@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

แยกกายแยกจิตถูก

รายละเอียด

ถ้าเข้าใจไม่ได้ มิจฉาทิฐิอยู่ แน่นอนเขาก็จะแยกกายแยกจิตอย่างนั้นไม่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจถูกก็จะแยกกายแยกจิตถูก คือ จะแยกกาย เมื่อใดเป็นกาย 

1. เมื่อใดเป็นไม่ใช่กาย และไม่มีชีวะ 

2. กับเมื่อใดไม่ใช่กายแต่ยังมีชีวะ 

3. เมื่อใดเป็นกายเป็นจิตแยกกันไม่ออก เป็นกายที่เป็นจิตนิยาม

เอา 3 ประเด็นนี้ อุตุไม่ใช่ชีวะ ดินน้ำไฟลม แม้พลังงาน สสารพลังงาน ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้าก็ยังเป็นอุตุ 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช กายนี้คือวิญญาณ วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:33:51 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:52:59 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:27:35 )

แยกกายแยกจิตทำให้เป็นนิพพานได้

รายละเอียด

จริง ไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา อย่างที่อาตมานำมาพูด เรื่องที่อุปัชฌาย์ อาจารย์จะต้องให้กรรมฐานเป็นมูลกรรมฐานแก่พระบวชใหม่ ให้แยกกายแยกจิตให้ได้ หากคุณทำจิตให้เป็นกาย กายนั้นยังมีจิต แต่ถ้าทำจิตไม่ให้เป็นกาย คือทำจิตให้เป็นอุตุธาตุหรืออุตุธรรม ให้ทรงสภาพเป็นอุตุธาตุ พระอรหันต์สามารถทำจิตให้เป็นอุตุธาตุได้ ให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ให้ไม่เกิดไม่ตายได้ โดยมันเป็นวัตถุไปแล้ว คือสิ่งที่ไม่มีชีวิตแล้ว หรือยังมี กึ่งมีชีวะ แต่ไม่มีเวทนา เป็นพีชะ เป็นชีวะ แต่ไม่มีเวทนา เหมือนอย่างเล็บ ผมขนเล็บฟันหนัง เล็บอยู่ตรงนี้มันก็เป็นชีวะ อาตมาก็ต้องตัดเล็บเรื่อย ไม่ตัดมันจะยาวออกมา แต่มันไม่มีเวทนา ท่านก็สอนเรื่อง ผมขนเล็บฟันหนัง 5 อย่างนี้ เป็นสิ่งที่เราจะหยิบมาเป็นอุปกรณ์การศึกษาได้ เพราะฉะนั้นเราจะรู้ว่าเมื่อไหร่มันไม่เป็น กาย แล้ว แม้มันจะเป็นชีวะ เป็นพีชะ อยู่กับเราแต่มันไม่ใช่กาย เพราะว่ากายนั้นไม่มีจิต ไม่มีเวทนาแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวด อย่างเช่น เล็บยาวออกมาคุณจะตัดออกไปมันก็ไม่เจ็บปวดอะไรแล้วนี่ มันไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความสุข ความทุกข์ คุณต้องทำ จิตใจของคุณทำได้ละเอียดกว่าธาตุข้างนอกด้วย คุณทำจิตของคุณให้เป็น พีชะ คุณก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำ 2 ให้เป็น 1 เป็นชีวะ แต่ถ้าทำ 2 ให้เป็น 0 เลยก็เป็นอุตุ อาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว ซึ่งการอธิบายสิ่งต่างๆเหล่านี้ เดาเอาไม่ได้ โมเมไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่จริงของโลกุตรธรรม ความรู้อันนี้ทำให้เป็นนิพพานได้ ทำให้หลุดพ้นจากโลกียะ เป็นการบรรลุธรรม อรหะไม่ลึกลับ บรรลุผลสูงสุดจนกระทั่งคุณเป็นพระอรหันต์ อาตมา กว่าจะอธิบายได้ขนาดนี้ไม่ใช่แค่อรหันต์ขั้นที่ 4 ที่ 5 นะ อรหันต์ขั้นที่ 4 และ 5 ต้องไปฟังจากอรหันต์รุ่นพี่ หากไม่ได้ฟังก็จ้างจะอธิบายแยกกายแยกจิตไม่ได้ อรหันต์ขั้นที่ 4 และ 5 ตัวเองก็ยังแยกยาก เพราะว่ามันต้องมีทั้งพยัญชนะและสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 10:31:02 )

แยกกายแยกจิตที่เป็นมูลกรรมฐาน 5

รายละเอียด

1.อุปัชฌาย์จะต้องสอนสัทธิวิหาริกให้สัมมาทิฏฐิ ถ้าหากไม่ได้สอนแบบนั้นไม่มีแบบนั้นก็โมฆะหมด มิจฉาทิฏฐิหมดไม่เข้าใจการแยกกายแยกจิตที่เป็นมูลกรรมฐาน 5 แยกโดยการอธิบายจากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่เป็นอวัยวะ 5 อย่าง เป็นอาการ 5 ข้างนอกที่มันมีในคน อย่างผมก็ดี ขน เล็บ ฟัน หนัง มันอยู่ภายนอก นอกนั้นเป็นอวัยวะภายในหมดเลย เป็นเนื้อเป็นตับไตไส้พุงอยู่ข้างใน เอาไปเรียนรู้ไม่ได้ แต่มันอยู่ที่ภายนอกนี้เรียนรู้ได้ ให้รู้ว่าอันใดส่วนใดที่ไม่นับว่าเป็น พีชะแล้ว ไม่นับเป็นจิตแล้วเป็นอุตุคืออย่างไร เช่น เราตัดขนขาด ตัดผมส่วนที่ขาดไปแล้ว เล็บส่วนที่ขาดไปแล้ว ฟันส่วนที่กรอออกไปแล้ว ผิวหนังที่เราขัดถูภายนอก เป็นอุตุไปหมด ต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จึงจะเรียนรู้ได้ ถ้าเรียนรู้ไม่ได้ก็ไม่สามารถทำให้จิตของเราเป็น พีชะเป็นอุตุได้ โดยกรรมโดยธรรมะ ปฏิบัติธรรมไม่สำเร็จอรหันต์ถ้าไม่รู้สัมมาทิฏฐิธรรมนิยาม 5 นี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:07:20 )

แยกกายแยกจิตผิดก็หลงปฏิบัติผิดนั่งหลับตา

รายละเอียด

กาย ในพจนานุกรมแปลว่าองค์ประชุมหรือกองหรือหมู่ ไม่ใช่เดี่ยวนะ เป็นองค์ประชุมของเจตสิก มีเวทนา สัญญา หรือสังขารเป็นต้น ในพจนานุกรมก็ยังอยู่ทุกวันนี้ก็เอามาใช้ ก็ยังแปลชัดเจนอยู่ในพจนานุกรม แต่ความเห็นผิดเขาเข้าใจผิดไปแล้วว่า กาย คือสรีระเฉยๆ หรือเป็นวัตถุไม่มีจิตร่วมด้วย อันนี้แหละเป็นเบื้องต้นที่ผิด 

พระพุทธเจ้าถึงให้สอน ถ้าจะมาบวชก็สอนเป็นมูลกรรมฐานแท้ๆ เลย สอนให้แยกจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มาอธิบายเมื่อไหร่มันเป็นกายแต่เป็นพีชะ เมื่อใดเป็นกาย ที่บริบูรณ์มีกรรม มีธรรมะ ถ้าไม่มีความรู้เรื่องกาย เรื่องจิตให้ชัดเจนอย่างนี้แล้วก็ไปแยกกายแยกจิตอย่างผิด คือนั่งหลับตาแล้วถอดร่าง ออกไป ทิ้งกาย เห็นนั่งแข็งอยู่อย่างนั้นส่วนจิตก็ไปอยู่ข้างนอก ก็บอกว่าแยกกายแยกจิตไปโน่นเลย เป็นมโนมยอัตตาหรือเป็นนิรมาณกาย ฝันเพ้อเองเป็นเรื่องสร้างภพชาติสร้างรูปเอง แล้วเขาก็มีกันอยู่จนทุกวันนี้ก็เป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องหลงใหล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2565 ( 14:14:39 )

แยกกายแยกจิตพิจารณาที่เล็บ

รายละเอียด

ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง  ที่ได้พิจารณาว่า  คุณต้องรู้ว่า  อยู่ในร่างกายของคุณ  คุณจะต้องเข้าใจ  เอาที่เล็บ  อย่างอื่นอธิบายได้ยาก  เล็บของคุณออกมา  มันยังมี ชีวะ  มันยังเป็นพีชะ  แต่ยาวออกมาแล้ว  ส่วนที่มันไม่รับ  ความรู้สึก  ไม่ใช่กาย  เป็นชีวะ มันไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เจ็บ  ไม่ปวด เล็บส่วนที่เป็นชีวะมีอาหารเลี้ยงอยู่ ถ้าตัดเล็บ ส่วนนี้ ขาดจาก ร่างกายเรา ส่วนนั้นแน่นอน ก็เป็นอุตุ  เป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม  ขาดชีวะแล้วด้วย ตัดออกไปนั้นคือ อุตุที่แยกให้ดี แต่ยังเป็นชีวะอยู่ คุณยังไม่ตาย  คุณจะต้องรู้จักทำตัวให้เป็นพีชะ  ที่ไม่ทุกข์ ไม่สุข  แต่มีชีวะ ไม่มีบาป ไม่มีบุญ เหมือนเล็บส่วนที่เป็นพีชะ  ถ้าใครแยกกายแยกจิตอันนี้ออก  กายอันนี้ไม่ใช่กายแล้วนะ เพราะไม่มีความรู้สึก ถ้าใครเข้าใจตรงนี้ไม่ได้  ก็จะไปเข้าใจการนั่งเอาจิตเข้าไป  ภายในจนเป็นพรหมลูกฟัก  ข้างนอกไม่รู้สึกเลยเป็นมนุษย์พืช  เขาก็ทำกันได้  แต่ของพระพุทธเจ้าลืมตาสัมผัสรับรู้อยู่แต่เราทำจิตของเราให้เป็น พีชะ ไม่สุข ไม่ทุกข์  ไม่ทำชั่วแล้ว  ทำแต่ดีด้วยซ้ำไป  ก็สามารถมี วสวัตตีโก ยังจิตให้อยู่ในอำนาจได้ ก็เป็นผู้ที่ควบคุมกาย  ควบคุมจิตได้ ทำกายให้ไม่สุข ไม่ทุกข์ได้ นี่แหละคือ ปรมัตถ์ชั้นยอดของศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:34:47 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:53:42 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:28:20 )

แยกกายแยกจิตสำคัญมาก

รายละเอียด

แม้ชีวะของพืช ก็ไม่มีกายแล้ว ไม่ถือว่าเป็นกาย ยิ่งเป็นอุตุก็ยิ่งไม่มีกายใหญ่เลย ไม่ใช่พยัญชนะว่า พืชหรืออุตุมีกาย พืชคือ ความไม่มีกาย แต่พืชมีชีวะได้ แต่ไม่มีกาย 

ท่านก็ให้เรียนรู้การแยกกายแยกจิต ตัวนี้สำคัญมากเลย จากผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เล็บของเราตรงไหนที่มันไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณแล้ว ไม่มีความรู้สึกแล้ว ผมก็เหมือนกัน ฟันก็เหมือนกัน ผมก็ยาวกว่าจะถึงจุดประสาท ฟันก็ยิ่งใกล้ แต่ผิวหนังยิ่งใกล้จุดประสาทเลยผิวหนังที่มันเป็นผิวจริงๆ มันไม่ใช่ กายแล้วเป็นอุตุแล้ว ถูๆ ออกก็ทิ้งไป ไม่เจ็บไม่ปวดไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้ายังไม่ใช่ มันสดมีชีวะคั่นจิตอยู่นะมันก็เจ็บ หรือเล็บก็เจ็บไปถึงประสาท พอเจ็บแล้วนั่นละมีกาย กายกับจิต จึงเป็นหนึ่งเดียวกันตรงนั้น ถ้ามันไม่เจ็บแล้ว ไม่ใช่กาย แต่มันยังไม่ตาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ติดกับตัว ได้อาหารมันก็ยังโตอยู่ อย่างเล็บ ผม ฟัน ผิวหนัง ก็ต่อเนื่องเป็นชีวะของจิตก็เจ็บ แต่ถ้าไม่ใช่ชีวะของจิตไม่เจ็บ ก็ตัดกรอบมันตรงนั้น ตัดเขตตรงนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:46:04 )

แยกกายแยกจิตอย่างละเอียด

รายละเอียด

แยกกายแยกจิตไม่ใช่เรื่องง่าย อุปัชฌาย์ที่ดูแลลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าจึงให้มีวินัยกำชับกำชาเลยว่าให้มีความรู้ที่มีการแยกกายแยกจิตได้ แล้วก็ต้องสอนบอกวิธีแยกกายแยกจิตให้กับสัทธิวิหาริก ต้องอธิบายอันนี้ให้ฟังเลยทีเดียวจะได้นำไปเป็นหลักในการปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่ถูกต้องไม่สัมมาทิฐิ ปิดประตูเลยไม่มีทางที่จะไปนิพพาน สำคัญที่สุดเลยกายกับจิต แยกกายแยกจิตสำคัญที่สุด 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 09:46:19 )

แยกกายแยกจิตอย่างสัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

อธิบายแยกกายแยกจิต จะต้องอธิบายกันอีกนานอีกมากเลยเรื่องกายเรื่องจิต ถ้าเข้าใจแยกกายแยกจิตไม่ได้ 

1.เข้าใจกายสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า เข้าใจกายผิด ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ ท่านใช้คำว่า กาย กับ สักกะด้วย ก็ต้องมาเอาที่ตัวเราอย่าเพิ่งไปเอาที่คนอื่น กายของตนความเป็นกายนี้เอาที่ตัวเราจึงเรียกว่า สักกายะ 

ทีนี้คำว่า กายนี่แหละกับจิต จะต้องแยกให้ออก การแยกตรงนี้แหละลึกซึ้งมาก ถ้าแยกตรงนี้ผิด ไม่มีทางเป็นอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงสอนการแยกกายแยกจิตนี้ ให้อ่านเอาจาก ผมขนเล็บฟันหนัง จะเอาอันไหนก็ได้ แยกดูจากผมก็ได้ จากขนก็ได้ จากเล็บก็ได้ จากฟันก็ได้ จากหนังก็ได้ หนังก็มีผิวหนังข้างนอกกับผิวหนังข้างในที่ถึงประสาท

ผิวหนังข้างนอกไม่มีประสาท มันก็จะไม่รู้สึก คือไม่มีเวทนา รู้สึกได้รู้สึกเฉยๆ รู้สึกไม่มีอะไรไม่บวกไม่ลบได้ ทีนี้อธิบายผิวหนังมันละเอียด มันชิดกันมากเกิน 

ขนก็สั้น ฟันมันก็อยู่ข้างในเกิน ผมมันก็ยาวเกิน ก็อธิบายเล็บง่ายกว่า อาตมาก็เอาเล็บเป็นตัวอย่าง ฟังให้ดีๆ อธิบายแล้วหลายร้อยทีนะ แต่ก็อธิบายอีกเพราะมันสำคัญ 

เพราะฉะนั้นภิกษุที่มาบวชอุปัชฌาย์ต้องอธิบายแยกกายแยกจิต นี่แหละในธรรมนิยาม 5 ให้แก่ลูกศิษย์ให้ได้ ถ้ายังเข้าใจอันนี้ไม่ได้ลูกศิษย์ก็หมดหวัง ถ้ายังมิจฉาทิฐิในเรื่องแยกกายแยกจิตอยู่ลูกศิษย์บวชไปก็สูญเปล่าไม่มีทางบรรลุอรหันต์ อุปัชฌาย์ต้องอธิบายนี้ก่อน อันนี้เป็นธรรมวินัยเป็นหลักธรรมด้วยนะ 

กาย คือสภาพมีเวทนามีจิตร่วมอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นพิจารณากายในกาย พิจารณาเวทนาในเวทนา พิจารณาจิตในจิต พิจารณาธรรมในธรรม 

เพราะฉะนั้นการพิจารณากายในกายนี้ มันยิ่งกว่านอก เพราะฉะนั้นก็เข้าหาเวทนาเข้าหาจิต เพราะฉะนั้นกายในกายจึงต้องมีเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาไม่ใช่กาย ฟังให้ชัดๆ นะ 

เพราะฉะนั้นเมื่อคุณทำจิตของคุณ ไม่ให้มีเวทนา ทำความรู้สึกทำใจในใจของคุณเมื่อสัมผัสอะไรก็แล้วแต่ 

1.มันไม่รู้สึกมีเวทนาเก๊ เวทนาอร่อย เวทนาที่เป็นรสชาติแบบโลกีย์รส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เป็นรสชาติพิเศษเป็นรสชาติอร่อยเป็นอัสสาทะ อย่างนี้เป็นเวทนาเก๊เลย

2.ทีนี้เวทนาที่ไม่เก๊คือเวทนาที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง สัมผัสอันนี้แดง เราก็นึกว่าสวย สวยคือเก๊ แต่แดง ไม่ว่าจะไทย จีน แขก ฝรั่ง ก็สภาวธรรมอันเดียวกัน น่าจะเรียกชื่อต่างกัน 

แดงหรือ เป็นรูปกลมหรือรูปเหลี่ยมอะไรก็แล้วแต่หรือกระทั่งละเอียดเป็นผิวหนัง ผิวหนังเนียน ผิวหนังหยาบก็แล้วแต่ตามความเป็นจริงของคนหรือรูปธรรมทุกอย่าง มันเป็นอย่างนั้น

คุณก็กำหนดรู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วไม่ผลักไม่ดูดสิ่งนั้น นี่คือเวทนารู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น ในฐานะที่เรายังมีชีวิต เรายังรับรู้ เรายังมีจิตนิยาม แต่เรารู้สึกว่า เราไม่มี 2 เราไม่มีผลักไม่มีดูด จิตของเราเหมือนพืช ไม่มีกาย ไม่มีเวทนา 

พืชมันมีแต่สัญญากับสังขาร มันมีแต่การปรุงแต่งกับกำหนดรู้ของมัน กล้วยดาบ มันจะต้องเอาธาตุนี้มา ธาตุนี้ไม่ใช่มันไม่เอา มันเอาแต่ธาตุนี้มาปรุงแต่งเป็นกล้วยดาบ อันอื่นมันไม่เกี่ยว มันไม่ไปทะเลาะ มันไม่ไปวุ่นวายอะไร 

แม้ว่าธาตุนี้ควรจะได้มันก็ไม่ถึงแย่ง มันมีแรงดูดพอสมควรได้มาก็เอา อันอื่นมันดูดไปได้มากกว่ายอมแพ้ไม่เอา ไม่มีภัยไม่มีการรบราอะไรนี่คือพืชเป็นภาวะอาการของธาตุรู้ แม้ขั้นสัญญากับสังขารก็ไม่มีศัตรูก็ไม่มีการไปเบียดเบียนอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำจิตได้แบบนี้ถือเป็นจิตอรหันต์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่เป็นภัยไม่เป็นโทษ 

เพราะฉะนั้นจะทำแต่ตนเองเจริญขึ้นเจริญขึ้น ถ้ายิ่งทำให้ ตัดไปเลยไม่เป็นส่วนของกายเลย ขาดออกไปจากชีวิต 

ถ้ายังมีชีวะร่วมอยู่นี้ยังเรียกว่า มันไม่มีกายแต่มีชีวะอยู่เรียกว่าพืช มนุษย์พืชที่ไม่รับรู้สึกอะไรแล้ว นอนมีชีวิตอยู่เฉยๆ ประสาทรับรู้ไม่มีเลย อะไร ๆ ก็ไม่รู้ นั่นคือมนุษย์พืช 

เล็บ มันยาวออกมาแล้วพ้นประสาท แต่มันมีชีวะเหมือนมนุษย์พืช มันยังไม่ตาย ยังไม่ได้ตัดออกไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ตัดขาดออกจากเล็บไม่เจ็บไม่ปวดไม่ทุกข์ไม่บาป ตัดออกไปแล้วมันก็ขาดออกไป ที่ขาดออกไปแล้วเป็นอุตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ไปต่อชีวะชีวิตอีกแล้ว 

เพราะฉะนั้นคนที่ทำจิตเป็นอุตุ มนสิการทำจิตในจิตของเรา ทำของเราให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากอยู่ แต่ทำได้ 

เพราะฉะนั้นทำจิตให้เป็นพืช นี่คือฐานอาศัยของอรหันต์ ถ้าทำจิตไม่เป็นพืชมันยังมีผลักมีดูดมีทุกข์มีสุขอันนี้คุณก็ยังทำไม่สำเร็จ เห็นไหมมันแยกกายแยกจิตอย่าง 

เพราะฉะนั้นไม่มีกายไม่มีเวทนา จิตมันก็ไม่ชื่อว่ามีจิต เพราะฉะนั้นถ้ายังมีกาย ยังมีเวทนา กายกับเวทนาจึงไม่แยกกัน แต่อธิบายแยกกันได้ว่า กายคือสิ่งภายนอก 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจหยาบๆ ก็คือตัดกายคือภายนอกอย่างเดียวไม่มีจิตร่วมด้วยนี่แหละมิจฉาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นคนไปนั่งหลับตาปฏิบัติทิ้งกายภายนอกเลย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเลยไม่รับรู้สัมผัสคุณก็อยู่ในจิตอย่างเดียวนั่นแหละเป็นโมฆบุรุษ มิจฉาทิฏฐิตลอดกาลแล้ว คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมอรหันต์เลย เพราะคุณไม่มีสัญญากำหนดรู้กาย ที่ต้องมีภายนอก อาตมาสำทับนะว่ากายต้องมีภายนอกเสมอ ขาดภายนอกเป็นสัมภเวสี ขาดภายนอกเป็นจิตในภวังค์ เป็นจิตล่องลอย ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งไม่มีฐานที่ตั้ง ไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติ 

เพราะฉะนั้นผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัตินี้ เลิกมาได้ทั้งหมดเลย มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าให้สัมมาทิฏฐิมีจรณะ 15 วิชชา 8 มีศีลเป็นข้อๆ ไปปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละคือครบ

