@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

 ปฏิบัติธรรมต้องปิดทวาร 6 ครบมีผัสสะเป็นปัจจัย!

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนทั้งนั้นว่า การปฏิบัติธรรมของพุทธต้องเปิด“ทวาร 6”ครบ ต้องมี“ผัสสะ”เป็น“ปัจจัย” ถ้าไม่มี“ผัสสะ” เป็นการรู้จักรู้แจ้งจริง“ความจริง”ครบ“ภายนอก-ภายใน” ก็ไม่มี“ฐาน”ที่จะปฏิบัติเต็ม“ความจริง”บริบูรณ์  ข้อนั้นเป็นความเข้าใจของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็น(อชานตัง อปัสสตัง) พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นความแส่หา เป็นความดิ้นรนของคนมีตัณหาเท่านั้น(พระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 41 และข้ออื่นๆจนถึง ข้อ 63)   

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 433 ข้อที่ 594


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2565 ( 14:24:55 )

 ปฏิบัติให้ถึงสภาวะให้ยิ่งกว่าพูดแต่พยัญชนะ

รายละเอียด

ปฏิบัติให้ถึงสภาวะให้ยิ่งกว่าพูดแต่พยัญชนะ ใช่ เอาตัวเองปฏิบัติรู้สภาวะให้ดีก่อน แล้วทีนี้พูดภาษาจะได้ไม่ผิดด้วย คนที่เรียนรู้มากพวกคงแก่เรียน learned man จะรู้ภาษาบัญญัติมากแต่ไม่เข้าถึงสภาวะก็ไม่มีทางจบได้ ต้องรู้จักสภาวะเข้ามาหาจิตเจตสิก อ่านกายอ่านจิต เข้าใจกายให้สัมมาทิฏฐิคือสภาวะคู่ คู่แรกและคู่ต่างๆ จนกระทั่งคู่สุดท้าย กายกับจิต 

คู่แรก และคู่ต่อๆๆไป ซึ่งจะเป็นสภาวะ 2 จนถึงที่สุดจบ คู่สุดท้าย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ในวิญญาณฐีติ 7 มีกายกับสัญญา เป็น 2 ตัว แยกกายไปเป็นอีกตัวหนึ่งคือสัญญา ก็กำหนดรู้กายนั่นแหละสัญญา กำหนดแยกกายให้ออก อะไรกาย อะไรไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นจะต้องรู้อะไรใช่กาย อะไรไม่ใช่ กาย ให้สัมมาทิฏฐิ  ถ้าใครมีสัมมาทิฐิในเรื่องกายแล้ว คุณก็ถึงจะจบวิญญาณฐีติ 7 จบที่ อากิญจัญญายตนะ ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่า คุณยังไม่รู้จบ ยังไม่รู้เสร็จ เนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่า คุณยังไม่รู้จบยังไม่รู้เสร็จ จะว่าใช่ก็ไม่ใช่  จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ สรุปยังไม่ได้ 

เพราะฉะนั้น เมื่อมีความคมชัดสัมมาทิฏฐิ เสร็จ อากิญจัญญายตนะ แปลว่าไม่มี กิเลสไม่มีหมดเลย สิ่งที่ไม่รู้ไม่มี  มีแต่รู้หมดแล้ว อย่างนี้เป็นต้น อากิญจัญญายตนะ คุณก็ต้องจบ คุณจบ ไม่ฟุ่มเฟือย  ไม่วิจิกิจฉา ไม่ฟุ้งอะไรอีกแล้ว เพราะฉะนั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่ต้องมี จบที่ อากิญจัญญายตนะ ในวิญญาณฐีติ 7 

คุณซึ้งซื่อ พยายามเอาของตัวเองให้จบ อย่าเพิ่งไปพยายามอธิบายให้คนอื่นเขาฟังก่อนนะ อันนี้เป็นปัญญาข้อที่ 7 ในปัญญา 8 เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ดีแล้วว่า อ๋อ.. ขนาดในกลุ่มผู้รู้ เข้าไปสู่สภา มีบัณฑิตทั้งนั้น ถ้าในสภาไม่มีบัณฑิต สภานั้นก็บกพร่อง สภานั้นต้องบรรจุบัณฑิตอยู่ เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูกใครในสภา เพราะสภาจะต้องคือบรรจุผู้ที่คัดเลือกแล้วมาเป็นผู้อยู่ในสภา เป็นสมาชิกของสภา อย่าไปดูถูกใคร 

เพราะฉะนั้น ใครไม่พูดนั่งเงียบไม่อธิบาย อย่าไปดูถูกเขาเชียวนะ จะไม่ตำหนิผู้ที่นิ่งเงียบ ข้อที่ 7 แล้วจะพูดเท่าที่ควรพูด ย่อมแสดงธรรมเองบ้าง เชื้อเชิญคนอื่นแสดงธรรมบ้าง ไม่ดูหมิ่นผู้ที่เขานิ่งเฉยไม่พูด และแน่นอน อยู่ในสภาไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ยิ่งพูดสิ่งที่เป็นโกหก เป็นสิ่งที่ไร้สาระ คนนี้เอาออกไปจากสภาเถอะ รกสภาทำให้สภาเขาเสียหมด แล้วมีกันเยอะด้วยนะ นี่คือสภามันไม่สมบูรณ์แบบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 51เป็นผู้แพ้ผู้รับใช้ได้ไม่ยาก ด้วยฌานทั้ง 4 วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2565 ( 14:59:53 )

 ประชานิยมแบบโลกุตระเป็นเช่นไร

รายละเอียด

ก็ประชานิยม มันไม่ใช่ของดีนี่ ที่จริงแล้วมันซ้อน ประชาชนนิยม แล้วนิยมสิ่งที่ถูกต้องดีหรือเปล่า ถ้าประชาชนไปนิยมสิ่งที่ไม่ดี นิยมที่จริงก็แปลว่าเที่ยงด้วย ไปเที่ยงกับไอ้สิ่งที่มันไม่ดี มันก็เจ๊งแน่ แต่ถ้าประชาชนนิยมหรือไปเที่ยงกับสิ่งที่ดีที่ถูกต้องแท้ นี่แหละมันเป็นนัยยะที่เข้าใจยากในโลกุตระกับโลกียะ นี่เป็นภาษาสิริมหามายา หรือเป็นมายา 

เพราะฉะนั้นเข้าใจผิด เข้าใจไม่ได้ก็เป็นมายาไปยึดเอาผิด ถ้าเข้าใจถูกก็จะดีถูกต้องเป็นสัจธรรม มันก็เป็นสิริมหามายา เพราะว่ามันเป็นdialacticคำพูดที่มี 2 นัยยะอยู่ในโลก อันนี้แหละเทวนิยมเขายังไม่ชัดเจนเขายังไม่รู้แท้ เขายังยืนยันไม่ได้ถึงขั้นจิตที่จริงใจ จิตที่ไม่มีกิเลส จิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ ไม่โลภโมโทสัน นั่นคือเงื่อนไขที่สำคัญ ต้องปฏิบัติธรรมเป็นโลกุตระจริงๆแล้วกิเลสลดจนหมด แล้วคนก็ไม่เชื่อว่าคนจะเป็นอรหันต์ คนจะหมดกิเลส แล้วคนที่หมดกิเลสนั่นแหละจะมาเป็นนายก จะมาเป็นนักการเมืองจะมาเป็นประชาชนผู้ที่จะมาช่วยการเมือง เขาไม่เชื่อ เขาเข้าใจผิดแบบที่พาเสื่อม พาผิดจากศาสนาพุทธไปแล้ว 

เขาเข้าใจว่าศาสนาพุทธธรรมะของพระพุทธเจ้ายิ่งเป็นโลกุตระเป็นอาริยะ ไม่มายุ่งกับการเมือง มันก็เห็นใจเขาเหมือนกันเพราะการเมืองมันมีแต่เลวๆผิดๆ เลวร้ายทั้งนั้นในโลก มีแต่ประชาธิปไตยที่ดี ที่บริสุทธิ์ ที่ ดีๆที่สะอาด ที่มีเหตุปัจจัยสำคัญ คือรู้จักกิเลสแท้ๆลดกิเลสแท้ๆน้อยมาก เทวนิยม ประชาเทวนิยม ไม่ได้ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์สะอาด จากขั้วหัวใจที่สะอาด เพราะเขาไม่รู้จักกิเลส เทวนิยมน่ะ แล้วเขาก็มีเทวนิยมกันทั่วโลก มีอเทวนิยมหรือโลกุตตระอยู่ที่เมืองไทย ขอย้ำเลยนะไม่ได้พูดเล่น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม เปรียบเทียบเศรษฐศาสตร์โลกียะกับเศรษฐศาสตร์โลกุตระ แรม 14 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 18:19:22 )

 ผลที่ตามมาเสียหายใหญ่หลวง เพราะอวิชชาความไม่รู้ จึงโง่กว่าเก่า! ใหญ่กว่าเดิม!

รายละเอียด

แค่นี้ ที่ต้องจัดการให้ถูก ก็ยัง“ไม่รู้“ ยัง“อวิชชา” ยัง“โง่”อยู่ แล้วมันจะเจริญการก้าวหน้าทั้งกาย ทั้งจิต เจริญความรู้ มีปัญญา กันได้อย่างไร? แทนที่จะเริ่มปฏิบัติกำจัดกิเลสที่ตนยังมีอยู่เต็มใน“ภพ” หยาบๆภายนอก คือ “ภพกาม”แท้ๆ อันเป็นขั้นต้นนี้ ที่ต้องทำไปตามลำดับ แค่นี้ ก็ยัง“ไม่มีความรู้”พอที่จะรู้ แล้วปฏิบัติไปอย่างเป็นลำดับถูกต้อง แล้วมันจะ“ถูก”ต่อไปได้อย่างไร? ..หา!!!ความถูกต้องที่จะทำตามลำดับ“ขั้นต้น-ขั้นกลาง-ขั้นปลาย” แค่นี้ ก็ไม่มี“ความรู้”กันเสียแล้ว แล้วจะไปรู้อะไรที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปกว่านี้ได้หนอ!

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 464 ข้อที่ 645


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2565 ( 14:58:38 )

 ผัสสะย่อมเกิดเวทนาเพื่อเรียนรู้!

รายละเอียด

เมื่อมี“ผัสสะ”กันจริงๆจึงจะมี“เวทนา”เกิดมาให้เราได้เรียนรู้ตามกระบวนการ“เวทนา 108”กันหลัดๆเป็น“ความจริง” ไม่ใช่มีแต่“สัญญา”ที่กำหนดได้แค่“การกำหนดรู้อยู่ในภายใน”ประตูเดียวเท่านั้น ถ้าไม่มี“เห็นภายนอก”ด้วย มันไม่สำเร็จบริบูรณ์ได้หรอก “เวทนา 108”นั้นต้องมี“ภายนอก”สัมผัสอยู่ด้วยเสมอ จงไตร่ตรองตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ดีๆเถิด ถ้าไม่มี“ผัสสะ 6”ที่ครบ“ภายนอก-ภายใน” มันก็ไม่มี“เวทนา” ให้ศึกษากันบริบูรณ์ด้วย“เวทนา 108”กันเท่านั้นเองไม่ว่า “วิโมกข์ 8”หรือใน“อภิภายตนะ 8” โดยเฉพาะใน“อภิภายตนะ 8”ในพระไตรปิฎก เล่ม 11 ข้อ 349 และเล่ม 10 ข้อ 100 นั้น...ยืนยันชัดยิ่งกว่าชัดว่า ผู้“อภิภู (ผู้มีอำนาจเหนือ,ผู้เป็นเองเป็นยิ่ง) นั้นต้อง“เห็นรูปในภายนอก”บริบูรณ์ครบตลอดทั้ง 8 ข้อทีเดียว 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 434 ข้อที่ 596


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2565 ( 14:37:16 )

 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้ที่ครบถ้วนที่จริงที่สุดทุกระดับทุกขั้นตอน 

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้ที่ครบถ้วนที่จริงที่สุดทุกระดับทุกขั้นตอน อาตมาเองไม่ได้เป็นกังวลอะไรกับเรื่องปริมาณ อาตมาทำงานไม่เคยคำนึงถึงปริมาณว่าจะมีมากหรือมีน้อย ซึ่งมันก็มีไม่น้อยเกินไปหรอก มันก็เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นอยู่ทั้งนั้นแหละ ทุกเวลาที่เทศน์ โดยเฉพาะตอนออกอากาศ บางครั้งบางคราวเพราะเราเทศน์กันเป็นชั่วโมงๆ มีคนฟัง 2 คน 3 คน 5 คน เราก็เทศน์ จะไปติดยึดอะไรกันเล่า 

มันต้องถ่ายทอดธรรมะให้แก่มนุษยชาติสืบทอดออกไป โอกาสที่มีก็ดีแล้วที่ได้เทศน์ได้กระจายให้คนฟังกันเยอะ มากก็ดีอย่างทุกวันนี้มีสื่อสารช่วยดีมากแล้ว อาตมาก็มีกะจิตกะใจที่จะทำ เพราะว่ามันไม่น้อยหรอก มันก็ดีอยู่มีประโยชน์อยู่ คนก็แสวงหามาถึงยุคนี้แล้วอาตมาว่า อจินไตย เรื่องเกี่ยวกับ กาละ เทศะ ฐานะ 

มันเป็นเรื่องรายละเอียด คำว่า กาละ นี่แหละ มันหมายถึง เอกภพ มันหมายถึง มหาจักรวาล มันหมายถึง ทุกอย่างที่มันเคลื่อนที่ไป กาละ ทุกอย่างมันเคลื่อนที่ไปเรียกว่า กาละ แล้วมันไม่หมดในอวกาศนี้ ในมหาเอกภพนี้ มันจะต้องมีการเคลื่อนที่ไปหมุนไปตามวงโคจรมีการดึงดูดกัน มีการผลักกันอยู่ในเอกภพนี้เป็นธรรมดา ธรรมชาติไปตลอดกาลนานนิรันดร.  แล้วจนกระทั่งเกิดเป็นโลกแต่ละลูก และพัฒนาจากน้ำมาเป็นสัตว์จนเป็นมนุษย์ ที่สุดท้ายก็หายไปได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทำให้จิตวิญญาณสลายหายไปได้ กลายเป็นธรรมดาของเอกภพเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปอีกก็เลิกกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา  วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 14:32:15 )

 พลังสัมประสิทธิ์พิสูจน์อายุยืนได้จริง

รายละเอียด

เจริญธรรมทุกๆคนวันนี้วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ อาตมาก็ยังแข็งแรงดี แต่ก่อนนี้อาตมายังหนุ่มแน่นเป็นพระแล้ว เป็นสมณะวนเวียนอยู่ที่ห้องภาพสุวรรณ ไปพักที่ห้องภาพสุวรรณ เห็นโยมพ่อของท่านสิริเตโช โยมพ่อของท่านซาบซึ้ง นอน ประเดี๋ยวกลางวันก็เห็นนอน ซึ่งเราไม่ได้นอนกลางวัน เรายังหนุ่มแน่น ทำไมเอาแต่นอนเราก็นึกอย่างงั้น 

พอมาถึงเวลานี้เรามาถึงวัยนี้ อ้อ เป็นเช่นนี้ อ๋อ… นะ นี่แหละ สังขารร่างกายมันไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัส ก่อนจะปรินิพพานก็ตรัสว่าเธอทั้งหลาย ทุกสรรพสิ่งย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา มันจริงที่สุด 

อาตมาพยายามพากเพียรแล้วนะ พยายามพากเพียรใช้สัมประสิทธิ์ช่วยจริงๆ อาตมาใช้ความรู้ที่มีจากพระพุทธเจ้านี่แหละ อาตมาเป็นคนไม่มีความรู้ ไม่ใช่เป็นนักการศึกษา ศึกษาน้อยมาก ชาตินี้ในความรู้ทางโลกีย์ทางโลก อาตมาไม่ค่อยได้ศึกษาเลย ก็มีความรู้ทางโลกเขาน้อยมาก 

แต่อาตมามั่นใจว่า อาตมามีความรู้ทางธรรมแบบพระพุทธเจ้า มากพอ มั่นใจ ว่า อาตมาทำได้ถูกตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แม้ว่าอาตมาจะยังมีความรู้ไม่สมบูรณ์แบบเท่า แต่ว่าแนวทางทำมาจนถึงระดับ อาตมาก็บอกหมดแล้วว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งมันเป็นความมีภูมิธรรมของอาตมาเอง และอาตมาก็เอามาแสดงความจริงเท่าที่อาตมามี 

40-50 ปีมาแล้ว หลายคนไม่เชื่อตอนแรกๆ เดี๋ยวนี้ก็ชักพอคลี่คลาย เอ๊.. น่าจะมีความจริงบ้าง หรือ หลายๆคนเห็นว่า เออ..จริงนะ แล้ว หลายคนก็มา แม้มาน้อย แต่อาตมาก็มั่นใจว่า ที่มานี้ไม่มีใครถูกหลอก ที่มานี้มาอย่างอิสระเสรีภาพทุกคน ตัดสินด้วยตัวเองจริงๆ ทั้งๆที่กระแสสังคมที่ครอบงำส่วนใหญ่ส่วนมาก เป็นแบบที่ชาวส่วนใหญ่กระแสหลักเขาพาเป็น มันตรงกันข้ามกัน ปฏิโสตังที่อาตมาพามาปฏิบัติประพฤติ แต่ก็ยังมีคนมีจำนวนที่พอใช้ ทุกวันนี้ถือว่าพอใช้ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรมโดยพ่อครู ครั้งที่ 14 GDP แบบพุทธสุดจบกิจ วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 17:21:19 )

 ฟังธรรมอย่างไรให้เกิดประโยชน์เกิดสัมมาทิฏฐิ 

รายละเอียด

ฟังธรรมอย่างไรให้เกิดประโยชน์เกิดสัมมาทิฏฐิ 

มันก็เคยมีคนพูด มันเคยมีคำกล่าวของ พระพุทธเจ้าด้วยว่า วางใจให้เป็นกลางๆ อย่าทำใจให้เหมือนคนมีชาเต็มถ้วย เป็นต้นอะไรอย่างนี้ เปิดใจฟังนั่นเอง

1.เปิดใจฟัง 2. อย่าเพ่งโทษ ผู้ที่เขากำลังอธิบาย มีนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อย่าเพ่งโทษฟังธรรม 

เพ่งโทษฟังธรรม  (ธัมมัง  สุณาติรันธคเวสี) ฟังด้วยใจเปิดๆ ฟังธรรมะเพื่อศึกษาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เราฟัง ที่ผู้บรรยายกำลังพูดอธิบาย แล้วมันจะเป็นอัตโนมัติในตัวเราเองว่า ที่ตัวเราเองเห็นว่า อันนี้เรารู้แล้วเราได้แล้ว อันนี้ถูก แต่พอได้ฟังอันนี้ทำไมมันแย้งกับที่เราว่าถูก เราก็จะวิจัยวิจารณ์ ถ้าหากวิจัยวิจารณ์เห็นว่า ใช่เว้ย เราเข้าใจผิดอันนี้ก็ได้นะอันนี้ก็ขอบคุณ แต่ถ้าเห็นว่าท่านผิดนะควรแย้งได้ไหม มีโอกาสไหม ก็แย้งได้มีโอกาสก็แย้งดู ไม่มีโอกาสเราก็ค้นคว้าต่อไป ว่าทำไมมันไม่เป็นไปตามที่เราเชื่อ เราเห็น เราเข้าใจอยู่  ก็ติดตาม ถ้าเรายังติดใจหรือต้องการจะรู้ความจริง ความถูกต้องที่มันยิ่งกว่านั้น การศึกษาก็มีไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 

สรุปแล้ววางจิตวางใจ ฟังธรรมแล้วก็เปิดใจไม่เพ่งโทษ เอามาเพิ่มเติมไปตามลำดับ แก้ไขปรับปรุงไป  

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2565 ( 11:01:24 )

 ภวันติ

รายละเอียด

 ภวันติ คือความเจริญความจบไปทีละขั้นทีละคู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:21:17 )

 ภาวะ 2 จับทีละคู่ๆ อะไร อย่างไร สัมผัสได้ รู้จักรู้แจ้งจริง เห็นกับตา ไม่ใช่ใครเห็นแทน!

