คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี
เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit
วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5
วีดีโอ Loom 1 : https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044
วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk
รายละเอียด
601008_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ถ่ายทอดสืบทอดมรดกเชื้อพันธุ์พุทธ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2560 คนไทยในปัจจุบันนี้ก็จะกล่าวว่าฉันโชคดีที่เกิดในรัชกาลที่ 9 ชาวอโศกก็จะบอกว่าฉันโชคดีที่เกิดในรัชกาลที่ 9 และเกิดในยุคสมัยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ มีโพธิสัตว์ 2 องค์ จะหาที่ไหนได้อีก ท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทำโครงการ 4,000 กว่าโครงการ ทำให้คนไทยอยู่อย่างผาสุก พ่อครูก็มาต่อยอดไปอีก
พ่อครูว่า...พวกคุณก็มาต่อยอดไปอีก ส่งต่อไม้กันไปเรื่อยๆ
สมณะฟ้าไทว่า...ให้ไปถึงความเจริญสูงสุดของศาสนาอีก 3,000 ปี
พ่อครูว่า...ส่งต่อให้มีสัมประสิทธิ์ไปจนถึง 3,000 ปี มีระยะพีคสุด 3,000 ปี แล้วจะมีโมเมนตัมของมันไปจนกระทั่งไปถึงที่สุดมันจะยาวนานไปถึง 5,000 ปีได้
สมณะฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์ท่านได้คำนวณไว้แล้ว ท่านมีญาณความรู้มิอนาคตังสญาณว่าจะทำอย่างไรถึงจะไปถึง เราก็ทำตามท่านไปเมื่อเราไม่รู้
พ่อครูว่า...มีญาณ 67 แล้วพยายามเพิ่มญาณอีก 6 เป็นพุทธวิสัย
สมณะฟ้าไทว่า...เราก็ทำหน้าที่ของเราจนกว่าเราจะมีญาณอย่างนี้บ้าง
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ถ่ายทอดสืบทอดมรดกเชื้อพันธุ์พุทธ
พ่อครูว่า...เรามาเริ่มต้นอย่างนี้ก่อน อ่าน บทความ จาก หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ผ่าประเด็นร้อนวันเสาร์ ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
ไทยหนึ่งเดียวในโลก ปชช.ผูกพันพระมหากษัตริย์ลึกซึ้ง
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนอกจากตื่นตาตื่นใจกับความวิจิตรงดงามของพระบรมมหาราชวังแล้ว ปรากฏการณ์ที่ทำให้บรรดาสื่อต่างชาติระดับโลกต่างพากันทึ่งและยอมรับเลื่อมใสในความยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศที่ทรงเป็น King of Kings ที่นอกจากทรงครองราชย์ 70 ปี ซึ่งยาวนานที่สุดในโลกแล้วยังเป็นที่เคารพรักเทิดทูนศรัทธาจากพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งดุจพ่อกับลูก
ปรากฏการณ์ที่สะท้อนความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างพสกนิกรชาวไทยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศสะท้อนอย่างชัดเจนนับตั้งแต่เสด็จสวรรคตโดยประชาชนจำนวนมากทุกเพศทุกวัยทุกศาสนาจากทั่วสารทิศมุ่งสู่โรงพยาบาลศิริราชอย่างพร้อมเพรียงกันโดยต่างพากันร่ำไห้แสดงความเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และระหว่างพระราชพิธีเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทภายในพระบรมมหาราชวังมีคลื่นประชาชนจำนวนมากนั่งแสดงความไว้อาลัยอย่างเป็นระเบียบสองฟากถนน และแม้จะเป็นช่วงที่ยังไม่ได้เปิดโอกาสให้มวลพสกนิกรเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ แต่เกิดปรากฏการณ์ประชาชนทุกหมู่เหล่าจากทั่วสารทิศของประเทศนับแสนคนต่างมุ่งหน้าเต็มท้องสนามหลวงและบริเวณพระบรมมหาราชวังเพื่อกราบถวายบังคมแสดงความไว้อาลัย
ขณะที่บริษัทห้างร้านเอกชนและประชาชนทุกสาขาอาชีพจำนวนมากร่วมกันเป็นจิตอาสาแจกจ่ายอาหาร น้ำดื่ม ช่วยกันเก็บขยะ และคอยอำนวยความสะดวกแก่คลื่นมหาชนที่มาแสดงความไว้อาลัยแด่พ่อแห่งแผ่นดินอย่างล้นหลามโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเพื่อเป็นการทำความดีถวายพ่อแห่งแผ่นดิน
ภายหลังจากที่สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนานเกือบ 1 ปี ประชาชนในเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ชุดดำสุภาพหลั่งไหลเข้าคิวอันยาวเหยียดเพื่อได้มีโอกาสเข้ากราบถวายบังคมพระพระบรมศพตลอดทั้ง 337 วัน โดยแต่ละวันมีประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพหลายหมื่นคนมาอย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งยุติการเข้าการเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพเมื่อเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมาเพื่อเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในวันที่ 26 ต.ค.นี้
ทั้งนี้ตลอด 337 วัน มีประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพรวมทั้งสิ้น 12,739,531 คน ประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลรวม 889,545,100.01 โดยเฉพาะในวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เปิดโอกาสให้เข้ากราบถวายบังคมปรากฏว่ามีประชาชนหลั่งไหลเข้าคิวเพื่อกราบถวายบังคมเป็นครั้งสุดท้ายวันเดียวถึงกว่า 1 แสนคน
ภาพและปรากฏการณ์ที่สร้างความทึ่งและประทับใจแก่ชาวโลกที่เผยแพร่โดยบรรดาสื่อต่างชาติเป็นอย่างมากก็คือ แม้ฝนโหมกระหน่ำอย่างหนักแบบไม่ลืมหูลืมตาจนเปียกปอนไปทั้งตัวและบางครั้งต้องเผชิญกับแสงแดดอันแผดจ้าร้อนระอุดุจเปลวไฟ และแม้จะต้องต่อแถวเข้าคิวนานกว่า 10 ชั่วโมง และไม่ว่าจะดึกดื่นหรือเข้าสู่วันใหม่ แต่คลื่นพสกนิกรผู้จงรักภักดีจากทั่วสารทิศของประเทศยังคงมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวไม่ย่อท้อด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่หลั่งไหลสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเพื่อกราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเป็นโอกาสสุดท้าย
บรรดาสื่อต่างชาติรายงานข่าวไปทั่วโลกด้วยความทึ่งว่า คลื่นประชาชนไทยจำนวนมากต่อแถวยาวหลายกิโลเมตรเพื่อเข้ากราบถวายบังคมพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักศรัทธา และจากการสัมภาษณ์ประชาชนที่เข้าคิวเพื่อรอกราบถวายบังคมกล่าวว่า “เรามากราบพ่อของเราเพราะนั่นเป็นสิ่งที่เราต้องทำ”
การที่พสกนิกรไทยทั้งในและต่างประเทศจำนวนนับสิบล้านคนต่างแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศสะท้อนให้เห็นเป็นที่ประจักษณ์ถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างคนไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์และสะท้อนให้เห็นว่าปวงชนชาวไทยมีความรักเทิดทูนอย่างหมดหัวใจต่อมหาราชผู้ทรงตรากตรำปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อราษฎรของพระองค์ตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์ที่ยาวนานที่สุดในโลกซึ่งคงหาไม่ได้ในพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกนี้
ความยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกและได้รับการยอมรับว่าเป็น King Of Kings เพราะไม่เพียงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งตรากตรำทำทุกอย่างเพื่อความผาสุกของประชาชนตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์ แต่ยังได้รับการยอมรับในฐานะพระมหากษัตริย์นักคิดนักพัฒนาและทรงพระอัจฉริยภาพในหลายด้านรวมทั้งแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งองค์การสหประชาชาติยึดถือเป็นแบบอย่างแนะนำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและเคยถวายรางวัลและสดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศด้วยเกียรติยศสูงสุดในฐานะพระมหากษัตริย์นักคิดนักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่
จากปรากฏการณ์นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จสวรรคตไปจนกระทั่งวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่คาดว่าจะมีพสกนิกรทั่วประเทศและในต่างประเทศทั่วโลกหลายสิบล้านคนร่วมในพระราชพิธี ยังไม่พูดถึงพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่โดยเฉพาะพระเมรุมาศที่วิจิตรงดงามตระการตาดุจวิมานสรวงสวรรค์ซึ่งจะมีบุคคลสำคัญอันเป็นตัวแทนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกร่วมในพระราชพิธีมากเป็นประวัติการณ์ และแน่นอนว่าสื่อต่างชาติจากทุกสำนักจะรายงานข่าวไปทั่วโลก อันจะเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าไทยเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ประชาชนมีความรักผูกพันกับพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งแรงกล้าอย่างยากที่จะหาจากชาติใดในโลกนี้เสมอเหมือน
ทีมข่าวการเมือง
มาอีกบทความหนึ่งจากแนวหน้า
บทเรียนจากความจริงศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
วันเสาร์ ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.
สภาสูงของสหรัฐฯถวายสดุดี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร
ในเดือนตุลาคมผมคงจะใช้โอกาสนี้ถวายเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรตลอดเดือน
สัปดาห์ที่แล้วต้องขอขอบคุณผู้อ่านจำนวนมากได้ส่งข้อความกลับมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ UNESCO ประกาศสดุดีเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านและยกย่องเป็นกษัตริย์นักพัฒนา เพราะ UNESCO มีความลุ่มลึก และเข้าใจในพระปรีชาสามารถพระองค์ท่านอย่างลึกซึ้งหลายๆ เรื่อง ซึ่งทำให้คนไทยปลื้มใจในพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านอย่างมาก เช่น
- Legacy of Global Humanity
- Lifelong Learning
- Soft Power
- ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
สัปดาห์นี้ ขอกล่าวถึงประเทศสหรัฐอเมริกาและความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปรินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กับสหรัฐอเมริกา และการที่สภาสูงของสหรัฐฯ ได้สดุดีถวายพระองค์ท่านเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 ในช่วงที่ท่านนายกฯประยุทธ์ไปเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ สภาสูงสหรัฐฯ นำโดยนายออร์ริน แฮทช์(Orrin Hatch) ประธานที่ประชุมวุฒิสภาสหรัฐอเมริกา ได้มอบเอกสารการสดุดีให้นายกประยุทธ์ เป็นผู้แทนไทยไปรับ
ถ้ากล่าวถึงการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของไทยกับสหรัฐฯ ต้องยอมรับว่ามีความสัมพันธ์อย่างยาวนานกว่า 200 ปี การทูตทางการ 184 ปี
คือสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จย่าเสด็จฯทรงศึกษาที่สหรัฐอเมริกา และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประสูติที่เมือง Boston Massachusetts สหรัฐอเมริกา
ยิ่งไปกว่านั้นในปี 1960 พระองค์ท่านและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถได้เสด็จฯสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในปี 1960 และสำคัญที่สุด พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสต่อหน้ารัฐสภาของสหรัฐฯ นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงส่งต่อประชาชนคนไทยที่รัฐสภาของสหรัฐฯ ประกาศสดุดีเทิดพระเกียรติและแสดงความไว้อาลัยถวายด้วยเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา
ช่วง 70 ปีของการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ไทยกับสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและเป็นมิตรอย่างแน่นแฟ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การสดุดีของสภาสูงได้ถวายการยกย่องพระองค์ท่านในเรื่องการดูแลประชาชนให้อยู่อย่างมีความสุข สมดุล ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยทรงห่วงใยประชาชนของพระองค์ท่านอยู่อย่างยั่งยืน
ยิ่งไปกว่านั้น คำกล่าวถวายสดุดีของสภาสูงของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมายกย่องพระองค์ท่านว่าทรงเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้นำตลอดเวลาที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ผมอาจจะพูดได้ว่าเมื่อพระองค์ท่านสวรรคตไปแล้วความเป็นผู้นำของพระองค์น่าจะขยายไปสู่ความเป็นผู้นำของโลก โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สภาสูงยังได้ถวายการเทิดพระเกียรติแสดงความยินดีในการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่10 ด้วย ซึ่งสภาสูงสหรัฐฯ ได้เน้นว่าความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องจาก 70 ปีในยุครัชกาลที่ 9 ก็ขอให้ยั่งยืนต่อไปในรัชกาลที่ 10 ด้วยเช่นกัน
ซึ่งการที่สถาบันสภาสูงสหรัฐฯได้ถวายการสดุดีดังกล่าว ถือว่าเป็นเกียรติประวัติของคนไทยอย่างมาก มีสมาชิกสภาสูงทั้ง 2 พรรคจำนวนมากได้เป็นผู้สนับสนุนการดำเนินถวายการสดุดีดังกล่าว
นอกจากนั้น การถวายการสดุดียังได้ยกย่องพระองค์ท่านในรางวัลที่ทรงได้รับจากคณะกรรมการทรัพย์สินทางปัญญาของโลก หรือองค์กรที่เกี่ยวกับ Intellectual Property Right ซึ่งเป็นรางวัลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทรัพย์สินทางปัญญาเป็นรางวัลที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างแท้จริง คนไทยเมื่อได้รับทราบคงจะมีความปลื้มปีติภาคภูมิใจ
ที่สำคัญคือเป็นแรงกระตุ้นทำให้คนไทยมุ่งมั่นทำในสิ่งที่มีคุณค่าต่อไป
จีระ หงส์ลดารมภ์
dr.chira@hotmail.com
พ่อครูว่า...อ่านบทความของดร.จีระแล้วที่ได้โยงใยว่า
- Legacy of Global Humanity
- Lifelong Learning
- Soft Power
- ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ขอขยายความ soft power ก็คงเข้าใจว่าเป็นอำนาจเป็นแรงเป็นอำนาจที่นุ่ม เขาก็แปลกันไปว่าคือ อำนาจนุ่ม พลังอำนาจนุ่มนวล อำนาจขาว หรืออำนาจละมุน คือมีแรงแต่นุ่มและเบา นิ่มนวล อะไรอย่างนี้เป็นต้น ขยายความตามพยัญชนะ ถ้าจะแปลเป็นไทยประหลาดๆก็ว่า ไฟอ่อน ฟังแล้วมันก็อ่อนใจ ไฟอ่อนแรง เป็นไฟที่แรงอุณหธาตุแต่อ่อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ละเอียดลึกซึ้ง มันย้อนแย้งกันระหว่างสองขั้ว แรงกับเบา มันมีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่เป็นสัมประสิทธิ์ coefficient ที่เป็นตัวก้าวหน้าในทางที่เจริญและดีงาม เป็นประโยชน์คุณค่าอีกส่วนหนึ่ง ซ้อนอยู่ในนั้น เป็น Potential energy ซ้อนในนั้นอีกที
สมณะฟ้าไทว่า...มีแรงแต่อ่อนโยน
พ่อครูว่า...ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าในหลวงกับอาตมาเป็นโพธิสัตว์ที่มาช่วยโลกในยุคนี้ ในหลวงท่านได้ทรงเริ่มของรูปธรรม ต้องแข็งต้องแรงต้องหนัก แต่อาตมาเป็นนามธรรม จึงเป็นดูเบาดูไม่มีน้ำหนักเท่ากับรูปธรรม แต่ลึกซึ้งที่สุดแล้วนามธรรมเป็นประธานของสิ่งทั้งหมด เป็นนามธรรมของมนุษย์ที่มีน้ำหนัก ที่เป็นจิตนิยามเป็นจิตปัญญา และมีทั้งธาตุรู้ มีพลังงานในนั้นเสร็จ เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ จะต้องร่วมกันอย่างได้สัดส่วนที่ดีมาก แสดงให้เห็นว่ายุคนี้ควรจะต้องใช้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม แต่จริงๆแล้วนามธรรมต้องเป็นประธานของรูปธรรม ฟังความนี้ซ้อนแล้วจะเข้าใจ เมื่อรวมกันแล้วจะเกิดสิ่งวิเศษขึ้นได้
นามธรรมที่เป็น soft power ที่ในหลวงเราแสดงเป็น Supreme in Authority เป็นพลังงานแรงอำนาจสูงสุด ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงสร้าง และเป็นการปรากฏออกมาจริง มีพลังงานจริงมีสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริง และก็มีฤทธิ์มีอำนาจอยู่ในสังคมมนุษยชาติจริงจนกระจายไปทั่วโลก ไม่ใช่แต่ในประเทศไทยเท่านั้น เป็นอิทธิพลที่สำคัญมากเลย
ทั้งสภาสูงของสหรัฐได้ให้ความเทิดทูนในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ ดร.จิระ เอามาเสนอไว้ มี 4 ประเด็น
- Legacy of Global Humanity
Legacy คือมรดก Legacy of Global Humanity เป็นมรดกตกทอดให้แก่มนุษยชาติในโลก เป็นเรื่องที่ไม่แบ่งชาติเชื้อ ไม่แบ่งบุคคล เป็นส่วนของสาธารณะ เป็นของส่วนกลางจริงๆเลย เป็นมรดกอันวิเศษที่มนุษยชาติทุกคนทุกประเทศ ควรจะได้รับและเอาไปใช้ในประเทศของตน ซึ่งเป็นเรื่องที่วิเศษสุดแล้ว มรดกของมนุษยชาติ ทั่วโลกก็จะต้องเข้าใจ และเขาเข้าใจกันแล้วปฏิเสธไม่ได้ นอกจากคนโง่คนไม่มีภูมิปัญญาไม่รู้เรื่องอะไร บ้าๆบอๆ ดีไม่ดีตั้งตัวเป็นศัตรู จะโง่ดักดานกันอย่างไร มันก็เป็นจริงของเขาไม่รู้จะทำยังไงช่วยยาก ก็ต้องพยายามช่วยกันไป ใช้ความพยายามนี่แหละ เขาจะรู้สึกจะเกิดปฏิภาณปัญญารู้ตัวแก้ไขได้ก็ดี ก็ยังเป็นสัจจะของโลกที่จะต้องมีสองขั้ว อีกข้อหนึ่งก็ยังมืดมัวอย่างที่เป็น...ไม่รู้จะทำอย่างไร
ดีนะคนไทยคนในโลกจะได้มองเห็นมองออก เป็นตัวจริงที่แสดงให้ปรากฏ อาตมาถึงเรียกการศึกษาของโลกยุคนี้ว่าเป็น Phenomenology มีความจริงทั้งรูปและนามให้ศึกษาได้ง่าย
มรดกนี้จะสืบทอดต่อไปอีกจนกว่าจะสิ้นอายุขัยของศาสนาพุทธอีก 2 พันกว่าปี ค่อยๆมีฤทธิ์แรงไป ค่อยๆ peak อีก 400 ปีจะถึง peak แล้วก็จะสูงสุดเป็นโมเมนตัมแล้วก็ลดลงจนกว่าจะสิ้น 5,000 ปี เป็นสัจจะที่ผู้รู้ก็จะรู้กัน
Legacy of Global Humanity เป็นมรดกตกทอดให้แก่มนุษยชาติในโลก คืออันนี้ตราไว้เลย
_Lifelong learning เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตของมนุษย์ เป็นการเรียนรู้ที่ยั่งยืน เป็นแบบอย่าง ไลฟ์สไตล์ เรียนรู้แล้วจะต้องศึกษาฝึกฝนปฏิบัติให้ได้เลย Life คือชีวิต ตอนนี้สิ่งที่ไม่ดีก็จะต้องได้รับความรู้ความเข้าใจ แล้วทำให้ตัวเองและหมู่กลุ่มเจริญขึ้น เพื่อจะเรียนรู้ที่จะอยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข
ขอแวะมาที่ชาวอโศกนิดนึง ทุกวันนี้เป็นเทือกเขาเหล่ากอของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ซึ่งได้ถ่ายทอดเชื้อ DNA ของพระพุทธเจ้ามา ซึ่งเป็นอจินไตยที่ยากที่คนจะเข้าใจ อันนี้ไม่ได้สืบทอดเฉพาะชาตินี้ชาติเดียว อันนี้เป็นความรู้ของศาสนาพุทธ สืบทอดกันมาต่อเนื่องกันมา เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ยาวนานเป็นกัปป์ๆ นานแสนนานมา มาถึงในปางนี้ยุคนี้กาละนี้ ก็ยังมีสิ่งจริงปรากฏให้เห็นอยู่ ให้คนได้รับรู้และได้เอามาเล่าเรียนฝึกฝน ใส่ตัวเองเป็นเชื้อต่อกันไป สืบทอดกันไปไม่ขาดสายหรอก จะมีช่วงขาดสายไประยะหนึ่ง เรียกว่าพุทธันดร ที่ไม่มีศาสนาพุทธเกิดเพราะมันเป็นกลียุคที่คุณธรรมหรือศาสนาที่ดีเกิดมาก็ไม่มีผลอะไร เพราะคนนั้นชั่วและเลวเหมือนเดรัจฉานไปหมดแล้ว รับไม่ได้ เสียของ เกิดมาก็เสียของ เอามาแจกจ่ายอย่างไรก็รับไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปิดช่วงพุทธันดร ช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธ ก็ปล่อยให้พวกนี้เป็นไปตามวิบากของเขา เขาก็สร้างวิบากของเขาไป รุนแรง โหดร้าย ทำอะไรชั่วชั่วหยาบ หยาบหนักหนาสาหัส ก็ว่าของเขาไป
ทีนี้เมื่อเกิดตัวอย่าง เป็นมรดกของมนุษยชาติทั่วโลก Legacy of Global Humanity นี่แล้ว มรดกอันนี้ คนก็จะรับมาศึกษา Learning แล้วเอามาประพฤติปฏิบัติให้เกิดจริงเป็นจริง ปฏิบัติไป อาตมาภาคภูมิใจที่ว่าได้ทำอันนี้มาตั้งแต่รู้ตัวเองและรู้ว่าสิ่งที่ต้องทำกับชีวิตมา 40 กว่าปีแล้ว เริ่มต้นทำมาจนเกิดหมู่กลุ่มเป็นพฤติกรรมเป็นสภาวะรองรับความจริงมา เกือบ 50 ปีได้แค่นี้
ซึ่งอาตมาเข้าใจว่ามันไม่ง่าย ได้ขนาดนี้ก็ดีนักหนาแล้ว อาตมาก็ยังมั่นใจว่ามันจะมีอัตราการก้าวหน้าไปอีก progression ratio ของความเจริญชนิดนี้ คนในโลกแสวงหาทฤษฎีที่เยี่ยมยอดที่สุด เป็นทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงยังไม่ถึงเป็นบุญนิยมที่เป็นปรมัตถ์ธรรม โลกุตรธรรม แม้แต่ชาวพุทธเองอาตมาก็เมื่อยที่จะอธิบาย เพราะคำว่าบุญได้ถูกปู้ยี่ปู้ยำจนเละ ไม่เหลือสภาพความเป็นจริงแล้ว ต้องมาต่อหัวต่อหางให้เป็นรูปร่างของคำว่าบุญที่ถูกต้อง เพราะเป็นเหมือนกลองอานกะ มันได้ถูกทำลายเนื้อแท้ไปหมดแล้ว ยังหลอกว่าเป็นชื่อกลองอานกะอีกนะ ที่มีอยู่นั้นเป็นของพลาสติกของปลอมไปหมดสนิทเลย เป็นเรซิ่นเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าท่านก็ได้พยากรณ์อนาคตไปแล้วว่าศาสนาพุทธต่อไปจะเหมือนกับกลองอานกะ มีชื่อว่าศาสนาพุทธเป็นกลองอานกะ แต่เนื้อแท้เหลือแต่ของเก๊ของใหม่เอามาทดแทนหมดเลย เขาก็ทำหลอกเอาไว้ บูรณะ เป็นเจตนาดี แต่มันเป็นของปลอมไปตามธรรมชาติ มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ เมื่อเอาของจริงมา มันก็จะต้องต่างจากของปลอมแน่นอน
แน่นอน ของจริงกับของปลอมมันคนละเรื่องเลย อาตมานำของจริงที่เป็นอรรถอันลึกซึ้งเป็นโลกุตรธรรมประกอบด้วยสุญญตธรรม คนก็ไม่ปรารถนาจะฟังไม่เข้า ไปตั้งจิตเพื่อจะรู้และไม่สำคัญธรรมเหล่านั้นว่าควรเรียนควรศึกษา แต่เมื่อเขากล่าวพระสูตรอันปราชญ์รจนาไว้อันนักปราชญ์ผู้ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตรเป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิตอยู่จะปรารถนาฟังด้วยดี จักตั้งจิตเงี่ยโสตสดับ จะเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้และจะสำคัญธรรมอย่างนั้นว่าควรเรียนควรศึกษา
มันก็มีสองอย่างนั้นมีจริงกับสิ่งที่ปลอม คนไทยตอนนี้ที่มีภูมิปัญญา ไม่เคยรู้ ก็รู้ขึ้นมาเข้าใจขึ้นมา ที่ได้มีผู้นำพาเป็นพระโพธิสัตว์ ทั้งในหลวงกับอาตมานี่แหละ พูดอย่างไม่เก้อเขินเหนียมอาย พูดสัจจะความจริงเป็นความรู้เป็นวิชาการสู่กันฟัง ได้ช่วยกันพยายามทำมาก็นำมาด้วยรูปธรรมและนามธรรมมาสอดร้อยเสริมส่งให้เกิดความดีความจริงไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นการสืบทอดมรดก Legacy of global humanity ต่อไปคนก็จะเข้ามาเรียน
เพราะว่าที่อาตมาแสดง ในหลวงทรงแสดงมา 70 ปี แล้วก็เป็นสุดวิสัยที่ท่านต้องจากไปตามเวลาและวาระ อาตมากับพวกเราก็จะต้องมาช่วยกันสืบทอดต่อ
สัจธรรมสองอย่าง อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ในช่วงต้นนั้นในหลวงเป็นพ่อ อาตมาเป็นแม่ พอในหลวงร.9 สิ้นไป อาตมาก็ขยับมาเป็นพ่อ พวกเราผู้รู้ สมณะ สิกขมาตุ ฆราวาสก็ขยับมาเป็นแม่
ในความเป็น มาตา ปิตา ก็จะเกิดสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนนี้ไปตลอดกาลนาน พระพุทธเจ้าทรงเป็นบิดา ก็มีพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เป็นแม่ หรือเป็นมารดา พระสารีบุตรเป็นแม่เลี้ยง พระโมคคัลลานะเป็นแม่นม เมื่อพระพุทธเจ้าสิ้นไป พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรก็ต้องรวมตัวกันเป็นหนึ่ง เป็นบิดาแทน และก็มีพระสาวกพระอัครสาวกต่างๆเป็นผู้สืบทอด เป็นแม่เป็นมารดา แล้วทำก็สอนสืบต่อกันเป็นมารดา มารดาก็เกิดลูก ต่อไปอีกต่อไปอีก เมื่อพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะสิ้นไปอีก พระสาวกต่างๆก็ผลัดกันขึ้นมา เป็นหมู่กลุ่มเป็นคณะของสงฆ์ขึ้นมาเป็นพ่อ แล้วก็มีผู้ที่เรียนรู้ตามจำนวนหนึ่งที่ได้รับมรดกถ่ายทอดออกไป เป็นแม่ ร่วมกัน 2 ภาวะสภาวะธรรมะ 2 เกิดโอปปาติกโยนิ เกิดเป็นลูกที่ไม่ใช่เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม สืบทอด ก็จะค่อยๆเปลี่ยนย้ายสืบทอดกันไป จากความเป็นแม่และความเป็นพ่อจะสลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ เข้าใจมากขึ้นไหม
เพราะฉะนั้นอะไรอะไรก็แล้วแต่สภาวะธรรมหรือธรรมะนี้ ยึดมั่นถือมั่นกับพยัญชนะที่ระบุไม่ได้ สภาวะก็สลับเป็นสภาพ ปฏินิสสัคคะ คัมภีราวภาโส อาตมาถึงได้ตั้งภาษาว่าเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยากจะเข้าใจอย่างยิ่ง แต่ผู้มีปัญญาจะไม่สับสน จะเห็นองค์ประกอบ เห็นกาละ จะเห็นสภาวะจริงที่ยืนยันความจริงนั้น ยืนยันต่อไปได้ ว่าอันนี้เปลี่ยนแปลงรูปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ขออภัยที่ต้องอธิบายความจริงต่อไป ในสังคมขณะนี้ที่ในหลวงซึ่งเป็นพ่อของประเทศได้สิ้นพระชนม์ไป อาตมาเป็นแม่ ก็จะขยับขึ้นไปเป็นพ่อ เป็นพ่อของอันนี้ ที่จะให้การเกิด สัตว์โอปปาติกะ ในหลวงท่านเป็นพ่อสิ้นไปแล้วจบหน้าที่ของท่าน อาตมาที่เดิมเป็นแม่ก็จะขึ้นมาเป็นพ่อ แล้วก็จะมีพวกเราที่นำพามรดกนี้ Legacy of global Humanity ต่อไปให้พวกเราได้ใช้เป็น Lifelong learning กันต่อไป
อาตมาก็จะต้องเปลี่ยนท่าที อาตมานี้เป็น Hard power มานาน เพราะถ้าขืนให้อาตมาทำ หรือให้ในหลวงทำ Hard power คนรับไม่ได้ ในหลวงต้องทำ Soft power เป็น Supreme Authority ในตอนนั้น ในหลวงไปแล้ว เปลี่ยนไปตอนนี้อาตมาต้องใช้จาก Hard power มาเป็น Soft power แล้วพวกเราต่อไปต้องเป็น Hard power แข็งขึ้นมา รู้จักหน้าที่นะ ผ่องถ่ายขึ้นมา
อาตมาพลังงานแรงงานสรีระก็แย่ลงไป แรงไม่ไหว
ผู้ที่มี Hard power ซ้อนนะ แต่เมตตานั้นมหาศาล เมตตาไม่มีที่สิ้นสุด เมตตามหาศาลแต่ว่า Hard power อาตมาทำมาตลอดมันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่นพ่อกับแม่เลี้ยงลูก พ่อนั้นแรงไม่ได้ พ่อถ้าแรงลูกจะตาย พ่อจะต้องไม่ค่อยลงแรง แต่แม่จะต้องแรง แม่จะตีพั๊วเพี๊ยะ แต่ไม่หนักเหมือนพ่อ ถ้าพ่อลงแรงแสดงว่าลูกนี้ด้านและหนาแก้ได้ยาก เป็นสัจจะ ที่อธิบายให้ฟัง
ตอนนี้เรามั่นใจว่ามี Legacy of global Humanity อยู่ในโลกแล้ว เราก็รับเอาลิขสิทธิ์ มรดกนี้มานะ เสร็จแล้วเราก็มา Learning Lifelong กันต่อไป จะเป็นการสลับกันระหว่าง Hard power และ Soft power ใช้ควบคู่กันไปเสมอ แรงอย่างเดียวเบาอย่างเดียวไม่ได้ สิ่งที่เรียนรู้ตลอดกาลนานคือความไม่เที่ยง จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะควรเวลาและองค์ประกอบ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปและหมุนเวียนไป ทดแทนกันอย่างนี้เป็นสัจจะไม่มีจบในเรื่องของ Global เรื่องโลกที่หมุนเวียนตลอดเวลาเป็นกัปป์ เป็นพลวัตรหมุนอย่างนี้ตลอดกาลและนาน
ความเป็น Soft power จึงไม่ยึดมั่นถือมั่น แต่ลักษณะบางทีต้องใช้ให้มันเกิด power ต้อง Hard ไม่งั้นไม่ได้ Soft ไม่ได้ อาตมาทำมาแล้วเหนื่อย เพราะเมื่อทำแล้วคนก็จะรับไม่ค่อยได้ แต่เราต้องมีศิลปะที่จะแรงอย่างที่อย่าให้คนเกลียดและเข็ดขยาด แรงแต่คนก็อบอุ่น คนเกิดเห็นคุณค่า แรงนั้นคนเกิดเห็นประโยชน์ของมันอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นภาษาที่อธิบายได้ยาก เป็นศิลปะขั้นสูงมาก เพราะฉะนั้นอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พยายามเพิ่มพัฒนาไปสู่ระดับที่ 8 มันก็ได้ขนาดนี้ ที่อธิบายแยกแยะให้ฟัง
ทำงานก็ต้องพากเพียรให้ได้ประโยชน์ที่ดี ถ้าจะไปทำงานแล้วรู้ว่ามันเสียหายก็ยังอุตส่าห์ทำไปก็ไม่ควรทำ
สมณะฟ้าไทว่า... พระโพธิสัตว์ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำหน้าที่ไปได้ผลระดับหนึ่งแล้วก็ต้องเปลี่ยนนะ
พ่อครูว่า...ก็ต้องค่อยๆเปลี่ยนแปลง หักโค้งทันทีไม่ได้ ต้องให้เกิดความโค้งอย่างได้สัดส่วนที่ดี โค้งไปทีละน้อย เก่งขึ้นก็คงได้มากขึ้น โค้งไกลอย่างนี้เมื่อไม่เก่ง เก่งขึ้นก็คงได้เร็วขึ้น แต่มันก็ต้องวนไปซ้ายขวาซ้ายขวา ทีนี้คนไม่รู้จักความวนซ้ายขวาๆ แต่คนหมุนสมองไม่ทันสมัย หมุนกลับไปแล้วเขาสูงขึ้น แต่บางคนลงไปต่ำกว่าเดิมอีก ซ้ายไปขวาแล้วนะ มาแล้วดันลงไปข้างล่าง มันก็เลยต่ำลง แต่คนที่เข้าใจแล้ว ซ้ายขวามันอยู่ที่เดิม แต่มันสูงขึ้นๆนะ ไม่ใช่ที่เดิม นี่ก็ทำรูปมือรูปไม้ แสดง
สภาพของ 3 อย่างนี้ ถ้าทำได้อย่างเจริญก็เป็นการเจริญอย่างเสฏโฐ เรียกว่าเกิดความเจริญด้านเศรษฐกิจที่สมดุล เป็นเศรษฐกิจพอเพียง การกระทำที่สมดุล เรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงการจัดสรรสภาพองค์รวม ที่ได้สัดส่วนอย่างสมดุลพอดี จะเกิดพลังงานสร้างสรรค์เกิดคุณค่าที่สูงที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน พลังงานอันเป็นทางเอกสู่นิพพาน
มนุษย์ในสังคมไหนก็ตาม ทฤษฎีนี้ทฤษฎีเดียว "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30 เส้นทางประเสริฐคือมรรคมีองค์ 8 มรรคมีองค์ 8 นี้มีอริยสัจ 4 ที่จะต้องขยายความไปอย่างนี้ มรรคองค์ 8 ไม่ได้โดดเดี่ยว จะต้องมีคู่คือโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 กับโพชฌงค์ 7 ร่วมกันทำงานแล้วก็กลายเป็นโพธิปักขิยธรรม 37
โพธิปักขิยธรรม 37 จึงกลายเป็นสูตรหลักสูตรใหญ่ ตั้งแต่ต้นจนที่สุดเลย ก็จะผนวกเอาโพชฌงค์ 7 และมรรคมีองค์ 8 ไว้ในข้อที่ 6 ที่ 7 นอกนั้นเป็นพฤติกรรมที่ร่วมกันเกิดพัฒนาการตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 แล้วก็เกิดเป็น Power เป็นพลังงานที่เรียกว่าอินทรีย์ 5 แล้วก็สูงขึ้นไปเป็นอันดับจนถึงที่จบเรียกว่าพละ 5 ก็เท่านี้
อินทรีย์ 5 พละ 5 มีอะไร จะเป็นพยัญชนะ 5 ตัวที่ต้องเข้าใจสภาวะธรรมที่แท้จริง ถ้าจำไม่ได้แล้วไม่เข้าใจความหมายที่ถูกต้องครบถ้วนก็จะยากที่จะสำเร็จ เพราะว่ามันเป็นโลกุตรธรรมเป็นอาริยธรรม เป็น Supreme Civilization เป็นความเจริญขั้นสุดยอด
ใน 5 คำนั้นคือ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ 5 ประการนี้ ไม่มีแก่ผู้ใดเสียเลยโดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน. (พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ13)
มีอินทรีย์ 5 แล้วดำเนินไปสู่ผลสูงสุด อินทรีย์หรือพละก็คือ power พลังงานที่เจริญขึ้นไปเจริญขึ้นไป คนไม่รู้ก็เป็นสิ่งที่แฝงอยู่ในนั้น แต่คนรู้ก็จะรู้ตัวคิดเป็นอัตราการก้าวหน้า หรืออัตราการเสื่อม ผู้ที่รู้จักตัว เสื่อม แล้วอย่าไปทำพลังงานนั้นใส่เข้าไป อย่าเลือกพลังงานที่ทำให้เสื่อม ให้ทำแต่พลังงานที่พาให้เจริญก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆจริงๆ นี่คือผู้ที่รู้พลังงานต่างๆ เพราะฉะนั้นการศึกษาทุกวันนี้ เป็นการศึกษาพลังงานในโลก เขาก็ศึกษาพลังงาน นำพลังงานมาใช้ให้เป็นประโยชน์เต็มไปหมด ว่าการเหาะเหินเดินน้ำดำดินหายตัวได้หมดร่างแหละ งานทางด้านนามธรรมก็ต้องศึกษา แล้วเอามาใช้ควบคู่กันไปกับพลังงานทางวัตถุ
จริงๆแล้วพลังงานทางนามธรรม มันสบายกว่าพลังงานทางวัตถุ พลังงานทางวัตถุ หากไม่ศึกษาพลังงานทางนามธรรม จะเป็นตัวโทษภัย และเป็นตัวทุกข์ก่อเวรภัยไม่รู้จบ
เมื่อมาศึกษาพลังงานนามธรรมที่รู้จบ เรียกว่าพระอรหันต์ ก็จะจบไม่ทำบาปทั้งปวง ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษภัยอีกแล้ว สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง เพราะฉะนั้นจะเหลือกรรมกิริยา ของท่านผู้นี้อยู่ก็จะมีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา เพราะมีสจิตตปริโยทปนัง ได้ทำจิตใจของตนให้สะอาด เป็นจิตพระอรหันต์สมบูรณ์แล้ว เหลือกรรมกิริยาอยู่ก็คือกรรมไม่มีบาปไม่มีเศษของโทษภัย มีแต่เศษที่เป็นคุณค่าประโยชน์เป็นกุศลทั้งสิ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สายปัญญากับสายศรัทธา
คุณจะต้องมีความรู้ ความรู้ที่เรียก 2 อย่าง
1. ความรู้แบบศรัทธา 2. ความรู้แบบปัญญา
ความรู้สองอย่างนี้หัวท้ายของอินทรีย์ 5 พละ 5 ความรู้ที่ต้องไปอยู่แค่ศรัทธา ไม่มีความเฉลียวฉลาดมีแต่แรงๆๆๆ ศรัทธา คนที่ไม่มีความเจริญฉลาดแรงๆๆ ก็จะไม่รู้ดีไม่รู้ชั่ว เมื่อไม่รู้ดีไม่รู้ชั่วก็จะไม่รู้ความเจริญ ความเจริญต้องรู้ดีรู้ชั่วแล้วเลิกความชั่วเอาแต่ดี นี่คือผู้ที่มีปัญญารู้
สัตว์เดรัจฉานก็ต้องเรียนรู้ความชั่วและเลิกความชั่วมาเรื่อยๆจนเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็มีจิตวิญญาณที่เจริญขึ้นสูงขึ้น จากผู้ที่อวิชชา หรือเป็นผู้ที่ยังไม่เจริญก็เจริญขึ้นจากกัลยาณธรรม จนมาเป็นอาริยธรรมเป็นอาริยชนเป็นโลกุตระ ซึ่งเป็นสภาพหมุนรอบของพลังงานก็จะเป็นอย่างนี้ จะเป็นแรงบวกลบ แล้วก็กลับไปกลับมาขึ้นสู่ที่สูง แต่มันจะกลับไปกลับมา ขวาเป็นซ้าย ซ้ายเป็นขวาแล้วนะ ไอ้นี่แหละ ที่พวกหมุนสมองยังไม่ทันสมัยจะกลับตัวไม่ทัน นี่แหละยังงงอยู่นั่นแหละ ทะเลาะวิวาทขัดแย้งกันอยู่ แต่ผู้ที่หมุนสมองให้ทันสมัยแล้วจะกลับทำรู้ทัน เปลี่ยนแล้วหรือ เราก็เปลี่ยนทำให้เข้ากระแส โลกุตระได้
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธากับปัญญา ศรัทธาคือผู้ที่พากเพียรทำให้เกิดปัญญา เจโตมีแต่จิต แม้จะเป็นจิตของผู้ที่เป็นแกนศรัทธา เมื่อปรารถนาต้องการความรู้ที่ประเสริฐเป็นโลกุตระ ขึ้นไป เขาก็จะเป็นจริตแบบเขาเรียกว่า สัทธานุสารี ผู้ติดตามธรรมะพยายามศึกษาธรรมะ ซึ่งมีแกนของศรัทธาคู่กับธัมมานุสารี ผู้ที่มีแกนของธรรมะ ท่านยังไม่เอาปัญญาเข้าไปใส่ในคำนี้ เพราะถ้าปัญญาแล้วมาจากอัญญะ หากไม่เข้าใจรูปนามไม่เลยขีดของกายสักขี ความเป็นปัญญายังไม่ชัด เลยขีดความเป็นกายสักขี ปัญญาถึงจะชัดเจนและถูกตรง เมื่อปัญญาชัดและถูกตรงแล้ว จึงจะสามารถให้เกิดวิมุติที่แท้จริง วิมุติที่สมบูรณ์ไปหาอุภโตภาควิมุติ สิ้นอาสวะหมดได้ แม้เบื้องต้น และที่สุดสิ้นอนุสัยสูงสุดได้ นี่คือสายปัญญาที่เฉลียวฉลาดที่ไม่ใช่เฉโกหรือเฉกะ
สายปัญญาที่มีโลกุตระมาตั้งแต่ต้นคือ ธัมมานุสารี พัฒนาวิมุติขึ้นไป ก็จะเป็นทิฏฐิปัตตะ ทิฏฐิ แปลว่าความรู้ ความเห็น ความเข้าใจ ความฉลาด ทิฏฐิปัตตะ พัฒนาไปถึงขีดเรียกว่าปัตตะ บรรลุถึงขีดขั้นอันนั้นแล้วก็ใช้พยัญชนะว่าทิฏฐิปัตตะ ยังไม่เรียกเป็นคำว่าปัญญาเสียทีเดียว เพราะว่าปัญญานั้นต้องเต็มไปด้วยลักษณะที่จริงแท้แน่นอน แต่ธัมมานุสารี จะมีพื้นฐานของโลกุตรได้ดีเพราะเป็นสายปัญญา กว่าจะได้อันนี้ขึ้นมาเร็วกว่า
ส่วนทางสายศรัทธานั้น จากศรัทธาก็ได้วิมุติ แต่เป็นวิมุติกดข่ม ก่อนปัญญาด้วย หยุดอบายก็หยุดก่อนเลย หยุดกามก็หยุดก่อนเลย
ตรงนี้ขอแวะหน่อยหนึ่ง แม้แต่มหาบัวเสพติดหมากพลู หลงยินดี ที่ให้เอาเงินทองมาทำบุญเสียสละได้โก้ ภาคภูมิ ก็ยังไม่รู้อัตตาตัวเอง ในเชิงปัญญามีน้อยมากเลย ขออภัยต่อผู้ที่เคารพนับถือมหาบัว ก็เลยได้อะไรไม่เท่าไหร่ ขออภัยเอาปรากฏการณ์จริงมาเป็นตัวอย่างในการอธิบายธรรมะให้ชัดเจน ไม่ได้ไปลบหลู่ดูถูกดูแคลนอะไรหรอก แต่ต้องเอามาเป็นตัวอย่าง อธิบายให้เกิดประโยชน์ เพราะเป็นความซับซ้อนเรื่องของพลังงาน มหาบัวที่บอกว่านั่งหลับตาจนก้นแตก แล้วปึ๊งขึ้นมา ก็เป็นมโนมยอัตตากันอยู่มหาศาล ไม่เข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นสภาวะละเอียดของจิตเจตสิกต่างๆอย่างดีชัดเจน มันไม่เป็นลำดับ เพราะเอาแต่นั่งหลับตาไม่เป็นลำดับหรอก ให้มาลืมตาทำเป็นลำดับ อย่านึกว่าตัวเองต้องรีบร้อนเป็นพระอรหันต์ ถ้าคนมีบารมี ถือศีล 5 แล้วเดี๋ยวเดียวก็บรรลุเป็นศีล 8 เดี๋ยวเดี๋ยวบรรลุศีล 8 ก็จะเป็นศีล 10 เดี๋ยวเดียว ถ้าคนมีบารมี เดี๋ยวเดียวเพิ่มไปอีก ศีล 15 ศีล 18 26 อย่าไปทำลัด ความเป็นลำดับจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน อย่าไปหลงอยากบรรลุเร็วให้เป็นตามลำดับให้ได้
สายปัญญามีความเฉลียวฉลาดโลกุตระที่เป็นปัญญา ให้ได้ก็จะเกิดความขยัน เราได้พัฒนาการขึ้นเป็นอาริยธรรมโลกุตรธรรม มันจะมีความขมีขมันสังเกตตัวเอง ถ้าเราได้โลกุตรธรรม มันจะมีมรรคมีผล จะเกิดผลชัดเจน และการได้มรรคผลของศาสนาพุทธนั้น มรรคผลจะเป็นคนตื่น มีสติมีความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ใช่จมไม่ใช่ไม่ยินดี แต่จะสดใสสว่างเป็นสติ มีการเพิ่มรัศมีสว่างออกไปเรื่อยๆ ไม่ใช่จมไปหาความเป็น 0 จะมีพลังงานซึ่งสักวันหนึ่ง อาตมาคงจะมีปฏิภาณปัญญา เอาความเป็น พรหม 16 ชั้นมาขยายให้ฟัง
ของทางศรัทธา พรหม 16 ชั้นเป็นพระพรหมที่โง่ๆ เป็นพระพรหมที่ไม่มีปฏิภาณปัญญาจมอยู่กับสภาวะจิต แต่พรหมของโลกุตระ จะเป็นพระพรหมที่ค่อยๆขยายไป ปริตตาพรหม ปริสุทธาพรหม มหาพรหม เป็นปริตาภา ปริตตาสุภา อัปปมาณาสุภาแล้วค่อยเป็นอาภัสรา จะค่อยๆขยายเป็นสภาพอย่างนั้นจริงๆ พรหมที่เป็นโลกุตระ กับโลกียะนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรไม่ใช่เรื่องสามัญธรรมดาง่ายๆที่จะอธิบาย
อาตมาอธิบายเทวดา 6 ชั้นเรื่องของสวรรค์นรกให้ชัดเจนก่อน ทุกวันนี้ก็ยังมีความซับซ้อนที่ต้องขยายความอยู่ เทวดาก็เป็นของเก๊ทั้งนั้น แม้พระพรหมก็เป็นของเก๊ได้ ต้องศึกษา ให้หมดความเป็นเทวดาเป็นพรหมก็จะหมดความเป็นสัตตาวาส 9
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน soft power สู่ลหุตาในลักขณรูป 4
สรุปแล้วอันที่ 4 เป็นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จากมรดกแล้วก็มาศึกษา ศึกษาแล้วก็มาสร้างสรรค์ให้เกิด power ที่มันเป็น Soft power แต่ความ Soft จะต้องมีน้ำหนักในนั้นมีความ hard ในนั้น เสร็จแล้วก็จะเกิดความสมดุลเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอันที่ 4
สรุปอีกทีว่า ความรู้ความฉลาดนั้นไม่ได้ทำให้คนยิ่งหรี่หลับ แข็งไม่กระดุกกระดิก แต่ยิ่งคล่องแคล่ว ยิ่งเป็นปาคุญญตา เป็นกัมมัญญตา คล่องแคล่วว่องไวในกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นประธานก็ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ยิ่งมีความเจริญไม่ใช่เป็นความหนืดความเฉยความช้า ไม่ใช่ ต้องแววไว เป็นมุทุภูตธาตุทั้งศรัทธาเจโตและปัญญา ตัวศรัทธาเจโตก็ปรับได้เร็ว ตัวปัญญาก็รู้ได้เร็วควบคุมตัวเจโต ให้ปรับได้ไว เลิกก็เลิกไว ก้าวหน้าก็ก้าวหน้าได้เร็ว จะเป็นผู้ที่ยิ่งพัฒนาก้าวหน้าไปตลอดเวลาเลย
การเล่าเรียน Lifelong learning เรียนไปตลอดเวลา ถ้ามันถูกต้องแล้วเป็นมรดกที่ถูกต้อง Legacy ที่เป็นความถูกต้องแล้วเรียนไปเลยตลอดชีวิต แล้วเราจะได้ Soft คำว่า soft นี้ในวิการรูป ตัวที่ 1 เลย ลหุตา
ลหุตาคือ soft คือเบา แต่เบานี่แหละแทรก Potential energy คนไหนทำซ้อนหนักในเบาได้คนนั้นมีศิลปะสูง เขามองว่าเบาแต่มีน้ำหนัก คนนี้แทรกโอสถทิพย์ในขุมขนได้ คนที่จะแทรก ลหุตาได้ ต้องมีมุทุตา มีเจโต มีปัญญาที่แววไว จะเอาจิตตัวไหนไปทำงาน และก็ต้องประกอบให้เป็นกายวิญญัติ วจีวิญญัติให้ดู soft อย่างอาตมายังไม่เก่งยังเป็นความแข็งและแรง ยังไม่เก่งก็ต้องทำอย่างนี้เป็นธรรมดา
ขนาดท่านสีลวัณโณ แต่ก่อนก็ศรัทธาเพราะอาตมาทำ soft แต่อาตมาทำแบบ hard ตอนนี้ท่านก็เลยไม่ค่อยนับถือ แต่อาตมาเอาผลดีที่จะเกิดมากกว่าเอาตัวตน อาตมาว่าไม่งั้นมันไม่ได้ผล อย่างนั้นมันหลงตน จะแรงไปเดี๋ยวเขาไม่รักไม่พอใจนั่นแหละคือความรักอัตตา ไม่กล้าสละอัตตา อย่างเช่นนายกฯประยุทธ์เหมาะสมกับองค์ประกอบกาละนี้อย่างมาก
ศรัทธากับปัญญาเป็นความรู้ทั้งคู่ ความรู้เชิงเจโตคือ ศรัทธา ส่วนปัญญาเป็นความรู้ที่ออกนอกกรอบของสามเส้าแล้ว ก็มีพลังงานที่ 4 ออกนอกกรอบ พลังงานโลกีย์จะครองโลกคืออย่างนี้ แต่คนที่จะเจริญเป็น 4 เป็น 5 ก็ออกมา เขาก็ยังเป็นแกนอยู่อย่างนั้น ออกไปเป็นประโยชน์คุณค่า ก็จะค่อยๆเพิ่มพลังงาน รู้จักโลก รู้จักอัตตา ก็มีสองอย่างนี้เท่านั้น โลกกับอัตตา
เมื่อผู้ที่สามารถขยาย รู้ภาวะของสัจจะที่เป็นภาวะพุทธะทั้งนั้น เป็นภาวะของความตื่นไม่ใช่ความจม แล้วไม่ใช่ความลอยเกิน จะลอยได้ระดับอยู่ในพลังงานรวม เป็นองค์ประกอบที่ไม่ออกนอกหมู่ เป็นก้อนเป็นกำที่มีเรี่ยวแรงพัฒนาการช่วยกันเสริมไปจริงๆ
ผู้ที่มีภาวะปัญญารู้ รู้ว่า พลังงานความเจริญนี้เป็นพลังงานตื่นไม่ใช่พลังงานหลับ ไม่ใช่สภาวะที่ หลับเฉื่อย แต่ยิ่งกระปรี้กระเปร่า Active ขึ้นเรื่อยด้วย จึงเกิดความตื่นคือสติ สติคือความตื่นคือความชาคริยา เป็นความพัฒนาการไปสู่ความรู้ คือมีแนวโน้มไปสู่ทิศทางของความตื่น
ในขณะใดที่พัฒนาอันนี้ จะพัฒนาลักษณธรรมอีก 4
ตัวหลักคือ
1. ลักษณะของการเกิด เรียกว่าอุปจยะ
2. ลักษณะของการตัดไม่ให้เกิด เรียกว่าสันตติ และจะให้เกิดหรือจะไม่ให้ต่อ ในความมีก็จะให้เกิดหรือจะต่อ ถ้าไม่ต่อก็จะตัด เมื่อตัดแล้วก็จะเหลือแต่โมเมนตัมจะเหลือพลังงานที่เข้าหา 0 ก็เข้าหาชรตา
3. ชรตา แต่ถ้าในอนาคตมีอะไรขึ้นมาอีกได้ก็จะไม่เที่ยง คุณจะตายหรือจะตื่น ถ้าจะตายก็ตัดปล่อยไปก็จะจบ
4. อนิจจตา
ขณะนี้ ขอโยงใยถึง สิกขมาตุหยาดพลี ยังเข้าใจพลังงานนี้ไม่ได้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ยังยึดพวกเรา ยังยึดอาตมา อาตมาก็บอกว่าปล่อยวางแล้ว ถึงเวลาวาระแล้ว
มันมีตัวเอง มีหมู่ มีอาจารย์ สามเส้า หมู่กับอาจารย์ก็ไม่ว่าอะไรแล้ว ให้ตัวเองเปลี่ยนขันธ์เปลี่ยนร่างเพราะอวัยวะต่างๆทำงานไม่รอดแล้ว เปลี่ยนใหม่เปลี่ยนร่างใหม่วางเถอะ เดี๋ยวก็เกิดมา แล้วแต่เกิดไกลก็ไม่มีปัญหา จะมาถึงที่นี่จนได้เมื่อเรามีพลังงานอยู่แล้ว เพราะว่า สิกขมาตุหยาดพลี ก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นอาริยบุคคล ไม่ต้องห่วงหรอกจะต้องเกิดอยู่ ถ้าจะให้เกิดทันบารมีของวิบาก เกิดมาก็ยังทันเพราะในยุคนี้ก็ยังมีอยู่ ยังจะไปอีกพอสมควร ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างนี้ไม่ต้องกลัวหรอก ตายแล้วก็มาเกิด ไปดูเถอะ สิกขมาตุหยาดพลีคนไหนนะ ดูบุคลิกให้ดี
ที่ฟังนี้ก็วางได้แล้วปล่อยได้แล้ว มันไม่ฟื้นแล้วอวัยวะมันใช้ไม่ได้ต่อไปแล้ว ปล่อยไปเถอะวางแล้วก็จบ ทรมานทรกรรมฝืนไปก็เสีย
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าจะห่วง ในหลวงน่าจะเป็นห่วงมากกว่า
พ่อครูว่า..ในหลวงท่านสูงกว่า ก็ไม่มีปัญหา ในหลวงท่านสูงแต่ที่ท่านทำงานเป็นการ overload ขนาดนั้นก็ยังเห็นได้ว่า โมเมนตัม ท่านนั่งวีลแชร์แล้ว ก็ยังทรงงานอยู่ใครก็ห้ามไม่อยู่ เป็นสุดยอดแห่งพระกรุณา ท่านมีพระกรุณาที่ไม่มีสิ้นสุด สุดท้ายท่านก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะวาง
ก็ศึกษาในหลวงแล้วก็มาศึกษาอาตมาต่อไป อาตมายังไม่ได้นั่งวีลแชร์นะ ยังทำเป็นหนุ่ม 37 อยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สมาธิโลกุตระเป็นสมาธิตื่น
ก็เมื่อตัวเฉลียวฉลาดของศรัทธารู้ว่านี้เป็นเพชร ความตื่นนี้ดี ถ้าศรัทธาจะตกในไสยะจะหลับ เมื่อรู้แล้วก็ต้องพัฒนาให้มีวิริยะที่สูงขึ้น สูงก็ได้ปีติที่ได้ทั้งนอกและใน อยู่แต่ภายในไม่ได้จะเกิดปฏิภาณว่าอย่าไปจมแต่ภายในออกมาภายนอก สติมันจะไม่เต็มรอบไม่เต็มร้อยมันรู้อยู่แต่ภายใน ข้างนอกมี 5 นะ ข้างในมีเพียง 1 พลังงานของมนุษย์ข้างนอกมีทวารทั้ง 5 ข้างในมีหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นมันต้องตื่นออกมา จึงเกิดความรู้ว่า ต้องให้มีความตื่นคือสติ ชาคริยา ก็ตื่นมา แล้ววิริยะก็พากเพียรเพื่อจะให้ตื่น
การตื่นขึ้นมาจึงเป็นการปฏิบัติธรรม ฌานก็ดี สมาธิก็ตาม เป็นแบบฌานตื่น สมาธิตื่น ไม่ใช่ฌานหลับ สมาธิหลับ ฟังไว้ฟังไว้ พวกที่นั่งหลับไปงมมันก็จมต่อไป ไม่ต้องห่วงหรอกปฏิบัติให้เกิดศรัทธา เกิดทำแข็งแน่นมันสร้างมาก่อนแล้วมันทำได้ มีบารมีขนาดนี้แล้ว มีปัญญารู้แล้วไม่ต้องกลัวเลยมันจะมีพื้นฐานของ อัปปนา ตัว static มันจะต้องได้
มันจะมีอัญญะก่อน ถ้าเข้าร่องแล้ว แล้วมันจะเป็นแกน Static ที่มันเป็นพัฒนาการของอาริยของโลกุตระได้ ก็จะค่อยๆเพิ่มมา เพียรแล้วตื่นๆ สมาธิที่ได้จากการเพียรปฏิบัติเป็นสมาธิตื่น จึงเกิดสมาธิของโลกุตระ แต่สมาธิที่ไม่เข้าใจลำดับพวกนี้ก็เป็นเพียงแต่สมาธิหลับ ได้แต่สมาธิหลับกันจมอยู่อย่างนั้นจึงยากจริงๆ อยากที่ไปติดยึดกันอย่างนั้นมันไม่ต้องทำงานมันมีอัตตาเยอะ คนที่ไม่ทำงานอัตตาเยอะกินน้อยใช้น้อย จะออเซาะตัวเองไม่มีคุณค่าประโยชน์อะไรหรอก เหมือนอย่างน้องชาย สิกขมาตุรินฟ้า ไม่เข้าใจจมอยู่กับสายอย่างนั้น เขาพากเพียรนะชีวิตนี้ มาทางธรรม แต่ไม่คลี่คลาย
แกนมีพอแล้วสั่งสมแกน Static ไว้หนัก มีพอแล้วแต่ไม่คิดที่มาเอาปัญญาเพราะมี อัตตาตัวลึก ว่าจะไปทำอะไรมันเมื่อยเปล่าๆ อัตตาทั้งนั้น ต้องขยันสร้างสรร ลดอัตตาตัวเอง จะไปเสพติดทำไม แต่นี่อัตตาก็แข็งทื่ออยู่ มันบังคับไม่ได้ ความเฉลียวฉลาดรู้ต้องเป็นเอง บังคับไม่ได้
เมื่อเกิดความตื่น สมาธิก็เป็นสมาธิโลกุตระ เมื่อมีภูมิปัญญา มีอัญญธาตุก็เสริม ตื่นดีกว่าหลับ หลับมันจมตีไม่แตก จะอยู่อีกนานกี่กัปป์กัลป์ ตื่นแล้วมาตีแตกให้กิเลสสลาย ก็ใช้ปัญญาเป็นตัวปล่อย มุญจิตุ ก็มีอยู่แต่เราไม่เอา
คนที่เอาไม่ออกคือซวย ก็ต้องสร้างพลังงานที่ไม่ไปติด สมาธิต้องเป็นสมาธิที่ตื่น ไม่ใช่สมาธิที่หลับ ต้องมีสติทำอย่างพูดให้ตื่นสมาธิจึงเป็นสมาธิแบบตื่นเต็ม อุภโตภาค เป็นสมาธิที่มีปัญญา ไม่ใช่สมาธิที่อยู่ในเฉกะ เฉโก เป็นสมาธิที่เปลี่ยนโลกใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ จะเอาหรือเปล่า ไม่เอาหรือเปล่า จะเป็นวิตรรกะ กลับไปกลับมา มันจะนานช้า เพราะฉะนั้นความชัดเจนของความเฉลียวฉลาดไม่พอ มันก็ตัดสินไม่ได้ ถ้ามีความเฉลียวฉลาดนี้มากพอก็จะตัดสินได้ สติก็เป็นตัวนำ
พูดถึงสตินำแล้ว ก็ขออธิบายถึง หลวงปู่ติชนัทฮันห์ หรือสายท่านพุทธทาส ทั้งสองท่านแกนเป็นเจโต พอได้ปัญญาก็หลงปัญญา ปัญญาจึงพาให้ช้า จะไม่รู้รายละเอียดของอภิธรรม
ท่านพุทธทาสนี้ไปไหนก็ยังมีถังน้ำหวานอยู่ข้างตัว ท่านหลวงปู่ติชนัทฮันห์ ก็ยังระเริงระริกในสวรรค์ สวรรค์มีรสทางหูจมูกลิ้นกายใจ ก็ที่พูดนี้ไม่ได้ใส่ไคล้ก็เป็นเรื่องจริง ตนเองก็ไม่รู้ พวกสายเจโตจะไม่ค่อยรู้ตัวเอง แล้วก็ต้องมาปฏิบัติปัญญา ในคนไทยก็มียังไม่อยากออกชื่อ ขออภัยพูดอย่างจริงใจเมตตาไม่ได้ลบหลู่ดูถูก เป็นการพูดอย่างวิชาการไม่ได้ดูถูกนะ แต่อาตมากราบไหว้ได้เคารพท่านทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ติชนัทฮันห์หรือท่านพุทธทาส อาตมาก็ยังไปกราบท่านพุทธทาส หลวงปู่ติชนัทฮันห์นี้อยู่ต่างประเทศก็ไม่ได้ไป อาตมาเคยไปแต่เมืองลาวนิดหน่อย
สมาธิต้องเป็นสมาธิตื่นไม่ใช่สมาธิหลับ อาตมาพูดมากแล้วเรื่องนี้ อยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรกเลย ท่านได้ตีทิ้งหมดเลยในทิฏฐิ 62 เป็นทิฏฐิที่ผิดหมดแหละ แล้วทิฏฐิที่ถูกต้องเข้าหาสามัญญผล การไปนั่งหลับตา เจโตสมาธิจะจมอยู่ในชาละ คือข่ายแห เหมือนลิงแก้แหออกไม่ได้หรอก อย่าไปนั่งหลับตาเลย มาตื่นแล้วปฏิบัติไปตามลำดับ ตัวเองถ้ามีบารมีก็จะเจริญได้เร็ว ถ้าไม่มีบารมีก็จะช้า ไม่มีของจริงก็ต้องพากเพียรไปเป็นลำดับขั้น คนไม่มีบารมีไปตีกินก็ไม่ได้ มันเป็นสัจจะจะไปขี้โกงได้อย่างไร ถ้ามีบารมีมันไม่ช้า ถ้าไม่มีบารมีก็เป็นของจริงของตัวเอง เราก็จะได้รู้ว่าตัวเราก็เท่านี้ นึกว่าตัวเองสูง ที่แท้ก็แค่หางอึ่ง ก็จะค่อยๆพัฒนาขึ้นมา
เมื่อสติเป็นความตื่น สมาธิเป็นความตื่นแล้วก็จะเป็น อุภโตภาควิมุติ จะมีทั้งเจโตและปัญญา ตื่นแล้วก็จะมีปัญญามี อัญญธาตุ ใช้สัญญธาตุสร้างให้เกิดปัญญธาตุ เสริมสร้างให้เกิดอินทรีย์ แก่กล้าขึ้นตามลำดับๆ จากสัทธาวิมุติ เป็นทิฏฐิปัตตะ
ธัมมานุสารี ถือเป็นสายปัญญา สัทธานุสารี เป็นสายศรัทธา แกนจิตจะต้องต่างกันแน่นอน เมื่อ ธัมมานุสารี พัฒนาขึ้นไปก็มีวิมุติ เป็นวิมุติในระดับ ทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงด้วยความเห็น ด้วยความสัมผัส ด้วยความตื่น เข้าถึงตามวิโมกข์ 8
ผู้ใดเข้าใจวิโมกข์ 8 ไม่ได้ ไม่ปฏิบัติในขณะที่มี วิญญาณฐีติ 7 ก็ล้างสัตตาวาส 9 ไม่หมด ไม่ชัดเจน ต้องปฏิบัติขณะมีวิญญาณตื่น วิญญาณจะรู้ได้ก็ต้องมีการปฏิบัติแบบลืมตา วิญญาณต้องครบเจตสิก 3 มีเวทนา สัญญา สังขาร การสังขารต้องครบทั้งกายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร
ถ้ากายเป็นข้างนอก จิตเป็นภายในต้องสมบูรณ์ แต่กายเป็นคำที่มีทั้งนอกและใน กายใน นัยปรมัตถ์เรียนยากกว่าจิต
ถ้าไปเข้าใจว่ากายมีข้างเดียว อันนี้สำคัญ เขาอธิบายกายผิดกัน อาตมาพยายามเอากรรมฐาน 5 มาขยาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็เอาที่เข้าใจง่ายสุดคือเล็บมาขยาย เมื่อไหร่ชื่อว่ากาย เมื่อไหร่ไม่ใช่กาย ถ้านามธรรมไม่สามารถเกี่ยวข้องได้แล้วก็ไม่ใช่กาย
เล็บของเราที่พอออกมาพ้นจากประสาทรับรู้ ตัวประสาทไม่สามารถรับรู้ได้ มันก็เป็นพีชะ ไม่มีการเจ็บป่วยไม่มีกรรมวิบาก ตัดทิ้งมันก็ไม่รู้เรื่องอะไร ธาตุรู้ไม่รับรู้ แยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐาน 5 เมื่ออยากจะไม่ชัดเจนก็หลงพีชะเป็นตัวตน ตายแล้วก็ไม่ไปไหน ยึดอวัยวะ ยึดอาการ 32 ตายแล้วก็ยึดมั่นถือมั่น เอาธาตุที่เหลือสังเคราะห์เป็นมนุษย์พืชอยู่ไปอีกนาน อยู่ไปเป็นร้อยปีพันปี ก็เท่านั้นเองทำอะไรไม่ได้เป็นพีชะ เสียเวลาทุนรอนแรงงาน มันไม่มีบาปมีกรรมอะไร ไม่มีเวรภัยไม่มีกรรม เพราะอัตภาพของพีชะไม่มีวิญญาณครอง
ต้องเรียนรู้นิยาม 5 อุตุ พีชะ จิต ทำกรรมให้สั่งสม ธรรมะ จนเป็นอรหันต์สามารถสลาย ธ ตัวนี้ได้ คุณทำลาย ธ หรือธาตุนี้ได้เลย
ถ้าเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าดังที่ได้อธิบายมานี้ คุณจะเข้าใจอินทรีย์ 5 ได้ครบหมด พลังงานศรัทธาเมื่อเติมปัญญาเข้าไปก็จะมีวิริยะ จะมีความพากเพียร เมื่อทำได้ก็จะเป็นผู้ตื่นเรียกว่ามีสติ เมื่อมีสตินำ มีปัญญาเจริญคู่กันมา มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาก็จะสร้างสมาธิเป็นสัมมาสมาธิ
คนที่เป็นธัมมานุสารี เจริญอีกทีก็เป็น ทิฏฐิปัตตะ เจริญอีกทีเป็น ปัญญาวิมุติ หมดอาสวะก็เป็นพระอรหันต์ จะทำต่อจนหมดอนุสัยก็ได้(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เรามารับมรดกของพุทธ ถ้าไม่ตั้งใจฟังให้ดีย่อมได้รับมรดกนะ Legacy of Global humanity เมื่อรับมรดกแล้วก็ต้องไปเรียนรู้ต่อ เรียนรู้ที่จะปฏิบัติจนสามารถรับมรดกจากพ่อครูได้ถูกต้อง จะได้รู้ว่าตอนนี้เราฐานะเป็นแม่หรือเป็นพ่อ ตอนนี้พ่อครูเป็นพ่อ พวกเราก็เป็นแม่ แม่ต้องมีการเอาภาระ จะแรงก็ต้องแรง แต่ต้องมีเมตตาสูง
พ่อครูว่า..ตอนนี้ต้องรู้ว่าต้องเป็นแม่แล้วนะ พวกเราจะมัวแต่เต๊ะท่าไม่ได้ (ผมจะเป็นพ่อเต๊ะท่านิ่งๆ แล้วนะ)
สมณะฟ้าไทว่า...ต้องสละตัวตนออกแล้วนะ จึงจะเป็นแม่ได้
พ่อครูว่า..อย่าพึงรีบลัด เต๊ะท่าจะเป็นพ่อ ตัวเองยังไม่ถ้วนรอบแล้วอยากจะเป็นพ่อมันจะกลายเป็นกระเทยนะ เหมือนอย่างเป็นผู้หญิงแต่อยากเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายก็กระดุกกระดิกดูแล้วน่าเกลียด
ถ้าเข้าใจที่อาตมาได้สาธยายไปคร่าวๆ ขยายความเติมไป อินทรีย์ 5
สติ แปลว่า ร้อย รากศัพท์ของ สต แปลว่า 100 ไม่ใช่ใช้แค่ 20 10 แต่ต้องตื่นมาเต็มร้อยเป็นทวารทั้ง 6 เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ขออ้างอิงคำสอนของพระพุทธเจ้า ในพรหมชาลสูตร ได้ให้ปฏิบัติแบบผัสสะเป็นปัจจัย ไม่อย่างนั้นไม่เกิดเวทนาเป็นกรรมฐาน ต้องทำเวทนา 108 ให้ได้ เวทนา 108 เป็นแกนกรรมฐานเดียว อย่าไปหลงกสิณอื่น ที่จะเอามาเป็นร้อยเป็นพันก็ได้ เอาอะไรมาทำให้จิตจดจ่อก็ได้ ถ้าขืนไปจดจ้องพวกนี้มันไม่เกิดเจริญพัฒนา ไม่เกิดโลกรู้รอบกว้างอะไร
เมื่อสติตื่นได้เปิดตัวออกมาไม่อยู่ในวงกลมเท่านั้นเองออกมานอกวงกลม สติออกมานอกวงกลม วงกลมนี้คือ 10 นะ แต่ถ้าอยู่ในแต่วงกลมก็อยู่ในกะลา ต้องออกมามีสติ ออกมาได้มันถึงจะเป็นสมาธิที่รับทางทวารข้างนอก แล้วก็มารับจากอันอื่น ก็จะเกิดการพัฒนา
ผู้ใดวนแต่ในตระกูลตัวเองสืบพันธุ์อยู่ในวงศ์ตระกูลตัวเองก็จะเกิดการเสื่อม อีเดียด โง่มากขึ้นเรื่อยๆจนสูญไป ต้องมาสืบเชื้อกับวงศ์ตระกูลใหม่เป็นเชื้อพันธุ์ของอริยะ แล้วจะเจริญขึ้นได้ ก้าวหน้าขึ้นได้ ไม่อย่างนั้นก้าวหน้าไม่ได้
มีตัวบังคับว่าต้องมีปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดที่เป็นโลกุตระเท่านั้น ในนาม 5 พระพุทธเจ้าตรัสสอนอีก ในพรหมชาลสูตร ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ต้องเชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ใครไม่เชื่อก็มาเปลี่ยนใหม่เสีย ให้มาลืมตาปฏิบัติแล้วจะเจริญได้อย่างแท้จริงเป็นขั้นตอน ผู้ที่มีบารมีจริง แม้สั่งสมเจโต static พลังงานแกนเจโตมาเยอะ เมื่อใช้พลังงานปัญญาได้อย่างสัดส่วนเข้าใจเร็ว แต่อย่าตะกละอยากจะเป็นอรหันต์เร็วเกินไปก็ไม่ได้ ผสมสัดส่วนผิด
เมื่อได้สมาธิเป็นสัมมาสมาธิ มันก็จะเจริญเป็น ทิฏฐิปัตตะเป็นปัญญาวิมุติ อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ ที่จะดับอาสวะ เป็นขั้นโพธิสัตว์
สยะคือตัวเรา สวะ คือขยะ คนที่ยังไม่รู้ อาสวะหรือตัวสวะเลย จึงมีขยะอยู่ตลอดกาลนาน หมดสวะได้ก็เข้าใจ สกะคือตัวตนก็จะใช้สกะ กับสยะ ทำงานไปตลอดเวลา
สวะ ภาษาสันสกฤต อ่านว่าศพ
คือของเน่าหรือสวะ คือศพ ของตายของเน่าของที่สูญเสียแล้ว
สรุปแล้ว เข้าใจในอินทรีย์ 5 ศรัทธา วิริยะ สติ ทำงานแล้วก็จะได้สัมมาสมาธิ และเติมปัญญา
ปัญญาเป็นตัวฉลาดสูงสุดจบด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าถึงเรียกความฉลาดของโสดาบันว่าเป็นปัญญา 7 หรือญาณ 7 ไม่ใช่เฉกะไม่ใช้ ฉ.ฉิ่ง แต่ใช้ ญ.หญิง ตัว ฉ คือทวาร 6 หรือเป็นความสว่างอย่างเช่นฉัพพรรณรังสี แต่ไม่ใช่อัญญะ
สมณะฟ้าไทว่า...ฟังวันนี้เป็นธรรมะ สืบทอดมรดกกัณฑ์พิศดาร สืบทอดทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ชัดเจน ในหลวงได้ทำรูปธรรม พ่อครูก็ทำนามธรรม ในหลวงเสด็จสวรรคตไปแล้วพ่อครูก็มาทำต่อเป็นพ่อ พวกเราก็มาช่วยกันเป็นแม่
พ่อครูว่า...ใครยินดีจะมาเอาภาระไหม ..ถ่ายภาพไว้ หนักนะเหนื่อยนะไม่ได้บังคับด้วยนะ
สมณะฟ้าไทว่า...ต้องมาช่วยกันทำให้เกิดปัญญาที่ชัดเจน สุดท้ายมาทำตัวเองให้เป็นผู้ที่ตื่นมีสติ แล้วก็จะมีสมาธิที่ตื่น ไม่ใช่นั่งหลับตา พ่อครูเป็นโพธิสัตว์จึงจะรู้ว่าพระพุทธเจ้านั่งหลับตาไม่ใช่ทางปฏิบัติ ไปไปหลงนั่งหลับตาก็จมไปอย่างนั้นไม่มีทางไปสู่พระนิพพานได้...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:21:22 )
รายละเอียด
601011_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ พระญาธัมมิกราชผู้ประกาศทฤษฎีแบบคนจน
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ที่ บวรราชธานีอโศก ยุคนี้พ่อครูก็ให้พวกเราเป็นผู้สืบทอด เป็นผู้รับมรดก - Legacy of Global Humanity แล้วให้เป็นการเรียนรู้แบบตลอดชีวิต Life Long Learning แต่ก่อนพ่อครูแสดงแบบ Hard power ต่อมาตอนนี้จะทำแบบ Soft Power ส่วนลูกๆก็มาทำแบบ Hard power การจะทำ hard power ก็ต้องมีเมตตาสูง แรงแต่เกิดประโยชน์ พัฒนา แทรกโอสถทิพย์เข้าขุมขนให้เขาได้
พ่อครูว่า...พวก hard คือหมัดหนัก แต่ไม่น็อค พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านบรรยายธรรมะนี่นะสงฆ์ 180 รูปฟัง เมื่อบรรยายธรรมะเสร็จ 60 รูป อาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากตาย อีก 60 รูป ลาสึกเลย ไม่เอาแล้ว อีก 60 รูปบรรลุธรรมกัน ขนาดพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ยังเสีย 2 ได้ 1 เลย
เพราะฉะนั้นคนที่มีความหนักเหมือนนักมวยหมัดหนัก ถ้าไม่ soft power นะ ถ้าชกออกไป ถ้าไม่มีการควบคุมได้ หมัดหนักแต่ต้องชกให้มีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 หมัดเราหนักต้องให้พอดีพอเหมาะ ไม่อย่างนั้นตายกันระนาว ขนาดพระพุทธเจ้ายังเสีย 2 ได้ 1เลย หากประมาณไม่ถูกก็ตายหมด
อาตมาพยายาม soft power ได้ตามภูมิปัญญาอาตมา
สมณะฟ้าไทว่า...พวกเราก็ต้องเรียนรู้ตามและพยายามทำให้เกิดประโยชน์สูง
ประหยัดสุด
พ่อครูว่า...ประโยชน์สูงประหยัดสุดหมายความว่าเราได้คัดเลือกนักเรียนมาเข้าห้อง
เรียนได้ อย่างพอเหมาะ พานักเรียนมาเข้าห้องเรียนมากไปมันไม่ได้ผล ดีไม่ดีจะฉุด รั้งให้ตกต่ำได้ แต่ถ้าได้น้อยไปก็ไม่ค่อยคุ้ม แต่ทีนี้ อาตมาว่า ทำได้พอเหมาะ เรียนทุกวันนี้ full house ภาษาไทยเรียกว่า เห่า มีตองอันหนึ่งแล้วมีอีกคู่หนึ่งเป็นเห่า นักเลงไพ่รู้กันดี ถ้าเห่าจะแพ้แต่ strait flush เท่านั้นเอง
สมณะฟ้าไทว่า...สำหรับค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า
“ ออกพรรษา มุ่งมาเดินตามรอยพ่อ”
ครั้งที่ 22 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก
ศุกร์ที่ 13 - อาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้)
สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือ
โทรฯ คุณชญาดา 087-4437865
##### สมัคร online ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
พบกับกิจกรรมตามมรรคมีองค์ 8 พบกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีที่จะพาคุณสู่ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) อันจะพาไปสู่ความบริสุทธิ์จนถึงสัมมาวิมุติ
ใครจะอยู่งานเทศกาลกินเจต่อก็ได้
พ่อครูว่า...เป็นงานเทศกาลกินเจที่ใหญ่ที่สุด ใน 9 วันนี้ สำหรับธรรมเนียมของจีนเขา เราก็รับช่วงมาทำ มีคนมาช่วยกันทำงานทั้งขายและทำอาหารประมาณ 400-500 คนได้ จะมากขนาดไหน
สมณะฟ้าไทว่า...แค่คนขายก็เต็มร้านแล้ว คนซื้อก็เลยคิดว่าคนทำไมเยอะจัง จึงเข้ามาซื้อบ้างไม่ได้หลอกเขานะ คนเรามีอะไรเยอะๆก็เข้าไปดู
พ่อครูว่า...เขาเห็นคนมุงก็ว่า ที่นี่เขามีอะไรกัน ถามแม่สุวรรณเขาก็บอกว่าที่นี่มีรำวง
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้สาธยายตามธรรมเนียมก็จะได้โอภาปราศรัยกับ sms ไลน์กันก่อน…
SMS วันที่ 6 ตุลาคม 2560 (พ่อครู-บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อัญญากับญาณเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
_2712เกิดอัญญากับเกิดญาน อย่างเดียวกันมั้ยครับ
พ่อครูว่า...อันเดียวกัน ญาณ คือความรู้ที่มีอัญญาแล้ว ความรู้ขั้นอัญญาคือ มีความรู้ที่เป็นธาตุรู้แบบใหม่ที่ต่างจากเดิมที่เป็นโลกียะ ที่มีแค่เฉโกหรือเฉกะเท่านั้น พอมีความรู้ชนิดใหม่ชนิดอื่นที่ต่างจากความรู้ที่เป็นโลกียะ ออกมาแล้วนี่แหละคือพลังงานใหม่พลังงานของโลกุตระอันแตกต่างจากโลกียะ มันแตกต่างแล้วเรียกว่าอัญญะ เป็นพลังงานชนิดใหม่ พระพุทธเจ้านั้นละเอียดลออมาก
อัญญาโกณฑัญญะ เมื่อเกิดญาณที่เข้ากระแสโลกุตระ เข้าใจและยินดีในโลกุตตระ และพร้อมจะเดินทางเข้าสู่โลกุตระ เป็นพลังงานธาตุรู้ที่ละเอียด คนแรกของศาสนาพุทธ ในพระสมณโคดมก็คือโกณฑัญญะ อัญญาสิวตโพโกณทัญโญ จากอัญญะก็มาเป็น อัญญาเป็นความรู้โลกุตระ จากนั้นพัฒนามาเป็นสัญญา เป็นปัญญา เป็นพลังงานความรู้ ขั้นอย่างปัญญา ต่างจากโลกียะหรือเฉกาหรือเฉกะที่เขาไม่ใช้กันแล้ว แต่เอาปัญญา มาใช้แทนหมด
ซึ่งความรู้ปัญญาดั้งเดิมหมายถึงโลกุตระ แต่ตอนนี้ก็เอามาปนกันไปหมด ทำให้ แยกไม่ออกระหว่างโลกียะกับโลกุตระ
_8498ถ้าความเป็นอาริยะเกิดได้จากป่า น่าจะใช้ ม 44 เปิดป่าแถวเขาใหญ่อบรม นกม
_2166หลวงพ่อว่าจะมากู้ศาสนา แสดงว่าหลวงพ่อเป็นพญาธรรมิกราชใช่ไหมครับ แล้วคู่ของหลวงพ่อคือไครครับ ? เพราะพญาธรรมิกราชต้องมีสององค์?
พ่อครูว่า...อาตมาบอกตรงๆว่าใช่ อาตมาไม่ได้หลงเลอะ รู้เหตุปัจจัยครบพร้อมว่า พระญาธัมมิกราชคืออะไร และที่เขาพยากรณ์ไว้ จะมีพระญาธัมมิกราช 2 องค์มา กอบกู้ศาสนา ที่ใดก็แล้วแต่ก็คือประเทศไทยนี่แหละ และอาตมาก็ไม่ได้ปิดบังอะไร ก็เข้าใจโดยปริยายกันถ้าฟัง ก็มีอาตมากับในหลวง ก็กล่าวโดยจริงใจ เปิดเผย ไม่ต้องการยกตัวยกตน อาตมาไม่ได้โหนพระเจ้าแผ่นดินอะไร อาตมาพูดความจริง เปิดเผยตัวเองจนหมดตัวแล้วไปบังคับความเชื่อคนก็ไม่ได้ คนจะหมั่นไส้ก็บังคับไม่ได้ เห็นหน้าอาตมาเหมือนโพลิดอน เป็นหัวกะโหลกไขว้ ทุกวันนี้อาตมาอธิบายธรรมะ ทวนกระแสมากเลย คนที่อยู่ในโลกีย์ไม่ฟังหรอก และจะตีทิ้ง ชิงชังด้วย แต่คนที่เห็น คุณค่าอาตมา มีคนฟังที่เข้าใจแค่นี้ก็ full house แล้ว ตอบไปแล้วนะ สองรูปพระญาธัมมิกราชคือใคร
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ตำหนิต้องมาก่อนการชม
_2166หลวงพ่อครับผมฟังมาหลายครั้งติหลวงปู่ ติช นัทฮันห์ ผมว่าหลวงพ่อกับหลวงปู่มัอะไรหลายอย่างเหมือนกันมาก ถ้าหลวงปู่ไม่เยี่ยมยอดจริง คนอย่าง สุทธิชัย หยุ่น ท่าน ว. ท่าน อาจารย์ ส. หรือคุณหมอสงกราน จะเคารพศรัทธาหรือครับ?
พ่อครูว่า...ไม่ว่าจะเป็น สุทธิชัย หยุ่น ท่าน ว. ท่าน อาจารย์ ส. หรือคุณหมอสงกราน ก็ไม่ได้มาศรัทธาอาตมา แต่อ.ส.ไม่ทราบจะศรัทธาอาตมาไหมก็คบหากันอยู่
อาตมารู้ตัวว่ามาปางนี้จะไม่ได้รับการยกย่อง ต้องทนกับสรรเสริญนินทา อาตมาเข้าใจ ทำได้ผลขนาดไหน อาตมาก็ต้องทำ ตามที่รู้ตัว อาตมาไม่ได้มาทำเพื่อ รับการยกย่องได้คนมาเป็นบริวาร อาตมาทำตามที่รู้จริงก็อาจจะไม่ได้รับการเคารพศรัทธา มากหรอกก็จะมีประมาณหนึ่ง เพราะคนส่วนใหญ่นั้นจะไม่รู้ทั่วถึง ธรรมะที่อาตมากล่าว เขาก็จะเชื่อตามภูมิของเขา คนเขาอาจจะแสดงธรรมะได้อย่างน่าฟังไพเราะกินใจ กับคนยุคนี้ แต่ไม่เป็นโลกุตรธรรม ที่พูดเหล่านั้นไม่เป็นโลกุตรธรรม
ท่านพุทธทาสมากล่าวถึงโลกุตรธรรม และท่านก็บรรยายธรรมะโลกุตรธรรมไม่ชัด แยกโลกุตระกับโลกึยะไม่ชัดแต่ ท่านได้เปิดเผยโลกุตระตามพระไตรปิฎกมาก่อนอาตมา ก็ต้องขอบคุณท่านที่มาเปิดทาง อาตมาก็ต้องมาขยายรายละเอียดต่อ
ถ้าผู้ใดไม่มีกรรมฐานของเวทนา และไม่อ่านอาการลิงคะ นิมิตอุเทส และแยกแยะ เนกขัมสิตกับเคหสิตเวทนา มโนปวิจาร 18 แยกไม่ออก ก็จะไม่เข้าใจโลกุตระกับโลกียะ ถ้าแยกแยะออก จะเข้าใจ เวทนาอย่างนี้คือโลกียะ เวทนาอย่างนี้คือโลกุตระ ก็จะสามารถจัดการ อภิสังขารให้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เปลี่ยนแปลงเป็น โลกุตระได้ ถ้าไม่มีเวทนาไม่สามารถปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าได้ ไม่มีฐานปฏิบัติ แต่ตีไม่แตกเลยเพี้ยนไปไกล กรรมฐานคือเวทนาเท่านั้น ขอยืนยัน ไม่มีกรรมฐาน 40 อย่างที่อาจารย์ต่างๆรวบรวมไว้ มันเป็นของเดียรถีย์ กสิณของพระพุทธเจ้ามีแต่เวทนา เท่านั้น
อาตมาก็มาต่อธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่คนทุกวันนี้ฟังธรรมะของอาตมา ไม่รื่นรมย์ซาบซึ้งกินใจ ไปกินใจในโลกียธรรม อย่างธรรมกายธัมมชโย อธิบายอร่อย หวานชูใจในโลกียเต็มที่เลย เต็มไปด้วยโลกีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มหัปปิจฉะ หรูหราฟู่ฟ่า ใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ร่ำรวยไม่มีที่สิ้นสุด สวยงามไม่มีที่สิ้นสุด เป็นโลกียะฉ่ำฉ่า แต่คนไม่รู้ก็ติดหนัก หลงเต็มที่ เมื่อมีคนมาบรรยายโลกุตระจึงไม่มีใครฟัง คนที่กล่าวโลกีย์ ก็พยายามปรุงแต่งโลกีย์ให้กินใจซาบซึ้ง มีคอนเซปให้ยึดถืออย่างนั้น เขาทั้งหลายเหล่า นั้นไม่มีภูมิมากพอจะเข้าใจโลกุตระอย่างซาบซึ้ง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อานีสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะของพวกกษัตริย์ผู้มีพระนามว่าทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมาโครงเก่าของตะโพนชื่ออานกะก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟังจักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษาแต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตรอันนักปราชญ์รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ
[673] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสูตรเหล่านั้น ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก
เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม จักอันตรธานฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อเขากล่าวพระสูตรที่ตถาคตกล่าวแล้ว อันลึกมีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วยสุญญตธรรม อยู่ พวกเราจักฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้นว่า ควรเรียน ควรศึกษา ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ ฯ
พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ 16 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 8 สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
อาตมาพูดแรงจัดชัด เพราะว่าอายุมากแล้ว สังขารเข้าหาเสื่อมไปแล้ว ก็ไม่รุ่มร่าม จะตีผ่าตรง แข็ง แรง ชัด ยุคนี้ หลังจากพระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ ตั้งแต่ท่านยังอยู่ ศาสนาพุทธยังเจริญไม่มีเสื่อมตอนนั้น แต่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ก่อนว่าจะเสื่อม แล้วเมื่อไหร่ก็เมื่อนี้ ไม่ใช่อีก 5000 ปีมันเสื่อมไปหมดแล้ว สูญหมดแล้ว ตอนนี้ครึ่งศาสนาพุทธแล้ว ก็เสื่อมตอนนี้แหละ
มีคนพยากรณ์ ไม่ว่าจะมีพระญาธัมมิกราช 2 รูปมากอบกู้ศาสนา ไม่ได้พูดยกตัว ยกตนเพื่อให้ดูดีหรือโก้ พูดให้ยืนยันสำหรับผู้ที่เข้าใจอาตมา ผู้ที่ไม่เข้าใจไม่ศรัทธา ก็ไม่ต้องพูดอะไรยาวความเสียเวลา เพราะอย่างไรเขาก็รับไม่ได้แล้ว ก็พูดกับคนที่รับได้ ให้ชัดเจนให้มั่นใจ ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่จริงนี้เท่านั้นเอง ไม่ได้มาหลอกล่ออะไร พูดอย่าง frankๆ
อาตมามาช่วยกอบกู้ศาสนาพุทธที่ตกต่ำให้ดีขึ้นให้ถูกต้องอย่างแท้จริง ด้วยความ พากเพียรอุตสาหะ ซึ่งยิ่งทำมานาน ก็จะยิ่งเห็นชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ ไว้ถูกต้องที่สุด จริงที่สุดเลย คือศาสนาพุทธทุกวันนี้เหลือแต่ชื่อว่าเป็นพุทธ เหมือนกลองอานกะ ตะโพนอานกะ เหมือนชื่อพุทธ ส่วนความเป็นเนื้อแท้ของกลองไม่ เหลืออยู่แล้ว เนื้อแท้เนื้อเก่าไม่เหลืออยู่แล้ว อาตมาจึงต้องมากอบกู้ นำเนื้อแท้มา ใส่คืนเข้าไป เท่าที่จะทำได้ในชีวิตนี้จนกว่าจะตาย
คำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าก็จริง ที่เห็นอยู่เป็นเครื่องยืนยันตามที่พระพุทธเจ้า ได้พยากรณ์ไว้ไม่ผิดเลย อาตมาอธิบายต่างๆนานาพวกนี้ จริง อาตมาติหลวงปู่ติชนัทฮันห์ ก็ในส่วนติที่ควรติ ส่วนที่ชมก็ชม แต่อาตมามั่นใจว่า ติส่วนบกพร่อง ก็ติหมดตั้งแต่ ท่านพุทธทาสภิกขุ ก็มีส่วนถูกไม่น้อย หลวงปู่ติชนัทฮันก็มีส่วนถูกไม่น้อย ก็คงพอๆกัน อาตมาว่า ใครจะสูงกว่ากัน แต่ท่านหลวงปู่ติชนัทฮันห์ ก็ออกไปทางสากลหน่อย ก็มาเป็นผู้ที่ช่วยกอบกู้ศาสนาในส่วนที่ถูกของแต่ละคน แต่อาตมาจัดจ้านไปหน่อย แรงไปหน่อย เป็นศรีสะเกษ น็อค กอนซาเลซ กอนซาเลซก็หมัดหนัก เมื่อเจอศรีสะเกษ เข้าไป เจ้าแหลมศรีสะเกษน็อคเลย อาตมาก็หมัดหนักเข้าไปเกิดศรีสะเกษ ก็ขออภัยหนักหน่อย
ที่มันหนักเพราะอะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่มันแรงเพราะเมื่อกล่าวสิ่งที่ ทุจริตแล้วมันจะแรง แต่ยุคนี้ทุจริตมันเยอะ พอกล่าวไปตรงไหนก็กระทบไปหมด พูดไปหน่อยเดียวก็เจอเสียมากเสียเยอะ เป็นจริงอย่างสัจจะ
ลองขยายความนิดหนึ่ง อาตมาติหลวงปู่ติชนัทฮันห์ อย่างไรบ้าง ท่านก็เป็นคนที่ใช้ soft power อย่างมากเป็นนิสัยเป็นจริตของท่าน ท่านก็เอามาเป็นสติ รู้สติ แล้วพยายามไม่วิจารณ์ไม่ว่าใคร ไม่ว่าไม่ตำหนิ เอาแต่ชม กับทำของตน ตำหนิไม่ใช่หน้าที่ของท่าน คนที่เอาแต่ชมไม่เอาติเลย ศาสนาก็เอียงเพราะที่จริงแล้วการตำหนินี่แหละ จะต้องเป็นเรื่องที่ให้รู้ตัว อย่าง เร็วที่สุด พระพุทธเจ้าสอนเลย เหมือนมีผ้าชุบน้ำมัน จุดไฟไหม้อยู่บนหัว คือความ ผิดความไม่ถูกต้อง มันเหมือนผ้าที่ชุบน้ำมันไหม้อยู่บนหัว ต้องรีบเอาออกก่อนเลย ไม่อย่างนั้นตาย ธรรมะสำคัญที่ความผิดความบกพร่อง การจะไปชมคนถูกต้องจะ ไปชมธรรมะ เขาถูกต้องก็ดีอยู่แล้ว ก็ทำไปเลย มันเป็นความเจริญไม่เสียหายอะไร แต่การตำหนินี่แหละ ถ้าไม่ตำหนิแล้วจะพาเสียหาย มันต้องรีบร้อนและ ทำกันอย่างสำคัญ ที่จะช่วยกัน ต้องรีบท้วงทัก นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง พระพุทธเจ้าสอนตำหนิคนที่ควรตำหนิ ชมคนที่ควรชม
อาตมาก็ว่าคนไม่ติ อาตมาก็ติคนไม่ตินี่แหละ ที่เอาแต่ไม่ติ อาตมาก็ว่าคนนั้นแหละ จะว่าไปแล้ว อาตมาเคยท้วง ท่านประยุทธ์ ปยุตโต ตอนนั้นท่านอยู่ในชั้นราชฯ อาตมาเคยเขียนจดหมายไปถึงท่าน เมื่อท่านเขียนหนังสือว่าอาตมาเล่มแรกเลย อาตมาก็ เขียนจดหมายไปขอบคุณท่านแล้วก็ ติงท่านว่าท่านเป็นนักศึกษา ดีแล้วเป็นผู้ซื่อสัตย์ ต่อคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมายกให้ ท่านรวบรวมไว้เป็นคุณมากเลย อาตมาก็ใช้ของท่าน แต่อาตมาท้วง ว่าท่านควรจะแรงกว่านี้หน่อยจะมีน้ำหนัก ถ้าท่านแรงกว่านี้หน่อยจะดี ทีเดียว อาตมาเคยติงท่านไว้ จดหมายนี้จะยังอยู่ไหมนะ ท่านก็เลยซัดอาตมาต่อมา หนักเข้าไปอีกเลย เขียนเล่มแรกก็ขอบคุณไป ท่านตามมาอีก 2 เล่ม แล้วก็บอกว่าจะ ตามมาอีกที่จะต้องจัดการกับโพธิรักษ์ แต่จากนั้นมาท่านไม่ต่ออีกเลย ทั้งๆที่ทิ้งไว้ ในท้ายเล่มที่ 3 ว่าจะต่ออีก แต่ก็ไม่ต่ออีกเลย
ท่านตินั้นก็เบาไปเอาแต่ตัวเองมันรอดตัว คนที่จะสามารถท้วงติงผู้อื่นในการ
ตำหนิมากหน่อย เพราะ 2600 ปีแล้ว ศาสนาพุทธได้เสื่อมหนักตามธรรมชาติ ธรรมชาติ ต้องเป็นเช่นนั้น มันต้องเสื่อมเมื่อถึงอายุขัย เพราะฉะนั้นเมื่อเสื่อมหนัก เราก็จะต้อง คว้าขึ้นมา การเสื่อมก็คือ มีข้อบกพร่องผิดพลาดเยอะก็ต้องรีบให้รู้ตัว รู้ความผิดพลาด ไม่มัวมาแต่ชมเสียเวลา เพราะสิ่งที่ถูกต้องที่ดีแล้วไม่ต้องชมหรอกเขาทำไปก็ดีแล้ว ก็บอกรับรองเขาเท่านั้นแหละ ว่าดีแล้ว ส่วนที่ผิดต้องรีบบอกกันเตือนกัน คนที่จะต้องติคนอื่น คนกล้าติคนอื่นได้ จะต้องเป็นคนที่แข็งแรงพอมีความรู้พอ ติเขา แล้วไม่มีความรู้ ติเขาผิดก็ตาย อย่างอาตมาหากไม่มีความรู้มากพอ ตำหนิเขาขนาดนี้ ตายอย่างคางคกถูกกระทืบตายเลย ยิ่งกว่า ตายอย่างเขียดเหยียดขาตาย ถ้าไม่มี ความถูกต้อง อาตมาจึงได้ยึดถือในพระไตรปิฎกเล่มนี้ก็รอดตัวไปทำได้ มันเป็นหน้าที่ ของอาตมา
อาตมาบอกอีกว่า อาตมาเป็นธรรมิกราชหนึ่งในสอง ในหลวงท่านไม่ว่าใคร ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ทรงงาน ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านได้แสดงธรรมเป็น ผล จนคนทั้งโลกยอมรับนับถือ ท่านไม่ว่าใครมาก แต่ท่านทรงโลกุตรธรรม คือธรรมะที่ ทวนกระแสโลก เช่นท่านว่า บริหารปกครองแบบคนจน การขาดทุนของเราคือกำไรของ เรา เศรษฐกิจพอเพียงจะต้องมามักน้อยสันโดษ มามีวรรณะ 9 แต่ท่านไม่ได้บรรยาย เนื้อหาธรรมะ ท่านแสดงพระองค์ มีพระจริยวัตรตลอด 70 พรรษา ท่านได้ทำเต็มๆมา 70 พรรษา อาตมาเพิ่งจะทำมา 47 พรรษา อาตมาก็ต้องพยายามทำให้ถึง 70 ให้ได้ พยายามลากสังขารให้พอๆกับในหลวง
เพื่อกอบกู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ในหลวงมีพระจริยวัตรกายวาจาใจ โดยเฉพาะ เรื่องวาจา ท่านไม่ทรงตรัสมากเรื่องธรรมะ แต่ท่านทรงกายกรรม กับมโนกรรมออก มาหมดเลย 70 พรรษา อาตมามีหน้าที่พูด ไม่ใช่หน้าที่ทำ อาตมาไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดิน ที่จะต้องบริหารปกครองประชาชนทั้งหมดอย่างนั้น อาตมาจะต้องมาสาธยายสารสัจจะ ธรรมะ มันคนละหน้าที่ ในหลวงท่านรูป อาตมานาม ในหลวงทรงรูปธรรม อาตมาทำ นามธรรม ซึ่งรู้ได้ยากกว่ารูปธรรม พูดสัจจะไม่ได้ยกยอตัวตน ไม่ได้พูดเพื่อหาบริวาร หรือให้คนเคารพนับถือ
นิคคัณเห นิคคหารหัง มาก่อน ปัคคัณเห ปัคคหารหัง คือการตำหนิมาก่อน การชม แล้วก็อธิบายไปแล้วว่า การตำหนิต้องทำก่อนเหมือนมีผ้าชุบน้ำมัน ไหม้อยู่บนหัว ส่วนดีก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่สิ่งเสียหายต้องรีบร้อน และก็มี มาก หนักด้วย อาตมาจึงไม่มีเวลาจะไปชมอะไรมากมายต้องทำหน้าที่ตำหนิ
อาตมารู้ดีตั้งแต่มาทำงาน ต้องถูกเขาเกลียดขี้หน้า ต้องตำหนิ เมื่อตำหนิ ก็ไปโดนหัวโล้นต่างๆ เพราะผิดกันมาก ตอนนี้ก็พยายามปฏิรูปศาสนากัน ก็
เพราะทำสิ่งที่ผิดกันทั้งนั้น
อาตมารับศึกมาก่อนหน้านี้ คณะรัฐบาลที่ทำอยู่ตอนนี้ก็อนุโมทนาสาธุ ได้ขนาดนี้ก็ดีอยู่แล้ว พยายามไปเถอะ แรงหน่อย โดยเฉพาะผอ. สำนักพระ พุทธศาสนา พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ อาตมาตีม้าล่อช่วยเลย
อาตมาก็เชียร์เพราะถึงยุคสมัยที่จะต้องรื้อ ตอนพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทำการรื้อศาสนา ก็ผ่านมา ยังไม่ถึง 300 ปีดี นี่สองพันกว่าจะสามพันปีแล้ว เน่าเฟะขนาดไหน เป็นสัจจะแห่งการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป
อาตมามั่นใจว่าไม่ได้เอาความผิดมาพูด หรือทำงาน เพราะถ้าผิดก็ต้อง รับบาปของตนเองไป ใครไม่ได้อยากทำบาปแก่ตัวเองทั้งๆที่รู้ว่าผิด ถ้ามันผิดก็ เพราะความพาซื่อ อาตมาก็พาซื่อ ว่าตำหนิความผิดนี้ถูกต้องแล้ว อาตมาก็พูดด้วย จริงใจสมัครใจ เพราะอาตมารู้ว่างานนี้เป็นงานที่ดีที่สุดที่ได้เลือกมาทำ ตั้งแต่ตัด สินใจออกมาจากทางโลก อาตมาไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลก ยังสามารถเจริญดีได้ แต่อาตมาเห็นว่าทางโลกนั้นไร้สาระเสียเวลา ก็เลยเลิกทิ้งเลย มาเอาสิ่งที่เป็น
สาระที่ควรจะนำพา ก็มาทางนี้ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ยังไม่ได้คิดจะตายเลย หนักนะ ยากนะ
ที่มันยากไม่ใช่แต่เฉพาะประชาชนชาวพุทธ แต่มันยากเพราะเถรสมาคม เป็นตัวถ่วงที่หนักกว่าประชาชน ประชาชนก็ไม่กะไร เขาทำมาหากินของเขาไป แต่ว่าเถรสมาคม เขาถือว่าเป็นหลักของศาสนา แต่ประชาชนจริงๆก็ไม่ ทำลายศาสนาพระพุทธเจ้าเท่าไหร่ แต่ว่ามหาเถรสมาคมทำลายมากกว่า เพราะว่าเอาจารีตประเพณีแบบที่ผิดไปกระจาย ประชาชนก็ไม่ได้กระจาย สิ่งที่ผิดเท่าไหร่ ไม่ได้ทำลายศาสนาเท่าไหร่ แต่ตัวมหาเถรสมาคมเอง เป็นตัวทำลายศาสนาหนัก รู้ไว้เสียด้วย ขอบอก พูดอย่างจริงใจเมตตา เกื้อกูล อยากจะช่วยเหลือให้รู้ตัว แล้วก็แก้กลับเสีย ส่วนใหญ่เละเทะไม่ค่อยเข้ารูปเข้า รอย มีจะถูกอยู่บ้างก็มีน้อย
ท่านก็พยายามช่วย ท่านทำ soft power มากกว่าอาตมา แต่อาตมา soft นั้นหมัดหนัก ก็เป็นอย่างนี้ ขนาดหมัดหนักก็ยังไม่ค่อยกระเตื้อง เหมือนกับเอา หัวชนฝา ถ้าหัวอาตมาไม่แข็งก็แตกไปนานแล้ว
_จากเฟสบุ๊ก
_คุณลายารัตน์ ทันแมน · ฟังเกือบทุกวันค่ะ..สวีเดนค่ะ
_เจ๊ ศิริลักษณ์ · ไอร์แลนด์ชัดเจนดีค่ะท่านพ่อครู
SMS วันที่ 7 ตุลาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ-บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน องค์ประกอบสองของศิลปะ
_1614 ส่วนหนึ่งศิลปินทางโลก มักจะใช้กามและอัตตาเป็นตัวขับเคลื่อน มโนปั้น
งานศิลป์ อันวิจิตรขึ้นมา กราบขอความเห็นจากพ่อครูด้วยครับ/the sun
พ่อครูว่า จริง เพราะว่า ศิลปะมีอยู่ 2 อย่าง 1 สุนทรียศิลป์ 2 สารศิลป์ ไม่รู้เขาเรียนกันมาหรือเปล่าว่ามี 2 อย่างนี้
สุนทรียศิลป์คือสิ่งที่หุ้มห่อ เป็นสิ่งที่ชวนให้ดู ส่วนเนื้อแท้ธรรมะนั้นคือยา ยาต้องมีน้ำตาลหุ้มหน่อยมีสีสัน คือศิลปะ ถ้าไม่มีสีสันหุ้มก็เป็นสารคดี เป็นงานเนื้อแท้สาระเป็นแก่น การทำงานศิลปะจึงต้องมีสีมีน้ำตาลหุ้มห่อ เป็นสุนทรียศิลป์ เพื่อชี้ชวนให้คนมาเอาสาระ แต่ถ้าสารคดี มันเป็นเนื้อแท้ ไม่มีอะไรเป็นเครื่องชี้ชวน
ศิลปะต้องมี 2 อย่างนี้ จัดสัดส่วนให้คนมาสนใจมาเอาเนื้อหา สุนทรียศิลป์เขาก็เรียกว่าเป็นอัตตลักษณ์ เป็นที คือ เทคนิค ของแต่ละศิลปิน ที่จะมีเทคนิคชี้ชวนสาระศิลป์ผสมส่วนให้คนมารับสาระไป โดยไม่หลงแต่น้ำตาลและสี ต้องได้เนื้อของสาระศิลป์ คนทำงานทุกวันนี้ไปพัฒนาแต่เทคนิค คือที ทั้งนั้นเลย ไม่ได้เข้าใจว่างานนี้สื่อสาระอะไร
อาตมาเคยพูด ว่า เขาประกวดงานชาติ รางวัลเหรียญทอง รางวัลศิลปะแห่งชาติ ประกวดภาพเขียน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นศาสตราจารย์กิตติคุณไปแล้วเขียนภาพมาส่ง หนังสือพิมพ์เขาก็ซักถามว่างานของอาจารย์มันสื่ออะไร เขาบอกว่าผมก็เขียนไปตาม อารมณ์ศิลปินไม่รู้หรอกว่าสื่ออะไร แล้วได้รางวัลเหรียญทองด้วยนะ เป็นภาพเสื้อสวมเก้าอี้ หรืออะไรอยู่
อาตมาว่าผู้ส่งงาน กับผู้ตัดสิน ก็ต่างคนต่างไม่รู้แต่ให้รางวัลเหรียญทองอาตมาก็ว่า คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้ คนตาบอดก็ไม่เห็นแล้วไปดูหนังใบ้อีก จะไปรู้เรื่อง อะไร
ศิลปะทุกวันนี้เพ้อคลั่งกันทั้งโลกเป็นการหลอกให้คนไปหลงในเทคนิคทั้งนั้นเลย ไม่เข้าใจสาระศิลป์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะนั้นนำพาไปสู่ที่ สูงสุด อุดมคืออุตมะ คือนิพพานนั่นเอง
ศิลปะเป็นโลกุตระ ศิลปะไม่ใช่เครื่องมอมเมา อะไรที่มอมเมาให้เกิดกามเกิด พยาบาท มอมเมาให้เกิดนิวรณ์ทั้งหลาย มอมเมาให้เกิดโลกียะหลงลาภยศสรรเสริญ ยิ่งขึ้นหลงกามหลงอัตตาเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ศิลปะ
งานศิลปะควรจะให้คนได้รับสัมผัสแล้วได้มีความออกจาก การติดลาภยศสรรเสริญ มากๆก็ต้องลด ติดกาม ติดอัตตามากๆก็ต้องลด แต่ศิลปินกลับไม่รู้ แสดงอัตตาเต็มบ้องเลย ก็หลงเลอะ ฝันเฟื่องไปตามภพชาติ
จนไปตั้งชื่อเป็นศิลปะสาขาใหม่จำไม่หวาดไม่ไหว เป็นศิลปะแอ็บสแตรค ศิลปะ เหนือศิลปะ ตั้งชื่อมาอย่างประหลาด นานาสารพัดจนจำไม่ได้ เป็นภาษาฝรั่ง ลอกเขามา ในเมืองไทยก็หลง อาตมาจึงได้เห็นว่าเลอะเทอะมากมาย
พระพุทธเจ้าเป็นยอดของศิลปินอันดับ 1 ของจักรวาล ไม่ใช่แค่ของโลกนะ นำพาให้คนออกจากทุกข์ ในการหลงลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันประกอบไปด้วยอัตตา แต่งานศิลปะนั้นทำหลงจมกับกามกับอัตตา
คุณจะเขียนรูปตุ๊กตา หรือเขียนรูปคนเปลือย เขียนรูปนี้แล้วคนสัมผัสรูปนี้แล้วกิเลส กามลดมันคือศิลปะ แต่ถ้าเขียนรูปเปลือยมาแล้วคนสัมผัสทำให้เกิดกิเลสมากขึ้น อันนั้นคือลามก อันนั้นคืออบายไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะจะต้องไม่ยั่วยวนให้เกิดหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ในกามในอัตตา นี่คือความรู้พระพุทธเจ้า
ทางต่างประเทศเรียนจนจบศิลปะปริญญาเอกเขารู้เรื่องเหล่านี้ไหม ไม่รู้หรอก เขาไม่รู้เรื่องเลย ก็เลยเขียนรูปโป๊แล้วบอกว่าเป็นศิลปะ ในการเสริมลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เขาไม่รู้หรอก ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ที่จะสื่อสารให้คนไม่ติดในลาภยศสรรเสริญอะไร แค่ไหน
ศิลปะที่ออกมาในตลาดที่เห็นว่าเป็นศิลปะโลกุตระ ที่สื่อให้คนเห็นได้ง่าย คือภาพ ตัวเป็นคนใส่สูทแต่หัวเป็นสัตว์ มันพวกนักการเมือง เป็นการสื่อสารได้ง่ายและชัดเจนดี คนดูแล้วก็เห็นว่า ดูท่าทีเป็นคนชั้นสูง ใส่สูท แต่ที่แท้เป็นหัวสมองของสัตว์ มีมันสมอง เป็นสัตว์ ไม่ได้มีความเจริญอะไรเลย นักการเมืองพวกนี้ ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่ทำให้ เกิดการเมืองกับรัฐศาสตร์ที่เสียหายล้มเหลว เอาแต่กิเลสแย่งชิงมาสร้างอำนาจใส่ตัวเอง เพื่อจะได้บัลลังก์อำนาจเข้าไปบริหาร เข้าไปจัดการกับงบประมาณ ลาภยศต่างๆ เละ ไปหมด
ไม่ใช่การเสียสละ ที่เป็นการเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีสุด
อาตมาพูดถึงประชาธิปไตยก็ขอเข้าเรื่อง วันนี้ วินาทีนี้ ประเทศไทยในขณะนี้ เป็นประเทศที่มีการเมืองประชาธิปไตยที่ดีที่สุด ในโลกเลย ขณะนี้นี่
เป็นการเมืองที่มี Activity ที่ชัดเจน ถ้าจะว่า อังกฤษเป็นเจ้าของประชาธิปไตยเป็นต้นแบบ เขาก็ไปสุขุมๆของเขาไป ก็เป็นต้นแบบไป แต่ประเทศไทยเป็นตัวปฏิกิริยามี activity ความเป็นประชาธิปไตยที่คนเข้าใจได้ยากมาก โดยเฉพาะสิ่งที่ยืนยันแสดง เป็น Phenomenal คือในหลวงของเราเป็นนักประชาธิปไตย ที่ขานรับกันทั่วโลก ท่านทรงแสดงความเป็นประชาธิปไตยมา 70 ปี ชัดเจนที่สุด แสดง อย่างมีสัปปุริสธรรม 7 อย่างงดงามมากเลย ในฐานะอันพอเหมาะพอควรของท่าน อาตมาก็แสดงอย่างพอเหมาะพอควรของอาตมา ในฐานะธรรมิกราชอีกคน
ที่ว่าพอเหมาะพอควร คือท่านทรงรูปธรรมชัดเจน สวยงามสมบูรณ์ของท่านแล้ว แต่ของอาตมาก็สมบูรณ์ของอาตมา รอดูว่าอาตมาทำไปถึง 70 ปีอย่างท่านบ้าง แต่แน่ นอนคนจะต้องเข้าใจได้ยาก และใช้เวลานานกว่า ถ้าอาตมาทำไปจน 70 ปีก็เพิ่มอีก 23 ปี แล้วไปจน 144 แล้วไปอีก 7 ปีก็ 151 ปี อาตมาจะอยู่ถึงหรือไม่ก็ตั้งใจเอาไว้
แต่ในหลวงก็ทรงของท่านสมบูรณ์แล้ว แต่ในนามธรรมก็จะได้รับการยอมรับด้วย ในฐานะธรรมิกราช พูดไปก็ขออภัยที่คนจะมีอาการหมั่นไส้ได้
ในหลวงทรงเป็นพุทธมามกะกันทุกองค์ ก็ได้พยายามนำพามาตามแต่ละพระองค์ เป็นพระราชูปถัมภก มาตลอดเวลาทุกพระองค์ ในยุคนี้ได้ถูกยกโดยในหลวงพระองค์นี้ มากพอ แต่ท่านไม่ตำหนิใคร ท่านมาทำงานในปางพระเตมีย์ใบ้กับพระมหาชนก ท่านก็ไม่สอนสังฆราชทำตามหน้าที่ของท่าน แล้วท่านก็ตรัสธรรมะของท่าน อย่างที่ท่านบอกว่าให้มาเป็นแบบคนจน มาเป็นคน ตามวรรณะ 9 (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ศาสนาพุทธต้องมากล้าจนไม่ใช่มาเอาความรวย แต่คนไม่เข้าใจธรรมะโลกุตระ ของพระพุทธเจ้า มันเป็นเรื่องจริง ถ้าประเทศไทยเข้าใจความจริง ในปรัชญานี้ต้องมาเอา แบบคนจน ไม่ใช่ไปแข่งรวยกับเขา ท่านตรัสไว้ชัด
มีรัฐมนตรีของเกาหลี
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน”
เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้
แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก
เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก
เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก
ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง !
ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง และถอยหลังอย่างน่ากลัว !
แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน”
แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ
คือ เมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป...”
“...คนที่ทํางานตามวิชาการจะต้องพึ่งตํารา
เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้น
เขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทําอย่างไร
ก็ต้องปิดเล่ม คือ ปิดตํารา ปิดตําราแล้วไม่รู้จะทําอะไร
ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็..
เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเขาคลอง
แต่ถ้าเราใช้ตํารา“แบบคนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกัน
ตํารานั้นไม่จบ.. เราจะก้าวหน้า “เรื่อยๆ”
(พระราชดํารัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา : 4 ธันวาคม 2534) .
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์ขั้นสุดยอดของโลก
พ่อครูว่า...คนที่เป็นพุทธศาสนิกชนหากทำตนเป็นคนรวยก็กบฏต่อศาสนา
พุทธทั้งนั้น มีประเทศไทยประเทศเดียวในโลกที่ชัดเจนในการบริหารแบบนี้ได้
พวกที่ทำอาวุธขายคือทำอาวุธไปฆ่าคน ทำแล้วพยายามทํา ให้มีประสิทธิภาพ ฆ่าคนให้ได้เด็ดขาดให้ได้มากมาย บาปหนาบาปหนักบาปอย่างยิ่ง แถมทำอาวุธของตัวเองได้ทำลายเก่งยอด ขึ้นราคาอาวุธให้แพงเพราะว่าไม่มีใครสู้ได้ ประกาศศักดาว่าอาวุธของเราประสิทธิภาพสูงก็ขายให้แพง พวกนี้บาปกินหัวจึงได้ถอยหลังอย่างมาก พระโพธิสัตว์จะหยั่งรู้ความจริงอย่างนี้จริงๆ
แต่ถ้าร่วมมือบริหารแบบที่เรียกว่าแบบคนจน นี่เป็นคำตรัสที่ยิ่งใหญ่ของโลก ของสังคมมนุษยชาติ ประเทศไทยเข้าใจคำศัพท์นี้แล้วปฏิบัติตาม ก็บอกกันว่า เราจะทำตามคำสอนพ่อ ก็ต้องตีคำสอนให้แตกแล้วปฏิบัติจริง จะเป็นประเทศที่เจริญ เป็นประเทศประเสริฐที่สุด ประเทศไทย เพราะว่าจำนนว่ามันรวยไม่ได้หรือเปล่า แต่ยัง อยากจะรวย แต่ในหลวงไม่ใช่อย่างนั้นเลย ได้ตรัสบอกไว้ ผู้บริหารประเทศจะต้องศึกษา ให้ดี แล้วบอกแล้วว่าเขาจะทำตามคำสอนพ่อก็ต้องศึกษาคำสอนพ่อให้ดี แล้วจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เมื่อปฏิบัติถูกจะได้ผลสูง
ขอพูดพาดพิงมาถึงชาวอโศก ชาวอโศกเข้าใจปรัชญาอย่างนี้ของศาสนาพุทธ เข้าใจปรัชญาอันนี้ของพระโพธิสัตว์ในหลวงเป็นต้น อาตมาก็บอกแล้วว่าเป็นธรรมิกราช อีกคน ที่มาขยายธรรมะพระพุทธเจ้า ประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธมาตลอดตั้งแต่เกิด ประเทศไทยมาจนถึงเดี๋ยวนี้ แล้วก็ช่วยกัน ในหลวงแสดงรูป อาตมาแสดงนาม อาตมา แสดงภาษา ในหลวงทรงพระจริยวัตรเลย อาตมาก็เอาแต่พูดบรรยายแต่ก็สอดคล้องกัน ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย เป็นสัจจะ แต่คนเข้าใจไม่ได้ นับถือในหลวงไปเหยียบอาตมา ก็ไม่เป็นไร อาตมาเข้าใจไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาเข้าใจดีจะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องช่วย มาในครั้งนี้ต้องเป็นเช่นนั้น อาตมามั่นใจว่าไม่ได้มาทำลายศาสนาไม่ได้มาทำร้ายประชาชนไม่ได้มาทำลายโลก กำลังมาช่วย
ชาวอโศกกำลังประพฤติตามคำสอนพระพุทธเจ้าตามคำสอนในหลวง เพราะพวก เรามาเอาแบบคนจน พวกเราจนจนสำเร็จเป็นขั้นตอน สำเร็จในขณะนี้ ผู้ที่ยังไม่ยอมจน ก็ยังมีในชาวอโศกที่ยังไม่ยอมจน แต่ผู้ที่ยอมจนและมาตามฐานะ ก็มีมากในชาวอโศก ไม่ได้อยากจะไปรวยตาม แต่ก่อนนี้ที่ไม่ได้เคยได้ฟังได้ยินได้รู้สึก ตอนนี้ก็บอกว่ารวย มากๆไม่ดี ดีไม่ดีมาเป็นคนจนเลย จึงได้เกิดชุมชนชาวอโศกที่เป็นชุมชนคนจน
อาตมาเคยท้วงว่า ผู้ที่มาสำรวจหมู่บ้านคนจน บอกว่าที่นี่จนอันดับ 5 ที่จริง แล้วน่าจะมาเป็นอันดับ 1 เขาจะคำนวณอย่างไรไม่รู้ แต่มันต้องคำนวณรายหัวชาวอโศก ทำงานแล้วมีรายได้ส่วนตัวคนละเท่าไหร่ ต้องเสียภาษีเท่าไหร่ ไม่มีใครมีรายได้ ที่จะเสีย ภาษีเลยในหมู่บ้านชาวชุมชน เพราะว่าต่ำกว่าอัตราของประเทศที่เขากำหนดไว้ว่าจะต้อง เสียภาษีรายได้เท่านั้นเท่านี้ มันต่ำกว่ามากๆ
เสร็จแล้วชาวอโศกให้ภาษีแก่รัฐสูง เพราะอะไร เพราะเงินพวกเราไปอยู่หน่วยกลาง ทางรัฐก็บอกว่าให้เสียภาษี เป็นอัตราที่สูงด้วย เพราะว่ามีเงินก้อนใหญ่ อัตราภาษีที่ เขา ตั้งมาเอาไว้สำหรับคนที่มีกิเลสมากก็ต้องสูงหน่อย แต่คนที่ช่วยสังคมอยู่แล้วให้แก่ ประเทศชาติอยู่แล้ว ก็ควรจะต้องมีอัตราที่ต่ำ มีการยกเว้นบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่า อะไร เราไม่อยากมี exception มีอภิสิทธิ์อะไร เราก็อยู่ได้ไม่มีปัญหาอะไร ก็พูดตามราย ละเอียดที่จะชัดเจน
ขอสรุปให้เข้าเป้าว่า ชาวอโศกมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้น สูงสุดยอด แม้แต่คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ประชาธิปไตยก็ต้องการ เพราะพวกเราทำงาน
แล้วเสียภาษีให้ 100% คอมมิวนิสต์ก็สู้ไม่ได้ คอมมิวนิสต์พยายามตั้งเกณฑ์การเอา ภาษีที่ถูกต้อง ใครมีรายได้มากก็หักเข้าส่วนกลางมาก
อาตมาเป็นคนไม่มีเครดิตไม่มีชื่อเสียงอะไร ทำไปตามแบบลูกทุ่งไม่เข้าเกณฑ์เขา แต่ที่อาตมาทำนี้ขอยืนยันว่า เรื่องเศรษฐกิจก็ดี ที่ได้นำพาชาวอโศกมาเป็นถึงได้ สาธารณโภคี เป็นสังคมตัวอย่างของโลก เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาทำ แล้วพวกเรา ก็เข้าใจได้และเต็มใจ ยังมีอิสระเสรีภาพในชาวอโศก ไม่ได้บังคับไม่ได้หลอกลวง ไม่ได้ อ้อนวอน ไม่ได้พูดประเล้าประโลม พูดอย่างแข็งๆด้วย แต่ผู้ที่มีมีภูมิปัญญาเข้าใจ จึงมีคน สามารถมารวมกันอยู่ที่นี่ได้ มารวมจนเป็นหมู่บ้านชุมชนสังคมแล้วมา ช่วยกันรังสรรค์ เผยแพร่ ยืนยันความจริงในรูปธรรมนามธรรม ก็ขอขอบคุณพวกเราทุกคนที่มีความจริงใจ และก็มีความเข้าใจ ที่มาช่วยให้เกิดรูปธรรมของศาสนาพระพุทธเจ้า จนเป็นสังคมยอด เรียกว่าสังคมโลกุตระ สังคมที่มี ลาภธัมมิกา ถึงขั้นสาธารณโภคี อยู่ในสาราณียธรรม 6 เพราะว่ามีพุทธพจน์ 7
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ (รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน) .
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน) . . .
5. อวิวาทะ (ไม่วิวาทแตกแยกกัน) .
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่) .
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
จึงเกิดผลเป็น
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย . (ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
ยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทำได้จริง เป็นสาธารณโภคี กินใช้ร่วมกันอยู่ในนี้หมดและก็มี ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 เสมอศีล 8 ศีล10 เสมอ ศีล10 โอวาทปาติโมกข์ศีล ก็ไม่ใช่ถือศีลแต่ปาก ในเถรสมาคมบอกว่า ต้องสร้างหมู่ บ้านที่มีศีล แต่ชาวอโศกเป็นหมู่บ้านที่มีศีลมา 30 40 ปีแล้ว ไม่เห็นว่าทางรัฐบาล จะรู้เรื่องเลย แล้วชาวอโศกมีศีลจริงๆไม่ใช่มีศีลเล่นๆ ปฏิบัติจริงๆ ใครผิดศีลตั้งแต่ ศีล 5 ก็ต้องออกไป ถึงขั้นที่ไม่ควรจะอยู่ในหมู่ ก็ต้องให้ออกจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น ไม่ว่าใครก็ตาม
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ถือศีลอย่างไรให้ถูกพุทธ
ถือศีลแล้วพาให้เกิดสมาธิ ไม่ใช่ศีลรักษาแค่กายกับวาจา สมาธิก็ไปนั่งหลับตา เอา..ไม่ใช่ ไม่ได้แยกส่วนเลยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ เป็นสมังคีธรรม มีเหตุปัจจัยที่ สัมพัทธ์กันตลอดเวลา
เช่นคนถือศีล 5 ก็ต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองถือเป็นปกติ ไม่ใช่ถือศีลแต่ในวัด อยู่ในวัดถือศีล 8 ด้วยนะ ผู้ถือศีลต้องมี
รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ที่จริงแล้วอ่านการสัมผัส รู้กาย อ่านเวทนา แยกเวทนาออก รูปนาม ธรรมะสอง เกิดกิเลส กาม พยาบาท นิวรณ์ เมื่อรู้แล้ว ก็ต้องกำจัดนิวรณ์เหล่านี้ของตน
การเรียนรู้ต่อผัสสะ แล้วจิตเกิดเวทนา โดยมีรูปมีนาม แต่ถ้าหลับตาปิดหูปิดตา ปิดทั้งหมดเลย อยู่แต่ในใจ นั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธหรือ ออกนอกรีต บอก ว่าปฏิบัติสมาธิแล้วไปนั่งหลับตา พวกนี้ตกกระป๋อง ทิศทางจากศาสนาพุทธ แสวงบุญนอก ขอบเขตพุทธ เป็นผู้ไม่เห็นรูปทั้งหลายตามวิโมกข์ 8 เสื่อมหมด อาตมาพูดว่า ผิด เขาก็ไม่ ฟังหรอก เขาก็ฟังแต่ครูบาอาจารย์ที่สอนกัน อาตมานี้เขาไม่เชื่อว่าถูกต้อง ไม่ฟัง ไม่มี ปรโตโฆษะอะไร
เมื่อคนถือศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ชีวิตธรรมดา ศีลข้อที่ 1 2 3 เป็นภาคปฏิบัติให้ ชัดเจน เรื่องสัตว์กับเรื่องข้าวของ
ข้อ 1 ต้องสัมผัสสัตว์ แล้วก็รู้ว่า เราก็ชีวิตเขาก็ชีวิต เราไม่ทำร้ายไม่ฆ่าแม้มากินเขา
ข้อ 2 สัมผัสข้าวของวัตถุสมบัติที่ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปเอาของๆเขา อย่าว่า แต่เอาเลย อย่าไปคิดเอาเปรียบ ของๆเขาก็คือของเขาอยากได้ก็ต้องแลกเปลี่ยน แต่ก็อย่าไปมีกลเม็ดให้ได้เปรียบอย่างทุนนิยม
อาตมาถึงได้พาทำการค้าอย่างให้ขายต่ำกว่าทุน
ต่ำกว่าทุนคือทุนที่ต้องบวกค่าแรงงาน เราก็ลดค่าแรงงานเราลดได้มากเท่าไหร่ก็คือบุญนิยม ถ้าทุนนิยมต้องขายให้เกินราคาทุน ทำยอดให้สูงเท่าไหร่คือผู้สำเร็จทุนนิยม แต่ถ้าลดได้มากเท่าไหร่คือผู้สำเร็จบุญนิยม
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์แบบคนจน ที่ช่วยโลก
อาตมาพามาไม่ได้ไปแย่งจากโลก ไม่ได้แย่งทุนนิยม การแย่งชิงกันทำให้โลก เดือดร้อน แต่อาตมาพาออกมานี่ลดการแย่งชิง ก็ทำให้โลกดีขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าประเทศไทยปฏิบัติตามในหลวง ที่ได้ตรัสไว้เราจะไม่เอาเปรียบ ต่างประเทศเลย เราจะเป็นประเทศที่สร้างสรรค์ ผลิตเท่าที่เรามีความรู้ความสามารถ เราเป็นประเทศกสิกรรมก็จะผลิตทางกสิกรรมเป็นเอก ไม่ไปทำแบบอุตสาหกรรม ที่ในหลวงได้ตรัสว่าเป็นการถอยหลังแบบน่ากลัว
ที่เราปลูกอยู่นี้ อันนี้คือบวบเหลี่ยม ภาษาอีสานว่าบักลอย อาตมาก็ให้พวกเรามา ทำกสิกรรม เราทำอันนี้เป็นเอก แล้วสร้างอันนี้ ถ้าเมืองไทยหันมาส่งเสริมกสิกรรม กันอย่างแท้จริง พัฒนาเป็นกสิกรรมไร้สารพิษ กสิกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างที่เรา ได้พากันทำ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลผลิตเลี้ยงโลก เป็นครัวของโลก เป็นผู้ที่ช่วยโลก เลี้ยงโลกไว้ ช่วยกันจริงๆ อันอื่นเราก็ทำแล้วให้เกียรติ
เรื่องรายได้ซับซ้อน อาหารการกิน อย่างเช่นข้าวนี้ขายแพงไม่ได้ เพราะคนจนจะ ตาย เพราะไม่ว่าคนจนหรือรวยก็ต้องกินข้าว คนจะทุกข์ทรมานอดอยากจนตาย ประเทศไทยก็ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้พยายามให้มันแพงขึ้น
เราต้องสร้างให้เป็นของดีราคาถูก ขายสดงดเชื่อ สร้างแล้วขายต่างประเทศถูกๆ แต่ให้ประเทศเรามีอยู่มีกินพอสมควรก่อน ไม่ใช่ว่าเอาไปขายได้มากแต่ประเทศอดตาย แต่ประเทศไทยยังไม่เป็นยังมีกินมีใช้
แต่คนเรียนเศรษฐศาสตร์ไปมองแต่รายได้ขาเข้าGDP รายได้เข้าประเทศ Gross Domestic Product เอามาเป็นรายได้ที่วัดว่าประเทศเจริญทางเศรษฐกิจ
อาตมาบอกว่าถ้าจะวัด GDP รายได้ขาเข้าเราต้องได้น้อยแต่ส่งออกให้คนอื่น มากนัก นั่นคือประเทศมีความเจริญทางเศรษฐศาสตร์
ประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐศาสตร์ก็คือประเทศที่ช่วยเหลือประเทศอื่นได้ มันจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ก็ต้องให้คนมาลดกิเลส เป็นคนลด กิเลสได้จะเป็นคน(สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
เป็นคนมี
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง .
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(ลาภา ธัมมิกา - มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี) . .
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
(สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย .
(ทิฏฐิสามัญญตา) . . (ล.22 ข. 282-283)
ไม่ใช่ เอามาให้แก่ตัวเองจนร่ำรวยไม่รู้จบ อย่างนั้นเป็นเศรษฐศาสตร์ทำลายโลก แต่ต้องมาเป็นเศรษฐศาสตร์แบบคนจนที่ช่วยเหลือประเทศอื่น
ถ้าเรามาลดกิเลสก็จะรู้จักพอ เราจะโลภน้อยลง เอาเปรียบน้อยลง แต่สร้างมากขึ้น คนไปเสียเวลาช้อปปิ้ง เสียเงินทองเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ มันย้อนแย้งกัน ส่งเสริม คนมาช่วยก็ดีใจได้เอาเปรียบเขา แต่คนไทยที่รวยก็ไปเที่ยวประเทศอื่น เอาเงินไปให้เขา ก็ไม่ต้องไปหรอก ทำเมืองไทยให้น่าอยู่แล้วเขาจะมาเที่ยว แล้วไม่ต้องขูดรีดเขา อย่างคน มาเที่ยวที่ชาวอโศก อาตมาพาทำสถานที่น่าอยู่มีธรรมชาติน่ามาพักผ่อน ไม่ได้สร้างแล้ว เก็บเงินหาเงินแก่คนที่มาเที่ยว ขูดรีดเขาไม่ใช่อย่างนั้น
เหตุการณ์ที่หลอกเขาไปเที่ยวแล้วหลอกให้ซื้อ jewellery อย่างนี้เป็นต้น
นักบริหารนักเศรษฐศาสตร์ต้องเข้าใจมนุษย์และสังคมอันประเสริฐ ว่าควรเป็นเช่นไร ถ้าประเทศไทยเข้าใจอุดมคติ นี้ ของพระพุทธเจ้าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ประเทศ อื่นจะบูชาเคารพมากกว่านี้ เป็นประเทศที่ไม่ต้องรวยมากอย่างในหลวงตรัส เป็นประเทศ ซื่อสัตย์สุจริต ของเราพอกินใช้แล้วมีเหลือสะพัดแก่คนอื่น สะพัดให้ถูก ของเราดี ราคาถูก ซื่อสัตย์มีน้ำใจ ซื้อหนึ่งแถมสองอย่างนี้ อย่างซื้อมะละกอแถมมะนาว
ในหลวงตรัสแบบคนจน แบบขาดทุนคือกำไร สั้นๆแต่กินความ จะมาเป็นคนแบบนี้ ได้ อย่างอาตมได้พาพวกเรามาทำได้สำเร็จ เป็นผู้ที่ขาดทุนของเราคือกำไรของเราได้ ยังอยู่ได้อยู่รอด เป็นไปได้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ทุกอย่าง แม้แต่ทำให้เกิด สาธารณโภคีถึงขั้นในวงฆราวาส ก็ทำได้สำเร็จอย่างนี้เป็นต้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดเลยที่ อาตมาพาทำได้ ยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้าได้ว่าแม้ในยุคนี้ ทุนนิยมจัดจ้านขนาดหนัก ยังเอาบุญนิยมของพระพุทธเจ้ามาประกาศได้ บุญคือการชำระกิเลส ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา เราได้ชำระกิเลส เราได้เสียสละให้แก่ผู้อื่น
การที่จะเอาเปรียบ เอาแต่กำไร ตามทฤษฎีของทุนนิยมนั้นไม่ไหวหรอก อย่าไปเอาอย่างประเทศอื่นเขา เอาของเรานี่แหละ ที่เป็นศาสนาพุทธให้ถูกต้องตามธรรม แม้แต่วงการศาสนาพุทธกระแสหลัก ก็ไม่ได้มาสอนไม่ได้มาบอกผู้บริหาร ไม่ได้มา พยายามชักนำให้ประชาชนและปฏิบัติเรียนรู้ทฤษฎีบุญนิยม ทฤษฎีเกิดความ บำรุงง่าย (สุภระ), ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ผู้ที่เข้าใจเราได้พยายามเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติตาม ส่วนผู้ที่ไม่เข้าใจ ก็แล้วไปเถอะ ก็เป็นธรรมดา เขาก็ไม่เอาถ่าน ไม่เอาอยู่แล้ว เขาจะทำแบบทุนนิยม ล่า ลาภยศสรรเสริญ แข่งขันกันรวย ไปนิยมชมชอบสำนักที่พาให้รวย ไปนิยมชมชื่นอย่างนั้น ก็เลยย้อนแย้งกัน ถ้าคนเข้าใจศาสนาพระพุทธเจ้า อย่างถูกต้อง แล้วสืบสานให้ประชาชนทำอย่างถูก ต้องตาม
อาตมาภาคภูมิใจที่เกิดมาในชาตินี้ จะได้เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาฟื้นจากที่หลงผิด มีคนฟังแล้วเข้าใจยินดีได้มาปฏิบัติตาม ก็กลายเป็นคนที่สืบสานศาสนาพระพุทธเจ้า สืบทอดกันต่อไปอยู่ ยังสามารถเอาสาระแก่นสารของศาสนาพุทธไว้ได้เท่านี้ก็ อาตมาก็ พอใจและภาคภูมิใจ ชีวิตนี้ได้มาทางนี้มาทำให้ศาสนาได้กระเตื้องขึ้นมาสักนิดหนึ่ง แต่ก็ ยังดีว่า จะปล่อยให้มันสูญ ก็น่าเสียดาย ให้มันกลายเป็นเรื่องที่เลอะเลือนเละเทะ ยิ่ง ไปกันใหญ่แล้ว ไม่มีใครมากระตุก ไม่มีใครมาฟื้น ไม่มีใครมาเอาแก่นสารสาระโลกุตระ ของพระพุทธเจ้าขึ้นมาฟื้นฟูเลย อาตมาก็ว่าศาสนาพุทธจะไปไม่รอด แต่นี้ได้ทำขนาดนี้ จะเหลือเนื้อแก่นสารให้ศาสนา นำพากันเป็นเชื้อที่จะทำให้โลกุตระนี้ มีเชื้อต่อไปจนกว่า จะถึงสูญสิ้น
อาตมาก็ยังเห็นว่ายังไว้ใจไม่ได้หรอก คงจะต้องเกิดมาอีกรอบ เข้ามาอีก ยังไม่รู้ว่า มาอีกรอบจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่คิดว่ามีเชื้อบ้างแล้ว ก็ยังพอสมควร คงจะนำพา อะไรต่ออะไรให้เพิ่มขึ้นได้บ้าง มาอีกรอบก็คงจะดี ตายไปชาตินี้เกิดมาอีกรอบ ก็มา พยายามเพิ่มขึ้นไปอีก คงจะต้องเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นคงจะไม่รอดไม่ถึง 5,000 ปี
พูดอย่างใจจริงว่าต้องเป็นเช่นนั้น แต่ว่ายากเย็นแสนเข็ญจริงๆเลย
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูได้นำสาระสัจจะมาพูด คนที่ศรัทธาคือคนที่เอาสาระสัจจะในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทำแบบรูปธรรม พ่อครูก็พาชาวอโศกทำต่อ มาอยู่แบบคนจนขาดทุนคือกำไรเสียภาษี 100% เป็นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลก ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลกเพราะมีคนที่มาทำเสียสละให้แก่ประชาชน
https://www.youtube.com/watch?v=m8f9VuQfRgg
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:22:44 )
รายละเอียด
601013_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่สุขสำราญตามรอยพ่อ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันสำคัญ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 แรม 8 ค่ำเดือน 11 ปีระกา ที่บวรราชธานีอโศก ถือว่าวันนี้เป็นวันเศร้าโศกเสียใจครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าในเดือนตุลาคม จะมีวันสำคัญกันไปทั้งเดือน วันที่ 13 เหมือนวันมหาอาลัย วันที่ 14 เป็นวันมหาวิปโยค พอถึงวันที่ 19 ก็เป็นเทศกาลกินเจเป็นวันมหากุศล ปีนี้ที่บ้านราชฯลุงจำลองก็จะมาร่วมเทศกาลกินเจด้วย
ช่วง 19-29 ก็มี วันที่ 23 เป็นวันปิยมหาราช วันที่ 26 ทางญาติธรรมหลายส่วน ก็จะไปร่วมกันจัดโรงบุญครั้งใหญ่ ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ โรงบุญเราก็มีการเข้ากะกันตลอด 24 ชั่วโมง งานนี้รับสมัครจิตอาสาพวกเรา ที่มีสุขภาพแข็งแรง ใครสุขภาพไม่แข็งแรงก็อยู่บ้านก่อน เพราะต้องรับงานหนัก แต่ที่บ้านราชฯเราก็มีร้านขายเจที่พ่อครูว่า เป็นร้านขายอาหารเจที่ใหญ่ที่สุด
พอเดือนพฤศจิกายน ก็เข้างานมหาปวารณา เป็นครั้งแรกที่ไปจัดงานที่ศาลีอโศก ในวันที่ 4 ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน ปีนี้ 7 พฤศจิกายน เป็นวันครบรอบวันบวชของพ่อครู ย่างเข้าปีที่ 48 ของพรรษาของการบวช และย่างเข้าปีที่ 84 ของชีวิต พ่อครูจะเทศน์ถึงการทำงานย่างเข้าปีที่ 48 ของการมากอบกู้ศาสนา
งานของเราจะต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ปีนี้ก็ชัดเจนว่า แต่เดิมเป็นงาน ว.บบบ.ก็จะมาเปลี่ยนเป็นงานเพื่อฟ้าดิน ก็ดูว่าจะเข้ากับเหตุการณ์ยุคสมัย ปีนี้น้ำท่วมกันหลายรอบ ตอนนี้ กรมอุตุก็พยากรณ์ว่าจะมีพายุโซนร้อนขนุนเข้าเวียดนาม แล้วจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยแน่ เรื่องอาหารของประเทศจะขาดแคลน และเราจัดงานเพื่อฟ้าดินก็จะช่วยประชาชน
วันที่ 27-30 จะเป็นงานบำเพ็ญคุณ วันที่ 31-2 เป็นงานเพื่อฟ้าดิน ก็รักษาชีวิตไปให้ถึงสิ้นปีก็แล้วกัน วันนี้เป็นวันสำคัญของประเทศไทย และเป็นวันสำคัญที่พ่อครูจะมาให้ธรรมะ
พ่อครูว่า...เราเริ่มต้นด้วยการ โอภาปราศรัยกับข้อความที่ส่งมา
ก่อนอื่นก็ขอโฆษณาค่ายอบรมธรรมะ ที่จัดตามชุมชนต่างๆ ก็จัดกันเพื่อที่จะให้คนที่เริ่มเข้ามา เข้ามาได้เรื่อยๆ แพร่กระจายไป แต่แหม คนน้อยเหลือเกิน ไม่ค่อยจะสนใจจะมากัน ก็เข้าใจนะว่า เป็นโลกุตรธรรมที่ไปนิพพาน รสของโลกียะก็อ่อนมาก จนเกือบไม่มีเลย ก็เลยยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะคัดเอาคนสนใจมาเพิ่มเติมได้ คนไหนมาก็อุ่นใจดีใจที่เข้ามา แสดงว่ามีภูมิปัญญาถึง เป็นการแสวงหาค้นหา มีดวงตาค้นพบแล้วก็จะทยอยกันมา ไม่ใช่เราเปิดประตูกรูเกรียวหลอกล่อกันเข้ามา เป็นโลกียะจัด มันก็ไม่ดีเราเองก็ไม่ค่อยไหว
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า “ออกพรรษา มุ่งมาเดินตามรอยพ่อ”
ครั้งที่ 22 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 13 - อาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้) สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือโทรฯ คุณชญาดา 087-4437865 ##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
_SMS วันที่ 11-12 ตุลาคม 2560 (บวรราชธานีอโศก)
_6956ทักษิณว่าในหลวงพาประชาชนไปจน ก ท ม
พ่อครูว่า...คำว่าจนเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก วันนี้จะสาธยายเรื่องนี้ในหลวง ร.9 ตรัสให้มาเอาแบบคนจน อาตมาก็ชัดเจน ในการพากันมาจน แล้วพากันปฏิบัติ มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันทุกอย่าง ทำกันจริงๆ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนฉลาดกันแล้วทั้งโลก แล้วรู้ว่าทิศทางความเจริญความประเสริฐคืออย่างไร คือการมามักน้อยสันโดษตามพระพุทธเจ้าสอน ตามวรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 ยกย่องความจนไม่ได้ยกย่องความรวยเลย เป็นคนจนที่ประเสริฐและฉลาดขยันขันแข็ง เป็นคนจนที่วิเศษ
_0015ความเสื่อมในวงการพุทธศาสนาและการตายไปของเกจิ อาจารย์สำนักต่างๆประกอบกับการที่พ่อท่านฯมีอายุที่ยืนยาวน่าจะ มีส่วนช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาได้มากนะครับ
พ่อครูว่า...การตายคือตายจากความหมดฤทธิ์หมดอำนาจ หมดสิ่งที่จะได้มา เผยแพร่มากระจายสิ่งที่มันไม่เข้าท่าเข้าทาง ก็ถูกปราบถูกกำจัดถูกล้างบาง และอีกปัจจัยคืออาตมาอายุยืนยาว
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน มีครอบครัวอยู่สามารถบรรลุธรรมขั้นไหนได้
_ยังมีครอบครัวอยู่มีลูกมีเมียยังอยู่กับครอบครัว จะสามารถบรรลุถึงขั้นใดได้
พ่อครูว่า...ก็ตอบได้ว่าเจริญสูงสุดได้แค่สกิทาคามี เมื่อสกิทาคามี กามเริ่ม ลดละจางคลายบางเบาก็ได้เรื่อยๆ สกิทาคามี แก่ๆ กามก็จะลดลงๆ เรื่องของครอบครัวลาภยศสรรเสริญก็จะวางปล่อย โดยสัจจะของมัน เมื่อเข้าเขตอนาคามี ตัดรอบเลย เหลือเศษรูปราคะ อรูปราคะ แต่ไม่ออกมาข้างนอกแล้วไม่เอาแล้วเป็นต้น
สรุปก็คือ จะอยู่กับคู่ครองนั้นได้สูงสุดก็แค่สกิทาคามี แล้วสกิทาคามีสูงๆก็ไม่เอาแล้ว ยิ่งเข้าเขตอนาคามีก็เลิก
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายกับร่างกายต่างกันอย่างไร
_ขอให้หลวงพ่ออธิบายคำว่า กาย กับร่างกาย เหมือนหรือต่างกันจะๆเจ๋งๆอีกสักครั้งนะครับ
พ่อครูว่า...ร่าง หมายถึงดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป เช่นคนตายลง จิตวิญญาณออกจากร่าง ไม่ต้องใช้คำว่ากายใส่เข้าไปหรอก วิญญาณออกจากร่างก็เหลือแต่ซากศพเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีวิญญาณอยู่ในนั้นแหละ เป็นรูปรูป เป็นอุตุนิยามเลย บางคนยึด จะเหลือเชื้อโมเมนตัมของพลังงาน จิตนิยามในนั้นบ้าง ไม่เป็นจิตแล้วเป็นพลังงานแค่พีชนิยาม คือพลังงานในระดับพืช ซึ่งไม่ใช่จิต ไม่มีเวทนา ไม่มีพยาบาทไปต่อเนื่องถึงชาติหน้า
ทีนี้เรื่องกาย กายคือคำความหมายของสองสภาพคือรูปกับนาม กายกับจิตหรือรูปกับนาม กายหมายโน้มเน้นถึงรูปภายนอก จิตโน้มมาถึงภายใน กายเป็นธรรมะ 2 แยกกันไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ากายแล้วต้องมีรูปกับนามเป็นธรรมะ 2 แยกกันไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ไม่แยกกัน แยกเมื่อใดไม่เป็นกาย ถ้าจิตไม่ร่วมกับรูป ส่วนที่จิตไม่ร่วมนั้น กายก็ไม่ใช่ ไม่ใช่กายไม่เรียกกาย เรียกร่าง ดินน้ำไฟลม อากาศ เท่านั้น ไม่มีพลังงานจิตเข้าไปร่วมเลย เรื่องของร่าง
ทีนี้เอากายเข้าไปร่วมกับร่างด้วย คำว่ากาย กับร่างกาย จึงเลยยากเพราะมีกายเข้ามาร่วมกับร่างกาย
ถ้ากายเฉยๆ คือสภาพของรูปกับนาม แต่เอาร่างกับกายมารวมกันอีก ร่างหมายถึงรูปเน้นๆ แต่กายหมายถึงนาม ร่างกายก็คือภายนอกที่มีกายไปร่วมอยู่บ้าง เน้นไปหาภายนอก
_สำหรับคนทั่วไป แม้แต่คำว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยังอธิบายไม่ชัดเจนเลย หรือว่าท่านไม่กล้า ที่จะพูดความจริงเหมือนกับพ่อครู
พ่อครูว่า...เป็นได้นะ เพราะเขากินเนื้อสัตว์อยู่ เขาอาจจะพอรู้เหมือนกัน หรือเขาไม่รู้ละเอียดเหมือนอย่างอาตมา ก็เลยไม่ได้อธิบาย
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน มหาปเทส 4 คืออะไร
_ลูกขอนำเรียนถามถึง มหาภูติ 4 คืออะไรคะ และมหาปเทส 4 คืออะไร
พ่อครูว่า...มหาปเทส 4 คือ ความละเอียดลึกซึ้งในภูมิธรรมชั้นสูง ผู้ที่รับผิดชอบดูแลศาสนาแล้วก็จะใช้ภูมิธรรมเป็นเครื่องตัดสิน เป็นของฐานสูง คนยังภูมิไม่ถึงไม่ต้องกังวลหรอกไม่ต้องใช้ มหาปเทส 4 มีอยู่ 4
1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
(พระไตรฯ ล.5 ข.92)
ในยุคไหนมีเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสยืนยันไว้ ว่า ห้ามหรืออนุญาต ยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ เราก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต แล้วมันควรใช้หรือไม่ เราจะต้องใช้ภูมิธรรมเราพิจารณาว่า ควรหรือไม่ควรตามปัญญาของตัวเอง คุณรับผิดชอบนะ ถ้ามันไม่ควรแต่คุณเห็นว่าน่าจะทำก็ต้องรับผิดชอบเอง ผู้ยังไม่มีภูมิขั้นนั้นก็เอาแค่สัปปุริสธรรม 7 ก็พอ มหาปเทส 4 ทิ้งไว้ให้ผู้ที่มี ภูมิธรรมตัดสิน ให้พระโพธิสัตว์หรือผู้ที่มีหน้าที่ของท่านตัดสิน มันเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ มหาปเทส 4 นี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระพรหมที่โง่เง่าคืออย่างไร
_วันก่อน พ่อครูพูดถึงพระพรหม โง่เง่า ความโง่เง่าของพระพรหม มันมีนัยอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...บัญญัติภาษาคำว่า พระพรหมหมายถึงความบริสุทธิ์ของจิต แล้วต้องเป็นความบริสุทธิ์แบบโลกุตระด้วย ทีนี้ คำว่าความบริสุทธิ์ ทางโลกียะเขาเอาไปตีกิน ทางโลกียะเอาพระพรหมไปอธิบายของเขา ไปตีกิน คำว่าพระพรหมเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์สูงส่งเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่ส่วนมากเขาตีความว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่ง โลกียะเอาไปตีกิน ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งต้องเคารพต้องยอมรับหรือว่าเป็นพระเจ้า ไม่ให้วิจารณ์ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นทางโลกียะ จึงได้อธิบายความเป็นพรหมอย่างโง่เง่า หมดอิสรภาพเลย ต้องทำตามอย่างเดียวเป็นเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่คือพระพรหมโง่เง่า
เอาชัดๆอย่างนี้ก่อน ส่วนพระพรหมที่เป็นโลกุตระคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิเทพ
เทพ พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ 3 อย่างคือ สมมุติเทพ อุปปัตติเทพ วิสุทธิเทพ
สมมุติเทพ อย่างเทวดาจาตุมหาราชิกา เป็นเทวดาชั้นเลวที่สุด คือเป็นผู้มีอำนาจใหญ่ทั้ง 4 ทิศ เอามาให้แก่ตัวหมดทุกทิศ
พรหม 20 ชั้น
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ คือพรหมชั้นครู เป็นผู้รู้ผู้สอนผู้บอก
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ เป็นพรหมบริวารที่ชัดมีความรู้ความสามารถเจริญขึ้นมาบ้าง
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คือไม่มีประมาณ คือเขาจะเอาให้มากที่สุด อยากเก่งอยากใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด สูงสุดของอันนี้ก็คือ อาภัสรา พวกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดของความสว่าง ตามอุปาทาน แล้วสร้างมโนมยอัตตา ไปอย่างไรก็ได้ เพราะสร้างด้วยอุปาทาน ไม่มีของจริงหรอกแต่ก็สร้างหลอกตัวเองหลอกคนอื่นไป สว่างไม่มีที่จบ อย่างสายธรรมกายเป็นต้น เป็นพรหมชั้นต่ำกว่าสายดำ สายอ.มั่น สายนั่งหลับตาสะกดจิต พวกนี้นิโรธ ไม่บานปลาย ส่วนพวกธัมมชโยบานไกลไม่รู้จบเป็นพวกชั้นต่ำกว่า สุภกิณหา
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ คือแสงสว่างเจิดจ้า เป็นผู้ใหญ่สุดในกลุ่มนี้สามเส้านี้
หมวด 3
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา มีรัศมีสูงกว่าเก่า มีสุ นำหน้า เหนือกว่า อาภา คือแสง แต่นี่สุภา
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ สูงสุดของกลุ่มนี้ น่าได้น่ามีน่าเป็นเป็นกิณหา แปลว่า ดำ มืด คือพวกสายดับ มีนิโรธ อุทกดาบสเก่งที่สุดอันนี้ รองลงมาก็อาฬารดาบส อาจารย์ใหญ่ที่สุดในบรรดาที่พระพุทธเจ้าไปแสวงหาตอนนั้น พวกนี้นั่งหลับตาทั้งนั้น แม้อรูปฌานอีก 4 ก็นั่งหลับตาเป็นหลัก แต่ก็มีที่จะได้อธิบายแบบลืมตาซ้อนในนี้อีก อาตมาอธิบายได้แต่รอพวกคุณ ขืนโยนเพชรพลอยให้ลิงก็จะเสียเปล่า ขออภัยไม่ได้ดูถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูคือช้างมาตังคะ
_อโศกสัมปวังโก
1.ในพระสูตรที่กล่าวถึงกลอง อานกะ ซึ่งยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นับวันจะไม่เหลือเนื้อแท้อันเป็นเหตุให้เกิดมีผู้นำในการกอบกู้พระสัทธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กลับคืนมา ซึ่งตรงกับคำทำนายของโบราณาจารย์ว่า ในกึ่งหนึ่งของศาสนาพระพุทธเจ้าจะมีพระยาธรรมิกราชมากอบกู้พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า มหาบุรุษผู้นั้นเปรียบเสมือนกับช้างผู้มีนามว่ามาตังคะที่ปรากฏในชาดกและมหาบุรุษผู้นั้นก็เป็นผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ที่มีสยังอภิญญา วีรกรรมของช้างมาตังคะก็คือ การประกาศนานาสังวาส วีรกรรมดังกล่าวกลับถูกบิดเบือนว่าเป็นสังฆเภท ซึ่งเป็นอาบัติขั้นหนักข้อที่ 4 ปาราชิกจากอธรรมวาที ผู้ปกครองคณะสงฆ์กระแสหลัก สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในกลุ่มศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...ท่านมีอำนาจบาตรใหญ่ แต่สูตรของท่านเป็นสูตรปาท่องโก๋ที่ทำให้คนกินท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาก็เลยขอแยกตัวออกมาทำสูตรของอาตมา แต่ท่านก็ดึงอาตมาเข้าไปฟ้องร้องอีก ตอนนี้ก็ถึงกาลเวลาที่เลิกไปหมดสิ้นแล้ว อาตมาปลอดพ้นแล้ว ทางโน้นก็เลย ตอนนี้กำลังกวาดล้างกันอยู่ เป็นวิบากของเขาเอง เขาทำเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องซ้ำเติม แต่เป็นเรื่องสัจจะต้องเป็นเช่นนั้น สรุปแล้ว อาตมาประกาศนานาสังวาส เขาก็มาให้อาตมาว่าเป็นสังฆเภท ที่จะเป็นอนันตริยกรรม อาตมาบอกว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาก็มายัดเยียดว่าให้เป็นอนันตริยกรรมสังฆเภท
อาตมาเป็นผู้สยังอภิญญา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฎฐินั่นหรือไม่ ก็ต้องติดตามพิสูจน์ ติดตามมาตรวจสอบทำความเข้าใจเอาเองให้จริง สมณพราหมณ์ อาตมาก็ไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าให้เข้าใจ อยังโลโก ปโรโลโก เขาอธิบายกันไป มโนมยอัตตา มันไม่ใช่ อาตมาก็มาอธิบายให้เข้าใจ ว่าโลกนี้คือโลกียะ โลกหน้าคือโลกุตระ อาตมาก็สามารถอธิบายให้แจ่มแจ้งจนให้คนมาปฏิบัติสู่โลกหน้าได้ ยืนยันพิสูจน์ว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้นั้น ไม่มีครูบาอาจารย์ รู้ด้วยตัวเอง เป็นสยังอภิญญา สูงกว่าปัจเจก สูงกว่าปัจจัตตัง สูงกว่าสยังอภิญญาเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ และก็เป็นอนุตรสัมมาสัมพุทธะ
สรุปแล้วอาตมาก็ขอตอบชัดๆว่า อาตมาคือช้างมาตังคะ คือสยังอภิญญา จะบอกว่าอาตมามากอบกู้ศาสนาก็ใช่แน่นอน ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่า คุณเชื่อว่า มีพระยาธรรมิกราช 2 องค์จะเชื่อหรือไม่จะเห็นตามหรือไม่ก็แล้วแต่
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน วิวัฒนาการการสืบสานพระพุทธศาสนาของพ่อครู
2.เมื่อไม่นานมานี้พ่อท่านได้กล่าวถึงวิวัฒนาการทางภาษา โดยที่พ่อท่านได้ยกตัวอย่างว่า ภาษาอีสาน ที่ใช้ตอนเป็นเด็กหนุ่มกับภาษาอีสานในทุกๆวันนี้มีความแตกต่างกันจนทำให้สื่อสารกันได้อย่างไม่ราบรื่น ทำให้ผมคิดถึงอนาคตของพระไตรปิฎกที่ทุกวันนี้ก็อยู่ภายใต้กฎของวิวัฒนาการของภาษา ซึ่งมีผลทำให้พุทธศาสนิกชนต้องการศึกษาพุทธศาสนาด้วยตนเองไม่สามารถพึ่งพาพระไตรปิฎกได้ ในช่วงเวลา 100 ปีจนถึง 500 ปีข้างหน้า ที่พ่อท่านพยากรณ์ว่าพุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่งและหลังจากนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ จนหมดสิ้นพระพุทธศาสนาเมื่ออายุครบ 5000 ปี ในช่วงเวลาที่พุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองอีกดังกล่าวนั้น ชื่อของพ่อท่าน ก็จะถูกกล่าวขานในฐานะผู้กอบกู้ศาสนา รวมทั้งงานเขียนต่างๆที่พ่อท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ก็จะได้รับการสนใจและถูกนำมาศึกษา ซึ่งงานเขียนเหล่านั้นก็ไม่พ้นที่จะต้องตกอยู่ภายใต้วิวัฒนาการของภาษา ซึ่งจะทำให้คนในยุคนั้นอ่านงานเขียนของพ่อท่านได้เข้าใจยากยิ่งขึ้น แต่ก็จะมีผู้ที่มีภูมิขั้นปัจจัตตังที่เกิดจากหัวเชื้อที่พ่อท่านได้บ่มเพาะเอาไว้ในทุกวันนี้มาเกิด เพื่อช่วยสืบสานพระสัทธรรมแก่นแท้เอาไว้ โดยจะเป็นผู้ขยายความพระไตรปิฎก และงานเขียนต่างๆที่พ่อท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ สิ่งที่ผมกล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า….อาตมาบอกไว้ เขียน pattern ไว้ให้แล้ว ให้เจริญภายใน 500 ปี เมื่อถึง 500 อาตมาอาจจะเกิดมาหรือไม่หรือเกิดมาดูนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้เจริญแล้วก็เสื่อมไปจนถึง 5000 ปี
ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะเกิดมาอีก ถ้าเนื้อนี้ข้นแล้ว อาตมาไม่เกิดแต่พวกเราจะนำพาไปครบจนถึง 2500 ปีได้ รูปโลโก้สามเหลี่ยมที่ว่านี้ นะ เรานำมาเป็นโลโก้ของบริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทรนะ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ไม่ใช่ขีดเขียนขึ้นมาเล่นๆแต่มันมีความหมายดังที่ว่ากัน ตอนนี้ก็ชั่วระยะเวลาที่อาตมาได้มาทำงาน 36 ปี ผ่าน 72 ไปแล้ว ขึ้นไปร้อยแปด ขึ้นไป 120 อะไรอย่างนี้ ไปถึง 144 แล้วแถมอีก 7 ปีเป็นต้น มันจะถึงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้
ทุกวันนี้ยังมีพวกสำนักที่เอาแต่พุทธพจน์พุทธวจน ไม่เอาของคนอื่นเอาแต่ของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว พวกนี้เป็นเลือดเถรวาท พวกรักษาเข้มข้นเป็นจับกังแบกลังทอง เขารักษาไว้ ก็ต้องขอบคุณเขานะรักษาพุทธพจน์ไว้ดี แต่ก็เป็นจับกังแบกลังทอง เขายึดถือจนไม่เอารายละเอียดที่เราพูดถึง เอาแต่พระพุทธพจน์อย่างเดียว พวกนี้ติดยึดในตำรา ตามกาลามสูตร ดีที่จริงเขารักษาไว้ มันต้องมีจับกังแบกลังทองแบบนี้แต่ไม่ได้ทองคำ
สิ่งที่กล่าวมานี้จะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นถูกต้อง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ไม่ได้กลัวความจน
เข้ามาสู่สิ่งที่อาตมาเจตนาอธิบาย เรื่องความจน ต้องขยายความไปอีกนาน เพราะเป็นคำสำคัญ พวกภาษาอังกฤษว่า poor
ความจน เป็นนามธรรม คนจนเป็นคำนาม ในคนจนนั้นมีความจน
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน อ่านอันนี้ให้ฟังก่อน
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน แต่ยินดีเต็มใจจนตั้งใจจน อย่างมีความสุขสำราญ เพราะมีทางออกอันประเสริฐคือ มีสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น เป็นคนจนแล้วสุขสำราญได้อย่างไร นี่ก็เป็นคำถามของคนทั่วไปว่าเป็นคนจนจะมีความสุขสำราญได้อย่างไร จริงหรือ
ถ้าไม่จริง พระพุทธเจ้าก็โกหกเราสิ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้คนมาจน อัปปิจฉะนี่ให้มามีน้อยๆ แล้วพระองค์ก็ทรงมีน้อยๆ เป็นเรื่องลึกซึ้ง
พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ท่านได้ทิ้งหมดเลย แล้วทำไมพระเจ้าแผ่นดินเราไม่ทิ้ง ก็ซับซ้อน
ขอขยายความว่า บารมีนั้นไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็เป็นพุทธวิสัย แม้แต่ อาตมาก็เป็นพุทธวิสัย เป็นเรื่องไม่สามัญที่คนทั่วไปจะรู้ได้ เป็นการสั่งสมความเป็นพุทธ
พุทธวิสัยสูงสุดก็คือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เต็มๆ ส่วนโพธิสัตว์ก็สร้างพุทธวิสัยไปตามลำดับ ในอจินไตยมี 4
ข้อ 2 คือฌานวิสัย คือสถานะของจิตที่สามารถทำลายกิเลสได้อย่างซับซ้อนเป็นชั้นๆ ซับซ้อน คือ พระโพธิสัตว์แต่ละชั้น ฌานวิสัย จึงไม่ใช่การชำระกิเลสในระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ รอบเดียวนั้นไม่ใช่ จะมีรอบที่สูงเป็นพระโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ แล้วยังมีสูงขึ้นไปอีกถ้าจะขยายความก็เป็นอีกร้อยชั้นเลย
ไม่สามารถคาดเดาได้หรอก แต่ไม่สามารถใช้ภาษาอธิบายได้หมด
สมณะเดินดินว่า...ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่า โสดาบัน มีฌานวิสัยได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ได้ แต่โสดาบันอธิบายอะไรไม่ค่อยได้หรอก อรหันต์ระดับต้นอธิบายฌานยังเละๆอยู่เลย รู้สึกไหม ใช่ไหม ยังไม่ได้ง่ายๆหรอกมาอธิบายฌานวิสัย
อธิบายแค่กาย แค่เวทนา 108ให้ได้ก่อนสิ เรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม
กาย คือองค์ประชุมรูปกับนาม เป็นธรรมะสองซ้อนๆ แล้วเวทนา 108 เป็นการขยายผลรวมลงมา แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะ สั่งสมเนกขัมมะ เป็นชั้นๆๆ ของพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วก็เป็นชั้นๆของอรหันต์อีก สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน แต่ยินดีเต็มใจจน มาจนอย่างตั้งใจจนมีความสุขสําราญ เพราะมีทางออกอันประเสริฐคือมีสัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น จะขยายความเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 เป็นไตรสิกขาก็ได้
มาเป็นคนจนแล้วสุขสำราญได้มีจริงเหรอ อาตมาก็ตอบ ถ้าไม่จริงพระพุทธเจ้าก็โกหกสิ มาเป็นคนจนและสุขสำราญ เป็นคนจนที่สุขสำราญแต่เป็นคนรวยนั้นเป็นทุกข์ แต่เขาอวิชชาก็ไม่รู้ว่าทุกข์ เขาบำเรอด้วยโลกธรรมเอามากลบ เขาสุก ก.ไก่ บำบัดด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กาม ด้วยอัตตา เป็นโลกียะหมด แต่เขาก็ใช้เงินบำเรอได้ก็ไม่เห็นทุกข์ พวกนี้น่าสงสารกว่าจะเห็นทุกข์อีกนานมาก จะวนเวียนในนรกสวรรค์ เป็นสมบัติผลัดกันชมไปอีกนาน เป็นขอทานเป็นมหาเศรษฐี เป็นขอทานเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดี เป็นขอทานที่เป็นขี้กลากเป็นขี้เรื้อน วนเวียนไม่รู้จบ เขาก็ไม่รู้
ผู้ที่รู้แล้วจึงจะชัดเจนและเข้าใจ สรุปแล้วให้มาจน แม้แต่พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าในยุคนี้ ปลายภัทรกัปป์ ยังมาอยู่ในสภาพคนจน เขาก็เลยหาว่าพระพุทธเจ้ายังมาจนเลย แล้วทำไมในหลวงไม่มาจนเหมือนพระพุทธเจ้า พวกนี้ไม่รู้เรื่องไม่รู้จักอจินไตย ก็มักจะพูดเช่นนี้ พูดอย่างไม่รู้เรื่อง อธิบายอย่างใส่ความเลอะเทอะ
เพราะพระพุทธเจ้าทรงพามากล้าจน มักน้อย อัปปิจฉะมีใจพอหรือจนก็พอ สันตุฏฐิ ดังนั้นก็ต้องจริงแน่ จนนี้สุขสำราญ ความสุขสำราญนั้นอยู่ที่ใจมีความสุข ความสุขความทุกข์ก็อยู่ที่ใจทั้งนั้น มีมากก็สุขมีน้อยก็สุข บางคน ซาดิสม์ มาโซคิสก็สุข มันก็อยู่ที่ใจ อุปาทาน
คนที่จนและสุขสำราญก็จะเป็นขั้นๆไม่เบียดเบียนใคร อาตมากล้าพูดตรงนี้ได้ว่า คำว่าจนนี้จะทำให้อาตมามีชื่อเสียงในวงการโลก จะทำให้อาตมาได้รับการยอมรับจะมีชื่อเสียง จะขยายสภาวธรรม สัจธรรม จะขยายปรัชญาความรู้ในเรื่องคนจน แล้วคนจะมาตั้งใจจนปฏิบัติตัวเป็นคนจน ในอนาคตจะมีคนมาเป็นคนจนอีกเยอะ บอกไว้เลย เพราะคนจนอันประเสริฐสุดยอด คนรวยไม่มีประเสริฐหรอก ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ยิ่งต่ำ มีแต่เสื่อม มีแต่นรก ติดตัวเอง ยิ่งรวยก็ยิ่งมีนรกติดตัวเองไปเรื่อยๆ
คนที่มีปัญญา เริ่มมีอัญญะอัญญาเข้าไปจริงแล้ว จะไม่กลัวความจน มาปฏิบัติ แม้จิตใจจะมีกิเลสเยอะ มีวิบาก ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาก็จะทนอยู่ได้ เพราะว่ามีเชื้อของโลกุตระมีอัญญธาตุที่ไม่ใช่เฉโกแล้ว มีความรู้ใหม่ความรู้อื่นที่ไม่ใช่โลกียะ
ความฉลาดความรู้ทางโลกียคือ เฉโกเฉกตาเป็นสามเส้า แต่เริ่มต้นได้ความรู้ใหม่ เริ่มมี 4 ออกมา เมื่อมี 5 ก็อัญญะมีคู่ ถ้ามี 6 ก็มีสองเส้าแล้วเป็นวงรี เป็นดาวหางที่เจริญขึ้นเรื่อยเรื่อย เป็นแนวระนาบที่มีความหนา ไม่ใช่แบนเป็นระนาบแต่มีมิติ
จาก 6 ก็ต้องมีอัญญะที่เจริญขึ้นไปเป็น 7 เมื่อ 7 แล้วก็จะเริ่มต้นใหม่เป็น 8 เป็น 9 เป็นรอบใหญ่ สามเส้าของ 1 2 3 กลายเป็น 10 เป็นวงวนคือ 0 หรือ 10 ถ้าจะจบตรงนี้นี่แหละคือพระอรหันต์จบตรงนี้ แต่ถ้าไม่จบ คุณก็ต่อ ก็ต่อไปเป็น 11 12 13 เป็นอีกหนึ่งรอบซ้อนไปอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ขาดทุนแต่ได้กำไร
คนที่สุขสำราญนี้จะไม่กลัวความจน จะมีความจนที่สำเร็จไปได้เป็นลำดับ ความสุขสำราญอันนี้ไม่ใช่ความสุขอย่างที่บำเรอกิเลส แต่เป็นความสุขที่มีความว่าง อทุกขมสุข เป็นความสุขแบบความว่างอุเบกขา
จะเป็นคนที่มีเศรษฐกิจดีที่สุด เป็นคนมีประโยชน์แก่สังคมที่สุด เพราะเป็นคนที่มีปัญญา มีชีวิตอยู่กับความจนอย่างมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ แม้ว่าวงเล็ก ก็เป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อหมู่กลุ่มสังคมตนเอง จะเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอขยายความสามารถไป ขยายความจริงไป เป็นคนจนที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้กว้างขวางขึ้นจนเป็นถึงจังหวัด เป็นภาค จนถึงหลายภาค จนเป็นประเทศ ออกไปต่างประเทศด้วย เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากขึ้น
ทำงานสร้างสรรสุจริต มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะอยู่ในโลกอย่างประเสริฐ คืออย่างเจริญด้วยเศรษฐกิจแบบคนจน
เศรษฐกิจแบบคนจนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราได้ตรัสไว้ อาตมาจะต้องขยายความไปอีกมากและพิสูจน์ความจริงด้วย เศรษฐกิจคนจน จนถึงระดับสาธารณโภคี มันเข้ากับระบอบประชาธิปไตยที่เสียภาษี 100% เท่ากับระบอบคอมมิวนิสต์ที่ต้องการให้มารวมทุนเป็นส่วนกลางเต็มที่ นี่คือสาธารณโภคี
เศรษฐกิจแบบสาธารณโภคีจึงเป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ที่มีความสุขสําราญอยู่กับการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะมาเป็นคนขาดทุนให้แก่สังคมตลอดเวลาให้แก่คนอื่น ตามอภิวจนะของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย มันเป็นระบบเศรษฐกิจที่วิเศษสูงสุดตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จะต้องขยายความคำว่าจน ความจนอันประเสริฐ ความจนอันมีคุณค่า ความจนอันอุดมสมบูรณ์ ไม่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร แม้แต่ผลไม้ก็เป็นลูกใหญ่โตเป็นลูกดีมีวิตามินสูง แล้วอันนี้เราเริ่มต้นก็เพราะว่า ชาวอโศกจะต้องรู้จักทำปัจจัย 4 เราจะต้องระดมปัจจัย 4 เป็นหลัก ต่อไปอันอื่นที่ควรเจริญจะเป็นพาณิชย์ จะเป็นการเผยแพร่สืบสาน จะเป็นการศึกษาก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ให้มีอยู่มีกินก่อน อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดเหลือในปัจจัย 4 ปัจจัย 4 เป็นเรื่องชีวิต ข้าวผ้ายาบ้าน ให้มีอุดมสมบูรณ์ ทุกคนทุกเชื้อชาติทุกภาษาต้องใช้ปัจจัย 4 เหมือนกันหมด เราก็สร้างอันนี้แหละเพื่อแจกจ่ายเกื้อกูล ขายกันตามควร ขายอย่างขาดทุน
ของเราไม่เอาแบบทุนนิยมที่เอาเปรียบไม่มีที่สิ้นสุด การเอาเปรียบก็คือ พวกที่เขาเอากำไร แต่พวกโลกุตระจะมาขาดทุน ไม่เอาเปรียบ โดยวิธีคิดของทางโลกของสากลที่คิดค่าแรงงาน แล้วเราก็มาเสียสละค่าแรงงานของเรา คนที่มีความรู้ความสามารถมาก มีคุณค่าต่อสังคมมากราคาค่าตัวก็ต้องสูง
อย่างอาตมานี่ ค่าตัวก็ต้องแพง อาตมาบรรยายเศรษฐศาสตร์ในระดับเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ก็อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ ราคาค่าตัวตามสัจจะอาตมาสูงกว่า ต้องเชิญนักเศรษฐศาสตร์ที่มาสปีค 2 ชั่วโมงหลาย10ล้าน อาตมาต้องค่าตัวเท่าไหร่ เอาแค่ 5 ล้านก็เหลือเฟือแล้ว
เศรษฐศาสตร์ สาธารณโภคีนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต้องมาศึกษาเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่า พวกนักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่าพูดอย่างนั้นได้อย่างไรมันไม่ถูก มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ในหลวงท่านก็บอกว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น ต้องทำแบบนั้นขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันก็ต้องอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่ง อจินไตยจริงๆ เขายังหูหัก คนถึงไม่ได้ทึ่งหาว่าบ้าบอเพ้อพก พากันมาจนก็ตายกันพอดี แต่พวกเราอุดมสมบูรณ์จนเอามาแจกกันได้ ขายอย่างถูกด้วย ในเดือนเมษายน เราก็จะมีตลาดอาริยะ จะขาดทุนเท่าไหร่ ของเราจะจัดเฮือนสวน. ปีนี้จะเต็มไหม
อาตมาทำงานไปยิ่งทำก็ยิ่งสบายใจที่เปิดเผยความจริงไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดโม้ หรือข่มคนอื่นแต่เป็นเรื่องจริงที่ประเสริฐที่วิเศษที่ต้องศึกษากันจริง
ในความเป็นคนจน ถึงจะต้องพูดกันและต้องมาพิสูจน์กัน พวกเราก็ต้องพิสูจน์ความจริง บริสุทธิ์สะอาดไปว่า เป็นคนจนจริงๆ เต็มใจไม่ต้องการสะสม ส่วนกลางก็กินใช้กันได้ ไม่ต้องสะสม
สู่แดนธรรมว่า “เราคือคนจนแต่เราไม่ใช่คนอนาถา แต่เราเป็นคนจนที่มีที่พึ่ง มีความมักน้อยสันโดษ มีปัญญามีความรู้ความจริงเป็นที่พึ่ง รัฐบาลพยายามจัดตั้งกองทุนคนอนาถา อนาถาจึงใช้ไม่ได้กับพวกเรา เราพึ่งพาแรงงานความรู้ความสามารถของเราพึ่งพาใจที่กว้างที่มีเมตตาใจที่เกื้อกูลเสียสละสร้างสรรพึ่งพาคุณธรรมความดีอย่างนี้จริงๆ คุณธรรมความดีนี้พึ่งพาได้ พึ่งพาความเสียสละนั้นพึ่งพาได้ ให้มาพิสูจน์เลย คนเราขอให้มีความเสียสละสร้างสรร ก็ได้ครึ่งความเสียสละสร้างสรร พึ่งความเสีย ไม่ใช่พึ่งพาความได้ พึ่งพาความขาดทุนพึ่งพาได้จริงๆ
แต่กำไรไม่ใช่ที่พึ่งพาอันเกษม แต่ถ้าขาดทุนอย่างไม่มีปัญญาก็อีกเรื่อง แต่ขาดทุนอย่างผู้มีปัญญา ก็จะได้เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งพาได้จริงๆ ที่พูดออกไปนี้ยังรู้สึกว่ายังไม่ลึกซึ้งเท่าที่อยากจะพูด มันไม่เก่ง
เป็นที่พึ่งอย่างไม่ใช่อนาถา แต่เป็น นารถกรณะ เป็นที่พึ่งจริงๆ เป็นที่พึ่งตน พึ่งตนได้ และตนก็เหลือมีส่วนเกินส่วนเหลือให้แก่ผู้อื่นพึ่งพาได้ไปตามลำดับ จนเหลือจนเกิน แล้วพวกเรามีหมู่กลุ่ม ต่างคนต่างมาสร้าง แต่ละคนกินน้อยใช้น้อยแล้วสร้างสรรมาก เหลือใช้คนละนิดคนละหน่อยก็รวมกันมากแล้ว พันนิดแสนนิด มันกับแม่น้ำฮวงโห ที่เกิดจาก Fjord กี่ล้านๆปุด แล้วไหลมารวมเป็นแม่น้ำฮวงโห
สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องสัจจะ พวกเราต่างคนต่างเสียสละและเอามารวมกับกองกลางก็เลยเป็นก้อน เราได้สร้างสถานะด้วยการสร้างตัวเอง สร้างมาด้วยการเอาให้น้อยมีให้น้อย ได้มาน้อย ได้จากค่าแรงของตัวเองแล้วหักค่าแรงตัวเอง เสียสละให้แก่สังคมอีกด้วย ที่เหลือก็ค่อยๆสร้างรากฐานมา ก็เลย ซับซ้อนที่โตช้า แต่ก็ยังทัน ก็ค่อยๆมีกว้างขึ้นมากขึ้นและช่วยคนอื่นได้ จึงต้องอาศัยเวลา เพราะทุกอย่างเป็นสภาพที่พยายามสูงสุด ด้วย หรม. ครน. ประโยชน์สูงประหยัดสุดก็เจริญได้อย่างนี้
สิ่งเหล่านี้จะมีคนที่ฉลาดกว่าอาตมา ที่เข้าใจรายละเอียดและขยายความได้ดีกว่าขึ้นไปจัดระบบระเบียบด้วยการพูด ด้วยการเรียงลำดับขยาย อาตมาเป็นเศรษฐีบ้านนอก เลยปนกันเละเทะ ต้องมีผู้ที่แยกแยะว่าอันนี้ราคาตอนนี้อยู่ในหมวดหมู่นี้ จะมีคนมาแยกแยะทีหลัง อาตมาไม่รู้ราคาตลาด จะมีผู้รู้มาค่อยๆเลือกสินค้าเลือกผลผลิต เลือกงานเอาไปแจกจ่ายไปจัดระบบระเบียบในอนาคต พวกนี้ก็จะเกิดขึ้นจริงเป็นจริงในอนาคต
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ฐานะการทำงานของพ่อครูในยุคนี้
พูดจริงๆเลยนะ อาตมาทำงานมาใกล้ 50 ปีแล้ว ยิ่งทำให้อาตมามั่นใจ
ตอนแรกพูดตรงๆอาตมาก็ว่า อธิบายง่ายๆชัดๆ ตอนแรกอาตมาบอกว่า เราเป็นโพธิสัตว์ ออกมานี่รู้ว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ ก็ตอนแรกไม่ค่อยรู้ว่า เป็นโพธิสัตว์อย่างไร แต่ก็ค่อยๆขึ้นมามันไม่มีตำรา ที่อาตมาอธิบายโพธิสัตว์ในระดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 มันเป็นของเก่าอาตมาที่เค้าค่อยมาพูด แล้วค่อยๆมาบอก
พวกมหายานนี้ มีพระโพธิสัตว์ แต่ไม่มีโพธิสัตว์จริง แต่มีแต่พระโพธิสัตว์หลอกเต็มไปหมด มหายานจึงเละมากหลอกกันเยอะ ทางเถรวาทยังมีความสะอาดบริสุทธิ์ความมหายาน มีความหลอกกันน้อย ซื่อสัตย์มากกว่า
ในตำราหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าจึงอยู่ที่เถรวาทเป็นหลัก ไม่ได้อยู่ที่มหายานเลยที่มีแต่ อาจริยวาท มีนักรู้มากมายช่วยกันทำให้เละเทะ เลยจบด้วยตุ้มเป๊ะ
พอมาทางด้านเถรวาททางด้านนี้เป็นหลัก แล้วเถรวาทที่มีในประเทศด้านโซนอินโดจีน มีลาวไทย พม่าเขมร เป็นพวกเถรวาท มีลังกาด้วย แล้วไทยเป็นเนื้อแท้ อาตมาถึงได้บอกว่าประเทศไทยเป็นชมพูทวีป ประเทศต่างๆก็ยกให้เมืองไทยด้วย เมืองไทยก็มีเนื้อแท้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ไม่ได้ออกหน้าหรอก ให้มหาเถรสมาคมออกหน้า เขาก็กำลังทำ 5 ส. อยู่ ก็ทำให้ดี ทำให้สะอาดสะอ้าน สะสางสะอาดสะดวกสุขลักษณะ สร้างนิสัย
ในชาตินี้ของอาตมาก็ทำในฐานะของอาตมา แต่ทางมหาเถรสมาคม ก็สะสางกันอย่างนี้แล้วนำพากันไป ท่านก็ทำไป ก็ขอบคุณมหาเถรสมาคมที่นำพากันไป แน่นอน ต้องชำระเสี้ยนหนามที่เป็นพิษภัย ก็ต้องชำระออก ตอนนี้ก็เหมือนตัวหมัดที่วิ่งออกจากตัวหมากระเด็นกระดอนไปกันใหญ่ ก็ว่ากันไป ไม่อยากออกก็ต้องออก ที่กระเด็นออกไปหาทางเอาตัวรอดก็ยังตามหาไม่เจอก็มี ตามหาธัมมชโยก็ยังไม่เจอเจ้าคุณธงชัยก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ทางโน้นก็ทำหน้าที่ อาตมาก็อนุโมทนาสาธุกับมหาเถรสมาคม อาตมาไม่ได้ไปแย่งบัลลังก์ อะไร ชีวิตนี้ก็จะทำอย่างนี้ แม้จะได้รับการยอมรับของสังคมขึ้นมาบ้างก็พอใจแล้ว ได้สัก สิบตรีสิบโท สองบ้าง สิบเอกสามบั้ง ไม่ถึงกับเป็นนายร้อยนายพันก็ไม่เป็นไร
อาตมาเข้าใจพูดจริงๆ ปางนี้ของอาตมาต้องหนัก ทำได้ขนาดนี้ ต้องเหน็ดเหนื่อยและหนักหนาลำบาก แต่ก็ยังชื่นใจสุขสำราญบานใจอยู่ จะเห็นได้ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนเศร้าหมอง จะเห็นเจ็บป่วยอะไรอยู่ก็ยังยิ้มอย่างสนุกสนาน พูดตลกเฮฮากับพวกเราจนกระทั่งบางทีพูดกับพวกเราถ้าอาตมาไม่มีอาชีพก็ไปอยู่กับพวกเชิญยิ้มก็ได้ อาตมาก็ตลกไม่เบาเหมือนกัน อาตมานี้มุขไม่ใช่น้อยไปได้แต่อาตมาก็มีงานของอาตมา งานนี้ก็ดีที่สุดแล้วอาตมาก็ทำงานนี้ดีกว่า จนกว่าจะตาย
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่พ้นอบาย
เข้าหาเนื้อหาของคนจนเป็นคนจนที่สุขสำราญ เป็นคนจนอย่างมีปัญญา ปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแบบโลกียะ แต่เป็นความเฉลียวฉลาดอย่างโลกุตตระ มันเป็นทิศทางที่เข้ากระแส อธิบายถึงจิตที่เข้ากระแส
เอาภาพหันหลังชนกันก็ได้ เข้ากระแส คนจะต้องมีภูมิปัญญารู้จริงๆว่าโลกุตระ (นาลมริยา) อีกทางคือ อลมริยา เส้นทางที่ไม่ใช่ อาริยะ
จุดกลางคือจุดที่แบ่งโลก โลกียะกับโลกโลกุตระ ผู้ใดมีอัญญธาตุ เป็นธาตุที่ 4 ออกมา อย่างที่พระพุทธเจ้าอุทานว่าอัญญาสิ วตโพโกณทัญโญ มีธาตุจิตใหม่เกิดขึ้นแล้วหนอ พระพุทธเจ้ามีพุทธพิสัยของปัญญา6 ที่จะรู้ฐานะของบุคคล ของอาตมายังไม่เก่งขนาดนั้น ยังสะสมอยู่
สรุปแล้วจะมีจิตอันใหม่อันอื่นคืออัญญธาตุ เห็นว่าตนเองวนในโลกียะมานานแล้ว สุขๆทุกข์ๆมั่งมีร่ำรวยเป็นเศรษฐีเป็นยาจก แก้แค้นแย่งชิง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ล่อเละ แล้วก็มีพยาบาทแก้แค้นไม่รู้จักจบ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เมื่อทำให้สุจริตได้ก็สูงขึ้นแล้วก็ยังเป็นโลกีย์ ได้ผลเสวยเป็นกุศลยังไม่ได้บุญ ยังไม่ได้มีธาตุรู้ชำระกิเลส
เมื่อเห็นแสงสว่างมากเข้าทางนี้แล้วเราควรจะเป็นเช่นนี้ ก็หันหน้ามาทางนี้ หันหลังชนกับโลกียะ เริ่มเดินออกมาทีละน้อยไปตามลำดับ ออกจากโลกเก่า สู่ปรโลก ที่เป็นปรโลกของโลกุตระ ไม่ใช่ปรโลกของเทวนิยมที่เป็นมโนมยอัตตา ลงนรกขึ้นสวรรค์ แต่ปรโลกของโลกุตระไม่ใช่ขึ้นสวรรค์ลงนรก แต่ ของโลกุตระจะดับนรกดับสวรรค์
เริ่มจากพ้นอบายมุข อติวินิบาต พ้น เดรัจฉาน คือพวกไม่รู้เรื่อง พ้น ปิติวิสยะ คือพ้นจิตเปรต ความปรารถนาใคร่อยากไปตามลำดับ
คำว่าสัตว์นรก เป็นคำกลาง นิรยภูมิ มีความเดือดร้อนวุ่นวายไปตลอด
นิรยภูมิขั้นต้นคืออบาย ก็มาเลิกละได้ ได้สุคติไปตามลำดับก็เป็นสุขของเดรัจฉานคือยังไม่เข้าหานิพพาน จนเจริญเป็นผู้รู้ทิศทางโลกุตระ ทำจิตให้ดับกิเลสได้เป็นเนกขัมมะ แล้วมีจิตปีติซ้อนเป็นอุปกิเลส
ปีติมีสองอย่าง คือปีติ โลกียะกับโลกุตระ เป็นวิสัยของเปรต ส่วนโลกียะนั้นทำเนกขัมมะไม่เป็น นี่คือกลางของนิรยะกับเดรัจฉาน
นิรยะเป็นของรวม เดรัจฉานก็ค่อยๆรู้เจริญไปตามลำดับ เตระ คือสาม รู้จักสามเส้า สี่เส้าไปเรื่อยๆ ส่วนนิรยะคือไม่โงเงย เป็นคำกลางๆ แล้วค่อยๆรู้ว่าอบายภูมิเป็นอย่างไร
จากเดรัจฉาน ไปเป็นอาริยบุคคลก็ยังมีภูมิ ปีติ ของอาริยบุคคลไปตามลำดับซ้อน เป็นวงวนไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น
ถ้าเรารู้โลกุตระ เนกขัมมะเป็นตั้งแต่พ้นสังโยชน์ 3 พ้น องค์ประชุมของรูปนามเรียกว่าการปฏิบัติธรรมมะต้องปฏิบัติทีละ 2 กาย จะปรุงแต่งกันเป็นสังขาร ก็เรียนรู้กันในสังขารตามลำดับ ทำให้สังขารเป็นอภิสังขาร ถ้าสังขารโลกีย์ก็วน ลดสังขารโลกีย์ได้ก็เป็น อาริยบุคคลไปตามลำดับ
อาตมาอธิบายยังไม่เก่ง
ถ้ามันง่ายนะ เราจะมากราบเคารพคนที่มีอาริยะได้อย่างไร ใครทำเอาก็ได้ แต่เพราะว่ามันยากจึงต้องกราบเคารพผู้ที่บรรลุอริยบุคคล ยิ่งถ้าบรรลุสูงสุดจนเป็นผู้ที่เป็นที่พึ่งมาช่วยกอบกู้มาช่วยหรือขนสัตว์ ช่วยตนเองรอดแล้ว อย่างอรหันต์รอบแรก ช่วยคนไม่ได้เท่าไรหรอก ต้องเป็นพระอรหันต์สูงขึ้นไปในระดับถึงขั้น ที่จะช่วยคนได้มาก ต้องเป็นขั้น 7 ขึ้นไป ก็จะช่วยได้มากหน่อย อาตมาก็ช่วยได้มากหน่อย เป็นร้อยเป็นพัน จึงมีลูกจำนวนพันเป็นเอนก โพธิสัตว์ที่มีลูกจำนวนพันเป็นเอนกก็คือโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นต้นไป โพธิสัตว์ที่ยังไม่ถึงระดับ7 ก็มีลูกไม่ถึงพันเป็นอเนก
เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ก็จะเจริญขึ้นไปจนกว่าจะเป็นระดับ 8 9 เขตมหาโพธิสัตว์ ก็จะยาวไปอีกมากเลย จนกว่าจะไปถึงขั้นเข้าเขตของ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ พวกเราก็ฟังเอาไว้เท่านั้น เพราะว่ายังไม่มีภูมิถึงขั้นระดับโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ใช่ดูถูกนะ ถ้าพวกเราถึงก็มาช่วยอาตมาแล้ว นี่มันยังไม่มี7ไม่มีอะไรเลย ก็มีโพธิสัตว์ระดับต่างๆช่วยกันทำบ้าง
สรุปอีกที เข้าเป้าว่า คนจนซึ่งเป็นเรื่องสุดยอดประเสริฐสำหรับผู้ที่จะจนได้แล้วมีความสุข คนจนก็คือคนเอาไว้แต่น้อยมีแต่น้อย แต่ทำได้มาก ได้มากเท่าไหร่ตนเองก็เอาไว้แต่น้อยแต่ก็อยู่อย่างรอดและอยู่อย่างดีทำงานได้กว้างขวาง ขยายงานได้ดี ไม่ใช่ว่า ยิ่งแคบ
คนที่มีความรู้ประโยชน์สูงประหยัดสุด หรม.ครน.อย่างดี แล้วจัดสัดส่วนได้อย่างพอเหมาะ ปโหติ ๆไปเรื่อยๆ แล้วจะทำให้เกิดพลวัต สร้างสรรไปได้เรื่อยๆ อยู่ในโลกอยู่ในมนุษยชาติ เป็นการทำงานช่วยคนเพื่อให้ช่วยคน ให้เป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นคนที่ล้างทุกข์ลดความทุกข์ ให้อยู่กันอย่างสงบสุขอยู่กันอย่างดี ไม่มีทฤษฎีไหนที่จะสมบูรณ์เท่ากับทฤษฎีที่ศาสนาพุทธซึ่งพระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาขยายให้เห็น
ในยุคนี้ต่อจากนี้ไป คนในโลก ขณะนี้ในจักรวาลนี้ มีประเทศประมาณ 200 ประเทศนี้ ก็เริ่มจะเรียนรู้กันแล้ว ความรู้ทางด้านนามธรรม ความรู้ทางด้านธรรมะทุกวันนี้ ธรรมะที่เป็นอเทวนิยม มันมีอยู่ที่หลายประเทศ แต่ว่าประเทศที่เด่นที่สุดก็คือประเทศไทย ส่วนประเทศที่มีความรู้ศาสนาเทวนิยมนั้นมีเยอะ ศาสนาที่เป็น อเทวนิยม แต่มีความหลงเป็นเทวนิยมในตัวเอง ก็เป็นเทวนิยมอยู่เยอะ มันยังมีมาก
ศาสนาพุทธก็ยังมีเทวนิยมผสมอยู่พอสมควร แต่มี อเทวนิยมมากกว่าใครเขาใน 200 ประเทศนี้ มีเชื้อมีต้นรากของพุทธแบบอเทวนิยมนี้ รู้จักอาริยะ รู้จักความเป็นบุญรู้จักสร้างส่วนบุญ ปุญญภาคิยา ส่วนบุญคือส่วนที่ล้างกิเลสได้ไม่มีสมบัติมีแต่วิบัติ บุญนี่มีแต่วิบัติ ทำลายกิเลสจนตัวเองสะอาดขึ้นได้ด้วย
กว่าจะเข้าใจสภาวะ แล้วเอาพยัญชนะมาเข้ากับสภาวะได้เช่นคำว่าบุญ คำว่า กาย เป็นคำหลักที่จะมาพยายามขยายความ
คำว่า กาย อย่างสักกายะ สักกะแปลว่าตัวตน ถ้าไม่รู้สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ตัวธาตุรู้ของเราไปสัมผัสอันนี้แล้วรู้ มีประธานเข้าไปรู้สิ่งที่ถูกรู้คือรูป ต้องชัดเจนในความเป็นรูปงามที่จะต้องใช้
หนึ่งมีสิ่งที่ถูกรู้เป็น object สองเราจะต้องมีธาตุรู้คือ subject แล้วจะแยกธาตุได้เป็นภาวะสอง
รูป เริ่มต้น รูป 28 คือ ดินน้ำไฟลม
ดินน้ำไฟลมคือธาตุวัตถุ มหาภูตรูป 4 จาก 4 นี้เป็นรูปอีก 24 เมื่อมีประสาท มีการทำงานของประสาทกับพฤติกรรม เรียกว่าโคจระหรือวิสยะ เริ่มทำงานมีสัมผัสเป็นปัจจัย ปราสาทของเราไปกระทบรู้อะไรขึ้นมาก็เกิดสิ่งที่ 3 เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียกอันนี้ว่า ผัสสะ 3
ผัสสะ 3 คือ มีสิ่งที่ถูกรู้ กับมีธาตุรู้ของเราเข้าไปกระทบสิ่งที่จะต้องรู้ ก็เกิดองค์สังขาร ก็ต้องมีประธานรู้สังขาร พวกสังขารที่ไม่รู้เรื่องเป็นอวิชชา ก็จะปรุงแต่งเป็นโลกีย์ไปหมด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลข้อ 1 โดยกรรมวิบาก
อาตมาจะอธิบายศีล สมาธิ ปัญญาไปตามลำดับ
ศีล เอาตั้งแต่ข้อ 1 เลย คือความเป็นสัตว์ อาตมาเคยแยกให้ฟังว่า เบื้องต้น สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรามี 2 อย่าง คือสัตว์กับของ ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์กับข้าวของ ถ้าเรารู้ว่านี่คือสัตว์ เขาก็ชีวิตเราก็มีชีวิต ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนถึงสัตว์หลายล้านเซลล์ เขาก็ชีวิตเราก็ชีวิต เขาได้จิตนิยาม จิตธาตุมาแล้ว สัตว์เซลล์เดียวนี้อาจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตอย่าไปทำเป็นเล่น เขาก็ได้ชีวิตได้จิตนิยามมาแล้ว จากพีชนิยามวิวัฒนาการมาเป็นจิตนิยามได้ ต้องเข้าใจว่าเขาก็สัตว์เราก็สัตว์ อย่าไปตัดรอนชีวิต จะมีวิบากนะ แม้แต่สัตว์เซลล์เดียวก็มีวิบาก
คนประมาท สัตว์จะมีจำนวนเป็นล้านเซลล์ก็ยังไปฆ่าเขา อย่างปูปลา มันเป็นล้านเซลล์นะ เขาก็เป็นสัตว์อะไรก็เป็นสัตว์จะไปทำร้ายเขาปล่อยเขาวิบากใครวิบากมัน ถ้าคุณไปละเมิด วิบากเป็นอันทำ
สัตว์เซลล์เดียวมันก็พยาบาทได้ มันมีตัว ISH แล้ว มันมีตัวกูของกูแล้ว พยาบาทได้ มันสูงกว่าพืช จิตนิยามมี 4 5 6 เริ่มต้นมีกาม พยาบาท ผูกพันได้
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า
ศีลข้อ 1 ในจุลศีลว่า ต้องมองสัตว์ต่างๆด้วยความเมตตาเกื้อกูลมีความเอ็นดูมีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลาย จงไปดีเถิด
สัตว์แต่ละตัวเกิดมาตามวิบากของเขา คุณอย่าไป เสือใส่รองเท้า อย่าไปยุ่งกับเขา เมื่อเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเขาสัตว์มันก็ไปตามวิบากเขา อย่าไปอ้างว่าจะต้องเอามากิน เอาพืชพรรณธัญญาหารมากินไม่ตายหรอก หากกินสัตว์มันก็เป็นพิษภัย อย่าหาเหตุ อย่าหาเหาใส่หัว อย่าหาเชื้อโรคใส่ตัว อย่า นี่คือสัตว์
ของ จั่วหัวไว้ก่อน
สมณะเดินดินว่า...ต้องมาเป็นคนจน
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:23:29 )
รายละเอียด
601013_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่สุขสำราญตามรอยพ่อ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันสำคัญ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 แรม 8 ค่ำเดือน 11 ปีระกา ที่บวรราชธานีอโศก ถือว่าวันนี้เป็นวันเศร้าโศกเสียใจครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่าในเดือนตุลาคม จะมีวันสำคัญกันไปทั้งเดือน วันที่ 13 เหมือนวันมหาอาลัย วันที่ 14 เป็นวันมหาวิปโยค พอถึงวันที่ 19 ก็เป็นเทศกาลกินเจเป็นวันมหากุศล ปีนี้ที่บ้านราชฯลุงจำลองก็จะมาร่วมเทศกาลกินเจด้วย
ช่วง 19-29 ก็มี วันที่ 23 เป็นวันปิยมหาราช วันที่ 26 ทางญาติธรรมหลายส่วน ก็จะไปร่วมกันจัดโรงบุญครั้งใหญ่ ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ โรงบุญเราก็มีการเข้ากะกันตลอด 24 ชั่วโมง งานนี้รับสมัครจิตอาสาพวกเรา ที่มีสุขภาพแข็งแรง ใครสุขภาพไม่แข็งแรงก็อยู่บ้านก่อน เพราะต้องรับงานหนัก แต่ที่บ้านราชฯเราก็มีร้านขายเจที่พ่อครูว่า เป็นร้านขายอาหารเจที่ใหญ่ที่สุด
พอเดือนพฤศจิกายน ก็เข้างานมหาปวารณา เป็นครั้งแรกที่ไปจัดงานที่ศาลีอโศก ในวันที่ 4 ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน ปีนี้ 7 พฤศจิกายน เป็นวันครบรอบวันบวชของพ่อครู ย่างเข้าปีที่ 48 ของพรรษาของการบวช และย่างเข้าปีที่ 84 ของชีวิต พ่อครูจะเทศน์ถึงการทำงานย่างเข้าปีที่ 48 ของการมากอบกู้ศาสนา
งานของเราจะต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี ปีนี้ก็ชัดเจนว่า แต่เดิมเป็นงาน ว.บบบ.ก็จะมาเปลี่ยนเป็นงานเพื่อฟ้าดิน ก็ดูว่าจะเข้ากับเหตุการณ์ยุคสมัย ปีนี้น้ำท่วมกันหลายรอบ ตอนนี้ กรมอุตุก็พยากรณ์ว่าจะมีพายุโซนร้อนขนุนเข้าเวียดนาม แล้วจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยแน่ เรื่องอาหารของประเทศจะขาดแคลน และเราจัดงานเพื่อฟ้าดินก็จะช่วยประชาชน
วันที่ 27-30 จะเป็นงานบำเพ็ญคุณ วันที่ 31-2 เป็นงานเพื่อฟ้าดิน ก็รักษาชีวิตไปให้ถึงสิ้นปีก็แล้วกัน วันนี้เป็นวันสำคัญของประเทศไทย และเป็นวันสำคัญที่พ่อครูจะมาให้ธรรมะ
พ่อครูว่า...เราเริ่มต้นด้วยการ โอภาปราศรัยกับข้อความที่ส่งมา
ก่อนอื่นก็ขอโฆษณาค่ายอบรมธรรมะ ที่จัดตามชุมชนต่างๆ ก็จัดกันเพื่อที่จะให้คนที่เริ่มเข้ามา เข้ามาได้เรื่อยๆ แพร่กระจายไป แต่แหม คนน้อยเหลือเกิน ไม่ค่อยจะสนใจจะมากัน ก็เข้าใจนะว่า เป็นโลกุตรธรรมที่ไปนิพพาน รสของโลกียะก็อ่อนมาก จนเกือบไม่มีเลย ก็เลยยาก แต่ก็ต้องทำ เพราะคัดเอาคนสนใจมาเพิ่มเติมได้ คนไหนมาก็อุ่นใจดีใจที่เข้ามา แสดงว่ามีภูมิปัญญาถึง เป็นการแสวงหาค้นหา มีดวงตาค้นพบแล้วก็จะทยอยกันมา ไม่ใช่เราเปิดประตูกรูเกรียวหลอกล่อกันเข้ามา เป็นโลกียะจัด มันก็ไม่ดีเราเองก็ไม่ค่อยไหว
ค่ายสัมมาอาริยมรรค เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเก่า “ออกพรรษา มุ่งมาเดินตามรอยพ่อ”
ครั้งที่ 22 ณ หมู่บ้านชุมชนราชธานีอโศก ศุกร์ที่ 13 - อาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560
รับสมัครผู้สนใจเข้าค่าย ฟรี! (จะอยู่กี่นาทีได้) สมัครได้ที่ อุทยานบุญนิยม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือโทรฯ คุณชญาดา 087-4437865 ##### สมัครonline ได้ที่ inbox เฟซบุ๊ก กองทัพธรรมFP
_SMS วันที่ 11-12 ตุลาคม 2560 (บวรราชธานีอโศก)
_6956ทักษิณว่าในหลวงพาประชาชนไปจน ก ท ม
พ่อครูว่า...คำว่าจนเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก วันนี้จะสาธยายเรื่องนี้ในหลวง ร.9 ตรัสให้มาเอาแบบคนจน อาตมาก็ชัดเจน ในการพากันมาจน แล้วพากันปฏิบัติ มีหลักฐานอ้างอิงยืนยันทุกอย่าง ทำกันจริงๆ เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ประชาชนฉลาดกันแล้วทั้งโลก แล้วรู้ว่าทิศทางความเจริญความประเสริฐคืออย่างไร คือการมามักน้อยสันโดษตามพระพุทธเจ้าสอน ตามวรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 ยกย่องความจนไม่ได้ยกย่องความรวยเลย เป็นคนจนที่ประเสริฐและฉลาดขยันขันแข็ง เป็นคนจนที่วิเศษ
_0015ความเสื่อมในวงการพุทธศาสนาและการตายไปของเกจิ อาจารย์สำนักต่างๆประกอบกับการที่พ่อท่านฯมีอายุที่ยืนยาวน่าจะ มีส่วนช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาได้มากนะครับ
พ่อครูว่า...การตายคือตายจากความหมดฤทธิ์หมดอำนาจ หมดสิ่งที่จะได้มา เผยแพร่มากระจายสิ่งที่มันไม่เข้าท่าเข้าทาง ก็ถูกปราบถูกกำจัดถูกล้างบาง และอีกปัจจัยคืออาตมาอายุยืนยาว
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน มีครอบครัวอยู่สามารถบรรลุธรรมขั้นไหนได้
_ยังมีครอบครัวอยู่มีลูกมีเมียยังอยู่กับครอบครัว จะสามารถบรรลุถึงขั้นใดได้
พ่อครูว่า...ก็ตอบได้ว่าเจริญสูงสุดได้แค่สกิทาคามี เมื่อสกิทาคามี กามเริ่ม ลดละจางคลายบางเบาก็ได้เรื่อยๆ สกิทาคามี แก่ๆ กามก็จะลดลงๆ เรื่องของครอบครัวลาภยศสรรเสริญก็จะวางปล่อย โดยสัจจะของมัน เมื่อเข้าเขตอนาคามี ตัดรอบเลย เหลือเศษรูปราคะ อรูปราคะ แต่ไม่ออกมาข้างนอกแล้วไม่เอาแล้วเป็นต้น
สรุปก็คือ จะอยู่กับคู่ครองนั้นได้สูงสุดก็แค่สกิทาคามี แล้วสกิทาคามีสูงๆก็ไม่เอาแล้ว ยิ่งเข้าเขตอนาคามีก็เลิก
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายกับร่างกายต่างกันอย่างไร
_ขอให้หลวงพ่ออธิบายคำว่า กาย กับร่างกาย เหมือนหรือต่างกันจะๆเจ๋งๆอีกสักครั้งนะครับ
พ่อครูว่า...ร่าง หมายถึงดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป เช่นคนตายลง จิตวิญญาณออกจากร่าง ไม่ต้องใช้คำว่ากายใส่เข้าไปหรอก วิญญาณออกจากร่างก็เหลือแต่ซากศพเป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีวิญญาณอยู่ในนั้นแหละ เป็นรูปรูป เป็นอุตุนิยามเลย บางคนยึด จะเหลือเชื้อโมเมนตัมของพลังงาน จิตนิยามในนั้นบ้าง ไม่เป็นจิตแล้วเป็นพลังงานแค่พีชนิยาม คือพลังงานในระดับพืช ซึ่งไม่ใช่จิต ไม่มีเวทนา ไม่มีพยาบาทไปต่อเนื่องถึงชาติหน้า
ทีนี้เรื่องกาย กายคือคำความหมายของสองสภาพคือรูปกับนาม กายกับจิตหรือรูปกับนาม กายหมายโน้มเน้นถึงรูปภายนอก จิตโน้มมาถึงภายใน กายเป็นธรรมะ 2 แยกกันไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ากายแล้วต้องมีรูปกับนามเป็นธรรมะ 2 แยกกันไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ไม่แยกกัน แยกเมื่อใดไม่เป็นกาย ถ้าจิตไม่ร่วมกับรูป ส่วนที่จิตไม่ร่วมนั้น กายก็ไม่ใช่ ไม่ใช่กายไม่เรียกกาย เรียกร่าง ดินน้ำไฟลม อากาศ เท่านั้น ไม่มีพลังงานจิตเข้าไปร่วมเลย เรื่องของร่าง
ทีนี้เอากายเข้าไปร่วมกับร่างด้วย คำว่ากาย กับร่างกาย จึงเลยยากเพราะมีกายเข้ามาร่วมกับร่างกาย
ถ้ากายเฉยๆ คือสภาพของรูปกับนาม แต่เอาร่างกับกายมารวมกันอีก ร่างหมายถึงรูปเน้นๆ แต่กายหมายถึงนาม ร่างกายก็คือภายนอกที่มีกายไปร่วมอยู่บ้าง เน้นไปหาภายนอก
_สำหรับคนทั่วไป แม้แต่คำว่าไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยังอธิบายไม่ชัดเจนเลย หรือว่าท่านไม่กล้า ที่จะพูดความจริงเหมือนกับพ่อครู
พ่อครูว่า...เป็นได้นะ เพราะเขากินเนื้อสัตว์อยู่ เขาอาจจะพอรู้เหมือนกัน หรือเขาไม่รู้ละเอียดเหมือนอย่างอาตมา ก็เลยไม่ได้อธิบาย
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน มหาปเทส 4 คืออะไร
_ลูกขอนำเรียนถามถึง มหาภูติ 4 คืออะไรคะ และมหาปเทส 4 คืออะไร
พ่อครูว่า...มหาปเทส 4 คือ ความละเอียดลึกซึ้งในภูมิธรรมชั้นสูง ผู้ที่รับผิดชอบดูแลศาสนาแล้วก็จะใช้ภูมิธรรมเป็นเครื่องตัดสิน เป็นของฐานสูง คนยังภูมิไม่ถึงไม่ต้องกังวลหรอกไม่ต้องใช้ มหาปเทส 4 มีอยู่ 4
1. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
2. สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
3. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
4. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
(พระไตรฯ ล.5 ข.92)
ในยุคไหนมีเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสยืนยันไว้ ว่า ห้ามหรืออนุญาต ยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์ เราก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต แล้วมันควรใช้หรือไม่ เราจะต้องใช้ภูมิธรรมเราพิจารณาว่า ควรหรือไม่ควรตามปัญญาของตัวเอง คุณรับผิดชอบนะ ถ้ามันไม่ควรแต่คุณเห็นว่าน่าจะทำก็ต้องรับผิดชอบเอง ผู้ยังไม่มีภูมิขั้นนั้นก็เอาแค่สัปปุริสธรรม 7 ก็พอ มหาปเทส 4 ทิ้งไว้ให้ผู้ที่มี ภูมิธรรมตัดสิน ให้พระโพธิสัตว์หรือผู้ที่มีหน้าที่ของท่านตัดสิน มันเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ มหาปเทส 4 นี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระพรหมที่โง่เง่าคืออย่างไร
_วันก่อน พ่อครูพูดถึงพระพรหม โง่เง่า ความโง่เง่าของพระพรหม มันมีนัยอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...บัญญัติภาษาคำว่า พระพรหมหมายถึงความบริสุทธิ์ของจิต แล้วต้องเป็นความบริสุทธิ์แบบโลกุตระด้วย ทีนี้ คำว่าความบริสุทธิ์ ทางโลกียะเขาเอาไปตีกิน ทางโลกียะเอาพระพรหมไปอธิบายของเขา ไปตีกิน คำว่าพระพรหมเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์สูงส่งเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่ส่วนมากเขาตีความว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ผู้สูงส่ง โลกียะเอาไปตีกิน ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งต้องเคารพต้องยอมรับหรือว่าเป็นพระเจ้า ไม่ให้วิจารณ์ด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นทางโลกียะ จึงได้อธิบายความเป็นพรหมอย่างโง่เง่า หมดอิสรภาพเลย ต้องทำตามอย่างเดียวเป็นเผด็จการร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่คือพระพรหมโง่เง่า
เอาชัดๆอย่างนี้ก่อน ส่วนพระพรหมที่เป็นโลกุตระคือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิเทพ
เทพ พระพุทธเจ้าแบ่งไว้ 3 อย่างคือ สมมุติเทพ อุปปัตติเทพ วิสุทธิเทพ
สมมุติเทพ อย่างเทวดาจาตุมหาราชิกา เป็นเทวดาชั้นเลวที่สุด คือเป็นผู้มีอำนาจใหญ่ทั้ง 4 ทิศ เอามาให้แก่ตัวหมดทุกทิศ
พรหม 20 ชั้น
ชั้นที่ 1 พรหมปาริสัชชาภูมิ
ชั้นที่ 2 พรหมปุโรหิตาภูมิ คือพรหมชั้นครู เป็นผู้รู้ผู้สอนผู้บอก
ชั้นที่ 3 มหาพรหมาภูมิ
ต่อมาอีก 3
ชั้นที่ 4 ปริตตาภาภูมิ เป็นพรหมบริวารที่ชัดมีความรู้ความสามารถเจริญขึ้นมาบ้าง
ชั้นที่ 5 อัปปมาณาภาภูมิ คือไม่มีประมาณ คือเขาจะเอาให้มากที่สุด อยากเก่งอยากใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด สูงสุดของอันนี้ก็คือ อาภัสรา พวกนี้ไม่มีที่สิ้นสุดของความสว่าง ตามอุปาทาน แล้วสร้างมโนมยอัตตา ไปอย่างไรก็ได้ เพราะสร้างด้วยอุปาทาน ไม่มีของจริงหรอกแต่ก็สร้างหลอกตัวเองหลอกคนอื่นไป สว่างไม่มีที่จบ อย่างสายธรรมกายเป็นต้น เป็นพรหมชั้นต่ำกว่าสายดำ สายอ.มั่น สายนั่งหลับตาสะกดจิต พวกนี้นิโรธ ไม่บานปลาย ส่วนพวกธัมมชโยบานไกลไม่รู้จบเป็นพวกชั้นต่ำกว่า สุภกิณหา
ชั้นที่ 6 อาภัสราภูมิ คือแสงสว่างเจิดจ้า เป็นผู้ใหญ่สุดในกลุ่มนี้สามเส้านี้
หมวด 3
ขั้นที่ 7 ปริตตาสุภา มีรัศมีสูงกว่าเก่า มีสุ นำหน้า เหนือกว่า อาภา คือแสง แต่นี่สุภา
ขั้นที่ 8 อัปปมาณาสุภา
ขั้นที่ 9 สุภกิณหาภูมิ สูงสุดของกลุ่มนี้ น่าได้น่ามีน่าเป็นเป็นกิณหา แปลว่า ดำ มืด คือพวกสายดับ มีนิโรธ อุทกดาบสเก่งที่สุดอันนี้ รองลงมาก็อาฬารดาบส อาจารย์ใหญ่ที่สุดในบรรดาที่พระพุทธเจ้าไปแสวงหาตอนนั้น พวกนี้นั่งหลับตาทั้งนั้น แม้อรูปฌานอีก 4 ก็นั่งหลับตาเป็นหลัก แต่ก็มีที่จะได้อธิบายแบบลืมตาซ้อนในนี้อีก อาตมาอธิบายได้แต่รอพวกคุณ ขืนโยนเพชรพลอยให้ลิงก็จะเสียเปล่า ขออภัยไม่ได้ดูถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูคือช้างมาตังคะ
_อโศกสัมปวังโก
1.ในพระสูตรที่กล่าวถึงกลอง อานกะ ซึ่งยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับพระสัทธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นับวันจะไม่เหลือเนื้อแท้อันเป็นเหตุให้เกิดมีผู้นำในการกอบกู้พระสัทธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้กลับคืนมา ซึ่งตรงกับคำทำนายของโบราณาจารย์ว่า ในกึ่งหนึ่งของศาสนาพระพุทธเจ้าจะมีพระยาธรรมิกราชมากอบกู้พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า มหาบุรุษผู้นั้นเปรียบเสมือนกับช้างผู้มีนามว่ามาตังคะที่ปรากฏในชาดกและมหาบุรุษผู้นั้นก็เป็นผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ที่มีสยังอภิญญา วีรกรรมของช้างมาตังคะก็คือ การประกาศนานาสังวาส วีรกรรมดังกล่าวกลับถูกบิดเบือนว่าเป็นสังฆเภท ซึ่งเป็นอาบัติขั้นหนักข้อที่ 4 ปาราชิกจากอธรรมวาที ผู้ปกครองคณะสงฆ์กระแสหลัก สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติในกลุ่มศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า...ท่านมีอำนาจบาตรใหญ่ แต่สูตรของท่านเป็นสูตรปาท่องโก๋ที่ทำให้คนกินท้องอืดท้องเฟ้อ อาตมาก็เลยขอแยกตัวออกมาทำสูตรของอาตมา แต่ท่านก็ดึงอาตมาเข้าไปฟ้องร้องอีก ตอนนี้ก็ถึงกาลเวลาที่เลิกไปหมดสิ้นแล้ว อาตมาปลอดพ้นแล้ว ทางโน้นก็เลย ตอนนี้กำลังกวาดล้างกันอยู่ เป็นวิบากของเขาเอง เขาทำเอง ไม่ใช่เป็นเรื่องซ้ำเติม แต่เป็นเรื่องสัจจะต้องเป็นเช่นนั้น สรุปแล้ว อาตมาประกาศนานาสังวาส เขาก็มาให้อาตมาว่าเป็นสังฆเภท ที่จะเป็นอนันตริยกรรม อาตมาบอกว่าไม่ได้ทำเช่นนั้น เขาก็มายัดเยียดว่าให้เป็นอนันตริยกรรมสังฆเภท
อาตมาเป็นผู้สยังอภิญญา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฎฐินั่นหรือไม่ ก็ต้องติดตามพิสูจน์ ติดตามมาตรวจสอบทำความเข้าใจเอาเองให้จริง สมณพราหมณ์ อาตมาก็ไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าให้เข้าใจ อยังโลโก ปโรโลโก เขาอธิบายกันไป มโนมยอัตตา มันไม่ใช่ อาตมาก็มาอธิบายให้เข้าใจ ว่าโลกนี้คือโลกียะ โลกหน้าคือโลกุตระ อาตมาก็สามารถอธิบายให้แจ่มแจ้งจนให้คนมาปฏิบัติสู่โลกหน้าได้ ยืนยันพิสูจน์ว่า อาตมาเป็นสยังอภิญญาผู้นั้น ไม่มีครูบาอาจารย์ รู้ด้วยตัวเอง เป็นสยังอภิญญา สูงกว่าปัจเจก สูงกว่าปัจจัตตัง สูงกว่าสยังอภิญญาเป็น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ และก็เป็นอนุตรสัมมาสัมพุทธะ
สรุปแล้วอาตมาก็ขอตอบชัดๆว่า อาตมาคือช้างมาตังคะ คือสยังอภิญญา จะบอกว่าอาตมามากอบกู้ศาสนาก็ใช่แน่นอน ถ้ามีหลักฐานยืนยันว่า คุณเชื่อว่า มีพระยาธรรมิกราช 2 องค์จะเชื่อหรือไม่จะเห็นตามหรือไม่ก็แล้วแต่
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน วิวัฒนาการการสืบสานพระพุทธศาสนาของพ่อครู
2.เมื่อไม่นานมานี้พ่อท่านได้กล่าวถึงวิวัฒนาการทางภาษา โดยที่พ่อท่านได้ยกตัวอย่างว่า ภาษาอีสาน ที่ใช้ตอนเป็นเด็กหนุ่มกับภาษาอีสานในทุกๆวันนี้มีความแตกต่างกันจนทำให้สื่อสารกันได้อย่างไม่ราบรื่น ทำให้ผมคิดถึงอนาคตของพระไตรปิฎกที่ทุกวันนี้ก็อยู่ภายใต้กฎของวิวัฒนาการของภาษา ซึ่งมีผลทำให้พุทธศาสนิกชนต้องการศึกษาพุทธศาสนาด้วยตนเองไม่สามารถพึ่งพาพระไตรปิฎกได้ ในช่วงเวลา 100 ปีจนถึง 500 ปีข้างหน้า ที่พ่อท่านพยากรณ์ว่าพุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่งและหลังจากนั้นก็จะค่อยๆเสื่อมลงเรื่อยๆ จนหมดสิ้นพระพุทธศาสนาเมื่ออายุครบ 5000 ปี ในช่วงเวลาที่พุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองอีกดังกล่าวนั้น ชื่อของพ่อท่าน ก็จะถูกกล่าวขานในฐานะผู้กอบกู้ศาสนา รวมทั้งงานเขียนต่างๆที่พ่อท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ก็จะได้รับการสนใจและถูกนำมาศึกษา ซึ่งงานเขียนเหล่านั้นก็ไม่พ้นที่จะต้องตกอยู่ภายใต้วิวัฒนาการของภาษา ซึ่งจะทำให้คนในยุคนั้นอ่านงานเขียนของพ่อท่านได้เข้าใจยากยิ่งขึ้น แต่ก็จะมีผู้ที่มีภูมิขั้นปัจจัตตังที่เกิดจากหัวเชื้อที่พ่อท่านได้บ่มเพาะเอาไว้ในทุกวันนี้มาเกิด เพื่อช่วยสืบสานพระสัทธรรมแก่นแท้เอาไว้ โดยจะเป็นผู้ขยายความพระไตรปิฎก และงานเขียนต่างๆที่พ่อท่านได้เรียบเรียงเอาไว้ สิ่งที่ผมกล่าวมานั้นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนใช่หรือไม่ครับ
พ่อครูว่า….อาตมาบอกไว้ เขียน pattern ไว้ให้แล้ว ให้เจริญภายใน 500 ปี เมื่อถึง 500 อาตมาอาจจะเกิดมาหรือไม่หรือเกิดมาดูนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ปล่อยให้เจริญแล้วก็เสื่อมไปจนถึง 5000 ปี
ตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าจะเกิดมาอีก ถ้าเนื้อนี้ข้นแล้ว อาตมาไม่เกิดแต่พวกเราจะนำพาไปครบจนถึง 2500 ปีได้ รูปโลโก้สามเหลี่ยมที่ว่านี้ นะ เรานำมาเป็นโลโก้ของบริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทรนะ (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
ไม่ใช่ขีดเขียนขึ้นมาเล่นๆแต่มันมีความหมายดังที่ว่ากัน ตอนนี้ก็ชั่วระยะเวลาที่อาตมาได้มาทำงาน 36 ปี ผ่าน 72 ไปแล้ว ขึ้นไปร้อยแปด ขึ้นไป 120 อะไรอย่างนี้ ไปถึง 144 แล้วแถมอีก 7 ปีเป็นต้น มันจะถึงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้
ทุกวันนี้ยังมีพวกสำนักที่เอาแต่พุทธพจน์พุทธวจน ไม่เอาของคนอื่นเอาแต่ของพระพุทธเจ้าอย่างเดียว พวกนี้เป็นเลือดเถรวาท พวกรักษาเข้มข้นเป็นจับกังแบกลังทอง เขารักษาไว้ ก็ต้องขอบคุณเขานะรักษาพุทธพจน์ไว้ดี แต่ก็เป็นจับกังแบกลังทอง เขายึดถือจนไม่เอารายละเอียดที่เราพูดถึง เอาแต่พระพุทธพจน์อย่างเดียว พวกนี้ติดยึดในตำรา ตามกาลามสูตร ดีที่จริงเขารักษาไว้ มันต้องมีจับกังแบกลังทองแบบนี้แต่ไม่ได้ทองคำ
สิ่งที่กล่าวมานี้จะเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นถูกต้อง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ไม่ได้กลัวความจน
เข้ามาสู่สิ่งที่อาตมาเจตนาอธิบาย เรื่องความจน ต้องขยายความไปอีกนาน เพราะเป็นคำสำคัญ พวกภาษาอังกฤษว่า poor
ความจน เป็นนามธรรม คนจนเป็นคำนาม ในคนจนนั้นมีความจน
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน อ่านอันนี้ให้ฟังก่อน
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน แต่ยินดีเต็มใจจนตั้งใจจน อย่างมีความสุขสำราญ เพราะมีทางออกอันประเสริฐคือ มีสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น เป็นคนจนแล้วสุขสำราญได้อย่างไร นี่ก็เป็นคำถามของคนทั่วไปว่าเป็นคนจนจะมีความสุขสำราญได้อย่างไร จริงหรือ
ถ้าไม่จริง พระพุทธเจ้าก็โกหกเราสิ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้คนมาจน อัปปิจฉะนี่ให้มามีน้อยๆ แล้วพระองค์ก็ทรงมีน้อยๆ เป็นเรื่องลึกซึ้ง
พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแต่ท่านได้ทิ้งหมดเลย แล้วทำไมพระเจ้าแผ่นดินเราไม่ทิ้ง ก็ซับซ้อน
ขอขยายความว่า บารมีนั้นไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าเป็นพุทธวิสัย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็เป็นพุทธวิสัย แม้แต่ อาตมาก็เป็นพุทธวิสัย เป็นเรื่องไม่สามัญที่คนทั่วไปจะรู้ได้ เป็นการสั่งสมความเป็นพุทธ
พุทธวิสัยสูงสุดก็คือของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เต็มๆ ส่วนโพธิสัตว์ก็สร้างพุทธวิสัยไปตามลำดับ ในอจินไตยมี 4
ข้อ 2 คือฌานวิสัย คือสถานะของจิตที่สามารถทำลายกิเลสได้อย่างซับซ้อนเป็นชั้นๆ ซับซ้อน คือ พระโพธิสัตว์แต่ละชั้น ฌานวิสัย จึงไม่ใช่การชำระกิเลสในระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ รอบเดียวนั้นไม่ใช่ จะมีรอบที่สูงเป็นพระโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ แล้วยังมีสูงขึ้นไปอีกถ้าจะขยายความก็เป็นอีกร้อยชั้นเลย
ไม่สามารถคาดเดาได้หรอก แต่ไม่สามารถใช้ภาษาอธิบายได้หมด
สมณะเดินดินว่า...ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่า โสดาบัน มีฌานวิสัยได้หรือไม่
พ่อครูว่า...ได้ แต่โสดาบันอธิบายอะไรไม่ค่อยได้หรอก อรหันต์ระดับต้นอธิบายฌานยังเละๆอยู่เลย รู้สึกไหม ใช่ไหม ยังไม่ได้ง่ายๆหรอกมาอธิบายฌานวิสัย
อธิบายแค่กาย แค่เวทนา 108ให้ได้ก่อนสิ เรื่องกาย เวทนา จิต ธรรม
กาย คือองค์ประชุมรูปกับนาม เป็นธรรมะสองซ้อนๆ แล้วเวทนา 108 เป็นการขยายผลรวมลงมา แยกเนกขัมมะกับเคหสิตะ สั่งสมเนกขัมมะ เป็นชั้นๆๆ ของพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แล้วก็เป็นชั้นๆของอรหันต์อีก สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน คัมภีราวภาโส
การเป็นคนจนที่ไม่ได้กลัวความจน แต่ยินดีเต็มใจจน มาจนอย่างตั้งใจจนมีความสุขสําราญ เพราะมีทางออกอันประเสริฐคือมีสัมมาอาริยมรรคมีองค์ 8 เป็นต้น จะขยายความเป็นโพธิปักขิยธรรม 37 จรณะ 15 เป็นไตรสิกขาก็ได้
มาเป็นคนจนแล้วสุขสำราญได้มีจริงเหรอ อาตมาก็ตอบ ถ้าไม่จริงพระพุทธเจ้าก็โกหกสิ มาเป็นคนจนและสุขสำราญ เป็นคนจนที่สุขสำราญแต่เป็นคนรวยนั้นเป็นทุกข์ แต่เขาอวิชชาก็ไม่รู้ว่าทุกข์ เขาบำเรอด้วยโลกธรรมเอามากลบ เขาสุก ก.ไก่ บำบัดด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียสุข กาม ด้วยอัตตา เป็นโลกียะหมด แต่เขาก็ใช้เงินบำเรอได้ก็ไม่เห็นทุกข์ พวกนี้น่าสงสารกว่าจะเห็นทุกข์อีกนานมาก จะวนเวียนในนรกสวรรค์ เป็นสมบัติผลัดกันชมไปอีกนาน เป็นขอทานเป็นมหาเศรษฐี เป็นขอทานเป็นมหาเศรษฐี ดีไม่ดี เป็นขอทานที่เป็นขี้กลากเป็นขี้เรื้อน วนเวียนไม่รู้จบ เขาก็ไม่รู้
ผู้ที่รู้แล้วจึงจะชัดเจนและเข้าใจ สรุปแล้วให้มาจน แม้แต่พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าในยุคนี้ ปลายภัทรกัปป์ ยังมาอยู่ในสภาพคนจน เขาก็เลยหาว่าพระพุทธเจ้ายังมาจนเลย แล้วทำไมในหลวงไม่มาจนเหมือนพระพุทธเจ้า พวกนี้ไม่รู้เรื่องไม่รู้จักอจินไตย ก็มักจะพูดเช่นนี้ พูดอย่างไม่รู้เรื่อง อธิบายอย่างใส่ความเลอะเทอะ
เพราะพระพุทธเจ้าทรงพามากล้าจน มักน้อย อัปปิจฉะมีใจพอหรือจนก็พอ สันตุฏฐิ ดังนั้นก็ต้องจริงแน่ จนนี้สุขสำราญ ความสุขสำราญนั้นอยู่ที่ใจมีความสุข ความสุขความทุกข์ก็อยู่ที่ใจทั้งนั้น มีมากก็สุขมีน้อยก็สุข บางคน ซาดิสม์ มาโซคิสก็สุข มันก็อยู่ที่ใจ อุปาทาน
คนที่จนและสุขสำราญก็จะเป็นขั้นๆไม่เบียดเบียนใคร อาตมากล้าพูดตรงนี้ได้ว่า คำว่าจนนี้จะทำให้อาตมามีชื่อเสียงในวงการโลก จะทำให้อาตมาได้รับการยอมรับจะมีชื่อเสียง จะขยายสภาวธรรม สัจธรรม จะขยายปรัชญาความรู้ในเรื่องคนจน แล้วคนจะมาตั้งใจจนปฏิบัติตัวเป็นคนจน ในอนาคตจะมีคนมาเป็นคนจนอีกเยอะ บอกไว้เลย เพราะคนจนอันประเสริฐสุดยอด คนรวยไม่มีประเสริฐหรอก ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ยิ่งต่ำ มีแต่เสื่อม มีแต่นรก ติดตัวเอง ยิ่งรวยก็ยิ่งมีนรกติดตัวเองไปเรื่อยๆ
คนที่มีปัญญา เริ่มมีอัญญะอัญญาเข้าไปจริงแล้ว จะไม่กลัวความจน มาปฏิบัติ แม้จิตใจจะมีกิเลสเยอะ มีวิบาก ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตาก็จะทนอยู่ได้ เพราะว่ามีเชื้อของโลกุตระมีอัญญธาตุที่ไม่ใช่เฉโกแล้ว มีความรู้ใหม่ความรู้อื่นที่ไม่ใช่โลกียะ
ความฉลาดความรู้ทางโลกียคือ เฉโกเฉกตาเป็นสามเส้า แต่เริ่มต้นได้ความรู้ใหม่ เริ่มมี 4 ออกมา เมื่อมี 5 ก็อัญญะมีคู่ ถ้ามี 6 ก็มีสองเส้าแล้วเป็นวงรี เป็นดาวหางที่เจริญขึ้นเรื่อยเรื่อย เป็นแนวระนาบที่มีความหนา ไม่ใช่แบนเป็นระนาบแต่มีมิติ
จาก 6 ก็ต้องมีอัญญะที่เจริญขึ้นไปเป็น 7 เมื่อ 7 แล้วก็จะเริ่มต้นใหม่เป็น 8 เป็น 9 เป็นรอบใหญ่ สามเส้าของ 1 2 3 กลายเป็น 10 เป็นวงวนคือ 0 หรือ 10 ถ้าจะจบตรงนี้นี่แหละคือพระอรหันต์จบตรงนี้ แต่ถ้าไม่จบ คุณก็ต่อ ก็ต่อไปเป็น 11 12 13 เป็นอีกหนึ่งรอบซ้อนไปอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ขาดทุนแต่ได้กำไร
คนที่สุขสำราญนี้จะไม่กลัวความจน จะมีความจนที่สำเร็จไปได้เป็นลำดับ ความสุขสำราญอันนี้ไม่ใช่ความสุขอย่างที่บำเรอกิเลส แต่เป็นความสุขที่มีความว่าง อทุกขมสุข เป็นความสุขแบบความว่างอุเบกขา
จะเป็นคนที่มีเศรษฐกิจดีที่สุด เป็นคนมีประโยชน์แก่สังคมที่สุด เพราะเป็นคนที่มีปัญญา มีชีวิตอยู่กับความจนอย่างมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ แม้ว่าวงเล็ก ก็เป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อหมู่กลุ่มสังคมตนเอง จะเป็นหมู่บ้าน ตำบล อำเภอขยายความสามารถไป ขยายความจริงไป เป็นคนจนที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้กว้างขวางขึ้นจนเป็นถึงจังหวัด เป็นภาค จนถึงหลายภาค จนเป็นประเทศ ออกไปต่างประเทศด้วย เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้มากขึ้น
ทำงานสร้างสรรสุจริต มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะอยู่ในโลกอย่างประเสริฐ คืออย่างเจริญด้วยเศรษฐกิจแบบคนจน
เศรษฐกิจแบบคนจนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราได้ตรัสไว้ อาตมาจะต้องขยายความไปอีกมากและพิสูจน์ความจริงด้วย เศรษฐกิจคนจน จนถึงระดับสาธารณโภคี มันเข้ากับระบอบประชาธิปไตยที่เสียภาษี 100% เท่ากับระบอบคอมมิวนิสต์ที่ต้องการให้มารวมทุนเป็นส่วนกลางเต็มที่ นี่คือสาธารณโภคี
เศรษฐกิจแบบสาธารณโภคีจึงเป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ที่มีความสุขสําราญอยู่กับการขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จะมาเป็นคนขาดทุนให้แก่สังคมตลอดเวลาให้แก่คนอื่น ตามอภิวจนะของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย มันเป็นระบบเศรษฐกิจที่วิเศษสูงสุดตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จะต้องขยายความคำว่าจน ความจนอันประเสริฐ ความจนอันมีคุณค่า ความจนอันอุดมสมบูรณ์ ไม่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร แม้แต่ผลไม้ก็เป็นลูกใหญ่โตเป็นลูกดีมีวิตามินสูง แล้วอันนี้เราเริ่มต้นก็เพราะว่า ชาวอโศกจะต้องรู้จักทำปัจจัย 4 เราจะต้องระดมปัจจัย 4 เป็นหลัก ต่อไปอันอื่นที่ควรเจริญจะเป็นพาณิชย์ จะเป็นการเผยแพร่สืบสาน จะเป็นการศึกษาก็จะเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ให้มีอยู่มีกินก่อน อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดเหลือในปัจจัย 4 ปัจจัย 4 เป็นเรื่องชีวิต ข้าวผ้ายาบ้าน ให้มีอุดมสมบูรณ์ ทุกคนทุกเชื้อชาติทุกภาษาต้องใช้ปัจจัย 4 เหมือนกันหมด เราก็สร้างอันนี้แหละเพื่อแจกจ่ายเกื้อกูล ขายกันตามควร ขายอย่างขาดทุน
ของเราไม่เอาแบบทุนนิยมที่เอาเปรียบไม่มีที่สิ้นสุด การเอาเปรียบก็คือ พวกที่เขาเอากำไร แต่พวกโลกุตระจะมาขาดทุน ไม่เอาเปรียบ โดยวิธีคิดของทางโลกของสากลที่คิดค่าแรงงาน แล้วเราก็มาเสียสละค่าแรงงานของเรา คนที่มีความรู้ความสามารถมาก มีคุณค่าต่อสังคมมากราคาค่าตัวก็ต้องสูง
อย่างอาตมานี่ ค่าตัวก็ต้องแพง อาตมาบรรยายเศรษฐศาสตร์ในระดับเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ก็อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ ราคาค่าตัวตามสัจจะอาตมาสูงกว่า ต้องเชิญนักเศรษฐศาสตร์ที่มาสปีค 2 ชั่วโมงหลาย10ล้าน อาตมาต้องค่าตัวเท่าไหร่ เอาแค่ 5 ล้านก็เหลือเฟือแล้ว
เศรษฐศาสตร์ สาธารณโภคีนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต้องมาศึกษาเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่า พวกนักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่าพูดอย่างนั้นได้อย่างไรมันไม่ถูก มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ในหลวงท่านก็บอกว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น ต้องทำแบบนั้นขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันก็ต้องอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่ง อจินไตยจริงๆ เขายังหูหัก คนถึงไม่ได้ทึ่งหาว่าบ้าบอเพ้อพก พากันมาจนก็ตายกันพอดี แต่พวกเราอุดมสมบูรณ์จนเอามาแจกกันได้ ขายอย่างถูกด้วย ในเดือนเมษายน เราก็จะมีตลาดอาริยะ จะขาดทุนเท่าไหร่ ของเราจะจัดเฮือนสวน. ปีนี้จะเต็มไหม
อาตมาทำงานไปยิ่งทำก็ยิ่งสบายใจที่เปิดเผยความจริงไปเรื่อยๆ ไม่ได้พูดโม้ หรือข่มคนอื่นแต่เป็นเรื่องจริงที่ประเสริฐที่วิเศษที่ต้องศึกษากันจริง
ในความเป็นคนจน ถึงจะต้องพูดกันและต้องมาพิสูจน์กัน พวกเราก็ต้องพิสูจน์ความจริง บริสุทธิ์สะอาดไปว่า เป็นคนจนจริงๆ เต็มใจไม่ต้องการสะสม ส่วนกลางก็กินใช้กันได้ ไม่ต้องสะสม
สู่แดนธรรมว่า “เราคือคนจนแต่เราไม่ใช่คนอนาถา แต่เราเป็นคนจนที่มีที่พึ่ง มีความมักน้อยสันโดษ มีปัญญามีความรู้ความจริงเป็นที่พึ่ง รัฐบาลพยายามจัดตั้งกองทุนคนอนาถา อนาถาจึงใช้ไม่ได้กับพวกเรา เราพึ่งพาแรงงานความรู้ความสามารถของเราพึ่งพาใจที่กว้างที่มีเมตตาใจที่เกื้อกูลเสียสละสร้างสรรพึ่งพาคุณธรรมความดีอย่างนี้จริงๆ คุณธรรมความดีนี้พึ่งพาได้ พึ่งพาความเสียสละนั้นพึ่งพาได้ ให้มาพิสูจน์เลย คนเราขอให้มีความเสียสละสร้างสรร ก็ได้ครึ่งความเสียสละสร้างสรร พึ่งความเสีย ไม่ใช่พึ่งพาความได้ พึ่งพาความขาดทุนพึ่งพาได้จริงๆ
แต่กำไรไม่ใช่ที่พึ่งพาอันเกษม แต่ถ้าขาดทุนอย่างไม่มีปัญญาก็อีกเรื่อง แต่ขาดทุนอย่างผู้มีปัญญา ก็จะได้เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งพาได้จริงๆ ที่พูดออกไปนี้ยังรู้สึกว่ายังไม่ลึกซึ้งเท่าที่อยากจะพูด มันไม่เก่ง
เป็นที่พึ่งอย่างไม่ใช่อนาถา แต่เป็น นารถกรณะ เป็นที่พึ่งจริงๆ เป็นที่พึ่งตน พึ่งตนได้ และตนก็เหลือมีส่วนเกินส่วนเหลือให้แก่ผู้อื่นพึ่งพาได้ไปตามลำดับ จนเหลือจนเกิน แล้วพวกเรามีหมู่กลุ่ม ต่างคนต่างมาสร้าง แต่ละคนกินน้อยใช้น้อยแล้วสร้างสรรมาก เหลือใช้คนละนิดคนละหน่อยก็รวมกันมากแล้ว พันนิดแสนนิด มันกับแม่น้ำฮวงโห ที่เกิดจาก Fjord กี่ล้านๆปุด แล้วไหลมารวมเป็นแม่น้ำฮวงโห
สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องสัจจะ พวกเราต่างคนต่างเสียสละและเอามารวมกับกองกลางก็เลยเป็นก้อน เราได้สร้างสถานะด้วยการสร้างตัวเอง สร้างมาด้วยการเอาให้น้อยมีให้น้อย ได้มาน้อย ได้จากค่าแรงของตัวเองแล้วหักค่าแรงตัวเอง เสียสละให้แก่สังคมอีกด้วย ที่เหลือก็ค่อยๆสร้างรากฐานมา ก็เลย ซับซ้อนที่โตช้า แต่ก็ยังทัน ก็ค่อยๆมีกว้างขึ้นมากขึ้นและช่วยคนอื่นได้ จึงต้องอาศัยเวลา เพราะทุกอย่างเป็นสภาพที่พยายามสูงสุด ด้วย หรม. ครน. ประโยชน์สูงประหยัดสุดก็เจริญได้อย่างนี้
สิ่งเหล่านี้จะมีคนที่ฉลาดกว่าอาตมา ที่เข้าใจรายละเอียดและขยายความได้ดีกว่าขึ้นไปจัดระบบระเบียบด้วยการพูด ด้วยการเรียงลำดับขยาย อาตมาเป็นเศรษฐีบ้านนอก เลยปนกันเละเทะ ต้องมีผู้ที่แยกแยะว่าอันนี้ราคาตอนนี้อยู่ในหมวดหมู่นี้ จะมีคนมาแยกแยะทีหลัง อาตมาไม่รู้ราคาตลาด จะมีผู้รู้มาค่อยๆเลือกสินค้าเลือกผลผลิต เลือกงานเอาไปแจกจ่ายไปจัดระบบระเบียบในอนาคต พวกนี้ก็จะเกิดขึ้นจริงเป็นจริงในอนาคต
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ฐานะการทำงานของพ่อครูในยุคนี้
พูดจริงๆเลยนะ อาตมาทำงานมาใกล้ 50 ปีแล้ว ยิ่งทำให้อาตมามั่นใจ
ตอนแรกพูดตรงๆอาตมาก็ว่า อธิบายง่ายๆชัดๆ ตอนแรกอาตมาบอกว่า เราเป็นโพธิสัตว์ ออกมานี่รู้ว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ ก็ตอนแรกไม่ค่อยรู้ว่า เป็นโพธิสัตว์อย่างไร แต่ก็ค่อยๆขึ้นมามันไม่มีตำรา ที่อาตมาอธิบายโพธิสัตว์ในระดับ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 มันเป็นของเก่าอาตมาที่เค้าค่อยมาพูด แล้วค่อยๆมาบอก
พวกมหายานนี้ มีพระโพธิสัตว์ แต่ไม่มีโพธิสัตว์จริง แต่มีแต่พระโพธิสัตว์หลอกเต็มไปหมด มหายานจึงเละมากหลอกกันเยอะ ทางเถรวาทยังมีความสะอาดบริสุทธิ์ความมหายาน มีความหลอกกันน้อย ซื่อสัตย์มากกว่า
ในตำราหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้าจึงอยู่ที่เถรวาทเป็นหลัก ไม่ได้อยู่ที่มหายานเลยที่มีแต่ อาจริยวาท มีนักรู้มากมายช่วยกันทำให้เละเทะ เลยจบด้วยตุ้มเป๊ะ
พอมาทางด้านเถรวาททางด้านนี้เป็นหลัก แล้วเถรวาทที่มีในประเทศด้านโซนอินโดจีน มีลาวไทย พม่าเขมร เป็นพวกเถรวาท มีลังกาด้วย แล้วไทยเป็นเนื้อแท้ อาตมาถึงได้บอกว่าประเทศไทยเป็นชมพูทวีป ประเทศต่างๆก็ยกให้เมืองไทยด้วย เมืองไทยก็มีเนื้อแท้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ไม่ได้ออกหน้าหรอก ให้มหาเถรสมาคมออกหน้า เขาก็กำลังทำ 5 ส. อยู่ ก็ทำให้ดี ทำให้สะอาดสะอ้าน สะสางสะอาดสะดวกสุขลักษณะ สร้างนิสัย
ในชาตินี้ของอาตมาก็ทำในฐานะของอาตมา แต่ทางมหาเถรสมาคม ก็สะสางกันอย่างนี้แล้วนำพากันไป ท่านก็ทำไป ก็ขอบคุณมหาเถรสมาคมที่นำพากันไป แน่นอน ต้องชำระเสี้ยนหนามที่เป็นพิษภัย ก็ต้องชำระออก ตอนนี้ก็เหมือนตัวหมัดที่วิ่งออกจากตัวหมากระเด็นกระดอนไปกันใหญ่ ก็ว่ากันไป ไม่อยากออกก็ต้องออก ที่กระเด็นออกไปหาทางเอาตัวรอดก็ยังตามหาไม่เจอก็มี ตามหาธัมมชโยก็ยังไม่เจอเจ้าคุณธงชัยก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ทางโน้นก็ทำหน้าที่ อาตมาก็อนุโมทนาสาธุกับมหาเถรสมาคม อาตมาไม่ได้ไปแย่งบัลลังก์ อะไร ชีวิตนี้ก็จะทำอย่างนี้ แม้จะได้รับการยอมรับของสังคมขึ้นมาบ้างก็พอใจแล้ว ได้สัก สิบตรีสิบโท สองบ้าง สิบเอกสามบั้ง ไม่ถึงกับเป็นนายร้อยนายพันก็ไม่เป็นไร
อาตมาเข้าใจพูดจริงๆ ปางนี้ของอาตมาต้องหนัก ทำได้ขนาดนี้ ต้องเหน็ดเหนื่อยและหนักหนาลำบาก แต่ก็ยังชื่นใจสุขสำราญบานใจอยู่ จะเห็นได้ว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนเศร้าหมอง จะเห็นเจ็บป่วยอะไรอยู่ก็ยังยิ้มอย่างสนุกสนาน พูดตลกเฮฮากับพวกเราจนกระทั่งบางทีพูดกับพวกเราถ้าอาตมาไม่มีอาชีพก็ไปอยู่กับพวกเชิญยิ้มก็ได้ อาตมาก็ตลกไม่เบาเหมือนกัน อาตมานี้มุขไม่ใช่น้อยไปได้แต่อาตมาก็มีงานของอาตมา งานนี้ก็ดีที่สุดแล้วอาตมาก็ทำงานนี้ดีกว่า จนกว่าจะตาย
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่พ้นอบาย
เข้าหาเนื้อหาของคนจนเป็นคนจนที่สุขสำราญ เป็นคนจนอย่างมีปัญญา ปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแบบโลกียะ แต่เป็นความเฉลียวฉลาดอย่างโลกุตตระ มันเป็นทิศทางที่เข้ากระแส อธิบายถึงจิตที่เข้ากระแส
เอาภาพหันหลังชนกันก็ได้ เข้ากระแส คนจะต้องมีภูมิปัญญารู้จริงๆว่าโลกุตระ (นาลมริยา) อีกทางคือ อลมริยา เส้นทางที่ไม่ใช่ อาริยะ
จุดกลางคือจุดที่แบ่งโลก โลกียะกับโลกโลกุตระ ผู้ใดมีอัญญธาตุ เป็นธาตุที่ 4 ออกมา อย่างที่พระพุทธเจ้าอุทานว่าอัญญาสิ วตโพโกณทัญโญ มีธาตุจิตใหม่เกิดขึ้นแล้วหนอ พระพุทธเจ้ามีพุทธพิสัยของปัญญา6 ที่จะรู้ฐานะของบุคคล ของอาตมายังไม่เก่งขนาดนั้น ยังสะสมอยู่
สรุปแล้วจะมีจิตอันใหม่อันอื่นคืออัญญธาตุ เห็นว่าตนเองวนในโลกียะมานานแล้ว สุขๆทุกข์ๆมั่งมีร่ำรวยเป็นเศรษฐีเป็นยาจก แก้แค้นแย่งชิง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ล่อเละ แล้วก็มีพยาบาทแก้แค้นไม่รู้จักจบ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ เมื่อทำให้สุจริตได้ก็สูงขึ้นแล้วก็ยังเป็นโลกีย์ ได้ผลเสวยเป็นกุศลยังไม่ได้บุญ ยังไม่ได้มีธาตุรู้ชำระกิเลส
เมื่อเห็นแสงสว่างมากเข้าทางนี้แล้วเราควรจะเป็นเช่นนี้ ก็หันหน้ามาทางนี้ หันหลังชนกับโลกียะ เริ่มเดินออกมาทีละน้อยไปตามลำดับ ออกจากโลกเก่า สู่ปรโลก ที่เป็นปรโลกของโลกุตระ ไม่ใช่ปรโลกของเทวนิยมที่เป็นมโนมยอัตตา ลงนรกขึ้นสวรรค์ แต่ปรโลกของโลกุตระไม่ใช่ขึ้นสวรรค์ลงนรก แต่ ของโลกุตระจะดับนรกดับสวรรค์
เริ่มจากพ้นอบายมุข อติวินิบาต พ้น เดรัจฉาน คือพวกไม่รู้เรื่อง พ้น ปิติวิสยะ คือพ้นจิตเปรต ความปรารถนาใคร่อยากไปตามลำดับ
คำว่าสัตว์นรก เป็นคำกลาง นิรยภูมิ มีความเดือดร้อนวุ่นวายไปตลอด
นิรยภูมิขั้นต้นคืออบาย ก็มาเลิกละได้ ได้สุคติไปตามลำดับก็เป็นสุขของเดรัจฉานคือยังไม่เข้าหานิพพาน จนเจริญเป็นผู้รู้ทิศทางโลกุตระ ทำจิตให้ดับกิเลสได้เป็นเนกขัมมะ แล้วมีจิตปีติซ้อนเป็นอุปกิเลส
ปีติมีสองอย่าง คือปีติ โลกียะกับโลกุตระ เป็นวิสัยของเปรต ส่วนโลกียะนั้นทำเนกขัมมะไม่เป็น นี่คือกลางของนิรยะกับเดรัจฉาน
นิรยะเป็นของรวม เดรัจฉานก็ค่อยๆรู้เจริญไปตามลำดับ เตระ คือสาม รู้จักสามเส้า สี่เส้าไปเรื่อยๆ ส่วนนิรยะคือไม่โงเงย เป็นคำกลางๆ แล้วค่อยๆรู้ว่าอบายภูมิเป็นอย่างไร
จากเดรัจฉาน ไปเป็นอาริยบุคคลก็ยังมีภูมิ ปีติ ของอาริยบุคคลไปตามลำดับซ้อน เป็นวงวนไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น
ถ้าเรารู้โลกุตระ เนกขัมมะเป็นตั้งแต่พ้นสังโยชน์ 3 พ้น องค์ประชุมของรูปนามเรียกว่าการปฏิบัติธรรมมะต้องปฏิบัติทีละ 2 กาย จะปรุงแต่งกันเป็นสังขาร ก็เรียนรู้กันในสังขารตามลำดับ ทำให้สังขารเป็นอภิสังขาร ถ้าสังขารโลกีย์ก็วน ลดสังขารโลกีย์ได้ก็เป็น อาริยบุคคลไปตามลำดับ
อาตมาอธิบายยังไม่เก่ง
ถ้ามันง่ายนะ เราจะมากราบเคารพคนที่มีอาริยะได้อย่างไร ใครทำเอาก็ได้ แต่เพราะว่ามันยากจึงต้องกราบเคารพผู้ที่บรรลุอริยบุคคล ยิ่งถ้าบรรลุสูงสุดจนเป็นผู้ที่เป็นที่พึ่งมาช่วยกอบกู้มาช่วยหรือขนสัตว์ ช่วยตนเองรอดแล้ว อย่างอรหันต์รอบแรก ช่วยคนไม่ได้เท่าไรหรอก ต้องเป็นพระอรหันต์สูงขึ้นไปในระดับถึงขั้น ที่จะช่วยคนได้มาก ต้องเป็นขั้น 7 ขึ้นไป ก็จะช่วยได้มากหน่อย อาตมาก็ช่วยได้มากหน่อย เป็นร้อยเป็นพัน จึงมีลูกจำนวนพันเป็นเอนก โพธิสัตว์ที่มีลูกจำนวนพันเป็นเอนกก็คือโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นต้นไป โพธิสัตว์ที่ยังไม่ถึงระดับ7 ก็มีลูกไม่ถึงพันเป็นอเนก
เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ก็จะเจริญขึ้นไปจนกว่าจะเป็นระดับ 8 9 เขตมหาโพธิสัตว์ ก็จะยาวไปอีกมากเลย จนกว่าจะไปถึงขั้นเข้าเขตของ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ พวกเราก็ฟังเอาไว้เท่านั้น เพราะว่ายังไม่มีภูมิถึงขั้นระดับโพธิสัตว์ระดับ 7 ไม่ใช่ดูถูกนะ ถ้าพวกเราถึงก็มาช่วยอาตมาแล้ว นี่มันยังไม่มี7ไม่มีอะไรเลย ก็มีโพธิสัตว์ระดับต่างๆช่วยกันทำบ้าง
สรุปอีกที เข้าเป้าว่า คนจนซึ่งเป็นเรื่องสุดยอดประเสริฐสำหรับผู้ที่จะจนได้แล้วมีความสุข คนจนก็คือคนเอาไว้แต่น้อยมีแต่น้อย แต่ทำได้มาก ได้มากเท่าไหร่ตนเองก็เอาไว้แต่น้อยแต่ก็อยู่อย่างรอดและอยู่อย่างดีทำงานได้กว้างขวาง ขยายงานได้ดี ไม่ใช่ว่า ยิ่งแคบ
คนที่มีความรู้ประโยชน์สูงประหยัดสุด หรม.ครน.อย่างดี แล้วจัดสัดส่วนได้อย่างพอเหมาะ ปโหติ ๆไปเรื่อยๆ แล้วจะทำให้เกิดพลวัต สร้างสรรไปได้เรื่อยๆ อยู่ในโลกอยู่ในมนุษยชาติ เป็นการทำงานช่วยคนเพื่อให้ช่วยคน ให้เป็นคนที่มีประโยชน์คุณค่าเป็นคนที่ล้างทุกข์ลดความทุกข์ ให้อยู่กันอย่างสงบสุขอยู่กันอย่างดี ไม่มีทฤษฎีไหนที่จะสมบูรณ์เท่ากับทฤษฎีที่ศาสนาพุทธซึ่งพระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาขยายให้เห็น
ในยุคนี้ต่อจากนี้ไป คนในโลก ขณะนี้ในจักรวาลนี้ มีประเทศประมาณ 200 ประเทศนี้ ก็เริ่มจะเรียนรู้กันแล้ว ความรู้ทางด้านนามธรรม ความรู้ทางด้านธรรมะทุกวันนี้ ธรรมะที่เป็นอเทวนิยม มันมีอยู่ที่หลายประเทศ แต่ว่าประเทศที่เด่นที่สุดก็คือประเทศไทย ส่วนประเทศที่มีความรู้ศาสนาเทวนิยมนั้นมีเยอะ ศาสนาที่เป็น อเทวนิยม แต่มีความหลงเป็นเทวนิยมในตัวเอง ก็เป็นเทวนิยมอยู่เยอะ มันยังมีมาก
ศาสนาพุทธก็ยังมีเทวนิยมผสมอยู่พอสมควร แต่มี อเทวนิยมมากกว่าใครเขาใน 200 ประเทศนี้ มีเชื้อมีต้นรากของพุทธแบบอเทวนิยมนี้ รู้จักอาริยะ รู้จักความเป็นบุญรู้จักสร้างส่วนบุญ ปุญญภาคิยา ส่วนบุญคือส่วนที่ล้างกิเลสได้ไม่มีสมบัติมีแต่วิบัติ บุญนี่มีแต่วิบัติ ทำลายกิเลสจนตัวเองสะอาดขึ้นได้ด้วย
กว่าจะเข้าใจสภาวะ แล้วเอาพยัญชนะมาเข้ากับสภาวะได้เช่นคำว่าบุญ คำว่า กาย เป็นคำหลักที่จะมาพยายามขยายความ
คำว่า กาย อย่างสักกายะ สักกะแปลว่าตัวตน ถ้าไม่รู้สิ่งที่ถูกรู้ สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป ตัวธาตุรู้ของเราไปสัมผัสอันนี้แล้วรู้ มีประธานเข้าไปรู้สิ่งที่ถูกรู้คือรูป ต้องชัดเจนในความเป็นรูปงามที่จะต้องใช้
หนึ่งมีสิ่งที่ถูกรู้เป็น object สองเราจะต้องมีธาตุรู้คือ subject แล้วจะแยกธาตุได้เป็นภาวะสอง
รูป เริ่มต้น รูป 28 คือ ดินน้ำไฟลม
ดินน้ำไฟลมคือธาตุวัตถุ มหาภูตรูป 4 จาก 4 นี้เป็นรูปอีก 24 เมื่อมีประสาท มีการทำงานของประสาทกับพฤติกรรม เรียกว่าโคจระหรือวิสยะ เริ่มทำงานมีสัมผัสเป็นปัจจัย ปราสาทของเราไปกระทบรู้อะไรขึ้นมาก็เกิดสิ่งที่ 3 เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียกอันนี้ว่า ผัสสะ 3
ผัสสะ 3 คือ มีสิ่งที่ถูกรู้ กับมีธาตุรู้ของเราเข้าไปกระทบสิ่งที่จะต้องรู้ ก็เกิดองค์สังขาร ก็ต้องมีประธานรู้สังขาร พวกสังขารที่ไม่รู้เรื่องเป็นอวิชชา ก็จะปรุงแต่งเป็นโลกีย์ไปหมด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีลข้อ 1 โดยกรรมวิบาก
อาตมาจะอธิบายศีล สมาธิ ปัญญาไปตามลำดับ
ศีล เอาตั้งแต่ข้อ 1 เลย คือความเป็นสัตว์ อาตมาเคยแยกให้ฟังว่า เบื้องต้น สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรามี 2 อย่าง คือสัตว์กับของ ที่เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสัตว์กับข้าวของ ถ้าเรารู้ว่านี่คือสัตว์ เขาก็ชีวิตเราก็มีชีวิต ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียวจนถึงสัตว์หลายล้านเซลล์ เขาก็ชีวิตเราก็ชีวิต เขาได้จิตนิยาม จิตธาตุมาแล้ว สัตว์เซลล์เดียวนี้อาจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตอย่าไปทำเป็นเล่น เขาก็ได้ชีวิตได้จิตนิยามมาแล้ว จากพีชนิยามวิวัฒนาการมาเป็นจิตนิยามได้ ต้องเข้าใจว่าเขาก็สัตว์เราก็สัตว์ อย่าไปตัดรอนชีวิต จะมีวิบากนะ แม้แต่สัตว์เซลล์เดียวก็มีวิบาก
คนประมาท สัตว์จะมีจำนวนเป็นล้านเซลล์ก็ยังไปฆ่าเขา อย่างปูปลา มันเป็นล้านเซลล์นะ เขาก็เป็นสัตว์อะไรก็เป็นสัตว์จะไปทำร้ายเขาปล่อยเขาวิบากใครวิบากมัน ถ้าคุณไปละเมิด วิบากเป็นอันทำ
สัตว์เซลล์เดียวมันก็พยาบาทได้ มันมีตัว ISH แล้ว มันมีตัวกูของกูแล้ว พยาบาทได้ มันสูงกว่าพืช จิตนิยามมี 4 5 6 เริ่มต้นมีกาม พยาบาท ผูกพันได้
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า
ศีลข้อ 1 ในจุลศีลว่า ต้องมองสัตว์ต่างๆด้วยความเมตตาเกื้อกูลมีความเอ็นดูมีความปรารถนาดีต่อสัตว์ทั้งหลาย จงไปดีเถิด
สัตว์แต่ละตัวเกิดมาตามวิบากของเขา คุณอย่าไป เสือใส่รองเท้า อย่าไปยุ่งกับเขา เมื่อเราไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเขาสัตว์มันก็ไปตามวิบากเขา อย่าไปอ้างว่าจะต้องเอามากิน เอาพืชพรรณธัญญาหารมากินไม่ตายหรอก หากกินสัตว์มันก็เป็นพิษภัย อย่าหาเหตุ อย่าหาเหาใส่หัว อย่าหาเชื้อโรคใส่ตัว อย่า นี่คือสัตว์
ของ จั่วหัวไว้ก่อน
สมณะเดินดินว่า...ต้องมาเป็นคนจน
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:24:52 )
รายละเอียด
601015_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แบบคนจน ตอน1
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560 แรม 10 ค่ำเดือน 11 ปีระกา น้ำก็ยังนองอยู่และได้นองทั่วประเทศด้วย ช่วงเวลาของประเทศไทยเป็นช่วงเวลาที่รำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่คนรำลึกถึงท่านมากก็เพราะว่าท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เป็นบุคคลที่ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง คนก็สัมผัสได้ชัดทั้งรูปธรรมและนามธรรม ท่านพาคนมาพอเพียงสันโดษ ใจพอ ซึ่งคนทุกวันนี้ไม่มีความใจพอสันโดษ ในหลวงมาทำให้คนรู้จักมีความพอ ตัวท่านเองก็ทำเป็นตัวอย่างด้วย ใครหนอจะใช้ยาสีฟันรีดหลอดขนาดนั้น รองพระบาทก็ใช้จนเก่าซ่อมแล้วซ่อมอีก เป็นต้น
พ่อครูก็มาสืบทอดเจตนารมณ์ พ่อครูก็ทำงานโดยไม่นึกถึงตัวตน นึกถึงคนอื่นเป็นหลักไม่นึกถึงตัวเอง สังเกตได้ตอนพ่อครูป่วย ไอมากก็ยังคิดถึงคนอื่น ตนเองจะอย่างไรก็ได้ ให้คนอื่นดูแลไป พ่อครูต้องหยุดเทศน์บางวันเพราะว่าพวกเราช่วยกันระงับไว้ ไม่อย่างนั้นท่านก็ทำเต็มที่ พลังงานจิตของท่านมีความแข็งแรงแต่ร่างกายทรุดโทรมกว่าเดิม หากใช้เท่าเดิมก็ไปไม่ได้
พ่อครูว่าคนจะยอมรับพ่อครูต่อไปได้เพราะว่าพาคนมาจนได้สำเร็จ ประเด็นที่เหมือนกันคือในหลวงบอกว่ายังทำงานไม่สำเร็จ ก่อนสวรรคตบอกกับด็อกเตอร์สุเมธไว้ อาตมาก็นึกถึงคำของพ่อครูว่า ถ้ายังอายุไม่ถึง 151 ปีก็คงต้องกลับมาเกิดอีก
พ่อครูว่า…SMS วันที่ 13 ตุลาคม 2560 (พ่อครู บวรราชธานีอโศก)
จากเฟซบุ๊ก
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา 6) จตุมหาราชเป็นพระโสดาบันหรือไม่
_รักนะ เดอะโซปเมคเกอร์ · เทวดาจตุมหาราชเป็นพระโสดาบันหรือไม่?
พ่อครูว่า...ญาติธรรมช่วยกันตอบว่า...ไม่เป็น พ่อครูต่อ..ความเป็นโสดาบัน จิตจะต้องชัดเจนและยับยั้ง จตุมหาราชเป็นจิตใจที่ดุร้าย เป็นยักษ์เขี้ยวยาวถือดาบถืออาวุธ สมัยนี้ก็เป็นคิมจองอึน เล่นอาวุธหนักเลย ฆ่าเขาท่าเดียว ยังร้ายอยู่มากหยาบแรง เป็นพระโสดาบันไม่ได้ จะเป็นโสดาบันขึ้นไป ถ้านับเอา จตุมหาราช และดาวดึงส์
ดาวดึงส์ยังหลงความสุข ดาวดึงส์คือตาวติงสา คือมีอารมณ์ที่ 33 ไม่ปกติ มันยังมี แย่งสุขชิงสุข เป็นอารมณ์ที่ 33
SMS วันที่ 11-12 ตุลาคม 2560 (บวรราชธานีอโศก)
_0015ความเสื่อมในวงการพุทธศาสนาและการตายไปของเกจิ อาจารย์สำนักต่างๆประกอบกับการที่พ่อท่านฯมีอายุที่ยืนยาวน่าจะมีส่วนช่วยฟื้นฟูพุทธศาสนาได้มากนะครับ
พ่อครูว่า...ขออภัยไม่ได้พูดอย่างใจโหดเหี้ยมอะไร แต่เกจิอาจารย์ที่ว่าหมายถึงอาจารย์ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ เมื่อตายลงไปบ้างมันก็ดี พูดด้วยภาษาคือตายคือหยุด ไม่มีพฤติการณ์ ไม่มีพฤติกรรมการกระทำอันนั้นอีกแล้ว มันก็ดี ใช่ไหม
อาตมาอายุยืนยาว ก็พัฒนาการศาสนาขึ้นแน่ มันก็ต้องดีขึ้นแน่นอน
_หินไท....พ่อครูบอกว่าคนที่กินเนื้อสัตว์อยู่จะบรรลุได้แค่โสดามรรค ดูข่าวหลายครั้งที่คนพูดถึงในหลวงว่าท่านโปรดกินหมูปิ้งบ้าง อื่นๆ... ดูแล้วขัดกันนะครับ พ่อครูจะอธิบายว่าอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...พระโพธิสัตว์ แต่ละปางๆ บางปางต้องมาอนุโลมให้แก่บริษัท ในหลวงทำงานกว้างกับคนหมู่มาก ใหญ่เป็นประเทศเลย นำพากันอย่างเป็นผู้นำ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็ต้องอนุโลมอย่าว่าแต่ศาสนาเดียวกันเลย แม้แต่ในศาสนาอื่นท่านยังต้องอนุโลมเลย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งคิดเลย หินไทเอ๋ย คิดไปมันก็ยากเพราะว่ามันมีความซับซ้อนแต่ละรอบแต่ละชั้น แต่ละปางแต่ละยุค เป็นอจินไตยที่คิดไม่ออกจะคิดได้ยาก เราดูผลงานส่วนใหญ่อย่าไปเอาส่วนนิดเดียว คนที่คิดอยู่เท่านี้ก็ยังอยู่ในฐานที่ยังไม่เพิ่มหลุดออกมาจาก วงวนอันนี้
ถ้าจริงๆผู้นี้รู้แล้วว่าตนเองอยู่ในฐานะสูงแล้ว ส่วนย่อยก็ต้องเป็นไปตามธรรมดา คนที่มีภูมิอย่างนี้อยู่ก็เป็นคนส่วนมาก จะไปจุกจิกกับคนส่วนมาก จะไปทำงานหลักงานใหญ่ได้อย่างไรก็หมดแรงพอดี ก็อย่าไปคิดซับซ้อนโดยไม่รู้ชั้นเลย
_6956ทักษิณว่านายหลวงพาประชาชนไปจน ก ท ม
พ่อครูว่า...แน่นอน อาตมาก็จะพาคนมาจนเช่นกัน แต่ไม่ได้พาคนมาจนอย่างสำมะเลเทเมาเละเทะไม่มีสมรรถภาพอะไร แต่เป็นคนจนที่มีความประเสริฐ เป็นคนจนขยันหมั่นเพียร เป็นคนจนมีน้ำใจเลิศ เสียสละเป็นคนจนที่ไม่เสพติดอะไรให้เสียเวล่ำเวลาเลย
_เมื่อถามว่ากระทะร้อนไหม เขาตอบว่าเป็นเวทนา 2 ก็ให้มันเป็นหนึ่ง ไม่ยอมตอบว่าร้อน นำผ้ามาจับด้วย เมื่อถามว่ามีดคมไหม ต้องทำใจว่ายอมรับ มีการเปลี่ยนแปลง แก้วแตกไป ได้เปลี่ยนเป็นเซรามิค มาบอกว่าให้ใช้แก้วๆเหมือนเดิม จะได้ฝึกสติ
_ได้รับฟังมาว่า การไม่มีตัวตนต้องไม่เปรียบตนกับคนอื่น ไม่ต้องคิดว่าตัวด้อยกว่าเขาเสมอเขาหรือดีกว่าเขา แต่บางครั้งบางคราว เราเห็นตัวอย่างดีๆ ก็อยากจะดีอย่างเขา (พ่อครูว่า ต้องตรวจสอบว่าดีจริงไหม ถ้าดีจริงก็ทำไปอย่างไม่ได้ขัดแย้ง) หรือแม้แต่เห็นใครทำอะไรดีๆก็ชุ่มชื่นหัวใจ ทำอย่างไร จะละวางทั้งชอบไม่ชอบได้คะ
พ่อครูว่า...การไม่มีตัวตนก็ของตน ดูแล้วสับสนคนดีก็เอาตามเขาให้ได้แล้วอย่าไปอวดดี เบ่งข่มกัน ดีแล้วก็ต้องขอบคุณที่เป็นตัวอย่างให้เรา เราได้ทำตามก็ดีเหมือนกัน ขอบคุณ ส่วนคุณจะสามารถดีเกินเลยไปกว่าเขาก็ได้ แต่ไม่ต้องไปข่มคนที่เขาไม่ดีเท่าเรา เราจะต้องรู้สภาวะ หรือความหมายของแต่ละสภาวะ แล้วเราจะทำใจอย่างไร ให้มันไม่เกิดโทษ ไม่เกิดเสียหาย มีแต่สิ่งที่เจริญพัฒนา
_คำว่านักบุญ ดิฉันเข้าใจว่าเป็นคนที่ลดละกิเลสได้ แต่คำว่า คนบาป อยู่ในคราบนักบุญ เข้าใจว่าเป็นคนที่ตกอยู่ในเหยื่อผัสสะใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...ก็ถูก คนบาปอยู่ในคราบนักบุญ เหมือนปูเสฉวน ก็เป็นได้ทั้งความโง่และเป็นเหยื่อ ผัสสะ หลอกคนต่อ ไม่ได้เรื่อง ตัวเองเป็นนักบาปไม่ใช่นักบุญ ก็เปิดเผยสิ แล้วเอาอะไรมาพรางหุ้มไม่ให้คนรู้คนเห็นก็อย่างนี้มันก็หลอกกันต่อ
มันมีซ้อนอยู่ ไม่หลอกใครหรอก แต่เราไม่บอกใคร แต่ก็ไม่ได้ปิดใคร แต่ถ้าใครถามก็บอกความจริง แต่นี่โกหกเลย เสแสร้งทำ หกเมื่อใครถามก็ไม่บอกหรือโกหกซ้ำ อันนี้เลวซ้ำซ้อนบาปซ้ำซ้อน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ไม่เอากระดูกแม่ไปลอยอังคารจะบาปไหม
_กระดูกคุณแม่ยังอยู่ที่บ้านไม่เอาไปลอยอังคารจะผิดไหมครับ
พ่อครูว่า...ไม่บาป แต่มันก็กินที่ การลอยอังคาร เหมือนกับการไม่ติดเกาะกันอีก ลอยหายไป พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรจะไม่พรากจากกัน พระพุทธเจ้าให้ตัดรอบ เราหมดสิ่งที่จะผูกพันติดพันกันอย่างเป็นรอบ ๆ ยิ่งจะเด็ดขาดจากกันอย่างสมบูรณ์เต็มที่แล้วก็จะชัดเจนว่า มันก็ต้องขาดกันแล้ว มันก็ต้องคนละส่วนแล้ว ต้องชัด เพราะฉะนั้น เหลือแต่กระดูกพรุนก็ยังจะเกี่ยวอีก ยังจะป้อนข้าวป้อนน้ำกันอีก ก็ยังเอากระดูกไว้แล้วพานข้าวน้ำเอาไปตั้งให้กินอีก ไม่รู้จะพูดอย่างไรกับคนที่ติดคิดอย่างนั้นก็ต้องปล่อยไป
สรุปว่า ลอยอังคาร เราเข้าใจกันแล้วด้วยปัญญา สภาวะนี้หมดขาดแล้ว อย่างน้อยร่างกายก็ขาดจากกัน ส่วนจิตวิญญาณเป็นเรื่องอีกหลายชั้น แต่นี่อย่างไรๆ ร่างกายก็ตายจากกันเหลือแต่กระดูก โอย แล้วจะเหลือผูกพันกันไปทำไม ก็เอาไปลอยอังคารเสีย ใส่น้ำไป ก็ลอยหายไปเลยกับแม่น้ำอันกว้างใหญ่ ก็จบ
ถ้าฝังไว้กับที่ก็ยังจำได้ แต่ลอยอังคารลอยน้ำไปนี้ เราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน กระจายไปทั่วกับแม่น้ำด้วย จะไปจมอยู่ที่ไหนก็ตามไม่ได้ มันเป็นความฉลาดของคนที่หวังว่าจะได้ปล่อยวาง ละ ขาดจากกัน เป็นวิธีที่ชาญฉลาดที่ไม่ต้องให้นึกว่าจะต้องไปตามตรงไหน จะไปอยู่ตรงไหนกันอีก จะเอาไปฝังเอาไปใส่ที่นั่นที่นี่ไว้มันก็จำได้ ถ้าเป็นกระดูกของพระอรหันต์จอมจักรพรรดิขึ้นไป พระปัจเจกพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ใส่เจดีย์ไว้กราบ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ต้องระลึกถึงคุณงามความดี ก็ควรทำพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ แต่นี่ เอ ถ้าพ่อหรือแม่คุณเป็นพระเจ้าจอมจักรพรรดิขึ้นไปหรือเป็นพระอรหันต์ ท่านบอกไว้ว่ามีสี่ชนิดของคนที่ควรเอากระดูกไว้ใส่เจดีย์ระลึกถึง ส่วนอื่นก็ไม่ต้องเอาไว้หรอก ลอยอังคารไปเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) การได้ร่างมนุษย์มาต้องมีกรรมแบบไหน
_ที่คนเราเกิดมาได้ร่างมนุษย์นั้น อาจเป็นไปได้ว่าเราเคยบรรลุธรรมเมื่อชาติเก่ามาแล้ว อย่างน้อยก็เป็นพระโสดาบันใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า...การได้ร่างมนุษย์มาเกิดนั้น เดรัจฉานที่มันมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณได้ร่างของมนุษย์มาก็มีแล้ว เป็นร่างมนุษย์แล้วแต่จิตใจยังเป็นเดรัจฉานชั้นต่ำอยู่มีเยอะไป เพราะฉะนั้นคนที่ได้ร่างมนุษย์เกิดมานั้นไม่ได้ถือว่าเป็นพระโสดาบัน เอาเป็นมาตรฐานไม่ได้
หมายความว่าตายจากชาตินี้แล้วก็ต้องไปรับใช้วิบาก ไปเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตนับชาติไม่ถ้วน จนกว่าจะได้ร่างมนุษย์อีกทีหนึ่ง ถ้าคุณเองได้ร่างมนุษย์ทีนึง ไปเกิดในชาติต่างๆแล้วไม่บำเพ็ญ แต่ถ้าไปบำเพ็ญในร่างที่ไม่ใช่มนุษย์ก็บำเพ็ญไม่ได้ มันไม่ใช่คุณสมบัติโลกุตรธรรมจะได้แต่กัลยาณธรรม ต้องมาเกิดได้ร่างเป็นมนุษย์ถึงจะสามารถที่จะทำคุณธรรมอาริยธรรมอันเป็นโลกุตระได้ นอกนั้นไม่ได้เลย อยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานใดๆนี้ไม่มีทางที่จะไปปฏิบัติได้
เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นไม่มีองคาพยพ ไม่มีอาการ 32 ครบ ไม่เท่ากัน มันสมองไม่อยู่ในอัตราเท่ามนุษย์หรือสรีระต่างๆ บางอย่างเกินกว่ามนุษย์บางอย่างต่ำกว่ามนุษย์ซึ่งไม่ได้สัดส่วนที่ดี อันนี้เป็นอจินไตยที่ค่อยๆอธิบายไป
ความซับซ้อนพวกนี้เราก็อย่าไปคิดมากว่าการเกิดมาแล้ว การเกิดมาเป็นกรรมวิบากจึงเป็นอจินไตยข้อที่ 3 อย่าไปคิดเลยปวดหัว เป็นกรรมเป็นวิบากที่ซับซ้อน พัฒนาไปเรื่อยๆ อาตมาเองไม่บังอาจไปพยากรณ์กรรมวิบากให้ใครเลย คือมันซับซ้อนนะ อาตมานี่อยู่ในฐานะโพธิสัตว์ระดับ 7 ทุกวันนี้อาตมาจะสามารถพูดถึงเรื่อง อจินไตย4 อาตมาจะพูดได้เรื่องเดียวดีที่สุดคือ ฌานวิสัย อาตมาจะพูดเรื่องพุทธพิสัยไม่ได้แน่นอน แม้กรรมวิบากอาตมาก็ไม่ได้เท่าไหร่ ยิ่งโลกจินตา อาตมาไม่เก่งเลย โลกมันซับซ้อนมากมาย รู้มากเอาเปรียบคนทั้งหลาย อาตมาสู้เขาไม่ได้ เล่นบิลเลียดเล่นไพ่กินเหล้าจีบผู้หญิงสู้เขาไม่ได้เลยทำไมไม่เก่งเรื่องนี้
_13 ตุลาคมที่ผ่านมา พ่อท่านพูดถึงการกอบกู้ศาสนาไว้ว่าถ้าพ่อท่านอยู่ถึง 151 ปี ศาสนาพุทธจะมีเนื้อที่ข้นพอจะสานต่อไปอีกถึงสองพันห้าร้อยกว่าปี พ่อท่านจะไม่เกิดมาอีก (แต่ยังไม่ยอมปรินิพพาน )ระหว่างนี้ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานมากเพราะยังมีพุทธันดรอีก พ่อท่านจะไปอยู่ที่ไหนคะ แล้วพ่อท่านยังบอกอีกหากพ่อท่านอยู่ไปไม่ถึงร้อยห้าสิบเอ็ดปี เนื้อพุทธยังข้นไม่พอ ก็จะกลับมาเกิดอีก แต่จะมาช่วยแบบไม่แสดงตัว ทำไมถึงไม่แสดงตัวคะ
พ่อครูว่า….จะไปอยู่ที่ไหนก็ช่างอาตมาเถอะ ช่างสงสัยจริงๆ ถ้าแสดงตัวก็จะมีภาระ ต้องมารับผิดชอบต้องมาทำงานหน้าที่นั้นเต็มที่ แต่ถ้าไม่แสดงตัวนี้เป็นอิสระเสรี ทำงานโดยไม่มีใครรู้ทำเอา ทำเอาๆ ไม่ต้องมาให้ใครรู้ เพราะว่าสะดวกสบายดี คิดว่าตอนนั้น คิดว่าไนื่อย 2 หน้า ตนเองต้องทำหน้าที่ด้วย แต่ถ้าทำอย่างเดียวไม่ต้องมีคนอื่นมาเกาะ ตุ้งติ้งก็เบากว่า ทำหน้าที่ได้สบายกว่า เพราะว่ามันไปได้
แต่เราเสริมในเนื้อหาสาระใส่เข้าไปๆให้ได้ อาตมาว่าจะดีกว่า มันไม่เหได้ ถ้าอาตมามาเกิดอีกที ไม่แสดงตัวแต่ทำเต็มที่ก็ไปไม่รอดอีก อาตมาก็มาเกิดอีก ก็จำต้องเมื่อยซ้ำอีกก็ไม่เป็นไร มันจำเป็น
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) การปฏิบัติกับ นาม 5
_นาม 5 กับนาม 4 ที่เราไม่รู้ทันทำให้คนรับวิบากความบกพร่องมากข้ามภพชาติ แต่พ่อครูบอกให้จับเวทนาเป็นกรรมฐาน อยากถามว่า เมื่อเรายังอ่านผัสสะ เวทนาไม่ชัด ควรตั้งหลักไม่ให้เกิดเวทนาเทียมเข้ามาแทรกได้อย่างไร
พ่อครูว่า...นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นาม 4 มี เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ
นาม 5 คือส่วนที่ต้องเอาไปปฏิบัติเป็นหลักเกณฑ์การปฏิบัติ มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็ต้องขยายความว่า มนสิการคือการทำใจในใจคือการปฏิบัติธรรม โยนิโสมนสิการ จึงเป็นหัวใจแท้ๆของการปฏิบัติธรรม ยิ่งใหญ่มาก แต่ศาสนาพุทธเสื่อมมาก จนกระทั่งไปทิ้งเลย ไม่เข้าใจว่ามนสิการคืออะไรแล้วไม่ทำ เอาแต่โยนิโสเป็นความเฉลียวฉลาดถ่องแท้แต่ไม่ปฏิบัติใจ มีแต่ความฉลาดที่แยบคาย นักรู้ผู้รู้ก็แปลโยนิโสมนสิการว่า รู้โดยละเอียดของแท้หยาบคาย แต่ไม่ได้ทำใจในใจ ใจเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกี่ยวมัน หรือแปลไปว่าไม่ต้องใส่ใจในการทำใจในใจเลย นี่เพี้ยนไปไกล เลอะเทอะไปหมด ตัวทำใจในใจคือตัวจริง ตัวทำคือตัวจริง ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิทำใจในใจก็ผิด ถ้าสัมมาทิฏฐิทำเถอะ ถ้าจะทำให้เกิดต้องมีสัมมาทิฏฐิ หากไม่สัมมาทิฏฐิก็ไปนรก
นาม 5 ถ้าไม่ใช้การทำในใจเป็นหลัก ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเวทนา คุณไม่ได้ทำใจในใจเพราะว่าเวทนาก็คือส่วนหนึ่งของใจ จะทำใจในใจได้ก็ต้องมีผัสสะ หากไม่มีผัสสะคุณก็ไม่มีเวทนาจริงในผัสสะ มีแต่เวทนาในสัญญาลมๆแล้งๆ ต้องมีผัสสะจึงเกิดของจริง มีอารมณ์อาการแล้วก็จับเหตุที่มันทำให้เกิดอาการสุขกับทุกข์ หรืออาการไม่สุขไม่ทุกข์ หรือที่มันเกิดแต่เป็นเคหสิตะ ก็ต้องรู้ละเอียดว่าอันนี้เป็นเนกขัมมะ อันนี้เคหสิตะ แล้วแบ่งเป็นสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ของทั้งสองฝั่งนี้ ก็ต้องชัดเจนในสัจจะนี้ ในอาการของจิต ไม่เช่นนั้นก็ทำอย่างผิดเพี้ยน ปนเปสับสน ต้องชัดเจน คมแม่น ตรง จึงจะชัดเจนถูกเนื้อถูกตัว ของมันแท้ๆ
เมื่อมีผัสสะ คุณก็ชัดเจนในเวทนา เวทนาเกิดจากผัสสะมาให้คุณปฏิบัติ ตัวที่ทำให้เวทนาเกิดมีเหตุในเจตสิก ที่เป็นอกุศล ก็ต้องอ่านเหตุในเวทนาซ้อน
สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็มีสองฝั่งเคหสิตะกับเนกขัมมะ เมื่อทำให้ถึงไม่สุขไม่ทุกข์ เนกขัมมะ จึงเป็นฐานนิพพาน แต่ต้องชัดเจนว่าอย่าไปหลงไม่สุขไม่ทุกข์ที่มันพักยกชั่วคราวเป็นโลกีย์ เคหสิตะ ก็ต้องรู้ชัดว่า ไม่สุขไม่ทุกข์แบบโลกียะ หรือไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะ อย่างนี้เป็นต้น
ก็ขอแถม ในขณะที่เป็นอุเบกขา สามารถทำให้มั่นคง เที่ยงแท้ แน่นอน ยืนนานตลอดกาล นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ด้วยการ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง
ให้เป็นอเนญชาอย่างที่ทำได้ ภาวนานี้แหละที่เคยทำให้ได้มากๆ เรียกว่ารักษาผล จึงจะตกผลึกเป็นอเนญชาๆ หรือสมาธิ ตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่น เป็นการถาวรยั่งยืนมั่นคงไม่เป็นอื่นนิรันดร
คุณสมบัติก็แยกไปอีกเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา
มุทุคือจิตเรารู้เร็วไว ปรับได้ง่าย ปรับเจโตจริง ๆได้ อ่อนง่าย ไม่ดื้อ ไม่แข็ง ไม่กระด้าง ไม่ดันทุรัง เร็วไวทั้งเจโตปัญญาเรียกว่ ามุทุภูตธาตุ
ผู้ที่มีสภาวะพอตามได้หรือมีครบแล้ว ก็ไปรอด ผู้ไม่มีก็เห็นใจ นอกจากไม่มีแล้ว ปฏิภาณปัญญาที่จะเข้าใจก็ยังยากอยู่ ก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็จำนน จำเป็นเพราะว่าเขามีฐานจิตแค่นั้น ก็สงสารเมตตากันไป
ถ้าคุณยังอ่านเวทนาไม่ชัด ผัสสะก็ไม่ชัด แต่ที่จริงผัสสะนั้นง่าย ก็ต้องสัมผัสจริง มีสิ่งหนึ่งกับสิ่งหนึ่ง สองสิ่งสัมผัสกัน มันก็ต้องชัด จึงจะเกิดอาการของจิตเรียกว่าเวทนา ก็หัดอ่านเวทนา มันเป็นการปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ก็ต้องชัดเจนให้ได้ แล้วอาการสองอย่างมันต่างกันเรียกว่าลิงคะ เพศ มันเป็นความแตกต่างก็ต้องอ่านอาการให้ชัดเจน แล้วก็ทำให้มันเป็นสภาพที่ไม่เป็นอาการอย่างนั้น เป็นสุขก็ไม่เอา เป็นทุกข์ก็ไม่เอา จริงๆก็ต้องเอาทุกข์นั่นแหละ สาเหตุที่มันทำให้ทุกข์ มันโง่บำเรอจิตให้สุขมันก็เป็นทุกข์ ความสุขเป็นของหลอกแท้ๆเลย ใครไปหลงสุขก็คือความโง่ที่ซ้อน ไปหลงโง่อยู่ทำไม มันมีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป มันไม่มีสุขหรอก สุขมันเป็นผีหลอก มันเป็นของปลอมมันไม่มีของแท้เลย มีแต่ของปลอม
ตอบชัดเจนในภาษาที่บอกอาการ เราก็ต้องชัดเจนในสภาวะของเรา คุณก็ไม่ต้องสุขเลย มีแต่ลักษณะที่ทุกข์น้อย ทุกข์น้อยลงๆๆๆ จนกระทั่งตัวสุดท้ายที่ทุกข์น้อยที่สุดเรียกโดยภาษาพยัญชนะว่า ทรถ
ทรถ ถ้า ถ มันเหมือนมันนิ่ง ท นี่เหมือนคะนอง ท.ทหาร แต่ถ.ถุงนี่นิ่ง ท.นี่ออกแรงออกท่าทาง ตัว ร คือตัวกลาง เป็นลักษณะพลังงาน
ย ร ล ตัว ร.นี้ตัวเกิดจาก ย.ที่เป็นเศษวรรคพยัญชนะ ท่านเรียกว่า อย(อะยะ) นี้เป็นพลังงานแม่เหล็ก ย เกิดมาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะต่อหรือไม่ต่อก็อยู่ที่ อย แปลว่าพลังงานแม่เหล็ก พลังงานดูด อ นี่เป็นสระ จริงมันไม่ก็ได้แต่มี ย ก็ดูด ถ้า ย ไม่หยุดก็เป็น ร
ย ร ตัว ล เป็นเส้าที่สามเป็น กลละ ต่อไปสามเส้าตัวนี้พากันเกิดใหญ่ เป็นปัญจสาขาต่อไป รายละเอียดสภาวะที่ต้องเข้าใจพยัญชนะที่ทดแทนสภาวะ ก็อธิบายนำไปก่อนยังไม่อยากขยายความ ก็ขอสงวนท่าทีไปก่อน
สรุปที่คุณถามมา ที่ว่า เวทนา ผัสสะที่คุณไม่ชัดเจนก็ต้องเอาให้ชัดตรง มันเป็นต้นทางของการปฏิบัติจริง ผัสสะ เวทนา หากไม่มีก็ไม่มีกรรมฐานที่จะปฏิบัติได้ หากไม่รู้ก็ไปก่อน อาตมาไม่ไหวหรอก อาตมาไม่ไหว คุณไปตามที่ชอบ ๆ ก่อน พูดอย่างไรมันก็จะวน ขนาดคนที่พูดกันรู้เรื่องก็ยังพากันไปส่งไม่ได้เท่าไหร่แล้ว ถ้าอาตมาไปเสียเวลาก็ตายเลยไม่ไหว ยอมรับแล้วว่าสังขารนี้มันฝืนไปไม่ได้เหมือนกัน มันจะต้องตาย
ขอสารภาพจริงว่า อาตมาไม่คิดจะตายง่ายๆเลย แต่ทุกวันนี้ยอมจำนนว่ามันถึงเวลาจะตายไม่ยอมไม่ได้หรอก ขนาดนี้มันยังทุกข์ขนาดนี้ฝืนไปไม่ได้ ก็ยอมจำนน แต่ก่อนไม่ได้ยอมจำนนนะอาตมาว่าไม่ได้แก่อะไร แต่ก็จำนนจริงๆตอนนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนอันยิ่งใหญ่
มาเข้าสู่ความจนอันยิ่งใหญ่
ขอยืนยันว่าความจนหรือสภาวะจนของมนุษย์เป็นอาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสังคมมนุษยชาติ ยิ่งผู้ใดเข้าถึงแล้วก็ทำได้พาคนทำได้แล้ว มนุษย์ทำได้แล้วมันจะช่วยคนทั่วโลก เดรัจฉานมันไม่ฉลาดและมันก็ไม่โง่ที่จะแย่งชิงความจนความรวย แต่คนนี่แหละโง่ที่สุดเลยแย่งชิงความรวย แล้วดันไม่เข้าใจว่าความจนนี่มันสูงกว่าความรวย โฮ้!
แบบคนจน
การเป็น“คนจน”ที่ไม่ได้กลัว“ความจน”เลย มีแต่ยินดีจะจน เต็มใจจน ตั้งใจมาจน และจนอย่างมีความสุขสำราญ เพราะมีทฤษฎีปฏิบัติอันประเสริฐ คือ มีสัมมาอาริยมรรค องค์ 8 มีโพชฌงค์ 7 มีโพธิปักขิยธรรม 37 มีไตรสิกขา มีจรณะ 15 วิชชา 8 มีวรรณะ 9 มีกถาวัตถุ 10 มีสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ฯลฯ กระทั่งคนในสังคมนั้นต่างก็มีลาภธัมมิกา แล้วนำมารวมกันกินใช้อาศัยบริโภคในการดำเนินชีวิตเป็น“สาธารณโภคี”อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดสุดของสังคมมนุษยชาติ เป็นต้น
แม้ในยุคทุนนิยมที่สุดแสนสามานย์ปัจจุบันนี้ ก็สามารถมีสังคมชุมชนที่มีลาภธัมมิกา แล้วนำมารวมกันกินใช้อาศัยบริโภคในการดำเนินชีวิตเป็น“สาธารณโภคี”อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดสุดของสังคมมนุษยชาตินี้ได้ เป็นอกาลิโกไม่จำกัดแต่ในยุคพระพุทธเจ้าเท่านั้นจริงๆ เป็นเอหิปัสสิโก ที่สามารถท้าทายให้มาชมความจริงที่เกิดได้เป็นได้นี้กันแท้ๆ
คนที่รวยในระบบทุนนิยมรวยเละเทะเลย รวยมากที่สุดเลย และรวยอย่างสุจริตด้วย จะเป็นใครก็แล้วแต่คนเข้าใจเอาเองในสังคมโลกขณะนี้ ในระบบทุนนิยม
ต่อให้คุณรวยอย่างนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักเศรษฐกิจที่เลวร้ายมาก เพราะคุณหอบสมบัติไว้กองอยู่ที่คุณ คนอื่นก็อดอยากขาดแคลน ดีไม่ดีแย่งชิงกันจนฆ่ากันตาย บางคนทรมานจนกระทั่งอดทนต่อไปไม่ได้ก็ต้องฆ่าตัวตาย เพราะทนไม่ได้ อย่างที่ น.ส.ปู แล้วก็หลอกชาวโลกมีลูกแล้วก็ยังบอกว่าเป็นนางสาว เขาก็บอกว่าไม่รู้ คนเขาผูกคอตายเอง ฆ่าตัวตายเอง เขาไม่ใช่ต้นเหตุอย่างนี้ หรือคนสุจริตเลย รวยเละ เอาสมบัติที่คนอื่นเขาจะใช้ไปกองไว้คนอื่นเขาก็ขาดแคลนก็ลำบากจนถึงตาย คุณก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ถ้าคุณสะพัดออกมา คนอื่นๆก็สะพัดต่อ คนอื่นไม่มีการดึงดูดและสามารถเก่งที่จะไปกองไว้แก่ตัวเองได้เขาก็ต้องสะพัดออก หรือคนที่เต็มใจสะพัดออก เขาเอาเก็บไว้ได้แต่ก็ไม่เอาเก็บไว้ สะพัดออก มันก็เฉลี่ยกับคนอื่น
เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีหมายความว่าไม่ยึดถือเป็นของตน เอามารวมกันแล้วก็ต่างคนต่างบริหารเพื่อจะแจกจ่ายให้ได้อย่างได้สัดส่วนได้อย่างทั่วถึง มันเป็นสุดยอดของเศรษฐศาสตร์ ในเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีคนยังเข้าใจไม่ค่อยได้ เป็นระบบเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอดแล้ว ไม่มีระบบเศรษฐศาสตร์ใดสุดยอดกว่านี้อีกแล้ว ที่เป็นไปได้อยู่นี่ หลายคนฟังที่อาตมาพูดแล้วหมั่นไส้
เพราะว่าพูดเป็นสิ่งที่ดีแล้วดีมันเข้าตัวเอง คนที่ไม่ยอมให้คนอื่นดีกว่าเขา แต่นี่พูดแล้วดีเข้าตัวเองเขาก็จะไม่เชื่อ เขาไม่มีปัญญาก็จะไม่เชื่อ แต่คนที่เชื่อแล้วก็ดีไป ก็ยอมให้ดี เพราะว่าตนเองทำสู้ไม่ได้ แต่คนที่ไม่รู้ ไม่เห็นว่าดีกว่าจริงๆก็ ยังไม่ยอม ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่
เพราะฉะนั้นในยุคนี้มีคนเข้าใจทั่วโลก เข้าใจถึงสภาพที่มีน้อยหรือเอาไว้แต่น้อยดีกว่ามีมาก เข้าใจแล้ว แต่กิเลสความเข้าใจของเขาก็ยังหวง เขายังเหนี่ยวรั้งเอาไว้เป็นของตัวของตนหรือพวกของตน ไม่กล้าที่จะ เป็นตัวเองที่ ไม่ต้องมีอลังการ ไม่ต้องมีทรัพย์สินไม่ต้องมีข้าวของ จะอยู่ร่วมกันทุกคนมีสิทธิ์ ใครจำเป็นใครสำคัญที่สมควรก็ให้ก่อน เราไม่ต้อง เราเป็นคนใช้น้อยมีน้อย เปลืองน้อย แต่คนที่ประโยชน์สูงประหยัดสุดได้
แม้มันจะยังไม่ได้ก็พยายาม โดยไม่ได้ทำให้ตัวเองทรมานหรือต้องตาย ตนเองก็ยังเจริญยังเดินทางไปได้ดีอยู่อย่างนี้เป็นต้น จึงเป็นคนที่มีปัญญามีความรู้ความเฉลียวฉลาดที่เข้าใจสัจจะนี้อย่างดีอย่างถูกต้อง
ความรู้อันนี้ตอนนี้ทั่วโลกกำลังกระจายขยายไปโดยมีต้นทางอยู่ที่ประเทศไทย ต้นเชื้อต้นรากอยู่ที่ประเทศไทย กำลังเกิดผล สภาพของสนามหลวงซึ่งเป็นสถานที่ที่เป็นองค์รวมพฤติการณ์ มีพฤติการณ์ของสาธารณโภคี ทุกคนมารวมกับส่วนกลางแล้วแบ่งแจก กันไปอย่างยินดีปรีดา ช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือ พฤติการณ์อย่างนี้เหตุการณ์อย่างนี้มันเกิดไม่ได้ง่ายๆ 1 ปีมาแล้วนะ ยังมีบทบาทยังมีพฤติการณ์นี้ ยังมีความเคลื่อนไหวลักษณะเดิมนี้อยู่ เป็นแต่เพียงว่า เก็งกันว่า จบงานนี้ ถวายพระเพลิงเสร็จจบ ก็คงจะปิดสนามหลวง
อาตมาขอพยากรณ์ ปิดสนามหลวง คุณปิดให้ตายอย่างไร คนก็จะเข้าไปดูพระเมรุ ทำไว้สะสวย ลงทุนไปเยอะ อาตมาว่าเขาคงไม่ทำลายทันทีหรอก (สมณะฟ้าไทว่า...เขาว่าเอาไว้เดือนหนึ่ง) พ่อครูว่า เขาว่าต้องเอา 5 หาร หารไม่ลงตัวก็ต้องต่อ
อาตมาว่ามันน่าเสียดายนะ ทุกคนที่ไปทำทุ่มเทใจเต็มที่ ตามที่สมมุติแต่ละคนแล้วก็ยอมรับกัน ต่างคนต่างช่วยกันตัดสินสร้างสรร มันก็เป็นค่ารวมของการสร้างสรร เป็นค่านิยมของสังคมประเทศไทยว่ามีเป็นศิลปะของไทย สุดยอดของผู้คนของจิตวิญญาณแต่ละคนออกมา ไม่ดูเวอร์ไม่ดูขาด พอดีๆพอเหมาะอย่างนี้แหละ ลีลาไทยเป็นแบบไหนแสดงออกเต็มที่เลยงานนี้ ลีลาไทยศิลปะไทยแบบไหน รับรองว่าไม่เหมือนเฉลิมชัย นั่นเวอร์มากไป หลายนัย อาตมาไม่วิจารณ์ต่อ ปากเขาจัด เดี๋ยวมาด่าเราให้ ก็รู้จักกันดี เฉลิมชัยเป็นรุ่นน้องเยอะ ถวัลย์รุ่นน้องอาตมาสองปีแต่เป็นพี่เฉลิมชัย
ในยุคที่เศรษฐกิจสาธารณโภคีจะมาปรากฏ ไม่ใช่จะมาหรอก พวกชาวอโศกได้สร้างสาธารณโภคีตามรอยพระยุคลบาทของพระพุทธเจ้า และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทำกันมาแล้ว ซึ่งเป็นสุดยอดของเศรษฐศาสตร์ ที่นักเศรษฐศาสตร์ของโลกไม่ว่ายุคไหนก็แล้วแต่ ไม่ได้เข้าใจง่ายๆ แต่ถ้าคุณจะไม่มีตัวมีตนแล้วอยู่คนเดียวนั้น คุณตายแห้งอย่างเขียดมันเป็นไฟท์บังคับที่คุณจะต้องไปอยู่กับหมู่ แล้วจะมีของส่วนกลางเรียกว่าสาธารณโภคีแล้วกินใช้ร่วมกันสร้างสรรร่วมกัน โดยกฎเกณฑ์ของศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตาชัดเจน
นี่คือทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่ดิ้นไม่ได้เลยเป็นไฟต์บังคับ เป็นภาคบังคับที่จะต้องเป็นเช่นนี้ ใครจะไปโดดเดี่ยวทำเป็นออกข้างนอก อย่าเลยอย่ามาอวดดีเลย ต้องอยู่กับหมู่
เพราะฉะนั้น แม้แต่ในชาวอโศก อย่างอโศกสัมปวังโก เขามาอยู่กับชาวอโศก เขายังถือว่าหมู่มวลเป็นหนึ่ง ธรรมดาเขาจะชอบอยู่คนเดียว ไม่เคยมาสูงสิงกับใครเท่าไหร่หรอก คมของเขาอยู่คนเดียว คนนี้คมในฝัก ต้องเอาออกจากฝักมาหั่นผักพืชบ้าง อยู่ในฝักบางทีสนิมขึ้นนะ ออกมากับหมู่ฝูงบ้าง ไปตามลำดับ อธิบายโดยเอาบุคคลจริงมายกตัวอย่าง
คนที่อวดดี ออกมาสู่หมู่มากๆตนเองก็ตายได้ เกินตัวเองก็ไม่ดี
ผู้ที่มาช่วยสร้างให้เกิดลาภโดยธรรม แล้วก็มารวมกัน เศรษฐกิจทุนนิยม เศรษฐกิจถึงขั้นสาธารณโภคีแบบของพระพุทธเจ้านี้ มันอาศัยคน คนเป็นนักสร้าง และคนนี้แหละ เป็นคนที่รู้จักความพอเหมาะ ที่ประโยชน์สูงประหยัดสุด ได้ยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ สัตว์ใดๆก็สู้คนไม่ได้ตรงที่สร้างประโยชน์ คนนี่สร้างประโยชน์ได้มาก ท่านมีความฉลาดที่สามารถสร้างประโยชน์โดยให้ประหยัด ได้อย่างสูญเสียน้อยที่สุด จึงมีความรู้ หรม.ครน.ได้อย่างเยี่ยมที่สุด เป็นปฏิภาคทวีได้มาก
อย่างไอน์สไตน์บอกว่า E=mc2 แต่นี่อาตมาว่า E=mc2 +A แล้วทุกวันนี้อาตมาพามาเติม E=C(mc2 +A) จะมีพลังงานอัตราการก้าวหน้าที่สูงสุดแล้ว ทำพิสูจน์ C
โดย สร้าง Coefficient x mc2+A ตัว A นี้มีค่ามากกว่าmc2 A = A+A+A+A+A forever infinity
+A บวกกับmc2 แล้วคูณกับ C ข้างนอกอีก
C มันเป็นตัวที่มี Kinetic Dynamic แล้วมีตัวแปรที่เสริมไปในฐานะตัวคูณไม่ใช่ตัวบวกด้วยนะ ดีนะไม่เอายกกำลัง มันหนักกว่าคูณแต่แค่คูณนี่ก็ใช้ไปอีกเป็นล้านกัปป์ ก็ช่วยมนุษยชาติไปได้ตลอด
ในยุคพระพุทธเจ้าการมีลาภโดยธรรม(ลาภธัมมิกา)แล้วนำมารวมกินใช้อาศัยบริโภคในการดำเนินชีวิตเป็น“สาธารณโภคี”นั้น เป็นได้แค่เฉพาะในหมู่นักบวชหรือสงฆ์เท่านั้น เพราะในยุคนั้นประชาชนคนทั้งหลายยังไม่มีสิทธิเสรีภาพสัมบูรณ์ เพราะคนทั่วไปทั้งหลายก็ยังไม่มีความรู้เรื่องสิทธิเสรีภาพนี้ อีกทั้งสังคมยังเป็นสังคมทาส และเป็นสังคมสมบูรณาญาสิทธิราชด้วย จึงเป็นสาธารณโภคีได้แค่เฉพาะในหมู่สงฆ์ สังคมชุมชนฆราวาสจะทำให้เกิด“สาธารณโภคี”ยังไม่ได้
เป็นลักษณะคนจนหนังเหนียวอย่างชาวอโศกมีอะไรจะมาฟันก็ฟันไม่ได้ เป็นอจินไตยที่เป็นสัจจะ ผู้ที่มีคุณธรรมคุณวิเศษที่สมบูรณ์จริงๆแล้ว ถึงขั้นแล้วอย่างอาตมาพิสูจน์ผ่านมาแล้วอาตมาถึงหมดความกลัว ไม่กลัวจริงๆ เดินเข้าไปใส่ได้เลย แล้วอันนั้นจะมาไม่ถึง นอกจากมาไม่ถึงแล้วอันนั้นจะแพ้ภัยตัวด้วย ดีไม่ดีอันอื่นรุมด้วย พูดไปแล้วเหมือนท้าทายมันไม่ดีก็พออันนี้ผ่าน
สรุปแล้วในยุคที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นสมบูรณ์ด้วยตัวเองเป็นพระเจ้าแผ่นดินยิ่งใหญ่ เป็นตัวเป็นตนอย่างเต็มที่แล้วก็ใช้อำนาจเต็มที่ สังคมที่เป็นแบบนั้นแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังจํานนทำได้แต่ในชุมชนที่เต็มใจยอมรับ ก็เข้าไปอยู่ในหมู่กลุ่มเป็นนักบวช ใช้ลัทธิใช้กฎระเบียบให้มาจนเหมือนกันได้ แต่ในสมัยนี้มาเป็นนักบวชก็ออกนอกพระธรรมวินัยเห็นแก่ตัวไปหมด อย่างที่เห็นอธิบายไม่ไหว การจัดการเรื่องนี้จึงทำแล้วได้กุศลสูง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติทั้งโลก ถ้าใครทำ
อย่างพันตำรวจโทพงศ์พรทำเต็มที่เลย เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำแล้วจะเป็นกุศลที่ดีงาม เราไม่อยากได้กุศลแต่มันเป็นสัจจะที่ควรทำอย่างยิ่ง ทำตามควรเลยไม่มีปัญหามาก มีแต่ปัญญา รู้ชัดเจนให้ดีก็แล้วกัน
ยุคโน้นหมดไป สังคมที่มีความยึดถือแบบนั้นหมดไป แต่ยุคนี้เป็นยุคที่คนในประเทศหรือในโลกต่างก็มีสิทธิเสรีภาพสัมบูรณ์ อีกทั้งไม่มีความเป็นทาสกันแล้ว สมบูรณาญาสิทธิราชก็หมดสิ้นไปแล้ว สังคมฆราวาสและสงฆ์จึงสามารถเป็นสังคมสาธารณโภคีได้ทั้งหมู่บ้านสังคมชุมชน ไม่แยกหมู่บ้าน ไม่แยกวัด ไม่แยกโรงเรียน บ้าน-วัด-โรงเรียนสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียว
คุณเข้าใจด้วยปัญญาก็จะมา แล้วมาปฏิบัติให้ได้ จิตของคนเป็นได้จริง คุณจะรู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ใครอื่นมารู้แทนเราไม่ได้ ใครอื่นมาเชื่อแทนเราไม่ได้ เราเองเชื่อเองพอใจเอง รู้รสชาติเองมันเป็นอย่างนี้จริงหนอ สิ่งที่เป็นสัจจะอันนี้จึงเป็นสุดยอดในยุคนี้
ยุคนี้อาตมาถึงมีเรี่ยวแรงแม้จะอายุมากก็พยายามจะมีเรี่ยวแรงต่อไปอีก ก็อยากจะชมบารมีของสังคมชนิดนี้ ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมได้ อาตมาก็อยากชมนะมันสุดยอดจริงๆ สังคมแบบนี้มีแล้วมีการรวมกลุ่มกันแล้วมีพลังงานที่เป็นสเตตัสแล้ว มีพลังงานที่เป็นพลังงานสอง Static Dynamic และมี Kinetic เป็นพลังงานเสริมอีก
เกิดโรงเรียนเกิดเป็นวิทยาลัยเป็นตักสิลา ซ้อนในนี้สามเส้า มีสังคมบ้านวัดโรงเรียน เป็นบวรเกิดในสังคมหมู่บ้าน ไม่แยกหมู่บ้านไม่แยกวัดไม่แยกโรงเรียนด้วย บ้านวัดโรงเรียนมีสัมพันธ์กันเป็นหนึ่งเดียวเป็นเอกีภาวะ แต่มีรอยตัดขาดที่เป็นระบบระเบียบ ไม่ใช่ปนเปเคออสแบบไม่ได้ส่ำ แต่เป็น chaos ของปัญญาชน คนไม่รู้ก็ดูว่ายุ่งชิบหาย เขาปรามาสว่าอีกหน่อยจะมีลูกเณรหลานเณรเกิด เพราะว่านี่สหศึกษาสหสังคม เขาก็เพ่งกันว่าอยู่อย่างไม่มีที่กั้นเลย เดี๋ยวมีลูกเณร ลูกชี วุ่น แต่เราก็พิสูจน์มา 30 40 ปีแล้ว เขาคาดพยากรณ์เอาไว้เดาเอาไว้
มันน่ากลัวน่ะจริง เขารู้ตัวว่าแบบเขาถ้าปล่อยให้เป็นสหศึกษาแบบนี้เละเทะแน่ ขนาดแยกกันอยู่เขาก็ยังเละเทะเลย ของเรามันเป็นจิตวิญญาณที่ได้ละล้างกิเลสกาม กิเลสอัตตา 2 อย่างนี้แหละ ได้ล้างกันจริง มันไม่มีพลังงานกาม พลังงานอัตตาที่สูงจนกระทั่งบังคับไม่ได้ กดข่มไม่ได้ต้องปล่อยออกแล้วต้องระเบิดไม่ใช่ ตัวเราเองไม่มีมากจนกดข่มได้ ยิ่งไม่มีในตนก็ไม่ต้องกดข่มดึงอะไร สัจจะมันเป็นเช่นนั้น สัจจะของคนกิเลสน้อยหรือคนไม่มีกิเลส มีหิริโอตตัปปะ มีความละอาย มีความกลัว ไม่แสดงออกในสิ่งไม่ดีงาม อย่างไรก็กดข่มไว้ได้ มันจึงไม่เกิดการเละเทะ รักษาเอาไว้นะ อย่าให้อาตมาขายหน้า ช่วยอาตมาหน่อย ถึงอย่างไรพวกเราก็มีปัญญาในตัวเองรู้ดีว่าไม่ทำหรอก เราไปทำเราก็เละก็เสื่อม เรื่องอะไร เจตนามาฯไม่ได้บังคับมีอิสระเสรีภาพ ใครจะมาก็มาเอง มาเอาเองแล้วจะมาเอาอะไร เอาดีหรือมาเอาไม่ดี ก็มาเอาดี แต่ถ้ามาเอาไม่ดีในนี้ก็บาปซ้ำซ้อน คนอื่นมาเอาดีหมด แต่คุณมาเอาไม่ดี ก็บาปมาก
ซึ่งสังคมชุมชนที่ดำเนินชีวิต“แบบคนจน”อันเป็นเศรษฐกิจถึงขั้น“สาธารณโภคี”กันได้นี้เป็นเครื่องชี้วัด
ความเจริญประเสริฐของคนและสังคมในโลก ถ้ามนุษย์ในสังคมใดสามารถดำเนินชีวิตกันถึงขั้น“สาธารณโภคี”ได้
ก็จะอยู่กันอย่าง“บวร”คือ บ้านของฆราวาสก็ดี วัดอันเป็นที่อยู่ของนักบวชก็ดี โรงเรียนอันเป็นสถานศึกษาของเด็กนักเรียนและผู้ใหญ่สมาชิกหมู่บ้านก็ดี ต่างอยู่ร่วมกัน ช่วยกันดำเนินความเป็นอยู่ของบ้านของวัดของโรงเรียนไปด้วยกันทุกคน
บ้านวัดโรงเรียนเจ้าอยู่กันอย่างสนิทเนียน มีการกระทบกันอย่างไม่ใช่ไม่เจริญ แต่กระทบกันอย่างเจริญ ทั้งพฤติกรรมพฤติการณ์ นอกจากนั้นก็มีวัตถุที่ใช้ร่วมกันส่วนกลาง แยกส่วนตัวเป็นส่วนน้อย ไม่เปลืองผลาญ แต่ส่วนใหญ่จะอยู่กับส่วนรวม ไม่ใช่แยกไปต่างคนต่างเป็นของกูตัวกู หอบเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่พออย่างสังคมทั่วไป คนอื่นขาดแคลนหมด อาตมาอธิบายไปแล้วคนอื่นเขาก็คงจะเข้าใจ แต่กิเลสมันมีฤทธิ์ดึงเขาไว้
คนที่อยู่อย่างชาวอโศก สาธารณโภคีที่จริง จึงเป็นบวรมีสามเส้า
1. สังคม
2. การศึกษา
3. คุณธรรม
สามเส้านี้ สังคมไหนในโลก โลกไหนก็แล้วแต่ อันนี้ จะเกิดการปฏิสัมพันธ์มีการสังเคราะห์สังขารกันอยู่อย่างที่สุดยอดเลย ทั้งหมู่บ้านเป็นเหมือนกับบ้านหลังเดียวกัน จะมีบ้านหลังนั้นหลังนี้ก็แล้วแต่ แต่มันเหมือนกับบ้านหลังเดียวกัน คนใช้ร่วมกันกินอยู่ร่วมกันสร้างสรรค์ผลผลิตก็เอามาเป็นของส่วนกลางหมด หมู่บ้านชุมชนนี้ดำเนินการอยู่อย่างสาธารณโภคี
ทั้งที่ดินทั้งวัตถุสมบัติข้าวของต่างๆล้วนเป็นของส่วนรวม ไม่ใช่แยกกันต่างคนต่างอยู่ ยึดของตัวของตน อย่างสังคมสามัญคนทั่วไปทั่วโลก แต่เป็นสังคม“บวร”ที่ต่างมีชีวิตดำเนินอยู่ร่วมกันผสมผสานกันอย่างเป็นระบบระเบียบสนิทเนียน ทั้งหมู่บ้านเหมือนบ้านหลังเดียวกัน ผู้คนในบ้านอยู่ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน กินอยู่ร่วมกัน ปลูกสร้าง ผลิตผลขึ้นมาเป็นสมบัติส่วนกลางกันทั้งหมด หมู่บ้านชุมชนที่ดำเนินกันอยู่อย่าง“สาธารณโภคี”และดำรงการเป็นอยู่ของชีวิตจริงที่ไม่ใช่ละครหรือการแสดงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นชีวิตจริงสังคมจริงของคนที่สมัครใจมาอยู่ร่วมกันมีชีวิต“สาธารณโภคี”ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ แม้แต่ในยุคของสังคมทุนนิยมที่ยึดตัวยึดตน สะสมของตัวของตนจัดจ้านอยู่ชัดๆในปัจจุบันสมัยนี้ ก็ยังมีสังคมชุมชน“สาธารณโภคี”ที่เกิดได้เป็นได้จริงในโลก จึงเป็น“ปรากฏการณ์ที่ประกอบด้วยคนพิเศษที่เป็นสังคมยอดเยี่ยมมหัศจรรย์อันเป็นลักษณะสังคมจริงที่ใครๆต่างก็สามารถสัมผัสได้ยืนยันความจริงนี้ได้”(phenomenal) ซึ่งเป็นปรากฏ
การณ์ที่แปลกประหลาดมากๆ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมมหาโฉดเน่าสมัยนี้
โดยเฉพาะเป็น“สาธารณโภคี”อันเป็นชีวิตจริงปฏิบัติอยู่ประจำในชีวิตจริงของสังคมคนจริงที่สามารถเป็น“สาธารณโภคี”อยู่ในสังคมฆราวาสยุคนี้แท้ๆ แม้ในยุคพระพุทธเจ้า“สังคมฆราวาส”ก็ยังเป็น“สาธารณโภคี”ไม่ได้ มีได้เป็นได้แต่สังคมสงฆ์สังคมนักบวชเท่านั้นที่เป็น“สาธารณโภคี” แต่ยุคนี้ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งนำคำสอนที่เป็นทฤษฎี“สาธารณโภคี”ของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติกันได้สำเร็จ นั่นคือ เป็นสังคมที่มีคนทั้ง“หมู่บ้าน”
ในชุมชนต่างประพฤติปฏิบัติตนตามพุทธพจน์ดังกล่าวนั้นอย่างเป็นจริง 1 มีทั้ง“วัดหรือความเป็นศาสนา”ที่มีนักบวชชายนักบวชหญิง และมีทั้งฆราวาสต่างใช้ชีวิตอยู่รวมกันแต่ต่างทำหน้าที่อันเป็นฐานะของตนๆแต่ละฐานะอย่างมีระบบระเบียบด้วยการประพฤติ“โพธิปักขิยธรรม 37”กันทั้งนักบวชทั้งฆราวาส ซึ่งผสมผสานกันอยู่ชนิดที่ตรวจสอบคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ตรงตามพระไตรปิฎกสัมมาทิฏฐิกันจริงๆ
โดยไม่แยกชีวิตความเป็นอยู่ต่างคนต่างอยู่ต่างหาก แล้วก็ต้องเรี่ยไรเงิน หรือหาเงินจากฆราวาสมาบำรุงวัด เหมือนสังคมพุทธส่วนใหญ่ที่แยกวัดแยกฆราวาสกันคนละสัดส่วน แต่ทั้งวัดทั้งหมู่บ้านของคนชุมชนที่ว่านี้อยู่ร่วมกันผสมผสานกันเป็น“บวร” บริโภคอย่าง“สาธารณโภคี”ได้จริงๆ นี่คือนัยะของความเป็น“วัด”ที่สังคมชุมชนนี้สามารถทำได้เป็นได้ แม้ในสังคมทุนนิยมสามานย์ยุคนี้
จะมีความเป็นอินทรีย์พละ ศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา พลังงานที่เรียกว่าศรัทธาในมนุษย์ เป็นความเชื่อ พลังงานวิริยะ พลังงานสติ พลังงานที่เป็นสมาธิเป็นอย่างไร พลังงานแต่ละตัวก็เป็นของแต่ละตัวไม่เหมือนกัน ยิ่งเป็นปัญญา ห้าคำนี้ไม่ได้เหมือนกันเลยแต่ว่าส่งเสริมสอดคล้องกัน จึงเกิดพลังงานอินทรีย์ E คือ Energy สูงส่ง รู้ความควรไม่ควรซื่อสัตย์ไม่เล่นเล่เหลี่ยม ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไม่มีเล่นลิ้น สุดประเสริฐที่เป็นพลังงาน 5 ที่ยิ่งใหญ่
ยิ่งเป็นพลังงานที่เต็ม อินทรีย์เป็นพละเป็นผลรวมครบบริบูรณ์เรียกว่าพละ 5 มันเป็นการแสดง ชี้บ่งบอกถึงคุณสมบัติของมนุษยชาติที่มีพลังงาน Energy Power Authority ก็ตาม จะเกิดผลแก่มนุษย์ อย่างไม่มีตัวตนไม่มีส่วนทวงบุญคุณแฝง เป็นสุดยอดแห่งความรู้สุดยอดแห่งความจริง ที่มนุษย์พึงจะทำได้ ผู้รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้าเอามาประกาศไว้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ เอามาดำเนินสืบสานพาทำต่อ พิสูจน์ยืนยันกับโลก ในโลกยุคที่มีความเฉลียวฉลาดมากที่จะรับรู้สิ่งนี้ได้
อาตมาถึงมีกระจิตกระใจ เพราะทำไปแล้ว แน่นอนโลกเขารู้เขาเห็นได้ แต่ตอนนี้เรายังดีไม่มากพอ มาช่วยกันทำดีให้มากขึ้น เราทำดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ เพราะฉะนั้นยังไม่ต่อว่าใครเลย ตั้งหน้าตั้งตาทำที่ดีในให้ตรง ให้เต็มที่ทำไปๆเลย
ในขณะที่ทำเรามีพร้อมอยู่แล้วทั้งสังคมทั้งโรงเรียน และคุณธรรมที่ช่วยกำกับสามเส้าและมีทั้ง“ความเป็นโรงเรียน”ที่ศึกษาอย่างมี“ศีลเด่น-เป็นงาน-ชาญวิชา”ด้วยอีก 1 อยู่ร่วมกันอย่างสนิทเนียน ที่ซึมซับแก่กันและกัน ถ่ายทอดถ่ายเทซึมลึกสัทธรรมอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ลึกซึ้งสำคัญยิ่งคือมี osmosis กันอยู่ตลอดเวลา เพราะความสนิทเนียนของ“บ้าน-วัด-โรงเรียน”ที่สนิทสนมกลมกลืนกันด้วยทฤษฎีต่างๆของพระพุทธเจ้ามีสัมมาทิฏฐิแท้จริงนั่นเอง จึงมีผลเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมให้เห็นได้สัมผัสได้จริงอยู่โต้งๆแท้ๆหลัดๆ ณ ปัจจุบันกาล ยืนยันความเป็นได้มีได้อยู่อย่างล้ำหน้าชาวชนส่วนใหญ่สมัยนี้
เพราะเป็นสังคมที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ คนในสังคมนี้จึงมีชีวิต“คนจน”ผู้เป็นอยู่อย่างสุขสำราญ อาจจะมีในพวกเราใครยังไม่สุขสำราญยกมือขึ้น...ไม่มีเลย อาตมาเดาผิดนะนี่ค่าของความสุขสำราญนี้มันเป็นค่าที่หาค่าไม่ได้ ถ้าเราบำเรอกิเลสก็ต้องแสวงหาไม่สุขสำราญ แต่นี่เราไม่ต้องบำเรอกิเลสแล้วก็เบาสบาย ไม่ต้องเป็นทาสกิเลสแล้วมันเบาสบายมากเลย
เรามาเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบานใจ เรียกว่า“พุทธ”กันได้แท้ แม้จะเป็น“คนจน” ไม่กลับไปเป็นคนรวยอีกแล้ว ตั้งใจดำเนินชีวิตอยู่อย่าง“คนจน” แม้จะมีบ้างบางคนที่ยังจนไม่ลง ยังจนไม่ได้ แต่มีน้อย ซึ่งต่างก็พยายามฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนผู้มีจิตใจที่“กล้าจน-มักน้อย-ใจพอ(สันโดษ)ทว่าสร้างสรรขยันเพียร(วิริยารัมภะ)-ไม่สะสม(อปจยะ)”ตาม“วรรณะ 9-กถาวัตถุ 10-สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7”เป็นต้น เป็นมาตรวัด ตรวจสอบกันได้จริงๆ
ซึ่งคนพวกนี้ต้องสัมมาทิฏฐิจริงๆ จึงจะสัมมาปฏิบัติ ให้เกิดสัมมาปฏิเวธได้มรรคผลตามพระวจนะ
สังคม“คนจน”ที่เจริญด้วยเศรษฐกิจบุญนิยม ที่สูงสุดถึงขั้นสาธารณโภคีนี้ เป็นสังคมคนที่ยืนยันการสร้างเศรษฐกิจให้แก่สังคมประเทศชาติอย่างสูงส่งแท้จริง ที่แม้นักเศรษศาสตร์ หรือปราชญ์ทางเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม จบด็อกเตอร์ โพสด็อกเตอร์ขั้นไหน ก็ยังเข้าใจความเป็น“เศรษฐกิจ”แบบคนจนนี้ไม่ได้ง่ายๆ
ถ้าขืนมีแต่“ความฉลาด”แบบ“เฉโก”เต็มหูเต็มหัวปานใดๆก็เถอะ หากยังไม่เกิด“ปัญญา”อันเป็น“ความฉลาด”เฉพาะของศาสนาพุทธแท้ๆนี้เท่านั้น ก็ไม่สามารถจะหยั่ง“รู้รสอันแสนวิเศษ”ของ“ความจนอันประเสริฐสูงสุด”ที่เป็นของ“คนโลกุตรภูมิ”ได้เป็นอันขาด
สมณะฟ้าไทสรุป...พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ทำหัวเชื้อขยายตัวแก่พวกเราได้ ยุคนี้เป็นยุคปัญญาทำได้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:25:35 )
รายละเอียด
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปรัชญาด้านสิ่งแวดล้อมของพ่อครู
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า….กราบนมัสการพ่อครูโพธิรักษ์ค่ะ หนู น.ส.ทิพย์ธิดา สุธาพร นิสิตจากคณะเศรษฐศาสตร์ และท่านอ.ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ วันนี้มีส่ิงที่อยากจะถาม อยากถามว่าความคิดเห็นพ่อครู เรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทรัพยากร อยากทราบปรัชญา ด้านธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของราชธานีอโศก ในความคิดของพ่อครูเป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า สำคัญมาก ธรรมชาติดินน้ำไฟลม สิงห์สาราสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเรา เป็นองค์ประกอบของธรรมชาติที่สำคัญมาก ตั้งแต่ที่สัมผัสด้วยประสาทของคนไม่ได้ กับที่เราสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นแสงเสียงกลิ่นรส เป็นวัตถุสิ่งของ คนต้องอาศัยธรรมชาติ อาตมาถึงเน้นไปอยู่ที่ไหนก็สร้างธรรมชาติ มีต้นหมากรากไม้ ภูเขา พื้นดิน เหตุ ปัจจัยธรรมชาติ พยายาม ที่มันเล็กก็ทำอย่างเล็ก ที่มันโตก็ทำอย่างโตหน่อย มีผลต่อ ความเป็นอยู่ของเรา เราอยู่ตรงนี้จะต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติครบครัน เป็น cyclic สัมพันธ์กัน สรุปก็คือ เห็นความสำคัญมาก จะเห็นได้ว่า ทุกแห่ง ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานทาง ศาสนา ทางธรรมะ อาตมาต้องดูแลภูมิทัศน์ภูมิประเทศ ทุกที่ สถานที่ที่ทำ ปฐมอโศก เป็นท้องนาเน่าแห้ง ก็ถมดิน ปรุงดินขึ้นไป ไปดู เดี๋ยวนี้เป็นธรรมชาติ เป็นป่าหมด มีน้ำตก เป็นน้ำตกที่สร้างขึ้นมา เขาไม่เชื่อแล้วว่าเป็นน้ำตกที่สร้างด้วยมือคน
ที่นี่แต่ก่อนก็เป็นพื้นที่มันร้าง เป็นพุ่มไม้ เป็นท้องนาเก่าๆ คนเลิก ไม่อยู่แล้ว เราก็มาบุกเบิก มาสร้าง และทำขึ้นมาตั้งแต่พศ. 2537 ที่ไหนก็เหมือนกันทุกที่ที่ชาว อโศกจะสร้างธรรมชาติให้ครบครัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน วิถีการใช้ธรรมชาติของอโศก
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...แล้ววิถีการใช้ธรรมชาติของชาวอโศกเป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ต้องใช้อย่างเคารพ ต้องใช้อย่างเข้าใจ ธรรมชาติเขาให้เรา ให้เรามา เราก็ต้องเคารพ ช่วยเขา ไม่ใช่ไปทำปู้ยี่ปู้ยำ ต้องเข้าใจธรรมชาติของธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าที่นี่จะแตกต่างจากรีสอร์ทที่เขาทำแบบแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ ที่นี่จะปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นใบไม้ร่วง แล้วก็หมักจนเน่า มันจะมีแบคทีเรีย เราจะไม่ปล่อยไปถึงขั้นเป็นป่า เราก็เข้าใจ ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ทำอย่างไรจะให้พอดี ที่จะเป็นวงจรธรรมชาติ ที่มันจะช่วยตัวเองได้ มีน้ำตก มันก็จะแตกตัวมีออกซิเจน ตลอดเวลา คนเขาก็บอกว่าทำทำไมมันเปลืองตังค์ คุณไม่เห็นประโยชน์ก็แล้วแต่ แต่เราเห็นประโยชน์ อย่างน้อยคนก็เห็นสวยงาม อยากเล่นน้ำตกน้ำไหล แต่จริงๆมันได้กว่ามากกว่านั้น คือได้ความเป็นธรรมชาติ
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...อยากทราบว่า ความพอดีของพ่อครู คนในชุมชนจะมีส่วน ร่วมอย่างไรบ้าง
พ่อครูว่า...คนในชุมชนชาวอโศกได้รับการศึกษา ได้เข้าใจที่จะมาอยู่กับธรรมชาติ จะต้องช่วยกันสร้างธรรมชาติ ไม่ทำลายธรรมชาติ เราเข้าใจ เพราะฉะนั้นชุมชน คนทุกคน จะอยู่ร่วมกันและช่วยกันปรับปรุง เขาจะเข้าใจธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณของสัตว์หรือคน จะว่าไปแล้วคนเมืองจะไม่ค่อยเข้าใจธรรมชาติต้นไม้ภูเขา ออกจากความเป็นจริงไป แต่จริงๆแล้วลึกๆในสัญชาตญาณนั้นมี ก็จะค่อยๆเข้าใจ สัญชาตญาณเก่ามันจะขึ้นมา จะทำความเข้าใจง่าย เราบอกแนะนิดหน่อยก็เข้าใจ
ที่นี่ ถ้าเข้ามา ถ้าเห็นภาพเก่าๆที่ถ่ายไว้มันไม่มีต้นหมากรากไม้ใหญ่ มันจะเป็น ต้นไม้ที่ขึ้นตามที่ร้าง เป็นป่าท่ามเท่านั้นเอง ต้นไม้ใหญ่ ต้นไม้ต้นไม่มีแล้ว มีแต่ไม้ล้มลุก เข้ามาก็หัวแดงร้อนหมดเลย ไม่มีร่มเงา เราก็มาฟื้นคืนธรรมชาติมาก อย่างลำธาร เรา ก็สร้างขึ้นมา
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...เริ่มต้นจากความไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไร พ่อครูเริ่มจาก ทำอะไรก่อน เกี่ยวกับธรรมชาติ
พ่อครูว่า...ก็ต้องให้มีน้ำก่อน ที่นี่ดีอย่าง อาตมาเลือกที่นี่ ประวัติติดแม่น้ำมูล มีบุ่ง มีลำห้วย สมัยก่อนก็มีอยู่แล้ว เราก็ได้อาศัย แต่เราก็พยายามทำให้มันกระจาย น้ำจะได้ไหลไปทั่ว เราปลูกต้นไม้ ทำแม่น้ำ มีหินมีดินที่จะให้สมบูรณ์ ไม่ได้เจตนาจะทำเหมือนรีสอร์ท
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...อยากทราบว่าบุ่งกับแม่น้ำต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...บุ่งคือส่วนแยกจากแม่น้ำออกมาเป็นสาขาเล็กของแม่น้ำ บางทีก็เป็น บุ่งใหญ่ บางทีก็เป็นบุ่งเล็ก ถ้าบุ่งยังมีเชื่อมต่อแม่น้ำ แต่ถ้าบึงนี้ไม่เชื่อมกับแม่น้ำแล้ว จนเป็นบวกก็มี ความตื้นจนเป็นโคลนตมแล้ว ควายจะชอบไปนอน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐกิจพอเพียงสำคัญอย่างไรต่อชุมชนอโศก
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...อยากจะถามเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สำคัญอย่างไร กับชุมชน
พ่อครูว่า…มีความสำคัญมาก เป็นคำตรัสของในหลวง ที่เลือกภาษาหรือคำ มาบัญญัติเรียก เป็นเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของความพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงนี้ มันอยู่ที่คำว่า พอ สำคัญอยู่ที่คำว่า พอ
คำว่า พอ นี่ มีความลึกซึ้งมาก ในภาษาบาลีภาษาของพระพุทธเจ้าคือ สันโดษ สันโดษไม่ใช่โดดเดี่ยวนะ คนไปเข้าใจ ใครโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่ที่นี่ สันโดษคืออบอุ่น สังคมพอเพียง สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่มีสันโดษ เป็นสังคมที่มีความอบอุ่น ทุกคนอยู่ในนั้น สันโดษแปลว่า ใจพอ จิตใจไม่มีความโลภมาก ไม่ตะกละ เรื่องเอา เปรียบนี่เลิกเลย จิตใจเอาเปรียบแบบทุนนิยมสามานย์ไม่มี
ในภาษาของพระพุทธเจ้ามี อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ
อัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อยหรือกล้าจน คนที่มีจิตใจจะเจริญขึ้นจริงๆจะกล้าจน ไม่เอาไว้มาก แต่สร้างสรรมาก ในคำสอนพระพุทธเจ้า บอกว่า คนมักน้อย กล้าจน จะทำแต่พอกินใช้แล้วพอ ไม่ใช่ แต่มีวิริยารัมภะ แปลว่า ปรารภความเพียร ขยันเสมอ
ในหลวงนำคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ แต่ของพระพุทธเจ้า คลุมไว้ต้น กลาง ปลาย ปลายสุดของสังคมของพระพุทธเจ้าคือสาธารณโภคี คือทุกคน ทำงานฟรีไม่มีรายได้ ทำได้ทุกอย่างเอาเข้ากองกลางหมดเลย เป็นสังคมที่เลิศยอด ยิ่งกว่าสังคมใด
ชาวอโศก เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาเป็น phenomenal เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ปรากฏผลสำเร็จ เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนเห็นแก่ส่วนรวม ทุกคนก็จะสังวร ไม่โลภมาก เอาแต่ได้ ทำได้ก็เอามารวมกับส่วนกลาง เราจึงมีจิตใจที่มีคุณธรรม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภ มากแต่สร้างสรรเยอะ มันก็เลยกินใช้น้อย ส่วนเหลือแต่ละคนเอามารวมกัน ก็เลยมีส่วน เหลือส่วนเกินกองกลางเยอะ แล้วเราไม่สะสม แล้วเรายังสังคหะ เผื่อแผ่ผู้อื่น เราเสียสละ ในหลวงตรัสว่า เราเสียนี่แหละคือเราได้ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
เสีย นี่คือเราเสียสละ นี่แหละคือเราได้ คนใดที่อยู่ในฐานะเสียสละ คนนั้นคือคน ได้ตลอดเวลาได้คุณธรรม ได้เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่เป็นภาระกับใคร เป็นผู้ที่ช่วยมนุษย์ช่วยโลกด้วย สุดประเสริฐเลย นี่คือลักษณะของ เศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ต้นเลย มีความไม่เห็นแก่ตัว มีความสร้างสรรค์
อาตมาเอามาประยุกต์ เป็นหลักบุญนิยม มี 4 ขั้น
ขั้นที่ 1 คือ ถ้าเราสร้างสรรค์มีผลผลิตของเราแล้ว เราจะให้แก่ใครไปหรือขาย เรามีเหลือจะขายก็ต้องขายให้ต่ำ โดยเฉพาะ อย่างน้อยต่ำกว่าราคาตลาด เป็นเกณฑ์ ใครขายได้ต่ำกว่าได้มาก คือความเจริญของเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม
ขายเท่าทุนได้เป็นขั้นที่ 2 ก็เจริญขึ้นอีก
ขายต่ำกว่าทุนได้เจริญขึ้นเป็นขั้นที่ 3
แจกฟรีเลยเป็นขั้นที่ 4
เราก็ทำมาตลอดเวลา เรามีหลักการในการจำหน่ายจ่ายแจกสี่ขั้นนี้ เราจึงเจริญขึ้น เรื่อยๆ คือความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ลดลง ไม่ต้องสะสม ยิ่งมาเกิดจิตสาธารณะโภคี ส่วนตัวไม่ต้องสะสม มีส่วนกลางกินใช้อยู่แล้ว ทุกคนไม่มาขี้เกียจ ทุกคนมาสร้างสรร เสียสละ มีผลผลิต ส่วนตัวกินน้อยใช้น้อย แต่ไม่ให้เสียร่างกายนะ ร่างกายต้องแข็งแรง ดีด้วย มีโรคน้อยด้วย โลกที่มีมากเกินนั้นเป็นโทษไปเสียด้วยซ้ำ แต่นี่เรารู้จักพอ เลยสมดุล หรือพอดีพอเพียง สมบูรณ์พอเพียง
หลักการที่ในหลวงตรัส เป็นคำใหญ่คำกว้างที่รวมความรู้ไว้ ถ้าศึกษาให้ดีก็จะพบว่า เป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ หลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง สำหรับสังคมเล็ก กลาง ใหญ่
ปัญหามันเกิดจากความแตกต่างความต้องการของคน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ศาสตร์พระราชากับการพัฒนา สิ่งแวดล้อม
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...มีคนพูดถึงศาสตร์ของพระราชาเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และที่นี่ท่านให้ความสำคัญแค่ไหนกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเกิดความยั่งยืน
พ่อครูว่า...ทั้งธรรมชาติของสิ่งที่เป็นวัตถุ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ดินน้ำไฟลม และ ธรรมชาติของคน ธรรมชาติของคนที่จะอาศัยอยู่ร่วมกัน ในภูมิประเทศ ที่มีพฤติกรรม นิสัยใจคอของคนด้วย
เมื่อเราอยู่ตรงไหน มีสิ่งแวดล้อมไหนมีคนที่มีใจพอ สิ่งเหล่านี้รวมกันแล้ว เราจะ ต้องเข้าใจกัน ศึกษากัน เข้าใจแม้ว่าที่นี่มีคนที่มีนิสัยใจคออย่างไร
ทีนี้ชาวอโศกเราพยายามสร้างคน ให้มีลักษณะคุณสมบัติตามหลักพระพุทธเจ้า คือ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
ศึกษาถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิแล้วจิตใจจะไม่เห็นแก่ตัว และไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ว่า ไม่ต้องทำอะไรอยู่เฉยเฉย แต่มันจะช่วยคนอื่นได้ด้วย มีสมรรถนะ มีความแข็งแรง มีความสร้างสรรช่วยเหลือผู้อื่นได้
เรามาอยู่นี่เราก็ช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีเราไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วย พวกสัตว์มีพิษมัน ก็จะหนีไปเสียส่วนมาก
ศาสตร์พระราชาคือ ต้องมาเอาแบบคนจนขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเอามา ออกอากาศทุกวันแต่คนเข้าไม่ถึงที่ท่านตรัส
ทุกวันนี้สังคมเขากลัวความจน ประเทศต้องไม่จน แต่ในหลวงท่านตรัสว่า เอาแบบคนจน ร่ำรวยแบบเขาที่จะก้าวหน้าแต่เป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มีภูมิธรรม แต่คนมีแต่โลกียธรรม เข้าไม่ถึงโลกุตรธรรม ของท่าน
คนที่พูดกันไม่เข้าถึงศาสตร์พระราชาเท่าไหร่หรอก ไม่เข้าถึงโลกุตรธรรม คือความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่มีกิเลส ความช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างไม่เห็นแก่ตัว นี่คือศาสตร์พระราชาที่แท้จริง
ประเทศไทยสังคมไทยลึกๆเข้าใจโลกุตรธรรม เพราะเป็นเมืองพุทธ ตั้งแต่เริ่มสร้าง ประเทศมาถึงวันนี้ มีเนื้อแท้ของโลกุตรธรรมอยู่แล้ว ทีนี้ในหลวงทรงพระจริยวัตร เป็นโลกุตรธรรมมาตลอด 70 พรรษา แม้สามัญสำนึกคนก็รับได้
เพราะฉะนั้น เมื่อในหลวงทำงานจนกระทั่งท่านสวรรคต คนก็เรียกร้องร่ำร้อง เสียดายท่าน เพราะว่าแม้แต่ข้าราชบริพารข้าราชการ แม้แต่สังคมของศาสนาพุทธ กระแสหลักก็ไม่ได้มีหรอกโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นความต้องการ โลกุตรธรรมของ ชาวไทยนั้น ลึกๆมี ก็เลยโหยหาในหลวง แล้วแสดงออก เป็น Bomb of love ที่สนามหลวง เพราะเสียดายโลกุตรธรรม ตอนนี้ไม่มีในหลวงแสดงโลกุตรธรรมแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บุญนิยมคืออย่างไร
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...บุญนิยมคืออย่างไร
พ่อครูว่า...อาตมาตั้งบุญนิยมอาตมาเจตนาตั้งมาเพื่อให้ opposite กับทุนนิยมเลย
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...อยากให้ขยายความในความเป็นบุญนิยมของชาวอโศก
พ่อครูว่า..ถ้าเข้าใจ ทุนนิยมสามานย์ บุญนิยมคือ oppositeกับทุนนิยมเลย ถ้าทุนนิยมมันแรง bomb ของเราก็แรง ถ้าทุนนิยมไม่แรง bomb เราก็ลดลง หากไม่มีทุนนิยม ก็อยู่กันอย่างอนุโลมกันได้ แต่ถ้าทุนนิยมจัดจ้านอยู่ เข้ามา ที่นี่ไม่ติดหรอก เราไม่มีรั้วกั้นนะ แต่ต้องคอยไล่วัวควายอยู่เรื่อยเลย เราอยู่สบาย คนทุนนิยมแรงจัด ไม่ค่อยกล้ามาหรอกนี่คือปาฏิหาริย์ของธรรมะ ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม ธัมโมหเวรักขติ ธัมมะจาริง
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...ถ้าอย่างนั้นบุญนิยมที่ชาวอโศกปฏิบัติ ถ้าออกไปนอกชุมชน เป็นไปได้ไหม
พ่อครูว่า...เป็นไปได้ เพราะอย่างน้อย บุญนิยม ก็เกื้อกูลคนอื่น ยกตัวอย่างเรา จัดรูปธรรมงานตลาดอาริยะ จัดขึ้นมาทีไรประชาชนมาอุดหนุนกันแน่นเลย จนเราเหนื่อย จัดทีตั้งเต็นท์ที หนัก เลยก่อสร้างอาคารใหญ่ๆ สิบกว่าไร่ คนเข้ามาเต็มเลย ยังมีเต๊นท์ ข้างๆอีก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจบุญนิยม
คำว่าบุญคือการชำระกิเลส คนเข้าใจเพี้ยน จากคำว่าบุญกับกุศล กุศลนี่เป็นคุณธรรม ที่ทำและเป็นสมบัติติดตัว สะสมให้มากขึ้นได้ เป็นคุณงามความดี
ส่วนบุญนั้นเป็นวิบัติ บุญคืออาวุธตัดกิเลส ใครสามารถสร้างพฤติกรรม ของเราที่เป็นกายกรรมวจีกรรมโดยเฉพาะมโนกรรม สร้างให้เป็นพลังงาน ของมโน เป็นไฟฌาน หรือไฟบุญ
ไฟเหล่านี้จะกำจัดไฟราคะโทสะโมหะ กำจัดไฟกิเลสที่เป็นธาตุร้อน เป็นอุณหธาตุ แต่ฌานหรือบุญที่เราประกอบในกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมได้สัดส่วน เป็นฌานหรือ ไฟกองใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพมีฤทธิ์ทำลาย ไฟราคะโทสะโมหะได้ มันมีประสิทธิภาพ อย่างนั้นจริงๆ
ใครศึกษาธรรมะได้ผลแล้ว เราก็สร้างไฟบุญประกอบด้วย ในปัจจุบันเรียกว่า ฌาน ในปัจจุบัน จะมีประสิทธิภาพ อุณหธาตุทำลายไฟ ราคะโทสะโมหะ คุณเจอะหน้าไฟราคะ โทสะโมหะ ก็เอาไฟฌานไปทำลายไฟกิเลสเหล่านี้ได้เลย
บุญนิยม จึงเป็นทฤษฎีที่สร้าง ไฟ ลดความเห็นแก่ตัว คือ ไฟราคะโทสะโมหะ เป็นแกนของศาสนาเลย มีผลแล้วก็เป็นบุญนิยมที่ทำลายทุนนิยม พวกทุนนิยมนี้หน้าเลือด เห็นแก่ได้ ราคะ โลภะ หรือไม่ได้ก็โทสะ เหมือนที่เขากำลังจะยิงระเบิดปรมาณูใส่กัน เอา อาวุธมาแทนเขี้ยวเล็บ แย่งชิง
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ภาวะโลกร้อนกับชาวอโศก
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า...ถ้าท่ามกลางภาวะโลกร้อน ชาวอโศกมีแนวทางอย่างไร ในการดำรงชีวิต
พ่อครูว่า...ชาวอโศกนี่แหละเป็นผู้ที่ลดความร้อนของโลก ที่เขาทำให้เกิดพลังงาน เรือนกระจก Green House effect อโศกนี่แหละเป็นผู้ที่ทำให้เย็นมากที่สุดเลย ลดภาวะโลกร้อนได้มาก เพราะเราไม่เร่งพลังงานจี๋จ๋า รีบร้อนด้วยพลังงานราคะโทสะ โมหะ หากไปเร่งร้อนให้ได้สมใจราคะโทสะโมหะ ทุกอย่างจะหมุนเร็ว เพื่อให้ได้ตาม ความต้องการ จะรอบสูง มันก็จะเกิดภาวะความร้อน ทีนี้ ทางนี้ก็ลด มันก็เกิดภาวะความเย็น ที่ว่าภาษาลดภาวะโลกร้อน อโศกจึงเจาะหัวใจภาวะโลกร้อนเลย
อ.ปรีชา ว่า...อบายมุขทำให้โลกร้อน
พ่อครูว่า...อบายมุขเป็นหัวหน้าของภาวะโลกร้อนเลย ไปเล่นคอนเสิร์ตที่ไหน ก็ตีกันที่นั่น เป็นต้น แต่เราลดต้นเหตุโลกร้อนเลยมาขาดทุน
เหมือนในหลวงท่านตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา พวกนักเศรษฐศาสตร์ก็บอกว่าพูดอย่างนี้อย่างไร ในหลวงก็ว่า ก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ
สมณะเดินดินว่า...ในหลวงตรัสว่า เราไม่ต้องการประเทศที่ก้าวหน้าอย่างนั้น การก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว ทุกวันนี้ดูอย่างอเมริกา ญี่ปุ่นมีหนี้สิน ล้นพ้นตัว ตัวเลขของคนไทย บอกว่ามีหนี้ครัวเรือน 3 แสนบาทต่อครัวเรือน ทั้งที่คนไทย พยายามอยากจะรวย แต่ทำไมยิ่งอยากจะรวยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีหนี้สินมากเท่านั้น
พ่อครูว่า...ถามจริงว่า รู้ความจริงไหมว่าอเมริกาเป็นประเทศ ที่ร่ำรวยหรือว่า เป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุด
อเมริกาเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุด โดยเฉพาะพิมพ์กระดาษเปล่าเป็น ดอลล่าร์ออกไป ถ้าแต่ละประเทศเอากระดาษดอลล่านั้นกลับคืนไปให้อเมริกา อเมริกา เขาจะมีอะไรกลับคืนมาให้แก่ประเทศอื่นๆไม่พอหรอก ทุกวันนี้ เป็นมายาของการสร้าง ธนบัตรของอเมริกา มันไม่มีทองอะไรรองรับเลย แล้วโลกก็ยังจำนวนอยู่อย่างนั้น นี่คือสิ่ง ที่โลกตกต่ำ ไม่มีอำนาจที่จะสู้ นี่คืออำนาจผียักษ์มารของโลก
น.ส.ทิพย์ธิดา...ในชาวอโศกนี้อยู่อย่างบุญนิยมได้ ถ้าอย่างหนูอยู่กับข้างนอก เราจะใช้ชีวิตอย่างไรกับพวกทุนนิยม
พ่อครูว่า...ก็ต้องศึกษาฝึกฝนตนเองให้รู้ว่า สถานที่ๆควรอยู่ร่วม พระพุทธเจ้าเรียกว่า สัปปายะ 4
1.สถานที่สัปปายะ 2.บุคคลสัปปายะ 3.อาหารสัปปายะ(อาหารคืออาหาร 4) 4.ธรรมะสัปปายะ
ถ้าใครมาอาศัยในหมู่บ้านราชธานีอโศก อาหารการกินนี่ กินไปได้อย่างสมบูรณ์เลย เพราะว่าอาหารการกินของที่นี่อุดมสมบูรณ์เหลือเฟือ เมื่อปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วไม่ตายเพราะกินเลย อยู่ในนี้ไม่อดตายแน่
บุคคลสัปปายะคนในนี้ไม่หน้าเลือด ไม่เป็นทุนนิยมเห็แก่ตัวแน่นอน คุณต้องมี ปัญญารู้ว่า สถานที่ บุคคล อาหาร จิตวิญญาณแบบไหนที่ควรร่วมอยู่
หลักเกณฑ์ที่นี่ง่ายๆคือถือศีล 5 ละอบายมุข กินมังสวิรัติ ตายเราก็เผาให้ แต่คนข้าง นอกตายแล้วทรมานลูกหลาน จัดงานศพเสียเงินมากเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ กับปรัชญาธรรมชาติ
น.ส.ทิพย์ธิดา... เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธกับปรัชญาธรรมชาติเกี่ยวข้องกันอย่างไร
พ่อครูว่า...พุทธนั้นอยู่รวมกับธรรมชาติได้อย่างดี ไม่ก่อความเดือดร้อนกันและกัน ของเรานี่ คนข้างนอกเข้าใจไม่ได้ กรณีชาวอโศกไม่เลี้ยงสัตว์ตั้งแต่หมาแมวก็ตามแต่ พวก สัตว์อื่น งูหรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย
เราไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เราไม่มีเมตตา ถ้าจะพูดจริงๆคือคนเลี้ยงสัตว์คือคนโง่ สัตว์มันก็ต้องอยู่ตามสัญชาตญาณมัน แต่เรามาเลี้ยงมันก็เสียสัญชาตญาณสัตว์หมดเลย อ้างว่าเอามันมาฝึกใช้งานทำประโยชน์ แต่แมวนี่เอามาทำไม
อาตมาเห็นม้าที่เขาใช้งานมันหนัก อาตมาเห็นม้าลำปางลากรถม้า มันก็มีครอบตาไว้ พอม้าที่มันไม่ดีแล้วขามันเสียก็หมดท่าเลย คนก็สงสารมัน รักษาก็ยากก็ต้องฆ่ามัน ไม่งั้น ก็ทรมาน คนเราเห็นแก่ตัวมากเลย
เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธรู้จักธรรมชาติ รู้จักดินน้ำไฟลมที่ร่วมกับสัตว์กับมนุษย์ แล้วก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้ เรียกว่าธรรมชาติให้สมดุล อยู่อย่างให้มีประโยชน์ แก่กันและกัน เราต้องมีประโยชน์แก่ดิน แก่น้ำ แก่สัตว์ ยิ่งกับมนุษย์ด้วยกันเอง ถ้าเรามีประโยชน์ต่อ ทุกอย่าง ไม่ไปทำร้ายสิ่งต่างๆโดยเฉพาะคน เราเป็นผู้รับใช้ทุกอย่าง นี่แหละ คือสุดยอด แห่งเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธคือผู้รับใช้ ไม่ใช่ผู้มาเอาเปรียบ ทุกสิ่งอย่าง สรุปจบ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ
สมณะเดินดินว่า...ในศาสนาพระพุทธเจ้าห้ามภิกษุไปทำลายต้นไม้ ไม่ให้ทำลายที่อยู่ของสัตว์ กุฏิที่อยู่ก็หลังเล็ก มีขนาดจำกัดเพื่อไม่ให้หรูหรา ทำลาย ทรัพยากร และผ้าก็ให้ใช้สามผืน
พ่อครูว่า..เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธที่สุดยอดคือเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี มี หรม.ครน. เกิดความทำลายน้อย และมีประโยชน์มาก ความทำลายความสูญเสียก็น้อย แล้วสะพัดให้ทั่วถึงแก่คนที่ควรให้ จะมีความจริงใจซื่อสัตย์และมีความรู้ว่า คนไหนควรจะ ให้ได้
ในสังคมมี เด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถนะ คนปัญญาอ่อน ห้าอย่างนี้ เราต้องช่วยเขา ลักษณะของ 5 อย่างนี้เราต้องช่วยเขา แต่ในโลกนี้มี 2 คนที่ไม่ควรจะ ช่วยเหลือ แล้วควรจะปราบ คือคนขี้เกียจกับคนขี้โกง
เศรษฐศาสตร์ทะลุหลักก็คือเครื่องพยายามปราบคนขี้โกงกับคนขี้เกียจ แล้วช่วย คนอีกห้าประเภทที่ว่าแล้ว นอกนั้นสอนให้คนเลี้ยงตัวเองรอด มีค่าที่ตนทำแล้ว ไม่เบียด เบียนใคร มีสิ่งที่ทำออกมาคุ้มกินใช้ของตน หลักเศรษฐศาสตร์ของพุทธที่สำคัญคือ
1. อยา่เป็นหนี้ 2. ทำให้พอกินพอใช้ 3. ทำให้มากให้เหลือ 4. แจกจ่ายส่วนเหลือ สะพัดแก่คนผู้สมควรจะให้
ลึกลงไป พระพุทธเจ้าสอนถึงเรื่อง วิบาก คนที่มีวิบาก เกิดมาเป็นคนพึ่งตนเองไม่ ได้ ยิ่งในโลกทุนนิยม ก็แย่งชิงกันมาก เราก็ควรช่วยคนไปตามลำดับ
หากเรามีมากพอแจกจ่ายได้ ก็คืองานของผู้บริหารประเทศ ดูแลคุ้มครองประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปกครองระบอบไหน ระบอบคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตย สมบูรณาญา -สิทธิราชย์ ก็ล้วนแต่ต้องการให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความสร้างสรรค์ ยุคนี้ แม้ไม่ใช่ยุคทาสแล้ว แต่คนก็เป็นทาสของทุนนิยม ให้เขาใช้อยู่ทุกวัน
ศึกษาให้ดีแล้ว จะไม่เป็นคนใช้ของระบบทุนนิยม พวกคุณจบด็อกเตอร์ไป ก็รับใช้นายทุน นอกจากคุณจะเป็นนายทุนซื้อเองเท่านั้น ถ้าไม่เป็นนายทุนเสียเอง คุณก็ต้องเป็นคนใช้นายทุน เรียนสูงเท่าไหร่ก็เป็นคนใช้นายทุน เรียนไปทำไม เรียน ไปรับใช้นายทุน
พวกเราอยู่ที่นี่เรียนจบดอกเตอร์แต่ไม่ได้ไปรับใช้นายทุน ทำงานรับใช้สังคม
ประเทศชาติไป ถ้าไปให้ราคาเขาที่หลอกล่อ นายทุนเขาจะให้ตนเองเสียเปรียบได้อย่างไร ก็ต้องเอาเปรียบคน
สมณะเดินดินว่า...สาธารณโภคีเป็น พ่อของคอมมูน เพราะทำงานแล้วเสียสละ เข้ากองกลางหมด
พ่อครูว่า...ที่นี่ก็เหมือนคอมมูนแต่ไม่ได้บังคับ ทุกคนเต็มใจเสียสละทำงาน เอาเข้ากองคลังร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำได้เท่าไหร่ก็เข้ากองกลางหมด เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วไม่ได้บังคับแบบคอมมิวนิสต์ คุณจะเข้ามาก็เข้ามา หากไม่เข้ามาก็ไม่ได้บังคับ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชุมชนเข้มแข็งเป็นอย่างไร
น.ส.ทิพย์ธิดา ...ชุมชน สีเขียว ชุมชนเข้มแข็งควรมีลักษณะอย่างไร
พ่อครูว่า...จะเรียกว่าชุมชนสีเขียว ชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนบุญนิยม ชุมชนพอเพียง ก็เหมือนกัน ด้วยความหมายของเฉดสีเขียวเป็นความเย็น สีแดงเป็นความร้อน
ถ้าสีเหลืองนี้ มันไม่มีพลัง ใน greenนี้มีพลังมีเหลืองอยู่ เฉด green นี้มีเย็น และ มีพลัง เขาถึงเอา green มาใช้เป็นความหมายดีสุด มันมาจาก สามแม่สี green เป็นแม่สีที่ควรใช้เป็นประโยชน์ เหมาะสมกับคนที่สุด ถ้าแดงนี้ร้อนไป ถ้าเหลืองนี้อ่อนไป ไม่มีพลัง ถ้า green นี้ไปหาโทนเย็น คือน้ำเงิน
น.ส.ทิพย์ธิดาว่า ...กิจกรรมที่ทุกคนต้องทำเกี่ยวกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ให้พ่อครูยกตัวอย่าง
พ่อครูว่า...เอาอโศกนี่ไปดูเลย คืออโศกจะเข้าใจสิ่งแวดล้อมดินน้ำไฟลม ต้นหมากรากไม้เราก็จัดสัดส่วน นาสวนไร่ธรรมชาติ เราก็จัดสัดส่วนให้ดี เราต้อง อาศัยมีให้ครบ เมื่อครบเราก็สบาย ต้องมีความรู้ให้ครบส่วนด้วย
อย่างต้นไม้แบบนี้ไม่เอาไว้กิน แต่เอาไว้อาศัย ถ้าต้นไหนเป็นพิษเราก็อย่าให้เกิด ยกตัวอย่างในพื้นที่ชุมชนอโศก เดือดร้อนสุดคือต้นไมยราพย์ยักษ์ มันขึ้นเก่ง แข็งแรง น้ำท่วมก็ไม่ตาย แดดร้อนก็ไม่ตาย แพร่กระจายไวด้วย หนามแหลมยาวด้วย วัวควาย ไม่กล้าเข้า มันไม่กินด้วย
มันเป็นธรรมชาติ ในที่นี้จะเห็นได้ว่าไม่เหมือนวัดที่อื่น ไม่มีการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว สัตว์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่คนเราจะเอามาเลี้ยง พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้ใน จุลศีลเลย อย่าไปยุ่ง มันก็มีวิบากของมัน เช่น งูกำลังกินเขียด เราจะไม่ให้มันกินเขียด จะบ้าหรือ มันก็เป็นอาหาร ของมัน จะให้มันกินขี้ได้อย่างไร เสือมันกินเนื้อจะให้มันกินพืชก็ไม่ได้ แต่มีจรเข้กินเจอยู่ ตัวหนึ่ง แต่เราก็รู้ธรรมชาติของมัน รู้จักธรรมชาติ สัตว์ ต้นไม้ ดินน้ำไฟลม
ชาวอโศกจัดสรร สิ่งแวดล้อมให้ได้สัปปายะ
สมณะเดินดินว่า...ที่นี่พ่อครูให้ชื่อว่าบ้านราชเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์เมืองอมตะ
พ่อครูว่า...ที่นี่ไม่มีหินมาก เราก็เลยหาหินมาเพิ่ม แต่ก่อนต้นไม่ก็ไม่มี มีแต่แดดกับหิน แต่ทุกวันนี้หินมีต้นมอส อาตมามาแรกๆ ว่าทำอย่างไรหินเราจะมีมอส แต่ทุกวันนี้มีได้
สมณะเดินดินว่า..ที่ดินย่านนี้เป็นที่ดินรกร้าง คนมาอยู่ เขาว่าเป็นคนบ้า บางปีน้ำท่วมสูงสามเมตร บางปีเข้าไปในศาลา สถิติกรมชลฯ 60 ปีท่วม 60 ครั้ง ไม่มีใครมาอยู่ แต่เรามาอยู่จนเจริญมาถึงปัจจุบัน มีคนมาเที่ยวน้ำตก ที่นี่ถามชาวบ้าน ชาวบ้านไม่ทราบว่าที่นี่มีน้ำตกด้วย
น.ส.ทิพย์ธิดา เรื่องน้ำท่วมที่นี่แก้ปัญหาอย่างไร
พ่อครูว่า...เราก็มีเรือ เรามีเรือเล็กใหญ่ไม่ได้ย้ายคนไปไหน อยู่บนเรือกัน สร้างบ้านเรือ วิ่งไปไหนไม่ค่อยได้มากหรอก เราพยายามปลุกชีพแม่น้ำ เรือให้ใช้ จราจรทางน้ำกัน เราก็พยายามทำ เรามีแม่น้ำมูนที่ใสสะอาดดี
สมณะเดินดินว่า...น้ำท่วมพัดพาตะกอนดินที่มีฮิวมัสต์มาให้เรามีดินที่อุดมสมบูรณ์ดี
พ่อครูว่า...น้ำท่วมก็ท่วมไป เอาฮิวมัสต์มาให้เรา พอหน้าแล้งเราก็ปลูกผักได้ดี
สมณะเดินดินว่า...ชาวประมงเห็นประโยชน์ของแม่น้ำแค่จับปลา แต่ชาวพุทธจะเห็น ว่าแม่น้ำมีประโยชน์อีกมากมาย ถ้าไม่มีคนเข้าใจเรื่องศีลเรื่องธรรมะ มองไม่เห็นประโยชน์ แม้แต่ชาวเขื่อนปากมูลก็จะเอาแต่จับปลา
น.ส.ทิพย์ธิดา...จบคำถามแล้วค่ะ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:27:13 )
รายละเอียด
601020_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ศาสตร์พระราชาเพื่อพ้นความเป็นสัตว์
สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560 ที่บ้านราชธานีอโศก ทางกรมอุตุนิยมวิทยาก็บอกว่าเตรียมรับลมหนาวได้แล้ว ในภาวะที่ฝนจะไปหนาวจะมา ดูเหมือนว่าพ่อครูก็จะทำหนังสือพิเศษที่จะแจกในงานมหาปวารณา แต่ดูเหมือนว่า เล่มนั้นยังช้าไป จะมีเล่มที่ออกมาก่อนอีก พ่อครูเร่งเครื่องแล้วก็ยังมีเล่มพิเศษอีก เนื้อหาจะสัมพันธ์อย่างยิ่งกับที่พ่อครูบอกว่าเป็นความจนมหัศจรรย์ ความจนอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่น่าจะประกาศออกไป
มีสิ่งที่น่าจะตั้งข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่า พอดีมีข่าวคนพูดถึงภาวะหนี้ครัวเรือน ของคนไทย คนไทยนั้นอยากจะรวยกันทุกคน รัฐบาลก็จะพาคนรวย แต่ดูเหมือนว่า อยากจะรวยเท่าไหร่ หนี้ครัวเรือนกับพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว 2.9 แสนบาทต่อครัวเรือน คือหนี้ของคนไทยแต่ละครัวเรือน ทำไมจะพากันรวยแต่หนี้สินกลับเพิ่มขึ้น ไปดูสถิติ แต่ดูหนี้สินแต่ละประเทศ ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดคืออเมริกา รองลง มาเป็นฝรั่งเศส สเปน เป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ทั้งนั้นเลย ที่ว่าร่ำรวยกลับมีหนี้สินมากกว่า เพื่อนเลย เป็นโอกาสที่พระพุทธศาสนาจะมาประกาศทางรอดของมนุษยชาติ ยิ่งรวย ยิ่งจะมีหนี้สิน คนเราก็อยากจะรวยก็จะต้องมีความโลภ เป็นตัวนำ ความโลภ ก็จะทำให้บาน ปลายออกไป มีร้อยก็อยากจะได้พัน มีพันก็อยากจะได้หมื่น มีหมื่นก็อยากจะได้แสน มีแสนก็อยากจะได้ล้าน ทำให้เกิดความเดือดร้อนทุกข์เข็ญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสุดท้าย แล้วต่างคนต่างเป็นทาสของความโลภ ในหลวงก็ให้มาเน้นการบริหารแบบคนจน ไม่อยากจะก้าวหน้าแบบนั้น เพราะก้าวหน้าแบบนั้นคือความถอยหลังอย่างน่ากลัว มีหนังสือที่เขาทำออกมาคือหนังสือ the vision เป็นวิสัยทัศน์ของในหลวง พ่อครูคงต้อง เร่งในการประกาศว่า มาอยู่แบบคนจนดีอย่างไร
พ่อครูว่า...ก่อนอื่นก็ทักทายกับ sms ก่อน
_สงกรานต์ สติมา.... เมื่อ 2-3วันก่อน ได้ยินพ่อครูเทศน์เรื่อง Soft แต่มี Hard ในตัว
ทำให้ผมคิดเรื่องภาษาในทางรัฐศาสตร์ ใช้คำว่า Soft Power และ Hard Power
น่าจะสอดคล้องกับที่พ่อท่านเทศน์
ทางการเมือง Hard Powerคือกฎหมาย Soft Power คือวัฒนธรรม ค่านิยม ฯลฯ
พุทธศาสนา Hard Powerคือพระวินัย Soft Powerคือศีล/ธรรม
ในอโศก Hard Power คือกฎระเบียบ Soft Powerคือวัฒนธรรมชุมชน/องค์กร คำสอนพ่อท่าน
ใช่ไหมครับ?