มีสำรวมอินทรีย์ 6โภชเนมัตตัญญุตา แล้วทำจิตให้ตื่นเต็มให้ได้ 3 ข้อนี้ ปฏิบัติแล้วจึงจะไปเกิดสัทธรรม 7 ถ้าไม่อย่างนั้นไม่เกิดสัจธรรม 7 คุณจะรู้สึกว่าอย่างนี้เชื่อแล้วเข้าใจแล้วจะมี คุณก็จะเกิดเป็นมิจฉาศรัทธาตามที่คุณยึดถือไป ไม่เกิดเหตุปัจจัยอย่างที่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 

เช่น คุณไปยึดถือว่า ผิด ทั้งๆ ที่มันถูก ไปยึดอันที่ถูกกว่านี้ผิด ผลักเขาเสีย ก็ต้องว่ากันคุณผิด ผมถูก ทั้งที่เขาถูก คุณเข้าไปว่าเขาผิดด้วยซ้ำไป หรือไปซัดเขาใหญ่เลย พอไปรู้ความจริงก็จะรู้ว่า เราไม่ควรไปว่าท่านเลยคนนี้แหละ จะเกิดหิริโอตตัปปะแท้ๆ อายตัวเองกูหนอกู เฮ้ย โป๊ความโง่ ไปเปลือยความโง่ออกไปแท้ๆ ให้ชาวบ้านชาวช่องเขารู้ความโง่ ผู้รู้เขารู้นะ ไอ้นี่มาตำหนิสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง คนไม่รู้ก็แล้วไปเถอะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566 วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 20:50:18 )

แยกกายแยกจิตอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคำว่ากาย กับคำว่าจิต จึงจะต้องรู้ว่า กายที่เป็นกายอย่างไร กายที่มีเวทนาอย่างไร กายที่ท่านให้พิจารณากาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถ้าส่วนที่มันยังติดอยู่ในร่างกายนี้ ส่วนที่ไม่ได้เรียกว่า กาย

เช่น เล็บ ที่มันเกินมา ผมก็ตามยาวเกินมาไม่ใช่กาย ตัดทิ้งออกไปมันก็ไม่รู้สึกไม่มีจิตมโน วิญญาณร่วม อันนั้นไม่ใช่กาย กายต้องมีจิต มโน วิญญาณ ต้องมีความรู้สึกร่วมจึงจะเรียกว่ากาย เพราะฉะนั้นเล็บที่โผล่มาไม่มีความรู้สึกแล้ว ตัดทิ้งไปได้แล้ว มันไม่ใช่กายของเรา นี่เป็นการเรียนรู้อันแรก แต่มันเป็นชีวะนะ ที่มันอยู่ตรงนี้เป็น พีชะ มันยังเป็นความไม่รู้สึก จิตเราไม่ร่วมไม่ใช่กายเราแล้ว ตัดทิ้งได้แต่มันยังยาวอยู่นะ มีเลือดมีวิตามินไปเลี้ยงมันอยู่ อาหารให้พีชะมันยังอยู่นะ

แต่ถ้าผู้หญิงไปตัดผม แม้มันไม่ใช่กายเรา แต่ถ้ายึดถืออยู่ก็จะเป็นจะตาย เหมือนจะเจ็บเลย ฆ่าฉันดีกว่าจะให้ตัดผมฉัน ฉันสะสมผมมานาน รักษาให้สลวยสวยดำ ซื้อยารักษาผมมาอย่างแพงเลย หลงไปประคบประหงมมันเหลือเกิน

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:14:27 )

แยกกายแยกจิตอย่างไร

รายละเอียด

เริ่มต้นสังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ต้องมารู้จัก กาย ของตนเอง แยกกายแยกจิต ต้องรู้แยกกายแยกจิต เป็นมูลกรรมฐาน 5 โดยพิจารณาจากสิ่งที่พอเห็นได้ข้างนอกของอวัยวะของคน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง โดยเอามาแต่ละอย่างมาขยายความ เมื่อใดทำจิตให้เป็นอุตุ เมื่อใดทำจิตให้เป็นพีชะ เมื่อไหร่จิตนี้จะสำเร็จในการปฏิบัติให้เป็น พีชะ ให้เป็นอุตุได้ด้วยกรรม ด้วยธรรมะ ที่แบ่งเป็นโลกียะกับโลกุตระ สำเร็จได้ เมื่อใด เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่เข้าใจเลยในมูลกรรมฐาน 5 อาตมาถนัดจะเอาเล็บมาอธิบาย เล็บมีส่วนที่ยาวออกมาพ้นปลายประสาท ซึ่งยังมีชีวะอยู่ ไม่เจ็บ ไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะฉะนั้นแม้เราจะทุบมันส่วนที่มันยาวพ้นออกมา อย่าไปทุบส่วนที่ติดกับปลายประสาท หรือว่าตัดทิ้งไปเลย มันก็ไม่เจ็บไม่ปวดไม่อะไรเลย ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

ฉะนั้นคือคนที่ทำให้จิตตัวเองให้รู้จักอารมณ์ของความไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อไหร่กระทบกับอะไรก็ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม้หน้าสามตีหัวก็ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่มันเจ็บนะ ดีไม่ดีตาย ใครไปตีพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็เจ็บแต่ท่านไม่จองเวรจองกรรม ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไรเพราะฉะนั้นส่วนนั้นมันไม่มีกาย กาย คือความรู้สึก เป็นจิตนิยาม เป็นองค์ประชุมของเจตสิกต่างๆ เวทนา สัญญา สังขาร เป็นองค์ประชุม เป็นหมู่กลุ่มของเวทนา กลุ่มของสัญญากลุ่มของสังขาร กายนี้คือ จิต เจตสิก ต้องเรียนรู้ตรงนี้ จึงจะหมดสุขหมดทุกข์ จึงจะพ้นทุกข์พ้นสุขได้ ทำให้จิตเจตสิกพ้นทุกข์พ้นสุข เหมือนเล็บที่มันไม่ติดกับประสาท นี่แหละไม่มีกาย ไม่มีกายขั้นอุตุเลย เมื่อตัดมันออกไปมันก็เป็นอุตุ แต่ส่วนที่ติดอยู่เป็นชีวะยังยาวออกมาได้อยู่ ที่ยังไม่ติดกับประสาทเป็นพีชะ พีชะ ก็ไม่มีกาย ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2565 ( 14:43:36 )

แยกกายแยกจิตอย่างไร

รายละเอียด

อันนี้คุณไม่สามารถมีความหยั่งรู้ได้ว่าอาตมาไม่หิว ไม่มีความอยากกินข้าว คุณไม่มีสิทธิ์รู้หรอก มันเป็นอจินไตย มันเป็นปัจจัตตังของอาตมา อาตมาเป็น อาตมาไม่เคยอยากกินข้าว ช่วงที่อาตมาบรรลุแล้วนะ คุณไม่รู้สัญญา ไม่รู้เวทนาของอาตมา อาตมาไม่ได้อยากกินข้าว ไม่ได้หิวข้าว ซึ่งยากที่จะเข้าใจ แต่คุณเดาเอาตามที่คนเดา คุณเป็นไม่ได้หรอกที่จะไม่อยากหิวข้าว ภูมิของคุณไม่ถึงหรอก

ใช่ ไม่มีความกระหายอยากกิน รู้แต่ว่าไม่กิน มันก็วางลง สังขารมันก็ซูบซีดลงมันก็น้อยลงเป็นธรรมดาธรรมชาติก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง สักวันหนึ่งมันก็ตาย มันก็แห้งหายตายไป หยุด หมดแรง มันก็เป็นธรรมดา ไม่ได้มีปัญหาอะไร 

เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ขันธ์ทั้ง 5 มันว่าเรื่องของกายและใจ คำว่ากายและใจคุณพูดมาเป็นคำที่ 2 แล้วนะ เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าการกินหมากเป็นเรื่องของกาย แล้วคุณเข้าใจคำว่ากายไหม อาตมาอธิบายว่า กายมันมี 2 อย่างต้องมีใจด้วย กายไม่มีใจเป็นประธานไม่ได้ ใจนี้ใหญ่กว่ากาย แต่ต้องมีกาย แล้วกายนี้จะต้องมีกับใจคู่กันอยู่เสมอ แยกกันไม่ได้ ทุกวันนี้จึงได้แยกผิดกันใหญ่ แยกกายกับใจออกเป็น 2 อย่าง แยกกันโดยไม่เข้ามาร่วมกันด้วยนะ อันนี้แหละเป็นโมฆะบุรุษ เป็นมิจฉาทิฐิที่หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรม 

เพราะฉะนั้นธรรมชาติของกาย เป็นแบบไหนก็เป็นแบบอย่างที่มันเป็นของโลก คุณหมายถึงพูดคำกลางๆ ว่าโลก โลกหมายถึงโลกีย์ก็ถูกแล้ว ถ้าหากโลกุตระแล้วมันเข้าใจการเป็นกาย การเป็นจิต โลกุตรจิตจะเข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:52:07 )

แยกกายแยกจิตอย่างไรจึงถึงปรินิพพาน

รายละเอียด

เมื่อมีชีวิตอยู่ก็อาศัย พีชธาตุ อันใดที่เราจะทำให้เป็นอุตุธาตุไปเลยก็ทำไป ศาสนาพุทธจึงแยกกายแยกจิต อย่างวิจิตรมากเลย แยกกายแยกจิตให้เป็นจะรู้จักอุตุนิยม พีชนิยาม จิตนิยาม และรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ถ้าสามารถแยกอุตุนิยม พีชนิยาม จิตนิยาม 3 อันนี้และทำได้ ก็จะปรินิพพานได้ ท่านใดที่ทำให้หมดสภาพเป็นกาย หมดสภาพนอกจากเป็นกายแล้ว แม้แต่มันจะเป็น พีชะ มันก็ไม่มี มันเป็นอุตุไปจริงๆ ธาตุที่ยังเป็นธาตุรู้อยู่ในจิตเรา จิตเจตสิกตัวไหนมันตายอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันตายอย่างไม่เกิดอีก แต่เรามีชีวิตอยู่ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:57:50 )

แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์

รายละเอียด

กาย มันลึกถึงขนาดนั้น แค่พีชะ มันไม่มี กาย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะบรรลุอรหันต์ ฟังดีๆ ประเด็นตรงนี้แหละจะบรรลุอรหันต์หรือไม่ตรงนี้แหละ ทำจิตนิยามของตน ให้มีในภาวะหรืออยู่ในสภาวะของพีชะ ของความเป็นชีวะอยู่ แต่ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์ ไม่มีเวทนาความสุขความทุกข์นี่แหละ เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้แล้วคุณทำจิตให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้ คุณเป็นอรหันต์ไม่ได้ เห็นไหมว่าความเป็นอรหันต์ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าแยกกายแยกจิตอย่างนี้ไม่ได้อย่างแท้จริงอย่างที่อาตมาพูด 

แล้วคุณก็เรียนรู้จากเวทนา เวทนาในเวทนานี้แหละจะเป็นความรู้สึกสุขหรือทุกข์ มาทำความรู้สึกนี้ เป็นเวทนา 108 เป็นตัวศึกษา มีกายิกเวทนากับเจตสิกเวทนา เป็นเวทนา 2 เวทนาสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นเวทนา 3 

และมีดีกรีของความสุขความทุกข์เป็นภายนอกภายในด้วยเรียกว่า เวทนา 5 สุขทุกข์ เป็นภายนอก หยาบ พ้นจากภายนอกแล้วเป็นภายใน ก็เหลือความทุกข์ความสุขที่เป็นโทมนัส โสมนัส ในจิต ทำความโสมนัส โทมนัส ภายในจิตให้มันหมดไป นี่คือดีกรีของอินทรีย์ 5 ทำให้ถึงอุเบกขินทรีย์ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่โสมนัส ไม่โทมนัส นี่คือฐานของนิพพาน ไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นไวพจน์ของอุเบกขา 

แต่อุเบกขาจริงๆ นั้นไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่มันไม่มีกิเลส ปราศจากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นั่นเป็นลักษณะธรรมของอุเบกขา 5 บริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา มุทุ มีความไว มีความแข็งแรงสามารถทำการงานอย่างไรก็ประภัสสรตลอดนิรันดร นี่คือคุณสมบัติและคุณวิเศษของอุเบกขาที่พระอรหันต์มีได้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 690 

อาตมาอธิบายลักษณะพวกนี้ให้ฟังด้วยความจริง ความรู้ที่อาตมามีในตน เป็นของจริงของอาตมา อาตมาจึงอธิบายสภาวะพวกนี้ด้วยพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วได้หมด อยู่ในพระไตรปิฎกตามหลักฐานยืนยัน ไม่ได้อธิบายนอกไปจากของพระพุทธเจ้าอธิบาย อาตมาอธิบายได้เพราะมันเป็นจริง มีความจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:05:17 )

แยกกายแยกจิตเป็นจึงจะรู้สภาวะของนิยาม 5 ได้ 

รายละเอียด

คำว่า “กาย” หากไม่ผ่านเบื้องต้น รู้จักสักกายะอย่างสัมมาทิฏฐิพอสมควรเลย มันจะลึกลงไปถึงขั้นแยกกายแยกจิต ที่มีวินัยไว้เลยว่าให้อุปัชฌาย์ต้องสอนลูกศิษย์ที่บวชใหม่ รับผิดชอบ เมื่อบวชเสร็จต้องอธิบายขยายความอันนี้ก่อนอื่น ต้องให้แยกกายแยกจิตให้เป็น เพราะการแยกกายแยกจิต นี้ มันจึงจะสามารถรู้สภาวะของ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:48:02 )

แยกกายแยกจิตเป็นมูลกรรมฐาน 5 ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เข้าใจคำว่า กาย นี่แหละเป็นสัมมาทิฏฐิ แยกกายแยกจิตยังไม่ถูก ซึ่งเป็นมูลกรรมฐาน 5 ของพระพุทธเจ้าที่สอนแก่ภิกษุทุกรูป โดยให้อุปัชฌาย์สอนเลย เริ่มต้นให้สอนกรรมฐาน 5 แยกกายแยกจิตให้เป็น เมื่อใดเป็นกาย เมื่อใดเป็นจิต หากแยกกายแยกจิตไม่ได้คุณก็ไม่รู้จักอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม แล้วจะไปปฏิบัติธรรมจิตให้เป็น อุตุนิยาม พีชนิยามได้อย่างไร คุณต้องรู้ก่อนจึงจะปฏิบัติได้ ทำไมรู้แล้วจะไปปฏิบัติได้อย่างไร หากว่าแยกกายแยกจิตให้เป็น แยกกายแยกจิตก็ไปนั่งหลับตาแล้วถอดจิตออกไปเป็นสัมภเวสีเห็นตัวเองนั่งอยู่ เป็นตาทิพย์ เห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ ซึ่งเป็นอุปาทานเป็นนิรมาณกาย อาตมาพูดไปนี้เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอกอาตมาสัญญาอย่างนี้เขาก็กำหนดหมายตามไม่ได้หรอก กายอย่างหนึ่ง สัญญาอย่างหนึ่งคนละเรื่อง วิญญาณฐิติ สัตตาวาส 9 คนละเรื่องกันเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:30:44 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:54:30 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:28:54 )

แยกกายแยกจิตแบบมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจุดแรก สังโยชน์ข้อแรกต้องรู้จักการต้องรู้เรื่องมุมของกายของตนคือสักกายะ ต้องศึกษาความรู้ความเห็นทฤษฎีหรือทิฏฐิ เรียนกายให้ได้ อ่านกายตัวเองให้ได้ แยกกายตัวเองให้ออก ความเข้าใจผิดแล้วก็เอามาสอนกันผิดๆ แยกกายแยกจิตทางพระที่เขาว่าเป็นพระปฏิบัตินั่งหลับตาปฏิบัติอธิบายการแยกกายแยกจิตคือไปนั่งหลับตา แล้วก็แยกให้ออก กายคือร่าง จิตคือนามธรรมคือวิญญาณ แยกกายแยกจิตคือถอดวิญญาณออกจากร่าง จิต ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน จิตจะอยู่กับที่ แต่กายจะออกไป จิตจะอยู่กับร่างกายเรียกว่ากายทิพย์ ถอดออกไปแล้วเขาก็จะเห็นตัวเองนั่งอยู่ เห็นตัวเองนั่งสมาธิอยู่ แล้วเขาก็เห็นว่านี่คือการแยกกายแยกจิตออกได้สำเร็จ เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ พระที่เก่งที่สุดพระกรรมฐานพระป่า พระที่ปฏิบัติพระที่นับถือยกย่องกันนี่แหละคือพระที่แยกกายแยกจิตได้ เข้าใจอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปเลย เห็นไหม ใครเคยได้ยินอย่างที่อาตมาว่าบ้าง อย่างนี้จริงๆ ไม่ได้ไปหาความหาเรื่องเขา เขาสอนกันอย่างนี้จริงๆก็บอกว่าเก่งยอดเยี่ยมถูก ยิ่งเข้าใจว่ามันถูกยิ่งเข้าใจว่ามันเก่งก็ยิ่งฉิบหายเลยศาสนาพุทธเพราะมันผิดไปไกลๆเลย ไกลแสนไกลจากวิเวก ติดข้องอยู่ในถ้ำ ไม่มีวันหลุดออกมาเลย มีแต่จมสู่ความหลงสู่ความหลงหนักหน้าไปเรื่อยๆ อย่างที่เขาเป็นอย่างที่อาตมาว่า

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 13:20:35 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:54:18 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:29:37 )

แยกกายแยกจิตแบบเดียรถีย์

รายละเอียด

อาตมาก็พยายามอธิบาย พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ผู้จะมาบวชศาสนาพุทธต้องไปนิพพาน ผู้ที่เริ่มบวชพระพุทธเจ้าก็ให้ศึกษาการแยกกายแยกจิตก่อน เดี๋ยวนี้ทำไม่เป็น แยกกายแยกจิต เขาก็ไปทำกันนั่งสมาธิแล้วให้ถอดกายทิพย์ออกไป  กายที่ถอดไปก็คือจิตถอดออกไปจากร่าง เสร็จแล้วก็ไปมองกลับมาที่ร่างเห็นร่างตัวเองนั่งนิ่งๆอยู่ เขาก็บอกว่าทำได้เก่ง แล้วกายที่ถอดออกไปได้นั่นคือจิตวิญญาณของเรา ส่วนกายก็คือร่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นเราก็เห็นตัวเรานั่งอยู่ เขาบอกว่านี่แหละคือความสำเร็จของการแยกกายแยกจิตไปนู่น เป็นเดียรถีย์ไปเลยแบบนั้นคือการเข้าใจแบบเดียรถีย์ ซึ่งมันง่ายที่ไหน พยายามทำมันไม่ได้ทำง่ายๆนะมันเป็นอุปาทาน คนที่ไม่มีอุปาทานทำไปเถอะก็จะไม่ได้เลยนึกว่าตัวเองไม่มีบารมี ที่จริงคุณแยกไม่ได้ทำไม่ได้เหมือนที่เขาบอกนั่นแหละคนมีบารมี แต่คนไปถูกครอบงำทางความคิดต้องแยกให้ได้ให้จิตเราออกไปเห็นตัวเรานั่งอยู่ คนนี้แหละเก่งชะมัดเลย คนนี้ยอดเยี่ยม เอาไปโชว์ให้ลูกหลานเพื่อนฝูงคนอื่นบอกว่าแยกกายแยกจิตได้แล้ว ขี้หมาแหละครับ คนละเรื่องเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2563 ( 14:23:47 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:54:44 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:30:41 )

แยกกายแยกจิตโดยใช้กรรมฐาน 5

รายละเอียด

ฉะนั้นเบื้องต้นพระพุทธเจ้าจึงได้กำชับอุปัชฌาย์ทุกองค์ เมื่อบวชสมณะใหม่เสร็จเป็นองค์ภิกษุเสร็จก็ต้องรีบสอนเรื่องแยกกาย แยกจิตให้ฟัง โดยใช้กรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นแกน เป็นฐานในการที่จะอธิบาย แยกกายแยกจิตจากผม จากเล็บ จากฟัน จากหนังก็ได้ อาตมาถนัดที่จะอธิบายเล็บ ขนมันก็เล็กนิดเดียว ฟันมันก็ติดเนียนไป แข็ง เป็นผิวหนัง ถ้าถนัดตัวไหน เอาคำไหนมาอธิบายก็เหมือนกันหมดแหละ แยกกายแยกจิตจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 12:38:15 )

แยกกายแยกจิตให้ถึงวิญญาณฐิติ 7

รายละเอียด

เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ชวด ฉลูขาล เถาะ ปีเถาะเป็นปีที่ 4 ยังไม่ถึง 5 

งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธครั้งที่ 45 นี้ คาบสุดท้ายแล้วที่อาตมาจะอธิบายในงานปลุกเสกนี้ ซึ่งอาตมาได้อธิบายในเรื่องของ กาย อธิบายคำว่ากาย ถึงแม้ว่าได้อธิบายพูดไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ยังไม่สามารถที่จะคลี่คลาย ขยายความ ความหมายของคำว่ากายนี้ให้ครบถ้วนได้ บริบูรณ์ดี สมบูรณ์จนกระทั่ง รู้สึกว่ามันจบถ้วนแล้ว แต่ก็ได้สรุปรอบจบความเป็นกายไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่า ยังไม่จุใจ 

พูดแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองยังคลี่ไม่ค่อยออก วน รู้สึกว่ายังไม่เก่งเท่าไหร่ อาตมาพยายามที่จะนำ ความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ในสูตรต่างๆ ตั้งแต่คำว่า สักกายทิฏฐิ ที่ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้ รู้สักกะ รู้กายะ 

รู้ความเป็นกายที่ตัวตนนี้ให้ชัดเจน ให้ถูกต้อง ให้สัมมา จนกระทั่งสามารถแยกกายแยกจิตได้เป็นธรรมนิยาม 5 ทำให้กายไม่มีความเป็นกาย เป็นอุตุธาตุไป เป็นแค่ พีชะ มีจิตนิยามอาศัยไป

ก็รู้ความจริงได้ว่า พีชะ มันไม่เหมือนอุตุ มันไม่มีเวทนา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ก็อาศัยชีวะที่มีเวทนาที่ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ 

