก็ดูแลกันจนสุดท้าย ตอนนี้ปลดภาระแล้ว ตายไปตามวิบากไม่ต้องกังวล เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย ศาสนาอื่นเขาเข้าใจจิตวิญญาณที่จะต้องไปส่งวิญญาณส่งกุศลกรรมไปส่งให้กันแบ่งให้กัน มันไม่ได้ โยมแม่  มีกุศลอกุศลของตน จะแบ่งให้กันไม่ได้ ตอนนี้เสียไปแล้ว คุณธรรมรงค์ก็คงจะถึงไทเสียที ก็เป็นคนมีความสามารถ ตอนนี้ปลงภาระแล้วปลดภาระแล้วต้องถึงไทเสียที

       เป็นความรู้แม้เราจะเกี่ยวข้องเป็นญาติธรรม เราให้ช่วยเหลือพ่อแม่ถ้าทำให้ท่านได้ ศรัทธา ศีล จาคะปัญญาได้ มีศีล สมาธิ ปัญญาได้ ก็ประเสริฐ สามารถสร้างตนเองให้จิตวิญญาณเกิดเป็นพลังงานที่หลุดพ้นได้ ถ้าได้เรียนรู้ตามพระพุทธเจ้าสอน ถ้าเราสามารถพาพ่อแม่ให้มีทฤษฏีพิเศษที่จะทำให้อัตภาพเราเป็นอาริยะเข้าสู่โลกุตระภูมิ ถ้าสามารถมีจุดเริ่มต้นมีอาริยธรรม มีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ถ้าเราให้ได้ ก็ประเสริฐสุด พระสารีบุตรจึงรีบ แม่อายุมากแล้ว ข้าพระพุทธเจ้าต้องทูลลาไปโปรดแม่ให้เป็นโสดาบันก่อน มีสัมมาทิฏฐิ รู้จักศีล รู้จักจาคะคือเอาราคะโทสะโมหะออกได้ คุณสมบัติคือ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา คืออาริยทรัพย์

       เมื่อก่อนอาตมาเองพวกเราเองก็แสดง ราคะโทสะโมหะ ออกมาก็น่าอาย แม้จะถูกยั่วยุเท่าใดก็ตามก็สามาถห้ามได้ไม่แสดงออกได้ คนไม่รู้ก็แสดงออกมาเลยตอบโต้ สวนเลย ไม่มีหิริโอตตัปปะ เขาด่ามาเท่านี่เราต้องด่าแรงกว่านี้อีก เลยโง่ซับซ้อน หน้าหนากว่าอีก นี่คือไม่หิริโอตตัปปะ ดีไม่ดี ราคะ โลภะมาสมโลภก็ฉลอง ฉิบหายเลย มาฉลองความเลวของตนเองอีก พาคนอื่นฉลองอีกก็ไปด้วยกันทั้งขบวนไม่ศึกษาให้ดี ได้ฟังแล้วก็ไปศึกษาปฏิบัติให้ดี เพราะคนตายแล้วส่วนใหญ่ตกนรก เหมือนดินทั้งหมด ส่วนคนไปสวรรค์นั้นมีจำนวนน้อยเท่าดินที่ติดปลายเล็บขึ้นมา อย่างน้อยต้องเป็นโสดาบันได้จึงไม่ตกนรกอีก...จบ  

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:24:33 )

561109

รายละเอียด

561109_เทศน์กัณฑ์พิเศษ

พิธีอัญเชิญสมเด็จปู่มาวิชิตอวิชชา ณ เวทีผ่านฟ้าลีลาศ       

       วันนี้จะเป็นวันที่จะทำพิธีเกี่ยวกับสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ซึ่งสำเร็จมาได้จนวินาทีนี้ สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ผู้วิชิตความโง่อันแสนฉลาด อวิชชาแปลว่าความโง่  คนยิ่งฉลาดยิ่งเลวร้าย คือเฉโก แปลว่าฉลาดแกมโกง คนเดี๋ยวนี้ฉลาดแต่ว่าพาฉิบหายกันมาก

       จากนั้นพ่อครูได้เดินไปเปิดผ้าคลุมสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เผยให้เห็นองค์สมเด็จปู่ฯสีทองอร่าม ยืนเด่นอยู่บนเวทีผ่านฟ้าฯ จากนั้นพ่อครูฯได้พาหมู่สมณะกราบสมเด็จปู่ฯ จากนั้นพ่อครูได้กล่าวบทกวี

       ชื่อว่า...สยามเทวาธิราชิทธิ

       กษัตริย์ไทยองค์ที่แท้ ทรงธรรม

เทินพระสฤษฏ์กรรม         ผ่านเผ้า

ครองธรรมพิชิตสำ-          เร็จราช กิจแล

ชนสยามกรานกราบเกล้า    จรดเบื้องบาทยุคล

       ชนไทยทุกถิ่นถ้วน    รำลึก

ทิวะประสูติสำนึก            ธ ไท้

วันเฉลิมพระชนม์ตรึก       ชนตริ ตลอดแฮ

ว่าพระวรคุณไซร้            เทิดไท้นิรันดร์นาม

       สยามเทวาธิราชนั้น   เหนือไท

วิศิษฐ์วิเศษสมัย             วิสุทธิ์ล้ำ

เปรียบปราชญ์แห่งราชใด    เสมอสุด แล้วเอย

พระสถิตไทยอยู่ค้ำ          คู่ฟ้าดินสลาย

       นิมิตหมายมิต้อง     เสริมกิดา การเลย

ล้นหลากพระทรงมา         สุดแล้ว

(ระหว่างการอ่านบทกวี มีเสียงคนจุดพลุดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน)....หลังจากบทกวี พ่อครูได้พาหมู่สมณะเปล่งกล่าวบูชาพระพุทธเจ้าจากนั้นเปล่งกล่าว พุทธังประสิทธิ ธัมมังประสิทธิ สังฆังประสิทธิ สาธุ สาธุ สาธุ แล้วจึงพากราบสมเด็จปู่ฯเป็นอันเสร็จพิธี

 

       จากนั้นพ่อครูได้เทศนาต่อ...

       เมื่อกี้นี้คงได้ฟังกวี สยามเทวาธิราชฯ...เขียนขึ้นเพื่อถวายพระพรในหลวงในวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม ที่ใกล้จะถึงนี้

       กษัตริย์ไทยที่แท้ทรงธรรม คือกษัตริย์ต้องทรงธรรม มีทศพิธราชธรรม เป็นอย่างน้อย ทศพิธราชธรรมนั้นขยายความของธรรมะ 10 ประการละเอียดลึกซึ้ง ท่านจะมีอย่างแท้จริง

       มาถึงยุคนี้คนเห็นความชนะไม่ได้ เขาเห็นความชนะเป็นความแพ้ อย่างในหลวงท่านดูเหมือนแพ้มาตลอด แต่หลายอย่างเป็นสิ่งสูง เช่นท่านบริหารแบบไม่เอาก้าวหน้าอย่างที่เขาก้าวหน้า ท่านว่ามันเป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย มันเป็นส่ิงที่เป็นภูมิธรรมไม่ธรรมดา ท่านตรัสเศรษฐกิจพอเพียง และแบบคนจนนั้นไม่ใช่ส่ิงที่คนธรรมดาจะคิดได้

       คนไทยเราผู้มีภูมิปัญญาแท้จะเคารพเทิดทูนท่าน แม้แต่สหประชาชาติต้องให้จารึกพระเกียรติยศให้ท่าน ให้คุณโคฟี่อันนัน นำมาถวาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นหรือแกล้งยกยอปอปั้น ถ้าเขาจะยกยอปอปั้นเขาก็ทำไปเยอะแล้ว อย่างดร.ดุษฏีบัณฑิตกิตมศักดิ์ มันเฝือไปหมดแล้ว แต่นี่ไม่ใช่

       คนเกือบทั้งโลกนับถือพระเจ้า แต่แม้ชาวพุทธที่เป็นอเวนิยมแต่เข้าไม่ถึงก็นับถือพระเจ้า คนที่เป็นพุทธที่เป็นอเทวนิยมนั้นไม่ได้ไม่นับถือพระเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎกเยอะแยะ แต่คนเข้าใจไม่ได้ มีฤทธิ์ไหม มีสิ แต่ฤทธิ์นั้นลึกซึ้งซับซ้อน คนที่จะได้ฤทธิ์ของพระเจ้านั้นต้องช่วยตนเองก่อนพระเจ้าจึงจะช่วยคุณ พระเจ้าจะไม่ช่วยคนที่ไม่ช่วยตนเอง  คนอ้อนวอนร้องขอพระเจ้าช่วยนั้นเมินเสียเถอะ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนช่วย ผู้ใดประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม นั้นอันเดียวกับธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม(ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง) อันเดียวกันกับ ผู้ช่วยตนเองก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วย ไปอ้อนวอนขอเท่าไหร่แต่ไม่ทำดีสมควรแก่ธรรมพระเจ้าไม่ช่วยหรอก

ราชะไม่ไห้หมายถึงในหลวงองค์เดียวแต่ว่าคือประชาชนและในหลวง โดยมีในหลวงเป็นหัวหน้า ในสมัยโบราณก็มีไม่เรียกกษัตริย์แต่เรียกหัวหน้าเผ่า

       ในหลวงครองราชย์พศ.2489 ตอนนั้นอาตมาอายุ 12 ขวบแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมาสำเร็จด้วยพระบารมี แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ท่านตรัสบอกแล้วว่าเราไม่เคยผิด คนก็มักยุแหย่ให้ท่านทำผิด

       ประเทศไทยเสื่อมเลวร้ายมากแล้ว เพราะคนชั่วคนเลวทำให้เสื่อม แล้วจะปล่อยให้คนเลวที่ชื่อว่าคนไทยทำให้เสื่อมมากกว่านี้หรืออย่างไร ขนาดนี้ก็ขายขี้หน้ามากแล้ว ยุคนี้เมืองไทยไม่ควรเสื่อมถอยมากขนาดนี้ เพราะยังมีพระสยามเทวาธิราช ให้ทรงลุยได้แล้ว ช่วยสยามให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เหมือนสมัยพ่อขุนรามคำแหงเถิด พวกเรามาพร้อมกันที่นี่ อธิษฐานแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ผู้ที่ได้ยินอยู่ที่ใดให้มาๆๆๆ ภายในคืนนี้พรุ่งนี้ ให้มาพร้อมกันเถิด

       จิตพระเจ้ามีพระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ เราก็จะมาทำจิตพระเจ้าอย่างนั้น ให้ร้ายใดอย่าเหลือผุดแก่ไทยเลย เทวาธิราชสยามเฝ้าปกป้องปวงไทย ถวายไท้ ทุกเลือดเนื้อวิญญาณ

       นี่คือปรากฎการณ์ของประเทศชาติ คนที่ไม่รู้เรื่องก็ทำมาหากินไป คนที่มีทุกข์ร้อนครอบครัวหรือเจ็บป่วยตามวิบากของเขามีเยอะ แต่คนที่แข็งแรงดีมีความรู้สามารถแต่ไม่เอาภาระสังคมที่ตนอยู่ ได้แต่เอาความสามารถตนตักตวงแสวงหาความสุขใส่ตัว บ้านเมืองจะเดือดร้อนอย่างไรไม่สน คนอย่างนี้ใจร้ายใจดำ ได้อะไรจากสังคมแต่ไม่ลงมือช่วยอะไรเลย คนนี้คือคนเลว

       คนเป็นสัตว์โขลง แม้เดรัจฉานก็ไม่เลวเหมือนคนมันไม่เอาเปรียบกัน มันไม่ความรู้สามารถมากแล้วกอบโกยเอาเปรียบอาศัยคนอื่นหากิน รีดลาภยศสรรเสริญกามจากผู้อื่น คนนี่ทำย่ิงกว่าเดรัจฉาน นี่แสดงสัจธรรมนะ ที่พูดนี่เพื่อให้คนเลวบางคนรู้สึกบ้าง กรรมที่ทำไปแล้วก็เป็นเสร็จ มีนรกแน่ๆ ไม่ได้แช่งไม่ได้ใส่ความแต่พูดสัจธรรม กรรมเขาทำเป็นอันทำ ทำเท่าไหร่เมื่อใดก็เป็นของเขา ไม่มีระเหยระเหิด จนกว่าจะสิ้นวิบาก จนกว่าจะปรินิพพานจึงสิ้นวิบาก แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากยังตามมาเล่นงานเลย จะหมดก็ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน หมดอัตตภาพสิ้นวิบากแล้ว ถ้ายังอยู่มีอัตภาพตราบใดก็ยังมีวิบากอยู่ เช่นท่านต้องไปปฏิบัติผิดอยู่ในป่า 6 ปี ที่จริงท่านมีพุทธการกธรรมแล้ว คือมีภูมิเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว แต่ยังต้องใช้วิบากอยู่ 35 ปีเป็นฆราวาส 29 ปีออกป่าอีก 6ปี ซึ่งท่านตรัสในพระไตรฯว่าเป็นการปฏิบัติผิด ไปใช้หนี้บาปที่ไปละเมิดพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อกัสสปะ ตอนนั้นท่านชื่อโชติปาละมานพ ไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้ากัสปะว่าท่านจะไม่ได้โพธิญาณจากการนั่งใต้ต้นไม้นี้หรอก...จึงเป็นวิบากให้ท่านต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาในป่า 6 ปี ท่านยังไม่รู้พุทธธรรม ไม่มีโลกุตรธรรมแบบพุทธ จนท่านระลึกชาติได้จึงได้รู้ว่าตนเป็นใคร เจอพระพุทธเจ้ามากี่องค์ ได้บำเพ็ญเกิดมาเป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา เป็นสยัมภูมาเท่าไหร่จนมีพุทธธรรมเต็ม เป็นความรู้อันเก่าที่่ท่านบำเพ็ญมาแล้วอยู่ในอัตภาวะของท่าน ในวันที่ระลึกชาติได้ แล้วนำส่ิงนั้นมาเปิดเผย ท่านได้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนวันขึ้น 15 คำ่เดือน 6 ท่านก็ยังไม่ประกาศว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าทั้งที่มีคนทำนายว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีองค์ประกอบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญทุกรกิริยาหนักที่สุดเท่าที่คนจะทำได้ แต่ท่านก็ไม่ประกาศตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้

       ถ้าเมืองไทยเข้าใจศาสนาพุทธได้ถูกต้อง จะไม่ปล่อยให้ทักษิณเกิด แต่นี่ทักษิณเกิดได้เพราะความเข้าใจคุณธรรมที่เป็นพุทธธรรมไม่ถูก ผู้ที่ไปบริหารบ้านเมืองก็ได้ความรู้มิจฉาทิฏฐิ จึงเกิดบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เพราะอาจารย์ที่สอนศาสนาพุทธนั้นสอนผิดๆมาตลอดจึงได้ลูกศิษย์อย่างนี้ไง ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อหาบริวาร หรือเพื่อล้มล้างลัทธิใดนะ แต่พูดเพื่อให้รู้สัจธรรมกัน

       อาตมาไม่ใช่นักพยากรณ์ แต่ว่ารูปและนามต้องลงตัว สัจธรรมต้องลงตัว ส่ิงที่เป็นสองอย่างเช่นดำกับขาว แต่ดำกับขาวเป็นหนึ่งเดียวกันได้ เป็นสัจจะย้อนสภาพ เช่นพล.อ.ปรีชารบมาไม่เคยแพ้เลย แต่มาผนึกกับอาตมาโพธิรักษ์รบมา 40 ปีแพ้มาตลอดไม่เคยชนะเลย แต่มาผนึกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว จะเรียกว่าแพ้ชนะไม่มีเลย แต่พูดว่าว่าเป็น Final decisionเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของอาตมา ที่เข้าใจมั่นใจว่าเป็น Finale เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ตอนจบ เพราะฉะนั้นมาช่วยกัน สร้าง Finalize มาสร้างให้สำเร็จ อาตมามองอย่างนั้น ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

       ตอนนี้มีสองชนิดใหญ่ๆ คือ

       เราต้องแสดงอธิปไตยที่เป็นของประชาชนให้ประจักษ์ คน 1คน 1เสียง, 100 คน 100 เสียง, ล้านคนล้านเสียง, 10ล้านคน 10 ล้านเสียง ออกมาตัวเป็นๆเลย ตอนนี้ต้องการหน้าตาบุคคล 1 คน​ 1เสียง จะมีล้านคนล้านเสียงให้เห็นไหม มันสุดท้ายแล้วนะ

       คุณอาศัยประเทศมา 18 ขวบขึ้นไปเรียกว่าเดียงสาแล้ว คุณก็ได้อาศัยประเทศนี้มา 18ปีแล้วยิ่งอายุมากกว่านั้นก็อาศัยมากกว่านั้นอีก จะกตัญญูกตเวทีประเทศชาติสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไหม? เราบอกตรงๆว่าเราต้องการคุณ เราต้องการคุณมาแสดงเสียงสวรรค์ของรัฐาธิปัตย์ คุณเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของรัฐ ไม่ใช่อำนาจยิ่งใหญ่ของรัฐบาล รัฐบาลเป็นเพียงตัวแทนรับใช้ประชาชนชั่วคราว แต่หลงตัวว่าเป็นเจ้าของประเทศยึดอำนาจประชาชนเสียนี่ แล้วออกกฎหมายมาทำตามใจ จะทำอย่างไรก็ได้ แล้วก็หลงตัวเองว่าฉลาด โพธิรักษ์โง่ๆอย่างนี้ก็ยังรู้เลย ไม่ได้มีปริญญาสักใบเลย ไม่ได้จบนิติศาสตร์เลย ยังรู้เลยว่าทำอย่างนี้มันผิด แล้วผู้รู้ท่านบอก ผู้พิพากษา 63 องค์ออกมาบอกแล้วว่าท่านผิด ในจอแดงเขาเอาไปพูดกลับตาลปัตเลย กลับดีเป็นชั่วหมดเลย ฉลาดฉิบหายเลย ทำให้เกิดความฉิบหาย พูดดำให้เป็นขาว พูดขาวให้เป็นดำหมดเลย

       พวกนักโต้วาทีนี่ เขาโต้กันจนว่า ขี้ดีกว่าข้าวได้ เขาพูดเก่งจนกรรมการต้องให้พวกพูดว่าขี้ดีกว่าข้าวชนะ แล้วเราจะเชื่อน้ำมนต์คนพวกนี้ได้อย่างไร

       เขาล่าลาภล่ายศ ก็ได้ลาภยศกัน แต่อาตมานี่ไม่ได้อะไรเลย ล่าสัตว์ก็ไม่เป็น ล่าลาภยศก็ไม่เป็น แต่มีความจำเป็นต้องล่าเวลา ไม่รู้จะทำอย่างไร แก่ไม่ทันเลย ก็เลยต้องยอมว่าไม่แก่ก็แล้วกัน

        สรุปตรงที่ว่าตอนนี้ประเทศชาติต้องการ

1.เราต้องการมวล

2.เราต้องการความถูกต้อง ไม่ตลบแตลง ไม่โกหกตอแหล ไม่มอมเมาชาวบ้าน

อาตมาอยากรู้ความจริงว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังอยากจะถูกหลอกถูกครอบงำหรือไม่? ขณะนี้มันมีอยู่สองฝ่ายคือ ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวกับฝ่ายทักษิณ คนไทยจะเลือกข้างไหน ใครจะเอาพระเจ้าอยู่หัวมา ไม่ได้โหนในหลวง แต่อยู่ข้างความถูกความจริง อาตมาแสดงให้ดูว่าในหลวงถูก ทักษิณผิด ใครจะตัดสินอย่างไรก็อิสรเสรีภาพ

       คำว่ารัฐาธิปัตย์ไม่ได้หมายถึงอำนาจของรัฐบาล แต่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2  ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นหัวหน้า คำว่ารัฐาธิปัตย์ คือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประชาชน แต่เป็นหัวหน้าประชาชน แล้วท่านใช้อำนาจแทนประชาชน

       จะเกิด One for all All for one ประชาชนกับในหลวงเป็นหนึ่งเดียวกัน สองเป็นหนึ่ง One for all All for one ต้องจำทนเป่านกหวีดแล้ว ในสองความหมายนี้ต้องการมวลประชาชนเป็นปรากฏการณ์จริงมาสิมา ใครมาได้มาเลย อยู่ต่างจังหวัดเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายมาได้มาเลย ใครจะมาด้วยวิถีใดก็ตาม เหาะได้ก็เหาะมาเลย มากันในคืนนี้ รุ่งเช้ามากันเต็มเลย จะเกิดราชประชาสมาสัย พระสยามเทวาธิราชจะมาช่วย เป็น...ผู้วิชิตอวิชชามาแล้วงานนี้เป็นงานปราบอวิชชา ปราบความโง่ของคนโง่ หมดเวลาแล้ว...เอวัง             


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:27:42 )

561109_เทศน์กัณฑ์พิเศษ

รายละเอียด

561109_เทศน์กัณฑ์พิเศษ

พิธีอัญเชิญสมเด็จปู่มาวิชิตอวิชชา ณ เวทีผ่านฟ้าลีลาศ

เรื่อง สยามเทวาธิราชิทธิ       

       วันนี้จะเป็นวันที่จะมีการทำพิธีการพิเศษ เกี่ยวกับพระพุทธรูปนี้ อาตมาเรียกว่า สมเด็จปู่วิชิตอวิชชา แปลว่า ผู้วิชิตความโง่อันแสนฉลาด อวิชชาแปลว่าความโง่  คนในโลกยิ่งฉลาดยิ่งเลวร้าย คือเฉโก แปลว่าฉลาดแกมโกง ยิ่งฉลาดยิ่งเลว ยิ่งเอาเปรียบ ข่มขี่ดูถูกหลอกลวงอำพราง เปิดโทรทัศน์ดูช่องแดงๆ ที่แดงไปหมดทุกอย่าง เขาฉลาดจริงๆ เราพูดอะไรเขาพลิกกลับโต้ต้าน พูดกลับได้ทุกประเด็นทุกมุม เขาตีที่เราพูดให้ผิดได้หมดเลย ฉลาดฉิบหายเลย นี่ชมนะ แต่ฉลาดแบบนั้นมันพาฉิบหายจริงๆ ก่อนอื่นจะขอพาทำพิธีเพื่อเบิกฤกษ์ บอกก่อนเลยว่าที่คลุมผ้าอยู่บนเวทีนี่ อาตมาไม่นึกเลยว่าจะมีปาฏิหาริย์สำเร็จได้ทันวินาทีนี้ เรียกว่า เข็มขัดสั้นเลย คือคาดไม่ถึงเลย ว่าจะสำเร็จได้

       อาตมาเคยบอกอจินไตยอย่างหนึ่งในเรื่องของรูปกับนาม ที่จะลงตัวได้ เป็นเรื่องตถตา เช่นพระพุทธเจ้าหรือมหาโพธิสัตว์จะอุบัติในโลก แผ่นดินจะไหวไหม แล้วมีคนล้วงความลับว่าตอนอาตมาเกิดแผ่นดินไหวไหม? อาตมายังไม่ใช่มหาโพธิสัตว์ แต่อาตมาไปปักกลดครั้งแรกที่ปฐมเจดีย์แผ่นดินไหว แล้วตอนนั้นได้รับพระบรมสารีริกธาตุมา 12 องค์ บิณฑบาตจากหน้าสะพานเจริญศรัทธา มีคนร้องไห้แล้วบอกว่าเจอแล้วๆ ตอนนั้นถ้าใครรู้จักสมณะอโศกบิณฑบาตนั้นทึ่งทุกคนแหละ คนนี้เขาก็รับสัมผัส ก็เกิดอารมณ์นี้จริงๆ แล้วก็ควักตลับใส่พระบรมสารีริกธาตุ ก็บอกว่าดิฉันฟูมฟักรักษาสิ่งนี้มาตลอดชีวิต ดิฉันเจอแล้วว่าคนที่ควรมอบให้ อาตมาก็ยังซักเลยว่าอะไร? แต่พอมาปักกลดก็เอาออกมาดูก็พบว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ ตอนนั้นแผ่นดินไหวเลย แต่ไม่ได้ไหวที่ประเทศไทยนะ ทั้งรูปและนามจะต้องลงตัวกันเป็นเหตุปัจจัย พระพุทธเจ้าจะประสูตร ตรัสรู้ ปรินิพพานก็ต้องวันเพ็ญเดือนหก สิ่งเหล่านี้เกินที่มนุษย์จะคำนวณ เป็นตถตา ไม่มีใครบิดเบี้ยวสัจธรรมได้

       ที่อาตมาทำมาก็รู้สึกว่าจะมีเหตุการณ์ลงตัว อาตมาไม่ได้วางแผนไว้ ทำงานแบบ No planning no project ทำงานตามเหตุปัจจัยตรงหน้า ให้มีความก้าวหน้าไม่ต้องมากก็ได้ เป็นเรื่องของสมรรถนะอุตสาหะ 

       จากนั้นพ่อครูได้เดินไปเปิดผ้าคลุมสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา เผยให้เห็นองค์สมเด็จปู่ฯสีทองอร่าม ยืนเด่นอยู่บนเวทีผ่านฟ้าฯ จากนั้นพ่อครูฯได้พาหมู่สมณะกราบสมเด็จปู่ฯ และพ่อครูได้กล่าวบทกวี

       ชื่อว่า...สยามเทวาธิราชิทธิ

        กษัตริย์ไทยองค์ที่แท้       ทรงธรรม

เทินพระสฤษฏ์กรรม              ผ่านเผ้า

ครองธรรมพิชิตสำ-        เร็จราช กิจแล

ชนสยามกรานกราบเกล้า  จรดเบื้องบาทยุคล

       ชนไทยทุกถิ่นถ้วน  รำลึก

ทิวะประสูติสำนึก          ธ ไท้

วันเฉลิมพระชนม์ตรึก             ชนตริ ตลอดแฮ

ว่าพระวรคุณไซร้           เทิดไท้นิรันดร์นาม

       สยามเทวาธิราชนั้น เหนือไท

วิศิษฐ์วิเศษสมัย            วิสุทธิ์ล้ำ

เปรียบปราชญ์แห่งราชใด  เสมอสุด แล้วเอย

พระสถิตไทยอยู่ค้ำ         คู่ฟ้าดินสลาย

       นิมิตหมายมิต้อง    เสริมกิดา การเลย

ล้นหลากพระทรงมา        สุดแล้ว

องค์เองราชกิจหา          ใดเปรียบ

พระมิต้องพร้องแผ้ว        ผ่องพ้นคนเห็น

       ทุกข์เข็ญใดผ่านด้วย       พระบารมี

ที่สุดแห่งกาลกลี            สุดร้าย

เทวธิราชแห่งสยามจี-             รกิจ เถิดเทอญ

ช่วยสยามพ้นให้คล้าย             แต่กี้บุพพกาล

       อธิษฐานแต่จิตล้วน บริสุทธิ์

ทำสุดดี สุทธิดุจ            จิตพระเจ้า

ร้ายใดอย่าเหลือผุด        เกิดแก่ ไทยเลย

เทวธิราชแห่งสยามเฝ้า    ปกป้องปวงไทย

       ถวายไท้ทุกเลือดเนื้อ       วิญญาณ

ทูลเทิดศิรกราน            สุดเกล้า

โปรดเถิดช่วยลูกหลาน     คืนสุข

บารมีพระผ่านเผ้า          จรดฟ้าคลุมดิน

        ข้าพระพุทธเจ้า น.ส.พ.เราคิดอะไร(สไมย์ จำปาแพง ประพันธ์) 1.พ.ย. 2556  

(ระหว่างการอ่านบทกวี มีเสียงคนจุดพลุดังขึ้นโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน)....หลังจากบทกวี พ่อครูได้พาหมู่สมณะเปล่งกล่าวบูชาพระพุทธเจ้าจากนั้นเปล่งกล่าว พุทธังประสิทธิ ธัมมังประสิทธิ สังฆังประสิทธิ สาธุ สาธุ สาธุ แล้วจึงพากราบสมเด็จปู่ฯเป็นอันเสร็จพิธี

       จากนั้นพ่อครูได้เทศนาต่อ...

       เมื่อกี้นี้คงได้ฟังกวี สยามเทวาธิราชิทธิ... อิทธิหมายถึงสิ่งพิเศษอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นอาศิรพจน์เขียนขึ้นเพื่อถวายพระพรในหลวงในวันพระราชสมภพ 5 ธันวาคม ที่ใกล้จะถึงนี้

        กษัตริย์ไทยองค์ที่แท้       ทรงธรรม

เทินพระสฤษฏ์กรรม              ผ่านเผ้า

ครองธรรมพิชิตสำ-        เร็จราช กิจแล

ชนสยามกรานกราบเกล้า  จรดเบื้องบาทยุคล

       นี่คือบทที่ 1 ของกวี คือกษัตริย์ต้องทรงธรรม มีทศพิธราชธรรม เป็นอย่างน้อย ทศพิธราชธรรมนั้นขยายความของธรรมะ 10 ประการละเอียดลึกซึ้ง ท่านจะมีอย่างแท้จริง

       ชนะโดยธรรมนั้นลึกซึ้ง มาถึงยุคนี้คนเห็นความชนะไม่ได้ เขาเห็นความชนะเป็นความแพ้ อย่างในหลวงท่านดูเหมือนแพ้มาตลอด ครองราชย์ ครองธรรมมาตลอด ใครไม่รู้ลึกซึ้งก็ว่าท่านแพ้ แต่หลายอย่างเป็นสิ่งสูงเกินไปที่คนจะรู้ได้ เช่นท่านบริหารแบบคนจน ไม่เอาก้าวหน้าอย่างที่เขาก้าวหน้า ท่านว่ามันเป็นการถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย เป็นคำตรัสที่ต้องเห็นใจคนฟัง มันเป็นสิ่งที่เป็นภูมิธรรมไม่ธรรมดา ท่านตรัสเศรษฐกิจพอเพียง และแบบคนจน ตรัสซ้ำอีกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ในสิ่งที่พระองค์ทรงผ่านมาถึง 60 กว่าพรรษานี้สุดยอดแล้ว 

       คนไทยเราผู้มีภูมิปัญญาแท้จะเคารพเทิดทูนท่าน ยกย่องท่าน แม้แต่คนต่างชาติ สหประชาชาติต้องให้จารึกพระเกียรติยศให้ท่าน ให้คุณโคฟี่ อันนัน นำมาถวาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นหรือแกล้งยกยอปอปั้น ถ้าเขาจะยกยอปอปั้นเขาก็ทำไปเยอะแล้ว อย่างดร.ดุษฏีบัณฑิตกิตมศักดิ์ มันเฝือไปหมดแล้ว แต่นี่ไม่ใช่

       คนเกือบทั้งโลกนับถือพระเจ้า แต่แม้ชาวพุทธที่เป็นอเวนิยมแต่เข้าไม่ถึงก็นับถือพระเจ้า คนที่เป็นพุทธที่เป็นอเทวนิยมนั้นไม่ได้ไม่นับถือพระเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสในพระไตรปิฎกเยอะแยะ แต่คนเข้าใจไม่ได้ มีฤทธิ์ไหม มีสิ แต่ฤทธิ์นั้นลึกซึ้งซับซ้อน คนที่จะได้ฤทธิ์ของพระเจ้านั้นต้องช่วยตนเองก่อนพระเจ้าจึงจะช่วยคุณ พระเจ้าจะไม่ช่วยคนเลวที่ไม่ช่วยตนเองก่อน  คนอ้อนวอนร้องขอพระเจ้าช่วยนั้นเมินเสียเถอะ ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนช่วย ผู้ใดประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม นั้นอันเดียวกับธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม(ธัมโมหเวรักขติ ธัมมจาริง) อันเดียวกันกับ ผู้ช่วยตนเองก่อนแล้วพระเจ้าจะช่วย ไปอ้อนวอนขอเท่าไหร่แต่ไม่ทำดีสมควรแก่ธรรมพระเจ้าไม่ช่วยหรอก

ราชะไม่ไห้หมายถึงในหลวงองค์เดียวแต่ว่าคือประชาชนและในหลวง โดยมีในหลวงเป็นหัวหน้า ในสมัยโบราณก็มีไม่เรียกกษัตริย์แต่เรียกหัวหน้าเผ่า

       ในหลวงครองราชย์พศ.2489 ตอนนั้นอาตมาอายุ 12 ขวบแล้ว ทุกอย่างที่ผ่านมาสำเร็จด้วยพระบารมี แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ท่านตรัสบอกแล้วว่าเราไม่เคยผิด คนก็มักยุแหย่ให้ท่านทำผิด

       ประเทศไทยเสื่อมเลวร้ายมากแล้ว เพราะคนชั่วคนเลวทำให้เสื่อม แล้วจะปล่อยให้คนเลวที่ชื่อว่าคนไทยทำให้เสื่อมมากกว่านี้หรืออย่างไร ขนาดนี้ก็ขายขี้หน้ามากแล้ว ยุคนี้เมืองไทยไม่ควรเสื่อมถอยมากขนาดนี้ เพราะยังมีพระสยามเทวาธิราช ให้ทรงลุยได้แล้ว ช่วยสยามให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ เหมือนสมัยพ่อขุนรามคำแหงเถิด พวกเรามาพร้อมกันที่นี่ อธิษฐานแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ผู้ที่ได้ยินอยู่ที่ใดให้มาๆๆๆ ภายในคืนนี้พรุ่งนี้ ให้มาพร้อมกันเถิด

       จิตพระเจ้ามีพระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ เราก็จะมาทำจิตพระเจ้าอย่างนั้น ให้ร้ายใดอย่าเหลือผุดแก่ไทยเลย เทวาธิราชสยามเฝ้าปกป้องปวงไทย ถวายไท้ ทุกเลือดเนื้อวิญญาณ

       นี่คือปรากฎการณ์ของประเทศชาติ คนที่ไม่รู้เรื่องก็ทำมาหากินไป คนที่มีทุกข์ร้อนครอบครัวหรือเจ็บป่วยตามวิบากของเขามีเยอะ แต่คนที่แข็งแรงดีมีความรู้สามารถแต่ไม่เอาภาระสังคมที่ตนอยู่ ได้แต่เอาความสามารถตนตักตวงแสวงหาความสุขใส่ตัว บ้านเมืองจะเดือดร้อนอย่างไรไม่สน คนอย่างนี้ใจร้ายใจดำ ได้อะไรจากสังคมแต่ไม่ลงมือช่วยอะไรเลย คนนี้คือคนเลว

       คนเป็นสัตว์โขลง แม้เดรัจฉานก็ไม่เลวเหมือนคนมันไม่เอาเปรียบกัน มันไม่มีความรู้ความสามารถมากแล้วกอบโกยเอาเปรียบอาศัยคนอื่นหากิน รีดลาภยศสรรเสริญกามจากผู้อื่น คนนี่ทำยิ่งกว่าเดรัจฉาน นี่แสดงสัจธรรมนะ ที่พูดนี่เพื่อให้คนเลวบางคนรู้สึกบ้าง กรรมที่ทำไปแล้วก็เป็นเสร็จ มีนรกแน่ๆ ไม่ได้แช่งไม่ได้ใส่ความแต่พูดสัจธรรม กรรมเขาทำเป็นอันทำ ทำเท่าไหร่เมื่อใดก็เป็นของเขา ไม่มีระเหยระเหิด จนกว่าจะสิ้นวิบาก จนกว่าจะปรินิพพานจึงสิ้นวิบาก แม้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ววิบากยังตามมาเล่นงานเลย จะหมดก็ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน หมดอัตตภาพสิ้นวิบากแล้ว ถ้ายังอยู่มีอัตภาพตราบใดก็ยังมีวิบากอยู่ เช่นท่านต้องไปปฏิบัติผิดอยู่ในป่า 6 ปี ที่จริงท่านมีพุทธการกธรรมแล้ว คือมีภูมิเป็นพระพุทธเจ้าได้แล้ว แต่ยังต้องใช้วิบากอยู่ 35 ปีเป็นฆราวาส 29 ปีออกป่าอีก 6ปี ซึ่งท่านตรัสในพระไตรฯว่าเป็นการปฏิบัติผิด ไปใช้หนี้บาปที่ไปละเมิดพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อกัสสปะ ตอนนั้นท่านชื่อโชติปาละมานพ ไปกล่าวตู่พระพุทธเจ้ากัสปะว่าท่านจะไม่ได้โพธิญาณจากการนั่งใต้ต้นไม้นี้หรอก...จึงเป็นวิบากให้ท่านต้องบำเพ็ญทุกรกิริยาในป่า 6 ปี ท่านยังไม่รู้พุทธธรรม ไม่มีโลกุตรธรรมแบบพุทธ จนท่านระลึกชาติได้จึงได้รู้ว่าตนเป็นใคร เจอพระพุทธเจ้ามากี่องค์ ได้บำเพ็ญเกิดมาเป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา เป็นสยัมภูมาเท่าไหร่จนมีพุทธธรรมเต็ม เป็นความรู้อันเก่าที่่ท่านบำเพ็ญมาแล้วอยู่ในอัตภาวะของท่าน ในวันที่ระลึกชาติได้ แล้วนำสิ่งนั้นมาเปิดเผย ท่านได้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก่อนวันขึ้น 15 ค่ำดือน 6 ท่านก็ยังไม่ประกาศว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าทั้งที่มีคนทำนายว่าท่านจะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านมีองค์ประกอบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญทุกรกิริยาหนักที่สุดเท่าที่คนจะทำได้ แต่ท่านก็ไม่ประกาศตนว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้

       ถ้าเมืองไทยเข้าใจศาสนาพุทธได้ถูกต้อง จะไม่ปล่อยให้ทักษิณเกิด แต่นี่ทักษิณเกิดได้เพราะความเข้าใจคุณธรรมที่เป็นพุทธธรรมไม่ถูก ผู้ที่ไปบริหารบ้านเมืองก็ได้ความรู้มิจฉาทิฏฐิ จึงเกิดบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ เพราะอาจารย์ที่สอนศาสนาพุทธนั้นสอนผิดๆมาตลอดจึงได้ลูกศิษย์อย่างนี้ไง ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อหาบริวาร หรือเพื่อล้มล้างลัทธิใดนะ แต่พูดเพื่อให้รู้สัจธรรมกัน

       อาตมาไม่ใช่นักพยากรณ์นักทำนาย  แต่พูดได้แค่เพียงว่ารูปและนามต้องลงตัว สัจธรรมต้องลงตัว มันเหมือนจะไม่ลงกัน เป็นปัจจะย้อนสภาพ สิ่งที่เป็นสองอย่างเช่นดำกับขาว แต่ดำกับขาวเป็นหนึ่งเดียวกันได้ แปลก เป็นสัจจะย้อนสภาพ  เช่น มันเป็นไปได้อย่างไร พล.อ.ปรีชารบมาไม่เคยแพ้เลยชนะมาตลอด แต่มาผนึกกับอาตมาสมณะโพธิรักษ์รบมา 40 ปีแพ้มาตลอดไม่เคยชนะเลย แต่มาผนึกเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วบัดนี้  จะเรียกว่าแพ้หรือเรียกชนะไม่มีคำเรียกเลย แต่พูดว่าว่าเป็น Final decisionเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายขั้นหนึ่ง ที่อาตมาเข้าใจมั่นใจว่าเป็น Finale เป็นสงครามครั้งสุดท้าย ตอนจบ เพราะฉะนั้นมาช่วยกัน สร้าง Finalize มาสร้างให้สำเร็จ ให้ถึงที่สุดให้ได้ อาตมามองอย่างนั้น ใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

       เราต้องแสดงอธิปไตยที่เป็นของประชาชนให้ประจักษ์ คน 1คน 1เสียง, 100 คน 100 เสียง, ล้านคนล้านเสียง, 10ล้านคน 10 ล้านเสียง ออกมาตัวเป็นๆเลย ตอนนี้ต้องการหน้าตาบุคคล 1 คน​ 1เสียง จะมีล้านคนล้านเสียงให้เห็นหน้าบ้างไหม นี่ Finale แล้วนะ มันสุดท้ายแล้วนะ

       ก็ให้สัญญาณไปว่าผู้ใดที่รู้จักกตัญญูกตเวที แม้เล็กแม้น้อย ก็ต้องกตัญญูกันบ้าง คุณอาศัยประเทศมา 18 ขวบขึ้นไปเรียกว่าเดียงสาแล้ว คุณก็ได้อาศัยประเทศนี้มา 18ปีแล้วยิ่งอายุมากกว่านั้นก็อาศัยมากกว่านั้นอีก จะกตัญญูกตเวทีประเทศชาติสักครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไหม?

       เราบอกตรงๆว่าเราต้องการคุณ เราต้องการคุณมาแสดงเสียงสวรรค์ของรัฐาธิปัตย์ คุณเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของรัฐ ไม่ใช่อำนาจยิ่งใหญ่ของรัฐบาล รัฐบาลเป็นเพียงตัวแทนรับใช้ประชาชน ไปอภิบาลประเทศชั่วครั้งชั่วคราว แต่หลงตัวว่าเป็นเจ้าของประเทศ ไปยึดอำนาจประชาชนเสียนี่ แล้วจะทำอย่างไรฉันก็ทำ ออกกฎหมายมาทำตามใจ จะทำอย่างไรก็ได้ แล้วก็หลงตัวเองว่าฉลาด คนโง่ๆอย่างโพธิรักษ์อย่างนี้ก็ยังรู้เลย ไม่ได้มีปริญญาสักใบเลย ไม่ได้จบนิติศาสตร์เลย ยังรู้เลยว่าทำอย่างนี้มันผิด แล้วผู้รู้ท่านบอก ผู้พิพากษา 63 คน ออกมาบอกแล้วว่าท่านผิด ในจอแดงเขาเอาไปพูดกลับตาลปัตเลย กลับดีเป็นชั่วหมดเลย ฉลาดฉิบหายเลย ทำให้เกิดความฉิบหาย พูดดำให้เป็นขาว พูดขาวให้เป็นดำหมดเลย

       พวกนักโต้วาทีนี่ เขาโต้กันจนว่า ขี้ดีกว่าข้าวได้ เขาพูดเก่งจนกรรมการต้องให้พวกพูดว่าขี้ดีกว่าข้าวชนะ แล้วเราจะเชื่อน้ำมนต์คนพวกนี้ได้อย่างไร

       เขาล่าลาภล่ายศ ก็ได้ลาภยศกัน แต่อาตมานี่ไม่ได้อะไรเลย ล่าสัตว์ก็ไม่เป็น ล่าลาภยศก็ไม่เป็น แต่มีความจำเป็นต้องล่าเวลา ไม่รู้จะทำอย่างไร แก่ไม่ทันเลย ก็เลยต้องยอมว่าไม่แก่ก็แล้วกัน

        สรุปตรงที่ว่าตอนนี้ประเทศชาติต้องการ

1.เราต้องการมวล

2.เราต้องการความถูกต้อง ไม่ตลบแตลง ไม่โกหกตอแหล ไม่มอมเมาชาวบ้าน

อาตมาอยากรู้ความจริงว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังอยากจะถูกหลอกถูกครอบงำหรือไม่? ขณะนี้มันมีอยู่สองฝ่ายคือ ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวกับฝ่ายทักษิณ คนไทยเอ๋ยคุณจะอยู่ข้างไหน ใครจะเอาพระเจ้าอยู่หัวมา ใครจะเอาทักษิณไป ที่พูดนี่ไม่ได้โหนในหลวง แต่อยู่ข้างความถูกความจริง อาตมาแสดงความจริงของอาตมาที่เข้าใจว่าในหลวงถูก ทักษิณผิด ใครจะตัดสินอย่างไรก็อิสรเสรีภาพ

       ตอนนี้อาตมาถึงบอกว่าต้องการมวลที่แสดงรัฐาธิปัตย์ คำว่ารัฐาธิปัตย์ไม่ได้หมายถึงอำนาจของรัฐบาล แต่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2  ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยหรือรัฐาธิปัตย์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทรงเป็นหัวหน้า คำว่ารัฐาธิปัตย์ คือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประชาชน แต่เป็นหัวหน้าประชาชน จึงให้ท่านใช้อำนาจแทนประชาชน ผ่านมาตรา 3 ไง

       รัฐาธิปัตย์จึงเป็นของประชาชนหรือในหลวง จะเกิดลักษณะสองเป็นหนึ่ง คือ One for all All for one มา ทั้งหมดมาเลย มาเป็นหนึ่งมาเป็น ONEประชาชนกับในหลวงเป็นหนึ่งเดียวกัน  One for all All for one ต้องจำทนเป่านกหวีดแล้ว ในสองความหมายนี้ต้องการมวลประชาชน ณ ปัจจุบันนี้เป็น Phenomenaเป็นปรากฏการณ์จริงๆ มาสิมาๆๆๆๆ จะมีเท่าไหร่มาวันนี้มาทัน ใครมาได้มาเลย อยู่ต่างจังหวัดเครื่องบินเที่ยวสุดท้ายมาได้มาเลย ใครจะมาด้วยวิถีทางใดก็ตาม เหาะได้ก็เหาะมาเลย มารวมกันในคืนนี้จนถึงรุ่งเช้ามากันเต็มเลย ถ้าจะเกิดราชประชาสมาสัย คือประชาชนแล้วราชะ เมื่อพระสยามเทวาธิราชจะมาปรากฏสร้างฤทธิ์ให้เห็น แล้วสยามเทวาธิราชิทธิ จะเกิด  พระวิชิตอวิชชามาแล้ว...ผู้วิชิตอวิชชามาแล้ว งานนี้เป็นงานปราบอวิชชา ปราบความโง่ของคนโง่ หมดเวลาแล้ว...เอวัง The End      

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:29:32 )

561110

รายละเอียด

561110_รายการสงครามสังคมฯ ณ เวทีผ่านฟ้า

เรื่อง สยามเทวาธิราชิทธิ ตอน 2

       วิชิตอวิชชาสถิต ณ ที่นี้แล้วตั้งแต่วานนี้ วันนีก็ทำหน้าที่เพื่อ วิชิตอวิชชา แปลว่าอะไร? จะไขความ...วิชิตแปลว่าผู้ชนะ พิชิตหรือวิชิต อันเดียวกัน เป็นผู้ชนะ เหมือนกับพล.อ.ปรีชา รบมาตลอดไม่เคยแพ้ มีแต่คำว่า ชนะ ซึ่งก็ตรงกับอาตมา รบมาตลอด รบมาไม่เคยชนะ มีแต่แพ้ และก็ยินดีที่จะแพ้ตลอดไป ไม่เกี่ยง ให้ชนะก็รับ ให้แพ้ก็รับ ไม่ได้รับอย่างซังกะตายด้วย แพ้ก็ได้ ชนะก็ได้ อาตมาก็ผ่านการแพ้มาซะจนถึงวันนี้

       ปางนี้เราเรียกว่า ปางวิชิตอวิชชา เรียกง่ายๆว่า ปราบมาร แต่จะเรียกปราบมารก็จะไปซ้ำที่เขามีแล้ว ก็เลยไปใช้ภาษา วิชิตอวิชชา เป็นเรื่องอจินไตย คือเป็นคำไวพจน์กับคำว่า ตถตา คำว่าตถตาแปลว่าความจริงที่เป็นเช่นนั้นที่สุดแล้ว แม้จะมีดำกับขาว แต่ดำกับขาวมาร่วมรวมกันอย่างไรก็เป็นความจริง มีขาวกับขาวมาร่วมกันอยู่ก็คือความจริง เป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องไม่ต้องไปคิด หัวจะแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง แต่เป็นเรื่องที่พอคนเข้าถึงสภาวะแล้วจะรู้ได้ เป็นความจริงสูงสุดที่พระพุทธเจ้าได้มาแล้ว พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆได้ก็จะเป็นสภาพเช่นนี้ แม้จะเป็นเศษย่อยก็เป็นโลกุตรธรรม ไม่มีอะไรแตกต่างจากความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องคิด แต่เป็นเรื่องปฏิบัติให้เข้าถึง อหเมตัง ณ ชานามิ อหเมตัง น ปสามีติ ไม่มีใครรู้ใครเห็นได้ด้วยเรา เรารู้เราเห็นของเราเท่านั้น เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ

       เรื่องของรูปธรรม ใครสังเกตเห็นว่าจะมีลักษณะของรูปธรรม นุ่งห่มจีวร กระพือพรึ่บพรั่บ ไปข้างหลัง ไม่เรียบร้อยไม่เป็นปริมณฑล เพราะถูกมรสุมของอวิชชากระหน่ำ ยิ่งกว่าทอร์นาโด ท่านก็ต้องมาช่วย ช่วยบอกประเทศชาติ มาช่วยกันขจัดพิษภัย ที่วิกฤติแม้แต่ธรรมชาติก็วิกฤติ

       ว่ามีมือห้าม ขอเถอะ แล้วก็ถูกสลาตัน ทอร์นาโดกระหน่ำจนจีวรปลิว ซึ่งเป็นลีลาเส้นสายของศิลปะ มีสุนทรีย์ศิลป์และสาระศิลป์อยู่ด้วยกัน ของพระพุทธรูปปางวิชิตอวิชชา แล้วก็เกิดในจังหวะที่คิดไม่ถึงเหมือนกัน องค์นี้ไม่ใช่องค์เล็กๆนะ เสร็จวันที่ 9 พอดี  อาตมายังนึกอยู่เลยว่า พยายามให้ได้ ขึ้นเวทีเมื่อวานนี้ แล้วเสร็จก่อนที่อาตมาจะขึ้นเลย เป็นนิมิตว่า งานนี้จะสำเร็จก่อนคิดเลย โอโห เข็มขัดสั้นเลย ขออภัยนะอาตมาไม่ใช่หมอดูนะ

  อาตมามีความรู้ความสามารถทางไสยศาสตร์และเดรัจฉานวิชชานะ เรื่องหนังเหนียว เสกเข้าท้อง อย่างนี้อาตมาทำมาแล้ว อาตมานี่นะองค์ลงนะเคยทำ องค์ลงนี่อรูปพรหมเชียวนะ แต่อาตมามาบวชแล้วก็ไม่ทำ แต่เข้าใจเรื่องไสยศาสตร์ magic พวกนี้ แต่จำเป็นที่ต้องพูดต้องกล่าวว่าสิ่งนี้ผิดพุทธศาสนา แต่ก็เข้าใจอยู่บ้างว่า ถ้าไม่มีเลย เขาก็อ้างว้างไม่มีที่ยืนไม่มีที่อาศัย ต้องให้ที่ยืนเขาบ้าง แต่จะให้อาตมาพูดว่าสิ่งนี้ถูกไม่ได้ ในความหมายของคำว่า

       อวิชชา เป็นภาษาของพระพุทธเจ้าที่หมายถึงความผิดความถูกในโลกุตรธรรม คำว่าโลกุตระคือเหนือโลกียะ  คำว่าโลกียะคือได้สมใจในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แค่เอาเปรียบก็อกุศลกรรมแล้ว ในโลกโลกีย์นั้น คุณจะทำงานอะไรก็แล้วแต่ธุรกิจหรือรับราชการ อะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณได้ขึ้นสองขั้นได้เปรียบเขา บางทีได้อย่างทุจริตด้วยซ้ำมีการชะเลียร์ จะมากน้อยก็แล้วแต่ ไม่ได้มาอย่างซื่อๆ มันก็มีทุจริตแฝงก็แล้วแต่

       คุณทำผิดไปเอาของสาธารณะคือขโมย คนไปแจ้งความเอาผิดก็ต้องรับผิด ถ้าจะว่าตรงๆก็เห็นใจคุณทักษิณ โดยเฉพาะใจดำๆนี่ก็เห็น แกไม่รู้ว่าแกใจดำ เห็นใจแกแล้วสงสาร ใจแกดำด้วยอวิชชาด้วยความมืด แล้วถ่ายทอดมาสู่น้องสาว ตระกูลนี้มีดีเอ็นเออย่างนี้นะ ตั้งแต่พี่สาวคนโต จนถึงน้องสาวคนเล็ก ชัดเจนในชีววิทยา เห็นว่าเขายังว่ายวนเวียนอยู่ในสงสาร คือนรก เขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตกนรกตามกรรมที่เขาทำ ไม่มีเง็กเซียนฮ่องเต้ช่วยได้หรอก จะเก่งขนาดไหนก็ไปนรก ไม่ว่าจะลูกน้องมากสักเท่าใดก็ลงนรก ขุมไหนแรงเท่าใดเต็มๆ ไม่มีลดหย่อนไม่มีรอลงอาญา ตายปุ๊ปลงปั๊ป

       แหมวันนี้คุณจำลองอุตส่าห์มาเป็นแกนนำ อย่าไปบอกใครนะ มันถึงเวลา ทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้นเอง

       อาตมาสงสารทักษิณ ไม่ได้พูดเล่น คำว่าสงสารคือเห็นเขายังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ เพราะแกต้องไปอยู่ในนรก ไม่ได้พยากรณ์แต่พูดตามหลักความจริง ผู้ที่ร่วมไม้ร่วมมือกับอกุศลกรรม ทุจริตกรรมก็ย่อมได้ส่วนของอกุศลกรรมนั้นด้วย ไม่มีใครไปตัดสินยัดเยียด มันเป็นเช่นนั้นเองตามสัจจะ ผู้ใดทำผู้ใดเป็นหัวหน้าต้นทางก็เอาไปเยอะ ผู้ใดทำรองลงมาก็ได้ลดหลั่นตามนั้น ละเอียดกว่ามหาทศนิยม รับไปเต็มๆ กัมมสกตา ไม่มีใครเลี่ยงสิ่งที่ตนเองทำ ต้องได้รับสิ่งที่ตนทำ กัมมทายาท ต้องเป็นทายาทรับสิ่งที่ตนทำไม่มีระเหยระเหิด กรรมที่เขาทำนี้ยาวนานและหนักหนาร้าย จึงน่าสงสาร เพราะฉะนั้นอย่าไปถือโทษภัย แต่ว่าตั้งใจต้านอย่าให้เขาทำต่อ เรามาทำนี่เพื่อระงับไม่ให้เขาทำต่อด้วยวิธีการพระพุทธเจ้า สันติอหิงสา ท่านวสิษฐ์ก็ได้มาอธิบายดีแล้ว อย่างนี้แหละผู้ที่เข้าใจเห็นใจก็ต้องมาทำความเข้าใจว่าจะปฏิบัติสิ่งดีงามถูกต้องอย่างไร

       ที่ได้พูดย้ำนี้อาตมาเห็นว่าประเทศไทยก้าวหน้าอย่างมาก แม้ว่าฝั่งข้างคอนกรีตฝั่งโน้น นั่นเขาเขียนว่าเขตแก๊สน้ำตา เราก็ขึ้นป้ายว่า นี่คือเขตสันติอหิงสา ไชยโย ใครไม่รู้ทางโน้นขึ้นป้ายว่าเขตแก๊สน้ำตาท่านฟังแล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ เชยแล้ว แม้นายกหญิงก็ยังบอกว่าให้อภัยกัน เมตตากัน ขนาดนายกฯที่เรากำลังเผชิญก็มีความคิดที่ถูกต้อง แต่ว่าจริงใจหรือเปล่า? ประชาชนคงไม่ยอมหรอก แต่โดยค่ารวมของประเทศไทย อันนี้เป็นคุณสมบัติ คุณธรรมองค์รวมของประเทศไทย คุณธรรมของประเทศ เป็นจิตวิญญาณ เรียกว่า concept ของวิญญาณไทย เรียกเต็มๆว่า “สยามเทวาธิราช”

ขณะนี้เมืองไทยมีพลังงานทางจิตวิญญาณที่เป็นพลังมวลชนทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ฝ่ายกุศลมีสันติอหิงสาแท้ ส่วนฝั่งโน้นยังมี Hidden agenta เขาพยายามไม่ให้คนรู้เป็นพลังแฝงอยู่ potential energy อยู่ ถ้าทางโน้นสะอาดบริสุทธิ์ได้ก็เยี่ยมแต่ว่าคงเป็นได้ยากตอนนี้

       อัตภาพของคนนั้นที่ได้เกิดมามีร่างกายคน ที่มีสุรภาโว (องค์ประกอบทุกส่วนครบอาการ 32 ) และเป็นภาวะที่ดีมาก (สุรภาโว) มีอาการ 32 ครบเจริญด้วย เช่นสมองหัวใจดีมาก ประสาทดีมากเป็นต้น ผู้ที่ได้มาอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสุรภาโว มีสติดี เป็นบุพพกรรม ที่ทำมาก่อน โดยเฉพาะเป็นสัมมาสติด้วย เป็นโลกุตระ ถ้าไม่เป็นก็ได้ตามฐานะ ผู้ที่มีสติมันโต มีสติที่ดีที่สุดแล้วดีถึงขึ้นปฏิบัติสัมมาสติในองค์มรรคของพระพุทธเจ้าได้ และมีอิทธพรหมจริยวาโส คือมีกายยาววาหนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ นี่แหละคือร่างกายที่คุณสามารถปฏิบัติธรรม ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นที่อยู่ของผู้ประพฤติพรหมจรรย์จนบรรลุอรหันต์ได้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสุรภาโว สติมันโต คือไม่มีอาการ 32 ตายไปแล้วไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติพรหมจรรย์ ต้องมาเกิดมีร่างกาย แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องเกิดมามีร่างกายครบอาการ 32 นี้ ถ้ามีอย่างดี เรียกว่า คนอยู่ในทวีปชมพู ศัพท์วิชาการเรียกว่า “ชมพูทวีป” 1คนก็เป็นชมพูทวีป 1 คน 100 คนก็ 100 ชมพูทวีป ยุคนี้คนมีชมพูทวีป อยู่ในเมืองไทยมากที่สุด ดังนั้น ชมพูทวีปย้ายจากอินเดียมาอยู่ที่เมืองไทยแล้ว

       มนุษย์โลกุตระ โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์อยู่ในเมืองไทย ชมพูทวีปอยู่ในเมืองไทยย้ายจากอินเดียมาอยู่ไทยนานแล้วแม้แต่นานจนอริยบุคคลจะไม่เหลือแล้วในเมืองไทย แต่ก็มีหลักฐานในพระไตรปิฏก ฉ.สยามรัฐ ที่คัดเอาคำสั้นๆเข้มข้นมา ซึ่งต้องแจกแจงขยายความอีกมาก

       สังสารวัฏนี้คนไทยเอามาใช้ สงสารเป็นสภาวะของการเห็นใจ แม้คุณไม่มีธรรมะก็ยังใช้ภาษานี้ได้ คุณทักษิณเป็นคนที่น่าช่วยเหลืออย่างยิ่ง แม้แต่คุณปูก็น่าช่วยเหลืออย่างยิ่ง เราก็ทำส่วนวิบากจะออกมาอย่างไหนก็ไม่รู้ เช่นเขาจะต้องได้อยู่ในเมืองไทยหรือไม่ จะระเหเร่ร่อนที่ไหนหรือเปล่า หรือต้องติดคุกในไทย เราไม่อยากให้เขาทำบาปอกุศลมากกว่านี้ เขา pretender มากไปแล้ว คือลวงโลก เสแสร้ง ไม่ได้ลวงแต่ในไทยนะ เสียค่าเครื่องบินไปตั้งไม่รู้กี่ประเทศ เป็นอกุศลกรรมที่เป็นบาป พูดนี้เตือนสติด้วยหวังดี พาซื่อหรือเปล่า เขารู้ตัวไหมที่ทำ อาตมาว่าเขารู้นะ

       เป็นการหลอกที่ซับซ้อนด้วยอวิชชา เขาทำสิ่งไม่ดีได้โดย เขาหลอกตัวเองว่าดีๆๆ แล้วหลอกคนอื่นว่าดีอีกต่างหาก เป็นการหลอกสามชั้น หลอกสามซ้อน คนไม่รู้อย่างนี้น่าสงสาร เขาไม่รู้อารมณ์เวทนาของเขาผู้รู้เห็นเวทนาจึงเวทนาเขาสงสารเขา พระพุทธเจ้าแจกเวทนาเป็น 108 เราต้องทำเคหสิตเวทนาให้หมดไปให้เป็นเนกขัมสติเวทนาให้สมบูรณ์ ให้เป็นอุเบกขา คือเป็นกลางไม่บวกไม่ลบไม่รักไม่ชังไม่ดูดไม่ผลัก ผู้สามารถทำได้โดยรู้ ทำสำเร็จเรียกว่าเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนานี่คือฐานนิพพาน เมื่อสะสมให้มากก็เป็น อเนญชา หรือเป็นอเนญชาภิสังขาร และอุเบกขามีคุณสมบัติทั้ง 5

1.     ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5)
 

2.    ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)
 

3.    มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ)

4.     กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) 
 

5.    ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

(ธาตุวิภังคสูตร  พตปฎ. เล่ม 14   ข้อ 690)

       แม้จะเกี่ยวข้องปรุงแต่งกับโลกก็มีสังขารุเปกขาญาณ แม้เกี่ยวข้องกับโลกปรุงแต่งกับโลกก็มีได้ ปรุงอย่างไม่มีกิเลส ยังกุศลให้ถึงพร้อมตามควร

       พวกคุณมาช่วยสังคมประเทศชาติ ก็มาช่วยยับยั้งการกระทำของรัฐบาลโดยเฉพาะคุณทักษิณและยิ่งลักษณ์ นี่แหละคือมาทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดินและมาทำบุญ บุญคือการชำระกิเลส ก็ขอให้คุณมีจิตสงสารจิตเวทนาเถิด ถ้าคุณทำได้เป็นบุญของคุณ คุณได้ชำระคุณได้อภัยแล้ว แต่คุณจะพยาบาทเกลียดชังไว้ในใจทำไม มันขยะไม่ใช่ของน่าเก็บสะสม มันของไม่ดี ต้องเอาออกจากจิต อภัยเลิกวาง  ไม่ได้พูดเล่นพูดหัว

       ถ้ารวมสยามเทวาธิราชได้มากๆ ก็จะเป็น สยามเทวาธิราชิทธิ พลังงานของจิตมันมีจริง ถ้ามาร่วมกันได้ วันนี้พรุ่งนี้มารวมกันได้สัก  3ล้านคน ไหนๆคุณจำลองก็ออกมานำแล้วมาฟังข่าวตัดสินศาลโลกกันที่นี่ มาเป็นสยามเทวาธิราชิท เราทำพิธีเมื่อวานนี้ เมื่อสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาอุบัติ ณ ที่นี้ ออกจากโรงงานมาไม่ได้แวะที่ไหนเลย มาตั้งที่นี่เลยครั้งแรกนะ สมเด็จปู่องค์นี้ องค์ที่ 1 แล้วอาตมาทำพิธีเมื่อวาน เขาถามว่าทำพิธีอะไรเมื่อวาน คำตอบคือ “พิธีสยามเทวาธิราชิทธิ”  ให้เกิดอิทธิของสยามเทวาธิราช สยามเทวาธิราชคือจิตวิญญาณ ชาวสยามเอาจิตวิญญาณมาร่วมกันเป็น 1 เลย One for all  All for one แล้วจะเกิดพลังฤทธิ์ ถ้าประชาชนออกมารวมกัน 3 ล้านเลย ถ้ามาก่อนศาลโลกตัดสิน ข่าวนี้ตอนนี้มัน Globolization ถ้าออกมาก่อนศาลโลกตัดสินนะ ในยุคฟ้าบ่กั้น ศาลโลกจะรู้ทันที จะมีฤทธิ์ไปทันเลย นี่คือประชาธิปไตย รัฐาธิปัตย์ของประเทศยืนยันว่า 3 ล้านคนไม่เห็นด้วยนะ ศาลโลก มาทำกันจะเกิดจริง ให้เกิดปรากฏการณ์เป็น Extra Phenomena เลย

       นี่คือการประท้วงแนวใหม่ Neo protest เป็นการชนะด้วยความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไม่ใช่มีแต่ในหนัง ขอให้ออกมาพิสูจน์กันเถอะ ไม่พยากรณ์ไม่ดูหมอไม่พนัน

       อาตมาเทศน์วันนี้เป็นเรื่องที่อาตมาไม่น่าจะเทศน์ได้นะ เป็นเรื่องอภิธรรมที่เข้าใจยากนะ ถามพวกเราว่าพอเข้าใจไหม...คนตอบว่าเข้าใจกันมากด้วย

    มีผู้แสดงความคิดเห็นมาว่า...ขณะนี้ทักษิณกำลังทำให้ไทยล่มจม ประเทศมีหนี้สินมากมาย ทำให้เงินสดตกแก่เขาและพรรคพวกเขา โครงการรถคันแรกบ้านหลังแรกฯลฯ ประเทศไม่มีเงินมากแล้วตำรวจชั้นประทวนและคนรากหญ้าต่อไปต้องส่งลูกไปเรียนเขมรแล้ว คนเสื้อแดงและตำรวจ ที่ปกป้องรัฐบาลตอนนี้ แต่ทักษิณได้โกงเงินไปแล้วถึง 8 ถึง 9 แสนล้านบาท ตำรวจควรได้เบี้ยเลี้ยงวันละ ห้าล้านบาท  เสื้อแดงควรได้วันละ 3 ล้านบาท แต่กลับได้วันละ 300 ถึง 500​บาท และก็เป็นเงินภาษีของประชาชนของคุณด้วย คุณจะโง่มากไปหรือเปล่า...จบ The End             


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 08:31:06 )

561111

รายละเอียด

561111_รายการสงครามสังคมฯ ณ เวทีผ่านฟ้า เรื่อง ปฏิวัติโดยประชาชน

 

       หลังจาก15.35 น.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ พล.อ.ปรีชา ขึ้นบนรถขยายเสียง ประกาศปฏิวัติโดยประชาชน และไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ให้ข้าราชการใหญ่ ผบ.ทบ. ฯลฯ มารายงานตัวกับสภาประชาชนที่เวทีผ่านฟ้าฯ

       วาระนี้เป็นเวลาฟังธรรมโดยปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือเหตุการณ์บ้านเมืองไทยเรา เป็นมิติใหม่ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคือ การปฏิวัติ ของประชาชน หลายประเทศ มีการปฏิวัติ โดยประชาชนขึ้นมา และหลายประเทศที่ได้ทำการก็ยังไม่เหมือนประเทศไทย ของไทยเป็นการปฏิวัติของประชาชน ที่ใหม่ แปลก มหัศจรรย์มาก เพราะเป็นการปฏิวัติิอย่างสงบมากที่สุด จนคนทั่วไป อาตมาว่าก็คงจะนั่งงงอยู่ แม้แต่ทางบ้าน เพราะการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้ไปยึดตรงนั้นตรงนี้ ใช้กระบอกปืน อำนาจไปกดดัน Nothing ไม่มีเลย เป็นการปฏิวัติที่สัมบูรณ์ Absolute ที่เหลือคือถ้าใครเกิดการทำรุนแรงขึ้นนั่นแหละคือการเข้าข่าย เพราะเราปฏิวัติโดยประชาชน ขอให้ประชาชนออกมาแสดงความเป็นรัฐาธิปัตย์ ไม่ใช้รัฐบาลาธิปัตย์

       รัฐบาลาธิปัตย์คืออธิปัตย์ของรัฐบาล แต่รัฐาธิปัตย์คืออำนาจอธิปไตยของรัฐ ผู้ที่มีคือประชาชนไม่ใช่รัฐบาล อย่าสับสน อาตมาว่ารัฐบาลได้ตีกิน คำว่ารัฐ หรือรัฐบาลมานานแล้ว หรือผู้บริหารที่เป็นรัฐบาลได้เผลอฮุบอำนาจของประชาชนไปหมดแล้ว จะโดยเผลอหรือโง่ก็แล้วแต่ แล้วปฏิบัติเหมือนตนเป็นเจ้าของอำนาจ เช่นมีผู้บริหารบอกว่า การเมืองต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลในสภาฯเท่านั้น ถ้าประชาชนออกมาประท้วงคือการเมืองข้างถนน นี่คือคำของนกฎหมายในระดับเบ้งๆใหญ่ๆ ผู้ที่เข้าใจอย่างนั้นอาตมาถือว่าสอบตกประชาธิปไตย การพูดเช่นนี้คือคุณได้ยึดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนไปหมดแล้ว ที่จริงเขาทำไม่ได้ ประชาชนเป็นผู้แทน นายกฯเป็นผู้แทนระดับ 6 ที่เลือกจากสส.ที่เป็นอำนาจที่ 5 แล้วการเลือกตั้งเป็นลำดับ 4 ส่วนมาตรา 3 ในรัฐธรรมนูญ  คือในหลวงทรงใช้อำนาจผ่านสามสถาบัน เพราะอำนาจเป็นของประชาชนที่มีพระมหกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นราชประชาสมาสัย ราชะกับประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน

       ตามรัฐธรรมนูญก็เป็นสากล ผู้ใช้อำนาจในประเทศที่มีพระมหกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจเป็นของประชาชนไม่มีใครจะริบอำนาจนี้ไปได้แม้แต่วินาทีเดียว แม้ประชาชนจะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้ว แต่ผู้แทนก็เข้าใจผิดไปยึดอำนาจของประชาชนไปหมด ทำมาผิดๆตั้ง 81 ปีแล้ว ถ้าทำดีก็ไม่มีปัญหา แต่ว่าทำไม่ดีก็มีปัญหา ทำผิดๆ ผิดนิติรัฐนิติธรรม

       นิติรัฐ คือหลักเกณฑ์ของรัฐ นิติธรรมคือหลักเกณฑ์ของสัจธรรม เขาผิดทั้งสองอย่างเลย ไม่ซื่อสัตย์ ทำผิด รัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษา 6​3 องค์ก็ออกมาพิพากษากลางสาธารณะแล้ว เท่ากับตัดสินความตามแบบประชาธิปไตยตามสัจธรรม มีนิติธรรม เพราะฉะนั้นประชาชนคนไทย ที่ตื่นรู้ เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยว่าตนเองมีสิทธิ์มีอำนาจ 1 คน1เสียง ล้านคนล้านเสียง เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นเลย

       ตราบนี้ไปเมื่อประชาชนได้ประกาศปฏิวัติ 15.30 น.วันนี้ออกไปสู่สาธารณะ เสร็จแล้วตามนิติรัฐนิติธรรมสวยงามสงบเท่าที่มีมาเลย ไม่เหมือนหลายประเทศที่มีปฏิวัติแล้วมีการบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ ไม่เคยเกิดเลยที่จะสงบเรียบร้อยอย่างไทยเรา

       ตกลงมีหลักสำคัญสองอย่างคือ

       1.ประชาชนออกมาแสดงสิทธิ์เสียงเป็นมวลประชาธิปไตย คืนนี้จะพิสูจน์ว่านี่คืออำนาจประชาธิปไตยจริงไหม แน่นอนว่าอีกฟากหนึ่งที่จะถูกยึดอำนาจนั้นต้องดิ้นรน และก็ต้องมีคนสนองคำสั่งการ ผู้ที่จะทำการนี้ บัดนี้ ประชาชนได้ประกาศขออำนาจคืนแล้วตามหลักนิติรัฐ นิติธรรมเป๊ะเลยสวยงามด้วย ใครมาทำรุนแรงก็ผิดเลย  และมวลต้องมากมาแสดงเสียง ประชาชนไทยมี 60 ล้าน ถ้าออกมาเป็นล้านคนจะได้ ขอสักคืนหนึ่งคืนเดียวก็ได้ เหนื่อยเพื่อชาติอย่างสวยงามสงบเพื่อโลก จะทำได้ไหมประชาชนทั้งหลายเอ๋ย ขอแรงท่านเสียสละ จะขาดเบี้ยเสียแรงงานก็ขอเถอะ ผู้ที่ไม่ได้ออกมาจงออกมาเลย ฟ้าเป็นใจไม่มีฝน ทั้งที่พายุรุนเข้าอยู่นะตอนนี้วิกฤติธรรมชาติ แต่นี่เป็นวิกฤติของชาติ อาตมาเลยต้องอาราธนาสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาออกมาห้าม เป็นเรื่องอจินไตย เกินคิด เป็นเรื่องลึกซึ้่งพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ที่สั่งการ มนุษย์จะรู้ไม่ได้ เหมือนเล่นหม้อข้าวหม้อแกง แต่สวยงามที่สุด คนยังไม่รู้ว่ามีด้วยหรืออย่างนี้ ถ้าฝ่ายตรงข้ามจะมาปราบปรามอาตมว่าจะฝืนพระเจ้ามากไปไหม จะละเมิดอำนาจพระเจ้ามากไปไหม จะบังอาจละเมิดพระสยามเทวาธิราช อย่าเล่นกับพระเจ้ากับพระสยามเทวาธิราชนะ อาตมาไม่ได้ขู่นะ แต่พูดสัจธรรมด้วยลีลาให้ดูฮึกเหิม คึกคักหน่อย

       2.ความจริงความถูกต้อง ซึ่งเราเป็นฝ่ายถูกกว่าทางฝ่ายรัฐบาล

ก็ขอให้สติแก่ประชาชนถ้าจะกตัญญูต่อชาติประเทศที่เราได้อาศัยเกิดมา ใต้พระบรมโพธิสมภาร ตั้งแต่เราอยู่ยังไม่ตาย จะกตัญญูต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ บ้างได้ไหม ผู้ที่ยังไม่มาก็มาเลย ขอไขข้อข้องใจ ว่าทำไม พล.อ.ปรีชา ถึงได้ประกาศว่าปฏิวัติ

       ก็ต้องประกาศสิ หากปฏิวัติแล้วไม่ประกาศประชาชนจะรู้ได้อย่างไร ที่ประกาศนี้ไม่ได้พูดเล่นๆนะ แล้วทำไมต้องประกาศเหมือนไม่ให้รู้ตัว ในโลกไหนเขามีล่ะจะประกาศปฏิวัติแล้วจะต้องบอกให้รู้ก่อน มันต้องไม่ให้รู้ตัวสิ จึงเป็นของจริงของแท้ แล้วสงบ จนคนเห็นแล้วก็ยังไม่รู้อีกว่านี่ปฏิวัติหรือ เอ๊ะ ไม่เคยเห็น อย่างเคยเห็นมีแต่เอารถถัง เอาทหาร เอาปืน ไปยึดจุดสำคัญของประเทศ และต่อสู้ระหว่างอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ สู้กันจนตายไป ประชาชนที่ถูกทำร้ายด้วยอำนาจรัฐ ก็รัฐมีอาวุธ หรือแม้แต่ประชาชนจะปฏิวัติอย่างไม่มีอาวุธเขาทำไม่ได้ แต่ประเทศไทยทำได้ ไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องไปยึดที่ใด มาแสดงอำนาจอธิปไตยของประชาชนเท่านั้น ขณะนี้ประกาศแล้ว รู้แจ้งไปทั่วโลกแล้ว ยุคนี้โลกฟ้าบ่กั้น ลาวเขาแปลว่า ฟ้า บ่ กั้น คือไม่มีอะไรขัดขวาง สื่อสารสนเทศน์มันเร็วไว ปธน.ตดที่นี่รู้กันทั่วโลกแล้ว

ความจริงอันนี้ประกาศรู้ไปทั่วโลกแล้วมันกาลก่อนที่ศาลโลกจะอ่านประกาศตัดสินคดี เขาจะอ่าน 16.00 น. พล.อ.ปรีชาจึงจำเป็นต้องประกาศก่อน เพื่อให้รู้ว่าประเทศไทยได้เปลี่ยนอำนาจแล้วนะ ถ้้าเหตุการณ์คืนนี้ไม่มีอำนาจอื่นที่จะมาทำให้เกิดความไม่สงบในหมู่ประชาชนที่ปฏิวัตินี้ เมืองไทยจะเป็นที่ๆปฏิวัติโดยสวยงามที่สุดในโลก เป็นส่ิงมหัศจรรย์ในโลก ก็ขอความร่วมมือจากผู้มีอำนาจ ทหาร ตำรวจก็ตาม อย่าทำให้ส่ิงสวยงามมหัศจรรย์นี้ล้มเลย

       ความถูกต้อง คือนิติรัฐ นิติธรรม ใครผิดคือผิด ถูกคือถูก แล้วที่เราทำนี่ถูกนิติรัฐ นิติธรรม สุดยอด Ultimate แล้ว ถ้าท่านผู้มีอำนาจปืน อำนาจอาวุธหรืออำนาจอะไร แม้แต่กำลังของประชาชนที่เป็นมวลหมู่ประเทศ แต่ท่านไม่ทันแล้วล่ะ ตอนนี้เราประกาศปฏิวัติแล้วและเราก็มีมวลมากกว่าด้วย แต่ความถูกต้องเราจริงแล้ว เหลือแต่ให้มันชัดขึ้นคือมวลประชาชนคะแนนเสียงสวรรค์ออกมา ให้เต็มราชดำเนินทั้งนอกและในเลย สัก 5 ล้านคนเลย

       เสียสละไม่นอนสักคืนได้ไหม รอรับประชาชนที่จะมาได้ไหม จะทำอย่างไรให้อยู่กันทั้งคือก็มีร้องรำบ้าง พูดกันบ้าง แล้วพรุ่งนี้ก็จะปฏิบัติตามครรลองนิติรัฐนิติธรรม เราอยู่ในสภาวะสบายใจเพราะเราถูกมาตลอดทางเลย เราไม่ได้ออกนอกแถวนอกคูนอกทางเลย ช่างสวยงามอะไรปานนั้น

       ก็ขอขอบคุณสยามเทวาธิราชิทธิ ขอบคุณหลวงปู่วิชิตอวิชชา

       นิติธรรม หรือหลักธรรมะ พูดไปเป็นเรื่องลึก เมื่อวานก็บรรยายเชิงสังคม การเมืองและสำคัญคือเชิงลึกอจินไตยยากแต่คนก็รู้ได้บ้าง มันเป็นเรื่องลึกที่วางแผนไม่ได้ ถ้าวางแผนแล้วรู้ทันทุกอย่างเกิดตามปัจจัย ผู้ทำเองยังงง ไม่คิดว่ามันจะเป็นอย่างนี้ มันยังไม่เคยมีที่ไหนในโลกเลย การปฏิวัติโดยมหาประชาชน มันเป็นเรื่องของธรรมะที่ต้องเป็นเช่นนี้เอง คือ ตถตา

       ทำอะไรหน้าต่างมีหูประตูมีตา ทำอะไรเขาก็กันไว้หมดเลย แต่นี่ผู้ทำยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรก่อนเลย คนจะป้องกันก็เลยทำไม่ได้ จึงสำเร็จ มันต้องเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างอาตมาไม่รู้เลยมาก่อนว่าจะต้องมาทำหน้าที่โพธิสัตว์ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่มีหมอดูใหญ่ๆมาว่าจะเป็นโพธิสัตว์นะ เหมือนพระพุทธเจ้ามีคนทำนายว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้

       อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้เรื่องเหล่านี้ แต่ก่อนถือว่าอินเดียเป็นชมพูทวีป เพราะว่ามีคนที่มีโลกุตรธรรมอยู่มาก แต่ตอนนี้อยู่ที่ประเทศไทยแล้ว ที่ใดมีคนมีเนื้อแท้ธรรม โลกุตรธรรมอยู่มากก็คือชมพูทวีป เมืองอื่นประเทศอื่นเขาไม่มีที่จะประกาศชัดเจนว่า มีอาริยบุคคลอยู่ ไม่มีแล้ว โสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์

       โลกียะคือผู้ตกใต้อำนาจโลกธรรมนั่นเอง คนดีก็แค่รวยลาภยศสรรเสริฐอย่างสุจริตเป็นกัลยาณชน เท่านั้นแต่ไม่ใช่โลกุตรธรรม เขาถือว่าประสพผลสำเร็จในชีวิตคือมี รวยสุด อำนาจมากสุด สรรเสริญสูงสุด พรั่งพร้อมด้วยเบญจกามคุณเป็นต้น ส่วนโลกุตระนั้นเป็นภาวะสัจจะย้อนสภาพ ทวนกระแส ปฏิโสตัง โลกุตระคือผู้ไม่หลงลาภยศสรรเสริญสุขเลย ผู้มีคุณสมบัติสูงส่งคือไม่รวย และไม่มอมเมาให้คนรวยด้วยอย่างพระโพธิสัตว์ของไทยคือในหลวงที่ตรัสสอน แบบคนจน ไม่ต้องไปรวย เราไม่เอาก้าวหน้าอย่างโลกๆ ท่านตรัสไม่ยาว แต่กินความสมบูรณ์แบบ คือธรรมะโลกุตระ

       การทวนกระแสโลกีย์ไม่ติดยึดโลกธรรม เช่นคานธี ในหลวง ทรงประหยัดมัธยัสต์ แต่ทรงอยู่ในฐานะกษัตริย์ทรงสืบทอดมาไม่ได้เป็นของท่าน แต่เป็นตามฐานานุฐานะของพระองค์ ไม่ใช่อย่างที่คอมมิวนิสต์ว่าต้องเสมอภาคเหมือนกันหมด สิ่งสองสิ่งไม่มีทางเสมอกัน อนุปรมาณูละเอียดเท่าใดสองสิ่งก็ไม่เท่ากัน

       ส่ิงโลกุตระอีกประเด็นคือ ทวนกระแส ไม่ใช่ติดหลงในโลกธรรม เอามาตัดสิน

       อีกประเด็นหลักที่ตัดสินโลกุตรบุคคลจะต้องเป็นผู้เข้าถึงจิต รู้จักจิต รู้จักทิศทางของนิพพาน นิพพานคือกิเลสสูญ ไม่ใช่ตัวตนร่างกายสูญ กิเลสไม่ใช่ร่างกาย แต่นิพพานเป็นปริโยสาน คือแห่งที่สุดแล้ว อวสานอย่างสิ้นรอบ สูญอย่างสัมบูณร์อย่างหมดสิ้นทุกอย่าง หมดแม้แต่วิบาก หมดบาบหมดบุญตั้งแต่เป็นอรหันต์ ส่วนหมดวิบากหรือหมดผลของบาปบุญคือต้องปรินิพพานเท่านั้น

       ผู้ปฏิบัติถูกพุทธจะมีสติปัญญา ไปถึงวิมุติ แล้วจึงถึงนิพพาน ในมูลสูตรข้อ 5 ถึง 10

6.  มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)

7.  มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) 

8.  มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ)  สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง

 

9.  มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา)

 

10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน)

 

       สรุปคือโลกุตระบุคคลจะมี

       1.จิตทวนกระแสโลก แต่ไม่ได้หมายถึงท่านไม่มีโลกธรรม แต่ว่าท่านไม่ติดยึด มีก็ไม่หลง แม้ไม่มีก็ทำงานได้ ในพระพุทธเจ้าบางองค์ไม่ต้องออกจากวังเลย พอออกบวช 7 วันก็บรรลุ มีทรัพย์สมบัติแต่ก็ไม่หลงติด ต่างกับพระสมณโคดม เป็นยุคที่คนหลงติดโลกธรรมมากท่านก็ต้องใช้ไตรจีวร มีบาตร ไม่ใส่รองเท้าใช้ผ้าบังสุกุล เป็นสัจจะย้อนสภาพ

       2.ต้องมีภูมิธรรมขนาดจับจิตได้ รู้จัก กายในกาย เวทนาในเวทนา เวทนาเจตสิก คุณต้องมีญาณอ่านรู้อารมณ์ว่านี่โกรธนะ สัมผัสรู้เลยว่าอาการนี้ แล้วเหตุของอาการก็วิเคราะห์วิจัยของตนเอง จับเหตุที่พาโกรธ นี่คือโลกุตระต้องหยั่งถึงจิต เป็นนามธรรม ไม่มีรูป เสียงกลิ่นรส อสรีรัง ไม่มีตัวตนรูปร่าง รู้นามรูปได้ จิตวิญญาณมีอาการเท่านั่้น ซ้อนอยู่ในกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ในการแสดงออกนั้น

       ผู้ศึกษาโลกุตระจะรู้จิตตน สามารถกำจัดกิเลสเกลี้ยงจริง จนดับสนิทไม่เกิดอีก ที่พูดนี้บางคนรำคาญ แต่ผู้ชอบจะชื่นใจ ที่อาตมาพูดนี้ อย่างนิจจัง ทุวัง สัสตัง อวิปรณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง    

       การเข้าถึง จิตเจตสิกรูปนิพพานได้คือโลกุตรบุคคล พ้นสักกายทิฏฐิคือสังโยชน์ข้อที่ 1 ไม่ลังเลสงสัยเลย หมดวิจิกิจฉา พ้นศีลพรตที่จับตัวตนกิเลสได้ แต่ไม่ใช่แค่ลูบๆคลำๆเล่นๆหัวๆ แต่ต้องฆ่ากิเลสจริงเลย ทำได้จริงจึงพ้นศีลพตปรามาส

       กิเลสไปเลี้ยงดู ลูบคลำเล่นหัว ไม่ได้ ต้องปหาน ต้องกำจัดเลย อย่าไปเล่นหัวเลี้ยงดูมัน จะบ้าหรือ แม้คุณจะสัมมาทิฏฐิ พ้นสักกายะทิฏฐิพ้นวิจิกิจฉา เลี้ยงโจร เลี้ยงเชื้อโรค ประมาท ก็ตายกับเชื้อโรคได้ เมื่อมีสุขด้วยความสงบก็ปราบกิเลสให้สิ้นอนุสันอาสวะเป็นอรหันต์จ้อย

       วันนี้เป็นวันปฏิวัติ แต่อาตมาเทศน์โลกุตระ แยกโลกียะโลกุตระ ใครฟังไม่ทันก็ติดตามจาก FMTV อาตมายังมีเรี่ยวแรงยังหนุ่มแน่นอยู่

       อาตมาทำงานใหญ่ไม่ได้ทำงานเล็กมาร่วมมือกัน เพื่อปฏิรูปประเทศ คำว่าปฏิรูปนั้นมีสภาพค่อยเป็นค่อยไป ทำตามลำดับ ส่วนปฏิวัตินั้นหักดิบเลย ไม่มีขั้นตอนมาก ไม่ต้องรู้ตัวเลย ปฏิวัติแล้วหรือนี่เราถือว่าปฏิวัติ แล้วจะปฏิรูประเทศไทย นี่คือการเปลี่ยนแปลงการบริหารปกครองต่อไป ที่เราทำอยู่นี่ไม่ได้ออกนอกนิติรัฐนิติธรรมเลย อยู่ในครรลองครองธรรม ใครละเมิดผิด เป็นความสวยงามเหมือนเพชร เพชรนี่ใสสวยเหลือเกินอย่าให้มีรอยหม่นเลย ผู้ที่มีอำนาจช่วยรักษากันด้วย ไม่เคยเกิดเลยในโลก ช่วยทำให้เกิดในไทยด้วยเถิด

       ประชาชนมาๆๆๆคืนนี้มาให้เป็นล้านเลย เพื่อยืนยันว่านี่คือมหาประชาธิปไตย เป็นอำนาจประชาชนที่มากเรียกว่ามหาประชาธิปไตย ไม่ต้องหนักแรงอะไร อาจไม่สะดวกเหมือนที่บ้านแต่เสียสละหน่อย เพราะตอนนี้ไทยเราเสื่อมมาก โดยเฉพาะทางศีลธรรม การณ์ครั้งนี้อาตมาจะหวังว่า...อย่ามาหวังนี่

       อาตมาเคยพูดว่าพยายามจะทำปรากฏการณ์พิเศษ ให้คนตาบอดเห็นได้ คนตาบอดคือคนอวิชชา ถ้ามีส่ิงที่ประเสริฐสุดสามารถทำให้คนตาบอดเห็นได้ คนเห็นได้ในที่มืด จุดไฟในที่มืด คิดว่าคนไทยมีปัญญา เป็นแต่เพียงหลงลืมไปชั่วคราว มาช่วยประเทศไทยหน่อยเถอะ โดยเฉพาะผู้ที่รู้แล้วว่าอะไรถูกผิด มาร่วมกันยืนยันว่าอะไรผิดอะไรถูก เป็นปรากฏการณ์ของประเทศไทยที่กำลังเกิดนี้ หายากมาก

       แต่ก็ได้บังเกิดแล้วที่นี่ ณ 15.30 น.อุบัติขึ้นเวลานั้่น จนตอนนี้เห็นผลแล้ว ยิ่งประชาชนออกมามากๆ จะเป็น สยามเทวาธิราชิท เป็นอิทธิของพระสยามเทวาธิราช ถ้าประชาชนมามาก ใครจะทำอะไรประชาชนจำนวนมาก ไม่มีใครคิดทำอะไรหรอก มีมวลมากมายหนาแน่นก็เป็นนิติรัฐนิติธรรมอยู่แล้วใครอยู่ที่บ้านก็มาเลย มีพาหนะอะไรก็มา เหาะมาได้เองก็เหาะมาเลย

       มารวมตัวกันเพื่อส่งเสริมความสวยงามประเสริฐ อาตมาดีใจมากเลย มีคนให้ข้อมูลมาว่า มติจากเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ข้างหลังเรานี่ให้ “สู้แบบอาริยะขัดขืน” แล้ว สุเทพ และพวกอีก 7 คนลาออกมาต่อสู้แล้ว

       1.ขอให้หยุดงานกันวันที่ 13 ถึง 15 หยุดเรียนหยุดทำงานออกมายืนยันว่า นี่คือเสียงของมหาประชาชนนี่คือรัฐาธิปัตย์ที่แท้จริง ยังไงก็หยุดงานมา เชื่อว่าเบ็ดเสร็จแน่เลย ไม่ว่าจะการงานหรือมหาวิทยาลัย

       2.ขอให้ประชาชนชะลอการจ่ายภาษีพร้อมกัน

       3.ให้ติดสัญลักษณ์นกหวีดและธงชาติพร้อมกันทุกบ้าน

4.หากเจอนายกฯและบรรดาลิ่วล้อรัฐบาลที่ไหนไม่ต้องไปพูดจาอะไร ให้เป่านกหวีดอย่างเดียว

       การชุมนุมประท้วงพศ.2535 เขาเรียกว่าม็อบมือถือ แต่การชุมนุมประท้วงครั้งนี้คงเป็นม็อบนกหวีดนะ ถ้าพรุ่งนี้ถึงล้านคนแน่นเลยไปถึงสนามหลวง ไปถึงปากคลองตลาด เลยจากนั้นลงน้ำเลย

ยังรอน้ำใจของคนไทยที่เหลือว่าท่านจะทำให้เกิดความรุนแรงไหมหนอ ถ้าไม่เกิดได้จนถึงวันที่ 15 พอถึงวันนี้ฉลองที่ไหนดีนะ ก็ที่ราชดำเนินก็ดีนะ

       จะพิสูจน์กันในอีกไม่กี่วัน ดูน้ำใจคนไทยที่เหลือผู้ที่คิดจะทำให้เกิดความรุนแรง ขอร้องว่าอย่าทำเลย เห็นแก่ประเทศชาติได้ไหม หรือรอให้ทูลเกล้าถวาย แล้วในหลวงไม่ลงพระปรมาภิไธยก็ค่อยว่ากัน แต่ถ้าในหลวงลงพระปรมาภิไธยคุณก็ต้องยอม เพราะท่านอยู่ในฐานะที่มี Supreme law เป็นความมั่งคงสูงสุดของชาติ  ขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจฟัง ….พอเข้าใจกันบ้างไหม...เอวัง

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 11:53:42 )

561112

รายละเอียด

561112_เทศน์หลังเดินธรรมยาตราถวายฎีกาสำนักพระราชวัง

เรื่อง ราชประชาสมาสัย

       ตอนนี้เรา เรารอเพื่อนไทยที่จะมาร่วมแสดงรัฐาธิปัตย์ คือคนมาลงคะแนนเสียงให้แก่ปฏิวัติประชาชนครั้งนี้ เป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่สงบสันติครั้งแรกของโลก ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ระแคะระคายอะไรเลย แม้แต่รัฐบาลหรือตำรวจ

       ตอนนี้ ขอเข้าทรงนิตกร ลำลอง ขอเชิญองค์นิติกร ลำลองมาลงองค์ มาตอบคำถามว่าประชาชนปฏิวัติได้อย่างไร ในนัยของรัฐศาสตร์นิติศาสตร์มีดังนี้ ขอเชิญคุณปรีชาพูดลำลองไปก่อน

      เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรัฐาธิปัตย์คืออำนาจรัฐเป็นอย่างไร ในรัฐธรรมนูญมาตรา 2 และมาตรา 3 ว่าไว้ว่า

_มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง)ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

_มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       สากลยอมรับกันว่าความจริงแท้ ที่เป็นความมั่นคงแห่งชาติ ที่เป็นกฎหมายสูงสุด Nation security เหนือกว่ากฎหมายนิติธรรม The rule of law หรือรัฐธรรมนูญPrinciple law หรือกฏหมายทั่วไป Common law ซึ่งกฎหมายระหว่างประเทศรับรองระบุไว้ดังที่จะขอให้ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณอ่านให้ฟัง เป็นภาษาอังกฤษ

พล.อ.ปรีชากล่าวว่า...เมื่อวานนี้เราได้ทำการปฏิวัติประชาชนด้วยเหตุผลที่จะให้ทันก่อนการตัดสินของศาลโลก คำตัดสินของศาลโลกไม่มีผลต่อประเทศไทยและไม่มีเหตุผลที่จะทำตามรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม และรัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ ภายใต้ทักษิณเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง ทหารและข้าราชการไม่ต้องทำตามคำสั่งรัฐบาลนี้ ให้รอคำประกาศของคณะปฏิวัติประชาชน

       พ่อครูว่า...การรบของพล.อ.ปรีชาทุกครั้งมา ก็ต้องเป็นการรบครั้งสุดท้าย A Final Decision แล้วก็สำเร็จรบมาไม่เคยแพ้สักครั้งเดียว ตรงข้ามกับโพธิรักษ์รบมามีแต่แพ้ไม่มีชนะเลย เป็นลักษณะ2อย่างเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็น One for all All for one

     พ่อครูว่า...กฏหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักของบ้านเมือง แต่อังกฤษเป็นต้นแบบประชาธิปไตยที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ แต่บริหารแบบไม่มีรัฐธรรมนูญมาตลอดเรียบร้อยดี เป็นประชาธิปไตยสองขา สิ่งที่มีถือว่าต้องมีสอง และสองต้องเป็นหนึ่ง เป็น Two in One อย่างในหลวงว่า สามัคคี และอาตมาว่าความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ จะไปหาที่ไม่ขัดแย้งกันเลย หาไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความจริงมีสิ่งเดียว ใครยึดความจริงนั้นก็ยึดคนเดียว แต่ถ้ามีสองคนก็ยึดกันคนละอย่าง แต่ถ้าปรองดองกันได้ก็สมบูรณ์คือ Two in one ไม่มีหนึ่งไม่มีสอง จึงเรียกว่า One for all All for one หรือในบาลีของพระพุทธเจ้าว่า เอโกปิ หุตวา พหุทา โหติ คือหนึ่งเดียวสามารถเป็นหลายคนได้  พหุทาปิ หุตวา เอโก โหติ คือทั้งหลายทั้งมวลรวมเป็นหนึ่งเดียว

       เป็นลักษณะที่สองหรือหลายอย่างรวมเป็นหนึ่ง ...มาต่อความว่า มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง)ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

และ มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

        แม้นักกฎหมายก็มาท้วงว่า คำว่า ประชาชนปฏิวัติ ไม่มีในรัฐธรรมนูญระบุไว้อย่างนั้น แต่รัฐธรรมนูญมีหลายมาตรามีระบุไว้ว่าประชาชนมีสิทธิ์ปฏิวัติ ตอนนี้ไม่ว่ารัฐสภา ประธานสภา รองประธานสภา ขาเกขาหักหมดแล้ว ผู้บริหารเกินกว่าเน่าอีก ยึดอำนาจไม่ฟังเสียงใครเลย สารพัดที่จะทำตามใจ หัวหน้าผู้บริหารมีแต่จะไป Cat walk แล้วไม่รู้ว่าการแบบนั้นใช้เงินประชาชน แล้วที่ไปนี่ไปตกลงส่วนตัวทำ MOU ส่วนตัวอะไรบ้าง  

       รัฐบาลได้ทำผิด อย่างเอาแดงไปล้อมศาลกดดันศาล รัฐบาลก็ไม่ทำอะไร ตำรวจส่งเสริมด้วย ทำอย่างน่าเกลียดด้วย ล่าสุดเขาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 สามารถที่จะทำสัญญากับต่างประเทศโดยไม่ผ่านสภา เท่ากับสภานี้มีแต่พาลชน ไม่มีบัณฑิต มาตรา 3 นี้เขาผิดไปมากแล้ว ทำทุจริตอกุศลหลายอย่าง การปฏิบัติของรัฐบาล รัฐสภา ไม่ถูกตามหลักนิติธรรม และไม่มีรัฐธรรมนูญบทไหนที่ห้ามประชาชนปฏิวัติ

       และในมาตรา 7 นั้น …..ก็จะต้องเกิด ราชประชาสมาสัย ตอนนี้เราได้ปฏิวัติและได้ทูลเกล้าถวายให้ทรงมีพระราชวินิจฉัยไปแล้ว

สากลของพระมหากษัตริย์เป็นอย่างไร...ตามที่ให้คุณปรีชาอ่านนำไปแล้ว อย่างในอังกฤษมีประชาธิปไตยแบบจารีตประเพณีก็ทำมาได้สงบสุขเรียบร้อย

       พระมหากษัตริย์ ร.7 ท่านถูกริบอำนาจ แล้วท่านก็ได้ตรัสไว้ว่าท่านมอบอำนาจให้ประชาชน แต่นี่มันเป็นการปกครองแบบกฎหมู่ แล้วเขาก็เอาพวกแดงออกมาแล้วบอกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่เชื่อว่าแดงถูกหลอกถูกจ้างมามากมาย พวกเราไม่ล่อลวง ไม่บังคับ ไม่ได้จ้าง แต่หนูเปล่าชวนนะ เขามาเองใช่ไหม? อาตมาไม่ได้ชวนนะพวกคุณมากเอง?

       ถ้าประชาชนไทยได้ยินนี่ก็เอาไปเป่าประกาศ ตามที่คุณสุเทพได้ประกาศว่าให้หยุดงานหยุดเรียนมากันภายใน 13ถึง 15 นี้ มากันให้เต็มๆๆๆ ถนนราชดำเนินแล้วขยายไปสู่รอบๆได้ แดงเอ๋ยแดง เป็นพี่คนโต จริงหรือเปล่าคุณคือประชาธิปไตยแล้วเขาคุยว่าเป็นมวลส่วนใหญ่ของประชาชน มาตัดสินกันว่ามวลส่วนไหนเป็นประชาธิปไตย ใครเห็นความสำคัญเต็มใจก็มา เสียสละเต็มที่ มาแสดงประชาธิปไตยที่เป็นรัฐาธิปัตย์ ไม่ใช่รัฐบาลาธิปัตย์ อย่าสับสนตีกิน อำนาจของรัฐบาลจะยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของประชาชนได้หรือ

อย่างคุณสุเทพประกาศว่านัดหยุดเรียนหยุดทำงานมาประท้วงร่วมกัน ต้องพิสูจน์อำนาจต้องเปลี่ยนผ่าน ผ่องถ่าย ทำให้ประชาธิปไตยลือลั่นไปทั่วโลกเลย ถ้าใครรุนแรง มีมือที่ 3 มา ก็มั่นใจว่าไม่ใช่พวกเราแน่ ถ้าเกิดความไม่สงบที่นี่ก็เพราะว่าเป็นจากกลุ่มอื่น  ถ้างวดนี้สำเร็จ เลือดไม่ตกแม้แต่หยดเดียว นับว่าสวยงามอย่างย่ิง

       ผู้ใดเกิดปัญญาอย่างองคุลีมาล ที่เคยถูกความชั่วเข้าสิง แล้วเปลี่ยนใจได้กลับใจได้ องคุลีมาลก็วิ่งตามพระพุทธเจ้าแต่วิ่งตามไม่ทัน แล้วตะโกน สมณะหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ก็ยิ่งยั่วองคุลีมาลสิ ก็นึกว่าพระพุทธเจ้าโกหก เดินอยู่แล้วแต่บอกว่าเราหยุดได้อย่างไร แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกว่าเราหยุดทำชั่วแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุด

       อาตมาสมณะนะ คือผู้สงบ อาตมาแสดงอย่างนี้เป็นสัจจะย้อนสภาพ อาตมาแสดงดำ แต่ที่จริงใจขาว แสดงดำให้กลมกลืนกับโลกเขา ทำนองเดียวกับพระมาลัยลงไปในนรกหรืออย่างอรหันต์จี้กงก็ไปโปรดขี้เหล้าก็กินเหล้าไปกับเขาท่านไม่ได้ติดเหล้าหรอก ท่านฝืนด้วยซ้ำ อาตมาแสดงอย่างศิลปินตุ๊กตาท้อง

       ในมาตรา 68 ถึง 71

_มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

_มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผู้กระทําการดังกล่าว”

_มาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี)บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       เราทำสำเร็จแล้วอย่างสันติวิธี รอแต่ในหลวงจะทรงพระวินิจฉัยเท่านั้น รอสักสองสามวันนะ พรรคการเมืองก็ต้องมารวมกับเรา เพราะประชาชนต้องมารวมกับประชาชนที่นี่ ตอนนี้รวมกันอยู่แล้วเชื่อมโยงกันอยู่แล้วเป็น One for all All for oneอยู่แล้ว เป็นแฝดนะแต่หนึ่งเดียว แฝดนะเหมือนกันนะ แต่คนละคนนะ

       เราอยู่ในนิติรัฐนิติธรรมมากกว่ารัฐบาลนะ โดยเฉพาะมารวมตัวกันนี้ มีความผิดน้อยกว่าคณะรัฐบาลนะ อันนี้คือเหลือสุดท้าย ราชวินิจฉัยเท่านั้น เป็นสุดท้ายแล้ว เข้าใจนะเอารัฐธรรมนูญมากางพูดตามประสา นิติกรลำลอง

        มาตรา 70  “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองในในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้” ส่วนม.71 บอกว่าบุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศรักษาผลประโยชน์ชาติและปฏิบัติตามกฎหมาย 

       ข้าราชการคือนักการเมืองประจำ คือผู้รับจ้างทำงานให้ประชาชน เป็นลูกจ้างของประชาชน แต่เขากลับเอาตำแหน่งหน้าที่ไปคอรัปชั่นโกงกิน ผู้ทำถูกก็ยกเว้น แต่คนทำผิดต้องถูกอาตมาว่าแน่นอน  ข้าราชการได้สะสมความผิดไว้มากเหลือเกิน ต้องใช้คำว่า ล้างบางๆๆ ต้องกวาดล้างปฏิรูปประเทศไทยเลย

       มาเข้าสู่ประเด็นว่า...คำว่ากฏหมายหรือรัฐธรรมนูญก็แล้วแต่ หลักที่ใช้ Majority rule ก็ใช้เสียงส่วนใหญ่แต่เขาก็ใช้ Minority right เป็นสิ่งคานอำนาจ เช่นประชาชนส่วนใหญ่ในโลก คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีกิเลสมากกว่าคนมีกิเลสน้อย ถ้าให้คนมีกิเลสมากออกเสียงส่วนมาก กิเลสก็ชนะสิแล้วมันจะดีได้อย่างไร มันต้องเลือกคนที่มีกิเลสน้อยหน่อยเอาไปเข้าสภา แต่เราปล่อยคนกิเลสมากเข้าสภาก็ฉิบหายใหญ่เลย ไปวางค่ายกล ไปแสดงอำนาจไว้หมดเลย ทุกกรมกอง

       เมื่อมีสิ่งบริสุทธิ์เกิด เราก็ควรเลือกคนดีเข้าสภาฯ ให้เป็นระบอบที่ดีสุจริต โดยต้องให้ทำตามหลักสากล เรื่อง กฎหมายกับพระราชอำนาจ

 

       ตามหลักสากลที่เป็นความจริงแท้ (Reality) ความมั่นคง แห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด (Nation  Security is Supreme Law)  เหนือกว่าหลักนิติธรรม (The Rule  of Law)  เหนือกว่ากฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญ (Principle Law)  และเหนือกว่ากฎหมายสามัญ (Common Law)

 

       โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ได้รับรองไว้ในหนังสือ International  Law Vol.1 peace โดย H.Lauterpacht Q.C.LL.D.F.BA. (Third Impression 1958)   page 758-761 

แปลได้ใจความว่า...

 

       “ทุกระบอบกษัตริย์   กษัตริย์ดำรงสถานะเป็นตัวแทนแห่งอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ   ด้วยเหตุนี้จึงทรงดำรงเป็นองค์รัฎฐา-ธิปัตย์ เป็นความจริงที่กฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับ

 

       ถึงแม้กฎหมายภายในประเทศ  จะมีข้อความที่แตกต่างกัน กับในบรรดาประเทศทั้งหลาย  ประเด็นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะฉะนั้น  กฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับระบอบกษัตริย์ทั้งหลาย  มีอำนาจดังกล่าวเท่าเทียมกัน   ถึงแม้ว่าตำแหน่งพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญจะมีความแตกต่างกัน และขึ้นกับกฎเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแตกต่างกัน... 

 

       ผลที่เกิดขึ้นตามที่กล่าวไว้แล้ว ให้การยอมรับว่า  ระบอบกษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐอย่างแท้จริง  และตลอดกาลชั่วนิรันดร...”

 

เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นตัวแทนแห่งอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ  และเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (The Head of State) จึงทรงถือความมั่นคงแห่งชาติคืออธิปไตยของปวงชน เป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law)

อยู่เหนือหลักนิติธรรม (The Rule  of Law)

หลักนิติธรรมอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ (Principle Law)

และรัฐธรรมนูญอยู่เหนือกฎหมายสามัญ (Common Law) 

 

       พระมหากษัตริย์จึงทรงใช้กฎหมายสูงสุด โดยมีกองทัพอันเป็นกำลัง เป็นฐานแห่งอำนาจปฏิบัติกฎหมายสูงสุด   เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ.

 

       ตอนนี้ประกาศปฏิวัติแล้ว เกิดสุญญากาศการปกครองแล้ว เกิดสุญญากาศในประเทศไทยแล้ว อำนาจนี้อยู่ในมือในหลวง ท่านจะทรงใช้อย่างไรอยู่ที่ในหลวง นี่คือจบลงด้วยภาคปฏิบัติ ไม่มีบทบัญญัติระบุไว้ในรัฐธรรมนูญก็จริง แต่ว่าก็มีกฎหมายสากลระบุไว้อยู่ ขอให้การชุมนุมกันทั่วประเทศสงบสุข อย่าเกิดความรุนแรง จนกว่าเรื่องนี้จะสงบเรียบร้อยไปได้ เป็นความสวยงามจริง

 

       กษัตริย์คือผู้มีอำนาจเป็นใหญ่ในหมู่ แต่ประมุขก็คือแปลว่าผู้เป็นใหญ่ในหมู่เหมือนกัน เรียกสองภาษาแต่เหมือนกันในนัยสำคัญทั้งกว้างและลึก ส่วนกษัตริย์นั้น ภาษานี้แต่ก่อนอาจเรียก ขุน พระยา หัวหน้าเผ่า สมัยก่อนก็เรียกพ่อขุน เรียกสุลต่าน เป็นผู้ที่เราให้อภิสิทธิ์หลายอย่างต้องยกให้เพื่อความสะดวก เพื่อทรงไว้ซึ่งกิจที่สำเร็จได้สมบูรณ์ เช่นระบุว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์เป็นจอมทัพ แต่ในหลวงของเราสุดยอดไม่ได้ใช้อำนาจนี้เลย ทำให้แม่ทัพทำตัวใหญ่กว่าจอมทัพ แต่ตอนนี้อย่านะ ตอนนี้อำนาจไปอยู่กับในหลวงแล้ว เป็นราชประชาสมาสัย ประชาชนกับในหลวงร่วมมือกันอย่างสนิทแล้ว ตามนิติธรรมแล้ว อยู่ในช่วงโอกาสที่เป็นสุญญากาศทางการเมืองแล้ว

       เหตุการณ์ยังไม่จบ เราต้องออกมาแสดงเสียงประชาชน กี่ล้านก็ออกมาได้ มากเท่าที่จะมากได้ ทุกอย่างจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด Absolute ultimate ขอบคุณทุกคนที่มาและกำลังจะมา ขอบคุณขอบคุณและขอบคุณ ...เอวัง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:11:26 )

561113

รายละเอียด

561113_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีผ่านฟ้าฯ เรื่อง ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย ตอน 1

 

       วันนี้เป็นวันสำคัญมากๆของอาตมา เพราะอาตมาจำเป็นต้องพูดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเมือง ที่เป็นเรื่องใหม่มากๆ อาตมายังไม่เก่งในนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ แต่รู้ตามอาตมาว่า เราทำสิ่งประเสริฐสิ่งดีมากสำหรับเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ต้องใช้ความรู้สามารถเท่าที่มี เพราะอาตมาเป็นคนรู้น้อย ไม่ได้พูดเอาโก้เก๋ อาตมาเป็นคนมีการศึกษาน้อยจริงๆ ความรู้ป.ตรีก็ไม่ได้สักใบเลย ในชีวิตนี้

       เป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนาคือ พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ ผู้ที่บรรลุเป็นอาริยบุคคลมีหน้าที่สามอย่างนี้ อาตมาก็ได้ทำมาแล้ว 40 กว่าปี เลิกทางโลกมาทำงานทางนี้เต็มที่ บวชมาแต่ 7 พ.ย. 2513 ทำงานมา 30 กว่าปีแล้ว ก็ได้ประชาชนไทยรู้จำนวนหนึ่งมาเป็นชาวอโศก ได้รู้ว่าชีวิตนี้ควรปฏิบัติอย่างไร แล้วเอาตัวเองมาเป็นคนที่มีประโยชน์ตน-ท่านอย่างไร ก็ทำมาก็ภาคภูมิใจในมวลชนแม้มีเล็กน้อยอย่างชาวอโศก ก็มาทำงานรวมเคียงบ่าเคียงใหล่กับเขา อย่างพรรคปชป. เราก็มากระทบไหล่ดาราได้ ก็มีลักษณะเช่นนี้ ก็เห็นอัตราการก้าวหน้า ทำงานเพื่อพหุชนะอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องของคนไทยเท่านั้น

       แต่เป็นประชาธิปไตยแบบใหม่ ที่ยังไม่เกิดรูปลักษณ์ ยังไม่เคยมีรูปลักษณ์อย่างนี้ในประเทศใดในโลก อันนี้เกิดเป็นครั้งแรก และเป็นการทำที่ยากมาก เราเรียกว่า “ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย”

       เราจะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Revolution by People หรือ People's Revolution ก็ได้ รวมเป็น People's Revolution reform Thailand คือ“ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย” หรืออย่างที่คุณปรีชาพูดว่า ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย แต่มาเรียงประโยคใหม่เป็น “ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย”

       เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 56 เวลา 15.30 น. พล.อ.ปรีชา ได้ประกาศปฏิวัติแล้ว แต่เป็นอย่างสงบเรียบร้อย คนก็จะงงงง เหมือนเล่นขายของ เล่นเป็นเด็กเหมือนตลก คนก็จะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ใหม่จนคนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล่น คนที่เขามองก็มีนสพ.ไทยโพสต์ ก็บอกว่า มีคนกลุ่มหนึ่ง แต่ก็ยังไม่กล้าที่จะระบุชัดเจนว่าเป็นเรา เพราะท่านเหล่านี้ก็เป็นผู้มีความรู้ก็ยัง Wait and see

       คำว่าปฏิวัติ ทหารออกมาเมื่อไหร่ก็ใช้กำลังทหารปฏิวัติ แม้ปฏิวัติประชาชนที่ออกมาล้มรัฐบาลมาหลายประเทศก็ใช้กำลังทั้งสิ้น เลือดตกยางออกตายเป็นเบือกว่าจะได้จัดคณะบริหารใหม่ แต่ก็ยังอยู่ในวังวนโลกียะ ใช้อำนาจ ที่เขาว่า การเมืองคือการมีอำนาจแย่งอำนาจและควบคุมอำนาจ เป็นเช่นนั้นจริงๆ

       อาตมาเคยพูดเรื่อง Force , Authority , Sovereignrity ซึ่งการใช้ Authority นั้นไม่ใช้กำลัง แต่ใช้ความถูกต้องในการกระทำ แม้คนส่วนน้อย 5คน 10 คนสามารถค้านแย้งได้ ขอปฏิวัติได้ คณะรัฐบาลคณะผู้รู้ที่อยู่ในบ้านเมือง ปราชญ์ทั้งหลายก็ต้องรู้ว่า เขาเจตนาเพื่อปวงชน เขาต้องการให้ปฏิวัติ คือเปลี่ยนแปลงอย่างเร็วเลย ก็ขยายความมาหลายทีแล้ว แต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ

       เมื่อวานเราไปเดินถวายฎีกา เป็นทิวแถวเรียงห้าสวยงามมาก แล้วก็ไม่ค่อยเป็นข่าว เขาคิดว่าเป็นเรื่องเล่น แต่ว่าที่จริงการปฏิวัตินี้ถ้าไม่สำเร็จก็ผิดฐานกบฏนะ ผู้นำปฏิวัติก็จะถูกประหารชีวิตก่อนนะ เพราะเข้าร่วมปฏิวัติ

       การปฏิวัตินี้จึงเป็นเรื่องจริงที่สวยงามมาก คนกำลังไม่ทันรู้ว่าทำอะไรกัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันกำลังนั่งงงตกใจ มันเกิดอะไรขึ้น เหมือนไม่มีอะไรสำคัญ แต่ที่จริงสำคัญมาก อาตมาก็เร่ิมจะพูดให้เป็นกิจลักษณะ

      สรุปเป็นสิ่งเกิดใหม่ในโลกที่สามารถปฏิวัติได้อย่างสวยงาม เขาก็มองกันว่า พวกนี้ทำอะไร เขาก็รู้ว่ากำลังปฏิวัติ แต่เขาก็ปล่อยให้เราทำอย่างเรียบร้อยสวยงาม แม้แต่ที่ผ่านมาได้ทำกรณีเสธ.อ้าย และตอนกปท.ที่ทำนี่ ออกมาที่ข้างทำเนียบตำรวจก็ออกมาเป็นปึกถือโล่ห์มา แต่เราปฏิวัติจริงตอนวันที่ 11​พ.ย. 56 ก็ไม่มีตำรวจออกมาต้านเลย เราก็ต้องขอบคุณเขาที่เข้าใจว่านี่คือการปฏิวัติที่สากล เขาก็ร่วมมือคือสงบ นี่เป็นรูปลักษณ์ที่ใหม่ที่สุดในโลก เป็นปรากฏการณ์อันใหม่เลย ส่วนสำเร็จหรือไม่อาตมาพอใจแล้ว เพราะมันสงบมาแต่เริ่มเลย และถ้าจะสงบไปจนสำเร็จก็จะเป็นหนึ่งในโลกเป็นฏีกาที่เกิดการปฏิวัติที่สวยสดงดงามมากเลย

ส่วนใครจะมาล้มล้างใช้อำนาจป่าเถื่อนที่ไม่ถูกนิติรัฐนิติธรรมมาาล้มล้างเรา เขาจะเอา Majority rule มาทำร้ายเราจนชนะ ถึงเราจะแพ้ อาตมาก็จะยิ้มให้เขาเอาไปประหารเลย เพราะเราทำได้ถูกที่สุด ในโลก ส่วนไทยนั้น แม้ถูกอธรรมโค่นกลางทางก็ตาม แต่เราคือ Minority Right มั่นใจว่าคือสิ่งที่ถูกต้องด้วย ผู้รู้ช่วยพิจารณา ถ้าเราทำผิดก็ยอมที่จะถูกประหารชีวิต ถ้าเราทำถูกตามรัฐธรรมนูญที่ต้องปกป้องชาติศาสนาพระมหากษัตริย์แล้ว เมื่อเราทำถูกต้อง ตายเป็นตาย เป็นไงเป็นกัน

       ใช่ไหม? เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป อาตมาก็จะสาธยาย ในรายละเอียดความรู้ของอาตมา

       ทางโน้นทำด้วยการบังคับ ใช้อำนาจ ใช้การล่อลวง แต่พวกเราทำก็ทำอย่างไม่บังคับ ไม่ล่อลวง เราทำได้เท่าไหร่เท่านั้น ครั้งนี้ได้มากที่สุดแล้วเท่าที่ทำมา จนกระทั่งพล.อ.ปรีชา เห็นสมควรแล้วก็ประกาศออกไป โดยมีเป้าหมายว่า ต้องประกาศก่อนที่ศาลโลกจะประกาศตัดสิน เราทำเหมือนเสรีไทยที่ทำ ทำให้เราไม่ต้องตกเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามโลก นัยเดียวกันกับที่เสรีไทยทำ แต่เราทำในประเทศ อันนั้นเป็นเรื่องของนอกประเทศ

       อันนี้เป็นนิมิตหมายของไทย ทุกเวลาขอขอบคุณสยามเทวาธิราชตลอด ประเทศไทยต้องชนะด้วยความถูกต้องดีงามไม่ใช่ชนะด้วยเรี่ยวแรงอำนาจบาตรใหญ่หรือคดโกงเอาเปรียบ อย่างนั้นล้าสมัยแล้ว อาตมาอ่านไทยโพสต์หลายคอลัมน์ ในบันทึกหน้า 4 ก็ขออภัยไทยโพสต์ที่กล้าหาญออกมาต่อสู้เพื่อประชาชนและนสพ.แนวหน้าก็เช่นกันต่อสู้เพื่อประชาชนด้วย

คุณแซมซายว่ามาว่า...  ส่วนที่กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) กองทัพธรรม และกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไปยื่นถวายฎีกาทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานจัดตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยนั้น ต้องบอกว่าเป็นแนวทางที่หลงยุคจริงๆ นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ อดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงกับเรียกร้องให้ประชาชนควรถอนตัวจาก กปท. ระบุว่า "เนื่องจากข้อเสนอนี้สร้างความเสียหายต่อประชาธิปไตย ทำลายความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวมวลชนอย่างร้ายแรงที่สุด" และที่น่าขำคือ ยังกล้าเรียกตัวเองว่ากลุ่มผู้ก่อการปฏิวัติ แล้วจะเอาอะไรไปปฏิวัติ ไม่สำเหนียกในบทเรียนหรือว่ารัฐประหาร 19 ก.ย.49 นั่นแหละที่ทำให้เครือข่ายทักษิณเติบโตเข้มแข็งถึงบัดนี้ ในเมื่อประชาชนทุกภาคส่วนลุกขึ้นสู้มากมาย หากเดินหน้าไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ระบอบทักษิณก็เสื่อมทรุดลงไปเอง

       พ่อครูว่าเขามองเราเป็นคนบ้า แม้เขาจะเอาเราไปฆ่า เอาเราไปขังคุก เอาเราไปโรงพยาบาลบ้า แต่เราก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว เราปฏิวัติอย่างสงบนิ่งที่สุดแล้ว เป็นความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ไม่ใช่หนังจีนโบราณ แต่เกิดในยุคปัจจุบันแล้ว เราได้ทำแล้ว แต่เขาก็ว่า ขำมาก นั้นอาตมาก็เข้าใจว่าคุณทำถูกแล้ว แล้วเขาบอกว่าเอาอะไรปฏิวัติ เราก็ขอบอกว่า เอา “สันติ อหิงสา” ไง เรากำลังทำให้ราชประชาสมาสัยเป็นจริงไง ตอนนี้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นแล้ว การทูลเกล้าฯเป็นจริงแล้ว และเราก็รู้ว่าทางการก็ได้ร่วมมือกับเราแล้ว เป็นสุญญากาศทางการเมืองที่สมบูรณ์ ก็ขอบคุณๆๆๆ จริงๆด้วยความจริงใจ และเราก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องทางการเมืองแล้ว ระบบทักษิณก็กำลังจะเสื่อมสูญไปเพราะเราได้กระทำอย่างนี้แล้ว

       ตอนนี้ส่ิงที่จะตัดสินคือ

        1. ความถูกต้อง...รัฐบาลนี้เหมาะสมถูกต้องหรือเปล่าที่จะต้องหยุดเดี๋ยวนี้ เพราะได้ทำผิดกฏหมาย ผิดรัฐธรรมนูญ

        2. ประชาชนต้องมีมวลให้มาก เพื่อแสดงอำนาจประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าได้เกิน 15 ล้านเป็น 16 ล้านรับรองว่าพรรคเพื่อไทยพูดไม่ออกแน่ ยิ่งมีตัวเป็นๆมาก 16 ล้านแล้วไม่ชนะเอาอาตมาไปฆ่าต่อหน้าประชาชนได้เลย แต่แม้ไม่ถึง 15 ล้านก็ออกมาแค่ 1 ล้านคนก็ได้แล้ว อำนาจประชาธิปไตยไม่ใช่รัฐบาลาธิปัตย์ แต่เป็นประชาธิปไตยคืออำนาจเป็นของประชาชน

       รัฐบาลบริหารประเทศมา มีพรรคการเมืองหลายพรรค มีผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เคยพูดว่าประชาธิปไตยต้องในสภาฯเท่านั้น ประชาชนไปอยู่ข้างถนนไม่ใช่การเมือง นี่คือการยึดอำนาจไปจากประชาชนเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าใจต่างจากอาตมา เมื่อเลือกตั้งแล้วก็จบ ประชาชนจะออกมากี่ล้านคนก็ไม่ใช้ประชาธิปไตยอย่างนี้คิดไม่ตรงกับอาตมา ก็ช่วยพิจารณาว่าอะไรเป็นส่ิงถูกตามสากลกันแน่ ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออย่างไร

       อาตมาพาทำงานการเมืองภาคประชาชน เราก็ช่วยเหลือ แต่ไม่สิทธิ์ไปใช้หนี้ให้เขาแต่ช่วยเรื่องที่ทำอยู่ทำกินเรื่องสาธารณูปโภค เช่นช่วยทำถนน เป็นของสาธารณูปโภค เราเอาเงินพวกเราทำให้สาธารณะ เป็นถนนสาธารณะ เราก็ช่วยทำหลายครั้ง หรือออกมาประท้วงอย่างที่เขาเรียกว่า การเมืองข้างถนน

       อาตมาก็นำบทความของท่านทั้งหลายมาอ้างอิงเท่านั้นเอง เขาจะว่าเราเพ้อเจ้อ หลงยุค คำว่าหลงยุคนั้นเขาอาจหมายว่ายุคนี้เอามาใช้ไม่ได้ ต้องใช้ในยุคพระศรีอาริย์ ยุคนี้ใช้ไม่ได้ แต่ขอบอกว่า อาตมาเคยถูกคนตู่มาตลอดว่าทำอะไรสุดโต่ง เช่นมาเอาแบบคนจน มานอนข้างถนน นอนกลางดิน กินกลางทราย เขามองว่าสุดโต่ง ก็ยอมรับว่าทำยาก

       แต่มองว่าสังคมเป็นเหมือนโฟม เราก็ต้องทำตัวเป็นปรอทเพื่อถ่วงดุลสังคมไว้ ต้องการทานสังคมไว้เท่านั้น ไม่ให้สังคมเป็นโฟมที่ฟ่ามเกิน เป็นทุจริตอกุศลเป็นอบายมุข เป็นโลกียธรรมโลกียรส เป็นโลกธรรมเฟ้อเกินมาก หรูหราใหญ่โตมากมาย เต็มไปด้วยเชื้อโรคทำร้ายมนุษย์ เราก็เป็นว่าโลกหนักหนาสาหัส เราก็ทำตัวมาถ่วงโฟมนี้เท่านั้นเราไม่ได้มาเพื่อชนะโฟม เพราะรู้ว่ายุคนี้มันเป็นมากแล้ว เราแค่ถ่วงไม่ให้แล่นลงเหวลงนรกหนักมากเท่านั้น แต่นี่ก็ไปนรกมากแล้ว เขาโมหะนึกว่าความร้อนเป็นความเย็น นึกว่าอบายเป็นสวรรค์ เห็นดำเป็นขาวไปหมดแล้ว ที่พูดนี่ไม่ได้พูดด้วยยกตนหรือทำเล่ห์นะ เชื่อว่าผู้มีปัญญามี แต่อาตมายืนยันว่าอาตมามีความกล้า ท่านที่รู้กว่าอาตมาก็มีแต่ท่านไม่กล้าเท่าอาตมา อาตมารู้น้อยเท่าหางอึ่งแต่ก็กล้าแสดงความจริงที่ถูกต้องแม้มีน้อย

       เพราะว่าต้องการช่วยเหลือประชาชน ตามหน้าที่พหุชนหิตายะตามสมเด็จพ่อสอนมา อาตมาก็ขอยึดถืออันนี้ปฏิบัติ จนตายไปกี่ชาติก็ขอทำเช่นนี้

       มีผู้ให้ข้อมูลว่า...ครูดีบุญ มีลูกน้องเป็นครู บอกข้อมูลมาว่า...

       เท็จจริงอาตมาไม่รู้นะ แต่ของเรานี่มีใครบังคับมาขึ้นรถบัสไหม อาตมาจะได้ขอพบพูดคุยส่วนตัวบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาทำไม่ถูกต้อง คุณต้องการชนะ เดี๋ยวนี้อาตมาต้องพูดถึงกฏหมายอาญา มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลัง ประทุษร้าย เพื่อ

(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่ง รัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ

(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใด แห่งราชอาณาจักร

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต

       จริงแล้วใครเป็นผู้ที่ทำผิด จะล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เขาต่างหาก เรามายังยั้งเขา  พวกเราไม่มีวาวุธ ก็ไม่เป็นกบฎแล้ว มีแต่นกหวีด แล้วเขาจะว่านี่คือเครื่องมือกบฏนะ เขาว่าเอาธงชาติไปติดรถก็ไม่ได้ เป็นอาวุธทำกบฏ มันอะไรกันนี่ประเทศไทยเรา

       และเรากำลังรักษาแผ่นดินนะ เขากำลังใช้กำลังกับเราไหม เรากำลังต้านอยู่ไง เขากำลังใช้อำนาจครม.สภาฯทำผิดอยู่ไง เรามองว่าเขากบฏ แต่เขาเองก็มองว่าเราคือกบฏ แต่เราไม่ใช้กบฏ เพราะเราทำสิ่งถูก แต่คนทำผิดสิคือกบฏ เราทำอย่างไม่อำพราง เปิดเผยเลย ถ้าจะตัดสินว่าเรากบฏเราก็เอา แต่เรามั่นใจว่าเราไม่ใช่กบฏ แต่ถ้าจะซวยประเทศชาติจะมองว่าเรากบฏ เราก็ยอมเข้าคุก แต่เราก็ทำส่ิงถูก ประเทศไทยเดือดร้อนมากแล้ว ถ้าจะปล่อยให้คณะรัฐบาลทำต่อไปก็มีแต่จะจมลงๆๆไปเรื่อยๆ เราไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นจึงออกมาประท้วง ใครเห็นด้วยกับเราก็ออกมา เป็นทั้งปริมาณ(Quantity)และคุณภาพ(Quality) ประชาชนคนไทยมาช่วยกันหน่อยเถอะให้ครบทั้งปริมาณและคุณภาพ

       เอาความจริงมาสู้กันสิ อย่างเปิดเผยลูกผู้ชายหน่อยสิ เราทำนี่ให้หยุดงาน ให้อารยะขัดขืน ให้ออกมาประท้วง เราไม่ได้เปลี่ยนแปลง กฏหมายแผ่นดินนะ แต่เรากำลังมาต้านผู้ทำการเปลี่ยนแปลงกฏหมายแผ่นดินนะ

    คนที่มานี้เพราะคุณเห็นว่าควรเสียสละมาช่วยกันทำส่ิงที่ถูกใช่ไหม ไม่มีใครบังคับนะใช่ไหม?

       ราชประชาสมาสัยจะไขความรัฐธรรมนูญ

        มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       อำนาจจริงๆนั้นเป็นของพระเจ้าอยู่หัวเป็นใหญ่สุด แต่ว่าอำนาจประชาชนกับในหลวงก็รวมเป็นหนึ่ง เป็นอำนาจอธิปไตย เพราะในหลวงก็คือประชาชนที่เรายกให้ในหลวงเป็นหัวหน้า สองเป็นหนึ่ง และตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนมากแล้ว ก็ขอให้ทรงใช้พระราชอำนาจ

       มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       เมื่อรัฐธรรมนูญระบุว่าให้ในหลวงใช้อำนาจผ่านสามสถาบัน ขณะนี้ตามรัฐธรรมนูญนี้ สถาบันนิติบัญญัติก็คดโค้งไม่ซื่อตรง อาตมาพูดเอง สรุปคือทำเพื่อหมู่พวกส่วนหนึ่ง ที่พูดกันว่าทำเพื่อคนๆเดียวด้วยซ้ำ ทั้งคณะบริหารและนิติบัญญัติ ฮั้วกันทำผิด ก็ล้มเหลวแล้ว แทนที่นิติบัญญัติกับบริหารจะคานอำนาจกันกลับฮั้วกันนี่ก็ผิดแล้ว ส่วนตุลาการก็ถูกข่มขู่ มีผู้รู้เอาหลักฐานยืนยันมากมาย เห็นเลยว่าล้มเหลวหมดแล้ว ในสถาบันที่บริหารประเทศตอนนี้ ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศมากมาย เพราะการเมืองบรรลัยเป็นเหตุหลัก พลอยให้เศรษฐกิจสังคมล้มละลายไปด้วย มันเกิดจากการเมืองล้มเหลว

       ข้าราชการประจำก็ทำผิด ไปให้นักโทษติดยศให้ ทำผิดมากวิปริตไปหมดแล้วนี่เอาเรื่องเล็กน้อยๆมาพูดนะ ท่านผู้รู้ช่วยเอามาเปิดเผยต่อด้วยเถอะ อาตมาไม่ได้รู้มาก พอรู้เท่านี้ที่มั่นใจว่าถูก ส่วนท่านผู้รู้มากกว่าอาตมา มีความรู้หลักฐานมากกว่าก็เอามาช่วยเปิดเผยด้วยเถอะ เราจะเอาชนะกันด้วยความถูกต้องความจริง คนถูกต้องชนะ คนผิดต้องพ่ายแพ้ โลกจึงจะเป็นไปได้

       ตอนนี้ยังเหลือในหลวง เมื่อมาตรา 3 มันพิการแล้ว ในหลวงก็ต้องใช้มาตรา 2 ในหลวงร่วมกับประชาชนนี่แหละคือราชประชาสมาสัย เพราะนิติบัญญัติกับบริหารมันขาเป๋ใช้ไม่ได้แล้ว มาตรา 3 ล้มเหลวก็ต้องให้ในหลวงกับประชาชนเป็นราชประชาสมาสัย เอาอำนาจคือ เรียกว่าประชาชนปฏิวัติ เอาอำนาจคืน ใครเห็นด้วยว่านิติบัญญัติ บริหารได้ล้มเหลวอย่างไรก็ขอผู้รู้มาช่วยสาธายกันให้รู้ เท่ากับช่วยประเทศชาติ ถ้าทำไม่สำเร็จคณะปฏิวัตินี้ก็เข้าคุก ช่วยมากันหน่อยผู้รู้ทั้งหลาย เรากำลังขยายเต็นท์ให้มากขึ้น มีผู้ช่วยให้เต็นท์มา แต่มีข้อแม้ว่าต้องภายในสองวันนะจะให้ฟรีก็ขอบคุณๆๆ

       พวกเรานี่เป็น Minority right ผู้ที่อยู่ในสภาทำตัวกร่างอยู่นี้เขาถือว่าเป็นMajority rule พวกเราก็มาช่วยกันทำให้เกิด Majority right กันเถอะ มาทำให้ Minority เป็น Majority กันหน่อยเถอะ...เอวัง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:21:02 )

561114

รายละเอียด

561114_รายการวิปัสสนาข่าว

เรื่อง ประชาชนปฏิวัติ ปฏิรูปประเทศไทย ตอน 2

 

       อาตมาเริ่มก่อน ทุกอย่างก็ทะยอยมาตามลำดับ วันนี้เป็นวันที่จะอธิบายสิ่งสำคัญ เป็นปรากฎการณ์ใหม่เป็น Neo phenomenol เป็นครั้งแรกในโลก เป็นสิ่งสวยสดงดงามเกินจะกล่าวจริงๆ ผู้ที่ร่วมในปรากฏการณ์นี้ก็เป็นบารมี ส่วนผู้ที่มีวิบากอยู่ข้างนอกก็เป็นอีกอย่าง

       ก่อนอื่นของแจกแจงคำว่าปฏิวัติก่อน

       ปฏิวัติกับปฏิรูปก็เป็็นการเปลี่ยนแปลง ทหารปฏิวัติ ก็ทหารทำการเปลี่ยนแปลง ประชาชนปฏิวัติก็ประชาชนทำการเปลี่ยนแปลง นายกฯปฏิวัติตัวเองก็เป็นเลห์ทำได้ ส่วนมาถึงวันนี้ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติเป็นส่ิงสวยงามจริง

       ปฏิวัติที่มีการใช้อำนาจรุนแรง ทำการกดดัน แต่พวกเรามาทำอย่างเป็นลำดับเราไม่ได้ใช้Forcible แต่เราใช้อำนาจAuthority มันเหมือนลักษณะปฏิรูป คือ Reformation มาถึงวันนี้ขอยืนยันได้ว่าพวกเราได้ sovereignty Power แล้ว คืออำนาจอธิปไตยสูงสุดแล้ว เป็นอำนาจสมบูณร์แบบแล้ว เป็น independent เป็น supreme สูงสุดเด็ดขาด มาถึงจุดนี้แล้ว

       ดูตามปรากฏการณ์ที่เห็นได้ว่าเกิดความสงบสันติ ที่มีหน่วยของผู้ที่เป็นประชาชนหลายหมื่น เป็นหน่วยประชาชนที่มีเป้าหมายเหมือนกันหมด คือ ล้มรัฐบาล แม้ว่ากลุ่มที่อยู่ถ.ราชดำเนิน 3 กลุ่มหลัก มีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเดินตามกฏระเบียบสวยงามเป็นอารยะขัดขืน

       อารยะขัดขืน เป็นศิวิไลซ์ เป็นความเจริญความถูกต้อง ดูเป็นเรื่องเหมือนผิดแต่มีนัยถูก หรือไม่ใช่อารยะขัดขืน แต่เป็นมารขัดขืน ดูเหมือนถูกแต่เป็นเรื่องผิด เช่นจับรถที่ประดับธงชาติ นี่ใช้อำนาจผิด แล้วประเทศไทยจะไปประดับธงอะไร เป่านกหวีดก็ผิด มันอะไร นี่แหละคือมันเหมือนถูกแต่ผิด คนมองตามสัจธรรมตามนิติรัฐนิติธรรมนั้นจะมองถูก เขาพยายามบอกว่าถูกนิติรัฐ แต่ว่ามันไม่ถูก ไปจับคนเป่านกหวีด พอเป่านกหวีดแปลว่า ด่ากู ทำร้ายร่างกาย กวนประสาท คนเราก็ช่างแปลนะ

       พวกเราที่ได้พยายามปฏิบัติส่ิงสวยงาม ปราศจากForcibleไม่ได้ทำด้วยForcibleแต่เป็นการทำด้วย Authority เราใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว แล้วรัฐบาล ตำรวจก็ยอมรับอำนาจความสงบ เขาก็มีท่าทีสงบด้วย รับกันได้ นี่คือการสร้างอำนาจโดยธรรม จนกระทั่งเกิด Authoritative เป็นบารมี เป็นอำนาจวาสนาที่เชื่อถือได้ เป็นพลังสูงสุดเลย จนกลายเป็น Authoritatian เป็นอำนาจโดยธรรม อย่างในหลวงของเรานี่ยกให้เลย ท่านมีเอกสิทธิ์เป็นผู้กุมรัฐาธิปัตย์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ประชาชนก็เป็นเจ้าของรัฐาธิปัตย์ ในหลวงก็เป็นประชาชนและเป็นเจ้าของรัฐาธิปัตย์ด้วย แต่ในระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นั้นสากลถือว่าในหลวงเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการรักษาความมั่นคง ท่านเป็นองค์รัฐาธิปัตย์และเป็นจอมทัพด้วย แต่คำว่ารัฐาธิปัตย์ไม่ได้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่อธิบายได้

       มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       แต่ตอนนี้สถายันรัฐสภาและครม.เขาขบถแล้ว ไม่ชอบธรรมแล้ว ฮั้วกัน ตั้งแต่เป็นสมาชิกพรรคเดียวกัน และใช้เสียงข้างมากผลักดันกฏหมายที่ผิดออกมา ศาลท้วงแล้วก็ดันทุรังออกมาอีก ผิดซ้ำซ้อน เป็นกบฎแล้ว ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องชัดเจนมากเลยว่า มาตรา 3 ใช้ไม่ได้ เกิดกบฏ ในหลวงก็จะทรงเอาอำนาจคืน ก็กลับสู่มาตรา 2 คือให้อำนาจคือสู่เจ้าของรัฐาธิปัตย์ มันก็มีปรากฏการณ์ของประชาชน เหตุการณ์ ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้ประกาศปฏิวัติแล้ว เป็นMinority right เป็นกลุ่มที่ถูกต้อง คำว่า Right มีสองความหมายคือสิทธิมนุษยชนและแปลว่าถูกต้องด้วย พวกเราทำถูกเป็น Minority right  แต่ถ้าจะนับทั้งสามกลุ่มที่ออกมาประท้วงนี่ มีเป้าหมายเดียวกันหมด แต่ว่าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยังไม่ประกาศว่าจะล้มรัฐบาลเท่านั้น ก็ดีแล้วเขาเอาแค่อารยะขัดขืน แต่พวกเราและกลุ่มมัฆวานชัดเจนแล้วว่าล้มรัฐบาล มวลทั้งสามแห่งนี้รวมกันแล้วไม่ได้น้อยกว่าที่อีกด้านหนึ่งเขาระดมพล และยังมีกลุ่มอื่นต่างจังหวัด ในกลุ่มนักวิชาการ นักศึกษา และอีกหลายกลุ่ม รวมเป็นเครือแห รวมมวลทั้งหมดก็เหนือชั้นมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง    

       มีม็อบรถบัส แม้แต่รมช.ก็ไปขู่บังคับให้เด็กใส่เสื้อแดงออกไปประท้วง แต่ของเรานี่อิสรเสรีภาพ ในคุณภาพของเราก็สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ผิดกฏหมายด้วย ดีสะอาด สงบเรียบร้อย ง่ายงาม แล้วจิตเบิกบานไม่เคร่งเครียดด้วย ยังร้องเพลงกันสนุกสนานด้วย เป็น ปรากฏการณ์ใหม่ของโลก ไม่ได้เป็นแต่ Neo politic ไม่ใช่แค่ Neo democracy แต่มันสุดยอดการเมืองสุดยอดประชาธิปไตยใหม่จนคนมองว่ามาเล่นลิเกอะไร เขาว่ามันสุดโต่งไป จุดนี้จึงต้องgo on and see out ดูไปว่าจะเกิดผลจริงไหม

       เราได้ทำเสร็จแล้วได้ถวายฏีกาแล้ว ท่านเองก็ได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนแล้ว มั่นใจในมหากษัตริย์พระองค์นี้ว่าท่านเป็นผู้ครองราชย์โดยธรรมอย่างแท้จริง แม้ประชาชนยังไม่เข้าใจโดยธรรม แต่ท่านมีพระปรีชาญาณสูงส่งลึกซึ้ง คนสามัญไม่ได้มีปรีชาญาณอย่างพระองค์

       มันมีนิมิตหลายอย่าง เป็นเรื่องของอาตมาที่ใช้มอง เห็นรูปและนามที่ลงตัว ตลอดมาถึงวันนี้ก็ลงตัว ในสายตามของผู้ที่ไม่รู้ก็จะมองไม่ออกของ All for one One for all ไม่ใช้ Two in one

       อย่างสองกลุ่มเทียบกัน กลุ่มโน้นมีจำนวนมากที่สุด แต่กลุ่มเรานี้น้อยที่สุด แต่ซ้อนในนั้นมีอะไรซับซ้อนอยู่ คือเราเป็นม็อบ 24 ชม.แต่เขานั้นม็อบกี่ชม. ก็ไม่กี่ชม. แต่ของเรากินนอนพักอยู่ที่นี่แน่นมากกว่า มีรายละเอียดซับซ้อนอีกมาก มองเข้าในรายละเอียด ลักษณะของความกล้า เด็ดเดี่ยวก็ต่างกัน

ขยายความตามประสาของอาตมาที่เป็นคนมีความรู้น้อยแต่ก็พยายามอธิบายได้บ้าง

       ส.เดินดินว่า...นึกถึงตอนที่พธม.ชุมนุม ก็มักมีโทรศัพท์มาถามตลอดว่าเราจะชนะเมื่อไหร่ ตอนนั้นทักษิณมีอำนาจมากมาย เราก็มองไม่เห็นทางชนะ แต่อยู่ใกล้พ่อครูท่านก็จะบอกว่าเราชนะแล้ว ท่านมองในมิติของจิตวิญญาณ เขากุมอำนาจไว้หมดก็มองไม่ออกว่าเราจะชนะอย่างไร

       ตอนนั้นที่เราไป ตอนสงคราม 9 ทัพ เราไปบุกทำเนียบ กองทัพประชาชนที่ออกไปไม่มีสิ่งไหนขวางกั้นพลังประชาชนได้ แต่สุดท้ายก็ชนะกันที่ ตุลาการภิวัฒน์ บรรยากาศตอนนั้น ไม่รู้จะไปอย่างไรเลย ประชาชนไปยึดทำเนียบ ยึดสนามบินก็ยังไม่ชนะ แต่ก็สุดท้ายมีตุลาการภิวัฒน์มาช่วย ตอนนี้ก็เกิดเป็นการชุมนุมที่ราชดำเนิน

       พ่อครูว่า...สามกลุ่มนี้เป็นสามเส้า เป็น three in one ก็ดำเนินบริบทไป ทางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็เป็นกลุ่มที่ทำไป เขาเป็นกลุ่มที่เริ่มปักหลักก่อน เสร็จแล้วเราก็มาปักหลักที่ผ่านฟ้า ฯ แล้วอุรุพงษ์ก็ไปที่มัฆวาน เป็น Scenario หรือ Context ที่ต่อเนื่องกันมา แล้วสามารถมีเหตุการณ์ที่เกิดต่อเนื่องเป็น A best Scenario เป็นสคริปของอันนี้แผนการของอันนี้แล้วเกิดรวมอยู่ในนี้เป็น ตัวรวมที่เป็นระดับที่ดำเนินการตั้งแต่เราว่างานนี้คืองานที่โค้นล้มรัฐบาล

ตอนนี้เรากลุ่มผ่านฟ้าฯได้ทำนำไปแล้วให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองได้แล้ว เป็น ปริเฉทรูป เกิดอากาสธาตุเป็นสุญญากาศทางการเมือง อำนาจทุกอย่างก็จะตกสู่ในหลวง ไม่มีใครมีอำนาจ ระหว่างที่ท่านยังไม่มีประปรมาภิไธยมา ก็อยู่ที่พระราชวินิจฉัยเป็นเอกนั้น คนที่ยังไม่รู้ตัวนึกว่านี่เป็นเรื่องตลก เรื่องเล่นก็ให้รู้ตัวนะ หลายนสพ.ก็ว่าเราเป็นคนตกยุคหลงยุค อาตมาก็เข้าใจเห็นใจเขา อาตมาก็เห็นความจริงจิตใจเขาที่มีตามภูมิปัญญา แต่อาตมาชัดเจน ในขณะที่คนอื่นก็ยังงงอยู่ เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าทำอะไร เราก็ปลอดภัยอยู่ได้ในตอนนี้ เราก็สามารถทำอะไรให้ก้าวหน้าขึ้นได้ต่อไป

       สามจุดที่ประชุมกัน มีจุดที่ ผ่านภิภพลีลา จุดเราเป็นผ่านฟ้าลีลาศ ส่วนที่มัฆวานรังสรรค์ก็อีกส่วนของคปท.

       ผ่านฟ้าลีลาส คือความเคลื่อนไหวของรูปธรรม เป็น Kinetic energy มีความซับซ้อน ที่เราอยู่นี่ผ่านฟ้าฯนะแต่ที่โน่นคือมีลาลาของผู้ผ่านภิภพคือผ่านดิน รวมกันคือพระอินทร์รังสรรค์ มัฆวานคือพระอินทร์

       ในเมืองไทยพระอินทร์คือพระสยามเทวาธิราช เป็นคำกว้างๆ กับที่เจาะจง จะเป็นอะไรก็คิดเอาเอง ผู้เป็นใหญ่คือใครที่ท่านจะรังสรรค์ตัดสินว่าจะสร้างจะตัดสินอะไร พระอินทร์บัญชา นี่อาตมาแปลอจินไตยให้พวกเราฟัง คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา อาตมามองตามประสาโพธิรักษ์ที่มีความรู้รูปและนามอย่างนี้

       คุณสุทินว่า...ผมได้มีส่วนร่วมออกแบบการชุมนุม ได้พูดคุยกับคณะที่จะจัดการชุมนุม มีการคิดกันว่าจะชุมนุมที่ชมัยมรุเชษฐ์ ในวันที่ 4 ส.ค. 56 แต่ว่ามันเกิดเองเป็นแบบนี้ไปที่ลุมพินีฯโดยไม่ตั้งใจ (พ่อครูว่าที่นั้นเป็นที่ประสูตร) ตอนออกแบบเราได้ได้นึกถึงกองทัพธรรมไม่ได้นึกถึงพ่อท่านเลย แต่พออยู่ไปสัก 7 วันกองทัพธรรมก็มา มันเป็นฟ้าลิขิต อยู่สวนลุมฯ 3 เดือนก็เคลื่อนกัน ลองบุกทำเนียบกัน เราไปสองสามร้อยคน ตำรวจไปหลายหมื่นคน เราออกมาก็เกิดอุรุพงษ์โดยไม่ได้วางแผน จากนั้นมวลมหาประชาชนก็กดดันไปที่พรรคปชป.ก็เกิดที่สามเสนขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนจากสามเสนมาอยู่ที่ประชาธิปไตยสุดท้ายก็ลงตัวมาอยู่ที่ 3 แห่งคือ ผ่านภิภพลีลา ผ่านฟ้าลีลาส มัฆวานรังสรรค์ ซึ่งตำรวจทำอะไรไม่ได้นอกจากตั้งกำแพงแล้วขังตังเองไว้ในทำเนียบ

       ส.เดินดินว่า แผนทุกอย่างไม่ได้วางกันมาก่อนเลยคนเดินมายังไม่รู้ว่าจะต้องเดินเลย อย่างย้อนไปดูสมัยพธม.เราคิดว่าประชาชนมามากมาย คงไม่สามารถหวนกลับมาได้ แต่ว่าในปีนี้เกิดได้ทั้งสามจุดนี้ ประชาชนทุกหมู่กลุ่มรวมกันได้ น่าจะมากกว่า 14 ตุลาฯ 6 ตุลาฯได้ คิดว่าจะมีใครมาทำลายสถิติได้ไหม เป็นส่ิงเหลือเชื่อเกินเชื่อว่าจะเกิดได้อย่างนี้

       ขออ่านสิ่งที่ได้เรียบเรียงไว้ก่อนเหตุการณ์จะเกิดอีก

       คำว่าประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น กษัตริย์คือผู้เป็นใหญ่ในหมู่นั้นๆในปัจจุบันนั้น คำว่า กษัตริย์ และประมุขเป็นความหมายเดียวกัน ไม่ว่าสมัยใดยุคใดก็ตาม คำว่า กษัตริย์ มาจากคำไหนอย่างไร ที่สุดก็จะได้คำตอบว่า ผู้เป็นใหญ่ในหมู่นั้น กษัตริย์มาจากภาษาบาลีว่า เขต หรือ ขัตติยะ คือทรงเป็นเจ้าของอาณาเขต ผู้คุมแคว้น ผู้เป็นใหญ่ในรัฐ จะใช้ภาษาว่า King ฮ่องเต้ หรืออื่นๆก็คือผู้เป็นหัวหน้านั้นเอง ก็ทรงมีอภิสิทธิ์ตามฐานะท่าน

       คำว่าอภิสิทธิ์ Privillageนั้นจะใช้ภาษาอังกฤษว่า Relateหรือ Associated คือสิทธิ์ที่เหนือกฏระเบียบที่วางไว้ แต่โดยความหมายที่รวมกันหมดแล้ว มันก็รวมมาสู่คำเดียวคือ เป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษจากหมู่ อย่างพระพุทธเจ้ามีสิทธิเต็มเลย ไม่มีใครแย้งในใจเลย อย่างอาตมาทำนี่ท่านเดินดินแย้งอาตมาในใจอยู่อาตมารู้ เพราะอาตมาไม่ได้มี Privillage อะไร

ส.เดินดินว่า...พระสมัยก่อนที่ท่านก่อนฉันพระพุทธเจ้าว่าต้องมีการแสดงธรรมก่อน แต่มีพระที่ปวดท้องก็ปวดจนเป็นลมเลย อย่างเข้าห้องน้ำต้องให้ผู้มีอายุพรรษาเข้าห้องน้ำก่อนแต่มีคนรอเข้าห้องน้ำจนเป็นลมเลย พระพุทธเจ้าก็เลยต้องบัญญัติให้ใหม่ว่าใครปวดก็เข้าก่อนได้

       อย่างที่มีคนคิดว่า ทุกคนต้องเสมอภาคกันหมด นิ้วทั้งห้าต้องเท่ากันหมดเป็นต้นอย่างนี่คนคิดสุดโต่งไป ไม่มีทางเป็นไปได้

    คำว่าหัวหน้าหรือกษัตริย์นั้นเป็นความหมายที่มีเชิงจิตวิญญาณอยู่ อภิสิทธิ์นั้นคือหัวหน้าเกินหัวหน้า อย่างผีตองเหลืองก็มีหัวหน้าของเขา เป็นเจ้าของแคว้นมีอำนาจเป็นเจ้าของอาณาเขต แล้วก็เติบโต ใหญ่ขึ้นเล็กลง ก็อย่างพระวิหารเราก็ว่าเราเสียดินแดนไปแล้วกัน ส่วนใหญ่เห็นว่าเราเสียดินแดนไปแล้วด้วย และเมื่อมันเสียแผ่นดินก็ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ต้องโทษประหารชีวิตแล้วเป็นกบฏแท้เลย แล้วจะเสียทรัพยากรอีกมากมาย แม้ไม่ฉลาดอย่างอาตมาก็ยังรู้เลย

       ตั้งแต่โบราณก็มีหัวหน้ามีกษัตริย์อยู่ ที่ยอมรับกันทั่วโลก ว่าหากยังมีความเป็นกษัตริย์อยู่ในประเทศนั้น ผู้นั้นคือผู้มีอภิสิทธิ์หรือPrivillage และความยอมรับก็เป็นสากลของโลก เป็นความเป็นจริงแท้จริง เป็นความมั่นคงของชาติ ผู้เป็นประมุขนี้คือผู้กุมความมั่นคงของประเทศ เป็น Nation security เป็นสุดยอด Supreme law ซึ่งมาตรา 2และ 3 ก็ผิดแล้วทำให้ความมั่นคงพังทะลาย เสียดินแดนด้วย มาตรา 1 และ 3 ล้มละลายก็ตกไปที่มาตรา 2

  ประชาชนได้ท้วงรัฐบาลที่ทำผิดเป็นกบฏแล้วทำหนังสือทูลเกล้าแล้ว ความมั่นคงของประเทศถูกสั่นคลอน ท่านก็มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจได้ เหนือกว่า กฏหมายใด

 

กฎหมายกับพระราชอำนาจ

 

ตามหลักสากลที่เป็นความจริงแท้ (Reality) ความมั่นคง แห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุด (Nation  Security is Supreme Law)  เหนือกว่าหลักนิติธรรม (The Rule  of Law)  เหนือกว่ากฎหมายหลักคือรัฐธรรมนูญ (Principle Law)  และเหนือกว่ากฎหมายสามัญ (Common Law)

 

โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ได้รับรองไว้ในหนังสือ International  Law Vol.1 peace โดย H.Lauterpacht Q.C.LL.D.F.BA. (Third Impression 1958)   page 758-761 

แปลได้ใจความว่า...

 

“ทุกระบอบกษัตริย์   กษัตริย์ดำรงสถานะเป็นตัวแทนแห่งอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ   ด้วยเหตุนี้จึงทรงดำรงเป็นองค์รัฎฐา-ธิปัตย์ เป็นความจริงที่กฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับ

 

ถึงแม้กฎหมายภายในประเทศ  จะมีข้อความที่แตกต่างกัน กับในบรรดาประเทศทั้งหลาย  ประเด็นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ  เพราะฉะนั้น  กฎหมายระหว่างประเทศให้การยอมรับระบอบกษัตริย์ทั้งหลาย  มีอำนาจดังกล่าวเท่าเทียมกัน   ถึงแม้ว่าตำแหน่งพระมหากษัตริย์ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญจะมีความแตกต่างกัน และขึ้นกับกฎเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญแตกต่างกัน... 

 

ผลที่เกิดขึ้นตามที่กล่าวไว้แล้ว ให้การยอมรับว่า  ระบอบกษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐอย่างแท้จริง  และตลอดกาลชั่วนิรันดร...”

 

เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะเป็นตัวแทนแห่งอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐ  และเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (The Head of State) จึงทรงถือความมั่นคงแห่งชาติคืออธิปไตยของปวงชน เป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law)

อยู่เหนือหลักนิติธรรม (The Rule  of Law)

หลักนิติธรรมอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ (Principle Law)

และรัฐธรรมนูญอยู่เหนือกฎหมายสามัญ (Common Law) 

 

พระมหากษัตริย์จึงทรงใช้กฎหมายสูงสุด โดยมีกองทัพอันเป็นกำลัง เป็นฐานแห่งอำนาจปฏิบัติกฎหมายสูงสุด   เพราะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ.

 

       พระมหากษัตริย์พระองค์นี้เป็นโพธิสัตว์ ท่านมีภูมิรู้ที่เหนือกว่าคนธรรมดา อย่างท่านตรัสถึงเรื่องแบบคนจน หรือขาดทุนคือกำไรหรือเศรษฐกิจพอเพียงนั้นลึกซึ้งยิ่งใหญ่ แต่ว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้แถมทำสวนทางอีกต่างหาก อีกทั้งยังลบหลู่ดูถูก เป็นกบฎทั้งนั้นเลย

       คำว่าหัวหน้าหรือเป็นใหญ่กษัตริย์นั้นย่ิงใหญ่ มีความลึกซึ้งทางจิตวิญญาณที่เกินกว่าจะนำมากล่าวได้ แม้แต่ภาระที่ต้องปกครอง บอกสอน พระจริยวัตรที่ทรงนำประชาชนนำผู้บริหารเป็นตัวอย่างที่ดี การอุ้มชูช่วยเหลือนั้น กษัตริย์ทรงแบกภาระมากกว่ายิ่งกว่าผู้เป็นใหญ่หรือผู้บริหาร อย่างนายกฯที่เราเคยมีมา มีคนไหนทำงานได้อย่างในหลวง ทั้งลึกซึ้งและยาวนานขนาดนี้ แต่คนตาบอดตามืดก็ไม่รู้ก็น่าสงสาร

       ผู้เป็นใหญ่นี้ มีทั้งแนววัตถุและจิต มีทั้งรูปและนาม เป็นประชาธิปไตยสองขา ส่วนประชาธิปไตยขาเดียวนั้นกำลังแสดงผล อย่างประเทศอเมริกาเป็นประชาธิปไตยขาเดียว มีแต่ปธน. ตั้งแต่วอชิงตันมา ไม่ได้สืบทอดทางจิตวิญญาณ ไม่มี Authorityทางจิตวิญญาณ คำว่าAuthorityไม่ใช่แบบ Forcible ซึ่งภาษาอังกฤษนี้มีความหมายลึกซึ้งหลากหลายมากกว่าภาษาไทย ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษนั้นเพราะอย่างนี้

       ประชาธิปไตยสองขานั้นเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบกว่า ผู้รู้จะมองออกว่า อังกฤษกับอเมริกาใครเป็นสุขสงบ มักน้อยสันโดษมากกว่ากัน อังกฤษไม่หลงฟุ้งเฟ้อหรูหราเหมือนอเมริกา หรืออย่างจีนกับอินเดียเป็นต้น ไทยอยู่ระหว่างกลางสองอย่างไปได้ทั้งสองอย่างแล้วแต่จะถูกปั่นหัว แต่อาตมาไม่ยอมให้ไทยถูกปั่นหัวแน่ ถ้าอาตมาอายุถึง 150 ปีไทยมีประชากรเป็น 100 ล้านคน จะทำให้ไทยมีอำนาจแบบ Authorityได้แน่ (นีก็เหมือนคุยตัวนะก็ขออภัย)

       ประเทศที่มีกษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นจะมีประมาณ 25 ประเทศในโลก หรือประเทศสหประชาชาติที่ไม่มีกษัตริย์นั้นก็รวบรวมทั้งหมดทุกชาติ 200 กว่าประเทศในโลก ในสหประชาชาติก็ยอมรับในหลวง มอบรางวัลให้พระองค์ แม้บางประเทศจะเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ลดบทบาทของกษัตริย์ แต่ฐานะของกษัตริย์ก็ยังปฏิบัติให้ยอมรับกันในสากล ที่เห็นได้ในสาธารณะตามพฤติที่เห็นได้ มีการแสดงว่ายอมรับในอภิสิทธิ์ แม้ใน Supreme law เพราะฉะนั้นอายุของกษัตริย์นี้ไม่มีหมดอายุ นอกจากจะเปลี่ยนสันตติวงค์ อย่างอังกฤษก็สืบมาต่อเนื่อง แต่จีนเขาเปลี่ยนกันมากหลายกว่า แต่ปธน. เปลี่ยนทุกสี่ปีหรือแปดปี ก็มีความต่อเนื่องมั่นคงไม่เท่า มีการสืบต่อของคุณธรรม จิตวิญญาณไม่เท่ากษัตริย์ ซึ่งก็ตามสัจจะที่มีหนึ่งเดียว ความดีงามที่ทั้งโลกต้องการคือคนเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต ให้แก่คนอื่นได้มากเท่าใดก็คือสิ่งที่โลกต้องการตรงกันที่สุุด ทุกสถาบันทุกแห่งยอมรับคนที่ เสียสละ สุจริตซื่อสัตย์

ถ้ากษัตริย์ไม่มีทศพิธราชธรรมนั้นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละพระองค์ พระพุทธเจ้าได้บัญญัติในทศพิธราชธรรม ซึ่งลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะอาริยธรรมที่เป็นโลกุตระในหลวงเราตรัสเรื่องแบบคนจน ขาดทุนคือกำไร นี่คือความรู้โลกุตระ ซึ่งโลกียะทำไม่ได้ ท่านเอามาตรัสกับสาธารณชน ท่านมั่นใจ

       คนหลายคนเข้าใจไม่ได้ เข้าไม่ถึง แต่อาตมาเห็นความจริงจึงนำมาบอก นี่คือคุณธรรมที่ทั้งโลกต้องการ เป็นได้ยากยิ่งในความเป็นหัวหน้าของกษัตริย์ที่สืบต่อมาเป็นความประเสริฐสุดของคนที่เป็นหัวหน้า แม้แต่สัตว์ก็ยังต้องมีหัวหน้าฝูงอยู่

       กษัตริย์ที่ทรงคุณธรรม จะทรงงานเพื่อประชาชนทรงรักษาสถานะที่เป็นใหญ่ในประเทศ จึงเป็นหัวหน้าที่ประเสริฐอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ข้อบกพร่องของกษัตริย์คือผู้สืบทอดบางองค์ไม่ทรงทศพิธราชธรรม ก็เป็นครั้งเป็นคราว แต่ทุกพระองค์ก็ต้องยึดทศพิศราชธรรมเป็นหลัก ตามกฏมณเฑียรบาลที่สืบต่อกันมา แม้แต่ประชาธิปไตยที่คัดเลือกหัวหน้ามากจากประชาชนที่นึกว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วนั้น แต่ละครั้งแต่ละคราวก็ยังมีข้อบกพร่องในโลก คัดจากประชาชนนี่บกพร่องมากกว่า เพราะการสืบตามมณเฑียรบาล นั้นสืบทอดสิ่งที่ดีที่สุดมาตลอด แต่ว่าสืบต่อตามปธน.นั้นไม่ได้มีการสืบต่อและตกผลึกทางจิตวิญญาณเท่าแน่

       คุณสุทินว่า ถ้าเลือกถูกก็เหมือนเลือกท่านพุทธทาส ส่วนเลือกผิดก็เหมือนเลือกเณรคำ

       พ่อครูว่า...ความเป็นกษัตริย์นั้นสืบทอดสิ่งประเสริฐ คนก็ต้องช่วยรักษา ท่านก็จะทรงรักษา จึงสืบทอดกันมาหลายร้อยปี แต่ประชาธิปไตยอย่างมีปธน.นั้น ขาเดียวเป็นประชาธิปไตยไม่สมบูรณ์ อย่างอเมริกานั้น ก็แตกไปจากอังกฤษ แล้วเขาไปคิดอ่านทำประชาธิปไตยขาเดียว สองร้อยกว่าปีก็เห็นแล้วว่ากลวงโบ๋ไหม ทั้งที่เป็นประเทศใหญ่มีทองคำเยอะแต่ทุกวันนี้ปั๊มกระดาษมาหลอกคนทั้งโลก ส่วนอังกฤษนั้นเขาก็เลิกล่าอาณานิคมแล้วมีประชาธิปไตยสองขาก็ยังอบอุ่นดีกว่าอเมริกาแล้ว

ประชาธิปไตยขาเดียวจะมีลักษณะผ่องถ่ายความดีงามสู้ประชาธิปไตยสองขาไม่ได้ เพราะพร้อมทั้งกายและใจกว่า อย่างกษัตริย์ต้องอยู่ใต้กฎมณเฑียรบาล อย่างอังกฤษเขาใช้กฎหมายจารีต ไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องใช้กฏหมายกดขี่บังคับ ขนาดมีกฏหมายบังคับเขาก็ยังละเมิดเลย อย่างอินเดียไม่มีกฏหมายจราจรแต่ก็ไม่ชนกันเละเหมือนบ้านเราเขามีทั้งรถใหญ่น้อย มีทั้งสัตย์อยู่บนถนน ตำรวจเขาไม่ต้องปวดหัวแบบบ้านเรา

       ยุคนี้เชื่อยาก เขาไม่เชื่อว่า กษัตริย์ที่เป็นอาริยบุคคลที่ทรงงานเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นอรหันต์ที่มีสัจจะย้อนสภาพ ที่เข้าใจได้ยากในโลก แต่เป็นจริงได้ อยู่ในวัฏฏสงสารนี้ แต่ตราบใดยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ เพราะยุคนี้เป็นสัจจะย้อนสภาพที่คนเข้าใจได้ยาก แต่ก็ยังเกิดได้เป็นได้เป็นจริงในยุคนี้

       [Authority by force is less enduring than authority by kindness.อำนาจโดยพระเดชนั้น ไม่ยืนนานเหมือนอำนาจโดยพระคุณ]

       รัฐบาลทำผิดเราโค่นล้มได้ สบายใจได้ว่าเราไม่ได้ทำผิดแม้แต่น้อย

       อำนาจForcibleและอำนาจAuthority อำนาจที่ได้มาโดยธรรมอย่างในหลวงเรา ประชาชนยกให้ท่าน ท่านไม่ได้ใช้อำนาจเงินทองหรือทุจริตใดๆ คนอวิชชาจะสร้างอำนาจForcible ซึ่งเป็นอำนาจโดยพระเดช นั้นไม่ยืนนานกว่าอำนาจโดยพระคุณ การเคารพยอมยกอำนาจให้กับผู้ที่น่าเคารพ ไ่ม่ได้ยกด้วยเพราะโลกธรรม อย่างได้ดีเพราะพี่ให้ อย่างนี้เป็นเผด็จการโดยธรรมก็ได้ แต่เป็นเพียงภาษา ความจริงท่านไม่ได้เผด็จการเลย ทั้งที่ท่านทำได้ ท่านบำเพ็ญเป็นปางเตมีย์ใบ้และปางพระมหาชนก ถ้าเป็นคนธรรมดาอกแตกตายไปแล้ว

       ยุคนี้ร้ายแรงกว่าพฤษภาฯ 35 เยอะ อย่างร.5ท่านทนไม่ไหว แต่ในหลวงเราผ่านมาได้ ท่านไม่ต้องไปเรียกร้องโฆษณาอะไรเลย

    สรุปว่าอำนาจโดยธรรมนั้นสู่งส่งกว่าอำนาจที่คุณหามาในปัจจุบันนี้ ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงกลัวจนคนไม่กล้าค้านแย้ง ส่วนนักรู้นักฉลาดจะหาวิธีการสร้างอำนาจให้คนเกรงกลัวให้คนอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัว แต่ในหลวงอยู่ในฐานะที่คนเคารพชื่นชมโดยแท้ ใครจะ ใครจะ made a forcible = โดยพลการก็เชิญ แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้น …..จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:24:25 )

561114

รายละเอียด

561114_เทศน์ก่อนฉัน มัฆวานฯ โดยพ่อครู อ.กฤษฎา

ปฏิวัติโดยประชาชนมีได้ไหม     

       พ่อครูว่า...มีผู้ใหญ่บอกว่า ในรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไหนบอกว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้ แต่ว่ามีบอกว่า มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ตอนนี้เราปฏิวัติ โดยไม่มีในนิติรัฐ แต่ว่าในมาตรา 7 เราทำตามนิติธรรม ก็มาหามาตรา 2 เพราะว่ารัฐบาลทำผิด รัฐธรรมนูญ เราประกาศปฏิวัติอย่างถูกต้องตามหลักสากลแล้ว อำนาจของรัฐบาลก็ถูกรัฐบาลยึดคืนแก่ประชาชน เราก็จะทำตามประเพณี เรายึดอำนาจเสร็จก็ทูลเกล้า ถวายฏีกา เป็นระเบียบเรียบร้อย มีมวลมหาประชาชนเดินสวยงาม ประกาศต่อสาธารณชน ไม่ปิดบังอำพราง ไม่ซ่อนเร้น ปลอดโปร่งโล่งตลอด และได้ทูลเกล้าขึ้นไป แล้วคนก็มาเล่นแง่ว่า เป็นการดึงฟ้าลงต่ำ ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แทนที่จะว่าเราเทิดทูลสถาบัน เป็นวาทะกรรมที่มาบิดเบือนส่ิงที่เราเทิดทูนสถาบัน ว่าลูกๆเดือดร้อนมากแล้ว เรามีรายชื่อคนที่จะมาทำการแทนรัฐบาลถวายไปด้วย เราทำถูกทั้่งนิติรัฐและนิติธรรม

       มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       ตอนนี้สองสถาบันขาหักแล้ว คือบริหารกับนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าผิดแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมรับอำนาจศาลอีก เป็นกบฏซ้ำซ้อนอีก เมื่อมาตรา 3 ผิดแล้ว อำนาจก็ต้องเลื่อนสู่มาตรา 2 เกิดสุญญากาศแล้วประชาชนได้ยึดอำนาจแล้ว สส.สว.ก็หมดอำนาจแล้ว ประชาชนเป็นรัฐาธิปัตย์ ก็ริบอำนาจคืน เมื่อริบอำนาจคืนก็ทูลเกล้า เพราะท่านเป็นจอมทัพ เป็นSupreme law เป็นองค์รัฐาธิปัตย์

       ตอนนี้เมื่อมีรองราชเลขาฯได้รับฎีกาของเราไว้แล้ว หากมีใครยักฎีกาของเราไว้ ก็รับผิดชอบเองนะ เหลือแต่พระราชวินิจฉัยอย่างเดียว เราทำมาไม่ได้มีผิดอะไร มีแต่ถูกอย่างเดียว

       อ.กฤษฎาว่า..รัฐธรรมนูญ นอกจากตัวบทแล้วก็จะมีประเพณี คือมี Civil law and common law อย่างในอังกฤษก็จะเป็นจารีตไม่มีการเขียนไว้ อย่างที่เราทำนี่พระราชอำนาจไม่ได้ลดลงเลย แต่เราทำตามที่พระราชอำนาจควรมีต่างหาก

       พ่อครูว่า...ตอนนี้เหมือนเด็กสองคนที่จะชกกัน แต่ว่าบอกว่าเอ็งชกก่อนสิ แล้วใครชกก่อนก็แพ้ เราต้องรักษาความสงบให้ได้ ใครสงบกว่าชนะ ก็กดดันกันไป และอีกข้อคือมวลของใครมากกว่า มาเป็นพระสยามเทวาธิราชิทธิ์ เป็นพลังเจโตและปัญญาสองอย่างพร้อมกันเลย รวมกันสองอย่างเลย เป็นพลังรวมของประชาชน ที่มาเป็น All for one มาหมด ในบาลีของพระพุทธเจ้าว่า  หุตวา พหุทา โหติ คือหนึ่งเดียวสามารถเป็นหลายคนได้  พหุทาปิ หุตวา เอโก โหติ คือทั้งหลายทั้งมวลรวมเป็นหนึ่งเดียว

       เป็นผีเสื้อกระพือปีก เป็น Chaos ไม่มีใครวางแผนไว้ แต่ว่าแต่ละคนมากันด้วยใจ เอาความสงบ สยบความรุนแรง มารวมตัวกันด้วยความถูกต้องดีงาม ประเสริฐเลิศยอด เป็นปรากฏการณ์ย่ิงใหญ่ของโลก เป็น A Best record เป็น A Best model เราทำถูกต้องตามขนบ เป็น A Best Ceremony

       เรารวมตัวกันปฏิวัติ สำเร็จคราวนี้เป็น Final แน่ๆ สามเส้านี้เป็นความสามัคคีที่มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ แต่ว่าเป็นหนึ่งเดียว ทั้งจิตวิญญาณและรูปธรรมก็มาผนึกกันหมดแล้ว เมื่อคืนนี้มาประกาศร่วมกันแล้ว เกิดประชาภิวัฒน์แล้ว

       เราจะปฏิวัติทางออก คือ  ตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ ก็จะค่อยๆทยอยทำ เรื่องอยู่ในเก๊ะขององค์กรอิสระแล้ว ประชาชนทำประชาภิวัฒน์แล้ว เมื่อศาลนำมาก่อน ประชาชนก็ตามมา เรียกว่ามีทั้งคุณภาพคือศาล ส่วนทางประชาชนคือปริมาณก็มาแสดง เมื่อวันนี้มืดฟ้ามัวดินเท่าที่ประเทศไทยจะเป็นได้ อาตมาว่าไม่เกินวันที่ 28 ก็เสร็จ

       แล้วทำไมต้องมารวมกันที่ราชดำเนิน ที่อนุสาวรีย์ปชต.ก็คือผ่านภิภพลีลา ก็คือพื้นดิน แล้วก็มาที่ผ่านฟ้าลีลาศ คือแนวกลางในหลายมิติ แล้วมีประชาชนส่วนใหญ่อยู่กองกลางคือมัฆวานรังสรรค์  

       ความมีขึ้นมาไม่ว่าจะน้อยเท่าไหร่ก็จะมีความขัดแย้ง แต่ว่าสิ่งที่จะไม่ขัดแย้งคือความไม่มี คือสูญ นี่คือ Set Zero อยู่ที่นี่ ส่วนผู้ที่เขาแพ้ไม่เป็นนั้น ก็คือผู้ที่เกือบจะชนะรอบโลกนั้นที่เขาไม่ชนะรอบโลกได้นั้นเพราะว่าเขาแพ้ไม่เป็น ส่วนเราไม่เอาแพ้เอาชนะ ของเรามีสาระชัดเจน แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ ทำตามครรลองคลองธรรม ทำอย่างพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันอย่างสมบูรณ์แบบ

       

       ใครไม่มาตกพงศาวดารนะ เป็นพงศาวดารทางการเมืองที่เป็นครั้งแรกในโลกที่เกิดอย่างสวยงาม สงบเรียบร้อย เรามายืนยันชี้ผิดชี้ถูกให้คนผิดยอมรับผิดเสีย แล้วใครจะอยู่จะมีเวลาอย่างไร ก็กรุณารักษาความเป็นมวลประชาชนที่มารวมกันแสดงคะแนนเสียงให้ยืนยาวไปจนกว่าเราจะถึงที่สุดจบเสร็จ

       ตอนนี้พระราชอำนาจได้ลอยสู่พระหัตถ์แล้ว เรารอด้วยใจที่ไม่ระทึก

       ได้ขยายความในรูปธรรมและนามธรรมว่าทำไมมันต้องเกิด ตอบได้คำเดียวคือ Born to be มันต้องเป็นส่ิงนี้ อาตมาทำงานศาสนามาถึงวันนี้เข้าใจ  Born to be โดยที่เราไม่ต้องกำหนด พระเจ้าเท่านั้นที่จะเข้าใจ ประชาชนจะทำอย่างไรก็ไม่สู้ฟ้า แต่ว่าถ้าเราทำตามที่เราปรารถนา อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็จะเป็นตามความอยากตามกิเลส แต่ว่าถ้าเราทำตามเหตุปัจจัย ก็จะลงตัวเป็น Born to be อย่างเรื่องอจินไตยนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด ตามเหตุปัจจัย เป็น ตถตา

       อย่างมีวันหนึ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ไม่ได้นัดแนะกับ พล.อ.ปรีชา โดยไม่ได้นัดกัน แล้วทั้งสองคนก็มาพบกับอาตมา อาตมาก็ถามเขาว่าใครสั่งให้ทั้งสองคนมาพบอาตมา ก็ไม่มีใครวางแผนหรือสั่งไว้ มันเป็นไปเอง ตถตา  

       ทำไมต้องชื่อจำลอง ทำไมต้องชื่อปรีชา ปรีชาแปลว่าความรู้ ดังนั้น จงทำตามปรีชา จงฟังโพธิรักษ์ จงดูอย่างจำลอง คุณจำลองนี่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน พยายามลดตัวตน

       สนธิมีอยู่ 3 สนธิ

       สนธิที่เป็นพล.อ.สนธิ สนธิที่เป็นผู้ว่าฯ และสนธิที่อยู่กับคุณจำลองคนหนึ่ง แล้วใครเป็นตัวจริง สนธิที่ปฏิวัตินั้นก็ไม่จริง ส่วนสนธิที่เป็นผู้ว่าฯไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แต่พอมีการตั้งเสนาธิการก็มาเลย เป็นสนธิ เตชานันท์ มีฤทธิ์แรงงดงามเลย ส่วนอีกสนธิ นั้นก็บอกว่าพี่ลองไปไหน ผมไปที่นั่น ตกลงสนธิสามคนนี้ คนหนึ่งไม่จริง ส่วนอีกสองคนก็จริง

       ขณะนี้เพิ่งจะ 10.00 น. มีประชาชนมากขนาดนี้แล้ว ถ้าไปถึง สี่โมงเย็นคอยดูจะมีประชากรเท่าไหร ยิ่งไปถึง สี่ทุ่มจะมากขนาดไหน?

       วันนี้ทุกสารทิศ เป็นผีเสื้อกระพือปีก เป็นอิสรเสรีภาพสมบูรณ์ เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณอย่างยิ่งทุกคนที่มาเป็นหนึ่งในล้านกัน

       Over ripe เหลือแต่ Over full ก็จะเป็น Over Power มีแต่ Over and Over เป็นสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ ในภาวะที่ต้องเกิดต้องเป็น จะมาปฏิเสธไม่ได้ ทุกคนมีจิตวิญญาณพาเกิดพาเป็น แล้วมารวมกันเป็นมวลมหาประชาชน ตอนนี้ทยอยกันมาเรื่อยๆ มันถ้วนรอบสมบูรณ์ เป็น ปรากฏการณ์ ที่เป็นจริง อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่อยู่ทางบ้านก็ขอเชิญมาร่วมกัน ยินดีต้อนรับทุกท่าน...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:22:33 )

561114_สงครามสังคม

รายละเอียด

561114_สงครามสังคมฯโดยพ่อครูฯ,อ.ปราโมท,อ.สมศักดิ์

เรื่อง ปฏิวัติประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย ตอน 3

       พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวาระที่อาตมาจะได้สาธยายไป พวกเราให้ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป อย่าใจร้อน อาตมาก็กำลังไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆทุกวันๆ ใครทำเท็จทุจริตก็ทำไป แต่สิ่งไม่ดีงามนั้นเป็นกรรม คำว่าเดรัจก็ไม่ใช่ว่ามีแต่ตัวเป็นสัตว์ แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นอยู่ในจิตวิญญาณคนนี่แหละ พระพุทธเจ้าแบ่งเป็นสัตตาวาส 9 ที่เราทำอยู่ตอนประท้วงโหวตโน มีภาพคนใส่เสื้อนอกผูกเน็คไทแต่หัวเป็นสัตว์ต่างๆ นั่นแหละสื่อถึงจิตวิญญาณที่เป็นสัตว์ในร่างคน

       พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ พุทธเป็นศาสนาปรมัตถสัจจะ เกินจิตวิญญาณระดับโลกียะ จากกิเลสที่ไปหลงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อาการทุกข์จิตของเราทุกข์นั้น เราก็จะอ่านออกว่าใจเราทุกข์ ใจเราสุข เป็นอย่างไร ก็อ่านออก อ่านอาการ มันไม่ได้เห็นเป็นรูปร่างนะ หรืออาการเปรตมันไม่มีร่างกายรูปร่างสีสันให้เป็นเป็นตัวตนนะ แต่เป็นนามธาตุ หรือนามกาย รับรู้ได้ด้วยจิต คำว่า กายนี้ไม่ใช่ร่างสรีระเฉยๆนะ แต่หมายถึงนามธรรมหรือจิตวิญญาณเป็นหลัก รวมทั้งสรีระร่างกายด้วย ที่มีความต่อเนื่องเชื่อมต่อกันอยู่ คนทั่วไปจะมีภาพในใจคือมโนมยอัตตา ผู้ที่เรียนรู้ดีแล้ว มโนมยอัตตาจะหายไปลดลงๆ จนที่สุดไม่ให้เกิดอีกได้ มีนิมิตเป็นรูปร่างแทน เป็นเครื่องหมายที่เราสร้างขึ้นมาได้

       คนอวิชชาก็ปั้นภาพในจิตหลอกตนเองว่ามันมีรูปร่างตัวตน เป็นผี เป็นเทวดาสารพัด แล้วก็ปั้นจนรู้สึกว่าเป็นของจริง แต่ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้วไม่ต้องรู้เป็นรูปร่างสีสัน ไม่ต้องปั้นรูปร่างก็ได้ เมื่อหลับตาลงก็จำสัญญาได้ว่ารูปร่างอย่างนี้เป็นอะไร ไม่ต้องไปสร้างปั้นเอา เราก็จำได้ ว่ารูปร่างนี้สีสันนี้ รายละเอียดอย่างนี้คุณก็สามารถรู้ได้ จะเป็นภาพปรากฏหรือไม่เป็นภาพก็ได้ แม้เป็นภาพปรากฏมันก็ไม่ใช่ของจริง มันเป็นความจำหรือสัญญาเท่านั้น หรือว่าคุณไปนิมิตสร้างมันเอง

       ต้องหัดอ่านอาการในจิตให้เป็น ตั้งแต่เวทนา มันไม่มีรูปร่างแล้ว กายทิพย์นั้นเราเห็นได้ เวทนาก็เป็นกายทิพย์ เป็นองค์ประชุมของความสุขเรียกสุขเวทนา องค์ประชุมของความทุกข์เรียกทุกขเวทนา แต่เรารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส 

       อาการขี้โลภมีเราก็อ่านให้ออก อ่านจิตคุณ เช่นอยู่ในสภาเขากำลังจ้างยกมือในสภา คุณรับจ้างเขา คุณอยากได้เงินก็เป็นจิตเปรต คุณต้องฝึกให้มีความฉลาดอย่างปัญญา คือมีความรู้ความสามารถในการกำจัดอาการเปรต แต่ว่าคนเราส่วนใหญ่จะมีความฉลาดที่มีกิเลสมากขึ้นๆ เรียกว่าฉลาดแบบเฉโก ฉลาดมีกิเลสมากก็ยิ่งซุกซ่อนอำพรางเก่ง โกงมากทุจริตมากปลิ้นปล้อนได้มาก พูดขาวเป็นดำ พูดดำเป็นขาวได้มาก นี่คือสัจธรรม

       พวกเราทำงานกับสังคมต่อสู้ทางการเมือง มาถึงวันนี้แล้ว เรามาเป็นประชาชนมาปฏิวัติ แล้วการปฏิวัติเป็นเรื่องดี เรียกว่าประชาชนปฏิวัติ เราทำนี้เจริญขึ้นมา ต่างจากปหาร เราปฏิวัติรัฐบาลก็คือเอารัฐบาลออก ส่วนปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนปฏิวัติเป็นกาเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วฉับพลัน

       ตอนนี้เราเรียกว่า 4 ป. คือประชาชนปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทย มีตัวหนังสืออยู่ข้างหน้าเวที ตอนนี้เราก้าวถึงขั้นประกาศปฏิวัติแล้ว โดยประชาชน หน่วยที่ราชดำเนินตอนนี้มี 3 หมู่ใหญ่ เป้าหมายเดียวกัน

       คนในบ้านเรามีคน 65 ล้านคน เราจ้างเขาไปเป็นตัวแทน แต่เขาทำหน้าที่บกพร่องทุจริตทำเดือดร้อนแล้ว เราก็ต้องปฏิวัติให้ท่านออกไปทันที เราทำปฏิรูปมานานแล้ว ตอนนี้ต้องปฏิวัติแล้ว ในสังคมที่ยังไม่เจริญนั้นเขาอาศัยกำลังของทหาร กำลังหอกดาบปืน ประชาชนมาเข่นฆ่ากัน แล้วยอมด้วยอำนาจ แต่ยุคอย่างนั้นมันผ่านไปแล้ว ยุคนี้ต้องใช้มวลประชาชนมายืนยันโดยหลักเกณฑ์ Majority rule แต่แม้ส่วนน้อยที่ถูกต้องก็มีสิทธิ์ประท้วง ต้องยอมให้กับกลุ่มน้อยแต่เป็นกลุ่มที่ถูกต้องที่สุด อย่างกลุ่มเราแม้มีมวลน้อยที่สุด แต่ก็แน่น อยู่เป็นหลัก อยู่ประจำนานที่สุด พวกนั้นจรไปจรมา 

       เอาความถูกความจริงมาตัดสินกัน เพราะคุณทำผิดคุณกำลังล้มล้างรัฐธรรมนูญ คุณทำผิดคุณออกไปได้แล้ว แต่ก็ยังตะแบงว่าไม่ผิด ตอนนี้เรากำลังจะไล่ลูกจ้างออกไป ตามรัฐธรรมนูญเขาทำผิด แม้มาตรา 1 ก็ทำผิดเขารักษาแผ่นดินไม่ได้ เสียดินแดนไปหยกๆวันที่ 11 พ.ย. 56 นี้ คณะคุณบริหารดูแลทำให้เสียดินแดนอยู่น่ะ มาตรา 1 นี้คุณทำผิดแล้ว แม้มาตรา 3 คุณก็ทำผิดไปหมดในเรื่องการบริหารและนิติบัญญัติ

       ตอนนี้เกิดสุญญากาศทางการเมืองแล้ว เพราะเราประกาศขอยึดอำนาจแล้วโดยประชาชนไม่มีเลือดตกยางออก โดยสงบไม่มีอาวุธ ไม่มีการปิดบังเปิดเผย ส่วนการยึดอำนาจรัฐประหารนั้นเขาทำอย่าลับ แต่เราทำอย่างเปิดเผย เดินธรรมยาตราไปถวายฏีกาอย่างเปิดเผยสง่างาม ถึงพระหัตถ์แล้ว ก็รอแต่วันที่ท่านจะมีพระราชวินิจฉัยเท่านั้นเอง

       เขาไม่รู้ตัวเขาก็ลอยหน้าลอยตาทำอยู่ แล้วหาว่าเราเล่นขายของ หาว่าเราตลกน่ะ แต่คุณไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เราทำด้วยพฤตินัย มีหลักฐานครบถ้วน ไม่ใช่เรื่องเล่นเรื่องสมมุติ เรากำลังยึดอำนาจจากรัฐบาลนี่คุณมาเล่นๆหรือตั้งใจทำจริง...คนดูตอบว่าทำจริง

       แต่ว่ามันเป็นส่ิงใหม่ ไม่มีเลยในโลกนี้ ไม่ใช่รัฐประหารที่เคยเป็น เราไม่ได้ทำอย่างเก่าๆที่ใช้อาวุธ รัฐประหาร แต่เราไม่มีอาวุธ สงบเรียบร้อย เปิดเผยความจริงอย่างเบิกบานชนะด้วยความจริง ความถูกต้องถ้าไม่หน้าด้านคุณจำนนไปนานแล้ว แต่นี่มันด้านเกินไป ใช่ไหม มาถึงวันนี้เราก็ใจเย็นๆไปอีกมันจะมีพฤติกรรมทางการเมืองที่สวยงามอีก สักวันจะสมบูรณ์ พล.อ.ปรีชาก็บอกย้ำอยู่

       ถ้าเรามีทั้งปริมาณและคุณภาพมา ตอนนี้คุณภาพเราถูกสมบูรณ์แล้ว เราทำชี้ถูกชี้ผิด เขาผิดเขาต้องรับ แต่ถ้าทั้งปริมาณก็มีมากขึ้นมา ตอนนี้เพิ่มเต๊นท์ใหญ่อีก 5 หลัง ของเรามีการชุมนุมทั้ง 3 ที่นี้เป็นหนึ่งเดียวกันหรือที่อื่นๆอีก จากสีลม ศิริราช สหภาพ นักเรียน ทุกจ้าวรวมกันเป็นเป้าเดียวกัน

       ขณะนี้อาตมาทำได้อย่างสวยงาม เราจะปฏิวัติประชาชนเป็นประเทศแรกที่ไม่เกิดเลือดตกยางออกแม้สักหยดเดียว เกิดสุญญากาศทางการเมืองแล้ว รอเป็นราชประชาสมาสัย

       

        อ.ปราโมท นาครทรรพ...เชื่อว่าความสำเร็จได้เกิดแก่คนไทยแล้ว ที่พ่อครูว่าที่นี่มีคนน้อยนั้น แต่ผมคิดว่า ที่นี่ทำให้เกิดความตื่น ลุกฮือขึ้นในประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน ทุกมุมโลกทุกจังหวัดทุกอาชีพทุกเพศวัยทุกเชื้อชาติที่ลุกขึ้นมา คนเหล่านี้ถ้าไม่มีปรัชญาการต่อสู้อย่างอหิงสาเขาจะไม่ลุกขึ้นมามากมายอย่างนี้

       ก่อนมานี้ไปจุฬาฯ ก็ได้พบบุคคลสำคัญที่ทำให้เกิดสีลม เกิดจามจุรี สามคนนี้เล่าให้ฟัง ฟังแล้วก็ชื่นใจ เขาเล่าว่าที่สีลมได้พากันลุกขึ้นมานั้น ด้วยแรงจรรโลงใจจากกองทัพธรรม ไม่ใช่อย่างอื่น เขาไม่สังกัดพรรคการเมืองใด อยากจะจัดเพียงสองสามพันคน แต่ว่าก็ทยอยมากันเป็นหมื่น ตอนนั้นก็มีผู้แทนนกฏหมายเข้ามา แต่เขามาด้วยวัตถุประสงค์ใดก็แล้วแต่ เราก็ต้องต้อนรับเพราะเขามาด้วยอยากปลดรัฐบาลนี้ด้วยกัน     

       อีกท่านหนึ่งคือ อ.จรัส สุวรรณมาลา ท่านเคยขึ้นเวทีที่นี่ เพิ่งกลับจากอเมริกา ได้เห็นการโกหกครั้งใหญ่ ถ้าปล่อยให้คนโกหกมีอำนาจคงทำเลวร้ายต่อไปอีก และโกหกที่ท่านทนไม่ไหวคือโกหกเรื่องพระราชอำนาจ ก็เลยไปปรึกษาอธิการบดีจุฬาฯ​ว่าอยากจัดชุมนุมต่อต้านความไม่ดีงาม ท่านอธิการบดีก็สนับสนุน และก็บอกว่าให้ต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา เหล่าจามจุฬีสีชมพูก็พากันหลั่งไหลออกมากันอย่างล้นหลาม

       ประเทศไทยเคยเกิดสภาปฏิวัติมาก่อน ก็ให้เหล่าทัพและข้าราชการมารายงานตัว แต่่ว่าคณะปฏิวัตินี้ได้ถูกจับเสียก่อน แต่ก็มีการสั่งยกฟ้องและปล่อยตัวในภายหลัง

       ราชประชาสมาสัย...อ.ปราโมท ได้นำหนังสือเรื่องนี้ มาแล้ว ซึ่งเป็นหนังสือที่ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนอยากพิมพ์ เคยมีสำนักพิมพ์สองสำนักเอาไปแล้วแต่ไม่ได้มีการพิมพ์ออกมา

       ราชประชาสมาสัยเพื่อให้ประเทศไทยได้สงบสุขอย่างแท้จริง อย่างหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ

และศีลธรรมจำเป็นต่อการเมืองการปกครองมากอย่างพระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมสงครามหรือการสู้รบด้วยกำลัง แม้แต่ “ธรรม-อธรรมสงคราม” พระองค์ก็ทรงแนะให้หลีกเลี่ยง เพราะผู้ชนะจะเป็นผู้ก่อกรรมและผู้แพ้จะคุมแค้นทุกข์ทรมาน พระองค์ทรงห้ามทัพและป้องกันสงครามระหว่างขุนศึกด้วยพระองค์เองหลายครั้ง เช่น สงครามระหว่างศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ ที่แย่งใช้แม่น้ำโรหิณีกัน ทรงห้ามพระเจ้าอชาตศัตรูมิให้โจมตีแคว้นวัชชี เป็นต้น

       

        พระองค์ทรงแสดงความแตกต่างของรัฐบาลที่กดขี่คดโกงกับรัฐธรรมาภิบาล และทรงบรรยายถึงขบวนการที่รัฐบาลเสื่อมทรามเพราะหัวหน้ารัฐบาลเกิดความโลภและเบียดเบียน พระองค์ตรัสว่า

       

        “เมื่อผู้ปกครองประเทศสุจริตและยุติธรรม เสนาบดีก็จะสุจริตและยุติธรรม เมื่อเสนาบดีสุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้ใหญ่ก็จะสุจริตและยุติธรรม เมื่อข้าราชการผู้ใหญ่สุจริตและยุติธรรม ข้าราชการผู้น้อยก็จะสุจริตและยุติธรรม เมื่อข้าราชการผู้น้อยสุจริตยุติธรรม ราษฏรก็จะสุจริตและยุติธรรม สังคมก็จะเป็นสุข สวัสดี (อังคุตตรนิกาย)

       

        ใน จักรวรรดิ สีหนันทศสูตรพระองค์ทรงอธิบายถึงความเสื่อมศีลธรรมจรรยาอันนำไปสู่โจรกรรม อาสัตย์ การแก่งแย่งชิงดี ความเกลียดขึ้งประสงค์ร้าย ทั้งหมดจะนำบ้านเมือง ไปสู่ความลำบากยากจน ซึ่งไม่สามารถจะแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง แต่ด้วยธรรม และความเมตตากรุณา และในพระสูตรอื่นๆ ทรงแนะนำการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพุทธคล้ายกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง และทรงย้ำว่านี่คือวิธีพัฒนาที่แท้จริง ต้องไม่ใช้อำนาจ

       

        ผมจะไม่พูดถึงทศพิธราชธรรมซึ่งเป็นที่รู้ดีอยู่แล้ว และจะข้ามไปตอนที่สนุก ว่าแม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงตระหนักว่า การต่อสู้ระหว่างธรรม กับอธรรมด้วยกำลังนั้นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงมิได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น ผู้มีธรรมก็จะต้องเป็นผู้ที่กล้า

       

        ใน “ขุรัปปชาดก” เรื่อง “ ถึงคราวกล้าควรกล้า” พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นผู้พิทักษ์คาราวานสมบัติ มีโศลกว่าดังนี้

       

       ถาม “เมื่อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เหตุไฉนหนอ ท่านจึง ไม่มีความครั่นคร้าม.

       

       ตอบ เมื่อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอันแหลม ถือดาบอันคมกล้า ซึ่งขัดแล้ว ด้วยน้ำมัน เมื่อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้าแล้ว เรากลับได้ความยินดี และโสมนัสมากยิ่ง.

       

       เรานั้นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้ว ก็ครอบงำศัตรูทั้งหลายเสียได้ เพราะว่า ชีวิตของเราๆ ได้สละมาแต่ก่อนแล้ว เราไม่ได้ทำความอาลัยในชีวิต บุคคลผู้กล้าหาญพึงกระทำกิจของคนกล้า ในกาลบางคราว. "

       

        ใน”มิลินทปัญหา” พระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าทรงให้ลงมาเกิดเป็นพระนาคเสน ตอบพระเจ้ามิมิลินท์ว่า

       

        “หากบุคคล ขาดคุณสมบัติที่ดี ไร้ความสามารถ ไร้ศีลธรรมจรรยา ไม่เหมาะสม ได้ขึ้นบัลลังก์มาเป็นใหญ่ มีอำนาจมากเพียงใด เขาจะถูกฉีกเนื้อ และลงฑัณฑ์โดยประชาชน เพราะเขามิได้ขึ้นมาและมิได้อยู่ในอำนาจด้วยความชอบธรรม ผู้ปกครองเยี่ยงนี้ เหมือนผู้ปกครองทั้งหลายที่ฝ่าฝืน ทำลายศีลธรรมจรรยา และกฏเกณฑ์ของสังคม ก็จะถูกประชาทัณฑ์ เยี่ยงเดียวกัน โดยพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองที่ประพฤติตนเหมือนโจรปล้นสมบัติของแผ่นดิน”

       คำว่าราชประชาสมาสัย เกิดขึ้นมาในโลก เป็นภาษาไทยที่ยืมมาจากภาษบาลี แล้วศัพท์นี้มากจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ท่านเป็นผู้ทรงบัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาจาก ขนบธรรมเนียมการปกครองแต่โบราณ ตามจารีตประเพณี จากความสัมพันธ์ระหว่ากษัตริย์กับประชาชน ตั้งแต่สุโขทัย หรือรัตโกสินทร์ ท่านเป็นผู้นำที่ประชาชนยกย่องให้เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำที่เป็นคนจนและของคนจน เป็นระบบ พสกนิกรเอนกสมมุติ ท่านก็ประมวลคำนี้ขึ้นมาใหม่

 

วันที่ 21 สิงหาคม 2552 ในหลวงทรงห่วงชาติล่มจม “ต่างคนต่างแย่ง ขอทุกคนต้องเสียสละ พัฒนาชาติให้ก้าวหน้า   

        ในหลวง ทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรฝนหลวง ทรงมีพระราชดำรัส ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาบ้านเมือง ทรงห่วงประเทศกำลังล่มจม เพราะต่างคนทำ ต่างคนต่างแย่งชิง ไม่เข้าใจกัน ทรงแนะทุกคนต้องร่วมมือกัน ต้องเสียสละ ขอให้ผู้มีความรู้พาบ้านเมืองรอดพ้นภัย สร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง   

 

ความจริงราชประชาสมาสัยเข้าใจไม่ยาก ในหลวงทรงบัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้นเมือปี 2501 ทรงแปลให้ว่า

 

 "พระมหากษัตริย์และประชาชนอาศัยซึ่งกันและกัน"

 

 และทรงแสดงตัวอย่าง ทรงพระราชทานทุนก่อตั้ง มูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ขึ้น เพื่อช่วยรักษาโรคเรื้อน มีแพทย์ พยาบาลและประชาชนโดยเสด็จด้วยแรงและการบริจาคเป้นจำนวนมาก บัดนี้ โรคเรื้อนจวนจะหมดจากแผ่นดินแล้ว

 

 ผู้เขียนจึงอยากให้เอาราชประชาสมาสัยมารักษาโรคดื้อยาของนักการเมืองขี้เรื้อนที่เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ขณะนี้

 

 อุปสรรคสำคัญของราชประชาสมาสัยคือโรคขี้เรื้อนการเมือง ซึ่งเกิดแต่นักการเมือง สื่อและนักวิชาการ

 

 ราชประชาสมาสัย ที่แท้ก็คือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั่นเอง อำนาจของพระมหากษัตริย์ก็ไม่มากไม่น้อยกว่านิติราชประเพณีจำเพาะที่ไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตยสากล บวกกับอำนาจพระมหากษัตริย์ตามจารีตและหลักรัฐธรรมนูญอังกฤษเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยเช่นกัน

 

 อำนาจเหล่านี้ถูกเกาะกุมและเบียดบังไว้โดยนักการ เมืองผู้ยึดอำนาจการปกครองและผู้สืบสันดานตกทอดมาถึงปัจจุบัน พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทวงถาม แต่รัฐบาลไม่ยอมคืน จนเป็นเหตุให้ทรงสละราชสมบัติ ทรงปรารภว่า ไม่สามารถคุ้มครองเป็นที่พึ่งของปวงราษฎร

 

 ผู้เขียนเคยอธิบายหลายครั้งว่า การคืนพระราชอำนาจมิได้หมายความว่าออกกฎหมายให้ในหลวงทรงทำอะไรก็ได้ตามพระราชประสงค์

 

 การคืนพระราชอำนาจทำได้โดยนายกรัฐมนตรีต้องเข้าเฝ้าในหลวงเป็นประจำตามหมายกำหนดการ เพื่อถวายรายงาน และรับคำแนะนำ ตักเตือนและให้กำลังใจจากพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการถวายเอกสารสำคัญ เช่น รายงานการประชุมครม. เป็นต้น

 

 นอกจากนั้น รัฐบาลต้องควบคุมดูแลองค์กรต่างๆของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยทั้งสามจากพระมหา กษัตริย์ให้ใช้แทนปวงชน คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อำนาจหน้าที่ และคำปฏิญญาที่ให้ไว้กับพระมหากษตริย์

 

       สุญญากาศทางการเมืองจะเกิดได้ก็ด้วยหลายเหตุ เช่นศาลเกิดตัดสินว่ายุบพรรคหมด เช่นเราแผ่นเมตตาให้มากๆ เราแผ่เมตตาให้ยิ่งลักษณ์ทักษิณมากๆ อาจกลับใจได้เก่งกว่าเทวฑัตก็อาจเป็นได้ ถ้ารัฐบาลนี้หายตัวไปเป็นช่องว่างแล้วเราเอาตัวเราไปอยู่ในสุญญากาศทางการเมืองนี้

พ่อครูว่า...ราชประชาสมาสัยต้องเป็นองค์ประกอบของประชาชนกับพระมหากษัติย์ เป้าประสงค์ของประชาชนชัดเจนว่าตรงกันแล้ว เป็นแต่เพียงมารวมกันให้ได้ ตอนนี้ได้ถวายฎีกาเสร็จแล้วก็เหลือแต่ให้ในหลวงทรงพระปรมาภิไธยเท่านั้น

       อ.ปราโมทว่า อำนาจที่สำคัญที่สุดในแผ่นดินนั้นคืออำนาจรัฐาธิปัตย์ซึ่งอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นอำนาจของปวงชนนั่นเอง ปวงชนชาวไทยไม่ใช่ธรรมดา ไม่ไร้ที่พึ่งเหมือนที่อื่น เวลาเกิดเหตุฆ่ากันตายก็ยังมีที่พึ่งทุกที มีอำนาจมากกว่าใครหลายหมื่นหลายแสนเท่า แล้วสถาบันที่เป็นที่พึ่งของเราเป็นสถาบันที่พัฒนากันมาเป็นพันๆปี ของไม่ดีเอามาใช้ก็ถูกจัดการ ของดีก็สะสมไว้ สถาบันเราเรียนรู้มา 500 ปีแล้ว พระนารายณ์ก็เรียนมากจากพระเจ้าหลุยส์ ควีนแอลิซาเบตยังบอกว่าได้เจอพระเจ้าอยู่หัวที่แท้จริงแล้ว

        อ.สมศักดิ์   เธียรจรูญกุล...ประเด็นหลักคือการปฏิเสธอำนาจของศาลโลก

       รัฐบาลนี้แม้ได้รับการเลือกตั้งมา แต่การเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วรัฐบาลนี้ได้ทำส่ิงที่ผิดนิติรัฐ นิติธรรมหลายอย่าง รัฐบาลตอนนี้ก็เหมือนโรงงานที่ปล่อยของเสีย กฏหมายนิรโทษกรรมก็เหมือนน้ำเสีย การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อาจะเป็นอากาศพิษ เราต้องแก้ไขต้นเหตุคือโรงงานที่ปล่อยของเสีย ก็คือรัฐบาล

       หลายๆเรื่องร้ายแรงพอๆกัน ไม่มีอะไรด้อยกว่ากัน แต่เรื่องล่าสุดที่มีคดีขึ้นสู่ศาลโลก มีคำวินิจฉันไว้แล้ว เรามีทีมทนายของรัฐบาล เขาบอกว่าไทยก็ได้กัมพูชาก็ได้ win win แล้วตกลงว่าใคร  win กันแน่ แล้วทักษิณและฮุนเซน win ทั้งคู่แต่ประเทศไทยและกัมพูชา แพ้

       คำตัดสินของศาลโลก วิเคราะห์ได้ว่า...

       มีหลักคือไม่ตัดสินเกินเลยจากคำตัดสินพศ. 2505 แต่มีการแอบตีความเกินเลยจากคำตัดสินเดิม และมีการแอบพิพากษาประเด็นใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม และมีประเด็นต่อมาคือกระทบต่อหลักเขตที่ 73 ที่มีความสำคัญอยู่ที่จ.ตราด จะมีผลต่อพื้นที่ในอ่าวไทย มีผลต่อทรัพยากรพลังงานทั้งหมด นี่คือ ทักษิณและฮุนเซน win ทั้งคู่แต่ประเทศไทยและกัมพูชา แพ้

       มีการซ่อนแฝงคือให้พื้นที่กัมพูชาไม่เท่าที่กัมพูชาขอ แต่เพียงพอต่อการบริหารจัดการที่จะทำให้เป็นมรดกโลกแล้ว มีการให้อีก 7 ชาติมาบริหารจัดการมรดกโลกนี้ด้วย

       ส่วนมีการต่อเนื่องไปถึงหลักเขตที่ 73 แล้วอย่างไร มีฮุนเซนออกมาประกาศว่าศาลโลกยอมรับแผ่นที่ 1 ต่อ สองแสนแล้ว ถึงบอกว่าไม่สามารถยอมรับอำนาจศาลโลกได้ คำวินิจฉัยและการตีความของศาลโลกนี้ เขาจะว่าอย่างไรว่าไป แต่อยู่ที่บทปฏิบัติการของเราต่างหาก ศาลโลกไม่มีสิทธิ์ชี้ขาดเรื่องเขตแดน เขาจะไม่สามารถจับเราไปขังไปปรับได้ ยกเว้นแต่มีคนไทยบางคนอยากยกแผ่นดินให้เขมรอยู่แล้ว วันนี้เราจึงต้องปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก

       ทำไมเราจึงต้องบอกว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่ตัวแทนประชาชนที่จะแสดงเจตจำนงค์ของประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แต่รัฐบาลไม่กระทำตามเจตจำนงค์ของประชาชนที่ปฏิเสธอำนาจศาลโลก รัฐบาลก็ไม่ใช่ตัวแทนของประชาชนไทยแล้ว เมื่อทางกปท.ประกาศปฏิวัติประชาชนไปเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 56 ก็เลยต้องมารายงานตัว หลังประกาศ เจ้าหน้าที่บางคนบอกว่าการติดธงชาติเป็นการผิดกฏหมาย ผมอยู่กับกฏหมายมานานก็ไม่มีมาตราไหนที่บอกว่าผิดกฏหมาย ถ้าประชาชนหยุดงาน ไม่มีบทบัญญัติบอกไว้ว่าผิดกฏหมาย ถ้าส่วนราชการหยุดงานด้วย ถามว่า มือไม้ของรัฐบาลอยู่ตรงไหนรัฐบาลจะใช้ใคร เราทำชอบด้วยกฏหมาย

 

เราไม่เอาฮิตเลอร์แห่งเอเซีย (อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล)

 

       ที่บอกว่ารัฐบาลทำตั้งหลายเรื่อง มานี้คือ ทั้งเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เรื่องพรบ.นิรโทษกรรม กฏหมายหลายๆฉบับ มีรธน.มาตรา 190 เงินกู้ 2.2ล้านๆบาท พรบ.ร่วมทุน ทั้งหมดมีเนื้อหามอบอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติที่ได้รับมาจากประชาชนผ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะตัว ให้ฝ่ายบริหารใช้​ ซึ่งทำไม่ได้ มันจะกลายเป็นว่า อำนาจนิติบัญญัติ ถูกโอนให้แก่ฝ่ายบริหารโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของอำนาจที่แท้จริงก็คือประชาชน วิธีการอย่างนี้ไม่เคยมีที่ไหนใช้มาก่อน

       ในประวัติศาสตร์โลกในอดีต มีใช้อยู่ที่เดียวก่อนประเทศไทย คือรัฐกฤษฎีกาในสมัยฮิตเลอร์ เพราะฉะนั้นกฏหมายต่างๆ ทั้งนิติวิธีและผลในทางกฏหมาย อย่างเดียวกับรัฐกฤษฎีกาในสมัยฮิตเลอร์เลย เหมือนกันเลย

       ทีนี้ทั้งทักษิณทั้งยิ่งลักษณ์เขียนกฏหมายไม่เป็นหรอก ต้องมีนักกฏหมายในรัฐบาลนี้เขียนให้ การเขียนกฏหมายแบบนี้แล้วให้มีผลเหมือนรัฐกฤษฎีกาในสมัยฮิตเลอร์ ก็เป็นการสร้างฮิตเลอร์คนใหม่ขึ้นมา เป็นฮิตเลอร์แห่งเอเซียและเกิดในประเทศไ่ทย ถ้ากฏหมายเหล่านี้ผ่านไปได้

       ฮิตเลอร์แห่งเอเซียกับฮิตเลอร์แห่งเยอรมันมีข้อต่างกันคือ  ฮิตเลอร์ที่เยอรมันเขาบอกว่าชนชาติเยอรมันดีที่สุด ชนชาติอื่นไม่ดี จึงเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ฮิตเลอร์แห่งเยอรมันคลั่งชาติ แต่ว่าฮิตเลอร์แห่งเอเซียคนนี้มันหิวเงิน มันขายชาติ แล้วถามประชาชนว่า อยากได้ฮิตเลอร์ขายชาติไหม?.... เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากได้ฮิตเลอร์ขายชาติต้องไล่รัฐบาลนี้.....ต้องยิ่งลักษณ์......


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:29:50 )

561115

รายละเอียด

561115_รายการสงครามสังคมฯ เวทีผ่านฟ้า

เรื่อง สยามเทวาธิราชิท ตอน 3

       วันนี้ที่เวทีประชาธิปไตยก็คนแน่นเต็มเลย เวทีเราก็มีที่นั่งสบายพรักพร้อม การชุมนุมประท้วงครั้งนี้มีความเรียบร้อยง่ายงามมาก ทั้งที่ประชาชนอยู่ในภาวะปฏิวัติเอารัฐบาลออก แต่ก็มีการร้องรำทำเพลงกันอย่างรื่นเริงเบิกบาน ที่ผ่านฟ้าฯมีคนอายุยาวเป็นหลักที่เป็นแก่นแกน ส่วนข้างนอกเขาก็เป็นองค์ประกอบอีกไม่รู้กี่กลุ่ม ทั่วประเทศ มีเป้าหมายคือไล่รัฐบาลนี้ทั้งสิ้น ประชาชนออกมาแสดงเจตจำนงค์เดียวกัน หรือว่าไม่เอากฎหมายนิรโทษกรรม ที่ผิดกฎหมายถึงขั้นกบฎด้วย

       มันเลวร้ายถึงขนาดมีคำว่า Don't thai to me มันเป็นเรื่องลามกจกเปรตเสียเหลือเกินที่รัฐบาลนี้ได้ทำกับปทท.และยังมี Don't Thaksin to me.นี่ก็เลวร้ายแค่คนเดียวแปลว่าอย่าทำเลวๆกับฉันนะ Don't Yingluck to me   คือว่าอย่ามาทำอะไรโง่กับฉันนะ เป็นความอุบาทว์ชาติชั่วที่เกิดในเมืองไทย ธรรมดาเขาต้องลาออกแล้ว แต่นี่อะไร ทำไมมันถึงได้หน้าด้านหน้าแข็งอย่างนี้ Don’t THAI to Me

       วันนี้ ศัพท์แสลง ที่กำลังฮิตใน หมู่วัยรุ่นมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็คือคำว่า Don’t Thai to me แปลความธรรมดาอาจจะหมายถึง อย่ามาทำเป็นไทยกับผม แต่ถ้าแปลในความหมายของศัพท์แสลงก็คือ “อย่ามาโกงฉัน...อย่ามาโกหกฉัน...อย่ามาต้มตุ๋นฉันน่า...” คำว่า THAI กลายเป็นศัพท์แสลงที่หมายถึง การโกง การโกหกตอแหล การต้มตุ๋น การเอาเปรียบ คำว่า “ไทย”  ที่คนไทยเราภาคภูมิใจมาหลายพันปี วันนี้กลายเป็น “คำด่า คำเหยียดหยาม” ไปอย่างน่าเจ็บปวด เพราะ ผลการกระทำของนักการเมือง

มันเจ็บปวดรวดร้าวเข้าไปถึงกึ๋นของคนไทยทุกคน

       ประโยคแสลง Don’t Thai to me เพิ่งจะฮิตในโซเชียลเน็ตเวิร์กภูมิภาคเอเชีย หลังจากที่กฎหมายอัปยศ กฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง ที่มีการแปรญัตติเปลี่ยนเนื้อหาให้นิรโทษกรรมคนโกงทุจริตคอร์รัปชันทุกคดีย้อนหลังไปถึง 9 ปี และผ่านสภาผู้แทนราษฎรอันไร้เกียรติออกมาตอนตี 4 กว่า แม้จะยังไม่แพร่ไปทั่วโลก แต่ ชื่อเสียงของคนไทย ชื่อเสียงประเทศไทย ก็ป่นปี้เหม็นโฉ่ไปทั่วเอเชียแล้ว

ต่อไปนี้คนไทยไปต่างประเทศ ไปทำอะไรที่ไม่ดี ทำอะไรที่คนต่างชาติไม่เชื่อถือ จะถูกย้อนด้วยศัพท์แสลงเจ็บๆประโยคนี้ Don’t Thai to me อย่ามาโกหกตอแหลฉัน อย่ามาโกงฉัน ไม่รู้คนไทยที่เดินทางไปทั่วโลก จะต้องเจ็บปวดกับประโยคนี้ไปอีกนานเท่าไร

 

       พ่อครูว่า...ที่เราทำนี่เป็นพุทธศาสตร์ ระดับอเทวนิยม คือลัทธิอเทพ แต่ถ้าเทวนิยมคือลัทธิ เทวะ นับถือเทวะ หรือเทวดา เทพเจ้า หรือเรียกอย่างใหญ่ๆว่าพระเจ้า เป็นนามธรรมที่อยู่ในสากลจักรวาล ไม่มีตัวตน ไม่เห็นตัวตน แต่มีพลังอำนาจอยู่ในมนุษยชาติ เทวะเป็นพลังงานทางดี ส่วนพลังงานทางชั่วเรียกว่า มาร ส่วนดีสูงสุดเรียกว่าพระเจ้า

       พลังที่มารวมกันนี่เป็นพลังสยามเทวธิราชิท แต่เป็นพลังรวมของภายนอกนะ แต่พลังพระเจ้าส่วนตัวก็ของคุณเอง คนอื่นทำให้กันไม่ได้ ล้างให้กันไม่ได้ พระเจ้าของใครก็ของใคร กรรมทายาโท คุณเป็นทายาทของกรรมของคุณ พระเจ้าจะช่วยผู้ที่ช่วยตนเองก่อน แต่ละคนมีพระเจ้าในตัวเองแล้วนำมาร่วมกันเป็นพลังงานใหญ่ ต้องมาสามัคคียิ่งมีความเป็นปึกแผ่น เอกภาพเท่าไหร่พระเจ้านี้ยิ่งมีพลังสูงเลย

       สยามเทวาธิราชิทธิ คือมวลประชาชนออกมาแสดงสิทธิว่าเราไม่เอาการบริหารอย่างนี้ เราทำตามครรลองคลองธรรม ตามนิติรัฐนิติธรรม สยามเทวาธิราชิทธิ คือเอาสยามเทวาธิราช มารวมกับ อิทธิ​ เป็นสยามเทวาธิราชิทธิ มาปราบมารปราบผีอย่างสุภาพสงบเมตตากรุณามุทิตอุเบกขา ก็ขอบคุณมารที่ยังไม่เกเร นอกจากดื้อด้านแข็ง มีเลือดไม่ตกยางไม่ออกเลย ไม่อย่างนั้นรุนแรงกว่านี้แน่ ขอบคุณสามครั้ง ...ขอให้พวกเราสร้างสยามเทวาธิราชิทได้สำเร็จ สาธุ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:32:59 )

561116

รายละเอียด

561116_รายการวิปัสสนาข่าว โดยพ่อครูฯ ส.เดินดิน อดีตสว.การุณ

เรื่อง มาร่วมตีเหล็กร้อนตอนสุดท้าย

       ส.เดินดินดำเนินรายการ

       พ่อครูว่า..ปรากฎการณ์ที่ดำเนินไปมาถึงวินาทีนี้ พวกเราปฏิบัติการมาเป็นประชาชนไทยกลุ่มหนึ่ง และอยู่ในองค์รวมของประชาชนในถ.ราชดำเนิน ร่วมกันทำมาได้อย่างงดงาม มีทั้งต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำ เสริมหนุนกันครบ มี two in one คือผู้ที่แพ้มาตลอดชีวิตพบกับผู้ชนะตลอดชีวิต

       ที่เราทำนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ที่ดูมีรูปแบบดูจริงจังคือที่ ผ่านภิภพลีลา แต่ที่ผ่านฟ้าฯนี้ดูเหมือนเป็นตัวตลก เราก็ไม่สงสัย ผู้รู้นั้นจะรู้ว่าอันไหนเป็นจริง เพราะมันเป็นเรื่องล้ำยุคเกินไป เป็นเรื่องใหม่ในโลก เป็นประชาชนปฏิวัติ เป็นเรื่องสงบเรียบร้อยสวยงาม ไม่ใช้อาวุธเลย เป็นพลังที่เขาเรียกว่า power ซึ่งอาตมาได้ให้ความรู้ปูทางมาก่อนว่า

 โลกเขาใช้ Force ในการปฏิวัติ แต่เราจะพยายามสร้าง Authority มาไม่พยายาม Make a forcible เราทำอย่างทำให้มี  sovereign power

            พวกเราเป็นพวกน้อย เป็น Majority เป็นยอดปิรามิด ต้องมีจำนวนน้อย  แต่เรากำลังทำนี่คือแสดง Monority  Right ซึ่งคำว่า Right มีความหมายสองอย่างคือ และความถูกต้อง เราจะเอาความถูกต้องมาเป็นธรรมาวุธ เราไม่พยายามเคลื่อน เราแสดงออกอย่างสงบ เงียบ นิ่งที่สุด มาสู่ความเบาให้ได้มากที่สุด ถ้าจะเคลื่อนไหว นี่คือการแข่งกันที่จะหยุด จะสงบ สยบความเคลื่อนไหว โลกทั้งโลก ปัญญาได้ขึ้นสู่จุดนี้แล้ว

            การปฏิวัติด้วยกำลังนั้นหมดไปแล้ว ถ้าทหารปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธก็ตกยุคไปแล้ว ตำรวจไทยก็ก้าวหน้า ทั้งที่เขาทำตอนนั้นที่ลานพระรูปฯกรณีเสธ.อ้ายเขาใช้กำลังแรง แต่พอตอนที่พล..ปรีชา พาออกข้างทำเนียบ ตำรวจก็ลดความรุนแรงไปเยอะแล้ว นี่คือความก้าวหน้าสู่ความเบา ความลดรุนแรง นี่คือความเจริญของมนุษยชาติ สู้กันด้วยปัญญา ด้วยความไม่รุนแรง ขณะนี้ไทยก็กำลังดำเนินไป เป็นสิ่งเกิดจริงเป็นจริง

            เช่นพวกเราได้ประกาศปฏิวัติแล้ว เป็นการปฏิวัติที่ใหม่มาก แม้จะทหารแก่ทหารนอกราชการก็เป็น Old soldier ที่ไม่มีวันตาย มาถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นสิ่งจริง แต่คนมองว่าเป็นความตลก ในวันที่ 11 เดือน 11 ซึ่งเป็นหนึ่งสองหนึ่ง ที่จะเกิดราชประชาสมาสัย เป็น A best ceremony เราเดินธรรมยาตราสวยงาม เป็นแถวเรียงห้า ยาวมาก มันเกิด A best ceremony เป็นพิธีการปฏิวัติโดยประชาชน เป็น Scenario ที่เป็นจริง เป็นปรากฏการณ์แล้วของจริง แต่คนดูที่มองไม่ออกก็จะว่าเขาทำอะไรกันนะ แต่ผู้รู้จะมองออก ต่างชาติคนก็จะออก

            ตอนนี้อาตมาไม่สงสัยหรอก มันเป็นสิ่งใหม่ เป็น New แต่เป็นของแท้จริง ถูกต้องที่สุด เป็นความรู้ที่แท้ เป็น Genuin Knowledge เป็นความรู้ของแท้ แท้จริงที่จะเข้าถึงได้ ที่เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เคยเกิด แต่บัดนี้เกิดแล้ว มันเป็นอจินไตยที่คิดไม่ได้ เป็นเรื่องสมบูรณ์ที่สุด

            ขอพูดว่า เป็นเรื่องที่มันจะต้องเกิดต้องเป็นของประเทศไทย คนที่จะห้ามจะใช้อำนาจอะไรก็ห้ามมันไม่ได้ What ever will be will be

            สรุปรวมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขณะนี้เลย บัดนี้เลย สัมปฏิ เหตุการณ์การเมืองปัจจุบันหรือจริงๆคือการปฏิวัติ เป็นการปฏิวัติของประชาชน ทางด้านของคุณสุเทพก็กำลังยกระดับเสริมหนุน ให้พวกเราที่เขาว่าตกยุค แต่ที่จริงคือล้ำยุค แม้ทนายนกเขาก็บอกว่าจะเคลื่อนออกไปกดดันไป ของเราเป็นทัพหลวงอยู่กับที่นิ่งนี่แหละ แล้วให้เกิดสยามเทวาธิราชิท

      ตอนนี้ประมุขและราชะก็กำลังจะประสานรวมเป็นอำนาจหนึ่งเดียว เพื่อให้เกิดสุดยอดของการเมือง ไม่มีการเมืองใดที่จะยอดกว่านี้แล้ว เป็น  sovereign power ที่เป็นDependent สุดยอดแล้ว

            ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของอาตมาแล้ว ถ้าไม่สำเร็จก็ขอไปทำไร่ทำนาเหมือนอย่างคุณการุณแล้ว เป็นครั้งสุดท้าย เป็น Final Decisionให้เต็มที่ให้เป็นครั้งสุดท้าย ตั้งใจทำให้ได้ ผู้ที่ยังไม่ตื่นรู้ไม่ค่อยเข้าใจก็จะไปไม่รอด ที่ได้พาทำกันดำเนินการมาไม่ได้ผิดทางเลย สวยงามสงบ ไม่เบ่งอำนาจ ไม่กดดัน สุภาพเรียบร้อย เพราะเราดำเนินตามนิติรัฐ นิติธรรม แบบพระพุทธเจ้าทำมา เป็นครรลองที่พระพุทธเจ้าพาทำ ในการดำเนินมาจนป่านนี้แล้ว ซึ่งเป็นความงดงามสมบูรณ์มา เป็นความดี เป็นสยามเทวาธิราชิท

            ที่เราทำมาเป็นนี่เป็น Scenario หรือพิมพ์เขียวหรือ Script ทำมาแล้ว เทตีนเป็ดแล้ว ตอนนี้ตั้งเสาแล้วไม่ใช่อยู่แค่ Scenario เท่านั้นแต่เป็นสิ่งจริงที่ก่อขึ้นมาแล้ว แรงกดดันที่เป็นอำนาจช่วงชิง ต่างฝ่ายต่างระวัง แม้แต่ฝ่ายคุณสุเทพ ที่พยายามทำด้านโน้น ก็ทำอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ไม่ทำให้เกิดสภาพอำนาจกดดันอะไร แต่ของเราไม่ได้ไปกดดันใครเลย แต่เราล้ำหน้าไปก่อน แล้วทางโน้นจะตามมา ไม่ว่าจะในกทม.อีกหลายกลุ่ม และต่างจังหวัดอีก ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันใช้ไหม เราหลากหลายกลุ่ม แต่แดงไม่หลากหลายเลย แดงมีแต่พลังอำนาจ Force มารวมเป็นกลุ่มเดียว นิ่งแคบเล็ก ของเราหลากหลายเป็นเครือแห เป็นปิรามิด ซึ่งต่างกัน อันนั้นเป็นแค่แนวระนาบ ดูง่าย ต่างกัน

             เรื่องพระวิหาร ก็มีคนไทยไม่ยอมรับคำตัดสินศาลโลก ตั้งแต่พศ.2505 แล้ว ว่าเราไม่ขอสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนปราสาทพระวิหารด้วย

            มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

            แล้วตอนนี้มีใครพูดว่า ไทยได้ 3 เสีย 1 เขาได้พูดไว้เขาออกสื่อไปแล้ว แล้วมาตรา 1 นี้ผู้รักษาความมั่นคงได้ทำผิดแล้ว เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก อันนี้พูดไปแล้วต้องท้าวความว่า...อาตมาใช้ศัพท์คำว่า สยามเทวาธิราชิท หมายถึงอำนาจสูงสุดของประเทศเรียกว่า รัฐาธิปัตย์ นั้นคือราชประชาสมาสัย รวมกันประชาชนกันในหลวงรวมกันเป็นหนึ่ง

            เนื้อหาที่เราทำนั้นสมบูรณ์แล้วเราประกาศปฏิวัติ ก่อนศาลโลกตัดสิน แล้วยืนยันว่านัยนี้เหมือนเสรีไทยทำ ที่ทำให้เราไม่ต้องตกเป็นประเทศที่แพ้สงคราม แต่เสรีไทยต้านไว้ได้ แต่นี่คุณปรีชาประกาศออกไปแล้วเปิดเผยกระจายให้รู้ทั่วไป ว่าเราทำแล้วนะ ใช่ไหม? พฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของเล่น เป็นสิ่งเป็นจริง เพื่อรักษาความมั่นคง และเรากำลังทำให้เกิดราชประชาสมาสัย โดยให้มีมวลมามากๆๆๆ จะได้เกิดราชประชาสมาสัย ในหลวงท่านทรงรออยู่แล้ว เป็นเรื่องลึกซึ้งมากเลย เราทำก่อนใครในโลกที่จะมีการปฏิวัติที่สวยงาม รอความสมบูรณ์แบบที่ใกล้อีกนิดเดียว คนบอกว่าเราหลงยุค เราอาจหลงยุคเพราะที่จริงเราล้ำยุค เขาไม่รู้ว่าเราทำอะไรเลยว่าเราหลงยุค

            มีที่ไหนจะปฏิวัติอย่างเรียบร้อยราบรื่นง่ายงาม แล้วมีราชประชาสมาสัย คนที่หัวร่อย่อดูถูกระวังจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะ

ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยที่เกิดจริงที่จะมีองค์รวมของประชาธิปไตยที่มีในหลวงเป็นหัวหน้า ท่านก็เป็นประชาชนท่านใช้อำนาจแทนประชาชน ท่านรอมวลมามากๆ แล้วศาลก็จะเดิน ทหารก็จะเดิน ที่จริงท่านเป็นจอมทัพ ท่านก็บอกทหารว่า ให้ไปบอกว่า นี่คุณปูนะหยุดได้แล้ว เอาไปเลยทั้ง 4 ทัพ ท่านเป็นรมต.กลาโหม ในหลวงทรงงานรอ รมต. ทูลเกล้า ในหลวงเราไม่ใช่ปู นะ มันก้นเหวกับท้องฟ้าเลย แล้วมันจะมีอะไรยากเย็นนะ พระปัญญาธิคุณท่านมี มันของง่ายๆ ออกมารวมตัวกันให้ท่วมฟ้าท่วมดินก็เท่านั่้น

            ตอนนี้ต้องตีเหล็กตอนร้อนๆ ถ้าไม่ตีตอนนี้จะไปหา Final อีกที่ตอนไหน ตอนนี้เหตุปัจจัยพร้อมพรัก ถ้าเราทำได้เราเป็นประเทศแรกของโลก อาตมาพูดบรรยายไปแล้ว

            เหตุการณ์มันเจือสมอย่างชัดเจน อาณาจักรถูกแบ่ง มีคนไทยที่ผิดที่ถูก คนผิดต้องหยุด คนถูกต้องทำต่อไป

            ในมาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

         แล้วสองสถาบันได้ล้มเหลวแล้ว สถาบันบริหารเป็นตัวแทนประชาชน ส่วนตุลาการเป็นตัวแทนในหลวง ตอนนี้เหลือสถาบันเดียวแล้ว เพราะฉะนั้นต้องเลื่อนไปสู่มาตรา 2 ถ้าศาลตัดสินในวันที่ 20 นี้อำนาจก็จะตกอยู่ที่ในหลวงทันที

            ที่เคยทำมานั้นทหารใช้กำลังยึดมาแล้วทูลเกล้าฯ ก็เวียนอยู่ 81 ปีมาแล้วก็ไม่บริสุทธิ์ แต่ถ้าครั้งนี้ทำได้ก็ต้องให้บริสุทธิ์สะอาดอย่าให้วนเวียนอยู่อย่างเก่าเลย เชื่อว่าคนไทยไม่สิ่้นไร้ไม้ตอก แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทธา

            ที่พูดนี้มีเหตุผลนะ เพราะมาตรา 1 ก็ผิด แผ่นดินถูกแบ่งแยกไป สูญเสียไป และยังมีมาตรา 7

มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

           ไทยเรามีประชาธิปไตยตามอังกฤษแต่ว่าก็ไม่ได้ทำตามเท่าไหร่ เรามีประชาธิปไตยแบบเน่าๆมานานแล้ว สิ่งที่เกิดจริงในสังคมไทยนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเล่น เป็นเรื่องน่าศึกษาอย่างยิ่ง มหัศจรรย์เหลือเกิน งดงามจริงๆ ถ้าคราวนี้เหตุปัจจัยไม่ว่าตุลาการ ทหาร ประชาชน ถ้าเข้าใจแล้วรู้หน้าที่กัน ตามมาตรา 70 และ 71 จะช่วยป้องกันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไหมนี่ ของอังกฤษเขาไม่ต้องระบุเช่นนี้เขาก็รู้จักรักษาหน้าที่กัน แต่คนไทยขนาดระบุในกม.ยังไม่ทำเลย

            เราทำตามมาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

            เราออกมาประท้วงถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ใครยังไม่ตายก็ออกมาช่วยกันทำ เพราะปริมาณยังไม่พอ ออกมาสักห้าล้านสิ ถ้าไม่สำเร็จก็ตัดคออาตมาได้เลย ต่างจังหวัดก็ออกมาสัก 10 ล้านเลย

            ตอนนี้เราต้องช่วยให้เกิดราชประชาสมาสัย ในหลวงพระองค์นี้อาตมาเห็นพระทัยท่าน อาจพูดใหญ่โตว่าเห็นพระทัยท่าน แล้วประชาชนเห็นพระทัยพ่อบ้างไหม ว่าท่านจะขนาดไหน ถ้าใครสามารถมีปฏิภาณรู้ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เสียพระทัยจนสิ้นพระชนม์ตอนเสียดินแดนไหม แล้วเราจะให้ในหลวงท่านเสียพระทัยในยุคนี้ที่เสียดินแดนได้อย่างไร อาตมาว่าคุณจะทำร้ายในหลวงได้อย่างไร ขอถาม แค่ไม่ออกมาชุมนุมร่วมกันถือว่าเป็นพฤิตกรรมทำร้ายในหลวงแล้วนะ ประชาชนออกมาก็เพื่อยืนยันอธิปไตย เกิดเสียดินแดน มีคนมาละลาบละล้วง มีคนจะมาล้มกษัตริย์เลยนี่ ให้เห็นอย่างนั้นเลย หรือแค่ระแวงคุณจะปล่อยไปได้หรือถ้าระแวงว่าจะมีคนจะมาล้มสถาบันกษัตริย์คุณก็จะปล่อยไปหรือ? อยากถามดังๆ แล้วมันชัดยิ่งกว่าชัดอะไรดี ที่ในเว็บไซด์ต่างๆที่ออกมา แล้วทำไมละเว้น

            ขณะนี้ประชาชนคนไทยอาตมาว่า มี Known How อาตมาได้ทำมาลำลองแล้ว แม้ในหลวงก็ตรัสไว้ว่าให้ทำอย่างแบบคนจนไม่ต้องไปหลงตำราต่างชาติ ท่านเป็นผู้ดี เป็นปางเตมีย์ใบ้  ท่านตรัสอย่างสุภาพให้เกียรติศาล ให้เกียรติประชาชนอย่างนี้แล้ว แล้วประชาชนจะกระไรหนอ ให้เกียรติคือเคารพภูมิปัญญาประชาชน แล้วทำไมประชาชนถึงไม่ตื่นรู้จากความงมงายเสียที อาตมาให้สติประชาชนสิ พิสูจน์สักวันสองวันนี้ได้ไหม ออกมาให้มืดฟ้ามัวดิน ต้องตีเหล็กขณะร้อนๆ จบ Finale   

            อาตมาอ้างอิงต่างๆนานา ตามบริบทประกาศปฏิวัติ ถามว่าประกาศปฏิวัติ แล้วมีสายใยของนิตินัยไหม เราใช้คำว่ากองทัพธรรมร่วมด้วย เป็นนิตินัย ไม่ใช่ NGO แต่เป็นนิตินัย ในกองทัพธรรมนั้นมีพรรคการเมืองอยู่ มีหน่วยองค์กรคือ พรรคการเมืองก็มี ในกองทัพธรรมนั้นชาวอโศก มีพรรคการเมืองคือ พรรคเพื่อฟ้าดิน แล้วหัวหน้าพรรคก็มาปฏิบัติหน้าที่อยู่ในนี้ เลขาธิการพรรค สมาชิกพรรคก็ปฏิบัติการปฏิวัติด้วย นี่คือมีสิ่งอ้างอิงหมด เราไม่ได้ทำงานนอกนิติรัฐนิติธรรมครบ จะเอาด้านนิติรัฐก็มีพรรคเพื่อฟ้าดิน จะเอานิติธรรมก็มีกองทัพธรรม จะเอาประชาชนก็มีคปท.มีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะเอาทหารก็มีครบทุกเหล่าทัพ ขอสรุปว่า พูดอจินไตยให้ฟัง ทำไมเราต้องประกาศปฏิวัติวันที่ 11 แล้วทำไมต้องเลข 11 เราออกไปนี่นะเราทำพิธีการเสร็จเดินกลับ 11 นาฬิกา

            อดีตสส.อดีตสว.ขณะนี้เป็นสน.คือสมาชิกท้องไร่ท้องนา มีประสพการณ์ทั้งเป็นทนายความ เป็นคนออกกม.ด้วย อยู่ในวงการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองตลอด เป็นนักปฏิวัติด้วย เราลองมาฟังอดีตสว.การุณ ใสงาม วิเคราะห์ต่อ...

            คุณการุณ ….คำถามว่าประชาชนปฏิวัติได้หรือไม่ มาดูว่ารัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ จนถึงฉบับนี้ปี 2550 ผมมีส่วนร่วมในการร่างด้วย มีทั้งส่วนดีและส่วนบกพร่อง รัฐธรรมนูญทุกฉบับ ประเพณีการปกครองของไทยตั้งแต่ตั้งรัฐไทยจนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่เคยมีรัฐาธิปัตย์ที่เป็นของประชาชนที่แท้จริงเลยสักครั้ง ทำอย่างไรประชาชนจะมาร่วมกันให้มาก เป็นรัฐาธิปัตย์ มาแสดงความจริงนี้ให้ได้ ในหลวงท่านทรงรออยู่ ต้องมารวมกันระดับล้านคนจึงจะทำได้ 

            พ่อครูว่า...พวกเรานี่ออกมาทำงาน คนว่าพวกเราหลงยุคหรือตกยุค เขาว่าเราเป็นสายล่อฟ้า ที่จะล่อให้ทหารออกมาปฏิวัติ ผู้ที่เข้าใจอย่างนั้นเข้าใจผิด คุณยังวนอยู่กับที่ให้ทหารปฏิวัตินั่นมันตกยุคแล้ว เราออกมาทำอย่างสงบสันติ ไม่ใช้แบบ Force คือเขาอยู่ในกรอบความคิดแค่นั้น แต่เราออกมาไม่ได้หวังพึ่งทหารมาออกแรง แต่เราต้องการให้ทหารออกมาอยู่่ร่วมกับประชาชน ไม่ต้องเอามีดเอาปืนเอารถถังออกมาเลย นี่คือความไม่เข้าใจของเขา มองเราต่ำมากกว่าความเป็นจริง

            เขาใช้คำว่าหลงยุค เช่นยุคนี้ยังไม่ใช่ยุคที่จะมาทำอย่างสวยงามน่า อาตมาว่าจะรอไปถึงไหน นี่รอบ Final แล้ว จะรออีกกี่สิบกี่ร้อยปี ถ้าเผลอให้อำนาจนี้ขึ้นมาอีก อาตมาไม่อยากประมาท ขอให้เป็นหนังม้วนสุดท้ายเสียที ผู้ว่าสนธิ ก็มาแล้ว คุณสนธิลิ้มทองกุลก็มาเสียทีสิ The End…


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:34:46 )

561116_รายการสงครามสังคม

รายละเอียด

561116_รายการสงครามสังคมฯ ที่เวทีผ่านฟ้าฯโดยพ่อครู

เรื่อง ผู้รับใช้โลกจริงๆคืออย่างไร?