ซึ่งผมเชื่อว่า Hard Power และSoft Power ต้องสมดุลกัน สังคมจึงไปได้
สรุปว่า ที่พ่อท่านเน้นคือ ทำให้ Soft แต่มีพลัง หรือ Power เช่นที่ในหลวง ร.9 ใช้เป็นหลัก
พ่อครูว่า...ใช่ คือคำสอนอาตมา แต่ต้องมา balance ระหว่าง Soft Power และ Hard Power ต้องใช้ สัปปุริสธรรม 7 ใช้ได้เสมอ ยิ่งผนวกมหาปเทส 4 ยิ่งเยี่ยมยอดเลย ถ้าเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วก็ใช้ได้ แต่อาตมาก็ระวังในการใช้ ถ้าใช้ไม่ระวังก็ตาย อย่างเขียดเหยียดขาตายได้
_SMS วันที่ 17 ตุลาคม 2560 (สมณะ สิกขมาตุ : บวรสันติอโศก)
_จากเฟซบุ๊ก
_ฮวก พรชัย · ได้ฟังแล้วเข้าใจความจนโลกุตระชัดเจนเพิ่มขึ้นครับ สอดคล้องและขยายสิ่งที่พ่อครูได้บรรยายไว้ ขอบคุณมากครับ
_อุมาพร มาลัยขวัญ น้อมกราบนมัสการพ่อครูค่ะ...จำได้เมื่อครั้ง...เข้ามาอโศกใหม่ๆ ฟังธรรมพ่อครูยังไม่เข้าใจ...หากแต่พ่อครูเกริ่นกล่าวเรื่องใด...พวกเราก็ปฏิบัติตามเช่น..การระดมหุ้นเพื่อจัดทำร้านพลังบุญ....ลูกๆก็ให้ความร่วมมือกัน ......
ณ.ปัจจุบันร้านพลังบุญเป็นนวัตกรรมบุญนิยมที่เห็นเป็นรูปธรรมอย่างเด่นชัด...รวมถึงนวัตกรรมอื่นๆอีกมากมาย...
กราบขอบพระคุณพ่อครูที่นำพา...บุญนิยมให้เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ค่ะ...
แก่นนวน/อาวาสถานแก่นอโศก
_SMS วันที่ 18 ตุลาคม 2560
_4155 กราบขออภัยค่ะ สอนให้เป็นคนจน แล้วจะเอาเงินที่ไหน มาซื้อของใส่บาตรคะ หรือพระไม่ต้องกินคะ
พ่อครูว่า...อาตมาพูดตอนนี้ก็ยังไม่จบหรอกติดตามฟังเอาแล้วกัน มันไม่ใช่ง่าย หรอก แต่มันเป็นเรื่องเป็นไปได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์ติดตามดีๆ แล้วจะรู้สึกว่าเป็นไปได้ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ มาอยู่ในชุมชนชาวอโศกเสียบ้างสิ มาอยู่แล้วจะเข้าใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ศาสตร์พระราชา
เริ่มต้นตรงนี้ก่อน หนี้สินของต่างประเทศมากขึ้นๆ เมื่อกี้นี้ท่านเดินดินเกริ่นไว้ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนี้ อาตมาก็เคยพูดหลายที อเมริกา นี่ เป็นหนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดเลยทุกวันนี้ หนี้อยู่ที่แบงค์ดอลล่าร์ พิมพ์แบงค์ดอลล่าร์อย่างคะนอง เป็นกระดาษที่ออกไปทั่วโลก แล้วไม่คิดค่าต่ำๆด้วย เท่ากับไทย 30 กว่าบาทต่อดอลล่าร์ คะนองมาก อวดดี พิมพ์กระดาษเป็นธนบัตรไป ธนบัตรนี้เท่ากับใบกู้ ไปอยู่ที่ใดเท่ากับ คนให้เงินกู้เขาไว้ ใครมีดอลล่าร์อยู่ในมือเท่ากับเจ้าหนี้อเมริกา เป็นใบตั๋วสัญญาว่าคุณต้องจ่ายคืนนะ
เอาไปคืนเขาเดี๋ยวนี้คงพอหมุนได้ แต่ถ้าทั่วโลกเอาไปดอลลาร์ไปคืนอเมริกา เอาทองคำคืนมา เขาก็ไม่มีทองคำ พิมพ์แบงค์มาโดยไม่มีทองคำค้ำประกัน ในโลกเขาถือว่าทองคำนี้เป็นวัสดุที่จำกัดในโลก จะไปขุดมาได้คงไม่เท่าไหร่ แล้วก็มีจำกัดเท่านี้ เป็นโลหะที่ดีที่สุด แจ๋วที่สุดหายากที่สุดในบรรดาโลหะ
การที่พฤติกรรมชีวิตของอเมริกา เป็นชีวิตที่หน้าใหญ่ใจโต กินหรูหรากินแหลก ไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาสนาพุทธสอนไว้เลย แล้วทุกวันนี้ก็เห็นผล คนที่เข้าใจก็ จะเข้าใจ บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ อเมริกาเลยทำตัวเป็นชาวโลก อยู่ทุกวันนี้ถ้าไม่ เป็นเจ้าโลกก็อยู่ไม่ได้
ก่อนจะได้อธิบายก็ขออ่าน ศาสตร์พระราชา กวี 2 บท
ศาสตร์พระราชา(2)
“ทำ”ตามคำพ่อสอน
เรา“เสีย”นั่นแหละเรา“ได้”
(1) “คนจน”ของพุทธนั้น ไม่ทุกข์
“ปรมสุข”เหนือกว่าสุข วิเศษซ้ำ
คำตรัสพระประมุข นวราชย์ แห่งไทย
โปรดสดับรับฟังย้ำ อีกแม้เคยยิน
(2) เป็นศิลป์เป็นศาสตร์ล้ำ ของพุทธ
ประโยชน์สูงประหยัดสุด วิศิษฏ์แล้
ไทยเป็นพุทธมีวุฒิ ในเลือด ไทยเลย
ไทยเกิดพร้อมพุทธแท้ แต่ต้นตลอดมา
(3) ธรรมดาย่อมเสื่อมบ้าง อย่าถือ
เร่งวิมุติเราร่วมมือ หลุดพ้น
ด้วยศาสตร์พระราชคือ พรพิเศษ แท้แล
แล้วช่วยกันวิวัฒน์ค้น ทิฏฐิถ้วนสัมมา
(4) ไทยพึ่งพาศาสตร์นี้ ลึกสุด
แต่ดึกดำบรรพ์ดุจ เลือดเนื้อ
โลกุตระนี่หละ“จุด- ยืน”พุทธ นิรันดร์แฮ
อย่าปล่อยผิดลามเรื้อ ชาติสิ้นไทยมลาย
(5) ไทยมากหลายพบแล้ว ชัดนัก
รักระเบิดลั่นคึกคัก สักขิแล้
ไทยแสดงออกประจักษ์ รักแก่น พุทธเฮย
อุตตริมนุสสธรรมแท้ พ่อได้ทรงพลี
(6) พ่อมีจริยวัตรถ้วน ตรึงตรา
เพราะพ่อรักปวงประชา ใช่มั้ย?
ทรงกิจเพื่อใคร..หา? เจ็ดสิบ ปีโห!
ปฏิเสธสิ..มิฉั้ย! ตอบได้พูดเลย
(7) เฉลยศาสตร์พระราชย์นี้ พุทธพิสุทธิ์
อธิปัตย์ขั้นโลกุตร์ ลึกล้น
ซึ่งไทยต่างชัดวิมุติ ภูวนาถ แท้แล
“ขานรับ”จึ่งท่วมท้น ระเบิดให้โลกเห็น.
“สไมย์ จำปาแพง” 1 ต.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 328 ประจำเดือนพฤศจิกายน 2560]
(1) “คนจน”ของพุทธนั้น ไม่ทุกข์
“ปรมสุข”เหนือกว่าสุข วิเศษซ้ำ
คำตรัสพระประมุข นวราชย์ แห่งไทย
โปรดสดับรับฟังย้ำ อีกแม้เคยยิน
เข้าไปแปล ปรมสุข ว่า สุขอย่างยิ่ง ก็เลยเข้าใจว่า มีความสุขอย่างล้น เหลือเฟือ ซึ่งมันไม่ใช่โลกุตระ ปรมสุขเป็นของโลกุตระ กลับทวนกระแส คือไม่สุขไม่ทุกข์อย่างเนียนลึกซึ้ง มีความว่าง อทุกขมสุข อุเบกขาที่มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา มีความบริสุทธิ์ที่ทำงานได้อย่างชำนาญ เกี่ยวข้องกับบุคคลได้ก็สารบริสุทธิ์ มุทุคือจิตยิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุด เก่งขึ้น ยอดเยี่ยมขึ้นตลอดเวลา เป็นจิตวิเศษ
ยิ่งเก่งในการที่จะไม่ต้องทนกับการทดสอบสัมผัส ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขกระทบแล้วไม่สะดุ้งสะเทือนไม่หวั่นไหว จิตกลับจะยิ่งมีเมตตาซ้อนอีก ยิ่งช่วยเหลือเกื้อกูลเผื่อแผ่ ยิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเขา เป็นปฏิกิริยาซับซ้อน ตลอดเวลา เขายิ่งร้าย เรายิ่งดีๆ ซับซ้อนตลอด
จิตมุทุธาตุนี้ แปลว่าจิตแววไว ไม่ได้อ่อนแอปวกเปียก แต่แข็งแรงอย่างกับอะไรดี เป็นจิตใจที่แข็งแรงประเสริฐเชี่ยวชาญพิเศษอ่อนโยน จิตที่ยิ่งสุภาพ มีความเมตตา จึงทำงานได้ เป็นกัมมัญญา เป็นการงานที่เหมาะสม เขาแปลกันว่า เป็นการงานที่ประมาณแล้วมีสัปปุริสธรรม 7 ได้สัดส่วนไม่มากไปไม่น้อยไป พอเหมาะ เป็นผลงานที่สมดุล เป็นผลงานที่เป็นประโยชน์สูงประหยัดสุด เรียกว่ากัมมัญญา ปภัสรา จะทำงานอย่างไรจิตใจก็สดใสผ่องแผ้ว ไม่มีโศกเศร้า นี่คือปรมังสุขัง
(2) เป็นศิลป์เป็นศาสตร์ล้ำ ของพุทธ
ประโยชน์สูงประหยัดสุด วิศิษฏ์แล้
ไทยเป็นพุทธมีวุฒิ ในเลือด ไทยเลย
ไทยเกิดพร้อมพุทธแท้ แต่ต้นตลอดมา
คำตรัสของในหลวงเป็นศาสตร์เป็นศิลป์ แต่คำว่าศิลปะถูกคนปู้ยี่ปู้ยำหลงอัต ลักษณ์กันไปใหญ่ ซึ่งผิด แท้จริงแล้วศิลปะนั้นเป็นศาสตร์และศิลป์ของพุทธ
(3) ธรรมดาย่อมเสื่อมบ้าง อย่าถือ
เร่งวิมุติเราร่วมมือ หลุดพ้น
ด้วยศาสตร์พระราชคือ พรพิเศษ แท้แล
แล้วช่วยกันวิวัฒน์ค้น ทิฏฐิถ้วนสัมมา
(4) ไทยพึ่งพาศาสตร์นี้ ลึกสุด
แต่ดึกดำบรรพ์ดุจ เลือดเนื้อ
โลกุตระนี่หละ“จุด- ยืน”พุทธ นิรันดร์แฮ
อย่าปล่อยผิดลามเรื้อ ชาติสิ้นไทยมลาย
อนุสัยมีทั้งดีและไม่ดี ธาตุจิตดี อนุสัยก็ดี ธาตุจิตชั่วอนุสัยก็ชั่ว เราต้องดึงออกมาวิเคราะห์ ว่าส่วนไหนดีหรือร้าย ก็ต้องรู้กำจัดแต่สิ่งร้าย อนุแปลว่าเล็ก สย คือเรา คืออันที่เล็กละเอียดมากแล้ว
(5) ไทยมากหลายพบแล้ว ชัดนัก
รักระเบิดลั่นคึกคัก สักขิแล้
ไทยแสดงออกประจักษ์ รักแก่น พุทธเฮย
อุตตริมนุสสธรรมแท้ พ่อได้ทรงพลี
(6) พ่อมีจริยวัตรถ้วน ตรึงตรา
เพราะพ่อรักปวงประชา ใช่มั้ย?
ทรงกิจเพื่อใคร..หา? เจ็ดสิบ ปีโห!
ปฏิเสธสิ..มิฉั้ย! ตอบได้พูดเลย
(7) เฉลยศาสตร์พระราชย์นี้ พุทธพิสุทธิ์
อธิปัตย์ขั้นโลกุตร์ ลึกล้น
ซึ่งไทยต่างชัดวิมุติ ภูวนาถ แท้แล
“ขานรับ”จึ่งท่วมท้น ระเบิดให้โลกเห็น.
ศาสตร์พระราชา(3)
“ทำ”ตามคำพ่อสอน
เรา“เสีย”นั่นแหละเรา“ได้”
(1) นฤมิตนฤนาทนี้ สนั่นลือ โลกฤา
พระจริยวัตรระบือ กึกก้อง
ห้าธันว์ทั่วไทยคือ วันพ่อ ปสูติแฮ
พอสิบสามตุลฯต้อง แทบสิ้นใจสยาม
(2) ถามใครมิพักต้อง ถามไทย
ไทยแทบจะขาดใจ ทุกผู้
พ่อพรากสุดขานไข คำโศก
เพราะจิตไทยลึกรู้ ราชย์เก้าธำรง
(3) ทรงกรำแจกทรัพย์แท้ โลกุตระ ธรรมเฮย
ด้วยกิจพระอุตสาหะ ไป่ท้อ
เจ็ดสิบพรรษอาริยะ ทรงตลอด มาแล
สุดยากอย่างไรก้อ มุ่งสร้างสัจธรรม
(4) ทุกคำทุกกิจน้อม เกล้ารับ ทูนเทอญ
ประเสริฐสุดกว่าทรัพย์ วิเศษฟ้า
ทุกถ้วนพบครบสดับ ปฏิบัติ วิศิษฏ์เลย
ใครฉลาดรู้ไขว่คว้า ย่อมได้วิสุทธิ์ธรรม
(5) ทุกกรรมโลกุตร์ล้วน ทรงกิจ พระเอย
เช่น“ขาดทุน”เต็มจิต นั่นแล้
เป็น“กำไร”ทุกชนิด คือสละ แลนา
ซึ่งชัดสัจจะแท้ พ่อได้ทรงพลี
(6) ไทยมีธาตุแห่งเชื้อ พุทธธรรม
จึ่งชัดโลกุตร์จำ อดีตได้
กรรมพันธุ์ชาติพันธุ์สัม- พันธ์ส่ง ทอดมา
สืบธาตุพุทธเวี่ยไว้ คู่ไท้ไทยสยาม
(7) ยามนี้ยุคนี้พุทธ สุทธิสิทธิ์
“เศรษฐกิจพอเพียง”พิศ เพริศฟ้า
ชาติไทยคือที่สถิต นาม-รูป พุทธเฮย
“รูป”กษัตริย์ชัดยิ่งท้า พิสูจน์พร้อม“นาม”สนอง?
“สไมย์ จำปาแพง” 12 ต.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 329 ประจำเดือนธันวาคม 2560]
พ่อครูว่า...มันเป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์แล้ว เป็นความจริงในตัวของมันเอง Axiom เป็นสัจธรรมเป็น truth ถาวรเลย เป็นที่ยอมรับกันเลย ตัวเองไม่ต้องพิสูจน์หรอก แล้ว เป็น Axiom แล้ว คนอื่นจะมาพิสูจน์ให้ คนไม่ยอมรับก็คือคน nonsense ก็แรงกว่า innocent หน่อย เป็นคนที่ไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องปล่อยเขาเป็นธรรมดา
คนไม่รู้จัก axiom คือคนที่ไม่อาจจะรู้ความจริงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดยอดแล้ว เขามองไม่ออกเข้าใจไม่ได้ แล้วอาจบอกว่า พูดอะไรบ้าบ้าบอๆ อาจจะเห็นว่าไร้สาระ เห็นว่าอะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระไม่เข้าเรื่อง บ้าๆบอๆ ก็น่าเห็นใจ อาตมาไม่ได้โกรธเคือง สำหรับผู้ที่เห็นเช่นนั้น เขาอาจมีจิตเคืองดูถูก บางคนอาจมีโกรธ เพราะพูดแล้ว
โดนกิเลสเขา
คนจนมันเป็นคนจนที่มีสมรรถนะ มีปัญญามีความขยัน แต่คนจนที่ขี้เกียจ ต่อให้มีปัญญาเฉลียวฉลาดก็หามไปทิ้งน้ำก็แล้วกัน คนที่ขี้เกียจนี้ไม่มีปัญญาหรอก แต่เป็น
คนมี เฉโก
คนที่มีปัญญาแล้วก็เป็นคนจน คนจนที่มีปัญญา จะไม่ใช่คนที่มี เฉโก หรือเฉกะ(เอกพจน์) เฉกตาเป็นคำนาม แต่ว่าความฉลาดของชาวโลกียะ ฉลาดรวยเละ ฉลาดทุจริตเก่งในการหาเงินด้วยความทุจริตไม่มีใครว่าได้ คนโลกๆเห็นด้วยมากเลย เขาก็ได้ออกดอกออกผลรวยไม่รู้จบสิ้น เพิ่มเข้ามาๆ คนอื่นก็ขาดแคลนไป คนนี้ใจดำ อำมหิตเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไม่สิ้นสุด คนแบบนี้คือคนทำลายสังคม เป็นคนรวยที่ไม่จบ สิ้นไม่สิ้นสุด เป็นคนรวยที่ไม่มีพอ เป็นคนรวยที่เลวร้ายที่สุด อำมหิตที่สุด เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ลดราวาศอก
ยิ่งคนรวย ที่ถือโอกาส เช่น ในประเทศไทยมีกฎหมาย ที่จะขายสารมอมเมาได้ ก็อาศัยกฎหมายที่ประเทศอนุโลมไปสร้างมาขาย ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาอยู่ ก็จะปล่อย ให้ขายสารพิษสารมอมเมาได้ ประเทศที่เจริญจะไม่ปล่อยให้ขายสิ่งเหล่านี้ ถือโอกาสการ อนุโลมเหล่านี้ทำสารพิษสารมอมออกมาขายจนตัวเองรวยเละ แต่ตัวเองก็ไม่กินไม่เสพ สิ่งนั้นนะ
ความรู้ทั่วไปของคนในสังคมไม่ค่อยเข้าใจ axiom ไม่เข้าใจสัจธรรมชั้นสูงโลกุตระ ตอนนี้โลกุตรธรรมเป็นสัจธรรม axiom ในหลวงได้ทรงออกมาเป็นพระจริยวัตร สร้าง ดินน้ำลมไฟให้เกิดประโยชน์ทั่วประเทศคนจึงได้เห็นชัด ว่าพระวิริยะอุตสาหะ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เป็นพระเจ้าแผ่นดินแท้ๆ คนถึงได้เคารพบูชาเทิดทูนในความ หนักเหนื่อยของท่าน เป็น axiom ที่จะปฏิเสธไม่ได้ คนตาบอดเห็นได้ ใช้สำนวนอย่างนี้ คนตาบอดออกมาร้องเพลงมองเห็นพระเจ้าอยู่หัว
axiomatic เป็นความจริงในตัวมันเอง เป็นที่แน่แท้ในตัวมันเอง แต่คนทั่วไปหรือ ส่วนใหญ่ ตอนนี้ คนในประเทศไทยรู้ได้เยอะแล้ว เพราะว่าเป็นชมพูทวีปจึงมีคนรู้จัก axiom อันนี้แล้ว เพราะว่ามีในเลือดเนื้อวิญญาณ มีของจริง มีรูปธรรมนามธรรม เป็นคู่ต้องมีธรรมะ 2 มีแต่นามอย่างเดียวไม่เกิดปฏิกิริยา axiomatic
อะไรก็ตามในโลกของความเป็นมนุษย์ที่มีธาตุรู้ จะต้องมีสภาวะรูปนาม หรือสภาวะคู่เสมอ ถ้ามีเดี่ยวๆจะไปไม่รอด เหมือนอย่างที่อาตมาได้อธิบาย ประชาธิปไตยขาเดียว คือประชาธิปไตยที่ไม่เต็มเต็ง คนมองเผินว่าเป็นสุดยอด มีอิสระเสรีภาพ แต่ไม่ใช่ ซึ่งมันผิดมันต้องมีธาตุคู่ของความเป็นสัตว์โลก มีวิญญาณ มีนามรูป มีวัตถุกับจิตใจ ไม่ใช่อุตุนิยาม ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ ไม่ใช่แค่เรื่องพีชนิยาม พืช ที่เป็นพลังงานชีวะ แต่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ ไม่มีความรู้สึกรัก ชัง พยาบาท ดูดดึงอันอื่นไว้นะ แต่ดูดเฉพาะตัวเอง มีสามเส้าในวงของตนเอง รู้จักตัวเองสร้างตัวเอง สังเคราะห์ตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เป็นชีวะ มีอัตโนมัติในตัวเอง แต่ไม่ไประรานอันอื่น อันอื่นมารังแกก็ยังยอมเลย แต่ตนเองไม่รังแกใคร
พลังงานพีชนิยามจึงเป็นพลังงานแห่งตัวตนที่สมบูรณ์สุด ในศาสนาพุทธ จึงรู้จักอุตุนิยาม เป็นพลังงาน สองเส้า ไม่เกิดพีชะ ไม่มีตัวเองสมบูรณ์ แต่เป็นสามเส้า ของพลังงานในตัวเอง มีประธานแต่เป็นประธานที่ไม่มีชีวะ เป็นพลังงานแม่เหล็ก แสงเสียงไฟฟ้าเป็นวัตถุ แม้จะมีพลังงานมากมายระดับพระอาทิตย์ แต่ก็ยังไม่ใช่ชีวะ ศาสนาพุทธได้แยกแยะไว้ชัด อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
กรรมคือ Activity ที่สร้างกับทุกชนิด ร่วมกับวัตถุ กับพืช กับมนุษย์ จะรู้จักขนาดว่า จะทำกับเขายังพอดี ไม่โหดเหี้ยมโหดร้าย มีความปรารถนาดี แม้แต่ดินน้ำไฟลม อุตุนิยามก็จะทำให้ดี ไม่ให้เน่าเสียไม่ให้สกปรก ช่วยดินน้ำไฟลม แต่ก็เอาไว้ช่วยระดับล่างสุด พืชก็ระดับรองมา สัตว์ก็ช่วยก่อน มนุษย์ก็ช่วยกัน สัตว์มนุษย์ที่มีจิตวิญญาณสูง ก็จะต้องช่วยกันเองเป็นการรู้จัก level adaptation ที่จะไล่ระดับ ต้น กลาง ปลายน้ำ ได้อย่างชัด เป็นความรู้ที่ร่วมกับสังคม ร่วมกับโลก ร่วมกับทุกอย่าง
ถ้าเอาแต่ตัวเองไม่เห็นแก่ใครก็เป็นพีชะ ไม่เบียดเบียนใครเลย เป็นความตรัสรู้ ของพระพุทธเจ้าที่คิดเอาเองไม่ได้
ศาสนาพุทธสามารถจัดการพลังงานเหล่านี้เอามาใช้ มาใช้เป็นปริเฉท เป็นส่วนๆ เอากรอบขนาดอุตุ ขนาดพีชะ ขนาดสัตว์ ที่จะเอามาใช้ได้ เป็นสัตว์ที่เป็นกัลยาณสัตว์ หรือคนก็เป็นกัลยาณคน เอาคนดีมาใช้ ถ้าไม่ดีก็ให้เป็นวิบากไป เราไม่ไปร่วมวิบากร้าย กับใครเลย เราทำแค่กับคนวิบากดี งานก็เยอะแล้ว สัตว์ร้ายคนร้ายก็ไม่ต้อง ไปทำวิบากกับเขา ไม่ต้องไปทำอะไรๆเขาเลย เราจะเกี่ยวข้องกับ วัตถุ พืช สัตว์อย่างไร
สัตว์ที่เป็นสัตว์ร้ายจนกระทั่งเป็นสัตว์ที่ดี จนเป็นสัตว์โลกุตระคือ เป็นผู้ที่ หมดความเป็นสัตว์แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(สัตตาวาส 9) ตอน สัตว์ที่หมดความเป็นสัตว์
ขอพูดถึงสัตว์ที่หมดความเป็นสัตว์แล้ว
ความเป็นสัตว์พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอาไว้มี 9 อย่าง สัตตาวาส 9 คือความเป็นสัตว์ทั้ง 9 ลักษณะซึ่งเป็นสัตว์จริงๆ เป็นสัตว์ที่มีเวทนามีวิญญาณมีความพยาบาทมีความโกรธแค้น มีความรักอันดูดดื่ม รักกันจนตาบอดก็ได้ งมงายก็ได้ รักที่เลยเถิด เป็นพิษเป็นภัย หรือโกรธอย่างเลยเถิดเป็นพิษเป็นภัย ดูดเอาไว้คือรัก
จะต้องรู้ความเป็นสัตว์ด้วยกายและสัญญา ชาวพุทธที่จะไปนิพพานหากไม่รู้จักกายด้วยสัมมาทิฏฐิก็เลิกเลย แม้แต่สัญญาก็ไม่รู้อย่าง สัมมาทิฏฐิ สัญญาคือเจตสิกมีหน้าที่จำกับกำหนดรู้ มีสองหน้าที่
หากไม่รู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิจะไม่รู้จักสัตว์ ที่ต้องมีธรรมะสอง ต้องมีรูปกับนาม มีกายกับจิต
กายนี้ เน้นข้างนอกแต่ขาดจิตไม่ได้ ในความเป็นสัตว์แล้ว กายขาดจิตไม่ได้ ไม่ใช่พีชนิยามนะ ถ้าขาดจิต คุณเหลือชีวะอยู่เป็นแค่พีชะ ก็ทำงานไม่เหมือนจิต จิตขาด กายไม่ได้ พีชะไม่เรียกกาย ข้างนอกดินน้ำไฟลมไม่ใช่กาย
เช่นลูกฟักนี้ไม่ใช่กายของฟัก การเข้าใจกาย จะเข้าใจไม่ง่ายหรอก กายเรียก กับสัตว์ขึ้นไปเท่านั้น พระอาริยะจะพ้นความเป็นสัตว์ไปตามลำดับ แต่พระอรหันต์ ไม่มีความเป็นสัตว์แล้ว
กาย คือองค์ประกอบข้างนอกกับจิตนิยาม ขาดกันไม่ได้ ขาดกันไม่ครบถ้วน หากใคร ขาดกาย ไม่รู้กายอย่างสัมมาทิฏฐิ ไม่มีทางตรัสรู้ กายข้างนอกแสดงออกอย่างมีรูปธรรม คุณก็ไม่รู้ แต่คนไม่รู้จักกายเอาแต่จิต ไม่เอาข้างนอก ก็เลยไม่รู้จักกาย คนที่สอนสุดโต่ง เอาแต่จิตไม่เอากาย ก็คือไม่รู้ว่าตนเองแสดงสัตว์นรกเท่าไหร่
ข้างนอกจะแสดงตนเป็นลิง กระทิง สิงสาราสัตว์ เป็นเหี้ย อย่างที่เขาเขียนรูป เป็นศิลปะ สารพัดสัตว์ เขาบอกว่าคนเหล่านี้ อยู่กันเต็มสภาเลย
สำเนียงการพูดที่เขาเจตนาพูด ที่เพื่อหลอกล้วงตับกินไส้เขา หรือคำพูดคิด เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ก็เป็นคำที่เลือกเฟ้น ยิ่งเลือกมาแต่งกวี คือวาทิตะ
โดยตรง เป็นร้อยกรองไม่ใช่ร้อยแก้ว เพื่อเลือกใช้มาให้เหมาะสมกับหน้าที่องค์ประกอบ
ผู้ใดไม่รู้จักข้างนอก วาจาและกายเป็นข้างนอก กายวิญญัติวจีวิญญัติ เกิดมาจากภายใน แต่ถ้าวจีสังขารยังไม่ใช่ข้างนอก วจีสังขารคือข้างใน เป็นนาม หากเป็น นามธรรม พูดออกมาเป็นคำพูดแล้วจึงจะเป็นภายนอก เป็นวจีวิญญัติ วจีสังขารยังไม่เป็น วจีวิญญัติ วจีสังขารเป็นมโนวิญญัติ
สัตตาวาส 9
1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่นพวกมนุษย์ พวกเทพบาง เหล่า พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า
ผู้ไม่รู้จักกายจะไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ เรียกว่ามนุษย์ อันนี้เรียกว่าเทวดา อันนี้เรียกว่า สัตว์นรก กาย องค์รวมแสดงออกถึงรูปนาม ประกอบกันแล้ว เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์นรก
ถ้าเป็นสัตว์นรกก็ชั่ว เป็นเทวดาก็ดี ถ้าประกอบกันเป็นเทวดาก็ดี ถ้าอยู่ในระหว่าง กลางค่อนไปทางดี ก็เรียกว่ามนุสโส แต่ถ้าค่อนไปทางไม่ดีคืออมนุษย์
เริ่มอมนุษย์ หนึ่งหน่วย สองหน่วย สามหน่วย มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเป็นมนุษย์คือกลางๆ และโน้มมาหาความสูงส่ง เป็นมนุสโส แต่ถ้าไปหาความต่าง ไปหาสัตว์นรก ไม่ใช่มนุษย์ แล้ว รูปนามจะเสื่อมไปหาสัตว์นรก
เราจะรู้กายของมนุษย์ ก็คือ กายกลางๆ กายองค์ประกอบ ของรูปนามกลางๆ ของมนุษย์ คนเป็นมนุษย์คือคนกลางๆ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว แม้จะรู้ดีชั่ว แต่มีมิจฉาทิฐิว่า การไม่เข้าข้างใครคืออยู่เฉยๆ ดีเขาก็ทำไป ชั่วเขาก็ทำไป เราก็อยู่เฉยๆ นี่คือมิจฉาทิฏฐิ ความเป็นกลางไม่เข้าข้างคนดี ไม่เข้าข้างใคร เป็นมิจฉาทิฐิ
ความเป็นกลางต้องเข้าข้างคนดีต้องช่วยคนดี อย่าไปเข้าข้างคนชั่ว เราเป็นคนแล้ว เป็นมนุษย์แล้วต้องไปรวมกับมนุษย์ หรือร่วมกับคนดี อย่าไปรวมกับคนพาล มีคนบอกว่า อยู่เฉยๆคือเข้าข้างคนชั่ว ให้คนชั่วทำหน้าที่เต็มที่
คนชั่วคือพวกที่แรง เกินความเป็นกลาง โดยไม่รู้ว่าแรงคืออะไร แต่ถ้าคนดีแล้ว จะรู้ว่าแรงคืออะไร แล้วจะเป็นกลาง ถ้าเป็นความแรงที่ไปทางไม่ดีไม่เอา นี่คือคนที่มีปัญญารู้แนวโน้ม เรียกว่า อธิโมกข์ อธิมุตโต จะรู้จักพลังงานที่โน้มไปทางไหน
สรุปแล้ว คนที่จะรู้จักต้องประกอบรูปนาม ว่าอย่างนี้คือมนุษย์ อย่างนี้คือเอียง ไปข้างต่ำแล้วเป็นสัตว์นรก อย่างนี้เอียงไปทางสูง
สูงต้องอธิบาย
สูงอย่างโลกีย์เรียกว่าเทวดาโลกีย์ เทวดาก็ยังแยก ไปอีกสามเทวดา
1.สมมติเทพ 2.อุบัติเทพ 3.วิสุทธิเทพ คืออรหันต์ ยกไว้
สมมุติเทพ อุปัติเทพคือคนดีทั้งคู่ แต่สมมุตินั้นอยู่ในโลกที่มีความไม่เที่ยงไม่แน่นอน สูงขึ้นแล้วต่ำลง เพราะไม่ออกนอกไปจากกรอบของความสูงต่ำ อยู่ในวงวัฏฏะ จะสูงสุดเท่าไหร่ก็ต้องลงต่ำ คุณจะต้องพัฒนาเป็นพลังงานที่ไม่ติดยึดในความดีงาม ความสูงต่ำ ไม่ติดยึดในความดีความชั่ว แต่รู้จักความชั่วความดี ช่วยคนดีให้ดียิ่งขี้น แล้วช่วยคนชั่วให้ดีได้ แต่ไม่ได้ช่วยคนชั่วให้ชั่วขึ้น
แม้แต่อุตุก็มีพลังงานบวกและลบ และมีประธาน แต่ไม่มีอุปาทาน แต่มันจะมี พลังงาน รู้ความควรและไม่ควรเพื่อตัวเองอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เกี่ยวก็เอาออก เอาแต่ตัว ตนของข้า
ส่วนจิตนี้มีพลังงานรู้อย่างอื่น หรือช่วยกำจัดอย่างอื่น ดูวิธีการไม่ไปทำร้ายเขา นี่คือผู้รู้ดีแล้ว แต่ผู้ที่ไม่รู้ดีก็จะไปทำลายอย่างอื่นจนเป็นวิบาก
สรุปว่า จะแยกเทวดาโลกีย์ เทวดาโลกุตระ แต่สัตว์นรกนั้นไม่เอาเลย
เทวดาโลกีย์คือเทวดาที่เอาแต่โลกีย์ไม่ลดกิเลส ได้ดีสูงสุดแล้วก็ตกต่ำ มีดีมีชั่วปนกันไปไม่ออกนอกกรอบโลก เมื่อเริ่มรู้ว่ายึดดีชั่วก็เป็นอัตตา ไม่ออกจากพลังงานเดิม ก็ต้องรู้ว่าไม่ทำชั่ว แล้วช่วยแต่ดีส่งเสริมแต่ดี แต่ไม่ฆ่าแกงชั่ว กำจัดอย่างไม่สร้างวิบาก ไม่ไปสร้างพยาบาทหรือกาม ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็มีพยาบาทแล้ว หลายเซลล์ก็ยิ่งมีพยาบาทหนัก กว่าจะมาเป็นอาริยะก็นานมาก อย่าไปทำให้จิตนิยามนี้มีวิบาก ให้มันถือพยาบาท
เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียว ตอนนี้เข้ามาหามังสวิรัติ
เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียวจึงต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
เมื่อเริ่มรู้ว่ามีความเป็นสัตว์ แม้แต่สัตว์เซลล์เดียวก็อย่าไปก่อพยาบาท ไม่ฆ่าแกงเขาเลย ปล่อยเขาไปตามวิบาก สัตว์เซลล์เดียวนี้ อาจจะไปเจริญ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วคุณจะรู้ได้หรือ คุณพยากรณ์ได้หรือ พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถ พยากรณ์สัตว์เซลล์เดียวนี้ ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไปได้หรือไม่ จะเอาอะไรมาพยากรณ์ มันยังไม่มีวิบากให้พยากรณ์ กว่าจะพยากรณ์ได้ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ได้ว่า คนนี้จะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ คนนี้จะเป็นพระอริยะระดับไหน ก็ต้องมีน้ำหนักเนื้อหาของพลังงานธาตุอาริยะของผู้นี้เพียงพอ มีวิญญัติเคลื่อนไหวให้รู้ได้พอเพียง จึงจะสามารถ พยากรณ์ได้ ไม่ใช่ว่าพยากรณ์ได้ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ต่อให้เป็นพระพุทธเจ้าหลายชาติ แต่ไม่มีหรอก เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นได้สมัยเดียว ชาติเดียว
ต้องมีพลังงานที่ถึงก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้จริงๆ และต้องมีพลังงานที่จะมา เป็นปฏิปักษ์เบาบางลงปลอดโปร่ง อย่างนั้นแหละรอดตัวไป แต่ถ้าท่านจะรีไทร์ก่อน ก็อย่าไปอวดรู้แทนท่าน มันเป็นพุทธวิสัย
สมณะเดินดินว่า...โพธิสัตว์ที่ต่ำกว่าระดับ 7 ยังมีคนทำได้หรือ
พ่อครูว่า...ไม่มีใครทำนายได้หรอก เป็นระยะที่ห่างเหมือนกับเด็กที่แขนสั้นแล้ว ผู้ใหญ่กดหัวไว้ ซึ่งเด็กก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครทำร้ายได้ อสังหิรัง นอกจากตัวเอง จะตัดสินใจออกไปเอง จนกว่าจะเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ มีความตรัสรู้ได้เหมือน พระพุทธเจ้า แต่ไม่ประกาศศาสนา
สมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดมแม้จะมีสาวกน้อยกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น และคนมี อายุน้อยกว่าพระพุทธเจ้าบางองค์ที่คนมีอายุเป็นล้านปี แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณภาพ ของพระพุทธเจ้าและพระสาวกมีน้อยกว่านะ ก็มีเท่ากัน
เทวดาโลกีย์ เป็นเทวดาที่มีแต่ดีแต่ชั่ว มีแต่สุขแต่ทุกข์ ไม่ออกไปนอกกรอบ ของความดีความชั่วความสุขความทุกข์
เทวดาโลกุตระ ออกไปจากวงของความดีชั่ว ความสุขความทุกข์ เทวดาโลกุตระ สูงสุดแล้วชั่วได้ แต่ใจท่านไม่ชั่ว ท่านมีพฤติกรรมที่ชั่วอนุโลมให้กับคนอื่นเท่านั้น อันนี้คนเจ้าเล่ห์เอาไปโกหก บอกว่าใจตัวเองสะอาด พฤติกรรมอาจจะสกปรก แต่ถ้าจริงใจ ตัวเองสกปรกแล้วหลอกคนอื่นต่อ บาปซ้ำซ้อน โกหกอาริยธรรม โลกุตรธรรมบาป ไม่รู้เท่าไหร่ โกหกว่าตนเป็นพระอาริยะทั้งที่ตนเองไม่ใช่ บาปไม่รู้กี่ชั้น
เทวดาโลกีย์เสพต่ำสูงดีชั่วอร่อยไม่อร่อย แต่ต้องมีความสุจริตนะ ถ้าไม่สุจริตเป็น เทวดาไม่ได้ แต่ยังมีความสุข มีความจำ มีความดีความชั่ว มีความอร่อยไม่อร่อย มีความงามความสวย ความดี มีความไม่งามไม่สวยไม่ดี แต่จะต้องมาหมุนเวียนอร่อย ไม่อร่อย ตกต่ำได้ความสูงอยู่อย่างนั้น
ผู้ที่เหนือกว่านี้แล้วด้วยตัวเองมีอัตโนมัติเป็นพลังงานรู้ดีรู้ชั่วชัดเจน รู้ความต่ำ ความสูงชัดเจน จะมีพฤติกรรมที่เขาบอกว่าต่ำเขาบอกว่าชั่ว แต่ใจของท่านไม่ได้ชั่ว ท่านอนุโลมมาช่วยเขาด้วยจิตเมตตา เป็นจิตใจที่ทำเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่การบำเรอกิเลส สมใจตัวเองเลย ไม่ใช่เลย โดยเฉพาะจะไม่หลอก เป็นของจริงที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว ไม่ได้ทำเพื่อตัวตนทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ คนจะบอกว่าโกหก แต่จิตใจท่านไม่ได้โกหก มีความบริสุทธิ์สะอาดจริงๆ เป็นสิ่งซับซ้อนที่คุณรู้ไม่ได้
เช่นเราจะไปช่วยเสือ เสือมันจะรู้หรือ เสือมันก็ไม่รู้ตัวว่านี่เขามาช่วย หรือคนที่เขาไม่เชื่อเขาระแวง เขาไม่รู้ว่าคนนี้ปรารถนาดี เขาก็ตอบโต้ให้ เขาไม่ไว้ใจ สรุปแล้ว จิตผู้ที่จะอนุโลมผู้อื่นได้ต้องเป็นโลกุตระ รู้ ไม่เพื่อตัว บริสุทธิ์สะอาดจริงใจ ไม่ทำเพื่อตัวเองจริงๆ ต้องอ่านอย่างซื่อสัตย์ ถ้าเผื่อรู้ว่าตัวเองยังโกหกคนอื่นอยู่ แล้วโกหก ก็บาปซ้ำซ้อน เป็นสัจจะอย่างนั้น
เทวดาสมมุติกับเทวดาอุบัติ มีสามเทวดา
เทวดาสมมุติคือโลกียะถ้าลดลงก็อุบัติ ลดความเป็นเทวดาโลกีย์ ตั้งแต่อบาย ทำให้จิตสะอาดจากกิเลสได้ ก็อุบัติเกิดเป็นเทวดาแท้ ที่ไม่ใช่เทวดาสมมติที่วนเวียน กลับสมบัติผลัดกันชม สุขทุกข์วนเวียน มากน้อยน้อยมาก แต่เมื่อไม่เอาแล้วเวียนหัว เลิกวนเวียนออกมาได้ ออกมาได้ ก็อุบัติชัดเจน เราล้างกิเลสไม่ให้มีได้
ตั้งแต่อบายต่ำสุดของเราเรียกว่าอบาย พ้นอบายแล้วจึงเรียกว่า กาม กามก็คืออบายของผู้ที่รู้ว่าต่ำสุดของเขา เหลือรูป อรูป กามที่เหลือเศษของเขาก็คืออบาย หมดกามก็คือรูป อรูป รูปคืออบายของผู้นั้นอีก หมดรูป อรูป ก็คืออบายของผู้นั้นอีก
ผู้ที่บริสุทธิ์ ที่สุดเรียกว่าวิสุทธิเทพ ไม่กลับกำเริบ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มีความซับซ้อนตกผลึก เมื่อเป็นวิสุทธิเทพแล้ว ก็จะ สั่งสมความสะอาดบริสุทธิ์ให้ตกผลึกให้ควบแน่น อเนญชาๆ แข็งแรงยิ่งขึ้น เป็นคนที่มีธาตุ อาริยะ อรหันต์ที่ตกผลึกแข็งแรงได้มากก็จะมาอนุโลมช่วยคนอื่น
เรามีสมบัติมีทุน 100 ก็ช่วยคนอื่น 10 20 ก่อน สูงขึ้นมาก็ช่วย 40-50 ได้ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่พัฒนาขึ้น แต่ถ้าทำเกินไม่ไหว ถลำไป 70 ก็มากไป หากเกิน 75 ไปนี่จะไม่ได้จะไม่อนุโลม
ผู้สยัมภูแล้วจะทิ้งห่างจากคนอื่น ท่านมีร้อยนี้เหนือชั้นกว่าคนอื่น กว่าคนที่จะ อนุโลมให้เขา ท่านก็ช่วยคนที่หนัก แล้วท่านมีเหลือเฟือมาก ท่านช่วยไม่เกิน 50 ของท่านหรอก ท่านช่วยแค่นิดหน่อยก็ช่วยเขาได้แล้ว อย่าเป็นห่วงท่านเลย ท่านประมาณ ของท่าน ท่านไม่มีทางตกต่ำ เป็นธรรมดา อวินิปาตธรรม
ผู้นี้จะมี นิยตะ เที่ยง นิยตะนี้ต่ำกว่า นิตยะ แต่ นิยมก็เที่ยง แต่ต่ำว่า นิยตะ แต่นิยตะก็ต่ำกว่า นิตยะ
ก็มาสรุป เทวดาโลกียะไม่จบ เทวดาสมมุติสัจจะไม่จบ เมื่อมีพลังงานออกมาได้ จะจบไปแต่ละรอบเป็นโลกุตระเรื่อยๆ ก็กลายเป็นอุบัติ เกิดเป็นโลกุตระสัตว์ ที่จริงเป็น โลกุตรเทพ ขึ้นไปได้เรื่อยๆ วิสุทธิแต่ละรอบ โสดาบันรอบ 1 สกิทาคามีอนาคามีอรหันต์
5 อนุโพธิสัตว์ 6 อนิยตโพธิสัตว์ 7 นิยตโพธิสัตว์ 8 มหาโพธิสัตว์
9 สัมมาสัมพุทธ โธ(พระพุทธเจ้า)
เป็นเทวดาโลกุตระที่ไม่มีเสื่อมลง แต่ถ้าเป็นเทวดาโลกียจะมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป นี่คือพลังงานจริงที่ศาสนาพุทธค้นพบ ทั้งใน อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม จนเลยเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์
นี่คือศาสนาพุทธที่รู้จักพลังงาน อ่านพลังงาน รู้จักพลังงานสสารก็ไม่น้อย เป็นโลกจินตา เป็นการใช้พลังงานโลก เช่นพลังงานเทคโนโลยี อาตมาไม่มี พลังงานจะไปศึกษามาก ก็ต้องรับอันใดอันหนึ่ง ยังรับไม่ไหว เหมือนกันกับขณะนี้ ถ้าให้อาตมาไปทำอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาทำไม่ไหว
สมณะเดินดินว่า...ประเด็นสุดท้ายเป็นข้อคิดสำหรับพวกเราที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ พระอรหันต์ก็ไม่ใช้พลังงานทั้งหมด ถ้ามีอยู่ 100 จะช่วยคนอื่นไม่เกิน 50 เพราะจะไม่ปลอดภัยแล้ว เป็นสิ่งที่น่าคิดมาก เทวดาอุบัติ คืออุบัติเพื่อสูงขึ้น แต่มีคู่กับอุบัติคืออุปัทว์ อุบาทว์ ในเมืองไทยเรามีเจ้าสำนักที่เป็น อุปัทว์มากกว่า อดีตของพระยันตระลูกศิษย์ลูกหาก็ยังชื่อว่าบริสุทธิ์แสดงว่ามีบารมีไม่น้อย (เรียกว่าสันดาน) มีความน่าศรัทธา แต่เมื่อใช้กำลังมากเกินไป แทนที่จะเป็นอุบัติ ก็เป็นอุบาทว์
สิ่งที่น่าคิดว่าพ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ที่สูงไม่รู้ระดับไหนแล้ววันคืนยังอยู่กับธรรมะ แต่พวกเราวันคืนไม่มีเวลาฟังธรรมะ ก็ไม่รู้จะอุบัติหรืออุบาทว์กันนะ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:27:52 )
รายละเอียด
601022_พ่อครูเอื้อไออุ่นศิษย์เก่าที่มาช่วยงานเจอุทยานบุญนิยม 2560
วันนี้มีศิษย์เก่ามาฟังธรรมทั้งหมด 54 คน บริเวณ ที่ลานหลังป้ายอุทยานบุญนิยม
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน มาเป็นคนจนที่ช่วยเหลือคนกันเถิด
พ่อครูว่า...เจริญธรรม ผู้ที่มีเกียรติที่ได้มาพบอาตมา อาตมาได้มีเกียรติบ้าง จริงๆแล้วคนก็มีสามัญปกติสำนึก ที่พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมต้องมาพบ ก็ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรือ ก็คงจะมีสามัญสำนึกอยู่หรอกนะ ว่ามาพบทำไมต้องมาพบทำไม?(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
คนเป็นสัตว์โขลง เป็นสัตว์ที่มีการอยู่ร่วมกัน ยิ่งมาอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี อบอุ่น อยู่กันอย่างเป็นที่รักแก่กันและกันพร้อม มันยิ่งดีใหญ่เลย นี่ถือว่าเป็นสังคมที่เจริญ
เป็นพี่เป็นน้องที่สนิทสนม ต้องพึ่งพาอาศัยกันได้ ไปมาหาสู่กันเสมอ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเผื่อว่าเกิดพฤติกรรมอย่างที่กล่าวนี้ไม่ได้เลย ไม่เกิดความเป็นพี่เป็นน้อง ความเป็นไปได้ตามที่ว่านี้ ตามที่ประสงค์จะให้เป็นเช่นนั้น ถ้ามันไม่เกิดจริงเป็นจริง มันก็ล้มเหลว เรียกว่ามันก็ไม่เป็นไปตามประสงค์ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องบอกกล่าวว่าให้มากันหน่อย มาพบหน้าพบตากันหน่อย มาแล้วก็เหมือนกับเราอยู่ในบ้านเรือน มาปัดกวาดเช็ดถู ยกน้ำยกนี่ไป โอภาปราศรัยถามสารทุกข์สุขดิบกัน เป็นยังไงทุกวันนี้ก้าวหน้าอย่างไร หรือว่าการก้าวหน้าที่เราได้ร่ำเรียนมาต้องเดินไปสู่ความจน เราจนบ้างหรือยัง หรือแต่ละคนเอาแต่ร่ำรวย อู้ฟู่กันไหม
อาตมารู้สึกว่าตัวเอง เกิดมาในยุคนี้มาพูดมาบรรยายบอกกล่าวกัน ไม่ใช่แค่พวกเรา ประชาชนข้างนอก อาตมาก็มาบอกว่าให้มาเป็นคนจน พากันมาลดละมาให้มากกว่าที่จะเอา ให้เขาได้มากกว่าที่เอาจากเขาเป็นต้น จะเป็นคนที่ดี ได้เป็นผู้ที่ให้เขาแทนที่จะเป็นผู้เอาเปรียบได้เปรียบเขา แต่เป็นผู้เสียเปรียบเป็นผู้เสียสละให้แก่คนเขาได้
อาตมาว่าที่พูดไปนี่ เราเป็นผู้ที่เสียสละให้แก่คนอื่นได้ มันไม่น่าจะยากอะไรนะ ก็คงจะพอรู้เรื่องดี และเป็นความจำเป็นโดยสัจธรรม ไม่ต้องเอาความฉลาดอะไรมาก ที่มาพบกันและก็สำทับกัน
ที่มาพูดย้ำซ้ำซาก ก็เพราะว่าคนเรามันไม่เป็นอย่างที่ว่า ที่อาตมาพูด...ขยับไมค์แป๊บ … มันแปลกนะคนนี่ ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจแล้วตั้งสติดีๆ ให้เกิดปัญญาขึ้นมาก็คงจะพอรู้ว่าอย่างนี้แหละดี มาเป็นคนเสียสละมากน้อยไม่ต้องไปโลภโมโทสัน แต่เรากลายเป็นผู้ที่ได้ให้ได้มีประโยชน์คุณค่า ช่วยเหลือคนอื่นมันดีนะ เมื่อมีสติในปัจจุบันว่ามันพอรู้ว่าเป็นคนไม่เอาเปรียบ เสียสละนี้มันดีนะ แต่เมื่อเผลอสติมีชีวิตสามัญก็จะเอาจากคนอื่น โลภมาให้แก่ตัวเองให้มาก ที่พูดนี้คือจุดใหญ่ใจความของความเป็นมนุษย์ทั่วโลก
อาตมาออกมาทำงานศาสนา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มีแต่พูดโน้มน้าวให้คนเป็นแบบนี้ แม้เป็นผู้ที่ให้แก่คนอื่น มาเสียสละแก่คนอื่น มันคือกำไรของเรา อย่างที่ในหลวง ร.9 ของเราได้ตรัสจริงๆ มันเป็นเรื่องถูกต้องดีงาม เป็นเรื่องสัจจะที่มันแก้ไม่ได้ เป็นสัจจะที่จริง เราจะมารวมตัว ศึกษาฝึกฝนอบรมก็เพื่อให้เป็นคนชนิดที่ว่านี้ ก็พอมาแล้วก็ไต่ถาม เกริ่นเปรยพูดไปนี้ ว่าพวกเราได้มาเป็นอย่างที่จะมาว่าหรือเปล่า คนเราส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้ ดีไม่ดีขี้โกง ดีไม่ดีปล้นจี้คนอื่นเขาได้เลย
มาแล้วก็ลองมาดู มานั่งฟังที่อาตมาพูด มารวมตัวอย่างเที่ยงตรงมาว่าให้มันเป็นไปได้อย่างนี้จริงๆ ต่างคนต่างมีสำนึกมีความรู้ตัว ออกจากที่นี่ไป ไปที่ไหนก็แล้วแต่ก็เป็นคนดังที่อาตมากล่าวแล้ว อันนี้เป็นผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ที่อาตมาเองว่าทำได้เป็นได้ พวกเราก็มาเป็นอย่างที่อาตมาว่าได้ อาตมาก็ได้ช่วยสังคมประเทศชาติได้ดี
แม้แต่ผู้บริหารปกครองประเทศ ทุกวันนี้ก็ไม่แม่น อย่างที่อาตมาพูดนี้ ไม่แม่นตรงที่ว่า น่าจะมาเน้นตรงนี้ แต่เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไปตั้งกฎระเบียบเป็นกฎหมายอะไรบังคับ แทนที่จะพูดให้เขาเข้าใจ ให้เขารู้ให้เขามีสำนึกว่ามาเป็นคนอย่างนี้ดีมาช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเจ้าต่างๆ หรือเป็นข้าราชการเป็นผู้บริหาร เป็นผู้ใหญ่ ตัวเองเป็นผู้ใหญ่ก็ควรจะเป็นคนเช่นนี้ให้ได้ในสังคมก่อน แล้วคนอื่นจะได้เห็นตามทำตาม ก็ไม่เห็นจะไปเป็นอย่างนั้นไม่เห็นตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างนั้นเลย
แต่อาตมาว่า อาตมาตั้งใจออกบวชมาทำงานด้านนี้ เห็นเลยว่า เรามาเป็นคนเสียสละสุดท้ายเป็นคนไม่ต้องมีรายได้ ทำงานช่วยเหลือคนอื่นไป ตามหน้าที่ที่เราจะทำได้ แล้วเพียรพยายาม ให้คนอื่นได้เข้าใจเป็นอย่างที่เราเป็นอย่างนี้ มาฝึกฝนตนเองให้มาเป็นอย่างนี้ได้
ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรเรื่องเงินยิ่งใหญ่เท่ากับการมาเป็นคนเช่นที่กล่าวนี้ คุณจะไปเรียนวิชาการอะไรต่างๆ ศาสตร์ไม่รู้กี่ศาสตร์ ตั้งชื่อไปไม่รู้กี่ศาสตร์จำไม่หวาดไม่ไหว ก็เพื่อจะให้มาเป็นคนที่สรุปแล้ว
เป็นคนที่ทำงาน ศาสตร์ต่างๆแล้วมีรายได้มีผลผลิต รายได้ผลผลิตต่างก็ไม่โลภโมโทสัน แต่เผื่อแผ่แจกจ่ายให้คนอื่นไปเป็นที่จบได้ ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อะไรต่างๆเลย ตีหัวเข้าบ้าน เป็นอย่างนี้ได้รับรองเจริญงอกงามพัฒนาการ อบอุ่น อยู่เป็นสุขอย่างแท้จริงเลย อาตมามั่นใจเช่นนั้น
พวกเราที่มาวันนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะให้พูดมากกว่านี้ ใช้เวลาพูดไปแค่ 14 นาที ก็น่าจะจบได้แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน ลูกและสามีภรรยายเป็นภาระชีวิตที่เลี่ยงได้
ตอนนี้หลายผู้หลายคนจะมีประสบการณ์ของชีวิต การมีครอบครัว เมื่อมีครอบครัวก็จะเกิดภาระ คนคนหนึ่งที่จะดูแลชีวิตตัวเองดูแลหัวใจตัวเองว่ามันต้องการอย่างนั้นอย่างนี้คนเดียว เฉพาะตัวเองนะ แต่ก่อนแต่ไรก็ตัวเองคนเดียว ไม่พอก็ไปเอาคนอื่นมาเพิ่มขึ้นเป็น 2 คน สองคนมันไม่เท่านั้น มันก็งอกเป็นคนที่ 3 มาเป็นคนที่ 4 เข้า ก็เกิดมีเจ้าหัวใจเพิ่มขึ้นอีก โอ้โหที่นี่ล่ะ จะรู้สึกรู้ซึ้งเลยว่าชีวิตหนอ อยู่ดีๆไม่ว่าดี เขาก็หลอกกันนะว่าอบอุ่นดี มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอะไรอย่างนี้ ดูอบอุ่นดีก็หลอกกันไป แท้ที่จริงถ้ามันเป็นลูกหลานจริงๆที่จะต้องรับภาระ ถ้าคนบ้านใดบ้านหนึ่ง มีลูกซัก 10 มีหลานอีก 20 จะเห็นชัดเลย มันจะยุ่งสักขนาดไหนหนักหนาสาหัสขนาดไหน มันจะรู้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน หลักสูตรสาธารณโภคี
แต่ที่นี้ที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ามีหลักสูตรให้ศึกษา มันเป็นหลักสูตรที่ทุกคนจะต้องเป็นคนมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีพฤติกรรมที่ พึ่งพาตนเองรอด มีชีวิตทำงานสร้างสรรค์ อันนั้นอันนี้อะไรก็แล้วแต่ ทำขึ้นมาแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ได้อาศัย อาศัยกินใช้ หรือแม้จะอยู่กับสังคม สร้างขึ้นมาแล้วก็ได้แลกเปลี่ยนจำหน่ายจ่ายแจกได้ค้าขายอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของบทบาท พฤติกรรมสังคมเป็นไป มันก็อยู่แค่นั้นเองเท่านั้นเองชีวิตมนุษย์
ทีนี้ คนที่ไม่ศึกษามาฝึกควรเรียนรู้การใช้ชีวิต
หนึ่งไม่สร้างสรรค์ ไม่ทำ แต่กินแต่ใช้ ไปดึงของคนอื่นมากินใช้ เป็นภาระแก่คนอื่นแก่สังคม
แม้ไม่เป็นภาระสังคม แต่สร้างผลิตขึ้นมา เราก็ได้อาศัยกินใช้ หรือได้ผลที่เราเอาไปขาย เอาเงินไปซื้อสิ่งที่เราจะเอามากินใช้ ก็ดีขั้นไม่เป็นภาระมากเป็นขั้นที่ 2
ขั้นที่สาม อาตมาพาพวกเรา มารวมกันแล้วก็สร้างสรรค์ แล้วก็ไม่เอาเป็นของตนสร้างแล้วก็แจกจ่ายเผื่อแผ่กันกินกันใช้ อันนี้เป็นขั้นสุดยอดของสังคมที่สังคมไหนทำอันนี้ได้ สังคมนั้นเป็นสังคมเจริญ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้หลงสิ่งที่ตนเองเข้าใจ จัดเป็นสัจจะของสังคม แล้วเป็นได้ยากด้วยนะ ไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ แต่ก็เป็นไปได้ อาตมาพาพวกเรา มาเป็นอย่างที่ว่า ไม่ต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับด้วยกฎเหล็ก บังคับด้วยอาวุธไม้เรียว จะให้พวกเราเข้าใจและประพฤติปฏิบัติ อยู่รวมกันเป็นสังคมสาธารณโภคี ที่ทำได้ถึงขนาดนั้น
อาตมาว่าที่อาตมาพาทำอันนี้ มันเป็นหลักสูตรของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเลย อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เป็นคนเก่งกาจ มีความรู้ตามที่เขาเรียนกันมาหัวผุหัวพัง
อาตมาก็พอมีความรู้ที่ได้จากพระพุทธเจ้าบ้าง แม้ไม่ได้เรียนจากสำนักนั้นสำนักนี้อะไร มาเปิดดูตำราคำสอนคนอื่น เขาเข้าใจอย่างไร แถมๆ แล้วก็นำสิ่งเหล่านั้นมาให้พวกเราประพฤติปฏิบัติ
มันเป็นไปได้ เป็นสังคมสาธารณโภคีได้ท่ามกลางสังคมทุนนิยมสามานย์ ที่ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวหน้าเลือดกันทั้งนั้น แต่พวกเราทำได้เป็นสังคมแบบพวกเราแล้ว ซึ่งอาตมาว่า มันไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรเลย ถ้าผู้บริหารประเทศเข้าใจ ว่า ควรทำสังคมเป็นแบบนี้ เช่นผู้บริหารประเทศ ที่หมู่บ้านที่ดูแลโดยกระทรวงมหาดไทย ก็ให้หมู่บ้าน สังคมในประเทศ แต่ละชุมชนแต่ละหมู่บ้าน มีพฤติกรรมสังคมเป็นแบบนี้ เป็นสังคมที่อยู่รวมกัน แล้วร่วมกันกินร่วมกันใช้สร้างสรรค์ขึ้นมาแล้ว กินใช้ร่วมกันไป ไม่หน้าเลือด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่งก ที่จะสร้างขึ้นมาแล้วเอาไปโกงราคา ต้องขายแพงแท้
กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงที่จะบริหารเรื่องเหล่านี้ ก็ต้องการเพื่อให้เกิดสังคมที่อยู่รวมกันเป็นอย่างที่อาตมาว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความสุข(สวรรค์)คือหม้อต้มความทุกข์(นรก) ใครโดดเข้าไปก็สุกเลย
อาตมาเป็นนักชี้สัจจะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สัจจะต่างๆแล้วให้มนุษย์มาเรียนรู้ ให้เห็นผลว่าเราควรจะมาเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส สังคมก็เกิดมีพฤติกรรมสังคมที่มีธรรมะมีพุทธธรรม ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรต่างๆ อาริยสัจ 4 มูลสูตร และอื่นๆ
ก็ล้วนแล้วแต่ ให้คนมาลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ลดความโลภโกรธหลง มาเป็นคนมีน้อยๆ มาเป็นคนจน มีความมักน้อย เป็นคนจน เป็นคนที่รู้ว่าสวรรค์เป็นของหลอก ของเก๊ ไม่ใช่เรื่องจริงเป็นอุปทานของคนเท่านั้นที่เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้วงการของศาสนาพุทธไม่ได้เป็นเช่นนี้ สอนกันแต่ให้ไปเอาสวรรค์ๆๆๆ คนมันเลยแย่งสวรรค์กันเอง แย่งอะไร แย่งของเก๊ สวรรค์ก็คืออารมณ์เก๊ อารมร์ลวงๆ อารมณ์ไม่มีจริง
คนที่ตั้งความต้องการ ตั้งความอยากให้แก่ตัวเอง ต้องการได้โดยใช้ภาษาเรียกว่าสวรรค์ แล้วอีกทีนึงว่าเป็นแดนสุข สวรรค์คือแดนสุข ความสุขนี่คือหม้อต้ม ถ้าใครกระโดดเข้าไปตรงนั้นก็สุก เปื่อยเลย สวรรค์นี่คือหม้อต้ม ที่ใครอยากได้ อยากเป็น อยากมี โดดตูมเข้าไป ก็ได้สวรรค์ก็คือสุก นี่เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องลึกซึ้ง ศาสนาที่ไม่มีความรู้ลึกซึ้งอย่างนี้เขาก็จะไปหลงสวรรค์ภพชาติ นึกว่ามันไม่ใช่หม้อต้มที่ใครโดดเข้าไปก็สุขจนเปื่อย แต่ความจริงแล้วเป็นศาสนาที่รู้จักสุขรู้จักทุกข์ สุขคือหม้อต้มที่เป็นของหลอกของทุกข์ นั่นละ ถูกต้มจนสุกเลย
คนที่เข้าใจได้ว่าสวรรค์คือหม้อต้มใหญ่ เลยหลอกให้คนมาลงหม้อจนสุก แต่ถ้าจะเอาพยัญชนะวา คนเราอยากได้สวรรค์ก็จะได้ สุก แต่ถ้าคนใดอยากได้สวรรค์ ได้สุข คุณก็ต้องไม่อยากได้อะไรไม่ต้องเอาอะไร สุขคือความว่าง มีแต่จิตว่างๆดีๆ นี่แหละเป็นคนที่รู้จัก สัจธรรม แล้วทำตนให้เป็นคนสุข(ว่าง) แต่คนไปเข้าใจว่า สุขคือหม้อต้มก็เลยได้สุก อยากได้เองแล้วก็ถูกหม้อต้มสุกเลย
อาตมาอธิบายธรรมะระดับโลกุตระนะนี่ ไม่ใช่พูดเล่นนะ
เพราะฉะนั้นพวกเราเรียนจบออกไปแล้ว ไปมีชีวิตต่างๆนานา มามีชีวิตอย่างที่พูดนี้บ้างไหม ถ้าเผื่อว่าใครก็ตาม อาตมาว่านะ มีจิตสำนึกแล้วเข้าใจอันนี้ดี อาตมาว่า พวกเราจะต้องมาอยู่ในชุมชนชาวอโศก มาอยู่อย่างไม่ถูกต้มตุ๋น อยู่อย่างสบายๆ ทำงานไปตามควรไม่ต้องคิดว่าจะได้จะเสีย ก็ทำงานไปอย่างที่พวกเราเป็นกัน แล้วก็ใช้สิ่งที่มันมี มีถ้วยใช้ถ้วยมีชามใช้ชาม มีที่นาไร่สวนก็ใช้ประโยชน์ แม้ที่สุดมีธนบัตรเป็นเงินทองขึ้นมาก็ใช้ให้มันเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ว่าใช้ให้เกิดโทษ ใช้เงินทองไปเพื่อบำเรอให้กิเลสมันโตขึ้น ไปซื้อสิ่งนั้นมาบำเรอความอยากให้กิเลสอ้วน
บำเรออร่อยกิเลสก็อ้วน เอาเงินทองไปจ่าย เพื่อบำเรอให้กิเลสอ้วน คือปุถุชน คือกิเลสหนาอ้วนขึ้นตลอด เมื่อเราได้ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าก็สามารถทำตนมาได้บ้างไหม ได้บ้างกี่บ้าง สิบตรี สิบโท หรือจ่า ได้กี่บ้าง หรือจะไม่ได้สักบ้างล่ะมั๊ง ถ้าได้บ้างก็จะดี มันเป็นสัจจะนะ ที่อาตมาพูด
ที่เข้ามานี้ มารับการอบรม มารับการย้ำซ้ำที่ได้อบรมไปแล้ว เรียนไปแล้ว 6 ปี หลายคนก็ออกไป หลายปี หลายคนก็หนังเหี่ยวย่นบ้างแล้ว แล้วได้เข้าใจ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างที่อาตมาว่าบ้างไหม อุตส่าห์มาเรียนที่นี่
โรงเรียนต่างๆที่เขาสอนตามหลักสูตรของกระทรวงไม่ได้สอนสิ่งเหล่านี้หรอก ใช่ไหม หลายคนก็รู้ว่าโรงเรียนข้างนอกเขาเป็นอย่างนั้น แต่พวกเรามาเรียนทางนี้แล้ว รู้แล้วรู้สิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องสอนวิชาการเหมือนในตำรา ตามที่โรงเรียนต่างๆเขาเรียนกัน แต่เราเรียนรู้ชีวิตประจำวัน ห้าปี หกปี ซึ่งมันเป็นการเรียนเพื่อชีวิต ไม่ได้เรียนด้วยตำรา แต่เรียนด้วยชีวิต มันได้กันบ้างไหม... ตอบเบ๊าเบา แสดงว่าไม่รู้เรื่องสิ
พวกเรามาที่นี่ก็คงจะมีความคิดว่า มาแล้วจะได้ทำอะไรบ้าง ไม่ใช่ มาให้ด่า นี่คือด่า คำว่าด่านี้ ภาษาวิชาการเขาเรียกว่าเทศน์ ที่จริงก็เทศน์ทุกวัน แต่เชื่อว่าไม่ได้ฟังทุกวัน ก็เห็นหน้าก็เลยเทศน์ๆๆๆ ด่าจริงๆ ภาษาความหมายเป็นอย่างนั้น พูดแล้วไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลวร้ายอะไรแต่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องเจตนาดีหวังดี ให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นมา
ถ้าเผื่อว่าเรามีงานประจำปีบ้าง พวกเราน่าจะมีสำนีกนะว่าที่เราเคยเรียนมาอยู่มาถึง 5 6 ปี มีงานอะไรเมื่อนึกถึงก็ไม่ต้องบอกกล่าว ก็มาเองรู้เอง มากันหนาแน่นเลย อาตมาจะเป็นสุขมากเลย จะชื่นใจมากเลย นี่มันไม่ค่อยเป็นเลย บอกกล่าวก็ยังไม่ค่อยมาเท่าไหร่
อย่างน้อย ถ้าอยู่ทางอีสานนี้ งานเจนี่ เป็นงานที่ใช้คนเยอะมาก ถ้าเผื่อว่าพวกเรา ถึงเทศกาลกินเจ พวกเราก็มาแสดงตัวช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นขึ้นมาแล้ว พี่ป้าน้าอา คุณย่าคุณยายคุณตาคุณปู่ อยู่ที่นี่จะรู้สึกสุขแค่ไหนเมื่อมีพฤติกรรมสังคมอย่างนั้น
มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่รู้กัน พูดขึ้นมา พูดแล้วก็เข้าใจ พฤติกรรมอย่างที่อาตมาพูดไปวนไปวนมาตั้งแต่ต้นจนถึงขณะนี้ พูดมา 37 นาทีแล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนเลย ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว นอกจากจะให้มาช่วยกันหน่อย เท่านั้นเองสรุป ...จบได้แล้วล่ะมั๊ง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน หลัก 4 ที่พาชีวีพ้นทุกข์
อาตมามาวันนี้เพื่อจะมาพูดกับพวกคุณเช่นนี้ อาตมามาตั้งแต่บ่ายโมงมารอจนถึงสามโมงแล้วก็พูด พวกคุณรู้สึกว่าสำคัญบ้างไหมนี่
ถ้าสังคมของประเทศ สังคมของโลก ถ้าเข้าใจนะว่าทุกคนไม่ว่าใครจะเป็นคนของสังคมใดก็แล้วแต่ สังคมที่สนิทสนม สังคมที่เราคิดว่าจะร่วมประโยชน์ร่วมทำสิ่งดีงาม ทำแล้วชีวิตส่วนตัวก็ว่ากันไป อาตมาว่า เรื่องชีวิตส่วนตัวมันไม่ยากอะไรเลย ถ้ามันไม่ไปหลงโลกมาก หลงที่ว่าลาภควรได้ ยศควรได้ สรรเสริญควรได้ เป็นสิ่งที่น่าได้น่ามีให้แก่ตัวกูของกู ถ้ามันไม่มีอะไรมากกว่านั้น ชีวิตคนเรานี่ มันง่าย สะดวด จะเอาชีวิตไปอยู่ที่ไหนสังคมใดที่เราคิดว่าควรอยู่ด้วย แล้วเราก็ไปร่วม เท่าที่เรามีความรู้ความสามารถ แล้วเราก็เป็นคนฝึกฝนอบรม ไม่เปลืองไม่จ่ายกับสิ่งที่เขาหลอกกัน อะไรก็พอรู้ ถ้ามีความจำเป็นไม่หนักหนาอะไร ชีวิตมันก็ง่ายและมีคุณค่าด้วย ชีวิตง่ายและมีคุณค่าประโยชน์ต่อโลกต่อสังคม ลองฟังดีๆเราไปทำความเข้าใจให้ดีๆ
ใครที่มานี่แล้ว มีทุกข์มีร้อนมีเรื่องลำบากลำบนที่ตนเองออกไปที่นั่นที่นี่แล้วฉันเกิดความไม่เรียบร้อยราบรื่นบ้างไหม มีไมค์ลอยมาให้สักตัว ไม่ต้องอาย ลองพูดออกมาดู เผื่อเพื่อนฝูงมาเจอกันจะได้บรรเทา มันทุกข์อะไร อย่างไร เปิดเผยกันมาดูสิ ไหนๆก็มารวมกันแล้ว เผื่อจะเป็นประโยชน์กันได้ ถ้าอย่างนั้นอาตมาถาม
บางคนจบไปหลายปี มีลูกเต้าแล้ว ใครเป็นหนี้บ้างไหมยกมือ
อาตมาเองก็เคยอบรมเคยสอนเคยบอก ชีวิตของคนเรานี่
1. อย่าไปเป็นหนี้ มันเป็นเรื่องเลวร้ายมากเลย การสร้างสินเชื่อการสร้างระบบหนี้สินขึ้นมาในโลก คนไหนเป็นคนสร้างอาตมาไม่รู้ คนที่สร้างระบบเงินเชื่อ ระบบสินเชื่อระบบเป็นหนี้แล้วก็มีดอกเบี้ยขึ้นมา คนคิดคนนั้นนรกกินหัว ป่านนี้ไม่รู้ขึ้นจากนรกหรือยังเป็นเรื่องทุกข์ร้อนเลวร้ายทั้งหมดเลยระบบหนี้สิน
ใครมีปัญญารู้ว่าระบบนี้ออกห่างให้ไกล อย่าให้มันเกิดกับตัวเรา อย่ามาใกล้ตัวเราเลย
2. พึ่งพาตนเองให้รอด ทำงานทำการอะไรก็แล้วแต่ ให้พึ่งตนเองรอด ด้วยสมรรถนะความสามารถของเราด้วยความขยันขันแข็งพากเพียร
3 มีส่วนเกินผลิตสร้างสรรค์และมีส่วนเกินหรือจากที่เรากินใช้
4. ไม่สะสม มีส่วนหรือส่วนเกินนั้นก็สะพัด ออกไปเอื้อเฟื้อเจือจาน สงเคราะห์ช่วยเหลือคนอื่น
4 หลักนี้เท่านั้นแหละ ใครสามารถปฏิบัติได้ก็หมดทุกข์ ถ้าเข้าใจแนวลึก ปรมัตถ์ ก็คือความเป็นอรหันต์ใน 4 หลักนี่แหละ
หลักคือ 1.ไม่เป็นหนี้ 2.ขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างสรรค์เลี้ยงตัวเองก็พอกินพอใช้ 3. เหลือกินเหลือใช้มีเกิน 4. เอาออกไปจากใจเกื้อกูลผู้อื่น แม้จะขายก็ขายยังขาดทุน เพราะว่าพอกินแล้ว เมื่อมันเหลือจะไปทิ้งขว้างอย่างไรก็ได้ การกินการใช้แล้ว แม้จะสร้างด้วยทุน 100 บาทแล้วก็ขายด้วย ราคา 5 บาท ไม่ได้เสียหายอะไรเลย มันเป็นส่วนเกินจากที่เรากินใช้แล้วจะแจกฟรีก็ได้ไม่เดือดร้อน เพราะเราเหลือกินเหลือใช้แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดอย่างทุนนิยมอย่างคนที่โลภ
ทุนนิยมสร้างมาแล้วเหลือก็ไปขายให้ได้ราคาแพงที่สุด จะได้ค่าตอบแทนมากที่สุดระบบนี้ทำให้โลกเดือดร้อน เราต้องมาคิดแบบบุญนิยม พวกเราก็คงจะพอเข้าใจดี แล้วเอาไปปฏิบัติให้ดี ทำให้ได้ อย่างน้อยที่สุดเราก็ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติ ถ้าเราทำได้อย่างนี้ก็จะช่วยได้
อาตมาทำงานมาเกือบห้าสิบปีแล้ว อาตมาสอนเรื่องอย่างนี้ ตามคำสอนพระพุทธเจ้าพวกเราจะได้มากได้น้อยก็แล้วแต่ อาตมาได้ช่วยเหลือสังคมประเทศชาติ คณะบริหารประเทศก็ต้องการให้มีเศรษฐกิจสังคมเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่มีทางออกไม่มีความรู้ว่าพระพุทธเจ้าได้สอนมาหมดแล้ว เอาของพระพุทธเจ้ามาเปิดหลักสูตรและบริหารประเทศชาติเขาไม่รู้ เพราะว่าพระเจ้าที่มีหน้าที่สอน กอดพระไตรปิฎกไว้ก็ไม่รู้ว่าท่านสอนอะไร มีแต่ไปรู้จารีตประเพณีที่จะได้เงินทอง จัดงานประเพณีอย่างนี้ให้คนมาวัดวา เอาเงินมาทำบุญทำทาน ก็ได้แค่นั้นสำหรับในวัดวา หรือไม่อย่างนั้นก็สอนเทศน์ผะเหวด กัณฑ์มัสทรี ไม่รู้เรื่องสาระสัจจะของศาสนา มันไปกันใหญ่เลย พูดอย่างนี้เหมือนไปดูถูกเขา แต่ที่พูดนี้ถูกมากๆ เขาน่าจะชมเชยอาตมาว่าดูได้ถูกตรงเลย แต่เขาคงไม่คิดอย่างนั้น
พวกเรานี่แหละงานนี้ เริ่มมาหลายวันแล้ว ที่มากันนี่ คนที่มาแล้วช่วยกันมีอยู่กี่คน ประมาณ 20 กว่าคน ก็ขอบคุณที่พวกคุณเป็นคนดี ส่วนคนที่ไม่ได้ขอบคุณจะเป็นคนอะไรไม่รู้ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ Understood ไว้เลย อาตมาพูดถูกไหม
เอาล่ะ ไม่มีใครมีทุกข์เลย ถามว่ามีใครเป็นหนี้ไหมก็ไม่มีงั้นก็จบ ….สาธุ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:28:47 )
รายละเอียด
601022_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แบบคนจนที่ถึงตถตา
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก เข้าสู่เดือนสิบสองน้ำก็นองทั่วประเทศ คนก็ลุ้นกันว่าที่ไหนน้ำจะท่วม คนก็ไปดูพระราชพิธีซ้อมถวายพระเพลิงในหลวงรัชกาลที่ 9 กันเนืองแน่น ก็มีข่าวมรณานุสติ โยมบุญเสริม อายุ 78 ปี เป็นแม่ของปู้ กับแก้วขวัญผ่อง แม่เขาตาย จะไปเผาที่ปฐมอโศก ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ ใครจะไปร่วมงานด้วยก็ได้ ตอนนี้ก็กำลังยุ่งกับงานเจกัน
วันนี้พ่อครูก็คงแสดงธรรมเกี่ยวกับเรื่องความจน ความจน พ่อครูว่า เป็นคำที่เยี่ยมยอดเป็นคำที่ประเสริฐที่สุดแล้ว คนจนอย่างมหัศจรรย์ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ คนยิ่งอยากรวยก็ยิ่งเป็นหนี้ แต่มีคนกลุ่มเล็กๆที่อยากจนแต่อุดมสมบูรณ์ เป็นเรื่องที่กลับกันมาก คนที่อยากจะไปรวย อยากจะได้มีอะไรมากๆ จะได้มีความเจริญมากขึ้น แต่มันกลับกันกลับเป็นหนี้มากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น มีปัญหามากขึ้น ทำลายสิ่งแวดล้อมสังคมทำลายทุกอย่างเลย
แต่ความจนหรือแบบคนจนที่ในหลวงพาทำ กลับทำให้คนอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์มีความเป็นอยู่ผาสุกชาวอโศกก็ทำตาม ก็เลยมีความเป็นอยู่ผาสุก ดูตามลูกมะละกอลูกฟักที่นี่ได้ งานเทศกาลกินเจที่ราชธานีอโศก อุทยานบุญนิยมก็ใช้พืชผักไร้สารพิษกันเสียส่วนมาก ทำกันจนเมื่อย บางคนเสียน้ำตาเพราะว่าเมื่อยจัด คนก็มาสนับสนุนเต็มที่เพราะเราขายถูก ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ อีกประเด็นหนึ่ง ที่ภันเตติกขะ ฝากไว้ในไลน์ว่า การทำงานกับผู้คน เราไม่ควรจะใช้อภิสิทธิ์แม้จะมีอภิสิทธิ์ เพราะว่าตอนนี้มีทีวี 3 ช่องที่ถูกระงับการออกอากาศ เพราะว่าไปทำผิดกฏในกรณีถ่ายทอดสดการซ้อมพิธีถวายพระเพลิงในหลวงรัชกาลที่ 9
ต้องขออภัยพวกชาวอุทยานบุญนิยม ที่สร้างเวทีเสร็จไปแล้ว คิดว่า พ่อครูจะไปเทศน์ไหม แต่ก็ขึ้นอยู่กับความไม่เที่ยง ตกลงตอน 9 โมงพ่อครูก็ไม่ได้ใช้เวที แต่ว่าบ่าย 3 โมงพ่อท่านจะไปใช้เวทีในการพบกับศิษย์เก่า ตอน 6 โมงเย็นก็จะมีการไปจัดรายการ พุทธชีวศิลป์ที่นั้นด้วย
พ่อครูว่า...ตอบคุณสุชาดาเสียก่อน
สุดชดา....ขอกราบเรียนถามพ่อครูว่าสิ่งที่ดิฉันเข้าใจผิดถูกประการใด ระหว่างแม่เลี้ยงกับแม่นมค่ะ แม่เลี้ยงจะปากเปียกปากแฉะมากกว่าจะ ดูแลใกล้ชิดน้อยกว่า แม่นมอยู่ใกล้แม่เลี้ยงจะเจ็บมากกว่าแม่นมแต่จะเข้มแข็งใช่ไหม? แม่นมจะค่อยๆแทรกยาให้จะใจดีนำหน้ากว่าช่วยเสริมเติมเต็มในส่วนที่ขาดอย่างรู้เหมาะรู้ควร และจำเป็นไหม?ที่แม่นมจะเป็นเจโต แม่เลี้ยงเป็นสายปัญญา? ปัญญาจะเป็นแม่นมได้ไหมคะ?
พ่อครูว่า... ใช่ แน่นอน หวดแล้วหวดอีก ทำให้เข้มแข็ง แต่ก็อย่าไปแยกหน้าที่ท่าน..ให้ต่างจากของพระพุทธเจ้าเลย แม่นมก็มีหน้าที่ให้นม แม่เลี้ยงก็เลี้ยงไปให้ดี ตบซ้ายตบขวาให้เข้าที่เข้าทางอยู่อย่างนั้น
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แบบคนจนที่ถึงตถตา
มาเข้าสู่ความจริง ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เรื่องที่เราจะมาทำให้สังคมเป็นสังคมคนจน มันมีหลักคิดที่ว่า ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจได้ว่า ในโลกในสังคมที่ไหนก็แล้วแต่จะมีทรัพย์สมบัติทรัพยากรจำนวนจำกัดเท่านี้ เมื่อมีสิ่งที่จำกัดจำนวนหนึ่ง เมื่อมีคนร่วมกันเข้าไปอยู่ แยกง่ายๆว่า คนรวยกับคนจน 2 อย่าง ถ้าคนรวยก็มีเจตนาจะรวยรวยๆ รวยมันก็ต้องดูดเอากอง 1 กองเดียวจำกัดนี้ มาเป็นของตัวเองให้มากๆ เมื่อคนรวยเอามาได้มาก คนที่เหลือก็จนหมดสิ ทีนี้ความจริงของคน คนมักจะต้องขาดแคลนแต่ก็ต้องการความจำเป็น มีความจำเป็นจริงๆ แต่คนรวยนั้นรวยอย่างหน้ามืดและอำมหิต ใครจะเป็นจะตายก็ช่าง กูเอาอย่างเดียวมันก็เจ๊งสิ มันก็ไปไม่ได้ใช่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าคนใดที่สามารถเข้าใจอันนี้ได้จริงๆ ต้องทำตนเองให้ไม่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ไม่ต้องการมาก จิตประพฤติปฏิบัติให้มีคุณธรรมแบบนี้อย่างที่กล่าวได้จริงๆ
ความเป็นจริงแล้วถ้าคนรวยไม่มีปฏิภาณปัญญา แล้วเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มากๆแน่นอน โลภเอามาๆ ดีไม่ดีตนเองเก่งมีความรู้ความสามารถดึงเอามาหมด ก็เป็นความเห็นแก่ตัวที่เลวร้าย สังคมมันเดือดร้อนเพราะคนๆนี้ คนอย่างนี้
ถ้าประพฤติอย่างที่ว่านี้ คนที่จะรวยๆๆแล้วโลภโมโทสันเอามาให้แก่ตัวเองมากๆถ้าประพฤติแบบนี้ เขาเรียกว่าชั่ว เขาเรียกว่าเลวร้าย เป็นคนเห็นแก่ตัว ถ้ารู้ความจริงเช่นนี้ก็ต้องมาล้างความเห็นแก่ตัวออกจากตัวเอง พยายามลดอย่าให้เป็นอย่างนี้สิ ก็รู้อยู่มีปฏิภาณ เพราะคนเราจริงๆแล้วมันไม่กินใช้ส่วนตัวมากเท่าไรนักหรอก แม้จะพยายาม ตะกรุมตะกรามไปเพิ่มให้ตัวเองมากๆ มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกมันเหลือเฟือ สมบัติในโลกนี้ดูดเอามาให้แก่ตัวเองมากจนกระทั่งเหลือเฟือจนกระทั่งเกิน แล้วก็ไปสะสมกักตุนอีก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีภูมิธรรมก็มีจำนวนมาก คนเหล่านั้นจะต้องพยายามที่จะเอามาให้ได้ จะต้องมีความคิดอยากได้เอามาให้กับตัวเอง ยังเห็นแก่ตัวมันมีมากอยู่ เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถที่จะลดความเห็นแก่ตัวได้แล้วไม่มีตัวตนได้แล้ว จึงต้องพยายามที่จะช่วยคน สั่งสอนแนะนำพากันปฏิบัติให้ลดความเห็นแก่ตัวได้จริง จึงเป็นงานหนักงานยิ่งใหญ่
วิธีทำถ้าจะบังคับกดขี่ให้ทำ มันก็ไม่เต็มใจทำ มันได้ชั่วคราว แล้วคนกดข่มกดขี่เขามันก็ต้องหมดแรง ได้สักเวลาหนึ่ง ไม่หมดแรงก็ตาย ไม่ถาวรไม่ยั่งยืน ถึงไม่มีทางเลือกอื่นเลยที่จะดีไปกว่าการให้เขาเข้าใจเอง ให้แต่ละคนเข้าใจเองว่า มันดี มันเห็นแก่ตัว เอามาให้แก่ตัวเองมากมันไม่ดี การจะลดกิเลสไม่เห็นแก่ตัว ไม่ให้มักมากนั้นกิเลสมันสามารถลดได้จริงๆ สามารถฆ่ากิเลสทำลายกิเลสได้จริงๆ
ผู้ที่เป็นไปได้แล้วเป็นจริง เป็นความจริงที่เป็นไปได้อย่างยั่งยืนถาวร นิจจังทุวังสัสสตัง เป็นไปได้อย่างนั้นตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลงเลย อะไรจะมาหักล้างก็ไม่ได้ อสังหิรัง ไม่กลับกำเริบอีกเลย เป็นอย่างนั้นตลอดกาลนาน นี่เป็นสัจจะที่พิสูจน์จริงแล้ว จนไม่ต้องพิสูจน์อีก เป็น Axiom พิสูจน์ได้แล้ว คนเป็นเช่นนั้นได้ เป็นสภาพนั้นได้ เป็นสัจจะที่ไม่ต้องพิสูจน์อีก เป็นความจริงในตัวมันเองเลย เป็นกฎเกณฑ์หลักการที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้หรอก ทุกคนนอกจากคนที่โง่เง่าจะไม่รู้ แต่คนที่มีปัญญาพอสมควร ไม่ต้องฉลาดมากจะยอมรับความจริงอันนี้เลย ความจริงที่ว่านี้คุณสมบัติที่ว่านี้เป็นไปได้แล้วสุดยอด
สมณะฟ้าไทว่า...จะเข้ากับภาษาบาลีว่า ตถตาไหม?
พ่อครูว่า...ได้ คือ axiom คือตถตา เป็นเช่นนั้นได้แล้วอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ของพระพุทธเจ้าสุดยอด axiom สุดยอดตถตาจนเป็น ตถาคตาเลย
คนไม่เข้าใจความจริงเช่นนี้ก็จะเดาไม่ออก นึกไม่ถึงว่ามันเป็นลักษณะอย่างไร เป็นความจนหรือคนจนแบบนี้มันจะอยู่เป็นสุขหรือ มันจะมีคุณค่าประโยชน์หรือ จะเอาอะไรไปช่วยเขาหรือ
เอาประเด็นนี้ คนจนนี้ไม่มีสมบัติ หรือมีสมบัติน้อย แล้วจะเอาอะไรไปช่วยเขา
สิ่งที่ คนจนที่มีเป็นของตัวเองในตัวเองก็คือความรู้ความสามารถ กับความขยัน และความมีน้ำใจ มีความเป็นพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างแท้จริง เป็นจิตลักษณะนี้อย่างแท้จริง จึงเอาความรู้กับความสามารถนี้แหละ ไปให้ผู้อื่น สร้างให้แก่ผู้อื่น
จะสร้างอะไร สร้างตั้งแต่ของกินของใช้ ไม่สร้างสิ่งที่มอมเมา ไม่สร้างสิ่งที่เป็นพิษ ที่จะเลว อะไรเลวร้ายไร้สาระ สร้างแต่สิ่งมีสาระ มีปัญญาความเฉลียวฉลาดรู้ว่านี่มันเป็นพิษภัย อันนี้เป็นสิ่งมอมเมา อันนี้ไม่เข้าท่า อันนี้เข้าท่าก็สร้างสิ่งที่ดีที่เข้าท่า เป็นสัจจะเลย
เพราะฉะนั้นเราจะมีการสร้างก็ต้องรู้ด้วยปัญญาว่าควรสร้างอะไร และเป็นคนมีความขยัน แถมมีน้ำใจ และแถมอีก เป็นคนกินน้อยใช้น้อย เป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย พอของตนเอง พอแล้วจบ ไม่มาก พอดีๆ เป็นคนรู้จักความพอดี
จึงเป็นประโยชน์คุณค่ารวมอยู่ในคนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวที่ว่านี้จริงๆ นี่เป็นสัจจะที่รู้และฝึกฝนตนเองให้เป็นคนเช่นนี้ได้ จนเป็นความจริง เป็นตถตา axiom
เป็น axiomatic มันเป็นที่แน่ชัด ในตัวของมันเอง มันรู้มันจบมันไม่มีอะไรดุ๊กดิ๊กอีกแล้ว สมบูรณ์ทั้งรู้ทั้งเป็นและทำได้อย่างไม่สงสัยไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากนี้แล้วมันสูงสุดแล้ว supreme truth เป็นความจริงสูงสุดแล้ว เป็นสิ่งสุดยอดแล้ว
แต่คนส่วนใหญ่คนทั่วไปนี้ไม่ใช่จะเข้าถึงความจริงได้ง่ายๆ ไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นจริงในคนส่วนใหญ่ พอจะใช้ปฏิภาณปัญญารู้เข้าใจได้ แต่เขาไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ มีด้วยหรือคนจะไม่เห็นความเห็นแก่ตัวเลย เป็นคนไม่กลัวเลยว่าถ้าไม่มีตัวตนแล้วจะอยู่อย่างไร
อันนี้ต้องขยายความ คนจนชนิดนี้จะอยู่คนเดียวไม่ได้ อยู่คนเดียวตาย อยู่คนเดียวไม่พออยู่คนเดียวจะเหงาไม่อบอุ่นแล้วไม่เป็นไปได้ด้วย แม้จะทำกินใช้เองได้ แต่ก็ว้าเหว่เหงา ไม่ได้เรื่องหรอก ทำไปก็เบื่อเซ็งตายดีกว่า สุดท้ายมันไปไหนไม่รอดหรอกคนเดียว มันไม่มีอะไรเปรียบเทียบให้เห็นประโยชน์คุ้มค่าที่จะช่วยเหลือกันได้ มันไม่มีประโยชน์รู้สึกไม่มีค่าอะไร
จะต้องอยู่กับคนหมู่มากเพราะว่า เราจะเป็นคนที่ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)เป็นความสุดยอดประเสริฐดีงาม
นี่เป็นความจริงที่มนุษยชาติสามารถทำให้ตนเองเป็นเช่นนั้น คนที่มีปฏิภาณปัญญารู้แล้วจะไม่มีใครปฏิเสธความจริงนี้ได้ แล้วจะเป็นคนชนิดนี้ได้อย่างไร ที่จะมีความจริงดังที่ว่านี้ เป็นได้ในตัวเองจนสำเร็จจริง successfull มันก็ต้องมีวิธีการ มีวิถีการยังชีพแบบนี้
มันมีของจริงที่เป็นจริงอยู่ได้ เป็นคนจนที่ คนชนิดนี้ เป็น Poverty classic หรือ Subsistence classic มาพิสูจน์ได้เลย ผู้ที่ใฝ่ใจศึกษามายืนยันพิสูจน์ เป็นความ poor but happy
ความจนมี 2 แบบ ความจนที่ใช้ไม่ได้ กับความจนที่ประเสริฐ
ความจนอย่างประเสริฐนั้นเป็นความจน อัปปิจฉะ เป็นผู้มักน้อยอย่างมีปัญญา มีชั้นวรรณะ เป็น the classes ส่วนคนจนที่ไม่ได้เรื่อง ท่านเรียกว่า ทลิทโท เป็นความจนที่ไร้สาระ โง่เง่า เป็นความจนที่เป็นภัย เป็นความจนแบบโลกีย์ แต่คนจนที่เป็นหนึ่งโลกุตระ คือคนจนอย่างอัปปิจฉะ เป็นภาษาบัญญัติไว้
เป็น axiom เป็นความจริงสองนัย ความจนที่ไม่ได้เรื่องเป็นการทำลายเป็นภาระเป็นตัวร้ายของสังคมเลย เขาเป็นก็ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเราจะพยายามช่วยกัน โดยปฏิภาณปัญญาแล้วคนชั่วมันก็อยากเป็นคนดี โดยสามัญสำนึก คนชั่วก็อยากเป็นคนดี ถ้าคนชั่วอยากเป็นคนชั่วก็ตัดหางปล่อยลงนรกไป มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ก็ต้องตัดหางปล่อยไปลงนรกไป ในสามัญสำนึกจริงๆคนชั่วนี้มีน้อย คนชั่วที่ไม่อยากดี มันมีไม่มากหรอก พวกนี้ก็ต้องปล่อยอยู่ลงนรกไป
ธรรมดาสามัญถ้าเราชั่วเราก็อยากดี ส่วนคนที่อยากจะชั่วตลอดไปก็ปล่อยให้ลงนรกอเวจีไป พวกนี้คนพิสดารไม่เหมือนสามัญสำนึก แล้วพวกนี้อาจจะรวมตัวกัน
ถ้ามีคนดีที่แข็งแรง มีความไม่ย่อท้อ ไม่กลัวคนชั่ว เอ็งชั่วก็ต้องพยายามช่วยให้ดีให้ได้ โดยไม่ไปทำร้ายคนชั่วหรอก สุดท้ายจริงๆ ถ้าเราทำอย่างบริสุทธิ์ใจเต็มที่ อาจจะต้องใช้เวลา จะใช้เวลาอย่างไรสักวันหนึ่งมันก็ต้องดีขึ้น คนชั่วพวกนี้ ส่วนคนชั่วที่มันไม่อยากจะเป็นคนดีเลย จะต้องเป็นคนชั่วตลอดกาลและนานพวกนี้ตัดออกไปเลย
ยุคนี้เป็นยุคที่เลวร้ายใกล้จะถึงกลียุคแล้วก็ยังช่วยคนได้อยู่เลย เหนื่อยมากก็ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ตายแล้วก็เกิดมาทำต่อ
อาตมาว่าอาตมาทำนี่มีผล มีอัตราการก้าวหน้าที่ก้าวหน้า ปฏิภาคทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าทำไปแล้วยิ่งจะเสื่อมลงมากกว่าจะดีขึ้น ก็ไม่ใช่ มีอัตราการก้าวหน้าที่เป็นปฏิภาคทวีขึ้นโดยเรื่อย เท่าที่เห็น ถึงไม่สิ้นหวังที่จะทำ
อย่างน้อยอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ในยุคศาสนาพระสมณโคดมรับผิดชอบหน้าที่ที่สำคัญมากเลย ในอนาคตอาตมาก็ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า จะเป็นได้หรือไม่เป็นไม่สำคัญ แต่มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมไปถึง 5000 ปี อันนี้ต้องทำเท่านั้น เป็นหน้าที่ ส่วนมันจะต่อไปได้มากกว่านี้ เจริญกว่านั้นก็เป็นผลพลอยได้ จะตายแล้วจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกถ้าพวกเราช่วยกันได้ดี จนกระทั่งอาตมาไม่ต้องเกิดแล้ว อาตมาไม่ต้องมาเกิด ศาสนานี้ก็จะไปครบห้าพันปี
คนที่เข้าใจแล้วว่าการเกิดมาเป็นคนจะต้องไปให้สุดเป็นคนที่ดีที่สุดประเสริฐที่สุด สูงที่สุด มีค่าที่สุด มันจะเป็นอย่างไร เกิดมาเป็นคนได้แล้ว แล้วมันก็มีฐาน ฐานะที่เราไม่ตกต่ำแล้ว แล้วมันจะไปถอยทำไม
สมณะฟ้าไทว่า...ทำแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ ตายแล้วก็เกิดมาทำใหม่ ผมตามดู พระมหากษัตริย์ที่ได้มาทำงาน พระนารายณ์ท่านวางแผนไว้บอกว่าถ้าทำแบบท่านนี้ กรุงศรีอยุธยาจะไม่แตกเด็ดขาดตลอดกาลนาน แต่คนชั่วก็มาทำให้แตก
พ่อครูว่า...จริงๆ เมื่อได้อัตภาพมาเป็นคน มันไม่มีอะไรสนุกเท่านี้หรอก ไปสนุกในอบายมุขโลกีย์ ไร้สาระ แต่สนุกแบบนี้สนุก เป็นสุดยอดสาระของโลกความเป็นมนุษย์ อันนี้มันน่าท้าทายให้มาทำ
มีนักคิดนักอะไรต่างๆนานาโดยเฉพาะนักวิชาการของโลกเขามากมาย อาตมาไม่ใช่นักการศึกษาเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยได้ดูได้รู้เท่าไหร่ แต่ก็ดูเจ้าหนึ่งสองเจ้าก็น่าสงสาร เพราะว่าคิดมากเหลือเกินไม่สรุปลงเป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อไหร่จะสรุปให้ตัวเองเป็นสาระได้เป็นชิ้นเป็นอันแทนที่จะไปรู้มากมาย นี่แหละคือโลกจินตา ไม่มีจบหรอก ความคิดของโลกแบบนี้มันไม่จบเป็นอจินไตย บานไปเรื่อยๆ มันบานจนหลอกตัวเอง อันนี้ก็รู้ไปรู้ไปรู้ไปจนวนมาเป็นของเก่าก็ลืมหมดแล้วนึกว่าเป็นของใหม่ ก็รู้ไปอีกเราก็นึกว่าเป็นของใหม่ๆๆๆ ก็กลับมาวนอยู่ที่เก่า อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสว่าเปิดตำราไปหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายบอกว่าอนาคตยังมีอยู่นะ ก็เปิดใหม่อีกอยู่ที่หน้าแรกใหม่ก็อันเก่า วนอยู่ที่เก่า ได้หัวลืมหาง
สมณะฟ้าไทว่า...มันเหมือนกิเลสที่เราเสร็จแล้ว เราก็ไปเสพกันใหม่อีก วนกลับไปอันเก่า ก็นึกว่าเป็นอันใหม่
พ่อครูว่า...เขาจึงได้พยายามกัน แม้แต่คำว่า เศรษฐกิจเขาก็จะไปหาเศรษฐกิจใหม่ เศรษฐกิจแบบใหม่ หาการเมืองแบบใหม่ หาเสรีนิยมแบบใหม่ มันมีแล้วอันใหม่น่ะ
อันใหม่คืออะไร?ก็คืออันเก๊าเก่าที่คุณได้จริงแล้วลืมไปแล้ว มันเคยมีมาแล้ว แต่ว่าลืมกันเท่านั้นเอง โลกนี้มันซ้ำๆวนเวียนซ้ำซาก
อยู่ในยุคไหนก็แล้วแต่ มันก็วนเวียนมาในกรอบที่จะวนเวียนอยู่แค่นั้นแหละ มันจะมีแค่ของแต่ละยุคแต่ละกัปป์ มันจะเป็นเหตุปัจจัยที่มีวัตถุสิ่งแวดล้อม มีผู้คน มีความต้องการอยู่ในแต่ละยุคสมัยมันก็มีเท่านี้ อันเหมาะสมของมัน
เช่น ในโลกนี้มีทองคำอยู่เท่านี้ ไม่มากกว่านี้แล้วมันก็แย่งกันแจกกันในโลกนี้ไม่มากกว่านี้แล้วก็แย่งกันเท่าที่มีเท่านี้ เสร็จแล้วก็เป็นสมบัติผลัดกันชมนึกว่ามีมากกองใหญ่ก็กองเท่าเก่านั่นแหละเป็นสมบัติผลัดกันชม พอเราหยุดแย่งแล้ว เราไม่ใช้ทองคำเลยก็ไม่เห็นจะมีปัญหา เรารู้จักปัจจัยที่สำคัญกว่า เป็นดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นสิ่งที่อาศัยปัจจัย 4 เราทำอันนี้ก็พอแล้ว นอกนั้นจะเพิ่มเติมอะไรอีก
ถ้าเกิดว่าเพิ่มเติมขึ้น ถ้ามันไม่พออย่างน้อยปัจจัย 4 ต้องพึ่งตัวเองให้รอดสิ่งอื่นมากกว่านั้น เพื่อให้เสริมการสร้างสรรค์ให้ทวีขึ้นไปอีก เพื่อจะได้ช่วยคนอื่นได้ เพื่อที่จะเหลือเกินสิ่งที่เรากินเราใช้ เราจะต้องใช้อุปกรณ์เครื่องช่วย ต้องมีเครื่องเทคนิคอะไรที่จะพัฒนาได้มากกว่านี้ เราก็ทำ ทำเพื่อผู้อื่น
ถ้าไม่ต้องใช้เทคนิค มีความสามารถของเรานี่แหละ กับดินน้ำไฟลม พลังงาน ความรู้ ทำกินรอด ทำกินทำใช้อยู่รอด เหนือกว่าสัตว์ สัตว์มันต้องอาศัยธรรมชาติจริงๆมันสร้างและคิดไม่เป็นไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร แต่คนนี้รู้หมดเลยมีอุปกรณ์อะไรบ้าง ประกอบด้วยอะไรบ้างรู้หมดเลย จับธาตุอะไรมาผสมกันทำได้จริงๆ ทำให้มันสดขึ้นมา เป็นชีวะ ทำปฏิกิริยาจนเกิดได้ สำหรับขั้น พีชะ แต่จะให้มันสดขึ้นมาจนเป็นขั้นสัตว์นั้นยากเพราะสัตว์มีเวทนา แต่พืชนี้ breed ได้แล้ว เป็นพีชะ
สัตว์จะต้องมีเชื้อของไข่และเชื้อตัวผู้ถึงจะได้ แต่พืชนี้เอาธาตุอุตุนิยามมาผสมให้ได้สัดส่วน แล้ว spark เข้าเนื้อกันเป็นชีวะ เดี๋ยวนี้ทำได้แล้ว แต่จะทำให้เกิดเวทนาเกิดเป็นวิญญาณอย่างนั้น ยังไม่ง่าย เป็นพีชะนี้เขาพอทำได้แล้ว ใครเคยได้ยินว่ามีไข่เทียม
มีความเจริญที่เขาใช้คำว่า เศรษฐศาสตร์การเมือง
เขาพยายามแยกเป็น 4 ของการเมืองแบบใหม่(New Politics) ได้แก่
1. ความยั่งยืนทางนิเวศ (Ecological Sustainability)
2. ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice)
3. ความสุขสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ (Economic Welfare)
4. เศรษฐกิจพอเพียง ( sufficiency Economic)
เขาถือว่าเป็นเสรีนิยมชนิดใหม่ เรากำลังชี้ให้เห็นว่า เสรีนิยมนี้ คือของคนที่เข้ามาสู่ความจน มาสู่ความพอ ความมักน้อย มีน้อยลงกว่านี้ได้ก็ดี ดีอย่างไม่ทรมานตนเองนะ ตนเองอยู่แข็งแรงสุขสำราญดี
เป็นคนจนอย่างนี้ มีความเจริญ ทำให้ตนเองกินใช้เพียงพอแล้วทำได้มากโดยไม่เอาไปหากำไรจากผู้อื่น แต่เอาไปแจกจ่ายให้ผู้อื่น จึงเป็นคนจนที่มีสมรรถนะ
ในสังคมคนจนที่ได้กล่าวคร่าว ๆนี้ มันจะเกิดสภาพทับทวี มีความรู้ความสามารถอยู่กันเป็นหมู่มวล มารวมตัวกันเป็นหมู่มวลชุมชน เป็นหมู่บ้าน เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด หรือเป็นเครือแหที่เชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ในโลกในสังคม
มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา มีความเห็นความรู้ความเข้าใจและจุดหมายปลายทางอันเดียวกันสอดคล้องกัน ส่งเสริมกัน ช่วยกันทำ เป็นสุดยอดของความรู้และเป็นสุดยอดของความจริง ที่ได้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา
สรุปแล้ว คนเหล่านี้รวมตัวกันก็จะมีมวลของผลผลิต แล้วมีน้ำใจ เห็นแก่ตัวน้อยหรือไม่เห็นแก่ตัวเลย เมื่อมีผลผลิตมากก็จะสะพัด
เศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์คือนักสะพัด เศรษฐศาสตร์ที่เจริญก็คือตัวเองพึ่งตนเองรอด และอยู่ได้ มีเหลือมีผลผลิตส่วนได้ส่วนเกินที่สุจริต ส่วนเกินเหลือ เอาไปแจกจ่ายผู้อื่นได้
แจกจ่ายก็ไม่ได้เอาเปรียบหรือไปค้ากำไรมาก มีแต่ขาดทุนให้ เพราะเชื่อมั่นในตัวเองและบุคคลที่สามารถสร้างได้เหลือและเกินหยุดตลอดเวลา ค่าเฉลี่ยนั้นใกล้จะเจ็บป่วยไร้สมรรถนะลงไป ก็มีตัวแทน มีผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูล เผื่อพอเหลือเกินในนี้แล้วมีตัวตายตัวแทน มีอัตราก้าวหน้าของตัวตายตัวแทน มีการเพิ่มขึ้นของตัวบุคคลและสมรรถภาพ
ถ้าเข้าใจพอแล้ว คนที่มีลักษณะดังกล่าวจึงอยู่อย่างขาดทุน เป็นสังคมขาดทุนให้แก่คนอื่น เป็นคนที่ตัวเองขาดทุนให้แก่คนอื่น เป็นสังคมที่ขาดทุนให้แก่คนอื่น เพราะตัวเองพอกินพอใช้เหลือแล้วจะไปเอามาเพิ่มทำไม
ขนาดขาดทุนนี่นะ ยังเพิ่มการขาดทุน เพิ่มเจริญทางขาดทุนยิ่งขึ้น ๆ ได้อีก นี่คือการทวนกระแสที่ซับซ้อน ยิ่งขาดทุนยิ่งๆขึ้นๆ ยิ่งสูง
เพราะว่าความสูงของคนชนิดนี้จะสูงเพราะว่าตนเองขาดทุนได้มากขึ้น ขาดทุนได้ดียิ่งขึ้น ขาดทุนได้ดีขึ้น คิดค่าเฉลี่ยการเสียแล้ว เป็นค่ารวมค่าเฉลี่ยองค์รวม ที่คิดค่า GDP แล้วยิ่งเจริญ เจริญเพราะตนเองลดน้อยลงแล้วให้ผู้อื่นได้มากขึ้นนี่คือ GDP ชนิดใหม่ GDP แบบเดิมนั้นตัวเองจะต้องได้มากขึ้นดูดได้มากขึ้น กอบโกยเป็นนายทุนได้มากขึ้น ตรงข้ามกันเลยทวนกระแสกันเลย
สัจจะที่ว่านี้เป็นคนจนแบบใหม่ เป็นเสรีนิยมแบบใหม่ เป็นปัญญานิยมแบบใหม่ เป็นปัญญานิยมที่ไม่เหมือนความคิดแบบเดิม แบบความคิดเก่าแล้ว
เป็นผู้ที่มีสตางค์น้อย แปลภาษาอังกฤษเขาเรียกสตางค์ว่า penni คนมีสตางค์น้อยจึงเรียกว่า pennilist จึงเป็นคนจน แต่เป็นคนจนชนิดใหม่ neo pennilist
คนที่มีสตางค์น้อยเรียกว่า poorman เป็นคนมีสตางค์น้อยแต่เป็นคนที่ช่วยคนอื่น เป็นคนจนที่ช่วยคนรวย เพราะว่าคนรวยนั้นตะกละไม่เสร็จ ก็ให้มันรวยให้เสร็จ เราทำให้ พวกเราไม่มีปัญหาทำให้เหลือเฟืออยากรวย รวยไป เมื่อไหร่จะรวยเสร็จ เมื่อไหร่จะรู้สักทีว่าแบกหนักหนาสาหัส กลัวจะสูญจะพร่องมันทุกข์จะตายชัก ก็ไม่เป็นไรให้รวยให้เข็ด คงจะเข็ดสักชาติหนึ่ง
คือผู้ที่คิดได้อย่างที่อาตมาพูดไม่สิ้นไร้ไม้ตอก คนที่จะเจริญได้ แต่ก็จะมีคนที่ไม่เจริญเลยก็จะยิ่งกิเลสหนาขึ้นก็วิบากมาก แต่คนที่พัฒนาขึ้นเจริญขึ้นนั้นมีได้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เมื่อพัฒนาขึ้นเจริญขึ้นว่าไม่ได้สิ้นหวัง ไม่ได้เป็นโมฆะ ไม่ได้เป็นหมันอะไร ก็สามารถสร้างสรรได้ ไม่ถือว่าเสียของไม่ถือว่าสูญเปล่า แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
อาตมาว่า เกิดมาในชาตินี้ช่วยเหลือพวกเราได้เท่านี้ตายก็คุ้มแล้ว
อัตราก้าวหน้าปฏิภาคทวี ที่เป็นการพาณิชย์แบบใหม่ที่เรียกว่าการพาณิชย์แบบบุญนิยม
การค้าขายขาดทุนของเรานี้ เรายิ่งทำการค้านี้ ยิ่งได้ตัดกิเลสสำหรับผู้มีกิเลส อยากจะเสียสละให้แก่สังคมได้เท่าไหร่โดยไม่ run shot ไม่ขาดตอนไม่กู้หนี้ยืมสินใคร เราก็ทำได้อยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เรายิ่งทำก็ยิ่งขาดทุนให้แก่สังคมก็ยังอยู่ได้ดี ยิ่งหมุนได้ดี สมรรถนะของเราก็สูงขึ้น
เราจะมีผลผลิตเมื่อไหร่ให้แก่สังคมก็ไม่คุ้ม เขาได้ไปอาศัยใช้กินอย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาไปเป็นกระดาษหลอกเหมือนเงินดอลล่าร์ มันไม่มีค่าแล้วเอาไปคืนเขาก็ตายทั้งเป็นเลยนะอเมริกา ในโลกขณะนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การค้าที่เลวร้ายที่สุดคือค้าอาวุธ
คนที่ไปเอาแรงงานความรู้ความคิดไปสร้างสิ่งที่ไร้สาระ อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับอาวุธ นอกจากไร้สาระแล้วก็ทำลายร้ายแรงด้วย เพราะอาวุธที่ว่านี้ มันไม่ได้สร้างเอามาเพื่อฆ่าสัตว์ อาวุธที่สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าคน อาวุธที่ขายกันราคาแพงๆ คนสร้างสู้ไม่ได้เท่า มีประสิทธิภาพทำลายได้เลวร้ายที่สุด มันเอาไว้ฆ่าคนนะ
ตอนนี้เกาหลีเหนือยังไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต กับผู้ที่ต้องรักษาอำนาจยิ่งใหญ่ก็คืออเมริกา แล้วเอาไปเอามา สองคนนี้ฟังไม่รู้เรื่องทั้งคู่ อวิชชาทั้งคู่ จะแย่งชิงกันเป็นใหญ่อำนาจทางอาวุธ ที่ไปฆ่ากัน ตัวเล็กก็จะเบ่งว่าอาวุธข้าเก่งกว่าเอ็ง อเมริกาข้าครองมาเก่า เอ็งจะมาแย่งตำแหน่งไม่ได้นะ อาตมาก็ว่า ลิเกบทนี้เรื่องนี้ดูไปเถอะจะเห็นความชัดเจนว่า เมื่อไหร่มนุษยชาติจะได้ตื่นตัวเลิกสิ่งเหล่านี้
ในคำสอนของพระพุทธเจ้าสิ่งที่เป็นพาณิชย์ที่เลว อาวุธขึ้นอันดับหนึ่ง
สัตถวณิชชา เป็นมิจฉาชีพอันดับหนึ่งที่อย่าไปสร้างกันเลยในโลก
ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อที่ 2 อย่าเอาของคนอื่น สิ่งของเลวร้ายที่สุดคืออาวุธฆ่าคน ส่วนสิ่งเลวร้ายนำหน้าอาวุธคือ ชีวิต
ใครที่ค้าขายเป็นมิจฉาวณิชชา เอาสัตถวณิชชามาอันดับหนึ่ง สัตวณิชชา เป็นอันดับสอง
ส่วนอาวุธนี้อันดับหนึ่งมาตลอดกาลนานไม่ตกอันดับ ส่วนสัตว์นั้นเป็นอันดับสอง แต่ถ้าเผื่อว่าจะเป็นคนที่จะช่วยเหลือก็ต้องช่วยชีวิตสัตว์อันดับหนึ่ง ส่วนอาวุธนั้นฆ่าชีวิตสัตว์ คน ได้
เพราะฉะนั้นจึงสลับซับซ้อนกันไปตลอดเวลา ระหว่างสัตว์กับอาวุธ
แต่แท้จริงแล้ว ถ้าไม่มีความรู้แล้ว อาวุธของสัตว์ก็คือเขี้ยวเล็บและพิษ มีพิษที่เป็นทั้งน้ำและแก๊ส มันจะพ่นออกเป็นพิษ เป็นน้ำกับแก๊ส เป็นดินก็ได้ อย่างเม่นมีพิษเป็นขน ก็ได้หรือว่าสัตว์บางชนิด เหล็กไน ผึ้ง ต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน พิสูจน์สัจจะของกรรมจนถึงที่สุด
ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ว่าจะในโลกยุคไหนก็เป็นจริง แม้จะในโลกลูกเล็กก็มีความจริงของกรอบลูกเล็ก โลกลูกใหญ่ก็ขยายออกมา สรุปแล้วมีนิยาม 5 นี้เท่านั้น อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม
กรรมนิยามนั้นรู้จักกรรม กาย วาจา ใจ ของจริงของมนุษยชาติที่เอามาใช้มาศึกษาได้ทันที เอามาพิสูจน์ว่าเป็นความจริงได้ทันที เรียกว่า กรรม ส่วนที่เอามาใช้ไม่ได้ทันทีเรียกว่า God บอกว่าเก่ง แล้วอยู่ไหน เอามาใช้ทันทีไม่ได้
คุณต้องช่วยตนเองก่อนแล้ว God จะช่วย พอมาถึงตรงนี้แล้ว ตีกินนี่ พระเจ้าบอก ช่วยก่อนสิ แล้วเราจะได้ช่วย
แต่นี่ของพระพุทธเจ้าบอกว่าเอากรรมเลยเอาตัวจริงเลย ทำกรรมของใครของมัน อันนี้พิสูจน์ได้ เป็นได้ เห็นได้ สัมผัสได้ ยืนยันกันและกันได้ เป็นสัจจะที่ครอบคลุมความจริงอย่างชัดเจนกว่า
สิ่งที่เป็นสัจจะที่ครอบคลุมความจริง เมื่อชัดเจนได้ เราไม่ลบหลู่ แม้จะคุยว่า GOD สร้างโลกและจักรวาลได้ แต่เราก็ไม่ได้อยู่ทั้งจักรวาลเราอยู่แค่ในโลกนี้ก็พอแล้ว เราจะอยู่ 100 ปีแค่นี้ก็เหลือแหล่ จะอยู่นานกว่านั้นก็แล้วแต่ ก็จะขยายขึ้นไป แต่ตอนนี้พิสูจน์เช่นนี้ชัดๆ คนตอนนี้อยู่เกินร้อยปีก็เก่งแล้ว ถ้าดีแล้วจะอยู่ต่อไปก็ได้ แต่ถ้าเลวแล้วอยู่ในวินาทีเดียวก็อยู่ทำไม อยู่แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย อยู่แล้วเปลืองเนื้อที่ ไม่คุ้มค่ากินอยู่หลับนอนอาศัยพื้นที่
อาตมาเป็นแม่เลี้ยง พวกเจโตเป็นแม่นม อยู่กับที่มีแต่นมให้ แต่แม่เลี้ยงต้องทำมากกว่า แม่เลี้ยงเหมือนพ่อ ส่วนแม่นมต้องอยู่กับที่ เป็นลักษณะที่เป็น axiom ไปแก้ไขไม่ได้ เป็นแม่เลี้ยงแม่นม เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นสิ่งที่จำเพาะว่าต้องอันนี้ ต้องทำให้ถูกต้องตามหน้าที่
ผู้ที่เข้าใจสัจจะนี้ แล้วก็ทำสัจจะที่ประเสริฐนี้ได้ จึงเป็นคนที่อยู่ในโลกอย่างมีคุณค่ามีประโยชน์ พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
เป็นความสุขที่ไม่ใช่การบำเรอกิเลสเป็นความสุขที่สงบ เป็นความสุขอย่างโลกุตระ ปรมังสุขังหรือยิ่งกว่าสุข
คนที่เข้าใจความจน คนที่มาทำตนให้เป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่ประเสริฐ เป็นคนจนที่มีความรู้ความสามารถ มีความเมตตาเกื้อกูลมีน้ำใจ เป็นคนจนที่ขยันอุตสาหะวิริยะ เป็นคนจนที่ต้องเทิดทูน ยกย่องนับถือ
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
สัตว์เล็กตั้งแต่เซลล์เดียวจนถึงเป็นล้านเซลล์ มันก็มีความรักตัวตน ไม่อยากให้ตัวตนนี้ต้องตายลงก่อน รักความเป็น ไม่อยากได้ความตาย (รักความตายนั้นเป็นอาริยะแล้ว) ในสามัญสำนึกทุกคนต้องชัดเจน สัตว์ทุกตัวมันเกิดมานั้นรักตัวเองทั้งนั้น ไม่เสียสละตัวเอง มันไม่ยอมเสียสละตัวเองให้ใครมาฆ่า แม้มันจะตายเองมันก็ยังไม่อยากตาย สัตว์ที่เริ่มเกิดมามันจะมีอัตภาพ อันนี้ของข้า อย่ามาทำร้ายชีวะของข้า ข้าจะอยู่นานๆ ในพวกสัตว์เซลล์เดียว สัตว์ชั้นต่ำตัวเล็กตัวน้อยนั้นอายุยืนยาวได้มาก เพราะว่าสิ่งอื่นจะทำร้ายมันไม่ได้มาก สัตว์ชั้นต่ำมันก็ยังรักตัวมันเอง มันไม่ยอมให้ใครจะฆ่ามัน มันก็จะพยาบาท มันจะไม่รู้ว่าพยาบาทดีหรือไม่ดี มันมีตัวตนแล้วมันจะไม่รักอะไรมากเท่ากับตัวมันเอง
สัตว์ที่เป็นจิตนิยามนั้นจะมีการหมุนเวียนสืบต่อ จะไม่สลายตัวเองได้เลย จนกว่าจะมาเป็นอาริยะ จบอรหันต์แล้วจะสลายตัวตนได้ นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จัดการสลายตัวเองได้โดยไม่กระทบกระเทือนทำร้ายใคร หมดพิษหมดส่วนที่จะเป็นความเสียหายให้แก่ใคร
แต่ผู้ที่เป็นอาริยะอย่างนี้ อย่างโลกุตระนี้ เมื่อรู้ตัวว่าเราอยู่มีความดี มีความเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมต่อโลก ก็จะช่วยโลก ช่วยเต็มที่ ช่วยเต็มที่แล้วจนครบถ้วนแล้ว ก็บอกว่าพอเสียทีเถอะ นั่นก็คือบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วมาประกาศศาสนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนผู้ที่มีภูมิเช่นเดียวกันนี้แต่ไม่ประกาศศาสนา ก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ถามว่าทำไมไม่สร้างศาสนาก็ต้องไปถามท่านเอง อาตมาก็ยังไม่ถึงขั้น แต่อาตมาพอรู้ได้แล้ว เป็นทฤษฎี เป็นทางนำแล้วว่า ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าวนเวียนช่วยมนุษย์โลกมาขณะนี้แล้ว หากจะสร้างศาสนาอีก ก็ช่วยมนุษย์โลกอีกเหมือนเดิมเป็นสมัยที่ 2 เท่านั้นเอง ซึ่งไม่มีอะไรมากเกินกว่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นมันสูงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า เหลือแต่ว่า ขั้นสูงสุดเท่ากันแล้ว ถ้าท่านจะสร้างศาสนาอีก เพื่อที่จะช่วยโลกอีก ท่านก็ได้ชื่อว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ดังขึ้นมามีชื่อขึ้นมาในโลกว่าเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก แต่ท่านมีคุณธรรมเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกองค์
เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ไม่เหมือนแบบพระเจ้าที่พิสูจน์ความจริงไม่ได้ พระเจ้าทำได้ทุกอย่าง แต่พิสูจน์ไม่ได้ ใครจะมาพิสูจน์ไม่ได้ สงวนลิขสิทธิ์ไว้แล้วส่งพระบุตรมาประกาศความจริงของพระเจ้าเท่านั้น ใครจะไปเป็นพระบุตรก็ไม่ได้อีก แต่ศาสนาพุทธแล้วไม่สงวนลิขสิทธิ์ความเป็นพระเจ้าหรือความเป็นศาสดา พระบุตร มาเป็นศาสดา สำหรับศาสนาพระเจ้านั้นคนอื่นจะเป็นไม่ได้ ศาสนาพุทธนั้นใครจะเป็นก็ได้ถ้ายืนยันทำจริงได้ ส่วนที่บอกว่าเป็นไม่ได้นั้นจะไปรู้ได้อย่างไรใครจะมาเป็นอย่างพระเจ้า ตายไปแล้วเป็นพระเจ้า อยู่อย่างไร จะเป็นอย่างไรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าก็คือพระจิต พระเจ้าปรากฏได้ไหม คุณธรรมของพระเจ้าปรากฏได้ไหม ถ้าคุณธรรมของพระเจ้าปรากฏก็มาปรากฎในโลกให้มนุษย์ได้เห็นสิ แล้วก็ต้องมีบุคคลที่เป็นเจ้าของปรากฏการณ์นั้นเรียกว่า ธรรมสามี เป็นเจ้าของปรากฏการณ์นั้น ยืนยันปรากฏการณ์ันั้น แล้วเจ้าของปรากฏการณ์ของศาสนาพุทธยืนยันว่าไม่มีพระบิดา เป็นเองได้ สยัมภู ตัวเองเป็นเองจากการพากเพียรศึกษาฝึกฝน จึงได้ความสุดยอดอย่างนี้ ใครอยากจะได้สุดยอดมากกว่านี้ก็เชิญ สุดยอดไปถึงไหนจนถึงเป็นพระพุทธเจ้า เป็นได้ด้วยกรรม สร้างกรรมสะสมกรรมจนกระทั่งสุดยอดจนไม่มีใครวิ่งไปทัน
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้เลยว่ายุคไหนกาละไหน พระพุทธเจ้านั้นจะมีหนึ่งเท่านั้นไม่มีใครวิ่งทัน ไม่มีใครจะควบทัน สูงได้ไม่ทันเท่าไม่เห็นฝุ่นเลย ไกลลิบ
อัตราการก้าวหน้าจะทับทวีมาก เป็นอัตราการก้าวหน้าที่ทับทวีจนหมดสิทธิ์ที่จะไล่ทัน นั่นแหละชื่อว่าคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้านั่นเอง
เพราะฉะนั้นในแต่ละยุคหากทำอย่างนี้ได้ สมมุติว่ามันยังมีสูงกว่านี้อีกก็กลับมาอีกสร้างต่อไปให้มันสูงสุด ถ้ามันสูงสุดแล้วไม่ว่าในยุคไหน กัปป์ไหน ล้านๆๆๆกัปป์สูงสุด ก็ทำต่อไปจนได้ เอาไหมล่ะ ...ใจสู้นะคนนี้
สมณะฟ้าไทว่า...เราได้ดีแล้ว พ่อครูทำให้เห็น อีกนานเท่าไหร่ก็ไม่เสีย แล้วจะไม่เอาได้อย่างไร
พ่อครูว่า...แล้วเกิดมาไม่รู้กี่ชาติก็ไม่ต้องเสียภาษี จึงเป็นสุดยอด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน นิยามของคนจนที่สุขสำราญ
สรุปมาที่กรรม ทำตนเองให้จน นิยามคำว่าจนคืออะไร
จนคือ ตนเองไม่ยึดถือว่าอะไรก็เป็นของตน แม้ตนเองจะเป็นผู้สร้างด้วยมือด้วยความรู้ความเร็วแรงหยดเหงื่อแรงงาน มีกรรมสิทธิ์เต็มที่ แต่ไม่ยึดถือเป็นของตนเอง และแม้จะอาศัยก็อาศัยน้อยไม่เปลืองไม่แพงไม่มาก อาศัยน้อย ไม่ทรมานตนเอง สมบูรณ์สมดุลอยู่อย่างแข็งแรงพอดีพอกิน อย่างอาตมาทุกวันนี้
อาตมากิน อาตมาใช้ การใช้นี่เห็นง่าย อาตมาใช้วัสดุเสื้อผ้าอุปกรณ์อะไรต่างๆ เท่าที่จำเป็น คนอื่นเขาจะอุปการะ จะSupport สิ่งเหล่านี้อาตมาไม่หาเองนะ ผ้านุ่งผ้าห่ม ที่อาศัย ใครอยากจะให้อาตมาใช้ก็เอามาเองไม่ได้หรอก แม้สิ่งนั้นจะสำคัญที่สุดคืออาหารคือคำข้าว ถ้าไม่กินก็ต้องตาย สองยารักษาโรค การเจ็บป่วยไม่ได้ใช้ 2 อันนี้ก็ตาย ยานี้ถ้าไม่กินก็จะตาย แต่เขาขาย 5 บาท ไม่มี 5 บาทก็ไม่ซื้อ ตายก็ตาย ใครจะช่วยก็ซื้อให้ 5 บาท อย่าว่าแต่ 5 บาทเลยห้าสิบล้านเขาก็จะให้เพราะคุ้มค่าว่าท่านควรจะอยู่ต่อไป คนที่เห็นอย่างนี้มีอย่างนี้เขาจะช่วย โดยไม่ต้องไปบังคับเขาหากเขารู้ อาตมาถึงมั่นใจในสัจจะสภาวะ จึงกล้าพูดและทำจริงมาตลอด ว่าอาตมาจะไม่เอาเงินใคร ที่เขาเอามาบริจาคให้เป็นสิทธิตามอัธยาศัย อาตมาจะกินใช้จะทำอะไรก็ได้โดยส่วนตัว อาตมาก็จะไม่ใช้ส่วนตัว แม้จะเจ็บป่วยต้องซื้อยานี้ ราคา 5 บาทถ้าไม่กินยานี้จะตาย อาตมาก็มีอยู่ 5 บาท เขามาบริจาคไว้เกิน 5 บาท ก็ไม่ใช้ซื้อยานี้ตายก็ตาย ใครเห็นว่าเรามีประโยชน์คุณค่า เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว อาตมาไม่สมัครใจจะอยู่คนเดียวแต่จะอยู่กับหมู่กลุ่มนี่แหละ
คนตั้งเยอะแยะทำประโยชน์แก่กันและกัน คนที่มีมากกว่า 5 บาทตั้งเยอะแยะแต่ไม่ช่วยปล่อยให้ตาย ก็ควรตาย ถ้าเขาไม่เห็นคุณค่าแล้ว ใช่ไหม
สมณะฟ้าไทว่า...เขาไม่ปล่อยให้ตายอยู่แล้ว บางทีอยากตายเขาก็ไม่ให้ตาย
พ่อครูว่า...ถ้าเรามีคุณค่ามี 500 ล้านเขาก็จะแชร์กันมาช่วย หรือคนเดียวมี 500 ล้านเขาก็จะช่วย ถ้าเรามีค่าอย่างนั้นก็จะได้อยู่สำหรับคนในโลก แต่ถ้าเราไม่มีคุณค่าขนาดนั้น ก็ตายเสียก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นอาตมาว่ามันขึ้นอยู่กับความจริง ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร อาตมามั่นใจในสัจจะ มีแต่คนหามาให้ รับหมดก็ไม่ไหว จึงต้องมีคนกันอยู่ในที
สมณะฟ้าไทว่า ใครๆก็อยากจะให้ เอามาถวาย
พ่อครูว่า รับมามากก็จุก พูดไปแล้วก็สุข สำราญ เบิกบานใจกับการที่เราได้ระลึกถึงกรรมที่เราได้ทำ ไม่เบียดเบียนใคร กรรมวิบากที่มีผล ผลชั่วจะย้อนมาหาเรา จะมาเร็วหรือช้า กำหนดไม่ได้
อาตมาก็มาทำดีหนึ่งนาทีอาตมาก็ทำดี ขายไม่ออกก็ไม่เป็นไรไม่มีใครเอาก็ไม่เน่า เน่าก็ช่าง ไม่เสียดายก็มันดีจริงๆ ฝากไว้ แต่ไม่สิ้นไร้ไม้ตอกขนาดนั้นหรอกทำมาก็เอาอย่างน้อยก็มีคนฟัง 1 คน ยังมีที่ฟังอยู่ทางบ้าน แม้จะไม่ถึงล้านวิว ไม่แน่นะอาจจะมีต่างชาติมากกว่าคนไทยก็ได้ ใจยังเชื่ออยู่ว่าคนไทยจะเอาได้ก่อน ทั้งๆที่อาตมาถูกเขาตราไว้ว่าเป็นสิ่งไม่ดี แต่อาตมามั่นใจว่าของอาตมาเป็นของแท้ของดีไม่เสียหายจริงๆ อาตมาถึงไม่ท้อ แม้จะเหนื่อยก็ทำ อย่าให้มันทำลายสังขารร่างกายก็พอ ถ้าอาตมา เป็นคนคำนึงถึงว่า จะเร่งทำให้มากให้ดี ทำแล้วเท่าไหร่ได้ก็เถอะจบแล้วก็ตาย อาตมาไม่คิดเช่นนั้นว่าทำให้มากแล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิดมาอีกไว้ใจไม่ได้ ทำให้มากให้เหลือเฟือไว้ก่อน ดีกว่าขาด ไม่อย่างนั้นอาตมาไม่กล้าที่จะไปทูลพระพุทธเจ้า แล้วไปรายงานตัวว่าทำมาเท่าไหร่แล้ว
หนึ่งอย่าไปสะสม สองสะพัดออกให้มาก ยังไม่พอใช้หมุนเวียนไม่ขาดตอน หรม. ครน. ทำได้คล่องตัวพอสมควร ไม่ตะกละเผื่อพอไว้ อาตมาเข้าใจสภาพที่พระพุทธเจ้าสรุปไว้ในมหาปเทส 4 สัปปุริสธรรม 7 อาตมาใช้ทำงานมาตลอด ก็เห็นผลได้ดี แล้วยืนอยู่ได้ ในลักษณะที่ขาดทุน จะเอานักเศรษฐศาสตร์นักวิชาการมาคำนวณก็ตาม ก็จะพบว่าอาตมาขาดทุนให้แก่สังคม ทำงานให้แก่สังคม เราถือว่านี่แหละคือสิ่งที่เราได้เราเสีย เราขาดทุน เราสละ ได้สละนี่แหละ เป็นชีวิตที่น่าภาคภูมิใจ เปลี่ยนชีวิตที่ได้สละจริงๆ ชีวิตที่ได้เอาเปรียบเป็นชีวิตที่น่ารังเกียจมาก เอาเปรียบยืนอยู่การได้เปรียบคนอื่นมันน่าเกลียดมาก อาตมาก็พยายามที่สุด ที่จะไม่ให้เป็นเช่นนั้น จะต้องเป็นผู้ที่เสียเปรียบคือการขาดทุนอยู่ในสังคมให้ได้ และเมื่อไม่สะสม มีทุนหมุนเวียน
ไม่เป็นสมณะอย่าไปทำงานการค้าขาย ถ้าขายของพวกเราให้อยู่ในทฤษฎี ของบุญนิยม อยู่ในขั้นขาดทุนของเราคือกำไรของเรา สุดยอดแล้ว ขาดทุนได้มากเท่าไหร่ก็เจริญมากเท่านั้น เป็นคนจนที่สะสมให้น้อยที่สุดเท่าไหร่ได้ เป็นคนเจริญสุดยอดเท่านั้น ขาดทุนมากเท่าไหร่แล้วอยู่ได้
อย่าไปประเมินค่าของตัวเองให้สูง ให้ประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำไว้ ๆ เราช่วยเหลือคนได้เท่านี้เราควรจะทำได้มากกว่านี้ เรามั่นใจว่าซื่อสัตย์ต่อความรู้ที่เรารู้อย่างนี้แล้วทำให้ได้อย่างนี้จริงๆ
คนที่สามารถมีสมรรถนะมีความรู้ทำได้อย่างที่อาตมาว่า จะอยู่รวมกันร้อยคนพพันคนก็มีคุณค่าต่อสังคม สังคมนี้ไม่มีใครมาตีแตก ไม่มีใครที่จะมาทำลายได้ ยิ่งโลกสมัยนี้มีภูมิปัญญามีคุณธรรมมากก็จะตัดสินกัน
สมณะฟ้าไทว่า...คนจนมี 2 ประเภท แบบโลกียคือแบบไม่ยอมขาดทุน คนจนแบบโลกุตระคือคนที่ยอมขาดทุน จะเป็นคนจนแบบนี้ได้ ต้องมาลดกิเลสแบบที่พระพุทธเจ้าสอนจนเป็นอาริยชนจนเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วก็มาช่วยเหลือคน ทำไมต้องมาอยู่ร่วมกัน เพราะว่าเป็นคนที่มีเมตตา มีความเสียสละ คนที่มีความเมตตาจะอยู่คนเดียวได้อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือคนอื่น
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:31:18 )
รายละเอียด
601023 พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แบบคนจนที่ถึงสาธารณโภคี
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงเวลานี้ชาวไทยจำนวนมากก็มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อร่วมพิธีถวายพระเพลิงในหลวงรัชกาลที่ 9 ชาวกองทัพธรรมเฉพาะผู้ที่มีรายชื่อเป็นผู้รับใช้ก็จะไปร่วมทำงานแจกอาหาร ขนาดวันซ้อม คนก็ยังมากันมากมาย ไปรอกันเป็นวันๆจนเป็นลมกัน เขามาวันซ้อมก็เพราะคิดว่าวันจริงคงจะมาไม่ได้ คนที่เข้าใจเรื่องปฏิบัติบูชาก็น่าจะเข้าใจกันว่าทำอย่างไรจะช่วยประชาชนที่มีหัวใจรักในหลวงที่มากันเต็มที่ อาตมาว่าพวกเราเข้าใจเรื่องปฏิบัติบูชาอยู่แล้ว ก็น่าจะทำในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยงานครั้งนี้ของรัฐบาล ของในหลวงองค์ปัจจุบัน เราไปช่วยแขกพระราชาทำอย่างไรให้เขาไม่เดือดร้อนกัน คิดว่าน่าจะเป็นการปฏิบัติบูชาที่มีผลสูง อยู่ที่สันติอโศกก็คงจะมีเรื่องช่วยกันมากอยู่แล้ว ถ้าจะไปช่วยที่โรงบุญก็ต้องลงชื่อไว้แล้ว ต้องเป็นคนที่แข็งแรงด้วย แต่งานอื่นก็คงจะมีได้ช่วยเหลือกันมาก
ทุกวันนี้ในส่วนโลกวิทู โลกานุกัมปายะ ประชาชนรับรู้ได้ ทรงช่วยเหลือประชาชนมาตลอด 70 ปี โลกวิทู ในหลวงมีอยู่แล้ว แต่โลกุตระนั้น พ่อครูก็ต้องมาอธิบายให้คนเข้าใจว่าในหลวงมีส่วนสำคัญในเนื้อหาโลกุตระที่เป็นส่วนสำคัญ ดูเหมือนว่าหลายคนก็มีความคิดตรงกันว่าในหลวงตรัสว่า งานยังไม่เสร็จ ทำอย่างไรจะช่วยให้งานของในหลวงได้บรรลุผลสำเร็จ เรื่อง ศาสตร์พระราชาก็เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันว่าจะช่วยกันทำอย่างไรให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองต่อไป
พ่อครูว่า...เริ่มต้นจาก sms ไลน์ก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(ทักขิเนยบุคคล 7) ตอน สายศรัทธากับสายปัญญาสู่การบรรลุ
_ลอย แคนาดา
เรื่อง ประวัติการตีความพระไตรปิฎก มีหลายคนบอกว่า ผู้ไม่เชื่อ เรื่องชาติก่อน ชาติหน้า เวรกรรมเก่าจากชาติก่อน ย่อมไม่ใช่ชาวพุทธ
อันนี้ มีใครไปแก้พระไตรปิฎก ให้ผิดเพี้ยนหรือเปล่าครับ หรือเป็นการสอนเพื่อผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงด้วยปัญญา ในการเข้าใจในเรื่องขันธ์ ไตรลักษณ์ และปฏิจจสมุปบาท สามารถเข้าถึงโดย ปฏิบัติด้วยศรัทธา ครับ
พ่อครูว่า...ผู้ที่เชื่อว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ เข้าใจว่ามีชาตินี้ชาติหน้า ก็คือผู้มีปัญญา ส่วนนัยของศรัทธาและปัญญานั้นค่อนข้างสับสนกัน
พระพุทธเจ้าอธิบายเรื่องของ ทักขิเนยบุคคล 7
สามเส้าแรก เป็น สัทธานุสารี ธัมมานุสารี สัทธาวิมุติ เส้าต่อมา คือ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ
ผู้ที่มีศรัทธาเป็นหลักสัทธานุสารี ก็ต้องพยายามตามหาสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิจริงๆก็คือปัญญา ศรัทธานั้นยากจะเข้าใจ ศรัทธานี้ตามอย่างไรอย่างไรก็หนักไปทาง วิมุติ
วิมุติหรือนิโรธ การดับสนิทหลุดพ้น ส่วนวิมุตินี้หลุดพ้นด้วยการวางด้วยปัญญา
วิมุตินี้สว่าง นิโรธนี้มืดดับดำ วิมุตินี้สว่างว่าง
สายศรัทธาหนักทางนิโรธ ไม่หนักทางวิมุติ
สัทธานุสารีก็ได้สัทธาวิมุติ ส่วนธัมมานุสารีก็ได้ทิฏฐิปัตตะ ไม่ดับไม่มืด (ปัตตะ เป็นมรรค ปันนะ เป็นผล)
ทิฏฐิปัตตะ เริ่มต้นเป็นผู้เข้าถึงความรู้ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ
เริ่มต้นจะเข้าถึงความหลุดพ้นด้วย ทิฏฐิปัตตะ
สายศรัทธา มีสัทธานุสารี สัทธาวิมุติ แล้วกายสักขีได้องค์ประชุมรูปนามก็ยังไม่ครบถ้วนในความรู้
กายสักขี พระพุทธเจ้าสำทับว่า แม้จะหลุดพ้น แต่อย่างไรๆแม้ทางรูปธรรมทางวัตถุนี้ไม่เอา แต่จิตจะบรรลุไหม? จิตยังไม่ถึง กายสักขียังไม่ถึง ต้องเติมความรู้ปัญญาวิมุติให้ได้
กายสักขี จึงมีอาสวะบางอย่างดับได้ แต่ปัญญาวิมุติดับอาสวะสิ้น ส่วนจะถึงอุภโตภาควิมุติต้องหมดสองอย่างคือ อาสวะและอนุสัย
ผู้ดับอาสวะแล้วจะไม่เกิดมาอีกได้ แม้จะเหลือเศษอีกก็เป็นชรตา ไม่มีอุปจยะหรอกไม่มีการเกิด ถ้าคุณไม่เติมสันตติ ให้อุปจยะอีก ชรตาก็มีแต่เสื่อมสูญ เป็นเอง ไม่มีพลังงาน Coefficient ให้มันเพิ่มขึ้นมาอีก
อย่างอาตมานี่ อาตมาหมดอายุขัย ไปตั้งแต่อายุ 72 ปี ทุกวันนี้พยายามจะฝืนจะเติมอิทธิบาทให้ได้อีก เติมรอบหนึ่งก็ยังไม่พอใจ รอบนักษัตร 72 เติมอีก 12 ก็เป็น 84 มันก็จะคล่องขึ้น ไปถึง 96 แล้วจะหนัก ถ้า 96 นี้อาตมาไม่รอดก็ไม่รอด แต่ถ้ารอด 96 อีกได้ จะไปถึง 108 ปี ตกลงจาก 72 ไปถึง 108 นี้จะอีก 3 นักษัตร จะขึ้นไปถึง 120
120 ยังไม่พอใจจะต้องไปถึง 132 แล้วจะเอาไปถึง 144 ถ้า 144 อาตมาจะอยู่ต่อไปอีกอย่างมากก็ 7 ปี เป็น 151 ปีก็ไปตาม momentum อาตมาไม่ฝืนแล้ว แต่ก็ต้องพากเพียรให้มี Coefficient
อาตมาเชื่อ คนอื่นจะเชื่อหรือไม่ก็ตามว่าไม่น่าเชื่อนะ จะเพิ่มไปอีกสามนักษัตร อาตมาพยายามอยู่ ถ้าอาตมาพิสูจน์ได้นี่ คนจะเชื่อ ถ้าถึง 108 ปีนี้ ฆ้องไม่ต้องมีใครไปเคาะหรอกของมันจะดังเอง เพราะตอนนี้สังคมโลกเข้าใจโลกุตรธรรมแล้วว่าคืออะไร
โลกุตรธรรมคือมาหาทางหมด เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์จึงต้องมาหาทางนี้ ตอนนี้ทุนนิยมยังแข็ง เป็นปลายกรวย จนกว่าเขาจะชัดเจนยอมรับก้นกรวย ความคิดจะเข้าใจว่าคน 0 คือ คนไม่มีอะไรเลยไม่เอาอะไรเลย หรือเชื่อพระเจ้า เชื่อบารมีจะมีสิ่งหนุนเนื่องเอง สายเจโตเชื่อพระเจ้า สายพุทธศาสนาเชื่อบารมี จะมีขึ้นมาเอง ไม่มีใครมองเห็นหรอกอย่างทุกวันนี้อาตมาไม่เรี่ยไร ไม่หาเงิน อาตมาใช้จุเหมือนกันนะไม่ใช่น้อย ทุกวันนี้
เพราะเราสะพัดออกไปช่วยผู้อื่นทันที แล้วเราก่อร่างสร้างตัวด้วยนะ ดูสิว่าทุกวันนี้เฮือนสวน ยังไม่เสร็จเลย จะเป็นอาคารที่มีการเรียนการวิจัย มีการพาณิชย์สะพัดออกไปสู่มวลชน แต่ตอนนี้เป็นโครงสร้างใหญ่ได้แล้ว เนื้อรายละเอียดที่ต้องเติมก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น ก็ค่อยๆเป็นไป
อธิบายอีกส่วนหนึ่งขอให้ฟังดีๆ
แม้แต่คนมาหากินอยู่ในราชธานีอโศก มาอาศัยที่นี่หากินยังมาอู้งานอยู่ในที่นี่เลย เราก็เกรงใจไม่อยากพูดให้กระทบกระเทือนใจ แต่มาอู้งานกินไปวันหนึ่ง รัฐบาลก็ตั้งอัตราค่าแรง วันละสามร้อยสี่ร้อยไปเรื่อย เขาก็มาทำงานก๊อกๆแก๊กๆมาได้วันละสามสี่ร้อย เขาอู้งานนี้เขาเลวลง เขาเป็นหนี้เราก็ค่อยบอก เราไม่อยากรังแก อยากให้เจริญพัฒนาแต่ก็อย่ามาทำอย่างนี้มันจะเป็นนิสัยเสีย อกุศลมากขึ้นนะ ไม่ใช่กุศลมากขึ้น ที่ได้มาเอาเปรียบได้เปรียบมันก็แย่นะ นี่คือความซับซ้อน
ว่ากันจริงเราก็อาศัยกัน แต่ว่าเขามาอาศัยเราเขาก็ไม่ควรทำให้ตัวเองเสื่อม เราก็อาศัยเขา นี่คือภาวะซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจ
สัทธานุสารี ได้วิมุติก็แบบเดา ส่วนธัมมานุสารีสายปัญญาแท้ๆ พอได้บรรลุขั้นที่สองก็ทิฏฐิปัตตะ สว่างชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอันไม่มั่ว พอบรรลุอีกทีก็เป็นอรหันต์ ปัญญาวิมุติ ส่วนกายสักขียังไม่เรียกว่าอรหันต์ จะต้องมีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะได้อรหันต์
ผู้ที่เป็นสายศรัทธาเจโต จะเดินไปตามทางเขา ส่วนสายปัญญาเริ่มด้วยธัมมานุสารี แล้วเป็นทิฏฐิปัตตะ แล้วปัญญาวิมุติดับอาสวะได้ ดับอนุสัยได้ต่อไป
นี่คือ 7 บุคคล
สายแรก สัทธานุสารี สัทธาวิมุติ กายสักขี อีกสายหนึ่ง ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี ปัญญาวิมุติ พวกสัทธา ไปได้กายสักขีก็จะช้ามีรูปธรรมเป็นสักขีพยาน แต่ก็เสพ วน ดีไม่ดีวนในอบาย อาตมาก็นึกถึงสายอ.มั่น มหาบัว ช้าอยู่อย่างนั้นไม่รู้แม้แต่อบาย สิ่งเสพติดอยู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นรสชาติ อย่างนั้นแหละช้า ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างมหาบัว ก็หลงว่าตนวิมุติหลุดพ้นอยู่นั้น ทั้งที่มีสิ่งเสพติดอบายอยู่
ใน 7 อาริยบุคคลนี้ จึงต้องเข้าใจถึงสภาวะ ของสายศรัทธากับปัญญา จะต้องเกื้อกูลกัน ปัญญาต้องอาศัยเจโตเกื้อกูล ศรัทธาต้องอาศัยปัญญา แต่โดยสัจจะแล้วปัญญาจะเร็วกว่าศรัทธา
_สมถวิล บาลเวช
กำลังฝึกเป็นคนจนผู้สุขสำราญด้วยการสละแรงกายแรงใจฝึกเป็นผู้ให้ลดละกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่สำนึกดีกลัวบาปไม่เต็มร้อย ก็ยังบังอาจพูดถึงความไม่ดีคนอยู่บ้างแล้วก็ตกใจตัวสั่น ...ชั่วแบบนี้ได้ยังไง หรือเสพความพอใจบางเรื่อง ทุกข์น่าดูสองคืนกว่าจะนอนได้ล้างละลง โอ้ยกิเลสมีเป็นแสนๆล้านๆ ก็จะฝึกต่อไปค่ะ
พ่อครูว่า...... อย่างพระพุทธเจ้านี้ บาปแม้น้อยอย่าทำเสียเลย การเสพความพอใจบางเรื่อง คือค่อนข้างจะละเลียด คุณสมถวิลนี่ ชื่อทางธรรมอะไรนะ? พอเจออย่างนี้ก็ทุกข์ ก็ค่อยๆทำไป กิเลสเป็นแสนเป็นล้านก็เอาไว้ก่อน เอาที่ต้องทำจัดกรอบปริเฉทก่อน ศีล 5 8 10 จุลศีล มัชฌิมศีล
_SMS วันที่ 22 ตุลาคม 2560 (วิถีอาริยธรรม บวรราชธานีอโศก)
_6956 ขณะนี้มีพระที่จะทำให้ศาสนาผิดเพี้ยนไป ไม่มีพระผู้ใหญ่ออกมาทำอะไรเลย แต่พ่อครูจะทำให้ศาสนาถูกตรงกลับต่อต้าน แปลกจริงแห่ะ ก ท ม ระดับ ท่านป อ ดูพ่อครูไม่ออกเชียวหรือ
พ่อครูว่า...มีอยู่สององค์ ที่อาตมาชัดเจน สายปัญญาก็คือ ท่านปอ.ปยุตโต ส่วนทางสายเจโต คือสายท่านอัมพโร สงบสบาย ไม่รบเหมือนท่านปยุต
คุณนี้ก็สงสัยว่า ระดับท่านป.อ. ก็เอาน่า มันมีเหตุปัจจัยหลายชนิด ถ้าท่านดูไม่ออกตอนนี้ก็ เจอล่ะสิ ตอนนี้ดูออก ตอนแรกท่านดูไม่ออก เขียนซัดอาตมาสามเล่ม ท้ายเล่มที่สามก็ห้อยไว้ว่า ยังมีอีก แต่ก็ไม่มีมาแสดงว่าท่านก็ดูออก แต่ท่านยังไม่ปักใจเชื่อทันที แต่อาตมาว่าขนาดนี้ก็พอใจแล้ว ก็ทำงานได้ ท่านก็ติดตาม ท่านก็ต้องระวังไว้ ไม่ระแวงก็ระวัง โพธิรักษ์อย่าพลาดนะท่านคอยระวังให้ก็ดีแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ลักษณะของสังคมคนจนสาธารณโภคี
มาสู่แบบคนจน
แบบคนจนนี้จะต้องชัดเจนว่าอย่างไรก็ต้องมาจนแต่กิเลสที่ยังมีอยู่ ก็แลบเลียว่า อยากได้อันนั้นอันนี้ อยากกินนั่นกินนี่บ้างก็ซับซ้อน ต้องชัดเจนในหลักธรรมพระพุทธเจ้า ในสัมมาอริยมรรคมีองค์ 8 หรือโพชฌงค์ 7 เป็นตัวหลักของโพธิปักขิยธรรม 37 หรือรวมมาใช้เป็นกรอบนอกเรียกไตรสิกขา=โพธิปักขิยธรรม 37 หรือซอยมาเป็น จรณะ 15 วิชชา 8 หรือมีวรรณะ 9 จะเป็นคนเลี้ยงง่ายพัฒนาให้เจริญง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
มาจบที่ไม่สะสมแต่วิริยารัมภะ มีความเพียรขยัน จนบางที over มันเพียรเกิน จะตายก่อน หลายทีอาตมาเป็น ก็ต้องให้ท่านทั้งหลายมาช่วยแบ่งเบาไป ไม่อย่างนั้นจะเอาทุกวัน ตอนนี้ต้องเจียมแก่ เอาแต่พอเหมาะพอควร
อัปปิจฉะคือกล้าจน น้อยลง แล้วน้อยก็พอคือสันตุฏฐิ ไม่ใช่เบียดเบียนตนเอง แล้วใจจะวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก(กิเลสสงบ) จบไปในตัว ปวิเวกคือทำความวิเวกทั้งสามได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
อสังสัคคะคือไม่เอาแล้วสวรรค์ สวรรค์คือตัวเก๊ ลดสวรรค์ไปเรื่อยๆ สุดท้ายอสังสัคคะคือหมดสวรรค์ แม้จนก็มีสวรรค์แต่ไม่ติดยึด เป็นเครื่องอาศัย หรือเป็นวิสัย จนเป็นอนุสัย ก็ต้องเข้าใจ อาศัย วิสัย จนจบเป็นอนุสัย
อาตมาโพธิสัตว์ระดับ 7 รู้เท่านี้ ยังมีรู้มากกว่าอาตมาอีก ระดับ 8 9 แต่คุณก็รู้ไม่เท่าอาตมา ถ้ารู้เท่าก็มาช่วยกัน เป็นพี่เหนือกว่าอาตมาก็มาช่วยกันอีก อาตมาไม่ติดยึด หากใครดีกว่าอาตมาเป็นสัมมาทิฏฐิก็จะได้ช่วยกัน
สังคมสาธารณโภคีเป็นสังคมเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดแล้ว มีสมบัติส่วนกลางอาศัยกินใช้ในนี้ร่วมกัน ใครหยาบตะกละเกินขอบเขตก็เอาออกไปที่อื่นเถอะ เราไม่ฆ่าแกงใครหรอก แต่กรุณาอย่ากวนกัน มันเป็นบาปของคุณ จะมีธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธัมโมหเวปกติธรรมจาริก จะจัดการพวกนี้ออกจะมีกำแพงโดยสภาพ ธัมมัญญารังสี เข้ามาไม่ได้หรอกพวกนี้จะร้อน เหมือนสีดากับทศกัณฑ์ สีดาแปลว่าเย็น แต่ทศกัณฐ์เข้าใกล้ไม่ได้ เพราะมันเลวไง ทศกัณฐ์กับสีดาเป็นพ่อกับลูก แล้วจะไปทำไม่ดีกับลูก ทศกัณฐ์ก็ยิ่งเป็นคนเลวๆ บารมีแห่งสัจจะจึงกันให้ร้อนเข้าไปไม่ได้ พลังงานความร้อนเป็นพลังงานไม่มีตัวตน แต่คุณเข้าไม่ติด
ยืนยันการเป็นเศรษฐกิจ“สาธารณโภคี”ได้แม้แต่ในความเป็นเศรษฐกิจทุนนิยมที่ยึดตัวยึดตน สะสมของตัวของตนจัดจ้านอยู่ชัดๆในปัจจุบันสมัยนี้ ก็ยังสามารถมีสังคมชุมชน“สาธารณโภคี”ที่เกิดได้เป็นได้จริงในโลก จึงเป็น“ปรากฏการณ์ที่ประกอบด้วยคนพิเศษที่เป็นสังคมยอดเยี่ยมมหัศจรรย์อันเป็นลักษณะสังคมจริง ที่ใครๆต่างก็สามารถ
สัมผัสได้ยืนยันความจริงนี้ได้”(phenomenal) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดมากๆ กล่าวคือ เป็นคนทำงานเลี้ยงชีพโดยไม่มีลาภแลกลาภกันจริงๆ นั่นคือทุกคนทำงานฟรีอยู่ในชุมชนนั้น ซึ่งเท่ากับทำงานแล้วเสียภาษีเข้าส่วนกลาง 100 % นั่นเอง
คุณไม่มีบารมี ไปขอใช้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ใช้ ก็ต้องตามสัจจะว่า ถ้าเขาควรได้ เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ เจ้าหน้าที่ก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าคุณไม่ควรได้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ดีก็จัดสรรเจ้าหน้าที่คนใหม่ไปทำ สัจจะจะยืนยันความจริงให้พิสูจน์สัมผัสได้
สรุปแล้ว ในสังคมสาธารณโภคี จะอยู่อย่างกินใช้ส่วนกลางแล้วจะคัดสรร หากคนมักมากเกินกติกาที่นี่ก็อยู่ไม่ได้ หากรุนแรงเกินขอบเขต ก็อยู่ไม่ได้ จะรุนแรงด้วยโกรธหรือรุนแรงด้วยราคะ เกินเกณฑ์
เกณฑ์ชาวอโศกคือ หนึ่งไม่มีอบายมุข มีอนุโลมบันเทิงไหมมี แต่ไม่จัดจ้านเลย จืดๆ มีอร่อยไหมมี แต่จืดๆ
รสจืดนี้ บริสุทธิ์นะ แต่คนจะชอบหรือไม่ชอบก็ได้ ถ้ามีอุปาทาน ถ้าคนไม่มีอุปาทาน ก็ดื่มได้ปกติ จิตคนไม่ตรงก็เป็นได้ทั้งสองด้านทั้งสภาวะและจิต
สังคมสาธารณโภคีนั้นเป็นสังคมที่กินใช้ร่วมกันกับส่วนกลาง เป็นสังคมที่ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์หรือเผด็จการก็ต้องการ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกเป็นเอหิปัสสิโกเชิญให้มาพิสูจน์ได้ แม้จะยังไม่งามเท่าไหร่ เหมือนกับสาวน้อย ยังไม่เปล่งปลั่ง ดูน่าเอ็นดู ตามประสาโลกๆเขา แต่ยังไม่เปล่งปลั่งอะไร ก็ต้องรอจังหวะ แต่ก็เชิญเข้ามาให้ดูได้ มีรากฐาน ภายหน้าก็คงจะสวยอยู่ มีเค้า (โยมถามว่า เปล่งปลั่งเหมือนในยุคพระศรีอริยเมตไตรยหรือเปล่า)
พระศรีอาริย์เป็นอนาคตที่ดีกว่า เป็นพยัญชนะ เป็นฐานะที่ภายภาคหน้า ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ก็ค่อยศึกษาไป
สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ฯลฯ กระทั่งคนในสังคมที่ต่างก็มีลาภโดยธรรม แล้วนำมารวมกันกินใช้อาศัยบริโภคในการดำเนินชีวิตเป็น“สาธารณโภคี”อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดสุดของสังคมมนุษยชาติ เป็นต้น มีจิตเป็นตัวตัดสินควบคุมจัดการ มีธาตุรู้ประธานของแต่ละคน ของใครก็ทำเท่าที่ฐานตนเองได้ก็ร่วมสร้างสรร เราก็อาศัยขัดเกลาตัวเอง พัฒนาตัวเอง
แม้ในยุคทุนนิยมที่สุดแสนสามานย์ปัจจุบันนี้ ก็สามารถมีสังคมชุมชนที่มีลาภธัมมิกา แล้วนำมารวมกันกินใช้อาศัยบริโภคในการดำเนินชีวิตเป็น“สาธารณโภคี”อันเป็นเศรษฐกิจขั้นเยี่ยมยอดสุดของสังคมมนุษยชาติ นี้ได้ เป็นอกาลิโกไม่จำกัดแต่ในยุคพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ในยุคนี้เป็นยุคของอิสระเสรีภาพ พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนใหญ่แล้ว มีอีกหลายประเทศที่เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่นบรูไน เป็นต้น แต่บรูไน นี้รวยจริงๆ มีมากพอ มีเงินทองมีทองดำ บ้านเมืองวังเวียงเขาเอาทองสร้างจริง เขาไม่มีการขโมย เกิดมาก็มีเงินเดือนแล้ว ไม่มีใครจะต้องไปทำชั่ว ไม่มีใครต้องมาแย่งชิงปล้นจี้ ใครจะมานอกรีตไม่ได้ เพราะว่าวัตถุมีมากเกิน จึงดีได้ แต่ถ้ากระเบียดกระเสียรแย่งชิงกันก็ไม่รู้นะ ถ้าน้ำมันหมดมาเมื่อไหร่
ตอนนี้บรูไน มีประชากรไม่ถึง 1 ล้านคน มีแค่สี่แสนคน เพราะฉะนั้นในสภาวะ เศรษฐกิจที่หมุนเวียนอยู่จึงไม่เดือดร้อนอะไร เป็นตัวอย่างในโลก ประมาทไม่ได้
เทียบบรูไน เกาหลีเหนือ และอเมริกา
บรูไนยังมีสมบัติพัสถานเยอะ เกาหลีเหนือและอเมริกาบุญเก่าหมดแล้ว ตอนนี้ก็เลยต้องแสดงอำนาจ บรูไนไม่ต้องแสดงพลังงานอำนาจอะไร เพราะทุกคนต้องใช้ทองดำ ฟอสซิล ไม่ต้องไปขูดรีดจากใครเพราะเหลือพอ แต่ทองดำนี้หมดก็ได้นะ เขาประเทศเล็กแต่ทองดำน้ำมันมีเยอะก็เลยไปได้
แต่ตอนนี้ อเมริกา เล่นมายากล เอาดอลล่าร์ ค้ำประกันตนทั้งที่ทองคำทองดำไม่มีแล้ว เกาหลีเหนือก็เหมือนกัน เกาหลีเหนือถึงเบ่งขี้แตกเอาอำนาจระเบิดขู่ฆ่า ขออภัย ยังเถื่อน แต่เขาก็จำเป็น ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องสลายความเป็นประเทศเกาหลีเหนือ กลับกลายเป็นเกาหลีใต้ก็ไม่ยอมกันก็ทำไป จนกว่ามันจะจบ จนกว่าคุณจะต้องยอมเข้ารวมกับเกาหลีใต้ หรือไม่ก็ยอมสลายตัว เกาหลีใต้ก็ไม่เอา ไปเป็นประชากรของจีนดีกว่า หรือมาเมืองไทยก็ได้ แต่ต้องเปลี่ยนนิสัยนะ นิสัยเก่าอย่างนั้นเราก็ไม่เอา มันเป็นสัจจะ มันจะเป็นจริงของมันเอง
สรุปลงไปว่าในยุคทุกวันนี้ประชาชนมีปัญญามีความเข้าใจลึกซึ้งในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ความเป็นสังคม ความเป็นวัฒนธรรม เศรษฐกิจการเมือง ก็เป็นวัฒนธรรมที่สรุปแล้วต้องไม่เห็นแก่ตัว เป็นผู้ที่ให้ เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ที่ให้ผู้อื่นได้ ไม่มีตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว นั่นคือสูงสุด
คนที่ไม่สะสม ไม่ต้องมีของตัวเอง มันก็คือคนจน เป็นคนจน สรุปเป็นภาษาไทยง่ายๆ ในหลวงก็ใช้ภาษาไทยสบายๆ ว่าแบบคนจน คนก็งงมาตั้งนาน อาตมาก็พาทำ แล้วพวกเราก็มีบารมีมาเป็นคนจนได้ จนกระทั่งมาตั้งนามสกุลจนทั้งหลายอย่าง จนดีจริง จนอีหลีอีหลอ จนทุกชาติ นายศิลป์สร้าง จนทุกชาติ มันประทับใจภาษานี้และจิตใจก็เป็นจริงตามนี้ เราไม่กลัวหรอก เราจะมาเป็นตระกูล จนนี่แหละ มันจริงใจ
ลักษณะเศรษฐกิจที่จะมาเป็นแบบคนจน อย่างในหลวงร.9 จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง ถ้าไปรวยก็จะไปแย่งกัน ถ้ามาจนแล้วก็จะให้กันได้ ต้องสุจริตนะ ไม่ยักของใครมาให้นะ ต้องเป็นของที่คุณมีสิทธิที่จะให้เขานะ คุณจะให้อย่างทรมานตัวเองก็แล้วแต่คุณ ก็ไม่ต้องทรมานตัวเอง ให้พอดีที่จะให้เขาได้ จะให้เขาได้ก็ต้องมีประสิทธิภาพ มีความขยันเพียงพอ สร้างสรรเกินกินใช้ หากทำไม่พอกินใช้ก็ตาย ถูกเขาบีบแน่นอน แต่ถ้าทำได้เกินกินเกินใช้ เขาก็ไม่ทำอะไรคุณ เพราะคุณมีประโยชน์มีแต่สร้าง ถ้าเครื่องกลนี้มีประโยชน์ทำงานได้เขาก็ให้ทำต่อ แต่ถ้าเครื่องกลนี้กินน้ำมันมาก แต่ไม่มีผลดีอะไรไม่คุ้ม เขาก็หยุดไม่ใช้เครื่องนี้
สรุปแล้ว คนที่เข้าใจด้วยปัญญา แล้วมีเลือดความเสียสละที่แท้จริงจึงอดทนได้ โดยเฉพาะสังคมนี้มีปัญญาจริงร่วมกันเป็นหมู่กลุ่ม แล้วกลุ่มนี้จะมีพลังงานสร้างสรรให้คนอื่นได้เอื้อมเอื้อเกื้อกว้าง มีความจริงใจ ที่ตนเองกินอาศัยมีจุดพอ มันไม่เอามากกว่านี้จริงๆ