พยัญชนะคำว่า อุตุ คืออย่างไร เราต้องรู้อาการจิต เจตสิกต่างๆที่แยกเป็นเจตสิก เจตสิก มันไม่มีเวทนา มันไม่มีกายเป็นอย่างไร เราก็เข้าใจของเราได้ โดยพระพุทธเจ้าท่านให้อ่านออกจากการพิจารณาตรงผม ขน เล็บ ฟันหนัง 

ซึ่งอาตมาก็ได้แจกแจงให้ฟังแล้วว่า ส่วนที่ไม่ว่าจะเป็นส่วนของขน ของผม ของเล็บ ของฟัน ของหนัง ส่วนนอกที่ไม่เกี่ยวกับประสาทแล้ว ไม่มีความเป็นกายแล้ว เราจะตัดให้มันขาดออกจากร่าง ก็ตัดได้ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนาเลย 

ส่วนที่มันขาดออกไปมันก็ยิ่งชัดว่ามันหลุดออกไปจากร่าง สรีระเราแล้ว มันไม่มีชีวะกับสรีระเราแล้ว มันหลุดออกไปเลย 

ส่วนนั้นมันก็ยิ่งชัดว่าเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นอุตุธาตุ มันไม่มีชีวะขาดไปแล้วก็ขาดกัน ส่วนที่ยังเหลืออยู่เป็นชีวะ มันไม่เจ็บ มันไม่ปวด มันไม่ทุกข์ มันไม่สุขก็เข้าใจว่า มันไม่ทุกข์ไม่สุข มันไม่เจ็บไม่ปวดอย่างนี้ ไม่มีบาปไม่มีบุญ เพราะไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกปวด ไม่รู้สึกชอบ ไม่รู้สึกชัง ไม่รู้สึกความเป็นเทวะหรือความเป็นกาย มันก็ไม่มีกายผูกยึด ไม่ติดไม่ยึดอะไรกัน 

อาการเช่นนี้นะเป็นอาการที่เรียกว่า อทุกขมสุข เป็นฐานที่อาศัยของจิต ที่เราจะปฏิบัติ 

พวกมิจฉาทิฏฐิเขาก็ทำให้ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ สะกดจิตให้ไม่ทุกข์ไม่สุขได้ แต่มันไม่จริง มันไม่ถาวร มันไม่ยั่งยืน มันไม่ได้ดับเหตุ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธก็มารู้จักเหตุ ทำเหตุให้มันดับออกให้มันออกไป เหตุที่ทำให้เกิดอาการดูด อาการกาม อาการปฏิฆะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเห็นว่ามันเป็นความยึดติด มันเป็นความโง่ มันเป็นความหลงว่าเป็นเราเป็นของเราเป็นรสชาติ 

ถ้ามันชอบอย่างนี้ก็เป็นสุข ไม่ชอบมันก็เป็นทุกข์ ชัดเจน 

โดยเฉพาะสิ่งหยาบที่เราเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์ เห็นได้ง่าย และจิตของเราก็มีปฏิภาณรู้ว่าอย่างนี้ไร้สาระ ชีวิตเราถ้าจะเลิกจากมัน ก็ไม่กระทบกระเทือนไม่ทำให้ชีวิตเราตกต่ำ ชีวิตเราจะสูงขึ้นด้วยซ้ำ ชีวิตที่เคยเสียเวลาแรงงานทุนรอนกับมันไร้สาระจริงๆ โง่จริงๆ เห็นความโง่ของตัวเองชัดเจนเลย ชัด ปัญญาเกิดขึ้นเป็น วิชชา อวิชชาหายไปเลย ก็หลุดพ้นมาจากโลก อบาย ก็ชัดเจน 

เป็นเช่นนี้เองเหรอจิต เจตสิก รูป หลุดไปแล้วมันก็เป็นนิพพานเป็นเช่นนี้เองหรือ ความหมด ไม่มีความเกี่ยวข้องเป็นจิต เจตสิกอะไรกับเราแล้ว มันกลายเป็น สสารวัตถุ สรีระ เป็นอะไรที่เกิดอยู่ในโลก 

เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมันมีอยู่ก็เข้าใจแล้ว มันปรุงแต่งกันเป็นโลกอบาย เราก็หลุดพ้นจากโลกอบาย เป็นเช่นนี้เอง ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง เมื่อรู้แจ้งรู้จริงแล้วเหนือขึ้นมาเป็นโลกกาม มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีสุขทุกข์อยู่ทางตา ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธรรมายตนะภายใน มันก็เกิดสุขเกิดทุกข์อยู่ 

ก็เหมือนแต่ก่อนเราติดในอบายมุข มันก็ง่ายขึ้น เพราะมันมีของจริงที่เราได้หลุดพ้นแต่ละโลก โลกต่ำทำได้แล้วโลกหยาบ โลกต่อมา เราก็เข้าใจปฏิภาณของเรามันเกิดจริง มีจริง เป็นจริงมันก็จะทำให้ง่ายขึ้น ก็รู้ว่าโง่ไปหลงว่า เป็นสุขเป็นทุกข์ไปหลงอยู่ที่เวทนา ที่เป็นเรื่องมายาหลอกน่ะ ที่จริงมันเป็นทุกข์แต่ไปหลงว่าเป็นสุข มันเป็นสภาพมายากลหลอกเรา ทุกข์สุขมันไม่มีจริงหรอก 

ความฉลาดก็สูงขึ้นเห็นขึ้น เลิกมาได้ รูปอะไรที่เป็นวัตถุรูป ที่เราเองเคยหลง เคยติด เคยทุกข์ เคยสุขกับมัน แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน อันนี้เออ เราเองไม่ได้ติดมาก วางได้ปล่อยได้ มันก็หมดอาการผูกยึด ไม่แล้ว ไม่ติดไม่ยึด ไม่ห่วงไม่หา ไม่อาวรณ์ 

เราจะเกิดอาการที่ได้เรียนรู้ว่าจิตของเราเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์แล้วมันเกิดการ ละ วาง ปลดปล่อย ขาด หมดกิเลส แม้จะสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่อยู่ร่วมกัน สัมผัสสัมพันธ์กัน มันไม่เป็นโทษ มันเป็นประโยชน์ในอันนี้อย่างนี้ ก็เอามาร่วมใช้ร่วมกินร่วมใช้ กับชีวิตได้ มันเป็นจริงมันจะเห็น 

ฟังๆนี้เข้าใจไหม มีสภาวะไหม… มี ทำได้ไหม… ได้ ไอ้ที่ละได้แล้วมีไหม… มี ไอ้ที่ยังไม่ได้มีอยู่มีไหม… มี แล้วไอ้ที่ทำได้ ทำให้มันมีอยู่ มันไม่มีไม่ได้หรือ...กำลังทำอยู่ นี่ พูดไปแล้วเราก็รู้ว่าพูดอันนี้หมายถึงอะไร แล้วเราก็รู้ว่าเราได้หรือไม่ได้ ไม่มืดมัว กระจ่างชัด 

เป็นอาภัสรา เป็นความสว่างกระจ่างแจ้ง คือ มีกาย อย่างเดียวกัน พวกเราเข้าใจสัมผัสแล้ว เราชัดเจน เรายังติดอยู่ เราก็รู้ เราไม่ติดอยู่เราก็รู้ เข้าใจว่าสัญญากำหนดหมายของเรารู้อ่านรู้ว่า ยังติดอยู่นะ อาภัสรา หมายถึงความสว่างกระจ่างแจ้ง หรือปัญญา หรือความรู้ ความเจริญของจิตท่านเรียกว่าอาภัสรา เทวดาขั้นสูง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 08:32:52 )

แยกกายแยกจิตให้เกิดภาวนาที่แท้ทำเช่นไร

รายละเอียด

คำว่า ภาวนาคำนี้แปลว่า การเกิดผล ฟังดีๆ ภาวนาเป็นคำนาม ไม่ใช่คำกิริยา แต่เขาไปเข้าใจว่าเป็นคำกิริยา เช่น ไปนั่งภาวนาพวกนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นการเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจเป็นคำกิริยาที่จริงเป็นคำนาม เริ่มต้นก็ผิดแล้ว เสร็จแล้วปฏิบัติก็ได้ผลผิด 

ไปนั่งหลับตามันก็เป็นการปฏิบัติผิด เขาไปเข้าใจภาวนาว่าคือการมีกิริยานั้นๆ ความผิดพลาดมันผิดไปได้เยอะ จากความจริงจากคำสองคำที่เทียบเคียงกันแล้วว่าอันไหนถูกอันไหนผิด มันก็เลยเยอะเหลือเกินความผิดพลาด อาตมาก็จำเป็นที่จะต้องพยายามจับคู่มาชี้ พิพากษา คำไหนถูกต้องสภาวะ คำไหนไม่ถูกต้อง ไล่ไปเรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 26 ทำปาฏิหาริย์ให้ชีวิตมีค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ วันจันทร์ที่ 31 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:02:44 )

แยกกายแยกจิตให้เป็นอุตุพีชะได้จึงได้บรรลุอรหันต์

รายละเอียด

ใช่ ถ้าคุณสามารถศึกษาได้จริง แล้วก็ปฏิบัติเหตุปฏิบัติดับเหตุ ที่มันเป็นตัวการโง่ๆได้หมด คุณก็แยกกายแยกจิตได้บริบูรณ์ กายก็คือสภาพอย่างที่อาตมาอธิบายซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก แต่ต้องรู้เบื้องต้นเสียก่อน พ้น สักกายทิฏฐิ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนในสังโยชน์ 10 

เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจเรื่องกายไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้วหมดท่าเลย ไม่สามารถที่จะจัดการความบรรลุธรรมบริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาดีๆแยกกายแยกจิตได้ รู้จักกายสัมมาทิฏฐิ แล้วก็จะรู้จิตลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ ถ้ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้น จะมารู้จิตลึกซึ้งเป็นลำดับนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมตัดภายนอกไม่มีกายเสียแล้วตั้งแต่ต้นนี้ จึงโมฆะ ไม่มีวันที่จะสำเร็จเรื่องบรรลุอรหันต์ได้เลยเป็นอันขาด ที่มีกันก็มีแต่กายเก๊ หรือมีแต่อรหันต์เก๊กันเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แพ้แน่ๆ ถ้าพลังเงียบไม่ช่วย

วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 พฤษภาคม 2566 ( 20:35:37 )

แยกกายแยกจิตได้กลายเป็นอรหันต์

รายละเอียด

ขอสรุปตรงที่ว่า กายนี้มันไม่มี ต่อเมื่อมันเป็นสภาวะดุจเดียวกับอุตุ หรือพีชะ แม้จะติดกับตัวเราก็ตาม ทำจิตให้เหมือนเล็บที่หลุดไป ผมที่ยาวออกมา เหมือนฟันที่กรออกกได้ไม่มีเวทนา เหมือนขี้ไคลที่ผิวหนังที่ขัดออกไปได้ คุณต้องแยกกายแยกจิต โดยรู้ว่าไม่ใช่กายแล้ว คืออาการของจิตคุณเป็นอย่างไร อาการอย่างดินน้ำไฟลมยังอยู่ในจิตของคุณ เพราะร่างคุณยังมีดินน้ำไฟลมอยู่ คุณทำให้เป็นอย่างนั้นหรือเป็นมนุษย์พืช พืชก็ไม่มีกาย ไม่มีความรู้สึกสุขทุกข์เจ็บปวด และไม่มีวิบากแล้ว นี่แหละเป็นความลึกซึ้งสุดยอดที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตของพระพุทธเจ้า ที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่มี Noble Prize  กี่ใบก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จในจุดนี้ เริ่มตั้งแต่พระโสดาบันก็เริ่มรู้ความจริงถ้าจะให้ครบก็เป็นพระอรหันต์ดูรอบถ้วนหมดสิ้นไม่สุขไม่ทุกข์ได้แล้ว เป็นอุเบกขาเวทนา หรือเป็นอทุกขมสุขได้แล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:09:06 )

แยกกายแยกจิตได้ด้วยปัญญา 

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าถึงสอนความเป็นกายตามความเป็นจริง ซึ่งมันแยกกันไม่ได้ แต่ก็สอนให้รู้ว่า แยกได้ด้วยปัญญา ปัญญานี้แยกกายกับจิตได้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ตั้งใจมาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าไปสู่พระนิพพานจริง พระพุทธเจ้าถึงให้อุปัชฌาย์สอนแยกกายแยกจิต แก่ลูกศิษย์ที่มาบวชเพื่อต้องการนิพพานทุกคน แยกกายได้ว่า จิตของเราไม่เป็นกาย มันคืออย่างไร คือ จิตของเราไม่เป็นจิต รู้ได้ว่าเราทำจิตไม่ให้เป็นจิตได้แล้ว จึงไม่มีกายเป็นแต่เพียง พีชนิยาม เป็นพีชนิยาม ก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีวิญญาณ  ไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีวิบาก เป็นพืช ความหมายแค่พีชนิยาม ต้องทำจิตของเราให้เป็น พีชนิยาม เท่านี้แหละ ก็ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 05:24:13 )

แยกกายแยกจิตไม่ต้องไปนั่งสมาธิ

รายละเอียด

แยกกายแยกจิตของพระพุทธเจ้าคือต้องมีธรรมวิจัย อะไรคือกายอะไรคือจิต แต่เขาไปนั่งสมาธิแล้วแยกให้จิตของเขาเป็นอุปาทานเป็นความรู้สึกของเขาเป็นเวทนาของอุปาทาน ให้มีความรู้สึกห่างไปเป็นอุปาทานเป็นมโนมยอัตตา ไปสร้างรูปเป็นรูปในจิต แล้วก็มองไม่เห็นตัวเองนั่งอยู่อย่างนี้เลย ซึ่งมันไม่จริงเลยมันเป็นอุปาทานสร้างเอาเป็นนิรมาณกาย เป็นพวกมโนมยอัตตาเป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมาเองมันไม่จริงไม่ได้เห็นจริงหรอก มันเป็นความจำของเขาเท่านั้น ดีไม่ดีเขาเห็นตัวเองเป็นความไม่เที่ยงพิจารณาเห็นร่างเห็นตัวเองนอนเน่าอยู่ต่อหน้า สร้างรูปไปเรื่อยต่างๆนานาพวกนี้ เป็นเรื่องที่เละเทะไม่เข้าเรื่อง 

  1. กาย คือ จิต มโน วิญญาณ

  2. กาย จึงเป็นวัตถุไม่ได้เลย แต่คนไทยเข้าใจว่า กาย ก็เป็นเพียงแต่วัตถุ จึงเรียบร้อยโรงเรียนมิจฉาทิฏฐิเสร็จไปเลยออกนอกห้องพระพุทธเจ้าแล้ว ใครเข้าใจกายว่าเป็นแค่วัตถุก็เป็นมิจฉาทิฐิ 100% 

  3. ผู้ทำจิตให้เป็นอุตุได้เป็นพีชะได้ คือผู้บรรลุธรรม ก็ต้องเรียนรู้ว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ แล้วทำจิตให้เป็นอุตุได้ คือผู้บรรลุนิพพาน 

  4. ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงแล้วทำจิตให้เป็น อุตุ พีชะ จิต แล้วก็มีกรรม ทำใจในใจให้ทรงไว้ได้ในทุกภาวะไม่ว่าจะเป็น ภาวะอุตุ ภาวะพีช ภาวะจิต ภาวะกรรม ภาวะธรรมะโดยกรรมโดยธรรม ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่ง ฌาน ทั้ง 4 เป็นต้น พอทำฌานได้สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ก็เป็นผู้มีฌาน ประจำตัว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:44:20 )

แยกกายแยกจิตไม่เป็นจึงหลงอย่างไร

รายละเอียด

ในการแยกกายแยกจิต เป็นพีชะ เป็นอุตุ ไม่มีกาย จิตนิยามจึงจะมี กาย 

เมื่อมีกายจึงจะศึกษา ทุกคนจริงๆ แล้วมี กาย แต่แยกกายแยกจิตไม่เป็น เพราะฉะนั้นไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายทิฏฐิ ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความเห็น ไม่รู้ในเรื่องกายของตน

กายตัวแรก ไม่เข้าใจสมบูรณ์ในความเป็นกาย แล้วก็แยกกายจากจิต แยกไม่เป็น พอแยกไม่เป็น ก็หลงกัน คือพวกนั่งหลับตา นั่งหลับตาเข้าไปสู่ภวังค์สร้างนิรมาณกายขึ้นมา เป็นตัวความนึกคิดเป็นตัวสัญญาฟุ้งซ่านไป เป็นตัวเป็นตน เสร็จแล้วเขาก็ไปบอกว่า แยกกายแยกจิต เขาก็เอาอย่างนี้ 

เขาก็สมมุติว่าเราเองคือธาตุรู้คือจิตวิญญาณ เป็นความพิเศษเป็นอภิญญา เป็นจิตที่เก่งสามารถรู้ ถอดจิตออกไป จากร่างที่ตัวเองนั่งอยู่ นั่งสมาธิ ถอดจิตออกไปเห็นตัวเองนั่งอยู่ นั่งสมาธิอยู่ บอกว่านี่แหละคือการแยกกายแยกจิตสำเร็จ เขาเข้าใจอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเป็นเรื่องนิรมาณกาย เป็นเรื่องสร้างภาพขึ้นมาเอง เนรมิตขึ้นมาเองว่าตัวเองมีจิตเป็นธาตุรู้ แล้วก็ทิ้งรูปร่างทิ้งสังขาร ร่าง ที่นั่งอยู่ แล้วเอาจิตออกไป เขาก็บอกว่าร่างนี้แหละคือ กาย จิตนั้นคือมันไปรู้ตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 11:11:02 )

แยกกายแยกจิตไม่เป็นบรรลุอรหันต์ไม่ได้

รายละเอียด

ถ้าเข้าใจที่ท่านให้มาพิจารณาว่าเมื่อใดไม่ใช่กาย เมื่อใดไม่ใช่จิต แยกกายแยกจิตได้จริงๆ ผู้นั้นแหละถึงจะปฏิบัติธรรมบรรลุอรหันต์ได้ ถ้าแยกกายแยกจิตไม่เป็น บรรลุอรหันต์ไม่ได้หรอก แม้จะศึกษาไปรู้รอบโลก เหมือนท่านพุทธโฆษาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพุทธโฆษาจารย์ที่เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค หรือที่เป็นคนไทยปัจจุบันนี้ก็ตาม รู้มาก ศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่ศึกษาสภาวะเป็นปทปรมะ ไม่ศึกษาให้ลงไปถึงจิต มนสิการจนเป็นโยนิโส จนลงไปถึงที่เกิดอย่างถ่องแท้แยบคาย ละเอียด จนไปถึงนามธรรมที่เกิด สัมภวะหรือปภวะ แดนเกิดที่เกิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 05:30:03 )

แยกกายแยกจิตไม่ได้ปฏิบัติธรรมก็โมฆะ

รายละเอียด

เดี๋ยวรอฟังที่จะอธิบายต่อไปจะถูกหรือผิดซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขอยืนยันว่าไม่ใช่ง่ายเลยคำว่ากาย เกริ่นอีกนิด คำว่า กาย เป็นคำแรกเมื่อภิกษุทุกรูปได้รับการบวชขึ้นมาจากอุปัชฌาย์ พระพุทธเจ้ามีพระธรรมวินัยให้อุปัชฌาย์จะต้องสอน กาย จิต แยกกายแยกจิตให้สัมมาทิฎฐิก่อนอื่นเลย ก่อนจะลุกจากที่นั่งบวช เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้วอุปัชฌาย์ไม่รู้เรื่องแยกกายแยกจิต แยกกายแยกจิตก็ไปนั่งหลับตาแล้วทำจิตให้เป็นอะไร สร้างอุปาทานเป็นนิรมาณกาย มโนมยอัตตา แยกกายออก จิตเราก็ลอยขาดออกจากกายจากร่าง มองเห็นร่างของเรานั่งอยู่ตรงนั้นถือว่าเป็นคนแยกกายแยกจิตสำเร็จ ไปโน่นเลย ซึ่งเป็นเรื่องของเทวนิยม เป็นเรื่องขอความลึกลับความเข้าใจกันไม่ได้เป็น สัญญายนิจจานิ ของแต่ละคน สมมุติแต่ละอันไปปั้นรูปร่างเรื่องราวแตกต่างกันไปเป็นสัมโภคกายปั้นให้แก่ตัวเองเลอะเทอะไปหมดมันก็เลยไปกันเยอะ พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนให้รู้ กายรู้จิตอย่างสัมมาทิฏฐิแท้ ถ้าหากอธิบายแยกกายแยกจิตยังไม่สัมมาทิฏฐิ จบเลยการบวชนั้น โมฆะ ไม่มีทางจะปฏิบัติธรรมได้สำเร็จเพราะการแยกกายแยกจิตได้ก็คือ การจะต้องอธิบายถึงธรรมนิยาม 5 ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 10:04:11 )

แยกกายแยกจิตไม่ได้หมดสิทธิ์เป็นอรหันต์

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าสอนผู้ที่ตั้งใจจะไปนิพพานเมื่อมาขอบวช มีวินัยให้อุปัชฌาย์จะต้องสอนเรื่องแยกกายแยกจิต โดยเอากรรมฐาน 5 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นเครื่องอธิบาย แต่อาตมาว่า อุปัชฌาย์สมัยนี้ก็คงไม่รู้เรื่อง ไปอธิบายเป็นไตรลักษณ์หมด ไม่ได้อธิบายการแยกกายแยกจิต อรรถกถาจารย์เมืองไทยอธิบายว่าให้พิจารณาเป็นสิ่งปฏิกูล ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นสิ่งปฏิกูล อธิบายว่าต้องศึกษาแยกกายแยกจิต รู้ความเป็นอุตุ พีชะ เมื่อใดเป็นพีชะ เมื่อใดเป็นอุตุ เพื่อทำนิพพานให้แจ้ง 

ยืนยันว่าอาตมาอธิบายถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้ากำหนดหมาย แต่เดี๋ยวนี้อรรถกถาจารย์แปลไว้อย่างนี้จนกระทั่งกลายเป็นสิ่งปฏิกูล เป็นสิ่งที่น่าละหน่ายคลาย แต่ท่านไม่ได้บอกให้ละหน่ายคลาย แต่ท่านให้แยก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:10:43 )