       พ่อครูว่า...วันพรุ่งนี้ก็วันลอยกระทงแล้ว พวกเราที่ได้มาทำงานใช้ชีวิต มาทำประโยชน์ มั่นใจว่าเป็นการสร้างประโยชน์แก่โลก ที่พูดเช่นนั้นก็คือ มันเป็นงานอันยิ่งใหญ่ มันเหมือนไม่ค่อยมีอะไร ข้างนอกเขาก็ไม่เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญ ไม่มีค่าอะไร อาตมารู้สึกนะ เขาออกจะลบหลู่ๆ ซึ่งวัดจากกระแสของสื่อสารมวลชน เรามาชุมนุมขนาดนี้ เป็นงานระดับประเทศ และระดับโลก เพราะเป็นการปฏิวัติ ที่จะสะเทือนไปทั่วโลก

       การสื่อสารมวลชนเขาก็เก็บข้อมูลไป การปฏิวัติมันต้องสนุกตื่นเต้น ที่ผ่านฟ้าลีลาศ ที่กปท.และกองทัพธรรมนี่นะ จะรู้สึกว่า ยิ่งสื่อสารเขาไม่ให้ความสนใจ เขาอาจว่าเราหลงยุค ไม่เข้าท่าเลย อันนี้แหละมันเป็นเครื่องแสดงวัดภูมิธรรม ความรู้ของมนุษยชาติ เขาอาจเห็นว่าเราหลงตน หลงยุค หลงความรู้ความจริงก็แล้วแต่ เขาอาจ มอง ว่าเราใช้คำว่าปฏิวัติ เพื่อล่อให้เกิดปฏิวัติรัฐประหาร คือการใช้กำลัง โดยเฉพาะให้กำลังทหารออกมา ซึ่งเราใช้คำแสลงว่า exercise ออกมาปราบปรามการชุมนุมให้ราบคาบไป ซึ่งอย่างนั้นเรายืนยันว่าไม่ต้องการ

    แม้งานนี้เราจะไม่ชนะอย่างที่เขาคาดหวังหรือพวกเราคาดหวังกัน ว่าจะได้อย่างนั้นแหละ หรือคนทั้งโลกมองว่าเราพ่ายแพ้กลับไป หน้าแหกหน้าแตกก็แล้วแต่ ที่เราได้ทำกันตลอดเวลา ตั้งแต่ครั้งชุมนุมเสธ.อ้าย หรือตอนข้างทำเนียบที่คุณปรีชานำไป อาตมามองในแนวลึกของเนื้อหา อาตมาว่าเราได้สร้างขนบจารีตของการเมือง ว่า ถ้าจะชุมนุมประท้วงแล้ว เราทำเป็นตัวอย่างของการชุมนุมอย่างสวยสดงดงามมีเนื้อหา

       พวกเราเองก็พัฒนาเข้าใจในความรู้ พฤติกรรม ในการสร้างประชาธิปไตยอีกแบบ มันล้ำยุค มันเลยพ้นขีดที่เขาเข้าใจแล้ว เราชุมนุมอย่างสวยงาม ประท้วงตามหลักรัฐธรรมนูญ มาทำหน้าที่อย่างสวยงาม สงบสันติ ไม่มีอาวุธ บอกความรู้ความจริง ให้ชัดว่า ความถูกความผิดคืออย่างไร ทั้งทฤษฏี หลักฐาน สิ่งปรากฏจริงเป็นจริงหลักฐานอย่างไร แล้วเราก็เลือกข้างอย่างไร ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี เรามีส่วนในสังคมก็ต้องเข้าข้างคนดี ให้คนดีพลังงานความดีเจริญ​พอกเพิ่ม พัฒนาทวีคูณไปเรื่อยๆ เป็นการต่อสู้ทางสัจธรรม

       มวลมนุษย์นั้นมีทั้งรูปธรรม นามธรรม แม้แต่ความเป็นกลางที่เราทำมาตลอด พวกเราเข้าใจความเป็นกลางยิ่งขึ้นๆ สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนามนุษย์สังคม ไม่ได้พัฒนาเฉพาะความคิด หรือทำๆๆอย่างไม่มีหลักฐานอ้างอิง หรือลึกลับอธิบายไม่ค่อยได้ แต่ก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงมีผลเกิดผลดีก็มีด้วย มีผลพัฒนาก้าวหน้าแต่อธิบายไม่ได้ เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้

       ศาสนาพุทธชี้ชัดเจน ขออภัยต่อผู้ที่ต้องถูกกระทบ ที่อาตมาไปตำหนิว่าอันนี้ผิด แล้วเขาก็เข้าใจผิดว่าสิ่งนี้ถูกมาก อันนี้อาจโกรธเคืองกัน ยิ่งลูกศิษย์ที่เขานับถือว่าเป็นอรหันต์ ซึ่งที่จริงผู้ที่เป็นลูกศิษย์อรหันต์ก็ไม่น่าจะโกรธ หรือโกรธน้อย แต่ถ้าเขายิ่งโกรธนี่ยืนยันว่าเขาอรหันต์เก๊

ทางสำนักไหนที่เขาแน่จริงว่าอาจารย์เป็นอรหันต์แล้วก็ไม่โกรธหรอก แต่ถ้าโกรธก็ไม่ใช่ของจริง เพราะอาตมาพูดนี่ไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ที่ต้องพูดคือฤาษีนี่ไม่ได้มีโลกุตระแต่มีคุณธรรมมักน้อย สันโดษ ไม่มีโกรธ เช่นเขาได้นิโรธหลับตาดับปี๋ได้นาน 7 วันหรือเกินกว่า เขามีนิโรธแบบนี้ จนกระทั่งเอาไปใส่กล่องฝังดิน เขาเรียกว่าพรหมลูกฟัก ไม่รู้เรื่องว่าใครจะทำอะไรกับเขา ใส่กล่องฝังดิน เขาใช้พลังงานน้อยมาก ใกล้เคียงคนตาย แต่ยังไม่ตาย มีเคยอ่านว่าอยู่ได้ 21 วัน ไม่ตาย คนก็ทึ่งก็ยอมรับสิ ว่าเป็นคุณวิเศษ เพราะลักษระเช่นนี้ไม่ได้ยืนยันอรหันต์ของพุทธ แต่มันแสดงความเก่ง ทำได้ยากจริง ไม่ธรรมดา 

       อาตมาเคยฝึกบ้างอย่างเนสัสชิ คือนอนไม่เอาหลังแตะพื้นหรือนั่งหลับ อาตมานอนเป็นสองหรือสามเดือนก็เคยทำ มันพักในนิโรธ แต่ต้องฝึกตลอด แต่ทุกวันนี้ทำไม่ได้ การเข้านิโรธแบบนั้นไม่ใช่ของพุทธ มันได้แค่ความสงบ ถ้าดับนิ่งปี๋ไปเรียกว่า สุภกิณหพรหม แล้วเขาเข้าใจอย่างนี้ว่าคือนิโรธนี่คือความน่าสงสาร มันเป็นเพียงเจโตสมถะเท่านั้น ไม่ใช่ธรรมะเหนือโลก อาตมาเคยยืนยันว่า บุคคลมี 4 ประเภท

1.ผู้ได้แต่เจโตสมถะไม่ได้โลกุตระ

2.ได้โลกุตระแต่ไม่ได้เจโตสมถะ

3.ได้ทั้งสองอย่าง ทั้งเจโตสมถะและโลกุตระ อย่างอาตมาทำเป็นทั้งสองอย่าง

4.ไม่ได้ทั้งสองอย่างเลย

    ความสงบของพุทธคือรู้จักตัวกิเลสแล้วทำให้กิเลสมันหยุดบทบาท เช่นเราอยากได้ดอกจำปาอันนี้ เราชอบเราติดดอกไม้นี้พอเราล้างกิเลสชอบไปแล้ว พอเห็นดอกไม้นี้เราก็รู้ว่าคนนิยมคนชอบอย่างนี้ แต่เวทนาอารมณ์ที่มีชอบหรือไม่ชอบนั้นไม่มี เราอ่านแล้วจิตมันไม่เกิดทั้งชอบและไม่ชอบ จิตมันอุเบกขา แต่รู้ทุกอย่างเลย รู้ว่าเขาสมมุตินี้ว่าสวย เราก็เคยคิดในสมมุตินี้ ให้เราเป็นกรรมการตัดสินความสวยเราก็ทำได้นะ แต่ใจเราไม่ได้ยินดียินร้าย เราอ่านอาการนั้นออกเลย

       อาการอารมณ์ในเวทนานั้นอ่านให้ออก เวทนาในเวทนา หรือความรู้สึกในความรู้สึก หรืออารมณ์ในอารมณ์ รู้ว่าดอกนี้มันมีสัดส่วน กลิ่น รูปอย่างไร เราก็อ่านว่าอารมณ์ชื่นใจชอบใจมันเป็นอีกอันหนึ่งนะ เราปฏิบัติจนอารมณ์ชื่นชอบนี้หายไปหมดเลย มีแต่อารมณ์รู้ความจรงิตามจริง ของสมมุติที่เขารู้กัน ว่าอันนี้สวย อันนี้เหม็น อันนี้น่ามีน่าได้น่าเป็น ได้สมบัติวัตถุที่เขาได้กัน แต่ก่อนเราก็อยากได้ ได้แล้วอยากได้อีก แต่ว่าตอนนี้ไม่ได้อยากได้แล้ว ได้มาก็ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่ผลักไม่ดูด นี่คืออารมณ์นิโรธ อารมณ์สมถะ ปัสสัทธิ สงบคือจิตรำงับ ถ้าทำกิเลสตัวนี้ให้สงบ ให้ดับสนิท ไม่กลับกำเริบ ไม่ต้องหลับตา ทำได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปสะกดจิต แต่เป็นอรหันต์ได้ จิตสงบรำงับได้ คือ   นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จิตสั่งสมคุณสมบัติของนิโรธแล้ว ลืมตากิเลสก็ดับ ไม่ใช่อย่างที่ไปดับหลับตา อสัญญีหรือวิสัญญี ดับทั้งสัญญาและเวทนาเลย

       ตัวธาตุรู้จากสัญญา เราปฏิบัติไปก็จะเจริญเป็นปัญญา เมื่อสัมผัสเมื่อไหร่เราก็ทำได้เรียกว่ามีวสี จิตมีความแน่วแน่แนบแน่น ควบแน่น อัปปนา(แน่วแน่) พยัปปนา(แนบแน่น) เจตโสอภินิโรปนา(ปักมั่น) ของพุทธดับอกุศลจิต แต่เหลือกุศลจิต สามารถปรุงแต่งได้ สามารถมีอภิสังขารได้ มีปุญญาภิสังขาร ปุญญาภิสังขารคือปรุงให้กิเลสลดได้

       ในสังกัปปะ ท่านแจกเป็น 7 ขั้นตอน หรือ 7 เจตสิก มีตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ที่เป็นภาคปัญญา ส่วนภาคสงบระงับ ตัวดับกิเลสคือ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา และก็มีวจีสังขาร ที่เป็นตัวปรุงแต่งสำเร็จแล้วในใจ

       เราจะอ่าน แต่ละเจตสิกออก แล้วเราจะเข้าใจสังขาร ระหว่าง ตากระทบรูป มีภาพมีรูป ก็เกิดการรู้ ก็ประชุมสภาพรู้เข้าไปข้างใน เป็นองค์ประชุมเรียกว่ากาย ซึ่งไม่ได้แปลว่าร่างนะ คนไทยไม่สัมมาทิฏฐิ แม้ศึกษาคำว่ากายผิดก็ไม่สามารถเป็นอรหันต์ได้ ไม่สามารถสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะสิ้นอาสวะได้

       อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ เป็นองค์ประกอบจากภายนอกไปถึงภายใน จนกระทั่งถึงอรูปด้วย เหลือที่ว่าเป็นอรูป แม้กระทบรูปอยู่ แต่ไม่กิเลสเกิด รู้ว่ารูปกายของจิต แต่มีรูปกายของอกุศลในจิตเราก็แยกออก เรียกว่า กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วกำจัดให้ถูกตัวตนที่ต้องกำจัด

       เมื่อเข้าใจสัญญาไม่ได้ กายก็ไม่ได้ องค์ประชุมที่เกิด จากตา เข้ามาภายในก็ยังไม่ได้หลับตา ปิดหูนะ แล้วต้องรู้การเกิดหรือชาติของจิตกุศล อกุศลออก เราก็กำจัดแต่อกุศล ในบ้านนี้มีโจร เวลาจะฆ่าโจร คุณอย่าฆ่าคนทั้งหมดในบ้าน ต้องฆ่าแต่โจร จับโจรให้ได้ก่อน อย่าผิดนะ ถ้าฆ่าผิดตัวก็บาปตายเลย หรือฆ่าผิดก็ไปฆ่าจิตดีซะ หรือฆ่าไปหมดเลยทั้งจิตดีจิตชั่วแล้วก็ดับหมดเลย อย่างนี้ไม่ใช่นิโรธพุทธ       พุทธต้องรู้สักกายะ รู้กายในกาย ที่เข้ามาหานาม ผ่านรูปแล้ว ลึกจากกายเข้ามาก็เป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ เป็นเวทนาในเวทนา อารมณ์ชื่นชอบหรือชังนี่แหละคือสมุทัยที่ต้องกำจัดให้ถูก และวิธีกำจัดต้องกำจัดให้ถูกต้อง ไม่ใช่มีแต่การกดข่ม  แต่มีปัญญาเห็นความไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย เราก็ต้องรู้จักความไม่เที่ยง ยิ่งไปยึดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอด ไม่ให้หายไปหรืออยากได้ใหม่ แต่ของพระพุทธเจ้าให้ลดลงๆๆ มันก็สำเร็จแม้สัมผัสก็ไม่ได้มีดูดผลัก ถ้าฆ่าตัววุ่นวายแทรกแทรงได้ จิตที่ดีก็ทำงานได้อย่างเต็มที่ไม่มีตัวอกุศลมาต้านทาน ทำสงบคือสงบตรงกิเลสดับ จิตยิ่งแข็งแรงมีพลังมีประสิทธิภาพ รู้ได้ดี รู้ได้อย่างแข็งแรง เป็นจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ

       ก็ขอเข้ามาผนวกประยุกต์เข้ามาในธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติได้ถูกตรง จะได้เจโตสมถะด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่อาตมาเจตนาให้ได้ โลกุตระให้ได้ ความสงบแบบพุทธคือจิตดับกิเลส ไม่ใช่ไปหลงแสงสว่างอาภัสราหรือไปหลงดับอย่างสุภกิณหะ

       ตราบในยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโลกไม่ว่างจากอรหันต์ จะมีการบรรลุเป็นขั้นตอน จะมีคุณสมบัติวิเศษจริง แม้มีลาภยศสรรเสริญก็มีได้ไว้อาศัย ส่วนความสุขนั้นเป็นสุขอย่างโลกุตระ ส่วนความสงบที่ไปติดอร่อยในภพนั้นของพุทธไม่ใช่ แต่สงบของพุทธคือสงบจากกิเลสไม่ได้มีอารมณ์สุขอย่างโลกๆ ของพุทธนี้ไม่ติดยึดในสุขทุกข์ กิเลสดับแล้วมันก็ไม่มีในจิตแล้ว จะว่าติดไหม กิเลสดับมันก็กลางๆเฉยๆ มันไม่ได้ทำพิษอะไรกับเรา ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว รู้ว่าอะไรไม่ดีเราก็ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ถ้ามีประโยชน์แล้วเรามีความถนัด มีจริตหรือประสาทที่รับชนิดนี้ชนิดนี้ไม่รับ ทุกวันนี้เช่นภูมิแพ้ อาตมาไม่รับสิ่งนี้ อันนี้สัมผัสเกี่ยวข้องได้ดี ถ้ามีแต่ประสาทมันก็จะมีแต่ภูมิแพ้ ถ้าล้างกิเลสในจิตได้ก็จะมีแต่ประสาท แต่ถ้ามีกิเลสด้วยจะเป็นพิษทั้งจิตและประสาท แต่ถ้าล้างจิตได้ ก็จะแก้ได้ทั้งประสาทและจิต ใครแก้ได้แต่ประสาทก็ยังมีภูมิแพ้อยู่

       ใครแก้กิเลสได้ ก็ไม่มีภูมิแพ้ต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์ แม้เขาจะมีโลกธรรมมาแรงอย่างไร ก็เป็นแค่ของอาศัย เป็นของใช้ ธนบัตรเงินทองก็ใช้เหมือนโต๊ะเก้าอี้ อย่างนี้เขาว่าเหมาะดี รูปร่างอย่างไร ใช้ดีอย่างไร เราก็รู้ ถ้าเราไม่ติดไม่มีอุปาทานไปยึดติด เราศึกษาแล้วไม่ยึดติด เราก็เอาแต่แก่นแท้ ไม่เปลืองผลาญ ไม่ทำลาย ไม่ยุ่งยาก เอาแต่แก่นแท้ ที่จะต้องสวยงาม ต้องหอม ต้องเข้ารูปรอยเราไม่ติดยึดแล้ว แต่ถ้าติดมันก็จะยาก ไม่ถูกปาก ไม่ถูกหูไปหมด อย่างนี้คือคนทุภระ แต่เราเข้าหาเนื้อหาสาระแก่นแท้ คนนี้จึงอยู่ในโลกอย่างเรียบง่ายสบาย ไม่ต้องเปลืองผลาญ เราก็มีเวลามีแรงงานความคิดไปทำช่วยโลกมาก แต่ก่อนเราก็ติดยึดมากมาย นิยมตามแฟชั่น ถูกหลอกให้เขาจูงจมูกมากมาย เคยถูกหลอกมากันหมดแล้ว

       ที่อธิบายให้ฟังเป็นสัจจะความจริงพิสูจน์ได้ เป็นความรู้ความจริงอันประเสริฐ คนเข้าใจก็จะปลดปล่อยปลงวางสิ่งไร้สาระ รู้จักแก่นสาร รู้จักวิมุติ คือผู้มีสาระ มีฉันทะเป็นมูล ยินดีในการไม่ติดยึดโลกธรรม แม้เรามีเราขยันทำก็มีลาภโดยธรรม อาตมาสาธยายธรรมก็เป็นการสร้างความรู้ ในโลกเขาจ่ายค่าบรรยายแพงนะ คนที่สามารถเข้าใจและปล่อยวางสิ่งควรทิ้งแล้วจะมีพลังงานสูงเพราะเอาความสูญเสียของข้าคืนมาได้เยอะเลย ความสูญเสียที่ไม่ควรเสีย แทรกซ้อนในโลก คือ 1.เวลา อาตมาเคยเสียเวลาไปตามจีบผู้หญิง เสียเวลาจริงๆเลย เสียการงาน เสียสิ่งควรทำ เปล่าประโยชน์ไปเยอะเลย  2.ทุนรอน 3.แรงงาน

       เราไม่สูญเสียเราก็ได้กลับมาเยอะ คนนี้ก็ประหยัดละล้างความที่ต้องเปลืองผลาญได้เยอะ ไม่ต้องไปเสียเวลาแรงงานทุนรอนไปกับเขา เขาร้องรำที่ไหนเราก็ไม่ได้ไปกับเขา เขาล่าลาภยศสรรเสริญที่ไหนไปที่นั่น ต้องเหาะไปหายศที่ต่างประเทศก็ทำ อยากดังก็ไปหาทางให้มันดัง ไม่ต้องแล้วไม่ต้องไปล่าลาภยศ เป็นของโดยธรรม อย่างอาตมาไม่ต้องล่าก็มีตามธรรม ไม่ต้องไปอยากได้สรรเสริญก็มีสรรเสริญ แต่สุขสงบโดยธรรม มีวูปสโมสุข หรือปรมังสุขัง คือมันยิ่งกว่าสุข สุขอย่างไม่มีกิเลสกวน เราเอาเวลาแรงงานไปสร้างสรรสิ่งมีประโยชน์ได้ แต่ก่อนเราถูกหลอกให้เสียไปมากเลย คนเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับโลกีย์ยังโง่อยู่ แต่คนหลุดพ้นมาอย่างชาวอโศก มีไม่มาก แต่ทำงานในระดับที่เคียงข้างโลกีย์ได้ อย่างแข็งแรงด้วย เพราะไม่สูญเสียไปกับโลกียะเขา ชาวอโศกเป็นอาริยะเยอะ ไม่ต้องไปแสวงหาสุขโลกีย์ อย่างงานภูเขาทองถ้าคนมีกิเลสก็แอบไป คนศึกษาจะอ่านใจตนเป็น จะเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคม อยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุขกับเขาแต่ก็ไม่ติด ทำงานกับสังคม เป็นประโยชน์ต่อมวลมหาชน พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัปปายะ เขาทำอย่างบรรลุธรรม ก็ทำอย่างสบาย ร่าเริงเบิกบานไม่เศร้า ไม่ร่าซ่าแบบโลกีย์ เป็นพุทธะ เบิกบาน แจ่มใส กระทบอย่างไรก็เบิกบานไม่มีใจหม่นหมอง ไม่ต้องพูดเลยว่าโศกปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสะ เป็นสัจจะผู้ใดได้ก็เป็นปัจจัตตังของตนเอง คนเหล่านี้พิสูจน์แล้วมาทำงานกี่เดือนกี่วันมันก็เฉย 300 กว่าวันมันก็เฉย มีอีกมันมาอีก แล้วเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ช่วยโลก...จบ

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:36:16 )

561117

รายละเอียด

561117_รายการเรียนอิสระที่เวทีผ่านฟ้า

เรื่อง ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ

          พ่อครูจัดรายการที่เวทีผ่านฟ้า คนเดียว...ทางตำรวจนครบาลส่งหนังสือมาว่า...

          ตอนนี้มันพัฒนาการไปแล้ว ตำรวจทหาร ก็มีการก้าวหน้าของอาริยธรรมในมวลมนุษยชาติ เกิดขึ้นแล้วน่าดีใจ แจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้จะมีตำรวจออกมาทำงานตามหน้าที่ แต่ไม่ต้องตกใจ ว่าตำรวจจะมายึดพื้นที่ แต่จะมาดูแลสันติราษฏร์ ดูแลไม่ให้เกิดความไม่สงบ เพราะจะมีมือที่สามเข้ามา อย่าไปถือโกรธถือโทษ ขอร้องจริงๆ

          พระพุทธเจ้าสอนเราว่าแม้แต่ศัตรูเราก็อย่าไปโกรธเคือง คนทำไม่ดีทำอกุศลเขาก็บาป ก็ทุกข์ของเขาแล้วโดยสัจจะ อย่าไปสร้างกิเลสใส่จิตตนเอง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าตำรวจจะมาก็ช่วยให้ความสะดวกคืนแก่เขา ต่างคนต่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน

          จะมาพูดถึงเรื่องการชุมนุมของเรา เป็นการชุมนุมการเมืองที่งดงามจริงๆ แสนที่จะงดงาม มีพัฒนาการของสัจธรรม ไม่ว่าจะการเมืองหรือทางธรรมทางสังคม ไม่ใช่สังคมธรรมดาแต่เป็นสังคมโลกเลย การเมืองเป็นส่ิงที่ดีงามเป็นของมนุษยชาติที่รวมกันในบ้านเมือง พลเมืองถ้าอยู่กันอย่างพี่น้อง ช่วยเหลือกัน พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้อย่างแท้จริง นั่นคือสังคมอาริยะ ไม่ใช้คำว่าอารยะ ตามสากลเขาพูด หรือมีอีกคำว่า อริยะ อาตมาก็เอาสองคำคือคำว่าอารยะกับอริยะมารวมกันเป็น “อาริยะ”

          คำว่าอารยะคือความก้าวหน้า แบบ Progressive ส่วนอริยะมีแนวโน้มเป็นแบบอนุรักษ์นิยม Conservative ในหลวงเราตรัสว่าไม่เอาแบบก้าวหน้าอย่างเขา ส่วนพวกฤาษีก็หนีเข้าป่าเขา สุดโต่งไปอีกข้าง

          เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมคนเป็นหมู่เป็นโขลงที่ใหญ่ อยู่กันเหมือนมด ตัวปลวก ซึ่งเขาก็อยู่กันอย่างมีสัญชาติญาณ แต่คนทำไมเป็นอย่างมดปลวกไม่ได้ที่อยู่กันอย่างสงบ เป็นระเบียบ ทำหน้าที่ เพราะมันไม่หลงลาภยศสรรเสริญ เสพกามคุณ หรือมีศักดิ์ศรี มีอัตตากันมาก ก็เลยทำงานไม่สำเร็จ ถ้างานชุมนุมนี่ลดศักดิ์ศรีนี่รับรองว่าเผด็จศึกได้จริงๆ แล้วจะเผด็จศึกได้อย่างไรก็ด้วยอาริยธรรม

          คำว่าอาริยธรรมของประชาธิปไตยนั้นมีสองจุด คือ

          1.สงบเรียบร้อย

          2.ความถูกต้องหรือดีงาม

          สองจุดนี้ย่ิงใหญ่ เรามาถึงวันนี้ก้าวถึงจุดที่เจริญแล้ว งวดนี้ที่เราชุมนุมกัน 3 กลุ่มที่ราชดำเนิน มันพิสูจน์ความก้าวหน้ามา สงบตลอด ขอบคุณทั้งตำรวจและทหารที่ไม่ออกมา ทหารที่จะเอารถถังออกมา ใช้อำนาจปฏิวัติ ยึดอำนาจโดยวิธีนั้นมันตกยุค ถ้าทหารออกมาปฏิวัติอาตมาพาพวกเราหยุดดีกว่า กลับดีกว่า ให้เขาทำไปบริหารไป เราเลิกเลยดีกว่า โลกทุกวันนี้มันไปถึงไหนแล้ว อเมริกา เอาอำนาจบาตรใหญ่ไปบุกอีรัก ที่ว่าเขาสะสมนิวเคลียร์ ไปอ้างอันนี้แล้วไปบุกเขา แล้วมันไม่มีจริงก็ไปหาเรื่องเขา คนมีปฏิภาณก็รู้แล้วว่าเอาอำนาจไปข่มเขาอย่างไม่มีเหตุผล คนตายไปมากมาย เสียหายทรัพยากรมากมาย

          ความจริงใจของพวกเรา เขาเข้าใจผิด หาว่าเราเป็นสายล่อฟ้าให้ทหารออกมาปฏิวัติ คุณที่เข้าใจอย่างนั้นปัญญายังตกยุคอยู่เลย เราไม่เอานะ ต้องสงบเรียบร้อยแล้วใช้คุณงามความดีถูกต้องทำ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ถ้าคุณร้อนๆเราไม่ร้อนกับคุณ และไขความจริงออกมา คนผิดต้องแพ้ คนถูกต้องชนะ

          เราใช้คำว่าอาริยะ ไม่เอาอารยะที่ก้าวหน้าอยากเป็นจ้าวโลก ถ้าทุกประเทศทั่วโลกหยุดสร้างอาวุธกันได้ก็สุดยอดเลย สัตว์มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงมันไม่กัดกันนะ ทำไมคนจะเลวกว่าสัตว์ ขีดความเจริญนั้นต้องเข้าใจให้ดี ที่เรามาทำนี่มาแก้ไขความไม่ตื่น ตกยุคแห่งอาริยธรรม

          ตอนนี้เราทำงานนี่ไม่เอาฆ่าแกง คว่ำ ทำร้ายทำลายกัน เรามาต่อสู้เป็นมวลเป็นคะแนน ไม่เอาอย่างดิ้นพลาดแล้วเลือดตกยางออกตายอย่างนั้นไม่เอา อย่างพวกมิลักขะ หรือเดรัจฉาน ที่จริง เดรัจฉานบางอย่างยังดีกว่าคน ที่มันรู้จักเขตแห่งความพอ แต่คนนี่จะไม่พอล่าโลกธรรมอย่างไม่เคยพอ นี่เลวกว่าสัตว์       

          เราเป็นมวยอย่างโผนกิ่งเพชร ไม่เอาอย่างเขาทรายที่เป็นมวยน็อค เราต้องเอาอย่างโมฮัมหมัดอาลี เก็บคะแนนไป ชนะคะแนนไป คะแนนที่ว่าของเรานี้ไม่ได้ไปชกเขา แต่เราเก็บคะแนนความถูกต้อง ความสงบ เราเก็บคะแนนความสงบ แม้ตำรวจก็มาเก็บคะแนนความสงบ สาธุ เรารู้แล้วถึงความประเสริฐของมนุษย์ จงมาเดินทางเดียวกันเถิด ทหารก็ดี ตำรวจก็ดี

            มีคำถามแทรกมาว่า แล้วทหารตำรวจ ถ้าไม่ให้เอารถถังกับปืนออกมาแล้วจะให้ทำอะไร จะให้อยู่เฉยๆก็ไม่อยากอยู่ แล้วจะช่วยได้อย่างไร?

          พ่อครูว่า..ก็ออกมาร่วมกับประชาชน ตำรวจก็รักษาความสงบภายใน ทหารก็รักษาความสงบภายนอก เมื่อเราเป็นประชาชน ประชาชนสงบแล้วคุณก็ควรวางอาวุธ มาทำหน้าที่เป็นการ์ด เป็นผู้คอยระมัดระวังภัย เป็นผู้รับใช้สังคม ต้องมีหน้าที่ความรู้ที่เรียนมาก็จะได้เอามาบริการประชาชน มาปกป้องประชาชน หน้าที่ตำรวจมีหลายหน้าที่ ไม่ต้องเอาอย่างทำร้ายทำลาย แต่ตำรวจต้องทำหน้าที่ได้หลายอย่างที่จะบริการประชาชน เช่นจราจรเป็นต้น ก็มาตรวจสอบสิ

          เมื่อเราสร้างความเจริญได้ ทหารตำรวจก็เป็นประชาชนว่างๆก็ไปช่วยทำถนน ต้องการแรงงาน เมื่อไม่มีการรบก็ไปทำสัมมาอาชีพ ส่งเสริมสนับสนุนสิ่งที่ถนัดทำได้ ต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ คนที่มีความรู้ทฤษฏีกสิกรรมดี แต่ไม่ได้ลงมือทำ กับคนที่ได้ลงมือทำนาได้ข้าวกินได้ สองคนนี้จะให้ราคาใครสูงกว่ากัน พวกที่คิดแต่ไม่ทำนี่คือพวกเหยียบย่ำทำลายแล้วไปยกตนข่มท่านอีก ที่จริงคนทำเป็นทำเก่งนี้สูงส่งกว่าคนคิดเก่ง สัตว์เดรัจฉานคิดไม่เก่งแต่เอาตัวรอดได้มาแต่นาน แต่คนที่คิดได้ดีทำไม่เก่งเอาตัวเองไม่รอด แต่เราพาชาวอโศกมาอยู่รอดได้ แรงงานความสามารถเราเกินกินเกินใช้ได้ งานการเรามีสัมมาวาจา พูดเก่งมีปัญญาแท้จริงมากหนัก ย่ิงสู่งยิ่งดีก็ยิ่งไม่เอา พระนี่แหละคือตัวอย่างที่ดี ไม่สะสมข้าวของมากมาย มักน้อยสันโดษ แรงงานก็มีมากทำมาก เหลือก็แจกจ่ายให้แก่ คนแก่ คนป่วย คนพิการ เด็ก คนไร้สรรถภาพ คน 5 ชนิดนี้ที่เราต้องช่วยเหลือส่วนพวกขี้โกงขี้เกียจนี่เราก็ต้องช่วยด้วย เขาอยู่ในสังคมเช่นกัน คนมีหลายแบบในสังคม ต้องมีอยู่ตามธรรมชาติธรรมดา เราบังคับไม่ให้มีไม่ได้

          ชีวิตนั้นไม่ได้มีอะไรมากต้องมารู้จักสัจธรรม จะเข้าใจชีวิตมนุษยชาติ หมดกิเลสแล้วคุณก็มีแต่ประโยชน์ต่อสังคม คุณเป็นอรหันต์แล้วก็เกิดอีกกี่ชาติก็จะมีแต่ช่วยเหลือโลก เป็นความยิ่งใหญ่ในความรู้นี้ คือสัจธรรมที่แท้จริง ค้านแย้งไม่ได้ ถูกต้องที่สุด

          แม้ใกล้กลียุค พวกเรายังสามารถเป็นได้ ไม่เชื่อว่าอโศกจะฝ่อลงไป แต่มีแต่จะพัฒนา ก่อนขึ้นมานี้ท่านฟ้าไทเล่าให้ฟังว่าเด็กเราจบออกไป ไปแต่งงานมีลูก แล้วมาบอกว่าหนูรู้แล้วว่าความเศร้าหมองเป็นอย่างไร อยากกลับมาทำอย่างไร หลายคนไม่เชื่อพระพุทธเจ้าไปเชื่อกิเลสก็ทุกข์ทุกคน แล้วก่อเวรภัยแก่ตนและสังคมด้วย เป็นตัวทำภาระแก่ตนและสังคมด้วย กิเลสพาเป็น

          พวกเราได้พัฒนามาถึงวันนี้ เห็นรูปลักษณ์ของสัจธรรมดีขึ้นเรื่อยๆ คนไทยนี่ยังหวังว่า การปฏิวัติโดยประชาชนครั้งนี้จะชนะได้เป็น A Best Model ของโลก เรียบร้อย คนแพ้ก็แพ้แล้วก็ยอมรับผิด ขอยอมอย่างสงบเรียบร้อยสวยงาม จะทำอย่างไร ประชาชนต้องออกมาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ประชาชนที่ออกมาประท้วง ตัวเป็นๆนี่คือคะแนนเสียงสดๆ  ย่ิงกว่าการไปเลือกตั้งหรือว่าที่ผู้ว่าฯกำลังบังคับหรือจ้างคนมาชุมนุมแข่งกับพวกเรา ได้ข้อมูลมาว่าอย่างนี้ อย่างนั้นมันมวลเก๊ๆ ไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย แล้วจะชนะไปทำไมอย่างทุจริต พวกเราชนะอย่างใสสะอาด มารวมกันได้ถ้าถึง 5 ล้านชนะแน่แล้วจะเป็น   แห่งการปฏิวัติโดยประชาชน

          ปฏิวัตินั้นแต่ละประเทศล้วนเลือดตกยางออก เคยดูหนังจีนก็มีการใช้ความสงบสยบความรุนแรง จอมยุทธใหญ่ๆจะไม่ใช้อาวุธ แต่หนังจีนจะไม่เห็นชนะซะที แต่ในเมืองไทยนี้จะชนะได้นะ เป็นสยามเทวาธิราชิท เป็นปาฏิหาริย์ทางจิตวิญญาณ เป็นอาริยชนที่แท้จริง เป็นศิวิไลซ์ นำโลกเขาเลย

          ตอนนี้สามกลุ่ม รวมกันตั้งแต่กำแพงคอนกรีตที่มัฆวานไป ถ้าตำรวจถอนกำแพงไปยิ่งสวยงาม เราไม่ก่อความวุ่นวายเดือดร้อนเด็ดขาด ถ้าถอนกำแพงคอนกรีตออกไปซะแล้วก็ให้เราทะลุถึงลานพระรูปฯ แล้วจากลานพระรูปเต็มไปถึงสนามหลวงก็จะไชโยโห่ฮิ้วกันแน่นอน

           

          ตอนนี้เข้าใจกันหมดแล้วทั้งของคปท.และที่ประชาธิปไตย ส่วนที่ผ่านฟ้าเข้าใจแล้ว ทำให้ระบือไปทั่วโลกเลย ถ้าทำได้สำเร็จจะเกิดราชประชาสมาสัย ทำได้ท่านจะสบายพระทัยมากเลย ให้ในหลวงช่วยไว้ เป็นสัจจะที่สุดยอดแล้ว ถ้าเราออกมาครั้งนี้ชนะ แผ่นดินก็ไม่เสีย ที่คาราคาซังอยู่ที่ศาลโลกพิพากษาอยู่ ก็ไม่เสีย เพราะจะตรงกับที่เราประกาศปฏิวัติประชาชนในวันที่ 11 พ.ย. 56 ประกาศไปแล้วเขาก็เห็นว่าเป็นเรื่องตลกตกยุค แต่เราว่าเราลำ้ยุคเขาตามไม่ทัน

          จึงมีคำถามว่าเราไม่รับศาลโลก แต่เราทำตามให้รู้ว่ากฎของโลกเป็นอย่างไรเป็นผลของสัจธรรม รับรองว่าคณะนี้ได้ปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อย เอาความถูกมาตัดสิน ถ้าเราผิดคุณก็ว่ามา ให้ตุลาการตัดสินให้ชัด ไม่เบี้ยวไม่ผิด ผิดเราก็รับผิด ถ้าผิดแล้วไม่รับผิดก็ชั่ว ถ้าประชาชนเข้าใจว่าอธิปไตยหรือประชาธิปไตยคือ soverign คือหนึ่งหัวหนึ่งเสียง หนึ่งหัวหนึ่งคน เราเป็นเอกราช เป็น Dependent คุณตัดสินด้วยปัญญาของคุณ หนึ่งคนหนึ่งเสียง ประเทศไทยนี้ก้าวหน้ามากไป ที่อื่นเขามีมวลมามากแต่คุมกันไม่ได้

          ของเรานี้ยืนยันนานวันนานปี แม้บางแห่งจะเป็นม็อบลูกโป่ง กลางวันยุบ กลางคืนโป่ง ก็ตาม แต่ของเรานี้ไม่ค่อยยุบ เป็นมวลเสถียร ยุบน้อยกว่า ถ้าเราใช้เวลานาน ก็นิ่งได้ เป็นปุริสภาวะ แต่ถ้ายังยุบเข้าออกอยู่นี่ก็คืออิตถีภาวะ นาคีมีพิษเพี้ยงสุริโย เลื้อยบทำเดโชเชื่องช้า พิษน้อยหยิ่งโยโสแมลงป่อง ชูแต่หางเองอ้าอวดอ้างฤทธี

          เราได้ทำมาถูกต้องสัจธรรม เราทำเหนือกว่าต่างประเทศ ในมุมของเราสงบได้มากกว่า แต่ของเขามีมุมที่มวลมากกว่า แต่ความสงบเขาทำไม่ได้ เราพยายามชนะรายทาง พัฒนา Neo protest เอาความถูกต้องเป็นตัวตัดสิน และุลาการก็เข้าใจช่วยตัดสินหลายทีแล้วเอารัฐบาลสมัคร สมชายออก คราวนี้ก็ยังเชื่อว่าตุลาการจะร่วมสัจธรรม เอาความถูกผิดตัดสินให้เที่ยงธรรม แสดงความเจริญแท้จริงของอาริยชน เราทำความสงบความจริงได้แล้ว เราถูก เหลือแต่มวล คนผิดต้องหยุด ตุลาการช่วยหน่อย เราทำความสงบได้ เหลือแต่มวลจาก Minority right ให้เป็น Majority right เราทำได้มากพออย่างแท้จริง จะเป็นเอกของโลกทำได้ก่อนประเทศไหนสงบและถูกด้วย เป็นอำนาจประชาชนมาแสดงหัวคะแนน อำนาจอธิปไตยเบอร์หนึ่งที่มีในหลวงที่ท่านก็เป็นประชาชน

          ประชาธิปไตยต้องมีสองขา กายกับจิต มีในหลวงกับประชาชน เราเคารพในหลวงเพราะความดีงามของท่านเป็นวิญญาณที่สุดประเสริฐ สุดยอดสมบูรณ์แบบเป็นจิตวิญญาณพระเจ้า อันนี้ทางประชาธิปไตยขาเดียวเขาไม่มี เขาไม่มีการสืบทอดสั่งสมบารมี แต่อันนี้เรามีต้นทุนสะสมมา ธรรมดาสัตว์เดรัจฉานสัตว์โลกก็จะมีส่ิงนี้ เหลือแต่ตอนนี้เราจะทำอย่างไร ให้มวลประชาชนออกมาแสดงปริมาณ ส่วนคุณภาพเราทำถูกต้องมาแล้ว ผู้ผิดตอนนี้ก็ไม่ข้องแวะ

          ยกตัวอย่างเรื่องพลังงาน เราด่าแล้วด่าอีก แต่ไม่กล้าฟ้องกลับว่าหมิ่นประมาท เพราะถ้าฟ้องจะถูกเปิดโปง ถ้าเขาไม่ผิดจริงก็ต้องฟ้องกลับหมิ่นประมาทนานแล้ว แต่ไม่ฟ้องเพราะหมิ่นประมาท ขืนฟ้องก็ประจานตนเอง เพราะมันจริง เรื่องนี้เรื่องเดียวก็แสดงความจริงแล้ว

          เรากำลังทำความสงบสยบความเคลื่อนไหว ให้เกิดชนะอย่างสวยงามเป็นปุริสภาวะ ยกตัวอย่างหมาตัวที่ชนะมันจะนิ่ง ตัวที่แพ้จะหงายท้องน่ิง แล้วมันก็แหง๋งๆๆๆ แต่ตัวชนะจะนิ่ง ความเป็นเอกนี่จะน่ิง อำนาจนั้นมีแบบ Force เราไม่เอาแบบนั้น เราเอาแบบ Authority ครั้งนี้อาตมาจะไม่หยุด ใครทำให้สะดุดก็เป็นบาปของเขา แต่เราจะทำต่อแน่ หยุดตอนนี้เราก็ต้องยอม ไม่ต้องพูดถึงฆ่าแกงเราก็ต้องยอมอยู่แล้ว อย่างเอารถถังมาตอนนี้เราก็ต้องหยุด หรือตำรวจเอาปืนมายิงเราตอนนี้เราก็กลับบ้านเลย ไม่ต้องสู้แพ้เป็นแพ้ เรามาถึงขั้นนี้แล้ว

          ตอนนี้เรื่องสำคัญคือของตัวเป็นๆหัวเป็นๆออกมารวมกันให้มากๆๆๆ ฟังประโยคนี้ก่อน

            “ถ้าไม่มาออกกันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ”

          นัดวันว.เวลาน. ออกมาพร้อมพรึ่บกันทั่วประเทศเลย เป้าหมายเป็นเอกภาพแล้วคือโค่นระบอบทักษิณ จะมีกี่กลุ่มก็แล้วแต่ มารวมคะแนนเสียงเป็นการเมืองข้างถนนทั้งนั้น แต่ในสภาเป็นอำนาจที่เรามอบให้เป็นตัวแทนเท่านั้นแต่เขาริบอำนาจเราไปหมดเลย ดังนั้นเราต้องออกมารวมตัวกันทวงคืนอำนาจประชาชน ทำให้เป็น Majority  right เพราะเรามี Minority right แล้ว ที่เขาว่าการเมืองนอกสภาไม่ใช่การเมือง นี่คือความเข้าใจผิดว่าการเมืองต้องอยู่ในสภานั้น พระพุทธเจ้าสอนว่าสภาต้องมีบัณฑิต ในสภาไม่ใช่แดนหากินส่วนตัว แต่คือแดนที่ไปเสียสละให้ประชาชน ไม่ใช่แหล่งกอบโกย สภาเป็นแดนมาเสียสละให้หมดตัวตน นี่คือพระพุทธเจ้าสอน “ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ”  ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:40:44 )

561118

รายละเอียด

561118_วิปัสสนาข่าวฯโดยพ่อครู ปรีชา แซมดิน สุทิน

ถ้าไม่มากันมืดฟ้ามัวดิน ทักษิณกลืนกินเราแน่

       สุทินว่า...วันนี้เป็นเรื่องสำคัญ พ่อครูเมตตามาเทศนา...สัปดาห์นี้ต้องจับตาดูการเมือง คุณสุเทพประกาศให้คนมาร่วมชุมนุมให้มืดฟ้ามัวดิน และวันที่ 20 พ.ย. 56 จะมีการตัดสินคำร้องกรณี 310 สส.และสว. เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของสว. ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ผิด อาจผิดถึงขนาดให้สส.และสว. 310 คนหมดสมาชิกภาพ ก็อาจมีผลเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

และมีพรรคฝ่ายค้านคือปชป.ยืนญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯด้วยข้อหายาวเหยียด แต่รัฐบาลก็ยังไม่ยอมให้เปิดประเด็น ดั้งนั้นสองวันที่จะถึงนี้อาจมีการยุบสภาฯ แล้วแนวทางของกปท.นั้นเสนอปฏิวัติโดยประชาชน พ่อท่านเสนอว่าเป็นการปฏิวัติอย่างสันติ งดงาม ปราศจากอาวุธ ใช้พลังของธรรมเป็นอาวุธ เป็นความก้าวหน้าที่สุด แต่ทุกขบวนก็มีความเป็นเอกภาพในการโค่นระบอบทักษิณ ร่วมปฏิรูปประเทศไทย

       พ่อครูว่า...คราวนี้ขอยืนยันว่า เป็นปรากฏการณ์หรือเป็นScenario ของสัจธรรม ได้เกิดมาแล้ว ผู้ที่รู้ก็มาปฏิบัติจริง และเราได้ทำไปแล้วเป็นปรากฏการณ์จริง แต่คนก็ยังนึกว่าเราทำเล่น ทำตลก ที่จริงเราทำล้ำยุค และที่จริงกว่าคือตรงยุคด้วย ตรงขณะเป็นสมัยปรากฏเป็น A best Revolution เป็นการปฏิวัติที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเกิดมาคือเป็นปฏิวัติโดยประชาชน

       ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ของโลก เห็นว่าการเลือกผู้แทนเข้าไปทำงานก็ถูก แต่ไม่สดไม่จริง เท่ากับการมาเลือกผู้บริหารประเทศ ขณะนี้ประชาชนไทยกำลังออกมาลงมาเลือกตั้งผู้บริหารประเทศใหม่ โดยขอล้มล้างผู้บริหารเก่าที่ตั้งแต่คุณทักษิณทำมาเป็น10 ปีก่อน แล้วก็ล้มเหลว เราล้มไปแล้วถึง 2 รัฐบาล ส่วนรัฐบาลทักษิณก็ถูกปฏิวัติ ไป แล้วประชาชนก็มีปฏิภาณเอาดอกไม้มาเสียบปลายปืนให้ นั้นถูกต้องที่สุดแล้ว ต่อมาเราล้มรัฐบาลสมัคร และสมชายด้วย ตุลาการภิวัฒน์ แต่ตอนนี้ตุลาการณ์ภิวัฒน์ก็อ่อนล้าแล้ว เหลือแต่พลังของประชาชน เป็น sovereign power ที่เป็นพลังอำนาจสูงสุด เป็น Supreme power

       ระบอบที่เราจะโค่นคือทักษิโณมิกซ์ ที่ทำประเทศฉิบหายว่ายป่วง เราทำอยู่เป็นหลัก 3 กลุ่มนี้ ประชาชนต้องออกมาเลือกตั้งสดๆ ออกมาเป็นมวลมหาประชาชน ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็ต้องยอมรับว่าเสื้อแดงกับรัฐบาลนั้นเป็นอันเดียวกัน ถ้าฝ่ายแดงจะออกมาชุมนุมก็เชิญ ไม่ได้ท้าทาย แต่อย่ามาทำรุนแรง มาแข่งกันเป็น Majority right ถ้าเราออกมามากกว่าเราก็เป็น  Majority right ส่วนรัฐบาลนั้นแม้คุณจะมีมากก็เป็น Majority wrong จะออกมาเป็นหัวคะแนนจริงๆ เป็น Popular vote หรือ Erectoral vote ก็ตาม แต่เกิดจริงปัจจุบันทันด่วน

       อาตมาเห็นว่าสำนึกหรือความเข้าใจของรัฐบาล ตำรวจ ทหาร เป็นความเข้าใจที่ดีหมดเลย แต่จะกล้าจริงไหม? ไม่ดูถูกความคิดของ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจเข้าใจถูกแล้ว เป็นแต่จะออกมาหรือไม่ มาไล่ระบอบทักษิณก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง คดีของทักษิณ ของรัฐบาลนั้นอยู่ในศาลมากมาย

       สองปีที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ทำมาก็แถลงผลงานไม่ได้ หรือแม้แต่รัฐบาลสมัครหรือสมชายก็ถูกล้มไปแล้ว เพราะตุลาการช่วยไว้ แต่ครั้งนี้ท่านจะช่วยหรือไม่ไม่รู้ แต่ประชาชนต้องออกมาให้มืดฟ้ามัวดิน ไม่เช่นนั้นทักษิณก็จะต้องกลืนกินประเทศไปแน่นอน  คือ “ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ” ต้องออกมาให้เป็น  Majority right แม้ฝ่ายแดงเขาจะออกมาก็ให้รู้กันไปว่าใครจะมากกว่า หรือแม้เราจะน้อยกว่าเราก็น่าจะถูกต้องกว่า เป็น Minority right เพราะเราทำได้งามมาตลอด เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ทำมาตลอด ตั้งแต่คุณสนธิ บุญรัตน์กลินมาแล้วเอาทักษิณออกไป แต่เขาก็เอาสมชายขึ้นมาได้อีก แต่พธม.ก็เอาสมชายลงได้ แต่ทักษิณก็มีโมเมนตั้ม ให้ยิ่งลักษณ์ขึ้นมาอีก เราก็ออกมาตอนเสธ.อ้าย เขาแสดงกำลังForce น่าเกลียด ของตำรวจที่มาผนึกกับรัฐบาล เราก็เลิกไม่เอา เสร็จแล้วเราก็ไม่หยุด เราออกมาอีก ครั้งนี้ควรเป็น Final จริงๆ ถ้าตุลาการช่วยอีกก็ดี

       แต่ถ้าตุลาการไม่ช่วย เราก็ทำการก่อนไป เราจะปล่อยประเทศให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ เขาจะโอหังมากกว่านี้ เขาหน้าด้านหน้าแข็งเพิ่มอีก ฮุบสภาสูงสภาล่าง และต่อไปจะพยายามควรคุมตุลาการด้วย แล้วไทยจะหลับไหลต่อไป อาตมาว่ากลั้นใจตายกันทั้งประเทศเลยดีกว่า มารวมตัวกันนั่งกลั้นใจตายกันที่ถ.ราชดำเนินเสีย ให้รู้ว่าประเทศไทยพ่ายแพ้ทักษิโณมิกซ์แล้ว เรามาทำให้เกิด Majority right ได้ไหม มาให้เขารู้ว่าคุณนั่นแหละคือพวก Minority และเราทำถูกต้องมาตลอดเลย ผู้รู้ทั้งหลายช่วยกันทั้งในและต่างประเทศ ว่าเราทำถูกหรือผิด เราไม่ตัดสินตัวเอง

       ถ้าเราทำถูกก็ให้เราทำต่อ เราทำอย่างเสียสละต่อประชาชน คนที่ทำดีแล้วยังไม่เกิดผลดีเราก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำดีต่อไป แพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง 

       ประเทศในโลกนี้ผ่านมาพันกว่าปี พระเยซูเจ้าได้ไถ่บาป ต้องถูกตรึงกางเขน แต่ก็กอบกู้ศาสนา นามธรรมได้รับชัยชนะมีศาสนาคริสต์กลายเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ในโลก เป็นนามธรรม พันกว่าปีผ่านไป คานธีก็เกิดขึ้นมากอบกู้รูปธรรม ใช้สันติอหิงสา ยอมตาย เพื่อไถ่บาปแก่ประชาชน และทำได้สำเร็จ สุดท้ายต้องตายด้วยลูกปืนสามนัด ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 อาตมาว่ารูปและนามครบแล้วนะ ถ้าจะให้อาตมามานั่งกลั้นใจตายกลางถนนก็ต้องทำ มากอบกู้ประเทศชาติ อาตมาต้องมาทำอย่างนี้ ไม่เห็นมีใครมาทำโพธิรักษ์ต้องมาทำ ขออภัยไม่ได้ยกตัวยกตนเทียบท่านเหล่านั้น อาตมามาทำหน้าที่ของมนุษยชาติ ไม่ได้ต้องการลาภยศสรรเสริญสุขอะไร พูดไปก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน เหมือนแม่ว่าลูกดีๆก็ไม่เข้าใจก็ต้องด่าว่าบ้าง ใช้หอกปากคือมุขสตี

       ขณะนี้เราทำได้สวยงามขึ้นมาบ้าง ตอนนี้อาตมาขอเอาข่าวของ Astv มาอ่าน ว่า

** การเมืองหลัง 20 พ.ย.ตึงเครียด     

       นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่าสถานการณ์การเมืองกำลังเข้าสู่โหมดแห่งความตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และหลังวันที่ 20 พ.ย. นี้ ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาทางใดก็ตาม สถานการณ์ก็ยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลายลง

       สมมติว่า คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีคำร้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของส.ว. เป็นคุณกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่ชุมนุมอยู่ถนนราชดำเนิน ก็จะทำให้คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ไม่ยอมรับ และสร้างกระแสต่อต้านไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญ

       ในขณะเดียวกัน หากคำวินิจฉัยเป็นคุณกับฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็จะส่งผลให้การชุมนุมต้องยกระดับกดดันรัฐบาลมากยิ่งขึ้น เพื่อให้จบภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน ตามคำประกาศของแกนนำ ฉะนั้น หลังวันที่ 20 พ.ย. คงมีการเคลื่อนไหวใหญ่ของทั้ง 2 ฝ่าย และมีโอกาสเกิดการเผชิญหน้ากันได้ตลอดเวลา

       ที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นเพราะรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่ได้วางตัวที่เหมาะสม แต่กลับสั่งกลไกรัฐทุกระดับ ปกป้องค้ำบัลลังก์ตนเองและสั่งระดมมวลขนมาสนับสนุน เพื่อยืดอายุของตัวเองต่อไป โดยไม่สนใจความขัดแย้ง แตกแยก ที่จะตามมา

       ปรากฏการณ์แบบนี้ กำลังสร้างเงื่อนไขให้เกิดอำนาจนอกระบบคล้ายๆ เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กัยายน 2549 ถึงตอนนั้น รัฐบาลจะไปโทษใครก็เป็นเรื่องยาก หรือสายเกินแก้

      

       ทั้งนี้ การชุมนุมไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลก็ต้องพิจารณาตัวเอง จะยุบสภา หรือลาออก ก็ย่อมทำได้ แต่การปลุกระดมมวลชนมาเผชิญหน้ากับประชานที่เห็นต่างกับรัฐบาล ไม่ใช่วิถีของรัฐบาลประชาธิปไตย

       พ่อครูว่า ..ระดมมวลชนออกมาForce ไม่ดี แต่เอามามากๆแล้วสงบมา ดีเบตกันไหมล่ะ อย่างผลงานรัฐบาลก็ไม่สามารถแถลงได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นออกมาให้มากๆช่วยกันแสดงว่าใครเป็น Majority right กันแน่

        อ่านต่อ...**“ยิ่งลักษณ์”สร้างภาพต้านความรุนแรง

      

       เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ 17 พ.ย. ที่ สนามกีฬากองทัพอากาศธูปเตมีย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประะธานในการเปิดโครงการ “เสียงพลังประชาชน ยุติความรุนแรง”โดยมีรัฐมนตรี อาทิ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ นายพีระพันธ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์ นางปวีณา หงสกุล รมว.พัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขา ปปส. ร่วมงาน ทั้งนี้ กลุ่มที่เดินทางมาร่วมงานต่างตะโกนสนับสนุนและให้กำลังใจว่า "ยิ่งลักษณ์สู้ๆ " ทำให้นายกรัฐมนตรีถึงกับยิ้มปลื้ม

       ทั้งนี้ ภายในงาน มีการประกาศเจตนารมณ์ “เสียงพลังประชาชน ยุติความรุนแรง”เพื่อให้เกิดการรวมพลังภาคประชาชน นำไปสู่การยุติความรุนแรงด้วยการ ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว พร้อมทั้งมอบธงสัญลักษณ์ให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ 18 กลุ่มเป้าหมายอีกด้วย และกำหนดให้เดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี”

      

       น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อยากใช้โอกาสนี้ ขอความร่วมมือกับสังคมไทยทำทุกอย่าง เพื่อไม่นำให้ก่อเกิดความรุนแรง เชื่อว่าเป็นเป้าหมายที่สังคมทุกส่วนอยากเห็น ซึ่งภาครัฐ ได้พยายามรณรงค์โดยการสร้างจิตสำนึกในทุกกลุ่ม ทั้งในครอบครัวและการรณรงค์ การปกป้องสิทธิ ขณะเดียวกันทางสำนักงานอัยการ และกระทรวงยุติธรรม ก็พยายามรณรงค์ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิ เพื่อปกป้องสิทธิตามกฎหมาย

       เมื่อถามว่า ความรุนแรงที่อาจเกิดจากทางการเมืองในขณะนี้จะแก้ไขอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เป็นเจตนารมย์ที่เรารณรงค์ทุกปี และอยากขอความร่วมมือว่า รัฐบาลอยากเห็นความสงบ และไม่ใช้กำลังกับผู้ชุมนุม และกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นเรียกร้องต่างๆ รัฐบาลเคารพในสิทธิการแสดงออกของผู้ชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันต้องขอความร่วมมือ ถ้าส่วนใดที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะทำให้สังคมมีความสบายใจ เช่น การแสดงสิทธิตามข้อกฎหมาย ก็อยากขออนุญาตให้กลุ่มผู้ชุมนุมกลับไปทำงานตามปกติ ช่วงนี้ใกล้เทศกาล โดยเฉพาะวันลอยกระทงในวันนี้ (17พ.ย.) อยากให้ประชาชนมีความสบายใจ คลายความกังวล

       เมื่อถามว่า นายกฯ กลัวเสียงนกหวีดเป่าใส่ หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นการแสดงออกของพี่น้องประชาชน เราคงไม่สามารถไปพูด หรือก้าวละเมิดอะไรได้ แต่ต้องขอความกรุณาว่า บางครั้งงานที่เป็นทางการ ก็อยากให้เห็นถึงความสามัคคี อีกทั้งในการแสดงออก ก็มีหลายวิธีและมีอีกหลายเวทีที่จะรับฟังความเห็น

       ส่วนในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.นั้น รัฐบาลคงไม่สามารถก้าวล่วงอะไรได้ ในข้อเท็จจริงแล้ว เราก็พยายามรับฟังกันด้วยเหตุและผล คงต้องขออนุญาต ทุกอย่างต้องขอให้ประชาชนรับฟังด้วยเหตุและผล อย่าใช้อารมณ์ ทุกอย่างเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ และดูในเรื่องกติกาต่างๆ อย่างสมบูรณ์ และเราอยากเห็นบ้านเมืองก้าวไปสู่ความสงบสุข สองสามปีที่ผ่านมา เรามีบรรยากาศไปในทิศทางที่ดีแล้ว ก็อยากเห็นบรรยากาศเหล่านี้ต่อไป

       พ่อครูว่า...สาธุๆๆๆรัฐบาลเคารพสิทธิผู้ชุมนุม และไม่ใช้ความรุนแรง ถ้าทำได้อย่างที่พูดนะ แต่ถ้าเขาทำอย่างพูดอย่าง กลับไปกลับมา เขาเรียกว่า ตลบแตลงหรือตอแหล และการมาชุมนุมนี่เป็นปกติ รัฐธรรมนูญอนุญาต สากลเขาทำกัน องค์กรสิทธิมนุษยชนก็ช่วยรักษาสิทธิให้ประชาชนด้วยนะ เขาไม่ได้มาทำความเดือดร้อนรุนแรง มีดปอกผักนี่ไม่ใช่อาวุธร้ายแรงนะ

       ที่เราทำนี่เป็นเรื่องยาก คือ “เรื่องใหญ่เรื่องอยากที่สุดที่ผู้ชนะเกือบรอบโลกทำไม่ได้ นั่นก็คือการเป็นผู้แพ้ ถ้าเขาทำได้เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลกที่แท้จริง และมีคุณทักษิณพูดว่า ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในชีวิตนี้ และก็คงจริงว่าเขาก็จะเป็นผู้แพ้ไปตลอดกาล เขาเป็นผู้ชนะรอบโลกไม่ได้ แต่เราแพ้มาตลอดกาล เราคือผู้ชนะรอบโลกที่แท้จริง

       เมืองไทยจะเป็น A Best Model ของโลกที่จะปฏิวัติโดยประชาชน ซึ่งประเทศอื่นเขาทำก็เลือดตกยางออก ส่วนพวกเราทำเขาก็หัวร่อกัน แต่ต่างประเทศเขาจะเข้าใจอย่างเราทำเหมือนเสรีไทย เราได้ประกาศปฏิวัติไปแล้ว ให้มารายงานตัวตามที่เขาทำกันมา เขาก็หัวร่อย่อกัน ถ้าเขาเอาสไนเปอร์มาส่องเราก็ตายเพราะไม่มีที่กำบังอะไร ไม่มีคอนกรีตอะไรเลย ของเราเปิดเผยมีแต่เต็นท์กันฝนกันแดด แล้วใครแน่กว่ากัน ใครขี้กลัวกว่ากัน

       เมืองไทยทำมาสวยงามแล้ว มาช่วยกันต่อยอด เหลือแต่อัตตาตัวตนเท่านั้นแหละที่ต้องสละ กิเลสนี้คุณค้นตัวเองไม่เจอ มันเล่นซ่อนหากับคุณ คุณต้องค้นหาให้เจอ แล้วเลิกยึดอัตตาตัวตน แล้วถ้าสลายอัตตาแล้วออกมาร่วมกัน แสดงพลังรวมเป็น Kinetic energy แล้วมารวมกันที่ราชดำเนินจะมีพลังเป็นเอกราช เอกภาพ Dependent สมบูรณ์เลย เราทำถูกครรลองคลองธรรมสมบูรณ์เลย อยากให้เป็นครั้งสุดท้าย Final decision ที่แท้จริง เกิด Finalize ให้ได้มาช่วยกันหน่อยได้ไหม ผู้ที่เหลืออยู่ถอดอัตตาตัวตนหน่อยได้ไหม ส่งสัญญาณถึงผู้ที่อาตมารัก นับถือ ถ้าอันนี้สำเร็จ อาตมาว่าสำเร็จ

       ขณะนี้ทางปชป.ก็รวมกับเราได้แล้ว เมื่อวานนี้คุณสุเทพมาคุยกับอาตมาแล้ว ว่าต้องทำอย่างสงบสันติ ปราศจากอาวุธ แม้จะแพ้ก็แพ้อย่างคนถูก Right ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีฤทธิ์ก็ชนะ ถ้าไม่เกิดก็แพ้ แต่ไม่น่าจะผิดพลาดนะ เราประกาศ ปฏิวัติในวันที่ 11 เดือน 11 ปี 11 (5บวก6) นิมิตนี้อาตมามองว่าไม่น่าผิดนะ ไม่ได้มุขนะ

       วันที่ 11 เดือน 11 ปี 56 (รวมกันเป็น11) แล้วเราทำสำเร็จเดินกลับมาก็ตอน 11.00 น. แล้วเราจะไม่สำเร็จได้อย่างไร คุณจะเล่นเรื่องลึกลับ Magicalก็ตามหรือเอาแบบสว่างเห็นได้ก็มีให้เห็นแล้ว ทั้งรูปและนามก็พร้อมแล้ว

       คุณสุทินว่า...อาทิตย์นี้ก่อนสิ้นเดือนจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ

พล.อ.ปรีชาว่า...ความเลวร้ายของระบอบทักษิณที่แสดงออกมามาจากนักการเมืองที่เลว มาจากพรรคไทยรักไทย และพลังประชาชน ได้ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้ยุบพรรคไป รวมทั้งพรรคชาติไทยด้วย คำตัดสินของศาลที่สำคัญคือ พตท.ทักษิณ และพรรคที่ถูกยุบเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นี่ศาลรัฐธรรมนูญบอกนะ พฤติกรรมที่จาบจ้วงพระองค์ท่านไม่มีใครมาติดตามเอาเรื่องลงโทษเลย ทหารก็นิ่งเฉยอยู่กับผู้ร้าย เป็นตลกร้าย เหลือเกินกว่าจะคาดคิด ว่าเป็นทหารมาไม่เคยพบเห็นสิ่งเลวร้ายอย่างนี้ ตลอดชีวิตไม่ยอมให้ความชั่วผ่านไหล่ผมไปได้ และจะไม่ยอมทำสิ่งผิดแน่ จนมาประท้วงกับคณะเสนาธิการร่วมและกองทัพธรรมกับพ่อท่าน มาถึงวันนี้จนไปถึงสิ้นเดือนเป็นเวลาที่เราจะมาแสดงอำนาจอธิปไตยของประชาชนออกมาปกป้องชาติบ้านเมือง เป็นเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องให้รัฐที่เป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ออกไป ประชาชนต้องออกมาช่วยกันแสดงอำนาจอธิปไตย กองทัพ ข้าราชการ ถึงเวลาแล้วท่านต้องออกมากอบกู้ชาติกับคนไทยที่รักชาติ

       ผู้ประท้วง 3กลุ่มที่ราชดำเนินและที่อื่นๆกำลังแสดงพลังอำนาจอธิปไตยของปวงชน พวกเราต้องยืนหยัด จนกว่าเราจะชนะระบอบทักษิณ และร่วมปฏิรูปประเทศด้วยสภาประชาชน ร่วมกันคิดแก้ไขปัญหาชาติ เราจะร่วมกันทุกฝ่ายทุกสาขาอาชีพ มาร่วมกันทำ แม้ว่าเราจะเสียอธิปไตยที่ปราสาทพระวิหารเขาก็ยังบอกให้ประชาชนยอมรับอันนี้คือพฤติกรรมกบฏแน่

        รต.แซมดินว่า...พฤติกรรม คำพูดของทักษิณและพรรคพวกที่ทำมานี้ทำให้ตนเองและพรรคพวกรวมทั้งรัฐบาลนี้ อ่อนแอลง เขาตลบแตลงอยู่ตลอดเวลา มีพฤติกรรมถีบหัวส่งพี่น้องเสื้อแดง ซึ่งพี่น้องเสื้อแดงหลายคนก็ตาสว่างขึ้น ส่วนพวกที่มือบอดพวกรับผลประโยชน์อยู่ก็ยังทำช่วยปั่นกระแสพวกเขาอยู่ตลอดเวลา มีคลิปถั่งเช่าออกมา ไม่มีคำพูดที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชนเลย มีแต่ทำเพื่อตนเองทั้งสิ้น แล้วที่หาเสียงว่าจะกระชากค่าครองชีพก่อนเป็นรัฐบาลนั้นก็ไม่ได้ทำจริง

พ่อครูว่า...ต้องขอบคุณพวกดาวแดงที่ไปปกป้องศาลรัฐธรรมนูญอยู่ เขาทำสงบเรียบร้อยดีมาก แต่เขามีน้อย แล้วก็มีเสื้อแดงจะเข้ามาแทนที่เขา ก็อาจเกิดความรุนแรงเพราะพวกดาวแดงเขาไม่ยอมแน่ ขอเจ้าหน้าที่ช่วยรักษาความสงบด้วย

       แซมดินว่า...เมื่อคืนวานตำรวจไปเจรจาให้ดาวแดงออกไป ให้เสื้อแดงเข้ามาแทน

       พ่อครูว่า...อย่างนี้ทำไม่ถูกต้องนะ ดาวแดงมาคุ้มครองศาล แต่เสื้อแดงจะมาคุกคามศาล เราจะยอมหรือ

       พล.อ.ปรีชาว่า...ศาลรัฐธรรมนูญท่านมีความกล้าหาญ ท่านทำการณ์ภายใต้พระปรมาภิไธย เชื่อว่าศาลท่านนิ่งเสมอ เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารท่านกำลังเป็นลูกมือของกบฏ

       พ่อครูว่า...เขาเพียงดำริ ยังไม่ได้ทำ ก็ขอว่าท่านอย่าทำเลยรุนแรง

       แซมดินว่า ตำรวจน่าจะมีหน้าที่ปกป้องศาลรัฐธรรมนูญแต่ตำรวจไม่ทำ ดาวแดงก็เลยมาทำหน้าที่แทนไง ตำรวจไม่มีเหตุผลพอที่จะให้ดาวแดงออกไปได้  การแก้กฎหมายในรัฐสภาก็ทำอย่างทุจริตมีการเสียบบัตรแทนกัน และแก้กฎหมายอย่างทำเพื่อตนเองและพวกพ้อง ให้ตนเองทำผิดแล้วไม่ผิด อย่างมาตรา 190 ก็แก้ให้ประชาชนไม่ต้องรับรู้ สภาไม่ต้องรับรู้ตนเองจะได้โกงกินได้สะดวก พี่น้องจะตื่นรู้แล้วมาร่วมกับพวกเราเพิ่มขึ้น ปชป.เขานัดหมายวันที่ 24 พวกเราไม่ต้องไปไหน นั่งอยู่ที่นี่เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติเราสละตัวตนอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ ถ้ามาวันนี้ไม่ได้ก็มาวันที่ 24 ได้ไหม
       พ่อครูว่า...พระเจ้าส่งเรือโนอาห์มาแล้ว มาขึ้นเรือโนอาห์ให้ทันไม่งั้นตายกับน้ำท่วมโลกนะ

       แซมดินว่า...สามเวทีเราไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม ข้อมูลก็ปรับให้เท่าเทียมกัน ตอนนี้ปชป.ก็ปรับมาเป็นปฏิรูปประเทศไทยด้วย ฝากถึงคุณทักษิณ ว่าท่านได้ทำเวรกรรมอย่างต่อเนื่องยาวนาน ครอบครัวแตกระแหง ความสุขที่ท่านอยากได้ก็ไม่ได้รับ ท่านทบทวนหน่อยว่า เงินทองที่ท่านได้ให้ความสุขท่านได้ไหม แล้วทำให้ประชาชนทั่วประเทศทุกยากขนาดไหน พอหรือยัง คุณทักษิณ หยุดเสียที มันมากเกินไปเสียแล้ว ตอนนี้ประชาชนรู้หมดแล้ว ญาติท่านนจะไปเดินตรงไหนในประเทศไทย ถึงเวลาก็หนีออกนอกประเทศทุกที แต่ทางประชาชนออกมาด้วยความเข้าใจ การปักหลักพักค้างมันแน่นกว่าของพวกท่าน ของพวกท่านใช้เงินใช้อำนาจมันไม่ได้จริง มันไม่แน่น ฝากว่า พอเสียที พอเสียที เพื่อพี่น้องประชาชนไทยทุกคนครับ สุดท้ายนี้ขอบอกกับพี่น้องประชาชนที่ยังไม่ออกมา วันที่ 5 ธันวาฯเราก็จะทำงานใหญ่เพื่อในหลวง สถานที่นี้ก็จะต้องตกแต่งให้สวยงาม เวลาชีวิตของท่านที่ได้เคยกินเที่ยวเสพ แต่ช่วงเวลาสั้นๆนี้ขอมาทำเพื่อประเทศชาติได้ไหม ข้อมูลตอนนี้ก็ครบแล้ว ออกมาๆๆๆ

       พ่อครูว่า...มีข่าวด่วน มีรถจากจำนวนหนึ่งร่วมกันพาเสื้อแดงมา ขึ้นรถปุ๊ปจ่ายปั๊ปเลย คนแก่บอกว่าใกล้ตายแล้วออกมาเลย อาจมีพวกกินหัวคิวกันอีก

       ถ้าติดธงชาติไทยไม่ได้ แต่ถ้าติดธงชาติเขมรหรือติดธงแดงหน้ารถตำรวจไม่ผิดกฏหมายอย่างนั้นหรือ?

รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ กลัวธงชาติกับนกหวีด เราไม่ต้องเอาอาวุธมาด้วย เอาธงชาติ นกหวีดกับจิตใจที่รักชาติมาก็พอ

 

       รัฐบาลนี้เป็นกบฏ ให้คนไทยยอมยกพื้นที่ให้เขมร ประชาชนเราทำตามรัฐธรรมนูญมาตรา 70และ71 มาปกป้องผลประโยชน์ชาติ ต้องออกมาช่วยกันขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ ทหารตำรวจก็ออกมาช่วยกัน แต่อย่าเอารถถังเอาปืนออกมา ออกมาร่วมกับประชาชนอย่างสงบสันติอหิงสา

เมื่อประชาชนปฏิรูปประเทศแล้วก็ต้องเอาเงินที่เขาโกงกินคืนมาให้หมด

       เรื่องทรัพยากรธรรมชาติก็ต้องเอาคืนให้หมด เป็นการ Reform ประเทศไทย แต่ก่อนปฏิรูปก็ต้องมีการปฏิวัติกันก่อน ต้องมี People's revolution of the core of Nation Reformation การปฏิวัติปฏิรูปประเทศนั้นต้องใช้ธรรมะมาทำให้คนเข้มแข็งพึงตนเองได้ ด้วยตัวของเขาเอง มีธรรมะจึงจะสร้างชาติได้ ไม่โอนอ่อนไปตามอบายมุข จึงปฏิวัติและปฏิรูปได้อย่างไม่เสียเลือดเนื้อได้

พล.อ.ปรีชาว่า...ถ้าเราปฏิวัติได้เราต้องปฏิรูปตนเองด้วยการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง คนมีธรรมะจะมีความพอเพียง มีคุณค่าเป็นที่พึ่งหวังของประเทศได้ มีธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่มีหนี้ ไม่มีโรค ไม่ประพฤติชั่ว เราก็จะไม่ทุกข์

       พ่อครูว่า....เราต้องทำการ ปฏิวัติก่อนแล้วจะปฏิรูปได้ ถ้าทำ ปฏิวัติไม่สำเร็จเราก็ปฏิรูปไม่ได้สำเร็จ ถ้าไม่มากันมืดฟ้ามัวดิน ทักษิณกลืนกินเราแน่ ขอบคุณพวกเราที่มาร่วมกัน ขอให้เป็นชัยชนะของผู้แพ้ ….จบ    

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:42:50 )

561118

รายละเอียด

561118_สงครามสังคมฯ โดยพ่อครูและอ.สมศักดิ์

เรื่อง นิติรัฐนิติธรรมสำคัญอย่างไร?

       

       พ่อครู....หลายคนบอกว่ามาฟังธรรมะ แต่หลายคนบอกว่าธรรมะที่ไหนพูดการเมืองต่างหาก แต่ว่ากิจกรรมการเมืองนี่แหละมันมีภาษาธรรมและมีกิจกรรมธรรมะอยู่ เนื้อหาสาระธรรมะนั้นเรากำลังจะเอาที่ท่านคานธีว่า ในการเมืองถ้าเราไม่เอาธรรมะไปสถาปนาไว้ในการเมืองแล้วอย่างนั้นไม่ใช่การเมือง ถ้าเข้าใจเนื้อหาแล้ว จะพูดภาษาใดก็สื่อเข้าใจเหมือนกัน บางคนก็ว่าไม่ใช้ธรรม บางคนว่าเป็นพระเป็นเจ้ามาพูดการเมืองทำไม

       ขอบคุณคนไทยที่ได้มาช่วยกันอุดหนุนงานนี้ เรียกอย่างชัดๆเลยว่างานม็อบ คำว่าม็อบคือการชุมนุมที่ก่อความวุ่นวาย แต่ของเรานี่พยายามให้เกิดความสงบเรียบร้อย เราพยายามจะให้ใช้คำว่า Protest หรือ Demonstrate แต่เขาก็ว่าม็อบ เราก็ม็อบก็ว่าม็อบ

       ภาคภูมิใจจริงๆว่าไม่ได้เกิดความรุนแรงเลย ครั้งก่อนรุนแรง แต่ครั้งนี้ขอบคุณคนไทยที่ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยนี้ เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ หรือแม้แต่ด้านการทำสงครามของสังคมเป็นธรรมาธรรมะสงคราม เป็นสงครามของธรรมะกับอธรรม นี่คือเนื้อหาเลย ที่เรามาช่วยกันก็เพื่อที่จะยับยั้งอธรรมที่เกิดในสังคมให้หยุด จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราไม่ต้องการความรุนแรง จะเป็นไปตามกฏหมาย แต่ถ้ามันจะเกิดบกพร่องขึ้นมาเราก็ไม่ต้องการเลย เรามารักษาส่ิงที่ดีที่สุด อาตมาอยากให้สติให้ข้อคิดอันหนึ่งคือ

       คนที่ใจไม่ค่อยสู้คือติดสบาย คนเราไม่อยากลำบากสักคนหรอก แต่ในกาละอย่างนี้ กาละที่ต้องเสียสละ ต้องอดทน ต้องใช้ความพยายามพากเพียรเพื่อให้สงครามสังคมนี้สำเร็จ ตอนนี้มีการรบ ทางด้านการเมือง ที่เป็นสงครามสังคม หรือธรรมาธรรมะสงคราม เป็นการรบที่สวยงาม ไม่มีอาวุธถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ของอารยชน สำเร็จแล้วรู้ตัวหรือเปล่า เราทำสำเร็จแล้ว อาตมาว่านึกไปถึงอดีตที่เขาทำปฏิวัติหรือประท้วงกัน เขาก็ไม่ได้มาต่อสู้ขนาดอย่างที่พวกเราทำกัน ถึงวันนี้ 3 เดือนกว่าแล้ว เลือดไม่ตกยางไม่ออก มีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ที่อื่นเขาเลือดตกยางออกกันแล้ว แต่ที่เราไม่ เป็นเครื่องชี้วัดว่าการต่อสู้ของพวกเรามันงดงาม ขอให้ประคองจนจบ ให้งดงาม

       คนที่ไม่ค่อยอดทน ขอให้สติ เช่นตอนนี้ นัดกันวันที่ 24 ก็ไม่ได้หมายความว่าวันที่ 24​ค่อยมา วันธรรมดาไม่ถึงวันที่ 24 ก็ยังไม่มา ก็เลยกลายเป็นเรื่องน่ากลัว ไม่ถึงวันที่ 24 ก็มีคนไม่เท่าไหร่ พอมาวันที่ 24 ค่อยพรึ่บ มันดูเหมือนไม่ค่อยจริงใจ ไม่มีน้ำหนัก มันจากม็อบ จะกลายเป็นมอด แม้จะทำได้สงบเรียบร้อยดีก็ตาม แต่จำนวนคนน้อย

       ของเขานี่จำนวนคนมากนะ คะแนนเสียงของเขาได้มาจากการเลือกตั้ง ก็ขยายความว่า การเลือกตั้งเป็นคะแนนเสียงระดับ 5นะ เป็นการเลือกตัวแทนเข้าไปทำงาน ตามหน้าที่

     เรามาบอกว่าต้องการการเปลี่ยนแปลงระบอบการบริหารประเทศ มาประท้วงนี่เรื่องไล่คุณออก ให้คุณเลิกระบอบทักษิณ เขาต้องการให้คุณออก มาลงคะแนนเสียงสดๆตัวเป็นๆ ถ้าเราประกาศไปเรื่อยๆ อธิบายให้คนเข้าใจไปเรื่อยๆ วันที่ 24 นี้ให้มาทั้งวัน มายืนยันความหนักแน่น ส่วนวันธรรมดาก็ให้มากัน อย่าให้มันมอดไป ให้เขามาแย้งได้ ถ้าวันธรรมดา 5 แสน วันที่ 24 นี่ล้านคนเลย

       แต่พวกเรานี่กลุ่มกองทัพธรรมปักหลักไม่ได้ไปไหน หลายคนไม่ได้กลับบ้านหลายเดือนแล้วย้ายจากสวนลุมฯมานี่ก็ไม่ได้ไปไหน ช่วยกันมาร่วมกันที่นี่ก็อยู่กันได้ ส่วนทางด้านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ให้ไปร่วม รวมมวล 3 จุด มัฆวานฯ ผ่านฟ้าฯ ผ่านภิภพฯ​ในราชดำเนินนอกนี่ ถ้าเราพยายามอดทนจนถึง 24 นี่ให้มีมากๆ ยืนหยัดยืนยัน

       เรื่องอีกเรื่องที่อยากไขความ เรื่องปฏิวัติ คนเขาว่าไม่มีในรัฐธรรมนูญให้ประชาชนมาปฏิวัติ แต่รัฐธรรมนูญทุกมาตรามมีผลผูกพันธ์ทุกองค์กร ที่เราประกาศเรามีคณะกปท.หรือกองทัพประชาชน ที่เราเรียกนี้ร่วมกับกองทัพธรรม ในกองทัพประชาชนก็ผนึกกับกองทัพธรรม และในคณะเสนาธิการร่วมก็มีคนของกองทัพธรรมและในกองทัพธรรมก็มีพรรคการเมืองเพื่อฟ้าดินอยู่ มีหัวหน้าพรรค มีเลขาธิการอยู่ เป็นนิตินัย มีผลผูกพันธ์ทุกองค์กรจึงมีสิทธิ์ประกาศปฏิวัติ เมื่อเหตุปัจจัยครบว่า เขามาแสดงสิทธิรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ที่ระบอบทักษิณคิดเพื่อไทยทำนี่มันผิดมาตั้งแต่ต้น เป็นนักโทษพิพากษาแล้ว หนีคุก ยังมีคดีรออีกมาก แล้วให้นักโทษหนีคดีมาคิดมาชี้นำการบริหารประเทศมันทำได้อย่างไร ยิ่งทำมากี่ปีแล้วก็ทำมา ศาลว่าแล้วก็เฉย หน้าแข็ง มันสุดแล้ว จึงเกิดการปฏิวัติโดยสมควร ประชาชนมีสิทธิ์

       เป็นอำนาจประชาชนแบบใหม่ เป็นSovereign power ที่สวยงามมากออกมาแสดงความจริงให้มากๆหมด คุณเถียงไม่ออก อยู่อย่างหน้าด้าน แล้วตลบแตลงครอบงำทางความคิด แต่คนก็เริ่มตาสว่าง คนที่หลงเชื่อก็ไปมันเขี้ยวอยู่ตรงนั้น ถูกสะกดจิต ให้หลงใหล

       รัฐธรรมนูญมีอำนาจผูกพันธ์ทุกองค์กร เราทำให้เกิดขนบธรรมเนียม ให้เกิดนิติรัฐนิติธรรม นิติรัฐคือบัญญัติที่ระบุเป็นข้อกฏหมายเช่นรัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุ แต่มันเป็นนิติธรรม คือความถูกต้องสมควร ไม่อย่างนั้นก็หมด แผ่นดิน ทรัพยากรก็เสีย ประชาชนไทยแย่ไปหมดแล้ว ของราคาแพง แล้วบอกว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า

       มีคนเขียนขึ้นมาเมื่อวานนี้ ที่พ่อครูพูดเมื่อวานว่าให้มานั่งตรงนี้แล้วมากลั้นใจตายจะไม่ผิดหลักแห่งธรรมะหรือพุทธหรือไม่?

ตอบว่า...มันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะหาที่สุดให้ก็เลยเป็นสำนวนว่ามากลั้นใจตายเถอะ แต่กลั้นใจตายมันไม่ง่ายหรอก นอกจากจะบีบคอกัน คนเราพอหายใจไม่ออกก็แย่แล้ว พูดไปโดยสำนวนโวหาร คุณก็อย่าพาซื่อ

       ที่เราทำนี่ไม่ได้หาเรื่องใคร ไม่ได้รบกวนใคร จะตายก็ไม่ให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใคร เขาพูดอีกคำว่า ตายประชดป่าช้า มันสมควรตายแล้วหรือเปล่า ทำไมมันไม่น่าอยู่เลย ถ้าถึงป่าช้าแล้วก็ตายประชดป่าช้าเสียเลยดีกว่า ประเทศไทยให้ผีครอบครองเลยอย่างนั้นหรือ?

       พวกเราที่จะมาลงคะแนนเลือก เรามีคนอยู่สองกลุ่ม การมาชุมนุมนี่เป็นการมาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ไม่ใช่วิธีการเลือกตั้ง แต่นี่ตัวจริงออกมายืนยันความต้องการ ตรงกันเลย ระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พูดหวัดๆละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ระหว่างระบอบทักษิณกับระบอบกษัตริย์

       คุณออกมาก็มาดีเบตสิ คุณก็พากลุ่มคุณมา เราก็พากลุ่มเรามา แต่อย่าตีกัน

1.มวลใครมากกว่ากัน เปรียบเทียบง่ายๆตื้นๆ Majority rule ประชาธิปไตยวัดมวล ถ้าคุณมวลมากเรามวลน้อยเราแพ้ ถ้าคุณมวลน้อยเรามวลมากคุณแพ้ แต่วิธีการไม่ใช่มีแค่มวล มันลึกซึ้งกว่านั้น

2.เอาเรื่องความถูกต้องดีงามด้วย นี่คือMinority right คำว่า right คือความถูกต้องและสิทธิมนุษยชน เช่นในอเมริกา คะแนนเสียงของคุณกอร์ชนะแต่ว่าเลือกกันแล้วคุณบุชได้เป็นปธน.เป็นต้น เราต้องมาพิจารณาสองส่วนนี้ ถ้ามากันมากเลย ให้ปริมาณเหนือกว่าอีกฝ่าย ทั้งปริมาณและคุณธรรมความถูกต้องก็ชนะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเลย อยากรู้ว่าจะยอมให้ระบอบทักษิณกับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี่ มันอย่าหลอกตลบแตลงเลย เขาทำกันลบหลู่ดูหมิ่นในหลวงให้เอารูปในหลวงลงเป็นต้น อยากรู้ว่าคนไทยจะเลือกฝ่ายไหนมากกว่ากัน ไม่ได้บังคับ แต่ว่าให้เข้าใจให้มาลงคะแนนเสียงสดๆเป็นประชาธิปไตยที่งดงาม เราไม่ฆ่าแกงกันเราเอาความถูกต้องความดีงามชนะกัน ฝ่ายที่ถูกก็ควรชนะ ฝ่ายที่แพ้ก็ควรยอม

       เขานัดกันวันที่ 24 ฝ่ายแดงก็นัดเลยวันที่ 24 แต่อย่าให้รุนแรง ตำรวจก็ช่วยดูแล อยากดูว่าถ้าเราน้อยกว่าจริง ระบอบคุณงามความดีมีน้อยจริง สุดท้ายจะเอาชนะกันที่มวลแล้วอยากรู้ว่าคนไทยจะเอาระบอบทักษิณมากกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรืออย่างไร?

       เมื่อมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญล้มเหลวแล้วต้องขึ้นไปสู่มาตรา 2 คือคืนพระราชอำนาจให้เกิดราชประชาสมาสัย

        อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล นักกฏหมายมหาชนได้มาขึ้นเวทีร่วมกับพ่อครู …..

     อ.สมศักดิ์ว่า...เรามานี่เป็นการมาชุมนุมถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เราไม่ได้ตกใจปั๊ปแล้วเข้าห้างแบรนด์เนม ไม่ใช่ตกใจแล้วเอาขวดใส่น้ำมันมาเผาบ้านเผาเมือง เรามีสิทธิเสรีภาพในการมาแสดงสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย การอ้างว่ามีเสรีภาพแต่ถือขวดมากันคนละใบมาเผาบ้านเผาเมือง

       วันที่ 20 นี้ว่าด้วยศาลรัฐธรรมนูญที่จะตัดสินคดีความสำคัญ ผมไม่เรียกว่าที่มาของสว.เพราะเขาแก้ไขเยอะมาก เรียกว่าแก้ให้องค์กรนี้เปลี่ยนสภาพให้ไม่ต่างจากสส.เลย เขาแก้ไขทั้งที่มา และอื่นๆให้เสียสภาพองค์กรการตรวจสอบ แล้วที่ถูกร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

       คือมีการเสียบบัตรแทนกัน เป็นข้อเท็จจริง ศาลรัฐธรรมนูญก็จะไต่สวนเรื่องนี้ การกระทำในลักษณะนี้ไม่มีอำนาจ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารปลอม ในประเด็นการปลอมแก้ไขรัฐธรรมนูญศาลท่านไม่ค่อยได้ไต่สวน เพราะพยานส่วนใหญ่เป็นเอกสารก็ไม่ต้องถามมาก ข้อมูลเพียงพอแล้ว

       และแนวทางการตัดสินจะมีอยู่กี่ทาง

        มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

        มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผูกระทําการดังกล่าว”

 

       ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้ว่าให้ประชาชนยื่นฟ้องโดยตรงได้ ตัวเอกสารที่รัฐบาลทำนี้เป็นเอกสารปลอมอยู่แล้ว เป็นการได้มาซึ่งอำนาจรัฐมาด้วยวิถีทางอันไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ปลอมเอกสารได้ ซึ่งผิดมาตรา 68 นี้ ถูกยุบพรรคแน่นอน

       บรรดาสส.ที่ลงมติให้ผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ทั้งหมด 310 ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ส่วนศาลท่านจะตัดสินอย่างไรเราก้าวล่วงไม่ได้ นี่เป็นความเห็นส่วนตัว

       ถ้าสส.สส.ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง สภาฯก็จะเหลือแต่ฝ่ายค้าน ส่วนสว.ก็จะเหลือแต่กลุ่ม 40 สว.นอกนั้นไปหมด บรรดาสส.สว.ก็จะไม่เหลือคนของรัฐบาลเลย  ทำเองก็ต้องรับผลของตนเอง

       เมื่อรัฐบาลไม่มีสส.และสว.สนับสนุน ก็อยู่ไม่ได้ ทางหนึ่งฝ่ายค้านได้ยืนญัตติไม่ไว้วางใจไว้ ซึ่งนายสมศักดิ์ ไม่ยอมรับการยื่นญัตติ เพราะว่าคะแนนเสียงจะไม่พอ ต้องแพ้แน่ ถ้าถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

       แล้วร่างแก้ไขนี้เป็นเอกสารปลอมก็ทักท้วงกัน เพราะนายกฯยิ่งลักษณ์ต้องนำทูลเกล้าฯ เขาเตือนด้วยความหวังดี แต่เขาก็นำทูลเกล้าฯ​แปลว่าเขาใช้เอกสารปลอมแล้ว เมื่อมีการกระทำเช่นนั้นก็ถือเป็นความผิดทางอาญา แน่นอนฝ่ายบริหารก็ต้องไปด้วย จะเป็นชัยชนะของประชาชน

ถ้าวันนี้เราบอกว่าการปฏิวัติโดยประชาชนถูกต้องตามกฏหมายแล้วรัฐบาลนี้ต้องออกไป เราต้องปฏิรูปประเทศไทย ก่อนปฏิรูปก็ต้องให้ชินวัตรออกไปด้วยก่อน เราจะส่งสัญญาณไปถึงศาลรัฐธรรมนูญว่าให้ชินวัตรออกไปๆๆ

       

ที่เขาบอกว่าเป่านกหวีดแล้วเขาจะเอาผิดตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 370 และ 397

        มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียง ทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อนต้อง ระวางโทษ ปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท

       เขาว่าเป็นการรบกวน ในมาตรานั่นมีองค์ประกอบว่าไม่มีเหตุอันสมควรแล้วเรามีเหตุอันสมควรไหม ซึ่งประชาชนทำตามรัฐธรรมนูญเพราะคุณทำผิดรัฐธรรมนูญผิดกฏหมาย ถ้าเขาจะเอาเรื่องผิดตามประมวลกฏหมายอาญานั้นต้องให้ศาลชี้ว่ามีเหตุอันสมควรหรือไม่ ส่วนมาตรา 397

        มาตรา 397 ผู้ใดในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัลกระทำ ด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่นหรือกระทำให้ผู้อื่น ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

       กระทำการข่มเหงรังแก กระทำการให้เขาอับอายขายหน้า แต่ก่อนทำผิดแล้วไม่รู้จักอาย แต่พอเขาเป่านกหวีดแล้วรู้จักอาย

       คุณธาริต ไม่มีอำนาจ ทั้งสองอย่างเป็นลหุโทษ เขาทำผิดหน้าที่ ไม่มีอำนาจแล้วไปทำก็เท่ากลับกลั่นแกล้งคน ผิดมาตรา 200 เลย ฟ้องกลับเลย

       ถ้าเกิดจะคิดว่าการเป่านกหวีดเป็นการกระทำให้อาย ควรกลับไปทบทวนพฤติกรรมของตนว่าทำให้วงการกฏหมายอับอายขนาดไหนแล้ว

       แล้วธงชาติล่ะ ติดธงชาติ ริบบิ้นลายธงชาติ เป็นการแสดงออกความรักชาติ ถ้าถามว่าผิดกฏหมายไหม ไม่มีกฏหมายฉบับไหม ข้อไหนว่าผิด ถ้าคนที่บอกว่าห้ามติดธงชาติไทยแล้วจะให้ติดธงชาติประเทศไหน ...คนตอบว่าเขมร

       ติดธงชาติไทยมีแต่เรื่องดีทั้งนั้น

       พ่อครูว่า...เมื่อสาธยายหลักการแล้วทำให้ชัดเจน คนที่มีจิตไม่ดีงามจะไม่กลัว ไม่มีคุณธรรมคุณความดีอะไรเลย เขาทำงานใหญ่ระดับประเทศ ไปอยู่ในฐานะที่กระทบกระเทือนต่อมวลชนเป็นอันมากมันเป็นความซวยของสังคมอย่างแท้จริง การที่เราจะมาล้มล้างอำนาจ ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงนี่ ก็ขอให้สติแก่ประชาชนไทยนะว่า เราได้ทำมากันจนมีมวลระดับหนึ่ง อยู่กันมานานระดับหนึ่งกรุณาเห็นความจริงแล้วออกมาช่วยกันปัดเป่า สิ่งที่เป็นเหตุแก่สังคมนี่ออกไป สากลเขาก็รู้ มีครรลองคลองธรรมทั่วโลก ถ้าคนไทยเห็นจริงกันได้ แล้วทำได้จะเกิดตัวอย่าง เป็น A best model

       คำว่า Model นั้นคือจำลอง ไม่ใช่ของแท้ เคยเตือนคุณจำลอง ว่าคำว่าจำลองคือปรับปรุงไปเรื่อยๆ จนได้ A best model ถ้าคราวนี้ไม่มาช่วยนี่ปลดความเป็น A best model นะ ควรได้พัฒนาขึ้นก็มาช่วยกันนะ ให้เกิดความดีงามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้จบที่ของจำลองนะ แต่เราพัฒนามาเรื่อยๆ เป็นความงดงามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

       เขาพัฒนาคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่นี่เพิ่มขึ้นๆ พัฒนาเป็นโมเดลที่ดีขึ้นเรื่อยๆไป คุณจำลองเองก็อย่าไปยึดว่าคุณเป็นแค่ของจำลอง แต่ว่าคุณจำลองคือ A best model จริงๆ ไม่ได้พูดยกยอกันนะ แกไปติดอะไรไม่รู้ สว่างซะทีสิ ...จบ The End


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:45:29 )

561119

รายละเอียด

561119_สงครามสังคมฯโดยพ่อครู อ.ปราโมท

เรื่อง สุญญากาศทางการเมืองได้เกิดแล้ว

 

       เรื่องที่จะพูดนี้เป็นเพื่องพหุชนสุขายะ การเมืองก็เป็นงานเพื่อประชาชน อีกฝ่ายหนึ่งเขาก็ว่าเขาเป็นประชาธิปไตยแล้วว่าเราเป็นเผด็จการ ต่างคนต่างตู่กันไป อาจเป็นความเข้าใจเขาจริงๆก็ได้ คนเราก็โง่เท่าที่ตนโง่ ฉลาดเท่าที่ตนฉลาด ส่วนคนที่ฉลาดแต่เพื่อตัวตน เขาอาจแฝงอยู่นิดว่า เขาทำเพื่อคนส่วนใหญ่แต่เขาเองก็ได้บ้าง มีร้อยก็ให้ประชาชน80 เขาเอาแค่ 20 ก็เป็นได้ หรือบางคนเอาไว้ 40 ให้ประชาชน 60 ก็เป็นได้ สัจธรรมมีหลายชั้นมาก ชาวอโศกเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราก็อาศัยพึ่งกันกินกันใช้ เราพึ่งกันได้ เหลือก็ให้ส่วนรวม ใจเราบริสุทธิ์ไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาพุทธให้อ่านใจตนว่ามีกิเลสไหมอย่างไร ตั้งแต่การกระทบทวารทั้ง 6 ในรูป 28 ซึ่งมีมหาภูตรูป 4 และมีอุปาทายรูปอีก 24 สูงสุดคือความว่างเป็นอากาศธาตุ หมดตัวหมดตนหมดเนื้อหมดตัวเป็นอากาสธาตุ และก็มีวิญญัติรูปอีก 2 เป็นการเคลื่อนไหว ทางกายเรียกว่ากายวิญญัติ ทางวจีเรียกว่าวจีวิญญัติ มีการแสดงออกเป็นอิตถีภาวะและปุริสภาวะ และก็มีวิการรูปอีก 5 มีลหุตา ที่พวกเราทำได้นี่ขอบคุณมากทำได้อย่างสงบเรียบร้อย แม้แต่ฝ่ายแดงเขาก็ว่าสงบสันติอหิงสา ใครปฏิบัติผิดพลาดเป็นแพ้ มุทุตา แปลว่าจิตหัวอ่อน ปัญญาแววไว เจโตก็แววไว เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง อภิมหาปรมานิจจัง มีอุปจยะ คือเจริญขึ้น และมีความต่อเนื่องเป็นสันตติ และมีชรตา คือความเสื่อม ก็มีปัญญารู้ว่าจะเอาอย่างเกิดหรือจะเอาเสื่อม ทำได้ถูกหมดเลย มันเสื่อมเพราะเราทำให้เสื่อม แล้วก็มีอนิจจตา ทุกอย่างในมหาจักรวาลนั้นไม่เที่ยง สิ่งเที่ยงแท้อย่างเดียวในมหาจักรวาลคือ นิพพาน มีคุณสมบัติ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       ขณะนี้ท่านผู้รู้หลายท่านบอก....หลายคนจำนนว่า เขาไม่มีทางออก ส่วนอาตมาก็คุยกับเทวดา(ต้องเข้าใจว่าเทวดาคืออะไร) เทวดาที่คุยกับอาตมาไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้า เทวดคือจิตที่ดีของตนเองนั่นเอง และได้คำตอบว่า...ทางออกมี ปัจจุบันก็ทำได้ ทางออกคือ ตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ ก็ใจเย็นๆ มันเป็นบุญบาปของประเทศด้วย ให้ตุลาการท่านตัดสิน ท่านช่วยมาตั้งแต่สมัยสมชาย และสมัคร เชื่อท่านเถอะ เราก็รอตุลาการภิวัฒน์

       แล้วประชาภิวัฒน์เราต้องช่วยตนเอง เรามาตัดสินกันด้วยความถูกต้องกับมวลประชาชน สิ่งถูกต้องคือองค์รัฐาธิปัตย์เป็นหนึ่งเดียวกับพระมหากษัตริย์ ตุลาการคือตัวแทนกษัตริย์ ประชาชนเลือกนายกฯทางตรงหรืออ้อม และตุลาการก็ทำให้เกิดเป็นประชาธิปไตยสองขา ถ้าเผื่อว่าตุลาการก็ทำได้ดี ประชาชนก็มาทำหน้าที่ ออกมาชุมนุมประท้วงอย่างสงบ ไม่มีอาวุธ ถ้าออกมากันมืดฟ้ามัวดิน มีประสิทธิภาพคุณภาพและปริมาณ ครบสมบูรณ์ ทางคุณค่าความดีงามถูกต้องเรายกให้ตุลาการตัดสิน ส่วนปริมาณออกมากันให้มากสักล้านเสียง ถ้าออกมาล้านเสียงจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ประชาชนชนะแน่ เชื่อว่าฝ่ายโน้นก็ต้องยอม เพราะยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคฟ้า บ่ กั้น ก็จะจบอย่างสวยงาม หวังลึกๆว่า ประเทศไทยจะเป็น A Best model ได้ น่าจะเป็นครั้งที่เป็น Final

       ล่าสุดก็เห็นว่าสงบได้ อย่างตอนข้างทำเนียบ แม้กดดันเราไม่ให้กินข้าวกินน้ำ พล.อ.ปรีชาก็พาเราออกมาได้สงบ จนเกิดเป็นอีกแห่งหนึ่งขึ้นครบ 3 เส้า มันครบแล้วนะ ทั้งปัญญาความรู้ทั้งจิตใจที่แข็งแกร่งแกล้วกล้า นี่คือทางออกที่ชัดเจน นี่คือความสุจริตของสังคมมนุษยชาติ ก็ขอพูดความจริงว่า จริงๆแล้วประชาชนคนไทยในประเทศทำให้ฝ่ายทักษิณที่เขาซื่อเขาก็เข้าใจว่าทักษิณถูกต้อง และเขาก็ว่าเราผิด แต่เราก็เห็นกันตรงกันข้าม นอกจากคนรู้ว่าทักษิณผิดแต่หลงในลาภยศสรรเสริญ เป็นเจตนาเลยก็บาปใครบาปมัน

       พวกเราก็เห็นว่าทักษิณผิด แต่ว่าไม่ใช่ทักษิณผิดคนเดียว แต่คนไทยทุกคนที่ปล่อยปละละเลยให้ทักษิณเหลิง ใช้ความร่ำรวยทำร้ายชาติไทยให้ตกทุกข์ได้ยาก คุกคามประเทศอยู่  ก็เป็นคนผิดด้วย บางคนอาจมีบัลลังก์รองรับ แต่คนส่วนใหญ่เดือดร้อน ความผิดไม่ใช่อยู่ที่ทักษิณคนเดียวแต่อยู่ที่คนไทยที่เฉยเมยปล่อยให้ทักษิณเป็นเสือติดปีก ใช้พลังฤทธิ์ตามที่เขาทำได้ จนเขาบอกว่าสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น ประชาชนที่ปล่อยให้ทักษิณหลงเหลิงไม่ออกมาช่วยกันต้องรับผิดชอบนะ ถ้าออกมา 35 ล้านไม่ชนะตัดคออาตมาได้เลย หรือถ้ามาล้านหนึ่่งแล้วทางโน้นยังหน้าด้านไม่ยอมก็ต้องยอมมันล่ะ

       คนปล่อยปละละเลยถือว่ามีความผิด ถือว่าปล่อยให้เสือติดปีก อาละวาดใหญ่โต คนไทยที่ปล่อยปละละเลยไปแล้ว ณ วินาทีนี้ ออกมาแก้ไขบาปเถอะ มาช่วยกันยับยั้งไม่ให้เกิดความเดือดร้อนมากกว่านี้เถอะ

พลังอธิปไตยของปวงชนอยู่ที่ประชาชนออกมาแสดงคะแนนเสียงมืดฟ้ามัวดิน ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ ออกมาแสดงมวลเท่าที่จะมากได้ เป็นsovereign power

       ความถูกต้องกับความจริงเป็นสิ่งเดียวกัน จะเป็นสยามเทวธิราชิทธิสมบูรณ์เลย จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างความจริงกับความถูกต้อง เรายืนยันอยู่กับสองสิ่งนี้ ฝ่ายแดงก็ทำไปสิ ไม่ต้องไปกดดันศาลรัฐธรรมนูญท่าน

       ฝ่ายแดงก็จะออกมากดดันศาล ดาวแดงก็มาป้องกันศาล ไม่ได้ไปกดดันนิ่งสนิท ขอบคุณเขาจริงๆ ที่จริงต้องเป็นหน้าที่ตำรวจ เมืองไทยมีความพิกลพิการด้านนี้ แต่ท่านก็รู้ตัวมากขึ้น เชื่อว่าท่านจะทำดียิ่งขึ้น ขอร้องกลุ่มแดงอย่าไปกดดันศาล และพวกดาวแดงที่ไปอยู่เขาก็เป็นนักสู้ ไม่อยากให้เผชิญหน้ากัน ดาวแดงเขาทำหน้าที่ของเขามานานแล้ว กินนอนอยู่ที่นั่น

       ประเทศไทยอาตมามองเห็นว่ามีพัฒนาการทุกด้าน ฝ่ายที่ผิดก็พัฒนา ฝ่ายถูกต้องก็มีเมตตา มีคนเสนอว่าขอให้ใช้คำว่า มวลมหาประชาชนแทนพลังประชาชน ก็เป็นเรื่องดี มวลมหาประชาชนก็ไม่ดูเป็นForce

       แม้อยู่คนละฝ่ายก็ทำหน้าที่ ต่างคนต่างแย่งประชาธิปไตย แต่ว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน แต่ความเห็นต่างกันได้ เป็น นานาสังวาส เขาเชื่อว่าเขาเป็นประชาธิปไตยถูกต้องแต่เราก็เห็นว่ามันไม่ใช่ อย่างในสภาเป็นต้น มีผู้รู้มาสาธยายกันมากมาย ว่าอะไรผิดอะไรถูก

       พระพุทธเจ้าท่านให้อิสระ ให้ฟังความสองข้าง ไม่ครอบงำทางความคิด เช่นดูหลายๆช่องอย่าดูช่องเดียว เห็นทั่วแล้วตัดสินใจเลือกว่าฝ่ายไหนที่คุณเห็นว่าถูกต้อง คุณต้องตัดสินเอง อย่าไปตกเป็นเหยื่อถูกครอบงำทางความคิด เป็นทาสทางโลกธรรม คุณก็ตัดสินเอง ฝ่ายไหนดีเป็นธรรมวาที ฝ่ายไหนเป็นอธรรมวาทีก็ไม่ต้องไปร่วมด้วย พระพุทธเจ้าท่านให้ไม่คบคนพาล ท่านให้เข้าข้างคนดี ให้มองอย่างมีปัญญาปาสาโท รวมแล้วส่วนถูกใครมีมากกว่า แล้วสังคมก็จะอยู่อย่างกุศลถูกต้อง ถ้าฝ่ายมีปัญญากุศลไม่เข้าข้างใครเลย แล้วฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายรังแก ก็คนเลวก็ต้องรังแกคนดีสิ จะไปได้อย่างไร เราก็ต้องเข้าข้างคนดีสิให้คนดีมีมากคนเลวจะได้ไม่กล้ารังแก อย่างสิงโตสู้หมู่ฝูงความป่าไม่ได้

       สรุปลงตรงที่ว่า ถ้าสิ่งที่หนึ่งก็ต้องมีสอง แต่ 1 กับ 0 คือ10 ก็คือรอบใหม่ ถ้าเริ่มมี คำว่ามีนี่ ไม่มีอะไรเลยที่จะนิ่งสูญ หนึ่งก็ต้องมีสอง สองก็ต้องมีสาม ท่านพุทธทาสว่าอย่าเอาจำนวนมากเป็นใหญ่ต้องเอาความถูกต้องเป็นใหญ่ สรุปแล้ว ความไม่มีคือนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเริ่มมีแล้ว ก็จะต่อเนื่องไป

       ต่อไปขอให้อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ บรรยายต่อ

 

        อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ....จอห์นล็อคว่าไว้....อำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารเป็นอำนาจที่จำกัด ในสังคมที่มีพระมหากษัตริย์จะมีอำนาจมากกว่าฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นทฤษฏีที่ตั้งขึ้นพิเศษ เป็นอำนาจที่เป็นกฎหมายธรรมชาติ แม้ไม่มีบทบัญญัติหรือขัดกับกฏมายก็ทำได้ มีถ้อยคำนี้อยู่ในหนังสือที่จะได้จัดพิมพ์ต่อไป สถาบันกษัตริย์ก็มาจากประชาชน มีสถานะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และนั่งอยู่ในดวงใจของทุกคน สิ่งที่กษัตริย์ทำนี้แม้ไม่มีในกฏหมายก็จะถือว่าทำเพื่อส่วนรวมแน่นอน

       พ่อครูถามว่า เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าที่ประชาชน สงฆ์ยกให้ท่าน หรืออรหันต์ท่านมีสติวินัย ไม่มีการทำผิด ไม่ใช่อภิสิทธิ์ แต่เป็นสัจจะ

       อ.ปราโมทย์ว่า....พระมหากษัตริย์มีอำนาจพิเศษเช่น การให้อภัยโทษเป็นต้น ท่านสามารถทำได้ ถ้าทักษิณมารับผิดแล้วขอพระราชทานอภัยโทษก็ทำได้

       เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ.....ลึกๆก็รู้ว่าธรรมะต้องชนะ กฏหมายต้องชนะ แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็ยกอ้าง แถ ไปได้ เขาไม่ประสงค์ที่จะรับผิด สิ่งที่อยากจะกล่าวเตือนไปในหมู่สส.และสว.ที่โง่เขลาเบาปัญญาที่ไม่รู้จักอำนาจอธิปไตยและศาล อย่างศาลต่างประเทศก็พิจารณาไม่อยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยก็เหนือชั้นอยู่แล้ว ปธน.อเมริกาที่ได้รับการเลือกตั้ง ชนะเกือบทุกรัฐ มีอำนาจมากและประสพผลสำเร็จยิ่งใหญ่ผูกมิตรกับจีน แต่ว่าได้ทำผิดเล็กน้อยปล่อยให้คนของตนไปลักลอบเอาข้อมูลของคนอื่น และศาลก็สอบสวนจนสาวถึงปธน.จนต้องลาออกจากตำแหน่ง เขามีสำนึกและความรู้ คณะของปธน.ที่ต้องพากันไปติดคุก ปธน.ต้องลาออกเพื่อให้รองปธน.ที่ขึ้นมาเป็นปธน.มาอภัยโทษ ปล่อยให้คนรับใช้ตนเองต้องติดคุก เขาติดคุกด้วยสองข้อหา คือให้การโกหกปกปิด และเรียกมาให้การแล้วไม่มา มีกฏหมายที่มีโทษที่เรียกว่าการขัดขวางขบวนการยุติธรรม ซึ่งบ้านเรามีคนที่คิดจะไม่ทำตามที่ศาลตัดสินก็ขอเตือนฝากไปไว้

       คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่การกระทำหรือกฏหมายใดกระทำขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งรุ่นของผมนี่เป็นรุ่นที่ 4 ตอนที่ผมได้รับแต่งตั้ง ซึ่งเมืองไทยได้มอบอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญ คณะของผมเรียกว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญ ส่วนคณะต่อมาชื่อว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งดร.กมลทอง ธรรมชาติที่ได้ตัดสินให้ทักษิณพ้นผิดคดีซุกหุ้น ในสมัยที่ผมเป็นศาลรัฐธรรมนูญปรากฏว่าไม่มีสักคดีที่ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่เหมือนสมัยนี้ เมื่อก่อนเมื่อมีข้อสงสัย ก็ส่งข่าวกันแล้วก็มาอธิบายกัน ทุกคนก็เข้าใจและยอมต่อกฏหมาย แต่คนเหล่านี้คงไม่เหลือแล้ว ในสมัยนั้น พล.ต.ท.ทักษิณ เป็นตำรวจที่ฝักใฝ่การเมืองคอยติดตามผู้ใหญ่แค่นั้น

       เรื่องที่เป็นเรื่องพิพาทย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ มีคณะบุคคลกระทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้องอธิบายถึงรัฐธรรมนูญอีกสักนิด รัฐธรรมนูญไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนกระดาษ แต่ที่จริง รัฐธรรมนูญมีองค์ประกอบ 3 อย่างและสิ่งที่อ่อนแอสุดคืออักษรที่เขียนไว้ เพราะไม่ว่าสมัยเผด็จการใดก็ยังมีการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นรายลักษณ์อักษรไว้เช่นกัน เป็นสิ่งสำคัญอันดับสาม แต่สิ่งที่สำคัญที่เป็นองค์ประกอบคือ กฏหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเขียนก็ได้ไม่เขียนก็ได้ ในอังกฤษไม่ต้องเขียน ส่วนอันที่ 3 คือการบรรจุหลักของรัฐธรรมนูญ หลักที่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นแม่บทว่าต้องกำกับว่าจะต้องเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรนั่นแหละ อะไรๆก็ 3 เหมือนไตรภาคีของเราที่มี 3 และรัตนตรัย ก็มี 3

รัฐธรรมนูญเป็นหนังสือค้ำประกันสิทธิเสรีภาพอำนาจของประชาชนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เหมือนดินฟ้ามหาสมุทร ถ้าประชาชนไม่พอใจก็เหมือนฟ้าผ่า จะมีเขียนไว้หรือไม่ก็ผ่าได้ ใครจะมาสั่นคลอนไม่ได้ แต่ประชาชนต่างใหญ่กันใช้สิทธิ์ของตนก็จะทำให้คนอื่นลำบาก ก็เลยต้องหาตัวแทนมาทำงานก็คือรัฐบาล

       และรัฐธรรมนูญต้องมีหนังสือจำกัดอำนาจของรัฐบาล โดยต้องบอกว่า รัฐบาลต้องมีอำนาจเฉพาะเท่าที่ประชาชนกำหนดให้ ถ้าจะไปทำนอกเหนือจากที่กำหนด ต้องมาขออนุญาตจากประชาชนเป็นครั้งคราวไป ประเทศที่ใหญ่โตอย่างอเมริกาก็ต้องมาขอร้องให้สภาหรือประชาชนตัดสินว่าจะอนุมัติงบฯไหม แต่รัฐสภาไทยนั้นเป็นรัฐสภานรกจรกเปรต สับปลับ นึกจะทำอะไรก็ทำ ได้รับคำสั่งมาก็ทำเลย ตอแหลได้ทันที

       อันที่ 3 นี้สำคัญต้องมีบทถ่วงดุลอำนาจให้สมดุล เพื่อให้ข้อที่ 1 และ 2 เป็นความจริงขึ้นมา การใช้อำนาจอธิปไตยต้องมีระบบราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตและเป็นกลางแต่ของไทยเราไม่เป็นกลาง มีวันนี้เพราะพี่ให้ เขาสั่งไม่ให้ส่งข้าวน้ำ เยี่ยวขี้อย่างนี้ใช้อำนาจขู่เข็ญตำรวจผู้น้อย นี่คือการใช้อำนาจผิดรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

       มาถึงการที่จะตีความการกระทำที่ผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งกฏหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายลักษณะพิเศษ มีหน้าที่พิทักษ์เสรีภาพของประชาชนอันยิ่งใหญ่ จะมาจำกัดหรือใช้กฏหมายเล็กน้อยใดๆมาจำกัดสิทธิ์ประชาชนไม่ให้ออกมาแสดงสิทธิ์อำนาจอธิปไตยไม่ได้

       เมืองไทยชอบต่อสู้โดยวาทะกรรม เช่นว่าจะตัดสินโดยนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ อันนี้เป็นวาจาสับปลับ ไม่มีวิชานิติศาสตร์รัฐศาสตร์ที่ไหนเขาสอนกัน ที่แท้จริงคือสองวิชานี้มีแม่เหมือนกันคือสิทธิเสรีภาพและความผาสุกของปวงชนเป็นที่ตั้ง เราจะมาเห็นแก่พี่น้องเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงที่มีจำนวนมากกว่าไม่ได้ ต้องใช้หลักของความถูกต้อง

       กฏหมายมีหลักอยู่สองอย่าง คือกฏหมาอาญา ต้องพิจารณาตามองค์ประกอบ แต่ยังมีกฏหมายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ความผิดอันเกิดจากการกระทำสิ่งที่กฏหมายห้าม อันนี้ไม่ต้องไปดูว่าบกพร่องโดยสุจริตทุจริต หรือไม่ต้องไปพิจารณาว่าเขาเลือกมาด้วยคะแนนเสียง 15 ล้านไม่ได้ ผิดก็ต้องผิด ซุกหุ้นก็ต้องออก เป็นต้น เด็ดขาดมากในกฏหมายนี้ เป็น ความผิดอันเกิดจากการกระทำสิ่งที่กฏหมายห้าม

       ถ้าใช้กฏหมายนี้ก็จะเด็ดขาด แต่ถ้าท่านไม่ใช่ แต่เป็นมาตรา 68

มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผูกระทําการดังกล่าว”

       ถ้าผู้ฟ้อง ก็ได้อ้างไปถึงตัวคณะที่ทำผิดอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่เข็ดหลาบ ก็ต้องรับโทษอีก เท่าที่กฏหมายกำหนด ที่จริงน่าจะรับมากกว่าเพราะทำผิดไม่เข็ดหลาบเสียที

       แต่ถ้าการตีความของรัฐธรรมนูญอยู่เหนือกฏหมายทั่วไป สามารถตีความโดยเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แล้วเรามาดูว่าอะไรเป็นเจตนารมย์ที่ยิ่งใหญ่เรียงกันมา ถ้าจำเพาะก็ต้องไปดูในรายงานที่คณะร่างรัฐธรรมนูญเขามี หรือเอาแบบอย่างความคิดของปวงชนมาเป็นหลักก็ได้อนุโลมคือเอาอย่างขนบธรรมเนียมหรือมีศาลตัดสินไว้ก่อนนี้หรือใกล้เคียง

     พ่อครูว่า...เสื้อแดงประกาศแล้วว่าเขาไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญ และสภาฯด้วยพรรคเพื่อไทยด้วยไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

       อ.ปราโมทย์ว่า....นี่เป็นความผิดต้องติดคุก ศาลเรียกแล้วไม่ไป อย่างปธน.นิกสันของอเมริกาเป็นต้น

       แล้วที่เขาขัดขวางไม่ให้ศาลทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ นี่คือรัฐบาลได้ทำผิด ไม่มีสิทธิ์ในการบริหารต่อ เกิดสูญญากาศทางการเมืองแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงลงมาทำการเมืองได้เต็มที่ พวกเราต้องมาแสดงให้เห็นว่าเกิดสูญญากาศโดยการมารวมกันเพื่อทำหน้าที่

       สรุปว่าเมื่อเราได้ทำการปฏิวัติโดยพล.อ.ปรีชา ปฏิวัติโดยประชาชนในวันที่ 11 พ.ย. 56 เวลา 15.30 น. เป็นการทำจริง ไม่ได้เป็นเรื่องเล่นเรามีนิตินัยและรูปธรรมชัดเจน แล้วมีคนถามต่อว่า การปฏิรูปจะเป็นอย่างไร อย่าดูถูกคนไทย คนไทยต้องปฏิรูปเป็นแน่

       มีคนส่งมาว่าให้แผ่เมตตาให้คนทำชั่วมากๆ...พ่อครูว่า ผู้ทำผิดทำเลวนั้นน่าสงสาร ส่วนคนดีนั้นเขาทำดีอยู่แล้วไม่ต้องไปสงสาร แต่คนชั่วเราต้องช่วยเขา ต้องว่าตำหนิลูกที่ชั่วมากกว่าลูกที่ดี ลูกที่ดีจะไปยกมากก็ไม่ได้จะไปทับถมข่มคนชั่วมากไป ลูกชั่วจะแย่ เราเมตตาเขา...ขอให้ทุกคนว่า “ ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ” ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:47:32 )

561120

รายละเอียด

561120_รายการสงครามสังคมฯ โดยพ่อครูและอ.ปราโมทย์

เรื่อง ประชาธิปไตยต้องมีจิตวิญญาณ

 

       พ่อครูดำเนินรายการ...การก้าวก็ได้ก้าวมาเรื่อยๆ เป็นการก้าวหน้ามาตามลำดับ ใครจะเห็นว่าการก้าวหน้ามีหรือไม่มี หรือถอยหลังก็แล้วแต่ แต่อาตมาเห็นว่าตั้งแต่เร่ิมออกมาแต่ปี 49 มาจนบัดนี้เห็นผลชัดเจน แม้วันนี้ ทางตุลาการภิวัฒน์ก็ตัดสินออกมา เป็นการตัดสินให้เกิดผลต่อการต่อสู้ทางการเมือง ที่งดงามมาก

ขอถามพวกเรานิดหนึ่งว่า...แต่ก่อนนี้เวลาออกมาเกิดการหวาดหวั่นไม่ค่อยสบายใจ กับครั้งนี้คราวไหนมันมากกว่ากัน...ส่วนใหญ่ตอบว่าคราวก่อนๆ ซึ่งคราวนี้ก็ราบรื่น สบายใจ ที่สำคัญ เกิดความเข้าใจ ปัญญา ถ้าย่ิงผู้ปฏิบัติธรรมก็จะเห็นจิตวิญญาณเราเจริญ แล้วผู้ใดเห็นบ้าง...อาตมาคุ้มแสนคุ้ม รายได้ของการปฏิบัติธรรมนี้ราคาแสนแพง เพราะธรรมะเป็นอุปสงค์ที่หายาก และต้องการมากในสังคม ใครผลิตได้ก็รวยเละ เป็นเศรษฐศาสตร์ทางธรรม

       แม้แต่การเมืองอันงดงามก็เกิดขึ้น ซึ่งหายากเช่นกันในโลก การปฏิวัติแบบนี้ เป็น A Best Model จริงๆ เป็นตัวอย่าง ที่เกิดขึ้นจริง เป็นโมเดลล่าสุดของโลกขณะนี้

       การต่อสู้ให้เกิดผลปฏิวัติหรือปฏิรูป ซึ่งปฏิวัติก็เกิดเร็วเห็นผลไว แต่ปฏิรูปนั้นค่อยเป็นค่อยไป ปฏิวัติต้องใช้พลังในการเปลี่ยนแปลง แล้วพฤติกรรมการเมืองไทยนี้เป็นพลังมหาประชาชนไทยที่สวยงามมาก คือ มี คุณภาพที่สงบเรียบร้อย ไม่ใช้อาวุธ เป็นประชาธิปไตยผู้ดีจริงๆ และมีความจริง ความรู้มายืนยันว่าใครจะได้แต้ม ถ้าบริบูรณ์เจริญแล้วจะน็อค แต่งานนี้คงน็อคยาก ที่จริงมวยเก็บคะแนนเป็นศิลปะฝีมือแท้ ส่วนมวยน็อคอย่างไมค์ไทสันหรือเจ้าแสบ ใช้พลังอำนาจหำ้หั่นกัน อาศัยจังหวะน้ำหนักเรี่ยวแรง แต่ไม่สวยเท่าศิลปะปัญญาในการชนะคะแนน เหมือนโผนกิ่งเพชรเป็นต้น ย่ิงรุ่นแรกๆ เจริญ ทรงกิจรักษ์​ ดังมาก เป็นแชมป์ของไทยรุ่นแรกๆ

       ศึกษาให้ดีจะเห็นผลดี ที่เราทำนี้เป็นสภาพใหม่ล้ำยุค จนคนเข้าถึงไม่ค่อยได้ คราวนี้เราชนะแล้ว ถ้าคณะรัฐบาลนี้เป็นผู้ดีก็จะเรียบร้อย เป็นที่อื่นลาออกไปแล้ว ตอนนี้ต้องอาศัย ตุลาการที่ทำได้งดงาม ไม่ทำรุนแรง ทำให้เกิดภาวะที่สวยงาม เป็นจังหวะก้าว ต้อง ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป อย่าใจร้อน เราเข้าใจแล้วว่าต้องไขความจริงต่อไป เราชนะกันด้วยความจริง ความถูกต้อง ระดับอาริยชนด้วยไม่ใช่เลห์เหลี่ยมเรี่ยวแรงแต่อย่างใด

       อย่างที่เราประกาศประชาชนปฏิวัติ​มันลำ้ยุคเกิน เขาว่ามาทำเล่นอะไร เขาก้าวข้ามไม่พ้นวงวัฏฏะที่ว่า การชุมนุมประท้วงที่มาล้มรัฐบาลมันต้องอาศัยคณะทหาร รถถังมากดดัน มาจับนายกฯ คนสำคัญต่างๆ อันนั้นมันเก่าตกยุคแล้ว เราก้าวข้ามพ้นไปแล้ว คนที่มองเราทำงาน แม้ครั้งนี้เสร็จเรากลับไป เราก็เก็บคะแนนแย็บไว้เยอะแล้ว เขาอาจมองว่าเราแพ้ ที่จริงตอนเสธ.อ้ายก็ว่าไม่แรงเท่าปี 51​ที่ตายไปหลายราย ตอนน้องโบว์ตาย เขาจะมาจัดการเราตอน 24 พ.ย. 55 มันก็ก้าวหน้ามาแล้ว พัฒนามา จากนั้นเราไปข้างทำเนียบ พล.อ.ปรีชาพาออกอีก มันก็ก้าวหน้าอีกขั้น มาอีกครั้งนี้เรายึดราชดำเนินเป็นทิว ก็เรียบร้อย ตำรวจก็ไม่มากันพรึ่บเหมือนเดิม เป็นสิ่งซับซ้อนลึกซึ้ง เราทำตามนิิติรัฐนิติธรรมสากล เป็นการประชาชนปฏิวัติที่ใหม่ลำ้ยุค ไม่ได้โกรธเคืองคนที่บอกว่าเราตกยุคหลงยุค แต่อาตมาว่าเราลำ้ยุค

       แม้ครั้งนี้ไม่สำเร็จเด็ดขาดสำฤทธิ์ผลเด็ดขาด แต่ว่าการเมืองไทยก็พัฒนาขึ้นบ้างก็ใช้ได้แล้วเจริญขึ่้นแทนที่จะเสื่อม แต่ก็มีรุนแรงอยู่ ลักหลับ พรัฐบาลเงินกู้ 2.2ล้านๆตอนตีสองเมื่อคืน แล้วจะจบอย่างไรก็ต้องดูไป

        มีคอลัมน์ ถูกทุกข้อ เขียนมาซึ่งอาตมานำมาบางตอนว่า....ม็อบราชดำเนิน จากคุณ นิทัศน์  บุญทัน

เรียน คุณอัตถ์ฯ ที่นับถือ

กลุ่มมวลชนไม่ว่าจะที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หรือที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ มียุทธวิธีโดยแกนนำได้ออกแบบปฏิรูปมีธงไว้เรียบ ร้อยแล้ว และทำรูปแบบนั้นมาโฆษณาชวนเชื่อ ชี้นำ ให้มวลชนปฏิบัติตาม เช่น ไม่เอานักการเมือง  ไม่มีรัฐสภา ไม่มีการเลือกตั้ง ชี้ให้มวลชนเกลียดกลัวระบบเลือกตั้ง ตั้งข้อรังเกียจนักการเมือง ชั่วช้าเลวทรามเหมารวมไปหมด หากมวลชนใดมาอยู่ในกลุ่มนี้จะต้องมีแนวคิดในกรอบนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ค่อนข้างจะกำจัดสิทธิเสรีภาพมวล ชนที่มาร่วมชุมนุมมากเกินไป การนำมวลชนโดยใช้รูปแบบเอาความคิด แนวปฏิบัติของบุคคลเพียงคนคนเดียว หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดมาใช้กับมวลชนจำนวนมากๆ มักจะประสบกับความล้มเหลว เช่น ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ เสื้อแดงตาม จนเกิดความวุ่นวายอยู่ขณะนี้ หรือเณรคำ หรืออดีตพระยันตระ อดีตพระนิกร เป็นต้น

 

       ถ้าหากจะให้มวลชนมาร่วมชุมนุมมากๆ เราต้องสร้างทางให้ เขาแล้วให้เขาเดินนำหน้า จะเดินไปสู่ความสำเร็จหรือล้มเหลวนั่นเป็นมติมหาชน เป็นหนทางมวลมหาชนตัดสินใจได้ด้วยตนเอง อย่ามองมวลชนเป็นฝูงสัตว์เลี้ยงที่จะต้อนเข้าคอกง่ายๆ แกนนำที่มักจะเอาความคิดของตนไปโฆษณาชวนเชื่อ ชี้นำมวลชน มักจะหลงตัวเองทำตนเป็นศาสดา เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ทำตนเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง มวลชนที่ลุ่มหลงงมงายแกนนำเหล่านี้จะขาดวิจารณญาณ ขาดเหตุผล เช่นมวลขี้ข้าทักษิณ บริวารของผู้นำที่พูดบ่อยๆ ว่า นักการเมืองเป็นสัตว์นรก แกนนำเหล่านี้มวลชนที่ฉลาดรู้ทัน ยึดถือความถูกต้อง จึงไม่ยอมเดินตามง่ายๆ พวกเขารู้ว่า กลุ่มมวลชนกลุ่มใดเป็นบริวารของแกนนำผู้นำที่ทำตัวเป็นศาสดา เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ทำตนเป็นผู้วิเศษ ฉะนั้นการจะไปชุมนุมเพื่อไล่ระบอบทักษินให้สิ้นแผ่นดินไทย ควรจะไปที่จุดไหนจึงจะได้ประโยชน์

 

       ฉะนั้น ทุกกลุ่มมีความตั้งใจดีที่จะช่วยกันล้มระบอบทักษิณ เพียงแต่อย่าชี้นำให้มวลชนเดินตามเส้นที่ตนเองตีกรอบไว้ ซึ่งไม่แน่ ใจว่าจะเป็นผลประโยชน์แก่ตนเองหรือคณะใดคณะหนึ่ง เมื่อผลสำ เร็จนั้นมาถึง เราร่วมกันกำจัด เผด็จการทางรัฐสภาของยิ่งลักษณ์แล้ว ไม่ควรจะมาเจอกับเผด็จการทางความคิดของท่านอีกเลย.

 

        นิทัศน์  บุญทัน

 

ใช่แล้วครับ ประเด็นนี้ยังเป็นปัญหาหนักอกของประชาชนที่ไปร่วมชุมนุม มีการสอบถามกันมาเยอะครับว่า ทำไมไม่รวมเป็น กลุ่มเดียวกันเพื่อความเป็นเอกภาพในการเคลื่อนไหว ปัญหาเหล่านี้ แกนนำผู้ชุมนุมทั้ง 3 เวทีรู้ดีครับ และผมได้ข่าวมาว่าเขาคุยกันตลอด เพียงแต่การปรับยุทธวิธียังต้องอาศัยเวลาอีกสักพัก แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรครับ ผมมองว่านี่คือสีสันประชาธิปไตย ต่างความเห็น ต่างวิธี แต่จุดหมายเดียวกัน สุดท้ายก็สามารถคุยกันได้ครับ.

 

       พ่อครูว่า ยืนยันว่า สามกลุ่มนี้เป็นสีสันแล้ว มีต่างความเห็นต่างวิธีแต่จุดหมายเดียวกัน ถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปพูด จะบอกว่าเป็นยุทธวิธีอันลึกล้ำก็ เป็นความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก เป้าหมายเดียวกัน โกลด์เดียวกัน ถ้าสมมุติว่ายิงโกลด์สำเร็จ แล้วใครจะมายกตนทำตัวใหญ่เป็นศาสดา อาตมารับรองว่าอาตมาไม่ต้องการใหญ่เลย แม้คุณปรีชาหรือคุณจำลองก็ตาม ตอนขึ้นมานี้ก็มีคนยื่นกระดาษให้ว่า ขอให้ลุงจำลอง ศรีเมืองเป็นที่ปรึกษาให้คณะเสธนาธิการร่วมฯ อาตมาก็ว่า ให้ทำตามพล.อ.ปรีชา ฟังสมณะโพธิรักษ์ ดูพล.ตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นสามเส้าที่บริบูรณ์

       สองเส้าของพล.อ.ปรีชา กับสมณะโพธิรักษ์ เป็นตัว Over and over คุณปรีชา over ทางกาย สมณะโพธิรักษ์ over ทางใจ แล้วไม่ แล้วเรา overcome ด้วย การไปของเรานี่ To be overcome แล้วไปแพ้นะ ลึกๆแล้ว แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ในความเป็นกลางนั้นพล.ตรีจำลองเป็นตัวกลาง มันเป็นความลึกซึ้งซับซ้อน

       อาตมาดำเนินตามรอยบาทสมเด็จพระศาสดา อาตมารับรองแทนคุรปรีชาคุณจำลองว่าเราทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองจริงๆ เราไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ ไม่ได้ทำเพื่อล้มล้างอำนาจใด ไปสร้างพรรคการเมืองเพื่อไปกุมอำนาจ เราก็ไม่ทำ แต่เราทำเป็นอำนาจโดยธรรม เป็นAuthority ซึ่งมันงาม มาถึงวันนี้แล้วทำให้การเมืองไทยลด Force ตลอดเวลา ซึ่งอย่างนั้นมันเก่าแล้ว แต่ยุคนี้มันใหม่แล้ว ใครจะหาว่าเราหลงตนก็ไม่ว่า เป็นแต่เพียงว่าจะมีผลแห่ง Authorityจนชนะเด็ดขาดหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้าไม่ชนะเด็ดขาดก็มีการชนะรายทาง มีการก้าวหน้าไปเรื่อยๆเราไม่มีแพ้มีชนะ เรามาพัฒนาการเมือง สังคม ประเทศไทยขณะนี้ ขออภัยพูดเหมือนใหญ่ แต่เราทำได้เล็กได้น้อยก็ภูมิใจชื่นใจ เราทำได้ผลนะ

        และที่เหมาว่าเราไปชี้นำมวลชนให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มียุทธวิธีโดยแกนนำได้ออกแบบปฏิรูปมีธงไว้เรียบ ร้อยแล้ว และทำรูปแบบนั้นมาโฆษณาชวนเชื่อ ชี้นำ ให้มวลชนปฏิบัติตาม เช่น ไม่เอานักการเมือง  ไม่มีรัฐสภา ไม่มีการเลือกตั้ง ชี้ให้มวลชนเกลียดกลัวระบบเลือกตั้ง ตั้งข้อรังเกียจนักการเมือง ชั่วช้าเลวทรามเหมารวมไปหมด หากมวลชนใดมาอยู่ในกลุ่มนี้จะต้องมีแนวคิดในกรอบนี้ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ค่อนข้างจะกำจัดสิทธิเสรีภาพมวล ชนที่มาร่วมชุมนุมมากเกินไป

       อาตมาว่า...ที่ทำกันมา 81 ปีนั้นไปไม่รอดแล้วเราขอให้พักก่อนได้ไหม กับกลุ่มที่ทำอยู่ตอนนี้ให้หยุดก่อน แล้วให้คณะใหม่มาทำ ไม่ได้หมายถึงแต่พวกเราไปทำ เขาหาว่าชาวอโศกเป็นเผด็จการ แต่เขาดูเหมือนอาตมาเป็นศูนย์กลาง แต่อาตมาไม่ได้ทำอย่างกดดันแต่มันมีส่ิงซ้อนว่าเราไม่เอาเขายิ่งให้ เราไม่เอาก็ยิ่งให้มาเพ่ิมอีก ก็เลยดูเหมือนเป็นเผด็จการอภิสิทธิ์

และที่เขาเข้าใจว่าเราจะแช่แข็งเมืองไทยนั้นที่จริงเราขอให้หยุดนักการเมืองที่ทำอยู่ตอนนี้ไปก่อนต่างหากสักระยะเวลาหนึ่ง และที่บอกว่า  แต่ว่าเราก็ว่าการเลือกตั้งที่ทำตอนนี้มันไม่สุจริต มีทุจริตมากมาย เป็นการเลือกตั้งที่เลว ขอแช่แข็งไว้ก่อนไหม ให้เลิกตายไปเลยก็ได้การเลือกตั้งแบบนั้น เราก็รู้ว่าการเลือกตั้งนั้นก็ต้องมี ต้องมีผู้แทนไปทำงานแทนประชาชนที่มีมารเกินจะไปทำทั้งหมดได้ การที่พูดโดยที่ตีขลุมชี้นำให้พวกเราผิดนี่ ให้เขาเข้าใจผิดพวกเรา เราก็ขอแก้ว่าเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราแช่แข็งนั้นเราก็ไม่ได้ทำตลอดกาล ที่พูดนี้ก็ไม่ตรงนัก อาตมาอาจสื่อได้ไม่ครบ ไม่เก่งบรรยายให้ผู้ฟังเข้าใจได้ถูกก็ต้องยอมรับว่าเราเก่งเท่านี้ก็ขออภัย

       ในประเด็นที่ว่า ...แกนนำที่มักจะเอาความคิดของตนไปโฆษณาชวนเชื่อ ชี้นำมวลชน มักจะหลงตัวเองทำตนเป็นศาสดา เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ทำตนเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง มวลชนที่ลุ่มหลงงมงายแกนนำเหล่านี้จะขาดวิจารณญาณ ขาดเหตุผล เช่นมวลขี้ข้าทักษิณ บริวารของผู้นำที่พูดบ่อยๆ ว่า นักการเมืองเป็นสัตว์นรก แกนนำเหล่านี้มวลชนที่ฉลาดรู้ทัน ยึดถือความถูกต้อง จึงไม่ยอมเดินตามง่ายๆ พวกเขารู้ว่า กลุ่มมวลชนกลุ่มใดเป็นบริวารของแกนนำผู้นำที่ทำตัวเป็นศาสดา เป็นผู้นำจิตวิญญาณ ทำตนเป็นผู้วิเศษ ฉะนั้นการจะไปชุมนุมเพื่อไล่ระบอบทักษินให้สิ้นแผ่นดินไทย ควรจะไปที่จุดไหนจึงจะได้ประโยชน์ 

        อาตมาว่าเราเคารพเสรีภาพ พูดถึงนานาสังวาส พูดถึงฝั่งแดงกับฝั่งหลากสีก็มีสองฝั่งใครฟังแล้วเป็นธรรมวาทีก็เลือกเอา ก็พูดชัดๆแล้วว่าเราไม่มากดดันชี้นำใคร แต่ให้เกียรติภูมิปัญญาคนขออภัยที่ถ้ามีใครฟังแล้วเป็นการดูถูก แต่อาตมาที่จริงเคารพความคิดคน ถ้าคุณจะบอกว่าอาตมาชี้นำ ถ้าอาตมาจะเอาความถูกต้องดีงามเป็นแผนที่ให้คุณรู้ปริยัติเพื่อให้ปฏิบัติได้ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ทำเลวนะ อาตมาก็นำส่ิงที่พระพุทธเจ้าสอนมาสาธยาย พระพุทธเจ้าท่านก็นำก็มีแผนที่นำทางแท้ๆเลย เพราะฉะนั้นจะไม่มีทางให้เดินเลย ไม่มีมรรควิธีเลย ยกตัวอย่างอาตมาพูดเมื่อวานว่า คนเขาไม่มีทางออกเลย จะทำอย่างไร อาตมาก็บอกว่าเรามีทางออก ทางออกคือ ตุลาการภิวัฒน์ และประชาภิวัฒน์ วันนี้ตุลาการภิวัฒน์ก็มีการก้าวหน้า แล้ว

       อาตมาว่าศาลตัดสินวันนี้ ได้ผลดีที่พวกเราไม่กระเหี้ยนกระหือรือ ถ้าวันนี้ศาลตัดสินอย่างไปถึงที่สุด ยกเขาออกไปเลย รวมออกไปเลย จนเกือบสุญญากาศเลย มันจะเกิดสองนัย พวกเราจะฮึกเหิมเกินไป พวกที่ถูกริดรอนจะแค้นมากด้วย วันนี้อาตมาว่าศาลทำได้ดีมาก

       ก็ขอบอกคุณนิทัศน์  บุญทัน ว่าอาตมาก็ไม่สามารถแสดงนัจจะคีตะวาทิตะที่จะสร้างองค์ประกอบให้เกิดการสื่อให้พวกคุณรู้อาตมาก็สื่อได้แค่นี้ ขออภัยที่ทำให้คนดูแล้วเกิดความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับคุณก็คงต้องให้อาตมาสอบตก ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ขออภัยอีกที ยืนยันว่าอาตมาทำได้แค่นี้ ใจจริงอาตมาไม่มีมโนสัญเจตนาที่จะมาชี้นำเป็นใหญ่เลย อาตมาว่าอาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ ไม่ได้พูดตลบแตลงเลี่ยง อาตมาจริงทั้งกาย วาจา ใจ แต่อาตมาก็ต้องสื่ออย่างปรุงให้เกิดรสชาติบ้าง มันจำเป็นในการสื่อให้เข้าใจบ้าง

       

        อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ....ผมไม่ได้เป็นสาวกของสมณะโพธิรักษ์ไม่ได้สังกัดสันติอโศก แต่ผมยอมรับอย่างลึกซึ้งจริงใจที่จะให้ท่านเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของผมครับ แล้วคิดว่าเมืองไทยต้องมีผู้นำทางจิตวิญญาณ ไม่จำเป็นต้องเป็นสมณะ แต่สมณะจะนำทางจิตวิญญาณได้ดีกว่า และจะมีผลต่อจิตวิญญาณแล้วเนื่องไปสู่การเมืองการสังคมด้วย

       มีกลอนเขียนลงในเฟสบุ๊คอ.ปราโมทย์

อย่าผิดหวัง ฟังศาลรัฐ ธรรมนูญตัด
หากไม่ชัด ไม่ตรง จำนงหมาย
ศาลอาจให้ ก็เมื่อขอ ตรงต่อราย
ศาลกลัวตาย กลัวขู่ ดูไม่มี

แต่ขอบใจ ไอ้ผู้แทน แสนทุเรศ
มันสร้างเหตุ ให้ลงโทษ ได้เต็มที่
ด้วยประกาศ จัดจ้าน เมื่อวานนี้
ศาลจะชี้ อย่างไร มันไม่ฟัง

นี่คือ Obstruction of Justice
เป็นความผิด ถ่วงขู่ ตราชูชั่ง
ประธานา ธิบดี'กัน มันยังพัง
เรื่องนิกสัน ไม่เคยฟัง มั่งหรือไง

ผิดละเมิด อำนาจศาล เพราะด้านดื้อ
แถมลุกฮือ เป็นกบฏ ทำการใหญ่
ทุบทำลาย อำนาจ อธิปไตย
ทำลายพระ นามาภิไธย ที่ศาลชู

หากฟ้องศาล อาญา ตามว่านี้
ควบคดี ศาลรัฐ ธรรมนูญคู่
ก็จะผิด ติดทั้งสอง รีบลองดู
หากจะอยู่ เมืองไทย ต้องในคุก


20 พฤศจิกายน 2556

 

       วันนี้มีหลายข่าวดี

       ข่าวดีแรกจากศาลรัฐธรรมนูญ ข่าวดีอันที่สองคือวันที่ 5 พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกมหาสมาคมที่วังไกลกังวล แล้วจะมีข่าวดีอีกเยอะเลย ผมมั่นใจว่าพระพลานามัยของพระองค์น่าจะดีมาก เพราะการตัดสินใจออกมหาสมาคมก็คงไม่มีใครตัดสินใจแทนท่าน และท่านก็ออกประกาศมาก่อนมากเลย ท่านอาจบอกว่า อย่าไปกลัวเลยกับพวกที่อยู่ที่ราชดำเนิน ให้เขาอยู่ได้ต่อไป รัฐบาลตำรวจอย่าทำนอกหน้าที่

        การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญหมายถึงว่า รัฐบาลนี้ มีเวลาทำหน้าที่น้อยลงทุกทีแล้ว เวลานี้สุญญากาศก็ได้เกิดขึ้นระรอกแล้วระรอกเล่าจนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว

       มีผู้รู้บอกมาก่อนแล้วว่าเราจะชนะ แต่อาจชนะไม่หมดในข้อสุดท้าย และก็ตรงกับใจผมที่ไม่ต้องการให้ชนะถึงยุบพรรค

       คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นถูกใจผมมากเลยครับ ผมให้ A+ แล้วครับ ผมภาคภูมิใจแทนบรรพบุรุษศาล  คำตัดสินของศาลเมื่อบ่ายวันนี้ ครอบคลุมดีมาก แม้ภาษาก็เป็นปรัชญา ครอบคลุมถึงสิทธิเสรีภาพปวงชน ครอบคลุมถึงการไม่ให้เอาเสียงข้างมากมาครอบงำเสียงข้างน้อย และได้ล่วงไปถึงอำนาจอธิปไตย ไปถึงหลักรัฐธรรมนูญ สมควรเอาคำตัดสิน ไปให้จาตุรน ฉายแสง ไปทำเป็นตำราให้เด็กเรียน

จากนั้นเป็นการเปิดคลิปสรุปภาพรวมของการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้

อ.ปราโมทย์ว่า...ขอเชิญโห่ร้องและแสดงความยินดีและปรบมือคารวะศาลด้วย....

       เรื่องสุดท้ายย้อนขึ้นไปตามลำดับ

        เรื่องศาลไม่ยุบพรรคและไม่ตัดสิทธิ์ ผมชอบมาก...ผมไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคเลย นอกจากการทำผิดชัดเจน แต่หลักเกณฑ์การเมืองต้องให้เขาได้มีสิทธิ์พัฒนาการเมืองขึ้นมา แต่อย่าไปทำผิดกฏหมาย ผมไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค ไม่จำเป็นต้องยุบ เพราะมีโทษร้ายแรงกว่าที่กำลังวิ่งไล่ล่าคน 310 ก็คือคุกอยู่ตรงหน้าจะออกก็ไม่ได้อีก นี่คือทั้งโขยง ศาลให้มาเกินกว่าที่ขอมากมาย การที่ศาลวินิจฉัยว่าเอกสารที่ยื่นมีการปลอมแปลง ก็โดนหมดตั้งแต่ผู้แทนถึงนายกฯติดคุกหมดเลย จะฟ้องอีกได้ ดีมากทีเดียว มีประจักษ์พยานทุกอย่างในการฟ้อง ซึ่งศาลตัดสินไว้ ให้ทำต่อไปได้เลย เช่นที่ปปช.เป็นต้น

       ถ้านายกฯได้สำนึกผิด ว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญนั้นผูกพันทุกองค์กร ก็ควรต้องสำนึกผิด ไม่ต้องเคลือบแคลงสงสัยรู้ว่าผิดก็ยอมรับผิด คนก็จะสงสารบ้าง

       มีคนอ้างต่างๆนานาว่า ศาลไม่น่าจะก้าวก่ายนิติบัญญัติ...เช่นดร.อุกฤติ  ดร.โภคิน บ้าง และก็อ้างผิดอ้างถูกเกี่ยวกับอเมริกาบ้าง

       คำตัดสินของศาลนั้นผูกพันทุกสถาบัน หลีกเลี่ยงไม่ได้มีพยานหลักฐานที่ยืนยันว่า สืบโยงไปถึง ถ้าศาลสั่งแล้วไป จนกระทั่งศาลจ่อตัดสินแล้วยังมาข่มขู่ศาลนั้นก็คือโทษอุกฤตินะครับ ขอให้ผู้ที่เมตตามากก็ไปฟ้องเลยนะครับ ผู้ที่ทำนี้เมตตามาก

       ต่อไปพวกเขาก็จะถูกฟ้องร้องทำให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองต่อไป ไม่เกิดความเลวร้ายซ้ำๆต่อไปอีก ขอโทษนักการเมืองน้ำดีที่ต้องพลอยฟ้าพลอยฝน เราต้องตัดขาดจากอดีตให้สำเร็จ ไม่ให้มีผู้แทนน้ำเน่านรกจกเปรตซ่อนอยู่อีก ไม่ได้ว่าพรรคหนึ่งพรรคใด แต่เนื่องจากต้นไม้มีพิษ ก็ผลิตผลไม้มีพิษ มาจากรากที่มีพิษ เราต้องถอนรากถอนโคน เราจะไม่เกี่ยงว่าพรรคเก่าพรรคแก่ใดจะเกิด ถ้ามาร่วมกันโค่นระบอบทักษิณ ก็อย่าไปรังเกียจเขา ตอนนี้อย่าถือเขาถือเรา ต้องสามัคคี ให้ประชาชนออกมาให้มากพอ แม้แต่คนลงคะแนนให้ปชป. 2 ล้านคน ในการออกมาครั้งนี้ อยากให้มาถึงสามล้านคนเลย ทั้่งเด็กวัยรุ่นคนชราก็ออกมาได้ อย่านึกว่าเป็นการเปลี่ยนขั้ว แต่เราได้ปลิดขั้วและถอนรากถอนโคนแล้ว จะเป็นการปฏิวัติประเทศไทยที่แท้จริง การถักทอต่อยอดของการประท้วงทุกครั้งที่ผ่านมา แม้แต่ตอนพธม.ก็ต้องให้เกียรติเขา แม้ว่าผมประกาศว่าไม่ไห้เป็นพธม.

 

       พ่อครูว่า....เราปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อย ใช้มวลมหาประชาชนเป็นปริมาณ ส่วนคุณภาพต้องใช้ตุลาการ ประชาชนออกมาแสดงเสียงประชาชน ในหลวงก็เป็นประชาชนแต่อยู่ในฐานะหัวหน้าประชาชน ท่านไม่ใช้เผด็จการเลย ท่านเป็นผู้ดีจริงๆ รอให้ประชาชนมาครบเสียก่อนแล้วท่านจะประกาศเป็นราชประชาสมาสัยจริงๆ ตอนนี้เราใกล้ถึงความสำเร็จแล้ว เราทำเกือบครบเป็นทั้งMinority right จนเป็น Majority right เลย ไม่ใช่แค่ Majority rule ที่เราทำมาแล้วทำอย่างไรจะมีหมู่มวลมหาประชาชนมากพอ เราทำตามกฏหมายอยู่แล้ว ไม่ออกนอกกฏหมายเลย ขอบคุณทหารตำรวจท่านอย่าเอารถถังออกมา อย่าเอาปืนออกมาไม่ต้องขู่ด้วยแท่งคอนกรีต เราทำประชาชนปฏิวัติที่งดงามกว่าอเมริกาอีก เหลืออีกนิดเดียวจะขึ้นสู่มาตรา 2 แล้วเพราะอำนาจบริหารและนิติบัญญัติมันขาหักขาเป๋หมดแล้ว พึ่งศาลท่านก็ตัดสินดีแล้ว

       เดินต่อสู่มาตรา 2 คืนอำนาจแก่ในหลวงอย่างสมบูรณ์เลย กำลังเดินสวยงามมากเลย ….เหลืออีกนิดเดียว เราทูลเกล้าถวายฏีกาปฏิวัติถูกต้องตามสากล ยังเหลือแต่มวลมหาประชาชนเท่านั้น ทางโน้นก็นัดกันวันที่ 24 แต่เราไม่ต้องรอถึงวันนั้นเลย เราต้องออกมากันให้เสร็จก่อนเลย ไม่ต้องไปถึงสิ้นเดือน ถ.ราชดำเนินเขาก็จะได้ทำอะไรต่อไป จนในหลวงท่านก็จะออกที่ไกลกังวล แสดงว่าให้ประชาชนทำไปเถอะ มันจะมีอะไรต่อมาอีก เราทำประชาชนปฏิวัติ

       ประชาธิปไตยคือประชาชนออกมาประท้วง ประชาชนเป็นรัฐาธิปัตย์ ในหลวงเป็นประมุข ในมาตรา 2 ก็ให้กลับคือสู่รัฐาธิปัตย์ ตอนนี้มีสองฝ่ายคือฝ่ายทักษิณกับในหลวง สถาบันบริหารกับนิติบัญญัติเป็นของทักษิณ แต่ศาลเป็นของในหลวง เรามาสมทบ ซึ่งอำนาจ 3 อย่างต้องถ่วงดุล แต่ทักษิณกำลังรวบอำนาจเป็นอันเดียว เป็นประชาธิปไตยขาเดียวที่ขาดจิตวิญญาณอย่างอเมริกาซึ่งเขาเกิดมาไม่นานแต่อังกฤษเป็นประชาธิปไตยสองขาที่อยู่ได้อย่างดีกว่าอเมริกา อเมริกากลวงโบ๋แล้ว “ถ้าไม่ออกมากันให้มืดฟ้ามัวดิน ไทยถูกผีร้ายกลืนกินสิ้นชาติแน่ๆ...เอวัง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:49:13 )

561121

รายละเอียด

561121_สงครามสังคมฯ โดยพ่อท่าน อ.ปราโมทย์ อ.สมศักดิ์

เรื่อง ประชาภิวัฒน์ปฏิวัติประชาชน

 

       พ่อครูว่า...ขอย้ำสำทับว่า คนที่ปักใจว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งผู้แทนเป็นหลักใหญ่ แต่ที่จริงเป็นเรื่องความจำเป็นที่ต้องเลือกผู้แทน โดยคำว่าประชาธิปไตยคืออำนาจของประชาชน ผู้แทนที่เลือกเข้าไปกับการจะมาแสดงอำนาจอธิปไตยนั้นคนละอย่างนะ

       การเลือกผู้แทนนั้นมันมีการถ่ายอำนาจหลายทอด แต่การออกคือการออกมายืนยันอำนาจอันดับหนึ่ง ว่าเราจะเปลี่ยนหรือจะเอาอะไร หน้าที่ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เลือกตั้งผู้แทน แต่เราออกมาแสดงคะแนนเสียง ล้านคนล้านเสียง กองทัพก็ออกมาแต่ไม่ต้องมาทำอะไร มารวมกันที่ราชดำเนิน แตกไปจนซอยไหนๆก็มาเลย

       ประเทศไทยก็ทำไม่ได้อย่างเรา ออกมาผลัดกันประท้วงแล้วประท้วงอีก ศาลออกมาตัดสินก็แล้วยังออกมาไม่ยอมรับอำนาจศาลอีก อันนี้มันไม่รู้หน้าหนาสักเท่าไหร่แล้ว

       ประเทศไทยนี้ก้าวหน้า ขายหน้าก็ส่วนหนึ่ง ได้หน้าก็ส่วนหนึ่ง เราประท้วงกันอย่างสงบเรียบร้อยง่ายงามมาก แต่เขาก็ส่งคนมาตีฆ้องร้องป่าวเชียร์อยู่ก็ขายหน้าอีก

       เราออกมาแสดงเสียงเลือกตั้งโดยตรงเลย  เราจะมาตั้งอำนาจใหม่ที่จะมาบริหารประเทศ ในช่วงนี้ เป็นฤดูกาลที่จะมาแสดงเสียงยืนยันแต่ละท่านที่มีสิทธิ ก็เข้าใจกันมากขึ้นแล้ว ในวันที่ 24 ก็คงจะออกมากันมากนะ มาแล้วก็แสดงตัวเฉยๆอย่างเอาความโกรธแค้นกันออกมา  แต่ออกมาโดยเอาเมตตากันคนละสองสามกระบุง คนละปี๊ปคนละเข่งเลย เราต้องสร้างจิตเมตตาที่เบาดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน นี่คือหน้าที่ของประชาชนสำคัญ ให้รวมตัวกันจริงๆ เป็นการแสดงความจริงของอธิปไตย สำคัญกว่าไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ต้องเห็นความสำคัญอันนี้ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ

       เรามีตุลาการภิวัฒน์ แล้วต้องมีประชาภิวัฒน์ ยุคนี้เราต้องข้ามพ้นที่ปฏิวัติด้วยรถถังหรือปืน นั่นมันตกยุคแล้ว เราทำโมเดลใหม่ของโลก มีธรรมเข้ามาผนวก ต่างประเทศเขาจะมีประชาชนออกมาอย่างเสียเลือดเนื้อ ไม่ว่าประเทศไทยก็แล้วแต่ ไม่ว่าประเทศไหนก็เลือกตกยางออก

       แต่เราทหารตำรวจก็ออกมาช่วยประชาชนได้ แต่ไม่ต้องเอาอาวุธออกมา มาแสดงมวลตอนที่เรานัดกันแล้ว มาเปลี่ยนแปลงประเทศ จะเรียกปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ได้ คือการประหารรัฐบาลเดิม เป็นรัฐบาลใหม่ เป็นสิทธิหน้าที่ของประชาชน ตามกฏหมายเลย ไม่ใช่กบฏด้วย เพราะเราทำตามนิติรัฐนิติธรรมด้วย

       เขาไม่ขอบรัฐบาลนี้ก็ออกมาแสดงสิ บอกให้เขาเข้าใจให้จำนน พูดกันด้วยดี เราจะสร้างโมเดลใหม่ล่าสุด เท่าที่รู้มา ที่อิหร่าน โคไมนี่ทำปฏิวัติโดยใช้ศาสนาอิสลาม ก็มีตีกันบ้างแต่ก็สำเร็จ ของเรานี่มากันได้หมดเลยไม่ว่าพุทธคริสต์อิสลามออกมา เป็นแบบอย่างของโลกเลย มาสร้างขนบใหม่ ที่เป็นอันดับต้นของโลกเลย คนไทยถ้าฟังเข้าใจก็ช่วยกันออกมา เราทำจริงๆไม่ดราม่า ออกมาทำความจริงให้ปรากฏเป็นประวัติศาสตร์ของโลก ให้มีมีอะไรด่างพร้อย ไม่มีรุนแรงเลย ให้พูดกันรู้เรื่อง หยุดกันอย่างถูกต้องนิติรัฐนิติธรรม อย่างสมบูรณ์ราบรื่น พระสยามเทวาธิราชช่วยลูกด้วยเถิด

       การออกมารวมตัวกันแสดงประท้วงสดๆ เราทำมาเป็นหลายเดือนแล้ว สามเดือนกว่าแล้ว บางคนไม่กลับบ้านเลย พวกปักหลักโดยเฉพาะพวกเราชาวอโศก ก็น่าชื่นใจ ต้องขอไล่สรุปลงที่ว่า

       การพัฒนาการเมืองต้องใช้ความถูกต้องดีงาม ด้วยตุลาการภิวัฒน์ ต้องใช้กฏหมาย รัฐธรรมนูญ ใครถูกก็ต้องว่าไป เรียกว่า Ruleหรือหลักเกณฑ์ เป็น Majority rule ถ้าทำได้ถูกต้องตามกฏก็ถือว่าชนะแล้ว และถ้าดู สิทธิมนุษยชน เขายืนยันว่าเขาถูกต้องแม้มีจำนวนน้อย แม้หนึ่งคนแต่ถูกเขาก็มีสิทธิ์ เขาเข้าใจอย่างนี้จริงๆว่าถูก

       เฉลี่ยคนในสังคมนี้มีกิเลสมา ส่วนอาริยะหรือปราชญ์นั้นมีน้อย ต้องอย่าดูถูกความเห็นของผู้มีปัญญาจริงที่มีอยู่ส่วนน้อย และถูกด้วย แต่คนส่วนใหญ่จะเห็นผิด ดีไม่ดีเป็นกฏหมายระหว่างรัฐด้วย เป็น The rule of law แต่คนส่วนน้อยนี้เขาก็อาจจะถูกต้องกว่าด้วย ประเทศอาริยะเขาก็ใช้ดุลยพินิจอย่างจริง

       เรายิ่งใช้ธรรมะมาประกอบด้วย เรามุ่งมั่นตัดกิเลส ไม่มีอคติจริง มวลที่มีธรรมะมารวมกันของประชาชนก็ยิ่งมี Authority มากกว่าด้วย เป็นพลังโดยธรรม โดยสัจจะ เรื่องความถูกต้องตุลาการก็ว่าไป

       ส่วนมวลประชาชนที่เห็นด้วยก็ออกมาโหวต เป็น Popular vote เป็น Majority rule และเป็น Majority right ได้อีกย่ิงดี ตุลาการท่านก็ทำได้ดีงามแล้ว

       เป็นโอกาสดีมาเลยที่จะแสดงส่ิงสุดยอดให้ปรากฏในโลก มาช่วยกันบันทึกประวัติศาสตร์รัฐศาสตร์ที่ดีที่สุดของโลก อาตมาก็หวังเช่นนี้

       มาพูดถึงหลักวิชานิดหนึ่ง....คุณการุณ ไสยงามก็เคยพูดว่า รัฐธรรมนูญทั้งหมดก็คือข้อต้นๆนี่แหละ ที่เป็นหลักใหญ่ของรัฐธรรมนูญ ในฉบับปี 2550 นี้ก็จะมี 7 มาตราแรกที่เป็นหลักเลยนะ

       มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้  

       คุณมีหน้าที่รักษาไม่ให้เสียแม้แต่เซ็นติเมตรเดียว

        มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 

       ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ โดยมีกษัตริย์ทรงเป็นหัวหน้า ทุกวันนี้ไทยเราก็มีหัวหน้าที่ปกครองโดยธรรม กษัตริย์ก็เป็นประชาชน อำนาจนี้สองรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

        มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       คำว่านิติรัฐ ก็คือ บทรัฐธรรมนูญที่ตราบัญญัติไว้เป็นมาตราหรือข้อ ส่วนนิติธรรมก็คือขนบประเพณีจารีตที่เป็นคุณธรรม ไม่ได้ตราไว้แต่ละเอียดมาก เกินกว่าจะระบุไว้ในนิติรัฐ จึงต้องมีทั่วนิติรัฐและนิติธรรม

       

        มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง      

       เรามีสิทธิที่จะมาชุมนุมประท้วงได้ และต้องได้รับความคุ้มครอง จากทหารตำรวจหรือข้าราชการ แม้แต่ประชาชนด้วยกันก็ต้องช่วยกัน

        มาตรา 5 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย)ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

       มาตรา 6 (กฎหมายสูงสุดของประเทศ)รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

       ก็เป็นบทบัญญัติที่สำทับไว้ ว่าให้ทำอย่างไม่ขัดแย้งรัฐธรรมนูญ

        มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       มีผู้แย้งว่า ประชาชนปฏิวัติไม่มีในรัฐธรรมนูญ ก็จริงแต่กล่าวถึงได้ อธิบายถึงได้ ในบริบท เกี่ยวโยงถึงได้ ...คือมาตรา 2 ยืนยันว่าอำนาจให้ประชาชนชาวไทยพิทักษ์รักษา ชาติ ศานา กษัตริย์ มาประกาศปฏิวัติด้วยสุภาพเรียบร้อยไม่มีอาวุธ ตำรวจอย่าทำเป็นเบ่งนะ ใครจะเข้าคุกก่อนกันตำรวจหรือประชาชน ก็ขอบคุณที่ตำรวจไม่ทำอะไรรุนแรงนะนี่ อย่างที่พล.อ.สนธิมาปฏิวัตินั้นประชาชนเอาดอกไม้ไปให้ แปลว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเห็นด้วย แม้ทักษิณก็หนีไปต่างประเทศเพราะแกรู้ว่าแกผิด และไปหลอกคนจำนวนหนึ่งว่าแกถูก ก็มีจำนวนหนึ่งเชื่อ และมีติ่งตามมาอีก เป็นนิมินีของแก ตอนนี้เราต้องมาทำให้สำเร็จเสร็จสรรพ    

       ตุลาการภิวัฒน์ ก็ทำได้แล้ว ตอนนี้เหลือแต่ประชาภิวัฒน์ออกมากันให้มาก เกิดรัฐาธิปัตย์ครบเลย สองเป็นหนึ่ง

       ตุลาการอยู่ฝ่ายประชาชน ผู้เลือกแต่งตั้งคือประชาชนที่มีกษัตริย์ใช้อำนาจนั้นแทนประชาชน ที่มาปฏิญาณตนต่อหัวหน้าประชาชนที่ถ่วงดุลกับคณะบริหารและนิติบัญญัติที่ประชาชนเลือกไป มันต้องมีการถ่วงดุลกัน แม้ที่สุด กายกับใจก็ต้องมีการ ถ่่วงดุลกันเสมอ การเป็นประชาธิปไตยขาเดียวจะไปไม่รอด

       พฤติกรรมของเราที่เป็นของใหม่ ประชาชนปฏิวัติ เราได้ประกาศแล้วเขาก็ว่าเราเล่นลิเก ทั้งที่เราได้ทำอย่างแท้ๆ ประกาศกัน ว่าคณะกปท.นะจะมาโค่นล้มระบอบทักษิณนี่ ประกาศเป็นทางการก็ทำงานมาเป็นหลายเดือน จนมาถึงวันที่ 11 พ.ย. 56 ก็ถึงเวลาเหมาะสมก็ประกาศแล้ว ด้วยสงบ ให้หัวหน้าหน่วยองค์กร กำลังต่างๆของประเทศมารายงานตัว เขาก็ว่าตลก หรือตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐบาลเก่าอยู่ เราก็รวมกันสามกลุ่มนี่ให้เต็มที่ให้เกิดเป็นจริงให้ได้

       ไทยเรากำลังมีส่ิงดีเกิดขึ้น เกิดวันที่ 11 เดือน 11 แล้ววันที่ 12 เราก็เดินไปถวายฏีกา เดินเป็นขบวนอย่างสวยงาม ไปถวายฎีกาเสร็จ 11 นาฬิกา

       ประชาชนตื่นหรือยัง มากันให้มือฟ้ามัวดิน ครบ Majority rule และ Majority right ด้วย ทางบ้านน่าจะมากกว่าพวกเรา ก็น่าจะเข้าใจได้นะ

       ในหลวงเราเป็นSupreme law เป็นผู้มีฐานะเป็นความมั่นคงของชาตก็จะมาร่วมกับประชาชนเป็นราชประชาสมาสัยเลย

       ตอนนี้ประชาชนตื่นรู้มารวมกันทุกอาชีพทุกฐานะ วันที่ 24 นี้จะออกมากันมือฟ้ามัวดิน ไม่ได้ซื้อไม่ได้จ้าง ต่างคนต่างเสียสละมากัน มาก่อนหน่อยก็ได้ เพราะวันจริงรถอาจเต็ม มากันเราเลี้ยงกันได้ ของเวลา แต่สามถึงสี่วัน ประเทศไทยเป็นแบบเก่ามา 81 ปีแล้วน่าจะเบื่อกันได้แล้ว

       เราตั้งคณะกปท.ว่าจะโค่นระบอบทักษิณ พูดแบบเปิดหน้ากันเลย เรามีสิทธิตามมนุษยชน เรามั่นใจว่าเราถูก

       เราทำอย่างถูกนิติรัฐ มีคณะเสนาธิการ มีกองทัพธรรมร่วม และมีพรรคเพื่อฟ้าดินที่มีหัวหน้าพรรค กรรมการ เลขาธิการ ทั้งสมาชิกพรรคก็มาปฏิบัติการ ทำหน้าที่ตามม.70 หรือ 71 ตามหน้าที่ประชาชน ถูกตามรัฐธรรมนูญ ส่ิงนี้จึงถูกต้องหมดทุกอย่าง ผูกพันไปถึงทุกองค์กร บุคคล มีการเชื่อมต่อกัน

       ที่เราทำมานี้งดงามทุกอย่างตามนิติรัฐนิติธรรม เอาความถูกต้องดีงามเป็นที่ตั้ง ทั้งคุณภาพสมบูรณ์แล้วเหลือแต่ปริมาณคือมวลประชาชน ออกมาสร้างปรากฎการณ์นี้ให้สมบูรณ์แบบ นัดวันว.เวลาน.แล้ว 24 พ.ย. 56 ให้มาเป็นพลังของสยามเทวาธิราชิทธิ์

       

        อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ …..พูดต่อ

 

       ผมว่าพวกเรามีภาระกิจทางจิตวิญญาณและกิจกรรม ที่จะทำให้การปฏิวัติโดยประชาชน สงบเรียบร้อยไม่ล่มกลางทาง ประคองให้ดอกไม้ประชาธิปไตยได้บานสัก สามหรือสี่ล้านดอก

เราจะป้องกันกระบวนการที่จะทำให้กระบวนการประชาธิปไตยสะดุดลงอย่างไร?....เมื่อชาติต้องประสพภัยภิบัติเฉพาะหน้าที่จะเกิดได้เพราะความคิดทางการเมือง หรือไม่ก็คือพวกกำลังป่าเถื่อนที่จะเกิดอย่างผิดกฏหมาย พวกที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่เป็นธรรม พวกรับเงินต่างประเทศมาทำ หรือพวกผีบุญ จะมาทำให้สิทธิเสรีภาพของปวงชนหมดไป ก็สามารถให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจพิเศษ เช่นประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือกฏหมายมั่นคงบ้าง

       ยกตัวอย่างที่ไฟไหม้บ้านติดต่อลุกลาม ฝ่ายกฏหมายก็สามารถไล่เจ้าของบ้านแล้วเอาระเบิดไปใส่เพื่อให้รักษาส่วนใหญ่ได้ และที่เหนือกว่าอำนาจพิเศษของฝ่ายบริหารคือพระมหากษัตริย์ท่านจะสั่งให้ทำได้ทั้งที่มีหรือไม่มีกฏหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ความปลอดภัยของประชาชน

       แต่ถ้าเรามีผู้บริหารที่เป็นคนคุกคามเสรีภาพ ทำให้เรามีภัยภิบัติเสียเอง หรือมีการกระทำป่าเถื่อนนอกกฏหมายเสียเอง ในยุคที่พี่น้องไม่มีอาวุธ มาชุมนุมอย่างสงบ ก็ได้รับพิษภัย ได้รับแก๊สน้ำตา พี่น้องที่อุดรก็ถูกรถตำรวจนำอันธพาลนำมาทำร้ายจนเสียชีวิต เราก็ต้องหาวิธีจัดการโดยอาศัยพลังของประชาชนรวมกันเป็นหมู่เหล่าให้มากขึ้นๆ เพื่อให้มีพลังในการป้องกัน แล้งอาศัยพลังพิเศษ เราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงธรรม ให้จัดการกับรัฐบาลที่ป่าเถื่อน

เล่านิทานประกอบ..เราเคยเห็นไหมว่ารัฐบาลกลัวเขาหาว่าเป็นเผด็จการ ก็เลยปกปักษ์รักษาประชาธิปไตยไม่ได้ ปล่อยให้เกิดภัยพิบัติชัดแจ้งที่เป็นอันตรายต่อสังคมรัฐบาลนั้นก็มีมาในไทย กลัวเขาจะว่าเป็นเผด็จการก็เลยไม่เป็นประชาธิปไตยและรักษาประชาธิปไตยไม่ได้ จนกระทั่งความปลอดภัยของนายกฯก็ยังไม่มี  ที่จริงสามารถประกาศกฏอัยการศึกได้ เหมือนกับการตัดไฟไม่ให้ลามไปเป็นต้น แต่รัฐบาลบางรัฐบาลก็หน้าบางผิวบาง ผู้ดีก็เลยปกป้องบ้านเมืองไม่ได้ ปล่อยให้เขาเผาบ้านเผาเมือง

และมีรัฐบาลบางรัฐบาลหลอกว่าตนเป็นประชาธิปไตยแต่ที่จริงเผด็จการ มีผู้สั่งการคนเดียว รวมศูนย์อำนาจแก่หัวหน้าพรรค อะไรๆก็เป็นส่วนกลาง รัฐบาลแบบนั้นก็อ้างประชาธิปไตยเพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพประชาชน ก็มีประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วเกณฑ์ตำรวจมามากมายเป็นต้น

        ถ้าหากรัฐบาลนี้กำลังจะพ่ายแพ้ ถูกกฏหมายรุกไล่จนจะจนตรอกไปไหนไม่เป็น แล้วหากเขาเกิดใช้อำนาจ ในฐานะที่รัฐบาลควบคุมกระทรวงกลาโหม ควบคุมกองทัพอยู่ กรณีที่รัฐบาลไปสั่งให้ทหารประกาศกฏอัยการศึก สมมุติเฉยๆนะ ถ้าพวกท่านที่นั่งอยู่นี่เป็นทหารจะยอมทำตามรัฐบาลไหม แต่ถ้าท่านเป็นทหารที่อยู่ในกองทัพประชาชนล่ะควรทำอย่างไร ก็พยายามไปชวนคนรู้จักหรือเพื่อนที่เป็นทหารว่าอย่าไปทำเลย และบอกชี้ให้รู้ถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล เพราะรัฐบาลไม่สามารถจะอ้างแนวความคิดว่าจะเกิดภัยอันตราย และจะมีคววามชอบธรรมอย่างไรไม่ได้เลย ศาลได้ตัดสินตามหลักปรัชญาเลย

       ทำอย่างไรภายในสองสามวันนี้รัฐบาลคงจะไม่ขี้ขลาด ถึงขนาดไปบี้ให้ทหาร หรือขอร้องให้ทหารออกกฏอัยการศึก ซึ่งผมว่าไม่น่าจะเกิดนะครับ แม้ว่าจะมีการไปออดอ้อนทหาร ทหารก็ไม่ควรทำ เพราะดอกไม้ประชาธิปไตยกำลังจะเบ่งบาน เป็นโอกาสในการเรียนรู้ประชาธิปไตยที่ดีมาก เป็นโอกาสในการเรียนรู้ประชาธิปไตยที่ย่ิงใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดในเมืองไทย แล้วดอกไม้ประชาธิปไตยนี้จะเบ่งบานทั่วไทยในไม่ช้า ถ้าหากว่าเราคิดสั้น คิดอ้างว่ามีอยู่ในกฎหมาย ภาวะฉุกเฉินที่ประกาศอย่างไม่สมควร ก็ขายหน้าไปทั่วโลก

       ขอให้พี่น้องทั้งหลายอย่าประมาท เรียกร้องให้ท่านผู้ที่แพ้รู้จักแพ้ เขาอาจไม่ถือคติว่าแพ้เป็นพระชนะเป็นมาร แต่เขาแพ้ไม่เป็น แล้วเขาก็จะหาวิธี 108 เพื่อเอาชนะเมื่อจนตรอกก็จะสั่งทหาร มั่นใจว่าทหารจะมีความกล้าหาญและมีความรอบรู้ ทำเป็นไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็กล้าปฏิเสธ

        เราต้องทำไม่ให้ประเทศเราสูญเสียสิทธิเสรีภาพ สูญเสียโอกาสในการฟื้นฟูประชาธิปไตย เราอย่าประมาท ถ้ามีลูกหลานทหารได้ฟังก็ขอฝากความวิตกไว้ แต่เชื่อมั่นว่ากองทัพไทยอยู่ใต้จอมทัพไทย ขอให้กองทัพไทยไม่อยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมนะ

 

        อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล....บอกว่าตุลาการภิวัฒน์ได้ทำหน้าที่จบแล้ว เหลือแต่ประชาภิวัฒน์

       พ่อครูสรุป...ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งที่สวยงามเถอะ เป็นสิ่งที่จะยิ่งใหญ่มากกว่าวัตถุ มาช่วยกันสร้างส่ิงนี้ให้เกิดขึ้นเถอะ ถ้าคนไทยทั้งมวลเข้าใจแล้วก็มาช่วยกัน เสียสละสักครั้งหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์ในชีวิต ร่วมกันตราประวัติศาสตร์ 24 พ.ย. 56 มาร่วมกัน...จบ

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:50:59 )

561122

รายละเอียด

561122_เรียนอิสระผ่านฟ้า โดยพ่อครู อ.กฤษฎา

เรื่อง ประชาภิวัฒน์ปฏิวัติโดยประชาชน ตอน 2

 

       เราได้เรียนรู้หลายคำ ทั้งราชประชาสมาสัย และนิติรัฐ นิติธรรม ...ผมเพ่ิงได้หนังสือชื่อ รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ มีข้อความในหน้าแรกๆว่า คนเกิดมาควรรู้ความประเสริฐ ....แล้วคนที่เป็นนักการเมืองที่ทำการอยู่ตอนนี้ในเมืองไทยไม่รู้จักความประเสริฐในการเป็นคน

       พ่อครูว่า เขาก็แค่เอารูปมาสวม เหมือนปูเสฉวน ที่อาศัยเปลือกหอยอยู่ แต่แท้จริงไม่ใช่ของแท้ของตน มันเป็นสัจจะของมนุษยชาติ ที่จริงควรพัฒนาสู่ความประเสริฐที่แท้จริง เป็นอารยะหรืออาริยะเรียกว่าศิวิไลซ์ก็ได้ แต่ว่าคนนั้นมีความมุ่งมาดปรารถนาไปสู่ความประเสริฐ แต่ว่ามีทางหรือทฤษฎีผิด ตัวนำทางนั้นไม่ใช้ส่ิงถูกต้องแท้จริง หรือแม้จะรู้สิ่งถูกต้องแท้จริง แต่ไม่ได้ปฏิบัติให้ถึงสิ่งที่ประเสริฐจริง ไม่ไปถึงจุดที่จะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยไม่ครบบริบูรณ์ แต่ของอาตมานั้นตรวจสอบว่าทฤษฏีถูก ปฏิบัติถูก แม้แต่เรื่องปชต. ก็แตกไปจนถึงทางนี้ถูกทางนี้ง่าย

       พวกเราเป็นพวกหัวเจาะ Pioneer มันก็เลยล้ำยุค เกินกว่าที่เขาจะคาดได้ มัน over เกินไปทำให้เขาเข้าใจยากอยู่ และเราก็ประมาณไม่ได้ว่าจิตวิญญาณของคนไทยจะเข้าถึงจุด over full ได้จนเกิดผลตอนไหน เรายังรู้ไม่ได้

       โลกีย์นั้นไม่ได้ข้ามไม่ได้เปลี่ยนแปลงใหม่ แต่ว่าที่เราทำนี้โลกุตระ ออกจากที่ขัง ส่วนโลกีย์นั้นวนเวียนอยู่ในที่ขัง  เป็นสุขทุกข์ที่เกิดจากกามและอัตตา ส่วนโลกุตระนั้นพ้นจากกามและอัตตาได้จริง ตามลำดับ จนสุดท้ายไม่เกิด หลุดพ้นแน่นอน

       ที่เขาแข่งกันทุกวันนี้เขาใช้พลังอำนาจโลกีย์แข่่งกันตลอดเวลา เป็น Over power ชนะเป็นสมบัติผลัดกันชม แต่เรานี่ไม่ใช้ Force แต่ใช้ Authority ซึ่งไม่ใช้การกดดดัน เป็นธรรมฤทธิ์ แบบโกลีย์นั้นจะใช้เรี่ยวแรงกดดัน แต่นี่ไม่ใช่เรี่่ยวแรงกดดัน ใครเห็นดีก็มา เราให้ความรู้ให้เกิดปัญญาเอง ไม่บังคับ เช่นอาตมาขอบคุณตำรวจที่พัฒนาจริงๆ  ลดความรุนแรงอย่างเห็นๆได้เลย เป็นพลังของ Authority แต่ก่อนใช้แต่ Force ดันกันแม้แต่จากครั้งน้องโบว์ จนมาเสธ.อ้าย แล้วมาครั้งข้างทำเนียบก็พัฒนามา แรงอย่างลึกๆ ไม่ให้กินข้าวกินน้ำไม่ให้ขี้ให้เยี่ยว จนมาครั้งนี้เอาแบริเออร์มาตั้งเราก็ใช้เป็นที่แสดงศิลปะ เขาว่า ที่นี่เป็นเขตใช้แก๊สนำ้ตา เป็นวจีวิญญัติ อ.กฤษฎาว่าเขามีพัดลมใหญ่ๆไว้แก้แก๊สน้ำตาแล้ว หรือแม้แต่เสียงเขาก็เปิดมาแรง เขามีเครื่องมือใหญ่กว่า เป็นกายวิญญัติ แต่ถ้าภาษามันก็เป็นความเคลื่อนไหวทางภาษา พลังแรงเท่าไหร่ ที่จะปราบศัตรูได้ก็เหมือนหมาเห่าเท่านั้น ใช้เสียง ใช้ธงชาติหรือนกหวีดเป็นสัญญลักษณ์

       เป็นการอธิบายธรรมะสัจธรรมความจริง ที่ประชาชนปฏิวัติ เป็นปชต.ที่มันน่าจะครั้งนี้คงเป็น Final นะ ก็อยากให้เป็น Final Decision นะ (อ.กฤษฎาว่า นี่คือ Final Mission) แม้จะไม่เป็นครั้งสุดท้ายเป็น Semifinal ก็ต้องยอมรับ

       เป็นการต่อสู้ระหว่างความจริงกับความรู้ ทั้งสองอย่างเป็นนามธรรม ประเสริฐทั้งความรู้และความจริง แต่ถ้ารู้แต่ทำไม่ได้จริงก็ยังไม่ถึงจริงอีก ทั้งรูปและนามของมนุษยชาติ ทั้งรูปและตามต้องไปด้วยกัน รูปคือประชาภิวัฒน์ แต่ความรู้และความจริงคือตุลาการภิวัฒน์

       ประชาภิวัฒน์ คือออกมา 1คน 1เสียง ล้านคนล้านเสียง ก็ออกมากันให้เป็นการปฏิวัติของประชาชน เป็นปริมาณที่มีคุณภาพด้วย ทางนามนั้นได้ตัดสินแล้ว แม้เจาจะไม่สำนึกดันไปเอาสีข้างถูก็ตาม แต่ผู้รู้ก็จะเข้าใจมากขึ้น

       แม้ครั้งนี้จะไม่ชนะน็อคคว่ำไปเลย เราก็เก็บคะแนน ชนะคะแนน เป็นศิลปะวิธี ส่วนมวยน็อคนั้นใช้เรี่ยวแรงมันหมดยุคแล้ว ยุคนี้ยุคอารยะแล้ว เรามาช่วยกันสร้างให้ไทยแสดงความเป็นอารยะประเทศออกไปทั่วโลกสักครั้ง โอกาสให้แล้ว (อ.กฤษฎาว่าคืนนี้ก็ทยอยกันมานะ) ขอร้องว่าอย่ามากวนนะ ถ้ามากวนจะไม่ทันการณ์นะ (อ.กฤษฎาว่าพี่น้องเราเตรียมการให้ดี พี่น้องเราย้ายไปเตรียมพื้นที่ให้แล้ว กลัวว่าพี่น้องมาจะไม่มีพื้นที่)

       เป็นไปตามรูปธรรม นามธรรม การเคลื่อนที่เคลื่อนไหวก็ยังไม่จบ เขาก็ทำไปเสริมกัน

       ตอนนี้การพัฒนาการกำลังน่าชื่นใจ แม้อัตราการก้าวหน้าจะเป็นเลขคณิตไม่เป็นเลขาคณิต ยังบวกไม่มากก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรมนั้น ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม

       ในการเปลี่ยนรูปของธาตุน้ำ น้ำกลายเป็นแก๊ส ซึ่งเราก็เห็นว่าน้ำนั้นจะไหลสู่ที่ต่ำ พอเปลี่ยนเป็นไอน้ำ ก็เปลี่ยนสถานะ จากของเหลวมาเป็นไอ ลองดูสภาวะของคนก็เปลี่ยนบ้างเปลี่ยนจากน้ำเป็นไอก็ยังเป็นโลกียะซึ่งยังเป็นน้ำอยู่แต่ต่างสถานะ แต่ยังไม่ใช่โลกุตระ ถ้าเปลี่ยนจริงต้องเปลี่ยนจากน้ำแยกเป็น ไฮโดรเจน กับออกซิเจนเลย นี่คือโลกุตระ ไม่กลับไปเป็นน้ำอีกได้

       โลกีย์นั้นมีขึ้นสูงลงต่ำ นึกว่าตนเองชนะ แต่ที่จริงยังไม่สัมบูรณ์ ไม่เปลี่ยนอย่างแท้จริง ทั้งรูปและนาม โลกุตระและนิพพานั้นจะเปลี่ยนอย่างแท้จริงกว่า

       เราทำปฏิวัติ เราได้อำนาจก็มาปฏิวัติอีกเอากลุ่มเก่าลงไปกลุ่มใหม่มาอีก มันก็วนเวียน เพราะจิตเจโตและปัญญายังไม่ถอดถอนอัตตา ยังวนเวียนอยู่ ส่วนโลกุตระนั้นไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ แถมยังเฉลี่ยให้อีก มีลาภยศสรรเสริญสุขก็แบ่งปัน เพราะไม่หลงสรรเสริญ พระพุทธเจ้าท่านได้รับสรรเสริญมหาศาล แต่ท่านไม่หลง แม้สุขโลกีย์ที่บำเรอกามหรืออัตตาท่านก็ไม่เอา

       อัตตามี 3 คือโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และอรูปอัตตา มีต้นนำ้กลางน้ำปลายน้ำ พอลดโอฬาริกอัตตาก็คือต้นน้ำ ก็เหลือกลางน้ำเป็นมโนมยอัตตตา สุดท้ายลดเหลืออรูปอัตตา ที่ละเอียดบางเบา

       สายนั่งหลับตาทำสมาธิ ไม่ได้เรียนรู้กาม เพราะทิ้งไป ไปนั่งสะกดจิต ไม่ได้ล้างกิเลสกามธาตุจริงๆ ไม่ได้สลายตามมรรคองค์ 8 ก็ทิ้งแล้วลืมไป แล้วไปนั่งกดข่มในภพ จมอยู่ในภวภพและรูปภพ เป็นสุขแบบหยุด ไม่ได้กำจัดกิเลส แต่ข่มไว้กดไว้ให้ตกผลึกแน่นๆๆๆ พระกรรมฐานพระป่า แม้แต่บวชมา 38 แล้วไปเจอคู่ชะตาก็สึกเลย ขอบคุณที่ให้ยืมตัวอย่าง ไม่ใช่แค่รูปนี้รูปเดียว พระกรรมฐาน แม้บวช 70 ปียังสึกเลย มีแต่สะสมอัตตา เพราะไม่ได้เรียนรู้ลดละอัตตามาตามลำดับ

       ถ้าเรียนรู้ลดละตามลำดับ จิตจะมีพลังสูงตามลำดับ เป็นฌานแบบลืมตาเป็นพลังสูง สามารถแตะกิเลสได้ทั้งกามและอัตตาทั้งรู้ๆ ทั้งรูปภพอรูปภพ มีสัมผัสเป็นปัจจัย สััมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ที่จะล้างไฟราคะโทสะ โมหะ ตรวจสอบไปถึงอรูปฌานโดยแท้จริง เป็นนิโรธลืมตาไม่ได้ดับสัญญาเป็นอสัญญีสัตว์แต่เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ เราจะหมดความอยากสิ้นความเสพ จะหมดกามเลยในอนาคามี กระทบกระแทกอย่างไรก็ไม่หวั่นไหว เหลืออรูปภพ

       จนหมดสมบูรณ์ ไม่มีกามตัณหา ภวตัณหา แต่จะมีวิภวตัณหา เป็นมโนสัญเจตนาที่ไม่มีตัวตนของกามและอัตตามาผสม เช่นพระพุทธเจ้าปรารถนามุ่งมั่นจะสร้างศาสนานี้ให้เจริญ ให้มีพุทธบริษัท 4 ที่แกล้วกล้าอาจหาญปรับปวาทะได้ เป็นต้น ท่านมุ่งมั่นปรารถนาจนทำได้สำเร็จแล้วด้วย แต่เป็นวิภวตัณหา

       พระเสขบุคคลจะมีปุญญาภิสังขาร คือสังขารล้างกิเลส จนได้ผลเป็นส่วนแห่งบุญได้ผลแก่ขันธ์ ตามอนุปัสสี 4 เป็นอานาปานสติลืมตา จนหมดสิ้นอาสวะอนุสัยก็เป็น

    และคนที่สามารถทำความแพ้ได้เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลกที่แท้จริง ส่วนบางคนเขาสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น น้องสาวเขาก็อย่าไปหลงเลย เรื่องใหญ่เรื่องยากที่สุดที่ผู้ชนะเกือบรอบโลกทำไม่ได้ก็คือการเป็นผู้แพ้ ถ้าเขาทำได้เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลกที่แท้จริง

       เราเข้าใจศัตรูว่าเขาแพ้ไม่เป็นแต่เราเองเราแพ้เป็นหรือไม่ เราจะทำให้เกิดเป็น Final ถ้าแต่ละคนตื่นรู้ ลดอัตตาตัวนี้เลย ประเทศไทยจะมีประเพณีขนบใหม่ วิธีปฏิวัติใหม่เกิดเป็นส่ิงสวยงามมากเลย เป็น A Best Ceremony

       อ.กฤษฎาว่านี่คือทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก

       พ่อครูว่าผีเสื้อแต่ละตัวมากระพือปีกผีเสื้อ เราต้องการเพียงลมใต้ปีกของผีเสื้อแค่นั้นแหละ

       ผู้ที่รู้จะฟัง แล้วคนทำจะมีสองแบบ คือแบบเจโตและแบบปัญญา คนที่รู้ตัวแล้วทำคืออาตมา แต่คนไม่รู้ตัวแล้วทำคือคุณปรีชา ที่ทำปฏิวัติ แล้วก็ต้องทำด้วย เป็นภูมิจริง ถ้าไม่มีภูมิธรรมจริงจะทำเสแสร้ง แต่หลอกคนรู้จริงไม่ได้หรอก เป็นปรากฏการณ์จริง ทางสายชอบเหตุผลตรรกะก็เป็น Philosophy คุณปรีชาเป็นสายเจโต ทำไปแต่ไม่ค่อยรู้ผลเป็น Prophecy แต่คุณจำลองเป็นสายปัญญา ทั้งสองสายนี้มาร่วมกัน สายเจโตศรัทธาจะยืนยาวในโลก สูงสุดได้เป็นศาสดา เป็น Prophet แล้วเขาก็จะศึกษาความจริงเพ่ิมขึ้นจนเป็น Phenomenology เป็นปรากฏการณ์วิทยา มีสัมผัสจริงของจริง มีญาณแจ้งชัดทั้งเจโตและปัญญาก็จะเกิด Phenomenology

       ที่เราเรียนรู้อยู่นี่เรากำลังสร้างประชาชนปฏิวัติที่แท้จริง มีทั้งของจริงและทฤษฎี เห็นพล.อ.ปรีชาทำจริงไหม ต้องมีทั้งเจโตและปัญญาร่วมกัน เป็นสองรวมเป็นหนึ่งเป็น independent เลย สมบูรณ์ เป็นยอด นี่คือลักษณะที่เกิดจริงเป็นจริงในไทย คนไม่รู้ก็จะหาว่าเล่นอะไร เหมือนพวก untouchable มีสองอย่างคือสูงสุดกับต่ำสุดก็แตะต้องไม่ได้ เช่นจัณฑาลเป็นต้น แต่ของเรานี้สูงส่งแต่คนเข้าไม่ถึงตอนนี้ เราก็ทำส่ิงดีนี้ไป

       อ.กฤษฎาว่า....การที่มวลชนออกมามาก แล้วฝั่งที่จะมีเครื่องมือทำรุนแรงเขาก็อาจถูกกดดันให้ทำอะไรได้

       พ่อครูว่า...เปิดเผยว่า...คราวนี้มีกลิ่นที่จะเอารถถังออกมา จะจริงแค่ไหนก็แล้วแต่ แล้วเสร็จแล้วเขาก็มีผู้รู้เขาบอกว่ามีรถถังออกมา แต่เราเช็คข่าวแล้วว่าไม่ใช่รถถังเป็นแค่รถปี๊ป

       อาการเหล่านี้บอกได้เป็นวิญญัติรูป ให้เข้าใจได้ มองออกให้เข้าใจได้ ว่าทิศทางความสำนึกนั้นดีขึ้น งดงามมาก ก็หวังอยู่ ที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ

       อ.กฤษฎาว่า...ในรอบสองสามวันที่ผ่านมา มีการสร้างข่าวกันว่า จะมีความรุนแรง มีสไนเปอร์มาบ้างเป็นต้น

       พ่อครูว่า...อธิบายตรงนี้ การชุมนุมของฝ่ายแดงกับฝ่ายเรานี่ ฝ่ายแดงเขาอยู่ที่สนามกีฬารัชมังคลา ฝ่ายโน้นเขามีรถบัส แต่เราไม่มี แสดงกายวิญญัติที่อ่านออก ของเราปัญญาอิสระเสรีภาพ อย่างเขานั้นจัดตั้ง แล้วเขาโชว์ภาพที่ดูช่องแดง เขาก็เอาภาพเก่าที่ดูมีคนแน่นมาออก ผสมผสาน ก็เป็นเลห์เหลี่ยมอย่างหนึ่ง แต่ของเราไม่ทำ นี่ก็เลห์ต่างกัน สะอาดกว่า ขออภัยพูดนี่เหมือนข่ม แต่เอาสัจธรรมมาอธิบายเทียบเคียงให้ฟัง พวกสื่อสารมวลชนเขามีแฟ้มภาพก็เปรียบเทียบได้ พวกเราอยู่ได้ ร้อยวัน แต่พวกเขาอยู่ไม่ได้ อยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย อย่างสาธารณโภคี พึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันได้ เป็นคุณภาพที่เหนือชั้นกว่า ของความเป็นมนุษย์สังคม เป็นส่ิงจริง เป็นปาตุสัจจะหรือปาตุภาวะ เป็นส่ิงแท้จริง  เราสร้างคนให้เกิดทั้งเจโตและปัญญา ไม่เอาแค่ Prophecy หรือ Philosophy แต่เราทำให้เป็น Phenomenology

       อ.กฤษฎาว่า ...เห็นทั้งปริมาณและคุณภาพของเราบนเวทีที่มองลงไปก็มีความเจริญแท้จริง

       พ่อครูว่า...ความบกพร่องขัดแย้งกันเป็นธรรมดา เอาแค่ยอดปิรามิดมันมีแค่หนึ่งเดียว ส่วนยอดที่มีสามอันมารวมกันเป็นสามเส้า เป็นสังขยาเลข พอมีสี่ก็มีห้าหก เป็นสามเส้าที่สอง แล้วมีสามเส้าที่สามเป็นเลข 9 แล้ว ก็ยังขอบคุณพัฒนาการที่เกิดจริงๆ เป็นองค์รวมที่ปรากฏ

       อ.กฤษฎาว่า...พวกเรามาอยู่ตรงกลาง ฝั่งที่อยู่นอกแบริเออร์ ตำรวจเขาก็นอนเต็นท์เหมือนเรา แต่เรามาทำเพื่อคนทั้งชาติ แต่ว่าฝั่งโน้นเขาทำเพื่อคนๆเดียว

พ่อครูว่า...คนที่ทำเพื่อคนๆเดียวหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียวกับคนที่ทำเพื่อประชาชนส่วนรวมนั้นต่างกัน  การบริหารนั้นเร่ิมมาตั้งแต่มีการมีหัวหน้าเผ่า ก่อตัวเป็นเจ้าอาณาจักรก่อตัวเป็นความมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื้อแท้ที่ไม่เปลี่ยนคือจิตวิญญาณของผู้นำหรือหัวหน้าเผ่า จนกลายเป็นกษัตริย์ ที่จริงมาจากคำว่า ขัติยะคืออาณาเขต ของแคว้น ที่เป็นหัวหน้าเผ่าหัวหน้าแคว้นมีภูมิธรรม ประพฤติเป็นผู้บริหารมีคุณธรรมเพื่อส่วนรวม ข้าศึกมานำหน้าก็ตายก่อนเลย เป็นส่ิงวิเศษของมนุษย์ ผู้ที่เป็นเผด็จการแต่หัวหน้าเผ่าเสียสละ นำอย่างนี้ เป็นอธิปไตยหรือรัฐาธิปัตย์ที่สวยงาม เป็นไปเพื่อกรุณาธิคุณ วิสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณแท้จริง แต่ถ้ามีคนถ่วงดุลมีหลายหัวช่วยกันก็เป็นเผด็จการโดยหมู่คณะเขาก็พยายามไม่ให้เห็นแก่ตัวเหมือนกันแต่เขาไม่มีวิธีล้างกิเลส

       เขามุ่งหมายให้สะอาดบริสุทธิ์แต่ไม่วิธีการลดกิเลส ก็ได้แต่นั้นก็บริหารอยู่ แต่เรามีวิธีล้างกิเลส ไ่ม่เหมือนพวกเผด็จการที่ไม่ได้ศึกษาการล้างกิเลส แต่ผู้ศึกษาจะมีทฤษฏี การลดกิเลส ก็จะบริหารแบบสองขาบริบูรณ์ไปเรื่อยๆ ทรงทศพิธราชธรรมไปเรื่อยๆ แต่นามธรรมนั้นทำได้ยาก เขาก็ไปสู่วัตถุนิยมไปเรื่อยๆ เขาก็พยายามปรับซึ่งต้องเข้าถึงปรมัตถ์สามารถลดกิเลสได้จริง สามารถลดกิเลสไม่วนเวียนกลับได้อย่างแท้จริง แม้ในศาสนาพุทธ ก็เช่นกัน ศาสนาพุทธจะไม่เกิดในสองยุคกาล 1.ยุคกาลที่คนดีแล้วไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ทรัพยากรธรรมชาติมีมากไม่เดือดร้อนวุ่นวาย แล้วก็เลยช่วงนั้นมาแล้วก็มา และอีกยุคคือ 2.พุทธันดร คือยุคที่คนแย่มากเลย สอนศาสนาพุทธไม่ได้ เกิดมาเสียเปล่า แต่ศาสนาเจโตศาสนาโลกีย์สมบัติผลัดกันชมจะอยู่ไปได้ตลอด ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์นี้มีผู้รู้บอกว่าจะอยู่ไปได้ 5000 ปีตอนนี้ก็เลย 2500 ปีไปแล้ว

อ.กฤษฎาว่า...ประชาชนมาที่นี่เราก็เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันนี่คือธรรมฤทธิ์อย่างหนึ่ง

       พ่อครูว่า...การพึ่งเกิดแก่เจ็บตาย การพึ่งพากันเป็นพลังกุศล มีพลังธรรมฤทธิ์เกิดได้ คนมาก็ต้องใช้ปัญญา ให้มีเนื้อแท้ของเขาเอง เป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง ถ้าผู้ใดเป็นผู้ตื่นรู้ ชาคริยาแล้ว ไม่ลึกลับ ชัดเจนแล้ว ไขรหัสลับได้ มี Cipher ได้ มีส่ิงที่จะเข้าถึงรหัสนี้แล้ว มาเลย พวกเรามาต่อรหัสแก่โลกนี้นะ คนจะเข้าใจกันได้เรื่อยๆ เราพยายามยื่น Cipher หรือลูกกุญแจให้

อ.กฤษฎาว่า...คนที่เข้าใจเอาตัวท่านมาเป็นกุญแจไขความลับของประวัติศาสตร์ เป็นCipher Key จะได้พิสูจน์พลังสัจธรรมของท่านเองและองค์รวม

       พ่อครูว่า..คำว่าลึกลับคือ รห ส่วนผู้ไม่ลึกลับเรียกว่า อรหันต์ มาร่วมกันให้เป็น Best record แก่โลกนี้ โคไมนี่เขาทำสำเร็จ แต่เราจะทำให้นิ่มนวลกว่านั้น ถ้าผู้นำหรือผู้ที่ท่านมีพลังในสังคม เราก็จะเชิญผู้มีทุนทางสังคม ยกตัวอย่างง่าย พูดเป็นรูปธรรม ไม่ได้ว่าอาตมาวางแผนไว้นะ

       เช่นว่าประชาชนปฏิวัติสำเร็จ ไม่มีเลือดตกยางออก ผู้ที่ยึดอำนาจได้แล้ว ก็ให้หัวหน้า 4 เหล่าทัพมาเลย ซึ่งถ้าไม่สำเร็จเขาก็ไม่ยอมมารายงานตัวหรอก แต่ถ้าทำสำเร็จ ก็ให้มามอบตัวเสีย แต่ถ้าไม่มาก็ให้ท่านหัวหน้าเหล่าทัพนี่แหละเดินไปบอกนายกฯว่าตอนนี้ประชาชนเขารู้ว่าท่านผิดแล้วนะ ท่านจะทำอย่างไร จะให้ทำแบบระบิลเมืองตามกฏหมายก็ได้หรือจะให้ออกไปนอกประเทศเสียก็ได้แต่ว่าทรัพย์สมบัติที่เอาไปก็คืนมาให้หมดนะ ที่พูดนี่สง่างามให้เกียรติ ไม่มีความรุนแรงเลยนะ  …..จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:52:27 )

561123

รายละเอียด

561123_เทศน์วันสุกดิบก่อนดีเดย์ โดยพ่อครูและอ.ปราโมทย์ เวทีมัฆวานฯ

เรื่อง มหาประชาชนปราบกบฏผีบุญดิจิตอล

 

       เมื่อวานนี้ คปท.ย้ายเวทีไปอยู่ที่แยกนางเลิ้ง และวันนี้ กปท.และกองทัพธรรมก็ย้ายเวทีมาที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ หน้า UN วันนี้เป็นวันแรกที่พ่อครูได้ใช้เวทีมัฆวานฯ

       พ่อครู...วันนี้นามธรรมเป็นหลัก รูปธรรมก็จะเสริม เราเคลื่อนมาอยู่ตรงนี้ อยู่ในจุดของพระอินทร์รังสรรค์ พระอินทร์เป็นนามธรรมอันยิ่งใหญ่ พร้อมหมดทั้งตัวตนบุคคล พระอินทร์ก็มา เทวดาดี สุเทพ ก็มา เป็นเหตุการณ์ที่พอดีมาก เป็นส่ิงที่ต้องรังสรรอย่างนี้  

 

       วันนี้ แกนนำของสามเวที รวมทั้งเครือข่ายที่ร่วมโค่นล้มระบอบทักษิณ เช่นกลุ่มนักธุรกิจสีลมเป็นต้น มาขึ้นเวที จากเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตอน 18.00 น. เสร็จแล้วมาที่เวทีมัฆวานรังสรรค์และจะไปต่อที่เวที่ที่แยกนางเลิ้ง

       และขณะที่พ่อครูเทศน์ไปเล็กน้อย แกนนำก็มาถึงเวที่มัฆวานฯและก็มาปราศรัยเป็นเชิงสัญลักษณ์ของการรวมกันของกลุ่มทุกกลุ่มที่มีเป้าหมายโค่นล้มระบอบทักษิณ 18.47 สหายร่วมรบโค่นระบอบทักษิณ มารวมกันที่เวทีผ่านฟ้าฯ  และร่วมปราศรัยคนละเล็กน้อย

 

  พ่อครู...เทศนาต่อ...เราเป็นคนพระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเราทิ้งธรรมะไม่ได้ ศาสนาไหนๆก็เอาธรรมะอยู่กับชีวิตกับสังคมทั้งนั้น มีพันตำรวจโท ศุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ได้สรุปมาให้ว่า...เรื่องจริง ตามหลักพฤตินัยและนิตินัย รัฐบาลชุดนี้รวมทั้งนปช.กำลังทำการณ์อันเป็นกบฏ เจตนาทำลายศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งก่อนและหลังตัดสิน ก็คือเป็นปรปักษ์กับกฏหมายในระบอบปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

      พ่อครูว่า...เราต้องพยายามแสดงอำนาจอธิปไตยของประชาชน เราชุมนุมประท้วงมาตลอด เมื่อใครทำผิด ข้าราชการ นกฏหมาย หรือผู้แทนในสภา คนเดียวเราก็ออกมาประท้วงได้ ถูกกฏหมาย ไม่มีสิทธิ์ขัดขวาง จนท.ขัดขวางก็ทำผิดกฏหมาย พวกเราสบายใจได้ เราทำมา 3 เดือนกว่า นี่เป็นเพราะพระสยามเทวาธิราชิทธิ์ ทำให้ในประเทศไทยมีการปฏิวัติอย่างไม่เกิดความรุนแรง ประเทศอื่นเกิดรุนแรงมาตลอด แต่ของไทยเราเกิดในเวลานี้งดงามผุดผ่อง เป็น Best Record ในโลกด้วย ย่ิงทุกวันนี้เป็นโลกโลกาภิวัฒน์ด้วย ข่าวก็ออกไป

       ตอนนี้รัฐบาลเป็นกบฏ ไม่ใช่พวกเราเป็นกบฏ เพราะถ้าพวกเราทำผิด รัฐธรรมนูญเราก็กบฏ แต่ว่าปรากฏว่า รัฐบาลทำผิด รัฐธรรมนูญต่างหาก รัฐบาลจึงเป็นกบฏ

       ต่อไปจะอ่านที่คุณเปลว สีเงินได้เขียนไว้ดีมาก เรื่อง “ในทางเลือกที่ไม่มีทางรอด”

 

เมื่อปี พ.ศ.2502 "นายศิลา วงศ์สิน" ประกาศตัวไม่ขึ้นต่ออำนาจปกครองบ้านเมือง ตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ชักชวนให้ชาวบ้านเข้ามาอยู่ในอำนาจปกครองของตน พร้อมตั้ง "เมืองอิสระ" ขึ้นทางภาคอีสาน เรียกกบฏครั้งนั้นว่า
   
"กบฏผีบุญ"!
    มาถึงวันนี้ พ.ศ.2556 "ประธานรัฐสภา-รองฯ" "สมศักดิ์-นิคม" พร้อมด้วย 312 ส.ส.-ส.ว.และพรรคเพื่อไทย ที่ขะมักเขม้นเปลี่ยนประเทศให้เป็น "แดงทั้งแผ่นดิน" ประกาศไม่ขึ้นต่ออำนาจปกครองบ้านเมือง โดยไม่ยอมรับอำนาจศาล  เรียกกบฏครั้งนี้ว่า
   
"กบฏรัฐธรรมนูญ"!
    อืมมมมม....ห่างกัน 54 ปี จากกบฏผีบุญ มาถึงกบฏรัฐธรรมนูญ ก็ไม่พ้นคำว่า..สิน..ษิณ
    แถมมีเจตนาและเป้าหมาย "แยกประชาชน-แยกประเทศ" สถาปนาตนเป็นเจ้าเหมือนๆ กัน!
    เมืองหลวง "รัฐไทยใหม่" ของทักษิณ ได้ยินเขาบอกว่าจะตั้งที่อุดรธานี แต่เมืองใหม่ที่ผีบุญตั้งครั้งนั้น อยู่ในป่าแถวๆ นครราชสีมา
    "บทจบ" ของกบฏผีบุญ "นายศิลา วงศ์สิน" จบด้วยถูก "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" ใช้ ม.17 ยิงเป้า!
    ส่วน "บทจบ" ของกบฏรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ, 312 ส.ส.-ส.ว., นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์-นายนิคม ไวยรัชพานิช
    รวมทั้ง "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี
    จะจบแบบไหน-อย่างไร?
    คงไม่จบด้วย ม.17 แต่จะจบด้วยอำนาจมหาประชาชน 77 จังหวัด และการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.เป็นเบื้องต้น!
    เว้นแต่ตัวเองจะ "ชิงจบ" เสียก่อน ด้วย 1.ยุบสภาฯ 2.ลาออก และ 3.ฆ่าตัวตาย!!
    ก็เห็นแล้วทั้งแปลกและทุเรศ บอกว่าเป็นกรรมการยุทธศาสตร์และแกนนำเพื่อไทย มีทั้งรัฐมนตรี ส.ส. นักกฎหมายฝรั่งเศส อดีตทหาร อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัย
    แต่คิดและทำ "เถื่อน-ถ่อย" ยิ่งกว่าผีนรก และเหมือนเป็นสัญญาณบอกถึงความตกต่ำใกล้ตายของพรรค ก็ลองถึงขนาดต้องเอาคนอย่างจ่าหัวขี้เรื้อน ไอ้พระเอกยี่เกหน้าวอกขึ้นมาอยู่ในระดับแกนนำผู้กำหนดยุทธศาสตร์พรรค
    มันก็...จบแล้ว!
    สำหรับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มาถึงป่านนี้ กลิ่นอาย "ตายทั้งเป็น" กรายอยู่บนหัวแล้ว ยังไม่รู้สึก-สำนึกแห่งผิด แห่งถูก
    ไม่ทำตัวให้ประชาชนรู้สึกสงสารในฐานะ "สตรีแหลที่น่ารัก" คนหนึ่ง ซึ่งตกเป็นเครื่องมือ "ตัณหา-พยาบาท" ของเจ้าพี่ชาย
    การรีบนำ พ.ร.บ.แก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มา ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายนั้น ทำตาใสอ้างได้ว่า ทำตามกรอบเวลากฎหมายระบุ
    แต่เมื่อมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาชัดแล้วว่า  พ.ร.บ.นั้น ทำกันด้วยพฤติกรรมและวิธีการที่ผิด รู้แล้วแทนที่จะสำนึกและประสาน "สำนักราชเลขาธิการ" ขอร่าง พ.ร.บ.นั้นคืน
    ก็...ไม่ทำ!
    กลับไปทำตามคำแนะนำของกรรมการยุทธศาสตร์และแกนนำพรรคที่ประกาศเป็นกบฏ โดยดื้อแพ่ง ไม่ยอมรับอำนาจศาล!
    เช่นนี้ เท่ากับลบล้างข้ออ้างที่ว่า "นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามกรอบเวลากฎหมาย" เปลือยตัวตนและเจตนาให้เห็นชัดแจ้งว่า ที่ทำไปทั้งหมดนั้น
    "จงใจ"!
    ไม่มีนักการเมืองอารยประเทศไหนในโลกจะหนังหนา-หน้าด้าน ไร้จิตสำนึก ไร้ธรรมาภิบาลเท่านายกฯ ยิ่งลักษณ์  เท่าประธานรัฐสภาสมศักดิ์ และรองฯ นิคมอีกแล้ว
    ผิดชัดแจ้งขนาดนี้ ยังดื้อด้านอยู่ ไม่อายใคร-ไม่อายโลก  แถมยังทำกำแหงโจร จะไปฟ้อง ไปร้องถอดถอนตุลาการที่วินิจฉัยซะอีก!
    ในเมื่อไม่ยอมรับอำนาจศาล ซึ่งเท่ากับไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วจะไปฟ้องศาลอีกทำไม  เพราะนั่นเท่ากับยอมรับอำนาจศาลนะ?
    โธ่ ไอ้ทุเรศ....!
   
อะไรที่ศาลตัดสินไม่ถูกใจกู กูไม่ยอมรับ แต่อะไรที่กูต้องยืมมือศาลไปจัดการคนอื่น ตรงนี้กูยอมรับ
    เอากันด้านๆ อย่างนี้น่ะนะ..ไอ้หัวขวด?

    มันหมดสภาพพรรคการเมือง สภาพนายกฯ สภาพ ส.ส.ไปแล้ว สำหรับเพื่อไทย ต้องระงับบัญชีเงินเดือน ไม่ยอมให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ต่อไป เพราะการประกาศ "ไม่ยอมรับอำนาจศาล" ทำเป็นทางการในนามพรรค
    การปฏิเสธอำนาจศาล เท่ากับปฏิเสธรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ในเมื่อสถานะ ส.ส.ก็ดี นายกฯ ก็ดี พรรคก็ดี ประธาน-รองประธานรัฐสภาก็ดี ล้วนมาจากรัฐธรรมนูญ
    เมื่อรัฐธรรมนูญไม่มีแล้วในการยอมรับของพวกเจ้า....
    หัวโขนที่พวกเจ้าสวมอันได้มาตามรัฐธรรมนูญ ก็ต้องไม่มีแล้วเช่นกัน!
    สภาพยิ่งลักษณ์วันนี้ คือสภาพ "นายกฯ ปูง่อย" นี่ก็วันเสาร์ 23 พฤศจิกา พรุ่งนี้อาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกา
    "สุเทพ ณ ราชดำเนิน" เขาเชิญชวนคนทั่วประเทศมารวมกันเป็น "มหาประชาชนชาวราชดำเนิน" นับล้าน
    มากันทำไมเป็นล้าน?
    มาจับ "ปูง่อย" ลอยแพไปดูไบน่ะซี!
    ในสภาพปิดบน-ล่างแพลม, ปิดล่าง-บนโผล่ มีคนสงสัยว่า ทำไมยิ่งลักษณ์จึงไม่ชิง "ยุบสภาฯ" กุมสถานภาพ "นายกฯ รักษาการ" ไว้ก่อน?
    เลือกตั้งใหม่ภายใน 2-3 เดือน พ.ร.บ.นิรโทษฉบับสุดซอยที่แช่แข็งไว้ 180 วัน ก็ยังใช้ได้ เลือกตั้งใหม่ยังไงเพื่อไทยก็ชนะ ก็เอาเข้าสภาฯ ใหม่ประกาศใช้ได้เลย ตัวเองก็จะเป็น
    "นารีขี่ม้าขาว" คัมแบ็ก!
    แต่วันนี้ยุบไม่ได้แล้ว เพราะอยู่ในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หลังวันที่ 29 พ.ย.เป็นต้นไป คืออภิปรายเสร็จแล้ว ไม่แน่นะ เธออาจยุบก็ได้!?
    เหตุที่ไม่ยุบก่อนหน้านี้ เพราะต้องการใช้ "รัฐสภาทาส" เป็นตรายาง ปั๊มกฎหมายกู้ 3.5 แสนล้าน, กู้ 2 ล้านล้าน, กฎหมายนิรโทษกรรม และกฎหมายรัฐสภาผัว-เมีย
    ก็ดูเหมือนได้ แต่ไม่ได้เลยทุกฉบับ แท้งบ้าง คลอดแล้วตายบ้าง ดองไว้บ้าง แล้วมาเจอสถานการณ์ "นกหวีด-นกเขา" จากประชาชนชาวราชดำเนินเป่าไล่ เอา "นกแสก" มาสู้ก็ยังสู้ไม่ไหว
    ส.ส.ในพรรคส่วนใหญ่ ก็ดูเหมือน "รู้หลบเป็นปีก-รู้หลีกเป็นหาง" ยิ่งลักษณ์นับวันจะอ้างว้าง-โดดเดี่ยว เหลือแต่จ่าประสิทธิ์เท่านั้นคอยให้แอ่นระแน้แลซบ
     ในเมื่อ "รัฐสภาทาส" หมดสภาพที่จะใช้เป็นเครื่องมือ
    ก็มี 3 ทางสุดท้ายให้เลือก
    1.ใช้บริการ "กองกำลังผสม" กองทัพตำรวจ-กองทัพนปช. ด้วย พ.ร.บ.มั่นคง
    2.ใช้บริการ "กองทัพทหาร" ด้วยประกาศใช้กฎอัยการศึกจัดการผู้ชุมนุม และ
    3.รีบหนีออกนอกประเทศไปเสียแต่เดี๋ยวนี้!
    พิเคราะห์แล้ว เหลือสองทางที่เป็นได้ คือทางที่ 1 และทางที่ 3 ส่วนทางที่ 2 หวังใช้กองทัพเป็นกองกำลังปราบประชาชนเพื่อรัฐบาลกบฏในราชอาณาจักรได้ยึด ครองประเทศต่อไปนั้น
    The Impossible!
    ในทางย้อนศร ถ้ารัฐบาลใช้กองทัพตำรวจกับกองทัพนปช.เข้าปราบปรามมหาประชาชนชาวราชดำเนิน จนเกิดคำว่า "จลาจล"
    ตรงจุดนี้ รัฐบาลอาจถึงขั้นประกาศใช้ "กฎอัยการศึก" ควบคุมเพื่อสร้างและรักษาความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมือง(และตัวเอง)
    "กฎอัยการศึก" เป็นมาตรการทางกฎหมายสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในการรองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่าย ทหาร เพื่อให้บรรลุถึงภารกิจในการรักษาความมั่นคงของประเทศชาติ
    ครับ..นั่นคือ ถ้าไม่มีกฎหมายรองรับ ทหารจะออกมาทำงานในสิ่งอันมิใช่หน้าที่ไม่ได้ ถ้าออกถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษทั้งอาญาและวินัย
    และผมบอกได้เลยว่า เมื่อทหารออกมา จะไม่ออกมาด้วยเป้าหมาย "พิทักษ์รัฐบาล" ที่หมดความชอบธรรมแล้วนั้น
    แต่จะออกมาเพื่อพิทักษ์มหาประชาชน ที่ออกมาทำหน้าที่พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้
    สรุปก็คือ แก๊ง "กบฏรัฐธรรมนูญ" บนการรวมหัวของรัฐบาล+รัฐสภา เดินหน้าก็ตาย อยู่เฉยๆ ก็ตาย ถอยหลังก็ตาย นั่นเพราะ
    "ตายซาก" แล้ว ขณะนี้!

       

       อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ มาถึงแล้ว....

 

       อ.ปราโมทย์....วันนี้เป็นวันสุกดิบ พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญอย่างย่ิง  อ.ปราโมทย์บอกว่า กบฏรัฐธรรมนูญคณะนี้ ผมเคยได้เขียนไว้ก่อนว่าคือ “ผีบุญดิจิตอล”

       วันนี้มาเปิดเผยความจริง 2 อย่าง และก็โปรดทำใจเมตาสงสารแก่ตำรวจและทหาร ซึ่งทหารนั้นได้ทำการตกลงกับตำรวจไว้แล้วว่า ถ้าประชาชนบาดเจ็บล้มตายแม้สักคนเดียวก็จะทนไม่ได้

       ขออ่านจดหมายที่ผมได้เขียนถึง นส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 56 ตามธรรมเนียมของผม ก็จะอ่านเปิดเผยสู่สาธารณะ ถ้าเขาไม่ตอบในเวลา 15 วัน ที่จริงเขาเป็นน้ากับหลานกันไม่ใช่น้องสาว

       สรุปความจดหมายคือ ขอให้ยิ่งลักษณ์ ทักษิณตัดสินใจให้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นจะได้รับผลเลวร้ายกว่าสมัยทักษิณอีก เพราะเรื่องนิรโทษสุดซอยเป็นฟางเส้นสุดท้าย ของประชาชนที่ไม่ทนต่อ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ประชาชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้งสื่อต่างชาติ ได้ต่างพากันบอกว่า นี่คือวาระสุดท้ายของระบอบทักษิณแล้ว

       ยิ่งลักษณ์ควรใช้โอกาสนี้ ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง แล้วคืนพระราชอำนาจ ซึ่งอานิสงส์นี้ก็จะทำให้ยิ่งลักษณ์ทักษิณได้กลับมานอนตายในบ้านเกิดเมืองนอนได้

       ผมเชื่อว่าเขาอ่าน แต่เขาไม่ทำอย่างนี้ คำตอบของเขาจะมาถึงสังคมไทย มาเป็นระรอก ส่วนคำตอบสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ต้องคอยติดตาม เชื่อว่าบัดนี้ทักษิณจะมาอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว คงมีการเคลื่อนไหวของลิ่วล้อทักษิณ และเขาก็จะไปรับคำสั่งจากทักษิณ

       ประชาภิวัฒน์ได้สำเร็จแล้ว เพียงแต่เราจะทำอย่างไรต่อไป ตุลาการณ์ภิวัฒน์ได้ปูพื้นให้แล้วว่าจะไล่ล่าระบอบทักษิณอย่างไร ซึ่งเขาไม่มีทางจะรอดได้

       ย้อนกลับไปถึงจดหมายถึงทักษิณ เตือนเขาไว้ก่อนการปฏิวัติปี 49 ในนั้นบอกไว้ว่า ถ้าทักษิณตัดสินใจลาออกเสีย แล้วให้คนในพรรคขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วหยุดการทำส่ิงที่ผิด หยุดแทรกแซงองค์กรอิสระ หยุดจาบจ้วงสถาบัน และยังที่ทำผิดในปฏิญญาฟินแลนด์ และยังมีอีกมากที่เขาทำเลวร้ายไว้

       ซึ่งการที่พวกเขาทำผิดถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้ว เขายังออกมาปฏิเสธอำนาจศาล เวลานี้ความหวังของพวกเราคือ ปริมาณและคุณภาพของพวกเราที่จะออกมากันให้มาก สงบเงียบอดทนอหิงสา

ผมมีข่าวสารที่ส่งมาถึงผมก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน...สารถึงเพื่อนข้าราชการ จากอดีตข้าราชการ ก.มหาดไทยว่า...นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายว่าท่านจะเลือกระหว่างคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญหรืออยู่ข้างที่เขาปฏิเสธศาล จะอยู่ข้างระบอบปชต.อันมีพระมหากษ.ทรงเป็นประมุข กับระบอบทักษิณ

       และผมได้รับจดหมายจากทหารผ่านศึกท่านหนึ่ง เป็นทหารผ่านศึกเกาหลี เพราะท่านกินไม่ได้นอนไม่หลับเนื่องจากเรื่องหนึ่ง...จงเชื่อสุภาษิตว่า “ทหารเก่าไม่มีวันตาย” เขาเพียงหายหน้าไปชั่วคราว … ไม่ได้ติดต่อกับอ.มาเป็นเวลาพอสมควร ผมปัจจุบันอายุ 85 แล้ว ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือบ้านเมืองได้สักเท่าใด เคยได้ยินว่าประชาชนนี่แหละจะช่วยเหลือบ้านเมืองได้ไม่ต้องใช้ทหาร ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่าจะทำได้อย่างไรถ้าไม่ใช้ทหาร เขาหน้าด้านอยู่ต่อไป แต่พอเห็นคุณสุเทพประกาศบนเวที ที่มีประชาชนมามากมายก็เห็นว่าจะมีวิธีไล่ตระกูลชินออกไปได้ แต่ก็ต้องระวังว่าเขาจะใช้วิธีสกปรกได้...

       อ.ปราโมทย์ว่า...บางทีเขาอาจใช้วิธียุบสภา หรือลาออก เราต้องรอปปช. ซึ่งถ้าท่านใช้เวลานานเป็นเดือน บ้านเมืองก็จะตกอยู่ภายใต้คนนอกกฏหมาย ต่างประเทศก็รู้แล้ว ก็เปลี่ยนท่าที่ไปหมดแล้ว การดื้อแพ่งทำผิดกฏหมายแล้วไม่ยอมรับความผิด ก็คือการดื้อแพ่งทำลายกฏหมาย  เราต้องทำการเดินให้ทะลุซอย เวลานี้เกิดสุญญากาศแล้ว เราจะทำให้เกิดสุญญากาศมากขึ้น แจ้งชัดขึ้นอีก เขาก็จะออกจากประเทศไป เราก็เมตตาเขา เราได้ฤกษ์ที่จะชนะแล้ว เราอย่ายอมวิธีที่มักง่ายของรัฐบาล ว่าการลาออกหรือยุบสภาก็ไม่ใช่ทางออก ต้องทำให้เกิดการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่ได้ แม้จะช้า แต่การปลอมแปลงเอกสาร ก็ควรต้องคดีอาญากันทั้งโขยง

       

พ่อครูว่า....ขอเสริมตอนท้ายเพื่อสรุปให้เห็นเนื้อแท้ความเป็นจริงว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คล้ายกับฉบับอื่นโดยเฉพาะหมวดต้น แต่มีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่เนื้อหาเดิมไม่เปลี่ยน ก็ขอสรุปอีกว่า พวกเราได้ทำตามหลักเกณฑ์สากลมาตลอด บางคนก็มองว่าเรามาเล่นเหมือนเด็ก ซึี่งการอภิวัฒน์ เป็นการทำให้เจริญก้าวหน้า เพื่อใช้อำนาจตามระบอบปชต.สมบูรณ์แบบ ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แต่ถูกหลอก ถูกครอบงำไปได้ ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญที่ว่า ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย คนเดียวก็ประท้วงได้ เอาความถูกต้องมายืนยัน แม้เราเข้าใจผิดก็ออกมา

       พระมหากษัตริย์ก็เป็นประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มันมีความซับซ้อนที่ว่าต้องมีการคานอำนาจตลอด ในสามสถาบัน คือบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ แต่ว่า บริหารและตุลาการนั้นขาหักขาเป๋ไปหมดแล้ว ประชาชนก็ต้องมายึดอำนาจคืน เลือกตัวแทนแต่ตัวแทนเป็นกบฏก็ต้องยึดอำนาจคือ ส่วนตุลาการภิวัฒน์ก็ทำหน้าที่เมตตาแล้ว แต่ก็กลับเอาความเมตตามาทำร้ายคืนอีก จะยึดอำนาจศาลอีก แบบนี้ทั้งโง่ทั้งบ้าเลย

       เหลือแต่ประชาภิวัฒน์ 1 คน 1 เสียงออกมา วันนี้วันสุกดิบ พรุ่งนี้จะมากกว่านี้อีก รถจะติดมาก อาจต้องนั่งเรือมาก็เป็นได้ เป็นเรื่องที่เกิดจริงเป็นจริง ภาคภูมิใจในความเป็นไทย เกิดความสงบเรียบร้อยมาเกือบ 100 วันแล้ว

       มวลประชาชนตื่นรู้ออกมาลงคะแนนเสียงสดๆ เป็นอำนาจลำดับหนึ่ง ส่วนผู้แทนนั้นเป็นอำนาจลำดับ 6 เราออกมาคะแนนเสียงสดๆ ก็ขอบคุณที่เกิดความสงบเรียบร้อย ทั้งพวกเราเองและเจ้าหน้าที่ มาถึงวันนี้แล้วสวยงามจริงๆ ออกมากันให้พรึ่บ ซึ่งพล.อ.ปรีชาประกาศปฏิวัติและถวายฏีกาแล้ว อย่างสงบเรียบร้อย ทั้งที่เราปฏิวัตินะ ก็เหลือแต่เขาจะหนีไปโดยดี อย่าฆ่าตัวตายเลย ไม่มีทางเลือกแล้ว

       ถ้าถึงวันที่ 25 เราจะอยู่เป็นวันที่ 111 เป็นวันจบเลย

       มีผู้รู้บอกว่า ประชาชนปฏิวัติไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเลยนะซึ่งอันนี้ก็ให้อ.ปราโมทย์ไข

       อ.ปราโมทย์ว่า...มีปธน.เจฟเฟอร์สันกล่าว ว่าสิทธิที่ประชาชนจะปฏิวัตินั้นเป็นสิ่งศักสิทธิ์และเป็นหน้าที่ด้วย

       และยังมีปธน. จอห์นเอฟ เคเนดี้ บอกไว้ว่า สิทธิในการปฏิวัติของประชาชนนั้นสำคัญกว่าสิ่งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย

       และผมเข้าใจว่า พี่น้องทหารเข้าใจแล้วว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ผิดรัฐธรรมนูญแล้ว ทางออกในการยุบสภานั้นไม่ดี ควรมีทางออกที่ดีกว่านี้ อยากพูดถึงทหารกับตำรวจ...หากคนไทยยังมาฆ่ากันเอง แล้วจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง....

       พ่อครู...สรุปว่า เราทำสิ่งนี้ให้คนสงสัยเพราะเราทำได้สวยงามเกินไป ยังไม่เคยมีในโลก การปฏิวัติที่สวยงามเช่นนี้ยังไม่มีในโลก เขาว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ประเทศไทยก็ได้ทำ Best Record ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว...จบ

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:53:52 )

561124

รายละเอียด

561124_เทศน์ก่อนฉัน มัฆวานฯ โดยพ่อครู อ.กฤษฎา

ปฏิวัติโดยประชาชนมีได้ไหม     

       พ่อครูว่า...มีผู้ใหญ่บอกว่า ในรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไหนบอกว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้ แต่ว่ามีบอกว่า มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ตอนนี้เราปฏิวัติ โดยไม่มีในนิติรัฐ แต่ว่าในมาตรา 7 เราทำตามนิติธรรม ก็มาหามาตรา 2 เพราะว่ารัฐบาลทำผิด รัฐธรรมนูญ เราประกาศปฏิวัติอย่างถูกต้องตามหลักสากลแล้ว อำนาจของรัฐบาลก็ถูกรัฐบาลยึดคืนแก่ประชาชน เราก็จะทำตามประเพณี เรายึดอำนาจเสร็จก็ทูลเกล้า ถวายฏีกา เป็นระเบียบเรียบร้อย มีมวลมหาประชาชนเดินสวยงาม ประกาศต่อสาธารณชน ไม่ปิดบังอำพราง ไม่ซ่อนเร้น ปลอดโปร่งโล่งตลอด และได้ทูลเกล้าขึ้นไป แล้วคนก็มาเล่นแง่ว่า เป็นการดึงฟ้าลงต่ำ ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แทนที่จะว่าเราเทิดทูลสถาบัน เป็นวาทะกรรมที่มาบิดเบือนส่ิงที่เราเทิดทูนสถาบัน ว่าลูกๆเดือดร้อนมากแล้ว เรามีรายชื่อคนที่จะมาทำการแทนรัฐบาลถวายไปด้วย เราทำถูกทั้่งนิติรัฐและนิติธรรม

       มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       ตอนนี้สองสถาบันขาหักแล้ว คือบริหารกับนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าผิดแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมรับอำนาจศาลอีก เป็นกบฏซ้ำซ้อนอีก เมื่อมาตรา 3 ผิดแล้ว อำนาจก็ต้องเลื่อนสู่มาตรา 2 เกิดสุญญากาศแล้วประชาชนได้ยึดอำนาจแล้ว สส.สว.ก็หมดอำนาจแล้ว ประชาชนเป็นรัฐาธิปัตย์ ก็ริบอำนาจคืน เมื่อริบอำนาจคืนก็ทูลเกล้า เพราะท่านเป็นจอมทัพ เป็นSupreme law เป็นองค์รัฐาธิปัตย์

       ตอนนี้เมื่อมีรองราชเลขาฯได้รับฎีกาของเราไว้แล้ว หากมีใครยักฎีกาของเราไว้ ก็รับผิดชอบเองนะ เหลือแต่พระราชวินิจฉัยอย่างเดียว เราทำมาไม่ได้มีผิดอะไร มีแต่ถูกอย่างเดียว

       อ.กฤษฎาว่า..รัฐธรรมนูญ นอกจากตัวบทแล้วก็จะมีประเพณี คือมี Civil law and common law อย่างในอังกฤษก็จะเป็นจารีตไม่มีการเขียนไว้ อย่างที่เราทำนี่พระราชอำนาจไม่ได้ลดลงเลย แต่เราทำตามที่พระราชอำนาจควรมีต่างหาก

       พ่อครูว่า...ตอนนี้เหมือนเด็กสองคนที่จะชกกัน แต่ว่าบอกว่าเอ็งชกก่อนสิ แล้วใครชกก่อนก็แพ้ เราต้องรักษาความสงบให้ได้ ใครสงบกว่าชนะ ก็กดดันกันไป และอีกข้อคือมวลของใครมากกว่า มาเป็นพระสยามเทวาธิราชิทธิ์ เป็นพลังเจโตและปัญญาสองอย่างพร้อมกันเลย รวมกันสองอย่างเลย เป็นพลังรวมของประชาชน ที่มาเป็น All for one มาหมด ในบาลีของพระพุทธเจ้าว่า  หุตวา พหุทา โหติ คือหนึ่งเดียวสามารถเป็นหลายคนได้  พหุทาปิ หุตวา เอโก โหติ คือทั้งหลายทั้งมวลรวมเป็นหนึ่งเดียว

       เป็นผีเสื้อกระพือปีก เป็น Chaos ไม่มีใครวางแผนไว้ แต่ว่าแต่ละคนมากันด้วยใจ เอาความสงบ สยบความรุนแรง มารวมตัวกันด้วยความถูกต้องดีงาม ประเสริฐเลิศยอด เป็นปรากฏการณ์ย่ิงใหญ่ของโลก เป็น A Best record เป็น A Best model เราทำถูกต้องตามขนบ เป็น A Best Ceremony

       เรารวมตัวกันปฏิวัติ สำเร็จคราวนี้เป็น Final แน่ๆ สามเส้านี้เป็นความสามัคคีที่มีความขัดแย้งอันพอเหมาะ แต่ว่าเป็นหนึ่งเดียว ทั้งจิตวิญญาณและรูปธรรมก็มาผนึกกันหมดแล้ว เมื่อคืนนี้มาประกาศร่วมกันแล้ว เกิดประชาภิวัฒน์แล้ว

       เราจะปฏิวัติทางออก คือ  ตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ ก็จะค่อยๆทยอยทำ เรื่องอยู่ในเก๊ะขององค์กรอิสระแล้ว ประชาชนทำประชาภิวัฒน์แล้ว เมื่อศาลนำมาก่อน ประชาชนก็ตามมา เรียกว่ามีทั้งคุณภาพคือศาล ส่วนทางประชาชนคือปริมาณก็มาแสดง เมื่อวันนี้มืดฟ้ามัวดินเท่าที่ประเทศไทยจะเป็นได้ อาตมาว่าไม่เกินวันที่ 28 ก็เสร็จ

       แล้วทำไมต้องมารวมกันที่ราชดำเนิน ที่อนุสาวรีย์ปชต.ก็คือผ่านภิภพลีลา ก็คือพื้นดิน แล้วก็มาที่ผ่านฟ้าลีลาศ คือแนวกลางในหลายมิติ แล้วมีประชาชนส่วนใหญ่อยู่กองกลางคือมัฆวานรังสรรค์  

       ความมีขึ้นมาไม่ว่าจะน้อยเท่าไหร่ก็จะมีความขัดแย้ง แต่ว่าสิ่งที่จะไม่ขัดแย้งคือความไม่มี คือสูญ นี่คือ Set Zero อยู่ที่นี่ ส่วนผู้ที่เขาแพ้ไม่เป็นนั้น ก็คือผู้ที่เกือบจะชนะรอบโลกนั้นที่เขาไม่ชนะรอบโลกได้นั้นเพราะว่าเขาแพ้ไม่เป็น ส่วนเราไม่เอาแพ้เอาชนะ ของเรามีสาระชัดเจน แพ้ก็แพ้ ชนะก็ชนะ ทำตามครรลองคลองธรรม ทำอย่างพึ่งเกิดแก่เจ็บตายกันอย่างสมบูรณ์แบบ

       

       ใครไม่มาตกพงศาวดารนะ เป็นพงศาวดารทางการเมืองที่เป็นครั้งแรกในโลกที่เกิดอย่างสวยงาม สงบเรียบร้อย เรามายืนยันชี้ผิดชี้ถูกให้คนผิดยอมรับผิดเสีย แล้วใครจะอยู่จะมีเวลาอย่างไร ก็กรุณารักษาความเป็นมวลประชาชนที่มารวมกันแสดงคะแนนเสียงให้ยืนยาวไปจนกว่าเราจะถึงที่สุดจบเสร็จ

       ตอนนี้พระราชอำนาจได้ลอยสู่พระหัตถ์แล้ว เรารอด้วยใจที่ไม่ระทึก

       ได้ขยายความในรูปธรรมและนามธรรมว่าทำไมมันต้องเกิด ตอบได้คำเดียวคือ Born to be มันต้องเป็นส่ิงนี้ อาตมาทำงานศาสนามาถึงวันนี้เข้าใจ  Born to be โดยที่เราไม่ต้องกำหนด พระเจ้าเท่านั้นที่จะเข้าใจ ประชาชนจะทำอย่างไรก็ไม่สู้ฟ้า แต่ว่าถ้าเราทำตามที่เราปรารถนา อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็จะเป็นตามความอยากตามกิเลส แต่ว่าถ้าเราทำตามเหตุปัจจัย ก็จะลงตัวเป็น Born to be อย่างเรื่องอจินไตยนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด ตามเหตุปัจจัย เป็น ตถตา

       อย่างมีวันหนึ่ง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็ไม่ได้นัดแนะกับ พล.อ.ปรีชา โดยไม่ได้นัดกัน แล้วทั้งสองคนก็มาพบกับอาตมา อาตมาก็ถามเขาว่าใครสั่งให้ทั้งสองคนมาพบอาตมา ก็ไม่มีใครวางแผนหรือสั่งไว้ มันเป็นไปเอง ตถตา  

       ทำไมต้องชื่อจำลอง ทำไมต้องชื่อปรีชา ปรีชาแปลว่าความรู้ ดังนั้น จงทำตามปรีชา จงฟังโพธิรักษ์ จงดูอย่างจำลอง คุณจำลองนี่เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน พยายามลดตัวตน

       สนธิมีอยู่ 3 สนธิ

       สนธิที่เป็นพล.อ.สนธิ สนธิที่เป็นผู้ว่าฯ และสนธิที่อยู่กับคุณจำลองคนหนึ่ง แล้วใครเป็นตัวจริง สนธิที่ปฏิวัตินั้นก็ไม่จริง ส่วนสนธิที่เป็นผู้ว่าฯไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน แต่พอมีการตั้งเสนาธิการก็มาเลย เป็นสนธิ เตชานันท์ มีฤทธิ์แรงงดงามเลย ส่วนอีกสนธิ นั้นก็บอกว่าพี่ลองไปไหน ผมไปที่นั่น ตกลงสนธิสามคนนี้ คนหนึ่งไม่จริง ส่วนอีกสองคนก็จริง

       ขณะนี้เพิ่งจะ 10.00 น. มีประชาชนมากขนาดนี้แล้ว ถ้าไปถึง สี่โมงเย็นคอยดูจะมีประชากรเท่าไหร ยิ่งไปถึง สี่ทุ่มจะมากขนาดไหน?