พอแล้วก็สมดุลด้วย สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง จิตใจเบิกบานสบายไม่ตะกละตะกราม อยู่กับหมู่ก็อบอุ่น จบในตัว คนเรานี่ก็มารวมกันอยู่ แล้วก็จะต้องฝึกฝนให้บรรลุธรรม เป็นสังคมที่ต้องมีบ้านวัดโรงเรียน มีคุณธรรมคือวัด มีสังคมคือบ้าน และมีการศึกษาคือโรงเรียน
สามเส้าบวร จึงเป็นสิ่งที่ต้องขยายความและพิสูจน์ความจริง ชาวอโศกมีสังคม (บ้าน) เป็นสังคมที่มีธรรมะ เป็นของพระพุทธเจ้า ใครจะไปเชื่อว่าพระพุทธเจ้าในความหมายของคุณ ศาสนาพุทธของคุณพระพุทธเจ้าของคุณเป็นอย่างไรก็ว่าไป ส่วนเราไม่เป๋ไม่เป็นอื่นแล้ว อาตมาว่า ทิฏฐิที่มีนี้สัมมา ส่วนคนอื่นจะเข้าใจอย่างอื่นก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าคนละองค์กัน ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน ของคุณก็สร้างของคุณไป อาตมาก็สร้างของอาตมา สร้างดาวคนละดวง ไม่มีปัญหาอะไร เราก็สร้างไป
อาตมามั่นใจอย่างนี้ก็ต้องพิสูจน์กันไป แล้วมันก็ยังไม่ได้ดีเท่าไหร่ ยังไม่ได้มากเท่าไหร่ มันยังมีดีกว่านี้ ยังมีปริมาณมวลได้มากกว่านี้ จึงจะต้องสร้างขึ้นให้มีปริมาณและมวลมีคุณภาพคุณธรรมสูงยิ่งกว่านี้ คุณธรรมที่สูงก็คือไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ช่วยผู้อื่นประโยชน์ต่อผู้อื่น พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) จะพิสูจน์อันนี้ต่อไปอีก
จนอาตมามั่นใจที่จะบืนตาย(ไม่ยอมตายง่ายๆ) ตะเกียกตะกายไป ไม่ยอมไปกับพญามัจจุราช ไม่เอายังไม่ตาย ให้เหตุผลกับพญามัจจุราชว่าไม่ได้ทำเพื่อเห็นแก่ตัวนะพญามัจจุราช พิสูจน์แล้วเองทำเพื่อผู้อื่น เหนื่อยแสนเหนื่อยก็ทำเพื่อผู้อื่นพากเพียรสร้างสรรเพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปยิ่งขึ้นๆ ไม่มีความโค้งงอ Boomerang ไม่มีองศา ตรงไปตรงไปเลย ไม่เชื่อก็มาตรวจวัดดู ตรวจให้ดีนะ อย่ามาโกงอาตมา ตอนนี้พญามัจจุราชก็ยอมฟัง ให้เอ็งพิสูจน์ไปดู ยังไม่เสียท่า ถ้าเสียท่าเมื่อไหร่ระวัง พญามัจจุราชก็ต้องมีปัญญาฉลาดเพียงพอที่จะซื่อสัตย์สุจริตไม่โกงไม่คดโค้ง ไม่ผิดสัจจะ อาตมาจะไปกลัวทำไม อาตมาจะต้องไปเป็นเช่นนั้น
ทุกวันนี้พูดจริงๆว่า อาตมาต้องพยายามทำตัวเองให้เป็นพญามัจจุราช พิพากษาตัวเอง สักวันหนึ่งก็จะเป็นได้ ตอนนี้ก็ไปเรื่อยๆก่อน
สรุปแล้ว อธิบายไปหาหยาบ เราก็อยู่กับดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็อยู่กับช่องว่าง อากาศ แล้วเอามาผสมผสานโดยมีจิตเป็นประธาน ดินน้ำไฟลม อากาศ อากาศคือช่องว่างระหว่างสิ่งเหล่านี้ ดินกับน้ำสองมวล มันไม่ชิดกันสนิทหรอก ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็ไม่มีสองแล้ว แต่ถ้ามีสองก็ต้องมีช่องว่างอยู่ ไม่กลมดิกซ้อนกัน จึงต้องมีช่องว่างเป็นความโอเวอร์แลป โดยรูปธรรมกับนามธรรมจะต้องมีความลงตัวไปตลอด
อาตมาเอาทฤษฎีพระพุทธเจ้ามาแล้วพวกเราเป็นชาวพุทธด้วยกัน ใครจะเข้าใจพระพุทธเจ้าถูกต้องที่สุดสูงที่สุด ก็ต้องพยายามที่จะยืนยัน ผู้ที่ยังไม่สูงก็ต้องพยายามศึกษาต้องให้ตรง หากสัจจะที่ดีที่สุดสูงที่สุด สิ่งนี้ดีที่สุด แต่คุณก็ยังมาทำลายคุณก็ได้บาป ก็จะเป็นวิบากของคุณไป คนที่มีปัญญาแล้วก็จะเว้นไว้ก่อนไม่กล้าไม่แน่ใจ ถ้าแน่ใจว่าดีจริงก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นดีจริง อันนี้จนดีจริง นายน้อยร้อยแจ้ง เป็นคนตั้งนามสกุลว่าจนดีจริง ตอนแรกจะเอานามสกุล จนดี แต่ในประเทศไทยมีแล้ว จึงตั้งนามสกุลว่าจนดีจริง เป็นคนแรกคือคุณน้อย ร้อยแจ้ง จนดีจริง มี 2 ความหมาย มรรคคือทำให้จน จนกว่าดีจริง กับจนแล้วดีจริง
สรุปแล้วความจนนี้ยิ่งใหญ่ ความรวยนี้ยิ่งแย่ ยิ่งไม่ไหว ยิ่งแย่ยิ่งยักษ์ ยิ่งยาก
คนที่ยังไม่เข้าใจ สร้างสังคมคนจนยังไม่ได้ คนจนที่เป็นคนจนมหัศจรรย์ จนอย่างไม่เบียดเบียนใคร จนอย่างอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมีคุณค่าประโยชน์ต่อผู้อื่นตลอดกาลนาน จนอย่างมีปัญญา มีญาณปัญญาและพลังแข็งแรงไม่เปลี่ยนแปลง ใครพึ่งพาตนเองแล้วมาช่วยกันให้คนอื่นพึ่งพาได้ด้วย เป็นสุดยอดคนจนมหัศจรรย์ จึงไม่ไปลำบากลำบนกับสิ่งที่กินใช้ ส่วนอะไรที่จะอาศัยขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงเทคโนโลยี เราก็ทำเท่าที่เราจะขายสินค้า ผลผลิตเราได้พอมีเงินไปซื้อ เทคโนโลยีของคุณมาใช้ เราทำเองไม่ได้ อันไหนเราทำได้ก็ทำเอง เราจะไม่ซื้ออาวุธไปทำร้ายคน ให้ฟรียังไม่เอาเลย เอามาทำไมพวกอาวุธยุทธภัณฑ์ เอามาก็ต้องเอามาฆ่าชีวิต เอาไปตัดพืชผักก็ไม่ต้องยิ่งใหญ่อะไรก็ได้นี่ มีดอะไรก็ได้ อย่างเก่งมีดพร้าขวานก็ได้แล้ว ส่วนจะเป็นอาวุธที่พิสดารอะไร ไม่เอา ใครจะฆ่าเรา สุดท้ายจริงๆเราก็ต้องยอม เพราะเราเข้าใจในเรื่องของพลังงาน แห่งวัฏจักร มันเป็นวิบาก ไม่จบอัตภาพ ใครทำเลวร้ายมาก็มีเลวร้ายเป็นวิบาก ใครจะมาทำร้ายเรา เราไม่ทำร้ายตอบ วิบากร้ายก็เป็นของเขา เราไม่มีวิบากร้ายต่อ เราเชื่อว่าเกิดมาก็จะมีกุศลเพิ่มต่อไป แต่บุญนี้ทำแล้วจบ มุ่งจัดการสิ่งที่เลวร้ายกายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะมโนเป็นประธานทุกอย่าง มโนที่ไม่ดีก็เอาออก ส่วนวจีกับกายกรรมสลับไปมาได้ ใครจะสลับอย่างไรก็เข้าใจให้ได้ ส่วนมโนนี้แน่ใจว่าไม่ดีนะ น่าจะจัดการเลย
มโนนี้รู้ยาก ละเอียด ไม่ใช่ของหยาบใหญ่ ของละเอียดเล็ก คนที่รู้จักมโนเป็นประธาน เป็นต้นทาง มโนปุพพังคมาธัมมา มโนมาก่อนอย่างอื่นเลย เราก็ทำได้
ในสังคมเราอาตมายิ่งมั่นใจว่า จะเป็นสังคมคนจน ที่จะให้ผู้อื่นพึ่งพาได้ เป็นสังคมไม่เบียดเบียนใคร เป็นสังคมที่ใจพอ มันจึงเป็นความหมายของอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก อสังสัคคะ วิริยารัมภะ หรือขยายเป็น มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) สุดท้ายไม่สะสม แล้วยอดขยันทำแต่สิ่งดี จึงเป็นพลังงานที่มีคุณค่าประโยชน์ตลอดกาลนาน
ทรัพย์สินของแต่ละอัตภาพ แต่ละบุคคลคือ ความสามารถสมรรถนะกับความขยันแล้วมีประธาน ประธานใช้ความสามารถสมรรถนะให้เผื่อพอ
ขณะนี้ชาวอโศกยังสร้างให้เหลือพอได้น้อย จนกว่าจะมีต้นทุน สามารถสร้างสรรเหลือเฟือเผื่อพอ พวกเราก็จะมีเวลาเป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย ตอนนี้ยังไม่ได้ เราต้องสร้างสรรเพิ่มขึ้นจนกว่าจะมีพลังงานเชิงกลพลังงานหมุนที่สร้างสรรได้ อย่างไรอย่างไรก็เป็นอัตโนมัติ คือสร้างสรรได้เกินกินเกินใช้ โดยอัตโนมัติ เราไม่ต้องมีอะไรมากมีหน้าที่กดปุ่ม มันก็เดินก็อย่างอัตโนมัติ ถึงขั้นนี้กดปุ่มแล้วเครื่องมันเดินไป เอาเวลาเป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควาย
นี่เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งซับซ้อน สรุป ตรงสาธารณโภคี เป็นขั้นหนึ่งว่า หมู่บ้านชุมชนสาธารณโภคีมีความเป็นอยู่เป็นหมู่กลุ่มไม่ใช่แค่แสดงละคร แต่เป็นชีวิตจริงของคนที่สมัครใจมาอยู่ร่วมกันมีชีวิตอยู่ มีเศรษฐกิจในระดับสาธารณโภคี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นสังคมที่คนที่อยู่มีสัมมาอาชีพ พ้นมิจฉาอาชีวะ 5
1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง
3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4. การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในสังคมมหาโฉดเฉาเน่าหนักยุคนี้โดยเฉพาะเกิดได้ถึงขั้นเป็นชุมชนเศรษฐกิจ“สาธารณโภคี” อันเป็นจริงได้ นั่นคือ ชุมชนที่ดำเนินชีวิตเป็นอยู่ประจำวันปกติของคนในชุมชนนั้น ทุกคนที่สามารถทำงานเลี้ยงชีพอยู่ทุกวัน โดยไม่ยึดเอารายได้มาเป็นของตนเลย ได้รายได้ก็รวมกันเป็นของส่วนกลาง(ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา) ซึ่งเป็นชุมชนที่พิสูจน์ว่ามี“สัมมาอาชีพ”ที่เป็น“โลกุตระ”ถึงขั้นสูงสุดได้จริง เป็น“คนจน”มหัศจรรย์ ที่เกิดในยุคนี้ ก็เป็น“คนไม่มีรายได้-ไม่มีเงินมาสะสม”เลย จึงจน
มีการงานทั้งหลายต่างๆในชุมชนก็ต่างช่วยกันเป็นอยู่ร่วมกัน(สัมมากัมมันตะ)การพูดจาก็ปฏิบัติ“ศีลข้อที่ 4”กันจริงๆทั้งชุมชน และต่างก็ปฏิบัติธรรมที่เป็นเศรษฐกิจ“สาธารณโภคี” เกิดในสังคมฆราวาสยุคนี้แท้ๆ ซึ่งในยุคพระพุทธเจ้า“สังคมฆราวาส”ก็ยังเป็น“สาธารณโภคี”ไม่ได้
ยุคนั้นมีได้เป็นได้แต่สังคมสงฆ์สังคมนักบวชเท่านั้นที่เป็น“สาธารณโภคี” ข้อจำกัดในยุคนั้นฆราวาสจึงเป็นไม่ได้
เป็นปรากฏการณ์จริง phenomenal ใครทำได้ก็ทำเลยให้ได้อย่างนี้หรือดีกว่านี้ได้ด้วยเราจะอนุโมทนาสาธุเราจะขอไปเป็นน้องเลย เรียกว่าลูกก็ได้ให้เป็นพ่อเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน รายละเอียดการไม่ค้าขายอาวุธและสัตว์
ในยุคสังคมน้ำเน่าเกิดสังคมอย่างนี้ได้ก็สุดยอด ใครไม่เอาก็แล้วแต่ เราไม่เน่า เราเห็นสังคมเน่าแต่เราไม่เน่า
ซึ่งเรียกว่าหมู่บ้านชุมชน “สาธารณโภคี” และดำรงความเป็นอยู่ของชีวิตจริงที่ไม่ใช่ละครหรือการแสดงชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นชีวิตจริงสังคมจริงของคนที่สมัครใจมาอยู่ร่วมกันมีชีวิตอยู่กับเศรษฐกิจ “สาธารณโภคี” ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้จริง สำเร็จอย่างเป็นจริง
คนทุกคนในชุมชนนี้จึงชื่อว่า “คนจน” ที่แท้จริง เพราะแต่ละคนไม่มีสมบัติ “ของตน” มีแต่ของส่วนกลาง ทำอาชีพก็ไม่มีมาเป็นของตน ฉะนี้เป็น “สัมมาอาชีพ” สูงสุด นั่นคือ ทำงานเลี้ยงชีพโดยไม่รับรายได้มาเป็นของตน ซึ่งพ้นจากการทำงานอาชีพที่ยังมีลาภแลกลาภ(ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา) สังคม “สาธารณโภคี” จึงเป็นสังคม “คนจน” ที่เป็นจริงที่สุด และเป็น “คนจน” ที่เจริญสูงสุด ประเสริฐสุดด้วย
คนลักษณะนี้แหละที่คือคนจน สร้างสรรได้ด้วยสมรรถนะและขยันทำได้ผลผลิต แต่ไม่สะสม ให้ส่วนกลาง แล้วมีคนช่วยจัดสรร บริหารเงินทองกัน คนจัดสรรก็ต้องขอบคุณเขา
ล้วนแล้วแต่มีงาน พ้น การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
แล้วพ้นอาชีพ บาปสามประการคือ หนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ สองไม่เอาของใคร สามลดกาม จนหมดกาม
หนึ่งไม่ฆ่าแล้วสัตว์แม้สัตว์เซลล์เดียวก็ไม่ฆ่า เพราะรู้ว่ากว่าเขาจะหลุดพ้นจากกรอบพีชนิยามไม่ใช่เล่นๆ ปล่อยเขาไปตามวิบาก เขาอาจจะไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ แล้ววิบากบาปตัดรอนพระพุทธเจ้า ทำเป็นเล่น พูดชัดๆว่าฆ่าพระพุทธเจ้า ถ้าเซลล์นี้ จะไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
คำว่าไม่ฆ่าสัตว์เลยนี้จึงสูงสุด ในอุตุนิยาม พีชนิยาม พีชนิยามไม่มีวิบากไม่มีพยาบาทหมุนเวียนใช้หนี้ ไม่มีเวทนา วิญญาณ มีแต่สังขาร แต่เริ่มเป็นชีวะระดับจิตนิยามอย่า โทษที่ยังมีประมาณน้อยอย่าทำ
สัตถวณิชชา เขาไปอธิบายว่า อาวุธฆ่าสัตว์ แต่วัตถุฆ่าสัตว์ สัตถวณิชชา นี้บาปอันดับหนึ่งเลย ในธาตุต่างๆ ธาตุความเป็นสัตว์สูงสุดคือธาตุจิตนิยาม หลุดจากพีชนิยามได้แล้ว ธาตุจิตนิยามอย่าฆ่าเขาเลย คุณไม่ฆ่าแต่สร้างอาวุธมาฆ่าก็บาปเป็นอันดับหนึ่งเลย ถ้าโดยวัตถุมันไม่เป็นที่หนึ่งได้ แต่พอเป็นวัตถุฆ่า มันเป็นอันดับหนึ่งเลยอย่าค้าขายแลกเปลี่ยนกันเลย แล้วขายแพงอีก จะบาปซ้ำซ้อนอีกเท่าไหร่ คิมจองอึน หรือโดนัลด์ทรัมป์ หรือปูติน หรือสีจิ้นผิง ระวังจะไปทำอาวุธร้ายแรงฆ่ากัน แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีสร้างสรรก็แล้วไป ถ้าขายแพงก็วิบาก แต่ขายถูกก็ดี แต่ถ้ายิ่งเป็นอาวุธร้ายแรงแล้วขายแพงด้วย ก็ยิ่งบาปหลายชั้น ทำไมวัตถุต้องยกเป็นข้อแรก คือเพราะเป็นวัตถุที่ใช้ฆ่าสัตว์ ระวังอย่าไปสร้างอย่าไปทำขึ้นมา ปล่อยให้สัตว์เขาปลอดภัย ไปสร้างวัตถุฆ่า แต่สร้างมีดพร้าวัตถุทำงานก็แล้วไปนะ เช่นขวานจะใช้ตัดไม้ก็ดี แต่ถ้าเอาไปฆ่ากัน อย่าทำเลยมีดดาบ ทำแค่อีโต้ปังตอก็พอ แต่ดาบ อาวุธ ไปห้ำหั่นคน
อาวุธกับสัตว์จึงสลับไปมา เมื่อไหร่ วัตถุ อุตุนิยามที่จะเป็นอาวุธ ถ้าสร้างมาใช้งาน ไม่ต้องไปค้าขายกัน การค้าขายห้าประการ ค้าขายอาวุธ สัตถวณิชชา บาปหนาอันดับหนึ่งเลย
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
แม้ไม่สร้างอาวุธ อย่าเลี้ยงสัตว์ขาย อย่าไปทำสิ่งเป็นพิษมาขาย เขาไม่เอาพิษแบบฆ่า แต่เอาของมอมเมา เมาแล้วก็ตายกันเป็นเบือ เมาไม่มีสติสัมปชัญญะ ขณะนี้ เศรษฐีในเมืองไทย มีสร้างสัตว์กับสร้างน้ำเมา นี่บาปหนักสองหนัก
อาตมาพูดสัจจะนะ อย่ามาฆ่าอาตมานะ บาปมากบาปแรงนะ ถ้าเพลาได้อย่าไปค้าขายกันเลย สัตว์มันเป็นวิบากของสัตว์ คุณไม่สร้างสัตว์เป็น เอาเนื้อมาขายก็เลี่ยงไม่ออกหรอก จะค้าขายสัตว์เป็นไปให้ฆ่ากินเลย ถ้าเขาจะขายให้ไปเลี้ยงอย่างรักจนตายก็พอทำเนาแต่นี่ขายให้เขาฆ่า? หรือขายอาหารมาเลี้ยงสัตว์อีก
คือสัตว์นี่เลี้ยงมันมา ประคบประหงม แล้วก็ฆ่ามันกิน หลอกให้สัตว์มันตายใจว่ารักสัตว์ อํามหิตยิ่งกว่ายักษ์มาร หลอกให้ตายใจแล้วฆ่า ฆ่ากินหรือขายให้คนอื่นฆ่า จะขายให้คนอื่นไปเลี้ยงจนตายก็พอทำเนา
สรุปแล้ว
หนึ่งวัตถุหรือสสาร กับความเป็นสัตว์ จะสลับกันไปมา เมื่อใดที่สำคัญกว่ากัน
หนึ่งสัตว์ ปล่อยเขาไปอย่าไปทำลายชีวิต
สองวัตถุที่จะไปทำลายชีวิตอย่าไปทำ วัตถุจะเอาไปตัดต้นไม้ก็พอทำเนา แต่อย่าเอาไปฆ่าสัตว์ อยากไปสร้างวัตถุฆ่าสัตว์ จะไม่ค่อยเข้าใจด้วยปัญญาสูงขึ้นไป แล้วจะสามารถอยู่อย่างปลอดจากโทษบาปภัย มีแต่กุศล
ศีล เราจะปฏิบัติศีลไป ตามลำดับ ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ ศีล 5 8 10 หรือไล่เป็นศีล 26 แต่ละข้อที่คุณจะเอาไปปฏิบัติ ศีล 5 กลั่นกรองมาสุดยอดแล้ว เลย ศีล 8 10 ก็ละเอียดไป จากนั้นก็ศีล 26 ตามแต่ใครจะเอาอะไรก่อน ถ้าเลยศีล 10 ไปแล้ว รับรองว่าถ้าได้ใช้ศีล 26 ข้อนี้ เป็นอรหันต์เด็ดขาดไม่ว่าใคร เลือกให้เหมาะสม ถ้าได้เกินศีล 10 แล้วมีหลักประกันไม่ตกต่ำแล้ว ที่เหลือเลือกในศีล 26 ข้อนี้
จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลต่างกันอย่างไร
มหาศีล เป็นศีลของศาสนา ทุกคนต้องเคารพ ไม่ละเมิดมหาศีลที่ห้ามเดรัจฉานวิชชา ในเดรัจฉานกถาอยุ่ในมัชฌิมศีล
เดรัจฉานวิชชาคือมีความรู้เท่านั้นแล้วทำเลย ส่วนเดรัจฉานกถาคือมีความรู้เป็นเนื้อระดับคำพูด ถ้าเป็นเดรัจฉานวิชาก็จะทำ ใช้เลี้ยงชีพด้วย รู้แล้วทำ ทั้งพูดและทำ ส่วนเดรัจฉานกถานั้นได้แต่พูดยังไม่กล้าทำ พูดให้คนอื่นทำ ยังไม่พ้นนะ เข้าตัวนะ เพราะฉะนั้น ถ้าพ้นทั้งเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถาก็สมบูรณ์
เราไม่พูดไม่ทำเลย แล้วก็รู้เท่านั้น ไม่ต้องไปบังคับหรือระวังเลยว่าจะไปทำ เพราะจิตเป็นแล้ว
สรุปคือ เดรัจฉานวิชาเป็นของส่วนรวม ในเดรัจฉานวิชา หรือในมหาศีล ที่ห้ามเดรัจฉานวิชาทั้งสิ้น หยุดเถอะ ศาสนาพุทธในยุคพระพุทธเจ้าไม่มียังไม่เสื่อม จนเดี๋ยวนี้มีเต็มไปหมดเลยในวงการศาสนา มีในอโศกเท่านั้นไม่มีทำตามที่ห้ามทำในมหาศีล
จุลศีลคือศีลส่วนตัวแต่ละบุคคล มัชฌิมศีลคือศีลละเอียดกว่าจุลศีล ทำจุลศีลได้ก็ขยับไปละเอียดเป็นมัชฌิมศีล ส่วนมหาศีลคือของส่วนรวมทั้งศาสนา
อาตมาจึงยืนยันว่าในอโศกไม่ละเมิดมหาศีลแล้วนี่คือชาวอโศกแน่นอน เป็นศาสนาที่รักษาความบริสุทธิ์สะอาดได้อย่างนี้
สมณะเดินดินว่า..ได้ฟังข่าวว่ามีพระวัดหนึ่ง เลี้ยงหมู ให้ขนมกินทุกวัน วันหนึ่งไม่ได้ให้ขนมมันกัดเอาเลย ถ้าศึกษา จุลศีล ห้ามเลี้ยงสัตว์ก็จะไม่ทำ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องช้าง ก็ช่วยกันมากเลย สุดท้ายมันก็ตาย เครียดตาย นึกถึงสัตว์ที่ถูกฆ่าเอาไปขายกิน มันก็ต้องเครียดมากสารพิษจะหลั่งในเนื้อจะมีมากกว่าอีก
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:32:03 )
รายละเอียด
601027_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่ช่วยเศรษฐกิจโลก
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2560 ขึ้น 8 ค่ำเดือน 12 ดูข่าวทางทีวีช่องต่างๆ ก็จะพูดถึงบรรยากาศภาพรวมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นความอัศจรรย์ เป็นนิมิตหมายที่ดีหลายอย่างที่เกิดขึ้น ที่เราจะเห็นถึงความงดงามในความมีน้ำใจความเสียสละอดทน ซึ่งถ้าเราได้อยู่ร่วมเหตุการณ์ก็ทำให้รู้สึกว่า ชาติไทยของเราเป็นชาติที่น่าภาคภูมิใจ
ตั้งข้อสังเกตว่า จิตอาสามีมากมายในทุกจังหวัด แสดงให้เห็นว่า คนไทย ลึกๆแล้วมีน้ำใจ เมื่อมีโอกาสก็แสดงออกมากัน เป็นที่ฝรั่งยกย่องว่า เป็น Land of Smile เป็นบรรยากาศความเอื้อเฟื้อ มีน้ำใจที่น่าภาคภูมิใจในความเป็นไทย
มีอีกเรื่องคือในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ มีหลายช่องเอามาให้ดูกัน คือมีนกกระยางสีขาวบินวนพระเมรุมาศ ตอนเผาจริง ซึ่งเป็นการผิดธรรมชาติของนกที่ปกติจะนอนตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ใช่เป็นการสร้างภาพ
แต่วันนี้คงมีเรื่องสำคัญมากกว่านกอีกมากมายที่พ่อครูจะพูดให้ฟัง
สื่อธรรมะพ่อครู(กรรม) ตอน สร้างตรีมูรติของพระเจ้าได้ในจิตใจคน
พ่อครูว่า...เรื่องของชีวิตคน กับเรื่องของความเป็นสังคม ตั้งแต่สังคมน้อยๆ จนถึงสังคมใหญ่จนเป็นประเทศและสังคมโลก เป็นเรื่องของมนุษยชาติ
มนุษยชาติ เกิดมาตั้งแต่เริ่ม วัฏสงสาร โลก ก็ค่อยๆเพาะสภาพธรรมชาติ เป็นพลังงาน จากไม่เป็นพลังงาน ซึ่งก็มีสภาพค่อยสะสม จับตัวมาเป็นดวงดาว เป็นภาวะทางเอกภพ จักรวาล เมื่อมาเป็นดวงดาวแล้ว เป็นอุตุนิยาม จนเย็นตัวลง มีอุณหภูมิที่สามารถรับน้ำได้ หรือน้ำมีในตัวโลกก็ตาม จากนั้นก็จะเกิดมีชีวะ ชีวะนั้นจะพัฒนาพลังงานเจริญมาเป็นพีชะ เป็นจิตนิยาม เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
จนพัฒนามาเป็นคน เรียนรู้เรื่องกรรม ศาสนาพุทธสรุปว่าเรื่องยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติคือเรื่องกรรม แต่ศาสนาเทวนิยม ก็ไม่ชัดเจนเรื่องกรรม ก็ยกให้ God พระเจ้าบันดาลทุกอย่าง มนุษย์ก็เหมือนกับหุ่นกระบอกที่พระเจ้าให้เป็นอย่างไรต่างๆนานา เทวนิยมจะยังไม่มีวิชาไม่มีความรู้เรื่องกรรม เรื่องจิตนิยาม เขาก็ไม่ทะลุ เรื่องจิตวิญญาณ ที่เป็นตัวประธานของสิ่งทั้งปวงก็เลยเหมาให้พลังงาน God
ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มนุษย์เป็นเจ้าของกรรม ไม่มี God ไม่มีพระเจ้าใดๆมาควบคุมสั่งการ พุทธศาสนาแห่งกรรม ตนเองทำกรรมเอง กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ นี่คือกรรมของศาสนาพุทธ ไม่ลึกลับ แต่ของเทวนิยม God เป็นผู้บันดาลทุกอย่าง ศาสนาพุทธนั้นพึ่งพากรรมของตนเอง อัตตาหิอัตโนนาโถ
ถ้าสามารถรู้จักกรรมได้อย่างดี ก็จะสามารถรู้อาการของกรรม อาการกิริยาต่างๆ ที่เกิดทางกายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม ศาสนาพุทธเรียนรู้ถึงขั้นกรรมของมโนกรรม คือการกระทำของใจ มันมีอาการแล้วสามารถจัดการกับอาการที่เป็นอกุศล ที่เป็นอาการของบาปอกุศลทุจริต แล้วจัดการระงับอาการของจิตนี้ได้ ระงับได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ พระอรหันต์ไม่มีกรรมกิริยาของอาการจิต ที่เป็นอกุศลเป็นทุจริตเป็นบาป ไม่มีเลย ไม่เกิดเลยจึงชื่อว่าเป็นอรหันต์เป็นผู้บรรลุธรรมของศาสนาพุทธสูงสุด
บรรลุแล้วจะไม่มีกรรมเป็นอกุศลที่เป็นบาปเป็นทุจริต กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม จะไม่มีทุจริตเลย นั่นคือการบรรลุกรรม บรรลุ God มีคุณสมบัติตรงกันกับตรีมูรติของศาสนาเทวนิยม
ศาสนาเทวนิยมมีตรีมูรติ 3 อย่างคือพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นี่เป็น 3 อย่าง ของพระเจ้า พระเจ้าจะมีปัญญารู้ยอดยิ่ง แล้วเป็นผู้กรุณา เป็นผู้กระทำ เป็นผู้สร้าง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ บริสุทธิ์พระทัยของพระเจ้า ทั้งหมดเลย
ตรีมูรตินี้ ศาสนาพุทธมาสร้างจิตใจตัวเองให้เกิดคุณสมบัติตรีมูรตินี้ในจิตของเราเองได้ จิตของเราจนเป็นจิตที่มีคุณสมบัติเดียวกันกับพระเจ้า เป็นจิตที่มีปัญญาธิคุณ รู้จริงๆรู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก ศาสนาพุทธอย่าว่าแต่รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูกๆเลย รู้จนกระทั่งสิ่งที่เป็นพระเจ้า สามารถทำให้สูญไปเลยจากอัตภาพตัวเองได้ ไม่เป็นอาตมันหรืออัตตา ศาสนาพุทธสามารถแยกธาตุตัวเองได้สลายอาตมัน หรืออัตตาตัวเองได้ ตายลงอย่างแยกอัตตาได้ ไม่ยอมให้ธาตุขันธ์รวมตัวกันเป็นอัตภาพของตัวเองได้อีกเลย เรียกว่าปรินิพพาน เป็นปริโยสานได้จริงๆ ถึงขั้นนั้น จึงเรียกว่า ดับพระเจ้า ไม่เหลือแม้แต่พระเจ้าพลังงานอะไรก็ไม่เหลือ หมดสิ้นเลย
ไม่ได้พูดดูถูกศาสนาเทวนิยม แต่พูดจากสัจจะความจริง อาตมาเป็นพุทธศาสนิกชนที่ได้เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จนกระทั่งเห็นว่า เกิดเป็นชีวิตมนุษย์ อัตภาพมนุษย์นี้ คุณจะต้องรู้อย่างยิ่งถึงความเป็นคน หรือความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม
พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรนอกจากศึกษาเรื่องคนอย่างทะลุปรุโปร่ง กับความเป็นสังคม แล้วจัดสรรสังคม รู้วิธีการที่ให้คนที่มีภูมิรู้ความรู้ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าเป็นอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข จะเป็นสังคมที่สูงสุด มีเศรษฐกิจที่สูงสุด การเมืองสูงสุด สังคมศาสตร์สูงสุด ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างสังคมชาวอโศก
อยู่รวมตัวกันเป็นชุมชนชาวอโศก เป็นชุมชนที่มีเศรษฐกิจเยี่ยมที่สุด คือคนในชุมชน นี้เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลางหมดเลย คอมมิวนิสต์เห็นแล้วก็อยากได้แบบนี้ ให้ประชากรสังคมเขาทำงานแล้วจ่ายภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยความเต็มใจไม่ต้องบังคับด้วย เข้าใจมีปัญญาว่าเอาเข้ากองกลาง เรามีคณะบริหาร ดูแลกัน จัดสรรกัน มีคณะจัดการ ให้มีผู้รับหน้าที่บริหาร จัดการเรื่องต่างๆ อย่างเป็นระบบ อย่างชาวอโศกเรานี่ เป็นระบบ
เรื่องการบริหารปกครอง ก็บริหารปกครองกันอย่างมีธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นธรรมนูญ คือศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ดำเนินตามศีล ใช้ศีลเป็นกฎหมายเป็นธรรมนูญ
ปฏิบัติอยู่กับสังคมประเทศ ตำรวจไม่เคยมาดูมาแลชุมชนชาวอโศกเพราะไม่มีเหตุให้ตำรวจไม่ต้องวุ่นวาย มีเหมือนกันแหละ คนเกเรมาก คนในสังคมเองเขาไม่มีเรื่องให้ตำรวจมาจัดการ แต่มีคนนอกสังคมชาวอโศกมาเกเร จนเราพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง ต้องให้ตำรวจมาจัดการ
ชุมชนเขาจะมีตำรวจหมู่บ้าน ของเรานี้ก็ไปอบรม อบรมเสร็จกลับมาก็มีหน้าที่ไล่ควายที่จะมากินผัก เพราะว่าไม่มีหน้าที่อะไรที่ให้ตำรวจทำหมด จะต้องดูแลคนที่เกเร มีการตีกันมีการลักขโมยมีคดีความอะไรก็ไม่มี ตำรวจก็เลยมีหน้าที่ไล่ควาย
ถ้าสังคมประเทศไทยเป็นชาวพุทธ มาให้พวกเราปฏิบัติได้เป็นมรรคผล จึงเกิดสังคมนี้ อยู่เป็นมวลหมู่ เป็นหมู่บ้าน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...อันนี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ว่าในหมู่บ้านของเรา ชุมชนเรา ตำรวจไม่รู้จะทำหน้าที่ตำรวจอะไร เพราะว่าหมู่บ้านของเราอยู่ในครรลองของศีล 5 ทุกคนมาสั่งสมกรรมที่ดีงามให้ตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายทีเดียว อาตมาเคยฟังนายห้างเกรย์ เขาว่า เขาจะบอกให้ชาวซิกซ์ออกจากอาณาจักรของพระเจ้า ทำไม่ได้ง่ายๆ มีแต่ตัวเขาเองที่ทำได้
พ่อครูว่า...เราไม่เป็นภาระให้ตำรวจต้องลำบาก เพราะว่าไม่เกิดเรื่องที่ตำรวจต้องมาทำหน้าที่ มีแต่คนอื่นมาก่อเรื่องต้องให้ตำรวจช่วย
มาอ่าน sms
_SMS วันที่ 25-26 ตุลาคม 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เป้าหมายของการถือศีล
_7680กราบคารวะพ่อครู ผมมีความรู้สึกว่าอาจารย์ต่าง ๆ ที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ เวลาตอบคำถามลูกศิษย์เรื่องกินเนื้อสัตว์เป็นบาปหรือไม่นั้น มันไม่เด็ดขาดและมั่นใจได้เท่าที่พ่อครูหรืออาจารย์ในชาวอโศกพูดเลยจริง ๆ ครับ
คือฟังแล้วมันยังค้าง ๆ คา ๆ ไม่ค่อยมั่นใจว่าอาจารย์เหล่านั้นท่านไม่มีความรู้สึกบาปติดค้างในใจแม้เล็กแม้น้อยเลยจริงหรือ ขอให้พ่อครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ
จาก.. จางคลาย
พ่อครูว่า...อาตมาก็เห็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่ชัดเจนว่า ศาสนาพุทธให้กินหรือไม่กิน แต่ชาวอโศกนี้ชัดเจนที่สุด พูดกันไป อาตมามาทำงานศาสนา รณรงค์ บุญญาวุธหมายเลข 1 มารณรงค์ไม่ให้กินเนื้อสัตว์เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับศีลข้อที่1อย่างลึกซึ้งอย่างสำคัญ เป็นเรื่องของคนหรือสัตว์โลกที่จะเบียดเบียนกัน เป็นประเด็นหลากหลายในศีลข้อที่ 1 ในศีล 5
1. ศาสนาพุทธจะไม่เป็นผู้เบียดเบียนสัตว์
2. เป็นคนจะไม่เบียดเบียนสมบัติของใคร
ศีลข้อที่ 3 จะไม่เบียดเบียนคนในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรียกว่ากามคุณ 5 ของใครก็ของใครไม่ใช่เรื่องเบียดเบียนกัน ไม่ไปแย่งชิงทำร้าย ต่างคนต่างก็มีวิบากของใครของมัน ทุกคนก็พยายามสร้างกรรมของตนเองให้ดี ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ กัมมันตะ 3 ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร
ถ้าชัดเจนในชีวิตแล้วก็จะไม่ไปเบียดเบียนชีวิตใคร มีแต่หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง แม้จะเป็นชีวิตเล็กน้อยก็ตาม
ข้อที่ 2 หวังประโยชน์ในทรัพย์สินเงินทองของมนุษยชาติของคนอื่นของใครอยู่ ไม่ไปเบียดเบียนใครเขา มีแต่ส่งเสริมกันและกัน
ข้อที่ 3 ไม่ไปวุ่นวายเรื่องกาม สัมผัสเสียดสีกามคุณ 5 ล้างของตนเองออก เมื่อหมดแล้วก็ไปช่วยคนอื่นต่อเพราะว่ามันเป็นทุกข์
หมดกามหมดอัตตาก็เป็นพระอรหันต์
ที่พูดมาแม้แต่ศีลข้อ1 แม้แต่เรื่องเนื้อสัตว์ก็ไม่มีใครหนักแน่นชัดเจนยืนยัน เพราะไม่ถึงจุดสมบูรณ์ยืนยันได้อย่างมีน้ำหนัก ฟังแล้วก็จะค้างคาไม่ค่อยมั่นใจ
สัตว์ทั้งปวงมีความยึดมั่นตัวกูของกูทั้งนั้น แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน คนก็ยิ่งไม่รู้ ไปเบียดเบียนกันก็เป็นวิบากไปต่างๆสารพัด แม้แต่จะไปทรมานมัน มันก็อาฆาต แล้วจะไปฆ่ามันทำไม สัตว์มันเห็นแก่ตัว กูของกูทั้งนั้น ใครว่าสัตว์มันหมดความเป็นตัวกูของกูแล้วทั้งนั้นยกมือขึ้น สัตว์มันไม่เห็นแก่ตัวหรอก ยกมือขึ้น….สัตว์ทั้งหลายก็เห็นแก่ตัวมันเองทั้งนั้นมันก็ผูกพยาบาท แล้วมันไม่รักชีวิตของมันหรือ สัตว์ทั้งหลายตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียวก็รักชีวิตของมัน ผูกพยาบาทเป็นแล้ว เป็นจิตนิยามแล้ว คนเข้าใจอย่างนี้แล้วจะไปหาวิบากให้มันพยาบาททำไม คนเรามีวิบากมาต่างๆน้อยนักหรือ? สัตว์ที่พยาบาทเรามีน้อยหรือ เราจะไปเติมมันอีกทำไม ที่ทำมาแล้วเหลือพอมากพอแล้ว
คนก็ไปติดใจที่ว่ามันต้องเอาสัตว์มากิน คนคะนองก็แล้วไป มือล่าสัตว์สนุก หากเอามากินก็ยังพอแก้ตัว แต่นี่เล่นฆ่ากันเป็นเกมส์เรื่องโก้ วิเศษอะไร ยิ่งบาปซ้ำซ้อน ไปทำร้ายชีวิตเขาเล่น เอามากินยังอ้างได้ แต่ว่ามีอันให้กินตั้งเยอะแยะ ไม่กินเนื้อสัตว์ก็อายุยืนกว่าด้วย กินเนื้อสัตว์ก็จะอายุสั้น
อาตมายกตัวอย่าง สูตรๆหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส แล้วคนเข้าใจไม่ถึง คนเข้าใจถึงแล้วจะหยุดเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในพระสูตรนี้
ว่าการฆ่าสัตว์หรือการกินสัตว์นี่มันชัดเจนด้วย บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย ห้าประการ
ผู้ใดฆ่าสัตว์อุทิศแก่ภิกษุ เจตนาฆ่าเพื่อภิกษุ ผู้นั้น ย่อมได้บาปไม่ใช่บุญเป็นอันมาก ท่านเอาข้อสุดท้าย ฆ่าโดยเจตนาฆ่าแล้วก็ยังจะเอามาถวายสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่ควรเลย โง่ที่สุดเพราะว่า 4 ข้อแรกก็เป็นบาปเป็นอันมากแล้ว ยังดันเอาไปถวายผู้ที่ท่านเป็นยอด องค์ความรู้เรื่องบาปบุญ คือสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์ใดที่รับรองเนื้อสัตว์ที่คนเอามาถวายนั้น โง่ยิ่งกว่าคนที่เอาไปถวายอีก เพราะเป็นสิ่งอกัปปิยะ เนื้อสัตว์นี้เป็นสิ่งไม่ควรต่อพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้า ไม่ควรนำมาถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าให้ฉัน
ท่านก็ขยายความว่า เพราะว่ามันเป็นบาป ตั้ง 4 ข้อแล้ว ส่วนข้อที่ 5 นี้ไม่ควรจะเอามาถวายพระ แล้วเนื้อสัตว์นี้คือเนื้อที่คุณเจตนาฆ่า แต่เขาเลี่ยงบาลีว่า ถ้าเนื้อสัตว์นี้เอาไปถวายพระสงฆ์ก็เป็นบาป ส่วนคนอื่นกินได้ไม่เป็นบาป บาปเฉพาะสงฆ์นะ ถ้าใครฆ่าสัตว์จะไปถวายสงฆ์ ฆ่าสัตว์นี้ไม่บาปเลย สัตว์อื่น ศีล 5 ไม่ต้องพูดถึงเลย
เลี่ยงบาลีว่า เจตนาฆ่ามาถวายสงฆ์นั้นไม่ได้ ส่วนเจตนาฆ่ากินเองหรือซื้อมาถวายก็ไม่บาป
การเป็นบาปจากการฆ่านั้น หนึ่ง สัตว์มันตายเอง เป็นสัตว์ที่อุทิศคือเจตนา อุทิศไม่ได้แปลว่าส่งไปให้นะ อุทิศนี้เแปลว่ามุ่งหมายเจตนา ตั้งใจ คือตั้งใจฆ่า
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
คือเจตนาฆ่า แล้วก็เจตนานำมาถวายสงฆ์ ถวายพระพุทธเจ้าก็เป็นบาปทั้งนั้น ทำบาปแล้วยังถวายสงฆ์อีก สงฆ์ ท่านไม่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์ การฆ่าสัตว์คือก้อนบาป
ถ้าสัตว์มันตายเองก็บอกว่าไม่เป็นไร หรือแม้แต่เดนสัตว์กินก็ไม่บาป อย่าไปแย่งสัตว์มานะ สองประการนี้ จะเอาไปถวายก็ได้ถ้าพระอยากจะฉันแบบนั้นก็ได้ แต่นอกนั้นไม่อนุญาต อุทิสมังสะไม่ได้ ต้องเป็นปวัตมังสะ ถึงอนุญาตฉันได้ เพราะว่าไม่มีเชื้อพยาบาทแล้ว ไม่ผูกเวรแล้ว
แม้ในสี่ข้อแรกคือบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย
เจตนาเริ่มต้นก็บอกว่าไปเอาสัตว์นั้นมาก็บาปแล้ว สัตว์มันก็มีชีวิตของมันเลี้ยงตัวเองไป กว่าจะตาย เริ่มต้นตั้งแต่มีเจตนาเลย มีอุทิส ไปออกชื่อ เฮ้ยไอ้โต้ง ไอ้ขาว ก็บาปแล้ว
สอง เมื่อสัตว์นั้น ถูกผูกมา จับมามัดมาใส่กรงมา สัตว์มันก็มีความทุกข์ คนก็บาปซ้ำซ้อน สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส บาปเป็นอันมากเพิ่มจากข้อ 1
สาม ได้บาปเพราะบอกว่าฆ่ามันเสีย สั่งฆ่า บาปสาม
บาปสี่ เมื่อสัตว์นั้นกำลังถูกฆ่าก็ได้รับทุกข์ทรมาน ก็ไปทําความทุกข์ให้สัตว์ทำไม นี่คือบาปสี่ประการ เป็นก้อนบาปตั้งแต่ 1-4 เต็มบ้องแล้ว ก็ยังนำเอาก้อนบาปนั้นมาถวายสงฆ์ถวายพระพุทธเจ้าถวายสาวกพระพุทธเจ้าอีก
สมณะเดินดินว่า...ถวายเพื่อให้พระพุทธเจ้าและสาวกเกิดความยินดี
พ่อครูว่า...ได้สัตว์มาก็ไปคงเป็นอาหารอันประณีต เพื่อจะมอมเมาพระพุทธเจ้าให้ติดในรสเนื้อสัตว์นี้
สมณะเดินดินว่า...ในพระไตรปิฎกมีเรื่องเกี่ยวกับคนนำเอาเนื้อเหี้ยมาปรุงอาหารถวายพระฤาษี ๆก็เลยติดใจในรสเนื้อของเหี้ย คอยจ้องแต่จะฆ่าเหี้ยเอามากิน
พ่อครูว่า...ชีวิตใครชีวิตมันบาปใครบาปมัน แต่เราก็ชัดเจนว่าชีวิตนี้จะไปเลี้ยงตัวเองด้วยเนื้อสัตว์เราไม่ทำ เลี้ยงตัวเองด้วยพืชผัก ก่อนจะบวชอาตมาก็เลิกฉันเนื้อสัตว์แล้ว ตอนนี้ก็ 50 กว่าปีมาแล้วไม่ได้กินเนื้อสัตว์ แต่ก่อนลิงลมอมข้าวพองก็กินตามเขาไป แต่ตอนนี้ไม่กินแล้ว แล้วก็จะไม่กินต่อไป พากันไม่กินมาเลิกตามกันมาก็ได้ผล
รายละเอียดของความรู้จักคุณค่าของชีวิต มันเริ่มต้นแล้วเผินไม่สำคัญในความเป็นชีวิตของสัตว์ใด หนักเข้าก็ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคน ฆ่าคนได้ ถ้าคนที่มีภูมิปัญญา รู้ชีวิตเขาชีวิตเรา
พลังงานของความเป็นชีวะ เป็นพลังงานที่พัฒนาจาก อุตุนิยามมาเป็นพีชนิยาม เป็นพลังงานระดับพืชไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ จนสามารถพัฒนาเป็นพลังงานระดับจิตเป็นสัตว์ มันก็มีความสูงแล้วทั้งรูปธรรมวัตถุธรรม เมื่อพัฒนามาเป็นชีวะก็ยังไม่ถึงเรียกนามธรรม จนเป็นจิตนิยามมีนามธรรมแท้มีเวทนามีวิญญาณ เป็นอุปาทินกสังขารมีกรรมวิบาก เป็นความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หากเราไม่เข้าใจเรื่องกรรมวิบาก ก็จะไม่ชัดเจนเรื่องเหล่านี้ ถ้าเข้าใจชัดแล้วก็จะไม่ฆ่าสัตว์ คนที่ไม่ฆ่าสัตว์ก็จะไม่ฆ่าคน คนที่ได้รับคำสอนของพระพุทธเจ้าถึงขั้นไม่ฆ่าสัตว์ไม่ฆ่าคน ก็ไม่เป็นพิษภัยอะไรในสังคม
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจอย่างนั้น สัมมาทิฏฐิถูกต้องแล้วไม่ฆ่าสัตว์ รู้จักชีวิตเขาชีวิตเรา มีคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ผู้ที่มีปัญญาของผู้มีสัมมาทิฏฐิเข้ากระแสแล้ว จะไม่ฆ่าสัตว์ใดเลย แม้ชีวิตเราจะตายก็ไม่ฆ่าสัตว์ใดเพื่อจะรักษาชีวิตตัวเอง นี่คือคำตรัสของพระพุทธเจ้า
จะไม่ฆ่าสัตว์ใดแม้แต่เพื่อชีวิตตัวเอง ผู้ที่เข้าใจได้จะต้องเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอรหันต์ รู้ว่าการตายไม่มีปัญหา ถ้าเราจะไปถูกสัตว์ใดๆฆ่า มันจะฆ่าเราก็ตาย ตายแล้วถ้าเป็นโพธิสัตว์ก็รู้แล้วว่า การเกิดการตายของชีวิตเป็นเรื่องปกติ จะตายถ้ามันฆ่าเราก็ตายตายแล้วก็เกิดอีก หรือจะไม่เกิดอีก ท่านก็ทำใจของท่านเอง
อาตมาเป็นภูมิโพธิสัตว์แล้วจึงเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ใครจะกินอยู่ก็แล้วแต่เธอไม่กินกันแล้วแต่ตามที่ทำมาแนะนำก็ไม่ต้องไปสร้างจิตที่จะต้องมี เวรภัยวิบาก ไม่ต้องสร้างจิตรุนแรงจนถึงฆ่าสัตว์อื่นได้
สมณะเดินดินว่า...ในประเทศไทยมีบางที่ว่าอัตราการฆ่าคนนี้สูงถึงอันดับ 2 ของโลก แสดงว่าผลของการสอนศีลข้อที่ 1 ในสังคมไทยไม่ได้ผล
พ่อครูว่า...หากเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจนและลึกซึ้ง อ่านพระไตรปิฎกแตก ศีลข้อ 1 นั้นคือชีวิต ศีลที่ 2 นั้นคือข้าวของ อย่าไปเบียดเบียนกันเลยทั้งชีวิตและข้าวของ ในโลก คนมีสิทธิ์ที่แห่งชีวิตและข้าวของนั้นของคุณ ของคนอื่นก็ของเขา มีชีวิตเป็นของเขา การแย่งข้าวของยังไม่ใช่ชีวิต แต่ชีวิตนั้นมีหนึ่งเดียวนะ ไปทำร้ายเขาทำไม เขาก็ชีวิตเราชีวิต
สาม ไปแย่งกามคุณ 5 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของคนอื่น จะไปแย่งเขาทำไม ของคุณก็สร้างของคุณเอง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของคุณเองถ้าคุณยังติดยึดอยู่ จะไปแย่งของเขาทำไม ไปละเมิดของเขาทำไม ของใครของมัน
3 ข้อนี้ถ้าเข้าใจชัดแล้วก็จะเป็นอยู่ยังไม่เบียดเบียนคนอื่นเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกาม การสัมผัสรสทั้ง 5 ใครอยากจะไปติดรสก็ติดไป ศาสนาพุทธมาให้เลิกติดยึดสิ่งเหล่านี้
_4155กราบเรียนถามพ่อครูค่ะ เราเริ่มเบื่อหน่ายทุกสิ่งรอบตัว ควรปฏิบัติอย่างไรคะ ฟังอะไรซ้ำๆก็เบื่อ เบื่อผู้คนลวงโลก เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่
พ่อครูว่า...อาการน่าเป็นห่วง แต่คุณเอง จะไปเบื่อชีวิตไม่ได้ ชีวิตเกิดมาด้วยกรรมวิบาก ศาสนาพุทธไม่ได้สอนเบื่อชีวิตก็ฆ่าชีวิต มันโง่จัด ไม่ไหวแล้วคนเรานี้ฆ่าชีวิตตนเอง อาตมาเคยอธิบายแล้วว่า คนที่ฆ่าชีวิตตัวเองนี่อำมหิตที่สุด เพราะคนเรารักชีวิตตัวเองมากที่สุด การจะฆ่าตัวเองนี้ต้องมีความอำมหิตที่สุด มันเป็นความโง่ หลงผิดที่หนักหนาสาหัส คุณค่อยๆทำความเข้าใจ ค่อยๆฟังธรรมอย่าเพิ่งไปโถม ความเบื่อหน่ายเกินการ
เบื่อหน่ายอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้สอน สิ่งที่น่าเบื่อทั้งรูปและนาม จนกระทั่งไม่อยากมีชีวิตแล้วก็ฆ่าตัวตาย ถ้าไม่กล้าฆ่าตัวตาย ก็เอาบาตรจีวรไปเป็นค่าจ้างให้ฆ่าตัวเองตาย ในยุคของพระพุทธเจ้าเป็นพระสงฆ์ก็ทำเช่นนี้มา ฟังธรรมะของพุทธเจ้าก็เบื่อหน่ายสรีระเบื่อหน่ายทุกอย่าง ก็หาทางฆ่าตัวตาย
ลอย แคนาดา ..ในแคนาดา และ US มีร้านรับบริจาคของใช้แล้ว แต่ยังคุณภาพดี เพื่อให้คนจนซื้อเอาไปใช้ในราคาถูก นำเอาจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน และค่าเช่าร้าน ช่วยลดความยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีของเหลือใช้ ได้มาก ผมบริจาคผ่านช่องทางนี้ประจำ ทำให้บ้านไม่รกด้วยครับ
อยากเสนอให้พ่อท่าน ให้ตั้งร้านลักษณะนี้ ญาติธรรมก็ช่วยถวายของใช้แล้ว ให้ร้าน เพื่อนำไปขาย
การทำงานไม่มีค่าตอบค่าตอบแทนเป็นสิ่งประเสริฐมาก แต่ทำให้ขยายสาขาไม่ได้มากครับ
เพราะ ผู้คนจำนวนมากยังไม่พร้อม ตัวร้านเองมีต้นทุนค่าเช่า ค่าไฟค่าน้ำ
ฝากกราบเรียนให้พ่อครูพิจารณาด้วยได้ไหมครับ
ร้านในต่างประเทศที่ผมพูดถึงมี ทุกหัวมุมของทุกเมือง ถ้าเป็น กทม ก็จะมีมากถึง 20 แห่ง
เขา เลี้ยงตนเองได้ ไม่ต้องรอจิตอาสา ในทุกสาขา
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) การละมิจฉาอาชีพของพุทธ
พ่อครูว่า... ของเรามีสขจ.ขายของใช้แล้วนำรายได้มาเลี้ยงสถานีโทรทัศน์ได้ เกิดสถานีโทรทัศน์ขึ้นมาของเรา เป็นโทรทัศน์ที่ครบวงจรชีวิต ไม่ใช่ว่าเอาแต่นั่งหลับตา ไม่มีสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ของเราสอนให้ละมิจฉาอาชีพ 5 กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิงคิงสนตา อาตมาพาพวกเราพ้นมิจฉาอาชีพ 5
เลิกจากกุหนา ลปนา เช่นอาชีพ ทุจริต โกง เช่น โกงทีละ 5 แสนล้านเป็นยอดของทุจริต ก็เลิกเสียเถอะ เมื่อไม่ได้ศึกษาก็ไม่รู้ว่าอาชีพอย่างนี้คืออบายมุขหนัก สุดยอดอบายมุข แต่เขาก็หลงใหลยกย่องเชิดชู โกงระดับชาติ อภิมหาโกง แล้วก็ไม่เข้าใจว่าในชาวพุทธเป็นเรื่องของมิจฉาชีพระดับต่ำทราม ไปเข้าใจมิจฉาชีพว่าเป็นแค่ตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กเล็กๆน้อยๆ แต่พวกที่ทำความฉิบหายให้แก่สังคมอย่างมาก เป็นมิจฉาชีพระดับ หยาบหนักก็ไม่รู้เรื่องเพราะไม่สอนไม่แนะนำ แล้วนอกจากไม่สอนแนะนำแล้วยังคบหากันอย่างสนิท คุณเอาไปโกงแล้วเอามาทำทานบริจาคอีก หนักเข้าก็สมคบคิดกันเลย ตั้งเป็นสหกรณ์แล้วหลอกเอาเงินชาวบ้านเข้ามาหมุนเวียน โอ้โห มันอภิมหาอบายมุขขนาดนั้น เขาก็ไม่รู้ ได้รับความยกย่องเชิดชูว่ามีปัญญาสูงอีก เป็นสหกรณ์ดีเด่นของประเทศ ตอนนี้ก็ทยอยฟ้องกันไป คนที่เป็นผู้อำนวยการใหญ่ก็เข้าคุกไปแล้ว คนอื่นก็ทยอยเข้าคุกไป จนคนที่ร่วมมือจริงๆ เขาจะตามมาเข้าคุกก็หายหัวไปไหนไม่รู้
ขอบอกเลยว่าผู้บริหารประเทศอย่าไปเกรงใจพวกนั้น ถ้าเป็นพระจริงก็ควรเกรงใจ แต่ถ้าเป็นพวกสมีพวกทำลายศาสนาก็อย่าไปเกรงใจ ให้มีปัญญาหน่อย ทำอย่างนี้เป็นการช่วยประเทศชาติช่วยศาสนาเลย เพราะเมื่อมาอยู่ในวงการศาสนาแล้วมาทำชั่วอย่างนี้ได้อย่างไร ปราบเสีย ไม่ได้พูดอย่างย่ำยีโหดร้ายนะ
ประชาชน ฆราวาสเขาพูดมีสถานีโทรทัศน์ ไปว่าเขาว่าพวกนี้มาวิจารณ์มาว่าพระ แล้วเป็นพระหรือ พวกนี้ไม่ใช่พระหรอกมาทำลายศาสนา จัดการเสีย ดีไม่ดี พวกเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ปกป้องกัน เละเทะกันเลยศาสนา
อาตมาปางนี้มาเพื่อปราบมาร อย่างธัมมชโยก็ดี หลวงพ่อสดก็ดี บอกว่ามาปราบมาร นั้นไม่ใช่หรอก มาเป็นตัวมารตัวใหญ่ เพราะไปแนะนำนอกรีต ไปมีลัทธิอะไร ตัวหลวงพ่อสดก็ยังไม่ตะกละอะไร พอมาตกถึงธัมมชโยก็ออกลาย เลวจัด ชั่วจัด หนักมาก เพราะฉะนั้นอย่าเกรงใจ เป็นสมีตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชบอกว่าปาราชิกแล้ว
สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้ที่วินิจฉัย เขายกย่องยอมรับว่าเป็นพระสังฆราช เป็นอาจารย์ของในหลวงด้วยซ้ำ แล้วคิดดูสิว่าวงการศาสนาก็เฉย ท่านตรัสเป็นพระลิขิตเรียบร้อยหมดเลย แต่ก็เฉย แล้วจะเหลืออะไรศาสนาพุทธ นอกนั้นก็เป็นลิ่วล้อของสำนักนี้เสียด้วยซ้ำ
_Sleep is the best meditation
อยากทราบว่าพ่อครูคิดอย่างไร กับประโยคนี้ของ องค์ดะไลลามะ14
ผมตีความว่า พระองค์เชื่อว่าการนั่งสมาธิที่เอาแต่สงบ ไม่นำไปสู่ปัญญาวิมุต จึงหมายความว่า อย่าเสียเวลาไปกับการนั่งทำสมาธิ ถ้ายังมีเวลานอนหลับไม่พอ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ไม่กลัวความลำบาก
พ่อครูว่า…อาตมานำเอาเรื่องของคนจน อาตมาว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะเมื่อเข้าใจความจนที่เป็นโลกุตระ ความเป็นคนจนที่ประเสริฐเป็นความจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องนี้เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์อย่างยิ่ง ความเป็นคนจน
ความจนไม่ได้เป็นสิ่งที่พาสุขพาทุกข์ คนจนที่ไม่มีเงินทองแล้วทุกข์ก็เพราะว่าเขาไม่ฉลาด เขาไม่เข้าใจชีวิต
หากเข้าใจชีวิตดีแล้ว จะไม่ปฏิบัติตนเป็นคนรวย หลักการเป็นคนรวยนั้นเป็นการแย่งทรัพย์สินของส่วนกลาง เป็นคนที่โลภ เอาทรัพย์สินส่วนกลางมาไว้แก่ตัวเองมาก
สมมุติให้ชัดๆ ในประเทศไทยมีทรัพย์สินจำนวนพันล้าน แล้วสมมุติว่า คนเอาพันล้านนี้ไปไว้ที่ตัวเขาหมด เป็นคนรวย หรือแบ่งกันห้าคนสิบคนก็ตาม คนที่เหลือก็ตาย เพราะไม่มีเงินใช้ ตาย สมมุติชัดๆง่ายๆ
คนที่ไปสะสมเอาเงินทองข้าวของ ที่เป็นปัจจัย คุณจะไปสะสมของพิษโทษภัยก็โง่ แต่ถ้าสะสมสิ่งอาศัยใช้สอย ก็โลภเอาไปสะสมมาก คนอื่นก็ใช้ไม่ได้เพราะคุณกักตุนไว้ แล้วสะสมไม่มีที่สิ้นสุดด้วย เป็นคนใจดำอำมหิตเป็นคนเห็นแก่ตัว
ถ้าคนเราสามารถเข้าใจได้ว่า ไม่ต้องเป็นคนรวยเลย มาเป็นคนจนไม่ต้องมีทรัพย์สินเลย อาตมาพูดไปแล้วก็ภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ที่สามารถนำคำสอนพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติ จนเกิดเป็นสังคมชุมชนที่ทำงานฟรีไม่ต้องมีทรัพย์สินส่วนตัว มีทรัพย์สินส่วนกลางเรียกว่าสาธารณโภคีกินใช้ร่วมกัน ทำมาหากินได้ก็มารวมกันกินใช้ร่วมกัน
เป็นสังคมที่หลายคนไม่คิดไปอย่างอื่นแล้ว มีชีวิตอยู่ในสังคมนี้จนตายแล้วเราก็เผาให้กัน เผาเรียบร้อยเสร็จ ไม่ต้องกลัวว่าตายแล้วจะไม่มีใครเผาผี ไม่มีสมบัติสักตังค์ไม่มีญาติเลยก็พอเผาให้ สบม. ทมด. ปกต. หห. จจ.
อาตมาภาคภูมิใจที่นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติ จนเกิดสังคมมีพฤติกรรมมีชีวิตมีสังคมอยู่กันอย่างเป็น อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
อาตมาได้ไปหลงทางโลก 36 ปี แต่เมื่อรู้แล้วก็มาทางนี้อย่างชัดเจน แล้วพากันออกมาทำมาสู่โลกุตระได้สำเร็จ อาตมาทำได้สำเร็จเป็นคนจนที่สุขสำราญบานใจ พากันมีชีวิตอย่างนี้ มีคนรับช่วงช่วยกันทำ จนเป็นวัฒนธรรมสังคม มีพฤติกรรมสังคม เข้าหลักเกณฑ์ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ถูกต้องสอดคล้องดีงาม ใครไม่เชื่อหาว่าหลงตัวเอง ว่าไม่จริงหรอกก็แล้วแต่เขา แต่อาตมามั่นใจว่าทำงานมานี้จะเข้า 50 ปีแล้ว ไม่มีใครกล้าค้าน อาตมาเปิดพระไตรปิฎกยืนยัน
แม้บางทีเขาจะตีความไม่ตรงกับอาตมาก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้าเขาไม่ออกนอกคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วก็ตรงกับอาตมานี้ สัจจะของพระพุทธเจ้าต้องมีหนึ่งเดียว ถ้าอาตมาผิด คุณอธิบายก็ถูก แต่ถ้าอาตมาพูดถูกคนที่อธิบายต่างไปก็จะผิด นี่คือคำพิพากษา อาตมามั่นใจ ยิ่งอาตมาแก่วัด เพราะว่าบวชมา 47 พรรษาแล้วเป็นมหาเถระแล้วอายุยาวขนาดนี้แล้วคนไม่กล้ามาวอแวเท่าไหร่ เสียงดังน้ำหนักดีด้วย ถูกต้องตามพระธรรมวินัยด้วย
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนจน คำว่าคนจนนี้คืออัปปิจฉะ แปลเอาความด้วยนะ แต่เขาแปลกันว่ามักน้อย
มักน้อยแปลว่า ผู้ที่พอใจจะเอาแต่น้อย เอาไว้น้อยๆ แล้วจะไม่เป็นคนรวยหรอก ในกถาวัตถุ 5
มักน้อยใจพอ แต่สันโดษ สันตุฏฐิเขาก็แปลเลี่ยงบาลีว่า พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
กถาวัตถุ 10 มี
1. เรื่องที่ชักนำให้มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉกถา) .
2. เรื่องที่ชักนำให้สันโดษ ใจพอ (สันตุฏฐิกถา)
3. เรื่องที่ชักนำให้สงัดจากกิเลส (ปวิเวกกถา) .
4. เรื่องที่ชักนำไม่ให้คลุกคลีกับหมู่กิเลส (อสังสัคคกถา) คือผู้ไม่เอาสวรรค์แล้วก็ไม่มีนรกด้วย แต่เขาเข้าใจว่าศาสนาพุทธสอนให้ไปสวรรค์ นั่นไม่จริง ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่เอาสวรรค์ ไม่เอานรก ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกนั่นคือจุดสุดยอดของศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เข้าใจความเป็นสวรรค์ สวรรค์เป็นเมืองหลอก หลอกมนุษย์ได้สนิทมาก ใครที่รู้เท่าทันสวรรค์แล้ว สวรรค์ก็คือนรก นรกก็คือสวรรค์ อันเดียวกันเหรียญเดียวกัน ต่างกันคนละหน้าเท่านั้น จุดเดียวกันถ้าเข้าใจแล้ว
ผู้หมดสวรรค์ผู้นั้นก็หมดนรก ผู้หมดนรกคือผู้หมดสวรรค์
5. เรื่องที่ชักนำให้ปรารภความเพียร (วิริยารัมภกถา) .
6. เรื่องที่ชักนำให้บริสุทธิ์ในศีล (สีลกถา)
7. เรื่องที่ชักนำให้จิตตั้งมั่นในสมาธิ (สมาธิกถา) .
คนจนที่ไม่กลัวความลำบากไม่กลัวความมีน้อย จึงเป็นคนประเสริฐ เป็นคนช่วยเศรษฐกิจของชาติของสังคม แต่เป็นคนจนที่จะต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรมีความรู้ความสามารถเป็นคนที่ทำงาน ไม่ใช่เป็นคนอย่างงอมืองอเท้า หนีไปหลับหูหลับตาในป่าในถ้ำ แต่เป็นคนที่มี สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ สัมมา รู้จักว่าอะไรควรส่งเสริมอะไรควรปฏิเสธ เป็นนักเศรษฐกิจที่สูงสุด เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก เพราะว่า
แม้แต่สิ่งที่จะเป็นปัจจัยชีวิต เขายังไม่ค่อยเข้าใจกัน อาตมาพาพวกเราปฏิบัติธรรมเป็นชีวิตที่มาอยู่กับ ปัจจัย 4 อาหารบ้านเรือนพึ่งตัวเอง เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค หรือมีปัจจัยอาศัยเป็นบริขารพอสมควร เข้าใจกันทั่วโลกแล้วว่าปัจจัย 4 นี้ อุดมสมบูรณ์แล้วเฟ้อเกิน เขาเลยเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ
อาหารปรุงแต่งเกิน เสื้อผ้าปรุงแต่ง บ้านเรือนปรุงแต่ง ยารักษาโรค กลายเป็นยาประเทือง มียาดมยานัตถ์ยาหอม เป็นของโก้ๆ จนกลายเป็นเรื่องอะไรไม่รู้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน พระโพธิสัตว์กับสาธารณโภคี
มาเข้าสู่เรื่อง แบบคนจน ในหลวงเรานี้เป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้พูดเล่นโดยไม่มีเหตุผลหลักฐานอ้างอิง เป็นความรู้อันวิเศษของพระโพธิสัตว์
ในหลวงเป็นผู้ที่มีความรู้แล้วก็มีพระจริยวัตรที่เป็นพระโพธิสัตว์ ทุกวันนี้ บูชาเคารพนับถือในหลวงเพราะอะไร
เพราะพระองค์มีพระจริยวัตร เป็นพระโพธิสัตว์ เดี๋ยวนี้ค่อยๆเข้าใจพระโพธิสัตว์เพิ่มเติมขึ้นมาแล้ว
พระโพธิสัตว์คือใคร คือผู้ที่ชีวิตตัวเองสบายแล้ว ชีวิตตัวเองไม่ต้องห่วงแล้วไม่มีตัวตนของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นชีวิตนี้จึงเป็นชีวิตที่รับใช้มวลชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) แท้จริง
ทีนี้ในหลวงนี่ ท่านทรงมีพระจริยวัตรจริงๆเลย กระทำรับใช้ประชาชนเพื่อมวลประชาชนจึงเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ความรู้พฤติกรรมจริงของพระองค์ 70 ปี
อาตมาก็เป็นผู้ที่ทำงานรับใช้ประชาชนเพื่อประชาชน แต่ไม่ได้ทำด้านรูปธรรม รับใช้ประชาชนด้านนามธรรม ให้เข้าใจสัจธรรมของพระโพธิสัตว์ สัจธรรมที่รับใช้มวลมนุษย์ แล้วอาตมาพาพวกเรามารับใช้มวลมนุษย์ รับใช้ประเทศชาติมาตลอด
ทุกวันนี้เรื่องเศรษฐกิจ รับใช้ประเทศชาติทำเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี สร้างสรรสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งที่ไม่สำคัญไม่ไปเสียเวลา ไม่เอาเวลาทุนรอนแรงงานไปทำสิ่งมอมเมาเป็นพิษ ไม่สำคัญเท่าพาพวกเรามาสร้างสรรสิ่งที่สำคัญ จนทุกวันนี้
เป็นแต่เพียงว่าเราไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมทำวัตถุ เทคโนโลยี มันยาก เราไม่เก่งทางนั้น เวลาเราก็มีเท่าที่ทุกคนมี เราก็มาทำทางถนัดที่เหมาะสมกับประเทศไทยที่เป็นประเทศเหมาะสมทางด้านกสิกรรม
หากเอาแรงงานมาแข่งขันไถนาเก่งก็จะดียิ่งเลย เอาแรงงานไปเตะลูกฟุตบอลโลกกลมๆ เก่งก็เสียแรงงานเปล่า จนเด็กๆไม่รู้ประสีประสา เห็นคน 22 คนแย่งลูกบอลกัน 1 ลูก เขาก็เลยเอาลูกบอลอีก 1 ลูกไปให้ เพราะสงสาร ผู้ใหญ่แย่งลูกบอลกัน 22 คน มันเสียเวลา แล้วหากไปเตะชนะมาก็ดังระดับชาติ ประเทศไหนเขาจะโง่หนักไปเสียเวลาอย่างนั้น
ออกกำลังกายเราไม่ว่า จะเตะบอล จะไปแข่งขันเอาแพ้ชนะมันเป็นอบายมุขแล้ว ยิ่งไปแข่งขันเอาเงินทองก็เละเลย
สรุปอันหนึ่ง ในวงการศาสนาพุทธ ถ้ายุคใดกาละใดที่ไปหลงเห็นว่า การละเล่นกับมหรสพ การบันเทิงเริงรมย์มีราคาไปหลงใหลเชิดหน้าชูตา แล้วค่าตัวนักกีฬากับนักแสดงมีค่าตัวแพงนั้นเป็นเรื่องของวัฒนธรรมและศาสนาเสื่อม
จะเห็นได้ว่าอินเดียไม่เด่นในเรื่องพวกนี้ หนังเขาก็เชยๆ ร้องเพลง รอบภูเขาแม่น้ำของเขาอย่างนั้น เครื่องกีฬาเขาก็ไม่เด่นอะไร พลเมืองเขามีตั้ง 1.324 billion (2016)
ทุกอย่างเป็นธรรมะสอง อินเดียเป็นเมืองคนจน แต่รวยที่สุดก็อินเดียแหละ เขาซุกไว้ไม่เปิดเผย ไม่อวดอ้าง แต่จีนนี่โชว์ คนละเรื่อง เป็นลักษณะของมัน อาตมาไม่มีความเก่งที่จะขยายความ
มาเข้าสู่คนจน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สาธารณโภคีเกิดได้เพราะมีแก่นโลกุตระ
การเป็นคนจน มันเป็นประโยชน์สูงมากๆต่อสังคมต่อประเทศต่อโลก
การมาเป็นคนจน เป้าหมายอย่าไปกลัวการจน คนที่เป็นคนจนได้เป็นคนจนอุดมสมบูรณ์เป็นคนจนที่มีสมรรถนะ เป็นคนจนอันประเสริฐเป็นคนจนที่มีความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนจนที่กระจอกที่มีความเกียจคร้านไม่มีความรู้ความสามารถ แต่เป็นคนจนที่ไม่สะสม ไม่สะสมก็ต้องจน แต่ทำได้มากสร้างได้มากแล้วก็สะพัดออกไป จึงเป็นนักเศรษฐศาสตร์มือ 1 ของโลก คนจนนี่ เป็นนักเศรษฐศาสตร์มือ 1 ของโลก เศรษฐกิจของโลกไม่สะสม
ถ้าคุณเก่งมากๆ มีสมรรถนะที่สูงก็สร้างองค์กรองค์การของคุณ คุณก็จะมีเครือข่ายเหมือนกับที่ทุนนิยมสร้าง ก็ได้เงินทองเข้ากองกลางองค์กรคุณมากมาย คนอื่นๆก็เจ๊ง ก็ถูกคุณเอาเปรียบมาได้ คุณเก่งสะสมได้
นิสัยความคิดที่จะเอาให้แก่ตัวเองได้อย่างรวยไม่เลือกหน้า ขอให้กูรวย คนพวกนี้เห็นแก่ตัวร้ายกาจมากที่สุด ความคิดของอาตมานี่นะ
อาตมาก็ยังงงๆ อยู่นี่ว่า ทำไมประเทศจึงไม่พยายามสร้างสังคมประเทศเรา ให้คนในประเทศของเรา ทำงานเลี้ยงตัวเองให้ได้ เน้นอันนี้เลย
1.ทำงานเป็น ทำงานที่สำคัญ อย่าเอาเวลาแรงงานทุนรอนไปใช้เรื่องความฟุ่มเฟือยออกนอกสาระปัจจัยชีวิต ไกลเกินไป ให้มารู้จักปัจจัยชีวิตแล้วร่วมกันทำให้เกิดความพอเพียงไม่อดตาย ไม่ต้องเห่อตามโลกที่ส่งไปเป็นแฟชั่นสินค้า มอมเมา สาระชีวิตไม่จำเป็นหรอกสิ่งเหล่านั้น คนส่วนใหญ่ในประเทศเขาก็ไม่ค่อย ฟุ้งเฟ้อ นอกจากพวกไฮโซ ที่มายกย่องสิ่งเหล่านั้นให้คนทำตาม แล้วกดขี่คนที่หลงไปด้วย เป็นการไม่มีความรู้
มาอยู่อย่าง มอซอ มาอยู่อย่างเป็นสาระ อย่างพวกเรา คนชาวอโศกไม่ต้องแต่งตัวอะไรมาก มาเป็นชาวอโศกก็จะลดละเรื่องการแต่งตัว โลกเขาก็ไม่ได้หยุดการโฆษณาแฟชั่นการแต่งตัวนะ เขาก็ยังบ้ากันไม่หยุดหย่อน มีแต่หนักหน้า แต่ชาวอโศกนี้เฉยๆ จนไม่รู้ว่าเขาโฆษณาอะไรกัน
ถ้าเมืองไทยสามารถเข้าใจ สิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ แล้วก็มีนโยบายของประเทศ อย่าไปส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ ถือว่าเป็นอบายมุข การแต่งเนื้อตัวมีแฟชั่นกีฬาการละเล่น การสวยงามรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มันเกินการณ์
อาหาร อินเดียนี่ยอดเลย ไม่รู้กี่พันปีก็กินแกงถั่วกันอยู่อย่างนั้น ตีไม่แตก ใครไปเอาอะไรไปเท่าไหร่ คนไทยก็พยายามไปค้าขายที่อินเดียก็ขายไม่ออก ไปเมืองฝรั่งขายออก
ในอินเดียร้านค้าอาหารไทยไปที่อินเดีย หงิก คนอินเดียไม่หลงติดตามเลย เป็นวัฒนธรรมสิ่งที่เขาทำเป็นจิตวิญญาณลึก แน่น ไม่มีอะไร ตีแตกได้ง่ายๆ
อินเดียนี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับโลก ได้อย่างเก่งมาก ดีมาก แต่อาตมาก็ว่ามันก็อย่างว่าไม่รู้จักสมัยหนัก เหมือนกัน แต่อาตมาก็ว่าดี เขาอยู่รอด
ถ้าจะว่าจริงจริงแล้วสู้ประเทศไทยไม่ได้ จะบอกว่า มีเนื้อหาสาระธรรมะ ทุกวันนี้อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาฟื้นได้ดีขึ้นมาก เข้าใจกันได้เยอะ
มีเครื่องบ่งชี้คือ คนไทยเอา รับคุณธรรมโลกุตรธรรมของในหลวงได้ แม้จะไม่อยู่ในสภาพเต็มรูป แต่เป็นความเข้าใจเฉลี่ยว่า จะต้องปฏิบัติตามคำพ่อสอน พ่อพาทำอะไรจะทำตาม ท่านเองท่านปฏิบัติประพฤติมีพระจริยวัตร สุดยอดแล้วเป็นรูปธรรมดีแล้ว เพราะฉะนั้นดำเนินตามเถอะ
ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว ในหลวงนี่ ทรงงานที่เป็นงานที่เหมาะสมกับสังคม อยู่ในภาวะพอเหมาะพอดี เรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียง คนจึงรับได้ แต่อาตมานี่เอาโลกุตรธรรมที่ลึกถึง จิตเจตสิกรูปนิพพาน คนรับไม่ค่อยไหว แต่อาตมาจำเป็นต้องเอามาฟื้นคืนเพราะว่ามันได้ผิดเพี้ยน ล้มล้างโลกุตรธรรมไปมาก ศาสนาพุทธจะไปไม่ถึง 5000 ปี
อาตมาจึงต้องทำ ทั้งที่เขาไม่ค่อยรู้เรื่องกัน อาตมาก็เก่งเท่านี้ แต่จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องทำให้นานที่สุด ให้ได้มากที่สุดจนกว่าจะทำไม่ได้ จนกว่าขันธ์นี้จะทำไม่ได้ อาตมาจะพยายามประคอง ขันธ์ให้นานที่สุด
ในหลวง พระชนมายุ 89 ปี ทรงงานบริหารประเทศ 70 ปี ท่านก็ถึงวาระที่ต้องไป อาตมาก็ต้องพยายาม ท่านทรงงาน 70 ปี อาตมายังทำงานสังคม 47 ปี จะต้องทำไปอีกอย่างน้อย 23 ปี อาตมาตั้งใจทำเลยกว่านั้นเพราะว่าทำยาก เป็นนามธรรม
อาตมาไม่มีปัญหาเพราะมีคนฟังน้อย อาตมามาทำงานศาสนาไม่ใช่เพื่อจะหาบริวาร ไม่ใช่เพื่อคนนิยมชมชอบเชิดชู เอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หรือให้คนมาชมว่า เป็นผู้วิเศษเป็นผู้ยอดเยี่ยมก็ไม่ใช่ แต่มาทำงานเพื่อจะเปิดเผยธรรมะ ให้พวกเรา ละหน่ายคลาย ลดกิเลส นี่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าเลย มาทำงานเพื่อรักษาแก่นของศาสนาพุทธคือวิมุติ
พระสูตรมีว่า...เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย. เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์
เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น.
มหาสาโรปมสูตร ล.12 ข.347
ตอนนี้ศาสนาพุทธ ไม่เหลือ แก่นคือวิมุติก็ไม่มี กระพี้คือปัญญาก็ไม่มี เปลือกคือสมาธิก็ไม่มี สะเก็ดคือศีลก็ไม่มี มีแต่ใบดอกผลออกเต็มที่คือ ลาภยศสรรเสริญสักการะ
แม้แต่ ศีลก็ไม่รู้จัก เขาบอกว่าศีลมี 227 ข้อ ทั้งที่ศีลก็คือธรรมนูญ เป็นจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล 43 ข้อ แต่พระไม่รู้จักกันแล้ว 227 คือวินัย ตั้งขึ้นมาเพราะว่าพระภิกษุทำผิดกัน เหมือนเป็นกฎหมายอาญาที่ต้องมีบทลงโทษ ส่วนศีลไม่มีทัณฑ์ ศีลปฏิบัติแล้วจะเจริญทางศาสนา ในธรรมะ ไม่เข้าใจกันแล้วศีลก็ไม่มี
แต่ยังดีที่พูดถึงศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ซึ่งอยู่ในจุลศีลทั้งนั้น แต่ถามพระว่าก็มีศีล 227 มันไม่ใช่ สะเก็ดก็ยังไม่มีคือไม่มีศีล
พูดไปแล้วเขาก็จะเกลียดชัง อาตมาไม่ได้เป็นคนอยากให้ใครเกลียดชังนะ แต่จำเป็นต้องพูดสัจธรรมไม่มีทางเลือก แล้วก็ขอพูดตรงๆว่าไม่มีใครกล้าพูดอย่างอาตมา ว่าอย่างนี้ถูกอย่างนี้ผิดกันตรงๆ ไม่ใช่อวดดีอะไร อาตมาก็ขอบคุณยุคสมัย ถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าก็ต้องเดินออกไปประกาศธรรมะ ก็คงจะผอมกว่านี้นะ
อาตมาไม่มีปัญหา ขอให้เป็นสัจจะเป็นปรมัตถ์ของพระพุทธเจ้าให้รักษานี้เอาไว้ ถ้าไม่รักษาอันนี้เอาไว้ก็ไปไม่รอดศาสนาพุทธทุกวันนี้
มหาเถรสมาคมไม่เหลืออะไรแล้ว วงการศาสนาไม่เหลืออะไรแล้ว ดีนะที่ยังมีพระสังฆราชที่รักษาศาสนา ดีนะ มันกำลังฟื้นคืนขึ้นมา แต่มันเหลวเละ จนว่าที่สังฆราชที่จะได้ขึ้น จริงๆเขาว่าเป็นสมีแล้วถึงขีดนั้นแล้ว เสร็จแล้วก็เปลี่ยนมา ประเทศไทยยังดี เอาล่ะมันเวียนกลับมาได้สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ก็ดีแล้วประเทศไทย ช่วยพยุงเอาไว้ เหมาะสมแล้ว อาตมาก็ยังคิดว่า ต้องเป็นหน้าที่ให้อาตมาว่า นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ทางเจโตก็มีสมเด็จสังฆราช ส่วนปัญญาก็มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ประยุทธ์ปยุตโต
การจะให้คนมาเข้าใจเรื่องคนจนอันวิเศษ เป็นเรื่องของฐานะ อย่างในหลวงก็เป็นคนจนอันประเสริฐในฐานะของพระองค์ แต่คนไม่เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนจน ไม่มีใครเข้าใจได้ง่ายๆ แต่ท่านต้องอยู่ในฐานะพระเจ้าแผ่นดิน ทีนี้พวกแดงไม่เข้าท่า ไม่รู้จักฐานะขั้นตอนของสังคม เรื่องสังคมมนุษยชาติเขาไม่เข้าใจ ก็ไปหาว่า เป็นศักดินา พวกลำเอียงไปข้างนั้นก็ว่าไป เป็นเรื่องของคนไม่มีปัญญา อาตมาก็ไม่เก่งด้านพูดวิชาการ
ถ้าคนเราเข้าใจเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่สอนให้คนมักน้อย หรือมาจน อัปปิจฉะคือกล้าจน เอาแต่น้อยๆ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เอาของพระพุทธเจ้ามาขยายต่อ ว่ามาเป็นคนจน มาขาดทุนคือกำไร เราเสียนี่แหละคือเราได้ ท่านก็ไม่ได้ขยายความต่อ ท่านก็ทรงงานของท่าน ส่วนหน้าที่พูดจนปากเปียกปากแฉะก็คืออาตมา
ถ้านักบริหารนักเศรษฐกิจเข้าใจเศรษฐกิจแบบคนจน แล้วมาสอนกันอย่างวิชาการ มาบริหารกันอย่างคนจนแบบคนจน ดังที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสไว้ ทำความเข้าใจให้จริง เข้าเนื้อ ทำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบคนจน บริหารแบบคนจน ถ้าทำได้ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอํานาจ เป็นมหาอำนาจที่มีธรรมาธิปไตย ไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่เป็นเจ้าโลก อย่างที่เป็น อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ไม่ใช่แน่นอน แต่เป็นมหาอำนาจ ที่เป็นธรรมาธิปไตย
ตอนนี้ส่อแสดง ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงแสดง คนเข้าใจโดยปริยาย คนไทยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของชาวพุทธเข้าใจแล้ว Bomb of love ฮือฮา แสดงออกความรักในหลวง รักในคุณวิเศษของในหลวงคือเศรษฐกิจแบบพอเพียง แบบคนจน แบบขาดทุนคือกำไร แล้วในหลวงท่านบริหารอย่างพ่อกับลูก นี่ล่ะสุดยอด นี่คือสังคมประเทศไทยเป็นตัวอย่างของโลก จะเป็นตัวอย่างจริงๆ คอยดู
จะเป็นตัวอย่างในการบริหารทางด้านเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์แม้แต่สังคมศาสตร์ อาตมาว่าไม่น่าจะเกิน 20 ปี เมืองไทยจะเด่น เป็นตัวอย่างของสังคม
สมณะเดินดินว่า….คิดว่า ถ้ารัฐบาลมีความเข้าใจเรื่องนี้ ดูว่าประเทศไทยตอนนี้เหมือนพบทางตัน ที่เขาว่าเศรษฐกิจดี 8-9 เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ คนจนก็ลำบากมากขึ้นคนชั้นกลางลำบากมากขึ้น ทั้งที่เศรษฐกิจโตขึ้น แต่ช่องว่างก็ยังเยอะขึ้น รัฐบาลจะปล่อยเงินไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงคนจน คนจน ก็ไม่พออยู่ดี ในหลวงเห็นถึงปัญหานี้จึงบอกว่าให้มาใช้เศรษฐกิจพอเพียง คือทำให้พอมีพอกิน วันนี้พ่อครู ตั้งคำถามว่าทำอย่างไรจึงจะให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ พอมีพอกินได้ แต่อย่าให้เขาไปหาเงิน ก็จะเข้าไปสู่วงจรของความยากจน เพราะต้องซื้อหมดทุกอย่าง เพื่อจะได้ไปมีเวลาหาเงินเยอะๆ รัฐบาลเอาเงินไปช่วยเท่าไหร่ก็หายหมด เพราะไปคิดว่าจะรวย ก็ไปเรียบร้อยโรงเรียนคนรวย เศรษฐกิจพอเพียงจึงต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน แต่ทุกวันนี้ทุกคนจะไปรวยกันก็จะไปหาทางตัน แก้ปัญหาไม่ได้ ฟังพ่อครูวันนี้ก็น่าจะหาทางออกได้….จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:33:05 )
รายละเอียด
601029_วิถีอาริยธรรม สันติอโศก จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจได้ด้วยสังกัปปะ
สมณะเพาะพุทธว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2560 ที่สันติอโศก
เริ่มด้วยบทกวี “ศาสตร์พระราชา”
“ทำ”ตามคำพ่อสอน
เรา“เสีย”นั่นแหละเรา“ได้”
(1) กรรมใด“ทำ”แล้วมุ่ง “เสีย”ไป
สละยิ่งให้จริงใจ ทุกถ้วน
ประโยชน์แก่ใครไผ เผื่อแผ่ ทั่วเฮย
แต่กลับ“ได้”เองล้วน เช่นนี้แล“กรรม”
(2) “เป็นอันทำ”ทุกผู้ “ของตน”
“ตน”ย่อมสั่งสมผล วิบากแล้
ใคร“ทำ”ก็คือคน นั้นแหละ “มี”เอง
พ้นชั่ว แต่ดี แท้ ผนึกไว้ในตน
(3) ปวงชน“ได้”ประโยชน์นั้น เรา“เสีย”
เราสละแม่นตรงเคลียร์ สัจจ์ไซร้
ประโยชน์ประหยัดเจีย- รนัยจิต เราแฮ
ตรวจ“สะอาดหมดจด”ให้ ถูกถ้วน“ทำ”จริง
(4) ยิ่ง“ทำ”ใดยิ่งย้ำ ตาม“กรรม”
“ทำ”ที่ยิ่งเป็นธรรม ประเสริฐแท้
ไม่ต้องห่วงว่า“สำ- เร็จ”เมื่อ ไรเลย
จะชนะฤาจักแพ้ อย่าได้มัวพะวง
(5) บรรจง“ทำ”มุ่งให้ สุทธิสิทธิ์
“เพื่อประชา”สะอาดจิต จบแล้ว
คู่แย้งว่าเราผิด ก็ปกติ ธรรมดา
“ทำ”สุดสดผ่องแผ้ว ก่องแก้วเพลินกรรม
(6) สำราญบานเบิกไว้ สบายใจ
เรา“ขาดทุน”คือ“กำไร” แม่นแท้
เศรษฐศาสตร์แห่งปราชญ์ไทย ภูวนาถ เทิดเทอญ
“ทำแบบคนจน”แล้ เลิศล้ำทฤษฎี
(7) พลีชีพเพื่อชาติให้ เต็มเถิด
ยอดแห่งแชมป์นั้นเกิด จากสู้
กับคู่แข่งเก่งเลิศ ครบสูตร
ต้องน็อครองแชมป์ผู้ ยอดร้ายคาสนาม.
“สไมย์ จำปาแพง” 3 ก.ย. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 327 ประจำเดือนตุลาคม 2560]
เมื่อสักครู่สมณะผู้ใหญ่ บอกว่า พ่อครูกำลังลงสู่สนาม ช่างเข้ากับบทกวีมากเลย
พ่อครูว่า...ขณะนี้เมืองไทยมีรองแชมป์ที่พยายามชิงตำแหน่ง รองแชมป์นี้เก่งมากเหนียวมาก
สมณะเพาะพุทธว่า...เราเพิ่งผ่านพ้นงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พ่อของแผ่นดิน พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
เมื่อเช้านี้ ได้ดูรายการที่นำพระราชดำรัสของในหลวงร.9 มาพูด เกี่ยวกับความเพียรและความอดทน อันเป็นบารมีของพระมหาชนกและพระเตมีย์ใบ้ ในหลวงตรัสว่าการปรับปรุงตลอดเวลาแปลว่าความเพียรกับความอดทน
มีข้อสรุปของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ได้ให้ไว้ว่า คุณธรรมของพ่อของแผ่นดิน ที่รวมในในหลวงรัชกาลที่ 9 คือ พระมหาชนกและพระเตมีย์ใบ้ เราได้ส่งเสด็จพ่อของแผ่นดินคืนสู่สรวงสวรรค์ แล้วสวรรค์ก็ส่งความดีลงมา เป็นปรากฏการณ์การทำความดีเพื่อพ่อ ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจทางความกตัญญูต่อผู้มีธรรม ปรากฏการณ์ก่อนหน้า 25 ตุลาคม 2560 และจนถึง 29 ตุลาคม 2560 เป็นปรากฏการณ์ดัชนีของคุณธรรมความกตัญญูที่สูงที่สุดในโลก มีผู้ให้ภาษาอังกฤษว่า GNG (Gross National Gratitude) ดัชนีความกตัญญูมวลรวมของชาติ ประเทศไทยแสดงออกได้สูงที่สุด แสดงออกในรูปแบบต่างๆ
ในหลวงตรัสไว้ว่า…ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง..
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนเป็นจำนวนมาก ได้ไปอยู่ที่สนามหลวงและสถานที่อื่นเพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่านไม่ต่ำกว่า 19 ล้านคน ทำให้นึกถึงคำของพ่อครูว่า สิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดคือมนุษย์
คำสอนทั้งสองนี้ มีความสอดคล้องกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พ่อครูว่า…ขอแก้ไข โคลงบทที่ 5 และ 6
(5) บรรจง“ทำ”มุ่งให้ สุทธิสิทธิ์
“เพื่อประชา”สะอาดจิต จบแล้ว
คู่แย้งว่าเราผิด ก็ปกติ ธรรมดา
วิบากย่อมไม่แคล้ว แก่ผู้ทำกรรม
(6) สัมผัสตัดกิเลสได้ สบายใจ
เรา“ขาดทุน”คือ“กำไร” แม่นแท้
เศรษฐศาสตร์แห่งปราชญ์ไทย ภูวนาถ เทิดเทอญ
“ทำแบบคนจน”แล้ เลิศล้ำทฤษฎี
ขอต่อนิดหนึ่งว่าโศลกมหาปวารณาปี 2560 คือ “จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ”
มีทิดเดิมแท้แนะนำว่า อยากให้ชุมชนบุญนิยม สร้างเครือข่ายจิตอาสาให้แก่สังคมไทยต่อไป ...ก็อยากจะทำให้ได้มากกว่านี้ คือจิตอาสาของเรา เป็นจิตอาสาที่ไม่หลอกล่อ และเล็มเลียบเคียง เป็นจิตอาสาที่เต็มใจและใช้ปัญญา ผู้จะมาเป็นจิตอาสาของเราชาวอโศกจะต้องมีภูมิปัญญารู้ว่ามาอาสาทำอะไร ช่วยอะไร ช่วยงานอะไร งานเพื่อมวลชนหรือรับใช้เขา ถูกครอบงำความคิดแล้วมาช่วยหรือไม่ ก็ต้องใช้ปัญญาเป็นอิสระเสรีภาพของแต่ละคน เราจึงได้คนที่มาอย่างอิสระเสรีภาพและใช้ปัญญาตัดสินเอง ชัดเจนเอง ไม่มีอะไรบกพร่อง ก็ค่อยเป็นค่อยไป แต่เราไม่หลอกล่อ ด้วยเล่ห์กล
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน กำจัดเวทนาเทียมหมดได้จึงปฏินิสสัคคะ
_the sun ....คิดวาเราสามารถเปลี่ยนเวทนาแท้ให้เป็นเวทนาเทียมได้ไหมครับ เช่นตอนที่เรากำลังจะตายอย่างเจ็บปวดแล้วเราก็สะกดจิตตัวเราให้ตายแบบมีความสุข
พ่อครูว่า...แล้วกัน เราจะกำจัดเวทนาเทียมไป ให้เหลือแต่เวทนาแท้ เรียนรู้ให้ดี เวทนาสอง ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
ธรรมะ 2 ใช้ในการเปรียบเทียบทำให้เรียนรู้ได้ ถ้ามีอันเดียวไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่รู้เรื่องเรียนรู้ไม่ได้ ไม่มีคู่เทียบเปรียบ มันต้องมีคู่เปรียบเทียบจึงจะรู้อะไรดีกว่า หรืออะไรผิด อะไรถูกกว่า มันถึงจะจัดการอะไรที่ไม่ดีได้
เป็นสัจจะที่ต้องพิสูจน์กันจนจบสมบูรณ์แบบสมบูรณ์ เป็นสัจจะที่ยกไว้เลย ภาษาบาลีว่า นัตถิอุปมา ไม่ต้องเปรียบเทียบกับอะไรอีกแล้วสุดยอด จบไม่มีคู่เปรียบ เปรียบไม่ได้กับอะไรๆ จบในตัว เป็นสัจจะสมบูรณ์แบบพ้นความพิสูจน์แล้ว จะพิสูจน์อย่างไรอย่างไร คนมีปัญญาจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นยอด คนไม่มีปัญญาก็หาว่าต่ำกว่าอีกได้ ผู้ที่รู้จริงแล้วใครจะว่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร จะหมดความหวั่นไหวสงสัย หมดสิ่งคลางแคลง รู้อย่างสุดยอดจบเลย นั่นเป็นสัจจะสูงสุด ซึ่งผู้ที่สูงสุดเจ๋งๆจะรู้เหตุปัจจัยว่า ตัดสินแบบนั้นเข้าข้างตัวเองหลงตัวเองหรือเปล่า ผู้สูงสุดแล้วเป็นสัจจะที่ผู้รู้ผู้เป็นเจ้าของธรรมะ เรียกว่าธัมมสามี จะต้องรู้ว่าธรรมะนั้นเป็นธรรมะที่มีพื้นฐาน ต้น กลาง ปลาย ปลายสูงไปอีก ซึ่งจะสูงจนกระทั่งไม่มีอะไรเทียบได้จริงๆ
สมมุติว่าแม้อันนั้นจะไม่สูงสุดยอดจริง จะตกต่ำลงมาบ้างก็ยังตกต่ำขนาดที่คนอื่นจะสูงเท่าไม่ได้เลย แม้อันนั้นท่านจะหลง แต่มันก็ยังสูงจนคนอื่นตามไม่ทัน ไกลห่างเหลือเกิน ต่อให้ทางโน้นจะบกพร่องผิดถูกบ้างก็ไม่ใช่เสียหายอะไร เพราะฐานท่านนั้นเกินกว่าใครๆในโลกจะเท่าได้
อย่างพระพุทธเจ้าทำสัจจะได้สูงส่งมาก มวลชนยุคของท่านไม่มีใครสามารถจะขึ้นไปถึงธรรมะที่ท่านดำเนินอยู่ เป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่สุดยอด คิดไม่ได้เดาไม่ได้ ผู้ที่สูงมองลงมาข้างล่างก็จะเห็นข้างล่าง ไกล เป็นสัจจะที่ท่านรู้เอง ท่านจึงไม่ได้มดเท็จปิดบังเลย มันเป็นสัจจะของท่าน คนอื่นๆถึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร ที่มีชีวิตอยู่ มีเวทนารับรู้ก็ห่างไกลสูงเกิน ลดลงมาอีกเท่าไหร่ก็ได้ คุณสมบัติ ของผู้สูงแล้วจะอนุโลมลดตัวเองลงต่ำ เป็นสุดยอดของผู้มีเมตตากรุณา พระกรุณาธิคุณสุดยอด
ที่บอกว่าจะเปลี่ยนเวทนาแท้เป็นเวทนาเทียมจะไปเปลี่ยนทำไม
สมณะเพาะพุทธว่า...คนที่หมดกิเลสแล้วจะกลับมาเป็นคนที่มีกิเลสอีกไม่ได้
พ่อครูว่า...ไม่ได้ เพราะคนนั้นมีคุณสมบัติที่จะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ง่าย ปัญญามันรู้ว่าดีแล้วจะเปลี่ยนไปทำไม ถ้าไปเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอีกก็ยังโง่อยู่
สมณะเพาะพุทธว่า...อุปมาเหมือนคนที่จมในหลุมโคลน เมื่อขึ้นมาชำระล้างให้สะอาดแล้วจะไม่ลงไปอีก
พ่อครูว่า...เรื่องอะไรจะไปเลอะอีก จนสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ท่านจะลงไปอีกก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน จะไปเปื้อนกับคนอื่นอีก สิ่งที่ท่านได้แล้วก็ไม่ซึมซับ ไม่อะไรจากอันนั้นเลย จะฉาบอยู่ภายนอกนิดหน่อย พอท่านเสร็จงานก็หลุดไปเองเป็นตถตา ปฏินิสสัคคะ ปฏินิสสรณะ สลัดคืน
เรียกว่าทำทีเป็นเหมือนแม่เล่นหม้อข้าวหม้อแกงกับลูก เหมือนจริงจังแต่ไม่มีกิเลส เหมือนแม่ครัวที่ไม่ได้ติดอาหารนี้แล้ว แต่จำเป็นต้องปรุงให้คนอื่นที่ติดกิน ทำทีอร่อยเหมือนจริงเลย แต่หากสะกดจิตตัวเราให้ตายแบบมีความสุข คนเราก็เอาความสุขมาหลอกล่อตัวเอง มันเจ็บก็เจ็บ มันปวดก็ปวด ตายด้วยความเจ็บปวด จะได้รู้ว่านี่เป็นสัจธรรมอย่าไปสร้างเหตุให้มันเจ็บปวดอย่างนี้อีก ถ้าไปสร้างความสุขมาหลอกตัวเองแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ
ตกลง โศลกมหาปวารณาปี 2560 คือ “จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ”
อาตมากำลังทำหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่าแบบคนจน และก็มีชื่อต่ออีกว่า ศาสตร์พระราชา แบบคนจนนี่เป็นศาสตร์พระราชา ชื่อสั้นๆ ชื่อเอกคือแบบคนจน แล้วมี Title ต่อว่าศาสตร์พระราชา แล้วยังขยายความอีกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่ก็คือศาสตร์พระราชาอีกอัน
คนมาเป็นคนขาดทุนที่ไม่เดือดร้อน เป็นคนจนที่ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ไม่ใช่ว่ามันขาดทุนแล้วก็เลยต่อไม่ติด ห้วนลงเรื่อยๆตายพอดีขาดสูญเลยจบไม่ได้ ไม่ขาดตอนรันช็อต(run short) ตนเองก็ยังพัฒนาเจริญก้าวหน้าขึ้นไปได้อีก ถึงไม่มีวันจะเสื่อมจะตก ต้องมีแต่เจริญเท่านั้น มีแต่จะสร้างประโยชน์ได้ทับทวีเป็นปฏิภาคทวีได้ยิ่งขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พ้นมิจฉาชีพได้สูงสุดคือพ้นลาภแลกลาภ
มาเข้าสู่ แบบคนจน
ถึงที่ว่า มิจฉาอาชีวะ 5
มีกุหนา คือพวกโกงกิน เป็นคนมีอาชีพต่ำสุด เลี้ยงชีวิตด้วยจิตใจแบบนี้
ลปนา คือไม่หยาบด้วยกายกรรม แต่มันเป็นวจีกรรมกับมโนกรรม กายกรรมรวมเลย กาย วจี มโน แล้วหากเหลือแต่วจีก็ ลปนา คือหลอกลวง ในเชิงใช้คำพูดเป็นหลักไม่ถึงฆ่าแกงคนอื่นหรือเจ็บปวดร่างกาย แต่ใช้วาจาเอาเปรียบเอารัดทิ่มแทงทำร้ายกับมโนที่เป็นตัวประธาน นี่คือความเลวต่ำกว่ากุหนา
คนที่มีอาชีพในโลกอย่างนี้ ทุกวันนี้อาตมาขยายความซ้อนลงไปอีก ศีล 3 ข้อ
คือ สัตว์ ของ และก็รสสัมผัส ที่ร่วมรู้กันได้ทางทวาร 5 เป็นกามคุณ 5 คนติดรสเสพกามคุณ 5 ก็ฆ่าแกงกันได้ สัตว์เดรัจฉานก็เห็นได้ว่ารุนแรงเอาเป็นเอาตาย คนรู้แล้วไม่เอาเป็นเอาตายกับเวทนาเทียม รสเก๊ เวทนาเก๊ คนมีภูมิปัญญา ก็เลิกละมา
อาชีพขั้น3 คือเนมิตกตา ฝึกการพากเพียรไปตามลำดับขั้น สร้างให้เจริญไปตาม ลำดับ จัดสัมมาทิฏฐิไปตามลำดับ จะได้ผลสูงและเร็วสุด ดีสุด หากได้ถูกต้องตามลำดับ
ศาสนาพุทธจึงสอนให้ตามลำดับ มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ จุลศีล 26 ข้อ ราบเรียบ ไม่ยึกยักเสียเวลายอกย้อย จะไปได้ไกล เร็วสั้นไม่เยิ่นเย้อเลย สุดยอด
การจะเข้า เนมิตตกตา ปฏิบัติตามลำดับอย่างรู้แจ้งเห็นจริง ตามฐานะของตนและเหตุปัจจัยประกอบในกาละ ในสัปปุริสธรรม 7 คือ
1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ
2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์
3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว
4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ
5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล
6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชนสิ่งแวดล้อม
7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล
จึงเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ เมื่อปฏิบัติขั้นตอนของการกระทำ กัมมันตะ อาชีวะเพื่อเลี้ยงชีพตน แต่เผื่อแผ่ผู้อื่นด้วยกัมมันตะ จนถึงวาจา สังกัปปะ ที่จิตเป็นประธาน กรรมก็มีกัมมันตะ วาจา สังกัปปะแค่นี้ จะเป็นผู้มีสัมมาอาชีพเป็นประโยชน์ และคนอื่นก็ปลอดภัย
เมื่อปลอดภัยได้แล้วก็ไม่ไปร่วมกับผู้ที่ผิดเรียกว่า นิปเปสิกตะ มันก็จะซับซ้อนไม่รู้แล้วเป็นผลเสียต่อส่วนรวมอีก ผู้ที่บริสุทธิ์ในตัวเองได้แล้วก็จะไม่ไปร่วมกับคนที่ผิดไม่ไปส่งเสริมความชั่วร้าย นอกจากคนที่อยู่ในฐานะที่เขาก็บกพร่องแต่เขาเต็มใจจะมาแก้ไขปรับปรุง ต้องการเต็มใจมาเลิกละ ก็ช่วยเหลือเขา ส่วนคนที่เขาไม่เอาหรอก เราก็ไม่ต้องไปร่วมเด็ดขาด เรียกว่านิปเปสิกตา ด้วยความมอบตัวในทางที่ผิด
มิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นอาชีพขั้นสุดยอดที่สุดมีในศาสนาพุทธที่ชัดเจนและทำได้ อย่าหาว่ายกย่องตนเองเลย ชาวอโศกนี้ทำได้ ถึงขั้นเลี้ยงชีพโดยไม่เอาสิ่งตอบแทน อยู่กินร่วมกันเป็นระบบเรียกว่าระบบสาธารณโภคี คือรวมเป็นส่วนกลางที่ต้องขยายผลซ้ำวน แล้วๆเล่าๆ อีกนาน
หากเราเห็นว่าดี แต่หมู่ไม่เห็นด้วย จะไปแย่งมาทำไม มันจะดีแต่หมู่เห็นว่าไม่ดีก็ได้เท่านั้น เสียก็เสียด้วยกัน ดีก็ดีด้วยกัน รักษาความสงบเป็นหลัก ความสงบเรียบร้อยเป็นหลัก อย่าไปรักษาสิ่งที่จะเกิด ดีหรือไม่ดี มากหรือได้เปรียบก็ไม่เท่า จิตมนุษย์ที่สงบเรียบร้อยก็จบสบายกว่า แล้วอยู่ร่วมกันไปอีก นี่คือทฤษฎีสำคัญ ที่พระพุทธเจ้าสอน อาตมาก็เกิดความรู้ความเข้าใจแบบนี้ ที่เป็นของตนเองที่เข้าใจแล้วมาอธิบายให้ฟัง
อันสุดท้ายทำงานฟรี พ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ก็จบสุดยอด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สัมมากัมมันตะกับสาธารณโภคี
สังคมใดประเทศใดที่มีระบบสาธารณโภคี ปกครองบริหารกันด้วยสาธารณโภคีนั่นคือประเทศที่สุดยอด เพราะว่ามีแต่ส่วนดี ไม่เห็นแก่ตัวมีแต่สร้างสรรทำเพื่อผู้อื่นแล้วไม่เสียดาย รู้อยู่แล้วว่าเสียหรือสละให้ผู้อื่นเสียนั่นแหละคือเราได้ คือปรัชญาที่ลึกที่สุดเราเสียนี่แหละคือเราได้ เราได้สร้างสรรเป็นสิทธิของเรา และเราก็เสียให้แก่ผู้อื่น เป็นสุดยอดแล้ว ผู้ใดทำได้อย่างนี้ แล้วตัวเองก็ไม่ขาดแคลนไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตนเองก็อยู่เย็นเป็นสุขพอกินพอใช้ เหลือส่วนเหลือก็ทำเพื่อผู้อื่นไป เราไม่ได้สะสมกองไว้ ส่วนแผนที่จะไปเสียสละให้ผู้อื่นก็ทำไปเราเองก็พอกินพออยู่แล้ว เราก็ไม่ได้งอมืองอเท้า เราก็สร้างสรรคนอื่นก็สร้างสรรมารวมกันอยู่แล้ว เป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ ทำงานฟรี แล้วก็ร่วมกินใช้ในนี้ร่วมกันบริหาร เพื่อประโยชน์ผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจจริงใจ
สังคมใดเป็นแบบนี้เป็นสังคมที่มีประโยชน์แก่ผู้อื่นตลอดกาล ส่วนประโยชน์ตนก็พึ่งตนเองได้แล้วไม่เอาเปรียบใคร ไม่ให้คนอื่นลำบาก มีแต่เราเหลือเฟือ เป็นสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ ในโลกต้องตามเรียนรู้ แล้วพยายามทำ จะเป็นสังคมกลุ่มเล็กน้อยก็ตามที่ทำสาธารณโภคีได้ด้วยความจริงใจ แล้วมีปัญญาชัดเจน ทำแล้วตนเองไม่เดือดร้อน หมู่กลุ่มก็ไม่เดือดร้อน ได้ช่วยผู้อื่นอย่างแท้จริง สี่นัยยะนี้สุดยอด หนึ่งเราไม่เดือดร้อนไม่เป็นหนี้ สองพอกินพอใช้ สามทำให้เหลือ สี่แบ่งแจกผู้อื่น
ได้เริ่มต้นทำจริงจนป่านนี้ คนรู้ก็จะตามมาทำช่วยเพิ่ม จะเกิดจิตอาสาที่มาช่วยร่วม จิตเข้ามาอาสาร่วมสร้างสรรสละให้ผู้อื่น จิตอาสา มาร่วม ขอร่วม เห็นเขาทำได้ดีจังเลย ตนเองก็อาจสามารถทำร่วมกัน เพื่อผู้อื่นๆ สุดยอด ในหลวงร.10 ของเรามีพระปัญญาธิคุณเรื่องของจิตอาสา สูง เพราะท่านเริ่มอันนี้แล้ว คนเข้าใจแล้วร่วมกันทำเหตุการณ์สังคมที่ทำให้เห็นทันทีชื่นอกชื่นใจทันที suddenly สัมปติเลย But NOW!
ทีนี้มาต่อ หน้า 5 เกิดได้ถึงขั้นเป็นชุมชนเศรษฐกิจ“สาธารณโภคี” อันเป็นจริงได้ นั่นคือ ชุมชนที่ดำเนินชีวิตเป็นอยู่ประจำวันปกติจริงๆของคนชุมชนนั้น ทุกคนที่สามารถทำงานเลี้ยงชีพอยู่ทุกวัน โดยไม่แลกเอารายได้มาเป็นของตนเลย(ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา) เกิดมีอะไรก็รวมกันเป็นของส่วนกลาง ซึ่งเป็นชุมชนที่พิสูจน์ว่ามี“สัมมาอาชีพ”ขั้น“โลกุตระ”ถึงระดับสูงสุดได้จริง เป็น“คนจน”มหัศจรรย์ ที่เกิดในยุคนี้
เป็นสัจจะที่สมบูรณ์แบบแล้ว Axiom เป็นสัจจะที่เป็นนิรันดรแล้ว แล้วผู้ร่วมทำนั้นเป็นคนจนไม่สะสมสมบัติส่วนตัว จนเพราะว่าตัวเองไม่เอามาเป็นของตน มีแค่ใช้แค่พอ ปัจจัย 4 มีประโยชน์สูงประหยัดสุด หรม.ครน.เต็มที่ อะไรที่จะเอาออกก็ออกให้เกลี้ยง อะไรที่ต้องการให้ก้าวหน้า ก้าวหน้าได้มากสุด ครน. แต่ไม่เบียดเบียนใครมาร่วม คนมาร่วมจะน้อยก็ไม่ว่า ไม่เบียดเบียนใครแต่ทำให้ก้าวหน้าให้ได้มากที่สุด เรียกว่าคูณร่วมน้อย เป็นลักษณะสัจจะที่ทำอยู่ ไม่เบียดเบียนใครแต่สร้างประโยชน์ได้สูงสุด
ประโยชน์สูงประหยัดสุดจะประกอบด้วย หรม.ครน.
สมณะเพาะพุทธว่า...เช่น ครน.ก้าวหน้ามากสุด เบียดเบียนคนอื่นน้อยสุด
พ่อครูว่า...หรม.นี้ไปทำลาย หารร่วมมาก เอาออก คนมีโทษมากมีการทำลายมากก็เอาออกให้ได้มากๆ เรียกว่าหารหรือประหารทำลายสิ่งร่วมกับเรา โดยคำนึงประโยชน์ที่สูงเพราะอันนี้เป็นสิ่งที่เป็นพิษ ทำลาย เสียหาย ก็ต้องคัดออกให้ได้มากที่สุด อย่างอโศกเราทำให้สำคัญ
สมณะเพาะพุทธว่า...เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้นยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง
หรม.นี้หมายถึง สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง คือจัดการบาปอกุศลเอาออกให้ได้มากที่สุด ส่วน ครน.เป็นการทำสิ่งที่ก้าวหน้าที่สุด โดยเบียดเบียนคนอื่นน้อยที่สุด เรียกว่าครน.คือกุสลสูปสัมปทา
พ่อครูว่า...ถูกแล้วพูดอย่างนั้นก็ได้ ที่อาตมากำลังขยายความ เพื่อให้คนเข้าใจแล้วเต็มใจมาร่วม จนกระทั่งมาเป็นมวลเดียวกัน มาเป็นจิตอาสาแล้วเลิกมาเป็นมวลอันเดียวกันเลย ไม่แยกเลย อาศัยเลย หยุดจากอาสาก็มาเป็นอาศัย มาอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกันเลย นี่คือสัจธรรมที่ค่อยๆเจริญ
เป็นคนจนสมบูรณ์แบบแล้วก็จะไม่รวยอีก เพราะตนเอง สูญ มีเท่าที่ตัวเองพอกินใช้เป็นปัจจัยชีวิตบริขาร ที่เอามาใช้นี้ ของตัวเองก็เป็นแค่ข้าวผ้ายาบ้าน เต็มที่นอกนั้นจะมีเครื่องใช้ประกอบ สมัยโบราณก็มี บริขาร 8 จอกใส่น้ำ มีดโกน ผ้าสามผืน เป็นต้น แต่ทุกวันนี้มันมีมากกว่านั้นบริขาร อย่างน้อยก็มีแว่นตา ใช้แว่นตาทำงานได้ดีขึ้นได้มากขึ้น เอาไป เผื่อแผ่คนอื่น มีเทคโนโลยีต่างๆที่พอเหมาะสมกับฐานะ ถ้าไม่ใช่ฐานะก็ไม่ต้องเอามา หรือฐานะควรได้แต่เขาไม่ให้เราก็พอ เอาแค่นี้ก็ได้
บางอย่างของดีราคาแพง แต่เอามากอบโกยใส่ตน โดยไม่มีประโยชน์ อย่างนี้ก็เสียของเสียเศรษฐกิจ ของดีราคาแพงด้วย
สมณะเพาะพุทธว่า...บริขาร 8 หมายถึงเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นของภิกษุซึ่งมี 8 อย่าง เรียกว่าอัฐบริขาร (อ่านว่า -อัดถะ) แปลว่าบริขาร 8 คือสบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อน) บาตร มีดโกน เข็ม ประคดเอว ธมกรก (ที่กรองน้ำ)
พ่อครูว่า...เดี๋ยวนี้ต้องมีคอมพิวเตอร์ มีปากกา มีแว่นตา อะไรที่จำเป็นจริงๆแล้วเป็นประโยชน์ ผู้มีปัญญาแล้วก็ไม่มีปัญหา
สำคัญที่สุดคือทำงานฟรี เอาเงินเข้าส่วนกลาง ส่วนกลางหมู่นี้บริหารทรัพย์สินส่วนกลางอย่างสุจริต บริหารส่วนกลางอย่างเป็นประโยชน์สูง ดีที่สุด ไม่มีใครมาคอรัปชั่นมากคอมมิชชั่นในนี้เลย นี่คือสังคมที่จัดสรรได้ดี แล้วจะเป็นสังคมที่พากันเจริญของมนุษยชาติอย่างดีมาก
สรุปแล้วรวมความรู้ความจริง ที่มันไม่มีอะไรจะปฏิเสธขัดแย้งได้ ประพฤติอย่างนี้สุดยอดดีที่สุดแล้ว มาทำงานฟรีได้ กินใช้สาธารณโภคี แค่นี้ก็พอแล้ว สันโดษในตัว ไม่เอามากกว่านี้ไม่เปลืองมากกว่านี้แล้ว อย่างมีปัญญามีความจริงใจ เจโตเป็นได้จริงปัญญาก็รู้จบแล้ว ทั้งคู่สิ่งที่เราอาศัย คือเจโต และความรู้ของเราก็ชัดเจน เช่นว่ากินแค่นี้ก็พอแล้ว จะไปตะกละทำไม ไม่ต้องสะสมเลย อยู่อย่างมีพฤติกรรมร่วม หน้าที่สำคัญครบ ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรในสังคมนี้ไม่ตกหล่น เป็นเรื่องสมบูรณ์แบบจริงๆ สังคมแบบนี้จะเริ่มเป็นรูปร่าง
ขออภัย อโศกเราเข้าใจ มีปัญญาและได้เริ่มทำอย่างมีรูปร่างแล้ว เป็นแบบฉบับน่าจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้มาดูมาศึกษา เอาแต่พูดก็พูดไป คนที่เอาความรู้ไปฟังแล้วเอาไปคิดไปทำ เขาก็จะได้ แต่ถ้าเขามาสัมผัสเองรู้เองทั้งรูปคลำจับสัมผัสเห็น มันก็ยิ่งจะเข้าใจได้ง่ายเข้าใจได้ชัด และยิ่งทำไปแล้วก็จะมีพัฒนาการ มีปฏิภาคทวีมีความเจริญขึ้น ดีขึ้น
กล่าวคือ เป็นคนทำงานเลี้ยงชีพโดยไม่มีลาภแลกลาภกันจริงๆ นั่นคือทุกคนทำงานฟรีอยู่ในชุมชนนั้น ซึ่งเท่ากับทำงานแล้วเสียภาษีเข้าส่วนกลาง 100 % นั่นเอง
เป็น“คนไม่มีรายได้-ไม่มีเงินมาสะสม”แท้จริง จึงจน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สร้างไม่ทำ แต่มีผลผลิตแรงงานด้วยความรู้ความสามารถ มีแรงงานในการคิด กาย วาจา มีแรงงานสร้างวัตถุเป็นผลผลิต เป็นชิ้นเป็นอันสำหรับกินใช้
เรื่องอาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารคือพืชพรรณธัญญาหาร เราไม่เลี้ยงสัตว์แล้วเอาสัตว์มากิน ก็ไม่ทำ เรากินแต่พืชผัก ชีวิตคนไม่ต้องกินสัตว์ ไม่ต้องเอาเนื้อสัตว์ ไม่ต้องเอาส่วนของสัตว์มาใช้ ไข่มันก็ไม่เอา น้ำมันมันก็ไม่เอา พูดให้ชัด ตดมันก็ไม่เอา เราจะไม่ต้องอาศัย สิ่งที่มาจากสัตว์ เราอยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารก็สมบูรณ์แบบแล้วเป็นคน รับรองว่าอายุยืนเจ็บป่วยน้อยแน่นอน ใครไม่เชื่อก็แล้วไป ใครเชื่อก็มาปฏิบัติ แล้วจะรู้เองจะเข้าใจเอง
ยิ่งทำอาตมาก็ยิ่งเห็นประหลาด ทำไมกล้วย มะละกอ แกล้งลูกโต เนื้อดีด้วย ประชดเราหรือเปล่า ซึ่งไม่ใช่ เป็นเหตุปัจจัยที่เรามีความรู้มีความเอาใจใส่ แล้วชัดเจนว่าเราต้องเติมธาตุนี้ ให้น้ำให้อะไร ให้สมบูรณ์แบบ แม้สิ่งที่จะสร้างช่วยพีชะก็สมบูรณ์ มันก็สร้างอุตุ ผสมผสาน มีความรู้ที่จะทำให้เจริญไม่มีพิษมีภัย เป็นความซับซ้อนสุดยอดแห่งกรรม การกระทำ การงานที่สุดยอดแล้วในโลก ในชีวิตมนุษย์
อาตมาว่าอันนี้อาตมาพูดไปแล้วพวกเราพากันทำ อาตมาก็ว่า อาตมาพูดได้เท่านี้ มีพวกเราฟังอาตมาแล้วเข้าใจ ฉลาดกว่าอาตมา ไปทำไปสร้างสรรฉลาดกว่าอาตมามันถึงพัฒนาการสร้างสรรร่วมกันไปเป็นเรื่องจริง อาตมาทำไม่เก่งเท่ากับผู้ที่ทำเขาทำแล้วฉลาดดี อาตมาคิดยังไม่ออกเลยพวกเขาทำได้แล้วเป็นความฉลาด
ผู้ทำนี้ช่วยกันสร้าง อาตมามีความคิดทางนี้ก็ช่วยคิด เขาก็คิดเพิ่มเสริมดีกว่าเก่าอีก นี่เป็นสัจจะ จึงเป็นการสร้างที่เจริญงอกงามได้ดีได้มากขึ้น คุณภาพและปริมาณได้มากขึ้น สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ก็จะสูงขึ้นไปอีก เสริมสร้างพัฒนาไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้อาตมาว่า
พูดกันอย่างผยองๆ อาตมาไม่กลัวตกต่ำ พวกเราเข้าใจอย่างนี้แล้วร่วมมือกันทำก็จะไม่มีตกต่ำ ทำไปก็พัฒนาไป เราทำดีได้มากก็ไม่ได้เอาไป โลภโมโทสันเอาเปรียบเอารัด แต่ได้มากขึ้นก็เอาไปเผื่อแผ่ผู้อื่น เราทำแล้วเราก็ได้อาศัยทันทีเลย เราก็ใช้เหลือเราก็แจกจ่ายเจือจานช่วยเหลือผู้อื่นไป เป็นสุดยอดแห่งเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แท้ๆ
มีการงานทั้งหลายต่างๆในชุมชนก็ต่างช่วยกันทำเป็นอยู่ร่วมกัน(สัมมากัมมันตะ) คือ กรรม + อันตะ(ไม่ประมาณ) ในกรรมที่เราเห็นว่าดีที่สุดแล้ว ทุกคนไม่มีเจตนามาแกล้ง มีแต่เจตนาบริสุทธิ์ใจ กรรมนั้นจึงเจริญ
แม้แต่พีชะ จะเรียกว่าไม่มีปัญญาก็ไม่ใช่ แต่มันมีสังขารกับสัญญา จะมีเรี่ยวแรงอะไรที่ทำได้ดีขึ้นมาก็ทำ เราก็เสริมให้พืช เจ้าพืชก็พัฒนาได้ ยิ่งทำ เจริญไปอีก อาตมาถึงได้ใช้ภาษาว่าทำประชดหรือเปล่า แต่ไม่ใช่หรอก พืชประชดไม่เป็นหรอก แต่มันเป็นปฏิภาคทวี คูณแล้วก้าวหน้ายกกำลังไปได้เรื่อยๆ
คุณภาพก็จะดีขึ้นปริมาณก็จะได้มากขึ้น ลูกก็โต เนื้อก็ดี เพิ่มมากขึ้น มันเป็นสัจจะ อาตมาถึงบอกว่า เรายิ่งทำไปพิสูจน์ความจริงนี้ไม่น่าเชื่อ นี่ก็ขยายความซ้ำละเอียดมากขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สัมมาวาจากับสาธารณโภคี
นอกจากนั้นการพูดจา หนึ่งอาชีพกุหนา ลปนาเราไม่ทำ แล้วไม่มอบตัวในทางที่ผิด ทำงานฟรีนี่สูงสุดแล้วในอาชีพ กัมมันตะก็ครบพร้อมสูงสุดแล้ว
วาจาก็ไม่วาจาทำให้เสียหาย ผลเสียหายมากสุดคือโกหก โกหกนี้เลวสุด คนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าตนเองโกหก คนนี้ไม่มีความเลวชนิดใดที่เขาจะทำไม่ได้...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ รู้ด้วยว่าการโกหกนี่มันเลวแต่ก็ยังทำ เพราะฉะนั้นอันนี้ลึกซึ้งซับซ้อนมันไม่เป็นวัตถุที่เดียว คนก็เข้าใจยาก ว่า คนโกหกทั้งทั้งที่รู้แล้วทำด้วยความเห็นแก่ตัวไป ทำไมถึงเลวได้สุด
การ export ชาวอโศกเราทำได้เท่านี้แรงงานสมบัติวัตถุ เราได้เท่านี้ก็ค่อยๆเพิ่มไป ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ
ไม่เอาแบบสินเชื่อ เพราะว่า เป็นสิ่งที่ทำลายสังคมได้อย่างมาก พวกเราถึงต้องไม่เอา เรื่องเงินเชื่อ สินเชื่อ การเป็นหนี้เราไม่เอา เรายืมกันไปใช้ หากสินเชื่อจะมีดอกเบี้ย แต่พวกเรายืมกันแล้วไม่มีดอกเบี้ย หรือบางคนสุดวิสัยก็ไม่ใช่กันก็เอาความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง
การพูดจาก็ปฏิบัติ“ศีลข้อที่ 4”กันจริงๆทั้งชุมชน และต่างก็ปฏิบัติธรรมเป็นเศรษฐกิจ “สาธารณโภคี” เกิดในสังคมฆราวาสยุคนี้แท้ๆ ซึ่งในยุคพระพุทธเจ้า“สังคมฆราวาส”ก็ยังเป็น“สาธารณโภคี”ไม่ได้
ยุคนั้นสังคมสงฆ์สังคมนักบวชเท่านั้นที่เป็น“สาธารณโภคี”ได้ เพราะข้อจำกัดในสังคมยุคนั้นฆราวาสเป็นไม่ได้
แต่ยุคนี้ชาวพุทธกลุ่มหนึ่งอยู่กันเป็นชุมชนหมู่บ้าน
เราไม่พูดส่อเสียด คือพูดให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายทะเลาะเบาะแว้ง เราไม่ทำ เราพูดให้หยุดทะเลาะกัน
ส่วนพูดหยาบแบบแรงทิ่มแทงคนจะโกรธเคืองร้ายแรง ก็อย่าไปทำให้ถึงขั้นที่คำพูดของเรา อย่างเก่งกระทบคนอื่นก็เป็นหอก หอกต้องแหลมนะ แหลมจนแทงเข้าไปแล้วไม่รู้สึก แทงด้วยปากหอกจริง แต่ให้หอกนี้แหลมเปี๊ยบนะ แทงเข้าไปถึงหัวใจเลย เปลี่ยนแปลงหัวใจได้เลย โดยไม่รู้สึกเจ็บมาก นักฝังเข็มที่ฝังให้ถูกจุดก็จะเปลี่ยนแปลงได้เลย เรียกว่าปากหอกที่มีฤทธิ์ อาตมาทำอยู่นะ แต่ยังไม่เก่งเท่าไหร่ มันยังระคายๆอยู่ นี่ต้องไปถูกจุดที่เดียวก็จะเปลี่ยนแปลงได้ พยายามพากเพียรไป
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สัมมาสังกัปปะกับสาธารณโภคี
มาเข้าสู่สังกัปปะ …
ตัวนี้แหละสำคัญตัวนี้แหละดีที่สุด ในประดาความคิดอ่าน จิตวิญญาณเป็นจิตที่เป็น ธาตุจำ ธาตุรู้ ธาตุคิด
ธาตุคิดคือปรุงแต่งเปรียบเทียบเอามาสังเคราะห์เพื่อให้หาจุดลงตัว หาจุดดีที่สุด เป็นการ บวกลบคูณหาร ที่ลงตัวที่สุดดีที่สุด อันนี้แหละไม่เที่ยง ตัวธาตุคิดนี้แหละไม่เที่ยง ธาตุจำ ธาตุคิดนี้ เป็นสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลา ธาตุจำนี้สะสมอยู่ เท่าไหร่เท่านั้น เจโตกับปัญญา
เจโตคือธาตุจำ ส่วนปัญญาคือธาตุที่ปรุงแต่ง ธาตุคิดคือเอาอย่างที่ดีที่สุดบวกลบคูณหาร สังเคราะห์สังขารปรุงแต่งคิดทำให้ได้สัดส่วนดีที่สุด 3 ลักษณะนี้ของพลังงานจิต มีจำ รู้ คิด สามอย่างนี้ ทำงานอย่างได้สัดส่วนดีที่สุด
ถ้าไม่มีความจำก็ไม่มีต้นทุน ก็ต่อไม่ได้ ทีนี้รู้ เฉลียวฉลาด เป็นของสำคัญ ธาตุรู้คือธาตุอนาคต ธาตุจำคือธาตุอดีต ธาตุคิดคือธาตุปัจจุบัน ที่ต้องทำให้เหมาะสมดีที่สุด
คนใช้พลังงาน ธาตุจำ ธาตุรู้ ธาตุคิด 3 อย่างนี้สังเคราะห์กันได้สัดส่วน
สังกัปปะ พระพุทธเจ้าแยกแจ้งไว้หมดแล้ว
ฝ่ายไตร่ตรอง-ริเริ่มเคลื่อนไหว
1. ความตริ,ตรึก-แรกเริ่มนึกคิด (ตักกะ) . .
2. ความตรอง-คิดวิตกยิ่งขึ้น (วิตักกะ) .
3. ความดำริ-มีความคิดปรุง (สังกัปปะ) . . .
(วิมุติแล้วย่อมมีชำนาญในครรลองแห่งใจ จะคิด-ไม่คิด ก็ย่อมทำได้ตามประสงค์ เพราะมี “เจโตวสิปัตตะ”)
ฝ่ายตั้งมั่น (static ขั้วบวก/Potential) เป็นแกนพลังศักย์ให้มั่นคง . .
4. ความแน่วแน่ (อัปปนา) . .
5. ความแนบแน่น (พยัปปนา)
6. ความปักใจมั่น (เจตโส อภินิโรปนา) .
7. วจีสังขารเตรียมจะพูด (วจีสังขาโร) . . . .
(พตปฎ.เล่ม 14 ข้อ 263)
จะมีพลังงานบวกพลังงานลบและพลังงานตัวประธานจัดการ 1 2 3 อย่างนี้เสมอ พีชะนี้มีประธาน แต่อุตุ ไม่มีประธาน ทุกสิ่งแวดล้อมให้มันสังขารกัน ดิน น้ำ ไฟ ลม มันถูกพลังงานอื่นบีบให้มันทำ มาเป็นดินน้ำลมไฟ มันไม่มีตัวตน จัดการตัวมันเองไม่ได้ อุตุนิยามก็มีธาตุ 2 พอเป็นพีชนิยามก็เป็นธาตุ 3
กล้วยน้ำว้าไม่ขบถตัวมันเอง มันไม่เอาอย่างอื่นที่ไม่มาสังเคราะห์เป็นตัวมันเอง มันไม่เปลี่ยนเป็นใคร ไม่แย่งใคร คนอื่นแย่งได้ก็เอาไป แม้มันไม่พอมันก็เสื่อม สุดท้ายก็ตาย หายสลายแตกตัว ก็ได้ มันไม่เบียดเบียนใครเลย คุณค่าที่ไม่เบียดเบียนใครเลย พระพุทธเจ้าเอามาใช้ให้คนทำจิตให้เป็นพืช เพราะว่าจิตนี้ไม่เบียดเบียนใคร
สมณะเพาะพุทธว่า..สัญลักษณ์แบบนี้ทำให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะตรัสรู้ก็จะตรัสรู้ใต้ต้นไม้ ที่พ่อครูว่า พีชนิยามคืออรหันต์
พ่อครูว่า...พีชนิยามเป็นแกนของอรหันต์ แล้วมีตัวปัญญาธาตุรู้ที่เข้าใจว่าอะไรดีอะไรไม่ดี แก่คน แก่สัตว์ แก่ดินน้ำลมไฟ ก็สร้างสิ่งดี เผื่อคนก่อน พอแล้วก็เผื่อพืช เผื่อ ดินน้ำไฟลม
นักสร้างนักปรุงแต่งซึ่งเป็นนักสร้างนักปรุงแต่ง ที่มีแต่ประโยชน์ ตัวเฉลียวฉลาดจริงๆ มีแต่จิตที่หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ จะว่าไปแล้วเรายังเบียดเบียนดินน้ำไฟลม เรายังเบียดเบียนเพ้อเจ้อ แต่เราเลือกที่จะเบียดเบียนสัตว์ก่อน ยิ่งคน เราก็ไม่เบียดเบียน สัตว์เราก็ไม่เบียดเบียน ถ้าจำเป็นที่สุดเราก็ต้องเบียดเบียนสัตว์ก่อน เช่นว่า เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปมันเป็นประโยชน์ได้มากเลย แต่จำเป็นเกิดมาก็ต้องกินเนื้อสัตว์เพื่อเป็นสิ่งที่สร้างเสริม เราก็กินไข่ เพื่อที่จะยอมเสียส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ เราก็จำเป็นต้องทำอย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่ต้องทำ ถ้าไปเบียดเบียนอะไรก็เป็นกรรมวิบาก เบียดเบียนน้อยก็เป็นน้อย เบียดเบียนมากก็เป็นมาก เราไม่เบียดเบียนอะไรเลยก็ไม่มีอะไรมาย้อนหาเรา เราจะต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วทำไปตามฐานะ
ผู้ที่จะชัดเจนแล้วในเรื่องของกรรม การกระทำ หยาบตั้งแต่กายกรรม วจีกรรมมโนกรรม เราก็จะไม่ทำอย่างหยาบไม่ทำก่อน ถ้าจำเป็นต้องทำหยาบอยู่ก็ถึงวจี ยังว่าอยู่ เบียดเบียนใจ มันพูดกวนชะมัด แต่กวนคุณนี่คุณยึดสิ่งที่คุณยึดนี้กวนพอสมควร บางคนก็ว่าคนนี้น่าสักพั๊ว แต่เขาทำไม่ได้เพราะอาตมามีรังสี พอสมควร พูดไปก็จะหาว่าท้าทาย
มาเข้าเป้าแกนเจโต แกนศรัทธา แกน static กับแกน dynamic พลังงานที่จะร่วมกันเป็นบวกลบ ต้องมีธรรมะ 2 ตลอดเวลาซึ่งจะเกิดการสร้างสรรค์ คนที่รู้แล้วการสร้างสรรค์จะต้องเข้าหาสอง ถ้าจะไม่สร้างสรรค์ก็ใช้พลังงานหนึ่งเดียวไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปเอาสอง เช่น คุณเองมีชีวิตอยู่ มีชีวิตที่จะมีอาการ 32 ก็จะมีพลังงานต้นทุน คนไม่เติมธาตุอะไรเข้าไปข้างใน มันก็จะมีพลังงานเก่าเลี้ยงตนเอง แต่ไม่ช้ามันก็หมด หมดก็คือตาย ก็เท่านั้นเองไม่เห็นจะไปยากอะไร แต่ถ้าเราคิดว่าจะอยู่ก็ต้องเพิ่มเติม เรื่องสัจจะนี้สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็ ตรัสถึงสามลักษณะ อุปจยะ สันตติ ชรตา ส่วน อนิจจตานั้นยกไว้
ถ้าเราไม่ต่อสันตติเลยก็มีแต่จะหาเสื่อม ถ้ามีความเติม ส่วนเติมไปก็จะพัฒนาก้าวหน้ามี Coefficient ทำให้ถึงขีด เริ่มต้นตั้งแต่คูณแล้วก้าวหน้าไปถึงขั้นยกกำลัง ก็ทำ แต่ถ้าก้าวหน้าไม่ถึงยกกำลัง แต่มันไปทำลายก็ไม่ทำ ก็ต้องทำให้พอเหมาะพอดี
เรามีธาตุบวกกับลบ static กับ dynamic ทำงานร่วมกันก็จะเจริญตลอดเวลา
ถ้ามีต้นทุน กับสองเพิ่มขึ้น สามเพิ่มขึ้น ก็มีต้นทุนเพิ่ม ก็ต้องรู้ว่าเรามามีต้นทุนแล้วมันเหลือเผื่อทำให้คนอื่นขาดผลหรือเปล่า เราก็ไม่เอามาเติม เราเอาแค่นี้ ที่จะรู้แค่นี้ก็คือความฉลาดหรือปัญญา ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ
ตักกะคือตัวเริ่มมีอุปจยะ เริ่มดำริ เริ่มผลิ ก็จะเอาผลิมาผลิ มาให้เกิดผลผลิต ก็ต้องรู้ว่าที่จะเอามาใช้ มันมีเชื้อโรคไหม มันมีกามผสมไหม มีพยาบาทผสมไหม เอาแค่กามกับพยาบาท ส่วนวิหิงสามันอีกชั้น เราก็เอาจากหยาบก่อน แล้วได้กลาง แล้วไปละเอียด คนที่ชัดเจนแล้วก็จะทำได้ชัดเจนละเอียดลออ จะใช้พยัญชนะว่าลหุตา
ย ร ล , ว ส ห ฬ อ
ตัวที่สาม คือ ล ส่วน ุ ก็เป็นตัวที่ 3 ของพยัญชนะ ของ ะ ิ ุ
ถ้าเข้าใจแล้วแม้แต่สระ แม้แต่พยัญชนะ แม้แต่ เส้าต่างๆ ล้วนแต่เป็นสถานะ ไม่ใช่โมเม เป็นเรื่องของสัจจะ
ตัวปัญญา ตัวเฉลียวฉลาด ก็มีต้นกลางปลาย เมื่อเริ่มดำริ ก็ต้องวิจัยว่า มีตัวเชื้อโรคเชื้อร้ายแฝงมาใหม่ คือ มีกาม พยาบาท ผสมมาไหม แกนนี้คือแกนทำงาน เมื่อเจอ กามก็ต้องจัดการ ตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้าสอน ก็รู้ว่าพลังอันนี้มันไม่ดีก็ต้องลดละให้มันอ่อนจางลงไป จนดับไม่มีก็ไม่มีพลังงาน ในกาม ก็เป็นวิเศษ เป็นวิตักกะ ที่ริเริ่มปนมาก็เอาออกเป็นวิเศษ คือวิ คือไม่ เศษคือเหลือ ก็คือเอาสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็คือวิเศษ วิ เป็นได้สองนัยคือไม่กับยิ่ง เอาไม่ออกเหลือแต่ยิ่ง เหลือแต่สิ่งยิ่งๆ ด้วยความรู้สร้างสรรค์ ก็ได้แต่สิ่งยิ่งวิเศษ เป็นวิตักกะ แล้วเอาไปทำงานร่วมกับต้นทุน static สังกัปปะ เป็นตัวสมบูรณ์ในความนึกคิดปรุงแต่ง สะสางตัดสินให้ดีแล้วเอามาร่วมกับตัว static
ตัวที่ปัญญาก็ยอดคัดมาต้นทุนก็มี ถ้าคุณมีต้นทุนมากก็เอามาต้นทุนใช้พอเหมาะได้ พลังงานนี้ต้องใช้ต้นทุนเท่า ถ้าหากต้นทุนไม่พอมีปัญญามากเกิน สัดส่วนที่ออกไปก็ไม่ดี แต่ถ้าเอาต้นทุนมาให้พอเหมาะพอดีเหมาะสม ปโหติ ก็ปรุงแต่งมาเป็นสังขาร
สังขารในจิตเป็นตัวที่ 7 หากยังไม่มีชื่อก็ยังไม่มี อธิวจนะ ยังไม่ตั้งชื่อก็เป็นสภาวะเท่านั้นชื่อว่า วจีสังขาร เป็นคำลำลอง หากจะออกไปก็มีชื่อตั้ง เมื่อมีชื่อแล้วก็ออกไปเป็นวจีกรรมได้ วจ คือ ตัว ว คือพฤติกรรม จ คือตัวรู้แจ้งรู้ออกเป็นวจ วจี ก็ต้องเป็นสภาวะที่คุณจัดสรรเอง
เมื่อเป็นสังกัปปะมาร่วมกับ static ตัวฐานได้สัดส่วนที่ดี กลุ่มแต่งเป็นวจีสังขารในใจ วจีสังขารไม่ใช่วจีกรรม แต่เป็นพลังงานจิต วจีสังขารเป็นการทำงานของมโนกรรม มาหยุดรอ ที่จะออกมาเป็นวจีกรรม ส่วนวจีสังขารเป็นการปรุงแต่งสัตว์ในจิต ถ้ามีกามพยาบาทตัวเลว วจีสังขารก็เป็นตัวเลวร้าย ออกไปเป็นวจีกรรมกายกรรมที่เลวร้าย ประธานอยู่ที่สังกัปปะนี้หมดเลย ผู้ที่ไปนั่งหลับตาไม่มีการวิจัย ไม่รู้รูปนาม ไม่รู้สังกัปปะ ไม่รู้เจโตกับปัญญา ไม่รู้ตัวต้นทุน ไม่รู้ทำอะไรก็ไม่เป็นไปนั่งหลับตา จะไปรู้เรื่องหรือขนาดอาตมาพูดนี้ เข้าใจไหม ก็มีหลายระดับความเข้าใจ
เข้าใจแล้วก็เอาไปทำอย่าช้า เมื่อสามารถที่จะจัดการกับจิตตัวประธานได้อย่างที่อาตมาว่า ทุกอย่าง ทุกกรรมก็ดีหมดเพราะว่าประธานอยู่ที่จิต พฤติกรรมกายกรรมอาชีพในโลก ทุกอย่างเป็นสิ่งดีหมด ไม่มีการเบียดเบียน ถ้ามีปัญญาและทำจริง อย่างนี้ไม่มีอะไรตกต่ำ ง่ายไหม รู้ง่าย พอรู้ได้ง่าย แต่ทำคงจะต้องฝึกฝนไป แต่เอาเถอะ ผู้ที่สามารถทำได้
1.ยังไม่รู้ 2. เริ่มรู้ 3. ฝึกฝน 4. ฝึกฝนจนช่ำชองชำนาญ 5. ลงมือกระทำ 6. เกิดผล 7. แจกจ่าย 8 9 ไม่ต้องพูดเลยมีมากก็ต้องแจก ถ้าหากจะเกินจริงเอาจะเอาหน้าก็อย่าไปทำ ต้องดูตัวเองให้ดี
ที่อธิบายไปนี่มันไม่ยากหรอกชัดเจน ไม่ได้ไปอ่านมาจากตำราที่ไหนหรอกมันเป็นสัจจะที่มีอยู่แล้ว อธิบายให้ฟัง ตามหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วเอามาขยายสังกัปปะ 7 ให้ฟัง เป็นต้นตอของกรรมทุกอย่าง
สังกัปปะ 7 เป็นต้นตอของกรรมทุกอย่างเป็นประธาน ใครที่จัดการสังกัปปะ 7 นี้ได้อย่างจริงใจและมีปัญญาทุกต้องจะมีสัมมาปฏิบัติ ได้แล้ว ก็จะปลอดภัยไม่มีวิบากไม่มีภัยโทษอะไรเลย สร้างขึ้นมาจะมีแต่ดี หากใช้ไม่ได้ไม่มีใครรับก็ไม่เป็นไร เพราะของเราไม่เน่าไม่เสีย เป็นธาตุของจิตวิญญาณ ไม่มีการเน่าเสีย แต่ที่เป็นดินน้ำไฟลมก็มีเน่าเสียเสียหายได้
ที่อาตมาพยายามขยายความให้ลึกซึ้ง คนที่ยังไม่มีภูมิปัญญาเข้าใจที่พูดนี้ เขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก บอกว่าพูดอะไรไปก็เป็นนามธรรม คำอธิบายสังกัปปะ 7 นี้ ใช้พยัญชนะสื่อสาร ถ้าหากไม่มีพยัญชนะตั้งชื่อ ตักกะ เป็นพยัญชนะเป็นภาษาแล้ว แล้วก็มากำหนดว่าอย่างนี้คือตักกะ อย่างนี้สังกัปปะ อย่างนี้วิตักกะแล้ว กำหนดสถานะต่างกันนะ แล้วกว่ามันจะมาเป็นสังกัปปะ ก็เกิดวิตักกะอย่างไร อธิบายกระบวนการให้ฟังแล้ว หากไม่เข้าใจนามธรรมเหล่านี้ก็จะฟังไม่รู้เรื่อง จะใช้ภาษาเรียกมันอย่างไร คุณก็ไม่เข้าใจ อะไรคือตักกะ วิตักกะ เขารู้กันแต่เรื่องขนม เงินทอง เพชรนิลจินดา แต่อันนี้คุณไม่เคยศึกษาว่า อธิวจนะที่ตั้งมาเรียกนามธรรม ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ตั้งขึ้นมาเพื่อเรียกนามธรรม แล้วให้รู้ชัดเจนมาก
ตักกะ ต่างจากวิตักกะ ต่างจากสังกัปปะนะ วิตักกะคือตัวสำเร็จ จะปรุงแต่งด้วยกิเลสหรือไม่มีกิเลสก็แล้วแต่ หากมีกิเลสก็จะปรุงแต่งแบบเลวร้าย ใส่เข้าไป แต่คนไม่มีแล้วเลวร้าย จะปรุงแต่งอย่างไรก็ไม่มีความเลวร้ายมาร่วม มีแต่จิตที่สะอาด ก็ปรุงแต่ของสะอาด เป็นแต่เพียงว่าทำให้สัดส่วนพอเหมาะนะ หากสะอาดจริงแต่มากไปหรือน้อยไปก็ไม่มีผลดีมากไปก็ทำร้ายตัวเอง จึงต้องจัดสรรให้พอเหมาะ ปโหติ
ปโหติ เป็นพยัญชนะตัวปัจจัย ท้ายของต่างๆ ติแปลว่า สาม ประทับตราจบแล้วแต่ตัวทำงานจริงคือตัวหนึ่งกับสอง ได้ผลมาเป็นตัวที่ 3
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ศึกษาจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาทุกพระองค์ ท่านรู้สิ่งเหล่านี้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์เรียนรู้ตามปางนี้ มีความรู้เท่านี้ขยายให้ฟังเท่านี้ ไม่ขยายในสิ่งที่ไม่รู้ รู้ที่ยังไม่แน่ใจก็ยังไม่เอามาขยาย เดี๋ยวพลาดเป็นกรรม เราทำแล้วแบ่งคนอื่นไม่ได้เราก็ต้องรับอีก สะสมกรรมไม่ดี ใส่ตัวเองก็ไม่ไหว ทำให้ตัวเองมีวิบากต่อไปก็โง่ไม่เสร็จ อาตมาพอแล้วไม่โง่ต่อแล้ว อาตมาเอาแต่ที่ให้คุณได้ มากกว่านี้อวดดี มากแล้วผิดหรือถูกก็รับรองไม่ได้จะเสี่ยงไปทำไม หาวิบากใส่ตน ใครยังโง่ตรงนี้ไม่เสร็จก็เชิญ อยากอวดดีเข้าใจไม่ชัดอยากจะอวดอ้างผิดๆถูกๆ ก็ตัวใครตัวมัน
อธิบายธรรมะแล้วชัดเจน คุณสนุกไหม
เข้าใจสิ่งเหล่านี้ คือเข้าใจอาการเคลื่อนไหวของพลังงาน ที่เราจะสามารถจัดสรรพลังงานเหล่านี้ได้ พลังงานเหล่านี้จะเป็นกรรม ให้พลังงานมีปฏิกิริยาเป็นอาการที่มันเกิด กิริยา กรรม ออกมาสู่ภายนอก หากปรุงแต่งอยู่ภายใน วจีสังขาร ตามเหตุปัจจัยที่มีกาม พยาบาทผสมก็เป็นวจีสังขารเป็นพิษภัย แต่ ถ้าเป็นวจีสังขารที่ปราศจาก กาม พยาบาท ก็จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ
นี่คือความรู้ที่อาตมาได้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนี้ อาตมาว่าเป็นของดีที่สุดที่มนุษย์ควรได้ ไม่เห็นร่วมด้วยกับอาตมา นี่ล่ะดีที่สุดแล้วที่มนุษย์ควรได้ นอกนั้น เงินทองข้าวของเพชรนิลจินดาเป็นเรื่องเล็ก เพราะสิ่งนี้ มันอยู่กับเรา ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ใครปล้นจี้ไม่ได้ ความรู้ความเข้าใจปัญญาของเราเมื่อเอาออกมาทำก็เป็นพลังงานตรงแต่งให้คิด ก็เสียพลังงานเท่านั้น เอามาพูดและกระทำเป็นกายกรรมออกไปเลย พลังงานก็เพิ่มขึ้นมาเป็นผลเป็นรูปร่างเป็นสิ่งสำเร็จ
สมณะเพาะพุทธว่า...พ่อครูอธิบายสังกัปปะ ให้เราเข้าใจกระจ่างขึ้น ตัวปฏิบัติจริงๆคือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ฟังพ่อท่าน คือตัวสังกัปปะ เป็นตัวภายในของเรา พ่อท่านได้กล่าวอาชีวะ 5 ให้เราได้ฟังลึกซึ้งขึ้น ให้เราเรียนรู้ สังกัปปะ ในธาตุจำ(อดีต) ธาตุรู้(อนาคต) ธาตุคิด(ปัจจุบัน)
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:34:36 )
รายละเอียด
601103_พุทธศาสนาตามภูมิ ศาลีอโศก หมู่บ้านคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
สมณะฟ้าไทว่า… วันนี้วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 ที่บวรศาลีอโศก เป็นวันลอยกระทง เป็นการขอขมาขอโทษแม่น้ำหรือพระแม่คงคาที่เราได้ทิ้งสิ่งสกปรกลงไป เป็นการสำนึกว่าน้ำมีบุญคุณกับเรา รายการวันนี้จัดที่บวรศาลีอโศก ที่จะได้มีงานมหาปวารณาในวันที่ 4-7 พ.ย. นี้
วันนี้เป็นวันประชุมของสมณะมหาเถร คือผู้ที่บวชตั้งแต่ 20 พรรษาขึ้นไป งานนี้ จะมีกิจกรรมต่างๆมีทั้งการประชุม การแสดง พรุ่งนี้เป็นวันประชุมสัมมนาทั้งหมดตั้งแต่ตี 4 จนถึงค่ำ วันที่ 5 ก็มีตักบาตรเทโว มีประชุมสิกขมาตุ
โศลกมหาปวารณาปีนี้คือ จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ คนทั่วไปคงเข้าใจได้ยากว่าจนแล้วจะสุขสำราญเบิกบานใจอย่างไร การเป็นคนจนนั้นง่ายกว่าการเป็นคนรวย
ความสุขที่ว่านี้ไม่ใช่ความสุขอย่างโลกีย์ แต่เป็นสุข ที่แปลว่า ความว่าง เป็นความสุขสำราญที่อุดมสมบูรณ์ ดูตัวอย่างกล้วยที่อยู่บนโต๊ะนี้ เป็นกล้วยน้ำว้าที่ลูกโต สมบูรณ์
พ่อครูว่า...ผลหมากรากไม้แกล้งโตหรือเปล่า ทั้งมีลูกใหญ่จำนวนมากคุณภาพดีไร้สารพิษอีกต่างหาก
สื่อธรรมะพ่อครู(พระราชดำรัส ร.9) ตอน สามพระราชดำรัสอันสุดประเสริฐ
คำว่าคนจน ในหลวงท่านตรัสว่าให้บริหารประเทศให้บริหารอย่างแบบคนจน นี่คือศาสตร์พระราชา อาตมาหยิบมา พยายามพูดถึงตรงนี้ เน้นแล้วเน้นอีก เพื่อให้ได้ยินไปทั่วให้ถึงหูของบรรดานักบริหารประเทศด้วย เจตนาอย่างนั้น ให้เกิดการสะดุดใจแล้วจะได้ดูว่า อาตมาพูดนี้ อย่างในหลวงตรัสหรือเปล่า เอาคลิป ที่ในหลวงตรัสไว้วันที่ 4 ธันวาคม 2534 เอามาออกประจำโทรทัศน์บุญนิยม มาไม่รู้กี่ปีแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นนักบริหารคนใดที่ขานรับพระราชดำรัสนี้ ขานรับศาสตร์พระราชา แต่พูดกันว่าศาสตร์พระราชา แต่นี่แหละคือศาสตร์พระราชา คือตำราคือความรู้ ที่ออกมาจากพระปรีชาญาณของในหลวงพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 9 ของไทย
อาตมาว่า มันเป็นความยิ่งใหญ่ มีเรื่องราว แบบคนจนนี้ มีชาวต่างประเทศคนหนึ่งมาพบคือมีชาวต่างประเทศคนหนึ่งมาพบ. (นาย พาร์ก จุล อุน รัฐมนตรีการกีฬาและเยาวชน แห่งสาธารณรัฐเกาหลี มาเฝ้าที่ พระตำหนักจิตรลดาฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2534) เขาบอกว่าประธานาธิบดีของเขา ผู้เป็นเพื่อนเขามอบหมายให้มาขอโอวาท.(ที่ศาลีฯไฟดับ)
“เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำก็แนะนำได้ ต้องทำแบบ “คนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้. แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก. เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง. ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้าจะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว.
แต่ถ้าเรามีการบริหารแบบเรียกว่า แบบ “คนจน” แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป. คนที่ทำงานตามวิชาการ จะต้องดูตำรา. เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร. ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา. ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร. ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง.
แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบ “คนจน” ใช้ความอะลุ่มอล่วยกัน
ตำรานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้า “เรื่อยๆ”.
(พระราชดำรัส ที่ทรงเรียบเรียงและปรับปรุงขึ้นจากที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันพุธ ที่ 4 ธันวาคม 2534)
“ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา”. “Our loss is our gain”.
"Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็ อธิบายว่า
ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534
(“เสีย”ในที่นี้ย่อมไม่ใช่เสียหาย แต่มุ่งหมายถึงการกระทำที่เราได้เสียสละ ซึ่งนัยของการที่เราได้เสียสละออกไป นั่นแหละมันเป็น "การได้" คือได้ทำความดีที่สุดแล้วใน มนุษย์ใดที่ทำการให้ ยิ่งการเสียสละหรือการให้ใดๆ ออกไปแก่ผู้อื่น โดยไม่หวังหรืออยากได้อะไรตอบแทนเลย นั่นคือสุดยอดมนุษย์ผู้ประเสริฐ)
สังคม มีความสามัคคี มั่นคง เป็นปึกแผ่น ได้ด้วยการ..”ให้!”
นี่เป็นศาสตร์พระราชา อาตมาซาบซึ้งคำตรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็นำมาขยายความต่อ ให้พวกเราเข้าใจแล้วนำไปประพฤติจนกระทั่งเป็นจริง ตามที่เราเข้าใจนี่แหละ คือมาเป็นคนจน คนจนที่มีชีวิตดำเนินอยู่อย่างเป็นคนขาดทุน ไม่ได้เป็นคนเอากำไร ทีนี้ คำว่าขาดทุนนั้นคิดอย่างไร แล้วเป็นอย่างไรเรียกว่ากำไร
เรามาขยายความตรงนี้ดู
ขาดทุนคือขาดทุนจริงๆ ไม่ใช่พูดอย่างโวหารหรือพูดเล่น ขาดทุนจริง แต่ขาดทุนแล้วอยู่ได้มีชีวิตดำเนินไปได้
ผู้ที่ขาดทุนแล้วดำเนินชีวิตไปได้อยู่ ใช้ชีวิตด้วยความจริงสัจจะ ด้วยการขาดทุนเป็นกำไรของเรา คือเราได้เสียสละ การเสียสละนี่แหละเป็นกำไรของมนุษยชาติ การได้ให้ผู้อื่นเป็นกำไรของมนุษยชาติ ชีวิตของคนที่สามารถมีชีวิตอย่างเป็นผู้ให้ไม่ได้เป็นผู้เอา แล้วจะเอาอะไรมาเสียเอาอะไรมาให้ผู้อื่น ก็เอาจากความรู้และความสามารถ ที่ขยันหมั่นเพียรของเรา สร้างสรรมันก็เกิดผลผลิต ต่างๆนานาขึ้นมา นี่แหละผลผลิตหรือสินค้าที่เราจะเอาไปขายอย่างขาดทุน
ทีนี้ ขาดทุนก็คือมันไม่ได้กำไร วิธีคิดกำไรของทุนนิยมก็คือ
หนึ่ง เขาคิดราคาทุนไว้ ราคาทุนคือราคาของทุกอย่างที่เขาใช้เอามาประกอบการ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าโสหุ้ยต่างๆ ที่ใช้จ่ายออกไปในการผลิตสินค้าชิ้นนี้ เขาคิดหมด ที่สำคัญคือรวมค่าแรงงาน ค่าความรู้ความสามารถของผู้ผลิต ในความรู้ความสามารถค่าแรงงานของผู้ผลิตนี่แหละ เป็นจำนวนที่ เป็นสิทธิของเรา และค่าแรงงานในระบบทุนนิยมนี่ร้ายกาจ เขาตีราคาค่าแรงงานเขา บางคนคิดเป็นอัตรา วันหนึ่งๆ วันละ 350 หรือเปล่า และมีคนเรียกร้องอยากจะได้เป็น 400
ในอัตราค่าแรงงานของเราอัตราที่รัฐบาลตั้งให้ไว้เป็นเกณฑ์ของนายทุนหรือผู้จ้างตามกฎหมาย อย่าไปให้จ้างราคาต่ำกว่านี้ ถือว่าผิดกฎหมาย ไม่อย่างนั้นก็จะเอาเปรียบกันต้องตั้งอัตราไว้ ถือว่าเป็นระดับเศรษฐกิจที่ประชาชนรับได้ ส่วนนายทุน กฎหมายประเทศเพิ่มให้ประชาชนทุกคนวันหนึ่งต้องอย่างต่ำ 350 เขาก็ขึ้นให้ แล้วนายทุนจะไม่โง่ บวกเพิ่มขึ้นในราคาทุนได้อย่างไร ค่าตัวของชั้นสูงกว่านี้เขาก็เบิก ก็คิด เป็นค่าตัวทับทวีคูณไปเรื่อยๆ จะตั้งอย่างไร จะเพิ่มอย่างไร คนตายคือประชาชนทั่วไปที่ต้องซื้อหาผลผลิตสินค้าซึ่งมีนายทุนเป็นตัวกลาง มีผู้สร้างผลผลิตเป็นผู้ได้อัตราต่ำสุด ตัวกลางเป็นนายทุนที่นำสินค้าไปจำหน่าย ให้แก่ประชาชนทั่วไป หรือซื้อไปจนถึงมือผู้กินผู้ใช้ก็คือตัวนี้แหละตัวกลางตัวนี้แหละ นายทุนที่เป็นผู้ค้าขายนี้แหละตัวดี ราคาสินค้าก็เพิ่มขึ้นอีก ประชาชนจึงเป็นผู้รับภาระ ไม่ได้ตกที่ใคร ตกแก่ประชาชน การบริหารประเทศต้องทำให้ประชาชนนี้มีการซื้อหา มีการจ่ายสินค้า ก็จะต้องราคาถูกลง ตั้งใจทำอย่างนั้นแต่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ทีนี้ผู้ที่เข้าใจความเป็นจริงแล้วโดยมีความคิดความรู้เป็นความรู้ที่เป็นปัญญาแท้จริงว่า คนเราจะไปเอาเปรียบหรือไปโลภมากขึ้นให้แก่ตัวเองนี้มันเป็นความดีงามของชีวิต มันเป็นความเจริญของชีวิตจริงๆ หรือ?