แยกกายให้เป็นพีชธาตุ

รายละเอียด

สังโยชน์ข้อแรกเลย สักกายทิฏฐิ ให้เห็นความเป็นกาย เขาก็เห็นความเป็นกายไม่ได้ กายต้องมีทั้งจิตและภายนอก ต้องพิจารณามูลกรรมฐาน 5 ประเด็นสำคัญเลย ถ้าเข้าใจไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่มีทางเป็นอรหันต์ แยกให้ได้เมื่อใดไม่ใช่กาย ไมใช่ชีวะ เมื่อนั้นเป็นอุตุนิยาม ถ้าคุณแยกสภาวะทุกอย่างที่เป็นสังขารธรรมมันเป็นสังขารโลกวัตถุ เป็นนิวเคลียส ก็เป็นได้ นั่นเป็นอุตุ หากเราทำจิตเป็นอุตุเลย นี่คือแยกธาตุจิตเป็นอุตุ นี่คือนิพพานได้ ขณะที่มีชีวะยังไม่ตาย เราก็แยกได้ให้จิตมันไม่มีความทุกข์ ไม่เป็นเวทนา ไม่เป็นวิญญาณ ก็แยกให้เป็นพีชธาตุ แยกกายให้เป็นพีชธาตุ หากเข้าใจกายเป็นสอง แยกไม่ได้ คุณทำไม่ได้ เราจะเป็นอรหันต์ได้อย่างไร ที่พูดนี่เป็นความรู้ของพระอรหันต์นะ พีชะก็ขั้นอรหันต์ ถ้าทำ จิต แยกธาตุตัวเองเป็น ทุกชาติได้เลย หลังจากตายไปแล้ว กายสเภทาปรัมรณาก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้เลย ต้องดูความเป็นชีวะ ความเป็นพืช ทำให้มันเป็นหนึ่งได้ คนกินพืชไม่กินสัตว์ มันไม่มีเวทนาหรอก ไม่มีความรักผูกพัน ไม่มีความพยาบาท ไม่มีเวรภัย กินพืชก็ปลอดภัย คนกินมังสวิรัติจะรู้รายละเอียดพวกนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2563 ( 11:47:24 )

แยกกิเลสกับดับกิเลส

รายละเอียด

นาม เป็นประธานของจิตเราที่จะแยกรู้รูป 28 ได้เสร็จแล้วก็จัดการทำได้ แยกได้ก็จะแยกละเอียดว่า ตัวไหนเป็นโทษตัวไหนเป็นคุณ ตัวไหนเป็นกิเลส ตัวไหนไม่ใช่กิเลส ก็ดับเฉพาะกิเลส ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วดับจิตไปทั้งยวง ไม่ให้รู้อะไรเลยก็เลยเป็นวิธีทำลายจิต ให้มันโง่หนักเข้าไปอีก ให้ไม่มีธาตุรู้ ให้ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีมุทุภูตธาตุเร็วไว ดับไปหมด ตรงกันข้ามกับของพระพุทธเจ้าเลยที่นั่งหลับตาสะกดจิตกันเนี่ย ก็เลยไปกันใหญ่ ก็เลยไปคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่งเรื่องในภพชาติเอง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:38:43 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:55:22 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:31:09 )

แยกกิเลสออกจากจิตที่สะอาด

รายละเอียด

แยกกิเลสออกจากจิตที่สะอาด  คือ โดยมีกิเลสเรื่องนี้ กิเลสเรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หรือว่า กิเลสของการแย่ง  ลาภ  ยศ สรรเสริญ  สุข  ซึ่งสุข มันเป็นอุปาทานเป็นความซับซ้อน  เราต้องมีความรู้และมีสัญญากำหนดหมายธาตุรู้ที่เป็นตัวสำคัญคือ สัญญา กำหนดหมายสภาวะพวกนี้ เราไปกำหนดสัมผัสอันใด  พูดถึงอันใดธาตุรู้เราก็ไปสัมผัสอันนั้นและรู้จักอันนั้น  ซึ่งมันต้องมีสัมผัสอันใด  พูดถึงอันใด  ธาตุรู้เราก็ไปสัมผัสอันนั้นและรู้จักอันนั้น  ซึ่งมันต้องมีสัมผัส ถ้าไม่มีสัมผัสก็ไม่เป็นความจริง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:42:19 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:55:58 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:31:41 )

แยกของจริงกับของเก๊ได้อย่างไร

รายละเอียด

หากตาไม่บอดไม่ถั่ว คุณเห็นอะไร อันนี้คือสี่เหลี่ยมวงกลมสีแดงสีเหลืองสีเขียว คุณก็เห็นสิ่งนั้นตามที่มันบอกลักษณะจริงของมัน ก็มันคือเป็นความจริงของมัน ก็คือแดง มันไม่จริงก็คือจิตของคุณหาเรื่องว่าแดงนี่คือสวย ความสวยไม่สวยนั่นแหละคือคุณบ้าของคุณเอง คุณหาเรื่องเอง ชอบ ไม่ชอบ คุณเองไม่มีอื่น แต่ความจริงมันมีหนึ่งเดียวคือแดงก็คือแดง แดงอย่างไรมันมีหลายเฉด คุณก็เห็นเฉดเดียวกัน เจ๊กฝรั่งแขกไทยลาว ผู้หญิงผู้ชายก็เห็นเหมือนกันตามที่รู้สภาวะจริง แดง ไทยเรียกว่าแดง เจ๊กเรียกว่าอั๊ง ฝรั่งเรียกว่า red แล้วยังแยกอีกไม่รู้กี่เฉด สิ่งที่เห็นแล้วกระทบด้วยตา ทุกคนก็เห็นตรงกันเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นคือความจริง ส่วนความรู้สึกที่คุณชอบหรือไม่ชอบ อะไรก็แล้วแต่ หรือสุขหรือทุกข์เมื่อสัมผัส มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นของปลอมแต่ของจริงมันก็เป็นของจริง ทำอย่างไรจะรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นของจริงก็ต้องดูตามความเป็นจริงเหมือนทุกคนที่เห็นกัน ส่วนความรู้สึกนั้นไม่ตรงกันความคิดไม่ตรงกัน ความรู้ที่กระทบสัมผัสเห็นเหมือนกันได้ยินเสียงเหมือนกัน ได้หากว่าประสาทลิ้นไม่เสียก็ตรงกันหมด กายสัมผัสเสียดสีภายนอกก็ตรงกันอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 21:49:30 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:56:39 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:32:27 )

แยกความจำกับความจริงอันเป็นวิมุติ 

รายละเอียด

จริงๆ แล้วอุเบกขาเป็นฐานนิพพานเป็นศูนย์ แต่มันก็มีอะไรอาศัยบ้าง บางทีก็จำได้ว่าอันนี้เป็นความสุข แต่ความจำกับความจริงนั้นมันไม่ใช่อันเดียวกัน คนไม่รู้จะแยกความจำกับความจริงออกยาก โดยเฉพาะความจริงกับความจำที่ไปถึงขั้นความจริงอันเป็นวิมุติ 

1.เป็นอุเบกขาแล้ว กับมันยังมีอยู่น้อยนึง มีน้อยนึง กับไม่มีแล้ว นี่ก็ยาก 

2. ไม่มีแล้วล่ะแต่ยังเป็นความจำ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ ความจำนี้มันช้านะ กว่าจะหมดเกลี้ยงได้ ทั้งๆที่มันไม่ได้ติดยึดแล้ว แต่เป็นเพียงความจำที่ยังจำได้อยู่ ก็วนเวียนนึกถึงมันก็เผลอๆ 

ผู้ที่มีขั้นตอนถึงตรงนี้จริงๆ ไม่ได้มีความติดในสิ่งหยาบแล้ว ละเอียดมากแล้ว มันจะมีตรงนี้ทุกคนแหละ อาตมาก็มี เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสอันนี้ อาตมาถึงซาบซึ้งว่ามันเป็นเช่นนี้เอง เราก็เพียรอย่าไปหมกมุ่นอย่าไปหลง แม้แต่ความจำเอามาระลึก ต้องหัดวางความจำ ปล่อยวางไปเรื่อยๆ มันก็จะเบาบางลงไปเอง โดยรู้ทันๆ ไม่ต้องไปหงุดหงิด ไม่ต้องไปรำคาญอะไร แต่ว่ารู้จริงๆ ว่า มันมาหลอกหลอน 

เพราะจริงๆ แล้วมันก็เป็นความจำ มันไม่ได้หยาบคายจะต้องเป็นความจริงที่เป็น กามภพ หรือแม้แต่รูปภพก็ยังหยาบ แต่นี่อรูปภพที่เบาบางมากแล้ว เมื่อยังไม่ตายก็ไม่มีปัญหาอะไร 

พระอรหันต์ที่เป็นพระอรหันต์ใหม่ๆ ก็ยังมีพวกนี้เยอะ อรหันต์เก่าๆ ไปแล้วก็จะไม่มี ก็จะเฉยๆ สบายๆ ว่างๆ ก็ได้ หรือ ผู้ที่จะสูงขึ้นไปอีกเป็นโพธิสัตว์ จะกลับให้มามีร่วมเป็นอารมณ์กับเขาแล้วเราก็ปล่อยวาง บางทีมันก็ค้างเหมือนกันนะ ก็ต้องสังวรตนอย่างมาก ว่า นี่มันจะเกิดมาฟื้นคืนแล้วนะนี่ มันจะค้าง ก็จะต้องระวัง คนผู้ปฏิบัติจริงจะเข้าใจสภาพที่มันจะมีเกิดขึ้นมา หรือไม่มีเกิดขึ้นมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 25 วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 03:47:20 )

แยกจิตเขาสอนกันน่าสงสาร ไปแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ แยกไม่เป็นไม่มีทางบรรลุนิพพาน

รายละเอียด

เรื่องการแยกกายแยกจิตเขาสอนกันน่าสงสาร ไปแยกกายแยกจิตไม่สัมมาทิฏฐิ แยกไม่เป็นไม่มีทางบรรลุนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 09:03:33 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:40 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:33:12 )

แยกธรรมนิยาม 5

รายละเอียด

แยกธรรมนิยาม 5 ได้ คือ ทำจิตให้เป็นอุตุได้ ทำจิตให้เป็นพีชะได้ จิตก็รู้จักจิตดี

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 เดือนกันยายน 2562


เวลาบันทึก 24 ตุลาคม 2562 ( 12:26:18 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:57:15 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:33:49 )

แยกธรรมนิยาม 5 กรรมกับธรรมะ อุตุกับพีชะ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นมาถึงขั้นรู้จักอันที่ 2 แยกธรรมนิยาม 5 กรรมกับธรรมะ อุตุกับพีชะ พีชะกับอุตุ กับจิต แยกเป็น 2 นัย พอเข้าใจแล้วใช่ไหม กรรมกับธรรมะ เป็นสภาพ 2 ที่คุณจะต้องอาศัยไปเรื่อยๆ แต่คุณจะต้องปฏิบัติให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ เป็นจิต 

เมื่อถึงอุตุ คุณก็ทำได้สมบูรณ์แบบ แยกธาตุได้ แยกกาย แยกจิต จิตของคุณมันยึดความเป็นตน จนกระทั่งทำอุตุไม่ได้ คุณก็กลายเป็นมนุษย์พืช เสร็จแล้วคุณก็ต้องเวียนกลับในภพชาติต่อไป แต่วัตถุนั้นกว่าจะแห้ง กว่าจะดีไม่ดี มันซับซ้อนอีกเป็นกรรมวิบาก 

คุณอาจจะยึดถือตัวตนของคุณอยู่ตรงนี้แหละ กูอยู่ตรงนี้ กูก็นอนตายเน่าแห้งไป ดีไม่ดีมันแห้งแล้วก็ยังกูอยู่นี่แหละ ก็โง่เป็นปู่โสมเฝ้าร่างแห้งเป็นทรัพย์ของกู เป็นสมบัติของกู กูก็อยู่กับซากศพแห้งนี่แหละ ไม่ไปไหนเพราะจิตมันเกาะมันยึดมันเป็นอย่างนี้อยู่ มันก็อยู่ไปนานเท่านาน เท่าที่คุณจะโง่ จนกว่าจะหมดพลังยึด มันมีธรรมชาติของมันเหมือนกัน แต่นานจนกระทั่ง คุณยึดรูปวัตถุที่เป็นกายตาย กายแห้ง แล้วคุณก็ยึดรูป คุณก็อยู่นานเท่าที่รูปมันมี ถ้ารูปมันสลายแห้งเปื่อยเน่าทิ้งหมด คุณก็บอกว่าไม่แล้ว คุณก็ไปเกิดใหม่คุณก็เอาโง่ใหม่ไป ความโง่เก่านั่นแหละจนกระทั่งสะสมเป็นโง่เต็มรูป 

ส่วนคนที่ไม่ติดรูปอย่างนั้น ติดทางนามธรรมอย่างอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ติดสะกดจิตให้มันดับไปนานๆๆ ได้ฌาน 7 ฌาน 8 ซึ่งเป็น นิรมาณกาย ไม่ใช่กายจริง 

อากาสานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ วิญญานัญจายตนะ จนถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ พวกนี้เป็นเรื่องโง่ ของพวกนิรมาณกาย 

สรุปตรงธรรมนิยาม 5 ถ้าคุณเข้าใจแยกกายเป็นอุตุ แยกจิตเป็นอุตุไม่ได้ แม้เป็นพีชะ ก็ไม่มีความเป็นกายแล้ว อาศัยมันได้ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่บุญ ยิ่งเป็นอุตุยิ่งหมดบาปหมดบุญ 

ถ้ายังเป็นจิตอยู่ คุณยังวางทำจิตให้เป็นพีชะไม่ได้ คุณก็ยังมีสุขมีทุกข์ ถ้าคุณทำจิตเป็นพีชะได้ คุณพิสูจน์ตอนเป็นๆ อ้อ..มันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มันเป็นพีชะเป็นอย่างนี้เอง คุณก็ได้อาศัย เป็นฐานอาศัย ที่คุณไม่สุขไม่ทุกข์ได้ แต่มันยังมีขั้นตอนไปถึงอุตุคุณก็ทำให้เป็นอุตุได้คุณก็วางใจได้ แต่เป็นพีชะอยู่ โดยธรรมชาติธรรมดามันก็จะพัฒนาไป  พีชะ มันจะพัฒนาไปเป็นจิตนะ แต่คุณเองคุณเรียนรู้มาบ้างแล้วคุณก็จะพัฒนาได้เร็วกว่าธรรมชาติของ ดิน น้ำไฟ ลม มันพัฒนาขึ้นมา กว่ามันจะได้เป็นพืช 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 06:33:09 )

แยกธาตุคือแยกเป็นนิยาม 5

รายละเอียด

คำว่าแยกธาตุ มีอุตุธาตุ พีชธาตุ จิตธาตุ กรรมธาตุ ธรรมธาตุ โดยแยกเป็นนิยาม 5 หน่วยใหญ่นิยามใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้

อุตุคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ไม่ใช่พีชะเลย เริ่มเป็นพีชะมันก็ไม่มีความรู้สึกยึดถือเจ็บปวด จองเวรจองกรรมไม่มีความรักความชังมันยังไม่มี มันจึงไม่มีเวรมีกรรมไม่มีวิบากอะไรต่อ มันมีแต่ตัวมันเกิดต่อชีวะมันได้ก็ต่อ หากต่อไม่ได้ก็สูญ แต่มาเป็นจิตนิยามนอกจากต่อทางวัตถุไม่ได้แต่มาต่อทางนามธรรม

แล้วจิตนิยามขึ้นอยู่กับกรรม จิตเป็นเจ้าของกรรม กรรมมันจะเกิดอะไรขึ้นมาจิตก็เป็นตัวแปรตามตัวกำหนด จิตหรือวิญญาณ จิตเป็นปัจจุบันที่ใช้งาน วิญญาณเป็นธาตุรู้ที่ครบถ้วนหมด เมื่อมาแยกเป็นจิตเจตสิก เป็นเจตสิก 52 อีก 89 อภิธรรมเรียนจนเฟ้อ ไม่เข้าหาสภาวะจริงก็เลยไม่ได้แก้ไขตนเองก็เลยหลงนิพพานเป็นพยัญชนะ อัตวาทุปาทาน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูพบคณะผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA

วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 อุบลราชธานี


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 21:12:44 )

แยกธาตุจิตที่เป็น 2 ให้เป็น 1 ให้เป็น 0 เมื่อทำไม่เป็นก็ไม่บรรลุ!

รายละเอียด

โดยเฉพาะดับความเป็น“ตัวตน” ด้วยวิธีแยก“ธาตุจิต”อันคือ“เทฺว”ที่เป็น“2”ให้เป็น“พีชธาตุ”คือเป็น“1”(เทฺว ธัมมา ทฺวเยนะเวทนายะ เอกสโมสรณา ภวันติ = ธาตุที่ไม่ทุกข์-ไม่สุข) สำเร็จเป็นชีวะระดับ“พืช” 

และแม้ที่สุดแยก“พีชธาตุ”คือ“1”นี้ให้เป็น“อุตุธาตุ”เป็น“0”ถึงจุด“นิพพาน” ไม่สำเร็จ เพราะยัง“อวิชชา” ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สังขาร”ที่มี“ภาวะ2”ขึ้นไปเป็นปัจจัยกันและกัน คือยังไม่รู้จัก“กาย”หรือ“เทฺว”ปรุงแต่งกันอยู่ นั่นคือ ไม่รู้จัก“วิญญาณ” ไม่รู้จัก“นามรูป” ฯลฯ   

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 91 หน้า 99


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 19:27:21 )

แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้แม้ตอนเป็นๆ

รายละเอียด

ตั้งแต่ตอนเป็นๆก็ทำได้ จิตใจของเราไปติดอะไรอยู่ ติดในอบายมุขในสิ่งชั่วร้ายอะไรอยู่ เสร็จแล้วคุณก็ปฏิบัติจนจิตใจของคุณไม่เอาแล้ว ทำให้จิตตัวที่ไปติดยึดอันนี้มันตายไป จิตตัวนี้ตายเป็นอุตุธาตุ มันจะมีการติดยึด เช่นนักการเมืองขี้โกงก็ติดยึดความขี้โกง เมื่อนักการเมืองคนนี้รู้แล้วว่ามันชั่วมันไม่ดีก็ล้างจิตตัวเองออกจากการติดยึด จนจิตใจตัวเองไม่เป็นนักการเมืองขี้โกงอีก เป็นจิตใจของนักการเมืองดีจริงๆ คนนี้ก็บรรลุเป็นพีชะ หรือทำได้ถาวรเลยเป็นอรหัตตผลเลย ไม่แย่งลาภยศ ไม่ชิงลาภยศ ทำงานเพื่อประชาชน เสียสละจริงๆเลย ที่จะเคยได้ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่คุณรู้ทันแล้วคุณไม่ติดในสิ่งเหล่านี้ คุณก็ตาย จิตนิยามของคุณก็ตายจากกันนี้ กลายเป็นลาภยศสรรเสริญที่คุณเป็นอยู่นั้น นักการเมืองผู้นี้ก็เป็นนักการเมืองอรหันต์ นักการเมืองที่ไม่ติดใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ทำงานเพื่อเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พอเข้าใจไหมอันนี้ ไม่น่าจะยากนะ อย่างนี้เป็นต้น หรือเป็นพ่อค้า ก็ไม่เอาแล้วร่ำรวยขนาดนี้ เอาไปแบ่งแจกกระจายดีกว่า ก็เหมือนกันแหละ นักการเมืองพ่อค้าที่ร่ำรวย มีความรู้ความสามารถมาก ก็เหมือนกันแหละ ยากที่เขาจะวางมือ แต่เขาวางมือได้เขาเป็นอรหันต์ แยกธาตุจิตเป็นอุตุธาตุได้ อธิบายอันนี้กระจ่างขึ้นนะ

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 26 กันยายน 2563 ( 09:59:45 )

แยกธาตุจิตแยกธาตุอัตตาเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม รู้จบโดยใช้มูลสูตร 10

รายละเอียด

คนทุกคนจบเป็นพระอรหันต์สามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ แยกธาตุจิตนิยามของตัวเองได้ แยกธาตุ อัตตาของตัวเองได้ ที่เป็นนามธรรม เป็นจิตนิยาม สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม กระจัดกระจายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม  ไม่มารวมตัวกันอีก เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าท่านเหมือนพวงมะม่วงถูกตัดขั้วลงมากระทบพื้นแตกกระจายออกไปแล้ว เอามารวมตัวกันเป็นพวงมะม่วงขึ้นมาอีกไม่ได้ฉันใด ทุกคนจะเห็น พระพุทธเจ้าในขณะที่มีพวงมะม่วง เมื่อกายแตกตายสลายเหมือนพวงมะม่วงตกแตกกระจายแล้วไม่รวมตัวกันอีก คุณไม่สามารถจะเห็นพวงมะม่วงนั้นอีกได้เลยฉันใด มันจะไม่รวมตัวกันอีกเลย ก็เท่ากับจิตนิยามแตกกระจายไม่รวมตัวกันอีก เป็นดิน น้ำ ไฟลม หมดเลย ไม่มารวมตัวกันอีก ฉันนั้น อย่างนี้เป็นต้น ก็จบ 

เรารู้จบ คุณรู้จบแล้วเมื่อทำได้ ว่านี่คือตัวจบ ในมูลสูตร10 เป็นหลัก รากของมันจริงๆเลยฉันทะเป็นมูล ก็เป็นรากของความรู้ ความเห็น มนสิการก็เป็นราก เป็นมูล ของการทำใจในใจ แล้วต้องมีผัสสะ ไม่มีผัสสะ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ครบเป็นไปไม่ได้ คนที่ไปหลับตาไม่มีผัสสะ โมฆะ พูดอย่างไรก็ไม่ค่อยตื่น ไม่เคยรู้เรื่องไม่ลืมตาไม่ออกมา เพราะฉะนั้นไม่มีผัสสะไม่ได้ ตาหูจมูกลิ้นกายของคน ภายนอกต้องมีผัสสะครบ จึงจะรู้โลก ไม่อย่างนั้นคุณจมอยู่ในอัตตาอย่างเดียวคุณไม่มีโลก อาโลก มันไม่มีแสงสว่างที่ต้องอาศัย มันไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณไม่รู้เรื่อง โลกที่มีตากระทบรูปเป็นอย่างนี้ เรื่องเสียงนี่ไม่เท่าไหร่ เขาจะพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่องจะเอาแต่ทางเสียง ไปพูดกับ ดร.สุกรี คณบดีคณะดุริยางคศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แกก็จะเอาแต่เสียงของแก คนที่เขาหลง รูป หลงเสียง หลงกลิ่น หลงรส 