       วันนี้ทุกสารทิศ เป็นผีเสื้อกระพือปีก เป็นอิสรเสรีภาพสมบูรณ์ เป็นวิญญาณหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณอย่างยิ่งทุกคนที่มาเป็นหนึ่งในล้านกัน

       Over ripe เหลือแต่ Over full ก็จะเป็น Over Power มีแต่ Over and Over เป็นสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ ในภาวะที่ต้องเกิดต้องเป็น จะมาปฏิเสธไม่ได้ ทุกคนมีจิตวิญญาณพาเกิดพาเป็น แล้วมารวมกันเป็นมวลมหาประชาชน ตอนนี้ทยอยกันมาเรื่อยๆ มันถ้วนรอบสมบูรณ์ เป็น ปรากฏการณ์ ที่เป็นจริง อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ที่อยู่ทางบ้านก็ขอเชิญมาร่วมกัน ยินดีต้อนรับทุกท่าน...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:56:51 )

561124_สงครามสังคม

รายละเอียด

561124_สงครามสังคม เวทีมัฆวานฯ โดยพ่อครู

เรื่อง การเปลี่ยนแปลงโดยอภิมหาประชาชน

 

       วันนี้ได้นั่งรถออกไปดูที่สนามหลวง และได้ข่าวว่าตอนนี้ล้นจากสนามหลวง ข้ามไปฝั่งธนฯแล้ว ไปสะพานปิ่นเกล้าแล้ว เรามีเครื่องบินหรือโดรนสำหรับถ่ายภาพทางอากาศก็เห็นว่า นี่คือปรากฏการใหม่จริงๆ มั่นใจว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก ที่เราใช้อธิปไตยของประชาชนจริงๆ ที่เราออกมาประกาศ เรียกว่า มวลอภิมหาประชาชน เพราะมันไม่ใช่ของธรรมดาเลย ที่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้ ที่สำคัญมาก็คือ ประชาชนคนไทยออกมาครั้งนี้ เลือดไม่ตกซักหยดเลย ต้องคารวะต่อประชาชนคนไทยอย่างยิ่งเลย สิ่งที่หลายคนว่าไม่น่าเป็นไปได้เลย ว่าเหตุการณ์ที่เกิดนี้ ประชาชนออกมาแสดงตัวมากมาย จะเป็นนักวิชาการ นักรัฐศาสตร์ นี่คืออำนาจของประชาชนที่ออกมาแสดงสิทธิ ที่เรียกว่าออกมาประท้วง อาตมาเรียกว่ามาปฏิวัติ หรือบางคนว่าออกมาอภิวัฒน์ ถ้าเราเข้าใจสภาวะก็คือการการเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่ไม่ดีให้ออกไป แล้วขออำนาจคืน เปลี่ยนแปลงเอาอำนาจอื่นเข้าไป ของเก่านั้นผิด เราก็ขอเอาอำนาจใหม่ที่จะขอทำอย่างถูก อันเก่าทำเสีย เดือดร้อนลำบาก ซึ่งเป็นวิธีการที่สงบเรียบร้อย ถูกสากล ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้แอคอาร์ท ใช้ภาษาพูด

       แต่เป็น A best record เลยที่เรามาแสดงสิทธิสงบเรียบร้อย ไม่ใช่วันเดียวด้วย นานนะ แล้วพูดกันอย่างอะไรผิดก็ว่าผิด ว่าแรงด้วย จะเรียกว่าด่าว่ากันก็ได้ เรียกอีกอย่างว่า มุขสตี หรือปากหอก เสียบกันด้วยภาษาทางปาก  ในยุคพระพุทธเจ้าก็มี อาริยะขั้นโสดาบัน นั้น ญาณปัญญาข้อที่ 1 จะรู้จักกิเลสในระดับหยาบ เราเรียกว่า วีติกมกิเลส แล้วก็กำจัดกิเลสนี้ได้ และเร่ิมมีญาณปัญญารู้จักกิเลสระดับกลาง ในโสดาบันจะมีญาณรู้และตัดกิเลสเบื้องต้น และยังมีการใช้ภาษาพูดหรือปากหอกเสียบกัน หรือด่ากัน พระพุทธเจ้าท่านตัดแบ่งคุณสมบัติ คุณธรรมของผู้ปฏิบัติธรรมเป็นขั้นๆ

       โสดาบันก็เป็นอาริยะขั้นที่ 1 ยังมีพฤติกรรมด่าว่ากันอยู่ แต่สูงขึ้นไปก็จะด่าว่ากันน้อยลง ต่อเมื่อดับอนุสัยกิเลสก็เป็นอรหันต์

       ปรากฏการณ์ที่เกิด แม้เราจะใช้ปากหอก แต่ว่ามีความสงบเรียบร้อย เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่ยังไม่เคยเกิดในโลก ตอนนี้แน่นไปหมดเลยคน ขนาดยังไม่ถึงเวลาเต็มที่เลย คนก็ออกมาขนาดนี้แล้ว อาตมาว่าสองทุ่มประมาณนั้น คนจะแน่นมากกว่านี้ อาตมาดูช่องสีแดง เขาก็รวมพลกันตอนนี้ เอาประชาชนออกมาเพื่อเปรียบเทียบสู้ เรียกอธิปไตยของประชาชนด้านเขา ที่สนามรัชมังคลาฯเขาไม่ค่อยกล้าถ่ายรูปไปที่คนเท่าไหร่ ตอนนี้เลย เพราะว่ามันมีแต่เก้าอี้สีแดงเต็มไปหมดเลย ไม่มีคนนั่ง มีคนเป็นกระหย่อมๆ ซึ่งของเราแน่นแล้ว เต็มหมดแล้ว ยาวเหยียดถนนราชดำเนิน ตอนก่อนหน้านี้เราขอว่า ถ้าประชาชนยาวจากแท่งคอนกรีตยาวไปถึงสนามหลวง ที่ไหนได้ตอนนี้เกินกว่านั้นอีกแล้ว แตกแยกแขนงไปอีกมากเลยตามซอย มันคงเกิน สองหมื่นคนแล้วล่ะ ตามที่ตำรวจเขาประเมินมาก่อน

       แม้คราวนี้สมมุติว่า การด้านดื้อดึงดันก็ยังเกิดอยู่ ทั้งที่เราทำอย่างงดงามตามนิติรัฐนิติธรรม เขาหาว่าเรากบฏ แต่ที่จริงเขากบฏ เราสุภาพสงบเรียบร้อย เราไม่ใช้กำลัง แล้วจะมาหาเรื่องเอามือที่ 3 มา เอามีด ปืน อาวุธมา เราไม่ทำแน่ ซึ่งถ้าต่างพวกก็รักษาความสงบเรียบร้อยได้จริง แต่ก็ดื้อด้านดึงดัน ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเลิก ทั้งที่จบแล้วโดยนิติรัฐนิติธรรม ตอนนี้มันเกิดสภาพของผู้ผิดได้ผิดชัด เป็นกบฏชัด ผิดกฏหมายชัดแน่ๆ

       พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องความเป็นคน ทั้งรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์มีอยู่ในนี้หมด นอกจากเรื่องเทคนิคที่ต้องศึกษา เพื่อสร้างทำอะไรขึ้นมา แต่เรื่องของมนุษยชาตินั้น ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะมีความรู้ไปเลย ไม่ว่าจะมานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าตรงหมดเลย ศาสนาอื่นก็เช่นกัน ไม่ว่าอิสลาม คริสต์ ฮินดู พราหมณ์ก็ตาม เมืองไทยเป็นเมืองพุทธไม่สิ้นไร้ไม้ตอกแน่

ปรากฏการณ์ครั้งนี้ชัดเจนว่าประชาชนเข้าใจตื่นตัวในความเดือดร้อนของสังคม และเข้าใจในหน้าที่ที่จะออกมาประท้วง เป็นสัญชาติญาณจริงของจิตวิญญาณ เป็นหน้าที่ก็ออกมาปฏิบัตินะ แม้ไม่ค่อยรู้แต่เขาชวยออกมาเราก็ออกไปประท้วงด้วย มันมีปฏิภาณไหวพริบว่าควรทำ ขออภัยว่ามวลชนที่ออกมานี่ เป็นล้านแน่นอน อาตมาว่าจะถึงสองหรือสามล้านไม่รู้ได้ ใครมีความรู้ช่วยประมาณให้หน่อย

       คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม เพราะเราไม่รู้ว่ารัฐบาลจะดันทุรังต่อไปไหม ทั้งที่ตุลาการภิวัฒน์ ก็ทำหน้าที่เต็มที่แล้ว ตอนนี้ประชาภิวัฒน์ก็มาทำหน้าที่ ได้แล้ว ออกมาขนาดนี้แล้ว ขออภัยว่า แม้คราวนี้จะไม่สำเร็จก็ดีใจภูมิใจแล้ว เขาหน้าด้านหน้าทน แม้ครั้งนี้ไม่สำเร็จเด็ดขาดเราก็ทำหน้าที่ต่อไปตามนิติรัฐนิติธรรม

       นิติธรรมต้องมีกิเลสน้อย ผู้จะไปทำงานรับใช้ประชาชนเหมือนสส.หาเสียงว่าผมขอไปทำงานรับใช้ประชาชน คุณต้องไปทำงานรับใช้ประชาชน แต่แท้จริงกิเลสคุณไม่ลด พอได้โอกาสมีอำนาจขึ้นมาที่คุณทำได้ คุณก็ใช้ช่องของอำนาจต่างๆ ใช้เชิงฉลาดได้เปรียบ ทุจริตซับซ้อน ที่จะหลอกทุจริตหากินสารพัด ใช้เป็นอาชีพสะสมกอบโกย จนมาถึงปัจจุบันเลวร้ายจนคนไทยทนไม่ไหว แม้ไม่มีความรู้มาก แต่ก็ทนไม่ไหวต่อการบริหารประเทศชาติ ถ้าเป็นชาติอื่นที่เขาเจริญทางประชาธิปไตยเขาเอาหัวมุดดินเป็นนกกระจอกเทศไปแล้ว

       มาถึงวันนี้แล้ว น่าจะได้มีโอกาสมีคณะใหม่ ที่จะมาปฏิรูปการเมืองให้แก่ประชาชนให้ได้สักที บอกอีกทีว่า เราได้ยึดอำนาจคืนมาแล้วโดยนิติรัฐนิติธรรมสำเร็จแล้ว แต่เขายังหน้าด้านหน้าทนอยู่ แล้วไปหลอกคนกลุ่มหนึ่งให้หลงเชื่อได้ แล้วเขาบอกว่าเขาเลือกตั้งมาคะแนนเสียง 15 ล้าน คุณก็ขนคนของคุณมาสิที่ว่า 15 ล้าน เราไม่มีสักล้าน เพราะไม่ได้มีเลือกตั้งแต่นี่เป็นอำนาจ 1 คน 1 เสียง อิสระเสรีภาพ ออกมาประท้วงสดๆ คุณรู้ไหมว่านี่คืออำนาจที่แท้จริงย่ิงกว่าอำนาจที่มีตอนเลือกตั้งเท่านั้น

       ขณะนี้คนทั้งโลกรู้แล้ว เป็นโลกโลกาภิวัฒน์แล้ว นี่คือวิธีการบอกความจริงให้คุณรู้คุณพาประเทศไทยขายหน้าแก่ชาวโลก

       ขณะนี้อาตมาว่าได้เกิดสุญญากาศทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว หมายความว่า ถ้าประเทศไทยว่างจากผู้บริหารประเทศ​ถูกประชาชนปฏิวัติยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว และยึดอำนาจอย่างสวยงามเรียบร้อยที่สุดเลย มันสวยงามมั๊กมาก

       สงบเรียบร้อย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะเขาดึงดันดื้อด้านมาก หากใช้มีด ปืน มันก็เร็ว เขายอมจำนน สู้ไม่ได้จริงๆเขาก็หยุด แต่นี่เราไม่ได้ทำ เราเป็นอาริยะชน ให้เขาละอายต่อความผิด ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นรัฐาธิปัตย์จะอยู่ที่ประชาชนกับในหลวง

       เจ้าของอำนาจใหญ่สูงสุด ประชาชนกับในหลวง เมื่อในหลวงเห็นประมุขเป็นหัวหน้า จึงเป็นเจ้าของสูงสุด แต่ถ้าจะพูดในแบบประชาธิปไตยคือประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเต็มๆสูงสุด

       ประเทศที่บริหารประชาธิปไตยขาเดียว เขาก็เลือกจากประชาชนล้วนๆไปเป็นหัวหน้า เป็นประชาธิปไตยขาเดียว มันดีเชิงหนึ่ง แต่ไม่บริบูรณ์ในฐานะมนุษยชาติ ที่จะมีทั้งจิตวิญญาณและวัตถุ เมื่อเป็นแบบวัตถุมาก เช่นคอมมิวนิสต์ซึ่งไม่เอาวิญญาณอย่างยิ่งยิ่งกว่าประชาธิปไตยขาเดียวจึงแข็งกระด้างไปไม่รอด ไม่มีเมตตา ไม่มีน้ำใจเลย  หนักไปทางวัตถุ ใช้อำนาจบาตรใหญ่หนักกว่าประชาธิปไตยขาเดียวที่ยังมีศาสนา แต่คอมมิวนิสต์ตีทิ้งศาสนาเลย

       พิสูจน์มาทั้งโลก คอมมิวนิสต์เกิดมา 70 กว่าปี ทุกวันนี้ถือว่าคอมมิวนิสต์ล้มละลายแล้ว พวกที่คิดแบบคอมฯนั้นตกยุคแล้วไม่รู้ตัว เขาก็จะแดงทั้งแผ่นดินอยู่นั่นแหละ ต้องกลับมาสู่มิติจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณเป็นใหญ่

       คนที่มีจิตวิญญาณประเสริฐเป็นอาริยบุคคลได้ ไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ตะกละ ไม่ติดยึดในราคะ ลดราคะจริงก็ไม่ต้องเสียแรงงาน ทุนรอน ไปบำเรอ เพราะราคะลดจนถึงไม่มีราคะ อย่างอนาคามีไม่มีแล้วกิเลสกามราคะ แล้วไม่มีเวียนกลับ ไม่เหมือนฤาษี ที่บวช 38 ปียังสึกมาเมื่อเจอเนื้อคู่ 

       พุทธสอนให้อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก เหนือกามและอัตตา แม้ในโลกมีกิเลสเช่นนี้แต่ทำอะไรท่านไม่ได้ ไม่ถือยศศักดิ์ แม้มียศก็ใช้ทำประโยชน์แก่สังคม ไม่ได้เอามาเบ่งอำนาจ ยศตำแหน่งหมายถึงขอบเขตแห่งอำนาจ เช่นผู้หมวด ผู้กอง ผู้พัน ผู้บัญชาการ หรือตำแหน่งต่างๆ ข้าราชการก็คือผู้มีตำแหน่งหน้าที่เก่งขึ้นก็ได้รับความยอมรับให้มีความรับผิดชอบในการงานมากขึ้น มีผู้รับสนองเป็นลูกมือมากขึ้น เป็นสัจจะที่จะต้องทำงานมากขึ้น

       การไม่มีตัวตนเข้าใจในโลกธรรม เข้าใจในกามและอัตตา ก็จะอยู่กับโลกอย่างไม่เป็นทาส ไม่แย่งชิง ยิ่งคุณธรรมสูงยิ่งจะทำประโยชน์แก่สังคมมาก และจะไม่เอามาก เราสามารถมากไม่เอามากอดทนมากก็ไม่ต้องเอาไม่ต้องแย่งกับเขา เป็นเรื่องจริงทำอย่างสบายใจ เราไม่มีเงินเราก็ทำงานได้

       อย่างอาตมาก้าวมาทำงานนี้ ไม่ได้มีตำแหน่งยศศักดิ์ แต่ก็ได้รับความนับถือจากคนที่เข้าใจ ให้ทำหน้าที่ อาตมาไม่มีเงินทอง ไม่มีสรรเสริญ ลาภยศ ในวงสังคมเขามีมากที่มองอาตมาว่าเป็นตัวปะหลาด ทำอย่างนี้ทำไม อาตมาไม่ได้น้อยใจ อาตมาก็ทำไปอย่างจริงใจ ส่วนอาตมาจะมีความสามารถเท่าไหร่อาตมาไม่ต้องกำหนด ทำไปเท่าที่มีเท่าที่จะทำไป

       ถ้าเรามีโลกุตรจิตที่เหนือกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะไม่ปะหลาดใจ เขาด่าเราก็เข้าใจเขา ก็ไปทำกับที่เข้าใจยอมรับดีกว่า ทุกวันนี้ก็ทำไปเท่าที่จะทำได้ ก็ทำมากขึ้นเหนื่อยมากขึ้นเท่าที่มีแรง ด้วยความจริงใจ ภาคภูมิใจที่เราเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคม ไม่ใหญ่โตอะไรก็ภูมิใจ แต่เป็นอาริยธรรม คือธรรมะระดับโลกุตระ ไม่เป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คนที่ปฏิบัติ บางคนเงินเดือนสามแสนสองหมื่นเขาก็ลาออกมาเลย อีกคนเงินเดือนแสนกว่าเขาก็ทิ้งมาทำขยะอยู่กับพวกเรานี่ สิ่งเหล่านี้เขาอยากเสแสร้งอวดอ้างก็ให้เขาอวดไปจนตายเลย ทำเอาหน้าอย่างนี้ทำไปจนตายเลย พวกเราเงินเดือนแสนก็ลาออกมาเยอะ ทุกวันนี้เงินเดือนแสนบาทก็มากพอสมควรนะ ลาออกมาก็ไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์ ทำงานกับสังคม ไม่พาเขาป่าหลับตา แต่ทำงานในชีวิตประจำวันนี่แหละ

       อาตมาไม่ได้โอ้อวด อ้างปรากฏการณ์จริง เป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก ซึ่งเป็นเรื่องจริง เป็นของสูง(โอปนยิโก)ที่ต้องเอื้อม ก็เป็นสันทิฏฐิโก การได้ธรรมะบรรลุโลกุตรธรรมเป็นเยี่ยงนี้หรือ?ก็เป็นได้ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่ออาตมาหรือแม้แต่พระพุทธเจ้า แต่จงเชื่อส่ิงที่ตนได้ปฏิบัติได้ผลจริง ตามหลักกาลามสูตร เราทำมานี่ไม่ได้ติดในลาภยศสรรเสริญกามหรืออัตตา

       ธรรมพระพุทธเจ้าสอนแล้วทำไปให้พิสูจน์ได้ ท่านให้เกียรติคนในการปฏิบัติ เมืองไทยถ้ามีสัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่บริหารแบบคนจน ในหลวงตรัสการที่จะเป็นประเทศแบบคนจน ไม่ก้าวหน้าอย่างมาก คำตรัสในหลวงเราเอาออก FMTV เป็นสัจธรรมลึกซึ้งระดับโลกุตระธรรม แต่คนไม่ค่อยเข้าใจ ชาวอโศกเป็นคนจนแต่ สมบัติชาวอโศกนี้ไม่เช่านะ เขาจะบอกว่าชาวอโศกนี่รวย แต่แต่ละคนของชาวอโศกนั้นไม่ได้สะสม นี่เป็นสัจจะ อย่างนายตูนหรืออุดมนี่ก็ทำกันงอกๆๆ ไม่มีเงินเดือน ยังไม่พูดถึงอีกหลายคนนะ สิ่งนี้พิสูจน์สัจธรรมของมนุษยชาติ ว่าโลกุตระโลกวิทูโลกานุกัมปายะอย่างนี้ยังมีอยู่

       ตั้งแต่เราพาออกมาทำงานกับสังคม เขาหาว่านอกรีตก็ไม่เป็นไร อาตมาพาทำอย่างพระพุทธเจ้าสอน เป็นโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ แต่คนไม่เข้าใจ ที่พูดนี้เกรงใจเขาที่ต้องไปว่าเขา ศาสนาพุทธที่พาหนีเข้าป่านั้นไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ไม่ได้มีประโยชน์อะไรต่อสังคมการไปนั่งสมาธิอย่างนั้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน วิมุิตในศีล 5 เป็นโสดาบัน วิมุติในศีล 8 เป็นสกทาคามี วิมุิตในศีล 10 เป็น อนาคามี วิมุติในศีล 10 เป็นอนาคามี วิมุติในศีลธรรมนูญ ในโอวาทปาติโมกข์เป็นอรหันต์

       มั่่นใจว่าจะพาทำเช่นนี้ หากคนที่ปฏิบัติได้อย่างนี้ในเมืองไทยก็จะทำต่อไป ถ้าประเทศอื่นจะได้อีกก็ทำ แต่เราทำไปตามจากแคบไปกว้าง พระพุทธเจ้าสอนให้มีการประมาณ เป็นสัปปุริสธรรม 7 ประการ มหาปเทส 4 มั่นใจว่าธรรมะพระพุทธเจ้าที่พาทำนี้จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เราใช้คำว่าอาริยชน ไม่ใช้คำว่า อริยะหรืออารยะอย่างเขา เพื่อให้เข้าใจว่ามีความต่างจากของเขา คำว่าอารยะนั้นเป็นการก้าวหน้าอย่างวัตถุธรรม ส่วนอริยะจะเน้นทางนามธรรม แต่ว่าอาริยะนั้นจะผสมผสานระหว่างจิตกับวัตถุ การเป็นคนเกิดมาศึกษาสัจธรรมของพระพุทธเจ้า บรรลุธรรมมีมรรคผลจะยืนยงเป็นของจริง ยืนยันว่ามีผลปฏิบัติได้ จนมีมวลเป็นหมู่กลุ่ม จนเป็นชาวอโศก หลายหมู่บ้านเป็นเครือแห มีศีลสามัญตา มีสาธารณโภคี เป็นกินใช้ส่วนกลาง แบ่งแจกกันไป ไม่มานั่งยึดถือเล็กน้อยๆ เราไม่มีหนี้ ทุกวันนี้ทุกชุมชนอโศก 1. ไม่มีหนี้ที่เสียดอกเบี้ยแบบทุนนิยม ทำงานไม่มีเสียดอกเบี้ยเลย และ 2.พึ่งตนเองให้รอด ขยันหมั่นเพียร มีสุจริตธรรม ให้พอกินพอใช้ 3.ทำให้เหลือกินเหลือใช้ มากขึ้นๆ แล้ว 4.แจกจ่ายเจือจานเสียสละแก่สังคม ทุกวันนี้เราทำสำเร็จทุกข้อแล้ว

       เราไม่รวยเพราะไม่สะสมกอบโกย เรามีพอกินพอใช้ แต่ส่วนกลางกองกลางจะรวย ไม่รวยได้อย่างไร ช่วยคนอื่นได้ ไม่ได้ช่วยแบบทุนนิยม ที่เขาช่วยเลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา อย่างประชานิยมเป็นต้นหลอกกินตับกินไส้พุงหมดแล้ว

       เหลือกินใช้เกินเราไม่สะสมแต่เรามาสละแก่คนอื่น เมื่อเราไม่สะสม ก็จะรวยได้อย่างไร แต่ละคนๆก็เสียสละ ตามในหลวงตรัส แต่คนไทยก็ไม่ค่อยเข้าใจ แม้ที่สุดท่านใช้คำว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็ยังไม่เข้าใจอีก

       ขออภัยที่ต้องกล่าวว่าอาตมาสงสารในหลวง ที่จริงใช้คำนี้ไม่ได้หรอก ท่านเป็นผู้มีบารมี แต่อาตมาสงสารท่านจริงๆ ท่านก็พยายามบอกลูกๆว่าเศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร ขาดทุนคือกำไรคืออย่างไร คือเราทำเกินกินเกินใช้แล้วนำไปเสียสละแก่คนอื่นอย่างไม่ใช่เอากลับมามากๆด้วย ทุกวันนี้เขาลงทุนน้อยแต่จะเอากำไรมากๆ ก็เห็นแก่ตัวเอาเปรียบเอารัดจัดจ้านมากเลย ทุนนิยมเขาทำอย่างนี้จริงๆ ยิ่งได้เป้าสูงย่ิงชนะยิ่งเก่งอย่างนี้ไปไม่รอด ในหลวงเราพยายามให้ไทยเราเป็นอาริยะ อาตมาก็จะสนองและทำต่อไป ตายแล้วเกิดต่อไปจะมาทำต่อ....จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 12:58:18 )

561125

รายละเอียด

561125_รายการเทศน์ก่อนปฏิบัติการดาวกระจาย โดย พ่อครู

เรื่อง Win Win ชนะเป็นสุขเบ็ดเสร็จทั้งรูปและนาม

       พ่อครูมาเทศน์ตอน 08.00 น. ก่อนที่มวลมหาประชาชน ทั้ง 25 ทัพ (ประชาธิปไตย 13 กปท.และกองทัพธรรม 8 ทัพ และของคปท. 4 ทัพ) จะออกปฏิบัติการดาวกระจาย

       พ่อครูว่า... มาถึงวินาทีแล้วเป็นวินาทีแห่ง win win ชนะและชนะ วินวิน มันจะสุดยอดจริงหรือ จะชนะอย่างสุดวิเศษจริงหรือ? หลักการว่า มาตรา 7 เมื่อไม่มีบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจประชาชนปฏิวัติได้ ในรัฐธรรมนูญให้ประชาชนประท้วง คำประท้วงเป็นคำสุภาพ ถ้าแปลคำว่าประท้วงว่ามายืนยันความต้องการ การปฏิวัติหรือรัฐประหาร คือการต้องการให้คุณหยุด แต่รัฐประหารคือเอาชนะ ฆ่ากันเลย อย่างเจ็งกิสข่าว อเล็กซานเดอร์มหาราช เอาเรี่ยวแรง อาวุธชนะกัน นั้นแบบโบราณ

       มาถึงคำว่า ปฏิวัติ รัฐประหาร คือเอาอำนาจคุกคามกดขี่ให้ยอมแพ้  แต่ว่าประชาชนปฏิวัติโดยยื่นว่าคุณผิด ตอนนี้สถาบันนิติบัญญัติและบริหารที่ประชาชนเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนนะ แต่ประชาชนคือตัวจริง ประชาชนเลือกตัวแทนให้ใช้อำนาจบริหาร แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนถูกริบอำนาจไป อย่างนี้ไม่มีในโลก ไม่ว่าประเทศไหนที่เป็นประชาธิปไตยขาเดียวหรือสองขา ประชาชนก็ยังเป็นเจ้าของอำนาจไม่มีส่ิงใดลบล้างได้

       เมื่อประชาชนเห็นว่า ผู้บริหารและนิติบัญญัติทำหน้าที่ผิด มีคดี ไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้นเลย คุณจะใช้อำนาจบริหารหรือนิติบัญญัติ ไปบังคับว่าจ้างประชาชนให้มาต่อต้านก็ดีล้วนเป็นอำนาจไม่โปรงใสทั้งสิ้น ส่วนประชาชนนั้นโปร่งใส ประชาชนและในหลวงยังมีรัฐาธิปัตย์ เราประท้วงนี่ให้เห็นว่าใครชนะ ทำอย่างไม่รุนแรง ตามนิติรัฐ นิติธรรม

       ประชาชนได้ทำสำเร็จในวันที่ 11 ไม่ได้ดึงในหลวงลงต่ำ ตามวาทะกรรมของอีกฝ่าย แต่เราถวายฎีกาในหลวงให้ทรงตัดสินพระทัย เราไม่ได้กดดันเลย สวยงามมาก

       ควีน อะลิซาเบ็ตแห่งอังกฤษตรัสว่า ในหลวงเราคือพระราชาที่แท้จริง ซึ่งเราเองเราเทิดทูลในหลวง เราถวายฏีกาให้ท่านตัดสินใจ แต่วาทะกรรมของอีกฝ่ายเขาหาว่าเราดึงฟ้าต่ำ ทำพระองค์แปดเปื้อน ที่จริงในหลวงและประชาชนเป็นองค์รัฐาธิปัตย์ ในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญ มีไว้ชัดเลย ซึ่งมาตรา 1 นั้นมาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ รัฐบาลนี้จะทำให้ไทยเสียดินแดน เราก็ประกาศปฏิวัติโดยประชาชนยึดอำนาจรัฐบาลก่อนที่ศาลโลกจะตัดสิน ที่เราทำนี่เสร็จแล้ว ย่ิงกว่าเสรีไทยทำอีก เราทำทันกาล เราประกาศเมื่อ 11 นาฬิกา เป็น win win คือ 11 และในวันที่ 11 พ.ย. แล้วยื่นฎีกาสำเร็จก็ 11 นาฬิกาอีก  เป็น 11 สามชุด เรียกว่า Full House จริงๆ house คือบ้านเมือง ไม่ใช่ Home ที่เป็นความว่างเปล่า ส่ิงเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะลงตัวทั้งรูปและนาม

       สังคมไทยตอนนี้เหมือนเล่นละครลิง มีนิมิตตอนก่อนนี้ว่า ในหลวงพระองค์นี้อยากดู ละครลิง เพราะว่าในประเทศนี้ ละครของคนไม่ว่าจะด้านไหน ธุรกิจ ทุนสามานย์ ทางการเมืองนั้น มันแย่กว่าละครลิง ในหลวงท่านก็จะดูละครลิงดีกว่า มันตบหน้าละครคน ตบหน้าผู้บริหารนรกจกเปรต

       

       ตอนนี้ประชาชนคนไทยได้ปฏิวัติโดยประชาชน ตอนนี้นสพ.ทุกฉบับอาตมาขอคารวะที่สื่อภาพชัดเจนทุกฉบับ แต่ยังเหลือแต่สื่อสารโทรทัศน์ ขอตำหนิคุณกบฏต่อสื่อสาร แทนที่จะสื่อเรื่องสำคัญบ้านเมือง ยังไปน้ำเน่าอยู่กับโฆษณา ทั้งที่เรื่องนี้เรื่องตายเรื่องเป็นของบ้านเมือง คุณมัวแต่ไปสัมภาษณ์ดารา แย่งผัวเมีย แล้วมากลบข่าวที่สำคัญของบ้าน มันจะเสื่อมไปถึงไหน ก็ขอบคุณข่าวนสพ.ที่ยังเป็นสื่อสาร แต่โทรทัศน์ ตามที่อ.ปราโมทย์เรียกว่า “ช่องคี่” ส่วนโทรทัศน์ดาวเทียมที่หากินก็เหมือนกันมีมาก แต่ก็มีบางช่องก็ถ่ายทอดก็ขอคารวะ ส่วน “ช่องคี่” นี้มัน “ช่องขี้”จริงๆ ใช้ภาษานี้มันสุดๆแล้ว ให้สำนึกเสียเถอะจะตกอยู่ใต้อำนาจลาภยศสรรเสริญสุขไปอีกนานเท่าไหร ปลดแอกเสียบ้างนะ

       มาถึงเรื่อง Winwin ชนะอย่างสูงสุดเด็ดขาดจริงๆ เพราะประชาชนได้ปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อยง่ายงาม รวมพลกันเป็นหนึ่เดียวหมดแล้ว เป็นเอกภาพ ดูเหมือนขัดแย้งชิงโลกีย์บ้างแต่มั่นใจว่าเราสามารถตกลงกันได้ ปางนี้มั่นใจว่าตกลงกันได้ เพราะมีผู้เสียสละ ถ้าใครแพ้ไม่เป็นก็เสียสละไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ สะกดคำว่า แพ้ไม่เป็นแล้วจะมาปรององดองได้อย่างไร แพ้ไม่เป็นก็จะชนะตลอดกาล มาปรองดองคือให้ฉันชนะนะ พูดอย่างนี้น่าแหวะ เข้าใจไหม

       แบบนั้นไม่มีทางตกลง แต่พวกเรามีผู้แพ้เป็นใครอยากเอาชนะก็ชนะไปให้เข็ดเราจะยอมแพ้ ผู้ที่ยอมแพ้ได้นี่คือ Win Win ผู้ยังเอาชนะคะคานตลอดกาล แพ้ไม่เป็น กูต้องสะอาด ต้องใหญ่ ผู้ที่เอาชนะรอบโลกไม่ได้คือผู้แพ้ไม่เป็น ถ้าเขาแพ้เป็นครั้งสุดท้ายได้เขาจะเป็นผู้ชนะรอบโลก แต่ผู้ที่แพ้มาตลอด มาเป็นผู้เสียเปรียบ เสียสละให้เขาได้ แม้คุณจะเอาเปรียบมากๆ แล้วบอกว่ากูคือผู้ชนะ ก็เอาความคิดเช่นนี้ติดตัวไปข้ามชาติ กูต้องชนะกู้ต้องเป็นใหญ่ คุณเชิญเอาความคิดนี้ติดตัวไปกี่กัปกี่กัลป์ แต่อาตมาจะเอาความคิดเป็นผู้แพ้ ผู้เสียสละ ผู้เสียเปรียบไปตลอดกาล ใครจะเอากับอาตมาบ้าง จะไม่ใหญ่ จะให้คุณกระทืบนี่ แต่อาตมาว่าอาตมาถูกกระทืบนี่อาตมาไม่เจ็บ เพราะอาตมาไม่มีตัวตน คุณกระทืบก็ถูกพื้นดิน เราไม่มีตัวตน เราทำเพื่อเสียสละ ทำเพื่อผู้อื่นอย่างจริงใจ อาตมาว่าอาตมามีจิตตัวนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่มีตัวตน อาตมาถูกกระทืบอยู่ตลอดเวลา ที่พาทำสู้แบบสงบนี้ อาตมาว่าคุณปรีชาประกาศปฏิวัตินี้ถูกแล้ว อาตมาก็อธิบายซ้อน จนเดินขบวนถวายฏีกา มันงดงามสำเร็จจบแล้ว เป็นการสำเร็จพฤติกรรมสมบูรณ์แล้ว ไม่เคยมีในโลก คนก็งงๆว่านี่คือปฏิวัติโดยประชาชนหรือเปล่า?

       เมื่อเราทำแล้วเราก็ลุยต่อให้สุดซอย ให้รู้ว่าสุดแห่งที่สุดเราก็ทำไป ส่วนทางนี้ก็ทำสามเส้า ที่กลุ่มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่านฟ้าฯ และมัฆวานฯก็ทำมา เราเป็นกลุ่มนิ่ง ขอเรียกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็น ผ่านภิภพลีลาก็แล้วกัน ทำไมต้องมีสามจุด มันต้องเป็นเช่นนี้เป็นอจินไตย

       ตัวน่ิงคือผ่านฟ้าและผ่านภิภพ ตัวเคลื่อนคือ มัฆวานฯ ตัวน่ิงก็มีพลังงาน แต่พลังงานนิ่ง แล้วในที่สุด มัฆวานก็เคลื่อนไปสู่เทวกรรม ที่นางเลิ้ง แม้วันนี้พวกเราก็ถามอาตมาว่า กำลังจะเคลื่อนประท้วง เมื่อเรายึดอำนาจได้สำเร็จ พลังอำนาจทางทหาร ตำรวจก็มารวมกันซะ แล้วเดินรวมกันไปถึงนายกฯ แล้วบอกยื่นว่า ท่านจะเอาอย่างไร ท่านจะคืนอำนาจไหม ยอมรับผิดไหม?  ถ้าไม่ยอมรับก็ขึ้นศาล หรือท่านจะหนีออกไปก็แล้วแต่

       สรุปแล้วขณะนี้สำเร็จทุกอย่างซึ่งหน้าเป็นปัจจุบันธรรม เป็น Continuum เป็นการศึกษาแห่งปรากฏการณ์ Phenomenology ไม่ใช่ว่าศึกษาความรู้จากธรรมชาติยังแสวงหาไม่เกิดสมบูรณ์โดยปรากฏการณ์จริง เป็นEpistemology แต่นี่เลยมาแล้ว เลยทั้ง Prophecy หรือ Philosophy รู้อย่างมะลำมะเลืองเป็นศาสดาพยาการณ์​หรือได้แต่คิดพูดยังทำจริงไม่ได้ รู้แต่ทำไม่สำเร็จ แต่ของเราทำสำเร็จแล้ว เป็นปาตุภาะ เป็นปาตุสัจจะ แห่งความจริงอันเกิดหลัดๆ

       ลักษณะ win win   ในโลกีย์การชนะสมัยโบราณคือใช้เรี่ยวแรงอำนาจ พัฒนามาจากเดรัจฉาน ชนะกันด้วยเรี่ยวแรงอวัยวะ ใช้เครื่องมือไม่เป็น เสือสิงห์ชนะด้วยเขี้ยวเล็บ สรุปมาสั้นๆว่า ในโบราณ คนสูงกว่าเดรัจฉานก็ไม่เอาแล้วที่จะสู้กันด้วยเขี้ยวเล็บ มาถึงปัจจุบัน การต่อสู้ด้วยเรี่ยวแรงอย่างอเล็กซานเดอร์นั้นตกยุคแล้ว ต้องชนะด้วยเมตตา ด้วยจิตวิญญาณพระเจ้า คนก็เอาจิตวิญญาณพระเจ้ามาปฏิบัติ พระเจ้าคือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ทำอะไรด้วยความซื่อสัตย์ถูกต้อง แล้วเอากาย วาจา ใจมาแสดงพฤติกรรมพระเจ้า เป็นพฤติกรรมจริง ผู้ใดมีจิตสะอาดบริสุทธิ์ มีพฤติกรรมทางกาย อย่างที่เราประกาศปฏิวัติ ก็เป็นสิทธิของประชาชนที่จะประกาศ เป็นความถูกต้อง แม้เป็น Minority แต่ก็ถูกต้อง right แต่ตอนแรกมีกลุ่มน้อย แต่ต่อมาก็มีประชาชนมาสนับสนุน ตอนแรกมีสามกลุ่ม คุณสุเทพ เทวดาดีก็จัดการอยู่ผ่านภิภพฯ ที่ผ่านฟ้ามี คุณปรีชาทำการ ส่วนที่มัฆวานก็มีนักศึกษาและนักวิชาการช่วยกัน เสร็จแล้วเมื่อคืนนี้ปรากฏการณ์ใหญ่เกิดมวลมหาประชาชนแล้ว เป็นMajority right แล้ว ประชาชนที่จะมาก็ถูกสะกัดทำร้ายไม่ให้มาแต่เขาก็ไม่ย่อท้อจนเกิด Majority right แล้ว นี่คือ ทั้งMajority และ Minority right นี่คือWin Win แล้ว เป็น A Best record เป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ ให้กินเนสบุคบันทึกไว้เลยว่าเป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่สวยงามที่สุด สื่อสารต่างประเทศก็เห็นแล้ว เขาไม่มาดูเราก็ถ่ายทอดไปสู่ทั่วโลก แล้วช่องคี่ไม่ออกให้เท่าไหร่ แล้วมีการถ่ายเก็บสต็อคช็อตไว้จะเอามาออกทีหลัง

       เมื่อประชาชนทำจริงเป็นจริงได้ปานฉะนี้ ก็ยังดีใจว่า เอาเถอะแม้เราทำปานฉะนี้แล้วจะให้เราแพ้ก็ยอม อาตมายอม แต่ใคระจะไม่ยอมก็ไม่รู้ จะเอาอาตมาไปประหารชีวิตเป็นกบฏผีบุญ อาตมายอมตายเลย ให้มันรู้ว่าคนไทยจะโง่ดื้อยอม ที่เอาอาตมาไปประหาร อาตมาก็ยอมเสียค่าโง่ ประเยซูยอมเสียชีวิตไถ่บาปแก่มนุษย์จึงย่ิงใหญ่เกิดศาสนา อยากรู้ว่าอาตมาต้องเสียสละชีวิตอย่างเยซูไหม

       พระโมฮัมหมัด เกิดหลังคริสต์ ก็เอาหลักศาสนามาเป็นหลัก รัฐธรรมนูญปกครองบ้านเมือง ใช้อัลกูรอานเป็นสิ่งสูงสุด ก็นับถือแล้วมาปฏิบัติกันเป็นประเทศ จนแพร่หลายทั่วโลก เป็นสัจธรรม ทั้งสองขา เขาเคารพอัลลอห์ เคารพอัลกูรอาน เป็นสองขา เขานับถือสองขานี้ อิสลามก็ไปรอด เมื่ออิสลามมุสลิมทั้งหลายอยู่รอดเพราะเขามีสองขา เป็นประชาธิปไตยสองขาอยู่รอด เป็นรูปกับนาม พระอัลลอห์เป็นนาม อัลกูรอานเป็นรูป

       ส่วนของพุทธ อาตมาพาพุทธทำงาน แล้วยอมรับทุกศาสนา ไม่เป็นไร เพราะมีความหลากหลายของจิตวิญญาณก็ต้องมีแต่ความจริงใจที่ต้องการความสงบ เผื่อแผ่กันต้องการเหมือนกันหมด ชีวิตหนึ่งเกิดมาแล้วก็ต้องตาย คุณจะเสพสุขทางกาม ทุกวันนี้มันจัดมาก คนที่โป๊เปลือยนี่ทุเรศ แต่ในสังคมมีราคาสูง นี่คือความตกต่ำ แต่ความเข้าใจในปัญญาของอิสลามถือว่าโป๊เปลือยคือต่ำมาก เขาก็แต่งกายปกปิดให้มิดชิด

       ครั้งนี้มาวินาทีนี้อาตมามั่นใจว่าเป็นครั้งสุดท้าย Final จริงๆ ใครเห็นด้วยก็มา ใครจะเห็นทางไหรก็มาทางนั้่น ยืนยันว่าอันไหนจริง เป็นMajority rule มันจะพิสูจน์ Majority right ยืนยันสิทธินี้ว่าถูกต้องด้วย นี่คือสัจจะถ้าเห็นว่าอันนี้เป็นธรรมวาที ก็มาทางนี้ ทางโน้นเขาก็ว่าเขาเป็นธรรมะ วาทะก็ว่ากันอย่างนี้

       มีภาษาที่เขายังข้องในว่า ขณะนี้เป็นสภาพStatic และสภาพ Dynamic ก็ขอให้เป็นทั้งสองสภาพ ผู้ที่ตัดสินไม่ได้ก็ขอบอก ใครจะอยู่กับที่ก็อยู่ตรงนี้ ตรงราชดำเนินส่วนทางด้านเคลื่อนไหวก็ไป ใครขาดข้าวน้ำก็ส่งไป ใครจะเคลื่อนไหวก็ไป คนที่อยู่นิ่งก็เป็น Potential energy สรุปผู้ที่จะเคลื่อนถนัดก็ทำ คนที่จะอยู่กับอยู่ เป็นสองรวมเป็นหนึ่ง Two in one และไม่ใช่แค่ All for one แต่เป็น All in one แล้ว มันทำอย่างหนึ่งเดียวกันแล้วนี่คือสัจจะประเทศไทย เป็นส่ิงที่เป็นปรากฏการณ์แท้

       แม้ผู้ยังไม่ได้มาแต่มีจิตวิญญาณอยากมา ผู้พิการมาไม่ได้ ก็เห็นใจ มีภาระมาไม่ได้ต้องดูแลผู้พิการ ก็เห็นใจหรืออื่นมาไม่ได้อยากมีใจจะมาก็เห็นใจ ส่วนผู้ที่พอมาได้ ก็มาช่วยทำงานอันยิ่งใหญ่นี้ก่อน ขอเคารพคารวะต่อความเห็นปัญญาของผู้ที่เข้าใจส่ิงถูกสิ่งผิด พวกถูกก็ต้องมาช่วยกัน พวกผิดก็ต้องไปรวมกันเป็นสัจธรรมมนุษย์มีปัญญาแบ่งถูกแบ่งผิดกัน เขาก็จริงใจของเขาตามภูมิ เป็นความขัดแย้งเพราะส่ิงสองสิ่งที่จะเท่ากันนั้นไม่มี จะมีก็แต่นิพพานเท่านั้นที่เหมือนกันไม่ขัดแย้งเลย แต่ก่อนนี้แดงกับเหลือง พอมีหลากสีมา เหลืองก็ลดอัตตามานะก็รวมกับหลากสี ต่อมาสลายสีไม่มีสี มาสู้กับแดงสีเดียวฝ่ายเดียว เขาก็ยังบอกว่าเขานี่หมู่ใหญ่ ปิดหูปิดตาอยู่ในกาละมังครอบ เขาก็ว่าเขาเต็มที่ใหญ่แล้วแต่เรานี่ไม่มีกรอบกาละมัง มันทะลายกรอบกาละมังไม่มีสีแล้ว คุณพอเข้าใจไหม ตรงนี้คืออภิมหามวลประชาชนแล้ว แต่คุณในกาละมังของคุณยังไม่เต็มเลย ของเราไม่หลอกเลย มากันตัวใครตัวใคร รวมกันทุกสี เมื่อรวมกันแล้วทุกสีจะรวมกันแล้วหมุนรวมเร็วจะเป็นสีอะไร ก็จะเห็นเป็นสีขาว แต่เขาก็ยึดว่าสีแดงของกูใหญ่ นี่คืองมงายไม่รู้จบ...ไปให้สุดซอยจนไม่มีซอย...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:00:18 )

561125_สงครามสังคม

รายละเอียด

561125_สงครามสังคมฯ หลังดาวกระจาย โดยพ่อครูและอ.สมศักดิ์ เรื่อง ยึดอำนาจรัฐปฏิวัติโดยมหาประชาชนถูกรธน.อย่างไร?

 

       พ่อครูเทศนาช่วงค่ำ หลังจากวันนี้ มวลมหาประชาชนได้ปฏิบัติการดาวกระจายไปทั้งหมด 25 จุดจนสามารถยึดสำนักงบประมาณแผ่นดินและกรมประชาสัมพันธ์ได้อย่างเรียบร้อย งดงาม ไม่มีความรุนแรง

พ่อครูว่า...ใครไม่มาร่วมเหตุการณ์นี้ที่เป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ของไทย เห็นพฤติกรรมของคนไทยที่ผ่านมาแล้ว เราชนะรายทางมาเรื่อยๆ ก้าวกันมาเป็นขั้นตอน มีลำดับ ง่ายงาม สวย จนมาวินาทีนี้ ยำ้ว่าเรามาถึงขั้น ปฏิวัติแล้ว ไม่เกิดเลือดหยดซักหยดเดียว การปฏิวัติของประเทศอื่นทำไม่ได้ ใช้เวลานานด้วย ที่เราทำนี้ใช้ความรู้ความจริงมายืนยัน มีการเจริญทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรม ฝ่ายอธรรมเจริญขึ้นด้วยนะ คือเขาแพ้เป็น

       จะว่าแพ้มันแพ้ตามสัจธรรม ที่จริงใจเขายึดมั่นถือมั่นว่าแพ้ไม่ได้ เจ็บปวด ขอให้สติแม้คุณแพ้ก็อย่ายึดมั่นถือมั่น แพ้ให้เป็น คุณจะได้ไม่ฆ่าตัวตาย อาตมาไม่อยากให้เขาทำ มันน่าสงสารมากเกินไป การฆ่าตัวตายของคนเป็นบาปสูงมา เพราะเป็นจิตที่อำมหิตมาก ธรรมดาคนเราจะฆ่าสัตว์ก็ต้องจิตอำมหิตมาก ฆ่าคนก็ต้องอำมหิตมากๆจึงฆ่าได้ ยิ่งฆ่าคนที่เป็นคนดีย่ิงต้องใช้ความอำมหิตสูงขึ้นอีก การฆ่าคนอื่นว่าอำมหิตแล้ว การจะฆ่าตนเองนี่ คนเรารักชีวิตนเองยิ่ง การฆ่าตนเองได้ จึงต้องใช้ความอำมหิตซับซ้อนมากจึงฆ่าตนเองได้ เป็นความพ่ายแพ้ทุกข์ทรมาน สรุปแล้วคนฆ่าตนเองตายได้คือคนที่ต้องมีจิตเลวลึกแรงมาก จึงฆ่าตนเองได้ บาปจึงสูงหนักมาก

       วันนี้มีอ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล จะได้อธิบายในข้อกฏหมาย ประชาชนสามารถยึดอำนาจปฏิวัติได้ขนาดไหน ตามหลักสากลต่าง ก็ขอย้ำซ้ำซากว่า พวกเราที่ทำมานี่จนเกิดกองทัพธรรม กองทัพประชาชน ใช้สองคำนี้ทำงานมาอย่างเป็นธรรมาธรรมะสงครามในการเปลี่ยนแปลงภาวะการบริหารช่วยดูแลประชาชน ประคองดูแลกันให้ดี ซึ่งมันทุกข์ยากลำบากมานานแล้ว จนเกิดเป็นกองทัพ ขอเรียกเล่นๆว่า เป็น   Whistle Army เป็นกองทัพนกหวีด แล้วเราปฏิวัติด้วยนกหวีด เรียกว่า Whistle Revolution แล้วทำสำเร็จ แรงจนกระทั่งอธิบดี DSI ยกเป็นคดีที่ต้องจัดการ เป็นเรื่องตาหลกจนตาหลกไม่ออก ก็จะฟ้องคนเป่านกหวีด โลกก็จะหัวเราะ รู้สึกว่ามันเด็กเกินไปหรือเปล่า ทำไมอธิบดีคนนี้กลายร่างเป็นหนูน้อย เป็นภาวะการแสดงออกเป็นสัญญลักษณ์ แห่งการประท้วงที่ดีงามสุภาพ งดงามที่สุด เท่าที่จะเป็นได้

       แม้การประท้วงของอาริยะโสดาบันก็มีปากหอก เสียบกันด้วย มุขสตี ใช้คำตำหนิด้วยคำพูดสุ้มเสียงสำเนียง ก็ต้องรู้จักกายวิญญัติขององค์รวม

ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณประชาชนไทยทุกคนที่ออกมาเลือกฝ่ายประชาชนไม่เลือกฝ่ายทักษิณ คุณได้ออกมาแล้ว วันที่ 24 พ.ย. 56 คือการออกมาเลือกตั้ง เมื่อวานนี้ เต็มเลย คะแนนเสียงคนนับไม่รู้จะนับอย่างไรแล้ว มีภาพถ่ายเป็นหลักฐานยืนยันทุกหน้าหนังสือพิมพ์ ฉบับไหนไม่ลงหน้านี้ถือว่าตกข่าวแล้ว เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมา

       การไปเลือกตั้งเดิม คือการไปเลือกผู้แทน แต่นี่คือการเลือกการบริหารประเทศนะ เราเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเลย ตามรธน.ร่วมกับพระมหากษัตริย์​ ว่ารัฐาธิปัตย์เป็นของประชาชนโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้า ก็ถือว่าในหลวงคือผู้มีรัฐาธิปัตย์แทนประชาชน พวกเราได้มาแสดง ออกเสียง แล้วก็ต้องขอขอบคุณฝ่ายแดงเขาก็ออกมาออกเสียง เขาพูดไม่ออกว่าคะแนนเสียงเขาตำ่กว่า แล้วก็ตะแบงว่าคะแนนเสียงเขามากกว่า พวกเราก็ต้องคงคะแนนเสียงไว้ก่อน ทั้งที่คะแนนเสียงเมื่อวานนี้เราชนะแล้ว เป็นอำนาจระดับหนึ่งด้วย เหนือกว่าการไปเลือกผู้แทนไปทำหน้าที่แทน แต่ประชาชนออกมาลงคะแนนประท้วงสดๆตัวเป็นๆ ไม่ต้องเสียกระดาษใส่กล่อง ใครมีนกหวีดก็เป่า ใครมีมือก็ยก มาตาม สิทธิ์ ที่เรายังไม่ตาย ป่วยหามกันออกมาก็ยังเป็นคะแนนเลย เป็นอำนาจอธิปไตยเรียนรู้ ว่าเรามีอำนาจในมือ

       เราเลือกตัวแทนไปรับใช้ แต่รัฐบาลและสภาฯเป็นกบฏ ศาลรธน.ได้ตัดสินแล้วแต่ท่านไม่ใช้คำว่ากบฏ แล้วประชาชนมาเอาอำนาจคืน ประกาศแล้วไม่ได้ทำเล่น ประชาชนมีหน้าที่ปฏิวัติยึดอาจได้ เพราะอำนาจเป็นของประชาชน ทำไมจะยึดคืนไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วว่าผิด ทั้งที่ตุลาการตัดสินก็ยังมาผ่าจะล้มล้างอำนาจตุลาการอีก มันกบฏกี่ชั้นนี่

เรากำลังเรียนรู้ความจริงในประชาธิปไตยของประชาชนอย่างน้อยผู้ที่ออกมาประท้วงก็ได้ใช้อำนาจ จะเข้าใจหรือไม่ก็ตามท่านได้ออกมาทำหน้าที่ตามรธน.มาตรา 70 และ 71 ถูกต้องดีงามแล้ว

 

       ต่อไปอ.สมศักดิ์...จากเหตุการณ์ 2ถึง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในวันนี้ ถ้าพูดตามนิติศาสตร์ แล้วตำรานิติศาสตร์รัฐศาสตร์ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนใหม่ เพราะไม่เคยเลยที่จะมีประชาชนออกมาแสดงสิทธิ์แสดงอำนาจประชาชนมากมายขนาดนี้ ซึ่งมากจนลบสถิติเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 แล้วไม่ว่ารัฐบาลจะปฏิเสธอย่างไร แต่สื่อได้ออกไปแล้ว สื่อ CNN ได้รายงานว่า มีคนชุมนุม 2 ล้านคน ประมาณนั้น

       หลายเรื่องที่เกิดในวันนี้หากอธิบาย ต้องอธิบาย...แม้ว่าตอนบ่ายนี้จะมีการพยายามตั้งข้อหาให้คุณสุเทพ บอกว่ามั่วสุมเกิน 10 คนก่อความวุ่นวาย หรือก่อการยึดอำนาจ

       หลายคนมีการพูดอยู่เสมอว่า ปัญญาเรื่องหนึ่งอาจใช้หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ นั้นการตั้งคำถามนี้ผิด เพราะหลักทั้งสองอย่างนี้มาจากอันเดียวกัน ที่มาอย่างเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกันเลย และที่บอกว่าถ้าใช้นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์แล้วบอกว่าขัดแย้งกันก็คือคนพูดนี้มั่ว

       แล้วที่ทำมานี้ชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ ...ต้องแบ่งว่าตามลายลักษณ์อักษรและตามเนื้อหาสาระของกฏหมาย

       แล้วที่ว่าชอบหรือไม่ก็ต้องไปดูที่รัฐาธิปัตย์ คำว่ารัฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจที่แท้จริง ทั่วโลกนี้ เช่นอเมริกา ทั้งปธน.และสส.และสว.ทั้งหมดคือตัวแทน แต่เจ้าของรัฐาธิปัตย์ตัวจริงคือประชาชน ส่วนคอมมิวนิสต์รัฐาธิปัตย์ก็คือคณะปกครอง ส่วนในระบอบสมบูรณายาสิทธิราชนั้น  รัฐาธิปัตย์ก็คือกษัตริย์

       พอมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพศ.2475 ผู้ก่อการก็ไม่กล้ายึดอำนาจ ก็ต้องไปขอให้พระราชทานรธน. ไม่ว่าจะกี่รัฐบาลต่อมาก็ต้องไปขอพระราชทานให้โปรดเกล้าฯ ยืนยันว่าพระมหากษัตริย์ก็มีส่วนในทุกขั้นตอน

       ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา รัฐาธิปัตย์ของไทยก็คือทั้งพระมหากษัตริย์และประชาชนเป็นองค์ รัฐาธิปัตย์ ส่วนสส.สว.เป็นเพียงตัวแทนไม่ใช่รัฐาธิปัตย์ เขาจะเข้าสู่อำนาจใช้อำนาจได้เขาต้องเข้าสู่การเลือกตั้ง นายกฯจะปฏิบัติหน้าที่ก็ต้องเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์

       สองวันที่ผ่านมา มีมูลเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับศาลรธน.ด้วย ที่เกิดจากสส.และสว.ได้ดำเนินการผ่านกฏหมายหลายอย่างที่ก่อความเสียหายแก่ประเทศเป็นอันมาก ก็ต้องมีผู้ไม่เห็นด้วย เป็นข้อพิพาทย์ ตามหลักแบ่งแยกการใช้อำนาจก็ต้องมีคนกลางมาชี้ขาด ก็ต้องไปให้ศาลตัดสิน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่เขาจะตัดสินให้ตัวเอง แล้วหลังจากศาลรธน.ตัดสินมาแล้ว

       1.ศาลมีอำนาจวินิจฉัยคดีนี้

       2.ตัวร่างรธน.นี้ขัดกับม.291

       3.ศาลรธน.ได้ตัดสินว่า ทั้ง 312 สส.และสว.กระทำการให้ได้อำนาจรัฐมาโดยวิธีการที่ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ในรธน. พูดง่ายๆว่า เขาฉีก รธน. หรือเขาก่อรัฐประหารตั้งแต่เขาโหวตผ่านกฏหมายแล้ว   ตามรธน.มาตรา 69 ให้ประชาชนคนใดก็ได้มีสิทธิ์ต่อต้านโต้แย้ง การที่คนมาประท้วงสองล้านคนก็ถือว่ามาทำหน้าที่ตามม.69

       เมื่อวานกับวันนี้ เป็นการใช้สิทธิ์ตามม.69 ไม่ได้ผิดอะไรเลย แล้วถ้าหากการที่บอกว่าจะไปยึดอำนาจรัฐ คำนี้เราจะเรียกว่าประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยมาเรียกคืนอำนาจจากเขามากกว่า ในมาตรา 3 ของรธน.เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เมื่อสส.สว.กระทำผิดร้ายแรงขนาดจะฉีกรธน. ประชาชนกว่าสองล้านคนก็มีสิทธิ์จะมาประท้วงว่าไม่ต้องการการบริหารที่ผิดอย่างนี้แล้ว

       อย่างเรื่องที่เกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน รธน.บอกว่าต้องทำประชาพิจารณ์ รัฐบาลไม่มีสิทธิ์ทำเองโดยพละการ แต่ปัจจุบัน กลไกการถ่วงดุลตรวจสอบในสภาฯใช้ไม่ได้แล้ว เมื่อใช้ไม่ได้ประชาชนจึงออกมาใช้สิทธิ์ทางตรงที่ราชดำเนินนี้เมื่อประชาชนประสงค์จะถอดถอนตัวแทนแล้วไม่มีอำนาจใดเหนือกว่าอำนาจประชาชน มาแสดงเจตนารมย์ถือเป็นมติมหาชนแล้ว

       มติมหาชน คือกฏหมายสูงสุด ปฏิเสธไม่ต้องการทั้ง 312 สส.และสว. เปรียบเหมือนนายจ้างไล่ลูกจ้างออกได้เรียบร้อยแล้ว เจ้าของสิทธิ์ออกมาเองแล้วไม่ต้องใช้กลไกอะไรแล้ว เมื่อไล่ลูกจ้างออก วันนี้ 312 สส.และสว.ที่ถูกต้องชอบธรรมไม่มีแล้ว เมื่อไม่มีแล้ว องคาพยพต่างๆของรัฐบาลเช่นเจ้าหน้าที่ ข้าราชการไม่ต้องฟังคำสั่งรัฐบาลแล้วต้องฟังคำสั่งประชาชน

       ส่วนหนึ่งที่เขาไม่กล้า เพราะบางคนกลัว ระบอบทักษิณหยั่งรากลึกไว้แล้ว คนดีถูกระบอบทักษิณเล่นงานยำ่แย่ แต่วันนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว ประชาชนอยู่ที่นี่ เมื่อคุณเดินออกมาร่วมกับประชาชนประชาชน2 ล้านคนจะคุ้มครองคุณเองมติมหาชน คือกฏหมายสูงสุด ปฏิเสธไม่ต้องการทั้ง 312 สส.และสว. เปรียบเหมือนนายจ้างไล่ลูกจ้างออกได้เรียบร้อยแล้ว เจ้าของสิทธิ์ออกมาเองแล้วไม่ต้องใช้กลไกอะไรแล้ว เมื่อไล่ลูกจ้างออก วันนี้ 312 สส.และสว.ที่ถูกต้องชอบธรรมไม่มีแล้ว เมื่อไม่มีแล้ว องคาพยพต่างๆของรัฐบาลเช่นเจ้าหน้าที่ ข้าราชการไม่ต้องฟังคำสั่งรัฐบาลแล้วต้องฟังคำสั่งประชาชน

       ส่วนหนึ่งที่เขาไม่กล้า เพราะบางคนกลัว ระบอบทักษิณหยั่งรากลึกไว้แล้ว คนดีถูกระบอบทักษิณเล่นงานยำ่แย่ แต่วันนี้ไม่ต้องกลัวแล้ว ประชาชนอยู่ที่นี่ เมื่อคุณเดินออกมาร่วมกับประชาชนประชาชน2 ล้านคนจะคุ้มครองคุณเอง

       ข้าราชการต่างๆ วันนี้ถ้าฟังคำสั่งของรัฐบาลที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม และประชาชนไล่ออกแล้ว ถ้ายังทำตามคำสั่งเขาแล้ว ภายหลังต้องเผชิญความผิดส่วนตัว เพราะมันไม่ชอบด้วยกฏหมายแล้ว คำสั่งรัฐบาลตอนนี้ไม่มีบทบัญญัติใดรองรับแล้ว

       หากจนท.ตำรวจฟังอยู่ ถอดเครื่องแบบออกคุณก็คือประชาชนคนหนึ่งแล้วเดินออกมาร่วมกับประชาชนจึงถูกต้องชอบธรรม

       แล้วข้อหาต่างๆที่บอกว่าจะออกหมายจับ ฝ่ายรัฐบาลจะออกหมายจับ ต้องไปขอกับศาล แล้วศาลเขาจะให้หรือ? เขาว่าจะออกหมายจับ พูดไปเรื่อยๆ แล้วไปตั้งข้อหา 215 มั่วสุมกันเกิน 1คน นั้นเขามั่วสุมกันที่พรรคของเขามากกว่า มีกองกำลังอะไรอยู่ผิดกฏหมายอยู่นั้นไง

       ประชาชนวันนี้ได้ไปที่สำนักงบประมาณแผ่นดิน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ข้าราชการออกมาต้อนรับด้วย และก็ไม่ได้เป็นการบุกรุก(การบุกรุกคือการไปแย่งอำนาจสถานที่ราชการมาเป็นของตัว) แต่นี่ประชาชนไม่ได้ไปแย่งมาเป็นของตัวเลย และก็จะว่าบุกรุก แต่เจ้าบ้านเขาก็มาต้อนรับ ไปกองบัญชาการทหารเขาก็เอาไอติมมาเลี้ยงอีกด้วย แล้วมีเหตุสมควรไหม ก็สมควรเพราะไปบอกว่าอย่าไปทำตามรัฐบาลเถื่อน

       ประชาชนที่มานี้ไม่ต้องกังวลข้อกฏหมายอีกแล้ว เป็นการแสดงสิทธิ์เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นการยืนยันทฤษฏีรัฐาธิปัตย์ วันนี้เลยได้เอามาบอก ไม่ใช่ผมคิดถูก แต่ประชาชนเป็นคนตัดสินว่าถูกต้อง

       เมื่อดำเนินมาถึงวันนี้ ประชาชนได้ประสงค์เรียกอำนาจคืนจาก สส.และสว. แล้วได้ไปที่สำนักงบฯนั้นถูกต้องเพราะเจ้าของเงินจะบอกว่าไม่จ่ายเงินให้ลูกจ้างที่เลวและทำผิดเป็นเรื่องถูกต้อง หากรัฐบาลไม่มีเงินเดือนจะจ่ายให้กับข้าราชการแล้วรัฐบาลจะทำหน้าที่ต่อไปอย่างไร ยำ้อีกครั้งว่าถ้าอยากได้ค่าจ้างก็ต้องมาหาประชาชนที่นี่ นายกฯและสส.สว.เขาไม่ใช่นายจ้างของคุณ เมื่อจัดการเรื่องงบประมาณแล้วต่อไปก็ต้องไปบอกข้าราชการที่อื่นๆ ถ้าเขาถอดเครื่องแบบก็เป็นประชาชนเขาสมควรออกมาร่วมกับพวกเรา

พ่อครูถามว่า...ข้าราชการตอนนี้เขาทำตัวเป็นผู้ที่ดูเหมือนใหญ่มีสิทธิ์มากกว่าประชาชน อย่างนี้ใครมีสิทธิ์มากกว่ากันแน่

       อ.ว่า...ฐานะของข้าราชการมีสองอย่างคือ ทำตามหน้าที่ กับเป็นประชาชนคนธรรมดา และการทำหน้าที่ต้องทำตามกฏหมายที่ประชาชนเห็นด้วย แต่ถ้าทำตามส่ิงที่ประชาชนไม่เห็นด้วย การทำหน้าที่ก็ไม่ชอบ แล้วเขาก็คือประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ เขาหมดหน้าที่แล้ว ประชาชนปลดคุณแล้ว เขากำลังหลอกตัวเองอยู่ เขาหลอกประชาชนมากๆจนกลายเป็นหลอกตัวเองเรียบร้อย

       ในเรื่องของการที่จะดำเนินการต่อไป มีบางเรื่องของฝ่ายการเมือง เราบอกว่าตอนนี้ประชาชนไม่ต้องการ 312 สส.และสว. แล้วข้าราชการทั้งหลาย น่าจะไปถามเขาว่าเขาจะเลือกอยู่ข้างรัฐบาลเถื่อนหรือว่าจะอยู่ข้างประชาชน ถ้าเขาเลือกรัฐบาลเถื่อนก็ไปอยู่กับระบอบทักษิณ ประชาชนจะไม่จ่ายเงินให้คุณแล้ว

       พ่อครูว่า...เป็นธรรมชาติของการศึกษา ที่เราจะได้รับความรู้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นการศึกษาตามภาวะความเป็นจริงมากขึ้นๆ ในเรื่องการเมืองนี้ คนที่ตกไม่เอาใจใส่ศึกษาเรื่องนี้นี่ตกประเด็นมากเลย แต่ผู้ที่ได้เข้าร่วมกับเหตุการณ์นี้ เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน คอยดูต่อไป ต่างประเทศเขาก็จะเอาไปเปรียบเทียบกับส่ิงที่เคยมีมา มันจะมีอย่างที่ไทยเรามีอยู่ตอนนี้หรือ แต่เท่าที่อาตมาคะเนเอาหรือศึกษามา ก็ว่า การวิวัฒนาการที่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างสงบรำงับเอาคุณธรรมเอาความจริงความรู้มายืนยัน สู้กันมา เขาก็ดื้อดึงดัน จะต่อสู้จนสุดซอยขณะนี้ มันงดงามจริงๆ อาตมาเคยพูดแล้วว่า เป็น A Best Record เป็นสิ่งที่จะบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิวัติอย่างสงบเรียบร้อยง่ายงาม ถูกตามสากลโลก ขณะนี้ยำ้ว่าเกิดสุญญากาศทางการเมืองจริงๆเลย นี่มันเด็ดขาดแล้วนะ ทั้งตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ ตุลาการสูงสุดตัดสินแล้วคุณยังดันดื้อด้าน แล้วประชาชนตัดสินอีกออกมา 2 ล้าน ยังจะดึงดันอยู่อีกหรือ ความงดงามด้วยนิติรัฐนิติธรรมอย่างนี้ ไม่มีเสียงปืนแม้สักนัด ไม่ได้กดข่ม อย่างโคไมนี่ก็ยังต้องไปมีคณะไปยึดใช้กำลัง ของเรานี่ก็ขอให้สติตำรวจไม่อยากให้เกิดอย่างที่คณะโคไมนี่ทำ ไปจัดการกับผู้ที่ยึดอำนาจอยู่

       ตอนนี้ เราปฏิบัติไปจนถึงว่า..เราได้ปฏิวัติเสร็จแล้วเราได้ทูลเกล้าถวายฎีกาสำเร็จแล้ว ในส่ิงที่เราทำไป เราทำอย่างเทิดทูลบูชาเคารพพ่อหลวงของเรา เราได้อำนาจนี้แล้วก็เทิดทูลถวายคืนท่าน แต่มีคนตลบแตลงบอกว่าเป็นการหมิ่นดึงท่านลงต่ำ นี่เป็นการมองอย่างผิดพลาดกลับหัวเลย ทั้งที่เราให้พระเกียรติยศท่านมหาศาล ตอนนี้ก็เหลือแต่พระราชวินิจฉัยเท่านั้น

       อ.สมศักดิ์ ก็ฝากไว้ว่า จิ้งเหลนหรือจะมาเข้าใจความคิดราชสีห์

       มีคำถามมาว่า คุณสุเทพจะโดนข้อหากบฏหรือไม่?....คนที่กบฏคือ 312 สส.และสว. คุณสุเทพให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เสียง คุณสุเทพพาประชาชนไปปราบกบฏไม่ใช่กบฏ

ข้อสุดท้ายฝากถึงประชาชนคนไทยขอขอบคุณที่ช่วยปลดปล่อยประเทศไทยออกจากระบอบทักษิณ

      พ่อครูว่า...ขอบคุณประชาชนที่เอาภาระประเทศชาติออกมาถึง 2 ล้าน เปรียบกับเมื่อ 14 ตุลาฯ 16 ตอนนั้นเป็นเรื่องของความกดขี่ข่มเหง แล้วก็ออกมาอีกที 6 ตุลาฯ 19 ตอนนั้นเขาฟื้นขึ้นมาอีก ตอนนี้เขาทำระยำมากกว่าเก่าอีก ก็เป็นบทเรียนของประชาชนอีก เราก็ปฏิวัติได้อย่างสำเร็จงดงามอีก จากปี 16 ถึง19 มาจนบัดนี้ก็ประมาณ 40 ปีพอดี เราปฏิวัติอย่างสวยสดงดงามได้ ประชาชนที่มานี้จงเข้าใจว่าประเทศไทยก้าวหน้าทางประชาธิปไตยอย่างยิ่งแล้ว ทำสำเร็จงามกว่าโคไมนี่ งามกว่าฟิลิปปินส์ทำมา จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย...เอวัง

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:01:32 )

561126

รายละเอียด

561126_เทศน์ก่อนออกรบ เวทีมัฆวานฯโดยพ่อครู

เรื่อง พ่อท่านประกาศเส้นตาย(Deadline)

 

       อีกไม่เกิน 180 ชม.ก็คงจะจบ หน้าที่ประชาชนคือการมาปกป้อง เราประกาศประชาชนไม่รับคำตัดสินศาลโลกรู้แล้วว่าใช้ไม่ได้ ในเวลา 15.30 น.ก่อนศาลโลกตัดสินแล้ว อาตมาเอง พยายามใช้หลักการมาเป็นเครื่องยืนยัน ที่อาตมาเองมีหลักนิติศาสตร์รัฐศาสตร์เท่าที่จะมีภูมิ ขอให้ฟังแต่ส่วนจะตัดสินอะไรนั้นแต่ละคนมีสิทธิเสรีภาพในตนเอง ไม่ขอบังคับ ไม่ขอร้องอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่พูดสัจจะด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น อาตมายืนยันว่า อาตมามีหน้าที่พูด ตอนนี้มีสามเส้า เส้าที่หนึ่งคืออาตมาขอให้ฟังอาตมาบ้าง ส่วนถ้าจะทำต้องทำตามปรีชา แต่ถ้าจะดูต้องดูคุณจำลอง มีลีลา Two in one มีสภาพสองด้าน ด้านอิตถีภาวะและปุริสภาวะอยู่ในตัวคนเดียว พยายามผสมผสาน ก็ทำให้หลายคนเข้าใจยาก จริงๆแล้วคุณจำลองคือ A best model  ในยุคนี้ อาตมามายุคนี้ปางนี้ก็มีลักษณะทั้่งอิตถีถาวะและปุริสภาวะในตัว

       ขณะนี้ ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของโลกแล้ว เรามาเพื่อประชาชนโดยประชาชน อย่างถูกต้องตามนิติรัฐ นิติธรรม อยู่ในซีกโลกเล็กซีกหนึ่ง เหมือนจุดสว่างเล็กๆไกลๆ คนตาดีงามเห็นคนตาไม่ดีก็ไม่เห็น เป็นเช่นนั้น แต่ยืนยันว่าเป็นจุดสว่างไสวที่แท้จริง ไทยเป็นประชาธิปไตยสองขา ส่วนประชาธิปไตยขาเดียวไปไม่รอด เช่นเผด็จการเป็นอำนาจเดียวหรือประชาธิปไตยขาเดียว เผด็จการแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต้องเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ อย่างพระพุทธเจ้ามีภูมิปัญญาสูงสุด ซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรจะมาลบล้างได้เลย พระเจ้าแผ่นดินก็ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าให้บริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัว เป็นอาริยบุคคลที่จะเป็นเผด็จการสมบูรณ์แบบ หรือประชาธิปไตยขาเดียว พระพุทธเจ้าไม่ได้ถือว่าตนทำงานคนเดียว ท่านว่าเราเป็นพ่อ แล้วมีพระโมคคัลลานะพระสารีบุตรเป็นแม่หรืออิสีติสาวกทั้งหมดเป็นแม่

       ความมั่นคงของชาติถูกทำลายลงเป็นฝีมือของรัฐบาล กลายเป็นกบฏไปหมดแล้วเหลือแต่ตุลาการยืนหยัดอยู่ เป็นฝ่ายพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในหลวงเป็น Supreme ป็นหลักสูงสุดยอดของประเทศ เป็นยอดแห่งการรักษาความมั่นคง ไม่ว่าจะผู้แทนก็กบฏ จะเป็นสภาก็กบฏ จะเป็นบริหารก็กบฏ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าบริการก็ขาหักขาเป๋ ตัวแทนประชาชนก็กบฏ มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ก็เหลือแต่ตุลาการก็ได้ตัดสินแล้ว สุดท้ายประชาชนมาพิพากษาอีกซ้ำอีกว่ากบฏ ก็ยังดื้อดึงดันอีก วันที่ 24 มหาประชาชนออกมาแสดงปรากฏการณ์ยืนยันว่าประชาชนขออำนาจคืน CNNบอกว่าประมาณ 2 ล้านคน   เป็นคะแนนสด ไม่ใช่คะแนนเลือกตั้ง แต่ประชาชนมายืนยันตัวตนว่ากูนี่คือรัฐาธิปัตย์   2 ล้านเสียง ซึ่งไม่เคยมีมาเลย ประเทศไทยทำแล้ว มาช่วยตัดสินกับตุลาการ ตุลาการเป็นตัวรูปเป็นนิติรัฐ ส่วนประชาชนเป็นนามธรรมมายืนยันนิติธรรมร่วมกับศาล ว่าไม่เอานะล้างบางหมดเลย ด้านโน้นเขาแอคอาร์ทว่าเขาใหญ่ จนมีคำพูดกันว่า “คนรักเท่ารัชมังฯคนชังเท่าราชดำเนิน” เขามากันไม่เต็มกะละมังรัชมังฯเลย อย่างเรานี่มาเต็มจนล้นราชดำเนิน แสดงมวลประชาชนชัดเจนเลย ก็เห็นกันขนาดนี้แล้วว่าประชาชนเลือกฝ่าย เอาชัดๆ ฝ่ายแดงคือทักษิณ ฝ่ายข้างนอกนี้คือฝ่ายกษัตริย์ ฝ่ายทักษิณอยู่ในกะละมัง มีน้อยกว่า เขาก็ยังไม่ยอมรับอีก เป็นเรื่องของมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       อำนาจที่พูดนี่ก็คือพลังการแสดงสภาวะที่ถูกต้อง คุณก็ยังดิ้นอยู่ มีอิตถีถาวะ ยังดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ ต้องเข้าใจในภาวะรูปคือพลังการเคลื่อนไหวของอิตถีภาวะและปุริสภาวะ อาการเคลื่อนไหวหรือนิ่งนั้นเองที่เป็นรูปธรรม

       สรุปแล้วอำนาจขั้นที่ 1 ยืนยันให้แล้วว่าชนะ ส่วนที่ไปเลือกผู้แทนเป็นอำนาจขั้นที่ 5 แล้วไปเลือกนายกฯอีก็เป็นอำนาจลำดับรองลงไปอีก ตอนนี้เราชนะสัมบูรณ์แล้วทั้งนิตินัย ทั้งรัฐสภา รบ. ก็กบฏ ตามกฏเกณฑ์นิติรัฐ คะแนนเสียงส่วนใหญ่ก็ออกมาแสดงแล้ว ว่าสองล้านชนะขาดลอยเลยของเขามาไม่ถึงแสน ชนะอย่างสัมบูรณ์เลย เหลือแต่ว่ารูปธรรมของเราที่มาประชาชนเราก็ได้ยึดอำนาจตั้งแต่วันที่ 11 บอกให้มารายงานตัว เขาก็หาว่าทำเล่น แต่ทุกวันนี้เป็นโลกาภิวัฒน์ มีหลักฐานยืนยันทุกอย่าง

       มันลงตัวหมดทุกอย่าง woman touch หรือ Smart lady ก็คือลักษณะของเขา มันต้อง Gentle man จึงจะ smart เป็นปุริสภาวะ ส่วน lady เป็นอิตถีภาวะ มันต้อง Dark tall and handsome จึงจะsmart ได้

       ขอสรุปว่า เรามาช่วยกันทำเพื่อล้างภาวะที่ดิ้้นดุ๊กดิ๊กของผู้ตกอยู่ในภาวะวิตก เช่นคุณจำลองก็ตาม อาตมาว่าคุณสนธิได้ตัดสินใจแล้ว ส่วนคุณจำลองจะตัดสินใจอย่างไรก็ตาม ถ้าทั้งสองคนตัดสินใจในวันนี้ พรุ่งนี้จบ คุณเปลว สีเงินก็ยอมลดลงมาแล้วเข้าใจดีมาก ส่วนสรยุทธ ก็ออกมาแล้ว เป็นการลงตัวทั้งรูปและนาม ยังเหลือแต่พวกเราไม่รอไม่หวังแต่เราทำ จงทำตามปรีชา จงฟังโพธิรักษ์ จงดูอย่างจำลอง  ถ้าจำลองได้ตัดสินใจแล้วเด็ดขาดไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จบ เรากำลังรอจำลองจบ อาตมาว่าสนธิจบแล้ว เมื่อไหร่จำลองจะจบ ลูกๆต้องช่วยกันตัดสิน เมื่อลูกช่วยกันตัดสินแล้วพ่อก็จะทำตามมติลูก พ่อเป็นพ่อที่ดีรักทั้งลูกที่ดีและเลว Deadline เลยวันที่ 28 ไม่ได้ วันนี้พรุ่งนี้ต้องเด็ดขาด ไม่ว่าจะกำลังทหาร ยังเหลืออยู่ ขอบคุณตำรวจที่ลดลงไปมาก ให้ประชาชนเขาทำงานกันเถิดทหารเอ๋ย ประชาชนมีพอ ถ้าทหารจะออกมาร่วมก็ถอดเครื่องแบบมาร่วมไม่ว่าจะยศใหญ่ขนาดไหน เพราะคุณก็คือประชาชนอย่าหลงว่าตนมีอำนาจมากกว่าประชาชน คุณจะมีปืนมีระเบิดรถถังก็มี 1 เสียงเท่ากับประชาชน นี่คือประชาธิปไตย ถ้าเป็นไปได้วันนี้คืนนี้ ถ้าวันที่ 27 ไม่มีสะเด็ดขาด มันจะเหลือโมเมนตัมไป 28 นี้ไม่ไหวแล้ว ควรเด็ดขาดตั้งแต่วันนี้คืนนี้ได้ ไม่ว่าจะตำรวจทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ ทุกอาชีพ เศรษฐีใหญ่ขนาดไหน ผู้ใหญ่ขนาดไหน ถอดมาเป็นประชาชนในคืนนี้ ถ้าไม่จบอาตมาให้กระทืบตายคาพื้นเลย เรามี 1คน 1 เสียง มาแสดงสิทธิ์ จะเข้าข้างไหนก็ได้ คืนนี้ออกเสียงเถอะเป็นคืนสุดท้ายแห่งสุดท้าย

       ดูสภาวะของการเคลื่อนทั้งกายวิญญัติและวจีวิญญัติ การออกเสียงก็ต้องแรงขนาดนี้ยุคนี้ยุคจัดจ้าน จัดหนัก จัดเต็ม อย่างคุณปรีชาเวลาให้สัมภาษณ์ ทุบโต๊ะ กลัวไมค์จะเสีย อาตมายอมเสียสมณะสารูปเพื่อเอาประโยชน์อย่างแท้จริง …ขอวันนี้คืนนี้ประชาชนทั้งหลายทั้งปวงใหญ่ขนาดไหนก็มาเสียสละแก่ประเทศชาติ เป็นยุคที่จะทำส่ิงดีประเสริฐสุดแก่โลก มาคืนนี้อีกสักคืนเป็นการสำทับ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:03:16 )

561126_สงครามสังคม

รายละเอียด

561126_สงครามสังคมฯ เวทีมัฆวานฯ โดยพ่อครู

การปฏิวัติยึดอำนาจรัฐโดยประชาชน

 

       ขณะนี้เวลา 18.45 น. เหตุการณ์บ้านเมืองที่เรากำลังชุมนุมประท้วง ที่เราเรียกว่า Neo protest นักข่าวคงงงมาก ว่านี่เรากำลังยึดก.มหาดไทยหรือนี่ เขากลัวนองเลือด เพราะต่างประเทศที่เขายึดอำนาจกัน ในโลกนี้ ตอนนี้เราทำเป็นขั้นตอน เป็นสิ่งใหม่ของโลกที่เป็นโลกุตระ ในหลวงเคยมีพระราชดำรัสชัดเจนว่า การบริหารประเทศต้องบริหารแบบคนจน เป็นเรื่องที่ใหม่มาก บริหารแบบคนจนจะอยู่อย่างไร จนแล้วจะสุขอย่างไร เขาก็เข้าใจยาก อย่างการปฏิวัติที่เราทำนี้ เป็นส่ิงงดงาม แต่คนก็หวาดเสียว อย่างฝ่ายแดงเขาชุมนุมอยู่รัชมังคลากีฬาสถาน คนน้อยมากเลย ไม่กล้าถ่ายภาพไปที่อัฒจรรย์ แม้จะมาเพ่ิมแต่ก็น้อยกว่ามาก เป็นเรื่องของปริมาณ

       เรื่องนี้เป็นเรื่องของโลกุตระ เป็นเรื่องลดกิเลส เป็นเรื่องทวนกระแส แต่เป็นสุขสุดยอด เป็นปรมังสุขัง เป็นสุขที่ย่ิงกว่าสุข จะแปลว่าเป็นสุขอย่างยิ่งก็ได้ ไม่เหมือนสุขโลกีย์ที่บำเรอกิเลสหนาไปเรื่อยๆ แต่สุขที่หมดโลกีย์จะวางเฉย สงบสบาย ไม่ต้องไปสุขอย่างโลกีย์ เขาเข้าใจไม่ได้ เป็นชุมชนที่อยู่แบบคนจน เป็นสุขสงบเรียบร้อยง่ายงาม เพราะว่าความจนคือความไม่มีทรัพย์สินเงินทอง คำว่าจนคือความไม่สะสมทรัพย์สมบัติเป็นของตน (ตอนนี้มีเสียงปะทัดยักษ์สองลูกดังสนั่นมากที่สะพานมัฆวานฯ)

       

       ที่เราทำนี่เป็นการยึดอำนาจอย่าง ไม่ใช้ปืนสักกระบอก ไม่ใช้หอกเลยสักเล่ม ไม่ใช้เข็มเลยสักอัน เป็นส่ิงแปลกใหม่ของโลก ที่เกิดแล้วเป็นการปฏิวัติแบบใหม่ เขารวมหัวเป็นกบฏหมดแล้ว ส่ิงที่ถูกต้องก็ตุลาการภิวัฒน์ตัดสินแล้ว และปริมาณมวลชนเราก็มากกว่า เป็นประชาภิวัฒน์ ทางด้านโน้นแพ้แล้ว ตอนนี้เกิดสุญญากาศเราได้ยึดอำนาจแล้ว เป็นแต่เพียงยังมีผู้หวงอำนาจอยู่ กระทรวงต่างๆที่เขาเข้าใจก็ว่ารอตั้งนานทำไมไม่มา เป็นเหตุการณ์ประหลาดที่สุดเลย ไม่ใช่พูดเล่นเลย มีคนในก.การคลังบอกมาทางเน็ตว่า...คนในกระทรวงการคลัง บอกว่า ดีใจมากที่ประชาชนมาเพราะเงินกู้ 2 ล้านล้านผ่านสภาแล้ว  ไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าโอนไปก็หมดคลัง!!! มันทำสิ่งผิดให้เข้าระบบถูกต้อง ขอบคุณที่มา เลยเปิดประตูเชิญให้เข้ามา ประชาชนไม่ได้ทุบทำลาย ตามที่ยิ่งลักษณ์ โกหก!! อ้างเหตุรุนแรงเพื่อ ออก พรบ. ความมั่นคง ห้ามชุมนุม คนในตึกออกมาร่วมชุมนุมด้วย happy ดี ทักษิณและรัฐบาลหุ่นนี้ สุดชั่วจริงๆ

       อย่างนี้เป็นต้น ในกระทรวงอื่นอีก แล้วเราไปที่ก.มหาดไทยอีก … เราใช้ Authority สมบูรณ์ ก็เป็น Sovereign power พวกเราทำไม่ได้เพื่อยึดอำนาจเป็นของตน แต่เพื่อเปลี่ยนแปลงจากการปกครองที่สมบัติผลัดกันชม มาเป็นส่ิงที่ถูกต้องดีงาม  เขาเป็นนักโทษแท้ๆยังบอกว่า ทักษิณคิดเพื่อไทยทำ มันเสื่อมจัดมากมา 81 ปีแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยเชื้อร้ายเพาะตัวต่อไปอีก  เรามากันสองล้านกว่าคนมีผู้คำณวนตามหลักวิชาการในเฟสบุค ของ Dr. Samart คำนวณตามหลักสถิติได้ยอดผู้มาชุมนุม 2,360,475 คน ก็มากมาย แต่ของพวกทักษิณเขาออกมาไม่เต็มรัชมังคลาฯ ขนาดเต็มที่ของเขาจะจุได้ หกหมื่นคน แต่ของเรานี่กว้างใหญ่กว่ากะทะของเขา เป็นคะแนนเสียงสดๆ ที่เห็นด้วยว่าจะล้มระบบนั้นจริงๆ นี่คือประชาธิปไตยที่ไทยเรามีสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์พิเศษ ปฏิวัติอย่าง ไม่มีปืนสักกระบอก ไม่มีหอกสักเล่ม ไม่มีเข็มสักอัน สุดยอดเลย

    ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเจ้าของประเทศแล้วจ้างคนมาทำงาน ให้ดูแลกิจการบ้านเมือง แล้วเจ้าของบ้านเขาเห็นว่าลูกจ้างนี้ทำไม่ดีเราก็ขอคืนมา เช่นเดียวกันกับที่ประชาชนยึดอำนาจคืนจากรัฐบาลที่ชั่วร้ายมีคดีความรอตัดสินมากมาย เราทำอย่างถูกกติกาสากลเลย ยังไม่เคยเกิดในโลกเลย ประเทศไทยเกิดได้ก่อนเลยในโลก ...จบ

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:07:37 )

561127

รายละเอียด

561127_เทศน์หลังดาวกระจายไปก.พลังงาน โดยพ่อครู

ประชาชนทวงคืนอำนาจจากรัฐบาลขบถ

       คนเรามีกรรมดีกรรมชั่ว คนเราควรทำกรรมดี ไม่ทำกรรมชั่ว ซึ่งมันจะออกฤทธิ์แก่เรา ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว กรรมชั่วจะออกผลให้เราทุกข์ร้อน ศาสนาทุกศาสนารู้ทุกข์สุข นรกสวรรค์ แต่ว่าความจริงที่จริงยิ่ง นั้นพุทธบรรลุสูงสุด

       เรื่องที่เรากำลังเผชิญ พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำงาน ที่เป็นเรื่องจริงเกิดจริง เราไปทำงานเพื่อควรคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ หรือไปปิดทางให้คนไม่ดีหยุดทำไม่ดี อย่างที่เขาทำกันก็มีการทำร้าย ฆ่า ตัดแขนขาเลย อย่างนั้นโบราณ แต่ถ้าพูดกันด้วยดี อย่างผู้มีปัญญา ว่าคุณหยุดเถอะ คนมีปัญญาก็จะรู้ หรือว่ามีกิเลสแม้รู้ก็ไม่หยุด ดันทุรังไปด้วยอำนาจ ตัวเองก็เดือดร้อนสะสมวิบากใส่ตน อันนี้แหละที่เขาไม่เชื่อ ก็ให้พิสูจน์กันไป คุณจะรู้เอง

       ตอนนี้เราใช้วิธีการควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ อย่างที่ในหลวงตรัส ให้คนดีได้ทำงาน ท่านตรัสสวย แต่อย่างที่เราทำนี้บอกว่าไปยึดกระทรวงนั้นนี้ ก็ดูน่ากลัว แต่ที่จริงเราไปบอกเขา พูดกัน ขอร้องให้ทำดี ไม่ไปแย่งชิง บุกรุก คุกคาม เราพยามยามทำให้ดีที่สุด ตอนนี้ประเทศไทยกำลังจะปฏิวัติ เปลี่ยนแปลง จากการบริหารที่เลวร้าย ที่เขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาก็ดึงดัน เราได้ทำรุกคืบ รุกศอก ไปเรื่อยๆ จนไประงับคนที่มีปัญญาที่ยอมเข้าใจ ต่างประเทศเขาเรียกพวกเราว่า โพรเทสต์ ทั้งนั้น แต่ว่าเมืองไทยใช้คำว่า ม็อบ ที่แปลว่ากลุ่มชนที่บ้าคลั่ง เราก็ยืนยันว่าเรา โพรเทสต์ ไม่ใช่ม็อบ เราทำมาหลายปี ตอนนี้ก็สมบูรณ์ด้วยพฤติกรรมและภาษา เป็นความไม่รุนแรง เป็น Peace full เราก็ต้องเปลี่ยนภาษาเสียบ้าง ไม่ใช้ภาษาว่าไปยึดที่นั้นนี่ ก็เปลี่ยนเสีย เราไปหยุด ห้ามกั้นไม่ให้เขาทำชั่ว ไม่ใช่ภาษาว่าบุก ไปยึด เป็นภาษาเสีย

       ที่เราทำนี่ต้องใช้กำลังไปทำ แต่ว่ากำลังมีสองทิศทาง กำลังที่บังคับไม่ดีเรียก Forced แต่ว่ากำลังที่ดี คือ Authority ภาษาไทยเรียกว่าอำนาจ ถ้ามากๆๆๆก็เรียกว่าเผด็จการ ถ้าเป็นเพียงกดขี่ เขาถือว่าอำนาจนี่ชอบธรรม อย่างรัฐบาลทำนี่ อาตมาก็สาธุอย่างนายกฯปูเขาว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ก็ขอบคุณ ให้เขาทำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำให้ดี ที่เราทำนี่เป็นเพียงความเคลื่อนไหว จนเราได้ยืนยันชัดเจน ถ้าคุณจะไปอยู่ฝ่ายโน้นก็ไป ตอนนี้แกนนำฝ่ายแดงก็พูดอย่างนี้ แต่ของพวกเรานี่ก็ทำแรงด้วยคำพูดเหมือนกัน แต่ว่าต่างกันตรงที่พวกเราไม่โกหก หรือโกหกน้อยกว่าพวกเรา หลักฐานมีมากมาย เขาอาจโง่ได้ข้อมูลผิด แต่อาตมาว่าเราถูกมากกว่า ก็แล้วแต่ใครจะมองว่าอันไหนถูกมากกว่า ตัดสินเอง เห็นข้างไหนเป็นธรรมวาทีก็เข้าข้างนั้น คุณตัดสินเอง เราก็ต้องบอกว่าข้างเราเป็นธรรม เขาก็ต้องบอกว่าเขาเป็นธรรม อำนาจโดยธรรมนี้แสดงออกทางวิญญัติรูป ทั้งกายและวจี

       คนที่เขาจะทำแบบ Forced ก็ต้องสร้างโดยกดดัน แต่ของเราทำแบบ Authority คือใช้ปัญญาใช้สัจธรรมหรือนิติรัฐนิติธรรม มาเป็นพลังอำนาจ อย่างที่ในหลวงทรงมีภูมิปัญญาทำ มาถึงวันนี้แล้วในหลวงเราเป็นยอดปชต.แล้ว แม้ควีนจากอังกฤษก็ยังตรัสว่า ชาตินี้ไม่คิดว่าจะได้พบพระเจ้าแผ่นดินจริงคือกษัตริย์ไทย ท่านทรงยอมรับในหลวงของเรามาก

       แต่คนเราบังคับปัญญากันไม่ได้ เราจะเห็นลักษณะสองอย่าง อย่างที่โลกชอบทำก็ทำแบบ Forced เขาพยายามสร้างทำตนให้คนเกรงกลัว หรือแม้จะสร้างเมตตา แต่ก็ไม่สนิทหรอก จนคนไม่กล้าค้านแย้งไม่กล้าตำหนิติเตียน แต่พพจ.สอนว่า ..ภิกษุทั้งหลาย !  พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อ...  หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น  ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

       ที่เราทำมานี่ ในวันที่ 24 มีคนทำสถิติบอกจำนวนคนเลยว่ามี 2,360,475 คน เขาใช้หลักวิชาการในการคำนวณ

       เราทำอย่างเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ไม่เศร้า สิ้นโศก ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส คนชนิดนี้อยู่ในโลกมีแต่รับใช้สังคม แต่คนจะยกย่องเขาเพราะเขาเป็นคนรับใช้สังคมจริงๆ แม้จะหนักจะเหนื่อยอย่างไร คนที่ยังไม่ออกนอกกรอบโลกีย์นั้นจะไม่เข้าใจหรอก การเอาความสงบสยบความรุนแรงเขาไม่เข้าใจหรอก ที่เขาพูดมาก็ไม่เชื่อหรอก แต่ว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังเกิดเหตุการณ์นี้ ซึ่งในสังคมโลกีย์เขาใช้พลังอำนาจนี้เอาชนะกันทั้งนั้นแหละ เป็นนามธรรมสามารถครอบงำกดขี่ ให้มนุษย์กระทำได้ตามนั้นๆ บังคับคนให้ทำอย่างใดได้ แต่ก็ทำให้คนอัดอั้นไม่ชอบใจ

 

       ปัจจุบันนี้ เมื่ออำนาจที่ถูก คณะบริหาร & สภานิติบัญญัติ หรือ สส.312 คน ง่ายๆก็คือ รัฐบาลที่รวบ “อำนาจ” ทั้ง บริหาร และ สภา มาเป็น เผด็จการในสภา นั้น แถมประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลแล้ว ปฏิเสธคำตัดสินของศาลด้วย เป็นต้น และข่มขู่ คุกคามตุลาการอีกซ้ำ ก็เท่ากับขบถ จึงหมดอำนาจที่จะบริหารและทำหน้าที่ในสภาลงไปแล้ว

       ดังนั้น ประชาชนเจ้าของอำนาจก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะเอาอำนาจคืน ซึ่งเป็นไปโดยธรรมนั้น อำนาจก็ต้องคืนไปสู่ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจโดยอัตโนมัติแล้ว เพราะเมื่อทำผิดซึ่งๆหน้าปรากฏชัด แต่ก็ยังดื้อดึงดัน ประชาชนจึงได้ ปฏิบัติการทวงอำนาจคืน และได้ทำการ ประกาศขอยึดอำนาจคืนต่อประชามคมสาธารณะชนแล้วตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. 2556 จากผู้บริหาร-จากผู้แทนที่ประชาชนได้เลือกขึ้นไปทำหน้าที่แทนตัวเอง อันเป็นการปฏิบัติของประชาชนที่จะต้องปฏิบัติขออำนาจคืน แล้วจัดการปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ซึ่งประชาชนก็ได้ทำแล้วอย่างงดงาม ถึงขั้นได้นำพระราชอำนาจที่เรียกว่า “รัฐาธิปัตย์” ของประเทศเทิดทูนถวายให้แด่องค์พระประมุขซึ่งทรงเป็นพระประมุขแห่งอำนาจของรัฐหรือของประชาชนไปแล้วเรียบร้อย

       แต่ฝ่ายหาเรื่องคือ ฝ่ายตรงกันข้ามก็พยายามตลบตะแลงว่า พวกเราทำให้ระคายเบื้องยุคลบาท ดึงเอาสถาบันมาแปดเปื้อนการเมือง ทั้งๆที่เป็นไปตามวิสัยแห่งความเป็นจริงอันเกิดขึ้นโดยตนเองเป็นผู้ทำตนทำลายอำนาจตนเองแล้วแท้ๆ 

       ซึ่งที่แท้ถูกต้องตามสัจธธรมนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น “กฎหมายสูงสุด” (Supreme law) เหนือกว่า Rule of law กฏหมายรัฐธรรมนูญ เหนือกว่า principle law เหนือกว่า common law แน่นอนอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ก็ตราไว้ด้วยชัดๆ

       เพราะองค์พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย 2 ขา นั้น กษัตริย์ย่อมทรงไว้ซึ่งประมุขความมั่นคงแห่งชาติ(national security) ทรงเป็นจอมทัพของประเทศสัมบูรณ์สุด

       เมื่อความผิดของสถาบันแห่งชาติวิกฤติแล้วชัดเจนปานนี้ และประชาชนออกมาปรากฏตัวตนแสดงร่วมกัน ครบถ้วนสัมบูรณ์แล้วด้วย ทุกพฤติกรรมขององค์กรแสดง

        ความผิด-ความถูก ชัดแล้ว  เช่น  2 สถาบันประพฤติผิด สถาบันตุลาการตัดสิน 2 สถาบันนั้นก็ขบถต่ออำนาจศาล คุกคามศาล

       มวลมหาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจ และเป็นเจ้านายของ 2 สถาบันนั้นโดยตรง ก็ออกมาแสดงคะแนนเสียงสำทับอีก อย่างมืดฟ้ามัวดินเป็นประวัติการ ว่า ขออำนาจคืนจากที่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปนั้น ประชาชนขอคืน มันผิดบริบทจากการเลือกตั้ง

        ทั้งๆที่วันที่ 24 พ.ย. 2556 นั้นเป็นการออกมาแสดงคะแนนเสียงสดๆในการไล่ออกของประชาชน เป็นการยึดอำนาจคืนจากผู้แทนที่ได้เลือกไปแล้วก่อนนั้น ออกมาลงคะแนนเสียงสดๆนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งไปทำงานแทนเลย มันคนละเรื่องแท้ๆ

คนอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังหลงงมโข่งอยู่กับเรื่องคนละเรื่องนั้นมาเป็นเรื่องเดียวกัน หลงเอาคะแนนจากเรื่องหนึ่งมาอ้างอีกเรื่องหนึ่ง ตามที่เคยหลงอ้างผิดแบบนี้แหละบ่อยๆ

       ทำกันมาแล้วๆเล่าๆ ไม่รู้จักกาละเทศะมาจนนับไม่ถ้วน จนจำไม่ไหวแล้ว หลงใหลเหลือเกินกับการได้คะแนน 15 ล้านที่เป็นการได้คะแนนไปแบบโกงๆชั่วๆ ไม่บริสุทธิ์นั้น

       แท้ๆก็.. ความรู้ทางการเมืองมันฟั่นเฝือจนเลอะเทอะอยู่แบบนี้มามากต่อมากแล้ว  

       แม้ประชาชนที่ยังหลงผิดยึดฝ่าย 2 สถาบันนั้นอยู่ก็ได้ออกมาแสดงมวลของตนบ้าง ในวันที่ 24 พ.ย. 2556 ก็ปรากฏชัดแล้วว่า แพ้คะแนนเสียง แต่ประชาชนผู้หลงผิดก็ยังหลงผิดเมาอยู่กับคะแนนเสียงเลือกตั้ง อันเป็นคนละเรื่อง คนละกาละ คนละบริบท ยังดึงดันอ้างคะแนนเสียงในบริบทเลือกตั้งผู้แทนที่เป็นคนละเรื่อง คนลำกาละ จึงเป็นคนละบริบท กับการออกมา ไล่ออก ไม่ใช่ เลือกตั้ง แต่มาเอาอำนาจที่ให้ไปทำแทนนั้นคืน จะเอาคะแนนเก่าในการเลือกตั้งนั้น มาอ้างกับคะแนนเสียงที่เป็นเรื่องใหม่ คือไล่ออกนี้ ตอนนี้ ที่เป็นการออกคะแนนเสียงเอาอำนาจคืน มันคนละเรื่องกัน

       แต่กระนั้นก็ดี แม้วันที่แข่งขันมวลชนในวันที่ 24 พ.ย. 2556 ที่แข่งขันว่าฝ่ายไหนจะมีคะแนนเสียงมาก ในฝ่าย 2 ฝ่าย ซึ่งก็คือ การเลือกระหว่างรัฐบาลกับประชาชนนั่นเอง ตนเองก็ออกมาแข่งขันในวันที่ 24 พ.ย. 2556 นั้นแล้ว แพ้แล้วชัดๆ ก็ไม่ยอมแพ้  เชื่อแล้วล่ะ..ว่า  ดีเอ็นเอพวกนี้ “แพ้ไม่เป็น”  ยอมรับว่าเป็นดีเอ็นเอ “หน้าด้าน”ตลอดกาล จนมีวลีเด็ดเรียกว่า “คนรักเท่ารัชมังฯ คนชังเท่าราชดำเนิน”

       พฤติกรรมขององค์กรก็ดี พฤติกรรมของมวลมหาประชาชน ที่ปรากฏต่อประชาคม ได้ประท้วงและแสดงแจ้งความผิดออกมาชัดแจ้งก็ดี และได้แสดงการขออำนาจคืนแล้ว มีพฤติกรรมในสังคมชัดแจ้งชัดเจนจนปานนี้ “สูญญากาศทางการเมืองจึงเกิดแล้วบริบูรณ์ครบถ้วนขบวนการ” ทั้ง “ตุลาการภิวัฒน์” และทั้ง “ประชาภิวัฒน์”

       เพราะ...เมื่อไม่มีบัญญัติในนิติรัฐตามมาตรา 7 เราก็ปฏิบัติตามนิติธรรม หรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นการปกครองของประเทศไทยที่เรามี“รัฐาธิปัตย์”ระบุไว้ในมาตรา 2

       นั่นคือ เราผู้เป็นมวลมหาประชาชนที่มีความผูกพันกันตามระบอบประชาธิปไตยอันประชาชนทุกคนล้วนเป็นเจ้าของก็ได้ปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่มี และได้ออกมาแสดงสิทธิ์ เป็นที่ปรากฏแล้ว ชนะอีกฝ่าย       แล้วในวันที่ 24 พ.ย. 2556 แล้ว เสร็จลงแล้ว

        เป็นการปฏิวัติโดยประชาชนที่สงบเรียบร้อย ไม่ได้ใช้อาวุธเลย

       เมื่อไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตามมาตรา 7 เราก็ทำตามรัฐธรรมนูญนี้ครบถ้วน  ออกมาแสดงสิทธิ์ประท้วงทวงอำนาจคืน อย่างสงบเรียบร้อย ไม่ได้ทำผิด ไม่ได้ออกนอก บริบทที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเลย

       เมื่อประชาชนได้ปฏิบัติแล้วตามครรลองครองธรรม อันสุจริตธรรม เป็นสูงสุด ถึงขั้น“นิติธรรม” ซึ่งอยู่ในมาตรา 3 วรรค 2 และธำรงไว้ซึ่งมาตรา 4-5-6 องค์กรเอกชน นิติบุคคล มวลมหาประชาชนหรือคะแนนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ตามบริบทนั้นๆ   

       ซึ่งเมื่อเป็นไปตามมาตรา 7 แล้ว คือ ไม่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       และ“อำนาจ”ทั้ง 2 สถาบันที่ได้มาจากประชาชนไปลงคะแนนเลือกให้เป็น “ผู้แทนประชาชน” โดยตรงคือ สส. และทั้งโดยอ้อมคือ นายกรัฐมนตรี ทั้งรัฐมนตรี ฯลฯ ได้ร่วมกันประพฤติผิดซึ่งๆหน้า สื่อสารออกไปให้เป็นที่ปรากฏ ประกาศแจ้งต่อสังคมกระจายไปแม้แต่นอกประเทศก็รู้ก็เห็นกันทั่วหมดแล้ว ตามสังคมโลกาภิวัฒน์

        อีกทั้งตุลาการก็ได้แจ้งความผิดแก่สถาบันทั้ง 2 สถาบัน แต่ทั้ง 2 สถาบัน กลับไม่เคารพสิทธิ์และอำนาจศาล ซ้ำเข้าไปอีก ผิดซ้ำผิดซ้อน

       แม้..บัดนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดกระทำผิด ยังปล่อยองค์กรทางราชการออกมาส่งเสริมความผิดซึ่งๆหน้าอยู่อีก ไม่ห้ามปรามข้าราชการตามสิทธิ์และหน้าที่

       ซึ่งมาถึงบัดนี้ ประชาชนทวงอำนาจคืนสำเร็จตามหลักฐานต่างๆบันทึกด้วยภาพ ด้วยเสียง ด้วยพฤติกรรม ด้วยอักษรไว้ ซึ่งมีทั้งการกระทำทางกายและวาจาครบ มีเป็นที่ประจักษ์กันทั่วแล้วด้วย มวลประชาชนที่ออกมาสนับสนุนฝ่าย 2 สถาบันที่ผิดนั้น ก็ออกมาแสดงคะแนนเสียงในวันที่แสดงความจริงแข่งขันกันคือ วันที่ 24 พ.ย. 2556 ก็ปรากฏผลของคะแนนเสียงของประชาชนแล้ว  

       สรุป องค์กร และบุคคลที่ทำหน้าที่การเมืองที่ผูกพันใน 2 สถาบันนั้น สถาบันหลักในสภาทั้ง 2 ได้กระทำผิดแล้ว ย่อมผูกพันทุกองค์กร และบุคคลที่มีหน้าที่ แม้แต่ประชาชนย่อมมีสิทธิ์ตามหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ส่วนที่ 10 สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน มาตรา 56-62 เราก็ปฏิบัติหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้อย่างเคารพในรัฐธรรมนูญ ส่วนผู้ที่ทำผิดหรือฝ่าฝืนสิทธิในข้อมูลข่าวสารก็ควรสังวรและเลิกปฏิบัติ

        ส่วนที่ 11 มาตรา 63 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เราก็ทำตามอย่างเคร่งครัดได้งดงาม โปรดอย่าทำลายควางดงามนี้เลย ให้เกิดในประเทศไทยประกาศไปทั่วโลกเถิด

       แม้มาตรา 64 ผู้ที่มีอำนาจในหน้าที่ก็ไม่ควรหลงผิดสั่งการหรือกดดัน หรือจำกัดเสรีภาพผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ทำผิด 

       และในหมวดที่ 4 หน้าที่ของชนชาวไทย มาตรา 70-71 เราก็ได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่อันควรนี้อย่างเคารพต่อรัฐธรรมนูญ ด้วยสำนึกคุณของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

       ดังนั้น ตามมาตรา 74 บุคคลผู้เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

ท่านผู้มีหน้าที่ก็ควรจะทำตามให้ดีๆเถิด

  ในการปฏิบัติหน้าที่และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน บุคคลตามวรรคหนึ่งต้องวางตนเป็นกลางทางการเมือง

       ไม่เช่นนั้น เราก็อาจจะร้องเรียนได้ตามวรรค 3 ของมาตรา 74 นี้นะ

       เหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทุกอย่างผ่านไปแล้วด้วยดีเหลือเกิน จนน่าจะเรียกได้ว่า เป็นปาฏิหาริย์ของประเทศ    

  เพราะ...สูญญากาศทางการเมืองเกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง

กลุ่มบุคคลที่ได้ออกมาประท้วง ต่อต้าน และก็ได้ปฏิบัติตามขนบอันดีงามทูนเกล้า ถวายฎีกา ขึ้นไปแล้วอย่างงดงาม บริบูรณ์   

       ต่อจากนี้ก็สุดแท้แต่พระราชวินิจฉัย ด้วยเศียรเกล้า  “ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด”....จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:10:20 )

561130

รายละเอียด

561130_เทศน์ภาคคำ่ มัฆวานฯ โดยพ่อครู

เรื่อง การเมืองอาริยะ

       ตอนนี้ทุกคนคงทราบแล้ว เรื่องการเตรียมการจะปฏิบัติการที่สำคัญมากในวันพรุุ่งนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าได้มาทำเช่นนี้ แต่ภาคภูมิใจมาก ตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่เอาใจใส่เรื่องของการเมืองเลย ก็ทำมาหากินไปอยู่ในโลกที่เขาจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เพื่อได้เงินมากๆหรือได้ยศ ลาภ ตำแหน่งให้มากๆ ซึ่งเป็นความคิดของปุถุชนสามัญ ไม่เหมือนความคิดตอนนี้ ที่ไม่ได้คิดหาคิดทำเพื่อตัวเอง ก็ไม่ได้ไปโกงกินอะไร ทำสัมมาอาชีพ ในชีวิตนี้ไม่เคยถูกจับ แต่ก็มาถูกจับในการมาทำงานนี้ ร่วมกับคุณจำลอง และคนอื่นๆ เขาก็ตั้งข้อหา ตอนนี้ก็ถอดถอนคดีทิ้งไปหมดแล้ว ก็จบไปแล้ว เลิกถอนไป ก็เท่านั้นครั้งเดียว และก็มีที่ถูกจับคดีสันติอโศกอีกครั้งหนึ่ง

       ตอนเป็นฆราวาสก็ทำบุญทำทานไปตามประสา แต่ว่าไม่ได้มาทำอย่างที่เราทำ คุณมานี่มานั่งเสียสละ ช่วยบ้านเมืองช่วยสังคม เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่ก่อนเป็นฆราวาสไม่มีความคิดนี้เลย เห็นว่าเขาทำอะไรกัน ในชีวิตไม่เคยไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลย ตั้งแต่ฆราวาสจนบวช

       คนเราที่ไม่มาช่วยบ้านช่วยเมือง ย่ิงตอนนี้สำคัญมากประเทศชาติถูกนักการเมืองใช้อำนาจบาตรใหญ่ปู้ยี้ปู้ยำสร้างหนี้สินให้ชาติ ซึ่งประชาชนทุกคนก็ต้องรับใช้หนี้เช่นกัน ที่จะกู้กันมาตั้ง 2.2 ล้านๆบาท

       การเมืองที่เราทำนี้เป็นการเมืองระดับคนเหนือโลก คนโลกๆใช้กำลังกดขี่ หรือว่า Force เขาใช้อันนี้กันมาทั่วโลก จนคนเร่ิมมีปัญญา ว่าการที่จะใช้พลังกดข่มคนอื่น เป็นความประพฤติที่เป็นชนิดเดียวกับเดรัจฉานมา ช้างม้าวัวควาย มันก็ใช้แบบนั้น คนที่ไม่เจริญ ก็ไปรุกรานเขา ด้วยเรี่ยวแรงเหมือนสัตว์ คนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเช่นนี้ คือแบบForce คนเหล่านี้จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเองให้คนเกรงกลัว ไม่กล้าติท้วง แต่อำนาจแบบ Authority เป็นอำนาจแห่งคุณงามความดี เป็นอำนาจโดยธรรม เหมือนอย่างเรายกย่องในหลวง ไม่ได้ถูกกดขี่ด้วยอำนาจโลกีย์

       คนตกอยู่ภายใต้อำนาจโลกีย์ ก็สุขทุกข์ไปกับ อบาย กาม รูปภพ อรูปภพ ที่มีสุขอยู่ ผู้ไม่รู้ก็หลงติด เพราะโลกีย์มีสุขมีทุกข์ หลงอะไรที่เกินกว่าปกติสามัญก็คืออบาย อยากดังมากก็อบาย อยากดังก็แก้ผ้าโชว์ ก็คืออบายมุข เดี๋ยวนี้อยากดังจนชวนกันแก้ผ้าให้จำนวนมากที่สุดให้บันทึกในกินเนสบุ๊ก มันเหลวแหลกขนาดนี้ในการอยากดัง นี่คืออบาย เขาทำกันนี่เป็นอบายก็ไม่รู้ตัว ติดยึดกันมาก นักธุรกิจก็หาวิธีเอาเปรียบรำ่รวย ได้เปรียบเกินกาลก็บาปขั้นอบาย มันเกิดความเดือนร้อนของมนุษยชาติ นึกว่าตนฉลาดอีกนะ

       เรามีในหลวงที่สอนเศรฐกิจพอเพียง ซึ่งไม่บาปไม่ชั่ว ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ปุถุชนเข้าใจไม่ได้ หาว่าพูดอะไร แล้วจะอยู่อย่างไร มาขาดทุนแล้วจะอยู่อย่างไร มาจนแล้วจะสุขอย่างไร จะไม่อับเฉาตายหรือ?

       ภูมิใจที่เราได้พิสูจน์สัจธรรม ตามพระพุทธเจ้าสอน ในหลวงมีภูมิธรรมตามพุทธศาสนา ภูมิใจที่เรามาปฏิบัติแบบคนจนที่ท่านสอน แล้วเป็นสุข ทำประโยชน์แก่สังคม ดังพระราชดำรัสของในหลวงเรา ที่ประกาศไปทั่วโลก อาตมาจึงมีความมุ่งมั่นที่จะให้คนไทยทำ ไม่อ้าขาผวาปีกไปต่างชาติ แต่มันยากเพราะศาสนาเสื่อมไปมาก โลกโลกีย์เหนี่ยวนำเป็นอบายมุข เป็นกามสูงมาก จึงยากมาก แต่ยากก็จำนน เพราะเราเกิดในยุคนี้ ก็พยายามที่สุด จะทำไปก็ได้ผล ทุกวันนี้อาตมาตายนอนตาหลับ เพราะทำงานได้พอสมควร

       มาเป็นคนชนิดนี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ชาวอโศกมาเป็นคนรับใช้เขา เขาก็หาว่าอยากดัง เราก็ทำไปให้ทนทานต่อการพิสูจน์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาทำงานมา 40 ปี มีชาวอโศก ที่ตั้งกลุ่มมาแต่ 2516 ที่แดนอโศก เกิดกลุ่มหมู่ พศ. 2518 ก็มีพุทธสถาน แต่มามีเพิ่มเป็นพุทธสถานหลายแห่ง  มาเป็นคนช่วยสังคมไม่ใช่มาเอาจากสังคม เป็นมนุษย์อาริยะ อาศัยส่ิงที่อยู่ในสังคมทำงานให้สังคมแล้วเป็นคนขาดทุนให้สังคมตลอดเวลา ไม่ใช่เอากำไรจากสังคมแล้วเขาถือว่ากำไรหรือเป็นสุข ซึ่งเป็นความเสื่อม แต่คนเข้าใจว่าเจริญ เพราะความเข้าใจที่จะข้ามเขตปุถุชนมาเป็นอาริยะชนนั้น เป็นส่ิงที่เข้าใจได้ยากอยู่

       ความเจริญที่เป็นอาริยะที่เรียกว่า civilization มันกลับกันกับปุถุชน ก็หวังอยู่ว่าประเทศไทยจะมีสภาวะของอาริยธรรมเกิด เป็นสินค้าใหม่ให้แก่โลก จะเป็นคนชนิดนี้ ที่ขาดทุนให้แก่สังคม ไม่ใช่คนที่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ ช่วยสังคมไปเล็กๆน้อยๆ ความจริงก็กินกับสังคมอยู่ หรือออกป่าไม่เอาจากสังคม ไม่ยุ่งไม่เอาเปรียบสังคมเลย ไม่บิณฑบาตไม่อาศัยคนอื่น เลี้ยงตนด้วยตน คนชนิดนี้ก็ไม่มีบาป ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่มีกุศล ไม่ได้ล้างกิเลส แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีบาปเพราะล้างกิเลส แล้วมีบุญ คือกำจัดกิเลส แล้วยังทำดีมีคุณค่า หิตประโยชน์​เป็นพหุชนะหิตายะ เพื่อผองชนเป็นอันมาก แล้วก็ทำให้สังคมสุข เรียกพหุชนสุขายะ ไม่ใช่สุขแย่งชิงโลภมาแก่ตน อย่างมหาอำนาจ ที่ไม่มีโลกุตรธรรม ประเทศที่เคยเจริญแล้วได้เปรียบเขา ได้ลาภยศสรรเสิรญแก่ตนเองก็ได้จากประเทศอื่น ได้เปรียบ แล้วก็แย่งชิง พยายามพัฒนาสร้างสรรประดิษฐ์ ขายวัฒนธรรม การแสดง เพื่อให้ได้เงินมากๆ ให้ร่ำรวย อยู่ดีกินดี มีเงินบำเรอตน คนสะสมความสุขแบบนี้ก็รักษาไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่คนอื่น ประเทสอื่นก็อยากได้แบบนี้ ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมไป ผลัดกันเป็นมหาอำนาจ หมุนเวียนแย่งชิงไป

       ถ้าจะเป็นการเจริฐแบบโลกุตระไม่ต้องแย่งใคร เป็นคนเจริญที่ไม่ต้องเอาเปรียบใคร เป็นเศรษฐกิจแบบพิเศษ ทำสร้างได้มาก แต่เสียสละแก่ผู้ด้อยกว่า คนเสียสละมาก ทำมากไม่หนีอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่กับสังคม มีสัมมากัมมันตะ อาชีวะ ก็จะมีผลผลิตแรงงานมาก สิ่งดีก็มีค่ามาก แล้วก็ตนเองกินน้อยใช้น้อย จนไม่ต้องสะสมอะไรเลย ไม่มีสมบัติ หมดเนื้อหมดตัว มีสมบัติส่วนกลาง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ ไม่รวย เป็นคนจน ที่ในหลวงตรัส ไม่เป็นมหาอำนาจแบบโลกที่ล่าอาณานิคมสมบัติผลัดกันชม

       ถ้าทุกคนจน แต่สร้างสรรได้มากเกื้อกูลคนเก่ง เศรษฐกิจอาริยะประเทศจะไม่รวย แต่ช่วยเหลือประเทศอื่นมีเงินคงคลังไม่มาก แต่ละคนไม่สะสม แต่สมรรถนะสูงสร้างสรรเก่ง มีส่วนเหลือส่วนเกินมาก แล้วใช้ส่วนเกินเป็นลาภโดยธรรม เป็นลาภธัมมิกา ถ้าสมบูรณ์เป็นปิรามิด เป็นสาธารณโภคีแบบอาริยธรรม จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก เป็นสังคมที่คนลดกิเลส จนหมดได้ก็มีแต่เป็นประโยชน์ต่อโลก

       เชื่อว่าเมืองไทยจะเกิดได้ เป็นกัปป์ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จากนั้นจะเป็นกลียุคที่เป็นพุทธันดร จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองใหม่เกิด ในยุคนี้ อาตมาก็ต้องมาช่วยสืบสานพุทธศาสนา จะดูความจริงนี้ไปอีก 20 ปี ถ้าอายุ 100 ปีก็จะดูต่อไป สืบสานเผยแพร่ให้คนมมีอาริยธรรม แล้วจะดูว่าสังคมประเทศไทยที่มีอาริยธรรม จะเป็นอย่างไร ว่าสังคมแบบนี้ที่มีพุทธศานา กลุ่มอื่นเขาก็ทำ แต่ก็ผู้บริหารประเทศนักธุรกิจก็เหลวแหลก

คนอาริยะที่ปฏิบัติไปจนสูงแม้เป็นเจ้าของบริษัทประธานก็ไม่มีหุ้นเลย แต่จะอยู่อย่างสุดยอดคนเคารพเทิดทูนบูชา คนๆนี้จะได้รับการยอมรับอย่างสูง

       แม้การเมืองก็จะมีนักการเมืองมารับใช้สังคมอย่างแท้จริง ทำงานให้สังคม เป็นพรรคการเมืองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องตั้งพรรค เขามีกฏหมายให้ตั้งพรรค แต่ก็จะมีพรรคที่เกิดโดยธรรมชาติ เป็นพรรควิเศษ แม้กฏหมายจะบังคับให้ตั้งพรรคก็ตาม อย่างอโศก ชาวอโศกมีพรรคการเมืองตามนิตินัย คือพรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่เคยหาเสียง แต่ทำงานเพื่อสังคม เสียสละโดยไม่เอาลาภยศสรรเสริญสุข นี่คือพรรคจริง ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ นี่คือการทำงานภาคประชาชน แม้ไม่ได้รับการเลือกไปทำงานในสภา แต่ก็ทำงานรับใช้ประชาชนเสียสละจริงใจด้วย นี่คือนักการเมือง ส่ิงที่เป็นสัจธรรมอย่างนี้จะได้รับการพิสูจน์ต่อไป

 

       อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล ...ประเด็นการตั้งสภาประชาชนจะทำได้หรือไม่?...

 

       มีข้อโต้แย้งจากรัฐบาล ว่าเราทำผิดรัฐธรรมนูญและทำการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย....การปฏิเสธศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่รัฐบาลทำ มีหัวหน้าพรรคและลูกพรรคออกมาปฏิเสธด้วย การปฏิเสธ นั้นคือรัฐบาลทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย แล้วอ้างนิติรัฐ ซึ่งแม้รัฐบาลก็ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเหมือนประชาชนทุกคน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ากระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ความจริงเขาน่าจะลาออกได้แล้ว แต่หน้าเขาไม่มียาง

 

       เมื่อรัฐบาลทำผิดมาตรา 68 ประชาชนก็มีสิทธิค้านแย้งต่อต้านการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แล้วการตั้งสภาประชาชน

เปรียบกับคดีที่รัฐบาลทำการจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นศาลให้ไปทำประชาพิจารณ์ก่อน เปรียบว่า  เจ้าของที่ดินทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้แทนไปจำนอง แต่เขากลับเอาไปขายเลย แล้วยังปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจด้วย และการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจต้องติดคุกนะ

       นักการเมืองจะแก้กฏหมายต้องทำถูกรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนจะแก้กฏหมายนั้นไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ ไม่มีทางขัดแย้งเลย

       รัฐบาลนี้เป็นกบฏ ประชาชนออกมาไม่ได้ผิดกฏหมายเลย แต่ประชาชนมาเพื่อปราบกบฏ

       พ่อครูแทรกว่า อย่างในหลวงกับประชาชนกับรัฐธรรมนูญมันเป็นการยากที่จะบอกว่าอันไหนใหญ่ รัฐธรรมนูญเกิดจากประชาชนเลือกสสร.ไปเขียนรัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นใหญ่ ถ้ารัฐธรรมนูญดี ก็ใช้ไปไม่เปลี่ยนอย่างหลายประเทศ ถ้ายังไม่มีรัฐธรรมนูญประชาชนก็ต้องมาสร้างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ดี ประเทศไทยนี่ก็แก้ไขสร้างให้ดี แล้วทำตามรัฐธรรมนูญให้ดี

       มาตรา 2 ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีในหลวงที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เรายกให้เป็นหัวหน้า ท่านจึงเป็นผู้ที่โดยหลักการแล้ว ท่านคือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นรัฐาธิปัตย์ ถ้าจะนับจริงๆแล้ว ในหลวงเป็นอำนาจที่ 1 ประชาชนเป็นอำนาจที่ 2 และรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ 3

       แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร แต่คนปฏิบัติไร้ศีลธรรม คนเหล่านั้นก็พร้อมจะทำการผิดรัฐธรรมนูญได้ตลอดเวลา

       สส.และสว. 312 คนที่ปฏิเสธ ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเขาปฏิเสธทุกอย่างที่ตรวจสอบเขา

       พรุ่งนี้คือวันที่ 1​ธันวาคม ประชาชนชาวไทยเป็นล้านคนมีมติแล้วที่จะไล่ลูกจ้างออก แล้วจะสถาปนาสภาประชาชนให้เกิดมีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง …

       พ่อครูว่า...พรุ่งนี้แล้ว ถ้าประชาชนไม่ออกมาอย่างพรักพร้อมจริงจัง สภากัมมะลอนี้ก็จะอยู่ทำงานต่อไป แต่ถ้าเราออกมากันมาก เราก็จะเปลี่ยนการปกครองที่เลวร้ายนี้ ออกไป เราต้องถอนรากถอนโคนส่ิงเลวร้ายนี้ ...ถ้าไม่ได้ครั้งนี้เขาก็จะเหิมเกริมเลวร้ายต่อไป ถ้าประชาชนมาค้านอย่างจริงจัง มามืดฟ้ามัวดินก็จะข่มทางโน้น ให้มีปัญญามา คนที่รู้แล้วอย่าใจจืดใจดำเห็นแก่ตัว มาเสียสละบ้าง ถ้ามีการเมืองใหม่ที่จะล้างบางการเมืองเดิมจะเป็นการเมืองอาริยะไหม?....จบ       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:11:54 )

561130_ภาคค่ำ มัฆวาน

รายละเอียด

561130_ภาคค่ำ มัฆวานฯ โดยพ่อครูและอ.สมศักดิ์

เรื่อง การเมืองอาริยะ

            ตอนนี้ทุกคนคงทราบแล้ว เรื่องการเตรียมการจะปฏิบัติการที่สำคัญมากในวันพรุุ่งนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าได้มาทำเช่นนี้ แต่ภาคภูมิใจมาก ตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่เอาใจใส่เรื่องของการเมืองเลย ก็ทำมาหากินไปอยู่ในโลกที่เขาจะทำอย่างไรก็แล้วแต่เพื่อได้เงินมากๆหรือได้ยศ ลาภ ตำแหน่งให้มากๆ ซึ่งเป็นความคิดของปุถุชนสามัญ ไม่เหมือนความคิดตอนนี้ ที่ไม่ได้คิดหาคิดทำเพื่อตัวเอง ก็ไม่ได้ไปโกงกินอะไร ทำสัมมาอาชีพ ในชีวิตนี้ไม่เคยถูกจับ แต่ก็มาถูกจับในการมาทำงานนี้ ร่วมกับคุณจำลอง และคนอื่นๆ เขาก็ตั้งข้อหา ตอนนี้ก็ถอดถอนคดีทิ้งไปหมดแล้ว ก็จบไปแล้ว เลิกถอนไป ก็เท่านั้นครั้งเดียว และก็มีที่ถูกจับคดีสันติอโศกอีกครั้งหนึ่ง

            ตอนเป็นฆราวาสก็ทำบุญทำทานไปตามประสา แต่ว่าไม่ได้มาทำอย่างที่เราทำ คุณมานี่มานั่งเสียสละ ช่วยบ้านเมืองช่วยสังคม เป็นเรื่องน่ายกย่อง แต่ก่อนเป็นฆราวาสไม่มีความคิดนี้เลย เห็นว่าเขาทำอะไรกัน ในชีวิตไม่เคยไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลย ตั้งแต่ฆราวาสจนบวช

            คนเราที่ไม่มาช่วยบ้านช่วยเมือง ย่ิงตอนนี้สำคัญมากประเทศชาติถูกนักการเมืองใช้อำนาจบาตรใหญ่ปู้ยี้ปู้ยำสร้างหนี้สินให้ชาติ ซึ่งประชาชนทุกคนก็ต้องรับใช้หนี้เช่นกัน ที่จะกู้กันมาตั้ง 2.2 ล้านๆบาท

            การเมืองที่เราทำนี้เป็นการเมืองระดับคนเหนือโลก คนโลกๆใช้กำลังกดขี่ หรือว่า Force เขาใช้อันนี้กันมาทั่วโลก จนคนเร่ิมมีปัญญา ว่าการที่จะใช้พลังกดข่มคนอื่น เป็นความประพฤติที่เป็นชนิดเดียวกับเดรัจฉานมา ช้างม้าวัวควาย มันก็ใช้แบบนั้น คนที่ไม่เจริญ ก็ไปรุกรานเขา ด้วยเรี่ยวแรงเหมือนสัตว์ คนที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจเช่นนี้ คือแบบForce คนเหล่านี้จะสร้างอำนาจให้แก่ตนเองให้คนเกรงกลัว ไม่กล้าติท้วง แต่อำนาจแบบ Authority เป็นอำนาจแห่งคุณงามความดี เป็นอำนาจโดยธรรม เหมือนอย่างเรายกย่องในหลวง ไม่ได้ถูกกดขี่ด้วยอำนาจโลกีย์

            คนตกอยู่ภายใต้อำนาจโลกีย์ ก็สุขทุกข์ไปกับ อบาย กาม รูปภพ อรูปภพ ที่มีสุขอยู่ ผู้ไม่รู้ก็หลงติด เพราะโลกีย์มีสุขมีทุกข์ หลงอะไรที่เกินกว่าปกติสามัญก็คืออบาย อยากดังมากก็อบาย อยากดังก็แก้ผ้าโชว์ ก็คืออบายมุข เดี๋ยวนี้อยากดังจนชวนกันแก้ผ้าให้จำนวนมากที่สุดให้บันทึกในกินเนสบุ๊ก มันเหลวแหลกขนาดนี้ในการอยากดัง นี่คืออบาย เขาทำกันนี่เป็นอบายก็ไม่รู้ตัว ติดยึดกันมาก นักธุรกิจก็หาวิธีเอาเปรียบรำ่รวย ได้เปรียบเกินกาลก็บาปขั้นอบาย มันเกิดความเดือนร้อนของมนุษยชาติ นึกว่าตนฉลาดอีกนะ

            เรามีในหลวงที่สอนเศรฐกิจพอเพียง ซึ่งไม่บาปไม่ชั่ว ในหลวงเป็นโพธิสัตว์ ท่านตรัส ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ปุถุชนเข้าใจไม่ได้ หาว่าพูดอะไร แล้วจะอยู่อย่างไร มาขาดทุนแล้วจะอยู่อย่างไร มาจนแล้วจะสุขอย่างไร จะไม่อับเฉาตายหรือ?

            ภูมิใจที่เราได้พิสูจน์สัจธรรม ตามพระพุทธเจ้าสอน ในหลวงมีภูมิธรรมตามพุทธศาสนา ภูมิใจที่เรามาปฏิบัติแบบคนจนที่ท่านสอน แล้วเป็นสุข ทำประโยชน์แก่สังคม ดังพระราชดำรัสของในหลวงเรา ที่ประกาศไปทั่วโลก อาตมาจึงมีความมุ่งมั่นที่จะให้คนไทยทำ ไม่อ้าขาผวาปีกไปต่างชาติ แต่มันยากเพราะศาสนาเสื่อมไปมาก โลกโลกีย์เหนี่ยวนำเป็นอบายมุข เป็นกามสูงมาก จึงยากมาก แต่ยากก็จำนน เพราะเราเกิดในยุคนี้ ก็พยายามที่สุด จะทำไปก็ได้ผล ทุกวันนี้อาตมาตายนอนตาหลับ เพราะทำงานได้พอสมควร

            มาเป็นคนชนิดนี้ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ชาวอโศกมาเป็นคนรับใช้เขา เขาก็หาว่าอยากดัง เราก็ทำไปให้ทนทานต่อการพิสูจน์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน อาตมาทำงานมา 40 ปี มีชาวอโศก ที่ตั้งกลุ่มมาแต่ 2516 ที่แดนอโศก เกิดกลุ่มหมู่ พศ. 2518 ก็มีพุทธสถาน แต่มามีเพิ่มเป็นพุทธสถานหลายแห่ง  มาเป็นคนช่วยสังคมไม่ใช่มาเอาจากสังคม เป็นมนุษย์อาริยะ อาศัยส่ิงที่อยู่ในสังคมทำงานให้สังคมแล้วเป็นคนขาดทุนให้สังคมตลอดเวลา ไม่ใช่เอากำไรจากสังคมแล้วเขาถือว่ากำไรหรือเป็นสุข ซึ่งเป็นความเสื่อม แต่คนเข้าใจว่าเจริญ เพราะความเข้าใจที่จะข้ามเขตปุถุชนมาเป็นอาริยะชนนั้น เป็นส่ิงที่เข้าใจได้ยากอยู่

            ความเจริญที่เป็นอาริยะที่เรียกว่า civilization มันกลับกันกับปุถุชน ก็หวังอยู่ว่าประเทศไทยจะมีสภาวะของอาริยธรรมเกิด เป็นสินค้าใหม่ให้แก่โลก จะเป็นคนชนิดนี้ ที่ขาดทุนให้แก่สังคม ไม่ใช่คนที่หนีเข้าป่าเขาถ้ำ ช่วยสังคมไปเล็กๆน้อยๆ ความจริงก็กินกับสังคมอยู่ หรือออกป่าไม่เอาจากสังคม ไม่ยุ่งไม่เอาเปรียบสังคมเลย ไม่บิณฑบาตไม่อาศัยคนอื่น เลี้ยงตนด้วยตน คนชนิดนี้ก็ไม่มีบาป ไม่เอาเปรียบใคร แต่ก็ไม่มีกุศล ไม่ได้ล้างกิเลส แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีบาปเพราะล้างกิเลส แล้วมีบุญ คือกำจัดกิเลส แล้วยังทำดีมีคุณค่า หิตประโยชน์​เป็นพหุชนะหิตายะ เพื่อผองชนเป็นอันมาก แล้วก็ทำให้สังคมสุข เรียกพหุชนสุขายะ ไม่ใช่สุขแย่งชิงโลภมาแก่ตน อย่างมหาอำนาจ ที่ไม่มีโลกุตรธรรม ประเทศที่เคยเจริญแล้วได้เปรียบเขา ได้ลาภยศสรรเสิรญแก่ตนเองก็ได้จากประเทศอื่น ได้เปรียบ แล้วก็แย่งชิง พยายามพัฒนาสร้างสรรประดิษฐ์ ขายวัฒนธรรม การแสดง เพื่อให้ได้เงินมากๆ ให้ร่ำรวย อยู่ดีกินดี มีเงินบำเรอตน คนสะสมความสุขแบบนี้ก็รักษาไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่คนอื่น ประเทสอื่นก็อยากได้แบบนี้ ก็เป็นสมบัติผลัดกันชมไป ผลัดกันเป็นมหาอำนาจ หมุนเวียนแย่งชิงไป

            ถ้าจะเป็นการเจริฐแบบโลกุตระไม่ต้องแย่งใคร เป็นคนเจริญที่ไม่ต้องเอาเปรียบใคร เป็นเศรษฐกิจแบบพิเศษ ทำสร้างได้มาก แต่เสียสละแก่ผู้ด้อยกว่า คนเสียสละมาก ทำมากไม่หนีอยู่ป่าเขาถ้ำ อยู่กับสังคม มีสัมมากัมมันตะ อาชีวะ ก็จะมีผลผลิตแรงงานมาก สิ่งดีก็มีค่ามาก แล้วก็ตนเองกินน้อยใช้น้อย จนไม่ต้องสะสมอะไรเลย ไม่มีสมบัติ หมดเนื้อหมดตัว มีสมบัติส่วนกลาง พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ ไม่รวย เป็นคนจน ที่ในหลวงตรัส ไม่เป็นมหาอำนาจแบบโลกที่ล่าอาณานิคมสมบัติผลัดกันชม

            ถ้าทุกคนจน แต่สร้างสรรได้มากเกื้อกูลคนเก่ง เศรษฐกิจอาริยะประเทศจะไม่รวย แต่ช่วยเหลือประเทศอื่นมีเงินคงคลังไม่มาก แต่ละคนไม่สะสม แต่สมรรถนะสูงสร้างสรรเก่ง มีส่วนเหลือส่วนเกินมาก แล้วใช้ส่วนเกินเป็นลาภโดยธรรม เป็นลาภธัมมิกา ถ้าสมบูรณ์เป็นปิรามิด เป็นสาธารณโภคีแบบอาริยธรรม จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก เป็นสังคมที่คนลดกิเลส จนหมดได้ก็มีแต่เป็นประโยชน์ต่อโลก

            เชื่อว่าเมืองไทยจะเกิดได้ เป็นกัปป์ของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จากนั้นจะเป็นกลียุคที่เป็นพุทธันดร จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าองใหม่เกิด ในยุคนี้ อาตมาก็ต้องมาช่วยสืบสานพุทธศาสนา จะดูความจริงนี้ไปอีก 20 ปี ถ้าอายุ 100 ปีก็จะดูต่อไป สืบสานเผยแพร่ให้คนมมีอาริยธรรม แล้วจะดูว่าสังคมประเทศไทยที่มีอาริยธรรม จะเป็นอย่างไร ว่าสังคมแบบนี้ที่มีพุทธศานา กลุ่มอื่นเขาก็ทำ แต่ก็ผู้บริหารประเทศนักธุรกิจก็เหลวแหลก

    คนอาริยะที่ปฏิบัติไปจนสูงแม้เป็นเจ้าของบริษัทประธานก็ไม่มีหุ้นเลย แต่จะอยู่อย่างสุดยอดคนเคารพเทิดทูนบูชา คนๆนี้จะได้รับการยอมรับอย่างสูง

            แม้การเมืองก็จะมีนักการเมืองมารับใช้สังคมอย่างแท้จริง ทำงานให้สังคม เป็นพรรคการเมืองโดยธรรมชาติ โดยไม่ต้องตั้งพรรค เขามีกฏหมายให้ตั้งพรรค แต่ก็จะมีพรรคที่เกิดโดยธรรมชาติ เป็นพรรควิเศษ แม้กฏหมายจะบังคับให้ตั้งพรรคก็ตาม อย่างอโศก ชาวอโศกมีพรรคการเมืองตามนิตินัย คือพรรคเพื่อฟ้าดิน ไม่เคยหาเสียง แต่ทำงานเพื่อสังคม เสียสละโดยไม่เอาลาภยศสรรเสริญสุข นี่คือพรรคจริง ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ นี่คือการทำงานภาคประชาชน แม้ไม่ได้รับการเลือกไปทำงานในสภา แต่ก็ทำงานรับใช้ประชาชนเสียสละจริงใจด้วย นี่คือนักการเมือง ส่ิงที่เป็นสัจธรรมอย่างนี้จะได้รับการพิสูจน์ต่อไป

            อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล ...ประเด็นการตั้งสภาประชาชนจะทำได้หรือไม่?...

            มีข้อโต้แย้งจากรัฐบาล ว่าเราทำผิดรัฐธรรมนูญและทำการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย....การปฏิเสธศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่รัฐบาลทำ มีหัวหน้าพรรคและลูกพรรคออกมาปฏิเสธด้วย การปฏิเสธ นั้นคือรัฐบาลทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย แล้วอ้างนิติรัฐ ซึ่งแม้รัฐบาลก็ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายเหมือนประชาชนทุกคน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่ากระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ความจริงเขาน่าจะลาออกได้แล้ว แต่หน้าเขาไม่มียาง

 

            เมื่อรัฐบาลทำผิดมาตรา 68 ประชาชนก็มีสิทธิค้านแย้งต่อต้านการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แล้วการตั้งสภาประชาชน

เปรียบกับคดีที่รัฐบาลทำการจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับนั้นศาลให้ไปทำประชาพิจารณ์ก่อน เปรียบว่า  เจ้าของที่ดินทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้แทนไปจำนอง แต่เขากลับเอาไปขายเลย แล้วยังปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจด้วย และการปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจต้องติดคุกนะ

            นักการเมืองจะแก้กฏหมายต้องทำถูกรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนจะแก้กฏหมายนั้นไม่ผิดรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนเป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญ ไม่มีทางขัดแย้งเลย

            รัฐบาลนี้เป็นกบฏ ประชาชนออกมาไม่ได้ผิดกฏหมายเลย แต่ประชาชนมาเพื่อปราบกบฏ

            พ่อครูแทรกว่า อย่างในหลวงกับประชาชนกับรัฐธรรมนูญมันเป็นการยากที่จะบอกว่าอันไหนใหญ่ รัฐธรรมนูญเกิดจากประชาชนเลือกสสร.ไปเขียนรัฐธรรมนูญ แล้วก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นใหญ่ ถ้ารัฐธรรมนูญดี ก็ใช้ไปไม่เปลี่ยนอย่างหลายประเทศ ถ้ายังไม่มีรัฐธรรมนูญประชาชนก็ต้องมาสร้างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญไม่ดี ประเทศไทยนี่ก็แก้ไขสร้างให้ดี แล้วทำตามรัฐธรรมนูญให้ดี

            มาตรา 2 ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และมีในหลวงที่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่เรายกให้เป็นหัวหน้า ท่านจึงเป็นผู้ที่โดยหลักการแล้ว ท่านคือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นรัฐาธิปัตย์ ถ้าจะนับจริงๆแล้ว ในหลวงเป็นอำนาจที่ 1 ประชาชนเป็นอำนาจที่ 2 และรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่ 3

            แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร แต่คนปฏิบัติไร้ศีลธรรม คนเหล่านั้นก็พร้อมจะทำการผิดรัฐธรรมนูญได้ตลอดเวลา

            สส.และสว. 312 คนที่ปฏิเสธ ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเขาปฏิเสธทุกอย่างที่ตรวจสอบเขา

            พรุ่งนี้คือวันที่ 1​ธันวาคม ประชาชนชาวไทยเป็นล้านคนมีมติแล้วที่จะไล่ลูกจ้างออก แล้วจะสถาปนาสภาประชาชนให้เกิดมีประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง …

            พ่อครูว่า...พรุ่งนี้แล้ว ถ้าประชาชนไม่ออกมาอย่างพรักพร้อมจริงจัง สภากัมมะลอนี้ก็จะอยู่ทำงานต่อไป แต่ถ้าเราออกมากันมาก เราก็จะเปลี่ยนการปกครองที่เลวร้ายนี้ ออกไป เราต้องถอนรากถอนโคนส่ิงเลวร้ายนี้ ...ถ้าไม่ได้ครั้งนี้เขาก็จะเหิมเกริมเลวร้ายต่อไป ถ้าประชาชนมาค้านอย่างจริงจัง มามืดฟ้ามัวดินก็จะข่มทางโน้น ให้มีปัญญามา คนที่รู้แล้วอย่าใจจืดใจดำเห็นแก่ตัว มาเสียสละบ้าง ถ้ามีการเมืองใหม่ที่จะล้างบางการเมืองเดิมจะเป็นการเมืองอาริยะไหม?....จบ           


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:20:14 )

561130_เทศน์ภาคเช้า

รายละเอียด

561130_เทศน์ภาคเช้าโดยพ่อครู

เรื่อง ชุมนุมให้เป็น Best Record ต้องถอดตัวตน

         เวลานี้เป็นเวลาอันประเสริฐที่เราจะได้สดับตรับฟังรูปธรรม นามธรรม เมื่อปี 49 กองทัพธรรม พรักพร้อมพุทธบริษัท 4 เราไม่ได้หยิบตัวเราเองออกมาอวดโอ่หรือทวงบุญคุณจากใคร แต่เรากำลังเรียบเรียงส่ิงที่ปรากฏ เป็นประสพการณ์ที่ได้เห็นได้รู้ ต่อสาธารณชน มันก็เกิดภาวะผูกพันต่อทุกอย่าง  ทุกองค์กร ทุกสังคม เพราะเป็นสังคมโลกาภิวัฒน์ เชื่อมโยงกันไปทั้งโลก รับรู้ข่าวสาร เกิดการรู้แจ้งไปทั่วโลก เป็นสิ่งเปิดเผย จริงใจ แต่อาจมีพฤติกรรมไม่ดีแทรกแซงบ้าง จะไปหาความบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มหมู่ไม่มีหรอก เอาเรื่องเล็กๆน้อยๆมากลืนสิ่งใหญ่ไม่ได้

 

         ตอนนี้ฝ่ายแดงเขานัดกันวันที่ 30 ดึงบุคคลรวบรวมมาเท่าไหร่ให้ทำไปก่อนเลย พรุ่งนี้เหลือเท่าไหร่ก็มาที่เรา เขาอาจว่าเราเอาเปรียบ แต่เราเอาเดนเขานะ  เตือนให้พวกเราเลิกพยาบาทถือสาใครเสีย หากเลิกไม่ได้ก็ระงับไว้ก่อนสัก 5 วัน อย่าไปทำร้ายทำลายอะไรกัน ถ้าเลิกได้เลยก็สาธุ เราไม่ควรไปโกรธเกลียดใคร จะทำชั่วอยู่ก็เรื่องของเขา วันนี้ให้แดงเขาแสดงคะแนนเสียง เป็นเรื่องของการแสดงอำนาจ

 

         ประเทศไทยเราได้ปฏิรูปมาถึงขั้นสุกงอม Ripe แล้ว ก็เรียกสิ่งที่เกิดว่า “ปฏิวัติ” ได้ ส่วนทางด้านผู้ทำงานก็ว่าอย่าเรียกว่าปฏิวัติ มันดูรุนแรง แต่เราปฏิวัติอย่างสงบ เรียบร้อย ง่ายงาม ไม่มีการใช้อาวุธใดๆ ไปตามครรลองคลองธรรม อาจมีข้อบกพร่องบ้างเป็นธรรมชาติ ส่ิงใหญ่ขนาดนี้มีข้อบกพร่องบ้างก็ดีที่สุดแล้ว 

        

         เรื่องของอำนาจมีสองแบบ

         (1) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด

                                    ครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้

                                    อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ

                                    ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ

                                    ก็คือ การใช้อำนาจนั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ

                                    นี่คือ อำนาจ เป็น ความชอบธรรม   

                                    ซึ่งเป็นอำนาจ ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล

                                    อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขาตกอยู่ใต้อำนาจ

                                    เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ

                                    ผู้ที่ยังมีพฤติที่สร้างอำนาจเป็นความชอบธรรม

                                    นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่า

                                    ตนคือผู้มีอำนาจ นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force

                                    ซึ่งเรียกว่ายังเป็นเผด็จการอยู่มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง

                                    คนฉลาดในโลกจะสร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว

                                    จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง

                                    จึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม

 (2) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม

                                    ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม 

                                    จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม

                                    ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น

                                    แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือ

                                    จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น

                                    อย่างอิสระเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย

                                    นี่คือ ความชอบธรรม เป็น อำนาจ

                                    ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร                                               เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คนยอมยกอำนาจนั้น

                                    ให้แก่ผู้น่าเคารพ นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority =

                                    right power หรือจะเรียกว่าเผด็จการโดยธรรมก็ได้ ถ้า                                                   ไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา

                                    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น

                                    ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น

                                    ดังนั้น ผู้น่าเคารพ จึงเป็นเสมือนผู้มีอำนาจ

                                    ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะ

                                    เชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา

                                    นี่คือ ผู้มีพฤติที่สร้างความชอบธรรมเป็นอำนาจ

                                    เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว

                                    ปราชญ์แท้ๆจะไม่สร้างอำนาจให้คนเกรงและกลัว

                                    จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง

                                    จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม

                                                     

         ในสังคมปกติทั่วไปทั้งโลก มีพลังหรืออิทธิพลของอำนาจอยู่จริง ซึ่งเป็นพลัง

หรืออิทธิพลของอำนาจที่มีฤทธิ์มีแรงทั้งทางรูปธรรมโดยเฉพาะทางนามธรรมสามารถ

เหนี่ยวนำ สามารถผลักดัน สามารถครอบงำ จนถึงขั้นสามารถบังคับ กดขี่ ให้มวลอันคือมนุษย์ในสังคมเป็นไปตามอำนาจนั้นได้แท้จริง

ไม่ว่า จะทำให้เกิดกรรมกิริยาทางกายกรรม-วจีกรรม หรือไม่ว่า จะทำให้เกิด

กรรมกิริยาทางมโนกรรมหรือความรู้สึก ซึ่งเป็นการเกิดอารมณ์ชอบหรือชัง-เฉยๆ 

         คำว่า อำนาจ ที่ภาษาอังกฤษว่า power, energy, authority, force., sovereignty=soverein power =supreme =independence =อำนาจใหญ่,อธิปไตย

         ตามวิญญัติรูป ย่อมรู้ได้ด้วย kinetic energy, potential energy,

author = ผู้แต่ง, เจ้าของ, ผู้สร้างสรร,

พระพุทธเจ้าทรง authority = ต้นตำหรับอำนาจโดยธรรมแบบของพระองค์ 

force = กดดัน, บังคับ, บีบ, เร่ง, บุก, ยัดเยียด, ทึ้งดึง, แข็งขืน

forced = ซึ่งถูกบังคับ, ซึ่งถูกบีบ, ใช้แรงฝืนใจ forcible = ใช้กำลัง, โดยพลการ

authorize = อนุมัติ, ยินยอม, อนุญาต, มอบอำนาจ, แต่งตั้ง, มอบหมาย

authorizable = พอจะมอบอำนาจให้ได้, พอจะยอมรับได้ 

authoritative = มีอำนาจวาสนาบารมี, เชื่อถือได้, มีหลักฐานพิสูจน์ได้, เผด็จการ

authoritarian = ผู้ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ, ผู้ใช้อำนาจเผด็จการ

[Authority by force is less enduring than authority by kindness.

                  อำนาจโดยพระเดชนั้น ไม่ยืนนานเหมือนอำนาจโดยพระคุณ]

ใครจะ made a forcible = โดยพลการ ก็อย่าทำเลย

 

         ตั้งแต่มี 2549 เราก็พาทำสมณะเดินนำเลย พอตอนเสธ.อ้ายเราก็ไปอีก ไปรับแก๊สน้ำตา แต่ก็ดีไม่มีการบาดเจ็บล้มตาย จนมาตอนหลังเร่ิมต้นที่สวนลุมฯ ตอนนี้เรากำลังเปลี่ยนแปลงจากรูปธรรมสู่นามธรรม หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็มีภาพของประชาชนปฏิวัติ ซึ่งได้ทำจริงไปแล้ว สื่อสารก็ออกไปทั่ว เป็นภาวะผูกพัน เป็นสัญญาประชาคมแล้ว เป็นปฏิวัติจริง แต่เป็นการปฏิวัติแบบใหม่ Neo Revolution เราไม่ได้ทำทันที แต่ทำต่อเนื่องมาเรื่อยจนถึงบัดนี้ มาถึงจุดเราก็ประกาศบอก เป็นปฏิวัติแบบถูกต้องไม่ผิดหลักสากล คือปฏิวัติอย่างสงบ ไม่ด้วยอาวุธ แต่ด้วยความถูกผิด ใครผิดแพ้ ใครถูกชนะ ตัดสินถูกผิดด้วยปัญญาหลักฐาน จะด้วยหลักเกณฑ์ธรรมะก็แล้วแต่ สิ่งดีงามสูงสุด รวบรวมแล้วคนไหนถูกต้องดีงามกว่าคนนั้นชนะ คนไหนไม่ดีกว่าก็ต้องแพ้ การตัดสินถูกผิดนี้ถือว่า ตุลาการภิวัฒน์ เป็นการตัดสินความถูกต้อง ทุกประเทศก็มีตุลาการตัดสิน

         เมื่ออีกกลุ่มหนึ่งไม่ยอมรับการตัดสินของศาล ประกาศไม่ยอมรับก็ถือว่าผิดแล้ว สังคมต้องมีหลักของสังคม ตุลาการออกมาตัดสินแล้ว คนออกมามากก็แล้ว เหลือแต่บุคคลรายตัวในประเทศไทยต้องออกมาสำทับ

         วันนี้ฝ่ายแดงก็ประกาศออกมาชุมนุมที่ราชมังคลากีฬาสถาน ในอ่างนี้บรรจุเต็มสุด 8หมื่นคนเขานัดกันวันที่ 30 เราเอาที่เหลือ นัดวันที่ 1 ธันวาฯ นัดกันเป็นหลักที่ราชดำเนิน ส่วนที่อื่นสถานที่แคบไม่พอ เอาที่ราชดำเนินอีกครั้งหนึ่ง ที่ราชดำเนิน แม้พรุ่งนี้จะมากเท่าไหร่ก็จะรู้ ถ้ามากเกินราชมังคลาฯ มาแสดงคะแนนเสียงสดๆ ยืนยันอธิปไตย 1 คน 1 เสียง เขาจะถึงล้านไหม? ตัดสินด้วยปรากฏการณ์จริงไม่ต้องตีรันฟันแทง สมัยนี้แล้ว ประเทศไทยทำมาได้ดีแล้ว อย่าให้เรือล้มเมื่อจอด

         เราจะต้องรักษาช่วงเวลาที่ดีอย่างนี้ต่อไป แม้แต่ภาษาสำเนียงก็ต้องให้ดี อย่าให้เชิงบังคับกันมากนะ เราจะได้ทำได้อย่างสวยงามยอดยิ่ง สร้างพฤติอันชอบธรรมได้ก็เป็นผู้เจริญ คนไทยเรามีพุทธเป็นศาสนาหลัก คนส่วนมากนับถือพุทธ 95 %

         ตอนนี้เขาว่าประชาชนปฏิวัติไม่มีบัญญัติในรธน. แต่เราทำนี่ไม่ได้นอกรธน.นะ รักษาบทบัญญัติต่างๆของรธน.ด้วย อย่างมาตรา 1 เราก็ไม่ยอมให้เสียแผ่นดิน การปฏิวัติของเราเหมือนเสรีไทยที่ประกาศก่อนไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก แม้เป็นกลุ่มน้อยก็เหมือนเสรีไทย สากลเขายอมรับ มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

         เมื่อมาตรา 3 ล้มเหลว เราเลือกผู้แทนไปทำงานทั้งสองสภาฯก็พังทั้งสองสภาฯและเขาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาล สองหน่วยรวมหัวกันเอาอำนาจบาตรใหญ่ไม่ยอมรับศาล แบบนี้ไม่ใช่ Authority แต่เป็น Force สากลไม่ยอมรับ และเราได้ประกาศปฏิวัติ แม้จะน้อย แต่คนเดียวก็ประกาศได้ แต่นี้เป็นหมู่คณะทำด้วย มีตัวแทนประกาศ สำเร็จแล้วจึงเกิดการยึดอำนาจจากรบ.มาเป็นของประชาชนหรือรัฐาธิปัตย์ ตามม. 2 หรือม.3 นั่นแหละ

         ตอนนี้เกิดปรากฏการณ์สุญญากาศทางการเมืองสมบูรณ์แล้ว มีคนมาชุมนุมนับยอดผู้มาชุมนุม 2,360,475 คน เขาก็นัดชุมนุม ก็คอยนับกันว่าใครจะมากกว่า

         ถ้าประชาชนทำสำเร็จจะเป็น A Best Record ตอนนี้ยังเหลือเศษพลังที่ยังดิ้นอยู่ เป็นอิตถีภาวะอยู่ เราก็บอกว่าเลิกงอนเถอะมันเกินงามแล้ว มาร่วมมือร่วมใจทำสิ่งดีงามส่ิงประเสริฐได้แล้ว ประเทศไทยที่ทำได้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของประเทศ ช่วยกันทำให้ไปรอด ถ้าโอกาสอันดีงามนี้ผ่านไปแล้วจะหาโอกาสอีกยากนะ

         เสียดายแต่สื่อสารที่ยังตกอยู่ใต้อิทธิพลหรือลาภยศสรรเสริญ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมาแม้มีกิเลส แต่ถ้ารู้ว่าข้างนี้ดีกว่าก็ต้องร่วมมือ

         มีนักศึกษาที่มีข้อมูลด้านปรากฏการณ์วิทยา เขาก็พยายามศึกษาให้ถึงจิต ภาวะทางโลก ซึ่งทางรูปธรรมเขาเข้าใจหมดแล้ว เขาเข้าใจคุณธรรมว่าคือผู้ไม่เอาเปรียบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นผู้มีกำลัง มีสมรรถนะความรู้ความสามารถ แต่ไม่เอาความสามารถไปเอาเปรียบใคร กลับสร้างสรรแล้วเอาไปแจกจ่ายเผื่อแผ่ แม้รูปธรรมจะดีแต่กิเลสในจิตทางนามธรรมดึงไว้อยู่ เขาจึงพยายามศึกษาทางจิต มีบุรุษที่ 1 ,2 และ3

         บุรุษที่ 1 คือตัวเรา ต้องศึกษาทำจิตเราให้เป็นตามที่รู้ เช่นเรามีกิเลสก็ต้องกำจัดออกจากจิตให้ได้ เราจะรู้กิเลส กิเลสจะเป็นบุรุษที่ 2 ตัวเราจะเป็นธาตุรู้ ตั้งแต่สามัญ ไปจนเป็นความรู้แท้จริง เป็น Genuine หรือ Genius ลึกซึ้งถึงจิต เมื่อรู้แล้วทำให้จิตเป็น ต้องรู้กิเลสแล้วมีวิธีกำจัด การใช้สมถะไม่เที่ยง ต้องใช้วิปัสสนา เมื่อกำจัดมันล้างได้ก็จะเห็นว่ามันไม่มีตัวตน เราต้องเห็นตัวผลที่ได้เป็นบุรุษที่ 3 เป็นสำนึกที่หวัง ในขณะที่ยังไม่หมดก็ต้องทำตนเป็นบุรุษที่ 1 แล้วรู้บุรุษที่ 2 เมื่อกำจัดบุรุษที่ 2 ได้ก็จะได้ผลเป็นบุรุษที่ 3

         อย่างเด็กรอของจากซานตาครอส บุรุษที่ 1 คือเด็ก อยากได้เป็นบุรุษที่ 2 ซานตาครอสเป็นบุรุษที่ 3 เด็กๆในศาสนาคริสต์ก็รอความหวังทั้งนั้น พอได้ของขวัญใครก็รู้ว่าซานตาครอสไม่มีจริง เป็นคนแต่งตัวมา เอาของขวัญมาให้ ในโลกสมมุติตกอยู่ในภาวะของเด็กทั้งนั้น ความหวังคือกิเลส อยากได้ต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ มันต้องรู้ว่าต้องการอะไร ต้องจับกิเลสให้ได้ เป็นจิตตัวปลอมหรืออาคันตุกะ ต้องจับบุรุษที่ 2 ให้ได้บุรุษที่ 1 คือเรา จัดบุรุษที่ 2คือกิเลสได้แล้วกำจัดได้ ซานตาครอสตัวปลอมจะหายไป เราจะรู้ว่าสิ่งไหนเฟ้อ ปัญญาของจิตสะอาดนั้นแสนจะรู้ แต่มันมัวหมองเพราะกิเลส ทำจิตมัวหมองมืด เห็นผิดเป็นถูก แม้เอากิเลสออกไปบ้าง ก็มัวหมองบ้าง พอสะอาดแล้วจิตจะใส แม้ความรู้ว่าอันนี้ดีมาก ดีน้อย ดีกลางจะรู้ลำดับหมดเลย ในเหตุปัจจัยกาละฐานะจะรู้ จึงหยิบมาใช้เหมาะสมตามควรตามกาละได้

         ภาวะของจิตผู้บรรลุธรรมดังกล่าว จึงเป็นภาวะขอจิตตามทฤษฏีพระพุทธเจ้า จะชัดเจนบุรุษที 1, 2 ,3 ก็จะกำจัดอกุศลเจตสิกไปได้ตามลำดับ มีธาตุรู้ทางจิต รู้ในปัจจุบันธรรม เมื่อเราไปสัมพันธ์กับโลก เราจะรู้ว่าจิตที่เรามีมโนสัญเจตนาหรือมุ่งหมาย เขาเรียกจิตพวกนี้ว่า เจตสำนึก ในภาษาพวกวิชาการ มีความมุ่งหมาย

         จิตของผู้ใดมีตัวการในจิต มันก็ต้องการมีอาการของพลังอำนาจ ที่มุ่งไปอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเป็นจิตที่มุ่งไปเรียกว่ามโนสัญเจตนา พระพุทธเจ้าแบ่งว่าเป็น ตัณหา อย่างหยาบเรียกว่า กามตัณหา และยังแบ่งเป็นอบายเรียกว่าหยาบมาก มุ่งมาเสพติดเมื่อไม่เรียนรู้ก็ตกในโลกอบาย ใครดับอบายได้ก็เป็นโสดาบัน รู้จักบุรุษที่ 2 และกำจัดได้ บุรุษที่ 3 ก็จะมารวมเป็นบุรุษที่ 1 บุรุษที่ 3 คือซานตาครอส แล้วจะรู้ว่า ซาสตาฯก็คือเรา ของขวัญก็คือเรา

         ผู้ทำลายกิเลสอบายได้ก็เข้ากระแสโสดาบัน เมืองไทยเราจะเป็นโลกใหม่ จะปฏิวัติแบบไม่Force ไม่ใช้อาวุธและความรุนแรง แต่จะใช้ปัญญาพูดกันดีๆ เอาเหตุผล ช่วยกันให้ความเจริญนี้สมบูรณ์แบบเถอะ

         เมื่อกำจัดอบายได้ ก็เหลือกามและอัตตา เป็นโสดาบัน แต่มาเลิกกามตัณหา ลดกิเลสไปเรื่อยๆ จนตาหูจมูกลิ้นกาย ลาภยศสรรเสริญภายนอก เท่านี้ก็พอ ติดรส เสียงกลิ่น ก็เปลืองแพง เพราะโลกตีราคาโลกีย์แรงขึ้น คิดดูสิ เรียกผู้หญิงสาวๆคนหนึ่งไปกินข้าวจ่าย ห้าแสนบาท (ที่จริงอาจมากกว่านั้น) เห็นเลยว่าบำเรอตนมากเกิน สงสารเขานะ

         อาตมายังมั่นใจว่า ตราบใดโลกยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตราบนั้นโลกไม่ว่างจากอรหันต์ เชื่อมั่นว่าจะมีอรหันต์สืบต่อไป และอาตมาได้ประกาศอรหันต์ 1รูปแล้วในอโศก

         เจโตที่เป็นอกุศลเจตสิกตายหมด จิตเราก็เป็นจิตบริสุทธิ์สะอาด ผลที่ได้คือบุรุษที่ 3 อย่างความอยากที่อยากได้นิพพานนั้นไม่ควรมี ก็รอให้นิพพานมาเองแล้วเมื่อไหร่จะมา

         คุณต้องสร้างนิมิตของคุณเองว่าอาการอย่างนี้สุข อาการอย่างนี้กิเลสโลภ อาการนี้ไม่เที่ยงกิเลสโตขึ้น แล้วเราต้องทำให้ลด แม้กดข่มก็ทำ แต่เราต้องทำวิปัสสนาด้วย กิเลสมันถอยเลิกแล้วตายไป กำจัดด้วยไฟฌาน ละลายไฟราคะโทสะ ทำให้จางคลาย ไม่เที่ยงแบบมันลดลง ไม่ใช่ไม่เที่ยงแบบหนาขึ้นๆ  เราทำให้บุรุษที่ 2 ละลายไปหายไป กิเลสออกไป ทำให้บุรุษที่ 1 สะอาดขึ้น ได้จิตที่สะอาดเป็นบุรุษที่ 3 ทำให้เป็น two in one แต่ก่อนเป็น สอง แต่ตอนนี้ สองเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

         ตอนนี้ที่ทำมา 81 ปีทำผิดมาตลอด ตอนนี้เรามาเลือกคนอาริยะไปบริหารได้ไหม จะได้เท่าไหรก็ว่ากัน พวกตามืดบอดก็ว่าต้องเลือกตั้ง แต่นี่เลือกมาแล้วได้แต่คนเลวมาบริหาร การเลือกตั้งนั้นก็ใช้อำนาจใช้เงินซื้อมา แต่ก่อน ว่าจอมพลสฤษดิ์ก็ว่าโกงแล้ว จอมพลถนอมก็ว่าอีก แต่นี้ทักษิณนี่ร้ายกาจกว่าสฤษดิ์ ที่แค่ระดับพันล้าน แต่ทักษิณนี่ระดับแสนล้านนะ แล้วจะเอาอีก โลภไม่รู้จบ

         ถ้ายุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่เขาก็ใช้อำนาจเก่าวิธีเก่ากลับมาอีก ตอนนี้เรายึดอำนาจแล้วไม่ยอม เราอารยะขัดขืนแล้ว ประชาชนปฏิวัติแล้ว คุณก็ยังหน้าด้าน ว่าประชาชนไม่มีอำนาจ ถ้าว่าอย่างนั้นก็ต้องเลิกมาตรา 2 ไป ประชาชนเป็นอำนาจเป็นรัฐาธิปัตย์ คุณเป็นเพียงตัวแทนไป แต่ทำให้บ้านเมืองฉิบหาย เรามาไล่คุณออกไป คุณก็หลงว่าเลือกตั้งเท่านั้น จะเลือกตั้งแข่งทำไม ประชาชนเป็นเจ้าของบ้าน มันหลงขนาด

         ประชาชนอยู่ไหนก็รีบมาช่วยกัน ขออวยพรให้เกิดความสำเร็จงดงามสมบูรณ์ด้วยเถิด...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:16:19 )

561201

รายละเอียด

561201_เทศน์ก่อนออกไปปฏิบัติการวันดีเดย์ โดยพ่อครู

เรื่อง มาออกเสียงไล่ออกมิใช่ออกเสียงเลือกตั้ง

 

            ขณะนี้เป็นเกมการยึดอำนาจระหว่างประชาชนกับรัฐบาล รัฐบาลแปลว่าผู้อภิบาลประเทศ แล้วที่ให้ขึ้นไปเป็นรัฐบาลก็คือประชาชนให้ขึ้น

            ประเทศเปรียบเหมือนบ้าน ประชาชนเป็นเจ้าของบ้าน ประชาชนเลือกคนมาบริหารคือเลอก สส.สว. เลือกมาเป็นผู้รับใช้ ให้เป็นรัฐบาล เขาก็มารับจ้างแล้วหาผลประโยชน์ส่วนตน โกงกิน และทำตนเป็นเจ้าของบ้าน ทำผิดเสียหายมาก ใช้อำนาจซับซ้อนหลอกลวง  ก็มีหน่วยตุลาการตัดสินว่า คุณผิด แต่คุณก็คัดค้้าน บอกว่าที่ว่าผิดนี่ไม่รับ ก็ไม่รับอำนาจตุลาการอีรก คือเลวซ้ำซ้อนทั้ง สส.และสภานิติบัญญัติ

            นิติบัญญัติและบริการเกิดจากประชาชน ตุลาการเกิดได้เพราะอำนาจสูงสุดคือพระเจ้าอยู่หัว

            ต้องมีสามขั้วใหญ่ เกิดจากอำนาจประชาชนและเกิดจากผู้ที่ประชาชนยกให้ สากลเขาก็ยกให้ เป็นผู้รักษาความมั่นคงสูงสุดของประเทศ สูงสุดในหลักเกณฑ์ เรียก Supreme law เป็นผู้ดูแลความมั่นคงสูงสุดของประเทศ สากลเขายอมรับ มีแต่คนหน้ามืดตาบอดเท่านั้นที่ไม่รับ

            1.ประชาชน

            2.พระเจ้าอยู่หัว

            3.อำนาจรัฐธรรมนูญ อำนาจนี้เกิดได้เพราะประชาชนสร้างรัฐธรรมนูญ ไทยเราก็มีประชาชนขึ้นไปสร้างรัฐธรรมนูญ แล้วก็มีคนไปฉีกแล้วก็สร้างใหม่ ไม่รู้กี่ฉบับแล้ว รัฐธรรมนูญ 2550 เขาว่าดีมากแล้ว มีประชามติรับรอง สมบูรณ์แบบ แล้วเขาก็จะมาล้มล้าง จะแก้จะเลิก เป็นเรื่องผิดหมด ทั้ง 3 อำนาจนี้หากไม่มีประชาชนกับพระเจ้าอยู่หัว รัฐธรรมนูญก็ไม่เกิด ประชาชนมีอยู่ในแผ่นดินนี้ตลอดเวลา พระเจ้าอยู่หัวคือคนที่ประชาชนยกให้ ประชาชนก็คือมวลของประเทศ ก็ต้องถือว่าเสถียรที่สุดคือประชาชนพระเจ้าแผ่นดินก็ผลัดเปลี่ยน พระเจ้าแผ่นดินถ้าอยู่ในทศพิศราชธรรมก็ดีที่สุดแล้ว อย่างในหลวงของเราองค์นี้

            เราให้รัฐบาลไปเป็นคนรับใช้ เรียกโก้ๆว่ารัฐบาลไม่ใช่ไปเป็นเจ้าของประเทศนะ รัฐบาลคือรับใช้รัฐ เมื่อ 15 ล้านเสียงให้คุณไปทำงาน ที่จริงเขาจะไล่แล้วเพราะทำงานไม่ได้เรื่อง 2 ปีมาไม่มีอะไรมาแถลงได้เรื่องเลย เอา 30 บาทรักษาทุกโรคมาอ้างอยู่นั่นแหละ ทำให้เกิดรพ.นายทุนอีกมากมาย

            เขายึดว่าเขาได้คะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วทำงานล้มเหลว ผิดทั้งรัฐธรรมนูญหน้าด้านหน้าทน ไม่ยอมรับตุลาการอีก การไม่ยอมรับตุลาการเท่ากับปฏิเสธในหลวง เพราะตุลาการเกิดได้เพราะในหลวง ส่วนสภากับบริหารเกิดจากประชาชน และสภากับบริหารนั้นล้มเหลวแล้ว ตุลาการ ก็ตัดสินแล้วแทนพระองค์ มันก็ดื้อด้านอีก

            พอมาวันนี้พวกเราปฏิวัติแล้ว มาแสดงคะแนนเสียงไล่ออก ไม่ใช่คะแนนเสียงเลือกตั้ง ถ้า 15 ล้านเสียงของเอ็งออกมา แล้วประชาชนที่จะมาไล่ออกนี่น้อยกว่าก็ยอมแพ้ แต่เมื่อวานที่ราชมังคลากีฬาสถาน เต็มสูงสุดได้แค่ 8 หมื่นคน แล้ว 15 ล้านนี้เอาออกมาได้แค่ 8 หมื่น แต่บริบทนี้เป็นบริบทการไล่ออกไม่ใช่การเลือกตั้งการเลือกตั้งนั้น ทำมาแล้วก็ไม่ได้เรื่อง ออกกม.ล้างผิดให้แก่ตนเองอีก

            วันสุดท้ายมาลงคะแนนเสียง คุณก็ออกมาแสดงสิทธิ์ ได้คะแนน 8 หมื่น แต่ประชาชนได้คะแนน 2,360,475 คน มันชนะคะแนน 8 หมื่นไหม? เมื่อคืนนี้ก็ตายไปแล้วที่รามคำแหง ก็ขอกำชับให้พวกเราสงบให้ได้ ถึงแม้ว่า เราจะต้องถึงคราวตาย ตายใช้วิบากเวรไปเลย พูดอย่างร้ายๆนะ ถ้าใครจะตายก็ขอยืนยันว่าคุณตายดี ไม่ได้ตายเสีย คุณมาทำงานให้แก่บ้านเมือง อิสลามเขาว่าผู้เสียสละต่อมวลชนคือคนของพระเจ้า ขอให้สงบเรียบร้อย ออกมาตอนนี้ 3 เดือนกว่า เราทำได้งามตลอด ไม่เลือดตกยางออก แต่ทุกวันนี้เลือดเข้าตาเขาแล้ว  3 เดือนมีตัวโมงชุดดำโผล่ แต่เมื่อคืนนี้มี โม่งชุดดำโผล่แล้ว มีคนตาย อันนี้ความจริงฟ้อง เรารักษาความจริงนี้ให้ได้ เราจะทำงานนี้

            รัฐบาลนี้หลงโง่ เอาคะแนนเสียงเลือกตั้งว่าเขาชนะมี 15 ล้านเสียง แต่วันนี้ให้ออกมายืนยันคุณออกมาแค่ 8 หมื่น แต่ประชาชนออกมาตั้ง  2,360,475 คน  ชนะคะแนนเสียงกันตั้งไม่รู้กี่เท่า คนละเรื่องคนละกาละ อันนี้มาแสดงเสียงไล่ออก

            เผด็จศึกด้วยความสงบเรียบร้อย ใครรุนแรงคนนั้นผิดคนนั้นแพ้ แม้แต่รั้วเราก็ไม่แตะ แล้วยืนยันว่าคุณหยุดคืนอำนาจให้แก่ประชาชนอย่างเดียวเลย

            ประเด็นสำคัญคนที่เขาจ้างทำ คดโกงหลอกไม่สุจริต แต่ประชาชนที่มานี้ไม่ได้จ้างมาไม่ได้หลอกลวง ของเขาจ้างมาว่า ถ้าอยู่ทั้งคืนได้ 5000 หรือราคาลดหลั่นกันไป พวกนี้แม้มีเงินมีอำนาจ แต่เป็นความไม่สุจริต แต่ประชาชนที่มากันเองด้วยบริสุทธิ์ยุติธรรม สวยงามที่สุด อันนี้จะชนะ ให้สติว่าถึงเวลาจะล้างลางการเมืองที่สกปรกมา 81 ปีเพื่อให้เกิดการเมืองใหม่เสียที

            เรามาแสดงความกล้า แต่ไม่แสดงความกร้าว ใจเราเต็มๆแต่อย่างใจร้อนใจเร็ว เอาใจกล้าๆสงบๆ แล้วใจเราจะมีประสิทธิภาพทำงานเรียบร้อยไม่ตกใจขี้กลัว พยายามขอเตือนว่า เราอย่าไปทำอะไรที่มันผิดพลาด ถ้าแม้เราจะมีวิบาก บางคนบาดเจ็บบางคนถึงตาย เรื่องนี้อาตมาศึกษาชัดเจนอย่างพระโมคคัลลนะสุดท้ายต้องยอมตาย ข้าศึกธรรมาธรรมะสงครามมาทำร้าย ท่านชุบชีวิตตัวเองได้ แต่ท่านก็ยอมตาย เหมือนเยซูช่วยตรึงกางเขนเพื่อช่วยประชาชน​ถ้าคุณต้องตายบ้างก็ตายเหมือนพระเยซู พระโมคคัลลานะ ทางอิสลามว่า ผู้ใดตายเพื่อศาสนาเป็นการได้บุญสูงสุด

            ตอนนี้เป็นสงครามที่สวยงาม เรารักษาความสงบมาตลอดเลย ตั้งแต่ 4 ส.. มาตอนนี้ได้ 100 กว่าวันแล้ว แต่มันสุดเดือดแล้ว เมื่อคืนนี้เขาก็เอาชายชุดดำออกมา เขาว่าไม่มี แต่ว่าตอนนี้โผล่ออกมาแล้ว แล้วชุดดำของใครมันเกิดขึ้นมา แล้วมาก่อเรื่อง ผู้มีวิบากตายไปเจ็บไปแล้ว ก็เป็นวิบาก พวกเราถ้าไม่มีวิบากรับรองรอด เรื่องนี้อจินไตย ขนาดอาตมาโดนแก๊สน้ำตาแล้ว นี่ไม่รู้ว่าจะโดนลูกปืนหรือเปล่า อย่างคานธี แล้วทุกคนก็ต้องพูดถึงพระเยซู คานธี เพราะเป็นผู้เสียสละ

เขามาหลอกลวงเราเรื่องคะแนนเสียงเลือกตั้งนี้มันคนละเวลาคนละบริบท ตอนนี้มาเลือกไล่ ไม่ใช่เลือกตั้ง ยังดึงดันว่ากูไม่ยอมออก ยังยึดอยู่ หน้าด้านไปถึงไหน? อย่าให้เขาหลอกตรงนี้ได้....จบ           


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:24:59 )

561203

รายละเอียด

561203_เรียนอิสระฯหลังสงครามสงบ โดยพ่อครู ส.เดินดิน

เรื่อง ชนะทั้งคู่  Win Win

       ส.เดินดินว่า...ปีนี้มีชัยชนะที่เหมือนกับชัยชนะแบบองค์ลง ตั้งแต่ศาลโลกตัดสินมา ไทยก็ว่าไทยชนะ เขมรก็ว่าเขมรชนะ กรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก็มีเฮกันทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายแดงและฝ่ายปชช​. เป็นชัยชนะที่งงงง วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เรียกว่าประชาชนได้เฮเหมือนกันว่า ประชาชนเราชนะนะ พอตำรวจยอม เดินแจกดอกไม้ให้กับประชาชนเลย เขาก็น่าเห็นใจที่เหมือนถูกจับขังไว้ในที่ ใส่เครื่องแบบร้อนก็ร้อน มีภาวะเครียดพอสมควร แต่คนไทยพอถึงจุดๆหนึ่งก็กลับมาสวมกอดกัน จับมือกัน หลายคนก็กลับบ้านไป แต่พอนายกฯแถลงก็ไม่รู้ว่าชนะหรือไม่ นายกฯมีแต่แถลงความต้องการของนายกฯ ไม่ได้พูดถึงความต้องการของประชาชน

       พ่อครูว่า...ประชาชนชนะหรือยัง? ...การชนะการแพ้นั้นเป็นสิ่งสมมุติ ผู้ใดถูกต้องก็เป็นผู้ชนะ ผู้ใดผิดก็เป็นผู้แพ้โดยสัจธรรม แม้ว่าตนผิดสมควรแพ้ แต่ว่าก็ยังยืนยันว่าตนชนะ ก็สงสารเขานะ ที่ได้ฉายาว่า หนูไม่รู้ ก็มีเวลา 49 วันพี่ชายสร้างแทน ปั้นให้นั่งแทนเป็นนายกฯ ก็ยังมีหวงอำนาจอยู่นะ เป็นนายกฯของไทยก็ว่าหนูไม่รู้ ก็นั่งไปๆๆ ทำไม่เป็นนายกฯทำไม่ถูกเลอะเทอะ ทำฉิบหายบ้านเมืองด้วย ประชาชนก็เห็นว่าใช้ไม่ได้ ตอนแรกก็บอกว่าขอทำไปก่อน ให้โอกาสทำก่อน ก็ทำมา 2 ปีคนเขาก็ประท้วงหนัก เขาก็งงงงว่า หนูไม่รู้ ที่เขาไล่หนูนี่ เหรอ??

       กาลครั้งหนึ่ง มีคนอยู่เผ่าหนึ่ง ประชาชนเป็นเจ้าของแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ มีประชาชนที่เป็นหัวหน้าเผ่า สมัยโบราณเป็นสมบูรณายาสิทธิราช ก็ให้สิทธิ์เต็มที่ สมัยโบราณหัวหน้าเผ่าก็พาไปหาที่อยู่นั่นแหละ หัวหน้าเป็นผู้มีความสามารถมีสมรรถภาพ แต่สมัยนี้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ยังมีวิธีการที่แตกออกมาอีก

       ประชาชนกับพระเจ้าอยู่หัวในในแบบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ก็มีประชาชนกับในหลวงช่วยกันทำ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วก็ต้องตรากฏหมายขึ้นมาประกาศบังคับ อยู่ในจารีตขนบอันดีงาม ในเมื่อรัฐบาลนี้ทำผิดล้มเหลวแล้วตามมาตรา 3 ทำผิดเละหมดแล้ว สรุป ประชาชนจะร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องเลือกผู้แทนไปทำแทน จะให้ประชาชนไปทำทั้่งหมดไม่ได้

ในศาสนาพุทธถือว่าหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานให้ถือว่าธรรมวินัยเป็นส่ิงสูงสุด เหมือนรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฏหมายสูงสุด แล้วจะมีกฏหมายลูกต่อออกมา มีกฏหมายเลือกตั้งต่อมา เป็นลำดับอำนาจดังนี้ 

อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีประมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 8 ลำดับขั้น

อำนาจลำดับที่ 1 คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วงยืนยันคะแนนเสียง 1 คน 1 เสียง

อำนาจลำดับที่ 2 คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law

(อำนาจลำดับที่ 1 ร่วมกับอำนาจลำดับที่ 2 เป็น ราชประชาสมาสัย)  

อำนาจลำดับที่ 3 คือ พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจนั้นผ่าน 3 สถาบันคือ สถาบัน

อำนาจลำดับที่ 4 คือ ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามกฎหมาย 

อำนาจลำดับที่ 5 คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) 

อำนาจลำดับที่ 6 คือ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือกจาก สส. 

อำนาจลำดับที่ 7 คือ คณะรัฐมนตรี ที่นายกฯเป็นผู้เลือกมาทำงาน 

อำนาจลำดับที่ 8 คือ ข้าราชการ 

       วันนี้เป็นวันสุกดิบของวันที่ 5 ธันวาฯ เราจะมาทำความสะอาดใหญ่ เพื่อจัดฉลองวันที่ 5 ธันวาฯ แล้วเดี๋ยวคงมีการแถลงการณ์กัน กำนันสุเทพเขาเคยว่า ยังๆก็ไม่อยากให้นายกฯคนนี้เป็นคนถวายพระพรในหลวงในปีนี้อีก ก็ต้องดูกันต่อไปเราไม่ทำด้วยอำนาจ  Force แต่เราใช้อำนาจโดยธรรม ใช้ธรรมะเป็นอำนาจใช้ Authority มันต้องให้ประชาชนยกอำนาจให้เรา เพราะเขาเห็นว่าดี เราทำดี

       ตอนนี้ผู้บริหารประเทศมีวาระ 4 ปีจึงเปลี่ยนผู้บริหาร แต่ว่าตอนนี้รัฐบาลนี้มีดีเอ็นเอที่แพ้ไม่เป็น เป็นดีเอ็นเอ ชื่อว่าหน้าด้านน่ะ

       ในมาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณี การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    เราก็เป็นประเพณีที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญก็เข้าใจดีว่าอะไรผิดอะไรถูก โง่ก็โง่สุดแล้ว ด้านก็ด้านที่สุดแล้ว ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้ ด้านก็ยังไม่รู้ว่าด้านอีก ไม่รู้ตัวเลย แล้วจะไม่รู้อะไรอีกนี่

        เมื่อไม่มีบทบัญญัติแต่ก็มีจารีตประเพณี

มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ) ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย) อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       ถ้ามันดื้อสุดท้ายตัดสินแล้วมันไม่เอาเลย สุดท้ายก็จับเลย ถ้าปล่อยให้ทำก็ต้องจับไปประหาร   

       อาตมาเห็นความสามัคคีคือความขัดแย้งอันพอเหมาะ ส่ิงสองสิ่งไม่มีอะไรเท่าเทียมกันหมด มันจะมีส่ิงที่ไม่เท่ากันเสมอ นอกจากนิพพานเท่านั้นที่ไม่มีอะไรเปรียบ เกิดสองสิ่งขึ้นมาแล้วก็ไม่เท่ากัน พระเจ้าสร้างอดัมมาเป็นมนุษย์คนแรก แล้วพระเจ้าก็ให้มนุษย์สร้างมนุษย์เอง สร้างอีฟขึ้นมาก็ใช้ซี่โครงของอดัม สรีระก็ไม่เท่าเทียมกัน กระดูกของผู้หญิงก็มีส่วนที่โตกว่าผู้ชายก็คือกระดูก Pelvis

       เป็นการชุมนุมที่สวยสดงดงามแล้ว แม้มีสูญเสียบ้างก็น้อย เป็นความชนะของทั้งสองฝ่าย เป็นเลข 11 วันนี้เป็นวันแห่งชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ วันนี้เป็นวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ตัวเลขลงตัวหมดเลย        

       ระหว่างนี้มีการแถลงการณ์ของ กปปส. โดยกำนันสุเทพ

19:30 น. กำนันสุเทพ เลขาธิการ กปปส. แถลง

1.ย้อนปรากฎการณ์ 24 พย.มายืนยันว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรม มวลมหาประชาชนต้องพิทักษ์ รธน. ได้นายกฯตาม ม.7 แล้วจะบริหารโดยระยะเวลาสั้นที่สุด เมื่อปฏิรูปการเมืองให้ปราศจากการโกงเสร็จสิ้น จะคืนอำนาจให้ประชาชน

2.ชื่นชมบทบาททหารที่วางตัวอย่างถูกต้อง ประชาชนฉลองชัยระดับหนึ่ง

3.จะดำเนินการจัดตั้งสภาประชาชน ดำเนินการโดยเร็วที่สุด สภาประชาชน ตั้งขึ้นตามม. 3 ของรัฐธรรทนูฐ มีหน้าที่กำหนดนโยบาย สภานิติบัญญัติ ตรากม.ปฎิรูป ตรากม.ป้องกันทุจริต กม.การเลือกตั้ง

4.คนดี !!!สภาประชาชน จะคัดเลือก "คนดี" ที่ไม่ใช่นักการเมือง เป็นนายก และตั้งคณผู้บริหารประเทศ ในเวลาสั้นที่สุด แล้วจัดการเลือกตั้ง

5.รายละเอียดของสภาปชช. และบทบาทที่สำคัญ และให้ตั้ง กปปส.จังหวัดขึ้นมา โมเดล'สภาประชาชน'...เลือกตั้งผู้ว่าจังหวัด จะมีการกระจายอำนาจให้กับผู้ว่าราชการทุกจังหวัด /ปฎิรูปโครงสร้างตำรวจ จะดำเนินให้มีการเลือกตั้งทั่วไป

6. พี่น้องต้องหยุดงานจนกว่าราชการจะบริหารไม่ได้อีกต่อไป และต้องหยุดรับคำสั่งจากรัฐบาลที่หมดความชอบธรรม

7. "กปปส.จะจัดงานวันพ่อที่ราชดำเนิน-ก.คลัง-ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ จะจัดให้ยิ่งใหญ่"  ชวน ปชช.ออกมาร่วมเฉลิมฉลอง+ถวายพระพรในวันที่ 5 ธันวาคม

สรุป กปปส. 1.ตั้งสภาประชาชนตามม. 3 และ7 รธน.2.สภาปชช.ทำหน้าที่นิติบัญญัติ3.ตั้งคณะผู้บริหารประเทศหา "คนดี"เป็นนายกฯ 4.จัดเลือกตั้งเมื่อเหมาะสม       

 

       หลังการแถลงของกำนันสุเทพ พ่อครูได้เทศน์ต่อ ...เรื่องที่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าการกระทำของพวกเรานี้เป็นความสงบสยบความเคลื่อนไหว เขาว่ามานั่งสงบประนมมือแล้วจะปฏิวัติได้หรือ? แต่มันเป็นเรื่องสัจธรรม นี่คือสยามเทวาธิราชิทธิ์ อิทธิเดชของสยามเทวาธิราช อำนาจอย่างในหลวงเรานี่เป็นผู้ที่เป็น อภิราช แล้วพระองค์ก็ทำได้อย่างดีเลย ลักษณะของผู้ที่จะเป็นมหาราชฯที่เป็นนามธรรม

       มันมีมหาราชอย่าง เจ็งกิสข่าน อเล็กซานเดอร์ นั้นเป็นอำนาจแบบ Force เป็นอำนาจที่รู้ง่ายชัดเจน สัตว์เดรัจฉานก็ใช้ แต่มนุษย์สูงกว่าสัตว์ ก็ไม่ใช้อำนาจอย่างแรงๆ แต่ใช้อำนาจโลกุตระแท้ ที่ทำได้ที่ต้้นตอของจิตที่เป็นประธานของส่ิงทั้งปวง

       ปัญญานั้นจะมีทั้งพลังเจโตอยู่ด้วย สายศรัทธาจะมีจิตแรงแต่ความรู้แจ้งน้อย สายปัญญาจะมีความรู้แจ้งแต่พลังน้อย ถ้าสะสมทั้งสองอย่างก็จะมีพลังนี้ ขอยกตัวอย่าง เช่นคุณปรีชา เป็นสายโจโตหรือศรัทธา ความรู้ไม่ชัด แต่เดินสัจจะจริง ทำไมคุณปรีชาเป็นตัวจริง คือเขาชื่อ ปรีชา คือปัญญาคือความฉลาด ชื่อเป็นปัญญา แต่ตัวเป็นเจโต จึงเป็นคนที่มีทั้่งปัญญาและเจโตในตนเอง

       สายศรัทธานั้นต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย พระพุทธเจ้าแบ่งคุณธรรมของคน เป็น 7 ลักษณะ ลักษณะที่ 7 เป็นอุภโตภาควิมุติ

       สายปัญญาจะเป็นไปอย่างลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเลย จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าใช้เวลา 20 แสนอสงไขย์มหากัปป์ สายศรัทธาจะใช้เวลา 40​ แสนองไขย์มหากัปป์ ส่วนสายวิตักกจริต จะใช้เวลาถึง 80 แสนอสงไขย์มหากัปป์

       สายปัญญาจะใช้เวลาสั้น จะเป็นทิฏฐิปัฏฏะ แล้วจะเป็นปัญญาวิมุติ ที่สำเร็จอรหันต์ได้เลย

       สายเจโตจะเป็น กายสักขีแล้วจะเป็นสัทธาวิมุติ จะต้องปฏิบัติสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย(ทั้งนอกและใน)

       ศาสนาฤาษีนั้นจะไม่ได้นิโรธจริงมีแต่ในภพในภวังค์ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นมีนิพพานอย่างแจ้งลืมตา เป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ  อาตมาประกาศอรหันต์องค์แรกคือสิกขมาตุผุสดี มีคนบอกมาว่า ตอนมีชีวิตสิกขมาตุผุสดีได้เคยถามสิกขมาตุด้วยกันว่า คุณว่าฉันเป็นอรหันต์ไหม? ...อย่างนี้คือสายศรัทธาจะไม่ค่อยรู้ตัวง่าย ต้องทำให้มั่นใจแน่จริงก็จะรู้ ในตอนที่ไม่สมบูรณ์แบบด้วยทฤษฏี แต่ว่าเห็นนานแล้วว่าสิกขมาตุผุสดีเป็นอรหันต์แต่ก็ยังไม่อยากบอกให้รู้กันศึกษากันไป ดังนั้นอรหันต์มีได้แน่นอน และในพวกเรามีทั้งโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ให้ศึกษากันดู อาตมาพอรู้แต่ไม่ใช่นักพยากรณ์ อาตมาเคยบอกว่าสมณะพุทธชาโตเป็นอนาคามี เป็นเรื่องรู้ได้ยาก อย่างอาตมามาอนุโลมปฏิโลมไม่ได้มีสมณสารูปที่บริบูรณ์ เพราะต้องแสดงออกปรุงให้คนกิเลสด้านหนารู้ ต้องใช้ความแรงขนาดนี้ แต่อาตมาไม่ได้ติดใจว่าคนจะว่าไม่เป็นอรหันต์ แต่อาตมาไม่เคยติดใจ อาตมาไม่ได้แสดงธรรมเพื่อให้คนมานับถือ หาบริวาร หรือไปสร้างลัทธิ หรือแสดงตนว่าเก่งวิเศษ อาตมาเหนียม เกรงใจ อะไรที่จะบอกว่าเรารู้เราใหญ่อาตมาเหนียมที่ว่าอวดตัว ต้องระวังมาก แต่ก็บางทีต้องยืนยันบอกว่าตนเองเป็นอย่างเป็นโพธิสัตว์ มาสืบสานศาสนา ไม่ได้มาประกาศศาสนา อาตมามีสิทธิ์พูดความจริงที่อาตมาคิดว่าถูกต้อง...จบ      

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:26:41 )

561204

รายละเอียด

561204_ภาคค่ำมัฆวาน พ่อครู อ.สมศักดิ์

เรื่อง จรณะและฌานผ่านมาตรา 7

       ส่ิงที่ควรจะได้ในชีวิตของมนุษย์คือธรรมะ จะว่าอาตมาหลงธรรมะก็ได้ บางคนก็อาจคิดว่าชีวิตเราก็ชั่วบ้างดีบ้าง มีธรรมะบ้างอธรรมบ้าง หลายคนก็ได้ธรรมะคือไม่ชกต่อยใคร หรืออาจลึกซึ้งขึ้นไม่ได้โกงใคร เราก็มีสติสัมผัสอย่างนั้นอย่างนี้ก็รู้ตัว แต่ว่า...รู้ไหมว่าที่ทำนี้บำเรอกิเลสอยู่ตลอดเวลา คนที่บำเรอกิเลสก็ไม่มีความเบิกบานร่าเริง ถ้าใครไม่กังวลกับความรำรวย ไม่หิวหวยกับความบันเทิงไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีปัญหากับความเครียด ชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน 

       พระพุทธเจ้าท่านไม่พาไปร่ำรวยจริงๆ มีชีวิตไปธรรมดาไม่ต้องไปร่ำไปรวยแต่อย่างใด คนที่เข้าใจจริงๆแล้วปฏิบัติ จนเปลี่ยนชื่อเป็น ตั้งใจจน มุ่งมาจน จนดีจริง และอื่นๆอีกสารพัดจน คนตั้งคนแรกก็เป็นต้นสกุล คนอื่นมาขอก็ให้ต่อไป ก็เป็นคนที่จนตระกูลต่างๆ ตอนนี้อาจได้สัก 20 จนแล้วนะ หรือจะมากกว่าก็ไม่รู้ การเปลี่ยนนามสกุลนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรามาเป็นแบบคนจนตามพระราชดำรัสในหลวง จนมีชีวิตเป็นคนจนจริงๆ ไม่ไปแย่งรำ่รวย คนที่จะมาจน ไม่แย่งใคร แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะพอไม่ต้องทำงานการไม่ขยันหมั่นเพียร หรืองอมืองอเท้า ขี้เกียจ ไม่พัฒนาตน ให้มีสมรรถนะ สามารถ ความรู้ต่างๆ ให้ขยันหมั่นเพียรเพ่ิมขึ้น อย่างนั้นไม่ใช่ เราก็ก็พยายามศึกษาความรู้ขยันเพ่ิมขึ้น แต่เราไม่บำเรอตัวตน ไม่ใช้จ่ายมาก เราไม่หลงบำเรอ หลงบันเทิงเริงรมณ์

       แล้วเราเรียนรู้ที่จะเลิก ก็อดทนและพิจารณาว่ามันไม่จำเป็นอะไร จิตเราเคยอยากรำ่รวย อยากเป็นใหญ่เป็นโต ที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในการสัมผัส ลีลาต่างๆที่เขาสมมุติขึ้น เราก็เลิก เลิกแล้วกลับเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคมอย่างย่ิง

       คนเรามีเสพสองอย่าง คือเสพสุขในกามและอัตตา ที่ท่านใช้คำว่าอัตตกิลมถานุโยค คือพากเพียรให้ได้อัตตาแก่ตนอย่างเป็นความลำบาก หรือกามสุขัลิกานุโยค คือพากเพียรหากามที่เป็นสุขเท็จ เป็นสุขที่ไม่จริง บำเรอตน ทางทวารทั้ง 5 เป็นกามคุณ ทั้งหมดเป็นสุขเท็จ หลอกตนเองทั้งสิ้น ถูกหลอกทั้งสิ้น เป็นของปลอม เป็นอุปาทานทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ยึดติดว่าเป็นจริง ไปหลงสิ่งไม่จริง เมื่อปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ามาลดละเป็นพระอาริยะ

       โสดาบันก็ลดละอบาย ส่ิงหยาบต่ำ สิ่งที่โง่หลงเป็นโมหะ เราก็ลดละได้ แต่ในโลกมันก็มีอยู่รำ่ไป จัดจ้านเข้าหากลียุคไม่หยุด แต่ผู้ที่หยุดแล้วไม่สุขทุกข์กับมัน เป็นอุเบกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ ไม่มีรสโลกีย์ได้ เป็นสภาพอาการนิพพาน เป็นนิพพานเพราะรสสุขนั้นมันไม่มี เป็นเรื่องของอวิชชา คนที่มีวิชชาแล้วก็เห็นจริงเป็นความรู้ของแต่ละคน

       อ่านจิตใจของตนเอง ที่แต่ก่อนเราไปหลงเสพสัมผัส แล้วเกิดอาการสุข เช่นกินได้ดมได้หอมได้สูดได้ดื่ม มันมีชอบกับชังมีผลักกับดูด มีสุขมีทุกข์ แต่ผู้ที่หลุดพ้นไม่มีทุกข์มีสุขกับสิ่งเหล่านั้น แต่เขาก็มีสิ่งเหล่านั้นอยู่ อะไรเป็นเครื่องใช้สอยก็ใช้ แต่เราไม่สุขไม่ทุกข์อะไร ตั้งแต่อาหารการกิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ติดยึดกันมาก ล้างได้ยาก แต่เรียนรู้จริงแล้วจะเลิกละได้ ถ้าใครเรียนรู้เรื่องอาหารนี่แหละ เรียนรู้ให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสแต่ไม่มีสุขทุกข์ เพราะเราไม่หลงว่าส่ิงเหล่านี้ก่อสุขทุกข์ เราก็รับรู้ว่าธาตุมันเป็นอย่างไร มันมีรูป เสียง กลิ่น รส อย่างไรตามจริง อารมณ์เราไม่สุขทุกข์เลย คนที่เคยติดยึดในสุขทุกข์ ถ้ามันไม่มีรสอย่างเดิม ก็นึกว่ามันคนแห้งเหี่ยวจืดชืดนั้น เปล่าเลย มันกลับโล่งโปรงสบาย ถ้าร่างกายมันต้องอาศัย เช่นถ้าหนาวก็ต้องการอบอุ่น สัญชาติญาณก็ต้องการตามธรรมชาติเราก็มีได้ อย่างไม่ได้ติดยึด มีปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน และบริขารอื่นๆ เราก็ใช้อย่างไม่ยินดียินร้าย เราก็ใช้ตามนั้น ชีวิตก็ไม่ต้องไปขึ้นลงกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องสุขทุกข์ กำลังพลังงานเราก็ไม่ต้องไปเสียกับสิ่งเหล่านั้น เราเสียพลังงานไปกับการสุขทุกข์ไปสปาร์คเยอะ

       พระพุทธเจ้าสอนเป็นหลักวิชาไว้ สมาธิ ก็ดี ฌานก็ดี ไม่ต้องไปทำนอกรีต เช่นทำสมาธิหรือฌานก็ไม่ต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต สมาธิหรือฌานก็เกิดจากการทำจรณะ 15 ให้ปฏิบัติจรณะ 11 ข้อแรกก็จะเกิดฌาน ไม่ต้องไปนั่งหลับตา แต่ทำจรณะจะเกิดฌาน แล้วทำมรรคทั้ง 7 องค์ก็จะเกิดสัมมาสมาธิ

       จรณะ 15 นั้นจริงๆแล้วปฏิบัติแค่ 3 อย่าง อปันกปฏิปทา 3 ข้อแปลว่าการปฏิบัติที่ไม่ผิด ถ้าทำได้เข้าใจชัด ทั้งโสดาฯสกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ก็ทำ 3 ข้อนี้ โดยมีศีลเป็นกรอบ

       โสดาบันก็ศีล 5 จะเกิดอินทรีย์พละ 5 (ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)

       ฌานแปลว่าไฟเผากิเลสทำฌานแล้วจะเกิดปัญญาอีก 8 คือวิชชา 8 ทำวิชชาจริณสัมปันโณ ธรรมะพระพุทธเจ้าก็คือวิชชาจรณสัมปันโน แต่ศาสนาพุทธนั้นเพี้ยนจนไม่เรียนจรณะ 15 ก็ไปเรียนฌานนอกพุทธ ไปหลับตาสมาธิ แต่ฌานของพุทธต้องเกิดจากการทำจรณะ

       อปันกปฏิปทาคือ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ

       สำรวมอินทรีย์ 6 คือ มีรับรู้ทั้งทวาร 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อมีการสัมผัส รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ รวมองค์ประชุมทั้งสิ่งที่ถูกรู้และทวาร 6 ที่รับรู้ ถ้านามของคุณไม่ไปรับร่วมรู้เลยมันก็ไม่รู้

       แต่คนอวิชชาก็รับรู้แล้วมีกิเลสเก่าไปปรุงร่วมด้วย สัตว์เดรัจฉานไม่โง่ปรุงแต่งอย่างคน คนโง่กว่าสัตว์ตรงจุดนี้ที่ปรุงแต่งเพิ่มกิเลสให้ตนอยู่ตลอดเวลา คนที่จริงฉลาดกว่าสัตว์แต่โง่ตรงจุดนี้ จึงทุกข์กว่าเดรัจฉาน

       องค์ประชุมที่รับรู้ทั้งรูปและนาม เรียกว่า “กาย” คำว่า กายคือองค์ประชุมที่รับรู้ เช่นตาสัมผัสรูป ก็มีการรับรู้ คำว่ากายนี้เน้นไปที่การรับรู้มากกว่ารูปนอก

       เมื่อตาเราสัมผัสหรือไม่สัมผัสอยู่ แต่เราละจากความรับรู้ภายนอก แต่เราไปรับรู้ภายใน ปรุงแต่งเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่ภายใน ทั้งที่ตอนนั้นเราไม่มีการรับรู้ภายนอกแล้ว จิตเราที่ไปรับรู้ที่เราปรุงแต่งภายในก็คือนามกาย

       สำรวมอินทรีย์รับรู้ทางทวาร 6 แล้วก็มีสติรับรู้ใจเรา ให้เรียนพวกนี้แหละ เรียนรู้ให้จริง เห็นความไม่เที่ยง มันพาเราสุขทุกข์ แม้ขณะสัมผัสมันก็ไม่เท่าเดิม ไม่เที่ยง กิเลสเราก็ไม่หายไป ได้เสพก็หายทุกข์ หายสุข แล้วก็หมุนเวียนไปอยากได้อีกอยากเสพอีก แล้วได้มาก็หยุดพักยก แล้วก็อยากใหม่ ไม่หยุดถาวร แล้วไม่ได้ล้างกิเลส ที่ตกผลึกเป็นอุปาทานแล้วนอนเนื่องเป็นอนุสัย แม้สัมผัสหรือไม่สัมผัสก็ปรุงสุข เป็นรากความยึดติด ฝังรากอยู่เป็นอนุสัยอาสวะ ถ้าล้างไม่หมดก็ยังหลงสุขทุกข์เป็นทาสกิเลสไปไม่รู้กี่กัปป์กี่กัลป์

       การปฏิบัติ สำรวมอินทรีย์ ก็เพื่อศึกษากิเลสพวกนี้

       โภชเนมัตตัญญุตาก็เอาเรื่องอาหาร ที่จริงอาหารนั้นพระพุทธเจ้าสอน อาหาร 4 คือ ( กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ) แต่แค่กวฬิงการาหาร ก็ไม่เรียนรู้ เราต้องเรียนรู้การสัมผัส ใน รูป กลิ่น รสของมัน ถ้าไม่สัมผัสก็ไม่เกิดรส จึงต้องมีผัสสะ สัมผัสอาหาร แล้วคุณก็มีมโนสัญเจตนา มุ่งหมายอยู่ ว่าอย่างนี้อร่อย อย่างนี้ชอบไม่ชอบ ตัวนี้แหละพาสุขทุกข์ แล้วคุณไม่เรียนรู้มัน ก็ปล่อยให้มันสุขทุกข์รำ่ไป เวลาสัมผัส อวิชชาก็พาสังขารเป็นวิญญาณผี เทวดาปลอมๆ

       ให้เรียนรู้กำหนด พอสัมผัสเกิดอายตนะแล้วเกิดวิญญาณ เรียกว่า ผัสสะ 3 ต้องอาศัยวิญญาณในการเรียนรู้อาหาร 4 เราเรียนรู้อาหารทางคำข้าว ทางปากนี่รวมหมดแล้วทั้งรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส แต่ตัวเสียงไม่ค่อยมี ก็มีว่ากินข้าวเคล้าเสียงเพลง เอาเสียงมาล่อ มาเรียนรู้ว่าหลงสุขทุกข์อย่างไร

       ชาคริยานุโยคะ คือตื่นรู้จากส่ิงที่โง่ ตื่นรู้จากโลก มารู้ความจริง เรากำหนดได้ มีสติมันโต ถ้าไปนอนหลับฝันไปคุณกำหนดฝันไม่ได้ แต่คุณตื่นลืมตาคุณกำหนดได้ ให้เรียนรู้อย่างมีสติกำหนดได้ อย่างลืมตานี่แหละ กำหนดได้ ว่าจะเอาหรือไม่เอาได้ แต่ตอนหลับฝันๆไม่ตื่นคุณกำหนดไม่ได้ จึงให้กำหนดอย่างเป็นๆ ถ้าเก่งแล้วก็ไปกำหนดในตอนหลับได้ นั่นแหละคือสมาธิ ฌาน ที่อยู่ข้างใน กำหนดตอนหลับยากกว่าตอนตื่น ให้ตื่นรู้แม้ตอนนอนหลับ ส่วนอาจารย์ทั้งหลายสอนว่าอย่าไปติดหลับติดนอน ก็เป็นเบื้องต้น นอนพักผ่อน ตื่นแล้วก็มาเพียรต่อ

       ผู้ใดเรียนรู้แล้วก็ตืื่น แม้นอนหลับตา ก็กำหนดได้ ถ้าฝึกสมาธิหลับตา ให้ทำตั้งแต่ลืมตากำหนด แล้วจะทำตอนหลับได้ เป็นขั้นตอน ราบลื่นเหมือนฝั่งทะเล

       3 อย่างนี้ทำแล้วจะเกิด สัทธา 7 อยู่ในข้อ 5 ถึงข้อ 11 ของจรณะ 15

1.     ถึงพร้อมด้วยศีล             09. ปรารภความเพียร            

2.    คุ้มครองทวารอินทรีย์     10. สติอันเป็นอาริยะ

3.    ประมาณในโภชนา          11. ปัญญา

4.    ประกอบความตื่น            12. ปฐมฌาน 

5.     ศรัทธา (เชื่อมั่น)            13. ทุติยฌาน

6.     หิริ (ละอายต่อบาป)         14. ตติยฌาน

7.    โอตตัปปะ (สะดุ้งบาป)      15. จตุตถฌาน

8.     แทงตลอดในพหูสูต          (ล.13/34)

 

       ฌานของพุทธไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำ สมาธิของพุทธก็ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำ ธรรมะคือส่ิงทรงไว้ คนที่จะไปทำงานการเมืองดีคือคนมีจิตเป็นธรรมะ ศาสนาพุทธไม่ศาสนาที่พาหนีสังคม เข้าป่าเขาถ้ำ แต่ว่าเป็นศาสนาที่อยู่กับสังคม และทำงานที่จำเป็นแก่สังคม รับผิดชอบทำงานที่ดีแก่สังคม เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ธรรมะจึงอยู่กับสังคมไม่ได้ตกจากรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ด้วย แต่รู้ดีเรียนรู้อยู่่กับสังคมและช่วยสังคมอยู่       

 

อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล

 

       มาตรา 7 นั้นทำได้ แต่ที่ว่าไม่ได้นั้นเพราะนักการเมืองไม่ยอมให้ใช้ การที่บอกว่ายอมแล้วตั้งเงื่อนไขนั้นไม่ใช่การยอมแต่เป็นการรุกอย่างหนึ่ง  มวลชนระดับ ล้านคนนี่ ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าชน เขาถึงใช้วิธีหลบแล้วอ้อมไปข้างหลัง แล้วให้มวลชนอ่อนแล้ว แล้วพยายามให้มวลชนแตกแยก ให้บรรดาเหล่าทัพทำเป็นคนกลางแล้วทำท่ายอม ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมก็จะดูไม่เป็นธรรม โดยมีผบ.เหล่าทัพเป็นกรรมการ

       ต้องพูดว่าเขาไม่ได้ถอย แต่เขากำลังรุก

       เขาอ้างว่า การใช้ม.7 นี้ใช้ไม่ได้ ต้องผ่านมาตรา 3 ให้ผ่านรัฐสภา

       ม.7 นี้ถ้าจะใช้จริงๆแล้วใช้ได้ (พ่อครูว่า รัฐธรรมนูญนี้แต่ละข้อออกมาก็ต้องออกมาให้ใช้ได้ แล้วม.7 นี่ก็ต้องใช้ได้ แต่เขาว่า คำว่าประชาชนปฏิวัติไม่มีเขียนไว้เป็นอักษรในรัฐธรรมนูญ แต่ว่าเนื้อหานั้นให้ใช้ได้ เมื่อไม่มีก็ให้ทำตามจารีตประเพณี)

       ทางฝั่งรบ.หลายๆคนก็เป็นนักกฏหมาย ที่ว่าใช้ไม่ได้มันอยู่ที่ใครสั่ง ถ้าคุณทักษิณบอกว่าใช้ได้เขาก็จะใช้ได้ เขาอ่านเยอะเรียนรู้เยอะอยู่ที่จะเอาไปใช้ทำอะไร ที่ว่ามาตรานี้ใช้ได้หรือไม่ได้ ก็ถ้าทักษิณสั่งก็ใช้ได้

       แล้วจะใช้อย่างไร ถ้าถามว่าจะใช่ก่อนหน้านี้ โดยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว หากปปช.ชี้มูลเพียงเรื่องเดียว กรณีจำนำข้าง บวกกับศาลรัฐธรรมนูญชี้ด้วย ก็จะไม่มีสส.สว.แล้วฝ่ายค้านต้องลาออกด้วย แล้วนายกฯต้องเป็นสส.แล้วสส.ไม่มีก็

       แล้วที่นายกฯว่าไม่ยึดติดลาออกก็ได้ยุบสภาก็ได้ คุณก็ลาออกไปซะ แสดงเจตนาว่าไม่ทำแล้ว มันก็จะมีสุญญากาศ

       เขาพูดต่อหน้าผบ.เหล่าทัพเขาหลอกท่านหรือไม่ ยกตัวอย่าง การแก้ไขม.297 แค่ห้อยไว้ว่า ตั้งสภาปฏิรูปประเทศแค่นี้ก็ได้แล้ว

   การที่บอกว่าจะเดินหน้าสู่การปฏิรูปประเทศนั้นทำได้หลายช่องทาง คุณยุบสภาลาออกแล้วอย่ายุ่งกับการปฏิรูปประเทศ หรือแก้ไขม.297 แล้วห้อยท้ายไว้ โดยเฉพาะรบ.มีเสียงข้างมากในสภาฯทำได้อยู่แล้ว ถ้าจริงใจ ถ้าคุณเอาเข้าสภาแล้วไม่ให้ผ่านนั่นคือคุณหักหลังผบ.เหล่าทัพนะ คุณบอกว่าจะทำต่อหน้าท่านแล้วไม่ทำ

       ถ้าหากว่าใช้ ม.7 แล้วเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีสส.ในสภา ไม่มีใครจะมาเป็นนายกฯแล้วก็ต้องเข้าสู่ ม.7 ต้องมีการหานายกฯขึ้นมา ปัญหาต่อมา ก็บอกว่าใช้ม.7 ไม่เห็นยากเลย พวกคุณออกไปให้หมด ยังเหลือรองประธานวุฒิสภาไง พอมีนายกฯปั๊ป เขาก็จะมีปัญหาว่าจะตั้งสภาปฏิรูปประเทศอย่างไร อยากบอกว่า ถ้าคุณมีเจตนารมณ์แล้วปัญหามากอย่างนี้คุณอย่ามายุ่งเลย ยืนยันว่ามีช่องทางที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ แล้วรองประธานก็สามารถรับสนองพระราชโองการได้

 

       พ่อครูว่า....คำว่า อำนาจ จะพูดถึง ม.7 ม.2 ม.3 ม.อื่นๆก็รวมแล้ว 7 มาตราคือเรื่องของประชาชนและอำนาจ

       ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ เป็นรัฐาธิปัตย์ มีประชาชนกับพระมหากษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจคือรัฐาธิปัตย์สูงสุด ประชาชนจะเอาอำนาจคืนมาเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งทำไม่ถูก ประชาชนก็มีสิทธิ์ทวงคืนทุกเมื่อ เป็นนิติธรรม เป็นสัจธรรม แล้วประชาชนปฏิวัติได้ไหม เหมือนกันกับคณะที่เขามีอำนาจมีปืน รถถัง อาวุธที่มีมา ประเทศไทยปฏิวัติกี่ครั้งก็ตาม เอาแบบ Force เขาก็ยอม เดรัจฉานเขาก็ทำ แต่บทใหม่ของไทยคือปฏิวัติโดยธรรม ไม่ใช้อำนาจForce อย่างที่ยูเครนเขาก็กำลังทำอยู่ แต่ก็มีการรุนแรงบ้างเพราะโมโห แต่ไม่ใช่อาวุธ ประชาชนไม่ได้เป็นคนทำ แต่ฝ่ายที่จะถูกลดอำนาจเลิกอำนาจเขาไม่ยอมทำรุนแรง

       ที่ไทยเรามีประชาชนออกมาอย่างไม่มีอาวุธสงบ ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มา 2,364,757 คน  ประชาชนเขาขอปฏิรูปประเทศใหม่ ให้เกียรติกันได้ไหม 81 ปีที่ผ่านมาใช้ไม่ได้ ให้คณะใหม่นี่ทำ เขาตั้งใจล้างบางแบบเก่าที่ทุจริตได้ไหม ถ้าไม่หวงอำนาจเกินไป กล้าๆหน่อยให้ประชาชนเขาทำได้ไหม นี่เป็นบทใหม่ที่ประชาชนทำแล้วพวกคุณก็มีหิริโอตตัปปะ ปล่อยให้ประชาชนทำ เขาร่างรัฐธรรมนูญเป็นน่า เชื่อว่าคนเราเข็ดขยาดการเมืองเก่าแล้ว เลวร้ายคอรัปชั่น หยายคายทุจริต ผลาญพล่าทำลาย ฉิบหายบ้านเมือง

       ถ้ามีปัญญาเข้าใจแล้วลดกิเลสบ้าง อดเอาหน่อยให้ไทยตั้งหลักบ้าง หากเข้าใจตั้งใจฟัง ก็ชมมาตลอดว่า ที่ทำมานี่สวยงามเรียบร้อย ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆจนวันออกมารวมกันไล่ ซึ่งเป็นคนละบริบทกับการเลือกตั้ง ที่เขาว่า เขามี 15 ล้านเสียงนี้ไม่สุจริต เลือกตั้งทุกทีนี้โมฆะ เอากันให้จริงไหม?

       ประชาชนออกมานี่ เขาแสดงความจริง คุณก็แสดง เกณฑ์คนมาในอ่างกะทะรัชมังคลาฯ ก็ได้ไม่ถึงแสน แต่นี่เขามาตั้งสองล้าน แพ้กันไม่ติดฝุ่นเลย แต่ก็ทำไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องอย่างนี้จะมาบริหารประเทศได้อย่างไร ไม่ประสีประสาเลย

       ผู้ดีมาประท้วงปฏิวัติไม่ให้ จะให้ผู้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็กลัวตายให้เขาปฏิวัติ แต่ถ้าคนไทยเจริญก็จะเห็นดี ตรงกับรัฐธรรมนูญด้วย มีสิทธิ์มาประท้วงต่อต้านได้ตามม.63 โดยสงบไม่มีอาวุธ เขาก็ทำตาม รัฐธรรมนูญ เขาทำอย่างผู้ดี สุภาพเรียบร้อยไม่ให้เขาทำ แต่ว่าพอเขาเอารถถังเอาอาวุธมาปฏิวัติก็ยอม นี่ถ้าเขายอมหมดเลยเลิกเลย นี่จะดังมากไปทั่วโลกเลย

       ประชาชนออกมาตั้ง 2 ล้านกว่าคนยังไม่เคยมีในประวัติศาสตร์นะ มาขอดีๆว่าให้คณะเก่าหยุดทำนะ แม้มีหลายคณะมีคุณสุเทพพาทำ เขาก็รับปากว่าจะทำดี ตั้งใจทำส่ิงนี้ให้แก่ประเทศชาติ ทำเสร็จแล้วเขาก็จะหยุดไม่รับตำแหน่งใดๆเลย เขายำ้หลายทีเลย ถ้าคุณสุเทพพูดไม่จริง ก็พิจารณาเองแล้วกัน

วันนี้มีภาพว่อนเน็ตมีภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาบอกว่า...เอ็งมาจากการเลือกตั้ง แต่ข้าไม่ได้ให้เอ็งมาโกงนะโว้ย

 

       อ.สมศักดิ์ว่า...

       นักการเมืองควรเสียสละบ้าง ประชาชนเสียสละให้คุณมา 81 ปีแล้ว ให้โอกาสบ้านเมืองบ้าง การปฏิรูปประเทศไม่ใช่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่มันเป็นการปรับเปลี่ยนทั้งโครงสร้าง กระบวนการไม่ว่าจะเป็น ศาล นิติบัญญัติบริหารก็มีต่อไปทำได้ แต่ว่าอย่าไปยุ่งกับการปฏิรูป แต่คนทำปฏิรูปแล้วต้องไม่เอาผลประโยชน์ ทำเสร็จแล้วออกไปห้ามมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง คราวนี้คงมีกติกาใหม่ ไม่ได้ห้ามว่าไม่มีการเลือกตั้ง แต่ให้เลือกตั้งภายใต้กติกาใหม่

    การปฏิรูปประเทศคือการปรับโครงสร้างประเทศให้เข้ากับปัจจุบัน ตั้งแต่ร.5 มาแล้วเราไม่ได้ปรับโครงสร้างประเทศเลย ตอนนั้นมีการรวมอำนาจเนื่องจากถูกล่าอาณานิคม แต่ตอนนี้ต้องกระจายอำนาจ และนี่คือส่ิงที่ทำให้นักการเมืองไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง เขากลัวสูญเสียอำนาจ

       สุดท้าย ภาพนี้ปรากฏในโซเชียลมีเดีย นักการเมืองคนหนึ่งจัดงานวันเกิด แล้วเขามีเค้ก ใหญ่เบ้อเร่อเลย แล้วเค้กเขาเป็นรูปประเทศไทยแล้วเขากำลังตัดเค้ก กรรมมันส่อเจตนา การทำแบบนั้นเหมือนประเทศไทยเป็นเค้กแล้วกำลังจะตัดแบ่งเค้กนั้น อย่าปฏิเสธว่าคุณกำลังเล่นการเมืองด้วยการกินประเทศไทย

       พ่อครูว่า...ถ้าทำถูกทฤษฏีพุทธแล้วจะไม่หนีสังคม แต่จะเป็นพหุชนหิตายุ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ พามวลมหาชนมีสุข และอยู่อย่างอนุเคราะห์โลกรับใช้โลกไม่ใช่มาแบ่งเค้กจากโลกเลย สัจจะเป็นเช่นนี้ ใครไม่เชื่อก็เอาตัวมาศึกษาเถอะ...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:31:32 )

561205

รายละเอียด

561205_เทศน์ภาคเช้าวันพ่อที่มัฆวานฯโดยพ่อท่าน

เรื่อง ประชาชนทวงคืนอำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญไทย

 

วันนี้จะเป็นการบรรยายที่อาตมาก็เพิ่งสว่างแจ้งในสัจธรรมความจริงที่เราเรียกลำลองมาตลอดว่าเป็นการ ปฏิวัติ ที่เราใช้คำว่า ปฏิวัติ ในนิติบัญญัติไม่มีไว้เลย ก็จริงไม่ถูกในภาษา แต่พฤติกรรมที่เราได้ทำมาทั้งหมดเราได้ทำมาอย่างถูกต้องที่สุด วันนี้จะได้พูดให้ชัดเจน

          ล้อเลียนกับที่เราได้ไปให้การกับศาล เราใช้ภาษาว่า ประชาชนได้ปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทย เป็นภาษาที่ไม่ถูก แต่พฤติกรรมนั้นถูก ก็เหมือนกับเรากลับคำให้การ ไม่ได้หมายถึงเราทุจริต ภาษามันผิด แต่พฤติกรรมตัวจริงเราทำถูกต้องไม่ผิดและสวยงามที่สุดด้วย

          พฤติกรรมที่มาทวงอำนาจคืน ขออำนาจคืน เพราะอะไร? เพราะว่า เราได้เลือกผู้แทนมาแล้วเมื่อสองปีผ่านมา ให้ไปทำงานในสภาและบริหาร แต่ทำงานผิดพลาด ไม่ถูกต้อง มีทั้งหลายมาตรา ทั้งผิดสิทธิ ผิดหน้าที่หลายอย่าง มีความเสียหายแก่ชาติมา เราก็มาขอำนาจคืน ตามมาตรา 3 จะใช้มาตรา 7 หรือไม่ก็ได้

            มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          เราได้ทำตามนิติธรรม ตาม ม.3 วรรค​2  การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

          นิติคือบทบังคับกำหนด ภาษาที่กำหนดบท เมื่อทำผิด นิติธรรม เพราะไม่ใช่นิติบัญญัติก็จริง แต่เราทำตามสัจธรรมจารีตประเพณี ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม เหมือนอังกฤษที่ไม่มีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ แต่มีประชาธิปไตยสองขา เราดำเนินตามประเพณีแม้ไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ในม.7 เมื่อไม่มีบทบัญญัติเราจึงดำเนินตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

          เมื่อรัฐสภา และครม. ทำผิด ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน เขาก็ไม่ยอมรับ จนประชาชนทนไม่ได้ ออกมาประท้วง ทวงอำนาจคืน ไม่ยอมให้อำนาจแก่สภาและครม.คณะรัฐบาลที่ทำผิด ออกมาทำจริงๆ ต่อสาธารณชน เห็นเป็นที่ประจักษ์ สื่อสารก็เผยแพร่ไปทั่ว เป็นการประพฤติที่ผูกพันทุกองค์กร หรือแม้แต่บุคคลที่เกี่ยวข้อง เมื่อประชาชนลงคะแนนในวันที่ 24 พ.ย. 56 ได้จำนวนที่เขาคำนวณไว้ว่าประมาณ 2364875 คน สื่อสารได้บันทึกไว้ ความจริงอันนี้อาตมาได้ตรวจสอบว่าเราได้ใช้ภาษาผิด

          ภาษาปฏิวัติไม่มีในบัญญัติ รัฐธรรมนูญ ให้ใช้ภาษาว่า “มหาประชาชนมาใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ทวงอำนาจคืนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย” เปลียนจากคำว่าประชาชนปฏิวัติปฏิรูปประเทศไทยมาเป็น “มหาประชาชนมาใช้สิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ทวงอำนาจคืนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย”

           นี่คือสัจจะความจริงที่ประชาชนได้ออกมาแล้ว ทำไปแล้วใช้เวลานาน มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ใช้อำนาจนั้นตามมาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

          ในมาตราอื่นๆ แม้ไม่มีนิติรัฐ แต่ก็ต้องทำตามนิติธรรม เมื่อผูกพันเกียวข้องทุกองค์กร ประชาชนเมื่อเห็นว่ารัฐบาลทำผิดรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่มีในนิติบัญญัติ ไม่มีนิติรัฐ เราก็ทำตามนิติธรรม คำว่าอำนาจคำนี้แหละประชาชนยังไม่มีการขาดอำนาจ อำนาจเป็นของประชาชนตลอดกาล

          ทั้งสองรัฐ คือรัฐบาลกับรัฐสภานี้ไม่ใช่รัฐประเทศ ทั้งสองนี้ทำผิดพลาด ทำให้เสียหายต่อประเทศชาติ ประชาชนจึงมีสิทธิ์ประท้วง ทวงคืนอำนาจ ตามหน้าที่ของประชาชนที่มีหน้าที่ดูแลปกป้อง ชาติไม่ให้ศาสนาพระมหากษัตริย์เสียหาย

          วันนี้วันพ่อ เป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้กล่าวสัจธรรมที่ถูกต้องเพราะเป็นเรื่องใหม่

            มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

          เรามาทำหน้าที่ไม่ผิดรัฐธรรมนูญเลย มีสิทธิ์ต่อต้านหรือประท้วงโดยสันติวิธี เราไม่ทำอย่าง Force อย่างคณะปฏิวัติที่ทำมาก่อนที่ใช้อำนาจปืน รถถังมาทำ ทุกครั้งนั้น ไม่ใช่ประชาชนปฏิวัติ คำว่า ปฏิวัติคือเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน แต่เราทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นอำนาจโดยธรรม Authority อาจมีคำแรงบ้าง ปะทะบ้างที่จากความบกพร่องบ้าง คราวนี้ก็ดี แต่มีผิดเพี้ยนมีการใช้ปืน ยิงกันบ้างตายไป 3คน ซึ่งก็ไม่ได้ทำในแวดวงที่เราชุมนุมกัน ในการชุมนุมของเราไม่มีการตาย เราไปขอคืนองค์การสถานที่

          พอเราไปขอคืน ตำรวเขาถือว่ามีอำนาจ เขาก็ทำแรง ที่จริงต้องทำตามขั้นตอน ถึงจะใช้แก๊สน้ำตา เขาทำเกิดขอบเขต ฝ่ายประชาชนอยู่ในความเหมาะควร แม้จะลากแท่งกีดขวางออก เขาก็ไม่ได้ทำอย่างร้ายแรงกระทบกระเทือน เขาก็ต้องการให้สะดวก เป็นการต่อสู้อย่างผู้ดีงดงามมาก 

          อำนาจสองอย่าง มี Force คือใช้อำนาจเป็นธรรม และ Authority เราใช้ธรรมเป็นอำนาจ

          เราทำอย่างใช้ธรรมะเป็นอำนาจ ไม่มีจิตโกรธมีแต่จิตเมตตาปรารถนาดี เป็นเรื่องประเสริฐที่มนุษย์รู้ เป็นอำนาจที่ถูกต้องเป็น Right Power เป็นอำนาจสูงสุด Supreme law ในสากลถือว่าสูงกว่าอำนาจรัฐธรรมนูญ

          ซึ่งที่แท้ถูกต้องตามสัจธธรมนั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกฎหมายสูงสุด(Supreme law) เหนือกว่า Rule of law กฏหมายรัฐธรรมนูญ เหนือกว่า principle law เหนือกว่า common law แน่นอนอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ก็ตราไว้ด้วยชัดๆ

          เพราะองค์พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย 2 ขา นั้น กษัตริย์ย่อมทรงไว้ซึ่งประมุขความมั่นคงแห่งชาติ(national security) ทรงเป็นจอมทัพของประเทศสัมบูรณ์สุด

           Authority เป็นอำนาจที่ไม่ได้เกิดจากการบังคับขู่เข็ญ แต่ด้วยความเมตตา พระพุทธเจ้ามีอำนาจ  Authority เต็มเลย เผด็จการสมบูรณ์ จะพูดตรัสหรือตั้งวินัย ก็ไม่มีใครค้านมีคนรับอย่างเต็มที่เลย เป็นอำนาจจริงเต็ม

          อำนาจพิเศษอย่างนี้ในศาสนาพระพุทธเจ้ายกให้พระอรหันต์ เพราะท่านบริสุทธิ์ใจ ท่านทำอะไรจึงอย่าเอาผิด อำนาจลักษณะพิเศษนี้ ในหลวงพระองค์นี้ท่านมีอำนาจนี้สมบูรณ์ มีอภิสิทธิ์เต็มๆ แต่ท่านไม่ใช้เลย ย่ิงน่าเคารพยกย่องอย่างย่ิง ท่านพยายามเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เขาทำผิดท่านก็อนุโลมให้เกียรติ แต่ช่างกระไร เขาก็ไม่สำนึก มีแต่คะนองเหลิงหลงตัวแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เคารพนบนอบ น่าเกลียดมากที่สุด ทั้งภาษาโวหารท่าทางสำเนียงสุ้มเสียงที่แสดงออก

          ไทยเรามีกฏมณเฑียรบาล เราจึงต้องใช้กฏมณเฑียรบาลมาประกอบ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ ไม่ได้ขาดอำนาจจากรัฐชาติรัฐประเทศ แม้รัฐบาลหรือรัฐสภาจะได้อำนาจไปใช้แต่ประชาชนก็ต้องยังไม่ถูกริบ

          รัฐบาลและรัฐสภาได้ทำผิดรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็ต้องออกมาทวงอำนาจคืน จนเกิดคณะ ปปปป. คือคณะประชาชานปฏิวัติประเทศไทย คือกปท.และกองทัพธรรมได้ออกมาประท้วง ทวงคืนอำนาจของประชาชนที่ได้ถูกยึดไปด้วยอำนาจกระบอกปืน อำนาจรถถัง กองทัพ อย่างนั้นเป็นแบบเก่า แต่เราทำอย่างทวงคืนแบบประชาชน มีสิทธิ์ทวงคืนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อำนาจปฏิวัติแต่เนื้อแท้คือขอเปลี่ยนอำนาจเก่า ขออำนาจใหม่ไปแทน ที่เคยทำมาแต่โบราณใช้กำลังอาวุธนั้น เรียกว่าคณะราษฏร์ เขาก็ใช้อำนาจนี้เหมือนกัน บังคับกดข่มจนได้อำนาจมา แต่ตอนนี้ไทยเราได้เจริญกว่านั้นแล้ว            

          ที่เราทำนี้ถูกต้องตามนิติรัฐนิติธรรม ก็ “น่าจะชนะ” ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:33:23 )

561206

รายละเอียด

561206_เทศน์ภาคค่ำมัฆวานฯโดยพ่อครู

ประชาชนทวงคืนอำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญไทย ตอน 2

       เรากำลังจะไปออกรบก็ต้องใช้ธรรมะ มีคนทำสมเด็จปู่วิชิตอวิชชาเป็นองค์เล็กๆ เมื่อก่อนไม่ได้สร้างวัตถุพวกนี้ แต่ว่าเราจะไปล้มล้างส่ิงเหล่านี้ที่เขามีมาแล้วไม่ได้ เมื่อมีมาแล้ว เราก็สอนซ้อนเข้าไป จึงตัดสินใจสร้างพระพุทธรูปองค์แรก คือพระพุทธาภิธรรมนิมิต เป็นปางแรก ปางตรีลักษณ์ มีโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะ ต่อมาก็มีสมเด็จปู่วิชิตอวิชชา ก็สร้างองค์เล็กมาก่อน แล้วต่อไปก็จะสร้าง เพื่อให้รู้ว่าบูชาอย่างไรจึงจะเป็นผล บูชาอย่างไรไม่เป็นผล นอกจากไม่มีผลดีแล้วยังเป็นโทษภัย กิเลสมากขึ้นด้วย หลงโมหะมากขึ้นด้วย

       เราทำพระเครื่อง เพื่อสอนให้รู้ว่าบูชาอย่างไรจึงมีผลลดกิเลส เป็นอัตถิยิฏฐัง เขาอาจว่าแต่ก่อนอาตมาไม่สร้าง แต่ตอนนี้ทำไมสร้าง ก็อาตมาสร้างไม่ใช่เพื่อหาเงิน หรือให้ได้ผลผิดๆ เป็นเดรัจฉานวิชชา

       มีคนsmsมาว่า ...ไม่นับถือพระโพธิรักษ์แล้วไหนว่าไม่สร้างพระเครื่อง ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เลิกไปชุมนุมแล้ว....พ่อครูตอบว่า..อาตมาว่าไม่เคยโลเลเลย อาตมามีความแม่นชัด แต่บังคับความรู้กันไม่ได้ ไม่นับถือก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ได้แสดงธรรมเพื่อให้คนมานับถือ ไม่ได้เพื่อให้คนเห็นว่าเราวิเศษ หรือแลกข้าวแลกน้ำ ตั้งก๊กตั้งลัทธิ ไปล้มลัทธิอื่น แต่แสดงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ก็ขออภัยที่ทำให้เสียศรัทธา แต่ก็เมื่อก้าวหน้าขึ้นก็ต้องอธิบายความก้าวหน้า

       ก็ต้องบอกซ้ำว่า...อาตมาขอพูดนิดหนึ่ง ที่สร้างพระพุทธรูปพระเครื่อง แต่ต้องตั้งใจสร้าง เพื่อสอนให้เขาทำให้ถูก คนทุกวันนี้จะไปสร้างพระเครื่องทำให้เขาไม่สร้างไม่ได้แล้ว เราจึงต้องทำในของเรา ไม่ได้ค้าขาย แต่ทำมานี่ไม่ใช่ทำอย่างเดรัจฉานวิชชา มาไว้เป็นเครื่องระลึก พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นอุปกรณ์การสอน พยายามเข้าใจเจตนารมณ์​ตามให้ทัน ตามไม่ทันก็ตกรุ่น ตกขบวนไป เสียดายนะ คนได้ดีแล้วก็มาตกไป

        มาเข้าเรื่องการเมือง...มีบทความสองเรื่อง

        บทความพิเศษ ของ นงนุช สิงหเดชะ .. รัฐบาลมีวันนี้ เพราะทำตัวเอง ท้าทาย ประชาชนจนออกมาเป็นล้าน

       อันว่าอำนาจนั้น หากถือหรือใช้อย่างไม่ระมัดระวังจะบาดมือเอาได้

       ใครจะคาดคิดว่า ในพ.ศ.2556 หรือผ่านมาแล้ว 40 ปี คนไทยนับล้านต้องออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่กันอีก

       ซึ่งอดีตแกนนำนักศึกษาสมัย 14 ตุลาคม 2516 ที่ร่วมขับไล่ถนอม_ประภาส จอมเผด็จการ ออกมายืนยันว่า จำนวนประชาชนที่ออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งนี้ทำลายสถิติ 14 ตุลา ไปแล้ว

       การที่รัฐบาล “มีวันนี้” คือวันที่มวลมหาประชาชน พร้อมใจกันออกมาขับไล่ ไม่ยอมรับ ก็เพราะรัฐบาลนั่นเองที่ทำตัวเอง คือท้าทายอำนาจประชาชน ใช้เสียงข้างมากอย่างมิชอบ ทำตามอำเภอใจ

       พอเกิดการประท้วง ซึ่งมีอดีต สส.ปชป. คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ คนในรัฐบาลและคุณยิ่งลักษณ์ก็ออกมาพูด (หน้าตาเฉย) อีกว่า มีอะไรให้ไปคุยกันในสภา หรือผ่านช่องทางรัฐสภา

ทำเหมือนแกล้งไม่รู้ว่าการที่พวกเขาต้องออกมาบนท้องถนนก็เพราะรัฐบาลปิดช่องทางในสภา รวบหัวรวบหาง ใช้เสียงข้างมากถูลู่ถูกังไปครั้งแล้วครั้งเล่า

       การประท้วงก็เพราะรัฐบาลปิดปากฝ่ายค้าน แถมไม่ซื่อสัตย์ ไม่โปร่งใส เพราะในวาระแรกรัฐบาลก็อาศัยเสียงข้างมากรวบรัดให้ผ่าน

       พอมาถึงวาระ 2 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สส. ผู้ขอแปรญัตติ (แก้ไข) ทุกคนมีโอกาสอภิปราย ประธานที่ประชุมต้องให้สิทธิ์ สส.ฝ่ายค้าานทุกคนอภิปราย แต่กลับปรากฏว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลไร้สปิริต ด้วยการเสนอขอปิดอภิปรายในแต่ละมาตราและรวบรัดลงมติ เพื่อเจตนาปิดโอกาสไม่ให้ฝ่ายค้าานอภิปราย

       หนำซ้ำร่างกฏหมายในวาระ 2 มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักการไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำได้ ที่ท้าทายและไร้คามสง่างามไปกว่านั้นก็คือการลักไก่ลงมติในวาระ 3 ตอนตี 3 ตี 4

       อีกทั้งไม่ยอมให้มีการถ่ายทอดทางช่อง 11 เลย ทั้งที่เป็นกฏหมายสำคัญและเกิดการโต้แย้งถกเถียงกันมาก ซึ่งย่อมไม่พ้นจะถูกมองว่าไม่อยากให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารหรือได้ฟังเหตุผลของฝ่ายค้านในการคัดค้านร่างกฏหมายนี้

       นี่เป็นภาวะที่รัฐบาลบีบให้ประชาชนรู้สึกอัดอั้นไม่พอใจ

       ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เองก่อนหน้านั้น แม้เธอจะพูดอยู่เสมอว่า มีอะไรให้ไปพูดกันในสภา แต่เธอแทบไม่เคยเข้าสภาเลย จะเข้าไปบ้างพอเป็นพิธีไม่กี่นาทีแล้วก็ชิ่ง ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพโต้โผ เชิญอีกฝ่ายไปคุยกันในสภา แต่เป็นเธอเสียเองที่ไม่เข้าสภา จึงได้เกิดม็อบสามเสน ต่อด้วยม็อบราชดำเนิน อย่างไรล่ะ

       กฏหมายนิรโทษกรรมเรียกม็อบออกมาได้เรือนแสน แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ลงสมัคร ส.ว. ไม่ชอบด้วยกฏหมาย และทาง สส. รัฐบาล ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ปรากฏว่าในวันที่ 24 พฤศจิกายน มีคนออกมาบนท้องถนนในกรุงเทพฯ มาเป็นล้าน(ตามรายงานของซีเอ็นเอ็น และบีบีซี บอกว่า สองล้านคน) เพื่อแสดงพลังไม่พอใจรัฐบาล

       ในวันที่19 พ.ย. หรือก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฏร ในฐานะประธานรัฐสภา พร้อมด้วยรองประธานสภา อีก 2 คน ก็ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ล่วงหน้า นั่นก็เป็นการสร้างความเดือดดาลให้ประชาชนไปรอบหนึ่งแล้ว

       พอคณะ สส. รัฐบาล มาแถลงไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ซ้ำอีกครั้งหลังมีคำวินิจฉัยแล้ว จึงเรียกมหาชนออกมาบนท้องถนนได้เกินล้าน

       พวก สส.รัฐบาล และพวกแกนนำเสื้อแดง นักวิชาการแดง อ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับคำร้องไปวินิจฉัยเพราะการแก้รัฐธรรมนูญเป็นอำนาจของสภา

       แต่สิ่งที่คนพวกนี้ไม่เคยตอบได้อย่างกระจ่างเลยก็คือ สมมุติว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่วินิจฉัย แต่ สส.รัฐบาลทั้งหมดจะรับผิดชอบและแสดงสปิริตอยางไร

       กรณี 1. มีการปลอมแปลงร่างรัฐธรรมนูญ สอดไส้เนื้อหาเพ่ิมเติมเข้าไปทีหลัง

              2. สส.รัฐบาลเสียบบัตรแทนกันตอนลงคะแนน ถือว่ากระทำทุจริต

              3. ตัดสิทธิฝ่ายค้านไม่ให้อภิปราย ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ

       หากอ้างอิงว่าเป็นหน้าที่ของสภาจะจัดการเอง แต่ถามว่าทำไมป่านนี้ยังไม่จัดการตัวเอง ถ้าเป็นประเทศอื่น ยังไม่ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย เขาก็ตอ้งแสดงสปิริต คืออย่างน้อยก็ต้องลาออกแล้ว เพราะได้ทำทุจริต

       ในเมื่อฝ่ายรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ตรากฏหมาย ออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลเสียเอง อยู่เหนือกฏหมายเสียเอง ประชาชนเขาเลยย้อยเกร็ดเอาบ้างว่า พวกเขาก็จะไม่ยอมรับอำนาจรัฐบาลเช่นกัน

       ที่หนักกว่านั้นก็คือ นำร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายเพราะมีการปลอมแปลงขึ้นทูลเกล้าฯถวาย ถามว่า สส.ทั้งหมดและรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร

       ที่ตลกคือ สส.เพื่อไทยไปแจ้งความกับ ดีเอสไอ ขอให้ดำเนินคดีเอาผิดตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวหาว่าล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เพราะได้ทูลเกล้าฯ ร่างรัฐธรรมนูญไปแล้ว

       แต่ส่ิงหนึ่งที่ สส.เพื่อไทยต้องตอบอย่างจริงใจก็คือ จงใจชิงนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งที่รู้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องของผู้ร้องไว้แล้ว เพื่อต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินในทางที่เป็นคุณกับรัฐบาลใช่หรือไม่?

