@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

การเกิด – การตายของโอปปาติกะ

รายละเอียด

การเกิด-การตายของจิตวิญญาณเท่านั้น (ไม่ได้หมายถึงความตายที่รวมเอาร่างภายนอกที่เกิดที่ตาย) เฉพาะจิต วิญญาณ หรือมโนเท่านั้นที่ตายหรือเกิดไม่ใช่ทั้งองค์ประชุมของร่าง และไม่ใช่ตายไปทั้งจิต หรือ วิญญาณ องค์รวมทั้งหมดของเรา  เฉพาะอกุศลจิตตัวนั้น ๆ เท่านั้นที่ตายไปทีละตัว หมดไปทีละขั้น สัตว์นรกตัวนั้นหรือเทวดาองค์นั้นตายไป เทวดาอีกองค์ก็เกิด

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 198


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 14:55:32 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:40:56 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:41:57 )

การเกิด “เอง” ค่อยๆขยายเติบโตทีละขั้น

รายละเอียด

ลำดับแห่งการเกิด“เอง”มีดังนี้ 

เริ่มตั้งแต่“ความรู้”ขั้นต้นนั้นคือ “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

(ซึ่งมันเริ่มมีความรู้โลกุตระขึ้นในจิตตน)”แล้วสะสมคุณธรรมนี้มากขึ้นจนถึง

อีกขั้นหนึ่งพอสมตัว 

จึงจะเป็น“ปัจเจกภูมิ”ระดับต้น 

ผู้สะสม“ปัจเจกภูมิ”ได้มากถึงขีดขั้น“ตายข้ามชาติไป”ก็ยัง

สามารถมีของ“ตนเอง”ได้เอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่น 

ก็จะมีภูมิโลกุตระของตน“เอง” จึงจะได้ชื่อว่า“สยัง” 

คือมีความเป็น“เอง”ของตนเองได้เองแล้ว นั่นคือ มี“สยัง อภิญญา” 

นับว่า บรรลุ“นิยตโพธิสัตว์”

จาก““นิยตโพธิสัตว์”ก็จะสะสมเพิ่มภูมิ“อภิภู(ผู้เห็นยิ่ง,ผู้เป็นเอง)

มากขึ้นสูงขึ้นไปสู่“มหาโพธิสัตว์”ระดับที่ 8 แล้ว จึงจะเป็น

“สัมมาสัมพุทโธ(ตรัสรู้เองโดยชอบ)”ขั้นสูงที่สุด“ระดับที่ 9” จบกันตรงนี้ 

ไม่มี“ความรู้ยิ่ง”ที่จะมีได้,เป็นได้ยิ่งกว่า“ระดับที่ 9”นี้อีกแล้ว

สำหรับ“ความรู้ในโลกในวัฏฏสงสารแห่งมหาจักรวาลเอกภพ”

“อภิภู”คือ พระผู้ครอบงำภาวะนั้นได้อย่างยิ่งตามจริง,พระ

ผู้เห็นยิ่ง,พระผู้เป็นเอง,พระผู้เป็นนายของสัจธรรม(มิใช่ผู้เห็นผู้อื่นเป็นทาส

ดอกนะ!) ซึ่งดูรายละเอียดของสัจธรรมได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 11 

ข้อ 349 เป็นต้นไป (อภิภายตนะ 8)

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 503 หน้า 372


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 12:51:55 )

การเกิด(โยนิ)ของจิตวิญญาณ เป็นอาริยชน

รายละเอียด

“การเกิด(โยนิ)”ของ“จิตวิญญาณ”เป็น“อาริยชน”นี้เป็น“การเกิด(ชาติ,โยนิ)” ที่คนผู้มี“ปัญญา”จริง เริ่มจากมี“สัมมาทิฏฐิ”แล้วปฏิบัติตนเองมี“การทำใจในใจ(มนสิการ)”ของตนเองให้มี“การเกิดผล(ภาวนา)”เป็น“โยนิโสมนสิการ” คือ “การทำใจในใจ”ของตนมีคุณผลถึงขั้น“การเกิด(โยนิ)ของใจในใจ”ที่จิตเจริญขึ้นๆจนกระทั่งมี“ความตั้งมั่น(สมาธิ)”แบบ“โลกุตระ”จึงจะ“เที่ยงแท้(นิยตะ)”ไปแต่ละขั้นได้ “จิตตั้งมั่น”เป็นลำดับ สูงสุดตามหลัก“เจโตปริยญาณ 16”ก็สูงสุด“สมาหิโต” นั่นคือ “จิตวิญญาณของคนผู้นั้นมีการเกิด(โยนิ)”ขึ้นจริง ศัพท์ของ“การเกิดทางจิตวิญญาณ”มีว่า“โอปปาติกโยนิ” เป็น“การเกิดคุณผล”กันจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 13:40:14 )

การเกิดกลางปี การเกิดปลายปีหรือต้นปี ก็เป็นเรื่องอจินไตยชนิดหนึ่ง

รายละเอียด

วันนี้วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานี อาตมาตอนนี้อายุเท่าไหร่ 2566- 2477  เหลือเท่าไหร่ ก็เหลือ 89 ถ้า 2 5 6 7 ก็เต็ม 0 อายุก็จะ 90 อายุจริงๆอาตมาเกิดมิถุนายนมัน 6 เดือนพอดีกลางปี 

การเกิดกลางปี การเกิดปลายปีหรือต้นปี ก็เป็นเรื่องอจินไตยชนิดหนึ่งเหมือนกัน พระพุทธเจ้าเกิดต้นเลย อาตมาเกิดเดือน 7 ตอน 8 ค่ำ มันก็กลางๆ ของพระพุทธเจ้า 15 ค่ำก็เต็มเลย มันเป็นเรื่องจริง 

วันนี้ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 2 เดือนยี่ ปีขาล ดญ.ปุณย์ ก็เกิดวันที่ 31 วันนี้วันที่ 1 ดญ.ปุณย์ ก็อายุ 2 ปีถ้วนเลย ทำใส่กระดาษมาอย่างดีเลย สวัสดีปีใหม่ 2566 บิดาเขาทำมา เขามีบิดา เป็นช่างสื่อ เขาก็ทำมา คุณปุ๊กบิดาเขา ส่วนแม่เขา คุณรุณ ลูกก็เลยชื่อปุณย์ ถ้ามีลูกอีกคนก็คงชื่อ รุก

สวัสดีปีใหม่ 2566 น้องปุณย์ ดญ.รวงทองแพง เจนไชย กราบขอบพระคุณในความรักความเมตตาที่หลวงปู่มอบให้น้องปุณย์ ตั้งแต่อยู่ในท้องจนโตมา 2 ขวบ วันที่ 31 เดือน 12  พ. ศ. 2565 ขอให้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง อยู่ดูน้องปุณณ์ขอบใจในสังคมสาธารณโภคี จวบจนได้สั่งสมบารมีติดตามหลวงปู่ไปทุกภพทุกชาติค่ะ

ปุณย์เอ๋ย โตขึ้นมาอ่านหนังสือนี้ให้มันออก บิดาเราเขียนไว้ หรือไม่รู้ว่ามารดาเขียนก็ไม่รู้ล่ะ ไม่บอกมา 

คือ เด็กๆที่ใกล้ชิดพวกเราอย่างนี้แหละ เป็นที่น่าเอ็นดู ก็ โอภาปราศรัยเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง ผู้ที่อยู่ห่างก็ห่างก็ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิด ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดก็มีสิ่งอันนี้เกิด เป็นเรื่องธรรมชาติของกรรมกิริยา เรื่องการอยู่ใกล้ชิด มันยิ่งกว่าการสัมผัสและก็ซึมซับ ยิ่งกว่า Absorb มันเป็นการออสโมซิสที่ลึกมาก มันจะซึมซับไหลเข้าไปลึกมาก เอาเถอะระวังจะขุนกันเข้าไป สปอยกันไปก็ระวังจะเสีย ให้มันอดๆอยากๆบ้าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2566 ( 21:10:30 )

การเกิดการดับ

รายละเอียด

การเกิดย่อมมีดับ ไม่ใช่เกิดนิรันดร อยู่กับพระเจ้านิรันดร ก็คือผู้อยู่กับสวรรค์ แต่พระพุทธเจ้าเห็นว่าสวรรค์ก็คือภพนรก ของศาสนาพุทธไม่จบที่ความยังมี สลายจิตวิญญาณของตนได้ สลายเป็นอุตุธาตุ แม้จะรวมตัวเป็นพีชธาตุก็ไม่ได้ สลายได้ ไปเป็นอุตุธาตุ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 16:52:55 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:19:07 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:42:48 )

การเกิดการตาย

รายละเอียด

ศาสนาพุทธศึกษาการเกิดการตาย แล้วมีการเกิดการตายที่เวียนวนเป็นกรรมวิบากชาติแล้วชาติเล่า ศาสนาพุทธละเอียดที่สุดถึงขั้นควบคุมการเกิดการตายได้ จนสามารถชะลอการเกิด การตายได้ ตายได้อย่างไม่ต้องทุกข์ร้อน ตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่เกิดอีกเลยได้ สามารถแยกพลังงานจิตให้เป็นอุตุได้นี่เป็นภาษาวิชาการ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต ที่บวรปฐมอโศก ครั้งที่ 65 วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:31:47 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:20:24 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:44:11 )

การเกิดการตายเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับพระโพธิสัตว์

รายละเอียด

 มันเป็น ลิงลมอมข้าวพอง แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ยังตกต่ำ ที่คุณพูดว่าตกต่ำ ที่จริงไม่ได้ตกต่ำหรอก มันเป็นการถูกครอบงำของกระแสโลก และวิบากของท่าน ท่านก็ต้องมากินเนื้อสัตว์ หรือว่าจะต้องมามีคู่มีกาม จะต้องมีอะไรต่ออะไรแบบโลก จะต้องมี ลาภ ยศ อำนาจบ้าง พวกนี้เป็นต้น เป็นโลกียะซับซ้อนลึกซึ้ง 

เพราะฉะนั้น อรหันต์แล้ว อย่างอาตมานี่ ยกตัวอย่างอาตมาตัวเป็นๆ อาตมาชาตินี้ไม่ใช่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์ กิน แต่มารู้ทีหลัง ไม่มีใครมาบอก ไม่มีใครมาเป็นอาจารย์บอกว่าจะต้องกินมังสวิรัติ ไม่มี อาตมาก็รู้เอง แล้วพากันเลิกเอง พาที่บ้าน ไม่มีใครเลิกตาม น้องๆก็ไม่มีใครทำตาม อาตมาไม่ได้ไปบังคับใคร ใครจะเลิกตาม มาเห็นดีเห็นงามก็ทำตามเอา อย่างนี้เป็นต้น ประเด็นอื่นๆก็เหมือนกัน ก็ทำของเราไป เราไม่ได้ไปบังคับใคร ถ้าหากเกิดปัญญาเห็นจริงด้วยปฏิภาณปัญญาของตัวเองจริง ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ได้ลดละอะไรมันเป็นไปเพื่อความหน่ายคลาย ชีวิตมันก็จมกับไอ้ที่เราติดอยู่นั่นแหละ 

แล้วการเกิดการตายนี่มันไม่ใช่น้อยๆชาติ มันน่าเบื่อ อย่างอาตมานี่มันเบื่อมากเลย เบื่อชีวิตที่อยู่นี้ แค่ลากกันไปแล้วก็พยายาม เพราะอาตมาเป็นอรหันต์จึงไม่ได้เบื่ออย่างทรมาน ถ้าอาตมาไม่ได้เป็นอรหันต์ อาตมาเบื่ออย่างทรมานแน่นอน เป็นความเบื่อของอาตมาที่เป็นอรหันต์และเป็นโพธิสัตว์แล้ว เป็นอจินไตย คุณนึกแทนไม่ได้หรอก นึกตามไม่ได้หรอก มันจะเป็นยังไง มันก็ได้แต่คำนวณคะเนเอา คาดคะเนด้นเดาเอา แต่มันจะเป็นจริง มันไม่เหมือนหรอก 

เป็นการถูกโลกครอบงำ พลังงานของโลกมันมีฤทธิ์ 1. แล้วก็ 2. วิบากของท่าน บางคนช้านาน บางคนกว่าจะรู้ตัว ไม่ช้าไม่นานรู้ตัว แต่ไม่มีใครมาสอนมาบอก อย่างอาตมาไม่มีใครมาสอนมา บอก ก็รู้เอง  เห็นเอง สยังอภิญญาขึ้นไปไม่ต้องมีใครมาสอนมาบอก แต่ผู้ที่ต่ำกว่า สยังอภิญญา ต่ำกว่าระดับ 7 ก็จะต้องมีอะไรเป็นจุดสะดุดใจ อ้อ! แล้วก็ได้ เป็น อุคฆฏิตัญญูหรือวิปจิตัญญูไปตามลำดับ บางคนพอรู้ตัว โอ้โห!ตั้งหลายนาน จนกว่าจะรู้ตัวเป็นเนยยะเน่าๆ นานเลยกว่าจะมาทางนี้นะ ดีไม่ดีมาแล้วก็ตกต่ำ แล้วก็เวียนกลับไปได้อีก ซึ่งเป็นอจินไตย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2566 ( 17:23:58 )

การเกิดของปัญญา วิชชา หรือ ญาณ

รายละเอียด

พอสามารถรู้ว่าสร้างพลังงานอย่างนี้เอง ที่ทำให้กิเลสลดๆๆ เรียกว่า อันนี้แหละคือการเกิดของปัญญา การเกิดของพลังงานพิเศษ ที่ศาสนาพระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่าปัญญาหรือ วิชชา หรือ ญาณ ก็คือความรู้มาจาก อัญญธาตุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 12:40:18 )

การเกิดของสังขาร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มมีวิชชาหรือเริ่มมีความรู้ที่สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าเข้ามา จะรู้จักสังขาร การปรุงแต่งหรือว่าการสังเคราะห์สังขารกัน ปรุงแต่งทำงานร่วมกันเป็นองค์ประกอบกันและกัน เป็นพลังงานผสมหรือวิญญาณผสม เจตสิกผสม ปรุงแต่งกันอยู่ เรียกว่า สังขาร

ผู้ที่จะเข้าใจสังขารเป็นอภิสังขาร ซึ่งมีความหมายจำเพาะ ที่สัมมาทิฏฐิ อภิสังขาร หมายความว่าสังขารได้อย่างวิเศษ เป็นอุตตริมนุสสธรรมของพระพุทธเจ้า สังขารคือการจัดการ ปรุงแต่ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:49:33 )

การเกิดของอภิสังขาร

รายละเอียด

อภิสังขาร คือเป็นคนควบคุมการปรุงแต่งได้ ปรุงแต่งให้มันสะอาดจากกิเลส แยกแยะ จิตเจตสิกต่างๆ แล้วจับตัวปลอมตัวมายาที่มาหลอกลวงคือกิเลสให้ได้ แล้วก็เห็นด้วยปัญญาว่านี่ไม่ใช่ตัวจริง นี่ตัวเก๊ เฮ้ย! ไป เอ็งอย่ามาปลอมอยู่ตรงนี้ ตัวเก๊ แทรกแซง เป็นตัวกลิ เป็นโทษภัย ปัญญามันมีฤทธิ์แรงกิเลสมันเห็นแล้วก็วิ่งหนีเลย จิตก็สะอาดขึ้น วิญญาณก็เป็นวิญญาณที่เป็นวิญญาณก็เพราะ รู้นามรูป มีรูปนาม มีอายตนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 37 อภิภายตนสูตร ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 15:50:42 )

การเกิดของโอปปาติกะ

รายละเอียด

การเกิด การเกิดของโอปปาติกะในจิต จิตเกิดบรรลุธรรม เกิดความรู้สึกพ้น ชาติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ เป็นการเกิดทั้งโอปปาติกโยนิ ซึ่งการเกิดมี 5 อย่าง

1.ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์) 

2.อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ) 

3.สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) 

4.โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที  เกิดนิโรธ ไม่มีอะไรมาคั่น เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พตปฎ.เล่ม 11 ข้อ 263) การเกิดมี 5 อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันตะ นิพพัตติ อภินิพพัตติ สัญชาติคือการเกิดมาตั้งแต่อดีตมา ทำตามที่เป็นตัวรู้คือสัญ โอกกันติคือความหยั่งลง จะเป็นแบบโลกีย์ก็ได้จะเป็นแบบโลกุตระก็ได้ ความรู้อย่างโลกุตระที่หยั่งลงโอกกันติ จะพัฒนาไปเป็นนิพพัตติ เป็นการเกิดของอาริยบุคคลโลกุตระไปตามลำดับ อภิ คือสูงสุด หรือบรรลุธรรมสูงสุดเป็นอภินิพพัตติ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 20:12:08 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:01:41 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:44:24 )

การเกิดของโอปปาติกโยนิ

รายละเอียด

การเกิดห่วงโซ่แห่งทุกข์เป็นการเกิดของจิตวิญญาณ เป็นการเกิดของโอปปาติกสัตว์ ไม่ใช่การเกิดของชีวะธรรมดา ที่เกิดจากมดลูกเป็นสัตว์ เรียก ชลาพุชะ เกิด 2 ชาติที่ว่าเกิดจากไข่ อัณฑชโยนิ เกิดจากการแบ่งตัว เหมือนพวกประเภทเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย พวกเชื้อโรคพวกนี้ เรียกว่า สังเสทชโยนิ ส่วนการเกิดที่ สู่แดนธรรมพูดถึง... ก็คือการเกิดทางจิตวิญญาณ โอปปาติกโยนิ

ชลาพุชะ สังเสทชะ อัณฑชะ วิทยาศาสตร์เขาศึกษารู้ได้ แต่ โอปปาติกะนี้มันไม่ง่ายมันยากมันลึกซึ้งมันละเอียดลออมาก พระพุทธเจ้าก็มาสอนเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นประธานด้วย เป็นประธานของ ชลาพุชชะ สังเสทชะ อัณฑชะ เป็นการเกิดชนิดที่ 4 คือ โอปปาติกโยนิ ส่วนชาติ 5 ก็พูดไปแล้ว ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ  

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กันยายน 2565 ( 15:16:10 )

การเกิดความละอายความเกรงกลัวอย่างแรงกล้าเป็นอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจะเกิดความละอาย จะเกิดศรัทธา เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความเห็น ความเชื่อ มันเกิดความละอาย อาการ หิริ ในสัทธรรม 7 จึงยิ่งใหญ่ คนที่ไม่มีความสำเนียก ความสำนึกว่า ตัวเองหน้าด้าน ขายขี้เท่อ หน้าด้านมาตั้งนาน หน้าด้านที่เราไปหลงผิด ที่ไปละลาบละล้วงผู้ที่ท่านเป็นสัตบุรุษ ผู้ที่ท่านรู้จริงถูกต้อง เรานี่ต่างหากที่ไม่ถูกต้อง มันรู้ชัดมันยอม รู้ตัวว่าเราผิด เราไม่ถูกต้อง เพราะเราไปว่าผู้ที่ถูกต้องไปละลาบละล้วง มันจะเกิดหิริโดยสัจธรรม หิริโอตตัปปะ 

สัทธรรม 7 จึงยิ่งใหญ่ มีศรัทธา พอรู้ตัวว่าเราไม่น่าไปขายขี้เท่อ นึกว่าตัวเองเป็นผู้รู้เป็นผู้ที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่เป็นปราชญ์ทางศาสนา เป็นผู้นำพาความยิ่งใหญ่ของศาสนา เป็นผู้ที่เป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ เป็นปรมัตถธรรมที่ยิ่งใหญ่ ที่แท้เป็นของเก๊ เป็นของเลอะเทอะ แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่น แล้วยังไปตู่ท้วงผู้ที่ท่านถูกต้อง ดีไม่ดีโผล่ขึ้นมาอย่างอาตมาปางนี้ 2,500 กว่าปีโผล่มาแสดงตัวในยุคนี้ เขาก็จะบอกว่ามาจากไหนไม่เคยได้ยิน เอาอะไรมาพูด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 15:11:57 )

การเกิดคือชาติ การตายคือนิพพาน

รายละเอียด

ก็ศึกษาไปเถิด มันจะรู้รอบรู้หมดรู้ครบรู้ตั้งแต่ขั้นขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปจนถึงขั้นสิ่งที่มีค่า ทางวัตถุนามธรรมจิตวิญญาณทางความรู้ความสามารถที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็นในความเป็นมนุษย์ ซึ่งคนก็สัมผัสได้สัมผัสจริง ทุกคนมาสัมผัสด้วยกัน เรียนรู้มีเหตุปัจจัยมีทฤษฎี มีลำดับที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติให้บรรลุได้จริงๆ แล้วศาสนาพุทธนี้รู้จักการเกิด การตาย คำ 2 คำนี้ “การเกิด” “การตาย”

“การเกิด” คือชาติ “การตาย” ก็คือนิพพาน การตายเขาก็มีการตายแบบทางร่างกาย กายสเภทาปรัมมรณา กายแตกตาย หมดลมหายใจไปแต่ละชาติ ศึกษาแล้วจะรู้ความจริงเราจะอยู่เหนือการเกิดการตายได้เหมือนกัน เพราะนามธรรมหรือจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณเป็นประธาน สามารถที่จะ

“มาร” คือตัวที่จะทำให้เรามาขัดแย้งมาต้าน เราจะอยู่ มารจะบอกให้ตาย อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างสุภาพ ถ้าเป็นภาษาบู๊ๆหน่อยก็ว่า เอ็ง!อย่ามา เสือใส่ ก​. อย่ามา Tiger ใส่เกือก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ปฏิจจสมุปบาทเริ่มอธิบายที่ชาติ 5 วันศุกร์ที่ 15 มกราคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 13:24:12 )

การเกิดจากสัจธรรม

รายละเอียด

คุณอยากเกิดมากับมวลมนุษย์คนโง่หมู่มวลสังคมของคนโง่ ทำเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้ก็เป็นสัจจะอย่างหนึ่ง คุณเกิดมาในมวลหมู่ของคนที่ฉลาดรู้ฉลาดอย่างซื่อสัตย์ด้วย เขาก็จะรู้ โดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคุณธรรมโลกุตระ มันจะนำพาโลกุตรธรรมที่จะเป็นรูปร่างจะเป็นภาวะธรรมสภาพธรรมที่ เกิดเป็นประชาธิปไตยโลกุตระนำโลก ทำให้โลกเห็นซึ่งไม่ต้องการโชว์ ไม่ใช่ต้องการอวดอ้าง แต่มันจะเกิดจริงเป็นจริงเลย เป็นการเกิดจากสัจธรรม ไม่ใช่เสแสร้งแอ็คท่า  มีนายกที่ชื่อว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา นี้ก็ตามหรือผู้อื่นใดก็อยากขึ้นมาเป็นนายกขึ้นมาแคนดิเดตขึ้นมาหลายผู้หลายคน ก็ไม่เป็นไร 

ประชาชนก็ต้องดูจริงๆแล้วก็เห็นควร จะเป็นเรื่องของกฎหมายที่มันขัดแย้งไม่ให้เกิดที่ควรจะเป็น เขาก็จะแก้กัน แก้ได้ก็ได้ แก้ได้จะได้มีทางออกของมัน ซึ่งอาตมาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะทะลุทะลวงไปได้สำเร็จกันขนาดไหน แต่เห็นความจริง เอาบุคคลกล่าวถึงก็แล้วกันเพื่อยืนยันให้ไปศึกษาจากพฤติกรรมของแต่ละคน 

เช่นขณะนี้มีนายกประยุทธ์ มีผู้ที่กำลังจะชิงเพื่อจะไปเป็นนายกขึ้นมา ในโอกาสต่อจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นอุ๊งอิ๊งไม่ว่าจะเป็นพลเอกป้อม ไม่ว่าจะเป็นอนุทินไม่ว่าจะเป็นใครๆอีกที่เสนอหน้าออกมาอีกหลายผู้หลายคน จุรินทร์บ้าง พิธาบ้าง แม้แต่ สุดารัตน์บ้าง วราวุธบ้าง ที่เขาประมวลไว้ก็พอรู้กัน นี่เป็นรุ่น candidate ทั้งนั้นนะ มีภาพพลเอกป้อมอยู่สูงสุดเลย insert มา ตรงใจกลางเป็นอุ๊งอิ๊ง สวยพริ้งเลยนะ อย่าขึ้นมาเอาเป็นยอดเลยนะ ก็ค่อยๆดูกันไปว่ากันไป อาตมาได้สาธยายมาเรื่อยๆ อธิบายตามที่ร่างเอาไว้ เป็น script แผนที่นิดหน่อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 13:08:15 )

การเกิดชาติ 5 แบบคลี่ขยาย

รายละเอียด

อาตมาเองก็คลี่ขยาย อีกอันว่า

1. การเกิดที่มีร่างกายเป็นคนเป็นสัตว์ ถ้าตายก็หมดในชาตินี้ ชาติหนึ่งก็คือการเกิดในร่างกายที่มีอยู่ พอคุณตายคุณก็เลิกไปชาตินึง ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือจิต  จากนั้นก็จะไปเกิดเป็นสัมภเวสีไม่มีที่ตั้งทางร่างกายก็อยู่ที่จิตเท่านั้นเอง มันก็ไปของมันตามเรื่อง ซึ่งก็ไม่ต้องไปตามศึกษาเพราะไปทำอะไรกับมันไม่ได้คิดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปยุ่งกับมันสำหรับจิตที่ไม่มีรากไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไปจับเอาอะไรมันไม่ได้ มันอิสรเสรีไปของมัน ตัวใครตัวมัน พระพุทธเจ้าไปทำก็ไม่ได้ 

2. การเกิดแบบโอปปาติกโยนิ คือเป็นการเกิดทางจิตวิญญาณในร่างเป็นเป็นของเรา เป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณในร่างคนเรา การเกิดอันนี้ ถ้าวิญญาณนี้ขาดจากความเป็นสัตว์ คือโอปปาติกสัตว์ วิญญาณหากเกิดเป็นสัตว์อยู่ก็เรียกโอปปาติกสัตว์ เช่นพระพุทธเจ้าแจกแจงไว้เป็นสัตตาวาส 9 เป็นต้น

3. การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพอง การเกิดแบบนี้ เป็นสิ่งที่ถูกครอบงำจากกระแสโลกในขณะที่เรายังไม่โต เช่นว่าเด็กเกิดมาใหม่ๆก็ยังไม่โตก็ถูกครอบงำจากโลกเมื่อโตขึ้นมาแข็งแรงผู้มีโลกุตรจิตก็สู้กับโลกได้ ผู้ที่ไม่มีโลกุตรจิต ก็ถูกโลกครอบงำดีไม่ดีจะไปหลงตามโลกีย์ไปกับโลกเลย เขาต้องการจะร่ำรวยมากมีอำนาจมากได้ลาภยศสรรเสริญสุขมากไปใหญ่เลย ก็ไม่มีทางอื่น แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่พ้นการถูกครอบงำ โพธิสัตว์ก็ไม่พ้นการถูกครอบงำอันนี้ พระราชบิดาครอบงำพระพุทธเจ้าจริงๆ เพราะถูกพยากรณ์ไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ปิดทางเลย ไม่ให้รู้โลกเลย ขนาดคนแก่คนเจ็บคนตายยังไม่รู้จักเลยนักบวชยังไม่รู้จักสำหรับเทวทูต 4 อย่าง

4. การเกิดขึ้นเป็นประเทศชาติ หรือชาติรัฐ เกิดในองค์รวม ของพื้นที่สถานที่ บุคคล อาหาร ธรรมะ เช่นของประเทศไทย จะมีวัฒนธรรมความรู้ตามของแต่ละชาติแต่ละประเทศเขามีกัน มีผู้รู้ผู้มีอำนาจจะให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ อย่างเช่นประเทศไทย  มีการอยู่อย่างราชประชาสมาสัย เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นที่ยอมรับของคนทั้งโลก แม้แต่ประเทศหรือชาติรัฐที่เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดินเขาก็ยอมรับ ว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพวกอันธพาลจะหาเรื่องเอาง่ายๆในขณะนี้พวกอันธพาลออกมาร้องเรียก โดยเข้าใจว่าประชาธิปไตยต้องไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็จะล้างพระเจ้าแผ่นดินให้หมดจากประเทศไทยจะให้เป็นแบบที่ตะวันตกหรือโลกมีกัน แบบอเมริกาเป็นต้น ความรู้เขามีกรอบแค่นั้นก็ทำอย่างนั้น 

5. การเกิดแบบตรรกะ คือ ยึดทิฏฐิ หรือยึดอัตตา

ทิฏฐิ คือความเห็นความเข้าใจของผู้นั้นว่ามีทิฐิอย่างไรเชื่ออย่างไร ก็ตกผลึกเป็นอัตตาของแต่ละคนไป แต่อยู่ในคนละสถานะเท่านั้น ทิฏฐิคือตัวทำงาน เป็น Dynamic อัตตา เป็น static 

ก็มี 2 อย่างคือคู่เป็นเทว คือภาวะ 2 อย่างของโลกที่มีจิตวิญญาณกับมนุษยชาติ มนุษยชาติเป็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณและมีวัฒนธรรมความต่างกันกับสัตว์เดรัจฉาน ปกครองดูแลกันหรือว่ามีคุณค่าที่จะเป็นประโยชน์ ประโยชน์ต่อตนเองประโยชน์ต่อพืชพันธุ์ธัญญาหารดินน้ำไฟลมประโยชน์ต่อมนุษยชาติ คนนี้เป็นได้สัตว์ก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติไม่ได้หรอก คนไปเอามันมาเป็นประโยชน์ ไปกินแรงมันไปเอามันมาใช้เป็นประโยชน์ หรือเอามากินเป็นอาหารเลย เป็นสุดยอดแห่งยักษ์มารแห่งคนเห็นแก่ตัว เอาแรงงานมันมาใช้ไม่พอ ยังเอาเนื้อหนังมังสามันมากินอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:25:52 )

การเกิดชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

รายละเอียด

ชาติ สัญชาติ เป็นการเกิดธรรมดาของโลกีย์หมุนเวียนเป็นตัวตนบุคคลเราเขา พอเป็นโอกกันติ ก็จะหยั่งลง หากโลกีย์จะหมุนเวียนแค่ ชาติสัญชาติโอกกันติโอกกันติ แปลว่าการหยั่งลง หมุนเวียนวนเวียนในโลกีย์มีอัตตาอวิชชาหนาแน่นมากขึ้นวัฏสงสารก็ยิ่งยาวนานมากขึ้นนรกก็ยิ่งยาวนานสวรรค์ยิ่งยาวนาน มีวัฏสงสารที่วนเวียนจนนานมากจนจำไม่ได้ ว่าตัวเองวนอยู่อย่างนั้น จิตวิญญาณก็จะจมหนักต้องทำชั่วทำบาปหนัก เขาจะรู้อยู่แค่นี้ จนกว่าจะมารู้มี อัญญธาตุ ธาตุโลกุตระ มีนิพพัตติถึงจะเริ่มเกิดใหม่เป็นภูมิโลกุตระที่สูงขึ้น สูงสุดยอดบรรลุการเกิดเป็นพระอรหันต์ อภินิพพัตติ นี่คือการเกิด 5 ประการ ก็ไม่มีใครมาอธิบายอย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง เข้าแปลภาษาสู่ภาษา แต่อาตมาอธิบายไม่ตรงตามพยัญชนะคำต่อคำของเขาเลย แต่เป็นสภาวะที่สื่อสารออกมา หากเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบาย อาตมาเข้าใจที่เขาอธิบายอย่างโลกียะด้วยและอธิบายได้อย่างโลกุตระด้วย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 09:43:32 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 10:24:50 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:38:36 )