ผู้ที่มีปัญญาจะมองเห็นว่ามันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่ความเจริญของชีวิตมันไม่ใช่ความดีงามของชีวิต มันไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดของชีวิต มันเป็นความโง่ มันไม่ใช่ความเจริญ มันเป็นความเสื่อมของตัวเราแต่ละคน ที่จะไปเอาเปรียบมากๆ โลภมากๆ เอามาให้แก่ตนเองมากๆ มันไม่ใช่ความดีงาม
ความดีงามคือผู้ที่จะให้แก่คนอื่นได้ เสียเปรียบ พูดตรงๆเสียเปรียบให้คนอื่นได้ต่างหากเป็นความดีงามความประเสริฐของมนุษยชาติของแต่ละคน ผู้มีปัญญาจะเข้าใจ ผู้ไม่มีปัญญามีแต่ความคิดโลภเป็นเจ้าเรือนเป็นความเห็นแก่ได้เป็นความมักมาก เป็นกิเลสประจำตน แม้จะมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจได้แต่ไม่เอาไม่ทำ จะต้องได้เปรียบ จะต้องเอาเปรียบ ได้เปรียบมากเท่าไหร่เขาก็ทำ ใครจะพูดให้ตายอธิบายให้ตายเท่าไหร่ก็ไม่เอา พวกนี้คือพวกไม่มีปัญญา แม้เขาจะบอกว่ามีปฏิภาณเข้าใจได้ แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆหรอก
ถ้าเขาเข้าใจจริงๆก็จะทำ อย่างพวกเราชาวอโศกเข้าใจจริงๆ อาตมาก็พาทำ อาตมาพูดอธิบายก็เข้าใจและพาทำ ไม่ได้เสแสร้งเล่นลิเก ทำเท่ห์ๆ แต่ทำอย่างจริงจัง ถ้าเราสามารถขาดทุนลดราคาลงไปได้เท่าไหร่เราก็ทำ เท่าที่จะสามารถลดได้แล้วเราก็อยู่รอด เราเจตนาอย่างนั้น
ผู้ที่สามารถมาทำงานร่วมอยู่กับพวกเรา ลดราคาค่าตัวลงเรื่อย จนกระทั่งถึงที่สุด ก็คือ ไม่เอาค่าตัวเลย กลายเป็นคนทำงาน 0 ไม่มีรายได้กลับคืนมาแก่ตัวเองเลย ทำแล้วก็เอาไปกินใช้และจำหน่ายจ่ายแจกแก่ผู้อื่น มีผลผลิตร่วมกันก็เอามากินใช้ร่วมกันก่อนสำหรับตัวเราเองเลี้ยงตัวเองพึ่งตัวเองรอด เสร็จแล้วมันมีส่วนเกินส่วนเหลือ ก็นำส่วนนี้ไปจำแนกแจกจ่ายผู้อื่น
ตั้งแต่ขายราคาต่ำกว่าราคาตลาด
ขายราคาเท่าทุน
ขายต่ำกว่าราคาทุน
จนกระทั่งแจกฟรี
นี่เป็นขั้นตอนของการจำหน่ายจ่ายแจกแก่ผู้อื่น แล้วเราก็ทำตามนี้ได้ ร้านค้าของพวกเราจะมีสินค้าหลายอย่าง บางอย่าง ต่ำกว่าราคาตลาด บางอย่างราคาเท่าทุน บางอย่างราคาต่ำกว่าทุน บางอย่างแจกฟรี นี่คือ การมีเศรษฐกิจดี ในสังคมประเทศชาติ
ชาวอโศกเราเป็นผู้ที่ทำตามพระราชดำรัสของในหลวง ทำตามศาสตร์พระราชาอย่างแท้จริงทำมานานแล้ว เราพากันทำมา ตั้งแต่ในหลวงยังไม่ได้มีพระราชดำรัสนี้ออกมา เราก็ทำกันอย่างนี้มาตั้งแต่ต้น ชาวอโศกรวมตัวตั้งแต่พ.ศ. 2516 มีหมู่บ้านตั้งแต่พ.ศ. 2517 อาตมาบวช 2513 เริ่มตั้งหมู่กลุ่มตอนแรกยังไม่เป็นโล้เป็นพาย พอ 2516 เราเริ่มทำแดนอโศก เป็นที่แรก แล้วเกิดชุมชนชาวอโศกขึ้นมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็ดำเนินชีวิต พัฒนาชีวิตเป็นคนที่มีชีวิตประพฤติอย่างแบบคนจน ตามศาสตร์พระราชา คือ เป็นผู้ขาดทุนให้แก่สังคมมาเรื่อยๆเท่าที่ได้ถือว่า เราช่วยประเทศชาติด้วยการทำตามศาสตร์พระราชา เรื่องเศรษฐกิจเราเป็นผู้ปฏิบัติตามศาสตร์พระราชามาตลอดเลย
ขออภัยพูดแล้วเหมือนใหญ่ เหมือนพวกเราเอาพระราชดำรัสของในหลวงมาตีกินแต่ไม่ใช่ เราทำจริงทำอย่างเข้าใจชัดเจนเลยว่ามันเป็นสัจธรรมเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เป็นศาสตร์พระราชา
อาตมาพูดตอนต้นแล้วว่า ยังไม่เห็นนักบริหารพูดเลยว่าต้องมาเอาแบบคนจนตามที่ในหลวงได้ตรัส แล้วขยายอธิบายอย่างที่พวกเราอธิบายแล้วก็พาทำกันอย่างนี้ นักบริหารข้าราชการก็ตามเขาไม่เห็นจะลงไปถึงตรงนี้ เป็นแต่เพียงในหลวงท่านได้ตรัสไว้หลักเศรษฐศาสตร์ 3 ภาษา
1. แบบคนจน
2. ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
3. เศรษฐกิจพอเพียง
เขาก็เอาแบบเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งมันไม่ชัดเจนเท่ากับแบบคนจน ยิ่งขาดทุนคือกำไรก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาก็ขอใช้เศรษฐกิจพอเพียง มันไม่ถึงขั้นกับมาจน ก็มีข้าราชการผู้ใหญ่ใกล้ชิดในหลวงก็บอกว่าแบบพอเพียงนี้รวยก็ได้ ในหลวงตรัสแบบคนจน แล้วเขาบอกเศรษฐกิจพอเพียงนี้รวยก็ได้ แล้วแบบคนจนกับรวยก็ได้นี้ขัดแย้งกันในภาษาแล้วจะเอารวยหรือเอาจน อาตมาก็ว่า เวรกรรมของประเทศไทย ข้าราชบริพารใกล้ชิดด้วย ไม่อยากเอ่ยชื่อ
เป็นเรื่องสุดลึกซึ้งเป็นปัญญา นอกนั้นไม่ใช่ความฉลาดอย่างปัญญา ความฉลาดปัญญาจะเป็นความฉลาดลึกซึ้งวิเศษเป็นความจริงในตัวมันเอง คนที่เข้าใจไม่ได้ ก็จะไม่กล้าพูดอย่างแข็งแรงหนักแน่น พูดกันอย่างชัดเจน จริงใจและนำมาขยายผล นำพาปฏิบัติประพฤติเพราะมันเป็นความจริงที่ประเสริฐเป็นความจริงที่ดีงาม สิ่งที่ควรจะต้องทำให้เป็น
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจในสาธารณโภคี
พวกเราชาวอโศกอาตมาให้มาเป็นคนจนจริงๆ จนที่ยืนยันได้ว่าชาวอโศกที่จนที่สุดก็คือทำงานไม่ได้รายได้อะไรเลยทำงานฟรี อาศัยอยู่กับหมู่กลุ่มชุมชนก็จบแล้วสูงสุด ที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี ที่เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นเศรษฐศาสตร์บทที่สูงที่สุด อยู่ในสาราณียธรรม 6 ท่านก็ขยายความว่า
จะต้องเรียนรู้จนกระทั่งจิตใจมีคุณสมบัติทั้ง 7 ประการ พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ เอกีภาวะ
ทุกวันนี้ได้เลือนหายไปจากศาสนาแล้ว จริงๆแล้วศาสนาไม่เสื่อมแต่คนที่เข้าใจศาสนาไม่ได้ นำไปปฏิบัติไม่ได้ต่างหากที่เสื่อม ไม่เอามาใช้ไม่เอามาปฏิบัติจนเป็นผลสำเร็จ ก็ไม่สืบสานสืบต่อ แต่ชาวอโศก เราเอามาอธิบายแล้วเข้าใจได้ก็เลยปฏิบัติได้ผลก็สืบสานกันจนสำเร็จเป็นสังคมสาธารณะโภคี ตามสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7
นี่คือคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ขยายความที่ท่านฟ้าไทได้เกริ่นไว้แต่ต้น และเป็นจริงไม่ใช่เรื่องลอยลมเพ้อเจ้อไม่ใช่เป็นปรัชญาเท่ห์ๆเข้ามาอวดอ้าง แต่เป็นเรื่องที่เอามาปฏิบัติได้จริงเลย ปฏิบัติได้แล้วก็เป็นคนจน หมู่กลุ่มคนจนที่สำราญเบิกบานใจ
ผู้ใดยืนยันเลยว่า เป็นคนอยู่ในชุมชนนี้มีการประพฤติปฏิบัติชีวิตประจำวันทำงานอยู่ในหมู่กลุ่มนี้แต่ไม่มีรายได้ส่วนตัวเลย อยู่กินกับสังคมนี้ เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจระดับสูงสุดที่โลกพึงจะมีได้ในสังคมมนุษยชาติ เกินกว่า คอมมิวนิสต์คิดได้ เกินกว่าคาร์ลมาร์กซ์ ที่เป็นเจ้าของทฤษฎีคอมมิวนิสต์ ที่พยายามให้เห็นว่าสังคมเป็นใหญ่ แล้วให้คนในสังคมเสียภาษีเข้ากองกลางให้มากที่สุด โดยใช้ผู้บริหารตั้งกำแพงภาษีให้สูง
จับเอานายทุนผู้มีรายได้มากทรัพย์สินมากเอามารีดภาษีเข้าส่วนกลางให้มาก พวกนายทุนพวกเศรษฐีคนรวยจึงไม่ชอบคอมมิวนิสต์เลย ก็ใช้ความรวยของตัวเองเลี้ยงบริวารเข้าไปต่อสู้ก็เลยเป็นสงครามในการบริหารประเทศ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้
แต่ชาวอโศกเราไม่ได้ค้านแย้งไม่ได้ต่อสู้ส่ิงเหล่านี้ กลับเห็นจริงเลยหน้าคอมมิวนิสต์สังคมนิยมไปอีก จนกระทั่งให้คนมาเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ในนี้เลย กินอยู่กับส่วนกลางของรัฐ คอมมิวนิสต์จึงมีรายจ่ายให้คน ให้บุคคล หัวละเท่านั้นเท่านี้ ผู้ที่ไม่มีงานไม่มีรายได้เขาก็ยังจ่ายให้ แต่ของอโศกนี้ไม่จ่ายเลย
นอกจากไม่จ่ายอย่างสุดยอดแล้ว มันยิ่งกว่านั้นเลยคือชาวอโศกเป็นคนมีอายุมากเกินกว่า 60 ปี รัฐบาลก็ให้เงินเดือนเดือนละ 600 บาท อายุ 70 ก็ได้ 700 บาท อายุ 80 ก็ได้ 800 บาท อาตมาเลย 80 ปีแล้วก็ไม่เคยไปเบิกเลย แต่หลายคนในชุมชนชาวอโศกได้รับเงินมาก็เอาไปเข้ากองกลาง บางคนก็เอามาให้อาตมา อาตมาก็เอาไปให้กองกลางอยู่ดี เป็นสัจจะที่สุดยอดของมนุษย์เลยแล้วมีชีวิตอยู่ได้อย่างดี เผากันไปหลายรายแล้ว ตอนนี้ก็รออีกเจ้าเตรียมเผา ก็ว่าใส่โลงเย็นไว้ก่อน อีกไม่กี่วัน
คือแม่ของสมณะเราเพิ่งเสีย เราก็ช่วยกันไป อาตมาภูมิใจที่นำตำราคำสอนนำระบบเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้พวกเราเข้าใจ แล้วพวกเราก็ปฏิบัติตามระบบเศรษฐกิจ ขั้นสาธารณโภคีคือ อยู่กับสังคมนี้ แต่ละชุมชน ซึ่งเป็นชุมชนของคนไทยซ้อนอยู่ในประเทศนี้ แต่ไม่ได้ขัดแย้งกับคอมมิวนิสต์ไม่ได้ขัดแย้งกับประชาธิปไตยเพราะว่าเป็นอิสระเสรีภาพ ทุกคนมาไม่ได้มีการล่อลวง แต่เป็นเรื่องอิสระเสรีภาพที่คนพอใจจะมาจนในระบบนี้ แล้วเราก็บริหารส่วนกลางไป แล้วไม่ได้ขัดแย้งกับกฎหมายสังคมประเทศชาติ จึงอยู่ได้อย่างอบอุ่นปลอดภัยอยู่กันอย่างสามัคคี
อาตมาพูดได้เลยว่า สังคมชาวอโศกเป็นสังคมที่สงบไม่มีความเดือดร้อนแย่งชิงฆ่าแกงคดโกงที่ เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวแย่งชิงกัน ส่วนคนที่ยังจะมีรายได้อยู่ข้างนอกก็ทำไปพอสบายๆแล้วมีของส่วนตัวไว้ในกระเป๋าบ้าง จะเข้ามาอยู่ในชุมชนชาวอโศกก็ไม่ว่าอะไร เราก็ไม่เคยไปทวงว่าเอามาแบ่งของเราบ้าง จะมีใช้ส่วนตัวแล้วมาอยู่กับระบบอยู่กับหมู่ก็ได้ จะใช้กินในสาธารณโภคีเมื่อมาอยู่ในนี้ แต่จะมีออกไปข้างนอกก็แล้วแต่
ในประเทศไทยจึงมีประชาชนที่เข้าใจเรื่องของเศรษฐกิจที่เป็นเศรษฐกิจถึงขั้นสาธารณโภคีนี้ด้วย นี่คือประชาชนคนไทย แล้วมีชีวิตอยู่ในระบบที่มีการประพฤติจริงมีการปฏิบัติตัวดำเนินชีวิตอยู่ด้วยเศรษฐกิจระบบอย่างนี้จริง
สอดคล้องกับที่ในหลวงเราได้ตรัส ให้เป็นแบบคนจน เป็นแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แล้วก็มีความเจริญ จะนับความเจริญอย่างไร
ที่เขานับความเจริญกันด้วย GDP Gross Domestic Products เป็นการจัดการกันอย่างที่มีรายได้มวลรวมของประชาชาติ ของผู้คนในประเทศนี้ในชุมชนนี้ เสร็จแล้ว ค่าส่วนกลางกี่เปอร์เซ็นต์
ของเรานี้ ถ้านักเศรษฐศาสตร์มาศึกษาชาวอโศกจะมีวิธีคิดอย่างไร ตัวเลขจะออกมาอย่างไรก็ไม่ทราบได้ อยากจะให้นักเศรษฐศาสตร์มาลองคิดดูตามหลักสังคมสากลว่าสังคมชาวอโศกจะมี GDP รายได้มวลรวมของกลุ่มชาวอโศก
อาตมา นิยามว่าเศรษฐกิจคือการมีรายได้มีรายรับรายจ่ายเสร็จแล้วพวกเราก็ยังมีเศรษฐกิจที่เป็นส่วนกลางเขาได้รายได้จากมวลมนุษย์ในกลุ่มสังคมนี้ หรือประเทศนี้ Domestic รายได้วันมวลรวมของประเทศ เขาก็ไปตีราคาแล้วค่าของ มวลรวมจะได้ราคาเท่าไหร่ พูดถึงตรงนี้แล้วก็อยากรู้เหมือนกันนะ เปรียบเทียบกับโลกเขา เพื่อจะเอาไปศึกษาเลยว่า ถ้าคนไทยทั้งประเทศ ต่างก็ทำงานแบบชาวอโศกเรา ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะว่าพวกนายทุนไม่ยอมเด็ดขาด แต่ถ้าสังคมประเทศเราเป็นชุมชนหมู่บ้าน ที่มีเป็นนิตินัยด้วย ศาลีอโศก ก็เป็นหมู่บ้านแต่ประชากรไม่เยอะเท่าไหร่ และหมู่บ้านชาวอโศกก็อยู่กันอย่างเป็นกิจจะลักษณะดำเนินอยู่อย่างสาธารณโภคีทั้งนั้น
จึงเป็นประชากรของไทย ระบบสาธารณโภคีทุกชุมชนซ่อนอยู่ในประเทศไทยมีหลักเศรษฐกิจอย่างนี้เลี้ยงตัวเองอย่างนี้ไม่ได้เป็นภาระหนักของสังคมประเทศชาติเลย นักบริหารประเทศไม่เอาใจใส่ เขาอาจมองว่า พวกนี้บ้าๆบอๆ หรือมองว่า พวกนี้ปล่อยมันไปเถิด ดูสิว่ามันจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แล้วจะกลับมาเป็นเหมือนคนทั่วไป พวกนี้มันฟิตจัด คิดสุดโต่งแล้วจะมาอดทนได้หรือไม่ …(พวกเราตอบว่าไม่ได้อดทน แต่สุขสำราญเบิกบานใจ)
พวกเรามีความจริงที่เป็นอิสระเสรีภาพมีปัญญาที่รู้ว่ามีชีวิตอย่างนี้มันดี ดีกว่าไปต่อสู้แย่งชิงหาสมบัติส่วนตัว ไม่ต้องมีสมบัติอะไรส่วนตัวมากมายหรอกก็อยู่พอใช้พอกิน แต่คนอื่นเขาทนไม่ได้ที่จะมาเป็นอย่างนี้ จิตใจมันหวงแหน ต้องมีของตนเยอะ จนกระทั่งมาอยู่อย่างที่พวกเราเป็นไม่ได้ ซึ่งของพวกเรามีสองขนาด
ขนาดหนึ่งก็มาอยู่ในสังคมชุมชนเราเลย มีชีวิตกับหมู่กลุ่มนี้ไปกินอยู่ร่วมกันกับหมู่กลุ่มเสร็จแล้ว เรามีอีกแบบคือ ออกไปข้างนอกมีผลผลิตสร้างสรรส่วนตัวพอสมควรแล้ว มีเงินบำเรอตนเองส่วนตัวพอแล้ว แล้วก็มาหาหมู่ ก็ยังเข้าใจว่าอย่างนี้เหมาะควรกว่าแต่ก็ยังต้องหาเงินส่วนตัวไว้แล้วก็จะได้ใช้ส่วนตัวกินใช้ของเรา มาใช้ส่วนกลางเขาไม่ให้หรอก แล้วก็มาอยู่กับหมู่ ส่วนเสพส่วนตัวก็มีเงินส่วนตัว ส่วนพวกไม่ไปหารายได้ส่วนตัวแล้วอยู่กับหมู่กลุ่มไป มีของเก่าส่วนตัวก็แจกจ่ายไป บางคนก็จ่ายไปจนหมดก็ไม่ต้องมีอีก
บางคนมาอยู่กับหมู่กลุ่มแล้วของส่วนตัวที่มีอยู่ก็เอาไปแจกจ่ายให้ลูกหลานไปหมดแล้ว ตัวเองก็เอาตัวมาอยู่กับหมู่
แต่บางคนมีสิทธิส่วนตัวเป็นของตัวเองในบ้าน เมื่อจะมาส่วนกลางก็เอามาให้กับส่วนกลางหมดโดยไม่แบ่งให้กับลูกหลานเลยก็มีไหมนี่ พูดแล้วเหมือนกับชี้นำจะเป็นการคิดรอบอยากได้มันดูไม่ดี แต่ก็พูดไปแล้วก็ต้องขออภัยไม่ได้คิดจะให้เป็นอย่างนั้นหรอกแต่ไม่ค่อยมีคนจะทำแบบนี้หรอก ก็มาแต่ตัวสิ สมบัติก็เอาไปแจกจ่ายให้กับลูกหลานเขาเสีย ขอให้ได้ตัวมาเถอะ มาแต่ตัวกับหัวใจไม่ต้องเอาไรมาก็ดีแล้ว มีความเข้าใจมาฝึกปรือมาอยู่กับมวลรวม อยู่กันอย่างเศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีไป
เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าสังคมกลุ่มไหนในโลกก็ตามปฏิบัติได้ มีชุมชนหมู่บ้านอย่างนี้กระจายอยู่ทั่วประเทศ มาก หมู่บ้าน เป็นร้อยเป็นพันหมู่บ้าน ดำเนินชีวิตอย่างนี้จริงๆประเทศไทยจะเห็นหน้าเห็นหลังเลย ตอนนี้มีอยู่เท่าไหร่ หมู่บ้านเรามีประมาณ 80000 หมู่บ้านในประเทศไทย แต่หมู่บ้านที่เป็นนิตินัยของชาวอโศกมีเพียง 2 หมู่บ้าน แต่หมู่บ้านอื่นก็ไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆนะที่มีอยู่ ต่างมีชีวิตอยู่อย่างสาธารณโภคีทั้งนั้น เป็นอย่างนี้มาตั้งหลายสิบปีแล้ว เชื่อว่า ถ้าอาตมาไม่ตายหรือตายแล้วก็ตาม ชุมชนอย่างนี้จะดำเนินอยู่ต่อไปได้ คนก็ขานรับกันว่าอยู่ต่อไป เพราะเข้าใจแล้วมีระบบมีวิธีการอยู่ มีต้นทุนมีทั้งสถานที่มีทั้งแผ่นดินเข้าของมีองค์ประกอบทุกอย่างหมดแล้วมีวัฒนธรรมด้วย
สมณะฟ้าไทว่า...ก่อนพ่อครูตาย มันก็จะมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่านี้คนก็จะไปอยู่มากกว่านี้ จะเลิกไปทำไม โง่ตายเลย ผมเทียบดู เห็นศิษย์เก่าเขาหาเงิน แล้วก็ไม่มีเวลากินอยู่หรือใช้เงิน แต่ศิษย์เก่าที่อยู่ในวัดมีเวลากินอย่างอุดมสมบูรณ์ อยู่ข้างนอกเป็นคนไม่มีเวลา อยู่ในนี้มีเวลามากมาย
พ่อครูว่า...แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจจะให้เรียกว่าอย่างไร อาตมาพูดไปแล้วก็นึกถึงผู้บริหารประเทศ แม้แต่นักวิชาการ ทำไมไม่มาศึกษาอันนี้ เอาเข้าไป แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ให้มาเป็นเศรษฐกิจแบบนี้กัน ทำไมผู้บริหารประเทศไม่เห็นว่าเป็นแบบนี้มันเป็นได้
ที่เราทำนี้ไม่ใช่พวกอุตริสุดโต่ง หรือบ้าบอ แต่มันเป็นแบบที่ในหลวงเราตรัส แบบคนจน นี่ที่เราทำนี่ ไม่ได้แกล้งพูด ไม่ได้หลงเลอะ หลงตัวตน ไม่เลย มันเป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่มีพระราชามีพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ที่เข้าใจเศรษฐศาสตร์บทยิ่งใหญ่เศรษฐกิจยิ่งใหญ่อันนี้แล้วเอามาประกาศ แล้วพระองค์ก็ไม่ได้บังคับใคร เป็นอิสระเสรีภาพ พูดไปแล้วนักบริหารนักวิชาการผู้ที่จะดำเนินให้เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจในประเทศไทยก็มีหน้าที่ แต่ละกระทรวง
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสแบบคนจนแบบขาดทุนคือกำไร เมื่อท่านได้สวรรคตก็ออกดอกออกผลให้คนได้เข้าใจ มีสัจจะที่ปรากฏเป็นพฤติกรรมสุดประเสริฐ ตอนนี้เขาขานรับว่าต้องทำตามศาสตร์พระราชา แล้วจะรู้จริงไหมนี่ จะรู้ว่า พระราชาทำแบบขาดทุนคือกำไร แล้วประชาชนพูดว่าใช่ แล้วจะไปทำอย่างนี้ไหม
และเป็นคนจนอย่างไรเป็นคนจนอย่างขยันหมั่นเพียรมีความรู้ความสามารถแล้วทำอย่างสุจริต ทำอย่างสัมมาอาชีพ
เป็นคนทำอย่างวรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ชาวอโศกศีลเคร่งคือองค์แห่งธุดงค์ คือมีศีล 5 มาพร้อม ศีล 8 ศีล 10 จุลศีลก็มี ในกลุ่มนี้ คือธูตะ คือทำให้เคร่ง คนทำศีลเคร่งได้แล้ว เป็นคนมีศีลปกติทำได้แล้วไม่เคร่งแต่สบาย สบม.ทมด ปกต จจ หห คนพวกนี้กินข้าวมื้อเดียวแล้วไม่ตายหรือ แต่คนทำได้แล้วก็บอกว่าสบายมากปกติหายห่วงไม่เดือดร้อนอะไรเลย อวิปฏิสาร ปามุชชะ ปีติ สุข จนถึงวิมุติ วิมุติญาณทัสนะเลย ปฏิบัติตามหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า หยิบมาพูดนี้ตรงกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัส
อาตมาภาคภูมิใจที่ทำให้คนมาปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าได้ คำสอนพระพุทธเจ้าเอามาปฏิบัติได้อย่างไม่เป็นหมัน แต่ศาสนาพุทธทั่วไปของชาตินั้นเป็นหมันแล้ว แล้วบิดเบี้ยวละเมิดคำสอนพระพุทธเจ้ากลายเป็นอบายมุขเดรัจฉานวิชาเละเทะไปหมดเลย ขออภัยที่พูดเหมือนข่มคนอื่น แต่ก็พูดความจริงคนเขาก็อาจจะชิงชังอาตมา พูดความดีมันก็เข้าเนื้อชาวอโศก เมื่อพูดความเลวก็ไปถูกคนอื่นเขา อาตมาเลยไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน เพราะว่าความจริงมันต้องเป็นอย่างนี้ อาตมาเลี่ยงไม่ออกจริงๆ คนก็ชังน้ำหน้า เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นอย่างชาวอโศกได้ก็เลยไม่ชอบใจ
อาตมาทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ยิ่งกว่าจะไปหาลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเหมือนกับวอร์เรนบัฟเฟตต์หรือบิลเกตส์ ยิ่งกว่าแจ็คหม่า
สมณะฟ้าไทว่า...เป็นความเจริญของพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่สามารถทำให้เป็นอย่างนี้ได้
พ่อครูว่า...ใช่แล้วสามารถทำให้เกิดสังคมอย่างนี้ได้ในสังคมที่เป็นทุนนิยมบ้าเลือดทุนนิยมสามานย์ บ้าในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างกู่ไม่กลับ แต่อาตมาก็ยังดึงเอาคนมาปฏิบัติอย่างนี้ได้ ยืนยันได้เปรียบเทียบกันได้ แล้วอาตมาก็ได้พูดเปรียบเทียบอย่างนี้เขาก็ชิงชังว่า ไปข่มเขาว่าเขา
สมณะฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์ไม่เกิดมาทำอย่างนี้แล้วจะไปทำอะไร
พ่อครูว่า...ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วจะไปทำอะไร เกิดมาทำชั่วหรือ ว่างั้นก็แล้วกัน เกิดมาทำสิ่งที่ไม่พัฒนา พูดไปแล้วมันก็เลยกลายเป็นเหมือนว่า มันย้อนแย้งทวนกระแสความเข้าใจความเป็นจริงของโลกที่เป็นกัน เขาดำเนินชีวิตแบบนั้นมุ่งมั่น อย่างหน่วยองค์กรเถรสมาคมก็จมในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ที่เป็นโลกีย์เต็มตัว กู่ไม่กลับ มันล้มเหลวไปหมดเลย
อาตมานี่จะทำอย่างไร ถึงจะหลีกเลี่ยงไม่พูดตรงนี้ได้ ไม่นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง พูดตำหนิก็ตำหนิตัวการของผู้ดำเนินงานศาสนาพระพุทธเจ้านี่แหละ
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเกิดมาทำลายกิเลส แล้วกิเลสอยู่ที่ใคร
พ่อครูว่า...กิเลสอยู่ที่คนนี่แหละ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สัมมาอาชีวะสู่สัมมาสมาธิ
ธรรมกายว่า หลวงพ่อสดคือผู้มาปราบมาร แต่หลวงพ่อสดเอาแต่นั่งหลับตาจะเป็นผู้ปราบได้อย่างไร ตั้งแต่มโนมยอัตตา มีดวงธรรมอยู่กลางใจ เขาว่าอยู่ที่ศูนย์ แล้วศูนย์อยู่ที่ไหน? เขาบอกว่าเหนือสะดือ 2 นิ้ว ศูนย์ใสๆ เป็นมโนมยอัตตาเป็น นิมิตชนิดหนึ่งเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมา
แต่ศาสนาพุทธจะไปหาความสูญ เป็นอนัตตา แต่เขาเข้าใจผิดหมด ปฏิบัติไปสู่ความเป็นอัตตาไปหมด สลับสับสนไปหมด ก็เลยพยัญชนะผิด อรรถะก็ผิด เป็นนิมิตอะไรแปลกประหลาดไปหมด ไม่เข้าหลักเกณฑ์อะไร เห็นแล้วว่า วิปริตไปหมด
เขาว่า เป็นดวงธรรมที่ใสสว่างขยายให้เล็กให้ใหญ่ก็ได้ โสดาบันก็ใสขนาดนี้ สกิทาคามีก็ใสขนาดนี้ สายนั่งหลับตานั้นใสไม่ออกมีแต่มืดๆ ก็ไปนิโรธ หลงสว่างใส เป็นอาภัสรา แต่หลงมืด เป็นสิ่งที่ดีก็เป็น สุภกิณหา ก็ไปนั่งหลับตามีสองทิศทาง
ศาสนาทั้งหลายในส่วนใหญ่ส่วนกลางก็เอาอย่างธรรมกายก็มี จนกระทั่งเป็นลัทธิหมู่กลุ่มที่มีคนเห็นด้วยเห็นดี มีอาภัสรามากหรือแม้แต่จะนั่งหลับตามีนิโรธสุภกิณหา ไปหาความดับความดำความมืดก็ไม่น้อย หรืออาจจะมีมากกว่าด้วยซ้ำไป โดยปริยายก็ไม่ชอบพฤติกรรมของธรรมกายว่าไม่ถูกหรอก ไปนั่งเฝ้าความใส แต่ก็ยังเชื่อว่า นั่งหลับตาเป็นสมาธิเข้าในภวังค์แล้วดับให้มืดอันนี้ถูกกว่า พุทธศาสนิกชนก็ยังไม่เห็นด้วยกับการนั่งหลับตาแม้แต่ในหมู่เถรสมาคม หรือสงฆ์ส่วนใหญ่ ถูกธรรมกายซื้อเอาไว้ แต่แท้จริง ก็ไปนั่งหลับตาแบบธรรมกายเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนสงฆ์หมู่ใหญ่จะไปนั่งหลับตาแบบที่เรียกกันว่าสายอาจารย์มั่นสายอาจารย์มหาบัว อย่างนี้มากกว่า สายของธรรมกายที่ไปนั่งเอาความใส มีการไปนั่งเอาความมืดมากกว่า
ศาสนาพุทธนั้นสมาธิไม่ไปนั่งหลับตา จะเป็นหลับตาแบบมืดหรือหลับตาแบบใสสว่างก็ไม่ใช่ สมาธิแบบพระพุทธเจ้านั้นลืมตาทำสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจาสัมมาสังกัปปะ แล้วก็มีสัมมาสติ สัมมาวายามาะ ช่วยให้จัดการอาชีพให้เป็นสัมมา
กัมมันตะวาจา ให้เป็นสัมมา ก็ต้องรู้ว่าอะไรคือสัมมาทิฏฐิและปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์แล้วจะเกิดสัมมาสมาธิ นี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้าปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาใส นั่งหลับตามืดไม่ใช่ สมาธิอย่างนั้นไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า ไปอ่านดูในมหาจัตตารีสกสูตรข้อ 252 ถึง 281 เล่ม 14
สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ เริ่มต้นท่านได้สาธยายอย่างนั้นเลยไม่ใช่ไปนั่งหลับตา จะเป็นการหลับตาใสสว่างหรือหลับตามืดก็ไม่ใช่ทั้งนั้น
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระสูตรต่างๆในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร ท่านเรียกว่าการนั่งสมาธิหรือเรียกว่าเจโตสมาธิ คือการไปนั่งหลับตาแล้วให้เกิดความใสหรือสว่างหรือดับดำมืด เข้าไปในภวังค์มันเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมด 62 ชนิดได้เท่านี้ พรหมชาลสูตร ซึ่งเป็นมิจฉาทิฐิทั้งหมด อ่านพระไตรปิฎกกันไม่แตกฉานไม่รู้เรื่อง
การไปนั่งสมาธิแบบเจโตสมาธิให้เกิดความใสสว่างแต่ก็เป็นการนั่งสะกดจิตเข้าไปในภวังค์ให้เกิดความสว่างใสอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของมิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 อย่าง ก็เรียนกันมา ยิ่งใหญ่ได้เป็นใหญ่เป็นโตก็ไม่ได้เข้าใจเลยว่า พรหมชาลสูตร พระพุทธเจ้าสอนให้รู้มิจฉาทิฐิที่เป็นอดีต 18 และอนาคตอีก 44 ทิฏฐิ ก็ไม่เข้าใจ อธิบายปนเป อธิบายนั่งสมาธิหลับตาไม่เข้าใจว่าสมาธิของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์โดยปฏิบัติอาชีวะกัมมันตะวาจาสังกัปปะ ลืมตาคิดไม่ใช่หลับตาคิด ลืมตาพูดลืมตาทำการงานทุกอย่างกัมมันตะ ลืมตาทำอาชีพแล้วสร้างสมาธิขณะลืมตาเป็นsupra Concentration ไม่ใช่ Meditation ซึ่งเป็นสมาธิสามัญของคนโลกๆ แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นสมาธิที่พิเศษ ไม่ใช่สมาธิสามัญที่ทุกคนก็มีสมาธิแบบ Concentration แต่ของพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติในการทำอาชีพก็มีการสังวรทำกรรมการงานทำการพูดทำการคิดก็เป็นการสังวร พูดไปแล้วมีกิเลสร่วมหรือไม่ กิเลสกามพยาบาท เพิ่มไปในการคิดการทำการพูดการกระทำกายวาจาใจการกระทำงานอาชีพ ถ้ามีก็อ่านจิต วิตกวิจาร วิเคราะห์วิจัยว่ามันมีตัวการทำให้เกิดการคิดการพูดการกระทำการทำกรรมกิริยาทำอาชีพมันมีกาม พยาบาท ผสมไปในความคิดให้กระทำการไปหรือเปล่า ก็ให้จัดการตัวกิเลสกามพยาบาทนี้กำจัดไปอย่าให้มี ถ้ากำจัดกิเลสนี้ได้ เหลือวิหิงสา เป็นรูปภพ อรูปภพ ก็มาล้างอีก รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา หมดก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาไม่พูดกันอย่างนี้แล้วไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่รู้เรื่องรู้ราว ปฏิบัติอาชีวะก็ไม่เป็นสมาธิไม่เป็น ปฏิบัติสัมมากัมมันตะก็ไม่ได้ อาชีวะ 5 เป็นมิจฉาอาชีวะ 5 ก็ไม่ได้สอนกันแล้ว อาตมานำพาพวกเรามาเรียนรู้ปฏิบัติจนพ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คือทำงานมีรายได้มีผลผลิตก็ไม่เอาไว้ส่วนตัวแล้ว ไม่ทำงานแบบลาภแลกลาภ ทำงานฟรีไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนมาเลย นี่เป็นการพ้นมิจฉาอาชีวะข้อสูงสุด
นิปเปสิกตา คือการปฏิบัติอาชีพที่คุณสามารถบริสุทธิ์ไม่เอา ลาภแลกลาภแล้ว แต่ยังมอบตัวในทางที่ผิดคือทำงานฟรีได้แต่ก็ไปทำงานฟรีรับใช้นายทุน หรือเอาแต่น้อย ดีไม่ดี ทำงานฟรีได้แล้วแต่ก็ยังไปรับจ้างนายทุน ก็ไปรับใช้เขา แล้วแต่เขาจะให้ ก็พวกเราเขาให้เท่าไหร่ก็เอา พวกนายทุนก็ชอบเพราะพวกเรามักน้อยแล้วทำงานดีขยันขันแข็งด้วย เป็นคนที่ทำงานแล้วไม่อู้ไม่เบี้ยวไม่หนี ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน คนอื่นเขาชอบนะพวกชาวอโศกที่ไปทำงานอย่างนี้
อาตมาทำงานศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วมันได้ผลแม้จะเหน็ดเหนื่อยก็ทำให้เกิดผล อาตมาเห็นจริงนะว่าอาตมาเองไม่ใช่แค่เชื่อ เห็นจริงว่าอาตมาได้ช่วยประเทศชาติได้สร้างคน ทำให้เกิดเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ที่ดีให้แก่ประเทศชาติ เพราะไม่เป็นตัวแย่งกับสังคม ไม่เป็นตัวชิงอำนาจไม่ไปแย่งวัตถุ แย่งชิงลาภยศสรรเสริญโลกียสุข สุขด้วยกาม ด้วยอัตตาที่เขาแย่งกัน อาตมาว่าทำงานสำเร็จเพราะว่าพวกเราไม่ไปแย่ง โลกียะ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขต่างๆ อาตมาสอนแนะนำ เอาคําสอนพระพุทธเจ้าอธิบายให้พวกเราเข้าใจแล้วปฏิบัติลดละได้ก็ไม่ไปเป็นตัวแย่งในสังคม เอาอัตราตามโลกหรือลดลงได้ด้วย ทำให้ถูกลง ทำสินค้าผลผลิตก็ไม่เอารายได้เข้าตัวเอง เขาให้เล็กน้อยก็เอา นี่คือการช่วยประเทศชาติแล้ว ประเทศชาติก็ไม่เกิดการขี้โกง ไม่เกิดการแย่งชิงเพราะเราเอาแต่น้อย ขึ้นเงินเดือนให้ก็ไม่เอาแล้ว พอกินพอใช้แล้ว นี่เป็นการช่วยประชาชนช่วยประเทศ ให้เป็นไปอย่างมีความสงบ มีเศรษฐกิจที่ดีมีสังคมสงบสุขร่มเย็นดีมีความเรียบร้อยดี นี่คือการช่วยประเทศชาติการช่วยสังคมให้มีปัญญาให้มีความเป็นไปได้จนกระทั่งเป็นไปได้ มีพฤติกรรมอยู่ในสังคมมีการดำเนินชีวิต ไม่ได้เป็นตัวแย่งชิงไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากลำบากจะต้องบริหารกันอย่างยุ่งยากก็ไม่ใช่เลย
อาตมาก็ภาคภูมิใจตัวเองที่ได้ช่วยประเทศชาติได้ เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายให้ศึกษาแล้วให้พวกเราปฏิบัติตามได้โดยไม่เป็นตัวแย่งชิงของสังคม ไม่เป็นคนทำทุจริตกรรมให้แก่สังคม มีแต่สร้างสรรให้ในสังคมแล้วกระจายรายได้แจกจ่ายเจือจาน โดยการจำหน่ายจ่ายแจกก็จำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุนขายต่ำกว่าทุน แจกฟรีให้ฟรี
เราได้ช่วยเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจสังคมรัฐศาสตร์ประเทศชาติสังคม ของประเทศไทยอยู่อย่างนี้ แล้วพวกเราก็มาเข้าใจก็เป็นการช่วยสังคม เราไปช่วยกันอธิบายพาให้คนมาเป็นพฤติกรรมอย่างนี้มีการดำเนินชีวิตอย่างนี้ ที่เป็นไปได้ ก็จึงทำให้ประเทศชาติดีขึ้นสงบสุขมีความร่มเย็นสุขสบายจนกระทั่งกลายเป็นหมู่ มีรัฐบาลที่บริหารประเทศให้เกิดความวุ่นวายมีความขี้โลภเป็นนายทุนจัด แล้วพวกเราก็ไม่เห็นด้วยก็ออกไปประท้วง อาตมาก็ได้พาพวกเราประท้วงไม่เอาการบริหารประเทศแบบนี้เราไม่เอา เราก็ไปประท้วง ล้มเลิกรัฐบาลแบบนั้นได้ มาก็ตั้งหลายรัฐบาล ขออภัยที่พูดนี้ไม่ได้ทวงบุญคุณอะไร
อาตมามีชีวิตนี้ภาคภูมิใจในตัวเองที่มามีชีวิตได้ช่วยเหลือประเทศแบบนี้ แบบที่พูดไปแบบนี้เหมือนพูดเอาดีเข้าตัว แต่มันเป็นเรื่องที่ได้ทำจริง ใครจะหมั่นไส้ ทวงบุญคุณก็ไม่เป็นไร อาตมาเจตนาจะได้ขยายความรู้ความจริง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เราไปประท้วงอยู่อย่างสงบกลับมาแล้วเราก็ไม่ได้เอาอะไรกลับมาเหมือนเดิมปกติ พ่อครูพาไปประท้วงอย่างสงบกลับมาก็อยู่อย่างสงบ ไม่มีอะไรได้รับคืนมา ก็มีแต่ยกตัวอย่างให้ฟังว่าผ่านมาแล้ว พ่อครูพาไปทำนี้ทำให้ประเทศชาติสงบขึ้นจริงๆ
ยิ่งพ่อครูอยู่นานเท่าไหร่ ความสงบสุขก็เกิดขึ้นมากขึ้นมากขึ้น พ่อครูก็คงไม่รีบตายไป
พ่อครูว่า...พยายามไม่รีบตาย อาตมาพูดถึงขั้นว่า ไปประท้วงไม่ได้ก่อความวุ่นวายรุนแรง แต่เอาความสงบไปสยบความรุนแรง เอาความสงบไปสยบความเคลื่อนไหวในการไปนั่งประท้วง พูดอย่างนี้เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน เขาว่าอะไร เอาความสงบสยบความเคลื่อนไหวและสยบความรุนแรง
อาตมาเข้าใจเองถูกผิดก็ไปตรวจสอบดู อาตมาเอาความสงบไป เอาพวกเราไปนั่งประท้วงไม่ให้เกิดความรุนแรงเราทำอย่างนั้นจริงๆ ไปพยายามประพฤติให้มีความสงบไม่ได้เป็นคนไปก่อความรุนแรง ไม่ได้ไปก่อความร้ายแรงอะไรเลยแต่มีผู้ก่อการร้าย แม้แต่เราเองไปประท้วงผู้ก่อการร้าย แต่เราเองได้คดีว่าเป็นผู้ก่อการร้ายก็มี ก็ทำไมเขาเข้าใจอย่างนั้นได้ ไปให้การในศาลยังไม่รู้ว่าจะถูกให้ติดคุกหรือไม่เลย
เราไปประท้วงเพื่อช่วยประท้วงรัฐบาล รัฐบาลปกครองไม่เข้าท่าเราก็ไปช่วยประชาชน อย่างน้อย 3 รัฐบาล รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชาย เราล้มรัฐบาลไปได้หลายรัฐบาลก็เข้าใจเห็นดีงามอยู่ ด้วยความเข้าใจเห็นจริงก็เห็นว่าดีแล้ว รัฐบาลพวกนี้ล้มลงไปเลย จนกระทั่งเราไปประท้วงจนกระทั่งพวกรัฐบาลหรือพวกแบบโน้น แบบทักษิณ แบบสมัคร แบบสมชาย แม้แต่แบบยิ่งลักษณ์ นั่นแหละ จนกระทั่งสุดท้ายแล้วเราไปประท้วงเพื่อทำให้พวกนั้นสยบ เราเอาความสงบไปสยบความที่มีฤทธิ์อำนาจจนกระทั่งเขาอ่อนแรงลงสุดท้าย ก็มีกลุ่มที่ไม่ได้เป็นแบบเลือกตั้ง ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจเท่านี้แหละ ไม่ได้ปฏิวัติด้วยอาวุธอะไรเลยแต่ปฏิวัติด้วยแค่นี้ มันเป็นปรากฏการณ์ที่อัศจรรย์เป็นเรื่องพิเศษ การปฏิวัติก็ใช้ภาษาแค่ว่า ถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ ก็จบเลย เดี๋ยวนี้ก็มาบริหารไปก็เกิดจากการยึดอำนาจนั้น ซึ่งเป็นการยึดอำนาจที่ประเสริฐที่สุดเป็นการปฏิวัติ จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่เป็นรัฐประหารก็แล้วแต่ เป็นสุดยอดที่สุดแล้ว เกิดจากอะไร เกิดจากพฤติกรรมของประชาชนซึ่งพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน ได้พยายามไปทำจนไม่เกิดความรุนแรง จนกระทั่งแค่พูดว่าขอยึดอำนาจก็ได้แล้วสบายแล้วแค่นี้ นี่เป็นรัฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ นักรัฐศาสตร์จะต้องมาศึกษาให้ดีเลยว่า ทุกอย่างมันมาแต่เหตุ ปฏิวัติก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นผมขอยึดอำนาจ ตัวเองไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรกระดุกกระดิกต่อต้าน อยู่ดีๆมันเกิดได้อย่างไรมันก็ต้องมีเหตุ จนถึงวินาทีสุดท้ายว่าขอปฏิวัติยึดอำนาจได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ เป็นสิ่งที่อาตมาว่านักรัฐศาสตร์นักบริหารต้องศึกษากันให้ดี
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน สุดยอดเศรษฐศาสตร์คือแบบคนจน
มาเข้าสู่บทสุดท้ายที่อาตมาว่า จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ สอดคล้องกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสไว้ว่าการบริหารประเทศจะต้องบริหารแบบคนจน ต้องบริหารแบบคนจน เพราะการบริหารแบบคนจนนี้ เป็นการบริหารที่สุดยอดของรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ น่าจะทำเพราะฉะนั้นผู้บริหารน่าจะคำนึงถึงว่าทำไมนะคนจะต้องไปบริหารให้ไปเป็นคนรวย ทำไมคุณไม่พยายามจะมาพูดตรงๆเลยให้ชัดๆ บริหารประเทศแบบพาคนมาจนอย่างมีปัญญา ให้คนรู้จักว่าความจนนั้นคือความไม่ต้องไปมีมาก แต่คุณเป็นคนจน จนอย่างมีวรรณะ 9 เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนจนที่ไม่สะสม คุณจะสะสมบ้าง พยายามเป็นคนไม่สะสมให้ได้มากขึ้น คือความเจริญของสังคม ความเจริญของมนุษย์ ทำให้ได้อย่างเช่นชาวอโศกทำได้แล้ว นี่แหละคือความเจริญ เป็นคนเจริญ คนประเสริฐที่เป็นอริยบุคคล เป็นอาริยะชน เป็นอารยะสังคม
เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรทำงานแล้วก็ไม่สะสม นี่คือขั้นสุดแล้วทำงานไม่สะสมสมบัติส่วนตัวเลย สุดยอดแล้ว จึงเป็นอาการที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิกะ เป็นคนมีศีลมีธรรม ขัดเกลาพฤติกรรม ขัดเกลาตั้งแต่อาชีพที่ไม่ดีก็ทำให้บริสุทธิ์เป็นสัมมาอาชีพ เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา ขัดเกลา มิจฉาออกไป ขัดเกลาสังกัปปะ ที่มีกาม พยาบาท วิหิงสาตามลำดับ ทำตามหลักสูตรพระพุทธเจ้าเลย
เมื่อขัดเกลาได้ จึงเป็นคนสันโดษ สันตุฏฐิ เป็นคนที่ใจพอเราทำงานฟรีรายได้ 0 บาทก็เป็นคนที่ใจพอสบายใจ อัปปิจฉะ เปลี่ยนชีวิตที่พอมีความมักน้อยเอาแต่น้อย มีแต่น้อย พอใจน้อยๆมักน้อย มักคือชอบ ภาษาอีสานที่ชัดเจนมักคือชอบ เป็นคนมีน้อยก็พอ แต่ขยันสร้างสรร ไม่สะสม มีศีลมีธรรม สิ่งที่เปลืองผลาญพร่าไม่เป็นประโยชน์ก็ลดลง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรรแล้วสละสะพัดให้แก่คนอื่น ตัวเองก็มีน้อยๆ อาศัยกินใช้น้อย เป็นคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ มีนิสัยแบบนี้ นี่คือสร้างสรรสิ่งที่เป็นสุจริตธรรม ลาภธัมมิกา สร้างสรรสิ่งที่เป็นประโยชน์มีลาภโดยธรรม ได้มาแล้วก็แบ่งปันผู้อื่น เอาไว้แต่น้อยอาศัยแต่น้อย จนกระทั่งกลายเป็นพฤติกรรมสังคมเป็นหมู่กลุ่มสังคมขั้นสาธารณโภคี คนอย่างนี้เป็นคน สุโปสะ พัฒนาให้เจริญได้ง่าย เป็นคนบำรุงง่ายพัฒนาง่ายเป็นคน สุภระ เป็นคนเลี้ยงง่ายนี่คือวรรณะ 9 ของพระพุทธเจ้า
วรรณะคือคนมี class เป็นคนมีชั้น The Classes เป็นคนมีวรรณะ ไม่ใช่ The masses เป็นคนไม่มีวรรณะเป็นคนไม่เป็นอาริยะ นี่คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้า
อาตมาเองไม่มีอะไรเก่ง แต่เก่งธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มีคนชมอาตมาชมตัวเอง อาตมาเก่งธรรมะพระพุทธเจ้าพูดตรงๆชัดๆ ไม่ได้อยากจะชมตัวเองแต่พูดสัจจะ พูดความจริงออกไป บอกความจริงนี้ชัดๆ
นี่เป็นสิ่งที่ต้องพูดเพราะว่าคนไทย 95 เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาพุทธ ฟังเสียงบ้าง อย่าไปฟังคำพูดจาที่พูดไพเราะพูดเป็นปรัชญาอะไรต่ออะไร อาตมาพูดนี้เขาไม่ได้ปรัชญาแต่เป็นสัจจะตรงๆผ่าผ่าไม่อ้อมค้อมลดเลี้ยวไม่ใส่น้ำหวานไม่ใส่สี พูดอย่างเนื้อๆ ตรงๆเปรี้ยงๆ ไม่ชอบก็ช่าง อาตมาจะพูดตรงๆอย่างนี้ไม่เสียเวลา พูดลดเลี้ยวอ้อม เมื่อย
พูดคำที่ตรงเป็นคำที่ลัดที่สุดตรงที่สุดสั้นที่สุดแล้วในโลก ขนาดนี้ยังต้องพูดกัน เมื่อไหร่จะหยุดพูดได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้สงสัยต้องปากเปื่อยหมด พูดไม่ไหวก็เลยต้องหยุดพูด
สมณะฟ้าไทว่า...ตอนปรินิพพานครับ
พ่อครูว่า..ถ้ายังเกิดมาอีกก็พูดอีกนะ เพราะว่าผมตั้งใจจะเกิดมาเป็นโพธิสัตว์อีกเมื่อยังไม่จบเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังไม่หยุดเกิด อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาฟื้นฟูให้ได้
พ.ศ. 2560 ศาสนาพุทธเสื่อม ถือว่าหมดเนื้อหาเลย เหมือนกลองอานกะ ไม่เหลือ ต้องมาสาธยายบอกหน่อยว่าเนื้อของศาสนาพุทธเป็นแบบนี้ เนื้อของกลองอานกะเป็นแบบนี้ อ้างอิงยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้าทุกอย่างมากมาย ก็ไม่มีทางเลือกอื่นและก็ยังไม่ยอมตายง่ายๆ นอกจากจะไม่ยอมตายง่ายๆแล้วก็ยังไม่ยอมจะพูดด้วย ใครไม่อยากฟังก็ต้องทนฟัง
ที่พูดเพราะว่ามีคนฟังนะ พวกเราที่เข้าใจแล้วเห็นดีเห็นงามในการฟัง อาตมาก็พูดให้ฟังนี่แหละ
ทุกวันนี้อาตมารู้สึกนะ ไม่ใช่มีแต่พวกเราที่สนใจพอใจจะฟัง มีผู้ที่เข้าใจว่าอาตมาพูดอย่างนี้ อันนี้เป็นพุทธธรรม อย่างนี้เข้าท่านะ มีคนเข้าใจ แล้วก็ตั้งใจฟังเพิ่มขึ้น ก็ดีขึ้น อาตมาว่าอย่างนั้นน่ะแต่มันช้า ไม่พรวดพราดหวือหวารวดเร็ว เพราะเป็นธรรมะที่ทวนกระแสใจ แต่ก็เห็นว่ามีอัตราการก้าวหน้าอยู่
ตอนนี้ นาฬิกา Countdown ก็ดับไปแล้ว เหลืออีก 11 นาที
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกุศล ตอนนี้คำว่าบุญได้เพี้ยนไปแล้ว อาตมาพยายามทำให้เป็นสัจจะ แม้แต่พวกเรียนเปรียญ 9 มาก็ไม่เข้าใจคำว่าบุญ ที่หมายถึงเครื่องชำระกิเลสที่เป็นโลกุตรธรรม เป็นเอกังสะ หน้าที่เดียวคือทำลายกิเลสให้วิบัติ บุญแตกต่างจากกุศลอย่างยิ่ง บุญทำแล้วเสร็จจบ เป็นส่วนแห่งบุญจนกว่าจะหมดบุญ คือหมดบาปไปนั่นเอง เป็นปุญญปาปปริกขีโณ เป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้ง
เขาจะเข้าใจพยัญชนะปุญญปาปปริกขีโณ นี้ไม่ได้เลย แต่มันเป็นสัจจะของพระพุทธเจ้าที่ลึกซึ้ง
แม้แต่ความจนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ คนจนเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ อาตมาตั้งใจจะพูดเรื่องคนจนนี้ไปอีกนานเท่านาน ก็กำลังเรียบเรียงหนังสือแบบคนจนได้ตอนนี้ 50 หน้าแล้ว ว่าจะหยุดแต่ก็เพิ่มอีกเรื่อย
ปรัชญา ที่จะต้องมาทำแบบคนจนตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัส มันไม่ใช่แค่ปรัชญา ญ แต่เป็นทฤษฎีเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ จะต้องมาขยายแบบคนจนนี่ไปอีกนานเท่านาน เข้าใจแล้วปฏิบัติให้จริง ประพฤติให้จริงจนมาเป็นสังคมคนจน สังคมคนจนนี้จะเป็นตัวอย่างสังคมของโลก ถ้าประเทศไทยสามารถปฏิบัติให้เป็นสังคมคนจนได้สำเร็จ เป็นคนจนอุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่เหลือเฟือแจกจ่ายผู้อื่นได้ เป็นคนจนที่ไม่สะสมเป็นของตนเองไว้มากมีเท่านี้ก็พอแล้วไม่เหลือเฟือก็สะพัดแจกจ่าย มันก็เป็นสังคมประเทศที่เป็นตัวอย่างให้แก่โลก เพราะว่าโลกนี้กระเหี้ยนกระหือรือจะต้องเอาให้มาก GDP ของประเทศก็จะต้องได้มาจากต่างประเทศ ได้เงินจากต่างประเทศเข้ามาเป็นรายได้ขาเข้า ให้ได้มาก ยอดรายได้ที่เรียกว่า Domestic เป็นรายได้ของประเทศ แต่ก็ต้องออกจากประเทศอื่นเขา ไม่ใช่รายได้มวลรวมของในประเทศนี้ที่เป็นของเฉพาะในประเทศเอง
การคิดอาตมาถึงบอกว่าคิดไม่เป็นว่าเศรษฐกิจที่เขาคิดเป็น GDP จะได้มวลรวมรายได้ของในประเทศที่ได้นี้ได้กี่เปอร์เซ็นต์ แต่รู้คร่าวๆว่ามันจะต้องได้เงินมาจากต่างประเทศเข้ามา ไม่ใช่ว่าเงินของประเทศนี้ล้นออกไปให้ประเทศข้างนอกเขามากกว่า
แต่เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ประเทศไทยจะต้องมีทรัพย์สิน มีผลผลิตของเราให้ประเทศคนอื่นให้ได้มาก เราเองเหลือกินเหลือใช้จึงสะพัดแจกจ่ายเกื้อกูลให้แก่ต่างประเทศเขา จะขายให้เขาก็ขายในราคาที่ถูก ไม่อย่างนั้นก็แจกจ่ายเลย ประเทศไหนที่ควรจัดให้เขาได้ก็ให้ไป นี่คือประเทศที่มีเศรษฐกิจดี
แต่ GDP อย่างทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างที่อาตมาว่า ที่ว่าประเทศไทยจะต้องผลิตพืชผลสินค้าให้มากแล้วแจกจ่ายให้คนอื่นได้ ขายในราคาถูกหรือเอาไปแจกให้ข้างนอกให้รายได้เข้ามาในประเทศไทยน้อย เอาเงินจากประเทศอื่นเขามาให้น้อย แต่เอาผลผลิตเราให้เขาคนอื่นให้มากขาดทุนให้คนอื่นได้มาก
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เราได้ฟังพ่อครูพูดเรื่องคนจน ที่ต้องมาขาดทุน เสียเปรียบคือส่ิ่งที่ดี พวกชาวอโศก เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เพราะเป็นคนเสียสละไม่เอาอะไรแต่เป็นผู้ให้มาทำงานเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:35:27 )
รายละเอียด
601105_ พ่อครูพบศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ในงานมหาปวารณา ที่ศาลีอโศก
ชะวาว่า….รวมศิษย์เก่าศาลีอโศกและศิษย์เก่าจากที่อื่นด้วยสำหรับศาลีอโศกเป็นการรวมตัวครั้งที่ 9
พ่อครูว่า...ตอนนี้ บ้านเมืองมันมีเหตุการณ์หลายประการ ทางด้านผู้บริหาร ทางด้านของการปรับเปลี่ยนกษัตริย์ ด้านสภาพจริงของสังคมประเทศ เป็นอย่างไร สภาพจริงของประเทศนั้นขณะนี้ อาตมาว่ากำลังอยู่ในฐานะที่พัฒนาตัวเอง ดิ้นรนตัวเอง มันมีจิตวิญญาณของคนที่มีบทบาท มีพลังงานที่ร่วมกัน มีเจตนาที่จะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น กำลังมีพลัง ปรารถนาที่จะทำให้ดีขึ้น อาตมาอุ่นใจดีใจ ที่ประเทศไทยรักษาความสงบไม่รุนแรงเหมือนประเทศอื่น ประเทศอื่นฆ่าแกงรุนแรงโหดร้าย ประเทศเราไม่เป็นอย่างนั้น พยายามรักษาความสงบเรียบร้อยสุภาพงดงาม ใช้พลังงานไปในทางเมตตาไม่ให้รุนแรงกันได้ดีมาก อาตมาอุ่นใจมาก แต่อยู่ในภาวะที่กำลังปรับตัว
ทีนี้พวกเราชาวอโศก โดยเฉพาะพลังหนุ่มสาวพวกเรา อาตมาว่ามีประสิทธิภาพสูงถ้าได้มารวมพลัง เราจะทำในหมู่กลุ่มพวกเราไม่ต้องไปเกี่ยวกับภายนอกก็เป็นพลังงานในสังคม ถ้ามีจุดมุ่งหมาย อาตมามั่นใจว่าพวกเราบริสุทธิ์สะอาดไม่มีอะไร เช่น ยกตัวอย่างง่ายๆว่ามีนายทุนมาครอบงำพวกเรา อาตมาว่าพวกเรามีปัญญาแล้ว
สองพลังทางการเมือง อาตมามั่นใจว่าพวกเราไม่โง่เง่าจะไปถูกนายทุนครอบงำ ก็เหลือแต่พลังที่ในสังคมมันก็มีพลังงานการเมืองที่และยิ่งใหญ่ นอกนั้นเป็นพลังานกลางๆ
มันเป็นโอกาสดีมากเลย ถ้ากระจายกันก็ไม่รวมเป็นพลัง ต้องรวมตัวกันถึงจะมีกำลัง ถ้าพลังงานที่ร่วมกันขัดแย้งกันมันจะมีพลังงานใหม่ แต่อาตมามั่นใจว่าพวกเรารวมตัวกันได้ง่าย เพราะมีแกนทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา อาตมาว่าง่าย ยังเหลือแต่ว่าพวกคุณจะมารวมกันจริงหรือไม่เท่านั้น นี่คือคำตอบสุดจบ
เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ส่วนตัวใครเดือดร้อนบ้าง ใครเป็นหนี้ถึงสองล้านบ้าง...มีคนหนึ่งยกมือว่ามากกว่าสองล้าน อาตมาก็สอนๆว่าไม่เป็นหนี้นี้เป็นลำดับต้นเลย อยู่ในวัดทำไมเป็นหนี้ขายขี้หน้าตาย อยู่ข้างวัดไม่ได้ไกลเกินเป็นอย่างนั้นได้ไง จะทำยังไงแก้ไขให้เป็นแปลง วิบากใครวิบากมัน โดยองค์รวมไม่มีปัญหามาก เหลือแต่พวก เราจะมารวมกันเมื่อใด
พวกเราไม่ได้เป็นผีตองเหลืองอยู่ในป่าเขาถ้ำ ก็มีชีวิตอยู่รู้เห็นสังคมอยู่หรือจะหนีไปไหน ไปอยู่จีนหรือที่อื่นก็ไม่คิดไปกัน แล้วจะมีคำตอบอื่นไหม จบแล้ว อาตมาว่านี่คือคำตอบแล้ว พวกเราก็คุยกัน จะตั้งกลุ่มอย่างไร ก็คงต้องใช้ที่ส่วนกลาง เหนือใต้ออกตกมารวมกัน ก็ที่สันติอโศกสะดวกสุด ตอนนี้มีโรงเรือนกัน ก็ยังปลุกไม่ขึ้น เคยคึกคักๆ ตอนนี้ไม่คึกคักเลย มันน่าจะเป็นโอกาส ตอนนี้สถานที่ข้างหน้าสันติอโศก ห้องหับต่างๆ มันก็น่าจะมาใช้ ตอนนี้ไม่ได้ทำสัญญากับใคร หากเรามีความจำเป็นจริงๆ พวกเราใช้ได้ อาคารพอใช้ไม่ขี้เหร่นัก
ก็ลองดูตั้งตำแหน่งฐานะหน้าที่ใครจะเป็นประธานเลขา ทำหน้าที่กัน พวกเราเรียนกันมามาก มีดร.ไหม?....ไม่มี มีป.โทไหม...มีสามคน มีศิษย์เก่าเราเป็นปริญญาเอกกันหลายคน ก็เป็นโอกาส อาตมาว่าบ้านเมืองประเทศไทยกำลังดีขึ้น แม้แต่สถาบันก็กำลังรวมตัวกัน อย่างไรๆ ในหลวงร.10 ก็ดำเนินตามในหลวงรัชกาลที่ 9 พันเปอร์เซ็นต์ ให้ดำเนินไปตามธรรมะสบายๆ เราทำของเราพอแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย เราทำของเราเท่านั้นไปเสริม ช่วยกันกับสถาบัน ที่ยังไม่ลงตัวดีก็คือการเมืองยังมีตัวแข่งตัวแย่งอะไรบ้าง
แต่อาตมาดูแล้ว อำนาจที่ควรจะเป็นก็จะไม่ไปไหน อาตมาไม่อยากระบุตัวบุคคล แต่ก็ไม่อยากพูดชื่อ แต่อำนาจเผด็จการเหมือนทักษิณที่เคยทำมาแล้วหมดยุคแล้วใครทำไม่ขึ้นหรอก จะใช้อำนาจทหารตำแหน่งหน้าที่ราชการอำนาจทุนไม่ได้หรอก ตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว อาตมาว่าสะดวกมากแล้ว แล้วอาตมาว่าพวกเรานี้บริสุทธิ์ใจ เพราะว่าเราเรียนมาพยายามฝึกปฏิบัติ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวจัดจ้าน ไม่มีแนวคิดว่าเราจะต้องไปเป็นเอกเป็นเต้ยเหมือนทักษิณนี้ไม่มีแล้ว พวกเราไม่มีแนวคิดแบบนี้แล้ว เห็นแล้วว่ามีชีวิตไปแบบนี้ ทักษิณไม่ตายคนเดียว น้องสาวก็ตายไปด้วย ยังเหลือรุ่นต่อไปอีก อาตมาไม่ได้แช่งนะ แต่กรรมใครกรรมมัน คือสัจจะของธรรมะตามกรรมวิบากมันจะเป็นจริง
ดาวโหลดเสียงได้ที่ https://drive.google.com/open?id=1RP5LYyuTJf8iJsWXjKhB_lr8ZEgR9LgX
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:36:41 )
รายละเอียด
601105_ช่อง13 สยามไท สัมภาษณ์พ่อครู ในงานมหาปวารณา
อ.ประเสริฐถามว่า งานนี้คืองานเกี่ยวกับอะไร?
พ่อครูว่า….งานนี้คืองานมหาปวารณาปีที่ 35 งานมหาปวารณาคืองานของสมณะชาวอโศก เป็นวินัยของพระพุทธเจ้า ให้พระสงฆ์ต้องปวารณากัน ตามพระวินัยจะปวารณา วัน 15 ค่ำ เราก็ทำในวันออกพรรษาอยู่แล้ว แต่เรามาทำพิเศษเพื่อที่จะให้ทำให้เกิดผล
วัดทุกวันนี้ ที่ทำกันทุกวันเป็นการทำตามจารีตประเพณี โดยกายกรรม วจีกรรมมโนกรรมที่ได้ล่วงเกิน ก็เปล่งกล่าวตัวเองว่าตัวเองยอมปวารณาตน ยอมให้คนอื่นว่าได้ อันนั้นเราก็ทำแล้วตามพระวินัย
ส่วนงานมหาปวารณาของเราคือทำจริงๆเรามาตำหนิกันจริงๆ มีอะไรน่าตำหนิก็มารวมกันใช้เวลาแค่สองวัน ตอนนี้เข้าฝักแล้วก็เลยใช้เวลาแค่วันเดียว ทำมา 35 ปีแล้ว
อ.ประเสริฐว่า เมื่อสามปีที่แล้ว มวลมหาประชาชนได้ร่วมชุมนุมกันทั่วประเทศ ต่อมารัฐบาลพยายามทำให้เกิด หนึ่งความสามัคคีปรองดอง สองให้ร่างกติกาใหม่ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญจนถึงกฏหมายท้องถิ่น สามให้มีการเลือกตั้ง และมีวาระพิเศษให้อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ การเปิดเสรี สันติอโศกก็ได้ร่วมกับประชาชนเพื่อปฏิรูป ปีนี้เป็นปีที่สี่ พลเอกประยุทธ์ตั้งกติกาว่าเมืองไทยต้องปฏิรูปเป็นไทยแลนด์ 4.0 ประเด็นสำคัญคือมีการเปิดประตูสู่เออีซี สันติอโศกที่พ่อท่านได้ตั้งมาบัดนี้ได้พัฒนามาตรงกับที่รัฐบาลต้องการมี เศรษฐกิจพอเพียง มีsmart farmer พ่อท่านเห็นว่าอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ที่พูดมาคือประเด็นของเศรษฐกิจการเมือง เป็นเรื่องของมนุษยชาติมีคนเข้าใจว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องของศาสนาไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ คนพูดนั้นเป็นคนพูดที่ไม่เข้าใจความเป็นศาสนาพุธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของประชาชน การเศรษฐกิจเป็นเรื่องของประชาชน จะบอกว่าไม่เกี่ยวไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจคือความเป็นอยู่ของชีวิตต้องเห็นแก่ส่วนรวม ไม่ใช่เห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว กักตุนเหมือนในทุนที่ได้เปรียบเอารัดเอาเปรียบเกินกว่าควรมันก็กลายเป็นเรื่องที่สังคมเดือดร้อนกัน
ศาสนาไม่ใช่เป็นเรื่องปลีกเดี่ยวออกจากสังคม แต่ศาสนาพุทธนั้นอยู่กับสังคมได้แต่จิตใจไม่ได้ติดในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข และช่วยเหลือมนุษยชาติเป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
สามคำนี้ส่อแสดงระบอบที่ยิ่งใหญ่ ระบบระบอบของประชาธิปไตยกับระบบระบอบของคริสคอมมิวนิสต์อยู่ในนี้หมด แม้แต่เผด็จการก็เอามวลชน จึงรวมแล้วสอดคล้องกับสมัยนี้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระพุทธเจ้าก็สอนระบบการปกครองที่ประชาธิปไตยและเผด็จการต้องการเหมือนกัน คือให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุดเหมือนกันเป้าหมายตรงกัน แต่มีเหลี่ยมมุมที่ต่างกัน แต่มีระบบที่แตกต่างกัน
อาตมาทำงานไม่กี่ปีก็รวมเป็นสังคมกลุ่มชุมชน เราใช้ธรรมชาติเป็นประโยชน์แก่สังคมก็ได้ผลเป็นระบบการบริหารปกครองอย่างสงบสบายไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวายเศรษฐกิจก็แบ่งแจกเจือจานกัน แบ่งกันกินกันใช้จนกระทั่งสูงสุด ที่สุดแม้แต่ระบบคอมมิวนิสต์ก็ต้องการ ชาวอโศกทำสำเร็จแล้วถึงเป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี หมายความว่าเป็นคอมมูนที่ทุกคนทำงาน เสร็จแล้วรวมเป็นของส่วนกลางหมดเลย กินใช้ร่วมกัน เสียภาษี100% เท่ากันหมด ไม่ใช่ว่าคนได้มากก็เสียภาษีมาก คนได้น้อยก็เสียประสาทน้อยแต่นี่ยุติธรรมโดยอิสระเสรีภาพ แต่มากหรือได้น้อยก็เข้ากองกลางหมดก็เลย ยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์ได้ยิ่งกว่าประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยก็ไม่ใช้กฎระเบียบบังคับมีอิสระเสรีภาพแต่ให้เสียภาษีตามกฏหมาย สุดท้ายประชาธิปไตยของสาธารณโภคีหรือชาวอโศกทำได้ถึงขั้นสาธารณโภคีคือเสียภาษี100%ให้แก่ส่วนกลาง มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เป็นไปได้
ชุมชนศาลีอโศกเป็นชุมชนหมู่บ้าน ทำงานแล้วกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีแบ่งแจกกันกินไป อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ เกินกว่าคอมมิวนิสต์เกินกว่าประชาธิปไตยจึงเป็นทฤษฎีระบบเศรษฐกิจระบบการเมืองของพระพุทธเจ้า
อ.ประเสริฐว่า...ท่านใช้หลักอะไรที่ทำให้พี่น้องเครือข่ายชาวอโศก เป็นผู้มาถือศีลมาศึกษาธรรมะ ในสังคมปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะในไทยหรืออาเซียนกำลังมีปัญหา จะสามารถใช้หลักเศรษฐกิจที่เช้าส่งทำดีนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ในหลวงรัชกาลที่เก้าท่านก็ตอบโจทย์ให้แล้ว คำตอบของในหลวงก็คือเอาแบบไหน เอาแบบคนจน แบบที่ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่คือสรุปท่านไปตรัสเศรษฐกิจพอเพียง
พอเพียงมันคืออะไร แต่เขาก็ยังไม่ชัด ท่านก็ตรัสอีกว่า เอาแบบคนจน หมายความว่าทุกคนมาทำตัวให้จน ไม่ใช่ทำตัวให้รวย พูดตรงตรงชัดชัดง่ายง่าย แต่ไม่มีใครขานรับนักบริหารนักวิชาการที่ไหน ก็ไม่ขานรับ จะให้ประชาชนที่ไหนมาต้องการความจน และอยู่กับคนจน มันจะอยู่กันอย่างไร นี่คือความไม่มีปัญญา เพียงเพราะว่าสังคมประเทศชาติเศรษฐกิจต้องบริหารแบบคนจน ถ้าบริหารพัฒนาตามทฤษฎีนี้ ทุกคนพยายามทำให้ตัวเองขาดทุน เป็นคนไม่เอาเปรียบเป็นคนเสียสละให้ได้ คนจนมันอยู่ที่การบริหารจัดการ ทำให้มีผลผลิตมีค่าแรงงานพอเลี้ยงตัวเองรอด ถ้าได้ค่าแรงงานเกินมาหน่อยก็ดี ข้อสำคัญได้ค่าแรงงานให้
หนึ่งเลี้ยงตัวเองรอด สองมีส่วนเกินจากตัวเองกินใช้ อย่าเอาส่วนเกินไปค้าขายเอากำไร แต่ให้สะพัดส่วนเกินออกไปให้แก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น แต่มีสำรองให้ตัวเองไม่ขาดแคลน ถ้ามันเกินแล้วสะพัดออกไปไม่ได้มาก เราต้องการระบายออกสะพัด
ถ้าคุณเข้าใจอย่างนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อยทุกอย่างแต่เมื่อทุกคนโลภมาก เห็นแก่ตัวมากเกินไป ความเป็นจริงไม่รู้จักพอ นี่คือหลักสำคัญมาก คนเราไม่รู้จักพอไม่มีความสันโดษ คนเราไม่มักน้อยตามที่พระพุทธเจ้าสอน น้อยก็พอ อยู่อย่างไม่โลภโมโทสันกอบโกยได้นี่แหละ สังคมจะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าเข้าใจให้ชัดเจน ทุกคนเข้าใจและทำได้อย่างนี้ ทุกคนจะไม่แย่งชิงตะกละตะกรามรวยไม่รู้จบ แต่ถ้าต่างคนต่างทำพอมีพอกินพออยู่ ทำอย่างที่ในหลวงตรัสได้ ก็จบเลย จะช่วยการเมืองการเศรษฐกิจ
อ.ประเสริฐว่า ท่านมองอย่างไรกับการจะไปสู่ไทยแลนด์ 4.0
พ่อครูว่า...อาตมาเองไม่ค่อยเข้าใจหรอกไม่รู้วิธีคิดตัวเลขอย่างไรอะไร 1.0 2.0 3.0 4.0 อาตมาก็เข้าใจตามประสาว่า การคิดจีดีพีเป็นการคิดแบบทุนนิยม กูได้มากเท่าไหร่ไม่มีลิมิตมากเท่าไหร่ได้กูก็พอใจ แล้วการที่จะให้รายได้ของประเทศโดยรวม บริหารแบบทุนนิยมไม่เอาตามในหลวงไปไม่รอดหรอก
อ.ประเสริฐว่า...ทำอย่างไรชาวอโศกฉันจะขยายออกไปได้
พ่อครูว่า...ก็ประชาชนรัฐบาลเข้าใจไหมว่าชาวอโศกทำดี ต้องเข้ามาช่วยกันแต่นี่เพราะว่าเค้าไม่เชื่อว่าถูกต้อง
อ.ประเสริฐว่า..เมื่อตอนมวลมหาประชาชนชุมนุม ผมได้ปรึกษาพ่อท่านว่าปัจจุบันศาสนาไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ จะทำอย่างไรตอนนี้สังคมมีการฆ่าแกงแย่งชิงกัน
พ่อครูว่า...ที่นี่ไม่มีแม้แต่การตบตีกันด่าทอกันไม่มีอบายมุข บุหรี่ซักตัวไม่มีขวดเหล้าไม่มีซักขวด ชาวอดศกนั้นฝึกตนได้ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้นด้วยซ้ำไป
อ.ประเสริฐ...เกี่ยวกับไอน์สไตน์ครับ
พ่อครูว่า...ไอน์สไตล์จะถือเทวนิยมตามบัตรประชาชน แต่ในจิตวิญญาณลึกๆ ของไอน์สไตน์เป็นศาสนาพุทธ ไอน์สไตน์เองเข้าใจเองเป็นของตัวเอง ตนเองเข้าถึงพุทธศาสนาที่ถูกต้อง แล้วจะเจริญต่อไปในอนาคต เห็นความจริงว่าอันนี้เองศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เป็นอิสระเสรีภาพ สองเป็นศาสนาที่มีภราดรภาพ ทำตนให้เป็นพี่เป็นน้องกันได้จริงๆอิสระเสรีภาพภราดรภาพมีสันติภาพและเป็นศาสนาที่มีสมรรถนะภาพ ไม่ใช่ศาสนางอมืองอเท้าไม่รู้เรื่องไม่รู้การทำอาชีพไม่รู้การงาน มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ รู้จักโลกสังคมเค้าจริงๆเลย เป็นวิทยาศาสตร์ชัดไม่ใช่ไสยศาสตร์
ไอน์สไตล์เป็นพุทธ เป็นโพธิสัตว์ อาตมาเองเป็นคนพูด แล้วไม่มีใครกล้าพูดว่าไอสไตล์เป็นโพธิสัตว์หรอก และความหมายของโพธิสัตว์เป็นอย่างไรอาตมาเข้าใจแต่ไอน์สไตน์ต้องไปทำหน้าที่ทางด้านโน้นเป็นอจินไตย
ประชาธิปไตยต้องการให้ประชาชนเป็นได้มีอิสรเสรีภาพ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการ แต่จะมีวิธีที่ต่างไป ความต้องการเหมือนกันคือต้องการให้ประชาชนได้ผลประโยชน์เฉลี่ยกันให้ดีที่สุดแต่ของพุทธนั้นท่านฉลาดเกินกว่า ท่านสอนให้มาลดความเห็นแก่ตัวลดความเห็นแก่ได้ของแต่ละคนแล้วก็เห็นแก่มนุษยชาติให้จริง แต่ไม่ได้ให้หยุดความสามารถงานการแต่มีความขยันขันแข็งสร้างสรรค์ได้มากขึ้นดีปฏิบัติให้ถึงการรู้จักกิเลสที่เป็นความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้กำจัดกิเลสได้เป็นผลสำเร็จก็เลยเป็นความจริง
ให้ดำเนินรอยตามพระยุคลบาทตามศาสตร์พระราชา ทำความเข้าใจว่าในหลวงรัชกาลที่เก้า มีทฤษฎีอย่างไรอย่างไร เอาให้ชัดทฤษฎีหรือสัจจะของในหลวงรัชกาลที่เก้าก็คือทฤษฎีเดียวกันกับของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่าเป็นเช่นนั้นไปตรวจสอบเลยสำหรับผู้บริหารยังไม่เคยเห็นผู้บริหารขานรับแบบคนจนหรือขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แสดงว่าไม่getไม่เข้าใจว่านี่คือสัจธรรม ก็อยากจะให้ผู้บริหารประเทศเข้าใจศาสตร์ของพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นคนจนมาขาดทุนให้แก่สังคม ไม่ใช่เอาเปรียบ มาเป็นคนที่ที่เสียสละให้แก่คนอื่นมากๆเอาไว้แต่น้อย อย่างที่ในหลวงทรงตรัส แม้แต่คนในประเทศก็ช่วยเหลือกันไม่เอาเปรียบภายนอกประเทศด้วย ก็ถ้าทำตามนี้ได้รับรองว่าจบเจริญอยู่เป็นสุข
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:37:55 )
รายละเอียด
601105_ผลประชุมมหาปวารณา# 35 คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)
สมณะเดินดินว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2560 วันนี้พวกเราคงจะหูโล่งจากเสียงชักชวนไปลอยกระทงตามวัด วันนี้ก็เบาลงแล้ว วันนี้ก็ถือว่าเป็นวันตักบาตรเทโว เป็นวันสมณะจะได้แจ้งข่าวจากสวรรค์ เทวดาอุปัติเทพ สมณะประชุมกันมีสิ่งที่ประชาชนควรจะได้รับทราบกันอย่างไรบ้าง
ทุกปี เสร็จงานเพื่อฟ้าดินแล้ว ปลายปีจะมีการสอบ ว.บบบ. วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม แต่ปีนี้น้ำท่วมไปทั่วประเทศ ปีนี้ก็เลยจะเป็นการจัดงานเพื่อฟ้าดินแทนงานว.บบบ.เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจากภาวะน้ำท่วม
ดูเหมือนว่า สมณะลงอารามแต่ละพุทธสถานก็มีเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย สมณะเราไม่สามารถบวชเพิ่มขึ้น แต่ที่เพิ่มขึ้นคือสมณะป่วยแห่งปีมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้มีการเสนอให้เป็นเหมือนมีรอบของส้มหล่นให้มาบวชได้มากๆได้ไหม พ่อครูก็ว่ายังไม่ถึงรอบ ตอนนี้ฆราวาสก็เพ่งเพียรขวนขวายได้ เป็นอรหันต์ได้ ถึงรอบก็จะเพิ่มได้มากเอง ก็ยังไม่ได้เปิดขยายฐานให้กว้างขึ้น
สมณะมีทั้งหมด 89 รูป
สมณะเข้าร่วมประชุม 79 รูป สมณะลาป่วย 8 รูป
1.สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน
2.สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
3.สมณะเบิกบาน ธัมมนิยโม
4.สมณะคมลึก เมตตจิตโต
5.สมณะดงเย็น สีติภูโต
6.สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ
7.สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน
8.สมณะแด่ธรรม ธัมมรักขิโต
9.สมณะสอน โสปาโก
10.สมณะธาตุบุญ ธาตุปุญโญ
_ปีนี้จะมีการจัดงาน เพื่อฟ้าดิน แทนงาน ว.บบบ.
ศาสนบุคคล
พ่อท่านฯ- สมณะเดินดิน ติกขวีโร และคณะ (สมณะสมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ สมณะดินไท ธานิโย สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ) คณะปัจฉาของพ่อท่าน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากองเลขาฯ
สมณะเดินดิน ติกขวีโร - สมณะขยันยอม วิริยธโร
สมณะบินบน ถิรจิตโต - สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ
สมณะผืนฟ้า อนุตตโร - สมณะนวกะภูผาฟ้าน้ำ
สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ - สมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว
1.สมณะกรรมกร กุสโล 2.สมณะเด็ดขาด จิตโตสันโต 3.สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน 4.สมณะคมลึก เมตตจิตโต 5.เบิกบาน ธัมมนิยโม 6.สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ 7.สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน 8.สมณะธาตุบุญ ธาตุปุญโญ
1.สมณะผืนฟ้า อนุตตโร 2.สมณะถ่องแท้ วินยธโร 3.สมณะขยะขยัน สรณีโย
4.สมณะฟ้าไท สมชาติโก รวมทั้งอุปัชฌาย์อีก 3 รูปด้วย
พุทธสถานสันติอโศก 20 รูป
พุทธสถานปฐมอโศก 11 รูป
พุทธสถานศีรษะอโศก 5 รูป
พุทธสถานศาลีอโศก 5 รูป
พุทธสถานสีมาอโศก 5 รูป
พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ 13 รูป
พุทธสถานราชธานีอโศก 23 รูป
สังฆสถานทะเลธรรม 4 รูป
1. สมณะผืนฟ้า อนุตตโร
2. สมณะพอแล้ว สมาหิโต
3. สมณะพ้นพิษ วิสมุตโต
4. สมณะอุดม อุตตโม
สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ
สำหรับพ่อครูสมณะรัก โพธิรักขิโต และปัจฉาฯ (สมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะดินไท ธานิโย สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ) ไม่ลงอารามประจำที่ใด
_โรงบุญ 5 ธันวาฯมหากุศล จัดเป็นปีสุดท้าย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ไม่จำกัดว่าเป็นอาหารเท่านั้น เป็นของใช้ก็ได้ที่ไม่ผิดศีลธรรม
โศลกธรรมงานมหาปวารณา : จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)
พ่อครูว่า...เจริญธรรมคนจนผู้สุขสำราญเบิกบานใจทั้งหลาย
“คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)”
สัจธรรมที่เป็น“อรหันต์”นี้จะยืนยันความจริงว่า “ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ที่ประเสริฐ(อรหันต์)มีคุณค่ายิ่งในโลก”นั้น สังคมคนที่เป็นได้ด้วยตนเองจริง(สันทิฏฐิโก) ชนิดที่มีได้ไม่จำกัดยุคกาล(อกาลิโก) เป็นของสูงที่ควรเอื้อมเอามาให้ตน(โอปนายิโก) เชื้อเชิญให้ใครๆมาพิสูจน์ได้(เอหิปัสสิโก) ซึ่งเข้าถึงบรรลุจริงได้ด้วยตนเองรู้เองเห็นเอง(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) และเป็นไปได้อย่างถาวรยั่งยืน(ธุวัง) เที่ยงแท้(นิจจัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง)
มิใช่ว่า“เป็นได้จริง”เพียงในกาละชั่วครั้งชั่วคราว แล้ว“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจที่ประเสริฐยิ่งมีคุณค่าอยู่ในคนที่เป็นอรหันต์แล้วนี้จะเปลี่ยนไปเป็น“มีทุกข์”เข้ามาในใจได้อีก
ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ความสุขสำราญเบิกบานใจของคนจนผู้เป็นอรหันต์นี้จริงแล้ว จะ“เป็นความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ”ที่อยู่ในใจไปตลอดกาละ ไม่มีช่วงใดขาดตอนแม้ชั่วเศษเสี้ยววินาทีเดียว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่กลับไปเป็นอื่นอีก แม้สักแวบ
5 พ.ย. 2560 01.33 น.
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อรหันต์เป็นคนรวยไม่ได้
อาการอารมณ์ของจิตที่เป็นอรหันต์จะเป็นคนจนตลอด อรหันต์เป็นคนรวยไม่ได้ ไม่มีอรหันต์รวยในโลก พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีของตัวของตน ไม่ยึดถือเป็นของตัวของตน อปจยะ ไม่สะสมอะไร นี่คือคุณสมบัติความเป็นอรหันต์ ในโลกจึงไม่ค่อยมีคนอยากจะเป็น แต่คนที่มีภูมิปัญญาอย่างแท้จริงอยากจะเป็น คนที่มีปัญญาจะเข้าใจ เป็นได้แล้วเบาสบายว่างไม่มีอะไรเป็นของตัวของตนเลย สบายอิสรเสรีภาพ บริสุทธิ์สะอาดเบิกบานใจ
ถ้าเป็นไปได้แล้วมันก็จะเป็นไปได้อย่างมีหมู่กลุ่ม อรหันต์จะอยู่กับหมู่กลุ่ม ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่ปลีกเดี่ยว แต่เป็นศาสนาของสัตว์โขลงกับหมู่มวลเป็นพหุชนะ แล้วจะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่ใหญ่ และมีความสุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ใช่เล่นคารมใช้ภาษาหลอกลวง แต่เป็นเรื่องของสัจจะ
ขอยืมภาษาคำว่าสุขนี่มาเรียก จริงๆคุณสมบัติอย่างนี้มันยิ่งกว่าสุขที่โลกียะเขาเข้าใจ เพราะว่าสุขอย่างโลกียะเขาเข้าใจมันเป็นสุขเท็จ สุขอัลลิกะ เป็นสุขที่ไม่จริง สุขเก๊ ความสุขไม่มีจริง ในโลกของความเป็นมนุษย์นั้นความสุขไม่มีจริง เป็นของเก๊ของปลอมในโลก มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปไม่มีหรอกสุข
สุขแวบอะไรก็ไม่มี สุขนี้ของเก๊ทั้งนั้น คนนี้โง่ที่สุดเอาแต่สุขแสวงหาความสุข คือคนโง่ คนที่พยายามแก้ความทุกข์ไม่ให้ความทุกข์เกิดได้อีกเลยในใจ นี่คือจบ ไม่ต้องไปสุขอะไรอีก ความสุขเป็นของเก๊ อาการอารมณ์อย่างนั้นไม่มีจริง มีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ไม่มีอย่างอื่นเลย นี่เป็นอาริยสัจ ของผู้ประเสริฐผู้เจริญผู้รู้ของจริงเป็นจริง ในโลกถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสิ่งที่จริงที่สุด
จริงอย่างไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกเลยเป็น Axiom ไม่ต้องพิสูจน์ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นตถตา ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ มันต้องเป็นอย่างนั้น ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจึงไม่มีสงสัยเลย ไม่มีประหลาดอะไร เห็นคนอื่นเขาสุขเขาทุกข์ เขายังไม่จบก็ต้องสุขต้องทุกข์ ทั้งที่พวกมันเป็นของเก๊ เมื่อทำให้หมดไปมันก็ไม่เห็นมีทุกข์เลย
คนที่ถ้าเป็นได้แล้วเป็นคนแปลกประหลาดจากคนในโลกนี้จริงๆ ไม่ได้ต้องการอะไรเลยความสุข มันเป็นของเก๊ เป็นของไม่มี ไปแสวงหาสิ่งที่มันไม่มีจริงเป็นไม่เป็นทุกข์อริยสัจไปแสวงหาทำไม
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยสัจ 4) ตอน อย่างไรคือทุกข์ที่เลี่ยงได้และเลี่ยงไม่ได้
ผู้ที่เป็นอรหันต์แล้วจะรู้ว่า คนเราโง่เกิดมาแสวงหาความสุข อรหันต์เกิดมาก็รู้ว่ามีแต่แท่งทุกข์เกิดแล้ว ยิ่งบรรลุแล้วจะไม่ติดยึดเลยในรูปนามขันธ์ 5 ก็รู้ว่าทุกข์ เพราะว่ามีรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะภาวะความเจ็บป่วย เกิดพยาธิทุกข์ ทุกข์เพราะว่าต้องแสวงหาอาหารมาให้แก่ตัวเองกิน ทุกข์เพราะปวดขี้ปวดเยี่ยวเรียกว่านิพัทธทุกข์ มันเป็นทุกข์ของจริงพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้พ้น พระพุทธเจ้าก็ต้องมีเจ็บป่วยเป็นพยาธิทุกข์ เจ็บปวด มีทุกข์เพราะว่าต้องอุจจาระปัสสาวะ ต้องแสวงหาอาหารเป็นภาระ มันเป็นธรรมดาเมื่อเข้าใจแล้วก็แล้วไป มันก็ต้องเป็น แต่ความทุกข์อริยสัจที่ท่านบอกคนโง่คนที่มีอวิชชาอยู่มีก็คือ จะต้องได้บำเรออารมณ์ที่ต้องการอย่างนี้ ไปยึดติดอย่างนี้
ยึดติดคืออุปาทาน ต้องการคือตัณหา ยังอยากได้สิ่งที่ไม่มีก็คืออวิชชา มันไม่มีหรอกสุข ได้มาก็บำเรออารมณ์ของเก๊ที่ไม่มีจริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมชัดเจนหมดอารมณ์อย่างนี้ อารมณ์สุขที่จะไปมีของเก๊นั้นไม่มี ถ้ายังมีอนุสัยอาสวะอวิชชาอยู่ก็ยังเกิดตัณหาก็รู้จัก ก็ต้องกำจัดมันออกไป ก็จะเห็นว่าในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป กับความมีขันธ์ 5 แล้วก็อยู่กับโลกเขา ใครเขาจะเป็นอย่างไรก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปตามสัจธรรม เขาก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น แล้วเขาก็หลงโง่ว่ามันเป็นสุขมาบำเรอเป็นของหลอกชั่วครั้งชั่วคราว คนทั้งหลายแหล่ก็อยู่กับของหลอกมาบรรเทาเท่านั้น คือความบรรเทา ชีวิตตัวเองไปบรรเทาจิตใจตัวเองหลอกตัวเองไป เพราะจริงๆแล้วมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นี่คือเนื้อหาของสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เรียนรู้อยู่ไปกับความทุกข์ ความทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้นั้นมีอยู่ 6 อย่าง ความทุกข์ที่เลี่ยงได้มีอยู่ 4 อย่าง
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย)
1. สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
2. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
3. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน
4. พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ คือความเจ็บ
5. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
6. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่
สมณะเดินดินว่า... จำภาพที่พ่อครูไปเยี่ยมคนป่วยแล้วเจอคนไข้ตาบอดและเป็นมะเร็งเขาก็คร่ำครวญว่าทำไมตาบอดแล้วยังต้องเป็นมะเร็ง
พ่อครูว่า...มันเป็นเรื่องของวิบาก พระเจ้าก็ห้ามกันไม่ได้ ไม่มีใครห้ามได้
เรียนรู้สังขาร 3 ให้จัดการกิเลสมาแทรกในจิตใจเรา อะไรที่ทำให้ทุกข์ หากเราฉลาดและมีพลังปัญญาพอ ก็ไม่ให้มันมามีบทบาททำให้เราทุกข์ได้ เป็นคนที่อยู่เหนือและจบด้วยอภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
เรียนรู้อภิสังขาร 3 นี้แหละจนทำให้มันเกิดความหมดกิเลส จนไม่ต้องไปทำอะไรอีก เป็นอปุญญาภิสังขาร และทำให้ตั้งมั่นแข็งแรงเป็นอเนญชาภิสังขาร อภิสังขารเป็นโลกุตระ
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
7. ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
8. สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
9. สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)
10.วิวาทมูลกทุกข์ (ทุกข์มีสงครามวิวาทะเป็นรากเหง้า)
ความทุกข์เหล่านี้มันเป็นอาคันตุกะเมื่อจัดการมันได้ มันก็ไม่เกิดในจิตใจเราอีก จิตมันก็จิต ไม่วอบแวบ ไม่น้อยไม่เสีย จิตมันไม่มีน้อยใจเสียใจแหว่งใจ คนไปบ้ากันเอง ทุกข์นี้มันเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ มีอวิชชาก็เลยเกิดเป็นความสุข สุขมันคือตัวหลอก ตัวจริงมันต้องเกิดในตัวเราแก้ไม่หาย แต่สุขมันจรมาแวบแล้วหายไป แล้วคุณก็หาแต่ความสุข หลอกตัวเองไว้ว่าชีวิตนี้เกิดมาต้องมีความสุข คนรวยๆนี้เขาก็มีความสุขเพราะมั่นใจว่ามีเงินมาก เงินจะทำให้เราไม่มีทุกข์ได้ มียศฐาบรรดาศักดิ์มีอำนาจก็ทำให้เราไม่ทุกข์ได้ เรามีสรรเสริญเยินยอคนยกย่อง เขาไม่เคยดูถูกดูแคลนไม่เคยมาว่าอะไรเรา เลยได้แต่สรรเสริญ ก็นึกว่า ลาภนี้เที่ยง ยศนี้เที่ยง สรรเสริญเที่ยงก็เลยอยู่กับความสุขตลอดเวลาตลอดกาล เพราะหลงว่า ลาภเที่ยง ยศเที่ยงมันจะทำให้เรามีความสุขอยู่ตลอดเวลา
ทั้งลาภยศสรรเสริญสุข แต่มันมีความเที่ยงที่ไหน เป็นสมบัติผลัดกันชม ความสรรเสริญก็มีไม่เที่ยง ยศก็เปลี่ยนแปลงได้ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่เมื่อไปตั้งจิตใจผิดไปไม่เข้าใจไปยึดถือมันก็ทุกข์ คนจึงมีความทุกข์ตลอดเวลา เป็นโศกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส เป็นความคับแค้นใจ
ทุกข์เพราะจิตไม่เย็นสันตาปทุกข์ เร่าร้อนด้วย ราคะโทสะโมหะมันเป็นตัวอยู่ในใจที่โง่ ปล่อยให้ครอบครองจิตใจเรา เดี๋ยวก็ราคะโทสะโมหะอยู่นั่นแหละคนทำเอง พูดให้เห็นว่าคนเรานี่มันโง่นะ ไปเอามันไว้ทำไม มันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นตัวร้ายเอาไว้ทำไม เข้าใจไหม เอาไว้ทำโง่ ถ้าไม่เอามันไว้แล้วมันก็จะไม่โง่ ก็เลยไม่อยากไม่โง่ ก็อยากโง่
พูดไปแล้วคนเรานี่มันนะ
สันตาปทุกข์เป็นทุกข์ที่เร่าร้อนราคะโทสะโมหะเป็นไฟ เป็นอุณหธาตุ
อีกอันหนึ่ง เป็นทุกข์ที่เลี่ยงได้แก้ไขได้ ทุกข์จากความคับแค้นใจจากกิเลส นี้เลี่ยงได้ ทำให้หายไปได้
สหคตทุกข์ เป็นทุกข์เพราะว่าไปวุ่นวายยุ่งยากอยู่กับลาภยศสรรเสริญสุขเป็นเรื่องหลอก ที่จริงแล้วมันก็เป็นของธรรมดาอยู่กับเรามีก็ทำกับมันไปไม่มีก็ไม่ต้องทำ ทำเพราะที่มันมีไม่เห็นจะต้องทุกข์อะไรกับมัน
ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมันจะต้องมีมันเป็นโลกียะเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่เราไปติดยึดจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น ไม่ได้ไม่มีไม่เป็นก็ทุกข์ หากจะมีจะเป็นก็ทุกข์ คือไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร มีอยู่อย่างนี้ก็เท่านี้ ถ้าไม่มีเลยก็ไม่ต้องสุขไม่ต้องทุกข์ มันมีก็อาศัยพอสมควรได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไม่ต้องไปเดือดร้อนดิ้นรนอะไร สบายมากปกติหายห่วงจริงๆ
วิวาทมูลกทุกข์ เป็นอันที่ 4 ที่เลี่ยงได้ คือทุกข์จากวิวาทะเป็นเหตุ ไปเที่ยวได้ทะเลาะวิวาทกับคนนั้นคนนี้ อาตมาชีวิตชาตินี้ออกมาทำงานด้านศาสนา อาตมาไม่ทะเลาะกับใคร แต่อาตมาว่าใครด่าใครก็ไม่ได้ทะเลาะ จริง
เถรสมาคม ชวนอาตมาทะเลาะ อาตมาว่าไม่ทะเลาะ แต่เขาบอกว่าไม่ทะเลาะไม่ได้เขาก็เลยฟ้องศาล ลากอาตมาไปทะเลาะด้วยไม่ได้ ก็ให้อำนาจศาลสั่ง แน่จริงก็ไม่ต้องไปอาศัยศาลสิ จริง เราเป็นหมู่เล็กหมู่น้อยก็จริงเราไม่กลัวหรอกเพราะเราไม่ทะเลาะด้วย คุณจะมาชวนทะเลาะเราก็เลี่ยงไป ถือว่าเราเลี่ยงได้เพราะเราเป็นยอดจอมยุทธ ถ้าเขาจะมาจัดการเรา เราก็หายตัว เราทำตัวว่างปั๊บเลย หรือไม่ก็ใช้วรยุทธ ความเร็วนินจา หายวับ อันนี้เป็นยอดหนังกังฟูเลยนะของพระพุทธเจ้านี้ทำได้ แต่เขาไม่แน่จริงเขาเล่นเอากฎหมายประเทศมาจับเรา แล้วเอากฎหมายที่ไม่ใช่บัญญัติพระพุทธเจ้าคือกฎหมายที่ออกเอง กฎหมายของสงฆ์ 2505 มาจับอาตมา
เอาข้อที่มาจับคือคำที่บัญญัติเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ ที่จริงแล้วเป็นโมฆะ แต่เขาก็ถือใช้ ข้อนั้นก็คือมาตรา 18 บอกว่าให้สังฆราชสั่งให้อาตมาสึกภายใน 7 วัน ถ้าไม่สึกภายใน 7 วันก็จะจับขึ้นศาล นี่ก็คือไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า จับไม่ได้อาตมาไม่มีความผิดถึงขั้น 1.ปาราชิก 2. ไม่ได้ผิดใน 11 อย่างที่ห้ามบวช อาตมาก็ไม่เปล่งกล่าวสึก และเขาบอกว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็ผิดกฎหมาย แด่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้ภิกษุมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ให้ทิ้งบ้านช่องเรือนชานออกมาแล้ว โภคขันธาปหายะ อย่างนี้ก็ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้าเราไม่เอาด้วย เขาทำผิดธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างไรก็ไม่ละอาย
ผลแห่งบาปจึงตกอยู่กับมหาเถรสมาคมได้เลยตอนนี้ จัดการตัวเองก็ไม่ได้ จัดการกับวงการของตัวเองก็ไม่ได้ เพราะมันเน่าไปทั้งหมดทั้งตัวใหญ่ตัวน้อย รัฐบาลฆราวาสก็ต้องเข้าไปช่วยกัน มันหมดทางแล้ว จะต้องจัดการ หากไม่จัดการแล้วในประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธเป็น 95% ก็ล้มเหลวไปเลยทั้งประเทศ เพราะว่าศาสนามันได้ผิดเพี้ยนไป อาศัยไม่ได้เพราะมันผิดมันเสียหายมันพาเสื่อม มันเป็นของเน่าแล้วจะเอาของเน่าของเหม็นมาเป็นที่อยู่อาศัยเป็นที่กินได้อย่างไร จึงจะต้องชำระปฏิรูปศาสนาอย่างยิ่งตอนนี้ ถ้าธรรมะนี้ไม่แก้ไขประเทศไทยไปไม่ได้ ก็จะเน่าอยู่อย่างนี้ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ทับถมสังคมก็จะมีแต่วุ่นวายเดือดร้อน มีแต่อกุศลกรรมเกือบเต็มสังคมประเทศชาติ
ขณะนี้ วิวาทมูลกทุกข์ ทุกข์ที่ขัดแย้งทะเลาะวิวาทกันมันก็มี แต่ไม่ได้ออกนอกจากคำสอนพระพุทธเจ้าที่ได้สอนไว้เลย ผู้ที่พ้นทุกข์แล้วก็จะกลายเป็นคนไม่สุข ขอยืมภาษามาใช้ว่าสุข ที่จริงแล้วสุขมันไม่มี
สุข แปลว่า ว่างจากสุขจากทุกข์ คำว่าสุขที่ได้บำเรอตัณหาตัวเองถือว่าเป็นอารมณ์เก๊ที่คนโลกีย์อาศัย คำว่าสุขนั้นที่จริงในปรมังสุขังคือยิ่งกว่าสุข เป็นนัตถิอุปมาคือไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้ แต่ก็ขอยืมคำมาใช้
อาริยะหลุดพ้นจากความสุขที่เก๊ จากพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนเป็นอรหันต์ ก็จะพบว่าความสุขนั้นไม่มี มีแต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าไปเรียกว่าสุขเมื่อไหร่ก็เป็นของเก๊ทั้งนั้น ถ้าเรียกถูกก็คือมันจริง เป็นสัจจะ ผู้ประเสริฐผู้ที่ฉลาดผู้ที่เป็นอาริยะจะเข้าใจว่าอันนี้เองหรือ หาเหตุมาดับความทุกข์ให้หมด ความสุขก็เกิด ก็จบ
นิพพานังปรมังสุขังของอรหันต์นั้นมันยิ่งกว่าสุขที่คนโลกเข้าใจ ไม่ใช่ความสุขที่โลกเขามีกัน อันนี้แหละที่ยาก เพราะว่าต้องอาศัยพยัญชนะมาเรียกลำลองสำหรับคนโง่ ต้องอาศัยความรู้ว่าอันนี้มันสุขยิ่งกว่าชั้นที่เป็นโลกีย์ ดับโลกีย์ไปทีละโลก คืออบายมุข กามคุณ โลกธรรม อัตตา ดับได้แล้วเราก็สุขสำราญเบิกบานใจไปตลอดกาล
ไม่ออกไปจากความสุขสำราญเบิกบานใจนี้ไปตลอดกาล จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่มีไม่มีอะไรมาหักล้างได้ มีอะไรมากระทบก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับผู้ใหญ่จับหัวเด็กไว้ เด็กก็ชกไม่ถึงชกลมไปเรื่อย ดิ้นไป เตะถีบชกอย่างไรก็ไม่ถึงผู้ใหญ่ มันเป็นความสุขที่ไม่มีทุกข์อะไรมาอีก จึงเรียกว่ายิ่งกว่าสุข ไม่ใช่เป็นสภาพที่บำบัดพิเศษไปชั่วคราว เป็นสุขเก๊ๆลำลอง ไม่ใช่ สุขอัลลิกะ ไม่ใช่
พยัญชนะตัวที่ว่า สุขัลลิกะ อาตมาแปลว่าสุขเท็จสุขไม่จริง พูดให้ชัดคือสุขตอแหล ชัดดีกว่าเท็จหรือเก๊ เป็นความสุขที่โกหก มันก็ยังไม่สะใจเท่ากับสุขตอแหล
พูดไปก็ซ้ำวนอย่างนี้ 40-50 ปีมาแล้ว ถ้าคนเป็นอรหันต์แล้วบรรยายความเป็นอรหันต์ไป ขออภัยพูดไปไม่ได้บรรยายไปผิดไปจากความเป็นจริงของอาตมาเองบรรยายได้อย่างสบายๆง่ายๆว่า ความสุขของเราเป็นความสุขสำราญเบิกบานใจอย่างนี้ ขอยืมภาษามาเรียก ที่จริงแล้วมันยิ่งกว่านั้น เปรียบเทียบกับโลกีย์ไม่ได้ นัตถิอุปมา เป็น Axiom
มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้วไม่ต้องทำอะไรมันมันจบในตัว เป็น Truth ที่สมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ได้ผู้มีผู้เป็นแล้วใครจะพูดอย่างไรก็ไม่มีปัญหา Axiom อรหันต์คือ Axiomist
อาตมาพูดมาถึงจุดนี้แล้ว ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก ช่วยพูดหน่อย มันจบแล้ว
สมณะเดินดิน ว่า...มันหมดแล้วจะกระจ่างกว่านี้ไปอย่างไรอีก เพราะว่าสภาวะพ่อครูมีวิญญาณแห่งความเป็นครูจริงๆ พูดแล้วพูดอีก ให้ชัดเจนให้ได้มากที่สุด เท่าที่พวกเราจะกระจ่างได้
เราก็มาไล่ดูว่า พ่อครูใช้คำว่าสุขตอแหล เราก็เลิกละมา แต่ก่อนเราอยู่กับโลกตอแหลอะไร
พ่อครูว่า... เราไม่ตอแหล ไม่มีเล่ห์อะไรกับใครอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อาริยคุณจากโสดาบันจนถึงพระโพธิสัตว์
อาตมาพูด ทุกวันนี้อยู่กับฐานของความจริงที่มันเป็นความจน จนที่พวกเราเป็นไปได้แล้ว อาตมาพาพวกเรามาจนสำเร็จแล้ว ชุมชนของพวกเราเป็นชุมชนคนจนอันมีปัญญาความฉลาดที่อยู่กับความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรมเป็นสาระทักษะที่มนุษย์ในโลก ทุกโลก ทุกสังคม ทุกมนุษย์ต้องการ เราชาวอโศกได้แล้ว
ที่จริงอาตมาเองพูดใหญ่ อยากจะประกาศไปทั่วโลกว่าท่านทั้งหลาย ที่แย่งแสวงหากันอยู่ไม่ว่าประเทศไหนชาติไหนในโลก ต้องการอันนี้ ขอยืนยันว่าคุณต้องการอาการอย่างนี้ของตัวตนมนุษย์และร่วมกันในสังคมมนุษย์ เป็นสังคมกลุ่มใดก็แล้วแต่ ของเราเรียกว่าสังคมกลุ่มชาวอโศก นี่แหละอย่างนี้แหละมาดูเถิด
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเริ่มต้นได้นี้ เรียกว่า ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลก คือโสดาปัตติผล
โสดาบันน่ะ เราจะมีความรู้สึกอย่างนี้ จะมีอาการทางจิตเรียกว่าอารมณ์ความรู้สึก เอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน โสดาบันมีจิตที่ไม่ทุกข์ หลุดพ้นจาก แค่โลกอบาย
อบายมุข ในโลก เรียกว่าต่ำที่สุดของโลก เช่นโลกแห่งการพนัน การละเล่น บันเทิงเริงรมย์ การกีฬาเที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว โลกไหนสังคมไหน ศาสนาไหนเหมือนกันหมด คนเขาติดเขาหลง อันนี้หยาบต่ำที่สุดแล้ว อบายมุข 6 คนไทยยังโง่งมงาย ได้บำเรออาการเล่นการพนัน คบมิตรชั่ว เที่ยวกลางคืน เกียจคร้านการทำงาน เล่นกีฬา ใครก็แล้วแต่ศาสนาไหนก็แล้วแต่ที่ยังติดอยู่ก็คือเป็นอบายมุขชั้นต่ำ เราเรียนรู้แล้วก็อย่าไปยุ่งเกี่ยววุ่นวาย อย่าไปเป็นกับโลกเขาที่มี
เพราะฉะนั้นโลกก็จะมีอย่างนี้ มันจะมี คาสิโนลาสเวกัส หรือว่า มาเก๊า หรือว่าเป็นทั้งประเทศเลย โมนาโคที่เลี้ยงประเทศด้วยการพนันด้วยอบายมุข คนเขาก็หลงอันนี้ แผ่นดินที่มีอบายมุข
ข้อที่ 1 เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้ที่เป็นแล้วจะไปประเทศที่มีบ่อนการพนันเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวไม่ยุ่ง จะอยู่ประเทศไหนจะอยู่แดนไหนก็แล้วแต่ จะมีอิสระอย่างนี้ จิตอยู่เหนือไม่ติด ถ้ามีอำนาจมีอธิปไตยสิ่งเหล่านี้ครอบงำจิตเราไม่ได้แล้ว จิตเรามีปัญญาเหนือสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งชั้นต่ำ
อบายอย่างนี้ก็รู้ได้ แต่อบายมุขที่โกงแสนล้าน ได้เงินจากการโกงแล้วเอาไปใส่แบงค์ออกดอกออกผลให้ตัวเองใช้อย่างที่ทักษิณทำ สุดยอดอภิมหาบรมอบายมุข เขาไม่เข้าใจแล้วเขาก็ชื่นใจ ในนรกอบายมุข เขาได้อยู่ตลอดเวลา ดอกเบี้ยทบต้นระดับยกกำลัง แก่เขาตลอดเวลา ได้ดอกเบี้ยไปใช้เป็นอำนาจเงินหว่านไป มันทบต้นยิ่งกว่าระดับยกกำลังจึงเป็นบาปเป็นหนี้ของเขา ขอยกตัวอย่างตัวตนบุคคลตัวจริงอย่างคุณทักษิณ ใช้เงินที่เป็นเงินทุจริตเอาไปเป็นระบบทุนนิยมให้ออกดอกเบี้ย ไปมีหุ้นอยู่ที่นั่นที่นี่เอาไว้ แล้วให้ออกดอกผล คนอื่นทำงานแต่ตนเองได้ดอกเบี้ยปันผล เอามาทำลายประเทศไทยตลอดเวลา เขาได้บาปยกกำลังไม่รู้กี่ยกกำลัง ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่าง ต้องขอบคุณที่คุณทำชั่วเอาไว้เป็นตัวอย่างให้ยกเป็นตัวช่วยที่ชัดเจนมีจริงในโลกให้อาตมาได้ยกตัวอย่างประกาศอธิบายธรรมะ เป็นประโยชน์ที่มีโทษชั่วที่เป็นของคุณ คุณรับไปเต็มๆ แต่อาตมาเอามายกตัวอย่างก็เป็นกุศลที่ให้อาตมาให้กุศลคุณนะ มันเป็นปรากฏการณ์จริงยืนยันได้
พฤติกรรมอย่างนี้การกระทำแบบนี้คุณอย่าไปทำอย่าไปเอาอย่าง เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ใครจะต้องตายเพราะให้ไปทำอย่างนี้ก็เลิก อย่าไปเอาอย่างเด็ดขาด อาตมาหากเป็นลูกหลานเขาก็ไม่รู้จะอยู่อย่างไรในโลก มันเป็นเรื่องเลวร้ายต่ำช้ามากที่สุด ขออภัยที่อาตมาต้องนิคคัณเหนิคาหารหัง ข่มสิ่งที่ต้องตำหนิ ไม่ควรยกย่องเชิดชูสิ่งเหล่านี้โง่ตายเลยมันไม่ใช่ของดีเลย
ในความรู้เบื้องต้นแค่โสดาบันผู้ที่พ้นสิ่งเหล่านี้เป็นเอกราชทั่วทั้งแผ่นดินเป็นอธิปไตยในโลกหล้า มันเป็นสวรรค์ คืออาศัยสวรรค์หลุดพ้นอบายมุขเหล่านี้ได้ มีทั้งเอกราชและอธิปไตยเหนือสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ใช่แดนชั่วเหล่านี้ ใช้พยัญชนะว่า สวรรคาลัย
นี่เป็นคุณสมบัติอันต้น ธรรมะพระพุทธเจ้าเรียกว่าโสดาปัตติผล
สมณะเดินดินว่า...เป็นพุทธวจนครับ จากพระธรรมบท
พ่อครูว่า...อันนี้มันเป็นเรื่องรากฐานความรู้ เบื้องต้นนี้แหละคือเบื้องสูง เพราะคนไม่มีสิทธิ์ที่จะคิด คิดเอาไม่ได้ ผู้ที่จะรู้คือผู้ตรัสรู้ ผู้ที่ตรัสรู้คือพระพุทธเจ้า หากไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีใครรู้อย่างนี้ได้หรอก มันไม่มีอยู่ในโลก เมื่อท่านดูแล้วท่านก็มาตัดสัดส่วนให้เห็นว่า อันนี้สัดส่วนนี้ควรจะต้องรู้ นี้เป็นสิ่งที่ต่ำที่สุดแล้ว เป็นเบื้องต้น
ชาวอโศกเราอยู่อย่างเราไม่มีอบายมุขพวกนี้ สอง หลุดพ้นโลกต่ำ กามก็คือโลกียะขั้นที่สอง 1.ลาภ 2.ยศ 3.สรรเสริญ 4.สุข
สุขจากการได้สัมผัส
1. สัมผัสกามคุณ 5 2บำเรอภายในเรียกว่าบำเรออัตรา ซึ่งไม่ต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นกาย มันเป็นภพเป็นชาติตั้งขึ้นมาเอง เป็นเพราะของความร่ำรวยมันไม่ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย ภพในยศชั้นศักดินา ไม่ใช่ตาหูจมูกลิ้นกาย ภพแห่งสรรเสริญ เมื่อถูกตำหนิก็ทุกข์ เมื่อได้สรรเสริญก็มีความสุข เป็นต้น อันนี้ 3 อย่างง่ายๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ
อันนี้เป็นอัตตา
ผู้ที่รู้เท่าทันแล้วต่อมาก็เป็นโรคแห่งกาม ตา หู จมูก ลิ้น กายเรียนรู้จริงๆแล้วดับให้ได้เป็นสกิทาคามีแล้วเป็นอนาคามี ภายนอกสัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อยู่เหนือมันหมด หยาบๆเรียกโอฬาริกอัตตา อยู่ภายนอก ดับได้หมดยังเหลือรูปอัตตา อรูปอัตตา
คนที่เป็นอนาคามีจึงไม่เป็นภัยต่อลาภยศสรรเสริญ และไม่เป็นภัยต่อ กาม มีแต่ในตัวเอง ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญ แต่เราเองยังอยากได้อยากมีอยากเป็น ในใจตนแวบๆ ไม่ได้ไปทำอะไรกับภายนอกเขาหรอก แต่เป็นภัยโทษในจิตตัวเอง ยังสลัดออกจากจิตไม่ได้ จิตยังยึดถืออยู่ จนกว่าจะล้างรูปภพ อรูปภพได้ ล้างได้แล้วก็ยังอยู่กับโลก ไม่ได้หนีไปไหนแต่เหนือโลก อนาคามีล้าง รูปราคะ อรูปราคะ เป็นเศษ มานะอุทธัจจะอวิชชา ก็ยังอยู่กับโลกที่มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างเหนือไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างไม่แย่งกับเขา
อรหันต์จึงเป็นคนที่จนที่สุดไม่มียศที่สุด ไม่ได้ตื่นเต้นกับสรรเสริญไม่ได้ทุกข์ร้อนเรื่องของการตำหนิติเตียน ไม่มีสุขมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปที่มันเลี่ยงไม่ได้ ส่วนอีก 4 อย่างที่มันเลี่ยงได้หมดเลยอรหันต์เลี่ยงได้ จบทุกข์ที่เลี่ยงได้
ส่วนทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ได้ อีก 6 อย่าง
นอกจากจะปรินิพพานไม่มีขันธ์ 5 ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน สูญเลิกไปเลย อย่างอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์รู้ดี อรหันต์ได้แล้ว แต่เราไม่ทิ้งขันธ์ 5 เรายังจะกลับมาทำให้ลึกซึ้งเพิ่มโพธิสัตวภูมิ อรหันต์นั้นจบเฉพาะตัวเอง ล้างอุปทานตัณหาจบเฉพาะตัวเอง เรียกว่าใบไม้กำมือเดียวของเราเอง จบแล้วเป็นอรหันต์แล้ว
แล้วจะเป็นพระโพธิสัตว์อีกต้องมาเกิดอีก เพื่อเรียนรู้ว่าของคนอื่นที่เขายึดถือที่ไม่ใช่ของเรา คนนั้นยึดถืออย่างไร มันมีกิเลสเหลี่ยมมุมต่างกัน การศึกษาผู้อื่นที่เขาได้ยึดถือ ที่เขามีตัณหารู้ให้มากที่สุด พระโพธิสัตว์ต้องรู้ให้มากที่สุด มีปัญญารู้เหลี่ยมมุมละเอียดเยอะแยะ เพื่อจะช่วยคนอื่นที่เขายึดถืออยู่ เรารู้ของเราแล้วว่าอาการของคนที่ยึดติดโลกธรรมลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกับอัตตามันเป็นความทุกข์อย่างนี้เอง เขายึดเหลี่ยมนี้เราไม่เคยเป็น แต่เขาเป็น ก็ต้องให้รู้ว่าอย่างที่มันเป็นความยึด เป็นอย่างนี้มันไม่ใช่ของเรา เราเคยยึดถือในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เพราะเราโง่กับอัตตา จนเรารู้อัตตาโง่แล้ว พอเราหมดอัตตา รู้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นอย่างไร คนอื่นเขายังยึดถือเหลี่ยมมุมใดมากน้อยอย่างไรเราก็บอกว่าให้เลิกเถอะ มันจะได้สุขสบายไม่ต้องไปแย่งชิงกับโลกเขา
คนที่หลุดพ้นเป็นอรหันต์แล้วจึงอยู่กับโลกเขานานาสารพัด แตกต่างกัน ความแตกต่างกันนี่แหละเป็นความแตกต่างเมื่อมีธรรมะที่มี 2 หน่วย ไม่มีธรรมะ 2 หน่วยที่เกิดมาแล้วเหมือนกันอย่างไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย แต่ความละเอียดละออนั้นยิ่งกว่าแฝด
แฝดทางนามธรรมก็ยังมีสิ่งที่แตกต่าง นี่คือการศึกษาของศาสนาพุทธ ศึกษาสิ่งที่แตกต่างเรียกว่า ลิงค ของรูปนาม และศึกษาว่าที่แท้มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของคุณมันแตกต่างกันไป คุณไปยึดเอง มันก็ทุกข์ทั้งนั้น แต่คนที่ยึดถือนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเราเป็นของเราหรอก ไม่ควรจะยึดถือเป็นเราเป็นของเราก็ไม่ยึดถือแล้ว มันก็ไม่ยึด
สื่อธรรมะพ่อครู(ไอน์สไตน์) ตอน การพิสูจน์สูตร E = C(mc2+A)
อาตมาทำงานมาถึง 41 ปี ทำไปยิ่งเห็นความจริงชัด แล้วก็ยิ่งพากเพียร ว่าชีวิตเราเกิดมาชาตินี้ไม่สูญเปล่าไม่โมฆะ แล้วชีวิตของเราทุกอิริยาบถกาละเวลา เราได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยต่อมนุษย์
ให้มนุษย์ได้สิ่งที่เป็นอริยสัจแท้ๆเลย ยิ่งกว่าเงินทองลาภยศเพชรนิลจินดา เป็นสิ่งที่ประเสริฐให้แก่คน อาตมาทำงานมันก็เกิดเอง เราก็เสียเวลาไปกับทางโลกถึง 36 ปีกว่าจะรู้ตัวมาทำงานทางนี้จนถึงทุกวันนี้เลย 36 รอบที่ 1 ไปแล้ว ตั้งแต่อายุ 72 เมื่อเลย 72 มากำลังจะ 84 อีกนักษัตร นี่เป็นนักษัตรที่ 4 ก็จะพยายามทำไปอีก เพราะว่ายิ่งเห็นประโยชน์คุณค่าว่าเราเป็นอย่างนี้เป็นชีวิตที่มีค่า ควรจะอยู่ไปนานๆเห็นด้วยไหม ….เห็นด้วย
จริง อยู่ไปนานๆ ทำประโยชน์อันนี้ให้แก่มนุษยชาติ เพราะว่าเราควรจะอยู่ไปอีก ถ้าถึง 84 แล้ว ถ้าไปอีกเป็น 96 ก็อีก 1 นักษัตร ไปอีก 1 นักษัตรก็เป็น 108 ถ้า 108 ก็ดีนะได้ประโยชน์อีก ไปอีก 36 ปี รวมเป็น 144 ปี ก็น่าจะสบายดี แล้วก็อยู่ต่อไปอีก 7 ปี ชื่นชมกับผลงาน ดูลูกหลานหรือเติมอะไรให้เขาอีกได้ก็ทำ ก็จะเห็นว่ามันเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์แล้ว เป็นกลไกที่สมบูรณ์แล้วเป็นภูผาธรรมที่วิเศษแล้วนะ
ถ้าอาตมาพิสูจน์ได้เท่ากับอาตมาพิสูจน์พลังงาน Coefficient เท่าที่ทำพลังงานจิตให้เกิดคุณค่าเป็นตัวแปรที่ก้าวหน้า ทับทวี Coefficient ในสูตร E = C(mc2+A)
ตัว A คือ Abstract นามธรรมบวกกับมวลและความเร็วของจิตยกกำลัง 2 โดยมีพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient คูณอยู่ข้างนอกอีก เหนือกว่าสูตรของไอน์สไตน์ ใครยึด ถือไอน์สไตน์ว่าเป็นครูบาอาจารย์ก็อาจจะโกรธได้ แต่คุณก็ทุกข์เอง ถ้าคิดว่าอาตมาข่มไอน์สไตน์เขาฟ้องศาลโลกไม่ได้หรอก หากฟ้องแล้วอาตมาต้องไปให้การต่อศาล แล้วมีศาลโลกไหนที่รับฟ้องก็ว่ากันไป แต่ถ้าไม่มีใครฟ้อง อาตมาก็ทำอย่างนี้ไป ตามที่อาตมาเห็นว่าควรจะทำ ตามมหาปเทสยุคนี้
อาตมาขออภัย ในยุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายอย่างที่อาตมาพูดนี้ ที่พูดนี้ไม่ได้หลงตัวอวดดีแต่มันเป็นเรื่องของสัจธรรม เพราะว่ายุคนี้อาตมาเป็นคนหนึ่งที่ต้องออกมาประกาศสิ่งนี้ ถ้าพูดแบบศาสนาเทวนิยมคือ อาตมาเป็นประกาศกของพระเจ้า นี่เป็นเรื่องจริง เหมือนกับอาตมาเป็นพระบุตร แต่ก็เทียบเคียงศาสนาเทวนิยม แต่ศาสนาพุทธของเราไม่ถือว่าพระเจ้าเป็นอีกชั้นหนึ่ง ก็ถือว่าในมนุษย์เป็นชั้นเดียวกันกับพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าก็คือพระบุตร อันหนึ่งอันเดียวกัน อาตมาก็เลยเป็นทั้งพระเจ้าและพระบุตรในศาสนาพุทธ แต่คนเขาไม่รู้ อาจหมั่นไส้แต่พวกคุณเชื่อ
สมณะเดินดินว่า...ก็วันนี้เราได้ฟังคุณสมบัติที่สำคัญของมนุษยชาติ คือความจน พ่อครูบอกว่า ความจนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของพระอรหันต์ อาตมาก็นึกถึง เวลาในพระไตรปิฎกพูดถึงอุโบสถศีล ก็จะมีคำปฏิญาณว่า พระอรหันต์ต้องไม่เป็นผู้ฆ่าสัตว์ตลอดชีวิต แม้เราก็จะเป็นผู้ไม่ฆ่าสัตว์ให้ได้ วันหนึ่งคืนหนึ่งก็ถือว่าเราได้เดินตามรอยพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่ลักทรัพย์ตลอดชีวิต แม้เราทำได้วันหนึ่งคืนหนึ่งก็ได้เดินตามรอยพระอรหันต์ แต่พ่อครูกำหนดสเปคของพระอรหันต์ 2 อย่างคือ มีความจน กับความสุขสำราญเบิกบานใจ
เราได้มาครึ่งหนึ่งแล้วอยู่วัดครึ่งหนึ่งก็จน มีคนเสนอแนวคิดว่าอยากจะยกระดับงานปลุกเสกให้สูงขึ้น ให้สอดคล้องกับที่พ่อครูรณรงค์เรื่องความจน คืองานปลุกเสกฯ ให้มีอธิศีลยิ่งกว่างานพุทธาภิเษกคือ ในงานปลุกเสกให้ถือศีล 10 ไม่ใช้เงินใช้ทองได้ ยังไม่ได้ลงรายละเอียดนะ ถือศีล 10 นี้ถือต่ำในปฏิญาณ เราก็ถึงวันหนึ่งคืนหนึ่ง อยู่บ้านนั่งรถเมล์จ่ายเงินไปก่อน พอมาถือศีล 10 ในวัดก็ไม่ต้องใช้เงิน แม้วันหนึ่งคืนหนึ่งเราก็จะไม่ใช่เงินทอง ในสำนวนพระไตรปิฎกปฏิญาณได้ว่า พระอรหันต์ไม่ฆ่าสัตว์ตลอดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ตลอดชีวิต พระอรหันต์ต้องถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต พระอรหันต์ย่อมเป็นคนจนและเบิกบานสำราญใจตลอดชีวิต เราก็ได้แล้วคืนหนึ่งวันหนึ่ง แม้ได้วันหนึ่งคืนหนึ่งก็ดี
แต่พ่อครูให้ข้อสังเกตว่า แม้พระโสดาบันก็สุโขสโมสรไม่น้อยแล้ว ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์คาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลก คือพระโสดาบัน อาตมาดูในทีวี แค่อบายมุขคนไปดูแข่งฟุตบอลคนก็แน่นขนัดยัดเยียดกัน หากเราหลุดรอดได้มันก็สุขสำราญเบิกบานใจขนาดไหน นี่แค่พระโสดาบันนะ แต่นี่พ่อครูสร้างองค์ประกอบของสัปปายะ 4 อาตมาเคยฟังลูกของคนที่เคยเป็นนายกฯ ว่าเขาต้องการอะไรอีก เขาบอกว่าสิ่งที่ต้องการคืออยากจะได้เจอคนดีๆบ้าง ชีวิตเขาไม่เคยเจอคนที่ดีๆ แต่อาตมาว่า ในแวดวงของพวกเราคนไม่ดีไม่มีสิทธิ์เข้ามาเลย สิ่งที่เราอยู่นั้นมีบุคคลสัปปายะ เป็นบุคคลที่ดีที่สุดแล้ว ธรรมะก็ดีที่สุดแล้วที่มนุษย์จะหาฟังได้ เสนาสนะก็อุดมสมบูรณ์ พ่อครูว่าจะทำน้ำตกที่บ้านราชสักหลายแห่ง เป็นเสนาสนะที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด มนุษย์ต้องการความมั่นคงที่สุดคือต้องการอาหารอย่างไม่ขาดแคลน ของเรามั่นใจรับรองได้ว่าไม่มีตายเพราะอดอาหาร แต่จะตายเพราะกินอาหาร ในเสนาสนะ 4 มีความอุดมสมบูรณ์แล้วก็ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรอีก ก็เป็นการเดินตามรอยพระอรหันต์ อยู่อย่างสำราญเบิกบานใจวันหนึ่งคืนหนึ่งก็ทำได้ พ่อครูว่า จะอยู่ไปให้ถึง 151 ปีแล้วพวกเราจะอยู่ตามพ่อครูหรือเปล่า จริงๆแล้วเราควรจะมาอยู่ในองค์ประกอบที่ทำให้อายุยืนด้วยกัน ไม่ใช่แค่เฉพาะพ่อครูอย่างเดียว เราควรจะอยู่กับพ่อครูไปด้วย
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:39:08 )
รายละเอียด
601105_ผลประชุมมหาปวารณา# 35 คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)
พ่อครูว่า...เจริญธรรมคนจนผู้สุขสำราญเบิกบานใจทั้งหลาย
“คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)”
สัจธรรมที่เป็น“อรหันต์”นี้จะยืนยันความจริงว่า “ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ที่ประเสริฐ(อรหันต์)มีคุณค่ายิ่งในโลก”นั้น สังคมคนที่เป็นได้ด้วยตนเองจริง(สันทิฏฐิโก) ชนิดที่มีได้ไม่จำกัดยุคกาล(อกาลิโก) เป็นของสูงที่ควรเอื้อมเอามาให้ตน(โอปนายิโก) เชื้อเชิญให้ใครๆมาพิสูจน์ได้(เอหิปัสสิโก) ซึ่งเข้าถึงบรรลุจริงได้ด้วยตนเองรู้เองเห็นเอง(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) และเป็นไปได้อย่างถาวรยั่งยืน(ธุวัง) เที่ยงแท้(นิจจัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง)
มิใช่ว่า“เป็นได้จริง”เพียงในกาละชั่วครั้งชั่วคราว แล้ว“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจที่ประเสริฐยิ่งมีคุณค่าอยู่ในคนที่เป็นอรหันต์แล้วนี้จะเปลี่ยนไปเป็น“มีทุกข์”เข้ามาในใจได้อีก
ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ความสุขสำราญเบิกบานใจของคนจนผู้เป็นอรหันต์นี้จริงแล้ว จะ“เป็นความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ”ที่อยู่ในใจไปตลอดกาละ ไม่มีช่วงใดขาดตอนแม้ชั่วเศษเสี้ยววินาทีเดียว เป็นแล้วเป็นเลย ไม่กลับไปเป็นอื่นอีก แม้สักแวบ
5 พ.ย. 2560
01.33 น.
สมณะมีทั้งหมด 89 รูป
สมณะเข้าร่วมประชุม 79 รูป สมณะลาป่วย 8 รูป
1.สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน
2.สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
3.สมณะเบิกบาน ธัมมนิยโม
4.สมณะคมลึก เมตตจิตโต
5.สมณะดงเย็น สีติภูโต
6.สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ
7.สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน
8.สมณะแด่ธรรม ธัมมรักขิโต
9.สมณะสอน โสปาโก
10.สมณะธาตุบุญ ธาตุปุญโญ
_ปีนี้จะมีการจัดงาน เพื่อฟ้าดิน แทนงาน ว.บบบ.
ศาสนบุคคล
พ่อท่านฯ- สมณะเดินดิน ติกขวีโร และคณะ (สมณะสมณะพิสุทธิ์ พิสุทโธ สมณะดินไท ธานิโย สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ) คณะปัจฉาของพ่อท่าน เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากองเลขาฯ
สมณะเดินดิน ติกขวีโร - สมณะขยันยอม วิริยธโร
สมณะบินบน ถิรจิตโต - สมณะโพธิสิทธิ์ โพธิสิทโธ
สมณะผืนฟ้า อนุตตโร - สมณะนวกะภูผาฟ้าน้ำ
สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ - สมณะเลื่อนลิ่ว อรณชีโว
1.สมณะกรรมกร กุสโล 2.สมณะเด็ดขาด จิตโตสันโต 3.สมณะน่านฟ้า สุขฌาโน 4.สมณะคมลึก เมตตจิตโต 5.เบิกบาน ธัมมนิยโม 6.สมณะถนอมคูณ คุณกิตตโณ 7.สมณะแก่นหล้า วัฑฒโน 8.สมณะธาตุบุญ ธาตุปุญโญ
1.สมณะผืนฟ้า อนุตตโร 2.สมณะถ่องแท้ วินยธโร 3.สมณะขยะขยัน สรณีโย
4.สมณะฟ้าไท สมชาติโก รวมทั้งอุปัชฌาย์อีก 3 รูปด้วย
พุทธสถานสันติอโศก 20 รูป
พุทธสถานปฐมอโศก 11 รูป
พุทธสถานศีรษะอโศก 5 รูป
พุทธสถานศาลีอโศก 5 รูป
พุทธสถานสีมาอโศก 5 รูป
พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ 13 รูป
พุทธสถานราชธานีอโศก 23 รูป
สังฆสถานทะเลธรรม 4 รูป
1. สมณะผืนฟ้า อนุตตโร
2. สมณะพอแล้ว สมาหิโต
3. สมณะพ้นพิษ วิสมุตโต
4. สมณะอุดม อุตตโม
สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ
สำหรับพ่อครูสมณะรัก โพธิรักขิโต และปัจฉาฯ (สมณะเดินดิน ติกขวีโร สมณะดินไท ธานิโย สมณะหนักแน่น ขันติพโล และสมณะแสนดิน ภูมิพุทโธ) ไม่ลงอารามประจำที่ใด
_โรงบุญ 5 ธันวาฯมหากุศล จัดเป็นปีสุดท้าย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ไม่จำกัดว่าเป็นอาหารเท่านั้น เป็นของใช้ก็ได้ที่ไม่ผิดศีลธรรม
โศลกธรรมงานมหาปวารณา : จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
อ่านต่อทั้งหมดและ ดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1qquySqscOgRPxwuwKEn3g3UTrDTgVSsPZP5tr8q_twc
ดาวโหลดเสียงที่...https://drive.google.com/open?id=1hKqPRfr4ZbBx9nOLyx3KgkcdXhy9P2CU
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:40:39 )
รายละเอียด
601106_พ่อครูให้โอวาทประชุมครบรอบ 10 ปี บุญนิยมทีวี ที่ศาลีอโศก
พ่อครูว่า...ก็พวกเราช่วยกันคิดช่วยกันทำ ทั้งๆที่เราไม่ได้เป็นพนักงานที่มีรายได้ได้รับค่าแรงงาน เราก็ทำกันมา 10 ปี ไม่น้อยเลย 10 ปี ใครคิดจะเลิกทำกันไหมนี่ ...ไม่คิดจะเลิกทำกันเพราะสุขสำราญดี
อาตมาว่า พวกเราได้ศึกษาพักผ่อนธรรมะพระพุทธเจ้ากันแล้ว จนกระทั่งเพียงพอเลี้ยงชีวิต ดำรงชีวิตให้เป็นอยู่รอดไป กับโลกมนุษย์เขา พอถึงวันนี้แล้วอาตมาเชื่อมั่นว่า ธรรมะพระพุทธเจ้า ทำให้ไม่ลำบากใจอะไร เราจะกินจะอยู่จะยังชีวิตต่อไป ไม่เหมือนกับคนที่เขายากจนทั่วประเทศ ร้องห่มร้องไห้แต่ละวันไม่มีอยู่ไม่มีกิน อดทนทรมานทรกรรมอะไร ซึ่งก็เป็นข่าวคราวกันทั่วโลก มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากเลย เดรัจฉานทุกตัวมันไม่มีชีวิตอย่างคน คนที่เขาเลี้ยงตัวไม่รอด ทุกข์ทรมานหากินกัน แต่ก่อนต้นหมากรากไม้มีธรรมชาติ ไม่ต้องมีของส่วนตัว แต่คนจะยึดเป็นของส่วนตัวเลยไปละลาบละล้วงสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว ที่จริงเก็บกินใช้ในสาธารณะก็มีเพียงพอ ป่าเขาแม่น้ำลำธารภูเขาอีกเยอะ มีคนเลี้ยงชีวิตเลี้ยงตนเองก็รอดได้ก็แค่กินนะ ถ้าจะยังอยู่รอด มันเป็นความอวิชชาเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาสู้เดรัจฉานไม่ได้ แต่ว่า ถ้าเผื่อว่า เราคิดอีกที ตรวจสอบในสังคมโลก คนที่เขาอยู่ป่ามนุษย์ผีตองเหลือง มีอีกหลายเผ่าเยอะก็ไม่เดือดร้อนเท่ากับคนในกรุงนะ วันๆก็มีกินมีใช้ไปเหมือนเดรัจฉาน เขาก็เลี้ยงตัวเองรอดไป มีเป็นพันปีแล้วก็เป็นอยู่ได้
ทีนี้มาเป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมเป็นสังคมเมือง กลับเกิดความเดือดร้อน จะไปอยู่ป่าก็หากินไม่เป็นแล้ว ว่าเป็นคนในเมือง เข้าป่าก็ไม่ได้ แต่อยู่ในเมือง เลี้ยงตนเองไม่รอด ทั้งทั้งที่ ปลูกเป็น ทำกินเป็น ไม่ใช่กินแต่พืชผักเท่านั้น ดันไปกินสัตว์ปูปลา เนื้อทุกชนิด อีสานกินทุกอย่างที่ดิ้นได้ กินทั้งนั้น ไม่ดิ้นก็กิน คนอีสาน กินสารพัด นอกนั้นที่เป็นพิษก็ไม่กิน อีสานก็ไปแพร่ให้ที่อื่นกินตามไปอีก เป็นอาหารขึ้นป้ายมีราคา
ที่เราทำสื่อเจตนาสื่อสารให้ลึกซึ้งกว่าเรื่องทำมาหากินเท่านั้น จะทิ้งอาชีพพากินไม่ได้ เราสื่อธรรมะ แต่ธรรมะนั้นมีทั้งอาชีพ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งอาชีพ ไม่ได้ทิ้งความเป็นอยู่ของชีวิต ไม่ได้หนีเข้าป่าเขาถ้ำ โดยไม่รู้เรื่องสังคมว่าเป็นอย่างไรทำมาหากินสังคมไม่ได้สู้เขาไม่ได้ ชาวอโศกปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว อยู่กลาง กลุ่มศิวิไลซ์ก็อยู่ได้ โดยอยู่ในระบบเราก็อยู่รอด อย่างสบายมาก ไม่เดือดร้อนเลยว่าจะมีเงินเหลือไปถึงพรุ่งนี้ไหมไม่ต้องเสียดอก ไม่เป็นอย่างที่เขาเป็น เพราะเรารู้ในการตัดสิ่งที่มันโง่ไปได้ ก็เหลือสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ของตนเองด้วย อาตมาทำงานมา 40 กว่าปียืนยันได้ว่าทำได้
เอาธรรมะ ประกาศให้คนทำได้แล้วรวมกันเป็นกลุ่มชุมชน แล้วมีหลายชุมชนรวมกันมันไม่ติดกันเท่านั้นเอง มันไม่อยู่ตำบลเดียวกัน แต่มันก็มีหมู่บ้านกระจายไปทั่ว ถ้านำหมู่บ้านเหล่านี้มารวมกันก็เป็นตำบลแล้ว แต่มันก็รวมกันไม่ได้ ก็กระจายไป เราเองรู้โดยปริยายว่า ไม่น่าจะตั้งชุมชนตำบลเดียวสองหมู่บ้าน เราก็รวมกันดีกว่า เป็นพลังดีกว่า ก็เลยไม่คิดไปเป็นตำบลละหลายหมู่บ้าน
สรุปแล้วก็คือ การอยู่กับสังคมมีวิถีชีวิต ที่จะอยู่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจการเมือง ได้สำเร็จแล้ว สำเร็จสูงกว่า ประสบความสำเร็จในการดำเนินวิถีชีวิตที่เป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้งปวงก็คือได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในระบบนี้ ไม่ยาก ได้แล้ว เราได้นำธรรมะพระพุทธเจ้ามาธิบายแล้วพวกเราก็ได้มาศึกษาควรปฏิบัติสำเร็จผล บรรลุมรรคผลของพระพุทธเจ้า และสำเร็จถึงขั้นสาธารณโภคี มีระบบสูงสุด ระบบสาธารณโภคีเป็นระบบสูงสุด กว่า คอมมิวนิสต์เขาต้องการ สูงสุด กว่า ปชต.ต้องการและแน่นอนไม่ใช่เผด็จการ เป็นเรื่องของมวลมนุษยชาติ ที่ต้องการความลงตัว เป็นกลไกที่ดีที่สุด เป็นเครื่องยนต์ที่ไม่ดำเนินไปได้เรียบร้อยดี practical มันได้ตรงนั้นแล้ว เราทำสำเร็จแล้ว
อาตมาก็พูดหลายทีแล้ว พูดไปให้สังคมประเทศรู้ การบริหารมนุษย์และประเทศชาติให้เกิดผลของการเป็นอยู่มีพฤติกรรมสังคมมีวิธีการดำเนินชีวิตในสังคม เขาต้องการให้เป็นอย่างไร เป็นแบบคอมมิวนิสต์คืออย่างไรประชาธิปไตยคืออย่างไร อโศกนี้ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้าได้สูงสุด ของคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตย สูงสุดของประชาธิปไตยคือเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ และสูงสุดกว่าคอมมิวนิสต์ต้องการ แต่คอมมิวนิสต์ไทยการบังคับ ส่วนคอมมิวนิสต์บังคับคนที่ได้รายได้มาก ส่วนประชาธิปไตย แพ้พวกมีรายได้มาก เขาเลี่ยงภาษี เอาเปรียบได้ หาทางไม่เสียภาษีไม่แชร์ให้ส่วนกลาง หลบเก่ง แม้แต่ในประเทศอเมริกา ก็มีที่ให้เสียภาษี90% ก็มี เป็นอัตราก้าวหน้า แต่มีรายได้อยู่ได้อย่างไรมันอยู่ได้ มันมีวิธีหลบแล้วก็รวยได้ คอมมิวนิสต์ถึงมันเขี้ยวโกรธพวกนี้ จะใช้หลักบริหารบังคับเอา ข้ารู้นะเอ็งต้องจ่ายภาษี ก็คือต้องการให้เข้าส่วนกลางให้ได้มาก แล้วพวกเราเป็นไง ประสบความสำเร็จหรือเปล่า...ได้แล้ว
เอาเข้ากองกลาง 100% แบ่งกินใช้ตามควร ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่ จะมาใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่ได้ ทฤษฎีนี้กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้บังคับว่าต้องมาเป็นชาวอโศกหมด แต่อยู่อย่างอิสระเสรีได้ หากเข้ามาก็ไม่ได้บังคับนะ จึงเป็นความสำเร็จสูงสุดไม่ว่าระบบในไหนที่เขาพยายามเป็น เราของพระพุทธเจ้ามาทำจนสำเร็จ จึงเป็นระบบที่สุดยอด
แล้วเราก็จะสื่อสาร นี่แหละงานที่เราทำสื่อสาร รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ สื่อต่อไปแล้วจบ …
ที่เราดำเนินไปได้นี้ดี โทรทัศน์กี่ช่องสู้อโศกไม่ได้ สื่อในอนาคตเขาก็ว่าต้องแบบนี้ แต่เขาทำไม่ได้ เขารู้แล้วแต่ทำไม่ได้ เพราะใจเขายังไม่ถึงกัน ใจที่ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่องานนี้ พวกคุณทำเพื่องานนี้ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ มีแต่เด็กพวกเรา ไม่อยู่ก็ไปทำงานหาเงินบ้าง เบื่อก็กลับมา
อาตมาทำงานโทรทัศน์มาโดยตรง มันมีระบบระเบียบเป๊ะ อาตมาไม่บังอาจเอาระเบียบแบบนั้นมาใช้กับพวกเรา หากใช้ก็หนีหมดแล้ว เขาสตริ๊กหมดนะ มีหลักฐานหมด แต่พวกเราสบายๆ ทำบ้างไม่ทำบ้างก็สบายมาก จอดำบ้างไม่ดำบ้าง มันสบายมากเกินไปขอร้องหน่อยอย่าชุ่ยมากไป ไม่บังอาจว่าได้เพราะทำงานให้เราฟรี
เต็มใจทำก็ขอบคุณแล้ว บกพร่องบ้างก็ไม่เป็นไรพวกเรามีน้ำใจ
หนึ่งพุทธว่า...พวกเราส่วนตัวไม่มีรายได้ ก็คือคืนสู่สังคมได้
พ่อครูว่า...โทรทัศน์เราไม่มีรายได้ แล้วเราเสียภาษีค่าอะไร
หนึ่งพุทธว่า ภาษี VAT
พ่อครูว่า นี่คือความโกงของประเทศ เราซื้ออุปกรณ์อะไรก็เสียภาษีการค้าขายอยู่แล้วแต่กิจการของเรา เราเสียภาษีในกิจการเราซึ่งไม่มีรายได้เลยก็ไม่เสียภาษี
โทรทัศน์เราไม่ได้หลอกลวงทำจริงไม่ได้แอบแฝงโฆษณาก็ไม่มี ของเราเอง เราจะโฆษณาสินค้าเราก็ได้แต่เรายังไม่ทำเลย สื่อสารของเราเป็นสื่อสารจริงของโลก ที่แม้แต่รัฐบาลเองยังลอกเลียนแบบยากเลย ไม่มีโฆษณาเองเลยรัฐบาลยังทำได้ยาก เพราะว่ารัฐบาลก็ต้องมีเงินเดือนของพนักงานของเราไม่มีเงินเดือนพนักงานเลย
ดินนาว่า ...เขาให้เราต่ออายุเลย 6 ปี
ไม่มีโทรทัศน์ที่อื่นทำได้หรอก เขาจะค่อยๆรู้ค่อยเข้าใจ ที่เราจะได้พวกนี้นี่แหละคือในโลกเขาเรียกว่าอภิสิทธิ์ เราไม่ได้เบ่งอะไร อภิสิทธิ์เป็นสิ่งสุดยอด ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นว่า ประธานจะมีอภิสิทธิ์ส่วนหนึ่ง พระที่บวชแล้วอภิสิทธิ์อย่างหนึ่ง ในหลวงมีอภิสิทธิ์อย่างหนึ่ง ซึ่งต้องใส่ในกฎหมายเลย ได้อภิสิทธิ์โดยธรรมได้แล้วก็เป็นกฏหมายต่อไป เหมือนอย่างพระที่บวชแล้วก็ได้รับยกให้หลายอย่าง เราทำมาประมาณ 10 ปีแล้ว เขาก็บอกว่าเชื่อ เอ็งทำต่อไปนะ เขาไม่ต้องมากังวลอะไรเลย ให้ประโยชน์แก่มนุษย์
เราไม่เอาอะไรจากสังคม เราให้ประโยชน์โดยตรง บริสุทธิ์ใจไม่มีอะไรแอบแฝง แต่ในโลกจะมีเชิงแฝงเยอะ แต่ของเรามั่นใจว่าไม่มีเชิงแฝง นี่คือการพิสูจน์ความจริงในสังคม การทำสื่อสารก็เพื่อให้คนในสังคมเข้าใจ
ดินนาว่า ปีนี้ที่เห็น มีหนังสือด่วนจากสำนักนายกรัฐมนตรีมา ว่า ขอความอนุเคราะห์ สถานีผ่านดาวเทียมเพื่อมนุษยชาติ ลงชื่อโฆษกรัฐบาลบอกว่า ให้ช่วยประชาสัมพันธ์ เรื่องธงชาติไทยครบรอบ 100 ปี ส่งสปอตมาให้ด้วย
พ่อครูว่า...ให้เกียรติเรา เราทำให้เต็มที่เลย แสดงถึงว่าเขาเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ว่าเราไม่แอบแฝงอะไร ถ้าที่อื่นได้อันนี้เป็นเครดิต เขาเอาไปอ้างอิงหากินได้ว่ารัฐบาลเชื่อใจ แต่ของเราอย่าไปเผลอทำอย่างนั้น ที่ว่านี้
ดินนาว่า เขาเอาเราไปซักถามเลย เขาซักทุกช่องกับตัวแทนไปสองคน ดิฉันกับอาหนึ่งพุทธไป เขาเรียกเข้าไปก่อน จริงๆแล้วเราเป็นคิวบ๊วย ต่อจาก peaceTV แต่ปีนี้เขาเรียกเราก่อน พอซักเสร็จ กรรมการก็บอกว่า ดีขนาดนี้ ทำไมไม่มีคนมาศึกษา มาเอาแบบนี้ มาเอาอย่าง ซักแม้กระทั่งว่า รายการใกล้กองฟอน คือเขาจะดูผัง เขาว่าชื่อสุดโต่งไหม? สุดท้าย ก็ท่านประธานก็สรุป มีคนซักเยอะ มองเราแบบเอ็นดู
พ่อครูว่า คือพวกเราเหมือนเด็กน้อย Innocent ทำอะไรเหมือนไม่รู้สังคม ไม่กลัวเสียภาพพจน์ตัวตน ของเราไม่มี เหมือนเด็ก ทุกบรรยากาศรายงานความจริง
ดินนาว่า ไปเจอลูกศิษย์พ่อท่านที่ทำงานทีวี เขาก็บอกว่าติดตามดูตลอด
เขาเตือนเราว่า อย่าสุดโต่งมาก และเคร่งเกินไป ให้เดินทางสายกลาง
พ่อครูว่า...ที่จริงพวกคุณเคร่งไหม ศีล8 ธรรมดาเขาทำไม่ได้ ยิ่งศีล 10 ก็ยิ่งแล้วแต่พวกคุณทำได้ ปกติธรรมดา คือมีศีลเป็นปกติ แต่คนอื่นรู้สึกเคร่งต้องระมัดระวัง แต่ของเราเป็นธรรมชาติธรรมดา คนอื่นจะมองว่าเราเคร่ง อันนี้ต้องอธิบายให้ฟังว่า ที่ท่านมองว่าเคร่งเป็นพฤติกรรมปกติของเราเราไม่ได้ฝืนไม่ได้เต๊ะท่า ไม่ได้เสแสร้ง มันเป็นสามัญปกติของเรา เขาก็คงเข้าใจยาก เขาว่าเคร่ง แต่เราปกติธรรมดา เราทำได้ดีแล้วจะต้องให้ทำชั่วทำให้ต่ำ เราทำได้ปกติสะดวกสามัญเป็นของสูงที่ควรมีเป็นตัวอย่าง คุณต้องประกาศว่านี่ชั้นหนึ่ง จะได้เป็นตัวอย่างให้แก่สังคม แต่งคนกับประกาศว่าอย่างนี้มัน เคร่งไป อ้าว คุณต้องการให้เจริญหรือไม่ คำว่าสุดโต่งคือเขาเข้าใจไม่ได้ ของเรายังมีทางเดินสูงกว่านี้ได้อีก เราทำได้แค่นี้เอง ศีล 8 10 26 ศีลสมาธิปัญญาอีก มีอีกเยอะที่เราต้องทำต่อ คนเขามองว่าเราเคร่ง เราก็ว่าเราเดินไปได้นิดเดียว เราไปทางโลกุตระได้ก้าวสองก้าว แต่คุณว่าเคร่ง เพราะว่าคุณไปทางโลกีย์ไกลมากแล้วนั่นเอง แล้วจะมาดึงเราลงไป ไปอยู่กลางโลกีย์อีก แล้วคุณเข้าใจว่า เป็นกลางคือครึ่งหนึ่งของโลกีย์เรานี่สูงกว่านั้นมาก คนเข้าใจเราไม่ได้
อาตมาปฏิบัติธรรมที่ได้ความเข้าใจตรงนี้เพราะว่า หม่อมเจ้าพูนพิศมัยบอกว่า รักเอ๋ย ปฏิบัติธรรมมันต้องสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา เพราะท่านเห็นว่าอาตมาปฏิบัติเคร่ง ตอนนั้น คนก็เห็น ท่านหญิง พูนพิศมัย ว่าอาตมาสุดโต่ง
มัชฌิมา นั่นคือ กิเลส กามกับกิเลสอัตตา สองอย่างนี้คุณต้องรู้สองอย่างนี้แล้วลดกาม ลดอัตตา ลดกามลดอัตตา จนถึงจบ มัชฌิมาคือจุดที่คุณทำจบได้ ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจว่ามัชฌิมาคืออะไร แล้วไปอธิบายว่า ความเป็นกลางเขาว่าไม่ต้องเข้าข้างใคร แบบนั้น ไม่ใช่ คนเป็นกลางแล้วต้องเข้าข้างคนดี จะต้องรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วแล้วเข้าข้างคนดีเสมอ ไม่เช่นนั้นเราไม่มีประโยชน์ ต้องช่วยสิ่งที่ดีให้เจริญไม่ใช่เข้าข้างคนชั่วสิ่งที่ชั่ว สิ่งที่ช่วยจะทำได้สิ่งที่ดีอย่างไรก็เฉยปล่อยไปเป็นกลางอย่างนั้นโง่มิจฉาทิฏฐิ ไม่เข้าใจความเป็นกลาง
คนเป็นกลางคือคนหมดกามหมดอัตตา แล้วจะช่วยคนที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมมนุษยชาติเสมอ เข้าข้างเสมอ คนเขาหาว่า อาตมาเชียร์รัฐบาลชุดนี้ ข่มรัฐบาลชุดเก่า ก็ต้องข่มคนควรข่ม ยกคนควรยก ตามสัจธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า
อย่างคุณจำลอง ที่จริงควรได้เป็นนายกฯ แต่เขาว่า เคร่งไป สุดโต่ง เดี๋ยวจะมาบังคับให้กินมังสวิรัติทั้งประเทศ หรือเดี๋ยวให้ลดเงินเดือน อย่างนั้นเขาถึงไม่เอา ที่จริงคุณจำลองจะโง่ขนาดไม่รู้จักลำดับขั้นการปฏิบัติหรือ?