พวกหลงรส พวกที่ติดก็ปรุงแต่รส ไปถามหม่อมหลวงหมึกแดงสิ ลูกหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี ก็เอาแต่เรื่องปรุงอาหาร หลายคน ปรุง ดร.อะไรนะ กระเทย ดร.ยิ่งศักดิ์ ไปพูดกับแกสิ ก็เอาแต่เรื่องอาหาร มันก็เป็นรสอาหาร รสทางลิ้น ก็มีอย่างอื่นครบเหมือนกันแต่ก็มีทางลิ้นเป็นหลัก มันก็ไปทางตาหูจมูกลิ้น กายสัมผัสเสียดสี ที่จริงมันหนักหนาสาหัสซึ่งยากกว่าทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ต้องดูไปไม่ต้องไปดูไบ วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2565 ( 09:22:55 )

แยกธาตุจิตให้เป็นอุตุนิยามได้คือ อนัตตา 

รายละเอียด

อาตมาก็ว่า นี่แหละคือความสูงสุดในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำ อัตตา หรือวิญญาณ (แตกแยกออกเป็นเทวะกับอเทวะ )เราก็พิสูจน์ยืนยันมาได้ จนสามารถแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้ 

เมื่อสามารถทำให้เป็นอุตุนิยามได้จริงนั่นแหละคือ อนัตตา ความไม่มีตัวตน ความไม่มีตัวตนของวิญญาณ ความไม่มีตัวตนของอัตตาของตน วิญญาณก็เป็นตน จิตนิยามก็เป็นตนอยู่ เรารู้ความจริงแล้วตามสภาวะ แล้วเราก็ยังมีความรู้มีปัญญาเข้าใจว่า ก็เรายังไม่ยอมแยกธาตุ ให้มันเป็นอุตุไปเมื่อเราตายลง กายสเภทาปรัมมรณา หลังตายจากร่างก็ทำ นิพพาน 3 คือ 

คือ ตายอย่างสูญเลยไม่สร้างนิมิตอะไรไว้ แล้วไม่ตั้งจิต อปณิหิตะ ว่างแยก สลายไป หมดเลย สูญไปเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โพชฌงค์ 7 สัปปุริสธรรม 7 โดยพิสดาร วันพุธที่ 14 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 เมษายน 2564 ( 18:56:40 )

แยกธาตุจิตให้เป็นอุตุนิยามได้ตั้งแต่ตอนเป็นๆ

รายละเอียด

สุดท้าย ตน มันไม่มีหรอก มันอาศัยพยัญชนะเท่านั้น เมื่อคุณยังไม่ตาย กายสเภทาปรัมมรณา หลังจากการตายแล้ว คุณก็แยกธาตุไปเป็นอุตุธาตุไปเลยได้

อุ กับ ตุ นี่แหละคือ อะ อิ อุ สามเส้า รัสสระ 

อะ มันก็คือ 0 สาม 0 ต คือตัวตั้ง สามตั้ง ขอยืมพยัญชนะอะ อิ อุ มาเรียกสภาวะนี้ มันคือ 0 จริงๆ

อะ อา อิ อี อุ อู อะ อิ อุ 

ตุ ก็คือเอาที่ตั้งสั้นๆนี่แหละ อะ อิ อุ 

ในสภาพพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 ที่บอกว่า เราอาศัย ความมีกับความไม่มีนี่แหละ โลกสมุทัย กับโลกนิโรธ ก็จะเกิดความตั้งอยู่วนอยู่ในสมุทัยหรือนิโรธ แล้วดับทุกอย่างหมดไม่มีอะไรอุบัติเลย จบความวน รู้จักความนิ่งแน่แท้ไม่มีเคลื่อน จับให้มั่นคั้นให้ตาย รู้แล้วคุณจะมีตัว 0 คุณจะมีตัว 1 ตัว 2 ตัว 3 คุณมี วสวัตติ มีจิตที่มีอำนาจเหนืออยู่แล้ว แม้กระทั่งพิสูจน์แล้วว่า เราสามารถแยกธาตุจิตนิยามให้มันเป็น 0 ได้จริงๆเลย แยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้จริงๆตั้งแต่ตอนเป็นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 05:11:45 )

แยกนามรูปเป็นมั้ย!

รายละเอียด

การจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“วิญญาณ”ต้องรู้ด้วย“นามรูป”เป็นปัจจัย นั่นคือ ต้องมี“ภาวะ 2” ที่มี“สัมผัส 6”ทั้ง 6 คู่ จึงจะบริบูรณ์เป็นการศึกษาพุทธศาสนา ด้วย“อาการ-ลิงคะ-นิมิต-อุเทศ(พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60) ไม่ใ่ช่ด้วย“ของเก๊”หรือ“หลับตา” ปฏิบัติแล้วงมงายอยู่กับ“ของเก๊”ไม่ยอม“ตื่นรู้(ชาคร)”ที่มี“ภายนอก-ภายใน”ของ“สัมผัส 6” ก็ไม่บรรลุนิพพาน จึงเป็นอรหันต์ไม่ได้“จิต,มโน,วิญญาณ”ศึกษาได้ที่ไหนล่ะ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศึกษาได้ที่“กาย”ของมนุษย์นี้แหละ เพราะ“กาย”นั้นเป็น“ธรรมะ 2”ที่เรียนรู้ได้ด้วย“นาม”กับ“รูป”“นาม-รูป”ก็คือ “ธรรมะ 2”ที่เป็น“เทฺว”คือ“อัตภาวะ”ของ“จิตนิยาม” ที่จะเรียนรุู้“จิต-มโน-วิญญาณ”ได้ครบสัมบูรณ์

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 92 หน้า 100


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2564 ( 19:31:03 )

แยกบุคคลที่เป็นวิมุติแบบสัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี

รายละเอียด

ตอนนี้อาตมาอธิบายบุคคล 7 ขยายความถึงขั้นซับซ้อนที่คนก็ยังต้องแยกบุคคลที่เป็นวิมุติ แบบสัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ซึ่งเป็นสามเส้า ซึ่งมันยาก ถ้าไม่มีปัญญานำหรือเห็นด้วยปัญญา คุณเป็นตระกูลหรือโคตรของศรัทธา ซึ่งเป็นโคตรของจิตเลยนะ เป็นตระกูลศรัทธาจริต กับแบบพุทธิจริต ท่านเรียกว่าพุทธิจริต แต่เวลาตามหาธรรมะตามหาปัญญา ท่านเรียกว่าธัมมานุสารี เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อตามหา เดินทาง ตามสาระที่ถูกต้อง อนุสารี เป็นผู้ที่มีสาระเอาสาระโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 15:33:31 )

แยกพลังงานจิตให้เป็นอุตุพีชะได้จริง

รายละเอียด

แม้ที่สุดทำให้ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปได้ รู้จักพลังอุตุ พีชะ จิต แล้วรู้จักกรรม ธรรมะ โดยกรรม  สามารถจัดการจิตให้เป็นพีชะให้เป็นอุตุได้ นักวิทยาศาสตร์ไหนก็ยังไม่สามารถเข้าใจพลังงานเหล่านี้ได้ แต่ผู้ที่มาศึกษาศาสนาพุทธอย่างพวกเราจะเข้าใจ และสามารถแยกพลังงานจิตให้ไปเป็นพลังงานอุตุ ให้ไปเป็นพลังงานพีชะ แยกได้จริง อาตมาพูดของตนเองเป็นจริง พวกคุณมาศึกษาตาม ได้ตามบ้างไหม...ได้ ยังสามารถกล้าตอบได้อย่างอาจหาญว่าได้ ได้เป็นอรหันต์หรือเปล่า...บางคนก็ตอบว่ายัง ยังหันหน้าหันหลังอยู่ แต่ก็รู้ว่าจริง ได้บ้าง ได้แล้วเป็นอย่างไรเราก็ต้องรู้ จะเป็นนามธรรมอย่างไรก็แล้วแต่ นี่แหละเป็นเรื่องที่อาตมาว่าเป็นเรื่องสาระสัจจะที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ แล้วคนก็ยังยาก แต่ยากเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหาเป็นเรื่องที่สูงสุดที่ต้องทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 20:37:48 )

แยกภาวะ 2 ของตัณหากับอุปาทาน

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าสรุปวิญญาณนั้นให้เรียนรู้นามรูปชัดเจนแยกเป็น 2 ได้และก็เป็นตัวหลักของรูปนาม จะเรียนรู้อะไรก็ใช้รูปนามเป็นหลัก 

วิญญาณก็มีนามรูปเป็นปัจจัย ในปฏิจจสมุปบาท แยกภาวะ 2 ให้ออกแล้วก็เรียนรู้วิญญาณ จะเรียนรู้สังขาร จะเรียนรู้เวทนา ก็เรียน จนกระทั่งแยกตัณหาออกได้ 

ตัณหากับอุปาทาน เป็นคู่นึง ตัณหาคือตัวเคลื่อน อุปาทานคือตัว Static ตัวนิ่ง ตัณหาเป็นตัวเคลื่อน ดับตัณหาก็เท่ากับดับอุปาทาน ก็ดับอุปาทานก็เท่ากับดับตัณหา แต่ว่าดับอุปาทานมันยากกว่า ก็เหมือนกับดับทุกข์ดับทุกข์ดับเหตุแห่งทุกข์ง่ายกว่าดับสุข ดับเหตุแห่งทุกข์มันยากกว่าฉันเดียวกัน ก็เป็นผู้รู้ว่าควรทำอะไรก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 15:19:31 )

แยกรูป 28

รายละเอียด

อวินิพโภครูป เป็น 8 ในรูป 28 แบ่งเป็นสภาวะรูป18 เป็นรูปที่ลักษณะเฉพาะ คือ อวินิพโภครูป 8 ปสาทรูป 5 ภาวรูป 2 หทยรูป 1 ชิวิตินทริยรูป 1 สัททรูป 1 อสภาวรูป เป็นรูปที่ไม่มีลักษณะเฉพาะ 10 คือ วิการรูป 3 วิญญัติรูป 2 ปริจเฉทรูป 1 ลักขณรูป 4 พ่อครูว่า…ผู้ที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็นรูป 28 แล้วสามารถมีปัญญามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:33:25 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:58:33 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:34:32 )

แยกรูปแยกนาม

รายละเอียด

แยกรูปแยกนาม คือ ทั้งหมดของศาสนาพุทธ  แยกรูปแยกนามไม่ง่าย  หากคุณแยกรูปแยกนามได้จริงผลก็มีอัตราการก้าวเหน้าเป็นพระอรหันต์เรื่องจริง  ถ้าคุณแยกรูปแยกนามได้จริง  ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะติดเครื่องอิทธิบาท4  มี  ฉันทะ  วิริยะ  จิตตะ  วิมังสา  อยู่ตลอด  แยกรูปแยกนามเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดใครที่แสวงหาไม่ติดยึดกับโลกีย์ที่เขาผิดเพี้ยนไป  สมณโพธิรักษ์ไม่มีบารมีไปรู้จักอาจารย์สำนักใหญ่ๆ และยิ่งพูดโลกุตระด้วย แต่คุณได้ยึดมิจฉาทิฏฐิและคุณก็มีผลแล้วตดิดยึดมันก็จริง  ทฤษฎีที่จะปฏิบัติต้องมีผลจริงไม่อย่างนั้นจะมาสอนอะไรบ้าง  มิจฉาทิฏฐิที่เห็นไม่ใช่ไม่มีมรรคผล  แต่เป็นมิจฉามรรค  มิจฉาผล  มิจฉาวิมุติ  มิจฉาฌาน มิจฉาสมาธิ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 11:58:44 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:59:04 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:35:36 )

แยกรูปแยกนามเป็นแล้วจะไม่เจ็บไม่ปวดใช่หรือไม่

รายละเอียด

แยกรูปแยกนามคือแยกความเจ็บปวดออกจากความรู้สึกของใจได้คือไม่เจ็บปวดได้...แบบนี้เข้าใจถูกไหม

ไม่ถูก เพราะพระอรหันต์ไม่ได้ไปเล่นฤทธิ์ ไม่ได้ไปเล่นการสะกด ถ้าอย่างนั้นไปฝึกสะกด ไม่รับรู้ความรู้สึก หรือไม่รับรู้เวทนาแบบสมถะ ทำได้ แต่มันผิดธรรมชาติ 

เวทนา ทำหน้าที่ตามธรรมชาติ แต่นี่คุณไปสะกดจิตของคุณ ไม่ให้รับรู้ตามธรรมชาติ คือสามัญของคน ถ้าไปกระทบแบบนี้ ได้รับการกระทบหรือบีบคั้นแบบนี้ เจ็บปวดแบบนี้พอๆ กันทุกคน ความจะยึดถือ มากน้อยกว่ากันอาจจะต่างกันบ้างนิดหน่อย แต่ก็แบบนี้ ปกติ หรือสามัญ เหมือนๆ กัน แต่นี่มีคนทำให้เป็นคนที่แตกต่างจากสามัญไป จะเรียกว่า คนพิการ ก็ได้

เพราะฉะนั้นวิชาที่มิจฉาทิฏฐิที่ไปนั่งสะกดจิตแล้วก็ไม่รู้จักเจ็บปวดเลย ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ไปนั่งสมาธิ มันก็ทับกล้ามเนื้อเส้นประสาท มันปวดเจ็บ เขาก็ทนเอา ดีไม่ดีก็สรีระเสีย ต้องเข้ารักษาโรงหมอ แยกแยะอันนี้ชัดเจนขึ้น นัยยะละเอียดลออพวกนี้ ค่อยๆ ศึกษาไปจะได้รู้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาต้องรู้จักความเป็นคนกับสังคมจึงไม่เสียชาติเกิด วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2566 ( 12:45:54 )

แยกศัพท์สิริมหามายา

รายละเอียด

“สิริมหามายา”ตามพยัญชนะก็มีคำว่า“มายา”ที่หมายถึง “ความหลอก”อยู่ 

แต่ผู้ยัง“อวิชชา ”จะเห็น“สิริมหามายา”เป็น“มาร”หรือเป็น“ความหลอก” หรือ“สิ่งที่ไม่ถูกต้อง”อยู่อย่างเดิมทั้งๆ ที่“สิริมหามายา”นี้เป็น“ความรู้-ความจริง” แท้จริงยิ่งที่สุดแล้ว ซึ่งตรงกันข้ามกับ“มายา”คนละขั้วกันแล้ว

แต่เพราะผู้ยังเป็น“ทาสมายา”หรือ“ทาสของมาร”ตัวแท้อยู่ ก็จะยังจมอยู่กับ“มายา” ซึ่งเป็น“มาร”จริงๆ ที่คนผู้“หลง” อยู่ว่า“มาร”เป็น“เทพบุตร” เป็นเจ้าแห่ง“สุข” ก็จะหลงบูชา “มาร” หลง“มายา” หลง“เทฺว” หลง“สุข”นั่นแหละอยู่ตลอดกาลนาน

ก็ไม่สามารถ“หลุดพ้น”จาก“สุข”อันเป็น“เทฺว”หรือ “คู่หู”ของ“ทุกข์” ชนิดที่“แกะออกจากกัน”ไม่ได้นี้

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 34 หน้า 62


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 15:24:26 )

แยกสุขทุกข์ให้ออก

รายละเอียด

ยิ่งสุข ยิ่งทุกข์ ยิ่งไม่รู้ พระพุทธเจ้าแยกความสุขความทุกข์ก่อน มันเป็นอุปาทาน สุขแบบหนึ่งก็หาย แต่ทุกข์นั้นสั่งสมใส่อนุสัย คุณจะเป็นอย่างนี้จะได้อย่างนี้จะมีอย่างนี้สั่งสมไป แล้วมีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็แสวงหา จำไว้ให้ลึกเลยว่าไม่ลืมๆๆๆ ข้ามภพชาติไม่รู้กี่ชาติก็จำอยู่นั่นแหละ จะเอาให้ได้เป็นตัวกูของกู ไม่รู้จักวาง

ศาสนาพุทธจึงชัดเจนในเรื่องสภาวะธรรมโดยเฉพาะเรื่องธรรมะ 2 นี้ยิ่งใหญ่ที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:57:15 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 08:59:41 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:36:10 )

แยกอรหันต์กับโพธิสัตว์ไม่ขาดจากกันก็สับสน

รายละเอียด

คำว่า “ธาตุ” นี้หมายความว่าเป็นธาตุอนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุจิตหรือพลังงานจิตนี่ สามารถทำให้กิเลสนี้ดับสิ้นไม่เหลือเลย นี่แหละเป็นตัวธาตุของบุญ อนุปาทิเสสสนิพพานธาตุ นี้แหละคือธาตุของความเป็นบุญ 

ถ้า สอุปาทิเสสนิพพาน จะใส่ธาตุหรือไม่ใส่ก็แล้วแต่ มันยังเหลือกิเลสนะมันยังมีเหลือ เขายังมีคำว่าอุปาทิ ก็คือเชื้อ สอุปาทิเสสะ เสสะ แปลว่าเหลือ สะเกี่ยวกับอุปาทิ เกี่ยวกับความเหลือ นิพพานที่ยังเหลือกิเลส 

เพราะฉะนั้นไม่ต้องสับสนหรอก สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสสนิพพาน อันหนึ่งมันเหลือกิเลส อีกอันหนึ่งมันไม่เหลือกิเลส 

เพราะฉะนั้นคุณจะเป็นพระอรหันต์และอธิบายความหมายว่า คุณเป็นผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์แล้ว ดับกิเลสที่เป็นเชื้อพาให้เกิดอีก สิ้นแล้ว ดับเชื้อสิ้นหมดแล้ว คุณก็เป็นอรหันต์ คุณก็เป็นผู้ที่ทำ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุได้ อรหันต์ดับไม่เหลือกิเลสแล้ว 

เพราะฉะนั้นจะไปอธิบายซ้อนว่า เหลือกิเลส สอุปาทิเสสะคือเหลือ มันก็วนสิ ก็เป็นอรหันต์แล้ว กิเลสไม่เหลือแล้ว ทีนี้ก็ไปสับสนผู้ที่ไม่เข้าใจโพธิสัตว์กับอรหันต์ แยกอรหันต์กับโพธิสัตว์ไม่ขาดจากกันก็สับสน ไปบอกว่าพระโพธิสัตว์คือผู้ที่ยังมีเชื้อ มีเชื้อเกิด ก็เข้าใจเชื้อเกิดไม่ได้ว่าคือเชื้อเกิดที่ไม่มีกิเลส แต่เกิดขันธ์ 5 เท่านั้น เกิดร่างกายข้ามชาติไปเพื่อที่จะเป็นอรหันต์สูงไปตามลำดับๆๆ จนสูงสุดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทำหน้าที่โพธิสัตว์ สั่งสมความรู้เรียกว่าโพธิ ให้ไปถึงสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ต้องจบกิจเป็นระดับๆ อรหันต์ถึง 6 ขั้น อรหันต์สูงสุดเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้จบรู้จริง

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:33:45 )

แยกอาการจิตเป็นโลกียะ และโลกุตระได้อย่างไร 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพยายามมาปฏิบัติธรรมมาศึกษาธรรมให้ดีๆ แล้วเรียนรู้จิตชั่ว จิตไม่ดี จิตผีให้ออกไปจากจิต ยิ่งเรียนรู้ทางศาสนาพุทธ เป็นโลกุตรธรรม 

ยิ่งสามารถที่จะชัดเจนมากเลยว่า อาการของจิตชั่ว อาการของจิตเลว จิตที่ไม่ดี แยกได้อย่างเป็นโลกียะ แยกได้อย่างเป็นโลกุตระ 

โลกียะก็คือ จิตที่มันชั่วหรือดี อันนี้เป็นสมมุติสัจจะ เราก็เรียนรู้สมมุติธรรมตรงนี้ แล้วเปลี่ยนแปลงให้ดี ตามสมมุติ 

ประเทศไทยสังคมกลุ่มนี้ว่าอย่างนี้ดี ก็ทำกันให้ดีตรงตามสมมุติของกลุ่ม ไม่เที่ยงหรอก ดีของกลุ่มนี้ แต่กลุ่มโน้นอาจจะบอกว่าไม่ดี ชั่ว ไม่เอา อาจจะดีซ้อนกัน คล้ายๆกันเหมือนกัน แต่ก็มีนัยยะมุมเหลี่ยมมิติต่างๆ ที่ต่างกัน ชั่วเหมือนกัน ดีชั่วเป็นสมมุติ 

ส่วนโลกุตรธรรมนั้นสุขทุกข์ นี่ก็อธิบายกันมาหลายทีแล้ว เทวนิยมไม่ได้เรียนสุขทุกข์ เขาจึงไม่มีหมดสุขหมดทุกข์เพราะเขาไม่รู้เรื่อง เขาหลงสุขเกลียดทุกข์ แต่เขาไม่ได้เรียน เขาก็เลยถูกโลกธรรม ทำให้ไปติดยึดหลงยึดอย่างนั้นอย่างนี้ว่าเป็นสุขอย่างนั้นอย่างนี้เป็นทุกข์

คนหลงความชั่วแล้วทำชั่วได้สำเร็จก็เป็นความสุข เพราะเขาหลงเชื่อว่าอย่างนี้ดี แต่มันเป็นเรื่องไม่ดี เรื่องชั่ว เขาก็เป็นสุข เห็นไหม เขาได้ทำชั่ว เขาทำชั่วสำเร็จแล้วเขาก็สบายใจ 

นอกจากคนที่รู้ว่าชั่ว แต่ว่าตัวเองมันกิเลสเข้าอีก มันโกรธ มันไม่ชอบใจมันก็ทำให้ไปทำร้ายคนอื่นเขา ทำแล้วก็สำนึกก็มีอีก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:01:41 )