การเกิดตระกูลสักกะ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสเรียกตระกูลของท่าน สักกะมีเหตุการณ์ โอรส ธิดา ถูกขับออกไป ก็เลยแต่งงานกันเองกลัวตระกูลจะปนเปกับตระกูลอื่นเขาถือว่าบริสุทธิ์ ก็จึงเกิดตระกูลสักกะขึ้นมา แล้วก็สร้างตระกูลศากยบุตร  จนกระทั่งเจริญขึ้นมาเป็นศาสนาพุทธ ของพระสมณโคดม ถูกขับออกมาแล้วก็ยังมาสร้างอาณาจักรเจริญ ขึ้นมาได้พระราชบิดาจึงอุทานบอกว่า อาสโภ ศากยะ พวกตระกูลสัตยวงศ์นี้อาจหาญแกล้วกล้าหนอ หรือตอนนี้สมณะโพธิรักษ์ เกิดมาหัวเดียวกระเทียมลีบในยุคนี้ แล้วมาพูดยืนยันสัจธรรมที่มันสูญหาย ไปแล้วในมนุษย์ท่านเอาของตัวเอง สยังอภิญญา เอาโลกุตรธรรมมาประกาศเป็นไก่ตัวพี่ เป็นคนแรก ในยุคนี้ก็ประกาศหาไก่ตัวพี่ ตัวใหญ่เก่งกว่าก็มาแสดงตัวสิ ถ้ายุคนี้ผู้เป็นพี่ ท่านก็ต้องประกาศได้อย่างท่าน ก็ไม่เห็นพี่มีแต่น้องแต่ไม่ระบุตัวตน มีโพธิสัตว์ผู้น้องเกิดมา หรือถ้ามีผู้สูงกว่าก็ต้องเกิดหมู่กลุ่มอย่างท่านโพธิรักษ์ ขอพาดพิงถึง ติชนัทฮัน ได้ข่าวว่าเขาพาดพิงถึงสมณะโพธิรักษ์ว่าเข้าใจท่านโพธิรักษ์แต่ไม่ได้รู้รายละเอียดทีเดียว ก็แสดงว่าท่าน ติชนัทฮัน ชักรู้ว่ายุคนี้มีพระโพธิสัตว์เกิด แต่ท่านติชนัทฮัน เป็นสายมหายานแต่ก็ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ข้อมูลท่านโพธิรักษ์ยังไม่มากพอพูดมากไปจะผิดพลาด

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 13:01:02 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:23:39 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:48:55 )

การเกิดทั้ง 5 ต่างกันอย่างไร 

รายละเอียด

 ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง 1- เกิด 2- เกิดจำเพาะ 3- ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ 5 คำนี้เป็นการเกิด ที่มีวิชชา มีความรู้ มีปัญญา รู้จักการเกิดที่พระบาลีว่า ชาติ ผู้มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าการเกิดทั้ง 5 นี้ต่างกันอย่างไร 

การเกิดชาติคืออย่างนี้ การเกิดแบบสัญชาติคืออย่างนี้ การเกิดโอกกันติ คืออย่างนี้ การเกิด นิพพัตติ คืออย่างนี้ การเกิด อภินิพพัตติ คืออย่างไร

อาตมาขอยืนยันอาตมาเป็นพระอรหันต์รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นโพธิสัตว์ด้วย อธิบายขยายความได้เก่งกว่าอรหันต์ต้นๆ เพราะระดับ 7 เลยจาก อนิยตโพธิสัตว์ มาเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 20:26:47 )

การเกิดที่รู้การดับที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

การเกิดที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า เป็นการเกิดที่รู้การดับ เป็นการเกิดที่รู้ความจริง ว่าเกิดคืออะไร แล้วดับคืออะไร ดับให้สนิทเลยจนยั่งยืนถาวรมั่นคงตลอดกาล ไม่เกิดอีกเลย ก็เอาความรู้ที่สามารถรู้ความไม่เกิด อะไรจะไม่ให้เกิด ก็เอามาใช้ว่า ตัวไม่ให้เกิดนี้คือกิเลส ตัวพลังงานธาตุอวิชชา ซึ่งมันปลอมตัวมาเป็น วิชชา ปลอมตัวมาเป็นธาตุรู้ แต่มันเป็นธาตุเลวความรู้ที่เลว ก็เอาความรู้ที่รู้ความดับก็รู้เหตุสามารถดับเหตุวิธีทำให้เหตุมันดับ เอาความรู้อันนั้นมาจัดการกับตัวนี้แหละ ไม่ใช่ต้องไปทำความดับวิญญาณทั้งหมด มาดับตัวเหตุ ตัวกลิหรือกิเลสนี่แหละ ดับตัวนี้ให้ได้ จบตัวนี้จึงเหลือวิญญาณสะอาด จึงรู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ในความเป็นวิญญาณ ว่า อ๋อ.. มันเป็นธาตุสังขาร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 13:47:58 )

การเกิดที่เป็นนามธรรม

รายละเอียด

 ข้อ มาตา ปิตา แม่มี พ่อมี หากไม่มีภูมิโลกุตระก็จะอธิบายแบบเป็น magical เป็นเรื่องลึกลับไม่รู้เรื่องไปเลย อาตมายืนยันอธิบายโลกนี้คือโลกโลกียะ โลกหน้าคือโลกโลกุตระ มาตา ปิตา โอปปาติกโยนิ อาตมาอธิบายความเป็นสัจธรรมไปถึงสิริมหามายาคือยุคนี้ก็มีในคนได้ ถ้าเข้าใจได้ว่าสิริมหามายาคือสภาวะธรรม ของผู้ที่สามารถทำให้เกิด คลอดธรรมะ ไม่ใช่คลอดตัวตนบุคคล ไม่ใช่คลอดแบบ ชลาพุชโยนิ อัณฑชโยนิหรือสังเสทชโยนิ แต่นี่คลอดอย่าง โอปปาติกโยนิ เป็นการเกิดที่กรรมพาเกิด กัมมโยนิ ไม่ใช่การเกิดทางอยู่ในน้ำคร่ำในมดลูก หรือ เกิดมาเป็นไข่ก่อน หรือเกิดเป็นแบคทีเรีย โดยการแตกตัวในน้ำคร่ำ ไม่ใช่เป็นการเกิดที่เป็นนามธรรม การเกิดทางจิตวิญญาณ ติดตามฟังไปเรื่อยๆได้รับความรู้ไปตามลำดับ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #25 พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2566 ( 18:16:35 )

การเกิดธาตุรู้คือวิญญาณ

รายละเอียด

ผู้ที่รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละจึงสามารถที่จะรู้ ก่อนจะรู้ต้องเรียนนามรูป แยกวิญญาณเป็นนามรูปจึงจะเกิดอายตนะ เกิดอายตนะถ้าเผื่อว่าไม่สามารถที่จะแตกฉานเข้าไปรู้ว่าอายตนะ แล้วมันจะเกิดเดี่ยวๆไม่ได้ ต้องเกิดนามรูปกระทบกันก็คือผัสสะ ถ้าต่างคนต่างอยู่ นามก็อยู่กับนาม รูปก็อยู่กับรูป มันไม่เกิดอะไรขึ้น มันต้องกระทบสัมผัสกัน เกิดการกระทบสัมผัสก็เกิดอายตนะ หากยาวเป็นสะพานยาว หากสั้นก็เป็นสะพานสั้น แต่มันก็คือ ความเชื่อมต่อระหว่าง 2 ตัว ผัสสะขึ้นมาแล้วเกิดเป็นตัวเวทนา เวทนา ก็คือตัวเดียวกับตัวสังขาร ปรุงแต่งด้วยสังขาร 

สังขาร 2 ตัวปรุงแต่งกัน เกิดธาตุรู้คือวิญญาณ คุณอวิชชาก็ควบคุมกันอยู่ตรงนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 17:16:19 )

การเกิดธาตุรู้หรือวิญญาณ

รายละเอียด

ตั้งแต่กระทบสัมผัส กับอีกสิ่งหนึ่งก็สัมผัสข้างนอกด้วย สัมผัสภูเขา สัมผัสแม่น้ำ สัมผัสท้องฟ้า สัมผัสกับดินน้ำไฟลม สัมผัสกับตัวตนบุคคลเราเขา สัมผัสกับสัตว์โลก สัมผัสกับทุกอย่าง สัมผัสแล้วก็เกิดธาตุรู้ 

ธาตุรู้ตัวนี้แหละตัวแรกที่สุดเลย เรียกว่า เวทนา ปรุงแต่งกันเสร็จเรียกว่า วิญญาณ ปรุงแต่งกันอยู่เรียกว่าสังขาร ธาตุรู้ตัวนี้ เวทนา ท่านก็เจาะไปที่เวทนา ตัวนี้เป็น 2 แน่นอน มันต้องสังขารต้องปรุงแต่งกระทบกันอยู่ ก็ดูตั้งแต่การกระทบ กระทบแล้วมันเกิดเวทนาก็จับเวทนาได้ ก็เรียนรู้หมดเลยในร่างกายเรามันมีตาหูจมูกลิ้นกายกับใจ เป็นตัวรู้เป็นธาตุรู้ นอกนั้นก็เป็นทวารอื่นตาหูจมูกลิ้นกาย จะให้เกิดความรู้เรียนรู้อันนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ นิพพานเป็นอย่างไร วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 15:34:57 )

การเกิดปัญญา

รายละเอียด

ปัญญามีส่วนสำคัญที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ว่า จะเป็นปัญญาได้ต้องมี 2 ตัวนี้คือ 1 ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ 2 ต้องมีสัมมาทิฏฐิ พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 258 ปัญญาจะเกิดได้ต้องมีองค์ธรรม 6 ปัญญาเจริญยิ่งเป็นปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ต้องมีธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฏฐิแล้วต้องเดินตามมรรคมีองค์ 8 ปัญญาที่ไม่ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์แปดไม่ได้ มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ครบกระบวน และก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ หรือไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ความรู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ 10 ก็จะมีทิฐิที่ไม่สมบูรณ์

หนังสืออ้างอิง

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:37:32 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 10:36:01 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:50:03 )

การเกิดพิเศษที่มีนิพพาน

รายละเอียด

แต่มันไม่เที่ยงหรอกเพราะว่าปัญญาเหล่านี้ไม่มีความรู้ประกอบ ไม่มีปัญญาประกอบ พอสูงไปแล้วก็เหลิงก็หลง ค่อยๆหลงตนเองก็ค่อยๆเสื่อมหนัก บางคนเสื่อมหนักเลยสูงแล้วตีลังกาลงต่ำเลย ก็เสื่อมๆเจริญๆ เสื่อมๆ จบแค่นี้ศาสนาโลกีย์ ศาสนาพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้การเกิดพิเศษ นิพพัตติ จนจบอภินิพพัตติ เป็นการเกิดพิเศษที่มีนิพพาน

นิพพัตติ มีรากศัพท์มาจากนิพพานนั่นเอง 

นิพพานที่ว่า คือ รู้จักจิตเจตสิก รู้จักวิญญาณ รู้จักธาตุรู้ รู้จักอัตตา รู้จักกิเลสในอัตตาภาษาพยัญชนะว่าตัวตน อาตมัน อัตตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรียกว่าปรมาตมัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 13:41:52 )

การเกิดภาวรูปหรือวิสยรูป

รายละเอียด

ตั้งแต่มีมหาภูตะรูป 4 อุปาทายรูปอีก 24 มีโคจรรูป ปสาทรูป 5 กับ 5 มีไอหนึ่งแทรกไปตามควร มี ปสาทรูป 5 โคจรรูป 5 ทำงานร่วมกันเป็นภาวรูป 2 เป็นอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ เมื่อปสาทรูป เกิดการดำเนินการไปกระทบสัมผัสก็เกิด วิสยรูป เกิดวิสัย เป็นวิสัยของสัตว์โลกเมื่อมีการสัมผัสกันแล้วก็เกิดสภาวะหนึ่งขึ้นมาก็เรียกว่า “ภาวะ”

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณโดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันพฤหัสบดีที่ 31ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:03:19 )

การเกิดมาของฌาน 4

รายละเอียด

คือ  ฌาน 4 เกิดจากการปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา 3 อย่าง ฌานที่เป็นแบบเดียรถีย์ ก็มีแต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 อย่างนี้ผิด หากไม่ได้ปฏิบัติสำรวมอินทรีย์  โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วไปนั่งหลับตาปฏิบัติ อันนั้นผิด อันนั้นโมฆะจากศาสนาพุทธ ไม่ใช่ฌานของศาสนาพุทธ ต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6  มีการประมาณในการกิน การใช้ และมีความตื่นจากกิเลส คือ  ชาคริยานุโยคะ หากไปหลับตาปฏิบัตินั่นก็ผิดทางแล้ว ไม่ตื่น หากปฏิบัติไม่มี 3 ข้อนี้ก็ไม่เกิด ศรัทธา หิริ โอตัปปะ พหูสูตร วิริยะ สติ ปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:21:01 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:31:23 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:51:35 )

การเกิดมาเป็นคนนั้นยากและจะได้พบศาสนาพุทธนั้นยิ่งยาก

รายละเอียด

การเกิดมาเป็นคนนั้นยากและจะได้พบศาสนาพุทธนั้นยิ่งยาก แล้วจะกลับมาเป็นคนอีกก็ยาก

เทวนิยมโลกียะ มีความรู้แค่ดีๆชั่วๆดีๆ ละชั่วประพฤติดี เป็นสัจธรรมง่ายๆต้นๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นอยู่ จนกว่าจะมาได้รู้ว่า อ๋อ.. มันมีทางไม่วน สูงกว่านี้อีกคือโลกุตระ ผู้นั้นแหละจึงชัดเจน มีทางออกทางที่จะมาเป็นโลกุตระไม่ต้องไปวนเวียนดีๆชั่วๆอยู่อย่างนั้น เขาไม่รู้นับชาติไม่ถ้วนตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า กรรมวิบากเขาไม่ได้ศึกษาเลย เขาไม่รู้ Reincarnation หรือ Rebirth เขาก็ไม่รู้เขาไม่มีความรู้อธิบายกัน มีสูตรสำเร็จของพระเจ้าแล้วตามสูตรสำเร็จของพระเจ้านั้นแก้ไขไม่ได้ อนุโลมอะไรก็ไม่เป็น มันก็เลยได้อยู่แค่นั้นอาจจะทำได้ดีที่สุดต้องเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม แล้วก็ตกต่ำนะ ศาสดาไม่ใช่จะถาวรนะ เทวนิยมอัตราหมุนเวียนตกต่ำลงไปเป็นสัตว์นรกได้ ฟังแล้วไม่ใช่ลงโทษนะแต่เป็นสัจจะ อีกอันหนึ่ง ถ้าใครไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ เขาจะเป็นอย่างศาสนาพุทธว่าไว้ไหม เป็น เขาจะตกนรกขึ้นสวรรค์อย่างที่ศาสนาพุทธพูดทั้งนั้น แล้วเขาจะไม่ได้มาเป็นอย่างชาวโลกุตระ เขาก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ เขาไม่ได้เป็นชาวพุทธ ไม่ได้เป็นโลกุตระ แต่เขาก็จะเป็นอย่างที่ชาวโลกุุตระศาสนาพุทธบอกไว้ว่ากรรมวิบากจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปบังคับหรือมีใครไปกำหนดแต่กรรมเป็นอันทำ เขาจะไปตามกรรมวิบากของเขาทั้งนั้นแหละอย่างที่ศาสนาพุทธว่าไว้

เช่น วิบากฆ่าสัตว์ต้องไปวนเวียนใช้หนี้อีก ลักทรัพย์ก็วนเวียนใช้หนี้ทรัพย์ ติดโลกียะ รสกามคุณ เขาก็วนเวียนอยู่กับรสของกามคุณ เขาว่าเขาไม่นับถือศาสนาพุทธเขาไม่เป็นหรอก ไม่ได้หรอก สัจจะมันต้องเป็นโดยสัจจะ กรรมจำแนกสัตว์ไม่ใช่พระเจ้าจำแนกสัตว์ พระเจ้าสั่งไม่ได้หรอก ที่จริงเราคิดว่าพระเจ้าสั่งเพราะเขาไม่รู้ ทุกอย่างก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นจะให้ดีหรือชั่วก็เป็นพระประสงค์ ซึ่งมันก็ดีในระดับหนึ่งคำสอนของพระศาสดานั้นดีทุกองค์ เป็นศาสนาที่สอนเรื่องดีเรื่องชั่ว ทำดีทั้งนั้นแหละถ้าไม่ดีก็ไม่ได้เป็นศาสดาดีจริงๆเป็นโลกียะแต่มันไม่เที่ยง มันวนขึ้นสูงลงต่ำไม่รู้แล้วมันไม่รู้จบ แต่ที่สำคัญก็คือ จุดสำคัญคือไม่รู้สุข ไม่รู้ทุกข์ ศึกษาแต่

ดีชั่วโลกียะ ไม่ศึกษาความสุขความทุกข์แต่อยากได้ความสุข บำเรอสุข บางทีก็เอาความชั่วมาบำเรอสมใจตนเอง อาการสุขเป็นอาการที่หลอกกันมาอย่างผิดๆ แต่เอาเรื่องที่ผิดมาเสพติด เช่น การโกงเขาได้ชื่นใจเป็นสุข ฆ่าเขาได้สมใจ อื้อหือ..สุข แล้วเขาก็ไม่ได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการฆ่าเขานี้มันดีหรือ ทำชั่วแท้ๆเขาก็ยังไม่ชัดเจน 

ยิ่งบอกว่าคนมาติดในรูปรสกลิ่นเสียงเหล่านี้มันจะติดใจอร่อย เขาจะฟังรู้เรื่องเหรอ แล้วมันจะเลิกความอร่อยได้อย่างไรเพราะมันอร่อย ของที่ชอบอันนี้ยืนหยัดยืนยันว่ามันชอบไม่เคยไม่ชอบเลย เจอเมื่อไหร่ นอกจากจะใส่เต็มท้องอร่อยก็ลดลงไปบ้าง ถ้ายังไม่เต็มท้องก็ยังซัดไปได้เรื่อยๆ ก็มันอร่อย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช 2/ 08/ 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 13:07:42 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:34:45 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:46:11 )

การเกิดมาเป็นคนไม่มีอะไรดีที่สุดเท่าเอาธรรมะโลกุตระให้ได้

รายละเอียด

ชีวิตไม่มีอะไร อาตมาสรุปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าเกิดมาเป็นคน พระพุทธเจ้าก็คือคนๆหนึ่งเหมือนเรา ไม่ได้ต่างจากเราทุกพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ไปเรียนวิชาทางโลก ตักศิลายุคนั้นมี 18 สาขาวิชา เหมือนกับยุคนี้ มหาวิทยาลัยมีกี่คณะ นี่ตักศิลามี 18 คณะ พระพุทธเจ้าท่านเรียนจบหมดทุกวิชา ได้เกียรตินิยมหมด 18 วิชามา เสร็จแล้วท่านมาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านทิ้งหมดเลยทุกวิชา เอาวิชาธรรมะของท่าน ทำงานวิชาธรรมะของท่านตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่ตรัสรู้ 45 พรรษาตลอด ไม่เกี่ยวเลยอีก 18 วิชา โยนทิ้งหมดเลย ท่านเป็นคนเหมือนกันกับเรา แล้วท่านจะไปใยดีอะไรกับ 18 วิชานั่น ไม่ใช่ท่านไม่เก่งด้วย ท่านเก่ง 18 วิชา แล้วท่านก็รู้ด้วยว่าสังคมเขาใช้อยู่นะ แต่ท่านไม่เห็นสำคัญเท่าธรรมะ 

เพราะฉะนั้น การเกิดมาเป็นคนไม่มีอะไรดีที่สุดเท่าเอาธรรมะโลกุตระให้ได้ คุณรู้จักธรรมะโลกุตระจบแล้ว คุณจะไปช่วยทางเศรษฐศาสตร์เหมือนอย่างอาตมาพาทำ จะไปช่วยทางรัฐศาสตร์ทางการเมือง จะไปช่วยทางอื่นๆ เอาล่ะ อาจจะยิงลูกศรไม่เก่งเหมือนสมัยโน้น วิชาสมัยนี้ก็คือพวกที่สามารถเป็นทหารยิงอาวุธ ยิงเครื่องฆ่าได้เก่ง มันก้าวหน้ามาจากยุคโน้นแล้ว ยุคโน้นยิงศรหรือฟันดาบได้เก่งมากอะไรอย่างนี้สมัยโน้น 

แต่สมัยนี้ก็ ความรู้ที่ลึกซึ้งก็คือ คนที่เจริญจริงแล้วไม่ใช้อาวุธ ไม่สร้างอาวุธ คือคนเจริญ คนสร้างอาวุธคือพวก มิลักขะ พวกยักษ์มันถือดาบคือง้าวเขี้ยวใหญ่ตาโปน ที่เขาปั้นรูปปั้นเป็นรูปธรรมไว้ แล้วก็หลงว่าตัวเองเป็นมหาราช เป็นจตุมหาราช พวกยักษ์มาร อยู่ในวัดพระแก้ว อยู่ในวัดต่างๆ นั่นก็คือคนเถื่อนในยุคที่เก่งสร้างอาวุธแล้วฆ่าคนไป ทำวิธีฆ่าคน ยังไม่เจริญในจิตวิญญาณ จิตวิญญาณหยุดฆ่า เจริญ เอาความเมตตา เอาการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เอาการเสียสละ มนุษย์ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นยังเป็นมนุษย์เถื่อนอยู่ แล้วคนเข้าใจไม่ได้ก็นึกว่าจะเป็นเจ้าโลก จะเป็นเจ้ามหาอำนาจ เห็นไหมว่าเขาเข้าใจผิด นี่ก็คือสัจธรรมที่มันไม่ยากหรอกที่อาตมาอธิบาย ฟังง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม พ่อครูคือธัมมิกราษฎร์ ผู้กอบกู้โลกุตรธรรม  วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2566 ( 19:35:31 )

การเกิดมี 4 อย่าง

รายละเอียด

การเกิดมี 4 อย่าง  

  1. ชลาพุชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในครรภ์) 

  1. อัณฑชโยนิ   (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดในไข่ -ทิชาชาติ) 

  2. สังเสทชโยนิ  (กำเนิดของสัตว์ที่เกิดจากการแบ่งตัว) 

  3. โอปปาติกโยนิ (เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเปลี่ยนภพทันที เกิดนิโรธ  ไม่มีอะไรมาคั่น  เกิดแทนสิ่งดับโดยไม่มีซาก)   (พระไตรปิฎก เล่ม 11  ข้อ 263)  หากคนเกิดได้ร่างกายเป็นชลาพุชโยนิ ส่วนที่เกิดเป็นไข่ก่อนมีเยอะที่เป็นสัตว์ ส่วนสัตว์ที่เกิดแตกตัวเอง คือสังเสทชโยนิ 

ที่มา ที่ไป

พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 10:47:13 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:36:57 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 14:54:58 )

การเกิดมุทุภูตธาตุในอุเบกขา 5

รายละเอียด

เช่นอุเบกขา 5 ดีนะอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐในธาตุวิภังคสูตรก็มีอยู่  ปริสุทธา, ปริโยทาตา, มุทุ, กัมมัญญา, ปภัสสรา 

เวทนาต่างๆนี่แหละคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์จากอาสวะแล้วตั้งแต่เริ่มมีตั้งแต่สะสมเพิ่มเติมขึ้นเป็น ปริโยทาตา ส่วนปริสุทธาก็บริสุทธิ์ ส่วนปริโยทาตา ก็บริสุทธิ์มากขึ้นเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนปริมาณและคุณภาพ ที่ปฏิบัติไปก็เกิด มุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตตัวกลางเลย มีทั้งบวกทั้งลบและนิวเคลียสหรือพลังจิตและปัญญา 2 สภาพเรียกว่าเป็นเทวะในตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:12:44 )

การเกิดศรัทธา

รายละเอียด

คือ ศรัทธามันเกิดจากความเข้าใจ  การเรียนรู้เพิ่มขึ้น  แล้วเพิ่มเป็นปัญญา ศรัทธา หมายความว่า มีปัญญาที่ได้สะสมเข้าไป  แล้วก็เชื่อ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:20:08 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:37:41 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:01:49 )

การเกิดอาริยคุณ

รายละเอียด

14) และผู้ทำ“การเกิดอาริยคุณ”นี้ได้คือ ผู้เป็น“สิริมหามายา”แท้ ที่มีคุณผลเป็น“สิทธัตถะ”ไปตามลำดับๆ ที่มี“ความเที่ยง”หรือ“ความตั้งมั่น”ที่เรียกว่า“สมาหิโต” ที่เป็น“สมาธิ”เจริญแบบ“โลกุตระ”มี“เจโตปริยญาณ 16”กันจริงๆ เห็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นไหม เราก็มีพระเจ้าได้ มีสิริมหามายาได้ สิทธัตถะได้ มีได้แต่เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ มีปัญญารู้ตนด้วยเจโตปริยญาณ 16 วันพุธที่ 31 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2566 ( 13:42:06 )

การเกิดอุปาทาน ภพชาติที่วนเวียน

รายละเอียด

ก็คือตัวตัณหาตัวร้ายตัวนี้ ตัณหาตกตะกอนสั่งสมลงเรียกว่าเป็นอุปาทาน ก็เกิดภพเกิดชาติ ไปวนเวียน ที่ไล่มาคือ ปฏิจจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อ๋อ.. อย่างนี้เอง เสร็จแล้วมันก็หมุนเวียนอยู่กับการเกิดการตาย เกิดมาเป็นชาติ แล้วก็ชรา แล้วก็ตาย มรณะ เกิดมาแล้วก็ตาย เสร็จแล้วก็จมอยู่ในอารมณ์ 

อารมณ์นี้ ที่จริงเป็นอารมณ์ลำบาก โศกปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส เป็นความลำบากทุกคำเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ นิพพานเป็นอย่างไร วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 15:38:57 )

การเกิดเป็นจิตนิยาม

รายละเอียด

ที่นี้เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ก็พบว่า ถ้าปล่อยให้จิตวิญญาณอัตภาพมันวนเวียนอยู่อย่างนี้ การเกิด ชาติปิทุกขา การเกิดใดๆทั้งนั้นเมื่อมีการเกิด โดยเฉพาะการเกิด 

1.เกิดเป็นจิตนิยาม เมื่อจิตนิยามมีอวิชชาก็เกิดกรรมนิยาม แล้วก็เกิดธรรมนิยาม เมื่ออวิชชา การกระทำกรรมทุกกรรม ก็เป็นวิบากเป็นอันทำของตัวเองทุกกรรม หยาบ กลาง ละเอียด ตั้งแต่คิดพูดทำ ทางกายกรรมก็เป็นการกระทำ สั่งสม ทรงไว้ ของแต่ละคน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 20:36:53 )

การเกิดเป็นชุมชนโลกุตระหรือสังคมสาธารณโภคี

รายละเอียด

เรื่องธรรมะที่ลึกซึ้ง อาตมาชาตินี้มาขยายความมาบอกว่า มนุษย์ที่จะบรรลุธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติจนกระทั่งเป็นกลุ่มชุมชน จนกระทั่งมีพฤติกรรม มีพฤติการณ์ ของคุณธรรมโลกุตระ เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นชุมชน ชุมชนโลกุตระ กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ยากแสนยากแต่ก็มีจริงได้  เป็นจริงได้เป็นสังคมสาธารณโภคีที่มีสาราณียธรรม 6 อันพิสูจน์เป็นเรื่องพิสูจน์สัจธรรม ที่มีผลยืนยันแท้จริง ถ้าเผื่อว่าผู้นั้นฟังธรรมได้ดีและเกิดปัญญาจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 19:46:51 )

การเกิดแบบนิพพัตติ กับอภินิพพัตติ

รายละเอียด

คนที่อวิชชาไม่รู้ก็จะเกิดบ้างดีบ้างชั่วสั่งสมไป จนกว่าจะมีปัญญามี อัญญธาตุ สามารถที่จะรู้จักสิ่งที่จะให้เกิด สิ่งที่ไม่ให้เกิดก็คือเป็นบาปเป็นอกุศลเป็นกิเลส ไม่ให้กิเลสเกิด เพราะฉะนั้นการเกิดนี้ก็จะเป็นการเกิดที่ปราศจากกิเลสหรืออย่างเก่งก็ระงับได้บ้างส่วนหนึ่ง ก็ยังเป็นกิเลสอยู่บ้างถ้าสามารถระงับได้ดีเลย ก็ไม่มีกิเลสร่วมเกิดในชาติที่จะให้เกิด ก็มีแต่จิตสะอาดบริสุทธิ์เกิด ก็ทำให้กิเลสลดลงไม่ให้เกิดเต็มตัวได้ก็เรียกว่าการเกิดแบบ “นิพพัตติ” พอเป็นการเกิดที่ไม่ให้มีกิเลสร่วมได้เลยเรียกว่า  “อภินิพพัตติ”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:22:37 )

การเกิดแบบลิงลมอมข้าวพองพระพุทธเจ้าก็เป็น

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าก็เป็น อย่างเช่นพระพุทธเจ้าถูกครอบงำทางโลกอยู่ในวัง ก็ถูกพระราชบิดาครอบงำไม่เห็นไม่ให้รู้เลยว่าในมนุษยชาติมีคนแก่คนเจ็บคนตายมีนักบวช ส่วนการเกิดไม่ต้องพูด เพราะท่านก็เคยเห็นการเกิด ก็เห็นการเกิด ตัวท่านก็เกิดด้วยตนเองมาแล้ว มาวันหนึ่งออกไปเที่ยวกับนายฉันนะ แล้วท่านก็รู้ว่าการเกิดมาเป็นทุกข์ อันนี้จะมีปฏิภาณในตัวเองนอกนั้นมันยังไม่ขึ้นมา ส่วนการแก่การเจ็บการตายถูกครอบงำได้สำเร็จ จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ออกไปเที่ยวนอกวัง ไปกับนายฉันนะ ก็พาไปเจอคนแก่ อะไรน่ะ ทำไมงอกแงกๆ อยู่ในวังมีแต่คนสวยงามแข็งแรง พระราชบิดาเก็บหมดไม่เห็นคนแก่คนเฒ่า มีแต่คนหนุ่มสาวคัดสวยงามมากทั้งนั้น ไม่มีเจ็บป่วยมีแต่สุขสบายใจทุกอย่าง ครอบงำกันหนักมากเลย จนวันนึงเห็นคนเจ็บป่วย เห็นแล้วก็สะท้อนใจท่านเป็นพระพุทธเจ้าเท่านี้ก็สะดุดแล้ว เห็นคน คนตาย เห็นคนตายเป็นผู้หญิง ตาย ต้องตายด้วยเหรอ อย่างอาตมาเห็นคนตายเป็นเทวทูตก็เกิดความกลัวตาย เด็กพวกเรามีน้องบัว(จากบ้านราชฯ) หรือน้องดาวเพ็ญเพชร(จากภูผาฟ้าน้ำ) ก็กลัวตาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:04:38 )