รายละเอียด

“เทฺวนิยม”ไม่มีทฤษฎีดังกล่าวนี้เลย แม้แต่ชาวพุทธที่ศึกษาไม่“สัมมาทิฏฐิ” จะไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว”ทั้งหลายซึ่งมีตั้งแต่ความเป็น“2”ที่เริ่มรู้จักรู้แจ้งรู้จริงไปทีละคู่ว่า อะไรเป็นอย่างไร ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงอันนั้น-ภาวะนั้นไปตามความมีจริงเป็นจริงของมัน จนกระทั่งมากมายนับไม่ถ้วน หรือประมาณไม่ได้ “เทฺวนิยม”ก็ไม่ได้“สัมผัส”ภาวะนั้นๆชนิดที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ภาวะจริง”นั้นๆให้แทงทะลุรอบถ้วน จนหมด“ความไม่รู้ (อวิชชา)”บริบูรณ์ และไม่สามารถปฏิบัติให้จบ“วิมุติ”ได้สมบูรณ์เป็น“อมตะ”จึงไม่จบสิ้นด้วยความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“1”และเป็น“0”ซึ่งก็คือ ไม่สามารถทำ“นิพพาน”ให้แก่ตนสำเร็จนี่เอง ที่ทำไม่ได้เพราะไม่สามารถดับความเป็น“2” หรือดับความเป็น“เทฺว”ลงได้ ซึ่งพุทธเรียนรู้ภาวะต่างๆที่เป็น“เทฺว”ในตัวเราเองนี้เอง โดยเฉพาะ เรียนรู้จากทั้งภาวะที่มัน“เคลื่อนที่”ทั้งอยู่“นิ่งๆ”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 447 ข้อที่ 616


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 15:05:11 )

 มหัศจรรย์ของความเป็นบุญนิยม 

รายละเอียด

แค่ประเด็นนัยยะสำคัญอันนี้ก็อธิบายมา 50 กว่าปีแล้ว แต่อธิบายความต่างกันของบุญกับกุศลนี้เพิ่งอธิบายมาไม่กี่ปีนี้ อาตมาถึงว่าเสียดาย ตอนนี้สังขารร่างกายชักไม่ค่อยไปก็เลยเห็นว่า เอ๊ จุดนี้ มันเปิดแล้วก็สำคัญมากเลยถ้าอาตมาทิ้งไปก่อน ก็ยังไม่น่าจะแข็งแรง พอความรู้จุดนี้อยู่ที่คำว่าบุญ ก็เลยพยายามต่อสังขาร อายุสังขารร่างกายของตนเองให้ยาวไปอีก ซึ่งเป็นการพิสูจน์สัมประสิทธิ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะต่ออายุให้ยาวเกินกว่า กัปก็ได้

จะเรียกว่ามหัศจรรย์ของการแจกอาหารฟรีก็ถูก เราชาวอโศกกำลังสร้างความมหัศจรรย์ขึ้นในโลก เป็นความมหัศจรรย์ของโลก เป็นความมหัศจรรย์ ชัดยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ แต่ก่อนนี้ที่เขายกไว้ 7 อย่าง ในโลก มีอะไรๆซึ่งเป็นเครื่องก่อสร้างส่วนใหญ่ 

นครวัดนครธม ทัชมาฮาล กำแพงเมืองจีนอะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นวัตถุก่อสร้างส่วนใหญ่ แต่ ความมหัศจรรย์ที่อาตมากำลังพูดถึงนี้ก็คือ คุณธรรมในตัวมนุษย์ ที่เป็นคุณธรรมในระดับโลกุตรธรรม ทวนกระแสโลก ไม่ได้เป็นได้คนเดียวเท่านั้น เป็นได้เป็นหมู่เป็นกลุ่ม เรียกว่าบ้ากันเป็นหมู่เลย คนทั้งโลกเขาว่าบ้า อย่างโยมหลอย ก็นึกว่าเราบ้าอยู่คนเดียว มาเจอบ้ากันเป็นหมู่อย่างนี้ชื่นใจชื่นใจ อย่างนี้เป็นต้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 13:11:47 )

 มัททวะ

รายละเอียด

มัททวะ (ความอ่อนโยน) อาตมามีมัททวะ เพราะอาตมามี มทะมุทุภูตธาตุ แปลว่าอ่อนโยน จากรากศัพท์คำว่า มทะ ส่วน ทมคือแข็งแรง กล้าหาญ แต่มีอ่อนโยนด้วย ซับซ้อนสิริมหามายา มีอยู่ในตัวของมันอย่างนั้น ฟังธรรมะอาตมาอธิบายถึงรากถึงโคนถึงต้นธาตุต้นธรรมกันเลย จะลึกถึงขนาดนั้นฟังดีๆเถอะ ฟังธรรมะอาตมา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2565 ( 12:22:49 )

 มายา กับ สิริมหามายา ในลักษณะเทว

รายละเอียด

มายา กับ สิริมหามายา ได้ แสดงว่าเข้าใจพยัญชนะและสภาวะ ลงตัวกันได้ อันนี้เข้าใจดี ดีมากเลย อาตมาอธิบายธรรมะให้พวกเราฟัง ซึ่งลักษณะเทฺว ลักษณะ2 และลักษณะ 2 ที่เป็น 1 เป็นเทฺวที่เป็นสิริมหามายา มันไม่ใช่อธิบายได้ง่ายๆ แต่มันเป็นสัจจะที่ต้องเป็นเช่นนั้น ในโลกนี้ มันจะบอกไม่เป็นเช่นนั้นไม่ได้ มันไม่ได้ อาตมาเห็นใจพวกทางตะวันตกหรือว่าทางยุโรป ทางภาษาอังกฤษเขามีคำว่า dialectic แต่เขาไม่สามารถที่จะแยกแยะ dialectic ไม่สามารถรู้ทั้งสภาวะและบัญญัติ ตัดสินลงไปได้เลยว่า มันจะจบอย่างไร เขายังไม่ได้ เพราะเขาเป็นเทวนิยม แต่ของพระพุทธเจ้านั้น รู้ชัดเจน จบได้ จะให้มี แล้วก็อยู่ มีอิทธิพลเหนือสภาวะ 2 นี้ได้ แล้วก็ทำเป็น 1 ได้ ด้วยสัจจะด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมราย การพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ตุลาคม 2565 ( 13:42:14 )

 มาอยู่วัดปัญหาชีวิตจะน้อยกว่าอยู่บ้าน

รายละเอียด

มาอยู่วัดปัญหาชีวิตจะน้อยกว่าอยู่บ้าน

ก็จริงอยู่ แต่ผู้อยู่บ้านหรืออยู่วัด โดยเฉพาะวัดของชาวอโศก วัดเป็นที่รวมของบวร วัดบ้านโรงเรียนไม่ได้แยกกัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นถิ่นที่น่าอยู่ที่สุดกว่าคนที่อยู่ทางบ้าน เพราะคุณจะไกลวัด คุณก็จะไม่มีโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนแบบสัมมาสิกขา

ผู้ที่อยู่แต่บ้าน ก็ห่างจากบ้านวัดโรงเรียน ผู้มีปัญญาน้อย ก็จะเห็นว่าอยู่บ้าน หรืออยู่วัดก็ไม่มี ปัญหา ซึ่งที่จริงแล้วมันมีปัญหาแต่คุณไม่รู้ปัญหาเพราะคุณยังไม่มีปัญญาพอ ถ้ามีปัญญาพอก็จะรู้ว่าปัญหามันมีมากกว่า 

อยู่รวมเป็นหมู่กลุ่ม ปัญหามันน้อยลง จนกระทั่งไม่มีปัญหาได้ ถ้าอยู่บ้านก็มีผัสสะ มีอะไรต่างๆนานา จะปฏิบัติจนสูงขึ้นกระทั่งไม่ติดในผัสสะแล้วยาก แต่ถ้ามาอยู่รวมกับหมู่กลุ่มก็จะปฏิบัติจนไม่ยึดในผัสสะ ปฏิบัติให้มันเสมอสมานกันได้ สิ่งสูงสุดที่เสมอสมานกันได้อย่างเดียวก็คือเป็นพระอรหันต์ถูกต้องแล้ว จะยังไม่อธิบายเรื่องพาณิชย์บุญนิยม 4 ระดับ ถ้าอยากรู้ก็ค่อยถามมา ตอนนี้ยังไม่ตอบ ตั้งใจจะอธิบาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาวิมุติเหนือกว่าอุภโตภาควิมุติอย่างไร วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2565 ( 14:35:34 )

 ยุคนี้คนผู้อวิชชานั้นมีมาก 

รายละเอียด

 

50 กว่าปีแล้วที่อาตมาได้อุตสาหะพยายามใช้เรี่ยวแรงความสามารถปลุก“พญานาค” ก็มีแต่ผู้ที่มี“ดวงตา”หรือมี“ธุลีในดวงตาน้อย”จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่พอได้ยิน และได้ตื่นขึ้นมารู้โลกุตรธรรม และได้เรียนอบรมฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุ“โลกุตรธรรม”ได้สำเร็จจริงจำนวนเล็กน้อย 

ส่วนใหญ่นอกนั้นก็ยังคงหลับไม่รู้คู้ไม่เห็น เป็น“พญานาค” นอนเฝ้า“ถาดทองคำ”ของพระพุทธเจ้ากันอยู่ ที่จริงอาตมาก็รู้อยู่ว่า ยุคนี้คน“อวิชชานั้นมีมาก แต่ก็ต้องพยายามกันอย่างยิ่ง เพราะ“กรรม”นั้นเจริญด้วย“ความพยายาม”แท้จริง จะท้อถอย“หยุดทำกรรม”ไม่ได้ โดยเฉพาะ“กรรมที่ดีที่วิเศษเป็นโลกุตระ”

ที่ต้องพูดว่า เขายังเป็น“พญานาค”กันอยู่นั้น 

ก็เพราะ“เขา”ได้ยินเสียงวิเศษจริงๆ(เสียงของ“โลกุตระ” แท้ๆนี่เอง) แต่เพราะความ “อวิชชา” สนิท ก็“หูผึ่ง”ขึ้นมาแวบหนึ่งเท่านั้นก็หลับไม่รู้คู้ไม่เห็นหรืออวิชชาต่อไปว่า อ้อ! พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก อีกพระองค์หนึ่งแล้วเหรอ? ว่าแล้วก็“หลับสนิท”อวิชชาตลอดระยะยาวนานที่เป็น“กาล” นั่นคือ “เป็นงูโง่หรือโง่เป็นงู”ต่อไป ทับถมให้“อวิชชา”หนาหนักเพิ่มขึ้นยิ่งขึ้นๆ ด้วยการหลงใหลหลับใหลอยู่กับการ ปฏิบัติ“หลับตา”เป็น“พญานาค”นอนเฝ้าถาดทองคำอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร ที่มีถาดทองคำซ้อนกันเป็นล้านๆถาด

ซึ่งพระพุทธเจ้านั้นมีอุบัติขึ้นมาในโลกนับไม่ถ้วนเป็นล้านๆพระองค์แล้ว และก็จะมีพระพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นๆไปกับกาลของโลกนี้แหละ “พญานาค”ก็จะหลับไม่รู้คู้ไม่เห็นตัวจริง ยิ่งใหญ่ นอนเฝ้าถาดทองคำของพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปลึกลงไปอีกๆๆๆ  ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะในโลกจะมีคน“อวิชชา”จำนวนมากครองโลกเป็นปกติสามัญ ที่ไม่รู้จักแม้แต่ความเป็น“กาย” ก็รู้แจ้งรู้จริงไม่ได้ ยัง“พ้นสักกายทิฏฐิ”ไม่ได้ง่ายๆ ดังที่เป็นที่เห็นจริงกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำนานพญานาค ตอนที่ 2 วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 พฤษภาคม 2565 ( 12:17:58 )

 รูปแบบหรือยุทธวิธีของ Neo protest

รายละเอียด

 ยุทธวิธีการชุมนุม (รูปแบบการชุมนุม) 

     1. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย

     2. ไม่มีความรุนแรง

     3. เสนอ ความรู้ และ ความจริง

     4. ไม่หยาบ

     5. ไม่ผิด 

     กล่าวคำแรง เสียงดัง เท่าใดก็ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2564 ( 04:41:12 )

 รู้ให้ชัดกรรมฐานไม่ใช่กสิณ 40 แต่อยู่ที่เวทนานี่เอง!

รายละเอียด

ก็ต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ฐาน”ที่จะ“กระทำการปฏิบัติ” 

หรือที่พูดๆกันว่า“กรรมฐาน”ของศาสนาพุทธให้แม่นยำ

ถูกตรงเถิดว่าอยู่ที่ความเป็น“เวทนา”นี่เอง 

ไม่ใช่“กสิณ 40”อันเป็นความ“หลงผิด”ที่ไปติดยึดอยู่แต่

ใน“ฐานสมถะ”เป็นแน่แท้เด็ดขาด

“เวทนา”นั้น มี“2”ให้ศึกษาคือ “เวทนาแท้”กับ“เวทนาเก๊”

เราจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เวทนา”ของตน ในส่วนที่เป็น“เวทนาเก๊” 

ที่ยังเป็น“ทาสธรรมชาติ”ได้จริง เพราะแยก“เทฺว”เป็นซึ่งเทฺวนั้นมีทั้งกายกับจิตรวมอยู่

ทั้ง 2 ภาวะ หากผู้ใดยัง“อวิชชา” มิได้เรียนรู้อย่าง“สัมมาทิฏฐิ” ก็ 

เกิด“วิชชา”ไม่ได้ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 145 หน้า 131


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 05:03:31 )

 ลดความเป็น 5 ขันธ์ มาเหลือ 3 ขันธ์ อย่างไร

รายละเอียด

เรากลับมาสู่ภาวะ 2 ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ มันมีแต่รูปขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ มันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ 

ลดจากความเป็น 5 ขันธ์ มาเหลือ 3 ขันธ์ คือรูป สัญญา สังขาร ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ แต่จริงๆแล้วคนมันมีครบ 5 ขันธ์ แม้มันจะทำตัวเองให้มี 3 ขันธ์ได้ เป็นพืช มี รูปสัญญา สังขาร แต่เป็นพืชที่พิเศษ เป็นพืชที่สามารถไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีอาฆาต ไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีดูดไม่มีผลัก สำหรับอันอื่น มีแต่ดูดผลักของตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 60 ยากที่สุดในโลกนี่แหละคือความเป็น 2 วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2565 ( 12:32:17 )

 ว่าด้วยภพภูมิระดับชั้นของโพธิสัตว์!

รายละเอียด

จากระดับ 7 จะสูงขึ้นเป็นระดับ 8 ที่เรียกว่า“มหาโพธิสัตว์” จาก“มหาโพธิสัตว์”นั้น จึงจะก้าวขึ้นสู่“สัมมาสัมพุทธเจ้า”อันเป็นระดับที่ 9 สูงสุด เรียกว่า“สยัมภู (พระผู้เป็นเอง)” เท่าที่มนุษย์จะพึงเป็นไปได้ในมหาเอกภพ จบมหาจักรวาลสิ้น“กรรม”ใน “กาล”นิรันดรดังนั้น ผู้ที่ยังมีภูมิแค่“ปฐม-มัธยม”อยู่ จึงยังเรียกว่า“สยัง อภิญญา”ไม่ได้ เพราะ“สยัง อภิญญา”คือ ผู้ถึงขั้น“เที่ยง”ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงเรียกว่า “นิยตโพธิสัตว์”ได้แล้ว“นิยต”แปลว่า เที่ยงแท้ แน่นอน เพราะมี“สยัง อภิญญา”จริง ผู้มีภูมิขั้น“สยัง อภิญญา”นั้น ท่านต้องรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ (อันเป็นความรู้ที่ตนมีสภาวะในจิตตนเองขึ้นมาแล้ว)”มากพอทีเดียว ที่จะมี“ปุพเพนิวาสานุสติญาณ” สามารถระลึก“ชาติ”อันคือ“การเกิด”เก่าก่อน ซึ่งต้องมี“ปัจจัตตัง”มากพอ จึงจะมีภูมิเป็น“ปัจเจกภูมิ (อันเป็นความรู้ที่ตนมีสภาวะนั้นเต็มรอบแห่งความรู้นั้นเป็นของตนเองแน่วแน่ (อัปปนา)” เบื้องต้นแล้ว

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 411 ข้อ 557


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 14:21:57 )

 ศีลจะเป็นเครื่องชี้วัด หลุดพ้นก้าวหน้าขั้นไหนแค่ไหน เรื่องอะไร!

รายละเอียด

ไม่ใช่ว่า ยืนยันไม่ได้ว่า หลุดพ้นอะไร หลุดพ้นจากสิ่งใด

ภาวะไหน 

“ศีล”จึงเป็นเครื่องบ่งบอกถึง สิ่งนั้น เรื่องนั้น ภาวะนั้นที่

เราได้“หลุดพ้น”จริง

มิใช่“ความหลุดพ้น”ที่เหมารวมมั่วๆไปหมดว่า “หลุดพ้น

แล้ว” แต่บอกไม่ได้ว่า หลุดพ้นอะไร หลุดพ้นจากสิ่งไหน หลุด

พ้นจากภาวะใด หลุดพ้นด้วยอาการอย่างไร 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 128 หน้า119


เวลาบันทึก 18 มิถุนายน 2564 ( 05:23:20 )

 สมาธิแบบโลกีย์แก้ปัญหาไม่สำเร็จ ไปไม่รอด!

รายละเอียด

ถ้า“สมาธิแบบโลกีย์”ที่มันยังเป็นแบบเดียรถีย์อยู่ ซึ่งเป็น “สมาธิ”ยังไม่ใช่แบบโลกุตระ จึงไม่ว่าจะ“หลับตา”หรือ“ลืมตา”หากยังปฏิบัติ“กดข่มจิตไว้”เท่านั้น ไม่ใช่ปฏิบัติ“ทำลายกิเลสจากใจออกไปได้สัมมาทิฏฐิจริงๆ จนกระทั่ง “จิต” เจริญ “วรรณะ9” ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จดีบริบูรณ์เด็ดขาด เพราะไม่ได้แกักันที่“ต้นเหตุ”   แม้จะพอทำได้ก็ไม่ยั่งยืนถาวรตลอดไปเป็นเด็ดขาด เพราะ“จิตใจ”ไม่มีความรู้”ที่เป็น“ปัญญา”อันเป็น “โลกุตรธรรม” และไม่มี“สมาธิ”อันเป็น“สมาธิ”แบบพุทธที่เป็น“โลกุตรธรรม”ที่เป็น“ความตั้งมั่น”แบบ“ลืมตาปกติ”ที่ศัพท์วิชาการว่า“สมาหิโต” จึงไม่มี“ความเป็นไปได้”ที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ยั่งยืนสถิตเสถียรนานเลยจริงๆ  แม้ดูเหมือนเป็นได้ ก็ไม่หยุด“เอาเปรียบ” ไม่หยุด“ได้เปรียบ”เด็ดขาด ไม่ตั้งใจทำตนเป็นผู้“เสียเปรียบผู้อื่น”ให้ได้ตลอดไปหรอก

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 407-408 ข้อ 552


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 13:52:07 )

 สมาหิโต คือสมาธิของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

สมาหิโต คือสมาธิของพระพุทธเจ้า จิตที่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ท่านจึงตั้งคำศัพท์แยกเลยว่า ไม่ใช่เจโตสมาธิ ไม่ใช่สมาธิแบบเจโตจิตทั่วไป ที่เขาเรียนกันที่มีศัพท์เรียกเฉพาะว่า เจโตสมาธิ ไม่ใช่ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเรียกว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต อาตมาก็ยังไม่เคยเห็นใครเอามาขยายความอย่างที่อาตมาขยายความนี้ สมาหิโต อยู่ในเจโตปริยญาณ 16 

เป็นเจโตปริยญาณ คู่รองสุดท้าย 16 นั้นเป็น 8 คู่ 

1. สราคจิต  (จิตมีราคะ)  2. วีตราคจิต  (จิตไม่มีราคะ)  3. สโทสจิต  (จิตมีโทสะ)  4. วีตโทสจิต  (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต  (จิตมีโมหะ)  6. วีตโมหจิต  (จิตไม่มีโมหะ) เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ยังเข้าใจไม่ละเอียดพอว่า สมาหิโตหรือสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคุณจะต้องมีความชัดเจน  มีหลักฐานยืนยันว่าคุณได้ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ กระบวนการของเจโตปริยญาณ 16 ปฏิบัติกับราคะโทสะโมหะ รู้จักกิเลสแต่ละตัวนี้ กระทำกับแต่ละตัวจน วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ  คุณจะทำให้บรรลุทีเดียวหมดเลยไม่ได้หรอก ต้องทำไปตามลำดับ ซึ่งจะมีขั้นต่อไปคือ 

  7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) .  8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) ก็เป็น 2 สาย สายแน่นกับสายฟุ้ง วิกขิตฺตํจิตตํ คือ พวกอุทธัจจะ ฟุ้งซ่านกระจายไป ถ้า สังขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นก้อน แท่ง แน่นๆ นิ่งๆ เกาะตัวแน่นขึ้นมา แต่นี่เป็นสภาพของจิตที่เจริญขึ้นๆ จากขั้นต้น มาได้ระดับหนึ่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 14:36:35 )