       ส่วนคุณยิ่งลักษณ์ที่อ้างว่าทำตามรัฐธรรมนูญ ที่ว่า เมื่อรัฐสภาได้ผ่านวาระ 3 แล้ว นายกฯ จะต้องนำร่างกฏหมายนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ​ภายใน 20 เป็นข้ออ้างที่ฟังขึ้นได้ยาก เพราะในมาตรา 154 บัญญัติไว้ว่า หากเรื่องยังอยู่ในระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกฯควรระงับการนำขึ้นทูลเกล้าฯ

       หากคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้สมคบคิดกับรัฐสภา ก็ย่อมจะชั่งน้ำหนักได้เองว่า ควรทำอย่างไหน ระหว่างการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วันหลังสภาผ่านวาระ 3 กับการปฏิบัติตามมาตรา 154 คือ นายกฯควรระงับการดำเนินการ เพื่อประกาศใช้ร่างกฏหมายนั้นๆ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัย

       กล่าวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือนายกฯควรระงับการนำขึ้นทูลเกล้าฯ หากร่างกฏหมายนั้นๆ ยังอยู่ระหว่างการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

       หลังจากม็อบบุกยึดกระทรวงการคลัง คุณยิ่งลักษณ์แถลงอ้อนวอนว่าอย่าทำเพราะจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศ

ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าการกระทำของม็อบกระทบต่อความเชื่อมั่น แต่อย่าลืมว่าความไม่เชื่อมั่นนั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งมาจากรัฐบาลเอง

       เพราะตลอด 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลทำให้การเมืองกระเพื่อมเพราะดึงดันจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับออกกฏหมายนิรโทษนั่นล่ะ

       ที่ผ่านมา พอประชาชนไม่ออกแรง ไม่ออกมาเอ็กเซอร์ไซส์ รัฐบาลก็ดึงดันออกกฏหมายนิรโทษกรรม “สุดซอย” ต่อเมื่อเจอของจริงจึงยอมถอย

       ซึ่งก็เป็นการถอยที่สายเสียแล้ว เพราะประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาล เนื่องจากเห็นมาตลอดว่าไร้ความจริงใจ ไม่รักษาคำพูด

 

       และก็มี ในหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ วันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค. 56 คอลัมน์ คิดเหนือกระแส ได้เขียนเรื่อง “หมดเวลารัฐบาลโมฆะ” ….

รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา

 

เมื่อรัฐบาลอยู่เบื้องหลังการผลักดันกฎหมายหลายฉบับที่ขัดหลักนิติธรรม และศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ชัดแล้วว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ รัฐบาลและ ส.ส.ซีกรัฐบาลทุกพรรคที่มีส่วนร่วมในการผลักดันกฎหมายดังกล่าวย่อมเป็นผู้ที่ทำผิดรัฐธรรมนูญ น่าจะถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่โมฆะ เป็น ส.ส.ที่โมฆะ ที่ควรจะมีสำนึกลาออกไปเองโดยไม่ต้องให้มีกระบวนการถอดถอนตามกฎหมาย ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองจะต้องมีจิตสำนึกกันบ้าง ไม่ใช่เอาแต่อ้างว่ายังไม่มีหน่วยงานใด หรือศาลใดชี้ความผิดอย่างชัดแจ้ง ลองมาไล่เรียงสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายทำไปว่ามีอะไรบ้างที่ท่านทั้งหลายควรจะมีจิตสำนึกและรู้ตัวว่าท่านทั้งหลายนั้นโมฆะแล้ว และควรจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาไล่ การกระทำที่ไม่เหมาะสมของท่านนั้น ไม่ได้มีเพียงเรื่องของการแก้กฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องที่มาของ ส.ว.เท่านั้น แต่ท่านยังมีการกระทำอีกหลายอย่างที่แสดงถึงความพยายามจะรวบอำนาจและยึดครองประเทศไทยแบบเบ็ดเสร็จ ขัดกับแนวทางของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ท่านคิดจะล้างผิดให้กับคนที่ทำความผิดทางอาญา ที่ไม่ใช่ความผิดทางการเมือง

ท่านขยายเวลาการล้างผิดทั้งก่อนมีการชุมนุมและหลังการชุมนุม เพื่อล้างผิดเรื่องคอร์รัปชัน

ท่านปิดปากฝ่ายค้านที่เขาต้องการอภิปรายและแสดงความคิดเห็น กีดกันเสรีภาพ

ท่านประชุมโดยที่มี ส.ส.ไม่ครบองค์ประชุมท่านมีการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ถือว่าเป็นการทำผิดกติกา

ท่านมีการสอดไส้ใส่ข้อความที่ไม่ตรงกับข้อความที่ประชุมกันในสภาฯ

ท่านออกกฎหมายแบบลักหลับด้วยการประชุมยาวนานถึงตี 4 ท่านนำเอากฎหมายที่มีมลทินทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย

ท่านมีความพยายามที่จะทำลายระบบตรวจสอบด้วยการแก้กฎหมายว่าด้วยที่มาของ ส.ว.

ท่านแสวงหาประโยชน์ส่วนตนด้วยการแก้กฎหมายว่าด้วยการเซ็นสัญญากับต่างชาติ

ท่านกระทำการที่แสดงถึงการย่ำยีอำนาจตุลาการ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 อำนาจประชาธิปไตย

ท่านออกมาประกาศชัดเจนว่าท่านไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ

ท่านพยายามจะกู้เงินสูงถึง 2 ล้านล้าน ด้วย พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของรัฐสภา

การกระทำทั้งสิ้นทั้งปวงนั้น ท่านน่าจะรู้ว่าท่านไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลหรือเป็น ส.ส.อีกต่อไป ประชาชนจำนวนมาก ทั้งที่ออกมาชุมนุม และไม่ได้ออกมาชุมนุมต่างมีความเห็นพ้องต้องกันว่าความเป็นรัฐบาลของท่าน และความเป็น ส.ส.ของท่านนั้นเป็นโมฆะไปแล้ว แม้ว่าท่านจะดื้อดึงที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป ท่านก็ไม่สามารถที่จะบริหารประเทศไทย เพราะประชาชนโดยทั่วไป ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เขาไม่ยอมที่จะรับใช้ท่านนั้น เขาได้แสดงตนออกมาเป็นจำนวนมากอย่างชัดแจ้งแล้ว ถ้าหากท่านเห็นแก่บ้านเมือง ท่านสมควรที่จะลาออกไปให้พ้นๆ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้มีโอกาสปฏิรูปประเทศไทยให้พ้นจากอำนาจของพวกท่าน

สิ่งที่ท่านทั้งหลายควรจะมองเห็น แล้วเก็บเอาไปพินิจพิจารณานั้นมีมากเพียงพอที่จะชี้นำให้ท่านตัดสินใจออกไปให้พ้นๆ จากการอยู่ในอำนาจเพื่อประเทศชาติของเรา

จำนวนผู้คนที่ออกมาต่อต้านท่านนั้นมีมากกว่า 1 ล้านคนคนที่ออกมาต่อต้านท่านนั้นมีมากมายหลากหลายกลุ่มคนที่ต่อต้านท่านนั้นไม่ได้มีเฉพาะที่กรุงเทพฯ แต่มีที่ต่างจังหวัดด้วย

คนที่ต่อต้านท่านนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความรู้ มีความเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ดี

การยึดกระทรวงต่างๆ ทำได้โดยง่าย เพราะข้าราชการเห็นด้วยการยึดศาลากลางจังหวัดทำได้โดยง่าย เพราะข้าราชการอึดอัด

รัฐวิสาหกิจจำนวนมากอึดอัดกับการครอบงำของพวกท่านการต่อสู้กับท่านครั้งนี้ไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นการต่อสู้อย่างเอาจริง

แม้แต่นักเรียน นักศึกษา ที่ไม่เคยสนใจการเมืองก็ออกกันมามากมาย

ดาราที่เคยกลัวที่จะแสดงบทบาททางการเมืองก็ออกกันมากมาย

 

นักวิชาการที่เข้าข้างพวกท่านหลายคนก็ไม่เข้าข้างท่านอีกแล้วสื่อมวลชนที่เคยทำตัวเหมือนเป็นขี้ข้ารับใช้ท่านก็ไม่เต็มที่กับท่านแล้ว

มวลชนเสื้อแดงที่เคยเป็นลิ่วล้อของท่านก็ฝ่อไปมากแล้ว เหลือแต่แกนนำที่เข้มแข็ง

ส.ส.ปากกล้าในด้านของท่านนั้น หลายคนไม่กล้าออกมาตีฝีปากเหมือนอย่างแต่ก่อน

เรื่องความผิดของท่านอยู่ที่ศาลอีกหลายเรื่องป.ป.ช.ยังมีเรื่องที่จะต้องพิจารณาความผิดของท่านอีกหลายเรื่องสื่อมวลชนเมืองนอกพูดถึงพวกท่านในทางลบมากมายหลายเรื่อง

เสียงต่อต้านทั้งหมดนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ท่านเกิดสำนึก แล้วทำคุณแก่ประเทศด้วยการออกไปให้พ้นๆ จากแวดวงการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยใสสะอาดขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการถูกครอบงำของนักการเมืองที่ไร้คุณธรรม และมีการกระทำที่เป็นการทำร้ายประเทศไทย ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไป แต่หากยังมีพวกท่านอยู่ต่อไป ประเทศไทยก็เดินหน้าไม่ได้ เพราะประชาชนเขารู้เช่นเห็นชาติของพวกท่านแล้วว่าพวกท่านนั้นทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้องกับประเทศไทยอย่างไร เขาไม่ต้องการท่านแล้ว ท่านจะอยู่ทำลายโอกาสประเทศไทยต่อไปทำไม ยอมรับความเป็นโมฆะของพวกท่าน แล้วไปให้พ้นๆ เถอะ ถือเสียว่าเป็นการทำคุณแก่แผ่นดิน จะได้เป็นคนที่เป็นประโยชน์กับแผ่นดินบ้าง แทนที่จะเป็นคนหนักแผ่นดินอยู่อย่างนี้

ท่านอย่าคิดว่าท่านมีตำรวจทำตัวเป็นขี้ข้ารับใช้ท่าน แล้วท่านจะชนะประชาชนนะ เพราะถ้าหากตำรวจทำร้ายประชาชน ท่านจะอยู่ไม่ได้ ท่านลองคิดดูว่าประชาชนที่ไม่เอาท่านแล้ว ทหารที่ไม่เอาท่านแล้ว แต่ยังไม่ออกมาแสดงตนนั้นมีอีกเท่าไหร่ การที่พวกเขายังไม่ออกมา ก็เพราะเขายังคิดว่าท่านจะไม่ทำอะไรที่เลวร้าย แต่หากวันใดที่พวกท่านทำร้ายประชาชน พวกเขาคงจะไม่นิ่งเฉยต่อไป เมื่อเป็นโมฆะแล้ว ตัดสินใจออกไปเองดีกว่าให้มีคนมาไล่นะ.

       นี่ก็ย้ำ ความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลอีก....

       อย่างนี้เรียกว่า “ง่านกับโด้” คือ “โง่ยกกำลังด้าน” มันจะได้เท่าไหร่

       ก็มาพูดกันประเด็นว่าจะจบตรงไหน...คำว่านิติธรรม นิติธรรม นั้นมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ

คำสองคำนี้ต้องมีความต่างกัน อาตมาก็ถือความรู้ของอาตมาเองตกลงอาตมาก็เห็นว่า คำว่านิติรัฐก็มีความหมายประมาณนั้น อาตมาก็แยกได้ประมาณนี้

       ในมาตรา 7 เมื่อไม่มีในบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ว่าให้ประชาชนปฏิวัติได้ แต่เมื่อไม่มี ก็ให้ใช้วินิจฉัยตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็อยู่ในมาตรา 2 กับมาตรา 3 เมื่อไม่มีในมาตรา 7 ว่าไว้ ก็ให้ทำตามประเพณี แล้วประเพณีของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       แม้ไม่มีเขียนไว้แต่มีความผูกพันทุกองค์กร ใน มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       เมื่อไม่มีในบทบัญญัติก็ต้องทำตามความเห็นความรู้ที่เคยมีมา กับธรรมะเป็นตัวตัดสินหลัก  สรุปคือรัฐบาลกับรัฐสภาโมฆะแล้ว คณะบริหารโมฆะแล้ว และก็ไม่ควรจะทำต่อ ประชาชนจึงออกมาขออำนาจคืน ตามสิทธิ์ จึงมีมวลมหาประชาชนออกมาทวงคืนอำนาจคืน เพื่อจะปฏิรูปประเทศต่อไป เขาก็ยังง่านโด้อยู่

       คณะที่มาประท้วงนี่พวกเราไม่ใช่กบฏ ทำอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ สวยงามด้วย ไม่มีอาวุธ ที่มีอาจมือที่สาม หรือทางฝ่ายตรงข้าม ก็มาทำรุนแรง ทางนี้ก็ป้องกันตัวเท่านั้น ตามกฏหมายทั่วโลกเขามีสิทธิ์ป้องกันตัว แต่คุณเล่นงานเขาจนเจ็บเข้ารพ.ไปก็มี

       แล้วคุณทำผิดนี่ อย่างตอนตอนพิธีถวายพระพรในหลวงที่ไกลกังวล อาการแสดงออกทางกายวิญญัติ ที่อดีตนายกฯอนันต์ ปัญญารชุน อยู่ใกล้นายกฯยิ่งลักษณ์ ที่ก้มหน้างุดๆ    

  เมื่อเป็นเช่นนี้ธรรมะที่ทำถูกรัฐธรรมนูญว่ามาชุมนุมประท้วงต่อต้าน คุ้มครองปกป้องประเทศ ในโลกีย์เขาใช้ Force คืออำนาจกดดัน บังคับ โดยอาวุธ หรืออื่นๆ ทุกทีที่เขาปฏิวัติ แต่เขาเห็นว่าไม่ใช่อารยะธรรม ถ้าอารยะธรรมเขาก็ว่ากันตามถูกผิด เขาก็บอกตามอย่างสุภาพ ไม่ใช่อำนาจแบบบีบบังคับ ตัวอย่างที่จะขอคืนอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่รุนแรงแล้วสำเร็จ อย่างนี้เปลี่ยนแปลงปฏิวัติแบบใหม่ ให้มีคณะใหม่ มีรัฐธรรมนูญใหม่เลย ถ้าทำอย่าง Authority ไม่กดข่มแบบ Force นี่คือความก้าวหน้า ซึ่งก็ขอบคุณทางโน้นที่ก็ว่าจะทำอย่างสงบเรียบร้อยไม่รุนแรง แต่ก่อนนี้ทำอย่างรุนแรง แต่ตอนนี้ลดลง

       เราจำเป็นต้องไปยึดแม้สื่อสาร ก็ให้ช่วยทางนี้ด้วย ที่จริงไปขอร้องว่าช่วยทางเราบ้าง หรือไปในหน่วยงานราชการต่างๆ ยึดนี่เป็นสัญญลักษณ์ ข้าราชการที่เขาอยากหยุดมีเยอะแยะ เขาก็จะเห็นจะรู้ท่าที พรุ่งนี้เราก็จะไปทำเป็นสัญญลักษณ์ ไม่ได้ทำรุนแรงเลย เพื่อให้เห็นว่าเขาไม่เอาคุณแล้ว พรุ่งนี้ก็จะพิสูจน์อีก นั่นคือโลกีย์ที่สวยงาม และที่ข้ามพ้นโลกีย์คือโลกุตระ

       พหูสูจน์ของพุทธคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน แล้วมีจาคะมีปัญญา มีการสละไม่ยึดไม่ติด สละออก คุณธรรมก็จะเกิดจริงเป็นจริง เป็นโลกุตระ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีลักษณะรู้ครบหมดเลย สัมผัสแล้วรู้ครบทางทวารทั้ง 6 ก็รู้ในรูป 24 ทั้งอิตถีภาวะ และปุริสภาวะ แม้หทยรูป ก็รู้ แม้แต่ชีวิตรูปมีความเป็นอยู่หรือไม่ หรือได้ค่าตัวอกุศลจิตที่ไม่เหลือแล้ว ไม่มีพลังแห่งชีวิตแล้วก็รู้ต่อเนื่องจากทวาร 6 จะเหลือเท่าไหร่ รู้ปริเฉทรูป เป็น Context

       เพราะมันมีตั้งแต่หยาบไปถึงละเอียด กิเลสไม่เหลือจนเป็นความว่าง อุเบกขาเป็นฐานนิพพาน สัมผัสรู้เลย แม้เบาบางก็รู้ พลังของความเบา หรือพลังของความสูญนี่ พลังความไม่ทำอะไรเลย แต่คนล้มระเนระนาดไปหมดเลย เป็นนามธรรมที่มีอำนาจสูงส่ง เป็นธรรมฤทธิ์ไม่ได้หยุดด้วยอำนาจไม่ปืน แต่เป็นส่ิงสูงส่งที่ยอมยกให้เลย เป็นแรงพลังของสัจธรรม มีปรากฏการณ์จริงของจริง ตอนนี้กำลังสู้กันทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมการเมืองให้ดีขึ้น 81 ปีมาแล้ว ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยน แต่เขาก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน วนเวียนอยู่ในโลกีย์ ตอนนี้ยิ่งหยาบใหญ่ แม้แต่การเลือกตั้งก็ซื้อเสียง แต่ก่อนใช้แค่รองเท้าซื้อเสียง แต่ตอนนี้เป็นพันเลย

       ในหนังสือมติชนสุดสัปดาห์ คอลัมน์ ลึกแต่ไม่ลับ ของคุณ จรัญ พงษ์จีน ...ว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 นับเวลาก็ปาเข้าไป 81 ปีเต็มแล้ว แต่ประชาธิปไตยแบบไทยไทย ก็ยังล้มลุกคลุกคลาน เตี้ยลงสาละวัน มีการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ ปฏิวัติ รัฐประหาร ซ้ำแล้วซำ้เล่า ทั้งหมดมีการปฏิวัติรัฐประหารทั้งสิ้น 12 ครั้ง ซึ่งมีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จก็ถูกจับติดคุก หรือประหารไปบ้าง...

 

       ในอำนาจที่ไม่เป็นตามรัฐธรรมนูญเขาก็ต้องใช้ Force ถ้าเราทำไม่สำเร็จเขาก็ต้องหาทางจับเราข้อหากบฏ

       อยากสรุปความเป็นจริงที่อาตมาได้ทำมาอย่างพากเพียร ว่าน่าจะเป็นไปได้นะ เช่นคนออกมาเลิกโลกีย์ เคยหลงอบายมุขก็เลิกอบายมุข เคยเป็นเศรษฐีชั้นสูงไฮโซก็ลดลงมา แล้วก็มาเป็นแบบนี้มันสบายกว่า มีประโยชน์กว่า ญาณปัญญาของคนมันรู้จริง ไม่มีใครบังคับ เกิดความรู้แจ้ง ที่ว่าไปแย่งไล่ล่าร่ำรวย ย่ิงเรามีสังคมสาธารณโภคี เรามาทำกับฆราวาสได้ กับอุบาสก อุบาสิการได้ แต่ตอนสมัยพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ เพราะมีรู้เรื่องสิทธิการแสดงออก เป็นสังคมทาส แต่ยุคนี้ทำได้ ทั้งฆราวาสและนักบวช เป็นยุคสมัยที่มีสิทธิเสรีภาพ พิสูจน์ไปถึงไม่มีตัวกูของกูได้ ยศก็คือตำแหน่งหน้าที่ในการดูแลทำงานมากขึ้นก็เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตข่มเบ่งใคร แต่มีเพื่อให้ทำงานได้กว้างขวางมีประโยชน์มากขึ้น เกิดมามีแรงกายแรงใจแรงสมองก็ทำไป เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร คุณสมบัติของการข้ามพ้นฝั่งได้ คือ เราไม่พักเราไม่เพียร เราจึงข้ามโอฆะสงสารได้

       คนเรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อรับใช้มวลชน เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร ยามควรพักก็พัก ยามควรเพียรก็เพียร คุณเพียรน้อยกว่าพัก จึงเป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ มากกว่าเป็นคนเสพหรือเปลือง ใช้สอยทั้งเวลา ทุนรอนแรงงาน เป็นคนประโยชน์สูงประหยัดสุด ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงมีประโยชน์อย่างนี้ พูดส่ิงเหล่านี้มีคำรับรองของพระพุทธเจ้า เราไม่พักเราไม่เพียร เราข้ามโอฆะสงสารได้ 

       เรามาทำนี่เป็นนามธรรม ได้แล้วก็ใครแย่งไม่ได้ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ยิ่งแจกย่ิงงอก มีนิรุติปฏิภาณมาแสดงได้เพ่ิมขึ้นมีปฏิสัมภิทาญาณเพ่ิม ธรรมะนี่ย่ิงให้ยิ่งงอก แต่อามิสสิย่ิงให้ยิ่งหมด ลาภยศสรรเสริญยิ่งแจกยิ่งหมด

       ในเทวธรรมหรืออาริยธรรมนั้นเป็นจิตสูง ประเสริฐ ที่คนควรได้ควรมี คนที่มี ศรัทธา ศีล จาคะปัญญา 4 อย่างนี้คือสัมปรายิกัตถประโยชน์ 

       ศีลก็เป็นหลักเกณฑ์ให้เราทำให้บรรลุในศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 สูงขึ้นไป ให้จิตเป็นจริง คนที่ละอายต่อความผิดนี่เป็นคนดี แต่คนที่ไม่ละอายต่อความผิดนี่ “ง่านโด้” คือโง่ยกกำลังด้าน  ง่านคือมันโง่ยกกำลังความด้าน ส่วนโด้ ก็คือด้านยกกำลังความโง่ นั่นเอง

       สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล ไม่หรูหราฟู่ฟ่าแต่ก็มีมากได้ตามฐานะอันควร  ที่มีคนมองว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นพวกศักดินา มีอภิสิทธิ์ เขาจะให้เท่ากันหมด เขามองไม่ออกว่าสังคมต้องมีสิ่งเหล่านี้ คนต้องอาศัยจิตวิทยาสังคมเช่นนี้ สายหนึ่งเป็นสาย Prophecyเมื่อมีบารมีก็จะมีฐานะมีสิ่งที่เป็นวัตถุ อีกสายหนึ่งเป็นสายมีเหตุผลมีความรู้เรียกว่า Philosophy เป็นสายเหตุผลความรู้บัญญัติ เป็นสายศรัทธาและเจโต มีสองสาย ...จบ        


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:35:55 )

561207

รายละเอียด

561207_เทศน์ภาคค่ำ ​โดยพ่อครู

เรื่องประชาชนทวงคืนอำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญไทย ตอน 3

 

       ชีวิตคนเราถ้าเกิดมาไม่ได้ธรรมะก็เสียชาติเกิด นิยามของชีวิตก็เร่ิมมาจากพลังงาน อุตุ มาเป็นพีชะ มาเป็นจิต มาเป็นกรรมนิยามแล้วเป็นธรรมนิยาม พีชะต่างจากจิตนิยาม ตรงที่ พีชะไม่มีอารมณ์ มันมีพลังงานในตัวของมันเอง ระดับที่จะปรุงแต่งไปตามแต่ละชนิดของมัน ส่วนเมื่อข้ามเขตพลังงานพีชะก็เป็น จิตนิยาม ที่มีอารมณ์​มีรักมีชัง เกิดบทบาทเพ่ิม ปรุงแต่งเป็นความชอบ ความชัง เป็นรสอร่อยได้ สัตว์ชั้นต่ำไม่ติดรสอร่อยแต่อย่างใด แต่มีตัวกูของกู แย่งชิง และจะจัดขึ้นเรื่อยๆ จะแย่งตัวตน แต่ไม่แย่งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเท่าไหร่ จนมันมีกิเลสหลงกามคุณมากขึ้น จนติดในสมมุติโลกธรรม

       คนเราถ้าได้เรียนรู้สัจจะความจริง จึงลดละได้ มีหลายขั้นตอน เร่ิมจากแบบเทวนิยม ซึ่งยังไม่ชัดเจน ยังลึกลับ เป็นสายเจโต ลึกลับ ไม่รู้ ศาสนาพุทธในเมืองไทยก็เป็นแบบเทวนิยมมาก ไม่สามารถรู้ลึกละเอียดถึงสมุทัย แล้วแยกจิตเลว อกุศลจิตได้ มีวิปัสสนาวิธีที่เป็นของพพจ.โดยตรง กำจัดกิเลส ถาวรยืนนาน แต่ไม่ได้หมายความว่าถาวรจนไม่เสื่อมเลยนะ

       ความรู้โลกีย์อย่างเช่นความรู้เรื่องปฏิวัติ คนไทยก็มีความรู้ขึ้นมา ว่าไม่ต้องรุนแรงก็ได้ ประเทศอื่นเขาก็มีความรู้ว่าไม่รุนแรงก็ได้ อย่างประเทศบราซิล จะทำด้วยความสงบ แต่สุดท้ายก็ดึงดันรุนแรงอยู่ดี เขาก็รู้แต่ว่าความเป็นจริงก็ไม่สมบูรณ์ บราซิลเขาทำต่อเนื่องหลายปีจนเกือบสำเร็จ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้พลังอำนาจกดขี่ เป็นพลังทหาร นายพลบลังโก ก็มาปฏิวัติ​แล้วเป็นปธน.ไม่นานก็ให้คนอื่นต่อ มันทำไม่ได้สมบูรณ์เพราะไม่มีฐานรากที่ดี ก็เป็นสมบัติผลัดกันชม

       เมืองไทยแต่ก่อนไม่เดือดร้อนอย่างนี้ แต่ไปเอาประชาธิปไตยแบบต่างประเทศมา กดข่มกันออกมา มีสถิติรัฐประหารกันมาตั้งแต่ พศ. 2475 แล้วพศ.2476 ก็มีคณะปฏิวัติ เสร็จยึดอำนาจ มีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา มาเป็นนายกฯ เป็นปฏิวัติ​รัฐประหาร สำเร็จ คือการเปลี่ยนแปลงคณะบริหารประเทศ ตามคณะที่เห็นชอบมาบริหารต่อ เปลี่ยนจากของเดิม โดยไม่ตามลำดับ แต่เป็นไปตามเจตนารมณ์​มีกิเลสเป็นหลัก มนุษย์เขาก็รู้คุณงามความดี แต่กิเลสมันมี มันก็เหลิงหลง เสพกามคุณ โลกธรรมเพ่ิม เมื่อมันมีโอกาส กิเลสก็ได้ช่องในการเสพ สุดท้ายก็ทนไม่ได้ ก็ทำเลวร้าย ก็มีคณะใหม่มาปฏิวัติอีก สรุป 81 ปีไทยเราปฏิวัติ 24 ครั้ง ทำสำเร็จ 12 ครั้ง แพ้ไป 12 ครั้ง ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 25

       ครั้งแรกเขาใช้คณะราษฏร์ ใช้คณะประชาชน ตั้งแต่ตอนแรกเลย ยึดมาจากพระเจ้าแผ่นดิน แต่เสร็จแล้วหลงอำนาจ ดั้งนั้น 24 ครั้งชนะบ้างแพ้บ้าง ถ้าไม่สำเร็จก็รับโทษไป ถ้าชนะก็ครองอำนาจไป

     ทีนี้ของเราที่กำลังทำนี่ไม่ได้ปฏิวัติโดยรุนแรงหรือใช้อำนาจทหาร กดข่มโดย Force แต่เรากำลังใช้อำนาจประชาชนขออำนาจคืน เพราะประชาธิปไตยนั้นอำนาจเป็นของประชาชน ยังไง ก็ไม่สามารถปลดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนได้ แม้เลือกผู้แทนฯไปอำนาจก็อยู่กับประชาชน คนเดียวก็ประท้วงได้

       แต่หลักเกณฑ์ของประชาธิปไตย แม้เสียงข้างมากก็ต้องคำนึงถึงเสียงส่วนน้อย Majority Rule but Minority right  ต้องพิจารณาแม้เสียงเดียวที่ถูกต้อง

นายกฯของคณะบริหารที่มีอำนาจแทนประชาชนทำผิดแล้วคนประท้วงคนเดียวว่าคุณทำผิดแล้วก็มีการตัดสินว่าผิดคุณก็ต้องรับ แม้จะได้รับคะแนนเสียงมากี่สิบล้านก็ตาม ถ้าถูกต้องแล้วคนผิดมีหิริโอตตัปปะก็ต้องลาออกแล้ว แต่นี่ไม่ยอม ก็ต้องดื้อด้านดึงดัน ผิดนิติรัฐนิติธรรม จนต้องใช้ภาษาทั้ง ด้านทั้งโง่ คือง่านโด้ ง่านคือโง่ยกกำลังด้าน ส่วนโด้ก็คือด้านยกกำลังโง่

       ที่ทำมานี้ถูกต้องดีงามแล้ว ประชาชนมาประกอบคุณงามความดีมาก เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างเปลี่ยนสภาพเลย แล้วไม่ใช่เปลี่ยนอย่างโลกีย์ที่จะวนกลับไปได้อีก สายเจโตจะไม่ค่อยรู้ทำไปอย่างไม่ชัดเจน แต่สายปัญญา จะชัดเจน ฉลาดลดกิเลส ฉลาดซื่อสัตย์สุจริต พึ่งพาอาศัย ในหลวงว่าให้สามัคคี อลุ่มอล่วยกัน แบบคนจนไม่รวย ไม่โลภกิเลสสะสม ช่วยเหลืออุ้มชูกัน เอาแรงงาน ความรู้วัตถุมาช่วยกัน จึงเกิดเรื่องนี้ได้

       ชาวอโศกไม่ค่อยมีเงินทองนะ แต่คนอุดหนุนช่วยเหลือจึงนำพาไปได้ ถ้าคราวนี้ผู้ที่ดื้อดึงดันก็น่าจะลดหย่อนเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ตนเองควรวางมือให้คนที่ปรารถนาดีทำสิ ถ้าเขาไปทำแล้วชั่วอีกก็ต้องถูกปฏิวัติอีก แต่ถ้าทำอย่างเดิมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ

       ส่ิงที่เกิดนี้ดีงามมาก ถ้าไม่อย่างนั้นไทยเราก็ต้องเหมือนบราซิล สุดท้ายต้องให้ทหารมาปฏิวัติอีก แต่ถ้าไม่ต้องทหาร ประชาชนมีพลังอำนาจจริง จนเขาพ่ายแพ้ เขายอมแพ้ได้ จะวิธีไหนก็ตาม

       มีสองอย่างคือที่เขาจะแพ้ได้ อย่างแรกคือ แพ้เพราะหนีออกนอกประเทศ เขาอาจตามจับได้ แต่ก็ไม่ค่อยตามจับเท่าไหร่ แต่ถ้ามีผู้เสียหายมากก็ตามจับ หากไม่หนี ก็ต้องมอบตัว แล้วแต่กม.จะตัดสิน ก็มีอยู่สองทาง

       ถ้ามอบตัวไม่หนีก็ดีมาก ประเทศอื่นก็มี แม้หนีแล้วไม่รอดถูกจับก็ต้องว่ากัน แต่ถ้ามอบตัวจริงๆ พวกเราก็จะปราณี จะอนุโลมกันเยอะนี่คือสัจธรรม

       ในวันที่ 9 นี้ถ้าประชาชนออกมาแสดงตัวเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย เป็นเจ้าของประเทศ ถ้าทำต่อไทยจะเป็นหนี้อีก 50​ปี แล้วไม่รู้ว่าจะต้องเสียอีกเท่าไหร่ หนักหนาสาหัส อาตมาไม่ใช่หมอดู แต่ดูถูกแน่ เขามีแต่หนูไม่รู้แต่ผลาญพร่า จึงปล่อยไว้ไม่ได้

       มาเดินกันให้เต็มพื้นที่เห็นตัวคนมาเป็นปรากฏการณ์ของโลก เต็มจนรถราแล่นไม่ได้โดยเฉพาะรอบทำเนียบ ออกมา 1 คน 1 เสียง ถ้ามากกว่าล้านนี่เสร็จแน่ นี่ออกมา ตั้ง2,360,475 คน  สองล้านกว่าคนนี่เขาก็ยังไม่ยอม ยังด้านโง่ โด้ง่ายอยู่ ในวันที่ 9 นี่จึงต้องมาเผด็จศึกอีกที
       วิธีของพวกเราก็คือ ข้าราชการ,องค์กรอิสระต่างๆที่ทำงานให้ผู้บริหาร เราก็ไปยึด แต่เราไม่ได้ไปทำอย่างรุนแรงมีอาวุธหรือบังคับ แต่ไปบอกให้เขารู้ ให้เขาว่าเห็นด้วยกับเราไหม ไปถามเขาว่าให้ช่วยกันหน่อยได้ไหม จะเห็นได้ว่าหลายองค์กร หลายกระทรวงก็เห็นด้วย ยอมโดยดี ไม่ได้ต่อสู้ ก็ไปทำเป็นสัญญลักษณ์เท่านั้น ว่าเราไม่ทำงานให้รัฐบาล เมื่อองค์กรต่างๆไม่ทำงานให้รัฐบาลแล้วรัฐบาลจะทำงานได้อย่างไร

       ให้คุณหยุดเถอะ เราไม่ได้บังคับนะ แต่ใช้ภาษาว่าไปยึดไปประท้วง แต่ที่จริงไปแจ้งให้ทราบ ซึ่งคนก็มีเห็นต่าง คนที่เห็นแย้งก็ว่าไป แต่คนเห็นด้วยถ้ามีมากก็มีผล

       มีการตัดสินอย่างในสงฆ์ก็มีวิธีตัดสิน อย่างสัมมุขาวินัยคือพิจารณาพร้อมจำเลยโจทย์และวัตถุหลักฐานพยายพร้อมสรรพ หรือสติวินัยก็คือยกให้อรหันต์ที่มีสติสมบูรณ์ ทำผิดก็ไม่ต้องอาบัติ หรือแม้แต่คนบ้าก็ไม่เอาผิดคืออมูฬหวินัย หรือว่ามีติณวัตถารกวินัยคือประนีประนอม ตกลงกันเอาคือกลบไว้ด้วยหญ้า หรือซุกใต้พรมไม่หยิบมาพิจารณา เหมือนปรองดอง ไม่ถือสา เดินหน้าต่อไป ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่งใน 7 ข้อในการตัดสิน ทันสมัยที่สุดของพพจ.เหมือนหลักการพิจารณาความปัจจุบันเลย

       ที่เรามาทำงานนี่ใครผิดคนนั้นแพ้ เป็นMinority right และเมื่อเราออกมามากมายจะเป็นMajority right ซึ่งต้องมากันมากจริงๆจึงสำเร็จ เราทำอย่างไม่ได้ใช้อำนาจForce เราทำด้วยAuthority ก็ลุ้นอยู่ว่า พลังงานนี้เป็น sovereignty พลังสูงสุดที่ยิ่งใหญ่ เราทำอย่างถูกรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ทั้งสองวรรคด้วย

        มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       เมื่อเขาทำไปไม่รอดก็ต้องใช้นิติธรรม และไปสู่มาตรา 7 ทำตามจารีตประเพณีในประชาธิปไตย มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อไม่มีบัญญัติก็ต้องกลับสู่อำนาจของประชาชนที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือไปสู่มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตรา 3

       ของบราซิลก็ใช้ทหารมาปฏิวัติ แต่ทำด้วยอาวุธ ของเรานี่ถ้าทหารจะมาช่วยก็มาในฐานะประชาชนคนหนึ่งไม่ต้องเอาอาวุธมา คะแนนเสียงนี่เป็นเสียงสวรรค์ของประชาชนไม่ใช่คะแนนเสียงเลือกตั้ง อันนั้นมันอีกบริบทหนึ่ง เป็นเรื่องการเลือกตั้งคนไปบริหาร แต่นี่เรามายืนยันคะแนนเสียงไล่คณะนั้นออก คนละบริบท คนไม่ค่อยเข้าใจบริบทนี้ ก็จะยืนยันแต่ว่าคะแนนเสียงข้ามี 15 ล้านเสียง

       แต่นั้นคุณทำผิดแล้ว คะแนนเสียงนี้ตกไปแล้ว เขามาขอคืนอำนาจ คุณออกไปเถอะ ตอนนี้เจ้าของบ้านมาไล่คุณออกไป ตอนแรกเลือกคุณมาทำงานแต่คุณทำผิดก็ต้องไล่ออกไป

       ไม่รู้ว่าตนเองหน้าด้าน รัฐสภาและบริหารฮั้วกันปฏิเสธตุลาการ อันนี้ผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 4 ที่บอกว่าต้องเสมอภาคกัน อำนาจต้องถ่วงดุลกัน เขารวมหัวกันไม่ยอมรับอำนาจศาล ทั้งที่ต้องมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน ต้องได้รับการคุ้มครองด้วย ประชาชนจึงออกมาประท้วงคุ้มครองศาล ต้องขอบคุณพวกดาวแดงที่ไปช่วยคุ้มครองศาลตั้งนานไม่รู้กี่เดือนแล้ว

       อำนาจประชาชนเป็นอำนาจถาวร หนึ่งคนหนึ่งเสียง เมื่อประชาชนมวลมากเป็นเจ้าของประเทศก็เป็นMajority แต่คนเดียวเขาก็มีสิทธิ์แม้เขาหลงว่าเขาถูกก็ตาม แต่ถ้าหมู่น้อยนี้ถูกด้วยล่ะเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ตามสัจธรรม ตามนิติธรรม แม้ไม่มีในบัญญัติ ไม่มีนิติบัญญัติ แต่ผู้รู้เขาว่าไว้ถูกแล้ว เป็นนิติธรรม

       มีเรียกเป็นภาษาอังกฤษ ว่านิติรัฐคือ Legal state ส่วนนิติธรรม คือ Due to process of law หรือ Rule of law ซึ่งก็ไม่ตรงกับสภาวธรรมเท่าใดนัก โดยเฉพาะโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก

       ขอให้ประชาชนชาวไทยเสียสละออกมาช่วยกัน มาสร้างส่ิงใหม่ให้แก่ประเทศชาติ แม้ว่าคราวนี้ มันจะไม่สำเร็จผลตามที่เรามุ่งหมายกัน อาตมาก็ว่าครั้งนี้ ก็ดูสิว่าจิตเขาจะง่านโด้หรือเขาจะยอมหรือเขาจะเอาชนะด้วยวิธีไหน อาตมาว่าเป็นสัจธรรม เปิดเผยพูดกันอย่างจริงใจ ว่าความจริงความถูกต้องดีงามต้องชนะ ส่ิงที่ไม่จริงส่ิงผิดก็ควรแพ้ ควรพอ

       ประชาชนออกมาเป็นล้านๆทำไม จะโด้อยู่ถึงไหน ถ้าออกมามากขนาดนี้ยังโด้อยู่ อาตมาก็ว่าต้องยอมเขา คุณสุเทพถึงบอกว่า อยู่ในประเทศนี้ประชาชนควรรู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด หรือว่าพวกเราโง่ เขาถูกน่ะเราผิด ก็จะได้รู้ว่าประชาชนที่มีปัญญา เป็นปัญญาชนในไทย ออกมาตัดสินเลย คุณก็เอามวลของคุณออกมาสิ นัดวันที่ 10 แต่ของเรานัดกันวันที่ 9 ก็ออกมากัน 9:39 น.

       ดูสิว่ามวลจะเท่าไหร่ ของคุณวันที่ 10 ก็ลองดูว่าคณะแดงจะมีเท่าไหร่ หากใครคะแนนเสียงมากกว่าก็ชนะก็แล้วกัน ถ้าแพ้จะยอมให้จับมีคดีอย่างไรก็ยอมให้ดำเนินคดี มันต้องเด็ดเดี่ยวจะมานั่งเล่นลิเกมากไปแล้ว

       คราวนี้จะเห็นส่ิงดีงาม เป็นประวัติศาสตร์เรามาร่วมกันออกคะแนนเสียงเพื่อเปลี่ยนแปลงการบริหารประเทศที่ทำมา 81 ปีเป็นสมบัติผลัดกันชม มาเอาคนเสียสละมาบริหาร ไม่ใช่มาโลภกอบโกยโกงกิน อาตมาก็นิยามประชาธิปไตยไว้ 10 ข้อ

       การเมืองใหม่ที่เป็น  ประชาธิปไตยแท้ๆ #

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้ ขณะนี้นกม.ที่ทำงานในไทย ยังไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) ไม่ใช่ไปหลอกลวงเขา ประชาชนก็ต้องขวนขวายศึกษาความเป็นประชาธิปไตย

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ 

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ถ้าเป็นอรหันต์ได้ย่ิงดี

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน ผู้แทนไม่ใช่หมาหลงมา ที่หิ้วกระเป๋าเงินมาซื้อเสียง แต่ประชาชนต้องรู้จักดี และไว้วางใจให้ไปทำงานแทนในตำแหน่งที่เหมาะสม ต้องเป็นคนที่เป็น

       คนมีอารยธรรมหรือเทวธรรม คือคุณธรรม 7 อย่างคือ ศรัทธา  ศีล  หิริ โอตตัปปะ พหูสูตรจาคะ ปัญญา จึงคือผู้ทรงไว้ซึ่งเทวธรรม หรืออารยธรรม เป็นผู้รับใช้โลก เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ มีโลกานุกัมปายะ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:39:09 )

561208

รายละเอียด

561208_ภาคค่ำมัฆวานฯ โดยพ่อครู

เรื่องปฏิบัติการทวงคืนอำนาจ ถึงโค้งสุดท้ายวัดใจ ‘รบ.ปู’

     พ่อครูมาออกรายการที่เวทีบนรถกระจายเสียงที่เป็นเวที่เคลื่อนที่ สำหรับปฏิบัติการ “เป่านกหวีดครั้งสุดท้าย” ที่เป็นวันนัดหมายรวมพลมวลมหาประชาชน ในนาม กปปส. ในเวลา 09.39 น. วันที่ 9 ธ.ค. 56

       งานนี้เป็นการศึกษาที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับคนไทย เรียกว่า Phenomenology เป็นการศึกษาที่มีปรากฏการณ์ชัดเจนทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกเห็นกายวิญญัติ เห็นการเคลื่อนไหว สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ศาสนาพุทธละเอียดไปถึงสมุทัย

       การศึกษาในโลกนี้ยังไม่ถึงขั้นปรากฏการณ์วิทยา แต่เกิดได้ยาก เพราะเขาหยั่งไม่ถึงจิตที่ลึกถึงจิตไร้สำนึกหรือใต้สำนึก จิตไร้สำนึกคืออนุสัย นอนเนื่อง คนเราไม่สามารถดึงจิตเหล่านี้มาใช้ได้

       เมื่อเราสามารถเรียนรู้ด้วยปรากฏการณ์วิทยา ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดนี้เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เช่นเราบอกว่าความสงบสยบความเคลื่อนไหว คนเขาไม่เชื่อ อาตมาก็พยายามพาทำ คนเราหากสงบพอสมควร สองอย่างมีเหตุผลหลักฐานมัดไม้มัดมือ อย่างที่คนเราทุกวันนี้ที่ “ง่านโด้” คือคำว่าโง่ผนวกกับคำว่าด้าน ง่านคือความโง่ยกกำลังด้าน ส่วนโด้คือ ด้านยกกำลังโง่ พวกดื้อตาใส นี่ล่ะคือโง่ยกกำลังด้านคือง่าน

       เราต่อสู้ด้วยอุตสาหอดทน ใจเย็น ขนาดนั้นก็มียั้งไม่อยู่บ้าง เป็นไปตามธรรมชาติ พอเราทำมาถึงทุกวันนี้ ก็มีผู้รู้เพิ่มขึ้น แต่ก่อนอาตมาก็เสอน มาตรา 3 มาตรา 7 แต่มันเป็นความจริง จนเกิดปรากฏการณ์ทุกวันนี้ นักรัฐศาสตร์นิติศาสตร์ก็เร่ิมรู้ว่าเป็นไปได้นะ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ Neo politics

       เรื่องประชาชนปฏิวัติโดยไม่มีอาวุธ แต่ใช้ปุญญาวุธ ใช้อาวุธที่ลึกซึ้ง คนก็จำนนต่อความจริง แม้เป็นนามธรรม จึงเกิดการพัฒนาการมาถึงบัดนี้ ฝ่ายที่เขาละเมิดหยาบ หยาม เพ่ิมขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้ครบองค์ประกอบเงื่อนไขเห็นชัดเจน

       เมื่อประชาชนมาทวงอำนาจคืน ในมาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       ดูข้อมูลจากสื่อสาร ที่เป็นนักคิดนักเขียนบทความต่างๆแล้ว แต่ละคนก็แสดงออก แพร่หลายไปเร็ว ขอยกตัวอย่าง ของไทยโพสต์...คอลัมน์: ทรรศนะ: เมื่อมีมืด...ย่อมมีสว่าง!!!

ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์

(1)อาจด้วยเหตุที่ล้างมือจากวงการยุทธจักรมานานแล้ว ได้แต่สังเกตการณ์ทางการเมืองอยู่ห่างๆ เลยแทบไม่ได้สนใจว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ ในยกนั้น ยกนี้ หรือยกไหนๆ ระหว่างรัฐบาลดื้อตาใสกับมวลมหาประชาชนนับล้านๆ ที่ยื้อกันไปยื้อกันมาร่วมเดือนเข้าไปแล้ว...

(2)แต่สิ่งที่กลายเป็นแรงดึงดูดให้ต้องจับจ้องด้วยความตื่นเต้ลล์ล์ล์ น่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ เห็นจะเป็นปรากฏการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่อุบัติขึ้นมาท่ามกลางการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนนับเป็นล้านๆ ซึ่งพร้อมใจกันลุกฮือขึ้นมาในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าที่ถนนราชดำเนิน สะพานมัฆวาน กระทรวงการคลัง ถนนแจ้งวัฒนะ ตลอดไปจนศาลากลางจังหวัดทั่วทั้งประเทศ...ฯลฯ

(3)เพราะไม่เพียงแต่จำนวน ปริมาณ ที่ไม่ว่าจะนับคำนวณกันโดยสายตาคร่าวๆ หรือกำหนดอัตราส่วนระหว่างพื้นที่กับจำนวนบุคคลในความจุนับกันเป็นตารางเมตรๆ ล้วนแล้วแต่เกินล้านไปด้วยกันทั้งนั้น ส่วนจะเป็น 1 ล้าน กับอีก 9 แสนกว่าคน หรือ 2 ล้านขึ้นไป ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ถือเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของการชุมนุมทางการเมือง ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทยเอาเลยก็ว่าได้ และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือว่า บรรดาผู้คนนับล้านๆ ที่เข้ามาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้คนกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง พรรคใด พรรคหนึ่ง หรือฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชนิดแทบทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาวิชาชีพ จนอาจถือเป็นภาพสะท้อนของ ปวงชนชาวไทย ได้ไม่ยากนัก...

(4)คือไม่ได้มีแต่เฉพาะสตรีและคนชรา หน้าเก่าๆ หน้าเดิมๆ เหมือนอย่างที่เคยถูกตำรวจไล่ทุบ ไล่กระทืบ มาโดยตลอด แต่เต็มไปด้วยนักเรียน นิสิต นักศึกษา ไล่มาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม มัธยม อาชีวะ ไปยันถึงครูบาอาจารย์แทบทุกสถาบันการศึกษา เต็มไปด้วยพ่อค้า นักธุรกิจ ข้าราชการทั้งที่เกษียณแล้วและยังไม่เกษียณ ไปจนถึงดารา นักร้อง นักแสดง ศิลปิน ตัวตลก แถมด้วยชาวนา กรรมกร ฯลฯ หลั่งไหลมาสมทบจนเนืองแน่นไปทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ไม่สามารถแยกเพศ แยกวัย หรือแยกชนชั้นใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเรียกว่าไพร่ ว่าอำมาตย์ ว่าไฮโซ ไฮซ้อ ชนชั้นกลางเก่า หรือกลางใหม่ คนเหนือ คนใต้ คนอีสาน ฯลฯ ต่างไหลมารวมกันเป็นมวลมหาประชาชนได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ...

(5)แถมยังไม่ปรากฏภาพการแจกเงินกันสดๆ แบบที่เห็นในคลิปมวลชนผู้ซึ่งถูกระดม ถูกกะเกณฑ์ มาที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถานเอาเลยแม้แต่นิด เรียกว่า...มากันด้วยใจ ด้วยอารมณ์ความรู้สึกในแบบเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งในช่วงที่จะต้องฝ่าดงกระสุน แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำผสมสารเคมี ด้วยมือเปล่า เท้าเปล่า ถ้าหากไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ใจ ซะอย่าง ป่านนี้...ไม่ว่าใครก็ใคร คงหนีไม่พ้นต้องเก็บฉาก ยกระดับการชุมนุมไปสู่การกลับไปบ้านใคร-บ้านมันไปนานแล้ว และเมื่อมองให้ลึกลงไปอีก ว่าสิ่งที่เรียกว่า ใจ นั้นมันมีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง ถ้าจะสรุปให้สั้นๆ ง่ายๆ ขึ้นมาหน่อย คงต้องตอบว่า แต่ละสิ่งแต่ละอย่างมันล้วนเกี่ยวข้องกับความดี ความงาม ความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความมีคุณธรรม ความมีศีล มีธรรม ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

(6)ยิ่งเมื่อบรรดา ใจ ที่ใฝ่หาสิ่งเหล่านี้...ต่างพร้อมที่จะไหลไปรวมกัน ณ ที่ถนนราชดำเนิน กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ ในช่วงวาระการเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา ชนิดแน่นขนัดไปทุกๆ พื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่สนามหลวง อันเป็นสถานที่ประกอบ พิธีกรรม ของรัฐบาล โหรงเหรง โล่งโจ้ง อย่างเห็นได้ชัดเจน ปรากฏการณ์การยื้อกันไป ยื้อกันมา ระหว่างมวลมหาประชาชนกับรัฐบาลดื้อตาใส จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการเผชิญหน้าระหว่าง ฝ่ายธรรมะ กับ ฝ่ายอธรรม ยังไงยังงั้น...

(7)ด้วยเหตุนี้...จึงแทบไม่ต้องเสียเวลาไปสนใจว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ กันในตอนไหน เมื่อไหร่ เพราะเพียงแค่ได้เห็นภาพผู้คนนับเป็นล้านๆ หันมาให้ความสนใจต่อความดี ความมีคุณธรรม ความถูกต้อง เป็นธรรม กันอย่างแน่นขนัด เนืองนอง เช่นนี้ ไม่ว่าใครแพ้ ใครชนะ คงต้องสรุปว่า...ประเทศไทยชนะแล้ว!!! ชนะกิเลส อวิชชา ชนะความโกหก หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ชนะอำนาจเงิน อำนาจรัฐที่ไม่ถูกไม่ต้อง ไม่ต่างอะไรไปจากความสว่างที่กำลังเอาชนะความมืดลงไปทุกทีๆ นั่นเอง ส่วนรัฐบาล หรือใครก็ตามที่สนับสนุนรัฐบาลนั้น น่าจะ กระจอก เกินไปกว่าที่จะพูดถึง เพราะเมื่อไหร่ที่ความสว่างได้เข้ามาแทนที่ความมืดอย่างเบ็ดเสร็จ สมบูรณ์แล้ว มันคงแทบไม่ต้องเสียเวลาไปอธิบายว่าอะไรน่าเกลียด น่าชัง น่าอัปลักษณ์ น่าทุเรศ ทุรัง เพราะความสว่างมันจะสาดส่องให้เห็นว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรจริง อะไรเท็จ ได้ด้วยตัวของมันเอง...นั่นแล...

       อีกคอลัมน์หนึ่งเรื่อง....ปฏิบัติการทวงคืนอำนาจ ถึงโค้งสุดท้ายวัดใจ ‘รบ.ปู’

 แม้จะสามารถรักษาอำนาจตัวเองโดยอ้างความชอบธรรมที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ได้

    แม้จะสามารถยืนหยัดด้วยกลไกในมือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติที่มีอยู่อย่างล้นพ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลเอาไว้ได้

    แม้จะใช้เครื่องมือและสรรพกำลังต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) บุกเข้ายึดสถานที่ราชการ และหน่วยงานต่างๆ เอาไว้ได้

    และแม้จะใช้ “ยุทธศาสตร์” และ “ยุทธวิธี” ทางการเมืองแก้เกมของฝั่งตรงข้ามเพื่อประคองตัวให้อยู่คานอำนาจให้นานที่สุดเอาไว้ได้

    แต่ย่างก้าวของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยขวากหนามสารพัดที่ทำให้การบริหารประเทศไม่สะดวกโยธินตามครรลองที่ควรจะเป็นอีกแล้ว เนื่องด้วยเพราะปรากฏการณ์ “มวลมหาประชาชน” วันนี้ ได้ขยายเป็นวงกว้างทุกหย่อมหญ้าและทุกภาคส่วน 

    ความไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาลเลิกกระจุกตัวอยู่เพียงแค่กลุ่มคนไม่กี่คน หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่ลุกลามอยู่ในทั่วทุกแห่งของประเทศไทย

    ตามสภาพความเป็นจริงที่ออกมานับตั้งแต่เกิดการรวมตัวคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย เรื่อยมาจนพัฒนาการไปตามลำดับมาเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. การทุจริตโครงการต่างๆ และการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

    ย่อมสะท้อนความเป็นไปบนสังคม ณ ขณะนี้ได้ชัดว่า มีประชาชนจำนวนมหาศาลที่ไม่พอใจ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ที่มักอ้างตนว่า เป็นรัฐบาลที่มาจากระบอบประชาธิปไตย และกล้าที่จะลุกออกมาตะโกนถึงสิทธิ์ในความเป็นประชาชนคนไทย

    ปฏิกิริยา “มวลมหาประชาชน” บนความอัดอั้นต่อการบริหารประเทศ กำลังจะเป็นอาวุธให้ความชอบธรรมที่รัฐบาลแอบอ้างหมดความชอบธรรมด้วยการปฏิวัติของสังคม

    ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นนับจากมี “กปปส.” ภายใต้การนำของ “กำนันสุเทพ” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และแนวร่วมก่อตัวขึ้นมา

    “ข้าราชการ” ที่เคยถูกมองว่า โดนฝ่ายการเมืองแทรกแซงและครอบงำอยู่ทุกอณู จนไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้อีกต่อไป กลับขยับเขยื้อนตัวออกมาให้เห็นว่า พวกเขาที่ไม่เอา “ระบอบทักษิณ” มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ถูกกลืนกิน

    เห็นได้จากภาพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้น้อยหลายคนที่พร้อมใจกันคล้องนกหวีด ชูธงชาติ อ้าแขนรับ “ม็อบ กปปส.” ทั้งที่กำลังจะยกพลไปยึดสถานที่ทำงานของตัวเอง

    เป็นการแสดงตัวที่ไม่เกรงกลัวว่า จะมีผลกระทบอะไรตามมา และทั้งที่ไม่รู้เลยว่า หากปฏิบัติการ “ปฏิวัติประชาชน” รอบนี้ไม่สำเร็จ ข้าราชการน้ำดีเหล่านี้จะต้องได้รับการตอบสนองอย่างไรจากฝ่ายผู้ถืออำนาจ

    แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตภายภาคหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่นอนแล้วจากปรากฏการณ์ข้าราชการอันเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบราชการออกมาต่อสู้ ย่อมจะส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลตามอำเภอใจไม่ง่ายอีกต่อไป

    แม้จะยังไปต่อได้ แต่จะทำเหมือนเดิมคงลำบาก

        ขณะที่สังคมโดยรวมวันนี้แจ่มชัดแล้วว่า “ไทยไม่เฉย” ได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในทุกๆ ที่ และพร้อมจะแสดงพลังให้รัฐบาลเห็นว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่พึงประสงค์ฝ่ายบริหารที่หมดความชอบธรรม รวมทั้งพร้อมขัดขวางและแสดงออกในทุกครั้งที่มีโอกาส

    เหมือนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา คนไทยจำนวนมากเลือกที่จะไปจุดเทียนชัยถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เวทีศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ และเวทีกระทรวงการคลังอย่างเนืองแน่น ต่างจากท้องสนามหลวงที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าภาพนั้นดูบางตาไปเยอะหากเทียบกับทุกๆ ปี

    และเป็นการตอกย้ำภาพ “มวลมหาประชาชน” เรือนล้าน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาด้วยว่า ออกมาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อแสดงพลังส่งถึงรัฐบาลโดยตรง มิได้ถูกจัดตั้งอย่างที่มีการตั้งข้อสังเกต

    เป็นอีกหนึ่งจุดที่ทำให้เริ่มเห็นทิศทางต่อจากนี้ว่า รัฐบาลอาจไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีอีกต่อไป

    เพราะต้องอย่าลืมว่า วันนี้แม้รัฐบาลจะสามารถบริหารประเทศต่อไปได้ โดยอาจอ้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศได้ในทาง “นิตินัย” เนื่องจากคดีความต่างๆ ยังไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะปมแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ของ 312 ส.ส. และ ส.ว. ที่ถูกส่งต่อไปอยู่ในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ยังอยู่ระหว่างไต่สวน

    แต่กับในทาง “พฤตินัย” แล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนตั้งแต่วันที่องคาพยพของรัฐบาลประกาศไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสาค้ำยันในอำนาจ 3 ฝ่ายตามระบอบประชาธิปไตย

    โดยตามหลักแล้วการปฏิเสธอำนาจดังกล่าวถือเป็นการละเลยกติกาของประเทศที่แจ่มชัด ดังที่ “สภาทนายความ” ออกแถลงการณ์ระบุว่า

    “หลักการของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และทรงใช้พระราชอำนาจทั้งทางบริหารผ่านรัฐบาล ทางนิติบัญญัติผ่านรัฐสภา และทางตุลาการผ่านศาลนี้เป็นความสมดุลที่สอดคล้องกัน การที่มีกลุ่มบุคคล สมาชิกพรรคการเมือง รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาทั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการไม่ชอบของการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา หรือรัฐมนตรีที่ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม การแสดงออกต่อสาธารณะถึงการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับเป็นการปฏิเสธพระราชอำนาจในทางตุลาการ ทั้งหากมีการกระทำดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่โดยที่ผู้กระทำยังมิได้รู้สำนึก”

    และยังรวมถึงการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ทั้งที่มีการท้วงติงและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

    นอกจากนี้ยังมีการผลักดันกฎหมายที่ทำลายหลักนิติรัฐและนิติธรรมอย่างร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย จนสุดท้ายต้องถอยร่นออกไป แต่กลับไม่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลย

    จุดนี้เองที่จะส่งผลกระทบโดยตรงในการทำงาน เพราะเมื่อไม่ได้รับการตอบรับและความร่วมมือที่ดีจากประชาชน ย่อมนำมาสู่ปลายทางของ “รัฐที่ล้มเหลว” ในเวลาอันใกล้

    เมื่อสัญญาณถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะนี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการทำอะไรสักอย่างเพื่อปลดชนวนความขัดแย้ง

    และทางออกของเรื่องนี้มีมากกว่าหนึ่งทางหากตั้งใจจะทำจริงๆ มากกว่าประวิงเวลาและประวิงอำนาจ

    ส่วนเรื่อง “นายกฯ ม.7” หรือ “สภาประชาชน” ที่รัฐบาลอ้างว่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย พร้อมด้วยสารพัดเหตุผลและแหล่งอ้างอิงนั้น เอาเข้าจริงสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคทั้งสิ้น

    ปัญหาคือ รัฐบาลพร้อมจะให้ความร่วมมือและเต็มใจทำหรือไม่ต่างหาก

        โดยเฉพาะวันที่ 9 ธันวาคมนี้ที่ “กปปส.” ประกาศจะต่อสู้หมดหน้าตักให้รู้แพ้-ชนะ โดยขอให้ประชาชนออกมาเป็นล้านๆ เคลื่อนไหวทั่วประเทศเพื่อแสดงพลังทวงคืนอำนาจจากรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่การปฏิวัติโดยใช้กำลังทหาร

    จึงเป็นครั้งสำคัญที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องสดับและควรจะต้องมีท่าทีอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเสียงดังกล่าว เพราะเป็นเสมือนเจตจำนงของประชาชนที่ลุกขึ้นมาแล้ว

    แต่ในตรงกันข้าม หากรัฐบาลยังดันทุรังบริหารประเทศทั้งที่สภาพสังคมเป็นอย่างนี้ โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายและความสูญเสียต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ.

 

       อีกอันหนึ่งคือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับคดีพรบ.ที่มาของสส.สว. บางส่วนว่าไว้ว่า...

       อย่างไรก็ดี ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลย หรือใช้อำนาจอำเภอใจ กดขี่ ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อย โดยไม่ฟังเหตุผล และขาดหลักประกัน จนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หากแต่จะกลับกลายเป็นระบอบเผด็จการฝ่ายข้างมาก ขัดแย้งต่อระบอบการปกครองของประเทศอย่างชัดแจ้ง ซึ่งหลักการพื้นฐานสำคัญนี้ ได้รับการยืนยันมาโดยตลอดว่า กรณีต้องมีมาตรการในการป้องกันการใช้อำนาจบิดเบือน หรืออำนาจอำเภอใจของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่เข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน โดยให้ตั้งมั่นอยู่บนหลักการ แบ่งการ แยกการใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจของปวงชนชาวไทย เพื่อให้แต่ละองค์กร หรือสถาบันการเมืองที่ใช้อำนาจดังกล่าวอยู่ อยู่ในสถานะที่จะตรวจสอบ และถ่วงดุล เพื่อทัดทานและคานอำนาจซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะสม มิใช่แบ่งแยกให้เป็นพื้นที่อิสระของแต่ละฝ่าย ที่จะใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไรก็ได้ เพราะหากปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยปราศจากการตรวจสอบและถ่วงดุลแล้ว ย่อมเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหาย และนำพาประเทศชาติให้เกิดเสื่อมโทรมลง เพราะความผิดหลงและมัวเมาในอำนาจของผู้ถืออำนาจรัฐ ซึ่งในการนี้ อาจกล่าวได้ว่า องค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือศาล ล้วนถูกจัดตั้งขึ้น หรือได้รับมอบอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

 

ดังนั้น การใช้อำนาจขององค์กรเหล่านี้จึงต้องถูกจำกัดการใช้อำนาจ ทั้งในด้านรูปแบบ และเนื้อหา จึงมีผลให้การใช้อำนาจขององค์กรทั้งหลายเหล่านี้ ไม่สามารถที่จะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ โดยเหตุนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2550 จึงได้นำหลักนิติธรรมมากำกับการใช้อำนาจของทุกฝ่าย ทุกองค์กร และทุกหน่วยงานของรัฐบาล ภายใต้หลักการที่ว่า นอกจากการใช้อำนาจตามบทกฎหมายที่มีอยู่ทั่วไปแล้ว ยังจะต้องใช้อำนาจ และปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามหลักนิติธรรม กรณีนี้จึงใช้การปฏิบัติตามบทกฎหมาย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือหลักเสียงข้างมากแต่เพียงเท่านั้น หากจะต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรมควบคู่กันไปด้วย

 

การอ้างหลักเสียงข้างมาก โดยที่มิได้คำนึงถึงเสียงข้างน้อย เพื่อหยิบยกมาใช้อำนาจอำเภอใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของผู้ใช้อำนาจท่ามกลางความซับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน หรือกลุ่มบุคคล กับผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความสงบสุขของประชาชนโดยรวม และการใดก็ตามที่จะนำมาซึ่งนำไปสู่ความเสียหาย และความเสื่อมโทรมของประเทศชาติ หรือการวิวาทบาดหมาง แยกแตกสามัคคีกันอย่างรุนแรงระหว่างประชาชน การนั้นย่อมขัดต่อหลักนิติธรรมตามมาตรา 3 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ซึ่งหมายถึงรัฐธรรมนูญนี้ ตามนัยมาตรา 68 นั่นเอง การใช้กฎหมาย และการใช้อำนาจทุกกรณีต้องเป็นไปโดยสุจริต จะใช้โดยทุจริต ฉ้อฉล มีประโยชน์ทับซ้อน หรือวาระซ่อนเร้นมิได้ เพราะมิฉะนั้นจะทำให้บรรดาสุจริตชนคนส่วนใหญ่ของประเทศอาจสูญเสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ให้ไปตกอยู่แก่บุคคล หรือคณะบุคคลผู้ใช้อำนาจ โดยปราศจากความชอบธรรม หลักนิติธรรม หรือเป็นแนวทางในการปกครองที่มาจากหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ อันเป็นความเป็นธรรมที่บริสุทธิ์ ปราศจากอคติ โดยไม่มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้อง และแอบแฝง หลักนิติธรรมจึงเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของกฎหมายที่อยู่เหนือบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งรัฐสภาก็ดี คณะรัฐมนตรีก็ดี ศาลก็ดี รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐก็ดี จะต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

 

       พ่อครูว่า....ถ้าไม่มีบัญญัติไว้ในรธน.นี้ทำไม่ได้ แต่ถ้าเป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน.ก็ย่อมทำได้ เช่นต่อต้านโดยสันติวิธี ในมาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       อีกอันหนึ่งของ ศ.ธนินทร์ ไกรวิเชียร แสดงปาฐกถาพิเศษ ว่าจงยึดมั่นในความยุติธรรม โดยกล่าวถึงพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสไว้ว่า...ความยุติธรรมนี่คือทำอะไรที่ให้ถูกต้องตามธรรมะ คือยุติธรรม ถ้าฟังดูก็ยุติในธรรม ยุติในความดีความถูกต้องของผู้พิพากษษ โดยเฉพาะผู้พิพากษาสูงสุด ต้องรักษาความดีความถูกต้อง ถ้าท่านได้รักษาไว้ตามปฏิญาณตนนี้ ก็เชื่อว่าความสุขสงบก็จะเกิดขึ้น ถ้าผู้รักษาความยุติธรรมไม่รักษาความยุติธรรม ประเทศชาติก็จะวุ่นวาย ความยุติธรรม คือมีเหตุผล มีความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้องในสังคม ทรงชี้แนะว่าในกรณีที่กฏหมายขัดแย้งกับความยุติธรรม นั้น ความยุติธรรมต้องมาก่อน กฏหมายเป็นเพีียงเครื่องมือในการรักาษตความยุติธรรม จึงไม่มีความสำคัญไปย่ิงหว่าความยุติธรรม จะถือว่าความยุติธรรมนั้นมาก่อนกฏหมายและอยู่เหนือกฏหมาย เรื่องนี้พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม กฏหมายเป็นเพียงปัจจัยในการรักษาความยุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลักกฏหมายธรรมชาติ

       พ่อครูว่า...ประเทศไทยเราทุกวันนี้ เราใช้การตัดสินลึกถึงยุติธรรม และนิติธรรม  ซึ่งคำว่าธรรมะไม่มีในภาษาอังกฤษ เขาก็ใช้คำทับศัพท์ว่า Dharma  ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมมีจิตสงบนั้นไม่ใช่แค่สงบนิ่งไม่คิดไม่ไหวติง แต่ว่าคือจิตหมดกิเลส และมีสมรรถนะรู้ทันโลก เพราะจิตตนสะอาดใส รู้ว่ามีกิเลสร่วมหรือไม่ จึงทำงานกับสังคมอย่างอนุโลมปฏิโลมได้ มีโลกุตระ โลกวิทู โลกานุกัมปายะหรือว่า พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) โดยไม่เห็นแก่ตัว ลดละตัวตน ไม่มีกิเลสที่จะนำมาบำเรอตนเลย มีปัจจัย 4 และบริขารที่จะทำงาน ทำงานได้มากก็ไม่หอบหามหวงแหน ทำให้แก่ส่วนกลาง เพื่อให้สังคม ไม่ได้ทำเพื่อสะสมกอบโกยแก่ตนเอง เรามีสมรรถนะมาก็ทำงานมาก มันดีกว่าทำน้อยนะ ทำดีมากก็ดีกว่าทำดีน้อย แล้วทำไปก็จะมีความสามารถเพ่ิมขึ้นอีก อย่างทำส้วมก็ทำไปแล้วก็ต้องมาเก็บขี้อีก  

       การมาประท้วงนี่เรื่องกินไม่ค่อยลำบาก ช่วยกันได้ง่ายกว่าเรื่องขี้ เป็นเรื่องยากกว่า แต่คนของเราก็เก่งขึ้น ค่อยรู้วิธีแนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ เป็นความเจริญ เราไม่ได้ทำเอาเงินทองด้วย อย่างเต๊นท์นี่ช่วยกันทำหนักหนา ก็ทำไป เราไม่มีตังค์ด้วย เราก็เลยต้องทำเอง ระบบของเราเป็นระบบคนจน อาตมาไม่สอนให้ไปรวย พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ให้ไปรวย เราเอาความรู้สามารถ กับขยันสร้าง เรามีสมรรถนะกับความขยันไม่มีวันอดตาย ไม่เกี่ยงไม่เห็นแก่ตัว การเสียสละคือคุณค่าของมนุษย์ คุณรังเกียจอะไรกับตนเองที่มีคุณค่าต่อมนุษยชาติ เป็นกุศล สั่งสมใส่อัตภาพไป

       ทุกศาสนามีอัตภาพ พุทธก็อยู่กับคุณงามความดี และสุดท้ายพุทธสลายอัตภาพได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ หรือจะไม่ปรินิพพานเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ก็ได้

       น้ำนี่คือH2O แต่คนที่มีความสามารถแตกสลายธาตุน้ำก็จะกลายเป็น Hกับ O คือไฮโดรเจนกับออกซิเจนไม่มีน้ำเลย นี่เปรียบกับจิตนะ ผู้เป็นอรหันต์แล้วสลายธาตุกิเลสได้ แต่จิตก็ยังอยู่ มีโลกุตรจิต (อยู่เหนือโลก) มีโลกวิทู(รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ(ช่วยเหลือโลก)

       คุณธรรมของมนุษย์ที่เรียกว่า อาริยธรรม พุทธสอนให้มีคุณธรรมแล้วอยู่กับโลก รู้จักโลก เลิกจากความติดยึดในโลกได้ สูงขึ้นไปตามลำดับ แต่ละระดับกินเวลานานมาก เพราะชีวิตของคนเรา 100 ปีนี้สั้นมาก สวรรค์หรือความสุขนั้นเร็วมาก แวบเดียว แต่นรกนั้นยาวนานมาก หนึ่งนาทีของนรกนี้นานมาก เมื่อเทียบกับสวรรค์

       คุณธรรมของเทวดาหรืออาริยธรรมมี 7 ข้อคือ ศรัทธา  ศีล  หิริ โอตตัปปะ พหูสูตร จาคะ ปัญญา

       ในทศพิศราชธรรม ก็มีศีลด้วยในข้อที่ 2 ศีลเบื้องต้นคือศีล 5 เป็นฆราวาส มีผัวเมียได้ กิเลสก็ปฏิบัติไปตามภูมิ ศีลก็มีระดับจากต่ำไปสูงเรื่อยๆ

       คนที่ทำผิดแล้วไม่ละอายต่อความผิดบาป ไม่ใช่เทวดาไม่ใช่สัตว์ประเสริฐ แต่เป็นคนชั่ว

       ศรัทธาในธรรมะศรัทธาในศีล ศีลเบื้องต้นของพุทธคือศีล 5 จิตวิญญาณไม่ฆ่าสัตว์ จิตวิญญาณไม่เอาของใคร ข้อ3 ก็มีกามในกามคุณ มีผัวเดียวเมียเดียวไม่นอกใจ ข้อ 4 ไม่พูดปดอาจมีพูดแรงบ้าง หยาบบ้างแต่ไม่ปด ข้อ5 ไม่เสพติดหยาบต่ำ เช่นอบายมุข กามจัดจ้าน ลาภใหญ่โตไม่เอาแล้ว โสดาบันมีศีล 5 บริสุทธิ์ ไม่มัวเมาในสุรา(เมาหยาบ)

       หิริ คือรู้ว่าอะไรผิดอะไรชั่ว จะเกรงต่อความผิดบาป ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นมีความจำเป็นจะต้องโลภ ต้องเอาส่ิงนี้มาให้แก่ตน บางทีก็ต้องจำเป็น แต่คนที่ไม่มีความจำเป็นแล้ว จิตมันเห็นว่าไปทำอย่างนั้นมันผิดมันบาปเขาก็จะไม่ทำ ส่วนโอตตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป จะไม่ทำจริงๆ เป็นคุณธรรมสูงกว่าหิริ อย่างหิรินี่อาจทำชั่วลับหลังได้ เพราะอาย แต่ถ้าถึงโอตตัปปะนั้นลับหลังก็ไม่ทำ เพราะทำแล้วสั่งสมเป็นวิบาก กิเลสอ้วน ถ้ารู้สัจจะแล้วต่อหน้าลับหลังก็ไม่ทำ คนทำความจริงเหล่านี้ได้ถึงเป็นพหูสูตร ไม่ใช่ว่าพหูสูตรคือผู้รู้มากเรียนมาก แต่ไม่ได้มรรคผล

        ในศรัทธา 10 จะมี

1.     ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.    ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.    พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) 

4.    เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.     เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) 

6.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.    ทรงวินัย

8.     อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)

9.     ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.   ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

       โสดาบันก็เป็นพหูสูตรระดับต้น สกิทาฯก็คือพหูสูตระดับสอง แล้วสูงไปเรื่อยๆ ตามลำดับ ทำคุณอันสมควรก่อนค่อยพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง เมื่อมีความจริงก็จะแกล้วกล้าอาจหาญขึ้น แสดงธรรมแก่บริษัท แล้วจะทรงวินัย ….จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:41:54 )

561210

รายละเอียด

561210_พ่อครูที่เวทีประตู 5 ทำเนียบ

เรื่อง รัฐาธิปัตย์เป็นของประชาชนตลอดกาล

 

       วันนี้เป็นวันแรกที่ กปปส. ทำการหลังจากได้ประกาศทวงคืนอำนาจรัฐไปเมื่อคืนวาน ทางเวทีกปท.และกองทัพธรรมได้ย้ายมาที่ประตู 5 หน้ากระทรวงศึกษาธิการ

       พ่อครูว่า...เจริญธรรยังครึกครื้นรื่นเริงกันดีอยู่ก็เข้าท่าดี น่าปลื้มใจให้แก่ประเทศไทยที่มีประชากรมีคุณภาพเช่นนี้ ไม่ได้พูดอย่างป้อยอ แต่พูดด้วยความจริงที่ปรากฏ เป็นความมหัศจรรย์ของโลกมนุษย์ที่มีคนออกมาต่อสู้ กันเพื่อจัดการฝ่ายหนึ่งให้ลง ซึ่งเป็นการยึดมั่นถือมั่นอย่างสำคัญเลยทีเดียว จนอาตมาต้องบัญญัติคำสองคำ ว่า “ง่าน” กับคำว่า  “โด้” คำว่าง่านคือ โง่ยกกำลังด้าน ส่วนคำว่า โด้ คือด้านยำกำลังโง่ ง่ายๆไม่ได้เข้าใจยากแต่เข้าใจได้ชัด คือโง่จนสุดด้าน ด้านจนสุดโง่ เลยทีเดียว

       วันนี้จะพยายามสาธยายเรื่องเดิม เรื่องซ้ำซาก เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง....เป็นเรื่องที่ใหม่แปลกมาก จนเขานึกว่า อย่างนี้มีด้วยหรือ ที่จะมาปฏิวัติด้วยความสงบ ไม่มีปืนมีรถถังมาข่มเบ่งอะไร ดูท่าทีกระจอกๆ ไม่ทำร้ายใคร สงบ แล้วเราพยายามใช้ความจริงความถูกต้อง พยายามอธิบายให้คนเข้าใจ เป็นเรื่องระดับโลกุตระ

       ธรรมดาโลกีย์เอาชนะกันด้วยอำนาจข่มเบ่ง เขี้ยว งา กล้ามเนื้อ แต่พอมาเป็นคนก็ยังติดใช้อำนาจแบบสัตว์ที่ไม่เจริญ จนพัฒนามาก็รู้ว่าคนเราไม่ต้องไปฆ่าแกงกัน ไม่น่าจะไปทำให้เจ็บตัว ให้ยอมแพ้ จนกระทั่งไม่ไปข่มด้วยอย่างใด แต่ชนะแพ้กันด้วยความดีงาม ผู้มีความดีงามก็ต้องชนะ หรือผู้มีความดีงามคุณภาพด้อยกว่า ก็ควรให้แพ้ ก็มีปฏิภาณ รู้กันมาเรื่อยๆจนทำได้ผล

       คนที่เข้าใจด้วยปัญญาแบบนี้ก็ยอม เพราะว่าเขาถูกต้องกว่า ดีกว่า ยอมแพ้เถอะ ก็เกิดความเจริญ เป็นโลกศิวิไลซ์ ทั้งโลกเข้าใจกันมา คนไทยเราก็ได้เข้าใจ ได้แสดงตัว ความจริงออกมาคราวนี้ที่เราได้พยายามออกมาประท้วง มีการปะทะ พวกเราก็มีเลือดเก่า มีการตอบโต้ปะทะบ้าง แต่โดยค่ารวมประเทศไทยเข้าใจทั้งสองฝ่าย ว่าไม่ควรรุนแรง อาตมาพาออกมาประท้วงมา เรื่อยๆ

       ตั้งแต่แรกก็มีตายกันเยอะ ก็ลดลงๆ จนมาบัดนี้ โดยเฉพาะกลุ่มพวกเราโดยตรงที่พามาทำงาน ไม่มีการตายเลย ที่ตายนี้นอกออกไป ไม่ใช่เรื่องโดยตรงของเรา เป็นลูกหลงออกไป แต่โดยตรงไม่มีตาย ก็มีปะทะกันบ้าง แม้ต่อสู้กับตำรวจก็เจ็บกันบ้าง

       แต่มีการก้าวหน้า มีปัญญาพัฒนาการ จนมาถึงวานนี้ จนถึงวันนี้ เขาก็ลดลง ลดการดึงดัน แต่ก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ลดลงๆๆ เป็นการชนะด้วยที่อาตมาพยายามอธิบายคำว่า Force และ Authority ใช้อธิบาย

       ถ้า Force เป็นอำนาจกดดันบังคับ แต่  Authority เป็นการชนะอย่างใช้คุณธรรมความดี ไม่กดดันบังคับ

       พลังอำนาจแบบ Authorityที่เจริญมาถึงวันนี้ทำให้อีกฝ่ายลดลงๆ แม้แต่นายกฯปู ขอลดลง แต่ก่อนบอกว่าไม่ขอยุบสภา ไม่ขอลาออก แต่ตอนนี้ก็ขอยุบสภา ก็ไม่มีสส.แล้ว ไม่มีตัวแทนแล้ว แต่ยังรักษาการณ์อยู่ ก็มีอำนาจของรมต.ของนายกฯอยู่บ้างทำตามรธน. รักษาการณ์

       เราชนะมาเป็นก้าวหน้ารายทาง เกิดปัญญาประชาชนก็รู้ พลังมหัศจรรย์ของเรา 5 ล้านคนนี่ต่างประเทศก็รู้แล้ว ไม่เหมือนที่อื่นที่ทำร้ายทำลายขว้างปากันด้วย โดยเฉพาะหน่วยกลางของพวกเรา ไม่ได้ไปทำส่ิงเหล่านั้นเลย ไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดเลย ที่เกิดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ต้องศึกษาเล่าเรียนโดยเฉพาะรัฐศาสตร์

       คำว่าอธิปไตย แปลว่าอำนาจ

       อำนาจเป็นของประชาชน โดยประเทศที่บริหารปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อำนาจเป็นของประชาชน อำนาจนี้ เรียกโดยภาษาชัดๆว่า “รัฐาธิปัตย์” คืออำนาจในรัฐ ก็ประชาชนทั้งหมดเป็นอำนาจ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ไม่มีลดทอน แม้จะเลือกคนไปเป็นตัวแทนทำงาน ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าปชชฯ​ นายกฯ1 คนก็มีอำนาจเท่ากับประชาชน ได้รับสิทธิ์ตาม มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

       มาตรา 5 (ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย)ประชาชนชาวไทยไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน

       ให้เข้าใจว่าสิทธิเสมอกัน แต่หน้าที่อาจต่างกัน ถ้าทำผิดหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ก็ผิดเพราะรับหน้าที่รับเงินเดือนแล้ว

       ขณะนี้ประชาชนมาแสดงอำนาจของตนเองตั้ง 5 ล้านคนต่อต้านต่อสู้กับอำนาจของนายกฯและรัฐบาลและรัฐสภา ที่ได้ทำหน้าที่มา 2 ปีแล้ว

       เหมือนเจ้าของบ้าน จ้างคนมาทำงานในบ้าน เมื่อเขาทำงานเสียหายมาก ตอนนี้เสียหายไป ห้าแสนกว่าล้าน ก่อนยุบสภาประชุมกัน

        1. ผลาญเงินภาษีประชาชนก่อนยุบสภาอย่างรีบร้อนคือประชุมมาราธอน 15 ชม.

       2.วาระประชุม 244 เรื่อง

       3.อนุมัติงบฯ 5 แสนกว่าล้านบาท ก่อนจะยุบสภา​

       4. เฉลี่ยพิจารณา 3 นาทีต่อ 1เรื่อง

       5. อนุมัติงบ 33,000 ล้านบาทต่อ 1 ชม.

       รีบร้อนอย่างนี้จะโปร่งใสหรือเปล่า มันเลวร้ายมากที่สุดเลย

       ประชาชนเลือกคนไปทำหน้าที่ตามกรอบหน้าที่ อภิบาลรัฐ ไม่ใช่เป็นรัฐาธิปัตย์ หรือรัฐประเทศ หรือรัฐชาติ เพราะฉะนั้น แม้เป็นนายกฯก็เป็นรัฐาธิปัตย์ไม่ได้ อำนาจนี้ไม่ใช่อำนาจที่ไปกดขี่ด้วยเรี่ยวแรงแบบเดรัจฉาน กดขี่ให้คนอื่นเขาสู้เรี่ยวแรงไม่ได้ สู้อาวุธไม่ได้ เราสู้อำนาจนี้ไม่ได้แล้วก็ยอมแพ้ อำนาจนี้เป็นสามัญ แต่มนุษย์เจริญใช้อำนาจความถูกผิด อำนาจแห่งความดีงาม เป็นมนุษย์ที่พัฒนาแล้ว คุณสมบัติอันนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งเรื่องใหม่เรื่องแปลกที่เราเอามาใช้ปฏิวัติ เป็นธรรมาวุธที่ให้คณะบริหารที่เขาทำผิดให้รู้ว่าคุณทำผิดพลาด แทนที่คุณจะไปทำประโยชน์ตามได้รับมอบหมายแต่คุณทำผิดหมดเลย

       เราออกมาประท้วงตั้งแต่ต้น เราจะต่อสู้ด้วย ตุลาการณ์ภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์

       ตุลาการเป็นผู้ตัดสินถูกผิด รัฐถ้าทำผิดแล้วตุลาการก็จะตัดสิน ที่เคยทำมาก็ได้ตัดสินไปหลายครั้ง ก็ทำถูกเพราะต้องรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ ตามรธน.ระบุไว้ เขาก็ว่ายังไม่เด็ดขาด ตุลาการภิวัฒน์ไม่เด็ดขาด แต่มาครรั้งนี้เราจะชนะด้วยประชาภิวัฒน์​ ด้วยพลังของประชาชนไม่ใช่แต่ด้วยตุลาการอย่างเดียว ซึ่งตุลาการก็ต้องตัดสินด้วย หรือชี้มูล เช่นประชาชน ศาล อัยการ ก็ชี้ได้ ยังไม่พิพากษา แค่ชี้มูลก็ต้องระงับการทำงานไป ดังนี้เป็นต้น เดี๋ยววันที่ 12 นี้ก็คอยดู ก็จะมีตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์นี่แหละทำให้สังคมสงบสุข ไม่ใช่เอารถถัง หรือใช้ถังดับเพลิงแบบน้องกบนี่ก็ไม่เอา เอาการแพ้ชนะด้วยความถูกต้อง

       ดู มาตรา 68 (วรรคหนึ่ง) "บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตาม รัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอํานาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้ ... มิได้"

มาตรา 68 (วรรคสอง) "ในกรณีที่บุคคลหรือพรรคการเมืองใดกระทําการตามวรรคหนึ่ง ผู้ทราบการกระทําดังกล่าวย่อมมีสิทธิเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อ เท็จจริงและยื่นคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทํา ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนการดําเนินคดีอาญาต่อผูกระทําการดังกล่าว”

       พวกเรามาขออำนาจคือหรือไล่รัฐบาลออกไป เราทำถูกตามรธน.นี้ไหม ด้วยความสงบไหม ไม่มีอาวุธไหม? เราใช้สิทธิ์ตามรธน.

       เราไม่ได้มาแย่งอำนาจ แต่เรามาขอเปลี่ยน เราไม่ได้จะมาแก้รธน. เรามาขออำนาจคืน ที่เราเลือกคุณไปทำงาน 2 ปีแล้ว พูดไปก็สองไพเบี้ย นิ่งเสียประเทศไทย

       เราจะขออำนาจคืน จะมีการเลือกผู้แทนก็จะมีต่อไปในอนาคต เราไม่ได้มายึดอำนาจตลอดกาล หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เราจะแช่แข็งก็ไม่ใช่ว่าจะแช่ตลอดไป ก็แค่ 2 ปีเท่านั้น จัดการวางระบบระเบียบ เราทำอย่างสงบเรียบร้อยด้วย ไม่รุนแรง มีมากก็แค่หอกปากแหลมคม มุขสตี บางทีหอกทื่อ เจ็บๆเลย

       สรุป ม.68 เราปฏิบัติถูกต้องตามสิทธิเสรีภาพและเราทำถูกตาม มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

       เราออกมาประท้วงคือแบกอธิปัตย์ 1 คน 1เสียง ล้านคนล้านเสียง และ 5 ล้านคนนี้ไม่ใช่คณะบุคคลนะไม่ได้จดทะเบียนนะ แต่เป็นการรวมกันตามธรรมชาติ

       เมื่อ ม. 68 นี้เรามาใช้สิทธิเสรีภาพตาม ม. 63 ประท้วงอย่างสงบ และไม่ได้มาชิงอำนาจ ไปยึดการปกครอง แต่จะมาขออำนาจคืน แล้วจะมาจัดการ แม้จะใช้คำว่าแช่แข็งก็ตามแต่ก็หยุดชั่วคราวเพื่อจัดการ ตามมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประชาชนมอบถวายให้พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นหัวหน้าทรงใช้อำนาจผ่าน 3 สถาบัน เพื่อให้มีอำนาจคานกัน แต่นี่ฮั้วกันทำผิด แล้วตุลาการชี้ว่าผิด เขาก็รวมหัวกันบอกว่า ไม่เอา ไม่รับ ก็เกมสิ คุณผิดรธน.ใช้อำนาจผิด คุณหมดสิทธิ์แล้ว

       เรามาขออำนาจคืนจะเรียกโดยภาษาดุเดือดว่า ปฏิวัติก็ได้ ทุกทีเขาก็ใช้อำนาจรถถังปืนทำเขาก็ยอมเพราะกลัวตาย แต่ของเรานี่สวยงามมาก ใช้อำนาจตามรธน.นี้แม้เราจะแพ้เราก็ไม่ใช้กบฏ สมมุติว่ารบ.นี้หน้าด้าน ง่านโด้ ไม่ยอม เราก็แพ้ เราก็ไม่ใช่กบฏ เราไม่ได้ทำผิดรธน.ไม่ใช้อาวุธ จงอย่าตกอกตกใจเลย เราขอบคุณฝ่ายโน้นด้วยที่ไม่รุนแรง จากเคยทำคนตายคนบาดเจ็บ งวดนี้ต้องขอบคุณมากเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ เป็นการพัฒนาการเมืองไทยที่สำคัญทั้งสองฝ่าย

       เรามาใช้อำนาจ Authority ไม่Force จนมีประชาภิวัฒน์มาถึง 5 ล้านคนเลย แม้เขาจะกลบเกลื่อนตัวเองว่ามีไม่ถึงแสนคนหรอก แค่เก้าหมื่นคน ตำรวจเขานับอย่างไรกัน ให้มาบริหารประเทศได้อย่างไร นับเลจตกไปมาก หรือบางคนก็ว่าแสนกว่า ก็ผิดแล้ว

       ทำอย่าง โคไมนี่ใช้อำนาจศาสนาก็ยังมีคนตายเยอะ ฟิลิปปินส์ทหารมาช่วยก็ยังตายเยอะ ที่ซีเรียก็ทำมา จนมาถึงไทยเราทำมานี่สวยงามจริงๆ เป็นการปฏิวัติ หรือขออำนาจคืน เราไม่ได้มายึด แต่เราจะมาปฏิรูป แช่แข็งนักการเมืองเก่า จะเอาแบบใหม่ พอเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่ระบอบสามัญ มีการเลือกตั้ง เราไม่ได้จะมาไม่เอาเลือกตั้ง คุณตู่พวกเราแท้ๆ

       เราได้ผลชนะรายทาง ไม่ชนะสุดยอด ทางโน้นก็โต้ต้าน ในมาตรการณ์ที่จะทำต่อไป ก็จะมีต่อไป ก็ขอให้พลังของมวลประชาชนที่จะมาแสดงว่ายังมีมวลมากอยู่นะ เหมือนกำลังประชุมในสภา เป็นสภากลางถนน เป็นเครือแหเชื่อมโยงกันหมด ต่างจังหวัดก็มี ในกทม.ก็มี ในถ.ราชดำเนินหรือข้างเคียงก็มีเป้าหมายเหมือนกันหมดเลย

       ก็ขอให้เข้าใจว่า ที่เราทำนี้ถูกต้องดีงามงดงามและจะเป็นแบบใหม่ของโลก ถ้าเรายังมีมวลเป็นล้านเป็นล้าน เมื่อต้องการเมื่อไหร่ก็มา สองล้าน แปดล้าน เราก็จะชนะๆๆๆ อันนี้จะยืนยันเลยว่า ผมสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นอันนี้เป็นนัยการชนะที่ใหม่มาก และที่วิธีเขาจะชนะแบบเอาเงินเอาแรงชนะนั้นแบบเก่าโสโครก วิธีการนั้นเขาทำกันมานานแล้ว เดี๋ยวนี้ฉลาดเก่งโกงเงินจากรัฐ จึงจะมีเงินหมื่นล้านแสนล้าน แล้วก็เอาเงินมาซื้อแหลกเพื่อเบ่งอำนาจต่อ ควบคุมทั้งเงินและอำนาจ มีหายนะเข้มข้นมีฤทธิ์มากเยอะจริง เป็นอำนาจเสื่อมทรามแล้วเขาก็ทำโดยไม่ละอาย ท้วงชี้ผิดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับ

       เรามาทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่แก่สังคม เป็นการเมืองใหม่ ถ้างานนี้สำเร็จ ประชาชนปฏิวัติอย่างเรียบร้อยสวยงามไม่มีอาวุธ สันติ อหิงสา จะเป็นประวัติศาสตร์โลกเลย เป็นความน่าภูมิใจ เป็นธรรมรส น่าภูมิใจ

       ขอย้ำว่านี่คือจุดสำคัญ ผู้ใดที่เข้าใจก็ไปอธิบายเพื่อนๆให้เข้าใจว่าเรามาทำการเมืองใหม่ของโลกที่สวยสดงดงาม ทำความเข้าใจให้ดีแล้วจะได้ทำกันต่อไปในอนาคต เป็นความก้าวหน้าของระบอบประชาธิปไตยที่วิเศษมีผลอย่างแท้จริง ที่เราทำนี้เป็นวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรธน. เราจึงทำได้อย่างไม่มีผิด เราต่อต้านโดยสันติวิธี เราไม่ได้ยึดเป็นของเรา เราได้มาก็จะปฏิรูป อำนาจของประชาชนนี้ยังไม่ได้มอบหมายอย่างเป็นทางการ แต่ขอจัดสรรก่อน เหมือนปฏิวัติก็จะมีคณะก่อการ มีหัวหน้ามีรองมีคณะจัดสรร เมื่อทำเสร็จก็ยกเลิกคณะก่อการ เมื่อได้องค์ประกอบคณะที่จะบริหารประเทศถูกต้องตามกฏหมายก็เลิก คณะประชาชนที่มานี้จะเป็น คณะก่อการ เมื่อทำเสร็จก็เลิก คณะก่อการทำเสร็จอาจมีบางคนได้รับตำแหน่งบ้าง แต่บางคนขอเป็นนั่งร้าน ทำเสร็จแล้วก็รื้อไป แต่บางคนเหมาะสมจะทำมีความรู้ความสามารถก็ทำ อย่าไปเพ่งโทสกันก่อน เป็นนัยละเอียด ที่ขอบอกไว้ก่อนตีกันก่อน

       อาตมาทำงานนี้ขอบอกว่าไม่รับตำแหน่งอะไร ทำเสร็จแล้วก็เป็นนักบวช แล้วมีคนบอกว่าจะให้เป็นที่ปรึกษา อันนี้ในโบราณท่านเรียกว่าปุโรหิต เพราะฉะนั้นการจะเป็นปุโรหิตก็เป็นโดยธรรม ไม่ต้องตั้งก็เป็นได้ จะบอกว่าไม่ต้องมาตั้งหรอก ก็เปิด ใช้สำนวนว่า Open every Door ก็เปิดไว้มาได้เสมอเลย ทุกประตู

       ที่เราทำนี้ไม่ผิดกม.และเป็นหน้าที่ที่ควรจะทำ เพราะรัฐสภาและบริหารทำผิด ศาลตัดสินก็ไม่ยอมรับอีก ประชาชนก็ว่าไม่ได้ เพราะฉิบหายไปเป็นล้านๆแล้วในสองปีนี่ ประชาชนต้องมาตามเสียดอกเบี้ยอีกเท่าไหร่อีก

       ส่ิงที่ได้พูดมาแล้วเป็นวิธีการ ที่เกิดจากความจริงที่ต้องเป็นไปตามความความจริง ชาวไทยเป็นชาวพุทธ ศาสนาพุทธเป็นสุดยอดแห่งประชาธิปไตย​ให้อิสรเสรีภาพเต็มที่ ถ้าจะกดดันที่จะใช้ศัพท์ว่า เบียดเบียน พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ เมื่อไม่เบียดเบียนกดดัน แล้วก็ให้ยอมแพ้ เสียสละด้วย แม้ผู้มีเรี่ยวแรงกดข่ม ก็ต้องยอมให้จำนนให้เขาทำผิด แต่ถ้าสามารถต้านไม่ให้เขาทำผิดเป็นเจตนาดีไม่อยากให้เขาทำบาป แต่ถ้าเขาดันทำสุดท้ายก็ต้องวาง และคนมีกำลังน้อย เราไม่ไปกดขี่แน่ เราเป็นสุภาพบุรุษพอ

       พระพุทธเจ้าให้อิสรเสรีภาพ ที่เป็นหลักวินัย หลักศีลธรรม ก็ยืนยันชัดเจน ว่าพุทธเป็นศาสนาที่พระพุทธเจ้าพาทำในยุคทาส ไม่มีอิสรเสรีภาพ คนจะไม่เข้าใจเลย ไม่รู้เรื่องอิสรเสรีภาพหรือสิทธิส่วนตัว แม้นายทาสเขาก็ไม่รู้ว่าเขาควรให้สิทธิ์แค่มนุษย์เท่าไหร่ เขาก็ว่าเขาเป็นนาย ส่วนทาสก็ไม่รู้เรื่องสิทธิของตน พระพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้คนทั่วไปบรรลุได้ ต้องให้คนมาเข้ารีต เมื่อท่านประกาศธรรมนูญ เป็นศีล(จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล)ของท่านเป็นหลักสำคัญว่าพุทธทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็อยู่นอกรีต

        จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือศีลแท้ๆของภิกษุ แม้ปัจจุบันก็ต้องปฏิบัติ เป็นหลักแรก เป็นธรรมนูญ แต่เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธไม่มีแล้วในเมืองไทย ภิกษุไม่นำมาปฏิบัติ วินัยบางข้อเท่านั้นที่ซ้ำซ้อนกับศีล ส่วนมากวินัยนั้นหยาบ ไม่เข้าถึงแก่นแท้ของพุทธ จึงได้ยินกันทั่วว่าศีลของภิกษุมี 227 ที่จริงเป็นวินัย แท้จริง ศีลเป็นธรรมนูญของพุทธ เป็น The rule of law ผู้ใดไม่เข้าใจไม่่ทำตามพุทธธรรมนูญก็ออกนอกรีตปฏิบัติธรรมนอกเขตพุทธไม่ได้ผล

       พุทธเป็นประชาธิปไตยก่อนลัทธิใดเลย ผู้มาทำตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วทำจนเกิดมรรคผลสมบูรณ์ได้คุณธรรมคุณวิเศษจะยิ่งเป็นนักประชาธิปไตยตัวแท้ ผ้บรรลุธรรมของพุทธคือนักประชาธิปไตยตัวแท้ โสดาบันก็นักประชาธิปไตย สกิทาฯก็นักประชาธิปไตยสูงขึ้น อนาคาฯยิ่งสูงกว่าอีก เป็นอรหันต์ก็สูงสุดของนักประชาธิปไตย

       นักปฏิบัติธรรมนั้นจะตรงกันหมด อะไรที่ห้ามไม่ให้ทำไม่ทำเลยไม่ละเมิดรักษาศีลและวินัยดั่งชีวิต ไม่ลำบากที่จะไม่ละเมิดด้วย จิตเข้าใจความถูกผิด สิ่งที่ควรทำก็ทำ

       จะมีจิตที่มีสาราณียธรรม 6 และพุทธพจน์ 7

1.     สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.    ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) ไม่เป็นความรักทางกาม แต่เป็นความรักอย่างพี่น้อง ภราดรภาพ เป็นความรักของพระเจ้า ที่รักมนุษย์โลก ช่วยคนพ้นทุกข์ แล้วให้ช่วยคนอื่นต่อ

3.    ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ) เคารพกันด้วยนัยต่างๆเช่นคุณงามความดี วัยวุฒิ คุณวุิฒิ ฯลฯ

4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) คือการให้กัน แรกๆคือให้ทานกัน ให้วัตถุ ให้แรงงาน ที่สุดให้อภัย ไม่ใช่เป็นผู้เอา อยู่ในสังคหวัตถุ 4 (ทาน เปยยวัชชะ(ตำหนิให้คนดื่มได้) อัตถจริยา(ผลได้เนื้อหาส่ิงดีงาม) สมานนัตตตา) แม้พามาประท้วง Neo protest สมานอัตตา แม้คนที่เป็นศัตรูเราก็ให้อภัยได้ แต่มีนัยอย่าคบคบพาลหากแก้ไม่ได้ เราก็สมานกับคนที่จะรวมกันได้

5.     อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) มีมากสุดก็แค่ปากหอกหรือมุขสตี สามารถตำหนิ ชำแรกเข้าไปอย่างมีเนื้อหาสาระ ไม่พูดให้ทะเลาะกัน ประนีประนอมกันได้ แต่ไม่ใช่ตีกันอย่างคนที่ไม่ยอมรับว่าตนเองผิด

6.     สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) มากันพร้อมเพรียงกันอย่างนี้แหละสวยงาม ดูแล้วน่าเอ็นดู มาช่วยกันทำงานก็เหน็ดเหนื่อยอดทนเราทำเพื่อส่วนรวมไม่ได้ทำเพื่อส่วนตัว

7.    เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน) มีพลังแห่งความเป็นเอกภาพ

       นี่คือคุณสมบัติ 7 ประการของผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าหรือมีคุณธรรมอื่นอีก เช่นวรรณะ 9

       เป็นชั้นของคุณธรรม ยิ่งชั้นสูงเท่าไหร่ยิ่งโอบอุ้มเจือจานผู้ด้อยกว่า ไม่ใช่ไปเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า

        วรรณะ 9

1.     เลี้ยงง่าย  (สุภระ) มานอกลางถนนนี่เลี้ยงง่ายนะ เสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ไม่เรื่องมาก ไปยาก มายาก กินยากอยู่ยากไม่เอา แต่เราเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย

2.    บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) ให้ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาตนเองได้ง่าย

3.    มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) พามามักน้อย อย่าไปมักมาก เป็นปุถุ (หนาอ้วน) ง่ายๆแล้วใจพอ แค่นี้ก็พอ พยายามพัฒนาตนเองให้น้อยแล้วพอ น้อยจนพออีก เรื่อยๆ

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.     ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) แม้เป็นอรหันต์ก็ยังต้องขัดเกลาวาสนาของตนเอง อย่างพระสารีบุตรเป็นลิงมาหลายร้อยชาติ ก็ติดนิสัยลิงมาด้วย ต้องใช้เวลาล้างขัดเกลาออกอีก

6.     เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) แปลว่าศีลเคร่ง คำว่าธุดงค์มาจากธูตะ เช่นเรากินมื้อเดียว ไม่ใช้เงิน ไม่ใส่รองเท้า มาละอาหารที่เราติดเรายึด ใครติดอะไรก็พยายามลดละ มันเคร่งของเรา ของคนอื่นอาจไม่ติดแต่เราติดก็เคร่งของเรา บางอย่างเป็นพิษภัย เช่นติดหวานมากๆเป็นต้น เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนเรา ศีลเมื่อทำได้ปกติแล้วก็ไม่เคร่ง แต่ก่อนกินมื้อเดียวก็ฝืนมาก แต่ตอนนี้กินได้ปกติแล้วให้กินหลายมื้อจะลำบากน่ะ

7.    มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  มีสมณสารูป มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจที่น่าเลื่อมใส น่าศรัทธา

8.     ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9  แม้สมบัติวัตถุก็ไม่สะสม ยิ่งเป็นอนาคามีไม่มีทรัพย์สมบัติเงินทองหรือบ้านช่องเรือนชาน ไม่มีนี่สบายนะ ไม่ต้องดูแลห่วงหาอาทร อย่างการพกเงินนี่ก็กลัวคนปล้นอีก ไม่สะสมที่สำคัญสุดคือ ไม่สะสมกองกิเลส

9.     ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) คนที่มีความเพียรมันดูได้นะกับคนที่ไม่เพียร

       นี่คือวรรณะ The classes ส่วนคนที่ไม่ได้ศึกษาไม่ทำได้วรรณะ 9 ก็ตรงกันข้ามนะ ทุกวันนี้พวกร้องรำพวกอบายมุขมอมเมา แม้อาหารก็มอมเมา ทำสารเคมีใส่ให้เขาติดยึดในกามคุณ 5 เราเข้าใจแล้วก็ไม่มอมเมาให้คนติดให้คนละหน่ายคลายดีกว่า....จบ     

         


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:44:28 )

561211

รายละเอียด

561211_พ่อครูเทศน์หน้าประตู 5

เรื่อง สิทธิในการปฏิวัติของประชาชน

       เรื่องไม่เคยเกิดก็เกิด เรื่องไม่เคยมีก็มี เรื่องไม่เคยเห็นก็ได้เห็น มีคนถามว่าจะจบอย่างไร?  เป็นเรื่องใหม่ในโลก ไม่เคยเกิดมาก่อน คนที่ไม่สงสัยสิแปลก เพราะคนคิดไม่ทัน

       ที่เราทำนี่เป็นการศึกษาเรียรู้ เป็นเรื่องระดับอาริยะไม่สามัญทั่วไป ที่เขาเคยทำนี้เป็นแค่ระดับโลกีย์ แต่นี่เราทำเหนือโลกีย์ เป็นระดับ Supra-mundane

       เกินโลกีย์สามัญ เป็นระดับวิสามัย ไม่ปุถุชน เพราะทวนกระแส คนละเรื่องกับที่เป็นสามัญมนุษย์ทั่วไปที่เป็น

       เป็นเรื่องใหม่ที่จะต้องซับซาบว่าอย่างนี้ก็มีอยู่ด้วยหรือ เป็นเรื่องต้องใส่ใจ

       ผู้ที่ได้มานี้มาร่วม ถือว่าได้กำไร เพราะเป็นเรื่องสัมผัสจริง คนข้างนอกจะไม่มีความรู้สึกร่วม เราจะได้รู้จิตวิญญาณที่ได้สัมผัส เกิดอารมณ์ร่วม มีจิตเชื่อมโยงสัมพันธ์ เป็นใจเอื้อเฟื้อกัน ซึ่งบางคนในชีวิตไม่เคยเกิด มีนำ้ใจเอ็นดู

       แม้การเสียสละ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น แต่ตอนนี้มาร่วมก็เกิดอาการเช่นนี้ เป็นเรื่องแปลกไม่เหมือนทุกครั้ง แม้แต่แค่คนที่ออกมารวมกัน หลักฐานคนก็บอกว่า คนออกมาชุมนุมครั้งนี้มีตั้ง 5 ล้านคน มีคนบอกว่า BBC มี 5.7 ล้านคน แต่ค้นไปก็ว่าเขาคำนวณจากภาพถ่ายดาวเทียม BBC ได้ 5.7 ล้านคน ส่วนCNN ได้ 5 ล้านคน ส่วนในวันที่ 24 พ.ย. 56 มีคนไทยคำนวณว่าได้ 2,367,475 คน

       คนห้าล้านมาแล้วไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย บาดเจ็บ ไม่เดือดร้อนรุนแรง แล้วออกมาต่อสู้เพื่อประท้วงขออำนาจคืนจากรัฐบาล เป็นเรื่องใหญ่นะ ต่างประเทศตายกันมากมาย แต่ไทยไม่มี เป็นเรื่องที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

       มีนักรู้ทางสังคมได้คิดค้นเขียนมา

ในหลวง ร.7 ,ลินคอร์น,จอห์นล็อค เกี่ยวกับการปฏิวัติและอำนาจรัฐ

พระราชหัตถ์เลขาสละราชสมบัติในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ที่ว่า "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร"

        ตอนนี้พฤติกรรมของรัฐบาลนี้ค้านแย้งกับที่ในหลวงตรัสไหม? ไม่ใช่แต่อำนาจของคณะรัฐบาลเท่านั้น ผู้ที่เป็นข้าราชการก่อนก็ได้ร่วมมือยึดอำนาจไปจากประชาชน ยังไม่ทำตามส่ิงที่ควรเป็น ขบถต่อที่ในหลวงให้มอบอำนาจแก่ประชาชน

       คำปราศรัยของอับราฮัม ลินคอล์น ในวันเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ปีพ.ศ 2404.......... " This country, which its institutions, belongs to the people who inhabit it. Whenever they shall grow weary of existing government they can exercise their constitutional right of amending it, or their revolutionary right to dismember or overthrow it. " แปลเป็นไทย "ประเทศนี้, กับทั้งสถาบันทั้งปวงของประเทศ, เป็นของราษฎร ผู้ซึ่งครอบครองอยู่ เมื่อใดราษฎรรู้สึกไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่บริหารอยู่ เมื่อนั้นราษฎรย่อมใช้สิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือใช้สิทธิแห่งการปฏิวัติ เพื่อปลดหรือขับไล่รัฐบาลนั้นเสียได้"..........ผู้รู้ผู้เจริญแล้วเขาชัดเจนทุกอย่าง แต่ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ก็ดึงดัน ประชาชนก็ต้องอดทนต่อไปให้สวยงามไปตลอด

        หลักการให้สิทธิประชาชนขัดขืนอำนาจรัฐดังกล่าวถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพอันสำคัญในระบอบเสรีประชาธิปไตยตามแนวปรัชญาของจอห์น ล็อค ที่กล่าวว่า  "ประชาชนมีสิทธิทำการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในเมื่อรัฐบาลนั้นใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง การที่ประชาชนมีสิทธิเช่นนี้จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะไม่กล้าใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน"..........พ่อครูว่าเราทำไปเถอะจนกว่ารัฐบาลจะหายง่านหายโด้

       ตามหลักการของจอห์น ล็อค ที่ยึดถือปฏิบัติกันโดยทั่วไปในประเทศเสรีประชาธิปไตยที่พัฒนาแล้ว รัฐบาลเป็นเสมือนผู้ดูแลผลประโยชน์ของประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของผลประโยชน์ และเจ้าของอำนาจการปกครองซึ่งได้มอบอำนาจ ให้รัฐบาลผู้เป็นตัวแทนจากการเลือกตั้ง เป็นผู้ใช้อำนาจนั้นแทนประชาชนในการปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน ความมั่นคงปลอดภัย และสิทธิเสรีภาพของปวงชน แต่เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทำหน้าที่ดังกล่าวบกพร่อง หรือทำเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ประชาชนมอบให้ตามสัญญาประชาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลนั้นใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง และทำให้ประชาชนเสียผลประโยชน์ เมื่อนั้นก็ถือได้ว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองไปโดยปริยาย อำนาจการปกครองก็จะกลับคืนมาเป็นของประชาชน นั่นหมายความว่ารัฐบาลที่ทุจริตจะต้องสลายตัวไปก่อนที่ประชาชนจะได้รับความเสียหาย..........

       ล็อคเน้นย้ำว่าสังคมหรือชุมชนไม่ใช่สิ่งเดียวกับรัฐบาล เมื่อรัฐบาลสลายตัวไป สังคมก็ยังคงมีอยู่ ถึงไม่มีรัฐบาล มนุษย์ก็อยู่ร่วมกันเป็นสังคมหรือชุมชนอยู่แล้ว ตามสภาวะธรรมชาติที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขตามอัตภาพก่อนที่จะมีรัฐบาลเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นสังคมหรือชุมชนยังสามารถมีการกระทำร่วมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ที่ตอบสนองเจตจำนงของประชาชนได้ดีกว่า..........

       แต่ในทางปฏิบัติรัฐบาลที่ฉ้อฉลมักไม่ยอมสลายตนเอง และดึงดันละเมิดขอบเขตของอำนาจที่ประชาชนมอบให้ ทำลายผลประโยชน์ และสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามอำเภอใจ จนก่อให้เกิดสภาวะสงครามกับประชาชน ดังนั้นประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองที่แท้จริงจึงมีสิทธิในการป้องกันตนเองจากการประทุษร้ายของผู้ดูแลผลประโยชน์ (รัฐบาล )ที่ทรยศต่อประชาชน นั่นก็คือประชาชนมีสิทธิที่จะขัดขืนหรือปฏิวัติรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งมากับมือนั่นเอง..........

        มีผู้คัดค้านว่าการให้สิทธิประชาชนทำการขัดขืนปฏิวัติได้ จะทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ ล็อคให้เหตุผลโต้แย้งว่า โดยปกติวิสัยแล้ว ประชาชนไม่นิยมการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือต่อสู้กับอำนาจรัฐที่มีกำลังอาวุธ ยกเว้นรัฐบาลนั้นกระทำผิดอย่างใหญ่หลวงเท่านั้น..........

    มีผู้คัดค้านอีกว่าสิทธิการปฏิวัติของประชาชนดังกล่าวจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง และกลียุคนั้น ล็อคโต้แย้งว่า คนบริสุทธิ์ที่ถูกโจรปล้นไม่ควรต่อสู้ขัดขวาง เพียงเพราะจะทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือการนองเลือดกระนั้นหรือ ล็อคยืนยันว่าถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น จะต้องโทษว่าต้นเหตุคือฝ่ายรัฐบาลอธรรมที่คุกคามสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชนก่อน อีกประการหนึ่งล็อคให้เหตุผลว่า การอยู่ภายใต้การใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลเสียงข้างมากนั้นเลวร้ายเสียยิ่งกว่าการอยู่ในสภาวะธรรมชาติที่ไม่มีรัฐบาล การกลับคืนสู่สภาวะธรรมชาติ หรือชุมชนดั้งเดิมที่ไม่มีรัฐบาล..........

    ดังนั้นสิทธิปฏิวัติของประชาชนจึงเป็นทางเลือกที่ชอบด้วยเหตุผลและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมอย่างยิ่ง!!!..........

       อย่างไรก็ตาม ล็อคเห็นว่าการให้สิทธิแก่ประชาชนที่จะทำการขัดขืนปฏิวัติ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้รัฐบาลลุแก่อำนาจปราบปรามประชาชน กล่าวคือถ้ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยรู้ว่าประชาชนมีสิทธิที่จะทำการปฏิวัติได้ รัฐบาลก็จะระมัดระวังการใช้อำนาจให้อยู่ในกรอบของสัญญาประชาคม (รัฐธรรมนูญ) การปฏิวัติของประชาชนก็จะไม่เกิดขึ้น..........แต่นี่เขาไม่ระมัดระวังเลย ทำอย่างหน้าด้าน ง่านโด้ น่าเกลียดมากเลย

  ทัศนะดังกล่าวนี้เป็นแก่นความคิดแบบเสรีประชาธิปไตยที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยในอารยประเทศที่มีการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมที่ก้าวหน้า ประเทศเหล่านี้เห็นการชุมนุมประท้วงของประชาชนเป็นสิ่งที่ชอบธรรม และยอมรับได้ รัฐบาลยอมลาออกหรือยุบสภาบ่อยครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะรุนแรงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจการปกครองที่แท้จริง สังคมประเทศที่มีประเพณี ที่รัฐบาลยอมลาออกหรือยุบสภาเป็นเรื่องปกติ ยิ่งทำให้ประเทศเหล่านี้มีเสถียรภาพทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ และการดำรงอยู่ร่วมกันของประชาชนทุกหมู่เหล่าอย่างสงบสุขและยั่งยืน..........

    นี่เราได้ศึกษาเล่าเรียนกับผู้รู้ที่เขามีความเข้าใจลึกซึ้งศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร แสดงปาฐกถาพิเศษ ว่าจงยึดมั่นในความยุติธรรม โดยกล่าวถึงพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสไว้ว่า...ความยุติธรรมนี่คือทำอะไรที่ให้ถูกต้องตามธรรมะ คือยุติธรรม ถ้าฟังดูก็ยุติในธรรม ยุติในความดีความถูกต้องของผู้พิพากษา โดยเฉพาะผู้พิพากษาสูงสุด ต้องรักษาความดีความถูกต้อง ถ้าท่านได้รักษาไว้ตามปฏิญาณตนนี้ ก็เชื่อว่าความสุขสงบก็จะเกิดขึ้น ถ้าผู้รักษาความยุติธรรมไม่รักษาความยุติธรรม ประเทศชาติก็จะวุ่นวาย ความยุติธรรม คือมีเหตุผล มีความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นว่าเป็นส่ิงที่ถูกต้องในสังคม ทรงชี้แนะว่า ในกรณีที่กฏหมายขัดแย้งกับความยุติธรรม นั้น ความยุติธรรมต้องมาก่อน กฏหมายเป็นเพีียงเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรม จึงไม่มีความสำคัญไปย่ิงกว่าความยุติธรรม จะถือว่าความยุติธรรมนั้นมาก่อนกฏหมายและอยู่เหนือกฏหมาย เรื่องนี้พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแก่ผู้มีหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม กฏหมายเป็นเพียงปัจจัยในการรักษาความยุติธรรม ซึ่งสอดคล้องกับหลักกฏหมายธรรมชาติ

       แม้แต่ในคำตัดสินของศาลรธน.ที่ได้ตัดสินคดี พรบ.ที่มาของสส.และสว... บางส่วนว่าไว้ว่า...

       อย่างไรก็ดี ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แม้จะให้ถือเอามติฝ่ายเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ก็ตาม แต่หากละเลย หรือใช้อำนาจอำเภอใจ กดขี่ ข่มเหงฝ่ายเสียงข้างน้อย โดยไม่ฟังเหตุผล และขาดหลักประกัน จนทำให้ฝ่ายเสียงข้างน้อยไม่มีที่อยู่ที่ยืนตามสมควรแล้วไซร้ จะถือว่าเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร หลักนิติธรรมจึงเป็นหลักการพื้นฐานสำคัญของกฎหมายที่อยู่เหนือบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งรัฐสภาก็ดี คณะรัฐมนตรีก็ดี ศาลก็ดี รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐก็ดี จะต้องยึดถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติ

       เรื่องที่นำมากล่าวนี้ดูเหมือนซ้ำ เหมือนน่าเบื่อ แต่พยายามตั้งอกตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษา ที่เราทำมานี้เราชนะมาตลอดรายทาง เป็นความเจริญก้าวหน้ามาตลดเรารักษาการชุมนุมประท้วงถูกรธน.ตลอด เราต่อต้านโดยสันติวิธี ปราศจากอาวุธ ทำได้ยาวนาน เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ผู้ได้มาร่วมก็อนุโมทนาสาธุ เป็นเรื่องสังคมศาสตร์สมบูรณ์แบบ

       แม้เราจะเป็นจุดเล็กๆในขอบฟ้ากว้าง แต่เราก็ได้ทำให้บรรยากาศของประเทศชาติก้าวหน้าเป็นคุณานุคุณต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ขอคารวะทุกคน ส่ิงประเสริฐนี้เป็นส่ิงดีมากจริงๆ แม้จบงานนี้เราจะไม่บรรลุผลเป้าหมาย คืออาจจะทำให้รบ.นี้ล้มเลิกไม่ได้ เราปฏิวัติไม่สำเร็จตั้งคณะสภาประชาชนไม่สำเร็จ วนกลับไปที่รบ.เดิม หรือเลือกได้มาใหม่ก็ได้เหล้าเก่าในขวดใหม่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลง อาจหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำ เพราะเขาย่ามใจว่าประชาชนออกมาตั้ง 5 ล้านยังทำอะไรเขาไม่ได้ เขาไม่นึกว่าประชาชนจะออกมาไม่ได้ 5 ล้าน เขาใช้ Woman Touch มันpretender มากเลย

       เขาทำให้คนที่ไม่รู้ทันเชื่อได้ เราก็อดทนพัฒนาไป ประเทศนี้ก็คนไทยเราก็ต้องตายในประเทศไทยนี่แหละ เรามีโอกาสจะพัฒนาประเทศก็ทำไป เรามีโอกาสอีกเราก็จะพากเพียรไป ใครจะท้อจะหยุดจะถอยก็ถอย แต่อาตมาไม่หยุดไม่ท้อ แค่พักยกเพราะไปไม่ได้ตอนนี้จะรุนแรงเสียผลก็พัก ได้โอกาสใหม่ก็เอาอีกใครจะช่วยอาตมาอีกก็มา

       ถึงอย่างไรก็ตาม มันได้ผลได้ประโยชน์อย่างแท้จริง แล้วพัฒนาอย่างสวยงาม ถ้าพวกเราจะจบก็ต้องจบอย่างสวยงาม ไม่เกิดเจ็บตาย ด่างพร้อย สมควรเลิกก็เลิก อย่าไปมีจุดมุ่งหมายว่าจะต้องชนะ ตายเป็นตาย ก็มีแค่คนเจ็บตาย ไม่ใครก็ใคร สังคมเราน่าจะพัฒนาเป็นสังคมใหม่ เป็นสังคมอาริยะ ใครผิดแพ้ ใครถูกชนะ ใครชั่วก็แพ้ ใครดีก็ชนะ แต่คนส่วนใหญ่ไม่อยากแพ้ เพราะเขาจะหาว่าชั่ว แต่อาตมานั้นว่าลึกกว่านั้นนะ เราดีหรือชั่วเรารู้ แล้วจะมาว่าคนแพ้ต้องเป็นคนชั่ว คนถูกต้องก็ต้องชนะสิ อย่างนี้มันตื้นไป เราต้องรู้จักพักรู้จักเพียร รู้จักรุกรู้จักถอย

       ครั้งนี้เราก็ทำไป ทางคณะที่ได้พากเพียรทำไปนี่ มันเป็นของใหม่ที่งดงาม ตลอดเวลา มาถึงวินาทีนี้ก็งดงามวิเศษ ไม่เสียหายสำหรับพวกเรานะ เขาย่ิงเสียหายเพิ่มตลอดเวลา ย่ิงง่านโด้ตลอดเวลา เห็นจริงๆว่ายิ่งง่าน ยิ่งโด้หนัก เราก็ไม่พยายามละลาบละล้วง อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เบ่งอัตตาแอ็คเบ่ง อย่างโลกีย์ เราก็ไม่ทำอย่างเขาหรอก

       อ่อนน้อมจนเห็นว่าสุดท้ายแล้ว สุดขีดแล้วพอเถอะ มันได้แค่นี้ต่อไปเราก็จะเหนื่อยเปล่า สูญเสีย ยังไงๆขีดความอดทนเราก็ได้มาเยอะแยะเลย ที่มานี่ก็ร้อยพ่อพันแม่ มาเป็นพี่น้องกัน ถึงเวลาก็ดูแลกัน คนขี้เกียจก็เพิ่มความขยัน คนขยันก็ได้พัฒนาเพิ่มอีก ส่วนใครจะโง่ซ้อนโง่ก็แล้วแต่ เอาแต่กินแต่เต้น ก็ชั่วใครชั่วมัน ใครจะสั่งสมบาปก็แล้วแต่ กรรมเป็นของๆตน

       แต่อาตมาเห็นว่าคนที่มาอยู่ ที่นี่มีน้ำใจมากขึ้น ขยันเพิ่มขึ้น เกื้อกูลกัน มีพฤติกรรมดีก็รู้ว่าเราเจริญในกายวาจาใจ อันนี้คิดค่าทางเศรษฐศาสตร์มนุษยชาติ คุณธรรมนั้น ราคามันแพงมาก คิดหาค่า บ่ มิได้ อาตมามองตรงนี้เป็นหลักไม่ได้มองตื้นๆ

       จริงๆเราลงทุนวัตถุเยอะนะ เสียสละเยอะเลย มารวมกันหลายคนไม่ได้ไปทำงานผลิตตามที่เคยทำ คนที่เสียสละทำอยู่ข้างนอกก็ทำส่งมา คนในนี้ก็ได้ทำเพ่ิม ได้ลาภโดยธรรม แต่ก่อนเราทำผลิตอันนี้อยู่ที่บ้านได้ขายก็ได้เงิน แต่เรามาทำที่นี่ไม่ได้เงินทอง แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจซับซ้อนที่สูงส่งทางจิตวิญญาณ แต่ก่อนเราต้องขายเอากำไร แต่เรามาอยู่ที่นี่เราไม่เอากำไร แต่สินค้าผลผลิตเราหมุนอยู่ในนี้มันก็ไม่ขาดแคลนนะ ไม่มีใครหิวโหยเดือดร้อน แม้ไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่ก็ได้ฝึกฝนอดทน

       สิ่งเหล่านี้ชาวอโศกได้อดทนฝึกฝน กินง่ายอยู่ง่าย มักน้อยสันโดษ มา เราจึงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่ลำบาก จิตเราเป็นฌาน ได้ล้างกิเลสไปบ้างแล้ว ฌานคือการเผากิเลสด้วยไฟกองใหญ่ เป็นไฟทีมีพลังงานเผาไฟราคะโทสะโมหะ เป็นพลังงานทางนามธรรม จะเป็นฌานอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างฌานนั่งหลับตาทำสมาธิไม่ใช่ไฟฌานเผากิเลส เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือมิจฉาทฤษฎี เป็นการนั่งกดข่มหลอกจิตให้นิ่งไป ไม่ได้เรียนรู้รายละเอียดของจิต ไม่ได้เรียนรู้ว่าจิตตัวไหนเป็นสมุทัย ไม่ได้เรียนรู้ว่าอย่างนี้เป็นสมถะวิธี อย่างนี้เป็นวิปัสสนาวิธี ไม่ได้ทำจรณะ 15 จนเกิดฌาน

1.     ถึงพร้อมด้วยศีล. .        09. ปรารภความเพียร              

2.    คุ้มครองทวารอินทรีย์ *   10. สติอันเป็นอาริยะ . .

3.    ประมาณในโภชนา         11. ปัญญา *  .

4.     ประกอบความตื่น          12. ปฐมฌาน .

5.    ศรัทธา (เชื่อมั่น) . .             13. ทุติยฌาน

6.    หิริ (ละอายต่อบาป) .            14. ตติยฌาน

7.    โอตตัปปะ. (สะดุ้งบาป).  15. จตุตถฌาน

8.    แทงตลอดในพหูสูต #

       หลักธรรมพระพุทธเจ้าลึกซึ้งไม่ได้สอนให้ไปนั่งหลับตา เมื่อทำเพี้ยนก็ไม่ได้ผลของพุทธไม่เป็น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ประเทศชาติวุ่นวายเสียหายล่มจมแต่ว่าศาสนาพุทธไม่ได้ช่วยอะไรเลย แล้วอาตมาพามานี่ก็หาว่าอาตมามายุ่งอีก ก็มิจฉาทิฏฐิจริงๆ ประเทศจึงเดือดร้อนอย่างนี้ เพราะมิจฉาทิฏฐิของพุทธเลยไม่ได้ผลอย่างที่ควรจะเป็น

       มีผู้เข้าใจก็ทำตามแล้วได้ผลก็ได้ออกมาทำงาน อย่างพวกคุณที่ได้ฟังนี้ก็จะเข้าใจ และเห็นพฤติกรรมพวกเรา ที่ทำนี้มาจากมโนกรรมที่ออกมาเป็นกายกับวาจา คุณก็ได้รับซับซาบ โดยที่เขาไม่ได้สอนคุณหรอก โดยธรรมชาติ แผ่ธรรมะแก่กันในที เป็นสัจจะไม่ได้พูดตู่เอา แต่เป็นเรื่องจริง ไม่เสียหายหรอก ที่เราได้อยู่ร่วมกันในแต่ละวัน

       ที่เรามานี่ไม่ได้สร้างสรรอะไร แต่เราได้มาทำหน้าที่ปฏิวัติ จะทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ถ้าทำได้ไม่สำเร็จ ก็ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร เราได้แค่นี้ก็เอาแค่นี้ก่อน เราก็มาทำใหม่ เราไม่ย่อท้อ เราก็สื่อสารกันไปไม่หยุด เพื่อช่วยสังคมตามที่เราเข้าใจ

       จะเน้นจุดที่ผิดพลาดมากคือ...ประเด็นที่เข้าใจไม่ได้คือ มันยังไม่เคยมี ว่าการปฏิวัติด้วยความสงบไม่ใช้อาวุธ ใช้คุณงามความดีมาเป็นบุญญาวุธ เราเอาความถูกต้องดีงามมาฟาดหัวเอ็ง เอ็งรู้บ้างไหม จะให้เอาปืนเอามีดมาฟาดหัวหรือไงถึงจะยอม มันน่าจะเจริญเป็นมนุษย์เสียที มีสัญชาติญาณเก่าของสัตว์อยู่

       พิจารณาจริงๆ ว่าตัวเองผิดไหม ถอดความง่านโด้ออกได้ไหม?(ง่านคือโง่ยกกำลังด้าน ส่วนโด้คือด้านยกกำลังโง่) มันควรจะเข้าใจว่าตนเองผิดจริงๆไหม ว่าเขาก็พยายามทำดีงาม เป็นประชาธิปไตยิที่สวยงาม เพื่อจะปรับปรุงการเลือกตั้ง ถ้าคนที่ไปเลือกตั้งนี้แต่ละคนเข้าใจจริงๆว่าคนนี้เป็นคนดีมีความสามารถ โดยไม่มีการบังคับไม่มีการซื้อ เป็นการออกเสียงบริสุทธิ์จริงๆ แล้วก็ได้ผู้แทนก็จะดี เป็นประชาธิปไตยิที่แท้ แต่ความเป็นจริงการเลือกตั้งเป็นอย่างไร มีแต่การซื้อเสียง มีสารพัดเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง เพื่อให้ฉันไปเป็นผู้แทน แล้วเราก็ได้ผู้แทนอย่างนี้ ตอนนี้เป็นเครือข่ายการโกงไปหมดแล้ว ผู้ใหญ่บ้านกำนัน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ ถ้าแกไม่ทำตามก็ไม่เจริญในอาชีพ มันเล่นกันอย่างไม่บริสุทธิ์สะอาด

       เรามาเปลี่ยนแปลงเสียทีเถอะ ยืนยันว่ารบ.นี้ถ้าทำอีกก็ไม่เปลี่ยน อาจมีรู้สึกตัวมาหน่อย มีแต่จะหาทางให้เขาไม่จับได้ เขารู้นะว่ามันชั่วไม่ถูก เขาฉลาดเฉโกนะ ไม่ฉลาดวิชชา ก็ยืนยันตามจริงของเขาอย่างนั้น ถ้าเลือกตั้งอีกก็วนเวียนพายเรือในอ่าง แก้ไขไม่ได้ที่สุดเราก็ต้องยอม จะทำหยาบคายกว่านี้เราก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำได้เราก็ต้องช่วยกันทำ จนกว่าจะหมดสุดทางไป สุดท้ายผู้ที่มาร่วมกันทำครั้งนี้ มีคณะเสนาธิการ คณะบริหาร กปปส. ทำกันแล้วก็สุดท้ายยอมแพ้เราก็หยุด ใครจะบอกว่ายังไม่ถึงที่สุด ยังไม่ชนะ เหมือนที่เราพากันผ่อนสั้นผ่อนยาว เราก็อยากชนะ ผู้นำเขาก็อยากชนะเหมือนกัน แต่มันจำนน มันก็ต้องผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่เช่นนั้นเราก็เสียพลังงานมาทะเลาะกัน มันก็พร่องทำงานต่อไปก็ไม่เจริญ เราต้องฉลาดอย่าทำให้สูญเสีย ควรให้เป็นพลังงานสูงส่ง เราต้องทำจิตใจให้ดี

       พวกเราน่าจะให้เกียรติไว้ใจผู้ที่ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ว่าใช้ความรู้ความฉลาดสามารถเต็มที่เราไม่ย่อหย่อนเราทำจริงจัง แต่เราทำได้แค่นี้ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณดีกว่าก็เสนอแนะมา เราก็รับมาคิด แล้วเราก็จะได้ความรู้ความคิดเพ่ิม หรือใครจะอาสามาก็มา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

       ที่เราทำมานี่อาตมาว่าเราทำบริสุทธิ์ เราทำเชิงโลกุตระมากกว่าโลกียะ โลกุตระต่างกับโลกีย์คือ โลกุตระไม่อยากได้โลกธรรมาบำเรอตน แต่โลกียะคือหวังจะได้ลาภยศสรรเสริญเป็นของตอบแทนหรือได้กามได้อัตตาเป็นของตอบแทน แต่ละคนที่ตั้งใจมารวมกันเป็นแกนนำ หรือกรรมการ เราไม่ได้ทำเพื่อเสวยโลกธรรม ไม่ได้มีเจตนา แม้ยังไม่ใช่อรหันต์บางคนอาจมีเล็กมีน้อย แต่รวมแล้วบริสุทธิ์ใจมากแล้ว มาตั้งใจหยุดส่ิงเลวร้าย เปลี่ยนสิ่งใหม่กว่าขึ้นมา ถ้าคุณอยากทำมีความรู้ความสามารถหมู่กลุ่มให้ทำก็ควรทำ แต่ถ้าเราทำแล้วจะได้ลาภยศสรรเสริญ​ก็ต้องมีความละอายที่จะทำ แต่ถ้าความเห็นหมู่ฝูงว่าคุณเหมาะสมที่สุด เราก็ไม่น่าจะสะดิ้งเกินไป เขาเห็นความบริสุทธิ์ใจ ความสามารถของคุณก็อย่ากลัวจะถูกว่าว่ามาล่าโลกธรรม ถึงที่สุดแล้วก็รับเถอะ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

       ในรธน.มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้

       มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       อำนาจยิ่งใหญ่เป็นของประชาชน เรียกว่ารัฐาธิปัตย์ ใครจะแย่งไปไม่ได้ อำนาจนี้เป็นของประชาชน เราเลือกตั้งให้ไปเป็นรบ.แต่เขาก็เผลอริบอำนาจไปเป็นของประชาชน มันเลอะเทอะอย่างนั้น ไปบริหารชั่วๆ ตุลาการตัดสินว่าผิดก็ไม่ยอมรับ อย่างนี้บ้าซ้อนบ้า

       พระมหากษัตริย์ก็เป็นประชาชน แต่เรายกให้เป็นหัวหน้า มอบให้อย่างเต็มใจ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้สุดยอดแห่งนักประชาธิปไตยิ2,360,475 คน 2,360,475 คน ย่ิงกว่ามหาราช เรามอบอำนาจให้อย่างเต็มใจสุดซึ้งเลย

        มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม

       แต่เมื่อสองสถาบันคือรัฐสภาและบริหารทำผิด ศาลตัดสินแล้วเขาก็ว่า “หนูไม่รู้” เราก็มีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธี ปราศจากอาวุธ เขามาไล่คุณออก คุณก็ว่ายอมแล้ว แต่ยอมที่ไหนก็ยักไว้อยู่นะ ไม่ยอมออกอีก ไม่รู้ว่าเขามาไล่นะ

       สมมุตินะว่าคุณทำงานให้เจ้าของบ้านเขาอย่างดีเลย เสร็จแล้วเจ้าของบ้านเขาก็เห็นว่าคุณทำผิด เขาก็พยายามไล่ออก คุณก็บอกว่าไม่ยอมออกนะ เพราะฉะนั้น เราเป็นเจ้าของบ้าน เลือกจ้างพวกคุณมาทำงาน แล้วคุณก็มากบฏต่อเจ้าของบ้าน ทำไมง่านนัก แถมบอกว่าคุณอย่ามาประท้วงกลับบ้านไปเถอะ แต่อันนี้มันบ้านเรานะ มาไล่เราไปอีก ...


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:46:51 )

561212

รายละเอียด

561212_พ่อครูเทศน์ที่ประตู 5

เรื่อง ด้วยธรรมฤทธิ์ประชาชนมีสิทธิ์ปฏิวัติ

 

     จิตใจของคนไทยได้พัฒนาสังคมประเทศชาติด้วยธรรมะตลอดมา แม้เป็นการเมืองก็ตาม ที่เราออกมาร่วมชุมนุมประท้วง เพื่อขอทวงอำนาจคืนจากคณะบริหาร หรือสภา ซึ่งทั้งสองสถาบันได้กบฏไปแล้ว แต่ก็ยัง “โด้” แต่ไม่เชื่อว่าเขาโง่ ที่ได้ฉายาหนูไม่รู้ มันเหมือนเด็กๆไร้เดียงสา ความรู้แค่นี้ไม่เข้าใจ ทำผิดแล้วก็ไม่รู้ว่าผิด อย่างนี้

       เรื่องที่เกิดขณะนี้ ทั้งนักรู้ และประชาชน ต่างอยู่ในภาวะมึนงง สงสัย ต่างวิจัยวิจารณ์กัน เพราะเป็นเรื่องใหม่ เป็นเรื่องของประชาชนปฏิวัติ

       เรามาเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจ ที่จะมาทำงาน บริหาร ให้มีการจัดตั้ง เลือกตั้งใหม่ จัดองค์ประกอบให้เป็นคณะเข้าไปทำงาน มีตัวบุคคลไปทำหน้าที่ แบบแนวคิดใหม่ เพื่อที่จะได้ไม่เหมือนเก่า 81 ปีมาแล้วทำมาแบบเก่า เป็นการเมืองน้ำเน่า จนคำว่า “การเมือง” เป็นเรื่องแสลง เป็นคำเสีย เป็นคำที่เอาไปเรียกในวงการไหนก็ไม่ดี จนพูดกันว่า อย่ามาพูดการเมืองกับข้า หมายถึงว่า การเมืองเป็นเรื่องซับซ้อน หรือฉันเป็นทหารหรือตำรวจอาชีพไม่ใช่ทหารตำรวจการเมือง เป็นต้น

       คุณทำงานให้พลเมืองไทยทั่วประเทศโดยรับเงินเป็นค้าจ้าง คุณอาสามาทำ สมัครใจทำ ทั้งข้าราชการประจำ ตามหลักของกฎหมาย มารับใช้พลเมืองประชาชน คือนักการเมืองทั้งสิ้น แต่ศัพท์คำว่าการเมืองเป็นสิ่งเสียไปแล้ว

       ประเด็นหลักที่ไม่เคยมีมา จะเรียกว่า ปฏิวัติหรือรัฐประหาร คำว่ารัฐประหารไม่ได้ประหารรัฐประเทศนะ แต่จะบอกว่ายึดรัฐประเทศคืนมาก็ได้ หรือจะกำจัดอำนาจรัฐสภาเดิมก็ได้ ริบคืนมาก็ได้

       วิธีปฏิวัติ ที่เคยมีมาทั่วโลกก็ใช้อำนาจบังคับ Force ข่มกดขี่ ที่จะยึดอำนาจ ให้เขายอมด้วยวิธีบังคับกดขี่ ก็เหมือนอำนาจเดรัจฉาน ใช้เรี่ยวแรงเขี้ยวงาต่อสู้ เป็นอำนาจที่ไม่ใช่ของคนเจริญไม่ใช่อาริยะ 

       อำนาจนั้นเป็นของประชาชนอยู่โดยแล้วตามมาตรา 3 ของรธน. และมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการกำหนดอำนาจ รัฐาธิปัตย์ เป็นของประชาชนร่วมกันทั้งหมด อยู่ในมาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง  แม้คนๆเดียวมาประท้วงก็เป็นสิทธิ์ของเขาสามารถทำได้ แม้ท้วงผิดหรือถูกโดยไม่มีอาวุธ ด้วยเนื้อหา ถ้าแกถูกก็คือ Minority right ถ้าเขาถูกต้องคุณต้องฟังเขา แต่คนเดียวอาจไม่มีแรงพอ ก็ไปหาพวกมาสิ ถ้านายกฯนั้นมีวิจารณญาณดี คนเดียวมาท้วงแล้วท้วงถูกด้วย ผู้ที่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชนอยู่ แล้วถูกท้วง แล้วผิดจริงตามเขาท้วงก็สมควรลาออกหรือรับเปลี่ยนแปลง รับผิด นี่คืออย่างผู้ดี อาริยชน

       ที่ออกมานี่เป็นคะแนนสดๆ มายืนยันคะแนนเสียง ไม่ใช่คะแนนราคาต่ำ แต่แพงมาก ราคาสูง มากกว่าลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอีก เป็นเรื่องใหม่จริงๆ แต่ได้มาขนาดนี้ ก็ต้องดีใจว่าทำไมเมืองไทยจะได้ขนาดนี้ วันที่ 24 มาตั้ง 2,367,475 คน BBC มี 5.7 ล้านคน แต่ค้นไปก็ว่าเขาคำนวณจากภาพถ่ายดาวเทียม BBC ได้ 5.7 ล้านคน ส่วนCNN ได้ 5 ล้านคน

        ก็นำรธน.มายืนยันว่ามาตรา 2 คือการกำหนดอธิปัตย์ของประชาชน แม้อย่างไรๆใครก็เอาอำนาจนี้ไปจากประชาชนไม่ได้ แล้วก็เราเลือกตัวแทนนี่ก็เป็นเพียงตัวแทน แล้วก็ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเองจะมา บริหารเองทำไมไม่ได้ แล้วเขาก็ไม่ได้ว่าจะดึงดันทำอย่างไม่มีเหตุผล แต่ว่าเพราะคุณบริหารผิดๆต่างหาก ตอนนี้คนเกิดมาก็เป็นหนี้แล้ว

       ประชาชนตอนนี้ก็พยายามออกแบบเพื่อให้เราไว้ใจ การทำสภาประชาชนนี้ เรื่องที่เราทำนี้ไม่ใช่เรื่องปิดบังซ่อนเร้น แต่เป็นเรื่องสุจริตบริสุทธิ์ถูกต้อง เปิดเผยไม่หมดเม็ดซ่อนแฝง ประชาชนที่กำลังคิดอ่านเพื่อรวมหลายอาชีพเพื่อเอามาตั้งสภาประชาชน โดยมีเงื่อนไขว่านักการเมืองต้องหยุดทำ ถ้าจะทำต้องลาออกจากสมาชิกพรรคการเมือง มาเป็นประชาชน พอแก้ไขเสร็จมีพิมพ์เขียวก็จะทำการเลือกตั้ง ส่วนพวกที่มาทำงานก่อการนี้ก็จะให้วางมือไป 5 ปี เพื่อไม่ให้สืบอำนาจต่อ เพราะเป็นเรื่องที่รู้ดี เพื่อให้ได้บริสุทธิ์สะอาดจริงใจ กันไว้เลย

       ก็จะมีคนจริงใจมาร่วมร่างกัน เขาก็จะไม่เล่นการเมือง หรือจะเล่นก็ต้องรอไป 5 ปี เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่เราวนเวียนนี้น้ำเน่ามาก เห็นการกู้เงิน 2.2ล้านๆนี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ จริงๆใช้งบฯไม่กี่แสนล้าน แต่กู้มาเป็นล้านๆอย่างนี้มีเจตนาไม่ดี สร้างรถไฟมาขนผัก แล้วออกแบบให้ตรวจสอบไม่ได้ด้วย แล้วที่สุดนี่มาไม่ยอมรับอำนาจศาลอีก ยังไม่ยอมอีก

       คราวนี้ประชาชนอย่ายอม เอาให้สุดซอยแห่งซอย เอาให้ได้ ไม่ใช่อาตมายุส่งนะ แต่ว่ามันควรถึงคราว มันใหม่นี่คนก็ลังเล ก็เลยพูดซ้ำซาก มันไม่มีตัวอย่างมาก่อน แต่ผู้รู้ทั้งหลายก็ยืนยันว่าทำได้

       วันนี้คณะจปร. ก็ออกมาสนับสนุน มีเสธ.อ้ายนำ จปร. 12 รุ่นมาแถลงสนับสนุน กปปส.

       เราลงทุนลงแรงเหน็ดเหนื่อยหนักหนา ก็น่าอนุโมทนาสาธุที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

       สำหรับอาตมาก็เจตนา เสียรังวัด เราช่วยโลก ให้พ้นวงวนทางการเมือง คำว่าโลกนี่คือความวน ตามประสาเรานี่ อาตมา เป็นสิทธิที่จะมาช่วยคนด้วยบริสุทธิ์ เราไม่ได้มาแย่งอำนาจ แต่มารับใช้จริงๆ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) พระพุทธเจ้ามีข้ออนุญาตอยู่ ไม่ได้ห้ามไว้ ก็มาช่วยกันหน่อย แม้มาเก็บขี้เก็บเยี่ยวเก็บขยะช่วยเหลือกันนี่ อาตมาผิดอะไร แม้คนจะท้วงก็ตาม เรามารับใช้ทั้งอาหาร วัตถุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้เราไม่ได้มาหาเงินหาทองอะไร แต่มาเล่าอธิบาย โดยบริสุทธิ์ใจ เป็นเรื่องของสังคมที่ควรทำ ก็มีคนมีปัญญาเห็นก็ออกมาช่วยกัน ถ้ามีแต่ชาวอโศกก็ฟุบไปนานแล้ว งานหนักขนาดนี้ เราไม่ได้จ้าง เราจน ก็มีคนอนุเคราะห์ช่วยเหลือกัน

       ผู้ที่มีจิตวิญญาณมีภูมิธรรมที่เป็นทั้งความรู้และความเป็นไปได้ คือจิตมันรู้ว่าอย่างนี้บริสุทธิ์ไม่มีกิเลส จิตมันดีอย่างนี้ ศาสนาพุทธจะรู้ก่อน แต่ยังมีกิเลสอยู่ก็ต้องจัดการกิเลส เราเข้าใจว่าอย่างไหนดีก็พากันทำ เรามีแรงงาน ความรู้ จิตเรารู้ก่อน แต่กิเลสมันไม่ยอม ขี้เกียจ อยากได้โลกธรรม ก็ต้องไม่เอา มากำจัดกิเลส การมาทำงานนี้มีทั้งการปฏิบัติธรรม หลายคนมีกิเลสอย่างน้อยก็อยากได้สรรเสริญ บางคนอยากได้ตำแหน่ง บางคนอยากได้ส่ิงตอบแทนเรียกว่า ลาภ แต่เราก็ไม่มีให้หรอก ก็มาขัดเกลา คนมาอย่างนี้ก็ได้ประโยชน์ตรงได้มีปฏิบัติจริง รายได้คือได้ล้างกิเลสคุณให้ได้ แม้กดข่มบังคับอันนั้นไม่บริบูรณ์ ถ้าวิปัสสนาวิธีก็คือเห็นให้จริงว่ากิเลสมันไม่ใช่ตัวเรา เป็นอาคันตุกะ มายึดพื้นที่จิตเรา มาแฝงอยู่ เราโง่ยอมกิเลส เรามีปัญญาก็อย่ายอมมัน มันไม่ใช่เรา อย่ามาอยากได้ลาภยศสรรเสริญที่นี่ จะเห็นด้วยปัญญาจริง และกิเลสก็ไม่มี คนทำงานอย่างไม่มีกิเลส ไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย คนนี้วิเศษนะ มารับใช้อย่างไม่ต้องการอะไรตอบแทน เป็นโลกุตรธรรม การอยากได้ตอบแทนเมื่อทำงานก็ยังเป็นโลกีย์อยู่

       ในสัมมาอาชีวะ 5 ข้อสุดท้ายคืออย่าทำงานเอาลาภแลกลาภ อย่าเอาความรู้ไปแลกเงิน อย่าเอาส่ิงที่เราให้แก่เขาไปแลกเงิน สัมมาอาชีพก็ต้องพ้นมิจฉาชีพ 5 ทำงานฟรี เสียสละให้คนอื่น เมื่อรู้แล้วก็มาทำปฏิบัติ จนจิตคุณไม่ต้องการอะไรตอบแทนได้จริง จนมันเที่ยงแท้ถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ ตายแล้วตายเลยไม่ฟื้น)

       จะทำได้คุณต้องรู้เวทนา 108 ซึ่งลึกซึ้งทั้งอดีต_ปัจจุบัน_อนาคต อย่างละ 36 จะไม่อธิบายในตอนนี้ ทุกปัจจุบันคุณพิสูจน์ความจริงว่าไม่มีกิเลส เนื่องจากสั่งสมอดีตเป็นความตั้งมั่นของจิต ทุกปัจจุบันจะมาร้ายแรงแค่ไหนกิเลสก็ไม่เกิดๆๆ จนพยากรณ์อนาคตได้เลยว่า กิเลสสูญแน่นอน โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็สู้ได้เสมอ ก็มั่นใจในพลังอดีตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทดสอบมาไม่รู้กี่แบบฝึกหัดแล้ว เหมือนคนยิงธนู ปิดตาสองข้างยิงยังถูกเลย จึงพยากรณ์ได้ว่ากิเลสไม่มีแน่นอน จึงบอกอนาคตได้ว่า สูญแน่นอน

   พระพุทธเจ้าไม่ใช่หมอดูแต่รู้พยากรณ์ได้ว่าคนนั้นจะไปเกิดอย่างไร ไปเป็นพระพุทธเจ้าตอนไหน ชื่ออะไร มีสาวกชื่ออะไร เป็นต้น อย่างนี้ไม่ใช่ว่าท่านโมเม เพราะทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่ใช่เดา สัจจะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่เดา

       เหตุการณ์ครั้งนี้ของเมืองไทยก็ดูเหตุปัจจัยหลายอย่าง ยกตัวอย่าง คนนี้ทำไมชื่อปรีชา ทำไมคนนี้ชื่อจำลอง ทำไมคนนี้ชื่อชัย ทำไมต้องวันที่ 11 เดือน 11 ทำไมต้องเสร็จ 11 นาฬิกา เป็นการปฏิวัติประชาชน​ไม่ใช่หมอดูแต่เป็นสถิติ

       สำคัญที่ตัวปัจจุบัน กรรมปัจจุบันเป็นตัวแปรที่จะสั่งสมเป็นอดีต เป็น พลัง potential energy ใครสั่งสมอยู่แม้ไม่รู้แต่มันทำงานออกฤทธิ์เดชตลอดเวลา เมื่อเราสั่งสมอกุศลมันก็ทำงานอยู่ห้ามไม่ได้ กรรมเป็นของๆตน ตนต้องเป็นทายาทของกรรม แบ่งใครไม่ได้ พุทธสอนว่าแบ่งบุญแบ่งบาปไม่ได้ บุญแปลว่าเครื่องชำระกิเลส ต้องชำระของตนเอง แบ่งบุญกันไม่ได้ ...จบ       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:12:11 )

561213

รายละเอียด

561213_พ่อครูที่เวทีมัฆวานฯ

เรื่อง การเมืองที่แท้ต้องแก้ที่ “ง่านโด้”
       วันนี้เวทีบนรถเครื่องเสียงได้ย้ายมาที่สะพานมัฆวานฯอีกครั้ง

       พ่อครู.....จะว่าเป็นบ้านก็เป็นบ้าน จะเป็นห้องเรียนก็ได้ จะเป็นสนามรบก็ได้ ครบพร้อม หาที่ไหนไม่ได้อีกนะ สมบูรณ์แบบนะชีวิตพวกเรา และเป็นที่สังสรร สันทนาการด้วย ถ้าจะให้ครบก็เป็นจุดนัดพบทั่วประเทศเลย

       การเมืองที่ไม่มีธรรมนะนี่แหละเป็นตัวร้าย ที่จะเอาเป็นเอาตายนี่เพราะขาดธรรมะ จึงจำเป็นอย่างที่คานธีว่า ถ้าไม่นำธรรมะไปสถาปนาไว้ในการเมืองแล้ว การเมืองนี้จะทำลายจะบรรลัยจักร จึงจำเป็นที่เราต้องตั้งใจฝึกฝน ทำให้เกิดธรรมะในการเมือง จะต้องเป็นการเมืองที่มีธรรมะให้จงได้

       ที่เราทำนี่จะเรียกว่า ปฏิวัติ​ปฏิรูปหรือปตบ. พฤติกรรมสังคม เพื่อขอทวงอำนาจคืนจากคณะรัฐบาลที่ได้บริหารมาแล้ว เสียหายผิดพลาดแต่ไม่ยอมรับ ทั้งที่ศาลได้ชี้ทุกอย่าง ก็เถียงไม่ออก แต่ว่ายัง โด้อยู่ เราต้องมาย้ำยืนยันเหตุผลหลักฐาน เพื่อยืนยันว่า คุณผิดจริงๆนะ เราจะชี้เลย เราพูดไประบุไปเพื่อยืนยันต่อประชาคม ทุกวันนี้เป็นโลกาภิวัฒน์ พูดไปก็รับรู้ทั่วโลก เราแสดงความจริงยืนยันกัน ใครถูกผิดก็มาว่ากัน ถ้าเราไม่ถูกก็มาย้อนเราเลย ถ้าเราถูกคุณก็ควรจะแก้ไขปรับปรุง  ถ้าไม่ทำสังคมก็เลวร้ายต่อไป

       เรื่องที่ถกกันหนักคือเรื่อง อำนาจ อำนาจรัฐบาล พวกศึกษารัฐศาสตร์ ถ้าจะปกครองกันก็ต้องแย่งอำนาจรัฐบาล หลงผิดพลาดว่าอำนาจรัฐบาลนี้คืออำนาจรัฐชาติ อำนาจรัฐประเทศ เขานึกว่าเป็นอำนาจของเขา รัฐบาลเกิดจากประชาชนเลือกเขาไปทำหน้าที่ตามกฏหมาย เขาก็ทำได้ตามที่กฏหมายระบุ ทำเกินไม่ได้ ทำขาดไม่ได้ ไม่ทำไม่ได้ ต้องทำตามหน้าที่สิทธิ​ ไม่ได้เป็นผู้เป็นรัฐาธิปัตย์เต็มๆ เขาก็เป็นประชาชนมีรัฐาธิปัตย์ แต่เมื่อสวมหมวกรัฐบาลเขาไม่ได้มีอำนาจรัฐาธิปัตย์ เมื่อเราพูดด้วยวิชาการ ถ้าตราบใด ยังไม่เข้าใจเรื่องอำนาจ

       อำนาจเป็นนามธรรม แล้วอำนาจนี้มีสองอย่าง คือ Force and Authority เป็นอำนาจกดขี่บังคับ กับอำนาจโดยธรรม นามธรรมสูงสุดเป็นนามธรรม ถ้าใช้แต่ปืน อาวุธ หรือกำลัง เขาก็ทำกันมาแต่โบราณกาลมาแล้ว  แต่มาถึงวันนี้โลกเจริญแล้ว เป็นโลกที่พูดกันด้วยเหตุผล ความดีงาม ความควรไม่ควร ผู้ดีงามกว่าผู้ถูกกว่าก็ชนะ ผู้ไม่ดีงามก็ต้องแพ้ การต่อสู้อย่างนี้ด้วยอำนาจธรรม คือ Authority ผู้ทำก็จะได้จริง

       อย่างชาวไทยที่เราปฏิบัติอยู่นี้ เรามาทวงคืนอำนาจจากรัฐบาล ชี้ผิด เขาก็แถกถูไถไปเรื่อย เขาก็ค่อยๆยอมๆๆ แล้วก็มาอ้อนว่าถอยสุดแล้ว แต่คุณก็ยังไม่จบหรอก

       การรบอย่างนี้รบด้วยปัญญา เป็นคุณค่าสงบอบอุ่น จนถึงปวงมหาชนในชาติหรือในโลก ชาวต่างชาติก็จะแสดงความเห็นร่วม คุณค่าของคุณธรรมดังว่านี้ ประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ส่วนตัวหรือพรรคพวก คุณค่านี้ คนผู้มีปัญญาจึงยอมรับอำนาจความมีคุณค่า ช่วยเหลือ สงบ ไม่รุนแรง ไม่บีบบังคับ ไม่มีลักษณะของForce เป็นอำนาจโดยธรรมหรือ Authority ในโลกนี้ก็กำลังเรียนรู้อันนี้ เพราะสูงค่ากว่าอำนาจเรี่ยวแรงบังคับ

       ก็ค่อยๆพัฒนากันมา ทุกวันนี้ก็ค่อยๆเบาลงมา แต่มีราศีแห่งการข่มในที โดยใช้มาด ท่าที ศักดิ์ศรี ไว้ท่า แต่ผู้รู้ดีก็ลดตัวตน เช่นอย่างที่กำนันสุเทพทำ อ่อนน้อมถ่อมตนเลย ทั้งที่เคยเป็นรมต.มาก่อน อ่อนน้อมหาคนที่เคยเป็นลูกน้องของเขามาก่อน แม้กลาโหมเขาก็เคยเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่มีท่าทีข่มเบ่ง ใครทำก่อนก็งดงามก่อน ใครทำทีหลังก็ยังดี ลดเถอะกิเลสเช่นนี้ โดยสัจธรรมมันต้องลด

       แต่คนเรามักไม่รู้ว่าตนยึดอัตตา ไม่เข้าใจ หรือแม้รู้แล้ว แต่กิเลสมันยังยึดไม่ยอมวางยอมปล่อย ใครศึกษาได้ก็ศึกษาเอา ใครเข้าใจรู้แจ้งอำนาจราศีแห่งธรรมก็ทำเอา ลดละอำนาจแบบเก่า มาใช้อำนาจโดยธรรม ก็รู้กิริยาที่ดีกว่าก็ทำ พยายามปรับตัวเองเข้ามา ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน (อปจยะ) ก็เกิดขึ้นก็ดูดี ใครแข็งกระด้างเบ่งไม่ดี

       การไว้ตัวบ้างอันเหมาะตามฐานะศักดิ์ศรี บางโอกาสที่จะทำให้พอเหมาะเป็นเรื่องยากมาก เพราะถ้าไม่มีท่าทีดังกล่่าวจะเสียประโยชน์เป็นเรื่องลึกซึ้ง

       พลังอำนาจโดยธรรมนั้นสูงส่ง เจริญกว่าการบังคับ เรามาทำเพื่อให้เป็นว่าเป็นอำนาจโดยธรรม มีความสงบเรียบร้อย เป็นความถูกต้อง ดีงาม แต่ละวินาที แต่ละนาที ชั่วโมง เป็นเดือน ถ้านับตั้งแต่สวนลุมฯมานี่ก็เป็นร้อยกว่าวันแล้ว

       อำนาจโดยธรรม เป็นคุณงามความดีความถูกต้อง เราก็ชนะรายทางมาเรื่อยๆ มันยากส์...มาก แต่เราก็ชนะมาเรื่อยๆๆๆ คนที่ไม่เข้าใจจะเห็นว่าทำไปทำไม ไม่ได้ผลหรอก แต่เราบังคับใจใครไม่ได้ เราไม่ได้ครอบงำหรือหลอกล่อ แต่มาพูดสัจธรรม เป็นความเจริญอันแท้จริง

       เราประท้วงมา มีBBCว่า มี 5.7 ล้านคน เขาคำนวณจากภาพถ่ายดาวเทียม BBC ได้ 5.7 ล้านคน ส่วนCNN ได้ 5 ล้านคน มีหลักฐานที่เขาตรวจสอบกัน นิตยสาร Time ค้นหามา 10 อันดับ แต่สรุปแล้วทั้ง 10 รายการ มีคนมาระดับหมื่นระดับแสนคน แต่ของเราทิ้งเขาลุ่ยเลย เรามาเป็นล้านคน แต่เลี้ยงดูอยู่กันนานเป็นหลายเดือนแล้วนะ  จงภูมิใจว่าเราได้สร้างส่ิงวิเศษแก่สังคม มามีวิถีชีวิตที่ดีงามแบบนี้แหละ ที่เราทำนี้เรียกว่ามาทำงานการเมือง ทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่คือ นักการเมืองหมดแหละ

       เป็นมวลประชาชนมาทำหน้าที่ตามรธน.​เพื่อประโยชน์สังคม ต่างคนต่างช่วยกัน ไม่คำนึงถึงส่วนตัวทิ้งการงานส่วนตัว มาช่วยกันตรงนี้ เพื่อประพฤติให้เป็นรูปธรรม จนมีการก้าวหน้าของพลังแห่งการเมือง เป็น อำนาจโดยธรรม มีอำนาจทำให้เขาลดเขาเลิกไป เราก็จะมีส่ิงใหม่มาทดแทนส่ิงเก่า เป็นการเปลี่ยนแปลงสังคมประเทศ เขาทำมานี่มันเสียหาย

       ขอนำหลักการการเมือง 10 ข้อที่อาตมาเคยนิยามไว้มาอธิบาย

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้ พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยสูงสุด ตั้งแต่ยุคก่อนที่เป็นสังคมทาส แต่พระพุทธเจ้ามาปลดแอกทาสออกมาได้ คืออิสรเสรีภาพ ทุกคนเท่าเทียมกัน

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน  คุณคือคนที่คนเขาจะเลี้ยงไว้ให้ทำประโยชน์ต่อสังคม จะใช้อะไรก็จะมีเครื่องไม้เครื่องมือให้ใช้ คุณไม่กินใช้เปลืองด้วย ประหยัดมัธยัสถ์ มักน้อยสันโดษ

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ  เรามาทำงานรับใช้สังคม แล้วคนจะมารับใช้เรา เขาจะมาช่วยเราทำโดยเราไม่ต้องจ้าง เราเลือกเอาด้วย คนไหนไม่ไหวก็ไม่เอาได้

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม ข้าราชการนี่คือนักการเมือง คือนักรับใช้ประชาชนประจำเลย แต่เขาไม่รู้ตัว เขามีอคติ เพราะโลภ จนคอรัปชั่น โลภในยศตำแหน่งสรรเสริญ​เสพกาม บำเรออัตตา เมื่อไม่ศึกษาธรรมะก็เป็นเช่นนั้น เพราะทำงานไม่ได้รับใช้สังคมจริงๆ ทำงานเพราะไม่รู้พอ สะสมตะกละไปเรื่อยๆ ทั้งที่เขาทำงานการเมืองเป็นอาชีพคือรับใช้เป็นอาชีพ แต่ทุกวันนี้เพราะกลัวเสียโลกธรรม จึงเป็นข้าราชการที่ไม่ชอบธรรม

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน ผู้มีคุณธรรมเป็นอรหันต์คือนักการเมืองที่สูงส่งที่สุด พระพุทธเจ้าให้อรหันต์ 60 รูปแรกไปทำ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)  นี่คือนักการเมืองชุดแรกของโลก นี่คือนักการเมืองตัวแท้ มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น พ้นการทำงานลาภแลกลาภ มีแต่คนเขาจะตอบแทนอนุเคราะห์เลี้ยงเอาไว้ เขาก็จะทำประโยชน์ต่อไป เป็นเนื้อนาบุญ

        งานการเมืองจึงคืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง แต่นักการเมืองที่ทำอะไรเพื่อพรรคจึงห่างไกลประชาธิปไตยไว้มากเลย

       ที่เรามาทำงานการเมืองนี่เป็นเรื่องใหม่มาก จนคนงง สงสัย คนก็ว่าจะเอาความสงบไปยึดอำนาจ ไปสยบอำนาจ มันมีที่ไหนทำได้ ทำได้อย่างไร ก็เห็นใจเขานะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ชนะรายทางมาเรื่อยๆ แม้จะต้องเลิกงานนี้ไปโดยเขาต้องครองอำนาจอยู่ เราก็ต้องเลิกไปทั้งที่รัฐบาลเดิมก็ยังครองอำนาจบริหารอยู่ แม้เราจะต้องกลับไปจงทราบไว้ว่า คุณหาบความชนะไปด้วยนะ ไม่ใช่คุณไปมือเปล่านะได้แล้วบ้างแล้ว แต่มันน่าจะได้อีก เราก็เลยต้องอยู่อีกด้วยความพากเพียรต่อไป แม้ทางนั้นจะง่านโด้อย่างไรเราก็ได้อยู่นะ ก็อุตสาหะทำต่อ อนุโมทนากับพวกเราด้วยนะ

       เรามีอยู่สามกอง

       กองอนุสาวรีย์ก็ปลุกเร้าเอาเข้าไป พอมาถึงกองเรา ผ่านฟ้าลีลาศ อันนี้เราบุ๋น อันโน้นบู๊​ ส่วนอีกกองหนึ่ง คปท. กองนั้นก็หนุนเนื่องกัน สนับสนุนทุกอย่างจนบางทีจับปูใส่กระด้งไม่ทัน ก็มีเป้าหมายเดียวกัน เป็นน้องเล็ก กองเราเหมือนพ่อบ้านแม่บ้าน ให้เข้าใจเป็นหลัก จะบอกว่าที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นกองหน้า เราเป็นกองพลาธิการกองหลวง ส่วนอีกกองก็เป็นกองจรยุทธ์ บางทีรบอย่างไม่รู้

       ที่เราทำนี่ไม่ได้เสียหาย เรามีอัตราก้าวหน้าได้ผลมาเรื่อยๆ เป็นการพัฒนาสู่อาริยะ ซึ่งเป็นเรื่องยาก มั่นใจว่าเป็น Best record เป็นการรบด้วยธรรมาวุธ ใช้ความสงบเรียบร้อยไม่รุนแรง เอามวลประชาชนเอารัฐาธิปัตย์ คืออำนาจรัฐที่เป็นของประชาชน ตามมาตรา 2 ของรธน. มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าที่ประชาชนยกให้ เรามีในหลวงเป็นผู้สูงสุด ถือว่าเป็นเจ้าของความมั่นคง เป็นผู้ถือหลักเกณฑ์สูงสุด เป็นจอมทัพ มาถึงวันนี้ เราเป็นเจ้าของอำนาจสังคมแผ่นดินทั้งหมด ที่เรามีสิทธิ์มาดูแลจัดแจงเอง นักวิชาการก็เถียงกันว่ามันไม่เคยมีตัวอย่าง ที่จะทำได้สวยงามประเสริฐเลิศเลอขนาดนี้ จริงบางอย่างอาจมีบกพร่องบ้าง เราเป็นรุ่นแรกๆก็เลยเป็นอย่างนี้ บางคนก็ยังมีเศษเสี้ยงความหลงที่จะเอาแบบForce อยู่บ้าง ก็ถือว่างดงามมาก เป็นรุ่นหัวเจาะบุกเบิก เป็นจารีตแบบใหม่ที่เอาความสงบมาเป็นอาวุธ มาขออำนาจคืน ซึ่งที่อื่นเขากว่าประชาชนจะเอาคืนได้ต้องมีการสูญเสียมากมาย เพราะคนยึดติดอำนาจมีกิเลส ไม่มีหิริโอตตัปปะ แม้รู้ผิดก็ขอดันทุรัง จนถึงขั้น โด้ ก็จะเป็นอย่างนี้มาตลอด เราทำได้ขนาดนี้เป็นโมเดลใหม่ ที่มาสู้ด้วยคุณธรรม ได้ผลก้าวหน้า

       ที่พวกเราทำมา ขอถามกันเถอะ จ้างมาไหม?...ไม่มี....แล้วมาด้วยความสมัครใจไหม?...มาด้วยสมัครใจ...มาด้วยการถูกหลอกไหม?....ไม่

      เรามายืนยันคะแนนเสียงคราวนี้มันคนละบริบทจากการเลือกตั้ง อันนี้เรามาในบริบทของการไล่ออก ทวงคืนอำนาจเพราะคุณทำผิด ไม่ใช่บริบทของการเลือกตัวแทนเข้าไปทำงานนะ บริบทอันนั้นคุณได้ไปแล้ว แต่ทำงานไปมันผิดพลาดเสียหาย ขบถ เราก็บอกว่าคุณหยุดได้แล้ว มาสดๆเป็นๆไม่ใช่แค่ไปลงคะแนนเสียงไม่กี่วินาที แต่นี่ของเราเสียสละมากันทั้งตัวมาเป็นเดือนๆเลยนะนี่ มากันตั้งเป็นล้านเลย คะแนนนี้มันคนละบริบทนะ ยืนยันได้ว่า วันนั้นเป็นวันออกคะแนนเสียงแข่งกัน เขาก็มาที่รัชมังคลากีฬาสถาน เขามากันไม่เต็มสนาม ก็ไม่ถึงแสนคน แต่แถมให้สองแสนเลยนะ แต่ของเรามาเป็นล้านคนเลยนะ มันเทียบกันไม่ได้กี่เท่านะนี่ แต่เขาก็จะเอาแค่เลือกตั้ง จบดร.มาประชาธิปไตยมีแต่เลือกตั้ง อย่างนี้มันไม่ครบหรอกในประชาธิปไตย

       ถ้าเข้าใจว่าประชาธิปไตยคือการออกมาชุมนุมประท้วง กี่ล้านคนออกมา เป่าปรี๊ดเลย เอานกหวีดเป็นสัญญลักษณ์ก็ได้ อย่างนี้ไทยเป็นมหาอำนาจแน่ เพราะเมื่อรัฐบาลทำผิดพลาดไม่ดีเมื่อไหร่ก็เป่าปรี๊ดออกมากันเลย ทำให้เขาไม่กล้าทำผิด ทุกวันนี้เขาก็มีวิธีการประชานิยม เป็นการแลกเปลี่ยนแบบทุนนิยม ให้ไปเพื่อจะเอาคืนมาอีกมากกว่า ได้เปรียบมากเท่าไหร่ถือว่าสูงส่ง ซึ่งเป็นความคิดที่เลวร้ายอย่างมาก เราไม่ใช้

       ขณะนี้ที่เราพูดกัน คนเลือกตั้งเป็นผู้แทน มันต่างจากการออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกอำนาจคืนมันต่างกันคนละเรื่องเลย แค่นี้พูดกันไม่เข้าใจหรือ?

       เรามาอยู่นี่ก็มีผัสสะ ได้ทำงานด้วย ได้สองอย่าง

       1เราทำงานให้แก่สังคมก็ได้กุศล 2.กิเลสเราก็ได้ลด

       ได้ประโยชน์สองส่วนเรียกว่า อุภยถะ ได้ประโยชน์ทั้งตนเอง เกิดญาณปัญญา มีวิปัสสนาญาณ เป็นอกุศลจิตของตน แล้วเห็นว่าตนได้ปหานกิเลส ในปหาน 5

1.     วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)

2.    ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .

3.    สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .

4.    ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .

5.     นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)

       ก็มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ถ้าทำไปแล้ว สมมุติว่ามันล้มตายสูญเสียมากไม่คุ้ม เราก็ต้องหยุด ก็ระมัดระวัง ตั้งแต่เราทำมายกตัวอย่างพล.อ.ปรีชาพากลับสวนลุมฯตอนไปข้างทำเนียบ เราก็ต้องรักษาชีวิตไว้ก่อน ถอยกลับมาสวนลุมฯจนกระทั่งมารุกที่ผ่านฟ้ากันต่อ สู้ต่อมาจนทุกวันนี้ ขยับไปขยับมาอยู่นี่มียุทธภูมิที่ดี รบไปเรื่อยจนกว่าจะได้ผลสูงสุด นี่คืองานหลักของมนุษยชาติ พวกเราแต่ละคนไม่เสียชาติเกิด ได้ฝึกฝนส่ิงที่ดีในชีวิต ไม่อย่างนั้นก็จะหลง ทำมาหากินไป ไม่รู้จักจะกตัญญูกตวเทีต่อสังคม

       งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล ถ้าเป็นงานที่เป็นอกุศล เป็นโทษ อย่างที่เขาทำกัน ทุจริตผลาญพล่า ไม่รับใช้แต่มาสูบกิน เอาเข้าตัวเอง และพวกพ้อง อย่างนี้ห่างไกลงานการเมืองมาก เราก็ต้องให้เขาหยุดทำส่ิงผิด

       ที่เราทำนี่เป็นงานได้บุญได้กุศลทั้งนั้นเลยงานการเมือง ไม่ได้มาหลอกล่อนะ ให้เข้าใจความจริงอันนี้ชัดเจนนะ

       จะอ่านบทกวี ที่แต่งล่าสุดให้ฟัง        

                                                “โง่”ยกกำลัง “ด้าน” = ง่าน-โด้

                                           “ด้าน”ยกกำลัง “โง่” = โด้-ง่าน   

                                    (1) ห้าหกเพิ่งผ่านต้อง             ตรึงตรา

                                    มวลมหาชนออกมา                  ต่อต้าน

                                    รัฐบาลและรัฐสภา                   เพียรกบฏ     

                                    เพราะ “โง่” ยกกำลัง “ด้าน”     ง่าน-โด้ ตาใส

                                    (2) ใครจักกล่าวโทษท้วง        ก็ไถล

                                    ทุจริตผิดขนาดไหน                 ก็ด้าน  

                                    โง่ขั้นขบถก็ไข-                        สือบอด บ้าแฮ

                                    ชนหลักล้านค้านต้าน               ก็ “ง่านโด้”โวเถียง

                                    (3) อ้างเสียงข้า                        เลือกตั้งมานะ

                                    ริบรัฐาธิปัตยะ                          เซ่อซ้ำ 

                                    ข้าคืออำนาจจะ            บังอาจ กำแหงฤา

                                    ยึดรัฐสภาค้ำ                             ข่มด้วยเผด็จการ

                                    (4) พาลอ้างแต่ “เลือกตั้ง”คือ ประชา- ธิปไตย์

                                    รัฐศาสตร์สั้นแคบคา                แค่นี้

                                    ชูคะแน “เลือกตั้ง” หา              มวลหมู่   

                                    แล้วร่วมกันบดบี้                      ชาติให้ฉิบหาย

                                    (5) ขายชาติปล้นชาติแล้ว       หลอกคน

                                    โง่หนัก(อวิชชา)ด้านหนาจน   ง่าน-โด้

                                    ขอดคำด่าขุดขน                       มาหมด แล้วเฮย

                                    มันสุดแล้วอกโอ้                      ชั่วร้ายเกินใด

                                    (6) ได้ “โด้” ได้ “ง่าน”นี้         เป็นคำ

                                    ศัพท์ใหม่ไทยช่วยจำ                จดไว้

                                    “โง่” ผสมกับ “ด้าน” ยำ           เป็น “ง่าน”

                                     “ด้าน” หนักผสม “โง่” ไซร้    จึ่ง “โด้” ชี้อธรรม                                               

                                    (7) ชีพนำโชคได้พบ               พฤติการณ์                  

                                    ชาติถูกชั่วพร่าผลาญ                ยืดเยื้อ 

                                    แต่ถูกประชาปหาร                   ด้วยสงบ ประหลาดแล

                                    ธรรมฤทธิ์พิชิตเชื้อ                  ชั่วได้ปาฏิหาริย์.           

                                                                        สไมย์ จำปาแพง                                 

                     9 ธ.ค. 2556   [นัยปก “เราคิดอะไร”  ฉบับ 281 ประจำเดือน มกราคม 2557]

       

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:16:00 )

561214

รายละเอียด

561214_พ่อครูที่เวทีมัฆวาน

เรื่องปฏิวัติใหม่แปลกมหัศจรรย์

            The greatest political uprising on earth เพราะเป็นการตื่นขึ้นมาปฏิวัติที่ย่ิงใหญ่ในโลก เราทำมาเป็นการปฏิวัติที่สวยงาม เป็นส่ิงที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มี 5 อย่างที่อาตมาได้ประมวลมาคือ

            1. เป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แบบนี้

            2. ความสงบเป็นอำนาจที่แปลกใหม่ เอาความสงบเป็น ธรรมาวุธ ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง

            3. ไม่ความสงบนั้นมีความถูกต้องดีงาม เป็นเครื่องตัดสิน หรือเป็นบุญญาวุธหรือธรรมาวุธสำคัญ

            4. ทำไมมันไมจบซับที แล้วเมื่อไหร่จะจบซะที ทุกทีมีการใช้อำนาจบังคับด้วยอาวุธ Force แต่นี่เราใช้ Authority แล้วชนะมาเรื่อยๆก็ถือว่าขอบคุณคนไทย ที่เกิดมานี่คนก็ทึ่ง คนสงสัยว่าจะชนะได้อย่างไร แต่มันเป็นไปแล้ว ชนะมาตามลำดับรายทาง แม้ไม่สมบูรณ์ มีการอภิวัฒน์ คือตุลาการภิวัฒน์และประชาภิวัฒน์ ตัดสินกันด้วยความดีงาม ศาลช่วยด้วย และความเป็นจริงด้วย และด้วยมวลประชาชน วันนี้มาลงคะแนนเสียงก็มากันพรึ่บ ตั้งแต่มากันไม่ถึงแสน จนครั้งก่อนที่เราออกมากัน ตอนเสธ.อ้ายก็มาหลายหมื่นคน จากนั้นมาเราก็มาตั้งต้นเรื่อยๆ ก็เรียกมาเป็นแสน จนมาเรือนล้าน จนมาเป็น 5 ล้าน ซึ่งสถิติก็ยังไม่แน่ชัด อ.ขวัญสรวงก็ใช้หลักวิชาการคำนวณ ว่ามามากกว่า 2 ล้านคน

            5.​เป็นโลกุตระ  ตุลาการภิวัฒน์เป็นเรื่องของคุณภาพความถูกต้อง ส่วนประชาภิวัฒน์เป็นเรื่องของปริมาณ มันแปลกที่ว่าความสงบมีอำนาจอย่างไร? ให้คู่ต่อสู้ที่มีอาวุธมากมาย เราใช้ความดีงามอ่อนน้อม ช่วยเหลือเกื้อกูลเข้าต่อสู้จริงๆเลย อาจมีบกพร่องบ้าง แต่สรุปว่างดงามมากเลย ทำให้สยบลงได้ เป็นการชนะที่เป็นไปได้ ภาคภูมิใจว่าสังคมมนุษย์เป็นไปได้ ถือว่าสังคมอย่างนี้เป็นอาริยะ เป็นเครื่องชี้บ่งถึงความเจริญของมนุษย์ ชนะด้วยธรรมาวุธ ซึ่งสุดยอดเลย เกิดความสงบเป็นอาวุธ

            ในความเจริญก็เอาเนื้อแท้สัจธรรม มาขยายความรู้ความจริง จนเขาไม่กล้าแพ้ มีแต่ดิ้นอย่างเดียว ที่เราเห็นได้ชัดเจน ความสงบนี้เป็นอาวุธได้นะ เป็นอำนาจให้เขาจำนน เขาพูดไม่ออกเพราะเป็นความจริงความดีงาม

            ถ้าเขารู้ว่าเขาถูกกว่าดีกว่าเขาก็จะต้องสู้ต่อ ถ้าเขาถือว่าเขาไม่ผิดเขาก็มีสิทธิ์ต่อต้านได้ แล้วความต่อต้านด้วยความรุนแรงนั้นเขาสามารถทำได้ เราไม่มีอาวุธทำได้อย่างเขา เขามีตำรวจ แม้แต่อำนาจในทางความรู้เขาก็ตะแบงกันอยู่พยายามมอมเมาคนอยู่ แต่ผู้รู้ก็จะรู้ดีว่าอย่างไหนถูก

            แต่ว่ามันเจริญ คนสองฝ่ายสู้กัน คนแพ้ก็คือผิดแล้วก็ต้องยอม

            จะจบเมื่อไหร่ก็บอกไม่ได้ ….คือผู้ผิดเราไม่รู้ว่าเขารู้ตัวไหมว่าเขาผิด แต่เราแน่นอนว่าเรายืนยันว่าเราถูก มันก็ต้องจบที่เขาผิด แต่ตอนนี้เขารู้หรือไม่ว่าเขาผิด ถ้าเขารู้ว่าเขาผิดก็ยอมง่าย แต่ถ้าเขาไม่รู้ เขาก็คิดว่าเขาถูกเขาก็จะไม่ยอมง่ายๆ เพราะต่างฝ่ายต่างว่าตนถูก

            แต่ถ้าเขารู้ว่าเขาผิดเราก็ต้องมาฉีกหน้ากิเลส ตอนนี้เขาไม่รุนแรงแล้ว รุนแรงไม่ขึ้นแล้ว เราก็ต้องเอาพฤติกรรมที่ผิดมาชี้ กิเลสมันก็ต้องยอม เมื่อไหร่กิเลสเขาอ่อนแรง แล้วเขามีความรู้เขาก็ยอม พลังงงานความถูกต้องเผาผลาญพลังความดีงามได้ เราก็ต้องพากเพียรต่อให้ถึงที่สุด

            ใช้ความดีงามบอกกัน เด็กคนแก่เราก็ต้องช่วยเขา คนพิการเราก็ต้องช่วย สังคมโลกนี้จะเป็นโลกุตระที่แท้ มีซ้อนว่าถ้าเราทำแต่ดีให้แก่คน ประเทศไทยไม่ต้องมีอาวุธ ไม่ต้องมีกองทหาร ไม่ต้องมีตำรวจ มีแต่กองสงเคราะห์กันทั่วโลก เพราะเมืองไทยช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว เราก็ถั่วเฉลี่ยไปช่วยประเทศอื่นมาก

            เราทำแบบประโยชน์สูงประหยัดสุด แต่ละคนมันน้อยสันโดษ แต่แรงงานเราทำได้มาก ได้ผลผลิตมา ไม่สูญเสียพลังงาน ไปสร้างประโยชน์ทวีคูณ​ เจริญงอกงามเป็นเศรษฐกิจบุญนิยม เป็นค่าที่สูง ยังรอนักเศรษฐศาสตร์ตื่นรู้มาศึกษา เศรษฐศาสตร์บุญนิยม

            เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกำลังแย่ ถึงทางตัน เพราะเอากิเลสมาผลักดันไม่มีลด ก็มีแต่เพิ่มกิเลสแก่งแย่งกันไม่มีเมตตา ฆ่ากันได้เป็นผักเป็นปลา ใจดำอำมหิตโหดเหี้ยม

            เรามาทำแบบบุญนิยม รวมกลุ่มกันก็ยิ่งมีผลเหลือ ส่วนกลางก็ย่ิงมีเพิ่มขึ้นๆ เราทำมากเราไม่ได้เป็นเจ้าของเองเหมือนนายทุน แต่เราทำให้ส่วนกลาง เราย่ิงให้ได้มาก เพราะไม่มีใครยึดถือเป็นเจ้าของ ให้ได้มาก เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด เป็นเศรษฐกิจบุญนิยม ไม่กักตุนสะสม สะพัดได้เร็วได้ไว ถ้าเอามากองกันก็มีแต่สะสมไม่เกิดผลดี แต่ถ้าเคลื่อนที่ก็เกิดค่า เงินเป็นส่ิงแทนค่า สะพัดไปมีบทบาทหน้าที่ ธนบัตรเมื่อกองอยู่กับที่ก็คือเศษกระดาษ แต่ถ้าเคลื่อนที่ไปช่วยคนนั้นคนนี้ก็จะกลับมีค่าทับเท่าทวี เป็นเรื่องจริงของค่า พวกเราไม่ได้ยึดถือเสพแต่ตน เราทำงานได้เราก็สะพัด เราไม่กลัวอด แม้เราไม่มีคงคลังมาก แต่เรามีขยันกับสมรรถนะมาก เกิดแรงงานคุณค่าได้ทุกวัน ถ้าป่วยก็พัก แต่มีคนทดแทน คนป่วยมีไม่มากนักหรอก

            ในคอมมิวนิสต์ไปไม่รอด ที่ต้องล้มเพราะคนทำงานให้มาก ก็เอาไปแจกให้คนไม่ทำงานคนขี้เกียจ คนก็เลยขี้เกียจทำ สุดท้ายก็มีแต่คนขี้เกียจมากขึ้นๆ เพราะไม่ได้ทำด้วยใจจริง  แต่ของเราที่ทำนี้ทำด้วยใจจริง ไม่ต้องมีใครมาจ้างหรือมาบังคับก็ทำด้วยปัญญา สังคมที่อุดมปัญญาอย่างนี้อยากให้ไทยเป็นไหม? ก็ต้องมาสร้างสรรช่วยกันทำ สังคมนี้จะเป็นมหาอำนาจไม่ต้องรวย ไม่ต้องอวดโอ่ ไม่จำเป็นต้องมาซื้อทองซื้อเพชรมาอวดโอ่กัน

            ส่ิงที่คนเขายกว่ามีค่า เราก็รู้กับเขา เราเอามาใช้ประโยชน์ได้ ไม่จำเป็นต้องเอามาอวดโอ่ โชว์ให้คนมานั่งปล้นจี้ คนเราฉลาดไม่ต้องทำสิ่งเหล่านี้ คุณความดีไม่ต้องโชว์อวดโอ่หรอก นี่คือลักษณะซับซ้อนของความจริง

            เป็นสังคมคนจนแต่อุดมสมบูรณ์ เครื่องกินเครื่องใช้เราก็มีไม่ขาดแคลน เรามีของส่วนกลาง คุณเข้าใจว่าทำแบบคนจนมากขึ้นไหม ส่วนตัวของแต่ละคนน่ะจน แต่ของส่วนกลางของประเทศรวย แต่เราก็ไม่ต้องไปอวดโอ่แต่อย่างใด

            ค่าแรงงานของเราคือตัวลดต้นทุน เราไม่เอาค่าตัวค่าแรงงาน ไม่สะสมก็ไม่มีกองไว้ส่วนตัวมาก แต่ให้แก่สังคมได้มาก เป็นสังคมเศรษฐกิจที่วิเศษ

            เป็นเรื่องสั่งสมบารมี ถ้าอยากได้ให้ตายหาไม่ขวนขายเอา สร้างไม่ถึงก็ไม่ได้ ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาแห่งกรรม อย่าทำชั่ว ทำแต่ดี คนที่ทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ ข้อสำคัญคือชั่วอย่าทำ เป็นส่ิงสำคัญ เพราะความดีไม่ทำความเสียหายแก่คุณ แต่ความชั่วจะพาคุณเสียหาย ต้องพยายามมีปัญญาให้ดี ยกตัวอย่าง คนเขารังเกียจความสกปรก แต่คนไม่ทำความสะอาดมันก็หมักหมมสกปรกเราก็ต้องมีการป้องกันเชื้อโรค เราจัดการได้เชื้อโรคก็ไม่เกิดร้ายแรง เป็นส่ิงควรทำ ความเสียหายบกพร่องก็ไม่เกิด

             เราต้องศึกษาความถูกความผิด ความดีงามความเลว กิเลสนั้นพาเสียหา แล้วเราก็โง่ นึกว่าตนฉลาด แต่ฉลาดโกงนั้นโง่นะ นึกว่าตนเก่ง แต่ที่จริงโง่ ฉลาดเอาเปรียบนึกว่าตนเก่งก็ไปทำซ้ำทำซ้อน ยิ่งเหลิงยิ่งอวดเก่งย่ิงทำชั่ว

            เราได้ฝึกฝนไหม แล้วเข้าใจผิดว่าส่ิงที่ทำนี้ดี ยกตัวอย่างจะเอาแต่ใจให้ได้ คนสะสมความรวยนี่ชั่วนะ ไปพูดได้เลยทั่วโลก พูดที่ไหนก็ได้ คนเราจะรวยนี่ 1.ต้องโกง 2.ต้องเอาเปรียบ

            โกงนี่บาปหนักกว่าเอาเปรียบ เมื่อโกงได้มากก็บาปมาก มาเป็นบุญนิยมนี่ให้มาขาดทุนได้เท่าไหร่ยิ่งได้บุญหนักเข้าให้หมดเนื้อหมดตัวเลย ...พูดเหมือนน่ากลัวไหม?...แต่เราทำได้ แก่ก็มีคนเลี้ยง กินก็มีให้กิน พออยู่พอกินพอเพียงใช้หลักพระเจ้าอยู่หัว

            พวกเราได้พิสูจน์มาเป็นสังคมแล้ว คุณไม่ต้องกลัวว่าอยู่กับอโศกจะตกงานเลย มีงานให้ทำมากมาย ระวังจะขี้เกียจเท่านั้น

            วันนี้มี 10 การประท้วงของโลกที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง

ในวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการชุมนุมทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะมีประชาชนมาร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาลไทยถึงกว่า 5 ล้านคน จนสื่อต่างประเทศถึงกับกล่าวว่าไม่เคยมีการประท้วงครั้งไหนที่จะเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยและปราศจากอาวุธเหมือนการชุมนุมครั้งนี้เลย

       และในช่วงนี้เองที่นิตยสาร TIME ได้จัดอันดับ 10 การประท้วงของโลกที่เป็นสันติวิธีได้อย่างน่าสนใจ

       มาดูกันว่ามีภาพไหน เหตุการณ์ใดที่กลายเป็นภาพความทรงจำประทับใจของชาวโลกมาจนถึงทุกวันนี้บ้าง

 1. แคมเปญเพื่อสันติภาพ  ภาพนี้เป็นภาพที่จอหน์ เลนอน นักร้องชื่อดังจากวงเดอะ บีทเทิลส์หรือวงสี่เต่าทอง และภรรยาคนที่สองของเขา คือ โยโกะ โอโน่ ได้ใช้เวลาช่วงฮันนีมูนของพวกเขา 7 วันที่โรงแรม Amsterdam Hilton ( 25-31 มีนาคม 1969) เผยแพร่ภาพแคมเปญที่เรียกว่า “Bed-in” เพื่อเป็นการต่อต้านสงครามเวียดนาม

       ในภาพทั้งคู่กำลังสวมชุดอาบน้ำอยู่บนเตียง พร้อมแปะข้อความบนกำแพงว่า “Hair Peace” และ “Bed Peace” ตอนหลังทั้งคู่ยังได้ทำแคมเปญนี้อีกครั้งที่เตียงในโรงแรม Montrea ซึ่งเป็นสถานที่จอห์น เลนนอนและกลุ่มผู้สนับสนุนได้ทำการบันทึกเสียงเพลง "Give peace a chance" ซึ่งเพลงนี้เองที่ต่อมาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านสงครามเวียดนาม

 

2.ผู้ทรงอิทธิพลทางปัญญา   เฮนนี่ เดวิด ทอโร่ นักปรัชญา-นักกวี ชาวอเมริกันแห่งยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้อย่างสันติสุข เพราะผลงานของเขาเรื่อง "Civil Disobedience" ได้ตั้งคำถามว่าทำไมคนจะต้องเคารพรัฐบาล เนื่องจากเขาคิดว่ากฎหมายไม่เป็นธรรมและไม่เห็นด้วยกับนโยบายทาส เขาจึงปฏิเสธที่จะจ่ายภาษีให้แก่รัฐบาล ทำให้ทอโร่ถูกจำคุกหนึ่งคืนในปี 1846 แต่ภายหลังญาติก็ได้ประกันตัวเขาออกไป

  3.หญิงในชุดขาว

หนึ่งในภาพของขบวนพาเหรดของวันที่ 3 มีนาคม 1913 โดยมีเนส มิลฮอลแลนด์ บอสเซเวียน (nez Milholland Boissevain) นักกฎหมายหญิงเป็นผู้นำที่ทำให้ผู้คนลุกขึ้นมาร่วมเดินขบวนมากกว่า 50,000 คนในเมืองวอชิงตันดี.ซี. โดยสมาคม The National American Woman Suffrage” สามารถหาเงินบริจาคได้มากกว่า 14,000 ดอลลาร์เพื่อจัดอีเวนต์สำคัญในการโปรโมตให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ออกเสียงเสียงเลือกตั้ง กระทั่งทำให้ผู้หญิงสามารถมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งใน 7 ปีต่อมา

 4.เกลือสันติภาพ

       ในวันที่ 12 มีนาคม ปี 1930 มหาตมะ คานธี ในวัย 61 ปีพร้อมอาสาสมัครอีก78 คน ได้เดินทางไปที่ชายทะเลในตำบลฑัณฑีซึ่งเป็นระยะทางกว่า 241 ไมค์ เพื่อทำการผลิตเกลือ เพราะต้องการประท้วงอังกฤษที่ห้ามคนอินเดียผลิตเกลือกินเอง เนื่องจากเกลือเป็นสินค้าที่ถูกควบคุมด้วยรัฐบาลอังกฤษในสมัยนั้น ว่ากันว่าสิ่งที่คานธีทำนี้เองได้กลายเป็นสัญลักษณ์และจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่าอินเดียต้องการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราช      

      5.การนั่งประท้วงของพลเมืองฟลินท์

 สหภาพ the United Auto Workers (the UAW) เป็นสหภาพที่ก่อนตั้งในปี1935 เนื่องจากเป็นสหภาพที่เพิ่งก่อตั้งจึงมีวาระที่จะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาตามแผนของสหภาพมากมาย ซึ่งในช่วงภาวะแห่งความตึงเครียดนี้เอง ผู้บริหารของบริษัทเจเนอเรชันมอเตอร์ได้เริ่มแจกจ่ายงานให้แก่บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกของสหภาพเพื่อสกัดกั้นการทำงานของ the UAW ดังนั้นในเดือนธันวาคม ปี 1936 คนงานจึงได้มานั่งรวมตัวกันประท้วงที่หน้าตึก Fisher Body ซึ่งเป็นพื้นที่ของบริษัทเจเนอเรชันมอเตอร์ในเมืองฟลินท์ โดยมีคนงานร่วมประท้วงทั้งหมดกว่า 135,000 คนใน 35 เมืองทั่วอเมริกา ตามมาด้วยเหตุการณ์จลาจล

       อย่างไรก็ตาม ภาพของวงดนตรีที่เล่นดนตรีและกลุ่มชายที่นอนหลับอยู่ก็จารึกอยู่ในความทรงจำของผู้คนว่ามีความเข็มแข็งที่ผาสุก สงบ อยู่เบื้องหลังของการเคลื่อนไหวของสหภาพอเมริกาเหนือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง      

       6.นั่งเพื่อต่อสู้สิทธิของคนดำ

 แม้ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันจะมีจำนวนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารรถบัสในเมืองมอนต์เกอเมอรี่ รัฐแอละแบมา ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ผู้หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ชื่อ “โรซ่า พาร์คส” ก็เจอปัญหาในการนั่งรถเมล เนื่องจากเธอฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการไม่เสียสละที่นั่งของเธอให้แก่ชายผิวชาว ทำให้เธอถูกจับกุม เป็นเหตุให้คนดำรวมตัวกันต่อต้านไม่ขึ้นรถเมล์เป็นเวลา 381 วัน แต่หนึ่งปีหลังจากนั้นศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกายืนคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าการจัดที่นั่งให้เฉพาะคนบางกลุ่มเป็นการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และประกาศกฎหมายไม่ให้มีการแบ่งแยกสีผิวขณะโดยสารยานพาหนะ

        ภายหลังพาร์คส์จึงกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ "mother of the civil-rightsmovement." หรือ “แม่ของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง”      

       7.ประท้วงในวอชิงตัน

   ในภาพนี้มีประชาชนมากกว่า 2 แสนคนมารวมตัวกันที่อนุสรณ์ลินคอล์นในวันที่ 28 สิงหาคม 1963 เพื่อเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมกันของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน โดยครั้งนี้ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ได้กล่าวคำปราศรัยอันโด่งดังที่ชื่อว่า "ฉันมีความฝัน" ( "I have a dream") ซึ่งช่วยปลุกกระแสตื่นตัวให้คนทั้งชาติเรียกร้องสิทธิเท่าเทียมกัน

        ทั้งนี้ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ เป็นผู้สนับสนุนการประท้วงปราศจากความรุนแรง โดยยึดหลัก “อหิงสา” ตามแบบฉบับของ “มหาตมะ คานธี” นอกจากนั้นยังสนับสนุนการร่างกฎหมายเพื่อให้เกิดสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันทุกสีผิวในสหรัฐอเมริกา จนทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1964      

       8. กำปั้นในอารยะขัดขืน

       นักกรีฑาชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันสองคน คือ “ทอมมี สมิธ” (ผู้ชนะเลิศ)และ “จอห์น คาร์ลอส” (ผู้ชนะเลิศรองอันดับที่ 2) ได้ใช้ชัยชนะของพวกเขาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เม็กซิโกซิตี้ในปี 1968 เป็นเวทีต่อต้านการกดขี่คนผิวดำในอเมริกา โดยทั้งคู่ได้สวมถุงเท้าดำเพื่อพรีเซ็นต์ความยากจนของคนดำ รวมถึงสวมถุงมือดำเพื่อเรียกร้องความเป็นอันหนึ่งเดียวของคนดำ ในขณะที่ผู้ชนะเลิศรองอันดับที่ 1 คือปีเตอร์ นอร์แมน ชาวออสเตรเลียก็ได้ร่วมสวมเสื้อที่มีตราคำว่า Human right หรือ “สิทธิมนุษยชน” จึงทำให้เขากลายเป็นเหมือนฮีโร่ เมื่อกลับถึงบ้าน      

       9.ดอกไม้กับปืน

 ในวันที่ 21 ตุลาคม 1967 ได้มีผู้คนมาประชุมประท้วงสงครามเวียดนามที่หน้าเพตากอน (จัดโดย the National Mobilization Committee ) เพื่อต้องการให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกายุติสงครามในเวียดนาม เหตุการณ์ในครั้งนี้เองที่ได้เกิดภาพที่ประทับใจผู้คนทั้งโลกคือ ภาพผู้หญิงที่ถือดอกไม้ประจันหน้ากับตำรวจ นับเป็นภาพพลังดอกไม้ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพได้อย่างน่าชมทีเดียว      

       10.ผู้ต่อต้านที่ไม่ปรากฏชื่อ

หลังการตายของผู้นำที่เรียกร้องประชาธิปไตย “หู เย่าปัง” ในปี 1989 นักเรียนจีนจำนวนมากได้มารวมตัวกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของเมืองปักกิ่ง เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ รัฐบาลจีนจึงได้ใช้รถถังเพื่อหยุดจำนวนผู้ประท้วงและยิงปืนใส่ผู้คนล้มตายมากกว่าสองร้อยคน แต่แล้วก็ได้มีชายคนหนึ่งได้เดินเข้าไปในถนน เพื่อยืนประจันหน้ากับรถถังและพยายามปีนเข้าไปในรถถัง

        ไม่มีใครรู้ว่าชายคนในภาพนี้เป็นใคร บางคนบอกว่าเขาถูกฆ่าตายไปแล้ว ในขณะที่บางส่วนก็เชื่อว่าเขาหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่ไต้หวัน แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่เขาทำก็ได้เป็นภาพตราตรึงอยู่ในใจของคนทั้งโลกแล้ว แม้การประท้วงครั้งนั้นจะไม่สำเร็จก็ตาม      

       ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE ขอบคุณภาพและข้อมูลจากนิตยสาร TIME

            การประท้วงที่ได้รับการชื่นชมจะมีภาพที่เป็นสัญญลักษณ์ ทำให้คนประทับใจ พวกเราก็มาประท้วงต้องการให้คุณหยุดทำผิด เพราะคุณทำผิดพลาดมามากมาย เสียหายแก่ประเทศชาติ มันก็เป็นความประเสริฐ ต่อสังคมประเทศชาติ นี่เป็นความเจริญของมนุษยชาติ สากลเลยของโลก ….จบ          


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:29:57 )

561215

รายละเอียด

561215_พ่อครูที่มัฆวาน

เรื่อง การประท้วงอย่างโลกุตระ

            พ่อครูว่า....เรื่องของสังคมเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ เรามาใช้เวลาแรงงาน เพื่อให้เกิดธรรมะ คำว่าธรรมะเป็นคำรวมที่ครบทุกอย่าง ถ้าใครตามข่าวคราวก็จะเห็นว่ามีเวทีหลายเวที จะถกกันว่า จะเลือกตั้งก่อนปฏิรูปหรือจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทุกเวทีเลย

            เราก็พูดตามที่เราถือ แม้เราไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร จะเป็นอะไรก็ไม่ว่ากัน ประเด็นสำคัญคือ ให้สังคมมีบทเรียนมีความรู้มีธรรมะมีกุศลขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เแม่แต่ทางรัฐบาล เขาก็จะสำเหนียก ก็ดีขึ้นๆ รัฐสภาที่ขาหักขาเป๋ เป็นต้น ทั้งประเทศตอนนี้ตื่นรู้ ประเทศนี่คนทำเลวทำชั่วก็ได้บาปหนัก แต่ก็พอมาเฉลี่ยนกันได้มีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ มีความสำนึก มีคุณค่ามีราคาขึ้น

            อาตมาพูดซ้ำพูดซาก แล้วว่ายังงง ว่าท่านผู้รู้ผู้ที่เรียนกันมาสูงๆมาแย้งเถียงคอเป็นเอ็นว่า ที่มหาประชาชนออกมาประท้วงนี้ไม่มีในรธน. การที่ประชาชนออกมาหลายล้านคนนี่ ไม่มีในกฏหมายรธน.นะ

            อาตมาก็ดูในรธน. 7 มาตรา แรก

            มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

            มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

            ประชาชนเราเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วเรายกให้ในหลวงเป็นประมุข ลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งตุลาการ ทำงานถ่วงดุลร่วมกับ รัฐสภาและครม. นอกนั้นก็กระจายการบริหารไปตามมาตราต่างๆ

            ที่เราออกมาแสดงสิทธิ เขาก็แย้งอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่มีๆๆ เขาว่าทำไม่ถูก เราก็ว่าเราทำตามมาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

            ออกมาแสดงตัวเป็นๆสดๆ แสดงทางตรง แท้ๆเลย อาจมีพกพร่องบ้างก็แค่ไม้หรือเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าเราทำโดยรวมเป็นสันติวิธี แล้วมาบอกว่าเรามาประท้วงนี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ว่าประชาธิปไตยคือการออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

            เขาว่าอำนาจอธิปไตยคือมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้วจบ เราก็อ่านหนังสือออกอยู่นะ ว่าเรามาทำหน้าที่ถูกต้องตามรธน.นะ และตามมาตรา 70 และ 71 นะ เรามาบอกว่าคุณผิดอันนั้นอันนี้ คุณใช้อำนาจหน้าที่ผิดมาตรา 3 จนตุลาการชี้ว่าผิด คุณก็ไม่รับ อย่างนั้นมันใช้ไม่ได้แล้ว เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราก็ว่าทำตามรธน.นะ ไม่ได้ขัดแย้งกับรธน. ประชาชนออกมาแสดงสิทธิ์อำนาจอธิปไตย ตามมาตรา 2 และ 3 นี่เขาก็แย้งอีก เขามีสมองหรือว่าข้างในกลวงๆไม่รู้

            คำว่า ประชาธิปไตย นี่มีคำว่า ประชา กับอธิปไตย มันแปลว่าอะไร หมายถึงอะไร ทั้งที่มีความสำคัญมากในมาตราหลักๆเลย

            แม้ประชาชนคนเดียวก็มีสิทธิออกมาประท้วง แสดงสิทธิของคุณได้ แม้คุณจะออกมาแย้งผิด คุณก็ผิดไปเอง ไม่มีผลได้อะไร เพราะแย้งผิดๆ แย้งไปเขาก็ว่าบ้าๆบอๆ ไม่ผิดกฏหมายด้วยนะ แล้วเราออกมาเป็นแสนเป็นล้าน ประเด็นที่เราท้วงนี่ไม่ผิดด้วย สังเกตดีๆว่าที่เราท้วงไปนี่เขาไม่เถียงไม่แย้ง พูดแต่ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง แล้วบอกว่าไม่มีในรธน. อีก มาตรา 4 (ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค)ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง

            คุณต้องคุ้มครองพวกเราด้วยตามรธน.ไม่ใช่ว่ามาจัดการเรา มาปราบเรา คุณมากวาดล้างเรานี่คุณทำตามรธน.มาตราไหน ทั้งที่เรานี้ทำถูกตามรธน. เราทำมาองค์รวมถูกต้องตลอด เราทำให้เขาสำนึก แล้วจะมาตีกินอะไร เอาอำนาจมาเบ่งข่มอะไร เราทำอย่างชอบธรรม ให้ทำสิ่งดีงามควรเป็น

            พล.ร.อ.ชัย สรุปเมื่อกี้นี้ ว่าเราทำนี้ถูกต้องดีงาม ชนะมาเรื่อยๆ เกิดผลดีงามเรื่อยๆ เป็นกำไรของสังคมประเทศชาติ ประเทศไทยเจริญขึ้นนะ แม้ว่าอำนาจบาตรใหญ่ที่มีคนถือนี้ สุดท้ายสมมุติว่าเขาชนะเราต้องถอยเลยนะ เราก็ยังทำให้ประเทศชาติก้าวหน้า แต่คนชั่วเขาก็เลวได้เพ่ิม เขาได้ใจย่ามใจเพ่ิมอีก ก็ง่านโด้เพ่ิมขึ้น เราก็ไม่ต้องไปทะเลาะดันทุรุงเกินเหตุ ถึงเวลาเราก็มาอีก

            คนทำชั่วไม่ถูกต้อง เขาทำออกมาคนก็เห็น โลกก็เห็น จะมองให้ลึกๆคือเขาประจานตัวเองนะ แม้ปล่อยให้เขาทำชั่วต่อไปอีก ยกตัวอย่าง ที่เขาทำปู้ยี่ปู้ยำเงินของชาติกู้มาเป็นหนี้อีกเรื่อยๆ ผู้รู้ก็บอกว่าทำรถไฟความเร็วสูงใช้เงินไม่กี่แสนล้าน แต่นี่กู้มาเป็นล้านๆ ทำให้เป็นหนี้ไปอีกหลายสิบปี มันส่อทุจริต คนก็ไม่ฉลาดนักก็ยังมองออก นี่คนฉลาดมาบอก ยิ่งเขาทำยิ่งประจานตัวเอง จะบอกว่าเขาฉลาด ที่จริงเขา “ง่าน” คือโง่ยกกำลังด้าน

            เมื่อประชาชนได้ตื่นรู้ ที่ทำนี่เป็นประโยชน์มาก ที่ประชาชนไทยได้ตื่นรู้มากมาย พล.ร.อ.ชัย สรุปว่า ไม่เคยมีในโลกที่มีคนออกมามากเป็นหลายล้านคนแล้วสงบเรียบร้อย เอาระเบียบอะไรมาควบคุมไม่ให้อลเวง ไม่รู้จักมักจี่กันด้วยแล้วมารวมกันอย่างไรให้เรียบร้อย ไม่เกิดเรื่องราวไม่ดี เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ออกมามากขนาดนี้ มายืนยันสัจจะ

            เรื่องนี้ กำนันสุเทพจะพาทำต่อไป อาตมาตีกลองส่งเลย เชิดกลองให้ทำต่อไปเลย เอากันให้สุดซอยแห่งซอยให้ได้ เพราะมันดีงาม สุดยอด สุดประเสริฐแล้ว ก็เชียร์เต็มที่

            เราได้มาประเทืองปัญญา วันๆคืนๆผ่านไป เราก็เป็นไปได้ไม่หนักหนาสาหัสเกินไป ก็มีเหนื่อยบ้าง อาจไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน ไม่เรียบร้อยสมบูรณ์แบบ ก็ลำบากบ้าง แต่เราก็ว่าได้ผลนี่คุ้มกว่าผลเสียนะ

            อาตมาสรุปมาได้ 5 ข้อว่า

            1. เป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน แบบนี้

            2. ความสงบเป็นอำนาจที่แปลกใหม่ เอาความสงบเป็น ธรรมาวุธ ไม่ต้องใช้เรี่ยวแรง

            3. ไม่ความสงบนั้นมีความถูกต้องดีงาม เป็นเครื่องตัดสิน หรือเป็นบุญญาวุธหรือธรรมาวุธสำคัญ

            4. ทำไมมันไมจบซักที

            5.​เป็นโลกุตระ 

            เป็นเรื่องใหม่ไม่เคยเกิด ที่เราทำนี่เกิดได้ก้าวหน้ามาเป็นประชาธิปไตยสวยสดงดงามที่ประกอบด้วยคุณธรรม ไม่งงไม่สงสัยเลยว่า ผู้รู้จะหมุนสมองไม่ทันสมัย เราก้าวพ้นเลยเขา ล้ำหน้าเขาไปแล้ว เขายังไปไม่ถึงไหนเลย สิ่งที่เราช่วยกันทำนี่จึงยาก แล้วใหม่ เราทำได้ดี สงบดี เหมือนกับเรายอมแพ้ยอมอ่อนไม่แข็งกร้าว ไม่กดดันแข็งสู้ แต่ใช้คุณงามความดี มาช่วยอธิบายสิ่งถูกสิ่งผิด เราทำสงบเรียบร้อยเอาความถูกต้องมายืนยัน จนกระทั่งเราสามารถมีความรู้เพิ่มเติมขึ้นมามาก ถึงขึ้นมีอาริยะมีโลกุตระ

            โลกุตระต่างจากโลกียธรรมอย่างไร โลกียะคือตกอยู่ในห้วงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สุขด้วยกามด้วยอัตตา บำเรอกามคุณ บำเรออัตตา ส่วนโลกุตระนั้นพ้นจากสิ่งเหล่านั้น ล้างตัวเหตุ กิเลสตัณหาอุปาทานได้

            กิเลสตัวนิ่งคือ “อุปาทาน” Potential energy พอมันเคลื่อนไหวออกมา ตัวนี้ตัวเดียวนี่แหละ มันเป็นอนุสัยอุปาทาน แล้วพอมันเคลื่อนไหวออกมาก็เป็นตัณหา มันจะมีอาการที่รู้ได้ ว่าอย่างนี้ราคะ อย่างนี้โทสะ แล้วเราสามารถจัดการกิเลสให้ตายสนิทเลย อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

            อย่างมีญาณปัญญา ไม่ใช่กดข่ม อย่างนั่งสมาธิทำฌานแบบฤาษี เราทำได้อย่างไม่ใช่สามัญลักษณ์ แต่เราทำได้อย่างที่เป็นปัจจัตลักษณ์ คุณมีญาณเห็น อนุปัสสี 4

1.อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา).
 

2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 
 

3.นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
 

4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)
 

            แล้วเพียรทำอย่าง

1.         สังวรปธาน (เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น)
 

2.        ปหานปธาน (เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว) .
 

3.        ภาวนาปธาน (เพียรสรรสร้างให้กุศลเกิดขึ้น)
 

4.        อนุรักขนาปธาน (เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้ว  ให้เจริญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ให้เสื่อมลง)
 

            ทำนี่ไม่ใช่แค่ภาษา แต่ว่ามีสภาวธรรมด้วย แม้ไม่รู้ภาษา แต่ว่ารู้สภาวะมีเองเป็นของจริงก็ไม่ต้องท่องมาก็จำได้ ไม่สับสนเลย มันเป็นของจริง

            โลกุตรธรรมนี้ยืนยันว่าเราได้ แม้แต่ละคนไม่รู้ภาษาธรรม ที่มาปฏิบัตินี้แต่ว่าได้จริงๆ เป็นผลงานจริงที่เกิดในมนุษยชาติ ไม่มีปัญหาเลย เพราะการศึกษาแบบนี้ ผลประโยชน์ของการศึกษาแบบนี้ราคาแพง มหาวิทยาลัยที่จะมาเรียนแบบนี้ แม้แต่มหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนา กว่าจะเรียนเป็นโลกุตระนั้นก็ยาก อาจจะมีบ้าง แต่หายาก ที่จะชัดว่าถูกต้องอย่างสัมบูรณ์ หาที่เรียนยาก มันเป็นส่ิงที่ต้องการ เป็นอุปสงค์ของมนุษยชาติมากมาย ที่เรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ก็แค่แสดงหาโลกธรรมแสดงหากามและอัตตา เป็นโลกียะ หาได้มากมาย แต่มหาวิทยาลัยโลกุตระหายากมากในสังคม มันเป็นอุปสงค์มากของสังคม หาคุณสมบัติอันนี้ในมนุษย์ยาก หาได้ยากในโลกมนุษย์ ถ้าได้จริงก็เป็นประโยชน์ต่อตนและสังคม

            1.ได้แล้วมันถาวร ถึงรอบแล้วไม่กลับกำเริบ มีแต่ได้ใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก

            2.ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ กับสังคม แต่เป็นสุข เป็นปรมังสุขัง ยอดเยี่ยมแห่งสุขสงบ ไม่ใช่สุขอย่างจัดจ้าน รสสุขของธรรมรสกับโลกียรสนั้นต่างกัน ขอโลกีย์นั้นจ่ายพลังงาน แต่ของโลกุตระนั้นสดชื่น สุขสงบสบาย ไม่ได้จ่ายพลังงานอะไร แต่สุขโลกีย์นั้นสุขร้อนนะ สปาร์คแรงๆก็ช็อต ช็อคต่ายได้ ดีใจมากๆนี่ช็อคตายได้ เป็นเรื่องจริงเลย

            สิ่งที่เกิดเป็นคุณต่อตน

            3.การลดกิเลสของพุทธ กิเลสลดแล้วไม่ขี้เกียจ แต่กลับมี พลังปัญญาหรือปัญญาพละ อนวัชชพละ วิริยพละ สังคหพละ

            อนวัชชพละจะมีการคัดเลือกเฟ้นงานที่ดี รู้เหมาะควรที่เป็นสัมมาอาชีพ มันรู้ชัดเลย อ่านออกเลือกเฟ้นได้ จึงมีพลัง 4 มีกำลังช่วยเหลือสงเคราะห์หรือสังคหพละ ช่วยเหลือสังคมโลก ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เรามาสร้างสรรงาน เป็นคุณสมบัติที่จริงที่แท้ จะเป็นคนดีจริงเจริญแบบนี้ สร้างสรรมากแล้วไม่กักตุน มีแต่สะพัดแจกจ่ายเจือจานไม่หวงแหน เป็นคุณสมบัติแท้ๆของความเป็นจริง ไม่เปลืองผลาญ ตามที่เขาล่อหลอก ให้งมงาย เราตื่นรู้ไม่ถูกหลอกแล้ว แต่ก่อนเราต้องวิ่งไปเสพ บันเทิงเริงรมย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องแค่นี้ก็พอ มันเกินเหลือแล้ว เป็นสัจจะความเป็นจริง

            กำลังที่จะมาทำงานก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คนๆนี้อยู่ในโลกก็พ้นภัย5

1.         อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้เศรษฐกิจจะแย่)
 

2.        อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ)
 

3.        ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม) 
 

4.        มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)
 

5.        ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)
 

            ย่ิงมีระบบระบอบที่อยู่กันอย่างสาธารณโภคี ก็ยิ่งดี สร้างสรรแต่ละคนมีมากแต่ไม่เอา นำมาเติมแก่ส่วนกลางให้มาก ก็ยิ่งเหลือแบ่งแจกแก่สังคมได้ เป็นรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์แก่โลก

            เรามีแต่ทำดีไม่กลัวจะมีภัยต่อการตำหนิ คนโง่เท่านั้นจะตำหนิเรา ว่าเราอยากได้อยากมีอยากเป็น ทั้งที่เราไม่ได้อยากเป็นอย่างเขา เราเลิกละมานานแล้ว เขาก็เข้าใจไม่ได้ เราก็ไม่กลัวคนตำหนิ ไม่สะทกสะท้านในการมาช่วยสังคมเรามั่นใจว่าเราได้ทำดี เป็นประโยชน์เกื้อกูลสังคม แม้ว่าที่สุดจะสูงไปถึงขั้นไม่กลัวตาย เราทำดีตายในตอนทำดีนี่ก็ยิ่งดี คนหลบในรูตายไม่ได้ช่วยใครกับคนออกมาช่วยคนแล้วตายคนไหนจะมีค่ามากกว่ากัน...ง่ายๆ

            ก็คนออกมาก็น่าภาคภูมิใจกว่า แล้วใครจะไม่ตายบ้างเราก็รู้หลบบ้าง แต่มันสุดวิสัย หวยออกเราก็ตาย เราตายเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ เสียสละเพื่อประเทศชาติ ชาติิอยู่รอดเพราะคนเหล่านี้

            คนที่ตายด้วยคุณค่าคุณงามความดี คุณได้กุศล อิสลามบอกว่าคุณตายเพราะทำความดีทำเพื่อชาติคุณก็ไปอยู่กับพระเจ้า

            ไม่ได้มาหลอกล่อนะแต่เป็นสัจจะคุณงามความดีนะ แล้วราคาแพงนะ เราไม่ถึงที่ตายก็ไม่ตายหรอก พล.อ.ปรีชาผ่านตายมากี่สนามรบ จนได้ 16 ขั้น แต่คนถึงที่ตาย นอนอยู่ในมุง เครื่องบินตกมาใส่ตายก็มี ทำไมมาตกใส่ตายได้ นั่งอยู่บนเรือ รถยนต์ดันวิ่งไปชนตายบนเรือก็มี เห็นว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมชาติ

            ทุคติภัย ถ้าคุณทำแต่ดีไม่เสื่อมคุณจะกลัวเสื่อม คุณละชั่วทำดีแล้วคุณจะเสื่อมได้อย่างไร คุณจะกลัวชั่วทำไม เพราะคุณไม่ได้ทำชั่ว ตายไปก็ไม่กลัวจะไปสู่ที่เสื่อมต่ำ เราไม่ได้ทำ ย่ิงทำดีมากก็ยิ่งมั่นใจ

            มีกำลัง 4 จะพ้นภัย 5

            พยายามพากเพียรให้พอเหมาะพอดีตามขั้นไม่อย่างนั้นเกินตัว พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างเป็นขั้นตอนราบเรียบอย่างกับฝั่งทะเล

            เราปฏิบัติไปเราก็ยิ่งอยู่เหนือกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ เหนือกามเหนืออัตตา เราก็รู้ทัน มันทำอะไรเราไม่ได้ แล้วเราก็ได้ช่วยโลกเป็นโลกานุกัมปา เป็นคุณสมบัติของผู้ที่มีธรรมะ

            พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

            พระอรหันต์ไม่เบื่อในการฟังธรรม พระพุทธเจ้าท่านว่า ให้สมบูรณ์ในโพชฌงค์ 7 ก็จะมีฐานแห่งความดีงาม สงบของพุทธนั้นสงบจากกิเลส โลภ โกรธหลง ลดลง นี่คือปัสสัทธิ ย่ิงสงบมากพลังสร้างสรรยิ่งเร็วยิ่งแรง ไม่ใช่สงบแล้วไม่ทำอะไรหนีจากโลกอย่างลัทธิฤาษี พุทธทำแล้วจะมีคุณลักษณะที่ช่วยเหลือโลก มีความรู้ทันโลก

            ปีตินั้นไม่ใช่ว่าไปดีใจที่ได้ลาภยศ เราดีใจที่เห็นกิเลสลด มันมีคุณค่ามากกว่า สั่งสมเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ จิตอันนี้ตกผลึกตั้งมั่น สมาธิไม่ใช่นั่งหลับตาแข็งทือไม่ทำอะไรแต่คุณลักษณะพิเศษของจิตที่บรรลุธรรมแบบพุทธนั้นมีความวิเศษมากหลายกว่านั้น

            อุเบกขาคือความเป็นกลาง ถ้าเป็นกลางคือเข้าข้างสิ่งอกุศลหรือไม่เข้าข้างใครก็คือกลัวเสียลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม หรือเพราะกลัว

1.         พ้น ฉันทาคติ   (ไม่ลำเอียงเพราะ รัก)
 

2.        พ้น โทสาคติ    (ไม่ลำเอียงเพราะ ชัง)
 

3.        พ้น โมหาคติ    (ไม่ลำเอียงเพราะ หลงผิด)
 

4.        พ้น ภยาคติ       (ไม่ลำเอียงเพราะ กลัว)
 

            ที่คนไม่ออกมาเพราะว่า เป็นคนที่เข้าใจว่าความเป็นกลางไม่ถูกต้องมีอยู่ 3 อย่างคือ    

            1. ไม่รู้เลยว่าใครดีใครชั่วหรือโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้เลยเข้าข้างไม่ถูก

            2. รู้ มีปัญญาเข้าใจ แต่กลัว กลัวจะเสียลาภยศสรรเสริญ มีเยอะเลย ให้เขารบกันไปเถอะ เดี๋ยวมันตีกันตายเลย คนนี้เห็นแก่ตัวมากเลย กลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง รู้ว่าอะไรผิด แต่ว่าบางทีต้องยอมเข้าข้างคนผิด คนผิดมันมีอำนาจใหญ่เดี๋ยวมันปลด คนประเภทนี้มีเยอะมากเลย ตั้งแต่สูงจนถึงต่ำ

            3. ประเภทมิจฉาทิฏฐิ คือความเป็นกลางต้องอยู่เฉย คือสอนมาผิดๆ เข้าใจผิด ว่าเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างใคร

            พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่กับคนดีอย่าไปคบคนชั่ว แล้วพระพุทธเจ้าสอนให้ใช้ นิคคันเห นิคคหารหัง คือติเตียนวิจัยวิจาร กดข่ม ตำหนิ พูดให้รู้ว่าผิด เสียหาย ท่านแปลว่า ตำหนิคนชั่ว ยกย่องคนดี (นิคคันเห นิคคหารหัง ปัคคันเห ปัคคหารหัง) ข่มคนชั่วยกคนดี คำสอนพระพุทธเจ้าไม่ใช่ให้ปิดปาก แต่พูดให้ดี พูดไม่ดีปากเป็นสีนะ คุณจะตำหนิแรงเท่าไหร่ให้ชัด แต่ละคนก็มีสัปปุริสธรรม 7 ให้ชมคนที่ควรชม

            การยกย่องนี่ไม่ต้องยกมาก เพราะเขาทำดีอยู่แล้วไม่เสียหายแต่ว่าส่ิงชั่วนี่สิต้องชี้ต้องบอก เพราะ ย่ิงสิ่งชั่วมีอยู่นานเท่าไหร่ก็เสียหายเท่านั้น

            คนที่ช่วยตำหนิสังคมคือคนที่ช่วยสังคม คนที่เอาแต่ยกย่องสังคมคือคนที่ทำลายสังคม

            กายกรรม วจีกรรม ก็ล้วนแล้วไม่ได้สอนไม่ให้เข้าข้างใคร ทางจิตวิญญาณให้ทำเป็นปัญญาปาสาโท ให้มองอย่างปัญญารอบกว้าง ใช้ปัญญาที่รู้แจ้งรู้จริง เราพยายามรวมคนดี มีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ

            เราออกมานี่ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน เราไม่ไปเสี่ยงถ้าไม่จำเป็นหรอก ถ้าไม่ได้ผล 70 % ขึ้นไปไม่พาทำหรอก เราทำอย่างจิตที่มีความแววไว รู้เร็ว ปรับจิตใจตนเองได้ไว ไม่ใช่ตอแหลนะ แต่เอาตามสถานการณ์ไม่แข็งกระด้างเปลี่ยนยาก

            การปฏิบัติอย่าทำเกินตัว และก็อย่าทำให้น้อยเกินจนไม่ก้าวหน้า มันเป็นมานะอย่างหนึ่ง เราก็ทำเต็มที่ แต่ไม่อ้าขาผวาปีก ทำจนเสียเริ่มต้นแต่ศีล 5 ศีล 8 ศีล10

            ศีล 5 เป็นโสดาบัน

            ศีลข้อ 1 เราต้องไม่แย่กว่าสัตว์ สัตว์มันไม่รู้มันก็ทำร้ายเรา คุณก็อย่าไปตอแยมันสิ เราไปโทษสัตว์ไม่ได้ เราก็ต้องหลบหลีกมัน สัตว์มันก็ต้องทำอย่างสัตว์ เราต้องฉลาด เราไม่ฆ่าสัตว์แต่ถ้ามันทำร้ายเราเราหลบไม่ได้ก็ให้อภัยมัน

            ศีลข้อ 2 ไม่เอาของคนอื่นเขา คุณเอาของเขาคุณเป็นหนี้เขา แต่ถ้าคุณให้เขานี่คุณเป็นเจ้าหนี้เขานะ คุณต้องลดละลงมาในกรอบศีล ลดมาตามลำดับเป็นขั้นเป็นตอน

            ศีลข้อ 3 ก็ลดกาม

            ศีลข้อ 4 โกหก คุณฆ่าสัตว์ตายตัวหนึ่งบาป โกหกก็บาป

            ศีลข้อ 5 คุณเสพส่ิงเสพติดก็มอมเมาเปื้อนจิตวิญญาณ

            อบายมุข มอมเมา สุราก็มอมเมาหยาบ เมรยะก็มอมเมาอย่างกลาง มัชชะก็มอมเมาอย่างละเอียด เป็นต้นน้ำกลางน้ำปลายน้ำ คุณไม่ฆ่าสัตว์คุณก็ไม่ฆ่าคนหรอก สัตว์เล็กก็ไม่ฆ่า เราไม่กินเนื้อสัตว์ก็อยู่ได้ปกติ

            บรรลุธรรมในศีล 5 คือ กาย วาจาไม่ทำก็ได้ขั้นหนึ่งไม่ถือว่าบรรลุธรรม แต่่ว่าถ้าใจมีหิริโอตตัปปะ ละอายต่อการทำผิดศีล จิตมันเกิดจริง ไม่โหดร้ายรุนแรง ไม่ฆ่าสัตว์จนจิตมันเป็นเองไม่ฆ่าได้อย่างปกติเลย ไม่เอาของเขาเราก็รู้ว่าไม่ใช่ของเรา จิตเราไม่อยากได้ของเขาเลย มันไม่สุจริตมันบาป แม้แต่เอาเปรียบเขาตามระบบทุนนิยมเราก็ไม่ทำ เรารู้แล้ว มันจะเป็นจริง สุดท้ายมาเสียสละไม่เอาเปรียบ ชาวอโศกไม่เอาเปรียบแล้วยังมาเสียสละอีก เข้าใจมีปัญญาจริง ทำได้นานยาว เป็นนิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

            มาเสียสละทำให้เขาแล้วก็ไม่ดีใจเสียใจ อุเบกขา เหมือนคนไม่รู้ไม่ชี้ ให้เขาได้เลยอย่างไม่เสียดาย เราก็ทำขึ้นใหม่แล้วเสียสละอีก คือสัจจะที่เป็นจริง

            ศีล 8 สูงขึ้นมาเป็นสกิทาคามี ก็ลดละมากขึ้น วิกาลโภชนาเราก็รู้จักการบริโภค รู้จักประมาณมีโภชเนมัตตัญญุตา สำรวมสังวรในนัจจะคีตะวาทิตะ ก็เอาที่เป็นสาระไม่ปรุงแต่งจัดจ้านเหมือนกับทางโลก แต่อาตมาต้องปรุงแต่งให้คุณบ้าง เพราะคุณติดรสอยู่ ก็ต้องปรุงไม่ให้คุณหนี

            ปฏิบัติธรรมก็จะรู้จักการประมาณ ในการแสดงออก ไม่แสดงออกอย่างในความหรูหราฟู่ฟ่า ไม่อุจจาสยนมหาสยนา  แต่ให้มักน้อยสันโดษ นิพพานพุทธนั้นไม่สะสมกิเลส จนกิเลสสูญ เป็นคนจนมหัศจรรย์ที่ไม่งอมืองอเท้า อย่างในหลวงที่มีพระราชดำรัสเรื่อง เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรามันคือภาษาของพระโพธิสัตว์ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ตรัสเล่นนะ เป็นเรื่องจริง ไทยเรามีสิ่งดีมากเลย แต่คนรับสนองทำไม่ได้ พวกเราก็พยายามทำให้เกิดได้เป็นให้ได้ เรามาแบบคนจนจริง แต่ไม่อดอยาก แต่จนมหัศจรรย์เราไม่สะสมเอาเปรียบเอารัด เกื้อกูลเผื่อแผ่ แต่ละคนไม่สะสม แต่มีสร้างสรรให้สังคมมาก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม มาสร้างประเทศด้วยการไม่เป็นหนี้ แต่ที่เขาทำนี่มาสร้างหนี้ให้ประเทศอย่างนี้ล่มจมแน่ๆ  กู้มาก็ไม่ได้มาทำประโยชน์แต่กู้มาเพื่อโกงอีกต่างหาก ไม่ได้เอามาทำงานอะไร มันเลวร้ายเหลือเกินไม่เคยมีคนเลวร้ายทำขนาดนี้ ขอถามจริงๆ ผู้ชายอกสามศอกบริหารมา 80 ปี ผู้หญิงมาบริหารแค่ 2 ปีกล้าหาญชาญชัยอย่างไรกู้มาก 2.2ล้านๆ ได้อย่างไร...งงมากเลย ….           