การเกิดแบบอภินิพัตติเป็นไฉน

รายละเอียด

แล้วก็ไล่ปฏิจจสมุปบาทไปดู ย้อนเป็นปฏิโลม ตั้งแต่ผู้ที่มี ชาติ แบบอภินิพพัตติ เป็นชาติอย่างยิ่งเป็นการเกิดที่ไม่มีภพแล้วเป็นการเกิดที่อภินิพัตติ

นิพพัตติ เป็นการเกิดของเสขบุคคลรู้จักกิเลสแล้วลดกิเลสไปตามลำดับเป็นพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ก็เป็นอภินิพพัตติ

ผู้ที่ไม่มีกิเลสเป็นชาติ เป็นชาติที่ไม่มีกิเลส ก็ยังไม่ตายยังมีการเกิดอยู่เป็นอมตะบุคคล ทำเกิดไปโดยไม่มีกิเลสเกิด ภพก็ไม่มีกิเลสเกิด อุปาทานก็กลายเป็นสมาทาน ตัณหาก็เป็น วิภวตัณหา เวทนาก็เป็นอุเบกขาเวทนา เวทนาก็มีอุเบกขา 5 เจริญไปเรื่อยๆเป็นเวทนาบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเกิด เวทนาก็ยิ่งเก่ง อุเบกขาก็ยิ่งเก่งเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา สั่งสมจิตมุทุภูตธาตุ เก่งขึ้นๆ ก็ยิ่งทำกรรมได้เก่งขึ้นเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 19:09:12 )

การเกิดแบบโอปปาติกะคือการเกิดที่สำคัญของพุทธ

รายละเอียด

นี่เด็กชาวอโศก อาตมาว่า ที่พวกเราถาม สำนักต่างๆของพุทธศาสนาเขาไม่ค่อยพูดกัน หัวข้อธรรมหรือหลักธรรมที่ควรจะต้องเรียน เขาไม่รู้เรื่องกันหรอก อาตมาเชื่อมั่นเลยท้าทาย เขาไม่รู้เรื่อง ธรรมะ 3 ก็พอจะรู้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โยนิ 4 การเกิด 4 แล้วก็อาหาร 4 เขาจะรู้เรื่องหรือ แล้วมันสำคัญด้วยนะ โยนิ 4 ก็สำคัญ การเกิดหรือกำเนิด 4 ก็สำคัญ สำคัญที่ว่าถ้าเราไม่รู้ก็ไม่รู้จุดสำคัญที่ว่า เราปฏิบัติธรรมนี้เราจะปฏิบัติมุ่งอะไร ได้พูดกันแต่เรื่องของ 1 การเกิดของคน (ชลาพุชะ) การเกิดของสัตว์เป็นไข่ก่อน (อัณฑชะ) หรือการแตกตัวของสัตว์เล็กๆ โรคไวรัสจุลินทรีย์ต่างๆ (สังเสทชโยนิ) ที่จริงศาสนาพุทธนั้นไม่ได้ศึกษาเรื่องพวกนี้มากเลย แต่มาศึกษา กำเนิดที่ 4 โอปปาติกโยนิ เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยรู้เรื่องว่า โอปปาติกะคืออะไร เขาก็ไปเรียนรู้ว่าโอปปาติกะหมายถึงจิต แล้วเปรียบเทียบการเกิดเป็นเปรต เป็นผีเปรต เป็นมารเป็นตัวตนล่องลอยอยู่ แทนที่จะเข้าไปหาผุดเกิด อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 มีมาตา ปิตา มีแม่มีพ่อแล้วมีสัตว์โอปปาติกะ มีแม่มีพ่อทำให้เกิด แล้วก็ไม่รู้ไปเขียนในตำราเลยว่า มาตานี่แปลว่า บุญคุณของแม่ ปิตา คือบุญคุณของพ่อ นั่นแสดงให้เห็นว่ามันออกนอกศาสนาพุทธไปแล้ว แล้ว ศาสนาพุทธเรียนสัตว์โอปปาติกะ เช่น สัตตาวาส 9 เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเรียนให้สัมมาทิฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 14:46:48 )

การเกิดและดับภพชาติ

รายละเอียด

เมื่อเราสามารถรู้ตรงนี้แล้ว พอถึงขั้นมีตัณหาอุปาทานแล้ว เสร็จแล้ว ผู้ที่มีตัณหา อุปาทาน ถึงเรียกว่าเกิดภพชาติ 

ภพ แปลว่า แดนที่มันยังเกิดอยู่ไม่จบ อย่างเทวนิยมไม่รู้จักภพชาติ ไม่รู้จักความเกิดที่ยังมีแล้วยังบอกว่าพระเจ้าเป็นภพนิรันดรเลย ไม่รู้จักการทำลายภพชาติไม่หมดภพไม่หมดชาติ ภพก็ยังมีอยู่เพราะมันยังมีความเกิดมีการเกิดการตาย เป็นพระเจ้าก็ยังเกิดอีก ใหญ่เท่าไหร่ก็ไม่มีการตายเลย พระเจ้ามีนิรันดรด้วย ศาสนาพระเจ้าจึงไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณดับภพจบชาติ เป็นนิพพาน เทวนิยม พระเจ้าใหญ่ขนาดไหนศาสดาใหญ่ขนาดใดเทวนิยมก็ไม่สามารถมีนิพพาน ไม่สามารถทำให้จิตวิญญาณ เป็นเทวะหรือเป็นสภาวะ 2 หมดไปเลย 

ไม่เหลือสภาวะ 2 เลยกลายเป็นหนึ่งไม่เป็นจิตวิญญาณแล้ว กลายเป็นพืช กลายเป็นดินน้ำไฟลม ไม่เหลือความเป็นชีวะระดับจิตวิญญาณ ไม่เหลือแล้ว ไม่รู้เรียนไม่ได้ เข้าใจไม่ได้อย่างนี้เป็นต้นก็เลิกเลย เทวนิยม เขาก็มีความรู้ได้เท่านั้น เขาสามารถเรียนรู้ได้เท่านั้น เขาเรียนรู้อะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 15:42:40 )

การเกิดและบทบาทของจิตนิยาม กัมมัสกตา และกัมมโยนิ

รายละเอียด

พระพุทธเจ้ามาไขความได้ โดยรู้จักสังขารที่ปรุงแต่งกันตั้งแต่ 2 สภาพ เทวะ มากกว่า 2 ขึ้นไปอีกเยอะแยะ ปรุงแต่งกัน ปรุงแต่ง 2 ขึ้นไปจนนับไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น 2 สภาพที่ว่านั้นคือ สภาพ 2 ของสิ่งที่ปรุงแต่งกันขึ้นตั้งแต่รูปธรรมวัตถุ จนถึงนามธรรม พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ตั้งแต่วัตถุจนถึงชีวะ ในระดับที่ยังเป็นนามธรรมไม่เต็ม เรียกว่าพืช พีชนิยาม จนเป็นนามธรรมเต็มคือ จิตนิยาม 

ก็จึงรู้ว่ามี 3 สิ่งเท่านั้นคือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม จิตนิยามนี่แหละ เป็นใหญ่ที่สุด เป็นประธานที่สุดในการที่จะมีสังขาร ปรุงแต่ง แล้วเกิดเป็นวิญญาณ แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่งถึงที่สุดว่า อ้อ! แม้เป็นจิตวิญญาณแล้วก็มีกรรม ทรงไว้เป็นธรรมะ ทุกอย่างก็เลยมีตัวจิตนิยามกับกรรม 2 อย่าง จิตนิยามเป็นธาตุแสดง ทีนี้ กรรม เป็นการแสดงการกระทำของจิตนิยาม แต่ละหน่วยๆแต่ละของบุคคล ทีนี้ภาวะที่เป็น กรรมหรือการกระทำของแต่ละคนก็เป็นของแต่ละคนเรียกว่า กัมมัสกตา กรรมเป็นของของตน แล้วกรรมนี่แหละตกทอด ตัวเองก็จะต้องทำกรรมใด ก็มีวิบากแล้วก็เป็นของตน ตนต้องรับวิบากที่ตนทำ ต้องรับกรรมที่ตนทำ แล้วจะเกิดจะตายจะเป็นอยู่ เรียกว่า กัมมโยนิ จึงเกิดกรรมเป็นของตน ตนเองจึงเป็นทายาทของกรรมตนเอง กรรมก่อนตนเองทำแล้วเป็นมรดกตกทอด

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 39 พุทธานุสสติ และอัมพัฏฐสูตร วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 16:47:59 )

การเกิดได้ถึงนิพพัตติและอภินิพพัตติ

รายละเอียด

การเกิดได้ถึงขั้น"นิพพัตติ”และ“อภินิพพัตติ"เป็น“การเกิดขั้นโลกุตระ” คือ “การเกิด”ขั้น“สิทธัตถะ” ที่สามารถทำ“จิตในจิต”ได้ถึง“กำจัดกิเลส”ลดละลงไปถึงขั้น“ดับกิเลส”หมดสิ้น“อาสวะ”ได้

      ซึ่งมี“การตาย”ของ“กิเลส” แล้ว“จิต”ก็“เกิด”เป็น“จิตใหม่”ใสสะอาดขึ้นไปตามลำดับๆ ผู้ทำได้คือ“สิริมหามายา”

      กล่าวคือ ผู้ทำ“จิต-เจตสิก”ให้มี“การเกิด”ทรงสภาพอยู่ในฐานะของ“พืช”ที่ไม่มี“เวทนา-ไม่มีความรู้สึก”ก็ทำได้

     

      และทำได้ยิ่งไปกว่ามีฐานะ“พืช” เป็นต้นว่า ทำให้ “ความรู้สึก”ของเล็บ”ส่วนที่ถูกกระทบอยู่นั้น มันไม่มี“ความรู้สึกเลย” ภาวะ“ไม่มีความรู้สึกเลย”นี้ มันก็มีฐานะเป็น

“อุตุ” คือ เป็นภาวะ“ไม่มีความรู็สึก”กันทีเดียว ก็ทำได้ 

      นั่นคือ เราสามารถทำให้มันอยู่ใน“ฐานะ”ของภาวะที่“พลังงานไม่มีชีวะ” เป็น“อุตุนิยาม”ในขณะยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำได้  นี้ก็ความสามารถขั้นหนึ่ง ที่ทำสำเร็จได้

      หรือที่สุดทำให้“จิตนิยาม”หรือ“วิญญาณ”สลายไปเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไปเลย ก็ทำได้สำเร็จจริง

      แต่ความจริงขณะที่เราทำจิตตนให้อยู่ใน“ฐานะพืช” หรือ“ฐานะอุตุ”นี้เราก็ยังมี“ชีวิต”คนผู้ยังไม่ตาย ยังมี“จิตวิญญาณ” ทว่า“การทำจิตในจิต”ของเราได้ปานฉะนี้ เพราะเรามี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต เจตสิก รูป นิพพาน”

      และจัดการกับ“กิเลส”ที่มีอยู่ใน“จิต”ใน“เจตสิก”ให้หมดสิ้นไปได้ด้วย“ฌาน”ด้วย“บุญ” ถึงขั้น“ปุญญาภิสังขาร”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 18:48:30 )

การเกื้อ

รายละเอียด

คือ มีการให้กันยืมเงินได้มิใช่ “กู้” (“เกื้อ”กูลกันให้ยืม โดยไม่มีดอกเบี้ย มิใช่“กู้”ขูดรีดกัน แต่ให้ยืม โดยไม่คิดดอกเบี้ยเลย)

หนังสืออ้างอิง

“คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า.57


เวลาบันทึก 08 พฤศจิกายน 2562 ( 14:58:15 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:39:28 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:55:08 )

การเก็บอภิธานศัพท์ของอโศก

รายละเอียด

คือพวกชาวอโศกเราเป็นพวกที่เป็นลูกพระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าได้ DNA ของพระพุทธเจ้ามาจริง ๆ  ตั้งแต่ได้รับอัญญธาตุ  ธาตุอื่นที่ต่างจากโลกีย์แล้ว อัญญาเป็นพหูพจน์  อัญญะเป็นเอกพจน์  เป็นพยัญชนะที่อาตมาเอามาอธิบายถึงรากเหง้าพยัญชนะ  กขคฆง  ตอนนี้พวกเรากำลังเก็บอภิธานศัพท์ ก็จะได้เก็บเป็นเล่มขึ้นมา ของอโศกขึ้นมาโดยเฉพาะ เป็นพยัญชนะที่ถูกต้อง  คมชัด ในความหมายเดิมนั้น คืออย่างไร ก็คงจะได้รวบรวมช่วยกันอยู่หลายคน ก็ช่วยกันมาเก็บส่วนต่างๆที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทย  แต่เขาเอาไปใช้อย่างผิดเพี้ยนไปเยอะ  เราก็เลยต้องดึงให้มันผิดน้อยลงเข้ามาหาความถูกให้ตรงเป้ามากขึ้น  ไม่เช่นนั้นมันก็กระจาย มันก็ผิดเพี้ยนและขัดแย้ง ก็สับสนวุ่นวายมาเน้นเข้าข้น เข้าแค่น เข้าพวก  Chaos Theory   ก็จะหายไป  มันเข้าระบบ ระเบียบ เป็นหลักเป็นฐานขึ้นไป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:32:36 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:41:08 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:03:30 )

การเข้าถึงศาสนาพุทธต้องปฏิบัติ 3 ข้อ

รายละเอียด

สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ แล้วจะเกิดสภาพธรรมเรียกว่าสัทธรรม 7 จะเกิดสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นขึ้นมาว่า อ๋อ.. พุทธเป็นอย่างนี้หรือ 

สัมผัสกับสัตว์แล้วมันจะต้องเกิดมีเวทนามีตัณหามีอุปาทานอย่างนี้หรือ แล้วก็เรียนรู้ตัณหาอุปาทานจากเวทนาที่ได้รับผัสสะนี่แหละ แต่คุณก็หลับตาไม่ได้รับผัสสะกับสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะสัตว์คน ที่ทำให้เกิดโลภโกรธหลงเก่งนัก คุณก็ไม่มา 

หัด สำรวมอินทรีย์หรือแม้แต่ข้าวของที่จะต้องสัมผัสของกินของใช้ วัตถุหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร ของกินของใช้ คุณก็ไม่มาสำรวมอินทรีย์ สัมผัสสิ่งนี้แล้วเกิดกิเลส ก็ไม่เรียนอันนี้ แล้วจะเอาหลับ เอาไม่ตื่น ไม่ชาคริยา เอาแต่หลับๆๆ ยิ่งกว่าพญานาคอยู่ใต้บาดาล หลับ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดกี่พระองค์จึงจะตื่นสักทีนึง แล้วมันจะหลับไปถึงไหน เห็นใจอาตมาบ้างไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่ บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 14:10:14 )

การเข้าทรงหรือการที่เป็นอุปาทานของจิต

รายละเอียด

เรื่องพวกนี้อาตมาเล่นอาตมาทำมาเยอะแล้วเมื่อก่อน สวดภาณยักษ์ก็คือเอาคำบาลีมาร้อยเรียง จริงๆแล้วสวดภาณยักษ์ มันเป็นการสวดจะไปยึดถือกันว่าเป็นมนต์ขลัง สวดแล้วจะไปกระทบพวกที่เป็นผีเป็นยักษ์มาร จะถูกคาถานี้เข้าแล้วจะดิ้นชักดิ้นชักงอเข้าทรง การเข้าทรงหรือการที่เป็นอุปาทานของจิตต่างคนต่างของใครของมัน บางคนก็จะดิ้นท่านี้บางคนก็จะดิ้นท่านั้น บางคนก็จะมีร้องด้วย อะไรก็แล้วแต่สารพัดที่จะยึดถือ เป็นอุปาทานที่ยึดมั่นถือมั่น สร้างภพชาติติดยึดมา โดยไม่รู้ว่าเป็นอวิชชาติดยึดมากก็เป็น เสร็จแล้วมาเป็นเข้าก็แสดง จิตมันจะรวมนะคนที่เข้าทรง จิตมันจะรวมเป็นสมถะเป็นหนึ่ง ก็จะมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพที่จะมีเดรัจฉานวิชา อาเทสนาปาฏิหาริย์อิทธิปาฏิหาริย์ได้ มันจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้เกินกว่าคนสามัญธรรมดาได้ คนธรรมดาบอกให้ทำไม่ได้ แต่ตอนนั้นให้ทำได้ก็ตามแต่ฐานะของแต่ละคน อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ทำได้พอสมควรตามแต่ละฐานะ หยั่งรู้จิตใจคนนั้นคนนี้ทายรู้ของหาย หาคนตายอะไรได้ สารพัดเป็นได้อย่างน้อยเป็นอุปาทานที่คุณยึดไว้ อย่างมากก็เป็นจิตที่คุณปั้นมาเอง เป็นมโนมยอัตตา  เป็นจิตที่สำเร็จที่สร้างปั้นมา มีรูปก็เป็นนิรมาณกายรู้ร่วมกับคนอื่นก็เป็นสัมโภคกาย แล้วก็เป็นอาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่มีใครเห็นของคนอื่น เห็นแต่ของตัวเองเท่านั้น เสร็จแล้วก็มาร่วมพูดคุยร่วมเห็นด้วยกัน ก็เรียกว่าสัมโภคกาย ใครจะเห็นเป็นอย่างไรก็แล้วแต่นิรมานกาย

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 18:15:35 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:02:06 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:40:48 )

การเข้ามารับประทานอาหารมังสวิรัติเฉยๆ ถือเป็นแนวร่วมกับอโศกหรือไม่

รายละเอียด

ก็ค่อยๆเริ่ม มีจุดร่วม ไปเรื่อยๆ ก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปบังคับ ไม่ต้องไปล่อหลอก ไม่ต้องไปและเล็มเลียบเคียง ให้เป็นไปตามธรรมชาติทำดีที่เราที่สุดมันจะเป็นมาเองให้เห็นตามเหตุปัจจัยเองแล้วได้ของจริงมาด้วย มันไม่จำเป็นต้องได้ตามใจเรา ให้มันถ้วนถึงเมื่อคุณธรรมปัญญาเขาถึงก็จะมาเองก็จะสบายง่ายสะดวกและเป็นของจริง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก เอื้อไออุ่นชาวสันตินาคร วันพุธที่ 17 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก 


เวลาบันทึก 22 มีนาคม 2564 ( 14:07:10 )

การเข้าสู่บริษัท

รายละเอียด

หมายถึง การก้าวหน้าที่ทำงานเพื่อสังคมพัฒนาขึ้นๆไปตามลำดับแท้ๆเมื่อทำหน้าที่สอนสืบทอดพระธรรมได้แล้ว เป็นธรรมกถึก ก็ต้องเจริญขึ้นไปสู่สังคม

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 52-53


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2562 ( 16:29:11 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:31:33 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:04:43 )

การเข้าใจผิวเผินแค่เหตุและผล แต่ลงไม่ถึงมนสิการ

รายละเอียด

ท่านลงไม่ถึงมนสิการ ท่านเข้าใจผิวเผินแค่เหตุและผล แทนที่จะไปโยนิโส คือเป็นความรู้ประกอบเหตุและผลนั่นแหละ แต่มันจะต้องไม่ทิ้งมนะ ไม่ทิ้งจิตแล้วต้องทำจิตมันต้องไปด้วยกัน ไม่ เพราะท่านอยู่ที่ท่านอธิบาย ท่านแปล โยนิโส ว่าเป็นการพิจารณาอย่างแยบคาย ก็เลยได้แต่พิจารณาแยบคายๆ แต่ไม่เข้าไปถึงจิต ไม่ได้ทำใจในใจเลย มีแต่พิจารณาแยบคายก็ได้แต่เหตุและผลเหตุปัจจัย เห็นไหม ขออภัยนะ อาตมาก็ไม่ได้ไปใส่ความ อาตมาวิจัยวิจารณ์ด้วยความจริงใจบริสุทธิ์ใจ ที่เห็นใจท่านจริงๆสงสาร 

ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ได้ ซึ่งมันก็ยาก เพราะว่าท่านไม่เชื่อที่อาตมาอธิบายบรรยาย มีแต่ท่านอ่านหนังสืออาตมาเพื่อจับผิด ไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อให้เกิดปัญญา ให้เกิดความเข้าใจ อ่านเพื่อจับผิดมันก็เลยไม่ได้อะไรหรือฟังอาตมาบ้าง ฟังอย่างผิวเผิน ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจไม่ได้ฟังอย่างมีปัญญาข้อที่ 1 และ 2 

อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่อาตมาก็เป็นสัตบุรุษ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะฟังธรรมเกิดปัญญาก็จะต้องฟังแล้วฟังอีกตามข้อที่ 2 ไม่ใช่คุณฟังธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว คุณก็เอาแต่รู้อะไรไม่ต้องฟังอีกแล้ว ทะลุทะลวงไปได้หมดเลย ถ้าคุณมีพื้นฐานเป็นโพธิสัตว์ที่รู้อยู่แล้ว ได้แต่เพียงหัวข้อเป็น อุคฏิตัญญูก็ได้ แต่คุณเป็นอุคฏิตัญญูจริงหรือเปล่า หรือเป็นวิปัญจิตัญญู ได้มานิดหน่อย ต้องฟังซ้ำ ฟังเพียงไม่เท่าไหร่ก็บรรลุแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูตอบปัญหาผ่าพญาครุฑ ฉุดพญานาค วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2565 ( 11:01:13 )

การเคลื่อนกับการรู้ ต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

ถ้าแยกแยะการเคลื่อนกับการรู้มันต่างกัน ถ้าแยกอย่างนี้ไม่ได้ก็ไปงมโข่งอยู่กับ เคลื่อน สงบเพราะหยุดเคลื่อนไม่ใช่รู้กิเลส ทำให้กิเลสหมดไป วิญญาณคือธาตุรู้ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่ไม่เคลื่อน ยิ่งทำงานได้แคล่วคล่องอย่างเป็น มุทุภูตธาตุ กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา ปาคุญญตา แปลว่าแคล่วคล่องว่องไว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 46 วิญญาณกับวิญญัติ วันมาฆบูชา วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 พฤษภาคม 2565 ( 08:52:03 )

การเคลื่อนไหวของจิต กัมมุญจิตตุกัมมยตาญาณ

รายละเอียด

ทำรายละเอียดของจิตหรือมโน ก็ดูที่อาการการเคลื่อนไหวของจิต ก็จัดการกับการเคลื่อนไหวนี้ได้ รู้จักความแตกต่างของอาการเรียกว่า ลิงคะ อาการอย่างนี้ไปซ้ายไปขวาขึ้นบนลงล่าง อาการนี้ผลักอาการนี้ดูด หรืออาการนี้ทุกข์อาการนี้สุข ประกอบไปด้วยความรู้สึก อาการนี้ให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ก็สามารถกำหนดสัญญา สัญญาเป็นจิตเจตสิกของตัวเอง มีหน้าที่กำหนดรู้ แล้วก็ให้เกิดกรรม ทางมโนกรรมจัดการมโนกรรม แยกแยะไปเป็นสังกัปปะ 7 คือจัดการมโนกรรม จัดการเรียนรู้มีธัมวิจัยมี สติ ธัมวิจัย มีวิริยะ มีโพชฌงค์ สติสัมผัสสิ่งนั้นสิ่งนี้ สัมผัสแล้วก็เกิดอาการทางจิตใจทางเวทนาก็วิจัยจิตใจตัวเองรู้ พฤติการณ์ของใจ จิตดำริออกมาเป็นวิตก มีพฤติการณ์เป็นวิจาร แยกแยะที่มันมีกิเลสออกมาผสมให้มันออกมาได้ รู้ด้วยปัญญาแล้วก็กำจัดว่ากิเลสนี้มันพาให้ตกต่ำ เป็นสิ่งที่ไม่น่ามีน่าได้น่าเป็น กิเลสเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา กิเลสมันเกิดมามันก็มีหน้าที่ดูดผลัก ฉะนั้นไม่เอา เจ้ากิเลสนี้อย่าเข้ามาอยู่ในจิตเรา ก็ต้องพิจารณาเห็นเหตุเห็นผลว่ามันไม่น่าคบ ไม่น่าได้ไม่น่ามีไม่น่าเป็นไม่น่าจะอยู่กับเรา ธาตุฉลาด ธาตุปัญญารู้จริงๆ มีพลังปัญญาไม่รับก็เปลื้องปล่อย มุญจิตตุกัมมยตาญาณ แต่ก่อนไม่รู้โง่ก็คบหากันไปกับผสมผเสกันไปปรุงแต่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนกระทั่งจิตกับกิเลส กิเลสกับจิตไปด้วยกัน ไม่รู้ดีชั่ว ไม่รู้บาปบุญ อย่าไปพูดถึงไม่รู้จิตเจตสิกรูปนิพพานเลย รู้จักอาการของตัวมันเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชธานีอโศก ปฏิจจสมุปบาท ชาติ 5 โดยพิสดาร วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 เมษายน 2564 ( 11:19:58 )

การเคารพบูชากราบไหว้

รายละเอียด

คือ ให้เคารพบูชากันด้วย 10 นิ้ว อย่าเอาดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาให้เลอะเทอะ จนเข้าข่ายสร้างเรือนไฟ ถ้าทำอย่างนี้ ถือว่า นอกรีตจากศาสนาพุทธ

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 139


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 14:11:35 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 15:32:04 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:06:06 )

การเจริญของพุทธเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนเหมือนก้นหอย

รายละเอียด

อาตมาเคยอธิบายการเจริญของพุทธจะมีลักษณะวน ซ้ายขวาไปมา แต่ว่ามีความสูงขึ้นๆ จนสู่จุดสูงสุดปลายยอด คนก็ฟังไม่เข้าใจ ว่า ศาสนาพุทธมีลักษณะหมุนรอบเชิงซ้อนเหมือนก้นหอยแม้จะพูดอันเก่า ภาษาคำว่าบุญ คำว่าบาป คำว่ากุศล อกุศล ก็จะวนกลับไปกลับมาเป็นธรรมะ 2 แต่เมื่อเข้าใจแล้ว เราใช้คำนี้กับคำนี้สลับไปสลับมา เดี๋ยวก็ไม่ได้อยู่ที่เก่าแต่มันเจริญขึ้นๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:11:23 )

การเจริญสติปัฏฐาน

รายละเอียด

หัดมีสติระลึกรู้ตัวเสมอ ๆ แบบที่มีชีวิตปกติทำงานอยู่ธรรมดา ๆ นี่-แหละ หรือจะอาศัยการอยู่ในอิริยาบถนิ่ง ๆ ยืนนิ่ง ๆ นั่งนิ่ง ๆ นอนนิ่ง ๆ หรือจะนั่งหลับตานิ่ง ๆ ก็ได้

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 312


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 14:56:51 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:42:48 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:07:38 )

การเจริญเจโตสมถะ

รายละเอียด

การนั่งตั้งกายตรงนิ่ง ๆ(ทำสมาธิ สะกดจิต)แล้วเอาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นกรรมฐาน มีกสิณ 10   อสุภ 10  อนุสติ 10   พรหมวิหาร 4   อรูป 4

อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1   และจตุธาตุววัฏฐาน 1  หรืออื่น ๆ

หนังสืออ้างอิง

จากคนคืออะไร? หน้า 313


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 14:57:40 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:43:36 )

การเชื่อมต่อกันของนิยาม 5

รายละเอียด

การจะเกิดพลังงานในระดับที่เชื่อมต่อให้มันมาเกิดจาก อุตุ ข้ามกรอบมาเป็นพีชะ จากพีชะข้ามกรอบมาเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่เป็น รูปธรรม อรูปธรรม มาจนเป็นชีวะเป็นพีชะ ก็เริ่มมีชีวะ จะเรียกนามเลยก็ไม่เป็นนาม มีสัญญา สังขาร แต่ไม่มีเวทนากับวิญญาณ มันมีได้แค่นั้นส่วนเมื่อมาเป็นจิตนิยามแล้วจะครบทั้งเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ก็ค่อยๆเป็นไปอีกหน่อยจะมีคนค่อยๆเข้าใจแล้วมาศึกษาต่อขยายผล ผู้ที่สามารถต่อภพภูมิความรู้อันนี้ต่อไปอาตมาก็มีความรู้เท่าที่รู้ พยายามเพิ่มเหมือนกัน ใครจะมาช่วยกันก็พัฒนากันไป

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 18:16:34 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:47:05 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:08:57 )

การเดิน

รายละเอียด

ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว หากนั่งมันก็นิ่งเข้าภพไปได้ แต่การเดินควรจะต้องมีสติสัมปชัญญะต้องมีสัมผัสกับภายนอก ให้ดิ่งไปในจิต คุณรับสภาพกำหนดกรอบในทิศทางที่คุณเดิน แล้วก็กำหนดกรอบที่คุณจะรับรู้ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกกับคนที่รับรู้ตอนนั้นว่าท่านเดินอยู่ที่โรงกระเดื่อง เสร็จแล้วมีฟ้าผ่าในระดับที่ไม่ไกลวัวตาย 4 คนตาย 2 ดังสนั่น คนก็ไปดูกัน ดูแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ในโรงกระเดื่อง เขาก็บอกว่าท่านสมณะ ก็ทักทายกัน เขาก็ว่าฟ้าฝ่า คนตาย 2 วัวตาย 4 พระพุทธเจ้าก็บอกว่าฟ้าผ่าหรือ คนเขาบอกว่า ท่านไม่ได้ยินท่านทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเดินจงกรมอยู่ แล้วท่านไม่รับรู้เหรอ ท่านมีสติอยู่หรือไม่ พุทธเจ้าก็บอกว่าต้องมีสติอยู่สิ คือ ท่านสามารถกำหนดกระบวนการรับรู้ของท่านเท่าใดก็ได้ (ฌาน 1 วิตกวิจาร ปีติ สุข, ฌาน 2 ปีติ สุข, ฌาน 3 สุข, ฌาน 4 อุเบกขา)

ที่มา ที่ไป

620821_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 15:20:20 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:50:37 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:16:08 )

การเดิน

รายละเอียด

ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว หากนั่งมันก็นิ่งเข้าภพไปได้ แต่การเดินควรจะต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องมีสัมผัสกับภายนอก ให้ดิ่งไปในจิต คุณรับสภาพกำหนดกรอบในทิศทางที่คุณเดิน แล้วก็กำหนดกรอบที่คุณจะรับรู้ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกกับคนที่รับรู้ตอนนั้นว่า ท่านเดินอยู่ที่โรงกระเดื่อง เสร็จแล้วมีฟ้าผ่าในระดับที่ไม่ไกลวัวตาย 4 คนตาย 2 ดังสนั่น คนก็ไปดูกัน ดูแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ในโรงกระเดื่อง เขาก็บอกว่าท่านสมณะ ก็ทักทายกัน เขาก็ว่าฟ้าฝ่า คนตาย 2 วัวตาย 4 พระพุทธเจ้าก็บอกว่าฟ้าผ่าหรือ คนเขาบอกว่า ท่านไม่ได้ยินท่านทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเดินจงกรมอยู่ แล้วท่านไม่รับรู้เหรอ ท่านมีสติอยู่หรือไม่ พุทธเจ้าก็บอกว่าต้องมีสติอยู่สิ คือ ท่านสามารถกำหนดกระบวนการรับรู้ของท่านเท่าใดก็ได้ ฌาน1 วิตกวิจาร ปีติ สุข, ฌาน 2 ปีติ สุข, ฌาน 3 สุข, ฌาน 4 อุเบกขา)