 สัทธาวิมุติ พ่อครูอธิบายเป็น 2 นัย 

รายละเอียด

สัทธาวิมุติ อาตมาอธิบายเป็น 2 นัย นัยหนึ่ง พวกยังไม่สัมมาทิฏฐิ สายศรัทธาส่วนมาก จะไม่มีปัญญาเข้าใจยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะทำวิมุติ ประเภทกดข่ม เป็นการดับ เป็นการทำกิเลสให้ลด ประเภทกดข่มไว้ เขาก็ทำกันจริงสายหลับตาเป็นต้น ซึ่งไม่มีทางจะเป็นทางสัมมาทิฏฐิได้หลับตา หลับตาปฏิบัติไม่บริบูรณ์มันเป็นคนพิการ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาวิมุติได้ ก็เป็นสัทธาวิมุติ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไปตลอด ต้องลืมตา พวกลืมตาปฏิบัติแล้วถึงจะเกิดวิมุติด้วยปัญญา ศรัทธาถ้าเผื่อว่าไม่มีปัญญาเติมเลย อย่าง อุภโตภาควิมุติ อันดับที่ 1 ไล่ไปถึง สัทธานุสารี ตัวที่ 7 

อุภโตภาควิมุติ ต้องมีปัญญาเข้าไปเติม สายศรัทธาได้ไปมากแล้ว ก็จะเติม สัทธานุสารีเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค พอมาสัทธาวิมุติ ก็จะเริ่มรู้จักอริยสัจ 4 เริ่มจะปฏิบัติเข้าไปหาอาริยะ จึงจะเป็น ทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงได้ด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมา เท่าที่สายศรัทธามี พระพุทธเจ้าถึงยังกำกับว่า ไม่เหมือน ทิฏฐิปัตตะเขา สัทธาวิมุติ จะได้เห็นอริยสัจ 4 ก็ตาม แล้วก็ทำอาสวะสิ้นได้เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่ก็จะต่างจาก ทิฏฐิปัตตะ อย่างนี้เป็นต้น จะไม่เหมือนกันทีเดียว  จะค่อยสูงขึ้น

สัทธานุสารี คือผู้ที่พยายามติดตามหาความรู้ที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าไปสู่  โสดาปัตติมรรค และก็ได้โสดาปัตติผลต่อไป พอเจอหรือได้โสดาปัตติมรรค ก็จะปฏิบัติจนเกิดผลได้ไปเรื่อยๆ ธัมมานุสารี ก็ตามหาโสดาปัตติมรรค แต่เป็นสายปัญญา จะเห็นเร็วและรู้ได้ง่ายกว่าศรัทธา มันเป็นสัจจะของธาตุ ฐานของจิต เป็นจริตของมนุษย์ เป็นศรัทธาจริต พุทธิจริต มาแต่ไหนแต่ไรก็จะเป็นไปตามนั้น 

เมื่อเป็นทิฏฐิปัตตะแล้ว สัทธานุสารีก็ตาม กว่าจะไปถึงทิฏฐิปัตตะ ก็จะต้องสัมมาทิฏฐิ มีมรรคมีผลจนทำอาสวะสิ้นได้ ไปเป็นลำดับๆ สายนั้นต้องมีปัญญาจึงจะทำให้อาสวะสิ้นได้ แต่สายปัญญานั้นมีปัญญาอยู่แล้วจึงทำอาสวะสิ้นได้เลย สายศรัทธา ต้องมีกายสัมผัสวิโมกข์ 8 ส่วนทิฏฐิปัตตะสิ้นอาสวะบางอย่างด้วยปัญญา แต่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตลอด ส่วนกายสักขีนั้น มีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะแล้ว เพราะฉะนั้นมีกายแล้ว ออกไปขั้นที่ 6 มีปัญญาวิมุต ถึงมีบาลีกำกับว่า นเหวโข ไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก 

แต่ในภาษาที่เขาแปลว่า มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงเป็นภาษาที่ผิด สิ้นอาสวะไม่ได้ จะสิ้นอาสวะได้ จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาตมาเห็นภาษาบัญญัติแล้วเลยรู้ว่าอันนี้แปลผิด มันก็รู้ว่าผู้นี้ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้แปลกันคนเดียวนะ แล้วเขาก็เรียนกันอย่างนี้ด้วยเรียนกันผิดๆมา ที่อาตมาว่ามันเสื่อมศาสนาพุทธ มันมีแต่พยัญชนะ สภาวะมันเข้าไม่ถึง อาตมามีสภาวะจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร คุณจะชี้ขาวแล้วบอกว่าดำ แล้วไปชี้ดำแล้วบอกนี่ขาว อาตมาก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าก็ดำคุณจะบอกว่าขาว ขาวคุณจะบอกว่าดำ มันจะได้เรื่องอย่างไร 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม  เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2566 ( 19:08:06 )

 สัมมาทิฏฐิ 10

รายละเอียด

เราต้องมาทำสัมมาทิฏฐิที่ให้แจ้ง

เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา)  ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).

 สัมมาทิฏฐิ 10

1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด)  (อัตถิ . ทินนัง) . . . .

2.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว  มีผล  (อัตถิ  ยิฏฐัง)

3.สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว  มีผล  (อัตถิ  หุตัง)

4.ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว  มีแน่  (อัตถิ  สุกตทุกกฏานัง  กัมมานัง   ผลัง  วิปาโก) 

5.โลกนี้ มี (อัตถิ  อยัง  โลโก)  หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ . .

6.โลกหน้า  มี  (อัตถิ  ปโร  โลโก)  หมายถึง โลกโลกุตระ .

7. มารดา  มี  (อัตถิ  มาตา) . . .

8. บิดา  มี  (อัตถิ  ปิตา) . .

9. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ  สัตตา โอปปาติกา) . . .

10. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง  เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง  ในโลกนี้  มีอยู่  (อัตถิ  โลเก   สมณพราหมณา   สัมมัคคตา  สัมมาปฏิปันนา  เย  อิมัญ จ โลกัง   ปรัญ จ  โลกัง   สยัง อภิญญา   สัจฉิกัตวา  ปเวเทนตีติ)

   (พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 257)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน ความเป็นกลางคือหมดสิ้นอันตา วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:47:48 )

 สาราณียะ คือ

รายละเอียด

สาราณียะ คือ ระลึกถึงกัน เป็นคนที่ไม่ใจดำ ระลึกถึงแม้แต่ศัตรูก็ระลึกถึงเข้าใจเขา เขาผิด เขาไม่ถูก ก็เข้าใจเขาอย่างซื่อตรง ไม่ได้ไปกดข่ม ไม่ได้ไปดูถูกเขา แต่สงสารเขาก็ระลึกถึงเขา ว่าพอช่วยได้ไหม บางคนเราไม่มีสิทธิ์ไปช่วยเขาเลยเพราะเขาถือตัว เขาถือดี เขาหลงตัวหนัก ก็ได้แต่ ถ้ามีใจเกื้อกูลก็ฝากบอกฝากส่งคำไปตามสายลม ก็เท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 11:33:57 )

 สูตร E=C(mc2 + A) พ่อครูขยายมาจาก  E=mc2

รายละเอียด

เท่าที่อาตมารู้ พลังงานนี้เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ใช้ภาษาฝรั่งว่า coefficients เป็นพลังงานอัตราเร่ง ตามคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์ เป็นอัตราเร่งที่เพิ่ม จนกระทั่งดัดจริตให้เกิดสูตรทางคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์  E=C(mc2 + A) 

ก็ยังเข้าใจยากแม้แต่แค่คำว่า  E=mc2 สูตรของไอสไตน์ ไอสไตน์ก็ยังสารภาพกับลูกสาวว่าเป็นสูตรที่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จริงๆแล้วมันเป็นพลังงานนิวเคลียร์ของนิวเคลียส เป็นพลังงานระเบิดของนิวเคลียส ก็เรียกว่าพลังงานนิวเคลียร์ คนเอาไปใช้งานได้ 

ความเข้าใจที่อาตมาอธิบายมันเอาพลังงานจิตของคน คนที่เข้าไปควบคุมนิวเคลียสควบคุมพลังงานนิวเคลียร์ได้ เอามาเป็นพลังงานต่างๆมาใช้เป็นประโยชน์เป็นโทษ แม้แต่เป็นอาวุธอะไร ที่ใช้ข่มขู่กันอยู่ทุกวันนี้ ก็เกิดจากความรู้อันนี้ 

ที่นี้สูตรที่อาตมาว่า E=C(mc2 + A) ก็เป็นการขยายจาก   E=mc2 

ตัว A ก็คือ mc2 อีกอันหนึ่ง A มาจาก abstract ก็คือ mc2  

เอาไปบวกกันไปเรื่อยๆก็เป็นยกกำลัง 2 หากถอด A เอาไว้ข้างนอก เป็น C หรือจะมีมากกว่านั้น เป็นยกกำลังเพิ่มก็เอามาไว้ข้างหน้าไปเรื่อยๆ เขาก็จะได้รู้จักสูตรที่เกิดซับซ้อนเป็นชั้นๆต่อไป ย่อตัวอักษรให้สั้นที่สุด ผู้ที่รู้ก็จะเอาไปขยายได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 12:33:14 )

 สู้กับใจตนเองได้อย่างไร

รายละเอียด

คำถามลึกนะ แสดงว่ารู้ว่าหลวงปู่สู้ใจตนเองได้ ถามว่าสู้ใจได้อย่างไรก็ต้องปฏิบัติธรรม หลวงปู่สู้ใจตัวเองได้ อันนี้ดีมากเลย คือใจคนนี่เป็นใจที่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ใครที่สัมมาทิฏฐิฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะอ่านใจตัวเองได้ว่ามีกิเลสอะไร แล้วลดกิเลสตัวเองได้นั่นแหละคือการสู้ใจตัวเอง ก็คือสู้กับกิเลสที่ทำให้ตัวเราเองเสื่อมตกต่ำไป กิเลสมันพาให้เสื่อมมันพาให้ตกต่ำ เราก็ต้องสู้กับอันนี้ สู้กับกิเลส

รู้จักกิเลสแล้วมีอุบายเครื่องออกทำให้กิเลสลดลง ใจเราก็เจริญ หลวงปู่สู้ใจตนเองได้ ตามคำสอนพระพุทธเจ้าที่หลวงปู่เข้าใจตามและเห็นว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะหลวงปู่ปฏิบัติแล้วมีสัมมาปฏิบัติซึ่งเกิดผลสัมมาปฏิเวธ สู้กับกิเลสที่มันทำร้ายใจเราได้ เพราะฉะนั้นเอากิเลสออก  ใจเราก็มีเอกราชสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส ก็ชนะ ใจก็เจริญ หลวงปู่ก็ทำอย่างนี้

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หลวงปู่สู้ใจตนเองอย่างไร


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:52:43 )

 หนึ่งเดียวของมิจฉาทิฏฐิ จบจริงแต่ไม่ใช่อริยสัจ 4!

รายละเอียด

แม้ผู้มิจฉาทิฏฐิจะจบตนเองด้วยไม่วิจิกิจฉา-ไม่ข้องใจสงสัยใดๆแล้ว ก็เป็นความจบที่ยังไม่ใช่อาริยสัจ 4 ยังไม่รู้จัก รู้แจ้งรู้จริงอาริยสัจ 4 อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์ดอก จะขยายอธิบายรายละเอียดต่างๆของ“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ก็ดี หรือแม้แต่แค่“เวทนา 108”ก็อธิบายให้ชัดเจนแจ่มแจ้งสมบูรณ์แบบ ไม่ได้ เช่น จะแยก“เคหสิตเวทนา 18”ว่า แตกต่างกับ“เนกขัมมสิตเวทนา 18 ”กันอย่างไร? และจะสามารถทำตนให้ “ออกจากเคหสิตเวทนา”มาเป็น“เนกขัมมสิตเวทนา”ได้อย่างไร? ก็อธิบายไม่ได้หรอก

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2  หน้า 428-429 ข้อที่ 584


เวลาบันทึก 07 มิถุนายน 2565 ( 14:29:05 )

 หมดอร่อยหมดสุขจึงหมดทุกข์ได้จริงทำสุขทุกข์ที่เป็น 2 ให้หมดไปก็เป็น 0

รายละเอียด

ทางสามัญทั่วไปเขา ให้หมดทุกข์แต่ยังจะเอาสุขอยู่ เขาไม่เข้าใจความหมดทุกข์หมดสุข เขาไม่เข้าใจปรมัตถ์ 2 ที่เป็น 1 สุขกับทุกข์มันก็เป็นมายาตัวเดียว ถ้าทำสุขกับทุกข์ที่เป็น 2 นี่ให้หมดไปก็เป็น 0  แต่เรายังไม่ตายเราก็ยังเป็น 1  เราทำให้จิตเราเป็น อทุกขมสุข ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ คนที่มีอร่อยก็ไม่มีหรือไม่อร่อยก็ไม่มี ภาวะกลางๆ คุณฟังภาษาเข้าใจ แต่จิตของคนที่จะเป็นจริงต้องเป็นจริง อย่างอาตมานี้มันเป็นจริง ไม่อร่อยหรืออร่อย เรารู้ 

อร่อยคือสมมุติโลก ไม่อร่อยก็คือสมมุติโลก แต่ภาวะจริงของมันก็คือ ถ้าเป็นรสทางลิ้น แตะอันนี้ มันเปรี้ยวมันเค็มมันหวาน มันก็รู้ตามสัจจะที่มันเป็นเท่านั้นเอง มันไม่มีเค็มอันนี้อร่อยเปรี้ยวอันนี้อร่อยหวานอันนี้อร่อย หรือต้องจืดกว่านี้ เปรี้ยวไม่อร่อย หวานไม่อร่อย มันจะมีตัวเก๊ กับตัวจริง รสเก๊กับรสจริง พวกเรานี้ได้ศึกษา ข้างนอกเขาไม่ได้ศึกษาหรอก อธิบายแล้วเข้าใจแล้วจิตเราจะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนที่ปฏิบัติได้แล้วจิตจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

นี่อาตมาไม่อร่อยมานาน ทุกวันนี้ มันลากสังขาร ต้องเอาอาหารไปเลี้ยงขันธ์ให้ได้ สังขารเราก็ยิ่งแย่ลงเราก็ยิ่งไม่อยากกิน ไม่ใช่ไม่อยากแบบมีกิเลส แต่มันถึงวาระที่ เสื่อมจะต้องตาย มันก็ไม่ค่อยต้องการที่จะสังเคราะห์ที่จะสังขารอันนี้แล้ว แต่เรายังไม่ยอมให้มันตาย เราก็ต้องเอาอันนี้ให้มันปรุงแต่งร่างสรีระนี้ไว้ ก็ต้องใช้ความพยายามมาก ก็พยายามเอา ใครทำอาหารอร่อยๆทำมาเอามา ปลุกเร้าให้อาตมาอร่อยขึ้นมาบ้าง พยายาม ตอนนี้ก็รู้สึก มันก็พยายาม ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดๆ อธิบายสภาวธรรมให้ฟัง ที่บอกว่า พยัญชนะเข้าใจแล้ว ความหมายตรรกะของมันเข้าใจหมดแล้ว แต่จิตจะเป็นจริงๆมันอีกชั้นหนึ่งซึ่งไม่ง่าย ในการที่จะ ลดละเลิกไปจากโลกียะเขา ไปเป็นโลกุตระ มันเป็นสัมภาระที่หนัก อาตมาพยายามใช้ภาษาไทยอธิบาย เอาบาลีมาเรียกแล้วขยายความรู้ไปตามความจริงที่อาตมามี ผิดถูกอาตมาก็รับผิดชอบเอง 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 14:20:03 )

 หลง “สวรรค์” ย่อมไม่พ้นความเป็น “สัตว์” ย่อมไม่หลุดรอดจาก “นรก”!

รายละเอียด

คนผู้ที่“ไม่หลุดพ้น”ความเป็น“สัตว์”ไปได้ ก็เพราะยังหลง“สุข” หลงสวรรค์”อันเป็น“ภพ”นี่เอง เขาจึงยังมี“นรก”อยู่ด้วย ผู้หลงเสพติดความมี“ภพ” จึงมี“สวรรค์” เขาก็มี“สวรรค์”อยู่จริงๆ แล้วเขาผู้หลง“สวรรค์”ทั้งหลาย ก็ไม่หมดสิ้น“นรก”ไปได้ เพราะ“สวรรค์”กับ“นรก”เป็น“ภาวะ 2”คือ“เทฺว”คู่หูที่แยกขาดจากกันไปเป็น“1 เดียว”ไม่ได้  เป็นได้ก็แค่“ความต่างกัน”  และจริงยิ่งแท้กว่านั้นก็คือ “สวรรค์”มันเป็น“มายา” ถ้ายังมี “สวรรค์”มันก็ยังคือ“นรก” มันเป็น“เทฺว”คู่หูที่แยกกันไม่ออกจริงๆ

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 468 ข้อที่ 651


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2565 ( 14:32:23 )

 อธิบายย้ำเน้นมาตลอด การหลับตาเป็นมิจฉาทิฏฐิ!

รายละเอียด

ที่อาตมาว่า แบบ“หลับตา”ปฏิบัติกันไปนั้น มัน“มิจฉาทิฏฐิ” ก็น่าจะ“ปรโตโฆสะ” มาลอง“มนสิการ”แบบอาตมาพาทำดูกันบ้าง “ตื่น”ชาคริยา“ลืมตา”รู้ตัวกันเสียทีเถิดชาวพุทธทั้งหลายเอ๋ย!“หลับตา”ปฏิบัตินั้น มันไม่ได้ใช้“ศีล”เลย โดยเฉพาะ“อปัณณกปฏิปทา 3”มันไม่มีก็ชัดๆอยู่ มันจึงเป็น“การปฏิบัติผิด”โทนโท่โต้งๆ “ศีล”ก็ไม่ได้ปฏิบัติ  “อปัณณกปฏิปทา 3”ก็ไม่มี ผิดอยู่แท้ๆทั้งนั้น

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 432-433 ข้อที่ 593


เวลาบันทึก 09 มิถุนายน 2565 ( 14:11:54 )

 อธิษฐานบารมีแบบพระพุทธเจ้าคือเช่นไร 

รายละเอียด

อธิษฐานบารมีแบบพระพุทธเจ้าคือเช่นไร ก็คือการตั้งจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ตั้งจิตที่จะเป็นคนดี ตั้งใจที่จะเลิกสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่เป็นของไม่ดี ตั้งจิตที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ที่เราเห็นว่าควรจะทำ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นการตั้งจิต คนเราต้องมีการตั้งจิต ตั้งทิศทาง ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ซะก่อน เสร็จแล้วก็ลงมือหาเหตุผล หาเหตุหาปัจจัย ที่จะเป็นองค์ประกอบที่ใช้เป็นไปตามที่เราตั้งจิตนั้น ที่เราตั้งใจหรือเราอธิษฐาน 

การอธิษฐานในศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่ตั้งจิตอธิษฐานและก็ขออ้อนวอน ขอจากอะไรที่ประทานมาให้ ยกมาให้หามาให้ ไม่ใช่ เราต้องทำเองทั้งนั้น แม้แต่อธิษฐานจิต อธิษฐานบารมีก็เป็นการตั้งจิตของเราเอง ตั้งจิตแล้วก็ปฏิบัติเอง ประพฤติหาเหตุผล หาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้เกิดผลตามที่เราต้องการ ที่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้  เช่น ต้องการเป็นคนดี ต้องการเลิกเนื้อสัตว์ ต้องการจะปฏิบัติอย่างที่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ที่สุดต้องการบำเพ็ญเพื่อที่จะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ บำเพ็ญเพื่อจะบรรลุธรรมเป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าถึงขั้นนั้นทีเดียว อย่างนี้ก็คืออธิษฐาน พอเข้าใจนะว่าเป็นการตั้งจิตแล้วก็ทำตามที่เราตั้งจิตนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมศีลข้อ 1 ให้ลึกซึ้งถึงกรรมวิบาก วันพุธที่ 14 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 ตุลาคม 2565 ( 10:58:17 )

 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1

รายละเอียด

เข้าสู่ อภิภายตนะ 8 

อายตนะ 8 มันเป็นขั้นแอดวานซ์ ขั้นเจริญเกินกว่าอายตนะ 1 อายตนะ 6 

คนเราธรรมดามีอายตนะ 1 คือ มี 2 อย่างรูปนาม สัมผัสกัน กระทบกัน ทำไมต้องกำกับว่ารูปนาม ต้องมีนาม ถ้าพลังงานทางฟิสิกส์ พลังงาน 2 หน่วยซึ่งไม่ใช่นาม ไม่ใช่ชีวะด้านจิตนิยามกระทบกัน มันก็เป็นพลังงานทางฟิสิกส์ ความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ตามที่ไอน์สไตน์ได้สูตร  E = MC2 แต่ของอาตมานั้น  E = C(mc2 + A) 