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:33:51 )

561216

รายละเอียด

561216_เรียนอิสระฯโดยพ่อครูและอ.กฤษฎา

เรื่อง การประท้วงอย่างโกลุตระ ตอน 2

 

อ.กฤษฎาดำเนินรายการ...ตอนอยู่สวนลุมฯได้ยินพ่อครูว่าให้คนออกมาเป็นล้านคน ต่อมาก็เป็นไปได้ คนออกมา 2 ล้านต่อมา 5 ล้าน ต่อไปคงจะมาเป็น 10 ล้านเลย ผมเชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ แต่ออกมามากขนาดนี้แล้วทำไมยังด้านอยู่ได้ ตอนนี้เขาจากรัฐบาลโจรโจรมาเป็นรัฐบาลโจรจรไปแล้ว มันเป็นไปได้อย่างไร

       พ่อครูว่า...ทุกอย่างมาแต่เหตุ มันเป็นเช่นนั้นเอง เพราะเขามีกิเลสของจริง ไม่ใช่ใส่ความ ถ้าเขาไม่มีกิเลสก็ไม่ทำสิ่งน่าอาย ถูกด่าว่าแล้วจะอยู่ให้ด่าทำไม เขาจะดันทุรังอยู่ทำไม เพราะกิเลสตัวตัณหาอยากได้ลาภยศสรรเสริญ มันก็เลยยาก ไม่จบซักที แต่มาถึงวันนี้แล้ว กิเลสอัตตาที่เขามี เขาจะพอรู้ว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ดื้อด้าน แต่เขาจะต้องเอาให้ได้ตามที่เขาต้องการ เพราะเขาลงทุนไว้มาก ถ้าไม่ได้ชีวิตเขาก็ล้มเหลว ชีวิตเขาต่อสู้เพื่อส่ิงนี้ แม้รู้ว่าไม่ถูกหรอก แต่กิเลสมีอำนาจบังคับ เขาไม่มีความเข้มแข็งในการต่อต้านกับกิเลส เรียกว่าคนอ่อนแอ

       ส่ิงที่พวกเราทำมานี่เป็นส่ิงประเสริฐ ถูกต้องแล้วดีมากแล้ว ไม่ใช่ไปแกล้งยกยอ แล้วเขาก็ว่าเขาขอความเป็นธรรม มันส่อให้คนอื่นรู้ว่า เขาอยู่ในภาวะคนไม่รู้หรือเสแสร้ง เกินความเป็นจริง เราก็ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือว่าแกล้งทำ แต่พิจารณาด้วยเหตุปัจจัย อาตมาว่าเขาพอรู้อยู่นะ เช่นเขาเองต้องการยืนหยัดในตำแหน่งอำนาจนั้น พวกเราก็ว่าเรามีเหตุผลหลักฐานยืนยันเพื่อให้เขาจำนนต่อความจริง เป็นได้ว่าเขาจำนนไปเรื่อยๆ แค่การเป่านกหวีดออกไปก็บอกได้ ว่าเขาเองเขากล้าในสิ่งที่ไม่ควรกล้า และเขาไม่ค่อยกล้าทำสิ่งที่เขาพูด คำว่าความเป็นธรรมนี่เป็นการกลบเกลื่อน คนเราก็รักโลกธรรมก็กลบเกลื่อน แต่พฤติกรรมของเขาเขาไม่กล้าแข็งขืนอย่างอาจหาญ ไม่ค่อยพูดถึง หรือผ่านๆไป แต่ถ้าผ่านไม่ได้ ก็ทำขอไปที อยู่บ่อยตลอดเวลา

       ส่วนผู้ที่ยืนหยัดยืนยันว่าเขาถูกต้องนั้นจะไม่ท้อถอย เราก็ว่าเขาผิดอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ไม่หาเหตุผลมาแย้งยืนยันมีแต่จะเลี่ยงหลบไป เสมอๆๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอย

       มีข้อมูลจากเว็บไซด์ มาเสนอ

 

เขียน ธีระวิทย์: สุเทพ เทือกสุบรรณ VS ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร :ใครเป็นกบฏ

"..รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเชิดชูระบอบทักษิณเป็นหลักในการปกครองประเทศ ยอมให้ทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก เร่ร่อนอยู่ต่างแดนนั้นสั่งการให้ทำผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญซ้ำซากเพื่อ ประโยชน์ของตัวเอง ล่าสุดรัฐบาลนี้ได้ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน โดยทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างฉกรรจ์ซ้ำสอง.."

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556 ศ. ดร. เขียน ธีระวิทย์ นักวิชาการดีเด่นแห่งชาติ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ เขียนบทความเรื่อง สุเทพ เทือกสุบรรณ VS ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร :ใครเป็นกบฏ ผ่าน www.gotoknow.org โดยมีเนื้อหาดังนี้

 

00000

 

ข้าพเจ้าเคยเขียนไว้ในโอกาสต่างๆ หลายครั้งแล้วว่า ตามหลักรัฐศาสตร์ เมื่อรัฐบาลใดละเมิดกติกาสัญญาประชาคม รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ก็เท่ากับเป็นการย้อนยุคไปใช้กฎคนป่า คนอื่นที่อยู่ภายใต้บังคับของรัฐบาลนั้นก็สามารถใช้กฎธรรมชาติของคนป่าได้เช่นกัน ถ้าสามารถจัดตั้งอำนาจรัฐใหม่ สร้างกฎเกณฑ์หรือกติกาใหม่ให้คนอื่นๆ ยอมรับได้ (ไม่ว่าจะสมัครใจหรือกลัวก็ตาม) ก็จะกลายเป็นรัฐาธิปัตย์ หรือรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

       พ่อครูว่า...เรามาประท้วงนี่ทำอย่างถูกกฎหมายนะ เมื่อไม่มีบทบัญญัติตามรธน.ก็ดูมาตรา 7

มาตรา 7 (การอุดช่องว่างในรัฐธรรมนูญ)ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้วินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       ที่เราทำอย่างเลือดไม่ตกยางไม่ออกนี้ ไม่เคยมีใครทำมาเลยในโลก การรวมกันเป็น กปปส.นี่ก็เป็นเดือนเอง เราไม่ได้ทำอย่างกบฏเลย เราทำอย่างถูกกฎหมาย แต่ที่คุณทำอยู่นี่ก็ดันทุรัง ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์ทำแล้ว คุณทำผิดหลายอย่าง อย่างการยุบสภาก็ประกาศก่อนที่จะมีพระปรมาภิไธย คุณเป็นกบฏแล้ว แล้วมาจัดเลือกตั้งนี้ทำไม่ได้ ทำอย่างคนโมฆะทำ

       ตอนนี้ก็เป็นการวิเคราะห์วิจัยกันให้มาก ความชอบธรรมก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เราปฏิวัติด้วยปืนด้วยทหารคุณก็ยอมกันมากี่ครั้งแล้ว ยังไม่เคยมีการปฏิวัติแบบที่เราทำนี่เรียบร้อยสงบไม่ใช้อาวุธ เอาความถูกต้องมายืนยัน แต่คุณก็ไม่ยอมลงไม่ยอมเลิกรา โด้ เต็มที่ และง่านเต็มที่

       เราทำตามสิทธิหน้าที่ตามมาตรา 70 และ 71 และยังตามมาตรา 63 ก็ได้ มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

       ให้พวกเรามาช่วยกันหน่อยเขาไม่เชื่อตุลาการภิวัฒน์ เราก็ต้องใช้ประชาภิวัฒน์มาชี้ให้เห็น เอามวลประชาชนมาให้มากอีก ถ้าครั้งที่ 3 นี้จะมาอีกก็ให้ทับทวีไป สามหรือสี่เท่าเลย ออกมาอย่างสุภาพเรียบร้อยให้ดีงาม ให้เขาแพ้อย่างไปไม่ออกเลย ยอมจำนนกับฤทธิ์เดชคุณงามความดีความถูกต้องมันยิ่งใหญ่ประเสริฐกว่า อำนาจForce ให้ขึ้น Best record เลยว่ามีการปฏิวัติที่สงบเรียบร้้อยสวยงามไม่ใช้อาวุธแล้วคนก็ยอมจำนนต่อความดีงาม อันนี้เป็น Best record เลย

       อาตมามีความมั่นใจว่า สิ่งที่ดีงามเป็นส่ิงที่มนุษย์ทุกคนต้องการ แม้โจรก็ต้องการ นอกจากคนมีกิเลสมากเขาก็จำนนต่อกิเลส ให้เห็นจริงเลยว่าผิดถูกเป็นอย่างไร ให้เกิดหิริโอตตัปปะ เขาก็กดข่มกิเลสเขาได้จนไม่ทำชั่วมากอย่างที่เคย ตำรวจไม่บุกเรา ยิ่งลักษณ์ก็ไม่สั่งให้รุนแรงกับเรา อาตาไม่เชื่อว่าเขาจะล้างกิเลส เป็นแต่เพียงเขารู้ว่าทำอย่างนี้ไม่ดี เสียผล รอก่อน ก็แค่นั้น

เรายืนยันไปเถอะย่ิงมากคนมากเสียงก็เป็นพลังที่มีอำนาจแห่งคุณธรรม Authority ไม่ใช่พลังงาน Force ยิ่งยืนหยัดยืนยันแข็งแรงของแต่ละคน เด็ดเดี่ยวมั่นไม่มีถอย เอาให้ถึงที่ ที่สุดให้ได้ เหมือนพล.อ.ปรีชายืนยัน เหมือนกำนันสุเทพยืนยัน ก็เห็นความจริงคนจริงก็เชื่อถือแข็งแรง เพราะคนย่อมอยากได้สิ่งดีแม้โจรก็ตาม

       พวกคุณไม่รู้หรอกว่าคุณเกิดมากี่ชาติแล้ว คุณสั่งสมบุญบารมีมากมากเท่าไหร่ อย่างที่เราทำนี่ถูกต้องดีงามแล้วทำไมไม่มาช่วยกันทำ มันเป็นพฤติกรรมระดับปชต.สุดยอดเยี่ยมประเทศไหนก็ทำไม่ได้นะ อย่างทำให้ด่างพร้อยนะ ทำมาดีที่สุดแล้ว ให้ทะลุซอยแห่งซอย แล้วคุณทั้งหลายทำไมไม่มาส่งเสริมกันไปอยู่ที่ไหนกัน

       การปฏิวัติขี้หมานั้นแพ้ก็เป็นกบฏ แต่เราแพ้ก็ไม่เป็นกบฏ เลือดไม่ตกยางไม่ออก ที่ตายไปก็ไม่ใช่เราโดยตรง เรามีแต่ถูกแก๊สน้ำตาบ้าง อย่างเราทำนี่งดงามแล้ว ทำต่อให้ประเสริฐเลิศเลอ จะได้เป็นการปฏิวัติแบบใหม่เอี่ยมของโลก ประเสริฐเลิศเลอเลย ให้เป็นประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่เลย

       อ.กฤษฎาว่า....บรรยากาศการเดินต่างคนต่างมา แต่ว่ามาแล้วใจเป็นหนึ่งเดียวกันเลย มีความสุขสงบสว่างไสว ของพระสยามเทวาธิราช

       พ่อครูว่า..ในบทกวีของพระสยามเทวาธิราชิทธิ์ มีคำผิดให้แก้อยู่ สองแห่ง แก้คำว่า เทวธิราช เป็นอธิราช แจ้งไปในที่นี้เลย

        สยามเทวาธิราชนั้น เหนือไท

วิศิษฐ์วิเศษสมัย            วิสุทธิ์ล้ำ

เปรียบปราชญ์แห่งราชใด  เสมอสุด แล้วเอย

พระสถิตไทยอยู่ค้ำ         คู่ฟ้าดินสลาย

        เป็นอาเศียรพจน์ที่อาตมาแต่งให้แก่ในหลวงเรา เป็นคำกล่าวถวายพระพรในหลวง สยามเทวาธิราช ไม่เฉพาะบุคคลใด ในหลวงก็เป็นสยามเทวาธิราช เป็นพลังงานพิเศษ ที่เราเป็นเมืองพุทธ เรามีพลังงานนี้ในแต่ละบุคคล เป็นพลังงานของกรรมวิบาก ของชีวะแต่ละคน เป็นพลังงานดี เป็นกุศล ของแต่ละคนๆ มารวมกันทั้งประเทศ นั่นแหละคือพลังแห่งสยามเทวาธิราช แล้วเอาคำว่า อิทธิมาสมาสเข้าไปก็เป็น สยามเทวาธิราชิทธิ์ สยามประเทศสร้างมามากน้อยก็มีพลังงานเท่าที่มี เป็นธรรมฤทธิ์ในระดับโลกุตระที่ชนะกันไม่ใช่ด้วยเรี่ยวแรงอาวุธ เราเอาธรรมมาปฏิวัติ​เอาอำนาจแห่งคุณธรรม อำนาจธรรมะ ก็ชนะมาเรื่อยๆ ปรากฏในไทยแล้ว เหลือแต่มาทำให้สำเร็จถึงที่สุด

       อ.กฤษฎาว่า...มีคนบอกว่าอยู่ต่อไปคนจะลดลงๆ แต่ว่าเท่าที่สำรวจในโซเชียลมีเดียบอกว่า ถ้ามาขนาดนี้ยังไม่ชนะคราวหน้าต้องมีธรรมฤทธิ์ออกมามากกว่านี้อีก

       พ่อครูว่า..เป็นส่ิงที่ถูกต้องหายาก ไม่ได้เจอง่ายๆนะนี่ แล้วคุณจะไปปล่อยมันได้ง่ายๆหรือ เรารู้ว่าดีแล้ว เราจะทิ้งมันได้หรือ ชัดเจนว่าอย่ากลัวเลยว่าจะถอย นอกจากถูกครอบงำความคิด ไม่มีปัญญารู้ว่าของไหนดี ก็เฮๆๆไป อยู่ได้ตามโลกธรรม พอหมดอำนาจโลกธรรมก็หมดถอย แต่นี่เราทำตามสัจธรรม ยืนหยัดยืนยันตามสัจธรรมเลย ก็จะมั่นคงยืนนานกว่ากันมากกว่าสิ่งไม่จริง

พิสูจน์เลยว่าคนไทยเราออกมาด้วยเห็นความจริงหรือว่าถูกอามิสล่อไว้หรือถูกบังคับไว้ หรือถูกครอบงำไว้ หรือรู้ไม่ทันความจริง แต่ถ้าเป็นความจริงก็จะยั่งยืนต่อไปนาน

       มั่นใจว่าเราไม่ได้ล่อหลอก ไม่ได้จ้างมา เราไม่ได้ทำก็เป็นส่ิงจริงยืนยัน

       1.เราได้รับความจริง

       2.เรามีปัญญารู้ความจริง

       3.แล้วทุกข์ไหม? ก่อนมาได้ความจริงอย่างนี้ก็ทุกข์ อึดอัด เต็มที ก็เลยอยากจะออกจากทุกข์ มากำจัดเหตุแห่งทุกข์ก็คือคนชั่วที่กดขี่ข่มเหงอยู่ เราก็ออกมากำจัดคนชั่วออกไป ก็เอาอันเก่าออกไป สิ่งใหม่มาก็ดีกว่าเดิมแน่นอน เราต้องมาช่วยกันเลยให้มากๆ ไทยเรามีคนมีปัญญามากกว่าคนไม่มีปัญญาจึงมีอัตราการก้าวหน้ามากขึ้นๆ

       อ.กฤษฎาว่า...งานนี้ทฤษฏีรัฐศาสตร์ทั่วไปอธิบายไม่ได้ แต่ทฤษฏีโลกุตระตอบได้

       มาอ่านบทความของ ดร.เขียนต่อ.... การปฏิวัติ-รัฐประหารในไทยหลายครั้งที่ผ่านมาเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของหลักการนี้ แม้ว่าจะมีประเทศมหาอำนาจที่เป็นประชาธิปไตยบางประเทศแสดงตัวอยู่ในทีว่าไม่ยอมรับก็ตาม

 

รัฐบาลในระบอบทักษิณไม่ปฏิบัติตามครรลองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่ละเมิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญซ้ำซาก ส่วนมากผู้มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายไม่ดำเนินคดี กระนั้นก็ตาม พรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชนของทักษิณก็ถูกยุบมาแล้วในปี 2550 และ 2551 ตามลำดับ โทษฐานโกงการเลือกตั้ง แต่กว่าจะผ่านขั้นตอนการดำเนินคดีจนสิ้นสุดโดยศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคนั้น พวกทักษิณก็ได้โอกาสปกครองประเทศไปพลาง รวมกันเป็นเวลา 6 ปี 5 เดือน นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเฉพาะประเด็นยุบพรรค ส่วนความผิดอื่นทางอาญาที่เป็นมูลเหตุนำไปสู่การยุบพรรคนั้น ไม่มีใครฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลอาญาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งก็เป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้มีการชุมนุมประท้วงของขบวนการคนเสื้อเหลือง การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ การปะทะกับขบวนการคนเสื้อแดง จนเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ความเสียหายที่คนไทยได้รับนั้นเกินกว่าที่จะประเมินมูลค่าได้

 

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังคงเชิดชูระบอบทักษิณเป็นหลักในการปกครองประเทศ ยอมให้ทักษิณซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก เร่ร่อนอยู่ต่างแดนนั้นสั่งการให้ทำผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญซ้ำซากเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ล่าสุดรัฐบาลนี้ได้ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน โดยทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างฉกรรจ์ซ้ำสอง

 

ความผิดขั้นแรก ทำการละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ทั้งในด้านสาระและกระบวนการในความพยายามที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ จนศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยขี้ขาด เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ว่ารัฐสภาได้ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และองค์กรอื่นๆของรัฐว่า ได้บริหารราชการไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่เป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหารที่จะตัดสินว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

 

ความผิดซ้ำสอง คือ รัฐบาลและส.ส. 312 คนที่สังกัดพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรรวมอยู่ด้วยนั้นได้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยเรื่องนี้ นอกจากนั้น รัฐบาลยังไม่ยอมรับผิดโดยไม่ยอมขอคืนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำเสนอสำนักราชเลขาธิการ เพื่อให้ทูลเกล้าฯกลับคืนมา นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ได้เร่งรีบในการนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอคำวินิจฉัยไว้แล้ว

 

รัฐธรรมนูญมาตรา 216 วรรค 5 บัญญัติไว้ว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และองค์กรอื่นๆของรัฐ”

 

การปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญก็เท่ากับเป็นการกบฏ ย้อนยุคกลับไปใช้กฎคนป่า ประชาชนจะใช้กฎป่าบ้างก็ย่อมได้

 

ฉะนั้น มวลชนที่ชุมนุมกันต่อต้านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมที่เสนอโดยส.ส. ฝ่ายรัฐบาล จะหันมาต่อต้านรัฐบาลหรือขับไล่รัฐบาลระบอบทักษิณนั้น ความจริงไม่ต้องอ้างกฎหมายใดๆ มาสนับสนุนก็ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างใช้กฎป่า ข้อสำคัญอยู่ที่ใครเป็นฝ่ายกุมอำนาจรัฐไว้ได้เท่านั้น ฝ่ายที่สามารถคุมกลไกอำนาจรัฐ อาจจับคู่ต่อสู้มาดำเนินคดีในข้อหากบฏหรืออื่นๆ แม้จำเลยจะยกหลักการหรือทฤษฎีรัฐศาสตร์มาเป็นข้อต่อสู้ ตำรวจ อัยการ ศาล อาจจะไม่เข้าใจ และไม่รับฟัง คู่ต่อสู้จึงต้องเสี่ยงภัยเอาเอง

 

ในที่สุด กฎธรรมชาติก็เข้าข้างกฎคนป่า “อำนาจคือความชอบธรรม” ถ้ายิ่งลักษณ์หรือระบอบทักษิณคุมกลไกของรัฐไว้ได้ สุเทพและพรรคพวกก็คงจะถูกดำเนินคดีข้อหากบฏหรืออะไรก็ตาม ผู้สอบสวนทำสำนวนคดีเบื้องต้นก็คือตำรวจของระบอบทักษิณ อัยการผู้สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีก็ถูกระบอบทักษิณครอบงำอยู่จากเบื้องบน ศาลเท่านั้น ซึ่งผู้พิพากษาส่วนมากยังไม่ยอมขายตัว อาจจะตัดสินคดีความไปตามตัวบทกฎหมาย แต่ศาลก็ต้องพิจารณาตัดสินคดีตามสำนวนที่ตำรวจและอัยการฟ้องร้องขึ้นมา

 

ถ้าหากฝ่าย กปปส. (คณะกรรมการประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) สามารถคุมกลไกของรัฐไว้ได้ แกนนำของ กปปส.ก็คงจะรอดจากการถูกดำเนินคดีในข้อหาเป็นกบฏ ตามมาตรฐานสากลก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะมวลชนเหล่านั้นได้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยสันติวิธี ตามสิทธิของพลเมืองที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้ แกนนำของผู้ชุมนุมตอกย้ำซ้ำซาก ณ หน้าเวทีการชุมนุมทุกแห่ง มิให้ผู้ชุมนุมติดอาวุธ และชุมนุมโดยยึดหลัก “อารยะขัดขืน” แต่ก็เห็นมีผู้ชุมนุมฝ่าฝืนกฎ ปาก้อนหินหรือยิงหนังสติคใส่ตำรวจอยู่บ้างประปราย นั่นดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กเกินไปที่จะดำเนินคดีกันถึงโรงศาล

 

เรื่องการบุกรุกครอบครองพื้นที่หน่วยราชการที่กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเพื่อใช้เป็นที่ชุมนุมนั้น แกนนำก็ยอมรับว่าทำผิดและยอมรับโทษ เพื่อแลกกับการช่วยชาติที่ใหญ่หลวงกว่า

 

ฝ่ายรัฐบาลนั้นมีการบริหารงานผิดพลาดซึ่งคงจะถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการทำให้ผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธตาย 4 คน และบาดเจ็บ 263 คน การรักษาสถานที่ราชการที่ทำเนียบรัฐบาลและที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลนั้น ได้ใช้ปืนยิงกระสุนยางและแก๊สน้ำตาฉีดใส่ฝูงชนที่จะบุกเข้าสถานที่โดยไม่จำเป็น เพราะเห็นอยู่แล้วว่า ผู้ชุมนุมต้องการไปแสดงพลังเท่านั้น เข้าไปพบผู้นำสถานที่ มอบดอกไม้ เจรจากัน ประกาศชัยชนะว่าเข้าไปได้แล้วเท่านั้น ไม่เคยเข้าไปทำร้ายใคร และไม่เคยทำลายทรัพย์สินใดๆ ของหน่วยราชการ

 

กล่าวโดยสรุป ถามว่า “ใครเป็นกบฏ” ตอบตามหลักวิชา ยิ่งลักษณ์และผู้นำรัฐบาลบางคนน่าจะถูกดำเนินคดีฐานเป็นกบฏ (ที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ) ซึ่งเท่ากับละเมิดรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้คนไทยจำนวนนับล้าน ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

 

ส่วนสุเทพและแกนนำฝ่ายต่อต้านรัฐบาลนั้น จะถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏคงฟังไม่ขึ้น

 

เพราะเป็นแกนนำในการต่อต้านรัฐบาลที่ไม่ชอบโดยสันติวิธี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 ซึ่งบัญญัติว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้”       

 

      อ.กฤษฎาว่า...วันนี้ได้ทราบข่าวว่าคุณสุเทพได้มาพบพ่อครู คุณสุเทพเป็นอย่างไรบ้างเมื่อเปรียบเทียบกับคุณยิ่งลักษณ์ ส่ิงที่พ่อครูเห็นและสัมผัสกับคุณสุเทพเอง คุณสุเทพเป็นอย่างไรบ้างในวินาทีนี้

       พ่อครูว่า...ได้เห็นคุณสุเทพก็นึกในใจอยู่บ้าง ว่าน่าเป็นห่วงสงสาร เห็นใจว่ามันเป็นงานหนัก งานยาก งานใหม่ เป็นงานที่ยังไม่เข้าใจทั่วถึงในคนทั่วไป ที่เขาได้ต่อสู้มานี่ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีตัวอย่างมาก่อน แต่ก็เท่าที่ดูนี่ ก็เห็นและรู้สึกตามภูมิและวันนี้ได้โอภาปราศรัยกันแล้วก็ว่า คุณสุเทพมีความสุข มีความสุขอันนี้มันหมายถึงลึกในหัวใจ อาตมาเป็นนักปฏิบัติธรรม อ่านรู้ศึกษามีความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ คุณสุเทพมีปัญญาแล้ว เกิด “ดวงตาเห็นธรรม” แจ้งสว่างแล้วว่า ได้มาทำงานครั้งนี้แล้ว มันเป็นงานที่ตลอดชีวิตที่ทำงานการเมืองมา งานการเมืองที่ทำมาก็กะโผลกกะเผลก กระพร่องกระแพร่ง ไม่ได้ดูดีเท่าไหร่ตลอดที่ทำมา แต่พอได้มาทำงานนี้จนเห็นแจ้ง กล้าลาออกมาจากพรรค นั่นคือบทแรกที่คุณสุเทพเห็นว่าการได้ทำงานนี้ อย่างนี้เป็นเรื่องที่ดีงามถูกต้อง เท่าที่เล่นการเมืองมาจนถึงวันนี้ ด้วยเหตุปัจจัย ด้วยประเด็นอย่างนี้ มันสุดยอดของชีวิต ชีวิตที่มีเหลืออยู่จึงทุ่มให้อันนี้อย่างเต็มที่ มีดวงตาเห็นธรรม สว่างอันนี้แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงบอกกับครอบครัวว่า พ่อมาทำอย่างนี้ให้สุดจบทำงานอันนี้ให้เต็มทีี่ ถ้าได้อันนี้แล้วถือว่าสุดยอดของชีวิตแล้ว จะเลิกเลย ถือว่าสุดยอดของชีวิตแล้ว เป็นส่ิงดีงาม เป็นเรื่องจริง อาตมาก็เห็นว่าคุณสุเทพได้ความจริงอันนี้ เพราะฉะนั้นก็ช่วยคุณสุเทพกันเถอะ

       มันก็จะพูดไปก็เป็นเรื่องที่ว่า คุณสุเทพนี่ “ฟ้าส่งมา” ถ้ามองแบบเทวนิยมก็จะว่า คนของพระเจ้าส่งมา ให้มากอบกู้ มันเป็นเรื่องยากที่ต้องอาศัยหมู่มวล ให้มาช่วยเต็มที่ เราบังคับใครไม่ได้หรอก ที่มาช่วยก็ด้วยความรู้ความเต็มใจ ด้วยปัญญา ด้วยความฉลาด เห็นดีเห็นงาม เพราะว่าเราจะไม่ใช่วิธีไปบังคับใคร การไปบังคับใครมันไม่จริง  ถ้าจะมาหลอกล่อ ก็ได้คนไม่จริง คือได้คนโง่ เราเอาคนที่ได้ปัญญาเต็มที่ เห็นความจริงได้จริงเต็มใจ เป็นสิ่งจริงแท้

       คราวนี้อาตมาก็เห็นว่า เป็นบุญของประเทศจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยไม่ได้มีความตั้งใจอย่างเต็มที่อะไรกัน อย่างพวกเราที่ดำเนินมา ฝั่งคุณสุเทพ ตั้งแต่สามเสน แล้วออกจากพรรค มาเดินมาสมทบกัน ค่อยๆเคลื่อนมาบรรจบของสัจธรรม จนคุณสุเทพได้เห็นสัจธรรม และมันก็จริงด้วยที่ว่า ส่ิงนี้เป็นส่ิงประเสริฐของประเทศ ของสังคมมนุษยชาติ มันเหนือกว่าที่เขาเล่นกันอยู่หยำฉ่าอยู่นี่คือการเมืองแบบโลกียะที่เอาลาภยศสรรเสริฐมาล่อ

       ที่ทำนี่เป็นเรื่องวิเศษ ไม่ได้ทำเพื่อเอาลาภ ยศ สรรเสริญ แต่มาทำเพื่อให้เกิดส่ิงดีงามแก่สังคมประเทศชาติ ที่เราทำนี่เป็นโลกุตระจริง ที่เกิดในไทยขณะนี้ ก็พยายามช่วยกัน

       อาตมาเห็นอัตราก้าวหน้าของพฤติกรรมสังคม ทุกอย่างที่เกิดพฤติกรรมสังคมได้มันมาจากจิตวิญญาณ มโนบุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณของแต่ละคนๆที่ออกมาจริง คนมารวมกันจึงเป็นเช่นนี้

       อาตมาว่าตอนนี้ผู้ที่อ่านตามธรรมดา ก็อาจเข้าใจไม่ทัน จึงไม่ค่่อยเชื่อไม่ค่อยมั่นใจ ว่ามันจะได้อย่างไร แต่อัตราการก้าวหน้าก็บอกเราอย่างไร? ก่อนจะถึง 24 พ.ย.

       ถอยไปถึงก่อนกลุ่มเสธ.อ้ายพาทำ ก็ยังไม่ดูแน่น ไม่แข็งแรง แต่พอมาเสธ.อ้ายเห็นสภาพปวงชนที่ออกมาดูแน่นและแข็งแรงกว่า รู้สึกว่ามันเนียนสอดซ้อนแนบเนียนเป็นปึกแผ่นด้วย แม้ดูไม่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นรูปธรรมที่พอสมควร แต่พอเราทำเสธ.อ้ายเสร็จดูเหมือนแพ้ แต่อาตมาว่าเราไม่ได้แพ้มีการก้าวหน้าชนะรายทางเรื่อยๆ สังคมคิดว่าเราแพ้ ถ้าแพ้เราก็ต้องหยุดสิ แต่เราไม่หยุดเราไม่แพ้ จนกระทั่งก่อนวันที่ 24 เราก็ได้มวลมารวมตัวกันเพิ่มขึ้นพอสมควร พอมาวันที่ 24 พ.ย. ก็มามากแล้ว แต่ว่าพอวันที่ 9 ธ.ค. ก็มีอัตราก้าวหน้า แม้มาปัจจุบันนี้ เห็นได้ว่า

       เราเห็นความเข้าใจ ความเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคม พวกที่ไม่เอาถ่านก็ยังเข้ามาๆๆ เมื่อก่อนว่าอย่าไปยุ่งกับการเมืองเลย แต่ตอนนี้กลับเป็นว่าไม่เข้าไปไม่ได้แล้วนะ มีอยู่ 2 อย่างคือ

       1.ทนไม่ได้กับสิ่งที่เลวร้าย

       2.ทนไม่ได้กับสิ่งที่ดีที่เกิด

       มีทั้่งสองพลัง พลังร้ายถีบออกมา พลังดีดูดเข้ามา ก็ดูใจตนเองแล้วกัน ว่ามันเมื่อยเปลี้ยอยากจะพักอยู่ ยังไงๆอุตสาหะไว้ ก็ให้ทนอีกนิดเถอะน่า ….

 

       อ.กฤษฎาว่า.......ฟังเทศน์พ่อครูมาหลายครั้ง ว่านักการเมืองควรเป็นเช่นไร เสียสละอย่างไร วันนี้ดูเหมือน คุณสุเทพได้ทำรูปธรรมในส่ิงที่พ่อครูได้เทศนาบอกไว้ ผมมองว่าเป็นเช่นนี้ แต่ผมไม่ได้ไปใกล้ชิด หลายคนก็บอกมากว่า เป็นสภาวธรรมที่เกิด เป็นดวงตาเห็นธรรม หลายคนเปรียบคุณสุเทพบอกว่าเหมือนองคุลีมาลกลับใจ สภาวะเป็นอย่างนี้ไหม?...

       พ่อครูว่า...ใช่ อาตมามองตามภูมิอาตมานะ อาจผิดก็ได้นะ...อาตมาสัมผัสคุณสุเทพว่า แจ่มใส มันไม่น่าเชื่อหรอกว่า คนที่ไม่ค่อยจะได้ออกกำลังทำอะไรๆต่ออะไรสมบุกสมบันมา แล้วไม่ล้ม อย่างเดิน 20 กม. ก่อนหน้านี้ก็เดินมาแล้วหลายครั้ง จากสามเสนมาอนุสาวรีย์ปชต. แล้วก็เดินอีกหลายที่ เป็น 10 กว่า กม. แล้วก็มาเดินอีก 20 กม. ตัั้งแต่เช้ามาบ่ายสาม ก็เดินได้ อาตมานี่เคยเดินมาแล้วบุกบั่นมารู้ดี แล้วเดินได้ 20 กม.โดยไม่ได้ซักซ้อมอะไร ไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเล่นหรอก สิ่งเหล่านี้ แทนที่จะล้มจะทรุด ก็ประคองตัวเองด้วยเหตุปัจจัย

       แต่เหนือกว่านั้นคือ จิตวิญญาณมีความAppreciateประทับใจ อ่านออก

       คนเราถ้าทำงานมาขนาดนี้เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัส มันน่าจะท้อแท้ ไม่น่าจะมีความAppreciateประทับใจอะไร ถึงแม้จะมีก็น่าจะไม่ได้ขนาดนี้ แต่นี่ยังเห็นความมุ่งมั่นหน้าใสตาแจ๋วอยู่เลย เพราะฉะนั้นก็มาช่วยกันหน่อย เพื่อสังคมประเทศชาติ

       เราคงต้องทำกันต่อไป คนถามบ่อยว่าเมื่อไหร่จะจบ แล้วก็ได้อธิบายว่าอย่าถามเลย เราไม่ใช่หมอดู มันตอบไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องไม่เที่ยงอนิจจัง และยิ่งเห็นว่าเป็น “อภิมหาปรมานิจจัง” เห็นถึงความไม่เที่ยงมันไปเดาอะไรไม่ได้ อาตมาทำงานทุกวันนี้ไม่ได้คำนวณข้างหน้ามากมาย เอาปัจจุบันธรรม เราประมาณให้ข้างหน้าเท่าที่ทำได้ ถ้าเรามี 1 เป็นทุน แล้วเรากำลังทำอีก 1 เราก็รู้ว่าข้างหน้าควรได้ 2 หรือทำไม่สำเร็จอาจได้ 1.5 เราก็พอรู้ได้ว่ามีเหตุปัจจัยอย่างไร ต้องมีการประมาณ แต่ถ้า 1+1 ดันได้ 0.8 อย่างนี้ก็รู้ว่ามันไปไม่ไหว นี่คือการประมาณของอาตมา ก็รู้ว่าเรามีทุนเท่าไหร่ แล้วเราก็ทำอันนี้  มีมัตตัญญุตา 1+1 บางทีอาจได้เกิน 2 มีได้ก็ได้เหตุปัจจัยไม่เที่ยง เราไม่รู้ตัวแปร มันเกินก็ดี มันขาดก็รู้ว่ามันขาด  หลายคนบอกว่า 1+1 ต้องได้ 2 สิ ไม่ได้ 2 ไม่จบไม่ได้ผลสำเร็จ อาตมาว่ามันได้ 1.5 ก็ดีแล้ว  แต่ว่าที่จริงมันอาจได้ไม่ถึง 1.5 ก็ได้ มันก็ก้าวหน้าอยู่ก็ยังดี เราไม่ได้ 2 เพราะอะไรทำไม ก็ต้องดูเหตุปัจจัย พลังงานความสามารถปัญญาที่เราทำ เชิงที่เราทำก็ตามที่เราทำในปัจจุบัน ว่ามันบกพร่องตรงไหน จึงไม่ได้ตามที่คิด เท่านั้นก็พอ  แม้ไม่เต็ม 2 ก็อย่าไปตะกละมากมาย จะไปท้อแท้ทำไม จะซวยเลย ไม่ได้ตามเป้าหมาย 2 ก็ท้อแท้ ไม่เอาแล้ว เราต้องรู้ความเจริญก้าวหน้าหรือถอยหลัง นักรบต้องรู้ทีรุกทีถอย หลายคนมุ่งมั่นแต่ว่าจะต้องเอาชนะหมัดเดียวเลยมันไม่ได้หรอก เราทำก้าวหน้าได้ก็เอาก้าวหน้าก็แล้วกัน คงจะต้องทำอีกพอสมควร แต่ถ้ามันเกิดไม่นานแล้วก็จะทำได้ทะลุซอยปังเลยก็ดีไป แต่เราอย่าไปหวังหวานอย่างนั้น ก็อุตสาหะไป ประมาณไปตามลำดับ

 

       ครั้งนี้อาตมาก็ว่าต้องพอสมควร เราเลยเอาเวทีใหญ่มา อย่างเวทีเรามาตั้งหลักใหม่ ทำซะถาวรเลย หมายถึงว่าจะนานใช่ไหม? ก็ไม่แน่หรอก เวทีเราก็ยอมลงทุนลงแรงไม่ต้องเช่า เรี่ยวแรงเราก็พอมีทำไม่เบียดเบียนใคร เหนื่อยไหม เราก็ยินดีเหนื่อย มันจะเร็วจะช้าเราบอกไม่ได้

       เราทำงานเราได้ความชำนาญและได้ผล ได้มรรคผลด้วย อย่างบางคนว่าเราขี้เกียจ แต่เราเห็นว่าดีน่าทำ เราก็แก้จิตที่ขี้เกียจ เอาความขี้เกียจออกไปแล้วออกมาทำ เราก็ได้มรรคผล แม้จะฝืน ก็ยังได้กุศล แต่ถ้าทำด้วยสำนึกก็ได้บุญเต็มที่ แต่ถ้าฝืนก็ตาม ก็ได้กุศลอยู่ดี อย่างน้อยรูปธรรมเกิดคือเราได้รับใช้ผู้อื่น ถ้าเราทำไปสุขภาพก็เสีย มันผลาญพร่า ฉิบหาย เราก็ไม่ทำ แต่เราทำนี่ไม่เสีย ไม่ได้ทำลายนะ  มีแตสร้างสรรสะดวกดีด้วย ไม่ได้ไปยืมใคร อาจต้องย้ายไปย้ายมาก็ตาม อาจสูญเสียบ้าง แต่ก็ก้าวหน้าเรามีทุนมีแรงก็ทำไป

 

 

       งานใหญ่ของเราคือการประท้วง แต่ว่าเราก็มีงานประจำปีของเรา อย่างงานมหาปวารณานี่เราก็ต้องงดเลย เราทำมาหลายสิบปีก็ต้องงด แต่ถ้าทำได้เราก็ทำ อย่างงานปลุกเสกฯ พุทธาฯเราก็ทำในการชุมนุม อย่างงานที่จะถึงนี้มีงานโพชฌังคาริยสัจจายุ ซึ่งเป็นงานของวิชชาลัยว.บบบ. วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ตัวย่อ . คือวิชชาลัย ส่วน บ. แรกคือ บรรดา หรือประดา ส่วน บ. ที่สองคือ บัณฑิต จำกัดความว่าเป็นบัณฑิตบุญนิยม บ. ที่สามคือบุญนิยมนั่นเอง

            เป็นงานประจำปีของชาวอโศกที่จะมาสอบไล่ ในปีหนึ่งจะมีการมาสอบไล่ทั้งหมด 7 วัน โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือ  4 วันแรกเรียกว่าการ “บำเพ็ญคุณ” 3 วันหลังเป็นการ “บำเพ็ญธรรม     

            ผู้จะสมัคร ทุกปีจะเปิด สมัครจะเปิดตั้งแต่ 1-25 ธ.. 55 แต่ปีนี้ก็เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเลย (16 ธ..​56)

            หนังสือที่จะใช้สอบคือ “รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์”

ผู้จะสมัครก็ขอบอกให้ทราบ...ส่วนรายละเอียดจะไม่ใช้เวลานี้บอกก็ประกาศให้ทราบ

            ที่จริงผู้ที่ไม่เคยเป็นชาวอโศกก็สมัครได้

            .บบบ.มีปรัชญาว่า..ศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา” ต่อมาขั้นสองก็เป็น “ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา” ขั้นที่สามคือ “ศีลเต็ม เข็มงาน สืบสานวิชชา”

.กฤษฎา...ว่า..พวกนายทหารใหญ่ที่กินศีลบาตรคาดสินบนแล้วกลัวถูกเปิดเผยจะทำอย่างไร??.

            พ่อครูว่า...ก็เปิดเผยสิ คนทำผิดแล้วปกปิดจะทุกข์ใจ แต่คนเปิดเผยความผิดแล้วตั้งใจใหม่ไม่ทำผิดนี่สิน่ายกย่อง นอกจากเรื่องเล็กน้อยไม่สำคัญก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องใหญ่สำคัญก็ควรเปิดเผย ที่ไม่เปิดเผยอาจกลัวติดคุกน่ะสิ....จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:37:56 )

561217

รายละเอียด

561217_พ่อครูและอ.สมศักดิ์ที่มัฆวานฯ

เรื่อง เลือกตั้งกับเลือกไล่มีนัยต่างกัน

 

       พวกเรามาที่นี่ได้มาทำสิ่งที่ดี มาช่วยคนละเรี่ยวคนละแรง หากคราวนี้ทำได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเลย เมื่อรัฐบาลทำสิ่งผิด ประชาชนก็ต้องออกมาดูแล คนเดียวก็ออกมาประท้วงได้ ขอให้ออกมาอย่างสงบ ไม่รุนแรง มีหลักฐานมีเหตุผลว่าเขาผิดอย่างไร จนเขาจำนน เขาก็เลิกได้ ประชาชนมีหน้าที่ปกป้องประเทศชาติตามรัฐธรรมนูญ

       มาถึงวันนี้แล้ว ก็ต้องพยายามช่วยกันทำความเข้าใจกัน ที่ออกมากันหลายล้านคนก็ถือว่าประสพผลสำเร็จ ตอนนี้สังคมก็กำลังถกเถียงกันว่า จะปฏิรูปก่อนหรือจะเลือกตั้งก่อน

ตอนนี้ก็ขอแจ้งของดการจัดงานโพชฌังคาริยสัจจายุและว.บบบ.ไปก่อนเนื่องจากติดงานมากู้ชาติครั้งนี้ เลื่อนไปปีหน้าเลย

       ตอนนี้สังคมกำลังเถียงกันเรื่อง จะปฏิรูปก่อนหรือจะเลือกตั้งก่อน มีตั้งหลายสำนักที่ถกกัน เถียงกันว่า สภาประชาชน ที่พวกเราจะตั้งนี่ พวกเขาก็เถียงว่า จะเอาประชาชนที่ไหนมาตั้ง? ถ้าเขาตั้งผู้แทนเขาก็ให้ประชาชนเลือกตั้ง ก็มีวิธีการ ใช้กันมานานแล้ว แต่สภาประชาชนนี่มันตั้งโดยอัตโนมัติของมันเอง ไม่มีบัญญัติในรธน. แต่ความเป็นจริงแล้วมันมี ลักษณะที่ประชาชนมารวมกันแล้วตั้งขึ้นเป็นกลุ่ม ตกลงกันว่าจะทำงานอะไร แล้วก็ทำงานกันได้เลย

       แต่มันยังไม่เคยเกิดมาก่อน เขาก็ว่ากันว่า สภาต้องเกิดจากการเลือกตั้งผู้แทนไปเป็นสภาผู้แทนราษฏรเท่านั้น อำนาจของประชาชนคือเลือกตั้งผู้แทนไปทำงานแทน แต่เขาหลงไปว่าเป็นอำนาจของผู้แทน ผู้แทนหลงเอาเองว่าเป็นเจ้าของอำนาจ ที่จริงอำนาจเป็นของประชาชน ผู้แทนก็ทำหน้าที่เท่าที่มีอำนาจให้ทำตามหน้าที่ แต่อำนาจนั้นไม่ใช่อำนาจเต็ม อำนาจเต็มเป็นของประชาชน คุณเป็นผู้แทนก็ต้องไปทำสิ่งเป็นประโยชน์ต่อสังคม ไม่เดือดร้อนใครทำได้ เช่นไปกวาดถนน ทำได้ ทำตามรธน.ด้วย ตามหมวดหน้าที่สิทธิของประชาชน

       ที่จริงนายกฯนี้เป็นอำนาจขั้นที่ 6 แต่ดูเหมือนใหญ่ เพราะเขาตั้งให้มาทำหน้าที่บริหารประเทศ มันรวมไว้หมด เขาก็เลยนึกว่าเขาใหญ่ ก็เลยหลงตนเองว่าใหญ่ เป็นเจ้านายคนทั้งประเทศ เอาอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นของตน ที่จริงเป็นตัวแทนนี่ทำหน้าที่รับใช้ประชาชนนะไม่ใช่ไปชี้ใช้ประชาชน​เป็นความหลงผิดที่สลับกัน ผู้หลงแบบนี้ก็เลยนึกว่าประชาชนที่จะออกมาขออำนาจคืน ก็ไม่ได้ไม่มี ประชาชนจะทำไม่ได้ เขายึดอำนาจมาหมดแล้ว ประเทศไหนไม่เอาเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย เขาแย้งอย่างนี้มุมเดียว

       อาตมาขอแย้งว่า ตัวบุคคลประชาชนสดๆเป็นๆออกมายืนยันว่า เจ้าของอธิปไตยตัวแท้ออกมานี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือไง ไม่ใช่นายกธิปไตยนะ นี่มันประชาธิปไตยนะ ประชาชนมาแสดงอำนาจอธิปไตยสดๆ ตัวจริงเสียงจริง ที่เลือกตั้งนั้นกลโกงหลายชั้นอีก เราออกมามากมายยังไม่ยอม เขาเลือกตั้งก็ตั้งสภาได้ แต่นี่ประชาชนเจ้าของอำนาจจะมาตั้งสภาประชาชนทำไมทำไม่ได้

       ประชาชนออกมาขออำนาจคืนเป็นสิ่งถูก คุณหมดสิทธิ์แล้ว เพราะได้ทำผิดแล้ว ทำไมทั้งง่านทั้งโด้

       ผู้แทนที่เราเลือกไปทำงานสามารถตั้งสภาได้ แต่ว่าประชาชนตัวแท้ไม่สามารถตั้งสภาได้ ฟังดูมันทะแม่งๆนะ

        มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       อำนาจเป็นของปวงชนชาวไทยนะ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจตั้งสภาเองไม่ได้ แต่ผู้แทนที่ประชาชนเลือกเข้าไปทำงานไม่กี่คนสามารถตั้งสภาได้ เวลาเขาเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์ประมาณ 48 ล้าน แล้วเวลาไปเลือกตั้งก็ออกมาไม่ครบหรอก ที่ไปเลือกนี้คนเขาไม่เต็มใจไปเลือกก็มา เดี๋ยวนี้ปรับโทษด้วยว่าใครไม่ออกไปเลือกตั้งก็ผิดด้วย ไม่เต็มใจแต่ต้องไป ต่างจากพวกคุณทุกคนที่มานี่เต็มใจมานะ มันมีค่าต่างกันนะ ผู้มาด้วยปัญญามาอย่างเต็มใจนะ

        5 ล้านคนที่ออกมาค่ามันน่าจะเท่ากับ 50 ล้านคนนะ นี่คือนัยละเอียดที่เป็นความจริง วิธีการที่มาเลือกตั้งนี้มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนมีกลโกงต่างๆนานา

       ประชาธิปไตยเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยตัวแทน แต่นี่เป็นประชาธิปไตยทางตรงเลยนะ เราออกมาขออำนาจคืน ประชาชนจะมาปฏิรูปใหม่นะ เห็นตัวเป็นๆของประชาธิปไตยไหม พวกคุณเป็นหนึ่งในองคาพยพของ 5 ล้านคน มาตัวเป็นๆกับหัวใจ เห็นตัวประชาธิปไตยหรือยัง? เขาก็เถียงถกกันว่าจะตั้งสภาประชาชนได้อย่างไร?

       แล้วเขาก็เถียงแย้งตะแบงว่า ประชาชนมี่มา 5 ล้านคนแล้วจะเอาเสียงอีก 65 ล้านคนไปไว้ที่ไหน?...ก็อยู่ที่ตัวคุณนั้นแหละแต่เขาไม่ออกมานี่ คนเหล่านั้นเขาไม่ออกมา ตอนไปเลือกตั้งก็ไม่ใช่ทั้งหมด 70 ล้านคนและไม่ได้ไปทั้งหมด 48 ล้านคนด้วยที่ไปเลือกตั้ง บางทีมีการบังคับด้วย ทั้งกองพันให้เลือกคนนี้เป็นต้น

       คนที่ออกมาจะมาตามกฏหมายหรือมาใช้สิทธิ์ ก็แต่ละกาละแต่ละเรื่อง มันก็ต่างกันโดยน้ำหนักเนื้อหาคุณค่า เต็มใจต่างกัน ที่ออกมาแสดงสิทธิ์ทุกวันนี้ก็มีนัยต่างกัน คนที่ออกมาโดยไม่ได้บังคับเป็นอิสรเสรี เป็นเนื้อแท้ของความเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าการจำใจหรือมีกฏบังคับให้ออกไปเลือกตั้ง

       คำว่าอิสรเสรีภาพ กับการถูกกำหนดโดยกฏบังคับ อิสรเสรีภาพย่อมเป็นประชาธิปไตยมากกว่ามาตาม กฏบังคับ วันนี้เรามาเลือกการไล่ออก ไม่ใช่เลือกตั้ง แล้วเอาจำนวนคนละบริบทมาเทียบกันจะได้อย่างไร เรื่องราวก็ 2 ปีแล้วคุณทำฉิบหายเราก็มาไล่ออก แม้คนเดียวเขาก็มีสิทธิ์ไล่คุณได้ แม้เขาผิดก็ไม่่มีสิทธิ์จับเขา คนก็ไม่เอาตามเขาเอง แต่ถ้ามันถูก คนก็เอาตาม มาเป็นแสนเป็นล้านได้ เรื่องเคยมีมาแล้วในโลกเริ่มจากคนเดียว

  ต้องเข้าใจเนื้อแท้ของการออกมาอย่างเต็มใจกับไม่เต็มใจก็ค่าต่างกัน การออกมาแสดงสิทธิไล่ออกกับสิทธิเลือกตั้งนั้นมีค่าต่างกัน การไปเลือกตั้งนั้นมีกฏหมายว่าถ้าไม่ออกไปจะมีการตัดสิทธิบางอย่างก็เป็นการบังคับคนออกไป แต่ว่าการออกไปไล่ออกนี้เป็นสิทธิที่แสดงออกอย่างเต็มใจ ทำตามมาตรา 2 และ 3 ของรธน.

        มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

        มาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้   

       การเลือกตั้งผู้แทนนั้นคนตั้ง 70 ล้านคนมาเลือกตั้งจริงก็เพียงส่วนหนึ่ง ออกมาแค่ 30ล้านก็เต็มที่แล้ว เป็นกฏสากลที่ระบุไว้เป็นหน้าที่ แต่การชุมนุมนี่อิสรเสรีเต็มที่ ออกมาชุมนุมรวมกันเห็นๆก็เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นจำนวนไม่มากกว่า พูดแล้วว่าออกมา 5 ล้านคนก็เท่ากับ 50 ล้านนะ เขาก็ว่าเขามีมากกว่า แต่คราวนี้ออกมาซัก 20 ล้านได้ไหม? หลักของเขาว่า Majority rule แต่ผู้รู้ก็ว่าไม่พอหรอกต้องคำนึงถึง Minority right ทิ้งเขาไม่ได้ต้องเอาเขามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาด้วย เช่นบุชกับกอร์ที่เลือกตั้งในอเมริกา นายกอร์ได้คะแนนเลือกตั้งมากกว่าบุช แต่เขามีวิธีเลือกที่ลึกซึ้งอีก ปรากฏว่า บุช ชนะในการเลือกปธน.

       พวกเรามาตาม Minority right เรายืนยันสิ่งถูกต้องควรเป็นมีหลักฐานยืนยันว่าคุณควรออกแล้ว แล้วออกมากันนี่คนละเรื่องกับผู้แทน เราออกมาไล่นะ ทำไมง่านอย่างนี้

การออกมาชุมนุมประท้วงด้วยปัญญาเห็นดีเห็นงามด้วยตนเองไม่ต้องขึ้นอยู่กับอะไรของเขา แต่เป็นอิสรเสรีที่สุดเลย ไม่ตกอยู่ในอำนาจใดๆเลย ที่มากดขี่แบบ Force เลย เป็นอำนาจของตนเองเต็มๆเลยเรียกว่า independent เลย ยิ่งไทยเราเป็นราชอาณาจักรนี่คือเอกราชแท้ๆ เป็นที่สุดแห่งอำนาจที่เป็นไปโดยชอบเป็น Authority ยิ่งมารวมกันมากๆเป็นอำนาจเต็มที่เรียกว่า Sovereignty Power

       ที่เขาทำการปฏิวัติส่วนใหญ่ก็ทำด้วยอำนาจ Force ใช้กองทัพ คนก็ยอมเพราะกลัว แต่เรามาทำด้วยอำนาจโดยธรรม แสดงโดยสุภาพเรียบร้อยให้รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดี ออกไปเถอะ อาจพูดแรงบ้าง แต่ไม่มีปืนไม่มีรถถัง ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่เลยกลับไม่เข้าใจว่านี่คือแบบผู้ดี พอเขามาปฏิวัติด้วยอำนาจกองทัพ ก็กลับออกแฮะ ทั้งที่ผิดรธน.เป็นขบถนะถ้าไม่ชนะ แต่เราทำด้วยอำนาจ Authority ถูกตามรธน.มีเหตุผลหลักฐานอ้างอิง กลับไม่ให้ มันยังไงกันหนอ ที่ทำผิดๆอำนาจบาตรใหญ่สู้ไม่ได้กลับยอม แต่อำนาจโดยธรรมกลับไม่ให้ๆๆ อาตมาว่าคนเช่นนั้นคือคนไม่เจริญ เป็นชนมิลักขะเป็นเผ่าง่าน ไม่ใช่อาริยกะ ที่เราทำนี่จงภาคภูมิใจว่าเราได้ทำสิ่งดีงามถูกแล้ว

         

       อ.สมศักดิ์....เมื่อซักครู่ที่พ่อครูได้อธิบายมาว่า การที่ประชาชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาล มาด้วยสิทธิที่ปราศจากการบังคับ ปราศจากการจ้าง ก็ตรงกับแนวคิดของรุสโซ่ เรียกว่าเจตจำนงค์อิสระ คำว่าเจตจำนงค์อิสระ เวลาเอาไปใช้กับการเลือกตั้ง แล้วปราศจากการบังคับ ข่มขู่หลอกลวง ก็จะได้ผู้แทนที่บริสุทธิ์ยุติธรรม การที่ออกนโยบายมาว่าจำนำข้าวคือนโยบาย แต่การที่ไปออกบัตรพลังงาน อย่างนี้มันถึงตัวคนแต่ละคน หรือแจก 7.5 ล้านกับคนเสื้อแดง อย่างนี้คือการซื้อเสียง หรือการแจกแทบเล็ตอย่างนี้คือการซื้อเสียง ให้พ่อแม่ไปเลือกเขา วิธีซื้อเสียงของระบอบทักษิณนั้นแตกต่างจากการซื้อเสียงแบบเก่า จากการใช้เงินซื้อ ต่อมาก็ใช้ของเช่นแจกรองเท้าทีละข้าง แต่มายุคทักษิณ มีประชานิยม ที่จริงคือการซื้อเสียง ที่ขัดกับเจตจำนงค์อิสระ

       การที่ไปพร้อมกับปืนและเงินไปบังคับขู่เข็นให้คนลงคะแนนให้ หรือพิมพ์บัตรลงคะแนนเกิน อย่างนี้เป็นต้น พิมพ์บัตรเกินไว้ลงคะแนนผี การเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่มียุคไหนที่น่าเกลียดเท่ากับสองครั้งหลัง ถ้ากกต.ตีข้อเท็จจริงออกก็นาจะรู้ว่าคนที่ไปเลือกตั้งนั้นถูกบังคับ จูงใจก็ไม่บริสุทธิ์อยู่แล้ว

       แต่การที่เราออกมาชุมนุมไล่รัฐบาลนี้ มันคนละบริบท เหมือนถามว่าไปไหนมากลับตอบว่าอิ่มแล้ว การไปลงคะแนนเลือกตั้งนี้เป็นความชอบหรือไม่ชอบ แต่ว่าถ้าถ้าคุณทำผิดแล้ว แค่สองคนก็ไล่คุณออกได้

       มีคนที่เชียร์รัฐบาลว่าสามารถทำให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ แล้วทำไมไม่ทำตั้งนานแล้ว ที่ประชาชนออกมาสองล้าน ห้าล้านแล้วกำลังจะเป็น สิบล้านนี่เพราะว่าคุณทำผิด ศาลตัดสินแล้วว่าคุณทำผิดก็ไม่ยอมรับ ประชาชนก็เลยออกมาไล่กันมากมาย ทำไมศาลสองคนตัดสินก็ยังได้ แล้วทำไมคนตั้งเป็นล้านทำไมจะตัดสินไม่ได้

การเลือกตั้งมาตั้งหลายครั้งทำไมเลือกได้แต่ตัวแทนจากครอบครัวชินวัตร ไม่ได้ ผู้แทนของปวงชนชาวไทย อย่างแอร์สาวคนหนึ่งแค่คิดดังก็ออกแล้ว แล้วสส.ที่พาคนไปกดดันคนต่างๆนานานี่ ทำไมยังอยู่ได้อีก

การเลือกตั้งเราไม่ได้บอกว่าไม่เอาแต่ต้องเลือกแล้วได้ผู้แทนของปวงชนชาวไทย แต่ถ้าได้ผู้แทนเป็นขี้ข้านักการเมืองอย่างนี้ใช้ไม่ได้

        พ่อครูว่า..คลิปถั่งเฉ้าที่ออกมา แล้วเขาเถียงไม่ได้ มีหลักฐานครบถ้วน แล้ว ทำไมบ้านเมืองไทยเรายังเฉยอยู่ทั้งที่ความผิดปรากฏต่อหน้าชัดๆเลย รมต.กลาโหมทำผิดชัดๆแล้วรัฐบาลนี้ทำไมเฉย คนอื่นทำไมยังเฉยอยู่ มันเป็นประเทศไทยไหม?

       อ.สมศักดิ์ว่า...ตอนนี้เป็นประเทศไทย แต่เขากำลังทำให้เป็นสาธารณรัฐชินวัตร

       พ่อครูว่า...ช่วงนี้ประชาชนตื่นรู้มากผิดสังเกต อายุปูนนี้แล้วก็ไม่เคยเห็นประชาชนตื่นรู้กันขนาดนี้ ออกมาได้ทำลายสถิติโลกสากลนะ ออกมาอย่างเรียบร้อยสงบด้วยนะ ออกมา 5 ล้านนี้มีการปลุกเร้านะ เหมือนกับจะไปทำร้ายทำลายเพราะประชาชนถูกแกล้ง ถูกทำลาย พอรวมกันมันฮึกเหิมนะ แต่ปรากฏว่า 5 ล้านคนนี้เรียบร้อยมาก ไม่เคยปรากฏในโลกเลย

       ความอดทนมันเกินขีดจำกัดแล้วก็เลยออกมา จงรักษาสิ่งดีสิ่งประเสริฐให้ยั่งยืนนะ งดงามมาก เรามีความหลากหลายของชุมชนที่มาชุมนุมกันนี่ อย่างที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็มีคนแน่น ของที่นี่ก็มากันขนาดนี้แหละ นอนฟังกันอยู่ก็เยอะ เป็นกองพลาธิการ กองกาชาด และที่คปท.อยู่ที่ชมัยมรุเชษฐ์ ก็เป็นจริตอย่างนั้น แต่เป้าหมายเดียวกัน แต่หลากหลายพฤติกรรมกลุ่ม แยกกันเดิน รวมกันตี แต่ไม่ได้ห่างกันมาหรอก

       เป็นงานการเมืองเป็นงานสังคม นักรัฐศาสตร์ควรมาทำวิจัยไว้นะ ต้องรวบรวมรายละเอียดไว้ เป็นรัฐศาสตร์บทใหม่ของโลกนะ มาประท้วงกันยังไงหลายเดือนแล้ว เรามากันงวดนี้จากสวนลุมฯมาที่นี่ก็ 88 วันแล้ว อยู่ที่ราชดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. 56 แล้ว

       เรามาก็เป็น ชินชาแล้ว ชินชานี่เป็นลักษณะของอุเบกขา คำว่า ชิน แปลว่า ชนะ ส่วนคำว่า ชา แปลว่าความรู้ ในภาษาบาลีนะ

       อำนาจอธิปไตย เป็น Sovereign Power จะใช้ภาษาว่า สยามเทวาธิราชิทธิ์ ก็ตาม เป็นพลังอำนาจในมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วออกฤทธิ์เป็นสยามเทวาธิราชิทธิ์ เป็นความจริงความรู้ที่มาเป็นอำนาจ ไม่ใช่อำนาจรุนแรงหรืออาวุธ หรือกลโกงใดๆ แต่เป็นอำนาจธรรมะ ที่สุดยอด จนคนยอมแพ้ได้ แม้จะอาศัยมวลก็ตาม ก็อาศัยอำนาจสัจจะ ความรู้ความจริง สูงส่งกว่าอำนาจกดขี่ หรืออาวุธ มันจะชนะกันอย่างสุดยอดเลย จงภูมิใจเถิดที่เราพากันทำมา จงทำต่อไปรักษาไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่าลดราวาศอกในความเจริญนี้ หวังว่าประเทศไทยจะนำสิ่งนี้เกิดได้ จะยังไม่ตาย จะดูความจริงอันนี้ในประเทศไทย

โลกทุกวันนี้เขามีความเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนในการเอาเปรียบกดขี่ข่มเหง เป็นเดรัจฉาน แต่เราทำด้วยสิ่งประเสริฐดีงาม เอาธรรมนำหน้าเป็นสิ่งประเสริฐสุดยอดเลย นี่เป็นสิ่งเลิศยอดเลย เป็น Best Record เป็น A Best model เป็น A Best Revolution ไม่ใช่ตรรกะด้วยนะ แต่เป็นสัจจะความจริงที่เราทำได้ เป็นไปได้ แต่ก่อนอาตมาดูแล้วก็ว่าน่าจะเป็นไปได้นะ แต่ว่าตอนนี้มันเป็นไปได้แล้ว Probable แล้ว เป็นไปได้ต้องมาจากเหตุ อยู่ดีๆจะเป็นไปได้เลยไม่ได้นะ

       จิตวิญญาณคนไทยนี่เป็นจิตที่มีทุนอยู่ เป็นของจริง แม้คุณไม่รู้ตัวว่าคุณมีคุณสมบัตินี้อยู่ คนดีจะทำชั่วได้ยาก แต่คนชั่วแม้ไม่อยากทำชั่วแต่ก็ทำชั่วได้ง่าย คนที่ไม่มีพลังแรงจนทำชั่วได้นี่ มันทำไม่ได้ แม้เขาจะฆ่าเราเราก็ทำตอบไม่ได้นะ มันเป็นพลังงานทางจิตที่อยู่ก้นบึ้ง มันดำเนินของมันอยู่จริง

       คนที่มีพลังงานดีออกมารวมกัน เช่นว่าไม่ต้องการอันนี้ ตรงกันก็ออกมารวมกันตรงกันหมด แม้บางคนไม่ค่อยรู้แต่ก็ตรงกันหมด รวมเป็นสยามเทวาธิราชิทธิ์ นี่คือสิ่งเกิดจริงเป็นจริงมีต้นทุน จึงออกมาได้ 2 ล้าน หรือ 5 ล้านได้

       ส่วนคนทำอกุศลก็ได้กรรมชั่ว เขาทำหยาบๆเขายังไม่กลัวเลย แต่เขาจะทำละเอียดซ่อนเร้นอย่างไรก็เป็นกรรมวิบาก คนทำชั่วตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับวิบากตอนนี้ก็เป็นได้ แต่สั่งสมกรรมวิบากไว้ เราเป็นทายาทของกรรม กรรมจะพาเราเป็นไป เสื่อมหรือเจริญได้ เมื่อมันถึงเวลา ถึงจุดระเบิด จุดชะวาน จุดสันดาบ ทั้งที่รู้ว่าเขาผิดก็ไม่กลัว ไม่กลัวบาปเวรภัย เขาทำไปเถอะไม่ต้องไปแช่งเขา ถึงเวลาก็เป็นไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า ชาติไหนก็ช่างหัวเขาเถอะ เป็นกัมพันธุ สั่งสมเชื้อพันธุ์ สั่งสมสัตว์นรกก็ได้เป็นสัตว์นรก กรรมจำแนกสัตว์ เป็นกัมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่ง ตอนนี้คนทำชั่วได้เสวยโลกีย์ ที่เขาชอบ เป็นสรณะ(การรบ) การปฏิบัติธรรมนี่คือการรบนะ ต่อสู้กับกิเลส แต่คนไม่รู้กิเลส กิเลสเป็นไส้ศึก แล้วหลงไปทำคะแนนให้ไส้ศึก คุณก็ขาดทุนยับเยิน ได้อกุศล สักวันหนึ่งอกุศลจะระเบิด ไม่ระเหยระเหิดไม่ตกหล่นคุณก็ต้องรับมรดกของกรรม เรื่องกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ... The End


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:39:54 )

561218

รายละเอียด

561218_พ่อครูและอ.สมศักดิ์ ที่เวทีมัฆวานฯ

เรื่องการประท้วงอย่างโกลุตระ ตอน 3

       พ่อครูเริ่มรายการ...มันจะมีที่ไหนหนอมาชุมนุมประท้วง ประเทศๆไทยนี่ก็ยังสามารถให้เห็นบรรยากาศ ไม่มีความรุนแรงอะไรขึ้นมา ต้องมองว่าเขาทำหน้าที่ของเขานะ ทำไมไม่เกิดความรุนแรง เพราะเราทำการประท้วงอย่างถูกกฏหมาย เขาจะทำรุนแรงกับเราไม่ได้ ถ้าเขาทำรุนแรงขึ้นมาก็จะถูกสังคมประณาม อย่างประชาชนเขมรที่มาประท้วงไล่รัฐบาลมันไม่ง่ายหรอก เขาก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่มาทำร้ายประชาชน แต่นี่เรามาประท้วงเรื่อยๆมาที่ข้างทำเนียบ ที่เราต้องลอยคอนำอาหารเข้ามานั่นแหละ

       ภาพรวมของพลังประท้วงตอนนี้นี่เราทำอย่างไม่รุนแรง กระแสพฤติกรรมสังคมเป็นเชิงชื่นชม เป็นเครื่องชี้วัดว่า พฤติกรรมสังคมดีขึ้น ประเทศไทยเรามีพัฒนาการ เราทำช่วยกันคนละไม้คนละมือ เรามากันตลอด 24 ชม. บางคนก็มาบางเวลา แล้วแต่ว่าใครมาได้เท่าไหร่ บางคนก็กลับบ้าน แต่ก็ยังแบกเอาเรื่องชุมนุมกลับไปคิดต่ออีก

       ที่มันเป็นไปได้จนถึงวันนี้ หลายคนก็อาจรู้สึกว่าคงจะถึง 500 วันนะ แล้วถ้ามันจะต้องเลื่อนออกไปอีก เราก็ไม่รู้ แม้ไม่รู้ ก็ไม่มีปัญหา 500​วันก็ได้  เพราะว่าจิตวิญญาณมีการปรับเปลี่ยน มีรูปธรรมด้วย เรามาอยู่ที่นี่นานเข้าก็จะเข้าที่เหมือนอยู่ที่บ้าน เราก็รู้ว่าไม่ใช่ที่อยู่ถาวร เราจะมาสร้างส้วม สร้างครัวได้แล้ว เราก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บางคนอยู่ที่บ้านไม่เคยจับไม่กวาดเลย มีคนทำให้ แต่มาที่นี่มันก็น่าจะทำ มันต้องทำ ต้องบังคับตัวเราให้ทำ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ต่างคนต่างมาจากหลากหลายที่่ แต่มาอยู่ร่วมกัน ก็ต้องพึ่งพากัน ช่วยกัน เมื่อมีมากเข้า คนที่มีนิสัยเอาเปรียบก็มี คนมีนิสัยดีก็มี แต่คนนิสัยดีมากขึ้น เห็นรู้ว่าตรงไหนขาดแคลนเราก็มีจิตใจช่วยเหลือ บางคนมีกิเลสถือดีถือตัวเกิดอัตตามานะ กิเลสอย่างนี้ มางานนี้จะได้เห็น มาที่นี่บางงานเราก็ไม่เคยทำ อยู่ที่บ้านเราก็มีฐานะหนึ่ง เราก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่หน้าที่ แต่มาที่นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นสมควรทำก็ต้องช่วยกันทำ ก็ได้ลดละอัตตามานะไม่ต้องถือดีถือตัว

       ผู้ไม่ถือเนื้อถือตัวไม่มีอัตตามานะ มาทำงานเพื่อสังคม รวมกันหลากหลาย แต่เราก็มีความเป็นอยู่ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราได้ลดละอัตตามานะอย่างแท้จริง หลายคนได้มาก็ได้เข้าใจ มีปัญญาฉลาดรู้เพิ่มขึ้น รู้ว่าการลดละอัตตามันดี เป็นประโยชน์ทางจิตวิญญาณ ได้ลดละอัตตามานะของเรา

       ต้นตระกูลกิเลส มีราคะ โทสะ โมหะ คือโลภ โกรธ หลง นั่นเอง หลงคือไม่รู้กิเลสที่อยู่ในตัวเรา ไม่รู้จักตัวตนของเรา ไม่รู้ส่วนเหลือของกิเลสของตน เรียกว่า หลงเหลือ เราก็ต้องเรียนรู้ไป จนกระทั่งมันไม่มี เป็นอากิญจัญญายตนะ คืออะไรที่เราไม่ให้มี ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด จนเป็นเศษเล็กเศษน้อย เท่าไหร่ก็ตาม ตรวจสอบ ว่าตัวไหนที่เราทำได้ ตัวตนตัวไหน ก็คืออัตตา ตัวตนของราคะ โทสะ โมหะ มันมีตัวตนในจิตวิญญาณ กิเลสตัวนี้เรื่องอะไร เรื่องรักหรือชัง แค่ไหน กับวัตถุ หรือกับคน เยอะแยะมากมาย สารพัด ที่ไปติดยึด มันยึดเรื่องนี้สิ่งนี้ แล้วเราก็จับได้ และลดละมัน เหลือสุดท้าย เราทำให้กิเลสลดได้หมด ฐานต้น เรียกว่า อุเบกขา

       อุเบกขา คือ จิตว่างจากกิเลส และไม่ใช่ว่างอย่างเฉยเด๋อ คำว่าอุเบกขา เป็นสภาพกลางๆ ไม่มีพลังงานไปทางนั้นทางนี้ ที่เป็นไปตามอัตตา มันเป็นความเฉย แม้มีการกระทบกับสิ่งที่เราเคยรักเคยชอบ หรือเคยโกรธ มีอะไรที่เคยรักเคยชังมากระทบก็เฉย ไม่ใช้เฉยหน้าด้าน กิเลสไม่ได้หาย กิเลสมันเก่งเหมือนกัน ดื้อด้านดึงดัน คือ ถัมภะ เป็นตัวที่คู่กับตัวหยิ่งผยองหรือ สาเฐยยะ หรือสโถ อวดโอ่ แสดงอยากอวด หรือสารัมภะ คืออยากแสดงออก ส่วนถัมภะนั้นปักแน่นยึดแน่น ถ้าเราทำสั่งสมกิเลสสองอย่างนี้ก็จะเก่งอย่างไม่ดี มันพาเราเสื่อม พาเราทำไม่ดี

       สำหรับอุเบกขาของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เฉยๆ แต่จิตวิญญาณของเราจะมีฌานสั่งสมในจิต ของพุทธนั้นกิเลสมันสงบ จนกิเลสสลายหายเกลี้ยงเลย ตรวจสอบด้วยอรูปฌานได้

       รูปฌานนั้นตัวที่สุดท้ายคือ อุเบกขา เป็นเอกกัคคตาจิต คือ เอกคือหนึ่ง เขาก็แปลว่าจิตเป็นหนึ่ง แต่มันจะแปลว่ายอดเยี่ยม ไม่เป็นอื่นเลยก็ได้ แข็งแรงบริบูรณ์สะอาด คำว่าอัคคะ แปลว่าเยี่ยมยอดเลิศเลอก็ได้ จิตเยี่ยมยอด

       ถ้าเป็นฤาษีก็ทำให้จิตสงบให้ได้ แต่ไม่รู้จักตัวกิเลส แล้วล้างกิเลสได้ เหมือนพุทธ จิตที่กลางๆนั้นก็มีแบบอภยกฤติ คือไม่เป็นกุศลและอกุศล ทั้งที่มีกิเลสในจิต แต่วาระนี้ไม่กุศลหรืออกุศล คนธรรมดาสามัญก็มีจิตตัวนี้ มันไม่ทำอะไรก็เรียกว่า เคหสิตอุเบกขาเวทนา เป็นอภยกฤติ 

       การปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลง เราก็ทำได้มาเรื่อยๆ มากันมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ 24 พ.ย. มาถึง 9 ธ.ค. ต่อมาก็จะนัดกันวันที่ 22 ธ.ค. คนมีปัญญาก็ควรมาร่วมกัน มีให้เลือกตั้งสามเวที แล้วแต่รสนิยม ถ้ามาเวทีนี้ก็ได้ฟังธรรมะมากหน่อย ถ้าเวทีโน้นก็มีสนุกมากกว่า มีการปลุกเร้ามากกว่านี้ มันมีนัยต่างกัน ก็ได้กิดการพัฒนามา ถ้าได้ประโยชน์ทั้งสองส่วน ก็ได้ทั้งประโยชน์ผู้อื่น ปรัตถะ ประโยชน์ตนเรียกว่า อุภยถะ บางคนมาได้แต่ประโยชน์ตนอย่างเดียวไม่ได้ช่วยส่วนรวมเอาแต่นั่งฟังธรรมอย่างเดียวก็มี บางคนก็มาทำแต่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ตนเองไม่ค่อยได้ประโยชน์ตน ได้แต่กุศลโลกีย์ จิตใจก็มีความรู้โลกีย์ ไม่ค่อยรู้ทางสัจธรรม โดยเฉพาะความรู้ทางปรมัตถธรรม

       ผู้ใดรู้แล้วก็มาเอาประโยชน์ทั้งสองส่วน ได้ทั้งประโยชน์ตนและได้ทั้งสาระโลกีย์ ทางสังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์และอื่นๆอีกมากมาย เช่นได้ฟัง ที่วิทยากรผู้รู้มาบรรยายก็ได้ เป็นโลกายตศาสตร์ มากมาย ส่วนความรู้ทางโลกุตระที่เป็นปรมัตถ์ ได้เข้าใจจิตวิญญาณ ว่าจิตที่รู้ปรมัตถธรรม ที่เราจะได้ศึกษาจิตเจตสิก จิตเราเข้าใจว่าทำอย่างนี้ดี แม้ยากเราก็ฝึกฝน ทำกายกรรม แต่มีจิตเป็นตัวตั้ง ทำด้วยรู้หรือว่าทำด้วยหมู่พาทำก็มี เราอยู่กับหมู่ดี หมู่ดีไม่พาเราทำเสียหรอก บางทีพาไปบู๊ บางทีพาไปเมื่อย

       ปรมัตถ์นั้นเรารู้แล้วเราแก้ไขที่กิเลสของเรา ผู้ที่รู้ว่าอันนี้กุศลอันนี้อกุศล นี่เป็นกิเลส แม้เรารู้แต่จิตเราไม่เป็นก็ฝึกเรา ทั้งรู้และทำได้ เป็นอุภยถะของจิตเลย ถ้าสูงสุดเป็นอุภโตภาควิมุติ รู้ว่ากิเลส แล้วเราก็เห็นอ่านกิเลสออก แล้วล้างกิเลส กำจัดกิเลส เห็นว่ามันดับ ไม่ใช่ว่าไปนั่งหลับดับปี๋โดยไม่รู้ตัวตนกิเลสจริง เป็นนิโรธฤาษี แต่ถ้านิโรธพุทธนั้นไม่ใช่ไปดับปี๋เลย มันดับกิเลส เป็นคำเดียวกันแต่นัยการดับนั้นต่างกัน แบบฤาษีนั้นไม่ใช่นิโรธแบบพุทธ

       นิโรธคือดับสนิทไม่เกิดอีกเลยอย่างรู้ๆ ว่าดับเหตุหรือสมุทัย ให้ถึงอาสวะอนุสัย ตรวจด้วยอรูปฌานอีก จิตเป็นอุเบกขา อ่านจิตโดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อาการอย่างนี้เรียกว่า ราคะ โทสะ โมหะ

       คนนี้พูดมาไม่เข้าหูเราเราก็มีอาการจิต เราก็ทำเครื่องหมายกำหนดรู้หมายเอาเองว่าอย่างนี้คือกิเลสตัวไหน มันไม่มีตัวตนแบบจับต้องได้เป็นสรีระนะ

อย่างเทวดาเขาก็สอนบอกกันว่ามันเป็นสรีระรูปร่างอย่างนี้หรือสัตว์นรกเป็นรูปอย่างนี้ คุณก็ไปปั้นเอาในจิต ไปนั่งสมาธิปั้นเอาว่าสัตว์นรกเทวดามารพรหมเป็นเช่นนี้ คุณก็เห็นเป็นรูป

       แต่ที่จริง กิเลส คือสัตว์นรกที่มันแสดงอาการในจิต เช่นความโกรธเมื่อไหร่เมื่อเจอผัสสะ คุณก็เท่ากับใส่คะแนนโกรธให้ในจิต ก็ตกผลึกในจิต เพิ่มขึ้นสั่งสมในจิต แถมอาการโกรธนี้พอแตะสัมผัสเราก็โกรธแรงขึ้นอีก ไม่ลดลง มีความโกรธความชังสูงอีก มันมีฤทธิ์แรงเพิ่มขึ้นอีก เช่นไปชังน้ำหน้าคนนี่ พอสัมผัสกับเขา ต่อมามีอีกวันต่อไปสัมผัสแล้วก็มีอีก สักวันก็ต้องฉะกันแน่นอน ดีไม่ดีฆ่ากันเลย คุณฆ่าเขาแล้วไม่ใช่ว่ากิเลสจะหายไป แต่ว่ากิเลสยิ่งเพิ่ม เพราะว่าไปฆ่าเขาตามกิเลสคุณก็สมใจอีก ให้ดีใจที่ได้ทำร้ายเขาสมใจอยาก กิเลสมันไม่ตายนะ กิเลสยิ่งอ้วนหนาผนึก นี่คือความโง่อวิชชาของคนทั้งหลายในโลก

       โลภและราคะก็เช่นกันคุณก็สั่งสมราคะ ให้สมราคะ สมโลภ เช่นกัน คุณมีอาการเกิดที่จิตมันสั่งสมทั้งนั้น คนอวิชชาก็สั่งสมไปเรื่อยๆ บางทีไม่เกิดก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ก็แสวงหาความชอบใจไม่ชอบใจเสมอ แม้กับคนก็ตาม หรือกับวัตถุก็ตาม อย่างวัตถุมันไม่รู้เรื่องนะ กับคนเราก็ก่อเหตุได้ตลอดเวลา มันก็เกิดอาการเหล่านี้เพราะอวิชชา

       คนมาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็ได้เรียนรู้สักกายะ ตั้งแต่ดินน้ำไฟลม อย่างน้ำนี่รากฐานของมันคือ H20 แก๊สหรืออากาศมันก็ไหลไปไม่จำกัด มีคุณสมบัติของสสารพลังงาน จิตของเราก็มีลักษณะคล้ายสสารหรือพลังงาน แต่ละเอียดกว่า ฤทธิ์เดชมากกว่าอีก คนไม่เก่งในการทำจิตให้มีพลังงานได้มากในยุคนี้ ยุคพระพุทธเจ้าสามารถทำให้จิตเก่งมากได้ คนยุคนี้เหาะได้ ดำดินได้  แต่ยุคนี้ทำไม่ได้แล้ว จิตมันตกต่ำมากแล้ว แม้ไม่ได้เราก็ใช้พลังงานฟิสิกส์เก่ง แต่ก่อนนั้นจะใช้อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่เดี๋ยวนี้จะใช้เครื่องไม้เครื่องมือช่วย

       จิตวิญญาณละเอียกว่าวัตถุหรือสสาร จึงรักษาสภาพได้ยากกว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่คงที่ มีแต่สภาพนิพพานอย่างเดียวเท่านั้นที่เที่ยง เพราะว่าเป็นสภาพสูญไม่มีแล้ว แต่ถ้ามันเริ่มมีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ไม่คงที่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุธรรมหรือนามธรรม

       มีแล้วรู้เราก็รู้เรียกว่าเวทนา ตัวนี้แหละที่ต้องเรียนอย่างสำคัญ พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักจิตที่รู้สึกทุกข์หรือสุข มันมีชอบหรือชัง

       กุศลคือสิ่งที่ดีงามสร้างสรร แต่อกุศลคือสิ่งที่จะทำลาย แม้กุศลเราก็อาศัย มันเป็นพลังงานดี แม้ว่าจะเป็นเราอยู่กับเรามันก็ไม่ใช่ตัวเรา แต่เรารู้ว่าต้องอนุโลม มีอยู่เพื่ออาศัยใช้มัน จิตวิญญาณก็เป็นพลังงาน ตัวมันเองไม่รู้ตัวมันหรอก แต่เราไปนึกว่ามันมี แล้วมันก็มีคุณสมบัติ แล้วคุณสมบัตินี้ถ้าเป็นกุศลก็รักษาไว้ใช้งาน เหมือนกับเรารักษาเหตุปัจจัยไว้ใช้งาน

       ส่วนอกุศล ตัวไหนเราก็เริ่มเรียนที่สักกายะ คำว่ากายคือองค์ประชุมมีทั้งรูปและนาม และเน้นที่นามเป็นสำคัญกว่ารูปด้วย ถ้ามีแต่รูปมันไม่รู้เรื่อง แม้กุศลเราก็ไม่ยึดเราแค่อาศัย คนที่จะสามารถทำลายอกุศลหรืออกุศลให้แก่คนอื่นไม่ได้ ต้องทำด้วยตนเอง  ทำให้อกุศลตายไปจนมันตั้งมั่น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       ได้แล้วได้เลยกิเลสตายแล้วตายเลยไม่มีเกิดใหม่อีก คือคุณสมบัติของจิตที่เกิดเป็นขั้นตอน พระพุทธเจ้าให้อ่านเวทนา 108 โดยเฉพาะอ่านเคหสิตและเนกขัมสิตะได้ ต้องทำเนกขัมมะให้โลภโกรธหลงออกจากจิตได้ ก็เรียกว่าวิมุติ เอากิเลสออกได้ก็มีวิมุติ กิเลสตายลง ลดลงเหี่ยวแห้งลง มันเป็นอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เท่านั้น ถ้าใครจับได้ตั้งแต่ตัวต้นเรียกว่า สักกายทิฏฐิ แล้วไปถึงขั้นกลาง และละเอียด มีวิโมกข์ 8  และตรวจสอบไปถึงระดับ อากาสธาตุ คือปริเฉทรูป ในรูป 24 ที่เป็นอุปาทายรูป

       

        อ.สมศักดิ์...

       การออกมาชุมนุมทางการเมือง หลายล้านคนเป็นการยืนยันสิทธิของตน มาเรียกร้องสิทธิของตนเอง 1 สิทธิ 1เสียง เป็นความเข้าใจสิทธิหน้าที่ของพลเมือง เพียงแต่คนบางส่วนไม่เข้าใจ ไม่ใช่ประชาชนไม่เข้าใจ หรือเขารู้แต่กันประชาชนมาเอาอำนาจคืน

       ถ้ารัฐบาลสร้างธรรมให้เป็นอำนาจ ประชาชนจะไม่มาไล่หรอก แต่ถ้ารัฐบาลสร้างอำนาจให้เป็นธรรมนั้น รัฐบาลนั้นเป็นทรราชย์

       ศาลรธน. มีมติ 6:3 กปปส. ชุนนุมไม่ผิดกฏหมาย -เหตุ ชุมนุมสงบปราศจากอาวุธ

       การที่เขาออกหมายจับคนนั้นคนนี้ เมื่อศาลรธน.ตัดสินแล้วว่าการชุมนุมนี้ไม่ผิดกฏหมายแล้วไปออกหมายจับเขาได้อย่างไร... จบไม่บริบูรณ์ มีภาคต่อ     
 

       


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:41:54 )

561219

รายละเอียด

561219_พ่อครูที่มัฆวานฯ

เรื่อง อาริยปฏิวัติ

            ที่เราทำนี่เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน และสวยงามอย่างมาก ตอนนี้ชมการปฏิวัติมากเลย ชมบ่อยเลย ที่พวกเราร่วมทำปรากฏการณ์นี้แก่ประเทศชาติ อวดโลกเขา มันอดชมไม่ได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าปัคคัณเห ปัคคาหารหัง นิคคัณเห นิคคหารหัง คือติคนที่ควรติ และชมคนที่ควรชม ตอนนี้ต้องชม เพราะว่ามันเป็นเรื่องเกิดได้ยาก และยังเกิดไม่ได้ดีง่ายๆ โดยเฉพาะมวลชนหลากหลายจริต หลากกิเลสแล้วทำให้ดีวิเศษอย่างนี้ได้

            การปฏิวัติของประชาชนก็เหมือนกับปฏิวัติของอำนาจกองทัพ หรือหมู่กลุ่มที่ใช้อาวุธ เขาก็ใช้อำนาจอย่างนั้นทำมาตลอด เพื่อยึดอำนาจผู้ที่ครองอำนาจเก่ามา ผู้ทำสำเร็จก็ได้อำนาจไป ฉันเดียวกันกับที่ทำโดยอาวุธ การปฏิวัติของประชาชนที่เราทำก็ต้องได้อำนาจนั้นมา เป็นแต่เพียงผู้ยึดอำนาจเก่าอยู่จะยอมไหม การใช้อำนาจอาวุธคนกลัวตายก็ต้องยอมให้ เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เป็นการรู้แพ้รู้ชนะเหมือนเดรัจฉาน แต่คนเราเป็นสัตว์ประเสริฐ ก็ควรได้สำนึกเข้าใจว่า สิ่งที่ประชาชนไทยทำ ไม่ได้ทำอย่างเดรัจฉาน ทำมาได้อย่างยืนนานมา มันน่าจะเห็นแก่ประเทศนี้ไหม ผู้ที่ครองอำนาจเก่าอยู่ ถ้าเขาเอาอาวุธไปบังคับคุณก็ต้องยอมอยู่ดี แต่มันไม่งามเลย มันก็อย่างเก่า แต่คราวนี้มาทำได้ขนาดนี้ มันไม่ง่ายจะเกิดประกฏการณ์ประเสริฐที่ยาวนาน เป็นแบบอย่าง ประชาชนทั้งหลายออกมายืนยันว่าประชาชนคือเจ้าของอำนาจ 1 คน 1 เสียง โดยสิทธิสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ไปเลือกตั้งที่บางทีเลือกหลายที เป็นวิธีการที่เขาทำมาแล้ว แต่นี่ของสดเสียงสดเลย

            ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว มีน้ำหนักของมวลมหาประชาชน ก็มีแล้ว และมีหลักฐานของความผิดความถูกก็ปรากฏชัดแล้ว แต่ก็ดึงดันอยู่นั่นแหละ จนต้องอุตริ สร้างคำว่า โด้ กับคำว่า ง่าน ขึ้นมาก

            เขาโง่ที่ว่าส่ิงนี้เป็นสิ่งประเสริฐของประเทศไทย ของโลกนะ ไม่มีปัญญารู้หรืออย่างไรว่าเป็นส่ิงประเสริฐ ถ้าได้สนับสนุนก็คือ ยอมแพ้เสียบ้าง เพราะว่าตนผิด หรือว่าพิสูจน์ด้วยมวลเช่นกัน หลายครั้งแล้ว ก็นับมวลคะแนนกันก็เห็นว่าแพ้นะ แม้แต่ตุลาการก็ชี้บ่งออกมา สารพัด ก็แสดงความด้านที่ยกกำลังโง่จริงๆ

            ที่เกิดเป็นการปฏิวัติที่วิเศษ เป็นอาริยชน เป็นอาริยะประเทศเลย ยังไม่เคยเกิด ถ้าเราเกิดได้นี่ก็วิเศษเลย ถ้าคุณยอมรู้จักแพ้ คุณก็จะได้รับการยอมรับ ได้รับการชื่นชมด้วย สมมุติว่าคุณเป็นคนถูกด้วยนะ แต่ว่าประชาชนออกมามากขนาดนี้ ก็ต้องยอมให้ประชาชนเขาทำอยู่ด้วยนะ คุณก็ยิ่งเยี่ยมยอดด้วยนะ แม้ฉันไม่ผิดก็เสียสละยอมยกให้อีกนะ แต่นี่แท้ๆแล้วคุณก็ผิดอีก ประชาชนที่รวมมวลมาและผู้รู้ก็ชี้ชัดว่าถูกผิดคืออะไร?

            มีคนถามว่า ทำไมคนเราถึงไร้จุดยืน เห็นผิดเป็นชอบ ขาดความมั่นคงทางคุณธรรม ความไม่ดีก็กลับพูดว่าดี ความดีก็กลับพูดว่าไม่ดี ทำตามที่รัฐบาลจะให้ประโยชน์แก่เขา เปลี่ยนไปหากรัฐบาลเปลี่ยน?

            คำตอบคือ จิตของเขาชั่ว ตลบแตลง ไม่อยู่กับร่องกับรอย กิเลสพาหน้าด้านหน้าทนอย่างนี้ทุกคน คนมีกิเลสอย่างนี้เหมือนกันแต่เขาไม่กล้าทำ เพราะว่าจิตสำนึกเขาดี เขาบังคับตนเองไม่ตกเป็นทาสโลกธรรม คนที่พยายามแม้มีกิเลส ก็กดข่มตนไม่ทำตามกิเลส เขาก็เป็นคนมีหิริโอตตัปปะ เรียกว่าจิตมีเทวธรรม หรือเป็นเทวดา ถ้าคุณตอนเป็นๆมีเทวดาอย่างนี้ ตอนตายคุณก็เป็นเทวดา แต่ถ้าคุณมีกิเลสแล้วกดข่มไว้เป็นพฤติกรรมปัจจุบันไม่แสดงออก ก็ได้กุศลบ้าง ไม่ทำเต็มรูป กาย วาจา ใจ ดีกับตัวเองและไม่กระทบสังคม ยิ่งมีหน้าที่กับสังคมแล้วทำชั่วก็ยิ่งเสียหายเดือดร้อน

            คนไหนเรียนรู้ว่าตนมีกิเลสแล้วก็ได้ลดละกิเลส แต่ละคนมีแต่ละอัตภาวะ หมุนเวียนไปตามกรรมวิบาก ตายไปแล้วไม่เรียกวิญญาณไปเกิด แต่จะเรียกว่าวิบากพาเกิด ตายแล้วไม่มีกายที่เป็นรูปขันธ์เป็นอุปกรณ์ ไม่มีอิทธโลก (กายยาววาหนาคืบกว้างศอก) แต่อำนาจของพลังงานจิตที่คนตายไปแล้ว ก็ยังออกผลเป็นวิบาก มีทั้งดีและชั่ว พาไปเกิด มันก็ทำงานได้เต็มที่เลย

            ตอนที่ยังไม่ตายก็ยังมี กาย วาจา ไปครอบพลังของจิต มันแรงกว่าพลังของจิต ก็กลบเกลื่อนจิต ที่มีวิบากทุกข์สุข นึกง่ายๆเช่นเราทุกข์ก็ไปเต้นระบำไป ทุกข์ก็คลาย แต่มันไม่หาย ไม่ดับต้นเหตุนะ กลบเกลื่อนไป ทำได้ตอนมีขันธ์ 5 แต่ตายไปไม่มีรูปขันธ์ ก็จมอยู่กับทุกข์วิบาก ส่วนมากไม่อยู่กับสุขหรอก เพราะอารมณ์สุขเป็นของหลอก มันไม่จริง มันแล้วแต่ติดยึดสมมุติ แล้วปรุงแต่งว่าเป็นสุข สุขมันเดี๋ยวเดียวหมดสัมผัสก็หมดสุข ถ้าคุณล้างกิเลสได้จริงๆ แต่ก่อนเราสุข แต่ตอนนี้ไม่สุขเหมือนเดิมนะ มันอาจพักยกได้ ไม่สุขแบบเก่า กิเลสเหลืออยู่แล้วมันก็จะออกบทบาทใหม่

            พระพุทธเจ้าให้รู้ตัวกิเลสให้ได้แล้วกำจัดกิเลสด้วยปหาน 5 ยืนยันว่าทำได้จริง ทำได้หมดจริง อาตมาทำได้ จึงกล้าพูดยืนยัน ไม่ได้เชื่อตามตำรา หรือใครพูดมา แต่เชื่อเพราะว่าตนได้ทำจนได้ผลจริง พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อสิ่งที่ตนทำได้ผลจริง เป็นสัจจะ เป็นแล้วไม่เป็นโทษภัยกับตนเองและสังคมเลย จึงเป็นความประเสริฐสุดยอดของความเป็นมนุษย์

            วิชาเทคนิคต่างๆในโลก คุณก็ศึกษา เป็นสัมมากัมมันตะ เพื่อเลี้ยงตน และช่วยผู้อื่น บางคนก็ด้อยแรงงานด้อยประสิทธิภาพก็ต้องช่วยเขา คนแก่ เด็ก คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ คนขี้เกียจ คนขี้โกงเราก็ต้องช่วย พยายามแก้ไขกำจัดคนขี้เกียจ ขี้โกง และบางคนขยันโกงด้วยนะ เราก็ต้องมาไล่ออกนี่แหละ รวมหัวกันโกงด้วย เขาทำเพราะไม่เชื่อกรรม ตามความเชื่อ 4 อย่างของพระพุทธเจ้าที่สอน

            1. เชื่อกรรม ว่าทำกรรมมีจริง

            2. เชื่อวิบาก มีผลอยู่กับเราพาเกิดพาเป็นไปได้ตามวิบาก

            3.​ เชื่อว่าทำแล้วเป็นของตน

            4. เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

            คนชั่วที่ไม่เชื่อกรรมวิบาก ก็ทำชั่วได้ แล้วใช้อำนาจเบ่งข่ม เมื่อความชั่วยังไม่ให้ผลร้ายต่อเขา เขาก็ยังทำชั่วอยู่ด้วยนึกว่าสิ่งชั่วที่เขาทำนั้นบันดาลความสุขให้เขา แต่ถ้าคนมีปัญญารู้ว่าชีวิตไม่ได้มีชาติเดียว ที่จะใช้อำนาจข่มเบ่งขี้โกงก็ได้ในระยะหนึ่งเท่านั้นที่มีคนยอม แต่พอตกจากตำแหน่งหรืออำนาจนั้นคุณก็ไม่ได้แล้ว ก็รับทุกข์โทษภัยไป แม้ไม่รับโทษภัยแต่กรรมไม่ได้หายไปนะ มันก็ต้องไปใช้หนี้กันต่อไปภายภาคหน้า คนไม่ศึกษากรรม ไม่เชื่อในวิบาก ก็เลยกล้าละเมิด เห็นว่าเป็นเรื่องหลอกด้วย

            ความสุขมันไม่จริง เป็นเท็จ หายไปได้ ล้างตัวกิเลสที่โง่อวิชชาไปนึกว่าเป็นของจริง แต่ถ้าเราล้างตัวเหตุได้ ก็จะพบว่าเราไม่ได้มีสุขแบบเก่า แม้สัมผัสกับสิ่งเก่า สัมผัสโลกธรรม สัมผัสวัตถุเก่าที่เราเคยมีสุข แต่เราได้ล้างเหตุแห่งสุขแล้วเราสัมผัสมันก็ไม่สุข จะเฉยๆได้

            คนก็เดาว่าหมดสุข นั้นชีวิตจะเหี่ยวแห้ง แต่ที่จริงไม่เหี่ยวแห้งนะ ไม่จำเป็นต้องมีอาการอยากได้อยากมีอยากเป็นที่พอได้มาก็สุข ไม่ได้มาก็ทุกข์ ได้มาบำเรออัตตาบำเรอกามบำเรอโลกธรรม เมื่อกิเลสไม่มีก็สบายว่าง ไม่หนัก ว่างโปร่งเบาสบาย ไม่อึดอัด ไม่ลำบากเลย อารมณ์นั้นของผู้ได้บรรลุแล้ว ก็บอกได้ อาตมาก็มีอาการนั้น แต่ก่อนก็เคยสุขที่ได้ลาภยศ สรรเสริญ ได้กาม ได้รูป รสกลิ่นเสียงสัมผัสแล้วเราก็สุข เราเคยรู้สึก แต่ตอนนี้สัมผัสมันก็ไม่สุขแบบเก่า ก็อ่านเวทนาได้ ที่มันเคยปรุงแต่เป็นสุข แต่เมื่อเรากำจัดกิเลสได้จริง ก็จะได้วิมุติรส ไม่ใช่อย่างโลกียรส เราก็อ่านใจของเราว่ามันไม่มีรสอย่างเก่า ซึ่งไม่มีรูปร่างตัวตนให้เห็นได้แต่ว่าเราก็กำหนดหมายเอาได้ ว่าอาการโลภ อาการโกรธ เป็นเช่นนี้ เราก็อ่านอาการจิตเจตสิกนี้ได้ เมื่อไม่มีสุขทุกข์แบบโลกีย์ก็เป็นวูปสโมสุข อยู่กับโลกเขาได้ ไม่แห้งเหี่ยวไปอย่างที่เขาว่าหรอก

            เมื่อก่อนหลายคนเราเคยหลงอบาย ที่เคยหลงว่าสุขที่ได้เสพอบายมุข ได้ดื่มเหล้าเป็นต้น แต่ก่อนเคยสุข แต่พอเราเลิกละได้ ไม่ได้สุขตามที่เคยเสพสิ่งเสพติดยึด แล้วพอไม่ได้เสพไม่ต้องสุขอย่างนั้นแล้วมันเหี่ยวแห้งไหม แต่ก่อนอาตมาเคยถูกหลอกว่ากินพริกแล้วแซ่บสุข แต่พอมาเรียนรู้เลิกแล้ว มันก็หายไปจริงๆรสแซ่บ มันมีแต่รสแสบ ขอบอกไปเลยว่า อาหารที่ทำให้อาตมาไม่ต้องใส่พริกเลยได้นะ ซึ่งแต่ก่อนนี้มันติดจริงๆ ข้าวคำหนึ่งก็กินพริกขี้หนูสวน1 เม็ด ฉุนขึ้นมาเลย รู้สึกว่ามีรสชาติ แต่ตอนนี้ไม่ได้มีใจรู้สึกเร้าอารมณ์อย่างนั้นเลย สังขารจิตก็ไม่ให้ สังขารกายก็ไม่รับ ไอเลย

            ผู้ที่ไม่ได้มรรคผลดังกล่างก็นึกไม่ออกหรอก แต่ผู้พอมีสภาวะก็นึกเอาตามก็จะรู้ได้เหมือนกัน

            ถ้าเราล้างเหตุคือสมุทัยได้มันก็หมดเลย ระดับอบายภูมิ ก็ต่อมาระดับกามภูมิ ไม่ต้องไปบำเรอมัน โลกเขามีเหมือนเดิม แต่เราก็ไม่มีเชื้อที่จะไปติดสุขทุกข์กับมัน แต่ศาสนาพุทธที่เรียนรู้ผิดๆ ถ้าได้อยู่กับโลกธรรม กับกามคุณ คุณก็ยิ่งเสพติดมัน ก็ไม่เคยพอ หลงว่าได้สุขมาก็ยิ่งสุข ได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็ยิ่งบำเรอกิเลสให้อ้วน เป็นปุถุ

            ที่เขาเรียนเรื่องเทคนิค หรือทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เป็นโลกุตระ แต่มีโลกียะมาก ก็เลยเอาความรู้เทคนิคเป็นอาวุธ ไปเอาเปรียบเอารัดเขา แม้เรียนมาเป็นเพื่อร่วมรุ่นมา พอมาทำงานก็แย่งลาภยศสรรเสริญจะฆ่ากันตาย

พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ทิ้งเรื่องความรู้เทคนิคแต่ก็ให้มีเวลามาเรียนรู้ศึกษาธรรม ปฏิบัติไปพลาง ก็ทำงานไปด้วย อยู่ในมรรคองค์ 8 ทุกอย่างให้เป็นสัมมา แล้วสั่งสมให้เป็นสัมมาสมาธิ เป็นฌาน เผากิเลส ตกผลึกให้จิตไม่มีกิเลสตั้งมั่น แต่พุทธที่สอนกันทุกวันนี้สอนให้นิ่งดับไม่คิดไม่นึก เป็นฌาน เป็นสมาธิที่ผิดทาง ผิดที่ควรเป็นแบบพุทธ

            ซึ่งการปฏิบัติแบบพุทธจะมีข้อตรวจสอบหลายสูตร เช่น วรรณะ 8 พุทธพจน์ 7 อ่านจิตออกตามเวทนา 108 ไหม และอีกมากมายหลายสูตร ทำได้ตรงไหม

            เราทำงานออกมาทำงานกับสังคม ที่เรียกว่า การเมือง เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อให้พลเมืองเป็นสุข ไม่ใช่ว่าทำแล้วทำให้บ้านเมืองเป็นทุกข์ร้อน ทำให้แตกแยก ที่เราทำนี่ต่างจากที่เขาทำ

            ความต่างนี้เรายืนยันว่าต่าง แล้วให้คนมาเข้าใจอย่างนี้ซึ่งสวนทางกับเขาที่เป็นไปเพื่อโลกธรรม แต่ของโลกุตระนั้นสวนทางเขา เขาก็หาว่าเราทำให้แตกแยก แต่ที่เขาทำนี่มันพาฆ่าแกงกัน เป็นโทษ เดือดร้อน ห้ำหั่นกดขี่ เราก็ว่าไม่เข้าท่า ก็มาเสนอความต่าง เมื่อคนฝั่งโน้นเห็นของเราทำก็หาว่าแตกต่าง หาว่าเรามาทำแตกแยก

            เราจะแยกว่าสิ่งไม่ดีมันพาทุกข์เสื่อม เราก็ไม่ส่งเสริมแบบนั้น เราก็ชวนกันมาทำสิ่งดี นี่คือนัยสำคัญของสภาวะกับภาษา

            ตอนนี้เขาว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง อย่างอื่นอย่ามายุ่ง แล้วคำว่าการเมืองเป็นคำที่น่ารังเกียจทั้งที่คนอยู่ในบ้านเมืองนั้นหนีการเมืองไม่ได้ คนที่กิเลสน้อยก็จะยิ่งไม่เห็นแก่ตัวเอง ก็จะเห็นแก่ส่วนรวม ทำงานเพื่อบ้านเมืองได้มาก พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) มันยิ่งแท้จริงเลย

            จะเป็นระบอบเผด็จการหรือระบอบคอมมิวนิสต์ ก็ดีทั้งหมด ถ้าเป็นแบบพุทธ ระบอบเผด็จการก็เป็นไปเพื่อมวลมนุษยชาติ คุณทำไปเถอะไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง จะคอมมิวนิสต์ก็คือเผด็จการหมู่ อย่างประชาธิปไตยไม่เผด็จการก็ตรงเปรี้ยงเลย ศาสนาพุทธคือประชาธิปไตยสุดยอด มันคือสัจจะ

            ขณะนี้การเมืองเราได้เอาธรรมะเข้ามาสู่การเมือง ที่เราช่วยกันทำ อาตมาว่ามีผลทางธรรมเจือเข้าไปในพฤติกรรมสังคม แม้กระทั่งฝ่ายศัตรู ก็ยังมีสำนึกได้ลดละ ได้แปรสภาพไป เขายอมสงบ ยอมไม่รุนแรง แต่ก็ไม่สิ้นเชื้อ ยังดื้อด้านดึงดัน ทั้งที่เห็นว่าถอย ต้องระงับ ของฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่ได้ว่าเป็นศัตรูอะไร แต่ก็ยังไม่สุดซอยแห่งซอย ก็ขอบคุณทุกคนที่มาช่วยกัน แม้เล็กแม้น้อย ก็ช่วยกัน ไม่ว่าจะด้วยวัตถุ เรี่ยวแรงหรือสมองความคิด

            ยิ่งทำนานก็เป็นโอกาสนะ แต่มันยาก คนมันดื้อด้าน แต่ก็ได้ผล ชนะรายทางมาเรื่อย แม้คราวนี้ชนะสุดซอยเลยนะ เราก็ไปพักยก เรามาพัฒนางานเปลี่ยนแปลง เป็นงานของบ้านของเมือง เปลี่ยนแปลงให้เป็นระบบ หาคนมาทำงานอย่างที่เป็นระบบของโลก ที่เราได้รับมอบหมายหรือว่าเราไม่ได้รับมอบหมายก็ไม่เป็นไร เราก็รับผิดชอบตามควร

            ความเป็นมนุษย์กับสังคม สูงสุดคือโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม เป็นอันเดียวกัน ใครจะมีทฤษฏีที่ไปที่สุดแห่งซอย คือถึงนิพพาน ถึงอาริยะสูงสุดขั้นที่ 4 นิพพาน ก็เหมือนกันหมด ขอยืนยันเลย หรือศาสนาไหนก็ตาม อันเดียวกัน แต่มันเป็นไปได้ยาก คนที่จะมาเป็นอย่างนี้ทั้งโลก เพราะกิเลสมันเก่ง ไม่ยอมให้คนนิพพานหรอก ผีหรือซาตานมันมี

            ในศาสนาเทวนิยมนั้น  ท่านไม่ค่อยสอนจิตผีหรือซาตานมา ท่านทำลืมทำทิ้งไป ไม่ตั้งใจเจาะลึกเรียนอันนี้แต่ท่านให้ไปพบพระเจ้าหรือเทพเจ้า ให้ทิ้งลืมซาตาน เลยไม่รู้เนื้อแท้หัวใจผี ไม่ทำการตัดหัวใจผี ฆ่าหัวใจผี แต่พุทธมีหลักสูตรเลย ให้รู้จักผี หรือซาตานเลย คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วฆ่าหัวใจผีเลย ศาสนาพุทธกลับไม่ค่อยให้ไปอ้อนวอนร้องขอกับเทวดา แต่ให้ฆ่าผี จิตอกุศลดับ จิตกุศลก็เกิดแทนทันที ไม่มีการแปลงตัว อันนี้ดับอันนี้ก็เกิดทันที

            เมื่อตายเมื่อเกิดเป็นโอปปาติกะเลย ไม่มีซากเหลือ จิตผีจิตซาตานตายเกลี้ยง ก็เหลือแต่จิตเทวดาเกิดเลย โดยไม่มีซาก เกิดเต็มรูป เรียกว่าผุดเกิด ในตัวมันเองเลย มันไม่ได้เกิดอย่างชราพุชโยนิ หรือสังเสทชโยนิ หรืออัณฑชโยนิ เลย แต่เป็นโอปปาติกโยนะ

1.         ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์)

2.        อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ)

3.        สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว)

4.        โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)  

            จิตวิญญาณเป็นตัวบทบาทหลักของมนุษยชาติเลย มโนบุพพัง คมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณเป็นประธานส่ิงทั้่งปวง จะดีเลวก็อยู่ที่จิตวิญญาณ​ ยิ่งไม่รู้กิเลสก็สั่งให้ทำเลว แล้วทำโดยไม่รู้ว่าตนเองมีจิตวิญญาณตัวนี้บงการอยู่ แล้วหลงเชื่อให้มันบงการ น่าสังเวชสังคมเป็นอย่างนี้อยู่

            ใครคิดว่าสิ่งที่อาตมาพูดนี้เป็นสิ่งควรฟังควรปฏิบัติ ควรมาละส่ิงที่พาตกต่ำทำชั่วต่อตนและสังคม ก็มาทำ อาตมาบังคับใครไม่ได้ ผู้เห็นดีเห็นงามก็มาทำ ไม่เห็นดีเห็นงามก็แล้วแต่

     เราทำนี่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเรามีความอยากได้ส่ิงแลกเปลี่ยนหรือไม่? ประพฤติ มิใช่เพื่อ... 

หลอกลวงคนให้มาเคารพนับถือ  (น  ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคนมาเป็นบริวาร (น  อิติ มังชโน)

มิใช่เพื่ออานิสงส์เป็นลาภสักการะและเพื่อเสียงสรรเสริญ    มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใดให้ล้มไป  มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษ เราต้องตรวจสอบจิตตนดูเสมอๆ

            อาตมาที่ออกมาจากมหาเถรสมาคม ก็ประกาศต่อสาธารณะว่า จะขอแยกปกครองตนเอง เป็นนานาสังวาส มาตั้งร้านขายปาท่องโก๋ที่อาตมาเข้าใจว่าเป็นสูตรของพระพุทธเจ้า อาตมาว่าสูตรที่คุณทำอยู่แต่เดิมเป็นสูตรที่คนกินแล้วท้องเสีย อาตมาไม่ได้มาล้มล้างลัทธิใคร อาตมามาเปิดร้านเล็กๆ ของคุณทำนั้นร้านใหญ่ อาตมาไม่บังอาจแข่ง ….           


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:44:01 )

561225

รายละเอียด

561225_พ่อครูกับอ.สมศักดิ์ ที่มัฆวานฯ

เรื่อง ปฏิวัติโดยประชาชนเหนือกว่าปฏิวัติโดยปลายปืน

พ่อครูมาเทศนาหลังจากหยุดไปหลายวันเนื่องจากอาพาธเป็นโรคหวัด...วันนี้อาตมาได้เตรียมอะไรมาเพื่อมาพูดกับพวกเราให้ชัดเจนยิ่งขึ้นๆ เรื่องที่จะบรรยายคือเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองนี่แหละ โดยเฉพาะขณะนี้ มันเป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ อำนาจนี้ต่างคนต่างทำให้เกิดอำนาจ รัฐบาลก็ทำให้เกิดอำนาจ ซึ่งมีลักษณะอำนาจของเขา พวกเราก็ต้องการให้เกิดอำนาจอีกแบบ เราก็บอกกล่าวบรรยายแล้วก็ทำให้ได้ เขาก็ทำ แต่เขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละเพื่อให้ดูดี เขาพูดก็ดูเหมือนจะให้เป็นอย่างที่เราต้องการ

        อำนาจ หรือ แรง หรือพลังอำนาจ ซึ่งไม่มีภาษาไทยที่จะมาใช้แทนระบุว่าจะมีลักษณะอย่างไร จึงจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษมาใช้เรียกแทน ให้ตรงกับสภาวธรรม  “เรื่องของอำนาจ” โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

            (1) Force = คือ อำนาจ ที่มีลักษณะของเผด็จการ กดขี่ บังคับ ยัดเยียด

                                                ครอบงำให้จำนน ตามความมาก-ความน้อยของการใช้

                                                อำนาจนั้น  ถ้ามาก ก็คือ เผด็จการ

                                                ถ้าเพียงกดขี่ บังคับ ครอบงำ มากหรือน้อยลงมา เท่าใดๆ

                                                ก็คือ การใช้ “อำนาจ” นั้น ตามที่มาก-ที่น้อยนั้นอยู่ เท่านั้นๆ

                                                นี่คือ  “อำนาจ” เป็น  “ความชอบธรรม”  

                                                            ซึ่งเป็น “อำนาจ”  ที่สร้างให้ตนด้วยโลกธรรมและเล่ห์กล

                                                อันประกอบไปด้วยกิเลส จนคนอื่นเขา “ตกอยู่ใต้อำนาจ”

                                                เพราะลาภ-ยศ และเล่ห์ต่างๆ

                                                            ผู้ที่ยังมี “พฤติ” ที่สร้าง “อำนาจ” เป็น “ความชอบธรรม”

                                                นั่นคือ ผู้ผิดอยู่ ยังไม่เจริญ หรืออวิชชาอยู่  แล้วถือว่า

                                                ตนคือผู้มี “อำนาจ”  นี้คือ อำนาจยังไม่เป็นธรรม Force

                                                ซึ่งเรียกว่า “ยังเป็นเผด็จการอยู่” มากหรือน้อยตามที่เป็นจริง

                                                            คนฉลาดในโลกจะ “สร้าง”อำนาจให้คนเกรงและกลัว

                                                จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง จึงได้เป็นผู้มีอำนาจโดยไม่ชอบ                                               ธรรม

             (2) Authority = อำนาจ ที่ได้โดยธรรม ของผู้ที่ประพฤติตนดี มีธรรม

                                                ซึ่งเป็นความมาก-ความน้อยของคุณค่าความดีความมีธรรม 

                                                จึงเกิดอำนาจของสิ่งที่น่าเคารพบูชาในตัวผู้ทำดีทำเป็นธรรม

                                                ที่ผู้นั้นสร้างเอง เป็นเจ้าของคุณงามความดีนั้น

                                                แล้วผู้คนที่รู้ที่เห็นคุณค่านั้นยอมรับด้วยความเคารพนับถือ

                                                จึงยกย่องบูชา และยอมให้แก่ผู้มีคุณงามความดีนั้น

                                                อย่างอิสระเสรี ไม่มีใครยัดเยียด หรือบังคับ กดขี่เลย

                                                นี่คือ ความชอบธรรม เป็น “อำนาจ”

                                                            ผู้ที่รู้จักการกระทำความเคารพต่อผู้ที่น่าเคารพ สมควร                                                            เคารพ ซึ่งเป็นครุกรณะ คือ คน “ยอมยกอำนาจ” นั้น

                                                ให้แก่ “ผู้น่าเคารพ”  นี้คือ อำนาจโดยธรรม Authority =

                                                right power หรือจะเรียกว่า “เผด็จการโดยธรรม” ก็ได้ ถ้า                                                              ไม่ติดยึดอยู่แค่ภาษา

                                                            พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีอำนาจนั้น

                                                ที่ผู้คนยกให้อย่างเทิดทูนบูชาเต็มใจสูงสุด มาแล้วเป็นต้น

                                                            ดังนั้น  “ผู้น่าเคารพ”  จึงเป็นเสมือนผู้มี “อำนาจ”

                                                ที่จะพูดจะทำอะไรกับผู้ที่เขาเคารพนับถือ เชื่อมั่น เขาก็จะ

                                                เชื่อฟัง น้อมรับด้วยความเคารพบูชา

                                                นี่คือ ผู้มี “พฤติ” ที่สร้าง “ความชอบธรรม” เป็น “อำนาจ”  

                                                เป็นผู้ถูกต้อง ผู้เจริญ หรือมีวิชชาแล้ว

                                                            ปราชญ์แท้ๆจะ “ไม่สร้าง” อำนาจให้คนเกรงและกลัว

                                                จนไม่กล้าค้านแย้งหรือตำหนิติเตียน ติติง

                                                จึงเป็นผู้มีอำนาจโดยธรรม

            เรามาทำความเข้าใจกับความเป็น “กองทัพทหาร”  กับ กองทัพประชาชน  หรือ กองทัพทหาร ที่เขาทำการปฏิวัติ กับ กองทัพประชาชน ที่เขาทำการปฏิวัติกันให้ชัดๆ คมๆ แม่นๆ ลึกๆ ตรงๆ กันดูซิ ว่ากันให้กระจ่างแจ้งสักที

            ยิ่งมีการต่อสู้ทางการเมืองกัน ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่ม กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)  และรัฐบาลก็ดี  กปปส. ก็ดี ได้มีการยืนยันการประพฤติออกมาแสดงสิทธิ์แสดงเสียงของประชาชนที่ได้ร่วมกันออกมาชุมนุมกันครานี้ ทั้งมีผู้ออกมาแสดงความรู้ ทั้งยืนยันหลักฐานความจริงผ่านวันผ่านเดือนกันออกมามากขึ้นๆ มวลมหาประชาชนไทยก็ยิ่งนับวันเข้าใจในความมี อำนาจอธิปไตย ของตนยิ่งๆขึ้น

            เมื่อได้ลองพิสูจน์มวลมหาประชาชนให้ออกมาแสดงตัวเป็นๆ ตัวจริงเสียงจริงกันในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 กันนั้น ก็มีคนออกมาแสดงตัวเป็นจำนวนล้านคนขึ้นไป หลายล้าน ชุมนุมกันล้านคนนี่ ไทยไม่เคยมี ไม่เคยทำได้ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏการณ์คนไทยออกมาชุมนุมกันมากมายปานฉะนี้มาก่อนเลย นับตั้งแต่เป็นชาติไทยมา ซึ่งมีระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะออกมาชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ อย่างสวยสดงดงามยิ่ง ตามสากลโลกเขายอมรับกันทีเดียว

            และในวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อีกที มวลมหาประชาชนก็ออกมาแสดงตัวตน หนึ่งคนหนึ่งเสียงกัน ก็เป็นปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 อีกกว่าเท่าตัว สำนักสื่อสาร CNN ประเมินมวลประชาชนในวันที่ 9 ธ.ค. 56 นั้นว่า มีประมาณ 5 ล้านคน ส่วนสำนัก BBC ประเมินมวลประชาชนในวันนี้ว่า มีประมาณ 5 ล้าน 7 แสนคน  ซึ่งในวันที่ 24 พ.ย. 56 นั้นประเมินกันว่ามีประมาณ 2 ล้านคน

            ยิ่งครั้งล่าสุด ได้ลองเรียกชุมนุมออกมาแสดงคะแนนเสียงกันอีกที ในวันที่ 22 ธันวาคม 2556 ปรากฏว่า มวลมหาประชาชนได้พากันออกมายืนยันคะแนนเสียง หนึ่งคนหนึ่งเสียงกัน ก็ออกมาเกินกว่า 5 ล้าน 7 แสนคนแน่ๆ อย่างที่ปรากฏการณ์เกิดขึ้นแล้ว

            นี่คือ อัตราการก้าวหน้า(progression ratioหรีือ The rate of progression)ของการแสดงสิทธิ์แสดงเสียงของประชาชน สดๆที่เป็นการแสดงความเป็น อำนาจอธิปไตย (sovereignty)ของประชาชนไทย ที่

            เข้าใจและออกมาแสดงตนประกาศตัวจริงยืนยันคะแนนเสียงว่า ไม่เอารัฐบาล นี้ หรือแสดงการเรียก อำนาจ ที่ให้รัฐบาลไปทำงานแทนประชาชนชั่วคราวนั้น คืน ตามสากลปฏิบัติ

            รัฐบาลนี้ได้ทำงานไปแล้ว ผ่านมา 2 ปีกว่านั้น ประชาชนเห็นว่าไม่ไหวแล้ว รัฐบาลปฏิบัติอย่างนี้แบบนี้ มันพาชาติประชาชนตกต่ำลำบากทุกข์ร้อนกันมากขึ้นหนักหนาสาหัส ประชาชนจึงออกมา เรียกอำนาจคืนจากรัฐบาล  เพื่อมาจัดการใหม่ ปฏิรูปกันใหม่ตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

            แต่รัฐบาลนี้ดื้อด้าน ไม่ยอมคืน อำนาจ หาว่า ประชาชน ไม่มีสิทธิ์มาทวงอำนาจคืน

รัฐบาลไทยนี่แหละ เคย คืน อำนาจ ให้แก่ คณะปฏิวัติ ซึ่งปฏิวัติด้วยปลายกระบอกปืนมาแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อำนาจรัฐบาลก็ต้องตกอยู่ในอำนาจของผู้ปฏิวัติ

            จะว่า  คืนอำนาจ ไม่ได้ พูดไม่จจริง พูดโกหกแท้ๆ แต่ว่า เป็นการ ปล้น ต่างหาก

            เคยยอมคืน อำนาจ ให้กับคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารมาแล้ว จริงมั้ย? แม้แต่การปฏิวัติแบบเงียบๆ เพียงแต่บอกว่าปฏิวัติยึดอำนาจคืน แล้วเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ โดยพลเอกถนอม กิตติขจร ซึ่งปฏิวัติเงียบ ไม่ต้องมีอะไรมากเลย ก็เคยปฏิวัติ คืนอำนาจ หรือเปลี่ยนอำนาจเป็นคณะรัฐบาลคณะใหม่ได้แล้ว ประเทศไทยก็ได้ทำมาแล้ว

            เพราะกลัวอำนาจปืน กลัวอำนาจอาวุธร้าย กลัวตาย กลัวอำนาจที่มีลักษณะ Force ที่ข่มขี่ คุกคาม บังคับ ซึ่งคณะปฏิวัติด้วยอาวุธนั้นผิดรัฐธรรมนูญระบอบประชาธิปไตยทั่วไปในโลกแท้ๆด้วยซ้ำ ก็ยอมเขา ให้ทำกันตลอดมา..ได้ และเป็นประเพณีที่นับว่าเป็น

            ประธิปไตย ที่ผิดๆพลาดๆมากันตลอด แต่ก็นับกันว่า เป็นไปได้ จนเป็นประเพณีทำกันอย่างผิดกฎหมายกันมาอย่างไม่ยอมเจริญพัฒนากัน

            แต่มาวันนี้ ประชาชนจะทำการ ปฏิวัติ บ้าง ก็ไม่ยอม คืนอำนาจ ให้กับคณะประชาชน ซึ่งเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารอย่างไม่ผิดกฎหมายเลย เพราะทำการประท้วง เรียกอำนาจคืนจากรัฐบาลแท้ๆ เพียงแต่ไม่มีคำว่า ประชาชนปฏิวัติ เป็นภาษาชัดๆในรัฐธรรมนูญเท่านั้น แต่การกระทำก็อันเดียวกัน ไม่ต่างจากการปฏิวัติเลย

            จะต่างกันมากอย่างยิ่ง ก็คือ คณะประชาชนนั้นรวมคณะกันด้วย  ความสงบเรียบร้อย ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธร้ายที่ฆ่าชีวิตได้เลย ซึ่ง ถูกกฎหมาย ไม่ผิดกฎหมายทั้งไทย ทั้งกฎหมายที่สากลทั่วโลกเขายอมรับกันปานนั้นเลยทีเดียว

            เนื้อแท้ของการกระทำก็คือ เอา อำนาจจากรัฐบาลคืนมา เหมือนกันเปะเลย

            อย่างนี้รัฐบาลไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นไม่เข้าใจ ดึงดันดื้อด้าน ไม่นับว่านี่คือ  การปฏิวัติหรือรัฐประหาร เพื่อเอาอำนาจคืนจากรัฐบาล หรือนักรัฐศาสตร์นักนิติศาสตร์ก็ตาม ก็หลงว่า นี่ไม่ใช่ การปฏิวัติขออำนาจคืนจากรัฐบาล ติดอยู่แค่ภาษาบัญญัติคำว่า ปฏิวัติ เท่านั้น ยืนยันแต่ว่า  ในกฎหมายไม่มีคำว่าให้ประชาชนปฏิวัติ จึงถือว่า ปฏิวัติ ไม่ได้ ผิดกฎหมาย

            ถ้าใช้เพียงภาษาว่า ประชาชนปฏิวัติ  แน่นอน ไม่มีในกฎหมาย ก็ได้ ไม่ใช้ภาษาคำนี้ก็ได้ เราก็ไม่ผิดกฎหมายตามภาษานั้นแล้ว ถ้าไม่ใช้ภาษานี้

            แต่พฤติกรรมนั้น ประชาชนออกมาใช้ สิทธิ ทำหน้าที่ตามกฎหมายมาตรา 2 คือ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราก็อยู่ในกฎหมายมาตรานี้อย่างสมบูรณ์เที่ยงธรรม

            โดยเฉพาะมาตรา 3  อำนาจประชาธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้  

            เพราะในมาตรานี้นี่เอง ที่ประชาชนจำเป็นต้องออกมาปฏิบัติตามมาตราอื่นที่มีบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญนี้อย่างสำคัญ เช่น มาตรา 26 -27 -28 -29 รัฐบาลนี้ก็ใช้อย่างผิด เป็นต้น มาตราอื่นๆอีกมากที่รัฐบาลนี้ ใช้อำนาจที่เรียกว่า force ละเมิดทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อประชาชน โดยอาศัยองค์กรอื่นของรัฐ ทำต่อประชาชนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล บางมาตรา       สิทธิในกระบวนการยุติธรรม บางมาตรา  เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคล บางมาตรา  สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน บางมาตรา  สิทธิในการชุมนุมและสมาคม บางมาตรา เป็นต้น

            ดังนั้นถ้าขืนปล่อยให้รัฐบาลนี้ ที่ใช้ สิทธิ ออกนอกสิทธิ ปฏิบัติผิดหน้าที่ ผิดกฎหมาย อย่างหยาบคาย ประเทศชาติต้องล่มจมประชานต้องเดือดร้อนปางตายจนสาหัสแน่นอน

            ซึ่งรัฐบาลนี้ สามารถสร้างอำนาจ force ด้วยเชิงชั้นเล่ห์เหลี่ยมชาญฉลาด โดยใช้ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข เป็นอามิสทำให้อำนาจของตำรวจและหรือทหาร ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในทางอาวุธและสมมุติในโลก เข้ามาเป็นพวกคอยช่วยเหลือรัฐบาล อย่างลำเอียงคอยคุ้มครองรัฐบาลมากกว่าประชาชนอีก อันผิดรัฐธรรมนูญมตรา 4 มาตรา 5 อยู่ชัดๆ

            เมื่อรัฐบาลนี้ปฏิบัติผิดตาม มาตรา 6 ด้วย และมาตราอื่นๆอีกด้วย ย่อมหมดความชอบธรรมที่จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ ประชาชนจึงจำเป็นต้องเรียกอำนาจคืน    

            รัฐบาลใช้อำนาจนอกกฎหมายหลากหลายพฤติกรรมจึงได้เปรียบ ยังยึดอำนาจไว้อยู่ แม้ตุลาการจะชี้มูลว่าทำไม่ถูก ก็ยังไม่ยับยั้ง ยังขืนละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายในรัฐธรรมนูญ

นี้ และยังแถมดึงดันดื้อด้านสารพัดวิธี พูดอยู่แต่เพียงว่า ตนเป็นรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง ได้คะแนนเสียงมาจากการเลือกตั้ง(election vote) ดังนั้น จึงเมิน อำนาจของประชาชน(รัฏฐาธิปัตย์=sovereign) ที่ได้คะแนนเสียงมาจากประชาชนเขานิยมชมชอบตามธรรมชาติ(popular vote)

            รัฐบาลนี้อ้างอยู่แต่แค่ว่า ตนเป็นรัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้ง ใครจะพูดไปถึงคะแนนเรื่องอื่น เปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่นใด ในกาลเวลาใด บริบทใด ประชาชนจะประท้วงเรื่องใด ก็ไม่ฟังตามเรื่องที่ประชาชนว่านั้นๆ จะว่าฟังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่น่าจะ ไม่รู้ (อวิชชา)เอาปานนั้น ยืนกระต่ายขาเดียวแต่แค่ มีอำนาจเพราะได้มาจากการเลือกตั้ง อำนาจในเรื่องอื่นไม่รับรู้ อย่าเอามาใช้กับรัฐบาลนี้ ใครจะพูดเรื่องอื่นใด กาละใด บริบทใด ไม่ยอมรับลูกตามเรื่อง ตามกาละ ตามบริบทใดทั้งนั้น ไม่ยอมรับผิด ยืนยันแต่ว่า ตนเป็นผู้มีอำนาจเพราะได้มาจากคะแนนเสียงเลือกตั้ง จึงยืนยันว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง เท่านั้น เป็นเรื่องใหญ่เรื่องเดียว ใครจะพูดความเป็นประชาธิปไตยเรื่องอื่น ไม่รับรู้ทั้งนั้น ครอบงำทางความคิดให้ประชาชนที่ยังไม่เข้าใจความเป็นประชาธิปไตย เชื่อแต่ว่า ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง นอกกว่านี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย รัฐบาลยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น รัฐบาลเพราะการเลือกตั้ง=อำนาจทั้งหมดของประเทศคือการเลือกตั้ง  เลือกตั้งเสร็จ อำนาจ ใดๆในประเทศเป็นอันหมด  มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่มีอำนาจอธิปไตย เหลือ อำนาจของรัฐบาลในสภา อย่างเดียว

            นี่คือ ความเป็นประชาธิปไตยของนักการเมืองรัฐบาลนี้  โอย!...จะบ้าตาย!  

            รัฐบาลนี้สร้างนโยบายประชานิยมคอรัปชั่นซับซ้อน ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจเกินขอบเขตไม่แคร์กฎหมาย สร้างค่ายกลทางการเมืองโดยใช้ลาภยศสสรรเสริญสุขเป็นเครื่องมือ จนเกิดอำนาจ(force)ที่มีประสิทธิภาพ เป็นค่ายกลทางการเมืองผูกร้อยข้าราชการ-นักธุรกิจ

            และประชาชนผู้ไม่รู้เท่าทันไว้ในอาณัติเป็นบริวารถาวร

            แม้แต่ ศาลรัฐธรรมนูญ ชี้ผิด ก็ไม่ยอมรับผิด ต่อต้านอำนาจศาล หาว่า ศาล ไม่มีอำนาจ รัฐบาลมั่นใจว่า อำนาจรัฐบาล ยิ่งใหญ่สูงสุด อำนาจตุลาการก็ไม่มีน้ำยา รัฐบาลจะปฏิเสธเอาดื้อๆ จะทำไม?!! มีอะไรมั้ย! ทั้งๆที่ตามรัฐธรรมนูญนี้ อำนาจรัฐบาลก็ดี อำนาจรัฐสภาก็ดี อำนาจศาลตุลาการก็ดี ทั้ง 3 อำนาจย่อมเท่าเทียมกัน เสมอกัน แต่รัฐบาลนี้จะปฏิเสธอำนาจศาลตุลาการเสียก็ได้ เออ..เอากะเขาสิ! รัฐบาลนี้ทำกันถึงปานฉะนั้นทีเดียว

            รัฐบาลไม่มีมารยาททางการเมืองเลย ไม่มีหิริ โอตตัปปะสักนิดสักน้อย โกหกประชาชนผู้ไม่รู้ทันไปตะพึด เลี่ยงไปตลอด ลดเลี้ยวไปไม่หยุดหย่อน ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ไม่มีศีลธรรมจริยธรรมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประเทศไทย หยาบต่ำจนเกินไปแล้ว

            ดังนั้น ถ้าขืนรัฐบาลแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ดึงดันดื้อด้าน ยึดครองอำนาจว่าตนเป็นใหญ่กว่าใดหมดอยู่เช่นนี้ แม้ทหารหรือกองกำลังที่มีอำนาจอาวุธในประเทศ ซึ่งเคยออกมาจัดการออกมายึดกับ อำนาจ จากรัฐบาลที่ทหารเห็นว่า ไม่ควรจะให้มีอำนาจทำงานต่อไปแล้ว ก็เคยทำมาตลอด เรียกว่าทหารปฏิวัติหรือรัฐประหาร  ซึ่งเป็นการใช้อำนาจแบบ force ที่มีกำลังคุกคามกดขี่ บังคับ ก็ย่อมทำกันได้ และทำกันมาอยู่ตลอดทั้งโลก

            ส่วนอำนาจที่เป็นอำนาจแบบ authority ที่เป็นอำนาจโดยชอบธรรม อำนาจที่เป็นคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ประชาชน

            มวลประชาชน จะใช้ อำนาจ ที่เป็น authority นี้บ้าง สังคมกลับไม่เห็นดีเห็นงาม ไม่ยอมส่งเสริม ไม่ยอมให้มี อำนาจ ไม่ยอมรับว่าเป็น อำนาจ ในประเทศประชาธิปไตย

            ซึ่งก็รู้ว่า อำนาจแบบ authority นี้เป็น อำนาจ ที่ไม่น่ากลัว

            แน่นอนอยู่แล้ว อำนาจแบบ authority ก็ต้องไม่น่ากลัว เพราะไม่ได้ใช้ปลายกระบอกปืนมาจี้ มาบังคับ แต่ใช้คุณงามความดี ใช้ความถูกต้อง เป็นตัวชี้วัดในความเป็นคนเจริญตัดสิน ยกย่อง ยอมรับกัน ตามสังคมคนเจริญแท้ ประเสริฐแท้

            อำนาจ authority นี้เป็น อำนาจ ที่คนเจริญบูชาเคารพ นับถือกันว่า เป็น อำนาจ ที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐ แม้จะมีไม่มาก minority right ไมนอริตี้แปลว่า จำนวนน้อย ไร้ท์แปลว่า สิทธิของความเป็นมนุษย์ อันจะพึงทำได้ คนใช้สิทธิของความเป็นมนุษย์จึงย่อมทำได้ และถือว่ามีค่าที่น่าคำนึงเสียยิ่งกว่า majority rule มาจอริตี้ แปลว่า จำนวนมาก รูลตามกฎหมายก็ตาม

            เมื่อคนทุกคนเขาสามารถใช้สิทธิ อันเป็น สิทธิ ชอบธรรมของคนในสังคมที่พัฒนาแล้ว มีค่ายิ่งนัก ถ้าเป็นการแสดงออกอย่างบริสุทธิ์จริง ต้องยอมรับนับถือ ยกย่องบูชา 

            `ซึ่งประเทศที่เจริญแล้ว เขายอมกัน ทำไมสังคมประเทศไทย จะล้าหลังถึงขนาด เป็นสังคมประเทศที่มี อำนาจ authority ไม่ได้เชียวหรือ? 

            หรือว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ยังไม่มีความเจริญทางคุณธรรมจริยธรรมที่เป็นอำนาจโดยชอบธรรมดังว่านี้ ในหมู่มวลประชาชนคนไทย ไปตลอดกาลกระนั้นหรือ?

            อาตมาไม่อยากจะเชื่อ ว่าประเทศไทยจะเป็นเช่นว่านั้น

            ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ มีคุณธรรมอย่างพุทธมานานตั้งแต่สร้างประเทศ มีพลังอำนาจแบบอาริยะแท้ เป็นโลกุตระด้วยซ้ำ มีมาเป็นพันๆปี

            ประเด็นปัญหาจึงอยู่ที่ว่า การปฏิวัติด้วย อำนาจปลายกระบอกปืน ดังที่เคยมีมาทุกคราครั้งที่มีการปฏิวัติ-รัฐประหาร ประชาชนคนไทยจำต้องยอมรับกัน และก็จำต้องทำกันผิดๆมาตลอด

            มาถึงวันนี้ ประเทศไทยมีปรากฏการณ์วิเศษวิสุทธิ์ ที่ประชาชนคนไทยสามารถใช้การปฏิวัติอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และสวยสดงดงามยิ่ง ทั้งในด้าน ตุลาการภิวัฒน์  แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธตุลาการเสียนี่ แล้วตะแบงหาเรื่องว่า ศาลรัฐธรรมนูญ 2 มาตราฐานไปโน่น ส่วนรัฐบาลเองทำผิด ทำละเมิดสารพัด ไม่ยอมรับว่าตนเองผิด

            นี่คือ ความประพฤติของรัฐบาลนี้ รัฐบาลนี้คงความชอบธรรมอยู่หรือ?

            และที่น่าชื่นใจ ซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างยิ่งนั้น ก็คือ ประชาชนชาวไทยสามารถใช้ อำนาจ ที่เป็น authority ออกมาปฏิวัติ ได้อย่างเห็นเป็นรูปธรรม ที่มีมวมหาประชาชนออกมาร่วมกันใช้สิทธิและหน้าที่ได้อย่างล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน และที่สำคัญทำได้ชนิดที่ไม่มีความวุ่นวาย จลาจลเกิดขึ้นเลยในมวลชนเป็นล้านๆ หลายล้านคนเช่นนี้

            ซึ่งทำลายสถิติของโลกไปแล้ว

            แล้วทำไม รัฐบาลไทย มองปรากฏการณ์อันวิเศษวิสุทธิ์นี้ไม่ออก

            ทำไมไม่ลาออกเพื่อส่งเสริมให้เกิด ความเป็นประชาธิปไตย อันวิเศษวิสุทธิ์นี้ ให้บริบูรณ์เป็นที่สัมบูรณ์ ทำสถิติให้แก่โลกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของโลกบ้าง

            จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่อำนาจ เห็นแก่กิเลสตัวเองไปถึงไหนกันหนอ รัฐบาลเอ๋ย!

 

            อ.สมศักดิ์ เธียรจรูญกุล....การที่รัฐบาลจะตั้งสภาปฏิรูปายกฯแถลงข่าวหลังครม.เห็นชอบตั้งสภาปฎิรูปประเทศ ที่บก.ทอ "จะสรรหาประชาชนจากสาขาอาชีพ 2,000 คน และให้ทั้งหมดมาเลือก 499 คน " นายกฯ รับสมัคร สรรหา สมาชิกสภาปฏิรูป โดยมี ทหาร,หัวหน้าส่วนราชการ,เลขาพัฒนาสังคม,อธิการบดีมหาลัย,ปธ.หอค้า ปธ.อุตฯ มาเป็นกรรมการคัดเลือก  แต่เขาเร่ิมต้นพูดว่า คณะกรรมการหนึ่งในนั้นเป็น ผบ.สส. และองค์ประกอบนั้นคือไปอ้างทหารเพื่อมาทำปฏิรูป พยายามบอกว่าเขาทำให้เราแล้วนะ แต่เอาทหารมาเป็นตัวทำให้เขา เป็นวิชามาร และนายกฯเป็นคนออกคำสั่งของมหาชน แต่มหาชนบอกว่านายกฯไม่มีอำนาจ ทำไม่ได้ แม้เป็นนายกฯอยู่ไม่รักษาการณ์ก็ทำไม่ได้ ยิ่งรักษาการณ์ยิ่งทำไม่ได้

            แล้วบทบาทของสภาฯก็แค่ไปศึกษาทำรายงานให้แก่นายกฯ ซึ่งตั้งมากี่ชุดแล้ว เอางบฯมาละลายแม่น้ำไม่เห็นทำอะไรเลย ชอบทำตัวเหมือนผีหลอกหลอนประชาชน

ที่จริงรัฐบาลรักษาการณ์นั้นห้ามทำโครงการที่ผูกพันไปกับรัฐบาลหน้าด้วย อย่างนี้ผิดกฏหมายนะ

            ตอนประชาชนบอกจะให้ทำสภาประชาชนก็บอกว่าทำไม่ได้ แต่ตอนนี้จะตั้งสภาประชาชน และประชาชนทำได้อย่างถูกกฏหมายด้วยนะ ชอบด้วยรธน.แน่นอน

            และนายกฯตอนนี้ก็ไม่ได้ทำงานอยู่แล้ว ทำไมไม่ลาออกเสียเลยตอนนี้

 

            พ่อครูว่า...พอเข้าใจได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่ชอบธรรมเอามากๆ ถ้ารัฐบาลนี้ได้รับการเลือกตั้งในพศ.2557 จะมีคนไป no vote เกิน 20 ล้านคน ซึ่งข้อมูลมาจากสมาคมข้าวกับชาวนาไทย ซึ่งยังไม่ได้รับเงินจากการจำนำข้าวเลย

            อ.สมศักดิ์ว่า ..no vote จะมีมากกว่า 30 ล้านแน่นอน

พ่อครูว่า...มันมีเหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดในประเทศไทยนะ รู้สึกว่ามีอะไรพิลึก ประหลาดๆ แล้วเป็นเหตุปัจจัยที่เกินคาดเดา ที่ไม่เคยเป็นไปได้ก็เป็นไป ลักษณะของ no vote กับ vote no มีนัยต่างกัน vote no คือไปกาช่องไม่ลงคะแนนให้ใคร แต่ no vote คือไม่ไปเลือกตั้งเลยไม่เอากับการเลือกตั้งครั้งนี้เลย

            อาตมาว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเกิด ก็จะมีเหตุประหลาดมากแน่เลย ขนาดเคยเลือกตั้งมาแล้วก็ต้องยกเลิกเป็นโมฆะก็ยังมีเลย

            สรุปแล้วการเมืองไทยในครั้งนี้ต้องได้รับการปฏิรูปแน่นอน รู้สึกว่าคนไทยตื่นรู้มีมากแล้ว ที่จะให้ยอมให้มีการเลือกตั้งแล้วจะได้แบบเก่ามา หรือเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า ก็ยิ่งหนัก ประเทศไทยก็ยิ่งจมหนักเข้าไปอีก ก็จะไปดันทุรังทำไม

            เขาว่าเขาไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่ว่าที่กระทำนี้มันยึดยิ่งกว่าอะไรอีก พูดไปก็ยิ่งเน่ายิ่งประจานตัวเอง


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:48:55 )

561228

รายละเอียด

561228_พ่อครูที่มัฆวานฯ

เรื่องโลกุตรธรรมคือหลักประกันอันประเสริฐของชีวิต

       รู้สึกอบอุ่นใจที่เราได้ชุมนุมมา ตั้งแต่สวนลุมฯ แต่ตอนนี้ก็มีพวกที่ระหำ่ทำกัน ซึ่งก็พอรู้ว่ากิเลสในใจคนพาบ้าระห่ำได้มาก ตามทฤษฏี เรื่องอย่างนี้ก็มีองค์รวมหลายอย่างของส่ิงที่พาเป็น ซึ่งเราทำมาแล้วก็ได้ภาพดีงามมาเรื่อย

       ส่วนใหญ่พวกเราก็รักษาสภาพดีงามได้ ส่วนสภาพเลวร้ายก็เป็นจริง คนเราหากทำเลวทำชั่ว แล้วเอาชั่วไปใส่คนอื่น เป็นความเลวสุดเลว สร้างเรื่องปั้นเรื่อง ให้ความเลวไปใส่ร้ายคนอื่น

       คนทุกคนที่ได้อัตภาพมาเป็นคนแล้ว แต่ไม่รู้ตัวไปทำชั่วทำบาปทำเลว พวกนี้น่าสงสาร น่าสังเวชใจ คนเราเกิดมามีมารับวิบาก เช่นบาดเจ็บต้องทุกข์ร้อน เกิดเหตุอาจถึงตายเป็นต้น ก็เป็นวิบาก ซึ่งบางคนที่ตาย บางคนก็ไม่ได้ไปหาเรื่อง บางคนก็อยู่ข้างนอกด้วยซ้ำไป แต่ก็เกิดเหตุ นั่นคือมารับวิบาก แต่บางคนมาสร้างวิบาก คำว่าวิบากคือผลกรรม ถ้าเราทำเรียกว่าสร้าง ถ้าในปัจจุบันเราไม่ได้สร้าง เราก็มารับวิบากที่เราเคยทำในอดีต ออกผลให้เราได้รับผล ทั้งผลทุกข์และผลสุข ตอนนี้เราก็พูดถึงผลที่ทุกข์เป็นหลัก

       การสร้างวิบาก  ก็คือสร้างให้ได้ทั้งผลดีและผลเสีย แต่ในบริบทนี้จะพูดถึงผลไม่ดี คืงอสร้างอกุศล เขาสร้างจริงๆเลย ขอออกชื่อหน่อย ก็คือคุณทักษิณ อยู่บัญชาการ ไม่ได้เดานะ แล้วน้องสาวเขาที่มาเป็นหนังหน้าไฟมารับหน้าที่เป็นนายกฯ ตอนนี้รักษาการณ์อยู่ จะเต็มรูปหรือรักษาการณ์ก็ถูกด่า ถูกว่า ถูกบีบจากประชาชนคนไทย อย่างหนักหนารุนแรง กาละนี้ หนักหนาสาหัสเลย ถูกด่าว่า กระทุ้งกระแทกต่างๆนานา พี่ชายคนนี้เป็นพี่ที่อำมหิตโหดร้ายมาก เห็นแก่ตัวจัดจ้านมากเลย คนเรามันน่าจะมีปฏิภาณว่าให้น้องสาวเรารับหน้าแล้วโดนขนาดนี้ จะทุกข์ขนาดไหน แต่ไม่สงสารเห็นใจเลย ให้รับหน้าไป นี่ไม่ได้เดานะ อาตมาว่าคุณย่ิงลักษณ์ต้องพยายามตีสีหน้า พยายามเลี่ยงอย่างมาก แต่ก็พ้นยาก ก็ต้องจำทน ทรมานทรกรรมหนักหนาสาหัส

       อาตมาระลึกไม่ได้ว่าที่ผ่านมาเคยเจอคนแบบนี้ขนาดนี้ไหม แต่นี่มันเจอคนจริง เจอในปัจจุบันชาตินี้เลย มันก็อยู่ในสัญญาไว้แล้วนะ ถ้าชาติหน้าระลึกได้ก็จะรู้ว่าได้เจอคนที่สุดอำมหิตโหดเหี้ยมใจดำขนาดหนัก ทรมานน้องสาวเพื่อเห็นแก่ตัว ได้เจอมาในชาตินั้นอยู่ในสัญญาอาตมาแล้ว

       ชีวิตคนมีสัญญาเป็นอัตภาพติดตัวเป็นทรัพย์ ติดไปตลอดไม่หายไปไหน จะยกตัวอย่างเล่าเป็นธรรมะว่า พระพุทธเจ้า ทรงระลึกชาติย้อนไปชาติแล้วชาติเล่า นอกจากรู้ว่าตนเองเกิดในชาติไหนชื่ออะไรเจอเหตุการณ์อะไร ได้ดีตกยากอย่างไร ก็ระลึกได้ ย้อนไปได้มากมาย มันไม่ได้หายไปไหน ความจำ เราฝากไว้แล้ว ไม่หายไป สัญญาของเรา

       สัญญามีหน้าที่ 2 อย่าง อย่างแรกเรียกว่า ความจำ เป็นธนาคารเก็บทุกอย่างที่เราผ่านมาทุกชาติ เมื่อเราปฏิบัติธรรมได้สูงขึ้นจะระลึกชาติได้มากขึ้น ไกลขึ้น เป็นอภิญญาที่เก่ง อย่างอาตมาก็ได้ตามประสาอาตมา จึงเข้าใจเห็นจริง ว่าเราทุกข์เราสุข อย่างไร มันจึงรู้ความจริงได้ ว่ากรรมเป็นที่กำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธ์ เรามีกรรมเป็นของๆตน เราเป็นทายาทของกรรม (กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมพันธุ กัมมปฏิสรโณ) เราไม่รับไม่ได้ เราทำแล้ว ถ้าเราไม่มีมวลของคุณ มีแต่มวลของโทษ มีแต่มวลของบาปมากกว่าบุญ

       มันสั่งสมไว้ แล้วแบ่งเป็นดีกับชั่วหรือกุศลกับอกุศล มันก็จะออกฤทธิ์เป็นบุญหรือบาป เจริญหรือไม่เจริญ มันมีอยู่ในอัตภาพนี้ เรามีจอกอยู่จอกหนึ่ง สมมุติว่าเรามีกรรมชั่วน้ำสีแดง กรรมชั่วเป็นสีเขียว คุณทำชั่วมันก็แดง ทำชั่วเขียวก็ออก เมื่อใส่สีแดงไปเรื่อยน้ำก็จะมีสีแดงเพ่ิมขึ้น แต่ถ้าเราใส่สีเขียวไปเรื่อยๆ มันก็จะสังเคราะห์กันไปจะมีสีแดงหรือสีเขียวมากกว่ากัน หลักของพระพุทธเจ้าคือหยุดทำชั่ว แล้วทำแต่ดี หยุดทำชั่วคือหยุดบาปเลย ทำแต่กุศล

       ชั่วนั้นใช้คำว่าบาป ดีใช้คำว่ากุศล เราหยุดทำสีแดง หยุดทำช่ัว คือหยุดทำเหตุแห่งบาป คือกิเลส เมื่อกำจัดกิเลสหมดเรียกว่า สัพพปาปสอกรณัง อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       เมื่อไม่มีเหตุแห่งบาป คือกิเลสดับสนิทอย่างตายเกลี้ยงจึงมีแต่จิตที่จะทำกุศล บุญคือการชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสแล้ว ก็ไม่ต้องทำบุญอีก พระพุทธเจ้าค้นพบกฏแห่งกรรม และสามารถหลุดพ้นเป็นอรหันต์ได้ ไม่ว่าจะกี่ชาติเกิดมากก็ได้อรหันต์ เมื่อจิตหรือคลังสมบัติหรืออัตภาพเราไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิด หรือไม่สั่งสมสีแดงแล้วมีแต่สั่งสมสีเขียวไปตลอดจึงไม่มีวันจะเกิดแดงมาออกฤทธิ์ให้ทุกข์ได้อีก นี่คือส่ิงสุดประเสิรฐสุดยอดของมนุษย์ที่ได้เกิดมา

       สัตว์ที่เกิดมาเป็นสัตว์ชั้นต่ำนั้นน่าสงสาร ทรมานทรกรรมมากมาย หรือเป็นคนก็ทรมานตามเหตุ เป็นสัจจะของกรรม พระพุทธเจ้ารู้เพราะตรัสรู้กฏแห่งกรรม มีจริง ทำแล้วออกฤทธิ์กับเรา เมื่อเป็นอรหันต์แล้วมีหลักประกันที่จะไม่ทำบาปแล้ว ไม่มีเหตุที่จะพาทำบาปทำชั่วแล้ว

       คนเราไม่เชื่อกรรม ก็จะกล้าทำบาปทำชั่วไปอย่างร้ายแรง ซึ่งบางทีไม่น่าทำเลย ได้ลาภยศสรรเสริญมากมายก็ยังไม่รู้จักพอ เป็นความหลง แล้วเขาก็หลงว่าเขาได้ส่ิงดีอีกต่างหาก

       อาตมานำส่ิงที่ได้ผ่านมาแล้วได้แล้วเป็นแล้วมาแจกแจง มันก็จะต้องมารู้มาเป็นอย่างนี้ คนที่ปฏิบัติได้ธรรมะแล้วก็จะต้องพูดอย่างนี้ไม่เป็นอื่น เพราะสัจจะมีอย่างเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียวไม่มีสอง

       กรรมเป็นเรื่องใหญ่ในศาสนาพุทธ กรรมนี่แหละคือพระเจ้า ซึ่งศานาแต่ละศาสนาก็จะมีพระเจ้าตามที่เขาเชื่อกัน มีหลายองค์บางทีก็มีองค์เดียว ก็คือพลังงานชนิดหนึ่ง เกิดจากจิต (จิตนิยาม) พลังของใครที่ได้เป็นอัตภาพ พัฒนามาตั้งแต่เป็นอุตุนิยาม (ความร้อน แสง สี เสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และดิน น้ำ ไฟ ลม) จนกว่าจะพัฒนาพลังงานมาเป็น พีชะ ซึ่งเริ่มเป็นชีวะแล้ว ในนิยามแห่งชีวิตทั้ง 5

1. อุตุนิยาม        (ส่วนที่เป็นพลังงานวัตถุ ฟิสิกส์ ฯลฯ)

2. พีชนิยาม        (ส่วนที่เป็นพลังงานชีวะ พืชพันธุ์)

3. จิตตนิยาม       (ส่วนที่เป็นจิต เวไนย-อเวไนย ให้เกิดกรรมตามโอปปาติกะพาเป็น)

4. กรรมนิยาม     (บทบาทหรืออาการแห่งกิริยา ของคน - ของโอปปาติกะสัตว์)

5. ธรรมนิยาม     (สภาพทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง) 

       ถ้าไม่มีธาตุน้ำในมหาจักรวาลนี้ ก็จะไม่สามารถสังเคราะห์ชีวะได้ แต่บางอย่างศึกษาไม่มีวันจบ เรามาศึกษาสิ่งประเสริฐไว้ก่อน ถ้าอยากรู้สิ่งต่างๆมากมายก็ต้องมาทำหลักประกันให้เป็นอรหันต์ให้ได้ก่อน มาเรียนรู้อย่างลึกซึ้งถูกต้องไม่เสียเวลาด้วย จึงควรมาปฏิบัติธรรมให้บรรลุอรหันต์ได้เสียก่อน

       คนเราไปสุขเพื่อบำเรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ บำเรอกาม บำเรออัตตา มันก็หลอกคุณอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่จะมาปฏิบัติลดละนั้นมีเส้นทางโคจร จะเรียกว่าบุพเพสันนิวาสก็ตาม มีกรรมร่วมกันจะต้องมาเจอกัน

       คนที่ได้มาฟังอาตมา หลายคนไม่เจตนา บางคนไม่เจตนาก็เจอ บางคนก็ฟังอย่างได้ประโยชน์คุณค่า มันก็เป็นจริงที่คนจะเห็นคุณค่า บางคนไม่เห็นค่าด้วยหาว่าเป็นเรื่องไม่ได้เรื่อง ไปดูรูปรสกลิ่นเสียงดีกว่า มาฟังอะไรไม่รู้ มันก็เป็นจริงสำหรับบางคน อาตมาก็ไม่ได้ดีใจหรือเสียใจแต่อย่างใด

       คนที่จะรับได้ก็ต้องมีฐานรับได้ ที่แสดงนี้หว่านลงไปธรรมดาใครรับได้ก็ว่าดีแฮะ หรือคนที่ได้ยินมาก็อยากมาฟังก็แล้วแต่บารมี อาตมาถ้าพอทำประโยชน์ได้ก็ทำ ยุคกาลนี้อาตมาเข้าใจ ที่อาตมาพูดนี้เป็นธรรมะระดับโลกุตระ ฟังแล้วบางคนก็เห็นว่าไม่มีรส บางที่แม้จะขี้เกียจ ถ้าบางคนพอใจก็พยายามมา เป็นสัจจะของแต่ละคนจะเห็นค่า คนเห็นค่าในระดับไหนก็ขวนขวายตามระดับ

       เมื่อได้ผลมีคุณค่าอาตมาก็มาเทศน์อีก แต่ถ้าไม่มีคนเห็นคุณค่าไม่ได้ผล อาตมาก็เลิก ไปทำอย่างอื่นดีกว่า แสดงธรรมที่เป็นโลกุตระมาลดละกิเลสอย่างนี้ อาตมาก็ทำ เพราะมันมีความจำเป็น เป็นส่ิงประเสริฐเป็นสิ่งสำคัญต่อมนุษยชาติ สังคมประเทศชาติที่เดือดร้อนวุ่นวายเพราะไม่มีธรรมะ สังคมควรต้องเอาธรรมะเข้าไป

       ทีอาตมาทำนี่ซับซ้อน เป็นหน้าที่ของอาตมาด้วย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ต้องมาสืบสานศาสนา เหมือนกับทหารนี่ต้องมีจิตวิญญาณรักชาติศาสน์กษัตริย์ ต้องทำตลอดชีวิต อาตมาก็เช่นกันต้องทำจริงๆ ใครจะกบฏก็แล้วแต่ คนไหนไม่จริงก็ตกไป คนที่มีความเข้าใจว่าตนจะเป็นโพธิสัตว์ก็ทำ ตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือโลก เป็นงานโพธิสัตว์ แต่คนจะเป็นโพธิสัตว์ต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง

       โลกุตรธรรมมี 9 ขั้น คือโสดาปฏิมรรค โสดาปัตติผล ไปจนอรหัตมรรค อรหัตผล เป็น 8 แล้วมีนิพพานอีก 1 ซึ่งคนมีจริงก็จะแสดงเท่าที่ตนมี ต้องสร้างคุณอันสมควรก่อนแล้วจึงสอนคนอื่นจึงไม่มัวหมอง ศาสนาเสื่อมเพราะคนหลงว่าตนได้ผล หรือได้มิจฉาผล แล้วมาแสดงคุณวิเศษที่ไม่มีจริง มันเป็นบาปเป็นกรรม

       กัมโยนิ นี่แหละคือพระเจ้า กรรมบันดาล เกิดทุกข์สุข ได้ดีตกยากก็ของเราเอง นั่นแหละพระเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะได้ดีตกยากก็เพราะกรรมที่เราสั่งสมแล้วเกิดผล ไม่มีใครทำให้เรา กรรมโยนิ นี่แหละคือฟ้าลิขิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาล ใครไม่ได้ทำกรรมไว้ แต่ว่าไปอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วย ก็ไม่มีทางได้หรอก

       กรรมเป็นตัวการ กรรมเป็นเทวดา ที่อาตมาเองว่าอาตมาต้องรับทุกข์รับสุข ไม่แปลกใจหรอก เพราะมีกรรมใหม่กับกรรมเก่า กรรมเก่าเราทำแล้วทั้งที่เราไม่อยากได้อยากเป็นเลย ส่วนกรรมใหม่เพราะเราถูกกิเลสตัณหาของเราไปแสวงหาใส่ตัวเอง แสวงหาสิ่งดีได้ก็ดีไป แต่ถ้าแสวงหาส่ิงไม่ดีก็เป็นบาป

        บุญบาป ต่างจาก ดีชั่วอย่างไร

       ดีชั่วนั้นเกิดจากสมมุติสัจจะ ส่วนบุญบาปนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากปรมัตถสัจจะ เกิดจากกิเลส พระอรหันต์ไม่มีกิเลสเกิด จึงไม่มีบาป มีแต่กุศลไปเรื่อยๆไม่มีทางไล่ทัน ไม่มีทางตกต่ำ เป็นหลักประกันของชีวิต เป็นตถตา ไม่มีเป็นอื่นได้หรอก มันมีส่ิงที่คนเข้าใจไม่ได้คือท่านอนุโลม ใจท่านไม่ได้อยากทำ อย่างที่ชาวโลกทำการอันประกอบด้วยกิเลส อย่างการเมือง เขาว่ามีแต่กิเลส แล้วไปทำทำไม แปดเปื้อน ทั้งที่ท่านไม่ได้อยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างเขา แต่่ท่านมาทำช่วยเขา เป็นสัจจะย้อนสภาพ ตัวอย่างเช่นอรหันต์จี้กง หรือพระมาลัยโปรดสัตว์

       ถ้าเราพ้นทุกข์แล้วเราก็ควรช่วยคนอื่น หากเราภูมิคุ้มกันไม่พอไปช่วยเขาเราก็เสร็จสิ เราต้องมีสัปปุริสธรรม 7 ประการ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ท่านอนุโลมไปช่วยคน เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ได้หนีโลก ทำช่วยไปตามลำดับขั้น ช่วยได้ตามลำดับ อนุโลมได้ตามลำดับ คนของพระพุทธเจ้าที่จะพัฒนาไม่ได้หนีโลก แต่ว่า มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       แต่ที่สอนกันทุกวันนี้ ไปสอนให้หนีไปอยู่ป่าเขาถ้ำเป็นความเข้าใจผิดมากของศาสนาพุทธ แล้วไปบูชาเคารพนับถือฤาษี ในความมักน้อยสันโดษ แต่ที่จริงหนีโลก แต่ของพุทธนั้นอยู่กับโลก มีสัจจะย้อนสภาพที่คนยากจะเข้าใจ คนจึงรู้ได้ยาก การที่จะรู้ว่าศาสนาพุทธมีประโยชน์ต่อโลกขนาดนี้นั้นรู้ได้ยาก มันดูภายนอกเหมือนโลกียะจัดจ้าน แต่คนเข้าใจไม่ได้

       มาพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันนี้บ้าง เมืองไทยน่าจะเป็นเมืองแห่งธรรมะ เป็นเมืองแห่งศาสนาพุทธ ทั่วโลกนั้นเขาล้มไปหมดแล้ว ในไทยเขานับกันว่ามีพุทธรรมที่ถูกต้องมีเนื้อหามากที่สุด จะนับปริมาณก็ตาม อย่างจีนมีคนอยู่เยอะพันกว่าล้าน ในไทยมีแต่ 65 ล้านคน แต่จีนมีตั้งพันกว่าล้าน นี่ไม่ถึงร้อยล้านเลย จีนจะมีคนนับถือศาสนาพุทธมากกว่าไทยแน่นอน หรือญี่ปุ่นก็มีคนตั้ง 200 กว่าล้าน

       ไทยเรามีพุทธเรียกว่า สยามวงศ์ ประเทศอื่นก็มีวงศ์อื่น ถึงอย่างไรก็ตามสู้ประเทศไทยไม่ได้ มันมีอจินไตย ประเทศไทยต้องเป็นแดนที่เกิดอันนี้ แต่ว่าโลกุตระหรืออาริยะต้องอ่านจิตเจตสิกเป็น ซึ่งหมดสุขหมดทุกข์ เป็นปรมังสุขัง

       เราแยกจิตเจตสิกออกได้ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร เป็นต้น แม้ในเมืองไทย ที่ว่าเป็นเมืองพุทธ อาตมามาทำงานศาสนาต้องเริ่มอธิบายเวทนา 108 แต่คนก็อ่านเวทนาไม่ออก อ่านอารมณ์ไม่เป็น ก็มาปฏิบัติธรรมปรมัตถ์ไม่ได้แล้ว ถ้าอ่านอารมณ์สุขของตนไม่เป็น ทุกข์ก็ไม่รู้ได้มันไม่มีตัวตนให้เห็น แต่ว่าสามารถรู้ได้ แม้คนศึกษาธรรมะแต่ไม่ได้ศึกษาอารมณ์จริงๆ แต่ไปศึกษาอารมณ์ลำลอง เช่นไปนั่งสมาธิ อย่าให้จิตออกนอกตัว มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นสัญญา เป็นความจำ อารมณ์ทีเกิดขณะนั่งอยู่ในภพ ก็มีอาการของรูป รส กลิ่นเสียงสัมผัส เป็นแค่สัญญา แต่การที่เราได้อ่านอารมณ์ขณะที่สัมผัสตัวจริงๆตอนเป็นๆนี้มันเป็นของจริงสดๆ เป็นอารมณ์สดๆ แต่การสัมผัสในขณะนั่งสมาธิ เป็นเพียงสัญญาหรือปั้นสร้างมาเอง

       พวกนั่งหลับตาสะกดจิตก็ไม่ได้ล้างกิเลสตัวจริงหรอก แต่การนั่งสมาธิก็เป็นอุปการะได้ ได้ใช้ทบทวนระลึกย้อนอดีตได้ดี อยู่ในภพเราระลึกทบทวนส่ิงเก่า เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ให้เป็นความจำที่มีความจริง กับสิ่งที่กำหนดมาในจิตสร้างกิเลสเสริมใส่จิต กับการระลึกถึงความจำของเราจริง คุณจะมีอำนาจของการระลึกได้มากเท่าไหร่คุณก็จะได้รู้ความจริงของคุณได้ถ้าคุณมี เช่นอาตมาไม่ใช่นักศึกษา ชาตินี้ไม่ค่อยได้มีเวลาศึกษาของใหม่ แต่เอาของเก่ามาใช้มันก็พอ

       เวทนา คือความรู้สึก คืออารมณ์ เวทนา 2 คือ กายยิกเวทนากับเจตสิกเวทนา คือเวทนาที่เกิดจากกายกับจิตเป็นเหตุ

       เวทนา 3 มีสุข ทุกข์ กับเฉยๆ แล้วมันมีดีกรีคือความแรงเบาอย่างไร สุขหนักขนาดนี้ ทุกข์ขนาดนี้ แล้วโสมนัสคืออยู่ข้างใน โทมนัสคือทุกข์อยู่ข้างใน อุเบกขาคือไม่สุขไม่ทุกข์ แม้เกี่ยวข้องอยู่ก็เฉยๆ บางทีกินอิ่มแล้วก็เฉยๆอย่างนั้นเฉยพักยก เป็นเคหสิตอุเบกขา อาตมาเห็นพยัญชนะก็เข้าใจเป็นของเก่าของอาตมา

       คนเราในโลกเข้าใจผิดว่าการเอาเปรียบคือได้กำไร แต่ทางโลกุตระนั้นยิ่งได้เสียสละเสียเปรียบ อย่างมีปัญญาอย่างเต็มใจเสียสละยิ่งได้กำไร คนเราก็รู้ว่าการเสียสละนั้นดีกว่าการเอาเปรียบ เป็นสัจจะไม่เข้าใจได้ยากเลย แล้วสามารถทำได้จริง ใหม่ๆก็อาจดีใจฟูใจที่เราได้เสียสละดีไม่ดีทวงบุญคุณด้วย แต่เมื่่อทำได้แล้วนานไปก็จะเข้าใจว่าเราทำได้แล้วก็เป็นของเราเป็นกรรมของเราแล้ว ไม่ต้องไปทวงบุญทวงคุณหรอก เป็นบารมีที่สั่งสมไปเป็นชาติๆ ได้แล้วก็เป็นของเรา ไม่ใช่ว่าไม่สุขไม่ทุกข์แล้วไม่สบายไม่ใช่ แต่ย่ิงสบาย คำว่าสบายมาจากภาษาบาลี ตรงข้ามกับคำว่า อบาย สบายมาจาก สัปปายะ ซึ่งแปลว่าประกอบด้วยกิจ เป็นคนไม่มีโทษ มีคุณค่าแก่โลก เป็นสัจจะ

       ชีวิตคุณจะเกิดมากี่ชาติก็แล้วแต่ ถ้าไม่สามารถรู้จักโลกุตระนั้นเที่ยง เร่ิมแต่โสดาบัน ซึ่งโสดาบันมี 4 ขั้น คือ เร่ิมต้นเรียกว่าเข้ากระแสโลกุตระเป็นโสตาปันนะ แล้วทำจนได้ผลเป็นอวินิปาตธรรม แต่ยังไม่แน่นอน ต้องสั่งสมเลยสามส่วนสี่ก็ได้แน่นอน คือ นิยตะ เลยนี่ไปแล้วก็เป็นสัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สูงแล้ว

       โลกียะนั้นไม่เที่ยง ลงนรกขึ้นสวรรค์เป็นของหลอก เป็นกัลยาณชนก็ได้ดีในสมมุติ ได้ดีได้ชั่วตามสมมุติไม่เที่ยง วนเวียนในวัฏฏะสงสาร จนกว่าจะได้โลกุตระ ตามลำดับ จนได้อรหันต์แล้วมีหลักประกันจะเกิดอีกก็ช่วยโลกได้ เกิดเลยกี่ชาติก็ได้ ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:51:59 )

561229

รายละเอียด

561229_พ่อครูที่มัฆวานฯ

เรื่อง แก่นแท้ของพุทธศาสนา

 

       ช่วงนี้ก็อะไรก็คงไม่ดีไปกว่า การได้ฟังธรรมะ สำหรับการเมืองเป็นโครงสร้างใหญ่ของประเทศมีองค์ประกอบซับซ้อนหยาบภายนอก แต่ธรรมะเป็นคุณธรรมภายใน เป็นตัวประธานคือจิตวิญญาณ​เมื่อจิตวิญญาณหรือตัวประธานของชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนบุพพัง คมาธัมมา จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้่งปวง

       ธรรมะแปลว่าทรงไว้ ส่ิงทรงไว้คือคุณธรรมที่จิตวิญญาณ ถ้าไม่ใช่ธรรมะก็มีอธรรม ในจิตวิญญาณ​เพราะฉะนั้น ในจิตวิญญาณควรจะมีสิ่งประเสริฐคือธรรมะ ถ้าเป็นธรรมะที่แท้ที่ประเสริฐบริบูรณ์เท่าใด ในแก่นแกนของจิต ก็เป็นส่ิงยอดสุดในการเกิดมาเป็นมนุษยชาติ พระพุทธเจ้าค้นพบแก่นแกนนี้ แล้วท่านก็มีสูตรสำเร็จที่สามารถเข้าถึงธรรมะได้

       สูตรสำเร็จนั้นอธิบายง่ายๆเหมือนต้นไม้ที่มีใบ มีดอก มีผล คนจะเห็น ใบเห็นดอกเห็นผลเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนอกจากนั้นก็จะมีต้น และนอกต้นก็จะมีสะเก็ดไม้ ซึ่งรวมภายนอกที่เห็นเป็น ใบดอกผลเรียกว่าโลกธรรม ส่วนสะเก็ดที่ออกมาแล้วร่วงหายไป เป็นของขจัดทิ้งจากต้นไป แล้วก็จะเข้าไปถึงเปลือกหุ้ม จากเปลือกก็เป็นกระพี้อยู่ข้างในอีก และที่อยู่ในสุดก็คือแก่น

       คนจะเห็นภายนอกได้ง่าย คือดอก ผล ใบ เป็นโลกธรรมที่คนจะไปหลงตรงนั้น ไม่เข้าใจแก่น เห็นแต่เปลือกหลงติดอยู่กับส่ิงภายนอก

       พระพุทธเจ้าเทียบสูตรสำเร็จของท่านว่า ตัวใบ ดอกผล กิ่งก้านสาขา ที่งอกงามคือโลกธรรม คนเกิดมาก็แย่งส่ิงเหล่านี้  แต่พระพุทธเจ้าว่าคนเรานั้นอยู่กับทุกข์ทรมานวนเวียนทุกข์สุขกันไป พระพุทธเจ้าระบุไว้ว่า สุขเป็นของเท็จ อัลลิกะ แล้วคนก็หลงติดสุข แต่เพราะคนหลงติดสุขนี่แหละจึงเป็นทุกข์ และคนเราวนเวียนในวัฏฏะเพราะติดยึดในของหลอก

       ท่านก็รู้สูตรให้หมดความติดยึดในของหลอกได้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วท่านก็เทียบว่า

จูฬสาโรปมสูตร 12/374
              1. ลาภสักการะชื่อเสียง เปรียบเหมือนกิ่งไม้ใบไม้
              2. เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
              3. สมาธิ เปรียบเหมือนเปลือกไม้
              4. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
              5.
ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ซึ่งใช้คำภาษาบาลี "อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ" เปรียบเหมือนแก่นไม้

 

       พระพุทธเจ้าท่านก็อยู่ในโลกท่านก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ แต่ท่านไม่ได้ติดยึด อยู่อย่างเหนือโลกธรรม

       แต่โลกนี้เขาหลงใหลติดยึดไปกับโลกธรรม ลาภ สักการะ ชื่อเสียง ขึ้นสวรรค์ ลงนรกอยู่อย่างนั้นไม่หลุดพ้นได้ หรือบางคนก็ไปแสวงหาความสงบแบบที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต หนีผัสสะ หรือไปอยู่ในภวังค์ ซึ่งต่างจากพุทธที่สอนให้กำจัดกิเลสได้ในชีวิตประจำวัน เมื่อเจอผัสสะ แล้วจิตจะสงบจากกิเลส เมื่อกิเลสลดจิตก็จะสงบลง เมื่อหมดกิเลสก็สงบได้ที่สุด แต่ไม่ได้ปฏิบัติอย่างหนีโลกไปอยู่ป่าเขาถ้ำ แต่ปฏิบัติอยู่กับโลก แม้มีลาภยศสรรเสริญ เราก็ไม่ได้ไปติดยึด เอาศัยเป็นสิ่งให้ชีวิตดำเนินไปอย่างไม่สะสม สบายมากเลย

       เมื่อจิตมีวิมุิตก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่บันเทิงเริงรมย์ไปกับโลกอย่างที่เคยๆ อาตมาก็เคยผ่านมาก่อน จนกว่าจะมาเรียนรู้คำสอนพระพุทธเจ้าแล้วมาลดละกิเลส คนก็เดาว่าไม่ได้สนุกสนานรื่นเริงเลย มันก็จืดหมดสิ แต่ที่จริงไม่ใช่ ไม่ต้องบันเทิงแบบนั้นจิตก็เบาสบายได้ เป็นจิตร่าเริงเบิกบาน มีปโมทยังจิตตัง  เราก็เห็นคนหลงใหลส่ิงนี้ แต่เราก็ไม่ติดเหมือนเขา เราก็สงสารที่เขาหลงวนเวียนแย่งชิงกัน เสียใจดีใจสุขทุกข์วนเวียน เราเห็นเขาก็สงสารเขา จิตที่บรรลุจะเห็นเช่นนั้น เห็นคนตกอยู่ในห้วงสงสาร ยังไม่รู้จักเวทนา ไม่ได้เคยแก้ไขเหตุที่มันพาสุขทุกข์

       ซึ่งเป็นกิเลสแท้เป็นสมุทัยพาสุขทุกข์ เราก็กำจัดฆ่าสมุทัยได้ เราก็ไม่เกิดสุขทุกข์ เหมือนแต่ก่อน เรียกว่าตายตั้งแต่เป็นๆเป็นนิพพาน จิตก็รู้ไปกับโลกเขาด้วยดี แต่ตัวผู้บรรลุไม่มีอาการสุขทุกข์กับเขา ไม่เกิดด้วย จึงเรียกว่าไม่เกิด หรือดับชาติ มีอารมณ์ไหมก็มี แต่เป็นอุเบกขา เป็นอทุกขมสุข เป็นกลางๆ ได้แต่สงสารเวทนาเขา จึงมีอัชฌาสัยทนไม่ได้ต่อความกรุณา คือจะต้องช่วยเขา อยากช่วยเขา ด้วยเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกจา

       เมตตา คืออยากให้เขาพ้นมีสุขหรือพ้นทุกข์  กรุณาก็ลงมือช่วย (กรณะคือการกระทำ)  เมื่อช่วยได้สำเร็จ ก็มุฑิตา คือยินดีด้วยกับที่เขาเป็นสุขสงบจากกิเลสแล้ว ไม่ใช่สงบแบบหนี ไม่มีความแววไวเร็วไว ไม่มีน้ำหนัก ไม่ใช่ แต่กลับมีน้ำหนัก มีความแววไว มีความเหมาะควรแก่การงาน วิมุติของพระพุทธเจ้ามีความมีพลังเป็นเครื่องแสดง

1.     มีอายุหะ คือ  มีอิทธิบาท         เป็นเครื่องแสดง

2.    มีวรรณะ  คือ  มีศีลผุดผ่อง                    ”

3.    มีสุขะ  คือ  มีฌาน 4                           ”

4.     มีโภคะ  คือ  มีพรหมวิหาร 4                   ”

5.    มีพละ  คือ  มีวิมุติหลุดพ้น                เป็นพลังแสดง #

       ไม่ใช่ว่าวิมุตินั้นไม่ทำอะไร คิดไม่เป็นคิดไม่ออก แต่ว่าที่จริงวิมุตินั้นยิ่งแววไว มีพลัง พากเพียร มีพลังในการทำงานอันไม่มีโทษ ช่วยโลก ทั้งหมดเป็นสัจจะ ถ้าเข้าใจ บรรลุแล้วจะไม่ยาก เป็นสภาวธรรมหมด

       ผู้ใดสามารถแก้ตัวที่ทรงไว้ในจิตหรือธรรมะ ให้เป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรมจะมีพลัง 4 พ้นภัย 5

 

              กำลัง 4

1.     ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา) .  .  .

2.    วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน) .  .

3.    อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ) . ,

4.     สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)  #

 

​                พ้นภัย 5

1.     อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้ศ.ก.จะแย่)

2.    อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ)

3.    ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม)  .

4.     มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)

5.    ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)

       

        เป็นผู้มีศรัทธา 10

1.     ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.    ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.    พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.     เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.    เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.     แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.    ทรงวินัย

8.    อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)  มีป่าอยู่ในหัวใจ ยินดีในเรือนว่าง(จิตว่างจากกิเลส)

9.    ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.   ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

       ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

(สัทธา 10  จาก สัทธาสูตร พตปฎ. เล่ม 24  ข้อ 8)#

 

       ที่อาตมาสาธยายมานี้ต้องสั่งสม เป็นชาติแต่ละชาติที่เกิดมามีอาการครบ 32 พวกเราที่มาชุมนุม ก็อย่าทิ้งธรรม อย่าเป็นโมฆะบุรุษ เกิดมาตายเปล่า ประเทศอื่นที่ไม่รู้ในศานาพุทธก็แล้วไป แต่ผู้รู้ศาสนาพุทธ ควรทำอย่าเสียชาติเกิด ถ้าได้แล้วเป็นหลักประกัน คุณก็อยู่กับโลกเขานี่แหละ แต่ไม่เสียดายในโลกธรรม ในสุขที่เป็นเท็จ

       มาลองปฏิบัติดูได้ เช่นอบายมุขเป็นส่ิงชั่วร้าย ที่คนหลงติดยึด มัวเมาอย่างหยาบอย่างแรงเลย แต่ก็หน้าด้านหน้าทนจน โด้ จน ง่าน ติดอยู่ได้ ทั้งที่เสื่่อมทรามขนาดนั้น ...จบ


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:02:37 )

561230

รายละเอียด

561230_พ่อครูที่มัฆวานฯ

เรื่องแก่นแท้ของพุทธศาสนา ตอน 2

            พ่อครูอาตมาก็ต้องพูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องเหมือนเคย จะหาว่าเอาธรรมะมาครอบงำคนอื่นนั้น ความรู้สึกอย่างนั้นของคนที่ไม่เข้าใจ แต่ที่อาตมายืนยันคืออาตมาไม่มีเจตนาอย่างนั้น อาตมาทำงานตามความสำคัญของธาตุจิตวิญญาณหรืออัตภาวะ ที่วนเวียนกันอยู่ชั่วกาลนาน ทรมานทรกรรม หลงความสุขหลอก สุขนั้นเป็นความเท็จ

            พระพุทธเจ้าท่านมีประวัติเล่ากันมาเป็นพระเจ้า 500​ชาติ มาเล่ามาบรรยาย อาตมาจำไม่ได้หรอก เขามาร้อยเรียงกัน เรียกว่าทศชาติ เรียกว่าบารมี 10 ทัศ เป็นต้น ที่พูดนี้ก็เอามาเป็นหลักฐานยืนยันเท่านั้น อาตมาเชื่อว่าเป็นความจริง เพราะว่ามีการเทศน์ด้วยแสดงกัน ชาตินั้นชาตินี้ ก็พอรู้ตามที่ท่านเล่ากันมาเป็นเตย์มีใบ้เป็นต้น

            เป็นเรื่องท่องมาจำมา แต่ที่อาตมาเอามาพูดนี้เป็นเรื่องจริง เช่นที่พูดว่าชีวิตที่เกิดมาต้องสะสมอัตภาวะ เพราะจะมีเหตุปัจจัยที่พาเกิดพาเป็น ซึ่งส่ิงนั้นอาตมาไม่ได้นำมาจากใครมาพูด อย่างความสุขหรือความทุกข์ อาตมาก็พูดจากความจริง

            ความจริงคือ อาตมาระลึกชาติได้ แต่ไม่ใช่ว่าเหมือนอย่างที่เขาพูดกัน หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าท่านเป็นพระเวสสันดร มีชีวิตเกิดจนตาย เรื่องราวต่างๆเป็นกรรมกิริยาต่างๆ มันมีนิทานมีประวัติ เป็นนิยายของแต่ละคน

            ที่อาตมาระลึกชาติได้คือการเกิดทางธรรมะ เช่นอาตมาพูดว่า สุขนี่เป็ฯของเท็จอาตมาก็ระลึกชาติรู้ ที่อาตมาได้วนเวียนผ่านมา จะเป็นชาติของนวนิยายมีร่างกายก็ตาม แต่ละชีวิตก็มีธรรมะและอธรรมที่แทรกมา

            อาตมาระลึกธรรมะที่เกิดขึ้น อย่างสุขนี่เป็นอาการ ทุกข์ก็เป็นอาการ อาตมามีความจริงที่ได้รู้มาแต่ชาติก่อนๆ รู้ว่าสุขเป็นเท็จ ชาติก่อนคืออาตมารู้สุขเป็นเท็จ ที่อาตมาว่า ความสุขเป็นทุกข์นั้น ได้มาจากชาติก่อน ไม่ได้เรียนมาจากไหน

            ความสุข ทุกข์ เราก็ทรงไว้ในจิตวิญญาณ ในอัตภาพ อาตมาได้ศึกษาได้ผ่านมารู้จากความจริง ไม่ได้รู้เพราะท่องจำหรือเอามาจากใคร แต่เอามาจากของจริงของตนที่ผ่านมาแต่ละชาติ อาตมารู้มาหลายชาติแล้ว และก็เคยพูดอย่างนี้มาหลายชาติแล้ว เหมือนอวดอุตริมนุสธรรม แต่อาตมาเห็นความจำเป็นที่ต้องพูดขยายความให้ฟัง ใครจะหาว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็ไม่เป็นไร แต่อาตมามีเจตนาไม่ได้อวดอ้าง แต่พูดให้ความเข้าใจ แม้นิดน้อยที่เรียกว่า สาเฐยจิต คือจิตอยากอวด อยากเด่นดังเราก็ไม่มีแม้แต่เศษอกุศลจิต แต่ยกอ้างเพื่อยืนยันสัจธรรมความจริง โดยเอาตัวเองเป็นตัวยืนยัน

            มาเห็นพยัญชนะว่า สุขัลลิกะ ก็รู้เลย แม้ท่านผู้รู้ที่ได้เรียนบาลีก็ไม่ได้เอามาอธิบายอย่างอาตมา พออาตมาพูดไปแต่แรกเขาก็ท้วง ซึ่งอาตมายืนยันว่า สุขนั้นอัลลิกะ

            ชาตินี้อาตมาได้เรียนเรื่องธรรมะจากใคร การอธิบายของอาตมาได้เหมือนใคร ไม่ได้คิดฟุ้งซ่าน เช่นคำว่า ฌาน เป็นอาการของธรรมะ เป็นคุณธรรม  ซึ่งฌานที่อธิบายกันทั่วไปไม่ใช่ฌานแบบพุทธ หลับตาเข้าไปอยู่ในภวังค์ ทำจิตให้สงบ อาตมาก็ทำเป็นอย่างนั้น อรูปฌานก็ทำเป็น สมาธิที่ว่าท่านก็เอาไปปนกับฌาน

            ฌานคือการทำกิเลสออก  มันสงบจากกิเลส แต่เขาเอาคำว่าเอกกัคคตามาเป็นหลัก ที่ว่านิ่งสงบ มันก็ถูกในลักษณะฌานโลกีย์ เป็นความรู้ทั่วไป ลัทธิอื่นศาสนาอื่นเขาก็มีกันทั่วไป แต่ของพระพุทธเจ้านั้นฌานเกิดจากจรณะ 15 จรณะข้อที่ 11ถึง14 คือฌาน 1ถึง 4

            จรณะ 15 มี 4 ข้อแรกคือ

1.         ถึงพร้อมด้วยศีล สังวรศีล

2.        คุ้มครองทวารอินทรีย์  สำรวมอินทรีย์

3.        ประมาณในโภชนา โภชเนมัตตัญญุตา

4.        ประกอบความตื่น ชาคริยานุโยคะ

            ข้อที่ 2 ถึง 4 เรียกว่า อปัณกปฏิปทา หรือ การปฏิบัติที่ไม่ผิด วิธีปฏิบัติพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัติ อนาคามีเหลือกิเลสรูปภพอรูปภพก็เป็นอนาคามี เหลือเป็นสังโยชน์เบื้องสูงก็ลืมตาปฏิบัติ อยู่บนกามคุณ 5 พระอนาคามีก็ลืมตาสัมผัส แต่ท่านอยู่เหนือได้หมด ท่านไม่ทุกข์ไม่สุขกับมันแล้ว เหลือแต่โทมนัส โสมมนัส ในใจท่านเท่านั้น

            เราสัมผัสแล้วกิเลสเกิดสดๆแล้วเราก็ฆ่ากิเลสอย่างปัจจุบันเลย อปัณกปฏิปทา แล้วจรณะอีก 7 ข้อก็จะเกิดผล แล้วมีฌานอีก 4

            เราทำหลัก 4 ข้อแรกของจรณะ 15 นี่แหละ เป็นวิชชาจรณสัมปัณโนคือหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้จะสูญแล้ว เพราะไม่พูดถึงไม่ปฏิบัติ แล้วมีวิชชาอีก 8          

            ที่พูดนี้ไม่ได้ลอกหรือจำจากตำราไหนเลย 

            ทำจรณะ 4 ข้อแรกแล้วจะเกิดหิริโอตตัปปะ จิตมีหิริจะละอายต่อการทำบาป แม้มีกิเลสอยู่ก็จะฝืนจะหยุดยั้ง ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ใช้สติปัฏฐาน 4 เข้าใจว่า กายคืออย่างไร เวทนาคือสภาวธรรมอย่างไร จิตเป็นสภาวธรรมอย่างไร

            กายในกาย องค์ประชุมของรูปกาย นามกาย เป็นอย่างไร ก็จะรู้สภาวะต่างๆว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร มีเวทนาแยกแยะจนเป็นเวทนา 108 รู้อาการสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ จนแยกแยะเวทนาเป็นโลกุตระหรือโลกียะ เรารู้ว่าเท่านี้เป็นเนกขัมมะ อย่างนี้เป็นเคหสิตะ อาการกามออกจากจิตคุณต้องรู้ของคุณเอง ว่าอย่างนี้เป็นแบบโลกีย์ เราก็ทำออก จนเป็นโลกุตระ มันเป็นอย่างนี้ คุณจะรู้ของคุณเอง จนเป็นสูงสุดโลกุตระธรรม 9 (บุคคล 8 + นิพพาน 1) เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงว่า เราได้ผลอย่างไร ไม่ใช่ปฏิบัติเดาส่งไป ทำให้ศาสนาเสื่อม

            พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติรู้แจ้งเห็นจริงนามธรรม ที่ไม่มีตัวตนให้เห็นหรือสัมผัสด้วยภายนอก แต่ว่ารู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ เช่นท่านสอน ฌานแบบลืมตา ที่ว่าสัมมาสมาธิคือปฏิบัติมรรค 7 องค์เพื่อให้เกิดสัมมาสมาธิ

ที่อาตมาย้ำยืนยันเรื่องธรรมะโดยไม่กล่าวเรื่องการเมืองเพราะมีธรรมะขึ้นมาก่อน ตั้งใจฟังก็ได้บ้างได้น้อย ชีวิตไม่ต้องเอาอะไรหรอก เอาธรรมะให้ได้ ถ้าไม่ได้เป็นโมฆบุรุษ ซึ่งเกิดมาเสียชาติเกิด เกิดมาสะสมกิเลส ได้สวรรค์หลอก เป็นกามสุขขัลลิกะ

            ถ้าอาตมามีเจตนามุ่งหมายอยากให้คนเชื่อ เมื่อเขาไม่เชื่อเราก็ทุกข์ อาตมาไม่ทำ แต่อาตมามีมโนสัญเจตนามุ่งหมาย แต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น พูดโดยภาษาโวหารว่าอยากไหม ก็ว่าอยาก แต่ไม่ได้เสียใจท้อถอยท้อแท้ไม่มีเมื่อไม่ได้ แต่ที่ทำนี้มีมุ่งหมายให้คนรู้ แต่จะรู้หรือไม่ก็บังคับกันไม่ได้ ด้วยนิรุตติปฏิภาณของเราก็พยายามเอามาประกอบ ให้คนเข้าใจได้ เมื่อผู้ใดปฏิบัติจรณะ 15 ก็จะเกิด ฌานลืมตา

            ในพระไตรฯ ล.1ถึง 9 ก็ปฏิบัติฌานลืมตา ให้มีศีลแล้วสำรวมอินทรีย์อย่างลืมตา จิตจะเกิดคุณธรรมกิเลสลดลงๆ นี่คือฌานนี่คือสมาธิ ใครจัดการกิเลสลดได้ก็มีฌาน เมื่อกิเลสลดลงจิตก็สะอาด ก็จะมีจิตที่เลิศยอด ทำได้ก็เป็นเอกกัคคตา เป็นอุเบกขา เป็นฐานต้นของจิตที่จะไม่มีสุขทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นกิเลสกามกิเลสอัตตา

            ในธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ก็สอนเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา  ซึ่งเขาเข้าใจผิดเรื่องความเป็นกลางกันมาก ที่จริง เป็นหลักปฏิบัติเพื่อที่จะให้เข้าถึงความเป็นกลาง คือไม่มีกาม ไม่มีอัตตา ที่จะโต่งไปยังสองข้างใดเลย คำว่าข้าง ภาษาบาลีเรียกว่า อันตา คือเราทำให้ลดลงๆ จนไม่มีข้างในเลย เรียกว่ากลาง นี่คือความสุดยอดของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

            การระลึกนั้นต้องระลึกถึงนามธรรมจึงจะไม่หลง แต่ไประลึกถึงตัวตนบุคคลเราเขานั้นก็จะไม่ได้อะไร มันต้องระลึกค้นเจอว่าเราได้ธรรมะรู้จักธรรมะ รู้อธรรมอย่างไร เราเสียท่าอธรรมอย่างไร เป็นนิทานนิยายของเรา จึงจะถูก แต่ไประลึกตัวตนบุคคลเราเขาก็เป็นเรื่องโลกๆเท่านั้นไม่ได้ประโยชน์อะไรในการเรียนปรมัตถ์ ที่เจริญแท้หรืออาริยธรรม พระพุทธเจ้าสอนว่าท่านสอนแต่โลกุตรธรรมเท่านั้น

            ท่านพุทธทาสย้ำว่าเราเกิดมาสอนแต่ทุกข์เรื่องโลกุตรธรรม สอนเป็นหลัก ถ้าไม่ได้เรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าได้เป็นพุทธ เป็นเนื้อแท้ของพุทธ

           

            แวะเข้าเรื่องปัจจุบัน ถ้าไม่มีคุณธรรมจึงต้องเดือดร้อนอย่างที่เป็น ที่มาทำนี่ไม่ได้มาเอาอธรรมหรือเรื่องเลวร้าวฆ่ากัน แต่มาทำให้เกิดธรรมะ และเป็นธรรมที่จะกอบกู้ประเทศชาติด้วย ขออภัยที่พูดยกตัวตน แต่เป็นเช่นนั้นที่ต้องพูดจริงสู่ฟัง ธรรมะที่อาตมาพาทำ ถ้าการเมืองไม่ได้ธรรมะเข้าไปก็สูญเปล่า วนเวียนอยู่อย่างเก่า อดทนกันจนถึงขีดก็จะฆ่ากัน ถ้าไม่มีธรรมะเข้าไป ไม่ต้องพยากรณ์หรอก เดือดร้อนรุนแรงแน่ หลายคนก็เดาได้ ดึงดันดื้อด้านเพราะกิเลสทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าใครที่จะสามารถออกมาทำให้คลี่คลาย คนที่สามารถทำได้แต่ไม่ทำนี่เป็นบาปของเขา เป็นหน้าที่ที่คุณรับไปแล้วโดยเฉพาะรับเป็นข้าราชการไม่ว่าการเมืองหรือว่าประจำ

โดยเฉพาะขณะนี้ต้องการข้าราชการที่อยู่ในหน้าที่เช่นคณะมวลมหาประชาชนได้ทำปฏิวัติ ซึ่งแปลว่าเปลี่ยนแปลงเอาของเก่าออก ให้มีของใหม่มา ชัดๆคือเปลี่ยนเอาอำนาจเก่าออก เอากลุ่มอำนาจใหม่มาแทน นี่คือการปฏิวัติ

            ประชาชนคนไทยคราวนี้ แม้คราวก่อนๆก็ทำมา แต่คราวนี้ออกมาปฏิวัติสำเร็จแล้วด้วย ที่สำเร็จก็เพราะว่าตัวรัฐบาลทำผิดเอง หมดความชอบธรรมเอง โดยสัจจะ ผู้รู้รู้ทั้งนั้น ผู้ไม่รู้ก็เป็นคนงมงายหลงผิดหรือหลงเท่านั้น ผู้ที่รู้มีปัญญาสัจจะรู้ดีหมดแล้วว่า รัฐบาลหมดความเป็นรัฐบาลไปตั้งนานแล้ว ด้วยความผิดที่เขาทำ แต่เสร็จแล้วเขาก็ตีกิน ใช้อำนาจตามจารีตอย่างนั้น

            ถ้าเผื่อว่าผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ที่ควรทำ ประชาชนได้ออกมาทำหน้าที่แม้ในรธน.ก็ระบุไว้ว่ามีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และระบอบปชต.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้นในมาตรา 70 หรือ 71 แล้วก็มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

            เรามาทำตามรธน. หรือว่าที่รัฐบาลทำนี้ผิดรธน. ศาลก็ชี้ชัดแล้วว่าทำผิดรธน. แล้วเชื่อว่าตัวเขาเองก็รู้ว่าผิด เขาหมดหน้าที่แต่ก็ดื้อดึงดันตามกิเลส ซึ่งไม่ต้องทำอะไร ประชาชนได้อำนาจคืนแล้วแต่เราก็มาแสดงออกใช้สิทธิ์ให้ถูกต้อง คนไม่รู้ก็พูดไปเข้าข้างอำนาจเก่า อาจเพราะติดในโลกธรรม

            ประชาชนทุกวันนี้ทำได้ดีมาก ทำได้สวยสดงดงาม เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ วิสุทธิ์ วิเศษ วิสิทธิ์ อีกด้วย เลิศยอดเยี่ยม แต่ประเพณียังไม่เคยมี ที่จะให้พลังงานนี้ที่ วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์ นี้ชนะ คนยังงง เขาว่าชนะอย่างไร เราทำมาอย่างสำคัญ ตั้งแต่ พล.อ.ปรีชาประกาศปฏิวัติ ซึ่งประชากรยังไม่มากเท่าไหร่ วันที่ 11 พ.ย. 56 เสร็จแล้วก็มีประชาชนมารวมกันอีก โดยมีคุณสุเทพ ร่วมผนึกเป็นตัวบทบาทหลัก ก็ได้ทำเป็นพิธีการ มาชุมนุมกัน วันว.​เวลา น. พอวันที่ 24 พ.ย. 56 ประชากรไทยก็ออกมาเป็นล้านคน ที่เราเคยรวมตัวกันมาตั้งแต่พธม. หรือเสธ.อ้ายก็ได้ไม่เท่าไหร่ แต่คราวนี้มันได้เพราะประชาชนตื่นตัว

            แม้คราวนั้นไม่ได้ ก็นัดมาอีก  9 ธ.ค. 56 ก็มามากกว่าเก่าอีก เป็นขนบใหม่ แบบใหม่ ให้ประชาชนออกมารวมตัวกัน โบกมือเป่านกหวีด เป็นคะแนนเสียงที่มีนำ้หนัก สรุปคือมาไล่รัฐบาลออก เพราะคุณหมดความชอบธรรมแล้ว เราทำอย่างสงบเรียบร้อย ไม่ใช้แรงกดขี่คุกคาม ซึ่งจะทำให้คนกลัว เขาก็ใช้อำนาจอย่างนั้นในสัตว์โลก เราไม่ทำอย่างนั้น แต่เขายังไม่ออก

            เราก็นัดกันมาในวันที่ 22 ธ.ค. 56 อีก ก็มีประชาชนออกมามากกว่าเก่าอีก สามครั้งแล้วที่วัดด้านปริมาณ ส่วนด้านการชี้ผิดชี้ถูก ศาลรธน.ก็ได้ตัดสินแล้ว พวกสื่อสารก็มาโต้แย้งกัน

            ผู้ที่เป็นข้าราชการที่มีหน้าที่ต้องทำตามหน้าที่ ควรต้องออกมาทำให้สำเร็จ มาช่วยประชาชน คุณไม่เสียอะไรเลย อาตมาไม่เชื่อนะว่าเขาไม่เข้าใจว่าประชาชนปฏิวัติสำเร็จแล้ว ชนะแล้ว แต่ด้วยความเคยตัว ตามกิเลสก็ยังดื้อ แล้วประชาชนก็ทำอย่างสงบเรียบร้อย มวลมหาประชาชนเขาไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เขาก็เลยดื้อด้านอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่พิทักษ์ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายถ้าไม่ออกมาช่วยประชาชนอาตมาว่าผิด ไม่รู้เห็นหรือตำตาออกอย่างนี้ แล้วตายไปกี่ศพแล้ว

            เราออกมาเป็นล้านตั้งสามครั้งแล้ว จริงๆในรธน.ออกมาแต่สี่หรือห้าหมื่นแล้วก็สามารถให้ออกได้ วาระนี้จะทำอย่างไร ถ้าปล่อยไปก็ยิ่งจะเลวร้ายมากมาย เพราะมาตั้ง 3 ครั้งแล้วถึงตติแล้ว ก็ควรครบรอบแล้ว แต่ผู้มีหน้าที่ก็ไม่ได้มาช่วยจัดการ เพราะธรรมชาติของคนนั้นกลัวอำนาจ เราไม่ได้มาแสดงอำนาจ แต่ว่าเรามาบอกว่าความถูกต้องชอบธรรมเป็นอย่างนี้นะ ผู้ที่ผิดก็ควรหยุด แต่ผู้ที่ควรทำเขาก็ไม่ทำเพราะถูกอำนาจโลกธรรมครอบงำ เมืองไทยไม่ได้โง่ มีปัญญาอยู่ ก็ควรออกมาช่วยประชาชนให้เกิดสงบเรียบร้อย ประชาชนมาเสียสละ มานอนกลางดินกินกลางถนนเป็นหลายเดือนแล้ว ก็ควรออกมาช่วยกันได้แล้ว ถ้าออกมาช่วยนิดเดียวก็จบ สวยงาม ออกไปแจ้งเขาเท่านั้น ขณะนี้ให้ประชาชนเขาทำเถอะ จัดการตามหลักกฎหมายเลย เขารู้ทำได้แน่

            อาตมาว่าสำเร็จแล้วก็มอบอำนาจให้ประชาชน ซึ่งเขามีหมู่กลุ่มที่จะมาทำ เขาทำเป็นผู้รู้ก็มีมากมาย ทำเลย ปลดตัวที่คา เป็นไอ้เข้ขวางคลองออกไป ไม่เช่นนั้นจะเสียหายล้มตายอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้

            เชื่อว่ามวลหลักๆที่มาทำนี่จะทำอย่างสงบเรียบร้อยไม่รุนแรง มีแต่วิเศษ วิสุทธิ์ วิสิทธิ์อย่างแท้จริง ตอนนี้ยังมีเวลาพอทำได้ แม้อาจมีเสียหายบาดเจ็บล้มตายนอกเกณฑ์แล้วนะ ที่จริงเราทำมา 3 ครั้งสวยงามแล้ว เกินกว่านั้นก็นอกเขตการปฏิวัติของประชาชน

            เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจควรทำได้ ไม่ต้องทำอย่างเอาปืนเอารถถังออกมาปฏิวัติ แต่ทำอย่างไรให้ถูกต้องเชื่อว่าเขาต้องคิดได้แน่ เดินไปบอกเขาเลยก็ได้ว่าให้หยุดทำ ถ้าเขาหยุดแล้วก็เอาอำนาจอธิปไตยมาให้กลุ่มที่เขาปฏิวัตินี้ ก็ทำอย่างเปิดเผย

            อาตมาว่าอาตมามีความจริงในตนก็เอามาพูดมาบอกกัน ขณะนี้โอกาสยังมี ยังไม่หนักหนามาก แม้บกพร่องก็สุดวิสัย จำนน แต่เราทำดีแล้วก็ไม่ต้องทำให้บกพร่องกัน เราออกมา 22 ธ.ค. 56 ก็น่าจะจบ แต่แทนที่จะเกิดอย่างสวยงาม มันก็ไม่เกิด เพราะเขาอยู่ใต้โลกธรรมนี่แหละ ก็พยายามฝืนมันบ้าง หรือทำผิดก็ปลงอาบัติเหมือนพระ ทำผิดแล้วก็หยุดแล้วก็ทำคืน อย่างน้อยก็สารภาพ ถึงไม่สารภาพก็หยุดแล้วทำกลับทำคืนให้เป็นสิ่งดี มันก็สังเคราะห์กันลดค่ากันในสัจธรรม

            ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็สั่งสมเพ่ิมอีก คนที่ทำผิดแล้วปกปิดไว้นั่นคือความผิดยังมีบทบาทอยู่ แต่ถ้าคุณสำทับว่าหยุดเถอะ แล้วก็ตั้งใจว่าจะไม่ทำอีกก็ดีแล้ว แต่ยิ่งดีกว่านั้นคือทำคืน สิ่งนี้ไม่ดีก็ทำคืนกลบ กรรมกิริยาเอาแต่คิดไม่ได้ ต้องทำด้วย

            เราเคยตกใต้อำนาจโลกธรรม แต่รู้อยู่ว่ามาช่วยประชาชนนั้นดี มาเป็นคะแนน ประชาชนมาแต่คุณเป็นเจ้าหน้าที่คุณก็มาประท้วงด้วยได้ กฏหมายไม่ห้ามไว้ เอานอกเวลาราชการก็ได้ เป็นการแก้กลับ ยิ่งเรามีหน้าที่ที่จะกระทำโดยตรงที่จะพิทักษ์รักษาให้เกิดความสงบเรียบร้อยมันก็ยิ่งดี แต่ยิ่งโกหกตลบแตลงอีก มันก็บาปเพ่ิมอีก ต้องพูดสัจธรรมเช่นนีี้ คนไม่มีหิริโอตตัปปะ ก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ตนจะมีก็น่าจะมีบ้าง

            คนที่สำนึกแก้กลับ ขออภัย เช่นคุณสุเทพ หลายคนก็เห็นว่าคุณสุเทพก็เห็นว่ามีอะไรผิดพลาด ทำอะไรไม่ดีมาตอนเป็นนักการเมือง คนก็ถือสา ไม่เชื่อว่าจะมาทำดี แต่อาตมาว่าคนเราไปดูถูกกันอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้าดูถูกกันอย่างนั้นคุณไม่ต้องปฏิบัติธรรมหรอก เพราะแต่ละคนเคยทำชั่วมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณเชื่อว่าคนทำชั่วแล้วจะแก้กลับโดยไม่ทำชั่วอีกแล้วไม่ได้ ก็คนละลัทธิกับอาตมา

            แต่อาตมาเชื่อคุณสุเทพนะ เชื่อว่าคุณสุเทพได้ธรรมะ เข้าใจธรรมะ เห็นธรรมะ เท่าที่อาตมาเห็นได้ ตามกายวิญญัติ วจีวิญญัติ ก็แล้วแต่ อาตมาไม่บังอาจว่าอาตมาหยั่งรู้จิต อาตมาประเมินได้ว่าคุณสุเทพจริงใจ โอกาสนี้ถ้าคุณสุเทพกบฏ พอชนะแล้วก็หลงใหลโลกธรรม ไม่แก้ไข ไปทำการเมืองน้ำเน่าอย่างเก่าอีก คุณสุเทพไม่ได้ผุดได้เกิดหรอก ขออภัยที่ต้องพูดชัดๆ ตามฐานะที่พูดธรรมะ ด้วยเจตนาดีจริงใจไม่มีอะไรแฝง

            เป็นโอกาสอันดีงามมากที่ข้าราชการจะมาช่วยกัน ที่จริงเป็นเหตุการณ์เลว สังคมตกต่ำเพราะคนเลวได้ทำเลวระดับชาติ ฉิบหายมากแล้ว เพราะฉะนั้นก็จำเป็นที่ประชาชนทนไม่ได้จึงออกมาแสดงตนอย่างไม่เคยมีมาก่อน จนชุมนุมกันเป็นลักษณะของการประท้วงอย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรม ไม่ได้ทำผิดไม่เป็นกบฏหรอก ตามที่เขาใส่ความ

            คือมันน่าจะมีน้ำใจ รู้นะ คนไม่รู้ก็แล้วไปเถอะ แต่คนรู้เข้าใจอยู่ก็มาช่วยกัน อาตมาถึงขอบคุณพวกที่มาช่วยกันแม้ว่าจะไม่ได้มีใบรับรองมีปริญญาอะไร แต่ก็มีใจมาช่วยกัน

            คนที่รู้ทั้งรู้ว่านี่โกหก แต่ออกมาพูดฉอดๆ เขาจับได้คาหนังคาเขา เพราะเทคโนโลยีมันจับได้ ถ้าคุณไม่แก้คืน ยอมตกใต้โลกธรรม อาตมาว่า ตกต่ำลงอบายลงนรก ถ้าคุณไม่สำนึกไม่แก้กลับ ยังโกหกซ้ำแล้วหาทางทำรุนแรง ให้บาปซ้ำซ้อน และประเทศชาติก็เสียหายเพิ่มอีก คุณสำนึกสักนิดได้ไหม หยุดแล้วแก้กลับ ก็ยังจะมีส่ิงดีเกิดในชีวิตบ้าง

            โอกาสที่ดีกับที่ร้ายอยู่ซ้อนกัน มันเป็นเหตุร้ายมาก จึงเป็นโอกาสดีของคนดีจะได้ออกมาช่วยแก้ และเป็นโอกาสดีของคนชั่วที่จะได้แก้คืนปรับปรุงใหม่ เป็นโอกาสดีจริงๆ

            มันเป็นนามธรรม แต่มันมีค่าจริงๆ เป็นอุปสงค์ที่สูงมากในสังคม เหตุการณ์นี้มันราคาแพง มันเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงความไม่ดีงาม ความคอรัปชั่น เป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนเพราะเป็นเหตุการณ์ของสังคมประเทศที่เลวร้ายหนัก อาตมาว่าจะกู้อะไรหนักหนาตั้ง 2.2ล้านๆบาท ซึ่งมีคนบอกแล้วว่าที่จะไปทำรถไฟความเร็วสูงนี้ไม่ถึงล้านๆหรอก แต่ไม่กี่แสนล้าน ไม่รู้กู้ไปทำไม ตั้ง 2ล้านๆ นี่เจตนาอย่างไรกัน นี่คือความประพฤติที่ส่อความเลวร้ายถึงขีด ปู้ยี่ปู้ยำประเทศขนาดนี้

            ถ้าคราวนี้มาช่วยกันกอบกู้ประเทศชาติ มาช่วยบำบัดปัดเป่าสิ่งเลวร้ายที่จะเสียหายยับเยิน สมมุติว่ายับเยิน ถ้าประชาชนแพ้ คราวนี้อาตมาว่าประเทศชาติยับเยินอาตมาไม่อยากคิดเลย อาตมาว่าอาตมาไม่ใช่คนดิบคนดีเท่าไหร่ ถ้าแพ้คราวนี้อาตมาเลิกที่จะมาช่วยสังคมกว้างอย่างนี้ อาตมาไปช่วยคนในวงเล็กๆ พัฒนาคนในวงสังคมเล็กๆดีกว่า ซึ่งอาตมาทำมาแล้ว พัฒนาตั้งแต่วงเล็กๆ จนมาแกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัทตามศรัทธาสูตร

1.         ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.        ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.        พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) .

4.        เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.        เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.         แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7.        ทรงวินัย

8.        อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.         ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10.       ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

            ขอร้องผู้ที่ไม่ได้มาช่วยกันก็ช่วยออกมากัน คุณสุเทพจะมีแผนการทำอย่างไรก็ทำ อาตมาไม่เก่ง แต่อาตมามาทำเรื่องธรรมะ มาเผยแพร่สืบสานต่อพุทธธรรม มายุคนี้ซึ่งเสื่อมต่ำผิดเพี้ยนจนเกือบไม่เหลือโลกุตรธรรมแล้ว มันกลายเป็นอบายมุข เป็นไสยศาสตร์ เสียมากแล้ว อาตมาก็เลยหนัก แต่อาตมามีปฏิภาณที่เป็นโพธิสัตว์ หนักอย่างไรก็ทำ อาตมามีหน้าที่ทางธรรมอย่างอื่นอาตมาไม่เก่ง ไม่ค่่อยได้ใช้...จบ       

           


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 15:04:36 )

570101

รายละเอียด

570101_เทศน์ต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ โดยพ่อท่านที่มัฆวานฯเรื่องความไม่รุนแรงคืออาวุธอันยิ่งใหญ่

       หลังจากบิณฑบาตตลอดแนวถนนราชดำเนิน บริเวณสะพานผ่านฟ้าฯมาสะพานมัฆวานฯ เสร็จแล้วพ่อครูก็มาเทศนาต่อที่เวทีมัฆวานฯ

       พ่อครูว่า....ชีวิตมนุษย์เกิดมาไม่มีอะไรดีกว่าประพฤติธรรมะ ให้ได้ธรรมะใส่ตนเอง แม้ภาษาเชยๆ แต่ว่าก็รู้ว่าธรรมะดี แต่บางคนก็เฉยเมย บางทีรังเกียจด้วยซ้ำ ถ้าธรรมะมาก็หลีกไกล แต่ถ้าอธรรมมาก็เดินใส่เลย ทุกวันนี้คนเห็นธรรมะเป็นของขี้เหร่ แต่อาตมาเห็นธรรมะเป็นสิ่งวิเศษ

       อาตมาได้เทศน์เมื่อวานถึงการตั้งจิตตั้งใจ แล้วพากเพียรอุตสาหะทำให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าได้รู้จักกิเลสแล้วลดกิเลสได้นี่แหละคือเจริญแท้ ชีวิตจะก้าวหน้ามีคุณค่า แก่มนุษยชาติ

       คำโกหกมีเล่ห์เหลี่ยม ใช้กันตลอดทำให้สังคมประเทศชาติถูกมอมเมา คนชั่วทำแรงได้ ความชั่วจึงมีแรง เพราะคำว่ารุนแรงคำเดียวนี่ ความชั่วทำรุนแรงได้ แต่ความดีทำรุนแรงไม่ได้ ยิ่งอวดทีคะนองยิ่งทำชั่วได้มาก เสริมกันรุนแรงขึ้น โลกก็ยิ่งยาก แต่เราก็ต้องมาต้านความชั่วกัน ปรากฏการณ์ของประเทศไทย ณ ลมหายใจเฮือกนี้ แม้จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ 

       พพจ.ได้เคยตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเป็นเรา ผู้ที่เห็นพพจ.นี่แหละคือผู้เห็นธรรม หรือคนที่จิตวิญญาณตื่นรู้ คนหลงงมงาย ถูกครอบงำด้วยอามิส เอาข้าวของมาประเคนแจกจ่าย หรือทางจิตใจก็มอมเมาด้วยสนุกสนานรื่นเริง บำเรออัตตา คือเราต้องการอย่างนี้ เราต้องเอาชนะให้ได้ เราต้องการเอาเปรียบก็เอาเปรียบได้ ให้ได้ตามใจที่ต้องการแม้จะผิด เลวทรามต่ำช้า ก็ทำอย่างตามต้องการ ทำอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีใครเอาโทษอะไรเขาก็หลงคะนอง จนคนหลงไม่มีใครไปทักท้วง จนเจ้าหน้าที่ก็ไม่ยอมทำหน้าที่

       บัดนี้ คนไทย กล้ากบฏ ออกมาต้าน  อย่างรัฐบาลรวมกันกันชิงอำนาจโกหกมดเท็จ ออกมาต่อต้านศาลรัฐธรรมนูญ ที่ชี้เหตุผลกัน ประกาศไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญ มันถึงขนาดนี้แล้วมันสุดๆจริงๆเลย รัฐธรรมนูญเป็นหลักกการที่ยิ่งใหญ่ที่สากลยอมรับ แต่คณะที่ได้อำนาจในไทย อาจหาญออกมาบังอาจออกมาไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ มันเลวร้ายสุดๆแล้วมนุษยชาติ

       ผู้ที่ไม่เอนเอียงถูกครอบงำก็ตื่นตัว มีผู้อาจหาญออกมาต้าน แม้ถูกคุกคามทำร้ายตายไปหลายศพ ประชาชนไม่ยอมแล้ว ออกมาต้าน ดีมากเลย นี่คือปรากฏการณ์สังคมประเทศตื่นรู้ ออกมาแสดงเสียง 1 คน 1 เสียง ฝ่ายตรงข้ามก็ออกมาบอกว่า 1 คน 1เสียง ออกมาเลือกตั้ง แต่ว่าทำด้วยอำนาจ สารพัด ข่มขี่คุกคาม ใช้อำนาจ เขาทำได้ เขาถึงท้าทายให้ไปเลือกตั้ง อันนี้เป็นการหลอก ให้คนเชื่อว่าปชต.คือการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะเขาได้เปรียบ เขามีค่ายกลการเมือง ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขา เขาถือเป็นไม้ตาย

       ประชาชนได้วิจารณญาณอย่างซื่อสัตย์ อย่ารับฟังข้อมูลด้านเดียว ดูแต่ช่องนั้นแหละ คนที่ดูทุกช่อง คนที่รับข่าวสารทุกทิศก็จะรู้ทั่ว แม้ข่าวสารก็ถูกครอบงำ ถูกซื้อ อย่างวันนี้ทุกฉบับต้องขึ้นข่าวในหลวงที่ตรัสเมื่อคืนนี้ นสพ.ต้องขึ้นหัวไม้ ประเด็นที่ในหลวงตรัส ก็เป็นกลางๆ แต่มีแนวโน้ม อย่างคืนนี้ ผู้ที่จับประเด็นในสื่อสารเขาเอียงข้างไหนก็จะรู้ได้ นสพ.ส่วนใหญ่ ก็จะเห็นว่า ในหลวงท่านตรัสที่สำคัญมีประเด็นคือ ให้ระลึกถึงส่วนรวม ให้นึกถึงความเป็นไทย แล้วก็ให้ทำเพื่อส่วนรวม

       ให้งานบรรลุผล งานอะไร ก็งานการเมือง งานส่วนรวมนี่แหละ ย่ิงในเมืองไทยนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นมหัศจรรย์มาก คือประชาชนมานับล้านปักหลักอยู่ที่ถ.ราชดำเนิน ก็ออกมายึดพื้นที่ถนน ตั้งแต่ราชดำเนินในจนถึงราชดำเนินนอก เป็นถนนสายใหญ่นะ ยึดพื้นที่พักค้าง กินนอนอยู่เป็นเดือน หลายเดือนแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะอยู่อีกกี่เดือน ถ้าจะลากยาวไปถึงปีจะพากันอยู่ได้ไหม? ….ส่วนใหญ่ตอบว่า..ได้

       พวกเราที่ได้ฝึกฝนบ้างแล้วก็ดี แม้ผู้ไม่ฝึกฝน แต่เมื่อมารวมกัน จิตวิญญาณคนที่ได้ฝึกฝน ก็จะเสียสละช่วยเหลือ คนก็จะเห็นตัวอย่างไร ก็จะมีจิตสำนึกที่จะออกมาช่วย ตั้งแต่เล็กน้อย จนมามากขึ้น จนมาพักค้าง จนมาร่วมเป็นปึกแผ่นได้ ส่ิงเหล่านี้คนเห็นได้                                                                                                                  คนกล้ามาทำส่ิงดีที่เป็นธรรมะ คือการออกมารวมกันต้าน อธรรม ซึ่งอธรรมได้บัลลัก์บริหารประเทศ นำเงินของประเทศมาซื้อตัวบุคคล เมื่อได้บัลลังก์ก็เอาไปเป็นอำนาจซ้อนซื้อองค์กร ซื้อคนในประเทศไทยนี่คือวิธีการเลวร้ายตำ่ช้าของคณะบริหารประเทศ เมื่อประชาชนตื่นรู้ ผู้มีหลักฐานก็เอาออกมายืนยันทั้งที่กล้าๆกลัวๆก็ออกมากัน ส่วนคนไม่กล้าก็ไม่ออกมา ผู้กล้าก็ออกมายืนยัน ตายเป็นตาย  ซึ่งเมื่อเปิดเผยส่ิงไม่ดีงามของเขา เขาก็ต้องออกมาจัดการ ต่อต้าน ก็เป็นเรื่องที่มันเป็นไป

       ประเทศไทยมีสิ่งประเสริฐคือ ออกมาประท้วงอย่างสงบไม่มีอาวุธ นี่แหละคืออาวุธหรือปุญญาวุธอันยิ่งใหญ่ ที่พาทำมานี่ส่วนรวม องค์รวมที่สัมผัสได้ บริสุทธิ์สะอาด แต่มีปนเปมาบ้างไม่มาก ที่ไม่สะอาด เราต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ แล้วใช้บุญญาวุธนี้ทำต่อไป เขาทำร้ายเราเราไม่ตอบโต้ ตายไปก็ช่วยกันจัดงานศพ แล้วก็มาอยู่สู้ต่อไป ซึ่งปล่อยไปไม่ได้ มันเลวร้ายสุดแล้ว ถ้าลัทธิอุบาศก์นี่อยู่ต่อไปแล้วเขาชนะ ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ไม่พัฒนาอย่างมากในโลก

       ควรออกมาให้มากขึ้นเร็วขึ้นอีก รวมกันให้เป็นอำนาจพิเศษ ถ้าปี 2557 เป็นปีม้า ซึ่งม้านี่วิ่งเร็วนะ ส่วนงูนี้ว่ิงช้านะ ปีนี้มีนิมิตดีมากเลย ปีนี้เข้าสู่ปีม้าแล้ว ให้เข้ามาร่วมกันเพื่อ วิชิตอวิชชา เหมือนสมเด็จปู่ ปางวิชิตอวิชชา นี่เป็นต้นแบบเลยที่เวทีนี้ เพื่อให้ใช้แนวคิดอันนี้มาพัฒนาสังคมประเทศชาติ ถ้าคนตื่นรู้แล้วมาช่วยกันให้มากขึ้น อาตมาเชื่อว่าทันกาล คือขณะนี้เขาเดินบทกันในอำนาจรัฐจะให้มีเลือกตั้ง เขาได้เปรียบในขุมเลือกตั้งที่เป็นค่ายกลสำคัญที่ไปครอบงำประเทศ ใช้สื่อสารโฆษณาชวนเชื่อไปทั่วประเทศ

       เราไม่ปฏิเสธหลักกการของการเลือกตั้งหรือรัฐธรรมนูญ แต่พฤติกรรมเขาปฏิเสธรัฐธรรมนูญแล้ว เขาต้องเอาหลักที่เขาได้เปรียบมาทำ เราต้องอาริยะขัดขืน ไม่ให้คุณทำตามใจคุณ ขอให้ออกมาร่วมกันต่อต้าน แล้วให้ประชาชนร่วมกันปฏิรูป วางหลักเกณฑ์ใหม่ ถ้าคราวนี้ไม่สำเร็จ อาตมาไม่เอาแล้วประเทศไทย จะไปหาที่อยู่ประเทศอื่นแล้วที่เคยคิดนะ ถ้าประชาชนดูดาย แพ้ครั้งนี้อาตมาจะหลบอยู่เฉพาะหมู่กลุ่มพัฒนาตนเองให้กาย วาจาใจดีในกลุ่มเราเท่านั้น จะโดยแกล้งก็หลบ ทำดีในกลุ่มแคบๆ จนกว่าจะตาย คนอยู่ต่อก็สืบสานต่อ

       ปีใหม่นี่แปลกนะ คนไทยมาอยู่รวมกันที่ราชดำเนินแล้วเป็นพี่เป็นน้อง มีสาธารณโภคี คือของกินของใช้ เงินทอง รวมกันเป็นกองกลาง อย่าเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มากนั้น พยายามลดละลงไป ก็จะไม่เปลืองผลาญ และเราขยันทำงานช่วยกัน แม้จะเป็นกลุ่มลำลองมารวมที่ราชดำเนินจะไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่ก็พอเป็นไป ยิ่งหัดปล่อยวาง เป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายไปง่าย ไม่ยึดที่อยู่ ไม่ต้องหรูหราฟู่ฟ่างดงามติดยึดมาก มันไม่มีเชื้อโรคก็ใช้ได้แล้วอาจดูดำแต่ไม่มีเชื้อโรค ให้ความเป็นอยู่อย่างนี้ ควรปลูกฝัง

       อาตมาทำเช่นนี้จนเป็นหมู่กลุ่มอโศกพัฒนาจนมีปริมาณมากขึ้น ก็ออกมาช่่วยทำงานในถ.ราชดำเนินนี้ ด้วยเต็มใจ ภาคภูมิใจ ที่เราได้เสียสละรับใช้

       ตอนนี้งานสำคัญคือมาล้มล้างคณะบริหารที่ล้มละลายโดยสัจธรรมแล้ว แต่เราไม่ทำรุนแรง ไม่บังคับให้เขาเลิกเอง แต่เขาดื้อด้านดึงดันอยู่ต่อ เราก็ต้องมาต่อต้านต่อ ให้เขาวางให้เขาหยุดให้ได้ แล้วประชาชนก็จะได้มาบริหารต่อ เราไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดรัฐธรรมนูญ อย่างมาตรา 2 และ 3 ก็ยืนยัน ว่าอธิปไตยเป็นของประชาชน ใครจะมาหยิบไปไม่ได้ แม้จะเลือกผู้แทนให้ไปออกกฎหมายและบริหารแต่เขาทำไม่ดี ทำให้ฉิบหายแล้ว ศาลตัดสินแล้ว เราก็ออกมายืนยันให้เขาออก แต่เราไม่บังคับ  เขาก็ด้านอยู่ต่อ

       เราก็ต้องมากันให้มาก เราทำต่อไป เช่นตามเลย อย่างนายกฯเขาไม่ยอมวางมือบอกดีๆไม่ออก เราก็ยกทัพไปถือไม้จิ้มฟันไปคนละอัน ไปสัก 30 ล้านคนไปรุมล้อมนายกฯ เขาก็ต้องออก หรือใช้นกหวีดก็ได้ เชื่อว่าคนไทยต้องเข้าใจนะ เราใช้ความสงบสยบความรุนแรงมาได้ขนาดนี้ เราต้องพยายามรักษาความสงบ เอาความสงบปราบกระบอกปืน เขาอาจยิงเราบ้าง แต่เราไม่จำนน ตายหนึ่งเกิดล้าน ๆ คนตายก็เก็บศพ ออกมากันเพิ่มอีก ไม่ชนะให้รู้กันไป

       ขอกล่าวถึงตำรวจ ที่ตอนนี้ใช้ความไม่เป็นธรรม ตำรวจน่าจะคิดได้ ว่าขณะนี้คนไทยตื่นตัว ออกมาเป็นมวลมหาประชาชนในชีวิตของตำรวจก็น่าจะรู้ว่ายังไม่เคยมีเลยที่ประชาชนคนไทยจะออกมาประท้วง อย่างถูกต้องดีงาม ตำรวจน่าจะเห็นได้นะว่าประชาชนออกมาประท้วงเรื่องอะไร เรื่องคอรัปชั่น เรื่องโกงกิน เรื่องโกหก เขาก็น่าจะรู้ได้ ทำผิดแล้วจะให้คนยกโทษ ออกกฏหมายล้างผิดเป็นต้น เป็นวิธีการผิดทั้งนั้นเลย ตุลาการตัดสินชัดอยู่แล้ว สรุปแล้ว มวลประชาชนเป็นฝ่ายถูก เขาก็น่าจะรู้ได้ แล้วตำรวจเป็นศัตรูกับประชาชนที่เป็นฝ่ายถูกนี้โง่ไหม คิดผิดไหม เขาจะดันทุรังกันทำไม ถ้าเขาจะมาเข้าข้างประชาชนมาประกาศตนซะมาอยู่ข้างประชาชน ส่วนประชาชนก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าตำรวจจะมาแก้แค้น มวลมหาประชาชน ถ้าขืนทำไปจะแพ้ภัยตัวนะ ควรแก้กลับออกมาร่วมต่อสู้กับประชาชน แต่งเครื่องแบบมาเลย อาตมาเชื่อว่าประชาชนคนไทยให้อภัย

       ถ้าไทยนี้เกิดปรากฏการณ์ได้ จะลือลั่นทั่วโลกเลย อยากขอยำ้ยืนยันว่า กลุ่มประชาชนที่ออกมาประท้วงไม่ใช่คนโง่  ให้ประชาชนติดเครื่องรอเลย ถ้าเสียงนกหวีดดังเมื่อไหร่เหยียบคันเร่งเลย แต่ระวังชนกันเองนะ คนฉลาดจะมีมากกว่าคนโง่ แต่เขาปล่อยปละละเลยเป็นไทยเฉยมามากแล้ว จนอาตมาสงสารในหลวง ท่านต้องตั้งโครงการของท่านว่า ชั่วหัวมัน เป็นการเตือนสติสังคมประเทศไทย ให้รู้ว่าทำไมเป็นคนชั่งหัวมันถึงปานนี้ ทำไมคนไทยเป็นคนไม่ดูดำดูดีสังคมประเทศชาติขนาดนี้ แต่ตอนนี้ก็ออกมาช่วยกันมากแล้ว อาตมาขอร่วมมือกับกลุ่มนี้ จนกว่าจะชนะ ถ้าแพ้ก็ขอเลิกนะ ไปอยู่ประเทศอื่นดีกว่า ไปลาวก็ได้ ไปสมัครเป็นคนลาว อาตมาพูดภาษาอีสานได้นะ เขาต้องการอาตมาสอนธรรมะเป็นนะ หรือพม่าก็ได้ ตอนนี้เราเชื่อมโยงกับพม่าที่จะสัมพันธ์กัน เราทำตามประสา มีเจตนาดีทำกับสังคมประเทศชาติ เรามักน้อยสันโดษ ลดโลภ โกรธหลงจริง เราได้มรรคผลจริง ลดกิเลสจริง จนเกิดกลุ่มหมู่ มีพฤติภาพในสังคมไทยขณะนี้คือชาวอโศก เราก็จะทำด้วยสุจริตจริงใจ ตามที่เราได้ลดกิเลสได้จริง แล้วรับใช้สังคมด้วยบริสุทธิ์ใจ แบบสาธารณโภคีนี้ทำยาก เพราะไม่สะสม ไม่เอาเปรียบ มักน้อย

       เราทำเรื่องพื่้นฐานของชีวิตได้ ปลูกผักได้เราก็เอามาช่วยกัน และอื่นๆไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะคนปฏิบัติธรรม พพจ.อย่างสัมมาทิฏฐิจะไม่หนีไปจากสังคม แต่จะอยู่กับสังคม พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ตอนนี้เราขอรับใช้ประเทศไทยก่อน นอกจากเราจะแพ้คราวนี้เราก็ขอหยุดก่อน เราจะอยู่กลับหมู่กลุ่มเล็กๆ จนกว่าจะตายพวกเราก็สื่อสารต่อไป อาตมามีหมู่กลุ่มที่เอาตัวรอดแล้ว ขอยืนยันว่าจะไม่เป็นหมู่กลุ่มที่เอาเปรียบสังคม แต่จะเป็นผู้ให้แก่สังคม ให้ไปสืบสาวได้เลย ไม่ทำเหมือนรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ตอนนี้แน่นอน ถ้าผู้ใดเห็นว่าจะร่วมไม้ร่วมมือก็เชิญ ยินดีต้อนรับและต้องการอย่างยิ่ง....เจริญธรรม


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:01:31 )

570102

รายละเอียด

570102_พ่อครูและอ.กฤษฎา เวทีมัฆวานฯเรื่อง ชนะตนได้จึงเรียกว่าชนะสงคราม

      อ.กฤษฎาว่า..วันนี้มาโดยธรรม รายการนี้เป็นรายการเล่าความเป็นไปทางโลกและทางธรรม ปีนี้ปีชง ชงอันนี้เป็นชงของมวลมหาประชาชน จะเป็นอย่างไร

       เมื่อสักครู่นี้ลุงชัยมาพูดว่า เราชนะแน่ แล้วถ้าเราแพ้ขึ้นมาล่ะ วันนี้ตั้งคำถามพ่อครูว่า อะไรจะเป็นเหตุปัจจัยให้มวลมหาประชาชนชนะ และอะไรจะก่อโอกาสให้เราพ่ายแพ้ ถ้าเรานึกถึง ในสมัยพุทธกาล ที่อลัชชีส่งไส้ศึกเข้ามาแล้วให้เกิดความพ่ายแพ้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

       พ่อครูว่า...ประเด็นสำคัญว่า อาตมาตั้งแต่เริ่มชุมนุมก็ได้บอกเสมอว่า เรามาประท้วงนี่เราไม่เอาแพ้เอาชนะ แต่เราจะต้องทำให้เกิดความชนะให้ได้เสมอ ความชนะเราไม่ใช่ว่าเราจะไปเข่นฆ่าใคร ข่มใครได้ หรือเจริญด้วยรูปลักษณ์ ชนะด้วยแรงด้วยอะไรที่เลยหน้าเขาไปเราก็ชนะ เราก็ไม่แข่งตรงนี้ แต่เราจะเลยหน้าความประพฤติของเรา        เราจะอยู่ในเหตุการณ์ใดสิ่งแวดล้อมใดหรือในสงครามใด เรากำลังอยู่ในสนามรบ เราคิดถึงสถาวะของตัวเราว่าเราได้สิ่งดีงาม ถ้าสิ่งดีงามเราได้ก้าวหน้าเสมอๆ ในเรื่องเหตุการณ์แวดล้อม หรือใครจะมุ่งหมายว่าจะต้องเลยหน้าจะชนะ อันนั้นมันสมใจได้สูงสุด ถ้าแม้ว่าเราชนะเขาเราเลยหน้า เรียกว่าชนะเขา ในสงคราม ถ้าเราชนะตรงนั้นแต่ความประพฤติของเราเลวร้ายนั้นหนึ่ง แม้เราจะชนะสงคราม ในจุดมุ่งหมาย แต่อาตมาว่า อาตมาไม่ทำ ชนะอย่างนั้นไม่ทำ แต่โลกเขามุ่งหมายนะ

       โลกมุ่งหมายการกระทำที่จะผิดกฎหมายจะเลวทรามต่ำช้า จะเล่ห์กล ทุจริตก็ทำได้ทุกอย่าง ขอให้กูชนะ ผู้ที่เข้าใจและทำอย่างนี้นั้นขาดทุนยับเยิน ไม่มีประตูได้เลย แม้จะชนะศึกแต่ได้สร้างบาปแก่ตนเอง ตรงที่ว่า ชนะแบบนั้นจะสร้างความประพฤติอันเลวร้าย ให้เขาทำตาม สังคมก็จะเลวลง นี่คือการทำให้ทุกอย่างเสื่อมโดยธรรม มีแต่อบายความเสื่อมต่ำ

       จะล้ำหน้าหรือจะทำฟาวล์ เพื่อให้ชนะ เพื่อให้ถึงเส้นชัยก่อน จะใช้อะไรก็แล้วแต่ แบบนี้ อย่างเช่นตำรวจที่สารภาพว่าที่อยู่บนตึกหลังคาตึกก็คือตำรวจ แต่ยังปากแข็งอยู่ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง แย้งไปจนกว่าเขาจะได้เปรียบ สรุปแล้วคำว่า ชนะคำนี้ จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง

       อาตมาทำงานทุกวันนี้กับพวกเรา เห็นว่าพวกเราชนะตลอดเวลา ก้าวหน้าตลอดเวลา ก้าวหน้าในพฤติกรรม อย่างน้อยเราได้มาเสียสละ แค่ตื้นๆคือมาเป็นมวล นี่แหละเรามาชุมนุมทุกวันๆ อยู่กันเรือนหมื่นขึ้นๆ ยิ่งหลายหมื่นก็ย่ิงดี แค่นี้มาเป็นมวล นัดกันมาหลายครา ก็ได้มาเพ่ิมขึ้นๆ จาก 1 ล้านเป็น 5 ล้าน มาเป็นยิ่งกว่า 5 ล้าน คราวนี้วันที่ 13 นี้จะมากขึ้น เพราะมันยาวนานไป คนก็มีภาระอะไรสารพัด แต่อย่าหาว่าชี้โพรงให้กระรอกปล่อยให้พวกเราอ้างว้างอยู่ไม่กี่คน

       เราก็ชนะรายทางมาเรื่อยๆ คนอยู่ก็เป็นหลักอยู่ มีอัตราการก้าวหน้า เพ่ิมขึ้นตามลำดับ ซึ่งอัตราการก้าวหน้าเป็นเชิงบวก เช่นบวก 1 บวก 2 บวก 4 บวก 8 ไปเรื่อยๆ เป็นต้นทุนและมีอัตราการก้าวหน้าสะสมไปเรื่อยๆ จนก้าวหน้าถึงขั้น

       อย่างแรกเรียกว่าเชื่อถือ คือเชื่อต่อกันมา แต่ถ้ามากกว่าเชื่อถือคือความเชื่อฟัง จากเชื่อฟังก็เป็นศรัทธินทรีย์ ก็มีอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้น สุดท้ายเป็น ศรัทธาพละ ก็ตั้งมั่นเชื่อมั่น มันมีผลครบสมบูรณ์เลยความเชื่อมั่น ถ้าเชื่อมั่นสมบูรณ์ก็จะมีตัวปัญญา มีเหตุผลมีสภาวะรองรับด้วย ความอ่อนแอไม่แข็งแรงก็หายไป

       อย่างคนจะเดิน 20 กฎหมายต่อเนื่องนี่ต้องมีศรัทธาพละ อย่างกำนันสุเทพนี่ ตอนแรกก็เดินไม่มาก แต่ต่อไปก็เดินมากขึ้นๆ เพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงที่ไหน และหลังเดินยังไปพูดอีก มีกัมมัญญา เข้าใจเชื่อมั่น มีพลัง ใจมีปัญญา เป็นของจริง ถ้าไม่มีปรมัตถ์ไม่มีของจริงรองรับก็ยาก นี่ไม่ใช่พูดประเล้าประโลมกันแต่พูดสัจธรรม

       อาตมาว่าเรามาประท้วงกัน ในยุคนี้ตั้งแต่พศ.49 แรกเริ่มเลย  ต่อมาก็ไปสนามหลวงเรื่อยมาหลายปีจนมาปี 56 ก็มีการพัฒนามาเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่พัฒนาโลกีย์ ซึ่งเราก็พัฒนารูปแบบโลกีย์ด้วยแต่เราทำประโยชน์ทางธรรมด้วย ขณะนี้เราชุมนุมด้วยแรงศรัทธา ที่ไม่มีอาวุธแน่นอนในแกนกลางไม่นับรอบนอกหลวมๆนะ ที่มาแฝงไม่นับ ก็เป็นได้ แต่อัตราการก้าวหน้าเจริญ เราออกมาชุมนุมประท้วงด้วยสงบ และไขความจริง ความรู้ ที่ถูกต้องดีงาม มาบอก ขยายความ เอาหลักฐานมาอ้างอิง ยืนยัน สิ่งเหล่านี้คือของจริงที่พัฒนามาเรื่อยๆ พวกเราเจริญขึ้น ไม่เฉพาะพวกเรา แม้แต่ศัตรู(เรียกโดยสำนวนเพราะเป็นคนไทยด้วยกันไม่ใช่ศัตรู)ที่เราจะให้เขาหยุดหรือคู่ต่อสู้ของเรา เขาก็เปลี่ยนแปลงท่าทีดีขึ้นมา คือรุนแรงน้อยลง เทียบตอนปี 54 ก็แย่เลย แต่ตอนนี้ลดลงๆ เปลี่ยนไปเยอะเลย ก็พัฒนาขึ้น

       มาถึงครั้งนี้เราก้าวหน้าไปไกล เข้าใจตามที่อาตมามีความรู้เท่าที่มี ในต่างประเทศรอบโลก ก็ว่าไทยเรานี่ ชุมนุมประท้วงที่เรานี่ก้าวหน้าไกลกว่าทุกประเทศ เท่าที่ตามข่าว ซึ่งเขาทำรุนแรงหยาบกว่าเราเยอะเลย มีเลือดตกยางออก แต่ของเรานี่ก้าวหน้า

       ถ้าเทียบกับแรกๆก็เห็นความสงบเรียบร้อยได้ดี แม้แต่พวกเราความหวาดกลัวก็เบาลงลดลง จนกระทั่ง แทบจะไม่กลัวกันแล้ว จะตูมจะตามก็ไม่กลัว

       ถือว่าเป็นการพัฒนาสังคม คราวนี้อาตมาว่าเป็นรอบที่ได้ผลสูงมากเลย เสร็จคราวนี้ พฤติกรรมสังคมจะเปลี่ยนแปลงจะเดิมมาก แม้ว่าเราจะชนะหรือแพ้ ถ้ายิ่งชนะก็พลิกเปลี่ยนไปมหาศาลเลย รธน.กฎหมายจะออกมาอย่างวิเศษเลย แม้ว่าเราจะแพ้ก็เปลี่ยนแปลง เพราะประชาชนเข้าใจเพ่ิมขึ้น ในค่าเฉลี่ย ก้าวหน้าไม่เสียหลาย ทุกคนแบ่งเอากุศลไปเลยที่มาช่วยกัน

       อ.กฤษฎาว่า...เห็นด้วยครับ อย่างผมไปหลายจังหวัด เห็นปรากฏการณ์ว่าเห็นธงชาติติดธงชาติ จะมีความเป็นพี่น้อง ความเป็นไทยส่งถึงกัน เราเป็นคนไทยมีน้ำใจ เป็นรูปธรรมที่เห็นชัด ว่าความก้าวหน้าเป็นลำดับๆ อย่างน้อย มวลมหาประชาชนมีมิตรไมตรี เมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเป็นธรรมฤทธิ์ เป็นสยามเทวาธิราช

       พ่อครูว่า...พอดีมีคำถามมาทาง 107.9. ส.บินก้าวส่งมา

      1.ทำไมการชนะตนจึงจัดว่าเป็นความชนะที่ประเสริฐ ที่แท้ ..ตอบ...การชนะตนนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ การชนะตนเป็นส่ิงแท้ส่ิงประเสริฐ

       เพราะว่า คนเราในโลกีย์ มันตั้งต้นตั้งใจเอาชนะแย่งลาภยศสรรเสริญ แย่งกาม แย่งโลกธรรม ก็แย่งกันทั้งนั้น ถ้าแย่งได้ถือว่าชนะ ซึ่งต้องแย่งมาจากคนอื่น พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นไม่ถูกต้องไปเบียดเบียนคนอื่น เป็นการเห็นแก่ตัว การชนะตัวตนได้คือการไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัวก็ไปเบียดเบียนคนอื่น ถ้าเราไม่แย่งจะได้ไหม? เราอยากจะมีลาภ เป็นลาภธัมมิกา ก็สร้างสมรรถนะความรู้สามารถ ทำเอา เป็นลาภอันประเสริฐไม่เบียดเลยใคร

       ถ้าเราเลิกเบียดเบียนที่จะไปเอาจากคนอื่น แต่เราสร้างเอง ได้ลาภโดยธรรม แล้วได้มากเราก็แบ่งแจกคนอื่น เราสร้างสิ่งจำเป็นอาศัยใช้สอย เราถนัดอันนี้เก่ง เป็นของที่คนใช้กัน เราทำได้มาก เราก็ไปแลกอันอื่นที่เราไม่ได้สร้างแต่เราต้องใช้ สังคมก็จะอยู่กันอย่างเผื่อแผ่เจือจานกัน โบราณกันก็ใช้ของแลกของ แต่ของมีค่ามากขึ้นก็เขียนตั๋วแลกกัน ของมันแลกกันแต่เหลือค่าอยู่ก็เขียนตั๋วค้างไว้ เรียกว่าตั๋วแลกเงิน คุณก็มีหนี้อยู่ 500 แต่ตอนนี้มันเกิดตั๋วแลกเงินกลางมากมาย เรียกว่าธนบัตร ก็เกิดจากตั๋วแลกเงิน เกิดจากการตีราคาค่าของ แต่ก่อนก็แลกกันไม่ถือว่าค่ามากหรือน้อย ไม่คิดเล็กคิดน้อยไม่คิดว่าได้เปรียบเสียเปรียบ จนกระทั่งมาเป็นตั๋วแลกเงิน เพราะคิดว่าไม่เท่ากัน ก็กลายเป็นธนบัตรเป็นตั๋วแลกเงิน กลายเป็นใบกระดาษสารพัดนึก แลกกันได้ทั่วโลกเลย

       สรุปคือถ้าเราไม่เอาเปรียบ ไม่โลภไม่เห็นแก่ตัว ลดกิเลสได้ เราไม่แย่งชิงเอาเปรียบเอารัดไม่มักได้แย่งชิง โลกจะสงบสุข เหลือเฟือ เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากจนกระทั่งมากจนเผื่อพอ แล้วไปหลงดีใจว่าถ้าเราโกงได้มากยิ่งดี เรามีความสามารถ ก็เอามาสะสมกอบโกยเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพ่ิมได้ไม่หยุดยั้ง ยิ่งอ้างว่าเอาไว้ให้แก่ตระกูลลูกหลานอีก แม้ไม่มีลูกหลานก็ยังโลภเลย โง่จนกระทั่ง ไม่รู้จักพอ กิเลสนี่โง่ทำให้สังคมเสื่อม หนักเข้าโลภแรงก็เกิดจากกิเลสตัวนี้จริงๆ

       อ.กฤษฎาว่า...ถ้าเรารู้จักพอเพียงอยู่สันโดษก็คือรู้จักความเป็นไปของชีวิต ดูเหมือนว่าอโศกมีหนังสือสรรค่าสร้างคน จะตอบปัญหาชีวิตที่พ่อครูได้ตอบมาได้มาก

       พ่อครูว่า...ในนี้บางที่มาจากไตรปิฎก แต่ส่วนมากนำมาจากที่อาตมาได้พูดได้ เป็นหนังสือสรรค่าสร้างคน ตั้งแต่หัวข้อแรกเลยคือหลักการทำงาน ซึ่งทำงานแล้วจะก้าวหน้า เป็นการชนะตัวเอง

       หัวข้อที่ถามมาก็คือชนะตัวเองประเสริฐแท้ เพราะว่าโลกเห็นแก่ตัว แต่เรากลับมาเสียสละ ทำให้ได้เถอะชนะตัวตนที่จะเอามาให้แก่ตัว พระอรหันต์ทำได้ พึ่งตนรอด แล้วทำงานให้เหลือเกินกินเกินใช้ กล้าจนกระทั่งไม่ต้องสะสม มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิภัทธา เม ชีวิกา ชีวิตก็เนื่องด้วยผู้อื่นเลี้ยงไว้ เพราะเห็นคุณค่าเรา เขาก็หามาให้ใช้

        2.ก็เขามาทำให้เราบาดเจ็บล้มตาย แล้วเราไม่ตอบโต้อะไร การชนะตนเองจะต้องทำตนเหมือนฝึกมวยไว้รับไม่รุกเหมือนออกกำลังกาย...ตอบ เราฝึกรับได้ แต่ว่าคุณฝึกไว้นี่ท่าทีมันฝึกไว้จะรุกเขานะ เราทำแบบรับได้ มันลึกซึ้ง เป็นเรื่องกรรมวิบาก เราไม่ทำตอบเขาได้นี่ประเสริฐแล้ว เราก็ไม่มีวิบากเพิ่มเติม ถ้าเราตอบโต้ เขาก็ไม่หยุด จะตบไปตบมา ฆ่าไปฆ่ากันมา มีAction ก็มีReaction ถ้าจะป้องกันตัวก็ทำได้ แต่ต้องฝึกใจไม่ให้ทำร้ายเขา เพราะย่ิงคุณฝึกตนให้มีความสามารถย่ิงอยากจะตอบโต้อยากลองของมันก็ไม่ดี มันมีหลักประกันที่จิตตนไม่เห็นแก่ตัว ฝึกตายก็ยอมได้ คุณฝึกป้องกันตัวไปเถอะ แต่ถ้าถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องป้องกันตัว เกื้อกูลให้เขาเลย เรามีน้ำใจให้เขา แค่นี้เขาก็ไม่ทำร้ายเราแล้ว ยิ่งมีลีลาช่วยเขาทั้งกาย วาจา ใจ รับรองเขาแพ้อยู่แล้ว ไม่ต้องไปฝึกป้องกันตัว

         3.ถ้าผมเหลืออดโดนไล่ล่า แล้วอดไม่ไหวจะบาปไหม นับ 1ถึง 10 หลายรอบแล้ว

       ตอบ...บาปแน่นอน บาปคือกิเลสคือเหลืออดตอบโต้ไปก็บาป ถ้าคุณอดไหวไม่ตอบโต้ ไม่ด่าตอบ ไม่ทำกายกรรมเลย ไม่ออกมาเลย เหลือแต่ข้างในเขาไม่รู้ก็ไม่มีแรงตอบโต้มากนักเพราะคุณไม่แสดงออกทางกาย วาจา แม้คุณจะโกรธ แต่คุณกลบเกลื่อนได้ก็ดี แต่จะให้ดีก็ทำใจไม่ให้สะสมกิเลส เพราะถ้าสะสมตกผลึกกิเลสมาก็ระเบิดได้ อย่างนี้เป็นสัจธรรม

       คนที่จะกล้าไม่โต้ตอบจริง ต้องมีคุณธรรมจริง ไม่มีใจตอบโต้แก้แค้น กิเลสมันมีแรงไม่มากพอที่จะให้เกิดทางกาย วาจาตอบโต้เขาก็เป็นคุณธรรมระดับหนึ่ง

       อ.กฤษฎาว่า...การไม่กลัวตาย พูดเหมือนกันแต่บางทีจะไปตอบโต้เขามันคนละสภาวะ

       พ่อครูว่า..การไม่ตอบโต้ไม่กลัวตายด้วย ก็เป็นส่ิงประเสิรฐ เขาจะทำเราลดลงๆ ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง เช่นหมาต่อสู้กัน ตัวไหนยอมแพ้ก็หางงอลงไป มันก็ไม่ทำร้าย มันแค่แสดงเดินอาจๆไปแค่นั้น มันจะไม่ทำคนที่ยอมแพ้ เป็นสัญชาติญาณสัตว์โลก คนไหนที่ยอมแล้วยังไปทำร้ายเขาอีกนี่เลวกว่าหมาอีก เขายอมแล้วยังไปซ้ำเติมอีก อันนี้สู้หมาได้ เลวกว่าหมา เป็นหมายิ่งกว่าหมา เป็นเรื่องลึกซึ้ง ถ้าไม่ฝึกทำไม่ได้ สังคมเราถ้าไม่ฝึกธรรมะ โลกเขายอมไม่ได้ตบมาไม่ตบตอบก็ไม่ใช่คนสิ ต้องทำตอบสิ อย่างนี้โลกๆเขาคิดกัน

       อย่างพวกเรามีคนชื่อหินไท ขณะเกิดคดีสันติอโศก เขานำสืบที่วัดมหาธาตุ ก็มีกองเชียร์ฝ่ายโน้นเขา เป็นผู้หญิงเกิดโกรธอะไรขึ้นมา ก็ตบหน้าคุณหินไทที่เป็นชาย กลางสาธารณชน ทั้งที่เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขา แค่ถ่ายรูปแค่นั้น มีคนเห็นอยู่เยอะ แต่คุณหินไทก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ไม่ทำให้อาตมาขายหน้า เพราะได้รับการฝึกฝนจิตใจแล้วก็ระงับได้

       การตอบโต้ก็ดวงจิตโหดร้าย แต่ถ้ามันเบาบางก็ไม่ตอบโต้ อย่าไปนึกว่าเสีย แต่โดยสัจธรรมเราได้ โดยอหิงสาอโหสิ อาตมาจำได้ว่าเคยเขียนแจกว่า “สันติ อหิงสา อโหสิ” แต่คนเขาก็บอกว่าทำได้แต่สันติ อหิงสา ทำอโหสิไม่ได้ ตกลงคำว่า 3 คำนี้เลยกร่อนไป 2 เหลือแต่ สันติ อหิงสา หมู่ใหญ่เขาก็พูดแต่นี้ ไม่เอาอหิงสา เพราะเขาทำไม่ได้ แต่อโศกเราก็ใช้อหิงสาด้วย

       มาเข้าสู่ทฤษฏีงาน 19 มันเป็นความเจริญสุดยอดของมนุษยชาติ

 

1.มีคนที่ดี 2.มีงานที่ดี 3.มีความรู้ความสามารถ 4.มีเวลาหรือมีโอกาส 5.มีทุนที่เหมาะควร(อย่าไปโลภมามาก) 6.มีสุขภาพและกำลังที่ดี 7.มีความขยันอุตสหะบากบั่น 8.มีหลัก มีระเบียบ มีเป้าหมาย  9.มีการจัดสรรและจัดโครงการ 10.มีการแบ่งงานและประสานเนื่องหนุน 11.มีกะจิตกะใจ มีความใส่ใจ ขวนขวาย ไม่ดูดาย 12.มีการปรับความเข้าใจกัน ให้เกิดความสามัคคีอยู่เสมอ 13.มีการขัดเกลา ปฏิบัติ ละกิเลสเสมอ 14.มีความเห็นดี ยินดี  15.มีความเห็นจริง ซาบซึ้ง เชื่อมั่น 16.มีสติ ปฏิภาณปัญญา 17.มีสมาธิ ฌาน อุเบกขา 18.มีความเสียสละแท้ 19.มีพลังเป็นนำ้หนึ่งใจเดียวกัน(เป็นเอกีภาวะที่มีวิมุติเป็นพลัง)

       วิมุติสำเร็จจริงเป็นอรหันต์จะมีพลัง วิมุติของพระพุทธเจ้าจะมีพลังสร้างสรร ทำงานอยู่กับโลกอย่างมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) คือมีคนที่ดีก็จะมีพลังปัญญา แล้วมีพลังความเพียร ไม่อยู่เฉยหรอก คนจะข้ามโมฆะสงสารได้คือเราไม่พักเราไม่เพียร เราไม่พักอยู่  (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป

เราไม่เพียรอยู่  (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท

เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว  (โอฆมตรินติ)

       ถึงเวลาควรพักก็พักไม่พักก็เพียร แม้เราป่วยเราก็รู้ เราก็พัก คนอาจงงว่าอย่างนี้หรือคือนิพพานไม่เห็นบอกว่าหมดกิเลสเลย แต่นี่คือคุณสมบัติอรหันต์ ทำการงานที่เหมาะควร เป็นพลัง 4

1.   ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)

2.   วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)

3.   อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)

4.   สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)  #

       ที่พาพวกเรามาประท้วงนี่ ปราชญ์จะไม่ติเตียน แต่ผู้ท้วงคือผู้ไม่มีปัญญา

       การมีสุขภาพที่ดี เป็นสมบัติขั้นต้น จากนั้นมีความขยัน มีการจัดสรร เป็นเรื่องของโครงสร้าง จากนั้นเป็นเรื่องของนามธรรม คือ...เป็นคุณสมบัติของจิตวิญญาณ

       ถ้าโลกเขาจะทำงานก็จะต้องบอกว่า มีทุนไหม แต่ถ้าทางธรรมจะตั้งต้นที่มีคนไหม แล้วค่อยมีงาน อาตมาพาคนสร้างสรรให้เกิดงาน แล้วทุนจะอยู่ข้อ 5 โน่น อย่างคุณเป็นลูกจ้างก็ไม่ต้องมีทุน แต่ถ้าได้งานแล้วคุณมีความรู้สามารถคุณทำลงไปก็จะได้ทุน แต่ทุกวันนี้ระบบทุนนิยมจะเร่ิมที่ทุน ไม่พูดถึงคนไม่พูดถึงความรู้สามารถ เป็นเรื่องตลก ทางโลกีย์กับโลกุตระจะต่างกัน เราพาทำนี่เราไม่คำนึงถึงทุน แม้มีทุนมากเราก็ไม่สะสม เป็นเรื่องย้อนแย้ง เราอโศกทำมานี่ตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีทุนมากมายแต่มาด้วยแรงงาน ด้วยเต็มใจ เป็นคนกับเป็นงานมีน้ำใจมา รับรองว่าที่ไหนก็ได้ ขอให้เรามีความรู้สามารถกับพากเพียร ทรัพย์ของคนอยู่ที่ไหน??อยู่ที่เงินหรือธนาคารก็ไม่ใช่ แต่ทรัยพ์อยู่ที่ สมรรถภาพกับความขยัน ถ้าคุณมีความสามารถแต่ไม่ขยันก็ไม่ได้ แต่ขยันแต่โง่ก็ไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ (ความสุจริตด้วยนะในความรู้สามารถ แม้มีรู้สามารถแต่ทุจริตเขาก็จะไล่คุณ แม้ขยันก็ยิ่งจะไล่เร็ว) ถ้าความรู้สามารถแต่เห็นแก่ตัวแก่ได้มีดี

       อาตมาพาพวกเราทำนี่ไม่ห่วงหาอาวรณ์ มีคนห่วงว่า นี่เราตั้งโรงเรียนนะตั้งมา 20 กว่าปีแล้ว คนห่วงว่าเด็กเรามาทำอย่างนี้ไม่เห็นแก่ตัวเอาเปรียบเอารัด แล้วจะออกไปสู้กับสังคมได้หรือ สอนให้เสียสละจะถูกเอาเปรียบได้มากสิ ….คนเขาว่าอย่างนั้น สอนแบบนี้จะไปสู้โลกทันเหลี่ยมทันโลกได้อย่างไร แต่จริงๆแล้วออกไปเซ่อซื่อ แต่ซื่อสัตย์ขยันนี่แหละดีช่วยเขา เราจะได้อยู่กับคนดี คนดีจะเห็นค่าเรา จะเห็นใจ ช่วยเหลือ ยิ่งเราไม่เห็นแก่ตัวขยันอีกต่างหากเขายิ่งอยากได้ อย่างเด็กนร.เราจบอาชีวะเขาก็จองตัวเลย เดี๋ยวนี้รู้แล้วจองตัวก่อนจบเลย  ไปทำงานเรามักน้อยสันโดษ เขาให้เงินเดือนเพิ่มก็ไม่เอาบอกว่าพอแล้ว หรือเขาให้ตั้งเงินเดือนให้เราก็เอาแค่น้อยก็พอ แต่พออยู่ไปก็จะเกิดเห็นว่าอยู่กับเขาไม่ได้ แล้วจะออก เขาก็ไม่ให้ออก จะให้เงินเดือนเพิ่ม แต่ว่าเราก็บอกว่าไม่ใช่เงินเดือนน้อย ที่ให้ก็พอแล้ว แล้วก็ออกมาทำงานอยู่กับพวกเรา มาทำงานฟรี คือจิตมันถึงขีดแล้ว ความสุขกับเงินนี่เมื่อใจเราพอ เราไม่ต้องการมากแล้ว ไม่ตะกละด้วย ไม่หลงโลกเขาที่พาหรูหรา เราไม่หลงเรามีปัญญาพอ แค่นี้พอ จิตมันจริง มันสันโดษคือพอจริง ….