ที่มา ที่ไป

ธรรมมาธิบาย  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 25 กันยายน 2562 ( 16:07:08 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:46:54 )

การเดินทางสู่จุดหมาย

รายละเอียด

คุณจะเดินทางจากที่นี่ไปประเทศอะไรก็แล้วแต่อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง คุณตั้งต้นออกจากทิศนี้ก็ตาม ถ้าตั้งใจจริงแม้ว่าไปทิศนี้มันจะอยู่ตรงนี้มันก็ต้องถึงเร็ว ถ้าคุณไม่เหลาะแหละ ถ้าตั้งทิศทางถูกมันอยู่ตรงนี้คุณไปทางนี้ก็จะถูก ไปทางอีกทางก็จะยาวมากจะเสียเวลามากแต่ก็ถึง แต่ถ้าคุณไปแล้วบอกว่าไม่ใช่แล้วกลับไปกลับมาอีก นี่แหละ ดีไม่ดีวนกลับไปกลับมา แล้วเมื่อไหร่มันจะถึงเสียที เสียเวลา นี่คือลักษณะวิตกจริต ถ้าปัญญาตรงมุ่งมั่นไม่ยึกยักก็จะเร็ว แต่ถ้ายึกยักก็จะช้าทั้งคู่

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 16:59:31 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:50:28 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:14:04 )

การเทศน์ของชาวอโศกมีโลกุตรธรรม 

รายละเอียด

โดยเฉพาะของชาวอโศกเรานี่ เป็นโลกุตระ มีโลกุตรธรรม 

มีโลกุตรธรรมคืออะไร ไม่มีโลกุตรธรรมคืออะไร 

มีโลกุตรธรรมก็คือ มีการชี้บ่งบอกถึงกิเลส ถึงเหตุแห่งทุกข์ ถึงตัวที่ควรจะรู้จักมัน แล้วก็ละล้างกำจัดมันซะ ไม่โดยอ้อมก็โดยตรง มีมากกว่ามีน้อย เทศน์แล้วจะมีการให้ล้างกิเลส ก็จะมีพลความอันนั้นอันนี้ประกอบบ้าง ที่ไม่ได้ให้ล้างกิเลสก็มีน้อย นอกนั้นก็มีแต่เทศน์ให้ล้างกิเลสนั่นแหละมีมาก เกือบทั้งกัณฑ์แต่ละรูปๆ ทั้งนั้นเลย

ซึ่งอันนี้อาตมาภาคภูมิใจพวกเรานี้มีสาระ จะเทศน์อะไรก็เป็นไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในกถาวัตถุ 10 

กถาวัตถุ 10 คือพูดอย่างไรก็เป็นไปเพื่อล้างกิเลส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:39:39 )

การเนกขัมมะได้ต้องเห็นโทษ โทษข้อแรกคือกามของนิวรณ์ 5

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องเห็นโทษ เห็นโทษในตัวแรกของนิวรณ์ 5 นั่นแหละคือ กาม ตัวปฏิฆะก็เช่นกัน พูดกามก็เข้าใจปฏิฆะไปด้วยเลย โดยปริยายมันละเอียดเข้าไปถึง ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ค่อยว่ากันต่ออีก เอาตัวหยาบก่อน แล้วถึงจะรู้ถึงตัวลูกหลานตัวเล็กละเอียดลออถึงจะรู้ได้ง่ายขึ้น รู้ในทุกเหลี่ยมทุกมุมของตัวโตตัวหยาบก่อน ฉะนั้นจุดสำคัญในโลกที่คนเรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มันมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูคือพ่อครัวผู้ปรุงอาหารโลกุตระ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2565 ( 15:02:05 )

การเบิกเนตรพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เจ้าประคุณเอ๋ยอวดดีอย่างไร จะไปเปิดตาพระพุทธเจ้า ไปเบิกเนตรพระพุทธเจ้า พูดแล้วเหมือนตลก ออกนอกลู่นอกทางไปไกล ไม่มีทางที่เขาจะได้แม้กระทั่งกายวิเวก

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:51:12 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:51:24 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:14:55 )

การเบียดเบียน

รายละเอียด

1. สภาพรวมของความร้ายทั้งหมดที่คน ๆ หนึ่งจะมีต่อคนอื่น สิ่งอื่น สัตว์อื่น แม้แต่ต่อตนเอง ทำให้เกิดความเสียหาย ความเลว ความร้ายความเสื่อม ความล้างผลาญขึ้นในโลก 

2. การกระทำที่มีผลกระทบให้ผู้อื่น สัตว์อื่น สิ่งอื่นเสียหาย หรือเดือดร้อน 

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 363, รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 174


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:00:09 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:44:09 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:16:08 )

การเบียดเบียนตน

รายละเอียด

เป็นการทำตนเองให้เกิดราคะ การเกิดกาม เป็นการเกิดอาการของใจที่ใจของเราเอง เป็นการเกิดที่สภาพอารมณ์

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 364


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:01:05 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:44:42 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:16:56 )

การเบียดเบียนท่าน

รายละเอียด

การสร้างพฤติกรรมให้ผู้อื่นเกิดความพอกพูนในกาม หรือยั่วยุ เร่งเร้าให้เกิดโทสะ เกิดความอาฆาต พยาบาท จองเวร และก่อเกิดเร่งเร้า มอมเมาให้เกิดความเข้าใจผิด ความหลงผิดต่าง ๆ เรียกว่าโมหะ

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 363


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:01:51 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:45:13 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:17:55 )

การเบียดเบียนโลก

รายละเอียด

(ตีความได้หลายระดับ) การผลาญพร่าทรัพยากร ถือเป็นการเบียดเบียนโลกอย่างหยาบต่ำ เพราะเกิดการทำลาย อันเป็นผลให้เกิดการขาดแคลนและขาดสมดุลขึ้นในโลก

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือสมาธิพุทธ หน้า 364


เวลาบันทึก 09 กรกฎาคม 2562 ( 15:02:36 )

เวลาบันทึก 30 เมษายน 2563 ( 14:45:50 )

การเปลี่ยนแปลงสสาร พลังงานที่เป็นอุตุนิยาม

รายละเอียด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 10:05:35 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:48:41 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:41:33 )

การเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุง จะเกิดการพัฒนา

รายละเอียด

อาตมาก็คิดว่า น่าจะพอสรุปเรื่องลงไปตรงนี้ว่า ในสังคมมนุษยชาติมันมีความผิดกับความถูกต้อง มันมี 2 นัย ทุกอย่างต้องมี 2 นัยกัน ชัดๆ เพราะฉะนั้นคนเราจึงต้องพยายามที่จะค้นหาความถูกต้องให้ได้ เมื่อได้ความถูกต้องแล้ว ตนเองเป็นผู้ที่เคยหลงผิดไปกับความผิดก็แก้ไขเสีย แล้วก็พยายามพาผู้ที่เราเคยพาเขาให้ผิดไปด้วยให้กลับคืนมาสู่ความถูกต้อง 

การเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงเท่านี้ เกิดขึ้นอยู่ในที่ใด เกิดขึ้นในสังคมใด มันก็จะเกิดการพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นความถูกต้องขึ้นไปได้เรื่อยๆ มันจะจริง จะดี 

สังคมมนุษยชาติมันมีอยู่ 2 สภาพใหญ่ๆ 2 สภาพใหญ่ๆนี่คือ 1. คู่ของความดีกับความชั่วหรือความผิดกับความถูก มันเป็นเรื่องของโลกียะ ไอ้สิ่งที่ใหญ่กว่านั้นคือ ความสุขกับความทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องของปรมัตถ์ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของมนุษยชาติส่วนตัว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ 

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 14:55:16 )

การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการสื่อสารตามยุคสมัย

รายละเอียด

ตอนนี้เรากำลังผ่องถ่าย จะหยุดเรื่องดาวเทียม ก็จะได้ขอคืนค่าเช่าดาวเทียมมาบ้างเดือนละหลายแสน เพราะเราก็เป็นคนจนอยู่แล้ว ก็ค่อยเปลี่ยนไปให้เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด ค่อยๆเป็นไป ค่อยๆหาวิธีจัดการ ในเรื่องการหมุนไปหมุนมาของเงินที่เราต้องใช้อาศัย ฉะนั้นคุณจะดูทาง Facebook ก็ได้ ท่านแสนดินอธิบายอยู่ ทางหน้าจอ คนอื่นที่รู้ก็ช่วยอธิบาย อาตมาไม่ค่อยเก่งเรื่องนี้ ที่รู้เรื่องพวกนี้ สมณะที่รู้ก็ช่วยอธิบาย เพราะว่ามันต้องเข้าหายุคสมัย ในยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว มันจะขยายเป็นจอที่โตก็ได้ ต่อจากโทรศัพท์มือถือ เพราะมันใช้อินเตอร์เน็ตใช้ WiFi ได้แล้วเดี๋ยวนี้ จะเอาเป็นจอโทรทัศน์ จอใหญ่ก็ได้ เสียบเข้าก็ขยายไปมันมีกำลังขยายไง เขาเรียกว่าอะไร เครื่องขยาย  ขยายแสงเสียง เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายดาย ให้มีตังค์ซื้อเถอะ มันก็มีทุกอย่างอยู่แล้วไม่ยาก 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2563 ( 14:06:49 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 10:26:38 )

การเปิดหมู่บ้านปฐมอโศกช่วงอโศกรำลึก

รายละเอียด

เรื่องนี้ที่ปฐมอโศกได้ตกลงกัน พ่อท่านยังไม่ได้เปิดก็ทำอย่างเล็กๆของเราเอง คนข้างนอกมาก็พิจารณาเป็นกรณีไป ก็ได้แต่รักษาระยะห่างกัน มี mask ได้ ทำไมจะไม่ได้ ถ้ากรรมการอนุญาตก็เข้าได้ แต่ถ้าไม่เสี่ยง ไม่อนุญาตก็ไม่ได้ ก็อยู่ที่กรรมการ ปฐมอโศก พวกคุณจะติดหรือไม่ติดอย่างไรก็พวกคุณเอง หรือมีมาตรการป้องกันก็แล้วแต่ หรือเห็นว่าไม่เสี่ยงก็บอกไม่ให้เข้ามา ถ้าบอกว่าเข้ามาได้ ต้องนั่งห่าง ต้องมีวิธีป้องกันก็ว่ากันไปสิ กรรมการมีมติไปแล้วว่า จะให้เข้ามาร่วมงานได้ในบางคนที่มีบ้านอยู่ในชุมชน ตอนนี้มีทั้งหมด 11 คน แล้วก็พักในวัด 7 คน พักในชุมชน 4 คน ต้องมีที่อยู่ชัดเจน แต่ผู้ไม่ได้แจ้งความประสงค์มาและอยู่บ้าน อย่างกลุ่มชีวิตดีทีละก้าวก็ขอไว้ก่อน คณะกรรมการได้ลงมติไว้แล้ว ก็เอาตามมติกรรมการนี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2563 ( 10:00:24 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 07:49:47 )

การเปิดเผยความจริงมีฤทธิ์แรง แบ่งได้เป็น 3 ชนิด

รายละเอียด

อาตมาเองอาตมาพยายามที่จะเปิดเผยความจริงในวาระอายุ 90 อย่างให้ครบให้ถ้วนให้สะอาด ให้เข้าใจกันอย่างเต็มที่ พยายามเรียบเรียงคำพูดภาษาต่างๆให้ดีที่สุดให้ครบ ก็เท่าที่จะทำได้ สำหรับผู้ที่เข้าใจเชื่อถือได้อยู่เห็นจริงอยู่ ก็จะฟังได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อถือโดยเฉพาะยิ่ง ตรงกันข้ามกันเลย ไม่เชื่อเลย ขัดแย้งต่อต้าน มันก็อีกนัยยะหนึ่ง มันก็จะรู้สึก ฟังไม่ไหวหรือฟังไม่ได้ ก็ผู้ที่ฟังไม่ได้เขาก็จะไม่ฟังเลยเขาจะเลิกฟังเพราะมันทนไม่ได้ 

พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่าท่านตรัสความจริงนี้ ตรัสความจริงใน 180 รูป เมื่อตรัสเสร็จแล้ว 60 รูปบรรลุอรหันต์เลย อีก 60 รูปลาสึก ส่วนอีก 60 รูปอาเจียนเป็นโลหิตออกจากปากตาย มีฤทธิ์แรงถึงขนาดนั้น ในการเปิดเผยความจริง การเปิดเผยความจริงมีฤทธิ์แรงขนาดแบ่งได้เป็น 3 ชนิด พระพุทธเจ้าตรัสเสร็จจบ มีสงฆ์ที่ร่วมนั้น 180 รูป 60 รูปบรรลุอรหันต์เลยพอฟังจบทันที อีก 60 รูป ยังเข้าใจไม่ได้ แต่ก็ขัดแย้ง ก็เลยถอย ลาสึก อีก 60 รูป ตายเลยอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากตาย มันแรงถึงขนาดนั้น สัจจะนี่ ฟังดีๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสามัญ มันเป็นเรื่องสุดยอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:13:11 )

การเป็นคนไม่สะสมและยอดขยันของวรรณ 9 ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์

รายละเอียด

ตกลงมาเป็นคนไม่สะสม เป็นคนยอดขยัน ปรารภความเพียร ไม่สะสมทำอะไรไม่สะสม นอกจากไม่สะสมแล้วเอาไปแจก มาถึงยุคนี้แล้วมี กระท่อมปันสุขดีจังเลย ยังไม่พอแค่กระท่อมไม่พอ ปลูกมันไปเลยจนกระทั่งถึงถนนดำ ข้างหน้าโน่น ให้เก็บกินไปกันได้หมดเลย มีมะเขือ  ข่าตะไคร้  มะละกอ  กล้วย เก็บกินไป ทำให้เป็นสาธารณะ ทำให้ปรากฏ ทำให้เป็นสาธารณะตามที่อาตมาให้ปรากฏให้ได้ ช่วยอาตมาได้ไหม ...ได้ รับปากแล้วนะ ไปช่วยกันทำให้เกิดจริงๆ เพราะในนี้เราก็ทำกินทำใช้เหลือเฟือ เราไม่ต้องเก็บให้คนข้างนอก เขาเก็บไปเองเลย จริง พิสูจน์ความจริงอันนี้ไปได้ก็ดีเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ 

เพราะอุดมสมบูรณ์ในปัจจัย 4 ธนบัตรไม่ค่อยมีหรอกในพวกเรา เพชรนิลจินดาไม่ค่อยมีหรอกพวกเรา แต่มีปัจจัย 4 นี้เยอะแยะ แจกจ่ายเกื้อกูลเอื้อเฟื้อไป อีกหน่อยส่งไปให้เอธิโอเปียบ้าง ส่งไปให้ยูเครน ส่งไปให้สหรัฐบ้าง ที่เขาพิมพ์ดอลลาร์ กระดาษเปื้อนหมึก หลอกเขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง พิมพ์ออกมาอย่างไม่มีหลักประกัน ก็พิมพ์ออกมา เบ่ง อำนาจบาตรใหญ่อยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่เขาพยายามตั้งเงินยูโร ตั้งเงินต่างๆมาให้เงินดอลลาร์ลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ลงเพราะเขามีอาวุธ มัน ขายอาวุธข่มขู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2565 ( 08:52:05 )

การเป็นผู้ให้นี้เป็นสุดยอดของโลก 

รายละเอียด

การได้เป็นผู้ให้ไม่ใช่เป็นผู้ได้หรือไม่ใช่เป็นผู้เอา เป็นผู้ให้ เราจะเป็นผู้ให้เราต้องมี มีอะไรที่จะให้ พวกเราไม่มีธนบัตรไปแจกไปให้ ไม่มีเหรียญไปหว่านอย่างที่เขาทำกันหรอก อวดอ้าง เราไม่มี เรามีแต่ปัจจัย โดยเฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่มีอะไรมากก็ขุด ตะโก้งไปใส่ปันสุข ดูซิว่าจะมีคนเอาไปกินไหม เอาไปแกงอ่อม แกงส้ม แกงคั่ว ลวกกินกับแจ่วกับป่น กินกับลาบก็ได้  กินสดก็ได้ ผักบุ้งเราก็มีมากเก็บเอาไปแจกได้ เราไม่มีแรงงานมากที่จะทำ ก็ค่อยๆทำ เราก็ทำไป 

ที่มา ที่ไป

 พ่อครูแสดงธรรมรายการ งานอโศกรำลึก 2565 อภิภายตนะ 8 ตอน สังคมสาราณียธรรมที่จริงยิ่งกว่ายูโทเปีย วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 14:17:05 )

การเป็นพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

หนึ่งผู้หญิง สองอนันตริยกรรม เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ผู้หญิงจะไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ต้องบำเพ็ญบารมีจนกว่าจะเป็นผู้ชาย ถ้ายังเป็นผู้หญิงอยู่นั้นไม่มีทาง อย่างเจ้าแม่กวนอิม ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในพระโพธิสัตว์ตลอดกาล นี่คือนัยยะสำคัญที่เราจะต้องศึกษาให้ดี ไม่เช่นนั้นจะบอกว่ากีดกัน ศาสนาพุทธกีดกันผู้หญิงไม่ใช่ มันเป็นสัจธรรมที่สุดยอดต้องเป็นเช่นนั้น

ถามจริง พระเจ้าเป็นเพศผู้หรือเพศเมีย พระเจ้าเป็นพระบิดา แล้วคุณจะมาพูดอะไร แม้แต่อีฟกับอดัม ทำไมอีฟต้องเกิดมาจากกระดูกซี่โครงซี่ที่ 7 ของอดัม อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสายเทวนิยมคุณไปแก้ไม่ได้ คุณจะมาเก่งเท่าเทียมกันให้ผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน คุณไปแก้พระเจ้าของคุณให้ได้เสียก่อน ผู้หญิงต้องเท่าเทียมกับอดัม แต่เธอก็เอากระดูกซี่โครงของอดัมมาสร้างเป็นผู้หญิง เขาก็รู้ตำนานเขาก็จำนน

อิตถีภาวะกับปุริสภาวะนี้เป็นสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 21:26:23 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:52:46 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:20:19 )

การเป็นพระโสดาบันต้องเริ่มต้นที่อุบัติเทพใช่ไหม

รายละเอียด

ใช่ เริ่มต้น พระโสดาบันออกจากความเป็นเทพ ไม่หลงอยู่กับความเป็นเทพหรือเทวะหรือเทวดา มันคือธรรมะ 2 อย่างที่เป็นรูปนาม เป็นอาการของกาย รวมกันอยู่เป็นเทวเป็น 2 ธรรมะพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้เป็นเทวะ จึงเป็นศาสนาที่รู้จักเทว เทวดามารพรหม แล้วก็ทำให้ตัวเองพ้นเทวดามารพรหมในภาวะที่ยังมีธาตุจิตวิญญาณ เป็นธาตุรู้ มันก็มีสิ่งที่มี

เทวดาคือสิ่งที่เป็นภพชาติทั้งหมด ผีนรกหรือมารก็เป็นธรรมชาติของจิตนิยามนี้อีกชนิดหนึ่ง เรารู้แล้วเราไม่เป็นทาสของจิตนิยามที่เป็นผีเป็นมาร เป็นตัวร้าย ถ้าจะมีจะเป็นก็เป็นอย่างเทวดา ผู้ที่ทำให้เกิดอุบัติเทพ ยังเกิดเป็นเทวดาอยู่ เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบันก็ต้องรู้จักจิตเจตสิกของตัวเอง

แบ่งมารู้ตั้งแต่อบาย ตัวต่ำ เริ่มต้น ทำให้พลังงานเหล่านี้ไม่มีในจิตของตน จนจิตมีวัสสวัตตี ทำได้สามารถให้อำนาจโดยมารผี เข้ามาอีกไม่ได้เลย มันจะมาทำให้จิตเรามีแหว่งเว้าไปตามมารตามผีก็ไม่มีทาง นั่นคือมีอำนาจในจิตใจตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ พูด ทำ ได้จริงรู้สึกจริง เข้าใจจริง มีความจริงอย่างที่อาตมากำลังอธิบาย นี่คือสุดยอด อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรสุดท้ายในเตวิชสูตร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน เตวิชชสูตร ทางไปสู่พรหมโลก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 20:26:14 )

การเป็นหนี้

รายละเอียด

การเป็นหนี้ของคนอยู่ในแดนนรกกับการเป็นหนี้ของคนอยู่ในแดนนิพพานหรือแดนของคนสะอาด การเป็นหนี้บาทเดียวของแดนนรกก็เป็นหนี้บาทเดียวในแดนนิพพาน อะไรมีค่าแพงกว่ากัน ...แดนนิพพาน  บาทเดียวนี่แพงกว่า 1 บาทในแดนนรก

หรือเงิน 1 ล้านบาทในแดนนรกกับ 1 ล้านบาทในแดนนิพพาน อะไรมีค่าสูงกว่า แดนนิพพาน แม้แต่บาทหนึ่งของแดนนิพพานกับ 1 บาทของแดนนรกมันชัดเจน

1 บาทของเศรษฐีกับ 1 บาทของยาจก อาตมาเขียนไว้ในเพลงชีวิตหมายเลข 9

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2562 ( 16:30:59 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:53:49 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:45:27 )

การเป็นอรหันต์

รายละเอียด

จะเป็นอรหันต์ไม่ได้ขีดคั่นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แม้จะเป็นโพธิสัตว์กวนอิม เป็นแต่เพียงว่าสุดแห่งที่สุดต้องมีหนึ่งเดียวเป็นเอกบุรุษ แม้แต่เทวนิยมก็ยอมรับว่าอดัมเป็น 1 อีฟเป็น 2 สอดคล้องกันหมด ไม่ได้เป็นการกดขี่ทางเพศ สูงสุดจะเป็นผู้มีประโยชน์ทางโลกได้ จะบำเพ็ญจนกระทั่งที่เขาบอกว่าเป็นปางหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรคือเจ้าแม่กวนอิม ก็ทำประโยชน์สอนผู้อื่นสอนมนุษย์โลกช่วยมนุษย์โลก ให้พ้นทุกข์ได้ไม่มีปัญหาอะไร แล้วก็จะปรินิพพานไปในร่างผู้หญิง หรือเป็นพระโพธิสัตว์ถึงขั้นไหนก็ตาม จะปรินิพพานในร่างผู้หญิงก็ได้ แต่เห็นว่าร่างผู้หญิงเป็นทุกข์เยอะมันมีภาระเยอะ ถ้าเกิดเป็นโพธิสัตว์แล้วต้องเกิดแล้วเกิดอีกคุณก็จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีทุกข์ตั้งไม่รู้กี่อย่าง คุณก็เห็นว่าเป็นผู้ชายสะดวกกว่า ถ้าคุณเข้าใจมุมเหลี่ยมนี้ว่าสะดวกกว่า เป็นผู้หญิงจะมีภาระเยอะกว่า ก็เอาเป็นผู้ชาย จริงๆแล้วผู้ชายก็มีนัยละเอียด ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็นประโยชน์ในเรื่องจุกจิกได้เยอะ แต่ถ้าเป็นผู้ชายจะเป็นเรื่องที่เป็นหลักเป็นฐานเป็นเรื่องเป็นราวได้เยอะกว่าอย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องใหญ่ ทำเรื่องใหญ่ได้มากกว่า ผู้หญิงทำเรื่องย่อยได้มากกว่าผู้ชาย ก็เอาสิคุณจะเกิดรสนิยมของคุณจะชอบอันไหน จะบำเพ็ญเป็นผู้หญิงตลอดก็ได้ แต่บางคนบอกว่าไม่เอาจะบำเพ็ญเป็นผู้ชาย คุณก็สามารถเกิดไปเป็นผู้ชายได้ เพราะฉะนั้นทำสัดส่วนให้ดี ถ้าสัดส่วนไม่ดีระวังจะเป็นกึ่งกลาง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:11:50 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:22:18 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:44:55 )

การเป็นอรหันต์

รายละเอียด

เป็นเรื่องที่ต้องมายืนยันพิสูจน์เราต้องเรียนรู้โลกตั้งแต่โลกหยาบ โลกอบาย โลกกาม โลกรูปราคะ อรูปราคะ จนหมดอรูปราคะ จนไม่ต้องอยู่กับโลก สลายอัตตาเป็นดินน้ำไฟลมได้ คุณจะพ้นอรหันต์แล้วแล้วคุณจะสงสัยว่ามันพ้นได้อย่างไร 

ที่จริงอรหันต์พ้นได้แล้วแต่ยังไม่ชัดเจน คุณจะเกิด พิสูจน์อีกกี่ชาติกี่ชาติ เพิ่มภูมิเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นๆ คุณก็จะรู้ความจริงว่า อ๋อ มันสลายได้อย่างนี้เองเพราะเรายังไม่สลายใช่ไหม เราก็จะรู้แล้วว่า อ๋อสลายได้อย่างนี้เอง คุณเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นหรือเป็นอรหันต์ระดับที่สูงขึ้น จากอรหันต์ระดับที่ 1 2 3 4 ขึ้นไปจนถึง 5 6 อรหันต์ระดับที่ 6 ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือระดับที่ 9 ของพระโพธิสัตว์ระดับที่ 9 พอจะชัดเจนอย่างบริบูรณ์สมบูรณ์เลย อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 13:59:06 )

การเป็นโทษภัยกับคนอื่นเท่ากับเราสร้างวิบาก

รายละเอียด

สำหรับพวกเราก็ไม่ยาก การเป็นภัยเป็นโทษกับคนอื่นเท่ากับเราเองสร้างวิบากเรายังมีสิ่งที่เป็นวิบาก เรายังไม่มีอโหสิกรรม ยังไม่มีเมตตา เราเองเราเป็นผู้ที่ทำคุณค่าประโยชน์กับคนอื่นเราเป็นเจ้าหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิ์เลิกกันได้ ลูกหนี้ไม่ต้องมาตอบแทนไม่ต้องมาใช้หนี้ก็ได้ แต่ลูกหนี้จะบอกว่า เจ้าหนี้วางปล่อยผมเถอะจะได้ไหม ไม่ได้ ไม่มีทางยกตัวอย่างง่ายๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  เจโตปริยญาณ 16 มาตรวัดจิตสมาธินิมิต วันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2564 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:37:02 )

การเผาศพของชาวอโศกทำเช่นไร

รายละเอียด

การเผาศพของชาวอโศกเรา ไม่มีการสวดอภิธรรม สวดอภิธรรมงานศพนั้นเป็นเรื่อง ของมะเร็งนอกศาสนาพุทธ เป็นพิธีกรรมมะเร็ง เรียกว่าเป็นพิธีกรรมเนื้องอกเอามาเป็นพิธีการเป็นกิจของสงฆ์ มันไม่ใช่กิจของสงฆ์เลย อาบัติด้วยที่เอาอภิธรรมมาสวด 

เอาอภิธรรมมาสวด ตั้งแต่ 2 องค์ร่วมกันสวดพร้อมกัน ดีไม่ดีใส่ทำนองอีกอาบัติทั้งนั้น คือมันเป็นความเสื่อมที่อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว ทุกวันนี้เสื่อมจนต้องยอมรับความเสื่อมกัน แล้วก็อยู่กับความเสื่อมนั้น ที่ผิดธรรมผิดวินัยของพระพุทธเจ้า  เป็นอาบัติด้วยนะ 

เพราะฉะนั้นสวดเอาธรรมะที่เรียกว่าอภิธรรม เรียกว่า ธรรมบท ของพระพุทธเจ้ามาสวดต่อหน้าฆราวาส ตั้งแต่ 2 องค์พร้อมกันขึ้นไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ที่อาตมาพูดแล้วพูดเล่า มันเสื่อมจนกระทั่งเขาไม่เข้าใจกัน แม้แต่ปราชญ์เขาก็ไม่เข้าใจว่า มันผิดยังไง อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง อธิบายเยอะแล้ว 

มันผิดเพราะว่ามันเป็นปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่กันเอาไว้ คนศาสนาอื่นเขาทำกัน มีศาสนาอิสลาม สวดไม่อาบัติ ก็สวดอาบัติเหมือนกัน อาบัติร้องโหยหวนลากเสียงยาว อาบัติแบบนั้น แต่อาบัติสวด 2 คนพร้อมกัน พระพุทธเจ้ากันไว้ ถ้าคุณสวดคนเดียวอย่างที่อิสลามเขาสวด เอาล่ะถือว่าไม่อาบัติอย่างนี้ แต่อาบัติอย่างที่โหยหวนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่อาบัติที่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 

ทีนี้ของพุทธนี่ ท่านห้ามไว้ตั้งแต่ 2 คน จะสวดกัน 4 คน 8 คนสวดกัน อย่างธรรมกายอุตริใช้ภาษาจะเรียกว่า มาสวดมนต์ล้านคนอะไรอย่างนี้ พร้อมกัน ยิ่งอาบาด อาบัติ โอ้โห อาบัติ เสร็จไม่ใช่กระบุงแต่ใส่คอนเทนเนอร์ อาบัติกันด้วยความไม่รู้ 

การสวดพร้อมกันนั้น อาตมาก็เคยอธิบายไปแล้ว ถ้าสวด”.ปณามกถา” สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ไม่ใช่ธรรมบทของพระพุทธเจ้า เป็นคำแต่งสรรเสริญคุณของพระพุทธ สรรเสริญคุณพระธรรม สรรเสริญคุณพระสงฆ์ เป็นการแต่งของคนสมัยใหม่ คนผู้รู้เอาภาษามาแต่งเป็นบทสวดสรรเสริญคุณ อย่างนี้ไม่มีปัญหา คุณจะสวดพร้อมกันกี่คนก็ไม่เป็นไร สวดกันทั้งประเทศก็ดีสรรเสริญคุณพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้มันไม่ได้ผิดอะไร 

แต่เอาพระอภิธรรมมาสวด เพราะอาจจะเอาไปสวดหากิน แล้วเป็นไหมล่ะทุกวันนี้เขาเป็นกันนะ ศาสนาพุทธไม่มีการไปสวด นี่แหละพระเป็นหมู่ไปสวดอย่างนี้ไปสวดตั้งแต่ 2 รูป 3 รูป ส่วนมากก็มากกว่า 3 รูป แต่เขาก็ถือว่า 4 รูปขึ้นไป ก็ไปสวดกัน 5 รูป 8 รูป 100 รูปอะไรก็แล้วแต่ สวดนั้นเป็นอาบัติทั้งสิ้นเลย นี่มันเป็นความเสื่อมที่อาตมาไม่รู้จะพูดยังไง ชาวอโศกไม่ได้ทำ ไม่ได้อาบัติพวกนี้เลย เอาพระอภิธรรมมาสวดก็ไม่ 