ผู้ที่ติดตามศึกษาไปอีกนาน จะถึงร้อยปีหรือเปล่ากว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ ซึ่งแต่ก่อนนี้อาตมาเคยพูดแต่แค่ E = MC2 + A พูดตั้งแต่ไปบรรยายธรรมะที่ หอประชุมคณะแพทย์ศาสตร์ โดยตั้งชื่อเรื่องว่า แพทย์ศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชา โอ้โห! มากันตรึม แน่นห้อง นักศึกษาแพทยศาสตร์  วิศวกรรมศาสตร์ ไปฟังบรรยายเต็มห้อง ถ้าหากบรรยายแล้ว เขาไม่รู้เรื่องด้วย อาตมาตายเลย หาว่าของเขาเป็นเดรัจฉานวิชา 

เพราะฉะนั้นเรื่องของอายตนะ 1 แล้วก็มีอายตนะ 6 ก็เป็นธรรมดาของทุกคน เมื่อผู้ที่เป็นอภิภู มีภูมิธรรมครอบงำสิ่งเหล่านี้ได้หมด 

อภิภู หมายถึง ผู้ใดที่มีภูมิรู้ขั้นนี้ก็ผู้นั่นแหละคือผู้ยิ่งใหญ่อย่างเอกอุ มีความรู้อย่างเอกอุ อุ นี้ย่อมาจากอุดมหรืออุตระ หรืออุดร หรือ อุตตริมนุสสธรรม มีความรู้ขั้นอุตตริมนุสสธรรม อุดม

ผู้ที่มีภูมิรู้ถึงขั้นอุตริมนุสธรรมหรือขั้นโลกุตระ โลกุตระจึงมีขีดมีขั้นความสามารถของผู้ที่มีอภิภูหรือมีอภิภายตนะข้อที่ 1 เมื่อกระทบสัมผัสอะไรแล้วจะมีความพร้อมจะมีธาตุรู้ จะรู้ มีสัญญากำหนดหมายสำคัญหมาย รู้ ในรูป รูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ รู้รูปในภายใน รูปที่เกิดในภายในจิต ถูกรู้อยู่ภายใน เห็นรูปในภายนอก 

รู้อยู่ภายในและเห็นรูปอยู่ภายนอกด้วย ไม่ได้หลับตา ไม่ได้ปิดหู ไม่ได้ปิดจมูก ลิ้นกายไม่ได้ปิดทวาร ทำงานปกติสามัญเต็มร้อย เห็นคู่เลย พร้อมกัน ถ้าหลับตาเสีย ไม่มี ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รส ไม่ได้สัมผัส ยิ่งไปจมอยู่ข้างในอย่างเดียว มีแต่ในภายใน ก็ไม่รู้เรื่อง 

เพราะฉะนั้นอายตนะนี่คือ ผู้ที่นอกจากจะรู้แล้วก็ทำได้แล้ว เจริญแล้ว จึงรู้จักการปรุงแต่ง หรือการเป็นจิตขั้นที่จะเกิดอายตนะต่างๆที่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่อายตนะ 1 จนถึงอายตนะ 8 

อายตนะข้อแรกขยายความสรุปว่า อย่างน้อยมันมี 1. รู้จากภายในและเห็นภายนอกด้วยกันทั้ง 2 อย่าง 

2. รู้รายละเอียดของสิ่งที่เรียกว่า ปริตตัง เล็ก นิด น้อย ขั้น บริวาร เรียกว่า ปริตตัง แล้วก็ยังแยกออกอีกว่า มันเป็นขั้นชั้นของความสูงหรือความต่ำ ความต่ำเรียกว่า ทุพรรณะ ความสูงเรียกว่า สุพรรณะ พรรณะ เขาแปลว่า ผิว ก็ได้ ผิวสะอาด ผิวผ่อง ถ้าในเข้าไปขั้นเป็นนามธรรมเรียกว่า ขั้น ชั้น วรรณะ อย่างเช่น วรรณะ 9 อวรรณะ 6 เป็นต้น

จะรู้พร้อมกันไปหมดเลยทั้งภายนอก เห็นรูปภายในแล้วก็เห็นภายนอก มีรูปภายในและก็เห็นรูปภายนอก แล้วก็เห็นสิ่งที่ เล็กละเอียด ปริตตัง จะใช้ว่าละเอียดหรือหยาบก็แล้วแต่ เรียกว่า ขั้นต้น แล้วก็มีขั้นชั้นดีกว่านี้อีกหรือไม่ดี พร้อมกันอยู่ แล้วก็มีการครอบงำหรือมีอิทธิพลอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นด้วย อยู่ในมือ เป็นพระเจ้าเป็นพลังงานจัดการให้เป็นอย่างนี้ได้ด้วยตนเอง ทำเองหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:03:12 )

 อย่างมงายกับการเป็นเทวดา ยิ่งเป็นพระพรหม 16 ชั้นยิ่งบ้าใหญ่เลย 

รายละเอียด

อย่าไปโง่งมงายกับการเป็นเทวดา ยิ่งเป็นพระพรหม 16 ชั้นยิ่งบ้าใหญ่เลย วิสุทธิเทพคือพระพรหม แล้วไปสมมุติอีกตั้ง 16 ชั้น บ้าไหม แค่ 6 ชั้นนี่ก็บ้าแล้ว มีแสงเป็นลำ มีแสงเป็นรัศมี มีแสงเป็นอะไรต่ออะไรไปหมดเพ้อเจ้อไปหมดเลย นี่คือความไม่รู้อวิชชากัน แล้วก็ไปหลงใหลเป็นตัวเป็นตนเล่นเละเทะกัน ไม่มาศึกษาธรรมะ เพื่อจะเรียนรู้จิตเจตสิกแล้วไปนิพพาน สมมุติไป ดีไม่ดีจะถือระเบิดปรมาณูแล้ว คุณจะตกยุค พระพรหมของเขาเดี๋ยวนี้ถือปรมาณูแล้ว ปืนชนิดเก่งที่สุดเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 15:28:01 )

 อรหันต์มีฌานมีปัญญาเป็นสามัญธรรมดา

รายละเอียด

อรหันต์มีฌานมีปัญญาเป็นสามัญธรรมดา คนนี้แสดงว่ามีภูมิรู้นะ พูดถึงว่ามีศีลเป็นสามัญ มีศีลเป็นปกติ อาตมาก็ต่อให้ว่า มีฌานหรืออธิจิตเป็นปกติ เป็นสามัญด้วย และมีปัญญาเป็นปกติ เป็นสามัญอีก และมีวิมุติเป็นปกติเป็นสามัญอีก นี่แหละลักษณะอย่างนี้แหละ คือพระอรหันต์ เป็นธรรมดาหมด 

ศีลก็เป็นธรรมดา สมาธิหรือฌานก็เป็นธรรมดา ปัญญาก็เป็นธรรมดา วิมุติก็เป็นธรรมดาเป็นปกติหมด เป็นธรรมดาสามัญหมด คำว่าปกติธรรมดาสามัญคืออะไร คือมันเป็นเหมือนกับคนอื่นเขาที่เป็นกัน แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า ผู้ที่สะอาดแล้วก็เป็นปกติ คนยังไม่สะอาดเป็นปกติของผู้ไม่สะอาด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 13:57:41 )

 อวิหิงสา

รายละเอียด

 อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) อย่าว่าแต่โกรธเลย ไม่เบียดเบียน พาให้พวกคุณไม่ไปเบียดเบียน อย่าว่าแต่เบียดเบียนมนุษย์ด้วยกันเลย จะเกื้อกูลช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน นอกจากคนที่เขาไม่รับความเกื้อกูลจากเรา มันพ้นวิสัยที่เราจะไปเกื้อกูลเขาได้ เพราะว่าเขาถือดีที่ตัวเขาร้ายแรงเกินไป เราก็ไม่กล้าไป กลัวโดนเขาหลอก หรือเขารวยเกินไป เราก็ไม่ไปเกื้อกูลเขาได้ เราก็เกื้อกูลคนที่เขาไม่ถือตัว คนที่ถือตัวเขาไม่มาให้เราเกื้อกูล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2565 ( 12:30:04 )

 อสัญญีสัตว์ไม่ใช่สัญญาเวทยิตนิโรธ 

รายละเอียด

อสัญญีสัตว์ไม่ใช่สัญญาเวทยิตนิโรธ แยกสัญญา ออกเป็นสัญญา 10 แล้วมีคำว่า เวทยิตตัง คือ สำเร็จความรอบรู้ทั้งหมด เวทยิตตังคือเป็นนิโรธแล้ว เวทยิตตังนิโรธังโหติ สัญญาเวทยิตนิโรธ โหติ ตัวจบสมบูรณ์แบบ ผู้ที่ปฏิบัติจะเรียนรู้เวทนาแล้วเคล้าเคลียความรู้สึกหรืออารมณ์ เคล้าเคลีย คือ เข้าไปใช้สัญญากำหนดรู้ทุกเหลี่ยมทุกมุมให้รอบถ้วน แทงทะลุนอกทะลุในของเวทนาเรียกว่า เคล้าเคลียอารมณ์สมบูรณ์แบบ โดยธาตุรู้ตัวสัญญาเป็นตัวทำงานทั้งหมด เป็นตัวกำหนดรู้สมบูรณ์แบบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 14:23:50 )

 อัปปิจฉะ

รายละเอียด

อัปปิจฉะมามักน้อย อาตมาแปลว่ากล้าจน มาชอบหรือมัก มัก เป็นภาษาอีสานแปลว่าชอบ มักเจ้าเด้ ขาเป๋กะลืมเบิ่ง กลอนเก่าเขา ฮักเจ้าแล้ว ขาแป้วจั๊กเห็น แปลว่า รักเจ้าแล้วขาเป๋ก็ลืมดู รักเจ้าแล้วมาเห็นตำหนิแผลเป็น ขาแป้ว มันมีรอยด่างรอยตำหนิ แหม ไม่เรียบร้อยไม่ผ่องไปทั้งตัวเลย ก็เล่นๆกัน เป็นของอีสานเขา อาตมามันอีสานเก่า อายุ 89 แล้ว อีสาน เก่าพอสมควร คนเก่ากว่าอาตมาก็แล้วไป พอข้อ 7 ผู้มีปัญญาเห็นแล้วจะบอกว่ามีอาการน่าเลื่อมใส แม้แต่เห็นเด็กๆพวกเราเขาก็ยังบอกว่าน่าเลื่อมใสเลย น่าเอ็นดูน่าเลื่อมใส ลึกซึ้ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล วันที่ 31 ธันวาคม 2565 


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2566 ( 11:17:15 )

 อาชชวะ

รายละเอียด

อาชชวะ (ความซื่อตรง) ใครว่าอาตมาเป็นคนซื่อไหม เป็นคนซื่อเป็นคนตรง เป๊ะเลย อาตมาพูดเที่ยงตรงไม่มีโค้งไม่มีงอเลย นี่ ภาษาสภาวะนะ ที่อาตมาอธิบายซื่อตรง บาลีว่า อาชชวะ อาตมายอดซื่อยอดตรงเลย อย่าเผลอนะระวังจะชน แล้วแรงด้วยนะ หัวแตกล้มคะมำ ทำเป็นชนอาตมาไม่ได้ง่ายๆ ทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าชนกับอาตมาแล้ว เพราะอาตมามันสุดแรงยิ่งกว่ารถบด รถบด 50 แรง วิ่งดีๆ อย่ามาชนอาตมาเข้าเพราะอาตมาซื่อและตรง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ทศพิธราษฎรธรรมมีจริงในชาวอโศก แรม 8 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2565 ( 12:21:06 )

 อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ สัทธาวิมุติ

รายละเอียด

อุภโตภาควิมุติ คือ วิมุติทั้งเจโตและปัญญา สองสภาพ ส่วนปัญญาวิมุติก็คือมีแต่ปัญญาวิมุติ อาตมาเคยท้วง คำว่า น เหว โข ไม่ใช่คำว่า น ที่แปลว่าไม่อย่างเดียว แต่มี เหว โข ด้วย สรุปว่าคือ แปลว่าไม่ต้องไปกล่าวถึงแล้ว แต่เขาแปล แค่ว่า ไม่ คือ ไม่ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ก็เลยทำให้คนเข้าใจความหมายเพี้ยนไปเลย แต่แท้จริงเป็นคนที่เดินทางสัมมาทิฏฐิมา ลาดลุ่มโดยตลอด โดยไม่จำเป็นจะต้องมีถึง 2 สภาวะ แต่มีสภาวะ 2 มาแล้วตั้งแต่สภาพกาย ที่เป็นภาวะคู่มาแล้วสมบูรณ์มาถึงนี่แล้ว 

เพราะฉะนั้นอาสวะสิ้นได้หมดแล้วมาถึงปัญญาวิมุตก็ได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาเป็น อุภโตภาควิมุติ อีกขั้นหนึ่ง แต่สัทธาวิมุติ ไม่มีความรู้เรื่องกายสมบูรณ์แบบ จึงจำต้องปฏิบัติถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ต้องกำชับเลยว่าตัวสัทธาวิมุตตั้งแต่เข้าใจ กาย ให้สัมมาทิฏฐิให้ได้ก่อนเลยเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 

ถ้าเข้าใจคำว่ากายยังไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ดี ซึ่งลึกซึ้งมาก อาตมาทุกวันนี้ก็ยังพยายามขยายความคำว่า กาย ก็ยังรู้สึกว่าเราก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ ขยายยังไม่ถึงใจตัวเอง เพราะว่ามันลึกซึ้ง มันมีตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 เริ่มต้นปฏิบัติธรรมก็เริ่มต้นมีสติปัฏฐาน 4 โลกุตรธรรมต้องพิจารณากายในกาย อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตให้ฟังว่าคำว่า พระพุทธเจ้าให้พิจารณากายในกาย มันก็ต้องมีนอกใช่ไหมโดยปริยาย มันต้องมีกายนอกกายกับกายในกาย ก็ต้องมีนอกควบคู่ไปด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายในบุคคล 7 วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2566 แรม 13 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2566 ( 20:27:54 )

 เกิดปัญญาเห็น “เทฺว” ไม่มีตัวตน เป็นอนัตตา!

รายละเอียด

ซึ่งเป็นการเกิด“ปัญญารู้ยิ่งเห็นจริง”ได้ว่า “เทฺว”นั้น“ไม่มีตัวตน”จริงเลย อันแตกต่างอย่างยิ่งกับ“เทฺวนิยม”ที่ยังยึดมั่นถือมั่นกันว่า “เทฺว”นั้น“มีอยู่”นิรันดร ไม่มีใครบังอาจไปทำให้สูญสลายไปได้ “เทฺวนิยม”จึงไม่มี“นิพพาน” ก็ต้องมี“เทฺว“อยู่นิรันดรฉะนี้เอง แต่“อเทฺวนิยม”หรือชาวพุทธสามารถปฏิบัติพิสูจน์ได้สำเร็จผลจริงแท้ว่า “เทฺว”แม้ที่สุด“ปรมาตมัน”นั้นทำให้“หมดสิ้นตัวตน”ได้ทำให้“จิตธาตุ”ให้สูญสลายเป็น“อุตุธาตุ”ไปได้สำเร็จแท้  จึงเป็นผู้ชัดเจนแจ่มแจ้งได้ถึงที่สุดว่า “เทฺว”นั้นคือ“อนัตตา” “จิตวิญญาณ”นั้นไม่มี“ตัวตน” ไม่มี“อัตตา”หรือไม่มี“อาตมัน” 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 430 ข้อที่ 587


เวลาบันทึก 07 มิถุนายน 2565 ( 15:01:51 )

 เคารพในสัจธรรมที่ควรเคารพ 

รายละเอียด

 เคารพในสัจธรรมที่ควรเคารพ อาตมาก็คงไม่ขอระบุลงไปว่า พระพยอมเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง มันอยู่ที่ตัวคุณ ถ้าคุณเกิดปฏิภาณปัญญาเห็นจุดบกพร่อง ตามที่คุณเห็นจริงๆด้วยจริงใจ ว่าพฤติกรรมอย่างนี้ไม่ดี มันเป็นสัจจะที่คุณเองเห็น คุณก็เลือก ถ้าเห็นสัจจะที่ไปในเชิงดีมันมีมาก ก็เคารพกันมากได้ แต่เห็นเชิงไม่ดีมันมีมาก ก็ไม่เคารพ มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดา เพราะฉะนั้นอยู่ที่คุณจะต้องตัดสินเองไม่ใช่ให้อาตมาไปเลือกไปตัดสินให้ อาตมาไปเลือกไปตัดสินให้ไม่ได้ 

เพราะ 1. ตัวคุณ 2. เหตุปัจจัยที่คุณได้ประสบ คุณอยู่บ้านใกล้วัดพระพยอมด้วย อาตมาอยู่ห่างไม่ได้พบเห็นพฤติกรรมท่านเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจะมีข้อมูลเยอะแยะเท่าคุณ ไม่ได้หรอก คุณต้องตัดสินเอาเอง อาตมาขออภัยที่ตัดสินให้คุณไม่ได้ เพราะมันไม่อยู่ใน ภาวะที่อาตมาจะตัดสิน ศึกษากันไป เปรียบเทียบแล้วคุณก็เลือกเฟ้นเอา ที่จริงเวลาคนเราก็มีไม่มากเท่าไหร่หรอก บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่น่าจะไปต้องเสียเวลาแล้วก็ตัดเสียบ้าง เอาสิ่งที่น่าสนใจน่าจะให้เวลามากๆอันนี้ ก็ควรเอาเวลามาให้ ใช่ไหม นี่ก็เป็นคำแนะนำสุดท้าย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2565 ( 13:35:19 )

 เจาะสรีระเข้าสู่นามขันธ์ให้ได้!

รายละเอียด

“สรีระ”นั้นมันไม่ใช่“นามขันธ์” 

มันเป็นแต่“ร่าง”ภายนอก  มันไม่ใช่ตัว“จิตใจ” 

“สรีระ”มันมีไแต่“รูปขันธ์”แล้วมันจะเป็น“อาการของกิเลส”

ได้อย่างไร

ในเมื่อ“กิเลส”หรือ“กลิ”มันคือ“อาการของ“ใจ” 

แม้คำว่า“กายกลิ”ก็คือ “ใจ”

หรือ“จิตกลิ”ก็คือ“ใจ” 

ที่เป็น“สาระสำคัญแท้”ต้องกำจัดให้หมดไป  

ไม่ใช่ไปกำจัด“สรีระ”หรือ“วัตถุ”ภายนอกแต่อย่างใด 

นั่นคือ “อาการใจแท้ๆที่เป็นกิเลสเกี่ยวกับภายนอก” 

ส่วน“จิตกลิ”นั้น ถ้า “กิเลสภายนอกหมดไปแล้ว” เสร็จกิจ

แล้ว ก็เหลือแต่“กิเลสที่เกี่ยวกับใจภายในเข้าไป”

ที่ต้องจัดการตัว“กลิ”หรือตัว“กิเลส”ที่เหลือ“ตัวต่อไป”อีกที 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 138 หน้า 126


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 04:36:41 )

 เจ้ากรรมนายเวรก็คือกิเลสตนนี่เอง

รายละเอียด

กิเลสหรือ เจ้ากรรมนายเวร เออ.. ลองคิดๆดู นี่คำตอบสู่แดนธรรม ภาษาว่าเจ้ากรรมนายเวร มันเป็นเจ้านาย มันเป็นเจ้าของกรรม มันจำนนต่อตัวนี้ยกให้มันเป็นเจ้า เป็นเจ้าที่จะชักจูงให้เป็นอย่างไรไป 

จริงๆแล้วกิเลสหรือเจ้ากรรมนายเวรก็ตัวเดียวกันนั่นแหละ หรือจะบอกอีกทีหนึ่งว่าเรายอมให้เขา เจ้ากรรมนายเวร เรายอมให้เขา เหมือน God เหมือนพระเจ้า ยอมให้พระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า แล้วแต่พระประสงค์จะให้เป็นอย่างไรไป แบบนี้เป็นคนสิ้นอิสรเสรีภาพหมด ให้พระเจ้าเป็นเจ้าของอิสรเสรีภาพหมดเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ว่า ไม่มีใครมาเป็นเจ้าของเรา เรานี่แหละเป็นเจ้าของอิสรเสรีภาพของเราเองแต่ผู้เดียว เราโง่เองทั้งนั้น ไม่มีใครมาเป็นเจ้าบังคับให้เราไปทำตาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:49:43 )

 เพื่อประโยชน์ตน เข้าใจยิ่ง ประโยชน์ท่าน คืออะไร

รายละเอียด

เพื่อประโยชน์ตน เข้าใจยิ่ง ประโยชน์ท่าน หมายความว่า ประโยชน์ตนนี้มันยิ่งกว่าประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตนคืออะไร ประโยชน์ตนคือ ละกิเลสให้หมด ให้ไม่มีตัวตน มันมีภาษาซ้ำอยู่คำว่า ตน ขอแถม ดูพ่อ 1 ปี รวมปัจจุบัน 18 ปี อยู่เมืองหลวง อยู่ยั่งยืนหมดห่วง ฟังธรรมติด 

 คือคนที่ไม่มีความรู้ ไม่ได้ศึกษาภาษามาก แต่ สามารถจะเข้าใจสัจธรรมลึกๆอย่าง แจ๊ว นี้ได้ ติดตามดีๆ แล้วเอาเนื้อหา แม้จะไม่รู้ภาษาโลกๆเขา พูดภาษาผิดๆถูกๆ แต่เรารู้ว่าที่หมายในภาษาที่พูดมานี้ ว่าหมายถึง จุดสำคัญของนามธรรม ที่เป็นสัจธรรมโลกุตรธรรมไหม นี่ได้ แจ๊วเขาได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ กษัตริย์คือจิตประชาชนคือกายของประเทศ วันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2565 ( 13:43:57 )

 เมื่อแยกกายแยกจิตไม่เป็น ก็อธิบายไม่ได้สาธยายไม่เป็น!