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:42:00 )
รายละเอียด
601107_เทศน์กัณฑ์พิเศษจากพ่อครู ในวาระย่างเข้า ปีที่ 48 ของการบวช และปีที่ 84 ของชีวิต
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน วิธีการแยกสลายอัตภาพอย่างถาวร
พ่อครูว่า...วันนี้ วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรศาลีอโศก 47 ปีของอาตมาสมณะโพธิรักษ์เกิดโพธิรักขิโต เกิดเป็นสมณะรัก โพธิรักขิโต ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2513
เต็ม 47 ปี ขึ้นปีที่ 48 แล้วอาตมาก็อายุ 84 ปี+++++++++++++ ชีวิตก็เป็นไป อาตมาชีวิตนี้ตั้งใจที่สุดที่จะมาทำให้ธรรมะของสมเด็จพ่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ครบข้อมูลครบความหมายครบความรู้ แล้วก็จะได้เอาไปปฏิบัติจริง ให้มีผลเกิดจริง ผลเกิดของศาสนาพุทธก็ปรากฏ จึงได้มา 30 ถึง 40 ปี จนจะย่างเข้า เริ่มต้นปี 48 วันนี้ ก็จะไป 49 แล้วไปอีกครบ 50 ปีก็อีกสามปี
สามปีไม่นานหรอก ทุกวันนี้ ความหมุนของโลกเราไม่รู้กับมัน เราก็ไปกับโลกลูกนี้แหละ มันอยู่ที่กรรมกิริยาของเรา ของแต่ละคนๆ ศาสนาพุทธ สอนให้รู้จุดสำคัญคือต้นเหตุที่จะดำเนิน โดยในโลกมีสสารกับพลังงาน พระพุทธเจ้าก็ชัดเจนเรื่องของ สสารวัตถุกับนามธรรม หรืออรูป เป็นธรรมะสอง ก็ชัดเจน ธรรมะสองทุกระดับ ไม่ว่าจะธรรมะ 2 ในระดับของอุตุนิยาม ธรรมะ 2 ในระดับ พีชนิยาม ในระดับจิตนิยาม แล้วเราก็จัดการให้มันเกิดในกรรมนิยาม ทำให้เกิดกระบวนการ สัมพันธ์กัน เรื่องของธรรมะ 2 แยกเป็นภาษาว่า รูปกับนาม
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่เป็นภาวะแห่งการรู้ ของธาตุจิตวิญญาณ สามารถที่จะ รู้ได้ และยังสามารถเข้าไปรู้ถึงนามธรรม วัตถุอุตุจะหลากหลาย ก็จัดการตัวมันเองไม่ได้ จนกว่าจะมาเป็นพีชะ เป็นเจ้าของพลังงานตัวมันเอง แล้วดึงเอาวัตถุรูปมาเป็นตัวตนมันเอง ISH สามเส้า มันก็เป็นธรรมะ 2 ไปจัดการธรรมะ 2 ของตัวเอง พีชะ มันก็เป็นตัวมันเอง ดูแต่ตัวมันเองไม่ให้บกพร่อง สุดวิสัยบกพร่องบ้าง สุดท้ายบกพร่องมาก ก็ตาย อยู่ไม่รอด ก็สลาย พีชะจึงไม่มีความพยาบาทเป็นภัยอะไรอีกเลย เป็นพลังงานที่จัดการตัวมันเองได้
พลังงานอุตุนิยามจัดการตัวมันเองไม่ได้ มีพลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า แต่มันก็จัดการตัวเองไม่ได้ อันอื่นทำให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ รวมเป็นสนามแม่เหล็ก เป็นแท่งดิน น้ำ ลม ไฟ จนพัฒนามาเป็นพีชะ แล้วมาเป็นจิตนิยาม
จิตนิยามเจริญกว่า พีชะ มีความยึดตัวตนเหมือนพีชะ แต่ไม่พอ ก็แย่งเอาอันอื่นมาเป็นตัวตน จนกว่าจะรู้ตัวว่าเราอย่าไปเที่ยวได้แย่งอันอื่น มาเป็น ตัวตนเรา มันเป็นหนี้เป็นภัยเป็นบาป เป็นสิ่งที่ไม่ดี กว่าจะรู้ตัวก็นาน ไม่รู้ตัวก็เป็นโลกียะ เห็นแก่ตัวไปอย่างนั้น แล้วก็เป็นผลเบียดเบียนผู้อื่น ทำร้ายผู้อื่น ถึงขั้นฆ่าแกงผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้รับความเจ็บปวดทรมานทุกข์กายทุกข์ใจ หนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นด้วยเรื่อยๆ จนกลายเป็นอำมหิต หยาบๆก็รู้ชัดเจนได้ง่าย แต่มีภาวะรู้ซ้อนว่าหยาบๆคนเขาเห็น ก็ทำการปิดบัง ทำให้เกิดเหมือนนุ่มนวลอ่อนโยนสุภาพ ซ้อนอีก แต่จิตใจอำมหิต หนักเข้าไปอีก คือจัดเข้าไปอีก เป็นความหมุนรอบเชิงซ้อน
แล้วพระพุทธเจ้าก็มาสอนให้แก้ไข ปมติดยึด กว่าจะหมดเป็นอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ได้ก็จบ หมดพิษภัยหมดวิบาก ก็ช่วยผู้อื่นให้เป็นเช่นนี้บ้าง ในความเป็นอัตภาพที่เราได้รู้จักการสลายอัตภาพของเรา มันสุดยอด ในการรู้จักสลายอัตภาพตัวเอง เป็นความรู้ที่สุดยอดที่สุด เป็นคุณค่าต่อสัตว์โลก แม้แต่ดินน้ำไฟลม หรือพืชก็ได้รับคุณค่านี้ไปด้วย จึงเป็นสุดยอดแห่งความรู้
ผู้กตัญญูกตเวทีก็มาตอบแทนบุญคุณนี้ ที่ได้กับประโยชน์นี้ ได้ช่วยตนเองหลุดพ้น รอดจากความยึดติดเป็นอัตตาสลายตัวเองได้ เป็นการกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ที่เป็นต้นทางของศาสนา หรือศาสนาพุทธ ความรู้ของสัตว์โลก จิตนิยามมีความกตัญญูนี้ ให้เป็นความจำความสมบูรณ์ของความรู้ ในความเป็นจิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม รวบรวมความรู้สะสมไว้ ทั้งรูปและนาม
อุตุก็ยังไม่เป็นตัวตน พอเป็นพีชะก็สะสมเป็นชีวะ เป็นธาตุรู้ในตัวเอง เป็นตัวตน โดยไม่รบกวนผู้อื่น พระพุทธเจ้าจึงศึกษาธรรมนิยาม 5 แล้วแก้ไขปรับเปลี่ยนปรับปรุง ให้เป็นพลังงานที่ดีสุดยอด เป็นลักษณะพีชนิยาม สร้างตัวตนให้ดี เป็นความสะอาด บริสุทธิ์แข็งแรงยืนนานอย่างไรก็เรียนรู้ได้ครบ ตัวตนได้ครบ แล้วแถมมีพลังงานเหลือ เป็นพลังขั้นจิตนิยามอีก ก็ใช้พลังงานขั้นจิตนิยาม เจริญไปอีกไป สะสมกรรม กรรมกับธรรมะ ธรรมะเป็นรูป กรรมเป็นนาม ก็รู้ธรรมะสองนี้ รู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ทำงานสร้างสรรค์ แม้จะทำลายก็ทำด้วย แต่เป็นการทำลายสิ่งที่ควรทำลาย อย่างไม่ให้ เกิดการพยาบาท การแก้แค้น ทำลาย อย่างแม้ที่สุดให้ตัวเองเขาจัดการตัวเอง
เช่นคน ให้เขาทำลายพลังงานที่เป็นเหตุแห่งความชั่วในตัวเองด้วยตัวเอง ให้รู้เองทำเอง จะได้ไม่ไปก่อเวรภัยกับใครอีก ตัวเองก่อเกิดเองก็ทำลายเอง ก็ไม่เกี่ยว กับใคร ก็จบ ไม่เกิดความพยาบาทแก้แค้นผูกพัน
แม้สัมพันธ์ เกื้อกูลกันช่วยเหลือกัน ถ้าไม่เข้าใจก็จะไปผูกพัน เกาะตัวกันไป ไม่รู้สิ้นสุดเหมือนกัน ก็ต้องรู้ว่า ก็ไม่ทำลายกันแล้ว แต่ไม่แตกไม่สลาย ก็ไม่รู้ว่าพลังงาน ที่เป็นอยู่พลังงานที่เกาะเกี่ยว ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักแยก ไม่รู้จักจบสิ้นไม่สิ้นสุด ก็มาเรียนรู้อาการของพลังงานที่จะต้องมีการแยก แยกอย่างไรไม่ทำลาย ต้องทำลายพลังงานที่ชั่ว พฤติกรรมแนวคิดที่ต่ำ เราก็เลิก รูปนามอย่างนั้นไม่เอา ก็ปล่อยวาง อ่านอาการความรู้สึกในจิตใจที่เรียกว่า เวทนา แล้วใช้สัญญาการปรุงแต่งกันขึ้น เป็นสามเส้า เป็นสังขาร เวทนา สัญญา สังขาร รวมตัวเป็นองค์รวมเรียกว่าวิญญาณ ของสามเส้านี้ ก็เข้าใจความก่อเกิดสัมพันธ์ปรุงแต่งกัน ไปเป็นขั้นตอน สามารถรู้ว่ามันปรุงแต่งกันอย่างไร ให้มันแยกกัน อย่างไรให้แยก ปลดปล่อยอย่างไรโดยไม่มีความพยาบาท ไม่มีการสืบทอด ไม่มีการแก้แค้นทำลายกันอีก แยกไปเลย
แยกกัน ผูกพัน มันคนละอย่าง แยกสำเร็จ ก็แยกผูกพันสำเร็จ โดยไม่ให้เกิด การ พยาบาทในการผูกพัน ซ้อนนะ แยกกันนี่ แต่อย่าพยาบาทกัน เขายังไม่ยอมเลิก ผูกพันไปทำให้เขาต้องแยก เขาก็ยังผูกพันอยู่ สุดท้ายพยาบาทอยู่ สุดท้ายตัวเราเองจึงต้องสูญไปเลย คุณจะพยาบาทอย่างไรเราก็สูญแล้ว ไม่มีอะไรเกิดในมหาจักรวาลนี้ แยกธาตุ หมดสิ้นเลย คุณจะผูกพันหรือพยาบาทอย่างไรก็บ้าคนเดียว บ้าอยู่คนเดียว บ้าอยู่สิ่งเดียว คู่ไม่มี ไม่มีธรรมะ 2 มีแต่ธรรมะ 1 เดี๋ยวก็หมดแรงตายเอง แล้วก็ยังโง่อยู่ ขึ้นมาชกใหม่ นึกว่ามีคู่ต่อสู้อีก เป็นลมเป็นแล้งไป ทั้งที่ไม่มีตัวตนแล้ว สุดท้ายก็เป็นอย่างนั้น ถ้ายังโง่ต่อ ก็ไปชกกับคู่ลมๆแล้งๆอีก เป็นอุปาทาน นึกว่ามีตัวตน ปั้นลมๆแล้งๆไป
นามธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่ปั้นให้มีขึ้นมาได้อีก อันนี้คือความสุดยอด ของความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วเป็นอุปาทาน กิริยาเรียกอุปาทยติ มันเริ่มก่อตัวยึดขึ้นมา พลังงานเริ่มตั้งแต่ 2 ตัว 3 ตัว 4 ตัวยึดเกาะกันขึ้นมา ก็อยู่ที่ตัวประธาน รวมพวกนั้นมา เป็นบริวาร เป็นพลังงานรวมตัวกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนของความมีและความไม่มี
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าอย่างชัดเจนละเอียด อาตมาพูดนี้ทำมาแล้ว เป็นจริงแล้ว ในตำราไม่มีสาธยายละเอียดอย่างอาตมาพูด นอกจากตำราอาตมานี่ คนอื่นไม่มีใครพูด ไปค้นหาเลย มีแต่อาตมาเอามาพูดในยุคนี้ จะบอกว่าในยุคก่อนๆ ในสัตว์โลก ในวัฏกัปป์อื่น มีอย่างอาตมาไหม ก็มี แต่เราจะไปพูดทำไม ซ้ำซ้อน เราก็มาพูดในยุคนี้ เช่นยืนยันเลย ว่ากาละนี้ ปัจจุบันนี้ ยืนยันว่ามีอาตมา อย่างโพธิรักษ์นี้คนเดียวไม่มีสอง
ถ้าสอง หมายความว่าเป็นพี่หรือเป็นน้อง ใกล้กันจนแยกไม่ออก แต่ไม่เท่ากัน มีนัยต่างกัน คนที่ฉลาดรู้ ลิงคะ รู้ความต่างนี้ได้ว่าต่างกันอย่างไรแค่ไหน จะแยกได้ อย่างใดเหนือกว่าอย่างใดในเชิงไหน
อย่างอิตถีภาวะปุริสภาวะ อันไหนเหนือกว่าอันไหน หากพลิกทางนี้ อันนี้เหนือกว่า หากพลิกทางอิตถีภาวะ เหนือกว่าทาง Dynamic จัดจ้าน เร็วแรง ความนิ่งเฉย ความแข็งแกร่ง Static ปุริสภาวะ ถ้าจะเอาความแกร่ง ยิ่งกว่าเขาพระสุเมรุ ไม่กระเทือน ต้องเอาปุริสภาวะ ถ้าจะเอาเร็วและแรงต้องใช้ Dynamic แล้วแต่จะใช้อย่างหยุด หรือใช้อย่างเร็วแรง มันก็มีค่าคนละมุม แต่ที่สุดแห่งที่สุดเลยมัน 0 คือ มาหา Static สูญเลย มันไม่มีอะไร ก็มาหา Static นิ่งหยุด ไม่มีกระเทือนไม่มีการเคลื่อนเลย ก็มาหา Static
ในมุมสุดจริงๆ มาหา Static ปุริสธรรมจึงสุดยอด สูญไปเลยหายไปเลย ไม่มีปุริสภาวะ จึงเป็นภาวะที่ศูนย์และหายไป ใช้พยัญชนะแทน คือปุริสภาวะ คือปุงลิงค์ กับนปุงสกลิงค์
ในปุงลิงค์คือสภาพที่ยังมี ถ้าเข้าไปถึงนปุงสกลิงค์ก็คือสภาพไม่มีแล้ว หนึ่งก็ไม่มี อย่าว่าแต่สองเลย นปุงคือไม่มี ปุงคือไม่มีแล้ว ผู้จบ จบที่ปุงลิงค์ ถ้ายังมีก็คือยังไม่ ปรินิพพาน จะไม่มีเป็นนปุงสกลิงค์ เพราะตัวเราเองไม่มีอะไรกับเขาอีกเลย ก็เลิก คนอื่น จะ มีก็ตัวใครตัวมัน แต่เราไม่มีแล้ว ไม่มีอะไรต่อภพภูมิ ไม่มีรักไม่มีชังไม่มีดูดไม่มีผลัก เป็นพลังงานที่ศูนย์แล้วไม่มีอีกเลย เราก็ทำพลังงานของเราได้ จบในตัวเอง
จะจบอีกจริงๆ ในสภาพทั้งรูปและนาม ปรินิพพานเป็นปริโยสานคุณก็ทำเป็น เป็นพระอรหันต์แล้ว ทำเป็นทำได้แล้ว เหมือนพวงมะม่วงตัดขั้วก็แตกกระจาย ก็เกาะกัน ไม่ติด แม้ในพวงนั้นจะเหลือสองลูกสามลูก แต่พวงมะม่วงใหญ่ร้อยลูกพันลูกนั้นไม่มีแล้ว มันก็ไม่ใช่องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ถึงครึ่งหนึ่งไม่ถึง 1 ใน 4 ไม่ถึงเศษเสี้ยว เหมือนอุกกาบาต ไม่มีฤทธิ์ที่จะคุมตัวเองขึ้นมาได้อีกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
พระสมณโคดมบอกว่าปรินิพพานแล้วเหมือนพวงมะม่วง ที่ตัดตกลงมาแตกจากขั้ว แล้วกระจายกันไปแล้ว แม้จะเหลือ 1 ลูก 2 ลูกติดกันก็ไม่ถึง 1 ใน 4 แค่ 25% หากจับ ตัวไม่ถึง 25% ก็ไม่มีแรงที่จะต่อไปอีกได้ ถ้า 25% ก็ยังต่อไปอีกได้ แต่ถ้า 50% นี้ เป็นภาวะที่กลางนานที่สุด จนกว่าจะหมดพลังงานแห่งตัวมันเอง ถ้าเกินขึ้นไปอีก ก็เป็น Coefficient
Coefficient สำหรับโพธิรักษ์มีเงื่อนไขหลัก ที่จริงไม่ใช่อาตมาเป็นผู้กำหนด มีผู้รู้กำหนดก่อนแล้ว ต้องมีระดับคูณ ไม่ใช่ระดับบวก ระดับบวกนี้ระนาบ แต่คูณนี้ ขึ้นไปแล้วมีองศาแล้ว ยกกำลังนี่ 90 องศาเลย ถ้าบวกนี้แนวระนาบ ถ้าเป็น 45 องศา ก็คูณแล้วมาถึงยกกำลัง พอมาถึง 90 ก็ยกกำลังเต็มเลย
คนที่มีปัญญาพอจะสามารถรู้ลักษณะดังกล่าวนี้ เพื่อกำหนดหมายอะไรต่างๆ ใช้สัญญากำหนดหมาย เพื่อให้เข้าใจได้ว่าต่างกันอย่างนี้ มากเป็นอย่างนี้ น้อยเป็นอย่างนี้ มากแบบบวก มากแบบคูณ มากแบบยกกำลัง มากแบบหาร หารสองหารสี่หารแปด หารสิบหก
หรือลบ ก็แบบเชิงบวกกับลบ ถ้าหารก็ตรงข้ามกับคูณ ยกกำลังก็ตรงข้ามกับถอดรูท
เป็นภาษาที่สื่อให้รู้จักพลังงานหน่วย ทำให้สลาย ทำให้มีกับไม่มี ก็จบด้วยคำว่า มีกับ ไม่มี ใช้พยัญชนะ มี กับ ไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 17 ก็จะใช้คำว่ามีกับไม่มีนี่แหละ
ไม่มีก็คือมาหานิโรธ มีก็คือไปหาโลกสมุทัย หากไม่มีก็เข้าหาโลกนิโรธ เท่านี้แหละ ต้องรู้จักหน่วย แล้วรู้จักโลกกับสมุทัย ต้องดับเหตุไปเรื่อยๆจนดับเหตุหมด ก็สูญ
ความรู้ที่ใช้พยัญชนะ ไปสื่อแทนคำเรียกสภาวะ เราเข้าใจสภาวะทั้งพยัญชนะ เข้าใจบัญญัติภาษาที่เรียกแล้ว กำหนดถูกตัวไม่ผิดเพี้ยน พยัญชนะตัวนี้แทนสภาวะอย่างนี้ หยาบ กลาง ละเอียด ก็ไม่ผิดเพี้ยนไม่เหลื่อมไม่สับสน ตรงเป๊ะๆๆ
การศึกษาพวกนี้มีประโยชน์มากที่สุด เป็นความรู้สุดยอด เกินกว่าวิทยาศาสตร์ ทางนามธรรม วิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ ซึ่งยุคนี้เป็นยุคที่จะรู้กันแล้ว
พลังงานทั้งวัตถุสสาร ไปไกลแล้ว แต่ผู้เป็นกรรมการทาง nobel prize ก็ไม่มีความรู้ทางนี้ ก็ไม่สามารถให้รางวัลได้เพราะไม่มีความรู้ เขาจึงให้ความรู้ผู้ที่มีความรู้ทางนามธรรมไม่ได้ อาตมาจึงไม่แปลกใจว่ารางวัลโนเบล ไม่มาให้อาตมาหรอก เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้เรื่องจะมาให้ค่าอะไร จนกว่าจะมีผู้สามารถเข้าไปมีความรู้แล้ว ไปเป็นกรรมการในนั้น ไปชัดเจนว่านี่แหละตัวนามธรรมโลกุตระต้องอันนี้ ยิ่งยุคนี้ โลกุตระ พูดไปแล้วต้องยกตัวเอง ก็เหนียมๆ
ผู้ที่เป็นต้นตอโลกุตระในยุคนี้คือโพธิรักษ์ เป็นสยังอภิญญามาขยายอันนี้ จะบอก ว่าให้ nobel prize แล้วจะให้อย่างไร เพราะเขาไม่รู้ค่าของโพธิรักษ์ อาตมาไม่น้อยใจ เสียใจ ทำไมเขาไม่ให้ค่า ก็เหมือนไปบีบปลาในน้ำมาให้รู้เหมือนกบ กว่าปลาจะมีเท้าขึ้น มาอยู่บนบกได้ก็อีกนาน กบจึงจำศีลได้นาน ปลาขึ้นมาอยู่บนบกได้ไม่นาน ก็ต้องตาย มันต้องอยู่ในน้ำ ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของแต่ละสัญชาติ ไปไหนก็ไม่ได้ง่ายๆ ปลา ขึ้นมาบนบกก็ไม่ได้สู้กบไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เป็นความรู้ธรรมชาติของ สิ่งทั้งหลาย ในมหาจักรวาล
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน กั้น ขั้น คั่น ต่างกันอย่างไร
ข้อสำคัญที่สำคัญจริงๆ เรื่องความทุกข์ความทรมาน ทั้งๆที่อยู่ในภาวะแวดล้อม ความร้อนของน้ำต้มเดือด ร้อนเท่านี้ เราก็อยู่ในนี้ คนอื่นก็อยู่ในนี้ แต่เราสามารถ ทนความร้อนเดือดองศาต่างกันได้ คนหนึ่งทนไม่ไหวตาย อีกคนหนึ่งสบายมาก ทนได้ ไม่เดือดร้อน ก็เป็นการสร้างพลังงานที่ทนความร้อนไม่ได้
นามธรรมก็เหมือนกัน ทนต่อภาวะสัมผัส สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นเรื่อง ของวัตถุรูป ไม่ประหลาด เป็นเรื่องของยศชั้น เป็นเรื่องยกย่องชมเชยสรรเสริญ เป็นเรื่องของสุดยอดคือ เรียกมันว่าสุข เรียกมันว่าทุกข์ ไปจนที่สุด
สุขคืออะไร สุขคือไม่มีอะไรแล้ว คือว่าง สุข คือว่าง ดีที่สุด ไม่ว่างอยู่นั่นแหละมันไม่ดี ทุกข์นั้นทุก ก ไก่สะกด มันก็จะมีว่างแต่ไม่ว่างได้ มี ก.ไก่คั่นอยู่ ก.ไก่คือตัวก้างตัวสำคัญเลย ตัวกัน ตัวกั้น ก.ไก่นี่
กั้นหนักกว่าคั่นนะ คั่นนี้ยังไม่หนักเท่าไหร่ คั่นนี้แทรกเท่านี้เอง แต่ กั้น นี้ใช้เป็นแผง เลย กำแพงกั้นเลย คั่น นี้แค่บางๆ แต่ถ้ากั้นนี้เป็นภูเขาเลย กั้น ยิ่ง คั่น นี้แทรกเข้าไปใหญ่ กั้น นี้หนาสุด คั่นนี้รองลงมา แต่ขั้น ข.ไข่ เป็นตัวกลาง แต่คั่น ค.ควาย เสียงพ้องกัน แต่พยัญชนะต่าง คั่น บางกว่า ขั้น แต่กั้นนี้สุดแล้ว ขวางอย่างใหญ่ที่สุด
สระ อักษร สำเนียง เสียง เสียงพ้องกันแต่สะกดพยัญชนะคนละอย่าง ขั้น กับ คั่น เป็นนัยซับซ้อนที่เอาทั้งเสียงทั้งตัวรูปพยัญชนะ หนักเข้าก็ความรู้สึกนาม กับตัวรูปต่างๆ รูปกับนามซ้อนกันเหมือนอันเดียวกัน แต่สภาวะต่างกัน
ขั้น เป็นไม้โท แต่คั่น เป็นไม้เอก แต่เสียงเหมือนกัน สภาวะอันเดียวกัน แต่ก็มีต่างกัน กั้น ขั้น คั่น
(มี 1 2 3 ในนาฬิกาพอดี) ในสองเส้า สองเท่ากับหนึ่ง กั้นหนึ่ง ขั้นกับคั่นนี้ สองอันบาง รวมกันหนึ่ง หนาคือกั้น มีนิมิตรูปกับนาม พระพุทธเจ้าอุบัติปุ๊บ แผ่นดินต้องไหว มันต้องอย่างนั้น ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ มันจะต้องมีอะไรรองรับรูปกับนาม ได้ฟังมานี้เป็น รายละเอียดที่ใหม่ขึ้นไหม แล้วคุณจะรู้เองได้ไหม อาตมาก็ค่อยๆอธิบายไป ก่อนหน้านี้ ทำไมไม่พูด ก็ยังไม่ถึงเวลานี้ เมื่อถึงเวลาของมันกรรมก็ยังไม่เกิด กรรมมันจะเกิด ต้องถึงเวลาที่สมดุล
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน กิริยากับกรรม ต่างกันอย่างไร
กรรมกับกาละ กาละกรรมเกิด กับกาละกรรมตาย เพราะฉะนั้นคำว่า ทำกาละเกิดหรือทำกาละตาย คำว่าทำกาละนี้กำกวม แล้วเขาเอาไปใช้กันว่า พระอรหันต์จะทำกาละ ไปหมายถึงท่านจะตาย เพราะว่าอรหันต์เกิดมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าพระอรหันต์ตายนั่นเสียของแล้ว เพราะว่าถ้าท่านยังอยู่ โลกจะได้ประโยชน์
กรรมกับกิริยา ถ้าจะแยกรูปกับนาม ตัวกรรมเป็นรูปกิริยาเป็นนาม
กิริยา อาการเคลื่อน กรรม คือทำแล้ว กิริยาเป็น Dynamic กรรม เป็น Static
ความกลับไปกลับมาระหว่าง Static กับ Dynamic รูปกับนามเท่านี้แหละคือธรรมะ 2 ตั้งแต่ความหยาบจนถึงละเอียดไปหา 0 จนกระทั่ง 0 เท่ากับ 00
0 คือสภาวะนี้ แล้ว 00 คนที่ได้ 0000 ก็เข้ามาลองภูมิคนได้ 00 คนที่ภูมิไม่พอ ก็รู้ไม่ได้ 0000 ถ้าได้เพิ่มอีกเป็น 00000000 เป็นแปด 8 ก็เพิ่มเป็น 16 ก็ต้องกลับขั้วอีก ก็ต้องเพิ่มปัญญา จาก 8 เป็น 16 จะพรวดเดียวไม่ได้ ก็ต้องค่อยเป็นไป 11 12 13 14 ไปเรื่อยๆ
อาตมาตั้งใจจริงๆเริ่มต้นปี 48 นี้ ถ้าอีก 2 ปีกว่าเต็ม 50 แล้วสิบที่จะเต็ม10 ก็เป็นความเริ่มต้น เป็น .5 .6 .7 .8 .9 เป็น 10 กว่าจะ 10 เต็ม 10 อีก ใช้สังขยาเลขเหล่านี้
การเพิ่มภูมิความรู้ความจริง ในโลกนี้มีความรู้ 2 อย่างนี้ ความรู้ทำให้เกิดปัญญา ความจริงก็ซ้อนเป็นธรรมะ 2 ทำงานร่วมกันเป็นธรรมะ 2 ไปขยายไปอีกมากมาย หลากหลายในโลกีย์นี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน ขนมไม่มีมีที่มาอย่างไร
เรื่องที่มีมากในโลกคือโลกีย์ ก็รู้ทั้งมีและทำความไม่มีได้ เรียกว่าโลกุตระ ผู้ที่เป็นโลกุตระแล้วจะอยู่ทั้งโลกีย์และโลกุตระได้ทั้ง 2 อย่าง มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ผู้มีอย่างเดียวทำไม่มีไม่เป็นก็ได้ แต่มีทุกข์ มีไหม ก็ต้องมีทุกข์ เพราะทำไม่มีไม่เป็น
ทิศทางผู้มีเป็นโลกีย์ โลกีย์นั้นมีแต่มากไม่มีจบ ไม่มีทางไปหาสูญ เอาขนมไม่มี เอามากิน? ข้าราชบริภารก็จะเอาขนมอย่างไรให้มากินขนมไม่มี ก็ไปทำขนมแบบอีกอย่าง ที่ท่านไม่เคยรู้จักไม่เคยเสวย ก็ทำขนมแบบใหม่มา ก็บอกว่าเป็นขนมไม่มี กินแล้ว ก็
บอกว่าดี วันหลังเอาขนมไม่มีมาให้กินอีก ถ้าเกิดขนมชนิดใหม่ชื่อว่าขนมไม่มี ทีนี้ คำว่าไม่มีก็ถูกจองไว้แล้ว เขาก็ไปตั้งชื่อขนมใหม่ ขนมก็เลยมากมายขึ้น ด้วยประการฉะนี้
ขนม คือ ข น ม ข คือว่าง น คือไม่มี ม คือจิต เพราะฉะนั้น จิตถ้าอยู่ในว่าง กับไม่ เป็นพยัญชนะ ว่าง กับไม่ อยู่ด้วยกัน กับภาวะ ว่าง กับไม่ สภาวะเดียวกัน แต่พยัญชนะ 2 คือ ว่างกับไม่
ไม่ คือ ไ กับ ม่ กับไม่อีกอันคือ ไหม้
ไม่ คือ ไ กับ มี ส่วนไหม้ อันนี้บรรลัยหมดแหละ มีก็บรรลัย ไม่มีก็บรรลัย พยัญชนะมากกว่า แต่ไม่ คือไม่มี มันก็แสดงสภาวะ 2 อย่าง ไม่เป็นรูป ไหม้ เป็น Dynamic นี่มันก็ใช้พยัญชนะกับสภาวะ ซ้อนกันอย่างนี้
ในภาวะที่เป็นกิริยา ไหม้ ยังมีนะ ถ้า ไม่ คือไม่มีแล้ว มันไม่แล้ว แต่เสียงมันยังพ้อง ไหม้ ในกิริยาอยู่นะ เป็นพยัญชนะที่มีสภาวะ และเล่นเสียงสำเนียงในพยัญชนะอีก
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน เริ่มจากสุขกับทุกข์จนถึงที่สุด
เรื่องของธรรมะ เรื่องของโลกียะหรือเรื่องของธรรมะสอง เรื่องของรูปกับนาม จึงซ้อนๆๆละอียดไปอีกมากมายก่ายกอง แต่ถ้าเราชัดเจนในสภาวะ จะใช้ความละเอียด อย่างไรเล่า เรียกเสียงสำเนียงว่าเป็นบัญญัติ กับตัวสภาวะจริง เราชัดทุกอย่าง เรียกว่า อรรถะกับพยัญชนะ อรรถะคือสภาวะ พยัญชนะคือบัญญัติ ไม่สับสนแล้ว
นี่คือพยัญชนะ อย่างนี้คือสภาวะ ถ้าชัดเจนแล้วจะใช้ภาษาละเอียดเข้าไปอีกอย่างไร ก็ดูได้ชัดเจน อาตมาเอาธรรมะกับพยัญชนะ จับคู่กัน เราเข้าใจใช้พยัญชนะกับสภาวะคู่กัน ไม่สับสน ว่าอันไหนหมายถึงอะไรด้วยวิญญาณ เราสามารถรู้วิญญาณ อ่านเจตนาของเขา ได้ว่า อ๋อ เขาสับสนพยัญชนะ แต่เจตนาเขามีอย่างนี้
คนที่อ่าน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็จัดการโดยมี ผัสสะเป็นสมุทัย หากไม่มีสมุทัยก็ปฏิบัติได้ไม่จริง มีแต่สัญญาก็โมเม ถ้ามีผัสสะแล้วจัดการเวทนา สัญญา เจตนาได้ เจตนามีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาได้
กามตัณหาหยาบหมด ไปมีรูป อรูปเป็นภวตัณหาอีก ก็ล้างต่ออีก จนหมด รูปภพ อรูปภพ ภวตัณหาก็หมด ตัณหา 3 ก็หมด
ตัณหา 3 หมดแล้ว แต่คุณยังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน
เป็นเรื่องของความรู้รูปนาม อรรถะ พยัญชนะ เรื่องของพยัญชนะกับนามธรรม ที่อาตมาใช้บัญญัติภาษาแทนสภาวะ สภาวะคือสิ่งปรากฏของตัวเองรู้เองกำหนดเอง เมื่อใช้บัญญัติภาษาสื่อเข้าไปแล้ว คุณก็กำหนดเรียงกำกับใส่ให้ถูกฝาถูกตัวนะ ถ้าใส่ถูกตัวไปเรื่อยๆ ก็เกิดรู้ความจริงไปเรื่อยๆ ก็อยู่กับสังคมละเอียดขึ้น รู้ว่าอะไรควรมี อะไรไม่ควรมี คุณก็อยู่กับสิ่งที่มีและไม่มีนี้ในที่สุด ด้วยความจริงใจ ด้วยความซื่อสัตย์ ก็อยู่กับความมีและความไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเล่ม 16 ข้อ 47 ไว้ว่า ขอใช้คำว่า มี กับ ไม่มีนี่แหละ ในโลก จะจบหรือจะต่อก็อยู่กับมีหรือไม่มี จะตายหรือจะเป็น ก็อยู่กับมีกับไม่มี มันจะสูญหรือดิ้นอยู่ก็แล้วแต่ มันเป็นธรรมะ 2
เมื่อเราเข้าใจพยัญชนะภาษานี้แล้ว เราก็กำหนดตัวถูกสภาวะต่างๆ แล้วเอามาใช้ได้ เราก็ชัดเจนในคำว่า สุข ทุกข์
คำว่า สุ คือดี ทุ คือไม่ดี ทุกข์จึงต้องมีสามตัว ทุกข ต้องมีสาม ส่วน สุข นั้นมีสองเอง
สุข เราไม่เขียน ก.ไก่ใส่ ถ้าเขียน ก.ไก่ใส่ก็กลับกันกับสุข ถ้ามีแต่สุก นี้อยู่ยาวเลย ถูกต้มแล้วต้มเปื่อยอีก แล้วกลับมารวมตัวอีกเป็นสุก คือตัวมี แต่สุขคือตัวว่าง เมื่อไม่ยอมว่างไม่ยอมหยุดก็ดำเนินการต่อไป แล้วก็ยังไปสั่งอีก ก็เป็น ฆ.ระฆัง ก็สามเส้า ก ข ฆ สะสมเป็น ฆ ไปเรื่อยๆ ยิ่งสะสมต่อไปเป็นยิ่ง ง.งู โง่ต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบ จนกว่าจะเกิด
จ ฉ ช ฌ ย
ก ข ฆ ค ง คือตัวมี
จ ฉ ช ฌ ย คือตัวรู้
ฏ ฐ ฑ คือเริ่มก่อตัว
ต ถ ธ ท น คือแน่นเลย ตั้งมั่นเลย
เสร็จแล้วก็รวมเรื่องทั้งปวง
ป ผ พ ภ ม ป เริ่มต้นทั้งรูป ทั้งนาม ผ คือผัสสะ พ คือพฤติกรรมลีลา ภ คือเจริญขึ้น สั่งสมเป็น ม ตัว ม นี้เพิ่มเป็น มม คือ มมัง อาการของมมังนั่นแหละคือจิตตัวทุกข์ ตัวยึดมั่นถือมั่น มมังอาการจิตตัวกูของกูหากขึ้นถึง มมังการ ต่อจาก มมังการ ยังไม่หยุดยังมีอหังการ
อหัง คือเศษวรรค อ คือสระ ยังไม่เริ่มต้น
ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ตัว ฬ นี้ อลังการที่สุด ผู้ใหญ่ไม่มีกำหนดเลย ใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ใหญ่ไม่มีที่จบ ตัว ฬ
ห คือตัวรวม รวมลงมาหมดเลย โยนให้ ฬ เอ็งเอาไปโง่ต่อ โง่ที่สุดคือ ฬ จุฬา
รู้ย่อที่สุดคือ จุฬา รู้ย่อที่สุดคือ จุล รู้อย่างละเอียดที่สุด จุลหรือจุฬ
ล กับ ฬ ตัว ล.ลิงจึงเป็นตัวนาม ฬ จึงเป็นตัวรูป ล.ลิงเป็นตัวใช้งาน ส่วน ฬ เป็นตัวเก็บใส่ในเซฟ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน สัมประสิทธิ์ของพระโพธิสัตว์
อาตมาทำงานมา 48 ปี กว่าอาตมาจะทำงานไปจนถึง 70 ปี ก็เหลืออีก 23 ปี
2 กับ 3 อาตมามีต้นทุนที่ 1 แล้วต้องทำอีก 2-3 ถึง 70 แล้วอาตมาก็ไม่คิดจะหยุด แต่อย่างน้อยอาตมาก็น่าจะทำงานไปเท่ากับในหลวง ร.9 นะ เราก็พูดกันว่า จะเดินตาม รอยเท้าพ่อ อาตมาก็น่าจะทำเกิน 70 ปี ถ้าอาตมาทำเกินถึง 70 ปี แล้วอาตมาจะทำให้ เพิ่มอีกก็ต้องเพิ่มนักษัตรต่อไป อีกนักษัตรหนึ่งเป็น 120 ก็ยังสนุก น่าจะบวกอีก 12 เป็น 132 แล้วก็มีโมเมนตัมบวกอีก 12 เป็น 144 หมดลานแล้วไขลานไม่ออก ก็อยู่ชมโลกอีก 7 ปี พอ 144 แล้วก็บางทีอาจกระดุกกระดิกไม่ได้ เหมือนหลวงพ่อชา ที่กระดุกกระดิกไม่ได้ ตั้ง 7 ปี
ชา แปลว่า รู้ ความรู้ เจโตแท้ๆ แสดงนิมิตให้เห็น แต่ชาในภาษาไทยแปลว่าไม่รู้สึก มันความหมายกลับกันกับทางบาลี ถ้าพูดไทยเต็มว่า ชินชา แต่ ชิน นี่แปลว่าชนะ ชา นี่คือความรู้ ชินชาคือผู้ชนะด้วยความรู้ แต่แปลกลับเป็น ชินชาคือความเฉยๆ ซ้ำๆ สภาวะกับพยัญชนะกลับกันไปกลับกันมาอีก
หากเข้าใจความหมาย คนที่มีความชัดเจนในปัญญาก็รู้ ไม่งง ถ้ารู้ทันก็ไม่งง คนที่จะรู้ทันต้องมีความรู้ที่เร็ว สามารถรู้ได้ดีได้ทัน อันนี้เป็นการอธิบายสภาวะ โดยเอาพยัญชนะมาค่อยๆขยายความ ผู้ที่เรียนรู้ตามก็รู้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้วฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อ คนไม่รู้ตามได้
ใครมีความรู้สึกอย่างนั้นยกมือ ใครรู้เรื่องที่อาตมาอธิบายนี้ยกมือ ...โอ้โห คนฉลาดหรืออาตมาเก่ง ก็ด้วยกันทั้งคู่แหละ ไม่ใช่ว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง มันต้องด้วย กันทั้งคู่ สมพอกันมันถึงมันพอกิน ถ้าไม่สมพอกัน มันก็มันไม่พอกิน
มาพูดถึงปัจจุบันที่เราจะเดินต่อไปในอนาคต
ตอนนี้เรารู้ภาวะปัจจุบันของสังคม สังคมประเทศไทย มีอะไร
ตอนนี้ประเทศไทยมีอะไรเด่น มีน้ำมันมาก มีอะไรเด่น มีทองคำมาก ธนบัตร บาทราคาดีกว่าในโลก หรืออะไรดีอะไรมาก มีกล้วย มันอะไรกันแน่ นี่มะนาวนะ มะนาวอะไรกัน ลูกเบ้อเร่อ มันเปรี้ยวแต่ไม่หอม มะนาวจำลอง
ที่นี่ ในปัจจุบันนี้เรามีอะไรดี มีโลกุตรธรรม ในหลวงเรานี้ทรงมา ไม่เคยรู้กันว่า ในหลวงทรงเป็นรูป คนรู้รูปธรรมออก แต่คนไม่รู้นามธรรม อาตมาก็กำลังขยายความ นามธรรมซึ่งยากกว่าละเอียดกว่า และเป็นต้นทางของรูปด้วย นามธรรมเป็นประธาน สิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณหรือมโนเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง
ในธรรมะ 2 ของสัตว์โลกต้องมีรูปและนาม รูปอย่างเดียวไม่มีอะไรควบคุม แต่เริ่มต้นพีชะมีประธาน I แล้วจัดการพวก S H เก่งกว่า ISH มีอย่างอื่นเรียกว่า Other เป็นอัญญะอื่นๆออกไปแล้ว เพิ่มขึ้นเป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 เป็น 7 เป็น 8 เป็น 9 เป็นสามเส้า คูณและยกกำลังไปเรื่อยๆ
ขณะนี้โลกกำลังรู้จักว่าสุขกับทุกข์ มีกับไม่มี จนกับรวย อัตตากับอนัตตา คนก็มาศึกษาเรียนรู้
หากจนกับรวย ก็เป็นการบอกสิ่งที่เป็นวัตถุเท่านั้น มีกับไม่มีก็เป็นกลางๆ จะเรียกว่า วัตถุหรือนาม ก็เรียกว่ามีกับไม่มี พอเป็นอัตตากับอนัตตาเป็นนามล้วนๆ ไม่มีรูป อัตตาคือมี อนัตตาคือไม่มี
ก็สภาวะมันคืออัตตากับอนัตตา ก็ต้องมาเรียนรู้ สภาวะที่มีพยัญชนะ เรียกว่าอัตตา คืออะไร จนทำให้อัตตามันหมด ก็เรียนกันหมด ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา คือหยาบใหญ่ ที่สัมผัสภายนอกเกี่ยวข้องกัน
เริ่มตั้งแต่อบายภูมิ คือโอฬาริกอัตตา หมดได้ ก็จะรู้โครงสร้าง ที่ทำให้ไม่มีได้สำเร็จ เรียกว่าอบายมุข ทำอย่างไร ไอ้ไม่มีที่ว่าคืออบายภูมิ ไม่มีคืออย่างไร คุณชัดเจนทำได้ กามชั้นต่ำ ชั้นกลางและชั้นสูง แต่ในต่ำกลางสูง ก็มีซอยละเอียดเป็น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จะซอยไปเป็นสามสิบ สี่สิบ เป็นร้อย เป็น 200 300 เป็น 500 1000 ก็แล้วแต่ใครจะมีญาณปัญญาละเอียดไปเรื่อยๆ ก็เป็นจริงตามภูมิธรรมของแต่ละคน ที่จะทำได้ซับซ้อนไปตามลำดับ
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว เรากำลังพิสูจน์กันว่า ความไม่มีนี่สบายกว่าความมี ความไม่มีนี่เป็นโทษเป็นภัย น้อยกว่ามี
คนที่ไม่มีสมบัติพัสถาน แต่มีนามธรรม มีคุณค่าคุณงามความดีในสังคม คนรู้จักคุณงามความดีที่เป็นนามธรรม มันไม่มีตัวตนไม่มีอะไร มันเกิดในปัจจุบัน นามธรรมจริงๆ แล้วเกิดในปัจจุบันเท่านั้น เกิดแล้วก็หายสูญไม่ตกค้าง กิริยาไม่ตกค้างเป็นกาย หรือสั่งสมลงเป็นกรรม กิริยาทำเสร็จตกเป็นกรรม กรรมก็ไปอยู่ที่สัญญา กายคือสภาวะที่ครบทั้ง ภายนอกภายใน ครบทั้งตาหูจมูกลิ้นกาย
หากไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายไม่เรียกว่ากาย ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสกัน มีสภาวะขึ้นมาจึงเรียกว่ากาย
กายไม่มีนามธรรมมารับรู้ เช่นว่า นาฬิกา ถ้าไม่มีนามธรรมมารับรู้ มันก็ได้แต่คนอื่น มาจัดการกับมัน จะไปต้มยำทำแกงอะไรมันก็ไม่รู้เรื่อง คนสร้างขึ้นมาด้วย มันไม่มี ประสิทธิภาพอะไรเลยในตัวมันเอง คนอื่นมาประกอบมันขึ้นมา สังขารมันขึ้นมา ให้มันมีวัตถุโครงสร้าง ตามระบบของเขา จนมันเป็นอันนี้ขึ้นมา เหมือนหุ่นยนต์ คนจะพยายามสร้างหุ่นยนต์ให้มีธาตุวิญญาณ ใครว่าจะสำเร็จไหม ก็ไม่มีทางสำเร็จหรอก ไปสร้างวัตถุให้เป็นวิญญาณโดยตรงไม่ได้ เราต้องสร้างรูปธรรมในนามของเราเอง ไม่มีความรู้สึกได้แล้ว จัดการกับความรู้สึกนั้น ตั้งแต่ความรู้สึกทุกข์กับสุข ทุกข์มากมาย จนทุกข์น้อย จนไม่มีทุกข์เลย ก็ต้องเรียนเอง สร้างเอง ฝึกฝนเอง ทำเองให้ได้
ความรู้สุดยอดก็คือ สุขทุกข์ คนที่มามีชีวิตแบบพวกเรา เป็นชีวิตที่จน ไม่มีเงิน สักบาท แต่สุขสำราญเบิกบานใจ มีระบบอยู่ในสังคมกลุ่ม มีงานมีการมีอะไร มีความรู้ต่างๆนานา ไม่มีกิเลส ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม มีแต่สิ่งดีสิ่งงามเท่านั้น ดีไม่ดี บางคนมีสิ่งดีงามมากเกินไป ทำล้ำหน้า ทำจนต้องคอยดึงกันไว้ เพราะถ้ามันมากเกิน ทำมากเกิน กลับจะย้อนมาทำลาย มันเวอร์เกินจะทำลายก็ต้องดึงไว้ แต่ต้องมีอัตราการก้าวหน้า อย่าไปดึงจนไม่มีใครทำ ก็ชรตา เสื่อมหรือ Coefficient พลังงานอัตรา ก้าวหน้าไม่มีการก้าวหน้า และมันก้าวหลังถอยหลังเสื่อมไปแล้ว มันก็ไม่ไปต่อ เข้าไปหาศูนย์ นี่คือความหมายของ สัมประสิทธิ์ Coefficient
หากคนเข้าใจ Coefficient จะไม่ทำระเบิดปรมาณู ระเบิดไฮโดรเจนทางวัตถุ อย่างนายคิมจองอึน เขายังไม่สนใจโพธิรักษ์ เพราะว่า คิมจองอึนรู้แต่รูปธรรม ไม่รู้นามธรรมภูมิ เขาไม่รู้เรื่อง เหมือนเทวทัต จะไม่รู้สิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนพระเจ้าอชาตศัตรู ที่มีอนันตริยกรรมไปฆ่าพ่อ ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้นามธรรมได้ ฟังแล้วจะงงๆ ทั้งที่ฉลาดยิ่งใหญ่ขนาดนี้มันเป็นอจินไตย อาตมาจะต้องขยายเรื่องอจินไตยกับพวกเราอีก อย่างสำคัญ มันมีตัวกั้นไม่ให้ไปรู้ได้ หนึ่งรู้ สองทำ รู้ก็ไม่รู้แล้ว การกระทำมันก็ไม่มี มันก็ทำไม่ได้
นี่เป็นเรื่องอจินไตย เป็นความละเอียดมากเลย อจินไตย ที่อาตมากำลังขยาย ความรู้เหล่านี้ จากอจินไตย 4 พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา
พุทธวิสัย เราไม่สามารถอยู่ได้ก็ปล่อยไปก่อน ฌานวิสัย อยู่ในภูมิสาวก สาวกที่สูงอย่างอาตมา เป็นวิสัยที่มีฌานวิสัย ฌานวิสัย ต้องมีความรู้ ระดับรูปฌานอรูปฌาน เป็นการจัดการกับพลังงาน อุณหธาตุ ที่จะเป็นการสร้างหรือการสลาย
ถ้าสร้างเราเรียกว่า พลังงานในระดับ Fusion กระจายหายไป Fusion ละลาย แล้วค่อยมาหลอมตัว เพราะถ้าละลายแล้ว จะแยกสิ่งที่เป็นขยะออกไป เอาแต่ของดี มารวมตัวกัน จึงเรียกว่า Fusion จะได้ไม่มีภัยโทษ เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ที่ได้สัดส่วนที่ดี
สิ่งเหล่านี้ ที่ใช้พยัญชนะ สื่อแทนรูปกับนามหรือบวกกับลบ ที่เป็นพลังงาน ธรรมะสองก็มีในนี้ตลอดเวลา ใช้พยัญชนะซ้อนไปวนไปมาจากหยาบไปถึงละเอียด แล้วก็มีหยาบถึงละเอียดซ้อนลงไปอีก จนไม่มีพยัญชนะแล้ว พูดให้ละเอียดซ้อน ใช้พยัญชนะมาสื่อให้คนอื่นไม่รู้ได้แล้ว คนอื่นเข้าใจไม่ได้แล้ว ก็จบ
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์จึงมียอดที่ทิ้งช่องว่างกับคนอื่นไปได้
เรื่อยๆ จึงเรียกว่าโพธิสัตว์ที่มีอัตราการก้าวหน้า ที่ก้าวทิ้งช่องว่าง ทิ้ง GAP ปฏิพากย์ทวี ไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าจึงทิ้งช่องว่างห่างจากคนอื่นมาก ผู้ที่จะมีความรู้เท่าพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ในขณะเดียวกันนั้นเป็นไปไม่ได้ Impossible เพราะเป็นสัจจะของอัตราการ ก้าวหน้า Coefficient (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เขาเตือนว่าสูงไปกว่านี้มันจะมากไปแล้ว เอาแค่นี้ก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน อาคาร บวร ในความคิดของพ่อครู
มาเอาที่ปัจจุบัน เราเอาความจริง ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเป็นต้นตอของความรู้โลกุตระ แล้วจะนำพาโลกุตรสัจจะ ให้เจริญไป คือ สรุปคำง่ายๆโลกุตรสัจจะ คือโลกที่จะปรุงแต่งวนในนี้ แต่ผู้ร่วมปรุงแต่งอยู่ด้วย ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการปรุงแต่งนั้น เพราะตัวเองนั้นศูนย์แล้ว ร่วมกินร่วมใช้อาศัยได้ มันเป็นวัตถุหยาบรูปธรรม คนที่อยู่ร่วมกันที่ชัดเจนในเรื่องกินเรื่องใช้ กวฬิงการาหาร ไม่ต้องแย่งชิงกันเลยเป็นความอุดมสมบูรณ์ อย่างอโศกเรามีประสบการณ์ มีความเหลือมาก
เราจึงตั้งหลักแหล่งเพื่อที่จะผลิตอันนี้มา เอามาแจก ไม่ไปเดินแจกให้เสียเวลา เสียพลังงาน แต่ตั้งหลักแหล่งเลย ตอนนี้ อาคาร เปลี่ยนจากอาคาร สวน เป็น อาคาร บวร อยู่ที่ราชธานีอโศก มีความลงตัวที่มีเนื้อที่ถึง 11 ไร่ ก็จะรวมสารพัดในนี้แหละ
แล้วตอนนี้ก็กำลังมีเค้าว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีรู้จักอโศกดี บอกให้รู้ เลยว่าจะเอาอะไร ว่างั้นนะ แล้วอย่าได้ที ไปละลาบละล้วงมาก ให้อ่อนน้อมถ่อมตนไว้ ตามฐานะของเรา อย่าไปอยากใหญ่อยากโตอยากได้อยากมี
อาตมานึกถึงรูปธรรมของสังคมบ้านราชฯ ต้องรู้ให้ชัดว่า อาคารบวร จะรวมทั้ง 1.การค้าพาณิชย์และ 2.การศึกษา มีการวิจัยทดลอง 3.รวมตัวเป็นแหล่งที่จะเป็นความรู้ การศึกษานามธรรม ก็ต้องเพิ่มความรู้ไปเรื่อยๆ ทำวิจัย มีห้องทดลอง ทำให้เกิดตัวตน เอามาใช้ได้อย่างแท้จริง
ตอนนี้ยังไม่เกิดรูปร่างพวกนี้หรอก เป็นความคิดของอาตมา แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำ เพื่อหารายได้ สะสมให้แก่ตัวเอง ไม่ เราทำเพื่อส่วนรวมส่วนกลาง เพื่อประโยชน์ที่แท้จริง อย่างบริสุทธิ์ใจ อาตมาบริสุทธิ์ใจพวกเราก็บริสุทธิ์ใจตาม ใครไม่บริสุทธิ์ใจก็จะออกห่าง ไปเรื่อยๆ ใครบริสุทธิ์ใจก็มาช่วยกันทำ อย่าให้มีตัวตน ใครมีตัวตนมากก็ต้องมีปัญญา ทำให้เขาห่างไว้ แต่ขนาดนี้ตัวตนไม่มากก็มาช่วยกันได้
ก็จะก่อตัวลงเป็นสถานที่เสนาสนะ แล้วมีบุคคล แล้วจะมีสิ่งอาศัยเป็นสัปปายะ 4 สถานที่ บุคคล สิ่งอาศัย และมีสิ่งที่ทรงไว้ สิ่งอาศัยมีบุคคลเป็นมวลรวมองค์รวม มันก็จะเป็น แหล่งกลาง ใครจะไปจะมา ตอนนี้ดูรู้สึกว่าไกล ต่อไปคมนาคมดี แม้แต่ทางน้ำมีพาหนะดี ตอนนี้ถนนฝั่งอุบล จะมาถึงตรงข้ามแม่น้ำมูน จะเลยไปอีก จนถึงพิบูลฯ ก็จะดี จะได้ใช้ทั้งทางบกและทางน้ำ ตรงเราก็จะเป็นจุดศูนย์กลาง สร้างขึ้นมาเยอะๆแล้วแจกกัน หรือขายให้ถูกๆ ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ ท่องสูตรนี้ไว้แล้วทำให้ถูกเถอะ ต่างประเทศก็จะมาอยู่ที่นี่ก็จะมาได้ ถ้าเราทำให้กระจายเพิ่มขึ้นไป เราเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องพูดมากแต่ทำให้เกิดจริงอันนี้ มันกำลังก่อหวอด ยังไม่เป็นรูปร่างเท่าไหร่
เพราะอาตมาสร้างด้วยความจน ความจนคือความไม่มีมาก ทำอย่างกระเบียด กระเสียร ประโยชน์สูงประหยัดสุด ไม่ใช่ทำอย่างหนักมากฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เราไม่ทำลักษณะขนาดนั้น เราทำอย่างประหยัดมัธยัสถ์พากเพียร ด้วยความอุตสาหะวิริยะ ลงแรงมาก พยายามพากเพียรสร้างให้ทันให้ได้ อย่างนี้แหละเป็นเรื่องการแสดงสมรรถนะ ที่แสดงถึงความจริงที่อุตสาหะวิริยะอย่างยิ่ง เราก็ต้องทำ มันเป็นโอกาสเป็นกาละเวลา ที่เราจะได้ทำตัว
พวกเรานี้ที่จริงก็มีเชื้อ เชื้อโลกุตระของพระพุทธเจ้าแล้ว ตอนนี้ถึงพยายามรวบรวม ก็ไม่ค่อยรวบรวมคนแก่ คนแก่จะมาก็มาไม่มาก็แล้วแต่ แต่จะรวบรวมคนหนุ่มสาว ที่มีพลังงานดี ก็จะมาช่วยสร้าง เพราะถ้าเรามีคนหนุ่มสาวมา พลังงานเหล่านี้ก็จะเป็น พลังงานวัยทำงาน ก็จะได้มาช่วยกัน ทำเสร็จแล้วคนแก่ก็มาพึ่งพาได้ แรงงานที่ถาวร เสถียรก็จะสร้างสรรค์
ทำไปแล้วเราจะชัดเจน โลกีย์ก็เท่านั้น ไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข หากเราไปหลงเสพความมีความไม่มีกับเขานั้น ก็ไม่จบไปอีกล้านๆชาติ คนที่ชัดเจนแล้ว พอแล้ว สันโดษ ไม่เอาแล้ว มาทางนี้ดีกว่า มาหาสูญดีกว่า จะได้เป็นอรหันต์ จะได้ทำอรหันต์ได้ จะได้หยุด หยุดได้แล้วมีภูมิธรรมแล้ว คุณอยากจะมีอีกก็มีไปสิ มีอย่างไรคุณก็เบื่อแล้ว คุณก็มี เราก็รู้ว่าควรมี ถ้ามันไม่มีเราก็สร้างขึ้นมาอีก ถ้าเรายังมีความรู้ ความสามารถ ทำในสิ่งมีคุณค่าประโยชน์ไม่มีโทษภัยด้วย มันต้องอาศัยเรา ไม่ใช่เราอวดดี เราทำสิ่งจริงให้มันดี ทำไมต้องเป็นเรา ก็มาจบที่ทำไมต้องเป็นเรา ก็ต้องเป็นเรา รวมเราเขาให้เป็นหนึ่ง
All for One One For all One For All All for one ทับทวีไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น มันต้องเป็นเราแล้วทำไมต้องเป็นเรา เพราะเราควรเป็น มันไม่มีทางเลือกหรอก มัน Born To Be แล้วมันไม่มีใครมา Born เรามัน born แล้วก็ต้อง to be เราเกิดเป็นอันนี้แล้ว ไม่มีอะไรอื่น เกิดก็เกิดแล้ว ก็ต้องเป็นไป To be ไม่เป็นไปไม่ได้ มันเป็นสัจจะ
หากคุณไม่รับผิดชอบ คุณสะสมคนโง่หรือคนฉลาด คุณสะสมความฉลาด หรือความโง่มา คุณสะสมความโง่มา ก็แล้วไปเถอะ คุณก็ยอมรับว่าคุณโง่ ก็จบ ก็ไม่ทำ แต่ถ้าคุณสั่งสมความฉลาดมา ฉลาดก็ต้องช่วยกันสิ อยู่ในภาวะต้องช่วยกันอยู่ หรือว่าไม่ต้องช่วยกันแล้ว สังคมประเทศชาติไม่ต้องช่วยกันแล้ว เขาช่วยตัวเองได้หมดแล้ว ได้หรือยัง แม้แต่อาตมา พูดตรงๆ อาตมาว่าพวกคุณนี้ อาตมาต้องช่วยอยู่ ใช่ไหม จะให้อาตมาตายเสียก็ได้แล้ว ….โยมตอบว่า ยัง ถามจริงว่าควรปล่อยให้อาตมา ตายได้แล้วสะเทือนไหม สะอื้นไหม ภาษาบัญญัติสู่สภาวะได้จริง มันเป็นความจริงว่า อาตมาตายไปคุณใช้ได้หรือยัง คุณก็ยังไม่อยากให้ตายหรอก เพราะว่ายังพึ่งพาตัวเองไม่รอด อย่าเพิ่งตาย อันนี้เป็นสภาวะสัจจะ มันเป็นความจริงใช่ไหม อาตมาถ้ามีภูมิรับสภาวะจริงจากพวกคุณได้ อาตมาก็ตายไม่ลง คนนั้นรับทัน
ก็สาธุเลย
สาธุ แปลว่าดีแล้วเจ้าข้า ก็เลยตายไม่ได้ จริงๆอาตมาก็ว่า อาตมารู้ รู้ชัดเจน ในสิ่งที่ควรจะเป็นควรจะมี พูดไปเหมือนยกยอตัวเอง อาตมาไม่เสแสร้งแกล้งประชด อะไรก็ทำไปตามควร
สิ่งที่สูงสุดภาษาที่ใช้ก็คือคำว่าควรกับไม่ควร โดยภูมิธรรมส่วนตัว ตัดสินว่าอันนี้ควร หรือไม่ควร พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติไว้ไม่ตั้งไว้ แม้อธิบายไว้ คุณต้องพึ่งตัวเองแล้ว ใช้ปัญญาความฉลาดของตัวเองเป็นตัวตัดสิน ผิดถูกก็เป็นวิบากของคุณ คุณยังรู้ผิด แล้วตัดสินอย่างนี้ ก็มีวิบาก ตัดสินในสิ่งที่ควร แต่คุณตัดสินว่าไม่ควร หรือตัดสินสิ่งที่ควร ทั้งที่ไม่ควร ก็สลับกับเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันก็เป็นวิบาก ไม่ควรก็เป็นวิบาก ทำให้ถูกต้อง ก็แล้วกัน ถ้าถูกต้องก็จบ
พูดไป ขยายความวนไปวนมา ให้พวกเราได้รู้ว่า การเกิด การเป็น การมีมาเป็นมนุษย์ คือสัตว์โลกที่ชื่อว่า จิตสูงมนุสโส มีจิตใจเฉลียวฉลาดเป็นธาตุหรืออันสูงสุดมนุสโส อาตมาเติมคำว่า อาริยะ ไม่เอาอริยะหรืออารยะ เอาอาริยะ เป็นผู้ที่มีความฉลาดอย่างนี้ โลกุตระอย่างนี้ นี่แหละ เป็นสิ่งที่จะต้องให้มนุษย์โลกมาเป็นมามีมาได้ ไม่มีอื่นดีกว่านี้ ถ้าใครมีสินค้ามีผลผลิตดีกว่าอาริยะ เอามาเสนอหน่อย อาตมาจะได้ช่วยกันพิสูจน์ เลือกดูสิว่าสิ่งของที่เสนอใหม่นี้ที่เรียกเขาอาจเรียกชื่อว่า นวัตกรรมใหม่อย่างอื่น ก็มาดูสภาวะเทียบเคียงกัน ว่าจริงๆแล้วสภาวะที่อาตมาเรียกมันว่าอาริยะกับนวัตกรรมใหม่ ของเจ้าอื่นมาเสนอนี่ หรือจะมาล้อเลียนว่า ของผมอาริยะตัวแท้ของท่านไม่ใช่ ก็พยัญชนะ มีความซ้ำก็มาพิสูจน์สภาวการณ์ว่าอะไรมันดีกว่ากันแท้ ก็เอาอันนั้น อาตมาไม่ว่านะ อาตมาจะพยายามวางใจเป็นกลาง ว่าของอาตมาหรือของเขาดีกว่า ถ้าของเขาดีกว่า แล้วแต่มาบอกว่าไม่เอา ก็มีอัตตาตัวตน หรืออวิชชาไม่รู้ว่าของเขาดีกว่า โง่ คนอื่นเขา เห็นชัดหมดแล้วว่าอันนั้นเป็นความรู้ที่คุณสู้เขาไม่ได้หรอก อันโน้นดีกว่า เขาลงมติแล้ว อาตมาก็เอาอยู่ว่าของข้าดีกว่า อาตมาก็ว่าอาตมาต้องโง่หนัก
สรุปแล้วความเห็นของคนส่วนรวมในบรรดาปัญญาชนในสังคม หรือสภา
สภา ส.เสือกับ ภ.สำเภา ส.เสือคือตัวกูของกู ส ตัวตน ภ คือความเจริญ สภาคือความเจริญของตัวตน สมาชิกสภาลงมติว่าอันนี้ดีกว่าของคุณ คุณก็บอกว่า ของข้าดีกว่า คุณก็เป็นสัญญายนิจจานิ อย่างนี้ก็ต้องสู้กับหมู่ แต่ถ้าคุณไม่สู้กับหมู่ก็ต้องเอากับหมู่ หากคุณไม่เอากับหมู่ คุณก็ต้องเป็นช้างมาตังคะ ต้องแยกออกไป ไปสร้างหมู่ใหม่ ถ้าคุณดีอีก มีมวลโลกใหม่เอาของคุณมากกว่าคุณก็ไปดี แต่ถ้าคุณไม่มากกว่า แต่แม้จะไม่มากกว่า แต่มีสัจจะที่ดีกว่าจริงก็อยู่ได้ อาตมาชัดเจน จะอีกเท่าไหร่นานเท่าไหร่ หมู่อโศกก็จะไม่มากกว่าหมู่โลกีย์ จนกว่าจะถึงเวลาล้างโลก แม้แต่สญชัยเวลัตบุตร ไม่ค่อยฉลาดนัก สารีบุตรถามว่า ท่านอาจารย์ว่า คนโง่หรือ คนฉลาดในโลกที่มีมากกว่ากัน สญชัยเป็นคนถามพระสารีบุตรเช่นนี้ พระสารีบุตรก็ตอบว่า คนโง่นั้นมากกว่าคนฉลาด สญชัยก็บอกว่า เธอไปอยู่กับคนน้อยเถอะ อาจารย์จะอยู่กับคนโง่ที่มีมาก นี่คือโลกีย์หลงความมาก ในยุคนี้ ก็มีเช่นเดียวกันกับ
ยุคพระพุทธเจ้า
ท่านผู้เป็นลูกศิษย์ของสญชัยเวลัตบุตรทั้งหลาย ใช่หรือเปล่า? พวกคุณเป็นลูกศิษย์ของสญชัยเวลัตบุตรหรือ ก็ไม่ใช่ มันต้องมั่นคงชัดเจนและแม่นยำ ในสภาวะและพยัญชนะ
สรุปแล้ว พยัญชนะกับสภาวะสองอย่างนี้ขยาย วิจัยไปอีกเยอะแยะหลากหลายมากมาย แล้วเราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ อาตมาก็หยิบมา ได้ขยายความว่า
อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย
อนุสัยย้อนมาวิสัยพอมาวิสัยแล้ว พุทธวิสัยก็อย่างหนึ่ง ฌานวิสัยก็ไม่อาจเอื้อมไปพุทธวิสัย ผู้มีฌานวิสัย อยู่เหนือกรรมวิบาก อันที่สี่โลกจินตา
ผู้มีฌานวิสัยสามารถรู้กรรมวิบาก รู้โลกจินตา แต่ไม่บังอาจไปรู้พุทธพิสัย เราก็จะได้ ขยายความกันไปต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ศูนย์กลางคือเกาะรัตนราชธานี
ขณะนี้ สัปปายะ 4
หนึ่ง สถานที่ เรามีแล้วนะ ราชธานีอโศกคือธานีของราชะ เป็นเกาะราชธานี ไม่ใช่เกาะรัตนโกสินทร์ ลำลองจากเกาะรัตนโกสินทร์ไปแล้ว เพราะเกาะรัตนโกสินทร์นั้นมีผู้ยึดครองแล้ว เราก็จะไปสร้างใหม่ไม่ต้องไปแข่งเขา สร้างรูปธรรมใหม่ ให้ผู้มีดวงตาดีไปใช้ประโยชน์ หรือจะไปอยู่ในแวดวงรัตนโกสินทร์ หรือจะไปในบริบทราชธานีอโศก ซึ่งเป็นหน่วยเล็ก หน่วยเล็กที่จะมีคุณภาพใหญ่ คุณภาพนามธรรม เป็นคุณภาพของโลกุตระที่ชัดเจนกว่ารัตนโกสินทร์
รัตนโกสินทร์นี้มีโลกุตระแล้ว แต่เป็นโลกุตระที่กระจาย แต่ถ้าไปราชธานีจะเป็น โลกุตระที่มีหัว หัวนี่มีหมดนะ กระจายก็มีด้วย หัวนี้มีตั้งแต่ต้น จนมียอดปิรามิด ตรงมาถึง หมด แต่กระจายนี่ ถ้ากระจายมากที่สุดก็อยู่พื้น ถ้ากระจายเก่งขึ้นมาก็รวมเป็นชั้น 2 3 4
ดูมวลมากแต่คุณภาพไม่เข้มข้นเท่ากับยอด ยอดมีน้อยแต่คุณภาพเข้มข้น นี่ก็คือมุมที่ต่างต้องรู้ลิงค ความต่างอันนี้ ถ้าเผื่อว่า เราสามารถเราเข้าใจ โลกุตระ 2 คือรัตนโกสินทร์กับราชธานี
รัตนโกสินทร์ก็ให้เจริญ ก็จะเป็นตัวอย่างของปลายยอดของปิรามิด ที่จะขยายพื้น ไปสู่ประเทศข้างนอกโลกข้างนอก แล้วก็จะรวมตัวเข้ามาร่วม
ส่วนราชธานีอโศกก็คือ จะอยู่เหนือรัตนโกสินทร์เข้ามาอีกที เราไม่บังอาจไปดึง นอกยอดที่รัตนโกสินทร์กระจายอยู่กับมวลนอกต่างประเทศ ต้องให้รัตนโกสินทร์นั้น รวมเอาต่างประเทศเข้ามา ส่วนเรา ราชธานีอโศกนั้น รวมเอาอีกทีหนึ่งจากรัตนโกสินทร์ ไม่ได้ขัดแย้งไม่ได้แย่งกัน ผู้มีปัญญาในรัตนโกสินทร์ก็จะเข้ามาร่วมกับราชธานี คนอยู่ต่าง ประเทศก็จะเข้ามาร่วมกับรัตนโกสินทร์ ก็เป็นการทยอยสนับสนุนกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ ได้แย่งกัน
ปัญญาจะชัดเจนอย่างนี้ว่าควร ไม่ใช่ ฆ่า เลิกฆ่าแล้ว มีแต่ควร มีแต่ควร มีแต่ ค ว ร ไม่เอา ข้า ค่า ฆ่า แล้วตลกนะ
ค่า ข้า ฆ่า
ค่า กับ ข้า คำว่า ข้า เป็นอัตตา ค่าคือคุณค่า
ใครหลงรูปก็ชอบไม้โทมากกว่าไม้เอก ก็ยังยาวยืดฟุ่มเฟือยรุ่มร่าม ยังไม่เป็น หนึ่งขึ้นมา ถ้าค่านี้เป็นหนึ่งขึ้นมา แต่ ข.กับ ค.นี้ ค.ก้าวหน้ากว่านะ พยัญชนะกับสระ คำความแม้ที่สุดสำเนียงเสียง ซึ่งมันเป็นสภาวะที่แทนสัจจะ ถ้าเราเข้าใจแล้ว นี่คือ สิ่งที่มีในโลก อาตมาใช้สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ใช้พยัญชนะแทนสภาวะแทน ใช้รูปแทน ใช้นามมาเป็นตัว สิ่งที่จะกำหนดก็คือนาม เป็น เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ที่จะรู้บทบาท เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ จนแยกเป็นเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
จนแยกเวทนา 108 ก็ต้องใช้สัญญากำหนดรู้เวทนา 108 แล้วมาปรุงแต่งเป็น อภิสังขาร ให้ได้สัดส่วน อะไรควรล้างออก ชำระไป แล้วก็ได้สิ่งที่ได้มาเรื่อยๆ แล้ว
ปรุงแต่งเข้ามารวมตกผลึกเป็นอเนญชา เป็นตัวตั้งตัวฐาน ตัวฐานะ ไปเรื่อยๆ
ฐานของโลกุตระอยู่ที่ประเทศไทย โดยโลก ฐานของโลกุตระ โดยโลก อยู่ที่ส่วนกลาง คือกรุงเทพฯ หรือประเทศไทย ประเทศไทยมีกรุงเทพฯ เป็น เมืองหลวง ส่วนซ้อนลงไปของประเทศไทยคือราชธานี เมืองหลวงของ ประเทศไทยคือราชธานี เมืองหลวงของโลกคือรัตนโกสินทร์ สับสนไหม มันเป็น อย่างนี้ซ้อนกันไปพูดเป็นสภาวะสัจธรรมความจริง ไม่ได้ไปหลอกเลอะเทอะ ที่ไม่เป็นประโยชน์ สื่อเอาสภาวะกับพยัญชนะให้ฟัง
มาพูดเข้าเนื้อเข้าตัวของอาตมาหน่อย เหลือเวลาอีก 5 นาทีไม่ใช่อวดตัวตน จะเป็นการบอกด้วยความรู้ เป็นวิชาการ เป็นศาสตร์ หรือเป็นศาสนาก็ได้ ว่าอาตมา คือตัวแทนความรู้ผู้เอาความรู้มาเปิดเผยในยุคนี้ เพราะฉะนั้นจะหาคนที่มาพูด อย่างอาตมาอธิบายสิ่งอย่างนี้ในโลกแล้วก็สื่อไปให้คนเข้าใจผู้รู้แล้วเอาไปปฏิบัติ ได้เอาไปประพฤติได้เอาไปก่อกรรมได้แล้วเกิดผลขึ้นมาในโลก เพราะกรรมกริยา ของสัตว์โลกที่เป็นมนุษย์ 2 เป็นผู้รู้ที่สูงสูงอย่างอาริยะ สูงอย่างที่เป็นโลกุตระนี่แหละ ไม่เป็นพิษภัยต่อทุกอย่าง ไม่เป็นพิษภัยต่อสัตว์โลกที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน พืชพันธุ์ ธัญญาหาร ดินน้ำไฟลมช่องว่าง มีแต่สิ่งที่ดีขึ้น เสริมสารกันดีขึ้นด้วยเรื่อยๆ จนกว่าโลก นี้จะบรรลัยจักรไฟประลัยกัลป์ไหม้ ในอีกไม่กี่พันปีก็จะไม่หมด แล้วมันจะกลายเป็นโรค ในโลกลูกนี้เมื่อมันไม่แล้ว
ถ้าโลกโลกนี้ยังไม่แตกสลายจริงๆเพราะว่าพลังงานของคนนี้จะทำให้โลกลูกนี้
ระเบิดหรือไม่ ขณะนี้มันมีการสร้างระเบิดที่แรงมาก ที่เรียกว่าปรมาณูนิวเคลียร์ ระเบิดไฮโดรเจน ระเบิดอะไรที่จะเป็นพลังงานเล็กลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเล็กยิ่งแรง ตอนนี้ เขากำลังพยายามที่สุด ที่จะให้มันมีประสิทธิภาพ ยิ่งเล็กยิ่งแรง ยิ่งเล็กยิ่งแรง เพื่อเอาไปคานอำนาจ อย่างเช่นคิมจองอึน เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลยนะ เขาจะมาปลูกพืชผักเหมือนอย่างประเทศไทยเป็นอาหารไปเลี้ยงโลก หรือเขาจะสร้างอาวุธให้ได้ปริมาณมากๆ เขาก็เลยแข่งอันนี้ ทั้งปริมาณมากและมีฤทธิ์แรงแข่งกับอเมริกาไม่ได้ เพราะอเมริกาครองตำแหน่ง นี้มานาน ที่เปิดเผยตอนนี้ก็คือ อเมริกา รัสเซีย จีนก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ทีนี้หมก อาวุธไว้หรือเปล่า แล้วจีนนี้ไม่ใช่เบา เก่งนะ เพราะพลเมืองเขาเยอะ มีภาคบังคับ ไฟท์บังคับ คิมจองอึนก็เป็นไฟท์บังคับ เขาจึงต้องทำ ตอนนี้ตัวออกหน้าต้านทานก็คืออเมริกา นี่ก็คือสภาพโลก มันยังเป็นไป เราก็ดูละครของโลก ก็ไม่ได้ไปกดดันไม่ได้ไปกดขี่ เราไม่มีฤทธิ์อำนาจไปกดดันใครได้หรอก ยิ่งมามองอโศก อโศกไม่มีภาวะไปกดดันใครได้หรอก ไม่มีพลังหรอก อยู่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ เจี๋ยมเจี้ยมไปอย่างนั้นแหละ สร้างสิ่งที่ดีงามให้เข้าใจว่าอะไรดีสร้างให้ดี ทุกวันนี้เราทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ เพราะมันเป็นสมมติที่ต้องอาศัยความดีกับความไม่ดี สร้างแต่ความดี ไม่สร้างความไม่ดีไปเรื่อยๆจนกว่าเราจะปรินิพพาน คุณก็จบ ไม่รับรู้อะไรกับเขาไป แต่คุณยังอยู่ ก็ต้องช่วยกัน หมู่ไหนที่ควรจะรวมตัวช่วยกัน ก็ต้องไปรวมตัวตามปัญญาคนตัดสิน อันนี้เป็นอิสระเสรีภาพสูงสุดแล้ว แม้แต่มา ก็มีผลเท่านี้ ถ้าทำได้เท่านี้ ใครดีกว่านี้เก่งกว่านี้ ก็เชิญมาร่วมกับอาตมา อาตมาไม่มีทางไปรวมกับใครได้ เพราะว่ามีที่ตั้งอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะสร้างหลักแหล่ง คงไม่ไปสร้างที่อื่นนอกจากที่ราชธานีอโศก มันจะเป็นเสนาสนะ ก็จะสร้างให้ราชธานีเป็นสิ่งแวดล้อม เป็นสัมภวังโก เป็นสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์อยู่ตรงนั้น เท่าที่มันเป็นไปได้ จะใหญ่จะมากจะน้อย อาตมาว่ามีทั้งดินน้ำไฟลม มีทั้งอากาศที่เป็นอากาศหวานแล้ว แล้วก็มีทั้งพลังงาน มีทั้งสถานที่ มีทั้งบุคคล ทุกคนก็มี แล้วช่วยสร้าง ใครจะไปร่วมอีกก็ยินดีต้อนรับ พวกเรานี้มันมีชิปฝังชิพไว้แล้ว คนไม่มีชิป อย่าเพิ่งมา ไม่ไหว คนไม่มีเชื้อโลกุตระมาอาตมาว่าไม่มีพลังพอที่จะไปรับมือกับพวกนี้ เราก็รับคนที่ควรรับ หรือจริงๆโดยธรรมชาติ มันก็คัดเลือก มันจะขจัดคนที่ไม่ใช่ออกไป ด้วยสัจจะมันเป็นเช่นนั้น แล้วจะร่วมกันครบ พวกเราช่วยกัน อาตมาไม่จำเป็นต้องคัดออก คัดเข้า พวกเราช่วยกัน หรือพลังงานทั้งตัวบุคคลทั้งตัวสถานที่ทางวัตถุมันจะช่วยคัดเลือก ที่สุดพลังงานมันจะช่วยคัดเลือกเอง
พลังงานแค่สายตาก็ไล่คนได้นะ พลังงานปากหอกมันก็ไล่คนได้ พลังงานเตะ ก็ไล่คนได้ พลังงานใช้หอกดาบที่พูดให้มันแรงขึ้น ก็ไล่คนได้ พลังงานที่ไร้คน เป็นพลังงานโง่ เราควรจะมีคนมารวมตัวมากๆ ไม่ใช่มาไล่คน มันซับซ้อน คุณอยากได้คนมาก หรือคุณอยากได้คนน้อย คุณอยากได้คนมาก แต่คุณทำรุนแรงฆ่าแกงทำร้าย ทำใจอำมหิต เขาก็ไม่อยากไปอยู่ร่วม เพราะฉะนั้นคิมจองอึนศึกษาให้ดี คุณจะทำรุนแรง ทำหยาบคาย จะทำอะไร คุณจะมีคนไปร่วมกับคุณไหม คุณก็จะมีแต่ระเบิดอยู่กับคุณ แล้วระเบิดคนควรจะสร้างทันไหมล่ะ ถ้าคนนี้เอาไม้จิ้มฟันในโลกนี้ไปจิ้มตาคุณ คุณจะสร้างระเบิดได้ทันไหม วันประชากรโลกเอาไม้จิ้มฟันจิ้ม คิมจองอึนก็ตาย ไม่ต้องเอาระเบิดพิสดารอะไรหรอก อธิบายให้พวกเราฟังก็จะเข้าใจ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนนี้มันเป็นวิบากของใครของมัน ถ้าจะว่าไปแล้ว คิมจองอึนก็เป็นวิบากของเขา ก็ต้องทำไปตามวิบาก เป็นตัวอย่างของโลกที่เราจะต้องดู จะต้องเห็นเข้าใจและศึกษา มันเป็นสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ในการศึกษาทั้งสิ้น ใครจะติดตามไปฟังต่อ โปรดติดตามฉบับร่าง ฉบับนี้เป็นฉบับก่อน
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:43:10 )
รายละเอียด
601110_พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก สภาวะความฝัน 3 ประการ
ส.เดินดินว่า...วันนี้วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ที่สันติอโศก พ่อครู เพิ่งจะกลับมาจากปฐมอโศก ได้ร่วมงานศพโยมแม่ใจแผ้ว อ่อนแก้ว โยมแม่สมณะสัจจเปโม เป็นคนที่ใครเห็นใครได้คบคุณก็จะรู้สึกยินดี พอใจที่ได้พบกับยาย ก็พูดกันถึงว่า ทำไมคนถึงได้ชื่นชมและรักใคร่ยาย ก็เพราะว่ายายเป็นคนที่ชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่น แม้ตัวเองไปไม่ได้แต่ก็จะส่งความช่วยเหลือไปเสมอไม่ว่าใครก็ตามที่มีความลำบาก มีลูกๆเล่าว่า ตอนเด็กๆไม่รู้ว่าทำไมแม่จะต้องส่งตัวเองไปอยู่กับคนที่ทำให้ตนเองลำบากด้วย แต่มารู้ทีหลังก็เลยขอบคุณแม่ที่ได้ส่งให้ไปฝึกฝนกับคนที่ทำให้เราได้เจอกับความลำบาก คุณยายใจแผ้ว เป็นโยมแม่ของสมณะเลื่อนฟ้า สัจจเปโม สมณะเล่าว่า โยมแม่ไม่คิดจะกลับไปอยู่บ้านเลยคิดจะอยู่ที่วัดไปจนตาย
พ่อครูตั้งใจว่าจะยืดต่อศาสนาไปให้ถึง 5000 ปี ก็ถ้ามีคนเช่นนี้อยู่มากก็คงเป็นไปได้ คนอย่างนี้กลับมาเกิดจะกลับมากอบกู้ศาสนาได้แน่เพราะว่าคะแนนเสียงมีมากมาย อยู่วัดมีจุดเด่นที่บอกว่าจะไม่ว่าร้ายใครเลย ไม่พูดเรื่องร้ายของใครไม่ถือสาใคร เป็นสิ่งที่ ถ้าระบบสาธารณโภคีเป็นอย่างนี้จะทำให้ศาสนามีความเข้มแข็ง
ตัวอย่างของเราคนเล็กคนน้อยที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไร แต่เป็นคนเล็กคนน้อยที่ใครๆก็รัก ไม่ต้องไปเที่ยวเชียงรายกับพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่ทำให้สหประชาชาติมองออกว่า ในหลวงทรงมองพสกนิกรของพระองค์เป็นคนในครอบครัว จนทำให้เกิดสาธารณโภคีที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ ในหลวงก็ยังตรัสกับข้าราชการที่ใกล้ชิดว่างานของพระองค์ยังไม่เสร็จ
ก็ทำให้เห็นว่าทิศทางของประเทศไทยจะเจริญรุ่งเรืองเป็นจุดศูนย์กลางวัฒนธรรมของโลก ก็เป็นไปได้ว่าแม้แต่คนเล็กคนน้อยก็ยังเข้าใจได้ คนใหญ่คนโตที่มีบารมีก็คงจะกลับมา ก็จะเป็นไปได้ จะเป็นไปได้พวกเราต้องช่วยกันด้วย เรื่องสาธารณโภคีชาวอโศกจะต้องปฏิบัติให้ได้ก่อน แต่ก็คิดว่ามีชาวอโศกไม่น้อยที่จะเลือกมีชีวิต 2 ระบบ Two in one เป็นคนจนด้วยจะเป็นคนรวยฉันก็ไม่ปฏิเสธ มี 2 อย่างอยู่ด้วยกัน อาตมาว่า คนที่เข้าใจต้องทำให้เป็นตัวอย่างว่าระบบสาธารณโภคีอยู่แบบคนจนนี่มันยิ่งใหญ่มีความสุขมากกว่า เทียบเคียงกับคนที่ เหยียบเรือสองแคม สมบัติส่วนตัวก็เอาไว้ด้วย แต่ความจนก็เอาด้วย
พ่อครูว่า...สมบัติส่วนตัวเขาก็เก็บเอาไว้ แต่มาอยู่กับคนจนด้วย รวยก็เอาของคนอื่น
ก็คงจะพูดถึงเรื่องคนจน อาตมาต้องพูดถึงเรื่องคนจนไปอีกนาน จะเขียนหนังสือแบบคนจนอยู่ ใช้ภาษาบ้านๆว่า ในหลวงทรงจั่วหัวไว้แล้วว่า เอาแบบคนจน ใช้คำว่าทรงนำหน้า
sms
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ควรรับรู้ธรรมะกี่สายแม้ไม่ถูก
_4155 คนที่มาอยู่สายสันติอโศกแล้ว ควรไปรับธรรมะ สายอื่นอีกมั้ยคะ
พ่อครูว่า...ควรรู้ แต่จะรับหรือไม่รับเราก็วินิจฉัย เอาแต่ของตัวเองคนเดียว มันจะกลายเป็นแบบธัมมชโยช่องนี้ช่องเดียว แล้วไม่สนใจช่องอื่น ถูกครอบงำทางความคิดหมดเลยมันก็โง่ดักดานเหมือนกับธรรมกาย ขออภัยที่ท่านเดินดินว่า ยอมใจเพราะไม่พูดร้ายใครเลยแต่ประมาณนี้พูดแล้วพูดอีก ก็เขาพูดว่าคนที่ไม่ตำหนิใครเลยจริงๆแล้วลึกซึ้งที่สุดก็คือ เป็นคนที่มี อัตตาสูง คนที่ไม่ตำหนิใครเลยเป็นคนที่มีอัตตาสูง เพราะว่าตำหนิใครก็รู้ว่าเขาจะไม่ชอบหน้าเรา ถ้าเราอย่าไปว่าใครให้เกิดความไม่ชอบหน้า ตำหนิคนอื่นแล้วเขาไม่ชอบเราก็เสียอัตตา คนไม่ยอมรับนับถือคนไม่รักไม่ได้ยอมฉันชอบมีคนใช้ ถ้าตำหนิคนแล้วควรจะชัง นี่เป็นความรู้สามัญของมนุษย์ อาตมาก็รู้แต่ก็ต้องทำ ขนาดติขนาดนี้ยังไม่กระเตื้อง ตำหนิและก็เอาหลักฐานความจริงของพระพุทธเจ้ามายืนยันอ้างอิง ตำหนิว่ามันผิดนะให้แก้ไขเสีย มาถึงทุกวันนี้ก็มีผล คนก็เข้าใจได้บ้าง แรกๆคนหาว่าอาตมาอวดดี ตั้งแต่บวชใหม่ๆ ก็ไปว่าสถาบันศาสนาที่เขาว่าเป็นผู้รู้ ขออภัย มันไม่มีทางเลี่ยงเพราะว่าเขาผิดจริงๆ อาตมาก็ยืนยันว่าตำหนิได้ถูกต้อง ก็เพราะว่ามันมากก็เลยเป็นเรื่องตำหนิเสียเยอะ แม้บอกว่าสิ่งใดไม่ถูกก็เลยตรงกับพวกที่เป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ถูก ส่วนถ้าพูดสิ่งที่ถูกมันก็มาตรงกับส่วนน้อยก็คือพวกเราเอง มันก็เหมือนกับการยกตนข่มท่าน
พูดไปว่า เช่นศีลนี้ถือกันอย่างนี้นะ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ปฏิบัติจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลกันแล้ว บอกว่าพระมีศีลเท่าไหร่ ก็บอกว่ามีศีล 227 ที่จริงแล้วไม่ใช่ศีลเป็นเพียงพระวินัย อย่างนี้เป็นต้น สมาธิก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตซึ่งไม่ใช่เลย สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต สมาธิของพระพุทธเจ้าต้องลืมตา ปฏิบัติให้เกิดสัมมาสมาธิในขณะทำอาชีพ ทำกรรมกันงานกัมมันตะ ในขณะพูด ขณะคิด ขณะที่จิตของเรามีสติกำหนดรู้ ทำให้จิตของเราลบสิ่งที่ผิดสิ่งที่เป็นอกุศลจิต ให้ลดลงลดลงนี่คือการ ทำฌาน ฌานลืมตา พ่อกิเลสลดลงได้ จิตใจก็แข็งแรงตกผลึกตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้า แต่ของทางศาสนากระแสหลักหรือส่วนใหญ่เลย อาตมาพูดมา 47 ปีแล้ว ไม่กระเตื้องเลย อาตมาว่ามีคนเข้าใจบ้าง จะเรียกว่ากระเตื้องไม่ได้ ในวงการศาสนาพุทธ
ถามว่า มาสายอโศกควรรู้สายอื่นไหม ควรรู้แต่ควรรับหรือไม่ก็ต้องพิจารณา
_3517ท่านเคยบวชที่วัดบวรไหมคับ ชาติที่แล้วเคยบวชไหมครับ
พ่อท่านจะเทศน์ ให้ชาวอโศก เพิ่มฐานการปฎิบัติธรรมได้บ้างไหมคับ มาคบคุ้นกับชาวอโศกรู้สึกว่าส่วนใหญ่หย่อนยานกว่าที่อื่น บางคนไม่มีคู่ก็มาหาภรรยามาหาสามีที่นี่ บางคนไม่มีอะไรเลยมาตัวเปล่าก็มารวยล้นฟ้าที่นี่มาหากินกับบรรพชนชาวอโศก ที่เค้าลดละ กล้าลาออกจากงาน ลาออกจากความร่ำรวย ผมว่าถ้าพ่อท่านไม่ทำอะไรบางอย่าง เช่นเทศน์ให้คนที่ถือศีลห้านี้พยายามถือศีลแปด คนถือศีลแปด ก็พยายามถือศีลสิบ ให้เห็นคุณค่าของการเป็นนักบวช ผมคิดว่าถ้าท่านไม่เริ่มทำ พระชาวอโศก นักบวชหญิงชาวอโศกจะไม่เหลือ ให้คนกราบไหว้อีกนะครับเพราะสังเกตดูไม่เห็นมีพระและนักบวชหญิงบวชใหม่เลยครับกราบขอบพระคุณอย่างสูงเลยครับ
พ่อครูว่า...ก็เป็นสิ่งที่แนะนำดีมากเลย เดี๋ยวค่อยๆพูดกัน
_รุจิรา วงศ์ปาลี..กราบพ่อครู ลูกเห็นว่าสัมมาทิฏฐิแก้ปัญหาได้ เช่นปัญหาพุทธศาสนาเน่า ปัญหาตำรวจฟอนเฟะ การช่วยเหลือคือแสดงสัมมาทิฏฐิให้ออกไป ถ้าใครต้องการแก้ปัญหา ก็ลองนำเอาไปใช้แก้กัน ใครเอาไปทำจริงก็แก้ได้จริง
น่าสงสารพวกเราคนไทยที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ แล้วจะแก้ปัญหาได้ยังไง อย่างน้อยถ้าได้ฟังสัมมาทิฏฐิก็ยังดี แต่จะนำไปใช้แก้ปัญหาหรือไม่ เป็นเรื่องของส่วนบุคคล ส่วนสถาบัน
_ขอพูดถึงเรื่องท่านใดจะจัดโรงบุญ 5 ธันวาฯมหากุศล(ปีต่อไปค่อยว่ากัน)
กรุณาแจ้งมาที่คุณใบแก้ว ชาวหินฟ้า 0864867868 และปะพัดชา ชาวหินฟ้า 0887770503
เมื่อจัดโรงบุญเสร็จแล้ว
กรุณาแจ้งบรรยากาศการจัดงานและรูปถ่ายมาที่ คุณใบแก้ว ชาวหินฟ้า พุทธสถานสันติอโศก 65/1 ซ.นวมินทร์44 ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10240
หรือที่ อีเมล sanasoke130@gmail.com
เราจะได้เก็บบันทึกและสถิติไว้เป็นประวัติศาสตร์ร่วมกัน
_3517ท่านเคยบวชที่วัดบวรไหมคับ ชาติที่แล้วเคยบวชไหมครับ
พ่อครูว่า...อาตมาบวชทั้งสองนิกาย บวชธรรมยุต ก่อน ต่อมาก็บวชกับมหานิกายอีก บวชแล้วไม่คิดจะฝึกอีกตายคาชีวิตนักบวชนี่แหละ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หมู่บ้านศีล 5 เป็นอย่างต่ำ
คุณคนนี้มาติว่า ชาวอโศกเคยเคร่ง ตอนนี้ไม่เคร่งแล้ว มาหาสามีภรรยาในนี้ ก็มีนะที่มาอยู่ในนี้เสร็จแล้วก็แต่งงานเป็นคู่ผัวตัวเมียตามครรลองคลองธรรม แต่ถ้าผิดกฎระเบียบวินัยสุดท้ายก็แต่งงาน มันก็ได้เหมือนกัน ศาสนาพุทธไม่ได้บอกว่ามีคู่ไม่ได้ ศีล 5 ก็แต่งงานได้ เป็นไปตามนั้น ถ้าเราตั้งชุมชนแล้วก็ดำเนินไปตามหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธ เคร่งก็เคยเคร่ง แต่ต่อมาตั้งชุมชนก็มีชุมชนศีล 5 จะเป็นชุมชนศีล 8 ที่เป็นวัดโดยทั้งหมดเลยมันก็ไม่ได้ เมื่อพูดถึงคำว่าชุมชน อาตมาเองยังภาคภูมิใจที่อาตมาทำสำเร็จ เอาคนมาอยู่ร่วมกัน แต่ก่อนเขามีบ้านข้างนอกแต่ตอนนี้ก็มาอยู่ร่วมกัน จนหมู่บ้านเป็นทางนิตินัย เช่น ราชธานีอโศกศีรษะอโศก เป็นหมู่บ้านที่ปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้าน มีศีล 5 ทั้งหมู่บ้าน ไม่มีอบายมุขทั้งหมู่บ้าน เหล้าขวดหนึ่งในหมู่บ้านชาวอโศกไม่มี สูบบุหรี่ก็ไม่มีอบายมุขไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกลัวว่าจะมียาเสพติดเลย
อาตมาเคยแย้ง มีตำรวจ แต่ก่อนนี้ เราจัดงานที่ม.รามคำแหง งานรามบูชาธรรมมีตำรวจคนหนึ่งมาพูดถึงเรื่องยาเสพติดแล้วเขาก็บอกว่า ชุมชนทั่วประเทศผมท้าได้ว่าไม่มีชุมชนไหนไม่มียาเสพติด มียาเสพติดทุกชมชนทุกแห่ง ผมไปดูมาหมดแล้ว อาตมาฟังแล้วก็เห็นค้านในใจว่าคุณยังไม่ไปดูชุมชนชาวอโศก ตอนนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องพิเศษตามที่นายตำรวจคนนั้นพูดก็จริง ว่ามันเต็มไปหมดเลยยาเสพติด ตอนนั้นมันหนัก เดี๋ยวนี้ก็น่าจะเหมือนกันหรือเปล่าไม่รู้
ชุมชนของเราอาตมาภูมิใจ ว่าได้ทำให้เกิดชุมชนนักปฏิบัติธรรม ก็มีว่าที่สังฆราชจะจัดตั้งให้หมู่บ้านมีศีล 5 แต่จะทำได้หรือจนป่านนี้ก็ยังทำไม่ได้ แต่ของเราเป็นหมู่บ้านที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน มีฆราวาสที่เป็นคนถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 คนถือศีล 10 รับรองได้ว่า เจ๋งกว่าพระ เพราะถือศีลกันตลอดชีวิตเป็นชุมชนสาธารณโภคี
นี่คือเรื่องยิ่งใหญ่ ความเป็นชุมชนที่เอาคนมารวมกันเป็นสาธารณโภคี คอมมิวนิสต์เขาอยากได้เป็นคอมมูนที่ 1 เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าส่วนกลางร้อยเปอร์เซ็นต์ คอมมิวนิสต์ยังไม่บังอาจทำได้เลย เสียภาษียังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นี่มันเกินกว่าภาษีและไม่หลบเลี่ยง แม้แต่ผลผลิตอื่นที่ไม่ใช่ภาษี เป็นคนเป็นผลผลิตก็ให้ส่วนกลางทั้งหมดให้ส่วนกลางบริหาร เป็นชุมชนเป็นขนาดนั้น จึงเป็นสังคมที่ซ่อนอยู่ในลัทธิ ประเทศ ประเทศลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิประชาธิปไตย ประชาธิปไตยก็ต้องการคนเสียภาษีให้มากที่สุดไม่หลบเลี่ยงภาษี ของเรานี่ได้ทั้งประชาธิปไตยได้ทั้งคอมมิวนิสต์ ไม่หลบเลี่ยงภาษีเต็มใจด้วย คอมมิวนิสต์ไม่เต็มใจนะ จะถูกบังคับ ประชาธิปไตยก็เหมือนกัน เขาไม่ได้เต็มใจเขาไม่เสียภาษีได้เป็นดี แต่เพราะว่ากฎหมายเขาจึงหนีไม่ออก แต่ก็ทำความซับซ้อนเรื่องนี้ เช่นไปทำบัญชี 2 -3 บัญชี ก็ในคนที่มีจริงอย่างพวกเราไม่มีปัญหา เสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างนี้เป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติที่อาตมาพาทำจนสำเร็จ มีชุมชนชาวอโศกอยู่ทั่วประเทศ
อาตมาเอาธรรมะเอาใจพระพุทธเจ้ามาสอนมาอธิบาย มาบอกให้ประพฤติปฏิบัติตนเกิดผลอย่างนี้ มีศีลมีธรรม เป็นชุมชนปฏิบัติธรรมจริงๆ ที่ทางนี้มองว่าย่อหย่อน ซึ่งไม่เป็นชุมชนที่จะต้องรวม ตอนแรกเคร่งใช่ ถึงขั้นที่ว่าถือศีล 8 กัน ตอนนั้นยังเป็นชุมชนที่เคร่งครัด พอต่อมาเป็นชุมชนที่ใหญ่ขึ้น ถ้าเคร่งครัดอย่างนั้นมันจะไม่กว้างขึ้น มีแต่ศีล 8 ไปไม่รอด เราก็มาเป็นศีล 5 ผู้ที่ยินดีจะไปปักหลักแหล่งในชีวิตในหมู่บ้านนี้ชุมชนนี้ เขาก็มาได้ ศีล5 อยู่ได้ ต่ำกว่าศีล 5 เราก็ไม่ให้ ควรจะอยู่ข้างนอก แต่ถ้าเข้าไปในหมู่บ้านอย่างน้อยต้องถือศีล 5 เช่นไม่มีอบายมุข ไม่เสพติดสิ่งเสพติดไม่สูบบุหรี่ไม่กินหมากเป็นต้น ไม่มีสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดที่ยากกว่านั้นก็ยิ่งไม่มี สิ่งเสพติดง่ายๆตื้นๆเขาทำไม่ได้ แต่เราทำได้
อย่าว่าแต่ สูบบุหรี่กินหมากที่เป็นฆราวาส แม้แต่พระทั่วไปก็ยังสูบบุหรี่กินหมากเฉย ไม่ถือว่าเป็นสิ่งเสพติดในอบายมุขในศีลข้อที่ 5
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จนอย่างสุขสำราญต้องมีศีล 5 เป็นปกติ
อาตมาทำงานชาตินี้ชีวิตนี้ สามารถทำให้คนให้มนุษยชาติพัฒนา อาตมาพูดก็เป็นความภาคภูมิใจจริงๆ ที่อาตมาว่า อาตมาทำงานให้คนพัฒนาตัวเอง หลุดจากสิ่งเสพติดมาพัฒนาตัวเองมีศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เป็นต้น นอกนั้นก็มีหลักเกณฑ์อื่นที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีมาทำสิ่งที่ดีๆ ซึ่งเป็นคนที่ฝึกตน ปฏิบัติมีชีวิตที่จะเป็นคนดีของสังคม อาตมาว่าได้ช่วยประเทศชาติอย่างนี้ ช่วยสังคมโลกอย่างนี้ เป็นงานที่อาตมาพอใจ เอาชีวิตมาทำงานตั้งแต่ออกมาเลย 47 ปีย่างแล้ว อาตมาก็ยังเต็มใจที่จะทำต่อไปอีก จนตาย เพราะเป็นงานที่ไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วในชีวิตมนุษย์
ชีวิตที่พาคนให้เป็นคนดีไม่ทำบาปไม่ทำอกุศล เป็นคนดีของโลกเป็นคนดีของสังคมเป็นคนดีของประเทศ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่มีงานไหนที่พิเศษเท่างานนี้หรอก จริงนะ อาตมาพูดนี้ มั่นใจว่าเป็นความจริง คนอื่นจะบอกว่างานไหนดีกว่านี้ การคิดค้นระเบิดปรมาณูงานระเบิดไฮโดรเจนดีก็ไปเถอะ หรือว่างานอะไรก็แล้วแต่ต่างๆนานาสารพัด อาตมาก็ว่า อาตมาเลือกงานนี้ ไม่มีรายได้ไม่มีค่าจ้าง เพราะว่าอาตมาสมัครใจที่จะไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นคนจน เจตนาเป็นคนจน เพราะคนจนนี่แหละยอดเยี่ยม
คนจนนี่แหละเป็นคนจนที่ประเสริฐเป็นคนจนที่สุดยอด ศาสนาพุทธสอนให้คนมาจน ใครทำได้สำเร็จ จนได้อย่างสุขสำราญเบิกบานใจชีวิตก็สบายแล้ว ต่อจากนั้นก็อยู่ไปจนตาย เพราะฉะนั้น อาริยบุคคลประมาณหนึ่ง ก็อยู่เป็นคนจนได้สบาย และถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมาอยู่กับความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจเป็นความประเสริฐ ยิ่งเป็นคุณค่าในโลก
ในโลกถ้ามีกลุ่มคนเช่นนี้ โดยมีพระอรหันต์เป็นหลัก เพราะว่าพระอรหันต์ท่านจนสำเร็จแล้วท่านจะไม่ไปร่ำรวยอีก อนาคามีก็หมดแล้วทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชาน เพราะอนาคามีแปลว่า ผู้ที่ไม่มีแล้วในบ้านเรือนชานช่องทรัพย์สิน ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้วก็ย่อมจะไม่มีความติดยึดในบ้านช่องทรัพย์สินเรือนชาน แม้แต่ความยึดถือในตัวตนก็หมดด้วย
คนที่เป็นได้ด้วยตัวเองจริงเป็นสันทิฏฐิโก คนชนิดนี้มีได้ ไม่จำกัด ยุคกาล อกาลิโก การเป็นได้เช่นนี้เป็นของสูง เป็นความเจริญของมนุษยชาติที่ควรจะเอื้อมมาให้แก่ตนให้ได้ให้แก่สังคม โอปนยิโก และเป็นเรื่องที่เป็นได้แล้วเป็นสิ่งที่ควรจะชวนให้คนมาดู เอหิปัสสิโก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ยอดเยี่ยม
อาตมาพาคนมาเป็นคนจนได้สำเร็จ ชีวิตนี้อาตมาประสบความสำเร็จมาก แต่ไม่มีคนริษยาอาตมา จริง ถ้ามันไม่เป็นโลกธรรมไม่เป็นโลกียะมันเป็นโลกุตระ ไม่มีใครริษยาหรอกนะอาตมาทำได้เช่นนี้ มีแต่คนที่มีปัญญาจะเห็นว่าน่ายกย่องชื่นชม ส่วนคนไม่มีปัญญาจะไม่รู้ค่าว่าอาตมาได้ทำสิ่งประเสริฐ จะหาว่าพระโพธิรักษ์มาทำอะไร พาคนมาบ้าบอสุดโต่ง เขาไม่มีปัญญาเข้าใจ ว่า อาตมาทำคนให้หลุดพ้นจากฐานโลกียะมาเป็นคนโลกุตระ ที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาประกาศในโลก
ในยุคของพระพุทธองค์นั้นมีเยอะที่เป็น อเสขบุคคล ในยุคนี้อาตมาเอามาประกาศก็มีคนที่เป็นอเสขบุคคลเป็นเสขบุคคลได้ ทั้งที่ศาสนาพุทธเสื่อมมาก กระแสหลักไม่เอาถ่าน และกระทำผิดทฤษฎีของพระพุทธเจ้าด้วย
เช่นศีลก็ออกไปนอก สมาธิก็ออกนอกทาง ปัญญาจะเป็นไปได้อย่างไร ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติศีล ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั้น เหมือนล้างมือด้วยมือ เหมือนล้างเท้าด้วยเท้า
คนที่มีปัญญาแล้วจะมีสมาธิ ได้ระดับต้นเป็นพระโสดาบันก็มีศีล 5 แล้วก็บรรลุจิตใจสูงขึ้น มีปัญญารู้ตลอดว่าจิตใจเจริญขึ้น โดยมีศีลกำหนด เรามีความเจริญเราก็รู้จริงๆว่าเราเจริญด้วยความบริสุทธิ์ขึ้น ไม่ใช่บริสุทธิ์เพียงแค่บัญญัติคือข้างนอก แต่บริสุทธิ์เข้าไปถึงภายใน ปฏิบัติศีลจนกิเลสตาย
หนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ เห็นสัตว์อย่างไรก็ไม่ฆ่า แม้ว่าสัตว์จะมาทำร้ายเรา เราก็หลบเลี่ยงอย่าให้สัตว์มาทำร้ายเรา ไม่ทำร้ายสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์ เราต้องเป็นผู้ที่หลบเลี่ยงไม่ให้สัตว์มาทำร้ายเรา ไม่ใช่สัตว์มาทำร้ายเราแต่เราก็ทำร้ายตอบว่าป้องกันตัวเอง ไม่เอาเพราะเราเป็นคน ชีวิตไม่ทำร้ายทำลายชีวิตใดเลย
สอง ศีลข้อที่ 2 ของที่ไม่ใช่ของๆเรา อย่าไปเบียดเบียนเขา อย่าเอาของเขามาเป็นของเรา แม้แต่ของๆใครๆก็อย่าไปคิดอ่านที่จะไปใช้เล่ห์ ใช้ความฉลาดเอาเปรียบมาให้แก่ตน ไม่ต้องไปพูดถึงการโกงกินทุจริตเลย เราอย่าไปเอาเปรียบใคร เราควรจะสร้างสรรให้มีให้มาขึ้นแล้วเผื่อแผ่ผู้อื่น นั่นต่างหากเป็นสิ่งประเสริฐ
ศีลข้อที่ 3 เรื่องของการสัมผัสกามคุณ 5 ตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็ไปติดสวรรค์ ไปติดในรสสุข ไปสนใจอยากได้ทางตา มีความสุขเป็นอุปาทาน แล้วอยากไปสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย แม้แต่อัตตา ได้สมใจตามที่ตั้งเป้าเป็นอุปาทานไว้ลึกๆ
ต้องลดละตั้งแต่ภายนอกก่อนที่หยาบจากภายนอก ส่วนอัตตาเป็นภายใน แม้ภายนอกเราควบคุมได้แล้ว ไม่ไปละเมิด ไม่ไปทำร้ายสัตว์ ไม่เอาของๆใคร สัมผัสแตะต้อง ทวารทั้ง 5 ก็จะต้องรู้จักรู้เท่าทัน ลดละ ไม่ติดในรส เป็นสกิทาคามี จนไม่มีภายนอกแล้วเหลือแต่ภายใน ภวภพ รูปภพอรูปภพ เราก็ลดละไปตามลำดับ
3 ข้อนี้และปฏิบัติใจให้เป็นพระอรหันต์ จากสามข้อนี้กาย วาจา ใจ
ข้อ 4 ไปเน้นวาจา จิต ข้อที่ 5 ขั้นต่ำสุดเรียกว่าอบาย หยาบที่สุดแม้มีอาชีวะ กุหนา ลปนา เป็นอาชีพที่ขี้โกงทุจริตแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าทุจริต ผู้ที่มีศีล 5 ก็จะเลิกมิจฉาชีพ 5 โดยเฉพาะข้อที่1 กุหนานี่แหละหยาบสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน เทศนาคือคำด่าเพราะว่ารัก
สมณะเดินดินว่า..มีเรื่องโจษจันกันว่าพระออกเงินกู้วันนี้จะผิดไหมครับ
พ่อครูว่า...ท่านไม่ให้พระมีเงิน แต่นี่ไปออกเงินกู้ มันเกินกว่าเป็นพระแล้ว ออกไปเถอะคุณไปเป็นฆราวาสโน่น ถ้าไปมีเงิน ทุกวันนี้ไปอนุโลมว่าให้พระมีเงิน ก็เลยไปทำลายบัญญัติพระพุทธเจ้า มีการสอนที่ไหนว่าให้พระมีเงินได้ ไปเอาคำสอนในพระไตรปิฎกตรงไหนมาว่าพระให้มีเงินได้ คนก็ไม่กล้าออกมาพูดเพราะว่าเขามีเงินกัน ก็จะเข้าเนื้อตัวเอง มันเสื่อมจนกระทั่งเป็นอย่างนั้น
อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องย่อยนะ เป็นเรื่องยืนยันสัจธรรมพระพุทธเจ้าว่ามันเสื่อมมาก อาตมาจึงได้พยายามพูดเพราะมันเสื่อมมากแล้ว จึงต้องอธิบายสาธยายแจกแจงว่ามันเสื่อมอย่างนี้ๆ มันหนักก็ต้องลงน้ำหนักว่ามันเสื่อมหนักอย่างนี้ ทั้งสุ้มเสียงสำเนียงภาษายืนยันแสดงออกว่า มันเป็นเช่นนี้จริงๆ คนที่ฟังอาตมาก็หาว่าอาตมารุนแรง ด่าว่า คุณจะเรียกว่าอาตมาด่าก็เข้าใจ ไม่มีปัญหาหรอกอาตมาจะทำอย่างนี้ ใครจะว่าด่าก็ด่าเพราะว่าคนที่ผิดนั้นควรถูกด่า ถ้าด่าแล้วนี้รู้ว่าคำด่านั้นคือเจตนาอะไร
เจตนาให้รู้ตัวว่าผิด ด่าคือเจตนาให้รู้ตัวว่าผิด นอกจากด่าเพราะว่าโง่ ด่าเพราะโกรธด่าเพราะรัก ด่าเพราะกิเลสบังคับบงการให้ด่าเขา แต่อาตมาไม่ได้ด่าด้วยกิเลส ด่าด้วยเจตนาปรารถนาดีด้วย จะเรียกโดนด่าก็ได้เพราะอาตมาใช้ภาษาแรง
แรงคือ พูดไปกระทบเรื่องทุจริต เรื่องที่ผิดของคนที่ผิด เพราะถือว่าสังคม มันมีแต่พูดผิดอย่างนี้มาก อาตมาพูดไปก็ไปโดนคนผิดนี้เยอะ ในวงการสงฆ์ด้วย มันไปกระทบคนมันก็เลยเกิดรุนแรง ไม่ใช่ว่าอาตมาทำความรุนแรง อาตมาออกเสียงทำท่าทีลีลา หาคำมาพูด เลือกคำมาพูดให้เข้าเนื้อหา ชัดๆ ก็แสดงเต็มที่ นัจจะคีตะวาทิตะ ให้มันเต็มที่ให้มันกระทบเต็มรูปร่างลักษณะทุกอย่าง พูดไปแล้วมันชัด ก็ต้องพยายามทำความชัดเจนนี้ให้มากๆ จะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ คลุมเครือ มันไม่ได้อะไร พูดให้ชัดๆ แต่แรงคนจะได้เข้าใจได้ง่าย จะหาว่าด่าก็ด่านะ รับเสียเลยก็แล้วกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน osmosis คือการซึมซับให้ถึงจิตวิญญาณ
ผู้ใดที่ฟังอาตมาพูดแล้ว เข้าใจดีอะไรดี อาตมาก็ยืนยันว่า ได้พามาปฏิบัติประพฤติจนได้ผลเกิดความบรรลุ สิ่งที่ไม่ดีก็เข้าใจให้ดี เลิกละมาก็มาเป็นคนดี ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏจริง ชวนให้มาพิสูจน์ได้จึงเรียกว่าเอหิปัสสิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ เป็นสิ่งที่ปฏิบัติด้วยกันรู้ได้ไม่ใช่คนพาลคนโง่จะรู้ได้ เราต้องอยู่กับคนที่เป็นบัณฑิต
ก็มาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านชุมชน เมื่อมาอยู่ข้างวัดใกล้วัดจนเกิดเป็นบวร ข้างวัดกับบวรต่างกัน ข้างวัด ก็อีกอย่าง ก็วัดกำหนดขอบเขต เป็นกำแพง สีมา เป็นที่กำหนดระหว่างโบสถ์เป็นที่ทำสังฆกรรม ไม่ใช่มีเขตที่ตรงสีมาเป็นอาวาส แต่นี่ไปกำหนดปนเปเลอะเทอะไปหมด
ในเขตของวัดที่จริงวัดคือบวร มีทางสังคมมนุษย์มีทางการศึกษา
บวร คือ บ้าน-วัด-โรงเรียน
บ้าน คือ สังคมมนุษย์ วัดคือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา
อาตมามีโรงเรียน ปฐมมัธยม การศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงแต่ให้มาศึกษาธรรมะ เด็กๆไม่เข้าโรงเรียนก็มาปฏิบัติธรรมะ จึงเป็นการปฏิบัติธรรมะอย่างบ้านวัดโรงเรียน ไม่ได้กำหนดตายตัวจะตัดเขตตรงนั้นตรงนี้เลย ไม่มี รวมกันอยู่เป็นบวร เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จะเกิดความพอใจเป็นความซึมซับ Osmosis จะเกิดการซึมซับถ่ายเทกันในแนวลึกขั้นจิตวิญญาณ พฤติกรรมจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นมันจะมีที่เป็นสมณะนักบวชภิกษุ มีทั้งที่เป็นฆราวาสที่จิตสูงเป็นเสขบุคคลเป็นอเสขบุคคล เป็นสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องผ่านพิธีบวชหรอก แต่ก็เป็นสมณะที่ 1 2 3 4 เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ แม้แต่เป็นฆราวาส อยู่เป็นสังคมบวรรวมกัน
อย่าว่าแต่ที่มาบวชจริง จะเป็นสมณะที่ 1 2 3 4 เลย ฆราวาสก็มีสมณะ 1 2 3 4 จึงเป็นอยู่กลุ่มเป็นสังคมชุมชนเป็นบวรที่มีบ้านวัดโรงเรียน เป็นสังคมที่เจริญ อาตมาทำงานศาสนามาจนถึงวันนี้ ทำให้เกิดบวรได้
คุณคนที่ถามว่าท่านเคยบวชที่วัดบวรไหมครับ อาตมาสร้างวัดบวร ไม่ใช่อาตมาเคยบวชที่วัดบวร อาตมาชาติที่แล้วก็เคยสร้างบวรอย่างนี้ ไม่ใช่มาบวชที่วัดบวร แต่สร้างวัดบวร สร้างหมู่บ้านบวรเลย สร้างโรงเรียน
แล้วก็ยังปฏิบัติธรรมกันทั้งหมู่บ้าน เอาจริงเอาจังกับการเรียนการศึกษาธรรมะ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นนักเรียนเด็กๆเราก็มีโรงเรียนเด็ก เราก็พากันปฏิบัติธรรม จริงๆไม่ใช่โรงเรียนนี้คือเด็ก โรงเรียนนี้คือทั้งหมู่บ้าน เป็นโรงเรียนปฏิบัติธรรม มีศีล 5 ทั้งหมู่บ้าน สร้างสมาธิทั้งหมู่บ้าน เพราะว่าพาทำสมาธิในขณะประกอบอาชีพ ทำสมาธิในขณะทำกรรมการงานทุกอย่าง ปฏิบัติสมาธิในขณะพูดจา ปฏิบัติสมาธิให้สามารถมีสติ มีมุทุภูตธาตุ อ่านจิตเราให้ทันรู้จัก ตักกะ วิตักกะสังกัปปปะ แล้ววิจัยออกว่ามันมี กาม พยาบาท วิหิงสา ผสมในวิตกนั้นไหม เริ่มตั้งแต่ กาม พยาบาท เอาให้ออกจากจิตได้ เรียกว่าเนกขัมมะ ออกได้แล้วก็ตกผลึกเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา คุณจะเกิดสังขารใหม่เป็นวจีสังขารอยู่ในจิต
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ปุญญาภิสังขารคือทำให้กิเลสลด
การทำให้กิเลสลดได้นั้นเรียกว่าอภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร ส่วนการจัดการ ใครจัดการให้จิตมันเกิดกิเลสลดได้เป็นบุญ
ปุญญะ แปลว่าการชำระกิเลส ไม่ใช่สร้างกุศล นี่มันไขว้เขวไปหมดระหว่างบุญกับกุศล ถ้าอาตมาไม่เกิดมา ไม่มีใครมานิยามชัดเจนว่าคำว่าบุญว่าไม่ใช่กุศล อาตมากล่าวว่า บุญไม่ใช่กุศลเพราะมันเทียบไม่ได้ บุญเป็นโลกุตระ กุศลเป็นโลกียะ มันมีสิ่งที่มี แต่บุญมันมีสิ่งที่ไม่มี พลังงานบุญเกิดในปัจจุบันเท่านั้น ใครสามารถจัดการใจให้เกิดพลังงานฌาน
ฌานคือธาตุไฟ อุณหธาตุ ฌานแปลว่าเผา ฌานคือไฟกองใหญ่ แล้วมันมีฤทธิ์ที่จะเผาไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะ เผาเสร็จแล้วบุญก็หายไป บุญไม่มีหน้าที่อื่น ไม่ได้เป็นกุศลไม่เป็นสมบัติที่จะสั่งสมบุญ บุญสั่งสมไม่ได้ บุญไม่มีการสั่งสม บุญไม่ใช่สมบัติ แต่บุญเป็นวิบัติ พอบุญสามารถทำอภิสังขาร สามารถทำให้บุญมีประสิทธิภาพ ทำให้กิเลสลดลงได้ เมื่อกิเลสลดได้จริงอย่างสัมมาทิฏฐิ และเป็นสัมมาปฏิบัติ เกิดลดได้เป็นส่วนส่วนเรียกว่า ปุญญภาคิยา เป็นบุญเป็นส่วน กิเลสของคุณมีร้อยหน่วยคราวนี้ทำให้ลดได้ 20% เหลืออีก 80 คุณก็ทำบุญเกิด 20 ต้องทำให้มันถาวรนะ ให้มันลดได้จนกระทั่งมันไม่เกิดอีกจริงๆมันเหลือ 80 แล้วก็ให้มันลดลงไปอีกด้วยจนเหลือ 70 50 40 เหลืออีก 30 ตัวอีก 20 จนหมด กิเลสลดได้เราเรียกว่าส่วนแห่งบุญไม่ใช่กุศลเลยไม่มีสมบัติมีแต่วิบัติ
เมื่อบุญล้างกิเลสหมดสิ้นอาสวะ ก็ปุญญปาปริกขีโณ บุญหมดบาปหมดด้วย บุญบาปสิ้นไปหมด เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว พระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปไม่ใช่ว่าพระอรหันต์คือคนบุญมาก พระอรหันต์เป็นคนไม่มีบุญ
ฟังแล้วก็ให้ตั้งสติปัญญาปฏิภาณปัญญาให้ดี พระอรหันต์ไม่มีบุญ จะบอกว่าพระอรหันต์ท่านเป็นคนบุญมาก ถ้าใครพูดอย่างนั้นแสดงว่าไม่ได้เข้าใจศาสนาพุทธอย่างสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง พูดได้เลยไหมจะเป็นอาจารย์ใหญ่ขนาดไหนก็แล้วแต่ ใครเชื่อว่าพระอรหันต์เป็นคนที่มีบุญมาก ใครพูดอย่างนี้ไม่มีทางพาให้บรรลุนิพพานบรรลุอรหันต์ได้ เพราะเข้าใจคำว่าบุญก็ผิดแล้ว
บุญนี้เป็นคำใหญ่ในศาสนาพุทธมีการขายบุญกันเต็มไปหมด แต่ท่านไม่รู้คำว่า บุญ กันอย่างสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติจริงๆนั่นคือศาสนาพุทธไม่มีแล้ว ในที่ไหนก็ตามที่อธิบายคำว่าบุญผิดไม่มีศาสนาพุทธในที่นั้น เพราะว่ามันเป็นตัวสำคัญเลยทีเดียว กุศลเป็นเรื่องของ โลกีย์ธรรมดา ทำความดีอย่าทำความชั่ว
สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสลสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส) ไม่มีกล่าวถึงคำว่าบาป คือไม่ทำบาปอีก ไม่มีบาป บุญก็ไม่ต้องกล่าวถึง บุญจบไปแล้ว ก็เอาพยัญชนะมาบอกว่า พระอรหันต์ไม่ทำบาปอีกทั้งนั้น ที่ทำกรรมมีแต่กุศลเป็นสมบัติที่ดี ไปแปลสัพพปาปสอกรณังกุสลสูปสัมปทา ว่า ละชั่วประพฤติดี ผิดทันที ไม่ใช่ ท่านไม่มีบาปแล้ว ไม่ทำบาปแล้วทำกรรมใดมีแต่ดีทั้งนั้น เพราะท่านชำระจิตให้สะอาดหมดจดแล้ว
ถ้าไม่เข้าใจคำว่าบุญให้ถูกต้อง ก็เข้าใจไม่ได้แม้แต่คำว่า ปุญญภาคิยา ส่วนของบุญคือส่วนที่ชำระกิเลสได้ แต่เมื่อไม่เข้าใจก็ชำระกิเลสไม่ได้ ทุกวันนี้เอาคำว่าบุญมาเป็นการค้า คำว่ากุศลเลยไม่ค่อยใช้กัน ก็เลยเละเทะไปหมด เป็นเครื่องบ่งบอกว่าไม่เข้าใจพยัญชนะ ไม่เข้าใจเนื้อหา ไม่เข้าใจสภาวธรรม
ผู้ที่ยังไปแปลพยัญชนะ ปุญญาภิสังขาร คือการปรุงแต่งสร้างบุญ แล้วไปแปลอปุญญาภิสังขารว่าไม่ได้สร้างบุญแล้วสร้างแต่บาป ก็ขยายความกลับกัน แสดงว่าไม่เข้าใจคำว่าบุญ เข้าใจสภาวะของคำว่าบุญไม่ถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน แปลบาลีจากสภาวธรรม
อาตมานี้เคยมีผู้พูดว่าอาตมาว่า ไม่รู้จักอัตถะ พยัญชนะ ไปแปลเลอะเทอะหมด ขออภัยตอนนั้นอาตมาก็คะนอง พูดออกนอกทางก็ขอยอมรับว่ามันมากไป เลยเถิดไป แต่อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ผิดสภาวะ แม้อาตมาจะแจกแยกพยัญชนะ อธิบายไปหาเนื้อหาอาตมาไม่ได้พูดผิด แต่พยัญชนะไม่เก่ง เผลอคะนองไป แต่เดี๋ยวนี้ก็ระมัดระวังมากแล้ว และก็รู้จักคำความละเอียดขึ้น แม้ภาษาบาลี
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
อาตมาติดปากติดตัวมาตั้งแต่เรียนมัธยม อาจารย์เข้ามาสอน ก็ไม่ได้มาสอนเหมือนกับบาลีเขาโดยตรง สอนตอนมัธยม ม.7 ม.8 อาจารย์ อนุศาสนาจารย์มาสอน ฟังแล้วก็จำได้ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้ไม่เคยลืม มันอยู่ในก้นบึ้งของจิต แล้วภาษาบาลีมีคนบอกว่าเป็นภาษาที่ตายแล้ว ใช่ หมายความว่าอย่าไปแปลผิดของเขา บาลีเขาแปลตายตัวแล้ว เป๊ะเลย ไม่มีผิดเพี้ยนไปจากเดิม ในความเป็นจริงแล้วภาษาที่เขาบอกว่า ในศาสนาพุทธไม่ได้ใช้บาลีเป็นหลักหรอก คนนี้ไม่รู้เรื่องไม่รู้ความจริง ภาษาบาลีนี่แหละเป็นแกนของศาสนาพุทธ แล้วพวกนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีก็วิจัย ว่ากันไปใหญ่
ถ้าเข้าใจภาษาบาลีเนื้อแท้จะเข้าใจธรรมะของพุทธศาสนา เป็นภาษาที่แม้แต่อักษร
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
ก ข ค ฆ ง มันจึงเป็นวรรคต้นวรรคเกิดเลย หากคุณไม่เข้าใจ ง หรือโง่ งง งวย ง่าว มันคือพยัญชนะวรรคที่เริ่มเกิดในมนุษย์ ก ก็คือเริ่มเกิดเริ่มมี ข คือดำเนินต่อไปเป็น ค แล้วก็ต้องรู้ว่าไปมีไม่ได้ต้องทำลายก็เป็นฆ คือฆ่า
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ คือรู้ไม่ใช่โง่แล้ว ญ คือปัญญาอัญญา ยอดรู้เลย
จ รู้ ฉ รู้ทั้งหกทวาร ช คือชา ปรีชา รู้รอบ คือยอดรู้ ฉ เริ่มรู้หกทวาร ช คือรู้ยอดรู้ ปรีชารู้รอบยอดเลย ฌ คือ ฌาน คือต้องอะไรที่ทำให้ความรู้ ไม่รู้ ไม่มี คือมีกิเลสเข้ามาทำให้มัวหมองกิเลสเข้ามาเป็นเจ้าเรือน ฌานต้องขจัดออกทำลายออก ให้เกิดญาณคือตัวปัญญาา
หากเข้าใจสัจธรรมแล้วจะขยายความได้
เริ่มต้นทำ ก ข ค ฆ ง ก็สั่งสมลง ในวรรค2
พอมา
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ตัว ฑ ฒ ณ คือวุฒิ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น คือตัวเริ่มตัวทำตัวเต็ม ถ้า น คือไม่
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม คือการบอกความเจริญ หรือเสื่อมแต่ที่จริงก็เจริญ ต้องมีผัสสะ มีโผฐัพพะ ต้องมีองค์ประกอบข้างนอก ป คือการประพฤติการกระทำ พ คือการเกิดพฤติกรรม ภ คือเจริญเต็ม จิตเต็ม เป็นธาตุรู้บริบูรณ์ นอกนั้นก็เป็นพลังงานที่เป็นเศษวรรค
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ ตัว ย คือเริ่มต้นทำ ร ล ว ส คือรวมการเกิดอีก
ที่เอามาพูดนี้ไม่มีในตำรา พวกที่เรียนมาก็หาว่าพูดเอาเอง ก็อาตมาสยังอภิญญา พูดแล้วรู้เรื่อง เข้าใจสภาวะดีแล้วปฏิบัติได้ ไม่ใช่ว่าเอาไปสอบเปรียญ คุณไปสอบก็ตก ไม่มีใครออกข้อสอบแบบนี้หรอกเพราะว่าไม่ตรงตามที่เขาสอนคุณก็ตก
ข้อสำคัญกิเลสลดลงไหม …ลด(ผู้ฟังตอบ) ก็นี่อวดอุตริมนุสธรรมกันนะ
ท่านไม่ได้ห้าม อุตตริมนุสสธรรมนั้นอวดไม่ได้
อาตมาพูดสอนบรรยายต้องเอาตัวจริงในยุคนี้เป็นองค์ประกอบในการสื่อสาร มันก็จะไม่เหมือนในยุคสมัยพระพุทธเจ้า คนละองค์ประกอบคนละสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกัน
อ่านอันนี้ต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาสวะ อนุสัย) ตอน ความฝัน 3 แบบ
_ลอย แคนาดา ขออนุญาตเรียนถามพ่อท่านอีกครั้งครับว่า ความฝันของผู้บรรลุธรรมในระดับต่างๆ แตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร
มีชนิดของความฝันที่เรียกว่า lucid dream มีนักวิทยาศาสตร์บางคน เชื่อว่า ผู้เป็นอรหันต์ ควรรู้ตนเองว่า กำลังฝันอยู่ เรื่องนี้พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรครับ
lucid dream คือความฝันเหมือนจริงภาพสี แต่ผู้ฝันจะรู้ตนเองว่ากำลังฝัน และมีสติในฝัน และคิดแก้ปัญหา อย่างมีสติ
การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และการประดิษฐ์ คิดค้น มาจาก ความฝันลักษณะนี้ จำนวนมาก เช่น คิดค้นโครงสร้างของอะตอม
นักวิทยาศาสตร์ทางจิต เชื่อว่าบางคนฝึกได้ โดยการเข้าสมาธิสูง ก่อนที่จะหลับไป
ผมเองมีประสบการณ์ lucid dream เช่นกัน แต่ไม่บ่อย คือรู้ตัวว่ากำลังฝันไป มีทั้งปล่อยวาง และแก้ปัญหาที่ซับซ้อน จนนำมาเขียน ตีพิมพ์ผลงานในระดับชาติครับ
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า ผมอวดการบรรลุธรรมระดับไหนนะครับ เพราะผมไม่เคยสนใจ เรื่องระดับการบรรลุ เหมือนไม่สนใจ ยศตำแหน่ง ครับ ผมสนใจพิจจารณาให้ปฏิบัตตนในองค์มรรค ด้วยสัมมาทิฏฐิ เพราะเชื่อว่า ถ้ามรรคถูกต้อง แกนนำคือสัมมาทิฏฐิ จะพาไปหาผลอยู่แล้ว
กรณี lucid dream นี้ อาจเป็นผลจาก สติ สมาธิ สังกัปปะ และทิฏฐิ จึงอาจเกี่ยวกับระดับการลดละกิเลส ตามที่มีนักวิทยาศาสตร์ตะวันตกบางกลุ่มเชื่อ จึงอยากเรียนขอความเห็นจากพ่อครูครับ
พ่อครูว่า...ถ้าจะให้ชี้ชัดความฝันก็คือสิ่งที่ตกเข้าไปในซับคอนเชียส sub consciousเข้าไปในจิต ด้วยความฝัน หรือจะเรียกว่านิมิต ก็คือภาพ เป็นเครื่องหมายอะไรบอกให้รู้ในนั้น ผู้ควบคุมฝันได้คือผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์เป็นต้นไปเป็นอเสขบุคคล ส่วนอนุสัย เป็นเรื่องลึกที่จะต้องสาธยายกันยาว เพราะว่าอนุสัยเป็นสิ่งที่มีทั้งความประเสริฐสุดก็เป็นสิ่งที่เลวสุด เพราะว่าเป็น คลัง ของความรู้ของความนึกคิด แล้วมันก็จะมีกิเลสในนั้นถ้าเป็นอรหันต์แล้ว มันก็ไม่มีกิเลสอีก แต่เป็นคลังความคิด อนุสัย จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ แทนที่จะเป็นอนุสัยที่เป็นกิเลสต่างๆก็ควบคุมได้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐทั้งสิ้น
เขาใช้ภาษาว่า 1 ฝัน 2 นิมิต นิมิตคือเครื่องหมายที่บอกให้รู้ ก็ควบคุมได้ไปเรื่อยๆจนอรหันต์ควบคุมได้หมด
ฝัน คือ 1 จินตนาการ 2 คืออาการของอนุสัย 3 วิสัยแห่งอจินไตย
3 คำนี้3อาตมาใช้พยัญชนะเรียกสภาวะ
1 คนที่อยู่ในภพของความคิดคือจินตนาการ 2 คนที่รู้เข้าใจก็จะเห็นอาการของตัวนิมิตหรือฝัน อ่านได้เห็นอาการเรียนรู้ มันเป็นอาการของอนุสัยขึ้นมาทำงาน คนที่ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถึงอาการของอนุสัยที่จะควบคุมมันได้ จนกระทั่งล้าง อกุศลเจตสิกในอนุสัยจนหมด จนกลายเป็นอนุสัยที่สะอาดเป็นอนุสัยของพระอรหันต์ คนนั้นก็สามารถที่จะเรียนรู้ไปเรื่อย จนถึงขั้น วิสัย
ผู้ที่มีวิสัย ตั้งแต่ ฌานวิสัย ก็คือคนเรียนรู้ จิตตั้งแต่ตัวสยัง ที่เป็นตัวอาศัย อาศัยเป็นภาษาไทยก็คือต้องอยู่กับอันนี้ อาศัยแปลว่าอยู่ทางนี้ เรียนรู้กับอันนี้แล้วจัดการล้างกิเลสออกไปเรื่อยๆ จนสั่งสมเป็น วิสัย
วิสัยคือตัวเราที่ทำ นิ ปฏิบัติสิ่งที่จะไม่ให้มีออกไปเรื่อยๆ จนเป็น สย ที่สุดยอดเรียกว่า วิเศษ วิสิทธิ์ วิสุทธิ์ เป็นวิสยะ วิสัย
คนที่ทำวิสัยจบก็เป็นอนุสัยของพระอรหันต์ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย จะไม่มีใครมาพูดหรอกว่าอนุสัยเป็นสิ่งที่ดี เพราะคนเขาทำให้อนุสัยบริสุทธิ์ไม่ได้ ทำตัวน้อยยิ่งกว่าปรมาณูของตัวตน พลังงานตัวตนพลังงาน สยะ พลังงานจิต พลังงานอัตตา แล้วตัวน้อยตัวเล็กนี้แหละ หากคุณไม่เรียนรู้ มันก็ครอบงำบงการไปตลอดชีวิตเป็นปุถุชน จนกว่าคุณจะมาเรียนรู้ แล้วทำ นิสัย วิสัย ทำนิสัยให้ลดกิเลสลงเรื่อยๆเป็นวิสัย อนุสัยคุณก็สมบูรณ์
ผู้ที่สามารถทำอย่างนี้ได้ก็ต้องสร้างพลังงาน ฌานให้ได้ เมื่อสร้างพลังงานฌานได้ เกิดผล ฌานคือเครื่องเผากิเลส ฌานคือปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาไม่มีฌานไม่ใช่ปัญญา ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน
ฌานกับปัญญาต้องอยู่ด้วยกัน ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่มี ปัญญาที่ไม่มีฌานไม่มี
ผู้ที่สามารถสร้างพลังงานให้เกิดฉันได้ เป็นพลังงานอุณหธาตุ พลังงานไฟ สามารถกำจัดพลังงานไฟราคะโทสะโมหะ จิตก็เป็นพลังงาน แยกจิตเป็นสิ่งที่ถูกรู้เป็นรูป โดยพลังงานตัวนามธรรม ถ้าเรารวมสะกดจิตไว้ให้จิตใจอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ทำอะไรก็ไม่ทำงาน อนุสัยคุณก็รวมมันไว้ ก็ไม่ได้สลายตัวกิเลส ไม่ได้แยกแยะตัวอกุศลจิต เป็นวิธีปฏิบัติเป็นสะกดจิต ก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิต
การนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ฟังไว้บ้างแล้วไปศึกษาให้ดีแล้วเลิกเสียจะได้ไม่เสียเวลาเปล่า แต่ทำไมพระพุทธเจ้ายังยอมให้มีนั่งหลับตา พระพุทธเจ้านั้นท่านจำนน ท่านอุบัติท่ามกลางศาสนาหลับตาหมดเลย ศาสนาพุทธยังไม่เกิด ท่านสร้างศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำลายการนั่งหลับตา ท่านจะทำแบบนั้นกับคู่หัวใจเขาท่ามกลางเขาหมดเลยเขาก็เอาตาย ถ้าเขานั่งหลับตากันทั้งป่า แล้วก็ต้องไปออกป่าด้วย ในเมืองก็นั่งแต่หลงออกป่า แม้แต่พระพุทธเจ้าตอนออกบวชก็ไปหลงออกป่าตามค่านิยมของสมัยนั้น เป็นลิงลมอมข้าวพอง ไปหาอาจารย์ที่เขาบอกว่า ทำฌานก็ไปเจออาฬารดาบส อุทกดาบส พานั่งหลับตา ท่านก็ได้รูปฌาน อรูปฌาน ท่านก็รู้ว่าไม่ถูก ท่านก็ทำตามของท่าน เมื่อบรรลุแล้วก็ประกาศศาสนาที่จริงเป็นของเก่าของท่าน ท่านระลึกได้ตอนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ตอนในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมะของศาสนาพุทธเลย
6 ปีที่เข้าป่านั้นเป็นการปฏิบัติที่ผิด สุดท้ายท่านก็นั่งตรวจสอบระลึกหรือว่าชาติก่อนๆท่านได้สะสมความเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว พระพุทธเจ้านั้นท่านมีความเป็นได้มาแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านตรัสรู้แต่ว่าท่านตรัสรู้มาก่อนแล้ว ไปนั่งระลึกของเก่า มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
อาตมาทุกวันนี้ก็ที่ระลึกของเก่ามาใช้ ก็ในฝัน ก่อนจะนอนแล้วนอนก็ให้มันตกผลึก จะเรียกว่าฝันก็ตาม ก็เป็นสัญญาที่ระลึกขึ้นมาเป็นอนุสัย ที่ตกค้าง กิเลสมันทำอะไรอาตมาไม่ได้ เราไม่ควบคุมแล้วฝันก็เละ เป็นเรื่องราวปรุงแต่งเละ ตามกิเลสไปบำเรอกิเลสในภพ ปั้นอะไรก็ได้ในฝันนิมิตเอาสร้างเอาได้ ก็เป็นเรื่องจินตนาการของจิตของเราที่นึกคิดไป มันเป็นอาการของอนุสัยฟุ้งขึ้นมาทำงาน แล้วมันก็เป็นเรื่องของ วิสัยของอจินไตยที่พาทำ
เพราะฉะนั้นคนที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจึงต้องเรียนรู้ให้ถึง วิสัยของฌาน
ในอจินไตยมี 4 อย่าง พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา
ประสิทธิภาพของฌานคือการขจัดกิเลสออก ตกผลึกเป็น ฌานวิสัย กำจัดกิเลสได้สำเร็จ กำจัดไฟราคะโทสะโมหะก็เหลือแต่ ฌานวิสัยของอรหันต์ แล้วจะเข้าใจกรรมวิบากที่เป็นอจินไตย จะรู้โลกจินตา สารพัดที่เป็นสังขารโลก ในยุคพระพุทธเจ้านั้นไม่มีหรอกในยุคนี้การรบเป็นทางสตาร์วอร์ อันนี้มันสร้างอาวุธอย่างโน้นอย่างนี้เป็นโลกจินตา
ผู้ที่มีฌานวิสัยสมบูรณ์แล้ว อจินไตยอีกสองอันจะเข้าใจตามบารมีแต่โลกจินตา คือสิ่งที่ปรุงแต่งกันทั้งหมดโลกคือความคิดของชาวโลก ก็คิดบ้าๆบอๆเต็มไปหมดเป็นเรื่องไร้สาระเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาแล้วทำลายกันเป็นเพราะอะไรกันเต็มไปหมด
เรารู้แต่ไม่เสียเวลากับสิ่งเหล่านี้จึงมีเวลาที่ทำแต่กุศล โดยเฉพาะมารู้กิเลสแล้วล้างกิเลสหมด 100 ปีนั้นน้อยไป 500 ปีก็ยังน้อย แต่มันลากสังขารไป 500 ปีไม่ได้ แต่ก็จะพยายามฝืนลากไป มันไม่ถึง 500 ปีก็เอา 151 ปี บอกว่าคนที่อายุยืนที่สุดที่มีสถิติไว้คือนายลีชิงยุนอายุ 256 ปี อยู่ได้เพราะว่าอะไร เพราะว่าต้อง stimulated กาม แกถึงต้องมีเมียตั้ง 20 คน มันจะเป็น Coefficient ฮอร์โมนเสริมกาม ต้องอยากก้าวหน้า Coefficient คือพลังงานก้าวหน้า สามารถที่จะทำให้พลังงานในจิต ถ้าทำได้ดีก็อยู่ในระยะสมดุล ถ้าทำไม่ดีก็เผาผลาญ สลายไปเร็ว แต่ถ้าทำได้ดีจะยืนยาว มันเป็นตัวที่สร้าง ให้ได้สัดส่วนที่ดี จะมีอายุยืนยาวนาน
โพชฌงค์ของพระพุทธเจ้าที่จะทำให้อายุยืน เขาไปท่องโพชฌงค์ เขาพาซื่อ สวดปริตร สวดโพชฌงค์แล้วบอกว่าจะอายุยืน สวดให้ตายก็ไม่มีทาง
ทีนี้ ความฝัน ภาษาไทยเอามาใช้ฝัน ฝันคือจินตนาการ การขบคิด ไอน์สไตน์บอกว่า แกเองอาศัยจินตนาการแล้วทำอะไรต่อมาได้ ที่จริงน่ะ อาตมาเองอาตมาเคยพูดไปแล้วว่า ไอน์สไตน์แกไม่ได้คิดใหม่ แต่เป็นของเก่าของแก แม้แต่ความรู้พลังงานในระดับ ทฤษฎีสัมพัทธภาพสูงสุด E=mc2 เอามาเปิดเผยแต่ไม่ได้กำกับว่าไม่ให้ใช้อย่างชั่วร้าย แกก็เลยเสียใจ
อาตมาเองพูดไปเหมือนคุยตัวอวดตัว ว่าอาตมาเข้าใจพลังงานพวกนี้ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ แต่อาตมาไม่ใช่สายที่จะพูดไปถึงวัตถุ ทางสสาร อาตมามาชาตินี้มาทางนามธรรม แต่ของพลังงานสสารนั้นมันหยาบ ทางนามธรรมนี้ละเอียด ทางหยาบนั้นเอาสูตรไปใช้ได้ง่าย
อาตมามาต่อ E=mc2 มาเป็น E=C(mc2 + A) ตัว A คือนามธรรมทั้งหลาย ที่คุณเริ่มได้ก็คือคุณต้องมีนามธรรมที่เกิดจาก mc2 คือพลังงานไอน์สไตน์แล้วคุณสามารถใช้พลังงานนี้มี A เป็นตัวแปร mc2 +mc2 +mc2 ไปเรื่อยๆ แล้วมีพลังงานตัวแปรพิเศษที่คูณเข้าไปอีก C เต็มรูปเลย
มนุษย์นี่มีความใฝ่ฝัน ฝันคือจินตนาการ ต้องการที่จะฝันไปให้ไกล ฝันสารพัดสารเพจินตนาการมาให้ได้ ซึ่งมันเต็มไปหมดแล้วที่เขาฝันกันมา จินตนาการกันมาจนกระทั่งเอามาอาศัยใช้ในชีวิตสังคมเต็มไปหมด เหลือเฟือ เฟ้อจนมากไป เนื้อหาตัวแทนของความรู้ไม่ใช่ความฝัน ไม่ต้องไปใฝ่ฝันอะไร พระพุทธเจ้าเอามาสรุปเป็นอริยสัจ
คนนี้คุณจะเอาไปบ้าๆบอๆอะไรกับมันนักหนา มันดิ้นรนไม่รู้จักหยุดเพราะว่ามันอยาก มีความใฝ่ฝันอยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ อยากได้สุข
สุขนี้มีสองอย่าง 1.สุขบำเรอกาม 2.สุขบำเรออัตตา
พระพุทธเจ้าเทศน์สูตรแรกคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มีโลกกับอัตตา โลกคือภายนอก อัตตาคือภายใน
ผู้ใดไม่รู้ว่าภายนอกเราต้องการอะไรที่เอามาเสพสัมผัสภายนอก ก็เอามาบำเรออัตตา
คุณหยุดเอามาบำเรอกามกับอัตตาได้คุณเป็นอรหันต์
มาเรียกว่าสิ่งที่คุณต้องการด้วยกามตัณหาหรือความต้องการ อยากได้ พอได้มาบำเรอสิ่งที่ต้องการ อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญอยากได้สิ่งมาสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายหรือสิ่งที่นอกเหนือจากนั้นเป็นการบำเรอภายใน อัตตา คุณได้มาแล้วก็ได้สิ่งนั้นว่าสุข
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่านั่นคือของหลอกสุขขัลลิกะ ของเท็จ ของไม่จริง ความสุขนั้นไม่มีหรอก คนนึกว่ามันมีในโลก แต่ความจริงแล้วสุขมันไม่มีหรอกในโลก ความจริงนั้นมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ได้อะไรมาบำเรอสุขอุปาทานแล้วก็สุขเก๊ จะสัมผัสวัตถุอะไรก็แล้วแต่ สัมผัสลาภยศสรรเสริญ สัมผัสทุกอย่าง มันก็คือความจริงเท่านั้นเป็นเวทนาแท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ส่วนอาการที่คุณเองจะมีความสุขหรือความทุกข์ มันเป็นอาการที่ไม่มีในโลกของพระอรหันต์ พระอรหันต์จึงไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีแต่ความเป็นจริงของเวทนาในเวทนา
พระพุทธเจ้าถึงรวมลงว่า ต้องเรียนรู้เวทนาในเวทนา เวทนา 108 คนที่ทำเวทนาทำตามพระพุทธเจ้าสอน เทวธัมมาให้เป็นเอกสโมสรณา ภวันติ ทำเวทนาสองให้รวมลงเป็นหนึ่งได้ก็จบ
จะต้องไปทำทีละ 2 ทีละ 2 ด้วยการทำธรรมะ 2 ให้เป็นหนึ่ง เอาเวทนาเป็นกรรมฐาน ทวเยนเวทนายะ คือทำเวทนาโลกีย์ให้เป็นโลกุตระให้ได้ หรือทำจากเคหสิตเวทนาเป็นเนกขัมมสิตเวทนา
ถ้าอ่านเวทนาไม่ออก แล้วไม่รู้ว่านี่แหละคือกรรมฐาน กรรมฐานเดียวนี่แหละในศาสนาพุทธ กรรมฐาน 40 นั้นออกนอกรีตของศาสนาพุทธ อรรถกถาจารย์บัญญัติไว้ด้วยความไม่เข้าใจด้วยความไม่รู้
ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตรท่านก็บอกว่ามีเวทนาเท่านั้นเป็นกรรมฐานหากไม่มีเวทนาก็ไม่มีทางแห่งการปฏิบัติ
ที่ปฏิบัติกันก็มีแต่การสะกดจิต ออกนอกรีตหมดเลย พระพุทธเจ้าให้มีความตื่นมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แล้วเรียนรู้แยกแยะ เคหสิตเวทนาว่ามันมีกิเลสในตัวจิต แล้วกำจัดกิเลสให้ได้
ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ไปเรียนรู้กันผิดๆไปเอากรรมฐาน 40 มาทำให้จิตใจหยุด ที่จริงแล้วศาสนาพุทธจะต้องมีโพชฌงค์ สติ ธัมมวิจัยวิริยสัมโพชฌงค์
จะพูดจะทำจะคิดอะไรต้องมีจิตใจรู้สังกัปปะ ในขณะทำกรรมการงานทุกอย่าง คุณต้องมีความคิด คุณจะพูดอยู่ก็มีสังกัปปะ คุณจะต้องมีจิต สามารถที่จะจับสังกัปปะได้ ในขณะทำกรรมการงานอาชีพ ต้องมีจิต มุทุภูตธาตุ แยกแยะอ่านจิต มีกามวิตก พยาบาทวิตกหรือไม่ ก็เห็นแล้วพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง กามเป็นเหตุแห่งทุกข์ พยาบาทเป็นเหตุแห่งทุกข์ แล้วมันไม่จริงมันไม่มีตัวตน มันเป็นของเก๊ กามหรือพยาบาทของเก๊ มันไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่อะไรของเราเลย หากมีกามพยาบาทก็อวิชชาอยู่ทั้งนั้น จิตใจเราไม่จำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้เลย ถ้ามีอยู่ก็โง่ทั้งนั้น
ต้องดูอาการ กามพยาบาทแล้วจี้มันเลยว่า เอ็งไม่ใช่ข้า เอ็งไม่ใช่จิตข้า เอ็งมันของเก๊ อย่ามาอยู่ในจิตข้า เอ็งไม่ใช่ตัวจริง เอ็งมันไม่จริงหรอก ถ้าสามารถทำจิตให้สะอาด อย่างเที่ยงให้ตัวเก๊ไม่เข้ามา จุดนี้จึงเป็นจุดที่ถาวรจะเรียกว่าจิตเดิมแท้ก็ได้ แต่จิตนี้ก็คือจิตอนัตตา เที่ยงนี้คือธาตุรู้ที่รู้ว่า อาการจิตมันมีอยู่ ถ้าเราเองเราไม่ยึดอาการจิตนี้ไว้ อาการจิตนี้ก็สลาย จิตมันไม่ใช่อะไรเลยมันเป็นพลังงาน คุณทำให้จิตของคุณรวมตัวอยู่ได้เพราะคุณมีปัญญาที่สามารถทำให้พลังงานอันนี้ พลังงานละเอียดเลย เป็นอะตอม เป็นปรมาณู
ทำให้มันเป็น นิวเคลียร์ฟิวชั่นได้ ให้อยู่เป็นตัวตนร่วมเป็นตัวเอง
ถ้าไม่พยายามใช้พลังงานให้มันมารวมตัว ปล่อยไปมันก็สลายไป มันไม่ใช่ตัวตน ถ้าคุณทำใด้มันก็รวม พระอรหันต์ก็จึงรู้ว่าเรายังยึดมั่นอยู่ แต่รู้ว่ายึดไปทำไม ไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น อวิชชาซึ่งเป็นสภาวะที่ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น อรหันต์จีงยึดอย่างรู้และมีประสิทธิภาพที่ทำให้สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราเป็นอาคันตุกะไม่ให้มาวอแว ไม่ให้กิเลสเข้ามาในจิต
ส.เดินดินว่า...พ่อครูบอกว่า ท่านด่านี้ไม่ได้ด่าด้วยกิเลสบังคับ แต่ด่าด้วยความปรารถนาดี เราก็เอามาเทียบเคียงกับตัวเราว่าเราด่าคนด้วยความปรารถนาดีหรือด่าด้วยกิเลสบังคับ พ่อครูพูดให้พวกเราเห็นว่านี่คือกิเลส กาม พยาบาท แต่ถ้าเรากำลังโกรธ เราก็เปลี่ยนพลังงานนั้นมา ด่าเรา ก็จะเกิดพลังงานสลายไฟราคะโทสะ ก็ทำให้กิเลสหมดไป กลายเป็นนิสัย วิสัย จนเป็นอนุสัยได้แต่ถ้าด่าคนอื่น ก็จะกลายเป็นอนุสัยไปอีกยาวนาน แต่ถ้าด่ากาม ด่าพยาบาทของเราก็จะทำให้สั่งสมเป็นอนุสัยที่ดียอดเยี่ยมได้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:44:14 )
รายละเอียด
601112_วิถีอาริยธรรม ดอยรายปลายฟ้า คนจนแบบถาวรยั่งยืนตลอดกาล
สมณะเดินดิน ว่า…วันนี้เป็นวันที่นิมนต์พ่อครูมาสัมผัสอากาศธรรมชาติที่ดอยรายปลายฟ้า ขึ้นเครื่องบินมากัปตันบอกว่าอากาศที่เชียงราย 30 องศาเซลเซียส แต่มาถึงที่แล้วอากาศอุณหภูมิต่ำลงไปอีก มาที่นี่กะว่าจะให้พ่อครูมาพักผ่อน แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีงานเทศนาหลายครั้ง วันนี้เลยอยากจะนิมนต์ พ่อครูเทศน์สัก 1 ชั่วโมงครึ่งนะครับ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนคือลักษณะของอรหันต์ทุกองค์
พ่อครูว่า...วันนี้อาตมาตั้งใจจะเทศน์ ที่จริงก็ทำกันเรื่องนี้นานแล้วจะเป็นปี วันนี้พยายามจะเทศน์เรื่องนี้ให้ลึก ให้เข้าใจกันชัดๆ เรื่องที่ว่านี้คืออะไรคือเรื่องความจน
ความจนมันเป็นลักษณะของคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า เป็นคุณลักษณะของพระอรหันต์ทุกพระองค์ ความจนเป็นลักษณะของพระอาริยะ คนที่ไปหลงใหลในความรวยตรงกันข้ามกัน เป็นลักษณะของมาร ผู้ที่หลงใหลมุ่งหมายที่จะรวยๆๆ แล้วก็ใช้พลังงานสร้างพลังงานให้โลภ แล้วก็ใช้ความเฉลียวฉลาด เฉโก คนที่ใช้ความเฉลียวฉลาด ถ้าใช้ความเฉลียวฉลาดไปในทางที่จะ ได้เปรียบ ทางที่จะได้มาก มหัปปิจฉะ มักมาก ต้องการได้มามากๆ ความเฉลียวฉลาดแบบนั้นเรียกว่า เฉโก
ถ้าความเฉลียวฉลาดที่ควรจะเห็นว่าควรจะมีชีวิตอย่าให้พลังงานจิต เราอย่าไปมีอาการของความอยากให้ได้มามาก ให้มันมีทิศทางไปในความอยากได้มาน้อย อัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อย หรือแปลว่ากล้าจน ต้องการน้อยๆ ยินดีในความมีน้อยๆ ยินดีในความเป็นคนจน ไม่ต้องมีมากๆ อย่างนั้นเรียกว่าคนมีปัญญา เป็นความฉลาดที่เป็นปัญญา
เพราะความจนมันไม่ได้เป็นพิษภัยกับใคร มีแต่ความประเสริฐ คนที่ตะกละตะกราม ที่ต้องการจะมีมากๆ แล้วก็ดิ้นรนสะสมหามาให้แก่ตัวเองมากๆ ได้แล้วก็ดีใจว่าตัวเองเป็นคนรวยเป็นคนมีมาก คนอย่างนั้นเป็นพิษภัยต่อสังคม เป็นพิษภัยต่อตัวเอง รักตัวเองมีแต่จิตที่ขี้โลภ คนที่ต้องการมามากๆแล้วสะสมไว้เยอะ จนได้ฉายาว่าคนรวย คนนั้นน่ะ ชีวิตที่เขาดำเนินไปทำงาน ชีวิตมีแต่พลังงานบาป มีแต่พลังงานอกุศล มีแต่พลังงานของมาร แล้วก็ยินดีสมใจที่ได้สมใจในความโลภ สมใจในความมีมากมายยิ่งขึ้น ลักษณะอย่างนั้นเป็นลักษณะของความไม่เจริญ จะเรียกว่าลักษณะชั่ว ไม่ใช่คุณลักษณะแต่เป็นโทษลักษณะ พูดตามสัจธรรม ไม่ได้ว่าใครด่าใครไม่ได้หาเรื่องอะไร พูดตามสัจธรรมแท้
คนที่ยินดีกับความจนมีชีวิตเป็นคนจนคนนั้นแหละเจริญได้ถึงที่สุด อรหันต์นี่มีสัจธรรมยืนยันความจริงว่าเป็นคนจน ท่านเป็นคนจนทั้งนั้น ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามาเลยนะเป็นสาวกเป็นอรหันต์ด้วยก็เป็นคนจน มีความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ สุดประเสริฐ คนจนไม่มีคุณค่า ต้องเป็นคนจนที่มีคุณค่า ถ้าเป็นคนจนที่ขี้เกียจมันก็เป็นคนจนที่สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย คนจนที่ใช้แรง จนไม่พอ เป็นหนี้มาจนอีก ก็ยิ่งซวยใหญ่ หนักหน้าใหญ่ ถ้าอย่างนั้นชีวิตแน่นอน ก็ต้องเดือดร้อน
คนที่เป็นคนจนมีความขยันหมั่นเพียร แล้วก็มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรรค์ทำงาน เมื่อสร้างสรรค์ทำงานก็มีผลผลิตที่เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาจากที่เราทำงานมันก็เกิดขึ้น มีปัญญาด้วย ถ้าเผื่อว่าขยันแต่โง่ ก็มีแต่ขยันทำงานแต่เป็นงานการผลาญพร่า เป็นการงานไม่เกิดประโยชน์ ขยันแต่โง่ก็ยุ่งแล้วช่วยไม่ได้ ต้องเป็นคนขยันที่มีปัญญา สร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์ขึ้นมาอาศัยใช้สอยแจกจ่ายกัน
ให้ผลผลิตมาแจกจ่ายเจือจาน ยิ่งทำแล้วไม่ขายแจกกัน เกื้อกูลกัน คนนั้นบรรลุสูงสุด เป็นสัมมาอาชีพ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา มีคนพ้นมิจฉาชีพขั้นสูงสุดของพระพุทธเจ้า เป็นคุณสมบัติแท้ เป็นคนมีคุณสมบัติถึงขั้นทำงานเลี้ยงชีพเป็นสัมมาอาชีพ สูงสุด พ้นมิจฉาชีพขั้นที่ 5 ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา
ทำงานแล้วไม่รับรายได้แลกเปลี่ยนผลงาน สุจริต ไม่รับแลกเปลี่ยนค่าแรงงานความคิดความรู้ ทำงานฟรี คนที่ทำงานฟรีให้แก่ประชาชน ไม่ตาย แม้จะไม่เฉลียวฉลาดสร้างสรรค์ผลผลิตต่างๆ ก็ใช้ผลผลิตเหล่านั้นมาเลี้ยงดูใช้กันเกื้อกูลกัน คนก็ได้ใช้สอยผลผลิตนั้น คนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนพึ่งพาตัวเองพึ่งพาความสามารถตัวเองก็อยู่รอด
เดรัจฉานมันไม่เคยมีรายได้ เดรัจฉานไม่เคยมีรายได้แต่มันก็อยู่รอด มันทำงานไม่เคยมีใครให้ค่าแรงงานกับมัน มันก็เลี้ยงตัวมันรอดทั้งนั้นเลย ถ้ามันเลี้ยงตัวไม่รอดก็ตาย ตั้งแต่เดรัจฉานสัตว์เซลล์เดียวจนถึงเป็นไดโนเสาร์ เป็นช้างเป็นปลาวาฬก็เลี้ยงตัวมันเองอาศัยธรรมชาติเลี้ยงตัวเอง เป็นคนมีความรู้ความสามารถ ทำงานสร้างสรรค์สร้างสิ่งที่เราจะกินจะใช้ได้เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาศัยพื้นดินแผ่นดินนี่แหละสร้างขึ้นมาได้
คนที่ขยันสร้างสรรค์พึ่งพาตัวเองรอดแล้วเกื้อกูลผู้อื่นได้ คนนี้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอดของโลก คนจนที่ขยันสร้างสรรค์ทำงานได้สิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต แล้วแจกจ่ายผู้อื่นเป็นคนที่มีคุณค่ายิ่ง เป็นสังคมของคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้ลักษณะแบบนี้ สังคมอย่างนั้นเป็นสังคมตัวอย่างของโลก เป็นสังคมเศรษฐกิจชั้น 1 แต่ละคน มีความเข้าใจอย่างนั้นทำอย่างนั้นด้วยตัวเอง เรียกว่า สันทิฏฐิโก
คนอย่างนี้มีได้ในทุกยุคสมัยอกาลิโก ไม่จำกัดกาละ มีมากมีน้อยก็แล้วแต่ ถ้ามีมาก รวมตัวกันอยู่ก็จะเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชาวอโศก ชัดเจน สังคมโลกไม่ค่อยจะรู้จัก มองว่าเป็นคนแปลกๆ ตลกๆ พวกนี้มันไม่เหมือนเรา คือพวกชาวโลกีย์ทุนนิยม ก็ดูว่าเราเป็นคนแปลกๆแตกต่าง เป็นคนต่างดาว เป็นคนไม่เหมือนเขา คนอย่างนี้มีในทุกยุคสมัย เชิญให้มาพิสูจน์ได้สัมผัสได้พูดไปนี้เป็นความจริงมีสังคมจริงอยู่ในนี้
โอปนยิโก การประพฤติอย่างนี้เป็นการประพฤติของคนชั้นสูง โอปนยิโก คนที่มีความประพฤติอย่างนี้มีชีวิตอย่างนี้เป็นคนชั้นสูง ที่คนควรจะริษยา ควรน่าจะเอาอย่าง ริษยามันไม่ดีหรอก แต่ควรจะเชิดชูบูชา ควรจะนับถือน่าจะเอาอย่าง เพราะว่ามันดี ไม่ใช่สิ่งที่ชั่ว ริษยานี่เขาเป็นคนที่ เห็นคนดีแล้วไม่อยากเห็นเขาดีเรียกว่าริษยา เรียกว่าริษยาไม่น่าเป็นแต่เขาก็เป็นกัน เขาริษยา มันควรจะเป็นอย่างที่อาตมาพูด เมื่อเขาดีก็ควรจะเอาอย่างให้คนแต่ไปริษยา คือไม่อยากเห็นเขาดีกว่าเรา เป็นความคิดที่ชั่วร้ายอกุศลไม่ควรจะมีความคิดเช่นนั้น ห้ามไม่ได้หรอก คนโง่เขาจะต้องมีจิตริษยา โง่ ให้รู้ว่าจิตเขาเป็นอย่างนั้นมันไม่ดี เขาไม่รู้ตัวก็ทำอย่างนั้น
ผู้ที่สามารถเห็นจิตที่แล้วก็มีพฤติกรรมตามจิตของเรา จิตที่เป็นสันทิฏฐิโก อกาลิโก โอปะนะยิโก เอหิปัสสิโก ก็จะรู้เองเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นสวากขาตธรรม เป็นธรรมดาที่จะต้องมาพิสูจน์
ถ้าเป็นได้ คนที่เป็นลักษณะอย่างนี้เป็นได้ถาวร เป็นได้อย่างยั่งยืน ทุวัง เที่ยงแท้ยั่งยืนตลอดกาล ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้อีก อวิปรณามธัมมมัง อสังหิรัง เป็นอย่างนี้ไม่มีใครมาหักล้างได้
ชาวอโศกเป็นอย่างนี้มาหลายสิบปีแล้ว คิดว่าใครจะมาเป็นแปลงให้เราเป็นอย่างอื่นได้ไหม มันมั่นคง ไม่มีอะไรล้มล้างได้ อสังกุปปัง ไม่กลับกำเริบ ไม่ใช่เป็นได้แค่ชั่วครั้งคราวแล้วกลับไปกลับมาอย่างนั้น ไม่ใช่ ของแท้คนที่เป็นคนจนมีความจนแล้วก็เป็นลักษณะที่ว่าเป็นของแท้ของจริงตลอดยืนยัน สัสสตัง ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่ชั่วกันเปล่าก็เป็นคนจนที่มีความสุขสำราญเบิกบานใจ
สมณะเดินดินว่า...ลุงจำลองน่าจะเป็นตัวอย่างของคนที่มั่นคง
พ่อครูว่า...คุณจำลองเป็นคนจริงตั้งแต่รู้จักมา แต่ก่อนนี้ไม่รู้เรื่องธรรมะ อยู่กับโลกก็ถูกหลอก เขาหลอกให้สะสม ได้เป็นนายทหารสะสมเงินทองบ้านเรือน แต่พอมาเจอะชาวอโศก ปลุกให้ตื่นจากที่ตนเองหลงใหลโลก มีพื้นฐานของความจริง มีความเป็นจริง พอมาได้อันนี้ก็ตื่นจากหลงโลก ลิงลมอมข้าวพอง เมื่อมีคนเตือนความจริงก็ อ๋อ เห็นว่าความจริงต้องเป็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่บัดนั้น ไม่สะสมเงินทองทำงานรับใช้ประชาชนตั้งแต่พ.ศ 2522 ก็เปลี่ยนแปลงมาเลยตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ เป็นคนไม่สะสมเงินทอง ทุกวันนี้ก็เป็นไอดอลของประชาชน เป็นคนเด่นในสังคม อย่างอาตมาคนมองไม่ออกว่าเป็นภิกษุแล้วไม่มีเงินทองก็ไม่แปลก จะเป็นฆราวาสแล้วไม่มีเงินทองมันแปลก แล้วอยู่อย่างมีประโยชน์สร้างสรรค์มีคุณค่าช่วยเหลือคนอื่นตลอดเวลา แทบจะถือว่า ตัวเองไม่ต้องคำนึงถึงตัวเองเลย นัยเดียวกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่คนไทยกำลังระลึกถึงคุณค่าคุณงามความดีพฤติกรรมที่เป็นอย่างนี้ ในพระจริยวัตรของพระองค์ 70 กว่าปี ตอนนี้ประชาชนก็รู้สึกว่าสิ่งประเสริฐอันนี้จะหายไปแล้วก็หวงแหน ตอนนี้ก็ต้องปฏิบัติตามพูดให้จริงนะ พูดไม่จริงก็บาป จะเดินตามรอยเท้าพ่อ จะเดินตามคำพ่อสอน จะทำตามที่พ่อประพฤติปฏิบัติมาทำตามให้ได้นะ
พวกสำเริงมีทรัพย์ก็ไม่เห็นแล้ว เห็นแต่มีใจเพชร กล้าจน ไม่เห็นมีสำเริงมีทรัพย์อะไร มีทรัพย์ที่ไหนล่ะกล้าจน ในลักษณะที่พูดนี้ไม่ใช่พูดให้สนุก พูดขัดแย้งเล่นให้โก้ๆ แต่เป็นสัจจะที่พิเศษ ถ้าเป็นคนจริงทำได้เข้าใจจริง ปฏิบัติประพฤติจริงๆแล้วเป็นผลสำเร็จคือปฏิบัติได้ เป็นผลสำเร็จขึ้นมาจริงๆ นี่แหละเป็นสิ่งที่โลกที่มนุษย์ต้องการ เป็นสิ่งที่สังคมควรเกิดควรเป็นควรมี อาตมาก็สามารถจะทำสิ่งที่เป็นความจริงนี้เกิดให้กับสังคมมนุษยชาติในชาตินี้มาทั้งนั้นอันนี้ ให้สังคมมนุษย์เป็นแบบนี้ได้เท่าที่ทำได้ จนถึงทุกวันนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ลักษณะของคนศีลเคร่งหรือธูตะ
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองต้องมาทำงานนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 มาจนบัดนี้ 2560 กำลังจะขึ้น 2561 47 ปีกำลังจะขึ้นปีที่ 48 ก็ประสบผลสำเร็จ อาตมาว่า ประสบผลสำเร็จที่ทำได้ที่ทำให้คนเข้าใจคุณลักษณะอันวิเศษของความเป็นคน แล้วมาประพฤติปฏิบัติจนเกิดเป็นสังคมหมู่กลุ่ม ที่มีพฤติกรรมสังคมประพฤติอย่างนี้สำเร็จได้จนถึงเป็นวัฒนธรรม
เป็นคนมีวรรณะก็เป็นคนชั้นสูง เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย อยู่กับใครก็ไม่เป็นภาระเป็นคนอบรมง่าย
เป็นคนบำรุงง่าย หมายความว่าเป็นคนที่บอก เป็นคนที่สอน เป็นคนที่พัฒนาได้ดีเร็วง่าย สุโปสะ เป็นคนที่คนที่พาทำ หรือแนะนำให้เจริญได้ง่าย
อัปปิจฉะ เป็นคนมักน้อยหรือกล้าจน ชอบมีน้อยๆ
เป็นคนพอ สันตุฏฐิ
เป็นคนสัลเลขะ ขัดเกลาตนเอง ขัดเกลาผู้อื่น กายวาจาไม่ดีขัดเกลาให้เจริญ โดยเฉพาะใจที่อกุศลก็ขัดออก
ธูตะ คือ การปฏิบัติเคร่งไปตามลำดับ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือมีองค์แห่งการปฏิบัติให้เจริญด้วยพระธุดงค์ ธุดงค์ไม่ได้หมายความว่าเจริญ ไม่ได้หมายความว่าออกป่า ธุดงค์ก็เลยกลายเป็นมุทะลุดุลงนั่นเข้าใจไปเอง ธูตะนี่ แปลว่า มีข้อปฏิบัติที่สามารถปฏิบัติได้สูงขึ้นสูงขึ้น เรียกว่าความเคร่ง ปฏิบัติให้สูงขึ้นตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จุลศีล 26 ข้อเป็นต้น มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีลอีก 7 ข้อ
มหาศีลเป็นเรื่องของสังคมสงฆ์ เรื่องของสังคมศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่มีการประพฤติแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาศีล มหาศีลคือเดรัจฉานวิชา ที่บัญญัติในมหาศีลไม่มีในสังคมของศาสนาพุทธ
มหาศีล
1.พระสมณโคดม เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะพื้นที่ ดูลักษณะที่ไร่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัดเป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอดูรอยเท้าสัตว์
อ่านมาถึงข้อที่ 7 เลย ...พระสมณะโคดมเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา อย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
สรุปแล้วไม่ทำการรักษาไข้ใบ้หวย นี่เฉพาะพระภิกษุ ไม่ได้ห้ามฆราวาสเดี๋ยวยุ่ง ไปห้ามฆราวาสรักษาไข้ไม่ได้ เดี๋ยวแพทย์วิถีธรรมยุ่งเลย ฆราวาสไม่ต้องทำพอดี ต้องชัดเจนว่าจะทำอะไร อย่างนี้เป็นต้น
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ อาตมาเอาพระไตรปิฎกมาอ่านก็เหมือนว่าเขา เพราะมันหมดแล้วไม่เหลือความเป็นศาสนาพุทธ เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาณิสูตรว่า กลองอานกะ แต่เดิมมีไม้หนังเส้นสายเป็นของเดิม วัตถุที่ประกอบเป็นกลองอานกะ เดี๋ยวนี้ไม่เหลือของเดิมแล้ว เนื้อแท้เก่าวัตถุเก่านั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นเนื้อใหม่หมด ฉันเดียวกันกับศาสนาพุทธเรียกว่าชื่อพุทธ แต่เนื้อแท้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นของใหม่หมด นี่ไม่ใช่ไปว่าหรือไปลงโทษ สูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ศาสนายังไม่เสื่อม ท่านว่าถึงอนาคตแหละว่าจะเป็นเช่นนี้ ซึ่งในยุคนี้มันเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตั้งแต่บัดนี้ เปลี่ยนแปลงไปหมด
แล้วท่านก็มีเนื้อความต่อไปว่า พุทธเป็นศาสนาที่มีโลกุตรธรรม เมื่อมาถึงยุคที่ได้ผิดเพี้ยนไปเหมือนกลองที่ผิดรูปไป หมดเนื้อแท้แล้ว ใครมาพูดโลกุตรธรรมขึ้นมา เขาจะไม่ฟังกันไม่เห็นว่าน่าฟัง เขาจะฟังแต่คำสอนที่ไม่ใช่โลกุตระ พูดเพราะพูดเอาใจประเล้าประโลม หากจะชัดเจนก็ไปฟังธรรมกายเขาสอนนั่นแหละที่เป็นคำสอนที่ถูกเปลี่ยนแปลงทั้งหมด แม้แต่ในเถรสมาคม องค์กรใหญ่ กระแสหลักของศาสนาพุทธก็ตาม ก็เปลี่ยนรูปเป็นอะไรไป เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าเขาทำนี้ไม่ได้ใหญ่เหมือนธรรมกายเขาใหญ่ ธรรมกายทำใหญ่เป็นรูปร่างที่ผิดใหญ่ มันถึงได้ยินชัด ส่วนอื่นๆ ทำกันคนละเหลี่ยมมุม รวมกันแล้วก็เหมือนกับธรรมกาย ไม่ใช่เนื้อแท้ของเก่าของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้น วันนี้หรือวันไหนที่อาตมาพูด ก็พูดว่าศาสนาพุทธที่เป็นอยู่ ยกตนข่มท่านอย่างบริบูรณ์แล้ว
ที่ยกตนข่มท่านนี้ เป็นความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอคติในใจเลย ไม่ได้มีความเกลียดชัง มีแต่ความเมตตา พูดยกสิ่งที่ควรยก ปัคคัณเหปัคหารหัง สิ่งที่ท่านทำกันที่ผิด ก็เป็นสิ่งที่ควรจะตำหนิ นิคคัณเหนิคหารหัง สิ่งควรข่มก็ต้องข่ม ทำตามพระพุทธเจ้าสอน ส่วนจิตใจนั้นอาตมาเห็นเป็นความเมตตาไม่ได้ปรารถนาร้าย ไม่ได้มองในแง่ร้ายหรือทำร้าย แต่พูดให้สะดวกให้เข้าใจพูดเป็นความจริง ถ้ารู้ตัวแล้วก็ตรวจสอบธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นศีลของศาสนาพุทธแต่ทุกวันนี้ไปไกล จนศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีแล้วศีล มีแต่พระวินัย 227 ข้อ พอถามว่าศีลมีเท่าไหร่ ของพระภิกษุก็บอกว่ามี 227 ข้อ อันนั้นมันข้อวินัยไม่ใช่ศีล
ต้องรู้ความแตกต่างของศีลกับวินัย วินัย เป็นข้อกำหนดขึ้นมาเพื่อลงโทษภิกษุ ส่วนศีลนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนปฏิบัติไม่ใช่เพียงแต่ภิกษุเท่านั้นแต่เป็นของศาสนา
ศีลเป็นของศาสนาทั้งภิกษุและชาวพุทธทั้งหมดพึงปฏิบัติตาม เช่น จุลศีล เป็นสิ่งที่ต้องมาปฏิบัติเพื่อให้เกิด สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ
เช่นจุลศีลข้อที่ 1
1 พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
ถ้าผู้ใดเข้าใจเนื้อหาความหมายของศาสนาพุทธ ศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าตรัส หมายถึงว่าให้รู้จักความเป็นชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย ตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์เซลล์เดียว จนถึงสัตว์ที่มีเซลล์มากมายขนาดถึงระดับมนุษย์หรือคน ก็จะต้องมอง ก็จะต้องเห็นความเป็นสัตว์ หวังประโยชน์ต่อความเป็นสัตว์ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนกระทั่งถึงความเป็นคนดังกล่าว ถ้าใครมีความรู้มีปัญญา แล้วประพฤติจริง ไม่ฆ่าสัตว์ เว้นจากการฆ่าสัตว์ วางอาวุธ วางหมดเลยที่จะไปทำร้ายสัตว์ ตั้งแต่อาวุธระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดที่ร้ายแรงกว่านิวเคลียร์ก็ตามจนกระทั่งถึง อะไรที่เป็นอาวุธเล็กที่สุด เข็ม มีดโกน ไม่ใช้อาวุธทำร้ายใครเลยอะไรเลย วางศาสตรา คืออาวุธที่ร้ายแรง ทัณฑะ คืออาวุธที่มีร้ายแรงใช้ในการลงโทษ มีความละอาย ที่จะทำร้ายสัตว์ ที่จะไปเบียดเบียนสัตว์ต่างๆ มีความเอ็นดู
นอกจากละอายที่จะต้องเบียดเบียนทำร้ายสัตว์แล้ว ยังมีจิตใจเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ เพราะฉะนั้นคนที่มีจิต เห็นว่านี่คือสัตว์และหวังประโยชน์ต่อสัตว์ต่างๆแม้ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว
สัตว์เซลล์เดียวนี้เริ่มเกิดเป็นสัตว์ จากพีชนิยามมาเป็นจิตนิยาม อาจจะพัฒนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต เรา ควรหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
ผลเป็นความมีจิตหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงนั้นยิ่งใหญ่ อย่างอาตมานี้ พูดไปแล้ว พวกเราจะเข้าใจแค่ไหนไม่รู้ นอกจากอาจจะหมั่นไส้ แต่ที่พูดไปนี้ไม่มีความอยากอวด คนไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา ส่วนคนที่ตั้งใจฟังก็ตั้งใจฟังว่า อาตมามีจิตใจปรารถนา อยากจะอธิบายธรรมะทำให้ลึกซึ้งครบครันให้ฟัง ไม่ใช่อวดดี แต่การรู้ดีๆอย่างนี้แล้วเอามาอวดก็ควรจะฟัง แล้วสิ่งที่ดีลึกซึ้งสูง มันควรจะเอามาอวดให้รู้อยู่คนเดียว ปกปิดคนเดียวทำไม อาตมาเอาของสูงละเอียดพวกนี้มาแสดง
ผู้ที่เข้าใจเช่นนี้จะเข้าใจถึงจิตนิยามของความเป็นสัตว์ แล้วความเป็นสัตว์นี่นับตรงไหน อ่านตรงไหน? มีอะไรแสดงถึงความเป็นสัตว์ มีพลังงาน พลังงานที่เรียกว่าพลังงานถึงขั้นเป็นสัตว์ เรียกว่าจิตนิยาม แต่ถ้าพลังงานนั้นไม่ถึงขั้นเป็นสัตว์ เป็นแค่พืช ก็เป็นชีวิตเป็นชีวะ เพิ่มเป็นพลังงานที่เจริญเป็นชีวะ แต่พืชนั้นเป็นพลังงานที่ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ เป็นอนุปาทินกสังขาร เป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง มีแต่สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เพราะฉะนั้น พีชะ จึงต่างจากสัตว์ พืชจึงต่างจากชีวะที่เป็นสัตว์ สัตว์น้ำมีวิญญาณ มีเวทนา มีความรู้สึกที่เป็นอัตตา เกิดเป็นตัวตนยึดตัวตน ใครมาแตะต้องเบียดเบียนตัวเรา ทำร้ายตัวเราก็เกิดพยาบาทอาฆาต
หรือพลังงานของตัวเราผูกพันไม่ใช่แค่สัมพันธ์ผู้อื่น มีการดูดการผลัก อย่างนี้เป็นต้น ก็จะเข้าใจพลังงานเหล่านี้ พลังงานที่เราเรียกว่าเป็นขั้นจิต ขั้นพืช หรือเป็นขั้นไม่มีชีวะเป็นอุตุนิยาม
นิยาม 5 ประการ คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยามเป็นความรู้ที่เกินกว่าความรู้วิทยาศาสตร์ทางโลก มันก่อเกิดต่อเนื่องกันอย่างไร จะข้ามขั้นอย่างไรที่พลังงานจากอุตุนิยามมาเป็นพีชะอย่างไร จะต่อกันอย่างไร จะออกนอกกรอบ ตั้งแต่อุตุนิยามที่เป็นสสาร เป็นชีวะ เป็นความร้อนแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า แม้จะมีความรุนแรงอย่างไร เช่นพระอาทิตย์มีความเป็นพลังงานฟิสิกส์เยอะ แต่ในดวงอาทิตย์ไม่มีชีวะเลย ดวงอาทิตย์ชีวะอยู่ไม่ได้เกิดไม่ได้ แม้แต่ในโลกหลายโลกก็เกิดความเป็นสัตว์ไม่ได้ มีแต่ความเป็นโลหะ มีแต่ความเป็นธาตุดินธาตุลม น้ำก็ยังไม่มีเลย ในดวงดาวบางดวงดาวก็ไม่มีน้ำจึงไม่สามารถปรุงแต่ง
น้ำเป็นตัวที่จะทำให้เกิดสัตว์ น้ำสังเคราะห์กับดินกับลมกับไฟก็เกิดเป็นชีวะ เป็นพืช แล้วก็เกิดเป็นสัตว์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้สุดยอดเลย ตั้งแต่เริ่มต้นพลังงานทั้งหลายแหล่
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน วิปัสสนากำจัดไฟกิเลสด้วยไฟบุญ
สรุปแล้วพลังงานตั้งแต่อุตุนิยามจนถึงจิตนิยามมันเป็นพลังงาน อาตมาอธิบายธรรมะตั้งแต่แรก บอกว่าจิตนิยามเป็นพลังงาน พวกอภิธรรมจะเอาตาย บอกว่าพลังงานเป็นพลังงานฟิสิกส์จะบอกว่าจิตนิยามเป็นพลังงานได้อย่างไร หาว่าอาตมาพูดผิดพูดทำลายศาสนาพุทธ พูดสัจธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้ไม่รู้จะเห็นแย้งหรือเปล่า ถ้าเข้าใจที่จะมาอธิบายมาจนป่านนี้แล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจก็แน่นอน ก็คิดถึงอย่างนั้นความรู้เขาก็แค่นั้น จะเข้าใจธรรมชาติ 5 หรือ
ก็จะไม่เข้าใจพลังงาน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาการของพลังงานอุตุ พีชะ จนจิตนี่แหละจะก่อกรรม หากเป็นพีชะ จะไม่ก่อกรรมไม่มีพลังงานครอง ไม่เกิดเป็นกรรมวิบาก แต่ถ้าเป็นจิตนิยามก็เริ่มมีกรรมวิบาก ผู้ที่เริ่มศึกษาพลังงานเหล่านี้จึงรู้ว่า จิตที่จะไปก่อกรรม เพราะพลังงานจิตของคนจะมีความรู้สูงจนกระทั่งรู้ว่า กรรมอย่างนี้เป็นกรรมที่ไม่ควรทำ เพราะเป็นอกุศลกรรม เป็นบาป จะทำให้เกิดความเลวร้ายความทุกข์แก่เราเอง ถ้ากรรมไหนก่อความสุขความเจริญ เป็นโลกีย์ก็มีความสุขความทุกข์ มีความเสื่อมความเจริญ แต่โลกุตระนั้นรู้พร้อมทั้งความเจริญในความดีความเสื่อมความชั่วแล้ว ไม่ปฏิบัติความชั่วความเสื่อม ปฏิบัติแต่ความเจริญ สำหรับผู้ที่สามารถทำจิต ให้จิตตนควบคุมพลังงานตนเองให้ก่อกรรมที่มีแต่ความเจริญ ไม่ก่อกรรมที่ไม่เจริญไม่ก่อกิเลสเลย นั่นคือผู้รู้จักกรรมและควบคุมพลังงานกรรม สัพพปาปสอกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) เพราะว่าได้เรียนรู้อกุศลจิต ที่ที่มันไปก่อกุศลกรรม แล้วล้างเหตุทำให้มันจบล้างอกุศลในจิต ล้างกิเลสได้ด้วยก็เป็นบุญ ปุญญะ กำจัดกิเลสในตนได้ บุญสามารถกำจัดกิเลสได้จริง บุญเป็นพลังงานอุณหธาตุ กำจัดไฟราคะโทสะโมหะ ให้หมด บุญกำจัดราคะได้ หน่วยหนึ่งนิดหน่อย ไม่ถึงหน่วยครึ่งหน่วยก็ตามด้วย ส่วนแห่งบุญ บุญมันก้อนเท่านี้ ถ้าเรียกเป็นสังขยาเลข อกุศลมี 100 หน่วยกำจัดได้ 10 ก็เป็นส่วนแห่งบุญ กำจัดได้ 20 ก็มีส่วนแห่งบุญ 20 กำจัดได้ 90 ส่วน ก็มีส่วนแห่งบุญ 10 เหลือกิเลสอีก 10 กำจัดกิเลสได้หมดก็หมดบุญ บุญก็หมดไปไม่มีการสะสม มีแต่ความวิบัติ ความรู้นี้ไม่มีใครพูดแล้ว ถ้าใครจะพูดก็พูดตามอาตมาไม่มีใครพูดอย่างอาตมาหรอก แม้แต่ผู้ที่เป็นปราชญ์ของศาสนาพุทธในยุคนี้ก็ไม่มีใครพูดอย่างนี้ บุญไม่ใช่เครื่องมือหาเงิน ไม่ใช่เครื่องมือสร้างสมบัติ แต่เป็นเครื่องมือวิบัติ
บุญเป็นพลังงานโลกุตระ มีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างเดียวไม่ทำหน้าที่อย่างอื่นเลย บุญไม่ใช่ความรู้ บุญเป็นอาวุธ เป็นปัญญาวุฒิเลิศยอด อาตมาใช้ภาษาสื่อสภาวธรรม เป็นสิ่งที่เป็นอจินไตย หากไม่มีผู้รู้มาเปิดเผยคุณคิดเองไม่ได้ คิดไม่ออกหรอก เข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นสรุปก็คือ ถ้าอาตมาไม่พูดเรื่องบุญคืออะไรขึ้นมา สูญหายแล้วศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่มีความเป็นศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธมีเป็นเจ้าของคำว่าบุญ ศาสนาอื่นเทวนิยมไม่มีการล้างกิเลส ศาสนาอื่นใดไม่เรียนรู้พลังงานที่เป็นกิเลสในจิตเราที่เป็นพลังงาน แล้วจับตัวกิเลสพลังงานที่มันเป็นกิเลสนี่ให้ได้ แล้วล้างกำจัดเฉพาะตัวนี้ ไม่ใช่กำจัดจิต ไม่ใช่สะกดจิตให้จิตหยุด แต่ต้องเรียนรู้แยกแยะอกุศลจิตออก แล้วทำลายตัวนี้ อย่าไปทำร้ายจิตใจตัวเอง จิตใจมันเป็นธาตุรู้ไม่ใช่ธาตุชั่ว อกุศลต่างหากเป็นธาตุชั่วที่ต้องกำจัด จะเหลือแต่จิตใจที่เป็นตัวรู้ที่มีความคล่องแคล่ว
ผู้ใดทำจิตตนมีประสิทธิภาพ ได้จิตใจดีจะยิ่งคล่องแคล่ว กายปาคุญญตา เป็นรูปธรรมที่ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่จิตใจกำจัดกิเลสได้แล้วก็เป็นจิตที่นิ่งแข็งทื่อไม่คิด ไม่นึก ไม่ใช่ แต่ยิ่งจะมีความนึกคิดที่แววไว กายปาคุญญตา เป็นรูปนามที่ว่องไว เวทนาสัญญาสังขาร ยิ่งคล่องแคล่วว่องไว จิตวิญญาณก็ยิ่งจะคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่เป็นเวทนาที่ไม่รู้สึกอะไร สัญญาไม่กำหนดรู้อะไร สังขารไม่ปรุงแต่งอะไรเลย บื้อ มันเป็นความเข้าใจผิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นมิจฉาปฏิบัติ ศาสนาพุทธเดี๋ยวนี้ได้มิจฉาไปหมดแล้วทั้งมิจฉาทิฐิ มิจฉาปฏิบัติ
เรียกจิตใจที่ดีขึ้นเรียกว่าอธิจิต สมาธิคือจิตใจตั้งมั่น เมื่อทำกิเลสที่ออกไปออกไปจนกระทั่งออกได้แล้วมันก็ตกผลึก เป็นจิตใจที่ตกผลึกได้ว่าสมาธิตั้งมั่นขึ้นเรื่อยๆ
ใจที่มีสมาธิมีคุณสมบัติ ปริสุทธา มีความบริสุทธิ์ ปริโยทาตากระทบกับอะไรก็ยังบริสุทธิ์ได้ มุทุ ตัวจิตจริงเป็นมุทุภูตธาตุ เป็นธาตุจิตเก่งแคล่วคล่องว่องไว เจโตคือฐานจิต ปัญญาคือตัวทำงานจะยิ่งแข็งแรง static ยิ่งแข็งแรง dynamic ยิ่งเร็วไว มีประสิทธิภาพสูงเรียกว่ามุทุภูตธาตุ จึง กัมมัญญา ทำกรรมการงานได้ดี ทำงานได้อย่างดีไม่มีโทษภัย ทำมีแต่คุณค่าประโยชน์ ปภัสสรา จะทำงานหนักหนาสาหัส คลุกคลีเกี่ยวข้องปรุงแต่งอย่างไรก็ยังปภัสรา ผ่องใส แม้จะผ่านศึกไหน ก็ยังบริสุทธิ์เหมือนเดิม นี่คือคุณสมบัติของอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา
ผู้ใดสามารถอ่านอาการจิตเรียกว่าเวทนา เรียนรู้เวทนา108 แล้วสามารถกำจัดเวทนาที่เรียกว่ามโนปวิจาร 18 เกิดจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ หกทวาร มากระทบสัมผัสกับอะไรมันก็จะเกิดอาการ สุข ทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์เป็นได้ 3 อย่าง มโนปวิจารก็จะเกิดได้ 18 จาก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร มันกระทบแล้ว สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ รวมแล้วเป็น 18 เรียกว่ามโนปวิจาร คือพฤติกรรมของจิตที่เกิดอยู่ วิจารคือพฤติกรรมของจิตที่เกิดอยู่ 18
ในปุถุชน ผู้ที่ไม่ศึกษา จะเกิดมโนปวิจารเป็นเคหสิตเวทนา 18 ผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็จะอ่านตัวนี้ออก ทำให้เกิดสมาธิ ต้องอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทสของจิตตน เกิดทางตากระทบรูป อาการนี้สุขนี้ทุกข์ นี้ไม่สุขไม่ทุกข์ มีอะไรเป็นเหตุเกิด ตัณหาอวิชชาเป็นเหตุเกิด
อาการอย่างนี้เป็นอวิชชาตัณหา ก็กำจัดลีลาอาการของมัน ลีลานี้ มันจะเป็นอย่างนี้มีพฤติกรรมนี้ก็กำจัดมัน ลดด้วยปัญญา ไม่ใช่ด้วยกดข่มเท่านั้น กดข่มนั้นชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ามันแรงนัก ไม่ไหวก็กดข่มไว้ก่อน และพิจารณาให้เห็นไตรลักษณ์ของจิต
ไตรลักษณ์ของจิตคือมันเกิดอย่างนี้ มันไม่ใช่เกิดตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็เกิดสุขเดี๋ยวมันก็เกิดทุกข์ เดี๋ยวมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ มันไม่ได้เที่ยง ไม่ได้สุขตลอดเวลาหรือทุกข์ตลอดเวลา ก็ไม่ใช่ ไม่สุขไม่ทุกข์ตลอดกาล ก็ไม่ใช่ เดี๋ยวมันก็สุขเดี๋ยวมันก็ทุกข์ เดี๋ยวมันก็ไม่สุขไม่ทุกข์ยิ่งกว่าลิง จิตมันยิ่งกว่าลิง อย่างนี้เป็นต้น มันเร็ว มันจับไม่ทันง่ายๆหรอกเร็วไว ไม่เที่ยง ไม่อยู่กับร่องรอย
และความไม่รู้จิตใจพวกนี้ ธรรมชาติมันจะเกิดอย่างนี้ แต่เราไปยึดถือว่าอย่างนี้มันต้องได้อย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ต้องมี ถ้าไม่ได้มาก็ทุกข์ ได้มาก็เป็นสุข บางทีมันก็เฉยๆ แบบเคหสิตเวทนา หมายความว่ามันเฉยๆแบบโลกๆ พักยก มันไม่รู้เรื่องหรอก รู้สึกเซ็งๆ เฉยๆไม่สุขไม่ทุกข์อะไรไป ก็ได้ แต่พระพุทธเจ้าให้ศึกษาเวทนานี้อย่างละเอียดชัดเจนในอาการต่างๆพวกนี้ แล้วเรียนรู้ตัวที่มันเป็นเหตุ เหตุที่หลงว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ตาม อย่างบื้อๆไม่เอา ให้มันเกิดสุขกับทุกข์แล้วรู้เหตุ ล้างเหตุ กำจัดเหตุนี้ได้ จิตใจมันก็จะดีขึ้น เจริญขึ้น
เรียนรู้ เคหสิตเวทนา18 แล้วทำให้เกิดเป็น มโนปวิจาร เนกขัมมสิตเวทนา18 ให้ได้ ไม่ใช่ไปสะกดจิตไม่เรียนรู้มโนปวิจาร คนปฏิบัติธรรมแล้วแยกแยะ อ่านอาการตนเองไม่ชัด ไม่พ้นวิจิกิจฉา อ่านแยกจิตเจตสิกตัวเองออกแล้วลด เคหสิตเวทนาไม่ได้ จิตวิญญาณก็ไม่เข้าสู่ เนกขัมมะธรรมะ เนกขัมมะคือทำกิเลสออกไปจากจิต กามเป็นต้น พยาบาทเป็นต้น ทำให้เป็น ผู้นั้นทำสมาธิของศาสนาพุทธไม่เป็น การนั่งสะกดจิตไม่ใช่วิธีของศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธต้องลืมตาปฏิบัติ มีผัสสะเป็นปัจจัยอ่านกิเลสขณะทำกรรมการงานอยู่ พูดอยู่ก็อ่านกิเลส คิดอยู่สังกัปปะก็อ่านกิเลส แล้วรู้วิธีกำจัดกิเลสให้ได้ กำจัดอย่างสมถะและวิปัสสนาจนกิเลสมันดับจริงๆไม่เกิดอีกเลยตลอดกาล นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อย่างนั้นคือศาสนาพุทธ อาตมาพูดซ้ำซากวนเวียน ก็จะพูดอย่างนี้ต่อไปจนกว่าจะตายก็จะพูดต่อไปอีก ถ้าเข้าใจกันแกนของศาสนาพุทธ ถ้ารู้มโนปวิจาร18 แล้วทำเป็น ทำให้เกิดอุเบกขา เนกขัมสิตอุเบกขาเวทนา จะมีคุณสมบัติ 5 ประการ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
แล้วทำให้มันแข็งแรง ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว เหมือนเสาระเนียด เป็นอเนญชาภิสังขาร ทำให้ได้ตลอดไป เรียกกว่าทำให้เกิดเวทนา 36 36 36 ขึ้นกับกาละ ปัจจุบันทำให้กิเลสเป็นศูนย์เรียกว่า 36 คือรู้จัก เคหสิตตะมาเป็นเนกขัมมะ ทำจนกระทั่งมันเป็นศูนย์ตลอดกาล สั่งสมเป็นอดีตเป็นฐาน static แข็งแรงตั้งมั่น มั่นคงไม่หวั่นไหว กระทบสัมผัสกิเลสนี้ไม่เกิดแล้ว มันมีต้นทุนแห่งจิตเป็นสมาธิ เป็นอธิจิตยิ่งใหญ่ รู้เท่าทันและมีกำลังเจโต กระทบสัมผัสแล้วกิเลสเข้าไม่ได้ กิเลสร่วงผลอย จนเป็นจิตที่ลูบหัวล้านกิเลสได้ กิเลสมันจะร้อนแรงอย่างกับพระอาทิตย์ ก็ลูบหัวล้านพระอาทิตย์ได้ ตามที่ท่านตรัสไว้ในมโนมยิทธิญาณ
โลกจะร้อนแรงด้วยไฟราคะโทสะโมหะอย่างกับพระอาทิตย์ ผู้ที่อยู่เหนือพลังงานเหล่านี้ได้แล้ว มีพลังงานไฟฌาน จะจับต้องสัมผัสไฟราคะโทสะโมหะได้ จึงอยู่เหนือโลกธรรม อยู่เหนือพลังงานโลกีย์ทั้งหมด นี่คือสัจจะที่เป็นไปได้จริง สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโกโอปนยิโกปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ตามที่กล่าวข้างต้นได้จริงในยุคนี้ อกาลิโกก็ปฏิบัติได้ พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโกมาดูได้ เป็นของสูงเป็นของวิเศษสุดเอื้อม แค่เอื้อมเอามาได้ ทำได้แล้วจะเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ แล้วคุณทุกคนควรจะมาเอา สันทิฏฐิโก คนทุกคนควรจะมาเอาให้ได้ เอาได้แล้วเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูอธิบายมาถึงจุดนี้ทำให้เข้าใจถึงว่า แพ้ชนะอยู่ที่สมถะหรือวิปัสสนา
พ่อครูว่า...เข้าใจสมถะ เข้าใจวิปัสสนา สมถะก็ต้องใช้วิกขัมภนปหานช่วยล้าง ธรรมดาธรรมชาติคนเราก็ต้องใช้บ้างอยู่แล้ว ธรรมดาคนเราเกิดมามีกิเลสราคะโทสะโมหะ คุณก็ต้องกดข่มไว้ทั้งนั้น ไม่ใช่ปลดปล่อยไปหมด ออกไปหมด ไม่ใช่ โดยธรรมชาติสัญชาตญาณคนเราก็จะกดข่มไว้ ก็ต้องมีความละอาย เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ นอกจากมันไม่ละอาย จะโกรธก็แสดงมาเต็มที่เป็นพวกฮิปปี้ แสดงราคะก็แสดงเต็มที่ ไม่ปิดไม่เม้มเลย มันไม่ใช่คน มันเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน วิกขัมภนปหานมีโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว ก็ใช้ให้เป็น
แล้วก็เรียนรู้เรียกว่าวิปัสสนา เรียนรู้กิเลสทีละคู่ เป็นธรรมะ 2 กำจัดให้ได้ กำจัดได้หน่วยหนึ่งเป็นตทังคปหาน กำจัดกิเลสไปทีละหน่วยทีละอัน ไม่ใช่เรียนรู้มั่วเอาไปหมด ศาสนาพุทธให้ตัดกิเลสไปเป็นลำดับ ไม่ใช่ว่าอะไรก็เป็นกิเลสคว้าหมดเลย ให้จับปลาทีละตัว เรียนรู้ให้มีผัสสะให้เกิดเวทนาเป็นธรรมะ 2 แล้วจะมีฐานที่ทำการเรียกว่ากรรมฐาน ฐานคือที่ตั้งที่จะจัดการ กรรมคือการทำงานจึงจะทำงานได้ ถ้าไม่มีผัสสะปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีเวทนา ศาสนาพุทธมีกรรมฐานเป็นเวทนาอย่างเดียว แต่ทุกวันนี้ มีกรรมฐาน 40 ดินน้ำไฟลมอะไร มันเป็นเรื่องการสะกดจิต อันนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย ศาสนาพุทธนั้นให้รู้จักกรรมฐาน คือเวทนา ถ้าไม่มีเวทนาแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ ไม่มีทางปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสรุปในพรหมชาลสูตร แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก
ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีทางปฏิบัติ ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงจะมีการปฏิบัติได้แต่ทุกวันนี้ไปนั่งหลับหูหลับตาปฏิบัติ ไม่มีการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย พูดจนเมื่อยแล้ว เมื่อไหร่เขาจะได้ยิน เมื่อไหร่เขาจะรู้สึก เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะเลิกสิ่งที่ผิดนี้สักที เขาไม่เชื่อน้ำมนต์ ไม่เชื่อน้ำยาอาตมาเลย
อาตมาว่า ไม่ได้พูดร้ายพูดไม่ดีเลย พูดบอกให้รู้ว่าโจรทำไม่ดีไว้อย่างไร โจรมันไม่ได้บุกรุกแต่มันอยู่ในตัวคุณเลย ในตัวมีแต่ไอ้โจรทั้งนั้น รู้ตัวเองเสียบ้าง อาตมาบอกว่าโจรอยู่ในตัวคุณ เขาก็ไม่ฟัง โจรมันก็เลยยิ้ม บอกว่าพวกนี้ตาบอดหูหนวกหมดแล้ว เขาไม่ฟังหรอก เขามองเราเป็นตัวตลกบ้าๆบอๆ แต่เขาไปฟังอาจารย์ที่ช่างหลอก เป็นลูกศิษย์ของโจร ลูกศิษย์ของกิเลสไปโน่นแล้ว พูดความจริงไม่ใช่ยกตนข่มท่านว่าเขาผิดเราถูกอะไร แต่พูดสัจจะ ผู้ที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดผิด จะไปหลงว่าถูก ก็ยกเป็นอาจารย์เสียเยอะ
ศาสนาพุทธเพี้ยนไปเกินครึ่งศาสนาพุทธแล้วจึงเสื่อมมาก อาตมาพยายามมากอบกู้แต่มันไม่ค่อยเป็นไปได้เลย อาตมาเองในปางนี้อย่างนี้ ในชีวิตของวัฏสงสารในโลกใบนี้ อาตมาก็ได้เวียนตายเวียนเกิดมาช่วยศาสนา รอบแล้วรอบเล่า มาถึงรอบนี้ก็เช่นกัน ทำร้ายทำแรงก็เคยทำมาแล้ว ทำอย่างไม่ร้ายไม่แรงก็ทำมาแล้ว ไม่ค่อยได้เรื่อง ก็ยังเสื่อมอยู่นั่นแหละ ไอ้ตอนที่อาตมาทำร้ายแรง ไม่ได้เกิดในเชื้อชาติไทย คือทำงานศาสนาต้องปราบต้องโหด ต้องใช้อาญาสิทธิ์ เสร็จแล้วก็ดีขึ้นหน่อยนึง พอมางวดต่อมา ก็ทำร้ายแรงอีกก็ยังไม่ดีขึ้น มาถึงยุคนี้ปางนี้เลยต้องทำร้ายแรงแต่เบา ทำนิ่มนวล ทำร้ายแรงแต่นิ่มนวลยิ่งกว่าจอมยุทธ ร้ายแรงแต่สุภาพนิ่มนวล คนไม่มีปัญญาแท้ อ่านวรยุทธนี้ไม่ออก วรยุทธนี้ก๊วยเจ๋งก็สู้ไม่ได้เอี๊ยก๊วยก็สู้ไม่ได้ ทั้งเร็ว และทั้งไร้ตัวตน แต่คนรับสัมผัสเห็นว่าอาตมาทำแรง อันนั้นเป็นธรรมฤทธิ์ แต่จริงๆแล้วอาตมาไม่เคยตบตีใคร นอกจากมุขสตีปากหอก ไม่เคยไปลงมือลงไม้อะไรกับใคร ไม่เคยไปทำร้ายแรงที่จะไปรบกวนผิวหนัง กระทบกระเทือนผิวหนังใคร ทำแต่เสียงพูด ภาษาสำเนียงมุขสตี ไม่เคยทำร้ายทำลายใครทำกายกรรม ทำแต่วจีกรรม ซึ่งก็เกิดจากมโนกรรมทั้งนั้น เป็นสิ่งที่อาตมาจะต้องทำไปจนตาย ไปทำทางกายกรรมมันเกิดเป็นวิบาก มาเล่นงานอาตมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นก็ไม่เอาแล้วก็เลยมาทำอย่างสุภาพก็ไม่ได้เรื่อง เลยต้องทำอย่างนี้ จะบอกว่าไม่สุภาพไม่ได้ นี่มันสุภาพที่สุดแล้ว เพราะไม่มีทางที่จะทำงานด้วยกายกรรมวจีกรรมที่มาจากมโนกรรม ไม่มีทางทำกายวิญญัติวจีวิญญัติได้ดีกว่านี้แล้ว เกิดจากสภาพที่รู้ว่าอะไรเป็นอย่างแรงอย่างเบา แล้วประมาณทำให้ได้สัดส่วนที่เป็นประโยชน์สูงสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์แบบคนจนของพระโพธิสัตว์
อาตมาก็ขอสรุป เข้าเรื่องว่า อาตมาทำงาน พูดมาจน 47 ปี เริ่มปี 48 แล้ว ทำไมมันเหนื่อยขนาดนี้ อยู่ทางโลกทำงานหาเงินทองไม่ได้ลำบากเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ เหนื่อยก็พัก เพราะว่าทำงานมีรายได้ แต่นี่ต้องทำงานไม่มีรายได้ ไม่ทำก็ไม่ดีก็ต้องทำ ยิ่งจะต้องทำ เฉยเมยไม่ได้ ทำงานไม่เอาเงิน ไม่เอาลาภยศสรรเสริญก็ต้องทำ มันเป็นหน้าที่ อย่ามาทำอู้กินบ้อไม่ได้นะ อู้กินบ้อ เป็นการพนันอย่างหนึ่ง สมัยนี้ไม่รู้จักกันแล้ว
ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมารู้ว่าพระโพธิสัตว์เป็นอย่างไร แล้วไม่ได้พูดเล่นๆด้วย โพธิสัตว์นี้จะต้องมาเป็นเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ จะต้องเห็นดีเห็นงามในความจน เพราะฉะนั้นหลักฐานยืนยันชัดเจน phenomenon phenomenon เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ ก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตอบเองว่าต้องเอาแบบคนจน นี่เป็นหลักฐาน เป็นสิ่งปรากฏ phenomenon ยืนยันได้ ท่านเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นผู้ที่มีรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ เป็นใหญ่ในประเทศ ท่านได้ตรัสถึงการบริหารการปกครองว่า ต้องเอาแบบคนจน คนไทยพระเจ้าแผ่นดินตรัสอย่างนี้ แต่ก็ไม่รู้เรื่องว่า เอาแบบคนจน ฟังแล้วหูหัก ในหลวงนี่ แต่ใครไม่กล้าตำหนิในหลวง ตำหนิท่านไม่ได้วิจารณ์ก็ไม่ได้ ก็คงจะได้คิดว่า ในหลวงทำไมพูดอย่างนี้ บริหารประเทศเอาแบบคนจน ก็คือมีเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ทำให้เป็นแบบเศรษฐกิจคนจน ต้องทำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์บริหารประเทศให้เป็นคนจนกัน อย่าไปมุ่งความรวย ถ้ามุ่งหมายไปสู่ความรวย บริหารประเทศไม่จบ มีแต่จะก่อศึกสงคราม ก่อผู้แย่งผู้แข่ง ถ้ามาสอนให้เป็นคนจน เป็นคนจนที่มีอยู่มีกิน เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนมีสมรรถนะปัญญา ความรู้ความสามารถสร้างสรรค์ บริหารแล้วเกิดผลผลิต เกิดผลของแรงงาน ก็เต็มใจทำงานแต่ตนเอง เอาผลผลิตมันไว้แต่น้อยมันก็จนสิ คนอย่างนี้ถ้ามีความคิดอย่างนี้ทั่วประเทศไม่งอมืองอเท้า รัฐบาลหาทางให้เขาทำงานฝึกฝนเขา ให้เขาสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ อย่าไปสร้างสิ่งที่เป็นพิษที่มอมเมา สร้างสิ่งที่มีประโยชน์คุ้มค่า สร้างขึ้นมาแล้วกินใช้กันไม่เป็นพิษเป็นภัยไม่มอมเมาโลก มันก็อาศัยกินใช้ สร้างได้เท่าไหร่ก็กระจายสะพัดแจกจ่ายเจือจาน
1.ขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด
2.ขายเท่าทุน ทำได้ไม่ตายหรอก
3.ขายอย่างขาดทุน ทำได้ไม่ตายหรอก คนที่ขายราคาต่ำกว่าราคาทุน อยู่รอดได้ แต่ถ้าต่ำไปมากก็อยู่ไม่รอด แต่ต่ำในระดับหนึ่งก็อยู่ได้ มีสิ่งที่จะเหลือพอหมุนเวียนรอด เพราะว่าอัตราเกินสิ่งที่ตัวเองเราก็ลดราคาค่าแรงงานของเราลง พอลดลงได้นั่นคือขาดทุน เราก็อย่าไปลดหมดสิ ค่าแรงงานของเราวันละห้าร้อย ใช้หมดเราก็ตายสิ ต้องคิดค่าทุนตามวิธีพาณิชย์เศรษฐศาสตร์ว่า เราให้ได้เท่านี้ เราอยู่รอดได้
สมณะเดินดินว่า...ในหลวงตรัส มีสิ่งที่สอดคล้อง กับพ่อครูว่า...ประเทศไทยเราอาจไม่ใช่ประเทศที่รุ่งเรืองหรือดีที่สุดในโลก แต่ขอให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงมีความสงบได้ เพราะว่าโลกนี้หายากแล้ว
ชาวอโศกเป็นคนที่พอมีพอกินช่วยเหลือตัวเองได้ ได้สนองพระราชดำรัสสำเร็จแล้วได้ถูกต้อง แต่สังคมประเทศชาติผู้บริหารมองไม่ออกว่า ชาวอโศกนี่แหละเป็นผู้สนองพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 สำเร็จมองไม่ออก นี่แหละอุดมสมบูรณ์พอกินเหลือกินเหลือใช้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:45:38 )
รายละเอียด
601112_เอื้อไออุ่น ชาวดอยรายปลายฟ้า และแพทย์วิถีธรรม
พ่อครูว่า…รายการเอื้อไออุ่นพยายามจะให้เป็นแบบเพราะๆลูกๆคุยกันได้ทุกทีทำไปทำมาก็เหมือนจะกลายเป็นรายการวิชาการทางธรรมะไปเสีย ไปจะใช้ไมค์ถามก็เชิญ
มีคำถามแห้ง สองแผ่น…
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน พลังจิตคืออะไรทำอย่างไรจึงจะมีพลังจิต
_พลังจิตคืออะไรและทำอย่างไรจึงจะมีพลังจิต
ตอบ...พลังจิตคือคนคนหนึ่งที่มีชื่อเล่นว่านายเปีย … มีน้องชื่อพลังธรรม หลานของอุปัชฌาย์ เดินดิน ก็แวะๆๆไปสนุกหน่อย
พลังจิตก็คือ จิตเรานี่ สามารถที่จะ ถ้าจะแปลตรงๆคือจิตแข็งแรง จิตมีพลัง ทีนี้จิตใจแข็งแกร่ง มันต้องขยายความ หมายความว่าจิตใจกระด้าง? จิตโง่ทื่อก็เลยแข็ง ไม่ค่อยมีไหวพริบ หรือว่าจิตกระด้างดื้อร้น เป็นจิตแข็งกระด้างก็ไม่ใช่
จุดแข็งแรงก็คือจิตมีอินทรีย์พละ พลังจิตคือจิตหนึ่งมี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มีลักษณะ 5 อย่างนี้ เรียกว่าจิตมีพลัง
ความหมายที่ชัดเจนเป็นเช่นนี้ ความหมายจิตมีพลัง ควบคุมให้จิตแข็ง แต่พูดเลยภาษาโลก โลกมันเป็นอย่างไร มันเหมือนกับขนมปัง ทำไว้นาน มันก็เลยแข็งโป๊กกินไม่ลงอย่างนั้นหรือ จิตแข็งเป็นอย่างไรหรือข้าวหุงไว้นาน ตักออกมาทิ้งไว้นานก็เลยแห้งแข็งเคี้ยวไม่ลง มันไม่นุ่มไม่นิ่ม ก็ไม่ใช่
พลังจิตคือพลังจิตมีอินทรีย์ 5 พละ 5 พลังจิตคืออินทรีย์ 5 พละ 5 อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้าตรัส ท่านบอกไว้เลย
แล้วทำอย่างไรจึงจะมีพลังจิต ถ้ารู้อย่างนี้ก็ตอบได้ง่าย ทำอย่างไร?...มีสูตรอยู่แล้ว…. ทำอย่างไรจะมีอินทรีย์ 5 พละ 5
1 มีสติปัฏฐาน 4 2 มีสัมมัปปธาน 4 3 อิทธิบาท 4 แล้วจะเกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 และต้องปฏิบัติอยู่ในกรอบของโพชฌงค์ 7 และมรรคมีองค์ 8 นี่คือการจะเกิดพลัง ทำอย่างไรจะเกิด ต้องปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37 นี่คือคำตอบ ถ้าตอบอย่างนี้ได้เต็มเลย ถ้าตอบผิดไปจากนี้ ตก
ทำอย่างไรจะมีพลังจิตก็ต้องปฏิบัติเรียนรู้ สติปัฏฐาน 4 ปฏิบัติอย่างไร สัมมัปปธาน 4 ปฏิบัติอย่างไร อิทธิบาท 4 ปฏิบัติอย่างไร จึงจะเกิดพลังไปตามลำดับเรียกว่าอินทรีย์ เรียกว่าพละคือพลัง และมีเงื่อนไข ว่าต้องอยู่ในกรอบของโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ไม่ใช่เลอะเทอะอย่างไรก็ได้
สติปัฏฐาน 4 ก็คือโพชฌงค์ 7 เริ่มต้นมีสติ ถ้าปฏิบัติสติได้ดี เข้าใจว่ากายในกายพิจารณาเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ปฏิบัติอย่างไร ทำถูกต้อง ก็เป็นโพชฌงค์ มีความตรัสรู้ โพชฌงค์คือองค์แห่งความตรัสรู้ ต้องปฏิบัติสติ รู้จักว่าสติคือความระลึกรู้ เพื่อพิจารณา กายเวทนาจิตธรรม แล้วต้องพิจารณาเป็น พิจารณาใช้เหตุผล ว่ากายคือธรรมะสอง กายคือรูปกับนาม
กายคือ ปสาทรูป5 โคจรรูป 5 แล้วสัมผัสอะไรขึ้นก็เกิดวิญญาณ
ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสอะไรขึ้นมา ก็เรียกว่า ประสาทตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ โคจร ทำงานให้เกิดให้สัมผัส เมื่อสัมผัสก็มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก หรือเกิดภายใน นั่นคือสภาพของการปฏิบัติสติปัฏฐาน การจะเกิดสติปัฏฐาน ขยายความให้ชัดเจน
ผู้ที่ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 นั้น ถ้าปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โดยมีภาษาคำว่ากายในกายเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมเท่านั้น ไม่มีธรรมวิจัย มีแต่สติปัฏฐาน 4 ไม่มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่ได้พยายามพากเพียรมีอิทธิบาท ก็ไม่สามารถที่จะเกิดสภาพของผลสำเร็จของการพิจารณากายเวทนาจิตธรรม
การพิจารณากายเวทนาจิตธรรมต้องมีธรรมวิจัย วิจัยว่ารูปกับนามคืออะไร เป็นต้นเรียกว่ากาย รูปกับนามเป็นธรรมะ 2 มันจะเชื่อมต่อเป็นเวทนา เชื่อมต่อเป็นจิต เชื่อมต่อเป็นธรรมะ เป็นอิทัปปัจจยตา ไม่ใช่อยู่โดดเดี่ยว กายเวทนาจิตธรรม การเรียนรู้ศึกษาฝึกฝน ไม่ได้แยกกัน ก็จะต่อเนื่องเป็นธรรม คือกุศลไม่ใช่อกุศลธรรม
ผู้จะปฏิบัติธรรมในธรรมให้เป็นผล ก็ต้องมีสัมมัปปธาน 4
สัมมัปปธาน 4 มีอะไร
1. สังวรปธาน 2. ปหานประธาน 3. ภาวนาปธาน 4. อนุรักขนาปธาน
สังวรปธานต้องสำรวมสังวรณ์อินทรีย์ 6 ก็เลยเป็นข้อบังคับว่า การพิจารณากายเวทนาจิตธรรม ไม่ใช่นั่งหลับตา ต้องลืมตาปฏิบัติ พิจารณากายเวทนาจิตธรรมไม่ใช่นั่งหลับตา ต้องลืมตาปฏิบัติ ก็ต้องลืมตาเป็นปกติสามัญของมนุษย์ ได้พยายามปฏิบัติตัวอิทธิบาท 4
คำว่ายินดีฉันทะ มันเป็นคำสำคัญ การปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้าหากไม่มีฉันทะมาทำเลย ไม่เกิดผลอะไร ไม่มีความยินดีพอใจจะทำแล้ว ก็จะทำอย่างซังกะตายไปทำชั่วเถอะยังจะมีผล ปฏิบัติธรรมที่ดีมากๆ ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า แล้วก็ดียกกำลังด้วย ไม่ใช่ดีธรรมดา ปฏิบัติแบบโลกุตระจึงเป็นศาสนาพุทธ คือ หากไม่มี เราก็จะไม่เข้ากระแสศาสนาพุทธ หากปฏิบัติอย่างไม่มีความรู้ ปฏิบัติไปตามโลก
ศาสนาอื่นก็รู้ว่าปฏิบัติดีไม่ไปปฏิบัติชั่ว แม้ไม่มีศาสนาก็รู้ ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องมีผู้รู้มาสอน ใครก็รู้เป็นสามัญปกติ แต่ทฤษฎีของศาสนา ที่มีพระศาสดา ก็จะต้องมีหลักเกณฑ์ มีระบบระเบียบ ศาสนาในไหนเขาก็มีของเขา ศาสนาพุทธก็มี มีหลักเกณฑ์ของพุทธ ผู้ประพฤติปฏิบัติ ทำให้เกิดพลังของจิต เกิดอินทรีย์ 5 พละ 5 ก็ตอบประมาณนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน แยกเคหสิตะกับเนกขัมมะ
_ขอให้พ่อครูอธิบายการปฏิบัติ ที่ใช้แยกเคหสิตะกับเนกขัมมะ เพื่อเป็นรั้วล้อมให้ปฏิบัติให้ถูก
พ่อครูว่า...หากไม่รู้แล้วแยกแยะไม่ถูก แทนที่จะล้อมรั้วเป็นโรงตีไก่ก็กลายเป็นโรงชนวัว อย่างนี้เป็นต้น ดี ถามมาดี
ตั้งใจฟังดีๆ สำคัญนะ เคหสิตะเวทนากับเนกขัมมะสิตเวทนา การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าคือปฏิบัติที่ตัวเวทนาเป็นหลัก ต้องรู้จัก อาการ ลิงค นิมิตอุเทส ของความเป็นเวทนา เวทนาต่างจากสัญญา สังขาร วิญญาณอย่างไร
เวทนา สัญญา สังขารก็คือ หมู่หมวดของเจตสิก รวมแล้วก็เรียกว่าวิญญาณ วิญญาณแยกเป็นเวทนา สัญญา สังขาร
ก็พิจารณาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องรู้เวทนาเป็นสำคัญ เป็นหลักสูตรเลย เวทนา 108 เดี๋ยวนี้ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ไม่ได้เรียนธรรมะของศาสนาพุทธ ไม่ได้ใส่ใจศึกษาเวทนา 108 มันลืมเพี้ยนไปไกล บอกว่าเป็นกรรมฐานการปฏิบัติธรรม ก็ไปเพ่ง ดินน้ำไฟลม มี 40 กสิณ มันคือการปฏิบัติธรรมที่มีกรรมฐาน ฐานแห่งการปฏิบัติคือเพ่งกสิณ จดจ่อ จดจ้อง เป็นมิจฉาทิฐิผิดเพี้ยนไปไกลจากศาสนาพุทธเลย ที่รู้กัน และการปฏิบัติไม่ว่าสำนักไหน ปฏิบัติให้จิตเป็น เอกัคคตาจิต เป็นสมาธิ ให้จิตใจมีความเป็นยอดเป็นเอก อย่างอัคคะ ยอดเยี่ยมเป็นหนึ่งเลย เอกัคคตาก็คือคำนาม ทำอย่างไร
ก็คือ นี่แหละ โพธิปักขิยธรรม 37 เริ่มต้นด้วยสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 แล้วจะเกิดผล จิตเอกัคคตา ตัวสำคัญที่จะปฏิบัติคือเวทนา แล้วพระพุทธเจ้าแตกเวทนาเป็น 108
ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 พรหมชาลสูตร ก็มีพระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
สมาธินั้นเขาเข้าใจผิดว่าต้องไปนั่งหลับตา ไม่งั้นไม่เป็นสมาธิ แต่มันได้เป็นสมาธินอกรีต หลุดไปจากศาสนาพุทธแล้ว อาตมาก็พยายามดึงขึ้นมา กระชากขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเรื่องหนักหนา เขาไม่พยายามพิจารณาตามไม่ยอมแก้ไข เห็นแล้วก็น่าสงสาร อะไรกัน หลงผิดจนกระทั่งเตือนก็ไม่รู้ไม่ฟัง อาตมามันไม่มีเครดิต ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ในสังคมศาสนา ปางนี้มันจะต้องเป็นเช่นนี้ พิสูจน์ผู้มีปัญญา ผู้ที่แสวงหามีปัญญาจึงจะรู้ที่อาตมาพูด ว่านี่คือสัมมาทิฏฐิ ที่เรียนกันอยู่ยึดถือกันอยู่ในนี้มันผิด เป็นมิจฉา พูดมันชัดๆอย่างนี้ไปนั่งหลับตาสมาธินั้นผิดหมด ไม่ใช่ทางของศาสนาพุทธเลย แล้วยิ่งในมหาจัตตารีสกสูตร ยิ่งชัดเลย ท่านตรัสไว้ชัดว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจะบอกจะพูดบรรยายสมาธิที่เป็นอาริยะ สมาธิของพุทธนั้นเกิดจากมรรคทั้ง 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน สัมมาวายามะ สัมมาสติเป็นผู้ช่วย เป็นอัศวินซ้ายขวา เป็นหวังเฉาหม่าฮั่น ถ้าหากสัมมาทิฏฐิเป็นประธานที่มิจฉาก็ออกนอกทางหมด
ทิฏฐิ 10 ที่เป็นสัมมาคือ
1. ทำทาน 2. วิธีปฏิบัติ คือยิฏฐัง 3. ทำแล้วเกิดผลอะไร เป็นหุตัง ต้องปฏิบัติตามข้อนี้เข้าใจจึงจะรู้จักความเป็นโลก โลกปัจจุบันโลกโลกีย์ กับโลกที่เดินทางต่อไป เรียกว่าโลกหน้า ก็ต้องเข้าใจว่า โลกนี้(อยังโลโก) โลกหน้า(ปรโลก) เป็นอย่างไร แล้วปฏิบัติ สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก ทำให้ทุกฏังเป็นสุกตัง ทำให้เป็นสิ่งที่ดี สั่งสมเป็นวิบาก เป็นผลวิบาก หากเข้าใจอย่างนี้ไม่ถูกปฏิบัติกรรมฐานก็ไม่ถูก การปฏิบัติกรรมฐาน 40 นั้นเป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ ไปทำตามวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ผิดไปหมด ประเทศไทยปฏิบัติตามวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ซึ่งเป็นเทวนิยม แต่ก็มีคำบัญญัติของพระพุทธเจ้าอยู่เยอะ แต่อธิบายองค์รวมแล้วเป็นเทวนิยมไม่เข้ากระแส โลกุตรธรรม
นี่คือเครื่องมือที่บอกว่าศาสนาพุทธเสื่อม เขาเรียนรู้จนได้เปรียญ 9 ประโยค เรียนวิสุทธิมรรค มีภาษาบัญญัติ แต่อธิบายไปเป็นเทวนิยม ไม่ใช่โลกุตตระ อาตมาพูดอย่างอวดใหญ่โต สถาบันเขาก็มี บางคนก็ไปเป็นนายพล เป็นสายอนุศาสนาจารย์ อยู่ในกระทรวงเต็มไปหมดเยอะแยะ เป็นอาจารย์เป็นศาสตราจารย์ ก็เรียนจบเปรียญ ก็เลยเผยแพร่ความผิดกันไปหมด ขออภัย อธิบายวิชาการสาธยายความรู้ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าพูดวิชาการความถูกความผิดที่แท้จริง เขาผิดจริงก็พูด ไม่ใช่ความอวดดีอะไรเป็นความเห็นของอาตมา อาตมาแสดงธรรม แสดงสัจธรรม ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก คนฟังแล้วหาว่าเพ่งโทษดูถูก ก็ขอยืนยันว่าอาตาพูดถูก ไปหาว่าอาตมาว่า ก็ว่าความสุขความผิดให้ฟังแล้วให้พิจารณา ถ้าพูดแล้วไม่ถูกต้อง ก็ไปแก้ไขให้ถูกต้อง ถ้าพูดผิดก็มาต่อว่ายืนยันกับอาตมาได้
ทุกวันนี้อาตมาสาธยายธรรมมาเข้าปีที่ 48 แล้ว ผ่านมรสุมที่เขามาเล่นงานอาตมา อาตมาก็อธิบายธรรมะเฉย ไม่เห็นมีใครจะกล้าท้วงเพราะอาตมายืนยันพระไตรปิฎก ถ้ามันสงสัยเข้าตรงไหนเอามาเปิดดู ชี้กัน จะเอาตรงไหน อาตมามั่นใจว่าไม่ได้พูดผิด
เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอยืนยันว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่า สัมมาทิฏฐิมี 10 ข้อนั้น ข้อที่10 อาตมาพูด 1 2 3 แล้วขอผ่าน 4 5 6 7 8 9 ไปคลอดที่ 10 เลย
10.สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
สยังอภิญญา คือรองจากสยัมภู(เป็นเจ้าของธรรมะเองเลย) แต่สยังอภิญญา คือมีความรู้ของตนข้ามภพชาติมา แม้ชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ท่านก็รู้เอง เช่นอาตมาเกิดมาชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ เขาก็หาว่าอวดดีบอกว่าตรัสรู้เองหรืออย่างไร ก็ความรู้เองไม่มีสองขั้น สยังอภิญญากับสยัมภู อาตมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่พระพุทธเจ้า มีแต่ความรู้แบบสยังอภิญญาก็เป็นพระโพธิสัตว์ สยัมภูเป็นความรู้ระดับพระพุทธเจ้า แต่คนภูมิไม่ถึงก็ตู่ท้วง อาตมาอวดดี ถูกต้องด้วย แต่คุณนี่แหละเห็นไม่ดีไม่ถูกต้อง อาตมาไม่ได้ว่าใครนะ ไม่ได้ข่มใครนะ อธิบายธรรมะ
อาตมาก็มายืนยันว่า อาตมานี่แหละตรงตามพระพุทธเจ้าตรัสว่าโลกนี้โลกหน้าเป็นอย่างนี้นะ แล้วมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นผู้มีความรู้เอง เพราะท่านมีสยังอภิญญาจึงยืนยันตัวเองได้ คนที่ไม่มีภูมิปัญญาก็หาว่าอวดดี ว่าตัวเองรู้เองได้อย่างไร ก็รู้อย่างสยังอภิญญาไง มีตรัสไว้ในไตรปิฎกก็มี ก็ยืนยันอย่างนี้ จะมาตัดหัวอาตมา ถ้าจะมาหายไป ก็แล้วไป แต่ถ้ายังไม่เป็นอย่างนั้น ก็มีเสียงพูดได้อยู่ ก็จะพูดอย่างนี้ เพราะพูดความจริงไม่พูดจาไม่จริง พูดไม่เป็นความไม่จริง พูดเป็นแต่ความจริง พูดความไม่จริงไม่เป็น นี่อาตมา
ผู้ที่รู้สึกว่าอาตมาอวดดี อวดตัว เขามีความรู้สึกอย่างไร อาตมาพูดไม่ถูกต้อง เป็นคำที่ผิดเชิงตำหนิดูถูก อวดดี อวดตัว แม้จะถูกต้อง ก็อวดตัวอีก อวดดี กับอวดตัวต่างกันก็คือ อวดดีคือ พูดความดี เอาดีมาอวด อาตมาก็อวดดี เอาดีมาแสดง เอามาบรรยายประกาศสื่อให้คนอื่นรู้ แสดงดี โชว์ดี อวดดี ประกาศดี บรรยายดี
อวดตัวนั้นเป็นคนมีอัตตา เอาตัวเองมาอวด ถ้าตัวเองเป็นคนดีเป็นคนถูกต้อง แล้วอวดก็ควรอวด สองอัตตานี่เป็นกิเลส คุณถูกต้องก็ตาม แต่คุณอยากอวดตัวว่าเก่งว่าดีว่ารู้เป็นสาเฐยจิต คนนี้ก็กิเลสอ้วนหน้า ปุถุ เขาก็มีกิเลส อ้วนขึ้นหนาขึ้นใหญ่ขึ้น เขาก็เป็นปุถุชน แต่อาตมาเป็นอาริยชน ทุกวันนี้อาตมาพูดภาษาธรรมะ ไม่ได้เกรงใจพูดตรงไปหมดแล้วไม่ได้มีตัวตนด้วย พูดว่าอันนี้เป็นอันนี้ โป้งๆๆๆ เลย ให้มองว่าอาตมาอวดดีอวดตัวตน คนนั้นเป็นคนเพ่งโทษอาตมาคือเพ่งผิด
คุณดูถูกอาตมาสิ คุณดูให้ถูก ถ้าดูไม่ถูกอาตมาก็เพ่งโทษ อาสตมาเป็นใคร พูดถูก หรีอผิด ก็ที่จริงถูก แต่คุณเข้าใจผิดไปหมด เอาไปตรวจสอบในพระไตรปิฎกเลย
อาตมาพูดตรงสิ่งใดเห็นว่าผิดก็พูดมาสิ สิ่งใดถูกก็ว่าถูก
ทีนี้ ถามมา เนกขัมมสิตเวนนาเป็นเวทนา เป็นมโนปวิจาร18 เคหสิตเวทนา18 เนกขัมมสิตเวทนา หากไม่มีความรู้เรื่องนี้ สอนบรรยายอย่างไรมันก็ไม่ถึงจุดสำคัญ คนจะบรรลุธรรมศาสนาพุทธ ต้องรู้จักธรรมะที่เรียกว่า เคหสิตเวทนา ต้องรู้จัก เนกขัมสิตเวทนา
หากจิตตนเเป็นเคหสิตเวทนา คุณต้องเปลี่ยนให้เป็นเนกขัมมะ
คนปุถุชนก็คือมีกิเลสเป็นธรรมดาสามัญ ก็ต้องทำกิเลสออก เรียกว่าเนกขัมมะให้ได้ ทำได้ คุณก็นั่นแหละ เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ทุกตัว ทุกสภาวะธรรม และทำให้กิเลสลดลงออกไป ให้กามพยาบาทลดลงได้ ทำอย่างรู้ด้วย ไม่ใช่งมคลำ ยิ่งไปหลับตาเทศนานั้นไม่มีทางรู้ จะต้องเปิดทวาร มีวิจัยให้รู้จักธรรมะ 2 เวทนา 2 ทำให้เวทนาเทียม ล้างเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสมาปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ ล้างให้หมด ทำสำเร็จ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60
จะต้องรู้จักกรรมของตัวเอง สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก ต้องรู้ในขณะมีความคิด พูด ทำ และอาชีพ มีธรรมวิจัย แยกตัวติดกับกิเลสออกให้ได้ แล้วกำจัดแต่กิเลส การไปนั่งสมาธินั้น เป็นการกำจัดแบบมั่ว มีแต่ให้เป็นหนึ่ง จุดๆๆ ไม่ใช่ของพุทธเลย
เขาไม่เชื่อถืออาตมา ก็เลยเป็นอาจารย์ทางศาสนาไม่ได้ ไม่มีตำแหน่งอะไร ไม่ต้องพูดถึงศาสนาจารย์ ไม่มีหรอก คำว่าศาสนาจารย์ ใช้เรียกอาจารย์ทางศาสนา เรียกศาสนาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอื่นๆก็ตาม เรียกศาสนาจารย์ ถ้าระบุว่าศาสนาจารย์ทางศาสนาพุทธ เป็นต้น
จิตมีพฤติ มีวิจาร อ่านวิจารให้ได้ ว่ามีจิตปรุงแต่งด้วยกาม ด้วยพยาบาท หรืออัพยกฤต คุณแยกไม่ออก อัพยกฤต ต้องแยกให้ออก ว่าเป็นจิตใจส่วนลึก
จิตสุขเป็นอาการของโลกียะทุกข์ ก็เป็นอาการโลกียะ
ความสุขนั้นไม่ต้องเรียน มันเป็นของเท็จ เกิดอาการในจิตใครก็แล้วแต่ เป็นไปในทางกามโลกีย์ ได้รับยศสรรเสริญสุข ก็สุขเป็นของเก๊ทั้งนั้น ได้ลาภแล้วมีสุข คนใดมีความสุขก็นั่นแหละมีความทุกข์ สุขกับทุกข์เป็นเหรียญสองด้าน มีสุขเมื่อไหร่ ทุกข์ก็มีเมื่อนั้น จิตของคุณไม่มีสุขเมื่อไหร่ ถ้าคุณรู้จักเหตุที่ทำให้เกิดมีสุข คุณดับเหตุได้ ถ้าไม่ดับเหตุมันเกิดทุกข์ เพราะสุขนั้นคือทุกข์คือสุข ถ้าคุณดับเหตุแห่งทุกข์ได้ สุขก็หมดไป ไม่ต้องทำอะไรกับสุข เพราะความสุขมันเป็นของเก๊ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป พระอรหันต์ทุกองค์จะพูดเช่นนี้ ศาสนาพุทธไม่ไปวุ่นวายกับความสุข ใครงมโข่งกับความผิด ก็ยังต้องวนเวียนต่อไป คนที่ยังต้องแสวงหาสุขก็งงต่อไป ไม่ต้องไปแสวงหาสุขหรอก ผู้ที่เข้าใจดี ความสุขนั้นไม่มี มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าสิ่งนี้คือสิ่งนี้
มันยากมันลำบากฝืนๆ ทนได้ยากทนได้ลำบากก็เรียกว่าทุกข์ ไฟมันร้อนมาที่ผิวหนังมาแตะผิวหนัง เราก็รู้ หรือทางปากมันเผ็ดเกินก็ทุกข์ มีความเผ็ดแสบร้อน เค็มไป หวานไปก็ทุกข์ เหม็นไป ดำไป แรงไป สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง ทุกข์เกินไปรับไม่ไหวไม่พอเหมาะ รับไหวก็สุข ดีไม่ดีชอบแรงๆด้วย พวก masochism หรือที่แรงนี้คนอื่นโดน เราชอบดู พวก sadism แต่ถ้ามันชอบให้ข้านี้แหละเจ็บดีก็ masochism พวกชอบรุนแรง พวกชอบดูมวย ชอบดูคนเขาตีกันก็พวก sadism สงสัยเป็นกามนิตวาสิฏฐีไปอีกล้านชาติ จะต้องไปเป็นคู่อีกนาน ก็จะรักกัน มีอะไรไป คุณก็คือตัวต่อเผ่าพันธุ์ เป็นตัวสืบพันธุ์ อยู่ต่อไป ไม่มีจบสิ้น อธิบายสัจธรรมโดยให้ภาษามันชัด ใครไม่มีสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องแล้ว มันก็จบ ไม่ต้องมีอะไรเกิดอีก จบชาติ
เคหสิตะคือจิตเจตสิก ที่เกิดทางตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบแล้วก็เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ เจตสิกทุกข์ กายิกทุกข์ ก็ตาม หรือแยกละเอียด
เป็นเวทนา 5 สุข ทุกข์ โทมนัส โสมนัส กับอุเบกขา
หรือเป็นทางเข้าบ้าน ก่อความสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ลักษณะ 3 อย่าง ก็เกิดสามอย่างนี้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เกิดอย่างนี้ได้ 3 อย่าง เป็นเวทนา 18 แล้วคุณก็สามารถแยกว่าอันนี้เป็นกิเลส เคหสิตะ แล้วทำให้กิเลสออก ก็เป็นเนกขัมมะ การศึกษาของพระพุทธเจ้าจึงรู้ว่า จิตมีเคหสิตะแล้วแยกแยะ เอากามออกพยาบาทออก เหลือวิหิงสา เป็นรูปราคะ อรูปราคะต่อไป เป็นวิภวตัณหา ก็ค่อยๆกำจัดไปอีก ตามลำดับ ทำเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ไปตามลำดับ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเข้าไปในภวังค์ในภพเลย ไม่ได้ศึกษาฝึกฝนแต่กายภายนอก มันไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเลย ต้องทำกิเลสกามดับไป ให้ภายในดับจนหมด เหลือรูปภพ อรูปภพคุณก็ยังลืมตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่ภายนอก แต่ไม่มีกิเลสกาม ภายนอกทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เป็นอนาคามี
กระทบแล้วก็เกิดกิเลส มีแต่รูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา ก็อ่านกิเลสในภูมิอนาคามีต่อไป ไม่ได้หลับตาเลย มีผัสสะธรรมดา การปฏิบัติธรรมให้ถ่องแท้ก็เลยไม่เป็นขั้นตอน แต่ศาสนาพุทธสอนปฏิบัตินั่งสมาธิเอาเลย ไม่เป็นลำดับ เป็นสิ่งที่ผิดเพี้ยนจากคำสอนจากพระพุทธเจ้า
กรรมฐานพุทธต้องเน้น เป็นพัฒนาหลักและต้องทำให้เป็น เนกขัมสิตเวทนา ผู้ใดก็ตามปฏิบัติเช่นนี้ได้ เป็นผู้แสวงหาโมกขธรรม นี่คือหัวใจศาสนาเลย ขอย้ำ เคหสิตะกับเนกขัมมะ เพราะผู้ใดไม่เน้นตรงนี้ ไม่ปฏิบัติตรงนี้ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ผล
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม
_ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า อันนี้ก็สำคัญ โลกคือโลกียะปุถุชน ธรรมะหมายถึงโลกุตระธรรม เมื่อแยกแยะ โลกกับธรรมต้องต่างกัน อันหนึ่งเป็นโลกเลย แต่อีกอันหนึ่งเที่ต่างกันไป เป็นอัญญาที่เป็นโลกุตระ คุณต้องมีความรู้เรื่อง อัญญา อัญญาก็เป็นความรู้อื่น เป็นตัวธาตุรู้ อันแยกจาก เฉกา เฉกะ เป็นธาตุรู้ที่ฉลาดอย่างเฉกะ ปุถุชนที่ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีปัญญาทั้งนั้นแหละมีแต่ ความฉลาด เฉกา
ความฉลาดจึงเป็นพยัญชนะที่เป็นโลกุตระธรรม ปัญญาเอามาใช้ดาษดื่น ทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าเสียหมด ไปปนกับเฉโก เอาปัญญาไปเรียกคุณสมบัติ ที่จริงเป็นโทษสมบัติ จะเรียกโดยปริยายว่าคุณสมบัติก็ตาม เรียกว่าความเฉลียวฉลาดของใครก็ตามที่เรียกว่าฉลาดจัง มันไม่ใช่ปัญญา แต่ฉลาดของโลกุตตระเป็นปัญญา ต้องรู้จักปุญญะ
เป็นธาตุรู้ที่รู้จักสัจธรรมคือโลกุตรธรรม จะรู้จักเหตุแห่งทุกข์ จะกำจัดเหตุแห่งทุกข์ได้ ถ้ามีความรู้อย่างนี้แล้ว ก็รู้ว่าวิธีนี้ทำอย่างนี้ คนที่ อัญญธาตุเกิดในจิต เป็นธาตุความรู้ยิ่ง คนที่มีความรู้อันนี้ได้คนแรกที่สุดคืออัญญาโกณฑัญญะ พระพุทธเจ้าเทศนาความรู้โลกุตรธรรม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร คนสัญญาเข้าใจได้เลย ว่าโลกนี้ประกอบด้วย กามกับอัตตา มันไม่ใช่ของจริง เป็นอนัตตา ธาตุรู้ที่รู้โลกุตรธรรมนี้เกิดในจิต ในคนแรกของศาสนาพุทธ เริ่มรู้คนแรกในพราหมณ์ 5 คน คือโกณฑัญญะรู้ก่อน พระพุทธเจ้าได้เห็นโกณฑัญญะจึงเรียกว่าอัญญาสิ วตโพโกณทัญโญ แปลว่ามีจิตที่เจริญพัฒนาขึ้น พัฒนาธาตุรู้อันนี้ขึ้นมาได้ ปุถุชนนั้นไม่เกิดความรู้นี้เลย มีแต่ความรู้โลกีย์ ไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่โลกุตตระ ไม่มีใครยอมรับหรอก ว่ามาบอกว่าเป็นคนเฉโกจังเลย ฉลาดมากเลย เขาก็ไม่ชอบใจหรอก มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์สะอาด
คนที่พูดความฉลาดที่ไม่ใช่ปัญญา ปัญญาคือรู้กิเลสให้ได้ แล้วกำจัดกิเลสให้ได้ แต่ทุกวันนี้เอาปัญญาไปใช้ผิด ศาสนาพุทธจึงแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะไม่ออก
ปัญญาทางโลกที่คุณพูดนี้ แทนคำว่า เฉโก ส่วนปัญญาทางธรรมก็คือปัญญาโลกุตระ ปัญญาทางโลกคือโลกียะ
_แนวโน้ม ธรรมะของอโศก อนาคตจะเป็นอย่างไร คะ
พ่อครูว่า...ก็มีแต่เจริญๆๆ แนวโน้มเป็นอย่างนั้นหรือ ใครจะไม่เจริญยกมือขึ้น ไม่มีใครกล้าสักคน คนที่เข้าใจอโศกแล้วมาศึกษาฝึกฝนกับอโศกมีแต่เจริญ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เสียสละนั้นง่ายกว่าเอาเปรียบ
_ปฏิบัติแนวหลอกดูเหมือนง่ายแต่ทำไมเอาเข้าจริงๆปฏิบัติไปยิ่งยากขึ้นยิ่งยาก
พ่อครูว่า...แสดงว่าคุณเจริญคุณรู้ว่ายาก ยิ่งคุณรู้ว่าง่ายขึ้นๆยิ่งเจริญใหญ่ แค่รู้ว่า ยากขึ้นๆก็เจริญแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติธรรมในอโศกจะรู้ว่ามันยาก ถ้าใครรู้ว่าปฏิบัติงานอโศกง่ายนั้นเจริญยิ่งกว่า ปฏิบัติอย่างอโศกง่าย คนเห็นเช่นนี้ดี อาตมาก็เห็นว่าง่ายปฏิบัติแบบนี้ ไปต่อสู้กับทางโลก ปฏิบัติแบบโลกทั้งนั้น ยาก มีคู่ต่อสู้เยอะ ปฏิบัติอย่างอโศกนั้นให้เสียสละอย่าเห็นแก่ตัว ...ง่ายจะตายชัก การไปแย่งชิง ตีรันฟันแทงกับเขา จะเอาโน่นเอานี่ แย่งรับยศสรรเสริญสุข โลกีย์ขี้หมูขี้หมา เมื่อไหร่จะหยุดแย่งกันสักที เหมือนเด็กคนหนึ่ง เห็นคนแย่งลูกบอลในสนาม เด็กคนนี้ก็เลยถือลูกบอลเดินเข้าไปกลางสนามเอาไปให้เขา ไลน์แมนปล่อยให้เข้ามาอย่างไรไม่รู้ เด็กรู้สึกสงสาร สงสารคน 22 คนอยู่ในสนาม แย่งลูกบอลกันอยู่ได้ เด็กนักเรียนอนุบาลยื่นอีกลูกให้ เหมือนกับไปแย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุขทำไม อาตมาเหมือนเด็กน้อยคนนั้น เอาไหมล่ะลูกบอล จะเอานะโลกธรรม ที่แย่งชิงกันนั้นเป็นโลกธรรมทั้งนั้น แต่อาตมาไม่เอาแล้ว มาเอาโลกุตระ หยุดแย่งกันและกันทำไม มากอดคอกันเสีย แม้จะมีกติกาให้ใบเหลืองใบแดงแล้วไปเตะกันทำไม ถ้าไม่เตะก็ไม่ถูกก้านคอกันหรอก หยุดเตะกันเถอะ อธิบายธรรมะมันง่ายดี เข้าท่าไหม ให้หยุดเตะบอลกัน ก็เอาสนามบอลมาปลูกผัก เสียสนามไปเยอะนะ กว้างไม่ใช่เล่น จะมาเตะเราก็ยิ่งร้ายใหญ่ เตะคนนี้แรงมากไม่ไหว แย่เลย อย่าคิดอย่างนี้สิ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อรหันต์ต่างจากอรหัง
_อรหังหรืออรหันต์มีความหมายเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...ตอบอย่างวิชาการไม่ได้ เขาตอบอย่างลูกทุ่ง อะระหัง เป็นคำกลางๆ แปลว่าไม่ลึกลับ อรหะ แปลว่าความไม่ลึกลับแล้ว เรียกว่าเริ่มรู้ก็ได้ แล้วรู้จนถึงที่สุดเรียกว่าอรหันต์ มีอันตะอีกคำ มาเป็นปัจจัยขยายอรหันต์ ก็กลายเป็นอรหันต์ อันตะแปลว่าสิ้นสุดสูงสุด ความลับนั้นได้สิ้นสุดลง อรหะนั้นเริ่มไม่มีความลับ ท่านก็ไปแปลว่า คนมีกิเลส ก็เรียนรู้กิเลสแล้วล้างกิเลสออกไป ล้างกิเลสหมดก็เป็นอรหันต์
สิ่งที่ลึกลับคือกิเลส เพราะฉะนั้นรู้จักกิเลสแล้วเอากิเลสออก ผู้เป็นอรหะ คือผู้ที่เร่ิมไม่มีความลับแล้ว ความลับอะไรก็ไม่เข้าท่า ความลับที่เป็นกิเลสก็ปล่อยให้มันอยู่ในตัวเอง เราต้องรู้มันให้ได้แล้วเป็นอะระหัน แล้วกำจัดกิเลสให้หมด ก็เป็นอะไรกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(อักขรนิทัสสน์) ตอน มรรคมีองค์ 8 กับอริยมรรคมีองค์ 8 ต่างกันอย่างไร
_มรรคมีองค์ 8 กับอริยมรรคมีองค์ 8 ต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า มรรคคือทาง แต่ถ้าคุณเป็นอริยะ รู้มรรค ก็เป็นอริยมรรค ก็รู้ให้หมดทั้ง 8 แล้วปฏิบัติให้ครบอริยมรรคมีองค์ 8
_สมัยเด็ก เคยท่อง
วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง
วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ
วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น
วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม
เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
เคยคิดว่าจะมีประโยชน์อะไร เพิ่งเข้าใจตอนที่พ่อครูเทศน์ในวันอโศกรำลึก ขอให้พ่อครูเทศน์และอธิบายเพิ่มเติม
พ่อครูว่า...พยัญชนะทั้งหมดเป็นการสร้างโดยผู้รู้ แต่ละตัวมันมีความหมายในตัวของมันเอง
อาตมาก็ขอขยายความ ยกตัวอย่าง ก คือสิ่งที่เกิด ภาษาบาลีกับไทยเป็นอันเดียวกัน ภาษาไทยเอามาจากบาลีเป็นรากเหง้า ก คือเกิด ป คือเกิด ถ้ามันเกิดขึ้นมาก็มีชาติ มันก็มากั้นไม่ให้นิพพาน ข คือว่าง ถ้ามันเกิดแล้วไม่ว่างก็ทำให้ว่างก็จบ รู้ ก ข แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ดำเนินไปต่อ เป็น ค.ควาย คตะ คมะ ดำเนินไปต่อเลย โค จระ ไปใหญ่ ดำเนินไปต่อ เกิดดินน้ำไฟลม เป็นแท่งก้อนเป็น ฆ ที่ต้องล้างออกไป
ง คือโง่ ก คือต้องเรียนรู้ ถ้าไม่เรียนรู้ก็เกิดวรรคต่อไป คือ ง คนไม่ได้เรียนรู้ภาษาที่สื่อถึงสภาวะแล้วเรียนรู้ให้จบ เรียนรู้ให้เข้าใจทั้งพยัญชนะ และปฏิบัติให้จบแล้วคุณก็จะเป็นอรหันต์ จบในสภาวะ โดยใช้สภาวะสื่อ ถ้าไม่มีอะไรสื่อพวกนี้ คุณไม่รู้เรื่อง ต้องมีพยัญชนะสื่อเป็นอธิวจนะ แล้วไปเรียกสภาวะจึงจะเกิดปฏิฆสัมผัสโส ไม่เช่นนั้นคุณไม่ได้เรียนรู้ธรรมะอะไรเลย
ก ข ค ฆ ง คือพยัญชนะที่ตั้งมาตามสภาวะ อย่างอื่นก็เหมือนกัน แม้แต่เศษวรรค ก็เป็นสิ่งที่สื่อแทนสภาวะทั้งสิ้น
_ทำไมคนเราถึงต้องรับวิบากกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด
พ่อครูว่า...มันเป็นสัจจะ กรรมวิบากนี้ พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้ ศาสนาพุทธเท่านั้นที่รู้เรื่องกรรมวิบาก ศาสนาอื่นก็รู้แต่ว่าไม่ลึกซึ้ง กรรมวิบากเป็นอจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่รู้ได้ง่ายๆ ศาสนาพุทธรู้จักเรื่องอจินไตยนี้ดีมากๆ เพราะมันเป็นวิบากจริงๆ คุณทำลงไปก็เป็นกรรม กระทำทางใจแค่คิด ก็เป็นวิบากแล้ว พูดก็เป็นวิบาก ยิ่งกายวาจาใจเลย ก็เป็นกรรมที่แท้จริงเลย เวลาหมด จบ โปรดติดตามฉบับหน้า ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:46:54 )
รายละเอียด
601115_เอื้อไออุ่น อาวาสสถานภูฟ้าผาธรรม จ.เชียงใหม่
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนที่เป็นความจริงสูงสุด
พ่อครูว่า...มาอยู่ที่นี่สถานที่ก็ดี ตอนนี้เรามาอยู่บนดอย ภูฟ้าผาธรรม ซึ่งเป็นอีก อาวาสสถานหนึ่งของชาวอโศก กำลังเริ่มต้น หาสถานที่จัดสถานที่ทำสถานที่ องค์ประกอบ ยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่เรียบร้อย แต่ก็ได้รูปได้ร่างพอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้ว อาตมาก็มาพักผ่อน อยู่ที่นี่หลายวัน พรุ่งนี้ก็จะขึ้นไปหาผู้พี่คือภูผาฟ้าน้ำ ที่นี่ภูฟ้าผาธรรม
อธิบายนิดหนึ่ง ภูฟ้าผาธรรมกับภูผาฟ้าน้ำ
ภูผาฟ้าน้ำผู้พี่นั้นคืออาตมาเจตนาเรียกชื่อให้เป็นภูเขาภูผา พร้อมฟ้า กับน้ำ นานแล้วเกิดมา 20 กว่าปีแล้ว 22 ปี โดยมีนายภูฟ้า นามสกุลดอยแพงค่า แพงค่าอโศก อาตมาตั้งชื่อเอง ชื่อดอยนั้นเป็นดอยแพงค่า ก็เกิดนามสกุลใหม่ด้วย ภูฟ้าเป็นต้นตระกูล ตอนนี้เสียไปแล้ว ก็เหลือแต่ลูกชาย ภูผาเมฆ
ส่วนภูฟ้าผาธรรมนั้น ก็คืออยู่บนดอย ห่างจากกัน 10 กิโลเมตร ดอยนี้ก็ เล็กกว่าพื้นที่น้อยกว่าภูผาฟ้าน้ำเยอะ สูงกว่าหน่อย ทางโน้นก็มีพื้นที่เยอะมากกว่ากัน ทีนี้ที่คำว่า ภูฟ้าผาธรรม ใช้ความหมายก็คือ ที่สูงกว่าภูผาฟ้าน้ำ ผู้สร้างก็พยายามสร้างด้วยความจน
เดี๋ยวนี้ผู้ที่มีแนวคิดออกไปในทาง มักมากใหญ่โตก็มี ผู้ที่มักน้อยจนเกินเหตุก็มี ไม่มีความคิดสองขั้ว ผู้ที่มักมากมักใหญ่สุดโต่งก็มี จะไป The great of the world ก็มีก็เห็น เขาก็ทำของเขาไปเกิดวิบากเกิดเหตุการณ์ให้เราเห็นชัดเจน อย่างเช่นอเมริกา เห็นชัดเจนว่าเป็นคนมักใหญ่มากๆ เล็กไม่ลง เหมือนธัมมชโยจนตายไปเอง แต่ก็ยังเก่งนะ ยังมีวรยุทธน่าดูเลย วรยุทธหายตัวได้ จนป่านนี้ยังหาร่างไม่เจอเลย ยังไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายยังหาร่างไม่ได้ ก็เลยยังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ส่วนทางด้าน ผู้ที่ยังพยายามอยู่ก็คือมีฝ่าย ตัวเล็กกับตัวใหญ่
ตัวเล็กก็คือเกาหลีเหนือ ก็ยังไม่ยอมและจริงๆ อาตมาเห็นใจคนตัวเล็กไม่ใช่เห็นใจตัวใหญ่ ตัวเล็กเขาดิ้นรน เขาจำเป็น เขาจะผิดพลาดมาอย่างไรก็ตามแต่มันก็ต้องดิ้นรน ก็ต้องอุตสาหะบืนไปให้รอด เขาก็พยายามทำก็น่าสงสาร ตัวใหญ่ก็พยายามจะใหญ่ อเมริกาต้องเป็นหนึ่ง เขาก็พยายามจริงๆเลย เป็นหนึ่งทั้งๆที่ตัวเองเป็นหนี้โลก เต็มโลกเลย เขาปั๊มดอลลาร์ ออกไปเต็มโลก ทั้งที่ไม่มีหลักฐานเป็นวัตถุรองรับไม่มีเพชรนิลจินดาทองคำ รองรับ ที่เป็นสิ่งมีค่ามากในโลกยืนยันเช่นทองคำ เพชรนิลจินดาที่เป็น คาร์บอน เป็นโลหะ ที่เซ็ตตัวถึงที่สุดแล้ว ยอดคาร์บอนก็เพชร ยอดของโลหะก็คือทองคำ
เขาไม่มีสิ่งดังนี้รองรับค่าของโลกเลย ก็ปั๊มเศษกระดาษ มากระจายทั่วโลก ถ้าหากทั่วโลก เขาเอาเงินไปคืนแลกของกลับ ก็ไม่มีอะไรให้เขา
แต่ว่าเมืองไทย เราต้องสร้างคุณงามความดีโดยไม่ต้องไปกังวลว่าจะต้องซื้ออาวุธอะไร ถ้าทำได้อาตมาว่าสุดยอดเยี่ยมยอดเลย ก็เอาเถอะ พูดไปก็ไม่ต้องพูดหรอก เดี๋ยวก็จะมีปรากฏการณ์ให้เห็นเองไม่ต้องพูดก็ได้ ติดตามให้ดีๆจะเห็นจะเข้าใจ ส่วนชาวอโศกนั้นอาตมาพาทำ ระบบบุญนิยม เป็นระบบชื่อของสังคม ที่เป็นสุดยอดก็คือสาธารณโภคี
คนปฏิบัติสาธารณโภคีให้ได้ว่ามันคืออย่างไรแท้ๆ ผู้มีความรู้ก็มาศึกษา สรุปให้ฟังสั้นๆ ว่า เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคี หรือเศรษฐกิจแบบสุดยอด เศรษฐกิจของโลก สรุปง่ายๆว่าทุกคนกินดีอยู่ดี สามารถทำให้พลเมืองของตนอยู่ดีกินดีมีกินมีใช้เสมอภาคกันสงบเรียบร้อยดีที่สุด นั่นแหละคือเศรษฐกิจ
ชาวอโศก ก็ทำเศรษฐกิจแบบคนจน คนจนหรือเป็นคนที่มีน้อย อัปปิจฉะ แปลว่ากล้าจน คนที่จนอย่างมีหลักเกณฑ์ เช่น กถาวัตถุ 10 หลักตรวจสอบพระธรรมวินัย โคตมีสูตร กถาวัตถุ วรรณะ 9 ก็มีแกนอัปปิจฉะ มักน้อยกล้าจน หรือรู้จักพอ น้อยเท่านี้ก็พอ พอก็สงบสบาย เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ สะดวกสบาย ปวิเวกะ แล้วก็ไม่มีเจตนาปรารถนาสะสมอะไร เท่าที่มีน้อยมีแค่สะสมคงคลัง อย่างไม่ประมาท เท่าที่จะเป็นไปได้
ให้มาพิสูจน์กันได้ เอหิปัสสิโก แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ อย่างที่เขายิ่งใหญ่กัน มวลไม่มากเกิน ความแน่นแข็งของมวลใหญ่นี้ไม่โต ตอนนี้ไม่ถึงขั้นอย่างนั้น แต่อยู่กระจัดกระจายเล็กได้น้อยเป็นกลุ่ม แต่เนื้อแท้ของกลุ่มเหล่านี้เนื้อแท้มีความแน่นถาวร เป็นเอกภาพที่ยิ่งใหญ่
เขายืนยันว่า เป็นความจนที่ เป็นความจริง Axiom เป็นความจนที่เป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว จบเลย เป็นความจริงในตัวมันเองเป็นกฏหรืออะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายก็จะต้องยอมรับกัน ผู้มีปัญญาสูงสุดพิสูจน์กันก็จะยอมรับเลย
ผู้ที่ยังเข้าใจความจริงที่เป็น axiom นี่ไม่ได้ ก็คือผู้ที่ยัง ไม่ค่อยมีความรู้จะรู้ได้ เป็นผู้ที่ nonsense ยังไม่มีธาตุรู้ ที่จะหยั่งเข้าไปรู้อย่างคมแม่นชัดพอ คนที่มองว่าผู้ที่ได้คุณลักษณะอย่างชาวอโศก ยังมองไม่เห็นก็ดี มองเห็นอยู่ แต่ว่าไม่ยอมรับก็ดี คนเหล่านนั้นยัง nonsenseอยู่ ส่วนผู้มีภูมิปัญญาฉลาดลึกซึ้งจะเข้าใจว่านี่เป็นสิ่งพิเศษ และยอมรับ แต่เขาทำตามยังไม่ได้ ก็มีอัตตาในตัวเอง ทำตามไม่ได้แต่ไม่ยอมเข้ากับหมู่นี้ เพราะเขาเองยังมีน้ำหนักของกิเลสที่ให้เป็นโลกีย์
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เศรษฐศาสตร์นวัตกรรมโดยชาวอโศก
เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สูงสุด ถ้าจะเรียกแล้วโดยวัฏจักรมันก็เคยมีมาแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีประวัติศาสตร์จะเก็บมาได้ ก็เลยเรียกว่าเป็นของใหม่ในยุคนี้เป็น NEO
คนทั่วโลก จะมี Neo อย่างนี้ เป็นความใหม่ที่เป็นเสรีนิยมใหม่ เพราะทุกวันนี้คนจะนิยมความเป็นเสรี ทีนี้ในอาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ เขาก็พยายามที่จะ ขยายความคำว่าเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจของพวกเสรีนิยมใหม่เขาจะแสดงออกหรือมีสิ่งที่เป็นจริงอะไรบ้างที่จะเป็นกระบวนการของสิ่งที่มันออกพฤติ บทบาท กรรมกิริยาเสร็จแล้วมันเป็นผลให้ได้จริง เขาก็ได้แค่แนวคิด process จริงๆ กระบวนการจริงเขายังไม่มี เขาได้แค่ paradigm ส่วนกระบวนการจริงๆเขายังไม่มี กระบวนทัศน์ก็ยังไม่ชัด แต่เขาก็พอบอกออกมา
เขาว่า มันควรจะมีองค์ประกอบ อยู่ 3 ข้อ
1.ความยั่งยืนทางนิเวศน์ Ecological sustainability
2.ความยุติธรรมทางสังคม Social judgement
3.ความสัมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ Economic welfare
สาม ข้อนี้เขาบอกว่าน่าจะเป็นกระบวนทัศน์ของ สิ่งที่เป็นสิ่งที่แสวงหาใหม่ เสรีนิยมใหม่ที่จะได้ครบพร้อมของคุณสมบัติของ องค์รวมของชีวิตของสังคมที่สมบูรณ์แบบ อาตมาอ่านแล้วก็ว่า 3 ข้อนี้ชาวอโศกมีหมด มาชี้อธิบายว่ามันเป็นจริงหรือไม่จริงอย่างไร ความยั่งยืนทางนิเวศน์
ความยุติธรรมทางสังคม ก็ดีมาก ไม่มีกระบวนการฟ้องร้องขึ้นศาลอะไรในชาวอโศกไม่มี ไม่ต้องอาศัยทางสังคม พวกเราว่าความกันนิดหน่อย กรรมการตัดสินความนิดหน่อยก็จบ ความยุติธรรมทางสังคมก็ดี ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจก็ดี อันนี้ยังจะต้องอธิบายกันอีกยาวมาก ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ
คนเข้าใจว่าความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ คือมีเหลือเฟือเละเทะเลย มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันสูญเสีย เสียแรงงาน ของเฟ้อเกินเสียเปล่ากระจายกันไม่ทัน ของควรให้มันมีอายุของมัน ให้มันเกิดมาไม่ให้เกิดความสูญเสียเปล่า มันก็น่าเสียดายไม่ได้เข้าท่าอะไร
สรุปรวมแล้วทั้งหมดอาตมาย่นย่อ ไปหาภาษาไทยคำว่าประโยชน์สูงประหยัดสุด
ต้องรู้จัก หรม. ครน.ของทั้งประโยชน์และประหยัด
รู้จักการจะเอาออกแต่ให้เหลือมากที่สุด คือ หรม.