แต่อาตมานี่แหละนักสวดอภิธรรม ทุกคำที่พูดนี่ อาตมายืนยันว่าเป็นอภิธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะอันยิ่ง ที่เกี่ยวกับปรมัตถ์เป็นส่วนใหญ่เลย เข้าหาเนื้ออภิธรรมทั้งนั้น นี่แหละการสวด ไม่อาบัติ สวดคนเดียว ไม่ได้สวดที่ใส่ทำนองหรือร้องยาวอะไร ไม่มี นอกจากจะยกตัวอย่างประกอบมีอะไรต่ออะไรเสริมหนุนให้รู้เท่านั้น นี้ตอบเรื่องการสวด 

“การเผาศพของชาวอโศก คือไม่มีการสวดพระอภิธรรมและกรวดน้ำ “

เขาสวดแล้วเสร็จ หรือว่าจัดการงานศพเสร็จก็ไปกรวดน้ำอีก นี้ชาวข้างนอกเขา อย่าว่าแต่งานศพเลย ใส่บาตรก็ไปกรวดน้ำ โดยใช้น้ำเป็นสื่อนั้นเป็นของศาสนาเทวนิยม เป็นของเดียรถีย์เขา ศาสนาพุทธไม่มีการกรวดน้ำ ไม่มีเลย  

การกรวดน้ำ ตรวจน้ำ บางทีก็ว่ากรวด บางทีก็กว่าตรวจ ในศาสนาพุทธไม่มี แล้วก็มีผู้สู่รู้ไปอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กรวดน้ำต่อหน้าพระพุทธเจ้าให้ผีเปรต ซึ่งท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ด้วย ท่านก็ติดยึดในประเพณีเดิมท่านก็ทำ พระพุทธเจ้าท่านจะทำยังไง ก็ต้องปล่อยให้ท่านทำ แล้วก็ค่อยๆสอน ค่อยๆมีอะไรไป จะให้ท่านไปห้าม มันไม่ได้ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ด้วย เป็นมหาราชาท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเล็กนะ พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ผู้ไม่รู้เขาก็พูดกันไปหากินกันไป อ้างอิงกันไป เพื่อที่จะทำ 

สิญจนยันต์ที่ใช้น้ำเป็นสื่อ รดน้ำมูก น้ำมนต์ ทำน้ำมนต์ มันเป็นเรื่องแสดงถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธทั้งสิ้น ศาสนาพุทธไม่ใช่ไม่มี ใช้คำสอน”อนุศาสนีปาฏิหาริย์” ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นสื่อ ไม่ใช้น้ำไม่ใช้ไฟ อัคคียันต์ สิญจนยันต์ สิญจน แปลว่าน้ำ อัคคีแปลว่า ไฟ ไม่ใช้ ใช้คำสอนเป็น”ยันญพิธี” พิธีอย่างที่เราทำกันอยู่ชาวอโศกเราทำ 

เพราะฉะนั้นยิ่งพูดไปยิ่งเห็นว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ จับเข้าไปที่ไหนๆเลย มันเป็นความเสื่อม ความผิด เป็นความผิดพลาดของศาสนาพุทธทั้งนั้นเลย ไม่รู้จะพูดยังไง พูดแล้วก็เห็นใจเขานะ แต่มันก็ต้องพูด เห็นใจยังไงมันก็ต้องพูด เพราะว่าก็ต้องบอกความจริงกันนะ ไม่ใช่ไปข่ม ไปเบ่ง ไปยกตนข่มอะไรเลย ไม่อยากให้มันเกินมันผิดมันไม่ถูก ให้มาศึกษาใหม่แล้วเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง ไม่ต้องเอามากหรอก เอาทีละบั้งสองบั้ง ไม่ต้องเอาถึงนายร้อย สิบเอก สิบโทก็ได้ สามบั้งก็ยังดีสิบเอก เปลี่ยนบ้าง แต่นี่ไม่ขยับเลย สิบตรีบั้งเดียวก็ไม่เปลี่ยน เจ้าประคุณเอ๋ย! แทงด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า แทงด้วยหอกร้อยเล่มตอนกลางวัน แทงด้วยหอก 100 เล่มตอนเย็น แหม! เหนื่อยจริงๆ หอกก็หักหมด เอา ทำ อย่างไรก็ต้องทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2567 ( 16:09:39 )

การเผาเป็นวิธีการที่ชัดเจนที่ดีที่สุด

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เผาเร็วที่สุด แม้แต่ญาติที่เดินทางไกลยังมาไม่ถึง ก็อย่าไปรอ ให้รีบเผา เพราะว่าคนตายแล้วมันมีแต่จะน่าเกลียดน่าชัง ความห่วงหาอาลัยมัน ยังมีเชื้ออยู่ จัดการเผาสลายเป็นเถ้าไป มันก็จะเบาบาง มันก็จะสลายความคิดถึงสำหรับคน เป็นวิธีการที่ชัดเจนที่ดีที่สุดแล้วสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่แนะนำให้แต่ละคนทำ ซึ่งในยุคนั้นมันมีการตายแล้วจะเผาจะฝัง จะลอยน้ำอะไรต่ออะไรก็มี อยู่ในอินเดียก็มีทั้งนั้น 

อันนั้นก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฟังธรรมให้เกิดปัญญาเพื่อสละตัวตน วันพุธที่ 19 ตุลาคม 2565 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2565 ( 11:48:12 )

การเผื่อพอ

รายละเอียด

 การเผื่อพอ คือ ไม่หลงตัวว่ามีเท่าไหร่แสดงออกหมด เช่น ฉันมี 1 ล้านก็แสดงออกหมดไม่ใช่เลย ฉันมีล้านแสดงออก 800,000 ก็ได้ ฉันมีล้านแสดงออก 1 ก็ได้ไม่ต้องไปแข่งเขา เพราะเราไม่ได้อยู่อย่างอยากเอาชนะหรืออยากอวดอ้าง

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2562 ( 14:21:50 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:52:23 )

การเผื่อแผ่เกื้อกูลกันในสาธารณโภคี

รายละเอียด

คือคนที่ต้องเผื่อแผ่  คือคนที่เป็นเด็ก  คนที่เป็นคนแก่  คนที่เป็นคนป่วย  คนที่พิการ  คนที่ไร้สมรรถภาพไร้ความสามารถ  ก็เลี้ยงตนไม่พอ  เราก็ทำ เผื่อแผ่ให้เขา  แต่ยังมี  คนขี้เกียจ กับคนขี้โกง คน  2 ประเภท ก็ต้องเผื่อแผ่ให้ทั้งนั้น เดี๋ยวมันมาปล้นเอา  ถ้าเราไม่เผื่อแผ่ให้มันเหลือ  มันก็มาปล้นเอา  เราก็ต้องทำเผื่ออีก  โอ้โห้ อาการมันหนักนะ แต่ต่างคนต่างก็มาแชร์กัน

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 11:20:35 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:56:53 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:46:44 )

การเพิ่มบารมีของพ่อครู

รายละเอียด

เพิ่มสิ อาตมาก็จะทำบารมีที่ว่าคือ สามารถจะนำพาศาสนาพุทธให้กว้างขวางขึ้น ผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะก็จะมาพร้อมกับบริวารมากขึ้น มาเห็นดีเห็นด้วยว่าต้องเอาอย่างโพธิรักษ์นะ แต่ก่อนนี้อาจารย์เข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐินะ ต้องมาเอาอย่างโพธิรักษ์นี่แหละถูก ก็จะมี หิริ ละอายเลย กลัวบาป มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 11:16:03 )

การเพ่งคุณทำให้เกิดชาคริยา

รายละเอียด

คนที่มีปฏิภาณสามัญก็จะรู้ว่าหมากพลูเป็นสิ่งเสพติด ทุกวันนี้โลกเจริญขึ้นเยอะเลย อย่างเมืองไทยเลิกหมากพลูกันเยอะ แต่เดี๋ยวนี้พระป่าก็กินหมากกันเยอะแยะ ไม่รู้ว่านี่คือของเสพติด คิดดูสิแล้วจะเอาภูมิปัญญาและรู้จักสิ่งเสพติดอันเป็นเบื้องต้น คือสุรา เขาเข้าใจว่า สุราคือน้ำเหล้า แต่แท้จริงน้ำหมักน้ำดองนี้มีสภาวะที่ทำให้คนติดจัด อะไรที่พาให้เสพติดแรงจัด เช่น เฮโรอีน หมากพลู นี่ หากกินหมากพลูแล้วกินประจำ คุณกินเหล้าดื่มเหล้าเหมือนกินหมากพลูก็อายุสั้นแน่ๆ หากินหนักขนาดนั้น อาตมาไม่ได้เพ่งโทษใครแต่เพ่งคุณ แต่ตำหนิโทษบอกความเป็นโทษให้รู้ให้เข้าใจ หากรู้ตัวก็ดีไป ไม่รู้ตัวก็จมอย่างนั้นอาตมาทำให้ชาคริยาคนที่ไม่มีอคติคนที่แสวงหามีปฏิภาณปัญญาจะรู้ว่าอาตมาเป็นคนจริง พูดแต่ความจริง เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาสาธยายด้วยภูมิปัญญา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2563 ( 20:17:26 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 04:58:08 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:45:44 )

การเพ่งโทษผิดอนุสัยเจริญ

รายละเอียด

อาตมาก็ขอยืนยันอยู่ว่าอาตมาถูก ที่คุณเข้าใจนั้นยังผิด เอาแต่แค่ว่าคุณผิดกับอาตมา เข้าใจอย่างคุณก็ของคุณ ของอาตมาก็ของอาตมามันผิดกันต่างกัน ของคุณก็อย่างหนึ่งของอาตมานั้นก็อย่างหนึ่ง เอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน ไม่งั้นจะมากเกินไป หรือแม้แต่ของมหาบัว หลวงพ่อคูณ ของฤาษีลิงดำที่คุณยกตัวอย่างมานั้นก็เข้าใจ คุณเข้าใจแนวเดียวกันกับทั้งหมดไม่ได้เข้าใจมาทางอาตมาก็ศึกษาไป อย่าทิ้งกันนะ ดูติดตามฟังอาตมาจับผิดอาตมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก่อน แต่การเพ่งโทษผิดอนุสัยเจริญเหมือนกันนะก็ค่อยๆดูว่าอาตมาถูกหรือผิดและเอาเถอะแนะนำมาก็ขอบคุณอย่าเพิ่งทิ้งกันแนะนำมาให้อาตมาต่อ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:40:50 )

การเมือง

รายละเอียด

จะเกี่ยวข้องกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาก ไม่เกี่ยวกับสัตว์เท่าไหร่ เกี่ยวกับสัตว์ก็คือคน คนต้องรู้ว่าคนอย่างไรเป็นคนดี อย่างไรเป็นคนประเสริฐที่จะต้องรับเข้าหมู่ไม่เข้าหมู่เอามาร่วมงานกัน คุณจะต้องซับซ้อนลึกซึ้งไม่ฉะนั้นก็เละเทะไปไม่รอด

เพราะฉะนั้นในเรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เข้าหาศีล

ศีล ฆ่ากิเลสแผ้ว ผ่องให้บรรลุธรรม

เมื่อผู้ใดสามารถที่จะปฏิบัติธรรมจนกระทั่ง เข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านผ่านมาหมด เดี๋ยวนี้รู้กันหมดว่าประชาธิปไตยก็ตาม รู้จักธรรมาธิปไตย รู้จักโลก รู้จักอัตตา แล้วก็มีราชประชาสมาสัย พระราชาก็ร่วมประสานกับประชาชน ผู้บริหารก็ร่วมประสานกับพระราชา กับประชาชน ในช่วงนี้มีจิตอาสาที่เป็นราชประชาสมาสัย เริ่มจะดำเนินบทบาทของราชประชาสมาสัย แปลว่า ราชากับประชา สมะ สงบ อาศัยกันและกันเรียบร้อยดีงามเป็นอยู่ทั้งประชาชนและราชา ครบแล้วในพยัญชนะแค่นี้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 21:37:39 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:00:15 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:46:51 )

การเมือง

รายละเอียด

คือสังคม  ประเทศ เรียก  สภาวะ  พฤติกรรม  อย่างหนึ่งว่า  การเมืองก็เป็นมนุษย์ที่มีความเห็นเดียวกัน  เสมอสมานในเรื่องทิฏฐิ  แล้วก็ปฎิบัติ  มันก็เป็นไปตามพลังหมู่  อยู่ใต้อำนาจของหมู่ประชาชนที่เห็น  สอดคล้อง  เสมอสมาน  กำลังส่วนที่มากก็จะขับเคลื่อนไปได้  กำลังที่น้อยก็สู้ไม่ได้แต่โดยสัจจะแล้ว พลังที่มากก็จะไม่ข่มพลังที่น้อย  ก็จะมีความคืบหน้าช่วยเหลือกัน  เพราะจะไม่ให้มีความเห็นต่างมันไม่ได้  มันต้องมีความเห็นต่าง และก็จะต้องมีความต่าง

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราชฯ วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 12:53:30 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:00:49 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:21:18 )

การเมือง 3

รายละเอียด

 

เจริญธรรม วันนี้อาตมาคิดว่าจะพูดถึงเรื่อง คนเบื่อการเมือง
ทำ[มคนเบื่อการเมือง อาตมาได้ยินนะ ได้ยินกันมั้ย ? บ่นๆกัน
เบื่อจังเลยการเมืองเนี่ย การเมืองน่าเบื่อ ไม'ได้เรื่องได้ราว ต่างๆนานา
สารพัดที่เขาจะว่าไป เรามาพูดถึงเป็นยังไงคนถึงเบื่อการเมือง เรา
มาหาเหตุ ค่อยๆวิเคราะห์กันดู ว่าเหตุอะไร คำว่า การเมืองนี่ คน
จึงเบื่อ ทั้งๆ ที่คำว่า การเมือง นั้น มันขาดไปจากมนุษยชาติไม่ได้
ถ้าใครไม'มีความเปีน‘‘การเมือง’ในไจเลย ผู้นั้นก็คือ ดฆ่ไร้ค่าต่อด้งดม

อาตมาเคยนิยามมาแล้วว่า คำว่าการเมืองหมายถึงอะไร คำ
ว่า การเมือง หมายถึง งานเพื่อมัานเพื่อเมือง

นี่ไม'ได้เล่นคารม เล่นคำอะไรหรอก โดยสัจจะมันเป็นอย่างนั้น
งานการเมืองที่ว่านั้ อาตมาเข้าใจโดยภูมิปัญญาของอาตมาเองว่า มันมี
มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่คนอยู่เป็นกลุ่มหมู่ มีหัวหน้าเผ่า หัวหน้า
เผ่าก็ดูแลคณะหมู่กลุ่ม ผู้ที่ทำงานบริหาร ทำงานจัดการให้หมู่กลุ่มอยู่
เป็นสุขอยู่กันอย่างเหนียวแน่น เป็นปืกแผ่น มีความเป็นอยู่ที่ดี ดำเนิน

 

ชีวิตไปตลอดตาย นี่เป็นความหมายสามัญๆ ใครๆก็เข้าใจ เพราะฉะนั้นหน้าที่
งานที่เรียกกันว่า การเมือง ก็คือ การทำงานให้แก่หมู่กลุ่ม หรือการช่วยเหลือ
บ้านเมือง หรือการเสียสละช่วยประชาชนให้เป็นอยู่สุขสบายเจริญดี

ดังนั้น หน้าที่ของหัวหน้าเผ่า ที่ดูแลคณะหมู่กลุ่ม ที่ทำงาน
บริหารปกครอง ทำงานช่วยเหลือให้หมู่กลุ่มอยู่เป็นสุข อยู่กันอย่าง
เหนียวแน่น เป็นปีกแผ่น มีความเป็นอยู่ที่ดี ดำเนินชีวิตไปตลอดตาย
ด้วยความเสียสละ สร้างสรร ขยันเพียร คนผู้นี้คือนักการเมือง ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น คนที่ทำงานให้คนในสังคม ดูแลจัดการช่วยเหลือ
ผู้ฅนให้อยู่เย็นเป็นสุข มี'ความเป็นอยู่ที่ดี สงบเรียบร้อยดี ด้วย
ความเลืยสละ สร้างสรร ขยันเพียร
ไม่ว่าจะเป็นการบริหารในระบอบ
เผด็จการ หเรือราชาธิบ'ไตย ระบอบคอมมูนิสต้ ระบอบประชาธิปไตย
ถ้าผู้บริหารหรือผู้นั้นทำงานจัดการช่วยเหลือประชาชนให้อยู่ดี เป็นสุข

ซึ่งไม'ว่าการงานนั้นจะอยู่ในระบอบไหน ถ้าอย่างนี้ จะใช่งาน
“การเมือง” หรือเปล่า? ผู้ทำงานอย่างนี้จะชื่อว่า“นักการเมือง”ไหม?

อาตมาเข้าใจคำว่า การเมือง หมายความว่าอย่างนี้นะ ตาม

ประสาอาตมา ที่ไม่ได้เรียนรัจิ■ศาสตร์อะไรมา เพราะฉะนั้นดัที่ทำทนัาที่

0^ 01

การเมืองเรียกเต็มๆว่า เป็นนักการเมือง นักบริหาร นักปกครอง
ก็ย่อมหมายถึง ดัทำงา'นเพื่อช่วยเทลือมาลประชาชน นี่คือคำว่า งาน
การเมือง
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจความหมายนี้ชัดเจนแล้ว อาตมาก็
เชื่อว่า ผู้ปฏิบัตินั้น เมื่อเข้าใจว่า ทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชน ก็ต้อง
ไม่ได้หมายความว่า เป็นงานเพื่อเรา เพื่อตัวเอง ไม่ใช่งานเพื่อครอบครัว
ตัวเอง เพื่อหมู่เพื่อพวกเพื่อพรรคตัวเอง
แต่เป็นงานเพื่อผู้อื่น เพื่อ
มวลประชาชน เพื่อสงเคราะห์ช่วยพลเมืองให้เป็นอยู่สุข
เพราะฉะนั้น
จึงเป็นงานเสียสละ เพื่อช่วยผู้อื่น ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา ไม่ใช่งานหากิน
ให้แก่ตน ไม่ใช่งานเลื้ยงชีพตน
แต่ทำงานเที่อช่วยคนอนแท้ๆ

 

 

ถ้ายิ่งมีปัญญาและมีความเข้าใจถึงลักษณะของความเป็น
มนุษยชาติแล้ว และเมื่อเราบริหารบ้านเมือง เป็นคนที่ทำงานให้แก่สังคม
บ้านเมือง แก่ส่วนรวมจริงๆ แล้วล่ะก็ ประชาชนพลเมืองเขาก็จะเลี้ยงดู
ไว้ เขาจะเคารพนับถือ ยกย่องเชิดชู กราบไหว้ เพราะทำหน้าที่
ช่วยเหลือบ้านเมือง ช่วยเหลือมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น
ย่อมได้รับการเคารพนับถือ ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับการร่วมมือ
เพื่อที่จะทำงานเพื่อมวลประชาชนนั้น แน่นอนเลย

เอาให้ชัดเลยว่า คำว่าการเมืองดืองานเสียสละ ใครก็แล้วแต่
ที่ทำงานชื่อว่า “การเมือง” ตั้งแต่คนเดียวที่ทำส่วนตัว กระทั่งถึงร่วมกัน
ทำเป็นคณะ ซึ่งเป็น..งานเพื่อบ้านเห!,อเมือง หรือเพื่อมวลประชาชน
เพื่อคนในสังคมให้เป็นอยู่สุขสันติเจริญอุดมสมบูรณ์
นั่นคือ งาน
การเมือง
อาตมาว่า นี่คือ ความหมายที่ถูกต้องแท้จริง ชัดๆ ตรงๆ

แต่ทีนี้คนที่ปฏิบัติงานการเมืองทุกวันนี้ มันไม่ได้ทำงาน^ห้อ
มวลประชาชน ติห้[ห้[ติเสียสละ ตินทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อ หากินเตี้ยง
ชีพ
ทำเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลก่ยสุขให้แก่ตัวเอง หรือที่เรียกว่า
เพื่อเกียรติประวัติของตระกูลครอบครัว ที่จริงผลอย่างนั้นมันเป็นแค'
ผลพลอยได้เท่านั้น มันจะตามมาเอง ถ้าปฏิบัติจริง ถ้าทำถูกต้องจริง
ดีจริง ก็จะได้ จะได้ผลที่จะเป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูล ครอบครัว
จะได้เอง โดยไม'ต้องไปต้องการหรือคิดหวังหรอก แต่เมื่อเกิดต้องการ
ก็เป็นตัณหา ก็เลยไปสร้างภาพ แล้วไปทำงานเพื่อประชาชนแบบหาเสียง
แบบหวังอะไรต่ออะไรมาให้ตนเจริญ กลายเป็นทำเพื่อตัวเอง เพื่อ
ครอบครัว เพื่อเกียรติประวัติ เพื่อความเท่ เพื่อเกียรติยศ มันเลย
เพี้ยนออกไป โดยเฉพาะเป็นฐานของการล่าลาภ ยศ สรรเสริญ เพื่อที่
จะกอบโกยเงินทอง ข้าวของมาเลี้ยงตน เลี้ยงชีวิต เลี้ยงครอบครัว
สะสมไว้ให้แก่ตระกูลครอบครัว ทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งสรรเสริญ เขาตั้งใจ

'1

 

อย่างนั้นจริงๆเลย เจตนาอย่างนั้นจริงๆ การทำงานเพื่อสังคม เพื่อ
ประเทศชาติ เป็นเรื่องเคียง เป็นเรื่องรอง ทำเพื่อตัวเองเป็นเรื่องเอก
อย่างนี้เป็นต้น เพราะอะไร เพราะกิเลส เพราะความไม'เข้าใจ เพราะ...

1. เห็นแก่ตัว มีกิเลส โลภ

2. ไม่เข้าใจ ปัญญาไม่ฉลาดจริง มีความเข้าใจผิด นึกว่าการ
ทำงานการเมืองนี้คือ อาชีพหากินเลยงชีพเลํ่ยงตน เข้าใจอย่างนั้นจริงๆ

อาตมาว่า งานการเม่องไมใฟงานอานอเลี้ยงตน แต่เป็น
งานนองตนทุกตนที่ต้'องม'อ่านนากน้างน้อยบ้าง ที่จะต้องทำเพื่อนาล
ประนานนที่ต้าเองอยู่ร่าน อังตนประเท
นาติที่เราเองเป็นประนานน
อยู่ร่าน เราจะต้องนืหน้าที่เพื่อนาลประนานน ‘ไม่นากก็น้อย น้อยก็
ต้องทำ ที่งนากก็ยี๋งดึ
กล่าวคือ งานการเมือง เป็นงานช่วยสังคมที่เรา
อยู่ร่วมด้วย นั่นคือ เพื่อบ้านเพื่อเมือง ยิ่งได้ทำมากๆก็ยิ่งเป็นการเมืองแท้
หรือยิ่งเราสมัครอาสาจะไปทำงานเพื่อมนุษยชาติ นั่นคือจะไปทำงาน
การเมือง ตั้งแต่สมัครเป็นข้าราชการประจำต่างๆ นั่นคือ งานการเมือง
แท้ๆ เป็นงานการเมืองประจำเลยทีเดียว เป็นงานการเมืองตัวแท้ที่สุด

เพราะข้าราชการ คือ ผู้สมัครเข้าไปทำงานให้แก่บ้านเมืองให้แก่ประชาชน
จึงเป็นผู้รับใช้ประชาชนจริงๆ กินเงินเดือนของประชาชนโดยตรง

เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดเป็นอันขาด ผู้เป็นข้าราชการขอรับ
หน้าที่จะไปทำงานกินเงินเดือนของประชาชนเอง ไม่ว่าตำแหน่งน้อยใหญ่
ก็แล้วแต่เถอะ คุณรับไปแล้ว คุณก็จะต้องทำให้มันตรง ให้จริง ต้อง
เสียสละ นี่
เป็นเงื่อนไขหลัก ไม่ใช่เห็นแก่ได้แก่ตัว ทำมาหาเลี้ยงตน ไม่ใช่
ถ้าเข้าใจจริงๆแล้ว เราจะทำงานการเมือง หรือเป็นข้าราชการโดยชีวิต
ฝากไว้กับสังคม ทำงานนั้นแหละให้แก่สังคม สงเคราะห์สังคมจริงๆ

คนที่ยังเข้าใจไม'ทะลุก็จะเห็นแย้งขึ้นมาทันที ว่า

ถ้าอย่างนั้น การเมือง ก็เหมือนกับ การสังคมสงเคราะห์ หรือ

 

แค่ งานการกุศล เท่ านั้นเองหนะสิ ?

การสังคมสงเคราะห์ งานการกุศล นี่แหละ ถกต้อง ใช่เลย

นี้แหละคือ กาวเมืองทื่มืธรรมา011ตยเป็นหวใจแห'ๆมองประมาธิมืใฅย
เป็นประมาธิปไดยทื่มื“ชรรมะ” ดือ “หัวใจ”อย่างแท้จริง

ฟังแล้วหากยังไม่เข้าใจ ก็จะแย้งอีกแน่ว่า

ไม่ใช่!!! การเมือง มันคนละเรื่องกับการสงเคราะห์ การ

เมืองไม่ใช่การกุศล

ดวามลิดเช่นนี้เอง ดวามเช้าใจอย่างนี้แหละ คือ ความลิด

ขบถ 'หรือดวามลิดที่เ!เนโชรแท้มองการเมือง เป็นมิปีฉาทิฏฐิลัวร้าย
เป็นการเต้าใปีผิดจากนัยสำคัญของการเมือง 180 องดาเลย
เพราะตามสัจจะ ตามดวามเป็นจริงสูงสุดนั้น การกุดลนี้แหละ

คือ “หัวใจแต้มองการเมือง” “การกุดล-การลิงดมลงเดราะหั”
ไมใย่แด่สวนย่อยเท่านั้น ไมใช่คนละเรื่องกับการเมือง แต่เป็นทั้งหมด
ทั้งลินมองการเมืองเลยทีเดืยจ

และเป็น“หัวใจสำคัญ”ของการเมืองแต้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์
อย่าเข้าใจเพี้ยนให้แหว่งให้แวะออกไปจาก“หัวใจ”ความเป็น

การเมืองเป็นคันมาด “หัวใจแต้ๆมองการเมือง”นั้นต้องแม่นตรงชัดคม
ลึกให้จริงว่า คือการสงเคราะห์สังคม คืองานเสืยสละเพื่อช่ระชาชน

คุณหญิง คุณนาย ของรัร.มนตรีทั้งหลาย ของท่านผ้ว่าทั้งปวง

ริ^ ริ                                                             0^                                                                      ฆ

เป็นต้น ออกทำงานสังคมสงเคราะห์ทุกที นั่นแหละคือ ยอดหัวคะแนน
ที่ยิ่งทำยิ่งเพิ่มคะแนนเสียงให้แก่ผู้สามีได้อย่างเป็นจริงเป็นจังเลยแหละ
จะไม่ขัดแย้ง ไม่มืกฏหมายบทใดห้ามเลย เพราะมันคือ เนื้อแห้เดียวกัน

ขอให้มีกายกรรรม วจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรมต้องบริสุทธิ้

สะอาด ทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อมวลมนุษยชาติ อย่างไม่มีกิเลสจะหวังได้
อะไรมาให้แก่ตน ไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใดๆในใจ

 

6

       
   
 
   


 

เลยให้จริงๆเถิด จะเป็นอานิสงส์แท้ เป็นสัจธรรมสูง ที่วิเศษมหัศจรรย์

ถ้าผู้ใดช่วยเหลือสังคมจริงแท้ ชีวิตฝากไว้แก่สังคมได้เลย
ทำงานให้แก่ประชาชนอย่างบริสุทธ ไม่ใช่ทำงานเพื่อกอบโกยมาให้แก่ตน
เพื่อจะเลี้ยงตนแต่ริบใช้สังคมจริง สังคมก็จะเลี้ยงเราไว้ตลอดกาล ย์จิต
เราเนื่องอ้ายตู้อื่น
คือ ให้ผู้อื่นเลี้ยงไว้ นี่เป็นหลักของศาสนาพุทธ
สำหรับผู้ทำงานเพื่อสังคม ไม่เอามาให้แก่ตน ถ้าทำได้ตามที่ว่านี้นั่นแหละ
จะเป็นผู้ได้รับอานิสงส์ ได้ริบการอุปถัมภ์คํ้าชูจากประชาชนอย่างแท้จริง

นี่คือ นักการเมืองแท้ รัฐบุรุษที่แท้เลย รัฐบุรุษคือนักการเมือง
ที่ต้องยกย่อง เป็นคนทำเพื่อรัฐ เพื่อประชาชนเพื่อประเทศชาติที่แท้จริง

ไม่ทำเพื่อตนเอง ไม่เห็นแก่ครอบครัวแก่พรรคพวก ยิ่งเห็นแก่
ประชาชนที่ตรงแท้บริสุทธิ้ นั่นแหละคือ คนไม่เห็นแก่ตัว ชนิดหมดตัว
หมดตน จึงเป็นธรรมะที่เป็น“ธรรมาธิปไตย”หัวใจของประชาธิปไตยแท้

ทีนี้ ที,คนเบื่อการเมืองทุกวันนี้ นั่นก็เพราะทำงานไม,เป็น
การเมือง ทำงานผิดไปจากสาระความจริงของคำว่าการเมือง ดังที่
อาตมาได้อธิบายไปแล้ว คือทำงานการเมืองเป็นงานเลี้ยงชีพ เป็นงาน
หากิน เพื่อจะหาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตน แก่ครอบครัว
แก่พรรคพวก ซึ่งการประพฤติ'อย่างนั้น ไม่ใช่งานการเมือง ฟังให้ดี
นะ ลึกๆคนทั้งหลายเขารู้ว่า ผู้ทำงานการเมือง คือทำงานเพื่อประชาชน
เมื่อไปทำเป็นงานหากิน เขาก็รู้สึกมันไม่ใช่ พวกนี้มันทำงานเพื่อตัวเอง
เขาก็เบื่อน่ะสิ ก็เลยพาลไม่ชอบ“การเมือง”

นี่คือเหตุผลสำคัญว่า ทำไมคนจึงเบื่อการเมือง เพราะคนที่
ทำงานการเมืองนั้นเอง เป็นตัวการ เพราะไปทำงานการเมืองนื่ติอื่ไป
จาก“การเมือง’,
กลายเป็น“การกู” ไม่ใช่การเมือง การกูนั้นคืองาน
เพื่อตัวกูของกู เพื่อครอบครัวของกู เพื่อพรรคพวกของกู ทำกัน
อย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม แม้ทุกวันนี้ ประชาธิปไตยทั่วโลกก็ยังมุ่งทำ
เพื่อประเทศของกูมีอำนาจ มีอาณานิคม เป็นมหาอำนาจเจ้าโลกอย่างมี
นัยแฝงอยู่ลึกๆกันทั้งนั้น มันยังไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มีธรรมาธิปไตย
ใสสะอาดเป็นเนื้อแท้แก่นในอย่างเป็นโลกอาริยะ หรือเป็นโลกุตระ

ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรนักการเมืองจะไม่เห็นแก่
ตัวก ไม่เห็นแก่ตัวนั้นจะทำในัมืมรรดผลจริงกันไดอย่างไร..?????