รายละเอียด

 

จะไม่สามารถแยกกาย-แยกจิตเป็น“ธรรมนิยาม 5 ”ได้ชัดเจนแน่นอน แค่ให้อธิบายโดยใช้“ผม-ขน-เล็บ-ฟัน-หนัง”นี่แหละเป็นอุปกรณ์ในการใช้อธิบาย ก็ไม่สามารถจะสาธยายให้เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งได้ ว่า เมื่อใดเรามีความเป็น“กาย”อยู่ และเมื่อใดเราไม่มีความเป็น“กาย”แล้ว เมื่อใดมีความเป็น“ชีวะ”แต่ไม่มีความเป็น“กาย”ไม่มีความเป็น“จิต”แล้ว มีแต่ความเป็น“พืช”ที่ไม่มีเวทนา “เป็นบาป-เป็นบุญ”กันแล้วในส่วนนั้นของ“ชีวะ” ก็เป็นชีวะที่“ไม่มีกาย” ไม่มี“เวทนา” ไม่มี“บาป” ไม่มี“บุญ” ซึ่งเป็นอาการสำคัญยิ่งยอดของ“เวทนา 2”  

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2  หน้า 429 ข้อที่ 585


เวลาบันทึก 07 มิถุนายน 2565 ( 14:32:31 )

 เริ่มหลุดพ้นสังโยชน์ข้อที่1 “พ้นสักกายทิฏฐิ”

รายละเอียด

ผู้เริ่มมี“ธาตุรู้”ที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“อัตตาของตนเอง”เป็นขั้นต้น ฉะนี้คือ ผู้รู้“กายของตน”ขั้น“โอฬาริกอัตตา” ศัพท์ก็ว่า“พ้นสักกายทิฏฐิ”ที่เป็นการพ้น“สังโยชน์”ข้อที่ 1 ในกระบวนการของ“สังโยชน์ 10”ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นำมาประกาศแก่โลกมนุษย์  เพราะ“โลกียะ”ไม่มีความรู้ในความเป็น“อัตตา” นั่นคือ ไม่รู้แม้แต่เริ่มต้นอัตตาที่เป็น“สักกาย (กายตนเอง)” จึงไม่ได้ศึกษา“ตัวเอง”ที่เป็น“วิญญาณ”หรือเป็น“เทฺว”ชนิดที่จะทำให้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“เทฺว”ได้อย่างบริบูรณ์เป็นที่สุด

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 455 ข้อที่ 630


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2565 ( 14:12:45 )

 เรียนรู้โลก 9 แบบ

รายละเอียด

โลก” 9 ชั้น โลก หมายถึง 

1. ดวงดาว ดวงหนึ่ง ในแดนอวกาศ Space 

2. โลก หมายถึง พลังงาน ความหมุนวน เปลี่ยนแปรสภาพไปต่างๆ 

3. โลก หมายถึง สังขาร ที่มีวิญญาณเข้าร่วมปรุงแต่งกันอยู่ 

4. โลก หมายถึง อุปาทาน ที่ยึดเป็นภพ เป็นชาติ

5. โลก หมายถึง อวิชชา ที่คนผู้ไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” บริบูรณ์ 

6. โลก หมายถึง วิชชา หรือ ปัญญา ที่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง “ความจริง” สัมบูรณ์ 

7. โลก หมายถึง ความมี กับ ความไม่มี เท่านั้นในความเป็น 2 (เทว) 

8. โลก หมายถึง ธรรมนิยาม 5 

9. โลก หมายถึง สูญ หรือ ศูนย์ (สูญหายไป ; ศูนย์กลาง)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้โลก 9 แบบ จนเป็นมนุษย์พืชมหัศจรรย์ วันพุธที่ 19 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:53:14 )

 เรื่องของ “พระเจ้า”เป็นเรื่องลึกลับห้ามแตะต้อง ห้ามวิจัยวิจารณ์!

รายละเอียด

“พระเจ้า”ก็ยิ่งใหญ่อยู่ในที่“ลึกลับ”ที่สุด

ไม่มีมนุษย์คนไหนแตะต้องได้เลย 

ห้ามตีแตกแยกแยะเด็ดขาด 

ห้ามวิจัยวิจารณ์

ห้ามเอาอะไรมาเปรียบมาเทียบไม่ได้ทั้งนั้น 

ต้องเชื่อสนิทปิดประตูเปรียบเทียบ ปิดประตูแตะต้อง 

ยก“พระเจ้า”เป็นอำนาจเผด็จการสุดๆ หมดสิทธิ์คิดแย้งใดๆ 

แม้แต่จะแตะต้องก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้เลย 

คิดดูเถิดว่า“พระเจ้า”จะลึกลับแค่ใด

เพราะคนในโลกไหนก็ไม่สามารถสัมผัสได้ตลอดกาลนาน

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 164 หน้า 145


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 11:14:05 )

 เลิกจากโลกจินตาจึงเข้ามาหาสักกาย

รายละเอียด

เรื่องบางเรื่อง ที่พ่อครูกล้าพูดนั้น เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกเขาไม่กล้าพูด เหมือนกับเมื่อก่อนคนพูดว่าโลกกลมนั้นไม่ได้เพราะจะถูกคนทำร้าย เหมือนพ่อครูกล้าพูดในเรื่องต่างๆ ทวนกระแส

อาตมายืนยันว่าที่ท่านเดินดินพูดเชื่อมที่อาตมาพูดไปแล้วหมายถึงใคร ก็ยังไม่อยากบอกชื่อ แต่ผู้อยู่ในวงในผู้ที่ติดตามก็คงจะรู้ว่าหมายถึงใคร ที่อาตมาไม่อยากออกชื่อ ไม่ใช่เพราะกลัวหรือไม่ใช่ไม่กล้า แต่เห็นว่า ยังไม่สมควรที่จะว่า ถ้าจะว่าแรงไปกว่านี้ มันจะหักมุมไม่ดี เพราะชะลอไว้ตรงนี้ก่อน 

เพราะว่าอาตมาบอกไปแล้ว อาตมาไม่เชื่อว่า ท่านจะพ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 ในเรื่องของ กาย แต่คำว่า บุญ ท่านก็ไม่ชัด และอาตมาก็แน่ใจอีกว่า  เรื่องฌาน ท่าน มิจฉาทิฏฐิยังไม่สัมมาทิฏฐิแน่ เรื่องฌาน ยังไม่สามารถที่แน่นอน เพราะว่า ฌานวิสัย เป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาจะรู้กันได้ง่ายๆกรรมวิบากก็ดีฌานวิสัยก็ดี ท่านอยู่ในโลกจินตา ท่านก็ไม่รู้ตัวว่าท่านเฟ้อไปกับโลกจินตา เป็น อจินไตย อย่างหนึ่งเหมือนกัน 

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านเลิกลดได้ก็จะลด โลกจินตา ลงมาก่อนแล้วจะค่อยๆเข้ามาสู่การรู้กรรมหรือวิบาก เรื่องกรรมวิบาก ท่านก็พอรู้แต่ยังมิจฉาทิฐิอยู่ คนที่รู้เรื่องกรรม เรื่องวิบาก ที่มิจฉาทิฏฐิชัดเจนเลยก็คือ เขาจะไปนิยมคนที่รู้จักกรรมวิบาก ชาติก่อนเกิดเป็นคนนั้น เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เกิดเป็นนักรบ เกิดเป็นคนเก่ง เกิดเป็นคนไม่ดีเกิด เป็นพระเทวทัต เขาจะไปนึกถึงตัวตนบุคคลเราเขา นั่นคือ โลกียะ นั่นคือยังไม่สัมมาทิฏฐิ ระลึกได้ให้ตายก็ประโยชน์น้อยหรือแทบไม่มีประโยชน์เลย จะพาหลงไปในตัวตนบุคคลเราเขาด้วย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯคนเกิดมาหากไม่ได้โลกุตระ เท่ากับชิงหมาเกิด แรม 3 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 15:17:27 )

 แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง 

รายละเอียด

นี่ก็เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือเรื่องราวข่าวคราวที่รู้กันทั่วโลก มันสามารถที่จะนำมาเสนอนำมารายงานมาบอกกันได้ทั้งหมดเลย 

โอ้โห..ข้อมูลเยอะนะ เราก็อยู่กับโลกเขาเราก็ต้องดูโลกว่า เขาเชื่อกันยังไง และเขาได้ปฏิบัติกันอย่างไร สอดคล้องลงตัวกันเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้อย่างไร เราก็ต้องดู 

อาตมาก็ขอพูดถึงพวกเราชาวอโศก ก็เป็นคนอยู่ในโลกอยู่ในสังคม อาจจะกลุ่มเล็กๆเป็นจุดขาวเล็กๆในขอบฟ้ากว้าง เราก็ไม่ได้หมายความว่าเราโดดเดี่ยวหรือเราอยู่คนเดียวโดยไม่รู้โลกเขา ไม่รู้ว่าโลกเขาไปถึงไหน มันมีสภาวะซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้งอยู่ว่า 

แนวคิดของชาวอโศก ขออภัยนะต้องพูดถึงชาวอโศกก่อน ก่อนที่จะพูดถึงประเทศและไปเทียบจากต่างประเทศ 

แนวคิดของชาวอโศก มันซ้อนลึกไปตามความรู้ที่อาตมานำมาจากของพระพุทธเจ้า เอามาประกาศให้ผู้อื่นรับรู้ ให้คนรับรู้ ก็คนไทย เพราะอาตมาพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ จะพูดภาษาต่างประเทศได้ก็คือภาษาลาว เพราะภาษาอีสานคือภาษาลาว อาตมาก็พูดได้ภาษานี้ ถ้าอาตมาไปตกอยู่เมืองลาวก็ไม่มีปัญหา อาตมาเจรจากับคนลาวได้สบาย นอกนั้นพูดไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ได้ขนาดไส้เดือนกิ้งกือ ขนาดงูๆ ปลาๆ ยังไม่ได้เลย ได้แค่ไส้เดือนกิ้งกือ ภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าภาษาอังกฤษที่พูดกันง่ายๆดีๆทั่วๆไปก็ตาม ยิ่งภาษาอื่นยิ่งไม่ได้เรื่องเลย ก็ไม่เป็นไร มันเป็นเหตุปัจจัยที่อาตมาเข้าใจ อาตมาไม่มีปัญหาเรื่องนี้ 

ถ้าอาตมาจะพากเพียรในเรื่องเอาทักษะทางด้านภาษา อาตมานี่เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่มัธยม ก็มีผู้สอนพิเศษ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นผู้ดีอังกฤษ ยังชมอาตมาเลยนะ 

 

ที่มา ที่ไป

แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง พุทธศาสนาตามภูมิ  ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 18:39:02 )

 แผ่เมตตาคืออะไร

รายละเอียด

แผ่เมตตาก็ต้องเข้าใจว่า แผ่คืออะไร เมตตาคืออะไร

เมตตาคือปรารถนาให้เขาพ้นทุกข์ปรารถนาให้เขามีสุข ก็เป็นความต้องการของ คุณแผ่เมตตา คุณอยากให้เขามีสุข คนอื่นก็ไม่ได้เกิดอาการนี้ทางจิตเขาเลยคุณจะไปยัดเยียดให้เขาได้อย่างไร คุณบอกให้เขาสงสารคน แต่เขาไม่สงสารคุณจะไปบังคับได้ไหม คนก็บอกว่าแผ่เอาความเห็นใจฉันมีเยอะเลย คนนั้นก็บอกว่าเรื่องอะไรฉันไม่ได้สงสารด้วย ก็เป็นสิทธิ์ของเขา คนบังคับกันได้ แต่จิตใจของเขาทำเป็นไหม ทำให้เกิดความสงสาร ทำให้เกิดอาการสงสารนี้เขาทำเป็นไหม ถ้าเขาทำไม่เป็นเขาก็รับปากว่าสงสารก็สงสาร แล้วมันจะได้เรื่องอะไร ก็เขาทำจิตของเขาไม่เป็น

 สรุปว่าแผ่เมตตาก็คือการเป็นพยัญชนะให้ทำทางรูปธรรม อย่างน้อยก็วจีกรรม พูดกันว่าทำอย่างนี้นะ สงสาร แต่จิตวิญญาณ ธาตุสงสาร สงสารนี้คือขยายความว่าต้องการให้เขาเกิดความไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ยากไม่ลำบากให้เขาพ้นจากอันนี้ นี่คือความสงสาร

อาการจิตของคุณมี แต่คุณไปบอกว่าแผ่เมตตา คุณสงสารมีจิตใจต้องการให้เขาเป็นแบบนี้ต้องการให้เขาไม่ทุกข์แบบนี้ ให้เขาเป็นสุข แต่ถ้าเขาชังน้ำหน้าจะตายเขาก็ไม่ทำ แต่เขาอาจรับปากว่าแผ่ก็แผ่ แต่จิตทำไม่เป็นมันก็ไม่เกิด

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA

วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:20:28 )

 และแม้น“ปรมาตมัน” หรือ“อัตตา” ใดๆก็ไม่มีตัวตน!

รายละเอียด

แม้จะเป็น“ปรมาตมัน”ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มี“ตัวตน” ก็สามารถ “ดับจิตวิญญาณ”ที่ยึดกันนักกันหนาว่าเป็น“อัตตา” ให้สูญสิ้นไปได้“ไม่มีอัตตา” เป็น“อนัตตา”นิรันดรไปเลย ไม่ต้อง“ตายไปแล้วต้องไปอยู่กับ“พระเจ้า”นิรันดร ดัง“เทฺวนิยม”เชื่อมั่นยึดถือกันอยู่  ซึ่งเป็นการพิสูจน์“ความจริง”ของความเป็น“ธาตุรู้”ในคนทุกคน โดยการแยกธาตุ“จิต”ให้เป็น“พีชะ”ได้จริง และทำให้“สูญสิ้น”เป็น“อุตุ”ก็ได้สำเร็จจริง ตั้งแต่ภาวะที่คนผู้นั้นยังมี“ชีวิต”เป็นๆ เพราะสามารถทำ“จิต”ไม่ให้เป็น“กาย”ได้สำเร็จจริง ตั้งแต่ยังมี“ชีวิต”เป็นๆนี้แหละ จึงจะยืนยัน“การดับกาย”ในจิตตนได้แท้ 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 430-431 ข้อที่ 588


เวลาบันทึก 08 มิถุนายน 2565 ( 14:24:47 )

 แสงเดินทางเร็วกว่าวิญญาณ หรือไม่

รายละเอียด

 แสงเดินทางเร็วกว่าวิญญาณ พวกเรารู้ไหม ...โยมตอบ วิญญาณ แสงมันเดินทางช้าจะตาย วิญญาณมันเดินทางเร็วอย่างกับอะไร เคยยกตัวอย่างง่ายๆ นีล อาร์มสตรอง เคยเดินทางไปดวงจันทร์ ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ตั้ง 8 วัน(110 ชั่วโมง) แต่เมื่อกลับถึงโลกแล้ว เมื่อจิตจะเดินทางไปถึงดวงจันทร์ก็คิดถึงแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ก็ชัดเจนนะ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณลักษณะของไก่ตัวพี่ที่มาสืบสานศาสนา  วันพุธที่ 7 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 13:32:07 )

 โพธิสัตว์ตามประสาเจ้าสำนักต่างๆ 

รายละเอียด

โพธิสัตว์ตามประสาเจ้าสำนักต่างๆ ตอบ เป็น แม่บงกชเขาก็เป็นโพธิสัตว์ตามประสาเขา เป็นสายศรัทธา เขาพยายามเกาะความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็ทำความเข้าใจ เอาตามอัตโนมัติของตัวเอง ตามความรู้อัตโนมัติของตัวเอง ทำความเข้าใจ ก็ได้ ได้ความรู้ไปตามลำดับ ตามศรัทธาจริตที่คิดไปเองได้ แล้วก็สร้างเวียงวัง สร้างของตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กันยายน 2565 ( 11:28:43 )

 โสตาปันนะ

รายละเอียด

ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เข้ากระแสจิต โสดาบันจุดแรกก็คือจิตเข้ากระแสโลกุตระแล้ว เรียกว่าโสตาปันนะ โสตาปันนะ แปลว่า เข้ากระแส ผู้บรรลุกระแสโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:55:23 )

 โสตาปันนะคือยึกยักแต่ยังอยู่ในกระแสโลกุตระ

รายละเอียด

โสตาปันนะคือยึกยักแต่ยังอยู่ในกระแสโลกุตระ  อาตมาจะฝากคำอะไรหนอให้แก่แม่คุณ ซึ่งจะเป็นคำเด็ดๆหรือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ อาตมาก็คิดไม่ออก จะฝากคำอะไร ที่จริงนั้นมันใจของคุณเองนั่นแหละ ปรารถนาดีอยากให้แม่เจริญขึ้น จากที่เคยเจริญได้แล้วตกล่วงไป ก็อยากให้เจริญขึ้นไปอีก เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ได้ก็ตกล่วงไปกินเนื้อสัตว์อีก ตามปรากฏการณ์ที่เอามายืนยันนี้ 

ถึงอย่างไรดูตามที่คุณบอกรายละเอียดมา อาตมาก็ว่าแม่คุณไม่ได้ตกต่ำอะไรมากมายหรอก มันเป็นสภาวะของความยังไม่เที่ยง ยังมีความยึกยัก ขึ้นๆ ลงๆอยู่ แต่ขึ้นๆลงๆอันนี้ แล้วจะมาบอกได้ว่า มันไม่ใช่การขึ้นๆๆลงๆๆที่ตกร่วงลงไปจนขึ้นมาไม่ได้แล้ว มันเป็นการขึ้นๆลงๆด้วยความไม่เที่ยงยังไม่แน่นอนมั่นคง เรียกโดยภาษาธรรมะว่า อวินิปาตธรรม ยังไม่ถึงขั้น นิยตะ ยังไม่ถึงขั้นเที่ยงก็ยังยึกยักอยู่ แต่มันไม่ตกต่ำเลยกระแสโลกุตรธรรมออกไป มันยังอยู่ในกระแส 

มันผ่าน โสตาปันนะ ผ่านกระแสเข้ามาสู่โลกุตระแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นที่ 2 อวินิปาตธรรม ขั้นที่ 3 นิยตะ ต้องไปสู่ขั้นที่ 3 จึงจะเที่ยงแท้ อันนี้ยืนยันได้ว่า ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่ถ้าถึงขั้น นิยตะแล้วเที่ยง ถ้าแบ่งเป็น 4 ส่วนก็เกิน 2 ส่วนเข้าไปหาส่วนที่ 3 ก็เรียกว่า นิยตะ เที่ยงแท้แน่นอนที่จะบรรลุไปสู่ที่สูงที่สุดแต่เพียงถ่ายเดียว สัมโพธิปรายนะ เป็นที่สุดที่สูงแต่เพียงถ่ายเดียว นี่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่ในขั้นหยาบแต่ก็ละเอียดในตัวมันเองก็ลึกซึ้งไปอย่างนั้น 

สรุปแล้วคุณก็อย่าไปกังวลนักพยายามช่วยแม่ไปตามลำดับ จิตใจก็อย่าไปทุกข์ร้อนเกินไป ยังไม่ถึงขั้นที่จะช่วยไม่ได้หรือตกต่ำไปเลยยังไม่ถึงอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 13:50:45 )

 “กรรมวิบาก” มีจริง เป็นได้ เป็นจริง ทั้งในธรรมาธิษฐาน บุคคลาธิษฐาน!