แยกอาการทางเวทนาเกิดในปัจจุบันให้ออก

รายละเอียด

เวทนา คือความรับรู้ความรู้สึก แล้วซ้อนลงไปในเวทนานี้แยกให้ออก ก็เวทนาจริงๆ นี้คือธาตุรับรู้ ที่รู้สึกนี่แหละ รู้สึกจริงๆ ว่าไอ้หินนี้มันเป็นอย่างนี้เท่านั้น แล้วก็จบ หรือรู้สึกแล้วว่า เออ สวย หรือไม่สวย  รู้สึกสวยก็ เออ ชอบหรือไม่สวยก็ ไม่ชอบ นี้แหละไอ้ตัวชอบ-ไม่ชอบนี้แหละคืออาการเวทนาของเรา ชอบก็เป็นสุข ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ ไม่ชอบก็ผลัก(ไสออก) ชอบก็ดูด(ดึงเข้ามาหาใจ) อันนี้แหละเป็นภาวะการของกิเลส แยกตัวนี้ให้ออก อาการทางเวทนาเกิดในปัจจุบันนะ 

ถ้าไปหลับตาไม่มีการกระทบสัมผัส ไม่มีของจริง คุณจะนึกระลึกเอาความจำมาคิดอย่างไรมันก็เป็นการระลึกความจำ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นนะ มีอดีต 18 มีอนาคต 44 ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหลับตาไม่มีประโยชน์ ไม่เกิดความจริง ไม่มีการบรรลุธรรมของโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ตีทิ้งได้เลยหลับตาปฏิบัติ 

แหม! อาตมาเหนื่อยกับพวกที่หลับตาปฏิบัติ ไม่รู้สารู้สี พูดจน 50 กว่าปีแล้ว 52-53 ปีเข้ามาแล้ว นี่แหละพูดเรื่องหลับตานี้เลิกได้แล้ว แต่มันก็ยาก นี้พวกเราก็ติดหลับตากันมาจนกระทั่งมามีปัญญา มานี่ก็ดีแล้ว ที่พวกหลับตานี้มีมากกว่าพวกเรานี้นับไม่ถ้วน มากกว่าพวกเราหลายเท่าเลย พวกที่ยังติดหลับตาอยู่นี้ 

ไม่ว่าจะเป็นพวกหลับตาเข้าป่าหรือหลับตาอยู่ในเมือง เขาอยากได้นิพพานนะ อาตมาก็สุดสงสารจริงๆ อยากจะให้มีปัญญา แต่ก็ไปบังคับเขาไม่ได้ ได้แต่พยายามเน้นขยาย อธิบายและก็ยืนยัน เชิญให้มาพิสูจน์ เข้ามาสิ เข้ามาตรวจสอบ เข้ามาที่นี่ลองดู แต่เพราะไปถูกครอบงำทางโลก กระแสหลักมันกระแสใหญ่ ก็ไปหลงความมากความใหญ่ตามกระแสหลักว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

ประเด็นตรงนี้แหละ ลองหยุดพิจารณานิดหนึ่งนะว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศาสนาพุทธจะเสื่อม อาตมาก็ยืนยันว่ายุคนี้แหละเป็นยุคเสื่อม ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน อาณีสูตร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2567 ( 19:26:48 )

แยกอุตุ พีชะ จิตอย่างไรให้รู้ความเป็นกาย 

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องแยกกายแยกจิตเป็นขั้นที่ 1 เมื่อมาตั้งใจจะไปนิพพาน เมื่อเริ่มบวชให้เข้าใจกาย ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่เป็น กาย เมื่อไหร่ไม่เป็นกาย แยกกายแยกจิตให้ได้ อุตุนิยามไม่มีกาย ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ อุตุ หมายถึง วัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีชีวะ มันสัมผัสอะไรก็ไม่สุขไม่ทุกข์หรอก นั่นคือมันไม่มี กาย

ทีนี้มา พีชนิยาม พีชนิยามไม่มีกายเช่นกัน แต่พีชนิยามมีชีวะแล้ว อุตุไม่ใช่ชีวะ แต่พีชะเป็นชีวะในระดับ 2 มีสภาวะชีวะขึ้นมา แต่ไม่มีกาย

สำคัญนะการแยกกายแยกจิต แยกอุตุ พีชะ จิต ถ้าเข้าใจเบื้องต้นนี้ไม่ได้ก็เรียนให้ตายอย่างไรก็ไม่ได้นิพพาน เพราะไม่รู้ความเป็นกาย 

เวลาจะเรียนรู้สังโยชน์ข้อแรก ก็เรียนรู้ข้อ สักกาย กายของตน ต้องทำความเข้าใจกายและต้องศึกษาที่ตนนี่แหละ สักกะ กาย ของตนต้องมีรูปนามก็เรียนรู้ที่นี่ เวลาจะเรียนสติปัฏฐาน 4 กายในกาย เป็นเบื้องต้น แล้วก็ลึกเข้าไปหา เวทนา จิต ธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:24:55 )

แยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม 

รายละเอียด

แยกอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม  คือ ต้องแยกรูปแยกนาม  แยกอุตุนิยาม  แยกพีชนิยาม  แยกจิตนิยาม  แยกกรรมนิยาม  แยกธรรมนิยาม  ต้องรู้สภาวะแล้วทำได้จึงทำการตายได้ ตายระดับหนึ่งทำจิตให้เป็นพีชะได้  ต้องรู้อาการ ลิงค นิมิต  อรหันต์อาศัยพีชธาตุ ไม่มีบาปไม่มีบุญ แต่แน่นอนต้องอาศัยจิตนิยามที่เหนือโลกียะ  ควบคุมโลกียะ  ไม่มีบาปไม่มีบุญ  แต่มีคุณประโยชน์  คุณค่าต่อโลกนี้  คือ ลักษณะพิเศษของศาสนาพุทธที่ทำให้คนเป็นพระอรหันต์  เป็นคนที่ไม่มีโทษภัยมีแต่คุณค่าประโยชน์มีแต่คุณงามความดี  จะให้เกิดขึ้นในโลกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  ถ้ามีน้อยหรือไม่มีก็เป็นกลียุค  ทุกวันนี้เดือดร้อน เลวร้าย เพราะมันใกล้กลียุคแล้วในทุกวันนี้  ต้องมาต่อสิ่งที่ถูกเอาไว้ถึงจะได้ให้ศาสนายืนยาวไปจนถึง 5,000ปี  สมณโพธิรักษ์ทำโมเดลเอาไว้เป็นรูปสามเหลี่ยม

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 12:49:14 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 09:00:22 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:37:59 )

แยกเทวะหรือภาวะ 2 ไม่เป็น ก็ยังมิจฉาทิฏฐิ

รายละเอียด

เพราะแยก “เทฺว” คือ “ภาวะ 2” ไม่เป็น เช่น “กาย” ก็ดี “จิต” ก็ดี ยังมิจฉาทิฏฐิ แยก “กายในกาย-เวทนาในเวทนา-จิตในจิต-ธรรมในธรรม”ไม่ได้อย่างสัมมาทิฏฐิครบถ้วนนั่นเอง

คนผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงจึงต้องเรียนและปฏิบัติให้ถ่องแท้ภาษาบาลีว่า “โยนิโส” คือ ถ่องแท้แยบคาย “มนสิการ” คือ การทำใจในใจ“การทำใจในใจให้ถ่องแท้” ที่บาลีว่า “โยนิโสมนสิการ” นี่เอง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 146 หน้า 131


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 05:07:46 )

แยกเป็น 6 เวทนา

รายละเอียด

1.     จักขุสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทตา

2.    โสตสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทหู

3.    ฆานสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทจมูก

4.    ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทลิ้น

5.    กายสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากประสาทกาย

6.     มโนสัมผัสสชาเวทนา ความรู้สึกจากใจปรุงแต่งเอง

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 21:59:53 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 09:01:35 )

แยกเป็นนานาสังวาสตามพระธรรมวินัย

รายละเอียด

ตอนไหนก็ไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรอก แสดงว่าคุณคนนี้เข้าใจว่าสงฆ์ของประเทศไทยคือพวกสัมมาทิฏฐิถูกต้อง เพราะฉะนั้นอาตมาเป็นผู้ที่ออกนอกรีตแล้วเขาก็ประชดว่า เก่งกว่าพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าถึงได้ออกจากคณะสงฆ์ประเทศไทย เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าที่ถูกต้องคือคณะสงฆ์ของประเทศไทย 

อาตมาก็บอกไม่ได้ปิดบังเลย อาตมาค้านแย้งกับสงฆ์ประเทศไทย เถระสมาคมคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ค้านแย้งแล้วก็ลาออกตั้งแต่พ.ศ. 2518 แยกเป็นนานาสังวาสตามพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า แล้ว 2 ของประเทศไทยนี่แหละไม่รู้อิโหน่อิเหน่ อาตมาทำนานาสังวาสถูกต้องตามพระธรรมวินัยหมดเสร็จแล้วเขาก็ละเมิดพระธรรมวินัย ออกนอก ผิดพระธรรมวินัยสารพัด เคยเขียนไว้ในหนังสือประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาสให้เห็นว่า เถรสมาคมไม่รู้ประสีประสา มันเสื่อมจริงๆเลย อาตมาก็ยืนยันอ้างอิงศาสนาพุทธตามพระธรรมวินัยว่าผิดอย่างไรอาตมานี่แหละถูก เป็นนานาสังวาสพวกกลุ่มน้อยที่ลาแยกออกมาจากกลุ่มใหญ่ และก็อยากให้เห็นว่ากลุ่มน้อยที่ถูกต้องคือพวกเราที่ทำตามพระธรรมวินัย แล้วพวกนั้นก็ข่มขู่หาเรื่อง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 12:49:24 )

แยกเรื่องสุขภาพดีออกเป็น 8 อ.

รายละเอียด

เรื่องการแพทย์ทางโลกโลกีย์เขาก็รู้ พฤติกรรมของเราเองทำให้สุขภาพชีวิตร่างกายดีหรือไม่ดี ได้จริงๆ ยิ่งสามารถรู้ทางอารมณ์ทางจิตวิญญาณทางเวทนาแล้วควบคุมเวทนาได้ อาตมาแยกเรื่องสุขภาพ ออกเป็น 8 อ. ทางจิต ทางอารมณ์ อิทธิบาท จากนั้นเป็นองค์ประกอบอีก 6 อย่าง อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอาพิษออก เอนกาย จนถึงอาชีพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทั้งนั้น เรื่องอิทธิบาท อารมณ์เป็นเรื่องของจิตของเรา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2563 ( 11:14:26 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:24:01 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:39:07 )

แยกเวทนา จึงจะทำจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

รายละเอียด

เวทนาเป็นที่ประชุมลง ปฏิบัติธรรมแล้วหากไม่ปฏิบัติรู้เวทนาในเวทนาที่พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ถึง 108 โดยเฉพาะ มโนปวิจาร 18 นี่เป็นแกนหลักที่จะต้องแยกได้ว่า แบบโลกียะมี 18 อาการ กับ ทำออก เรียกว่า เนกขัมมะ ออกจากความเป็นโลกีย์มาสู่ความเป็นโลกุตตระ อีก 18 มโนปวิจาร 

จาก มโนปวิจาร 18 ก็มีความรู้ถึง เวทนา 36 คือ มโนปวิจาร 18 ฝั่งโลกีย์ กับ มโนปวิจาร 18 ฝั่งโลกุตระ รวมกันเป็น 36 นี่เป็นเรื่องจริงที่พยัญชนะบอกสภาวะ ถ้าเราปฏิบัติมีสภาวะเหล่านี้รองรับความจริง เราจะรู้เลย อ้อ… มันเป็นเช่นนี้เอง ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง สัจจะมันเป็นเช่นนี้เอง​ เคหสิตะ เป็นอย่างนี้ เนกขัมสิตะ เป็นอย่างนี้แต่ละข้อๆ แต่ละตัวของเคหสิตะก็ดี ออกมาเป็นเนกขัมมะก็ดี

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐิติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:39:13 )

แยกเวทนาแท้ เวทนาเทียม เป็นปริเฉทรูปมีประโยชน์อย่างไร

รายละเอียด

ก็นั่นแหละมันผสมความเก๊ พลิกแพลง เราก็เอาออก ก็เอาของแท้ให้เป็นหนึ่ง ๆๆ เวทนาก็เป็นหนึ่ง อาหารก็เป็นหนึ่ง มีรูปอีกรูปหนึ่งคือ ปริเฉทรูป คือรูปว่างๆ ปริเฉท เป็นกรอบ เป็นวง เป็นความจำกัด ว่าง บอกกำหนดส่วนให้ว่า คุณว่าง หมายความอย่างไร หมายความว่าจิตของคุณมันไม่ได้ติด ได้ยึด แม้รสจริง ไอ้รสเก๊ เอาออกก่อนเลย แม้รสจริงก็ไม่ได้ติดไม่ได้ยึด ปริเฉทรูป รูปที่ว่าง จากการติดยึดหมดเลย เป็นแต่เพียงสิ่งที่สัมผัสกัน ก็รู้ จบในตัว ไม่ไปยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือจะไปติดที่ว่า ไอ้นี่อร่อย ต้องไปด้วยกันนะจ๊ะ ไอ้นี่ไม่อร่อย อย่ามาใกล้กันนะจ๊ะ ไม่ใช่ ไม่มี ปริเฉทรูป ว่าง กลาง รู้ความจริงตามความเป็นจริง แตะรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็รู้ตามจริงนั้น แล้วจิตก็ให้ว่างให้ได้ ว่าง จากอะไรของคุณ อันไหนก็ต้องไม่ให้มีอันนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติ รูป 28 ในสติปัฏฐาน 4 วันพุธที่ 21 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ตุลาคม 2565 ( 18:57:28 )

แยกแยะความรู้ กับความไม่รู้ และความจริง กับความไม่จริง

รายละเอียด

ความรู้กับความไม่รู้ ภาษา 2 คำนี้ มันแยกคนละขั้ว ทีนี้มันมีรายละเอียดระหว่างความรู้ ไม่รู้ แต่พยายามรู้ก็ได้รู้เพิ่มขึ้นๆ ก็เลยกลายเป็นความไม่รู้ค่อยๆหายไป กลายเป็นความรู้ที่เพิ่มขึ้นๆ รู้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ความรู้สูงสุด ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เหมือนอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 พยายามเป็นระดับ 8 จนกระทั่งที่สุดระดับ 9 มันก็เป็นสัจจะความจริงของความจริง ของผู้ที่มีจริงนั้นจะเป็นจริง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความจริงแล้ว จะพูดความไม่จริงออกมายากด้วย เพราะมันจะไม่เหลือความไม่จริงอยู่ในตัวเอง จะพูดออกมาเมื่อไหร่มันก็มีแต่ความจริง มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ความไม่จริงมันเลือน มันหาย มันไม่มี แล้วมันเป็นอย่างไร มันไม่มีด้วยเหรอความไม่จริง มันมีความไม่จริงด้วยหรือ เห็นไหม มันจะเป็นอย่างนี้เลย แต่จริงๆแล้วมันก็ต้องรู้ว่า ความไม่จริงมันคือความต่างจากความจริง มีความต่างอย่างมากหรือต่างอย่างน้อย จนกระทั่งสุดท้ายเกือบเหมือนกันเลย ก็ต้องรู้รายละเอียดว่า ไอ้เกือบเหมือนกันเลยนี่แหละ เป็นคนที่แยกได้ 

เมื่อมาถึงเกือบจะสุดท้ายมันไม่เกือบแล้วเหมือนกันเลย เหมือนกันเลยก็เป็น 1 เท่านั้นหรือเป็น 0 ด้วยกัน ภาษาพยัญชนะพูดได้แค่นี้ ความจริงก็ต้องของแต่ละคน เมื่อเป็นความจริงของแต่ละคน แต่ละคนก็แต่ละชิ้นแล้ว มันก็เลยเอา 0 ของคนนั้นมา 0 ของคนนี้ เอามาอย่างไร มันก็ยากอีก นี่แหละคือที่สุดแห่งที่สุด มันจึงเป็นสิริมหามายา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 08:26:22 )

แยกแยะธรรมะโลกียะกับโลกุตระ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น อาตมายืนยันตัวเองว่า อาตมาเป็นผู้ที่สัมมาทิฏฐิ เป็นผู้นำธรรมะที่เป็นโลกุตระอันเสื่อมไปแล้วจากสังคมศาสนา ที่เป็นของศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาโลกุตระ ไม่ใช่ศาสนาโลกียะธรรมดาเท่านั้น แยกให้ฟังอีก โลกียะกับโลกุตระ ประเด็นที่มันต่างกันสำคัญคืออะไร โลกียะนั้นไม่สามารถที่จะรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน เพราะฉะนั้นจึงแยกเจตสิกที่เป็นเวทนาในเวทนาต่างๆไม่ได้ แยกเวทนาคือเป็นอารมณ์หรือเป็นความรู้สึก ไม่มีสัญญาเพียงพอที่จะกำหนดรู้ ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะสามารถมีธัมมวิจัยสมโภชฌงค์ หรือมีโพชฌงค์ 7 จนกระทั่งมาปฏิบัติเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 ได้ ไม่มีทาง 

เทวนิยมไม่มีทาง แม้แต่ชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิสอบเปรียญ 9 จบด็อกเตอร์ทางศาสนาพุทธได้ บัญญัติภาษาที่อาตมาพูด โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านคล่องปริ๊ด พูดเหตุผลด้วยตรรกะอะไรชัดเจนหมด แต่ท่านไม่ได้แม้แต่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ท่านมีวิริยะแต่ไม่เป็นสัมโพชฌงค์ เป็นวิริยะเดียรถีย์ เพราะว่าท่านจะหลงผิด จนกระทั่งถึงขั้นว่า ถ้าจะทำสติให้เต็มนั้นจะต้องนั่งหลับตาแล้วก็ทำตนเองให้เป็นผู้ที่มีสติตื่นเต็มอยู่ในการหลับตานั่นแหละ เก่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 14:03:55 )

แยกแยะภาษา และสภาวะของคำว่า ปุพเพกตปุญญตา

รายละเอียด

บุพเพ + กต + ปุญญา และ + ตา

ปุญญะ คือการฆ่ากิเลส กต คือการทำได้สำเร็จแล้ว แต่เขาอธิบายคำว่าบุญไม่ได้ บุญต้องทำฌานมาก่อน จับตัวกิเลสได้แล้วก็เผากิเลสได้สำเร็จจึงเป็นบุญ บุญจึงเป็นชื่อที่ยิ่งใหญ่มากที่ทำหน้าที่ มาปะหน้าว่า กิเลสตายหมดแล้วนะ  ฆ่าให้แล้วนะ ประหารให้แล้วนะ แล้วบุญก็หายไป ไม่อยู่มารอรับหน้า ไม่รับสรรเสริญ ไม่รับยกยอ ไม่รับผลตอบแทนอะไร ไม่มี ปุญญา ไม่มารับผลตอบแทนอะไร 

ผู้ที่มี ปุญญะมาแล้ว กต ได้ทำมาแล้ว ปุพเพ ก็เป็นของเก่าที่ระลึกขึ้นมาได้นี้ ที่จริงแล้วก็คือ ศัพท์ที่เป็นไวยพจน์กันคือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ส่วนคำว่า ตา เป็นตัวตบท้ายคือ ภาษาที่ทำให้บอกว่า นี่เป็นคำนามนะ 

เป็นคำนามนะ แต่ไม่ใช่นาม อย่าไปเข้าใจ ปุพเพกตปุญญตาเป็นนาม แต่เป็นภาษาที่เรียกว่า คำนาม 

เพราะคำนี้หมายถึงรูป คำว่า ปุพเพกตปุญญตา หมายถึงรูปที่เคยเป็นนามมาในอดีต 

ภาษาว่า คำนาม นี้คือภาษาหรือคำความที่พูดถึงกิริยาหรือนามธรรม อันเคยทำให้เกิดมาได้แล้วเท่านั้น ไม่ใช่กิริยาจริงๆ ที่กำลังเกิดในปัจจุบันนี้ดอกนะ มันแค่คือภาษาบอกให้รู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่มันเคยมี เคยเป็นกิริยานั้นๆ มาแล้วในกาลก่อน คืออดีตที่พูดถึง แม้ว่าเคยเป็นนามในอดีตเอามาพูดถึงจึงเรียกว่า คำนาม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 19:51:06 )

แยกแยะเวทนา 108

รายละเอียด

อันนี้ทำให้กิเลสลดลง เรียกว่าออกจากกาม ออกจากพยาบาท หากคุณแยกจิตในจิต อาการเคหสิตะกับเนกขัมมะ หากแยกไม่ออกก็ไม่สามารถปฏิบัติให้บรรลุอรหันต์ โมฆะจากศาสนาพุทธ คุณไม่มีเนกขัมมะ เขานึกว่าแค่ออกบวชเท่านั้น แต่ที่จริงคือ เลิก หลุด ออกจากกิเลส กิเลสกาม เป็นต้น รูปภพ อรูปภพ หยาบกลางละเอียด ต้องทำให้ลดละจางคลายได้จริง อยู่ที่เวทนา ที่อื่นไม่มีแต่กลับไปดับหลับ เพ่งภายนอกให้จิตรวมแล้วดึงจิตเข้าไปข้างใน หลับตา ปิดหู ลิ้นปิด กายไม่กระทบ กำหนดรู้แต่ลมหายใจเข้าออก สุดท้ายไม่ให้รู้ลมหายใจออกอีก รู้แต่ลมหายใจภายใน เอาจิตไปกำหนดแต่ที่ลมหายใจ ซึ่งเป็นลมปลอม จริงมันต่อเนื่องที่จมูกแต่ไปสอนกันให้เล่นลมขึ้นบน ลมลงล่าง ขยายให้เบาแรง คือเล่นตลก สร้างอุปาทานนอกเรื่อง ไม่มีในพระไตรปิฎกอธิบายไว้เลย มีแต่เอาอาจารย์ที่สอนไปยัดใส่ในพระไตรปิฎกอีก ป่านนี้คนทำลงนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเลย ทำให้ศาสนาเสียหายหนัก

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม บ้านราช  เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 14:38:19 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 09:00:57 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:40:19 )