กต้องเรียนรใต้ต้มมาทิฏฐิ และป'ฏิบัตีให้บรรลุมรรคตลจริงๆ

เพราะฉะนั้น คนที่ไปทำงานการเมือง ต้องไม'เห็นแก่ตัว มาก
หรือน้อยก็ต้องทำให้ได้อย่างนั้น นักการเมืองต้องทำเพื่อประชาชน เพื่อ
มวลมนุษยชาติ
เพราะงั้น หี่ตรงเป้าทึ่ลุดก็ดือ ต้องล้างกิเลลที่เห็น
แก่ต้
3นี้ออกใหืใต้จริงๆ แล้วจะได้เป็นนักการเมืองที่จริง ทำการเมือง
ถูกตรงตามสัจจะ คนจะได็ไม่เบื่อการเมือง

ดนเบื่อการเมือง เพราะนักการเมืองนอกจาก จะทำงานเพื่อ
เห็นแก่ตัว ยังไม'พอ แถมยังทุจริตมันอีกแน่ะ ไอ้นี่สิคนก็เลยยิ่งเบื่อ
ยิ่งชัง ยิ่งไม'ชอบใจใหญ่เลย

ทำไมคนเราไปทำชั่วแบบนี้ และคนที่ไปทำงานการเมืองที่ได้
ตำแหน่งหน้าที่นั้นมีอำนาจมากนะ นักการเมืองนี่ เพราะฉะนั้นโอกาสมี
ช่องทางมี เหตุปัจจัยมันให้หมดเลย เงินอยู่ในมือ อำนาจอยู่ในมือ
งานที่จะจัด เพื่อที่จะทำโครงการ ผันเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อะไรก็
แล้วแต่ มันมีโอกาส มีช่องทางทั้งนั้นเลย ก็เลยทำกัน เป็นงานที่รู้กัน
เพราะฉะนั้น คนทำงานการเมือง ก็ศึกษาตามคนก่อนๆ ๆ ๆ ทำมาอย่าง
นี้ ก็เลยมีฐานะดี รํ่ารวย อย่อย่างสุขสบาย คนอื่นจะตาย ประชาชน

9ส่                       ข         จ่

จะวอดวายไม่เกี่ยว ทำทีเป็นเห็นแก่ประชาชนเหมือนกัน แต่เสแสร้ง
หลอกลวง ตั้งใจพยายามที่สุด ทำให้แนบเนียนสุดฟิมือ ให้คนเห็น
เหมือนว่า เราเห็นแก่ประชาชนจริงๆเลย

ขออภัยที่อาตมาพูดอย่างนี้ มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาเพื่อมาถล่ม
นักการเมือง ด่าว่าเรืองการเมืองหรือนักการเมือง แต่อาตมากำลังพูด
ถึง ความเป็นอยู่จริง ดำเนินอยู่จริง มีอยู่จริง ดำรงอยู่จริงที่กำลังเกิดอยู่
ในสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่เกิดแต่ในประเทศไทยเท่านั้นหรอก มันเป็น
เรื่องของหม่กล่ม ของเผ่า ของรัจิ' ถ้าเล็กๆ เราเรียกว่าเผ่า มีกันมาตั้ง

ข จิ                          8ฟ็1

แต่ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒน์พัฒนาการยาวนานมาตลอด เพราะคนเป็นสัตว์
ที่เป็นหมู่กลุ่มสังคมจากกลุ่มเล็กแล้วก็ขยายตัวไปจนเป็นประเทศที่ใหญ่
จีน อินเดีย อเมริกา ก็ใหญ่ พื้นที่ใหญ่ ประชาชนพลเมืองก็มากขึ้นไป
เรื่อยๆ แล้วก็ดำเนินการบริหารปกครองกันไป สร้างระบบวิธีเพื่อที่จะ
บริหาร กระทำให้มันดี ที่อาตมาเน้นและพูดเสมอ บอกบ่อยๆ ว่า
“การเมืองเป็นงานของดนทุกดน” ที1จะต้องช่วยกันทำคนละไม้คนละ
มือเพื่อกลุ่มสังคมที่ตนอยู่ร่วมด้วยไม่ละเว้นใครทั้งนั้นจะต้องหาโอกาส
ทำ ต้องทำ ทำงานการเมือง ดือ ทำงานข่ายสังดม เพื่อประชาชน
ไม่ว่าน้อยหรือมากต้องพยายามทำ นอกจากคนที่ต้องยกเว้นจริงๆ เพราะ
ตนเป็นคนคนหนึ่งในกลุ่มสังคมกลุ่มนั้น ปฏิเสธไม่ได้ ไม่เช่นนั้น
คนผู้นั้นก็เป็นคนเลวที่เห็นแก่ตัวจัด หรือโง่ แฝงอยู่ในสังคม

คนรังเกียจการเมืองไม'ได้ ทุกคนต้องเข้าใจว่า การเมืองเป็น
งานเพื่อสังคมมนุษยชาติ ไม่ใช่งานเพื่อตัวเอง ไม่ใช่งานเห็นแก่ตัว คนที่
ไม่เอางานการเมือง นั้นคือคนเห็นแก่ตัวจัดจริงๆ ไม่ควรจะอยู่ในสังคมนั้น
ไปอยู่คนเดียวนอกกลุ่มเถอะ ที่ไหนก็ได้ แผ่นดินแผ่นนํ้าที่ไม่ใช่ถิ่นแดน
ที่เขาร่วมกินร่วมใช้อาศัยชีวิตอยู่ในหมู่กลุ่มนั้น ถ้าจะเป็นแผ่นดินที่ตนเอง
อาศัยอยู่ร่วมด้วย เราก็ต้องช่วยกัน คนละไม้คนละมือ แม้เราไม่เก่ง เราก็
ช่วย ได้น้อย เราก็ทำ เพราะฉะนั้น งานใดที่จะพึงช่วยสังคมได้ ด้วย
ทางอ้อม ทางตรง ก็แล้วแต่ มีนั้าใจช่วย ก็ต้องทำ ไม่ต้องมีคนรู้เห็น
ไม่ต้องประกาศ ไม่ต้องบอกใครก็ได้ ก็เป็น“งานการเมือง”ที่จะต้องทำ

เพราะงั้นในคำว่า ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละ มันคือธรรมะ คือ
คุณธรรมของคนอย่างแท้จริง แต่จริงๆนั้น คนส่วนใหญ่ทั่วไปก็รู้ก็
เข้าใจอยู่แล้วละ ว่า งานการเมืองเป็นงานเสียสละ งานเพื่อประชาชน
เป็นงานต้องมี“ธรรมะ”แท้ๆ ต้องให้“ธรรมะ”มีอยู่ในคน ให้“ธรรมะ”
มีอำนาจในคนที่ทำงานการเมือง ยิ่งมากยิ่งเป็นการเมืองแท้ การเมือง
ที่ดี จึงชื่อว่า“ธรรมาธิปไตย”ใน“ประชาธิปไตย”จึงจะเข้น“การเมือง”
เป็นงานเลียสละ ไม่เห็นแก่ตัว แต่ตนเองกิเลสมาก ก็เลยมาทำงาน
เลียสละ เพื่อประชาชนไม่จริง จึงมีเล่ห์มีวิธีการเสแสร้ง หลอกลวงคน
ให้เข้าใจผิดว่า ฉันทำงานเพื่อประชาชน แต่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ ไม่ได้ทำ
เพื่อประชาชนจริง มีวิธีพลิกแพลง หลอกลวง ซับซ้อน หลากหลาย
นานาประการ ที่ทำแล้วจะเกิดผลมาบำเรอตน มาเป็นผลไดให้แก,
ตนเองรํ่ารวย กอบโกยสะสม

เพราะฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่า นักการเมืองทุกวันนี้ ที่ให้เปิด
เผยทรัพย์สินของตนกันซิ ก็มีเงินเป็นถุงเป็นถังกันทั้งนั้น เมื่อไหร่หนอ
นักการเมืองถ้าเปิดเผยทรัพย์สินซิ เปิดออกมาเป็นคนไม่มีเงิน แต่
ทำงานการเมืองเก่ง มีฟิมือ อย่างเลียสละให้แก่สังคมประเทศชาติเลย
ไม่อาศัยงานการเมืองล่าลาภยศเงินทอง ไม่เอางานการเมืองเป็นอาชีพ
หาเงินหายศมาให้ตน แต่ทำงานนั้นๆให้แก่สังคมประเทศชาติ คุณจะ
กราบเคารพคนชนิดนี้มั้ย? ไปถามเด็กป.1 ก็ได้ คนชนิดนี้ที่ทำจริง
ตามที่กล่าวนี้น่ะ มีคุณสมบัติทำงานเลียสละให้แก่ประชาชนแท้ๆจริงๆ
ไม่ใช่ทำเพื่อจะได้ลาภยศสรรเสริญมาให้แก่ตนจริงๆนี้หนะ คุณจะกราบ
เคารพมั้ย ถ้าทำงานแล้วไม่ได้เงินมาหรอก ไม่ได้อยากได้เงินจริงๆ มี
แต่ช่วยเหลือสังคมมนุษยชาติ ทำงานอย่างขมีขมัน ขยันเพียรทำจริงๆ
อยู่ในชีวิต งานการเมืองคืองานอย่างนี้ต่างหาก

ที่อาตมาพูดนี่อาตมาว่าเป็นสัจจะ ฟังดีๆเถอะ เพราะฉะนั้น
จึงมีความจำเป็นนะ ที่จะต้องคัดเลือกนักการเมือง ผ้ที่จะไปบริหารประเทศ

6)6)

ปกครองประเทศ ต้องคัดเลือกเอาคนที่มีธรรมะ ที่ไม่เห็นแก่ตัว เอาคนที่
มีกิเลสน้อย หรือไม่มีกิเลสเลย
นั่นแหละ อันนี้เป็นประเด็นหลักเลยนะ
อาตมาว่าเป็นประเด็นหลัก ยิ่งกว่าความสามารถ ยิ่งกว่าความรู้ที่จะไป
จัดสรรทำงานให้แก่สังคม ทุกวันนี้ความรู้ทั่วไปเขาเชื่ออยู่แต่แค่ว่า คน
ที่มีฟิมือความสามารถ ฉลาดทางเศรษฐศาสตร์เพื่อไปทำงานจัดสรรอะไร
ต่างๆให้คนสังคมประเทศได้ คุณธรรมจะมีน้อยหน่อยก็ไม'เป็นไร

ถ้าคนที่มีกิเลสเห็นแก่ตัว มีส่วนกิเลสยังเห็นแก่ตัวอยู่ จะเก่ง
อย่างที่ว่านี่นะ แล้วก็ทำงานจัดสรรแบ่งแจกให้คนอื่นแท้ๆ แต่ตนเอง
ก็ต้องได้แบ่งส่วนเอาจากการจัดสรรแบ่งแจกนั้น หรือยังทำงานนั้นเจตนา
เพื่อให้ได้ลาภมาให้ตนเยอะๆ ได้ยศสูงๆ ได้สรรเสริญเลื่องลือ เพราะ
ตัวเองมีกิเลสเพื่อจะได้อามิสที่เป็นโลกธรรมอยู่น่ะ ตนเองก็ต้อง
มีส่วนทำเพื่ออามิสอยู่แน่ เพราะโอกาสมันมีมากกว่า ก็ต้องโขโอกาสนั้น
หรือของที่จะได้ก็เห็นของนั้นๆมากมายก่ายกองยั่วกิเลสต่อหน้าหลัดๆ
ก็ต้องอดใจยากที่จะแบ่งเอาให้ได้ตามที่กิเลสมันมีอยู่แน่ๆ

แต่ก็จะเสแสร้งทำตนทำตัวยังกะคนไม'มีกิเลสให้ได้ เพื่อหลอก
คนอื่น ว่าเราทำงานเท่านั้น โดยเอาอะไรมาแจกแก่คนนั้นคนนี้ได้ ให้
เห็นตื้นๆง่ายๆที่ชอบทำกัน เรียกว่าประชานิยมขี้หมาอะไรนี่แหละ แต่
มีเล่ห์ซับซ้อนหาทางโกงกินโดยพยายามไม่ให้คนรู้ทัน นี่แหละวิธีทำของ
นักเสแสร้งคนเก่ง เสร็จแล้วตัวเองก็ โอโห.. กวาด กอบโกยเอามา
อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่า จะเอาไปได้มากได้มายกันขนาดนั้น เพราะไม่เคย
มีใครทำได้ขนาดนั้นเลย เจ้าประคุณเอ๊ย จุ๊ๆ... เก่ง ขออภัยขอพูด
อย่างซัดเลยๆว่า เก่งฉิบหาย จริงๆเลย เก่งทำให้ฉิบหายแก่ตน คือ
ตนก็เลว นั่นคือตนฉิบหาย ได้บาปมากตามที่โกง แม้จะได้เงินมากมาย
ก่ายกอง และอีกคือประชาชนคนอื่นถูกโกงเอาไป นั่นผู้อื่นฉิบหายแน่ๆ
นี่แหละ^'งฉิบหายจริงจริ๊ง ต้องชมอย่างนั้นจริงๆ ขออภัย อย่าหาว่า

 

•V

12

       
   
 
   


 

13

อาตมาพูดหยาบพูดคายอะไรเลย พูดไม่เพราะไม่อะไรเลยนะ คือมันต้อง
ให้คำพูดที่มันเหมาะสมกับความเป็นจริงเสยว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ
โอโห คนคนนั้เก่งฉิบหาย เลยนะ เก่งในเรื่องทำความฉิบหาย อาตมา
ก็อายุปานนี้ เกิดมาในชีวิตก็เพิ่งเห็นคนนี้แหละ เก่งยอดจริงๆ แล้วไม'
หยุด หย่อนเลยนะ จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่หยุดหย่อน จุ๊ๆๆๆๆๆ
โอโห ! ฉลาดซ่อนเชิงให้คนตามืดตาบอดไม่เข้าใจในรายละเอียดที่ซ่อน
ซ้อนไว้ได้แม้ขณะนี้ก็ยังมีผู้หลงใหลนับถือบูชากันอยู่อีกมากมาย

นี่มันชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี ว่าโอ้คนคนนี้เอามาบริหารบ้านเมือง
ได้อย่างไร ขนาดนี้นี่ เพียงเวลาไม,กี่ปี เขากอบโกยไปได้มากมายจน
หลายแสนล้านไม่น่าเชื่อ แต่คนที่ยังงมงายก็ย้งหลงว่าเขาทำเพื่อประชาชน
ทำเก่งทำอะไรต่ออะไร เสร็จแล้วตัวเองก็โอ้โห หาวิธีซับซ้อน คอร์ร้ปชื่น
นั่นแหละ ดูดดึงเอามาให้ตนเอง โดยคนอื่นรูไม่ท้น เก่งยอดเก่งฉิบหาย
จริงๆ เก่งจริงๆ เป็นคอร์รัปชั่นที่เก่งมาก เก่งจนคนหลงเชื่อ ส่วนคนที่
เห็นอยู่ว่าโกงกิน แต่เขาเห็นการโกงกินเป็นเรื่องไม่ใช่ความเลวตามจริต
นิสัยของตนเอง ก็จึงไม่ถือสา ก็เขาเลือดเดียวกัน เขาก็เชื่อกันสนิทสนม

คุณจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เชื่อหรือไม่เชื่อ นี่ก็มันมีหลักฐาน
อยู่โต้งๆ ก็ได้ไปแล้วไง เอาไปเป็นกอบเป็นกองขนาดนี้ ในเวลาเพียงเท่านี้
ยังเอาไปได้เท่านี้ ถ้าปล่อยให้อยู่ไปอีก 20 ปี ประเทศไทยหมดสิ้น!
ไม่เหลือหรอก ประเทศไทยหมด ไม่เหลือจริงๆ ถ้า 20 ปี ไม่เหลือ
แคไม่กี่ปีย้งปาเข้าไปตั้งหลายแสนล้าน ถ้านานไปอีก ไม่เหลือจริงๆ โอ้โห
ฟิมือจริงๆ สมือเก่งฉิบหายนี่ เก่งอย่างฉิบหายนี่ ขออภัยนะ อาตมา
ว่าไม่ได้พูดหยาบ แต่อาตมาใช้ศัพท์ที่เหมาะสมกับสัจจะความจริง อาตมา
ว่าไม,ได้หยาบอะไร ถ้าสื่อไปแล้วมันชัด อาตมาเลี่ยงไม่ได้ อาตมาไม่
ดัดจริต ที่จะไม,แตะต้อง ใครเห็นว่าเป็นคำหยาบ จะเป็นผู้ดีต้องไม'พูด
คำที่ถือกันว่าหยาบเลย ใครจะว่าอาตมาเป็นผู้ดีหรือผู้ไม'ดี ก็ไม่เป็นไร

 

เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นอย่างนี้ ขอสื่อด้วยคำอย่างนี้เถอะ

จะแก้ปัญหาประเทศไทยอย่างไร แก้ปัญหาโดยการฟืนธรรมะ
พระพุทธเจ้า ฟืนศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนให้คน
ศึกษาประพฤติ แล้วกลายเป็นคนลดกิเลส เห็นแก่ตัวลดลงๆๆๆๆ
เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์

เอ้า..ทีนี้เข้าเรื่องของศาสนา หรือธรรมะ คนเข้าใจธรรมะ
พระพุทธเจ้าผิด ผิดอย่างไร ผิดคือไปเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
แล้ว ถ้าบรรลุธรรมเป็นอาริยะ เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์
แล้ว จะเป็นคนมักน้อย สันโดษ จะเป็นคนไม'เอาธุระกับสังคม ไม่
ช่วยสังคม
แต่ก่อนนี้ผู้บริหารบ้านเมืองคนหนึ่ง ได้กล่าวว่า อย่าเอา
ธรรมะขั้นสันโดษมาสอนประชาชน มักน้อยสันโดษเป็นเรื่องของพระ
เท่านั้น ถ้าเอาสันโดษมาสอนประชาชน คนจะมํหมอขสันโดษไม่ขยัน
ไม่สร้างสรร ประเทศชาติอยู่ไม่ได้ นี่คือ ความเข้าใจในศาสนาพุทธ
ของผู้บริหารบ้านเมืองผู้นั้น
ท่านเสียไปแล้วล่ะ เป็นผู้บริหารที่มีชื่อเสียง
เป็นที่ยอมริบกันทั่วประเทศ ถ้าเอ่ยชื่อขึ้นมาก็จะรู้จักกันทั่ว กล่าวอย่าง
นี้จริงๆเลย ที่ตีความคำว่า“สันโดษ”ของศาสนาพุทธแบบนี้

อาตมาว่าแบบนี้เป็นการทำลายศาสนาพุทธ เพราะพูดผิดจาก
ความจริงของศาสนาพระพุทธเจ้า เนื้อธรรมแท้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้
เป็นดังกล่าวเลย ตรงข้ามกันเลย ต้องเอาความมักน้อย-สันโดษของ
พระพุทธเจ้ามาสอนประชาชนให้ถูกต้องถูกแท้ถูกถ้วน(สัมมา)ต่างหาก
แล้วประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข จะขยันหมั่นเพียร สร้างสรร เสียสละ
เพราะเข้าใจคำว่า สันโดษนั้นคือ พอ ใจพอไม่เอาเพิ่มอีก จริง..มีนัยะ
ลึกๆ อยู่ว่า ไม่เอาอีก พอ สำหรับตน แต่ไม่ได้หมายความว่า พอ คือ
ไม่ทำงานอีกแล้ว ขี้เกียจ ไม่ขวนขวาย ไม่เข้าใจโลก ไม่สร้างสรร ไม่ช่วย
เหลือสังคม ไม'ใช่ คนสันโดษนั้น เป็นคนมีคุณธรรมสูง เป็นอาริยบุคคล

 

เป็นคนมีปัญญา รู้ดีรู้ชั่ว รู้ควรไม่ควร อย่างถูกต้องสัจธรรมด้วย ยํ้าอีกว่า
ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาที่ทำให้คนลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว แต่ใจ
มีคุณธรรม มีปัญญาแท้ เห็นการช่วยคนอื่นเป็นสิ่งดี ที่ควรทำ เห็นแก่

คนอื่นเป็นเรื่องควรขวนขวาย เป็นความประเสริจิ■ของมนุษย์ ไม่ได้โง่

7ส่        จ้

และที่เข้าใจผิดอีกประเด็นหนึ่งก็คือ คำว่าโสดาบัน สกิทาคา
มี อนาคามี อรหันต์ นั้นหมายความว่า เป็นได้เฉพาะนักบวชเท่านั้น

อันนี้ประเด็นนี้สำคัญมาก สำคัญมากคือ คนที่ปฏิบัติธรรม
กับพระพุทธเจ้าแล้วกิเลสลดลง เป็นระดับโสดาบัน ก็คือฆราวาส
นี่แหละเป็นส่วนใหญ่ พุทธบริษัท 4 อุบาสก อุบาสิกา นักบวชก็เป็น
โสดาบัน สกิทาคามีได้ แต่ฆราวาสนี่แหละจะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี
อนาคามีจำนวนมากกว่านักบวช เป็นโสดาบันจะกิเลสน้อยลงจริงๆ ใน
ระดับหนึ่ง ระดับต้น แล้วเขาก็จะท่างานให้มนุษยชาติ เห็นแก่ตัวน้อยลง
จริงๆ สะสมน้อยลง เบียดเบียนน้อยลง เอาเปรียบน้อยลง กิเลสโลภ
โกรธ หลง น้อยลง มันก็อยู่เย็นเป็นสุขแล้วมนุษย์น่ะ แม้ไม'ได้ไป
บริหาร มันก็เป็นประชากรที่มีประโยชน์ มีคุณภาพที่ดีแล้วในสังคม ยิ่ง
ไปช่วยกันบริหาร ก็จะเป็นผู้ท่างานเพื่อประชาชนได้จริงกว่า คนที่ไม่ลด
กิเลสเลย ไม'มีคุณธรรมเลย เป็นปุถุชนเต็มตัว ที่กิเลสไม่เคยรู้เรื่อง
และยิ่งจะกิเลสโตขึ้น เพราะยิ่งได้เป็นผู้บริหารยิ่งมีโอกาส มีช่องทาง
มีอะไรต่ออะไรที่ท่าให้กิเลสตาโต กิเลสก็ยิ่งทำชั่วได้มากขึ้นสะดวกขึ้น ยิ่ง
กิเลสบานตะโก้ไปเรื่อยๆ ไอ้อย่างนั้นสิ ไว้ใจไม่ได้เลย ไม'มีหลัก
ประกันอะไรสักอย่าง น่ากลัวมากเลย นี่คือสังคมที่ไปไม่รอด

แต่เพราะเข้าใจความเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ผิดๆไปจากเนื้อแท้ของคำสอนพระพุทธเจ้ากัน พุทธศาสนาเลยไม่มี
ประโยชน์แก่สังคมอย่างที่เห็นๆกันในสังคมพุทธแท้ๆทุกวันนี้

ยิ่งคนมีคุณธรรมเป็นสกิทาคามีขึ้นไป เป็นอนาคามี อนาคามี

 

เป็นอรหันต์ ที่เป็นฆราวาสก็ยิ่งดี ยิ่งเป็นประโยชน์มาก แต่มันยากกว่า
ไปบวชเท่านั้น มันไม่บริสุทธดุจสังข์ขัดตามที่พระพุทธเจ้าตรัส แต่ฆราวาส
ก็เป็นอาริยะได้ ฆราวาสก็เป็นอรหันต์จริงๆได้ เพราะงั้นที่เข้าใจศาสนา
พุทธผิด เชื่อผิดว่าความเป็นอาริยบุคคลนั้น คือผู้ที่หนีไปบวช ไปแต่ง
เครื่องแบบ แล้วไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานการเมือง กฎหมายห้ามด้วยว่า เป็นนักบวช
แล้วอย่ามายุ่งเกี่ยวกับสังคมกับการเมือง ไม่ต้องมาบริหาร ไม่ต้องมา
ช่วยประเทศชาติ ในลักษณะที่จะเป็นการเมือง อะไรอย่างนี้ คือมันเป็น
ความเข้าใจผิด กีดกันไว้เลย มันเลยไปกันใหญ่เลย บ้านเมืองก็เลย
ไปกันใหญ่ อาตมาล่ะแหมจะพูดอย่างไร จะคิดจะช่วย จะทำอย่างไร
ให้แก่สังคมบ้านเมือง ที่มีความเข้าใจผิด หรือมีมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้

ความเข้าใจผิดมันเกิดแล้ว ขณะนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น
จะแก้ปัญหาบ้านเมืองนะ อาตมาว่ามันไปไม่ได้หรอก แก้ให้ตายก็ไปไม่ได้
ขอยืนยันเลย เพราะว่าประเด็นหลัก มันไม่ได้อยู่ที่คนไม่มีความรู้ คนมี
ความรู้ คนมีความขยันได้ แต่ยิ่งรู้ยิ่งขยัน ยิ่งมีกิเลสมากๆๆๆๆๆๆ มัน
ก็เป็นแบบนั้น คนก็เลยต้องเบื่อการเมือง เพราะคนไปทำงานการเมือง ก็
แอบแฝงว่า จะไปช่วยประชาชน แต่เขาไม่ได้ช่วยประชาชน เขาอ้างประชาชน
เพื่อที่จะทำอาชีพเลี้ยงครอบครัว สร้างฐานะครอบครัว ให้ครอบครัว
มีลาภยศยิ่งๆลี้นไปจริงๆเลย
ไม'ทำงานการเมืองอย่างที่อาตมากล่าวมา
แล้ว ไม่ใช่เลย กลายเป็นทำงานการเมืองคืองานหากินเลี้ยงชีพ

ที่จริงนั้นอาตมาเคยได้บอกได้พูดไปแล้วว่า งานการเมืองนั้น
ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา จนถึงบัดนี้ เนื้อแห้ตามสัจปีะปีะต้องเหมือนเดิม

เช่น ตั้งแต่โบราณ มีเผ่า หัวหน้าเผ่าทำงานการเมือง บริหาร
ปกครองหมู่คณะประชากรของตัวเอง แบบเผด็จการเลยก็ได้ เอาแต่ใจตัว
เลยก็ได้ แต่ถ้าเขาทำงานกับประชาชนนี่เขาทำงานเสียสละสร้างสรรแท้
เพื่อให้แก่ประชาชนเป็นอยู่สุขได้จริงๆ ต่อให้หัวหน้าเผ่าคนนั้นน่ะ

17

ทำงานเผด็จการ ทำงานราชาธิปไตย ที่ไม่ฟังเสียงใครเลย แต่เขาเสียสละ
สร้างสรรเกื้อกูล ด้วยความรู้ความสามารถ ทำให้มวลประชากรที่ดูแลอยู่นั้น
อยู่เย็นเป็นสุข นี่แหละงานการเมือง เพราะฉะนั้นการเมืองจะเป็นระบอบ
เผด็จการ ระบอบราชาธิปไตยหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบ
คอมมิวนิสต์ ระบอบสังคมนิยม หรือจะมาพัฒนาเป็นถึงขั้นระบอบ
ประชาธิปไตยก็ตาม ความหมายคำว่าการเมือง เหมือนกันหมด ตรงกัน
หมด ส่วนคำว่าระบอบก็คือวิธีทำกันอยู่เท่านั้นเอง ระบอบคือ แบบแผน
หรือรูปแบบที่ทำกันอยู่ในหมู่กลุ่มนั้นๆ หมู่นี้กลุ่มนี้ปกครองแบบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หมู่นี้ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ หมู่นี้
บริหารด้วยประชาธิปไตย มันเป็นระบอบ มันเป็นวิธีการ เป็นรูปแบบ
วิธีที่กำหนดและทำกัน แต่เนื้อแท้คำว่า“การเมือง”นั้น หนึ่งเดียว ตรง
กันหมด คำว่าการเมือง เป็นคำกลางๆ ความหมายเหมือนกันหมด
ถ้าผู้ทำสร้างสรรเสียสละ ทำให้เกิดแก่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อยู่กัน
อย่างเรียบร้อย เป็นสุขดี อุดมสมบูรณ์ดี นั่นคือเป้าหมายหลัก แม้ชื่อ
ระบอบจะว่าอย่างไร ถ้าทำยังงี้ คืองานการเมืองที่แท้จริงทั้งสิ้น

สรุป การเมือง ลือ งานเพื่อประชาชน ไมใฟงานอาป็พเพื่อ
เลี้ยงตน เพื่อครอนครัว เพื่อพรรคพวก
แต่ลืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง
เพื่อมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะอยู่ในระบอบใดๆ การเมืองคือสิ่งเดียวกัน

เพราะงั้นปัญหาหรือว่าสิ่งที่มันขัดข้องขัดขวางมาก เป็นเหตุ
ปัจจัยที่ทำให้สังคมประเทศชาติพัฒนาให้อยู่เย็นเป็นสุขดังที่กล่าวไม'ได้ ที่
ท้าไม่ได้ก็เพราะเกิดจากนักการเมืองแท้ๆยังเข้าใจคำว่า“การเมือง”
ไม่ถูกต้อง และความเข้าใจของพลเมืองก็ผิดด้วย โดยเฉพาะความเข้าใจ
ของนักการเมือง หรือนักบริหารปกครองประเทศนั่นเองโดยตรง ที่
เข้าใจผิด แล้วก็ปฏิบัติตนเองผิด เพราะฉะนั้นประเทศจึงเป็นไปไม่ได้
แก้ปัญหาให้ตาย ก็เหมือนลิงแก้แห ยิ่งยุ่งเข้าไปตลอดกาลนาน รู้จัก

(2)

ลิงแก้แหไหม เอาแหโยนใส่ลิงสิ หว่านแหคลุมลิงดู เอาแหคลุมลิงเข้าไป
ให้มันแก้สิ ยิ่งแก้ยิ่งพันตัวมันตายเลย ลิงตาย แหมันพ้นมัดเอาตัว
ตายเลย จริงๆนะ จริงๆเลยนะไม่รอดหรอก จริงๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม,รู้เหตุที่เป็นเหตุสำคัญ เป็นเหตุที่แท้
จริงดังที่อาตมากล่าวนะ ขอยืนยันเลยว่า แก้ให้ตายอย่างไรๆๆๆก็ไม่
สำเร็จ แก้อย่างไรก็ไม่เรียบร้อย เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ระบอบ มัน
ไม่ได้อย่ที่วิธีการ มันไม่ได้อย่ที่กฎหมายหรือรัจิ■ธรรมนญ นั่นเป็นเหตุ

‘บ                                           "             ©ฝ                                          0ฟ่                  ‘บิ®-'                                     จ่

รอง หรือปลายเหตุด้วยซํ้า ไม่ได้อยู่ที่วัตถุด้วย เทตุมันอยู่ที่“คน” และ
หัวใชของต้นเหตุแท้ๆคือ“จิตวิญญาณ'ของคน” คนมืกิเลสมากปีริงๆ
ในทุกวันนี้ ต้องทำใท้คนมีกิเลสน้อยลงๆๆๆ ที่สุดกิเลสไม่มีเลย นี่