รายละเอียด

“กรรมวิบาก”นี้ เป็น“อจินไตย” 1 ใน 4 ข้อ ที่ผู้มี“ปัญญา”จึงจะเชื่อกรรม-เชื่อวิบาก-เชื่อว่ากรรมเป็นของของตน-เชื่อความตรัสรู็ของพระพุทธเจ้า เพราะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“กรรมวิบาก”ได้ตามลำดับแห่งบารมีของโพธิสัตว์แต่ละท่าน ซึ่ง“อจินไตย”นั้นจะเดาเอาไม่ได้ คาดคะเนด้วยตรรกะก็ไม่ได้จึงชื่อว่า“อตักกาวจรา”จริงๆ และผู้ที่มีบารมี“ระลึกรู้วิบากกรรมเก่า (ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)”ที่ตนเองเคยเกิดเคยมีมาได้ทั้ง“ธรรมาธิษฐานและปุคคลาธิษฐาน”ก็จะยิ่งเชื่อถือใน“กรรม” เชื่อยิ่งใน“วิบาก” เชื่อว่า“กรรมเป็นของของตน” จึงเชื่อใน“ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”เป็นที่ยิ่งจริงแท้

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้าที่ 443 ข้อที่ 610


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:16:06 )

 “ดับเหตุ” ก็จบสิ้น มาศึกษา “อาการของตัณหา” กันเถิด!

รายละเอียด

ถ้า“ดับเหตุ”ที่เป็นตัวการ“ดิ้นรน (ปริตัสสติ) แส่หา (วิปฺผันทติ)”อันก็คือ“เจตสิก”ใน“วิญญาณขันธ์”ของเรานี่เองให้ตายไปสนิทเสียได้ทุกอย่างในความเป็น“ตัวตน”หรือความเป็น“อัตตภาวะ”ของเราก็“ดับสิ้นหมด” ไม่เหลือ“วิญญาณ”อยู่ใน“กาล”อีกเลยแน่ๆ และ“ตัวเหตุ”หรือ“ตัวการ”ที่มันชัดเด่นเรียนรู้ได้ง่ายดายที่สุดก็คือ“อาการของตัณหา (ตัณหาคตานัง)”ในปฏิจจสมุปบาทนี่แหละ จงจัดการ“ดับ”เจ้าตัวเหตุหรือตัวการนี้ให้ได้ ให้จริง ให้หมดสิ้นสนิท กระทั่งเที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาลนิรันดรกันให้ได้จริงๆเถิด

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 454 ข้อที่ 628


เวลาบันทึก 16 มิถุนายน 2565 ( 14:01:21 )

 “พุทธะ” สามารถจัดการเทฺว หรือวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ให้ดับสูญถึงขั้นหมดกรรม!

รายละเอียด

ศาสนาพุทธรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“เทฺว”ได้ถ่องแท้ (โยนิโส) และสามารถจัดการกับ“เทฺว”ที่เป็น“วิญญาณ”ผู้ยิ่งใหญ่ให้“ดับสูญสิ้น”ไป กระทั่งหมด“กรรม”ที่จะมีอยู่ใน“กาล”ไปได้นิรันดรด้วย“ตัวเอง” ซึ่งสามารถทำ“วิญญาณ”ของตนให้“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” นั่นคือ แตกแยก“ธาตุวิญญาณ”ของตนที่เป็น“จิตนิยาม”ให้เป็น“อุตุนิยาม” สิ้นความเป็น“ชีวะ”ได้แน่แท้ยั่งยืน เพราะ“จิตนิยาม”ของเราเองได้ถูกตัวเราเองแยกธาตุจิตวิญญาณของตนให้เป็น“อุตุนิยาม”คือ ธาตุดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ไปได้จริง ไม่เหลือความเป็น“วิญญาณ”หรือ“เทฺว”กันต่อไปอีกนิรันดร จึงพิสูจน์ได้จริงว่า “วิญญาณ”นั้นเป็น“ของตนเอง”แท้ๆ “วิญญาณฯ” ไม่ใช่เป็นของ “นักมายากล”!“วิญญาณ”มิใช่“ของพระเจ้า”แต่อย่างใด เพราะ“ตัวเราเอง”จัดการกับ“วิญญาณ”ของเราให้“นิพพาน”กระทั่ง“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้สำเร็จเอง ชนิดที่มี“ภาวะจริง”จริงๆยืนยันกันได้แท้ 

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 468 -469 ข้อที่ 653


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2565 ( 14:42:48 )

 “ศีล-สมาธิ-ปัญญา” ขาด “กาย” ไม่ได้ ต้องมี “กาย”ตลอดสาย!

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธนั้น ขาด“กาย”ไม่ได้ ต้องมี“กาย”อยู่ในการปฏิบัติธรรมตลอดทั้งในการปฏิบัติ“ศีล” ทั้งในการปฏิบัติ“สมาธิ” ทั้งในการปฏิบัติ“ปัญญา” ยิ่งในการปฏิบัติ“จรณะ 15 วิชชา 8”ยิ่งต้องมี“กาย”อยู่ทั้งหมดตลอดสายดังนั้น ผู้“หลับตา”อยู่คนเดียวเฉพาะตน แล้วคนผู้นั้นจะ“รู้ลึกรู้ยิ่งรู้มากรู้วิเศษเลิศล้ำ”แค่ไหน ถ้าไม่เปิดเผย หรือไม่แสดงออกมาภายนอกให้คนอื่นได้รู้ได้ยินได้ฟังร่วม“รู้”และ“ตัดสิน”ด้วย มันจึงเป็นแค่“สัญญายะ นิจจานิ” ซึ่งจะจริง จะจริงแท้ เที่ยงทน นานกาลแค่ไหน มันก็“ไม่มีคุณ-ไม่มีโทษ”อันใดกับใครเลย มันก็แบกหนักอยู่กับตัวผู้นั้นคนเดียวเดี่ยวโดด  มันก็“เปล่าดาย”ตายไปกับตนแค่นั้น เพราะมันไม่มี“ปัจจุบัน”ออกมา“ร่วมกับโลก”เขาเลย มันจึงไม่เรียกว่า “ความจริง”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 หน้า 423-424 ข้อที่ 576


เวลาบันทึก 05 มิถุนายน 2565 ( 13:55:09 )

 “สัจจะ”นั้นมีหนึ่งเดียว...เข้าใจมั้ย?

รายละเอียด

การพูดเรื่องอื่นๆ นอกจาก“สัจจะที่แน่นอนด้วยสัญญาใน

โลก” อันได้แก่ “อริยสัจ 4”จึงเป็นเรื่องแย้งกันอยู่ทั้งนั้น ไม่มีจบ

“สัจจะหนึ่งเดียว(เอกังหิ สัจจัง)”นี้เป็นการยืนยัน“ความจริงที่

ยิ่งใหญ่ที่สุด..สุดๆ” ซึ่งบ่งบอกถึง“ความสุดยอดแห่งสัจจะ”อัน

ไม่มีใครจะบอกได้เลย ถ้าไม่ใช่“พระพุทธเจ้า”

“ความจริง”นี้ก็คือ “สัจจะที่แน่นอนด้วยสัญญาในโลก มีหนึ่ง

เดียวเท่านั้น” 

ได้แก่ “ทุกขนิโรธ นิพพาน ความสงบสังขารทั้งปวง 

ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา 

ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา

ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด 

และหรือ มรรคสัจจะ นิยยานสัจจะ ได้แก่ ทุกขนิโรธคามินี

ปฏิปทา 

คือ อริยมรรคมีองค์ 8 เรียกว่า เป็น“สัจจะอย่างเดียว”

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 197 หน้า 167


เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2564 ( 19:55:26 )

 “สัมมาทิฏฐิ” ได้ด้วยธรรมะ 2 ประการและยังมีธรรมอีก 5 ประการเป็นตัวช่วย!

รายละเอียด

ดังนั้น “ปรโตโฆสะ” กับ “โยนิโส มนสิการ”จึงเป็น“ธรรม 2 ประการ”สำคัญ ที่ผู้ศึกษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าต่างก็รู้กันแพร่หลายว่า คนจะ“สัมมาทิฏฐิ”ได้ด้วยธรรมะ“2 ประการ”นี้  และแม้จะ“สัมมาทิฏฐิ”ด้วย“ธรรม 2 ประการ”นี้แล้ว ก็ยังมี “ธรรม”อีก 5 ประการที่จะช่วยให้บรรลุผลสำเร็จ“เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ”ได้ เป็นต้นว่า 1.ศีล 2.สุตะ(ฟัง) 3.สากัจฉา(ถาม) 4.สมถะ(สงบ) 5.วิปัสสนา(ความเห็นแจ้ง) ที่ร่วมช่วยเหลือ (อนุเคราะห์) ให้ปฏิบัติสำเร็จ“เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ” (พระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 497) ซึ่ง“ธรรม 5”นี้ก็ไม่ใช่ธรรมที่ลึกซึ้งสูงส่งอะไรเลย ผู้เริ่มศึกษาพุทธธรรม ก็จะได้เรียนได้รู้กันแล้ว แต่จะดูถูก ละเลย ว่าตื้นๆต้นๆไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเป็นรากฐานในการปฏิบัติธรรมแท้ๆส่วนข้อธรรมอื่นๆที่มีสูงขึ้นๆไปตามลำดับ แน่นอนก็ต้องมีประกอบกันช่วยเหลือให้การปฏิบัติธรรมบรรลุบริบูรณ์ได้แน่แท้ เห็นมั้ยว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีหลากหลายวิจิตรยิ่ง สำคัญยิ่งที่ต่างอนุเคราะห์กันและกันอยู่มากมายเพื่อช่วยให้บรรลุธรรมสำเร็จ“เจโตวิมุติและปัญญาวิมุติ” ถึงที่สุดเป็นอรหันต์    

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุณนิยม เล่ม 2 หน้า 414-415 ข้อที่ 562

 

 


เวลาบันทึก 02 มิถุนายน 2565 ( 15:11:03 )

 “สุขทุกข์” ไม่เรียนรู้ไม่สนใจ แถมคำสั่งเบื้องบนสำทับจึงยิ่งไปกันใหญ่!

รายละเอียด

ซ้ำมิหนำพระศาสดาหรือ“พระเจ้า”ยังห้ามแตะ“เทฺว” ไม่ไห้เรียนรู้เข้าไปในความเป็น“เทฺว”เสียอีก โดยเฉพาะ“เทฺว”ที่ยิ่งใหญ่ขั้น“พระเจ้า” แม้แต่คำสั่งสอนของ“พระเจ้า”ก็ห้ามแตะ ห้ามวิจัยวิจารณ์ จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนแต่เพียงอย่างเดียวเด็ดขาด! ทั้งๆที่“เทฺว”นั้นก็คือ“วิญญาณ”ของตนเอง แม้แต่“เทฺว”หรือ“วิญญาณ”ที่เป็น“พระเจ้า”ก็คือธาตุคือขันธ์ที่ชื่อว่า“วิญญาณ”เช่นกันนี่แหละแท้ๆ มิใช่อื่นเลยเพียงแค่ว่า“วิญญาณ”ของ“พระเจ้า”กับของ“เรา”นั้น แตกต่างกันตรงที่ของ“พระเจ้า”นั้นสูงส่งยิ่งยอดกว่า“เรา”เท่านั้น

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 451-452 ข้อที่ 623


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2565 ( 14:30:33 )

 “หลับตา” ฝึก “เตวิชโช” ทำอย่างไร?

รายละเอียด

ดังนั้น ผู้“หลับตา”จะได้ประโยชน์ หรือใช้เป็น“ประโยชน์”ก็แต่กับตนเอง เช่น “เตวิชโช”เป็นต้น หรือใช้“ศึกษาค้นคว้าขบคิดตรวจสอบธรรมทั้งหลาย”สำหรับตนเองเท่านั้น นอกนั้นก็จะมีแต่เป็น“โทษ”เพราะความมี“อวิชชา”ในตนเองจริงของตนนั่นเองจนกว่าผู้นั้นจะ“พ้นอวิชชา”  เป็น“วิชชา”กันได้จริงๆ   ภาวะที่เกิดในขณะ“หลับตา”จึงยังไม่นับว่า“ความจริง”ในโลก เพราะโลกภายนอกใครๆยังไม่ยอมรับด้วย แม้แค่“รู้”ด้วยก็ยังไม่มี มันมีก็แต่““สัญยายะ นิจจานิ”ของคุณเท่านั้น ซึ่งจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ พระพุทธเจ้าจึง“จบ”กันที่ความเป็น“สัญญายะ นิจจานิ” และความเป็น“สัญญายะ นิจจานิ (ความเที่ยงแท้ของการกำหนดรู้) ”ของแต่ละคน มีทั้งผู้“มิจฉาทิฏฐิ”  มีทั้งผู้“สัมมาทิฏฐิ”

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2  หน้า 427-428 ข้อที่ 582


เวลาบันทึก 07 มิถุนายน 2565 ( 14:21:31 )

· ลุงตู่ไปแล้ว พ่อครูจะตรอมใจใหม

รายละเอียด

อาตมาเลิกแล้ว ไม่มีแล้วเรื่องตรอมใจ แล้วยิ่งประเทศไทยเราไม่มีอะไรเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องตรอมใจ ไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยิ่งไม่เกิดอาการตรอมใจ ลุงตู่จะไปจะมาก็เป็นกาลเวลา ที่จริงลุงตู่ทำงานเป็นนายกมาเกิน 8 ปีนะ เดี๋ยวนี้ก็ยังรักษาการนายก ยังทำงานอยู่

ส่วนพิธาเขาก็ขี้ตู่ บอกว่าผมเป็นนายกฯ คนที่ 30 แล้ว คนนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย กำหนดแค่นี้ก็ไม่เข้าเป้า มีความอยากเห็นชัดเจน  ความเห็นแก่ตัว ต้องการที่จะได้จะเป็นจะมี มันชัดเจนเป็นกิเลส มันชัดเจนจริงๆ เลย ยังไม่เท่านั้นนะ ยังแสดงออกไป ว่าต้องทำหน้าที่นะ ออกไปเรียกประชุม (หน่วยงานราชการ เช่น สมาคม อบจ.แห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หลังเลือกตั้ง) เขากล้าทำได้อย่างไร แต่เมืองไทยก็ดีนะ ไม่เอาเรื่องกันเท่าไหร่ ถ้าเอาเรื่องก็เข้าคุกแล้วพิธา เอากฎหมายมาจับจริงๆหลายประเด็นเลยนะ ส่วนคนไทยก็ดีนะ มันบ้าก็ไปให้มันบ้าไป เขาไม่รู้ตัวจริงๆ เห็นไหม เห็นกิเลสของคน ทำอะไรเลยเถิด สุดโต่ง น่าเกลียด เขาก็ไม่รู้ว่าน่าเกลียด ก็ดูกันไป คนไหนเป็นไปอย่างไร ทุกอย่างก็แสดงความจริงออกมา​ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลในมนุษย์

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาทำจิตเป็นอุตุไม่เกี่ยวเกาะ  วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2566 ( 19:28:50 )

กงฺขํ วิหนติ

รายละเอียด

ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 51


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:15:20 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:19:33 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:15:35 )

กฎมณเฑียรบาล

รายละเอียด

กฎมณเฑียรบาล  คือ  การเข้าใจเรื่องสืบสันตติวงศ์  ซึ่งต้องมีจารีตประเพณี  วัฒนธรรมการศึกษา  ต้องประพฤติและบำเพ็ญตนต้องเรียนรู้  แม้แต่ในกษัตริย์ก็ยังมีการคัดเลือกในระหว่างกษัตริย์เอง  ในสันตติวงศ์ของกษัตริย์ก็ต้องมีการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมมาเป็นกษัตริย์

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 17 กันยายน 2562 ( 15:15:04 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:15:45 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:20:18 )

กฎหมายกับธรรมอะไรควรเหนือกว่า

รายละเอียด

ที่นี่กฎหมายกับธรรมะ ก็อยู่ใกล้เคียงกัน ก็คล้ายๆกัน บางทีก็ต้องให้กฎหมายเขาถูกต้อง เขาชนะให้มันเป็นไปตามกฎหมาย บางทีก็ต้องให้ธรรมะ ทำไมถึงว่าอย่างนั้น 

เพราะว่าบางทีมันก็ต้องจำยอม คำว่าสมมุติกับคำว่าธรรมะ สมมุติคือกฎหมายซึ่งมันไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็แก้ไข ตามเหตุปัจจัยตามตัวแปร คนนี่แหละเป็นอำนาจตัวแปร เช่น พวกนักการเมือง ซึ่งมันไม่แน่ไม่นอนเอาแน่ไม่ได้ จะบอกว่ากฎหมายแน่นอนก็ไม่ได้ จะบอกว่ากฎหมายไม่มีฤทธิ์อำนาจไม่มีประโยชน์ ก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าคนเอาธรรมะไปพูดกันไม่รู้เรื่อง มันต้องเอาอำนาจกฎหมาย กฎหมายคืออำนาจ Command อำนาจบังคับ ถ้าไม่เชื่อจับเข้าคุก บางทีประหารชีวิตเลย แต่ธรรมะไม่ได้เป็นเรื่องมีโทษมีภัยแต่เป็นเรื่องของสัจจะ มันมีน้ำหนัก ธรรมะก็อย่างนึง กฎหมายก็อย่างนึง ก็ต้องให้ทำหน้าที่อันควรไป​ อันไหนควรวาระไหน เหตุปัจจัยอันไหน มันก็ต้องช่วยกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ทำวัตรเช้า วันขึ้นปีใหม่ งาน ว.บบบ เพื่อฟ้าดิน วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2565 ( 20:25:31 )

กฎหมายของพระพุทธเจ้าเป็นสากลอย่างไร

รายละเอียด

ในยุคพระพุทธเจ้า พระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นมาเข้ารีต ยอมรับกฎหมายที่เป็นจุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีลของพระพุทธเจ้าว่าเป็นกฎหมายสากลเลย เพราะไม่ได้ขัดแย้งกับคุณงามความดีของมนุษยชาติ มีแต่คุณงามความดี พระเจ้าแผ่นดินในแต่ละแคว้นยอมให้เลย ให้ออกกฎหมายใช้ได้ในแต่ละแคว้นเลย ใครจะมาเข้ารีตของพระพุทธเจ้าก็อยู่ในกฎหมายของพระพุทธเจ้า พระเจ้าแผ่นดินทุกแคว้นยอมรับเลย ทวีปอินเดียก็ใหญ่นะ ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  หมู่บ้านสาธารณโภคีมีจริงได้แม้ใกล้กลียุค วันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2564 ( 19:51:38 )

กฎหมายควรเพื่อจัดการคนชั่วไม่ใช่ทำร้ายคนดี

รายละเอียด

เจริญธรรม คือเรื่องของสังคม มันยังไม่เข้าถึงขั้นจิตวิญญาณ มันยังติดยึดอยู่กับหลักเกณฑ์ โลกๆ ยังติดสมมุติกันอยู่ กฎหมายมันออกมาว่าอย่างนั้น จริงๆกฎหมายก็รู้กันอยู่ นักกฏหมาย นักบริหารประเทศ เรียนทางรัฐศาสตร์มาก็พอรู้ว่า กฎหมายออกมาเพื่อไว้กันคนชั่ว ไม่ใช่ออกกฎหมายมาเพื่อปราบคนดี ทีนี้คนทำดี กฎหมายไม่ได้ปราบคนดี โดยจริงๆแล้ว คนดีช่วยประเทศ เช่น อัญชะลีหรือยุทธิยง ที่กำลังกล่าวถึงตอนนี้ก็ตามหรือใครอื่นหลายผู้หลายคน ตามกฎหมายไม่ให้ไปประท้วง ออกไปประท้วงรัฐบาล กฎหมายออกว่าอย่างนั้น บอกว่าผิดเป็นกบฏ 

แต่จริงๆแล้ว ผู้ที่ออกไปประท้วง ออกไปประท้วงรัฐบาลเลว จนกระทั่งประท้วงสำเร็จ รัฐบาลเลวก็ออกไป ประเทศชาติก็สบายขึ้น แต่กฎหมายมันก็คือกฎหมาย คือคนออกไปประท้วงรัฐบาล แต่พาซื่อตรงที่ว่า ก็รัฐบาลเลวก็ต้องออกไปประท้วง แต่กฎหมายบอกว่าออกไปประท้วงรัฐบาลผิดกฎหมาย อัญชะลีกับยุทธิยงผิดกฎหมายตรงนี้ 

ซึ่งมันพาซื่อตามกฎหมาย ได้ประโยชน์แล้วด้วยนะ ในการประท้วงรัฐบาลเลว แต่ผิดกฎหมาย รัฐบาลเลวก็ออกไป ประชาชนชนะ รัฐบาลต่อมาก็ควรจะต้องพิจารณา ควรจะต้องรู้ว่า อ๋อ ที่เราเข้ามาบริหารตอนนี้เพราะประชาชนที่มาประท้วง เขาประท้วงรัฐบาลเลวให้ล้มเลิกไป รัฐบาลแพ้ ประชาชนชนะ 