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:07:38 )

570103

รายละเอียด

570103_พ่อครูที่มัฆวานฯเรื่องบรรลุธรรมให้ได้จะไม่เสียชาติเกิด

       พ่อครูว่า....อาตมาก็ย้ำแล้วนะว่าเกิดมาเป็นคน อาตมาสรุปได้ว่า เกิดมาเป็นคนแล้วไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ให้ชีวิตของเราได้ธรรมะ ถ้าไม่ได้ธรรมะชาติหนึ่งก็เกิดมาแล้วตายสูญเปล่า แต่ที่จริงถ้าไม่ได้ธรรมะก็ได้กิเลส ถ้าไม่ศึกษาธรระมอย่างสัมมาทิฏฐิก็ยากที่จะไม่สะสมกิเลสใส่ตน

       ทรัพย์ที่ควรสะสมก็คือธรรมะ ย่ิงยุคนี้ใกล้กลียุค คนห่างไกลธรรมะมาก แม้เมืองไทยก็ตาม เมืองนอกก็ตาม มีหลายประเทศคล้ายกัน มันเดือดร้อนจริงๆเขาจึงออกมาทำ แม้เราก็ตาม ออกมานี่ไม่สนุกหรอก แต่ก็ต้องทำ อาตมาได้เคยพูดถึงธรรมในแนวลึก ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครเคยบรรยาย ซึ่งอาตมาไม่ได้ไปเคยได้ยินได้รู้จากใคร แต่เป็นของอยู่กับอัตภาพของอาตมามาแล้ว

       คนหนึ่งเกิดมาก็มีอัตภาพของตน หรืออัตตา คือตัวตนของคนๆหนึ่ง ที่เป็นนามธรรม ที่เกิดมาแล้วหมุนเวียนในวัฏฏะสงสาร เขาพามีพาเป็นไป อะไรว่าดีก็พยายามพากเพียรให้ตนทำให้เกิดความดีงาม ก็ดี เรียกว่ากุศล ก็ได้อาศัยส่ิงกุศลก็ได้สบายบ้าง หรือได้โลกธรรม ได้กาม อันน่าพอใจ แล้วก็สั่งสมอัตตาตัวเอง ก็ตัวอัตตาคืออัตภาวะ หรือสภาวะหนึ่งที่พัฒนามาตามลำดับของนิยามชีวิต

       จิตนิยามจะสามารถเรียนรู้ กรรม เรียนรู้ธรรมะ เป็นเวไนยสัตว์ มีภูมิธรรมจะเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ได้สั่งสมมาก็เรียนรู้ไม่ได้ เกิดมาสั่งสามบาป สั่งสมกุศลอกุศลไป โดยอวิชชา จนกว่าจะพัฒนาตัวเองให้รู้จักกรรม

       ต้องพากเพียรใส่ในยินดีเชื่อถือ แล้วทำได้ คำว่าธรรมะกับกรรม ก็คล้ายกัน ก็ต้องประพฤติกันจนเกิดผล พระพุทธเจ้าตรัสรู้โลกุตรธรรม ที่มี 9 อย่าง คือบุคคล 8 รวมกัน นิพพานอีก 1 ก็เป็น 9

       คุณธรรมชนิดนี้ผู้ศึกษาก็จะอ่านออก แล้วสั่งสมเป็นสมบัติใส่ตนเองไป โลกุตรธรรมเป็นตัวที่รู้จักฐานรากหรือจิตนิยาม เรียกว่าปรมัตถ์ หรืออภิธรรม เรียกย่อว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน

       ชีวิตอาตมาตั้งแต่รู้ว่าตนได้ธรรมอันนี้ บอกแล้วว่าชาตินี้อาตมาไม่ได้ปฏิบัติโลกุตรธรรม แต่ว่ามาฟื้นของที่ได้มาเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านก็ฟื้นของท่าน แต่อาตมาไม่ได้เทียบเท่าท่านหรอก แต่มีลักษณะคล้ายกัน

       อาตมาเมื่อมารู้ตัวชาตินี้ก็รู้ว่าตนเป็นใคร มาทำอะไร เมื่อบอกเข้าคนก็หาว่าอวดอุตริมนุสธรรม ก็ยืนยันว่าอาตมาอวดไปนี่ไม่ได้ทำเพื่อให้คนนับถือ หรือทำเพื่อแลกโลกธรรม หรือให้คนมาเป็นหมู่พวก ทำลัทธิไปล้มลัทธิอื่น

       อาตมาทำนี่ก็เป็นการขัดแย้งกับหมู่ใหญ่ เช่นท่านอธิบายเป็นการสร้างอัตตาใส่ตน ไม่เข้าใจกามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ เพราะทำแล้วยิ่งสะสมอัตตา ทีอาตมาพาทำนี่ก็ทวนกระแสเขา อาตมาว่ามันต้องมาล้างตั้งแต่กามภูมิ มาล้างรูปภูมิ อรูปภูมิ ทำแล้วก็รู้ว่าหมดภพชาติได้จริง อาตมาเห็นว่าการอยู่ในหมู่ใหญ่มันทำได้ยาก ก็เลยแยกออกมาประกาศตนเป็น นานาสังวาส คือเป็นพุทธที่แตกต่างยึดถือแตกต่างกัน มีศีลไม่เสมอสมานกัน มีความรู้ความเห็นความเข้าใจต่างกัน ศีลไม่เสมอสมานกัน เช่นศีลข้อ 1 เราไม่กินเนื้อสัตว์ ปฏิบัติศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิเกิดวิมุติ แต่เขาทำแบบแยกส่วน อาตมาว่าสูตรปาท่องโก๋ของท่านอาตมาว่าสูตรเขาไม่ถูกต้อง กินแล้วท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาก็ขอออกมาตั้งร้านปาท่องโก๋ร้านเล็กๆ ทำมาแล้ว 38 ปีก็เกิดหมู่กลุ่มขึ้นมาได้ ทำให้สอดคล้องกับสมัย ต้องเอาภาษาที่ใช้ในยุคนี้ มีบาลีบ้างก็ค้นคว้าให้ตรงสภาวะ ตรวจสอบสถาวะให้ตรงกับภาษา

       คนได้รับรู้ก็มาทำตาม เอาชีวิตมาทำแบบนี้ ลดละไป ตั้งแต่ก่อนมีชีวิตมุ่งมั่นล่าลาภยศสรรเสริญ แต่พอมาเข้าใจก็มาลดละปล่อยวางออกมาก จนเป็นคนไม่สะสม รวมกันเป็นหมู่กลุ่มสาธารณโภคี สัจธรรมนี้ยืนนาน ไม่เปลี่ยนแปร ตั้งแต่เป็นโสดาบัน มีตั้งแต่ โสตาปันนะ คือเข้ากระแส แล้วพัฒนาสู่ อวินิปาตธรรม คือไม่ตกต่ำ แต่ยังไม่ควบแน่น จนกว่าจะถึงขีดที่เรียกว่า นิยตะ คือเที่ยงแท้ เป็นคุณสมบัติแท้ เป็นของจริง ถึงขั้นนั้นจึงเปลี่ยนแปลงยาก แต่พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ประมาท แม้ถึงขั้นนี้ไม่เอาจริงก็เวียนกลับได้ แต่ยากแล้ว เพราะได้ลดละกิเลสมีทั้งเจโตและปัญญา เป็นหลักย่อย ถ้าเลยกว่านี้สูงกว่านี้ก็เป็น สัมโพธิปรายนะ คือเจริญไปสู่ที่สูงจนจบเป็นอรหันต์ได้ คนเป็นโสดาบันจะถึงโสดาปัตติผลก็เที่ยงแท้ต่อการเป็นอรหันต์ แม้จะเหลาะแหละไม่ทำให้สมบูรณ์อย่างไรก็ตาม ก็วนเวียนไป ถ้าหลงระเริงกับสุข จะยาวนานมาก เรียกว่าหลงในภพของกาม ในความยินดีของรสชาติโลก ได้โลกธรรมก็ตาม

       พระพุทธเจ้าพยากรณ์ผู้ที่เป็นโสดาบันแต่หลงในกาม ก็ตรัสไว้ว่าจะวนเวียนในโลกนานมาก คนนั้นคือ นางวิสาขา ท่านเรียกว่า โสดาชนิดที่ วัฏฏะภิรฏโสดาบัน คือไม่ตกต่ำในอบายแล้วไม่สุขไม่ทุกข์ในอบาย แต่ก็ยินดีในกาม ระเริงในกามในโลกธรรม ก็จะนานมาก

       อโศกนี่ก็คือพุทธ มีคนแนะให้เรียกว่าศาสนาอื่น เป็นธรรมแบบโพธิ์ ก็ได้ แต่อาตมาไม่บังอาจขบถต่อพุทธหรอก เพราะว่าที่ทำอยู่นี่คือพุทธรรม ใครจะฉลาดทำแบบอื่นก็ทำเถอะ อาตมาทำเนื้อแท้พุทธนี่แหละ ทำมา 40 กว่าปีแล้ว ได้พิจสูจน์ถ่ายทอดบรรยายจนเกิดเนื้อแท้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านทรงระลึกชาติได้นั้น การระลึกชาติที่คนทั่วไปทำก็คือระลึกว่าตนเกิดเป็นอะไร เป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นคน ชื่ออะไร ตระกูลไหน แต่ถ้าระลึกอย่างนั้นก็ไม่เข้าปรมัตถ์ เพราะจะไม่เข้าใจ สัตว์โอปปาติกะ ซึ่งเป็นข้อที่ 9 ของทิฏฐิ 10 สำคัญมาก ว่าสัตว์โอปปาติกะมีคุณสมบัติอย่างไร

       ถ้าไม่รู้สภาวะสิ่งเหล่านี้ก็ท่องกันไปแต่ไม่เกิดญาณ อย่างบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ก็ไปเข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขาหมด จริงเป็นตัวตนก็มีได้อย่างพระเวสสันดร ระลึกได้เหมือนฉายหนังนี่เป็นความจำได้ ก็ไม่ใช่ของจริงในปัจจุบัน อย่างความเป็นพระเวสสันดร ท่านก็ระลึกถึงโลกุตระจิตว่าเป็นจิตอย่างไร พระเวสสันดรเป็นปางแห่งทานยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้อธิบายว่าใจโลกุตระของพระเวสสันดรเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้เข้าถึงปรมัตถ์ก็น่าสงสาร แยกโลกุตระกับโลกียะไม่ออก

       อย่างทานนี่ทำอย่างไร ทำใจอย่างไร ใจจึงเป็นผล เราได้ทำใจของเราอาการของใจเราเป็นอย่างไร เราได้มนสิการอย่างไร คุณได้ทำใจให้ได้ท่านอย่างที่มือคุณได้ให้ทานหรือไม่? ถ้าทำใจให้ได้คืนกลับมากมากกว่าเดิมมากๆ ก็คือทำใจให้โลภเพิ่มขึ้น

       จิตของคุณทำใจไม่ให้กิเลสลด กิเลสเพิ่มอีกต่างหาก ก็คือ นัตถิทินนัง เขาสอนกันมาผิดๆซึ่งอาตมาพูดถูกว่าเขาสอนอย่างผิดๆ แม้แต่ทาน ศีล ภาวนาก็อธิบายกันไม่ตรง ทำแล้วไม่เกิดมรรคผล ศาสนาพุทธก็เลยไม่มีอาริยธรรม ไม่เกิดโลกุตรธรรม ขออภัยที่พูดแล้วเหมือนไปว่าหมู่ใหญ่ที่สอนกันมานะ

       พระพุทธเจ้าท่านระลึกถึงสิ่งที่ท่านได้มีแล้วได้ คือธรรมะของการเป็นพุทธเจ้า ในพุทธุปาทกาละ ว่าคนจะมีดวงตาเห็นธรรมได้แค่ไหน ตรวจสอบสัตว์โลก ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณแล้วมี พุทธการกธรรมแล้ว แต่เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ท่านก็รู้ตัว แล้วท่านก็ตรวจพบว่าคนมีกิเลสหนามากเลย แล้วจะสอนให้บรรลุได้อย่างไร? ท่านก็ปริวิตกว่าจะเสียของนะ นั่นคือปริวิตก เสร็จแล้วชั่วเหยียดแขนออกคู้แขนเข้า สหัมบดีพรหมก็มาอาราธนา ซึ่งก็คือจิตพรหมของท่านแหละมาอาราธนา ให้ท่านประกาศศาสนา ว่าผู้มีธุลีในดวงตาน้อยยังมีอยู่ ท่านก็ตรวจว่าพอได้ก็ประกาศศาสนา แล้วไปโปรดปัญจวัคคีย์ ซึ่งได้หนีจากพระพุทธเจ้ามา

       อาตมาพาทำมาก็ยังดีที่มีหลักฐานในพระไตรปิฎกให้ค้นคว้าอยู่ แต่เขาก็เข้าใจไปคนละอย่าง เช่นฌาน คือการเผากิเลส อย่างที่อาตมาเข้าใจก็ไม่เหมือนใครที่เขาทำกันมาสอนกันมา ไทยเราเขายกให้ว่าเป็นต้นแบบพุทธศาสนาแห่งโลกแล้วนะ แต่เขานับถือกันทั่วโลกแล้ว แล้วอาตมาเป็นใครที่จะมาค้านแย้งท่าน แล้วอาตมาไม่คิดจะมาเบ่ง ก็เผยแพร่ไป อุตสาหะพากเพียรไป ผู้ใดเห็นดีได้ก็มาทำ อาตมาก็เจียมเนื้อเจียมตัว เพราะพูดเชิงยกส่ิงที่ถูกต้องแล้วเราเองมีอย่างนั้น เช่นอธิบาย ฌานเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราก็ทำสมาธิแบบลืมตา สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ก็ยังดีมีมหาจัตตารีสกสูตรในพระไตรปิฎก 

       หรือ ฌาน สมาธิ แบบพุทธ ในพระไตรปิฎก ล.9 อธิบายเป็น จรณะ 15 เลย ฌานคือการเผากิเลสสั่งสมเป็นสมาธิ ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ที่เขาสอนกันมาไม่ตรงกับที่อาตมาสอน พระพุทธเจ้าว่าศาสนาพุทธเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ พุทธก็ยังไม่เกิด เมื่อท่านตรัสรู้ ก็เกิดศาสนาพุทธเลย ไม่ต้องทะเลาะกับใคร แต่อาตมาเกิดมาพุทธศาสนาเกิดแล้ว แล้วอาตมาเป็นใครจะมาบอกว่าที่ทำกันมานี้ไม่ใช่พุทธ อาตมาก็ตัวแค่นี้จะไปสู้ใครเขาได้  แต่ใครเห็นดีก็มาปฏิบัติร่วมกัน

       เกิดมาแล้ว เป็นพุทธโดยกำเนิด อย่าปล่อยปละละเลย ถ้าฟังอาตมาพูด ก็ตั้งสติดีๆตั้งใจดีๆ หลายคนอายุยาวแล้วก็ตั้งใจ อันนี้คือคุณค่าของชีวิต พากเพียรเอาให้ได้ ชีวิตจะได้ไม่สูญเปล่า คนที่เกิดมาไม่ได้พุทธนั้นน่าสงสาร เป็นพุทธโดยสำมะโนครัวมากมาย ควรเห็นค่าของพุทธที่มีค่าย่ิงกว่าเพชรกว่าทอง ให้มาศึกษาพุทธนี้ให้ได้ ถ้าผู้ใดเข้าใจ แต่ละเลยว่าเราได้แค่นี้ได้อาศัยโลกธรรม แค่นี้ คนก็เป็นกันอย่างนี้มาก แล้วก็หลงไปกับโลกธรรม ไม่เห็นว่าส่ิงที่ลึกซึ้งกว่ายังมี ถ้าจะมียศก็มีได้ แต่อย่าไปยึดถือ ยศ คือตำแหน่งที่เขาระบุให้ทำงานในขอบเขตนี้ ตามรู้ตามสามารถ ถ้าดีขึ้นเก่งขึ้นเขาก็ขยายขอบเขตยศให้ทำงานให้มากขึ้น ก็เป็นเรื่องกำหนดหมาย เราไม่จำเป็นต้องยึดถือเอาไปข่มเบ่ง ถือตัว ถ้าได้รับการยกย่องชมเชย ก็เป็นสัจจะ ถ้าคนเห็นดีเห็นงามเขาก็ส่งเสริม ถ้าไม่เห็นดีงามก็ไม่ส่งเสริม

       เช่นคนไปนับถือโจรว่าดีเยี่ยม คุณก็ไปส่งเสริมโจร ทุกวันนี้หลงโจรเสียเยอะ เรียกว่าโจรบัณฑิต ร้ายแรงมาก คือรู้ทางโลกล่าโลกธรรมเก่ง ใช้ความรู้เล่ห์เหลี่ยมซ้อนเชิง เป็นอกุศลมากมาย พรางลวงหลอกคน คนไม่รู้จักจอมโจรบัณฑิต แล้วมันก็เข้ากับทิฏฐิของคุณที่หลงใหลในโลกธรรม ก็คิดว่าคนนี้เก่งมา ก็อยากได้อย่างเขา หรือคิดว่าคนนี้เขาบันดาลโลกธรรมให้เราได้

       คนที่ใจไม่ติดในโลกธรรมได้ก็มี แต่ไม่หนีใน โลกธรรม ไม่หนีในกาม แต่กิเลสไม่มี จึงอยู่เหนือลาภยศสรรเสริญเหนือกาม ทั้งหมดคืออัตตา

       เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ไปหลงปฏิบัติแบบหนีโลก ไม่เข้าใจว่าความรู้ที่ควรมีควรเป็นที่ได้อาศัยเลือกเฟ้นไว้ใช้สอยได้ เช่นคอมพิวเตอร์ก็ใช้ประโยชน์ได้ แล้วในนั้นมีสิ่งมอมเมาอุจาดมากมาย เราไม่ไปเสียเวลากับส่ิงเหล่านี้ แม้เราไม่สุขไม่ทุกข์กับมันแต่ว่าไปเสียเวลาทำไม

       บาปคือเพิ่มกิเลส บุญคือการชำระกิเลส แต่เดี๋ยวนี้เขาทำบุญกันกิเลสยิ่งอ้วนมากขึ้น ยิ่งฉลาดยิ่งเอาไปล่าลาภ ยศ สรรเสิรญ กาม อัตตาก็โตขึ้น กิเลสยิ่งหนาขึ้น ไม่ได้บุญหรือแต่ได้บาป เพราะคำว่าบาป หรือบุญ เป็นโลกีย์

       แล้้วบาปที่เขาอธิบายกันก็อธิบายแค่ว่าลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ แต่ใจเป็นอย่างไรไม่สอน เช่นทุกวันนี้เราออกมาชุมนุม คนไม่เข้าใจก็มาทำร้ายเรา ถึงขัั้นฆ่าให้ตายเลย หลายคนได้รับจ้างมาทำ แล้วคุณก็ได้เงิน แต่เงินไม่ใช่สมบัติแท้จริง ดีไม่ดีได้เงินมาก็เอาไปทำบาปซ้ำซ้อนอีก ถ้าไม่ได้ศึกษาธรรมะ ได้เงินมาได้ยศมาก็ได้เพ่ิมกิเลสอกุศลแก่ตัวเอง

       ในอัตตภาวะ วิบากคือผลของการกระทำชั่วทำเลว อันนั้นต่างหากคือส่ิงที่เป็นทรัพย์ผนึกในอัตภาวะ ไปกับเราออกฤทธิ์เลวร้ายกับเราไปอีกนานเลย ไม่คุ้มกับเงินที่เราได้มา บางคนได้เงินมาจากการรับจ้างฆ่าเขา แล้วได้เงินมาแล้ว ก็ตายจากไปอีกอาจถูกเขาฆ่าตายไป แล้วคุณได้เงินไหม? ยังไม่ได้ใช้นะ ก็คือไม่ได้เงินอยู่ดี แต่ได้กรรมชั่วกรรมเลวใส่อัตภาวะไปแล้ว แม้ได้เงินมาก็ไม่ใช่สมบัติ มันไม่ได้เอาไปด้วยกับอัตภาพ กรรมที่คุณทำกรรมที่คุณฆ่าต่างหากคือสมบัติของคุณ ไปกับคุณ ไอ้เงินมันไม่ไปกับคุณหรอก หรือยิ่งเอาเงินไปเสพโลกีย์หนักหน้าเข้าไปอีก นี่เพราะไม่รู้จักธรรมะ ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ได้เสพบำเรอกิเลส กิเลสก็ยิ่งอ้วน แต่ถ้ามีเงินก็เสพได้ กิเลสก็อ้วน ย่ิงเข้าใจผิดไปอีกว่าเป็นส่ิงดีก็หลงเงินไปหาเงินให้มากๆอีก คนทำอย่างนี้มีแต่บาปกับบาป

       เขารู้ว่าคนที่อยู่บนดาดฟ้าคือตำรวจ แต่เขามาโกหกว่าไม่ใช่ตำรวจ ทั้งที่ตนสมรู้ร่วมคิดกับตำรวจนั้น แล้วถ้าตำรวจนี้ยิงคนตายจริง แล้วโกหกว่าไม่ได้ยิงอีกก็ย่ิงบาปซ้ำซ้อน ถ้าโกหกได้สนิทก็ยิ่งไปดีใจอีกยิ่งบาปซ้ำอีก แล้วพอคนจับได้ก็มายอมรับแต่ว่าก็ยังบอกว่าไม่ได้ยิงอีก แล้ววิถีกระสุนเขาก็บอกว่ามาจากมุมสูง โกหกให้เขาจับส้นได้อีก

       ที่ยกมานี่คนเขาทำให้เห็น เราไม่ทำก็ดีแล้ว นึกถึงตนว่า ถ้าเราจะฆ่าคน จะฆ่าอย่างไรนะ คนทั้งคน อาตมาในชีวิตนี้เคยฆ่าสัตว์ ฆ่าปลามาก่อน อาตมาตกปลาไม่เก่งได้ตัวเล็ก ได้ไม่มากอีก แม้แลกเบ็ดกับเพื่อนก็ยังไม่ได้มากเท่าเพื่อน ทำบาปไม่ขึ้น นี่เป็นบารมีอาตมา อาตมาแค่ฆ่าสัตว์ที่โตสุดก็คือ ไก่ ที่ฆ่าเพราะแม่อยู่ไฟ ต้องต้มไก่ใส่เหล้า สูตรจีน ที่จริงพ่อเป็นคนฆ่าวันละตัว มาวันหนึ่งพ่อไม่อยู่ อาตมาเป็นลูกชายคนโตก็ต้องทำ มาถึงก็จับหักปีก ถอนขนคอ แล้วใช้มีดเชือดคอ ทำตามที่พ่อทำมาก่อน  แต่พอเชือดแล้วก็โยนใส่หม้อ แต่มันก็ยังเดินโย่งๆอยู่ อาตมาใจเสียววาบเลย สงสารมันน่ะ นี่คือตัวเดียวที่เคยฆ่าไก่ นอกนั้นก็ฆ่าปูปลา เท่านั้น นอกนั้นสัตว์อื่นไม่เคยไปล่าอะไร เคยไปกับเขาล่ากระปอม ยิงหนังสะติ๊ก ไม่เคยได้สักตัวเลย  เพื่อนมันได้เป็นพวงแบ่งให้กินไม่อร่อยเลย มันไม่ค่อยมีเนื้อเลย

       ยังนึกเลยว่าทำไมคนฆ่าคนได้ ในชีวิตอาตมาไม่เคยไปชกต่อยกับใคร แม้เคยหัดชกมวย แต่พอนัดเพื่อนที่โกรธกันไปท้าชกกัน อาตมาแอบไปฝึกมวยมาแล้วไปตามนัด แต่เพื่อนที่นัดไม่ไป เลยไม่ได้ชกกัน เพื่อนคนนั้นชื่ออารีย์ มีน้องสาวชื่ออารอบ เรียนม.6 มาด้วยกัน อาตมาเรียนม.6สองรอบ

       มีคนสังเกตว่าพอ ผบ.ทบ. เดินออกมาจากบ้านป๋าเปรมก็บอกนักข่าวว่าตำรวจคือชายชุดดำบนตึกเลย ผบ.เหล่าทัพปฏิเสธนายกฯในการหยุดสุเทพ แล้วป๋าเปรมให้เนกไทแก่นายกฯ ที่มีข้อความบนกล่องเน็กไทว่า ต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน โอ้โห เสียบไหมนะ เขาจะรู้สึกไหม? มีคนให้ข้อมูลมาก็ว่ากันไป

       คนเราเกิดมามีอัตภาพ ถ้าอัตภาพของเราจะมีอยู่ ก็ควรมีแต่กุศล ต้องหยุดอกุศลใส่อัตภาพ แม้โลกีย์กุศลเราก็จะได้อาศัย คือได้โลกธรรม โลกีย์ ได้บำเรอกาม บำเรออัตตา ก็เป็นกุศลได้ ใส่เข้าไปก็หนามากขึ้น พระพุทธเจ้าค้นพบว่าไม่มีทางหมดอัตตาได้เลยอย่างนี้ท่านก็มาค้นพบ จิตเจตสิก รู้แล้วล้างอกุศล โลกีย์ จนเห็นว่าอัตภาพอกุศลกุศลก็วนเวียน เรามาลดจนเป็นอรหันต์หมดสุขหมดทุกข์ จึงได้เรียนรู้ว่าอัตภาพคือสุขคือทุกข์ การหมดอัตภาพก็เป็นอรหัตตา คือมีอัตตานะ แต่อัตตาของท่านไม่ลึกลับแล้ว อัตตาที่สุขที่ทุกข์คืออัตตาโลกีย์ เมื่อไม่ลึกลับรู้แจ้งว่ามันไม่ใช่เราไม่ใช่เขาหรือใคร

       จิตยึดคือแต่ก่อนติดยึดว่าอบายคือสุขคือทุกข์ เมื่อเราล้างได้หมด ก็รู้แล้วว่าเหลือที่อาศัย จิตวิญญาณที่อาศัยก็ไม่มีอบายภูมิ ต่อมาสกิทาคามีก็ล้างกิเลสกามกิเลสภพ อย่างไม่หนีโลก มีการผัสสะทวาร 6 ครบ แต่กิเลสเกิดตอนสัมผัสทวาร 6 ก็เกิดกิเลส ก็รู้กิเลสแล้วล้างกิเลส เหตุของมันคือโง่ไม่รู้เรามาล้างจนมันหมด กามก็ยังสัมผัสอยู่แต่เหตุแห่งสุขทุกข์หมด ก็ยังอยู่กับโลก ไม่หนีไปไหน พระอนาคามีหมดกามภพแล้วเหลือเศษส่วนแห่งรูปราคะอรูปราคะ แม้มีอยู่ข้างในแต่มีหิริโอตตัปปะ มันไม่มีรสชาติอันนั้นแล้ว มีแค่ระริกระรี้ภายใน ส่วนมากเป็นความจำ ก็ไม่ต้องอาศัยอัตตาที่ต้องสุขทุกข์อีก จนกระทั่งตรวจส่ิงที่เหลือในอรูปฌานอีก เผาอีกจนหมดพ้นอุทธัจจสังโยชน์ สู่สัญญาเวทยิตนิโรธ สูงสุดเป็นอรหันต์ ถึงที่สุด เป็นอรหัตตาสูงสุด

       แม้เป็นอรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ก็ยิ่งเข้าใจว่าอัตตาที่อาศัยคืออะไร คืออัตตาที่อาทานคือไว้อาศัย ผู้ที่รู้จักแล้วคืออาทาน คือยึดไว้ด้วยความสมบูรณ์กิเลสไม่มี ถือไว้แค่นั้น จึงรู้ว่าอาทานหรืออาการยึดไว้คืออะไร ตั้งแต่เราไม่ยึดอบายเป็นอย่างไร หรือไม่ยึดในกามเป็นอย่างไร ไม่ยึดในรูปภพ อรูปภพคืออย่างไร เราทำไม่ยึดมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ไม่ยึดในอัตตาคืออะไร เข้าใจง่ายนะแต่ทำให้มันง่าย แม้ยากก็ต้องทำ

       เพราะเราหัดไม่ยึด ล้างมาจนหมดความยึดถือตั้งแต่อบายภูมิ มาทำรูปภูมิ แล้วมาสู่อรูปภูมิ ทำเป็นจนเป็นอรหันต์ ถ้าคุณจะยึดไว้อยางผู้สมาทาน อย่งผู้สงบ ผู้เหนือ คุณจะวางเมื่อไหร่ก็ได้ เลิกแล้ววางอัตภาวะได้ พระโพธิสัตว์จะรู้ดี

       สุขนี่คือตัวหลอก เป็นสุขขัลลิกะ ตัวอัตตาคือกิลมถะ ผู้เป็นอนาคามีก็จะมีแต่อัตตา ขันธ์ 5 หรืออัตตานี่เป็นภาระ ไม่มีกามแล้วก็ยังมีอัตตา จึงต้องเลิกให้หมด ส่องโต่งเป็นเช่นนี้ ผู้หมดกามภพก็เหลืออัตตา ก็ไม่เป็นภัยแก่โลกแน่ อย่างอนาคามีบางคนก็อยู่กับโลกได้อย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษแก่โลกแล้ว มีแต่โทษภัยส่วนตัวแต่ตัวก็จะรู้ว่าขืนปล่่อยให้หยาบมากกว่านี้ก็ไม่เอา แต่ก็ดีที่เป็นประโยชน์แก่โลก อนาคามีจึงทำประโยชน์แก่โลกเยอะ คนมีเยอะที่หลงไม่เอาอรหันต์เอาแค่อนาคามีก็พอ แต่ผู้ที่สูงของพุทธจะรู้ว่าจะไม่ไปเกิดในสุทธาวาส พระพุทธเจ้าท่านเป็นสายปัญญาไม่ไปอยู่ในสุทธาวาส 5 ท่านเป็นอนาคาฯก็ต่ออรหันต์เลย พระพุทธเจ้าจึงบรรลุได้เร็ว เพราะเป็นสายปัญญา ไม่วรรคไม่พัก แต่อาตมาไม่เหมือนท่าน อาตมาแวะอยู่

       ในหมู่พวกเราอาตมาบอกได้ว่า อนาคามีเยอะ ก็ระริกระรี้อยู่อย่างนั้น แต่ช่วยสังคมอยู่ ศีล 5 คือโสดาบัน ,ศีล 8 คือสกิทาฯ ,ศีล 10 คืออนาคามี, แต่ก็อยู่ในสังคม ส่ิงที่ติดยึดก็เป็นส่วนตัวคนอื่นไม่รู้กับตนหรอก บางคนมีรูปราคะ อรูปราคะ แต่บางคนมีมานะ แต่จะไม่มากเพราะอนาคามีลดละมามากแล้ว อยู่กับโลกอย่างไม่เป็นพิษภัย อนาคามีอยู่ได้จนเป็นจักรพรรดิ์ บางทีมีผัวมีเมีย แต่ก็ลิงลมอมข้าวพอง พอเลิกก็ง่ายมาก

       เกิดมาอย่างน้อยได้อนาคามีภูมิก็ยังดี ไม่เป็นพิษภัยต่อโลก ช่วยโลก ยิ่งเป็นอรหันต์ ยิ่งดี จะไปเสียเวลาเป็นอนาคามีทำไม เป็นอรหันต์แล้ว จิตอภิปโมทยังจิตตังก็มี คือจิตใสสว่าง ไม่เศร้า ไม่มีเศษธุลีหมอง อาจมีธุลีเริงบ้าง หมดอโศกะ(ธุลีหมอง) หรืออาจมีวิรชะ(ธุลีเริง)ไม่เปลืองแครอลี่มาก แต่ประมาทไม่ล้างของตน แต่ถ้าล้างเสียเป็นอรหันต์ ก็เป็นหลักประกัน อยู่กับโลกไปอย่างเท่าไหร่ก็ได้ ทำประโยชน์แก่สังคมประเทศชาติไป

       ก็ได้อธิบายเนื้อหาสาระธรรมะที่บางคนอาจเพิ่งเคยได้ยิน ก็ขอแจ้งข่าวมรณัสสติ ลุงชูศักดิ์ แก้วทอง ชาวสันติอโศก สิริอายุ 84ปี  ตั้งศพที่สันติอโศก ฌาปนกิจศพวันอาทิตย์ที่วัดบางเตย ...จบ

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:10:33 )

570104

รายละเอียด

570104_พ่อครูที่มัฆวานฯเรื่อง การเกิดชั่วเกิดดีเกิดสุขเกิดทุกข์

       อาตมาก็ทำงานกับมวลมนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือนายกฯ ก็ยินดี เจตนาให้คนทุกคนไม่มีชั้นวรรณะ ยิ่งเป็นคนที่มีบทบาท มีผลกระทบต่อประเทศสูง ถ้าได้ฟังธรรมได้ผลจากธรรมะจริงจัง ก็จะเป็นบุญต่อประเทศต่อสังคมโลกมหาศาลเลย มันดี ใครจะว่าอาตมาหลงธรรมะก็ยอมรับ ชีวิตคนไม่มีอะไรดีกว่าได้ธรรมะ ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นพฤติกรรม ของแต่ละคนๆก็มีการประกอบการกระทำเรียกว่า “กรรม” ทำการงาน ถ้านอนอยู่เฉยๆก็กระทำการคิด ถ้าคิดดีก็ทำดี คิดชั่วก็ทำชั่ว ถ้าฟักตัวจากความคิดก็จะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มาจากจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนบุพพัง คมาธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา

       ถ้ามีคุณธรรมในจิตก็เป็นหลักประกัน แต่เมื่อไม่ใส่ใจธรรมะ ก็จะเป็นอธรรมไปอยู่ในใจแทน มันมักไม่เป็นกลางๆ มันไม่เป็นดีก็เป็นชั่ว คนไม่ตั้งใจศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม จึงมักเอนเอียงไปทางอธรรม ก็เป็นเรื่องเสียหาย

       เป็นความสำคัญที่มนุษยชาติขาดไม่ได้ และต้องเข้าใจทฤษฎีหลักใหญ่ของพุทธศาสนา ธรรมะจะมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ผู้มีทฤษฎีถูกต้องจะมีสติรู้ทั้งนอกและใน จะเกิดกรรม ถ้ากรรมภายนอกก็หยาบรู้ได้ง่าย เป็นสติ สัมปชัญญะ เป็นปัญญา ถ้าฝึกอย่างสัมมาทิฏฐิ ปัญญาจะเกิด ไม่เผลอเบลอให้อำนาจกิเลสมาครอบงำ แต่จะตั้งใจระลึกทำแต่สิ่งดีนำหน้า ธรรมะจึงเป็นเช่นนั้น จึงไม่ประกอบเรื่องเลวร้าย แต่จะทำดีให้มาก เป็นหลักสำคัญ

       อาตมาทำมา จนมีหมู่กลุ่มอโศก จนเป็นกองทัพธรรม ทำกับสังคมประเทศชาติ ก็เกิดจากการทำตน เป็นคุณธรรมประจำตน แล้วให้ทำต่อในแต่ละคนๆ จะมีมากหรือน้อยก็ยืนยันว่ามี ก็รวมเป็นองค์รวม มาทำงานกับสังคม

       เมื่อกี้นี้มีนักนสพ.ต่างประเทศสัมภาษณ์อาตมา ว่ากองทัพธรรมออกมาทำงานมีจุดมุ่งหมายอย่างไร หรือเป้าหมายหลักอย่างไร เจตนารมย์หลักอย่างไร ที่มาร่วมกิจกรรมประท้วงนี้

       อาตมาก็บอกเป้าหลักใหญ่ให้ฟังเลยว่า เป้าหลักคือไม่ให้เกิดความรุนแรง และเราก็ทำงานได้ผล ลดความรุนแรงจนได้ผลทุกวันนี้ จนเกิดการชุมนุม ที่เรียกให้ออกมารวมกันเป็นครั้งคราว รวมเรียกว่า กปปส. จนกระทั่งเรียกรวมพลมาเป็นครั้งๆ เป็นวิธีการประชาธิปไตย​แล้วมาร่วมกันเปล่งเสียงรวมกัน เมื่อมวลมหาประชาชนออกมารวมกันเปล่งเสียงพร้อมกันว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการเสียเถิด นี่แหละถ้าเปล่งออกไปพร้อมกันเลย ให้กำนันสุเทพพูดนำความนี้ คำต่อคำ ให้ชัดเจนก่อน แล้วให้พูดพร้อมกันเลย “นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการณ์นี้เสียเถิด” ถ้าเป็นจริง กลุ่มมวลมหาประชาชนร้องพร้อมกันนี่แหละคือ “เสียงประชาชน” แท้ๆเลย เป็นเสียงสดๆตัวเป็นๆ ออกมาแสดงคะแนนเสียง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่ามาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง มันคนละรุ่นเลย การลงคะแนนเสียงเป็นวิธีการที่ซับซ้อน เป็นอำนาจลำดับหลัง แต่นี่เป็นสิทธิเต็มที่เลย ของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ นี่เป็นอำนาจที่ 1 เลย ไม่ใช่ตอนเลือกตั้งเท่านั้น

       ออกมาแล้วมาซาวเสียงประชาชนเลย จะมีคะแนนเสียงเท่าไหร่ โดยมีญัตติว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมแล้วใช่ไหม? จริงไหม ถ้าใครไม่เห็นว่าจริงก็งดออกเสียง แต่ถ้าใครเห็นว่าจริงก็ออกเสียงมา ประชาชนจะมาเอาอำนาจอธิปไตยคืน เป็นปรากฏการณ์พิเศษของโลก ที่ไม่เคยเกิด แต่คราวนี้น่าจะเกิด ถ้าคนมาสองล้านหรือห้าล้านนี้ออกเสียงมาจะกระเทือนฟ้ากระเทือนดินนะ

       มีพวกที่ต่อต้าน เขาหลงใหลอะไรกันขนาดนั้น เขาถามว่า ทักษิณเขาผิดอะไร? เขาอินโนเซนส์มากเลยนะ เขาไม่ได้ผิดอะไร เขาทำแต่คุณงามความดี

       เห็นบทความของคุณ สิริอัญญาในนสพ.แนวหน้าเขียนเรื่อง..

      "ความรุนแรงคืออาการดิ้นรนของเผด็จการ!" 4 ม.ค. 2557

       สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเข้าสู่วิกฤตมากขึ้นทุกขณะ เพราะเนื้อแท้ของปัญหามิใช่ปัญหาของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องของการทำศึกชิงบ้านชิงเมือง

     ระบอบทักษิณครองอำนาจในประเทศไทยมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว มีลักษณะที่แตกต่างกับการมีอำนาจทางการเมืองของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลทุกพรรค ทุกสมัย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา

     เพราะเป็นการเข้าครองอำนาจเพื่อยึดบ้านครองเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เป็นระบอบการปกครองอื่น และเท่าที่เปิดเผยกันมาแล้วก็คือระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

     ดังนั้นการดำเนินงานตลอด 12 ปีที่ผ่านมาจึงแตกต่างจากการบริหารบ้านเมืองของทุกรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ

     ประการแรก มุ่งแสวงหากำลังอำนาจเงินให้มากที่สุด จึงเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ และได้มีการใช้เงินนั้นในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการยึดครองแผ่นดิน

     ประการที่สอง ได้สร้างรัฐตำรวจขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อหวังครองกำลังอำนาจรัฐสำคัญที่มีทั้งกฎหมาย มีทั้งปืน และมีทั้งอันธพาลทั้งในและนอกเครื่องแบบเป็นเครื่องมือ และมีกำลังพลร่วม 300,000 คน และมาถึงวันนี้อำนาจรัฐตำรวจก็อยู่ในเงื้อมมือและคำบงการชนิดที่เป็นกองกำลังส่วนตัวไปแล้ว และพร้อมที่จะเห็นประชาชนเป็นศัตรูที่พร้อมทำร้ายหรือฆ่าฟันได้อย่างอำมหิต

     ประการที่สาม ได้ครอบงำกลไกอำนาจรัฐในระบอบราชการประจำให้อยู่ในกำมือ เสมือนหนึ่งเป็นข้าทาสหรือผีโม่แป้ง ทำให้ปวงข้าราชการถูกกดขี่ข่มเหงและจำใจต้องตกเป็นทาส กระทั่งยอมทำผิดกฎหมายและกลายเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกยึดทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก การซื้อขายตำแหน่ง การเลียแข้งเลียขาเพื่อให้มีอำนาจในราชการเกิดขึ้นทุกหัวระแหง จนคนดีไม่สามารถมีอำนาจในระบอบราชการได้เลย

     ประการที่สี่ เข้าครอบงำองค์กรอิสระให้ตกเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการยึดครองอำนาจรัฐ และในการตั้งตนอยู่เหนือกฎหมายอย่างสมบูรณ์แบบ

     ประการที่ห้า วางรากฐานให้ญาติวงศ์พงศาเข้ามากอบโกยผลประโยชน์และยึดครองบ้านยึดครองเมือง ผู้คนในตระกูลเดียวมีฐานะประหนึ่งเป็นอ๋องเป็นกง แบบเดียวกับระบอบการปกครองจีนในสมัยโบราณ

     พฤติกรรมแย่งบ้านยึดเมืองดังกล่าวได้ส่งผลสะเทือนตั้งแต่ฟ้าจรดดิน ส่งผลสะเทือนไปทุกหัวระแหง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณธรรม ศีลธรรมในบ้านเมืองถูกบั่นทอนบ่อนทำลายอย่างต่อเนื่อง

     เพราะเหตุนั้นประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านต่อเนื่องมาเป็นลำดับ นับตั้งแต่การเริ่มลุกขึ้นต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสิบปีเต็มแล้ว ทำให้ประเทศชาติและประชาชนตกอยู่ในวังวนและจมปลักอยู่กับวิกฤตในการยื้อยึดอำนาจ หวังครองแผ่นดินในลักษณะนี้ จนความเดือดร้อนแผ่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า

     การลุกฮือขึ้นต่อสู้ของประชาชนในปัจจุบันนำโดย กปปส. ทำให้มวลมหาประชาชนทั่วประเทศสมานสามัคคีกันชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือเพื่อกำจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย

     กปปส. ประสบความสำเร็จในการทำให้ระบอบทักษิณต้องถอยร่นทางยุทธศาสตร์ และได้ใช้กลยุทธ์ยื้ออำนาจถึงขั้นที่สามแล้ว คือจากการยื้ออำนาจเป็นรัฐบาลให้นานที่สุดก็ยื้อไม่ไหว ต้องใช้กลยุทธ์ที่สอง คือยุบสภาหลอกให้ไปเลือกตั้ง และหวังครองอำนาจอยู่ในระยะเวลาเลือกตั้ง

     แต่มวลมหาประชาชนก็ยังคงขับไล่ไม่หยุดหย่อน จนต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสี นั่นคือการใช้กลยุทธ์ขั้นที่สาม คือถอยไปตั้งหลักในต่างจังหวัด จะแวบวั่บเข้ามาในกรุงเทพฯ บ้างก็ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นพาหนะได้อีกต่อไป ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินโฉบไปโฉบมา จนเป็นที่หวั่นว่าจะเกี่ยวสายไฟฟ้าร่วงหล่นลงสักวันหนึ่ง

 

     การยื้ออยู่ในอำนาจเพื่อใช้อำนาจรัฐบาลรักษาการกำลังร่อแร่เต็มที

 

     ในขณะที่การบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้งก็ถูกต่อต้านอย่างกว้างขวาง จนคนทั้งหลายเริ่มเห็นแล้วว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าเล่ห์กลฟอกตนเองเพื่อจะกลับเข้ามามีอำนาจยึดบ้านครองเมืองอีกครั้งหนึ่งกำลังถูกสกัด กำลังถูกต่อต้านอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ

 

     ดังนั้นการยื้ออยู่ในอำนาจและการดึงดันบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้งเพื่อจะฟอกตัวกลับเข้ามายึดประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งจึงถูกสกัด ถูกต่อต้านยิ่งกว่าทุกระยะที่ผ่านมา

 

     เกิดสภาพเข้าตาอับ ดังนั้นอาการดิ้นรนจึงพรวดพราดรุนแรงผิดปกติ เพราะเหตุนี้ปรากฏการณ์นำเอาทหารรับจ้างเขมร นำเอาคนชุดดำ นำเอาอันธพาลทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเข้ามาสังหารประชาชนจึงปรากฏโฉมให้เห็นตั้งแต่ก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่าเป็นต้นมา

 

     นั่นเป็นการก่ออาชญากรรมที่จะต้องได้รับผลตอบแทน ทั้งตามกฎแห่งกรรม ตามกฎหมาย และด้วยประชาทัณฑ์ของมวลมหาประชาชน!

       ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ถามมาว่า การเลือกตั้งจะเกิดไหม อาตมาตอบว่าไม่น่าจะเกิดได้ แต่น่าจะเพิ่มว่า ถึงแม้จะดันให้เลือกตั้งได้ ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สมประกอบ เสียดายเงินที่นำไปใช้จัดเลือกตั้ง จะสูญเปล่า โมฆะมากกว่า เราจึงสกัดไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง นี่มันก็เสียไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด 3800 ล้าน เราก็ต้องสกัดไม่ให้เกิด ก็ยังไม่เคยมีมาในประเทศไทย

       เรื่องประชาธิปไตยในไทยมีวิวัฒนาการจนถึงวันนี้ เป็นความเจริญของประชาธิปไตย แต่คน มันเลวลง ประชาธิปไตยโดยองค์รวมของคนไทยดีขึ้น พัฒนาขึ้น อย่างการมาชุมนุมกันได้เป็นเรือนล้านคน มันเป็นส่ิงเกินเชื่อ อีกฝั่งหนึ่งหวั่นไหวมาก จึงหาวิธีการที่จะสู้มากขึ้น วิธีการจึงเลวลงๆ คนที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ถ้าจะต่อต้านอย่างเจริญคือออกมาโดยถูกรธน. แม้แต่ศาลก็วินิจฉัยแล้วว่าเราทำถูกต้องตามรธน. เราจึงทำได้มาตลอด เขาจึงเดือดร้อนดิ้นรน ใช้ทุจริตเลวร้ายหนัก เลวขึ้นในพวกเขา แต่่ว่าประชาธิปไตยดีขึ้น มันห้ามไม่ได้ ถ้าประเทศอื่นที่เจริญในประชาธิปไตยเขายอมแล้ว เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็ปล่อยให้ประชาชนทำสิ แล้วประชาชนจะไม่มีใครทำเป็นเลยนี่มันดูถูกกันมากจริงๆเลย

 

เราจะได้ประชาธิปไตยอย่างไร?ก็ต้องมี

1.ประชาชนของประเทศ 2.อธิปไตยพลังอำนาจ หลักใหญ่ก็มีคนกับอำนาจ ที่จะแสดงออกทางกาย วาจา ใจ ที่แสดงออกมา 3.ถ้าคนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชนไม่รู้และเป็นคนไม่ดี อำนาจที่จะเกิดในมวลมหาประชาชนก็จะเป็นอำนาจร้ายอำนาจไม่ดี 1.ถ้ามวลเป็นคนไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร? 2.ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิดอะไรถูก อย่างนี้เป็นต้น

       ก็ถ้าคนไม่รู้และไม่ดี ความเป็นอำนาจที่จะเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยที่ร้ายหรือไม่ดี

       คนต้องดี จึงจะมีอำนาจที่ดีที่เป็นอาริยะ อย่างน้อยต้องรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร แล้วรู้ว่าดีชั่วคืออะไร แยกแยะถูก รู้ว่าอบายมุขคืออะไร อย่างการทุจริตก็คืออบายมุขของข้าราชการ เป็นผลกระทบต่อประชาชนส่วนมาก ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน

       เมื่อเรารู้แล้วว่าเกิดจากคน คนต้องรู้และต้องดีจึงได้อำนาจอันประเสริฐ แล้วทำอย่างไรคนถึงรู้และดี

       ขั้นแรกต้องศึกษา  คำว่า รู้ จะมีได้ก็ต้องศึกษา ประเทศก็มีกระทรวงศึกษาธิการ แต่ที่สอนกันตั้งแต่ปถมฯไปถึงมหาวิทยาลัย ก็สอนกันแต่ความรู้เทคนิค วิชาการ ก็เลยได้รู้ แต่ลืม ความดี เลยไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก็เอาความรู้ไปทำชั่ว เช่นที่ทำทุจริต คอรัปชั่น ขี้โกง

       ข้าราชการตัดไปก่อน เอาคนทำงานส่วนเอกชนคุณว่าโกงไหม? ถ้าพลเมืองของประเทศโกง เกิดจากการศึกษาทางคุณธรรมจริยธรรม คือศาสนา ต้องรับผิดชอบนะ

       อาตมาไม่มีใครตั้งให้ทำ แต่อาตมาทำแล้วรับผิดชอบด้วยนะ พยายามไม่ให้เกิดทุจริตไม่ให้เกิดการโกง แวดวงที่อาตมาดูแลก็มีผลเกิดประชากรที่ไม่ทุจริตไม่คอรัปชั่นได้ ไม่ทุกคนแต่ก็ได้ 80 % ขึ้น จริงๆ ใครจะมาตรวจสอบได้เลย ตั้งแต่นักเรียนที่ดูแล ตั้งโรงเรียนมา 20 ปีก็ไม่ได้ข่าวว่านร.ที่จบไปทำเลวร้ายอะไรมากมาย

       ขออภัยอย่าหาว่าทวงบุญคุณ อาตมาว่าเป็นงานที่น่าทำอย่างยิ่ง เหนื่อยอย่างไรก็ยินดีทำ ตายไปเกิดมาใหม่ก็ทำอีก แม้จะถูกลิงลมอมข้าวพองแต่ถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่ก็ทำอีก

       ขอกล่าวโทษผู้ที่รับผิดชอบด้านนี้ ที่ทำมานานแล้ว ท่านมีเงินเดือนด้วย เรียกว่านิตยพัตรแล้ว ถึงขนาดนี้แล้วพระมีเงินเดือนเหมือนข้าราชการแล้ว แล้วรับผิดชอบมีลูกศิษย์ลูกหามาบริหารประเทศ หรือแม้เอกชนก็ต้องมีด้านรับผิดชอบคุณธรรม สังคมเป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้ที่ให้การศึกษา แม้เรื่องเทคนิคหรือให้คุณธรรม

       ของโรงเรียนเรามี ปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา  เราส่งเสริมศีลธรรมเด่นมากกว่าอันอื่น แต่อย่างที่เขาทำกันก็มีส่งเสริมกีฬาเป็นสำคัญ ซึ่งของเราก็มีบ้าง แต่ไม่ส่งเสริม แต่เขาส่งเสริมกันเป็นอาชีพเลย จึงเป็นอบายมุขที่มีกันทั่วโลก หรืองานหลายอย่างที่เกินไป เช่นเต้นรำสังสรร ไม่ใช่งานอาชีพงานหลักเราก็ไม่เอา มีอีกหลายอย่าง ในมหาวิทยาลัย มีหลายคณะก็ไปจัดให้เป็นป.ตรี ป.โท ป.เอกด้วย ไม่น่าทำเลย อาตมาไม่ส่งเสริม ตำหนิด้วย

       แม้แต่โลกียะกุศลก็ยังไม่ประกอบด้วยคุณธรรมยังบกพร่องเลย เพราะฉะนั้นที่สูงกว่านั้นเป็นโลกุตระที่ต่างจากโลกียะคือ เป็นขั้นที่รู้จักจิตเจตสิก โลกุตระคือมีญาณหยั่งรู้จิตตนรู้จักกิเลสตน แล้วกำจัดกิเลสได้ กิเลสเป็นตัวการใหญ่ในการทำให้เราทำอกุศล

       โลกุตระนี่้ต้องทำให้คนรู้และดี ต้องรู้ถึงจิตเจตสิก รูปนิพพาน คือปรมัตถ์ ต่างจากศาสนากระแสหลักทั่วไป ซึ่งเขาสอนแต่โลกียกุศล ไม่มีความสามารถรู้ถึง จิตเจตสิก แต่โลกุตระต้องรู้จิตเจตสิก แล้ววิจัยกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ ผู้มีภูมิโลกุตระจึงมีหลักประกันชีวิต สามารถรู้สมุทัยผีร้ายในชีวิตที่เกิดจากใจ สามารถกำจัดเหตุร้ายคือกิเลสได้ ที่จะปฏิบัติกาย วาจา ใจให้ดีแท้ รู้ลึกในปรมัตถสัจจะที่สูงส่ง ศาสนาพุทธรู้จริง เป็นโลกุตรธรรม

       เมืองไทยเป็นพุทธที่เป็นโลกุตรธรรม แต่่ว่าขออภัยที่สวนใหญ่เข้าใจผิด ไปทำใจในใจหรือมนสิการอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ขอยืนยันเลย แม้แต่สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อก็เป็นมิจฉา เป็นต้นว่าทานก็ปฏิบัติทานอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าโลกุตระไม่สามารถรู้จิตตน ไม่สามารถทำใจในใจให้กิเลสลด เพราะไม่สามารถวิจัยจิตได้ ไม่จับกิเลสแล้วกำจัดมันได้ แต่ไปทำใจในใจอย่างมิจฉาทิฏฐิ เช่นทำฌาน ก็ไปนั่งสมาธิหลับตา การหลับตาไม่มีทางเห็นกิเลสจริง อาตมาก็เคยฟังเขาสอนนั่งสมาธิ เขาก็ว่าให้นั่งไปมันก็เมื่อย กิเลสเมื่อยมันก็ไม่อยากนั่ง แล้วว่าไอ้กิเลสก็คือไม่อยากนั่ง ไปนั่งนิ่งให้แข็งสะกดให้ดูแต่ลมหายใจ เป็นกสิณ จดจ้องอยู่ที่นิมิตต่างๆเช่นลูกแก้ว เป็นต้น แล้วไปเห็นว่าการเมื่อยคือกิเลส ต้องไม่เมื่อย ถ้าเมื่อยคือกิเลส อันนั้นไม่ใช่กิเลส อันนั้นมันสรีระ ไปนั่งกดประสาท ให้น่ิงซึ่งธรรมดามันก็ต้องขยับ แม้นอนก็ขยับอยู่เลย แต่เขาพยายามอดทนจนสรีระเสีย เป็นต้น

       มันไม่อยากนั่ง ส่วนมากมันนั่งแล้วก็ไม่ค่อยนิ่ง ก็พยายามบังคับตนให้ทน ถ้าไม่ทำทนก็เป็นกิเลส ส่วนมากทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจกิเลสไม่เห็นกิเลส แต่ทำจนชำนาญทนได้เก่ง ถือว่าไม่มีกิเลส หนักเข้านั่งแล้วก็หลับได้ ดับแข็งทื่อทำให้ประสาทหยุดไป เหมือนชาวอสัญญีทำได้จนร่างกายแข็ง เป็นเรื่องสรีระ ไม่ใช่การลดกิเลส ยิ่งดับไม่รับรู้ย่ิงไปใหญ่ เป็นกิณหะ ทำให้จิตดำมืดไม่มีแสงสว่าง ดับสัญญาเป็นอสัญญี ไม่ได้ลดกิเลส

       อย่างพุทธต้องรับรู้บทบาทว่ากิเลสลดอย่างไร มันหมดอย่างไร มีปัญญารู้ว่ากดข่มก็เป็นองค์ประกอบ เป็นอุปการะได้ ไม่ให้มีแรงทำให้เราไปทำกาย วาจา แต่ไม่สมบูรณ์ต้องรู้ด้วยปัญญาว่ามันเป็นแค่แขก ไม่ใช่ตัวเรา มันแฝงว่ามันเป็นเรา เราทำแล้วจะเกิดปัญญารู้ว่ามันไม่ใช่เรา มันชั่วแฝงมาทำให้เราชั่ว ปัญญาจะเห็นจริงสามารถสลายกำจัด มีพลังงานทางไฟธาตุที่เรียกว่า ฌาน เป็นไฟกองใหญ่มีพลังละลายกำจัดกิเลสได้

       แต่ถ้าไปนั่งหลับตาไม่รู้ลดกิเลสอย่างนี้ ไม่ได้เห็นความจางคลายได้ ของพุทธต้องทำอย่างรู้ มีอนุปัสสี 4 แต่ว่าฤาษีไปทำนั่งหลับตา ให้จิตสงบ ไม่รู้ว่าอะไรคือฌาน อะไรคือสมาธิ ซึ่งที่จริง ฌานคือภาคปฏิบัติให้ลดละกิเลส ฌานต้องรู้กิเลส แล้วมีพลังสลายกิเลสได้อย่างมีปัญญา เมื่อกิเลสสลาย จิตก็สะอาด ยิ่งทำให้มากก็ตกผลึกเป็นสมาธิ ฌานเป็นเครื่องมือให้เกิดสมาธิ จิตจะตั้งมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ยิ่งแน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น

       จะเป็นคุณสมบัติที่พัฒนาอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติเองจึงประเมินค่าความควบแน่นของตนได้ พุทธจึงเป็นฌานลืมตาไม่ได้หลับตาทำ

       ต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นสภาวธรรม อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ

       ซึ่งการนั่งหลับตาทำนั้นเป็นการสั่งสมภพชาติ แต่การทำแบบลืมตานี่ได้ล้างตั้งแต่กามภพ แล้วจะเหลือรูปภพอรูปภพ เมื่อดับอรูปหมดก็สิ้นชาติ ทุกขั้นตอนทำอย่างลืมตา ฌานก็ลืมตาทำ สมาธิก็เกิดอย่างลืมตาทำ

       ชาติมี 5 อย่าง (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

       ภพก็มี 3 (กามภพ รูปภพ อรูปภพ)

       อุปาทาน ก็มีอยู่ 4 (กามุปาทาน ศีลพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน )

       ตัณหา ก็มี 6 เวทนาก็มี 6 มีผัสสะ 6 สฬายตนะก็มี 6 คือทางทวาร 6

       แล้วก็รู้ นาม_รูป แล้วจึงมารู้ วิญญาณ​6 คือทางทวาร 6 วิญญาณเกิดตอนผัสสะนี่แหละ จะเป็นผีเป็นเทวดาก็ต้องตอนผัสสะ แล้วเมื่อวิญญาณดับก็ดับผีได้ ทำอย่างปุญญะคือลดละกิเลส ชำระจิตสันดานให้หมดจด

       นี่คือปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายของ อวิชชา 8

       ข้อ 1ถึง 4 คืออาริยสัจ 4

       ข้อ 5 คือไม่รู้ส่วนอดีต

       ข้อ 6 คือไม่รู้ในส่วนอนาคต

       ข้อ 7 คือไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต

       ข้อ 8 คือไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

       ซึ่งส่วนอดีตและอนาคตนั้นเที่ยงแล้วคือ ความเป็นนิพพานนี้เทีี่ยง ถ้าไม่เที่ยงยังไม่ใช่นิพพาน เที่ยงคือไม่ใช่ตัวตน แต่เที่ยงคือหมดตัวตน อย่าง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       กิเลสนี้มันไม่เที่ยง แต่นิพพานี่แหละคือสิ่งเที่ยง ทำอย่างลืมตาแล้วเที่ยง แล้วหลับตาก็ยิ่งทำได้สบายมากเลย สบม ธมด ปกต หหจจ มชยลล. เลย สบายมาก ธรรมดา ปกติ หายห่วง จริงจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

       อันนี้ทำอย่าง Supra-mundane เป็นสิ่งที่เหนือกว่า ปกติธรรมดาสามัญ

       พระพุทธเจ้าท่านนั่งสมาธิแล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ใครไม่เอา เหมือนอย่างที่เขาคิดกันว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่บรรลุในวันนี้จะไม่ลุกเลย ให้ตายกับการนั่งเลย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าท่านทำคือการเตวิชโช ไม่ได้ทำสิ่งใหม่เลย ระลึกของเก่าที่ท่านมี ตรวจสอบแค่นั้น แต่ถ้าคนไม่มีของเก่าไปนั่งก็ไม่ได้หรอก แต่การระลึกอดีตก็ถ้าไประลึกได้แค่ว่ามีตัวตนบุคคลเราเขาเป็นอย่างไรแค่นั้นก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าระลึกชาติที่เป็นปรมัตถ์

       พระพุทธเจ้าท่านระลึกชาติเข้าไปถึงสัจธรรม เป็นปรมัตถ์ ที่ท่านได้ทำสำเร็จมาหมดแล้ว ในชาตินี้ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นสยัมภูแล้ว อย่างอาตมาชาตินี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับใครที่สัมมาทิฏฐิ จนอาตมาไปเป็นศิษย์สำนักนั้นแล้วมีศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่อาตมาไม่มี

        พระไตรปิฏก ล.16 อาตมาขยายความเรื่อง... วิญญาณจะเกิดต้องมีผัสสะ ก่อนมีผัสสะต้องมีชาติ ซึ่ง

        ชาติมี 5 คือ(ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) แปลว่าการเกิดทั้ง 5 คำ แต่เกิดในสภาวะต่างกัน ทั้ง 5 สภาวะ

        ชาติ คือการเกิด เป็นองค์รวมไม่ละเว้น รวมถึง คำที่เหลือด้วย ชาติเป็นคำกลางๆ รวมทั้งการเกิดแบบโลกีย์ด้วย รวมโลกุตระด้วย รวมในชาติ

      สัญชาติ คำว่า สัญ คือความจำหรือตัวกำหนดรู้ แปลได้สองอย่าง คือคลังสมบัติ และทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ โดยดึงเอาความจำเก่ามารู้ก็ได้แล้วก็รู้ในปัจจุบันได้ ดีไม่ดีรู้อนาคตได้ หมายว่าเป็นไปอย่างไร คนที่เกิดมาสัตว์ทีเกิดมามีสัญชาติญาณ ก็คือความรู้มาจากความจำเก่า แล้วมาทำหน้าที่กำหนดรู้โดยอัตโนมัติ อย่างต่อมไร้ท่อนี่ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเป็นสัญชาติญาณสั่งการได้ คุณมีสัญชาติทางโลกีย์​เช่นสัญชาติชั่วก็จะออกมาทำชั่ว ถ้าไม่ได้กำหนดรู้เพราะมันแรงและเร็วจนคุณไม่สามารถกำหนดข่มมันได้มันก็ออกมาทำงาน แล้วก็บอกว่าไม่รู้ตัว เช่นไปตบเขา รู้ว่าไม่ดีแต่ไปตบเขาแล้ว สัญชาติญาณทำงานมา เอาให้แรงขนาดไหนก็แล้วแต่สัญชาติญาณ อย่างไมค์ไทสัน กัดหูเขาได้ เหมือนตำรวจทุบรถ เป็นสัญชาติญาณดิบ ถ้าให้เขารู้ตัวมาถามเขาจริงๆตอนรู้ตัว เขาก็รู้ว่าไม่ดี ไปทำลายของคนอื่นเขา แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปทำชั่วอะไรให้แก่ตนเองหรอก สรุปคือสัญชาติญาณเกิดจากของเก่าของตนเอง ส่วนใหญ่เป็นโลกีย์ แต่เป็นโลกุตระได้ถ้าได้ฝึกมาก็จะใช้สัญชาติอย่างโลกุตระ

        โอกกันติ ท่านแปลว่า การหยั่งลง อะไร? คือการเรียนรู้ได้ แทนที่จะเกิดอย่างสัญชาติ แต่คุณมีปัญญารู้ว่าอันนี้มันจะเกิดนะ หยั่งลงหรือตั้งขึ้น คือญาณเราหยั่งลงไปรู้ความเกิดของจิต การเกิดนี้ไม่ใช่แบบตัวตนบุคคลเราเขา การเกิดทั้ง 5 ไม่ใช่หมายถึงรูปธรรมตัวตนบุคคลเราเขา แต่หมายถึงนามธรรม การสัมผัสรูป ในรูปต้องมีญาณไปรู้ ถ้าไม่มีญาณก็ไม่รู้จัก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการเกิดตรงกลางของการหยั่งรู้นี่คือ ญาณ แล้วเกิดการแยกแยะ (วิภังค์) ว่ามันรู้อะไร แยกแยะให้รู้ เช่น เราสัมผัสอันนี้ กัดมันแกว หวานมันดีจังเลยรสดี ถูกกิเลสมากเลย ภาคกลางเรียกมันสำเภา กัดเข้าไปก็ว่าหวานกรอบ จะเป็นไทย ฝรั่ง จีน แขก กัดมันหัวนี้ก็ได้รสเดียวกันหมด นี่เรียกว่า รสธรรมชาติ แต่ทีนี้มันมีอีกรสหนึ่งคือรสกิเลส เป็นอัสสาทะ ต้องกำจัดอันนี้ ไม่ใช่ไปกำจัดรสสัมผัสที่ลิ้น แต่รู้ความจริงตามจริง ของรสประสาท แต่อีกรสหนึ่ง ที่เป็นรสทิพย์ อันนี้แหละที่เป็นความรู้ใน วิชชาข้อที่ 4 ในวิชชา 9

       คือวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์

       รสหนึ่งคือรสธรรมชาติ อีกรสหนึ่งคือรสกิเลส แต่ถ้าทำแบบไม่รู้รสที่ลิ้น อันนั้นคือรสประสาทเสีย

       หูได้ยินเสียง ถ้าเทียบเสียงนี้ได้ยินว่าไกล ใกล้ นอกจากได้ยินแล้วก็มีสัญญะว่านี่เสียงกลอง เป็นเสียงตะโพน พวกนักกลองจะรู้ว่าเสียงมันคืออะไรมันต่างกันอยู่ เสียงนี้เสียงเปิงมาง อันนี้เสียงบัณเฑาะ นี่คือเสียงธรรมชาติ แต่ที่เป็นธรรมะคือคุณชอบหรือไม่ชอบ คุณอยากหรือไม่อยาก อย่างรสนี้ก็รู้ว่านี่หวาน รู้ว่ามันมีธาตุที่จะเอามาใช้ได้ มันเป็นมันแกวก็รสอย่างนี้ รสกล้วยก็รสอย่างนี้ แล้วรู้จัดว่าจะทำลายตัวไหน แต่การนั่งหลับตาดับนี่ทำลายเกลี้ยงเลย ไม่รับรู้เลย ไม่ได้เรียนรู้แยกแยะเวทนาเลย ว่าชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์ ถ้าเป็นอุเบกขาก็ต้องรู้ตามจริง รู้หวาน เค็ม เผ็ด รู้ว่าเสียงเบาหรือแรงอย่างไรก็รู้ แต่ไม่มีอัสสาทะ ที่ว่าเป็นรสชอบใจหรือไม่ชอบใจ

       ถ้าคุณไปหลับตาแล้วจะแยกแยะกิเลสได้อย่างไร คุณกระทบทวาร 6 จะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสเกิดจากการกระทบสัมผัส เพราะนั่งหลับตาไม่ได้สัมผัส คุณจะเดาได้อย่างไร คุณเดาก็คือสัญญา เคยจำได้ก็เป็นคราวๆ แต่เกิดจริงก็ต้องพิสูจน์ยืนยันตอนเกิดจริง ถ้าไปนั่งหลับตาสมาธิไม่มีทางได้นิพพาน เป็นได้แต่มิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ มิจฉาผล

       อาตมาทำเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งนิโรธแบบหลับตาดับ ซึ่งไม่ยากหรอก แต่ของพระพุทธเจ้าให้แยกแยะกุศลอกุศล แล้วกำจัดเหตุ จนไม่มีทั้งสุขทุกข์เป็นเฉยๆ โดยเฉพาะได้ฐานนิพพานคืออุเบกขา ต้องรู้แยกแยะว่าเป็นเนกขัมมะหรือเคหสิตะ

       เราออกจากสิ่งติดยึดที่เป็นอยู่ เกิดโอกกันติหยั่งลงแล้วเกิดให้กิเลสลดได้เป็นนิพพัตติ แล้วลดกิเลสจนหมดเกิดเป็นขั้นสูงสุดเรียกว่าอภินิพพัตติ

       จะทำอย่างรู้ๆเห็นๆ เป็นอนุปัสสี 4 มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี จนเป็นปฏินิสัคคานุปัสสี

        โอกกันติ คือเริ่มมีญาณปัญญาหยั่งรู้ ถ้า ชาติ สัญชาติยังไม่มีญาณหยั่งรู้จิตเจตสิก ถ้าทำได้เป็นนิพพัตติ ก็จะเกิดใหม่ เป็นพันธ์ใหม่ เกิดนิพพัตติ เป็นการเกิดที่รู้กิเลส ละกิเลสตาย

       คุณทำอนิจจานุปัสสี จะรู้ว่ากิเลสไม่เทีี่ยง เราทำมันลดได้ เห็นความไม่เที่ยงแบบลดลงหรือทวีขึ้นๆ ถ้ากิเลสมันเพิ่มก็ไม่ไปหานิพพาน แต่ถ้ากิเลสลดลงเราก็เห็นความจางคลาย จนมันดับเราก็รู้ความต่างว่าการลดลงหรือหมดก็ต่างกัน ถ้าไม่หมดก็อ่านออกยังมีลีลาอยู่ มีอาการรูป มันยังมีวิญญัติยังไหวอยู่ หรือมันดับแล้วไม่เคลื่อนไหวแล้วทำอย่างลืมตา อย่างมีปัญญา มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง เราทำอย่างรู้สัมผัสนามธรรมที่ไม่มีตัวตนสีสันให้เห็นแต่รู้ได้ด้วยการฝึกกำหนดรู้ใน อาการ ลิงค นิมิต  ซึ่งมันมีอาการก็รู้ แล้วมันต่างกันอย่างไรเป็นลิงค มันมีความแรงมันมีความเบาอย่างไร ในลักขณรูป มีวิการรูป มันมีอาการหรือไม่มีอาการก็รู้ ยิ่งรู้วิญญัติรูป แล้วคุณก็รู้จักอาการในรูป 24 ซึ่งไม่ใช่รู้แค่ภาษา แต่อ่านสภาวะออกด้วย จะปฏิบัติธรรมได้สนุก มันอ่านรู้ของจริงเหมือนดูหนังจีน สนุกกว่าไปรบราฆ่ากันแย่งลาภยศด้วย ศัตรูอันนี้ร้ายกาจ ทำได้แล้วสนุกสนาน

       การเกิด 5 ชนิดนี้มีความชัดเจน เข้าใจแล้วไปปฏิบัติ รูปมีความหมายสองอย่าง 1.รูปคือโครงร่าง 2.รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ แม้นามธรรมก็ถูกรู้ได้ นามธรรมไม่มีสีสันตัวตน วิญญาณ นั้น อนิทัสสนัง แต่รู้ได้ด้วยอาการ อย่างการโกรธ คนเราเคยโกรธไหม แล้วมันมีสีอย่างไร ไม่มีเส้นสายอะไร หรืออาการอร่อยมันมีสีสันรูปร่างไหม ไม่มี แต่มันเป็นอาการทางใจ แต่คุณรู้มันได้ว่านี่โลภ นี่โกรธ นี่ราคะ คุณต้องกำหนดหมายรู้ได้ด้วยตนเอง

        กำหนดหมายได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

       การเกิดตายทางจิต เรียกว่าโอปปาติกโยนิ สัตว์นรกก็คือในจิต ทำให้สัตว์นรกตาย จิตก็เร่ิมเกิดเป็นเทวดา จิตเราทำลายกำจัดเหตุแห่งนรกได้ ก็อุบัติเป็นอุบัติเทพ แล้วทำได้บริสุทธิ์เป็นวิสุทธิเทพ

       จิตกุศลจิตเจริญจิตสะอาดจะเกิด ถ้าไม่ถึงบริสุทธิ์เลยก็จะสะอาดเพ่ิมขึ้นเป็นอุบัติเทพ แต่เป็นการตายการเกิดอย่างไม่มีซาก ไม่มีรูปร่าง แต่รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นการเกิดการตายทางปรมัตถ์

       ถ้าคุณอ่านออกเข้าใจ จากนิพพัตติ เป็นอภินิพพัติ ก็คือตัวปลาย เกิดนิโรธ ถาวร เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทพเจ้าเป็นพลังจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จริง เป็นพรหม เทวดา เป็นเทพเจ้า ส่วนสมมุติเทพเป็นความพอใจถูกใจตามโลก เช่นได้ลาภมาก มีอำนาจมากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่าสมมุติเทพ เสพกามเสพอัตตาได้เต็มที่ก็เป็นผู้เจริญทางโลกเป็นเทวดาสมบัติผลัดกันชม ตกนรกขึ้นสวรรค์ไม่รู้กี่ชาติ

       สวรรค์นั้นมีเพียงตอนเสพแต่แวบเดียวหมดสัมผัสก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่ความจำ อร่อยไม่มีตอนหมดสัมผัสแล้ว แต่ที่ระลึกได้ว่าอร่อยนั้นไม่ใช่รสของจริง แต่คุณยึดติดความอร่อยเป็นอุปาทานไว้ในอัตภาพนี้ เป็นเวรเป็นวิบากไหม จึงเรียกว่าสุขหลอกสุขไม่จริง แต่ทุกข์นั้นติดไปอีกนาน อย่างไปได้กินมันแกวนี้อีกพอดีรสตรงกับที่เคยจำไว้ว่าอร่อยก็ชื่นใจอีก

      มาต่อเรื่อง ภพ

       กามภพ เกิดจาก ทวารนอก 5 เกิดสัตว์นรกสัตว์สวรรค์ก็อยู่ตรงนี้ แต่ว่าไปเสพสวรรค์แวบเดียวแล้วจำไว้ไม่ลืม มีกิเลสตัณหายึดอยู่ แต่ตายไปไม่มีสัมผัสได้อย่างที่จำได้ไว้ แต่ว่าคุณต้องอยากตามที่อุปาทานไว้ ถ้าไปอยากตอนตาย คุณไม่รู้หรอกว่าคุณไม่มีทวาร 5 เหมือนคุณนอนหลับคุณก็ไม่รู้หรอกว่าคุณไม่ได้มีทวาร 5 มันอยากมากก็ไม่มีให้ ก็ทุกข์ตกนรกนานมาก ไม่มีสวรรค์หรอก ตายไปส่วนมากมีแต่นรก สวรรค์มีน้อย ถ้าจะมีสวรรค์ก็แค่จำได้นึกปรุงเอาแต่เหมือนกินหญ้าแห้ง เป็นของแห้ง ไม่ใช่ของสด

       ในทวารทั้ง 5 มีโผฏฐัพพารมย์ เป็นอันที่ 5 ที่เหลือคือ ตา หู จมูก ลิ้น อีก 4 อัน เรียกว่าปสาทรูป ส่วนโคจรรูปมี 4 อย่างคือดำเนินเรื่องบทบาทอยู่

       ในกามภพ ท่านตั้งต้นอย่างหยาบคือ อบาย มันหยาบของใครของมัน  เช่นโลภมาก ราคะมาก สุขมาก ทุกข์มาก ไม่เท่ากัน คนเรากระทบส่ิงเดียวกันแต่หลงไม่เท่ากัน สารพัด แล้วแต่สมมุติเช่นกระเป๋าหนังแรด หนังจรเข้แพง ก็หลงไปใช้จิตวิทยาว่ากันไป งงเลยว่ากระเป๋าใบละ 4 ล้านบาท บางทีก็แล้วแต่เทรนด์ในแต่ละปีๆ ปีนี้สีเหลืองนำ ก็เหลืองสวย ปีหน้าเขียวสวยก็เขียวสวย ปีนี้ส้นสูงสวยก็สวย ปีนี้ส้นเตี้ยสวยก็สวยไปกับเขา ถ้าคนเป็นส้นก็คงงงว่าปีนี้เอ็งบอกว่ากูสวยแต่ปีหน้าเอ็งบอกว่ากูไม่สวย ถ้าส้นพูดได้คงว่าแล้วนะ นี่คือการไปทำให้จิตหลงงมงาย เป็นอบายมุข รสชาติต้องฮาร์ดร็อค ถ้าไม่แรงไม่ถึงใจ เป็นต้น

       อาตมาพาคืนมาเลิกโง่ เลิกถูกหลอกมาได้พอสมควร ที่หลุดมาได้นี่ริสยาที่เขายังอร่อยหรูหราฟู่ฟ่าอยู่ไหม?...ก็ไม่ริสยาเขาหรอก รู้สึกตลกเลยบางคนดีไม่ดีไปด่าเขาอีกระวังเขาตอกกลับนะ

       วันนี้ได้ขยายความ อบายมุขก็มีหลากหลาย อย่างไปโลภมากจัดจ้านนี่ก็อบายมุข ….

570104_พ่อครูที่มัฆวานฯเรื่อง การเกิดชั่วเกิดดีเกิดสุขเกิดทุกข์

 

       อาตมาก็ทำงานกับมวลมนุษยชาติไม่ว่าจะเป็นขอทานหรือนายกฯ ก็ยินดี เจตนาให้คนทุกคนไม่มีชั้นวรรณะ ยิ่งเป็นคนที่มีบทบาท มีผลกระทบต่อประเทศสูง ถ้าได้ฟังธรรมได้ผลจากธรรมะจริงจัง ก็จะเป็นบุญต่อประเทศต่อสังคมโลกมหาศาลเลย มันดี ใครจะว่าอาตมาหลงธรรมะก็ยอมรับ ชีวิตคนไม่มีอะไรดีกว่าได้ธรรมะ ทั้งกาย วาจา ใจ เป็นพฤติกรรม ของแต่ละคนๆก็มีการประกอบการกระทำเรียกว่า “กรรม” ทำการงาน ถ้านอนอยู่เฉยๆก็กระทำการคิด ถ้าคิดดีก็ทำดี คิดชั่วก็ทำชั่ว ถ้าฟักตัวจากความคิดก็จะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มาจากจิต พระพุทธเจ้าตรัสว่า มโนบุพพัง คมาธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา

       ถ้ามีคุณธรรมในจิตก็เป็นหลักประกัน แต่เมื่อไม่ใส่ใจธรรมะ ก็จะเป็นอธรรมไปอยู่ในใจแทน มันมักไม่เป็นกลางๆ มันไม่เป็นดีก็เป็นชั่ว คนไม่ตั้งใจศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม จึงมักเอนเอียงไปทางอธรรม ก็เป็นเรื่องเสียหาย

       เป็นความสำคัญที่มนุษยชาติขาดไม่ได้ และต้องเข้าใจทฤษฎีหลักใหญ่ของพุทธศาสนา ธรรมะจะมีอยู่ใน กาย วาจา ใจ ผู้มีทฤษฎีถูกต้องจะมีสติรู้ทั้งนอกและใน จะเกิดกรรม ถ้ากรรมภายนอกก็หยาบรู้ได้ง่าย เป็นสติ สัมปชัญญะ เป็นปัญญา ถ้าฝึกอย่างสัมมาทิฏฐิ ปัญญาจะเกิด ไม่เผลอเบลอให้อำนาจกิเลสมาครอบงำ แต่จะตั้งใจระลึกทำแต่สิ่งดีนำหน้า ธรรมะจึงเป็นเช่นนั้น จึงไม่ประกอบเรื่องเลวร้าย แต่จะทำดีให้มาก เป็นหลักสำคัญ

       อาตมาทำมา จนมีหมู่กลุ่มอโศก จนเป็นกองทัพธรรม ทำกับสังคมประเทศชาติ ก็เกิดจากการทำตน เป็นคุณธรรมประจำตน แล้วให้ทำต่อในแต่ละคนๆ จะมีมากหรือน้อยก็ยืนยันว่ามี ก็รวมเป็นองค์รวม มาทำงานกับสังคม

       เมื่อกี้นี้มีนักนสพ.ต่างประเทศสัมภาษณ์อาตมา ว่ากองทัพธรรมออกมาทำงานมีจุดมุ่งหมายอย่างไร หรือเป้าหมายหลักอย่างไร เจตนารมย์หลักอย่างไร ที่มาร่วมกิจกรรมประท้วงนี้

       อาตมาก็บอกเป้าหลักใหญ่ให้ฟังเลยว่า เป้าหลักคือไม่ให้เกิดความรุนแรง และเราก็ทำงานได้ผล ลดความรุนแรงจนได้ผลทุกวันนี้ จนเกิดการชุมนุม ที่เรียกให้ออกมารวมกันเป็นครั้งคราว รวมเรียกว่า กปปส. จนกระทั่งเรียกรวมพลมาเป็นครั้งๆ เป็นวิธีการประชาธิปไตย​แล้วมาร่วมกันเปล่งเสียงรวมกัน เมื่อมวลมหาประชาชนออกมารวมกันเปล่งเสียงพร้อมกันว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการเสียเถิด นี่แหละถ้าเปล่งออกไปพร้อมกันเลย ให้กำนันสุเทพพูดนำความนี้ คำต่อคำ ให้ชัดเจนก่อน แล้วให้พูดพร้อมกันเลย “นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการณ์นี้เสียเถิด” ถ้าเป็นจริง กลุ่มมวลมหาประชาชนร้องพร้อมกันนี่แหละคือ “เสียงประชาชน” แท้ๆเลย เป็นเสียงสดๆตัวเป็นๆ ออกมาแสดงคะแนนเสียง เป็นเจ้าของประชาธิปไตย ไม่ใช่ว่ามาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง มันคนละรุ่นเลย การลงคะแนนเสียงเป็นวิธีการที่ซับซ้อน เป็นอำนาจลำดับหลัง แต่นี่เป็นสิทธิเต็มที่เลย ของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจ นี่เป็นอำนาจที่ 1 เลย ไม่ใช่ตอนเลือกตั้งเท่านั้น

       ออกมาแล้วมาซาวเสียงประชาชนเลย จะมีคะแนนเสียงเท่าไหร่ โดยมีญัตติว่ารัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมแล้วใช่ไหม? จริงไหม ถ้าใครไม่เห็นว่าจริงก็งดออกเสียง แต่ถ้าใครเห็นว่าจริงก็ออกเสียงมา ประชาชนจะมาเอาอำนาจอธิปไตยคืน เป็นปรากฏการณ์พิเศษของโลก ที่ไม่เคยเกิด แต่คราวนี้น่าจะเกิด ถ้าคนมาสองล้านหรือห้าล้านนี้ออกเสียงมาจะกระเทือนฟ้ากระเทือนดินนะ

       มีพวกที่ต่อต้าน เขาหลงใหลอะไรกันขนาดนั้น เขาถามว่า ทักษิณเขาผิดอะไร? เขาอินโนเซนส์มากเลยนะ เขาไม่ได้ผิดอะไร เขาทำแต่คุณงามความดี

       เห็นบทความของคุณ สิริอัญญาในนสพ.แนวหน้าเขียนเรื่อง..

      "ความรุนแรงคืออาการดิ้นรนของเผด็จการ!" 4 ม.ค. 2557

       สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเข้าสู่วิกฤตมากขึ้นทุกขณะ เพราะเนื้อแท้ของปัญหามิใช่ปัญหาของระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องของการทำศึกชิงบ้านชิงเมือง

     ระบอบทักษิณครองอำนาจในประเทศไทยมาเป็นเวลา 12 ปีแล้ว มีลักษณะที่แตกต่างกับการมีอำนาจทางการเมืองของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลทุกพรรค ทุกสมัย นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา

     เพราะเป็นการเข้าครองอำนาจเพื่อยึดบ้านครองเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เป็นระบอบการปกครองอื่น และเท่าที่เปิดเผยกันมาแล้วก็คือระบอบสาธารณรัฐที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

     ดังนั้นการดำเนินงานตลอด 12 ปีที่ผ่านมาจึงแตกต่างจากการบริหารบ้านเมืองของทุกรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย นั่นคือ

     ประการแรก มุ่งแสวงหากำลังอำนาจเงินให้มากที่สุด จึงเป็นต้นเหตุของการคอร์รัปชั่นครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ และได้มีการใช้เงินนั้นในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการยึดครองแผ่นดิน

     ประการที่สอง ได้สร้างรัฐตำรวจขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อหวังครองกำลังอำนาจรัฐสำคัญที่มีทั้งกฎหมาย มีทั้งปืน และมีทั้งอันธพาลทั้งในและนอกเครื่องแบบเป็นเครื่องมือ และมีกำลังพลร่วม 300,000 คน และมาถึงวันนี้อำนาจรัฐตำรวจก็อยู่ในเงื้อมมือและคำบงการชนิดที่เป็นกองกำลังส่วนตัวไปแล้ว และพร้อมที่จะเห็นประชาชนเป็นศัตรูที่พร้อมทำร้ายหรือฆ่าฟันได้อย่างอำมหิต

     ประการที่สาม ได้ครอบงำกลไกอำนาจรัฐในระบอบราชการประจำให้อยู่ในกำมือ เสมือนหนึ่งเป็นข้าทาสหรือผีโม่แป้ง ทำให้ปวงข้าราชการถูกกดขี่ข่มเหงและจำใจต้องตกเป็นทาส กระทั่งยอมทำผิดกฎหมายและกลายเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกยึดทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก การซื้อขายตำแหน่ง การเลียแข้งเลียขาเพื่อให้มีอำนาจในราชการเกิดขึ้นทุกหัวระแหง จนคนดีไม่สามารถมีอำนาจในระบอบข้าราชการได้เลย

     ประการที่สี่ เข้าครอบงำองค์กรอิสระให้ตกเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการยึดครองอำนาจรัฐ และในการตั้งตนอยู่เหนือกฎหมายอย่างสมบูรณ์แบบ

     ประการที่ห้า วางรากฐานให้ญาติวงศ์พงศาเข้ามากอบโกยผลประโยชน์และยึดครองบ้านยึดครองเมือง ผู้คนในตระกูลเดียวมีฐานะประหนึ่งเป็นอ๋องเป็นกง แบบเดียวกับระบอบการปกครองจีนในสมัยโบราณ

     พฤติกรรมแย่งบ้านยึดเมืองดังกล่าวได้ส่งผลสะเทือนตั้งแต่ฟ้าจรดดิน ส่งผลสะเทือนไปทุกหัวระแหง สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คุณธรรม ศีลธรรมในบ้านเมืองถูกบั่นทอนบ่อนทำลายอย่างต่อเนื่อง

     เพราะเหตุนั้นประชาชนจึงลุกฮือขึ้นต่อต้านต่อเนื่องมาเป็นลำดับ นับตั้งแต่การเริ่มลุกขึ้นต่อสู้ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสิบปีเต็มแล้ว ทำให้ประเทศชาติและประชาชนตกอยู่ในวังวนและจมปลักอยู่กับวิกฤตในการยื้อยึดอำนาจ หวังครองแผ่นดินในลักษณะนี้ จนความเดือดร้อนแผ่ขยายไปทุกหย่อมหญ้า

     การลุกฮือขึ้นต่อสู้ของประชาชนในปัจจุบันนำโดย กปปส. ทำให้มวลมหาประชาชนทั่วประเทศสมานสามัคคีกันชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน คือเพื่อกำจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย

     กปปส. ประสบความสำเร็จในการทำให้ระบอบทักษิณต้องถอยร่นทางยุทธศาสตร์ และได้ใช้กลยุทธ์ยื้ออำนาจถึงขั้นที่สามแล้ว คือจากการยื้ออำนาจเป็นรัฐบาลให้นานที่สุดก็ยื้อไม่ไหว ต้องใช้กลยุทธ์ที่สอง คือยุบสภาหลอกให้ไปเลือกตั้ง และหวังครองอำนาจอยู่ในระยะเวลาเลือกตั้ง

     แต่มวลมหาประชาชนก็ยังคงขับไล่ไม่หยุดหย่อน จนต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสี นั่นคือการใช้กลยุทธ์ขั้นที่สาม คือถอยไปตั้งหลักในต่างจังหวัด จะแวบวั่บเข้ามาในกรุงเทพฯ บ้างก็ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นพาหนะได้อีกต่อไป ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์บินโฉบไปโฉบมา จนเป็นที่หวั่นว่าจะเกี่ยวสายไฟฟ้าร่วงหล่นลงสักวันหนึ่ง

 

     การยื้ออยู่ในอำนาจเพื่อใช้อำนาจรัฐบาลรักษาการกำลังร่อแร่เต็มที

     ในขณะที่การบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้งก็ถูกต่อต้านอย่างกว้างขวาง จนคนทั้งหลายเริ่มเห็นแล้วว่าการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 จะเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าเล่ห์กลฟอกตนเองเพื่อจะกลับเข้ามามีอำนาจยึดบ้านครองเมืองอีกครั้งหนึ่งกำลังถูกสกัด กำลังถูกต่อต้านอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ

     ดังนั้นการยื้ออยู่ในอำนาจและการดึงดันบังคับให้ประชาชนไปเลือกตั้งเพื่อจะฟอกตัวกลับเข้ามายึดประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งจึงถูกสกัด ถูกต่อต้านยิ่งกว่าทุกระยะที่ผ่านมา

     เกิดสภาพเข้าตาอับ ดังนั้นอาการดิ้นรนจึงพรวดพราดรุนแรงผิดปกติ เพราะเหตุนี้ปรากฏการณ์นำเอาทหารรับจ้างเขมร นำเอาคนชุดดำ นำเอาอันธพาลทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบเข้ามาสังหารประชาชนจึงปรากฏโฉมให้เห็นตั้งแต่ก่อนช่วงส่งท้ายปีเก่าเป็นต้นมา

     นั่นเป็นการก่ออาชญากรรมที่จะต้องได้รับผลตอบแทน ทั้งตามกฎแห่งกรรม ตามกฎหมาย และด้วยประชาทัณฑ์ของมวลมหาประชาชน!

       ผู้สื่อข่าวต่างประเทศก็ถามมาว่า การเลือกตั้งจะเกิดไหม อาตมาตอบว่าไม่น่าจะเกิดได้ แต่น่าจะเพิ่มว่า ถึงแม้จะดันให้เลือกตั้งได้ ก็จะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สมประกอบ เสียดายเงินที่นำไปใช้จัดเลือกตั้ง จะสูญเปล่า โมฆะมากกว่า เราจึงสกัดไม่ให้เกิดการเลือกตั้ง นี่มันก็เสียไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่หมด 3800 ล้าน เราก็ต้องสกัดไม่ให้เกิด ก็ยังไม่เคยมีมาในประเทศไทย

       เรื่องประชาธิปไตยในไทยมีวิวัฒนาการจนถึงวันนี้ เป็นความเจริญของประชาธิปไตย แต่คน มันเลวลง ประชาธิปไตยโดยองค์รวมของคนไทยดีขึ้น พัฒนาขึ้น อย่างการมาชุมนุมกันได้เป็นเรือนล้านคน มันเป็นส่ิงเกินเชื่อ อีกฝั่งหนึ่งหวั่นไหวมาก จึงหาวิธีการที่จะสู้มากขึ้น วิธีการจึงเลวลงๆ คนที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะความเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ถ้าจะต่อต้านอย่างเจริญคือออกมาโดยถูกรธน. แม้แต่ศาลก็วินิจฉัยแล้วว่าเราทำถูกต้องตามรธน. เราจึงทำได้มาตลอด เขาจึงเดือดร้อนดิ้นรน ใช้ทุจริตเลวร้ายหนัก เลวขึ้นในพวกเขา แต่่ว่าประชาธิปไตยดีขึ้น มันห้ามไม่ได้ ถ้าประเทศอื่นที่เจริญในประชาธิปไตยเขายอมแล้ว เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ก็ปล่อยให้ประชาชนทำสิ แล้วประชาชนจะไม่มีใครทำเป็นเลยนี่มันดูถูกกันมากจริงๆเลย

 

เราจะได้ประชาธิปไตยอย่างไร?ก็ต้องมี

1.ประชาชนของประเทศ 2.อธิปไตยพลังอำนาจ หลักใหญ่ก็มีคนกับอำนาจ ที่จะแสดงออกทางกาย วาจา ใจ ที่แสดงออกมา 3.ถ้าคนที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาชนไม่รู้และเป็นคนไม่ดี อำนาจที่จะเกิดในมวลมหาประชาชนก็จะเป็นอำนาจร้ายอำนาจไม่ดี 1.ถ้ามวลเป็นคนไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร? 2.ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว อะไรผิดอะไรถูก อย่างนี้เป็นต้น

       ก็ถ้าคนไม่รู้และไม่ดี ความเป็นอำนาจที่จะเป็นประชาธิปไตยก็เป็นประชาธิปไตยที่ร้ายหรือไม่ดี

       คนต้องดี จึงจะมีอำนาจที่ดีที่เป็นอาริยะ อย่างน้อยต้องรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร แล้วรู้ว่าดีชั่วคืออะไร แยกแยะถูก รู้ว่าอบายมุขคืออะไร อย่างการทุจริตก็คืออบายมุขของข้าราชการ เป็นผลกระทบต่อประชาชนส่วนมาก ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน

       เมื่อเรารู้แล้วว่าเกิดจากคน คนต้องรู้และต้องดีจึงได้อำนาจอันประเสริฐ แล้วทำอย่างไรคนถึงรู้และดี

       ขั้นแรกต้องศึกษา  คำว่า รู้ จะมีได้ก็ต้องศึกษา ประเทศก็มีกระทรวงศึกษาธิการ แต่ที่สอนกันตั้งแต่ปถมฯไปถึงมหาวิทยาลัย ก็สอนกันแต่ความรู้เทคนิค วิชาการ ก็เลยได้รู้ แต่ลืม ความดี เลยไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก็เอาความรู้ไปทำชั่ว เช่นที่ทำทุจริต คอรัปชั่น ขี้โกง

       ข้าราชการตัดไปก่อน เอาคนทำงานส่วนเอกชนคุณว่าโกงไหม? ถ้าพลเมืองของประเทศโกง เกิดจากการศึกษาทางคุณธรรมจริยธรรม คือศาสนา ต้องรับผิดชอบนะ

       อาตมาไม่มีใครตั้งให้ทำ แต่อาตมาทำแล้วรับผิดชอบด้วยนะ พยายามไม่ให้เกิดทุจริตไม่ให้เกิดการโกง แวดวงที่อาตมาดูแลก็มีผลเกิดประชากรที่ไม่ทุจริตไม่คอรัปชั่นได้ ไม่ทุกคนแต่ก็ได้ 80 % ขึ้น จริงๆ ใครจะมาตรวจสอบได้เลย ตั้งแต่นักเรียนที่ดูแล ตั้งโรงเรียนมา 20 ปีก็ไม่ได้ข่าวว่านร.ที่จบไปทำเลวร้ายอะไรมากมาย

       ขออภัยอย่าหาว่าทวงบุญคุณ อาตมาว่าเป็นงานที่น่าทำอย่างยิ่ง เหนื่อยอย่างไรก็ยินดีทำ ตายไปเกิดมาใหม่ก็ทำอีก แม้จะถูกลิงลมอมข้าวพองแต่ถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่ก็ทำอีก

       ขอกล่าวโทษผู้ที่รับผิดชอบด้านนี้ ที่ทำมานานแล้ว ท่านมีเงินเดือนด้วย เรียกว่านิตยพัตรแล้ว ถึงขนาดนี้แล้วพระมีเงินเดือนเหมือนข้าราชการแล้ว แล้วรับผิดชอบมีลูกศิษย์ลูกหามาบริหารประเทศ หรือแม้เอกชนก็ต้องมีด้านรับผิดชอบคุณธรรม สังคมเป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้ที่ให้การศึกษา แม้เรื่องเทคนิคหรือให้คุณธรรม

       ของโรงเรียนเรามี ปรัชญา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา  เราส่งเสริมศีลธรรมเด่นมากกว่าอันอื่น แต่อย่างที่เขาทำกันก็มีส่งเสริมกีฬาเป็นสำคัญ ซึ่งของเราก็มีบ้าง แต่ไม่ส่งเสริม แต่เขาส่งเสริมกันเป็นอาชีพเลย จึงเป็นอบายมุขที่มีกันทั่วโลก หรืองานหลายอย่างที่เกินไป เช่นเต้นรำสังสรร ไม่ใช่งานอาชีพงานหลักเราก็ไม่เอา มีอีกหลายอย่าง ในมหาวิทยาลัย มีหลายคณะก็ไปจัดให้เป็นป.ตรี ป.โท ป.เอกด้วย ไม่น่าทำเลย อาตมาไม่ส่งเสริม ตำหนิด้วย

       แม้แต่โลกียะกุศลก็ยังไม่ประกอบด้วยคุณธรรมยังบกพร่องเลย เพราะฉะนั้นที่สูงกว่านั้นเป็นโลกุตระที่ต่างจากโลกียะคือ เป็นขั้นที่รู้จักจิตเจตสิก โลกุตระคือมีญาณหยั่งรู้จิตตนรู้จักกิเลสตน แล้วกำจัดกิเลสได้ กิเลสเป็นตัวการใหญ่ในการทำให้เราทำอกุศล

       โลกุตระนี่้ต้องทำให้คนรู้และดี ต้องรู้ถึงจิตเจตสิก รูปนิพพาน คือปรมัตถ์ ต่างจากศาสนากระแสหลักทั่วไป ซึ่งเขาสอนแต่โลกียกุศล ไม่มีความสามารถรู้ถึง จิตเจตสิก แต่โลกุตระต้องรู้จิตเจตสิก แล้ววิจัยกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ ผู้มีภูมิโลกุตระจึงมีหลักประกันชีวิต สามารถรู้สมุทัยผีร้ายในชีวิตที่เกิดจากใจ สามารถกำจัดเหตุร้ายคือกิเลสได้ ที่จะปฏิบัติกาย วาจา ใจให้ดีแท้ รู้ลึกในปรมัตถสัจจะที่สูงส่ง ศาสนาพุทธรู้จริง เป็นโลกุตรธรรม

       เมืองไทยเป็นพุทธที่เป็นโลกุตรธรรม แต่่ว่าขออภัยที่สวนใหญ่เข้าใจผิด ไปทำใจในใจหรือมนสิการอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ขอยืนยันเลย แม้แต่สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อก็เป็นมิจฉา เป็นต้นว่าทานก็ปฏิบัติทานอย่างไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าโลกุตระไม่สามารถรู้จิตตน ไม่สามารถทำใจในใจให้กิเลสลด เพราะไม่สามารถวิจัยจิตได้ ไม่จับกิเลสแล้วกำจัดมันได้ แต่ไปทำใจในใจอย่างมิจฉาทิฏฐิ เช่นทำฌาน ก็ไปนั่งสมาธิหลับตา การหลับตาไม่มีทางเห็นกิเลสจริง อาตมาก็เคยฟังเขาสอนนั่งสมาธิ เขาก็ว่าให้นั่งไปมันก็เมื่อย กิเลสเมื่อยมันก็ไม่อยากนั่ง แล้วว่าไอ้กิเลสก็คือไม่อยากนั่ง ไปนั่งนิ่งให้แข็งสะกดให้ดูแต่ลมหายใจ เป็นกสิณ จดจ้องอยู่ที่นิมิตต่างๆเช่นลูกแก้ว เป็นต้น แล้วไปเห็นว่าการเมื่อยคือกิเลส ต้องไม่เมื่อย ถ้าเมื่อยคือกิเลส อันนั้นไม่ใช่กิเลส อันนั้นมันสรีระ ไปนั่งกดประสาท ให้น่ิงซึ่งธรรมดามันก็ต้องขยับ แม้นอนก็ขยับอยู่เลย แต่เขาพยายามอดทนจนสรีระเสีย เป็นต้น

       มันไม่อยากนั่ง ส่วนมากมันนั่งแล้วก็ไม่ค่อยนิ่ง ก็พยายามบังคับตนให้ทน ถ้าไม่ทำทนก็เป็นกิเลส ส่วนมากทำอย่างนี้ แล้วก็ไม่เข้าใจกิเลสไม่เห็นกิเลส แต่ทำจนชำนาญทนได้เก่ง ถือว่าไม่มีกิเลส หนักเข้านั่งแล้วก็หลับได้ ดับแข็งทื่อทำให้ประสาทหยุดไป เหมือนชาวอสัญญีทำได้จนร่างกายแข็ง เป็นเรื่องสรีระ ไม่ใช่การลดกิเลส ยิ่งดับไม่รับรู้ย่ิงไปใหญ่ เป็นกิณหะ ทำให้จิตดำมืดไม่มีแสงสว่าง ดับสัญญาเป็นอสัญญี ไม่ได้ลดกิเลส

       อย่างพุทธต้องรับรู้บทบาทว่ากิเลสลดอย่างไร มันหมดอย่างไร มีปัญญารู้ว่ากดข่มก็เป็นองค์ประกอบ เป็นอุปการะได้ ไม่ให้มีแรงทำให้เราไปทำกาย วาจา แต่ไม่สมบูรณ์ต้องรู้ด้วยปัญญาว่ามันเป็นแค่แขก ไม่ใช่ตัวเรา มันแฝงว่ามันเป็นเรา เราทำแล้วจะเกิดปัญญารู้ว่ามันไม่ใช่เรา มันชั่วแฝงมาทำให้เราชั่ว ปัญญาจะเห็นจริงสามารถสลายกำจัด มีพลังงานทางไฟธาตุที่เรียกว่า ฌาน เป็นไฟกองใหญ่มีพลังละลายกำจัดกิเลสได้

       แต่ถ้าไปนั่งหลับตาไม่รู้ลดกิเลสอย่างนี้ ไม่ได้เห็นความจางคลายได้ ของพุทธต้องทำอย่างรู้ มีอนุปัสสี 4 แต่ว่าฤาษีไปทำนั่งหลับตา ให้จิตสงบ ไม่รู้ว่าอะไรคือฌาน อะไรคือสมาธิ ซึ่งที่จริง ฌานคือภาคปฏิบัติให้ลดละกิเลส ฌานต้องรู้กิเลส แล้วมีพลังสลายกิเลสได้อย่างมีปัญญา เมื่อกิเลสสลาย จิตก็สะอาด ยิ่งทำให้มากก็ตกผลึกเป็นสมาธิ ฌานเป็นเครื่องมือให้เกิดสมาธิ จิตจะตั้งมั่น เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ยิ่งแน่วแน่ แนบแน่น ปักมั่น

       จะเป็นคุณสมบัติที่พัฒนาอย่างนั้น ผู้ปฏิบัติเองจึงประเมินค่าความควบแน่นของตนได้ พุทธจึงเป็นฌานลืมตาไม่ได้หลับตาทำ

       ต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นสภาวธรรม อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ

       ซึ่งการนั่งหลับตาทำนั้นเป็นการสั่งสมภพชาติ แต่การทำแบบลืมตานี่ได้ล้างตั้งแต่กามภพ แล้วจะเหลือรูปภพอรูปภพ เมื่อดับอรูปหมดก็สิ้นชาติ ทุกขั้นตอนทำอย่างลืมตา ฌานก็ลืมตาทำ สมาธิก็เกิดอย่างลืมตาทำ

       ชาติมี 5 อย่าง (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

       ภพก็มี 3 (กามภพ รูปภพ อรูปภพ)

       อุปาทาน ก็มีอยู่ 4 (กามุปาทาน ศีลพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน )

       ตัณหา ก็มี 6 เวทนาก็มี 6 มีผัสสะ 6 สฬายตนะก็มี 6 คือทางทวาร 6

       แล้วก็รู้ นาม_รูป แล้วจึงมารู้ วิญญาณ​6 คือทางทวาร 6 วิญญาณเกิดตอนผัสสะนี่แหละ จะเป็นผีเป็นเทวดาก็ต้องตอนผัสสะ แล้วเมื่อวิญญาณดับก็ดับผีได้ ทำอย่างปุญญะคือลดละกิเลส ชำระจิตสันดานให้หมดจด

       นี่คือปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นข้อสุดท้ายของ อวิชชา 8

       ข้อ 1ถึง 4 คืออาริยสัจ 4

       ข้อ 5 คือไม่รู้ส่วนอดีต

       ข้อ 6 คือไม่รู้ในส่วนอนาคต

       ข้อ 7 คือไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต

       ข้อ 8 คือไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท

       ซึ่งส่วนอดีตและอนาคตนั้นเที่ยงแล้วคือ ความเป็นนิพพานนี้เทีี่ยง ถ้าไม่เที่ยงยังไม่ใช่นิพพาน เที่ยงคือไม่ใช่ตัวตน แต่เที่ยงคือหมดตัวตน อย่าง พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       กิเลสนี้มันไม่เที่ยง แต่นิพพานี่แหละคือสิ่งเที่ยง ทำอย่างลืมตาแล้วเที่ยง แล้วหลับตาก็ยิ่งทำได้สบายมากเลย สบม ธมด ปกต หหจจ มชยลล. เลย สบายมาก ธรรมดา ปกติ หายห่วง จริงจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

       อันนี้ทำอย่าง Supra-mundane เป็นสิ่งที่เหนือกว่า ปกติธรรมดาสามัญ

       พระพุทธเจ้าท่านนั่งสมาธิแล้วได้เป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ใครไม่เอา เหมือนอย่างที่เขาคิดกันว่า ถ้านั่งสมาธิแล้วไม่บรรลุในวันนี้จะไม่ลุกเลย ให้ตายกับการนั่งเลย อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าท่านทำคือการเตวิชโช ไม่ได้ทำสิ่งใหม่เลย ระลึกของเก่าที่ท่านมี ตรวจสอบแค่นั้น แต่ถ้าคนไม่มีของเก่าไปนั่งก็ไม่ได้หรอก แต่การระลึกอดีตก็ถ้าไประลึกได้แค่ว่ามีตัวตนบุคคลเราเขาเป็นอย่างไรแค่นั้นก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าระลึกชาติที่เป็นปรมัตถ์

       พระพุทธเจ้าท่านระลึกชาติเข้าไปถึงสัจธรรม เป็นปรมัตถ์ ที่ท่านได้ทำสำเร็จมาหมดแล้ว ในชาตินี้ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นสยัมภูแล้ว อย่างอาตมาชาตินี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรมกับใครที่สัมมาทิฏฐิ จนอาตมาไปเป็นศิษย์สำนักนั้นแล้วมีศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่อาตมาไม่มี

        พระไตรปิฏก ล.16 อาตมาขยายความเรื่อง... วิญญาณจะเกิดต้องมีผัสสะ ก่อนมีผัสสะต้องมีชาติ ซึ่ง

        ชาติมี 5 คือ(ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) แปลว่าการเกิดทั้ง 5 คำ แต่เกิดในสภาวะต่างกัน ทั้ง 5 สภาวะ

        ชาติ คือการเกิด เป็นองค์รวมไม่ละเว้น รวมถึง คำที่เหลือด้วย ชาติเป็นคำกลางๆ รวมทั้งการเกิดแบบโลกีย์ด้วย รวมโลกุตระด้วย รวมในชาติ

      สัญชาติ คำว่า สัญ คือความจำหรือตัวกำหนดรู้ แปลได้สองอย่าง คือคลังสมบัติ และทำหน้าที่กำหนดหมายรู้ โดยดึงเอาความจำเก่ามารู้ก็ได้แล้วก็รู้ในปัจจุบันได้ ดีไม่ดีรู้อนาคตได้ หมายว่าเป็นไปอย่างไร คนที่เกิดมาสัตว์ทีเกิดมามีสัญชาติญาณ ก็คือความรู้มาจากความจำเก่า แล้วมาทำหน้าที่กำหนดรู้โดยอัตโนมัติ อย่างต่อมไร้ท่อนี่ก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่งเป็นสัญชาติญาณสั่งการได้ คุณมีสัญชาติทางโลกีย์​เช่นสัญชาติชั่วก็จะออกมาทำชั่ว ถ้าไม่ได้กำหนดรู้เพราะมันแรงและเร็วจนคุณไม่สามารถกำหนดข่มมันได้มันก็ออกมาทำงาน แล้วก็บอกว่าไม่รู้ตัว เช่นไปตบเขา รู้ว่าไม่ดีแต่ไปตบเขาแล้ว สัญชาติญาณทำงานมา เอาให้แรงขนาดไหนก็แล้วแต่สัญชาติญาณ อย่างไมค์ไทสัน กัดหูเขาได้ เหมือนตำรวจทุบรถ เป็นสัญชาติญาณดิบ ถ้าให้เขารู้ตัวมาถามเขาจริงๆตอนรู้ตัว เขาก็รู้ว่าไม่ดี ไปทำลายของคนอื่นเขา แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปทำชั่วอะไรให้แก่ตนเองหรอก สรุปคือสัญชาติญาณเกิดจากของเก่าของตนเอง ส่วนใหญ่เป็นโลกีย์ แต่เป็นโลกุตระได้ถ้าได้ฝึกมาก็จะใช้สัญชาติอย่างโลกุตระ

        โอกกันติ ท่านแปลว่า การหยั่งลง อะไร? คือการเรียนรู้ได้ แทนที่จะเกิดอย่างสัญชาติ แต่คุณมีปัญญารู้ว่าอันนี้มันจะเกิดนะ หยั่งลงหรือตั้งขึ้น คือญาณเราหยั่งลงไปรู้ความเกิดของจิต การเกิดนี้ไม่ใช่แบบตัวตนบุคคลเราเขา การเกิดทั้ง 5 ไม่ใช่หมายถึงรูปธรรมตัวตนบุคคลเราเขา แต่หมายถึงนามธรรม การสัมผัสรูป ในรูปต้องมีญาณไปรู้ ถ้าไม่มีญาณก็ไม่รู้จัก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งการเกิดตรงกลางของการหยั่งรู้นี่คือ ญาณ แล้วเกิดการแยกแยะ (วิภังค์) ว่ามันรู้อะไร แยกแยะให้รู้ เช่น เราสัมผัสอันนี้ กัดมันแกว หวานมันดีจังเลยรสดี ถูกกิเลสมากเลย ภาคกลางเรียกมันสำเภา กัดเข้าไปก็ว่าหวานกรอบ จะเป็นไทย ฝรั่ง จีน แขก กัดมันหัวนี้ก็ได้รสเดียวกันหมด นี่เรียกว่า รสธรรมชาติ แต่ทีนี้มันมีอีกรสหนึ่งคือรสกิเลส เป็นอัสสาทะ ต้องกำจัดอันนี้ ไม่ใช่ไปกำจัดรสสัมผัสที่ลิ้น แต่รู้ความจริงตามจริง ของรสประสาท แต่อีกรสหนึ่ง ที่เป็นรสทิพย์ อันนี้แหละที่เป็นความรู้ใน วิชชาข้อที่ 4 ในวิชชา 9

       คือวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์

       รสหนึ่งคือรสธรรมชาติ อีกรสหนึ่งคือรสกิเลส แต่ถ้าทำแบบไม่รู้รสที่ลิ้น อันนั้นคือรสประสาทเสีย

       หูได้ยินเสียง ถ้าเทียบเสียงนี้ได้ยินว่าไกล ใกล้ นอกจากได้ยินแล้วก็มีสัญญะว่านี่เสียงกลอง เป็นเสียงตะโพน พวกนักกลองจะรู้ว่าเสียงมันคืออะไรมันต่างกันอยู่ เสียงนี้เสียงเปิงมาง อันนี้เสียงบัณเฑาะ นี่คือเสียงธรรมชาติ แต่ที่เป็นธรรมะคือคุณชอบหรือไม่ชอบ คุณอยากหรือไม่อยาก อย่างรสนี้ก็รู้ว่านี่หวาน รู้ว่ามันมีธาตุที่จะเอามาใช้ได้ มันเป็นมันแกวก็รสอย่างนี้ รสกล้วยก็รสอย่างนี้ แล้วรู้จัดว่าจะทำลายตัวไหน แต่การนั่งหลับตาดับนี่ทำลายเกลี้ยงเลย ไม่รับรู้เลย ไม่ได้เรียนรู้แยกแยะเวทนาเลย ว่าชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์ ถ้าเป็นอุเบกขาก็ต้องรู้ตามจริง รู้หวาน เค็ม เผ็ด รู้ว่าเสียงเบาหรือแรงอย่างไรก็รู้ แต่ไม่มีอัสสาทะ ที่ว่าเป็นรสชอบใจหรือไม่ชอบใจ

       ถ้าคุณไปหลับตาแล้วจะแยกแยะกิเลสได้อย่างไร คุณกระทบทวาร 6 จะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสเกิดจากการกระทบสัมผัส เพราะนั่งหลับตาไม่ได้สัมผัส คุณจะเดาได้อย่างไร คุณเดาก็คือสัญญา เคยจำได้ก็เป็นคราวๆ แต่เกิดจริงก็ต้องพิสูจน์ยืนยันตอนเกิดจริง ถ้าไปนั่งหลับตาสมาธิไม่มีทางได้นิพพาน เป็นได้แต่มิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ มิจฉาผล

       อาตมาทำเป็นทั้งสองอย่าง ทั้งนิโรธแบบหลับตาดับ ซึ่งไม่ยากหรอก แต่ของพระพุทธเจ้าให้แยกแยะกุศลอกุศล แล้วกำจัดเหตุ จนไม่มีทั้งสุขทุกข์เป็นเฉยๆ โดยเฉพาะได้ฐานนิพพานคืออุเบกขา ต้องรู้แยกแยะว่าเป็นเนกขัมมะหรือเคหสิตะ

       เราออกจากสิ่งติดยึดที่เป็นอยู่ เกิดโอกกันติหยั่งลงแล้วเกิดให้กิเลสลดได้เป็นนิพพัตติ แล้วลดกิเลสจนหมดเกิดเป็นขั้นสูงสุดเรียกว่าอภินิพพัตติ

       จะทำอย่างรู้ๆเห็นๆ เป็นอนุปัสสี 4 มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี จนเป็นปฏินิสัคคานุปัสสี

        โอกกันติ คือเริ่มมีญาณปัญญาหยั่งรู้ ถ้า ชาติ สัญชาติยังไม่มีญาณหยั่งรู้จิตเจตสิก ถ้าทำได้เป็นนิพพัตติ ก็จะเกิดใหม่ เป็นพันธ์ใหม่ เกิดนิพพัตติ เป็นการเกิดที่รู้กิเลส ละกิเลสตาย

       คุณทำอนิจจานุปัสสี จะรู้ว่ากิเลสไม่เทีี่ยง เราทำมันลดได้ เห็นความไม่เที่ยงแบบลดลงหรือทวีขึ้นๆ ถ้ากิเลสมันเพิ่มก็ไม่ไปหานิพพาน แต่ถ้ากิเลสลดลงเราก็เห็นความจางคลาย จนมันดับเราก็รู้ความต่างว่าการลดลงหรือหมดก็ต่างกัน ถ้าไม่หมดก็อ่านออกยังมีลีลาอยู่ มีอาการรูป มันยังมีวิญญัติยังไหวอยู่ หรือมันดับแล้วไม่เคลื่อนไหวแล้วทำอย่างลืมตา อย่างมีปัญญา มีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง เราทำอย่างรู้สัมผัสนามธรรมที่ไม่มีตัวตนสีสันให้เห็นแต่รู้ได้ด้วยการฝึกกำหนดรู้ใน อาการ ลิงค นิมิต  ซึ่งมันมีอาการก็รู้ แล้วมันต่างกันอย่างไรเป็นลิงค มันมีความแรงมันมีความเบาอย่างไร ในลักขณรูป มีวิการรูป มันมีอาการหรือไม่มีอาการก็รู้ ยิ่งรู้วิญญัติรูป แล้วคุณก็รู้จักอาการในรูป 24 ซึ่งไม่ใช่รู้แค่ภาษา แต่อ่านสภาวะออกด้วย จะปฏิบัติธรรมได้สนุก มันอ่านรู้ของจริงเหมือนดูหนังจีน สนุกกว่าไปรบราฆ่ากันแย่งลาภยศด้วย ศัตรูอันนี้ร้ายกาจ ทำได้แล้วสนุกสนาน

       การเกิด 5 ชนิดนี้มีความชัดเจน เข้าใจแล้วไปปฏิบัติ รูปมีความหมายสองอย่าง 1.รูปคือโครงร่าง 2.รูปคือส่ิงที่ถูกรู้ แม้นามธรรมก็ถูกรู้ได้ นามธรรมไม่มีสีสันตัวตน วิญญาณ นั้น อนิทัสสนัง แต่รู้ได้ด้วยอาการ อย่างการโกรธ คนเราเคยโกรธไหม แล้วมันมีสีอย่างไร ไม่มีเส้นสายอะไร หรืออาการอร่อยมันมีสีสันรูปร่างไหม ไม่มี แต่มันเป็นอาการทางใจ แต่คุณรู้มันได้ว่านี่โลภ นี่โกรธ นี่ราคะ คุณต้องกำหนดหมายรู้ได้ด้วยตนเอง

        กำหนดหมายได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส

       การเกิดตายทางจิต เรียกว่าโอปปาติกโยนิ สัตว์นรกก็คือในจิต ทำให้สัตว์นรกตาย จิตก็เร่ิมเกิดเป็นเทวดา จิตเราทำลายกำจัดเหตุแห่งนรกได้ ก็อุบัติเป็นอุบัติเทพ แล้วทำได้บริสุทธิ์เป็นวิสุทธิเทพ

       จิตกุศลจิตเจริญจิตสะอาดจะเกิด ถ้าไม่ถึงบริสุทธิ์เลยก็จะสะอาดเพ่ิมขึ้นเป็นอุบัติเทพ แต่เป็นการตายการเกิดอย่างไม่มีซาก ไม่มีรูปร่าง แต่รู้ได้ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส เป็นการเกิดการตายทางปรมัตถ์

       ถ้าคุณอ่านออกเข้าใจ จากนิพพัตติ เป็นอภินิพพัติ ก็คือตัวปลาย เกิดนิโรธ ถาวร เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทพเจ้าเป็นพลังจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จริง เป็นพรหม เทวดา เป็นเทพเจ้า ส่วนสมมุติเทพเป็นความพอใจถูกใจตามโลก เช่นได้ลาภมาก มีอำนาจมากเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เรียกว่าสมมุติเทพ เสพกามเสพอัตตาได้เต็มที่ก็เป็นผู้เจริญทางโลกเป็นเทวดาสมบัติผลัดกันชม ตกนรกขึ้นสวรรค์ไม่รู้กี่ชาติ

       สวรรค์นั้นมีเพียงตอนเสพแต่แวบเดียวหมดสัมผัสก็ไม่มีแล้ว เหลือแต่ความจำ อร่อยไม่มีตอนหมดสัมผัสแล้ว แต่ที่ระลึกได้ว่าอร่อยนั้นไม่ใช่รสของจริง แต่คุณยึดติดความอร่อยเป็นอุปาทานไว้ในอัตภาพนี้ เป็นเวรเป็นวิบากไหม จึงเรียกว่าสุขหลอกสุขไม่จริง แต่ทุกข์นั้นติดไปอีกนาน อย่างไปได้กินมันแกวนี้อีกพอดีรสตรงกับที่เคยจำไว้ว่าอร่อยก็ชื่นใจอีก

      มาต่อเรื่อง ภพ

       กามภพ เกิดจาก ทวารนอก 5 เกิดสัตว์นรกสัตว์สวรรค์ก็อยู่ตรงนี้ แต่ว่าไปเสพสวรรค์แวบเดียวแล้วจำไว้ไม่ลืม มีกิเลสตัณหายึดอยู่ แต่ตายไปไม่มีสัมผัสได้อย่างที่จำได้ไว้ แต่ว่าคุณต้องอยากตามที่อุปาทานไว้ ถ้าไปอยากตอนตาย คุณไม่รู้หรอกว่าคุณไม่มีทวาร 5 เหมือนคุณนอนหลับคุณก็ไม่รู้หรอกว่าคุณไม่ได้มีทวาร 5 มันอยากมากก็ไม่มีให้ ก็ทุกข์ตกนรกนานมาก ไม่มีสวรรค์หรอก ตายไปส่วนมากมีแต่นรก สวรรค์มีน้อย ถ้าจะมีสวรรค์ก็แค่จำได้นึกปรุงเอาแต่เหมือนกินหญ้าแห้ง เป็นของแห้ง ไม่ใช่ของสด

       ในทวารทั้ง 5 มีโผฏฐัพพารมย์ เป็นอันที่ 5 ที่เหลือคือ ตา หู จมูก ลิ้น อีก 4 อัน เรียกว่าปสาทรูป ส่วนโคจรรูปมี 4 อย่างคือดำเนินเรื่องบทบาทอยู่

       ในกามภพ ท่านตั้งต้นอย่างหยาบคือ อบาย มันหยาบของใครของมัน  เช่นโลภมาก ราคะมาก สุขมาก ทุกข์มาก ไม่เท่ากัน คนเรากระทบส่ิงเดียวกันแต่หลงไม่เท่ากัน สารพัด แล้วแต่สมมุติเช่นกระเป๋าหนังแรด หนังจรเข้แพง ก็หลงไปใช้จิตวิทยาว่ากันไป งงเลยว่ากระเป๋าใบละ 4 ล้านบาท บางทีก็แล้วแต่เทรนด์ในแต่ละปีๆ ปีนี้สีเหลืองนำ ก็เหลืองสวย ปีหน้าเขียวสวยก็เขียวสวย ปีนี้ส้นสูงสวยก็สวย ปีนี้ส้นเตี้ยสวยก็สวยไปกับเขา ถ้าคนเป็นส้นก็คงงงว่าปีนี้เอ็งบอกว่ากูสวยแต่ปีหน้าเอ็งบอกว่ากูไม่สวย ถ้าส้นพูดได้คงว่าแล้วนะ นี่คือการไปทำให้จิตหลงงมงาย เป็นอบายมุข รสชาติต้องฮาร์ดร็อค ถ้าไม่แรงไม่ถึงใจ เป็นต้น

       อาตมาพาคืนมาเลิกโง่ เลิกถูกหลอกมาได้พอสมควร ที่หลุดมาได้นี่ริสยาที่เขายังอร่อยหรูหราฟู่ฟ่าอยู่ไหม?...ก็ไม่ริสยาเขาหรอก รู้สึกตลกเลยบางคนดีไม่ดีไปด่าเขาอีกระวังเขาตอกกลับนะ

       วันนี้ได้ขยายความ อบายมุขก็มีหลากหลาย อย่างไปโลภมากจัดจ้านนี่ก็อบายมุข ….

 


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:26:59 )

570105

รายละเอียด

570105_พ่อครูที่มัฆวานฯเรื่อง อำนาจโดยธรรมมหัศจรรย์ขนาดไหน?       

       พ่อครูออกอากาศ..สด...อาตมาก็ย้ำว่าไม่มีอะไรดีกว่าธรรมะสำหรับชีวิตที่เกิดมา ถ้าเกิดมาไม่ได้ธรรมะ ดีไม่ดีได้กิเลสหนาขึ้น มันไม่รู้ได้ง่ายนะ เกิดมาแล้วตายไปแต่หอบกิเลสไปบานเลย

       ตอนนี้เอาบทความมาอ่านประกอบการบรรยาย...ฟ้าเป็นผู้กำหนด-มนุษย์เป็นผู้เดิน

เปลว สีเงิน  23 December 2556

ถึงวันนี้...ไม่ต้องพูด ไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัย อีกต่อไปแล้วว่า...มวลมหาประชาชนปฏิวัติ จะชนะมั้ย ชนะเมื่อไหร่?

    ด้วยปรากฏการณ์เหนือปรากฏการณ์ และด้วยประวัติศาสตร์เหนือประวัติศาสตร์รวมหลอมมหาประชาชนเพื่อชาติในรอบ 756 ปี นับจากกรุงสุโขทัย

    ณ พ.ศ.2556 ลุถึงวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม กำนันสุเทพ นำมหาประชาชนปฏิวัติเฉียดหลัก 10 ล้าน

    ผ่านคำว่า "แพ้-ชนะ" ไปแล้ว....!

    เราทั้งหลายเดินมาถึงจุดแห่งคำว่า มหาประชาชนคือ "ผู้กำหนดชะตาอนาคตชาติ ผู้กำหนดชะตาอนาคตผู้ทำงานสนองคุณประชาชนที่เรียกว่า ข้า-ราชะ-การ ไม่เว้นกระทั่ง ทหาร ตำรวจ"

    และ "ทุกองค์กรรัฐ" อันมีฤทธิ์อยู่ด้วยภาษีประชาชนเลี้ยง!

    เราเป็น "นาย" เหล่ามัน

    ถึงวันนี้ พวกเราทั้งหลาย จงปลดปล่อยความรู้สึกที่ผูกมัดใจว่า "พวกข้าราชการเป็นนายประชาชน" ทิ้งไป

    แล้วเข้าใจความเป็นเจ้าของอธิปไตยแท้จริงแห่งเราทั้งหลายบนความเป็นชาติให้ชัดแจ้งว่า

    เราคือนายจ้างพวกข้าราชการ ไม่ว่าข้าราชการประจำ และข้าราชการการเมือง เราจ่ายเงินเดือนให้มัน เราจ้างพวกมันทำงานให้เรา

    เมื่อพวกมันทรยศต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจประเทศแท้จริง ซึ่งเป็นนายจ้างตัวจริง มันอยู่ในบทบาทข้าราชการเหมือนสุนัขลืมคุณน้ำข้าว อิ่มแล้วเห่าเจ้าของ

    ต้องเตะชายโครงสั่งสอนมัน....

    แล้วถอดปลอกคอทิ้ง!

    เราต้องไม่ยอมให้หมาผยองแผ่ศักดา ทำแข็งขืน แล้วแยกเขี้ยว ชูคอเห่าเจ้าของอำนาจประเทศเช่นนี้อยู่ร่ำไป

    ต้องให้มันสำนึกในกำพืดแท้จริงว่า ถ้าไม่มีปลอกคอ "ข้าราชการ" ที่ประชาชนสวมเป็นอำนาจให้ทำหน้าที่แทน มันก็ไม่ต่างอะไรกับหมากลางถนน

    เมื่อมันหลงอาหารโจรที่โยนให้แทะ ยอมเป็นหมาดูต้นทางให้โจรระบอบทักษิณเข้าปล้นบ้าน-ปล้นเมืองดังเป็นอยู่

    มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด ในเมื่อใช้ "พระคุณ" แล้วไม่สำนึก....

    ก็ถึงคราวที่มหาประชาชนปฏิวัติ ต้องเขยิบชั้นใช้ "พระเดช" ด้วยการุณยธรรม!

    ในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มหาประชาชนจะยอมให้ข้าราชการสมคบโจรระบอบทักษิณ "ยึดอำนาจ" แล้วปอกลอกประชาชน ปล้นชาติ เปลี่ยนระบอบประเทศ โดยไม่ใช้สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญทำหน้าที่ไม่ได้

    เข้าใจกันให้ชัด พี่น้องทั้งหลาย...

    สิทธิ-หน้าที่ประชาชน คืออำนาจ!

    รัฐธรรมนูญว่าสูงสุด แต่อำนาจมหาประชาชนเหนือความสูงสุดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญทำให้เกิดชาติ เกิดประชาชนไม่ได้ แต่ประชาชนทำให้เกิดชาติ และเกิดรัฐธรรมนูญได้

    ฉะนั้น เมื่อมหาประชาชน จากล้านในวันที่ 24 พฤศจิกา  เป็น 5 ล้านในวันที่ 9 ธันวา และเขยิบสู่หลัก 10 ล้าน จนกรุงเทพมหานครแทบสะท้านทรุดเมื่อวาน 22 ธันวา

    นั่นแสดงถึงเจตนารมณ์แห่งมหาประชาชนตามวิถีทางประชาธิปไตย ทุกหมู่-ทุกเหล่า ทุกชนชั้นอาชีพ ต้องการด้วยมุ่งมั่น-ปักใจแล้วใน "ทางใด-ทางหนึ่ง"

    สำหรับไทยวันนี้ ทางใด-ทางหนึ่งที่มหาประชาชนมุ่งมั่น-ปักใจ นั่นคือ ขับไล่ยิ่งลักษณ์ที่สิงเก้าอี้นายกฯ และล้าง "ระบอบทักษิณ" ให้หมดไป

    ระบอบทักษิณที่เป็นอำนาจทรราชแฝงคราบประชาธิปไตยเกาะกินประเทศ โดยมีข้าราชการส่วนหนึ่งสมคบสยบยอม เพียงเพื่อ

    "มียศ-มียัด" ให้ประชาชนหยาม!

    ทั่วเขตคามกรุงเทพมหานครเมื่อวาน สันดานโจรมันด้านเกินรู้สึก แต่สามัญชนคนมีสำนึกเหนือกว่าสัตว์ ต่างบอกกับจิตละอายตัวเองว่า

    ด้วยเจตนามหาชนที่ออกมาแสดงตนขนาดนี้ มีถึงสิบหน้า เอาหน้าทั้งสิบซุกตูดหมาขี้เรื้อน นั่นก็ยังไม่รู้ว่าจะพ้นอดสู ขายขี้หน้าได้ขนาดไหน?

    และไม่ด้านพอจะไปลอยหน้าตอแหลอยู่ตามจังหวัดโน้น-จังหวัดนี้ โดยมีข้าราชการผู้ทำงานสยบเพื่อ "มียศ-มียัด" จัดมวลชนสอพลอให้!

    มาตรการล้างโจรของวิญญูชน มหาประชาชนต้องอดทนและใช้เวลานานเป็นพิเศษ เพราะวิญญูชนกดดันทางมโนสำนึก ฮึกหาญ แต่จะไม่หักเอาด้วยกำลังโหด

    ต่างกับโจรไพร่ ที่นิยมใช้ความเถื่อน-ถ่อยเป็นอำนาจบังคับขับไส ชนิดไม่เกี่ยงวิธีการและรูปแบบ ประสงค์ผลอย่างเดียว

    เมื่อมหาประชาชนแสดงตนเป็นเจตนาไล่ 10 ล้านยิ่งลักษณ์ยังไม่ย่อมไป ก็ต้องบอกว่า ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2557 นี้ พวกเรา...มวลมหาประชาชนทั้งหลาย

    ก็ฉลองปีใหม่ สวดมนต์ข้ามปี เป็นฤกษ์-เป็นชัยร่วมกัน ณ ถนนมหาประชาชน คนราชดำเนินเถิด

    สังคมชาติ ย่อหน้า ขึ้นบรรทัดใหม่ ตัดถนนสู่อนาคตวิไล เป็นฉากเปลี่ยนประวัติศาสตร์ให้ทั้งโลก ทั้งคนรุ่นต่อไปศึกษา ว่ามหาประชาชนใช้สิทธิในอำนาจอธิปไตยปฏิวัติสังคมชาติได้อย่างไร........

    โดยไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง!?

    ใช้แค่ใจรักในชาติ ศาสน์ กษัตริย์ สู้อสัตย์ สมุนทรราชลอบกัด เชิดหน้ายืนหยัด นอนกลางถนน กินกลางถนน ไม่สนกองทัพที่ต้องพึ่งถั่งเช่าสร้างพลัง!

    การเปลี่ยนแปลงด้วยรถถัง มันย่อยยับ-อัปยศตั้งแต่คิดแล้ว มันหมดยุค-หมดสมัยแล้ว "ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" เป็นวลีเล่นลิ้นมานาน

    แต่ ณ ข้าม พ.ศ.สู่ 2557 ด้วยอำนาจมวลมหาประชาชนปฏิวัติ บนการนำของกำนันสุเทพ....วลีเล่นลิ้นนั้น

    โลกจะเห็น "เป็นจริง"!

    ประชาชนไม่เคยเป็นใหญ่ด้วย "อำนาจประชาชน" จริงๆซักครั้ง มีแต่ถูกอ้างใช้ แต่ครั้งนี้แหละ ครั้งล้างอำนาจระบอบทักษิณ

    ซึ่งเท่ากับล้างโสโครกหมักหมมประเทศไทย สู่ศตวรรษใหม่ ด้วยประชาธิปไตยคนไทยกำหนด "เพื่อสังคมไทย"

    วิถีพอเพียงสามารถนำประเทศสู่ความร่ำรวยได้ ขอเพียงปลูกฝังจิตสำนึกบนระเบียบ-วินัย ไทยจะเป็นชาติยิ่งใหญ่ของโลกนับจาก 2558 เป็นต้นไป

    จะรวยและยิ่งใหญ่อย่างมีวัฒนธรรม!

    นายพล นายหมื่น ทำให้ชาติ-ประชาชนผิดหวังมาตลอด ลุถึงยามนี้ คน "สถาบันกำนัน" อันเป็นราษฎรเต็มขั้นอย่างกำนันสุเทพ

    จะทำให้คนไทยสมหวัง!

    กำนันสุเทพ สานสู่สังคมใหม่ไว้ให้ เพื่อคนรุ่นต่อรุ่นสานต่อ ชูธงชาติไทยสู่จุดหมายที่มวลมหาชนมุ่งมั่น

    ด้วยปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนดังประจักษ์ ณ 24 พฤศจิกา 9 ธันวา และ ณ เมื่อวาน 22 ธันวา

    ผมเชื่อเช่นนั้น!

    ยิ่งลักษณ์ไม่ลาออก จะหนีไปลอยดอกอยู่ตามอีสาน-เหนือ ทนลอยอยู่ได้ ก็ปล่อยให้เธอลอยไป ลอยกลับเข้ากรุงเทพฯ วันไหน มวลมหาประชาชน ต้องตามไปเป่านกหวีดไล่นาง

    ก็ลองดูซิว่า...ระหว่าง "หนา" กับ "นก" ใครจะทนกว่ากัน!?

    การปฏิวัติ "ล้างโจร" เพื่อ "สร้างคุณธรรม" มันไม่ง่าย ไม่สะดวกสบายเหมือนล้างครก-ล้างสาก แต่ถ้าเราทั้งหลายมุ่งมั่น-เสียสละ-จริงใจ เชื่อในกำนันสุเทพ ผู้เป็นผู้นำ

    ไม่เกิน 15 มกรา 57 ชนะที่มีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม จะเป็นรางวัลแรก "ล้างเหงื่อ" มหาชน.

 

       ขณะนี้ก็มีคนถามกันมาก ว่าจะจบอย่างไรที่ประชาชนมาปฏิวัติอย่างสันติ อหิงสา ไม่มีอาวุธ แล้วจะชนะอย่างไร โดยเฉพาะเจอกับพวก ง่านโด้ อย่างนี้ อย่างที่พวกเราทำนี่เป็น Authority ไม่ใช้ Force เราเอาความถูกต้องความจริงต่อสู้ คนถูกควรชนะ คนผิดควรแพ้

       ยกตัวอย่างเช่น ผบ.ตร.ออกมายอมรับว่า คนชุดดำบนดาดฟ้าและที่ทุบรถ เป็นตำรวจจริงๆ แม้แต่นายกฯเป็นสัมภเวสีเร่่ร่อนไปเรื่อย ไปเจอประชาชนอย่างแรงสุดก็เป่านกหวีดไล่ เป็นปรากฏการณ์ที่เป็นโอกาสที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ได้บันทึกจดจำไว้ ให้ลูกหลานฟัง

       มีคนเขียนทางออกไว้หลายอย่าง

       อย่างทางออกที่ 1 ที่เขาว่าไว้คือ ยิ่งลักษณ์จะต้องลาออกจากรักษาการณ์และไม่แต่งตั้งใครมารักษาการณ์ นี่เป็นทางหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนี้ได้จะราบลื่นมากเลย จะเกิดสุญญากาศ ประธานสภาฯก็จะเสนอคนดีมาเป็นนายกฯตามมาตรา 7 ให้ผู้ใดเสนอก็แล้วแต่ แล้วก็จัดให้มีเลือกตั้ง เราไม่ปฏิเสธเลย เราไม่ได้มาล้มล้างส่ิงนี้ แต่ต้องทำอย่างมีปัญญา ไปตีกินว่าเราจะล้มการเลือกตั้ง คิดว่าเขารู้อยู่นะว่าเราไม่ได้ไม่เอาเลือกตั้ง เราทำอย่างสากลทั้งนั้นแหละ

       เราทำอย่างถูกต้องตามรธน.สากล ตามคุณธรรมด้วย ผู้ที่เป็นแก่นแกนทำได้ นอกนั้นมีบกพร่องไม่มากนั้น แม้ว่าไม่สามารถเอาอำนาจเก่าลงได้ก็ตาม ถึงอย่างนั้นมันก็มีปรากฏการณ์เกิดว่าประชาชนไทยได้ทำหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยอย่างงดงามวิเศษ แต่สู้ความเลวร้ายไม่ได้ก็ต้องรับวิบากต่อ

       แต่ถึงวันนี้แล้ว ประเมินองค์รวมของงานประชาชนปฏิวัตินี้ อาตมาว่ามันมีผลก้าวหน้า ชนะได้แต้มมาตลอด เป็นมวยเก็บคะแนนมาเรื่อย คะแนนนำลิ่ว ถ้ากรรมการตาถั่วให้เราแพ้อีกก็แย่แล้ว เพราะมวยศีลธรรม ไม่มีน็อคอย่างมวยใช้ความรุนแรง ที่ทำกันจนตายหมอบคาเวที เราไม่ทำอย่างนั้น เราไม่ได้รบด้วยวิธีอย่างนั้น เรารบกันด้วยวิธีเจริญ อย่างอาริยะ พวกเราผ่านข้ามวิธีเก่าแล้ว ก็ตั้งใจทำต่อ พากเพียรร่วมกันคนไทย

       นัดกันวันที่ 13 ก็มาเถอะ แม้วันนี้ก็ไปกันแน่นถนน ถ้ายิ่งลักษณ์ลาออกก็จะดี แต่ถ้าไม่ลาออก ยังยึดเก้าอี้รักษาการณ์นายกฯ แล้วใช้เงินหลวงไม่ถูกต้องตามอำนาจหน้าที่ก็ตาม เราก็ประเมินดู ถ้าไม่ออก มวลมหาประชาชนก็ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย อันนี้ขยายมาจากมาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       เมื่อทำหน้าที่แล้ว เป็นตัวแทนประชาชนเป็นผู้รับใช้ เป็นครม.เป็นรัฐสภา กลับกบฏต่อหน้าที่ ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วออกมาต่อต้านผู้ตัดสินคือศาลอีก อย่างนี้เรียกว่า ง่านโด้มากนัก

       เราก็บอกดีๆให้ออกก็ไม่ออก ต่อไปเราก็ต้องใช้วิธีตัดแขนตัดขา ระบอบทักษิณไม่ให้รัฐบาลนี้ทำงานได้ต่อไป

       

       อำนาจ คำนี้ดูน่ากลัว แต่คุณสมบัติทางธรรมนี่ก็เป็นอำนาจ ซึ่งไม่ใช่อำนาจอย่างทั่วไป แต่ผู้ที่เคารพนับถือคุณธรรม อย่างมวลมหาประชาชนไม่ได้ใช้อำนาจเบ่งข่มซึ่งเราใช้นี่เป็น Authority ต่างกับอำนาจที่สั่งการกดขี่ บังคับคืออำนาจ Force เราไม่ได้ทำแบบนั้น เราบอกดีชั่ว ถูกผิดเท่านั้น ให้มีหิริโอตตัปปะ ให้รับผิด ควรทำตามมหาประชาชน ซึ่งมีอำนาจขนาดให้คุณออกแม้คุณจะไม่ผิดก็ตาม เป็นอำนาจของมหาประชาชนทำได้ แต่นี่ทำผิดแล้วผิดอีก แต่ก็ด้านอยู่

       อีกนัยหนึ่ง คืออำนาจที่ชี้ถูกผิด บอกให้เขาหยุดได้ถ้าทำผิด สามารถบอกได้ ชัดเจนว่าคุณควรหยุดไม่ควรอยู่ต่อ เป็นสองนัยใหญ่ๆ ซึ่งเราได้ทำแล้ว เขาเถียงไม่ออก โกหกไปวันๆ จำนนทุกอย่าง แต่ไม่ออก ไม่ปล่อยวาง แล้วเราก็ไม่ทำรุนแรงเกินการณ์ เป็นเรื่องยากที่จะทำกับคนด้าน

       อำนาจที่ว่านี้เกิดอย่างไรประกอบอย่างไร

       คำว่าอธิปไตย แปลว่า อำนาจ ส่วน ประชา ก็คือมวลของประเทศ

       อำนาจเป็นของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือประชาชน และอธิปไตยหรืออำนาจ

       เมื่อมีสองส่วนคือ คนและอำนาจ

       ถ้าคนไม่รู้ ไม่มีปัญญาและไม่ดีอีกด้วย ก็จะเกิดอำนาจตามหน้าที่ที่ตนคิดและทำออกมา เป็นอำนาจไม่ดี เป็นหน้าที่ไม่ดี ทำไม่ดี เกิดภาวะที่ไม่ดี รวมกันเป็นเนื้ออะไรออกมาที่ไม่ดีในสังคม เป็น Force

       ส่วนอำนาจที่เกิดจากคนดี มีปัญญา ก็กระทำออกมาดี เป็นอำนาจประเสริฐอำนาจดี เป็นAuthority  ถ้าสูงส่งก็เป็นโลกุตระเป็นระดับอาริยะ เราทำอย่างสงบไม่รุนแรง รักษาไว้อย่างดี เหน็ดเหนื่อยทนทรมานทำ แต่ก็ได้ผล

       ที่เกิดมาดีอย่างนี้ถือว่าเป็นบุญของประเทศมากเลยที่จะเข้าใจและยืนหยัดยืนยันทำ ไม่ใช่เรื่องเล่นเลย โดยเฉพาะเขาทำมาก็ทำให้ตายและบาดเจ็บไปหลายคน มันเป็นการเสี่ยง แต่งานใหญ่สำคัญหนักหนายากขนาดนี้ เกิดผลเสียขนาดนี้ถือว่าเล็กน้อย แต่ว่าพูดไปอย่างนี้ต้องขออภัยไม่เจตนาดูถูกคนบาดเจ็บและตายนะ อธิบายเนื้อหา

       ที่เกิดได้อย่างนี้ภูมิใจในคนไทยที่ทำได้ อย่างนี้คือประเสริฐ นี่คืออาริยะ พอสะกิดเตือนกันได้ ให้เข้าใจออกมาทำร่วมกัน ไม่มีปรากฏการณ์มาก่อน ไม่มีใครคิดว่า วันที่ 24 พ.ย. 56 ที่กำนันสุเทพนัดมา โอ้โห เกิดความประหลาดว่าออกมามาก และเรียบร้อย ไม่มีเจ็บไม่มีตาย ทางคู่ต่อสู้ก็ไม่คิดว่าจะได้มากขนาดนี้ มาถึง 2ล้านคน ออกมาแสดงมวลดื้อๆตรงๆ เป็นปรากฏการณ์ที่สุดยอดแล้ว

       กำนันสุเทพ ก็เลยนัดออกมาอีกวันที่ 9 ธันวาคม 56 ก็ออกมา 5 ล้านเลย ก็มหัศจรรย์มากเลย ไม่เคยมีปรากฏการณ์ขึ้นมา กำนันก็ยังไม่ชัดใจ ขออีกทีหนึ่ง วันที่ 22 ธันวาคม 56 คราวนี้มามากจนไม่มีที่จะเดินเลย เต็มถนนหนทาง มามากกว่า 5 ล้านเลย เป็นคำตอบที่ สื่อสารออกไปทั่วโลก

       เรื่องนี้จบเมื่อไหร่ ถ้าเหตุการณ์ข้างหน้าจะบานปลาย เมืองไทยมีสิ่งประเสริฐเลิศยอด มันน่าจะยอมเสียเถอะ ให้ส่ิงนี้เป็นปรากฏการณ์ที่ย่ิงยอด ในวันที่ 13 ม.ค. 57 นี้มั่นใจว่าคนจะมามากกว่าเดิม

       แล้วคนที่ดันทุรังอยู่จะยอมไหม จะยกธงขาวไหม?อาตมาว่าคนไทยนี่จะมีอภัยให้เห็นนะ แล้วให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลมา ประชาชนทำได้ มีผู้รู้ผู้มีประสพการณ์มากพอทำได้ แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทธา

       เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของโลก เป็นประชาธิปไตยที่งดงามมาก ถ้าประชาชนออกมามากจริงๆแล้วเรียบร้อย ในวันที่ 13 สุดยอดอาตมาว่าจะลงเอยงดงามมาก เป็นส่ิงมหัศจรรย์ของโลกที่ยิ่งใหญ่กว่าวัตถุ เป็นส่ิงมหัศจรรย์ของโลกทางการเมืองการปกครองที่ยิ่งใหญ่

       ผู้ที่ดึงดันอยู่เสียสละหน่อยได้ไหมเพื่อประเทศไทย แม้แต่ข้าราชการที่ดึงดันอยู่ เลิกเลยออกมาอยู่กับมวลมหาประชาชนเลย มาเติมคะแนนให้บริบูรณ์สูงส่ง วันที่ 13 นี้ออกมากันได้ 20 ล้านคน แล้วทางคณะที่ดึงดันอยู่ก็ตัดสินใจเห็นแก่ประเทศชาติ ยอมยกให้แก่ประชาชนเลย จะได้มีส่ิงบันทึกไว้ว่าสุดยอด เป็น A Great Record เลย เป็นบันทึกที่ยิ่งใหญ่อย่าววิเศษวิเสโสเลย พูดไปให้สติ

       ให้รู้ให้เข้าใจว่า สิ่งที่จะดีต่อมนุษย์ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ คืออย่างนี้นะ

       วันก่อนประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม มีเนคไทเป็นของขวัญ ที่กล่องมีเขียนว่า เกิดมาต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน เป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวม จริงๆแล้วการเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็น จิตโลกุตระ ถ้าไม่มีกิเลสจะทำได้ง่าย เมื่อรู้ว่าเป็นกุศลก็ทำได้ง่าย เพราะไม่มีจิตต้าน แต่ถ้ามีจิตต้านแล้วได้ทำฝืนทำส่ิงดี ก็ได้ทำจิตโลกุตระ เป็นค่าทางธรรมที่สูงส่งยิ่งใหญ่

       ที่ศาสนาพุทธสอนนี่เป็นโลกุตรธรรมทั้งสิ้น ส่วนโลกียธรรมเขาสอนกันมาทั่วโลก สอนให้ทำดีละชั่ว ก็เป็นของสามัญ แต่ตัวสำคัญคือเหตุที่อยู่ในใจมีตัวการเป็นอกุศลจิต มาจากจิตเป็นประธาน การศึกษาพระพุทธเจ้าจึงให้ตามรู้ในจิต รู้เหตุที่เกิดในจิต ที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ แล้วมีปัญญาด้วย

       จนมีวิธีกำจัดกิเลสได้อย่างจริงจัง และกิเลสก็ลดได้ เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งไม่ใช่แค่ละชั่วประพฤติดีแค่นั้น แต่ว่าต้องรู้จิตเจตสิกรูปนิพพานด้วย อย่างรู้แจ้งเห็นจริง แม้เป็นนามธรรมก็รู้ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ทุกพระองค์ แล้วมาสั่งสอนให้คนทำตามได้ มีทฤษฎีนี้

       เมืองไทยเป็นพุทธแต่ทฤษฎีเพี้ยนไปจากของพระพุทธเจ้าจึงไม่เกิดผล แต่พุทธก็ยังไม่หมดไปจากไทย ยังมีผู้รู้ค้นออกมา แล้วพาทำจนคนมีโลกุตรธรรมมาจริง เป็นจิตที่ลดกิเลสได้จริง กิเลสลดหมดสูงสุดก็คืออรหัตผล

       โสดาบันลดได้ 25% ,สกิทาฯลดได้ 50% ,อนาคาฯลดได้ 75 % ,ลดได้ 100% ก็เป็นอรหันต์ มีหลักสูตรชัดทุกอย่าง ในรายละเอียดเมื่อวานก็ได้ลงลึกในปฏิจจสมุปบาท วันนี้มาต่อเมื่อวานนี้

       ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ได้แล้วประเสริฐสุดในความเป็นมนุษย์แล้ว

       สังขาร มีสังขารกาย กับสังขารจิต สังขารคือการปนปรุง มีของนามธรรมและรูปธรรม

       ในนามธรรมก็มีจิตเจตสิกปนปรุงกันได้หลายอย่าง พระพุทธเจ้าให้แยกแยะการปนปรุงให้ออก ให้รู้ว่า อาการอย่างนี้คือวิญญาณ อย่างนี้คือสังขาร อย่างนี้คือเวทนา อย่างนี้คือสัญญา

       วิญญาณอยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่มันไม่สีสันรูปร่าง ตายไปก็จะออกจากร่าง อย่างที่เขาเรียนกันว่ากันว่าวิญญาณเมื่อตายไปก็ล่องลอยออกไปมีตัวๆ อย่างนี้เป็นความรู้ที่ผิด พระพุทธเจ้าได้บริภาษภิกษุสาติที่บอกว่าวิญญาณล่องลอยออกจากร่างตอนตายไปแล้วนั้น นั้นไม่ถูกต้อง เราไม่เคยสอน แต่เราสอนให้เห็นวิญญาณตอนเป็นๆ เห็นที่เราเอง เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น เมื่อกระทบแล้วเราก็รู้ การรู้นี่แหละคือวิญญาณ ก็ไม่เข้าใจกัน แต่ว่าไปสอนให้เห็นวิญญาณเป็นรูปร่าง ล่องลอย เป็นรูปเทวดา เป็นรูปสัตว์นรก อย่างนี้ไม่ตรงคำสอนพระพุทธเจ้า

        วิญญาณนั้นไม่มีรูปร่างตัวตน

อนิทัสสนัง     ไม่อาจมองเห็นได้ ไม่อาจชี้บอกได้ 

อนันตัง ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สุด

สัพพโต ปภัง แจ่มใส, แผ่กระจายไปโดยทั้งปวง

       แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เช่นเราตายไป ไม่มีทวาร 5 ไปกระทบแล้ว แม้คุณจะจำรูปได้ มันก็เป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง แต่ไปเข้าใจผิดว่านี่คือสัตว์นรก จริง แล้วไปยึดว่านี่คือของจริง ไปยึดว่าอุปาทานเป็นสิ่งจริง เอาความจำเป็นตัวตนจริง เลยไปหลงเลอะแม้ตายไปมีอวิชชาก็เห็นของปลอมทั้งนั้น แต่เขาก็ยืนยันเลยว่าเห็นจริงๆ ก็ว่าเห็นจริงๆแต่มันไม่ใช่ของจริง ทำนองเดียวกับคำโกหก มีจริง แต่มันเป็นคำไม่จริง แต่หลงความไม่จริงเป็นของจริงอยู่เท่ากาลนาน

       ตอนเห็นๆกระทบนี่แหละคือวิญญาณ แต่ว่าพอหลับตาก็ไม่เห็นแล้ว แต่ที่รู้ได้นี่คือสัญญา คุณมีปัญญารู้ว่าที่สัมผัสนี่คือวิญญาณ ขณะนี้เป็นของจริง ในขณะที่คุณกระทบส่ิงนี้ เช่นกระทบดอกไม้ ก็รู้สึกว่าสวย สมมุติว่าสวยเราก็เข้าใจ ตามเขากำหนดว่าสวย แต่มันมีลึกซึ้งว่าตนชอบหรือไม่ชอบ นี่แหละคือกิเลส ถ้าคุณรู้ว่าสวยตามสมมุติ ก็ทำได้ ที่เขายอมรับนับถือกัน แต่อาตมาไม่มีอารมณ์ชอบหรือชัง นี่คือการแยกความซ้อนในวิญญาณได้

       วิญญาณเป็นองค์รวมของเวทนา สัญญา สังขาร  เช่นคุณสุข ก็แค่ตอนสัมผัส เมื่อหยุดสัมผัสก็ไม่มีแล้ว แต่คุณจำไว้ว่ามีรสสุข มันเป็นความจำ ไม่ใช่ความจริง หรือคุณกระทบเสียง รู้สึกสุข แต่ว่าพอไม่กระทบก็ยังรู้สึกสุขอยู่ เป็นความจำ เพราะฉะนั้นล้างสุขในความจำยากกว่า จะล้างสุขในตอนความจริง

       สรุปแล้ววิญญาณมันสุขคือเทวดาสมมุติเทพ เมื่อทุกข์ก็คือสัตว์นรก เราต้องล้างความชอบไม่ชอบ เรารู้หอมเหม็น สวยหรือขี้เหร่ตามสมมุติได้ ไม่ว่าเชื้อชาติไหน สัมผัสก็จะรู้เหมือนกันแต่ภาษาอาจต่างกัน ตามสัจธรรมทุกคนเหมือนกันหมด สัมผัสได้ แต่อารมณ์ที่เป็นกิเลสต่างกันมาก หรือเหมือนกันก็มีคล้ายกันก็มีแต่ไม่มาก เช่นเป็นรสนิยม เป็นแฟชั่น หลายคนรวมกันก็แบบเดียวกัน แล้วก็เกิดสุขทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่ให้ ดับความรับรู้ แม้ลืมตาก็ไม่ให้มันรับรู้แข็งทื่อ คุณไม่รับรู้หรือทำหูดับตัดทวารได้ ใช้พลังกดข่ม ดับการกำหนดรู้ทั้งที่เสียงมันเข้าหูอยู่นะ เหมือนคุณหลับแต่ไม่รับรู้เป็นต้น ตามันหลับก็ไม่รับรู้อะไร

       แล้วการไม่ได้ยินไม่ได้เห็นไม่ได้กลิ่น เขาเข้าใจว่านี่คือนิโรธ  ไม่ให้จิตรับรู้มันก็ไม่ทำงาน แม้มีเสียงกระทบหูก็ไม่ได้ยิน ต่อให้ตาลืมกระทบแสงเข้าม่านตาก็ไม่รับรู้ไม่เห็น เพราะคุณระงับตัดประสาท นี่คือการฝึกนั่งทำนิโรธแบบฤาษี แล้วหลงว่านี่คือนิโรธพุทธ เขาทำกันเกลื่อนเลย ดับไม่รับรู้แข็งทื่อ อย่างนี้ผิด นิโรธของพุทธคือตาเห็นรูปก็เห็นเหมือนกันตามจริง รูปเสียงกลิ่นรสเห็นเหมือนกัน เป็นธรรมชาติ ส่วนเมื่อรู้แล้วคุณมีชอบชังหรือสุขทุกข์อันนี้แหละคือที่คุณต้องดับ ได้รับรู้ทุกทวารแต่ว่าไม่ให้เกิดสุขเกิดทุกข์ มาเป็นไม่สุขไม่ทุกข์หรืออุเบกขาซึ่งเป็นฐานนิพพาน วางเฉยอย่างรู้แจ้งเห็นจริงหมด นี่คือนิโรธพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งละเอียด(นิปปุนา) เพราะถึงขั้นอุเบกขา ทำได้ก็สั่งสมอุเบกขาไปทุกขณะที่ทำได้ แม้กระทบรูป รส กลิ่นเสียง กระทบโลกธรรม เราก็อุเบกขาให้ได้ ก็สั่งสมนิพพพาน

       เราต้องฆ่าเหตุให้ได้ จิตก็สะอาดเป็นวิญญาณที่ใส ไม่มีเวทนา สัญญาที่เป็นเคหสิตเวทนา ในเวทนา 18 อยู่ในเวทนา 108 

       เคหสิตเวทนา 18 นี่คือ มโนปวิจาร 18 สำคัญมาก เกิดจาก เวทนา 3 มี สุข_ทุกข์_อุเบกขา เกิดได้ในการกระทบทางทวารทั้ง 6 เป็นเวทนา 6 แล้วแต่ละทวารก็มีเกิดได้เป็นสุข_ทุกข์_อุเบกขา รวมเป็น 18 (สำคัญคือต้องมีการกระทบสัมผัสด้วย ไม่ได้กระทบก็มีแต่สัญญา)

       การกระทบสัมผัสจะเกิดวิญญาณแล้วคุณต้องแยก เวทนา สัญญา สังขาร ตัวสัญญาจะทำหน้าที่สำคัญในการกำหนดรู้ รู้ว่าสังขารอย่างไร ปรุงแต่งเป็นสุข เป็นเทวดาสมมุติ สุขทุกข์แบบโลกีย์ ได้ลาภได้ยศมาเพราะพี่ให้ก็สุขใจ ยิ่งสุขมากก็ชอบมากก็ดิ้นรนอยากได้มามากๆ ขนาดฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา

       แต่พอมาเรียนรู้มโนปวิจาร 18 เป็นทางโลก 18(เคหสิตเวทนา) แล้วก็เป็นทางธรรมอีก 18(เนกขัมสิตเวทนา) ให้รู้รูปภายในแต่ก็เนื่่องจากรูปภายนอก รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามธรรมก็ถูกรู้ แม้ไม่มีรูปที่เป็นวัตถุ แต่เป็นนามธรรมที่ถูกรู้ภายใน เป็นองค์ประชุมของนามธรรม เรียกว่า “นามกาย” 

       เมื่อเราแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะได้ แยกออกว่าเราได้ออกจากกาม ออกจากโทสะ ทำให้มันลดมันหายออกจากใจเราได้ ขณะสัมผัสจริง เห็นอยู่หลัดๆ เห็นมันจางคลายรู้แจ้งเป็นวิทยาศาสตร์

       ผู้ใดรู้เคหสิตเวทนาแล้วทำออก ทำให้เป็นเนกขัมสติเวทนาได้ก็คือผู้ได้โลกุตระ รู้เห็นว่ากิเลสดับไปหลัดๆเลย เป็นจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างเลย ไม่ใช่ไปดับอย่างไม่รู้แจ้งเห็นจริงไปดับทำ

       ไม่ใช่ไปดับสัญญาทั้งดุ้น เป็นอสัญญีสัตว์ ทั้งที่สัญญาทำหน้าที่กำหนดรู้ ก็ไปดับสัญญา เมื่อดับสัญญา เวทนาก็ดับไปด้วย แล้วไปแปลว่า สัญญาเวทยิตนิโรธคือการดับทั้งสัญญาและเวทนา นี่คือความผิด เป็นความเข้าใจที่ผิดมาก ทำแบบไม่รู้สึกอะไรเลย ดับเข้าไปในภพนั่งสมาธิจิตนิ่งอย่างเดียวไม่รับรู้อะไรเลย มืดเป็นกิณหะ ...จบ

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:31:24 )

570107

รายละเอียด

570107 _พ่อครูที่มัฆวานฯเรื่อง สันติปฏิวัติกับการเมืองอันธพาล       

       วันนี้อาตมาอ่านนสพ.ไทยโพสต์แล้ว เขาเขียนได้ความหมายชัดเจนขึ้น พวกเราก็มีปัญญาขึ้นเยอะ แล้วก็นำออกมาขยายความอธิบายแจกแจงสู่กันฟัง แล้วเป็นความรู้ที่เกิดจากภาวะจริงของสังคม เป็นความรู้ที่ดี ขณะนี้ วันนี้ นสพ.ไทยโพสต์ ตั้งแต่บทนำมาเลย เขาขึ้นหัวข้อว่า มโนธรรมสำนึก เขาพูดถึงตำรวจที่กระทำต่อผู้ชุมนุมประท้วง ซึ่งมีสองกลุ่ม คือกลุ่มแดง กับกลุ่มไม่ใช่แดง แล้วตำรวจปฏิบัติต่อสองกลุ่มนี้ต่างกัน เท่าเทียมกันไหม? เป็นส่ิงปรากฏจริง เขาทำอะไรออกมา มีสื่อสารฯคนก็รับรู้ได้ง่ายเร็ว ครบ แต่ละแง่มุม เห็นหมดเลย เรียกว่า ตอแหลไม่ทัน ตลบแตลงไม่ทัน คือจะตลบแตลงตอแหลอย่างไรไม่ทัน เขามีหลักฐานมายืนยัน ต้องจำนน เพราะฉะนั้นยุคนี้ต้องยอมรับความจริงกันแล้ว

       ส่วนอีกคอลัมน์หนึ่งของคุณผักกาดหอม เรื่อง “อันธพาลการเมือง” คุณผักกาดหอมว่า ตอนนี้เป็น "รัฐที่ล้มเหลว" แล้ว แต่ก็มีคนกล่าวหาว่า คุณกำนันสุเทพ เป็น “อันธพาลการเมือง” ซึ่งคนกล่าวหาคนแรกคือ นิธิ เอี่ยวศรีวงค์

      อันธพาลการเมือง? โดย ผักกาดหอม จากไทยโพสต์

วันนี้ (6 มกราคม 2557) ได้ยินได้อ่าน มีการพูดถึงมวลมหาประชาชน โดยการนำของ "กำนันเทพ" ว่าเป็นอันธพาลการเมือง มีอยู่ 2 คนครับที่ให้ความเห็นไว้ตรงกัน คนแรกคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียนบทความเรื่อง "ทางออกจากวิกฤติ" ในมติชนรายวัน ระบุตอนหนึ่งว่า "กลุ่มอันธพาลการ เมืองเหล่านี้ไม่ได้ท้าทายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ท้าทายกฎหมายและระเบียบแบบแผนทางการเมืองของสังคมไทยทั้งหมด"

อีกคนคือ "สุนัย ผาสุก" ผู้ประสานงานที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ทีวีแดง ใช้คำเรียกมวลชนที่จะปิดกรุงเทพฯ ว่า "อันธพาลการเมือง" เช่นกัน

 

       อันธพาลคือคนเกเร เลวร้าย ชั่วเลว แล้วทำระห่ำด้วยนะ คือทำให้เดือดร้อนวุ่นวายไปหมด เป็นบทบาทพฤติกรรมเลย เขาก็มองพวกนี้เป็นนักวิชาการนักรู้ก็มองไปว่า กลุ่มพวกคุณสุเทพ กปปส.นี่ เราก็ต้องอยู่ในกลุ่มนี้ ถูกว่าเป็น อันธพาลการเมือง เพราะเป็นผู้ท้าทายกฎหมาย แต่อาตมากลับเป็นว่า พฤติกรรมของรัฐบาล รัฐสภาฯและนักการเมืองที่ทำออกมา นั่นต่างหากที่เป็นการประพฤติแบบ อันธพาล

       แล้วเราก็มองพวกเราประพฤติ อาตมาก็พยายามมองด้วยใจเป็นกลางซึ่งตรงที่สุด มันเป็นการท้าทายกฎหมาย หรือหยั่งลงไปถูกต้องตามความลึกซึ้งของกฎหมาย อาตมามองอย่างนั้น ว่ากฎหมายเขาให้ทำตามเจตนารมย์อย่างไร อาตมาเห็นว่าอาตมาไม่ได้ทำผิด แต่กลับเห็นว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายลึกซึ่งที่เขาไม่ทำกัน

       เช่น รธน. มาตรา 2 (รูปแบบการปกครอง) ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

       และมาตรา 3 (อำนาจอธิปไตย)อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

       อำนาจนี้ระบุชัดว่า ปวงชนชาวไทยทุกคนย่อมมีอำนาจนี้ ตามรธน. ระบุไว้ชัด เมื่อเรามีหน้าที่ตามรธน.ข้ออื่น เช่นตามมาตรา 69 และ 70 ระบุไว้ว่าเป็นหน้าที่เลย มีหน้าที่พิทักษ์ไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือมาตรา 70 และ71 เราก็ปฏิบัติตามกฎหมาย ประเด็นนี้อาตมายืนยันไว้ว่าพวกเราสบายใจได้เลย แล้วมันเป็นของใหม่ ประชาชนตอนนี้ยังไม่ได้ตื่นรู้ใช้สิทธิ์นี้เป็นล้านคน ยังไม่เคยเกิด โดยเฉพาะมายืนยันประท้วงยื่นข้อเสนอ ว่าเราประท้วงเรื่องอะไร ตามมาตรา 69 (การต่อต้านโดยสันติวิธี) บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็น ไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

       เราก็ทำอย่างถูกต้อง มีแต่รัฐบาลเอาหลักฐานที่หาเรื่องเรามาออกสื่อฯ แต่กำนันสุเทพก็ตอกให้ เพราะเราไม่มีจริงๆ ไม่ทำจริงๆ พูดง่ายๆว่าโกหกชาวบ้าน เป็นอันธพาล ไม่อยู่ในสัจจะ เขายิ่งทำเขายิ่งเป็นอันธพาลหยาบแล้วหยาบเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไร

       ยุคนี้ประชาชนออกมาปฏิบัติการ มันยอดเยี่ยมจริงๆเลย เขาหาว่าเราเป็นอันธพาลการเมือง ภาษาถิ่นว่า นกเข้าท้วงตาแม่ เหมือนแม่ปูทักลูกปูว่า ทำไมไม่เดินตรงๆ แล้วลูกก็บอกว่า ก็เดินตามแม่นั้นแหละ ไปว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เหมือนไปชี้เขา 1นิ้ว แต่เข้าตัวเอง 3 นิ้ว

       คนที่ไม่รู้ตัวก็ทำผิดไปเรื่อย เหมือนพระเทวฑัตก็ถูกแผ่นดินสูบในที่สุด

       

       อีกบทความคือ บันทึกหน้า 4 ในไทยโพสต์วันนี้ก็ยิ่งแสดงพฤติกรรมแต่ละคนๆ และก็มีคอลัมน์หนึ่งชื่อ “สันติปฏิวัติ”  โดยคุณ วิวัฒน์ชัย อัตถากร

ความต้องการ "การเปลี่ยนแปลง (Change)" จากสิ่งเก่าซึ่งเลวร้ายไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า กำลังเป็นกระแสมาแรงในหัวใจของเหล่ามวลมหาประชาชนไทยนับล้านๆ ที่ชูธงปฏิรูปประเทศไทยโดยประชาชนเพื่อประชาชนไทยทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้

อันที่จริงสังคมมนุษย์ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง สังคมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเสมือน "น้ำนิ่ง" นานไปก็จะเป็น "น้ำเน่า"กลายเป็นสังคมที่ตายแล้ว ประเทศไทยเผชิญหลายปัญหาที่วิกฤติกำลังเน่าเฟะ โดยเฉพาะวิกฤติเศรษฐกิจการเมืองไทย   การเมืองไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและการครอบงำของทรราชทุนสามานย์อย่างไม่เคย มีมาก่อน รัฐสภาซึ่งเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่จะทำหน้าที่ปกปักรักษาอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดิน กลับเป็นได้แค่ รัฐสภาประชาธิปไตยจอมปลอมเพราะถูกใช้เป็น สภาทาส-สภาขี้ข้า-สภาโจร ที่คอยลิดรอนและจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ พยายามจะออกกฎหมายที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ-การเมือง-การ ทหารอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งการโกงทุจริตคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ ที่ลุกลามขยายตัวออกไปจนติดอันดับนานาชาติ นับวันเป็นปัญหาใหญ่มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นและหนักหน่วงขึ้นอย่างไม่เคยมีมา ก่อน ก็เกิดขึ้นในรัฐบาลสมัยนี้ การที่นายกรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่ารัฐบาลนี้ไม่ยอมรับ ไม่เคารพต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ทำให้รัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เท่ากับเป็น รัฐบาลเถื่อน รัฐบาลกบฏแม้บรรดาลิ่วล้อฝ่ายรัฐบาลไม่ว่าจะเป็น ส.ส.พรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งข้าราชการระดับสูง นักกฎหมาย นัก วิชาการ ตลอดจนสื่อมวลชนและผู้นิยมชมชอบทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ จะพยายามปกปิด ไม่พูดถึง หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง แก้ตัวให้กับกา รที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ทำผิดกฎหมายเสียเอง อีกทั้งใช้อำนาจบริหารประเทศโดยมิชอบ   ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่เคารพกฎหมายสูงสุดของประเทศก็ตาม   ถึงกระนั้นประชาชนต่างก็รับรู้ เรื่องราวการทำผิดกฎหมายและการกระทำใช้อำนาจโดยมิชอบเหล่านี้ของรัฐบาล และเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งอย่างเป็นรูปธรรม จึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศเสียใหม่ให้ดีขึ้น แต่รัฐบาลกลับกอดความเน่าเฟะอย่างดักดาน กลายเป็นพวกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ต้องการรักษาสถานภาพเดิมที่เอื้อประโยชน์ให้ แก่ครอบครัวตลอดจนญาติพี่น้องของตัวเองและฝ่ายพรรคพวกรัฐบาลมิได้สนใจไยดี กับการที่ประชาชนจำนวนมากที่ลุกขึ้นมาชุมนุมเรียกร้องทั่วประเทศในแนวทาง อหิงสา สันติ ปราศจากอาวุธ ต่อต้านการกระทำที่ผิดกฎหมายและคิดมิชอบของรัฐบาล เรียกร้อง ขอให้มีการปฏิรูปประเทศไทย

รัฐบาลพยายามถ่วงเวลาปฏิรูป เมื่อจนตรอกถึงทางตัน  จึงยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ทันที เพื่อชิงความได้เปรียบในฐานะรัฐบาลรักษาการควบคุมการเลือกตั้ง ฝ่ายมวลมหาประชาชนต้องการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดกฎหมายและกติกาที่โปร่งใส เที่ยงธรรม เมื่อมวลมหาประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลปราศจากความจริงใจในการแก้ไขวิกฤติของ ประเทศ ยิ่งทำให้ประชาชนทั่วทุกสารทิศของประเทศออกมาร่วมชุมนุมแสดงพลังทางศีลธรรม มากเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน การชุม นุมต่อต้านของมวลมหาประชาชนในนามคณะกรรมการประชา ชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้ามวลมหาประชาชนว่าจะไม่หวนกลับคืนสู่วงการเมืองอีก ต่อไป การหลั่งไหลออกมาชุมนุมไม่ขาดสายของมวลมหาประชาชน ทำ ให้ฝ่ายรัฐบาลหวาดวิตกเกรงว่าการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 นี้อาจเกิดขึ้นไม่ได้ จึงคิดแก้เกมโดยการจัดตั้งสภาปฏิรูปประเทศขึ้นอย่างรวดเร็วรวบรัดเพื่อชิง ความได้เปรียบอีกครั้งหนึ่ง โดยรัฐบาลกำหนดให้มีคณะกรรมการ 11 คน จะเริ่มกระบวนการสรรหาสมา ชิกปฏิรูปอีกไม่กี่วันนี้ รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้เคยตั้งกรรม การปฏิรูปในลักษณะนี้มาหลายคณะแล้ว แต่ก็ไม่เคยใส่ใจให้ความสำคัญเลย การตั้งสภาปฏิรูปในครั้งนึ้จึงเป็นปัญหา หาคนดีเข้าร่วมไม่ได้ เป็นที่น่าแปลกใจว่ารัฐบาลซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง จะมาเป็นผู้เริ่มต้นทำการปฏิรูปได้อย่างไร  ยากที่จะมีผู้ขานรับ ยากที่จะสำเร็จ

แม้การชุมนุมของมวลมหาประชาชนจะเป็นไปโดยปราศจากอาวุธ อหิงสา สันติ ก็ไม่วายต้องเผชิญกับการถูกเรียกว่า "อันธพาลการเมือง" หรือ "พวกกบฏ" ที่ไม่เคารพระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎ หมายของบ้านเมือง ขัดขวางการทำงานโดยปกติของรัฐ ซึ่งก็จริงอยู่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศกลางที่ชุมนุมว่ายินดีรับผิด พร้อมติดคุก ไม่หนีออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม น่าจะได้พิจารณาการกระทำของรัฐบาลกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลกันบ้าง ในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม เสียบบัตรแทนกัน  ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ จำนำข้าว การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ฯลฯ ในฐานะผู้ถืออำนาจรัฐแทนปวงชนชาวไทย ที่ทำไปนั้นยังมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ต่อสังคม  ต่อประเทศอีกหรือ เมื่อประชาชนไม่ยอมรับรัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศ มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้านนับล้านๆ รักษาการนายกรัฐมนตรีหญิงควรมีจริยธรรมทาง การเมืองแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำประเทศบ้าง แค่ป้ายหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ เรียกร้องให้ประชาชนเคารพกฎหมาย แล้วทำไมตัวรัฐบาลเองจึงไม่เคารพกฎหมาย คดีต่างๆ หากถูกตัดสิน ว่าผิด จะยอมติดคุกในประเทศไทยหรือหนีไปต่างประเทศก็ต้องรีบคิดเผื่อไว้เลย ในความจริงการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ อหิงสา สันติ ของมวลมหาประชาชน ต้องเผชิญกับแก๊สน้ำตา กระสุนปลอมปะปนกับกระสุนจริง จนทำให้ผู้ร่วมชุมนุมและตำรวจที่ช่วย ดูแลการชุมนุมต้องเสียชีวิตและมีผู้คนบาดเจ็บร่วมร้อย มวลประ ชาชนต่อว่าต่อขานตำรวจที่เป็นกำลังหลักของรัฐบาลในการควบ คุมฝูงชน แม้ฝ่ายตำรวจจะปฏิเสธว่าผู้ยิงประชาชนเป็นชายชุดดำ แต่ท้ายที่สุดผู้บัญชาการตำรวจก็ออกมายอมรับเองว่าคนที่ยิงผู้ชุมนุมเสีย ชีวิตเป็นตำรวจจริง เจ้าหน้าที่รัฐทำเกินกว่าเหตุ ขัดต่อหลักสากล ช่วงนี้กลุ่มผู้ปกครองกำลังต่อรองกันอย่างหนักในการหาทางออก มหาอำนาจอาจเข้ามามีเอี่ยว เพราะมีผลประโยชน์มากมายในไทย ฝรั่งพวกนี้พอใจรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่นี้เพราะมีประ โยชน์ร่วมกัน

13 มกราคม 2557 คาดว่ามวลมหาประชาชนจะพากันออกมาชุมนุมใหญ่มืดฟ้ามัวดิน ปิดกรุงเทพฯ ปฏิบัติการยึดกรุงเทพฯ มีเวทีหลัก 7 เวทีทั่วกรุงเทพฯ กดดันรัฐบาลรักษาการนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมรักษาการ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรียกร้องให้เธอและรัฐบาลลาออกทั้งชุด ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดอนาคตของชาติเอง มีคนไทยจำนวนหนึ่งไม่พอใจแสดงความคิดเห็นและห่วงใยในการปิดกรุงเทพฯ จะทำให้จราจรติดขัด เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวเสียหาย(พ่อท่านขอแวะหน่อยว่า รัฐบาลทำให้เศรษฐกิจเสียหายมากกว่าเรา และกับส่งเสริมการท่องเทีี่ยวอีกต่างหาก หาดูได้ยากนะ การประท้วงที่วิเศษวิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เลยทีเดียวมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกเลย คนเรามองไม่เห็น) แต่ก็มีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า เสียหายจากการจำนำข้าว การกู้เงินโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และการกู้เงินโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท เป็นเงินมากมายมหาศาล ลูกหลานต้องเป็นหนี้ถึง 50 ปี ไม่เห็นออกมาแสดงความคิดเห็นและห่วงใยประเทศกันบ้างเลย นี่ก็เป็นสีสันของการแสดงออกทางประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง

วันนี้ทำเนียบรัฐบาลว่างเปล่าไร้เงานายกฯ เพราะมัวแต่ตะลอนไปทั่ว หาที่เหมาะทำงานไม่ได้ เหมือนไม่มีรัฐบาลแล้ว  อาจนำสู่ สุญญากาศทางอำนาจ จากการที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและการเลือกตั้งไม่เกิดขึ้น เมื่อคนแดนไกลสั่งสู้เต็มที่ แพ้ไม่ได้ ไม่ลาออก ลากถูลู่ถูกังเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ให้ได้ ยิ่งฝืนกระแสยิ่งเจอแรงต้านหนักจากประชาชนนับล้าน ถึงเลือกตั้งได้ ก็ไม่ได้บริหาร ถึงได้บริหาร ก็บริหารไม่ได้ เรื่องอาจจะยากกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ

อย่าหลงเชื่อแวดล้อมลิ่วล้อ นักกฎหมายและนักวิชาการที่แนะนำให้ใช้ความรุนแรง หากรัฐบาลสั่งฝ่ายถืออาวุธปราบปรามประชาชน คิดผิดพ่ายแพ้ประชาชนแน่นอน อย่าลุแก่อำนาจจนเหลิง ทำผิดติดคุก การสั่งเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มือเปล่าไม่มีอาวุธ หรือใช้มือที่สามคนของรัฐ คนชุดดำ กองกำลังที่รัฐหนุน เคลื่อนเข้าทำร้ายประชาชน นั่นคือจุดจบของรัฐบาล ผู้นำทรราชหลายชาติในโลกที่ฆ่าแกงประชาชน  ล้วนถูกนำตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ และถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุดทุกราย

13 มกราคม 2557  สำหรับมวลมหาประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า คือวันแห่งสันติปฏิวัติ(Peaceful  Revolution) ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มโนธรรมสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ที่รู้จักแยกแยะผิด-ชอบ-ชั่วดีของเสรีชนที่ ไม่ยอมจำนนต่อรัฐบาลภายใต้อิทธิพลทรราชทุนสามานย์ จะมาหลอมรวมกันเป็นพลังแห่งศีลธรรมเปลี่ยนแปลงปฏิรูปสังคมไทยให้เป็นสังคม ที่เป็นธรรม   สร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน และจะเป็น ปรากฏการณ์พิเศษที่ทั่วโลกจับตามอง

สันติปฏิวัติ โมเดลการต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชนในแนวทางอหิงสาสันติมือเปล่าไม่มีอาวุธ เรียกร้องความยุติธรรมทางสังคม ความโปร่งใสสุจริต สำหรับการเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง สามารถต่อต้านรัฐเผด็จการทรราช  รัฐบาลคอร์รัปชัน การออกกฎหมายฟอกผิดคนโกง การใช้อำนาจรัฐช่วยเหลือญาติผู้นำให้พ้นผิด การทำผิดจริยธรรมทางการเมืองของผู้นำรัฐบาลซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้น สันติปฏิวัติจึงต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองให้หลุดพ้นจากวงจร อุบาทว์ทางการเมือง จะทำได้โดยการปฏิรูปประเทศเชิงโครงสร้าง (Structural Reform) ดังที่ผมได้เขียนเสนอแนะในไทยโพสต์ (8 พ.ย.56 และ 19 ธ.ค.56)

สันติปฏิวัติเป็นโมเดลระดับโลก มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงและ ประสบความสำเร็จหลายแห่ง เช่น มหาตมะ คานธี/ มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์/ ดร.อัมเบดการ์ และอองซาน ซูจี เป็นต้น  คราวนี้ผมใคร่ยกตัวอย่างสามชนชาติในแถบทะเลบอลติกในยุโรปเหนือที่ผมมีโอกาส ไปเยือนคือ เอสโตเนีย-ลัตเวีย-ลิทัวเนีย มวลมหาประชาชน 3 ชาติหลายล้านคนเดินขบวนปิดถนนยาวเหยียด กว่า 600 กิโลเมตร โดยคล้องมือประสานกันเป็นทิวแถวยาวเหยียด สุดลูกหูลูกตา ร้องเพลงแห่งการปฏิวัติ (Singing Revolution) เสียง ดังกระหึ่มปลุกใจ ผนึกพลังราวกับโซ่คล้องใจมัดกันแน่น ด้วยจุดมุ่งหมายอุดมการณ์เพื่อเสรีภาพอันเดียวกัน   ด้วยเจตนารมณ์อันมุ่ง มั่นเด็ดเดี่ยวมือเปล่าไม่มีอาวุธ สามารถสยบรถถัง ทหารอาวุธครบ มือของ "กองทัพแดง" กดดันชนชั้นปกครองโซเวียต ซึ่งมีแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่านับร้อยนับพันเท่า มวลมหาประชาชน ลุกขึ้นท้าทายด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยว ด้วย ความกล้าหาญทางศีลธรรมในแนวทาง "สันติปฏิวัติ" จนสามารถ เอาชนะได้รับอิสรภาพในปี ค.ศ.1991 โดยแยกตัวจากโซเวียต ออกมาเป็น 3 ประเทศที่มีเอกราชอธิปไตยเป็นของตัวเอง ปลด แอกได้สำเร็จอย่างงดงาม ไม่เสียเลือดเนื้อชีวิตในวิถีทางอหิงสา สันติ นับเป็นตัวอย่างของการปฏิวัติระดับโลกโดยมวลชนด้วยพลานุภาพแห่งเสียงเพลงสันติภาพ เสียงเพลงปลุกเร้าบาดลึกตัดขั้ว หัวใจทรราชคอมมิวนิสต์โซเวียต และปลุกจิตใจอันทรงพลังของ อิสรชนผู้ใฝ่หาเสรีภาพและสันติภาพ การร่วมชะตากรรมเดียวกัน ในการต่อสู้เพื่อเอกราช ทำให้ประเทศทั้งสามมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ชาติทั้งสามจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นในศิลปวัฒนธรรม ภาษาและประวัติศาสตร์รักชาติรักแผ่นดินอันเข้มข้น พวกเขามีพื้นฐานความเชื่อเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาคริสต์เป็นอย่างมาก เช่นอย่างอดีตสันตะปาปาจอห์นปอลเคยเสด็จไป "ทุ่งไม้กางเขน" (Hill  of  Crosses)  นับแสนนับล้านอันที่ ประเทศลิทัวเนีย ที่นี่จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งที่คริสต์ศาสนิกชนอยากไปเยือนเพื่อเป็นศิริมงคล แก่ตัวเองสักครั้งหนึ่งในชีวิต

ความขัดแย้งระหว่างรัฐไทยกับประชาชนใกล้ถึงจุดแตกหัก รัฐบาลภายใต้ทรราชทุนสามานย์ทำทุกทางเพื่อรักษาอำนาจอย่างขาดมโนธรรมสำนึก ไร้จริยธรรมและศีลธรรม รัฐบาลใช้ระบอบการปกครองที่ไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม 2 ด้าน ได้แก่  ระบอบประ ชาธิปไตยจอมปลอมและระบบทุนนิยมสามานย์ มีลักษณะสำคัญคือ การรวบอำนาจโดยคนกลุ่มน้อย นายทุนใหญ่นักธุรกิจการเมืองบางตระกูล ครอบงำควบคุมประเทศไทยโดยระบอบทรราชทุนสา มานย์มา 12 ปีแล้ว นายทุนใหญ่ใช้โมเดลธุรกิจการเมืองผูกขาดทำการสะสมทุน ขยายอำนาจการเมือง  แทรกแซงทุกองคาพยพ เพื่อกุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ สร้างค่านิยมแบบผิดๆ "รวยด้วยการโกงชาติ แล้วเอามาแบ่งกันกิน" ในรูปคอร์รัปชันเชิงนโยบายในรูปผลประโยชน์ทับซ้อน  เข้าสู่อำนาจด้วยการซื้อเสียงโกงการเลือกตั้ง ออกกฎหมายปล้นทรัพยากรแผ่นดิน ผ่านเมกะโปรเจ็กต์ โครงการประชานิยม  ธุรกิจพลังงาน ซื้อนักการเมือง-ข้าราชการระดับสูงฝ่ายยุติธรรมบางคน-สื่อสารมวลชนบางส่วน ปัญหาโกงการเลือกตั้งและการทุจริตคอร์รัปชัน ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง เมื่อความลับอันชั่วร้ายถูกเปิดโปง ประชาชนได้รับยกระดับการเรียนรู้ เคลื่อนไหวคัดค้านความไม่ถูกต้อง มีวิวัฒนาการต่อเนื่องเป็นลำดับ

ก่อนที่ประชาชนไทยผู้รักความเป็นธรรมทั่วทุกสารทิศ  ทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานภาพ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาจะออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลด้วยมือเปล่าปราศจากอาวุธ  อหิงสา สันติ อย่างต่อเนื่อง จะเติบใหญ่กลายมาเป็นมวลมหาประชาชนในวันนี้ นับเป็นคุณูปการสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประ ชาธิปไตย (พธม.) ภายใต้การนำของ  "สนธิ ลิ้มทองกุล" และ "พลตรีจำลอง ศรีเมือง" ที่จุดเทียนทางปัญญาเล่มแรกเมื่อ 8 ปีก่อน โดยมี "สมณะโพธิรักษ์" แห่งสันติอโศกและกองทัพธรรมเป็นกัลยาณมิตรร่วมรบเคียงข้างในลักษณะฝาแฝดแห่ง ขบวนสันติปฏิวัติสะสมชัยชนะรายทางจนมีเครือข่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยและ ตามเมืองใหญ่หลายเมืองในต่างประเทศทั่วโลก ขบวนสันติปฏิวัติในประเทศไทยถือเป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองภาค ประชาชนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้อง แสดงออกถึงมโนธรรมสำนึกของประชาชนที่มีความรับผิดชอบทางศีลธรรมต่อสังคม และกล้าหาญต่อกรกับทรราชปล้นแผ่นดินเป็นที่ประจักษ์ ทั้งสองเวทีกลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักศึกษาและประชาชนหลากหลายอาชีพที่รัก เสรีภาพและประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม และความเป็นไททุกหมู่เหล่าได้ร่วมแรงร่วมใจ ร่วมจิตวิญญาณ จัดตั้งเวทีประชาชนขึ้นมาหลายเวที แม้จะถูกคุกคาม ข่มขู่ ปราบปราม ไล่ล่า เอาชีวิตมาแล้ว บางเวทีอาจรามือไปบ้างด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดตามความเป็นจริง แต่กระนั้นเวทีของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ซึ่งนำโดยนายอุทัย ยอดมณี นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง มีทนายนิติธร ล้ำเหลือ เป็นที่ปรึกษา ยังปักหลักเป็นหัวหอกในการต่อสู้โดยยึดหลักอหิงสา สันติ มือเปล่าปราศจากอาวุธ จนถึงวันนี้เวทีต่างๆ ได้หลอมรวมเป็นเวที กปปส. โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นตัวแทน ผนึกกำลังเป็นมวลมหาประชาชน ร่วมต่อสู้โค่นล้มทรราชทุนสามานย์

สันติปฏิวัติจะประสบความสำเร็จด้วยธรรมแห่งอหิงสา สันติในหัวใจที่มนุษย์มีนโนธรรมสำนึก ความรับผิดชอบทางศีลธรรมคำนึงถึงเป้าหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ สาธารณะล้วนๆ ไม่มีประโยชน์ส่วนตนใดๆ แอบแฝง หัวใจสำคัญของขบวนการสันติปฏิวัติต้องยึดหลักเคลื่อนไหวโดยปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง อหิงสา สันติ สงบเย็นไม่อาฆาตพยาบาท ดำเนินการเป็นไปอย่างมีสามัคคีธรรมและวินัยกลุ่ม ผู้นำต้องมีภาวะความเป็นผู้นำ ผู้ตามต้องมีจิตใจมั่นคง หนักแน่น ไม่วอกแวก ทุกคนต้องร่วมขบวนการด้วยความเสียสละ กล้าหาญ บากบั่น อดทนจนกว่าจะชนะ

ด้วยพลานุภาพแห่งพลังทางศีลธรรม ด้วยจิตใจอันบริ สุทธิ์เพื่อประโยชน์สาธารณะล้วนๆ พระสยามเทวาธิราชและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองผู้ปฏิบัติธรรมสามารถสร้าง ปาฏิหาริย์แห่งสันติปฏิวัติ ธรรมย่อมชนะอธรรม  มวลมหาประชาชนจะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน.

 

       พ่อครูต่อว่า..ซึ่งบทความนี้เป็นบทความทีี่เขียนไว้ดี เรามาต่อที่บทคอลัมน์ถูกทุกข้อ ของคุณอัตต์ อัตนัย

“ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ)” แพ้แล้ว!!!

    ดิฉันเป็นเพียงหนึ่งใน “มวลมหาประชาชน” เท่านั้น ไม่ใช่นักวิเคราะห์-ไม่ใช่สื่อ แต่พิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่รับทราบเท่านั้น สะท้อนให้พิจารณาพอสังเขปดังนี้

    1) บทที่นักยุทธศาสตร์ของลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) คงตีบตัน-และไม่มีทางไป (No Way Out) จึงออกมาในลักษณะตลกมากๆ ถ้าไม่บ้า...ก็คงคิดพล็อตนี้ไม่ได้...แต่ก็มีอานิสงส์คือ ถ้าถูกตำรวจรังแก...ก็ถามว่า  “เป็นตำรวจปลอมหรือ???” เพราะตำรวจที่รังแกเราอยู่...อาจเป็นโจรที่ขโมยชุดตำรวจมาก็ได้!!!

    2) Bangkok-Shutdown ลุงกำนันบอกล่วงหน้าถึง 12 วัน จึงวางแผนผละ-ลางานมาร่วมกิจกรรมได้อย่างปลอดโปร่ง......การตั้งรับจากลัทธิอสูรไม่เป็นกระบวนแล้ว การใช้บริการอันธพาล (ทั้งโจรในเครื่องแบบ และเสื้อแดงอันธพาล) และพยายามจะตั้ง ศอฉ.เพื่อหยุดมวลชนกองทัพนกหวีด นับเป็นยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเป็นตัวเร่ง (catalysts) ชั้นดีเยี่ยมให้ “มวลมหาประชาชน” มีจำนวนมากขึ้นนับเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทางสังคม ซึ่งจะได้พลังมหาศาล (Fission Reaction, Fusion Reaction)......ก็ดี ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) จะได้ลงเหวเร็วขึ้น....อาจารย์มีชัยใช้คำว่า “เล่นกับความแค้นของประชาชน”

    3) เพียง 2 เดือนกว่า ปลุกมวลชนได้ขนาดนี้ ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่รอมานาน พอลุงกำนันมานำ คนมหาศาลตามเลย แถมแผนปฏิบัติการของระบอบทักษิณที่มาจาก War room เดียวกันก็ทำให้ผิดทางไปเรื่อยๆ และจะลงเหวลึกในไม่ช้า เพราะการตั้งสมการผิด และแทนค่าด้วยตัวแปรที่ผิดอีก ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนี้ ก็ต้องโทษนักยุทธศาสตร์ตกยุค-นักวิชาการกำมะลอสีแดงและสื่อซองขาว...และความมั่นใจในองคาพยพของลัทธิอสูรว่ามีความสามารถในการควบคุม-คุกคามประชาชนไทยได้อย่างสมบูรณ์

    4) มวลชนกองทัพนกหวีดมีพลัง-เป้าหมายชัดเจน และถือเป็น ”หน้าที่” แถมเติมข้อมูลจากวิทยากรขั้นเทพ-กล่อมอารมณ์ด้วยศิลปินชั้นเยี่ยมเปรียบเหมือนนักรบชั้นดี อยู่ได้เป็นปี...ขอให้ลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) สูญสิ้นเป็นพอ ในขณะที่เสื้อแดงที่จะเกณฑ์มาก็เป็นรายได้พิเศษของคนชนบทเท่านั้น แต่ให้เขามาเป็นอันธพาลเขาไม่มาหรอก!!!! และพวกเขาเข็ดที่ถูกขังไว้ที่สนามราชมังคลา-ในวันที่เสื้อแดงอันธพาลไปคุกคาม-ฆาตกรรมนักศึกษารามคำแหง

    5) “มวลมหาประชาชน” ไม่ใช่ม็อบคนใต้-ไม่ใช่ม็อบประชาธิปัตย์-ไม่ใช่ม็อบขี้อิจฉา แต่มาจากทุกภาค-ทุกอาชีพ สรุปว่าทั้งประเทศล้วนเดียดฉันท์พวกอสูรร้ายทั้งสิ้น ดังนั้นการสร้างภาพว่าคนเหนือ-คนอีสานรักลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) นั้น...ผิดไปแล้ว ภาพที่ได้...นึกไม่ออกว่าจะเป็นเช่นใด!!!

    6) รูปนายกฯ โบท็อกที่ติดทั่วประเทศ เป็นสิ่งเร้า-จุดตัดสินใจให้มาเป็นหนึ่งใน “มวลมหาประชาชน”

    7) อสูรร้ายที่วิปลาสแสดงออกว่า “มีความสุขเหลือเกิน” (แต่ริ้วรอยลึกมาก เท่ากับคนอายุร้อยกว่าปี) เป็นการปกปิดความฟุ้งซ่าน คงรู้ว่าทางเลือกนั้นไม่มีแล้ว...ซึ่งหมายถึงการหมดอำนาจแล้ว เพราะนักปราชญ์กล่าวไว้ว่า “อำนาจสูงสุดที่มนุษย์พึงมี คืออำนาจในการเลือก” ไม่สามารถที่จะเลือกอะไรได้แล้ว ก็อนุมานได้ว่าหมดสิ้นอำนาจแล้ว...รอเวลาจับลงหม้อ แล้วนำไปถ่วงน้ำเท่านั้น

    ลองพิจารณาจากการเดินลองมาร์ชแบบไทยๆ ซึ่งจะเริ่มขึ้น แนวร่วมมหาศาล เป็นภาพประชาชนจ้างลุงกำนัน...จึงแพ้ไม่ได้เด็ดขาด...ถ้าอสูรร้ายยังหน้าด้านอยู่ พวกเราเข้าใจในความยากของการไล่ทรราชหน้าด้าน...และรู้หน้าที่ว่าต้องร่วมใจกัน ณ เวลานี้ เห็นตรงกันว่า Now or Never........แม้ว่า ข่าวลือ (Rumor) จะมากมาย และดูเหมือนมาจาก War room เดียวกัน แม้ว่าจะมาจากหลายแหล่ง

    ถ้าขจัดลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) ออกไปได้แล้ว นักวิชาการกำมะลอสีแดงและสื่อซองขาวจะมีชีวิตต่ออย่างไร???...แต่ก็เป็นกรรมและอวสานของผีโม่แป้ง

    อสูรร้ายเคยบอกว่า  “เรียนประวัติศาสตร์ไปทำไม?? ไม่ได้เงิน”......แล้วเป็นอย่างไรล่ะ!!! ประวัติศาสตร์แห่งความพ่ายแพ้ของทรราชก็เหมือนๆ กัน......สมน้ำหน้า

    “ถ้าขจัดลัทธิอสูร (ระบอบทักษิณ) ออกไปได้ ต้องให้เครดิตคนใต้-คนกรุงเทพฯ ซึ่งมีความมุ่งมั่นและอดทน” คนภาคอื่นๆ จะได้อานิสงส์เมื่อหู-ตาสว่างขึ้นเสื้อแดงก็จะสลายไป แล้วเราจะได้นำเสื้อสีแดงมาใส่อีกครั้ง!!!

                                        จึงเรียนมาเพื่อพิจารณา

                                  ศิริวรรณ หาญไพบูลย์

       คุณอัตต์เขาก็ตอบว่า  ตามนั้น ชัดเจนครับ ที่สำคัญมวลมหาประชาชนแม้ส่วนใหญ่จะเป็นคนกรุงเทพฯ คนใต้เป็นกำลังหลัก แต่คนภาคอื่นก็มีไม่น้อย เอาเป็นว่าหากมีชัยก็เป็นชัยของประชาชนครับ

 

---------------ต่อด้วยกวี

                กู คือ กบฏโว้ย!

            1 "มหาโจร" ต้องโทษลี้        หนีทัณฑ์

            เร่ร่อนอยู่นอกเขตขัณฑ์          ประเทศแก้ว

            ใช้เงินบาปรวยมหันต์              ซื้อพวก บาปเวร

            ขึ้นตั่งนั่งเมืองจะแจ้ว        เถื่อนชี้สั่งการ

            2 มหาโจรสวมสู่เข้า        นาม "รัฐบาล"

            เชิดชื่อราวเปลือกตระการ        เพริศแพร้ว

            ให้อีเซ่อ "เสฉวน" คลาน        เข้าเปลือก

            โอ่อ่าคุมอำนาจแกล้ว              ข้ารัฐฯ ค้อมยอมเฉ

            3 ฤๅ สมยอมหมายลาภล้น       ยศฐา

            ฤๅ ขลาดกลัวอำนาจหมา        ดุบ้า

            ฤๅ วางปล่อยตามชะตา           กรรมชั่ว

            สุดแต่โจรเหลี่ยมหยาบช้า        ฆ่าปล้นชาติยับเยิน

            4 ปวงประชาถูกฆ่าสิ้น            เสรี

            ศักดิ์ชาติทรัพย์ธรณี                       ถูกฆ่าเกลี้ยง

            ส่งเสียงแหบขอผู้มี                  อำนาจช่วย

            สลดอำนาจรัฐกลับเดี้ยง           สยบร้ายยอมสถุล

            5 มหาโจรเหิมห่ามห้าว           นรกลาม

            ยีย่ำประชาในนาม                  รัฐฯ เลิศแพร้ว

            โจรใช้กฎหมายคุกคาม            ราษฎร์พิสุทธิ์

            ถึงที่สุด สุดอดแล้ว                  ราษฎร์พร้อมกบฏโจร

            6 กบฏ ก็ กบฏ ซิโว้ย               จักเป็นไร ใส่ความ

            กบฏต่ออธรรมเภทภัย              ชั่วช้า

            ความดีจักยอมชั่วไฉน             กลางครึ่ง

            ดีย่อมสู้ชั่วบาปบ้า            สุดรู้ให้ชัดเจน

                                วรฤทธิ์ ฤทธาคนี

 

       เติมเรื่องธรรมะอีกนิด ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม พวกอธรรมนี่มันคะนอง อาตมาว่าพวกธรรมะจะมากกว่าอธรรมนะ เพราะว่าธรรมดาสามัญคนไม่อยากชั่วหรอก ถ้าคนมีธรรมะไม่ตื่นตัวออกมาช่วยสังคม เอาแต่เงียบ เอาแต่เก็บตัว ไม่เสียสละบ้าง ก็ต้องยาก ไปไม่รอด ทั้งที่อาตมาเชื่อว่า คนมีธรรมะมากกว่าคนไม่มีธรรมะ คนจะรู้สัจธรรมความถูกต้องมีมากกว่า แต่เพราะความเห็นแก่ตัว ความไม่กตัญญูต่อสังคมประเทศชาติ ทั้งที่เรามีชีวิตอาศัยประเทศชาติ คุณไม่ได้หนีไปอยู่ป่าเขาถ้ำ รู้ๆอยู่แต่เห็นแก่ตัว ก็ให้วางหน่อย ออกมาช่วยประเทศชาตินะ

       มันยากตรงที่ว่ามันด้านจริงๆ ผิดอย่างไรก็ไม่ยอมหน้าด้านหน้าทน ถึงมีคณะที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปกดขี่ทำร้าย ที่เป็นมาต้องใช้อย่างนั้น แต่เราจะใช้อำนาจที่ไม่ไปกดดัน คนหน้าด้านเขาก็ไม่กลัว จะด่าว่าประจาน แต่ว่าจะโด้ซะอย่าง ก็เลย โด้อยู่อย่างนั้น จึงต้องอาศัยมวลประชาชนที่ถ้ามากพอจึงมีฤทธิ์ มากขนาดนี้ยังโด้อยู่ได้

       ลองดูซิว่าวันที่ 13 มค. นี้ ออกมาช่วยกันบ้าง ไม่อย่างนั้นจะอีกนานแสนนาน ประเทศชาติเสียหายล่มจมหนักแล้ว ก็ให้สติเตือนไปบ้าง ก็ต้องขอบคุณทุกคนเลยที่เสียสละ ที่จะมาทำหน้าที่นี้ อาตมาก็พยายาม สร้างคนทางชาวอโศกที่อาตมาเจตนาสร้างให้เป็นคนชนิดนี้ มาลดกิเลสโดยแท้จริง แบบพระพุทธเจ้าจะไม่หนีสังคม แต่จะช่วยสังคม มันหนีไม่พ้น ผู้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิ กิเลสลดจริง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       เราทำมาก็ได้คนมาช่วยประเทศชาติ และตอนนี้ก็เห็นผลว่า มันขยายผล จากที่เราทำ คนมีปัญญาก็รู้ได้เห็นได้ สะดุดใจ ออกมาๆกัน ก็เป็นนิมิตดีเป็นเรื่องดีของสังคมประเทศชาติ จะได้กอบกู้ส่ิงที่ทุกข์ทรมาน ถ้าคราวนี้สามารถชนะได้ มั่นใจว่าการเมืองไทยหลังจากปฏิวัติปี 2475 มาปาเข้าไป 80 กว่าปี ถ้าคราวนี้สำเร็จเชื่อว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ

       เพราะคนดีกำลังรอจังหวะงานนี้จะชนะ แล้วเชื่อว่าหลังชนะ คนดีจะมารวมตัวกัน กลัวอย่างเดียว ว่า คนดีจะมาทะเลาะกัน แย่งชิงกัน ก็ขอปรามว่ากรุณาอย่าให้เกิดกรณีอย่างนั้นเลย ขอให้มาร่วมอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ลดตัวลดตน อย่ามากร่าง เรายอมรับความรู้ความสามารถ แต่ถ้ากิเลสแรงไปทำก็ไม่ค่อยดี แม้ความรู้สามารถมาก แต่อัตตาตัวตนสูงก็ยาก

       และที่สำคัญ คนมีกิเลสอัตตาตัวตนหนา มันไม่บริสุทธิ์หรอก ทำอย่างไรกิเลสที่แฝงก็จะออกมา มันฉลาดและพาทำชั่วทำเลวก็ได้ ฉลาดทำดีก็ได้ อย่างที่เขาทำฉลาดนะแต่ชั่วและเลว เราต้องยอมรับว่าฉลาดจริงๆ หรือฉลาดฉิบหายจริงๆ ตนและสังคมฉิบหาย

       ความฉลาดนี้ดี แต่ถ้ากิเลสมากๆ บางทีก็ยาก ก็ขอช่วยกันนะ พยายาม อาตมาก็พูดไปจะได้ไม่ได้แค่ไหนก็พูดไปอย่างที่เห็นควร อย่างคุณสุเทพนี่ประกาศเลยว่า ชนะแล้วก็ขอไม่รับอะไร ชนะแล้วขึ้นบัลลังก์ไปเลย ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว คนเรามีวิบากหลายอย่าง อย่างที่คุณสุเทพว่าทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่างานนี้ขายที่มาทำนี่จะหมดตัวไหมนะ หรือเป็นหนี้ก็ไม่รู้ ถ้าอย่างไรลูกหลานก็ช่วยกัน ไอ้ที่จริงรับจากที่บริจาคนี่ได้ครั้งละ 1ถึง 2ล้านก็แค่นั้น ความจริงนั้นอาตมาก็ไม่อยากเปิดเผย ก็ไม่รู้ชัดหรอก แต่เกินกว่าที่จะพูดน่ะ

       เขาดีใจได้แบงค์ 20 มากกว่า แบ็งค์พันนะ มันเป็นเรื่องของน้ำใจ

       อาตมาจะเล่าเรื่องให้ฟังว่า ก่อนนี้ตอนหนุ่มอาตมามาทำงานในกทม. วันหนึ่งก็ไปได้ข่าวว่า คนใช้เก่า ตั้งแต่รุ่นแม่ที่เคยเลี้ยงอาตมาและน้องมา เขาก็ว่าจะมา เราก็ไปตามเจอ เราเรียกว่า พี่ กัน แม้เป็นคนใช้ ชื่อ “อิ่ม” เคยเลี้ยงดูกันมา พอเจอกันก็ดีใจมาก ไม่เจอกันหลายสิบปี เสร็จแล้วก็จะกลับ เขาก็ควักสตังค์ 5 บาท ออกมาใส่มือน้องสาว แล้วน้องสาวเขาก็จะไม่รับ แค่ 5 บาท ทำท่าทีจะไม่รับ เหมือนรังเกียจ อาตมาเห็นท่าทีก็ต้องรีบปรามน้องสาวทันที ว่า นี่ไม่ใช่เงินนะ นี่วิญญาณสดๆ เลือดสดของพี่อิ่มเขานะ ต้องรับอย่างนอบน้อมนะ 1 เขาเป็นคนใช้ 2 เงินมันน้อยด้วย ทำให้เกิดจิตไม่ดี ด้วย

       ลักษณะอย่างนี้คุณสุเทพได้รับแบงค์ 20 บาท เป็นเรื่องจิตวิญญาณ ...จบ

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:34:16 )

570109

รายละเอียด

570109_เรียนอิสระฯ พ่อครูและอ.กฤษฎา เรื่องดีเอ็นเอของพุทธถูกจุดชวาน

       อ.กฤษฎาว่า...ที่ผ่านมารายการพ่อครูมีเรื่องเกี่ยวกับ “สันติปฏิวัติ” วันนี้เรามีการพูดคุยประเด็นข้อกฎหมาย ซึ่งระหว่างกฎหมายและศีลธรรมนั้นควรเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร การใช้กฎหมายอย่างไม่คำนึงจริยธรรมนั้นเป็นอย่างไร
       ทำไมทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น เนื่องจากอะไร เกี่ยงกับเรื่อง มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา

       พ่อครูว่า....จุดนี้เป็นจุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มโนปุพพัง คมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา คือ ปุพพังคือมาก่อน อะไรก็มาจากจิต แล้วจะเจริญสำเร็จก็ด้วยจิต ที่ว่าจิตเป็นหลักเป็นต้นตอ คือทำไมไม่เสร็จสักที เพราะไม่สำเร็จไปที่จิต ต้องแก้ไขที่ตัวเหตุที่อยู่ที่จิต ที่รู้ในอริยสัจ คือ สมุทัยอริยสัจ

       ต้องค้นที่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสิ่งที่ตรัสรู้ของพุทธ  เป็นปรมัตถธรรม ปรมะคือบรม , อัต คืออัตถะหรือเนื้อแท้ ,ส่วนบรมคือสูงส่งยิ่งใหญ่

       รวมเป็นเนื้อแท้ที่สูงส่งยิ่งใหญ่ ที่เป็นต้นตอที่แก้ไขแล้วเสร็จจบ เราต้องศึกษามุ่งให้ได้ที่นี่คือจิต เราต้องตรวจสอบให้ดี แต่ละคนยิ่งมาทำงานบริหารประเทศสังคม ที่เดือดร้อนเพราะผู้ที่เรามอบหมายให้ไปทำงาน มีอำนาจในการทำงาน มีอำนาจสั่งการ สามารถแก้ไขหลักเกณฑ์ต่างๆ สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศ ก็เลยเป็นโอกาสที่ ถ้ากิเลสมาก ก็ตาลาย เห็นลาภยศต่างๆ มีอำนาจทำด้วยก็สั่งการได้ ถ้าคนไม่จริง จิตเห็นแก่ได้ ขี้โลภจัด อาฆาตมาดร้าย เห็นแก่ตัว อัตตาจัด บ้านเมืองก็เสียหายเดือดร้อนอย่างที่เป็น

       การแก้ไขต้องแก้หลักแรกเลย ต้องตรวจภาวะทางจิต ต้องมีคุณธรรม แล้วจึงให้คนเหล่านั้นมีโอกาสไปทำงาน ต้องตรวจสอบจิตใจ คุณธรรมที่ลึกซึ้งถึงจิต มีวิธีตรวจสอบได้ โดยการคบคุ้นกันในสังคม ก็พออ่านออกได้ ว่าใครเห็นแก่ตัวหรือเสียสละ มักน้อยสันโดษ มันพอรู้กันอยู่ในสังคม ผู้มีบทบาทในสังคมก็พอรู้กันได้ ใครมีชื่อเสียง แม้เขาไม่อยากมีชื่อเสียงก็เป็นปรากฏการณ์ได้

       แล้วความประพฤติที่จะให้มีคุณธรรม เกิดได้ต้องศึกษาฝึกฝนให้จิตเจริญให้ได้ การศึกษาทุกวันนี้ทั่วโลกเลย ไม่คำนึงถึงจิต คำนึงแต่เทคนิคความรู้สามารถเป็นหลัก เรียนมีฝีมือสามารถเลี้ยงตนเป็นหลัก คนเลยเผิน ไม่ลึกในคุณธรรมความดี เป็นความผิดพลาดทั้งโลกเลย ทุกมหาวิทยาลัยเลย แล้วไม่คำนึงด้านจิตใจเลย ไม่คำนึงคุณธรรมเลย ข้อบกพร่องมันคือ ตามภูมิอาตมานะ

       คือ ผู้รู้ไม่ได้รู้ทฤษฏีที่วิเศษในโลก เพราะความรู้พุทธไม่กว้างพอในโลก หลายประเทศในโลกไม่รู้จักศาสนาพุทธ นอกจากนักรู้ไม่มากนัก ส่วนประชากรโลกส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้จักพุทธ​ จะรู้คริสต์ อิสลามหรือฮินดูมากกว่าอีก

       นอกจากไม่รู้พุทธแล้ว ผู้รู้พุทธ ยังไม่รู้พุทธอย่างสัมมาทิฏฐิอีก เพราะพุทธไม่เหมือนศาสนาใดในโลก ศาสนาทั่วไปในโลกเป็นเทวนิยม นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเจ้า ก็เข้าใจว่ามีอยู่แต่ไม่รู้แจ้งว่าคือพลังอะไร แต่ก็พอรู้ว่าเกี่ยวกับชีวะ แต่เรียกโดยภาษาว่า soul หรือ spirit ก็แล้วแต่ หรือเรียกอื่นๆอีก ก็คือพลังงานที่มีความรับรู้ เหมือนมนุษย์นี่แหละ แต่ยกให้ว่าเป็นพลังงานเหนือมนุษย์ ยกย่องเป็นพลังงานที่มีอำนาจ เป็นผู้สร้างทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้เลย บันดาลได้ มีสิทธิ์เด็ดขาด นี่คือความเข้าใจทั่วไป ก็เป็นส่วนใหญ่ที่คนในโลกเข้าใจอย่างนี้ ไม่ชัดเจน จึงเป็นส่ิงที่ยกไว้เป็นพิเศษ ที่จะให้เอามาใช้ในโลกเป็นตัวแทนเพื่อที่จะนำสาร นำโองการพระเจ้ามา เป็นวจนะ ก็จะมีคนเกิดมาถือว่าเป็นพระบุตรหรือสาวกที่ ต้องเป็นของที่พระเจ้าประทานมาใครจะเป็นเองไม่ได้ ต้องมีพระบุตรที่เอาโองการพระเจ้ามาประกาศ

       อ.กฤษฎาว่า...เป็นภาวะที่อยู่ในมโนลึกๆ จิตนั้นละเอียดลึกซึ้งมาก โดยอัตภาวะเป็นสิ่งหนึ่งของแต่ละชีวิตสัตว์โลกแต่ละชนิดคนแต่ละคนก็มีอัตภาพเป็นมโนหรือวิญญาณเป็นของตนๆ ภาวะพระพุทธเจ้าระลึกรู้ละเอียด ชาติต่อชาติ เริ่มต้นที่จะรู้จักจิตเจตสิกชัดเจน จิตเข้ากระแส เป็นผู้เป็นพระเจ้า

       ในจิตมีพลังไม่ดี คริสต์เรียกว่าซาตาน ส่วนฮินดูเรียกว่ามาร อิสลามเรียกไซตอนหรือซิน  เป็นอัตภาวะนั้นที่ไม่ดี  ส่วนจิตดีเรียกว่าพระเจ้า ส่วนความลึกซึ้งคือสัตว์โลกมีจิตวิญญาณอันนั้นได้ ทั้งจิตซาตานก็ตัวเรา จิตพระเจ้าก็ตัวเรา มันมีสองลักษณะอยู่ในนั้น

       โสดาบันจะรู้จักลักษณะนี้ เรียกว่า สักกายะ เป็นตัวตน เร่ิมต้นโสดาบันจะเริ่มรู้จักอันนี้ ต้องรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ คำว่าอุเทศคืออธิบายบอกได้ให้คนอื่นรู้ได้ ต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งมาก่อน จึงอธิบายได้ เป็นส่ิงที่ไม่มีตัวตนรูปร่าง

       อ.กฤษฎาว่า..ภาษาหนึ่งที่เขามักพูดกันว่า ของขึ้น มันหมายถึงลักษณะอาการโกรธ จี๊ดเลย ภาษาวัยรุ่นคือจี๊ดเลย เป็นอาการสภาวะ พ่อครูอธิบายว่า ถ้าเป็นโสดาบันจะทันลักษณะนี้ รู้ทันอารมณ์นี้ ทั่วไปเรารู้ว่าเราของขึ้น แล้วเราก็ยังรู้สึกอยู่

       พ่อครูว่า..มันก็ปรากฏอยู่ ถ้ามันหายก็คือมันหายไป แต่มันจะมีความจำอยู่

       อาการรวมเรียกว่า สังขาร อาการรู้สึกจี๊ดหรือร้อนขึ้นมา ไม่ชอบใจ เป็นโทสะมูล ส่วนต้องการได้มาคืออาการโลภ ส่วนราคะคือต้องมามาเสพรส ทางทวาร 5 เรียก กามคุณ 5

       สรุปแล้วที่เจาะให้ฟังบ้างคือ พุทธสอนเรื่องความจริงของจิตวิญญาณ จะเรียกว่ามโนหรือหทัย ซึ่งแปลว่าที่ตั้งของจิต ที่ไม่มีที่อยู่แน่นอน เช่นเมื่อตาสัมผัสรูป ก็เกิดวิญญาณ ที่เราเห็นนี่รู้ที่ใจเรา เราต้องกำหนดตรงนั้นแหละ เป็นหทยรูป คือเกิดสังขาร เกิดวิญญาณหรือเกิดเวทนาก็อยู่ตรงนั้นแหละ

       ผู้ไม่รู้ก็ไปกำนดที่ตั้งในร่างของตน คืออยู่ในห้องของหัวใจ ในห้องใดห้องหนึ่งอย่างนั้นไม่ใช่

        แต่เมื่อเราเห็นภาพแล้วเรากำหนดรู้ เสียงเราได้ยินก็กำหนดรู้ เกิดวิญญาณ ทางทวาร 6 ตรงที่มันรู้มันไม่กำหนดสถานที่ตรงไหนๆเลย ถ้าเราสัมผัส ก็ว่าเราเอาน้ิวแตะตรงนี้ แล้วกำหนดรู้ว่าเราสัมผัสว่านี่คือโลหะนี่คือแก้ว แล้วเราจะบอกว่านี่คือหทยรูป ส่วนเสียง รูป นั้นเรากำหนดสัมผัสไม่ได้ แต่ว่าสัมผัสกายนั้นเรารับรู้ได้ เย็นร้อนอ่อนแข็ง ว่าหทยรูปมันตั้งอยู่ตรงนี้ๆ อย่างกายสัมผัสนี้ชี้ชัดง่าย

       อ.กฤษฎาว่า ผมได้ยินเสียง แล้วเรากำหนดที่ไหน ที่หูมันก็ไม่ใช่ แล้วที่ไหนล่ะก็ไม่รู้แต่ผมกำหนดได้ว่าผมได้ยินเสียงรับรู้ได้เป็นต้น

       พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ เป็นอเทวนิยม Atheism หรืออเวทนิยม คำว่า อ แปลว่าไม่ แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่เอาเทวะ ไม่รับเทวะ ไม่นับถือพระเจ้า ไม่เอาเทวดา อย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เสียหาย แล้วก็ทำให้ศาสนาแบ่งแยกกัน หาว่าพวกเทวนิยมงมงาย แตกแยกชั้นวรรณะ ตนเองก็ไม่ได้เรียนรู้

       พลังงานที่เทวนิยมเรียนรู้ก็มีจริง อเทวนิยมก็มีจริง แต่ไม่ใช่ไม่รับพระเจ้า แต่ว่ากลับรู้จักพระเจ้าจริง รู้ว่าจิตวิญญาณพระเจ้าคือ (พระปัญญาธิคุณ  พระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ) เป็นตรีมูรติ เป็นรากฐานที่สุดยอด คุณสมบัติ สามอย่างวิเศษนี้ พุทธรู้ดี ผู้ที่สร้างให้ตนมี ต้องเป็นผู้รู้ก่อน มีปัญญาธิคุณ รู้ว่าสร้างเลวไม่ดีก็เลิก หาเหตุที่สร้างเลวแล้วกำจัดเหตุ เหลือแต่พลังงานดีสร้างดี จนสะอาดไปเรื่อยๆ สูงสุดเป็นอรหันต์

       อัตภาวะของแต่ละคนสามารถเรียนรู้ได้ เป็นพระเจ้าได้ ล้างหมดไปจากจิต เป็นอรหันต์ จิตเจริญจริง มีคุณสมบัติเช่นนี้ ไม่หนีสังคม รู้จักทำการงาน รู้งานเลว เป็นอกุศลกรรม รู้งานดีเป็นกุศลกรรม รู้เลิกงานชั่ว ทั้งปัญญาก็รู้ กิเลสก็เอาออกได้ มีกรุณาคือช่วยผู้อื่นได้ ทำการงานมีคุณค่า ครบสมบูรณ์จริง ศานาพุทธจึงเป็นจริงในแต่ละคน

       เร่ิมจากโสดาบันก็ไล่ผีไปได้เริ่ม เป็นสกิทาฯก็ดีขึ้น เป็นอนาคาฯก็ได้มากไล่ผีภายนอกได้ แล้วช่วยโลกไปตามลำดับความรู้ความสามารถตน ซึ่งบังคับกันไม่ได้ จึงเป็นความรู้อเทวนิยม เป็นความรู้ของเทวดาที่จริงชัด ไม่เหมือนเทวนิยมที่สามารถทำให้เกิดอาการสภาวะเหมือนพระเจ้า ประหนึ่งพระเจ้า เพราะพระเจ้านี่สูงสุดแล้ว ทำตนใกล้พระเจ้าไปเรื่อยๆ แต่ของพุทธเป็นจริงที่ตนเลย เมื่อเป็นลูกพระเจ้าได้ สูงสุดก็เป็นพ่อพระเจ้าเลย เป็นสภาวะ

       สามารถเป็นผู้เป็นเจ้าของพระเจ้าได้ คำว่าอเวทนิยม คือไม่มีอวิชชาในความเป็นเทวะ มีความรู้เต็มในเทวะก็คืออเทวนิยม มีตรีมูรติ พระอรหันต์ทุกองค์ มีความบริสุทธิ์ใจในการทำงาน แต่ความรู้ปัญญาจะต่างกัน ช่วยได้ต่างกัน แต่ท่านไม่มีเห็นแก่ตัวแล้ว 

       อรหันต์จึงมีตรีมูรติจริง เป็นคนที่มีความรู้สามารถมีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม เป็นผู้ไม่ทำบาป ทำแต่กุศล มีจิตบริสุทธิ์ผ่องใส

       ไม่ทำบาปคือฆ่าซาตาน หรือไซตอน กิเลสแบ่งได้ง่ายๆ 3 อย่างคือหยาบ กลาง ละเอียด หรือแบ่งได้ละเอียดกว่านั้นอีกก็ได้  บาปแปลว่ากิเลส ส่วนบุญคือการชำระกิเลส ถ้าล้างกิเลสหมดก็ไม่ต้องทำบุญอีก ทำจนแข็งแรงตั้งมั่น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       ทำจนเป็นเอง เรียกว่าตถตา เป็นอัตโนมัตเลย กิเลสสูญเป็นปกติเลย จิตบริสุทธิ์เป็นเช่นนั้นเอง เป็นความจริงที่เป็นเอง เราไม่ต้องทำอะไร มันก็สะอาด สั่งสมไปทุกๆปัจจุบัน จนแน่ชัดเลยว่าเป็นเอง จนมั่นใจว่าต่อไปหากเจออย่างนี้อีกเมือ่ไหร่กิเลสก็ไม่ขึ้น ขาวสะอาด เป็นจิตพระเจ้า เป็นคุณสมบัติของอาริยะ ไปตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ แล้วเป็น พระพุทธเจ้าในที่สุด

       

 

       อ.กฤษฎาว่า..เมื่อพระพุทธเจ้าเผยแพร่ธรรมะในช่วงแรกๆที่ตรัสรู้ ทุกท่านที่เป็นอรหันต์ ก็ต้องมี ลักษณะตรีมูรติ ไปตามบารมีแต่ละคน

       พ่อครูว่า..ไม่มีคำถามไม่มีข้อแย้ง เพราะอรหันต์ ทุกองค์ โพธิสัตว์ทุกองค์ รับใช้โลก เข้าใจโลกตามฐานะของตน แล้วท่านรู้แล้วว่าต้องทำงานแก่โลก ความสงบของพระพุทธเจ้าคือกิเลสตายไป เมื่อสงบคือกิเลสตายสนิท ก็ไม่ต้องหนีไปไหน จึงอยู่กับสังคม เพราะจะช่วยสังคมได้ ไม่หนีออกป่า อย่างนั้น เป็นโลกันตะ ไปอยู่สุดโลก เหมือนมีคนที่เขาตามหาที่สุดของโลก แล้วถามพระพรหมว่าที่สุดของโลกอยู่ที่ไหน? (ปุคคลาทิฏฐาน) พรหมก็ว่าเรานี่แหละครอบงำโลกเราใหญ่สุด เขาก็งง ก็ถามอีกว่า ไม่ได้ถามว่าใครใหญ่ เราถามว่าที่สุดของโลกอยู่ที่ไหน? ก็ถามอีก พรหมก็ตอบเช่นเดิม เราใหญ่ที่สุดในโลก เขาก็จะถามอีก พรหมก็ดึงตัวเขามาเลยบอกว่าที่สุดแห่งโลกอยู่ที่ไหนเราตอบไม่ได้ ต้องกลับไปถามพระพุทธเจ้า

       พุทธเป็นศาสนาที่ไม่ใช่รู้แบบเทวนิยมที่เขาจะรู้แบบ Prophecy คือรู้ตามโองการพระเจ้า เรียกว่า ศาสดาพยากรณ์ ไม่มีเหตุผล ซึ่งแบบเหตุผลนั้นเรียกว่า Philosophy คือรู้ที่มาที่ไป รู้เหตุผลหมด แต่เข้าไม่ถึงความจริง ดังนั้น สายเทวนิยมเป็น Prophecy จะสูงสุดได้ก็เป็น prophet คือศาสดาพยากรณ์ แต่สาย Philosophy เป็นได้สูงสุดคือ Philosopher

       ถ้าเป็นปรากฏการณ์วิทยาก็สามารถรู้แยกแยะได้ ทางทวาร 6 เรียกว่า Phenomenology เขาก็ศึกษากันมาก่อนก็มี

       ทุกวันนี้สังคม เกือบจะไม่เห็นเลยที่จะคำนึงถึงสภาวจิตที่มีคุณธรรม เมื่อไม่มีคุณธรรม แต่กลับมีแต่กิเลสเห็นแก่ตัวมาก ก็เลยแย่อย่างนี้ สรุปคือต้องคัดคนมาทำงานเป็นนกฎหมายให้เป็นผู้มีคุณธรรม ผู้อาสาทำงานการเมืองคือมารับใช้สังคม ไม่มีสิทธิ์พูดว่าไปทำงานอาชีพการเมือง เพราะกิเลสมันเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เป็นจริงเป็นอรหันต์จริงก็ยังไม่บริสุทธิ์

       พระพุทธเจ้าเมื่อได้อรหันต์ 60 องค์แรกก็ส่งไปทำงานในเมือง กับสังคม ไม่ได้ส่งไปปลีกเดียวอยู่ป่า ดังนั้นที่ศาสนาเสื่อมนั้นคือมีอยู่ 10 อย่าง เช่นไปหาอาจารย์ในป่า ไปหลงว่าการปฏิบัติในป่าเป็นฐานสูง ก็กลับกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่เผยแพร่ศานาใหม่ๆ ในอัมพัฏฐสูตร ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า  โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ ไม่เก็บผลไม้กิน  แต่ถือเสียม ตะกร้า  หาขุดเหง้าไม้    หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟรออาจารย์ สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง  แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่  (อัมพัฏฐสูตร  เล่ม 9  ข้อ 163) 

       พุทธสอนให้คนรู้จริงเรื่องกิเลส แล้วกำจัดกิเลสได้ ให้มีเหลือความไม่เห็นแก่ตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ ทุกวันนี้คนไม่มีหิริโอตตัปปะเลย เป็นโด้ง่านเลย หนักหนาสาหัสเราต้องมาไล่อย่างนี้ ไล่ไม่่ค่อยไปเลย ดันทุรังขายหน้าตัวเองตลอดเวลา

       ให้การศึกษาเอาคุณธรรมเป็นหลัก ต้องแก้การศึกษา เรามีการศึกษามีปรัชญาคือ ศีลเด่น 45 ส่วน เป็นงาน 35 ส่วน แล้วชาญวิชา 25 ส่วน ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้เท่าทันโลก ถ้ามีคุณธรรมจริงจะได้เอง

       เราต้องเลือกบุคคลมาทำงาน แบ่งเป็น

        .คนฉลาดมีความเก่งทางสมอง (ต้องรักษาศีล ปราชญ์ต้องรักษาศีล)

       คนมีสมองแต่ไม่มีศีลธรรม คนที่ฉลาดมากๆแต่ไร้ศีลธรรมนี้น่ากลัวมากเลย อย่าใช้ ต้องให้มีศีลธรรมเป็นตัวหลัก แต่ถ้าคนไม่ฉลาดจะไม่กล้าทำชั่วมาก เพราะทำชั่วทีไรก็โดนคนจับได้ไปไม่รอดหรอก

      ข.คนมีฝีมือ มีความสามารถ(ถูกเอาเปรียบโดยผู้ฉลาด) เราต้องปราบคนที่หลงฉลาด แล้วเอาไปกดความรู้สามารถ ในสังคมจำนน เพราะคนฉลาดไปกดไว้

       ดังนั้น ผู้ฉลาดต้องรักษาศีลหรือต้องมีคุณธรรมเป็นเครื่องประกัน  การศึกษาจึงต้องมีคุณธรรมหรือมีศีลธรรมเป็นหลักประกัน

       อ.กฤษฎาว่า...คำสั่งศาลวันนี้ ที่ DSIเขาจะขอออกหมายจับ กปปส. 33 คน ศาลก็ไม่ออกหมายจับให้เพราะไม่มีเหตุผลพอ

       พ่อครูว่า...เราย่ิงฉลาดเรายิ่งต้องศึกษาศีลธรรม เพราะไม่อย่างนั้นเราจะใช้ความฉลาดในการเอาเปรียบ ได้เปรียบ จงจำไว้ว่า ได้เปรียบเป็นบาป แล้วยิ่งเอาความได้เปรียบไปเอาเปรียบยิ่งเป็นบาปอีก

       อ.กฤษฎาว่า...อย่างคุณสุเทพที่เดินแล้วคนยิ่งมาช่วยมาให้เงินอีก นี่คือปรากฏการณ์ของสังคมที่ดี เป็นดีเอ็นเอพุทธ มาแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่กำนันสุเทพเริ่มเดิน แล้วมีคนเอาเงินมาให้ ทั้งที่ไม่ตั้งใจไปรับ ต่อมามีมากขึ้นๆก็เป็นปรากฏการณ์

       พ่อครูว่า...เป็นสิ่งงดงามมาก ทำไปเถอะ แต่อาตมาเห็นคุณธรรมของคุณสุเทพ เป็นส่ิงดีซ้อนในตัวคุณสุเทพอีก คนเห็นใจมากก็มาช่วย

       อ.กฤษฎาว่า...ตอนนี้โซเชียลมีเดียส่งมาคือ มีเด็กนร.ศึกษานารี ออกมาโบกมือให้ลุงกำนันสุเทพเต็มชั้นเลย

       พ่อครูว่า...นี่คือดีเอ็นเอพุทธ กำลังจุดชวาน อันนี้บอกอีกฝั่งหนึ่งให้ทราบว่า อย่าบังอาจต้านโต้เลย แพ้แล้วล่ะ! เพราะว่าตอนนี้ไม่ใช้เรื่องบังเอิญ คลุมเครือ ถ้าคุณยังง่านอยู่ก็ไม่รู้ แต่เป็นความจริงของการตื่นรู้ตื่นตัว เป็นดีเอ็นเอของพุทธะคือผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เกินต้านแล้ว จะไม่เชื่อก็ดูต่อไป

       อ.กฤษฎาว่า...ตอนนั้นอยู่ที่สวนลุมฯ ก็จินตนาการว่าจะเกิดอย่างไร ความเป็นพุทธจะเป็นตื่นรู้เบิกบาน ผมนึกถึงภาพเด็กๆที่ออกมาตอนนี้ เป็นสิ่งที่บอกถึงความเบิกบาน ทุกคนออกมาร่วม

       พ่อครูว่า...คุณสุเทพมาทำก็เกิดอันนี้ มีหญิงชราเอาแบงค์ 20 ยับยู่ยี่ใส่มือให้ คุณสุเทพก็สัมผัสเลยว่าอันนี่มันเลือดวิญญาณเลยนะ 20 บาท กำเงินมาให้แซมดินดูว่า นี่เขาเอามาให้จากจิตวิญญาณเขานะ ทั้งที่มีแบงค์ 1000 เป็นเช็คแสนเป็นล้านก็ไม่ได้วิญญาณสัมผัสเช่นนี้ เหมือนหญิงชราคนหนึ่ง กำดอกบัวเหี่ยวๆมารอให้ในหลวง ในหลวงก็มาสัมผัสกับมือหญิงชรา อันนี้แสดงถึงจิตวิญญาณ ถ้ามักมากก็จะไปหารวยใหญ่รวยมาก เป็นความหรูหราใหญ่โต มันออกนอกทางพุทธ

       อ.กฤษฎาว่า...นี่คือพุทธ หลายคนขึ้นเวทีก็แสดงตัวว่ากล้าเป็นกบฏนะ

       พ่อครูว่า..ไม่กลัวตายด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน

พลัง 4 ผู้มีพลัง 4​จะพ้นภัย 5

1.   ปัญญาพลัง  (กำลังคือ ปัญญา)

2.   วิริยพลัง  (กำลังคือ ความเพียร ขยัน)  ไม่ได้ทำเพื่อเอาอามิส ทำงานเพื่องาน ก็ไม่ทำงานที่ผิด มีปัญญารู้ จะไปทำงานที่ผิดทำไม แต่ถ้าเสีียงมากไปก็ไม่ทำ ต้องมีผลดีตั้งแต่ 70 % ขึ้นไปจึงจะทำถ้าจำเป็น เรามีงานมากมาย ปกติแล้วต้องซัก 80 % ขึ้นไปจึงทำ

3.   อนวัชชพลัง  (กำลังคือ การงานที่ปราชญ์ไม่ติ)

4.   สังคหพลัง  (กำลังคือ  การสงเคราะห์ช่วยผู้อื่น)  #

พ้นภัย 5

1.   อาชีวิตภัย (ภัยอันเนื่องด้วยชีวิต ไม่กลัวแม้ศ.ก.จะแย่)

2.   อสิโลกภัย (ภัย คือ  การติเตียนจากคนโลกๆ) เพราะชัดเจนว่าเราทำดีทำถูก คนมาติก็คนโง่เท่านั้น มีพลังปัญญา

3.   ปริสสารัชภัย (ภัยคือ  การสะทกสะท้านต่อสังคม)  .