คือ ประเด็นหลัก คือ ต้นเหตุสำคัญ เพราะฉะนั้นประชาชนเองก็ตาม
ล้วนมีกิเลสกันทั้งนั้น ตัวนักการเมืองนั่นแหละ ยิ่งมีกิเลสหนาตัณหามาก
ตัวเหตุแท้เชียวหละ ยิ่งไปทำหน้าที่บริหาร ไปทำหน้าที่จัดการปกครอง
นักปกครองที่มีกิเลสมาก นี่แหละที่เลวร้าย ไปไม่รอด ไม,รอดๆๆๆ
อะไรนะเพลงนี้ เพลง..ไม่รอดๆๆๆๆ อะไรนะนานแล้วเพลงนี้ อะไรนะ
..ตอนนั้นยังเป็นวลีที่ติดตลาดสังคมอยู่ ยุคไม่นานนี้ ไม่เกิน 10 ปีมั้ง
ไม่ใช่เพลงตายแน่ “อาการน่าเป็นห่วง" เออๆๆ ไม่รอดๆๆ ใช่ เพลง
“อาการน่าเป็นห่วง” อ๋อ...มีคนบอกมาว่า อนันต์ บุญนาค เป็นคนร้อง
อาการน่าเป็นห่วง ไม่รอดๆๆ นึกออกไหม ใช่ไหม เพลงนี้ที่มีวลี ว่า
ไม่รอดๆๆๆ ไม่รอดจริงๆไปไม่รอดแน่ๆ ขอยืนยันเลย วนลงสู่ก้น
เหวแห่งความเสือมจริงๆ

อาตมาไม่รู้นะ อาตมาเอง อาตมาก็มีภูมิธรรม มีปัญญาความรู้
เท่าที่อาตมามีนี่แหละ อาตมาก็หวังดีต่อประเทศชาติ และอาตมาก็มั่นใจ
ว่า อาตมาทำงานการเมือง ใครจะว่าอาตมานี่เป็นพวกขบถนักบวช
เป็นนักบวชนักธรรมะขบถ อะไรก็ว่าไปเถอะ อาตมาฟังเข้าใจ ใครจะ

19

ว่ายังไงก็ว่า อาตมาไม่ติดใจอะไรหรอก อาตมาเข้าใจ ไม่ติดใจ ไม่ได้ว่า
กัน ใครจะว่าอาตมา ก็เห็นใจ อาตมาก็เข้าใจเขา ที่เขาคิดว่า อาตมาเป็น
อย่างนั้น อาตมาว่าเขาไม่ผิดหรอก เป็นแต่ว่าเขาเข้าใจศาสนาผิดไป
คนละทางกับอาตมา เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆว่า นักบวชนั้นไม'เกี่ยวกับ
การเมือง นักบวชอย่ามายุ่งกับการเมือง อะไรอย่างนี้ อาตมาเข้าใจ
เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ อาตมาไม'มีปัญหา แต่อาตมาเห็นแย้งคนละ
ทางว่าอย่างงั้นมันผิดสัจธรรม มันผิดสิ่งที่ควรจะเป็น ถ้าเป็นนักธรรมะ
ก็กิเลสน้อย จนถึงกิเลสไม'มีได้จริง เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง
แต่เข้าใจบ้านเมือง มีความรูโลกรู้สังคม มีโลกวิทู มีความเข้าใจในสังคมดี
เพราะไม่มิจฉาทิฏฐิหลงผิดไปปฏิบัติธรรมแบบลัทธิหนีเข้าปาเขาถํ้าจน
ไม่รู้เรื่องของสังคม จึงทำงานเพื่อประชาชนอย่างรู้จักสังคมตามธรรมะ
ของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาให้นิยามว่า นั่นคือ งา,มการเมือง ก็มาทำ
ทำงานการเมือง ทำงานกับสังคม มาทำหน้าที่ตามธรรม อาตมาว่าไม'
ได้ผิดอะไรเลย ผู้มีธรรมเขาจริงใจแล้วเขาก็ทำงานเพื่อประชาชน เพื่อ
มวลมนุษยชาติที่แท้จริง ให้อยู่เย็นเป็นสุข บริหารกัน ทั้งด้านเศรษจิ■กิจ

จ้                              ข             จ่                                    9ส้

ทั้งด้านรัฐกิจ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือสังคมศาสตร์ ใดๆก็ตาม
เขาก็ช่วยจัดแจง ช่วยจัดการ มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย

แต่คนที่ยืนยันว่า ยังไงๆ..นักบวชก็ต้องไม่เกี่ยวกับการเมือง
นักบวชเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร คนเข้าใจต่างกันไปได้
มันเป็นปกติธรรมชาติ คนเข้าใจไปคนละอย่าง เชื่อกันไปคนละอย่าง
ไม่ใช่เรื่องแปลก จะเชื่อตามๆกันมา จะเชื่อตนเอง อะไรก็แล้วแต่เถอะ

อาตมาว่าอาตมาจริงใจ แล้วก็..อาตมาว่า อาตมาไม่ได้คิดผิด
และก็ไม่ได้กระทำสิ่งนี้เป็นเรื่องเหลวไหลเลวร้ายอะไรกับมนุษยชาติกับ
สังคม เราทำงาน ไม่ได้มาโลภโมโทสัน ไม่ได้มาใช้ช่องทางนี้เพื่อที่จะ
สร้างลาภ ยศ สรรเสริญ สร้างเกียรติ สร้างยศ สร้างสรรเสริญให้แก่

 

20

       
   
 
   


 

21

ตัวเอง ไม่ใช่เลย กลับถูกด่าด้วยซํ้า เพราะคนส่วนมากเขาเชื่อตามที่
เขายึดนั้นจริงๆ เราไปทำยังงี้ เขาก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ ไม'ใช่กิจ มาทำ
อะไรไม่เข้าทำเข้าทาง เขาก็แย้งก็ด่า ไม่ได้เกียรติยศอะไรหรอก เรารู้อยู่แล้ว
คนส่วนใหญ่เขาก็ว่า เรามาทำผิดหน้าที่ มาทำผิดกิจสงฆ์ มาทำผิดอะไรต่อ
อะไรนี่ แล้วมันจะได้รับการชมเชยยกย่องที่ไหนกัน เขาด่าก็ใช่ของเขา
อาตมาไม่ใช่โง่ จนกระทั่งไม่รู้ว่า ทำยังงี้แล้วมันไม่ได้ความชมเชยหรอก
ถ้าอยากทำให้เขาชมเชยก็อย่าทำสิอย่างที่มันแย้งกับความเชื่อของเขา ก็ทำ
ตามที่คนเขาเชื่อคนเขาชอบ เขาก็ยกย่องเรา หรือทำตามที่คนส่วนใหญ่
เขาชอบเราก็ได้เป็นที่ยอมรับเท่านั้นเอง จะมาทำขัดแย้งเขาอยู่ทำไมกัน

ดังนั้น อาตมาเข้าใจอย่างนี้ คนส่วนมากเข้าใจอย่างนั้น อาตมา
ว่า อาตมาพอรู้ ไม่ใช่ว่าโง่เง่า จนกระทั่งไม'รู้ว่า เออทำยังงี้นี่คนชอบ ก็
ทำอย่างที่คนชอบสิ อาตมาอยู่ในทางบันเทิงธุรกิจมาก่อนนะ โชว์ผลงาน
ให้คนชอบ หาชื่อเสียงความนิยมจากสังคม เออทำย้งงี้แหละ ดัดจริตยังงี้
แหละ คนมันชอบ ดัดจริตเอาใจมันย้งงี้ คนมันชอบ อาตมาว่า อาตมารู้
ทำอย่างนี้มันเข้ากับกิเลสเขา ยังงี้เขายกย่องชมเชย อาตมาว่าอาตมาพอ
มีปฏิภาณ จิตวิทยาอย่างนี้อยู่นะ มีความรู้อย่างนี้อยู่ อาตมาว่าอาตมารู้
และก็ทำมาแล้วด้วย เพราะแต่ก่อนนี้อาตมาเป็นดาราทำงานอยู่หน้าจอ
โทรทัศน์ ทำงานสร้างค่านิยม เพื่อให้คนมายอมรับนับถือนิยมชมชอบ
ต้องทำลีลาท่าทาง แอ๊คอาร์ตให้คนชอบ อาตมาว่า อาตมาเข้าใจ ทำได้
และรู้วิธีทำดี เป็นอาชีพเลี้ยงตนมาก่อน ตั้งแต่เป็นฆราวาส

แต่มาบัดนี้ อาตมาเข้าใจอีกอย่างหนึ่งแล้วว่า ไอ้อย่างงั้น มัน
ดัดจริต มันเสแสร้ง มันหลอกลวง อาตมารู้ขัดแล้วว่ามันไม่ใช่อาการ
ที่น่ากระทำ มันแค'ให้เขามาหลงชื่นชอบ มายกยอปอปัน มันเป็นอามิส
เป็นโลกธรรม อาตมาเข้าใจดี และอาตมาว่ามันเป็นเรื่องไม่น่ากระทำ
ด้วย มันยังหลงโลกธรรม แต่อาตมาไม่ได้ทำเพื่อโลกธรรม อาตมาทำ

22

ตรงตามสัจจะ เพราะฉะนั้น คนจะด่าจะว่า จะเข้าใจกันไปอย่างไร
อาตมาก็เข้าใจ อะไรที่เขาท้วงติง อะไรที่มันมากไป มันไปไม่ออก ไป
ไม'ได้ เอ้าๆ รอไว้ก่อน ทั้งๆที่มันถูก ก็รอไว้ก่อน อันนี้ถูกอยู่ ไปได้
อาตมาก็ทำต่อไป เขาจะด่า จะว่า จะติเตียนอะไรอยู่ ก็ไม่มีปัญหา
เราไม่ได้ต้องการคำติเตียนหรอก ไม่ใช่คนที่เป็นมาโซคิสอะไรหรอก
อาตมาพยายามใช้การประมาณตามสัปปุริสธรรม 7 ถ้าเราทำแล้วมันใช้
วิจารณญาณของเราแล้วว่า ยังงี้พอดี ยังงี้ใช้ได้ อาตมาก็ทำ แล้วก็
คิดว่า ยังงี้เรามีประโยชน์แก่สังคมมนุษยชาติ อาตมาก็จะทำประโยชน์
เพื่อสังคมมนุษยชาติ อย่างนี้แหละ ก็ค่อยดำเนินไป ก็ค่อยทำไป

เพราะงั้น ก็ขอเจาะลง ยํ้าลงไปตรงที่ว่า ทำอย่างไรเมืองไทย
เป็นเมืองพุทธแท้ๆ มีประชาชนเป็นพุทธคาสนิกชนถึง 95 70 นี่ จะท้นมา
ศึกษาธรรมะกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะนักปกครอง นักบริหาร นัก
การเมือง จะทำอย่างไรจะได้รู้ชัดรู้เจนกันว่า การเมือง คือ งานเพื่อ
ประชาชน
ไนใฟงานอาป็นเพื่อเลื้ยงตน เพื่อครอบอรัว เพื่อนรรอนวก

ขออธิบายต่ออีก อาตมาเคยอธิบายมาแล้วว่า นักการเมือง
ที่ เป็นนักการแนืเองตํวหลักก็คือข้าราชการประจำ นักการเมืองตัวหลัก
คือข้าราชการประชำ ข้าราชการประจำ คือคนที่กินเงินเดือนของประชาชน
รับใช้ประชาชน เป็นคนที่ทำงานให้แก่ประชาชน ช่วยงานตั้งแต่ระดับ
ง่าย ระดับตื้น ไปจนกระทั่งถึงระดับบริหาร จนเรียกกันว่า พ่อเมือง
พ่อเมืองคือ เดี๋ยวนี้ก็มีชื่อว่า ผู้ว่าราชการ เป็นต้น อธิบดี อะไรก็แล้ว
แต่ ที่เรียกกัน รู้กัน แม้ชื่ออื่นๆตามระดับขั้น อยู่ในบ้านในมือง แต่ละ
ถิ่น แต่ละแคว้น ก็ว่ากันไป ต่างก็รับหน้าที่ขั้นสูงขั้นรองลงไป เพื่อที่
จะทำงาน เพื่อประชาชน โดยมีรายได้ตั้งให้ เป็นอัตราเงินทอง เพื่อ
เลี้ยงชีวิตไป ซึ่งก็คือเงินของประชาชน เงินของบ้านเมือง เลี้ยงคุณไว้
ให้คุณทำงานให้แก่พลเมืองนะ นี่แหละคือ“งานการเมือง”ตัวแท้

1

 

การเมืองประจำด้วย เพราะว่าเป็นข้าราชการประจำ

ส่วน ข้าราชการการเมื,อง ก็เป็นนักการเมืองอีกชนิดหนึ่ง ที่
เป็นวิธีการทำงานให้แก่สังคม และที่ให้มีข้าราชการการเมืองไปมีอำนาจ
เหนือข้าราชการประจำนี่ เพราะข้าราชการการเมืองต้องเข้าไปตรวจ
สอบข้าราชการประจำ ข้าราชการประจำหรือนักการเมืองประจำอาจจะ
ทำงานขาดตกบกพร่องอย่างไร อาจจะหมกเม็ด ทำอะไรผิด ทำอะไร
ยังไม่ดีพอ ดีอะไร-ไม่ดีอะไร ก็ให้ข้าราชการการเมือง ที่ประชาชนตั้งขึ้น
ไป เป็นคราวๆ ตามระบบวิธี เพื่อเข้าไปขันชะเนาะอยู่เสมอ ก็ไปตรวจ
สอบ ไปจัดการซะ จะโยกย้ายแต่งตั้งก็ปรับซะ ให้มันดี ไม่ดีเอาออก
ไล่ออกเลยก็ไล่ อะไรที่ทำได้อยู่ทำไปให้ดี ไม่ดีปรับให้เหมาะสมเพื่อที่
จะได้ทำงานให้แก่ประชาชนได้ดี และเข้าไปวางรากฐานเพิ่มเติมหรือ
แก้ไขให้ดี ทำให้ดูในชั่วระยะที่เข้าไปทำงาน เพื่อข้าราชการประจำจะได้
นำไปทำต่อไป นั่นคือข้าราชการการเมือง เป็นคราวๆ จึงมีอำนาจ
เหนือกว่าข้าราชการประจำ ให้ไปจัดการได้ ไปจัดแจงปรับปรุง ให้
ข้าราชการประจำนั้น ทำอะไรต่ออะไร ได้เป็นประโยชน์ต่อไป เพราะงั้น
ข้าราชการการเมืองก็มีวาระอยู่เป็นช่วงๆ เสร็จแล้วก็เปลี่ยน ถ้าข้าราชการ
การเมืองคนใดทำได้ดี ประชาชนก็เลือกเข้าไปอีก ก็ไปตั้งหลักเกณฑ์
ไว้เองว่า ได้อยู่เท่านี้ยุค 2 ยุค 2 สมัยแล้วต้องเปลี่ยน สมัยที่ 3 ไม่
ได้ ต้องว่างเว้นอะไรก็ว่าไป เป็นวิธีการ หรือกี่สมัยประชาชนก็เลือก
คนที่ดีแท้นี้อีกได้ ก็แล้วแต่จะกำหนด แต่ให้เป็นยุคๆไป เปลี่ยนแปลง
เพื่อเอาตัวบุคคลที่ดีแท้เสมอ ยังงี้เป็นต้น

เพราะงั้นผู้ที่มีหน้าที่โดยกำหนดในประเทศ เป็นข้าราชการ
ประจำ หรือข้าราชการการเมืองนั้แหละ
คือนักการเมืองสัจจริง แล้ว
จะต้องทำงานเพื่อประชาชนแท้ๆ ไม่ใช่ทำงานหาเงิน แต่ต้องทำงาน
ให้ประชาชน ข้าราชการคือผู้รับเงินราษฎรเลี๊ยงตน
ไว้ แม้แต่

2®^

ปลดเกษียณแล้วก็ยังมีบำนาญ เพราะเงินของประชาชนแท้ๆจ่าย
ประจำให้แก่ข้าราชการตลอด ข้าราชการจึงเป็นลูกจ้างของประชาชน
โดยตรง ทั้งข้าราชการประจำ-ทั้งข้าราชการการเมือง เงินเดือนเงินดาว
ให้ประจำแล้ว ข้าราชการตั้งกันเอาเอง ขึ้นเงินเดือนเอาเองด้วย ดังนั้น
ก็จะต้องทำงานให้แก่ประชาชน เพราะอาสาสมัครเอง ไม่ใช่ใครบังคับ
ให้เป็น ตนเองอาสาสมัครเข้าไปทำงานช่วยสังคมประเทศชาติด้วยตนเอง
จึงต้องอยู่ในหน้าที่รับใช้ประชาชน ต้องเป็นคนมีคุณธรรม มักน้อยสันโดษ
เพราะทำงานเพื่อประชาชน ก็ต้องเป็นงานการเมือง ไนใน่งานอาลีพ
เพื่อเลี้ยงตน เพื่อดรอนดรัว เพื่อพรรดพวก แต่เป็นงานพื่ต้องเลีย
ลละเพื่อดนอื่น
ข้าราชการต้องไม่รารวย ถ้าคุณจะรารวย คุณก็ออก
มาเป็นประชาชน เอกชน เป็นราษฎรเต็มขั้น ออกมาทำงานส่วนตัว
หาเงินเองใช้เอง ไม่ใช้ภาษีของประชาชน

แต่ถ้าทำงานใช้เงินประชาชน ก็ต้องเป็นงานการเมือง ไม่ไล่
งานอาล่พเพื่อเลี้ยงตน เพื่อดรอนครัว เพื่อพรรคพวก ต้องเลียลละ

ผู้เป็นราษฎรไม่ได้เอาตัวไปอาสาขอกินเงินเดือนที่เป็นภาษี
ประชาชน ไม่ได้ไปเซ็นสัญญิงสัญญารับใช้ประชาชน ไม่ได้รับเอาเงิน
ที่มาจากภาษีของประชาชนเป็นเงินเดือนมาเลี้ยงตนไว้ ไม่ได้ไปเอาราย
ได้เงินทองส่วนกลางของประชาชนมากินมาใช้ แต่ทำงานส่วนตัวปากกัด
ตีนถีบของตนเอง เพื่อที่จะมีรายได้เข้ามาให้แก่ตัวเอง หากินหาใช้
เลี้ยงชีพตนเองแท้ๆ กระนั้นก็ยังต้องทำงาน“การเมือง”ด้วย คือ ต้อง
ทำงานสังคมสงเคราะห์ หรือทำงานเพื่อสังคม เพื่อประชาชนประเทศชาติ
ด้วย แต่ถ้าสมัครเป็นช้าราชการหน้าที่คุณก็ต้องรับใช้ประชาชน กิน
เงินเดือนจากภาษีของประชาชน คุณสมัครเองนะ ดังนั้นช้าราชการจึง
คือ นักการเมืองแท้ๆ ผู้รัข่ใช้ประชาชน ตราบที่เป็นช้าราชการอยู่ ยี่ง
เป็นช้าราชการบำนาญยี๋งดัองมีกลัญฌูกตเวทีต่อประชาชนยี๋งขึ้นอีกชํ้า

 

ถ้ายังมีเรึ่ย!แรงสามารถทำได้ในครั้งในครา!ที่ดรรก็ค!รทำอย่างยี๋ง

แต่ทุกวันนี้เข้าใจผิดเพี้ยนกันมาไกลแล้ว จนกระทั่งกลายเป็น
ว่า ข้าราชการประจำ ก็ข้าราชการประจำ ฉันไม่ใช่นักการเมืองนะ ฉัน
เป็นตำรวจก็เป็นตำรวจอาชีพ ไม่ใช่นักการเมืองนะ ฉันเป็นทหารก็ทหาร
อาชีพ ไม่ใช่นักการเมืองนะ ฉันเป็นครู(ครุโรงเรียนรัฐ)ก็เป็นครูอาชีพนะ

นิ'- นิ                             0เสิ7                      II

ไม่ใช่นักการเมืองนะ รังเกียจการเมืองกันไปหมด ซึ่งเข้าใจผิดกันทั้งหมด
คำว่าการเมือง เป็นเสนียด เป็นที่น่ารังเกียจไปหมด ทั้งๆที่คำว่าการเมือง
นั้น เป็นคำที่น่ายกย่อง น่าเชิดชู น่ากราบไหว้ คำว่าการเมือง ใครทำงาน
การเมือง คืองานเสียสละ คืองานเพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นงานมีเกียรติ
ที่สุด แต่แล้วงานการเมือง งานที่มีเกียรติที่สุดกลายเป็นงานที่คนรังเกียจ
ที่สุด เวรจริงๆ นี่คือเวรานุเวร เป็นเวรจริงๆของประเทศชาติประชาชน

การเมือง ดือ การเอยสละฆองตน งานเดืยลละเ หอประยายน
เป็นเกียรติยลแท้ๆ ไม่ใช่สีงน่ารังเกียจ อย่าเห็นการเมืองเป็นเสนียด

แต่เมื่อเข้าใจผิดอย่างนี้ ความเข้าใจผิดเป็นนัยแฝงอย่างที่ว่านี้
ไม่ได้เข้าใจอยู่เพียงแต่แค่ในประเทศไทยนะ มันมีนัยแฝงดังว่านี้ทั่วโลก
เลย มันเข้าใจผิดกันอย่างนี้ทั่วโลก นี่มนุษยชาติเกิดอะไรกันขึ้น
มนุษยชาติหลงผิดกันไปได้ยังไง แหม..เราพูดไป ยังกะตัวเองนี่ รู้ดี
คนเดียว อู๊ย..เก่งอยู่คนเดียว ขออภัย อย่าเพิ่งอาเจียน อาตมาพูดไปแล้ว
ก็รู้สึกตัวว่า แหม..พูดยังกับตัวเอง รู้มาก รู้เก่งรู้ดี รู้เยี่ยมอยู่คนเดียว
แท้ๆเลย เที่ยวไดีไปดูคูกดูแคลนคนทั้งโลกเขาโน่นแน่ะไม่ใช่แคบๆเลยนะ
ดูแคลนคนเขาไปทั่วโลก ขออภัยด้วยความรู้สึกจริงๆ

ตอนนี้ต้องขออภัยด้วยความรู้สึกจริงๆว่า พูดไปแล้ว ก็รู้สึก
ว่าแหม...มันไปเที่ยวได้ปรามาสคนอื่นเขา ดูถูกดูแคลนคนอื่นเขา มัน
ก็เลยไม่ดี ก็ต้องขออภัยกันจริงๆ แต่อาตมาว่าอาตมาพูดไม่ผิดหรอก
มันเป็นสัจจะ ที่พูดไปนั้นมันเป็นสัจจะ มันเป็นอย่างงั้น มันเกิดอยู่ใน

26

สังคมมนุษยโลก เพราะอ ะไร เพราะมนุษยโลกไม่ได้เข้าใจในเรื่องการรู้
กิเลส เรียนกิเลส ลดกิเลสกันจริง มันไม่มีตรงนั้น่ะ มันก็เลยประพฤติ
กันแบบนั้น แล้วมันก็เป็นความจริงกันทั้งโลกแบบนั้นะ เพราะฉะนั้น
หันมาพูดเน้นเข้าไปในตัวความรู้ของศาสนาพุทธ อีกทีหนึ่งว่า

ศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนลดกิเลสได้ป็ริงๆ และผู้ที่ลดกิเลส
ได้นั้นก็คือคน ทั้งฆราวาสและนักบวช และก็ฆราวาสนั่นแหละ จะ
เป็นพระอาริยะจำนวนมากอยู่ในสังคม ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี
อนาคามี อรหันต์ เพราะฉะนั้นประชาชนก็จะเป็นประชาชนที่เป็นอาริยะ
เป็นคนที่กิเลสลดน้อยลง เป็นโสดาบันกันมาก บริหารก็ง่ายขึ้น หรือ
จะขึ้นไปเป็นผู้บริหารเองมีกิเลสน้อย ก็จะไปบริหารได้ดี นักบวชนั่น
น่ะไม,ต้องไปแต่งตั้งท่านหรอก นักบวชนั้นท่านมีหน้าที่จะทำงานเพื่อ
ประชาชน รับใช้ประชาชน มีชีจิตเนื่องด้วยผูอื่น(อานัยผูอื่น,เลี้ยงไว้ ซึ่ง
เหมือนนักการเมือง อานัยเงินของผู้อึ่นเลี้ยง
ไว้)อยู่แว้วของ'ฬุทณีนะ ท่านเป็น
คนที่มี“ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น’’(ปรปฏิพัทธา เม ชีวีกา) นี่คือ ทำงานให้แก่
คนในสังคม แล้วให้คนในสังคมเลี้ยงดูไว้ เรียกว่า ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น
เป็นคนไม่ต้องมีข้าวมีนํ้า ไม่ต้องมีเงินทอง ท่างานให้ผู้อื่น แล้วผู้อื่นเลี้ยง
ดูไว้ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองข้าวของ แม้แต่บิณฑบาตมา กินอิ่มแล้ว
ถ้าเหลือก็ให้ควํ่าบาตร อย่าเก็บรักษาสะสม ไม่ให้สะสมอาหารค้างคืนเลย
นี่คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า คือ กฎระเบียบธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

แต่เดี๋ยวนื้มันเพี้ยนหมดแล้ว พระภิกษุบิณฑบาตก็ประกาศ
ขอข้าวสารอาหารแห้งนะ ให้พระเอาไปสะสมไว้กินไว้อยู่ มันเลอะเทอะ
ไปหมดเลยศาสนาพุทธ สะสมกันอะไรต่ออะไรไปหมด มันไม,ได้เข้า
หลักเข้าเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าเลย น่าเกลียด แล้วมันจะมีประสิทธิภาพ
ประสิทธิผลอะไร ศาสนาจึงไม่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลต่อสังคม
มนุษยชาติเลย เพราะไอ้แค'ตื้นๆแค่นี้ อาตมาว่านี่มันไม่ใช่เรื่องลึกซึ้ง
ของธรรมะพระพุทธเจ้านะ ที่พูดนี่ไม่ได้เข้าไปถึงเนื้อธรรม อาริยธรรม
อะไร เป็นแต่เพียงกฎหลักวินัยระเบียบ เท่านั้นเอง แค'เปลือกๆ
กระพี้ๆ เรื่องกฎระเบียบวินัยเท่านั้น ยังไม'เข้าถึงขั้นปรมัตถ์อะไรเลย
ก็ยังปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไรพวกนี้ไม่ได้แล้ว มันก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง
เท่านั้นล่ะ พุทธศาสนามันไปไหนไม่รอดหรอก ไม่รอดจริงๆ

พูดไปย้งงี้ นักดูแลศาสนาเขาร้อน มันกระทบเขา มันก็ไป
เสียบไปแทงเขา เขาก็ไม'ชอบหน้าอาตมา ไม่ชอบแล้วก็จะจัดการ จะ
กำจัดอาตมาด้วย แล้วก็หาเรื่องหาราวอะไรไปต่างๆ หาได้ก็หาเอา หา
เรื่องผูกเรื่อง จะว่ายังไงก็ว่ากันไป ไม่ใช่ท้าทายหรอก เขาทำอยู่ ก็เอา
มาพูดบ้างเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้ทำหรอกมันบาป ขอยืนยันว่า เขา
ทำน่ะมันบาป แต่คนที่ทำน่ะ จะเข้าใจว่าบาปคืออะไร หรือไม่ ก็ไม่รู้ล่ะ
อาตมาก็พูดสัจธรรม ไม่ใช่ไปใส่ความนะ มันเป็นจริง เพราะงั้นถ้าเข้าใจ
ถูกต้องว่า ศาสนาพุทธนั้นสอนให้คนเรียนรู้ แล้วเอาไปประพฤติ แล้ว
คนจะลดกิเลส เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้จริงๆ

ถ้าโลกหรือสังคมกลุ่มใด มีคนชนิดอาริยะนั้อยู่นั่นแหละ สังคม
จะเจริญ จะเป็นอยู่สุข จะสบาย ยํ้าอีกทีหนึ่งว่า ลุณธรรมอาริยธรรม
ของพระทุท®เจ้า มันไม่ได้อยู่ที่นักบวชเท่านั้น มันอยู่ที่ฆราวาสด้วย
โสดามัน สกิทาดามี อนาดามี อรทันต์ ก็ดือ ดนทุกดน ฆราวาส
ก็เป็นได้ และสะเป็นได้สำนวนมากด้วย ด้องได้เป็นสำนวนมาก แล้ว
สังดมปีะเป็นอยู่สุข
ไม่ใช่ว่าผู้บรรลุธรรมะนั้นจะได้อาริยธรรม ต้อง
สงวนอยู่ สงวนลิขสิทรื่อยู่แต่ผู้มาบวชเท่านั้นน่ะ ผู้ไม่มาบวช บรรลุไม่ได้
ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เล้ย ไม่ใช่เลย อันนี้แหละเป็นประเด็นที่เข้าใจผิดกันมาก

ในยุคพระพุทธเจ้านั้น โอ้โฮ. ..พระอาริยะเยอะ โสดาบัน
สกิทาคามี เยอะ ฆราวาสนะที่เป็นอาริยะ ในผู้ที่มาบวชนั้นก็ส่วนหนึ่ง
เอาละก็เฉลี่ยแล้วในปริมาณของนักบวช ในยุคพระพุทธเจ้า แน่นอน

 

2^

       
   
 
   


 

29

มาบวชแล้วนี่ นักบวชจริงๆนี่ มีอรหันต์ หรือมีอาริยะสูงๆเยอะแน่นอน
เฉลี่ยในค่ารวม มันก็ถูกล่ะ แต่ถ้าเอาปริมาณ แบ่งส่วนนักบวชก็ไปคิด
เปอร์เซ็นต์ของนักบวช ฆราวาสก็ไปคิดเปอร์เซ็นต์ของฆราวาส จำนวน
ปริมาณฆราวาสมีอาริยบุคคลมากกว่าจำนวนนักบวชที่มี นี่คิดว่าคงเข้าใจ
นะ ที่อาตมาจัดแบ่งวิธีเปรียบเทียบกับสถิติ ใช่ไหม ฆราวาสมีจำนวนแสน
จำนวนล้าน ก็จะมีอาริยะอยู่เป็นแสนเหมือนกันพระหรือนักบวชในจำนวน
ประเทศนี้ หรือกลุ่มแคว้นนี้ มีประชาชนอยู่ล้าน แน่นอนก็ต้องมีฆราวาส
อยู่ประมาณ 9 แสน นักบวชจะเหลืออยู่ซักแสนหนึ่ง เอ้าต่อให้แสน
หนึ่ง นักบวชนี่เป็นอาริยะหมดเลย แต่ฆราวาส 9แสนนี่ มีอาริยะมาก
กว่า 2 แสน 3 แสน 4 แสน นักบวชอาจจะมีคุณธรรมเป็นอาริยะ ใน
แสนก็ตามแต่ ก็ยังน้อยกว่า ยังงี้เป็นต้น แต่ไม1แน่หรอก อาริยบุคคล
อยู่ในความเป็นฆราวาส ก็อาจจะมีน้อยในบางยุค บางกาละก็ได้ แต่
มาเป็นนักบวชนั่น มันไม่ได้มีส่วนมากกว่าฆราวาส แน่นอน ไม่ว่ายุค
ไหน แม้แต่ในประเทศธิเบต หรือประเทศทางโน้นน่ะ เขาจะเป็นนักบวช
กันเยอะ นิยมกันมากมายก็ตาม นักบวชเขาก็ไม่ได้มากกว่าพลเมือง
ฆราวาส แม้นักบวชจะมีมากจริง แต่ก็ไม่ได้มากกว่าฆราวาสอยู่ดี เพราะงั้น
ประเด็นนี้อาตมาว่า ต้องพูดขึ้น แล้วจะต้องพูดยํ้าพูดให้ฟังกันชัดๆ