และประชาชนก็ไม่ได้ไปเอาประโยชน์ ก็ให้คณะรัฐบาลที่มาสวม มาบริหาร มารับไม้ต่อ บริหารไป รัฐบาลก็น่าจะเข้าใจ อ๋อ ควรจะขอบคุณผู้ที่ประท้วงด้วยซ้ำ แต่มันผิดกฎหมายนี่คือพาซื่อตรงนี้ เพราะฉะนั้น ศาลพิจารณาความแล้วก็ไม่น่าจะพาซื่อตามกฎหมาย จนกระทั่งไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้กับพฤติการณ์ที่สอดคล้องกับสัจธรรมที่เป็นไปด้วยดี สำเร็จเป็นผลดี นี่อาตมาขอวิจารณ์วิจัยตามสัจธรรมไป ไม่ได้ไปลบหลู่ศาลหรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์

วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล


เวลาบันทึก 08 ธันวาคม 2565 ( 11:34:09 )

กฎหมายทำแท้งเสรีเป็นเรื่องกรรมวิบากชาวพุทธไม่น่าจะให้เกิด

รายละเอียด

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง ใครยังจำได้ไหม พูดถึงพลตรีจำลองก็มีพิเศษหลายอย่าง เพราะธรรมดาเลขานายกรัฐมนตรีต้องเป็นพลเอกนะ แต่ตอนนั้นคุณจำลองพึ่งเป็นพันเอก ได้รับพิเศษ ได้รับความไว้วางใจจากพลเอกเปรมให้เป็นเลขานายก เสร็จแล้วมาลาออกเสียนี่ ลาออกเพื่อมารณรงค์เรื่องนี้แล้วรณรงค์จนสำเร็จ ไม่ผ่าน ประเทศไทยก็ดีไม่มีกฎหมายทำแท้งอนุญาตให้ทำแท้ง ก็ดีไปแล้ว 

มาเอาอีกสิ คราวนี้อีกแล้ว คือ เป็นอย่างนี้โลกจะหมุนเวียนไป ความเสื่อมมันมีเยอะขึ้นเรื่อยๆก็จะจมสู่ความเสื่อมอีก ก็ขอบอกกล่าวต่อประชาชน ผู้ที่มีสำนึกอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ อย่างคุณเอมเขียนมา มีหลายประเด็นละเอียดอยู่ในนี้ ซ้อนอยู่ในนี้เยอะ มันเป็นเรื่องสำคัญมากเป็นเรื่องของกรรมวิบากของสรีระหรือจิตวิญญาณ เป็นเรื่องจิตวิญญาณมากกว่าสรีระของมนุษยชาติ เรื่องของกรรมวิบากที่ตามฆ่ากัน ทำลายกัน แก้แค้นกันไปกันมานับไม่ถ้วนบางทีถึง 500 ชาติ เอ็งฆ่าข้า เอ็งอย่างนี้ไป สารพัดสารเพ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อเป็นเรื่องทรมาน ไม่น่าจะให้มาเกิดในวิบากของมนุษย์ โดยเฉพาะชาวพุทธที่รู้จักเรื่องกรรมวิบากอย่างนี้ไม่น่าจะให้เกิด อาตมาว่า ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เขาเองกังวลเรื่องที่เลวร้ายลง เด็กหนุ่มเด็กสาว ฟรีเซ็กส์ มันมากขึ้น เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ท้องไม่มีพ่อไม่มีแม่มันก็จะมากขึ้น ซับซ้อน ดีไม่ดี ท้องมา เอาลูกไปฆ่าทิ้ง หมกถังขยะ ตามที่เป็นข่าว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:32:48 )

กฎหมายป้องกันรัฐบาลเก่าไม่ควรเอามาใช้กับประชาชนปฏิวัติผู้บริสุทธิ์ 

รายละเอียด

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่พ้อกันอยู่ ทำดีช่วยชาติศาสน์กษัตริย์เต็มที่ แต่ก็จะต้องไปติดคุกติดตะราง หาว่าผิดกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนี้ รัฐบาลนั้นรัฐบาลนี้ออกมาป้องกันตัวเอง ถ้าเกิดไปต่อต้าน มันเหมือนพาซื่อเกินไป ไปต่อต้านรัฐบาลนั้นรัฐบาลนี้ผิดกฎหมาย รัฐบาลนั้นเองออกกฎหมายป้องกันตนเอง เสร็จแล้วนัยยะสำคัญของมันก็คือ 

กฎหมายนี้รองรับอะไร… รองรับรัฐบาลที่เขาป้องกันตนเองเอาไว้ จริงๆแล้วมันเหมือนกับที่กฎหมายบอกว่า ห้ามปฏิวัติรัฐประหาร   แต่มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันเป็นเรื่องที่คุณจะเอากฎหมายห้ามอย่างไร เขาก็จำต้องปฏิวัติเพราะเขาก็ทนไม่ได้ เขาก็จะต้องทำ ประชาชนก็ต้องทำ ในทำนอง เดียวกันประชาชนก็ต้องทำ  ถึงออกกฎหมายอย่างไรเขาก็ต้องทำ แต่รัฐบาลนั่นแหละออกกฎหมายกันเอาไว้ว่าผิดกฎหมาย แล้วก็พากันซื่อตามกฎหมาย 

เมื่อประชาชนหรือคนที่เขาไปไล่รัฐบาลนั้นแล้ว รัฐบาลนั้นก็พ่ายแพ้ออกไปแล้ว ประชาชนก็เห็นดีเห็นงามกันแล้ว เปลี่ยนแปลงระบบ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่แล้ว ดีขึ้นแล้วชัดเจนแล้ว จะไปรื้อเอาไอ้ที่เป็นผิดกฎหมายของรัฐบาลเก่าที่ออกเอาไว้ เอามาใช้กับพฤติกรรมของประชาชนบริสุทธิ์ที่เขาทำเพื่อประเทศชาติโดยตรง แล้วก็ถูกต้องตามสัจจะด้วย เพราะว่ารัฐบาลนั้นควรให้ประชาชนไปไล่ออก มันเป็นสิทธิของประชาธิปไตย 100% ด้วย นี่แหละซ้อนอยู่ตรงนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 จากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู  วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 04:37:44 )

กฎหมายม.112 มีมาหลายรัฐบาลไม่เห็นมีปัญหา

รายละเอียด

112 นั้นอยู่มาไม่รู้ตั้งกี่รัฐบาลแล้ว 10 20 รัฐบาลแล้ว 20 กว่าแล้วเพราะนายกตอนนี้คนที่ 30 แล้ว เขาก็อยู่มาในเมืองไทยเรามาตรา 112 แต่มาถึงตอนนี้เป็นปัญหามากเลยในยุคนี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดมากเลย ทำไมมันเป็นปัญหา ก็เพราะคนมันเป็นเจ้าปัญหา ถ้าไม่มีคนเป็นเจ้าปัญหา สำหรับมาตรานี้มันก็ไม่มีปัญหาเพราะมันอยู่กันได้สงบสบาย มีประโยชน์คุณค่าแก่ประเทศชาติมาตั้งเท่าไร กี่ยุคกี่พระเจ้าแผ่นดินกี่พระองค์มาแล้ว ก็เป็นธรรมดาของความคิดของคน คนฉลาดคนโง่ คนโง่ก็ทำตามโง่ คนฉลาดก็ทำตามฉลาดเป็นธรรมดา 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม การเมืองไทยวันนี้คือ สงครามความรู้กับการกระทำ ขึ้น 3 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 14:58:32 )

กฎหมายสงฆ์ 2505 ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าบัญญัติ

รายละเอียด

ฟ้องไปโดยบัญญัติ กฎหมายสงฆ์ 2505 ขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า บัญญัติว่าให้สมเด็จพระสังฆราชสั่งให้สึกได้ ทั้งๆที่ผู้ที่ผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะอย่างเรานี่ไม่ผิด มันมีหลักเกณฑ์ในพระธรรมวินัยว่าถ้าผิดใน 11 ข้อ หรือปาราชิก ถ้าหากปาราชิกก็ไม่ต้องสั่งสึกเพราะมันขาดไปแล้ว ถ้าผิดใน 11ข้อก็สั่งให้สึกได้ แต่นี่เราไม่ได้ผิดใน 11 ข้อ ปาราชิกเราก็ไม่ได้เป็น เขาก็พยายามจะใส่ความเราว่าเป็นปาราชิก บอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน 

ก็เขาว่า ก็เรามีในตนแต่คุณไม่รู้ว่าเรามีคุณธรรมคุณวิเศษอันนี้ คุณไม่มีปัญญาพอจะรู้เลย แล้วจะไปบังคับให้คุณรู้มันก็ไม่ได้ เราก็ยืนยันว่าเรามีอุตตริมนุสสธรรมนี้ จริงพิสูจน์ยืนยันมาจนถึงทุกวันนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 10:54:53 )

กฎหมายสงฆ์ที่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย

รายละเอียด

เขาฟ้องว่าอาตมาผิดกม.ที่เขาตั้งมา ดูเหมือนมาตรา 18 ในกม.สงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งในกฎหมายข้อนั้นบอกว่าให้อำนาจของพระสังฆราชสั่งสึกได้ ซึ่งก็ขัดแย้งกับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีใครสั่งคนสึกได้ นอกจากผิดธรรมวินัย หรือปาราชิก แม้สังฆาทิเสสก็ไม่มีใครสั่งสึกได้ แต่ปาราชิกก็คือขาดจากภิกษุแล้วเป็นสมี ทั้งชาติอย่าให้เขามีรอยเชื่อมของธรรมะพระพุทธเจ้า ให้ตายไปจากศาสนา 1 ชาติ แต่ชาติต่อไปก็แล้วแต่เขา แต่ชาตินี้ตัดสิ้นเหมือนตาลยอดด้วน เหมือนกระเบื้องแตกเป็นสองเสี่ยง เอามาต่อติดกันไม่ได้ฉันใด ใบไม้เหลืองแห้งหลุดจากขั้วก็เอาไปต่อชีวะไม่ได้แล้ว ขาดจากกันไป 1 ชาติ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 21:07:06 )

กฎหมายสูงสุด

รายละเอียด

รัฐธรรมนูญของแต่ละชาติ เหมาะกับสังคมของ ชาตินั้นๆ หากเทียบกับ หลักสากล ความมั่นคงแห่งชาติ ที่เสมือน ธรรมนูญสากล ของนานาชาติ เป็นหลักใหญ่กว่า รัฐธรรมนูญของชาติ นานาชาติ ต้องให้ความสำคัญ ร่วมกันกว่า

          หลักสากล ความมั่นคงแห่งชาติ หลักสากลที่เป็นความจริงแท้ (Reality) ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกฎหมายสูงสุด (Nation Security is Supreme Law) เหนือกว่า หลักนิติธรรม (The Rule of Law) เหนือกว่า กฎหมายหลัก คือ รัฐธรรมนูญ (Principal Law) เหนือกว่ากฎหมายสามัญ (Common Law)

          โดยหลักกฎหมาย ระหว่างประเทศ ได้รับรองไว้ ในหนังสือ International Law Vol.1 Peace โดย H. Laurterpacht Q.C.LL.D.F.BA. (Third Impression 1958) page 758-761 แปลว่า... "ทุกระบอบกษัตริย์ กษัตริย์ดำรงสถานะ เป็นตัวแทน แห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงดำรงเป็น องค์รัฏฐาธิปัตย์ เป็นความจริง ที่กฎหมาย ระหว่างประเทศ ให้การยอมรับ ถึงแม้ กฎหมายภายในประเทศ จะมีข้อความ ที่แตกต่างกัน ในประเทศทั้งหลาย ประเด็นนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้น กฎหมายระหว่างประเทศ ให้ความยอมรับกับ ระบอบกษัตริย์ ทั้งหลาย มีอำนาจ ดังกล่าว เท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่า ตำแหน่ง พระมหากษัตริย์ ที่ปรากฏ ในรัฐธรรมนูญ จะมีความแตกต่างกัน และขึ้นกับกฎเกณฑ์ ที่กำหนดเอาไว้ ในรัฐธรรมนูญ ที่แตกต่างกัน ... ผลที่เกิดขึ้น ตามที่กล่าวไว้แล้ว ให้การยอมรับว่า ระบอบกษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะ ประมุขแห่งรัฐ อย่างแท้จริง และตลอดกาล ชั่วนิรันดร..."

          เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงดำรงฐานะ เป็นตัวแทนแห่งอำนาจ อธิปไตยแห่งรัฐ และเป็นองค์ รัฏฐาธิปัตย์ ทรงเป็นประมุข แห่งรัฐ (The Head of State) จึงทรงถือ ความมั่นคง แห่งชาติ คือ อธิปไตยของปวงชน เป็นกฎหมายสูงสุด (Supreme Law) อยู่เหนือหลัก นิติธรรม (The Rule of Law) หลักนิติธรรม อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ (Principle Law) และรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมายสามัญ (Common Law) พระมหากษัตริย์ จึงทรงใช้กฎหมายสูงสุด โดยมีกองทัพ อันเป็นกำลัง เป็นฐานแห่งอำนาจ ปฏิบัติกฎหมายสูงสุด เพราะพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นจอมทัพ...

ที่มา ที่ไป

560721


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2563 ( 07:44:56 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:17:13 )

กฎุมพี

รายละเอียด

คนร่ำรวย  คนมั่งคั่ง

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 395


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:48:58 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:16:15 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:24:40 )

กฎแห่งกรรม

รายละเอียด

เหตุใดคนถึงเกิดมาแตกต่างกัน กฎแห่งกรรมเป็นตัวอธิบายถึงภพภูมิที่สัตว์พากันไปเกิด อันนี้ลึกซึ้งมาก ถ้าคนไม่มีเหตุปัจจัยไม่มีกรรมกิริยาประกอบกัน เป็นส่วนสองชิ้น ในมหาจักรวาลนี้ที่มีอะไรเกิดมาสองชิ้นแล้ว จะไม่แตกต่างกันเลย เป็นแต่เพียงไม่แตกต่างละเอียดมากจนคนแยกแยะไม่ได้ คนเราไม่สามารถแยก แม้วัตถุคนก็แยกไม่ได้ละเอียดเท่าสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่เสียง กลิ่น รส แสงต่างๆ ยังแยกสู้สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ในบางแง่มุม

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 16:48:52 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:19:10 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:27:35 )

กฎแห่งกรรม

รายละเอียด

สัมมาทิฏฐิในศาสนาพุทธได้แท้จริง จึงชัดเจนตัวเราเองนี่แหละรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า กรรมจำแนกสัตว์(กัมมัง สัตเต วิภัชชติ) หรือสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม(กัมมุนาวัตตตี โลโก)เป็นต้น ไม่ใช่เป็นไปตามพระเจ้าแน่“สัตวโลก”จึงเป็นไปตาม“กรรม”ที่ตนทำจริงๆ ไม่มีอะไรจริงเท่าพลังกรรมเป็นอันขาดศาสนาพุทธจึงมี“กรรม”เป็นใหญ่ที่สุด ไม่ใช่มี“พระเจ้า(God)”เป็นใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่า“กรรม”ของเราเองเป็นแน่แท้ คนในศาสนาพุทธจึงจัดการตนเองให้“พ้นทุกขอาริยสัจ”ได้สำเร็จจริงๆแท้ๆ และมีสติสัมปชัญญะปัญญาจัดการกับ“กรรม”ด้วยตนเองเต็มสัมบูรณ์ ไม่ต้องไปห่วงกังวลว่าจะมี“อำนาจแฝงของพระเจ้า”คอยซุกอยู่ในจิต และแซกแซง“การกระทำ”ของเราอยู่เสมอ ศาสนาพุทธจึงมี“อิสระเสรี”สุดๆตลอดกาล ศาสนาเดียวในโลก เพราะไม่มี“พระเจ้า” เฝ้าเป็น“นาย”นิรันดรอย่างที่“เทฺวนิยม”มีกัน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:50:41 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 13:42:54 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:32:40 )

กฎแห่งกรรม

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าสอนว่ากรรมเป็นของของตน คุณจะทำทาน จะเป็นแกงดอกกะหล่ำกับสับปะรดกล้วยอะไรก็แล้วแต่ คุณได้ทานสิ่งนี้ก็คือคุณจะได้สละให้ก็เป็นกุศลของคุณ แล้วการทานนั้นถ้าคุณมีสัมมาทิฏฐิ ทานแล้วก็ทำเป็นจิตว่างก็ไม่เอาอะไรคืนเลย ก็เป็นการชำระกิเลสของคุณ แต่ถ้าหากทำทานแล้วยังอยากจะได้ก็ไม่เป็นบุญ แต่มีส่วนกุศลเป็นความดี คุณเสียสละวัตถุข้าวของให้ ก็เป็นกุศล เป็นวิบากดีได้ แต่คุณทำจิตของคุณให้เป็นบุญได้ไหม การให้กับการเอามันไม่เหมือนกันเลย ตรงกันข้ามกันด้วย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:55:33 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 15:21:19 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:29:12 )

กฐิน คือผ้ามีเจ้าของ กฐิน แปลว่าสะดึงใหญ่ๆ

รายละเอียด

ต่างกันกับผ้ากฐิน คือผ้ามีเจ้าของ ไม่ใช่ผ้าป่า กฐินเป็นผ้าที่มีเจ้าของ แม้จะไปเก็บผ้าบังสุกุล ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ได้มา เอามาเย็บ กฐิน แปลว่าสะดึง ใหญ่ๆ ผ้าที่เขาทิ้งแล้วมันไม่มีผืนใหญ่เต็มจีวรผืนเดียว ผ้าห่อศพไม่ได้ผืนใหญ่ขนาดนั้น จีวรผืนหนึ่งนั้นกว้างยาวไม่ใช่น้อย 

นางวิสาขา เป็นต้นบัญญัติไปขอพระพุทธเจ้า ให้ผู้มีเงินมีสตางค์พอจะซื้อผ้าจีวรไตรจีวร 3 ผืนนี้ถวายพระได้ ถือว่าเป็นผ้าคหบดี พระพุทธเจ้าก็อนุโลม เพราะฉะนั้นกฐินทอดได้  มีเจ้าของมายืนยันได้ ให้เวลาทอดกฐินได้แค่ 1 เดือนออกพรรษา เลย 1 เดือนไปก็ทอดกฐินไม่ได้ ทอดได้ในเวลา 1 เดือน แล้ววัดหนึ่งทอดได้ 1 เจ้า มากกว่า 1 เจ้าก็ไม่ได้ ไม่ได้มีเงินมีทองมาเกี่ยวอะไร มีแต่ผ้า เดี๋ยวนี้ผ้าป่าก็เป็นเงิน กฐินก็เป็นเงิน หาวิธีหาแทคติกที่จะหาเงินให้ได้มากที่สุดโดยเลี่ยงบาลีกันไป  บาปกินหัวกันเลอะเทอะ 

อาตมาเริ่มต้นทำงานศาสนามา ตอนแรกก็ให้เขาทอดกฐิน มันไปไม่เป็นเลย อาตมาก็เลยทอดกฐินแค่ครั้งเดียว มันเละเทะไปหมดเลย มันไม่เข้าเรื่องเข้าราว เป็นกระทะทองแดง อาตมาใช้คำว่า ทอดกระทะทองแดง พวกเรานี่แหละจะหาแต่เงิน ถ้าขืนทำอันนี้ขึ้นมาไปหาแต่เงิน เสียศาสนา เสียธรรมะพระพุทธเจ้าหมด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 18:37:39 )

กฐิน เป็นผ้าที่เจ้าของเอามาทอดไม่ใช่เอาเงินมาทอด

รายละเอียด

เพราะ กฐิน เป็นผ้าที่มีเจ้าของได้  ไม่ใช่ของทิ้ง แล้วก็เอาผ้ามาทอด ไม่ใช่เอาเงินมา ทอด ถ้าเอาเงินมาทอดนั้น กระทะทองแดง ได้นรก ทอดกฐินเนี่ย ไม่ใช่ทอดเงิน เพราะฉะนั้น ยังเบี้ยวบาลีที่จะไปทอดกฐินก็คือให้เงิน แล้วไปเบี้ยวบาลีว่าเป็นปัจจัยด้วย คือเงิน แล้วเอาไปซื้อผ้าทีหลัง เดี๋ยวนี้คนมีผ้าจีวรแบ่งกันนุ่งห่มกัน โอ้โห! พระไม่กี่แสนรูป เหลือเฟือ แล้วยังซื้อมาถวายกันไม่หยุดหย่อน เฟ้อ ไม่เข้าเรื่อง 

สรุปคำว่าผ้ากฐินกับผ้าป่าต่างกัน ผ้าป่าต้องเป็นผ้าที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของจริงๆ เขาทิ้งแล้ว ส่วนผ้ากฐินนั้นมีเจ้าของได้ ทอดได้ แล้วทอดได้ 1 ครั้งต่อปีภายในเวลา 1 เดือน เลยจากนั้นก็ไม่ได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 18:40:47 )