4.   มรณภัย (ภัยคือ  ความตาย)

5.   ทุคติภัย (ภัยคือ ทุคติ  เช่น อบายภูมิ  นรก เดรัจฉาน  ฯ)

(พลสูตร  พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 209)

       

       ผู้มีคุณอันสมควรก่อน จึงพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง ผู้เป็นโสดาบันแล้วก็สอนได้อย่างโสดาบัน ผู้มีคุณธรรมสูงขึ้นก็สอนได้มากขึ้น ตามศรัทธา 10 ประการ

1.   ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)

4.   เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.   เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)

6.   แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7. ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10. ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

#     ฌานของพุทธเป็นฌานลืมตา จะได้ตามลำดับ จะอนุโลมมีปีติบ้าง คุณจะมีสัจจานุโลมิกญาณต้องมีการวางเฉยต่อสังขารได้มากพอ ต้องมีฐานมั่นมากพอที่จะสังขาร ถ้าฐานไม่มั่นพอก็จะตกได้ ต้องเผื่อพอไว้เลย คุณมีฐานอุเบกขาที่มีคุณสมบัติมากพอไหม?

1.   ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.   ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.   มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.   กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 

5.   ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) #ปริสุทธา ปริโยธาตา

       จิตตั้งมั่นอันโลกธรรมทั้งหลายกระทบแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว  (ผุฏฐัสสะ   โลกธัมเมหิ   จิตตัง   ยัสสะ   น กัมปติ) เพราะลาภยศสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้พระอรหันต์ขีณาสพ

       ถ้าพระอรหันต์จะมีสังขารุเปกขาญาณ มากพอจึงจะสัจจานุโลมิกญาณได้ ทำงานได้มากปรุงเพื่อช่วยโลกได้มากขึ้น นี่เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าที่จริง จะอนุโลมได้มากแค่ไหนก็ต้องประมาณ

       อาริยะบางคนถ้าไม่มีปีติก็ทำงานไม่ออก จิตมันสุขสงบก็ยินดีในความสุขสงบ แต่ไม่ได้ยินดีในการได้โลกธรรม เรียกว่า วูปสมสุข มันจะต่างกับโลกียสุข ต้องอ่านจิตสุขตัวนี้ออก แรกๆก็มีสุขใจบ้างเป็นสุขสงบ ยืมภาษามาพูดเท่านั้น โดยเนื้่อแท้นั้นไม่ตรงหรอก สุดท้ายเป็นอุเบกขาเป็นฐานนิพพาน เป็นฌาน 4 แต่อุเบกขาไม่ใช่แห้งๆ

       อุเบกขาพระพุทธเจ้ามีคุณสมบัติ 5 อย่าง แข็งแรง คลุกคลีกับโลกธรรมก็สะอาดได้ มีจิตที่ มุทุ(จิตหัวอ่อน) เชิงปัญญาก็ไว เชิงเจโตก็ไวในการปรับจิต 

       อ.กฤษฎาว่า...วันนี้ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาลจะออกข่าว พยายามให้เกิดความกลัว คนจะได้ไม่มาชุมนุมกันมาก

       พ่อครูว่า...ต้องฟังความสองฝ่าย แล้วตามไปตรวจสอบความจริงด้วย แล้วคุณจะเกิดปัญญาในการเลือก พระพุทธเจ้าให้เลือกเลยว่าเห็นอันไหนเป็นธรรมวาที อันไหนเป็นอธรรมวาที ให้อิสระในการเลือกเอง    

       เพราะเขายิ่งสู้ยิ่งอธิบายทั้งที่เขารู้ทั้งรู้ว่าผิด เขาก็จะโกหกไปเรื่อยๆ มันอาจโง่และโกหกด้วย ดั้งนั้นควรจำนนเถอะ ถ้ารู้ว่าเราต้องโกหกก็เลิกเถอะ แต่ถ้าไม่รู้ว่าผิดก็ต้องแสดงออกอย่างโง่ๆก็แสดงมาเถอะ เราก็จะเห็นโง่ยกกำลัง ไปกดดูใน Google เลยว่า ใครโง่ที่สุด

       

       อ.กฤษฎาว่า...เขาอาจหาว่าที่เราจะปิดกทม.วันที่ 13 ม.ค.นี้ เขาก็จะบอกว่าเพราะเราปิดกทม.จึงทำให้ชาวนาไม่ได้เงินในวันที่ 15 ม.ค.นี้ เป็นต้นที่เขาจะหาเรื่อง

       พ่อครูว่า...อยากจะเผยหลักหนึ่งว่า กฏหมายหรือกฎเกณฑ์กับสิ่งจริงที่เป็นจริยธรรม เป็นอย่างไร

       สังคมเราต้องมีกฎหมาย ตั้งขึ้นแล้วก็ต้องช่วยกันทำต้องรักษา บางอย่างมีโทษด้วยถ้าทำผิด เป็นส่ิงจำเป็น แต่การใช้กฎหมายอย่างไม่คำนึงจริยธรรมก็มี อันนี้แหละการใช้กฎหมายอย่างพาซื่อไม่คำนึงคุณธรรม อันนี้นักรัฐศาสตร์ต้องคำนึง เราต้องเรียนรู้คนที่มีคุณธรรม ต้องใช้หลัก Minority right คำว่า right แปลว่าความดีงามความถูกต้องด้วย หรือแปลว่าสิทธิมนุษยชนด้วย

       คนดีมีคุณธรรมนั้น หรือคนมีกิเลสน้อยหรือไม่มีกิเลส ก็จะทำตรงข้ามกับคนมีกิเลสมาก ดังนั้นจึงให้คำนึงถึง  Minority right ซึ่งอาจเป็นส่วนน้อย จะไปเป๊ะๆเอาแต่ rule หรือกฎหมายอย่างนั้นจะทำลายคนดีให้เสียหาย การที่ใช้กฎเกณฑ์นี้ อีกฝ่ายหนึ่งที่ตรงข้ามกับเราทำ ต่างคนต่างว่า ปชช.เป็นพวกตนเอง ต่างคนต่างเป็นปชต. ก็เอาพยัญชนะไปใช้ เขาก็ยึดหลักเกณฑ์เท่านั้น เขาจะไม่พูดถึงคุณธรรม เขาจะพูดถึงแต่กฎหมาย ทั้งที่เขาต่างหากผิดกฎเกณฑ์มากกว่า เขาไม่มีทางมาแย้งเรื่องคุณธรรม

      เราเอาความบกพร่องผิดพลาดมาพูดเท่าไหร่เขาแพ้หมด มีแต่ใช้วาทะกรรมมาครอบงำความคิด ให้ดูแต่สื่อสารของตนเอง ดังนั้นฝ่ายไหนที่ให้ดูแต่ข้อมูลด้านเดียวพวกนี้แคบ และเชื่อง่าย คนโง่จะชอบแบบนี้ จะอยู่ในกะลาครอบเท่านั้น ต้องดูช่องนี้ช่องเดียว เป็นความแคบตื้น ไม่รู้ถ้วนทั่ว เป็นความบกพร่องของสังคม

       การใช้กฎหมายหรือหลัก ต้องคำนึงถึงธรรมะหรือคุณธรรมจริยธรรม มาวินิจฉัย

       ในการใช้กฎเกณฑ์ ในนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ก็ต้องสอน ว่าต้องใช้คุณธรรมจริยธรรมในการวินิจฉัย ถ้าเอาแต่กฎเกณฑ์จะผิดพลาดทำลายสัจธรรม

       อย่าพาซื่อ ส่ิงเหล่านี้ต้องคำนึง อย่างผู้พิพากษาจะเข้าใจได้ดี พวกที่ใช้แต่กฎหมายเอาไม้บรรทัดมาวัดนี่ไม่ได้เข้าใจรัฐศาสตร์จะไปไม่ออก สังคมไปไม่ได้ เราต้องใช้สัปปุริสธรรม

       พระพุทธเจ้าสอนอย่างละเอียดเลย ให้ยืดหยุ่น มีสัจจานุโลมิกญาณ

       อ.กฤษฎาว่า...การประชุมวันนี้ของกระทรวงสาธารณสุข สรุปว่าจะไม่ทำงานให้รัฐบาล และจะร่วมชุมนุมด้วย ปลัดกระทรวงบอกว่า จะเป็นตัวอย่างให้กับกระทรวงอื่น

       พ่อครูว่า...สาธุ สาธุ สาธุ

       ที่มีดวงตาเห็นธรรม ประเทศไทยได้ขนาดนี้แล้ว อาตมาจึงพูดว่า พวกคุณอย่าต้านเลย ยิ่งดิ้นยิ่งเข้าเนื้อ

       อ.กฤษฎาว่า..ทางรพ.หลายรพ.เตรียมพร้อมสนับสนุนกปปส.ด้วย จะจัดทีมรักษาใครมีบัตรปชช.มาแสดงก็ไม่ต้องเสียค่ารักษาเลย มีซุ้มอาหารให้บริการด้วย

       พ่อครูว่า...เป็นเรื่องงดงามมากเลยที่เกิดขึ้นได้ ต้องมาร่วมกันช่วยกัน เสียสละไปลดกิเลสไป เมื่อรู้ตัวก็สูงเสียแล้ว เรามีมิตรดีสหายดีสังคมส่ิงแวดล้อมดี ที่เราได้เป็นไปตามธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นวรรณะ 9

1.   เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.   ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.   ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.   เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) #

       สรุปที่ธรรมะย่อมชนะอธรรม...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:35:49 )

570112

รายละเอียด

570112_พ่อครูที่เวทีมัฆวานฯ เรื่องเผด็จศึกด้วยสันติปฏิวัติ

       พ่อครูว่า...พวกเรามาอยู่กันนี่ เราชนะรายทางมาเรื่อยๆ เราได้มาด้วยธรรมะ เรายืนหยัดยืนยันในหลักธรรม สงบ สันติ อหิงสา ไม่รุนแรง จนกระทั่งแม้คณะที่เคยรุนแรงก็ต้องลด บทบาทรุนแรงลงมา แต่เขาก็ขึ้นอยู่บ้าง เพราะอำนาจพลังธรรมะ ส่ิงเหล่านี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มีจริง คนทั้งโลกนับถือศาสนาพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องจริง แต่กว่าจะมีความรู้ได้ต้องศึกษาจริงๆจึงรู้

       การศึกษาอย่างไม่มีโลกุตระจะรู้ได้ยาก เพราะไม่เห็นเหตุผล ไม่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ยาก แต่เขาก็มีประสพการณ์ จริง นับถือกันมาชั่วนาตาปี ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้ามีมานานแล้ว เทวนิยม

       ส่วนของพระพุทธเจ้า อเทวนิยม ไม่ใช่ไม่นับถือพระเจ้า แต่รู้แจ้ง มีรูปมีนามรู้ได้จริง ใครไม่เข้าใจว่าพุทธเป็นอเทวนิยม ไม่มีพระเจ้าไม่มีผี ก็ไม่เข้าใจพุทธ ซึ่งพุทธนั้นมี แต่ก็ยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะเห็นได้ด้วยญาณ ปัญญา อย่างสัมผัสของจริงเลย เห็นแจ้งรู้จริง เรียกว่ามีวิปัสสนาญาณ (ปัสสะคือสัมผัสของจริง)

       ตอนนี้คนก็ทยอยมามากเลย ภูเก็ตเหมามา 5 ลำเลย ส่วนทางใต้เห็นว่าต้องซ่อมรางรถไฟ ทำไมประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน คนที่มีปัญญาน้อยก็สร้างเรื่องอย่างนี้แหละ

       มาฟังกวีบทหนึ่ง ชื่อว่า

เผด็จศึกการเมืองอันธพาลเป็นสันติปฏิวัติเป็นปาฏิหาริย์

        (1) แปดสิบเอ็ดศกแล้ว เลยมา                 

ไทยเสื่อมกว่าอตีตา                 ต่ำร้าย                  

หวังปฏิวัติิพัฒนา               สู่ศิ- วิไลซ์แฮ                  

แต่ตลกกลับกลายคล้าย            นรกใต้เผด็จการ                  

      (2) ตำนานระบอบบ้าน เมืองไทย                  

ขานประชาธิปไตย                  ใหญ่โก้                  

แต่ถลุงชาติเถื่อนไถล               ถลำถล่ม ทลายแล                  

จนประชาออกต้านโต้              มืดฟ้ามัวดิน                  

      (3) วิญญาณไทยตื่นรู้        สัจกรรม                 

เพราะนักการเมืองทำ               ชั่วช้า                  

ครบสุดทุจริตนำ               หมู่กบฏ หมดเลย                  

อันธพาลการเมืองท้า               บิ่นบ้าเกินเลว                  

      (4) เหลวเป๋วรัฐล่มล้ม   สิ้นสิทธิ์ ตามธรรม                  

ต้องเลิกทุกรัฐกิจ               ออกได้                 

ให้มวลประชาคิด              ปฏิรูป                   

อาริยะปฏิวัติใช้                สงบสู้พิชิตกัน                  

      (5) สันติ นี้แหละเข้า         ปะประหัต                  

ปราศจากอาวุธหมัด-                เด็ดแท้                  

รัฐบาลกัดฟันซัด               สุดเล่                  

ด้านโง่โด้ง่านแพ้              ชนะนี้มหัศจรรย์                  

      (6) ธรรม์นี้สุดลึกซึ้ง           ในกรรม                  

เผด็จศึกการเมืองทำ                 ขนบไว้                    

สันติปฏิวัติสำ-                  เร็จสุด วิเศษแฮ                  

ต่างร่วมมือกันให้              กิจนี้ประลุผล
                 

      (7) คนไทยปฏิวัติด้วย สันติธรรม                 

ยิ่งใหญ่ไทยทำสำ-            เร็จได้                  

อันธพาลรัฐบาลจำ-                 นนเพราะ ตนผิด                  

หนึ่งขนบจารึกไว้              เกียรติก้องการเมือง.      

                                                                           สไมย์ จำปาแพง                   
                           8 ม.ค. 2557
[นัยปก เราคิดอะไรฉบับ 282 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2557]

 

       สังคมตอนนี้มีคนที่มีกิเลสครอบงำ จึงพาให้ทำสิ่งที่ตำ่ตามกิเลส คนไปเข้าใจว่ายิ่งศึกษามากยิ่งดี แต่ว่าไม่ได้ลดกิเลส ไม่ได้ศึกษาการลดกิเลส จนเลวร้ายใกล้กลียุค แต่เมืองไทยนี้จะรอด เป็นผลของธรรมะ เป็นผลของประเทศไทยมีศาสนาประจำชาติ มีมาตั้งแต่เกิดประเทศไทย มีเชื้อพุทธ เป็น ดีเอ็นเอพุทธ ไม่ได้ถูกกลบเกลื่อนครอบงำด้วยกระแสกิเลสไปทั้งหมด ถ้าไม่มีเชื้อก็ยากมาก

       เปิดฉากขึ้นมาก็พยายามใช้คุณธรรมระดับโลกุตระ เช่นเอาความสงบ ไปสู้กับความรุนแรง หอกดาบมีดปืน นี่แหละคือโลกุตระ มันทวนกระแส ปฏิโสตัง ถ้าเขารุนแรง คนจะเอาชนะก็ต้องรุนแรงกว่า นักมวยใครหมัดหนักกว่าต่อยเข้าเป้ากว่าก็ชนะ แต่นี่ไม่ใช่ เรากลับกัน เป็นส่ิงเข้าใจยากแต่เป็นผลสำเร็จรายทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ ประชาชนตื่นรู้ วิญญาณไทยตื่นรู้ เพราะนักการเมืองทำชั่วช้า ก็เลยทำให้คนเห็น เอามาเปิดเผยอย่างที่เราทำ

       ใครมีวิธีการมีความสามารถก็เปิดเผย เอาหลักฐานต่างๆมายืนยันจนกระทั่งเข้าใจเห็นชัดเจนขึ้น ส่วนฝ่ายที่ทำผิดไม่ถูกเขาก็ต้องปกป้องตัวเอง หนักเข้าก็โกหก ตลบแตลงไป เราก็เห็นได้ว่าปกปิด ยิ่งทำก็ย่ิงเห็น ก็ยิ่งถูกเปิดโปงจนกระทั่งวันนี้ มีวาทะกรรมออกมาจาก ผบ.ทบ.บอกว่า ถ้าไม่มีแผล กามันก็ไม่จิก โอ้โห คำนี้นี่ ชัดเจนมาเลย แผลหมายถึงอะไร ก็คือความเสียหายความชั่วร้าย ซึ่งเขาก็ด้านมากเลย

       อาตมาก็หาคำมาใช้คือคำว่า โด้กับคำว่าง่าน (โง่ยกกำลังด้านเรียกว่าง่าน ส่วนด้านยกกำลังโง่เรียกว่าโด้)

       เราออกมาแสดงสิทธิ์ 1คน 1เสียง ออกมาแสดงเสียงจริงๆ สดๆ ออกมายืนยันว่าฉันต้องการอะไร ไม่ต้องมีแผล มาชี้ความจริงเลย ไม่ใช่เป็นแค่เลือกตั้งผู้แทนไปเท่านั้น สิ่งเหล่านี้คนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนั้นเราก็เข้าใจ แต่การเลือกตั้งนั้น ผู้ไปเลือกนั้นบริสุทธิ์สะอาดไหม ผู้ไปเลือกบริสุทธิ์สะอาดไหม?

       เขาจะเลือกตั้งให้ได้เพราะวางค่ายกลไว้แล้ว  ถูกซื้อตัวเหมือนสินค้าเหมือนวัวเหมือนควาย ซื้อเข้าสภา คอกไหนเงินดีก็ไป มันต้องพูดกันชัดๆอย่างนี้ ผู้ที่เป็นสส.ดีสะอาดบริสุทธิ์ก็ขออภัย ส่วนสส.ขายตัวเหมือนวัวควายมากกว่า เสียเวลาเลือกตั้งทำไม ความคิดเขาได้เปรียบก็ดึงดันเลือกตั้งเพราะว่ามีค่ายกล ได้เปรียบ

       ทั้งที่พรรคไทยรักไทยก็ยุบไปแล้ว พรรคพลังประชาชน ก็ล้มละลายอีกถูกยุบอีก แต่ตอนนี้ใช้อำนาจบาทใหญ่คุมไว้อยู่ เลือกมาก็ถูกยุบๆ 

       วันพรุ่งนี้น่าจะเป็นวันพิชิตชัยนะ การรวมคนครั้งนี้ อันนี้เราไม่ต้องไปริสยากัน คนเรามีบุญบารมีต่างกัน ซึ่งคนไทยก็จะรู้ว่า แข่งอะไรก็แข่งได้แต่อย่าแข่งบุญวาสนา ตอนนี้คุณสุเทพขึ้นมาเป็นบารมี ได้รับเลือก คว้าบุคคลแห่งปีของเอเชียประจำปี 2013 ด้วยผลโหวต 116,000 เสียง ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซเด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน

       หลังจากเว็บไซต์ http://asiasociety.org  เปิดให้บุคคลทั่วไปโหวตเลือกบุคคลแห่งปีของเอเชียตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2556 ล่าสุด 10 มกราคม 2557 เมื่อมีการปิดการลงคะแนน ผลปรากฏว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนักการเมืองจากประเทศไทย ในฐานะแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) มีผลคะแนนโหวต 116,000 เสียง หรือคิดเป็น 88% ยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของเอเชีย ประจำปี 2013  ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ (Malala Yousafzai) เด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน  ซึ่งรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิการศึกษาของเด็กผู้หญิงในปากีสถาน ได้รับผลโหวตตามมาลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน 12,000 เสียง หรือคิดเป็น 9%

       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงแรกของการเปิดให้โหวตลงคะแนน คะแนนของ มาลาลา ยูซุฟไซ ดูไหลรื่น เช่นเดียวกับโหวตของผู้กำกับภาพยนตร์ของจีน  เจี่ย จางเคอ (Jia Zhangke)  แตกต่างจากคะแนนโหวตของสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังนิ่งไม่มีผลคะแนนโหวตด้วยซ้ำ 

       แต่พอเริ่มต้นปี 2014 ช่วง 2-3 วันแรก มีผู้เข้าหน้าเว็บเพื่อลงคะแนนโหวต  172,000 เพจวิว ในจำนวนนี้กว่า 165,000 มาจากประเทศไทย ผ่านทางเฟชบุค และกระดานสนทนา กระทั่งทำให้ผลโหวตของสุเทพนำโด่งถึง 97%  และถือเป็นผลคะแนนโหวตที่มากกว่า อิมราน ข่าน (Imran Khan)  บุคคลแห่งปีของเอเชียปี 2012 กว่า 10 เท่า 

       จากนั้นเว็บไซต์ http://asiasociety.org  ได้ออกบทวิเคราะห์ที่ไปที่มา เรียนรู้ปรากฎการณ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำไมถึงได้คะแนนโหวตอย่างท่วมท้นด้วย

       ก็อย่างไปริสยากัน คนเราใครทำประโยชน์ให้สังคมแก่ประเทศชาติ ส่วนรวม เป็นเรื่องสุดยอดน่าอนุโมทนาก็น่ายกย่อง เป็นบุญของประเทศที่มีคนเช่นนี้เกิด

       และการเกิดเช่นนี้ เราไม่มีความโหดร้ายรุนแรง นอกจากเขามาคุกคามเรา ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัด แต่คนไทยตื่นรู้ว่าต้องสงบ สันติ อย่างคุณสุเทพบอกว่า ถ้าเขามาแรงเรานั่งลงสงบ สวดมนต์ จะพิมพ์บทสวดมนต์แจกเลย มันน่าดีใจ น่าชื่นใจ ที่มันชนะด้วยความสงบ สยบความรุนแรง เป็นสิ่งวิเศษ เป็นคุณธรรมของสังคมไทย เป็นความเจริญของสังคม      

       โดยสามัญสำนึกของมนุษย์โลก เขามีความเข้าใจ แต่เขาเองทำได้ไหม ออกมารวมตัวเป็นธรรมฤทธิ์แห่งความสงบไหม? ตอนนี้แข่งกันว่าใครจะมีความสงบแน่จริงกว่ากัน เอาให้ชัดฝ่ายทักษิณ ถ้าเขาทำสงบแข่งกับเรานะ ใครเป็นของจริงก็ชนะ เขาก็มีมวลสงบเหมือนกัน ตอนนี้เปลี่ยนสีแล้วจากแดงเป็นขาว ใส่เสื้อขาว ปล่อยลูกโป่ง ฉลาดนะ ยืนบนสะพานไม่กล้าเบียดกันบนถนน เพราะมันกว้าง ไม่เหมือนเราไปเบียดกันบนถนน มีลูกโปงคนละอันปล่อย แล้วเหมือนหมู่ตัวอสุจิเคลื่อนที่

       ปรากฏว่า เขาคงเห็นแล้วคงไม่ดีก็เลยตัดภาพนี้ออก เขาก็พยายามทำ อาตมาว่าเป็นนิมิตดี ก็ขอบคุณอนุโมทนาที่เขาก็พยายามรักษาความสงบ แข่งกันใครจะสงบกว่ากัน แต่แข่งกันว่าใครหน้าด้านกว่าเราไม่แข่งนะ

       ตัวจิตเป็นประธานที่ทำให้ออกมาเป็นกายกับวาจา ก็ล้วนแล้วมาจากจิตเป็นประธาน ถ้าไม่มีจิตวิญญาณ คนก็พูดไม่ได้ เราก็ใช้หลักวิชาในการปฏิบัติ มีวิชชาจรณสัมปันโณ เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เข้าถึงบรรลุทั้งสิ้น มีหลักสูตรเป็นไตรสิกขา โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นต้น เป็นเรื่องที่จะเรียนรู้ จิตในจิต มีญาณหยั่งรู้ในอธิปัญญาสิกขา จิตนั้นไม่มีสีกลิ่นรูปรสรูปร่าง แต่พวกมิจฉาทิฏฐิจะเห็นจิตเป็นตัวตน

       พระพรหมก็มีจิตวิญญาณ เทวดา มาร ผีก็ไม่มีรูปร่าง แต่เขาก็เห็นเป็นตัวเป็นรูปร่าง เห็นว่าคนมีตาทิพย์จะเห็นผีได้เป็นตัวๆ

       จิตเป็นพลังงาน ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน เช่นเวลาคุณโกรธ ใครเคยอ่านจิตตนไหม มันไม่มีสีสันรูปร่างตัวตน นั่นแหละ ถ้าได้เรียนรู้อันนี้ก็ได้รู้ทุกคน อ่านได้ เมื่อเกิดอาการ มันไม่มีรูปร่างเส้นแสง อาการโกรธ รัก โลภ ก็มีอาการต่างๆกัน

       เวลาศึกษาธรรมะ เมื่อมีสุขก็เรียกว่าเป็น 1.เทวดาสมมุติเทพ ขึ้นสวรรค์หอฮ่อ แล้วก็ไปปั้นรูปเป็นเทวดา มีชฎาด้วยนะ แต่แปลกที่เทวดาผู้หญิงไม่ใส่เสื้อ มีสังวาลย์ประดับ เป็นเทวดาโบราณ มันเป็นจินตนาการ ทั้งที่มันไม่มีตัวตนรูปร่าง

       ความทุกข์ทรมาน  โกรธ แค้นไม่สบายเป็นอาการจิตทั้งนั้น เทวดาของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น 3 ชนิด

       การลดละกิเลสตนได้ ก็ได้้ประโยชน์ตน แล้วก็จะมีพลังไปช่วยเหลือสังคม เทวดาสมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3.วิสุทธิเทพ

       เทวดาคือจิตวิญญาณที่สุข อร่อย สนุกสนานบันเทิง จิตเทวดาทั่วไปของปุถุชนคือสมมุติเทพ แล้วก็หลงวนตรงนี้ เข้าใจความเป็นเทวาดชนิดโลกุตระไม่ได้ ส่วนอุบัติเทพกับสมมุติเทพนั้นเป็นโลกุตระ

       ใครทำจิตตนให้อกุศลจิตตาย กิเลสตาย จิตจะเกิดใหม่ เป็นการเกิดที่เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดอย่างไม่มีซาก  เกิดตามเหตุปัจจัย ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ จิตจะล้างกิเลสแล้วเกิดใหม่

       ความเกิดของจิต ภาษาวิชาการเรียกว่า หยั่งลง ถ้าไม่เกิดก็หยั่งลง เป็นกุศลอกุศล แต่สามารถทำให้อุบัติได้

       โอกกันติ คือหยั่งลงสู่อาริยบุคคล เป็นนิพพัตติ เกิดอย่างลดกิเลส ฆ่ากิเลสตายไป เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ผู้ศึกษาอย่างมีวิชชาแท้ ก็จะเห็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งไม่มีปีกมีขามีตัวแต่อย่างใด แต่เป็นสัตว์โอปปาติกะ

       สมมุติเทพเป็นความสุขสบายอร่อย คือการบำเรอกิเลส เช่นอยากได้ลาภ ได้เงินทอง ถ้าได้มาก็สบายใจ กิเลสก็อ้วนโตขึ้น บำเรอตัณหา อยากได้กามคุณ 5 มาเสพรส อาการสุขนั่นคือสมมุติเทพ เป็นความหลอกไม่ใช่ความจริง ถ้าได้เสพกามคุณ 5 เป็นสุขเท็จ เป็นเทวดาเก๊ เมื่อมาเรียนรู้กิเลสที่เป็นตัวปลอม เป็นอาคันตุกะ มายึดครองเรา ท่านเรียกว่าแขกหรือผู้มาเยือนจิตเรา ไม่ใช่ตัวจริง มาเยือนแล้วมายึดเลย แล้วเจ้าของจิตก็โง่ให้กิเลสยึด ทั้งนั้นเลย มีทุกคน

       ก็มีคนหาทางออก จนมาเรียนรู้ว่ากิเลสฆ่าได้ ลดได้ตามลำดับ เป็นอาริยบุคคลตามลำดับ จนหมดความสุขขัลลิกะ อารมณ์สุขหายไปเลย ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งจริง

       แม้เขาสอนกันในพุทธ ก็ไม่ถูก เช่น เราสัมผัสทางลิ้น แล้ว อันนี้เค็ม ภาษาไทยเรียกว่าเค็ม ภาษาจีนจะเรียกอื่น ภาษาฝรั่งจะเรียกอื่น แต่ว่าความเค็มจะลิ้นของคนเผ่าไหนก็รับรู้ได้เช่นกัน มันเค็มเหมือนกัน รสเค็มเป็นรสสัจจะ แต่คนนี้ชอบเค็มก็จะมีอาการอร่อย นี่คือเท็จ คนบางคนไม่ชอบเค็มบอกไม่อร่อยอันนี้ก็เท็จ แต่ถ้าจริงแตะลิ้นก็เค็มเหมือนกัน ชาติไหนๆก็รับรสได้เหมือนกัน แล้วแต่จะเรียกภาษาต่ากันไป พระพุทธเจ้าเรียกว่าเสียง 2 อันหนึ่งเป็นทิพย์อันหนึ่งเป็นสามัญ

       ที่เขาหลอกว่ามันอร่อย หลอกว่ามันชัง เมื่อชอบก็อร่อย เมื่อชังก็ไม่อร่อย ทั้งสองอาการนี้เกิดจากเหตุ ถ้าพอใจตรงอุปาทานเรียก อนิฏฐารมย์ ถ้าชอบใจก็อิฏฐารมย์

       อย่างสามีภรรยา ถ้าภรรยาทำอาหารไม่ชอบใจ สามีก็จานบินเลย ถ้าอร่อยก็ชอบใจ เป็นเทวดาสมมุติ ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสันหรอก แต่รู้ได้ด้วยญาณปัญญา เราศึกษาก็ลดละได้ตามลำดับ

       อย่างสิ่งหยาบๆแรงๆก็ลดเถอะ บางอย่างเป็นพิษภัยด้วย จะชอบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ตามเป็นกิเลส หรือแม้ลาภ ยศ ไปหลงใหลได้มากมาย ขี้โลภ ไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นไม่ดี ชีวิตคนเราก็อาศัยได้ ทั้งทวาร 5 สัมผัส ทั้งโลกธรรม แต่เราเรียนรู้กิเลส ดับกิเลส ดับให้สนิท ฆ่าแล้วสบายไม่ต้องไปบำเรอ กิเลส ตัณหา อุปาทาน

       แล้วอย่าไปคิดว่าถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้นจะเหี่ยวแห้งตาย ไม่มีรสชาติ ไม่ใช่เลย เราพ้นแล้วเราสบาย เอาเวลา แรงงานทุนรอนคืนมาได้เลย เราลดกิเลสได้หมดเป็นวิสุทธิเทพเลย จิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตวิญญาณพรหม เป็นศาสนาที่รู้แจ้งในเทวดา มาร พรหม

       เราเป็นมารก่อน แล้วก็เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ แล้วก็เป็นพรหม เป็นพระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ถาวรเลย ไม่มีสุขทุกข์ ไม่ดูดไม่ผลัก กลางสบาย วางเฉยต่อโลกธรรม รู้แจ้งโลกมีโลกุตรธรรม ช่วยโลกมีประโยชน์ต่อโลกมาก  พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ไทยมีพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ สอนให้เป็นคนดีช่วยเหลือสังคม เช่นเดียวกับศาสนาอื่น แต่พุทธเป็นรากเหล้าของไทย เราก็ต้องเอาพุทธแต่แรก ก็เลยอาจเป็นเชิงข่มบ้างก็ขออภัย

       ทุกวันนี้อาตมาเห็นผลว่าเป็นเวลาวาระ เป็นสยามเทวาธิราช เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็น ของแต่ละคนๆ พลังงานที่ดีเป็นกุศล สะอาดจากกิเลส มีประสิทธิภาพสูงมาก

       กิเลสมันหมักดองไว้เรียกว่าอนุสัย อาสวะมันไม่ทำงานแต่ไม่หมดไป คนไม่ศึกษาจะกำจัดกิเลสจริง ก็ไม่หมดอาสวะอานุสัยหรอก ต้องเรียนรู้จริงๆ กิเลสไม่ทำงานไม่ได้หมายถึงหมด มันยังอยู่ แม้มีสามัญสำนึกมีจิตดี คนเราก็มีกิเลสอยู่ แต่ถ้าเป็นพลังที่ไม่มีกิเลสชั่วคราวก็มีจริง ย่ิงคนลดกิเลสได้ด้วย ก็ยิ่งจริง

       พฤติกรรม กาย วาจา ใจ เป็นองค์รวม มารวมกันเป็นล้านคนก็มีอำนาจฤทธิ์ศักดิ์สิทธิิ์ มองไม่เห็นตัว นี่คือพลังงานที่แท้จริง

       มาเถอะ แต่ละคน มาทำกุศล ปรารถนาดี เพื่อที่จะไปต้านกับพลังที่ไม่ดี จนกระทั่งเขาหยุดชั่วคราวหรือเลิกไปเลย เราจะมาสร้างพลังบริสุทธิ์แทนอันเก่าที่มี ผี มาร ซาตาน ทำชั่ว จนบ้านเมืองแย่แล้ว เลวร้าย กดขี่ข่มเหง สารพัดที่โกหก ตอแหลตลอดหมด แล้วก็ไปมีหน้าที่ใหญ่ เลยเป็นอำนาจบาตรใหญ่ คนที่ตกอยู่ใต้โลกธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติตามอำนาจบาตรใหญ่ ก็เสียลาภยศ สรรเสริญ เสียกาม เสียโลกธรรม เอาเงินมาจ้างเป็นผีโม่แป้ง เขาเอาเงินมาซื้อก็ให้เขาซื้อ

       เรากำลังทำให้มารสยบ ซาตานสยบ  ผนึกกันให้เกิดพลัง สยามเทวาธิราช เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นตัวตน แต่มีประสิทธิภาพ พรุ่งนี้เป็นวันนัด เป็นรอบที่ 4 ซึ่งรอบแรกเขาดูถูกว่าเรามาไม่ถึงแสนหรอก เพราะแต่ละครั้งที่รวมตัวกันมา ไม่เคยเลยที่ทำได้อย่างมาก ได้อย่างเก่งก็เรือนหมื่น เรือนแสนบางครั้งหลวมๆ ก็เท่านั้น

       แต่วันที่ 24 พ.ย. นี่เกินล้านเลย

       พอมาวันที่ 9 ธ.ค. ประเมินกันว่า 5 ล้านคน ไม่ต้องเอาข้อมูลจากตำรวจนะท่านตกคณิตศาสตร์ ทีนี้เทวดาสุเทพ เป็นเทวดาจริงเลย ทีนี้เหนื่อยไม่เป็นเลย ลองซิออกมาชวนเดินจากตรงนั้นตรงนี้ เดินวันละ 10 กม. วันละ 20 กม. โอ้โห อาตมาพาพวกเราจาริก เรื่องเดินนี่รู้ดีว่าไม่ใช่ง่ายๆ

       พอมาครั้งที่ 3 เมื่อ 22 ธ.ค. ก็มากกว่าวันที่ 9 อีก แยกกลุ่มกันอยู่ก็คำนวณยากอยู่

       พอมาครั้งที่ 4 นี่ คิดอย่างตัวเลขคือ

       อะไรก็ตามทั้งรูปและนาม เมื่อเกิดพลังงานแรก เป็น 1 ก็ไม่เกิดอะไรมาก แต่พอมีเกิด 2 ก็เป็นพลังงานระนาบ ไม่มีอะไรมาก ไม่โค้งไม่วน อยู่ในระนาบ จะยาวไปตามระนาบ จนกว่าจะเกิดองศา แยกตัวเป็นพลังงานอีกอันขึ้นมา เป็น 3 เส้า มันจะวิ่งดิ้นวน วงกลม อย่างเรียบร้อยมีแรงสมบูรณ์ ถ้าเบี้ยวก็วิ่งไม่ตรง แต่ว่าถ้าตรงก็จะวิ่งวนเร็วมาก เป็นCyclic order เป็นหนึ่งหน่วยแห่งพลังงานแข็งแรง พลังงานจะทดไปเรื่อยๆ เป็นหนึ่งแยกไปอีก แล้วเป็น 5 เป็น 6 ก็จะเป็นสองสามเหลี่ยม จนกว่าจะเป็น 9 จึงเป็น Cyclic order ทับทวีไปเรื่อยๆ

       คราวนี้ พลังงานของประชาธิปไตย อำนาจประชาชนที่เอาความสงบ สยบความรุนแรง จะเกิด 4 พลังงานจะแรงขึ้น จาก 4 ถ้าได้เรียบร้อย จะมี 5 มี 6 ทับทวี ถ้าเป็นสัจจะจะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่สัจจะจะฝ่อไป

       พลังงานเรามองไม่เห็น เพราะเป็นนามธรรม เกิดจากจิตวิญญาณมนุษย์ที่เกิดความเข้าใจเป็นปัญญา มีพลังงานเป็นศรัทธาหรือเจโต มีทั้งสองอย่างมา เข้ามารวมกันเป็นพลัง ถ้ามีแต่ปัญญาไม่มีศรัทธาหรือเจโตก็ไม่เกิดแรงอะไร แต่นี่ทั้งเชื่อมัน เข้าใจ และรู้จริง จะมีพลังสูง

       เรามาประท้วงด้วยธรรมะที่จะให้เข้าใจเรียกว่าปัญญา และให้แต่ละคนเกิดความเชื่อ เพราะเข้าใจ เห็นจริง ไม่ใช่ถูกครอบงำความคิด ไม่ใช่ ไม่ได้ถูกหลอก แต่ถูกหลอกก็มีกำลังได้เหมือนกัน ถูกครอบงำ ด้วยลาภ ยศ สรรเสิรญ ได้เงินก็เชื่อแล้ว ได้ยศตำแหน่งก็มาทำ ก็มีกำลัง แต่ไม่เหมือนกับเชื่อเองด้วยปัญญาชาญฉลาด

       เราจึงเปิดเผยความจริงให้มากๆหมดๆ ประจานไปเขาก็โกรธ ต้องการให้คนตื่นรู้ ใครไม่ถูกครอบงำความคิด เป็นจิตเปิด ก็ไม่ถูกครอบงำ ตั้งใจฟัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ฟังด้วยไม่หลงติดยึด รับรู้ศึกษาตามดีๆ มีเหตุผลหลักฐานต่างๆมาชี้ เราจึงรบด้วยความรู้ความจริง ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงอาวุธ เราชนะด้วยความจริง ความถูกต้อง ความรู้

       จึงได้ประโยชน์ทุกอย่าง ประโยชน์ในการรบก็ชนะ ประโยชน์ในการรู้ก็ชนะ รู้ความจริงความถูกต้อง เกิดความเฉลียวฉลาดด้วย เพราะเขาไขเหตุผลเหลี่ยมคูเล่ห์กล ความซับซ้อนปิดบังอำพรางเราก็ยิ่งรู้ยิ่งฉลาด

       ได้ขึ้นมาหมดเลย นอกจากได้ ความรู้_จริง_ฉลาด ก็ออกมาช่วยแก้ไขความไม่ดี ไม่จริง ไม่ถูก ให้ดีขึ้นต่อสังคม ลงทุนลงแรงอย่างภูเก็ต เหมาเครื่องบินมา 5 ลำเลย จะเหมารถไฟเขาก็บอกว่าเสียจะต้องซ่อมถึงวันที่ 14 ด้วยนะ ทำไมกะวันแม่นอย่างนี้

       

       อย่างกระทรวงสาธารณสุขต้องยกนิ้วให้เลย หมอณรงค์ได้ใจจริงเลย อาตมาว่ากระทรวงอื่นๆน่าจะเอาอย่างนะ ช่วยกอบกู้ชาติเสียที เรารออยู่นะ ใครรู้แล้วแต่ไม่กล้า ก็ให้กล้าๆหน่อย เราจะได้พ้นปลักตม ไม่อึดอัดหรือไง เราลองเอาซิว่าแต่ละกระทรวงจะอึดอัดไหม?

       ถึงเหตุปัจจัยแล้วนะ ถึงจุดระเบิด จุดชวาน แล้วมาบรรจบครบรอบแล้วถ้า 10 กระทรวงมาพรึ่บก็จบเลย มันจะเป็นความฝันกลางลมหนาวไหมหนอ อยากให้ฝันเป็นจริงไหม? ใครจะว่าอยากก็อยากซิ

       เราไม่ต้องเอามีดเอาปืนมาทำร้ายทำลายกัน เอาความจริงความรู้ ถูกต้องมาแสดง แล้วคนที่รู้ก็มารวมกันเป็นธรรมฤทธิ์แน่นอน

        ถ้าออกมาเป็นความถูกต้องเป็นพลังที่มารวมกัน แต่ละคนมารวมกัน เป็นถึงขั้นเป็นกระทรวงๆ ไม่เป็นไรหรอก กระทรวงกลาโหมมาช้าหน่อยก็ได้ เพราะคุณมีพลังแรงมากเลยนะ คุณจะไม่กล้าก็ไม่ออกมาก็ได้ แต่จะออกมาอย่างถือปืนมานี่ไม่เอานะ ออกมาอย่างเป็นประชาชนนะ ให้กระทรวงอื่นออกมาเถอะ ถ้าอึดอัดก็ออกมาเลย

       พรุ่งนี้เปิดตัวกันเลย ต้องขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขจริงๆ สิ่งไม่เคยเห็นก็เห็นนะ เป่านกหวีดกันเลยนะ

       คนที่มีความกล้านี่ คนเป็นพันเป็นแสนเป็นล้านนี่จะมีซักคนที่มีความกล้าซัก 1 คนก็มีได้ยากแล้ว

       อารยะคือผู้ฉลาดที่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่หลงความหลอกมาเป็นความจริง ก็เกิดไปตามลำดับๆ ประเทศไทยนี่กล่าวได้ว่าเป็นชมพูทวีป ไม่ได้กล่าวลอยๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชมพูทวีปมีเครื่องแสดง 3 อย่าง

        สุรภาโว สตมันโต อิทพรหมจริยวาโส นี่คือคุณสมบัติมนุษย์ชมพูทวีป

       ใครมีครบ สามารถทำให้โลกลูกนี้ คือกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจนี้ ทำให้สะอาดจากกิเลสเรียกว่ามีความประพฤติหรือจรรยาของพระพรหม ใครก็ตามมีโลกลูกนี้ สามารถบรรลุพรหมจรรย์ไปเรื่อยๆนี่แหละคือผู้ที่เป็นชมพูทวี

       ใจของคนสามารถเกิดพรหมจรรย์ ลดกิเลสลงได้ ต้องมี 1.สุรภาโว 2.สติมันโต

       สุระแปลว่ากล้า ภาโว คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแข็งแรง ถ้าเอาตัวเรากายเรา คนๆหนึ่งมีอาการ 32 แข็งแรงครบบริบูรณ์ก็ถือว่ามีสุรภาโวระดับหนึ่ง ยิ่งมีกาย วาจา แข็งแรง แกล้วกล้าอาจหาญ อย่างที่มีสติมันโต มีสติเป็นองค์ธรรมสำคัญ เป็นธาตุสำคัญด้วย ระลึกรู้ตัว จากสติ เป็นสัปชัญญะ เป็นปัญญา เป็นหลักสำคัญเลย เมื่อรู้จักสติแล้วเอาสตินำ เป็นโพชฌงค์ 7 หรือมรรคองค์ 8 แล้วพิจารณาเป็นสติปัฏฐาน ลดกิเลสไปได้เรื่อยๆ สติก็เป็นสติสัมโพชฌงค์

       เจริญด้วย สติ_ธัมวิจัย_วิริยะ สัมโพชฌงค์ มีสตินำ ผู้ที่มีพร้อมทั้ง สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส คนๆนั้นคือชมพูทวีป เป็นนามธรรมที่มีในคน

       ในถิ่นแคว้นใดมีคนชมพูทวีป มีน้อยก็เป็นชมพูทวีปน้อยๆ มีมากก็เป็นชมพูทวีปมากๆ แล้วในไทยเป็นพุทธศาสนิกชน 95 % จนชาวโลกเขาเห็นแล้วว่าไทยเป็นแหล่งกลางของศาสนาพุทธ เพราะมีสภาพของพุทธศาสนาอยู่ในคนจริงมากประเทศไทยจึงเป็นชมพูทวีปเช่นนี้ อย่างอินเดีย ศรีลังกา พม่าก็มีคนพุทธเยอะ ลาวก็มี เวียดนาม ญี่ปุ่น จีนก็มีพุทธ แต่คิดค่าเฉลี่ยทั้งปริมาณและคุณภาพ ตกลงประเทศไทยมีเหนือชั้นกว่าทุกประเทศ

       ตอนที่พระพุทธเจ้าประกาศพุทธศาสนาในอินเดีย แน่นอน อินเดียเป็นชมพูทวีปในสมัยพระพุทธเจ้า แล้วอยู่มาพอสมควร  คนแผ่มาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้อย่างที่อาตมาว่า ทำสถิติตรวจสอบว่าไทยนี่ค่าเฉลี่ยสูงกว่าประเทศใดๆ ไทยจึงชื่อว่าเป็นชมพูทวีป

       เรามาร่วมกันเพื่อพิชิตผู้บริหารที่ทำชาติย่อยยับ กู้มา 2ล้านๆ แล้วว่ากันว่าจะเป็นหนี้ไปถึง 50 ปี มันอำมหิตโหดร้ายจริงๆ มันแสดงว่า ไม่มีภูมิปัญญาจะหาเงินมาเลี้ยงประเทศ ไม่สามารถหารายได้แก่ประเทศได้ ตั้งหน้าตั้งตากู หมาที่ไหนก็ทำได้ ใช่ไหม และมันมีนัยซ่อนจะกู้อะไรมาตั้งเยอะแยะ อ้างว่าจะมาทำรถไฟความเร็วสูง เพื่อขนผัก มันขายขี้เท่อ ต่างประเทศเขาสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อขนคน...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:42:00 )

570112_

รายละเอียด

570112_พ่อครูที่เวทีมัฆวานฯ เรื่องเผด็จศึกด้วยสันติปฏิวัติ

       พ่อครูว่า...พวกเรามาอยู่กันนี่ เราชนะรายทางมาเรื่อยๆ เราได้มาด้วยธรรมะ เรายืนหยัดยืนยันในหลักธรรม สงบ สันติ อหิงสา ไม่รุนแรง จนกระทั่งแม้คณะที่เคยรุนแรงก็ต้องลด บทบาทรุนแรงลงมา แต่เขาก็ขึ้นอยู่บ้าง เพราะอำนาจพลังธรรมะ ส่ิงเหล่านี้มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่มีจริง คนทั้งโลกนับถือศาสนาพระเจ้า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องจริง แต่กว่าจะมีความรู้ได้ต้องศึกษาจริงๆจึงรู้

       การศึกษาอย่างไม่มีโลกุตระจะรู้ได้ยาก เพราะไม่เห็นเหตุผล ไม่เป็นหลักวิทยาศาสตร์ จะเห็นได้ยาก แต่เขาก็มีประสพการณ์ จริง นับถือกันมาชั่วนาตาปี ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้ามีมานานแล้ว เทวนิยม

       ส่วนของพระพุทธเจ้า อเทวนิยม ไม่ใช่ไม่นับถือพระเจ้า แต่รู้แจ้ง มีรูปมีนามรู้ได้จริง ใครไม่เข้าใจว่าพุทธเป็นอเทวนิยม ไม่มีพระเจ้าไม่มีผี ก็ไม่เข้าใจพุทธ ซึ่งพุทธนั้นมี แต่ก็ยากที่จะเข้าใจได้ง่าย ผู้ศึกษาสัมมาทิฏฐิจะเห็นได้ด้วยญาณ ปัญญา อย่างสัมผัสของจริงเลย เห็นแจ้งรู้จริง เรียกว่ามีวิปัสสนาญาณ (ปัสสะคือสัมผัสของจริง)

       ตอนนี้คนก็ทยอยมามากเลย ภูเก็ตเหมามา 5 ลำเลย ส่วนทางใต้เห็นว่าต้องซ่อมรางรถไฟ ทำไมประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน คนที่มีปัญญาน้อยก็สร้างเรื่องอย่างนี้แหละ

       มาฟังกวีบทหนึ่ง ชื่อว่า

เผด็จศึกการเมืองอันธพาลเป็นสันติปฏิวัติเป็นปาฏิหาริย์

        (1) แปดสิบเอ็ดศกแล้ว เลยมา                 

ไทยเสื่อมกว่าอตีตา                 ต่ำร้าย                  

หวังปฏิวัติิพัฒนา               สู่ศิ- วิไลซ์แฮ                  

แต่ตลกกลับกลายคล้าย            นรกใต้เผด็จการ                  

      (2) ตำนานระบอบบ้าน เมืองไทย                  

ขานประชาธิปไตย                  ใหญ่โก้                  

แต่ถลุงชาติเถื่อนไถล               ถลำถล่ม ทลายแล                  

จนประชาออกต้านโต้              มืดฟ้ามัวดิน                  

      (3) วิญญาณไทยตื่นรู้        สัจกรรม                  

เพราะนักการเมืองทำ               ชั่วช้า                  

ครบสุดทุจริตนำ               หมู่กบฏ หมดเลย                  

อันธพาลการเมืองท้า               บิ่นบ้าเกินเลว                  

      (4) เหลวเป๋วรัฐล่มล้ม   สิ้นสิทธิ์ ตามธรรม                 

ต้องเลิกทุกรัฐกิจ               ออกได้                  

ให้มวลประชาคิด              ปฏิรูป                  

อาริยะปฏิวัติใช้                สงบสู้พิชิตกัน                  

      (5) สันติ นี้แหละเข้า         ปะประหัต              

ปราศจากอาวุธหมัด-                เด็ดแท้                  

รัฐบาลกัดฟันซัด               สุดเล่                  

ด้านโง่โด้ง่านแพ้              ชนะนี้มหัศจรรย์                  

      (6) ธรรม์นี้สุดลึกซึ้ง           ในกรรม                 

เผด็จศึกการเมืองทำ                 ขนบไว้                  

สันติปฏิวัติสำ-                  เร็จสุด วิเศษแฮ                  

ต่างร่วมมือกันให้              กิจนี้ประลุผล                  

      (7) คนไทยปฏิวัติด้วย สันติธรรม                 

ยิ่งใหญ่ไทยทำสำ-            เร็จได้                    

อันธพาลรัฐบาลจำ-                 นนเพราะ ตนผิด                  

หนึ่งขนบจารึกไว้              เกียรติก้องการเมือง.      

                                                                           สไมย์ จำปาแพง                   
                           8 ม.ค. 2557
[นัยปก เราคิดอะไรฉบับ 282 ประจำเดือน กุมภาพันธ์ 2557]

 

       สังคมตอนนี้มีคนที่มีกิเลสครอบงำ จึงพาให้ทำสิ่งที่ตำ่ตามกิเลส คนไปเข้าใจว่ายิ่งศึกษามากยิ่งดี แต่ว่าไม่ได้ลดกิเลส ไม่ได้ศึกษาการลดกิเลส จนเลวร้ายใกล้กลียุค แต่เมืองไทยนี้จะรอด เป็นผลของธรรมะ เป็นผลของประเทศไทยมีศาสนาประจำชาติ มีมาตั้งแต่เกิดประเทศไทย มีเชื้อพุทธ เป็น ดีเอ็นเอพุทธ ไม่ได้ถูกกลบเกลื่อนครอบงำด้วยกระแสกิเลสไปทั้งหมด ถ้าไม่มีเชื้อก็ยากมาก

       เปิดฉากขึ้นมาก็พยายามใช้คุณธรรมระดับโลกุตระ เช่นเอาความสงบ ไปสู้กับความรุนแรง หอกดาบมีดปืน นี่แหละคือโลกุตระ มันทวนกระแส ปฏิโสตัง ถ้าเขารุนแรง คนจะเอาชนะก็ต้องรุนแรงกว่า นักมวยใครหมัดหนักกว่าต่อยเข้าเป้ากว่าก็ชนะ แต่นี่ไม่ใช่ เรากลับกัน เป็นส่ิงเข้าใจยากแต่เป็นผลสำเร็จรายทางมาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้ ประชาชนตื่นรู้ วิญญาณไทยตื่นรู้ เพราะนักการเมืองทำชั่วช้า ก็เลยทำให้คนเห็น เอามาเปิดเผยอย่างที่เราทำ

       ใครมีวิธีการมีความสามารถก็เปิดเผย เอาหลักฐานต่างๆมายืนยันจนกระทั่งเข้าใจเห็นชัดเจนขึ้น ส่วนฝ่ายที่ทำผิดไม่ถูกเขาก็ต้องปกป้องตัวเอง หนักเข้าก็โกหก ตลบแตลงไป เราก็เห็นได้ว่าปกปิด ยิ่งทำก็ย่ิงเห็น ก็ยิ่งถูกเปิดโปงจนกระทั่งวันนี้ มีวาทะกรรมออกมาจาก ผบ.ทบ.บอกว่า ถ้าไม่มีแผล กามันก็ไม่จิก โอ้โห คำนี้นี่ ชัดเจนมาเลย แผลหมายถึงอะไร ก็คือความเสียหายความชั่วร้าย ซึ่งเขาก็ด้านมากเลย

       อาตมาก็หาคำมาใช้คือคำว่า โด้กับคำว่าง่าน (โง่ยกกำลังด้านเรียกว่าง่าน ส่วนด้านยกกำลังโง่เรียกว่าโด้)

       เราออกมาแสดงสิทธิ์ 1คน 1เสียง ออกมาแสดงเสียงจริงๆ สดๆ ออกมายืนยันว่าฉันต้องการอะไร ไม่ต้องมีแผล มาชี้ความจริงเลย ไม่ใช่เป็นแค่เลือกตั้งผู้แทนไปเท่านั้น สิ่งเหล่านี้คนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตย อย่างนั้นเราก็เข้าใจ แต่การเลือกตั้งนั้น ผู้ไปเลือกนั้นบริสุทธิ์สะอาดไหม ผู้ไปเลือกบริสุทธิ์สะอาดไหม?

       เขาจะเลือกตั้งให้ได้เพราะวางค่ายกลไว้แล้ว  ถูกซื้อตัวเหมือนสินค้าเหมือนวัวเหมือนควาย ซื้อเข้าสภา คอกไหนเงินดีก็ไป มันต้องพูดกันชัดๆอย่างนี้ ผู้ที่เป็นสส.ดีสะอาดบริสุทธิ์ก็ขออภัย ส่วนสส.ขายตัวเหมือนวัวควายมากกว่า เสียเวลาเลือกตั้งทำไม ความคิดเขาได้เปรียบก็ดึงดันเลือกตั้งเพราะว่ามีค่ายกล ได้เปรียบ

       ทั้งที่พรรคไทยรักไทยก็ยุบไปแล้ว พรรคพลังประชาชน ก็ล้มละลายอีกถูกยุบอีก แต่ตอนนี้ใช้อำนาจบาทใหญ่คุมไว้อยู่ เลือกมาก็ถูกยุบๆ 

       วันพรุ่งนี้น่าจะเป็นวันพิชิตชัยนะ การรวมคนครั้งนี้ อันนี้เราไม่ต้องไปริสยากัน คนเรามีบุญบารมีต่างกัน ซึ่งคนไทยก็จะรู้ว่า แข่งอะไรก็แข่งได้แต่อย่าแข่งบุญวาสนา ตอนนี้คุณสุเทพขึ้นมาเป็นบารมี ได้รับเลือก คว้าบุคคลแห่งปีของเอเชียประจำปี 2013 ด้วยผลโหวต 116,000 เสียง ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซเด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน

       หลังจากเว็บไซต์ http://asiasociety.org  เปิดให้บุคคลทั่วไปโหวตเลือกบุคคลแห่งปีของเอเชียตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2556 ล่าสุด 10 มกราคม 2557 เมื่อมีการปิดการลงคะแนน ผลปรากฏว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตนักการเมืองจากประเทศไทย ในฐานะแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) มีผลคะแนนโหวต 116,000 เสียง หรือคิดเป็น 88% ยกให้เป็นบุคคลแห่งปีของเอเชีย ประจำปี 2013  ตามมาด้วย มาลาลา ยูซุฟไซ (Malala Yousafzai) เด็กสาววัย 16  ปีชาวปากีสถาน  ซึ่งรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิการศึกษาของเด็กผู้หญิงในปากีสถาน ได้รับผลโหวตตามมาลำดับที่ 2 ด้วยคะแนน 12,000 เสียง หรือคิดเป็น 9%

       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ช่วงแรกของการเปิดให้โหวตลงคะแนน คะแนนของ มาลาลา ยูซุฟไซ ดูไหลรื่น เช่นเดียวกับโหวตของผู้กำกับภาพยนตร์ของจีน  เจี่ย จางเคอ (Jia Zhangke)  แตกต่างจากคะแนนโหวตของสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ยังนิ่งไม่มีผลคะแนนโหวตด้วยซ้ำ 

       แต่พอเริ่มต้นปี 2014 ช่วง 2-3 วันแรก มีผู้เข้าหน้าเว็บเพื่อลงคะแนนโหวต  172,000 เพจวิว ในจำนวนนี้กว่า 165,000 มาจากประเทศไทย ผ่านทางเฟชบุค และกระดานสนทนา กระทั่งทำให้ผลโหวตของสุเทพนำโด่งถึง 97%  และถือเป็นผลคะแนนโหวตที่มากกว่า อิมราน ข่าน (Imran Khan)  บุคคลแห่งปีของเอเชียปี 2012 กว่า 10 เท่า 

       จากนั้นเว็บไซต์ http://asiasociety.org  ได้ออกบทวิเคราะห์ที่ไปที่มา เรียนรู้ปรากฎการณ์ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำไมถึงได้คะแนนโหวตอย่างท่วมท้นด้วย

       ก็อย่างไปริสยากัน คนเราใครทำประโยชน์ให้สังคมแก่ประเทศชาติ ส่วนรวม เป็นเรื่องสุดยอดน่าอนุโมทนาก็น่ายกย่อง เป็นบุญของประเทศที่มีคนเช่นนี้เกิด

       และการเกิดเช่นนี้ เราไม่มีความโหดร้ายรุนแรง นอกจากเขามาคุกคามเรา ใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัด แต่คนไทยตื่นรู้ว่าต้องสงบ สันติ อย่างคุณสุเทพบอกว่า ถ้าเขามาแรงเรานั่งลงสงบ สวดมนต์ จะพิมพ์บทสวดมนต์แจกเลย มันน่าดีใจ น่าชื่นใจ ที่มันชนะด้วยความสงบ สยบความรุนแรง เป็นสิ่งวิเศษ เป็นคุณธรรมของสังคมไทย เป็นความเจริญของสังคม      

       โดยสามัญสำนึกของมนุษย์โลก เขามีความเข้าใจ แต่เขาเองทำได้ไหม ออกมารวมตัวเป็นธรรมฤทธิ์แห่งความสงบไหม? ตอนนี้แข่งกันว่าใครจะมีความสงบแน่จริงกว่ากัน เอาให้ชัดฝ่ายทักษิณ ถ้าเขาทำสงบแข่งกับเรานะ ใครเป็นของจริงก็ชนะ เขาก็มีมวลสงบเหมือนกัน ตอนนี้เปลี่ยนสีแล้วจากแดงเป็นขาว ใส่เสื้อขาว ปล่อยลูกโป่ง ฉลาดนะ ยืนบนสะพานไม่กล้าเบียดกันบนถนน เพราะมันกว้าง ไม่เหมือนเราไปเบียดกันบนถนน มีลูกโปงคนละอันปล่อย แล้วเหมือนหมู่ตัวอสุจิเคลื่อนที่

       ปรากฏว่า เขาคงเห็นแล้วคงไม่ดีก็เลยตัดภาพนี้ออก เขาก็พยายามทำ อาตมาว่าเป็นนิมิตดี ก็ขอบคุณอนุโมทนาที่เขาก็พยายามรักษาความสงบ แข่งกันใครจะสงบกว่ากัน แต่แข่งกันว่าใครหน้าด้านกว่าเราไม่แข่งนะ

       ตัวจิตเป็นประธานที่ทำให้ออกมาเป็นกายกับวาจา ก็ล้วนแล้วมาจากจิตเป็นประธาน ถ้าไม่มีจิตวิญญาณ คนก็พูดไม่ได้ เราก็ใช้หลักวิชาในการปฏิบัติ มีวิชชาจรณสัมปันโณ เป็นของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เข้าถึงบรรลุทั้งสิ้น มีหลักสูตรเป็นไตรสิกขา โพธิปักขิยธรรม 37 เป็นต้น เป็นเรื่องที่จะเรียนรู้ จิตในจิต มีญาณหยั่งรู้ในอธิปัญญาสิกขา จิตนั้นไม่มีสีกลิ่นรูปรสรูปร่าง แต่พวกมิจฉาทิฏฐิจะเห็นจิตเป็นตัวตน

       พระพรหมก็มีจิตวิญญาณ เทวดา มาร ผีก็ไม่มีรูปร่าง แต่เขาก็เห็นเป็นตัวเป็นรูปร่าง เห็นว่าคนมีตาทิพย์จะเห็นผีได้เป็นตัวๆ

       จิตเป็นพลังงาน ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน เช่นเวลาคุณโกรธ ใครเคยอ่านจิตตนไหม มันไม่มีสีสันรูปร่างตัวตน นั่นแหละ ถ้าได้เรียนรู้อันนี้ก็ได้รู้ทุกคน อ่านได้ เมื่อเกิดอาการ มันไม่มีรูปร่างเส้นแสง อาการโกรธ รัก โลภ ก็มีอาการต่างๆกัน

       เวลาศึกษาธรรมะ เมื่อมีสุขก็เรียกว่าเป็น 1.เทวดาสมมุติเทพ ขึ้นสวรรค์หอฮ่อ แล้วก็ไปปั้นรูปเป็นเทวดา มีชฎาด้วยนะ แต่แปลกที่เทวดาผู้หญิงไม่ใส่เสื้อ มีสังวาลย์ประดับ เป็นเทวดาโบราณ มันเป็นจินตนาการ ทั้งที่มันไม่มีตัวตนรูปร่าง

       ความทุกข์ทรมาน  โกรธ แค้นไม่สบายเป็นอาการจิตทั้งนั้น เทวดาของพระพุทธเจ้าแบ่งเป็น 3 ชนิด

       การลดละกิเลสตนได้ ก็ได้้ประโยชน์ตน แล้วก็จะมีพลังไปช่วยเหลือสังคม เทวดาสมมุติเทพ 2. อุบัติเทพ 3.วิสุทธิเทพ

       เทวดาคือจิตวิญญาณที่สุข อร่อย สนุกสนานบันเทิง จิตเทวดาทั่วไปของปุถุชนคือสมมุติเทพ แล้วก็หลงวนตรงนี้ เข้าใจความเป็นเทวาดชนิดโลกุตระไม่ได้ ส่วนอุบัติเทพกับสมมุติเทพนั้นเป็นโลกุตระ

       ใครทำจิตตนให้อกุศลจิตตาย กิเลสตาย จิตจะเกิดใหม่ เป็นการเกิดที่เรียกว่า โอปปาติกโยนิ เกิดอย่างไม่มีซาก  เกิดตามเหตุปัจจัย ถ้าปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ จิตจะล้างกิเลสแล้วเกิดใหม่

       ความเกิดของจิต ภาษาวิชาการเรียกว่า หยั่งลง ถ้าไม่เกิดก็หยั่งลง เป็นกุศลอกุศล แต่สามารถทำให้อุบัติได้

       โอกกันติ คือหยั่งลงสู่อาริยบุคคล เป็นนิพพัตติ เกิดอย่างลดกิเลส ฆ่ากิเลสตายไป เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ผู้ศึกษาอย่างมีวิชชาแท้ ก็จะเห็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน ซึ่งไม่มีปีกมีขามีตัวแต่อย่างใด แต่เป็นสัตว์โอปปาติกะ

       สมมุติเทพเป็นความสุขสบายอร่อย คือการบำเรอกิเลส เช่นอยากได้ลาภ ได้เงินทอง ถ้าได้มาก็สบายใจ กิเลสก็อ้วนโตขึ้น บำเรอตัณหา อยากได้กามคุณ 5 มาเสพรส อาการสุขนั่นคือสมมุติเทพ เป็นความหลอกไม่ใช่ความจริง ถ้าได้เสพกามคุณ 5 เป็นสุขเท็จ เป็นเทวดาเก๊ เมื่อมาเรียนรู้กิเลสที่เป็นตัวปลอม เป็นอาคันตุกะ มายึดครองเรา ท่านเรียกว่าแขกหรือผู้มาเยือนจิตเรา ไม่ใช่ตัวจริง มาเยือนแล้วมายึดเลย แล้วเจ้าของจิตก็โง่ให้กิเลสยึด ทั้งนั้นเลย มีทุกคน

       ก็มีคนหาทางออก จนมาเรียนรู้ว่ากิเลสฆ่าได้ ลดได้ตามลำดับ เป็นอาริยบุคคลตามลำดับ จนหมดความสุขขัลลิกะ อารมณ์สุขหายไปเลย ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งจริง

       แม้เขาสอนกันในพุทธ ก็ไม่ถูก เช่น เราสัมผัสทางลิ้น แล้ว อันนี้เค็ม ภาษาไทยเรียกว่าเค็ม ภาษาจีนจะเรียกอื่น ภาษาฝรั่งจะเรียกอื่น แต่ว่าความเค็มจะลิ้นของคนเผ่าไหนก็รับรู้ได้เช่นกัน มันเค็มเหมือนกัน รสเค็มเป็นรสสัจจะ แต่คนนี้ชอบเค็มก็จะมีอาการอร่อย นี่คือเท็จ คนบางคนไม่ชอบเค็มบอกไม่อร่อยอันนี้ก็เท็จ แต่ถ้าจริงแตะลิ้นก็เค็มเหมือนกัน ชาติไหนๆก็รับรสได้เหมือนกัน แล้วแต่จะเรียกภาษาต่ากันไป พระพุทธเจ้าเรียกว่าเสียง 2 อันหนึ่งเป็นทิพย์อันหนึ่งเป็นสามัญ

       ที่เขาหลอกว่ามันอร่อย หลอกว่ามันชัง เมื่อชอบก็อร่อย เมื่อชังก็ไม่อร่อย ทั้งสองอาการนี้เกิดจากเหตุ ถ้าพอใจตรงอุปาทานเรียก อนิฏฐารมย์ ถ้าชอบใจก็อิฏฐารมย์

       อย่างสามีภรรยา ถ้าภรรยาทำอาหารไม่ชอบใจ สามีก็จานบินเลย ถ้าอร่อยก็ชอบใจ เป็นเทวดาสมมุติ ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสันหรอก แต่รู้ได้ด้วยญาณปัญญา เราศึกษาก็ลดละได้ตามลำดับ

       อย่างสิ่งหยาบๆแรงๆก็ลดเถอะ บางอย่างเป็นพิษภัยด้วย จะชอบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ตามเป็นกิเลส หรือแม้ลาภ ยศ ไปหลงใหลได้มากมาย ขี้โลภ ไปเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นไม่ดี ชีวิตคนเราก็อาศัยได้ ทั้งทวาร 5 สัมผัส ทั้งโลกธรรม แต่เราเรียนรู้กิเลส ดับกิเลส ดับให้สนิท ฆ่าแล้วสบายไม่ต้องไปบำเรอ กิเลส ตัณหา อุปาทาน

       แล้วอย่าไปคิดว่าถ้าไม่ได้สิ่งเหล่านั้นจะเหี่ยวแห้งตาย ไม่มีรสชาติ ไม่ใช่เลย เราพ้นแล้วเราสบาย เอาเวลา แรงงานทุนรอนคืนมาได้เลย เราลดกิเลสได้หมดเป็นวิสุทธิเทพเลย จิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ เป็นจิตวิญญาณพรหม เป็นศาสนาที่รู้แจ้งในเทวดา มาร พรหม

       เราเป็นมารก่อน แล้วก็เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ แล้วก็เป็นพรหม เป็นพระเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ถาวรเลย ไม่มีสุขทุกข์ ไม่ดูดไม่ผลัก กลางสบาย วางเฉยต่อโลกธรรม รู้แจ้งโลกมีโลกุตรธรรม ช่วยโลกมีประโยชน์ต่อโลกมาก  พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ไทยมีพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ สอนให้เป็นคนดีช่วยเหลือสังคม เช่นเดียวกับศาสนาอื่น แต่พุทธเป็นรากเหล้าของไทย เราก็ต้องเอาพุทธแต่แรก ก็เลยอาจเป็นเชิงข่มบ้างก็ขออภัย

       ทุกวันนี้อาตมาเห็นผลว่าเป็นเวลาวาระ เป็นสยามเทวาธิราช เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ที่มองไม่เห็น ของแต่ละคนๆ พลังงานที่ดีเป็นกุศล สะอาดจากกิเลส มีประสิทธิภาพสูงมาก

       กิเลสมันหมักดองไว้เรียกว่าอนุสัย อาสวะมันไม่ทำงานแต่ไม่หมดไป คนไม่ศึกษาจะกำจัดกิเลสจริง ก็ไม่หมดอาสวะอานุสัยหรอก ต้องเรียนรู้จริงๆ กิเลสไม่ทำงานไม่ได้หมายถึงหมด มันยังอยู่ แม้มีสามัญสำนึกมีจิตดี คนเราก็มีกิเลสอยู่ แต่ถ้าเป็นพลังที่ไม่มีกิเลสชั่วคราวก็มีจริง ย่ิงคนลดกิเลสได้ด้วย ก็ยิ่งจริง

       พฤติกรรม กาย วาจา ใจ เป็นองค์รวม มารวมกันเป็นล้านคนก็มีอำนาจฤทธิ์ศักดิ์สิทธิิ์ มองไม่เห็นตัว นี่คือพลังงานที่แท้จริง

       มาเถอะ แต่ละคน มาทำกุศล ปรารถนาดี เพื่อที่จะไปต้านกับพลังที่ไม่ดี จนกระทั่งเขาหยุดชั่วคราวหรือเลิกไปเลย เราจะมาสร้างพลังบริสุทธิ์แทนอันเก่าที่มี ผี มาร ซาตาน ทำชั่ว จนบ้านเมืองแย่แล้ว เลวร้าย กดขี่ข่มเหง สารพัดที่โกหก ตอแหลตลอดหมด แล้วก็ไปมีหน้าที่ใหญ่ เลยเป็นอำนาจบาตรใหญ่ คนที่ตกอยู่ใต้โลกธรรม ถ้าไม่ปฏิบัติตามอำนาจบาตรใหญ่ ก็เสียลาภยศ สรรเสริญ เสียกาม เสียโลกธรรม เอาเงินมาจ้างเป็นผีโม่แป้ง เขาเอาเงินมาซื้อก็ให้เขาซื้อ

       เรากำลังทำให้มารสยบ ซาตานสยบ  ผนึกกันให้เกิดพลัง สยามเทวาธิราช เป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นตัวตน แต่มีประสิทธิภาพ พรุ่งนี้เป็นวันนัด เป็นรอบที่ 4 ซึ่งรอบแรกเขาดูถูกว่าเรามาไม่ถึงแสนหรอก เพราะแต่ละครั้งที่รวมตัวกันมา ไม่เคยเลยที่ทำได้อย่างมาก ได้อย่างเก่งก็เรือนหมื่น เรือนแสนบางครั้งหลวมๆ ก็เท่านั้น

       แต่วันที่ 24 พ.ย. นี่เกินล้านเลย

       พอมาวันที่ 9 ธ.ค. ประเมินกันว่า 5 ล้านคน ไม่ต้องเอาข้อมูลจากตำรวจนะท่านตกคณิตศาสตร์ ทีนี้เทวดาสุเทพ เป็นเทวดาจริงเลย ทีนี้เหนื่อยไม่เป็นเลย ลองซิออกมาชวนเดินจากตรงนั้นตรงนี้ เดินวันละ 10 กม. วันละ 20 กม. โอ้โห อาตมาพาพวกเราจาริก เรื่องเดินนี่รู้ดีว่าไม่ใช่ง่ายๆ

       พอมาครั้งที่ 3 เมื่อ 22 ธ.ค. ก็มากกว่าวันที่ 9 อีก แยกกลุ่มกันอยู่ก็คำนวณยากอยู่

       พอมาครั้งที่ 4 นี่ คิดอย่างตัวเลขคือ

       อะไรก็ตามทั้งรูปและนาม เมื่อเกิดพลังงานแรก เป็น 1 ก็ไม่เกิดอะไรมาก แต่พอมีเกิด 2 ก็เป็นพลังงานระนาบ ไม่มีอะไรมาก ไม่โค้งไม่วน อยู่ในระนาบ จะยาวไปตามระนาบ จนกว่าจะเกิดองศา แยกตัวเป็นพลังงานอีกอันขึ้นมา เป็น 3 เส้า มันจะวิ่งดิ้นวน วงกลม อย่างเรียบร้อยมีแรงสมบูรณ์ ถ้าเบี้ยวก็วิ่งไม่ตรง แต่ว่าถ้าตรงก็จะวิ่งวนเร็วมาก เป็นCyclic order เป็นหนึ่งหน่วยแห่งพลังงานแข็งแรง พลังงานจะทดไปเรื่อยๆ เป็นหนึ่งแยกไปอีก แล้วเป็น 5 เป็น 6 ก็จะเป็นสองสามเหลี่ยม จนกว่าจะเป็น 9 จึงเป็น Cyclic order ทับทวีไปเรื่อยๆ

       คราวนี้ พลังงานของประชาธิปไตย อำนาจประชาชนที่เอาความสงบ สยบความรุนแรง จะเกิด 4 พลังงานจะแรงขึ้น จาก 4 ถ้าได้เรียบร้อย จะมี 5 มี 6 ทับทวี ถ้าเป็นสัจจะจะเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่ใช่สัจจะจะฝ่อไป

       พลังงานเรามองไม่เห็น เพราะเป็นนามธรรม เกิดจากจิตวิญญาณมนุษย์ที่เกิดความเข้าใจเป็นปัญญา มีพลังงานเป็นศรัทธาหรือเจโต มีทั้งสองอย่างมา เข้ามารวมกันเป็นพลัง ถ้ามีแต่ปัญญาไม่มีศรัทธาหรือเจโตก็ไม่เกิดแรงอะไร แต่นี่ทั้งเชื่อมัน เข้าใจ และรู้จริง จะมีพลังสูง

       เรามาประท้วงด้วยธรรมะที่จะให้เข้าใจเรียกว่าปัญญา และให้แต่ละคนเกิดความเชื่อ เพราะเข้าใจ เห็นจริง ไม่ใช่ถูกครอบงำความคิด ไม่ใช่ ไม่ได้ถูกหลอก แต่ถูกหลอกก็มีกำลังได้เหมือนกัน ถูกครอบงำ ด้วยลาภ ยศ สรรเสิรญ ได้เงินก็เชื่อแล้ว ได้ยศตำแหน่งก็มาทำ ก็มีกำลัง แต่ไม่เหมือนกับเชื่อเองด้วยปัญญาชาญฉลาด

       เราจึงเปิดเผยความจริงให้มากๆหมดๆ ประจานไปเขาก็โกรธ ต้องการให้คนตื่นรู้ ใครไม่ถูกครอบงำความคิด เป็นจิตเปิด ก็ไม่ถูกครอบงำ ตั้งใจฟัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ฟังด้วยไม่หลงติดยึด รับรู้ศึกษาตามดีๆ มีเหตุผลหลักฐานต่างๆมาชี้ เราจึงรบด้วยความรู้ความจริง ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรงอาวุธ เราชนะด้วยความจริง ความถูกต้อง ความรู้

       จึงได้ประโยชน์ทุกอย่าง ประโยชน์ในการรบก็ชนะ ประโยชน์ในการรู้ก็ชนะ รู้ความจริงความถูกต้อง เกิดความเฉลียวฉลาดด้วย เพราะเขาไขเหตุผลเหลี่ยมคูเล่ห์กล ความซับซ้อนปิดบังอำพรางเราก็ยิ่งรู้ยิ่งฉลาด

       ได้ขึ้นมาหมดเลย นอกจากได้ ความรู้_จริง_ฉลาด ก็ออกมาช่วยแก้ไขความไม่ดี ไม่จริง ไม่ถูก ให้ดีขึ้นต่อสังคม ลงทุนลงแรงอย่างภูเก็ต เหมาเครื่องบินมา 5 ลำเลย จะเหมารถไฟเขาก็บอกว่าเสียจะต้องซ่อมถึงวันที่ 14 ด้วยนะ ทำไมกะวันแม่นอย่างนี้

       

       อย่างกระทรวงสาธารณสุขต้องยกนิ้วให้เลย หมอณรงค์ได้ใจจริงเลย อาตมาว่ากระทรวงอื่นๆน่าจะเอาอย่างนะ ช่วยกอบกู้ชาติเสียที เรารออยู่นะ ใครรู้แล้วแต่ไม่กล้า ก็ให้กล้าๆหน่อย เราจะได้พ้นปลักตม ไม่อึดอัดหรือไง เราลองเอาซิว่าแต่ละกระทรวงจะอึดอัดไหม?

       ถึงเหตุปัจจัยแล้วนะ ถึงจุดระเบิด จุดชวาน แล้วมาบรรจบครบรอบแล้วถ้า 10 กระทรวงมาพรึ่บก็จบเลย มันจะเป็นความฝันกลางลมหนาวไหมหนอ อยากให้ฝันเป็นจริงไหม? ใครจะว่าอยากก็อยากซิ

       เราไม่ต้องเอามีดเอาปืนมาทำร้ายทำลายกัน เอาความจริงความรู้ ถูกต้องมาแสดง แล้วคนที่รู้ก็มารวมกันเป็นธรรมฤทธิ์แน่นอน

        ถ้าออกมาเป็นความถูกต้องเป็นพลังที่มารวมกัน แต่ละคนมารวมกัน เป็นถึงขั้นเป็นกระทรวงๆ ไม่เป็นไรหรอก กระทรวงกลาโหมมาช้าหน่อยก็ได้ เพราะคุณมีพลังแรงมากเลยนะ คุณจะไม่กล้าก็ไม่ออกมาก็ได้ แต่จะออกมาอย่างถือปืนมานี่ไม่เอานะ ออกมาอย่างเป็นประชาชนนะ ให้กระทรวงอื่นออกมาเถอะ ถ้าอึดอัดก็ออกมาเลย

       พรุ่งนี้เปิดตัวกันเลย ต้องขอบคุณกระทรวงสาธารณสุขจริงๆ สิ่งไม่เคยเห็นก็เห็นนะ เป่านกหวีดกันเลยนะ

       คนที่มีความกล้านี่ คนเป็นพันเป็นแสนเป็นล้านนี่จะมีซักคนที่มีความกล้าซัก 1 คนก็มีได้ยากแล้ว

       อารยะคือผู้ฉลาดที่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่หลงความหลอกมาเป็นความจริง ก็เกิดไปตามลำดับๆ ประเทศไทยนี่กล่าวได้ว่าเป็นชมพูทวีป ไม่ได้กล่าวลอยๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชมพูทวีปมีเครื่องแสดง 3 อย่าง

        สุรภาโว สตมันโต อิทพรหมจริยวาโส นี่คือคุณสมบัติมนุษย์ชมพูทวีป

       ใครมีครบ สามารถทำให้โลกลูกนี้ คือกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจนี้ ทำให้สะอาดจากกิเลสเรียกว่ามีความประพฤติหรือจรรยาของพระพรหม ใครก็ตามมีโลกลูกนี้ สามารถบรรลุพรหมจรรย์ไปเรื่อยๆนี่แหละคือผู้ที่เป็นชมพูทวี

       ใจของคนสามารถเกิดพรหมจรรย์ ลดกิเลสลงได้ ต้องมี 1.สุรภาโว 2.สติมันโต

       สุระแปลว่ากล้า ภาโว คือสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นแข็งแรง ถ้าเอาตัวเรากายเรา คนๆหนึ่งมีอาการ 32 แข็งแรงครบบริบูรณ์ก็ถือว่ามีสุรภาโวระดับหนึ่ง ยิ่งมีกาย วาจา แข็งแรง แกล้วกล้าอาจหาญ อย่างที่มีสติมันโต มีสติเป็นองค์ธรรมสำคัญ เป็นธาตุสำคัญด้วย ระลึกรู้ตัว จากสติ เป็นสัปชัญญะ เป็นปัญญา เป็นหลักสำคัญเลย เมื่อรู้จักสติแล้วเอาสตินำ เป็นโพชฌงค์ 7 หรือมรรคองค์ 8 แล้วพิจารณาเป็นสติปัฏฐาน ลดกิเลสไปได้เรื่อยๆ สติก็เป็นสติสัมโพชฌงค์

       เจริญด้วย สติ_ธัมวิจัย_วิริยะ สัมโพชฌงค์ มีสตินำ ผู้ที่มีพร้อมทั้ง สุรภาโว สติมันโต อิทพรหมจริยวาโส คนๆนั้นคือชมพูทวีป เป็นนามธรรมที่มีในคน

       ในถิ่นแคว้นใดมีคนชมพูทวีป มีน้อยก็เป็นชมพูทวีปน้อยๆ มีมากก็เป็นชมพูทวีปมากๆ แล้วในไทยเป็นพุทธศาสนิกชน 95 % จนชาวโลกเขาเห็นแล้วว่าไทยเป็นแหล่งกลางของศาสนาพุทธ เพราะมีสภาพของพุทธศาสนาอยู่ในคนจริงมากประเทศไทยจึงเป็นชมพูทวีปเช่นนี้ อย่างอินเดีย ศรีลังกา พม่าก็มีคนพุทธเยอะ ลาวก็มี เวียดนาม ญี่ปุ่น จีนก็มีพุทธ แต่คิดค่าเฉลี่ยทั้งปริมาณและคุณภาพ ตกลงประเทศไทยมีเหนือชั้นกว่าทุกประเทศ

       ตอนที่พระพุทธเจ้าประกาศพุทธศาสนาในอินเดีย แน่นอน อินเดียเป็นชมพูทวีปในสมัยพระพุทธเจ้า แล้วอยู่มาพอสมควร  คนแผ่มาเรื่อยๆ จนมาถึงวันนี้อย่างที่อาตมาว่า ทำสถิติตรวจสอบว่าไทยนี่ค่าเฉลี่ยสูงกว่าประเทศใดๆ ไทยจึงชื่อว่าเป็นชมพูทวีป

       เรามาร่วมกันเพื่อพิชิตผู้บริหารที่ทำชาติย่อยยับ กู้มา 2ล้านๆ แล้วว่ากันว่าจะเป็นหนี้ไปถึง 50 ปี มันอำมหิตโหดร้ายจริงๆ มันแสดงว่า ไม่มีภูมิปัญญาจะหาเงินมาเลี้ยงประเทศ ไม่สามารถหารายได้แก่ประเทศได้ ตั้งหน้าตั้งตากู หมาที่ไหนก็ทำได้ ใช่ไหม และมันมีนัยซ่อนจะกู้อะไรมาตั้งเยอะแยะ อ้างว่าจะมาทำรถไฟความเร็วสูง เพื่อขนผัก มันขายขี้เท่อ ต่างประเทศเขาสร้างรถไฟความเร็วสูงเพื่อขนคน...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:47:10 )

570115

รายละเอียด

570115_พ่อครูที่เวทีหน้าป้อมพระสุเมรฯ เรื่อง ความชั่วยิ่งแย่ ทำให้เราสร้างความดียิ่งใหญ่

       พ่อครูว่า...ในร้อยคนจะมีคนกล้าสัก 1 คน ไหมเอ่ย?

“ในร้อยคนจะมีคนกล้าสัก1คน

ในพันคนจักมีปราชญ์สัก1คน

ในแสนคนจะมีคนพูดจริงสัก1คน ยิ่งเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย

ส่วนคนที่เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่รู้จะมีหรือไม่...”....ตอบ.....มี(ผู้ชมหน้าเวทีตอบ)

       เป็นคำถามที่ลึกซึ้งซับซ้อนมาก มันจะย้อนกลับไปในโลกของคนมีคุณธรรม หาคนที่เป็นคนมีคุณธรรมและกล้า อย่างพวกเรานี่ถือว่ามีความกล้า กล้าพอตัวทีเดียว

       ร้อยคนจะมีคนกล้าสัก 1 คน หาได้ยาก แต่ชาวเรานี่ที่ได้ออกมาถึงวันนี้เป็น ล้านคน นี่ถือว่า กล้า ใช้ได้

       ในพันคนจะมีปราชญ์ซัก 1 คน ซึ่งไม่ใช่คนฉลาดที่มีอยู่มากในสังคมไทยตอนนี้ ซึ่งฉลาดอย่างเฉโก บางคนจบดร.หลายใบ เขายอมรับว่าอัจฉริยะเลย แต่กิเลสไม่ได้ลด จึงฉลาดทำชั่วได้มาก ทำชั่วได้จัด ซับซ้อนด้วย เพราะอำพรางเก่ง ทำชั่วแล้วทำให้คนอื่นเข้าใจผิดนึกว่าทำดีอีกด้วย แล้วโลกเป็นทุกข์ เพราะคนฉลาด

       พวกนายทุน และนักการเมืองที่โกงยับเยินนี่ ฉลาดฉิบหายทุกคน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนไปหมดเลย ตัวเองกอบโกยเอาเปรียบเอารัดสารพัด แล้วเอาเงินที่ได้ซื้อไว้ เป็นอำนาจซับซ้อนด้วย เงินเหมือนแก้วสารพัดนึก ในระบบทุนนิยม เงินออกดอกซับซ้อน

       ปราชญ์คือคนที่มักน้อยสันโดษ ลดกิเลส และในแสนคนจะมีคนพูดจริงสักแสนคน ไม่ต้องเอาอะไรนะ พวกเราใคระไม่เคยโกหกเลย มีไหม? ...หาไม่ได้สักคน แม้อาตมาก็เคยโกหก

       คนที่ไม่พูดแล้วคำโกหกได้นี่จึงยอดเยี่ยมเลย ผู้ถือศีล 5 ในข้อ 4 ไม่โกหกแล้วถือเป็็นยอดคน เป็นคนที่คบง่ายเลย คบได้ พวกเราพยายามจริงๆ ชาวอโศก ถือศีลธรรม ได้แล้วยอดเยี่ยม

       การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดผัวเมียใคร ก็ทำไม่ง่าย แต่ว่าการโกหกนี่ทำได้ไม่ยากเลย มันเลยเสพติดได้ง่าย แล้วก็เห็นว่าไม่มีค่า มันไม่น่ากลับ แต่เป็นค่าบาปที่เลว เป็นค่าต่ำ มันมีราคาเท่ากันทั้งนั้นแหละ 5 ข้อนี้ การโกหก 1 คำก็เท่ากับ ฆ่าสัตว์ 1 ตัว ไปผิดผัวเขาเมียใคร ไปเสพส่ิงเสพติด

       ส่วนคนเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มันหมายถึง ปรมัตถ์ คือจิตวิญญาณ ไม่ง่ายนะ เราไม่คิดเดี๋ยวนี้ ลองดู เสียสละวัตถุุ แรงงาน ความรู้ ก็แล้วแต่ แต่จิตของเราคือให้ไปแล้ว ว่างเลย โดยมีความรู้ตัว เข้าใจ จิตไม่ตั้งปรารถนาได้คืนมาเลย วางจริงๆ ในหลักการปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า การทำมรรคองค์ 8 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10

1.   ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ ทินนัง) ให้แล้วเราได้ทำจิตทำใจเราไหม ว่าเราไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนเลย ให้โดยเรามีจิตเห็นแก่งคนอื่น ช่วยคนอื่น เป็นเกื้อกูลสงเคราะห์ สะอาดบริสุทธิ์ใจเลย ไม่ต้องการตอบแทนไม่ว่าชาติไหนๆเลย มีไหม ก็มีถ้าได้เรียนรู้ปฏิบัติธรรม

2.   ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)
 

3.   สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)
 

4.   ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก)

5.   โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ

6.   โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา)

8.   บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา)

9. . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา)

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง    ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)#

       ต้องเข้าใจทั้ง 9 ข้อนี้ คือสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นประธานในมรรคองค์ 8 เลย เป็นประธานของ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ สติ สมาธิ (7 องค์)

       การทำทานแล้วไปขอให้ได้ลาภยศได้สิ่งใดตอบแทน นั้นคือนัตถิทินนัง ขอให้ตายก็ไม่ได้ แต่เป็นการสะสมจิตโลภใส่จิตอีก ให้ของไปราคา 1หมื่น แล้วใจที่จริงต้องสละโลภ ไม่เอามาให้แก่ตนเอง แต่เขาสอนกันว่าตั้งจิตให้ได้มากๆกว่าเดิม เอาหมดประเทศเลย จะเปลี่ยนประเทศใหม่เลย โลภขนาดนี้เลย อย่างนี้ไม่ได้ให้ ย่ิงโลภกว่าเก่า

       ทำใจตนเองจริง เป็นมโนกรรมจริงเลย ยิ่งทำยิ่งเพิ่มกิเลสๆ นี่คือการสอนมิจฉาทิฏฐิ ตั้งแต่เริ่มเลย ไม่ว่าจะคณะไหนที่สอนกัน แล้วนับถือกันเป็นอรหันต์ แต่ไม่ได้รู้เลยว่าจิตตนเพิ่มหรือลดโลภ ตั้งจิตของตนให้เป็นจิตลดความโลภ โกรธ หลงนี่แหละ ทำแต่ทาน ก็ยังไม่รู้ว่าจิตตนลดหรือเพิ่มกิเลสเลย แล้วบอกว่าสำนักนั้นที่สอนนี่เป็นอรหันต์นะ ยังไม่รู้จักใจที่ลดโลภเลย แล้วสำนักนั้นจะเป็นอรหันต์จริงไหม? ที่อธิบายนี้เป็นสัจธรรม ไม่ได้ตั้งใจว่าข่มใคร

       พวกอภิธรรมก็เรียนกัน ท่องไม่รู้กี่ตัวๆ อาตมายังท่องไม่สู้พวกเขาเลย แต่อาตมาว่าอาตมามีสภาวะ รู้จักสภาวจิตเหล่านั้น แต่ขานชื่อสู้ไม่ได้ ก็ตั้งใจพยายามดูอยู่ ตอนนี้กำลังมาถึงอธิบายรูป 28

       คนมีธรรมรสในธรรมะ ถ้ามีภูมิรับได้จะสนุก รื่นเริงในส่ิงที่ตนรับซับซาบได้

       อธิบายเพราะว่าเห็นว่าเรื่องธรรมะสำคัญ และจริง เป็นเรื่องจริง ชีวิตคนเราเกิดมาควรได้ธรรมะทรงไว้ในอัตภาพ ในจิตนิยาม

       ชีวิตมีนิยาม 5 (อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ) ซึ่งธรรมะเป็นสิ่งทรงไว้ในอัตภาพ

1. อุตุนิยาม   (ส่วนที่เป็นพลังงานวัตถุ ฟิสิกส์ ฯลฯ)

2. พีชนิยาม (ส่วนที่เป็นพลังงานชีวะ พืชพันธุ์)
เป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง(อนุปาทินกสังขาร) ไม่มีรักหรือชัง ไม่โกรธไม่เกลียด แต่พลังงานมันเป็นชีวะแล้ว เรากินพืชนี่ไม่เป็นบาป ไม่จองเวรภัยต่อกันหรอก

3. จิตตนิยาม       (ส่วนที่เป็นจิต เวไนย-อเวไนย
ให้เกิดกรรมตามโอปปาติกะพาเป็น) เริ่มเป็นสัตว์แล้ว มีการเคลื่อนที่ได้ ไม่เกาะกับที่เหมือนพืช
และที่สำคัญคือถึงระดับมีเวทนา จึงเป็นสังขารที่มีวิญญาณครอง (อุปาทินกสังขาร) เริ่มมีกรรม มีวิบาก  แต่สัตว์เช่นช้างม้านั้นสอนให้รู้เรื่องกรรมวิบากไม่ได้ แต่ว่ามันมีรักมีชัง มีโกรธได้

4. กรรมนิยาม (บทบาทหรืออาการแห่งกิริยา
ของคน - ของโอปปาติกะสัตว์) คนบางคนสอนกรรมดีกรรมชั่วไม่ค่อยรู้ก็เป็นอเวไนยสัตว์ บางคนสอนให้รู้เข้าใจได้ แต่เปลี่ยนแปลงตนเองไม่ได้ เปลี่ยนจิตชั่วเป็นจิตดีพยายามฝึกทำไม่ได้ ก็เป็นอเวไนยสัตว์เช่นกัน นี่คือสัตว์ระดับโลกีย์ สอนกรรมดีชั่วได้ แต่สูงไปกว่านั้นสอนโลกุตรธรรมได้ เป็นเวไนยสัตว์

5. ธรรมนิยาม (สภาพทั้งหมดของทุกสรรพสิ่ง) #

       ผู้รู้ดีชั่วรู้โลกุตระแต่ปฏิบัติให้เป็นโลกุตระจิตไม่ได้ เป็นอเวไนยสัตว์ระดับโลกุตระ

       ส่วนผู้สอนให้รู้ดีชั่วได้ รู้โลกียธรรม แต่ว่าสอนให้รู้โลกุตระไม่ได้ เป็นอเวไนยสัตว์ระดับโลกียะ

       ผู้ที่สอนให้รู้โลกุตระได้ แล้วสามารถลดกิเลสได้ ตั้งแต่อบาย มาโลกธรรม จนลดละได้ ไม่ดีใจไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ลดละได้สำเร็จ เช่นได้ลาภ ได้ยศก็ไม่ดีใจ เสียไปก็ไม่ทุกข์ใจ กลางๆ ผู้นั้นต้องอ่านจิตออก แยกเวทนาออก ตอนนี้เรามีอารมณ์สุข หรือทุกข์ อ่านตัวกิเลสกามกิเลสโลภออก อย่างนี้เป็นโกรธ รุนแรงหรือแค้น ออก

       กิเลสก็คือจิต ไม่มีสรีระตัวตน กิเลสคือผีคือมาร หรือผี หรือไชตอน เป็นต้้น เป็นจิต

       ผู้บรรลุโลกุตรธรรม มีปัญญาญาณ อ่านของเราออก มันเกิดเมื่อไหร่ก็รู้ จึงเป็นผู้มีตาทิพย์ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม เป็นพระเจ้า อยู่ในจิตวิญญาณเรา เราเห็นได้รู้ได้

       เมื่อเรารู้ได้ก็ฆ่าทำลายผี ด้วยมรรควิธี กำจัดด้วยปหาน 5 

1.   วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า)
 

2.   ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) .
 

3.   สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด  สลัดออกได้เก่ง) .
 

4.   ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ  ทวนไปมา) .
 

5.   นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที  เก่งจนเป็นปกติ)
 

       นิโรธพุทธ ทำอย่างลืมตา ไม่ได้ทำแบบลืมตาดับปี๋ ดับสัญญาและเวทนาอย่างนั้นไม่ใช่พุทธ ของพุทธนั้นสัญญาอย่างหนึ่งดับ สัญญาอีกอย่างหนึ่งเกิด นิโรธพุทธนั้นเห็นแจ้ง ไม่ได้เห็นอย่างดำหรือกิณหะเป็นพรหมมิจฉาทิฏฐิ

       การปฏิบัติศีลย่ิงยากกว่าทาน เมื่อไม่รู้จิตก็ยาก การปฏิบัติศีลทำให้กิเลสลด ในกิมัตถิยสูตร ว่าไว้ว่าปฏิบัติศีลจะทำให้กิเลสลด เป็นพระอรหันต์ไปตามลำดับ เห็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน ได้ จึงเรียกว่าโลกุตรบุคคล หรือโลกุตรธรรม จึงเป็นเวไนยสัตว์

       ตั้งแต่เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ แม้อธิบายไม่ได้ละเอียดอย่างอาตมา แต่ปฏิบัติจิตได้ ก็เป็นได้จริง แต่ถ้าได้เรียนรู้มาตามลำดับจะชัดเจน และคนที่ทำได้แต่ไม่รู้ชื่อสภาวะ เรียกชื่อไม่ถูกนั้นมีเยอะ แม้ในชาวอโศกก็มีเยอะ

       จึงเป็นคนจริง เป็นคนทานจริง ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนมีจริง อย่างพวกที่มานี่ ไม่ใช่เฉพาะอโศกเท่านั้น คนที่มายังมีอีกมากที่เสียสละจริง อาตมาบอกให้ตรวจตัวเองดู ว่าที่เรามา หลายผู้หลายคน คิดสิว่าจะต้องการลาภอะไร หลายคนจ่ายเงินทอง ลำบากลำบนกว่าจะมา คุณมานี่ต้องการอะไรตอบแทน หวังรำรวยหรือ? ได้สิ่งตอบแทนอะไรหรือ? หรือคาดหวังอะไรหรือ? ได้ยศ ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจหรือ? คุณหวังหรือคาดว่าจะได้หรือ?     

       แต่ถ้าคุณไม่ต้องการเลย แม้สรรเสริญ พวกแดงด่าพวกคุณอย่างกับอะไรดี ไม่ได้สรรเสริญอะไร? คนด่าจะตาย มาด่าเราอยู่ ว่ามาขวางที่ขวางทาง ตรวจสอบจริงๆเลย

       เรามาเพราะว่าต้องมาช่วย แม้จะไม่เต็มที่ก็ตาม เราก็เห็นว่าน่าจะมาช่วย แม้เท่านั้นก็ตาม หรือจะมาอย่างใจแรงเลยก็มี บางคนก็ไม่แรง ไม่เต็มนัก แต่ว่าคุณตรวจดูว่า คุณมาต้องการอะไรตอบแทน เป็นลาภ ยศ หรือกามอะไรตอบแทน เชื่อเลยว่า มากเลยที่ไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนเลยนะ

       อาจจะมีว่าบางคนมาอาจได้ลาภ ได้ยศ ได้ตำแหน่ง อาจจะมีบ้างก็ตาม

       อาตมาพาพวกเราออกมาตั้งแต่ปี 49 มีคนมาหาอาตมาว่า เขาอยากเป็นสส. มาฝากเนื้อฝากตัว มาชุมนุมเพื่อจะเป็นสส. เขาคิดว่าอาตมาใหญ่มากจะให้เขาเป็นสส.ได้ แต่คนอย่างนี้ไม่ควรให้เป็นสส.

       ทุกวันนี้การเลือกตั้ง เขาฝากได้จริง ให้เขาชี้ให้ก็ได้เป็นก็ให้ไปสมัครกับเขาสิ  เขาเอาเสาไฟฟ้าลงยังได้เลย แต่มาสมัครกับโพธิรักษ์ จะได้เป็นสส.อย่างไร

       อาตมาเชื่อว่ามากเลยที่มาได้ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรตอบแทนแก่ตน เป็นคนเสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน ...ที่เขาไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ แต่ว่าสังคมไทยเรามี นี่คือความเจริญของสังคมประเทศไทย

       เมื่อมีต้นทุนจิตอย่างนี้ จึงทำมาได้ คนที่ทำมาก่อนก็รู้เหลี่ยมมุม ต่างมาช่วยกันเข้า จึงเป็นองค์รวมเป็นสังคมกลุ่มที่มีองค์ประกอบครบมากเลย ช่วยกันคนละเล็กละน้อย บางคนช่วยหนักก็ไม่ได้ติดใจ ไม่คิดเล็กคิดน้อย คนช่วยน้อยก็ช่วยน้อย แล้วแต่กิเลสใครมาก็ช่วยน้อย ใครกิเลสน้อยก็ช่วยมาก รวมกันเป็นองค์รวมที่ขาดแคลนน้อย แต่อยู่กันอย่างดีเลย ร้อยพ่อพันแม่ แต่เมื่อมารวมกัน แต่ละคนต่างระมัดระวังเรียนรู้ ได้สงบเรียบร้อยขนาดนี้ก็โอ้โห

       ไม่ได้พูดป้อยอนะ แต่แจกแจงสัจธรรมให้ฟัง พอเข้าใจได้ไหม นี่คือส่ิงที่เกิดจริงเป็นจริง แต่ละคนได้ ประเทศชาติก็ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบบ้าง ในคณะที่เขาชุมนุมเหมือนกัน แต่เขาก็มีบทบาท ได้ค่าตัวได้ยศตำแหน่งได้ร่ำรวย ได้เป็นรมต.ทั้งที่สั่งเผาบ้านเมือง ต่างกันกับที่เราทำ ต้องขอบคุณที่ช่วยให้ได้ยกตัวอย่าง มันเห็นเข้าใจได้ง่าย

       การมาทำกรรม แต่ละวาระ แต่ละพฤติกรรม มันจึงเกิดคุณเกิดโทษ มันบำเรอกิเลสก็เป็นกรรมของเขา ใครที่มารวมกันต่างคนต่างช่วยกัน ได้ทำสิ่งดีได้สั่งสมเสียสละ ลดเห็นแก่ตัวได้จริง จึงเป็นสมบัติเป็นทรัพย์ ที่คุณมานี่ได้ ได้กรรมวิบากที่เป็นกุศล ที่แต่ละคนได้ทำนั่นแหละของจริง

       เป็นโอกาสแล้วนะ เป็นโอกาสที่ทำได้ง่าย เป็นองค์รวมที่ทำได้ง่าย มีคนที่ทั้งสุดโด้ สุดง่านเลย

       เขาก็ว่าต้องรักษาประชาธิปไตยเลยออกไม่ได้

       ซึ่งประชาธิปไตยคืออะไร? ไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องประชาธิปไตยแค่ไหน อ้างประชาธิปไตย ซึ่งแท้จริง ประชาธิปไตยคือเสียสละไม่เห็นแก่ตัว ประชาธิปไตยคือเห็นแก่ประชาชนทำด้วยใจจริงแค่ไหน ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญได้มากเท่าไหร่ นั่นแหละประชาธิปไตย สอนอย่างโพธิรักษ์ ไม่ได้สอนอย่างรัฐศาสตร์

       ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าคือนักประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาจักรวาล สังคมพุทธคือสังคมประชาธิปไตย​สร้างมาตั้งแต่ยุคของท่าน ทั้งที่ตั้งแต่สมัยก่อนเป็นสมบูรณายาสิทธิราช ท่านมีรัฐอิสระเป็นรัฐพุทธ มีจุลศีล มัชฌิมศีล มาหาศีล เป็นธรรมนูญ

       แล้วท่านก็สร้างคนของท่าน หากใครมาทำตามธรรมนูญ​เป็นโอวาทปาติโมกข์ศีล นั่นแหละเป็นสูตรหลักเป็นธรรมนูญหลักของศาสนาพุทธ ในยุคนั้นใครมาเข้ารีตท่านก็เป็นประชาธิปไตยหมด พระเจ้าแผ่นดินมาเข้ารีต คนที่เข้ารีตเป็นพุทธ พระเจ้าแผ่นดินก็ยกให้ ปลดแอก เป็นอิสรเสรีภาพทันที พระเจ้าแผ่นดินยกให้หมดเลย นอกจากยกให้แล้ว สุดมหัศจรรย์ ทั้งที่เขาถือวรรณะ คนที่วรรณะต่ำกว่าต้องเคารพวรรณะสูงกว่า แต่ว่าคนมาเป็นพุทธ แม้เป็นศูทร เป็นจัณฑาล คนที่เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์​ แม้เคยได้รับการเคารพเมื่่อก่อน แต่ว่าเมื่อเป็นพุทธแล้ว กษัตริย์หรือพราหมณ์ก็ต้องมาเคารพคนวรรณะต่ำกว่า

       ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เมื่อทำได้จะเป็นผู้หลุดพ้น เป็นนักประชาธิปไตยสุดยอดเลย

       คุณสมบัติของนักประชาธิปไตยคือ  พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       เหมือนอย่างที่พวกเราออกมาเสียสละ มาสร้างอำนาจประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน​เพื่อมวลประชาชนและจะเป็นของประชาชน ต้องเอาให้ได้ เอาประชาธิปไตยของเราเอามาให้ได้

       พลังงานทางจิตวิญญาณที่พวกเราเป็นมวลมหาประชาชน​เป็นพลังงานสยามเทวาธิราช จะเรียกว่าพลังงานพระเจ้า พลังศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน มองไม่เห็นด้วยตา เป็นพลังรวม เป็นพลังธรรมะ เหมือนพระเจ้าจริงๆ มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาจริง

       ทำอย่างไม่ต้องการแลกเปลี่ยน ไม่ต้องการทำร้าย ต้องการให้หยุดทำชั่ว แต่ฝ่ายทำชั่วจะคิดทำร้าย คิดอกุศลเราก็พยายามมาต้านกันให้หยุดทำ แต่เราไม่ทำรุนแรง ไปทำร้ายทำลาย แม้จิตโลภเราก็ไม่ทำให้เป็น จิตโกรธเคืองเราก็ไม่ให้เกิด ทำด้วยเมตตาปราณีกันจริงๆ ปรารถนาให้เขาเลิกทำชั่วจริง

       รวมกันเป็นบุญญาวุธ เป็นสันติอหิงสา ที่เราทำนี่มันเป็นผลสำเร็จนะ ว่าไหม?

       เราได้ชนะรายทางมาเรื่อยๆ ใช้ศัพท์ว่า รบ แต่เป็นการรบที่วิเศษ พิเศษ เพราะเราทำด้วยบุญญาวุธด้วยสงบรำงับ ไม่ใช้อาวุธ เอาแต่ความถูกต้องมาว่า ใครผิดยอมเสียเถอะ ใครหมดความชอบธรรมยอมเถอะน่า มาว่ากันอย่างนั้น

       ที่พล.ร.อ.ชัยได้พยายามสรุปว่า ทางชนะของเรามีอะไรบ้าง

       1.ใช้อำนาจศาล

       2.เขาเป็นรัฐล้มเหลว กบฏเสียเอง

       3.หนีไปเองหรือฆ่าตัวตาย

       รัฐบาลล้มเหลวไปเองคือประชาภิวัฒน์

        1.ตุลาการภิวัฒน์ เขาผิดเองก็หมดความชอบธรรมเอง เขาล้มเหลงเอง เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว เราก็ต้องมาบอกว่า ลาออกเถอะ แต่นายกฯก็ว่าลาออกไม่ได้ อะไรมัดคอเขาไว้นะ

       ที่เขาพูดอ้างเป็นความตลบแตลง บอกว่าลาออกไม่ได้ ซึ่งถ้าลาออกคนจะเยินยอเสียด้วยซ้ำ คนจะเล่นงานเขาลดลงด้วยนะ ไม่ได้ลึกลับอะไร แต่สิ่งที่เขายังยึดหวงแหนอยู่นี่ มันใหญ่กว่านั้น แล้วก็พูดตอแหลอยู่อย่างนั้น แล้วบริวารลิ่งล้อก็เป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป เล่นละครกันนั่นแหละ ประชุมกันนั่งโต๊ะกันประชุม

       แต่เชื่อว่าสัจธรรมย่อมชนะอธรรม

        2.ประชาภิวัฒน์ คือประชาชนประท้วง ว่าคุณผิดหมดชอบธรรมแล้ว หยุดเถอะ ออกเถอะ อำนาจของประชาชนคือรัฐฏาธิปัตย์ ไม่มีใครแบ่งเอาไปได้ เขาทำผิดกม.รธน. ทำเกินทำผิดหน้าที่ ทำสิ่งไม่ควรทำ เยอะแยะ

       สรุปแล้ว ไม่ใช่รัฐบาลแล้ว ประชาชนจึงออกมายืนยันตามสากล การเลือกตั้งเขาก็คุยว่าเขามาจากเลือกตั้ง แต่คุณหมดความชอบธรรมแล้ว ประชาชนเลยออกมาประท้วง เป็น10ล้านแล้วก็ไม่ออก จะให้ออกมา 60 ล้านก็คงไม่ได้ มันมากที่สุดแล้ว ประเทศไหนๆก็ทำไม่ได้มากขนาดนี้ ที่อื่นออกมาก็วุ่นวายเสียหาย แต่ของเราต้องขอบคุณที่ทำด้วยได้สวยงามจริงๆ สุดยอดเลย

       อาตมาก็ยังเชื่อว่าเราชนะแล้ว แต่อย่างไรก็พยายามอดทนหน่อย มันด้านยกกำลังโง่จริงๆ อดทนอีกหน่อย พากเพียรกันไป เราก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ขออย่างเดียวอย่าเป็นผู้ก่อความรุนแรง ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว พวกเรานี่จอมยุทธตัวจริง

       ชนะรายทางมาตลอดเวลา ถ้าจะมองก็คือ คนชั่วนี่แหละจะทำให้เราได้สร้างความดีอันยิ่งใหญ่

      ความชั่วที่ย่ิงแย่ ทำให้เราได้สร้างความดีอันยิ่งใหญ่

       ต้องสร้างมวลให้มากและให้ทนนานด้วย เพราะคนชั่วสุดโด้สุดง่าน

       ตุลาการก็ช่วยอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เลือกตั้งไม่ได้ก็จะเลื่อนอีกแล้ว ไม่ยอมเสียที เป็นประชาภิวัฒน์ เขาก็ยอมลดยอมแพ้ไปเรื่อย เหลือประเด็นที่ 3 คือหนีไปเองหรือฆ่าตัวตายเอง ไม่อยากให้รุนแรงฆ่าตัวตายไป

        อันที่ 3 คือ กรรมาภิวัฒน์ หนีไปเองหรือฆ่าตัวตายไปเลย

 

       มีคำถามมาเมื่อวานว่า ...ขอกราบสวัสดีหน่วยงานคณะเจริญธรรมทำไมแนวทางท่านถึงไม่สอดค้องกับคนหมู่มากและไม่สอดคล้องกับธรรมคณะอื่นทั่งที่คนมีธรรมน้าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันบรมครูผู้รู้แจ้งจริงของท่านคือ.ใครหรือทำไมถึงต่างกันคนละความคิดแล้วยังงี้จะรู้ได้ไงไหนของจริงไหนขอปลอมธรรมนั้นของจริงและต้องรู้แจ้งจริงและเป็นไปตามธรรมนั้นจริงข้าพเจ้าก็มีบรมครูเหมือนกันทำไงดี?

       ตอบ...ขอบอกว่า ที่ตู่ว่า พวกเราทำไม่สอดคล้องกับคนหมู่มาก ซึ่งเขานึกว่าเราเป็นคนหมู่น้อย แล้วทำไมเป็นคนหมู่น้อย เพราะ คนที่เป็นปราชญ์นั้นเป็นคนหมู่น้อย และโดยเฉพาะโลกุตระนั้นยิ่งน้อย คนที่มาทำด้วยความสงบชนะความรุนแรงนั้นส่วนน้อย แต่คนที่จะชนะด้วยรุนแรงนั้นเป็นสามัญ       

       แต่อาตมายังไม่เชื่อว่าคนไทยเป็นเมืองพุทธ นั้นจะไม่ความไม่เข้าใจว่า ที่เราทำนี่ไม่สอดคล้อง อาตมาเชื่อว่าที่ทำนี่สอดคล้องกับหมู่ใหญ่ แต่เขาตกอยู่ใต้โลกธรรมอยู่ ซักวันหนึ่ง กรมนั้นกระทรวงนั้นจะมาร่วมกับเรา เดี๋ยวนักธุรกิจจะออกมาร่วมกับเรา

       ตอนนี้อาจมีน้อย

       เพราะธรรมนี้เป็นโลกุตรธรรม จึงไม่เข้ากับทั่วไป นี่เป็นเรื่องทวนกระแส เป็นเรื่องที่เสียสละโดยไม่หวังผลตอบแทน

       คนมีธรรมะสามัญ โลกีย์ จะเป็นทิศเดียวกัน แต่พอโลกุตระนั้นจะทวนกระแส  คนละทาง อันหนึ่งเป็นไปเพื่อโลกธรรม แต่อีกอันเป็นไปเพื่อลดละโลกธรรม

       บรมครูของอาตมาและพวกเราคือพระพุทธเจ้าทำไมถึงต่างกันคนละความคิด เพราะถ้าคุณก็เป็นพุทธนั้นคงเป็นคนละองค์

       แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม...พระพุทธเจ้าว่าไว้เมื่อมีนานาสังวาส คุณต้องศึกษาทั้งสองฝ่าย คนตาดีจะรู้ว่าอันไหนเป็นธรรมวาทีก็เอาอันนั้น ส่วนคนตาร้ายก็เห็นว่าอธรรมวาทีดีก็ไปเอาอธรรมวาที ให้ศึกษาสองฝ่ายแล้วใช้สัจจะยืนยัน

       ทำอย่างไรดี เขาก็มีบรมครูดี ต่างคนต้องการพิสูจน์ ก็เมื่อเป็นนานาสังวาสคุณก็เห็นว่าของคุณถูก อาตมาก็เห็นว่าของอาตมาถูก ก็ต่างคนต่างทำ

       ทำมานี่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีคนทำได้อย่างนี้ ทำแล้วอย่างมีศรัทธา มีศีล แล้วบรรลุผลตามศรัทธาสูตร ในพระไตรฯล.24 ข้อ 8

1.   ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น)

4.   เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.   เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น)

6.   แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7. ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา)

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10. ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปว#

       ศรัทธาเป็นความเชื่อ สูงไปตามลำดับจริงๆ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:55:22 )

570116

รายละเอียด

570116_พ่อครูและอ.กฤษฎาที่เวทีพระราม 8 เรื่อง จะเป็นครูต้องมีพาหุสัจจะ

       อ.กฤษฎาดำเนินรายการ ….วันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ และเป็นวันครูด้วย เป็นโอกาสดี พ่อครูก็เป็นบรมครู ที่พวกเราได้ติดตามฟังธรรมะจากพ่อครู เพื่อให้ได้อยู่ในหลักธรรมที่แท้จริง ก่อนเข้ารายการ จะขออ่านกลอน...บูชาครูก่อนเลย

      สมณโพธิรักษคุรุบูชา

       กราบพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

อริยสงฆ์เน้นหนักพรหมจรรยา

อุทิศกายใจในพระพุทธศาสนา

กราบบูชาพ่อครูปูชนียอริยสงฆ์

ดำรงโพธิญาณฐานธรรมวินัย

ดำรงธรรมาธิปไตยไทยสูงส่ง

ดำรงชาติศาสน์กษัตริย์อุทิศองค์

ดำรงไทยให้มั่นคงธำรงไท

จากสันติอโศกลุมพินีมฆัมวาน

สู่สะพานผ่านฟ้ามหามงคลชัย

พระรามแปดพระราชาผู้ยิ่งใหญ่

ประชาชนชาวไทยบูชาสถาพร

 ธรรมสถานท่านพ่อครูโพธิรักษ์

ครูนำหลักธรรมมาสั่งสืบสอน

หลักธรรมประชาธิปไตยใสบวร

ประชาธรรมสังวรประชากรไทย

 ธรรมยาตราธิปไตยโปร่งใสสาง

วางแนวทางปราบอาธรรมอนุสัย

ปราบโจรธนาธิปไตย

ปราบโจรภัยในคราบคาบคัมภีร์

รัฐธรรมนูญทั้งสิบแปดฉบับ

หนาร้อยนับมาตราจำนวนเลขคู่คี่

ร้อยอรรถอักษรเรียงรายตามที่มี

ถ้าไร้มีหลักศีลธรรมย้ำตำรา

 พ่อครูสู้กู้ธรรมนำคนไทย

นำหลักธรรมาธิปไตยในสัญญา

มวลมหาประชาชนมีปัญญา

วางไตรสิกขาประชาธิปไตย

 พระพุทธองค์ทรงตรัสบัญญัติไว้

พระสงฆ์ได้ดูแลสัตว์เวไนย

สำเร็จพระอรหันต์แล้วอย่าปลีกไป

จงสนใจในมวลมหาประชาชน

พระสงฆ์ใดไม่สนใจต้องทุกกฎ

พระทรงวางพรตเพื่อมรรคผล

แต่ที่สำคัญอย่าได้หลงลืมประชาชน

เป็นอุดมผลสูงสูดของพุทธศาสนา

 วันครูขอกราบบูชามหาสงฆ์

ผู้ดำรงคงสืบพระพุทธจริยา

สมณโพธิรักษ์ครูคนมวลประชา

กราบบูชาวันทาสังฆมหาพ่อครู

สมณโพธิรักษ์....ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม

 

       อ.กฤษฎาว่า..พวกเราก็เป็นลูกศิษย์ลูกหาก็ซาบซึ้งใจ ที่พ่อครูต้องเกิดมาเป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่

       พ่อครูว่า...อาตมาเคยเล่าเคยเขียนไว้ว่า อาตมาไม่ชอบอาชีพครู ไม่คิดไม่อยากเป็นครู บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่รู้สึกว่า ครูจะเป็นงานที่น่าทำตรงไหน แต่ว่าสุดท้าย ทุกวันนี้ ก็ต้องจำนนว่าชีวิตเราต้องมาเป็นครู ไปเรียนหนังสือก็ไม่ได้เรียนสายครู แต่ไปเรียนศิลปะโดยตรง Pure Art แต่แล้วจบออกมา มีคนขอร้องให้ไปเป็นครู ก็เลยต้องไปเป็น

       เป็นครูตั้งแต่อยู่ที่ทำงานโทรทัศน์ เป็นครูสอนคนร้องเพลง ศิลปะ สอนนักร้องต่างๆ จนกระทั่งมีคณะ คัดเลือกนักร้อง เสร็จแล้วเป็นดาราโทรทัศน์ คนรุ่นอายุ 50 ปีขึ้นไปก็คงจะรู้จัก เพราะว่าอาตมาเลิกออกจากโทรทัศน์มาบวช ตอน 2513 ใครเกิดก่อนนี้ก็ไม่น่าจะรู้จักอาตมา ตอน 2510​ ก็ค่อยๆลดงานทางโทรทัศน์แล้ว

       ออกมาก่อนมิ.ย. ออกจริงก็ส.ค. 2513 ออกจากงานทางโลก ในขณะที่ทำงานอยู่โทรทัศน์ เกือบทุกวัน บางวันออก 2 ถึง 3 รายการ รายการสารคดี รายการเด็ก รายการวิชาการ รายการสังคม ราชการ อาตมาดูแลทั้งนั้น ก็เลยเป็นคนเหมือนดารานะ เพราะโทรทัศน์มีเป็นช่องแรกของประเทศ มันใหม่ก็เห่อ เสนออะไรเขาก็ดูทั้งนั้น

       แล้วอาตมาสอนร้องเพลง ต่อมารร.ต่างๆ เช่นเบญจมราชาลัย สตรีวิทย์ ฯ ก็ไปสอน เมื่อมีงานกาชาด งานศิลปะต่างๆ ก็มีการประกวดร้องเพลง ชิงถ้วย อาตมาก็แต่งเพลง ให้เด็กไปร้อง กวาดถ้วยรางวัลมากมาย เขาก็ย่ิงรู้จัก ก็ให้ไปสอนร้องเพลง ทั้งสอนภาษาไทยด้วย

       เขาให้สอนเป็นครูพิเศษ ยุคนั้น ชม.หนึ่งจะได้ ชม.ละ 15 บาท สอนโรงเรียน ประถม มัธยม ตั้งแต่ พศ.2500 กว่าๆ ไม่ถึง 2510​ เขาให้อาตมาชม.ละ 30 บาท ซึ่งครูธรรมดาจะได้ชม.ละ 15 บาท อาตมาต้องเลี้ยงน้องด้วย เพราะเงินเดือนชั้นตรีตอนนั้น สตาร์ท 1000 บาท ชั้นโท 2500 บาท แต่อาตมาต้องจ่ายค่าเช่าบ้านเดือนละ 750 บาทแล้ว ตอนนั้นยังเรียนไม่จบ ก็ต้องหารายได้พิเศษ เพื่อเลี้ยงดูกันไป

       ก็เลยกลายเป็นครู หลายรร.ก็ให้ไปสอน ก็เลยต้องวิ่งสอนหลายที่ เป็น ครูรัก รักพงษ์ นอกจากจะสอนอย่างนั้นแล้วได้เงินจากสอน นอกนั้นก็หารายได้พิเศษอื่น เช่นงานศิลปะ

       ตอนนั้นนายกฯ เงินเดือน 8500 บาท แต่อาตมาทำรายได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเงินเดือนอาตมาได้ถึง 2 หมื่นบาทแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ชินชากับอาชีพครู ก็รู้จักวิธีสอน วิธีพูด

       พอออกบวช ออกมาทำงานศาสนา มารู้ตัว ว่าตนเป็นครูจริงๆ จังๆ ไม่มีงานอื่น มีงานบรรยาย ก็เลยกลายเป็นครูแท้ๆ ก็มารู้ว่า งานครู เป็นงานที่ย่ิงใหญ่ พระพุทธเจ้าสอนไว้ ว่าผู้เป็นครูก็ต้องมีคุณสมบัติ ต้องสร้างคุณอันสมควรก่อน แล้วค่อยพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

       ต้องได้ความจริง จากสิ่งที่ตนสอนแล้ว ถ้าเป็นธรรมะขั้นบรรลุธรรม ต้องเป็นธัมกถึก ซึ่งต้องมีความรู้ ความเชื่อมั่นในตน ตามศรัทธา 10

       เป็นพหูสูตร หรือพาหุสัจจะ คือมีความจริงมาก

1.   ศรัทธา  (เชื่อถือเลื่อมใสในอริยสัจเป็นต้น)

2.   ศีล (ในบริบทที่สูงไปสู่สีลสัมปทา แห่ง จรณะ15)

3.   พหูสูต / พาหุสัจจะ (รู้สัจจะบรรลุจริง จนรู้มากขึ้น) เมื่อไม่มีความจริงก็จะเดาไปเรื่อยๆ

4.   เป็นพระธรรมกถิกะ (อธิบายสัจธรรม สอนความจริง)

5.   เข้าสู่บริษัท (สู่หมู่กลุ่มอื่น) .

6.   แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท

7. ทรงวินัย

8.   อยู่ป่าเป็นวัตร  ยินดีในเสนาสนะอันสงัด (คืออุเบกขา) . .

9.   ได้ตามความปรารถนาโดยไม่ยาก ไม่ลำบากซึ่งฌาน 4 

10. ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ-ปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 10 ประการนี้แล  ย่อมเป็นผู้ก่อให้ เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

        ต้องพรำ่สอนตนเองให้มีพาหุสัจจะก่อน จึงสอน ก็จะไม่มัวหมอง โลกก็มีผู้สอน เป็นศาสนาดา คือพระพุทธเจ้า เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะเป็นสาวก มาสอนก็จะต้องนึกถึงธรรมะที่ว่า ต้องมีของจริง ย่อมไม่มัวหมอง เพราะว่าทุกวันนี้ศาสนาเสื่อมเพราะไม่บรรลุธรรม

       บรรลุธรรมคือกิเลสลด ต้องลดกิเลสได้มากพอ ก็จะเป็นผู้สอน ได้ อย่างพระป่านี่เขาจะไม่ให้สอนไม่ให้เทศน์ง่ายๆ อย่างวัดอโศการาม ต้องบวชมา 10 พรรษามาจึงเป็นผู้เทศน์บนศาลาหรือบนธรรมาสน์ได้

       อย่างอาตมาเป็นกรณีพิเศษ อาตมาบวชไม่ถึง 10 พรรษาเลย แต่ก็ได้เทศน์บรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส เปิดคอลัมน์บรรยายธรรมะมาตั้งแต่เป็นฆราวาส เขียนสอน พอมาบวชก็บรรยายธรรมะเลย ออกไปบรรยายวันต่างๆ เช่นวัน ธาตุทอง วันนรนาศ​แม้วัดมหาธาตุก็บรรยาย

       แต่ก่อนวันมหาธาตุ เขาเรียกตักศิลา ถกปัญหาธรรมะกันมากเลย อาตมาก็บรรยายใต้ต้นอโศก ใครมีความรู้สามารถเท่าไหร่ก็บรรยายเต็มที่

       ศาสนาพุทธ ประเด็นที่คำว่า สาวกะหรือสาวก แปลว่า ผู้ฟัง คือฟังจากผู้บรรลุธรรม ทุกคนต้องเป็นสาวกภูมิก่อน เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตรธรรม เกิดเองรู้เองไม่ได้ ต้องได้รับถ่ายทอดมา

       พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทาง เมื่อตนได้รับก็ไปทำให้เป็นของตน เป็นปัจเจกภูมิ เพื่อได้รับมาทำก็มาทำให้กิเลสลดได้ ก็เป็นปัจจัตตัง เป็นนามธรรม  

       ผลของกิเลสลด รสที่ไม่มีกิเลสแล้วเป็นอย่างไร หยิบให้กันดูไม่ได้ เป็นนามธรรม มันต้องรู้สึกเอง เป็นสภาวนามธรรม ได้แล้วเป็นปัจเจก แล้วเราจึงถ่ายทอดให้แก่คนอื่น

       อ.กฤษฎาว่า...ต้องเกิดจากฟังก่อน เวลาอาจารย์สอนเสมอว่า หมั่นฟังธรรมเป็นนิตย์ คนต้องฟังก่อนไปเดินยุบหนอพองหนอ

       พ่อครูว่า...ยุบหนอพองหนอไม่ใช่ของพุทธ แต่เป็นเรื่องประยุกต์เอามา

       ที่พูดไปวันนี้เป็นวันครูอาจเป็นเรื่องหนักนะ ก็สรุปลงที่ว่าผู้เป็นครูทางธรรมจะต้องบรรลุธรรม ถ้าไม่มีเนื้อหาธรรมะจริง ไปพูดจะมัวหมอง ศาสนาเสื่อมเพราะอวดดีเป็นครู ทั้งที่ภูมิตนเองไม่ได้ ทั้งบางที่ไม่เจตนา เวลาเขาถามจนแต้ม มีเหลี่ยมที่ต้องอธิบาย แต่ตนเองตอบไม่ได้กลัวขายหน้าก็ด้นเอา ก็เลยเพี้ยนไปเรื่อยๆ ทำให้ศาสนาเสื่อม ครูต่างๆที่สอนกันอยู่โดยไม่คำนึงถึงตรงนี้ ก็ทำให้ศาสนาเสื่อม

       อ.กฤษฎาว่า...

       พ่อครูว่า..อันสำคัญ เมื่ออาตมาตกกระไดพลอยโจน ซึ่งไม่ใช่ซะทีเดียว คือ อาตมายิ่งเห็นชัดเจน เกิดปัญญา ยิ่งเป็นเรื่องศาสนาเป็นโลกุตรธรรม ถ้าผู้บรรลุธรรมแล้วไม่สอนคนอื่นแล้ว ประเด็นนี้เพี้ยนไป ในวงการศาสนา ไปสอนกันว่า ผู้บรรลุธรรมอย่าไปบอกประกาศว่าตนบรรบุ บรรลุแล้วไปบอกใครไม่ได้ว่าตนบรรลุธรรม เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์แล้ว ไปบอกใครไม่ได้ โดยกำชับกำชาว่า ถ้าบอกก็เป็นการอวด อุตริมนุสธรรม ก็เลยกลายเป็นว่า ผู้บรรลุธรรมถือภาษานี้โดยไม่รู้ ก็ไม่บอก ทั้งที่ตนบรรลุแล้ว แต่บอกคนไม่ได้ ก็พูดไปตามภาษาธรรม

       เมื่อบรรลุแล้วก็จะเป็นส่ิงที่ตนบรรลุแล้ว แล้วยังต้องมีการอนุโลม มาเกี่ยวข้องกับส่ิงที่ตนละแล้ว บรรลุแล้ว ก็เลยคล้ายว่าตนยังเกี่ยวข้องไม่บรรลุ แต่ที่จริง ตนต้องเกี่ยวข้องนัมพันธ์กับสิ่งที่ตนบรรลุ เช่นเราต้องเล่นตุ๊กตากับลูกๆ เด็กๆต้องเล่นหม้อข้าวหม้อแกง เราก็เลิกเล่นแล้ว แต่เราก็ต้องกลับมาเล่นกับเด็กๆ เขาก็หาว่าเราไปเล่นทำไม

       ผู้ที่อนุโลมด้วย เลิกสิ่งนั้นแล้วแต่ต้องมาอนุโลม เช่นอาตมาไม่เป็นหรอกนักการเมือง ที่ต้องไปบริหาร ไม่ไปรับหน้าที่ตำแหน่ง แต่อาตมามาทำงาน ทำเต็มที่ อาตมาก็อนุโลมมาทำงานด้วย เขาก็มองว่าเราไปทำเพื่อไปเป็นอย่างที่เขาคิด

       อาตมาทำอย่างสัจจานุโลมิกญาณ ไม่ได้มีรสชาติเหมือนไม่สนุกไปกับลูกหรอกในการเล่นหม้อข้าวหม้อแกง จิตเราไม่มีรส แต่เรารู้จักสมมุติ ให้จริงๆเลย อย่างดารา เวลาเขาจะแสดงก็ทำให้เหมือนที่สุด จริงที่สุดเลย

       คนเขาไม่เข้าใจอาตมา อาตมาเป็นดาราตุ๊กตาท้อง เหนือกว่าดาราตุ๊กตาทอง แสดงอย่างจริงใจเลย คนที่เข้าใจยากก็ไม่เข้าใจ

       ความเป็นครูจึงยากมากในระดับโลกุตระ ต้องถึงก่อนแล้วอนุโลมมา เราอนุโลมมาต้องเผื่อพอ ยกตัวอย่างเหมือนช่วยคนตกบ่อ เราต้องรู้ประมาณเลยว่า เอื้อมไปได้ลึกเท่าไหร่ น้ำหนักข้างล่างจึงไม่ดึงเราลงไป เราต้องเผื่อพอ

       ถ้าเสี่ยงมากไม่มั่นใจถึง 70 หรือ 80 % ขึ้นไปเราไม่เสี่ยง เราถึงทำ อย่างที่เรามาทำนี่ด้วยประท้วงนี่

       อ.กฤษฎาว่า...แล้วจะจบอย่างไร มั่นใจแล้วที่มาทำ

       พ่อครูว่า...มาถึงวันนี้แล้ว ไทยเราทำได้เกินหน้าเกินตาชาวโลกเขานะ เราทำประชาธิปไตยอย่างสร้างอธิปไตของประชาชน ประชาธิปไตยคือการมาชุมนุมประท้วง คนก็ไม่เข้าใจกันดี

       เขาสอนกันว่า การเมืองคือการแสดงอำนาจ แย่งอำนาจ ใครมีอำนาจคนนั้นเป็นนักการเมือง แล้วการแสดงอำนาจอยู่ที่ใคร

       ถ้าเราเบ่งอำนาจกลับกลายเป็นอัตตาธิไตย คือตัวกูมีอำนาจ ถ้านักการเมืองทำเช่นนี้คนนี้ไม่ใช่นักการเมือง คำว่าอำนาจนี้จะบอกว่าการแสดงอำนาจนั้นถูก แต่ประชาธิปไตยคือให้ประชาชนออกมาแสดงอำนาจ รวมกันเป็นจำนวนมากนี่คืออำนาจ แล้วเป็นอำนาจของประชาชนไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง  

       อธิบายว่า คนเดียวก็ออกมาประท้วงได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นออกมาประท้วงคนเดียว เรือตรีฉลาด วรฉัตร แกมาคนเดียวเลย จนกระทั่งคนสร้างคอกให้แกอยู่เลย แม้ท้วงผิดๆก็ช่าง ก็ไม่ผิดกฎหมาย ความเข้าใจของเขาผิด แต่เขาไม่ผิดกฎหมาย คือเขาโง่นะ

       หรือแม้เขาถูกต้องออกมาคนเดียวก็ต้องฟังเขา อย่างคุณฉลาดก็ไม่มีใครวินิจฉัยว่าแกถูกหรือผิด เป็นสิทธิเสรีภาพ ย่ิงมากย่ิงแสดงประชาธิปไตย

       เราก็นัดกันมาหลายครั้ง ประเด็นก็เข้าใจกันดี แต่ก่อนก็พยายามรวมตัวกันได้มากแล้วก็ไม่ได้มากขนาดคราวนี้ เขาบอกว่า เป็นล้านเลยในวันที่ 24 พ.ย. 56

       มาแสดงตัว 1 คน 1 เสียง เหมือนกับที่ฝ่ายโน้นเขาก็ทำ 1 คน 1เสียงให้ไปเลือกตั้ง  แต่เราออกมานี่ไม่ใช่เลือกผู้แทน แต่เราออกมาแสดงสิทธิ์เลย เรื่องอะไรก็เรื่องไล่คุณออกไง ไม่ให้คุณทำงาน แต่เขาก็แย้งเถียง แล้วไปดันให้ไปเลือกผู้แทน ซึ่งเป็นอำนาจขั้นที่ 6 แต่นี่ผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐโดยตรงออกมาเลย

       เขาเรียกพวกเราที่ออกมาว่า กบฏ แสดงว่าพวกคุณไม่รู้เรื่องรธน.เลย ทั้งที่ในรธน. มาตราต้นๆเลย ให้อำนาจเป็นของประชาชน แม้แต่การประท้วงโดยสันติ ปราศจากอาวุธ รธน.ก็ให้สิทธิ์หมดเลย ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะถูกข้อหากบฏ แต่ผู้ที่จะต้องเลิก เพราะทำผิดหน้าที่ ทำผิดกฎหมายอยู่ตลอด ทำผิด รธน. แล้วก็ไม่ยอมรับ คุณนั่นแหละคือผู้ไม่ชอบธรรม ถ้ายังดันทุรังต่อต้าน คุณนั่นแหละคือกบฏ คือผู้ที่รักษาการณ์อยู่นั่นแหละ ที่จริงต้องขอลาออกไปแล้ว ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาไม่หน้าแข็งขนาดนี้หรอก ออกไปนานแล้ว ไม่มีความรู้รัฐศาสตร์เลย ไม่รู้หน้าที่เลย ว่าเราต้องทำถูกต้องอย่างไร

       แล้วก็หน้าด้านพูดว่าเราต้องรักษาประชาธิปไตย​  แต่คุณทำผิดประชาธิปไตยเสียเองแล้วนี่ เราเลยต้องมาไขความจริง ไขความรู้ให้มากๆ ประชาชนจึงได้รับความรู้ ถ้าสื่อสารมวลชนได้เผยแพร่อย่างไม่อคติ ประชาชนไทยจะได้รับความรู้มากกว่านี้เลย เราก็ช่วยกันอยู่ไม่กี่เจ้า แต่เมื่อทำมากๆเข้า เขาก็จำเป็นต้องรู้ สื่อสารจำเป็นต้องรู้ เพราะประชาชนแสดงตัวตนมากๆ มีพฤติกรรมรัฐศาสตร์ถูกต้องมากๆ สื่อสารก็ต้องเรียนรู้

       ทั้งที่สื่อสารตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความกลัว กลัวเสียลาภ เสียยศ เพราะไปรับสินจ้างรางวัลมา ก็เกรงใจเขา กลัวเสียโลกธรรม แม้ข้าราชการต่างๆ ก็มีอำนาจสั่งการปลดได้ ก็ด้วย ก็เลยตกอยู่ในอาณาจักรแห่งความกลัว

       เขาฉลาดหาทางเอาเปรียบได้เปรียบ อำนาจเงิน อัดเข้าไป เป็นง่อยเลย ให้ผีโม่แป้งเลย ​


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:57:42 )

570117

รายละเอียด

570117_พ่อครูที่เวทีป้อมพระสุเมรุ เรื่อง กรรมพันธุ์และชาติ 5 อย่าง

       พ่อครูว่า...เราจะทำธรรมะ ใครจะทำอธรรมก็เรื่องของเขา กรรมของใครก็ของคนนั้น เรื่องนี้ใครไม่ค่อยเชื่อกัน เพราะไม่ออกผลจนคนไม่เห็นกันทันตา แต่ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เราทำสิ่งทีดี ทุกกรรมกิริยมที่เราทำดี มันจะออกผลหรือไม่ออกผลเราก็เป็นคนได้ทำดีทันทีแล้ว คุณก็ได้แล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก จะไปคิดว่าทำดีไม่ได้ดีก็ว่ากันไป โดยไปเข้าใจผิดว่าทำดีจะต้องได้เงิน ที่คือลาภ ยศ หรืออะไรที่ต้องได้ตามใจ นั่นมันได้สมใจกิเลส แล้วบอกว่าได้ดีอันนั้นไม่ใช่

       คุณตีหัวคนปั๊ปก็เป็นกรรมชั่วก็ได้ดีทันที โจรตีหัวคนสลบ ได้ทรัพย์ไป ไม่ใช่ได้ดี แต่ได้กรรมชั่วไป ขโมยซ้ำเป็นชั่วสองชั่วเข้าไปอีก เหมือนกับที่เขากำลังจะปล้นประเทศไทย ปล้นไปก็ว่าไม่ได้ปล้น ทำผิดก็ว่าไม่ทำผิด ดีไม่ดีทำร้ายทำลายกันฆ่าแกงกัน นี่หนักหนาขึ้น

       เหตุที่เกิดระเบิดวันนี้ แสดว่าเขาดิ้ินสุดดิ้นแล้ว ...มีคุณโน้ต (เพชรพันศิลป์) เขาไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ ถ.บรรทัดทองมา (เหตุคนร้ายปาระเบิด) เขาเล่ามาว่า.. วันนี้มีสามสิ่งที่แปลก (17 ม.ค.2557) 1.ตั้งแต่เช้าผมตั้งใจว่าจะออกมาถ่ายที่พระรามแปดตอนเย็น แต่มีทีมออกมาช่วงเช้าจึงขอติดรถมาตามถ่ายกำนันสุเทพก่อนเวลาที่กำหนดไว้ 2.ช่วงเกิดเหตุระเบิดที่จริงผมกะว่าจะเดินไปหน้าขบวนที่เกิดระเบิด แต่ก็อีกล่ะตัดสินใจหาของกินรองท้องเลยหยุดกินอาหารไม่งั้นคงใกล้จุดเกิด เหตุหรืออยู่บริเวณนั้นแล้ว 3.ก็ยังไม่สามารถจับคนปาระเบิดได้อีกเหมือนเดิม

       ในฐานะที่นับถือศาสนาพุทธผมยังคงเชื่อเรื่องกรรมวิบากของตน...ทุกอย่างบนโลก ไม่มีเรื่องบังเอิญ

       อาตมาดูอยู่ที่สันติอโศก เขาก็ถ่ายภาพออกอากาศ เขาถ่ายภาพเห็นคนทำการณ์ 2-3 คนเดินอยู่บนดาดฟ้า อาตมาดูอยู่เห็นตัวบุคคลทำการณ์อยู่บนตึกเลย แต่ว่าเขาอยู่ที่ตรงนั้นไม่เห็นหรอก พวกเราไม่ได้เข้าไปข้างใน จนเขาพังรั้วเข้าไปก็นานกว่าจะเข้าไปได้ ถ้าอยากได้ภาพ อาตมาก็ให้สัญญาณแก่ผู้ที่อัดไว้ไปดูได้

       อันนี้เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย ทุกอย่างมาแต่เหตุ ไม่มีเรื่องบังเอิญ 1 บวก 1 เท่ากับสอง 2 บวก 2 เท่ากับ 4 อยู่ดีๆมาเลยไม่ได้ มาแต่เหตุทั้งสิ้น

       การกระทำของคน เป็นวิบาก เป็นผลเป็นทรัพย์ของผู้นั้น ทำชั่วทำผิดเป็นของผู้นั้น ทำดีก็เป็นของผู้นั้นอย่างแท้จริง การกระทำเป็นของตน หรือกรรม  มันก็สั่งสมในอัตภาพ แต่ละคนมีอยู่ในอัตภาพมากมาย แต่ละคนที่ถ้าได้ฝึกก็สามารถย้อนระลึกได้ไปในอดีต ถ้ามีความสามารถจะทำได้ มันไม่หายไป ถ้าระลึกได้ก็จะรู้ได้

       ถ้ามีบารมี มีความสามารถเท่าใดๆก็สามารถรู้ได้ละเอียดชัดมากขึ้นเท่านั้น ว่าพระพุทธเจ้าท่านเกิดมาเป็นเจ้าชาย สิทธัตถะท่านก็ระลึกไม่ออกว่าเป็นพระพุทธเจ้า แม้มีพราหมณ์มาทำนายไว้ก็ตาม

       จนกว่าจะวันขึ้น 15 คำ่ เดือน 6 ก็ตั้งใจระลึกชาติ เหมือนคนโลกๆนี่แหละ แต่ท่านมีบารมีมาก ก็เลยระลึกได้อย่างพุทธ ระลึกแล้วรู้จักปรมัตถ์ด้วย รู้ว่าเราเกิดแต่ละชาติ ได้ปฏิบัติอย่างไรมา นี่คือการได้ปรมัตถ์ คนไม่ได้เรียนรู้มาไม่ได้ฝึกก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฝึกโลกุตรธรรมมาระลึกไปเท่าไหร่ก็ไม่มี

       พระพุทธเจ้าท่านได้ฝึกมาได้มาแล้วก็ระลึกได้ รู้ตัวว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า คืนนั้นก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่่ว่าการปฏิบัติธรรมคือนั่งหลับตาทำ แต่ว่าท่านได้นั่งระลึกชาติของท่าน ที่ท่านสั่งสมมา ท่านมีของท่านอยู่แล้ว

       อาตมาก็ได้ระลึกรู้ส่ิงที่อาตมามีมาหลายปางแล้ว มาพูด ไม่ได้โมเมพูด นี่ไม่ใช่การอวดอ้างอุตริมนุสธรรม แต่เป็นการยืนยันสัจธรรม

       ที่อาตมาเกริ่นเรื่องกรรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และไม่ตั้งอยู่ ดับไปและไม่ดับไป ธรรมดาของไตรลักษณ์ในปัจจุบันจะมีเกิดขึ้ืนตั้ืงอยู่ดับไป แต่สิ่งที่สะสมในจิต จะไม่เกิดขึ้่น ไม่ตั้งอยู่และไม่ดับไป เช่นเราสัมผัสเห็น มันก็เกิด มันก็ตั้งอยู่ แต่พอเราไม่สัมผัสมันก็ดับไปแล้ว

       แต่สิ่งที่เราเห็นแล้วเราประทับใจ เมื่อเราไม่สัมผัส โดยปัจจุบันมันก็ดับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ได้เห็น อาจชอบด้วย ติดด้วย มันก็อยู่ในอนุสัย เป็นวิบากอยู่ในอนุสัย ปัจจุบันมันแม้ดับไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหายไปจากอัตภาพ อาจลืมได้ นึกไม่ออก แต่ถ้าไม่ได้ล้างอุปาทาน ไม่ได้ล้างความยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา

       ไม่ใช่แค่ภาษา แต่ว่าต้องเรียนรู้สภาวะ เห็นด้วยปัญญาว่า. (1)อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความเกิด- ความเสื่อมไปของกิเลส ของชาติ เวทนาสุขทุกข์ต่างๆ (2)ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลายไปของสังขารธรรม-ตัณหาปรุงแต่งทั้งหลาย(3)ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป  มันน่าเบื่อหน่าย เห็นโทษภัย ภยตูปัฏฐานญาณ ญาณอันเพ่งเห็น กิเลสสังขาร  เป็นภัยอันน่ากลัว.. เพราะล้วนแต่ต้องสลายไป  (4)อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ . ต่อเนื่องมาจากการเห็นภัย (5)นิพพิทานุปัสสนาญาณ ญาณเห็นความน่าเบื่อ-หน่ายในกิเลส  เพราะสำนึกเห็นทั้งโทษและภัย (6)มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณรู้เห็นการเปลื้องปล่อยไปเสียจากโทษ-ภัยเหล่านั้น

       จึงจะวางได้จริง ถ้าไม่เกิดญาณ จนคุณรู้ว่าใจของเราปล่อยวางได้จริง ผู้จะรู้อาการของวิชชาหรือญาณ ได้ปานฉะนี้ คือวิปัสสนาญาณ 9 จะเกิดได้ต้องปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 หรือไตรสิกขา จะเรียกอะไรก็ตาม เป็นเหมือนกัน เพียงขยายออกไป โดยปฏิบัติโพชฌงค์ 7 อยู่ในฐานของมรรคองค์ 8

       ไม่ว่าใครหากทำอย่างถูกทฤษฎีของพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิก็จะได้ผลเหมือนกัน ละหน่ายคลาย ดับหรือกำจัดกิเลสได้สนิทเกลี้ยงจริง เป็นวิธีอย่างถาวร ให้ไม่กลับกำเริบเลย ไม่มีอะไรหักล้าง เปลี่ยนแปลงได้ ตลอดกาล สัสตัง

        การเกิด เรียกว่า ชาติ

       คำว่า ชาติ แปลว่า การเกิด ซึ่งมีทั้งการเกิดทางร่างกาย และการเกิดทางใจ ซึ่งเป็นปรมัตถ์ ภาษาบาลีเรียก โอปปาติกโยนิ เป็นเรื่องสำคัญ ที่ชาวพุทธต้องศึกษา รู้จริง ถึงพุทธศาสนาต้องฝึกฝนเอาให้ได้ เป็นบุคคล 4 ให้ได้       

       การเกิดการตายทางปรมัตถ์ ของจิตเจตสิก รูปนิพพาน ต้องศึกษาอย่างสัมมาทิฏฐิ ให้เกิดญาณปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ในชาติทั้ง 5 แบบ

       1.การเกิดการตายทางร่างกาย ของสัตว์โลก

       2.การเกิดการตายทางจิต หรือโอปปาติกโยนิ

       3.การเกิดอย่างลิงลมอมข้าวพอง...คือการเกิดของผู้ที่เคยบรรลุธรรมแล้ว เช่นคนเคยเป็นโสดาบัน ตอนเกิดมาแรกๆก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นโสดาบัน ก็เลยถูกโลกหลอกให้มัวเมาไปกับอบายมุขได้ แม้มีบารมีแล้วก็ตาม แม้เป็นอรหันต์แล้วก็ตาม หรือแม้เป็นพระพุทธเจ้า มีสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ท่านมีพุทธการกธรรม(ธรรมที่ครบพร้อมเป็นพระพุทธเจ้า) ก็ยังเป็นลิงลมอมข้าวพองได้ แต่พอได้เวลาระลึกชาติได้ ได้ชัดได้ครบด้วย ได้นานมากด้วย

       4.ชาติไทยนั้นเกิดมาได้กี่ร้อยปีแล้ว เริ่มยุคสุโขทัย เกิดชาติไทย เป็นชาติประเทศ

       5. ชาติที่เป็นทิฏฐิ เป็นอัตตา  เป็นชาติพันธุ์ หรือกรรมพันธุ์ เช่นคุณสั่งสมภพชาติ โดยมีทิฏฐิอัตตาอย่างนั้น เช่นสั่งสมพันธ์สัตว์นรกโดยไม่รู้หรืออวิชชา สั่งสมกิเลส เมื่อกิเลสหนักจัดจ้านหนาแน่น ชั่วด้วย เป็นอกุศล ก็สั่งสมเป็นเผ่าพันธ์ุ ซึ่งจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงเชื้อพันธ์ยาก ถ้าสั่งสมเป็นเผ่าพันธ์ุ

       ทางชีววิทยาเขาก็เรียนการสั่งสมเผ่าพันธ์ แล้วไม่ควรเรียกกรรมพันธ์ุ น่าจะเรียกว่า สรีรพันธุ์ แต่ของพุทธนั้นเรียนรู้การสั่งสมในจิตวิญญาณ เป็นกรรมพันธุ

       คุณสั่งสมแต่อกุศล อกุศลก็เพ่ิม บาปเพ่ิม กิเลสเพิ่ม แต่ถ้าคุณลด กิเลส บาป อกุศลก็ลด ทุกข์ก็ลดแม้ที่สุดหมดเลย เป็นพันธุ์ เช่นพันธ์ุโสดาบัน พันธุ์สัตว์นรก ซึ่งคงไม่มีใครอยากได้ แต่่ว่าถ้าไม่ได้ศึกษาไม่ปฏิบัติก็รู้ไม่ได้ก็สั่งสมพันธุ์สัตว์นรกโดยไม่รู้

       ต้องล้างละไปตามลำดับ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาฯอนาคาฯอรหันต์ หมดสิ้นเกลี้ยง แต่หากไม่เรียนรู้ไม่ฝึกลดละมันกเป็นจอมบงการคุณไปตลอดกาล

       อันนี้เป็นชาติที่เป็นทิฏฐิ เป็นอัตตา

       วันนี้จะอธิบาย ชาติประเทศ ที่รวมมา ตั้งแต่เป็นรัฐ องค์ประกอบของประเทศต้องมี มนุษย์ กับแผ่นดิน

       อย่างรธน.มาตรา 1 (รูปแบบรัฐ)ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 12:59:10 )

570118

รายละเอียด

570118_พ่อครูที่เวที่ป้อมพระสุเมรุ เรื่อง ความเกี่ยวเนื่องของสังคมและจิตวิญญาณ

       พ่อครูว่า...เราออกมาประท้วงทางการเมือง เป็นงานการเมือง ภาคประชาชน ซึ่ง ถูกนักการเมืองดูถูก คำว่า “การเมืองภาคประชาชน” เขาบอกว่ามันไม่มี เขาดูถูกว่าเป็นการเมืองข้างถนน ไม่มีในสารบบ ฟังแล้วก็เศร้าใจ เป็นนักการเมืองอดีตนายกฯนะ  นักการเมืองใหญ่หลายคนก็พูดว่า การเมืองต้องในรัฐสภาเท่านั้น นอกสภาฯไม่ใช่การเมือง ประชาชนไม่มีหน้าที่การเมือง ถือว่าเป็นพวกข้างถนน ฟังแล้วอนาถใจ ผู้ทำหน้าที่นักการเมืองแท้ๆ

       ในรธน.มีบอกไว้ว่า หน้าที่ของประชาชนมีหน้าที่สิทธิจะประท้วง ป้องกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ ปฏิบัติตามกม. เรามารักษา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครองในระบอบปชต​.

       มาตรา 63 ว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธโดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดๆ ให้มาร่วมชุมนุม"

       จะมาตัดเสรีภาพของประชาชน ไม่ให้ทำประท้วงไม่ได้ ดังนัน นักการเมืองที่มาพูดว่า การเมืองนอกสภาฯทำไม่ได้ ก็เป็นผู้ไม่รู้ หรือรู้ไม่รอบของนักการเมืองผู้นั้น

       ประชาชนได้ออกมาทำอย่างถูกต้องตามรธน. โดยนักการเมืองอย่างกำนันสุเทพ ก็คงได้เข้าใจ มาเปลี่ยนเป็นนักการเมืองที่แท้จริง จนลาออกจากสส.มา จนมาวันนี้ก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่าเราทำถูกตามรธน. ศาลก็ออกมาชี้บ่งว่าเราทำอย่างถูกต้องไม่ผิดกฏหมาย

       เรื่องนี้ถูกปกปิดไว้ มากว่า 80 ปี แต่ถึงวันนี้เขาก็พยายามใส่ความครอบงำบางพวกให้เข้าใจผิด ว่าเราผิดกฏหมาย เป็นกบฏ แต่ความจริงก็คือความจริง ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง เราทำถูกต้องตามหลักธรรม ตามสังคม แล้วที่สำคัญคือจิตวิญญาณ เป็นธรรมะแท้

       จิตวิญญาณที่เราออกมา เหน็ดเหนื่อยหนักหนา ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน เราออกมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม มาถึงวันนี้ เกือบจะชนะสถิติเดิมแล้วเรามาตั้งแต่ 7 ส.ค.​56 ซึ่งเป็นวันที่ตรงกับที่ชาวอโศกประกาศนานาสังวาสแยกตัวจาก มหาเถรสมาคม วันที่ 6 ส.ค. 2518 เราลาออกจากมหาเถรสมาคม เป็นเอกเทศ

       มาถึงวันนี้แล้วก็ 164 วันแล้ว อีกกี่วันจะถึง 193 วัน ,แค่อีก 29 วันเอง อีกเดือนเดียวก็ทำลายสถิติแล้ว เราไม่ทำรุนแรง เราเอาทำอย่างสงบ สุภาพ ทำดี เราไม่เอาอย่างผู้ร้ายที่ทำอย่างเมื่อวานนี้

       เราไม่อยากให้เกิดเลย แต่สุดวิสัย เราก็ทำงานกับคนเลว พูดให้ชัดๆ ไม่พิรี้พิไร  คนเลวเขาต้องทำเลวทำชั่ว เราก็เลยรับเคราะห์ไป ซึ่งสุดวิสัยจริงๆ เราไม่ได้เป็นผู้ทำความรุนแรง เราไม่ใช่ผู้ผิดเลย แม้เกิดความรุนแรง ก็ไม่ได้หมายความว่าการประท้วงนี้ทำให้เกิดความรุนแรง ไม่ใช่เราทำ เราทำด้วยวิธีการเจตนา เท่าที่เราจะสามารถให้เป็นการประท้วงอย่างดีงาม เป็นสากล คือสงบ ปราศจากอาวุธ เราก็ทำได้

       เรารักษาสถานะมาได้เรื่อยๆ ถูกใส่ความ ใช้เลห์กลมาเรื่อยๆ แต่เราก็บริสุทธิ์สะอาดมาได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของการประพฤติ มาปฏิบัติการเมืองภาคประชาชนเราทำเต็มที่ เรารักษาคุณธรรม สงบเรียบร้อย และเอาผู้รู้ ที่ซื่อสัตย์สุจริต เอาหลักฐาน ความรู้ถูกต้องมาแฉ ให้เข้าใจ รับรู้ส่ิงจริง เราทำมาตลอด ผู้มาสาธยายที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่รักความถูกต้อง เป็นผู้มีความรู้ถูกต้อง ไม่มีอคติ เป็นเจตนาให้ไม่ผิด ไขความจริง ก็ได้รับผลก้าวหน้ามาเรื่อยๆ จนมาทำร่วมกันหลายเวที ก็ช่วยกันทำ การเผยแพร่ ประกาศความจริงก็เลยมีมากขึ้น

       สื่อสารข้างนอกก็ไม่ค่อยร่วมมือ แต่ผู้รู้ก็ช่วยกัน มีโทรทัศน์วิทยุ ที่เราพอมี มีโทรทัศน์ชุมชนด้วยของ FMTV นอกนั้นก็มี Blusky ,  RSU TV ,Tnews,  ASTV นสพ.ก็มีแนวหน้า ,ไทยโพสต์เป็นหลัก

       เกิดพัฒนาการเป็นความถูกต้องดีงาม เป็นธรรมะ เป็นกุศลธรรม เราเผยแพร่กุศลธรรม แม้อาตมาเอง และชาวอโศก เราก็เอาโลกุตรธรรมมาแทรก แม้เป็นของสูงละเอียด แต่ดีแน่ เพราะเป็นส่ิงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ โลกุตระ อเทวนิยม เข้าถึงความรู้ความจริง ที่สุดถึงที่สุด เป็นนิโรธ นิพพาน หรือหมดเห็นแก่ตัว แก่ตนสิ้นเกลี้ยงเลย อยู่เหนือโลกียธรรม

       ต้องมีญาณปัญญาที่เป็นวิปัสสนาญาณ​แยกจิตเจตสิกออกได้จริง ถ้าไม่มีก็ไม่เข้าถึงโลกุตรธรรม ผู้มีปัญญาอ่านจิตเจตสิกออก รู้กายในกาย เวทนาในเวทน จิตในจิต ธรรมในธรรม แล้วแยก จิตอกุศล และกุศลออก

       จิตที่เป็นโลกียะมีเหตุ แล้วเราลดเหตุที่ไปหลง กาม หลงโลกธรรม หลงอัตตา อยู่ใต้อำนาจสิ่งเหล่านี้ ปุถุชนทุกคนอยู่ใต้โลกธรรมนี้ เป็นโลกธรรม 8 ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ เสพกาม ก็สุข เมื่อเสื่อมโลกธรรมก็เสียใจ ไม่ได้เสพกามไม่ได้บำเรออัตตาก็เสียใจ

       ผู้เรียนรู้โลกธรรมแล้วเรียนรู้การติดหลง ฆ่ากิเลสได้กำจัดได้จริง ฆ่าอย่างเห็นๆรู้ๆ เรียก วิปัสสนา มีญาณเห็น อาการกิเลส แล้วทำให้กิเลสลดละจางคลาย วิราคานุปัสสี แล้วให้มันหมดไปเป็นนิโรธานุปัสสี อย่างเห็นๆรับรู้แจ้งชัด ไม่ใช่ดับหลับตาไม่รับรู้ เป็นสุภกิณหะ ไม่ใช่ ซึ่งไม่ใช่นิโรธพุทธ

       ของพุทธนิโรธไม่ได้ดับจิต แต่ดับกิเลส ดับอย่าง มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง เป็นจักขุมาปรินิพพุโพติ มีญาณปัญญารู้แจ้งสว่าง ซึ่งต่างจากนิโรธที่หลงผิดกัน

       ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิก็ไม่รู้สิ่งเหล่านั้น ผู้มีญาณจะรู้ว่ากิเลสตั้งอยู่ แล้วกิเลสดับไป แล้วดับไปของกิเลส อย่างไม่เป็นตักกะ แต่เห็นกิเลสเกิด แล้วทำให้มันจางลง มันไม่จางมันมากขึ้นก็รู้ อ้วนขึ้นก็รู้ เห็นอย่างมีญาณอ่านออกเลย ไม่มีรูปร่างสีสัน สรีระ ต้องมีญาณรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส เห็นเครื่องหมายแล้วรู้ว่าอย่างนี้คือโกรธ อย่างนี้คือโลภ กิเลสมากหรือน้อยก็รู้ว่ามันต่าง มันหนักมันเบาก็รู้ว่าต่างคืออินทรีย์ต่าง แม้ต่างกันคนละตระกูลก็รู้ว่าโทสะต่างกับราคะ

       รู้ในนิมิต ว่าอาการแตกต่างกันอย่างไรในแต่ละชนิดของกิเลส เป็นของตน ปัจจัตตัง วิญญูหิติ แม้มันดับชั่วคราวก็รู้ว่าดับได้ชั่วคราว ถ้าดับได้ถาวรก็รู้

       การรู้การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป อย่างนี้เป็นไตรลักษณ์ ซึ่งไม่ใช่สามัญลักษณ์ แต่เป็นปัจจัตตลักษณ์ การรู้อย่างนี้เรียกว่าผู้มีไตรลักษณ์ แบบปัจจัตตลักษณ์ คือปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ส่วนสามัญลักษณ์นั้นก็ทั่วไปที่คนรู้ว่าเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นสามัญ

       ยังทำให้เหตุแห่งทุกข์ดับไปได้ ก็เป็นเพียงผู้รู้สามัญลักษณ์ ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้รู้เพี้ยนไปจากที่อาตมาอธิบายไว้มากเลย ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่อธิบายความจริง

       ผู้ทำเหตุแห่งอริยสัจดับได้จริง จึงเป็นผู้สัมมาทิฏฐิแท้ แต่ส่วนใหญ่ในวงการพุทธศาสนาเพี้ยนไป เข้าใจเพี้ยน เพราะว่าถ้าวงการพุทธสัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติจนมีอาริยบุคคลได้จริง เหตุการณ์ในไทยจะไม่เกิดเลวร้ายเช่นนี้เลย ถ้าพุทธศาสนิกชนในไทยมีมากมาย แต่สงสารที่ทำมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยไม่ได้ผล เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ไปเข้าใจว่าบรรลุธรรมต้องปลีกไปป่าเขาถ้ำ หากมาเกี่ยวข้องการเมืองเป็นเรื่องที่ผิดอีกด้วย นี่คือความเข้าใจผิด แล้วไปทำเป็นศาสนาหากิน คือมาอาศัยศาสนาสร้างโลกธรรม สร้างโลกียสุขบำเรอตน แม้ปาราชิกก็ปกปิดไว้ ส่วนสังฆาทิเสส นั้นมากเลย ผิดวินัยก็ไม่เอาถ่าน

       จึงไม่เกิดเนื้อแท้ในศาสนา ก็เลยไม่มีผลต่อมวลมนุษยชาติ ไม่พาให้เกิด พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) อย่างที่เป็น แล้วเป็นทุกข์ด้วย ศาสนาไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมด้วย พูดไปก็เกรงใจ

       เราออกมาก็เป็นงานการเมืองงานประท้วง เราทำอย่างสงบสุข เป็นสุขที่ยากจะเข้าใจ เช่นเป็นสุขอย่างภราดร อยู่อย่างพี่น้อง ไม่ได้อยู่อย่างศัตรู หรือชิงแย่งกัน  ช่วยกันอย่างไม่ต้องจ้างต้องวาน อยู่กันไม่นานก็มีภราดรภาพ มาด้วยสมัครใจ ไม่มีใครถูกบังคับมา เสียสละงานการบ้านช่อง ลูกหลานพี่ป้าน้าอามา

       สรุปแล้วมาอย่างอิสรเสรีภาพ อยู่ที่นี่แล้วก็เกิดภราดรภาพ แล้วอยู่อย่างสันติภาพ เรียบร้อยราบรื่น ง่ายงาม เป็นคนมักน้อยสันโดษ ไม่ฟุ้งเฟ้อ มีสมรรถภาพต่างคนต่างช่วยตามถนัดสามารถ ต่างคนต่างใช้ต่างคนต่างทำ เป็นสมรรถภาพ แล้วพัฒนาเป็นบูรณภาพ เป็น อิสรเสรีภาพ สมรรถภาพ ภราดรภาพ บูรณภาพ

       ที่นำมาพูดนี้เป็นส่ิงที่เราได้ประพฤติมา ได้ธรรมะอย่างไร ได้รับการฝึกฝนปฏิบัติอบรมอย่างไร เกิดสมรรถภาพ มีความรู้มีทักษะ เกิดรูปธรรม เป็นองค์รวม เป็นมวล แล้วเผยแพร่ประชาชนก็สัมผัสก็รู้ เป็นพลังให้เกิดความรู้เข้าใจชัดเจน เพราะเป็นรูปลักษณ์มีองคาพยพชัดเจน ทำจนก้าวหน้า แล้วมีผู้สื่อได้เพิ่มขึ้น

       พวกที่โต้ต้านก็ยิ่งทำผิดก็เลยมีส่ิงขัดเกลาเปรียบเทียบได้ชัดเจน คนทำผิดยิ่งทำผิดชัด ก็เลยก้าวหน้าขึ้น จากแสนเป็นล้าน จากล้านเป็นสองล้าน แล้วเป็นห้าล้าน แล้วเป็นสิบล้าน ไม่ได้มาจากส่ิงศักดิ์สิทธิ์ใดแต่มาแต่เหตุ

       อย่าคิดว่าเรามาเสียสละแล้วไม่เกิดผล เกิดผลดี แล้วเป็นผลที่เกิดยากด้วย คิดราคาแพงมาก เพราะสังคมต้องการคุณธรรมเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัวอย่างนี้แหละ เป็นอุปสงค์ที่สูงมาก หาคนทำได้ยาก เราก็เลยสร้างอุปทาน(ความต้องการ)ได้มาก

       เราทำเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่มีความก้าวหน้าทางธรรม ที่เจริญมาได้เพราะธรรมะ เราชนะด้วยสัจธรรม เราชนะด้วยธรรม ไม่ได้ชนะด้วยแรง หรืออำนาจเงิน ยศศักดิ์ เบ่งข่ม คุกคามทำร้ายแรง หรือใช้อะไรมาล่ออย่างโลกีย์ ไม่ใช่ เราไม่ได้ทำเลย มันเป็นเรื่องความจริง ทีเป็นสัจจะ เห็นแก่สังคมหมู่กลุ่ม เป็นการลดเห็นแก่ตัว ลดกิเลส ลดโลกียสุข มานี่ไม่ได้เสพโลกีย์อย่างเก่า แต่เรามาเสียสละอดทน ดีไม่ดีก็เสียสละสังขารร่างกายชีวิต ซึ่งก็สุดวิสัย เราก็ได้แต่แสดงความเห็นใจกัน

       เป็นการก้าวหน้า ที่เราได้อย่างนี้เป็นคุณภาพและปริมาณ ก็มากขึ้นด้วยเพิ่มอัตราก้าวหน้า ยังไม่เคยมีคนไทยจะออกมาร่วมมือ ใช้เวลายาวนานเป็นแสนเป็นล้าน ยังไม่เคยมีมาเลย แล้วหนักหนาอดทนเสียสละ ก็มีน้ำใจของคนที่เสียสละทั้งเงินทองข้าวของที่ช่วยกัน ก็พอเป็นไป ผู้เสียสละอย่างมากก็กำนันสุเทพก็ขายที่มาช่วยประท้วง

       ของเราก็อย่างอุปกรณ์เราก็สะสมใช้งาน ของเรามีไว้ก็เพื่อทำงานสังคม ของเราไม่ต้องใช้ขนาดนี้หรอก แต่เราสร้างเช่นเต๊นท์ใหญ่ 15 เต็นท์ เราก็ทำมาใช้ในงานส่วนรวมนี่ ข้าวของต่างๆนานา แม้แต่ส้วมก็ต้องสะสมไว้

       คนที่มาทำนี่ก็เห็นใจ ต้องเช่า อย่างกำนันก็ต้องเช่าต้องซื้อ เพราะทำงานไม่ได้เหมือนที่เราทำ เพราะเราทำมาตั้งแต่เริ่มหลายปีก็สะสมมา เราก็ทุ่นไม่แพงไม่เปลืองมาก ทางโน้นเขาเช่า แล้วเช่าแพงด้วยนะ อย่างจอนี่วันหนึ่งหลายหมื่นบาทนะ เราก็สะสมมาได้เท่านี้ก็บุญแล้ว ขออภัยที่บางคนอาจหาว่าอวดโอ่ทวงบุญคุณ แต่เราเล่าให้เข้าใจความจริง เป็นงานที่เราต้องช่วยกันทำ เป็นการพัฒนาบุคคล แต่ละคนมีน้ำใจ เข้าใจ ช่วยกัน เป็นพฤติกรรมสังคม หล่อหลอมทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

       โดยเหตุการณ์การเมืองนี่แหละ เป็นชาติ เป็นการเกิดในข้อ ที่ 4 การเกิดรัฐประเทศชาติ มีองคาพยพ ทั้งวัตถุและมนุษย์ที่มีพฤติกรรม อันมาจากจิตเป็นประธาน ใครฟังได้ยินเข้าใจ เกิดศรัทธาก็มาร่วม แล้วมาร่วมก็มีกรรม 3 ได้ฝึกฝนทำร่วม ร่วมเกิดก่อ ร่วมทำให้เกิด อุปัติ หรือปฏิสนธิ หรือประสูตร หรีือโยนิ ก็เป็นการเกิดใหม่

       ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วสืบสานต่อเนื่องมาเรื่อย ค่อยๆปฏิสนธิอุปัติ ค่อยเป็นรูปร่างเรียกประสูติ มาจากจิต เรียกกว่าโอปปาติกโยนิ เกิดจากจิตเป็นประธาน

       พอฟังเข้าก็เชื่อถือ แล้วฟังไปอีกก็เชื่อฟัง เป็นศรัทธินทรีย์ เป็นศรัทธาที่มีกำลัง มาปฏิบัติร่วม มาร่วมช่วยประท้วง ร่วมผนึก ใครมีความรู้สามารถอะไรก็มาช่วยกันคนละไม้ละมือ ก็เกิดอุปัติ เกิดขึ้น มีการพัฒนาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของจิต ก็เกิดอภิวัฒน์พัฒนา จะรู้เข้าใจจิตทำไปทำได้ทำเป็น ตอนแรกอาจฝืน กดข่ม พอทำไปก็ลดฝืนลดข่มทำได้แคล่วคล่องขึ้น ตัวปัญญาก็จะรู้ว่าเกิดคุณค่าประโยชน์

       โดยเฉพาะรู้ว่าที่ฝืนเพราะกิเลส แล้วเห็นกิเลสจางคลาย เมื่อจางคลายก็จะรู้ว่าทำอย่างนี้ดีกว่า ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจิต ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมีสองทาง มีทั้งไปทางชั่วหรือตกต่ำ หรืออีกด้านคือเจริญอย่างถูกต้องดีงาม เป็นการเกิดขึ้่นหรือหยั่งลงเป็นกุศลจิต โอกกันติ หยั่งลง                                                                                                           ถ้าหยั่งลงเป็นสิ่งผิด ไปศรัทธา เชื่อส่ิงชั่ว ฉลาดในสิ่งชั่วก็ทำชั่วได้มาก อย่างที่เขาอธิบายกัน เขาก็จะไม่พูดว่าชั่ว เขาก็จะพูดว่าดี แต่ความจริงสาระมันชั่วมันผิด ต้องใช้ปัญญาแยกเอง ต้องเห็นชั่วเป็นชั่ว เห็นดีเป็นดี คือผู้เห็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นมิจฉาทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ ซึี่งตรงกันข้ามกับผู้มิจฉาทิฏฐิ   

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:00:28 )

570119

รายละเอียด

570119_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง ประท้วงแบบคนจนมหัศจรรย์กู้ชาติได้

       คนยิ่งทำเลว เรายิ่งต้องทำดีให้มาก

ทำดีหรือทำชั่ว เป็นผลวิบาก กรรมเป็นทรัพย์ ฟังซ้ำๆ ใครเบื่อในสิ่งที่เป็นยอดเพชร ยอดสมบัติ เป็นสุดยอดของชีวิต คนนั้นจิตไม่ดีแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่ควรได้รับเสมอๆ ถ้าคนไหนรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบแล้ว คนนั้นจิตใจตกต่ำ ไม่ดีไม่งามแล้ว

       เราต้องสั่งสมสิ่งประเสริฐ จงรู้สึกตัวให้ไวเลย ว่าเราชักแย่แล้ว ความเป็นคนของเราชักตกต่ำแล้ว คนเขาทำชั่ว เขาก็รู้ตัวเองนะ จะทำคนเดียวหรือทำเป็นแก๊งค์ ก็ตามหรือเป็นคณะใหญ่ระดับประเทศ ก็น่าสงสารประเทศไทยนะ เราต้องไม่ดูดาย เราต้องคิดว่า อาจจะเป็นเช่นนั้น ย่ิงถ้าเป็นเช่นนั้น เรายิ่งจำเป็นต้องช่วยกัน จำเป็นอย่างย่ิงต้องช่วยกัน

       ช่วยอย่างที่เราพากเพียรร่วมกัน มาร่วมต้านส่ิงชั่วเลว สิ่งไม่ดี เป็นความจำเป็น ดูดายไม่ได้ เราตั้งหน้าตั้งตาทำกันมา อีกเดือนเดียวก็ทำลายสถิติพธม.แล้ว ที่เคยประท้วงมา ต่อเนื่องได้ 193 วัน เป็นสถิติ นอกนั้นก็มีอีกหลายกลุ่มหมู่

       แล้วชาว กปท. ออกมาตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.​56 กองทัพธรรมมาวันที่ 7 ส.ค.​56 วันนี้ก็ได้เลย 5 เดือนมาแล้ว ถ้าอีกเดือนหนึ่งก็จะทำลายสถิติเดิมเลย แล้วเรามาทำอะไร แต่ละคนรู้สึกไหมว่า เราได้มาทำชั่ว ทำไม่ดีไม่งามหรือเราทำไม่ถูก ได้ตรวจตราดูบ้างไหม? 

       เขากล่าวหาว่าเราเป็นกบฏ ซึ่งวันนี้อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่องนี้ว่าเราออกมาทำอะไร?

       เราออกมารวมตัวกันประท้วง ตามลักษณะของภาษา ประท้วงการกระทำของผู้บริหารประเทศ ที่ทำประเทศล่มจม พังทลาย สลายผิดพลาด เราก็ใช้ภูมิปัญญาเท่าที่เรามี ออกมาด้วยอิสรเสรีภาพ ไม่ได้ถูกครอบงำ หรือจ้างวาน หรือบังคับ มันเป็นอิสรเสรีภาพของแต่ละคน ที่จะออกมาแสดงมวลของมหาประชาชน

       ฝ่ายตรงข้ามก็มาต้านเรา ว่า 1 คน 1 เสียง เขาทำก็ถูกต้องเราทำก็ถูกต้อง แล้วฝ่ายไหนผิดฝ่ายไหนถูก ฝ่ายไหนชอบธรรม ฝ่ายไหนไม่ชอบธรรม แต่ทุกคนมีสิทธิ์ตามระบอบประชาธิปไตย ทำได้ทั้่งคู่ เขาก็พูดเหมือนที่เราพูด ต่างคนต่างตู่โทษกันว่าคนอื่นผิด

       เรามาทำอย่างสงบเรียบร้อย ไม่ใช้อาวุธ ไม่ไปคุกคามทำร้ายเขา แม้เขาทำร้ายเราก็ไม่ทำร้ายตอบ ต้องอดทน อุตสาหะวิริยะ ซึ่งมีอ.ปราโมทย์ นาครทรรพได้พูดที่สวนลุมฯ ได้ประมวลความผิดของอีกฝ่าย มาจากต้นตอคือคุณทักษิณเลย ตามหลักวิชา และพฤติกรรมจริงที่เขาได้ทำมาแล้ว มันเป็นโลกียธรรม เป็นโลกธรรม ที่เลวร้าย ซึ่งที่จริง โลกียธรรมมีทั้งกุศลและอกุศล และเขาทำเลวหนักขึ้นๆ ก็ต้องขอพูดอีกที ว่าอายุปูนนี้แล้ว ไม่เคยเห็นใครทำเลวได้เท่าคุณทักษิณ จะให้พูดว่าดีก็ไม่ใช่ เพราะเลวมาก เป็นส่ิงควรพูด เพราะกระทบต่อบ้านเมืองไทย คนไทย มีผลจริงอยู่ เมืองไทยไม่เคยแตกแยกขนาดนี้ ผัวเมียแตกกัน พ่อลูกแตกกัน ซับซ้อนหลอกล่อ โกหกตลบแตลง ใช้โลกธรรมเป็นพลัง คนมีกิเลสก็ตกเป็นทาส

       นอกจากจะโง่ส่วนตัว แล้วก็ถูกเขาเอาโลกธรรมเป็นอามิส ล่อ บังคับ ให้ทำส่ิงเลว คนมีกิเลสก็กระโดดงับ ตกเป็นทาส เป็นลิ่วล้อ เป็นเบี้ยช่วย

       คนที่ไม่ได้ไปหลงลมเขา ไม่เป็นทาสโลกธรรม ก็ไม่ไปช่วยฝ่ายโน้น ก็เป็นกลางกับช่วยกัน ซึ่งมีทั้งกลางมิจฉาทิฏฐิ ไม่ช่วยสังคม ใครจะชั่วดีเราไม่เกี่ยว นี่คือมิจฉาทิฏฐิ

       เป็นกลางต้องเข้าข้างคนดี เพราะเห็นๆว่าสังคมเลวร้าย ต้องมาต้านคนชั่ว ช่วยคนดี เพราะคนชั่วทำเลวได้มาก คนดียิ่งไม่ทำร้ายใคร ส่วนคนร้ายนั้นทำร้ายคู่ต่อสู้ คนอยู่กลางๆคือคนใจดำมาก ทั้งรู้ว่าใครดี ใครชั่ว แต่ก็ปล่อยให้คนร้ายทำร้ายคนดีได้ ทำไมไม่รู้สึกรู้สาบ้าง

       คนดีก็หลบเลี่ยงบ้าง อย่าไปตอแยเขามาก ก็ทำส่ิงที่จะให้เขาหยุด การให้ความดีไปยับยั้งความชั่ว ต้องอาศัยมวล และอาศัยตุลาการ แต่คนชั่วไม่ยอมรับตุลาการ ก็เลวซ้อนเลวซ้ำ ก็ต้องอาศัยมวล

       ที่เราทำได้มากขนาดนี้เพราะได้มวลมาก ไม่ว่าเวทีไหน แยกเวทีกันก็คือหนึ่งเดียวกัน แต่ก็เป็นจุดหมายเดียวกันหมด เป้าหมายเดียวกันหมด จึงเยอะ เป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เคยเกิด มีคนออกมาร่วมชุมนุมยาวนานอดทน สงบ อันนี้เป็นบุญญาวุธสุดประเสริฐ จะเป็นสิ่งบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของโลก

       แม้มีเหตุการณ์ทำร้ายเรา เราก็สงบ เราไม่ทำร้ายตอบ เขาทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว ผู้รู้ก็เห็น ขอให้รักษาความสงบ เอามวลยืนหยัดอดทน นานเท่าไหรก็ต้องยืนยัน

       1. ตุลาการเขาก็ไม่รับ การไม่รับอำนาจตุลาการคือกบฏ ก็เหลือแต่ตุลาการภิวัฒน์ ชนะด้วยการตัดสินก็ยำ่แย่ แต่ก็ช่วยได้ หนักเข้าต่างประเทศก็ต้องช่วยกัน ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ

       2. ประชาภิวัฒน์ คือมวลประชาชนออกมามากๆ ในอเมริกาเอง มีคนชุมนุมต่อเนื่องมานาน 20 ปีแล้ว และเราออกมานี่มีคุณภาพที่เป็นธรรมะทำแต่สิ่งดีๆ พฤติกรรมดีๆ ถูกต้อง เราอยู่อย่างภราดรภาพ อยู่อย่างพี่น้อง ยาวนานขึ้นจะเป็นบูรณภาพ ถึงที่หมายที่ควรเป็น

       ที่เราทำนี่มีความชัดเด่นที่เราทำ เราทำแบบคนจน

"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ" ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534

       ของพวกเรานี่แบบคนจนและมักน้อยสันโดษ แบบพระพุทธเจ้า ซึ่งท่านสอนไว้หลายแห่งในพระไตรฯ เช่นในโคตมีสูตร

1.   เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2.   เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ)

3.   เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)

4.   เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

5.   เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6.   เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ)

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ)

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

       นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา  (โคตมีสูตร พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 143)

       เป็นหลักใหญ่สำคัญ ไม่ท้ิงมักน้อยสันโดษ มักน้อยคือมาจน ไม่่ต้องมีมากหรอกในชีวิต ฟังแล้วก็น่ากลัวสำหรับผู้ที่มักมากในโลกธรรม อย่างปธน.อุรุกวัยชื่อ มูจิก้า เป็นคนมักน้อยที่เป็นตัวอย่างที่ดี

       แล้วทำไมเรานับถือคนมักน้อยว่าเป็นคนดี เป็นส่ิงยอดเยี่ยม แม้พระพุทธเจ้ามาเป็นคนจน ไม่ได้หมายถึงว่า คนจนเป็นความตำ่ต้อยไม่เจริญ ไม่ใช่เลย

       ในหลวงเราเลยบอกให้มาเป็นคนจน ต้องทำปัญญาให้แจ้ง เป็นเรื่องน่าเป็นน่ามีด้วย ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างอโศก ชาวอโศก เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตามจังหวัดต่างๆในประเทศไทย มีชื่อเรียกกันไปตามแต่ละสถานที่ เช่น สันติอโศก ราชธานีอโศก เป็นต้น ทุกชุมชนคนตั้งใจเป็นคนจน กระทั่งไปตั้งนามสกุลเป็นตระกูลจนไม่รู้กี่นามสกุลแล้ว เจตนามุ่งมั่นประทับใจว่าเราต้องเป็นคนเช่นนี้ให้ได้ พยายามลดละ จนออกมาอยู่กับวัฒนธรรมของเรา มีจารีต มีระบบ เป็นระบบที่เราเรียกว่า ระบบบุญนิยม

       ซึ่งถึงขึ้นสาธารณโภคี เป็นของพระพุทธเจ้า อยู่ในสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 มีเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม แล้วมี สาธารณโภคี ,ศีลสามัญตา ,ทิฏฐิสามัญตา

       ศีลสามัญตาคือมีศีลเสมอสมานกัน คนศีล 5 เสมอศีล 5 แล้วเสมอสมานศีล 8 ตามลำดับไป นับถือกันมีคุรุกรณะ มีสารณียะ มีปิยกรณะ มีสังคหะ มีอวิวาทะไม่ทะเลาะวิวาท มีสามัคคียะ มีเอกีภาวะเป็นนำ้หนึ่งใจเดียวกัน

       อโศกแน่นเป็นปึกแผ่น สัจธรรมที่เป็นแล้วจะเป็นเช่นนั้น จะลงตัว เป็นของจริงที่ไม่ขัดแย้ง เป็นสาธารณโภคี เกิดจากจิตที่ ถ้าไม่มีจิตเมตตา ก็จะออกมาทางกาย ทางวาจา มีมากน้อยก็ออกมาจริง

       เราสังวรระวัง แม้มีกิเลสก็ต้องระวัง ให้เมตตาทางกาย ทางวาจา เกื้อกูลกัน สังคหะ ช่วยเหลือกัน เป็นภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องกัน ใช้กินของส่วนกลาง เราออกมาชุมนุม ทำอย่างสาธารณโภคี

       คนมาชุมนุมก็กินใช่ร่วมกัน แบ่งกันใครมีมากก็เสียสละ เลี้ยงดูกันไป หลายเดือนแล้ว ถ้าจะไปเป็นปีจะอยู่รอดไหม? ...รอด...เอาอะไรมาเป็นประกัน...คุณได้ช่วยเหลืออะไรบ้าง

       เราอยู่อย่างอนุเคราะห์ไม่แย่งชิง สังวรระวังไม่เห็นแก่ตัว พยายามลดเห็นแก่ตัว อย่างที่เราอยู่กันนี่ ถ้าเราทำอย่างนี้เป็นปีก็เป็นได้

       เมื่อเราได้ทำร่วมกัน ที่เราอยู่นี่แออัดนะ แต่ถ้าชีวิตจริงๆ ต่างคนต่างอยู่คนละบ้าน แต่พฤติกรรมเช่นนี้ ทุกคนพยายามทำให้มีส่วนเกิน แล้วไปเกื้อกูลกัน ขายกันก็ขายถูกๆ ไม่ใช่ขายอย่างทุนนิยม เสียสละเท่าใดก็ได้ ถ้าจิตเป็นจริงอย่างนี้ได้จริงๆ จิตเป็นประธาน อย่างอโศกเป็นชุมชนสาธารณโภคีหลายสิบปีแล้ว

       เริ่มมาแต่ 25​27 ชุมชนปฐมอดโศกเป็นชุมชนแรก ถือว่าเป็นรูปร่างเสร็จ มีแผ่นดิน แบ่งแจก มีวิธีการอยู่กัน แล้วทำงานเป็นสาธารณโภคี กินใช้ส่วนกลาง ทุกคนทำงานเข้าส่วนกลางหมด เป็นต้นแบบ แล้วเกิดชุมชนอื่นขึ้นมาเรื่อยๆ หลายชุมชน จนกระทั่งมีชุมชนย่อยหลายสิบชุมชน ทุกแห่งสาธารณโภคีหมด

       อาตมาภูมิใจมา ทุกชุมชนไม่มีที่ไหนเป็นหนี้ภายนอก หรือเป็นหนี้ธนาคาร นี่คือชุมชนเอกราช ส่วนกลางไม่เป็นหนี้ ส่วนตัวก็มีบ้าง พระพุทธเจ้าสอนว่าการเป็นหนี้เป็นทุกข์

       ในหลวงว่า การไปรวยๆนี่จะไม่ก้าวหน้า มันมีแต่จะถอยหลัง อย่างสังคมทุนนิยม สะสมร่ำรวยส่วนตัว แล้วให้ส่วนใหญ่อดอยากแย่งชิง จิตใจคนรักจะมาจน กับคนที่อยากรวยเหมือนนายทุนนั้นต่างกัน ถ้าคนส่วนมากอยากรวยเหมือนนายทุน ก็ตรงกันข้ามกับในหลวงท่านตรัส เราต้องมาอยากจน ไม่ไปอยากรวย แล้วพากเพียรจน

       ไม่มีใครให้คนอื่นจนตัวตายหรอก กิเลสมันไม่อยากให้เราก็ต้องให้ไป ถ้าสังคมสาธารณโภคีจริง ไม่ต้องมีส่วนตัวเลย ให้ไปหมดเนื้อหมดตัวเลยก็อยู่ได้ ใช้กินส่วนกลาง เขาไม่ให้เราก็ไม่ใช้ เขาให้เราก็ทำ ทำแล้วเราไม่เอาเป็นส่วนตัว ทำน้อยเราก็ให้ส่วนกลางได้น้อย ทำมากเราก็ให้ส่วนกลางได้มาก แต่ละคนถ้าทำแล้วไม่คุ้มเขาก็ไม่ให้มาก คนนี้ควรอนุมัติให้มากไหมคุ้มไหม คุ้มก็ควรให้ ต่างคนต่างดูแล เพราะเป็นของส่วนกลาง ช่วยกันบริหารแบ่งแจก

       เป็นเศรษฐศาสตร์บทใหม่ของโลก เป็นเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ส่วนทุนนิยมนั้นมุ่งไปรวย เป็น Maximize Profit ต้องให้ได้กำไรมากที่สุดเป็นเป้าหมาย แต่มาจนนี่ Minimize Profit กำไรให้น้อยหรือไม่เอากำไรเลย

       จิตที่เป็นจริงได้อย่างนี้เป็นความก้าวหน้าอย่างมาก กล้าพูดว่าชาวอโศกก้าวหน้าทุกวันๆ เราทำตามที่ในหลวงตรัส ว่าให้มุ่งมาจน แล้วเราทำให้เราจนได้จริงๆ เป็นจริงแล้ว อยู่กันมาหลายสิบปี

       

       ตั้งแต่ปีพศ. 2527 มาถึง 2557 ก็ 30 ปีแล้ว สำหรับปฐมอโศก ตอนแรกอาตมาก็เป็นคนกลาง มีคนบริจาคให้อาตมาก็ไปช่วยชุมชนไหนที่ต้องช่วย โดยอาตมาไม่เอาไว้เป็นของส่วนตัว เงินที่ใครบริจาคให้อาตมา จะไม่ใช้เลี้ยงตนเอง จ่ายเพื่อตนเอง แม้ตนเองต้องกินข้าว แล้วไม่มีข้าวกิน ก็ไม่ใช้เงินที่เขาบริจาคซื้อข้าวกินเพื่อตนเอง และแม้ว่าจะซื้อปัจจัย 4 แม้รักษาโรคตนเองก็ไม่จ่ายเงินที่เขาบริจาคให้ ใครจะอนุเคราะห์ก็ทำไป ถ้าไม่มีใครก็ดื่มน้ำเยี่ยวของอาตมารักษา

       ตั้งแต่บวชมา ก็มีเกณฑ์จะรับ ไม่ได้รับทุกคน ได้มาก็ให้ส่วนกลางใช้ สำหรับปฐมอโศกตอนแรกก็ให้เขาบ้าง เขายังตั้งหลักไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เขาตั้งหลักได้แล้ว ตอนนี้ให้อาตมามาเดือนละ 1 ล้านเลย แต่ตอนนี้มาชุมนุมไม่ค่อยมีแรงงานก็เลยให้ไม่ถึงล้านแล้ว แรงงานขาดทางโน้น อาตมาก็เลยพลอยถูกตัดไป เขาก็อยู่รอดช่วยเลี้ยงน้องๆ ชุมชนอื่น

       เป็นเศรษฐศาสตร์ที่วิเศษ เป็นอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องแท้จริง แล้วมีสันติภาพ สมรรถภาพ แล้วพัฒนาขึ้นบูรณาการขึ้นทุกวันๆ เป็นเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นระบบระบอบบริหารกันไป เป็นระบอบที่เป็นประชาธิปไตยย่ิงใหญ่ มีธรรมาธิปไตยสมบูรณ์ ทุกคนจน พยายาม บางคนมีทรัพย์ส่วนตัวบ้าง ส่วนคนไหนแน่ใจก็ไม่ต้องสะสม หมุนเวียนใช้ไป อธิบายยาก แต่มาอยู่จริงก็จะรู้ อยู่ที่บารมีด้วย ถ้าเป็นหมาหัวเน่าก็อยู่ยาก แม้เบิกส่วนกลางก็ยาก แต่ถ้าเป็นที่รักของสังคมก็ไม่ขาดหรอก

       แล้วยิ่งเรามีจิตไม่มักมาก ไม่หลงใหญ่เฟ้อเกินแล้วนิดหนึ่งก็พอแล้ว ไม่อยากมากมาย มีน้อยก็พอแล้ว ในวัฒนธรรมแบบนี้ เป็นจิตวิญญาณที่พร้อมพรั่งด้วยภูมิปัญญา และมีจิตใจไม่โลภ ไม่โกรธไม่หลง มีน้อยก็พอ สงบ ไม่เดือดร้อนดิ้นรน สงบแล้วจิตไม่ดิ้นรน ไม่ซัดส่ายวุ่นวาย มีเท่านี้ก็พอ

       อสังสัคคะ ไม่ติดสวรรค์ จิตไม่มีเพื่อนสอง คือจิตที่ปราศจากกิเลส ตัณหา

       ที่เราชุมนุมนี่อยู่อย่างสาธารณโภคี ตั้งแต่เราทำ Neo Protest เรียกว่าใหม่ ก็เพราะว่าเราจะเอาความสงบสยบความเคลื่อนไหว เอาความสงบและความถูกต้องเป็นธรรมาวุธ ขออภัยที่ต้องบอกว่าเป็นผลที่เราทำมา ได้ผลไม่มากก็น้อย ประชาชนก็ช่วยกันทำมา ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไปไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ ก้าวหน้ามาเรื่อยๆแต่ปี 2549

       ถ้านักรัฐศาสตร์จะทำวิจัยจะได้เป็นหลักวิชาเลย ซึ่งอาตมาขอบคุณแต่ละคนที่ออกมาช่วยกัน แม้แต่คนที่ช่วยสงเคราะห์ ช่วยเบื้องหลัง ก็มี เป็นองค์ประกอบร่วมกันทำคนละเล็กละน้อยหรือคนละมากก็ตาม อย่างที่รับเงินของกำนัน นั้นไม่ได้รับแค่เงินนะ แต่รับจิตวิญญาณด้วย ถ้าคนทั้งโลกมีจิตใจเห็นน้ำใจ เสียสละสุดยอด เป็นเรื่องจริงใจสุดวิเศษ น้อยก็คือยอดแห่งน้ำใจ ยิ่งมาก็ย่ิงวิเศษเลย เขาทำแล้วไม่เดือดร้อนย่ิงทำยิ่งดี เขาเห็นคุณค่าเขาเหลือน้อยก็ให้ ไปตายเอาดาบหน้า มี 11 บาทก็ให้หมดเลย ไม่กลัวตายเลยก็ยอด

       การพัฒนามาถึงวันนี้แล้วเข้ารอบพัฒนาของประเทศชาติ มีความเดือดร้อนของประเทศเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความจริงที่ประชาชนรู้ว่าชาติเดือดร้อนเพราะอะไร เร่ิมตั้งแต่สนธิ ออกมา มาตามลำดับ จนกระทั่งถึงวาระนี้ก็เกิด กำนันสุเทพ มาเป็นตัว Activist ตัวสำคัญ​ ถ้าเข้าใจแล้วไม่ใช่เรื่องจะไปริสยากัน แล้วก็เป็นเรื่องที่สะสมมา เขาทุกข์ร้อนมากในทุจริต แล้วก็มีสิ่งดีความดีเพ่ิมขึ้นมา สองด้านทั้่งดีและเลวของสังคมสะสมมา จนประชาชนตื่นรู้

       เพราะประชาชนมีเนื้อหาธรรมะอยู่ด้วย จึงมารวมตัวกัน เกิดเหตุเช่นนี้ ประเทศที่ประชาชนตื่นรู้ และพิเศษที่ว่า เป็นความสงบอย่างพิเศษด้วย ถามว่า...อาตมาอยากให้สำเร็จไหม...อยาก
       แต่ใจจริงไม่ได้อยากหรือไม่อยาก แต่ควรไหม?...ควร ใจก็รู้ว่าถึงเหตุปัจจัยก็ควรเป็น ตอบตามโวหารว่าอยาก  ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่สุดประเสริฐหากเราชนะด้วยสงบปราศจากอาวุธ ชนะด้วยความดีงาม ถูกต้อง ถ้าความถูกต้องดีงามเป็นผู้ชนะไม่ดีได้อย่างไร และมาถึงวันนี้เหตุปัจจัยขนาดนี้น่าจะเป็นไปได้

       เหลือแต่ว่าประชาชนเท่านั้นจะช่วยกันทำ ย่อมเกิดเองอย่างลึกลับก็ไม่ใช่ ทุกอย่างมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอน ไม่มีเรื่องอะไรเกิดโดยบังเอิญ

       ทุกวันนี้เล่นโกงกันเป็นแสนล้านแล้ว มันไม่เล่นแล้วพันล้านหมื่นล้าน มันจะเอาล้านๆ สาหัสจริงๆ เลวฉิบหาย

       บาปบุญมีราคา ไปทำบาปในดงคนบุญก็บาปมหาศาล เช่นคุณมีข้าวก้อนนี้นะ ให้โจรกินก็คือให้โจร ถ้าให้คนดีกินก็ได้ค่าของบุญสูงกว่าโจรไหม? ยิ่งข้าวก้อนเท่าเดิมให้แก่อาริยบุคคลให้แก่ผู้มีประโยชน์ต่อโลกกิน ราคาค่าบุญของข้าวก้อนเดิมนั้นต่างกัน

       ยิ่งไปทำบาป เช่น ไปทำร้ายพระอาริยะ ก็บาปมากกว่าไปทำร้ายโจรคนชั่ว ทำร้ายพระสกิทาฯก็บาปกว่าทำร้ายโสดาบัน ถ้าทำร้ายพระพุทธเจ้าทำให้เกิดแผล ก็บาปมากกว่าไปทำร้ายคนอื่น

       พระพุทธเจ้าว่าใส่บาตรพระโสดาบัน 1ครั้ง ได้บุญมากว่าใส่บาตรเป็นนิจทาน ,ทำบุญใส่บาตรพระอนาคามี 1 ครั้งเท่ากับใส่บาตรพระสกิทาคามี 100 ครั้ง ทำบุญแก่สาวกพระพุทธองค์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบโดยไม่กำหนดบุคคล ย่ิงได้บุญมากกว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้า

       ทุกวันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว คุณทำจักตุทิสาสังคิกวิหารทาน ทำบุญทั่วทั้ง 4 ทิศเลยได้บุญมากกว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้า ยิ่งทำบุญโดยไม่กำหนดบุคคล จะพระเล็กพระน้อยท่านขาดอะไร

       พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก ท่านไม่ได้ขอนะ แต่เราไปสังเกตว่าท่านขาดอะไร ขาดด้าย ขาดเข็ม แล้วท่านต้องการ เราไปรู้ความขาดแคลนของท่าน เรารีบสงเคราะห์ ลงทุนน้อยแต่อานิสงส์มากได้บุญมากว่าสร้างวิหารถวาย

       ที่จริงวิหารแปลว่าเครื่องอยู่ เขาก็ไปตีกินว่าสร้างวิหารนี่ราคาแพง ไปเข้าใจว่าเป็น จตุทิสาสังคิกวิหารทาน ที่จริงไม่ใช่ แล้วยิ่งพระสงฆ์ที่ท่านไม่ได้สะสม เพราะจะอาบัติ นิสสัคคียปาจจิตตีย์ ถ้าแน่ใจว่าทานขาดก็ซื้อให้ ถ้าแน่ใจว่าให้เงินท่านท่านก็ไม่เอาไว้แก่ตน ท่านไม่อยากได้ ไม่มีจิตมีกิเลสตัณหา แต่ว่าท่านขาดแคลนสำคัญ ก็อานิสงส์สูง ถ้าท่านมักน้อยสันโดษท่านไม่ได้อยากเอาหรอก ก็ยิ่งมีอานิสงส์ ถ้าท่านไหนมักมาก มีโวหารมีวิธีเลียบเคียง ก็ยิ่งไม่น่าให้ท่าน มีตัวอย่างมากในสังคม ก็ให้ทำการควำ่บาตรบ้าง ย่ิงไปหลอกให้คนหาให้ได้เยอะแล้วเอาไปทำบุญ เขาก็หลอกคนมีความรู้สามารถ เขายิ่งรวยเขายิ่งทำได้ก็ย่ิงให้มาก ก็ระบบทุนนิยมก็ยิ่งรวยไปมักมาก

       คนที่รู้จริงก็จะสนับสนุนคนมักน้อยสันโดษ แต่ถ้าสอนให้คนมักมาก คนไม่ฉลาดก็เป็นเหยื่อ แล้วถ้าใครไม่สามารถมากก็หมดเนื้อหมดตัวก็มีมาก บางคนก็ไม่หมดตัวเพราะฉลาดเอาเปรียบมากก็ย่ิงไปเอาเปรียบคนอื่นอีก สังคมเดือดร้อนอีก

       อย่างสาธารณโภคี ยุคพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ แต่ยุคนี้ทำได้ในวงฆราวาส ถ้าศึกษาจริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าก็เปิดฉาก แง้มเปิดประตูสู่สังคมแล้ว โดยที่อาตมาเทศน์โลกุตรธรรม

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:02:48 )

570120

รายละเอียด

570120_พ่อครูและอ.กฤษฎาที่เวทีพระราม 8 เรื่อง ประเด็นตัดสินให้รัฐบาลนี้ออกไป

       อ.กฤษฎาว่า...เราทำมาอย่างสงบสันติอหิงสา แต่มีเหตุร้ายที่ว่าเขาว่ากันว่าเป็นมือที่ 3 มาก่อเหตุด้วย การชุมนุมก็ทำมานานแล้ว อะไรจะเป็นเหตุให้รัฐบาลนี้ออกไป

       พ่อครูว่า...ประเด็นที่จะตัดสินก็คือสัจธรรม

        1.ตุลาการภิวัฒน์ 2.ประชาภิวัฒน์ 3.กรรมาภิวัฒน์

       เราเคยมาชุมนุมกันก็มีประเด็นของตุลาการภิวัฒน์ช่วยมาหลายที ตัดสินความผิดความถูก เราชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย ประท้วงให้เห็นว่าผู้บริหารไม่ถูกต้องไม่ชอบธรรม ให้คุณต้องหยุดต้องเลิก หรือแพ้ไป ตุลาการภิวัฒน์ก็ช่วยมาหลายครั้ง ตามหลักที่คนทั่วโลกยอมรับกัน

       ส่วนประชาภิวัฒน์คืออำนาจประชาชนก็มายืนยันความถูกต้อิง เป็นคณะตัดสินแต่ไม่เหมือนกบตุลาการ เป็นอำนาจสากล ประชาชนคือรัฏฐาธิปัตย์ 1 คน 1 เสียง ถ้าผู้บริหารมารับใช้ประชาชน เมื่อตนเองผิด แม้มีคนประท้วงแม้คนเดียวก็ตาม เขาประท้วงถูกต้อง แล้วผู้บริหารทำผิดเขาก็ต้องรับผิด ถ้าถึงขั้นต้องออก เขาก็ต้องออก แต่ถ้ามีเป็นจำนวนมาก เป็นแสนเป็นล้าน ก็ต้องออกไป

       เป็นหลักสากล ประชาชนเป็นเข้าของอำนาจ เพราะประชาชนเป็นเข้าของอำนาจ เขาจ้างคุณมาทำงาน แล้วเม่ือคุณทำไม่ถูกต้อง เขายืนยันคุณก็ต้องออกไป

       แต่นี่เขาก็ยังหน้าด้าน เราชุมนุมนี่สุดยอดแล้ว แตก็เจอรัฐบาลที่หน้าด้านสุดยอดแล้ว ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่เป็น โด้ ง่าน จะว่าฉลาดไม่ฉลาดแน่ เขาโง่ที่ทำผิด หลักสัจธรรม หลักสากล

       เราทำอย่างถูกต้องสากล ไม่ใช้อาวุธ  ไม่รุกรานรุนแรง แต่เขาก็ปฏิเสธอำนาจตุลาการ เมื่อประชาชนประท้วงเขาก็ไม่รับ ก็ต้องให้กรรมตัดสิน เป็นกรรมาภิวัฒน์ ก็จะเป็นอย่างไร ก็ด้วยอำนาจกรรม ตอนนี้ก็ระหกระเหิน ตุหรัดตุเหร่ กรรมจะทำร้ายเขา เป็นวิบากที่เขาต้องรับ สุดท้ายดีไม่ดีก็ต้องฆ่าตัวตาย จะโดนอันนั้นอันนี้ก็แล้วแต่ เขาอาจไม่เชื่อ เหมือนเทวฑัตที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าแล้วก็ถูกธรณีสูบเป็นต้น

       อ.กฤษฎาว่า...แต่ละวันเขาก็ไม่รู้จะไปนอนไหน ระเหเร่ร่อน หลบเลี่ยงไป

       พ่อครูว่า..วันนี้สำนักพิมพ์ผู้จัดการเขาก็เขียน นายกเป็นปูอยู่ในรู มีรูสองข้าง คนก็ดักจับสองข้าง ไปไหนไม่ได้ ต้องมุดรู ก็น่าสังเวช เขาโด้ คือด้านยกกำลังโง่ ไม่ใช่ฉลาด แต่ด้านยกกำลังโง่

       อ.กฤษฎาว่า..สภาวะที่ต้องระหกระเหิน นี่เป็นกรรมาภิวัฒน์

       พ่อครูว่า...หนักเข้าก็ต้องตกเหว ตกห่า สุดท้ายแม้จะต้องฆ่าตัวตายก็เคยมีในประวัติศาสตร์ เป็นตามสัจธรรม เขาไม่เชื่อกรรม แม้เขารู้ หรือไม่รู้ก็ตาม แต่โดยสัจธรรม ของมนุษยชาติ เขาก็มีการยืนยันหลักฐาน พยาน เป็นเครื่องยืนยัน เขาก็ดิ้นรนใช้เล่ห์ตลบแตลงไป เขาก็มีฝ่ายที่ออกข้อมูลสื่อสาร เขามีคนที่พูดได้พูดดีสองคนคือ ณัฐวุฒิ และจตุพร นอกนั้นก็มีนางนกแสก สามีนางนกแสก เราเห็นชัดๆเลยว่า เขากลับพูดว่าตัวเขาเป็นคนถูก แล้วก็ให้เราเป็นคนผิด หาเรื่องซับซ้อน พูดไปได้สารพัด เป็นเรื่องทุจริตใครทุจริตมัน อกุศลใครอกุศลมัน

       ขอบอกชาวไทยทุกคน ถือว่าเราได้ฝึกอดทน ทำเพื่อชาติประเทศ เราได้ทำกรรมกุศลตลอดเวลา เราไม่ได้ทำเพื่อลาภยศตำแหน่ง แต่เขาทำเป็นวิบากกรรมของเขา แต่เราจะมาไขความจริงออกมาให้มากหมดๆ และยาวให้เป็น เย็นเรื่อยๆไป ไขคามจริงออกมาให้มากๆหมดๆ

       ครั้งนี้มามากกว่าทุกครั้งที่ออกมากัน และหนักหนาสาหัส แต่ก็ยังเบา เป็นความซับซ้อน เป็นสัจธรรม เพราะเราไม่ต่อสู้ด้วยความเลวร้าย เราสู้ด้วยความเมตตา เขาตบมาเราไม่ตบไป ตบมือข้างเดียว Action ไม่มี Reaction ก็ไม่มีแรงมาก เป็นการทำข้างเดียว เห็นว่าคนไทยเรายังหวังได้ จิตวิญญาณของขาวไทยเรา ขอให้อดทนเพียงพอ ครั้งนี้จะเป็นการยืนยันสร้างประวัติศาสตร์แก่โลก อาตมามั่นใจว่าเราจะชนะอย่างสวยงาม ไม่ทำรุนแรงไปกับเขา เขารุนแรงมาเราต้องเสียสละแม้ร่างกายชีวิต อาจพิการก็มี เลี่ยงไ่ม่ได้ คนชั่วเขาทำชั่วได้จริงๆ คนตายก็ถือเป็นวิบากกรรม ได้รับเคราะห์ไป ถ้าไม่ถึงที่ถึงเวลาวาระก็ไม่เป็น พวกเราก็พยายามช่วยเหลือเฟือฟายกัน

       เขาทำชั่วก็เป็นกรรมชั่ว เราก็มากล่าวความจริงกัน อาตมาก็เก็บหลักฐานมาเพื่อยืนยันความจริง

       เรื่องแรกที่จะอ่านก็คือ บทความพิเศษของทีมข่าวอิสรา ในนสพ.ไทยโพสต์ ...ความผิดของรัฐบาล ชื่อเรื่อง เจาะสองเงื่อนตาย ระบายข้าวจีทูจีเก๊ ….

 

เจาะ 2 เงื่อนตาย ระบายข้าวจีทูจี “เก๊” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในสำนวนสอบ ป.ป.ช. “จีเอสเอสจี – ไห่หนาน” ไร้หนังสือมอบอำนาจจาก "คอฟโก" รัฐวิสาหกิจจีน ให้ทำสัญญาซื้อข้าวโดยตรง บริษัทค้าข้าวไทย 17 ราย สั่งสินค้าผ่านสยามอินดิก้า ก่อนจากแคชเชียร์เช็คกรมการค้าต่างประเทศ ?

ในการแถลงผลสรุปสำนวนการไต่สวนกรณีการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ของ คณะอนุกรรมการไต่สวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่มีนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธาน มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเป็นทางการต่อสาธารณชนไปเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา

นอกเหนือจากประเด็นการลงมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการส่วนนี้ จำนวน 15 คน อาทิ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงข้าราชการ และบริษัทเอกชนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู้การชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาในขั้นตอนการไต่สวนของป.ป.ช.แล้ว

(อ่านประกอบ:ป.ป.ช.แจ้งข้อหา “บุญทรง” ขายข้าวจีทูจีเก๊ เริ่มไต่สวน “ยิ่งลักษณ์”)

ชื่อตัวละครใหม่สำคัญ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการระบายข้าวส่วนนี้ 2 กลุ่ม คือ บริษัท คอฟโก และ บริษัทค้าข้าวในประเทศไทย จำนวน 17 ราย ถือเป็นไฮไลท์สำคัญในการแถลงผลการไต่สวนเรื่องนี้

เพราะ "สถานะ" และ "บทบาท" ของตัวละครสำคัญทั้ง 2 กลุ่ม นี้ ดูเหมือนจะเป็นหัวใจสำคัญ ที่ทำให้ คณะอนุไต่สวนฯ กล้าฟันธง ว่าการระบายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างมาตลอด ไม่ได้เป็นของจริง แต่เป็นของเก๊

 

และดูเหมือนจะเป็นเงื่อนตาย ที่ชี้เป็นชี้ขาดว่า ผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ ทั้ง 15 ราย จะรอดพ้นจากบ้วงการถูกชี้มูลความผิดในคดีนี้ ของ ป.ป.ช. หรือไม่?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับ "สถานะ" และ "บทบาท" ของตัวละครทั้ง 2 กลุ่ม ในสำนวนการไต่สวนคดีนี้ ของ ป.ป.ช. พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจดังนี้

 

ตัวละครแรก : บริษัท คอฟโก รัฐวิสาหกิจจากจีน

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ระบุชัดเจนในการแถลงข่าวสรุปผลการไต่สวนเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 57 ว่า “สาเหตุที่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลทั้ง 15 คน เนื่องจากที่อ้างว่ามีการทำสัญญาขายข้าวจีทูจีกับจีน ข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่าไม่มีสัญญาขายข้าวจีทูจีกับจีนดังกล่าวไม่มีอยู่จริง เพราะโดยปกติหากมีการขายข้าวจีทูจีกับจีนจะต้องผ่านหน่วยงานที่เรียกว่าคอฟโก แต่ปรากฏว่าการขายข้าวจีทูจีครั้งนี้ไม่ผ่านคอฟโก และในกระบวนการไต่สวนแม้จะมีการยืนยันว่าบริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนจริง แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจในการมาซื้อข้าวแบบจีทูจีกับไทยแต่อย่างใด อนุกรรมการไต่สวนจึงพิจารณาแล้วเห็นว่า การขายข้าวครั้งนี้ไม่ใช่การขายข้าวแบบจีทูจีกับจีน”

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่าที่ผ่านมา คณะอนุไต่สวนฯ ได้พยายามเรียกเอกสารการมอบอำนาจของบริษัท คอฟโก ให้กับบริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด เพื่อมายืนยัน "สถานะ" การเป็นตัวแทนจากจีน ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีกับประเทศไทยหลายครั้ง

แต่ไม่เคยได้รับมอบ! โดยหลักฐานที่ได้รับมามีเพียงแค่เอกสารแสดงสถานะการเป็นรัฐวิสาหกิจจีนเท่านั้น

นอกจากนี้ ในขั้นตอนการไต่สวนคดี ทางคณะอนุไต่สวนฯ ได้มีการเชิญอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตปลัด กระทรวงพาณิชย์ มาให้ปากคำ ได้รับการยืนยันข้อมูลตรงกันว่า ตามขั้นตอนปฏิบัติที่ถูกต้องในการทำสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ บริษัทจีนที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวกับไทย จะต้องได้รับมอบอำนาจจากบริษัท คอฟโก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการดูแลเรื่องการค้าข้าวจากรัฐบาลจีนก่อนทุกครั้ง

และการมอบอำนาจที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นการมอบอำนาจเต็มเท่านั้น

ตัวละครที่สอง : 17 บริษัทค้าข้าวในไทย

นายวิชา ระบุในการแถลงข่าวสรุปผลการไต่สวนเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 57 เช่นกันว่า "กรณีบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อนุกรรมการไต่สวนมีมติว่าต้องดำเนินการไต่สวนเพิ่มเติม เพราะมีพยานหลักฐานขยายผลไปถึงเอกชนรายใหญ่ 17 บริษัท ที่รับซื้อข้าวจากบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด อีกทอดหนึ่ง โดยมีหลักฐานเป็นการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ ไม่ใช่การจ่ายเงินแบบจีทูจีให้กับจีน

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในการไต่สวนคดีนี้ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับหลักฐานสำคัญเป็นแคชเชียร์เช็คจำนวนหลายพันใบ ที่สั่งจ่ายให้กับกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อชำระเป็นค่าข้าวในสต๊อกรัฐบาล ซึ่งอ้างว่าเป็นการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)

ทั้งนี้ จากการประสานงานขอข้อมูลไปยังธนาคารที่ออกแคชเชียร์เช็คเหล่านี้ทุกแห่ง คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยันว่าเป็นการสั่งจ่ายโดยบริษัทค้าข้าวในประเทศไทย ไม่ได้สั่งจ่ายจากบริษัทเอกชนสองรายจากจีน ที่ระบุว่าเข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวกับไทยในรูปแบบจีทูจี ตามที่มีการกล่าวอ้าง

 

ขณะที่จากการเชิญตัวแทนบริษัทค้าข้าวทั้ง 17 ราย มาให้ปากคำ คณะอนุไต่สวนฯ ได้รับการยืนยันข้อมูลตรงกันว่า ได้ซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลจริง โดยกระบวนการที่เกิดขึ้น บริษัทเหล่านี้อ้างว่า จะต้องติดต่อซื้อข้าวผ่านบริษัทสยามอินดิก้าก่อน แต่ถ้าจะขนข้าวได้จะต้องสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คให้กรมการค้าต่างประเทศ

 

นอกจากนี้ ในขั้นตอนการไต่สวนยังได้รับการยืนยันว่า ในการซื้อขายข้าวแต่ละครั้ง บริษัทเอกชนเหล่านี้ ไม่ได้เสียภาษีให้กับรัฐด้วย คณะอนุไต่สวนฯ จึงเห็นสมควรให้ส่งเรื่องไปยังกรมสรรพากร เพื่อติดตามเรียกเก็บภาษีที่ขาดหายไปส่วนนี้กลับคืนมาโดยเร็ว

 

เบื้องต้น เมื่อวิเคราะห์พยานและหลักฐานที่ได้รับมาจากตัวละครทั้งสองกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด ไม่สามารถแสดงหลักฐานการมอบอำนาจจากบริษัท คอฟโก ให้มาเป็นตัวแทนรับซื้อข้าวจากไทย ได้

 

ขณะที่ข้าวในสต๊อกรัฐบาล ที่อ้างว่ามีการระบายออกไปต่างประเทศ ไม่ได้ถูกส่งออกไปจริง แต่วนเวียนไปอยู่ในมือของบริษัทค้าข้าวในไทย ทั้ง 17 รายแทน แถมการซื้อขายจะต้องติดต่อผ่านบริษัทสยามอินดิก้าก่อน และมีการสั่งจ่ายเช็คให้กับกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นใบเสร็จชิ้นสำคัญ ที่ชี้ให้เห็นว่า การซื้อขายข้าวส่วนนี้ ไม่ได้เป็นการซื้อขายแบบจีทูจีจริง

 

จึงทำให้คณะอนุไต่สวนฯ ลงความเห็น ไม่เชื่อว่า การระบายข้าวส่วนนี้ เป็นการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐจีทูจีจริง ตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง และนำมาซึ่งมติเอกฉันท์ในการแจ้งข้อกล่าวหากับ ผู้เกี่ยวข้องในขั้นตอนนี้ จำนวน 15 ราย อาทิ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนบริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัดจากจีน และผู้แทนบริษัท จีเอสเอสจี จำกัดและบริษัท ไห่หนาน จำกัด ในประเทศไทย อาทิ นายรัฐนิธ โสจิระกุล นายนิมล รักดี นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า

 

โดยเบื้องต้น จะมีการส่งหนังสือให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดมารับรับทราบข้อกล่าวและเริ่มชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายเดือนมกราคม 2557 นี้

 

       พ่อครูว่า...ถ้าหลักฐานเหล่านี้ ปปช.เขาไม่เห็นว่าเป็นความจริงเขาไม่เปิดเผยแน่ เป็นการโกงระดับแสนล้าน เรื่องนี้เป็นเหตุแน่ ทำให้เขาต้องรับวิบากแน่ หยิบมาให้เห็นว่าจริงไหม ที่เรามาทำให้คนผิดเขาเลิกเขาหยุด เป็นรูปธรรมเลย แล้วก็มีบทความของคุณผักกาดหอม ที่เขาว่าจะต้องเลือกตั้งๆๆๆๆ นี่ทำไปทำไม เราก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่เขาสร้างค่ายกลไว้หมดแล้ว ล็อคไว้หมดแล้ว เขาก็มั่นใจว่าเขาต้องทำสำเร็จ ตั้งแต่เป็นพรรค ไทยรักไทย เขาซื้อได้ เขาคำนวณว่าเขาทำแล้วคุ้มแสนคุ้ม การเลือกตั้งจึงเป็นค่ายกลที่เลวที่สุดของประเทศไทย ขอให้ได้เลือกตั้ง กูไม่ฟัง ใครจะพูดสัจธรรมอย่างไรไม่สน เพราะเขามีค่ายกลอันนี้แล้ว

 

      ต่อมาเป็นบทความของคุณผักกาดหอม ...เรื่อง เลือกตั้งคนโกง

จุดเทียนเวียนวน จากแดงสีตก หรือแดงชุบแป้ง เวลานี้กลายเป็นกระแสที่รัฐบาลปั่นเพื่อให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2  กุมภาพันธ์ให้ได้

    เดิมทีกลุ่มเสื้อขาวอ้างตัวเป็นกลาง สุดท้ายก็หางโผล่!

    ผมยกตัวอย่างมาเพื่อให้เห็นความพยายามในการสร้างความชอบธรรม ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งคือความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาสร้างกระแสใดๆ

    แต่รัฐบาลสันหลังหวะไงครับ!

    การเลือกตั้งมิใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในการยืนยันว่าประเทศนั้นๆ ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ อีกทั้งประเทศคอมมิวนิสต์จำนวนไม่น้อยก็มีการเลือกตั้งให้เห็นมานานแล้ว

    รวมทั้งในหลายประเทศทั่วโลกที่จัดการเลือกตั้งในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งของคนในชาติสูง ล้วนมีปัญหาตามมาทั้งสิ้น ล่าสุดคือบังกลาเทศ

    แม้ปัญหาในรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละประเทศจะไม่เหมือนกัน แต่หากไม่มีการแก้ไขเสียก่อนก็ล้วนสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าได้ทั้งสิ้น

    และปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทย หนักหนาสาหัสเกินกว่าที่จะจบได้ด้วยการเลือกตั้ง ความพยายามที่จะพาประเทศไปสู่ความสงบจึงยากเป็นเงาตามตัว

    พูดกันเยอะครับให้คนไทยรักกัน พูดภาษาเดียวกัน ทะเลาะกันทำไม? หันหน้ามาคุยกัน สารพัดครับ แต่ขอโทษทีในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นคำพูดที่ขี้ขลาด และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ

    ความขัดแย้งในเวลานี้ มิได้เป็นความขัดแย้งของนักการเมืองครับ ไม่ใช่เรื่องของพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์แย่งกันเป็นใหญ่ แม้มวลชนบางฝ่ายจะมองเช่นนั้นก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนได้ตื่นขึ้นมา แล้วเรียกร้องให้ขจัดนักการเมืองเลวๆ นักการเมืองขี้ฉ้อออกไปจากแผ่นดิน

    มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกล้วนผ่านเส้นทางนี้มาแล้วทั้งนั้น ต่างกันแค่กาลเวลา และความชั่วช้าของนักการเมือง

    หากเทียบการเมืองในหลายประเทศ จะพบว่า ตระกูลชินวัตรได้สร้างปรากฏการณ์ชั่วช้าอันโดดเด่น ไม่เหมือนประเทศประชาธิปไตยที่ใดในโลก

    เผด็จการเบ็ดเสร็จที่มาจากการเลือกตั้ง หากไม่ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็ยากที่จะตามทัน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากเย็นอะไร

    ดูอย่าง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ลงสมัคร ส.ส. 19 พฤษภาคม 2554 เลือกตั้ง 1 กรกฎาคม 2554 เป็นนักการเมืองแค่เดือนกว่าก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว

    ถามว่าช่วงเดือนกว่าทำความดีอะไรให้ประชาชนได้เห็น ประชาชนถึงได้ไว้วางใจให้เป็นผู้นำประเทศ?