สร้างให้ได้มากที่สุด แต่ให้สูญเสียน้อยที่สุดเรียกว่า ครน. ให้มีอัตราก้าวหน้าที่ดีที่สุด อัตราก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มากคือ E=C(mc2+A) C คือตัวแปรก้าวหน้า เขียนภาษาว่า coefficient หรือสัมประสิทธิ์
อัตราการก้าวหน้าอันนี้ C(mc2+A) มันจะเป็นสูตรของอัตราการก้าวหน้าใช้ได้ทางวัตถุใช้ได้ทางนามธรรมหรือจิตวิญญาณ แต่อย่าเอาไปสร้างระเบิดปรมาณูนะ ขอสาปแช่งไว้ก่อน อันนี้จะเป็นธรรมาวุธที่ไม่ใช่ปุญญาวุธ C(mc2+A) จะเป็นสูตรพลังงานที่จะใช้ต่อไป ผู้ทำได้แล้วอยู่ในอารมณ์หรืออยู่ในความรู้สึก หรืออยู่อย่างมี อารมณ์ที่สบาย แล้วก็ไม่ขัดแย้งกับความเป็นคนจน คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องหลอกลวง ไม่ใช่เรื่อง อุปาทาน ไม่ใช่เรื่องไปหลงยึดติดใน ภพชาติที่สร้างมารองรับจิตไม่ใช่ มันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตที่มีคุณสมบัติอันเลิศประเสริฐ ด้วยตัวมันเองจริงๆ ซึ่งเป็นระบบที่สมบูรณ์แบบ รวมตัวกันอยู่อย่างมีจิตสะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีตัวตนอัตตาไม่เห็นแก่ได้ ไม่ติดยึด ในเรื่อง กามภพ กามาวจร ไม่ติดยึดลึกเข้าไปถึง รูปาวจร แม้อรูปาวจร ก็หมดสิ้น ถึงขั้นสิ้นอาสวะ สุดจนถึงขั้นสิ้นอนุสัย คือจบสุดแล้ว ที่อาตมาว่าได้อธิบายความหมายละเอียดสุดมาแล้ว ก็ศึกษากันดู
เป็นความจริงทุกวันนี้สิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่มีอยู่มันปรากฏ ความจริงที่มีอยู่ มันจะมี และความจริงที่มีอยู่ก็คือมันไม่ใช่ศูนย์
สูญในความมีคือสุญญตาคือว่างได้จากสิ่งที่ไม่ให้มีเขาก็ทำให้ว่างจากสิ่งที่ไม่มีให้ได้ ว่างจากทุจริต อบาย หยาบที่สุดก็ทำได้ แม้จะไม่ถึงอำหมิตโหดร้าย ขี้โลภสุด ราคะสุดก็ไม่มีแล้ว เป็นกามภพ กามาวจรก็ไม่มีอีก ไม่มีอย่างถาวรยั่งยืน ชนิดที่ไม่มีวนกลับมาใหม่อีกหลายตลอดกาลนาน จะวนมาแวบหนึ่งก็ไม่มีถ้าถึงที่สุดแห่งที่สุด ถ้าไม่ถึงที่สุดมันจะวนกลับมา แวบมา กี่ครั้งก็ตาม ตราบที่มันมีก็คือไม่สูงสุด ถ้ามันไม่มีอีกเลย ไม่มีวนแวบอะไร ดีไม่ดีปรุงให้มันอีก มันก็ไม่ขึ้น ไม่ต้องปรุง โลกนี้มันมีแบบนั้นมันก็ไม่เกิดกิเลสแบบนั้นอีก นั่นคือการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นแบบนั้น
ไม่ใช่นัตถิกทิฏฐิหรืออเหตุกทิฏฐิ ที่ไม่มีเหตุมีผลอะไรอยู่ๆก็ลอยขึ้นมาเลย เอาอะไรมาพูดกัน แล้วเอาอะไรมามี มันก็มีแต่ไม่มี ที่พูดกันอยู่นี้มีหรือไม่มี ...ก็ต้องมี
ที่พูดอยู่นี้เป็นคนหรือธาตุรู้ที่ยังไม่ปรินิพพาน ยังไม่สูญ ก็พูดในฐานะที่มันยังมี แต่อะไรที่จะไม่ให้มีเราก็เรียนรู้อันนั้น อย่างหยาบกลางละอียด จนถึงอรูปในนามธรรม เป็นธุลีละอองในนามธรรม ก็ทำให้หมดสิ้นไปอีก
นี่คือสิ่งที่มนุษย์สามารถรู้และสามารถทำจริงขึ้นมาได้ ผู้ที่เริ่มต้นมีธาตุรู้ใน Axiom จะมีรูปร่างเล็กน้อยก็ตาม มีองค์ประกอบเล็กน้อยก็ตาม พอรู้ไปก็จะรู้มากขึ้นประกอบกันไปรู้ความจริงได้มากขึ้น
ขยายความไปตรงที่นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ แนวคิดที่ไม่ไปลอกเลียนใคร เสรีนิยมอันนี้ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ อาตมาก็เอาอันนี้อธิบายดู
ชาวอโศก เป็นนักเสรีนิยมใหม่นั้นอย่างแท้จริง คือนิยมอะไร? นิยมความเป็นคนจน แต่ต้องมีนิยามนะ ว่า ความจนนี้จนอย่างไร คนที่จนอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก โง่เง่าเต่าตุ่นผลาญพร่าบรรลัยจักร หรืออย่างธัมมชโย หรือตัวใหญ่ที่สุดของโลกก็ตาม จะต้องยืนยัน ว่าเชื้อชาติสัญชาติฉันใหญ่ที่สุด อย่างอเมริกาเขารวมเชื้อชาติสัญชาติเขาไว้หมดว่าใหญ่สุด คือมันมีอัตตา
ทีนี้จริงๆแล้วมันมีขนาดของมันที่ซ้อนอยู่ ว่าถ้ามีมันจะมีขนาดไหน อันนี้แหละไม่เท่าเทียมกัน ถ้ามี เขาก็ว่า องค์ประกอบของเขาแล้ว สองคนหรือสามคน ห้าคน ร้อยคนพันคนแสนคนแล้วในตัวคนที่รวมกันอยู่นี้ มันยังมีความจริงอีกบางคนมันผลาญทำลายมาก บางคนทำลายน้อยกว่า บางคนไม่ทำลายเลย มันมีคนจริงเหล่านี้อยู่ และคนจริงเหล่านี้ก็อยู่กันได้กับพวกนี้อย่างสงบ จึงถือว่าเป็นสังคมสงบ สังคมที่ไม่ทะเลาะวิวาทไม่ทำร้ายทำลาย เป็นสังคมที่สงบจริง ในความซับซ้อนของนัยต่างๆที่กล่าวคร่าวๆ จึงมีเหตุปัจจัยข้อมูลต่างๆที่จะต้องเข้าใจสภาวะจริง ที่มาเป็นองค์รวมอยู่กันอย่างดี สมมุติง่ายๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าเราจะใช้คำว่าคนจน ก็หมายถึงคนที่มี เอาง่ายๆ มีสตางค์น้อย สต ถือว่าเป็นหน่วยเล็กที่สุดแล้ว แปลว่า ร้อย ร้อยก็หมายความว่า ถ้าร้อยหน่วยก็เป็นบาทหนึ่ง สลึงก็ไม่ต้องพูดแล้ว หรือไปเอาเก่าๆ โสฬส ก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว เดี๋ยวนี้สลึงหนึ่งเด็กก็ไม่รู้แล้ว 4 สลึงเป็น 1 บาทเขาไม่รู้เรื่อง บาทหนึ่งยังไม่ค่อยจะใช้เลย 1 บาทนี้ต่ำแล้วนะ
คนที่มีสตางค์น้อย เขาเรียกว่าเป็นคนที่จนที่สุด คนที่มีสตางค์น้อยที่สุด ถ้าเรียกในภาษา ก็คือ คนที่มีน้อยบาทที่สุด หรือมีเป็นpenniที่สุด ในความเป็นคนจน จึงเรียกว่าพวก penniless เป็น poorness คนจนแบบนี้เรียกว่า neo penniless
แบงค์ 5 แบงค์ 10 บาทก็เหลือน้อยแล้ว 20 ขึ้นไป 50 100 ยังพอมีใช้ 10 นี่ บางทีจำเป็นต้องใช้ พอมีแบงค์ 20 อยู่ จะต้องรวมให้เป็น 50
คนที่มีลักษณะรู้จักความน้อยหรือความจน แล้วก็ไม่เดือดร้อนอะไรไม่มีเท่านี้เราก็อยู่ได้ ตัวเราเองเราจนเท่านี้มีเท่านี้อยู่ได้ คุณก็รักษาตัวรอด มากกว่านี้ก็ไม่ได้ถ้าอยู่คนเดียว ถ้าอยู่สองคนก็ทำอะไรได้มากขึ้น ต้องใช้ความสามารถที่จะอยู่ร่วมกันมากขึ้น จนกระทั่งเป็นหมู่มวลเดียวกัน 3 คนก็ยาก ถ้าคนร้อยคนพันคนหมื่นคน แน่นอน ความยึดติดในตัวเอง จิตใจที่ไม่เสมอกันก็ยิ่งจะยากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เราพิสูจน์ สิ่งหนึ่งเรียกว่า เสนาสนะสัปปายะ เรียกว่านิเวศน์วิทยา สัมปวังโก คือองค์รวมที่คนเข้าไปใช้สิ่งเหล่านี้ เมื่อมีคนมีจิตวิญญาณทุกอย่างก็ครบสมบูรณ์ เป็นองค์ประกอบสิ่งแวดล้อม environment เป็นสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ เราก็บริหารสิ่งเหล่านี้ให้ได้สัดส่วน มันจะมีการขัดแย้งอันพอเหมาะ resistance อันพอเหมาะ หากไม่ขัดแย้งกันเลยไม่เกิดพลังงาน ตามกันไปเป็นหมู่ มีแต่เสื่อม มีผู้เดียว คิด และพาทำ ไม่ช้าก็สูญ อันนี้ก็อธิบายกันอย่างคนนี่ มี DNA แบบเดียวกันผสมกันก็จะมีแต่เสื่อม ฉันเดียวกัน มันจะต้องมีพลังงานที่มี Resistance อันพอเหมาะให้เกิดความร้อนที่มีอัตราการก้าวหน้าที่พอดี ถ้าร้อนเกินไปก็สูญเสีย ให้มีอัตราการก้าวหน้าที่เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ
พวกเราชาวอโศก เข้าใจความจนที่มีคุณลักษณะดีเอามาใช้ จนเกิดหมู่บ้านชุมชน พอได้ตอนนี้ อาตมาเชื่อว่า ผู้ที่แสวงหาในโลกจะมาเอาทฤษฎีนี้ คุณสมบัติอันนี้ จะมาเอาในอนาคต มั่นใจ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อาตมามั่นใจว่าตัวพวกเรานั้น มั่นใจ axiom นี้แล้วไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว ตามภูมิอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขอแสดงความจริงออกไปทำความจริงนี้ไปไม่ต้องไปติดยึดในภาษา บัญญัติ ทำไป สร้างความจริงไปเรื่อยๆ เผลอๆก็็สูงเสร็จแล้วเผลอๆก็สุดเสียแล้ว ไม่ต้องไปติดในสมมุติ เราก็สร้างความจริงไป คนอื่นรู้หรือไม่รู้แต่ความจริงมันมี แม้แต่ตัวเราเองไม่รู้ก็แล้วไป แต่ความจริงนั้นใช่ axiom นี้ ก็แล้วกัน อาตมาไม่สงสัย ไม่งงเรื่องนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(กถาวัตถุ 10) ตอน กถาวัตถุ 10 โดยพิสดาร
เพราะฉะนั้น ใครก็ตามจิตวิญญาณของมนุษย์ วิธีเริ่มต้นมีจิตยินดีในความจน เท่านั้นแหละ คุณมีธาตุจิตยินดีในความจน แต่ก่อนใครก็ยินดีในความรวยความมีมาก จนกระทั่ง จิตมันรู้ว่าไม่ต้องไปแย่งความมีมาก หยุดได้เลย จนกระทั่งไม่แย่งแล้วมาอยู่กับหมู่ที่พัฒนาความจนไปถึงศูนย์ มาอยู่กับคนที่แสวงหาความจน จนมีน้อยลง อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
วิริยารัมภะคือขยันอยู่เสมอ ท่านแปลว่า ปรารภความเพียร ไม่ทิ้งความเพียรทำความเพียรโดยไม่หยุดหย่อน ปรารภอยู่เสมอ และรู้ความพอเหมาะพอดีหรือความเกิน
อสังสัคคะ แปลว่า ไม่ทำแล้วสวรรค์ ไม่เอาแล้วสวรรค์ อ คือไม่ สัง ประกอบ สัคคะ คือสวรรค์ เข้าใจสวรรค์ดี สวรรคคือของเก๊ ภพชาติคืออารมณ์ลวงไม่มีจริง สวรรค์คือความสุขมีคู่กับทุกข์ เป็นธรรมะสอง สวรรค์อยู่ที่ไหนก็มีความทุกข์อยู่ด้วย ถ้าคนไม่เอาสวรรค์ ล้างสวรรค์หมด ก็หมดทุกข์ คุณล้างเหตุแห่งทุกข์หมด ก็หมดสวรรค์
เพราะฉะนั้นธรรมะคู่กับธรรมะ 1 ทำธรรมะหนึ่งเท่านั้นแหละในธรรมะคู่ คือทำสวรรค์กับนรกให้หมดไปหายไป ดับเหตุให้หมดไปจบทั้งคู่เลย ธรรมะสอง ก็เหลือ 1 ตลอด
เป็นแต่เพียงว่าคุณจะทำให้เกิด 1 จะได้กลับสวรรค์ก็ได้ แต่เป็นสวรรค์ที่ไม่มีนรกแล้วแต่ใช้พยัญชนะว่าสวรรค์เท่านั้น มันเฉยๆกลางๆว่างๆไม่นรกไม่สวรรค์ไม่สุขไม่ทุกข์สวรรค์ว่างๆ ใช้พยัญชนะเรียกไม่ขึ้นไม่ลงไม่ดูดไม่ผลัด สบายๆรู้ความจริงตามความเป็นจริงอย่างเดียว แล้วก็ทำงานกับสิ่งที่เป็นความจริงตามความเป็นจริงที่เราจะร่วมด้วยได้ อันมีประโยชน์คุณค่ามีความสงบมีความสุขมีความเจริญที่แท้จริงเท่านั้นเอง มีทั้งนั้นถ้ายังมีอยู่ในขันธ์ 5 ในชีวิตที่คุณจะต้องดำเนินไป คุณก็ไปในสภาวะอย่างนี้
สรุป อสังสัคคะคือรู้จักสวรรค์ ไม่แคร์แล้วเรื่องสวรรค์ จะเรียกโดยโลกีย์ว่ามีกาม มีราคะ มีความแรง มีสักแต่ว่ามี
สักแต่ว่ามี เหมือนกับมีกรรม พฤติกรรม แต่จิตไม่ได้มีไม่ได้สิ่งนั้นด้วย ที่มีเพราะว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นให้เกิดผลตามฐานะอันควร คุณจะต้องมีฐานขั้นนี้แล้วค่อยๆลดลงไป มันต้องมีที่ตั้งแล้วเทียบคู่ว่า ต้องน้อยกว่านี้ลดลงกว่านี้ ถ้ามากขึ้นมันไม่ใช่ มีแต่น้อยลง
หลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธจึงมีแต่น้อยลงๆไม่มีมหัปปิจฉะ พอแล้วก็น้อยลงๆ จนสูญ
ถ้าสามเส้าคือสูญ น้อยลงก็พอ พอยังมีอยู่นะถ้าไม่น้อยก็ลดลงอีก อัปปิจฉะ แล้วก็ลดลงอีก แล้วก็ช่วยคนอื่นตามฐานะ ไม่เป็นคนเสียหาย ไม่ไร้ประโยชน์เป็นคนมีประโยชน์สูงสุด
คนที่รู้จักลักษณะจบอย่างที่ว่านี้ จึงคือพระอรหันต์ มีจิตได้อย่างนี้องค์รวม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ชุมชนแบบนี้จึงเป็นชุมชนคนมหัศจรรย์ อยู่อย่างสำราญเบิกบานใจ สร้างสิ่งแวดล้อมสร้างความยุติธรรมทางสังคมสร้างความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจตามที่เอามาจากด็อกเตอร์ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ เขาอ่านมาก อ้างอิงจากเสรีนิยมสากลทั่วไปที่กำลังเดินทางมาถึงตรงนี้ แต่ของเรามีสภาพองค์ประกอบนิเวศน์องค์รวม องค์ประกอบของนิเวศน์พระพุทธเจ้าเรียกว่าเสนาสนะ 4 มีทั้งสถานที่ บุคคล มีทั้งธรรมะ มีทั้งอาหาร อาหารคือเครื่องอาศัย
เครื่องอาศัยนั้นมีทั้ง กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
สิ่งที่เป็นอาหาร 4 เป็นเครื่องอาศัยของสัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์ สัตว์โลกมันก็อาศัยเป็นธรรมชาติ แต่มนุษย์นั้นศึกษาให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติก็จะอยู่กันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข
ผู้ที่สามารถรู้จักองค์รวมองค์ประกอบของสิ่งที่รวมกันอยู่เรียกว่านิเวศน์วิทยา สัมปวังโก Environment หนึ่งมันยุติ เลิก ก็พัก ถ้าใจอยากจะทะเลาะกันก็ทะเลาะกัน แต่มันก็มีพักยกแต่คนที่รู้แล้วหยุดทะเลาะกัน ไม่ทะเลาะกันอีกแล้ว ใครจะทะเลาะกับเรา เราก็ไม่ทะเลาะด้วย อย่างไรก็ไม่ทะเลาะกับคุณ ชาตินี้คุณจะหาเรื่องกับเราทั้งชาติ มันก็เรื่องศีรษะของคุณ ไม่ใช่ศีรษะของเรา เราเชื่อกรรมวิบาก เราหยุดแล้ว ถ้าเขาทำก็เป็นกรรมวิบากของเขาเอง คนเกี่ยวข้องกับเราจะเดือดร้อนแทน แล้วคุณจะมาต่อสู้กับพวกเขาอีกเท่าไหร่ อย่างอาตมานี้ ใครมาทำอาตมา พวกลูกหลานก็จะมีพยาบาทแก้แค้น แต่อาตมาจบแล้วหมดแล้ว ผู้ใดไม่พยาบาทก็จบได้ ผู้ใด ฉลาดที่จะหยุดก็หยุด ยุติแปลว่าหยุด
ยุติธรรม หมายความว่าไม่มีอะไรได้เปรียบเสียเปรียบ เท่ากันเท่าเทียมกันเสมอกัน ไปด้วยกันได้ดีแล้ว อย่างอนุโลมก็คือแม้คนนี้จะน้อยกว่ามากกว่า แต่คนน้อยกว่าก็จะไม่ถือสา บางทีจะนับถือคนน้อยกว่าด้วยก็จบ ยุติ
ยุติแปลว่าสงบหรือหยุดก็ได้ ก็เกิดความยุติธรรมทางสังคม ชาวอโศกเรามีไหม ก็มีพร้อม นิเวศน์ก็มีแล้ว ความยุติธรรมทางสังคมก็มีแล้ว ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ มีไหม? มี
เศรษฐกิจนั้น ก็มาไล่ที่ความจำเป็นของชีวิต ปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน มีครบแล้วทุกวันนี้มีครบ ไม่ติดยึดแล้ว เอาตั้งแต่ผ้าก่อน
แฟชั่นมันเหลือเกิน ผ้าทุกวันนี้ติดยึดกัน อย่าง ดร.ต้อมนี้รู้ดี เมามายเรื่องเสื้อผ้าหน้าแพร เสื้อผ้าพวกนี้มา คุณเกร็ดดิน ก็เช่นกัน คุณปรารถนาด้วยกัน ก็ไปมัวเมาหลงมา ชัดเจน ก็นุ่งห่ม กันอุจาด กันแมลงกัดต่อยไม่ให้มีเชื้อโรคก็จบ จะไม่นุ่งเสียเลยเป็นพวกเชนมันก็เกินไป พวกชาวโลกเขาถือสา ก็ไม่คบกับคุณหรอก คุณก็มีพวกของคุณนิดเดียว เล่นเปลือยอย่างน้ี้ก็ไม่เอา แต่ถ้ามีเสื้อผ้าหน้าแพรห่มห่อพอสมควร ไม่ตามแฟชั่น แต่ก็ให้สะอาด ไม่มีเชื้อโรคก็ใช้ได้ อย่างพวกเราก็มีแบบแผน รูปทรงใช้กันขนาดนี้แค่นี้ก็พอ คนตัดคนทำก็ชำนาญแล้ว ไปออกแบบใหม่ก็ต้องใช้พลังงานแคลอรี่ ให้มันยุ่งสิ้นเปลืองไม่ไหว
แค่นี้ก็ลงตัวแล้วใช้ได้แล้ว จะเป็นแขนสั้น แขนยาว แขนกลางอย่างไรใช้ได้แล้วพอสมควร มีคอไม่มีคอตั้งหรือไม่ตั้งพอสมควร แต่นี่ทั้งคอตั้งบานเหลี่ยม พูดไปแล้วไม่หมด มันไล่บ้านี้ไม่หมด ก็จบ เรารู้แล้ว สาระของที่อาศัยมันคืออะไร
ข้าวก็กินให้มันมีวิตามิน มีธาตุอาหารที่จะสังเคราะห์อย่างไม่เป็นพิษภัย แต่ละคนจะไม่เท่ากัน ไม่เสมอกัน เพราะว่าอาการ 32 แต่ละคน มันก็ไม่เท่ากันไม่เสมอกัน ทุกคนได้ แต่มันอยู่ในโครงสร้างยิ่งใหญ่เดียวกันแต่ไม่เท่ากัน รูปร่างไม่เท่ากัน ดินน้ำลมไฟไม่เท่ากัน เป็นสิ่งสังเคราะห์ในร่างกายตามธาตุ ดินน้ำไฟลมจะได้สัดส่วนอย่างไร
เสื้อผ้า ยา ถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บ ไปเกี่ยวอะไรกับยา เกี่ยวยาดมยาหอม ยาสูบ ยาทา มันก็ติดยึดได้ในการสัมผัสต่างๆ เราไม่ติดยึดสิ่งเหล่านี้ ยาก็คือของรักษาโรค ถ้าเราไม่มีโรคก็อย่าไปยุ่งกับยา พวกที่ไม่อาศัยยาเลยจนตายไปเยอะแล้วก็มี บางคนบอกว่าเอาแต่ยาไทยไม่เอายาปฏิชีวนะก็มีความยึดติดต่างกัน
ถ้าเราต้องการจะอยู่ให้มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ เราก็ไม่ต้องไปยึดติดอะไรมากมาย เอาแค่นี้ มันก็เป็นสิ่งที่เป็นตัวอย่างเหมือนกันในเรื่องของการพึ่งพาตัวเอง ตัวเองตายเป็นตายมันก็เป็นจุดเด่นขึ้นมา ของคนแต่ละคนที่จะเป็นตัวอย่าง ก็ทำได้
บ้าน...ก็คือที่พัก ไม่ติดอะไร พระพุทธเจ้าก็บอกว่าใต้ร่มไม้ ก็พอมีที่มุงบังเรือนว่าง ไม่ติดยึดเป็นของเราด้วย ใครก็มาอาศัยได้ จะกว้างขวางพอสมควร ที่จะใช้ประโยชน์ ใช้ในการอบรม ให้เกิดความรู้ มาปรึกษาหารือทำประโยชน์ก็ว่ากันไป เหมือนอย่างเราชาวอโศกมีโรงเรือนหนึ่ง
สร้างขึ้นมาเพื่อทำประโยชน์ ตอนแรกชื่อ เฮือน สวน. แต่ตอนนี้เป็นเอือน บวร. ก็เป็นองค์รวมในนั้นในเนื้อที่ 11 ไร่ เป็นอาคาร มี 2 ชั้น รวมกันอยู่ในนั้น มีทั้งตลาดของสด ตลาดของแห้ง ตลาดอาหาร อย่างนี้เป็นต้น
มีทั้งสถานที่การศึกษา มีทั้งสถานที่ที่สังคมจะใช้ มีห้องหับที่จะเป็นห้องวิจัย มีห้องสมุด คิดว่าครบใช้ได้สำหรับเรา ถ้าจะใหญ่กว่านี้ก็ว่ากันในอนาคต แต่ทำขนาดนี้ก็ใช้ได้ประมาณหนึ่ง ในอนาคตค่อยว่ากัน ก่อสร้างกันแบบคนจน จนเป็นรูปร่างขึ้นมาอย่างไม่ต้องไปกู้หนี้ให้เสียดอกเบี้ยข้างนอกเขา ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ
อาตมาภูมิใจ ชีวิตนี้ทำงานมา ไม่มีคือ ยืมอย่างมีดอกเบี้ย แต่เรายืมกันอย่าเงินเกื้อเงินหนุน ไม่มีดอกเบี้ย ก็ทำกัน แต่ถ้าชักดาบก็ไม่ให้เกื้ออีก ก็ทำกันไป
การที่จะเอื้อเฟื้อเจือจาน เรามีเงินเกื้อ เราไม่เรียกเงินหนี้ เราเรียกเงินหนุน อยู่ในสังคมของเราเท่าที่มีสังคมแบบนี้มา 30 40 ปีก็ค่อยๆเจริญพัฒนามา
ตัวเศรษฐกิจนี้จะอธิบายกันยาก นิเวศน์วิทยาก็อธิบายไม่ยาก การที่จะทำให้เสมอภาคก็คือคนที่ดีกว่าจริงๆ ยอมให้แก่คนที่เลวกว่าจริงๆ
คนที่ดีกว่าจริงๆ ก็ยอมและให้คนที่เลวกว่าจริงๆ โดยการหยุดคนที่เลวกว่า เลวกว่าจนเราไม่คบ หรือเลวกว่าระดับที่เราคบแล้วเราจะช่วยให้คนเลวนี้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าเลวแบบเราช่วยไม่ได้ เราก็ไม่คบ หรือดีไม่ดีจะเอาเราลงเราก็ไม่คบ เพราะว่าเราพึ่งพาตัวเองได้แล้วแล้วเราเจตนาจะช่วยเขา แต่ถ้าเราจะต้องพึ่งพาเขา แน่นอน เราก็ต้องคบกับเขาอยู่ คุณต้องยอมทุกอย่างแม้แต่ชีวิตก็ต้องยอมให้เขา สุดท้ายจะฆ่าแกงก็ต้องยอม เพราะจำนนว่าสิ่งนี้ดีที่สุด อย่างที่เรากำลังภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ทุกอย่างดี อย่างไม่มีตำหนิ ตายเป็นตาย มันเป็นสัจจะ เป็น axiom มันจบแล้ว
ในความยุติธรรม อธิบายตรงนี้ก็น่าจะพอ เหลือเรื่องเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจนี่เป็นคนจน poorness เป็นคนจนที่มีความจนอย่างมีน้อยแล้วพอใช้ ในแวดวงที่เราร่วมด้วยอย่างไม่เอาไปกักเก็บไว้มาก มันก็ไม่เกิดการเสียเศรษฐกิจ
คนรวยที่มีเป็นของตัวเองมาก ที่เลว ขออภัยคนที่มีมากจะต้องโดนว่า คนที่มีมากแล้วแต่ก็ยังใช้อัตราเงินที่มีมากของคุณ ออกไปดูด ไปเอาเปรียบคนอื่นมาไม่รู้จักหยุดหย่อนทับทวี ทบต้นทบดอก ทบดอกๆๆ ตลอดไปไม่รู้จบ คนแบบนี้ เลวที่สุด ในประดา เรื่องของเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ยอดอำมหิตเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้มากที่สุด
แล้วความได้มานั้น คุณจะเอาไปทำเป็นพิษเป็นภัย เป็นความเมาให้คนอื่น เลวซ้อนอีก
พิษกับวีสะนี้หนักเข้าไปอีก แล้วคุณก็รวยเอารวยเอา เมื่อคุณรวย คนอื่นเขาก็ขัดข้องแย่งชิงขัดสนลำบาก จนกระทั่งคนมีกิเลสอยู่ก็ต้องแย่ง หนักเข้าก็ฆ่ากัน คุณจึงเป็นเหตุให้เขาต้องฆ่ากัน เมื่อคุณทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ด้วยกรรมวิบากคุณไม่พ้น ต้องสาวหาเหตุที่คุณต้องไปโลภ ในสิ่งที่มนุษย์จะต้องใช้อาศัย แต่คุณเอาสิ่งที่มนุษย์ต้องใช้อาศัยไปเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ พัฒนาทวีความโลภมาให้แก่ตัวมากเกิน บาปต้องเป็นของคุณทั้งนั้น เวรภัยที่คุณมีหนักหนาสาหัส จะเรียกพยัญชนะว่า นรกอเวจี มันก็ตกเป็นของคุณ
ซึ่งเขาไม่มีภูมิจะรู้ต้องจมอย่างนี้ไปอีกนาน แล้วจะมีวิบากไปอีกแบบนี้กี่ล้านๆชาติ ตอนนี้เขายังได้อาศัย เมื่อตายจากร่างนี้จะต้องได้รับทดแทนใช้หนี้ อาจจะยังไม่ทันทีในชาติที่ 2 ชาติที่ 3 แต่ถึงรอบต้องใช้หนี้หนักในชาติใด คุณลงหนัก อีกนับชาติไม่ถ้วน แล้วไม่มีทางรอด เพราะไม่มีปัญญาสลายอัตภาพคุณได้ ต้องได้นรกอเวจีนี้นานนับชาติ ออกไม่ได้เลย อย่านึกว่า สมบัติพัสถานเหล่านี้จะแก้ให้คุณรอดไปได้ มันไม่มีทาง เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อน คนไม่มีปัญญาไม่รู้เรื่องจะไม่รู้เลย
คำว่าเศรษฐศาสตร์ แล้วมาเป็นเศรษฐกิจก็คือกิริยา คือการกระทำการประพฤติ ประพฤติให้เกิดเสฏฐะ คือการพัฒนาการเจริญ คนที่ยังไม่เข้าใจความเจริญแบบนี้ก็ทำความจริงความเจริญแบบนี้ไม่ได้ ผู้ที่เข้าใจหรือมีผู้นำ ผู้ที่รู้ได้ มีความจริงสูงสุดเท่าไหร่ ผู้ที่มีความรู้สูงอันนั้น ก็เอาความรู้ที่สูงเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ จะไปปิดบังไว้ทำไม ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติไม่ต้องไปปิดบัง แต่ให้เอามาขยายให้ความออก บอกคนอื่น คนที่ได้รับผลเขาก็ยอมรับนับถือ นอกจากคนอกตัญญูก็มีได้
คำว่าเศรษฐกิจจึงเป็นภาษาคู่กับความยุติธรรม ในสังคมจึงเป็นสามเส้า สังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ 3 คำนี้เป็นลักษณะของมนุษย์กับพฤติการณ์ รัฐศาสตร์ พฤติกรรมเศรษฐศาสตร์ สังคมก็รวมเป็น ศาสตร์ในตัว สามอย่างนี้
อาตมาพยายามที่จะทำตามที่พอรู้ ในยุคนี้ ก็ยังพยายามหาโพธิสัตว์ผู้พี่ที่มาแสดงตัว แล้วอาตมาก็จะไปรวมด้วย ท่านมีทฤษฎีพฤติกรรม Static Dynamic มีตัวแปรที่เป็นรูปธรรมที่พร้อมแล้ว แต่อาตมายังไม่เห็นในโลกขณะนี้ เราก็คบหากันไม่ถึง 200 ประเทศก็ยังไม่เห็น
อาตมาก็ประกาศไปเท่าที่จะส่งได้ กระเสือกกระสนส่งความรู้นี้ไป ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง ไม่มีเรื่องหลอกเลยเท่าที่จะมีสมรรถนะ มีบารมีได้แค่นี้ ไม่ทั่วโลกดีนัก ร้อยกว่าประเทศก็เอาละ ก็กระจายไปแล้ว ภาษาอาตมาก็ได้เท่านี้ คนอื่นรู้ภาษาอย่างอื่นก็ช่วยกันอธิบายกระจายไป เป็นเหตุปัจจัยที่จริง ที่เป็นไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ก็ค่อยขยายความขยายผลไปเรื่อยๆ ตามทฤษฎีคนจนน่าอัศจรรย์ คนจนมหัศจรรย์ คนจนอย่างประเสริฐ คนจนที่มีความสุขสำราญเบิกบานใจ อันนี้ใครจะมาแย่งชิงเราไม่ได้ ความสุขสำราญเบิกบานใจ ขอยืมภาษามาใช้ ไม่ใช่แบบโลกียรสนะ มีแต่ธรรมรส มีแต่โลกุตรรส รสของความว่าง ไม่ขยายเป็นกามพยาบาทโลกีย์อีกแล้ว
แม้จะมีอีก 3 ความหมาย ของ นักเสรีนิยมใหม่ Ecological Sustainability ก็ดี หรือความยุติธรรมทางสังคม Social Justice หรือ Social welfare ความสมบูรณ์ทางเศรษฐกิจ ของเรามาได้ดีแล้ว
เอาล่ะทางนิเวศเข้าใจไม่ยาก ความยุติธรรมก็ยากกว่านิเวศน์ พฤติกรรมที่กลางคือเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ซึ่งมันรวมหมดเลยทางวัตถุ เสนาสนะ บุคคล อาหาร ธรรมะ มันจะต้องดี เรียกว่าสัปปายะ ได้สัดส่วน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ อาตมานำมาขยายและพากันประพฤติปฏิบัติตามที่เป็นได้จริง
อาตมาเป็นคนจนที่รวยพอได้ อย่างที่ในหลวงร.9 เราตรัส ว่าเราก็ไม่ใช่คนรวยอย่างที่เขารวยกันแต่เราก็รวยพอสมควร รวยจนคนที่มองไปแง่รวย หาว่าเรารวยมาก เขามองเพ่งโทษสุดโต่ง เราไม่มาก รวมวัสดุดินน้ำไฟลม ยกตัวอย่าง รวบรวมชาวอโศกมีธนบัตรรวมกันเท่าไหร่ เราก็มีน้อยกว่า ชาวอโศกทั้งหมดสู้บิลเกตส์ วอเรนบัฟเฟตไม่ได้ สู้แจ็คหม่าไม่ได้ รวมหมดในชาวอโศกนี่ อย่างนี้เป็นต้น ยืนยันได้เลย
แต่ชาวอโศกมีเหลือ แล้วไม่มีเศษเหลือเหล่านั้น ไปอาละวาดดูดมาให้แก่ตัวเองอีกด้วย เห็นไหม ไม่ได้ไปทำร้ายเบียดเบียนใครเลย แต่พวกคุณไม่รู้ว่าเบียดเบียนกันอยู่ไม่ว่าจะเป็น บิลเกตส์ วอเรนบัฟเฟต แจ็คหม่า คนอินเดียไม่รู้จะมีรวยซ่อนไว้เท่าไหร่
เรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อการเป็นอยู่ของมนุษย์ กระทบกับความจนความรวย ความพอหรือไม่พอ คนที่มีจิตพอ คนนี้จึงยิ่งใหญ่ที่สุด
มาเข้าหาสาระธรรมะ พอ ในพอก็มี
อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
เช่น แต่ก่อนเรากินทุกอย่างที่ขวางหน้าอร่อยไม่อร่อยก็กิน แม้ไม่อร่อยก็กินเพราะว่าได้เปรียบอัดเข้าไปๆ นึกว่าได้เปรียบ จะตายนะ เต็มกระเพาะจะแตกอยู่แล้ว สอง กินเพราะว่าเท่ห์ ชั้นสูง แพงฉิบหาย กินเข้าไป ชั้นสูงทั้งๆ ที่บ้าๆบอๆอะไรไม่รู้ อย่างนี้มันโง่ซ้อนโง่ไม่รู้กี่ชั้น คนที่โง่เป็นมาแล้ว ชัดเจน คนที่ไม่เป็น ก็เป็นกุศล เราไม่รวยเท่านั้น ไม่ไปบ้าอย่างนั้น คนที่ไปบ้าอย่างนั้นให้เราเห็น โชคดีนะเราไม่รวยแบบนั้น จะได้ไม่บ้าอย่างนั้น แต่คนที่ชั่วแบบนั้นมันไม่มีหรอก แต่คนที่ไม่รวยแล้วไปกู้หนี้ยืมสินไปทำแบบนั้น อันนี้โง่ซ้อนโง่จะมีวิบากอีกไม่รู้เท่าไหร่ ไปหาทางออกปฏิภาคทวี โง่ปฏิภาคทวีนะ คุณเจริญด้วยความโง่นะ
เมื่อมาศึกษาธรรมะจะได้เลิกโง่แบบนั้นมาหาทางเจริญบ้าง ถ้าไม่หาทางออกจะจมอยู่อย่างนั้น
มาเข้าสู่เป้าว่าน้อย ใครมีน้อยไว้ โดยไม่เบียดเบียนใครได้เท่าไหร่ แล้วเราก็ไม่ทรมานตัวเอง พอจนถึงคิดว่าน้อยเท่านี้ก็พอนะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ อยู่ได้ นอกจากอยู่ได้แล้วทำงาน มีอุปกรณ์ที่มีส่วนเกินนี้ ไปทำประโยชน์ให้คนอื่นได้อีก ของเราพอแค่นี้ มีความสามารถที่จะใช้วัตถุดิบอุปกรณ์ทำด้วย ไม่ใช่เอาไว้เพื่ออวดตัวตน แต่เอามาใช้เพื่อประโยชน์จริงๆ แล้วมีผลผลิตขึ้นมาก็จะไม่ได้ทำเพื่อตนเองอีก ซับซ้อน
คุณเองมีจิต ถ้ามักน้อย น้อยได้แล้วก็ดีใจชื่นใจก็เป็นความซับซ้อนของนามธรรม คนที่ดีใจในความมักน้อยก็จะรู้สึกไม่รู้จักประโยชน์คุณค่าเพื่อผู้อื่น ที่จะช่วยผู้อื่นได้ ตัวเองก็ดีใจที่มีน้อยได้เพราะไปสมมุติว่าต้องน้อย อย่างพวกเชน มีน้อยมักน้อยแต่ไม่มีประโยชน์ต่ออย่างอื่น มนุษย์อื่น สัตว์อื่น นี่มันน้อยเกินไป น้อยเกินไป แม้แต่สายสมถะไปอยู่ในภพ นักสะกดจิตไม่ทำอะไรมากมาย สมรรถนะของคุณความรู้ของคุณความขยันของคุณทำได้มากกว่าคนอื่นด้วยแต่ไปเข้าใจผิดว่า น้อยไว้ๆดี ทั้งๆที่สมรรถนะความรู้ความสามารถของคุณเอาไปใช้ได้ แต่มีหลักอยู่ว่าต้องไม่ใช่ทำเพื่อตนเอง แต่ทำเพื่อผู้อื่น ถ้าไม่เข้าใจอันนี้เป็นมิจฉาทิฎฐิยังไม่ฉลาดก็จมไป หรือว่าคุณฉลาดพอแต่มีความขี้เกียจก็น้อยไป รู้ว่าดีแต่ว่าขี้เกียจทำก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ผู้ที่สามารถประมาณจัดสัดส่วนให้ได้อย่างลงตัว ได้อย่างมีคุณค่ามีประโยชน์
1 ไม่ต้องไปร้อนใจว่าจะต้องได้อย่างนี้ ต้องได้มากเท่านี้ คุณก็จะรักษามันให้มันแข็งตัวอยู่อย่างนี้ นานเข้าคุณก็หลงว่าสิ่งนี้มันจะต้องมีอยู่นิรันดร ทั้งรสชาติในสิ่งที่เป็น Static คุณก็จะรักษาสภาพนี้ ในสิ่งที่เป็นตัวตั้ง จะยึดอยู่ตลอดจะล้างให้เป็นตัว 0 ตัวไม่มี... ยาก
ก็จะต้องอาศัยไว้ในช่วงวาระอาศัย พอแล้วก็เลิก มันก็จะเกิดเป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น ได้ดียิ่งขึ้น ยึดทำ ยึดประโยชน์ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ้ามากเข้าๆ ก็ต้องอาศัย ความตั้งมั่นแข็งแรง ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร แต่ยึดมันอย่างตั้งมั่น ทำเสร็จจบกิจแล้วเลิก แต่ตัวคุณสมบัติที่ประเสริฐเร็วและดีที่สุด มีจิตที่เป็นมุทุตา
ผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติได้แค่รู้ว่าทำดีและไม่ต้องยึดดี ไม่เสียใจ ไม่กลับหัวเป็นหางกลับตีนเป็นหัว พวก masochism พวก sadism มันซับซ้อนไปหลายทบ เอาแค่สองทบก็พอ
ถ้าทำอย่างอวดดีจะไปไม่ได้ไปไม่รอดต้องทำอย่างเผื่อพอ แล้วเราจะเผื่ออยู่เสมอ จนสุดท้ายคุณไม่ต้องเผื่อหรอก เพราะว่าคุณมีมากเกินกว่าจะเอามาใช้ในสิ่งที่จำเป็น อย่างเช่นพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมีเหลือเฟือ เอามาใช้ยังไม่หมด แล้วท่านก็รู้ว่าความพอเหมาะพอดีเท่าไหร่ก็เอามาใช้ ไม่ต้องไปกังวลว่าจะต้องเผื่อ แต่อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องเผื่อ จนกว่าจะไปเป็นระดับ 9 และมากๆๆๆจนเกิน สิ่งที่เกิดที่เป็นที่มีในวงของคนของมนุษย์โลกที่จะช่วยเขา ของเรามีเหลือเฟือ ของที่เหลือเฟือเหล่านั้นไม่ได้ไปเอาอะไรของโลกมา มันเป็นนามธรรม มันเป็นคุณธรรม เป็นคุณอันพิเศษ เป็นบารมี มันไม่ได้เป็นดินน้ำไฟลม มันเป็นคุณธรรมของท่านที่เป็นนามธรรมจริงๆ อรูปจริงๆ แล้วไม่ได้แย่งของใคร สิ่งที่มีเกินมากเกิน ท่านไม่ต้องใช้อย่างระมัดระวังยังจะได้เลย แต่ท่านจะทำอย่างฟุ่มเฟือยคนอื่นเอาอย่างท่านจะเสีย ต้องไม่แกล้งเสแสร้งก็ทำอย่างพอเหมาะพอดีเป็นสมดุลที่สุด จะได้คุณค่าประโยชน์ เราก็มีฝีมือที่ทำให้เกิดความสมดุลได้ค่าสูงสุด ไม่ว่าจะด้านใดๆ สูงสุด ผู้นี้จึงเป็นผู้ที่ทำงานเศรษฐศาสตร์ หรือ ช่วยเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจสังคมอยู่อย่างดี
คำว่าสวรรค์คือการบำบัดจิต เรายินดีและก็ติดยึด ยินดีรู้ดีฟังดีเห็นดี ใช้สองศัพท์เห็นตัวแทนตา ได้ยินตัวแทนหู เราเอาแค่สองก็พอ ไม่ใช่หอมดีเหม็นดีไม่เอา อร่อยดีไม่อร่อยดีก็ไม่เอา สัมผัสเสียดสีกันดีมันดีเราก็ไม่เอา เอาแต่ฟังดีเห็นดีก็พอ
สิ่งนี้เห็นดียินดีแล้วก็พอแล้ว อย่ายึดติดยินดีแล้วต้องได้ความยินดีนี้มากตลอดไปก็ไม่เอา มันไม่เที่ยง ไม่ยินดีก็ได้ มันอาจจะบกพร่องหน่อย ไม่ยินดีก็ไม่ยินดี เราก็ทำให้มันดี มันพลาดได้ ทำอย่างเก่งอย่างแข็งแรง ไม่มีพลาด เราฟังก็เออดี เราเห็นดีเออดี สัมผัสด้วยตาด้วยหู มันก็มีคำตอบก็ดีก็ใช้ได้ สุดยอด อาตมาว่าอาตมาอธิบายไปนี้มีคนเข้าใจ ...ลองถามว่าอธิบายไปนี้ใครฟังไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องยกมือขึ้น ….เอาแค่นี้ก็จบดีกว่าเป็นกำลังใจให้ตัวเอง เทศน์แล้วก็ไม่มีใครไม่รู้ คนที่ฟังอยู่ข้างนอกที่ไม่ได้ร่วมอยู่ตรงนี้ มันก็ต้องได้บ้างล่ะ ไม่สูญเปล่าไม่เป็นหมัน นับกันกี่คนนั่งฟังตรงนี้….เท่านี้ก็ได้ อาตมาไม่ตะกละอะไรอย่างน้อยที่สุดมีโทรทัศน์ถ่ายทอดไป คนอยู่ทางบ้านได้รับฟัง พวกนี้พวกหน้ามาไม่ใช่หน้าม้า
สรุปแล้วคำว่าเศรษฐกิจ(สันสกฤต) เสฏฐหรือเสฏโฐ บาลีใช้ แบบนี้ กินความกว้างไป อธิบายไปตั้งแต่ 2 หน่วยก็ได้ จะเป็น 5 หน่วย 8 หน่วย10 หน่วย100 หน่วยก็มีความเจริญไปตามลำดับ แต่ละหน่วยก็ประกอบด้วยมุมเหลี่ยมต่างๆไป เท่าที่สมควรให้มนุษยชาติเอาไปใช้อะไร เอามารวมได้เท่านั้นเท่านี้ แล้วก็เจริญไป
สรุปอีกที อสังสัคคะ ไม่ประกอบด้วยสวรรค์ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ ก็หมายความว่าน้อยก็พอ
อัปปิจฉะน้อย สันตุฏฐิน้อยก็พอ แค่นี้ก็ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ปวิเวกะ สงบ น้อยแค่นี้ก็พอ น้อยแค่นี้ถ้าไม่พอก็ต้องศึกษาฝึกฝนให้น้อยแค่นี้ก็พอ คนอื่นเขาน้อยแค่นี้ก็พอเลยเราขนาดนี้ทำไมยังไม่พอ คนอื่นมันมีตัวอย่างคนที่น้อยกว่าเรา เขายังหยุดเลย เชนนี่น้อยกว่าเรายังหยุดเลย เราก็ไม่เอาถึงขนาดนั้น เราน้อยขนาดหนึ่งก็พอ ในโลกมีตัวอย่างให้เราเปรียบเทียบทำตามได้ทั้งนั้น จะเอาขนาดไหน สรุปแล้วน้อยก็พอ พอแล้วก็สงบ ปวิเวกะ คือไม่สร้างอารมณ์พิเศษ อสังสัคคะ ไม่สร้างอารมณ์ เก๊ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว มีพลังงาน มีความสามารถ มีความอุตสาหะก็ทำไป
มันเกิดไม่ได้ที่เราจะไปยินดีกับความมีประโยชน์มากไป ได้มากมีมากยินดีมาก อย่าไปเผลอ หลงเผลอฟู่ฟ่าเรียกปีติ ไปยินดีกับสิ่งที่มีมากเจริญมากแล้วไปหลงเกาะยึด ถ้าไม่ได้มากเท่านี้ ไม่ได้ดีมากเท่านี้เศร้าโศกเสียใจว่า ทำไมฝีมือเราลด มันก็ไปตีโพยตีพายกับอัตตาตัวเอง ก็ทำเหตุให้มันพอ เมื่อเหตุมันทำไม่ได้ มันไม่เที่ยงมันก็ไม่ได้ผลอย่างนี้ แต่ถ้ามันไม่ได้เท่าที่มันควรเกิดทั้งที่เหตุมันครบ 2 + 2 มันต้องได้ 4 แล้วทำไมได้ 3 ครึ่ง ก็ต้องตามหาเหตุที่เป็นข้อบกพร่องอื่นๆอีก ในรายละเอียดต่างๆ ผู้ฉลาดแล้วก็ไม่โทษใคร ทุกอย่างมาแต่เหตุ จบกันที่นี่เลย ตามหาเหตุให้เจอก็แล้วกัน แล้วก็อยู่ที่เรา ในกรรมกิริยาของเราทั้งนั้น ถ้ากรรมกิริยาของเรามันถูกถ้วนหมด มันไม่มีอะไรที่จะเสียหาย ไม่ต้องไปโทษคนอื่น กรรมของเราทั้งนั้น การกระทำของเราทั้งนั้น ความรู้ของเราทั้งนั้นที่จะประกอบทำอย่างไรไม่มีอะไรอื่นเลย
จน ความจน เป็นทิศทางของ ยุคนี้ มันจะมีอจินไตย จะไปสู่สังคมมากน้อย ตอนนี้กำลังเดินหามักน้อย แต่ยังมักมากอยู่ลดไม่ลง แต่ก็จะค่อยลดลง จากที่เราจะสาธยายไปอีก จากที่อาตมาทำมา อีก 500 ปีจะมีแนวโน้มอินเทรนด์มาทางนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะมีผลมากขึ้นมากขึ้น 500 ปีก็ได้ผล เกิดเป็นต้นทุนแล้วก็จะทำให้มนุษยชาติในโลกนี้ กลับที่เหลือนี้ อีกประมาณ 200 กว่าปีนี้มันก็จะมีเนื้อหาสาระอันนี้ค่อยๆ มีประโยชน์ไป จนกระทั่งหมด 2 พันกว่าปีนี้ เนื้อสาระก็จะเจือจางลงไปเรื่อยๆ จนไม่เหลือลักษณะนี้อีกแล้ว ลักษณะที่ดีหายไป ลักษณะที่ชั่วก็จะขึ้นมาแทนหมด เพราะฉะนั้นกลียุคใหญ่ก็จะเกิดขึ้นเลย ล้างโลกไป
จนโลกนี้ระเบิด ทำให้ดินน้ำไฟลมพิการ ก่อเกิดการสังเคราะห์ดินน้ำไฟลม เกิดเป็นธาตุต่างๆ เป็นแก๊สเป็นน้ำ ไม่สมดุล โลกนี้ก็ต้องแตกเลยถ้าไม่สมดุล แต่ถ้ายังรักษาความสมดุลในโลกนี้ไปได้ แต่มันยังหมุนอยู่ มันก็จะหมุนช้าลง หรือเร็วขึ้น คือความเสื่อมทั้ง 2 ทิศทาง เท่าที่โลกนี้มันมีอยู่เกี่ยวข้องกับวงโคจร เกี่ยวข้องกับแรงเหวี่ยง เกี่ยวข้องกับความโน้มถ่วงแรงดึงดูดอะไรหมดทั้งนั้นเลย อาตมาอธิบายไม่ไหวแล้ว มันก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งนั้นเลย
อาตมาว่า เหตุปัจจัยของธรรมชาติพวกนี้คุณอย่าไปคิดเลย คุณคำนึงถึงแต่คน ก่อน สัตว์อื่น หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงที่มีธาตุที่มันเป็นชีวเริ่มต้นเป็นจิตนิยามแล้ว คุณอย่าไปหาเรื่อง อย่าไปให้มีวิบากร่วมกับเขา โดยเฉพาะสัตว์เล็กมันไม่รู้ว่าใครเป็นใครมันมีความพยาบาท มีความรักก็รัก พยาบาทก็แก้แค้นทำลาย แต่รักมาก จนกระทั่งหน้ามืด รักจนหน้ามืด ทิ้งไว้แค่นี้ก็แล้วกัน มันจะทุกข์ขนาดไหน นอกจากจะรำคาญ ทนไม่ไหวอีกแล้วก็จะแยกจะหนีเธอ ก็ทำลายด้วยมือเราเลย ก็จบที่ความพยาบาท ซับซ้อน ใครรู้แล้วก็อย่าไปทำ อย่าให้มันเกิดอาการอย่างนี้
อาตมานี่ เกิดมาในปางนี้ชาตินี้คู่ดี ที่จะมาแก้แค้นพยาบาทน้อย แต่อาการทางรักยังมีพอสควร รักมันต้องแจก อาตมาถึงแจกรัก 10 มิติ รักทางมิติที่ 2 ,3 ก็น้อยลงๆ นอกนั้นก็รักมากขึ้นๆ มีบุคคลมากขึ้น รัก มิติที่สูงขึ้น ก็ยิ่งมีประโยชน์คุณค่า ยิ่งมิติที่9 10 ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น มีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถเอามาเกื้อกูลผู้อื่นได้กว้างได้ประโยชน์คุณค่ามากยิ่งขึ้นๆ ก็จะอยู่ในสภาพความจนเท่าที่องค์ประกอบเป็นไปได้
อาตมาทุกวันนี้มีคนเท่านี้ มีสถานที่เท่านี้ก็มีคนมาช่วยกัน ไม่ใช่อาตมาทำคนเดียว เราจะไม่ทำคนเดียว ไม่ว้าเหว่ไม่โดดเดี่ยวเลย ธรรมะพระพุทธเจ้าจะอบอุ่นจะมีมวล พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า โพธิสัตว์นี้จะมีลูกจำนวนพันเป็นอเนก นี่คือข้อกำหนด จะเรียกว่าโพธิสัตว์แท้ๆนี่นะ โพธิสัตว์ที่จะต้องทำประโยชน์ร่วม เรียกว่าคุณต้องดูแลต้องเลี้ยงดู ต้องให้ประโยชน์แก่เขา จะต้องมีจำนวนพันขึ้นไป พันเดียวยังไม่เรียกเอนก พันเดียวเรียกเอกะ
ถ้ายังไม่ใช่เอกะ เรียกว่าอเนกะ มันสนธิกันแล้วเป็นเอนก ไม่ใช่หนึ่งเริ่มเป็นสองเป็นสามเป็น 4 ก็เป็นเอนก เป็นพหูพจน์ไปตามลำดับ พันหนึี่ง สองพัน สามพัน สี่พัน ก็เป็นเอนกสูงขึ้นได้เรื่อยๆ
คนที่มีลูกเป็นอย่างต่ำเป็นพันเป็นต้นไป พันมันต้อง 10 ต่อของ100 จะน้อยกว่า 100 ได้อย่างไร 1000 คือรอบของร้อยเป็นสิบรอบ
ปวิเวกะ สงบแล้วไม่สร้างสวรรค์
...วันนี้มีผู้ฟังธรรมรวมทั้งสมณะและสิกขมาตุ 57 คน
เลขสวย 1 3 5 7 9 เลขคึ่ อาตมาปาง7 นี้ ไม่ 1 3 ไม่ 3 5 แต่ 5 7 แต่ต่อไปก็เป็น 7 9 ก็จบ อัตราก้าวหน้าของอาตมา เกินครึ่งไปอีกหนึ่งคือ 7 9 คุณเห็น 7 กับ 9 ทำงานในโลกนี้ไหม 7 เป็นนาม 9 เป็นรูป 7 ต้องอดทนกว่า 9 นี้ไม่ต้องอดทนเท่า มีจำนวนมากกว่าด้วย แต่ใช้นามธรรมน้อยกว่า แต่อาตมาต้องใช้นามธรรมมากกว่า
ปวิเวกะ อสังสัคคะไม่สร้างสวรรค์ไม่หลงสวรรค์ไม่ต้องมีสวรรค์ เพราะสวรรค์คืออารมณ์ อารมณ์ล้วนอารมณ์เก๊ ไม่ต้องมีสวรรค์รู้ความจริงตามความจริงว่ามีความเจริญความเป็นประโยชน์ ก็จบ ไม่ต้องไปเสพรส ดีใจยินดี ได้ยินดีต้องใช้ เพราะฉะนั้นสูงสุด ที่จะต้องใช้ ก็คือใช้ความยินดีเป็นพลังงานที่จะทำงาน เพราะ มูลสูตร จึงมีฉันทะคือความยินดี เป็นมูลกา เป็นต้นเค้า แล้วต้องมีมนสิการ เป็นแดนเกิด ต้องทำใจในใจเป็น ใจอยู่ตรงไหน แดนเกิดอยู่ตรงไหน ตรงนั้นเป็น หทยรูป ไม่มีสถานที่ไม่มีรูปร่าง มีบัญญัติ แต่ไม่มีสิ่งที่เป็นสภาวะอะไร นัตถิอุปมาแล้ว รูปที่คุณกำหนด ว่าจิตเรายังอยู่ รายงานตัวรู้อยู่ไหนอยู่ในเรา ไม่ได้อยู่ที่ต้นไม้ไม่ได้อยู่คนนั้นคนนี้ มันอยู่ที่ไหนหัวสมอง ไม่ได้อยู่ในหัวใจ อยู่ไหนไม่รู้ แต่ในองคาพยพของเรานี่แหละ ไม่ได้ออกไปนอกนี้ หทยรูป เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ
ในรูป 28 ก็ต้องอธิบายกันจริง หทยรูป อาตมาภูมิโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็จะเลื่อนขึ้นเป็น 8 9 ไปเรื่อยๆอาตมาอาจพ้นแล้ว 8 ไปหา9 ก็ได้ แต่ไม่ได้ตัดสิน และก็ไม่กังวล สร้างสิ่งที่เราแน่ใจว่า ปัจจุบันนี้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ก็จบ อาตมาทำสิ่งที่เป็นปัจจุบัน และตรวจสอบ ด้วยสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 แล้วก็ทำไปเรื่อยๆ หากยังไม่ดีพอก็ทำเพิ่มความดีไป ดียังไม่ได้ดีเพราะทำดียังไม่มากพอ เป็นโศลกของอาตมาที่ใช้ดี ไม่ใช่อวัยวะส่วนหนึ่งนะ
อาตมายังเป็นพระโพธิสัตว์ที่รักการศึกษา จะพิสูจน์ไป มันไม่มีอะไรน่าศึกษากว่านี้อีก ยังไม่ยอมรีไทร์ ต้องศึกษาไปอีกจนกว่าจะหมดแรง ทุกวันนี้อาตมาว่าได้พิสูจน์ว่า การพยายามลากสังขารมาเกินจากที่อาตมาเคยบอกตั้งแต่ก่อนอายุ 72 ว่าอาตมาอายุขัย 72 แต่อาตมาว่าถ้าขืนรีบตายไปก่อนก็อกตัญญู เพราะประเมินอยู่แล้วว่ามันยังไม่ถึง ศาสนาพระพุทธเจ้ายังไม่ไปถึง ประกาศหาพี่ก็ยังไม่เจอ จะได้โอนไปให้ ก็เลยต้องแบกไว้อย่างนี้ แต่พูดอย่างนี้ผู้พี่ก็เลยไม่มา แต่ถ้าพี่มีกิเลสก็คิดแบบนี้ก็ไม่มา แต่ถ้าเป็นพี่มาแล้วอาตมาก็จะยอมให้ ถ้ารู้ว่าเป็นพี่แท้ ไม่เสียหาย แต่ก็ต้องเลี้ยงไว้ น้องชายอาตมาก็ยังบอกเป็นพี่อาตมา ฐานวุโฒ อ่อนกว่าอาตมาปีเดียว บอกว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า ไปอยู่คนเดียวในจังหวัดกาญจนบุรีตอนนี้ เขาชื่อว่า นายชาติ รักษ์พงษ์ บอกว่าตนเองเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายทำลายใคร ทำแต่ประโยชน์ให้คนอื่น ศาลก็ยังต้องยอมปล่อยเลย ตอนนี้ก็ยังแข็งแรงดีอยู่ เอาล่ะพอ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์ผู้พี่มีมาในปางนี้หรือไม่
มีคนถามว่า ที่พ่อท่านเรียกว่าถ้ามีพี่โพธิสัตว์มา ในปางนี้มีไหม?
พ่อครูว่า...อย่างอาตมาเรียกว่า โพธิสัตว์ผู้พี่มีหรือไม่ ถ้ามีก็มา ถ้ามาแล้วก็จะรู้ว่าเป็นพี่หรือไม่ แม้หลงว่าเป็นพี่แต่เขาไม่เป็นภัยก็ยอมเขาได้ มาร่วมทำงานกับเราแล้วเป็นประโยชน์ ไม่มีปัญหา อาตมาก็ให้เป็นพี่ไป แต่ก็ยังไม่มีมา มีแต่ที่อยู่ด้วยกัน ก็เห็นว่าอาตมาเป็นพี่ อยู่ด้วยกันก็ทำช่วยกันไป พูดด้วยจริงใจ รุ่นพี่มาก็มา จะยกให้ ถ้าอาตมาตัดสินผิดก็เป็นวิบากอาตมาเอง ผู้ที่ไม่เป็นพี่แต่ก็หลงว่าเป็นพี่ก็ช่วยทำงาน ก็เลยไม่เข้ามาก็ยังเป็นประโยชน์ต่อโลกไม่เสียหาย ที่ว่าเป็นพี่คือ เขายังใหญ่กว่าอาตมาแล้วเขาก็ไม่เข้ามา แล้วเขาก็ทำประโยชน์อยู่ เขาไม่ได้ทำเสียหาย
แม้แต่ใครก็ตามที่ทำอยู่แล้วมีประโยชน์มากกว่าโทษ ขอโทษ ที่เขาบกพร่องนั้น ไปทำอะไรไม่ได้หรอก แต่ที่มีคุณประโยชน์นั้นมีมากกว่า ความเป็นโทษนั้นไล่ไม่ทัน สิ่งที่ชั่วกับดีนั่นมันไม่หาย แต่ความชั่วนั้นมันไล่ไม่ทัน แล้วคนที่ทำดีเป็นอัตราส่วนก้าวหน้านี้มันก็มีความดีก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ชั่วมันก็ไล่ไม่ทัน เข้าใจนะ เราไม่หยุดยั้งในการสร้างความดี ทำความดีมันจะนำหน้าไปเรื่อยๆ คนชั่วผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นที่จะตามแก้แค้น คนที่เป็นโพธิสัตว์ชัดเจนแล้วก็ทำดีไปไม่มีย่อหย่อน อุตสาหะทำดี มีอัตราการก้าวหน้า Coefficient ไปอย่างนี้ไม่มีทางทันหรอก เพราะคนผู้อื่นจะรู้ไม่เท่าทันพระโพธิสัตว์ที่มีทฤษฎีมีอัตราการก้าวหน้าสูงกว่า ก็จะตามทันได้อย่างไร ก็ไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา
อสังสัคคะ ไม่สร้างสวรรค์แล้ว วิริยารัมภะ เป็นสิ่งสูงสุดแล้วไม่มีอะไรไม่สำเร็จด้วยความเพียร ความเพียรนั้นสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ทุกอย่าง เป็นคำสรุปของพระพุทธเจ้า อันนี้ก็คงได้ยินกันมา ไม่มีอะไรไม่สำเร็จได้ด้วยความเพียร ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยความเพียร จริงหรือเปล่า แล้วแต่เหตุปัจจัยครบความเพียรนั้นหรือไม่ ถ้าเหตุปัจจัยครบมันก็ต้องได้ผล เหตุปัจจัยครบได้สัดส่วนจริง มันก็ต้องได้ผล จึงจบอยู่ที่ วิริยารัมภะ
อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวก สามเส้านี้ มักน้อยแล้วอย่าไปหลงสร้างใหม่มากๆมักใหญ่ จึงจะเกิดความสงบ สงบแล้วก็พอ สามเสานี้เป็น cyclic order วงกลมที่สมดุล หากไม่เพิ่มพลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient มันก็จะค่อยๆลดลงจนสูญ ถ้าเพิ่มพลังงานสันตติ ต่อไป ก็เป็นพลังงานบวก จนถึง คูณสอง ยกกำลังได้สี่เหมือนบวก แต่ถ้าสามยกกำลังสอง ก็เป็นเก้า เก้าเก้าเป็น 81 เหลือบดูเวลาแล้ว 00
ยังจะอธิบายไปอีก ก็ไม่ต้องห่วง นัยละเอียดซ้ำซ้อนไปมา ข้อสำคัญคือ เอาใจใส่ศึกษาฝึกฝนให้ดี เพราะอย่างไรสังคมคนจนที่ประเสริฐและมหัศจรรย์นี้ยังจะก้าวหน้าพัฒนาไปให้แก่โลก ที่เขาจะต้องใช้เป็นประโยชน์ในโลกต่อไปอีกในยุคนี้ จนกว่าจะหมดภัทรกัป ก็มีอันใหม่มา พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เอาแค่พระพุทธเจ้าองค์นี้ก่อน สมควรแก่เวลาแล้ว พอดีมืด เจริญธรรมทุกคน ให้ทุกคนพัฒนาตัวเองให้ได้ทุกคนๆ เน้อ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:48:09 )
รายละเอียด
601117_เทศน์ก่อนฉัน ชมร.เชียงใหม่ ความจริงของบุญอันสูงสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความดีสองแบบในโลก
พ่อครูว่า...วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 วันนี้มาอยู่ที่เชียงใหม่ ที่นี่คือ ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาจังหวัดเชียงใหม่ (ชมร.เชียงใหม่) เปิดมาได้ตั้งแต่ปี 2535 ปีนี้ปี 2560 - ดูซิ เท่ากับกี่ปี 25 ปีแล้ว 25 ปีแล้วยังรุ่งเรืองอยู่
รุ่งเรืองจำกัด ท่านที่นี่ไปมากินฟรีก็ได้ ซื้อก็ขาย จะจ่ายตังค์ก็เอา มันมีความเจริญถึงขนาดนั้นในการค้าขาย การค้าขายที่เจริญที่สุดก็คือ ค้าขายอย่างที่เรียกว่า ไม่ต้องเอาอะไรแลก ขยันให้ตอบแทนมาก็ได้ ไม่ตอบแทนก็แล้วไป เป็นเรื่องของอิสระเสรีภาพ และเป็นเรื่องเกื้อกูลช่วยเหลือกัน อาตมาบวชมา 47 พรรษาเต็มย่างเข้า 48 พรรษา ในขณะที่อาตมาอายุ 83 ปี ย่าง 84 ปีเหมือนกัน
ชีวิตที่มาบวชนี้ บวชแล้วมาถึงวันนี้เห็นได้ว่าชีวิตเราคิดถูกมาก ถ้าอาตมายังไปจมกับทางโลกป่านนี้ นึกถึงวันนี้แล้ว อาตมาจะเสียดายชีวิตมากเลย ชีวิตเรานี้ เอามาทิ้งเสียก็ไม่เข้าท่า แต่มาถึงวันนี้แล้วนึกได้ คิดทัน แต่ก็ยังเสียเวลาไปตั้งเยอะ เสียไปตั้ง 36 ปี กว่าจะออกมาบวช ไม่ใช่ไม่น้อยๆ นะ 3 นักษัตร นี่ก็บวชมาได้กว่า 3 นักษัตรแล้ว เลยเข้า นักษัตรที่ 4
ชีวิตนี้ก็ใช้ได้ เห็นว่าชีวิตเรามีคุณค่าที่ได้มาจากการเอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาบรรยายเปิดเผยบอกให้รู้ว่า ชีวิตนี้มันไม่มีอะไรหรอก มันมีแต่ความหลอก สิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ในโลกมันมีอยู่สองอย่าง มีดีสองอย่าง
พระพุทธเจ้าบอกสอนความดี 2 อย่าง
ดีอย่างที่ 1 ก็คือดีอย่างโลกียะ ดีอีกอย่างหนึ่งก็คือดีอย่างโลกุตระ
ดีอย่างโลกียะก็คือ ดีแต่ไม่สิ้นวัฏฏะ มีแต่ความดีงาม มีความประเสริฐ มีประโยชน์มีคุณค่าอย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าดี แต่ไม่ได้หลุดพ้น ศาสนาพุทธมีตัวสำคัญคือ มีดีอันที่สองคือความดีชนิดโลกุตตระ
คือความดีอย่างหลุดพ้น ดีอย่างพ้นวัฏสงสารได้ ดีอย่างดับกิเลสได้หมดสิ้น
เป็นศาสนาเดียวในโลกที่เป็นศาสนาที่รู้จักกิเลส และมีวิธีฆ่ากิเลส ให้หมดสิ้นไปได้อย่างจริงจัง หมดไปได้อย่างจริงเลย Absolute Ultimate สูงสุดสัมบูรณ์ Axiom จบหมดไปได้อย่าง Axiom ภาษาอังกฤษ แปลว่าความแท้จริงอันไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้ว จบ จบอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์สูงสุดหมด ไม่มีอะไรเปรียบเทียบ
ซึ่งอาตมาพูดไปนี่ พูดด้วยความมั่นใจเพราะว่าจะมาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าและได้ความจริงอันนี้ ได้ Axiom บรรลุอันนี้ จึงได้ยืนยันอย่างมั่นใจมั่นคง ยืนยันอย่างไม่มีอะไรที่จะมาต้าน มาลบล้างมาค้านมาแย้ง ก็มีคนเขาค้านแย้ง ต้านก็ช่างเขา เขาก็คิดก็เชื่อของเขา แต่เราเองไม่มีปัญหา ใครจะค้านแย้งอย่างไรก็เข้าใจเขาอยู่ คนไหนที่เขาเข้าใจถูกต้องอย่างที่อาตมาเข้าใจจะไม่ค้านแย้งเลย รู้จริงในสัจธรรมเป็น axiom แล้ว เป็นที่จบ Absolute Ultimate
จึงมั่นใจและทำงานอย่างสงสารมนุษย์โลก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน อภิสังขารให้เกิดพลังงานบุญ
ยิ่งในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิดเลย เมืองไทย ก่อนจะมาเป็นเมืองไทยก็เป็นพุทธมาแล้ว ในย่านนี้รัฐนี้มีมาแล้ว จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นพุทธศาสนาอยู่ แต่เนื้อแท้ของพุทธศาสนานั้นมาถึงทุกวันนี้ ไม่มีสาระของโลกุตระเลย เนื้อแท้โลกุตระอาตมากล่าวได้ว่าสูญหมดจริงๆ
ใช้ภาษาสื่อให้รู้เนื้อแท้ เนื้อหาสาระของธรรมะ ภาษาที่ใช้พูดกันอยู่เรียกกันอยู่ ยกตัวอย่างเป็นเครื่องยืนยันเครื่องบอกเลยว่า ศาสนาพุทธมันเสื่อมสูญไม่มีโลกุตระ ก็คือ
คำว่า บุญ ก็เข้าใจไม่ได้ก็ผิดเพี้ยนแล้ว ความหมายของบุญที่สูงสุดเป็นโลกุตระ ถ่ายเดียว ไม่มีโลกียะเลย ความหมายของโลกุตระคือทำเสร็จแล้วก็สูญ บุญก็หายไป อันนี้เป็นเครื่องยืนยันชัดเจน ว่าศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนไป แม้แต่ผู้รู้ที่นับถือกันว่าเป็นปราชญ์เอกของศาสนาพุทธ ก็ยังเข้าใจความหมายคำว่า บุญหรือปุญญะนี้ไม่ได้
ที่ไม่ได้คือ อาตมาเห็นท่านแปลในพจนานุกรมหนังสือหลักฐานของท่าน ท่านยืนยันว่า บุญเป็นวิภัชวาที ยังแยกแยะได้เป็นดีเป็นชั่ว เป็นธรรมะสอง แต่ที่จริง บุญ มีหน้าที่เดียว ทำกิจเสร็จก็จบ บุญก็หมดไป
หลักฐานพยัญชนะบาลีที่ยืนยันว่าบุญนี้ทำหน้าที่เดียว เป็นเอกังสวาที มีถ่ายเดียวทำหน้าที่กำจัดกิเลส กำจัดกิเลสเสร็จ บุญก็หายไปหมดไป มีคำว่าปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคำยืนยันว่า ทำหน้าที่กำจัดบาป เมื่อกำจัดบาปได้แล้วบุญก็หมดไป ไม่มีการสะสม ไม่มีซากเหลือทำหน้าที่เสร็จแล้วก็จบ นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก
คนทุกวันนี้เมื่อเข้าใจคำว่าบุญ บุญเป็นเครื่องชำระ สามารถที่จะสร้างพลังงาน พลังงานทางจิต ให้จิตเป็นพลังงานฌาน ฌานคืออุณหธาตุ คือธาตุพลังงานที่เรียกว่า ไฟ มันร้อน มีฤทธิ์อำนาจดีกรีของมัน สามารถละลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ พลังงานไฟฌานมีพลังงานเหนือกว่าราคะ โทสะ โมหะ
ผู้ใดสามารถสร้างพลังงานไฟฌานได้สำเร็จ มันก็จะสลายราคะ โทสะ โมหะได้จริง ผู้ใดสามารถทำฌานได้ถูกต้อง ก็จะเกิดบุญที่ถูกต้อง พลังงานนี้จะสลายพลังงานราคะ โทสะ โมหะได้ สลายได้ ได้แล้วก็หมด
บุญเกิดในขณะที่มีการอภิสังขาร create ปรุงสร้างมาอย่างทันทีทันใด เป็นพลังงานไฟฌานได้ก็ทำการชำระราคะ โทสะ โมหะได้ เมื่อทำลายสิ้นก็ไม่เหลือเชื้อของกิเลส บุญก็ไม่มี หายไปหมด สุญญ ปุญญปาปปริกขีโณ สูญสิ้นไปหมด
ทุกวันนี้ เข้าใจบุญอย่างนี้ไม่ได้ แล้วเข้าใจกลับกันเลย บุญมีหน้าที่เผาบาปอย่างเดียว สิ่งที่ไม่ใช่บาปไม่เกี่ยว บุญคู่อาฆาตของบาปอย่างเดียว จัดการบาปอย่างเดียว เมื่อสั่งให้บุญเกิดในปัจจุบันได้ ก็มีหน้าที่สลายบาปให้ไม่มีในตัวเรา ผู้ใดสร้างพลังงานบุญให้เกิดได้ ก็จะทำหน้าที่ แล้วเราสามารถกำหนดรู้พลังงานบาปพลังงานอกุศลจิต สามารถจับตัวอกุศลจิตของตัวเองได้ มาให้สร้างพลังงานบุญได้ สร้างพลังงานอาวุธ จับตัวนี้มาให้บุญได้บุญนั้นก็ทำหน้าที่บั่นคอสลาย สลายอกุศลไป
ศาสนาพุทธนั้นชำระประหารกิเลส ให้ตายจริงๆ ตายแล้วไม่ฟื้น ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก เป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
อาตมาเห็นแล้วว่าศาสนาพุทธไม่สูญหายไปไหนหรอกก็จึงได้เอากลับคืนมา แต่ก็ยังยากเพราะว่าศาสนากระแสหลักลองผิดไป เป็นศาสนาเลอะเทอะ ไร้แก่นสาร อาตมาทุกวันนี้บรรยายธรรมะอย่างไม่ไว้หน้า ไม่เกรงใจ พูดตรงตามสัจจะ อาตมาถือว่าอายุปูนนี้แล้ว ทำงานศาสนามาจะ 50 ปีแล้ว มาทำเป็นไม่เดียงสาไม่ได้แล้ว ให้อาตมาเป็นผู้ใหญ่เต็มที่พูดอย่างจริงใจปรารถนาดี ให้พูดตรงๆเถอะ อย่าให้ต้องลดเลี้ยวเลย พูดตรงๆสั้นๆเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปัญญาพาให้เกิดพลังงานบุญที่แท้
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีโลกุตระอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อาณิสูตร พอนานเข้า ท่านก็ว่า ต่อไปศาสนาพุทธทุกวันนี้จะไม่เหลือเนื้อมีแต่ชื่อ เรียกว่าพุทธแต่เนื้อไม่ใช่อาตมาเลยต้องเอาเนื้อคืนมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยากมาก เพราะว่าเขายึดถือกันอย่างหน้ามืดตามัว
เช่น วิธีปฏิบัติสมาธิก็ไปนั่งหลับตากัน ไปสะกดจิตกันไป ซึ่งบอกว่าอันนั้นไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า มันเป็นของฤาษีอาฬารดาบส อุทกดาบส พูดไปเถอะ เขาก็ไขหูฟัง เป็นใครโพธิรักษ์มาพูด ฉันมีอาจารย์นะ แล้วใครเป็นอาจารย์ของโพธิรักษ์ พอบอกว่าไม่มีอาจารย์ เขาก็ว่า จะเคารพได้อย่างไร ชาตินี้ใครมาเป็นอาจารย์อาตมาไม่ได้หรอก เพราะชาตินี้ต้องมาเป็นอาจารย์ใหญ่ มันไม่เหมือนใครๆหรอก เขาก็ยิ่งจะอ้วกเลย อาเจียนเป็นโลหิตร้อนออกจากปาก อาตมาพูดอะไรเขาก็ไม่เอาเลยน่าสงสาร ตอนนี้พูดตรงอย่างเดียวแล้วไม่หวานไม่แข็งแล้ว พูดอย่างเอกังสวาที ตอนนี้ขอยืนยัน ไม่เหลาะแหละแล้ว
จะลากสังขารต่อไปอีก อายุต่อไป 90 100 ก็จะแข็งแรงอย่างนี้อีกพูดอย่างนี้ต่อไป ตายก่อนอาตมา รอฟังเสียงอาตมาพูด อาตมา will try ตั้งใจจะอยู่ไปยืนยาวให้เท่าที่จะเป็นไปได้
มาวันนี้ก็ไม่เจตนาสาธยายเนื้อหาสาระธรรมะอะไรมากมายหรอก มีเวลาเหลืออีก 15 นาที เท่านั้นก็มาพูดอะไรเปรยปรายตัวเองบ้าง ทักทายพวกเราบ้าง เป็นอย่างไร? ติดตามอาตมาศึกษาอาตมามา หลายผู้หลายคน ชีวิตก็เปลี่ยนไป เริ่มตั้งหน้าตั้งตาจะเป็นเศรษฐี ตั้งหน้าตั้งตาจะเป็นคนดังมียศศักดิ์สูงส่ง เมื่อมาศึกษาอาตมา อาตมามาหักแข้งหักขาฉีกกระเป๋า มาถึงวันนี้แล้วไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังตั้งใจไว้ ...เสียใจไหม... ทำไม?
ก็ไม่ได้รวยไม่ได้ยศศักดิ์สูงส่งอะไร ไม่เสียใจหรือ ?..
ถ้าไม่เสียใจนี้แสดงว่ามีปัญญา มีความรู้ ความรู้ที่ชัดเจนในสัจธรรม ปัญญาคือความรู้ ธาตุรู้ที่รู้สัจธรรม ต่างจากเฉกาหรือเฉโก ภาษาบาลีมีคำว่าฉลาดอยู่ 2 คำคือคำว่า เฉโก กับปัญญา เป็นความฉลาดทั้ง 2 อย่าง
ฉลาดอย่างเฉกา คือความฉลาดอย่างปุถุชนคนสามัญที่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาโลกุตระได้ เข้าใจความหมายธรรมะที่เป็นโลกียะได้เท่านั้น แม้จะสูงส่งวิเศษขนาดไหน ก็ไม่ใช่โลกุตระ ความฉลาดอันนั้นเป็นความฉลาด เฉกาหรือเฉโกไม่ใช่ปัญญาเลย
คำว่าปัญญานั้นเป็นความเฉลียวฉลาดที่รู้จัก โลกุตรธาตุ ธาตุที่เป็นโลกุตรธรรม คนที่รู้จักธาตุโลกุตรธรรมในศาสนาพุทธของพระสมณโคดมคืออัญญาโกณฑัญญะ เมื่อท่านได้เริ่มเทศนาพุทธธรรมกัณฑ์แรก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร ไม่รวมเทศนาคนที่รู้และเข้าใจได้ เป็นความรู้ที่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้า 5 คน พราหมณ์ห้าคน เข้าใจได้คนเดียวคืออัญญาโกณฑัญญะ อีก 4 คนเข้าใจยังไม่ได้ ฟังเทศนาในวาระเดียวกันนี้ โกณฑัญญะเข้าใจได้คนเดียว อัญญาสิวตโพโกณทัญโญ โกณฑัญญะเกิดอัญญะแล้ว เป็นความรู้ชนิดอื่น ไม่ใช่ความรู้ของชนิดที่คนในโลกเขามีกัน
อัญญะแปลว่าอื่น ถ้าปัญญา จึงแปลว่าความรู้ อัญญะคืออันอื่นต่างจากอีกอัน
ปร ก็แปลว่าอื่น แต่ปร นั้นเป็นสามัญนาม เป็นคำนามที่ระบุทั่วไปกลางๆ มีนัยเยอะแยะ แต่อัญญะนี้เป็น วิสามัญนาม proper noun ระบุเจาะจงว่าเป็นอาริยธรรมเท่านั้นซึ่งไม่มีอะไรเหมือน ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ไม่มีโลกุตรธรรม เปลี่ยนความรู้เป็นโลกใหม่เป็นโลกที่มี อัญญธาตุ ธาตุอื่นจากเดิม
เป็นความรู้ ที่แตกต่างจากเฉกาอย่างชัดเจน เป็นปัญญาที่ไม่ใช่ความรู้ประดามีในโลก อัญญา จะมาเป็นสัญญา มาเป็นปัญญา คือมีหน้าที่ของการทำงานของพลังงานจิต จากอัญญะมาเป็นการกระทำ เป็นอัญญา มาเป็นความรู้โลกุตระ พอทำได้ก็เกิดเป็นปัญญา
จากปุญญะเป็นตัวพลังงานตัดกิเลส ปุญญะทำหน้าที่เป็นเครื่องประหารหัวหมาของท่านเปา พอตัด ปหานได้ ก็เรียกว่าปัญญา
ถ้ากิเลสถูกลดลง ลดไปได้ เฉือนเข้าไปบ้าง เรียกว่าส่วนบุญ เรียกว่าปุญญภาคิยา เป็นส่วนบุญ ส่วนที่เฉือนไปได้คือส่วนทำลาย ปุญญทำงานนี้ไม่มีอะไรได้ มีแต่เสียอย่างเดียว ส่วนบุญคือส่วนเสียไม่ใช่ส่วนได้
เสขบุคคล เป็นบุคคลที่สามารถใช้ปุญญะ ลดกิเลสได้เฉือนกิเลสได้บ้าง เป็นส่วนบุญ จับกิเลสได้แล้วเชือดกิเลสลงได้ ล้างแล้วได้ส่วนแห่งบุญ หากเชือดกิเลสได้หมดก้อน กิเลสอบาย สิ้นอาสวะของอบายก็หมดบุญ ปุญญปาปปริกขีโณ ก็หมดบุญหมดบาป เป็นอรหัตตผลของอันนี้ เป็นความสมบูรณ์ของอันนี้ บาปบุญหมดจบกิจ
แล้วศาสนาพุทธมีความรู้ความสามารถกำจัดกิเลสได้จริงอย่างนี้ จึงมีอรหันต์ มีสมณะที่ 1 2 3 4 พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าศาสนาใดที่ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีหลักสูตรที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์สอนอย่างเดียวกันนี้
ทุกวันนี้ ฟั้นเฝือไปหมด ต้องมากอบกู้เอาเนื้อแท้ของศาสนาพุทธมา เพื่อให้มวลมนุษยชาติได้มาปฏิบัติ ได้อาศัย จะได้ต่อเชื้ออายุของศาสนาไปถึง 5000 ปี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สยังอภิญญาผู้มาอธิบายพลังงานบุญ
อาตมาประกาศไปหมดเนื้อหมดตัวแล้วว่า เป็นผู้มากอบกู้โลกุตระ สัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะสัมมาทิฏฐิ 10 เอามาขยายความให้ใช้ได้ แล้วปฏิบัติให้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าหากปฏิบัติไม่ได้ถูกต้อง มันก็ไม่เกิดผล เพราะฉะนั้นความถูกต้องของสัมมาทิฏฐิ 10 นี้แหละ ถ้าเข้าใจไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ตรงกับความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีผลอะไร
ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เรียกว่านัตถิ ตั้งแต่ทาน แล้วก็วิธีปฏิบัติเรียกว่า ยิฏฐัง ผลสำเร็จของทาน ยิฏฐัง ได้ผลเรียกว่า หุตัง สามข้อแล้ว
ข้อที่สี่จะได้ผล ต้องด้วยกรรม สุกตทุกฏานังกัมมานังผลังวิปาโก ผู้ที่ทำทานแล้วเกิดผล เป็นโลกุตระ ปฏิบัติด้วยวิธีใดก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้านั้นมีวิธีเดียวทางเดียว เอเสวมัคโค นัตถัญญโญ มีทางนี้ทางเดียว แต่ไปพูดไปสอนกันว่ามีหลายทางก็ไปถึงจุดหมายได้ พูดอย่างนี้ก็ขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า ที่บอกว่า ทางนี้ทางเดียวไม่มีทางอื่น “มรรค มีองค์ 8"นั้นคือ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30
จะไปอธิบายอย่างอื่นแตกต่างจากที่อาตมาพาอธิบายนี้ทางเดียวนี้ แล้วบอกว่าทางโน้นทางนี้ก็ได้มันผิดหมด ทางนั้นก็คือมรรคมีองค์ 8 ก็คือโพธิปักขิยธรรม 37 เท่านั้น ปฏิบัติถูกต้องจึงจะได้ผล จะรู้จัก อยังโลโก ปโรโลโก
อยังโลโก คือโลกโลกียะ ปโรโลโกคือโลกโลุกตระ
ปฏิบัติแล้วจะเข้ากระแสเข้าสู่โลกใหม่เรียกว่า โลกุตระ เข้ากระแส โสตาปันนะ คือเข้าสู่กระแสของโสดาบัน จึงจะเป็นสกิทาคามีอนาคามี จนไปสู่ที่สูงที่สุด สัมโพธิปรายนะ
ผู้ที่สามารถรู้จักโลกนี้โลกหน้าว่าปฏิบัติอย่างนี้จึงสัมมาทิฏฐิ ถึงจะเกิดผล มีธรรมะ 2 คือมีมาตา ปิตา มีแม่มีพ่อ ช่วยทำให้เกิด เรียกว่าสัตว์โอปปาติกะ เป็นการเกิดทางจิตวิญญาณ โอปปาติกะโยนิ เป็นพ่อแม่ที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่แม่และพ่อที่เป็นรูปร่างตัวตนเก่าๆ แต่เป็นพ่อแม่ทางจิตวิญญาณ ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นแม่
อธิศีล อธิปัญญาทำให้เกิดอธิจิต เป็น โอปปาติกะ โสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์ การเกิดโอปปปาติกโยนิ คือผู้ที่สามารถดูอาการของจิตสร้างพลังงานจิตให้เกิดพลังงาน ปุญญะ สามารถละลายเฉือนกิเลสได้ เฉือนไปก็ยังไม่หมด เพราะกิเลสมันหนังเหนียวมาก นอกจากเฉือนไม่ค่อยเข้าแล้ว มันก็กลับเข้ามาใหม่อีก มันดันกลับเข้ามาอีก ความยืดหยุ่นของกิเลสนี้มันทั้งแข็งทั้งเหนียว เก่ง เหนียวมาก กลับไปกลับมา ทำได้เป็นส่วนส่วนเรียกว่าปุญญภาคิยา ปุญญภาค ส่วนแห่งบุญ
บุญนี้คือเอาออก ไม่ใช่ได้ ก็เลยเข้าใจไปอีกอย่าง บุญคือส่วนเสียไม่ใช่ส่วนได้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์เข้าใจโลกุตระ ที่ท่านตรัสว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เราเสียนี่แหละคือเราได้ มันก็ฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง แล้วคนเรามันมีกิเลส กิเลสมันบิดเบี้ยว ทำให้ฟังไม่ค่อยเข้าใจ เสียนั่นแหละเราได้ ก็เสียนั่นแหละมันจะได้อย่างไร ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเสียอย่างเดียว แต่ที่จริง เสีย คือเสียสิ่งที่ควรเสียคือกิเลส นั่นแหละคือเราได้ คุณจะต้องมาเสีย คือเราเสียกิเลส หรือเสียในความยึดมั่นถือมั่น ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
โดยเฉพาะความสุข สุขนั้นมันไม่มีหรอก มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป พูดไปพูดมาก็เพิ่งจะเข้าเรื่อง ...แต่หมดเวลาแล้ว
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:49:42 )
รายละเอียด
601119_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สัมประสิทธิ์ของอรหันต์และโพธิสัตว์
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรราชธานีอโศก หมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านคนจน จนแปลว่าไม่มีสตังค์ แต่มีความสุข คือความว่างจากความเห็นแก่ตัวทั้งหมด และทำงานอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ไม่มีความทุกข์ในหัวใจ ถ้าพูดภาษาโลกแปลว่าแปลกประหลาดไปจากโลกีย์ โลกีย์นี้จนแล้วทุกข์แต่เราจนแล้วสุข ว่าง สุขสบายใจ ไม่เป็นภาระ ทำอะไรหากคิดจะทำเพื่อตนเองจะเป็นทุกข์ หากทำอะไรแล้วคิดจะทำเพื่อคนอื่นก็จะสบายใจ
ในช่วงปีใหม่ 28 ธ.ค. - 2 ม.ค. 2561 จะมีงานอบรมธรรมะและงานเพื่อฟ้าดิน มีการให้เกษตรกรมาอบรมให้ความรู้เรื่องการเกษตร ขายของราคาบุญนิยม มีอาหารขายจานละห้าบาท เราปลูกกระหล่ำปลีไว้ประมาณหมื่นหัว ใครจะซื้อก็ลงไปในแปลง พอใจให้ฟรีก็ให้ฟรี พอใจจะขายหัวละหนึ่งบาทสองบาทก็มี เรามีผำด้วย เลี้ยงด้วยน้ำเต้าหู้ โปรตีนถั่ว บ่อผำอยู่ใกล้โรงเต้าหู้พอดี
ถ้านักศึกษาอยากจะมาอีกช่วงหนึ่งก็คืองานสงกรานต์ 13-15 เมษายน มีงานตลาดอาริยะ คนมาเป็นแสนคนเลย เราจะขายของราคาต่ำกว่าทุน มีก๋วยเตี๋ยวจานละบาท ข้าวราดแกงจานละบาท น้ำถุงละบาท สินค้าที่ซื้อมา นำมาขายในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา ใครจะมาก็มา ใครไม่มาก็ไม่ว่าอะไร แต่ช่วงนั้นรถติดแน่นอน
พ่อครูว่า...เราเปิดมา 35 ปีแล้ว เราเตรียมเงินไว้เพื่อจะขาดทุนในงานนี้ปีละ 2-3 ล้าน เราก็ทำเพื่อเป็นการเสียสละให้แก่สังคม
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูคิดขายขาดทุน อาตมาคิดไม่ออกหรอก แต่พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาช่วยเหลือมนุษยชาติจึงจะคิดออก พวกเราก็มาลดละความเห็นแก่ตัวและเดินตามท่านไป วันนี้ท่านจะมาอธิบายธรรมะเพื่อให้คนลดความเห็นแก่ตัวลงไป จนกว่าจะไม่มีความเห็นแก่ตัวให้ตัวเองเลย คือชีวิตที่อิสระเสรีภาพที่สุด ทำเพื่อผู้อื่นตลอดไปจนกว่าจะปรินิพพาน
พ่อครูว่า...ก่อนจะได้บรรยายธรรมะก็จะอ่าน sms ที่ comment และถามมา
ประกาศก่อน พรุ่งนี้ วันที่ 20 พฤศจิกายน บวรราชธานีอโศก จะรวมกันลงแขก เกี่ยวข้าวที่แปลงนาโม พรุ่งนี้พี่น้องจากศีรษะอโศกจะมาร่วมด้วย พวกเราก็มาช่วยกัน 10 กว่าไร่ ถ้าวันเดียวเสร็จก็แจ๋ว ข้าวมันสุกแล้วนกมันสนุกมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ความสำคัญของ บวร
อาตมากำลังชักชวนให้คนเห็นความสำคัญของบวรคือบ้านวัดโรงเรียน จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน สังคมใดไม่มี 3 อย่างนี้ ก็เป็นสังคมไม่เต็มเต็ง เป็นสังคมขาด อย่างสังคมชาวอโศกมีครบทุกอย่าง เป็นสังคมที่มีโรงเรียน มีการศึกษา มีคุณธรรม และมีเศรษฐกิจถึงขั้นสาธารณโภคี สูงกว่าประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์หรือเผด็จการ
สาธารณโภคีหมายความว่ามีเงินทองทรัพย์สินข้าวของเป็นส่วนกลาง เป็นสาธารณะแล้วบริโภค โภคี คืออุปโภคและบริโภค กินใช้ร่วมกันในของส่วนกลาง ที่นี่ทุกอย่างเป็นของทุกคนหมด ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชนในประเทศไทยมีระบบนี้ทั้งนั้น ระบบสาธารณโภคี ระบบมีทรัพย์สินส่วนกลาง เงินทองข้าวของส่วนกลาง คนในนี้ทุกคนทำงานฟรี คือทำงานแล้วไม่เอาส่วนแบ่ง เอาเข้ากองกลางหมด คอมมิวนิสต์เห็นแล้วก็อยากได้อย่างนี้ ถ้าประชาธิปไตยก็เรียกว่าเสียภาษีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานแล้วเข้ารัฐหมด ไม่สะสม เงินทองก็เบิกจากส่วนกลาง ข้าวของก็เบิกจากส่วนกลาง ถ้าเอาไปใช้สิ่งที่ไม่เป็นสาระเขาก็ไม่ให้ เอาไปใช้สิ่งที่เป็นสาระเขาก็ให้ มีกรรมการเป็นผู้ดูแล ถ้าจะใช้ก็ไปบอกกรรมการเขาก็พิจารณา ถ้าอย่างที่ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย เป็นพิษเป็นภัยก็ไม่ให้ ถ้าใช้เป็นประโยชน์เขาก็ให้ ...เป็นการบริหารที่โลกต้องการ
ที่นี่ขออภัย ที่นี่เป็นอย่างนั้นได้แล้วสมบูรณ์แล้ว สังคมต้องการ ประเทศไทยก็ต้องการ ประเทศอเมริกาก็ต้องการ ประเทศเกาหลีเหนือก็ต้องการ ขอยืนยัน ต้องการอย่างนี้ อโศกนี่ทำได้แล้ว โดยไม่บังคับด้วย มีอิสระเสรีภาพ ใครจะมาในระบบนี้ก็มา ใครไม่มาก็อยู่ข้างนอก เชิญเลยลองมาได้ พวกเราจะมาอยู่กันก็เชิญ มาลองดู ดูว่าที่นี่อยู่อย่างไร กิน ใช้กับส่วนกลาง แต่มาอยู่ใหม่ๆจะมาเบิกส่วนกลางเลย ก็ไม่ได้ มันก็จะไม่เหลือ ต้องเป็นสมาชิกจนกระทั่งรู้ว่าอยู่ที่นี่ได้ ที่นี่มีหลักเกณฑ์ที่ว่า มีศีล 5 ละอบายมุข ที่นี่ไม่มีการกินเนื้อสัตว์ไม่มีการเลี้ยงสัตว์ ใครเลี้ยงสัตว์เป็นบาป
เลี้ยงหมาแมวบาปหมด เลี้ยงช้างม้าเอาไว้ใช้งานอะไรต่างๆนานาเป็นการทรมานมัน มันอยู่ของมันตามวิบาก สัตว์ทุกตัวมันมีวิบากของมันเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน ประโยชน์ของ เฮือน บวร
_มีคำถามว่า...บวร ของชาวอโศกนี้ เป็นวิถีชีวิตชาวอโศก ไลฟ์สไตล์ อาจารย์นักวิชาการอาจจะใช้เรียกว่าวิถีชาวอโศกไปแล้ว ปัจจุบัน บวร มีบางท่านได้ยินว่า พ่อครูหมายถึง บัณฑิตวิชชาราม ขอให้พ่อครูไขความว่า เป็น Coefficient หรืออะไรคะ
_พ่อครูกำหนดให้ผู้นำในวิถีชาวอโศกคือผู้รับใช้ ที่ว่าผู้รับใช้นี้ ขอให้พ่อครูให้นิยามให้กรอบเพื่อความชัดเจนในความหมายว่าต่างจากที่สังคมเขาหมายถึงอย่างไรบ้าง ผู้นำนั้นจะอยู่ใกล้ชิดไม่วางอำนาจไม่แข็งไม่อ่อน ยืนหยัดยืนยันในกุศลในความสะอาดบริสุทธิ์ แม้สอดร้อยกับความเชื่อกรรมในชาวพุทธทุกๆกรณี ขอพ่อครูได้ขยายนัย อธิบายการบ่มเพาะความเป็นผู้รับใช้ของชาวอโศกว่ามีกรอบอะไรเป็นหลักอะไรเป็นรอง
_เราจะบริหารความขัดแย้งทางทิฎฐิอย่างไร ในคนต่างจริต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย มักยกให้ผู้ใหญ่ เกรงใจผู้มีอำนาจ ทำให้เผินกับการล้างจิตตน สะสมหมักหมม จนถึงวันหนึ่งเกิดความระแวงทั้งรูปแบบ ระเบิด หรือไม่ยอมแบบเงียบ (คนนี้นี่ไปเห็นท่านยุทธวโรมา) ท่านยุทธวโรกลายเป็นคนยอม แบบเงียบแยกตัว ร่วมรวมกันไม่ได้ ความเสียหายทางจิตวิญญาณเกิดทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นผลดี ทำอย่างไรจะตั้งรับหรือรับลูกอย่างไร ในฐานะผู้ฝึกปรือที่มองเห็น แม้จะเป็นเหตุปัจจัยเล็กน้อยแต่ถ้าปล่อยไปจะใหญ่ได้
ความศรัทธาในแง่มุมต่างๆนำมาลบล้างเพื่อยกให้ แต่ก็ไม่น่าจะล้างใจได้จริง ที่ถูกควรตั้งจิต ปลูกทิฏฐิอย่างไร
บวรที่สังคมมองเห็นว่าควรจะอยู่ร่วมกันบ้านวัดโรงเรียน ประเด็นปัญหาก็คือ หมายให้เป็น บัณฑิตวิชชาราม(บวร)
พ่อครูว่า...ที่อาตมาหมายคือ บวร คือ บ้านวัดโรงเรียน ส่วนบัณฑิตวิชชาราม นั้น ก็ บ้าน วัด โรงเรียน ก็เอา บวร มาพ้องกันเท่านั้นเอง ส่วนเนื้อหามันก็ไม่ต่างกันหรอก ให้จุดหมายสุดท้าย คือเหมือนกัน แต่บ้านวัดโรงเรียน จะรวมหมดเลยทุกอย่างทั้งสังคมทั้งหมด สังคมทั้งหมดคือบ้าน วัดคือธรรมะ โรงเรียนคือการศึกษา
ศึกษาให้เกิดผลสำเร็จ คือ เป็นบัณฑิต ที่เกิดความรู้ ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า วิชชา
คนไทยเอาภาษาบาลี วิชชาไปใช้แล้วกร่อน ตัว ช.ช้าง ความหมายคำว่า วิชชา ที่พระพุทธเจ้าเอามาใช้กับคนไทยเอามาใช้นั้น เลยกร่อนไป กลายเป็นความรู้แบบโลกๆ
ส่วนวิชชาที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเอาความรู้โลกุตระและทำเป็นหลัก เป็นคำว่าสูงส่ง ได้ทั้งความรู้ทางจิตวิญญาณให้หมดกิเลส และได้ความรู้ของสังคม ไม่ได้ขาดจากกัน แต่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
วงการศาสนากระแสหลักก็ตาม มหาเถรสมาคมก็ตาม คณะใหญ่ของศาสนาพุทธไม่สามารถทำให้เกิดความรู้ที่เป็นวิชชาที่พระพุทธเจ้ารวมเป็นวิชชา 8
วิชชา 8 มีความสามารถยอดเยี่ยม จะดูความเป็นอยู่ของสังคม เป็นอยู่อย่างคนที่ประเสริฐสุดมีประโยชน์ที่สุด ไม่มีพิษไม่มีภัยที่สุด เป็นคนที่มีคุณค่ามาก
พระพุทธเจ้าสอนนั้นมีบัณฑิตจริงๆ
บัณฑิตที่1 เรียกว่า โสดาบัน 2 เรียกว่าสกิทาคามี 3 อนาคามี และ 4 อรหันต์ตามลำดับ ขออภัยที่ต้องกล่าวว่าชาวอโศกได้นำความรู้นั้นมาปฏิบัติแล้วได้เป็นบัณฑิตเช่นนั้นจริงๆ ประพฤติตนเป็นอยู่ในสังคมประเทศไทยและโลก จึงอยู่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย
พูดไปแล้ว เหมือนยกตน เขาก็จะไม่ยอมรับ แต่ชาวอโศกได้ปฏิบัติได้จริง คนในชุมชนชาวอโศก ทำงานฟรีไม่รับเงินเป็นของส่วนตัวเลย เอาเข้ากองกลางหมด แล้วมีชีวิตอยู่กันไป มีตั้งแต่เด็กจนโตและจนตายไป เผากันตายหลายศพ ก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้ เป็นชีวิตที่ชัดเจน ทำได้ อยู่กับสังคมอย่างนี้ สิ่งที่เป็นพลังงานของชีวิต จึงทำงานเหลือกินเหลือใช้ เพราะตนเองไม่มักมากแล้ว เอาอะไร เป็นอยู่ในสังคมไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย แข่งกับสังคมไม่ใช่ เป็นคนพอเพียง เป็นคนมีเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนน้อย มีน้อยๆ แต่สร้างสรรค์เยอะ สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นสาระ สิ่งที่เป็นความจำเป็นของชีวิต ตั้งแต่อาหาร ปัจจัย 4 องค์ประกอบเครื่องใช้ในสังคม
ยกตัวอย่างรูปธรรม อย่างอาตมาสร้างโรงเรือน เนื้อที่ 11 ไร่ คลุมรอบ สร้างเพื่อจะให้เป็นที่รวม คนข้างนอกจะมาใช้อาศัย เช่น จะมาขายของ เป็น ตลาด.. เชิญ! ให้คนในย่านนี้มาอาศัยใช้สอยเป็นแหล่งกลาง มีข้าวของจะมาขายก็มาขายได้ เราไม่ได้เก็บค่าที่ ค่าเช่า จะมาขายประจำหรือขายชั่วคราวก็ได้ทั้งนั้น ถ้าจะมาขายประจำก็บอกเป็นกิจจะลักษณะ แล้วจะต้องตรวจสอบ
หากคนเกเรนิสัยไม่ดีก็ไม่ให้ขาย คนนิสัยดีก็ให้ขายประจำเลย ใครจะมาจองห้องเพื่อจะมาใช้งานก็เชิญ สร้างขึ้นมาให้ฟรี ไม่ใช่สร้างเป็นตลาดเพื่อเก็บเงินเหมือนทั้งโลกเขาทำ ชั้นล่างจะเป็นตลาด ข้างหนึ่งจะเป็นของแห้ง อีกข้างจะเป็นของสด
สอง ชั้นบนจะเป็นสถานศึกษา เป็นวิทยาลัย ใครจะมาอาศัยใช้ศึกษาเป็นห้องวิจัยก็ทำได้ ไม่เก็บเงินเก็บทองด้วย สร้างขึ้นมาเจตนาอย่างนั้น เป็นอาคารกลาง สร้างก่อนที่รัฐบาลจะดำริเรื่องตลาดประชารัฐ เจตนารมณ์ของตลาดนี้คิดว่าเหมือนกับตลาดประชารัฐที่รัฐบาลกำลังดำริ แต่จะเปิดกว้างและให้สิทธิมากกว่าของรัฐบาลด้วย อันนี้ อย่างนี้เป็นต้นที่เราทำ ยกตัวอย่างรูปธรรม
ทุกวันนี้เราทำงาน ไม่รวย เพราะพวกเราไม่สะสม เราทำร้อยหนึ่ง สมมติวันหนึ่งทำได้ร้อยหน่วย สมมตินะ แต่เรากินใช้ไม่ถึง10 หน่วย นอกนั้นเหลือ เราก็สะพัดสู่สังคมข้างนอกไม่สะสมกักตุน เราจึงจน ถ้าเราทำ 100 เรากินใช้แค่ 10 เราสะสม 90 ปีหนึ่งเราจะรวยเละ ถ้าเราเป็นนักสะสม แต่เราไม่เป็นแบบนั้น ไม่เป็นนิสัยนักสะสม มีแล้วสะพัดแก่ผู้อื่นเสมอ สะพัด โดยไม่มีตัวเลขไม่ได้บอกใคร ทำแล้วเราก็ทำฟรี ไม่ได้จดตัวเลขไว้ด้วย ไม่ได้คิดค่าชั่วโมงเหมือนอเมริกา ที่คิดค่าตัวเป็นนาทีเป็นชั่วโมง เราสร้างสิ่งที่เป็นปัจจัยใช้สอยในชีวิตสำคัญ ไม่เป็นภาระแก่ใคร พึ่งพาตัวเองรอด เหลือเฟือด้วย บอกนะ หนูๆ หากไม่มีข้าวกินก็มาที่นี่ได้เลย
สมณะฟ้าไทว่า...ชาวบ้านกุดระงุม มาเล่นน้ำตกแล้วหิวข้าว ก็เดินไปกินข้าวที่นี่ แล้วก็ไปเล่นน้ำตกต่อ แล้วก็กลับบ้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน พลังงานสัมประสิทธิ์ของ บวร
พ่อครูว่า...คำว่า บวร บ้านวัดโรงเรียนของเรา เป็นองค์รวม อยู่อย่างแยกกันไม่ออก ใครเข้ามาในนี้ถามว่าวัดอยู่ที่ไหน ไม่มีกำแพงวัด ไม่มีแหล่งบอกว่าตรงนี้คือวัด โรงเรียนอยู่ที่ไหน คนมาในที่นี้ถามว่าโรงเรียนที่ไหน ไม่มี มีแต่อาคารที่พักอาศัย อาคารส่วนกลางอย่างนี้ นักเรียนก็อยู่อย่างนี้ นักธรรมะก็อยู่อย่างนี้ ประชุมกันก็อยู่ในนี้ ศาลาหมู่บ้านนี้เรากว้างพอ หากทำได้ เราก็จะสร้างใหญ่กว่านี้ เพื่อจะเปิดกว้างสู่ภายนอก แต่อันนี้ของเราก็พอใช้ นี่บ้านวัดโรงเรียน
ในที่นี้ ขอให้พ่อครูไขความว่าเป็น Coefficient หรืออะไร สำหรับ บวร หรือ บัณฑิตวิชชาราม
Coefficient หมายความว่าพลังงานการก้าวหน้า ซึ่งเป็นพลังงาน แต่ก่อนนี้ Coefficiency เขาไม่เอามาเรียกพลังงานจิตวิญญาณของคน เขาไม่สามารถรู้ได้ว่า ทำอย่างไรจะให้เกิดพลังงาน Coefficiency ได้ขนาดนี้ ทางโลกีย์ไม่สามารถ แต่ทางฟิสิกส์ นำไปใช้ในทางสสารพลังงานได้ ในที่นี้ นศ.ม.ศิลปศาสตร์ แต่ในทางวิทยาศาสตร์มาเบื้องต้นพอสมควร Coefficiency เป็นพลังงานความก้าวหน้าระดับคูณ
ในพลังงาน จะมีการก้าวหน้าของพลังงานระดับบวก คูณ และยกกำลัง พลังงาน Coefficiency จะต้องเป็นพลังงานระดับคูณหรือยกกำลัง ไม่ว่าจะเป็นพลังงานทั้งสสารวัตถุที่เขามีใช้กันแล้ว พลังงานนั้นเป็นพลังงานก้าวหน้า เงื่อนไขก็คือ จะต้องเอาไปใช้ในทางที่เป็นคุณ อย่าเอาไปใช้ในทางที่เป็นโทษ อย่างไอน์สไตน์ นำพลังงาน E=mc2 มาใช้ เป็นพลังงาน Coefficiency ที่เอามาใช้ได้ เอาไปใช้จนเป็นระเบิดนิวเคลียร์ รุนแรงมาก เป็นพลังงานสูงสุด เป็นพลังงานสัมพัทธ์
ทีนี้ พลังงานจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาใช้ได้ ใช้เป็นพลังงาน สร้าง เจ้าตัวต้องสร้าง Coefficiency ของตัวเอง พลังงานคนหนึ่ง สามารถสร้างพลังงานอัตราก้าวหน้า ทำให้เกิดอัตราก้าวหน้า ก็คือพลังงานสร้างสรรที่ได้มากที่สุดของแต่ละคนเท่าที่ทำได้ แต่ส่วนตัวนั้นใช้เพื่อตนเองส่วนหนึ่งเท่านั้น ส่วนอื่น ไม่เอาพลังงานที่เหลือไปตีราคาแล้วให้คนต้องจ่ายค่าแรงงานนั้นมาให้ตน คิดราคาขายทางแรงงานทางสมองก็ไม่ทำ นี่เป็น Coefficiency ที่คิดได้และสร้างได้ แต่อย่าเอาค่าแรงงาน ไปเอาเปรียบใคร สูงสุดคือให้ฟรี ค่าแรงงานนั้นเป็นแรงงานที่ก้าวหน้า และเป็นประโยชน์คุณค่า แล้วก็ให้ฟรี อย่างชาวอโศกทำงานสำเร็จ และกินใช้อย่างเป็นระบบ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน วิถีชีวิตแบบคนจนพาเจริญยั่งยืนนาน
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ตรัสว่า แบบคนจน นี่อันหนึ่ง อีกครั้งหนึ่งคือ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา Our loss is Our gain เป็นสัจจะที่ไม่ใช่แค่ปรัชญา แต่ชาวอโศกทำได้สำเร็จ ทำไมขาดทุนแล้วอยู่ได้ เพราะว่าเราไม่ใช่คนขี้เกียจ เป็นคนมีความรู้ความสามารถ มีความขยันทำงาน สร้างผลผลิต สร้างรายได้ทุกวัน สร้างแล้วเราสร้างขึ้นมาได้ 100 สมมติว่าคิดเป็นหน่วย ตีราคา 100 เราก็ใช้แค่ 10 ที่เหลือเราก็ให้แก่สังคม หรือขายให้แก่สังคม 90 เราขายให้ 20 เราก็ขาดทุนให้อีก 70 อยู่ได้ไหม เพราะเรากินใช้แค่ 10 ก็เหลืออีกตั้ง 20 สั่งสมไว้รองรังให้สังคมไปตั้ง 70 ได้
เราไม่รวยเพราะเราไม่สะสม เราได้เต็มที่แต่ไม่สะสม แต่ระบบทุนนิยมนั้น แกลงทุน 100 คิดค่าโสหุ้ยทุกอย่าง แล้วจะให้คนอื่นไปก็บวก ไปให้ได้มากที่สุด ได้มาก maximize profit ได้กำไรมากที่สุดไม่อั้น นี่คือเลวที่สุดในโลกคือทุนนิยม แต่ระบบบุญนิยมเป็นระบอบที่ดีที่สุด ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอื้อเฟื้อเจือจาน อย่าเป็นคนมีภาระสังคม แล้วเป็นคนที่มีสมรรถนะสร้างให้แก่สังคม อย่างบริสุทธิ์จริงใจและมีปัญญา
คนเราได้ให้นี่มันสบายใจ คนเรามีแต่เอาของคนอื่นมา ได้เปรียบคนอื่นมาแล้วดีใจ นั่นคือคนโง่มาก เข้าใจผิด เอาเปรียบคนก็ได้แล้วดีใจ มันเป็นความชั่ว ดีใจที่ทำชั่วได้สำเร็จนั้นมันโง่ อาตมาไม่ได้พูดผิด
คนที่ไปโลภมาก เอาของคนอื่นมาได้ ได้เปรียบมาแล้วดีใจเป็นคนโง่ เขาดีใจในสิ่งที่ตัวเองทำชั่ว ไปเอาเปรียบคนอื่นมาได้แล้วดีใจมันเข้าใจผิด มันควรดีใจหรือ..ไปทำชั่ว.. มันเข้าใจถูกหรือ? คิดให้ดีๆนะ ฟังทันนะ
มาคิดให้ดี คนเรานี่มันสับสน มันทำอะไรโดยตัวเองโง่ คนที่ไปตั้งหน้าตั้งตาจะไปรวย โง่ทุกคน สรุปให้ฟัง ใครที่มาชัดเจนว่าชีวิตไม่ต้องไปรวยเลย ชีวิตมาจนนี้ดี หมู่กลุ่มไหนที่ดำเนินชีวิตแบบคนอโศกยินดีต้อนรับ มาเลย ที่ไหนก็แล้วแต่ที่ทำได้อย่างนี้
ประเทศไทยมีในหลวง มีพระเจ้าแผ่นดินที่มีพระปรีชาญาณอันสูงสุด บอกสังคมไป แม้แต่ผู้บริหารสังคมยังเข้าใจไม่ได้เลย ในหลวงท่านได้ตรัสแก่รัฐมนตรีเกาหลี บอกว่า ประธานาธิบดีเกาหลีให้มาทูลถามพระเจ้าแผ่นดิน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทูลถามว่า บริหารประชาชนแบบไหน ประเทศท่านถึงได้เจริญดี...ท่านก็บอกว่าให้บริหารแบบคนจน เราเป็นคนจนเราไม่รวย เราไม่ปรารถนาจะรวย ไม่ปรารถนาจะก้าวหน้าอย่างที่โลกเขาต้องการ ก้าวหน้าอย่างมากๆเราไม่เอา ถ้าเราเห็นการก้าวหน้าอย่างมากเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว นักศึกษาที่มานี้ได้ฟังบ้างไหม ...ไม่เคยได้ฟังเลย
ไปฟังแต่นายตูน วิ่งแล้วได้เงินเป็นล้าน อย่างนั้นเปลือกๆผิวๆ แต่สาระเหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษยชาติของสังคมของชีวิตอย่าไปสนใจแต่เรื่องผิวเผิน เขาจะทำได้ชั่วคราว โชว์ออฟ เขาทำประจำได้ไหม เขาทำตลอดไม่ได้หรอก โชว์โก้ได้ชั่วคราว มันไม่ใช่ชีวิตจริงมันเป็นชีวิตโชว์ อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับชีวิตโชว์ คุณต้องเข้ามาหาชีวิตจริงให้ได้ต้องอยู่กับชีวิตจริง อย่าไปอยู่กับชีวิตโชว์ แต่คนทุกวันนี้เปลือกๆผิวๆ ไปชอบนิยมกับพวกที่เปลือกๆผิวๆชอบโชว์ เสียเวลา คนเสียเวลาไปกับเรื่องโชว์เยอะ ตอนนี้สร้างกันมาออกแบบกันมาไม่รู้เท่าไหร่ เราเสียเวลากับของที่โชว์หลอก ไม่ใช่เนื้อแท้นี้มาก จนไม่มีเวลาที่จะได้เนื้อหาสาระ ชีวิตจริงไร้สาระ
ใครเป็นชีวิตที่อยู่กับสิ่งที่เขาหลอกติดอยู่ตรงนี้ ไม่ลงมาหาแก่น ไม่ลงมาหาเนื้อ ชีวิตชาตินี้จึงเป็นชีวิตที่ล้มเหลว จำไว้ ฟังไว้ ฟังธรรมะฟังให้ดี ไปฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ใครฟังไม่ดีก็ไม่รู้เรื่อง เพราะว่าค่อนข้างสาระแน่นใน
Coefficiency เป็นภาษาทางฟิสิกส์ เอามาใช้กับพฤติกรรมมนุษย์นามธรรมมนุษย์ได้ อาตมาเข้าใจเรื่องรูปและนาม
รูป เขามีสูตรอย่างไร อาตมาก็นำมาใช้กับเรื่องนามธรรมได้ อย่างสูตรของไอน์สไตน์ E=mc2 อาตมาเอามาใช้เป็นE=mc2 + A
เราไม่หยุดการศึกษา ไม่ใช่ศึกษา 4 ปีแล้วหยุดเป็นบัณฑิต จ้างก็ไม่ใช่บัณฑิตจริง อันนั้นเป็นเครื่องฉาบให้รู้ว่า ศึกษาตามที่กำหนด ปี 1 เดือนเท่านี้เท่า ปี 2 3 4 เดือนเท่านั้นเท่านี้ ความรู้มันมีเท่านั้นเมื่อไหร่ ความรู้มันมีมากกว่านั้น ดีไม่ดีแยกแขนงเรียนด้วย แล้วไปเก่งคนละแขนงเก่งใหญ่ แต่ของพระพุทธเจ้าจะค่อยๆเรียนรวมกันสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตตั้งแต่ 1 2 3 แล้วก็ได้เกิดขึ้นมา ขยายขึ้นเป็น 1 2 3 1 2 3 แล้วเป็น 9 จากขยาย 9x9 เป็น 81 นี่เป็นความรู้วิธีการของพระพุทธเจ้า Coefficient ของพระพุทธเจ้าพัฒนาเป็นปฏิภาคทวีแบบนี้ ความรู้ของข้างนอก เรียนรู้แล้วลดลงไป เป็นกิ่งเล็กๆๆลง เอาเปรียบมากขึ้น แต่ความรู้ของพุทธเจ้าขยายเผื่อแผ่ช่วยคนอื่นมากขึ้น ยิ่งป.เอกทางโลกนั้น Specialist ยิ่งเล็ก
ที่จริง ปริญญาเอกเขาเจตนาให้คนมีความคิดใหม่ คนที่มีระดับเรียนปริญญาเอกจะต้องมีความคิดของตัวเองใหม่ เป็นคนสร้างนวัตกรรมใหม่ จึงจะขึ้นปริญญาเอกได้ ถ้าไม่เช่นนั้นไม่มีนวัตกรรมของตัวเอง ไม่ใช่ไปเอาของคนอื่น เป็นเอกไม่ได้หรอก เอาของคนอื่นมาไม่ได้เอก เอกต้องมีหนึ่งเป็นของข้า เป็นนวัตกรรมส่วนตัวของคุณ ธีสิส (thesis) ของคุณต้องคิดเอง แต่ไปลอกของคนอื่นมาก็เป็นปริญญาเอกปลอม เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก
ขนาดชาวอโศกนี่ ไม่ได้ส่งเสริมให้ไปเรียนกันเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีปริญญาเอกเยอะ ได้มาแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไร ดำนาปลูกข้าว ปลูกพืชเหมือนเดิม คือจบปริญญาเอกแล้ว ไม่ใช่เอาไปรับใช้ในนายทุน แต่ที่สังคมเขาทำคือจบปริญญาเอกแล้วไปรับใช้นายทุน อย่างดีก็ไปรับใช้ราชการ ถือว่าถาวร จบมาได้เป็นปลัดกระทรวงก็สูงสุด ทางการเมืองก็ได้เป็นรัฐมนตรี สูงสุดเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งนั้นแหละ ชีวิต
สมณะฟ้าไทว่า...แปลว่าพฤติกรรมทำให้ประเทศชาติล่มจม
พ่อครูว่า..พวกเราเรียนไปทำไม เรียนมาเพื่อได้ความรู้ ได้ความรู้มาเพื่อรับใช้ประชาชน พวกเราจบมาแล้วรับใช้ประชาชนต่อ ไม่ได้ลาภเพิ่มยศเพิ่ม จบปริญญาเอกปริญญาตรี ปริญญาโทก็ได้เงินเดือน 0 เท่าเก่า ต่างจากสังคมเขา
สมณะฟ้าไทว่า..พวกเราเรียนมากและยิ่งจะต้องทำงานมากไม่ใช่เรียนมากทำงานน้อย
พ่อครูว่า...นี่คือวิถีชาวอโศก ไลฟ์สไตล์ ชาวอโศก เรียนทางธรรมแล้วทำงานช่วยสังคมไป เผื่อแผ่ช่วยสังคมภายนอกด้วย
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ผู้นำคือผู้รับใช้ไม่ใช่ผู้ชี้ใช้
_พ่อครูกำหนดให้ผู้นำในวิถีชาวอโศกคือผู้รับใช้ ขอให้พ่อครูให้นิยามให้กรอบว่า ต่างจากสังคมกำหนดหมายอย่างไร จากที่เห็นพฤติปฏิบัติ ของพ่อครูกับผู้แวดล้อม ดูเป็นธรรมชาติ ไม่วางอำนาจ เช่นผู้นำทั่วไป ไม่แข็งไม่อ่อน แต่ยืนหยัดยืนยันในกุศลในความสะอาดบริสุทธิ์ สอดร้อยกับความเชื่อกรรมของชาวพุทธในทุกกรณี ขอพ่อครูได้กล่าวถึงขยายอธิบายนัยยะ การบ่มเพาะความเป็นผู้นำความเป็นผู้รับใช้ ของชาวอโศก มีอะไรเป็นหลัก อะไรเป็นรอง
พ่อครูว่า...อันนี้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย อาตมากำหนด ผู้นำคือผู้รับใช้ ไม่ใช่ผู้ชี้ใช้ อย่างในหลวงเป็นผู้รับใช้ประชาชนชั้น 1 เบอร์หนึ่ง
ตอบ เอาอะไรถ้าเป็นเครื่องประกอบอธิบาย มาใช้ถ้าเกิดความเป็นผู้รับใช้ของชาวอโศก มาจากหลักอะไร ก็คือหลักธรรมพระพุทธเจ้า
กรอบมีซ้อนตั้งแต่กรอบหนึ่งจนถึงหลายกรอบ เช่น ตั้งแต่เริ่มต้น ศีล แล้วให้มีกรอบสมาธิ ปัญญาเป็นกรอบแรก เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วก็มีสูตรอีก ที่เอามาใช้เพิ่มเติมเข้าไป ศีล สมาธิ ปัญญา ขยายความเป็นจรณะ 15 วิชชา 8 ขยายให้เต็มรูป เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 หรือว่าเอาหลักเกณฑ์ของมูลสูตร 10 หลักเกณฑ์ของ วรรณะ 9 หรืออวิชชา 10 เอามาทำความเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วประพฤติปฏิบัติตามนั้น ปฏิบัติตาม ทำความเข้าใจ และประพฤติปฏิบัติได้ มันก็เกิดผล
ถ้าเข้าใจถูกแล้วอธิบายให้เข้าใจกันต่อไปแล้วมาประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิจริงมันก็เกิดผล ชาวอโศกมีผล จึงเกิดเป็นสังคม ที่เป็นสังคมตัวอย่าง(ไม่ได้พูดเกินจริงแต่พูดตามความเป็นจริง ) เป็นแล้วแต่คนมองไม่ออก เพราะมันไกล สูงมาก สูงจนคนอื่นรับไม่ติด รู้ไม่ได้ว่าอะไรหมายถึงอะไร
คนอะไร? จนกระทั่งทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ แม้ในคนไทยชาวพุทธ แม้ในกระแสหลัก เขาก็มองว่าคนชาวอโศก สำหรับคนมีปัญญาบ้างก็บอกว่าปฏิบัติธรรมะชั้นสูง ปล่อยเขาเถอะ พวกเราไม่สามารถเป็นอย่างเขาได้ก็ปล่อยเขาไป สำหรับคนมีปัญญา จริง
เขาถือว่าเป็น Untouchable ไม่สามารถอาจเอื้อม
ส่วนอีกพวกหนึ่งนัยกลับกัน เขาว่าพวกนี้น่าทุเรศอย่าไปแต่ต้องยิ่งกว่าขี้
พวกนี้มี 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งบอกว่า พวกนี้แน่จริง มีคนพูดเลยว่าธรรมะพุทธศาสนานั้นมีแต่ชาวอโศกที่เป็นจริงนอกนั้นไม่ใช่ เขามีปัญญาแล้วยกย่องเลย แต่เขาไม่บังอาจมาเป็นอย่างนี้ได้ เขาเจียมตัว
ส่วนคนที่เข้าใจไม่ได้ก็เหยียบเลย ว่าอันนี้ขี้ทูต กุดถัง เขาคิดอย่างนี้เลย แต่แท้จริงแล้ว เราเป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าสอน เอามายืนยัน ว่าเป็นสิ่งที่เป็น สันทิฏฐิโก อกาลิโก โอปะนะยิโก เอหิปัสสิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ เป็นของจริงที่ทุกคน ตนเองปฏิบัติให้ดีจะได้ตามนั้น ตามควร จะได้ตามลำดับ สันทิฏฐิโก
โอปะนะยิโก เล่นของสูงเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง ซึ่งสูง ไม่ใช่เรื่องต่ำ ควรจะเอามาให้ได้ตามลำดับ มันเป็นสิ่งที่ชีวิตควรได้ เพราะฉะนั้นพวกชาวอโศกนี้ เป็นคนฉลาดพอ ชีวิตเห็นว่าควรมาเอาอันนี้ดีกว่า ก็มาเอาได้ ส่วนคนไม่ฉลาดก็ไม่แล
คนที่เห็นว่าเป็นของสูงที่ควรได้ โอปะนะยิโก อาตมาแต่งเพลง ดอกฟ้าที่หมาวัดควรเอื้อม ตั้งแต่ศีล เป็นต้น
อกาลิโกเป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาลเวลายุคสมัย เมื่อไหร่ก็เกิดได้ ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้า โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ อกาลิโก ยุคนี้ก็เหมือนกับคำตรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ยุคนี้มันต้องมีพระอรหันต์พระอาริยะ หลายสำนักสรุปไว้เลยว่า โลกนี้ไม่มีพระอาริยะหรอก มันขี้โม้ คนนี้เขาตัดประตูว่าไม่มี แล้วเขาก็ไม่แสวงหาว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่ เพราะเขาเอาเท่าที่เขาเข้าใจ พวกนี้ปิดประตูตัวเอง
เอหิปัสสิโก เป็นแล้วมาพิสูจน์ได้ ผู้ใดได้ มี เป็น อย่างชาวอโศก ยินดีให้มาพิสูจน์ได้ถ้าให้มาพิสูจน์ได้เป็นจริงไหม หลอกลวงผู้อื่นหรือเปล่า เรายืนยันได้ว่าไม่หลอกลวงใคร ทุกบรรยากาศรายงานความจริงหมด อย่างนี้เป็นต้น
ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิ ใครมาปฏิบัติก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง จะเกิดความรู้นั้นในตนเองได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นที่อาตมาทำแล้ว เกิดอย่างคำว่า ผู้นำคือผู้รับใช้ ไม่ใช่โวหาร ไม่ใช่ปรัชญา และเป็นจริง ผู้ที่เป็นผู้นำที่ดีจริงๆ คือผู้รับใช้อย่าง เช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้รับใช้ประชาชนตลอด 70 พรรษา ทุกคนยอมรับ ท่านเป็นจริงอย่างนั้น ท่านได้ทรงงานรับใช้ประชาชนจริงๆไม่พูดมากเหมือนโพธิรักษ์ ท่านทำ แต่ท่านตรัสมาพูดมา ก็เหมือนกันกับอาตมาพูดอันเดียวกัน ไปเอามาเลย ขยายความเทียบกันได้ เพราะว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาก็เป็นพระโพธิสัตว์ ที่พูดนี้ ไม่ได้บังอาจตีตนเทียบเท่าท่าน แต่พูดเป็นวิชาการ ไม่ได้อยากอวดดิบอวดดีอะไร
ผู้นำคือผู้รับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง อย่างเช่นในหลวงของเรา สรุปแล้ว ผู้นำประเทศต้องเป็นอย่างในหลวงนี่แหละ ไม่ใช่แต่ประเทศไทยคนไทยเท่านั้นที่เข้าใจ คนต่างประเทศก็เข้าใจยอมรับว่าอันนี้แหละ เป็นผู้นำประเทศที่แท้จริงเป็น king of king
เป็นในหลวงที่ประเทศไหนๆ ไม่มีเหมือน ซึ่งสุดยอดเลย นอกจากไม่เหมือนแล้ว แต่ละประเทศก็เข้าใจได้ว่า ผู้นำต้องเป็นแบบนี้ แต่เขาไม่สามารถให้ในหลวงหรือพระเจ้าแผ่นดินของแต่ละประเทศเหมือนในหลวงของเราได้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรได้ มีในหลวงอีกมากมายหลายพระองค์ของแต่ละประเทศ ทรงทราบดีว่า ในหลวงของเราเป็น king of king เป็นผู้นำหรือเป็นผู้รับใช้ของประชาชนที่แท้จริง แต่ท่านทรงไม่ได้ทำไม่เป็นเหมือนในหลวงของเราเท่านั้นแหละ ยอมรับ ในหลวงของเราจึงเป็นที่ยอมรับของโลก
ต่อไปในอนาคต ในหลวงรัชกาลที่ 9 จะได้รับการเชิดชูอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบ องค์กรหลักของโลก จะเป็น unicef จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ จะประมวลทุกอย่างเลย ว่ากี่ยุคจะเจอคนแบบนี้สักที อย่างในหลวงร.9 สักองค์ ต่อไปในอนาคตจะมีอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นผู้รับใช้ประชาชนที่แท้จริง
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์หรือเผด็จการต้องการผู้นำแบบนี้ แต่เขาทำไม่ได้ แต่ในหลวงของเราเป็นองค์จริง
ผู้รับใช้นี่ จะเป็นคนอย่างไรมีความหมายอย่างไรในวิถีชาวอโศก และสากล
ผู้รับใช้คือผู้มีบุญกิริยาวัตถุ หรือว่ามีสิ่งที่ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกพระสูตร ทุกเจตนารมย์
ผู้ที่เป็นผู้รับใช้ก็คือคนที่ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า ทุกสูตรนั้นแหละ ถ้าเข้าใจให้ สัมมาทิฏฐิแล้วปฏิบัติก็จะเป็นคนที่ลดอัตตาตัวเอง ผู้นำคือวิธีลดอัตตาตัวเอง เป็นผู้ที่ไม่มีอัตตา ผู้หมดความเป็นตัวตนของตนและเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนเสียสละ
เมื่อความเป็นตัวตนเป็นของตนหมด ปฏิบัติลดละหมดสิ้นได้จริงคนก็จะเกิดมีจิต สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ สามัคคียะ เอกีภาวะ จะมีจิตใจตามพุทธพจน์ 7 เป็นประธานของตนเอง
สาราณียะ คือจิตใจที่ระลึกถึงแต่คนอื่น ไม่มีตัวตน ตัวตนก็ระลึกถึงตามสามัญปกตินิดๆหน่อยๆ เอาพลังงานไประลึกถึงคนอื่น
ปิยกรณะ มีความรักมวลชน
คุรุกรณะ มีความเคารพคนทุกคน
สังคหะ ช่วยเหลือคนในสังคมเท่าที่ทำได้
อวิวาทะ ไม่ทะเลาะกับใคร ใครจะมาทะเลาะเราก็ไม่ทะเลาะด้วย
อยู่กันอย่างสามัคคีพร้อมเพรียง ชาวอโศกนี้สร้างความพร้อมเพรียงเสมอ และพร้อมจะเป็นผู้เสียสละ ถ้าสามารถ ไปทำในสังคมไหน จะต้องเป็นผู้เสียสละ ชาวอโศกจะขอเป็นผู้เสียสละ ไม่ใช่เป็นผู้ไปเอาเปรียบ ณ ที่ใดๆ เราแสดงตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้ในสังคมประเทศที่จะต้องประท้วงผู้บริหาร เข้าไปประท้วงอย่างสงบ ไปสยบความรุนแรงในความเคลื่อนไหวอย่างที่ได้ทำมาแล้ว ถ้ามีอีกก็จะไปทำอีก ขอยืนยัน
รัฐบาลหากไม่บริหารเข้าเรื่องเข้าราว ชาวอโศกก็จะไปประท้วงอีก ตายเป็นตาย จริง บอกไว้เลย แต่ทุกวันนี้ อาตมาอนุโมทนาสาธุกับคณะบริหารประเทศนี้ ไม่ไปประท้วงหรอก คงไม่ต้องมาใช้ ม. 44 มาขู่ ทำให้ดีอย่างนี้อนุโมทนาอยู่แล้ว อย่าผิดไปจากนี้ก็แล้วกัน
ถ้าให้อาตมาหรือพวกอโศกไปทำก็ทำไม่ดีเท่ากับพวกคุณทำ อนุโมทนา ทำไปเลย สนับสนุนด้วยจริงใจ แต่ถ้าทำไม่ดี อโศกก็จะประท้วง ประท้วงด้วยความสงบ ไม่รุนแรง เอาความจริงไปยืนยัน จะไปอภิปรายสาธยายยืนยันว่า สิ่งที่ถูกเป็นอย่างไร สิ่งที่ผิดก็อย่างไร อย่างที่ทำมาแล้ว
สังคมที่เราเป็นอยู่จึงเป็นพหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) สังคมสุดยอดของประชาธิปไตย สุดยอดของคอมมิวนิสต์สังคมสุดยอดของสมบูรณาญาสิทธิราชย์
_อิสระเสรีภาพของชาวพุทธน่าจะไม่ใช่สิ่งที่ทำอะไรตามใจชอบหรือทำตามความเรียกร้องต้องการ
พ่อครูว่า..ใช่อย่างนั้นบำเรออัตตาตัวตน ผู้ที่มีอิสระเสรีภาพสูงสุดคือ ไม่มีตัวตน ไม่ทำเพื่อตัวเอง มีแต่ทำเพื่อผู้อื่น คือคนมีอิสระเสรีภาพสูงสุด ทำเพื่อเขาเขาก็ไม่กั้นหรอก ทำเพื่อคุณแต่คุณมากั้นก็โง่ อย่างพวกแดงนี้ นายของเขาก็ทำสู้ในหลวงไม่ได้ คนจะไปช่วยคนตกน้ำคนนั้นก็ถีบและตบคนไปช่วยอีก
_ได้ยินชาวอโศกบางท่านกล่าวว่า มาปฏิบัติธรรมเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการ เช่นรักสบาย แต่ไม่เบียดเบียนใครเพราะมีเงินซื้อส่ิงอำนวยบริหาร วัสดุ พอเข้ามาฝึกตนให้บริการตนเองบริการผู้อื่นด้วย กราบเรียนถามว่า ทำอย่างนี้จะนำไปสู่อิสระเสรีภาพอย่างไร
พ่อครูว่า...มันก็จะศึกษาลดละจริงๆว่า ลดตัวตนคืออย่างไร เงินทองที่เอาไปจ่ายบำเรอตัวเองคืออย่างไร สุดท้ายเห็นแล้วว่า ตัวตนพึ่งตนช่วยคน อย่าไปเป็นภาระ ไปเบียดเบียนผู้อื่น เห็นจบ ทำได้เสร็จ คนนี้ไม่มีตัวตนไม่เบียดเบียนใคร เงินทองก็โยนทิ้งได้เลย ฟังทันไหม?