กฐิน-ผ้าป่าตามพระธรรมวินัยเป็นอย่างไร 

รายละเอียด

 

ก็ไม่เป็นไรก็พยายามศึกษาตามๆกันไป ขอพูดถึงเรื่องผ้าป่าและกฐินก่อน ที่บอกว่ามันเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาก็ใช่ แล้วบอกว่าไม่ใช่มาจากหลักคำสอน ต้องแยกให้ออกว่าอย่างนั้นนะ อันนี้ก็ขออธิบายแสดงความเห็นร่วมกับคุณวรวุฒิ สีแก่ว ผ้าป่าและกฐิน อยู่ในพระวินัยเลย เป็นวัฒนธรรมทางศาสนาจริงๆ ต้องเข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อานาปานสติอย่างพุทธ ไม่มีนัตถิกทิฏฐิ วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 18:32:50 )

กฐินผ้าป่าประเพณีที่ผิดเพี้ยน

รายละเอียด

ใครติด ผ้าป่าก็ดี กฐินก็ดี ทุกวันนี้เป็นยุคนาโนแล้ว เรื่องของผ้าแต่ก่อนนี้มันหายาก ต้องไปเอาผมคนมาถักใส่ มาทอใส่ ไปเอาแฝกเอาอย่างอื่นมาทอ แต่ทุกวันนี้มันมีเยอะแยะแล้วเรื่องของผ้า ผ้าป่าคือผ้าที่เขาทิ้งแล้วผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีเจ้าของ แต่ทุกวันนี้ใครจะไปจองผ้าป่าเป็นเจ้าของได้กี่กอง เป็นการทำลายพระวินัยพระพุทธเจ้าหมดแล้ว

กฐินในโบราณก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงิน กฐินคือสะดึงที่เย็บผ้า ก็ให้เย็บไป แต่ต่อมามีนางวิสาขาก็สงสารที่ต้องไปเก็บผ้าบังสุกุลมาเย็บ ก็เลยขออนุญาตให้พระพุทธเจ้าทอดกฐินได้ปีละครั้ง นอกจากนั้นไม่ได้ ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องการหาเงินไปหมด เป็นบาป และบาป ทั้งนั้นเลย พูดไปก็มีแต่เรื่องที่ไปตำหนิคนอื่นท่าน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ตีแตกเทวะด้วยคอมเม้นท์ที่เห็นต่างจากพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กฐินผ้าป่าประเพณีที่ผิดเพี้ยน

 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 13:37:21 )

กดข่มไม่ใช่ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาไม่ใช่กดข่ม

รายละเอียด

นี่แหละนักศึกษาก็อ่านอาการของจิตตัวเองได้ว่า โอ้โห พอผู้ร่วมงานบ่นว่าเอา จิตก็ตกวูบเลย  พอตั้งสติได้ เมื่อกี้นี้เหตุการณ์เขาว่าไปมันผ่านไปแล้ว พอรู้ว่า มันเป็นอดีตไปแล้ว จะมาสลดใจอยู่ทำไมว้า จิตก็วูบขึ้นเลย 

ก็เป็นได้ เป็นการกดข่ม ผู้รู้เขาว่าอย่างนั้น ก็เป็นได้ กดข่มแล้วพอวูบ ตั้งสติแล้วก็ตื่นขึ้นมาก็คลาย ก็เปลี่ยนแปลง ก็ทำปัญญาให้แจ้งสิ กดข่ม ไม่ใช่ปัญญา สมถะคือการกดข่มให้หยุด ปัสสัทธิคือการสงบให้หยุด 

ปัสสัทธิคือเห็นจริงรู้อยู่ อ้อ อย่างนี้เข้าใจด้วยปัญญา ปัสสัทธิที่คือปัญญาสมถะไม่มีปัญญาเป็นศรัทธากดข่ม เราต้องทำปัญญาให้แจ้ง ก็จริงๆแล้วคนเขาจะติงจะท้วงจะว่าเอา เราก็จะมีอัตตาไปรับเขาทำไม เรารู้ความจริงว่ากิริยาอาการที่เราเป็นเมื่อกี้ เขาท้วง เขาว่า เขาตำหนิ เออ เขาท้วงว่า ไม่ดีไม่ถูกไม่ควร เราก็เอาคำตำหนิมาพิจารณา เขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ จริงอย่างที่เขาว่าไหม 

หรือแม้ว่าเขาไม่อธิบายเราก็พิจารณาว่ามันจริงของเขาหรือมันไม่จริง ถ้าจริง โอ้โห แล้วทำไมเราจะต้องถือตัวเขาว่าเราผิดแล้วเราก็ผิดจริงๆเราโง่ เราก็จะเกิดปฏิภาณปัญญาว่า ทำไมเราโง่นะ เขาว่าถูกแล้ว 

แต่แม้ว่าคุณจะพิจารณาแล้วคุณก็ยังเห็นว่า คุณก็ไม่ผิด ก็อ้าว ถ้าคุณแน่ใจว่า คุณไม่ผิด คุณไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่า โง่ไม่ได้อยู่ที่เรา โง่ มันอยู่ที่เขา เขาไม่รู้ความจริง ถ้าเราไม่มีอคติ เราไม่ลำเอียงข้างไหน ให้เราตรวจจริงๆว่าตัวเราเองก็ไม่ได้ผิด ความผิดก็อยู่ที่เขา แต่ถ้าผิดจริง ใช่แล้วเราโง่เราไปทำผิด เขาท้วงก็กราบเขาเลยขอบคุณเขา นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ถือตัวแล้วก็พิจารณาถึงภาวะองค์ประกอบความจริงทั้งหมดให้ชัดเจน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 16:34:08 )

กต

รายละเอียด

ทำแล้ว

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 169


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:49:37 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:16:46 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:35:04 )

กตญาณ

รายละเอียด

1. เกิดทำได้เด็ดขาด 

2. ความรอบรู้ในผลที่เสร็จลงแต่ละครั้งครา

3. ความรอบรู้ในผลที่เสร็จลงแต่ละครั้งครา แล้วสมบูรณ์ขึ้นจนมั่นคง มั่นใจเที่ยงแท้เป็นที่สุด 

4. ญาณที่หยั่งรู้ความเสร็จสิ้นสัมบูรณ์แล้วทุกสิ่งอย่าง

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 173 , 190

จากถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 153

จากอีคิวโลกุตระ หน้า 285

จากหนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 228


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:51:29 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:17:24 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:37:51 )

กตญาณ คือญาณที่สำเร็จกิจอะไร

รายละเอียด

ญาณที่สำเร็จกิจ คือ กตญาณ กิจที่เราทำเมื่อสัมผัสกับผัสสะแล้วเกิดกิเลส สิ่งที่เป็นเหตุถูกกับการสัมผัสกับจิตวิญญาณ เราก็ไปรับรู้และจิตเป็นสังขารต่างๆ มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และเราก็เอามาวิจัย วิตก วิจาร แยก จนกระทั่งเราสามารถรู้ปฏิบัติไป อ่านไปได้เรื่อยๆ เมื่อมันมีมรรค มีวิธีการที่ถูกต้อง ทั้งมีการกดข่มช่วย จนไม่ต้องกดข่ม แต่ปัญญามีพลัง ความเข้าใจเห็นจริง รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง มีพลังทำให้กิเลสมันฝ่อ มันหงอ มันหยุด มันไม่มีบทบาท จางคลาย จนมันหยุดมันดับ เพิ่มอันดับเราก็จะรู้ว่ามันต่างกับความเหลือ จะเหลือน้อยเราก็เทียบได้เป็นคู่ คู่ของความเหลือแม้น้อยกับหมด เราก็จะศึกษาคู่ที่มีเหลือน้อยๆๆ กับหมดๆๆ จนกระทั่งเราแน่ใจว่าหมดนะ น้อยนี่มันไม่มี เรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันจะคลางแคลง จนกระทั่งไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนะก็คือ อากิญจัญญาฯ คือนิดนึงน้อยนึงก็ไม่มี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 19:06:35 )

กตัง กรณียังคือ

รายละเอียด

คำว่า จบกิจ ภาษาบาลีว่า กตัง กรณียัง กตังคือจบแล้ว กรณียังคือกิจ หรือหน้าที่การงาน หรือสิ่งที่ต้องกระทำ

จะกระทำในแนวไหน ในแนวเศรษฐกิจ ในแนวรัฐกิจหรือแนวสังคม มันเสร็จจบ จบคืออย่างไร คือ ไม่ต้องมาทำวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้แล้ว มันแล้วจบแล้วทำอย่างนี้ ทำ ขนาดนี้ มันพอดี พอเหมาะ อย่างนี้แหละใช้แล้ว ดีที่สุดแล้ว เช่น

คุณไม่เอา เวลาแรงงานทุนรอนไปทำอย่างโน้น มาทำอย่างนี้ ได้ประมาณนี้ พอ เออ มันเกินหน่อยก็ดีเผื่อคนอื่นเท่าที่เราจะมีความสามารถ เพราะการเผื่อแผ่ผู้อื่นยังไม่ต้องสันโดษก็ได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศล เพราะสิ่งนี้ผู้อื่นจะได้อาศัย ไม่ใช่สิ่งมอมเมา ไม่ใช่สิ่งเป็นพิษ โดยเฉพาะไม่ใช่สิ่งที่จะไปฆ่าแกงทำร้ายทำลายเค้าเด็ดขาด เป็นสิ่งที่ชีวิตต้องอาศัยใช้สอย 

ที่มา ที่ไป

รายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:58:52 )

กตัญญูกตเวที

รายละเอียด

คือ คนดีมีญาณปัญญา คนที่จะช่วยเหลือ อุปฐาก อุปถัมภ์ สนับสนุน ส่งเสริม เผยแพร่ สิ่งที่ดีให้ยั่งยืนต่อไป

หนังสืออ้างอิง

" สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4" "โพธิรักษ์ "..."โพธิกิจ" หน้า 76


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 14:03:52 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:38 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:44:35 )

กตัญญูกตเวทีคือการบรรลุธรรม 

รายละเอียด

อาตมาให้ความรู้ พวกคุณไป พวกคุณต้องมาตอบแทนอาตมา อาตมาว่าอาตมาเข้าใจจิตวิญญาณ อาตมามาสอนไม่เคยหวังอะไรจากพวกคุณ แต่พวกคุณจะมีคุณธรรมกตัญญูกตเวที อันนี้เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของอาตมาอยากได้ แต่ใครจะกตัญญูกตเวทีนั้นเป็นส่วนตัวของคุณ คุณควรจะกตัญญูกตเวทีอย่างไรอย่างเหมาะควร สำหรับเราในฐานะของเราคุณก็ทำตามควร ทำได้เหมาะสมพอเหมาะพอดีก็ดี มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ควร น้อยไปก็ไม่ดี ถ้าให้ดีก็คือพวกคุณบรรลุธรรม 

มาช่วยอาตมา ไม่ใช่ช่วยอาตมาหรอก ช่วยศาสนา ช่วยพระพุทธเจ้าเลย ไม่ช่วยอาตมาด้วยซ้ำ คุณก็จะช่วยคนอื่นให้บรรลุตามไปอีก มันก็เป็นการสืบทอดธรรมะ สืบทอดศาสนา ช่วยกันไปคนละไม้คนละมือ ก็อย่างนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร  วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:13:24 )

กตัตถะ

รายละเอียด

ผู้ทำประโยชน์แล้ว

หนังสืออ้างอิง

จาก ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 228


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:19:13 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:20:47 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:48:45 )

กติกาการรับเงินบริจาคของชาวอโศก

รายละเอียด

ผู้ที่จะมาบริจาค เราได้มีกติกาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ คนที่ไม่ใช่สมาชิกชาวอโศกจริงๆ ไม่มีสิทธิ์บริจาค บริจาคให้เราก็ไม่รับ จะเอามากี่ล้านร้อยล้านพันล้านเราก็ไม่รับถ้าคุณไม่อยู่ในกติกา กติกามีโดยสังเขปสั้นๆว่า 

  1. คุณจะต้องรู้จักอโศกดีพออย่างสัมมาทิฏฐิ 

  2. คุณจะต้องอย่างน้อยมาสัมผัสจริงๆสัมผัสสังคมชุมชนชาวอโศกที่มีชุมชนอยู่ทั่วประเทศนี้ชุมชนไหนก็ได้ มาสัมผัสอย่างมาศึกษาเลยนะ มาครั้งเดียวก็ยังไม่เข้ากติกา 2 ครั้งก็ยังไม่เข้ากติกา 3 ครั้งก็ยังไม่เข้ากติกายังไม่มีสิทธิ์ 4 ครั้ง 5 ครั้งก็ยังไม่ได้ ต้อง 7 ครั้งขึ้นไป เป็นอย่างน้อยเอาเลข 7 เป็นตัวหลัก แค่มาซื้อของก็ไม่ได้ แม้แต่จะดูโทรทัศน์เกิน 7 ครั้ง ก็ไม่ได้ มีคนบอกว่าก็ดูโทรทัศน์ก็ศึกษาไม่ใช่ศึกษา เขาก็บอกว่าดูเกิน 700 ครั้ง อาตมาก็ว่ายังไม่ตั้งหลักเกณฑ์ทางโทรทัศน์ จะเป็น 70 ครั้ง 700 ครั้งก็ยังไม่ตั้ง เรื่องนี้เอาไว้ก่อนยังไม่ออก ไม่อย่างนั้นตีกินหมดเลย จะเอาโทรทัศน์ ตกลงแค่นั้นมันก็ไม่ได้มีสัมผัสทางวิญญาณ  ลึกซึ้งนะมันต้องสัมผัสทางวิญญาณจริงๆ มันยิ่งใหญ่ 

  3. ไม่ได้อ่านหนังสือ อย่างน้อย 7 เล่ม ไม่ใช่แค่เล่มเล็กๆอย่างหิ่งห้อยนะ ไม่ใช่อ่านแต่หน้าปกหลังปกหน้าต้องอ่านจริงๆให้ครบ หนังสือมีเป็นร้อยเรื่อง ที่อาตมาเขียนมา พิมพ์ไปก็หลายล้านเล่มแล้ว ที่แจกจ่ายออกไป มีกติกาที่เข้าข่ายบริจาคได้ จะบริจาคมากหรือน้อยก็ต้องตามกติกาแล้วคุณจะได้บริจาค ถ้าไม่ได้อยู่ในกติกาจะบริจาคเป็นพันล้านหมื่นล้านเราก็รับไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกอโศกนี้จึงเป็นพวกที่ คนรวยๆจะเอาเงินมาใส่แล้วทำเป็นเบ่งมีอิทธิพลไม่ได้กินหรอก เพราะฉะนั้นคนที่เขามีอย่างนั้นก็มีเงินกันเยอะนะ เอาเงินมาบริจาคแล้วจะได้อภิสิทธิ์ก็ช่าง ไม่ได้กินอโศกหรอกอโศกไม่มีทางให้เด็ดขาด เพราะเราถือว่า คุณบริจาคมาแล้วที่นี่จะลืมด้วยซ้ำไปว่าคุณเคยบริจาค ฟังให้ดีนะ ตรงนี้ คุณบริจาคมา ที่นี่จะทำลืมว่าคนบริจาคด้วยแม้ว่าจะจำได้ก็ทำลืม ไม่มีจารึกชื่อ แต่ลึกๆเราก็จะรู้อยู่ว่าคุณเคยช่วยเหลือเรา พระพุทธเจ้าหรือพระสารีบุตรก็ยังจำได้ว่า ราทะพราหมณ์ เคยใส่บาตรเราครั้งหนึ่ง ตอนมืดจะบวชแล้วไม่มีใครช่วยเหลือเลย พระสารีบุตรจำได้ว่าเขาเคยใส่บาตรข้าวหนึ่งทัพพี ก็เลยหาเครื่องสำหรับบวชให้ สมัยก่อนหายากนะแต่สมัยนี้หาได้ง่ายมาก 

สรุปแล้วการจะรับบริจาคหรือไม่รับบริจาคเพราะมีกติกาและไม่ได้ทำเล่นนะ เพราะเป็นการศึกษาเป็นการปฏิบัติเรียนรู้สัจธรรมเรื่องบริจาคเป็นการเรียนรู้สัจธรรม 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 14:23:07 )

กถา

รายละเอียด

คำอธิบาย  คำกล่าว

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 1 หน้า 225


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2562 ( 11:52:52 )

เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 15:20:11 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:58:06 )

กถาวัตถุ 10

รายละเอียด

คือเรื่องที่ควรพูด เพื่อการขัดเกลากิเลส

1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)

2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)

3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)

4. เรื่องที่ชักนำไม่คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

5. เรื่องที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในความเพียร (วิริยารัมภกถา)

6. เรื่องที่ชักนำให้สมบูรณ์ในศีล (สีลกถา)

7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในกุศล (สมาธิกถา)

8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญาชำแรกกิเลส (ปัญญากถา)

9. เรื่องที่ชักนำให้ทำตนหลุดพ้นกิเลส (วิมุตติกถา)

10. เรื่องที่ชักนำให้รู้แจ้งเห็นจริงในภาวะแห่งความหลุดพ้นกิเลสแล้ว(วิมุตติญาณทัสสนกถา)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 24  วัตถุกถาสูตร  ข้อ 69 – 70

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 17:22:04 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:00:24 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:00:49 )

กถาวัตถุ 10

รายละเอียด

สรุปแล้วจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่อยู่ในกถาวัตถุ 10 นี่แหละ กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา   สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา  วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา  วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา

  1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา)  

  2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)  

  3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)  

  4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา)

  5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา)  

  6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

  7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา)

  8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

  9. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา)

  10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561

หนังสืออ้างอิง

(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 69)


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:19:52 )

กถาวัตถุ 10

รายละเอียด

อาตมารู้แล้วอาตมาก็ทำได้ก็มาสอนพวกเราให้รับต่อไปได้จึงสำเร็จมีการบรรลุได้ กถาวัตถุ 10 แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติ

1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .

2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา) 

3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .

4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) .

5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .

6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)

7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ  (สมาธิกถา) .

8. เรื่องที่ชักนำให้เกิดปัญญา (ปัญญากถา)

9. เรื่องที่ชักนำให้หลุดพ้นจากกิเลส  (วิมุติกถา) 

10. เรื่องที่ชักนำให้เกิดความรู้แจ้ง เห็นจริงในความหลุดพ้นจากกิเลส (วิมุตติญาณทัสสนกถา)

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 69)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

 สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีที่ไหนในพระไตรปิฎก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:46:21 )

กถาวัตถุ 10

รายละเอียด

คือเรื่องที่ควรพูด เพื่อการขัดเกลากิเลส

1. เรื่องให้มักน้อยกล้าจน (อัปปัจฉกถา)

2. เรื่องให้สันโดษใจพอ (สันตุฏฐกถา)

3. เรื่องให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา)

4. เรื่องไม่คลุกคลีกับกิเลส (อสังสัคคกถา)

5. เรื่องให้ตั้งอยู่ในความเพียร (วิริยารัมภกถา)

6. เรื่องให้สมบูรณ์ในศีล (สีลกถา)

7. เรื่องให้จิตตั้งมั่นในกุศล (สมาธิกถา)

8. เรื่องให้เกิดปัญญาชําแรกกิเลส (ปัญญากถา)

9. เรื่องให้ทําตนหลุดพ้นกิเลส (วิมุตติกถา)

10. เรื่องให้รู้แจ้งเห็นจริงในภาวะแห่งความหลุดพ้นกิเลสแล้ว(วิมุตติญาณทัสสนกถา)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 24 “วัตถุกถาสูตร” ข้อ 70


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2565 ( 21:41:21 )

กถาวัตถุ 5 ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุตติญาณทัสสนะ

รายละเอียด

ศีลข้อที่ 1 ไปสัมผัสกับคนแล้วเกิดกิเลสอย่างไร แล้วก็ล้างกิเลสทำให้เกิดจิตที่สะอาดขึ้น ทำอธิจิต โดยมีอธิปัญญาช่วยทำ ก็เกิดอธิมุติ หลุดพ้นออกๆ โน้มเน้นไปหานิพพาน อธิมุติ จนมาเป็นวิมุติ อธิเจริญๆมาถึง วิ ไม่มีแล้ว วิเศษ ไม่เหลือแล้ว ทั้งไม่ทั้งวิเศษแล้ว เป็นวิมุติ 

เสร็จแล้วก็ทบทวน ตรวจสอบ ให้มี ให้เห็น ให้รู้ ให้ชัดเจน ว่าที่ทำนี้ครบทั้งรูปทั้งนาม ครบทั้งสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสจนแข็งแรงถาวรเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) จริงหรือเปล่า วิมุตติญาณทัสสนะก็ตรวจความจริงอันนี้จนสมบูรณ์แบบครบหมดวิมุตติญาณทัสสนะเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:16:38 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์