แยกโลกียะกับโลกุตระให้ออก

รายละเอียด

ทำให้ใจของเราดีขึ้นเจริญขึ้นทำให้กายกรรมวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมคือใจของเราทำให้ดีขึ้นนั่นคือเป็นโลกุตระ มันไม่ทำเสียหายไม่ทำชั่วทำแต่ดีนั้นเป็นโลกียธรรม แต่ถ้ารู้จักจิตใจเราว่ามันยังหลงกิเลสในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือจิตเราหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอันนั้นมันเป็นกิเลสอย่าไปตามใจ เราจะต้องไม่ตามใจ อย่าให้อาการกิเลสอย่างนี้เกิด รู้อย่างนี้สำนึกอย่างนี้เป็นโลกุตระ ฟังดีๆแยกโลกียะแยกโลกุตระให้ออก ศาสนาพุทธนั้นพิเศษ ศาสนาอื่นไม่มีโลกุตระหรอกเขาไม่มาเรียน จ้ำจี้จ้ำไชชัดเจนว่าต้องทำให้กิเลสลดและต้องให้รู้จักอาการจิตที่มันเป็นอาการของมีกิเลสด้วย ผู้ที่อ่านอาการของกิเลสออกก็คือผู้ที่รู้รูปนามผู้นั้นรู้จัก กายกลิ องค์ประชุมของรูปนามที่มันเป็นโทษภัย นี่แหละคือตัว สักกายะที่จะต้องทำความเข้าใจเรียกว่า สักกายทิฏฐิ สักกะ แปลว่าตัวเรา กายคือรูปนาม มันเป็นอาการอยู่ในจิต มันเป็นอย่างนี้มันเป็นตัว กลิ แล้วจับมั่นคั้นตาย มันเป็นนามธรรมมันเป็นรูปมันไม่มีตัวตน แต่เราจับอาการ ลิงค นิมิต มันได้ แยกได้ว่าอาการอย่างนี้เป็นอาการของกิเลสจิตของเราเป็นธาตุรู้ มันก็จะรู้เป็นธรรมชาติ แล้วมันก็จะไปรู้แยกกิเลสได้อย่างนี้แหละ นั่นคือจิตที่มีญาณปัญญาที่มันรู้จักกิเลสนี่ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสออกจากจิตใจเราเองได้นี่เป็นโลกุตรธรรม 

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 09:27:41 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:25:27 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:41:05 )

แยกโลกแยกธรรมออกจากกันไม่ได้

รายละเอียด

อาตมาพูดไปบรรยายธรรมะไปก็เพื่อคนในโลกที่จะต้องมีธรรมะ เพราะฉะนั้นคนที่มิจฉาทิฏฐิก็จะบอกว่าธรรมะปฏิบัติธรรมอะไรมายุ่งกับโลก คุณจะแยกโลกแยกธรรมออกจากกัน คุณก็ไปอยู่ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าก็แล้วกัน แยกโลกแยกธรรมออกจากกัน จะไปอยู่ที่ไหน คุณจะออกไปอยู่นอกโลกอวกาศ คุณก็อยู่ในกระแสของแรงดึงดูดของอันนั้นอันนี้ ถ้าไม่งั้นคุณก็จะกลายเป็น อุกกาบาต ถูกแรงดึงดูดตรงไหนดึงดูดไปก็ไปกับเขาไปเรื่อย ดีไม่ดีดูดแรงอุกกาบาตก็ไปกระแทกโลกจนเป็นหลุมอุกกาบาต ดีไม่ดีทำเอาโลกลูกนั้นเคลื่อนไปจากเส้นวงโคจรได้เลยนะ นั่นแหละคือความไม่เที่ยงของมหาจักรวาล 

จะเป็นแรงดึงดูดหรือเป็นแรงกระแทกของทั้งอุกกาบาต ของดวงดาวต่อดวงดาว หรืออะไรก็แล้วแต่ พวกนี้เป็น อจินไตย มันมีทั้งพลังงานในระหว่างที่ว่าง พลังงานอยู่ในที่ว่าง และพลังงานที่ใกล้ชิดกันกระทบสัมผัสกัน แตะกันเลย กระแทกกันเลย อย่างแรงถึงขั้นระเบิดเลย มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติของธรรมชาติทั้งหลาย เอาละ ไอ้อย่างนั้นเป็นเรื่องนอกตัว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าไม่ต้องไปสนใจมาก มันเกิดอยู่อย่างนี้นิรันดร 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2567 ( 10:32:23 )

แย่งขนมชิ้นเดียวฆ่ากันตายเลย

รายละเอียด

เช่น ชอบลาภ คือทรัพย์ศฤงคาร ไม่ใช่ลาบเป็ดลาบไก่ลาบหมูนะแย่งลาภ แย่งชิงฆ่าแกงกัน นี่แผ่นดินของฉัน มีอำนาจครอบครองแผ่นดินของฉัน แย่งเสื้อแย่งผ้า จนกระทั่งอาตมาเคยพูดถึงเรื่องขนมหม้อแกง อันนี้เป็นเรื่องจริงนะแย่งขนมหม้อแกงชิ้นเดียวเอามีดฆ่ากันตายเลย ตอนนั้นราคามันแค่ชิ้นละ 1 สลึง แทงกันตายเลยเพราะมันแย่ง 

คนหนึ่งมาจองเอาไว้ เหลือเพียงชิ้นเดียว ก็จ่ายสตางค์ไว้แล้วบอกว่าเดี๋ยวมาเอา เสร็จแล้วอีกคนนึงมาถึงไปซื้อของไม่มาสักทีนานแล้ว อีกคนนึงมาถึง เหลือชิ้นเดียวนี้ ก็ให้ราคาสูง 30 สตางค์เลย คนขายก็เลยขาย 30 สตางค์เลย เพราะอีกคนหนึ่งที่ซื้อไว้ก่อนจองไว้ก่อนมาถึง จ่ายเงินแล้วด้วย อีกคนหนึ่งก็บอกว่าจ่ายไปแล้วให้ 30 เลย เท่านั้นแหละทีนี้ แทงกันเลย คนนั้นมีมีดแทงเอาตายเลย มันยึดถือว่าเป็นของกู เห็นไหมความรุนแรง 

เออ เขาจะเอาแผ่นดินนะ พระเจ้าแผ่นดินหรือประธานาธิบดีจะมายึดแผ่นดินนี้เป็นอาณานิคม ก็ดูมันยิ่งใหญ่ แต่นี่มันยึดถือขนมหม้อแกงแล้วเอากันตายเลย เห็นไหมว่าการยึดมั่นถือมั่นยึดถือตัวกูของกูนี่มันขนาดไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยหรอก แย่งเมียแย่งผัวกันแล้วฆ่ากัน ขนาดขนมหม้อแกงมันยังฆ่ากันเลย หรือไม่ต้องเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนั้นก็ได้ 

เอ็งมาลบหลู่ศักดิ์ศรีข้า ได้อย่างไรข้าก็เลย ศักดิ์ศรีเป็นนามธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 11:42:46 )

แย้งก็ดีจะได้รู้อะไรมากขึ้น

รายละเอียด

แรงงานเราก็มีคนก็มีรถเราก็มี ก็ไปทำงานได้ เราวิพากษ์วิจารณ์ เราไม่ได้วิจารณ์วัดหนองป่าพงอะไรเยอะ อาตมาพูดถึงเรื่องหลับตาก็เป็นประเด็นหลับตา จริง วัดหนองป่าพงอาจจะยังติดยึดกันหลับตาอยู่ยังไม่ชัดเจนไม่สมาธิในเรื่องนี้ก็จริง แต่ก็มีหลายอย่างมากมายที่หลวงปู่ชา ยังมีสัมมาทิฏฐิอีกหลายอย่าง อาตมาก็พูดถึงประเด็นที่มันมิจฉาทิฏฐิ อาตมาไม่ได้ตีวัดหนองป่าพงทิ้งไปทั้งหมดเลย เขาก็อนุญาตให้ทำ เราไม่ได้เป็นคนโง่งมงายไปยึดติดเรารู้สังคมอนุโลมปฏิโลมเราก็รู้ในเรื่องสมมุติเราก็รู้เราก็ทำตามควร คุณก็เอาแต่แง่ใช่อย่างนี้มาตีมาแย้ง พยายามศึกษาดีๆเอาแต่แย้งนะ แต่แย้งก็ไม่มีปัญหาหรอก ดี มันจะได้รู้อะไรมากขึ้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:09:45 )

แย้งได้ทุกมุมเพราะธรรมะคนละกระแส

รายละเอียด

คุณจะแย้งไปได้เรื่อยๆ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างหนึ่ง ธรรมะของคุณเห็นก็เป็นอย่างหนึ่ง อาตมาจะพูดไปเท่าไหร่คุณก็จะแย้ง เพราะมันเป็นคนละกระแส คนละอย่าง อาตมาจะพูดธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรคุณก็จะแย้งได้ทุกมุม เพราะของคุณก็กระแสหนึ่ง อาตมาก็กระแสหนึ่งก็ต้องแย้งกันไป อาตมาไม่ได้สงสัย แต่อาตมาก็ยินดีรับฟังความคิดของคุณ อาตมาก็วิจารณ์ไปบ้าง เดี๋ยวคุณจะว่าอาตมาสิไม่ฟัง ก็ไม่เป็นไรอาตมายินดีคบหากันนะ ไม่มีปัญหาอะไรก็ค่อยๆพูดกัน สักวันคุณเดชาคงจะเมื่อยคงจะรู้เอง จนกว่าคุณจะรู้จักการหยุดการพักแล้วรู้จักจบ จะเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์เป็นอย่างไร แล้วคุณก็จะฟังอาตมารู้เรื่องจะเข้าใจอาตมาในอนาคต 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ระบอบการปกครองของมนุษย์ ที่สุดยอด วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 10:46:49 )

แรงบันดาลใจ

รายละเอียด

อาตมาบอกพูดไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่า อาตมาเกิดมามีทรัพย์จะมีของจริง แล้วอาตมาก็จะทำงานกับของจริงที่อาตมามี หรือสู้กับทุกคนด้วยความจริงที่อาตมา หมดความจริงอาตมาก็แพ้ได้ คุณมีความจริงมากกว่าอาตมาคุณก็ชนะ ขณะนี้ถ้าใครมีความจริงมากกว่าอาตมาก็ชนะอาตมานะ อาตมาสู้หมดความจริงของอาตมาแล้วก็จะรู้ว่าความจริงของคุณจริงกว่าอาตมาคุณก็ต้องชนะ นี่คือภาษา ใครจะเข้าใจสภาวะขนาดไหนก็ทำความเข้าใจเอา

อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้แต่มาทำอันนี้ 

สิ่งที่บันดาลใจก็คืออาตมาต้องบันดาลตัวเอง ตอบ อาตมาอยากเป็นพระพุทธเจ้าไง บันดาล ชัดไหม อาตมาอธิบายไปหลายทีแล้วว่าอาตมาเกิดมาเป็นคนนี้ก็นับถือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สูงสุดเลย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านสูงสุดเท่ากันทุกพระองค์ อาตมาเกิดมาเป็นคนเป็นอมตะบุคคลแล้ว เข้าใจถึงเปิดนิพพานเป็นประโยชน์ซะแล้ว เข้าใจในการแยกจิตให้เป็นอุตุนิยามมันก็จะหมดแล้ว ได้แล้วเป็นแล้ว 

เช่น ขณะนี้อบายมุข อยู่ในโลกเต็มไปหมด อาตมาก็มีจิตที่ไม่เอาแล้ว คุณจะเอาจิตไปปรุงแต่งกับอบายมุขหยาบๆ ขณะนี้ให้อาตมาไปเป็นพระเอกละคร อาตมาก็ไม่เอา จะให้อาตมาไปเกาหลีให้ตัวเองเนี๊ยบ ระดับไหนก็ได้ไปแปลงกายที่เกาหลี แล้วให้เอามาเป็นพระเอก ก็ไม่เอา 

จิตตัวนี้อาตมามันสูญแล้วอุตุนิยามแล้วไม่ไปสร้างอีกแล้ว นี่คือซ้อนขณะเป็นๆ โลกนั้นอาตมาไม่เอาแล้วที่เป็นอบายขั้นนั้น แต่ก่อนนี้อาตมาเคยมีลิงลมอมข้าวพอง  อยากจะเป็นพระเอก แต่ได้เป็นผู้ช่วยพระเอกตอนจบทุกที เป็นตำรวจจับผู้ร้ายตอนจบ อะไรอย่างนี้เป็นต้น นอกนั้นก็เป็นตัวประกอบ ไม่ได้เป็นพระเอกเลย แต่เคยเล่นละครวิทยุก็เคยได้เป็นนะ ละครเสียง แต่ละครที่เต็มรูปคงไม่สูงพอ ไม่สมาร์ทพอ สรุปแล้วเขาก็ไม่ให้เป็น แม้ว่าเราอยากจะเป็น ตอนหลังเราก็หมดความอยาก ก็ไม่เอาพลังงานไปมุ่งมั่นจะไปเป็นพระเอกอีก 

สุดท้ายก็มาเข้าใจว่าเป็นอันนี้แหละ ใครจะเป็นอย่างที่อาตมาเป็นมาทางธรรมโลกุตระ เลยอาตมาไปได้เลย อาตมาจะไม่ได้ริษยาเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2562 ( 17:17:14 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:20:35 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:10:46 )

แร้งหรืออีแร้ง(พญาแร้ง)

รายละเอียด

คือ เป็นสัตว์หน้าตา น่าเกลียด ที่คอยกินซากศพ คติของชาวอโศกถือว่า สัตว์จำพวกนี้ บินสูงยิ่งกว่านกอินทรี รักความสะอาด และมีคุณประโยชน์ โดยการกำจัดซากศพ ที่เน่าเปื่อยให้หมดไป แต่ถูกมนุษย์รังเกียจถือเป็นสัตว์ที่ปิดทองหลังพระ รูปปั้นแร้งบนยอดเสา

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ”หน้า 139


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:05:48 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:20:23 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:43:33 )

แล้วแต่หมู่ต้องเลือกหมู่ให้แม่น

รายละเอียด

แบบนี้สบายดี ต้องเลือกหมู่ให้แม่น อย่างไรคนเราต้องใช้ปฏิภาณความฉลาดตัวเองเลือกตัดสินอยู่แล้ว ก็เป็นไปตามธรรมไม่มีปัญหา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:02:34 )

แสง เสียงช้ากว่าจิต

รายละเอียด

แสง เสียงมันช้ากว่าจิตเยอะ มันเป็นประสิทธิภาพของจิต มากน้อยก็แล้วแต่ใครทำได้ เขาจะรู้ตัว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 4 ประการ วันพุธที่ 24 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กันยายน 2565 ( 14:07:06 )

แสงที่มันตรงไปเลยได้ก็จะหายไปเลยเป็น nuclear  fission

รายละเอียด

มันมีตรงไง ไอ้ที่แสงที่มันตรงไปเลยได้ก็หายไปเลย เป็น nuclear  fission ไปเลย ไอ้ที่มันโค้งมันก็คือยังอยู่ไง ไอ้ที่ไม่อยู่มันก็คือไม่มีสิ มันก็หายไป

หมดหายไปเลย

ไม่มีแรง มันไม่มีแรง มันไม่มีอะไรต่อ แรงก็ไม่มี ความเจือจางก็หมด ตัวตนก็หมด หมดหายไปเลย

ฝุ่นละอองมันไม่มี แสงหรือว่าอากาศมันยิ่งกว่าฝุ่นละออง ฝุ่นละอองมันเป็นธาตุดิน

นั่นแหละ มันก็หายไปกับทุกอย่างเลย หายไปกับ infinity หายไปกับ ไม่มีอะไรแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนากับปัจฉาฯ 31 ก.ค. 2561


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 16:10:21 )

แสงอรุณ 7

รายละเอียด

เมื่อดวงอาทิตย์ (มรรคองค์ 8) จะขึ้นสิ่งที่ขึ้นก่อน เป็นนิมิต (เครื่องหมาย)

มาก่อน คือ แสงอรุณ (แสงเงินแสงทอง)

1. ความเป็นผู้มีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา)

2. ความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา)

3. ความถึงพร้อมด้วยความยินดี (ฉันทสัมปทา)

4. ความถึงพร้อมด้วยอัตตา (อัตตสัมปทา)

5. ความถึงพร้อมด้วยความเห็น (ทิฏฐิสัมปทา)

6. ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา)

7. ความถึงพร้อมด้วยการทำในใจโดยแยบคายพิจารณาลงไปถึงที่เกิด (โยนิโสนมสิการสัมปทา)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม  19 "สุริยเปยยาล" ข้อ  129-136

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 06 กรกฎาคม 2562 ( 11:36:46 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:44 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:45:29 )

แสงอรุณ 7

รายละเอียด

แสงอรุณ 7 เป็นตัวที่เริ่มที่จะมีความรู้ความเข้าใจพร้อมที่จะลงมือปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติจึงจะคือผู้ที่ได้เห็นดวงอาทิตย์ หากไม่เจอแสงอรุณแล้วพรวดไปเจอพระอาทิตย์ได้เลยมันไม่ถูกต้อง ไม่ได้แน่นอน มันลัดคิว คุณจะได้เห็นพระอาทิตย์ต้องเห็นแสงอรุณมาก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 20:49:28 )

แสงอรุณ 7

รายละเอียด

เมื่อดวงอาทิตย์ (มรรคองค์ 8) จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน เป็นนิมิต (เครื่องหมาย) มาก่อน คือ แสงอรุณ (แสงเงินแสงทอง)

1. ความเป็นผู้มีมิตรดี (กัลยาณมิตตตา)

2. ความถึงพร้อมด้วยศีล (สีลสัมปทา)

3. ความถึงพร้อมด้วยความยินดี ฉันทสัมปทา)

4. ความถึงพร้อมด้วยอัตตา (อัตตสัมปทา)

5. ความถึงพร้อมด้วยความเห็น (ทิฏฐิสัมปทา)

6. ความถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท(อัปปมาทสัมปทา)

7. ความถึงพร้อมด้วยการทําในใจโดยแยบคายพิจารณาลงไปถึงที่เกิด (โยนิโสมนสิการสัมปทา)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 19 “สุริยเปยยาล” ข้อ 129-136


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2565 ( 02:59:42 )

แสงอรุณ 7 ข้อที่ 1-3

รายละเอียด

มีหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีและเราก็รู้ว่า หมู่นี้ดี เราเข้าใจ เราพอใจ ฉันทะว่าหมู่นี้ดี เรามาอยู่กับหมู่นี้ แล้วหมู่นี้มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ คือศีล เป็นลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา เราก็จะได้อธิวิมุติไปตามลำดับ เราก็มีใจยินดีร่วม เมื่อร่วม เขาก็จะดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ เรียกว่าศีล

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:40:22 )

แสงอรุณ 7 ข้อที่ 4-7

รายละเอียด

ก็ปฏิบัติศีลไปตามลำดับ เมื่อมีศีลแล้วเราก็จะรู้อัตตา รู้อัตตา 3 เรียนรู้ตัวเราเองรู้จิตวิญญาณรู้อัตภาพของเรา เบื้องต้นรู้จักอบาย สละอันนี้ เลิกอันนี้ เราก็เรียนรู้เข้าใจ เราก็มีความรู้ความเข้าใจเป็นทิฏฐิ เป็นทฤษฎี ไปตามลำดับ หมดอัตตาไปตามลำดับ ไม่ประมาท

อาตมาพูดนี้อาตมาเดินตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า สุริยเปยยาล 7

มิตรสหายดี มีฉันทะ รู้อัตตา ปฏิบัติอย่างดี มีผล มีทิฏฐิ มีความรู้ ความเห็นความเข้าใจ ชัดเจนไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็ทำอย่างไม่ประมาท อัปปมาทสัมปทา ก็จะเกิดธรรมต้นทางคือจิตในจิต โยนิโสมนสิการ ทำใจเราลดละจางคลาย ก็มีความเจริญ ไปเรื่อยๆ อย่างได้ลำดับถ่องแท้ลงไปถึงที่เกิดโยนิโส เป็นเรื่องของการปฏิบัติจิตในจิต มนสิการเลย โยนิโสมนสิการคือการทำใจในใจ เป็นตัวประธาน ต้นรากของมนุษยชาติไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ มาทำแก่นชีพ-เชื้อชาติพุทธให้รุดหน้าเกินพัน วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:42:08 )

แสงอรุณ 7 ข้อที่ 6 และ 7

รายละเอียด

ข้อที่ 6 อัปปมาทสัมปทา ไม่ประมาท แม้จะรู้แล้วมีทิฐิสัมมาก็อย่าทำเป็นเล่น อย่าประมาท ต้องละเอียดลออ ต้องสุขุมประณีต ต้องโยนิโส เป็นอันที่ 7 ต้องโยนิโสต้องละเอียดลออเเยบคายถ่องแท้ในรายละเอียดทั้งหมด ประมาทไม่ได้ เห็นไหม เรียงลำดับไล่มากว่าจะถึงโยนิโสมนสิการข้อที่ 7 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 06:42:53 )

แสงอรุณ 7 หรือสุริยเปยยาล 7 เป็นนิมิตแห่งอาริยมรรค

รายละเอียด

แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน แสงอรุณ 7 สุริยเปยยาล (เล่ม 19  ข.129 - 136) [129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  [132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  [133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค [134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  [135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค  [136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

ข้อแรกคุณต้องได้ยินได้ฟังได้ไปพบสัตบุรุษที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เช่น พระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษ ถ้าไม่ได้ฟังจากพระโอษฐ์ ไม่ได้ฟังจากสัตบุรุษ หรือ ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ไม่มีทาง ในมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คุณต้องไปฟังสัมมาทิฏฐิจากมิตรดี สหายดีก่อน เป็นเบื้องต้น ผู้ที่อธิบายสัมมาทิฏฐิ จะต้องพากัน ปฏิบัติข้อ 2 ในสุริยเปยยาล ข้อที่ 2 คือต้องปฏิบัติศีล ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วทิ้งศีลเลย ไม่ใช่ ต้องปฏิบัติศีลคือข้อ 2 เห็นไหม สำคัญนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยข้อที่ 1 กับข้อที่ 8 วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2564 ( 05:22:56 )

แสงอรุณไม่มาสุริยาไม่มี

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าเน้นถึงการอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี แต่พระเมฆิยะนั้นคิดจะออกจากหมู่ … พระพุทธเจ้าก็บอกว่า จะไม่เกิดประโยชน์อะไรในการปฏิบัติ มิตรดีเป็นแสงอรุณข้อแรก หากไม่มีข้อแรกนี้ก็ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ เพราะไม่มีแสงอรุณมาก่อน ต้องมี