    อย่าหลอกตัวเองกันอีกเลยครับ คนไทยทุกคนก็รู้กันอยู่ว่า การเลือกตั้งภายใต้กติกาที่เอื้อให้โครงสร้างพรรคการเมืองบูชาเงินและผลประโยชน์นั้น ไม่เคยเกิดประชาธิปไตยที่แท้จริง

    มีแต่คอร์รัปชันและประชาธิปไตย 5 นาทีเท่านั้นที่เบ่งบาน

    ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งมากี่ครั้งแล้วครับ? 27 ครั้ง

    แล้วเราปฏิรูปประเทศกันมากี่หน

    ผมไม่จำเป็นต้องบอกว่าจะเลือกอะไร แต่ต้องการถามคนบางกลุ่มว่า การเป็นขี้ข้าระบอบทักษิณทั้งทางตรงและทางอ้อม คือสิ่งที่ควรทำในฐานะเกิดมาเป็นสัตว์ประเสริฐอย่างนั้นหรือ!

       พ่อครูว่า..คุณทักษิณเขาเก่งจริงๆ เขาสร้างค่ายกลไว้อยางเก่งเลย จนกระทั่งเขาเชื่อว่าส่งเสาไฟฟ้าลงหรือไม้จิ้มฟันลงก็ได้ด้วย แล้วก็จริงของเขา เขาทำได้ด้วย เรารู้ทันแล้วก็เลยว่า ไม่เลือกตั้งอย่างนี้หรอก

       

       พ่อครูว่า...ที่อาตมาหยิบหลักฐานมาพูดนี่ อย่างคลิปที่มีภาพเคลื่อนไหวของคนโยนระเบิดนี่ เขาไม่กลัวเลยนะคนจะเดินเข้าเดินออกอย่างไร เขาก็ไม่กลัว แต่ปรากฏว่า โดยไปถูกกิ่งไม่ ก็เลยไม่ค่อยเข้าเป้า ...เป็นสิ่งที่เดี๋ยวนี้ เครื่องมือเขาจับได้ชัด เขาคงไม่รู้ว่ามีกล้องจับภาพไว้ชัดเจน ถ้าตำรวจทำงานจิรง หมอนี่เสร็จแน่นอน แต่นี่ไม่รู้ไม่ชี้ แต่อาตมาไม่ค่อยเชื่อนำ้มนต์ตำรวจว่า จะติดตามจริง ถ้าตำรวจตั้งใจทำงาน เต็มที่เลย เป็นหน้าที่ตำรวจ ติดตามหาคนร้าย เพราเป็นภัยต่อสังคม หลายเรื่องไม่เห็นจัดการเลย พวกเราทำงานเพื่อชาติ ไม่ผิดรธน. แต่ก็หาเรื่องจับผิดเป็นข้อหากบฏ หนักเลย โทษมีจำคุกตลอดชีพหรือติดคุกตลอดชีวิตเลย แสดงจิตใจที่ไม่ต้องบอกก็รู้เองเลย

       จิตใจคนตกต่ำมากเลย ต้องอาศัย ตุลาการก็ช่วยอยู่ ประชาชนก็ออกมาเต็มที่เลย เห็นว่า ประเทศไทย เป็นกระบวงนการประชาชนที่สุดยอด ที่มาร่วมกัน ตื่นรู้จริงๆ อดทน แสดงคุณำาพ คุณสมบัติของคนไทย

       อ.กฤษฎาว่า...พ่อครูให้ลำดับว่า ตุลาการภิวัฒน์ก่อน ประชาภิวัฒน์มาอันดับสอง แล้วกรรมาภิวัฒน์เป็นอันดับสาม แต่ถ้าประชาชนออกมามากจะมีผลต่อตุลาการภิวัฒน์หรือไม่?

       พ่อครูว่า ถ้าประชาชนออกมามาก ตุลาการก็มีกำลังใจ เป็นเหตุปัจจัยให้ด้วย เพราะประชาชนที่ออกมา มีทั้งปัญญาชน มีทุนทางสังคม เหก็นนำ้หนักในสังคม ผู้ซื่อสัตย์สุจริต และเฉลี่ยวฉลาด ด้วย ก็ต้องรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควรไม่ควร ถ้าท่านได้ออกมาร่วม แสดงตัวร่วมกับประชาชน นำ้หนักทำให้ตุลาการมีกำลังใจได้เยอะเลย  เป็นพลังทางสังคม ที่กดดันอยู่ ยื้อกันอยู่ เป็นจริง มวลประชาชนจำนวนมาก จึงมีความสำคัญ ถ้าผู้มีทุนทางสังคม เป็นที่เคารพนับถือย่ิงมีน้ำหนักสูงด้วย น่าจะเกิดขึ้นในประเทศไทย พวกเราทนไปเอะ สักวันคงมมีเหตุปัจจัยครบ

       เราจะรอกรรมาภิวัฒน์นั้นเรากำหนดไม่ได้ แต่มีจริง ก็เชื่อใจประทับใจมวลมหาประชาชนทีี่ออกมามากมาย แต่อย่าประมาท ขอยืนยันว่าทำดีแล้วถูกแล้ว อย่าประมาท ทนแต่ไหนก็ “ทนอีกนิดเถอะน่า” เป็นชื่อเรื่องนวนิยายของนักเขียนที่ดังมากคนหนึ่ง เรียกว่า นักเขียนบรรทัดละ 8 บาท

       อ.กฤษฎาว่า...พรุ่งนี้พี่น้องชาวนาอีสานก็จะมาร่วมที่เวทีนี้กับเราด้วย

       พ่อครูว่า...เรื่องของกรรม นั้นมจริง เป็นจริง เป็นเรื่องที่เรานึกไม่ถึงนึกไม่ออก มีหลักฐานประวัติศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ท่านสั่งสมคุณธรรม บารมี นับชาติไม่ถ้วน เรียกว่าล้านๆๆๆๆๆๆ เป็นเรื่องที่คุณคิดไม่ถึงหรอก อาตมาบำเพ็ญมาปางนี้รู้ว่าชาตินี้นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าสร้างมาเป็นกรรมวิบาก เป็นกรรมสโกมหิ,กรรมทายาโท,กรรมโยนิ,กรรมปฏิสรโณ

       กรรมเป็นของตน เป็นทรัพย์แท้ คนเข้าใจผิดว่าเราทำชั่วแล้วได้อำนาจ ได้เงิน หลงเงินหลงอำนาจ เอาเงินไปจ่ายเสพกาม บำเรออัตตา ก็เป็นตัวตนอัตตา แล้วหลงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ที่แท้เป็นสขเท็จ สุขหลอก อย่างพระอนาคามีเฉยแล้วต่อลาภ ยศ เป็นคณสมบัติของจิตวิญญาณที่ล้างกิเลสได้จริง ศาสนาพุทธจับกิเลสได้ อ่านกิเลสออก ในจิต แล้วมีวิธีปหานกิเลส จนกิเลสดับสูญได้จริง ทำได้ก็สั่งสมเป็นกรรมของตน

       พระพุทธเจ้าทำให้กิเลสหมดแล้วก็สั่งสมบารมีต่อเป็นโพธิสัตว์ต่อมา จนเป็นพระพุทธเจ้า เกิดมาตอนแรกเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ..เป็นลิงลมอมข้าวพอง เราเาไม่ออกว่าคนไหนมีบารมี ไปดูถูกไม่ได้ เช่นองคุลีมาล ปุ๊ปปั๊บก็เปลี่ยนได้ เห็นว่าชั่วฆ่าคนอยู่ ถูกอาจารย์ครอบงำ มีคนให้ข้อมูลอาจารย์ผิดๆ อาจารย์ก็หลอกให้องคุลีมาลไปฆ่าคน ถ้าฆ่าคนถึง 1000 คนได้จะสอนความรู้ที่วิเศษให้ องคุลีมาลก็เชื่อก็ไปฆ่าคนแล้วตัดนิ้วโป้งห้อยคอ จนคนสุดท้าย แม่ก็มา แต่ว่า แท้จริงองคุลีมาลเป็นอุคติตัญญู เป็นบัวที่ใกล้พ้นน้ำอยู่แล้ว แต่ยังไม่โผล่จากน้ำ พระพุทธเจ้าเลยไปโปรดก่อนที่จะไปเจอแม่แล้วฆ่าแม่ แล้วองคุลีมาลก็วิ่งไล่กวด วิ่งอย่างไรก็ไล่ไม่ทัน ก็ว่า พระหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้าก็เดินไม่หยุด แต่บอกว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุด องคุลีมาลก็ว่า พระโกหก แล้วก็เรียกให้พระพุทธเจ้าหยุดอีก พระหยุดก่อนๆ พระพุทธเจ้าก็ว่าเราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ...ถามถึง 3 ครั้งเลย องคุลีมาลก็ได้คิดก็หยุด ….พระพุทธเจ้าก็เลยได้สั่งสอน เราหยุดทำชั่วแล้ว...องคุลีมาลก็ได้คิด ได้ฟังธรรมจนบรรลุธรรม

       อย่างกำนันสุเทพ ทุกคนก็ว่ากันว่า กำนันสุเทพ ตอนเป็นนักการเมืองก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร พวกแดงก็ว่ามา สาธยายเบื้องหลังของกำนันสุเทพ มีคนเขียนว่า สุเทพอาจชั่ว แต่ว่ารวมความชั่วของสุเทพ ก็ไม่ได้ชั่วเกินหน้าของทักษิณไปได้เลย

       อาตมาเชื่อว่าคุณสุเทพจะเป็นเหมือนองคุลีมาลกลับใจ จริงหรือเท็จก็เป็นเรื่องของคุณสุเทพ แต่ทุกคนก็อยากให้เป็น ดูจากตอนแรกคุณสุเทพก็ไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่พอทำแล้วได้ผล ก็ยิ่งทำต่อไปจนสุด รู้ว่าทำอันนี้ทำได้ผลจริงกว่่าตอนเป็นนักการเมืองในสภา ก็เรียนจบรัฐศาสตร์มาก็รู้ด้วย จึงเกิดตาสว่าง ว่างานที่ทำมานี่ต่อให้เป็นนายกฯแบบที่เป็นๆกันมาสัก 5 ครั้งก็สู้เป็นอย่างนี้ไม่ได้  คุณสุเทพจึงทุ่มเททำเต็มที่เลย ทำให้สำเร็จให้ได้ ตายเป็นตาย แล้วจะล้างมือ จบแล้วผมจะไปมอบตัวเอง มอบตัวให้ตายเขาก็ไม่จับ เพราะสุเทพไม่ได้เป็นกบฏ เราทำด้วยถ้าเป็นกบฏก็เป็นด้วยกันหมด

       เราทำประท้วงอย่างสงบ สวยงาม ไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธ ความรุนแรงที่เกิด เกิดจากใครก็ตามแต่ แต่ไม่ใช่เกิดจากเรา เขาพยายามยัดเยียดอาวุธมาใส่เรา  หาว่าที่จับอาวุธได้เป็นอาวุธปลอม แต่ว่าทำไมระเบิดจริงล่ะ มีคนตายด้วย บาดเจ็บโคม่าก็ยังมีอยู่เลย

       พวกเราก็ขอยืนยันว่าเราทำสิ่งประเสริฐ เขาหาเรื่องทำร้ายก็ทำไป เราก็ป้องกัน เป็นกรรมของตน อย่างศาสนาอิสลามนี่เขาไม่กลัวตายเลยหากได้ทำเพื่อพระเจ้า ตายไปเขาเชื่อว่าไปอยู่กับพระเจ้า เขาทำเพื่อสิ่งดีงามถูกต้อง พุทธเราก็ยืนยัน พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าเราจำเป็นต้องเนียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ แต่ถ้าต้องเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตก็ต้องเสียสละอวัยวะ แต่ถ้าจะต้องเสียสละชีวิตก็เสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เรื่องสัจธรรมไม่ต่างกันหรอก

       อาตมาเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ปฏิบัติจนได้เข้าถึงก็ได้แทรกยาทิพย์เข้าไปบ้าง ที่ว่า กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรมของตน ตนทำตนก็ต้องรับผล เราต้องเป็นทายาทของกรรมของตน ตัดกรรมสแกนกรรมไม่ได้

       ซึ่งศาสนาพุทธนั้นเพี้ยนตรงนี้ ที่เขาสอนกัน แบ่งบุญแบ่งกรรมกันได้นั้น พุทธนั้นก็กรรมไม่ใช่ของๆตนก็ขอคนอื่นได้ แต่ที่จริงต้องเป็นของๆตน

       แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมีวิบาก ต้องไปทรมานในป่าทรมานตน 6 ปี หรือแม้มาบวชแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเขาก็หาเรื่องมาว่า มาฆ่า อย่างนางจิณจมาณวิกา ก็มา เป็นวิบากของท่าน แม้ที่สุด ถูกพระเทวฑัตกลิ้งหินโดนสะเก็ดหินทับพระบาทจนห้อเลือด วิบากไม่ใช่หมดง่ายๆ แม้เป็นพระพุทธเจ้ายังไม่หมดเลย

       แต่กรรมวิบากลดน้อยลงได้ กรรมจะแก้ไขด้วยเพราะกรรมปัจจุบัน คนไหนก็แก้กรรมให้ตนไม่ได้ เราต้องแก้กรรมของตนเอง อย่าไปถูกหลอกว่าใครจะมาแก้กรรม ตักรรม ล้างกรรมให้เรา นั่นนอกรีตทั้งนั้น เราเป็นทายาทของกรรม ไม่หกตกหล่นไม่ระเหยระเหิด ต้องรับทั้งหมด เราต้องทำแต่พลังงานดีไปสังเคราะห์กันไป

       เช่นพระพุทธเจ้าท่านเล่าว่าในชาติหนึ่ง ท่านได้ฆ่าน้องชายตน หลอกไปในถ้ำแล้วทุบด้วยหอนจนต้องตาย ก็มีวิบากตามมา พระพุทธเจ้าก็สร้างกุศลมากมาย แล้วทำให้เศษวิบากที่ฆ่าน้องชายลดลงๆ จนเมื่อวิบากมาถึง พระเทวฑัตกลิ้งหินมาก็ได้รับวิบากลดลง

       แต่ถ้าทำอนันตริยกรรม นั้นแก้ไม่ได้ อย่างพระเทวฑัตนั้นก็ได้ทำไว้ แต่ก็พยายามแก้ไข แต่ก็ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่สามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ 

       อ.กฤษฎาว่า ระหว่างคนสั่งกับคนขว้างระเบิดใครได้รับวิบากกรรมมากกว่ากัน

       พ่อครูว่า...โดยเบื้องต้น คนสั่งก็ได้รับมากกว่า คนทำตามก็ได้รับวิบากตามมา ...จบ     

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:06:48 )

570122

รายละเอียด

570122_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง วิวัฒนาการประชาธิปไตยไทยอย่างมหัศจรรย์

            ลักษณะอย่างนี้ ความจริงที่ปรากฏมากขึ้น เขาก็ต้องต่อสู้ ฮึดสู้ใหญ่เลย จนมาถึงวันนี้ เขายิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งหลุดหรือเขายิ่งสู้เขายิ่งเป็นจริง ว่าใครผิด หรือใครถูก การสู้กันโดยสันติธรรม โดยสัจธรรม แต่ถ้าสู้กันด้วยไม่สัจธรรม เอาใครมีกำลัง มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่า โกงมากกว่า ด้วยอำนาจเงินหรืออาวุธก็ชนะได้ เป็นเช่นนี้มาตลอดสำหรับคนมีใช้มาก ซัดกันด้วยอำนาจเงิน หากใครยึดอำนาจได้ ผู้นั้นเป็นผู้ชนะ แต่ทางสัจธรรม ผู้มีความถูกต้องมีคุณธรรม ชอบธรรมกว่าคือผู้ชนะ ไม่ต้องมีเงินทองทรัพย์สินมาเป็นเครื่องวัด แต่เรายืนยันความถูกความผิด ใครผิดแพ้ ใครถูกชนะ ใครดีชนะ ใครชั่วแพ้ การรบที่เราทำนี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่เหมือนก่อนๆ ที่ต่อสู้กันมาแล้วใช้อำนาจเงิน

            อย่างการเมืองไทยตั้งแต่เริ่มมาเป็นประชาธิปไตย อำนาจเป็นตัวชนะมาเรื่อยๆ ตั้งแต่พศ.2475 มาเรื่อยๆ จนล้มลุกมามาก มีอำนาจและเงินก็มาสมทบ จนรู้ว่าเงินสามารถเบิกทางให้ได้อำนาจใหญ่ขึ้นได้ ก็มีทั้งขุนศึกและนายเงิน ตอนแรกก็มีแค่ขุนศึก ต่อมาก็มีนายทุนมาสนับสนุนมากขึ้น แต่เดิม เขาก็ไม่อยากให้ใครรู้นะ นายทุนยังไม่ออกตัว อาศัยอำนาจ ที่บริหารปกครองบ้านเมือง ถือว่าอำนาจใหญ่เบ่งข่ม คนกลัวในสังคม เป็น Force power อำนาจข่มขี่คุกคาม เป็นอำนาจโลกีย์ เดรัจฉานก็ทำ แต่โบราณมาคนก็ทำกันมาก จนกระทั่งเกิดภูมิปัญญามาเห็นว่าอำนาจแห่งความเมตตา อารีย์เป็นอำนาจก็ดีขึ้นมา

            แต่ก็เป็นการใช้อำนาจอย่างข่มขี่เล่ห์เหลี่ยม มาจนเป็นประชานิยม คือเอาความช่วยเหลือมาบังหน้า ไม่ได้เบ่งข่ม แต่เป็นอำนาจที่ซ้อนอยู่กับทุนสามานย์ จนพัฒนามาเรื่อยในประเทศไทย แต่ต่างประเทศเขาก็ทำกัน แต่ละประเทศนับถือศาสนาไม่เหมือนกับพุทธ แต่ก็ไปสู่ความดีเหมือนกัน

            ไทยเราเป็นพุทธมาแต่อ้อนแต่ออก พัฒนามา จนวันนี้แล้ว เรามีทุนรอนมาแต่เดิม ของพุทธเป็นโลกุตระ ต้องลดอำนาจของลาภยศ มันกลับทวนกระแส แล้วเป็นอำนาจของคุณธรรมที่แท้ สมบูรณ์ ก็กระเตื้องขึ้นมา จนถึงรุ่นของเรา 2500​ มา ย่างเข้าจนมาถึงบัดนี้ ก็ชัดขึ้น มีโลกุตรธรรมมากขึ้น จนเห็นผลในบัดนี้

            ซึ่งเป็นการแสดงความเป็นจริงของพฤติกรรมคน ที่ไ่ม่ล่อหลอก จริงใจ ปรารถนาดีต่อกัน ไม่ใช้อำนาจลาภยศสรรเสริญมาเป็นตัวผสมแรง แต่ใช้คุณธรรม ล้วนๆ มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7

1.      สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.      ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .

3.      ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.      สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .

5.      อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .

6.      สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .

7.      เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

            จนสภาพตอนนี้จัดแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่เราทำ กับกลุ่มของรัฐบาล ที่กระทำไม่ถูกต้อง จนเราต้องมาจัดการให้ดีขึ้น เป็นอำนาจสองอย่างคืออำนาจอย่างกดขี่ข่มเหง กับอำนาจโดยธรรมมีจิตวิญญาณประเสริฐ มีจิตวิญญาณพระเจ้า เป็นจิตวิญญาณของมนุษยสัมพันธ์

            ก็มีการตำหนิติเตียนกับบ้าง ดีไม่ดีก็ด่ากันด้วย เพราะว่ามนุษยชาติก็จะมีอย่างนี้อยู่เป็นธรรมชาติ แต่ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่ทำร้ายร่างกายกัน เราอาจด่ากันได้ อาจด่ากันได้ แต่ด่าก็คือตำหนิอย่างแรง ด้วยภาษาร้ายแรงก็เท่านั้น พพจ.ท่านเรียกว่าหอกปาก มุขสตี ไม่ได้ทำร้ายเกินกว่านั้นเลย ไม่รุนแรงจนเลือดตกยางออก ไม่ทำ  แล้วจะลดลงๆ จนสุภาพเรียบร้อยไม่ด่าว่ากัน แต่ว่าสุดวิสัยก็ด่ากันบ้าง ตำหนิติเตียนกัน แต่ว่าไม่มีทำร้ายร่างกายกันไม่ทำ

            ชาวเราที่รวมกลุ่มกันมารบกัน กับที่เขาเป็น เขาก็ใช้แบบโลกๆ แต่พวกเราใช้อย่างอาริยะ ในแกนแท้ของพวกเราที่ทำ นอกจากยังมีพวกที่หลง ที่หลุด ก็มีบ้าง ขาดหกตกหล่น พวกที่ภูมิธรรมยังไม่ถึง มาผสมผสมปนมาบ้าง ก็สุดวิสัย แต่โดยแท้แล้ว พวกเรารักษาคุณภาพ ของคุณธรรม ได้อย่างดีทีเดียว 3 เดือนมานี้เรามารวมตัวกันเป็น กปปส.นี่ เราทำได้ โดยเฉพาะแก่นหลักแก่นกลาง ดังที่เลขาธิการ กปปส. กำนันสุเทพ จะประกาศไปตลอดว่า เราสู้ด้วยสงบรำงับ ไม่ใช้อาวุธไม่รุนแรง นั่งสงบ และเรากองทัพธรรมทำมาตลอด เราถนัด ก็ยืนหยัดยืนยันมาได้จนทุกวันนี้

            เรารบกันด้วยสงบ ไม่ใช้อาวุธนี่เป็นการสร้างอำนาจอธิปไตยชนิดที่เป็นพลังพิเศษ แห่งความสงบ ถูกต้องดีงาม เป็น Authority ไม่ใช่การรบด้วยการใช้กำลัง กดขี่ กดข่มกัน คุกคามกัน เราไม่ใช้กำลังอำนาจอย่างนั้น เราใช้คุณความดีกับความถูกต้อง ใครชั่วใครไม่ดีคนนั้นแพ้ ผู้ถูกต้องมีคุณงามความดี ผู้นั้นชนะ

            มาถึงวันนี้พิสูจน์กันไปแล้ว รัฐบาลทำไม่ชอบธรรม จนเขาผิด เขาแพ้ ยิ่งผิดก็ย่ิงแก้ตัว ไม่ยอมรับ ก็ทำอย่างรุนแรงซับซ้อน เขาก็ยิ่งหาความผิดทับทวีเป็นปฏิภาค จนถึงวันนี้ก็ย่ิงทำผิดไปอีก เพราะเขาทำจนหมดความชอบธรรมที่จะไปเป็นรัฐบาล หมดทั้งทางรัฐธรรมนูญ​ หมดในสัจธรรม จนเขากลายเป็นกบฏ

            เราทำอย่างถูกรัฐธรรมนูญ จะมาเรียกว่าเราเป็นกบฏ ไม่ถูก แต่ที่จริงกบฏคือเขาแล้ว เขาหมดความชอบธรรม เพราะเราออกมาถึงเป็นล้านคน ก็เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องบังคับซื้อหา หลอกมาก็ไม่ แต่เป็นอิสระเสรีภาพ มาแสดงคะแนนเสียง ตามหลักประชาธิปไตย อย่างไม่เคยปรากฏในไทยมาก่อนเลย

            มีสองลักษระทั้งคุณภาพ และปริมาณ

            คุณภาพ ออกมาอย่างไม่ทุจริต ไม่ใช้อำนาจ เลห์กล ไม่ซื้อ ไม่บังคับ ไม่หลอกลวง มีอิสรเสรีภาพ  รู้ด้วยปัญญาว่าขับไล่รัฐบาลขอยึดอำนาจคืน เพื่อจัดการใหม่ ปฏิรูปใหม่ ก็ได้ประกาศไปแล้ว ทำไปแล้ว อย่างรัฐศาสตร์ ตามสากลเลย เนื้อแท้คือประชาชนมาปฏิวัติ แม้ไม่มีภาษาเขียนในรัฐธรรมนูญ

            ทุกทีเขาปฏิวัติด้วยกำลังทหาร หรือForce ทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แล้ว หลายทีมีคนทำอย่างนี้  แต่ว่ามวลไม่มากพอ แม้จะยืนยันว่าถูกต้อง และถูกต้องจริงด้วย แต่ก็มวลไม่ถึง จนมาถึงกลุ่มพธม. ก็พยายามใช้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นหลัก พยายาม เอาธรรมนำหน้า จะได้จริงได้มากได้คุณภาพดีเท่าไหร่ก็ตามก็พัฒนามาเรื่อย อาตมาก็ได้นำชาวอโศกมาร่วม เอาธรรมะโลกุตระหรืออาริยธรรม มาแทรกผสม ร่วมปฏิวัติ ค่อยๆวิวัฒนาการมา

            จนมาครั้งเสธ.อ้าย ก็ยังปริมาณไม่ถึง ทำด้วยสงบไม่มีอาวุธ ไม่เอากำลังข่มขี่คุกคามด้วย เราก็โดนจนต้องพักมา งวดหลังนี่มาสมทบกับกปท. เราก็มาสมทบ จนมาเป็นกปปส. ก็ยังใช้ ธรรม เป็นอาวุธ จนมาถึงขณะนี้ ทั้งปริมาณก็ก้าวหน้าอย่างไ่ม่เคยเกิดในไทยมาก่อน จนกระทั่งเป็นล้านคน ทางนิด้าได้ประเมินตามวิชาการแล้ว ว่าได้ถึง 10 ล้านคน ซึ่งมีทั้งปริมาณ และคุณภาพที่เป็นคุณธรรมผสมอยู่ ประสิทธิภาพจึงประเสริฐนัก จะเป็นผลที่กล้าพูดได้ว่า ชนะรายทางมาตลอดเวลา จะว่าไปแล้ว ข้าศึกหลังติดฝาแล้วนะ คู่ต่อสู้ดิ้นรนสุดที่แล้ว คุณเปลว สีเงินบอกว่า เป็นมวยสิ้นสภาพ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นับวันเหลือแต่ตำรวจ สี่หรือห้านาย รายล้อม แซมปลัดกลาโหม

            เป็นการรบที่วิเศษ วิสุทธิ์ วิศิฏฐ์ เป็นการเริ่มการรบทางรัฐศาสตร์ของพวกเรา จงมั่นใจเถิด

            มีคิงส์วิลเลี่ยมที่ 3 ได้เคยพูดไว้ว่า... These is one certain mean by which I can be sure never to see my country's ruin; I will die in the last ditch. แปลว่า มีอยู่วิธีที่แน่นอนอยู่วิธีหนึ่ง ซึ่งสร้างความมั่นใจได้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ต้องเห็นความย่อยยับของประเทศข้าพเจ้า นั่นคือ...ข้าพเจ้าจะขอตายอยู่ในคูรบแห่งสุดท้าย....

            นี่เป็นยกสุดท้ายแล้วนะ ถ้ามวยก็ยก 12 แล้วนะ มวยของพวกเราก็ไม่ใช่มวยหมัดน็อค ใช้กำลังหมัดเด็ดไปฆ่าไปทำร้าย แต่เป็นมวยที่ใช้คุณธรรมศิลปะ ความถูกต้อง

            การรบของเราถึงช้า เพราะพิสูจน์กับคนมีกิเลส ยึดติดด้านทน ก็ใช้ทั้งมวลทั้งความจริงมาแสดงยืนยัน เราต่อสู้กับคนที่เลวร้ายหน้าด้านหน้าทนมาก เลวร้ายต่ำทรามทุจริตอกุศหนักซับซ้อน ใจจืดใจดำหนักเลย ที่เห็นคือ ตัวต้นหลัก ทำไม่ถึงอำมหิตกับน้องสาวขนาดนี้ ปล่อยให้เป็นหนังหน้าไฟอยู่ แทนที่จะยกธงขาวยอมแพ้ นี่คือความใจจืดใจดำ ก็เห็นคนมาทำไมถึงเลวร้ายได้ถึงขึ้นขนาดนี้

            แล้วใช้ฤทธิ์ของโลกธรรมหลอกล่อให้คนงมงายหลงใหลติดยึด เป็นอำนาจโลกีย์ เขาทำได้ แต่ก็ลดลงๆเรื่อยๆ ก็ต้องช้าเสียเวลาพอสมควร ก็ขอยืนยันว่าต้องอดทนหน่อย มันนานก็เห็นใจกัน ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก หนักหนาสาหัสมา จนป่านนี้ แต่ก็เห็นผลก้าวหน้าชนะมาเรื่อยๆ            

            เรารู้สึกว่าเราชนะรายทางอยู่จริงไหม หรือว่าเรากลบเกลื่อนเอา หลอกตัวเองไหม ก็ใช้วิจารณญาณตรวจสอบดูนะ เราก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนจะยกสุดท้ายแล้วนะ ข้าศึกหลังติดฝาแล้วนะ มีผู้อธิบายว่า ข้าศึกถ้าจะแพ้ก็ต้องหาวิธีที่จะดิ้นพลาดๆ เราก็เห็นว่าดิ้นจริงๆ จริงๆเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะประกาศพรก.ฉุกเฉินอะไรนี่นะ

            เป็นการประกาศพรก.ฉุกเฉินปลอม เป็นประกาศกงเต็ก  เป็นแบงค์ปลอม  (เปลว สีเงินใช้ภาษาว่า “สิ่งเทียมรัฐบาล” หรือ “รัฐบาลสิ่งเทียม”)เขาไม่มีสิทธิ์ทำได้ ที่จริงแม้รักษาการณ์เขาก็ไม่มีสิทธิ์ เขาหลุดไปโดยธรรม เราก็ประกาศโดยประเพณีสากล ไทยเราอาจไม่เคยมีประชาชนยึดอำนาจ แต่ประชาชนสามารถยึดอำนาจได้ โลกนั้นกลัวอำนาจปืนอาวุธ เมื่อมายึดเขาก็ยอมได้ พอยึดได้ก็สั่งให้ผู้ทำงานคณะต่างๆในประเทศ ทำหน้าที่ได้เลย สงบยอมได้เลย มารายงานตัว เป็นธรรมเนียมสากลเลย

            แต่การปฏิวัติโดยประชาชน ถ้ามีทหารมาทำร่วมก็ทำได้สำเร็จก็มี แล้วทหารก็ยกอำนาจให้ประชาชนทำ ทหารไม่ยึดอำนาจไว้เอง ก็มี ทำได้สำเร็จ ไทยเราก็เคยทำมาอย่างนั้น ซึ่งไทยก็กำลังทำอย่างที่เป็นประชาชนทำมา แต่ถ้าทหารจะมาร่วมก็มาแสดงตัวว่าอยู่ข้างประชาชนไม่ต้องเอาอาวุธมาเลย แล้วประเทศไทยจะได้เป็นประชาธิปไตยที่สวยงามที่สุดในโลก

            ประชาชนไทยมารวมกันเป็นประชาชนปฏิวัติ ด้วยพลังงานสงบเรียบร้อย เอาความจริงความถูกต้องมายืนยัน ส่วนจะมีมือที่ 3 มาทำความรุนแรงแทรกแซงก็มี แต่ความรุนแรงไม่ได้เกิดจากพวกเราเลย ถูกใส่ความมาตลอด

            ต่อไปถ้าเจริญแล้วก็เป็นประเพณี ว่าประชาชนจะปฏิวัติก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ เมื่อเขาผิดก็ออกมาทำสัญลักษณ์ จะไปปิดกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ก็ไปทำ เราก็จะมีประเพณีต่อไป ซึ่งตอนแรกก็อาจดูเหมือนคุกคาม ที่คุณลูกหมีไปที่ดีเอสไอ ก็เป็นเพียงไปบอกว่าคุณหยุดอย่าไปทำงานให้รัฐบาลที่ผิด ก็ไปเอากุญแจไปใส่ลูกเล็กๆ บางทีเขาก็บอกให้ไปปิดเสียด้วยซ้ำ

            ต่อไปก็ไปเป็นพิธี เอาพลาสเตอร์ไปแปะว่า ปิดแล้วนะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อกุญแจ ไม่ร่วมมือแล้วนะ ประชาชนมาปฏิวัติ เขาเห็นด้วยเขาก็หยุด เป็นขนบ แบบแผนไป เขาก็ใช้รูปลักษณ์นี้ จะเป็นรัฐศาสตร์ที่สวยงาม เป็นการเมืองประชาธิปไตยที่สวยงาม ตอนนี้เป็นรุ่นบุกเบิก อาจยังไม่งาม ไม่รู้ ไม่เข้าใจวิธีการ นี่คือวิวัฒนาการของประชาธิปไตย...จบ


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:09:42 )

570123

รายละเอียด

570123_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง ความขลังและความมีค่าแบบพุทธ

       ที่เราทำนี่เป็นการประท้วงของอาริยะ อย่างคำว่า อารยะขัดขืน civil disobedience ที่ต้องขัดขืน เพราะกฏไม่เป็นกฏ ออกกฏแล้วมาเบี้ยง ออกมาเพื่อประโยชน์ของพวกตนก็มี แต่กฏที่ดี แต่คนก็มาทำให้ผิดกฏแต่เป็นความถูกต้องก็มีได้ ความถูกต้องกว่าหรือไม่ก็อยู่ที่กาละ และพฤติกรรมที่เป็นปัจจัย อยู่ที่พฤติกรรมคนด้วย

       พระพุทธเจ้าว่า ถูกผิดอยู่ที่จิตของคนกำหนด สัญญายนิจจานิ คือกำหนดแล้วยึดว่าเที่ยง แต่ละคนก็ต่างยึดกัน  ถ้ายึดในนัยที่ถูกควรก็ถือว่าเป็นส่ิงที่ถูก ความถูกความผิดนั้นกำหนดโดยมนุษย์ ซึ่งต่างกันได้ แม้แต่ที่สุดก็กำหนดลงเป็นสัญชาติญาณ มันเกิดตามที่มันหยั่งลง ผนึกเป็นความจำ แม้ปัจจุบันนี้เราก็ใช้สัญญากำหนดหมาย

       สัญญามีหน้าที่สองอย่าง คือ กำหนดหมายรู้ กับการจดจำ

       พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้แต่ละอาการว่าเป็นอย่างไร ให้ศึกษาปฏิบัติเอาสิ่งที่ดีที่ควรมาใช้ ท่านตรัสรู้ความเป็นมนุษยชาติ ไม่ได้กำหนดหมายตายตัว เพราะแต่ละคนแต่ละที่ก็กำหนดต่างกัน แม้มาอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ยึดถืออย่างนี้ แต่อีกสังคมก็ยึดถืออีกอย่าง กลุ่มหนึ่งถือว่าดีมาก อีกกลุ่มหนึ่งถือว่าไม่ดีมาก ก็เป็นของแต่ละที่กำหนดต่างกัน แต่ละประเทศ แต่ละรัฐก็แตกต่างกัน

       ถ้าเรามีปัญญารู้เท่าทันการยึดถือเหล่านี้ก็ไม่ไปคัดแย้งดึงดันแย่งชิงทะเลาะวิวาทกัน เราไม่ยึดมั่นถือมั่นก็สบาย ถ้าไม่โลภกันมากก็อยู่กันอย่างอนุโลม ในหลวงว่าอยู่อย่างอลุ่มอล่วย มีสามัคคี เมตตากัน

        แต่ถ้ายึดถือยึดติดก็เป็นโทษ จนเรามาประท้วง เป็นหมู่มวลที่มาก ไม่เคยมีมาก่อนเลย วันนี้พวกคนนักท่องเที่ยงต่างชาติมากเลย เขาจะตื่นตัวกัน จะมาบอกว่านักท่องเที่ยวจะลดก็ไม่เลย เราสู้กันด้วยความถูกต้องดีงาม เราทำมาขนาดนี้นักท่องเที่ยวยังอยากดูเลย ว่าทำไมประเทศไทยทำได้อย่างนี้ อยู่กับเรียบร้อย เป็นปึกแผ่นดีงามด้วย เดือนแล้วเดือนเล่า สงสัยจะปีแล้วปีเล่าหรือเปล่านะ  

       ต่อไปจะอ่านบทความของท่านขุนน้อย แห่งไทยโพสต์เรื่อง

      ขีดจำกัดของความหน้าด้าน

ฮื่ออ์อ์อ์...ไปๆ-มาๆ เห็นว่า ผอ.ศรส. หรือผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ ดันโดนล้อมกรอบติดแหง็กอยู่ที่กระทรวงแรงงานไปเรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว!!! จริงๆ...ไม่จริงก็ไม่รู้ ฟังจากที่ ผู้ใหญ่บ้านสาธิต ท่านเอามาปูดออกทาง บลูสกายทีวี ช่วงบ่ายวานนี้ เล่นเอาแทบ ก๊าบ...ก๊าบ...ก๊าบ ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้...

                                                        ----------------------------------------------

     คือถ้าหากมันเป็นจริงอย่างว่า...งานนี้คงต้องยอมรับกันอย่างตรงไป-ตรงมานั่นแหละว่า ไอ้ที่พยายามงัดมาตรการ งัดไม้ตาย ออกมาเล่นงานมวลมหาประชาชน ภายใต้การนำของคุณพี่ เทพเทือก และพวกกันในวินาทีสุดท้ายนั้น มันดูจะออกไปทาง พ.ร.ก.ฉุกละหุก ซะมากกว่า คือไม่ได้ส่งผลให้เกิดอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช อำนาจ บารมี ตามแบบที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับของแท้ แต่ดั้งเดิม ได้ส่งมอบไว้ให้เอาเลยแม้แต่น้อย หรือคล้ายๆ ความพยายามที่จะงัดเอาหนังเสือมาคลุมร่าง แต่สุดท้าย...เมื่อยังคงเห่าบ๊ง...บ๊ง...บ๊ง เหมือนอย่างเดิม คนเค้าก็เลยไม่กลัว ไม่รู้สึกหวั่นเกรงบารมี บรรยากาศของสถานการณ์ฉุกเฉินมันเลยกลายไปเป็นสถานการณ์ฉุกละหุกกันแทนที่...

                                                      ----------------------------------------------------

    อย่างที่ ป๋าเปลว สีเงิน ท่านได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้เมื่อวันวาน รวมทั้ง เสธ.น้ำเงิน ได้ แฉความลับ เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวนั่นแหละว่า โดยลักษณะอาการของรัฐบาลที่งัดเอา พ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ในช่วงระยะนี้ ดูๆ มันคงไม่ต่างไปจากผู้ที่กำลังดิ้นพราดๆ หรือผู้ที่กำลังพยายามสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนส่งเสียงครอกก์ก์ก์พร้อมกับการจากไปในแบบไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น อะไรประมาณนั้น คือมันไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมีสติ การเตรียมการ ความสุขุม รอบคอบ ในการวางแผนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี หรือแม้กระทั่งการประเมินสถานการณ์ การข่าว อย่างละเอียด รอบด้าน...

                                                    ------------------------------------------------------

    เรียกว่า...แค่ต้องไปงัดเอา ดอกเตอร์เหลิม ก๊าบๆๆ มาเป็น ผอ.ศรส. แค่นี้ก็...หมดแล้ว!!! คือป่านนี้ยังไม่รู้ว่าจะต้องนั่งเถียงกับ รอง ผอ.ศรส. ว่า ชายชุดดำ ที่นั่งเล็งหัวตำรวจและประชาชนอยู่บนยอดตึกกระทรวงแรงงานเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้น เป็นตำรวจแท้ๆ หรือว่าเป็นมือที่สาม ผู้สามารถไต่กระไดลิงขึ้นไปซุ่มอยู่บนยอดตึกโดยไม่มีใครรู้-ใครเห็นเอาเลยแม้แต่น้อย และถ้าปล่อยให้ ผอ.ศรส. กับ รอง ผอ.ศรส. นั่งเถียงกันไม่เสร็จ บรรดา ผู้แทนเหล่าทัพ ทั้งหลาย ที่จำต้องกล้ำกลืน ฝืนทน เป็นแค่ กรรมการ อยู่ภายใต้การบัญชาการของ ร้อยตำรวจเอก และ พลตำรวจเอก อาจต้องลุกหนีเอาดื้อๆ เพราะการนำเอาเหล่าทัพ 3 เหล่าทัพไปอยู่ใต้ฝ่าตีนตำรวจ แถมยังเป็นตำรวจประเภทจับ ไอ้ปื๊ด ก็ไม่ได้ จับ ตั้ง อาชีวะ ก็ไม่ได้ แล้วใครจะไปทนหยามหยาบ เหยียดหยาม ไปได้ถึงปานนั้น...

                                                   ----------------------------------------------------------

    สรุปง่ายๆ ว่า...โดยลักษณะอาการของรัฐบาล (เถื่อน) เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องใช้คำว่า...เละเป็นขี้เละเป็นโจ๊ก ไปทั่วทั้งองคาพยพเอาเลยก็ว่าได้ คือไม่มีมือ ไม่มีตัว ไม่มีหัว ไม่มีศูนย์รวมที่มีปัญญาและบารมี มากพอที่จะช่วยพลิกฟื้น เยียวยาสถานการณ์ เท่าที่เห็นและเป็นอยู่ให้พอทุเลา เบาบาง ลงไปได้บ้าง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ สิ่งที่พอจะช่วยประคับประคอง ช่วยต่อลมหายใจออกไปได้เป็นห้วงๆ ก็เหลืออยู่เพียงแค่ ความหน้าด้าน ที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า...ช่างเป็นอะไรที่ กินเนสส์บุ๊ก อยากจะเจอตัวและอยากขอจดบันทึกเอาไว้เป็นสถิติซะเหลือเกิน คือด้านชนิดที่คอนกรีตเสริมใยเหล็กฉาบด้วยวัสดุนาโน ยังไม่อาจเทียบกับความหนาแน่น ทนทาน ของคณะรัฐบาลชุดนี้ได้เลยแม้แต่น้อย...

                                                   ----------------------------------------------------------

    แต่ก็นั่นแหละ...ถึงแม้ว่า ความหน้าด้าน จะถูกนำมาใช้เป็นทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี หรือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้รัฐบาลมีโอกาสตะเกียกตะกาย ดิ้นรน ทุรนทุราย ต่อไปได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงคงสถานะ ความเป็นรัฐบาล ไว้ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์แบบ แม้แต่เพียง ความเป็นรัฐบาลรักษาการ ก็เถอะ เพราะรัฐบาลรักษาการที่ปกครองไม่ได้ บริหารจัดการใดๆ ไม่ได้ นำเอาความสงบเรียบร้อยกลับคืนมาสู่บ้านเมืองไม่ได้ แถมยังเป็นรัฐบาลรักษาการที่ทำผิดกฎหมาย รวมทั้งหันไปใช้กรรมวิธีนอกกฎหมาย มาใช้เป็นเครื่องมือในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ฯลฯ อันนั้น...จะยังไปใช้คำเรียกว่า รัฐบาล คงลำบาก เพราะมันออกไปทาง ซ่องโจร หรือ แก๊งอันธพาล ซะมากกว่า...

                                                    ---------------------------------------------------------

    ยิ่งพยายามดิ้นรน เอาตัวรอด มากขึ้นเท่าใด ความเป็นโจร ยิ่งต้องถูกแสดงออกมากขึ้นเท่านั้น และสุดท้าย...ด้วยความหยาบ ความทราม ความต่ำช้าสามานย์แห่งความเป็นโจรนี่เอง มันย่อมก่อให้เกิด ขีดจำกัดความหน้าด้าน ที่ไม่อาจยั่งยืน คงทน ถาวร ไปตลอดชั่วนิรันดร์กาล ถึงแม้จะได้ชื่อว่า ด้านที่สุดในโลก ก็เถอะ เนื่องจากย่อมไม่มีมนุษย์หน้าไหน สังคมไหน ประเทศไหน ที่จะยอมอดทน อดกลั้น กับความชั่วช้า ต่ำทราม ไปได้ตลอดชั่วนิจนิรันดร ถึงวันใด วันหนึ่ง วินาทีใด วินาทีหนึ่ง พลังแห่งความหน้าด้านมันย่อมต้องพลังทลายลงมาเอง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเลยขีดจำกัด กว่าที่มนุษย์พันธุ์ใด เผ่าใด จะทานรับเอาไว้ได้อีกต่อไป ซึ่งวันนั้น และวินาทีนั้น มันอยู่ห่างไปอีกแค่ชั่วไม่กี่อึดใจ ดีไม่ดี...อาจไม่ถึงวันที่ 2 กุมภา.เอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                           -----------------------------------------------------------

    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Baron de Montesquieu... “Constant experience shows that every man who has power is apt to abuse it and to carry his power to the limit.- ประสบการณ์อันหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจมักจะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด และพยายามที่จะใช้อำนาจนั้นๆ ไปจนถึงขีดสุด...”.

 

       อีกบทความหนึ่งของคุณผักกาดหอม จากไทยโพสต์ เรื่อง

      ยังชั่วได้อีก!

มันฉุกละฉุกเสียมากกว่าฉุกเฉินไปแล้วครับ เมื่อทหารไม่ยอมถือปืนออกมา รัฐบาลก็คลั่งนะซิครับ มีที่ไหนปากบอกฉุกเฉิน แต่จะออกข้อห้ามโน้นเลยวันจันทร์ที่ 27  มกราคม

    ผิดปกติวิสัยจริงๆ ครับ หรือรัฐบาลมีเจตนาสร้างสถานการณ์เพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ใหญ่กว่า

    ระบอบทักษิณมี "ทัศนะ-ตรรกะ" ในการบริหารราชการแผ่นดินที่เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศครับ   ลับลวงพราง ปลิ้นปล้อน เป็นประวัติการณ์

    ผมยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ จำได้มั้ยครับ น้องตั๊น-จิตภัสร์ กฤดากร ของเรา เคยพูดถึงการรับรู้เรื่องการเมืองการปกครองของคนในชนบทนั้น มีน้อยกว่าคนในเขตเมือง

    หากมองในบริบทที่ผ่านการใช้อำนาจรัฐโดยรัฐบาลที่มีฐานเสียงส่วนใหญ่ในชนบท มันปฏิเสธยากจริงๆ ครับว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    แต่ระบอบทักษิณ โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง นำประเด็นนี้ไปโจมตีว่า กปปส.ดูถูกประชาชนในชนบทว่าเป็นคนโง่

    มาดูอีกกรณีเทียบเคียงกันครับ

    รัฐบาลหมดหนทางเติมเงินในโครงการรับจำนำข้าว เพราะโกงกันเยอะ ปัญหานี้มิได้เกิดขึ้นมาวันสองวัน แต่เป็นมาต่อเนื่องหลายเดือนแล้ว

    ชั่วร้ายอย่างรุนแรงครับ อ้างเป็นเพราะมีม็อบไปปิดกระทรวงการคลัง มาจนถึงการปล่อยข่าวว่าม็อบปิดธนาคารออมสิน จึงไม่อาจจ่ายเงินให้ชาวนาได้

    นักการเมืองในรัฐบาลเองก็รู้ว่าความจริงคืออะไร และคิดว่าปล่อยข่าวลักษณะนี้ออกไป ชาวนาจะเชื่อตามนั้น

    ถามนิดเถอะครับ ใครกันแน่ที่คิดว่าประชาชนในชนบทโง่ แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องมือ?

    ถ้ารัฐบาลเห็นแก่ผลประโยชน์ของชาวนาจริงๆ ควรจะจัดการด้านงบประมาณให้เสร็จเสียก่อนที่จะยุบสภาฯ แต่ในความจริงคือโครงการนี้มันโกงกันจนเน่าเฟะ และสุดท้ายรัฐบาลจนมุมในความชั่วที่ตัวเองสร้างขึ้นมา

    เช่นเดียวกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินครับ อย่างที่ "พล.ร.ต.วินัย  กล่อมอินทร์" พูดเอาไว้ "ประชาชนคนไทยเขากินข้าว เขาไม่ได้กินอย่างอื่น"

    ประกาศพระราชกำหนดหาอะไร?

    วันที่ 26 มกราคมนี้เลือกตั้งล่วงหน้า ประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะต้องออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ 2 กุมภาพันธ์ก็จะเป็นอีกวันที่ต้องเลือกตั้งในบรรยากาศแบบเผด็จการฉุกเฉิน

    ในหลักสากลถือเป็นการเลือกตั้งที่ไร้ความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นการใช้สิทธิ์ในทางประชาธิปไตยภายใต้บรรยากาศกฎหมายเผด็จการ

    วาทกรรม รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งในค่ายทหาร ที่ระบอบทักษิณสร้างขึ้นมา หากนำมาเทียบกับกรณีนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยครับ

    จับตาดูให้ดีครับ เพราะคนชั่วมักทำเรื่องที่ชั่วกว่าเดิมเสมอ!


       ต่อไปเป็นบทความของ เปลว สีเงิน ในไทยโพสต์..
       บท 'ปลงอำนาจ' ของทรราชหญิง

ไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ อะไรที่เป็น "ของปลอม" ใช้หลอกลวง-หลอกต้มผู้คนได้พักเดียวก็....เสื่อม!

    เหมือน "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" เวลานี้ ไม่ต่างกับ "ยันตระ-เณรคำ" ที่ครั้งหนึ่งประชาชนหลงใหลได้ปลื้มว่า เป็น "อริยะมาโปรด"

    มีเงิน ให้เงิน, มีทอง ให้ทอง, ข้าวปลาเอามากองให้กิน ครั้นถูกจับได้ว่า เป็นแค่หมาขี้เรื้อนขนเพนต์สี ไม่มีคุณวิเศษตามอวดอ้าง...เสื่อมทันที

    ความเคารพนับถือที่ชาวบ้านเคยมีก็หมดไป เหลือแต่ความเกลียด แค้น ชิงชังเป็นไอ้เดียรถีย์สถุล ถูกชาวบ้านตามไล่กระทืบ

    "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ก็ประมาณนั้น....!

    ตัวทักษิณที่หนีไปเลียต่อมลูกหมากก่อนหน้าแล้ว ไม่ต้องพูดถึง เอาเฉพาะตัวร่างทรง นางสาวยิ่งลักษณ์ พื้นที่ให้ซุกไปวันๆ ตอนนี้ เหลือพื้นที่น้อยกว่าของหลินฮุ่ย

    "อำนาจ-บารมี"...หมดแสง!

    นอกจาก "หลง" ว่ามี จากทาสข้างตัว 4-5 คนหลอกว่ามี ให้สั่งโน่น-สั่งนี่ ที่ตอนนี้แต่ละหน่วยราชการ เชื่อฟังคำสั่ง "กำนันสุเทพ-ทนายนกเขา" มากกว่าฟังที่นางนายกฯ เพ้อเจ้อสั่ง

    พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั่นก็เพ้อเจ้อ!?

    ตัวเองนั่นแหละตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน จะลาออกไปตายบ้าน หรือจะถูกไล่ออกไปตายนอกบ้าน ตรงนั้น...ตรองให้หนักก่อนวันตรุษจีน 31 มกรา

    ไม่ต้องไปขีดเส้นเป็น-เส้นตายให้กำนันสุเทพหรือใครๆ คนไหนใน กปปส.หรอก...ได้ยินมั้ย

    "ทนายนกเขา" ขีดเส้นตายจะจับตัว "นายกฯ เถื่อน" ใน 2-3 วันนี้!

    แต่ทนายนกเขาต้องระวังนะ ทิดเหวง หยิบไมค์แบบหวาดๆ ด้วยกลัวเมียสวยตวาดแหว คร่อกๆ แถลงข่าวเมื่อวาน...

    บอก...ไม่ว่าที่ไหนในโลก นายกฯ ต้องมีหน่วยคุ้มกัน ใครจับตัว หรือทำร้ายนายกฯ

    ให้ยิงทิ้งทันที!

    แหม...เหวงหวังเหวิดช้าจัง น่าจะพูดแบบนี้ตั้งแต่ตอนปี  52 หน่วยคุ้มกันนายกฯ อภิสิทธิ์จะได้ยิงกระบาลพวกหมอเหวง ที่รุมทุบรถนายกฯ อภิสิทธิ์ถึง 2 ครั้ง 2 หนคราวนั้น

    มันหมดแล้ว...ยิ่งลักษณ์!

    ตัวเองหมด ลูกน้องก็พลอยหมดไปด้วย เหมือนยันตระ-เณรคำหมดขลัง พวกลูกศิษย์ก็หมดที่ทำมาหากินไปด้วย และพากัน "หน้ามืด"

    คืนวานซืน "ขวัญชัย ไพรพนา" ผู้มีโควตาจากทักษิณ แต่งตั้งผู้ว่าฯ ผู้บัญชาการ ผู้กำกับ หลายจังหวัดในอีสาน นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บ้านที่อุดรฯ

    จะจัดฉาก หรือสร้างสถานการณ์กันเอง หรือใครจะสั่งสอนใครก็ไม่ทราบ เจอเอ็ม 16 แบบการุณยฆาต

    ต้องไปนอนให้หมอแคะลูกกระสุนที่โรงพยาบาล!

    เหล่านี้คือสัญญาณบอกให้รู้ว่า ขาลง...คือมันลงจนไม่มีเหลืออะไรไปรั้งอยู่ ขืนประทับทรงทักษิณอยู่ หรืออยู่ในอำนาจที่ตัวเองไม่มีต่อไป นั่นต้องเลือกเอาคำ ระหว่าง

    "หน้าด้าน" กับ "คนบ้า"!

    กปปส.-คปท.-กองทัพธรรม เขาตระเวนไปยึด ไปปิดสถานที่ราชการเกือบหมดประเทศแล้ว และรู้มั้ย จดหมายคนราชการที่มีไปถึงกำนันสุเทพเป็นปึกๆ มีไปด้วยข้อความว่าไง...ยิ่งลักษณ์?

    มีไปบอกว่า...."ลุงกำนัน ช่วยมาปิดกรมนั้น..หน่วยนี้...ให้หน่อย จะได้มีเงื่อนไขหยุดราชการ ไปร่วมมวลมหาประชาชน ชัตดาวน์ บางกอก"!

    ชัดเจน จนสิ้นสงสัยใดๆ มันหมดแล้วจริงๆ ไม่เพียงมวลมหาประชาชนเท่านั้น เวลานี้ มวลมหาข้าราชการ ทั้งพลเรือน ทั้งทหาร ทั้งตำรวจน้ำดี ก็ "ไม่เอาระบอบทักษิณ"    

    เอา "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง 2 กุมภา" กันทั้งนั้น!

    ฉะนั้น ตื่นจากนิยายที่ เฉลิม ปึ้ง อดุลย์ นิพัทธ์ ภราดร  เล่าหลอนประสาทให้เชื่อได้แล้ว เจ้าหล่อนไม่ใช่นายกฯ เจ้าหล่อนไม่มีอำนาจอะไรในฐานะนายกฯ

    เป็นแค่ "นาแบก" ให้สมุนบางคน ปักกล้า-ดำนาเล่น เท่านั้น!

    จะหลอกชาวบ้านไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อดำ เสื้อขาว ชาวรากหญ้า-ยอดยาง ก็ไม่ได้อีกแล้ว อย่างที่ว่า   

    ผมรวยแล้วไม่โกง...จะมาช่วยให้พ่อแม่พี่น้องพ้นจากความยากจน...จะมากระชากค่าครองชีพพ่อแม่พี่น้องให้ถูกลง เป็นต้น

    ผลเป็นไง...วันนี้-นาทีนี้ ชาวบ้านที่เคยหลงเชื่อ ไม่ใช่แค่ตาสว่าง หากแต่ "ตาค้าง" ลุกโพลงกันไปเลย

    ที่ว่ารวยแล้วไม่โกง ไม่ใช่แค่ไม่โกง แต่มันเอาถึงขั้น "ขายประเทศ" รวยเฉพาะโคตร

    จำนำข้าวเปลือก ผลาญงบประมาณไปแล้วร่วม 8 แสนล้าน แต่ขายข้าวคืนคลังได้แค่แสนกว่าล้าน นอกนั้น ไม่รู้เงินหายไปไหน?

    ชาวนาที่จำนำข้าวไว้ ได้แต่ใบประทวน เริ่มแห่กันปิดถนนถามหา...

    "ไหนมึงว่ารวยแล้วไม่โกง เอาข้าวกูไป แล้วเงินของพวกกูอยู่ที่ไหน หา...นังสำส่อน?"

    แล้วค่าครองชีพ มันจะถูกลงได้ไง ในเมื่อประเทศทั่วโลก กระทั่งสหรัฐอเมริกาซึ่งรายได้ประชากรต่อหัวสูงกว่าไทย   น้ำมันเบนซิน 91-95 ลิตรละไม่ถึง 30 บาท ส่วนของไทย ซึ่งมีทั้งก๊าซและน้ำมันเองแท้ๆ

    นังตอแหล กระชากขึ้นไปลิตรละร่วม 50 บาท

    ทั้งที่มาเลย์ฯ ซึ่งค่าแรงวันละพันกว่าบาท ยังไม่เกิน 20บาท/ลิตรเลย!

    นี่คือความเสื่อม อันเกิดจากการหลอกลวง-ต้มตุ๋นของ "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" แล้วอาศัยศรัทธาของชาวบ้านนั้น คอร์รัปชัน จนทรราชสองพี่น้องคู่นี้

    ติดอันดับโกงที่ 1 ของโลก!

    ที่ระยำร้ายกาจคือโกงชาวนา นั่นดูจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย ต่อจากออกกฎหมายล้างโทษให้ทักษิณ

    เมื่อกำนันสุเทพเป็นผู้กล้าคนแรก ชูกำปั้น กระโดดออกมาตะโกน...กูจะปฏิรูปสังคมประเทศใหม่ ล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากไทยประเทศ

    เท่านั้นแหละ สังคมโลกได้ทฤษฎีใหม่ "มวลมหาประชาชนปฏิวัติ"!

    ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรงด้วยทัศนะปฏิปักษ์ประหัต-ประหาร ใช้สันติ-อหิงสา กางกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นคัมภีร์นำทางปฏิวัติ!

    มวลมหาประชาชนออกมาวันเดียว 5-6 ล้านคน บอกชัดถึงเจตนา ล้มล้างระบอบทักษิณ เฉดหัวยิ่งลักษณ์ "นังน้องสาวร่างทรง" ให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ

    ตั้งสภาประชาชน ร่างกฎกติกาสังคมใหม่ ในโครงสร้างประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้ปัจจุบัน ไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ด้วยกฎกติกามวลมหาประชาชนเห็นชอบ

    พ้นกรอบ-พ้นเงา "ระบอบทักษิณ" ครอบงำ!

    พูดในหลักประชาธิปไตย มวลมหาประชาชนเฉียด 10 ล้านออกมารวมตัววันเดียว "ไล่รัฐบาลทรราช"

    ถ้ากำนันสุเทพนำด้วยแนวทางเผด็จการอำนาจ อย่าว่าแต่ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์เลย ด้วยจำนวนคนมากขนาดนั้น ถ้าเกิดในสหรัฐโอบามาก็ล้มได้

    ล้มได้เพราะ เขามีสปิริตประชาธิปไตย ไม่หนังหนา-หน้าด้าน อย่างนักการเมืองตระกูล "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์"

    เสือกลอยหน้าบอกซะด้วยนะ...ไม่ลาออก เพราะต้องอยู่ทำหน้าที่รักษาประชาธิปไตย!

    ก็อยากบอกส่งท้ายว่า ประชาธิปไตยน่ะ ไม่ได้มีสัญลักษณ์จากเลือกตั้งเท่านั้น การเคารพกฎหมาย เคารพเสียงมหาชนที่ออกมาไล่เป็นสิบๆ ล้าน นั่นก็ประชาธิปไตย

    เลือกตั้ง 2 กุมภามันไม่มีหรอก เพราะตามกฎหมายบอก ต้องอยู่ในภาวะปกติ ดำเนินขั้นตอนด้วยบริสุทธิ์และยุติธรรม

    ตอนนี้มัน "ไม่ปกติ" เป็นภาวะฉุกเฉิน ซ้ำขั้นตอนรับสมัครก็ไม่บริสุทธิ์-ยุติธรรมหลายๆ ปัญหา-อุปสรรค ตามที่ กกต.บอก เลือกไปเสียงบประมาณเปล่า เปิดสภาฯ ไม่ได้ ตั้งนายกฯ ก็ไม่ได้ ฟ้องร้องตามมามากมาย

    ที่สำคัญ ขืนเลือกตั้ง นอกจากประชาธิปไตยจะไม่ได้ แต่จะได้ตับ ไต ไส้พุง ประชาชนแทน!

    ศพสวยที่สุดสำหรับนักการเมืองทรราช คือการ "ลงเอง"

    ถ้าไม่ยอมลงเอง ก็ศึกษาทางเดินนักการเมืองอสัตย์-ทรราช-ขี้โกงทั้งหลาย ขึ้นต้น-ลงท้าย "...ล้วนไปตายนอกประเทศ"

    เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2475 โน่นแล้ว!

 

       พ่อครูว่า...เรื่องของความขลังนี่ อาตมาก็เป็นนักบวช ที่เขาพูดถึงเณรคำ หรือยันตระก็มีเขาว่าดังเรื่องความขลังกัน แต่อาตมาไม่ได้มาดังหรือขลังแบบเณรคำ อาตมาไม่ได้เป็นนักบวชที่ขลังเหมือนสองคนนั้น แต่สังคมมองอาตมาว่าเฉียดๆเหมือนเณรคำหรือยันตระ บางคนบอกว่าอาตมาตกร่วงจากศาสนา เถรสมาคมอัปเปหิอาตมามา ซึ่งอาตมาว่า อาตมาไม่ได้ถูกอัปเปหิออกจากมหาเถรสมาคม เพราะว่าอาตมาลาออกมาเองด้วยหลักวินัยของพระพุทธเจ้าเรียกว่านานาสังวาส (ทำได้สองนัยคือ หมู่ใหญ่ให้ออกมากับหมู่เล็กขอแยกออกมา) คำว่า นานา คือต่างกัน นานาสังวาสคือความเห็นทิฏฐิต่างกัน ศีลต่างกัน อย่างชาวอโศกเรานับถือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นหลัก และวินัย 227 ข้อเราก็รักษาด้วย แต่ว่าของกระแสหลักนั้นเขาไม่ถือใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเราก็เลยอยู่กันยาก

       วันที่เกิดสมณะชาวอโศกคือวันที่ 7 ส.ค. 2518 เราลาออกมาจากมหาเถรสมาคม ซึ่งตอนแรกเขาก็ยอมรับให้เราแยกออกมา มีหลักฐานด้วย แต่ว่าเขาใช้อิทธิพลในการฟ้องร้องจนเราแพ้คดีความ ซึ่งเป็นการทำผิดวินัยเยอะเลยที่มาฟ้องร้อง 

       คนเข้าใจความถูกของเราว่าผิด อย่างประชาชนเข้าใจเราผิด ซึ่งเสียหาย ไม่ดี เพราะไปเข้าใจความถูกเป็นความผิด ความดีเป็นความชั่ว เราก็เลยต้องยืนยันความถูกต้อง เราไม่มีสิทธิ์บังคับให้ใครเชื่อ พระพุทธเจ้าให้สิทธิ์เลือกว่าอันไหนเป็นธรรมวาที อันไหนอธรรมวาทีก็เลือกเองด้วยปัญญา

       นานาสังวาสนี่เป็นสุดยอดของประชาธิปไตย ก็พิสูจน์กันไป อย่ามาฆ่ากันอย่าตีรันฟันแทง เอาระเบิดมาใส่กัน มันชั่วอย่าทำเลย

       อาตมาบวชก่อนเณรคำ หรือยันตระ ก็ไม่ได้ออกไปต่างประเทศที่ไหน ก็อยู่ทำงานในประเทศ พูดถึงความขลัง อาตมาไม่ขลังเลย แต่มีความเป็นคุณ อาตมาพยายามสร้างความเป็นคุณ สร้างให้คนเป็นคนมีคุณ คือ คุณค่า คุณประโยชน์ คุณแปลว่าสิ่งดีความดี คนที่มีคุณเป็นคนอย่างไร จะใช้ความขลังมาเรียกแทนคุณก็ได้

       ขลังเพราะเขาเป็นคนมีศีลธรรม ก็คือเป็นคนมีคุณนั่นเอง คนที่ปฏิบัติกับอาตมาจะขลังมีคุณได้ เช่นมีศีล 5 เป็นต้น เป็นพื้นฐานเลย อาตมาก็พยายามเผยแพร่และสอนให้คนเป็นคนเช่นนี้ ก็ได้คนมาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน ทุกคนในหมู่บ้าน เป็นคนมีศีล 5 ทุกคน ไม่ได้อวดโอ่นะ แต่มายืนยันว่าอาตมาทำงานมีผลได้จริง

       สมาชิกจริงในชุมชนต้องถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ นอกนั้นก็มีถือศีลสูงขึ้นกว่านั้นก็มี

       มีศีลคือมี 1.มองกันในกายวิญญัติ รูปนอกพฤติกรรมทางกายกรรม เห็นได้ว่าเป็นคนไม่ฆ่าสัตว์ เวรมณี ไม่ฆ่าสัตว์แม้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ขโมยไม่ทุจริต ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่มีอบายมุขทั้งหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านชาวอโศก ไม่มีคนกินเหล้าสูบยา แม้คนทาลิปสติกก็ไม่มีสักคนในหมู่บ้าน แต่งตัวก็นิยมไทย นุ่งผ้าถุงเป็นหลัก ไม่เป็นแบบคนโลกๆ ซึ่งผู้ศึกษาธรรมะจะเข้าใจ เป็นสามัญสำนึก เป็นคนมีศีลมีธรรม

       ข้างนอกเห็นได้ แต่อาจกดข่มไว้ก็ได้ ละเว้นกายกับวาจา ได้ในศีล แต่ใจยังฝืืนนี่คือยังไม่บรรลุ แต่ถ้าบรรลุแล้วจิตจะสบาย ไม่ฆ่าสัตว์ก็จิตสบาย ไม่ขโมยก็ทำได้อย่างสบาย จิตเป็นตัวชี้บ่งว่าเป็นผู้มีศีล ที่ไปสอนกันว่าศีลจะฝึกกายกับวาจา ส่วนสมาธิก็ไปนั่งสมาธิเอา อย่างนั้นไม่ใช่

       แต่ศีลต้องทำให้ถึงจิต อย่างยุงมากัดเราก็ฝืนไม่ตบมัน แต่ใจก็ยังโกรธ เคือง อยากฆ่า นั่นคือจิตยังไม่บรรลุ แต่ถ้าทำได้จนจิตก็ไม่โกรธเลยก็ถือว่าบรรลุ อย่างโสดาบัน ก็อาจมีในจิตนิดหน่อย แต่กายกับวาจาไม่ละเมิดแน่

       ในพระไตรปิฎกเล่ม 24 กิมัตถิยสูตร​ท่านตรัสไว้ชัด ศีลที่เป็นกุศลจะยังความเป็นอรหันต์ได้เป็นลำดับ ศีลจะพาลดละกิเลสไปเรื่อย จนบรรลุสูงสุดเป็นอรหันต์โดยลำดับ มีอานิสงส์อย่างนั้น ที่สอนว่าศีลฝึกได้แค่กายกับวาจาเป็นความเห็นที่ผิด เป็นความเห็นแบบแยกส่วน ในการทำ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อสอนแยกส่วนจึงทำให้ไม่เกิดมรรคผลของพุทธศาสนา เขาถือศีลอย่างกดข่มไป ซึ่งเขาแยกทำสมาธิคนละส่วนกัน

       ซึ่งที่จริงต้องทำไปด้วยกัน ศีลข้อ 1 ให้ลดความโกรธ ก็อ่านรู้ผัสสะ แล้วมีอาการโกรธ เป็นของแท้ ว่าจิตเกิดกิเลสอย่างใด ผู้ถือศีลข้อ 1 ไม่ทำร้ายสัตว์ ก็ระวังตั้งแต่สัตว์เล็กจนถึงคน ยิ่งเป็นคนต้องระมัดระวังยิ่งกว่า คนทำอย่างนี้มีศีลจริงจะไม่ทำร้าย อาตมาอบอุ่นใจว่าชาวอโศกไม่ไปทำร้ายใคร ไม่ไปฆ่าแกงใคร เขาทำจริงมีผลจริง มีญาณปัญญาเข้าใจ และมีจิตหยั่งลง เรียกว่า โอกกันติ จนเป็นนิพพัตติ เรียกรู้โอปปาติกะ เรียนรู้การเกิด 5 อย่าง

       ชาติ 5 อย่าง (ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ)

       ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆเป็นทุกข์ แม้พระอรหันต์ แม้หมดอุปาทานในขันธ์ 5 แล้วก็ตาม พระอรหันต์ที่ไม่ตาย ยังไม่ปรินิพพาน ท่านก็ยังมีกายยิกทุกข์ แต่หมดเจตสิกทุกข์ ท่านหมดทุกข์ที่เลี่ยงได้แล้ว       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:11:14 )

570125

รายละเอียด

570125_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง เรื่องของอำนาจ 1

       คำว่าอำนาจ แปลเป็นภาษาอังกฤษได้หลายคำเช่น power, energy, authority, force , sovereignty=soverein power =supreme =independence =อำนาจใหญ่,อธิปไตย

       โดยอำนาจทางการเมือง เขาเรียกอำนาจบริหาร ,อำนาจในการออกกฎหมาย เป็นสภานิติบัญญัติ มีสมาชิกเป็นองค์คณะ สำหรับระบอบประชาธิปไตย อำนาจรัฐ เรียกว่า รัฏฐาธิปัตย์ ของไทยเป็นประชาธิปไตยสองขา ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจ แล้วยกให้พระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุข ส่วนคณะบริหารและนิติบัญญัติ ประชาชนก็เลือกตั้งคนไปทำหน้าที่แทน ส่วนสถาบันตุลาการนั้น จะบอกว่ามาจากประชาชนก็ไม่ใช้ เพราะเป็นสิทธิ์ขาดของหัวหน้าประชาชน

       ที่จริงการสอบคัดเลือกขึ้นไปก็ทำการคัดเลือกจากผู้ทำหน้าที่เดิมมาก่อน ได้คนที่เหมาะก็ส่งชื่อให้พระเจ้าอยู่หัวอีกที

       สรุปคือ ตุลาการ มีน้ำหนักไปทางพระมหากษัตริย์ ส่วนอีกสองสถาบันมาจากประชาชน ทั้งสามอำนาจ มีอำนาจเท่าเทียมกัน มีหน้าที่คานกัน

       แต่ทุกวันนี้สถาบันนิติบัญญัติ กับบริหาร ไปฮั้วกัน ก็เลยเป็นการบริหารที่ล้มเหลว ใช้ไม่ได้ ดีไม่ดี รวมหัวกัน ประท้วงไม่ยอมรับอำนาจของตุลาการ ควำ่บาตรเลย ศาลจะชี้มูล ตัดสินอะไรมาก็ไม่ยอมรับ ก็เจ็งสิ

       ตามหลักผู้ที่ไม่ยอมรับ ถ้าเขาถูกต้องเขาก็ใช้อำนาจได้ แต่ว่าถ้าเขาผิดเขาก็กลายเป็นกบฏ แต่ทั้งสามอำนาจนี้ ประชาชนก็มีสิทธิ์ดูแลตรวจสอบ ปกป้อง เมื่อเห็นว่าทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ไม่ตามกฎเกณฑ์ ทำเสียหาย ทำผิด บ้านเมืองเสียหาย ประชาชนที่ตรวจสอบดูแลอยู่เห็นเข้า ก็มาประท้วงไล่ออกไป ตามกฎสากลในโลกเขาก็ทำมาตลอดในโลก

       ในเมืองไทยตอนนี้ ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจที่ได้เคยเลือกไปทำแทนมา แต่เขาก็ยึดเกาะอำนาจที่เคยได้รับไปทำก็ถือว่ามีอำนาจไม่คืน นี่คือความหน้าด้านหน้าทน ไม่มีหิริโอตตัปปะ ติดยึดอำนาจอย่างเหนียวแน่น

       ประชาชนก็มีหลายกลุ่มที่เคยมาไล่ ไล่แล้วก็ไล่อีก ก็ไม่ไป จนรวมกันหลายกลุ่มมาเป็น กปปส. เป็นการใช้อำนาจของประชาชนที่จะยึดอำนาจคืนมา การจะยึดอำนาจคืนมาโดยประชาชนที่เคยเป็นจารีตมีมา ก็ใช้วิธีที่เรียกว่า Force บังคับ ข่ม ด้วยอำนาจปืน อาวุธ กองทัพ คนกลัวตายก็ยอมให้ปฏิวัติ เปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารปกครอง ล้มเลิกของเก่าไป

       ของประชาชนก็ถือเป็นกลุ่มหมู่หนึ่ง คณะเก่าก็ยอมยกให้เพราะกลัวตายสู้ไม่ได้ เรียกว่า ปฏิวัติก็ได้ เรียกรัฐประหารก็ได้

       ในรธน.ก็มีตราไว้ ประชาชนนั้นมาขออำนาจคืน โดยไม่ใช้อาวุธ ไม่ทำร้ายทำลายกัน ต่างกันกับการใช้กองกำลังอาวุธหรือทหาร แต่นี่ประชาชนมาปฏิวัติ รัฐประหาร ขอล้มอำนาจเก่า จะจัดการปฏิรูป ตั้งรัฐบาลใหม่ แต่วิธีปฏิวัติคือกลุ่มหมู่ของมวลมหาประชาชน ซึ่งถ้าเผื่อว่า ผู้บริหารนั้นยอมยกอำนาจคืนให้ประชาชน แต่โดยดี ก็เกิดความสงบเรียบร้อย ไม่ต้องต่อสู้ ไม่ต้องยื้อยุด อย่างทุกวันนี้ ชักกะเย่อกันอยู่อย่างนี้ แต่มีวิวัฒนาการมา

       ตั้งแต่ เร่ิมแต่ยุคพธม. พศ. 2549 ทำกันมา เราก็ได้มาร่วมด้วย ตอนแรกเราทำป้ายตัวหนังสือ พิมพ์แจกเลยว่า สันติ อหิงสา อโหสิ สามคำ

       สันติ ก็คือสงบ อหิงสา คือไม่รุนแรง และอโหสิ คือไม่ถือโทษ ให้อภัย ยอมความ ไม่ถือสาเลย

       พอใช้ขึ้นมาคณะที่มาทำร่วมกันไม่เอาคำว่าอโหสิ ก็ต้องให้รับไปตามระบิลเมือง ก็เลยติดมาแค่คำว่า สันติ อหิงสา และก็มีคำว่า สงบด้วย เป็น สงบ สันติ อหิงสา

       ก็ประท้วงกันมาเรื่อย ประชาชนพยายามปฏิวัติด้วยวิธีการอันถูกต้องตามสากล เป็นการประท้วงที่ชอบธรรมในการเอาอำนาจคืน หลายประเทศก็ทำกัน จนหลายประเทศก็ทำได้ มีต่อสุ้ล้มตายกันไปบ้าง แม้แต่เกิดการปฏิวัติโดยมีวิธีการที่ไม่ล้มตาย แล้วเปลี่ยนอำนาจไปสู่คณะใหม่ได้  หรืออย่างจอมพลถนอมก็เคยปฏิวัติตัวเอง

       การยึดอำนาจโดยไม่กดขี่ ไม่Force โดยไม่รุนแรง แต่ก็ต้องมีชี้โทษ ตำหนิ ในสิ่งชั่ว คนเลวคนชั่ว เขาทำเสียหาย อาจถึงด่า คือตำหนิอย่างแรง ก็เป็นธรรมชาติ  แต่ไม่ถึงทำร้ายร่างกาย แต่ภาษาที่บริภาษกันอย่างรุนแรง พระพุทธเจ้าใช้คำว่า มุขสติ คือทิ่มแทงกันด้วยหอกปาก

       ปากคืออาวุธทิ่มแทงกันด้วยปาก จะแรงจะหยาบอย่างไร ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ สุดวิสัย

       ถ้าผู้ใดทำสุภาพได้ แต่ชี้เนื้อหาได้ จนอีกฝ่ายหนึ่งจำนน ไม่กล้าเถียง ยอมรับ จำนน พ่ายแพ้ไป ก็เป็นการปฏิวัติที่สงบเรียบร้อย วิเศษ ซึ่ง กปปส.กำลังสร้างอันนี้

       เราทำมาตอนนี้มี กำนันสุเทพ มีบารมี พอในการทำเลย วันนี้เดินไป ก็มีนักท่องเทีี่ยวนักข่าวต่างชาติมาเยอะเลย มีที่ไหนประท้วงกันอย่างเรียบร้อยสงบ มีความสุข จนโฆษกต้องบอกเป็นภาษาอังกฤษให้เขารับรู้กันเลย

       การเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่าง Force ก็ยอมยกให้อย่างกลัวตาย แต่การที่จะยอมยกอำนาจเพราะจำนนต่อความจริง เพราะเขาผิด ซึ่งถ้าผู้ดีเห็นว่าเขาผิดเขาก็ยอมแพ้ อย่างสมบูรณ์แบบ ไว้ใจประชาชนให้เข้าไปทำอย่างผู้รู้ ผู้ดี ถ้าทำได้อย่างนี้จะวิเศษ(ยอดเยี่ยม) วิสุทธิ์(บริสุทธิ์) วิศิฏฐ์ (เลิศเลอ) อยากให้ไทยเราเป็นได้อย่างนี้

       นี่เป็นครั้งแรกในไทย เป็นประชาชนปฏิวัติ​เขาก็พยายามแย้งว่าไม่มีหรอก มาชุมนุมขออำนาจไม่มีหรอก พวกอำนาจขอทาน พวกกระจอก เป็นต้น อาตมาว่าพวกนี้ไม่มีความรู้ประชาธิปไตยที่แท้จมอืริง

       ไทยเรากำลังทำประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ตอนนี้ อาตมาว่าใกล้จะถึงหลักชัยเต็มทีแล้วไล่จนจนตรอกหลังพิงรั้วแล้ว ทำปากแข็งอยู่

       อำนาจ =sovereign power ซึ่งมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเต็มๆ โดยคุณธรรม ความถูกต้องดีงาม เรียก   sovereignty

       อำนาจที่ประชาชนยกให้นั้นบางทีมีการครอบงำความคิดประชาชนได้ เช่นบางคนมีอำนาจพิเศษ เขายกให้จริงๆ ก็เป็น Authority แต่เป็นแบบครอบงำความคิด แสดงฤทธิ์เดช แสดงความเก่ง อำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นอาเทสนาปกฏิหาริย์ ถ้าผู้นำมีจิตใจดี มีความรักประชาชนจริง ก็เป็นผู้นำที่ดี มีฤทธิ์ สมัยโบราณ หัวหน้าเผ่าจะมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระเจ้าหรือเทวดาให้ เป็นผู้ที่เทพเจ้าส่งมา การใช้อำนาจแบบนี้ก็มีการปลอม ทำตนเหมือนมีอำนาจ ลึกลับ แต่แท้จริงไม่รักชาติบ้านเมืองจริง ก็กลายเป็นผีบุญ ถือเป็นกบฏ มาแย่งอำนาจประชาชน เรียกว่า กบฏผีบุญ

       ถ้าเป็นคนดี ไม่ได้ยึดอำนาจอย่าง พระบาฮาอุลลาห์ เป็นศาสดาของศาสนาบาไฮ ครอบงำความคิดคน แต่มีจิตมีคุณธรรม จนกลายเป็นลัทธิศาสนา คนก็เชิญท่านไปบริหารประเทศเป็นนายกฯแต่ท่านไม่เป็น ท่านขอเป็นผู้เผยแพร่ศาสนา ท่านจริงใจ รักมวลมนุษย์ ให้ความรู้เข้าใจด้วย ครอบงำด้วย ศาสนาบาไฮรวมทุกศาสนา เอาสิ่งที่ดีทุกศาสนามาทำ ไม่รังเกียจศาสนาใดเลย มีผู้นับถือไม่มากนัก เป็นเชิงความรู้แบบ Prophecy ผู้ได้มากสุดจะเป็นแค่ Prophet เป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้ประกาศโองการพระเจ้า เป็นความลึกลับไม่เข้าใจ ไม่ทะลุทะลวงความจริงได้ ถ้าเป็นจริงก็เป็นศาสดา ถ้าไม่จริงก็เป็นผีบุญ เป็นกบฏ อาจถูกประหารชีวิตไป

       ผู้ที่มีความรู้มากอีกสายหนึ่ง คือสาย Philosophy คือมีความรู้เข้าใจด้วยเหตุผล สามารถรวมตัวเป็นคณะหมู่มวลมาบริหารประเทศได้ ถ้าผู้บริหารคณะนี้มีกิเลสน้อย มีหิริโอตตัปปะ ก็ดีจริง การบริหารก็เป็นไปได้

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:12:28 )

570126

รายละเอียด

  570126_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง กำลัง 4 พ้นภัย 5

       วันนี้คุณสุทิน ธราทิน พิธีกร ผู้ทำงานใกล้ชิดพวกเรา เป็นผู้ประสานงานก็ได้เสียชีวิตไป

       พระพุทธเจ้าสอนให้เราฝึกให้มีพลัง 4 คือไม่มีความกลัวในภัย 5 ประการ

       เรามาทำงานที่ไม่มีโทษ แล้วทำทำไม ก็ทำเพื่อสังคหพละ คือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นพลังที่ลำ้ค่ามาก มีพลังปัญญา และขยันหมั่นเพียร สร้างสรรเป็นประโยชน์ คนที่มีคุณสมบัติถึงขั้นนี้ จะเป็นคนที่พ้นภัย 5

       1. พ้นอาชีวิตภัย อย่างเดรัจฉานมันไม่กลัวว่าแต่ละวันจะอยู่อย่างไร ไม่กลัวว่าพรุ่งนี้จะไม่มีกิน ไม่เหมือนคน คนนี่คิดมาก เกรงมาก กลัวมาก

       2.พ้นสาสิโลกภัย ไม่กลัวคนติเตียน จะทำต่อหน้าหรือลับหลังก็ไม่กลัวคนติเตียน เพราะทำงานที่ปราชญ์ไม่ตำหนิ

       3.พ้นปาริสารัชภัย คือภัยไม่สะทกสะท้านในการเข้าสู่ที่ประชุม อย่างมาขึ้นเวที มาออกงาน ไม่เกรงกลัว ไม่หวั่นไหวอะไร เพราะรู้ดีว่าเราไม่ได้มาทำผิดทำชั่ว เราไม่ได้มาเบียดเบียนใคร เรามีอย่างไร ตัวเราก็ทำไปอย่างนั้น จะต้องพูดต้องแสดงออกอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน

       4.ไม่กลัวตาย คือพ้นมรณภัย หลายคนคิดว่า มีหรือคนไม่กลัวตาย จะตายก็ต้องวิ่งหนี ต้องหลบไม่ให้ตาย ไม่ให้เจ็บ ก็หลบไปตามปฏิภาณ แต่ใจนั้นไม่มีกลัว อาจดูกิริยาว่ากระโดดหนีจากความตายความเจ็บ อย่างไฟไหม้ก็ปล่อยให้ไฟไหม้ไม่หนี อย่างนี้คนบ้าต่างหาก หรือเขาเอาถ่านไฟแดงๆมาใส่เรา เราจะปล่อยให้ไฟไหม้หรืออย่างไร จะแสดงความไม่กลัว ปล่อยให้ไหม้ จะบ้าหรือ

       คนที่มีพลัง 4 รู้การเกิดขึ้นตั้งอยู่ของจิตวิญญาณ รู้อัตภาพ ยิ่งเป็นอรหันตตา คือมีอัตตาที่ไม่ลึกลับ แจ้งชัดในอัตตาตัวตน โดยเฉพาะอัตตาส่วนกิเลสาสวะ จนสิ้นเกลี้ยง ก็เป็นผู้รู้อัตตา อรหันต์ไม่ใช่ไม่มีอัตตา แต่ไม่หลงติดอัตตา มีอัตตาไว้อาศัย

       เป็นพระพุทธเจ้าก็ปวดศีรษะได้ ปวดอวัยวะได้ เพราะไม่สมดุล ก็เป็นกายิกทุกข์ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้  แต่ท่านไม่มีเจตสิกทุกข์ รู้จนถึงสัญญาเวทนยิตนิโรธ ดับเวทนาที่เป็นเคหสิตเวทนา แม้เนกขัมสิตเวทนาที่ควรดับก็ดับได้ เป็นเวทนาที่ละเอียดละออมาก สัญญาก็เป็นสัญญาที่ละเอียดมาก

       พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้การตายของกิเลส เรียกว่า อรณะ ส่วนการตายทางร่างกายเรียกว่า มรณะ

       จิตวิญญาณของคนที่กิเลสยังไม่ตาย แม้ร่างกายจะตายก็ต้องเกิดอยู่ แต่ว่าคนที่กิเลสหมดแล้วก็ไม่กลัวตาย อรหันต์เป็นผู้ไม่กลัวตายจริงๆ เป็นคนไม่กลัวตกนรก เพราะรู้จิตเจตสิกรูปนิพพานแล้ว คนเราควรได้ศึกษาพากเพียร จนมีภูมิปัญญา ให้เกิดปัญญาญาณ เป็นพลังปัญญาที่สูง มีวิริยะ มีอนวัชชะ มีสังคหะ ก็จะพ้้นภัย 5 อย่างนี้

       คนที่ไม่มีปัญญาถึงอย่างที่ว่าจริงก็อาจยังมีกลัวตายได้ แต่ก็เป็นไปได้ตามลำดับ อย่างศาสนาอิสลาม ถือว่าการตายเพื่อพระเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐ คนตายในลักษณะนี้ไม่ต้องไปพยากรณ์เลย ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าแน่นอน เหมือนศาสนาอิสลาม เขากล้า เขาเข้าใจ แต่ไม่ได้ทำห่ามอวดดี ทำบ้าบอไม่ใช่ ต้องมีการประมาณ

       แต่คนร้ายตั้งใจทำร้าย เขาปฏิบัติการได้ หาช่องทำจนได้ แล้วก็เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นก็เป็นไป

       มีสิ่งลึกซึ้งอีกก็คือ เรื่องวิบาก อจินไตย เป็นวิบากที่เราต้องเจอ เป็นพรหมลิขิต ที่ศาสนาอื่นเรียกพระเจ้า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นฟ้ากำหนด พรหมลิขิต จะว่าไม่จริงก็ไม่ได้ เป็นสิ่งจริง แต่ว่าสัจจะอย่างนี้ต้องมีโลกุตรธรรม

       โลกุตรธรรมนั้นจะมีกรรม ที่ฝืนพรหมลิขิตได้ คือเปลี่ยนแปลงจิตที่เป็นสัญชาติญาณ เปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่ เป็นความเหนือโลก เหนือธรรมชาติ เป็นตัวแปร ทำให้หมอดูไม่สามารถทำนายได้ แทนที่จะตายกลับไม่ตาย รอดได้ เป็นกรรมวิบากไปเสริมกุศลได้ ลดอกุศลได้ เป็นต้น

       มันเลื่อนจากที่ตำ่ได้ จะพ้นจากความเสื่อม ความร้ายได้ พ้นอกุศลได้ เป็นพลังงานที่เราต้องสร้างกุศลไปเปลี่ยนแปลงวิบากได้ กำจัดกิเลส ผู้ไม่รู้ที่ไม่ได้แก้ไขกิเลส ดีไม่ดีไปเติมกิเลส แทนที่จะทุกข์ทรมานแค่นี้ ก็เลยมากกว่าเดิม ตายทรมานกว่าเดิมอีก แต่ผู้รู้นั้นจะไม่เสริมกิเลส จึงไม่ทุกข์ทรมาน หมอดูก็เลยดูยาก

       การเกิดขึ้นตั้งอยู่กับไปเป็นธรรมดา คนสามัญก็อาลัยอาวรณ์เป็นสามัญ พวกเราเดี๋ยวทุ่มหนึ่งจะมีพิธีไว้อาลัยที่เวทีปทุมวัน คนเราหากรู้แล้ว ความโศก ปริเทว ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็ไม่มี

       รู้ว่าเขาเสียใจดีใจอย่างไรรู้ แต่เราไม่ได้มีอาการอย่างนั้น แต่ก็อนุโเลมไปกับเขา ดีไม่ดีปรุงแต่งไปกับเขาด้วย อย่างดารา ปรุงแต่งอารมณ์ให้คนอื่นได้ เป็นดาราตุ๊กตาท้องได้อย่างอาตมา แสดงลีลาท่าทาง เป็นกาย เป็นวจีวิญญัติ เป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ คนที่เข้าใจก็ปรุงแต่งสื่อให้คนอื่นรู้ แต่ตนเองไม่มีอาการใจอย่างนั้น

       บางทีดูเหมือนมีอารมณ์โกรธ เขาก็ดูตามอาการ พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเชื่อตามอาการ ผู้ที่มีสัจจานุโลมิกญาณอนุโลมตามผู้อื่น อย่างพ่อแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก หรือแม่ครัวปรุงอาหารให้คนอื่นกิน แต่ตนเองไม่ได้ชอบอย่างนั้น

       บางคนหลอกคนอื่น แท้จริงตนเองมีอารมณ์จริง แต่ไปหลอกคนอื่นได้ก็บาปมากเลย ว่าไม่มีอารมณ์ เป็นอุตริมนุสธรรม

       การชุมนุมของเราก้าวหน้า ตอนนี้เขาถึงขั้นหมาจนตรอก มันกัดแหลกเลย ระวังให้ดี มันมีอาวุธอะไร ทำร้ายทำเลวอย่างไรก็จะงัดออกมา มันสิ้นทางแล้ว ก็ระมัดระวังดีๆ แต่สุดท้ายจะมีวิบากขนาดไหนก็บอกไม่ได้

       เราก็ทำกรรมดีเป็นทรัพย์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำโลกุตรธรรมก็สั่งสมไว้ ทำจริงก็ได้จริง เท่าที่แต่ละคนมี บางคนกล้าๆกลัวมันมีหมู่มวลมา ถ้าคนเดียวทำก็กลัว แต่ทำสองคนก็กลัวลดลง แต่ทำเป็นหมู่ก็กลัวลดลงอีกหายกลัวได้

       อาตมาจะอธิบายกรรมาภิวัฒน์ ….เราได้ต่อสู้กันมาก็อาศัยตุลาการภิวัฒน์ ช่วยตัดสิน ทำให้เกิดการแพ้ชนะ ผู้ที่ถูกตัดสินก็หน้าด้านหน้าทน เหลือเกินคราวนี้ ตุลาการก็ได้แค่ชี้เหตุ ได้แค่ชี้มูล ทั้งที่โดยสัจจะเขาไม่ควรต้องอยู่แล้ว ควรต้องวางมือ ปล่อยอำนาจได้แล้ว ประชาภิวัฒน์ ประชาชนต้องมาแสดงตนเต็มที่ มีสองสภาพใหญ่ ตุลาการภิวัฒน์กับประชาภิวัฒน์

       ประชาชนมาแสดงรัฏฐาธิปัตย์ ออกไปเดินเป็นหมู่ไป ใครแสดงออกได้อย่างไรก็ช่วยกัน มามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เราไม่ได้ใช้วิธีการอื่นใดนอกจากบอกความจริง เป็นการสื่อสารออกไปแล้วใช้วิจารณญาณเอา แต่ละคนทำไป เมืองไทยเราทำได้ ไม่ใช่แกล้งยอ ไม่ใช่ใช้จิตวิทยา แต่พูดความจริง เราทำได้อย่างน่าทึ่ง เกิดได้ ไม่เคยเกิดมาก่อน มันถึงเวลาวาระเหตุปัจจัยครบ มีจิตวิกฤติ เป็นจุดเปลี่ยนสภาพ เช่นความร้อนถึงขีดน้ำก็กลายเป็นไอน้ำ ถึงจุด น้ำก็กลายเป็นน้ำแข็งได้ เป็นเปลวไฟลุกขึ้นได้เป็นต้น ความร้อนได้ละลายธาตุได้

       สิ่งที่เกิดเป็นกุศล ดีงาม ถูกต้อง จึงเจริญอยู่ได้นาน และแน่นขึ้นดีขึ้น คนก็มากขึ้น เป็นแต่บางคนติดลาภยศสรรเสริญบ้าง แต่มีคนเข้าใจว่าไม่ต้องกลังตนเองจะต้องเสียลาภยศสรรเสริญ ก็ออกมายืนยันว่ามาร่วมทางนี้แหละ เพราะอีกทางนั้นเสียหาย ฉิบหาย แต่ละกรมกองก็ออกมามากขึ้น ทั้งมวลปลีกย่อยและมวลหลักๆ

       เราต้องใจเย็นๆ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ กำนันสุเทพก็ไขเก่งนะ มีเหตุอะไรมาก็มาไขความจริงได้มากๆคนก็ได้รับรู้ความจริงที่ได้หมักหมม หมกเม็ดได้มากขึ้น

       ประชาภิวัฒน์ ที่มีความสูงกว่าได้ก็คือกรรมาภิวัฒน์ ที่เกิดจากกรรมที่เราจะพัฒนาขึ้นได้เพราะเป็นกุศล คนที่ไม่ดีเขาก็ย่ิงทำไม่ดีหนักขึ้น เราดีเราก็ทำดีให้มากขึ้นอย่าทำชั่ว

       เรามาเสียสละ ทุกกรรมกิริยา ให้เป็นกุศล ซ้อน ผู้รู้ก็แนะนำกันไป ทางคนต่อสู้ก็สู้กัน เขารู้ว่าดีก็น่าทำ เขาก็เอาดีมาแฝง แต้ต้นทุนเขาไม่ดี เขาก็เอาดีมาแฝงหลอก เหมือนแสดงละครหลอก แต่ลึกๆเขาจะทำเลว เขาจะชนะความดีด้วยความไม่ดี แต่เราต้องชนะความไม่ดีด้วยความดี

       กรรมาภิวัฒน์ เราจะทำทั้งปริมาณ และคุณภาพ(Quality) เช่นเขาจะทำร้ายทำแรงอย่างไร เราก็ต้องทำอย่างไม่รุนแรง เราไม่ได้ทำเขา พวกเราชุมนุมถูกต้องตามสากล ตามรธน. ตามสัจธรรม ทำอย่างผู้ดี ไม่คิดฆ่าไม่รุนแรง มีบ้างก็เป็นปากหอก มีด่าว่าตำหนิด้วยคำแรงก็ด่า เสียบด้วยภาษาท่าทาง ลีลา  แต่ไม่ได้กระทบร่างกายเขา เลือดไม่ตกยางไม่ออก มีแต่เสียงสำเนียงภาษาพูด จะเจ็บปวดก็เป็นเรื่องของเขา เขาหน้าด้านเขาก็ทนได้ การจะเกิดกรรมาภิวัฒน์

       ถ้าเราจะไปเลือกตั้ง กับจะขอปฏิรูปก่อน ก็เถียงกันอยู่ โดยไม่รู้ว่า ถ้าปล่อยให้ปฏิวัติ คุณมีกลไกค่ายกล ที่ซื้อเอาไว้ ตกเขียว ควบคุมหลอกล่อ ทั้งประชากร ผู้มีหน้าที่ข้าราชการที่เขาเอาทุกอย่าง ที่จะเป็นกลไกสังคมผูกมัดให้ประชาชนต้องลงคะแนนให้เขา แม้ไม่ชอบนัก แต่ก็ถูกอำนาจโลกธรรมหลอกไว้ จนเขามั่นใจว่าถ้าไปเลือกตั้งเขาชนะแน่

       เหมือนปุตตมังสสูตร มีอาหาร 4 (กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร)

       ในวิญญาณาหาร คือสุดยอดอาหาร คนฆ่าไม่ตาย พระพุทธเจ้ายกตัวอย่าง เหมือนพระเจ้าแผ่นดินว่า ให้เอาคนนี้ไปประหารด้วยหอกร้อยเล่ม พอถึงกลางวันก็ถามว่าประหารเรียบร้อยหรือ? คนก็บอกว่าประหารด้วยหอกร้อยเล่มแต่ก็ไม่ตาย ก็เลยบอกให้เอาไปประหารด้วยหอกร้อยเล่มอีก เสร็จแล้วตอนเย็นก็ยังไม่ตายอีก นี่คือคนหน้าด้าน คือคนด้านสุดโด้ ฆ่ายังไงก็ตายยาก วิญญาณของสัตว์นรกถึงขนาดนั้นจริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งจริงที่เห็นได้

       อำนาจอย่างผีบุญ คนก็แสดงความเก่ง ให้ได้อำนาจ เอาอามิสล่อด้วย ให้คนเชื่อถือ เป็นคนครอบงำสั่งการได้ ซึ่งมีสองแบบ เป็นเชิงปัญญา กับเชิงจิต

       อย่างผีบุญเป็นเชิงงมงาย ลึกลับ ส่วนอย่างปัญญาอย่าง Philosophy ก็เป็นปัญญาครอบงำ ย้อมด้วยโลกธรรมเป็นอำนาจ มีเหตุผล เฉลียวฉลาดเล่าเรียนสูง แต่สู้ผู้ที่ฉลาดแกมโกง ครอบงำได้ เป็นยอดฉลาด เถียงกันได้ฉอดๆๆๆ จะถือว่าเป็นนักรู้ เถียงกัน ฝ่ายที่เขานับถือคนนั้นเขาก็เถียงแทน คนทีเขานับถือนั้นเป็นยอดของ Philosopher แต่อย่างผีบุญสมัยโบราณก็ต้องมีอำนาจลึกลับ แต่ว่าสมัยนี้ใช้วิทยาศาสตร์ เป็นเหตุผลเห็นๆ คนตกเป็นทาสฝ่ายโน้นเขาก็เป็นของเขา

       ประชาชนมาต่อสู้เป็นกรรมาภิวัฒน์ ทำกุศลโลกียะ ทำดีๆขึ้นไปก็ได้เป็นศาสดา เป็นจอมจักพรรดิ์  แต่ทุกวันนี้เข้าใจว่าจอมจักพรรดิ์ที่มีอำนาจเก่งเหมือนอเล็กซานเดอร์มหาราช ฆ่าแกงเก่ง เหมือนพระเจ้าอโศกมาหาราชตอนแรกก็ฆ่าแกงเก่ง แต่ว่าตอนหลังเปลี่ยนแปลงได้ มาเป็นจอมจักพรรดิ์ ที่แท้จริง ท่านเป็นลิงลมอมข้าวพองไปตอนแรกๆ

       พระพุทธเจ้าว่าผู้ที่ควรเก็บอัตฐิธาตุไว้ในเจดีย์ มี 4 อย่าง คือ พระพุทธเจ้า ปัจเจกพระพุทธเจ้า​ พระอรหันต์ และจอมจักพรรดิ์

       ซึ่งจอมจักพรรดิ์ที่ควรบูชาก็คือต้องเป็นจอมจักพรรดิ์โดยธรรม ไม่ใช่คนที่ฆ่าแกงคนเก่ง แต่เป็นคนที่ช่วยเหลือคนเก่งต่างหาก  เป็นพวกบุ๋นไม่ใช่พวกบู๊

       อย่างพระบาฮาอุลลาห์ เป็นศาสดาของศาสนาบาไฮ ซึ่งนับถือทุกศาสนา เอาส่วนดีของแต่ละศาสนามารวมกันได้ เป็นศาสดาทางธรรม ถือเป็นจอมจักพรรดิ์ได้ เก่งทางศาสนา เก่งทางบริหาร จนคนเชื้อเชิญให้เป็นประธานาธิบดี พระพุทธเจ้าท่านก็สามารถเป็นจอมจักพรรดิ์ได้ แต่ท่านไม่เป็น ท่านจะมาเป็นพระพุทธเจ้า

       มั่นใจว่าประเทศไทยเราจะเป็นมหาอำนาจด้วยความจน  ดังเช่นในหลวงเราทีเป็นโพธิสัตว์แท้ตรัสเรื่อง แบบคนจน อาตมาก็พยายามสนองพระราชดำรัส ให้เกิดคุณธรรมเป็นวรรณะ 9 ตามพุทธพจน์ 7 สาราณียธรรม6 มีเศรษฐสาสตร์ถึงขั้นสาธารณโภคี ไม่ทำทุจริต ไม่ทำอบายมุข เผื่อแผ่แบ่งปันกันกินกันใช้ เหมือนอย่างที่เราอยู่กันนี่แหละ อะไรขาดแคลนก็มาแจกกัน บริจาคกัน กางเกงลิงยังบริจาคได้ เราอยู่อย่างคนจน คือเราไม่สะสม เราอยู่อย่างวรรณะ 9 หรือตามหลักตัดสินธรรมวินัย 9

       คนเจริญแบบนี้ได้ มันมหัศจรรย์มาก เป็นจอมจักพรรดิ์ได้ ไม่รู้อีกกี่ปี อาตมาเคยพูดไว้ว่าอีก 500 ปี หลายคนบอกว่านานมาก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง คนเกิดมาเป็นอาริยะ ก็จะมารวมกัน มีวิบากร่วมกัน นอกจากยังมีวิบากตัดรอนก็ไปอีกหลายชาติ แต่ถ้ามีคุณธรรมถึงก็จะมาแน่นอน

       อาตมาคงไม่อยู่นานถึง 500ปี แต่ก็พยายามอยู่ให้ถึงอายุ 151 ปี ใช้อิทธิบาทต่ออายุขัยไปเรื่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองขนาดนี้ก็ดูดี ถ้าอายุ 90 ได้ขนาดนี้ อายุ 100 ได้สบายๆ

       และจาก 100 ไปก็พยายามพากเพียร ไม่อยากอยู่เพื่อเสพสุขหรอก แต่เมื่อยนะ ที่อยู่นี่ ไม่ได้สะสมสรรเสริญเยินยอ อาตมาปิดทองลำไส้พระนะ

       อย่างสวิสเซอร์แลนด์เขาก็ไ่ม่ต้องเก่งทางสร้างอาวุธ ไม้ต้องมีอาวุธอะไรเลย ก็เก่งทางสร้างนาฬิกาได้ มีอีกหลายประเทศ คนเรากลัวว่าถ้าประเทศไทยไม่ฆ่าใครไม่มีอาวุธ จะอยู่อย่างไร เราก็อยู่อย่างกุศลช่วยเหลือประเทศอื่น คือแต่ละคนไม่สะสม อย่างชาวอโศกแต่ละคนไม่สะสมสมบัติส่วนตัวมาก แต่ทำตนมักน้อยสันโดษ ขยันหมั่นเพียร มีพลัง 4 สร้างสรร ตัวเองยิ่งปฏิบัติธรรมก็กินน้อยใช้น้อยลง กิเลสนี่ผลาญเปลือง ยิ่งลดกิเลสก็ยิ่งทำงานได้มาก

       แต่อยู่กับสังคม รู้เท่าทันสังคม รู้อะไรควรไม่ควร มีสมรรถนะ สามารถ มีพลังสร้างสรร มีปัญญาเลือกสิ่งดีทำ จึงสร้างได้มาก แต่ตนเองกินน้อยใช้น้อยเหมือนรถยนต์ที่กินไฟกินน้ำมันน้อยแต่ประสิทธิภาพสูง

       คนอย่างนี้อยู่รวมกันมากประสิทธิภาพสูง ให้ส่วนกลาง ส่วนรวมจึงรวย แต่ส่วนตัวจน แม้รวยก็ไม่สะสมกักตุน เอาออกสะพัดช่วยเหลือสังคม อย่างในหลวงตรัสว่าเราไม่เอาไปรวย เราไม่เอาก้าวหน้าอย่างมาก อย่างนั้นย่ิงถอยหลัง เป็นเจ้าอำนาจ เอาเปรียบประเทศอื่น ครอบงำเศรษฐกิจ สังคม วัฒธรรมของประเทศอื่น

       แต่เราจะไม่ไปทำอย่างนั้น เราจะเป็นมหาอำนาจอย่างโดยธรรม ด้วยการช่วยเหลือ แม้การเมืองในประเทศเราก็ไม่ไปทำร้ายคู่ต่อสู้ เราไม่ได้แย่งอำนาจ แต่เรารู้ว่าเราควรมีอำนาจ เพราะอำนาจเป็นของประชาชนมีสิทธิอำนาจทำได้ เมื่อเราให้ตัวแทนไปทำหน้าที่ แต่คุณไปทำผิดทำเสีย ประชาชนเจ้าของรัฏฐาธิปัตย์ก็จะเอาคืน

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:23:34 )

570128

รายละเอียด

570128_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง คุณสมบัติของประชาชนผู้ปฏิวัติ

       พ่อครู....อาตมาได้พยายามที่จะอธิบายลักษณะของพฤติกรรมมนุษย์ อย่างการเมืองที่แย่งอำนาจกัน เพราะกิเลส เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย มีคนรับเคราะห์รับเวร

       เรื่องของอำนาจ อาตมาก็พยายามอธิบายเรื่องนี้ โดยได้เขียนหนังสือเรื่อง “เรื่องของอำนาจ” พิมพ์ออกมาเพิ่มอีก ปรับปรุงใหม่

       เรื่องอำนาจเกี่ยวเนื่องกับคุณธรรม ถ้ามีอำนาจโดยไม่ชอบธรรม ก็มาทุจริต สมรรถภาพก็ไม่เพียงพอจะทำหน้าที่ รัฐบาลย่ิงลักษณ์นี่หมดสภาพการเป็นรัฐบาลไปแล้ว ตนเองเป็นผู้มีอำนาจในบ้านเมือง แต่กลับตกอยู่ใต้อำนาจของนักโทษชาย แล้วร่วมมือกับตำรวจ ซึ่งละเลยการจับนักโทษ ที่เห็นได้อย่างโจ่งแจ้ง แต่กลับพยายามจับคนสุจริต ตำรวจไม่จับผู้ร้าย แต่ให้ประชาชนไปจับคนร้าย แล้วคนร้ายที่จับมากลับเป็นตำรวจเสียเองอีกก็มี

       ตำรวจนั้นมีฝีมือ รู้นะว่าทำได้ แต่ปล่อยปละละเลย คนสุจริต ก็เลยต้องไปจับแทน เป็นเรื่องทุเรศทุรังการ ประเทศไทยเป็นเช่นนี้ รัฐบาลย่ิงลักษณ์ปฏิบัติผิดหน้าที่ แถมไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ

       มวลมหาประชาชนจึงเกิดได้ด้วยประการฉะนี้ มันเกิดด้วยอำนาจทุเรศทุรังการ ประชาชนออกมาประท้วงเป็นล้านคน ข้าราชการก็ออกมาร่วมกันอีก ไม่ยอมร่วมมือกับรัฐบาล เพราะเห็นความไม่ชอบธรรม มาประท้วงร่วมกับมวลมหาประชาชน มาทวงอำนาจคืน ที่เราเคยเลือกตัวแทนไปทำการแทนบริหารแทน แต่เห็นแล้วว่าไม่ได้เรื่องเลย ผิดหน้าที่ ผิดกฎหมาย อยู่ใต้อำนาจของนักโทษอีก ไม่ช่วยประชาชน ต้องให้ประชาชนจับคนไม่ดี จับได้ดันเป็นตำรวจเสียเอง ประชาชนเลยออกมาร่วมกันอย่างมาก อย่างสวยงาม มายึดอำนาจคืน

       ประชาชนรวมกันประท้วงจึงเป็นอำนาจประชาธิปไตย เป็นรัฏฐาธิปัตย์ จึงเป็นมวลมหาประชาชนที่ถูกต้องชอบธรรมแท้ๆ และออกมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายสากล อย่างถูกรธน.ด้วย มาด้วยอุตสาหะวิริยะ กินนอนกลางถนน ยืนยันประท้วง แต่เขาก็ง่านโด้เหลือเกิน เราทำอย่างไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธทำร้าย มีแต่ถูกทำร้ายจากฝ่ายตรงกันข้าม แม้เจ้าหน้าที่รัฐเองกลับมาทำร้าย การออกมาใช้สิทธิ์ประท้วง เป็นหน้าที่ของประชาชน เป็นหน้าที่ของเจ้าของอำนาจตัวเป็นๆ ออกมาแสดงตัวตนเลยว่า ต้องการอะไร ต้องการอำนาจคืน จากที่เคยคิดว่าท่านจะดี ไปทำหน้าที่บริหาร ออกกฎหมาย แต่กลับออกกฎหมายเพื่อพรรคพวก เพื่อหมู่กลุ่ม เพื่อตนเอง นี่ที่เขาว่าเราเป็นกบฏ ที่จริงเราไม่ใช่กบฏ เราทำถูกต้องตามสากล ตามสัจธรรม ยืนยันเลย

       ส่ิงที่ทำเป็นคุณงามความดี สวยสดงดงาม เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดในโลก มันจึงไม่เคยมีให้เห็นเป็นตัวอย่าง และแน่นอนว่ามันยาก ส่ิงดีสวยงามขนาดนี้เป็นได้ไม่ง่าย แต่เราก็ทำได้ เขาก็เลยไม่ค่อยเชื่อ ทั้งไทยและต่างประเทศ

       เราเลยต้องอยู่พิสูจน์ ซึ่งคนร้ายเขาก็ต้องทำร้าย ต้องขอบคุณพวกเราที่เสียสละ ถ้ามาถึงทีเราเราก็ต้องทำใจว่าได้เสียสละแก่มวลมนุษยชาติ ผู้ได้รับบาดเจ็บก็ต้องภูมิใจที่ได้ทำสิ่งสูงส่ง ประเสริฐสุดที่ได้ทดแทนคุณแผ่นดิน และมวลมหาประชาชนเราก็ยืนยันว่าทำด้วยสะอาดบริสุทธิ์ เจตนาดีไม่มุ่งหมายร้ายกับใคร มีแต่เขาทำผิดทำร้ายเราก็ต้องห้ามกัน ให้เขาเลิก เราไม่ต้องการอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้ว่าให้คุณตายไปเถอะ เราให้คุณจบหยุดออกไป มีเขตจำกัด เป็นการปฏิวัติที่สวยงาม มีหลักเกณฑ์ มีเมตตา ด้วยความถูกความผิด ไม่ได้เอาอาวุธหรืออำนาจอื่นใดมาปฏิวัติ

       อำนาจประชาธิปไตยนี้จึงเป็นของประชาชนจริงๆที่สวยสดงดงามอย่างยิ่งเลย

       ยืนยันให้พวกเราได้คิดจริงๆ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่จริงไม่ใช่น่ามหัศจรรย์อะไร เพราะเมืองไทยเราเป็นพุทธมาแต่พื้นเพ เป็นสุวรรณภูมิ แต่เริ่มต้น ตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวมาก แต่พุทธในไทยเรามีมา สองพันกว่าปีแล้ว ตั้งแต่พระเจ้าอโศกมาหาราชส่งธรรมฑูตมาเผยแพร่

       การปฏิวัติหรือรัฐประหารคืออะไร? ...ปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงทวนกลับหมุนใหม่ หมุนกลับทวน ย้อนใหม่ ไม่เอาอย่างเก่า อย่างดำไม่เอา เอาเปลี่ยนเป็นขาว

       ส่วนรัฐประหาร คือประหารรัฐบาล ไม่ใช่ประหารรัฐประเทศ

       แล้วตอนนี้เขาจะพยายามเลือกตั้งให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้กลับมามีอำนาจอีก ซึ่งเขาวางค่ายกลไว้หมดแล้วเขามั่นใจว่าเลือกตั้งอีกเขาก็ชนะอีก ซึ่งเราไม่ให้เขาทำผิดอีก

       ตอนนี้การประจานความผิดความชั่วก็ชัดขึ้น คนก็เริ่มกล้าที่จะออกมาเพ่ิมขึ้น แล้วจะเป็นไปได้จริงหรือว่าปฏิวัติอย่างไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่ใช้ Force มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะว่าโลกนี้ปฏิวัติมาแต่นานก็ใช้แต่อำนาจอาวุธ คนก็กลัว อย่างไทยเรามา 81 ปีแล้ว ก็ใช้อำนาจทหารปฏิวัติ เมื่อทำเสร็จ

การปฏิวัติ 5 แบบ

1.ก็มีที่ทหารไปเป็นผู้บริหารเอง ก็ไม่สงสัยมีคนทำมามากแล้ว อย่างนี้ไม่น่านับถือแล้วในสากล

2.หรือว่าประชาชนร่วมกับทหารทำ เมื่อสำเร็จก็ให้ประชาชนไปบริหารต่อ แต่ก็ใช้ อำนาจทหารอาวุธทำ หรือแบบที่

3 คือผู้บริหารมีอำนาจในตนเอง ก็ปฏิวัติตนเอง ส่วนใหญ่ผู้บริหารเป็นผู้มีอำนาจหรือเป็นทหารเสียเอง

4.แต่ถ้าบางทีประชาชนทำเอง แต่อาศัยกำลังจากต่างประเทศ ก็ทำได้สำเร็จ แต่ก็ใช้อำนาจรุนแรงแฝงอยู่ก็มี

5. ประชาชนปฏิวัติอย่างถูกต้องงดงามอย่างที่พวกเรากำลังทำอยู่นี่ คือปฏิวัติโดยสัจธรรม โดยความชอบธรรม เพราะประชาชนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยสองขา (มีกษัตริย์เป็นประมุข) หรือประชาธิปไตยขาเดียว(มีปธน.) ก็ตาม รัฏฐาธิปัตย์ก็ยังเป็นของประชาชน​ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอยู่ดี แล้วอำนาจที่ประชาชนใช้เป็นอำนาจที่ใช้อย่าง ถูกต้อง ไม่รุนแรง ไม่ผิดธรรม ชอบธรรมทั้งปวง Authority นี่คืออำนาจที่ย่ิงใหญ่ แต่เกิดยากยิ่ง เพราะไม่มีอาวุธเขาก็ไม่กลัว แต่ว่าจะสำเร็จได้เพราะว่าผู้ครองอำนาจเก่าต้องยอม สำนึก ยอมรับความจริง อย่างนี้ดีที่สุด แต่ที่เราทำอยู่นี่ เจอผู้ที่ได้อำนาจแล้วไม่ใช่คนดี เป็นคนชั่วสุดด้าน ก็เลยยากกว่า จะทวงคืน ขับไล่ ด่าก็แล้ว ว่าอย่างไรก็ทนทานหน้าด้าน ตะแบงไป แต่เราเป็นผู้ดีก็ไม่บีบบังคับทำร้าย เขาก็ไม่กลัว ดื้อด้าน ใช้อำนาจตนเองข่มไว้ แม้ตุลาการ ข้าราชการก็ไปข่มเขา ที่จริงข่มไม่ได้ แม้องค์กรอิสระก็โดนด้วย มีวิธีการสารพัดที่ทุจริต ไม่สุจริตเลย แล้วก็อยู่ได้ อันนี้ทำความลำบากยากเย็นมากเลยที่เราต้องต่อสู้ทนทานขณะนี้ ก็ต้องทนกันหน่อย

       มาถึงวันนี้เห็นว่าประชาชนคนไทยได้ทำการปฏิวัติ อย่างสวยงามมาก มีกำนันสุเทพพาทำอย่างสันติอหิงสา อาจพาสวดอิติปิโสฯ ดูว่าเสียงสวดจะเสียดแทงใจเขาให้เขาได้สำนึกยอมถอยไปไหม?

       ฝ่ายที่ต่อสู้เขาสู้ไม่ได้ เขาก็เลยต้องหลบ มันจำเป็นต้องรู้ รู้ว่าพวกนี้สู้ด้วยความดี ความถูกต้องความสงบ เป็นกุศล เขาก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ดี เป็นสามัญมนุษยชาติที่รู้ดี แม้คนโง่สุดโง่ โง่อย่างไม่มีขีดจำกัดก็ตาม ก็พอรู้ว่าความดีความถูกต้องความสงบเป็นอย่างไร เขาก็เลยทำทีเป็นทำดี ทำถูกต้องไปด้วย เขาพยายามสงบ แต่สงบไม่จริง มีเล่ห์ แฝงหลอกลวง ไม่จริง ทำร้ายพวกเราก็ยังไม่สงบ ก่อกวนด้วย วจีทุจริต คือโกหก ตลบแตลงตอแหล กลับตาลปัตเลย หาเรื่องผูกเรื่องซับซ้อน หาว่าเราทำกันเองทำร้ายกันเองเป็นต้น หาว่าเราสร้างเรื่องเองแล้วโยนความผิดให้เขา เขาก็ใส่ความอย่างนี้ ไม่มีอาวุธเขาก็หาอาวุธมาใส่ จับได้ก็หาว่าอาวุธเด็กเล่น

       วันนี้จับได้แท้ๆว่าเป็นดาบตำรวจ ...เขาจะว่าอย่างไร? จับได้คาหนังคาเขา เห็นๆอยู่หลายที นี่คือความรุนแรง สร้างความรุนแรง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความทุจริตทุกอย่างเป็นความรุนแรงทั้งสิ้น

       เราทำปฏิวัติได้อย่างโดยประชาชน อย่างบริสุทธิ์สะอาด ถูกต้องดีงามและสงบด้วยจึงสุดยอด เราทำมาหลายเดือนแล้วเห็นชัยชนะรายทางมาเรื่อยๆ มันต้องถึงที่สุดแล้ว ต้องช่วยกันทั้งปริมาณทั้งคุณภาพความถูกต้องดีงาม

       ดีงาม เช่น เมตตา เสียสละ และยังมีอภัยอีก เลิกจองเวรจองกรรมกัน พยายามพากเพียร เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเจือจาน ยืนยันความถูกต้อง ความดีงาม ให้ดี ดีกว่า ดีขึ้น ดีมาก ดีที่สุด มันจะมีน้ำหนักแท้จริง จนดีที่สุดไม่มีอะไรดีกว่านี้อีก ก็พากเพียรกันไป ไม่ได้เป็นความตกต่ำเสียหาย

       เราได้ทำกรรมดี เป็นกุศลจิตอัตภาพ เป็นทรัพย์แท้ของเรา ก็เป็นส่ิงประเสริฐแล้วในชีวิต นอกจากเราไปถูกหลอกว่าได้โลกธรรมมามากๆแล้วดี แม้เอาเปรียบมาได้ก็ตาม ทุจริตมาก็ตาม ยิ่งหลงว่าโกงได้หลายล้าน เป็นแสนล้านแล้วดีอีกก็ยิ่งหนัก เขาไม่รู้ว่าส่ิงที่ได้ไม่ใช่แสนล้านหมื่นล้าน นั้นเพียงสมมุติว่าคุณได้เป็นเจ้าของ แต่ส่ิงที่คุณได้จริงคือกรรมวิบากที่สั่งสม เป็นกรรมวิบากที่ซวยหนัก คนไม่ศึกษาธรรมะจะไม่รู้ไปหลงสมมุติในโลก นึกว่าส่ิงเหล่านี้น่าสะสม ทำผิดเลวทรามหนัก เขาไม่รู้สัจธรรม แต่เขารู้ว่าเขาทำเลว หน้าด้านเขาก็รู้ เลห์เหลี่ยมเขาก็รู้ แต่เขาไม่รู้ว่านั้นคือทรัพย์ของเขา ต้องไปใช้หนี้บาป เป็นนรก เขาไม่เชื่อหรอก เพราะไม่รู้กันได้ง่ายๆ

       เราทำดีก็ได้ดีเลยทันที อย่างน้อยเขาก็เคารพยกย่อง ทำแล้วก็เป็นสัจจะสั่งสมเป็นทรัพย์ ส่วนคนหลงโง่ตกอยู่ใต้อำนาจโลกธรรมมาก แม้รู้ว่าชั่วเขาก็ทำ ซึ่งถ้ารู้ทั้งรู้ว่าชั่วแล้วยังทำนี่บาปมากนะ อย่างนายตำรวจนี่เป็นผู้มีปัญญานะ เขารู้ว่านี่ทำผิดทำชั่วนะ แต่เขาก็ทำผิดทั้งๆที่รู้ บาปมันซับซ้อน พระพุทธเจ้าว่า คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ ไม่มีความผิดใดที่เขาทำไม่ได้ เพราะสุดชั่วแล้ว

       คนที่ทำชั่วทั้่งๆที่รู้ว่าทำชั่วนี่สุดๆแล้ว  อย่างตำรวจนี่มีหน้าที่ปราบคนทำผิดทำร้าย แต่กลับทำผิดเอง ดีไม่ดีเขาจับคนร้ายส่งให้ก็ปล่อยเสียอีก ดีไม่ดีตำรวจทำชั่วเสียเองเลย

       การสื่อสารในไทยนี่ โทรทัศน์ส่วนใหญ่ไม่เอาเลย มีหลายร้อยช่อง เอาแต่ทำมาหากินไม่เกี่ยวเรื่องบ้านเรื่องเมือง ประเทศจะฉิบหายอย่างไรก็ไม่สนใจ ข่าวที่ควรนำเสนอที่กระทบต่อสังคม ไม่ค่อยเอาถ่าน อย่างนสพ.นี่ดีกว่าโทรทัศน์ โทรทัศน์ที่จะมาเอาภาระสังคมก็มีไม่กี่ช่อง อย่างฟรีทีวีเขาเอาแต่ไปมอมเมาประชาชนไปกับอบายมุข

       โลกีย์นั้น เต็มไปด้วยโลกธรรม เต็มไปด้วยกาม เต็มไปด้วยอัตตา ที่ครอบงำโลกอยู่ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะก็ไม่รู้จักเหตุที่ไปหลง และออกจากกิเลสไม่ได้

       แม้แต่จะเป็นความดีแต่ถ้าไม่ศึกษาโลกุตระก็จะเป็นแค่ความดีในกัลยาณธรรม ไม่หยั่งถึงโลกุตระ

       โลกุตระคือรู้จัก จิต เจตสิก รูปนิพพาน รู้ทิศทางไปสู่การหมดกิเลส รู้อาการว่านี่คือกาม อัตตา หรือโลภ หรือโกรธหรือหลง มันโลภในสิ่งไหนๆก็ตามแต่

       ทุกวันนี้เขาสอนศาสนาพุทธอย่างเป็นเดรัจฉานวิชา ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง จนกระทั่งเอาอวัยวะเพศมาเป็นของขลัง นี่คือความงมงาย เป็นเรื่องน่าอายแต่เขาไม่อาย เป็นอลัชชี ทำลายศาสนา เป็นมิจฉาศรัทธา พระพุทธเจ้าไม่สอนแต่มีเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ที่ต้องพูดเพราะให้สะดุ้งสะเทือนบ้านให้รู้บ้าง

       ค่านิยมของสังคมนี้เหลวเละมากแล้ว ที่ต้องมีโลกธรรม มีกามมากๆ เอาดอกไม้ไปรวยกันให้มีสี มีความใหญ่โตอลังการ นี่ฉิบหายทั้งแรงงานทั้งทุนรอน มอมเมากันมาก ไม่รู้ว่าใครสอน       

       แต่คนไทยอาตมาก็ยังภาคภูมิใจว่า คนไทยยังเป็นไปได้ เป็นคนจนมหัศจรรย์ได้อยู่ สร้างสรรทำงานรู้ว่างานการที่ควรทำมีอย่างไร ไม่สะสม ไม่รวย เป็นคนจน แต่ว่าช่วยเหลือสังคม


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:28:56 )

570130

รายละเอียด

570130_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง การปฏิวัติ 6 แบบ

       อาตมาได้พูดถึงเรื่องปฏิวัติ​ก็ทวนกันนิดหนึ่งว่า การปฏิวัติ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลง โดยฉับพลัน หมุนกลับ อย่างเร็ว ที่เราทำนี่ยิ่งกว่าการหมุนเร็ว แต่เป็นลักษณะความเจริญที่ยิ่งกว่าเยอะเลย พัฒนา หมุนหนีไปจากที่เป็นอยู่เดิมไม่ทวนกลับมาเป็นอย่างเก่าแล้วทีเดียว เรียกว่าปฏิวัติ เป็นการเปลี่ยนแปลง

      1.การปฏิวัติโดยอำนาจอาวุธ มีทหารมีรถถัง มาบังคับรัฐบาลนั้นให้ยอมแพ้เลย ซึ่งไม่ถูกต้องตามลักษณะประชาธิปไตย ที่ใช้อำนาจเบ่งข่ม ผิดธรรมะผิดสัจจะที่ควรมีควรเป็น ซึ่งพอโลกเจริญก็เป็นที่รู้กันทั่วว่า การปฏิวัติแบบนี้ ไม่เอากันแล้ว อย่างเรามาทุกวันนี้เขาก็หาว่าเราเป็นสายล่อฟ้าให้ทหารปฏิวัติ แล้วแบ่งอำนาจกับทหาร ซึ่งเราบอกว่าเราไม่ใช่ เราไม่เอา ซึ่งปฏิวัติแบบนี้เขาทำกันทั่วโลก หรือใช้อีกคำว่า รัฐประหาร เมื่อยึดอำนาจได้ก็เรียกว่า ประหารอำนาจเก่า หรือปฏิวัติ แต่ความจริงแล้ว การปฏิวัติเป็นภำาษาดี คือการเปลี่ยนแปลง หมุนกลับไปสู่ความเจริญ จะเรียกว่ารัฐประหารก็ได้ ให้อำนาจคืนสู่มือประชาชน ให้คณะใหม่มาทำงาน

        2. ประชาชนร่วมกับทหาร ร่วมกับอำนาจบาตรใหญ่ อำนาจอาวุธ ยึดอำนาจมาด้วยกดขี่แย่งชิง ได้อำนาจมาประชาชนก็ยังไม่ได้มีส่วนร่วม ยังไม่เห็นแก่ประชาชนอย่างแท้จริง

      3. การปฏิวัติตัวเอง ตัวเองครองอำนาจอยู่แล้ว แต่ว่าเปลี่ยนเป็นตนเองอีกรัฐบาลใหม่ อย่างจอมพลถนอมเป็นต้น อยากเปลี่ยนล้มอำนาจเดิมคณะเดิม แล้วตนเองยึดเอง แล้วได้อำนาจเต็มเปลี่ยนได้ดังใจ

        4. ประชาชนร่วมกับพลังอำนาจจากนอกประเทศ ที่เขามีอำนาจมาช่วย ด้วยอาวุธยุทธภันฑ์ เป็นต้น นี่เป็นอีกแบบหนึ่ง

        5.การปฏิวัติโดยประชาชนจริงๆ อาจแบ่งได้สองแบบ

5.(5.1.) แบบโดยประชาชนแต่เป็นอำนาจโลกีย์ เป็นอำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ ทำด้วยความดีงาม แต่เป็นการบังคับกดขี่กันพอสมควร ก็อาจมีการตายการฆ่ากันบ้าง เพราะคนมีอำนาจก็ไปฆ่าเขา ซึ่งเมืองไทยยังไม่ได้ทำ

6.(5.2.) แบบประชาชนใช้อำนาจที่เป็นอธิปไตยแท้ๆ Sovereign powerสุดยอดของประชาธิปไตย คืออำนาจแห่งความถูกต้องดีงาม ชอบธรรม ถูกสากล ถูกรธน. เป็นอำนาจที่ไม่เบ่งข่มทำร้าย กับอำนาจเก่า อย่างที่เราทำอยู่นี่ ทำด้วยกลุ่มของมวลประชาชน ปฏิวัติอย่างสงบ ไม่มีอาวุธเลย เอาความดีงาม ความถูกต้องมายืนยัน ว่าคุณผิดอย่างไร ทั้งทางกฎหมาย และวัฒนธรรม หลักเกณฑ์ เรามาแจกแจงกัน คุณทำไม่ดีนะ ประชาชนให้คุณทำแทน แต่คุณไปทำเสียหายไม่ดีไม่งาม ฟ้องไปถึงตุลาการ ถึงองค์กรอิสระ ที่มีหน้าที่ชี้ผิดถูก มีการตัดสินพิพากษาได้ เป็นตุลาการภิวัฒน์

       ส่วนประชาชนก็ทำอย่างดีงาม ไม่ละเมิดไม่รุนแรงไปทำร้ายทำลายเขา ไม่มีอาวุธ บริสุทธิ์สะอาดอย่างกปปส.ทำ แต่ที่มีรุนแรงบาดเจ็บล้มตายก็ไม่ใช่เราก่อ แม้ที่ดาบตำรวจมายิงเราก็ไม่ใช่เราทำก่อน เขามีอาวุธพกมา แล้วมายิงใส่พวกเรา แต่เขาไปปลิ้นปล้อนกลับกลอก หาว่าเราไปยิงเขาทำร้ายเขา เขาก็ต้องป้องกันตัว แล้วเราไปรุมประชาทันฑ์เขา เรามีแค่นกหวีดกับส้นตีน ก็เลยอ่วมเลย เข้ารักษาที่รพ.

       ซึ่งการปฏิวัติมี 5 แบบอย่างที่บอกไป หรือเป็น แบบ ที่ 6 ที่เป็นเรื่องลึกซึ้งมหัศจรรย์ ขอให้เรารักษาความดีงาม ออกมาเป็นล้านคนแล้วก็ให้ทำต่อไป ปักหลักมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วนะนี่ นี่ย่างเข้าเดือนที่ 5 แล้วไม่รู้จะทำลายสถิติ แต่ก่อนที่พธม.ทำมา 193วัน

       เราพยายาม แต่เขาดื้อด้านโด้อย่างนี้ ถ้าเป็นประเทศอื่นเขาออกไปหมดแล้วไม่หน้าด้านหน้าทนกันอย่างนี้หรอก

       การปฏิวัตินี่ต่างกับปฏิรูป ซึ่งปฏิรูปนี่เป็นการเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามขั้นตอน เป็นลำดับ ส่วนการปฏิวัตินี่เปลี่ยนเร็ว มันจะต่างกันอยู่

       การปฏิรูปเป็นการศึกษา พัฒนา คนจะค่อยๆปฏิบัติทำไปตามลำดับให้การศึกษาเรียนรู้ เป็นการปฏิรูปไปตามชีวิตตามสังคม เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนปฏิวัตินานๆจะมีที่ การเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรม การให้การศึกษาจึงสำคัญ เมื่อมีความรู้ก็จะเปลี่ยนการกระทำได้

       การศึกษาจะศึกษาโดยตรง หรือโดยอ้อมก็ตาม ทุกวันนี้มีสถาบันมีการศึกษากัน แต่น่าเสียดายที่เรียกกันไปแล้วหลักสูตรการสอน เป็นเจตนาที่ไปสอนความรู้ความสามารถทางเทคนิค ทำได้ทำเป็นในสิ่งต่างๆ รู้เข้าใจมากฉลาดมาก แต่การศึกษาทั้งหลายทั่วโลก ไม่คำนึงถึงธรรมะ นี่คือสิ่งเสีย

       อย่างอิสลามเขาคำนึงศาสนาจึงไปรอด เขาเอาศาสนาเป็นหลักในการศึกษา เขาอยู่กับธรรมะ แล้วมีการเรียนรู้ในชีวิต ก็เห็นว่าเขาทำได้ดี แล้วจะอยู่กันได้ยาวนาน ส่วนพุทธเราทิ้งเลย ไม่ไปวัดวา ยิ่งในกรุงนี่เห็นเงินเป็นพระเจ้า เห็นงานการเป็นชีวิตชีวา ความรู้ที่ได้เรียนจากสำนักสูงๆ ก็เอาความรู้ไปบำเรอกิเลส เพราะไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ แต่พุทธสอนให้รู้ว่าความรู้ที่ได้ลดกิเลสดีกว่าอันอื่น ส่วนการสร้างทำทางโลกอื่นๆเป็นรอง การรู้จักกิเลสนี่เป็นเอก การกำจัดกิเลสเป็นเอก

       หากจิตรู้จักกิเลส ก็เป็นโสดาบัน เป็นความรู้ที่สามารถรู้ตัวตนกิเลส เรียกสักกายะ มีวิธีลดกิเลส ด้วยหลักวิชาของพุทธ แล้วทำให้ตรงตามหลักคำสอน กิเลสตายสูญได้เลย นี่คือการเรียนลดกิเลสของพุทธ ซึ่งไม่ได้ลดความรู้ฝีมือเทคนิคแต่อย่างใด แต่ไม่ได้ลดความสามารถเลย แถมจะมีความรู้ธรรมะรู้จักลดกิเลสด้วย แม้มีความรู้ทางโลกอย่างใดก็ตาม แต่รู้ลดกิเลสเป็นหลักประกันว่า คนนี้ไม่เอาความรู้ไปบำเรอกิเลส

       เมื่อมีความรู้สามารถก็สร้างสรร ไม่เอาเปรียบ ฆ่ากิเลสได้ โสดาบันก็รู้ว่าเอาเปรียบทุจริตไม่ดี เริ่มแต่โสดาบันก็เป็นผู้ลดพิษภัยต่อสังคม อาจเห็นแก่ตัวบ้างแต่ไม่ทุจริต

       ศีลข้อ 1 ความโกรธก็มีอยู่แต่ไม่ฆ่าแกง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ใดให้ตาย เป็นสัจจะจริง ไม่เป็นภัย คนก็ยิ่งไม่ฆ่า

       ศีลข้อ 2 แม้ไม่ลักขโมยของใคร

       ศีลข้อ 3 ผัวเดียวเมียเดียว ใจระมัดระวัง กายก็ไม่ละเมิด แม้ใจก็ระวังสังวร แต่กายนี่ถ้าเป็นโสดาบันไม่ละเมิดแน่ ไม่จัดจ้าน ระงับได้ข้างนอก แต่ในจิตก็มีอยู่แต่พยายามลด

       ศีลข้อ 4 ไม่พูดปด ไม่โกหก

       ศีลข้อ 5 ไม่มีอบายมุข คือรูปรสกลิ่นเสียงที่จัดจ้านไม่เอาแล้ว ไม่มีการพนัน ไม่มีราคะจัด ไม่มีความรื่นเริงบันเทิงจัดจ้าน ไม่เล่นกีฬาบันเทิงเริงรมย์ ก็จะมีปัญญารู้ว่าสิ่งใดควรลดละ ไม่คบคนที่พาไปเสื่อมต่ำ

       สูงกว่านั้นเป็นศีล 8 หรือศีล 10 ก็ยิ่งไม่ต้องติดยึดในเงินทองวัตถุสมบัติข้างนอก ถ้าบรรลุแล้วเป็นอนาคามี ไม่ต้องแย่งชิงกับใครเลย แต่ทำงานเสียสละเพื่อสังคม ถ้าบริหารประเทศก็ประเสริฐเลย แต่คนไปเข้าใจผิดสอนผิดไม่นึกว่าพุทธจะมีฆราวาสที่บรรลุธรรมมาบริหารประเทศ แต่ถือว่าผู้บรรลุธรรมต้องไปอยู่ป่าเขาถ้ำ ไม่ยุ่งไม่เอาลาภยศสรรเสริญ กาม แต่ไม่เข้าใจอัตตา เสริมอัตตารูปภพอรูปภพตลอดเวลา

       พุทธเป็นศาสนาเมือง แต่ไปป่าได้ไปฝึก แต่บางคนไม่ต้องไปป่าเลยก็ได้ บรรลุธรรมในเมืองเลย แต่ทุกวันนี้สอนกันผิดมากมาย ที่อาตมาพูดนี้ไม่เหมือนเขา อาตมามีหลักฐานในพระไตรปิฎก แล้วมีคนมาทำตามได้ ก็ได้เป็นหมู่กลุ่มอโศก อยู่กันเป็นหมู่บ้านในประเทศไทย

       ออกมานี่มาปฏิบัติจริงไม่ได้มาเพื่อลาภยศสรรเสิรญ ที่ออกมาเป็นชาวอโศกนี่เป็นผู้มีภูมิธรรมสูงพอสมควร เขาอาจไม่เชื่อว่าที่ออกมาไม่เอาโลกธรรม เพราะเขามีแต่หลอกคนอยู่ตลอด ว่าจะไม่เอาแต่เอามากมาย

       ที่ทำนี่ลึกซึ้งทวนกระแส แต่ทำมาก็อบอุ่นใจที่มีคนเห็นทำได้ จนเป็นสังคมที่เป็นแบบพุทธ ตัดสินใจขึ้นป้ายที่ราชธานีอโศกว่า “แผ่นดินพุทธ” มีวัฒนธรรมจารีตประเพณีเลย

       มาพูดถึงเรื่องสังคมประเทศชาติ ซึ่งพุทธนี่แหละที่จะเป็นการบริหารที่ดี เพราะไม่แย่งโลกธรรม ส่วนตัวของคนบรรลุจะทำเพื่อประเทศชาติ อันควรสร้างให้แก่สังคม ผลผลิตอะไรควรทำก็ทำ แต่ตนเองไม่สะสม มีอาศัยกินใช้เพียงพอ แม้จะเรียกว่าเศรษฐกิจ ก็พยายามสร้างสิ่งที่เป็นอุปทาน อุปสงค์สิ่งที่สังคมต้องการ จำเป็นสำคัญสูง เราก็รู้เราก็ทำให้ เป็นคนรู้สามารถ สร้างอุปทานให้ตามอุปสงค์ของสังคม ตั้งแต่ต้องการทางวัตถุ ต้องการข้าว ต้องการอาหารที่สะอาด ไร้สารพิษ ต้องการสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 อโศกเราศึกษา ผลิต สร้างแก่ตนเองใช้เพียงพอ แล้วให้ทำมากเผื่อแผ่ออกแก่สังคม

       ความรู้ไม่สูงไม่มาก แต่สิ่งผลิตนั้น ไร้สารพิษ ไม่ใช่แค่ปลอดสารพิษ เป็นธัญญาหารธรรมชาติ เป็นสิ่งจริงที่ชาวอโศกทำมาเรื่อยๆ แม้แต่การเมืองเราก็ออกมาทำ ไม่ได้มาแย่งโลกธรรม แต่มาช่วยให้การเมืองดีขึ้น เพราะการปกครองที่ควรทำ บริหารที่ควรทำเป็นอย่างไร สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นอย่างไร มีหลักเอื้อเฟื้อ มีสาราณียธรรมอย่างไร มีทิศทางเจริญของสังคมอย่างไร จนนำพระราชดำรัสในหลวงแบบพอเพียง แบบคนจน แบบขาดทุนคือกำไรนี่ พุทธอธิบายได้หมด ตรงกันหมด เรียกว่ารัฐศาสตร์มีเศรษฐศาสตร์ในตัว มีการแบ่งแจกกันในตัว

       เศรษฐศาตร์คือมีอะไรในสังคมแล้วแบ่งแจกกันให้ได้เพียงพอทั่วถึง อย่างเหมาะควร

       ซึ่งในการแบ่งแจกกัน เราทำด้วยเมตตาเกื้อกูล กิเลสหวงแหนลดลง ก็แบ่งกันได้ง่ายได้พอ เป็นสังคมที่สบายไม่ฆ่าแกงแย่งชิง อยู่กันอย่างอบอุ่น

       สังคมศาสตร์คืออยู่กันอย่างมีวัฒนธรรม พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ วิเศษ แม้อโศกทำได้บ้างไม่ดีอย่างที่พูดเสียทีเดียวแต่มีรูปลักษณ์อย่างนี้

       เมื่อปฏิบัตให้มีความรู้มีธรรมะด้วยก็จะบริบูรณ์​มีหลัก ศีลเด่น เป็นงาน ชำนาญวิชา หรือศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา หรือว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

       การพัฒนามนุษย์นี่เป็นการศึกษา สังคมจะเป็นสุข เมื่อการศึกษามีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงมนุษย์ เป็นกาย วจี สุจริต ซึ่งมาจากใจที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น เป็นสังคมเจริญ ซึ่งยากที่จะเข้าใจ ไทยเราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นอาริยะ ที่ให้เป็นเศรษฐกิจพอเพียง ทำแบบคนจน ทำแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เป็นเรื่องน่าตลก ฟังแล้วก็จะเป็นไปได้อย่างไร ขาดทุนแล้วจะได้อย่างไร ขาดทุน ซึ่งไม่ง่าย

       การทำงานของคนในสังคม หลักเศรษฐศาสตร์ที่เขาทำกัน เขาคิดทุนนี่คิดหมดเลย ทั้งข้าวของโสหุ้ย แม้ที่สุด ค่าแรงงานของเราเขาก็คิดอยู่ในทุน มีค่าโฆษณา ค่าภาษีที่จ่ายออกไป ค่าที่จะทำให้ต่ำกว่าทุนได้คือ ค่าแรงงาน       

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:31:30 )

570201

รายละเอียด

570201_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง ประชาชนปฏิวัติต้องชัดในธรรมะโลกุตระ

       พ่อครูว่า....เราก็มาต่อกัน ตอนที่าแล้วเราพูดถึงเรื่องการปฏิวัติ 6 แบบ ซึ่งแบบที่ทหารเขาทำการปฏิวัติ แล้วตั้งตนเป็นผู้บริหารชาติ ตอนแรกอาจจะทำดี แต่ว่าต่อไปกิเลสโตขึ้น ซึ่งสามัญสำนึกก็จะรู้กันว่าทำดีทำชั่วคืออะไร แต่ว่าพอกิเลสโตขึ้นก็จะทนไม่ได้ต่อความยั่วยุของโลกธรรม ของอามิส

       แม้ประชาธิปไตยที่แต่ต้้นที่อาจดี แต่ว่าต่อไปมีกิเลสขึ้นก็ทนไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่แบบที่มีการเรียนรู้กิเลส มีมรรควิธีล้างกิเลสอย่างหยาบกลางละเอียดที่แท้จริง ที่จะไม่เวียนกลับได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นลักษณะของอุภดตภาควิมุติ ทำให้กิเลสตายอย่างแท้จริง ปัญญาก็จะรู้ว่าไม่ทำส่ิงที่ตำ่แน่ ไม่วอกแวก ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ว่างสบายจริงๆ มีแต่ทำประโยชน์แก่โลกอย่างเดียวเลย นี่คือประชาชนต้องมีคุณภาพ คุณธรรมถึงโลกุตรธรรม

       ถ้าสังคมใดให้มีหลักวิชาทำอย่างสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ผู้ใดทำได้ ก็เป็นผู้สมบูรณ์

       การปฏิวัติ ปฏิรูปด้วย ตุลาการภิวัฒน์ มีการยอมรับกันในสังคม มีการพิพกาษาตัดสินก็ช่วยได้ อย่างแท้จริงอย่างหนึ่ง และประชาภิวัฒน์ ที่ออกมายืนยัน อำนาจของประชาชน มารวมมีปริมาณมากพอ ยืนยันยืนหยัด มีปริมาณมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน แล้วไม่รุนแรง ไม่มีอาวุธ มีแต่ฝ่ายชั่วฝ่ายเลวมาทำความร้ายแรง วันนี้ก็เกิดเหตุ มีคุณโกตี๋ ก็ไปแสดงตัวว่าอยู่ที่โรงพัก คล้ายว่าตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องนะ เป็นไก่กระต๊ากหรือเปล่า หลบฉากให้มีหลักฐานว่า ตนเองไม่ได้เป็นตัวการ แล้วก็ปล่อยให้พวกนั้นทำ ไม่อย่างนั้นคุณจะไปอยู่กับตำรวจทำไม มันส่อพิรุธเห็นชัดเจน

       โจ่งแจ้งมาก ผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบก็เฉย ปล่อย ประเทศไทยแย่แล้ว เสื่อมมากแล้ว เหลือแต่ประชาชนต้องมาช่วยตนเอง นอกจากตุลาการ แล้วก็มีประชาชนออกมา ที่สำคัญต้องศึกษาโลกุตรธรรม อาริยธรรมที่แท้จริง ลดกิเลสแท้จริง ส่วนความรู้ที่เราจะใช้กับสังคมด้านต่างๆ เราก็อยู่่ร่วมด้วย ไม่ใช่หนีเข้าป่าเขาถำ้ที่ไม่รับรู้สังคม อย่างนี้ไม่มีโลกวิทู ซึ่งศาสนาพุทธมี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       งานไหนดีไม่เป็นภัยไม่เป็นไปเพื่อกิเลสเพ่ิมก็ทำ ตอนที่แล้วอาตมาอธิบายถึง แบบคนจน เรียกว่ากรรมภิวัฒน์ ประชาชนมาสร้างกรรม ที่เป็นอาริยะ จะช่วยเหลือมนุษยชาติได้ เกิดพลัง 4 พ้นภัย 5 หรือมีสาราณียธรรม 6 เพราะจิตพัฒนามีพุทธพจน์ 7

       เป็นผู้กิเลสน้อยไม่เปลืองผลาญ อาศัยกินใช้อยู่น้อย ไม่สะสมไม่กอบโกย ไม่เอาเปรียบเอารัด แต่สร้างสรรได้เพิ่มขึ้นสมรรถภาพดีขึ้นๆ สมมุติว่าเรามีค่าตัวค่าแรง ห้าหมื่น แต่เราไม่เอาหรอกหมด เราใช้แค่ หมื่นหรือสองหมื่นก็เหลือเฟือแล้ว ค่าตัวเราแท้จริงห้าหมื่น

       ถ้าเราเองยังสมาทานขันธ์ 5 อยู่ เป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือยังยึดถือ(อุปาทิ)เหลืออยู่ อรหันต์ที่ยังเหลือขันธ์ 5 จึงเป็นผู้สร้างสรร สงเคราะห์ผู้อื่นอยู่ เป็นโพธิสัตว์แท้ (โสดาฯถึงอรหันต์) ตามลำดับ ช่วยเหลือผู้อื่นรื้อขนสัตว์ เป็นผู้ทรงวินัย เป็นผู้ยินดีในเสนาสนะป่า ยินดีในป่าแต่ไม่ติดป่า เมื่อต้องทำงานกับสังคมก็ต้องอยู่กับป่าคอนกรีต เหมือนจี้กงเป็นต้น

       การตายก็จะมีแต่เจริญขึ้นกว่าเก่าชาติต่อไปก็เจริญกว่าเก่า เรารู้แล้วว่าเราไม่ได้ทำกรรมอกุศล เราทำจิตบริสุทธิ์ได้แล้วย่ิงอรหันต์ยิ่งสบาย ไม่กลัวตาย แม้ท่านยินดีมีขันธ์ 5 อยู่ก็อยู่ ตายไปก็วนเวียนมาเกิดใหม่ มาช่วยสืบสานพุทธศาสนาต่อไป ไม่ใช่เรื่องปิดบังหรืองมงาย ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า จิตสะอาดแล้วก็ทำแต่ดี ไม่มีบาปหรือบุญ(ชำระกิเลส)อีกแล้ว มีอเนญชาภิสังขาร ไม่มีปุญญาภิสังขาร แต่มีอปุญญาภิสังขารแล้ว จิตยิ่งมีอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ลงตัว

       ผู้สร้างกรรม สร้างผลวิบาก จึงเกิดเป็นกรรมที่เป็นกรรมาภิวัฒน์ พัฒนากรรม ตุลาการภิวัฒน์ก็เป็นส่วนหนึ่ง ประชาภิวัฒน์ก็เป็นของส่วนร่วม แต่กรรมาภิวัฒน์นั้นของแต่ละบุคคล สั่งสมผลวิบาก ตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯ ตามลำดับ แล้วสั่งสมเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ละลำดับ จนเป็นอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า

       พิสูจน์ยืนยันได้ ที่นำมาบอก เพระาได้บำเพ็ญ ปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าค้นพบมาก่อน ท่านประกาศไว้ เรามาศึกษาตาม ก็จะเกิดส่ิงจริง มวลกปปส.เป็นเหตุการณ์ใหม่ในโลก เป็นการปฏิวัติของประชาชนที่ใช้คุณธรรมปฏิวัติ​ประชาชนมีกรรมาภิวัฒน์ และมีตุลาการภิวัฒน์ช่วยด้วย

       มาถึงวันนี้แล้ว เห็นผลชัดเจน ผู้มีปัญญาจะเห็น ไม่ใช่แต่พูด แต่มีความจริงเกิดได้ ยืนยันหลัดๆเลย ที่อาตมาได้เคยเกิดอธิบายถึงพลังอำนาจหรือPower ซึ่งของมนุษย์เป็นพลังนามธรรม

       ผู้จะเรียนรู้พลังงานที่สูงขึ้นๆ เป็นเรื่องยากที่จะรู้ ในภาษาไทยเรียกอำนาจ อย่างภาษาที่เป็นอำนาจไม่ดี เรียก Force ส่วนอำนาจดีเรียก Authority เป็นของแต่ละคน เมื่อมารวมกันหลายคนก็เป็นพลังรวม บารมี แต่ถ้าของคนไทยหลายคนรวมกันก็เรียก พลังสยามเทวาธิราช เป็นสัจธรรม ไม่ลึกลับ มาแต่เหตุ ของพระพุทธเจ้าไม่งมงาย ไม่บังเอิญ ไม่ใช่ไม่รู้ ใครเป็นเจ้าของก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจ เข้าถึง

       เป็นพลังอาริยะที่ลึกซึ้ง เป็นพลังความดี ถูกต้องเสียสละ มีสมรรถนะ บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีแฝง มันอาจไม่สะอาดในกรณีคนคุณภาพไม่สูง แต่ถ้าคุณภาพของคุณธรรมสูงจะย่ิงบริสุทธิ์ไม่มีแฝงไม่กดข่มไว้ แต่แสดงจากจิตใจจริงมีเท่าไหร่ก็ได้อย่างนั้น ตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ...ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ

       ผู้ยิ่งได้แล้วเป็นอนาคาฯอรหันต์จะมีต้นทุนสูง ไม่เห็นแก่ตัว เพราะละอัตตาตัวตน อนาคามีก็เหลือแต่ภัยเฉพาะตนไม่เป็นภัยต่อผู้อื่นแล้ว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่เบียดเบียนตน แต่อรหันต์ไม่เบียดเบียนตนและท่าน

       เมืองไทยเป็นพุทธ ต้องกอบกู้สัจธรรมที่เป็นของสากล ของจักรวาล ไม่แบ่งชาติชนชั้น ทุกคนเรียนรู้ได้ เป็นสัมมาทิฏฐิก็ได้ เกิดคุณธรรมตรงกันหมด แล้วจะมารวมกัน เป็นเอกีภาวะ

       ชาวพุทธที่มีบารมี อยู่ไหนก็แล้วแต่ แต่พอมีเรื่องราว ไปกระตุกต่อมสำนึก จุดปัญญาว่า โอ้ นี่มันส่ิงดีเกิดขึ้นแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งออกมาทำ ก็มีคนเห็นรูปธรรมชัด เปิดเผย ยืนยันหลักฐาน ว่านี่เขาชั่วเขาผิด เขาดีอย่างนี้นะ ใครชั่วใครดีก็เห็นชัดเจน คนก็เลือกฝ่าย แล้วก็มารวมตัวกันไม่ได้จ้างไม่บังคับ ไม่กดขี่ ไม่หลอก ไม่ครอบงำความคิด ซึ่งเขาทำก็ได้ชั่วคราว

       แต่ถ้าสัจธรรมแล้วไม่เปลี่ยน เปิดเผยไปตลอดกาลเลย ไม่น่าอาย มันพ้นภัย พ้นปาริสารัชภัย ไม่เป็นเรื่องน่าตำหน ไม่เป็นอนวัชชะ ผู้มีปัญญาจะเข้าใจไม่ตำหนิ เพราะเป็นกิจการที่ดี

       อย่างเรามาประท้วงผู้รู้จะอนุโมทนา มาอุดหนุนส่งเสริม นับวัน เดือนปี อาจอยู่ถึงปี ก็ไหวกันไหมนะ...ไหว

       ไม่สุดทนแล้วหรือ?...ถ้าเราเองเราเป็นคนไม่มีภาระ ไม่มีส่ิงเป็นห่วงหาอาวรณ์ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง นี่คือสิ่งดีที่จะทำต่อ มันยังไม่บริบูรณ์เราก็ต้องทำต่อไป จึงเป็นไปได้โดยไม่ลดราวาศอก แต่มีก้าวหน้าพัฒนาขึ้นไป

       แต่ถ้าไม่มีคุณสมบัติแท้ คนเรามีขีดความอดทนก็จะทนไม่ไหวมีขีดจำกัด แต่ถ้าคนไม่ต้องทนเพราะมีปัญญารู้ว่าไม่จำต้องทำ ทำเพราะเห็นว่าดี มีปัญญารู้ จำต้องทำเพื่อให้สิ่งประเสริฐนี้เกิดได้ ก็ควรทำ

       การปฏิวัติที่ใช้อำนาจ โลกุตระ อาริยะ คือสงบ ไม่ทำร้ายใคร เอาความสงบ เราต้องสะอาดบริสุทธิ์ ใครจะมาทำร้ายเรา ถ้าถึงที่ตายก็ต้องตาย ว่ากันไปตามนั้น ซึ่งมันเป็นไปได้ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เกินเชื่อสามัญ แต่มีบารมีจริง ของแต่ละคน ผู้จะแคล้วคลาด ก็เป็นบารมีแต่ละคนๆ ผู้มีวิบากก็จะเป็นเรื่องของกรรม ไม่ใช่ว่าผู้มีวิบากต้องตายจะเป็นผู้ตำ่ก็ไม่ใช้

       อย่างพระโมคคัลลานะ ที่ท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ซึ่งพระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าผู้มีส่ิงเสมอพระพุทธเจ้าซึ่งไม่ทั้งหมดมีสองคนคือ พระสารีบุตรและพระมหากัสสปะ ซึ่งส่ิงที่เท่ากันในอรหันต์และพระพุทธเจ้าคือเท่ากันคือกิเลสหมดจากจิต แต่ว่าความสามารถนั้นไม่เหมือนกัน     

       อย่างพระโมคคัลลานะก็ตายโหงนะ เขาฆ่าตาย ท่านไม่ได้รบรากับใคร แต่ทำงานให้ศาสนา ท่านทำดีแต่เขาเสียประโยชน์ก็เลยมาทำร้าย เป็นเรื่องศาสนา เป็นเรื่องธรรม ท่านถูกทำร้ายหลายครั้งแต่ท่านมีฤทธิ์ เป็นอจิตไตย เป็นเรื่องเกินเชื่อ แต่เป็นจริง

       เรื่องทางร่างกายทำให้ตายหรือฟื้น แต่ว่าเรื่องจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้่งกว่านั้น สมัยโบราณพลังทางจิตมีอำนาจมาก พระโมคคัลลานะถูกฆ่าหลายทีด้วย ตายโหง แต่่ผู้เข้าใจแล้วไม่กลัวตาย ท่านตายก็ไม่มีปัญหาท่านจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกก็เป็นเรื่องของท่าน สามารถปรินิพพานได้ เป็นสิทธิ์ของท่าน

       เรื่องพฤติกรรมของมนุษย์แล้วมีการกระทำมีความรู้ความสามารถความจริงของคน เรียนรู้ธรรมะแล้วอยู่กับโลกอย่างภาคภูมิใจ ถ้าไม่มีมานะถือตัว ไม่หลงโลกธรรม ก็จะสะอาด เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม เป็นกรรมกิริยามีคุณค่าสูง เป็นคุณธรรมขั้นโลกุตรธรรม เหนือกว่าโลกีย์สามัญ คนโลกีย์ทำอย่างไรก็ไม่เหมือน เสแสร้งอย่างไรก็ไม่เหมือน เมื่อได้คนอาริยแท้มารวมกันก็จะเกิดผล

       ขณะนี้ ยังมีคนระแวง ฝ่ายแดงเขาไม่เชื่อ หาว่า สุเทพโกหก ไม่เชื่อ ทั้งที่พวกเขาเองโกหก เขาก็ว่าไป อาตมาก็ว่าอาตมารวมกับหมู่กลุ่มนี้ก็รู้ว่ามีอะไรจริง อะไรแฝง พวกเราอโศกก็รวมกันอยู่ในนี้ ก็รู้ว่ามีอะไรจริงหรือไม่ แน่นอนมีข้อบกพร่อง แต่เขาก็เอาของบกพร่องเล็กน้อยไปขยายความ หาด่าหาว่ากัน เป็นสงคราม เป็นธรรมาธรรมะสงคราม ไม่ใช่สงครามโลกีย์แย่งโลกธรรมกัน แย่งสมบัติ แย่งผัวเมียกันก็ไม่ใช่ ไม่ไปแย่งใคร

       มีแต่สร้างคนให้มีจิตใจมักน้อยสันโดษ ตามหลักตัดสินธรรมวินัย 8 หรือกถาวัตถุ 10 หรือวรรณะ 9

       

      หลักตัดสินธรรมวินัย 8

1. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด (วิราคะ)

2. เป็นไปเพื่อความไม่ผูกมัดรัดรึงสัตว์ไว้ (วิสังโยคะ) คนเราพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ แบ่งเป็นสัตตาวาส 9 ถ้าล้างความเป็นสัตว์ได้หมดก็เป็นวิสังโยคะ

3. เป็นไปเพื่อความไม่สะสม (อปจยะ)

4. เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

5. เป็นไปเพื่อความสันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิ)

6. เป็นไปเพื่อความสงัด สงบจากกิเลส (ปวิเวกะ) ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไม่มีคน ที่เงียบ แต่ที่จริง จิตต้องสงบ ไม่มีเพื่อนสองคือกิเลสตัณหาสงบ หมด เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีเพื่อนสอง

7. เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร (วิริยารัมภะ) ต้องขยันพอดี ตรวจสอบแล้วได้ตามฐานะบารมีแต่ละคน

8. เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

       นี้เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา  (โคตมีสูตร พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 143)

 

      หลักกถาวัตถุ 10 ประการ

1.    เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) 

2.   เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3.   เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) 

4.    เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) คือไม่ประกอบด้วยสวรรค์ ไม่ใช่ไม่คลุกคลีกับสังคมกับหมู่กลุ่ม อยู่กับสังคมแต่จิตไม่เกี่ยวเกาะกับสรรค์

5.    เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) 

6.    เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7.   เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

8.   เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9.   เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10.  เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

       

      มีวรรณะ 9

1.    เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) 

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)

5.    ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.    เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) ผู้ที่ทำได้แล้วก็ไม่เป็นเรื่องเคร่งสำหรับท่าน อย่างพระมหากัสสปะ ก็มีธุดงควัตรที่สูง อย่างพวกเรานี่กินมื้อเดียวได้ ก็เคร่ง แต่ผู้กินได้เป็นปกติก็ไม่เคร่งอะไร ผู้ไม่ใช้เงินทองก็เคร่งนะ แต่เมื่อทำได้ตัวเราไม่เคร่ง แต่คนอื่นเห็นแล้วเคร่ง แต่ท่านเป็นปกติ ศีลแปลว่าปกติ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากไม่ต้องฝืน

7.   มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) #

 

        มีจะมีลักษณะสาราณิยธรรม 6

1.    เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .

2.   เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

3.   เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง

4.    แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย   (ลาภธัมมิกา – มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) เช่นพระสงฆ์ไปบิณฑบาต(ไปโปรดสัตว์) ได้ลาภโดยธรรม ก็เอามาเทรวมกันแล้วก็แบ่งกันกินกันใช้ บางคนมีลาภมากเป็นบารมีแต่ละคน บางคนบิณฑบาตไม่ค่อยได้ไม่มีบารมี ยุคนี้เป็นยุคสิทธิมนุษยชน ปิดกันกันไม่ได้ เราทำได้อย่างบริสุทธิ์สูงส่ง มีสาธารณโภคีถึงระดับฆราวาสได้

5.    มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา) ชุมชนเราทุกชุมชน อย่างตำ่ต้องมีศีล 5 ถ้าผิดศีลก็ให้ออกไปก็มี กี่ปีก็ว่ากันไปตามหนักเบา คนศีล 5 ก็เสมอศีล 5 คนศีล 8 ก็เสมอศีล 8

6.    มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .  (ทิฏฐิสามัญญตา) คือความรู้ความเห็นว่าเราจะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างไร ร่วมกัน แล้วปฏิบัติตามศีล คนนี้ได้ฐานโสดาฯ สกิทาฯ...ไปตามลำดับไม่ข่มเบ่งกันนับถือกันไปตามศีล  (พตปฎ. เล่ม 22  ข้อ 282-283)

 

       แล้วจะมีคุณสมบัติทางจิต 7 อย่าง เรียกพุทธพจน์ 7

1.    สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)

2.   ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) 

3.   ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)

4.    สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)

5.    อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน)

6.    สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)

7.   เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22  ข.282-283)

       ไม่ใช่ไปปลีกเดี่ยวอยู่คนเดียวไม่เกียวกับใคร อย่างนั้นเป็นลัทธิฤาษี ไม่ได้ล้างเหตุแห่งอาริยสัจ 4 ไม่มีวิปัสสนาวิธี เขามีแต่สมถวิธี

       

       สาธารณโภคี คือกินใช้ส่วนกลางร่วมกัน อย่างการสื่อสารเรานี่ ถ้าจ้างทำนี่วันละหลายล้านบาท แต่ของเรานี่แกนของเราไม่ได้จ้างเลย เขาเสียสละทำ ทั้งคนทั้งอุปกรณ์

       อาตมามั่นใจว่าที่ทำมานี่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนในไตรปิฎก แต่อาจมีแปลต่างกันบ้าง อาตมาก็ตรวจสอบอย่างจริงใจ ว่าอันไหนถูกแล้วนำพาพวกเราปฏิบัติ ก็ยังว่าเป็นส่ิงดีงามใช้ได้

       คุณสมบัติของมนุษยชาติ ถ้าปฏิบัติโลกุตรธรรม เป็นธรรมะเหนือโลก เป็นอเทวนิยม รู้แจ้งในเทวดา มาร พรหม รู้จักเทวนิยม อเทวนิยม พุทธรู้เทวดา รู้สัตว์นรก แต่รู้ว่าของจริงเป็นนามธรรม ไม่มีสรีระ รูปร่าง แต่ทุกวันนี้เขาสอนกันอย่างมีรูปร่าง ทั้งเทวดา สัตว์นรก พรหม ก็ปั้นเป็นตัวตน ที่จริงไม่มี เข้าใจไม่ได้

       

       เทวดาชั้นต่่างๆก็เข้าใจ เทวดา 6 ชั้นก็เข้าใจ ว่าเราเป็นเทวดาระดับไหน เทวดาระดับโลกียะ(สมมุติเทพ)ก็รู้ได้ง่ายกว่า แต่เทวดาระดับโลกุตระ(หรืออุบัติเทพ)จะรู้ได้ยากกว่า

       เราทำได้เราจะได้คนมีคุณสมบัติอาริยธรรม เป็นโลกุตรธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่อริยะหรืออารยะที่เขาเรียกกัน อาตมาเอาสองอย่างรวมกันเป็นอาริยะ

       เพราะอริยะเขาหลงเป็นพระป่าเขาถ้ำ อาตมาไม่เอาด้วย ส่วนอารยะเขาก็เอาเป็นการเจริญทางวัตถุทางโลกเป็นเมืองอารยธรรม ก็ทั่วไปอย่างโลกีย์

       ถ้าเราสามารถรู้ว่าพุทธมีอาริยธรรม ไม่ลึกลับ เป็นอรหะ เป็นวิทยาศาสตร์แม้เป็นนามธรรม แต่สูงส่ง เราเราจะได้คนมีคุณธรรมมาเป็นกลุ่มสังคมอาริยะที่แท้จริง เป็นสังคมอย่างในหลวงตรัส แบบคนจน เราไม่ต้องก้าวหน้าอย่างมาก เพราะเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ขอกล่าวชัด แบบคุณทักษิณนี่แหละจะให้ก้าวหน้าอย่างมาก ให้รวย ซึ่งคนละอย่างกับในหลวงของเราเลย แม้นักการเมืองผู้บริหารบ้านเมืองก็ทำอย่างในหลวงไม่ได้

 

        เปิดมุมคิด 'ธีรยุทธ บุญมี' กับภารกิจปฏิรูปประเทศไทย

แรงบันดาลใจ (inspiration)

 

ผมได้ข้อสรุปทางการเมืองมานานแล้วว่า ความโลภอย่างไม่มีขีดจำกัด (unlimited greed) ความบ้าอำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัดของนักการเมือง (unlimited arbitrary power) นำไปสู่การพังพินาศแบบสมบูรณ์ของประเทศ (absolute catastrophe)

 

โครงสร้างประเทศที่พังทลายแล้ว คือ ระบบพรรคการเมือง

 

โครงสร้างดุลอำนาจ 3 ฝ่าย ระบบตรวจสอบ โครงสร้างระบบราชการ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชน กลุ่มธุรกิจ ข้าราชการ พังทลาย

 

โครงสร้างสุดท้ายที่กำลังพังทลายคือระบบคุณธรรมและศีลธรรม ลึก ๆ ผมไม่มีความหวังและไม่มีกำลังใจจะแก้ไข(พ่อครูว่า..อาตมาว่า เรื่องคุณธรรม ศีลธรรมเป็นโครงสร้างแรกที่พังทลายเลย และเราต้องกอบกู้เป็นอันดับแรกเลย)

 

ตั้งแต่กลางปี 2556 ผมตั้งข้อสังเกตว่า การชุมนุมของนักเรียนและนักศึกษาอาชีวะกลุ่มหนึ่งที่บริเวณแยกอุรุพงษ์ มีลักษณะมั่นคง มีคำขวัญที่ชัดเจน คือ ปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งตรงประเด็นถูกต้องกว่าความคิดของพวกผู้ใหญ่ใน “การปฏิรูปกฎหมาย” ในปี 2540 และที่เรียกร้อง “ปฏิรูปการเมือง” ของพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งไม่เคยได้ผลและจะไม่ได้ผล

 

ต่อมาคนกรุงเทพฯ ทุกอาชีพและอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศหลายล้านคน รวมทั้งชาวบ้านที่ออกมาบริจาคเงินให้ขบวนมวลมหาประชาชน สะท้อน “อาการทนไม่ไหว” กับการคอร์รัปชั่นที่ไม่มีขีดจำกัด บวกกับการใช้อำนาจแบบไม่มีขีดจำกัดของภาคการเมืองโดยเฉพาะระบอบทักษิณ และตกผลึกเป็นความคิด “การปฏิรูปประเทศ” โดยพลังประชาชนชัดเจนมากขึ้น

 

ผมได้ข้อสรุปทางการเมืองมานานแล้วว่า ความโลภอย่างไม่มีขีดจำกัด (unlimited greed) ความบ้าอำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัดของนักการเมือง (unlimited arbitrary power) นำไปสู่การพังพินาศแบบสมบูรณ์ของประเทศ (absolute catastrophe)

       อันนี้อ.ธีรยุทธพูดออกมานี่จริงมากเลย ซึ่งในวงการศาสนามีเอาจริงอยู่บ้าง แต่อาตมาเข้าใจว่า ท่านพยายามที่จะลดความโลภกันอยู่บ้าง แต่มิจฉาทิฏฐิ ก็เลยไม่เกิดการลดความโลภอย่างถูกต้องแท้จริง ไม่ได้กำจัดกิเลสอย่างเป็นอาริยสัจจ์ ถ้าลดโลภได้ การบ้าอำนาจ บ้าโลภของนักการเมืองจะลดลง ทุกวันนี้นักการเมืองคือผู้บ้าลาภยศสรรเสริญ หรือใช้อาชีพการเมืองที่มีอำนาจการเมืองเพื่อให้ได้โลกธรรม คนทั่วไปก็ทำ แต่ว่าการเมืองเป็นหน้าที่ๆมีอำนาจมีฐานะ คุมข้าราชการประจำให้เป็นขี้ข้านักการเมือง โยกย้ายได้ ต้องซื้อตำแหน่งนักการเมืองเลยรวยเละเลย ตกเป็นทาส การเมืองเละย่ิงกว่าขี้แพะท้องเสีย

       คานธีกล่าวไว้ว่า ต้องนำเอาศาสนาไปสถาปนาไว้ในการเมือง ไม่อย่างนั้นการเมืองล้มละลาย ซึ่งตรงกันกับพระพุทธเจ้าแต่สมัยโน้นไม่พูดเรื่องการเมือง เพราะเป็นยุคสมบูรณายาสิทธิราช ซึ่งก็จะมีปุโรหิตบอกท่านอีกที

       เป็นธรรมะแบบฤาษี แบบเทวนิยม ไม่เป็นโลกุตระ ต้องหนีปลีกเดี่ยว ไม่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ไม่เป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       ซึ่งศาสนาก็มี ศาสนาเทวนิยมจะใช้ความลึกลับ ใช้ศรัทธานำ ให้เชื่อถือพระเจ้า โองการพระเจ้า ต้องบังคับกัน หากแข็งแรงก็ไปรอด

       แต่ศาสนาที่ไม่บังคับใช้ปัญญา ต้องเป็นคนมีปัญญาจึงเลือกได้ และจะได้ยากด้วย เพราะเป็นเรื่อง ลักษณะธรรมะพิเศษ#ระดับปรมัตถ์จริงแท้ #

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ไม่ใช่ว่าสงบเงียบ ไกลห่างจากผัสสะจากสังคม อยู่ในรู ในถ้ำไม่กระดิกอยู่เฉยๆเงียบ ไม่ใช่ แต่สงบจากอกุศล และเจริญเร็วไวในกุศล มีชวนจิต มีจิตมุทุภูตธาตุ (หัวอ่อนดัดง่ายปรับง่าย มีปัญญารู้ได้เร็วไว) เป็นจิตเอกกัคคตา เป็นคุณสมบัติอุเบกขา (ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมันยา ประภัสสรา)

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น#

       

        จิตที่มีอุเบกจามีคุณสมบัติ 5 ประการ

1.    ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.   ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.   มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.    กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 

5.    ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) .

       

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:34:12 )

570202

รายละเอียด

570202_พ่อครูที่เวทีป้อมมหากาฬ เรื่อง แบบคนจน และอำนาจในกระจกเงา

       ชีวิตนี้ก็มีเรื่องธรรมะที่สำคัญ เพราะว่าอาตมาได้หันเหชีวิตมาทางนี้แล้ว ซึ่งมนุษย์ก็ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าธรรมะ แม้ผู้มีบารมีมา ได้ปฏิบัติมาแต่ละชาติ ถึงขั้นมีคุณธรรมเต็มรอบเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่พอเกิดมาแล้วโลกีย์ยังครอบงำให้ทำตามโลกีย์เลย ยังไม่รู้ตัวเองว่ามีบารมี พระบิดาดูแลไม่ให้เจอกับความทุกข์เลย แต่พออายุ 29 ก็ได้คิดจึงออกบวช แต่ว่าแม้บวชแล้ว บารมีที่มีแล้วก็ยังไม่ขึ้นมา ไม่มีพุทธคุณพุทธรรมขึ้นมา เพราะศาสนาพุทธสูญหายไปหมดแล้ว ต้องถึงเวลาถึงจะรู้ตัวเองว่า เป็นพระพุทธเจ้า ขนาดท่านมีบารมีขนาดนี้ ยังถูกครอบงำ ดังนั้นเราต้องสะสมโลกุตรธรรมใส่ในสัญญา ถ้าได้แล้วได้เลย

       ตั้งแต่โสดาบัน รู้อาริยสัจ 4 (ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ ทางดับทุกข์)

       โสดบันจะมีคุณสมบัติ

       1.โสตาปันนะ คือจิตมีทิศทางไปสู่โลกุตระ ทวนกระแส ปฏิโสตัง ได้ 1 ใน 4 ส่วน

       2.อวินิปาตธรรม คือมีเนื้อหามากขึ้น 2 ใน 4ส่วน ที่จะเต็มรอบ

       3.นิยตะ คือเที่ยงแท้ แน่นอน ไม่ตกตำ่ไม่ถอยหลังแล้ว แต่ประมาทไม่ได้ แม้ไม่ติดแหงก แต่เสียเวลา ต้องพากเพียรต่อไป

       4.สัมโพธิปรายนะ คือ มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้าแน่นอน

 

       จิตต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้จริง สัมผัส สักกายะที่เป็นกิเลสตัวตนของตัวเองได้ รู้เห็นสัมผัสของตน พ้นสังโยชน์ ข้อ1ได้ แม้เป็นนามธรรม แต่เป็นวิทยาศาสตร์ ยืนยันกับตนได้ ไม่หลงทิศทาง มีรายละเอียด ในตำราบอกไว้หมด แต่ท่านไม่เห็นใช้กัน เห็นแต่จะทำสมาธิก็ไปนั่่งทำสมาธิเอา

       แต่พุทธสอนให้กำจัดกิเลส ที่เป็นผีเป็นมารในใจ ที่เป็นเหตุ เป็นตัณหา เป็นตัวการที่ทำให้เราสุขหรือทุกข์ ให้เราตกนรกหรือขึ้นสวรรค์เก๊ แต่ทุกวันนี้สอนกันผิดๆก็เลยไม่ได้แก่นสารศาสนาพุทธ ได้แต่นับถือพุทธตามทะเบียน ถือไปอย่างนั้นไม่เข้าใจไม่ใส่ใจศึกษาปฏิบัติพุทธธรรม

       เมื่อผู้ใดได้ศึกษาแต่ละชาติๆหลุดพ้นได้ ลดกิเลสได้จริง เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล จะได้จริง เกิดมาชาติหน้าก็จะมีจริง แต่อาจถูกโลกครอบงำ เสียเวลาได้ แต่ไม่หายไปไหนในคุณสมบัติโลกุตรธรรม ย่ิงทำให้โลกุตรธรรมสูงขึ้นๆ เป็นสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็ยิ่ง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

       เมื่อได้คุณสมบัติที่ประเสริฐยอดเยี่ยมกว่ายอดเพชรยอดทอง กองท่วมโลกก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าอันนี้ เพราะไม่ติดตัวไปตลอด ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ แต่ธรรมะตายแล้วเอาไปด้วยได้ ไปกับเราเป็นของๆเรา ไม่เอาก็ไม่ได้ ทำแล้วสั่งสมในจิตวิญญาณไม่มีทางลบ นอกจากทำอันใหม่ไปสังเคราะห์กันบวกลบ ลดดีกรีของกันได้จริง

       เป็นหลักประกันของคน เอามาย้ำกันพูดกัน เพราะเป็นส่ิงสำคัญ ผู้รำคาญก็ต้องขออภัย

       ผู้ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตัว บางคนไม่แสวงหาแต่เจอได้ บางคนแสวงหาก็เจอได้ บางคนไม่มีบารมีเลย แต่มาพบได้ แต่ไม่เข้าใจ ฟังแล้วรับไม่ได้ไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องทวนกระแส

       มาบอกว่าธรรมะต้องมุ่งมาจน แต่ทั้งโลกเขามุ่งมารวยกัน จะมาเป็นไอ้เข้ขวางคลองกันอยู่ทำไม มันไม่สามัญที่เขานึกได้ มาเป็นคนจนแล้วจะดีได้อย่างไร ไม่มีมันก็ไม่ได้ใช้ เอามาทำอะไรไม่ได้ แล้วจะอยู่อย่างไร

       วันนี้จะขยายความเรื่อง แบบคนจน ของในหลวงเราอีกที

       แบบคนจน และเราไม่ก้าวหน้าอย่างมาก ท่านกลับเห็นว่าการก้าวหน้าอย่างมากเป็นการถอยหลัง

       คนจนนี่คือคนไม่มีสมบัติวัตถุมาก แต่ไม่ใช่คนจนใจ หรือจนน้ำใจ จนแต่มากด้วยคุณสมบัติขยันหมั่นเพียร แต่จนโลกธรรม ไม่มีโลกียทรัพย์มาก จนไม่สะสม (อปยจะ) แม้ตนเองจะสร้างได้มาก ผลิตได้มากดีอย่างไร แม้ราคาจะแพง หาได้ยาก เพราะคนทำได้น้อยก็ตาม สร้างได้ก็ไม่เอาเปรียบขายแพง แต่จะใช้อาศัยกินอยู่ในชีวิตบ้าง  ใช้อาศัยนิดหน่อย เพราะมักน้อยสันโดษ จึงมีเหลือมาก แต่ไม่สะสม สะพัดแจกจ่าย

       คนไม่สะสม และแจกจ่าย จะไม่รวย แต่ทรัพย์ที่แท้คือความขยันและสมรรถนะ ใครมาแย่งไม่ได้ สร้างมาก เอาน้อย สะพัดได้ทุกวัน มากๆ ก็ไม่รวยแน่

       ประเทศที่มีทฤษฏีแบบคนจน คนในประเทศจะไม่รวย จะจน แต่ของเอามาร่วมส่วนกลางมาก แต่ประเทศจะรวย แต่ถึงประเทศจะรวยก็ไม่สะสม เรามั่นใจว่าเรามีความรู้ความสามารถกับขยันเป็นทรัพย์แท้ ถ้าคนในประเทศมีคุณสมบัติเป็นอาริยะอย่างนี้ ประเทศนี้เลี้ยงคนในชาติ และเลี้่ยงประเทศอื่นได้

        เป็นคนมีวรรณะ 9  

1.    เลี้ยงง่าย  (สุภระ)

2.   บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3.   มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) . . 

4.    ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) เป็นเศรษฐีเงินถัง แต่สตังค์ไม่มี

5.    ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)

6.    เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)

7.   มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) 

8.   ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 

9.   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)#   

       ในไทยเรามีพระโพธิสัตว์ ในหลวงเรานี่เองที่เอาทฤษฎีมาประกาศ แต่คนก็ฟังไม่เข้าถึง เอามาปฏิบัติได้ยาก แต่ดีที่อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกัน มีความรู้เรื่องเดียวกันจึงพาทำได้ ขยายความให้พวกเราทำ จึงเกิดความจริงเป็นหมู่มวลอโศกที่มี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ร่วมกันจึงเกิด หมู่กลุ่มที่ ส่วนกลางที่อุดมสมบูรณ์ แต่ไม่ได้เอาไปงอกผลเข้าหาตัว แต่กลับเอาไปแจกจ่ายเจือจาน ไม่เอาต้นทุนนี้ไปเอาเปรียบเขา ไม่เอากำไรกับสังคม เหมือนอย่างโลกีย์ทำ แต่ทำสวนกระแสโลก ปฏิโสตัง มีแต่จะเสียสละให้เขา แต่ละคนมีคุณธรรมที่จริงก็จนได้ตลอดชีวิติไม่ทุกข์ อยู่พึ่งแก่เจ็บตายกันได้ ไม่กลัวหมดหรือไม่พอเพราะเราสร้างได้ด้วยมือตน

       ต้องมีทฤษฎีคนจนที่มหัศจรรย์ ส่วนตัวจน แต่ส่วนรวมอุดมสมบูรณ์​ ในหลวงตรัสว่า ถ้ารวยอย่างเขาเป็นนั้นเป็นการถอยหลัง...ทุนนิยมถอยหลังเพราะแย่งกัน คนรวยก็แย่งเอามาแล้วเอาไปออกดอกผลเพื่อเอาเปรียบหลอกล่า โกยเข้าหาตนมากๆขึ้นๆ คิดวิธีสารพัด Maximize profit ได้มาเท่าไหร่ไม่พอ ดีใจที่ได้เปรียบ แต่มีสามัญสำนึกว่าต้องแจกจ่ายบ้างก็ทำทีทำทานบ้าง ทำทีทำทาน ให้ภาพตนเป็นภาพที่ดี หลอกคนให้เขาเชื่อว่าเราทำดี เป็นคนดี ปะหน้า แต่ไม่กล้าหมดเนื้อหมดตัว

       ยิ่งจะหมดเป็นอนาคาริกชน คือไม่มีบ้านช่องเรือนชานเป็นของตนอาศัยกับมนุษยชาติ มีชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น

       คนจะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะช่วยเหลือกัน มีการแย่งชิงกันน้อยหรือไม่มีเลย เป็นความก้าวหน้าจริง แต่ทางโลกียะนั้นมีแต่จะเอาชนะ รวมหัวกันปล้น เพื่อจะให้เอามาแก่ตนมากๆ มีแต่ทำให้สังคมเดือดร้อน อย่างนายทุนใหญ่ที่ทำมาตอนนี้ นายทุนใหญ่ตัวแม่ ตัวพ่อ นี่แหละ โกงทั้งโคตรและโคตรโกง เป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว

       ขนาดเลือกตั้งวันนี้ ดันทุรังไป ฉิบหายไปกว่า สามพันล้านแล้ว มั่นใจว่าผลนั้นฉิบหายแน่ แต่ความโง่เง่าเกินโง่เงาแล้วจนง่านแล้ว ถอยหลังอย่างน่ากลัว เขาไม่รู้จักนรก เพราะถ้ารู้เขาไม่ทำเพราะเขาต้องตกนรก นี่คือการถอยหลังอย่างน่ากลัว ประเทศอื่นก็ทำอย่างนี้ ล่าโลกธรรม พาไปรวยกันทั้งโลก

       ที่พูดกันว่าจะพาไปรวย ในหลวงจึงไม่เอา อาตมาก็ไม่เอา แต่มาเอาแบบคนจน อาตมาพาพวกเราทำมา 40 ปีแล้ว อยู่สบาย แล้วออกมาทำงานกับสังคมรอบกว้างมากขึ้น เห็นผลดี ไม่วูบวาบ ไม่มีเลห์หมดเม็ด ซึ่งคนไม่บริสุทธิ์จะทำไป แต่เรานั้นภูมิใจที่สะอาดบริสุทธิ์ อาตมาภูมิใจที่กำนันสุเทพว่าเราต้องทำอย่างสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากอาวุธ พวกที่มีก็แฝงมา ก็เป็นกปปส.ด้วย ห้ามยาก บางทีกลัวตาย และก็เข้าใจว่า เราปล่อยให้เขายิงเราเราก็ตายสิ เขาไม่กล้าตายไม่กล้าเจ็บปวด แต่กำนันสุเทพยืนยันเลย เขาจะมาฆ่าก็สวดอิติปิโสฯเลย ต้องยำ้และทำให้จริง ยืนยันเป็นแก่นแกนเลย และพวกเราก็มีจริงเป็นส่วนใหญ่

       พวกที่ตกหล่นก็มีบ้างเป็นError ไม่กี่ส่วนหรอก แต่ก็มีให้เห็น เพราะคนเป็นแสนเป็นล้านและอยู่นานด้วยนะ ต้องบกพร่องบ้างไม่บริสุทธิ์เต็มร้อยก็ธรรมดา

       ส่ิงจริงที่เกิดในสังคมเป็นเรื่องอธิบายได้ตามธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีคนมีคุณธรรมจริงเกิดไม่ได้หรอก ประเทศหลายๆประเทศก็เข้าใจ แต่ธรรมะที่เขาได้ทำนั้นยังไม่ถึงจริงก็ยาก แต่ว่าที่ๆเขาเข้าถึงจริงก็ได้ เช่นคานธีทำได้ ห้ามแม้แต่คนตีก็ไม่ยกมือรับ ถ้ายกมือรับนี่ถือว่าต่อสู้นะหลบเอา หลบไม่ได้ก็ถือว่าวิบากเรา

       แบบพอเพียง แบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา

       ขาดทุนคือ เช่น เรามีสมรรถนะตีราคาตามสากล วันหนึ่ง หรือเดือนหนึ่งได้ห้าหมื่น ซึ่งก็ไม่แพงเท่าไหร่ในสมัยนี้หรือเดือนละแสน ต่อเดือน แต่เขากินใช้อาศัย เดือนหนึ่งสองหมื่น ที่เหลือเป็นส่วนเกิน ก็เอาส่วนเกินไปเข้าส่วนกลาง ซึ่งจะมีคณะบริหารส่วนกลาง เป็นรัฐบาล  ระบบที่อโศกเป็นแกนคือระบบบุญนิยมระดับสาธารณโภคี ทุกคนทำแล้วเอาเข้าส่วนกลางเต็มร้อยเลยไม่ยักไว้ส่วนตัว ก็อาศัยกินใช้ส่วนกลาง 

       หลักใหญ่คือ

        1.ไม่เป็นหนี้ 2.พึ่งตนเองรอด 3.ทำให้เกินกินใช้ 4.แจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อผู้อื่นต่อไป

       ทุกชุมชนอโศกทำได้ ไม่เป็นหนี้เลยทุกชุมชน พึ่งตนเองรอด ไม่ต้องเบียดเบียนใคร ทำเกินกินใช้ เอาส่วนเกินไปขาดทุนไปเสียสละแก่คนอื่น ไม่ใช่แลกกลับมาย่ิงกว่าเก่า ไม่เอาลาภแลกลาภ(มิจฉาอาชีวะข้อที่ 5) ทุนร้อยก็ขายตำ่กว่าร้อย ตำ่ได้มากเท่าไหร่ถือว่ากำไรเรามากเท่านั้น ส่วนโลกีย์ทุนนิยมนั้นขายได้มากกว่าทุนมากเท่าไหร่ถือว่าได้กำไร ซึ่งไปไม่รอด

       ของบุญนิยมนี่ก็จะไปได้รอด เพราะมีประโยชน์สูงประหยัดสุด เลี้ยงตนรอด จนตลอดเวลา แต่มีกำไรตลอดเวลา เสียสละตลอด เป็นการได้บุญได้กุศล ได้สิ่งติดตัวเราไปทุกชาติเป็นทรัพย์แท้เป็นกุศลวิบาก ให้ทานนี่เป็นกุศลวิบาก ติดชีวิตเป็นทรัพย์แท้ของเรา นี่คือเนื้อแท้ที่เป็นขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่างแท้จริง

       คนเขารู้ว่าเราเสียสละเขาก็นับถือ เพราะเห็นว่าเรามีคุณค่า เสียสละต่อสังคม ไม่ใช่กอบโกยเอาจากสังคมตลอด ไม่ขี้หวงแหน อย่างการขายข้าว นี่ ไม่มีเงินจ่ายแก่ชาวนา ทำไมไม่เอาจากตระกูลเขาที่มีเป็นแสนล้านมาช่วยเล่า ...เขาทำไม่ได้เพราะจิตไม่มีทานมัย มีแต่จะหลอกล่อ ให้เขากินเศษเนื้อข้างเขียง แต่ตนกินเนื้อชิ้นโต นี่คือเลห์กล

       ในสัจธรรมที่สาธยาย เป็นเรื่องจริงที่ทุกวันนี้ในไทยมีขึ้นแล้ว แต่ละคนต้องมาสืบสาน แต่ละคนต้องมาทำให้ไทยเป็นประเทศแบบที่ในหลวงตรัส แล้วเราจะเจริญงอกงามไปตลอดไม่มีถอยหลัง

       ตอนนี้อเมริกา เป็นยอดทุนนิยม ก็ถอยหลังมาเรื่อย คนรู้ไส้พุงเขาก็น่ากลัว เขาปั๊มเงินดอลล่าห์มามากมาย ไม่มีหลักประกันมีแต่หนี้ สักวันจะเป็นแบงค์กงเต็ก เขาหลงโลกธรรมมากเลย เขาเล็กไม่ลง ต้องใหญ่ไปตลอด จะเห็นผลต่อไป มีมาแต่สมัยโบราณที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศเจริญทางวัตถุ ล่าอาณาจักร เป็นประเทศทางตะวันตก ก็เคยร่ำรวยมาทั้งนั้น เคยเป็นมหาอำนาจ เป็นสมบัติผลัดกันชม หมุนเวียน แต่ถ้าเราเป็นประเทศจนถาวรเลย แต่จนมหัศจรรย์ ไม่มีใครแย่งเราด้วย เพราะเราจนไม่มีให้แย่ง แต่เราแจกอีกด้วย เขาจะมาปล้นทำไม เพราะเราให้เขาอยู่แล้ว เรามมีพฤติกรรมขยันสร้างสรรเสียสละ ไม่เบียดเบียนใคร เราไม่วุ่นวายในโลก เขาจะยกประเทศเราไว้เลย นี่คือคนจนยั่งยืนถาวร ถ้าคนในประเทศมีคุณสมบัติเป็นคนจนอย่างที่ว่า อย่างชาวอโศกเป็นสุขนะ สุขสงบอบอุ่น ไม่ได้สุขอย่างบำเรอโลกธรรม เสพกามหรือบำเรออัตตา ไม่ใช่ เราล้างกิเลสจริง จึงเป็นสุขวิเศษ เป็นอุตริมนุสธรรม เกินสามัญชนคิด

       เป็นความรู้สึกเกินปกติของมนุษย์สามัญ เป็นเรื่องพิเศษสูงส่ง เขาสุขเพราะมีการบำเรอโลกธรรม กามคุณ 5 แต่เมื่อเราไม่มีกิเลส เข้าใจ ปล่อยวางกิเลส เป็นมัชฌิมา เป็นกลางที่ไม่มีกามหรืออัตตา ในธัมมจักกัปปวัตสูตร เป็นสูตรหลักใหญ่ ที่จิตเป็นนิพพานเป็นมัชฌิมา ซึ่งโลกีย์ก็มีกามกับอัตตา เราไม่โต่งไปทางไหน ไม่มีปลาย จึงเหลือกลางเป็นฐานนิพพาน

       จึงต้องเรียนรู้กามเป็นเรื่องต้น แล้วเรียนรู้อัตตา

       โสดาบัน ล้างกามในอบาย แล้วล้างกามคุณในสกิทาคามี จนหมดกามคุณ เหลือกามานุสัย เหลือในรูปตัณหาอรูปตัณหา เป็นส่วนตนไม่เบียดเบียนใคร เมื่อล้างอัตตาได้หมด จิตก็กลาง เป็นมัชฌิมา

       เดี๋ยวนี้เพี้ยนแล้ว ไปศึกษากามก็ไปปลีกหนีเดี่ยว ไม่รู้เรื่องว่าความเป็นกลางคืออย่างไร เข้าใจว่าเป็นกลางคืออยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร

       ความเป็นกลางคือ อุเบกขา เป็นฐานนิพพาน พอทำฌานได้ฌาน 4 ก็จะมีจิตเอกัคคตา (จิตเป็นหนึ่งเดียวไม่มีเพื่อนสอง สูงสุดยอด) เมื่อได้เอกัคคตา ก็ได้ฐานนิพพาน เป็นอุเบกขาฐาน ทำให้สมบูรณ์​แม้เป็นอุเบกขาลำลองที่ได้บ้างแม้ไม่ถาวรแข็งแรง อาจมีวอกแวกบ้างก็ต้องทำต่อ จนอุเบกขาแข็งแรงมั่นคงได้ เป็นคุณสมบัติ

​1.    ปริสุทธา   (บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ 5) .

2.   ปริโยทาตา  (ผุดผ่องขาวรอบแข็งแรงแม้ผัสสะกระแทก)

3.   มุทุ  (รู้แววไว  อ่อน-ง่ายต่อการดัดปรับปรุงให้เจริญ) .

4.    กัมมัญญา   (สละสลวยควรแก่การงานอันไร้อคติ) . 

5.    ปภัสสรา   (จิตผ่องแผ้วแจ่มใสถาวรอยู่ แม้มีผัสสะ) 

       สูงสุดของอุเบกขา คือมัชฌิมา ซึ่งต่างจากที่ทั่วไปรู้ว่าอุเบกขาคือนิ่งๆหยุดไม่เกี่ยวกับใคร ไม่คิดอะไร ไม่รู้สึกอะไร นั่นไม่ตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนที่เป็นส่ิงที่

1.    คัมภีรา (ลึกซึ้ง)

2.   ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)

3.   ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)

4.    สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .

5.    ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)

6.    อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)

7.   นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)

8.   ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) #

       พุทธที่บรรลุนั้น จิตจะมีปัญญาอย่างปัญญาปาสาโท คือเหมือนนกมองจากที่สูง แล้วเลือกทำสิ่งที่ควรในกรรม 3 พุทธนั้นไม่ใช่อุเบกขาแบบเด๋อ ไม่ใช่เคหสิตอุเบกขา ต้องอ่านรู้จิตว่าอุเบกขาแบบโลกๆไม่เข้าท่าเป็นแบบใด ต้องรู้มโนปวิจาร 18

       แบบเคหสิตอุเบกขาคือนิ่งเฉยอย่างโลกีย์ แต่ถ้าแบบพุทธจะเห็นตลอดรอบว่ากลางคือพ้นกามพ้นอัตตา เห็นอย่างจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ว่ากิเลสดับ ไม่ใช่ไปดับสัญญา ดับเวทนา แต่จะเลือกดับส่วนที่เป็นอกุศลในสัญญาในเวทนา เราวางมาตั้งแต่ความหยาบใหญ่ที่ติดยึด จนเบามาเรื่อยๆ ก็จะมีภูมิธรรมที่แท้จริงสะสมมา

       สุขอย่างโลกุตระนั้น ได้ลาภมาก็เฉย ได้ยศมาก็เฉย ได้สรรเสริญก็เฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ แม้สัมผัสกามคุณก็ไม่ยิดีไม่เสียใจ เราไม่สุขทุกข์กับโลกีย์ กับกามแล้ว

       ยกตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนไม่ติดลิปสติก ไม่ยินดียินร้้ายกับลิปสติก แต่คนที่ติดได้มาก็ยินดีมาก แต่ผู้ชายคนนี้ทาแล้วก็ไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอุปาทานไม่มีตัณหา จะมีจิตว่างจากลิปสติก

       จะมีปัญญารู้ว่างานไหนควรงานไหนไม่ควร เรามีเวลาทุนรอนแรงงานมาสร้างส่ิงที่ควร ที่มีประโยชน์ต่อสังคม เราก็ได้อาศัยใช้สอย ทำให้แก่สังคมด้วย สังคมก็เจริญ ยกตัวอย่างเช่น คนไปอเมริกา แล้วก็ไปอินเดีย

       พอไปเห็นอินเดียก็เห็นว่าไม่หรูหรา น่าอับเฉา ซกมก อะไรต่างๆนานา แต่ของเขาไม่เปลืองผลาญ เหมือนอเมริกาหรือจีนที่หลงโลกีย์ ดีแต่จีนเป็นคอมมูนฯก็เลยกดไว้ได้ แต่ชักเปิดเหมือนกันเดี๋ยวนี้

       อินเดียไม่หลงไหลโลกีย์มาก ไม่หลงขุดคุ้ยทรัพยากรไปทำลายมาก เขาก็มีสมบัติของเขาอยู่

       ไทยตอนนี้ก็หลงโกลีย์ หลงโลกธรรม ที่ที่เป็นเมืองพุทธ แต่ไม่มีคุณธรรมพุทธ คนไปบริหารก็เป็นคนโลกๆ หลงโลกธรรม หลงกาม หลงอัตตา แย่งชิงสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอำนาจ แล้วใช้อำนาจทางลาภ ยศ สรรเสริญ​ ทางกาม ทางอัตตา ซึ่งเป็นอำนาจปลอม อำนาจลวง

       

        อำนาจโลกีย์ เป็นสมบัติผลัดกันชม อาตมาเรียกอำนาจในกระจกเงา

 

       อำนาจในระบอบประชาธิปไตยมีหลายขั้น

       อำนาจประชาชนเป็นอำนาจลำดับหนึ่ง แล้วก็จะต่อมาเป็นลำดับ ..

        อำนาจขั้นที่ 1 คือประชาชน อำนาจขั้น 2 คือ พระมหากษัตริย์ อำนาจขั้น 3 คือพระมหากษัตริย์ใช้อำนาจผ่าน 3 สถาบัน อำนาจขั้นที่ 4 คือกฎหมายให้ประชาชนใข้สิทธิ์เลือกตั้งผู้แทนฯ ส่วนผู้แทนเป็นอำนาจขั้นที่ 5 อย่ามาทำกร่าง ส่วน นายกฯเป็นอำนาจลำดับ 6 ต่อจากสส.ที่ไปโหวตนายกฯ แล้วนายกฯก็ไปตั้งรมต.อีก เป็นอำนาจลำดับ 7 แล้วมาทำกร่างทุกวันนี้

 

       อำนาจเหล่านี้ทั้งมีแบบเลือกและแบบแต่งตั้ง ทั้งหมดเป็นอำนาจกระจกเงา ประชาชนเป็นเจ้าของกระจกเงา แต่นายกฯเป็นภาพหลอกๆในกระจกเงา ต้องทำตามที่กำหนดในรธน.ทำผิดหรือทำเกินไม่ได้ ไม่ทำก็ไม่ได้ ประชาชนต้องควบคุมดูแล มีเจตนารมย์ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าทำไม่ดีบริหารไม่ดี ผิดหลักเป็นขบถ เช่นที่เขาทำมานี่ ไปคอรัปชั่น ไปตั้งอะไรไม่ควรตั้ง ออกกฎหมายที่ไม่เหมาะสมเช่นพรก.ฉุกเฉิน เป็นต้น สารพัด

       กู้เงิน โกงกิน โกหก หลอกลวงกัน อย่างที่เดือดร้อนกันนี่ สงสัยชาวนาจะออกมาไหมนี่ เอาข้าวเขาไปแล้วไม่ให้เงินเขา ไม่เป็นไปตามที่เจ้าของกระจกต้องการ เมื่อรู้ว่าไม่ดีก็ต้องไล่ออกจากกระจกได้ แต่เขาไม่รู้ตัวว่าเขามีแค่อำนาจในกระจกเงา เขาไม่รู้จักตัวเองจริงๆ

       ประชาชนมีสิทธิ์เอาตัวแสดงในกระจกตัวใหม่อย่างไม่ผิดกฎหมายเลย มาหาว่าเราเป็นกบฏ ขออภัยเถอะ “ถ ถุง สระอุ ยอยักษ์) แล้วมาว่าเราเป็นกบฏหรือสุเทพเป็นกบฏ ที่จริงกบฏตัวแม่คือย่ิงลักษณ์ไม่รู้ว่าตัวอยู่ในกระจกเงา น่าสังเวชเห็นใจแต่ไม่รู้ทำไงเหมือนกัน

       พวกเราเข้าใจเพราะไม่ได้หลงไปกับเขา เราศึกษาไม่ให้ติดยึดหลงผิดไปกับเขา เกิดจากเราลดกิเลสได้ กิเลสเราไม่หนักหนา ไม่โลภจัด ไม่โกรธจัด ไม่โมหะจัด เราจึงมารวมตัวกันได้ มีพฤติกรรมจริง ถึงเวลาที่ประชาชนต้องตื่นรู้เห็นแจ้งความจริง

       เรื่องสังคมที่เกิดขึ้น แล้วก็แย่งชิงตู่ท้วงกันไปมา แม้แต่เรื่องเลือกตั้งหรือปฏิรูปก่อนก็เถียงกันไปมา ถ้ามีกิเลสก็ต้องเอาส่วนกิเลสมาเป็นใหญ่ให้ได้เปรียบ ความจริงแล้วเลือกตั้งนั้นเป็นอำนาจลำดับตำ่กว่าเจ้าของอำนาจที่มาแสดง เขาก็ว่ามวลเขามาก ที่ออกมาท้วงนี่ส่วนน้อย แล้วเขามากตอนไหน ก็ว่าตอนเลือกตั้ง แล้วเลือกตั้งเขาบริสุทธิ์หรือไม่? เขาก็พยายามล้อบบี้ ตะล่อมข้าราชการ ประชาชน เขาทำได้สำเร็จด้วยเพราะใช้อามิส เอาโลกธรรมปั่นให้เขาเลือกตั้งเขามา ทำทีไรก็ได้ เอาเสาไฟฟ้าลงก็ได้

       เราก็เลยว่าไม่เอาเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเลือกแบบเก่าก็ได้คนเก่ามา ทำแย่อย่างเก่าอีก เราก็ไม่เอา เราไม่ปฏิเสธว่าเลือกตั้งไม่ดี แต่ว่าต้องมีการประกอบด้วยความบริสุทธิ์ถูกต้อง อาจมีพวกที่ยึดติดในระบอบเห็นว่าเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยแบบเดียว ซึ่งความจริงประชาธิปไตยมีหลายแบบ แม้สมบูรณายาสิทธิราชก็เป็นประชาธิปไตยได้ ท่านเกรงในประชาชนทำงานเพื่อประชาชนแม้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารแต่ ช่วยประชาชนอย่างมีทศพิธราชธรรม ก็เป็นประชาธิปไตยโดยเนื้อหา แม้ชื่อระบอบอายเป็นราชาธิปไตยหรือสมบูรณายาสิทธิราช แม้ว่าไม่โดยประชาชนแต่เป็นของประชาชน แม้เป็นระบอบใดก็ตาม หากมีธรรมะก็จบเลย ยิ่งเป็นประชาธิปไตยก็ยิ่งสบายเลยทั้งชื่อทั้งนามก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย

       ประชาธิปไตยต้องมีธรรมะ ถ้าประชาชนไม่มีธรรมะแม้จะรู้เก่งอย่างไร แต่ไม่มีธรรมะก็ไม่เป็นประชาธิปไตย จึงสำคัญที่ต้องให้ประชาชนมีการศึกษาสัมมาทิฏฐิ มีคุณธรรมเป็นเอก มีความสามารถเลี้ยงตนในสังคม ไม่ทุจริตไม่เบียดเบียนใคร ก็ต้องมีธรรมะส่วนความรู้สามารถนั้นพระพุทธเจ้าไม่ทิ้ง ไม่ใช่ว่าเป็นพุทธเป็นภิกษุแล้วไม่สนใจสังคม ได้แต่สอนธรรม ซึ่งคนเขาก็สอนกันได้ ให้เสียสละทำดี แต่ตนหลงใหญ่โต กอบโกยเอาเปรียบหลงรวย จะไปรอดอย่างไร มีแต่ทิศทางมักมากมักใหญ่ หรูหรา ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักมากไม่ใช่ธรรมของเราตถาคต

       ที่หลงหรูหราใหญ่โตสวยงามมากเกิน นี่คืออบายมุข ถ้าไม่รู้เนื้อหาสาระของพระพุทธเจ้าว่าเป็นธรรมะเพื่อประชาชนโดยประชาชนของประชาชน ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ไม่ทันสมัย การเป็นคนจนนี่แหละทันสมัย เป็นคนจนก็มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เป็นคนจนที่ช่วยคนรวย

       ช่วยให้คนรวยรู้จักตนเองว่า คุณกำลังกอบโกย เบียดเบียนคนอื่น มันเป็นโทษต่อตนและสังคมด้วย คนไหนเข้าใจก็มาลดละ เรามีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 คนรวยนั้นก็มากลายเป็นคนอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน มาเป็นคนจน มีวรรณะ 9 เราจะปฏิรูปให้คนในประเทศไทยเป็นเช่นนี้

       เรารู้ว่าชีวิตเกิดมาควรได้อะไรเอาอะไร พากเพียรอย่าให้สูญเปล่าไปหลงกับอบายมุข เป็นโมฆบุรุษ เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีได้กิเลสสะสมไปเพิ่มขึ้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าคนตายไปจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกหรือขึ้นสวรรค์นั้นน้อยมากเท่ากับดินในขี้เล็บ นอกนั้นคนตกนรกเท่ากับพื้นปฐพีทั้งหมด แล้วจริงด้วยนะ คนหลงโลกียะ หายใจออกเข้าได้แต่นรก คุณบำเรอได้ลาภมาก็ดีใจ หัวใจพองโต กิเลสก็พองโต กิเลสได้พอใจที่ได้โลกธรรม เป็นปุถุชน

       อำนาจ และ ยศ คือตำแหน่งหน้าที่ที่เขาให้รับผิดชอบ แต่ถ้าไปหลงตำแหน่งใช้ไปเอาเปรียบอีกก็ย่ิงแย่ เป็นหัวหน้านี่ย่ิงต้องจนกว่าลูกน้อง แต่ว่าบางทีต้องมีอลังการ แต่ว่าส่วนตนต้องมักน้อยสันโดษ ไม่หลงหรูหราฟุ่มเฟือย

       อำนาจนี่คือการกำหนดหน้าที่ ถ้ามีอำนาจมากขึ้นไม่ใช่ว่าเอาไปเบ่งข่ม ปล้นคนอื่น อย่างที่เขาทำ เช่นตำรวจที่เขาทำกัน ประชาชนเสียประโยชน์เพราะเอาคนเหล่านี้มาให้มีอำนาจ ทำเห็นแก่ตัว ไม่ชอบธรรม ไม่ยุติธรรม ตนเองเห็นแก่ตัวลำเอียงก็ไม่รู้ ทำอย่างหน้าด้าน แก้ตัวน้ำขุ่น เสื่อมตำ่มากเลยในสังคมทุกวันนี้

       เรามาตื่นฟื้น กอบกู้ธรรมะพระพุทธเจ้า เราก็ได้ด้วย สังคมก็ได้ ประเทศก็จะเจริญประเสริฐ อย่างเดียวกับในหลวงเราตรัส แบบคนจน ไม่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะเป็นการถอยหลังน่ากลัว แต่ก้าวหน้าอย่างพุทธธรรมนี่แหละที่ในหลวงเราตรัส น่าสมเพศประเทศไทย ในหลวงตรัสก็อ้างว้างว้าเหว่า ไปขยายผลไม่ได้ เศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่ได้ แบบคนจนก็ไม่ได้ ยิ่งมาขาดทุนคือกำไรย่ิงมืดหน้า

       แต่เป็นไปได้ ดีด้วยประเสริฐด้วย ให้ตั้งใจศึกษาเถอะ เราศึกษาวิชาเทคนิค ทางโลกมากมาย แม้ไปศึกษาธรรมะไม่สัมมาทิฏฐิก็ทำ ให้ศึกษาให้ดีว่าโลกุตระคืออย่างไร จะได้มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่ชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่ชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

       อาตมาทำเต็มที่แล้ว แต่ไม่เก่งเท่าไหร่เลย ...ไม่ได้ถ่อมตนนะ อย่างกำนันสุเทพขยายความดีกว่าอาตมาพูดให้คนเข้าใจได้ดี

       ตอนนี้ถึงยุคที่ควรได้ควรมีธรรมะ เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ช่วยเอาแสงสว่างมาไว้กลางอุโมงค์กันหน่อย ยังมีความหวัง ไม่สูญเปล่า เราได้ชนะรายทาง ได้ผลมาเรื่อยๆ แม้ไม่ได้สุดยอด แต่เราไม่เอาแพ้เอาชนะไม่ควำ่คูต่อสู้ให้ล้ม แต่เราชนะรายทางไปเรื่อยๆ ในแต่ละกรอบที่เราทำพยายามเข้าใจให้ได้

       เราพยายามเอาอำนาจของผู้หลงตนเองในกระจกเงาออกไปก่อน แล้วเราจะให้คนที่ไปทำงานในกระจกเงาไม่หลงตนเองอย่างเขาไปทำ เหมือนอย่างนางแม่มดในเรื่องสโนไวท์ ส่องกระจกแล้วนึกว่าตนเองสวยที่สุด แต่ที่จริงหลงตนเอง

        ในข้อเขียนของธีรยุทธ บุญมี

       ประชาธิปไตยที่จะต้องกำหนดให้อยู่จำกัดในพรรคการเมืองนี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว ประชาธิปไตยคือความอิสรเสรี ไม่ต้องอยู่ในคอก แต่ว่าอยู่ในพรรคแล้วก็ต้องมีวิปอีก ก็ยิ่งจำกัดสิทธิอีก แม้แต่สมัครเลือกตั้งแต่หาเสียงโฆษณาตนเอง ปั้นนโยบายประชานิยม แล้วทำอย่างยิ่งลักษณ์​ จะกระชากค่าครองชีพ พูดไปก็ทำไม่ได้ พูดไปแล้วทำไม่ได้ก็เฉย ถ้าเป็นที่อื่นเขา เขาย้อนมาก็น่าจะลาออกแล้ว แม้แต่โฆษณาว่าเลือกฉันนะก็เป็นการอวดอ้างตนแล้ว ซึ่งคนจริงที่ทำงานแก่สังคมเขตนั้นๆ ย่ิงเป็นคนทำประโยชน์แก่ประเทศ คนรู้จักทั่วประเทศ เขาก็จะเลือกมาเอง ไม่ต้องหาเสียงปะหน้าที่เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องไม่แท้ ควรทำงานให้จริง มีประโยชน์ต่อเขตนั้นจริง จนมีประโยชน์ต่อประเทศจริง คุณสมัครเมื่อไหรก็ได้แน่นอน

       พรรคการเมืองทุกวันนี้มีนายทุนเป็นเจ้าของพรรค พวกที่เป็นสมาชิกพรรค ที่มีหน้าที่ทำงานในสังคมเป็นลูกน้องของนายทุนที่บงการ นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลย ดังนั้นระบบพรรคการเมืองพังทลายหมดแล้ว โดยเฉพาะโครงสร้างระบบศีลธรรม เราจึงต้องปฏิรูปประเทศใหม่ ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แล้วก็มีข้าราชการออกมากันหลายกระทรวงเลย

       จะปฏิรูปกฏหมายนั้นเป็นรอง แต่ปฏิรูปคนนั้นเป็นใหญ่ หากสร้างคนให้สุจริตยุติธรรมไม่ได้นั้นไปไม่รอดหรอก ต่อให้รธน.ดีให้ตายอย่างไร คนชั่วก็หาทางเบี้่ยวได้ ดื้อต่อกฎหมาย ไม่ยอมรับกฎหมาย อย่างที่เป็นอยู่นี่...

       การจะบูรณะต้องให้คนมีคุณธรรมอย่างแท้จริงจึงไปรอด ขอยืนยัน จะมีเลือกตั้งจะมีการตั้งคณะร่างรธน.อะไรก็แล้วแต่มันอยู่ที่ตัวคนจะมาทำ ถ้ามีคนเห็นแก่ตัวน้อยหรือไม่มีกิเลสเลย มารวมกันทำเพื่อประเทศจะเป็นผลสำเร็จ ไม่อย่างนั้นไม่สำเร็จ

       คนเราสามัญก็รู้ว่าส่ิงไหนดีส่ิงไหนชั่ว ก็แสดงออกดี ไม่ชั่ว จะพูดดี แต่ความจริงก็อีกอย่าง ถ้าสามารถล้างกิเลสได้ พูดออกมาก็ไม่มีกิเลส ทำก็ไม่มีกิเลส เพราะใจไม่มีกิเลส แม้ยากแสนยากก็ต้องทำให้คนลดกิเลส ส่วนการศึกษาทางโลกนั้นเจริญมากแล้วไม่ต้องกังวล

       ธรรมะนั้นขาดมากเลย เป็นอุปสงค์ที่ขาดมากเลยในสังคม เป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในสังคม แต่ละคนให้ตั้งใจลดละหัดปฏิบัติธรรมแล้วจะอยู่รอด ประเทศชาติจะไปรอดด้วย...    

       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:35:54 )

570203

รายละเอียด

 

570203_พ่อครูและอ.กฤษฎา  เรื่องรูป-นามของการเลือกตั้ง สื่อ ส่อ อะไรบ้าง?

       วันนี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ก็มีงานเผาศพคุณสุทิน

       พ่อครูว่า...การเลือกตั้งครั้งนี้ในประเทศไทย ของประเทศอื่นไม่เหมือนประเทศไทย เป็นเหตุเฉพาะ วัฒนธรรม จิตวิญญาณคนไทย  จิตเป็นอย่างไร กายกับวาจาก็ออกมาเช่นนั้น มีเท่าไหร่ก็ออกมา ของสังคม ซึ่งจะมีผลอะไรบ้าง อาตมาลองรวบรวมดู

 

        การเลือกตั้งครั้งนี้ มีภาวะที่สื่อ ที่ส่อ ให้เราได้รู้อะไรบ้าง?

 

  1. แสดงถึงความล้มเหลวอย่างย่อยยับขอบรัฐบาล ที่ไม่สามารถบริหารจัดการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้

 

  1. แสดงถึง ชัยชนะ ของประชาชนอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย โล่งโจ้ง ทั้งมวลปริมาณแสดงตัวทั่วประเทศ และทั้งคุณภาพที่เป็นคุณงามความดีและความถูกต้อง

 

  1. ทั้ง 1+2 ชี้ให้เป็นถึง ความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดยิ่ง แสดงลักษณะรับสัมผัสได้ มากแง่มากมุม อย่างหมดเปลือก คือพฤติกรรมของประชาชนถูกต้องชัดเจน และแสดงพลังอำนาจอย่างเต็มที่ และชอบธรรมยิ่ง ส่วนรัฐบาล แสดงถึงความไร้อำนาจ และแสดงถึงความไม่ชอบธรรมอย่างเต็มที่

 

  1. แสดงถึง ความยึดมั่นถือมั่น อย่างเห็นได้จนเกินคำที่คนไทยเรียกว่า ดื้อด้าน ดึงดัน หรือหน้าด้านหน้าทน ยึดอำนาจอันไม่มีแล้ว ไม่ชอบธรรมแล้ว ที่เรียกกันว่า เป็นกบฏแล้ว และอะไรอื่นๆเยอะแยะ แต่นายกฯ ก็ดี มวลลิ่วล้อที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางรัฐก็ดี ก็ยังช่วยกันหน้าด้านหน้าทน กันเกินบรรยายจริงๆ หน้าดันทุรังไม่มียาง

 

  1. เห็นความอุตสาหะอดทน ของมวลประชาชน

 

  1. เห็นความ เสียสละ ของมวลประชาชน

 

  1. เห็นความมีปัญญาที่รู้สัจจะมากขึ้นๆ ของประชาชนทั้งฝ่ายรัฐบาลที่แปลตัวมาเข้ากับประชาชน ทั้งมวลมหาประชาชนเอง

 

  1. เห็นความตรงกันข้ามของฝ่ายบริหารรัฐบาลและข้าราชการบางหมู่ บางผู้บางคน ว่า ...ไม่เสียสละ ไม่อุตสาหะ แต่ดื้อดึงดัน(ไม่เรียกว่าอดทน) ไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าตัวเองเห็นแก่ตัวอย่างร้าย รวมทั้งเห็นความไม่ถูกธรรม-ไม่ชอบธรรมอีกมากมาย

 

  1. เห็นประกายแห่งความเป็นประชาธิปไตย โดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน ลุกโชนขึ้น ในผืนแผ่นดินไทย

 

 

  1. เห็นคนที่ยังโง่งมงายอยู่กับความอนาริยะ ไม่รู้จักประชาธิปไตย ยังหลงอยู่กับการยึดติดอำนาจ ยึดติดกับโลกธรรมทั้งประชาชนและข้้าราชการ โดยเฉพาะนักการเมือง

 

  1. เห็นปรากฏการใหม่ของไทย ที่ไม่เคยเกิดได้มาก่อนเลย

 

  1. เห็นความสุภาพความเป็นระเบียบวินัย ขององค์รวมมวลมหาประชาชน

 

  1. เห็นความหยาบคาย ความลุแก่อำนาจของรัฐบาล และของข้าราชการ ทั้งประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาล ว่าหนักหนาสาหัสยิ่งๆขึ้น

 

  1. เห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ เห็นว่าประชาชนคนไทย เข้าใจ ความสงบชนะความรุนแรง โหดเหี้ยมได้ เห็นผลว่า คนไทยเข้าใจอิทธิฤทธิ์ของความสงบสุภาพว่าชนะความรุนแรงได้มากขึ้น ยิ่งขึ้น

 

  1. เห็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง คือ คนดี คนรักความถูกต้อง มีมวลปริมาณออกมาแสดงตัวต่อต้านคนชั่ว คนไม่ถูกต้อง ออกมาแสดงตัว (ปกติแล้ว คนดีก็ตาม คนถูกต้องก็ตาม จะไม่กระตือรืนร้นออกมาแสดงตัวต่อต้านอะไรนัก มักจะอยู่เฉยๆหรือไม่รู้ไม่ชี้)

 

  1. เห็นภาวะจนแต้มของคน ...เมื่ออ้างคุณงามความดี ความถูกต้องตามสัจจะไม่ได้ ก็หันหน้าเข้าเถียง โดยอ้างเอาข้อกำหนด ข้อกฎหมาย โดยอธิบายรายละเอียดในพฤตินัยของข้อกำหนดและกฎหมายนั้นๆว่า ตนมีพฤตินัยโดยถูกข้อกำหนด ตนละเมิดกฎหมายนั้นๆไม่ได้ ต้องปกปิด กลบเกลื่อนความจริง เอาแต่ข้อกฎหมาย มาแย้งมาอ้าง ทั้งๆที่ตนก็ไม่ใช้ หรือผิดข้อกฎหมายนั้นๆแท้ๆ

 

การเลือกตั้งครั้งนี้สื่ออะไร? (เอาตามรูปธรรมที่จับต้องได้)

  1. รัฐบาลหวังใช้ใบประทวน เป็นประกันดึงชาวนา ให้เลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งใบประทวนกินไม่ได้
  2. รัฐบาลหวังจะใช้การเลือกตั้ง เรียกคืนฟื้น สส.เพื่อไทย
  3. รัฐบาลใช้คนในมือ เช่นข้าราชการระดับบริหาร ,ตำรวจ,คนในสายบังคับบัญชา มาอวยประจบให้เกิดการเลือกตั้ง
  4. รัฐบาลใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้ง ผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?
  5. ไม่มีผู้ออกมาชี้นำสังคมอย่างมีน้ำหนักพอ เช่น กกต.กลัว, ศาลติดกรอบ,องค์กรอิสระ,ผู้นำเหล่าทัพตัดสินใจไม่เด็ดขาด
  6. ประชาชนถูกแบ่งแยกชัดเจน พวกเลือกตั้งกับพวกไม่ไปเลือกตั้ง อาจเกิดการทะเลาะกันรุนแรง ก่อนความรุนแรงได้
  7. สังคมไทยขาดผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ตำรวจไม่ทำหน้าที่ ทหารระมัดระวังในการช่วยประชาชน
  8. กฎหมายเป็นกติกาสังคมไม่ถูกนำมาใช้ ประชาชนต่างเรียกร้องโดยไม่เคารพกฎหมาย,กติกา เช่น ยุให้คนพกปืนไปเลือกตั้ง เพื่อป้องกันตัวเอง
  9. ประชาชนในกทม. ไม่ไปเลือกตั้ง 73 % ,ผู้ชนะเลือกตั้งในจ.ภาคใต้ ด้วยคะแนน 10 คะแนน(ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง สองพันคน มาใช้สิทธิ์ลงคะแนน 27 คน, vote  no 20 คะแนน, บัตรดี 10 คะแนน หมู่บ้านราชธานีอโศก ไม่มีใครไปลงคะแนนเลย แต่มีเจ้าหน้าที่ไปลงคะแนนได้ 9 คะแนน )       

       หมู่บ้านของชาวอโศก มีที่เป็นหมู่บ้านโดยนิตินัย เขาก็แจ้งว่าจะมาใช้หมู่บ้านเราเป็นหน่วยเลือกตั้ง แต่ว่าเราก็ปฏิเสธ เพราะว่าเราต่อต้านการเลือกตั้งครั้งนี้ เขาก็มาตื๊อ แล้วก็มีคนบอกว่า ถ้าเราไม่จัดเลือกตั้งที่เรา เขาก็จะไปจัดที่อื่นแล้วจะสวมสิทธิ์เราได้ เราก็เลยให้จัดหน่วยเลือกตั้งที่เราได้ แล้วก็ได้ผลดังกล่าวมา

       เป็นเรื่องเหลือเชื่อ แล้วกรรมการที่เลือกตั้งนั้น เขาลงคะแนนให้ พรรคเพื่อไทยนั้นมี 1 ใน 9 เท่านั้นเอง ส่อให้เห็นว่าแม้ข้าราชการ ที่มาเป็นกกต.หน่วย ส่อเห็นว่าเขาสุดทน แต่เขาจำเป็นต้องเลี้ยงชีพ เห็นใจข้าราชการ

       อ.กฤษฎาว่า..มีข้าราชการหลายหน่วยช่วยให้เราไปปิดสถานที่ราชการ

       พ่อครูว่า...ดีเป็นเหตุประหลาด ให้สังคมมนุษย์เรียนรู้ ถ้าไม่มีจริงก็จะได้แค่คิดตรรกะ ไม่มีจริง ซึ่งเหตุการณ์ในไทยที่เกิด เป็นเรื่องกำไรอย่างมากเลย แม้มีการสูญเสีย แต่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องการหล่อหลอมความเป็นประชาธิปไตยให้แก่ประเทศชาติ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าการหล่อหลอมพัฒนา สร้างระบอบประชาธิปไตยนี้ให้แก่ประเทศได้ดีขึ้นก็คุ้มกับการลงทุนมากเลย ไม่แพง ที่เสียไปมีคนตาย คนเจ็บ เสียทรัพย์วัตถุ เสียเวลา พลังงานบ้าง แต่เป็นเรื่องที่เรารวมกันทำ เราต้องสร้างกรอบ วัฒนธรรม ประเพณี พฤติกรรม ระเบียบ แม้รธน.ก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำ ชาติก็อยู่ไม่ได้

       อ.กฤษฎาว่า...ในความรู้สึก เมื่อวันที่คุณสุทินเสียชีวิต รู้สึกว่าเขาได้ทำหน้าที่จวบจนวันสุดท้าย แล้วความมีคุณค่านั้นเป็นอย่างไร? ผมทำงานร่วมกับคุณสุทินตั้งแต่กองทุนซิปมาหลายปีแล้ว คุณสุทินมีความเป็นผู้นำ แล้วจบชีวิตอย่างสงบ เป็นการตายที่มีค่าดั่งภูเขา หรือการตายที่เบาอย่างขนนก.. มันเป็นมิติโลกุตระไหม?

       พ่อครูว่า...ยกตัวอย่างเช่น พระเยซู ที่เป็นศาสดาของคริสต์ ท่านประกาศศาสนามาเพียงไม่กี่ปี ก็ถูกศัตรู จับไปฆ่า ตรึงกางเขนตาย ...การตายของพระเยซูมีคุณค่าไหม ย่ิงใหญ่ในโลกจนทุกวันนี้ การตายที่มีค่าดั่งภูเขา หรือการตายที่เบาอย่างขนนก ….การตายของพระเยซูเป็นการตายที่ย่ิงใหญ่

       ในศาสนาพุทธ ผู้ที่ออกไปเป็นทหารกล้าของพุทธ ตั้งแต่เริ่มสร้างศาสนา ก็ได้อรหันต์ 60 องค์แรก ก็ส่งออกไปสู่สังคม ไปสนามรบ ก็ต้องไปต่อสู้กับศาสนาเก่า จะว่าไปก็เหมือนไทยเรา กำลังปฏิรูป เอาการเมืองใหม่ไปแทนอันเก่า ก็ต้องสู้หนัก อย่างพระพุทธเจ้าทหารเอกที่ส่งไปก็ตายไปมาก ตายหนักด้วย ในประวัติมีร่องรอยกล่าวถึงบ้าง ในตำนาน แม้ยกตัวอย่างพระโมคคัลลานะ ก็ต้องตายในการสร้างศาสนา ซึ่งท่านเป็นทหารเอก เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย นี่คือการตายอย่างขุนเขา ไม่ได้เบาอย่างขนนก

       ทางอิสลามยกให้ผู้ที่ตายเพื่อพระเจ้า เพื่อศาสนา ไม่ต้องตัดสินเลย ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าเลย เขาจึงรักษาศาสนามาได้

       ถ้าไม่มีใครกล้าตายในส่ิงที่ควรตาย ก็จะรักษาปกป้องประเทศมาไม่ได้ มีบรรพชน รักษาประเทศ กอบกู้ชาติ ต่อสู้ รักษามาให้แก่ลูกหลาน ใช้ชีวิตเลือดเนื้อวิญญาณรักษามาทั้งนั้น สมัยโบราณเห็นชัด แม้ทุวันนี้ก็เห็นได้อยู่ ดูเหมือนไม่โหดเหมือนโบราณ

       ขอให้อดทนอุตสาหะถือว่าฝึกปรือไป ฝึกก็ได้ความอดทนอุตสาหะ ไม่เสียหาย เรามาทำส่ิงดี ไม่ได้ทำส่ิงเลว เราทำเราได้พฤติกรรมดีใส่ชีวิต

       คำว่า สันติ อหิงสา นี่ยิ่งใหญ่

       ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า อำนาจแห่งความสงบ ประชาชนทั้งฝ่ายเราฝ่ายเขา ก็เกิดปัญญาเห็นได้ มีภูมิปัญญาเกิด มหัศจรรย์แท้ เป็นไปได้อย่างไรที่ความสงบเอาชนะความรุนแรงโหดเหี้ยมได้ ทางฝ่ายโน้นก็พยายามรักษาความสงบนะ แต่ที่ไม่สงบก็ทำอยู่ ยกตัวอย่างที่หลักสี่ ถ้าไม่มีโกตี๋ก็ไม่เกิดเรื่อง

       อ.กฤษฎาว่า...ฝั่งรัฐบาลใช้ความดึงดันดื้อด้าน หน้าด้านหน้าทน แต่วันนี้ฟังลุงกำนันสุเทพว่า ฝั่งโน้นก็มอนิเตอร์เราอยู่ พอเราว่าจะไปที่ไหน เขาก็เอาตำรวจไปมากมายเลย แต่เราไม่ว่าง เราเลยไม่ไป ให้เขาเมาไวน์ไปซะ

       พ่อครูว่า...เป็นการดึงดันหน้าด้านหน้าทน ยึดอำนาจที่ไม่เป็นธรรม เป็นกบฏแล้วก็ยังยึด เป็นส่ิงเกิดจริงเป็นจริงให้เราเห็น

       อ.กฤษฎาว่า...ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งคือ นายกฯหย่อนบัตรผิด …

       พ่อครูว่า...เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญ ใครขี้กองเท่าไหร่คนก็เห็นได้ ดังนั้นอย่าไปขี้กองโตให้เด็กเห็น ...และนายกฯเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แม้ตาสีตาสา ชาวบ้านก็ไม่เห็นว่าเขาหย่อนผิดนะ มันเป็นไหวพริบตื้นๆง่ายๆ ไม่ต้องฉลาดมากก็ได้ แต่มันก็ผิดจนได้ มันส่อแสดงสองอย่าง คือ ให้เห็นจิตผู้ทำนั้นเขาไม่อยากให้ผิด เพราะอาย แต่มันทำไมต้องทำจนได้ เพราะกู เจ็บใจตนเองเหมือนกัน ก็แสดงว่าไม่เหมาะจะเป็นนายกฯหรอก แค่นี้ก็ส่อว่า บ่ มีไก๊ เวลาไปกดกูเกิ้ลว่า ...โง่ นี่ขึ้นมาเลย ให้จำนนเสียบ้างเถอะน่า

       หรือว่า...แสดงให้เห็นถึงความสับสนของจิตวิญญาณที่ไม่ปกติ มันสะทกสะท้าน คนเราไม่น่าผิดก็ผิด แสดงว่าจิตวิญญาณไม่น่าปกติ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำผิด มันมีอยู่สองกล่อง แต่ใส่ผิด

       อีกอย่างคือมันมีส่ิงที่เกิดให้เห็น แม้เล็กน้อย แต่มันจะเกิดถึงสิ่งที่ส่อแสดงถึงเวลาโอกาสที่ชี้บ่ง เราเรียกภาษาไทยว่า “รางร้าย” มันเกิด หรือศาสนาคริสต์ก็จะบอกว่า จะต้องมีแบบทิสต์ หรืออย่างท้องฟ้าจะสว่างก่อนจะมืดมิดสนิท ก็อธิบายไม่ได้ละเอียดพอ เช่นว่าผู้มีบุญจะมาเกิดก็จะมีอะไรมาก่อน แต่ผู้ที่ตัวร้ายๆจะต้องตายก็มีอะไรเกิดก่อน นัยเดียว

        อ.กฤษฎาว่า...มีการโพสต์ในเน็ต ฝั่งหนึ่งว่าเป็นนายกฯทำไมหย่อนผิด แต่อีกคนหนึ่งว่า คนตั้งกล่องนั้นวางกล่องผิด

       พ่อครูว่า..มันเหมือนว่าทำไมตอบไม่ตรงคำถาม...ก็บอกว่าทำไมไม่ถามให้ตรงคำตอบ

       อ.กฤษฎาว่า..เหมือนกรณีคนชุดขาวไปจุดเทียน เป็นสัญญลักษณ์ สันติภาพ แล้วก็ทำผิดไปเป็นสัญญบักษณ์เหมือนเบนซ์​ ก็แถไปเรื่อยๆ

       พ่อครูว่า...เรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดเป็นองค์รวมของการเมืองในยุคนี้ อาตมาว่า มันเกิดพัฒนาการ ของสังคมไทยมาก ที่แปลกก็คือ ยังไม่เคยมีมาเลย ก็คือ พวกบันเทิงเริงรมย์ ไม่เคยออกมาเลือกข้าง เพราะพวกนี้ไม่เอาข้างไหน มันเอาเงิน มันไม่เคยเกิดเลยว่าจะมาเลือกข้าง ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้ในไทย

       คำว่าการเมืองเขาถือว่าเป็นคำเสีย ผู้ใดไม่ยุ่งการเมืองได้เป็นดี ไม่ว่าอาชีพใด เช่นว่าฉันเป็นทหารอาชีพไม่เป็นทหารการเมือง ยิ่งประชาชนเขาก็ไม่ยุ่งการเมือง ตีการเมืองทิ้งไปหมด เพราะเห็นว่าการเมืองนี้เน่าเฟะ ที่จริงงานการเมืองนี้เป็นเรื่องสุดยอดดีงาม

       การเมืองเป็นงานที่ต้องเคารพยกย่องเชิดชู เป็นงานมีประโยชน์คุณค่าสูงส่ง เป็นความมีเกียรติ คนให้เกียรติ แต่นักการเมืองทำพฤติกรรมไม่น่ายกย่องให้เกียรติเลย

       แต่คนจำนนต้องให้เกียรติ ที่จริงแล้ว นักการเมืองต้องน่ายกย่องบูชา น่าเคารพ

 

        งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้มี 13 ข้อ

1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล พุทธสอนถึงขั้นโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรม (ต้องมีภูมิธรรมรู้จักจิตวิญญาณตนเอง ลดกิเลสตนเองได้ เร่ิมตั้งแต่โสดาบัน

         ถ้าได้แค่กัลยาณธรรม ตอนแรกก็ดี แต่พอกิเลสโตก็จะแสดงผล เพราะไม่ได้ล้างกิเลสจริง เขากดข่มไว้ ถ้าแค่ ห้าร้อยล้านไม่เอา แต่ว่าถ้าพันล้านเอา ย่ิงหมื่นล้านล่ะก็โกงเลย นอกจากจะล้างกิเลสได้เป็นอาริยบุคคลจะมีคุณธรรมจริง ไม่เวียนกลับ แต่ทุกวันนี้ไปเข้าใจอรหันต์ว่าเป็นคนหนีโลก เข้าป่าเขาถ้ำไม่ยุ่งเกียวกับสังคม ไม่มี โลกุตรจิต จึงไม่มีโลกวิทู ไม่มีโลกานุกัมปายะ ช่วยโลกไม่ได้ ของพุทธนั้นรู้ มีโลกุตรจิต จึงสามารถอยู่กับโลกโดยไม่ทุกข์ไม่สุข รู้โลกวิทู และมีโลกานุกัมปายะ จึงเป็นการทำการเมืองที่แท้   อาตมาแปล โลกานุกัมปายะว่า รับใช้โลก

2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้

3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน  (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) 

4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ใช่คนไม่มีทางทำมาหากิน เลี้ยงตนเองไม่ได้ พฤติกรรมของตนนั้นเป็นพฤติกรรมเพื่อสังคมไม่ได้ ถ้าใครมีพฤติกรรมทำงานเพื่อสังคมการงานเพื่อประชาชนคนนั้นคือนักการเมือง คนรับได้เพราะเขาทำงานเพื่อประชาชน ประชาชนจะเลี้ยงดูเขาไว้ ยกตัวอย่างเช่น อาตมาได้พยายามปลูกฝังให้ชาวอโศกทำงานการค้าขาย เรียกว่าค้าขายอย่างบุญนิยม อย่างในหลวงตรัส คือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา อโศกก็ทำได้ แม้ขาดทุนไม่ได้ก็เอากำไรให้น้อยลง แต่ถ้าเอากำไรได้น้อยลงเท่าไหรก็เจริญเท่านั้น ยิ่งเท่าทุนเลยก็เจริญ แล้วยิ่งขาดทุนได้นี่คือเจริญจริง การค้าขายเขาก็เลี้ยงตนด้วยการค้า แต่เขาขาดทุนแก่สังคม นี่แหละคือนักการเมือง คือผู้พึ่งตนเองได้

5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ  อย่างปธน.โฮเซ่ มูจิก้า เป็นปธน.ที่จนที่สุดในโลก ประเทศอุรุกวัย

6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน 

7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ

8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)

9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม แล้วทุกวันนี้นักการเมืองประกาศตนอย่างไม่เหนียมอายเลยว่า ผมเป็นขี้ข้านักโทษเลย

10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา  เพื่อครอบครัว  เพื่อหมู่พวก  เพื่อพรรค  แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง  เพื่อประชาชนทั้งมวล  เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง  พ้นไปจากครอบครัว  พ้นไปจากหมู่พวก  แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน

#     แต่ในไทยมีการออกกฎหมายว่า ต้องมีพรรคการเมือง แล้วจะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเท่านั้นจึงสมัครได้ เป็นการส่อแสดงความเป็นอนารยะของประเทศ แต่ที่จริงเมืองไทยน่าจะทำได้ อย่างไม่ต้องออกข้อจำกัดว่าจะต้องมีพรรคการเมือง แล้วย่ิงบอกว่านายกฯต้องมาจากสส. ก็เลยจำกัดอีก       


เวลาบันทึก 09 มีนาคม 2563 ( 13:45:11 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์