เมื่อเข้าใจผิดกันว่า อาริยบุคคลนั้น เป็นเรื่อง1ของนักบวช
อาริยฃุดดลนั้นเราอย่าไปยุ่ง ฆราวาสเราก็ว่ามองเราไป นั่นล่ะพันดึง
ไปไม่รอดไง ฆราวาสทิ้งธรรม ฆราวาสไม่ลึกษาธรรมะ ไม่เอาธรรมะ
ไม่เอาดวามเปีริญทางนี้เลย ไม่เอาเรื่องลดกิเลสเลย มีแต่ทำมาพา
กิน เพี่อพี่ปีะแย่งลาภยดสรรเสริญโลกียสุม เพี่มกิเลสไม่มีพัก เพี่อ
ที่ปีะตั้งหน้าตั้งตาเสริมกิเลส แย่งมันไป โลภไม่มืตั้งมันไป
‘‘ได้ลาภยศ
สรรเสริญสุขมาบำเรอใจ กิเลสได้อาหารก็อ้วนขึ้นหนาขึ้น ไม่ได้ลาภยศ
สรรเสริญสุขกิเลสก็ยิ่งกระสันเพิ่ม กิเลสอ้วนอีกหนาขึ้นไบํอีก"
ปุถุชน

30

กิเลสอ้วน กิเลสหหาไม่หยุด จึงข้อปุกุชน ปุกุแปลว่าล้วน, หนา,ไต,
ใหญ่, มาก
ปุถุชนคือผู้กิเลสหนาขึ้นอ้วนขึ้นดังกล่าวนี้จริงๆ แล้วซีวิต
คนไม่คิดลดกิเลส มันจึงเป็นเรื่องเลวร้าย ทุกฃ์ร้อนมันอยู่ทุกวันนี้ไง

 

อันนี้กัน อาตมาว่าถ้าอาตมาอายุยืน เกินร้อยปีจริงๆ อาตมาจะพูดซํ้าซาก
อย่างนี้ไปอีก จนกว่าจะร้อยกว่าปี และอาตมาเชื่อมั่นนะ เชื่อมั่นว่า

 
   


นี่คือ สัจจะ ฟังดีๆ นี่คือสัจจะที่มันเป็นจริง ที่มันเกิดจริง
ทำอย่างไรเราจะเข้าใจสัจจะอันนี้อย่างถูกต้อง แล้วก็ช่วยกัน มาแก้ไข
ถ้าอาตมาอยู่เกินร้อยแล้ว อาตมาพูดซํ้าซากตรงนี้ คนก็คงจะพอเห็น
ได้ คนจะเข้าใจได้ ตามที่อาตมายืนยันบ้าง ทำยังไงจะช่วยอาตมา อายุ
เกินร้อย ร้อยห้าสิบเอ็ด ดังที่อาตมาตั้งใจได้ ช่วยอาตมาหน่อยแล้วกัน
อยากให้อาตมาอยู่ถึงไหม อายุยืนๆยาวๆ เออ..หลายคนในนี้อยากทั้งนั้น
แต่คนเขาแช่งให้ตาย ก็มีอยู่ พยายามที่จะให้อาตมาตายวันตายพรุ่ง มี
อยู่นะ เขาพยายามอยู่ ก็มี มีจริงๆ เอ้า.. ก็ไม่เป็นไร นั่นมันเป็นเรื่อง
ธรรมะ มันเป็นเรื่องสัจธรรม มันเป็นเรื่องจริง คนที่เขาไม่ชอบหน้า เขา
ไม่ต้องการ เขาก็จะต้องการให้อาตมาสูญหาย ตายจากไปจากโลกนี้เสีย
มาขัดมาขวางอะไรเขาอยู่ เขาก็ไม่ชอบหน้า มันเป็นธรรมดา อาตมา
ไม1ได้ประหลาดใจอะไรหรอก ไม่ได้แปลกใจอะไร มันเป็นสามัญ ไป
บังคับเขาไม'ได้ เขาก็เข้าใจยังงั้น เชื่ออย่างงั้นจริงๆ มันก็ความจริงใจ
อาตมาเห็นใจเขานะ เห็นใจจริงๆ อาตมาไม'ได้เกลียดได้ซังหรอก

 

เพราะว่าคนเรานี่นะ จะซังเรานี่นะ ถ้าว่ากันโดยตรงแล้วนี่
โดยสัจจะแล้ว คนเราชังคน กับคนเราชอบคผนี่ อะไรมันดีกว่ากัน
คนชอบคน คนชังคน อะไรมันดีกว่ากัน คิดดู ก็รู้

เขาก็ไม'อยากซังหรอก ฉันเดียวกันใช่ไหม สามัญเขาก็ไม่อยาก
ซังเรา แต่เพราะเขาเอง เขาไปยึด ไปติด ไปมิจฉาทิฏฐิ ไปกำหนดผิด
แล้วปัญญาเขามีเท่านั้นจริงๆ เขาจึงต้องซังเรา ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะ
ถามแล้วว่า จริงๆแล้วนี่ ใครก็ตาม เขาก็ไม'อยากชังคนหรอก ใครก็

31

ทั้งนั้นแหละ ไม่อยากจะชังคนนั้นคนนี้อะไรหรอก จริงไหม ถ้าให้
เลือกชอบกับชัง คนก็ต้องเลือกชอบมากกว่า เรื่องอะไรจะไปเลือกซัง
ถ้าคนไปชอบชัง แหม..ฟังแล้วงง คนไป“ชอบชัง” อาตมาจะพูดชอบ
ความซัง คนที่จะไปชอบ“ความซังคน”นี่ ถ้าคนส่วนใหญ่นี่ โอโฮ..ชอบ
ซังคนนี่ มากกว่าชอบความชอบคน อาตมาว่าตายเลยนะ โลกสังคม
มนุษยชาติ ตายๆๆๆ คนก็เลย..แห่ไป...สร้างอารมณ์ชังกันนะ เพราะว่า
ชอบความชังน่ะเนาะ ก็สร้างอารมณ์ซังกัน เต็มสังคม สังคมมีแต่ชัง
กันเป็นส่วนมาก โอ.... อาตมาว่า สังคมนี่ตายๆๆๆ อยู่กันไม่รอดแน่ๆ

เพราะฉะนั้น โดยสามัญนี่ คนไม1ได้ชอบความชัง คนไม่ได้
ต้องการที่จะเป็นคนไปชังใคร เราไปชังใครๆ ไม่ได้ชอบอันนี้หรอก แต่
เพราะเขาเข้าใจผิด หรือเขาเข้าใจไม่ได้ นั่นเป็นเหตุ เขาจึงชังเรา นี่ 1.

2. เขาชังเราเพราะเราไม่ดีจริงๆ เอ้อ อันนี้ก็ต้องยกให้ เรา
ไม่ดีจริงๆ อาตมาก็พิสูจน์ตัวเองอยู่เหมือนกัน เอ...เราไม'ดีจริงๆหรือ
เราทำงานอยู่ทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เราทำอย่างไม่ดีจริงๆหรือ
ที่เขาต้องชังเรา เราไปทำให้เขาขาดผลประโยชน์ ขาดอำนาจ ขาดยศ
เกียรติ ขาดอะไร ชิงแย่งลาภแย่งยศแย่งสรรเสริญแย่งสุขเขาหรือเปล่า
เราไปแย่งอะไรมาจากเขา จึงเป็นเหตุให้เขาชัง เรามีแต่สละออกไม่ว่าลาภ
ยศสรรเสริญสุข เขากลับได้จากที่เราสละออกไปด้วยซํ้าต่างหาก

เอาละ อาตมาได้บรรยายคนเดียว วันนี้ก็คิดว่า เป็นเนื้อหา
สาระ ที่ดีเหมือนกันนะ ที่พูดๆไปแล้ว นี่ชมตัวเองว่า ตัวเองพูดดี รู้สึก
ว่าพูดเนื้อหาสาระที่ดีเหมือนกันนะ ได้เข้าใจในความเป็นจริง ที่สังคม
เป็นอยู่ แล้วก็เจาะประเด็นเข้าไปว่า ควร!จะแก้ประเด็นก้นตรงไหน ?
อาตมาว่า ก็ชัดเจนพอสมควร เราจะทำอย่างไร มาช่วยกันหน่อย ที่
จะช่วยกัน อย่างน้อยก็คือ คัวเราเองทุกดน มาลดกิเลสกัน ให้เป็น
อาริยะ เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาดาฯ อรหันต์ ให้ได้จริงๆ

อาตมาไม่รู้นะว่าคนที่อยู่ข้างนอกที่บ้าน ที่ฟังธรรมะอาตมาอยู่

32

ขณะนี้นี่ จะเชื่อหรือไม่ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ทำให้ลดกิเลสได้จริง
จะเชื่อหรือไม่ อาตมาไม่รู้ แต่อาตมาถามพวกเราหน่อยว่า ธรรมะของ
พระพุทธเจ้านี่ ทำให้ลดกิเลสได้จริงไหม (จริง ค่ะ) โอ....เลียงดัง
ขอบคุณเสียงด้งดีมาก ทั้งๆที่มีจำนวนไม่มากนักหรอก คนไม่มากเท่าไหร่
ในที่นี้ขณะนี้ ก็ตอบคำถามนี้ได้ ว่า เชื่อว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า
นั้น ทำให้คนลดกิเลสได้จริง แล้วได้ปฏิบัติลดบ้างหรือยัง(ได้บ้างแล้‘ว)
นั่นแน่....อวดอีกแน่ะ อวดตัวอวดตนอีกแน่ะ ว่าลดกิเลสได้บ้างแล้ว
โอ้..โฮ.... ท่านถือว่า อวดอุตริมนุสสธรรมนะ ปรับอาบัติเลยนะ ถ้าเป็น
พระเป็นเจ้านี่มาอวดที่ไม่บรรลุธรรมจริง แต่ยังงี้ไม่ปรับอาบัติหรอก นี่
เป็นการถามอยู่ในปัจจเวกขณะข้อที่10 ปัจจเวกขณะฃ้อที่10 ถ้าเพื่อน
สหธรรมิกถามเราว่า ธรรมะระดับสูงขั้นอาริยะใด มีไหมที่เราบรรลุบ้าง
แล้ว
หากมีคนถาม เราก็ตอบได้โดยไม่เก้อยาก ไม่เก้อ ไม่ยาก ไม่มังกุ
นี่คือหลักฐานยืนยันชัดเจน ว่า คุณวิเศษ เรามีมั่งไหม มีหรือไม่ ที่เราจะ
พูดจะบอกแก่ผู้อื่นได้ โดยไม่เก้อไม่เขิน ว่าเราปฏิบัติธรรมแล้วมีมรรค
มีผลกับเขาอยู่นะ ในเวลาเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมร่วมกันถาม ในกาละภาย
หลังนี่ เมื่อใดเขาถาม กาละภายหลังแปลว่า พอผ่านกาลเวลา ได้
ปฏิบัติไปแล้ว เมื่อเพื่อนสหธรรมิกมาถามแล้วจะไม่เก้อ ไม่เขินแล้วมัน
หมายความว่า อาริยธรรมบอกได้ หรือไม่ได้ เมื่อหลักฐานชัดเจนอย่างนี้
ไม'อาบัติอาเบิดอะไรหรอก เว้นแต่ว่า ผู้นั้นไมมีธรรมที่บรรลุ ก็โกหกไม่
ได้ ถ้าขืนโกหกว่ามี ปาราชิกเลย ถ้าบรรลุจริงแต่บอกอย่างมีกิเลสอยาก
อวด หรือบอกอย่างมีอกุศลจิต ก็อาบัติปาจิตตีย์ ก็ปลงอาบัติเลีย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ตอบได้ พูดได้ บอกได้ มี
หลักฐานอื่นๆอีก เช่นในพระไตรปิฎก เล่ม 9 ข้อ 358 โลหิจจสูตร
ก็ยืนยันว่า ผู้บรรลุธรรมบอกผู้อื่นได้ แต่มีนัยสำคัญ เข้าใจผิดกันไปเอง

เอาละ..วันนี้หมดเวลาแล้ว สำหรับวันนี้พอกันแค่นี้แล้วกัน.

 


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2563 ( 02:36:04 )

การเมือง การศึกษา การเศรษฐกิจ

รายละเอียด

คือ ตอนนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนาการเมือง  การศึกษา  การเศรษฐกิจ  มันก็คือมาทำให้คนเป็นคนเป็นนักการเมือง  เป็นนักการศึกษา  แล้วก็ต้องมีพฤติกรรมของการเมือง  พฤติกรรมการศึกษาที่ทำให้คนได้เรียนรู้  ได้ร่วมปฏิบัติประพฤติกรรมของการเมือง  พฤติกรรมการศึกษาที่ทำให้คนได้เรียนรู้ ได้ร่วมปฏิบัติประพฤติเป็นผลต่อสังคม  และเป็นผลดีเป็นผลการเสียสละไม่มีโทษภัย  ไม่แต่ประโยชน์  คุณค่า  เป็นลักษณะการเสียสละ ไม่ใช่ลักษณะการไปเอาเปรียบกดขี่  ไม่ใช่ลักษณะแค่เป็นตรรกะ  ปรัชญา  เป็นสำนวนโวหารที่พูดกันเท่านั้น

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบาย รายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 71


เวลาบันทึก 04 ตุลาคม 2562 ( 14:55:11 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:01:19 )

เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2563 ( 15:21:42 )

การเมือง นัยยะสำคัญไม่ใช่การแย่งอำนาจ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ ผู้ใดอยากจะหรือคิดว่าตัวเอง สนใจหรือชอบทางการเมืองก็เอา ขณะนี้ หลักๆ 1. การเมืองน้องใหม่ ที่อาตมาพยายามย้ำ อยากให้พวกเราไปทำ 2. กสิกรรม นอกนั้นไม่มีปัญหามาก เป็นรูทีนเป็นอุปการะไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ถ้าเผื่อว่า 1. การเมืองน้องใหม่นี้ ผู้ที่จะทำก็เชิญ 2. กสิกรรมนี่เป็นหลักเลย ให้ยิ่งใหญ่ไปเลย แม้แต่นักการเมืองก็ต้องพึ่งอาหาร เพราะอาหารเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นหรอก แต่งานการเมืองตอนนี้มันกำลังเห็นว่า มันพยายามที่จะผลักดันให้มันเดินให้มันเป็นไปได้ ให้มันก้าวหน้าได้ 

ซึ่งอาตมาก็ พูดไปเราก็เป็นตัวเล็ก เป็นตัวที่ได้รับความศรัทธาก็เท่านี้ อันตัวเราก็เท่านี้ แต่รู้สึกว่าจะพยายามทำในสิ่งที่มันยาก หรือถ้าพูดจริงๆ ก็คือ ยิ่งใหญ่อยู่นะ งานการเมืองนี่ ไม่ใช่งานเล็กๆ เป็นงานยิ่งใหญ่ ในโลกนี้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าอธิปไตยเรียกว่าอำนาจ หรืออิทธิพล เป็นอิทธิพลเป็นอำนาจหรือเป็นพลังงานที่ มนุษยชาติเข้าใจ จนกระทั่งเขียนในตำราว่า การเมืองคือการแย่งอำนาจ หรือการสร้างอำนาจ ตำรารัฐศาสตร์เขาว่าอย่างนั้นเลย ซึ่งความจริงมันซ้อน 

การเมืองไม่ใช่การแย่งอำนาจ การเมืองเป็นการ คำว่าสร้างคำนี้ มันมีนัยยะสำคัญซ้อน ผู้ปฏิบัติการเมือง งานการเมือง แค่ 4 คำ รับใช้ประชาชน เสียสละจริงๆ ไม่มีตัวตน และซื่อสัตย์ แค่ 4 คำ มันเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ที่มันจะยืนหยัดยืนยันความจริง โดยไม่ต้องอยากได้ แต่ประชาชนเขาเห็นว่า คนนี้รับใช้ประชาชนจริงๆ คนนี้เสียสละเพื่อประชาชนจริงๆ คนนี้ทำหมดเนื้อหมดตัวเลยนะ ไม่มีตัวตนเลยทำเต็มที่เลย ซื่อสัตย์จริงๆ ประชาชนเขาจะมอบความเชื่อถือ มอบความศรัทธา ที่เขาให้นั้นคืออำนาจที่ประชาชนเขาให้แก่นักการเมืองผู้นั้น ใครก็ตามที่ทำมีคุณภาพ แค่ 4 คำนี่ รับใช้ประชาชนอย่างจริงใจจริงๆ เสียสละจริงๆ ไม่มีตัวตนจริงๆ ซื่อสัตย์ แถมอีกคำหนึ่ง มีสมรรถนะ ความรู้ ที่จะทำอะไร ให้แก่ประชาชนได้รับประโยชน์ อย่างสมเหมาะสมควรไปตามลำดับได้ มันก็จะเกิดของจริง มนุษย์ก็จะ… สังคมที่ได้รับการบริหารด้วยนักการเมืองอย่างนี้ มันก็จะเป็นอยู่สุข สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส  ทุกคนก็จะเห็นว่าสิ่งนี้ประเสริฐ สิ่งนี้น่าเอาอย่างตาม ประชาชนก็จะเข้าใจว่าสิ่งประเสริฐคืออะไร แล้วเขาก็จะมาเรียนรู้ฝึกตนเป็นคนประเสริฐนี้ด้วย โดยเฉพาะคนที่มีธาตุจิตที่เป็นโลกุตตรธรรมแล้ว ก็จะพากเพียร คนที่เข้าใจแล้วก็จะพากเพียร 

ที่มา ที่ไป

สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12 วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ  ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 18:00:26 )

การเมืองของไทยในยุคนี้ขณะนี้ ดีกว่าต่างประเทศทุกประเทศ

รายละเอียด

อาตมาก็ตอบในความเห็นของอาตมา การเมืองของต่างประเทศหรือการเมืองของไทย อาตมาก็ขอตอบกำปั้นทุบดินเลยว่า การเมืองของไทยในยุคนี้ขณะนี้ ดีกว่าต่างประเทศทุกประเทศ พูดอย่างโอหัง คนก็คงจะเข้าใจยากอยู่ แล้วคนที่เขาติดยึดอยู่ในความรู้ ตำรารัฐศาสตร์ การเมืองที่เรียนมาแบบเทวนิยม ชัดๆนะ.. เดี๋ยวไปศึกษากันว่าแบบเทวนิยมแตกต่างจากแบบโลกุตระที่ในเมืองไทยมีแล้ว ทำเนื่องต่อกันมานานแล้ว 

จะว่าไปแล้ว มันมีตั้งแต่ก้นบึ้งของจิตวิญญาณคนไทยมาตั้งแต่รุ่นพระเจ้ารามคำแหง สุโขทัยมาจนถึงทุกวันนี้ ลักษณะที่พ่อขุนรามให้เอาใครมาตีระฆังร้องทุกข์ จะเมื่อไหร่ก็ตามมาตีระฆังได้ อย่างนี้เป็นต้น เอาเท่านี้ก่อน อันนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศกขึ้น


เวลาบันทึก 23 เมษายน 2566 ( 20:15:51 )

การเมืองคือความเป็นไปของสังคม

รายละเอียด

ถ้าไม่เกิดความรู้ความฉลาดหรือการเมืองหรือความเป็นไปของสังคม การเมืองคือความเป็นไปของสังคม ไม่รู้ การเมืองหรือความเป็นไปของสังคมมันบอกเรา คนที่มีปฏิภาณปัญญาฉลาดจะรู้ว่าโลกนี้ ความเป็นไปของสังคมหรือว่าการเมืองของสังคม มันเห็นแก่ ในจำนวนคนในสังคมมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น หรือมันเห็นแก่ตัวลดลง เราจะมองคนในหมู่กลุ่มแคบ ตั้งแต่ในครอบครัวของเรา มวลมิตรสหายสังคมของเรากว้างขึ้น จนกระทั่งมองกว้างเข้ามาถึงคนในสังคม ประเทศ มันมองได้มันมองออก ถ้ามีปฏิภาณปัญญา มีความสะดุด มีสำนึก มีความนึกคิด ในเรื่องเหล่านี้อย่างนี้ 

อย่างมามองคนกลุ่มหนึ่งชาวอโศกมีพฤติกรรม มีการแสดงออกจนกระทั่งสามารถรู้ถึงจิตใจ การแสดงออกทางกายวาจานี้สามารถพอจะรู้จริงๆถึงจิตใจ ยิ่งอยู่ร่วมกันนานๆสัมผัสการเป็นอยู่กันนานๆ มันยิ่งจะรู้ว่า อ๋อ คนผู้นี้มีจิตใจ จนกระทั่งมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มันไม่เหมือนกันกับสามัญคนส่วนใหญ่ทั่วไปที่เป็นปุถุชนเขาเป็น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566  แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2566 ( 15:04:33 )

การเมืองคืองานของพลเมือง

รายละเอียด

เมื่อธรรมะเจริญ การเมืองก็เจริญ เพราะมันแยกกันไม่ได้ระหว่างคนกับการเมือง แยกกันไม่ได้ เพราะการเมืองคืองานของพลเมือง การคืองาน งานของพลเมือง เราเป็นพลเมืองคนหนึ่งของเมืองหรือเปล่า เราไม่ได้เป็นคนหนึ่งของคนเถื่อนคนป่า แต่เราเป็นคนหนึ่งของเมือง ของพลเมือง เป็นกำลัง พละคือกำลัง เราเป็นคนไม่ดูดายไม่ปล่อยปละละเลยต้องช่วยเหลือกันด้วยเจตนาดี ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน สุดย อดเลย ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน ทำเพื่อที่จะให้คนดีให้สังคมดีสงบดีไปด้วยกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 พฤษภาคม 2566 ( 19:45:50 )

การเมืองคือธรรมะ หรือ การเมืองคือการแสวงหาอำนาจ

รายละเอียด

เอาเถอะ การเมืองก็คือธรรมะเหมือนกันนั่นแหละ ระวังอย่าไปเลอะเทอะ การเมืองเข้าไปร่วมกับเขาแบบนั้น คือ จริงๆ แล้วนักการเมืองคือพวกเลอะเทอะ พวกหลง หลงอะไร หลงโลกีย์ หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลงอำนาจแบบโลกีย์ เพราะฉะนั้นการเมืองทั่วโลกที่เรียนกันอยู่ นิยามกันลงไปว่า การเมืองคือการสร้างอำนาจ การเมือง คือ การแสวงหาอำนาจ รัฐศาสตร์เขาจะพูดง่ายๆ ซึ่งมันไม่ใช่ 

การเมือง คือ ผู้มีอำนาจที่ประชาชนโดยเฉพาะคำว่า ประชาธิปไตย คือ อำนาจที่ประชาชนที่ยกให้แก่ผู้ที่ดี ที่บริหาร บริบาล อภิบาล มวลประชาชน เช่น มีธรรมะ 10 ข้ออย่างยิ่งใหญ่ เรียกว่า ทศพิธราชธรรม นั่นแหละ ผู้มีคุณธรรมอย่างนั้นคือผู้ที่เหมาะกับการบริหารประเทศ 

เพราะฉะนั้น สังคมที่ไม่มีทศพิธราชธรรม เป็นผู้มีคุณธรรมอันนี้ เป็นผู้ใหญ่ ผู้บริหาร จึงเป็นสังคมที่เละเทะ ประชาธิปไตยคืออำนาจบาตรใหญ่ของคนๆหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด และเป็นเผด็จการ อย่างที่ประชาธิปไตยขาเดียว ประชาธิปไตยที่ไม่มีกษัตริย์  ทำไมอาตมายืนยันว่า ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ต้องมีกษัตริย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 11:54:04 )

การเมืองคืออะไร

รายละเอียด

เราพากันเสียสละ เราลดความเห็นแก่ตัว ขยันหมั่นเพียร เป็นคน วิริยารัมภะ อปจยะ ปาสาทิกะ ค่อยรวมกันอย่างดีเลย อาตมาก็สอนหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆอยู่แล้ว แล้วเราก็มาขัดเกลาตนเองอยู่แล้ว จนกระทั่งเรามีใจพอ มี สันตุฏฐิ มีสันโดษพอ แต่พอแล้วไม่เจริญตัวเองอีก พระพุทธเจ้าท่านไม่สันโดษในความเป็นกุศล ถ้าคุณเป็นอรหันต์จริงคุณจะเข้าใจว่าไม่สันโดษในกุศล เพราะฉะนั้น อรหันต์จะขยัน อรหันต์ขี้เกียจไม่ได้หรอก คนที่ขี้เกียจคนที่ดูดายไม่ใช่อรหันต์หรอก คนที่รู้เวลาควรเพียร เพียร มันมีงานที่ควรเพียร เพียร มันมีงานอะไรที่ควรทำ อยู่ไหนแวดวงที่เราเป็นงานอะไรที่เราควรเห็นสมควร เป็น กัมมัญญา เราก็ไปช่วยกันทำทำแล้วก็มีผลผลิตที่ดีไม่ใช่เป็นสิ่งที่มอมเมาเป็นพิษ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นโทษเป็นร้ายอะไรกับใคร มีแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้งนั้น 

พหุชนหิตายะ จะได้เผื่อแผ่ไปสู่คนหมู่มากหรือประชาชน พหุชนะ เพื่อประชาชน พหุคือมาก ชนหมู่มากก็คือมวลประชาชน เพราะฉะนั้นอธิปไตยหรือพลังที่เรามี เราก็เป็นนักประชาธิปไตย เอาพลังที่เรามีนี้มาทำงาน รับใช้ประชาชน นี่คือการเมือง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566  แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 มีนาคม 2566 ( 12:32:07 )

การเมืองงานแต่ละคนทำให้เกิดการเป็นอยู่สงบ อบอุ่น เรียบร้อย

รายละเอียด

คำว่า การเมือง ทุกวันนี้ก็ใช้กันทั่วไปหมด คนฟังก็พอรู้ตามภูมิของแต่ละคน ว่าการเมืองก็คือเรื่องหนึ่งในสังคมมนุษย์ แล้วคนก็บอกว่าเขาไม่เล่นไม่ทำการเมือง การ คือ งาน เมืองคือสังคมมนุษย์ สังคมที่ตัวเองอยู่ด้วย เมืองไทย หรือตัวเองอยู่ในสังคมเล็กสังคมน้อยที่อยู่ร่วมกันเป็นหมู่กลุ่ม ของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว จนกระทั่งขยายไปถึงประเทศที่เราอยู่เมืองที่เราอยู่ แต่ละคนก็เข้าใจว่าเราจะอยู่อย่างไร งานของแต่ละคนที่จะทำให้เกิดการเป็นอยู่อย่าง สงบ อบอุ่น เรียบร้อย มีประโยชน์คุณค่า และเจริญพัฒนา เราจะมีพฤติกรรมอย่างไรเราต้องรับผิดชอบตัวเราเรียนรู้ตัวเราว่าเราจะมีกรรมกิริยาออกไปจะมีผลกระทบต่อคนอื่นๆ ยิ่งเราอยู่กับกลุ่มสังคมหมู่มากก็จะมีผลกระทบมาก หากว่าหนีอยู่ไปคนเดียว ก็คือคนรู้จักการเมืองตื้นๆก็คือการเมืองที่ไม่ต้องการกระทบกันมากกับคนหมู่มาก เข้าใจง่ายๆตื้นๆมันก็จริง แต่มันไม่มีทางถาวร ไม่มีทางเรียนรู้กิเลส ลดกิเลส และเป็นคนเจริญ เป็นคนประเสริฐ เป็นพระอริยบุคคลได้ ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็เป็นคนที่มีพฤติกรรมที่มีจิตเป็นประธาน ที่เป็นจิตที่ได้ล้างกิเลสหมด แล้วก็รู้จักโลก รู้จักอัตตา รู้ธรรมะ ก็สร้างพลังงานที่เรียกว่าอธิปไตย สร้างพลังงานนี้ให้ได้สัดส่วนเป็นกัมมัญญตา อยู่กับสังคมอย่างเจริญและมีประโยชน์คุณค่ามาก 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:09:12 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:02:09 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 14:47:42 )

การเมืองต้องมีธรรมะจึงจะไปรอด

รายละเอียด

อาตมาก็บอกว่าผู้ที่เข้าใจว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมืองคือคนยังไกลความเจริญ ไกลความฉลาดมาก ยังห่างไกลความฉลาดมากที่บอกว่าอย่าเอาธรรมะมายุ่งกับการเมือง 

เพราะว่าการเมืองที่ไม่มีธรรมะนั้นมันไปไม่ได้หรอก การเมืองไม่มีธรรมะมันก็เหลวไหลเลวทราม แค่ความหมายง่ายๆว่า ธรรมะคือสิ่งที่ดีงามสิ่งประเสริฐ แล้วไม่เอาสิ่งดีงามเอาไว้กับการเมือง แต่เอาไปไว้กับสิ่งที่แย่ๆ สิ่งที่เลวร้ายชั่วร้ายอยู่ในการเมือง ความหมายแค่นี้คุณก็ยังแยกไม่ออก  แล้วคุณก็จะตีทิ้งธรรมะไม่ให้อยู่กับการเมือง ขนาดคานธียังรู้เลย เป็นเทวนิยม ว่าจะต้องเอาธรรมะมาสถาปนาลงในการเมือง ถ้าไม่อย่างนั้นการเมืองก็ไปไม่รอด อย่างนี้เป็นต้น 

คนไทยท่านพุทธทาสก็พูด ถ้าการเมืองไม่มีธรรมะก็ชิบหาย ซึ่งมันเป็นความรู้ชัดพื้นๆตื้นๆไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร ถ้าหากพื้นฐานต้นยังไม่รู้ แล้วจะต่อบทต่อไปที่ลึกซึ้งละเอียดพิเศษกว่านั้น จะไปมีอะไรทำได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฐมอโศก หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 16:19:33 )

การเมืองที่ดี

รายละเอียด

อย่าดูถูกการเมือง พระพุทธเจ้าก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอด ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทำเพื่อประชาชนมาตลอด แต่คุณเข้าใจการเมืองเพียงเสี้ยวหนึ่งแค่คนไม่จริงใจ คนทุจริต คนไม่เข้าท่าก็ถูก อันนั้นเป็นการเมืองบ้าบอ แต่การเมืองที่ดีที่ประเสริฐนั้นเขามี ถ้าโลกไม่มีการเมืองที่ประเสริฐแล้วจะอยู่ไปทำไม การเมืองคือพลเมือง หากไม่เอา คุณก็ต้องอยู่ไปกับสิงสาราสัตว์ ไม่ต้องอยู่กับพลเมือง นี่คือความจริง คุณเห็นอย่างนี้คุณต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่อย่างนั้นมันไม่ใช่ผู้ที่อยู่เหนือการเมืองขี้หมาพวกนั้นได้ก็จะพยายามเข้ามาช่วยปราบการเมืองพวกนั้นให้ได้ด้วยความสงบ นี่คือของพุทธ ชาวพุทธยังไม่มีสงครามศาสนา ยืนยันมา 2500 กว่าปีแล้ว แต่ศาสนาอื่นเขามีสงครามกันเอง เช่นสงครามครูเสด 200 กว่าปี

 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:44:02 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 05:03:34 )

เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2563 ( 13:47:49 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์