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:21:25 )

แสงเงินแสงทองต้องมาก่อน

รายละเอียด

[129]  มิตรดี เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[131]  สีลสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[132]  ฉันทสัมปทา เป็นนิมิตcห่งอริยมรรค 

[133]  อัตตสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[134]  ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค 

[135]  อัปปมาทสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

[136]  โยนิโสมนสิการสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค

ที่มา ที่ไป

สุริยเปยยาล เล่ม 19  ข้อ129- 136

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 20:44:05 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:25:35 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:48:30 )

แสงเป็น 2 อย่างในตัวเองตามวาระ

รายละเอียด

อย่าง photon quantum บางคนบอกแสงเป็นก้อน หรือบางคนว่าไม่ใช่ มันเป็นคลื่น ทุกวันนี้ก็เถียงกันอยู่ มันถูกทั้งคู่ แต่ยึดทั้งคู่ ที่จริงแล้วมันเป็น 2 อย่างในตัวมันเองตามวาระ เช่นว่า กำแพงมันหนาเกินไป ที่กั้นมันหนาไป แสงมันไม่สามารถทะลุได้ก็เป็นก้อน แสงที่ทะลุไปได้มันก็กลายเป็นคลื่น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 20:17:44 )

แสดงความจริงให้จริงที่สุด

รายละเอียด

ก็เป็นความเห็นของคุณไม่มีปัญหาอะไร ต่างคนต่างเห็นว่าอันนี้ดีก็ทำไปเราก็แสดงความเห็นว่าดีอย่างไรไม่ดีอย่างไร ก็แสดงออกเพื่อที่จะอธิบายขยายความให้รู้ความจริงว่าที่เราเห็นว่าอันนี้ดีแล้วก็ทำอย่างนี้ เพราะอย่างนี้อันนี้มันไม่ดีอันนี้มันไม่ดีอย่างนี้ก็เลยได้ทำอย่างนี้ก็เลยจะชัดเจนขึ้น แสดงความจริงให้จริงที่สุด 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:44:47 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:38 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:49:44 )

แสดงความโง่บอกอิสระเสรีภาพใหญ่กว่าสุขภาพ

รายละเอียด

ฉันเดียวกัน เราควรปิดประเทศก่อน เขาก็ว่า ไม่เอาเอาอิสรเสรีภาพใหญ่ที่สุด พวกนี้บ้าบอกูจะเอาอย่างที่กูยึด คนพวกนี้ตายแล้วตายอีก ตายอย่างเขียด ก็ดูมันไม่ใช่เรื่องมุข เรื่องใส่ความ คนที่อยู่อย่างนั้นเป็นคนชนิดนั้นแสดงออกอย่างนั้น ถ้าเขารู้ตัวเขาไม่แสดงออกเขาละอาย แต่นี่เขาแสดงความโง่ออกมา เขาไม่รู้ตัว เขานึกว่าเขาแน่เขาแสดงความเด่นบอกว่าอิสรเสรีภาพใหญ่กว่าสุขภาพ มันก็เป็นจริง มันก็เป็นจริง จะต้องไปลำบากลำบนอะไร เราดูไปไม่ต้องไปดูไบ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 11:17:45 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 14:21:50 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:51:08 )

แสดงธรรมกับกลุ่มผู้หลงผิดยาก

รายละเอียด

คือ  การแสดงธรรมทุกวันนี้ตัวสมณะโพธิรักษ์เองก็สบายๆ แต่ที่ท่านแสดงธรรมให้แก่หมู่กลุ่มผู้หลงผิดนี้หนักฉิบหาย ยากฉิบหาย เลยใช้ภาษาไทยที่ชัดเจน มันเป็นคำที่หยาบแต่มันสื่อได้ชัดเจน ตรวจท่านเองไม่มีปัญหาสบายๆ แต่แสดงกับท่านทั้งหลายกับพวกคุณก็ไม่หนักหนา แสดงธรรมดาทุกคนก็ตั้งใจฟัง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:40:18 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 12:23:08 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:52:23 )

แสดงธรรมตีกลับโลก

รายละเอียด

และใช่ที่อาตมาแสดงธรรมตีกลับโลก แต่คุณไปกับโลก อาตมาตีกลับคำสอนที่พวกคุณไปกับโลก อาตมาตีกลับมาเป็นโลกุตระ 

ที่บอกว่าจงเกิดปัญญานั้นมันเป็นการบังคับ ขอถาม พวกเรา และที่นี่ใครไม่นับถือพระพุทธเจ้ายกมือขึ้นขอสักครึ่งคน ...ไม่มีสักครึ่งคนก็ไม่มี 

ก็เป็นความเห็นของคุณอาตมาไม่แย้งหรอกเพราะว่าเสียเวลา 

เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายฌาน หากคุณเห็นตรงตามอาตมาไม่ได้ คุณมิจฉาทิฏฐิหากคุณเห็นตามอาตมาได้ คุณสัมมาทิฏฐิ พูดไว้อย่างนี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันพุธที่ 13 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 10:33:59 )

แสดงธรรมผิด บาปหนักเป็นอนันตริยกรรม

รายละเอียด

อาตมาเชื่อกรรมเชื่อวิบากนะ ไม่พูดอะไรพล่อยๆ เล่นๆ เพราะกรรมเป็นอันทำ มันเป็นวิบากของอาตมา อาตมาจะไม่พูดผิด ฟังความนี้ให้ชัด อาตมาพูดทุกคำถูกทั้งนั้น โดยเฉพาะยิ่งแสดงธรรม จะไม่ให้ผิดเด็ดขาด เพราะผิดแล้วมันเป็นอันทำ บาปหนักเป็นอนันตริยกรรม อาตมาถือเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 11:05:46 )

แสดงธรรมวาที

รายละเอียด

ซึ่งการเป็นนานาสังวาสกัน อาตมาก็แสดงธรรมวาทีของอาตมา เขาก็แสดงของเขา ใครเห็นว่าอันไหนเป็นธรรมวาทีก็ไปเอา เป็นอิสรเสรี เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาเริ่มต้นตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ที่เป็นคนเรียนรู้สัมผัสๆ กัน ก็จะรู้ว่าคุณยังติดในรูปอยู่เยอะ คุณยังติดในเสียงอยู่อีกเยอะ คุณยังติดในกลิ่นอยู่อีกเยอะ คุณยังติดในรส ไอ้รสนี่เยอะนะ โฆษณากันเต็มบ้านเต็มเมือง อะไรก็อร่อย อาหารใหญ่ เชฟใหญ่ ปรุงแต่งหลอกกันไป สนับสนุนส่งเสริมกันจ้างมาโฆษณาให้ เชฟ ทำอาหารอร่อยๆ อาตมาก็พูดตามสัจธรรมว่า “จะหลงอร่อยกันไปถึงไหน มากินไม่อร่อยให้ได้นั่นคือผู้เจริญ ผู้ไปหลงอร่อยนั่นคือผู้เสื่อม ผู้ตกต่ำ” แล้วเขาฟังกระดิกหูกันไหมนี่ มีพวกคุณชาวโลกุตระฟังธรรมนี้เข้าใจ รู้เรื่อง แต่ชาวโลกียะเขาจะไม่กระดิกหู โพธิรักษ์พูดอะไรวะ มันก็น่าสงสารเขานะเป็นความสงสาร ที่จริงใจ ถ้าคุณเข้าใจว่าการสงสารการสมเพชคืออะไร มันจริงใจ มันน่าสังเวชใจ จะทำอย่างไร อาตมาก็เก่งเท่าที่อาตมาเก่ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก  


เวลาบันทึก 18 มกราคม 2566 ( 12:21:54 )

แสดงธรรมไปโดยลำดับ (อนุปุพพิกถา) .

รายละเอียด

1.ทาน การสละ  การให้  

2.ศีล  การชำระขัดเกลา ด้วยเจตนางดเว้น

3.สัคคะ (สวรรค์) .

4.กามานัง  อาทีนวัง  โอการัง  สังกิเลสัง โทษของกาม  ความต่ำทรามของกาม    ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย . .เนกขัมมะ อานิสัง  อานิสงส์การออกจากกาม

ที่มา ที่ไป


ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 21:49:28 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 11:55:35 )

แสดงธรรมไม่ได้กลัวใครตำหนิ

รายละเอียด

พวกเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา มีความรู้มีเจตนารมณ์ถึงความตั้งใจที่อาตมาทำ ซึ่งอาตมาเองก็พูดแล้วไม่รู้ว่าผู้ฟังที่ฟังอาตมาพูดนี้จะเข้าใจแค่ไหนที่อาตมาพูดนั้น คืออาตมาเกิดมาเป็นคนมีชีวิตเหมือนกันกับทุกคน อาตมาไม่เอาชีวิตไปเสียเวลาไปกับการแย่งยศสรรเสริญหาเงินหาทองหาความยกยอปอปั้นสรรเสริญเยินยอ แสดงธรรมไม่ได้กลัวใครตำหนิ ไม่ได้กลัวใครว่า ไม่ได้อยากได้ความยกย่องสรรเสริญเลย ถ้าหากว่าอาตมาจะพูดเพื่อต้องการยกย่องสรรเสริญทำไมอาตมาจะทำไม่เป็น อาตมาก็มีปฏิภาณให้คนชมเชยสุภาพเรียบร้อย พูดดีพูดงามไม่ว่าใคร อาตมาทำงานโทรทัศน์มาเป็นนักเสแสร้งเพื่อจะให้คนนิยมชมชอบอาตมาทำมาแล้ว จะไปยากอะไร อาตมาไม่ได้มาหาสรรเสริญเลย ควรตำหนิก็ตำหนิ อาตมาไม่เกรงใจหรอก อาตมามั่นใจในสัจธรรมอะไรที่ควรตำหนิก็ว่า อะไรที่ควรยกย่องก็ยกย่อง คำยกย่องอาตมาก็ไม่ค่อยได้พูด เพราะว่าพูดยกย่องทีไรก็ต้องยกย่องตัวเองเหมือนกับว่าเราถูก จะไปยกย่องเขาก็ไม่มีความถูกให้ยกย่อง ก็เลยไม่ค่อยได้ยกย่องมาก อาตมาก็เป็นคนแคบด้วยเป็นคนไม่รู้จักว่าใครดีจริงๆ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:49:28 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:28:05 )

เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2563 ( 13:54:00 )

แสดงว่าถ้าสังคมมีอวิชชาโลกีย์มาก บัณฑิตก็ต้องรู้การปรุงแต่งให้มาก

รายละเอียด

ก็ใช่ แล้วในยุคนี้มันมากมายจริงๆ จนมันจะทำลายโลก ทำลายตัวเอง โลกจะแตกเพราะคนนี้แหละ จะเกิดไฟประลัยกัลป์ก็เพราะคนนี้แหละ ขนาดทุกวันนี้ ถ้าประเทศ 2-3 ประเทศ ต่างคนหมดสุดขีดแล้วที่จะอดทน กดปุ่มกัน 2-3 ประเทศนี้เป็นอย่างไร โลกนี้เป็นอย่างไร ก็บรรลัย จริงนะ ทุกวันนี้ระเบิดที่ทำกัน แล้วที่ไปลองมาแล้วที่ญี่ปุ่น ตูมเดียวหมดไปทั้งเมืองเลย คนก็หมดไปตั้งเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้มันเก่งกว่านั้นอีกไม่รู้กี่ต่อแล้ว มันเป็นขี้เถ้าไปเลยทีเดียวเลย แล้วเรื่องจริงนะ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 4-5-10 วันพุธที่ 17 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 กันยายน 2565 ( 20:51:22 )

แสดงออกด้วยความจริงใจไม่เสียประโยชน์

รายละเอียด

การเป็นอรหันต์ขั้นที่ 4 ยังช่วยได้น้อย ยังไม่แข็งแรงมากนัก ว่ายน้ำได้ก็ยังไม่เก่งเท่าไหร่ อรหันต์ขั้น 4 ขั้นที่ 5 ก็เก่งขึ้น ช่วยได้มากขึ้น ขั้นที่ 6 ก็เก่งขึ้นอีก ช่วยได้มากขึ้นอีก ขั้นที่ 7 ก็ยิ่งช่วยได้มากขึ้นอีก มันเป็นสัจจะ มันก็จริงไปตามจริงนั้น 

ซึ่งมันก็เป็นจริงตามจิตของพวกคุณเอง เป็นเรื่องความจริงใจของพวกคุณที่จะเคารพอาตมาอย่างสุดเศียรสุดเกล้า อาตมาหมดมังกุ อุทธัจจะแล้ว ไม่ได้เหนียมอายอะไรหรอก 

ส่วนคนที่จะมาแกล้งป้อยอยกย่องอาตมา อาตมาก็จะพอรู้ได้ อาตมาอันนั้นก็จะติงเขา แต่ถ้าพวกคุณจริงใจจะไปติงอะไร 

พวกคุณถ้าได้กล่าวอย่างนี้ เขารับอย่างเศียรเกล้าอย่างสูงสุดอย่างที่พูดกันอยู่อย่างนี้ พวกคุณได้พวกคุณก็สบายใจเพราะคนที่รู้สึกว่า โอ้โห สิ่งที่มีค่าเหลือเกิน คนนั้น อยากให้เขาเห็นเขารู้สิ่งที่มีคุณค่านี้ด้วย เขาก็อยากให้เห็นให้รู้ เพราะฉะนั้นเขาจึงแสดงออกไง เห็นไหม มันก็เป็นประโยชน์ เพราะเราจริง 

เราไม่ได้อยากใหญ่อย่างสุดเศียรสุดเกล้าอะไรนะ เราไม่ได้อยากเป็นสุดเกล้าสุดเศียร แต่มันก็ปฏิเสธความจริงใจไม่ได้ 2 คนเขาเคารพกันก็ 2 คนนี่แหละ คนอื่นเขายังไม่เห็นด้วยก็แล้วไป เขาอาจจะรู้สึกว่ามันมากเกินไป ก็เรื่องของเขา แต่คนที่เห็นด้วยก็จะว่า ใช่ๆๆ เห็นด้วยมันก็ไม่ประหลาดอะไร มันไม่มีนะในยุคนี้ แล้วมันมีจริงๆแล้วจะไม่พูดได้ยังไง ถ้ามันจริง เขาก็ต้องแสดงออกด้วยความจริงใจ มันไม่เสียประโยชน์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ทำไมสายศรัทธาจึงช้าและยากกว่าสายปัญญา วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 สิงหาคม 2565 ( 14:43:54 )

แสดงแนวคิดโลกุตระ

รายละเอียด

อาตมาจึงเห็นว่า เออ ก็น่าจะบอกกันชาวอโศก ซึ่งเราไม่ได้คิดจะเอาไปแข่ง เราไม่ได้คิดจะเข้าไปแย่งตำแหน่งหน้าที่ เราไม่ได้คิด แม้แต่จะสมัคร ส.ส.นี่ เราก็ไม่ได้คิดจะสมัคร ส.ส. เพื่อที่จะเป็นส.ส.เข้าไปในสภา ในทางกฎหมายเขากำหนดว่า พรรคการเมืองทุกพรรคต้องส่ง แต่ก่อนนี้ก็ไม่มีกฎหมายนี้ อาตมารู้มา เมื่อเป็นพรรคการเมือง ต้องส่งเลือกตั้ง ส.ส. 2 สมัย 2 ครั้งได้ ถ้าไม่ส่งครั้งหนึ่งได้ เกิน 2 ครั้งไม่ได้ ยุบพรรคเลย แต่ก่อนนะ เท่าที่อาตมาจำได้ แต่เดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างนั้นอยู่หรือไม่ อาตมาก็ไม่ได้ ติดตามเรื่องของการเมืองนี้ เท่าไหร่ 

แต่ทีนี้เราเอง ชาวอโศกเราจะมีพรรคการเมือง อาตมาก็ว่าน่าจะส่งเสริมกัน ให้แสดงแนวคิดที่เรามีแนวคิดโลกุตระ แนวคิดตามพระพุทธเจ้าเท่าที่เราเข้าใจ เท่าที่เราเชื่อถือ ตามสิทธิมนุษยชน เราก็น่าจะต้องช่วยกัน ส่งเสริมกันบอกแจ้ง ที่สำคัญก็คือบอกแจ้งกันให้รู้ เราก็จะได้พัฒนาแนวคิด ที่เป็นโลกุตระ แนวคิดที่เราเชื่อว่าเป็นของพระพุทธเจ้าว่ามันดีนะ มันเป็นประโยชน์ต่อสังคมต่อมนุษยชาติ มันเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ชาวอโศกเราพัฒนาตนเองขึ้นมา ร่วมกับสังคมประเทศเขา ไม่ได้ดูดายหรือว่าไม่ได้ปล่อยปละละเลยอะไร อย่างที่เราทำมาก่อน ถึงกาละนี้ ถึงกาละที่ควรแล้ว เราก็ถือโอกาสมันก็ดำเนินมาบรรจบ ครบกรรมกิริยาการเมืองที่เป็นมา เราก็ทำเต็มที่ นี่ ภาพเขาเอามาบอก เป็นภาพที่อาตมาไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตย เขาจะต้องเอารูปไปติดไว้ในใบสมัคร อาตมาก็ต้องทำตามกฎหมาย ตามกฎเกณฑ์กฎหมายเขาเราก็ต้องทำ

 เพราะฉะนั้นจะเป็นเรื่องประหลาด จะเป็นเรื่องแปลกๆ ในสังคมที่เกิดขึ้นใหม่ มันมีอะไรใหม่เกิดขึ้นมา คนเขาจะด่า คนเขาจะว่า ผู้ที่เขาอคติหรือผู้ที่เขายึดถือ แต่คนที่เขาเห็นว่า เอ๊..ทำอะไรแปลกๆ นะองค์นี้ พระรูปนี้ หรือเขาไม่เรียกพระ เขาจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ สมณะรูปนี้ ตามกฎหมายเขาก็เรียกเราถูกต้องแล้ว เป็นสมณพราหมณ์ สมณพราหมณ์รูปนี้อย่างไร ทำอะไร เขาก็อาจจะมองไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรเป็นจุดสำคัญของสังคมมนุษยชาติ มันเป็นการพัฒนาหรือว่าเป็นการ ปหายะ เป็นการเสื่อม มันเป็นความเสื่อมที่ทำนี้มันเป็นความเสื่อม หรือเป็นความเจริญของสังคมประเทศชาติ ของมวลมนุษยชาติ ก็ดูกันไปนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การเมืองและเศรษฐกิจแบบโลกุตระ พรรคสัมมาธิปไตย วันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2566 ( 14:14:18 )

แสวงบุญ ที่ถูกต้อง อย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกที่ไปนั่งหลับตาทำสมาธิ เป็นคนพิการ คนไม่ครบภายนอก ศึกษาไปแล้วก็หลงสะกดจิตไป ครูบาอาจารย์ที่เป็นเดียรถีย์สอนออกนอกพุทธซึ่งเป็นบาปไปแล้ว เป็นพวกที่แสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธ คำว่า แสวงบุญ หมายความว่าแสวงไปให้เกิด ทำภาวะของบุญเกิดขึ้นได้ 

บุญ คือ การชำระกิเลสให้จิตใจสะอาด จากสันดานทั้งหมดเลย สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ บาลี แปลคำว่า ปุญญะหรือบุญ คือ ในสันดานของคน มันมีกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถทำให้จิตของเราเกิดบุญได้ก็คือ จิตได้เกิดการชำระกิเลสออกจากจิตออกจากสันดานหมดเกลี้ยง สันดานสะอาด สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมส่งท้ายปีเก่า 2565 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ขึ้น 9 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2566 ( 14:06:44 )

แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ

รายละเอียด

แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ จะไม่รู้จักบุญ คุณได้แต่กุศลอย่างเดียวไม่เข้าเขตบุญแสวงบุญก็ออกนอกเรื่องไม่ได้บุญ บุญ คือ จับจิตเป็น มนสิการเป็น ทำให้กิเลสลดได้นั่นคือบุญ บุญไม่ใช่กุศล เขาทำกันได้แต่คุณงามความดี ได้แต่สังคมยกย่องเชิดชู อย่างนั้นเป็นแค่กุศล ถ้าหากเป็นบุญจะต้องทำให้กิเลสลดได้จึงจะชื่อว่า บุญ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:04:40 )

แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ คืออย่างไร

รายละเอียด

เดียรถีย์ คือ คนนอกรีตพุทธ คนนอกศาสนาพุทธ คนแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ แสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ คือผู้ที่พยายามจะสร้างจิตให้เกิดบุญ เข้าใจแบบนอกขอบเขตพุทธ ไปเข้าใจแบบเดียรถีย์

เพราะฉะนั้นคำว่า บุญ คำนี้ยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวนี้เสื่อมผิดเพี้ยนไปไกลมาก เข้าใจบุญว่าเป็นกุศล ผิดถนัดเลย ถ้าคุณเข้าใจว่า บุญ เป็นกุศลเมื่อไหร่ คุณจะไม่มีทางปฏิบัติธรรมบรรลุนิพพาน เพราะบุญนั้นทำงานเป็นพลังงานในปัจจุบัน ทำงานฆ่ากิเลสอย่างเดียว ฆ่าเสร็จก็หายไปไม่สะสมเลย กุศลนั้นสะสม ทำแล้วเป็นอันทำ 

กุศลนั้นทำแล้วสั่งสมเป็นวิบาก กุศลเป็นสิ่งที่เป็นความดีงาม เป็นโลกียะ ส่วนบุญนั้นเป็นโลกุตระเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ในศาสนาพุทธศาสนาเดียว ศาสนาอื่นไม่มี ศาสนาอื่นที่เอาไปใช้เป็นคำว่า นักบุญนั้น นักบุญนี้ทั้งนั้นเลย เก๊ แล้วเอาคำว่าบุญของศาสนาพุทธไปใช้ให้เสียหายหมดเลย บุญ ไม่ใช่เป็นเทวนิยม บุญเป็น อเทวนิยมเป็นนิพพาน ฆ่ากิเลสแล้วสูญ ปุญญปาปปริกขีโณ ภาษาบาลีว่าอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 12:07:45 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์