แต่ก่อนนี้ใช้เงินทองเป็นสิ่งบำเรอตัวเอง จ้างคนอื่นมาบริการตัวเอง เสร็จแล้ว พอมาที่นี่ก็ได้รับการฝึกฝนให้ลดละกิเลสตัวเอง พอหมดกิเลสตัวเอง อ้าว ก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ มีอาศัยใช้สอยกินอยู่เหลือเฟือ และช่วยคนอื่นได้ด้วย เงินทองจะมีไปทำไม เป็นภาระต้องเก็บงำดูแลรักษาด้วย ก็เอาเข้ากองกลางให้คนช่วยบริหารเสีย ดังนั้นดีกว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทางปฏิบัติสู่อิสรเสรีภาพ
_การไปบำเพ็ญโดยเอาตัวไปอยู่ในที่วิเวกไม่ต้องไปเกี่ยวข้องวุ่นวายกับอะไรจะดีกว่าถูกต้องกว่าไหม กราบเรียนถามว่าจะเป็นนำไปสู่อิสระเสรีภาพอย่าง ไร
พ่อครูว่า...มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่ใช่ อยู่ปลีกเดี่ยว คนที่เอาตัวเองไป อยู่เดี่ยว หนึ่งนั่งสงบไม่คิดอะไร หรือสองหากสงบแล้ว คิดอย่างท่านยุทธวโร คิด ๆๆ แค่เก่งที่สุดก็อยู่กับตัวเอง คุณไม่มีโลก มีแต่อัตตา
การจัดสัมพันธ์กับคนอื่นต้องมีโลกกับคน แล้วเราจะอยู่กับคนเหล่านี้ได้อย่างไร อย่างเป็นสงบคุณค่า นั่นต่างหากคือความบรรลุธรรม
การจะไปรู้อัตตา อย่างหนีไปสงบวิเวก มันรู้แต่อัตตาตัวเองที่ฝังไว้ แล้วดึงขึ้นมายากเพราะไม่มีอะไรกระแทก มันก็ตกผลึก เมื่อคิดอีก มันก็เลยเป็นสิ่งที่ฟุ้ง คิดใหม่เป็นสิ่งที่เป็นอนาคต อดีต พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี 18 อย่าง การปลีกเดี่ยว เจโตสมาธิไม่พาบรรลุ ต้องมาอยู่กับโลกกับสังคม จึงบรรลุได้ เป็นของจริง หากไม่เช่นนั้นก็ไปฟุ้งในอนาคต 44 ทิฏฐิ มีเท่านี้ พระพุทธเจ้าสรุปแล้ว การไปอยู่คนเดียวแล้วนั่งนึกคิดเอง มันไม่สัมผัสกับใครมันก็เท่าที่รู้ในกรอบของตัวเอง คิดเหตุปัจจัยแค่นี้ให้ตัวเองขบคิด จะเอาหนึ่งบวกสองก็ต้องมี 2 ให้บวก จะเอา 1 บวก 5 ก็ต้องมี 5 มาบวก แต่คนไม่ไปพบกับ 5 จะอยู่กับ 1 1 1 อยู่กับตัวคนเดียวเท่านั้น มีแต่ความคิดกับตัวเอง สองอย่าง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสรุปแล้ว มีความเกิดเรียกว่าทิฏฐิ ความเห็นที่จะได้ เพื่อจะบรรลุธรรม ในอดีต กับอนาคต 62 เป็นอัตตาตัวตนกับโลกแคบๆ ก็อยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน อย่างท่านยุทธวโร ก็อาตมาไม่สามารถ แคะออกมา
ลึกๆ ท่านก็รู้ว่าอาตมาเป็นผู้รู้ แต่ท่านก็เชื่อตัวเองมากกว่า ก็เลยอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่มีที่ไหนที่ไปแล้วดีกว่านี้ ตกลงจริงๆก็คือท่านถือว่าท่านสูงสุด เพราะฉะนั้นท่านก็อยู่ตรงนั้น และก็ขออยู่กับหมู่นี้ คำว่าหมู่นี้คือหมู่ของโพธิรักษ์ จะไปอยู่กับหมู่อื่น หรือไม่ก็เป็นช้างมาตังคะ จะไปอยู่คนเดียวสร้างอาณาจักรของตัวเอง แต่นี่ก็ไม่กล้าไปสร้างหรืออย่างไร ก็จมอยู่อย่างนี้
ท่านก็เอาชีวิตจมตายเปล่าอย่างนี้ แล้วมีคนบอกว่า ทำไมไม่บอกท่าน อาตมาก็บอกจนไม่บอกแล้ว ท่านก็ไม่คลี่คลาย บอกให้ลงมาก็ไม่ลง บอกให้มาอยู่กับหมู่ก็ไม่มา อาตมาก็ไม่มีเวลาจะไปตามดูว่าวันๆหนึ่งอยู่อย่างไร ที่พูดไปนะ พูดไปนี้ท่านก็ไม่ได้ดู ไม่ได้ฟังนี้หรอก แต่พูดไปให้คนอื่นได้ประโยชน์ ตีงูให้กากิน ก็เท่ากับงูที่อาตมาตีเท่านั้น จะรู้สึกเจ็บหรือไม่
ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะใจดำไล่หนีไปก็ไม่ได้ ก็ต้องให้อยู่อย่างนั้น อาตมาว่าพูดแรงแล้วนะ ที่พูดนี้แรงสุดแล้ว ถ้าไม่เข้าใจไม่คลี่คลายก็แก่ตายหรือไม่ก็เป็นโรคตาย แก่ตายเรียกว่าโรคชรา ดีไม่ดี ลมสะหว้านขึ้นก็ตาย ไม่มีอะไรเลยแล้วก็ตาย หมอท่านก็บอกว่าหัวใจล้มเหลว พูดถูกต้องเลย หัวใจไม่ทำงาน ทำงานต่อไม่ได้มันก็ต้องตาย แล้วบอกว่าโรคอะไร ก็เป็นหัวใจล้มเหลวไม่เห็นประหลาดอะไร
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิธีบริหารความขัดแย้งในการปฏิบัติ
_เราจะบริหารความขัดแย้งทางทิฎฐิอย่างไร ในคนต่างจริต โดยเฉพาะคนไทยมักจะยกให้ผู้ใหญ่เกรงใจผู้มีอำนาจในด้านต่างๆ ทำให้เผินกับการล้างจิตของตนสะสมหมักหมม จนถึงวันหนึ่งเกิดความระแวงทั้งรูปแบบ ระเบิด หรือไม่ยอมแบบเงียบ (คนนี้นี่ไปเห็นท่านยุทธวโรมา) ท่านยุทธวโรกลายเป็นคนยอม แบบเงียบแยกตัว ร่วมรวมกันไม่ได้ ความเสียหายทางจิตวิญญาณเกิดทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นผลดี ทำอย่างไรจะตั้งรับหรือรับลูกอย่างไร ในฐานะผู้ฝึกปรือที่มองเห็น แม้จะเป็นเหตุปัจจัยเล็กน้อยแต่ถ้าปล่อยไปจะใหญ่ได้มีกำลังต่อไปในอนาคต
ความศรัทธาในแง่มุมต่างๆนำมาลบล้างเพื่อยกให้ แต่ก็ไม่น่าจะล้างใจได้จริง ที่ถูกควรตั้งจิต ปลูกทิฏฐิอย่างไร
บวรที่สังคมมองเห็นว่าควรจะอยู่ร่วมกันบ้านวัดโรงเรียน ประเด็นปัญหาก็คือ หมายให้เป็น บัณฑิตวิชชาราม(บวร)
พ่อครูว่า...ก็ต้องพยายามอธิบายให้ความเข้าใจอนุโลมกันไป อยู่กันไม่ได้ก็แยกกลุ่ม ถ้าไม่อยากอยู่สงบๆ จมก็อยู่กันอย่างนี้ ถ้ามีสิ่งที่ประพฤติแล้วแรง ประพฤติเป็นความวุ่นวาย nuisance มากเราก็ขอร้องให้ออก แต่ถ้าอยู่สงบไม่รบกวน nuisance ใคร เราก็ให้อยู่ต่อไป ไม่สร้างความเดือดร้อนอะไรก็จำยอมให้อยู่ ก็อยู่ไปเถอะ ตายแล้วก็เผาให้ เราไม่ให้เน่าอยู่ตรงนี้หรอก มันเหม็น
ความพยายามสร้างความเข้าใจแก้ไขกัน คนแก้ไขก็แก้ไข คนแก้ไขไม่ได้ก็ปล่อย ถ้าไม่เกิดความวุ่นวายมากจนเกินเหตุ ทำความเสียหายให้แก่กลุ่มหมู่ก็อยู่ได้ แม้จะมีแต่อัตตาตัวเองจมอยู่อย่างนี้ ไม่ออกมาวุ่นวาย อยู่สงบไม่รบกวนใคร ก็มี พวกที่จัดจ้านอย่างยุทธวโรก็มี มีน้อยกว่านี้ก็มีบ้าง ถ้ามีความวุ่นวายมากเราก็เชิญออก
คนที่เขียนมานี้ก็ห่วงผู้อื่นมากไป จบ วางซะ ถ้าคุณไม่วางก็ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา พอน่า นี่ก็ขอบคุณ หรือบอกผู้ที่บอกไม่ได้ จะบอกทำไม
SMS วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 (พ่อครู : ดอยรายปลายฟ้า)
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดมนต์อย่างไรไม่งมงาย
_3867ทุกบทสวดไม่เคยทำให้ใครร่ำรวย!ทุกคาถาไม่เคยทำให้ใครมั่งมี!มิฉะนั้นทุก คนที่ท่องทุกบทก็หมดหนี้ สินมั่งคั่งลาภยศกันทั้งโลกไม่รวยกระจุกหมดจนกระจายไปนานแล้ว! มีแต่คาถาลงมือทำขยันประหยัดมัธยัสถ์พอเพียงเป็นที่พึ่งคนจนที่ดีที่สุดในโลก
พ่อครูว่า...มีพวกที่สวดแล้วสงบ งมงายหรือสวดแล้วคิดว่า จะบันดาลให้ดี สวดล้านเที่ยว งมงายเหมือนธรรมกาย สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรกี่ล้านเที่ยว จะเกิดปาฏิหาริย์ ซึ่งมันไม่ได้หรอก การสวดอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นบัญญัติ ท่องได้ คุณก็จำได้คล่องปาก อย่าเอาไปหากินอวดอ้างให้คนเข้าใจผิด ว่ามันจะมีฤทธิ์มีเดช มีอำนาจ สวดแล้วก็จะทำให้บ้านเมืองสุขเย็น ทำให้เกิดความร่ำรวยมีฤทธิ์อำนาจประหลาด มีปาฏิหาริย์ต่างๆ…. ขี้หมาแน่ะ!
สวดมนต์ขึ้นมาเพื่อจะท่องจำคำสอน บทมนต์คือคำสอนของพระศาสดา ท่องให้จำได้แล้วก็เอามาทำความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วปฏิบัติตามให้เกิดผล บทมนต์นั้นก็มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เท่านั้น
อาตมาเคยงมงาย ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ถึง 8 ปีตอนเป็นฆราวาส ก็เข้าใจชัดเจน ว่างมงายเลอะเทอะ มันมีผลนั้น ..มี มีผลให้จิตมีอุปาทาน ที่มีผลมากเกินเชื่อ นึกว่านี่หนังเหนียว นี่เดินลุยไฟไม่ร้อนก็ได้ วิทยาศาสตร์ก็รู้พลังงานนี้ ทำให้เกิดผลอย่างนี้ได้ เช่นว่าแสดงมายากล อย่างชาวจีนใช้พลัง เพ่งให้เหล็กงอ อย่างนี้เป็นต้น เหล็กก็งอได้ มีพลัง เขาพิสูจน์มาแล้ว วิทยาศาสตร์พิสูจน์ ไสยศาสตร์ก็ทำได้
แปลว่าไสยศาสตร์นั้นต่างจากวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์นี้ฝึกเข้าจะทำได้สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าทำได้อย่างไร แต่ทางวิทยาศาสตร์นั้น จะทำอย่างไรก็รู้เหตุรู้ผล แล้วทำเหตุนั้นให้ได้ผลก็จะได้ ทางวิทยาศาสตร์ทำได้แต่ไม่ลึก ทางไสยศาสตร์ทำได้แต่ไม่รู้ ทำได้ลึกแต่ไม่รู้
แต่วิทยาศาสตร์นั้นคนรู้แต่ทำได้ไม่ลึกไม่เก่งเท่ากับไสยศาสตร์ ทางไสยศาสตร์เป็นนามธรรมเยอะแล้วเอามาใช้ มันก็เลยได้ ได้เก่งและลึก แต่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไรเรียบเรียงไม่ถูก อธิบายไม่ได้
ชาวอโศกนี้ทำให้เกิดจนกระจุกรวยกระจาย จนคือชาวอโศก ไม่สะสม แต่สร้างสรรค์แจกจ่ายสะพัด คนอื่นก็รวย แต่ตนเองจน แต่เป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
อาตมาทำงานมาย่าง 48 ปีแล้ว ประสบผลสำเร็จทำให้คนเป็นอย่างนี้ได้แม้จำนวนหนึ่ง มันก็เป็นการช่วยประชาชน ช่วยสังคมช่วยประเทศชาติแล้ว เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ต้องการแบบนี้ ต้องการให้คนเสียสละไม่เห็นแก่ตัว แล้วช่วยคนอื่นอย่างนี้แหละ
ชาวอโศกทำได้แล้ว บอกว่าจะทำอย่างไรก็ทำอย่างที่ชาวอโศกทำ
จากเฟซบุ๊ก
_ธารร่มธรรม กินแก่น แกนกลาง : ขออนุญาตตอบคุณใหม่ค่ะ เรื่องพระนอกเขต (ต่างจังหวัด) ออกเดินบิณฑบาตหรือเรี่ยไรชาวบ้าน ต้องขออนุญาตกับเจ้าคณะอำเภอหรือเทศบาลด้วยค่ะเป็นระเบียบสงฆ์(เถระสมาคม)ค่ะ
สมณะฟ้าไทว่า..ผมไปบิณฑบาตที่ชลบุรี มีเทศกิจมาบอกว่าขออนุญาตหรือยังมันทับเขตกัน ก็เลยทำให้รู้ว่าจะไปบิณฑบาตที่ไหนต้องขออนุญาตก่อน
พ่อครูว่า...คือมันชั่วไปหมดแล้ว บิณฑบาตเป็นการทำชั่วเขาเลยต้องควบคุม
สมณะฟ้าไทว่า..มีคนใช้เงินมาก เราไม่รับเงิน หากรับเงินก็รวยแล้ว เมื่อผมปฏิเสธคนก็ตามมาใส่เยอะ เงินคนแสวงหา
พ่อครูว่า..อโศกทำถูกต้องตามกฎหมายที่ต้องการแต่ก่อนแล้ว กฎหมายออกมาทำอะไรอโศกไม่ได้หรอก ก็เลยมากระทบพวกอโศกเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน โพธิสัตว์คือผู้ที่ผ่านการเป็นอรหันต์มาแล้ว
_สุลิน สายพันธุ์ : กราบนมัสการค่ะ ชอบทุกรายการที่ออกอากาศ ถึงจะเป็นคนนอก ที่นี่คือแดนพุทธแท้ พระข้างนอกส่วนมากปฎิบัติได้ไม่เท่าคนในชุมชนเลยค่ะ เห็นคนมาคอมเม้นเคยจับผิดแล้ว ยอมรับเลยชาวอโศกไม่สะเทือน เพราะชาวอโศกไม่ได้เป็นเหมือนที่เขาคิดแน่นอน คนไม่ดีก็คิดแต่เรื่องไม่ดี ธรรมไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลยสักนิดเดียว
_Masters tizen. ได้สดับธรรมะที่พ่อท่านได้แสดงไว้ในหลายๆที่..ว่าผู้ใดมีสภาวะจิตบรรลุถึงอรหันตผลแล้ว..เมื่อถึงคราตายละกายขันธ์มนุษย์..ถ้าปรารถนาจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก..ก็ย่อมทำได้
กระผมขอน้อมกราบเรียนถามพ่อท่านว่า..ในเมื่อกิเลสที่แสดงออกผ่านสารพัดความอยาก ถูกขจัดปัดล้างถูจนเกลี้ยงจากวิถีจิตแล้ว..อรหันต์ท่านจะอาศัยแรงปรารถนาอะไรถึงจะก้าวลงสู่ครรภ์มาเป็นมนุษย์อีก..ในเมื่อมนุษย์ที่มาเกิดล้วนเพราะแรงผลักดันของความก้าวร้าว และเซ็กส์บังคับให้มาเกิด..แล้วมโนวิญญาณของอรหันต์จะอยากอะไรครับถึงคิดจะมาเกิดอีก..น้อมนมัสการกราบเรียนถามมาด้วยความเคารพยิ่งครับ..
พระอารีย์ จตฺตสลฺโล(30ธ.)
พ่อครูว่า...คิดแบบนี้อรหันต์คือเป็นคนเฉยๆ ไม่อยากอะไรแล้วเป็นคนเด๋อๆ สุดท้ายก็คงไม่อยากเดินด้วย เป็นตอไม้ อยากลืมตาก็ไม่อยากลืมตาแล้ว ก็คงตายแล้ว อยากหายใจก็ไม่อยากแล้ว มันไม่อยากอะไรนักหนา พวกที่คิดเลยเถิดจะเป็นอย่างนี้ เอาแต่ตรรกะในความคิดเห็นก็เลยเถิดไปใหญ่
คนถามมาเป็นคนยังไม่หลุดพ้น ก็คงหมายถึงว่า คนที่จะหลุดพ้นก็คือคนที่ไม่อยากเกิด และคนจะหลุดพ้นก็คือ1.คือกลัวความเกิด 2. กลัวความไม่รู้ ผู้มีวิชชาคือผู้ที่รู้แล้วและทำได้เป็นจริงคือหมดความเกิด หมดเกิดหมดตายคือเป็นอมตะ
คนที่จบกิจคือคนเป็นอมตะ อรหันต์นี้หมดเกิดหมดตาย แต่คนที่เข้าใจไม่ได้ ก็จะพยายามไม่ให้เกิด มีแต่ตายกับตายๆๆๆ แล้วจะเอาอะไรมาเกิดก็เข้าใจว่าตายได้แล้ว สุดโต่งคือคนไปทิศเดียว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ 2 ถ้าเป็น คือมันยังมีร่างกายมีขันธ์ 5
ความเป็น จะต้องรู้ว่าตัวเองเป็น อรหันต์ที่บรรลุจบในชีวิตแล้วมีชีวิตอยู่ ถามว่าอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ คือเป็นคนที่ยังมีหรือไม่มี ...ก็ยังมีอยู่ มีร่างกาย มีขันธ์ 5 มีชีวิตก็ต้องอยู่อย่างมีชีวิต ถ้าอรหันต์จะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เป็นคนที่ไม่มี ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ถ้าพระอรหันต์นั้นยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นสุดท้าย เป็นอรหันต์แล้วอยากเกิดมาทำไม
ผู้ใดเป็นอรหันต์แล้วจะเข้าใจว่าอะไรเกิดอะไรตาย ความจริงแล้วการเกิดการตายของพระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงที่ร่างกาย แล้วไม่ได้หมายถึงจิตทั้งหมด แต่จิตที่เป็นกิเลสเป็นอกุศลเท่านั้นที่ตาย จิตเราตายอย่างไม่มีกิเลสเลย แต่เป็นจิตที่เที่ยงแท้สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเกิดอีกเลย นั่นแหละคือจิตอรหันต์
จิตอรหันต์ที่เป็นได้สมบูรณ์สุดคือ เป็นคนที่สามารถทำให้จิตใจตัวเองไม่มีกิเลสได้แล้ว ทำได้อย่างถาวรแน่นอน การตายการเกิดทางร่างกาย จึงเป็นการตายการเกิดที่พระอรหันต์เป็นเจ้าของจิตเอง ถ้าเป็นพระอรหันต์อยากเกิดอีก คุณก็อย่าไปยุ่งกับท่าน ถ้าไปยุ่งกับท่านนั้น เขาถือว่าเป็นเสือชนิดหนึ่งนะ เพราะท่านเองจะเกิดจะตายนั้นท่านก็ไม่มีปัญหา ท่านจะเกิดอีกจนกระทั่งจิตของท่านถาวรแล้ว จะเกิดมีร่างกายอีกอยู่ได้กี่ชาติ จิตท่านถาวรยั่งยืนเที่ยงแท้แล้วที่จะไม่มีกิเลสอีก
แล้วอรหันต์อยากเกิดมาอีกทำไม อรหันต์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า อรหันต์รู้แต่ตนแล้วล้างตัวตนอัตตา แต่โลกนี้มีอีกมหาศาล คนในโลกนี้มีอีก เพราะฉะนั้นการเกิดมาเป็นคนในโลก ดีที่ สุดสูงที่สุด รู้มากที่สุด ครบที่สุดคือพระพุทธเจ้า แล้วอยากเกิดมาอีกทำไม ก็ตอบว่าอยากเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า
อาตมาก็อยากเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า ความเป็นอรหันต์อาตมาผ่านแล้ว นี่พูดตรงนี้ไขตรงนี้ ไม่ได้อวดดี แล้วอาตมาเป็นอรหันต์มา 7 ระดับแล้ว ระดับสูงสุดเป็นระดับที่ 9 คือพระพุทธเจ้า อาตมาเหลืออีก 2 ระดับ ถามมาก็ตอบตรง เกิดมาทำไม
อรหันต์นั้นมีความสำคัญอยู่ที่ว่าทำความพ้นทุกข์พ้นสุขให้แก่ตัวเองได้ คนที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขให้แก่ตัวเองได้คนนั้นก็จบ ทำได้เสร็จจบ ทำได้อย่างตถตา เป็นเช่นนั้นเอง คือยิ่งกว่าอัตโนมัติ มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวแล้ว จิตใจมีความไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอัตโนมัติ กระทบสัมผัสอะไรก็เป็นอัตโนมัติที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ใช่ไม่ทุกข์อย่างเดียว ไม่สุขด้วย ความทุกข์ความสุขนั้นเป็นอันเดียวกัน อรหันต์เป็นคนไม่สุขไม่ทุกข์ เหลือแต่เป็นคน ที่เป็นผู้ถึงที่สุดแห่งความลับ คืออรหันต์ รหะ แปลว่าความลับ ผู้ถึงที่สุดอันตะ คือ อันตะ กับอรหะ คือ ผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ผู้ถึงที่สุดแห่งความลับ ที่ลับๆคือความโง่
ถึงที่สุดแห่งความลับที่เป็นความโง่ก็ไขได้
ความลับที่สุดก็คือ ความมีทุกข์มีสุข แต่คนบอก ว่าอย่าไปบอกใครนะ เป็นความลับ
ความลับที่ให้คนมีทุกข์มีสุขนั้นอย่างหนึ่ง คนชั่วคนเลวก็มีความลับ ความชั่วความเลวก็เป็นความลับ แต่ความดีที่ไม่เป็นความลับรู้กัน คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำสิ่งที่ชั่วหรือเลว ก็รู้ได้รู้แล้วอย่าทำ รู้แล้วไม่ทำก็เป็นความจริง ใครเป็นคนดี
คนไม่ทำความชั่วก็คือคนดี คนที่ทำความดีแล้วได้อย่างถาวรยั่งยืนมั่นคงคือคนไม่ชั่ว ความชั่วจึงเป็นความลับในบุคคลที่ยังไม่ดี
ความลับอีกอย่างหนึ่ง คือความมีพิษมีภัย ก็เป็นความลับ คนที่ไม่มีพิษไม่มีภัยแล้ว คือคนดี เป็นคนไม่มีพิษภัย แต่ถ้าคนยังมีพิษภัยอยู่ก็เป็นคนไม่รู้ความลับ ยังไม่เอาพิษภัยออกจากตัวเอง
เพราะว่าเป็นคนที่เกิดมามีพลังงานของตัวตน ที่ได้ก้าวมาเป็นจิตนิยาม จากอุตุมาเป็นพลังงานพีชะ แล้วพลังงานพีชะ เป็นชีวะ ก้าวมาเป็นจิตนิยาม ถ้าพลังงานใด อัตภาพใด ถ้าได้ก้าวมาเป็นจิตนิยามแล้วจะไม่สามารถสลายพลังงานจิตนิยามตัวเองได้เลย ถ้าไม่มีปัญญาของพุทธขั้นโลกุตระ
ศาสนาเทวนิยมไม่รู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน เข้าถึงหรือว่าจิตวิญญาณนิรันดรทำความดีอย่างเดียวแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า สลายเป็นปรินิพพานปริโยสานไม่ได้ ศาสนาอื่นทำไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ทำได้ ล้างพลังงานที่จับตัว เป็นจิตนิยามได้
สูงกว่านั้นทำพลังงานจิตวิญญาณของตัวเอง ให้กลับลงเป็นพลังงานพีชนิยาม พีชนิยามเป็นพลังงานที่ไม่มีโทษภัยกับใครเลย มีแต่ตัวเอง แล้วก็บริหารตัวเอง ให้อยู่ได้ให้เป็นไป พวกพืชพันธุ์ธัญญาหารมันบริหารตัวเองได้ให้อยู่ได้ไม่เบียดเบียนใคร เอาสารต่างๆมาสังเคราะห์เป็นตัวมันตามที่เป็นตระกูลของมัน
ตระกูลพระอรหันต์ จึงเอาสารทางรูปธรรม ก็เอามาสังเคราะห์ให้เกิดอาการ 32 ถ้าพลังงาน จิตนิยาม ก็เอาพลังงานจิตมาสังเคราะห์ให้เป็นจิตนิยามที่ไม่เป็นพิษภัยกับใคร มีแต่คุณประโยชน์กับคนอื่นเท่านั้นอย่างซื่อสัตย์
พลังงานของอรหันต์จึงเป็นพลังงานที่เหลืออยู่ มีแต่พลังงานสร้างสรรค์ประโยชน์คุณค่าอย่างซื่อสัตย์ ไม่มีโทษ ไม่มีพิษ ไม่มีภัย ไม่มีชั่วไม่มีเลว นี่คือความรู้ของพระพุทธเจ้าที่สามารถทำให้พลังงานจิตนิยามเป็นอย่างนี้ได้ สร้างคนให้มีประโยชน์คุณค่าอย่างพืช การมีพลังงานที่เหลือ รู้จักใช้พลังงานที่ดีเหล่านี้ พืชมันเป็นตัวของมันเอง เอาตัวมันเองไปช่วยให้คนอื่นทำงาน ให้ได้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ได้ให้มันได้แต่ตัวมันเอง ถ้าจะเอามันมาใช้ประโยชน์ก็เอาไปเอง มันเองเอาไปให้ใครไม่ได้ แต่จิตนิยามนี้ ทำให้ตัวเองเป็นอย่างพืช แล้วจิตนิยามหรือเอาตัวเองที่เป็นพืชนี้ไปให้คนอื่นได้ สูงกว่าพืช
พระอรหันต์ก็คือพืชที่เอาตัวเองไปเป็นอาหารให้ผู้อื่น เอาพลังงานไปรับใช้ผู้อื่น
สรุปแล้วคนที่ถามมานี้ ว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร
1. อยู่เพื่อศึกษาผู้อื่น แล้วเราก็จะได้ช่วยผู้อื่นได้ ให้ผู้อื่นได้บรรลุอย่างเรา
2. อยู่อย่างกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า กตัญญูต่อพระศาสนา ต่อคำสอนอันวิเศษสุดของพระพุทธเจ้า ตอบแทนบุญคุณ เพื่อจะเอาคำสอนพระพุทธเจ้านี้เผยแพร่ต่อไป
3. อรหันต์ แม้จะมาเกิดอีกก็คือผู้พ้นทุกข์พ้นสุขแล้ว ถามย้อนกลับคืนไปหาผู้ถาม ก็ถ้าอรหันต์จะมาเกิดอีกแล้ว มันหนักหัวใคร เป็นผู้ไม่ตกต่ำและเป็นธรรมดา แล้วยังเป็นผู้ไม่เป็นพิษภัยกับใครอีก ท่านก็พ้นทุกข์พ้นสุข ไม่ตกต่ำอีกแล้ว เกิดอีกก็มีแต่เจริญสูงสุด ไปเป็นพระพุทธเจ้าได้ และไม่เป็นพิษภัยกับใครอีก
แค่ 3 ข้อนี้ก็พอแล้วมั้ง จะมาต้านไม่ให้ท่านเกิดทำไม คุณมาถามที่คุณไม่รู้ ก็ตอบให้ฟัง ตอบอาจจะมีย้อนแรงหน่อยก็ขออภัย
สรุปคือ พระโพธิสัตว์นี้เป็นผู้ที่บรรลุอรหันต์แล้ว แล้วมาศึกษาต่อ
โพธิสัตว์นี้ มีตั้งแต่ โพธิสัตว์โสดาบัน บรรลุธรรมในโลกอบาย ก็ทำต่อในโลกกาม โอฬาริกอัตตาก็ล้างโลกนี้อีก เป็นสกิทาคามี ล้างต่อเป็นอนาคามีจนหมดโลกกาม ก็เหลือแต่โลกภายในรูปโลก อรูปโลก ก็ล้างต่ออีกให้หมด ก็เป็นพระอรหันต์
เมื่อได้แล้วก็รำลึกถึงบุญคุณของความเป็นอรหันต์
1.เป็นคนพ้นทุกข์พ้นสุขแล้ว
2. เป็นคนพ้นพิษพ้นภัย ไม่มีพิษภัยกับใครอีกแล้ว
3. เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา มีแต่จะเจริญขึ้นแต่ถ่ายเดียว
แถม 4. เป็นผู้ที่ไม่กลัวแล้วว่าอะไรจะเกิดจะตาย เพราะทุกอย่าง มีแต่เกิดและตาย และรู้ว่ามันเกิดและตายตามเหตุปัจจัย ก็สมควรแล้วตามเหตุปัจจัย
สมณะฟ้าไทว่า...เวลาเราดูว่าตัวเองมีความชั่วก็คิดจะแก้ไข แต่หากยึดว่าตัวเองดีๆๆก็แก้ไขยาก พ่อครูก็ว่า แล้วแต่ตัวเขาเอง เขาก็เสียเวลา ยึดดีตกผลึกแล้วก็ยาก อยู่กับพ่อครูอยู่กับพระโพธิสัตว์แล้ว ที่สุดแล้วยึดถืออะไรไม่ได้ เป็นคนว่างเบาสบาย จะเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ อรหันต์หลุดพ้นแล้ว ไม่มีพิษภัยไม่ตกต่ำ ไม่กลัวการเกิดการตาย พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ใหญ่อำนาจแห่งอเนญชาภิสังขารยิ่งใหญ่มาก
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:50:43 )
รายละเอียด
601120 ตายแน่ มุ่งมาจน สัมภาษณ์พ่อครู เรื่อง จะทำตามศาสตร์พระราชาอย่างไร
ทำตามในหลวงก็คำสองคำ 2 ชุด ชุดหนึ่งก็คือทำแบบคนจน อีกชุดหนึ่งคือ ต้องให้รู้ว่าเราต้องขาดทุน ขาดทุนของเรา นั่นแหละคือกำไรของเรา ต้องให้ขาดทุน ต้องเข้าใจอันนี้ เข้าใจ 2 อันนี้ให้ได้ จึงจะถือว่านี่คือศาสตร์พระราชาที่แท้ ไม่ใช่พูดไปนี้เป็นเชิงที่จะไปกดข่ม ต้องมีปัญญา
ต้องรู้ว่ามาอยู่อย่างจน ทำอย่างจนไม่ต้องไปรวยนี้ มันมีองค์ประกอบอะไรไปเป็นคนจน อะไรประกอบไปเป็นคนรวย ถ้าคนไม่รวยคือคนจน แล้วคนจนนี่มันสามารถ มีความอุดมสมบูรณ์ในตัวเองได้ไหม ถ้าเรามีความรู้ มีความสามารถในตัว ฝึกฝนตนให้มีความรู้ ฝึกฝนตนเองให้มีความสามารถ แล้วเราก็ขยันทำ ตามความรู้ความสามารถของเรา ทำ มันก็ต้องเกิดผล ส่วนผลผลิต ผลแรงงาน มันก็ต้องเกิดขึ้นมา เราทำมากมันก็เกิดขึ้นมาก เราจะไม่เรียกว่ารวย มันก็มีเพราะว่ามันเกิดขึ้นมากก็มีมาก ที่มากนั้นถ้าเราเอาไปให้คนอื่น ไม่เอาเงินแลกคืนมามันก็ไม่มีเงินเราก็ไม่ได้รวยอะไร คนรวยเขาบอกว่าคือคนมีเงิน แล้วเอาเงินไปซื้อทองซื้อเพชรพลอยข้าวของอะไรได้มากๆแล้ว เขาก็มีส่วนข้าวของนั้นมากๆ ก็บอกด้วยเราก็ไม่ได้มีมาก เราทำผลผลิตขึ้นมาได้มากแล้วก็ให้คนอื่นไป ด้วยการเสียสละ ด้วยการให้ เรามั่นใจในตัวเองไหมว่าเรามีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถ แล้วเราก็ขยันที่จะสร้าง เราก็มี มีขึ้นมากินมีขึ้นมาใช้ สำคัญคือมีขึ้นมากินมาใช้แล้วมันก็เหลือ มันเหลือเราก็ให้คนอื่นได้อีก แม้ว่าการให้คนอื่นไปแล้ว เราก็หมดแน่ เราก็มีเราก็ต้องหาใหม่เราก็ขยันใหม่ เราจะหยุดขยันหรือ ถ้าเราขยันอยู่ตลอดเวลาต่อเนื่อง มันก็ต้องมีขึ้นมาแน่ๆ เรามาฝึกฝนตนเองเป็นคนกินให้รู้จักพอ ใช้ให้รู้จักพอ มีเศรษฐกิจพอเพียง กินเท่านี้ก็พอ ใช้เท่านี้ก็พอ ใครจะมาโฆษณามาครอบงำหลอกลวงให้หลงอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็มีปัญญารู้ ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายมันเปลืองเปล่า คนมีปัญญาอย่างนี้ ก็ไม่ลองไปกับโลกจะรู้ปัจจัยสำคัญของชีวิต
เมื่อมีปัจจัยสำคัญชีวิตพอแล้ว คนมีสมรรถนะ มีความรู้ขยันหมั่นเพียร มีความสามารถ ทำได้มากเกินที่เรากินเราใช้ได้ มากเกินหลายเท่าหลายต่อเป็นร้อยๆเท่า มากเกินที่เรากินเราใช้เป็นร้อยๆเท่าได้เลย อันนี้ยืนยันได้ ขอยืนยันได้พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรายิ่งอยู่เป็นสังคมกลุ่ม คนหนึ่งก็เหลือ 90 เท่า 80 เท่าร่วมกันมันจะเป็นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นมันไม่มีวันที่จะหมด คนนี้ป่วยคนนี้เจ็บคนที่ตายหายไป คนอยู่ก็ทำอยู่ในนั้น ทดแทนคนป่วยคนเจ็บคนตาย มันไม่มากกว่าคนทำหรอก คนที่ทำ คนที่มีเรี่ยวแรง มีชีวิตเต็มที่อยู่เขาก็ทำ เพราะฉะนั้นถ้าสังคมมันเกิดโรคห่ามา ป่วยเจ็บไม่มีแรงทำเลย ก็แน่นอนมันจะไม่พอ แต่มันไม่เป็นเหตุการณ์อย่างนั้นสามัญปกติ มันก็มีเหลือ
สรุปแล้ว มาพิสูจน์ความจริงกันเลย เหลือแน่ๆอย่างเช่นชาวอโศกได้พิสูจน์มาแล้ว เราเหลือ แล้วเราก็ไม่สะสม เราก็ไม่มีมาก คนชาวอโศกไม่สะสมเงินในตัวเองเลย อาจจะมีติดตัว 10 บาท 100 บาท สูงมากมายก็พันบาท ไปโน่นไปนี่ ไม่ได้กังวลเลย เพราะพวกเราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวของตน มีไว้เผื่อแผ่เกื้อกูลกัน คนหนึ่ง สองคน นอกจากไปหลายคนก็เบิกจากส่วนกลางไปมากหน่อย ถ้าไป 2 คน 3 คนก็ถามกัน มีพอแล้วหรือยังก็ใช้ไป เป็นการทดสอบจริงๆนะ คนเรามีปฏิภาณให้ตัวเองไม่ขาดไม่เกินในการหมุนเวียน การเป็นอยู่ดำเนินชีวิตในสังคม
สรุปแล้ว เป็นคนไม่ได้มีก้อนเงินก้อนทองเป็นกอบกำมากมาย นั่นคือเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นคนจน เรามาเป็นคนจนให้ตรงตามพระราชดำรัส เพราะว่าพระราชดำรัสนี้เป็นศาสตร์อันยิ่งใหญ่ แบบคนจนก็เป็นศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ก็เป็นศาสตร์อันยิ่งใหญ่ นี่แหละคือศาสตร์พระราชา ที่ท้าทายให้พิสูจน์จริงๆ เพราะฉะนั้นอโศกมั่นใจว่า เราได้พิสูจน์ศาสตร์พระราชานี้ได้ ได้อย่างมั่นใจ ได้อย่างที่ให้พิสูจน์เลยว่าเราเป็นคนจนจริงๆ ไม่ใช่เป็นคนสะสมเงินทองข้าวของอะไร ไม่ได้ซุกซ่อนไม่ได้โกหก ไม่ได้แฝง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือว่าการอำพราง เป็นคนเปิดเผย ใจซื่อสัตย์จริงใจสะอาดบริสุทธิ์
เราจึงมั่นใจในความจริงที่เราสะอาดบริสุทธิ์นี้กัน และพิสูจน์จึงจำได้ว่า พูดไม่ใช่พูดปากเปล่า แต่เราได้พิสูจน์กันมาแล้ว ตั้งแต่เป็น 30 ถึง 40 ปีขึ้นมาแล้ว ที่สุดกลุ่มหมู่ชาวอโศก ในภาวะนี้เราจึงมั่นใจ เราจึงเชื่อในความเป็นไปได้จริงๆอันนี้ นี่คือศาสตร์พระราชาที่แท้จริง ที่เรายืนยันว่าอันนี้ ทำให้พวกเราไม่เดือดร้อน
1 สังคมของเราไม่ได้เป็นหนี้ ไม่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินจากข้างนอกใดๆเลย เราหมุนเวียนกันผ่องถ่าย ยืมกันใช้ในนี้ไม่มีดอกเบี้ย ขาดเหลือบ้างก็ยืมกันมาหมุนเวียนแล้วก็คืนเขาไปไม่ได้มีดอกเบี้ย จึงไม่เกิดความเดือดร้อนอะไรตลอดเวลาที่เป็นมา การยืมเงินเราก็เรียกว่าการเกื้อ ไม่ใช่เรียกว่ากู้ ดอกเบี้ยเราไม่มี เราก็เป็นดอกบุญ เงินที่ค้างอยู่ เราไม่ได้ว่าเงินหนึ้ เราเรียกว่าเงินหนุน อย่างนี้เป็นต้น เรามีพยัญชนะใช้ศัพท์เรียกพยัญชนะนี้เหมือนกันแต่มันมันไม่แพร่หลาย เราก็ไม่ได้ทำกันอย่างมากมาย มีเล็กมีน้อยที่ทำกันเท่านั้น เงินหนุนก็น้อย เงินเกื้อก็น้อย ก็เลยไม่มีภาษาเหล่านี้หมุนในสังคมเท่าไหร่ ไม่วุ่นวายเท่าไหร่
ก็เลยทำได้สอดคล้องกันตามที่เราเข้าใจเจตนารมณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า แบบคนจนนี้ คือแบบขาดทุนคือกำไร คือแบบว่ามีน้อยก็พอ เรามีน้อยเท่านี้ก็พอนะ ไม่ใช่กระเบียดกระเสียรกันไป มันลดน้อยกว่านี้ได้อีกหรือไม่ ถ้าได้อีกจนถึงขีดที่สุดวิสัย เรากินวันละ 1 มื้อนี้มันสุดวิสัยแล้ว ถือว่าพอดีพอเหมาะแล้ว น้อยกว่านี้ไม่ไหวแล้ว เป็นต้น ใช้เงินเท่านี้ วันหนึ่งเดือนหนึ่งประมาณแล้ว เฉลี่ยเท่านี้มันพอจริงๆชีวิตเรา อย่างนี้เป็นต้น สำหรับเงินที่จะใช้ในงานนั้นงานนี้ที่ไม่ใช่งาน routine เราก็มี เราก็เข้าใจ
1 เราไม่เป็นหนี้ ในกระบวนการกู้หนี้ยืมสินอะไรเราไม่มี สำหรับทฤษฎีกู้หนี้ยืมสินของชาวทุนนิยมเราไม่ไปสัมพันธ์ ไม่เกี่ยวข้องเลย เราอยู่ในพวกเรา เราไม่เป็นหนี้ พึ่งพาตนเองรอดเพราะว่าขยันหมั่นเพียรคุ้มกินคุ้มใช้ อัตตาหิอัตโนนาโถได้จริง พึ่งตนเองได้ และสร้างให้เกิน มีของจริงของดีที่เราใช้เป็นปัจจัยชีวิตต่างๆที่สมควรจะสร้าง มันเหลือมันเกินจริงๆ เพราะฉะนั้นการเหลือการเกินเราจึงสะพัดออก ต้องให้ผู้อื่นได้
การสะพัดให้ผู้อื่นได้ก็อยู่ที่ตามฐานะของแต่ละคนอันไม่เท่าเทียม เช่น บางคนจะต้องแลกกลับมามากมาย เพราะว่าอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว ก็อาจจะขายหรือแลกเปลี่ยน ราคาว่าจะต้องเกินทุนหน่อย เพราะว่าถ้าไม่เกินทุนเราไม่พอหมุนเวียนไม่รอด แต่เรามีกฎเกณฑ์ว่า มี 4 ระดับ
1. เกินกว่าทุนแต่อย่าเกินกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดเขา ให้ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดนี้เราถือว่าแย่ที่สุดแล้วชีวิตเรา เราจะค้าจะขายได้มาเกินราคาทุน แต่ต่ำกว่าราคาตลาด ถ้าเราต่ำกว่าราคาตลาดได้มากขึ้นมากขึ้นแต่เราก็ยังมีเหลือพอ ค่าแรงงานค่าแรงต่างๆของเรามันก็ยังพอกินพอใช้ เหลือ
จนกระทั่งเท่าทุน เราก็ยังมีเหลือเพราะว่าเราหักค่าแรงงานของเราเสร็จ เป็นทุน มันก็ยังเหลือ หักค่าแรงงานของเราลงไปอีก คราวนี้ต่ำกว่าทุน การขายต่ำกว่าทุนก็เคยหักค่าแรงงานของตัวเอง แต่ละคนๆ นี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นร้อยคนพันคน หักค่าแรงมารวมกัน มันก็เป็นเงินก้อนไม่ใช่น้อย ถ้าผู้ใดรถใช้ได้จริงๆด้วยความจริงใจไม่สะสมไม่ต้องการจะไม่มากก็ลดลงไปได้เรื่อยๆ ก็ต่ำกว่าทุนไปได้เรื่อยๆ
ในการต่ำกว่าทุนเราก็ทำได้ มากสุดจนถึงต่ำที่สุดก็คือไม่เอาอะไรแลกเปลี่ยนกลับมาเลยแจกฟรี
ในบรรดาชาวอโศกที่มีอยู่นี้หลายคนยึดถือพฤติกรรมชีวิตเลยว่า ไม่แลกมาให้ส่วนตัวเลยทำให้ฟรี ตนเองอยู่กับหมู่ฝูงไม่มีเงินทอง ไม่ต้องพกเงินไม่สะสมเงินในส่วนตัวเองเลย คนชาวอโศกแบบนี้มีไม่ใช่น้อย จนถึงกระทั่งศูนย์เลยไม่มีส่วนตัวเลย มีขนาดอนาคาริกชน คนไม่มีทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานเป็นของตนเอง เราพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงขั้นนี้ที่ท่านสอนให้เป็นอนาคาริกชน ทำงานไม่เอาลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ตรงตามพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้า สอดคล้องอันเดียวกันกับคำตรัสหรือพระราชดำรัสของในหลวง พอเพียง แล้วก็สะสมให้น้อยมีแต่น้อยให้เป็นคนจน จนกระทั่งทำงานไม่ใช้การแลกเปลี่ยนเอาลาภแลกลาภ ให้ฟรี นี่เป็นการพิสูจน์ธรรมะอันสูงสุดลึกซึ้งที่หมดตัวตนไม่เห็นแก่ตัวตนเลย เป็นการพิสูจน์ เป็นเครื่องชี้บอกความจริงว่านี่แหละไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตนเลย ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ภาษาโก้ๆที่เอามาคุยต่อ แต่นี่คือความจริงที่เอามาประพฤติได้ เป็นอกาลิโกเอหิปัสสิโก เป็นได้ทุกกาละทุกยุค ที่พูดอยู่นี้ก็ทำได้ จะบอกว่าในยุคนี้เป็นไม่ได้ แต่เราเป็นได้ เอหิปัสสิโกไม่ได้หลอกลวงไม่ได้โกหก มากที่สุดได้ เชิญให้มาตรวจสอบ จะสอบทานกันอย่างไรก็ได้ ไม่มีซ่อนแฝง มีความจริงเปิดเผยได้ทุกอย่าง
ที่สุดในความจริงที่ยาก เราก็รู้ว่าไม่ง่าย แต่เราทำได้แล้วไม่ยากเลยนะ ผู้ที่ทำได้อยู่ในหมู่กลุ่มนี้ไม่ยากเลย แต่มันมีนัยซับซ้อนลึกซึ้ง ตามความเป็นจริงของสัจธรรมของโลก
คนที่มีกิเลสติดยึดทำไม่ได้เขาจะเห็นว่ายาก คุณจะรู้สึกว่ายาก กิเลสมากเท่าไหร่ก็ยากเท่านั้น แต่คนที่ไม่มีกิเลสเลยเขาไม่ยาก เขาทำได้ง่าย ง่ายจริงๆ ทั้งๆที่ภาวะเดียวกัน คนไม่มีสิ่งนี้ยากมาก แต่เราไม่มีสิ่งนี้ง่ายมาก ภาวะเดียวกันแต่ประพฤติได้ง่ายยากต่างกัน
มายืนยันพิสูจน์ได้ ไม่ใช่พูดโม้เล่นเปล่าๆ แต่นี่เป็นสัจจะ ถ้าทำได้อย่างนี้เราเรียกว่าเศรษฐกิจสูงสุด ที่เรียกรวมรวมว่าเศรษฐกิจสาธารณโภคี ในขั้นที่รวมกันเป็นส่วนกลางแล้วทุกคนก็อยู่ในส่วนกลาง กินใช้กับของส่วนกลางทุกคน ไม่ยึดถือเป็นตัวตนเป็นของเราของเขา แต่เป็นของส่วนกลางใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นความประเสริฐสูงสุดของมนุษย์ของสังคมมนุษย์
มนุษย์แต่ละคนเป็นได้สังคมมนุษย์ก็เป็นได้ก็ยืนยันอย่างนี้ ก็มาศึกษา ทุกคนมีปัญญามีความเจริญฉลาดเป็นของตัวเอง ก็ใช้ความเฉลียวฉลาดตนเองมายืนยันพิสูจน์ เมื่อสัมผัสความจริง รู้ความจริงมาเห็นจริง จะสัมผัสพิสูจน์อยู่กี่เดือนกี่ปีกี่ชาติก็เอา เรายินดี ก็อย่ามารบกวนมากในนี้ ถ้ามารบกวนมากเราก็เชิญออก ถ้าถึงขั้นบุกรุกทำร้ายทำลายแน่นอนเราไม่ให้คนเดียวแน่นอน เราก็ต้องให้เจ้าหน้าที่มาขอเชิญเอาไป ก็เท่านั้นเอง เราไม่มีอะไร ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่ารุนแรง แต่เราต้องขอรักษาสวัสดิภาพของเราบ้างเท่านั้นเอง นี่ก็คือสัจจะของชีวิตมนุษย์ ที่อาตมามั่นใจว่าเข้าใจอย่างนี้ตรงกันกับความรู้หรือศาสตร์ของพระเจ้าอยู่หัว ตรงกันกับความรู้พระเจ้าอยู่หัวหรือศาสตร์ของพระราชา เรารู้อย่างนี้ตรงกับของพระองค์ แต่ไม่ได้ว่าเราตีตัวเสมอท่านนะ แต่มันมีสัจจะอันเสมอสมานกัน มันเป็นสัจจะอันเดียวกันเท่านั้นเอง เป็นคุณธรรมอันเป็นสากล คุณธรรมที่เป็นสาธารณะคนทำส่วนกลางที่มันมีคุณลักษณะ คุณสมบัติ มีคุณธรรมหรือคุณวิเศษที่มันยากจะเป็นได้ มันเหมือนกันอันเดียวกัน
เมื่อถึงยุคนี้คนฉลาดมากเพียงพอ แล้วก็เชิญใช้ความฉลาดนั้นมาพิสูจน์ความจริง เรามั่นใจว่าเราทำได้ เราเห็นว่าสังคมใดทำอย่างนี้ได้ก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าต่างคนต่างเป็นอย่างนี้มากไปในโลก เราไม่ฝันว่าจะเป็นได้ทั้งโลก จะให้มันมากเท่าไหร่ๆได้ ขอโทษที่เราจะพยายามได้ก็ทำเสีย ก็น่าจะจบแล้วนะที่พูดนี้
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:51:44 )
รายละเอียด
601120_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ทำสติเต็มร้อยด้วยสามัญผลสูตร
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ที่ชุมชนราชธานีอโศกก็เป็นวันบวร เป็นวันที่บ้านวัดโรงเรียนจะร่วมทำกิจกรรมกัน วันนี้ได้ไปเกี่ยวข้าว ได้ทั้งหมด 2 ไร่ คนไป 50 กว่าคน เกี่ยวข้าวทั้งเช้าและบ่าย ช่วงบ่ายฝนตกมาก็เลยกลับกัน ตกแบบไล่คน พอคนกลับมันก็หยุด ก็ร่วมมือกันทั้งเด็กผู้ใหญ่และชาวชุมชน ไปเกี่ยวข้าวที่นาโม
เป็นข้าวไร้สารพิษ ทุกวันนี้ข้าวในทุ่งนาทั่วไป ไก่กินไปก็ตาย แต่ข้าวเราเป็นข้าวโบราณ นกมันจะกินก็ไม่ตาย ไม่ใช้สารพิษสารเคมียาฆ่าแมลงอะไรทั้งสิ้น
วันบวร ก็คือ ที่พ่อครูตั้งให้พุทธสถานต่างๆเป็นบวร เป็นสถานที่ที่มีทั้งการสังคมการศึกษาธรรมะ เป็นการศึกษาที่เป็นไปเพื่อการลดละกิเลส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญของสังคม สังคมไม่มีสิ่งนี้ก็อยู่ไม่สงบสุข ทุกวันนี้ วิ่งกันตาเหลือก หอบแฮกๆ จนคนไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าไม่เรียนรู้ปัญญาในการลดละกิเลสก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้
เมื่อวานนี้มีคนแสดงความเห็นใน Facebook รายการพุทธชีวศิลป์ว่า ….สันติอโศกสร้างความแตกแยกคนไทยด้วยมิจฉาทิฏฐิของโพธิรักษ์ จนยากจะเป็นเหมือนเดิม พ่อครูบาปมาก แตกแยกในทางธรรมด้วยความหลงบ้าในอัตตาของตน มันมืดจะเป็นอย่างนี้ พอตั้งสำนักก็จะบ้า
พระพุทธเจ้าฉันมังสวิรัติหรือ แล้วทำไมไม่ตั้งให้ศีล 5 กินมังสวิรัติ
พ่อครูว่า..ก็ค่อยพูดถึง คุณมณี ศรียงค์ ก็ไม่แปลกหรอก ความเห็นอย่างนั้นจะมีอยู่เยอะในวงการศาสนาพุทธยุคนี้ ที่ฟังธรรมะอาตมา เห็นอาตมาทำงานก็จะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ก็จะค่อยไขความ ตอนนี้ขออ่าน sms
SMS วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ( วิถีอาริยธรรม : บวรราชธานีอโศก)
_สงสัย(อีกล่ะ)กราบเรียนพ่อครูฯขยายสถานศึกษาอาริยะธ.!ขยายตลาดอาริยะชน มีร้านพอเพียงต้อนรับปชช.ทุกสารทิศ!มีร้านรองรับผู้มีบัตรสวัสดิการรัฐไหม?ตลาดนี้ขายถูก!ต่ำกว่าทุน อยู่แล้ว?
พ่อครูว่า..ของเราให้อิสระเสรีภาพแต่เขามีกรอบหมด ใช้จ่ายอะไรก็มีตลอดแต่ของเรามีอิสระให้ประชาชนจะมาเอาอย่างอิสระไม่มีเงื่อนไข อะไรเลย เพราะฉะนั้นมันจะไม่เหมือนกัน ไม่รังเกียจ แล้วแต่ รัฐบาลยังไม่กล้าให้ แจกประชาชนเท่ากับพวกเราเลย เพราะพวกเรามีความเห็นร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว พวกเราไม่มีขัดแย้งอะไรเลย เรามีความเข้าใจมีปัญญาที่จะทำ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ไม่มุ่งมาจนก็จะไม่พ้นโลกธรรม
_3867เห็นเค้าลางผู้กุมศก.โลกปชธต.ขาเดียวกำลังแผ่ศก.รูปแบบบัตรสมาร์ทการด์ไร้เงินสดลามมายังปท.ปชธต.2ขา!ผูกขาดการใช้เงินของพลโลกแต่ละปท.โดยแปรรูปเงินสดกระจุกทุน!บัตรการ์ดกระจายปชช.พ่อครูว่าจริงไหม?
พ่อครูว่า..อาตมาไม่ค่อยมีความรู้ในพิธีการที่เขาปฏิบัติ อาตมาก็ไม่ค่อยได้ติดตามการบริหารที่เขามีวิธีอะไรกันเท่าไหร่ เพราะอาตมาพาให้เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน
เช่น ยกตัวอย่าง แทนที่จะไปดำเนินการในเรื่องทางวัตถุ คนอยากได้เงิน อันนี้เป็นกิเลสสามัญ คนอยากได้ลาภยศสรรเสริญ อยากได้ความสุข เป็นกิเลสสามัญของมนุษย์ ถ้าเราจะพยายามที่จะไปสนับสนุนให้ ช่วยเหลือดำเนินในเรื่องอยากได้เงิน อยากได้ลาภ หาลาภให้ อยากได้ยศ หายศให้ อยากได้สรรเสริญก็หาสรรเสริญให้ อยากได้ความสุข ที่จริงแล้ว โลกุตระไม่มีความสุข ความสุขเป็นโลกีย์ทั้งนั้น ถ้าหากหาความสุขให้ คนก็ได้แต่กิเลส ก็เพิ่มกิเลส หากไปแสวงหาความสุขบำเรอตน กิเลสก็หนาขึ้นทั้งนั้น
ถ้ามีแต่เงิน อะไรเขาอยากได้ก็ให้เขาทั้งนั้น คนจะไปหาทางบำเรอ ให้เขาหยุดพอ ดังที่ในหลวงได้ตรัสว่าให้พอ โดยท่านใช้คำไม่รุนแรงใช้คำว่าเศรษฐกิจพอเพียง ให้รู้จักพอ ความหมายจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจกัน บริหารก็บริหารอย่างไม่ให้พอมีแต่บำเรอกิเลสกันทั้งนั้น ไม่ได้มาหัดหยุดที่ใจตัวเองให้รู้จักพอ เพราะนักบริหารประเทศเข้าใจคำตรัสของในหลวง ก็จะมาสอนหรือมาปฏิบัติ มาหาทางที่จะให้ประชาชนนึกถึงตัวเอง แล้วก็มีวิธีรู้จักพอ ไม่ใช่บำเรอ หรือจะบำเรอกันใหญ่ มีบัตรคนจน จะบำรุงอย่างไรก็ไม่พอกับกิเลส มันต้องสอนให้รู้จักความจน แล้วมาหัดฝึกจนไม่ใช่หัดไปรวย ให้มาหัดมาจน หัดมาขาดทุน ไม่ใช่หัดมาหาเอากำไร ในหลวงก็ตรัสให้พอเพียงให้หยุด อย่าไปหัดอยากจะรวย ให้ลดลงมา อย่าไปอยากรวย พอเพียงก็คือให้มาลดละ มาจน ยังไม่พอท่านก็ตรัสอีกว่า ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ต้องหัดให้มาเสียสละ ไม่ใช่ให้มาโลภได้โลภเอา ต้องมาลดละความโลภ ให้มามักน้อยลง ให้มาลดกิเลส
แต่ในหลวงท่านตรัสโวหารของท่าน แต่อาตมาเสียดายว่าคนไทยนั้นเสื่อมจากธรรมะพระพุทธเจ้ามาก ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้ทรงงานและทรงบรรยายอะไรต่างๆเป็นเรื่องของธรรมะที่ลึกซึ้ง โลกุตระทั้งนั้น แต่ติดตามทำไม่ได้สักอย่าง เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงก็รู้กันบ้าง แต่จริงๆก็ไม่รู้เรื่อง แบบคนจน และขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันจะไล่เรียงกัน แม้แต่เศรษฐกิจพอเพียงก็ไม่เกิด ก็ไม่เคยทำใจให้พอ มีแต่บำเรอใจให้ได้ ตลอดเลย ซึ่ง น่าสงสารมาก
จากเฟซบุ๊ก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูมีกิเลสอยู่อีกไหม
_ธนาวัลย์ · ท่านมีจิตกิเลส มั้ยค่ะ ท่าน มีความโลภความหลงมั้ยค่ะ ท่านต้องการเป็นผู้ชนะมั้ยค่ะ
พ่อครูว่า..ฟังดีๆนะคุณธนาวัลย์นะ คุณที่ถามมา อาตมาตอบความจริงจากใจจริง ท่านมีจิตกิเลสไหมคะ อาตมาก็ขอตอบว่า ท่านนี้คงถามอาตมา อาตมาก็คงตอบคุณว่า อาตมาไม่มีกิเลสเป็นคำตอบตรง ๆ ๆไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม เป็นสภาวะ แต่คนที่อคติเขาไม่เชื่อไม่นับถือ ฟังอาตมาแล้ว เขาจะกระอักกระอ่วน อาจจะหมั่นไส้ชังน้ำหน้า พูดออกมาได้ว่าหมดกิเลส เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้พูดด้วยนะ
ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าใครถามว่ามีกิเลสหรือไม่มีกิเลส ก็บอกว่ามีหรือไม่มี ได้มรรคได้ผลก็ต้องตอบเขา โดยจิตอย่ามีสาเฐยจิต อย่าโกหกถ้าโกหกก็ปาราชิก ถ้าเป็นจริง ก็ปาจิตตีย์
กิเลสคือความโลภโกรธหลง เมื่อไม่มีกิเลสแล้วจะมีได้อย่างไรในความโลภโกรธหลง
อาตมา ไม่เคยต้องการเป็นผู้ชนะเลย แล้วก็มีแต่พูดว่า อาตมายินดีเป็นผู้แพ้ แล้วอาตมาก็ถูกทำให้เป็นผู้แพ้อยู่ตลอดเวลา อาตมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการให้อภัยมาเป็นผู้แพ้ อาตมาก็แต่งเพลงผู้แพ้ด้วยซ้ำ แต่งตั้งแต่อายุ 20 ปี ตั้งแต่ยังไม่ประสีประสากับธรรมะอะไรเลย มันก็เกิดของตัวเอง ก็เป็นผู้แพ้ แพ้ก็แพ้ไม่มีปัญหาอะไร แพ้ก็ตามชะตากรรมไป ชะตามันเป็นเช่นนั้น อาตมาบอกว่าไม่ใช่แพ้ชะตากรรม แต่แพ้ชะตาทราม แต่ใจของอาตมาไม่มีปัญหา ใจอาตมาไม่มีแพ้ไม่มีชนะ มีแต่รู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น
_พร พรพิมล · กราบนมัสการพ่อครูค่ะ
ดิฉันทราบมาว่า ท่านอาจารย์ ยุทธวโร มีโรคร้ายในร่างกายของท่าน (ไวรัสตับอักเสบ B) ถ้าร่างกายอ่อนแอเมื่อใด โรคร้ายนั้นก็จะกำเริบขึ้นมา ดิฉันคิดว่า ด้วยเหตุนี้ท่านอาจใช้สถานที่และสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ในการบำบัดรักษาตัวก็ได้นะคะ ถ้าความคิดเห็นนี้ผิดพลาดประการใด ดิฉันกราบขออภัยด้วยค่ะ
กราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า..ก็เป็นวิบากใครวิบากมัน อาตมาก็ถือว่าโรคไอ รักษาไม่หายเหมือนกัน ขนาดไปรักษากับหมอใหญ่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลวิชัยยุทธเลย รักษามาหลายปีสุดท้ายหมอก็ลงมติว่า ก็คงพอกันเท่านี้ล่ะครับ คงรักษาไม่ดีขึ้นกว่านี้หรอก เพราะมันสรุปได้ว่าเป็นเรื่องของ Aging เป็นเรื่องเป็นไปตามวัย ก็จะต้องเสื่อมไปตามเหตุปัจจัย ก็เลยไม่คิดอ่านจะรักษาอะไร ถือว่าเป็นโรควิบาก
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน มรรคผลทางศาสนาของสันติอโศก
ทีนี้มา ตามที่ มีผู้ที่ เฟสบุคมา
มณี ศรียงค์ .
สันติอโศกสร้างความแตกแยกคนไทยด้วยมิจฉาทิฐิของโพธิรักษ์จนยากจะเป็นเหมือนเดิม พ่อครูและพลพรรคบาปมากนรกภูมิเป็นคติ แตกแยกทางธรรมด้วยความหลงความบ้าในอัตตาของตน มันมีกจะเป็นอย่างนี้พอตั้งสำนักก็จะบ้าตัวตน..พระพุทธเจ้าฉันมังสวิรัตหรอและทำไมไม่มี บัญญัติเป็นศีลห้ามพระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ อุบาทว์ เทวทัตจริงๆ
พ่อครูว่า..ก็เป็นความรู้สึกของเขาที่ได้ฟังการสอนธรรมะของอาตมา ตั้งแต่ความเห็นแรกว่า อาตมานี่ก่อความแตกแยก แล้วก็บอกว่าอาตมามิจฉาทิฏฐิและจะบาปมาก
ก็ขอตอบอย่างเข้าใจ ในความรู้สึกของท่านทั้งหลาย จะรู้สึกอย่างคนๆนี้อีกเยอะ เพราะอาตมาเกิดมาในยุคนี้รู้มาตั้งแต่ต้นเลย ถ้าอาตมาพูดถึงสัจธรรมนี้ มันจะตรงกันข้ามมันจะขัดแย้งกันกับสิ่งที่เขายึดถือกันแล้วในยุคนี้ เถรสมาคมทั้งเถรสมาคม พุทธศาสนาทั่วประเทศไทย จะเข้าใจศาสนาในแนวเทวนิยมที่ผิดเพี้ยนไปจากสัจจะของพระพุทธเจ้า เมื่อพูดอย่างนี้ ก็เท่ากับทำให้เขาเข้าใจว่า ที่นับถือกันทั้งประเทศไทยทั้งมหาเถรสมาคมทั้งประเทศไทยนั้นผิดหมด โพธิรักษ์ถูกคนเดียวใช่ไหม อาตมาก็ขอตอบตรงๆว่าใช่ อาตมาถูกคนเดียว นอกนั้นผิดกันทั้งนั้น ผิดมากหรือผิดน้อย ผู้ที่จะถือว่าสัมมาทิฏฐิตรงกับที่อาตมาเข้าใจนั้นหาไม่ได้เลย แม้ท่านบางท่านจะฟังอาตมาพอเข้าใจแล้ว รู้ว่าจะมาก็ถูกแต่ท่านจะไม่ยอมรับว่าอาตมาถูก แม้ท่านจะเข้าใจแต่ก็ไม่ยอมรับ เพราะว่าสังคมถูกครอบงำกันทั้งสังคม จะต้องเชื่ออย่างเถรสมาคม จะต้องเชื่อความเห็นรวมที่หมู่ชาวพุทธนับถือกัน
แม้จะเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน ก็เพราะว่าทุกอย่างที่อาตมาพูด แล้วจะขัดแย้งกับสิ่งที่เขาทำก็จะเข้าใจขึ้น แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับ ว่าจะมานำสิ่งที่ถูกมา มาแสดงออก ว่าศาสนาพุทธต้องเป็นอย่างโพธิรักษ์ ควรจะแก้ไขอย่างนี้ๆ จะไม่มีใครกล้าแม้แต่ครึ่งคน คนหนึ่งก็ไม่มี แม้แต่ครึ่งคนก็ยังไม่มี เพราะว่าถูกครอบงำทางความคิด ถูกครอบงำทางอำนาจอิทธิพลหมดแล้ว
อาตมาบรรยายธรรมะอย่างขัดแย้งตรงกันข้ามกันเกือบทั้งหมดเลย ใช้คำว่าอาตมาถูก ฝ่ายโน้นผิด เพราะฉะนั้นฝ่ายโน้นยึดถือว่าเขาถูกก็ต้องบอกว่าเขาถูก มีแต่ผิดกับถูกเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะมา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) ไม่มีอะไรจะมาอนุโลม ไม่มีอะไรไปด้วยกันมาด้วยกันได้ มันเป็นเช่นนั้น แยกขาวแยกดำแยกผิดแยกถูก อย่างนั้นจริงๆ
เขารู้สึกอย่างนั้นก็ถูก อาตมาเองรู้สึกอย่างนั้นก็ต้องถูกด้วย เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจะต้องแก้สิ่งผิดนี้มาให้ถูก เขาว่าอาตมาผิด อาตมาก็ว่าเขาผิด เพราะฉะนั้นต่างคนต่างก็จะยืนยันสิ่งที่ตนเองว่าถูกแน่นอน ต่างคนต่างก็จะยืนยันสิ่งที่ตนเองว่าถูก แล้วก็พยายามอธิบาย ขยายความหาหลักฐานอ้างอิง อาตมาเองก็เหมือนกัน ก็ต้องพยายามหาหลักฐานอ้างอิง ทุกอย่าง
อาตมาเองมาทำงานศาสนาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้ เริ่มต้นโดยวิธีการสอนศาสนาด้วยศีล 2 พากันให้สร้างสมาธิ สมาธิพระพุทธเจ้าคือสมาธิประจำวัน สมาธิอยู่กับตัว อย่างได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 แล้วก็มีปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ มีวิมุติไปตามลำดับ
อาตมาสอนและเผยแพร่อย่างนั้นตั้งแต่ต้นจนเดี๋ยวนี้ ก็มีคนฟังรู้เรื่อง ตั้งแต่อาตมาเริ่มสอน ก็เริ่มมีคนมาเป็นหมู่เป็นพวก จนกระทั่งเกิดชุมชนหมู่กลุ่มของชาวอโศกมาจนถึงทุกวันนี้ จึงเกิดชุมชนหมู่กลุ่ม ที่มีไตรสิกขา จนเดี๋ยวนี้มีหมู่กลุ่มชาวพุทธที่อยู่ในครรลองของไตรสิกขา จนกระทั่งดำเนินชีวิตด้วยไตรสิกขา มีสมาธิกันอย่างเป็นสัมมาสมาธิ มีศีลกัน
หมู่บ้านของชาวอโศกทั้งหมู่บ้านปฏิบัติศีลกันทุกหมู่บ้าน ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็ยังเป็นหมู่บ้านที่มีศีล สังวรศีล เด็กเข้ามาเรียนในโรงเรียนชาวอโศกก็ต้องมีศีล ผิดศีลไม่ได้ นักเรียนอยู่ในนี้ก็ผิดศีลไม่ได้ ไม่ต้องห่วงเลยว่าเด็กสัมมาสิกขาชาวอโศกจะไปบ้าบอเหมือนเด็กนักเรียนข้างนอก เพราะว่าเด็กพวกนี้นี่ถือศีล ไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ในศีล 5 เป็นเบื้องต้นทั้งนั้น ปฏิบัติผิดก็ชำระกันจริงๆ
จึงเป็นหลักประกันได้เลยว่าเด็กของสัมมาสิกขา จะไม่เป็นเด็กแว้น อย่างที่เขาเป็นกันอยู่ ได้ข่าวว่าโรงเรียนข้างนอกนั่นเละเทะ อาตมาภาคภูมิใจว่าได้ทำส่วนหนึ่งแม้จะเป็นจุดเล็กๆไม่ได้มากนัก ไม่ได้มีใครส่งเสริม ทางรัฐบาลไม่ได้ส่งเสริม แม้แต่ทาง NGO พวกอะไรๆก็ไม่ได้มาช่วยส่งเสริมชาวอโศก ก็ทำไปอย่างเดียวดายอย่างนั้น แต่ก็เห็นว่ามันไม่เป็นหมัน มันไม่สูญเปล่า ทำแล้วมันเกิดผล สร้างคนให้เป็นคนที่มีศีล มีธรรม มีการศึกษาที่ดีเกิดได้จริง พัฒนาตัวเองเป็นคนดีของสังคม
อันนี้อาตมาว่า ได้ช่วยรัฐบาลอันนี้จริงๆ ได้ช่วยประเทศชาติไทยวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ตาม ผ่านมากี่ชุดแล้วไม่รู้ ตั้งแต่ก่อนทักษิณ
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นอันเดียวกับผู้ที่บริหารประเทศชาติ ต้องการให้ประชาชน
อยู่เย็นเป็นสุข เป็นสำนวนโบราณไทยไทย คือความสงบเรียบร้อย ชาวอโศกนั้นเป็นประชาชนที่ได้รับผลของศาสนาไตรสิกขาแล้ว จึงเป็นประชากรกลุ่มหนึ่ง ที่ไม่ก่อความวุ่นวายเดือดร้อนให้กับประเทศชาติ ตั้งแต่ทำงานมาจนถึงทุกวันนี้ ชาวอโศกไม่เคยมีเรื่องราวคดีอะไร ที่จะกระทำให้ประเทศชาติเกิดความเดือดร้อน มีแต่เบาใจประเทศชาติ ผู้บริหารจะเบาใจในชาวอโศกทั้งหมด จะไม่เหมือนชาวอะไรอื่นๆ ที่รัฐบาลก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้แต่สำนักอื่นที่สอนศาสนานั้น ก่อเรื่องเยอะแยะเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำนักศาสนาก่อเรื่อง สำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างเช่นสำนักปฏิบัติธรรมของ ธรรมกาย ก่อเรื่องจนกระทั่ง ต้องใช้มาตรา 44 ไปปราบ วัดนี้เป็นต้น มันร้ายแรงอย่างนั้น ที่อื่นๆ ฯลฯ สำนักอื่นๆก็ออกนอกศาสนาพระพุทธเจ้า ร้ายแรงเหมือนกัน
ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีหรอกที่จะเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ที่เรียกว่า อารามหรือวัด หรือว่าหมู่กลุ่มของภิกษุ หมู่กลุ่มของพระที่ดำเนินอยู่ในอารามใดก็ตาม แล้วก็จะใช้อารามนั้นเป็นสถานเรี่ยไร แล้วการเรี่ยไรไม่มีในศาสนาพุทธ แต่ทุกวันนี้มันเสื่อม กลายเป็นโครงการธรรมะ เรี่ยไรเป็นธรรมดา มันลามไปถึงทอดผ้าป่าทอดกฐิน จัดงานวัดหาเงินหาทองทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่ศาสนาพุทธเลย เสื่อมสิ้นซากของศาสนาพุทธไปหมดแล้ว
ศาสนาพุทธ วัดวาอารามของศาสนาพุทธที่จัดงานหาเงินให้แก่วัดนั้น ไม่ใช่ศาสนาพุทธสักวัด วัดต้องไม่จัดงานหาเงิน วัดมีแต่อบรมให้การศึกษา ไตรสิกขา เพราะฉะนั้น กิจใดหาเงิน กิจนั้นไม่ใช่กิจของวัดเลย ไม่ว่าวัดใดๆ
อาตมาผ่านตา ดูโทรทัศน์ช่องดีดีทีวี ก็พูดกันมี 2 องค์มีพระ 2 รูป พูดผ่านๆว่า เดี๋ยวนี้คนก็ว่าถ้าจะทำบุญทำทาน ก็ไม่ทำบุญทำทานกับวัดแล้ว ไปทำบุญทำทานกับโรงพยาบาลหมด แสดงว่าพ้อ ลืมวัดวาแล้ว นี่คงพาดพิงไปถึง นายตูน Bodyslam ตอนนี้ก็ได้เงินมาไม่เคยบอกว่าจะไปแจกให้วัด บอกแต่ว่าจะไปบริจาคให้โรงพยาบาล ก็เลยน้อยใจ บริจาคให้วัดก็ไม่ได้ ยังค้างค่าโทรทัศน์ดาวเทียมอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้นะ..
พูดถึงโทรทัศน์ช่องบุญนิยมทีวีไม่เคยเรี่ยไร คนจะมาบริจาคช่วยโทรทัศน์ก็ไม่รับ ไม่มีโฆษณา ไม่หาเงิน หากจะบริจาคช่วยเพราะรู้ว่ามีค่าเช่าสัญญาณดาวเทียม เดือนหนึ่งตั้งหลายแสน นอกจากคุณจะอยู่ในกติกา คือจะต้องรู้จักชาวอโศก ต้องมาวัดวาชาวอโศก ต้องมาอยู่ศึกษาอย่างน้อย 7 ครั้งเป็นต้นไป ถึงจะมีสิทธิ์บริจาค เราไม่เคยคิดว่าสถานีจะไปรอดด้วยเงินบริจาค ตั้งแต่ตั้งสถานีโทรทัศน์ก็หาทางพึ่งพาตัวเอง โดยทำเรื่องของขยะ ทุกวันนี้ก็ได้อาศัยเงินจากขยะเป็นหลัก มาจ่ายค่าอย่างน้อยก็ค่าดาวเทียม นอกนั้นก็ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเดือนนึงก็เป็นล้านขึ้นไป จะเท่าไหร่ก็ไม่ได้ไปดู
ชุมชนชาวอโศกนั้นอาตมาพาทำได้สำเร็จคือไม่เป็นหนี้ มีแต่ยืมกันในชุมชนชาวอโศก ที่เป็นองค์รวมเป็นส่วนรวม ยืมกันไปบริหารทำงาน เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ก้อนเงิน ก็ยืมจากส่วนกลาง หรือส่วนของพี่ เช่น ขณะนี้ ชุมชนชาวอโศกที่มีชุมชนเกิดก่อนเพื่อนคือชุมชนปฐมอโศกเป็นพี่โตสูงสุด ก็ดำเนินกิจการ ของชุมชน ทุกวันนี้อยู่ได้สบายเลี้ยงตัวรอดมีส่วนเกินก็เอาไปเลี้ยงดูน้องๆ อย่างปฐมอโศก เดือนหนึ่งก็ให้มาเป็นล้าน เห็นว่า ถ้ามีเงินคงคลังพอแล้ว เขาตั้งไว้ว่า มี 20 ล้านถ้ามีเงินเกิน กว่า 20 ล้านก็จะปัดเศษให้เลย จะเท่าไหร่ ก็ให้มา ให้อาตมาเอามาช่วยน้องๆทั้งหมด เขาว่าไว้อย่างนั้น ก็หลายเดือนมาแล้วล่ะ เดือนที่แล้วก็ล้านห้าแสนกว่า เป็นต้น
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน โรงเรียนของชาวอโศกเป็นแบบบวร
เป็นเรื่องของเงินทองเป็นเรื่องของชุมชน อาตมาทำงานศาสนา จะไม่เหมือนกับทางศาสนากระแสหลักทำงานศาสนา อาตมาทำงานศาสนามันแปลก ตรงที่ว่า มันทำงานแล้วเกิดบวร เกิดบ้านวัดโรงเรียน เพราะฉะนั้นในชุมชนจะมีบ้านวัดโรงเรียน เกิดชุมชนนั่นแหละคือเกิดบ้าน อาตมาทำงานศาสนาและมันเกิดอย่างนั้น มันไม่เกิดโดดเดี่ยว ไม่ใช่ว่า วัดเขาอยู่โดดเดี่ยว บ้านและโรงเรียนก็โดดเดี่ยวไปบริหารกันเอง มันไม่ใช่อย่างนั้น
มันเป็นมาตั้งแต่ต้นเลยเรื่องบวร ชาวอโศกมีบ้านวัดโรงเรียนมาตั้งแต่ต้น แต่อาตมาไม่ได้มาชี้ มาดึงมาพูดให้ชัดเป็นบ้านวัดโรงเรียนสามเส้า แต่มันเป็นมาตั้งแต่ต้น แต่ทางกระแสหลักนั้นเขาแตกแยก วัดก็จะมีกำแพงใหญ่ที่ขอบเขตไปด้วย ว่านี่ขอบเขตวัด
แต่ก่อนมีโรงเรียนอยู่ในวัด แต่เดี๋ยวนี้แยกโรงเรียนออกไปหมดแล้ว มีวัดที่สอนบาลีอยู่บ้าง แต่ของชาวอโศกนี้มีครบบ้านวัดโรงเรียน แต่ของทางด้านโน้นแยกกันหมด เดี๋ยวนี้แยกชัดแล้วบ้านวัดโรงเรียน
สมณะฟ้าไทว่า...ของเขานี้ยิ่งอยู่ยิ่งแยก แต่ของพ่อครูยิ่งอยู่ยิ่งรวมยิ่งเป็นอันเดียว
พ่อครูว่า อยู่รวมกันเป็นสังคมองค์รวม มีพระสมณะอยู่ร่วมฆราวาสญาติโยม มีเด็ก มีโรงเรียน สอนการศึกษา ที่เอาเยาวชนให้การศึกษามาพร้อมกับสอนธรรมะ ผู้ใหญ่ไม่ต้องเข้าโรงเรียนแล้วก็ไม่เป็นไร ก็สอนธรรมะ แต่ว่าเด็กๆต้องสอนการศึกษาหลักสูตรทางกระทรวงเขาด้วย โลกเขาเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็ช่วยหมด เราก็มีการศึกษาอย่างนั้นหมด แต่จริงๆแล้วก็คือบ้านมีการสอนธรรมะ มีโรงเรียน เรามีทั้ง 3 อย่างนี้
ทีนี้ ไปเข้าใจว่าโรงเรียนนี้สอนเด็ก แต่ที่จริงแล้วโรงเรียนมีการสอนธรรมะ เราก็เลยพ่วงเด็ก แต่จริงๆแล้วตั้งใจว่ามีโรงเรียนเพื่อสอนธรรมะกับประชากร แต่อาตมาก็น่าเสียดายและน่าสงสาร คนที่เข้ามาในวัด มารับธรรมะ ฟังเทศน์ ทำกิจอะไรที่จะเป็นทานศีลภาวนา วัดอโศกหรือว่า ชุมชนชาวอโศก คนที่เขาเป็นพุทธศาสนิกชนนั้น บอกว่าวัดอโศก มันใช่วัดพุทธศาสนาหรือเปล่า ก็จะไม่เข้ามา คนเข้ามานั้นคือคนที่เข้าใจและก็จะมา แล้วก็จะมีจำนวนเท่านี้ จำนวนที่จะเติมมากันทั้งหมู่บ้าน ทั้งญาติใกล้ไกล แหม? ไม่ค่อยมี
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นแต่หน้าซ้ำๆเก่าๆ หน้ามีสนิมมีอะไรอย่างนี้ สนิมอโศก อยู่อย่างนี้ ไม่ค่อยมีหน้าแปลกๆใหม่ๆ หน้าโลกีย์ ผ่องๆผุดๆ มีฉาบไปด้วยราศีของโลกีย์ไม่ค่อยมี ซึ่งก็ดีนะ มันเป็นกำแพงไร้สภาพที่คนมานั้นเข้าไม่ติด คนที่ไม่ชัดเจนในเนื้อหาสาระ เพราะอะไร เพราะว่าอโศกนี่คือแดนพุทธ แผ่นดินพุทธ คนเข้ามาในที่นี้คือคนพุทธ มีปฏิภาณปัญญารู้ว่าจะต้องเข้ามาศึกษา ต้องมาทำทานศีลภาวนาในแผ่นดินพุทธ แดนอื่น ขออภัย มันไม่ใช่แดนพุทธแล้ว คนที่มีปัญญาจึงเข้ามาศึกษาในแดนนี้ ถ้าคนไม่มีปัญญาไม่มาเอาหรอก คนที่เข้ามานั้นมีปัญญารู้ว่าพุทธเป็นอย่างนี้เอง
ถึงกระนั้นก็ตามคนรู้ว่าแดนนี้เป็นแดนพุทธ แต่ก็ไม่กล้าเข้ามา เพราะว่าเจียมตัว สอง ถ้าเข้ามาแล้ว ไม่กล้านั่นแหละหนึ่งเจียมตัวว่า เข้ามาแล้วเราจะปฏิบัติได้หรือไม่นะเขาอยู่กันอย่างเคร่งครัด ที่จริงแล้วเราไม่ได้แกล้ง เรายังมีทางที่จะไปสู่ความสูงได้อีกตั้งเยอะ เรามีสัมมาทิฏฐิ จุดสัมมาทิฏฐิอยู่ตรงนี้ ที่ศาสนาพุทธเป็นอยู่นั้นมันมิจฉาทิฐิทางโน้น ตรงนี้ถูก หากใกล้ที่สุดก็ถูก แต่มันไม่ค่อยใกล้หรอก ชาวพุทธในประเทศไทยไปออกห่างจากจุดสัมมาทิฏฐิมากมาย เราเริ่มเดินไปทางสัมมาทิฏฐิได้นิดเดียว เขาก็หาว่าเราสุดโต่ง ทั้งที่คุณนั้นสุดโต่งไปทางขุมนรกไปไกล เขาก็มองจากจุดโน้นมา ไม่เข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิ หรือจุดเริ่มต้นที่จะเข้ากระแสศาสนาพุทธมันอยู่ตรงไหน
สมณะฟ้าไทว่า...ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรบอกว่าความสุดโต่งนั้นมี 2 ทางคือกามกับอัตตา
พ่อครูว่า...เราล้างทั้งกามและอัตตา แต่เขาสุดโต่งไปทั้งกามและอัตตา เขาแตกกันเองว่าเป็น พระป่า พระบ้าน คามวาสีอรัญญวาสีเขาไปตั้งเองในศาสนาพุทธไม่มีหรอก เขาแยกกันเอง อาตมาเอาจุดผิดมาเปิดเผย เป็นจุดไม่ดีเอามาพูด พูดไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร เลี่ยงไม่ออกที่จะต้องพูด
ถ้าพูดสิ่งที่ผิดสิ่งที่ไม่ดีก็เข้ากระแสหลักที่สังคมชาวพุทธเป็นกันทั้งประเทศ มาพูดสิ่งที่ถูกมันก็ ดันมาถูกต้องในชาวอโศกก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันเลี่ยงไม่ออกจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ส่วนคนกลางๆ ก็เชิญ ถ้าเห็นว่าชาวพุทธถูกต้องคือชาวอโศกก็เข้ามา อยากให้มาศึกษามาเข้ามารับ ไม่ต้องกลัวหรอก พูดไปแล้วว่าเขารู้ว่าอโศกนั้นถูก แต่เขาไม่กล้ามาเพราะว่ากระแสอิทธิพลครอบงำอโศกไว้ อย่าเข้ามานะที่นี่ เดี๋ยวไปทางโน้นไม่ได้เลย ไปวัดโน้นไม่ได้เลย มันเป็นอิทธิพลใหญ่ กลัวจะถูกล้างสมอง เขาไม่กล้า เขารู้ว่าดีแต่ไม่กล้ามา เพราะกลัวจะเข้าวัดโน้นไม่ได้ เพราะเขาต้องอยู่กับวัดทางโน้น เป็นเรื่องที่เห็นใจมากไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาว่ากล้าๆเถอะ เข้ามาเถอะ เห็นว่าถูกต้องก็มา ถ้าหากเห็นว่าไม่ถูกต้อง เขาก็ไม่มาหรอก เขาก็ว่าก็ด่า
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้เด็กใหม่ๆวัยรุ่น ผู้ที่เป็นชนรุ่นหลังจึงเห็นคล้อยตาม ผู้ที่เอาใจใส่ธรรมะที่ดีที่ถูกบ้างก็จะรู้ตามบ้าง องค์รวม ก็จะบอกว่าธรรมะ ต้องเป็นไปตามกระแสหลักตามที่ประชาชนเห็นไปทางโน้นก็ต้องคอยตาม เขาจะมาทางอโศกไม่ได้ เพราะทางโน้นประกาศว่าอโศกเป็นภัยต่อศาสนา เป็นตัวทำลายศาสนาพุทธ เขาปกาสนียกรรมอย่างนั้นเลย จนเดี๋ยวนี้ก็เป็นตราที่ไม่ถอด อยู่ที่หน้าผากชาวอโศก เป็นอย่างนั้นเลย ก็เป็นเวรเป็นภัยเป็นบาปของเขา ที่มากั้นอันนี้ คนกั้นก็บาป แต่ คนเข้าใจแม้จะรู้ว่าถูกต้องก็ยังไม่กล้าเข้ามาสู่อโศก คนที่เข้ามาอโศกโดยไม่เคอะเขิน เข้ามาอย่างไม่หวั่นเกรงทางโน้นเลย โอ้โห เป็นคนที่มีใจกล้าหาญมาก ที่แหวกค่านิยมองค์รวม สังคมส่วนใหญ่ของประเทศ เข้ามาอยู่ศึกษา มาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศก มาทำงานร่วมกับชาวอโศก กล้ามาก ไม่ได้แกล้งพูด
สมณะฟ้าไทว่า...แม้แต่เด็กนักเรียนพ่อแม่จะพามาเรียนถ้าไม่แน่จริงๆไม่กล้า
มาสมัคร
พ่อครูว่า..เด็กนักเรียนที่กล้ามาเรียนที่นี่ หากว่าพ่อแม่ไม่กล้าจริง 2 พ่อแม่จน ก็ส่งมาเรียนที่นี่ เพราะว่าที่นี่ไม่ได้เก็บสตางค์ค่าอะไรเลย ค่าบำรุงค่าอะไรก็ไม่มีเลย นอกจากไม่เก็บค่าอะไรแล้ว เลี้ยงทุกอย่างเหมือนลูกเหมือนหลาน พ่อแม่เมื่อเอาเด็กมาไว้ที่นี่ก็ไปทำมาหากินของคุณเองเลย นอกจากเด็กจะอ้อนขอเงินมาใช้ ซื้อขนมมากิน แต่ที่นี่ก็มีให้แล้ว ไม่อยากไปรบกวนที่บ้านเลย เด็กส่วนใหญ่ก็ไม่ไปรบกวนอะไรมากมาย คือช่วยสังคม ช่วยประชาชน เลี้ยงลูกให้ประชาชน ช่วยสอนเด็กให้มีความรู้ เบื้องต้นในชั้นประถมมัธยม ตามหลักสูตรของกระทรวง ช่วยรัฐบาล ชุมชนชาวอโศกทำอย่างนั้นทั้งนั้น ที่ตั้งโรงเรียนมาก็ช่วยรัฐบาล
สมณะฟ้าไทว่า...แม้แต่เงินค่าหัวของรัฐบาลที่ให้มาใช้ในการสอนเด็ก หากเราใช้เหลือเราก็คืนรัฐบาล บางอย่างเราไม่เห็นว่าจำเป็นจะต้องซื้อ เราก็ไม่ได้ซื้อให้แล้วเราก็คืนเงินทางรัฐบาลไป
พ่อครูว่า...พูดไปแล้วก็เหมือนกับคุยตัว วันนี้ไม่เจตนาเอาเรื่องนี้มาพูดนะ แต่พูดไปพูดมามันก็เป็นอิทัปปัจจยตา จริงๆแล้วอาตมาว่า อาตมาเกิดมาเป็น มนุษย์แล้วมาทำงานทางด้านสังคม ทางด้านศาสนา อาตมาว่าได้มาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า ได้ช่วยประเทศชาติได้ช่วยสังคมและช่วยมนุษยชาติ จริงๆ โดยศาสนา จะช่วยได้ คนที่มาปฏิบัติธรรมมาเรียนรู้กับชาวอโศก จะอยู่เย็นเป็นสุข ตามที่รัฐบาลต้องการทั้งนั้น เพราะฉะนั้นประชากรประชาชนมาปฏิบัติธรรม กับชาวอโศกแล้วจะไม่มีปัญหาจะอยู่สงบสุขเป็นพลเมืองดีของสังคม ตามที่ผู้บริหารประเทศต้องการทั้งนั้นขอยืนยัน จะผิดกฎหมาย จะมีศีลมีธรรม จะทำสัมมาอาชีพจะไม่เกิดเรื่องเดือดร้อนอะไรต่ออะไรต่างๆนานา บริหารง่าย ตามที่ผู้บริหารประเทศต้องการได้หมด
สมณะฟ้าไทว่า...เราพาเด็กทำงาน เขามีประเทศไทย 4.0 จะมีเทคโนโลยีอะไรมากมาย ของเราให้เด็กไปจับเคียวเกี่ยวข้าวแบกข้าว มันตรงกันข้ามกับเขาเลย แต่ของเราเด็กจะมีความสงบสุข ไม่มีความวุ่นวายแบบนั้น เขาทำไปอย่างสนุกสนานตามประสา
เรามีเป้าหมายว่า ทุกวันนี้ ปกครองประชาชนยาก แต่เราอยู่กับเด็กอย่างมีความสุข สุขภาพกายและใจก็ดีไม่เดือดร้อน
พ่อครูว่า...เด็กของชาวอโศกจะไม่มีเด็กที่ไปตีกันเป็นเด็กแว้น ตามที่เป็นปัญหาของสังคมนักเรียน มีปัญหา กามด้วย โทสมูลด้วย ไม่มี
สมณะฟ้าไทว่า..ถ้ามีเทคโนโลยีก็จะตีกัน มีเคียวอยู่ในมือ ถ้าจิตใจไม่ดีก็จะตีกันได้แต่เราไม่มี ทำได้อย่างสงบสุขตามประสา
พ่อครูว่า...พูดไปก็เหมือนกับยกยอตัวเองมากมายก็ต้องขออภัยหากใครรู้สึก อย่างนั้น
_เด็กเล็กของเราก็ถามมาว่า หลวงปู่คะ ด.ญ.ใสเสมอ แม้นมาลัย พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ถูกต้องที่สุดใช่ไหมคะ (ถูกต้องทุกอย่าง )
ตอบ...ถูกต้องใช่แล้ว พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ถูกต้องที่สุด ก็ต้องพยายามศึกษาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไรเอาไว้ ก็พยายามเรียนรู้แล้วทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าดีที่สุดถูกที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำสติเต็มร้อยด้วยสามัญผลสูตร
_ด.ญ.เพชรเพียงพุทธ นิยมพุทธ ถามว่า หลวงปู่คะ การนั่งสมาธิเป็นการอยู่กับอดีตและปัจจุบันใช่ไหมคะ แต่การนั่งสมาธิมีส่วนทำให้เรามีสติได้หรือเปล่า
พ่อครูว่า..การนั่งสมาธิคือส่วนที่อยู่กับอดีตและปัจจุบันใช่ไหมคะ ที่จริงแล้วการนั่งสมาธินั้นอยู่กับอดีตและอนาคตมากกว่า ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ความหมายคำว่าปัจจุบันนั้น จะต้องพร้อมกับอยู่กับโลก ลืมตาไม่ใช่หลับตา หากหลับตาก็จะจมในอดีตและอนาคต ฟุ้งไปกับอดีตและอนาคต คือสิ่งที่ไม่มีความจริง ถ้าหากลืมตาแล้วจะมีความจริงได้ว่าปัจจุบัน ถ้าหลับตาแล้วไม่มีความจริง หลับตาแล้วมีแต่อดีตกับอนาคต ที่ถามมาว่า การนั่งสมาธิ คือการอยู่กับอดีตและปัจจุบันใช่ไหม? ไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน จะอยู่กับอดีตกับอนาคต แต่การนั่งสมาธิก็มีส่วนทำให้เรามีสติหรือเปล่า?
ขออภัย ตอนนี้เด็กๆถามแต่ต้องอธิบายให้ผู้ใหญ่ผู้ที่จบเปรียญ 9 ให้พูดที่เป็นดอกเตอร์ทางพุทธศาสนา ฟังเลย
การนั่งสมาธินั้นจะหลับตาเข้าไปอยู่ในภพ มีส่วนทำให้เรามีสติหรือเปล่าคะ? ตอบ … ไม่มีสติ คำว่าสติ แปลว่าร้อย มาจากรากศัพท์คำว่าร้อยต้องระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม สติแปลว่าการระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม การนั่งหลับตาเข้าไปแล้ว ที่จะระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมในตาหูจมูกลิ้นกายใจหายไปหมด ไม่รู้ เพราะสติไม่เต็ม สตังค์ ไม่เต็มร้อย สตังค์นั้นร้อยเป็นบาท การนั่งหลับตาจึงเป็นคนทำสมาธิไม่เต็มบาทเพราะไม่เต็มร้อย คนนั่งหลับตาทำสมาธิคือคนไม่เต็มบาท ก็บอกว่า ผู้ที่เป็นเปรียญเป็นนักธรรม ฟังให้ดี
อาตมาตีการนั่งหลับตาทำสมาธินั้นมาตั้งแต่ต้น จนเดี๋ยวนี้ก็ยังพูดอยู่ เขาก็เอาหูทวนลมกัน คือฝังใจ เป็นอภินิเวสายะว่า การทำสมาธิต้องหลับตา สมาธิลืมตาไม่มี ขอยืนยันว่าการทำสมาธิแบบหลับตานั้น พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าเป็นสมาธินอกรีต สมาธินั้นมีตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติ พระพุทธเจ้าก็ไปที่ป่า ตามค่านิยมของสังคมในยุคนั้นว่าปฏิบัติธรรมนักปฏิบัติธรรมต้องอยู่ป่า เข้าไปดูซิว่าเขาจะทำสมาธิอย่างไร เขาก็นั่งสมาธิหลับตา ไปเจออาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านก็นั่งได้ฌาน 4 ฌาน 8 ท่านก็ทำได้แล้วท่านก็ทิ้งหมด ตั้งแต่บัดนั้นเลย แล้วท่านก็มาสอนของท่าน สามัญญผลสูตร
อ่านตั้งแต่ข้อ 1 ไปเลย
2. สามัญญผลสูตร
______________
เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู
[91] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับ ณ สวนอัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ใกล้พระนครราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 1250 รูป วันนั้นเป็นวันอุโบสถ 15 ค่ำเป็นวันครบ 4 เดือน ฤดูดอกโกมุทบาน ในราตรีเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรูเวเทหีบุตร แวดล้อมด้วยราชอำมาตย์ประทับนั่ง ณ พระมหาปราสาทชั้นบน.
ขณะนั้น ท้าวเธอทรงเปล่งพระอุทานว่า ดูกรอำมาตย์ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่ารื่นรมย์หนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง ช่างงามจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่าชมจริงหนอราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง น่าเบิกบานจริงหนอ ราตรีมีดวงเดือนแจ่มกระจ่าง เข้าลักษณะจริงหนอ วันนี้เราควรจะเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดดีหนอ ซึ่งจิตของเราผู้เข้าไปหาพึงเลื่อมใสได้. ครั้นท้าวเธอดำรัสอย่างนี้แล้ว อำมาตย์ผู้หนึ่งจึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านปูรณกัสสป ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ
เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปูรณะ กัสสปนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปูรณะ กัสสป พระหฤทัยพึงเลื่อมใส. เมื่ออำมาตย์ผู้นั้น กราบทูลอย่างนี้แล้วท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่.
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านมักขลิ โคศาล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านมักขลิ โคศาลนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านมักขลิ โคศาล พระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่.
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านอชิต เกสกัมพล ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหา
ท่านอชิต เกสกัมพล นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านอชิต เกสกัมพลพระหฤทัยพึงเลื่อมใส เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่.
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านปกุธะ กัจจายนะ ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี เป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปกุธะกัจจายนะนั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านปกุธะ กัจจายนะ พระหฤทัยพึงเลื่อมใส. เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่.
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร ปรากฏว่าเป็น
เจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านสญชัย เวลัฏฐบุตร นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร พระหฤทัยพึงเลื่อมใส. เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่.
อำมาตย์อีกคนหนึ่ง จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ท่านนิครนถ์ นาฏบุตร ปรากฏว่าเป็นเจ้าหมู่ เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดีเป็นคนเก่าแก่ บวชมานาน มีอายุล่วงกาล ผ่านวัยมาโดยลำดับ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านนิครนถ์ นาฏบุตร นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้า ฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาท่านนิครนถ์นาฏบุตร พระหฤทัยพึงเลื่อมใส. เมื่ออำมาตย์ผู้นั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว ท้าวเธอก็ทรงนิ่งอยู่. พ่อครูว่า เช่นกัน สำนักชาวอโศกนี้เขาจะถือว่าเป็นสำนักจัณฑาลเลยถ้าเปรียบเทียบกับในยุคนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากมากเลย ยากกว่าจัณฑาล ยากยิ่งกว่าด็อกเตอร์เอ็มเบดการ์ ที่เป็นผู้พยายามดึงศาสนาพราหมณ์เข้ามาหาศาสนาพุทธ เป็นผู้ที่ศรัทธาในศาสนาพุทธ แล้วก็ดึงศาสนาพุทธมาในอินเดียแต่ก็ยังยาก โพธิรักษ์ยากกว่าเป็นร้อยเท่า หนึ่งในวงการศาสนาพุทธ ประเทศไทยเป็นวงการศาสนา ส่วนจัณฑาลโพธิรักษ์ ดึงศาสนาคืนมายากกว่าด็อกเตอร์เอ็มเบดการ์ดึงศาสนาพุทธในอินเดียขึ้นมาในยุคนั้น จริงๆนะ อาตมาพูดให้ฟัง
กถาปรารภพระพุทธคุณ
[92] สมัยนั้น หมอชีวก โกมารภัจจ์ นั่งนิ่งอยู่ในที่ไม่ไกลพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า อชาตศัตรู เวเทหีบุตร. ท้าวเธอจึงมีพระราชดำรัสกะหมอชีวก โกมารภัจจ์ ว่า ชีวกผู้สหาย เธอทำไมจึงนิ่งเสียเล่า, หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า ขอเดชะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ สวนอัมพวันของข้าพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 1250 รูป พระเกียรติศัพท์อันงามของพระองค์ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรมดังนี้ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด เห็นด้วยเกล้าฯ ว่า เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระฤทัยพึงเลื่อมใส ท้าวเธอจึงมีพระราชดำรัสว่า ชีวกผู้สหาย ถ้าอย่างนั้น ท่านจงสั่งให้เตรียมหัตถียานไว้. หมอชีวก โกมารภัจจ์ รับสนองพระราชโองการแล้ว สั่งให้เตรียมช้างพังประมาณ 500 เชือก และช้างพระที่นั่งเสร็จแล้ว จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าสั่งให้เตรียมหัตถียาน พร้อมแล้ว เชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จได้ พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น ท้าวเธอโปรดให้พวกสตรีขึ้นช้างพัง 500 เชือกๆ ละนาง แล้วจึงทรงช้างพระที่นั่งมีผู้ถือคบเพลิง เสด็จออกจากพระนครราชคฤห์ ด้วยพระราชานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ เสด็จไปสวนอัมพวันของหมอชีวก โกมารภัจจ์. พอใกล้จะถึง ท้าวเธอเกิดทรงหวาดหวั่นครั่นคร้าม และทรงมีความสยดสยองขึ้น ครั้นท้าวเธอทรงกลัว ทรงหวาดหวั่น มีพระโลมชาตชูชันแล้ว จึงตรัสกับหมอชีวก โกมารภัจจ์ว่า ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ลวงเราหรือ ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้หลอกเราหรือ ชีวกผู้สหาย ท่านไม่ได้ล่อเรามาให้ศัตรูหรือ เหตุไฉนเล่า ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ตั้ง 1250 รูป จึงไม่มีเสียงจาม เสียงกระแอม เสียงพึมพำเลย หมอชีวก โกมารภัจจ์กราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าได้ทรงหวาดหวั่นเกรงกลัวเลยพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ลวงพระองค์ไม่ได้หลอกพระองค์ ไม่ได้ล่อพระองค์มาให้ศัตรูเลย พระเจ้าข้า ขอเดชะ เชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิดๆ นั่นประทีปที่โรงกลมยังตามอยู่. ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนช้างพระที่นั่งไปจนสุดทาง เสด็จลงทรงพระดำเนินเข้าประตูโรงกลม แล้วจึงรับสั่งกะหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า ชีวกผู้สหาย ไหนพระผู้มีพระภาค. หมอชีวก โกมารภัจจ์ กราบทูลว่า ขอเดชะนั่นพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งพิงเสากลาง ผินพระพักตร์ไปทางทิศบูรพา ภิกษุสงฆ์แวดล้อมอยู่.
ลำดับนั้น ท้าวเธอเสด็จเข้าไปเฝ้า. พระผู้มีพระภาค ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วทรงชำเลืองเห็นภิกษุสงฆ์นิ่งสงบเหมือนห้วงน้ำใส ทรงเปล่งพระอุทานว่า ขอให้อุทยภัทท์กุมารของเราจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร พระองค์เสด็จมาทั้งความรัก. แล้วท้าวเธอทูลรับว่า พระเจ้าข้า อุทยภัทท์กุมารเป็นที่รักของหม่อมฉันขอให้อุทยภัทท์กุมารของหม่อมฉันจงมีความสงบอย่างภิกษุสงฆ์เดี๋ยวนี้เถิด.
[93] ลำดับนั้น ท้าวเธอทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วทรงประนมอัญชลีแก่ภิกษุสงฆ์ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันจะขอทูลถามปัญหาบางเรื่องสักเล็กน้อย ถ้าพระองค์จะประทานพระวโรกาสพยากรณ์ปัญหาแก่หม่อมฉัน.
พ. เชิญถามเถิด มหาบพิตร ถ้าทรงพระประสงค์.
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง พลม้า พลรถพลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตรพลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณพวกนับคะแนน (นักการบัญชี) หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญบำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้บ้างหรือไม่?
พ. มหาบพิตร ทรงจำได้หรือไม่ว่า ปัญหาข้อนี้ มหาบพิตรได้ตรัสถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว.
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จำได้อยู่ ปัญหาข้อนี้ หม่อมฉันได้ถามสมณพราหมณ์พวกอื่นแล้ว.
พ. ดูกรมหาบพิตร สมณพราหมณ์เหล่านั้นพยากรณ์อย่างไร ถ้ามหาบพิตรไม่หนักพระทัย ก็ตรัสเถิด.
อ. ณ ที่ที่พระผู้มีพระภาคหรือท่านผู้เปรียบดังพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่ หม่อมฉันไม่หนักใจ พระเจ้าข้า.
พ. ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรตรัสเถิด.
วาทะของศาสดาปูรณะ กัสสป
[94] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูปูรณะกัสสป ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับปูรณะ กัสสป ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วหม่อมฉันได้กล่าวคำนี้กะปูรณะ กัสสปว่า ท่านกัสสปศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรบ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดกระบวนทัพ พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อม ช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ พวกนับคะแนน (นักการบัญชี)หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตนมารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลายฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูปูรณะ กัสสป ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า ดูกรมหาบพิตร เมื่อบุคคลทำเองใช้ให้ผู้อื่นทำ ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียน ทำเขาให้เศร้าโศกเองใช้ผู้อื่นทำเขาให้เศร้าโศก ทำเขาให้ลำบากเอง ใช้ผู้อื่นทำเขาให้ลำบาก ดิ้นรนเอง ทำเขาให้ดิ้นรน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ตัดที่ต่อ ปล้นไม่ให้เหลือ ทำโจรกรรมในเรือนหลังเดียว ซุ่มอยู่ที่ทางเปลี่ยว ทำชู้ภริยาเขา พูดเท็จ ผู้ทำไม่ชื่อว่าทำบาป แม้หาผู้ใดจะใช้จักรซึ่งมีคมโดยรอบเหมือนมีดโกน สังหารเหล่าสัตว์ในปัฐพีนี้ ให้เป็นลาน เป็นกองมังสะอันเดียวกัน บาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งขวาแห่งแม่น้ำคงคา ฆ่าเอง ใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ตัดเอง ใช้ให้ผู้อื่นตัด เบียดเบียนเอง ใช้ผู้อื่นให้เบียดเบียนบาปที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบาปมาถึงเขา แม้หากบุคคลจะไปยังฝั่งซ้ายแห่งแม่น้ำคงคา ให้เอง ใช้ให้ผู้อื่นให้ บูชาเอง ใช้ให้ผู้อื่นบูชา บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ด้วยการให้ทาน การทรมานอินทรีย์ การสำรวมศีลการกล่าวคำสัตย์ บุญที่มีการทำเช่นนั้นเป็นเหตุ ย่อมไม่มีแก่เขา ไม่มีบุญมาถึงเขา ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้ (ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ ฉะนี้) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูปูรณะ กัสสป กลับตอบถึงการที่ทำแล้วไม่เป็นอันทำ เปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง
ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครูปูรณะ กัสสป ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
วาทะของศาสดามักขลิ โคศาล...สำนักอื่นๆก็เหมือนๆกันหมด ละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นแต่เพียงมีคำที่ต่างกันไป เสร็จแล้วก็
[95] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมัยหนึ่ง ณ กรุงราชคฤห์นี้ หม่อมฉันเข้าไปหาครูมักขลิโคศาลถึงที่อยู่ ... ได้กล่าวว่า ท่านโคศาล ศิลปศาสตร์เป็นอันมากเหล่านี้ คือ พลช้าง ... คนเหล่านั้นย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์ เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้นเขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตร อำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดี มีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ท่านอาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ เมื่อหม่อมฉันกล่าวอย่างนี้ ครูมักขลิ โคศาล ได้กล่าวคำนี้กะหม่อมฉันว่า
ดูกรมหาบพิตร ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความเศร้าหมองแห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาสาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมเศร้าหมอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายหาสาเหตุมิได้ หาปัจจัยมิได้ ย่อมบริสุทธิ์ ไม่มีการกระทำของตนเอง ไม่มีการกระทำของผู้อื่น ไม่มีการกระทำของบุรุษ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ไม่มีเรี่ยวแรงของบุรุษ ไม่มีความบากบั่นของบุรุษ สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตะทั้งปวง ชีวะทั้งปวง ล้วนไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร แปรไปตามเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ตามความประจวบตามความเป็นเอง ย่อมเสวยสุขเสวยทุกข์ในอภิชาติทั้งหก เท่านั้น หนึ่ง กำเนิดที่เป็นประธาน 1,406,600 กรรม 100100 กรรม 5 กรรม 33 กรรม 1 กรรมกึ่ง ปฏิปทา 262 อันตรกัป 262 อภิชาติ 6 ปุริสภูมิ 8 อาชีวก 44,900 ปริพาชก 4,900 นาควาส 4,900 อินทรีย์ 2,000 นรก 3,000 รโชธาตุ 36 สัญญีครรภ์ 7 อสัญญีครรภ์ 7 นิคัณฐีครรภ์ 7 เทวดา 7 มนุษย์ 7ปีศาจ 7 สระ 7 ปวุฏะ 7 ปวุฏะ 700 เหวใหญ่ 7 เหวน้อย 700 มหาสุบิน 7 สุบิน 700 จุลมหากัป 88,000,000 เหล่านี้ ที่พาลและบัณฑิตเร่ร่อน ท่องเที่ยวไป แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ความสมหวังว่าเราจักอบรมกรรมที่ยังไม่อำนวยผล ให้อำนวยผล หรือเราสัมผัสถูกต้องกรรมที่อำนวยผลแล้ว จักทำให้สุดสิ้นด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยตบะ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้ ไม่มีในที่นั้น สุขทุกข์ที่ทำให้มีที่สิ้นสุดได้ เหมือนตวงของให้หมดด้วยทะนาน ย่อมไม่มีในสงสารด้วยอาการอย่างนี้เลย ไม่มีความเสื่อมความเจริญ ไม่มีการเลื่อนขึ้นเลื่อนลง พาลและบัณฑิตเร่ร่อน ท่องเที่ยวไป จักทำที่สุดทุกข์ได้เอง เหมือนกลุ่มด้ายที่บุคคลขว้างไป ย่อมคลี่หมดไปเอง
ฉะนั้น ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อหม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูมักขลิ โคศาลกลับพยากรณ์ถึงความบริสุทธิ์ด้วยการเวียนว่าย ฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันถามถึงสามัญผลที่เห็นประจักษ์ ครูมักขลิ โคศาล กลับพยากรณ์ ถึงความบริสุทธิ์ ด้วยการเวียนว่ายเปรียบเหมือนเขาถามถึงมะม่วง ตอบขนุนสำมะลอ หรือเขาถามถึงขนุนสำมะลอ ตอบมะม่วง
ฉะนั้น หม่อมฉันมีความดำริว่า ไฉน คนอย่างเรา จะพึงมุ่งรุกรานสมณะหรือพราหมณ์ผู้อยู่ในราชอาณาเขต ดังนี้ แล้วไม่ยินดี ไม่คัดค้านภาษิตของครู มักขลิ โคศาล ไม่พอใจ แต่ก็มิได้เปล่งวาจาแสดงความไม่พอใจ ไม่เชื่อถือ ไม่ใส่ใจถึงวาจานั้น ลุกจากที่นั่งหลีกไป.
วาทะของศาสดาอชิตะ เกสกัมพล ..ก็เช่นกัน พูดไม่เข้าเป้า …
สันทิฏฐิกสามัญญผลปุจฉา
[100] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันขอทูลถามพระผู้มีพระภาคบ้างว่า ศิลปศาสตร์
เป็นอันมากเหล่านี้ คือพลช้าง พลม้า พลรถ พลธนู พนักงานเชิญธง พนักงานจัดขบวนทัพ
พนักงานจัดส่งเสบียง พวกอุคคราชบุตร พลอาสา ขุนพล พลกล้า พลสวมเกราะหนัง
พวกบุตรทาส ช่างทำขนม ช่างกัลบก พนักงานเครื่องสรง พวกพ่อครัว ช่างดอกไม้ ช่างย้อมช่างหูก ช่างจักสาน ช่างหม้อ นักคำนวณ นักนับคะแนน หรือศิลปศาสตร์เป็นอันมาก
แม้อย่างอื่นใดที่มีคติเหมือนอย่างนี้ คนเหล่านั้น ย่อมอาศัยผลแห่งศิลปศาสตร์ที่เห็นประจักษ์เลี้ยงชีพในปัจจุบัน ด้วยผลแห่งศิลปศาสตร์นั้น เขาย่อมบำรุงตน มารดาบิดา บุตรภริยา มิตรอำมาตย์ ให้เป็นสุขอิ่มหนำสำราญ บำเพ็ญทักษิณาทานอันมีผลอย่างสูง เป็นไปเพื่อให้ได้อารมณ์ดีมีสุขเป็นผล ให้เกิดในสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัสตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉนสมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษผู้เป็นทาสกรรมกรมีปกติตื่นก่อน นอนทีหลังคอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริงพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นทาสรับใช้ของพระองค์ท่าน ต้องตื่นก่อนนอนทีหลัง ต้องคอยฟังพระบัญชาว่าโปรดให้ทำอะไรต้องประพฤติให้ถูกพระทัย ต้องกราบทูลไพเราะ ต้องคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์ เราพึงทำบุญจะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลถึงพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นทาสกรรมของพระองค์ผู้ตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังพระบัญชาว่าจะโปรดให้ทำอะไร ประพฤติถูกพระทัย กราบทูลไพเราะคอยเฝ้าสังเกตพระพักตร์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวดนุ่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียวหรือว่า เฮ้ยคนนั้น จงมาสำหรับข้า จงมาเป็นทาสและกรรมกรของข้า จงตื่นก่อนนอนทีหลัง จงคอยฟังบัญชาว่าจะให้ทำอะไร ประพฤติให้ถูกใจ พูดไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตดูหน้าอีกตามเดิม.
พระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีก
ควรจะไหว้เขา ควรจะลุกรับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็น
ประจักษ์จะมีหรือไม่?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้.
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อแรก.
สันทิฏฐิกสามัญญผลเทศนา
[101] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน
แม้ข้ออื่น ให้เหมือนอย่างนั้นได้หรือไม่?
อาจอยู่ มหาบพิตร แต่ในข้อนี้ อาตมภาพจะขอย้อนถามมหาบพิตรก่อน โปรดตรัส
ตอบตามที่พอพระทัย มหาบพิตรจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน สมมติว่า มหาบพิตรพึงมีบุรุษเป็นชาวนา เป็นคหบดี ซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์อยู่คนหนึ่ง เขาจะมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า คติของบุญ วิบากของบุญ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมา ความจริง พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตรพระองค์นี้ เป็นมนุษย์ แม้เราก็เป็นมนุษย์ แต่พระองค์ท่านทรงเอิบอิ่มพรั่งพร้อมบำเรออยู่ด้วยเบญจกามคุณดุจเทพเจ้า ส่วนเราสิเป็นชาวนา เป็นคหบดีต้องเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ เราพึงทำบุญ จะได้เป็นเหมือนพระองค์ท่าน ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ อยู่สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด ถ้าพวกราชบุรุษพึงกราบทูลพฤติการณ์ของเขาอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์พึงทรงทราบเถิด บุรุษผู้เป็นชาวนา เป็นคฤหบดีซึ่งเสียค่าอากรเพิ่มพูนพระราชทรัพย์ของพระองค์อยู่นั้น เขาปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เขาเป็นผู้สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจอยู่ สันโดษด้วยความมีเพียงอาหารและผ้าปิดกายเป็นอย่างยิ่ง ยินดียิ่งในความสงัด มหาบพิตรจะพึงตรัสอย่างนี้เทียว หรือว่า เฮ้ย เจ้าคนนั้น เจ้าจงมา จงเป็นชาวนา เป็นคหบดีเสียค่าอากรเพิ่มพูนทรัพย์ตามเดิม.
จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้เลย พระเจ้าข้า อันที่จริงหม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้เขา ควรจะลุก
รับเขา ควรจะเชื้อเชิญเขาให้นั่ง ควรจะบำรุงเขาด้วยจีวร บิณฑบาต เสนานะ และคิลาน
ปัจจัยเภสัชบริขาร ควรจะจัดการรักษาป้องกันคุ้มครองเขาอย่างเป็นธรรม.
มหาบพิตร จะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็น
ประจักษ์ จะมีหรือไม่?
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนั้น สามัญผลที่เห็นประจักษ์มีอยู่อย่างแน่แท้.
ดูกรมหาบพิตร นี้แหละสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาตมภาพบัญญัติถวายมหาบพิตรเป็นข้อที่สอง.
[102] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์อาจบัญญัติสามัญผลที่เห็นประจักษ์ในปัจจุบัน
แม้ข้ออื่น ทั้งดียิ่งกว่า ทั้งประณีตกว่าสามัญผลที่เห็นประจักษ์เหล่านี้ได้หรือไม่?
อาจอยู่ มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรจงคอยสดับ จงตั้งพระทัยให้ดี อาตมภาพ
จักแสดง.
ครั้นพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหีบุตร ทูลสนองพระพุทธพจน์แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูกรมหาบพิตร พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงคฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่งย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้ว ได้ศรัทธาในพระตถาคต เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบเป็นทางมาแห่งธุลีบรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจ
สังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว สำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษา
อยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.
จุลศีล...มัชฌิมศีล ...มหาศีล
ต่อจากศีลก็เป็นการสำรวมอินทรีย์...แล้วปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะ
หนึ่งมีศีลสองสํารวมอินทรีย์ 3 มีสติสัมปชัญญะก็เพื่อให้รู้จักจิตรู้จักกิเลสแล้วลดละกิเลสไป จนกระทั่งกิเลสลดไปลดได้ ก็มีความเป็นผู้สันโดษ สันโดษด้วยจีวรบริหารกาย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าก็สรุป ภิกษุนั้นประกอบด้วย ศีลขันธ์ อินทรีย์สังวร สติสัมปชัญญะและสันโดษอันเป็นอริยะ ก็บรรลุเป็นอริยะ
เช่นนี้แล้วย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าโคนไม้ ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า นั่งคู้บัลลังก์ ดำรงสติคงมั่น จะชำระจิตให้สงบ จากความเพ่งเล็งได้ ละกาม พยาบาท
สรุปแล้วก็หมดนิวรณ์ มีสติสัมปชัญญะ ชำระจิตจากนิวรณ์ 5 ได้หมด แล้ว จิตปราศจากนิวรณ์แล้ว ก็เปรียบเสมือน
อุปมานิวรณ์
[126] ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงกู้หนี้ไปประกอบการงาน การงาน
ของเขาจะพึงสำเร็จผล เขาจะพึงใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้น และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเขาจะพึงมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา เขาพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรากู้หนี้ไปประกอบการงาน บัดนี้ การงานของเราสำเร็จผลแล้ว เราได้ใช้หนี้ที่เป็นต้นทุนเดิมให้หมดสิ้นแล้ว และทรัพย์ที่เป็นกำไรของเรายังมีเหลืออยู่สำหรับเลี้ยงภริยา ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีหนี้นั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนัก
บริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย สมัยต่อมา เขาพึงหายจากอาพาธนั้น บริโภคอาหารได้และมีกำลังกาย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นผู้มีอาพาธถึงความลำบาก เจ็บหนักบริโภคอาหารไม่ได้ และไม่มีกำลังกาย บัดนี้ เราหายจากอาพาธนั้นแล้ว บริโภคอาหารได้และมีกำลังกายเป็นปกติ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความไม่มีโรคนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงถูกจำอยู่ในเรือนจำ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัย ไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย เขาจะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ บัดนี้ เราพ้นจากเรือนจำนั้นโดยสวัสดีไม่มีภัยแล้ว และเราไม่ต้องเสียทรัพย์อะไรๆ เลย ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีการพ้นจากเรือนจำนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษจะพึงเป็นทาส ไม่ได้พึ่งตัวเอง พึ่งผู้อื่น ไปไหน
ตามความพอใจไม่ได้ สมัยต่อมา เขาพึงพ้นจากความเป็นทาสนั้น พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น
เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเราเป็นทาสพึ่งตัวเองไม่ได้ ต้องพึ่งผู้อื่น ไปไหนตามความพอใจไม่ได้ บัดนี้ เราพ้นจากความเป็นทาสนั้นแล้ว พึ่งตัวเอง ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น เป็นไทยแก่ตัว ไปไหนได้ตามความพอใจ ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีความเป็นไทยแก่ตัวนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร เปรียบเหมือนบุรุษ มีทรัพย์ มีโภคสมบัติ พึงเดินทางไกลกันดาร
หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า สมัยต่อมา เขาพึงข้ามพ้นทางกันดารนั้นได้ บรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษมปลอดภัยโดยสวัสดี เขาจะพึงมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อก่อนเรามีทรัพย์ มีโภคสมบัติเดินทางไกลกันดาร หาอาหารได้ยาก มีภัยเฉพาะหน้า บัดนี้ เราข้ามพ้นทางกันดารนั้นบรรลุถึงหมู่บ้านอันเกษม ปลอดภัยโดยสวัสดีแล้ว ดังนี้ เขาจะพึงได้ความปราโมทย์ ถึงความโสมนัส มีภูมิสถานอันเกษมนั้นเป็นเหตุ ฉันใด.
ดูกรมหาบพิตร ภิกษุพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการเหล่านี้ที่ยังละไม่ได้ในตนเหมือนหนี้เหมือนโรค เหมือนเรือนจำ เหมือนความเป็นทาส เหมือนทางไกลกันดาร และเธอพิจารณาเห็นนิวรณ์ 5 ประการที่ละได้แล้วในตน เหมือนความไม่มีหนี้ เหมือนความไม่มีโรค เหมือนการพ้นจากเรือนจำ เหมือนความเป็นไทยแก่ตน เหมือนภูมิสถานอันเกษม ฉันนั้นแล
รูปฌาน 4…
อธิบายมานี่เห็นใจผู้ที่ติดยึดในใจว่าการปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตาสมาธิ แต่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เขาก็ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้านั้น บอกว่าถ้าจะนั่งหลับตาทำสมาธิก็ต้องรู้จักนิวรณ์ 5 แล้วก็ต้องดับนิวรณ์ 5 ในใจได้ ซึ่งจริงๆแล้ว ศาสนาพุทธไม่ได้หมายความว่าไปนั่งหลับตาแล้วก็ละนิวรณ์ 5 แต่ขณะลืมตาก็เรียนรู้ได้ จนกระทั่งไม่ต้องไปหลับตาเลย จนกระทั่งที่เรทนิวรณ์ 5 ที่ประกอบไปด้วยกาม ตากระทบโลก หูกระทบเสียง มีกามพยาบาท และสามารถลดกามพยาบาทได้ในขณะลืมตาตลอด ศาสนาพุทธลืมตาตลอด ละกาม พยาบาทได้หมด ก็เหลือแต่รูปราคะ อรูปราคะได้
ก็ล้างต่อ รูปราคะอรูปราคะ เหลือเศษ มานะอุทธัจจะ อวิชชาต่อ เป็นฌาน 1 2 3 4 ลดละได้เป็นผู้สันโดษที่แปลว่าใจพอ
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วใจจะสำคัญมาก รีบขจัดสรรเสริญโลกียสุขที่มีอยู่ในโลก ใจก็พอ รู้ว่าลาภคือลาภธัมมิกา ลาภโดยธรรม ตามที่ควร ยศก็ดี ก็อาศัยยศทำงานสามัญอยู่กับยศ ไม่ได้หลงว่าจะต้องได้ลาภได้ยศสูงขึ้น แต่ถ้าทำไปแล้วขยันหมั่นเพียร ลาภจะมีเอง สรรเสริญจะได้เอง สุขที่จริงแล้ว อาตมาก็ไม่เก่งจะอธิบาย
ศาสนาพุทธนั้นไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เพราะฉะนั้น มีลาภก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ได้สรรเสริญก็ไม่สุขไม่ทุกข์
สมณะฟ้าไทว่า...เวลาหมดแล้ว
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:52:52 )
รายละเอียด
601122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ กินเนื้อสัตว์คำใดก็ติดบาปไปทันที
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรราชธานีอโศก อากาศหนาวเขาบอกว่าจะลดลงอีก 4 องศาเซลเซียส (พ่อครูว่า เขาว่าเอาห้าหาร) จะถึงหรือไม่ถึงก็ดูวันพรุ่งนี้อีกที ตอนนี้เห็นใจเกษตรกรมาก เมื่อวานไปบ้านทิดกล้าตาย ที่อ.น้ำยืน เขาตากข้าว ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก น่าเห็นใจเกษตรกรว่าจะทำให้ข้าวแห้งนั้นเป็นไปได้ยาก
แม้ใกล้จะปีใหม่เราก็เตรียมงานเพื่อฟ้าดิน เตรียมสถานที่ เมื่อวานนี้ชาวศีรษะอโศกได้มาช่วย ก็น่าจะใกล้เสร็จเข้าไปแล้ว ฝนฟ้าไม่ได้มาตามฤดูกาลเพราะคนไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้ปั่นป่วน
อาตมาอยู่กับพ่อครูก็เห็นเลยว่า ต้องทำตามที่ในหลวงตรัสไว้ จะไปทำใหญ่โตก็ไปไม่รอดเลย ต้องหันกลับมาทำเล็กๆ ทำได้น้อย ให้มันดีให้มันแจ๋ว พ่อครูก็ได้พาทำเช่นนี้ พระโพธิสัตว์จะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า การทำอย่างนั้นมันไปไม่รอด ที่ตรัสว่า ก้าวหน้าอย่างนั้นมันเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ที่ทำอย่างใหญ่โตนั้นจะมีปัญหา ถ้าทำเล็กๆอย่างให้ดีแล้วค่อยๆขยับไปมันจะดี ทำตามกำลังที่เหมาะสม
ซึ่ง เมื่อวันจันทร์พ่อครูก็อ่านพระไตรปิฎกเกี่ยวกับสามัญญผลสูตร เป็นพระสูตรที่บอกไว้ว่าเราควรจะได้อะไรในชีวิตของการปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต อย่างอื่นก็ไม่สำคัญเป็นองค์ประกอบเฉยๆ สิ่งที่พระพุทธเจ้าพาทำนั้นทำให้ละกิเลสได้ แล้วเราจะมีอิสระเสรี พ่อครูว่า คนเป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็อย่าไปสอเสือใส่เกือกกับท่าน ผมก็มีหน้าที่ช่วยเหลือสิ่งที่คุณจะช่วยและลดละกิเลสของเราไป
พ่อครูว่า...อาตมาก็ตั้งใจจะอ่านพระไตรปิฎกไปเรื่อยๆก่อน แต่จะอ่าน sms ก่อน
_SMS วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
_2166ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ พ่อท่านถึงวาระที่จะปักกิ่งหว้าท้าประลองยุทธ ให้มันรู้แดงรู้ดำไปเลย ???/ สอง เมืองอุบล
พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้มาจะเอาชนะ แต่ว่า เมื่อพูดถึงสิ่งที่ผิดมันก็ตรงกับส่วนใหญ่ของทางศาสนาในเมืองไทย คนก็เลยฟังเป็นว่า...มันบ้ามาเถียงกันทำไม ที่อาตมาพูด ก็พูดว่าตามที่เห็นว่าถูกเป็นอย่างนี้ พูดถูกไปทีไรมันก็ไปว่าไปกระทบกับที่เขาเป็นกันอยู่จริงๆ และดำเนินกันไปอยู่ ก็เลยเหมือนกับต่อล้อต่อเถียง ตั้งหน้าตั้งตาต้านทาน กับใครต่อใครเขา อาตมาก็เห็นใจนะ เข้าใจเห็นใจ แต่อาตมานั้นเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้จะไปอย่างไร ก็พยายามนึกอยู่ เราจะไปพูดว่า อย่างนี้แหละไปอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ อย่างนี้มันไม่ถูกต้องทำอย่างนี้ อย่างที่เขาทำ เราก็ต้องบอกว่าอย่างนั้นมันทำไม่ถูก มาทำอย่างนี้ พอบอกว่ามาทำอย่างนี้ พวกเขาก็บอกว่าทำไม่ถูก
มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดามันต้องเป็นเช่นนั้นเลี่ยงไม่ออก ก็ต้องทำอย่างนี้ไปจนกว่าจะตาย อาตมาคิดว่า อาตมาตาย คงทำให้ทางโน้น แก้ไขเปลี่ยนแปลงมาไม่ได้หรอก เพราะมันสุดแก้ สุดกลับแล้ว แต่พูดให้ผู้ที่สนใจผู้ที่ใส่ใจ ผู้ที่ตั้งใจที่จะ รู้ แต่จะไปเปลี่ยนโครงสร้างหลักของศาสนาพุทธในประเทศไทย อาตมาว่า ในชาตินี้ แม้ว่าจะตั้งใจอยู่ไปถึง 151 ปี ซึ่งก็เหลือเวลาอีกประมาณ67ปี
มันน่าสงสารจริงๆศาสนาพุทธ น่าสงสารเอามากๆเลย มันได้ผิดเพี้ยนไปจนกระทั่งกลายเป็นเห็นว่าความผิดนั้นเป็นความถูก อาตมาพูดอย่างนี้ เห็นผิดเป็นถูก ไม่ต้องเอาอะไรมากเลย อาตมาพูดย้ำแล้วย้ำเล่า ว่า ในวัดนั้นมีเรือนไฟ มันก็เป็นความผิดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร การมุ่งออกไปปฏิบัติในป่านั้นก็ผิดชัดๆ แม้แต่ไม่ออกป่าแต่ก็ทำลายศาสนาด้วยการสร้างเรือนไฟจุดธูปเทียนบูชา สร้างเรือนไฟไว้ในทาง 4 แพร่งมีมุขสี่ด้าน มันก็ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผิด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ความเสื่อมศาสนาพุทธนั้นจะมี 4 ข้อนี้ มันก็เสื่อมกันเต็มๆ ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว เดรัจฉานวิชาก็เต็มไปหมด ในวัดในวาต่างๆ ก็ไม่รู้จะว่ายังไง ก็ต้องพูดความผิดว่าเป็นเช่นนี้
ถ้าจะแก้ อาตมาไม่เชื่อจริงๆว่าจะพูดให้เขาแก้ไขได้ อาตมาไม่มีความหวังสักนิดเดียวว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงที่เขาเป็นกันอยู่นี้มา อาตมาว่ามีแต่จะหนักหน้ามากขึ้นอีก จริง ขอดูถูกเช่นนั้น เพราะเชื่อว่าที่อาตมาพูดไม่ถูก
ก็อาจจะมีผู้ที่แสวงหามาฟังแล้วเห็นว่าถูกต้อง ก็จะมีจำนวนนิดหน่อย มีนิดหน่อยก็ไม่มีปัญหา
_7630ไหนๆก็ไหนๆแล้วครับหลวงพ่อ ปักกิ่งหว้าท้าดีเบทเลยครับ ให้รู้แล้วรู้ลอด ?!!!? / บุญคำ
พ่อครูว่า…พูดกันอย่างสมัยก่อนที่เขาจะไปท้าประลองกันเลย แต่ยุอย่างไรก็ไม่ขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บัตรคนจนกับศาสตร์พระราชา
_0015บัตรคนจน มีส่วนสอดคล้องกับศาสตร์พระราชาบ้างหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า…เรื่องของคนจนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้นคนไม่เข้าใจก็ไม่อยากจน กลัวจะเป็นคนจน แต่ชาวอโศกนี้ชัดเจนมากในความจน หรือในความเป็นคนจน ไม่ได้กลัวความจน ไม่ได้กลัวจะเป็นคนจน แต่ต้องมาจน มานี่จะมาชวนกัน มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน ตั้งเป็นนามสกุลกันเยอะแยะ มีกระทั่งนามสกุลจนทุกชาติ เราไม่ได้รังเกียจเราเข้าใจความจนและเต็มใจที่จะเป็นคนจน
เพราะฉะนั้นคนจนเป็นคนที่ประเสริฐ เป็นคนที่ทำให้สังคม ดีขึ้น ถ้าเป็นคนจนที่สำเร็จ คือเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ที่กำลังพูดถึงนี้ เป็นคนจนที่พึ่งพาตนเองรอด เป็นคนจนที่ไม่เบียดเบียนใคร เป็นคนจนที่สร้างสรรค์เหลือกินเหลือใช้อุดมสมบูรณ์ แล้วสะพัดส่วนเหลือเกินให้แก่สังคมได้ โดยไม่ใช้ส่วนเหลือส่วนเกินนั้น ไปขูดรีด ค้าขายแบบทุนนิยม ขายผลผลิตเอาค่าแรงงานให้มาก เท่าที่จะมากได้ แบบ maximize profit
ที่นี้คนไม่เข้าใจโดยเฉพาะประเทศชาติ ประเทศไทยนี่แหละ ก็ไม่บริหารแบบคนจน ทำความเข้าใจกับความเป็นคนจน เอาแบบคนจนมาเป็นคนจน ตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราตรัส เราก็เอามาเปิดในโทรทัศน์ของเราวันละไม่รู้กี่เที่ยว แต่ช่างกระไร ผู้บริหารประเทศนักวิชาการ ก็ได้ยินได้ฟัง เห็นอยู่ แต่ไม่กระดิกหู ก็เลยจะแก้ปัญหาไม่ให้มีคนจน จนกระทั่ง เอาไว้จะพูดในวันอาทิตย์ จนกระทั่ง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
บอกว่าคนจนจะหายจากประเทศไทยในปีหน้า อาตมาท้า ตัดคออาตมากับขี้หมากองเดียว ถ้าคุณชนะก็ตัดคออาตมา ถ้าจะมาชนะก็ขอขี้หมากองเดียว เอาไปทำปุ๋ย
1. หายไม่ได้เพราะชาวอโศกเป็นคนไทยเป็นคนที่มุ่งมาจนทำตัวให้จน มันก็ขัดแย้งกับที่คุณจะทำ
2. ที่คุณพูดนั้น Impossible
คนจนที่บอกว่าเป็นคนจนแบบน่าต่ำต้อยน่าทุเรศทุรังการ อยู่ในสังคมอย่างไม่มีประโยชน์ แบบนั้นมันไม่ใช่ คนจนหมายความว่าอะไร
คนจนหมายความว่า ไม่มีทรัพย์สินเงินทองมากและไม่ตั้งใจจะสะสมเงินทอง ให้แก่ตัวเองมากจึงอยู่ในสภาพของคนจน เช่น ชาวอโศกเรามาเป็น อาตมาขอยืนยันว่าชาวอโศกปฏิบัติอย่างนี้เป็นการช่วยเหลือสังคมประเทศชาติ ช่วยเศรษฐกิจ ดอกเตอร์ทางเศรษฐกิจที่ชื่อว่า ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ โปรดฟัง จงทำความเข้าใจกับความจนและคนจนให้ดี แล้วพยายามทำความเข้าใจคำตรัสของในหลวงว่าต้องบริหารบ้านเมืองแบบคนจน อาตมาไม่ได้พลิกแพลงคำตรัสในหลวง ท่านได้ตรัสแบบนี้ไว้ ว่าบริหารแบบคนจน แล้วท่านตรัสชัดอีกกว่า ต้องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
เรามามีชีวิตขาดทุนเสียสละให้แก่ผู้อื่น เป็นผู้เสีย ผู้อื่นได้เปรียบ ผู้อื่นได้มาก เกินกว่า ถ้าจะเปรียบเทียบอัตราทั้งโลกแล้ว เราได้น้อยกว่าที่ควร อัตราค่าเฉลี่ยของสังคมโลก ราคาของสังคม เราเอาน้อยกว่า อย่างนี้ต่างหากเป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคม เป็นผู้ที่ช่วยเศรษฐกิจสังคม ถ้าจะให้คนไปรวยแล้วก็ช่วยคนจนให้รวยทั้งหมดนั้น มันแก้ปัญหาไม่ได้ ขอยืนยันว่า คุณแก้ปัญหาอีกล้านชาติ ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ ถ้ามีวิสัยทัศน์มีกระบวนทัศน์แบบนี้ไม่ได้ ต้องแก้ไขว่าให้คนเข้าใจ ว่าการมาเป็นคนจนนั้น แล้วก็เป็นคนจนอย่างมีคุณภาพ เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร แต่เป็นคนจนที่มักน้อย เป็นคนอย่าไปตะกละตะกลามเอามาก ไม่ต้องไปเป็นคนรวยอย่างที่ในหลวงท่านตรัส ว่าเราไม่อยากรวย รวยคือก้าวหน้าแบบที่เขาก้าวหน้ามันมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว นี่คือคำตรัสของในหลวง
ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งลึกซึ้งสุดยอด ถ้าหากนักบริหารประเทศเข้าใจคำตรัสของในหลวงอย่างที่กล่าว หรือที่อาตมาพยายามพูดอยู่นี่ หรือจริงๆก็คือตามหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งประเทศไทยนับถือ คนนับถือศาสนาพุทธถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่ได้ไปก็อันเดียวกันเลย
ถ้าเผื่อว่า แก้ปัญหา ไม่เข้าใจว่าสัจจะควรจะแก้อย่างไรอย่างดีนั้นไม่สำเร็จ
บอกว่า บัตรคนจนจะเข้ากับศาสตร์พระราชานั้น ไม่ใช่เลยมันเป็นประชานิยม เราควรให้คนรู้ว่าแม้เราไม่มีเงินมากและไม่จำเป็นต้องมีเงินมากแต่จะอยู่ตามฐานะ ที่เราจะต้องให้คนขยันหมั่นเพียรให้คนรู้จักสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ แล้วก็ประพฤติตนอยู่อย่างพอเหมาะพอควร หรือที่ในหลวงท่านตรัสว่าเศรษฐกิจพอเพียง
ถ้าเข้าใจมีความเข้าใจอันนี้ดีๆ ว่าออ มันเป็นอย่างนี้ คนที่มีสมรรถนะสูงและขี้โลภไม่มีที่สิ้นสุด มันตั้งหน้าตั้งตาจะรวยถ่ายเดียว คนที่มีความรู้และก็มีสมรรถนะความสามารถ เขาก็ขยันหมั่นเพียร และเขาก็มีความปรารถนาจะรวยไม่มีที่สิ้นสุด กว่าจะกอบโกยและหาทางที่จะเอาอีก เหมือนอย่างระบบทุนนิยมให้รวยอยู่ตลอดเวลา คุณก็ต้องมาเตือนคนเหล่านี้ว่าพอเสียที จะรวยไปถึงไหน
จริง อย่าไปเกรงใจคนรวยเพราะคนรวยมีกินมีใช้ ควรจะรู้ว่ามันเป็นภัยต่อสังคม คนที่ยิ่งรวยยิ่งกอบโกยเอาให้หนักๆ มันเป็นอิสระเสรีภาพก็จริง แต่ควรจะให้เขาเข้าใจและเขาแก้ไขตัวเขาเอง มีอิสระเสรีภาพเราไม่ได้บังคับเขาหรอก แต่ควรเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจบริหารประเทศให้คนรวยนี้รู้จักความจริง ว่าต้องลดความรวยลงมาบ้าง เสียสละออกมาบ้างอย่าไปกอบโกย เราอย่าไปง้อคนรวยให้มากกว่าคนรวยน้อย คนจนก็ให้กำลังใจเขา แล้วก็สอนให้เขาอย่าเอาแต่แบมือขอ มันก็ไม่จบก็มีแต่เอาเงินไปให้
มีคนส่งข้อมูลมาว่า ดร.สมคิดไม่ได้กล่าวเช่นนั้นมีคนเอาไปบิดเบือน
ก็คุณผักกาดหอมเขียนในไทยโพสต์ …
แบบนั้นมันแก้ไขปัญหาไม่สำเร็จหรอกเพราะ Concept ของคนทั่วไปคือไม่ต้องการจน แต่ชาวอโศกนั้นไม่ได้กลัวความจนและตั้งใจมาจนให้แก่ประเทศ พวกท่านที่บริหารประเทศจะไม่ให้มีคนจน เพราะการมีคนจนประเทศชาติลำบาก ใช่ไหม?
ชาวอโศก ก็ไม่ทำให้ประเทศชาติลำบาก เพราะมันเป็นคนจนโดยเต็มใจ โดยอิสระเสรี โดยที่ไม่เป็นภาระสังคม ไม่เป็นภาระให้เขาต้องแก้ปัญหาให้พวกเราเลย เรามาจนแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องแยแสชาวอโศกก็ได้ เพราะชาวอโศกอยู่นอกกฎเกณฑ์ของคุณ จะจนหรือไม่จนชาวอโศกก็ไม่เดือดร้อน เขาก็มาเป็นคนจน คุณก็ต้องมาแก้ปัญหากับคนที่ไม่ใช่เป็นแบบชาวอโศก ไม่มีความคิดจะเป็นแบบนี้ เขาก็อยากจะรวยแล้วคุณก็จะช่วยเขาเหล่านี้
เพราะฉะนั้นคุณควรจะมาศึกษาว่า ถ้าจะแก้ปัญหาคนที่ไม่อยากจนมันก็แก้ไม่จบ คนที่จนไม่เสร็จคือคนที่รวยที่สุด คือคนจนที่หน้าด้านที่สุดคือคนรวยไม่เสร็จ เขาควรจะหยุดได้แล้ว เพราะเขาควรจะเลิกตั้งนานแล้ว เขามีเงินมากมาย เอาไปออกดอกออกผลเพิ่มเข้าไปอีก ดูดเข้าไปใหญ่เลยกองเงินกองทอง แล้วมันจะแก้ได้อย่างไร คุณต้องแก้คนรวยนั้นให้ลดความรวยลงมา การแก้ปัญหานั้นต้องสอนเลยว่าให้คนรวยรู้จักพอตามในหลวงตรัสให้พอเพียง มาขาดทุนให้แก่สังคม ขาดทุนนะไม่ใช่เราได้กำไร ไม่ใช่เอาแต่กำไรยกกำลัง 2 ยกกำลัง 5 ตายๆๆๆ
แล้วมันจะไปแก้ได้อย่างไร ที่พูดนี้ฟังให้ดีแล้วเอาไปคิด เพราะฉะนั้นเราผิดพลาดหรือเปล่าที่จะบริหารประเทศแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสังคม โดยวิธีการที่จะต้องให้คนมาหายจน มันแก้ไม่ได้ ต้องแก้คนให้หายรวย ต้องแก้ปัญหาให้คนเดี๋ยวนี้หายรวยและลดลงมาจนบ้าง จะไปแก้คนจนให้รวยนี้ คุณจะแก้อีกร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติล้านๆชาติก็ไม่เสร็จไม่จบ
ตราบใดที่คุณปล่อยให้คนรวยเอาเปรียบได้เปรียบ ไม่หยุดยั้ง ไม่มีทางหรอก ต้องแก้ไขปัญหาให้คนหายรวยไม่ใช่หายจน ต้องให้คนรวยลดความรวยจริงจะแก้ได้สำเร็จต้องแก้ให้ถูกที่ ถ้าเกิดให้คนรวยลดความรวย หยุดรวยแล้วมาจนลงบ้างอันนี้สำเร็จ แต่ถ้าจะแก้ให้คนจนนั้นมารวย ก็ไม่มีทางเลย
_3867พ่อครูเทศน์ลืมเวลาอ๊ะเป่า?นอนดึกฉุดสุขภาพบ่ดีหนะ
_ศิริวัฒน์ แซ่หยาง · ฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไปหัดอ่านหนังสือมาใหม่ ค่อยมาสอนธรรมะนะครับ
_อำภา รื่นใจดี · คนฟังท่านพ่อครูรู้เรื่องมีนะคะ คุณศิริวัฒน์ฟังไม่รู้เรื่องก็อย่าทนฟังท่าน เอาเวลาไปล้างส้วมให้สะอาดจะเกิดประโยชน์มากกว่า และถ้าคุณล้างส้วมไปด้วยจิตที่วางอุเบกขา เผลอๆ อาจพบหนทางนิพพานนะคะ
_ดำริ เมืองเรือง · ได้ข่าวๆๆๆๆว่า (ยังเป็นข่าว) อาจารย์ยักษ์ ตอบรับเข้าไปเป็น รมช. แล้ว จริงบ้านเมือง เข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ เจริญแน่นอน
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน เลิกผลิตล็อตเตอรี่ได้ประเทศจะเจริญ
_ลาย · ถือศีล กินเจ ลดอบายมุข คือ พื้นฐาน ของทุกศาสนา แต่พระ ทำไมไม่เทศน์ให้คนลด ละ
พ่อครูว่า…แม้แต่วัดอื่นใดก็ตามไม่กล้าสอนให้คนมาจนเหมือนกับชาวอโศกสอน ที่จริงก็ไม่ถึงกับจะมาสอนให้มาจนอย่างพวกเรา เพราะพวกเรานี้มีปัญญา และก็มาจนจริงๆอย่างมีปัญญาได้ แต่สอนว่า อย่าไปกลัวความจน สอนให้เขามีชีวิตอยู่อย่าง ทำให้ชีวิตไปรอดอยู่ได้แม้ว่าจะจน และก็ไม่ต้องเดือดร้อนเลย อยู่กับความจนพอกินพอใช้ ดีแล้ว เมื่อจิตของคนไม่ตะกละ ไม่ต้องการรวย คำนี้คำเดียว
สมมติง่ายๆ ถ้าคนในประเทศไทยไม่อยากรวยเข้าใจแล้วว่าไม่ต้องให้รวย ไม่ต้องอยากรวยโดยเฉพาะการรวยอย่างฟลุ๊คๆได้เปรียบ เช่นไปซื้อลอตเตอรี่ มันจะไปรวยปุ๊บเลยอย่างได้เปรียบอย่างฟลุ๊คๆ เขาก็ไม่คิดจะไปซื้อ ที่สำนักงานสลากกินแบ่ง สำนักงานก็ล้มครืน รัฐก็ไม่ต้องไปหาเงินแบบนี้ ไม่มีน้ำหน้าจะไปสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ เลยต้องไปหากินขูดรีดกับคนจน
คนที่ไปซื้อหวยนั้นคนรวยเขาไม่ซื้อหรอก เขาเสียดายเงิน เขาเป็นเล่นหุ้น เขาขายหวยด้วยซ้ำไป เพื่อเอาจากคนจน เพราะฉะนั้น สลากกินแบ่งนี้ ไม่ได้ช่วยบรรเทาทุกข์ให้แก่คนจน มันกลับกลาย รัฐบาลตั้งกองสลากกินแบ่งไปรีดเอาจากคนจน ถ้าคนซื้อสลากกินแบ่งที่คนจน ไปขูดรีดจากคนจนไปเข้ากองสลากกินแบ่ง แล้วก็เอาเงินไป ให้กับคนรัฐบาลใช้ รัฐบาลไม่มีน้ำยาหาเงิน ไม่รู้จะทำอย่างไรต้องมาขูดรีดเอาจากประชาชนในประเทศ ซ้ำซ้อน แล้วคุณจะมาแก้ปัญหาคนจนในประเทศแต่คุณก็ขูดรีดอย่างนี้ พิมพ์สลากกินแบ่งขึ้นมามากขึ้น เพิ่มจำนวน กี่ฉบับกี่ชุดแล้วไม่รู้ เห็นแก่ได้ทางสลากกินแบ่งมันก็เท่ากับคนขูดรีดจากคนจนยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น เพราะคนจะซื้อหวยคือคนจนกับคนในฐานะปานกลาง คนในฐานะสูงและร่ำรวยเขาไม่ซื้อ เขาไม่เห็นจะต้องไปซื้อเลย นอกจากคนตะกละความรวยก็จะไปซื้อ
อาตมาว่า เลิกไปเลยสลากกินแบ่ง แล้วจะเป็นประเทศที่พัฒนา รัฐบาลอยากจะให้คนหายจนแต่ไปขายสลากกินแบ่ง รัฐบาลไหนสามารถเลิกกองสลากนี้ได้ อาตมาก็มีเหรียญทองหรือมีหยาดน้ำใจทองคำ ที่มอบให้อยู่นะ จริง อยากให้เลย ต้องให้เลย แม้อาตมาเอาไปให้ไม่ถึงเพราะเราเองเรี่ยดิน ทางโน้นอยู่บนท้องฟ้า เราอยากจะยกย่องเชิดชูอยากจะให้ก็ไม่ค่อยได้
_พิเชษฐ์ บุญวิรุฬ พุทธแท้ ๆ มีหนึ่งเดียวจริง ๆ ครับ ผมก็เข้าใจตามที่พ่อครูสอนครับ
_สราวุธ บุญญโก · อะไรที่หาเงินเข้าวัดไม่ใช่ศาสนาพุทธ !!!! สาธุครับ
พ่อครูว่า…วัดไหนพยายามเรียกร้องหาเงินเข้าวัดนั้นไม่ใช่วัดของพุทธ พุทธต้องพาคนให้รู้จักพึ่งพาตัวเองแม้แต่วัดก็ต้องพึ่งพาตัวเอง แต่ถ้าพึ่งพาตัวเองไม่รอดต้องเรี่ยไร อย่างนี้เป็นวัดทำไม แล้วจะสอนคนให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร สอนคนให้อยู่รอดได้อย่างไรมันไม่ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มิจฉาทิฏฐิในการนั่งหลับตาสมาธิ
_มณี ศรียงค์ · การนั่งหลับตาสมาธิคือการประคองจิตให้อยุ่กับลมหายใจปัจจุบัน
หลับตาเพื่อไม่ให้จิตวอกแวกเป็นกุศโลบายนะจ๊ะเทวทัตแถธรรมะด้วยอัตตาบ้าๆอีกแร้วชิมิ
พระหลับตาทำสมาธิให้ถูกต้องเพราะคนเริ่มทำสมาธิจิตจะวอกแวกไม่อยู่กับลมหายใจแต่ก่อนทำสมาธิพระท่านก็สอนก่อนและไม่ไช่จะหลับตาทั้งวันจนไม่รู้จักผัสสะเลย
พระบ้าน&พระป่าแยกประเภทตามจริต!ไม่ผิดไม่ว่ากัน
แต่เทวทัติสันดานชั่วยุให้แต่แยกและใส่ร้ายว่าไม่ไช่พุทธ
พระบ้าน&พระป่าเป็นการแยกประเภทแต่ไม่ได้แตกแยกสันดานเทวทัตชอบสร้างเรื่องมโนแตกแยก
ขอสอนเทวทัตโพธิรักษ์นิดนะพระพุทธศาสนานั้นกว้างขวางไม่คับแคบบังคับศรัทธามีทั้งกระพี้พิธีกรรมและแก่นไตรสิกขาแต่ทั้งหมดก็อยู่ในศาสนาพุทธนะจ๊ะ
พระราชาทรงไหว้สมเด็จพระญานสังวรพระสังฆราชแต่เทวทัตโพธิรักษ์คิดอย่างไร
โพธิรักษ์บอกศรัทธาชื่นชมศาสตร์พระราชามากแต่การกระทำตรงข้ามกับศาสตร์พระราชาเกือบทุกอย่าง
สมเด็จพระญานสังวรสมเด็จพระสังฆราชก็ทรงนั่งหลับตาสมาธิ!!!เทวทัตโพธิรักษ์ยังกล้าใส่ร้ายด้วยอัตตามิจฉาฐิถิ
กฐินหลวงก็มีโดยพระราชาแต่เทวทัตบอกไม่ไช่พุทธ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ไม่ขอพูดหรอกที่คุณพูดมานี้ใส่ความอาตมาทั้งนั้น ที่คุณเข้าใจนั้นขอยืนยันว่าคุณเข้าใจผิด อาตมาเข้าใจถูก แต่คุณก็ว่าอาตมาผิดคุณถูก ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นอาตมาก็ไม่ไปเถียง ไปโต้อะไร อาตมาก็ได้พูดธรรมะเหล่านี้ตลอดเวลาเป็นเรื่องแบบนี้แหละ เอาแค่เรื่องสมาธิ ศาสนาพุทธไม่ได้สอนสมาธินั่งหลับตา แต่มันมีสมาธิอยู่ในปกติสามัญได้ ถ้าสัมมาทิฏฐิ คนที่ไม่สัมมาทิฏฐิ นั่งสมาธิอยู่ทุกวันนี้คือไม่สัมมาทิฏฐิ แล้วมันจึงเป็นสมาธิ ที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
ถ้าจะนั่งหลับตาสมาธิต้องสัมมาทิฏฐิ แต่คุณไม่สัมมาทิฏฐิ ไปนั่งหลับตาจึงกลาย เป็นการสะกดจิต และคิดว่าการได้สะกดจิตเป็นการได้อธิจิตหรือเป็นสมาธิของพุทธ ขอยืนยันว่าสมาธิอย่างที่นั่งสะกดจิต แล้วจิตใจสงบอย่างนั้นมันไม่ใช่ของพุทธ
พุทธนั้นจิตสงบอย่างลืมตา พุทธไม่ได้หลับตา สงบ
พุทธนั้น ลืมตาแล้วกิเลสสงบ ฟังอีก ควรจะไปทบทวนฟัง ไปเปิดฟังอีกล้านเที่ยวแต่อาตมาจะพูดอีกทีเดียว
พุทธนั้น ไม่หลับตาปฏิบัติ พุทธทำสมาธิอย่างลืมตา สมาธิของพุทธไม่ได้หลับตา สัมมาสมาธิของพุทธปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ในมหาจัตตารีสกสูตร ปฏิบัติในขณะทำงานอาชีพ ในขณะทำงานทุกอย่างเป็นสัมมากัมมันตะ ทำอะไรอยู่ทุกอย่างก็กำลังปฏิบัติสมาธิ ให้เกิดสมาธิเป็นของพุทธ เรียกว่า supra concentration ไม่ใช่ meditation เป็นสมาธินั่งหลับตา สัมมาสังกัปปะก็ทำสมาธิ ให้เกิดสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะ คือมีจิตนั้นกิเลสดับลงลดลงด้วยความสงบ เมื่อกิเลสดับหมด จิตก็สงบ จิตใจก็ยิ่งสว่าง ไม่ใช่จิตใจที่ดับมืดไม่เห็นอะไร นิโรธแบบที่ดับมืดนิ่งไม่เห็นไม่คิดอะไร อย่างนั้นมันมิจฉาทิฐิคุณมณี ศรียงค์ คุณนั้นไม่ได้รู้ความจริงของสัจธรรมพระพุทธเจ้าเลย ไม่เข้าใจที่ผิดมันเป็นถูก ถูกครอบงำทางความคิดไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดหยาบเกินไปกับอาตมาหรอก อาตมาก็พูดอย่างธรรมดา ก็ศึกษาให้ดี แค่ไม่พูดคำหยาบก็ดีแล้ว พูดกับอาตมาดีๆ แต่นี่พูดประชดประชันแดกดัน อาตมาเข้าใจ อาตมาไม่ถือสาเพราะเข้าใจคุณ ขออภัยที่ใช้คำว่าสอนคุณ ไม่ได้สอนหรอก พูดให้ฟังเท่านั้นแหละ คุณจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ แต่คุณคงได้ยินได้ฟังก็เลยพูดว่าอาตมาผิด โดยเห็นแจ้งว่าหลับตาสมาธิแล้วก็สอนอาตมา ว่าการหลับตาสมาธิคือการทำสมาธิ ซึ่งไม่ใช่เลย ศาสนาพุทธไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาสมาธิ ลืมตาปฏิบัติแล้วจะเกิดจิต เป็นมุทุภูตธาตุ จิตจะแคล่วคล่องว่องไวสงบบริสุทธิ์บริสุทธา ปริโยทาตา บริสุทธิ์แม้จะสัมผัสกับโลกอย่างไรก็บริสุทธิ์ อย่างพระอรหันต์พระพุทธเจ้าสัมผัสกับโลกอย่างไรก็ ปริโยทาตา จิตมุทุภูตธาตุ มีกัมมัญญตา ทุกการกระทำทุกอาชีพไม่ว่าจะเป็นการสังกัปปะ ก็เป็นการงานที่ดี กัมมัญญา มีความเหมาะควรเพราะว่ามีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จึงสามารถจัดการกับทุกกรรมได้พอเหมาะกับสังคม จิตก็ปภัสสรอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตใจมีอุเบกขา
ได้สมาธิแล้วจะเกิด ฌาน 4 เป็นอุเบกขาสูงสุด โดยลืมตา การหลับตาไม่มีทางเกิด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
โดยเฉพาะกัมมัญญา จะสัมผัสสัมพันธ์กับโลกอย่างเหมาะควร สัมผัสกับโลกธรรม ที่มีลาภยศสรรเสริญสุขก็ ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตใจไม่ได้หวั่นไหวอะไรเลย หากปฏิบัตินั่งหลับตาจะไม่เกิดแบบนี้เลย ไม่เกิด เนกขัมมสิตอุเบกขา
ที่พูดมานี้อาตมาทำตามพระพุทธเจ้าในพรหมชาลสูตรว่า ถ้าใครมาตำหนิเรา อย่างไรแล้วไม่ถูกต้องเราก็แก้ไป ไม่ใช่ก็ช่างเขาเถอะ อย่าไปเอาใจใส่อย่าไปยุ่ง ให้เขาติไป ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าใครตำหนิเราเราก็กล่าวแก้ไปได้ ในพระสูตรแรกเลย มีพราหมณ์อาจารย์กับลูกศิษย์ถกเถียงกัน ลูกศิษย์ชมพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ตำหนิพระพุทธเจ้า เสร็จแล้ว สมณะพระภิกษุทั้งหลายก็ได้ยินแล้วก็วิจารณ์ เรื่องศิษย์กับอาจารย์ถกเถียงกัน พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถ้าเขาตำหนิเราก็ฟังเขา ถ้าเขาตำหนิไม่ถูกเราก็แก้ไขให้เข้าใจให้ถูก ว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาว่าอย่างนี้ เราเป็นอย่างนี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็กล่าวแก้ไขเสีย อาตมาก็ได้กล่าวตามคำสอนพระพุทธเจ้า อะไรผิดก็แก้ไขอะไรถูกก็ชมเชย แต่มันอาภัพมาก ตำหนิที่ไรมันถูกกระบวนการของศาสนาที่มีในประเทศเกือบทั้งหมด ดีนะที่ใช้คำว่าเกือบทั้งหมด เพราะติก็ถูกคนเกือบทั้งหมดศาสนาพุทธ เมื่อจะชมก็กลายเป็นชมตัวเองไปเสีย มันหลีกเลี่ยงไม่ถูกความจริงอันนี้ ก็จำนนไม่รู้จะว่าอย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน การขายตรงอย่าเอาเข้ามาในอโศก
_อโศกสัมปวังโกว่า...ในงานมหาปวารณาที่บวรศาลีอโศกที่ผ่านมา พ่อครูได้อ่านเรื่องของญาติธรรมท่านหนึ่ง ที่เป็นนักขายตรง ที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆบวรสันติอโศก กระผมเองในฐานะผู้หนึ่งที่เคยถูกหลอกให้เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เพื่อที่จะให้ได้เป็นสมาชิกนักขายตรงคนหนึ่ง จำได้ว่านักขายตรงผู้เป็นวิทยากร ได้โน้มน้าวใจให้ผู้เข้ารับฟัง การบรรยายได้เกิดความเชื่อว่า อาชีพการขายผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพ เป็นอาชีพที่ได้ทั้งเงินได้ทั้งบุญ เพราะสินค้าดังกล่าวจะทำให้ลูกค้าผู้ซื้อไปบริโภค มีสุขภาพดีขึ้นและหายป่วยในที่สุด แตกต่างกับการขายสินค้าอื่น ที่ผู้ขายจะได้แต่เงินไม่ได้บุญด้วย
การพูดถึงบุญของวิทยากรดังกล่าวขัดแย้งกับคำว่าบุญ ตามทฤษฎีบุญนิยมที่พ่อท่านได้ขยายความเอาไว้ แต่ก็มีพี่น้องญาติธรรมหลายท่านเข้าเป็นสมาชิก แสดงว่าญาติธรรมเหล่านั้นไม่ได้เข้าใจคำว่าบุญตามทฤษฎีที่พ่อท่านได้อธิบายขยายความใช่ไหมครับ ในโอกาสใหม่หากพ่อครูจะอธิบายอีก อยากให้ใช้อุปมาอุปไมยใหม่ เพื่อจะมีผลให้พี่น้องญาติไปทำเหล่านั้นเข้าใจคำว่าบุญตามทฤษฎีบุญนิยมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่เข้าใจสับสนกับคำว่าบุญของผู้นำนักขายตรงดังกล่าว
พ่อครูว่า...อาตมาก็ได้พูดห้ามไว้แล้วด้วย แต่ก็ยังไปยุ่ง ก็มีขายตรงในชาวอโศก ไปทำบาปทำเวรอะไรก็ไม่รู้ บอกว่าอย่างนั้นมันบาป เป็นภัย อย่าไปทำ เขาก็ไม่เชื่อ แล้วเอามาเผยแพร่ในชาวอโศก แล้วก็บอกว่า โฆษณากับชาวอโศกว่าจะได้ทั้งเงินทั้งบุญ
ขอพูดอีกทีหนึ่งว่า การขายตรงอย่าเอาเข้ามาในชาวอโศก คุณจะขายก็เชิญไปขายข้างๆ ขายให้ไกลชาวอโศก เพราะชาวอโศกที่ยังโง่ๆนั้นก็ยังมีอยู่ คุณฉลาดก็ไปหากินกับคนอื่นเถอะอย่ามาหากินกับคนที่นี่เลย และคนที่โง่ที่นี่ก็ควรจะฉลาดขึ้นบ้าง อย่าโง่เอาเรื่องเอาราวกับการขายตรง คนอโศกที่ไม่โง่และฉลาดแล้วอย่าไปเกี่ยวข้องกับเขา ให้เขาเก้อเขินเด๋อๆ แล้วหนีไปเองเลย โทษทำอย่างที่ว่านี้ เราไม่ต้อนรับหลักการขายตรง มันเป็นการหลอกลวง เพื่อจะเอาเงินค่าขายให้แพงๆ ค้ากำไรเกินควรมากไป
ลัทธิขายตรงนี้ เขาเอาเงินล่อให้คนขาย เอาเงินล่อให้คนขายให้คนขายนี้ไปขาย แล้วให้พูดเก่งๆโน้มน้าวให้ผู้ซื้อซื้อ แล้วถ้าขายได้มากจะได้เปอร์เซ็นต์ อันนี้เป็นวิธีการซ้ำซ้อน ใช้คนขายให้หาเงินเข้ามาให้แก่บริษัทขายตรง เป็นวิธีการทุนนิยมที่คิดขึ้นมา อาตมาถือว่าเป็นวิธีที่เลวมาก ใครยังขายตรงก็คือคนที่...มากนั่นแหละ
คนฉลาดแกมโกงมากที่สุดคือคนที่โง่มากที่สุด ถ้าคนฉลาดจริงเขาจะไม่เอาเปรียบเอารัดคนอื่นหรอก มีแต่คนโง่ฉลาดแกมโกงและอวิชชาถึงจะมารีดนาทาเร้นเอาเปรียบเอารัดจากผู้อื่น
ก็ขอร้องชาวอโศกอย่าไปยุ่ง ใครยังไปยุ่งกับขายตรงอีกก็ยังโง่เง่าเต่าตุ่นทั้งนั้น ขายตรงนี้กรุณาไปขายนอกขอบเขตชาวอโศกอย่ามาขายที่นี่ จะบอกว่าสินค้าเหล่านั้นดีอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ามันจำเป็นที่จะซื้อก็ไปซื้อข้างนอก อย่าเอามาแพร่ลัทธินี้ในนี้ ไม่เอา ถ้ามันดีจริงๆ อาตมาไม่ได้ว่าของคุณไม่ดี ถ้าอยากจะซื้อก็ไปซื้อข้างนอก ถ้าไม่รู้ว่าของดีมันมีก็ตายในนี้แหละ อย่ามาโฆษณาในนี้เลย ทุกวันนี้สงสารสังคมมากที่ถูกครอบงำจากคนเหล่านี้ จนไม่รู้จะพูดอย่างไร
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไม่กินเนื้อสัตว์นี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง
มาอ่านต่อ...ศาสนาพุทธสร้างศาสนาด้วยศีลสมาธิปัญญา แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เอาศีลแล้ว ศีลมีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เอาศีลแล้ว จึงปฏิบัติไตรสิกขา คือการศึกษา การศึกษาของศาสนาพุทธ จึงศึกษาให้เป็นศีลสมาธิปัญญาไม่ได้แล้ว
ศีล เป็นตัวกำหนดไปตามลำดับ ให้เกิดสมาธิให้เกิดปัญญาให้เกิดวิมุติ ศีลเป็นตัวตั้ง เช่น เอาตั้งแต่ข้อ 1 เลย
ศีลข้อที่ 1 อย่าฆ่าสัตว์หรือ แม้ศีลข้อ 2 อย่าเอาของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเรา ศีลข้อ 3 อย่าไปละเมิดเรื่องราคะ กาม ที่ไม่ควร
ศีลสามข้อหลัก เมื่อคุณตั้งใจจะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตรงนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตา ปฏิบัติตรงนี้ แล้วจะเกิดสมาธิเกิดปัญญาเกิดวิมุตติญาณทัสสนะ อย่างลืมตาไม่ใช่หลับตาแล้วจะได้อย่างนั้นไม่ใช่
สมาธิจะได้จากศีลคือคุณไม่ฆ่าสัตว์ มีใจเอ็นดู มีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง เมตตาปราณีต่อสัตว์ทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น
เมื่อเราเองเราจะปฏิบัติก็ต้องเข้าใจศีลให้ได้ ว่าท่านให้เราระวัง แล้วให้มีสติ มีสติอยู่กับตัว เมื่อลืมตาขึ้นมาสัมผัสกับคน คนก็เป็นสัตว์ก็อย่าไปทำร้ายสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เป็นสัตว์ เพราะฉะนั้นอย่าไปทำร้ายสัตว์ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เพราะฉะนั้นปูปลาเนื้อเก้งอะไรก็แล้วแต่ สัตว์ทั้งหลายอย่าไปฆ่า
จะฆ่าด้วยวิธีอะไรก็ตาม ด้วยความไม่ชอบใจก็อย่าทำ แม้จะชอบใจฆ่าเอามากิน มันน่ากินก็เลยฆ่ามากินก็ไม่เอา หรือจะฆ่าเอางา ฆ่าเพื่อเอาเขา ฆ่าเพื่อเอาอะไรก็แล้วแต่ไม่เอา ฆ่าอย่างคึกคะนองนักล่าสัตว์ก็ไม่ฆ่า เมื่อคุณอยู่กับคน คนก็เป็นสัตว์จะต้องไม่ฆ่า แล้วไปถึงสัตว์ต่างๆก็ไม่ฆ่า สัตว์ใหญ่สัตว์กลางสัตว์เล็ก ก็ไม่ฆ่าทั้งนั้น เพราะท่านไม่ได้ละเว้นว่าสัตว์ตัวเล็กฆ่าได้ จะมีชีวิตอยู่กับสัตว์ตัวใดก็ไม่ฆ่า เว้นจากการฆ่า วางทัณฑะ วางศาสตรา
หากใจจะอยากฆ่าก็มีความละอาย แทนที่ใจอยากฆ่าแล้วมีความละอายก็ไม่อยากฆ่า แล้วก็มีความเอ็นดูมีความกรุณา เห็นสัตว์ทุกตัวก็มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง นี่คือศีลที่พระพุทธเจ้าสอน จะต้องมีความเข้าใจเช่นนี้มีความละเอียดเช่นนี้
เมื่อศึกษาให้ดีแล้วท่านไม่ให้ฆ่า ใครก็ไม่น่าจะฆ่าสัตว์ ถ้าใครไปฆ่าสัตว์ด้วย สัญจิจจะ หรืออุทิสสะ คือเจตนาฆ่า สัญจิจจะ คือเจตนา ถ้าสัตว์มีชีวิต ปาณา อย่าไปฆ่า โมโรเปตุง
ไม่ว่าจะเป็นฆ่ามากินก็อย่าไปฆ่า เพราะสัตว์ไม่ใช่อาหารของคน คนเป็นสัตว์กินพืช ก็มีหลักฐานอ้างอิงยืนยัน แม้กับช้างม้าวัวควาย เป็นเล็บแบบ nail ไม่ใช่ claw พวกสัตว์ที่กินเนื้อจะมีฟันเป็นเขี้ยว canine แต่ฟันของคนเหมือนสัตว์กินพืช molar
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สิคาลวรรค ล.27 6. พาโลวาทชาดก
ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
[342] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่
สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.
พระพุทธเจ้าก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ แต่มันมีนักบวชที่กินเนื้อสัตว์ ท่านก็ไม่ได้ประกาศห้ามโดยตรง พระหลายรูปก็กินเนื้อ พระหลายรูปก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ แม้แต่พระเทวทัตก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าไม่ฉันเนื้อสัตว์แน่ แต่มันมีพระอยู่ในหมู่ศาสนาพุทธนี่แหละฉัน พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่าอย่าฉัน พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า ให้พระพุทธเจ้ากำหนดเป็นศีลเลย ห้ามเลยเด็ดขาด เป็นธุตังคะ เป็นศีลเคร่งเลย ว่าอย่าฉันเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าก็ไม่เอาด้วย ให้เป็นอิสระเสรี
เพราะว่าการจะฉันเนื้อสัตว์หรือไม่ฉันเนื้อสัตว์ก็อยู่ที่ปัญญา หากมีปัญญาถึงขีดก็ไม่ ฉันเนื้อสัตว์ ผู้ที่มีปฏิภาณรู้ได้ก็เลิกฉันเนื้อสัตว์ ผู้ที่ไม่รู้ก็ฉันไป สมัยนั้นก็มีการถกเถียงแย่งกันเหมือนอย่างนี้ เหมือนกับในยุคนี้ชาวอโศกก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ก็ขัดแย้งกับคนที่กินเนื้อสัตว์ วิเคราะห์วิจัยกันให้เกิดปัญญา พระพุทธเจ้าให้เกิดปัญญา ส่วนใครจะฉันอยู่ก็เป็นวิบากของเขา
ทำบุญแต่ได้บาป 5 ลำดับ (ย่อมประสบบาป มิใช่บุญ)
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร เล่ม 13 ข้อ 60
การเอาเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นอกัปปิยะ(ไม่สมควร) มาถวายสงฆ์ถวายพระพุทธเจ้า ก็ไม่ถูกแล้ว เป็นความไม่สมควรแล้ว จะกล่าวไปไยถึงข้อที่1-4 เป็นบาปเป็นอันมาก ข้อที่ 5 จึงเป็นที่รวมของอภิมหาบาป บาปยกกำลังเท่าไหร่ไม่รู้
ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ
[60] ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 1 นี้
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 2 นี้
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 3 นี้ สัตว์นั้นเมื่อกำลังเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า
ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 4 นี้
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 5 นี้
ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการนี้.
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องที่ต้องพูดซ้ำซากจะได้เข้าใจ แต่คนจะกินก็กิน อาตมาก็ไม่อยากให้เกิดบาป จะไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ ก็กินไปบาปใครบาปมัน บอกแล้วคนกินเนื้อสัตว์นั้น กินเข้าไปคำแรกก็ติดบาปเข้าไปคำนั้น
ว่าด้วยคนมีปัญญาบริโภค
[342] บุคคลผู้ไม่สำรวม ประหารสัตว์ เบียดเบียน และฆ่าสัตว์ ให้ทานแก่สมณะใด สมณะนั้น บริโภคภัตเช่นนี้ ย่อมเข้าไปติดบาปด้วย.
เนื้อสัตว์ที่คุณกินเข้าไปคำใดก็ติดบาป ...อย่างนี้ยังไม่ชัดอีกหรือ
ในไตรสิกขาเมื่อตั้งศีลแล้วจิตก็จะเจริญด้วยการพิจารณาโพธิปักขิยธรรม 37 ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมผัสสัตว์ก็พิจารณากายเวทนาจิตธรรม
ถ้าคุณกินเนื้อสัตว์แม้จะไม่ได้ทำร้ายสัตว์ คุณก็สัมผัสนะ แม้แต่ในลังกาวตารสูตร ก็บอกว่าเนื้อสัตว์ไม่ควรกิน แม้ในชีวกสูตรก็มีการแย้ง.
5. ชีวกสูตร
เรื่องหมอชีวกโกมารภัจจ์
[56] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพวันของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นแล หมอชีวกโกมารภัจจ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้ ชนเหล่านั้นชื่อว่า กล่าวตรงกับที่พระผู้มีพระภาคตรัส ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำอันไม่เป็นจริง ชื่อว่ายืนยันธรรมอันสมควรแก่ธรรม การกล่าวและกล่าวตามที่ชอบธรรม จะไม่ถึงข้อติเตียนละหรือ?
เนื้อที่ไม่ควรบริโภค และควรบริโภค 3 อย่าง
[57] พ. ดูกรชีวก ชนใดกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายย่อมฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดมพระสมณโคดมทรงทราบข้อนั้นอยู่ ก็ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่เขาทำเฉพาะตน อาศัยตนทำ ดังนี้
ชนเหล่านั้นจะชื่อว่ากล่าวตรงกับที่เรากล่าวหามิได้ ชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง ดูกรชีวกเรากล่าวเนื้อว่า ไม่ควรเป็นของบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ คือ เนื้อที่ตนเห็น เนื้อที่ตนได้ยินเนื้อที่ตนรังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่าเป็นของไม่ควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ นี้แล
ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภคด้วยเหตุ 3 ประการ คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็นเนื้อที่ตนไม่ได้ยิน เนื้อที่ตนไม่ได้รังเกียจ ดูกรชีวก เรากล่าวเนื้อว่า เป็นของควรบริโภค
ด้วยเหตุ 3 ประการนี้แล.
เห็นอะไรเห็นคนฆ่าสัตว์ เห็นคนนั้นกำลังฆ่าสัตว์ แล้วระบุเฉพาะบุคคล หรือได้ยินคนฆ่าสัตว์ว่าสัตว์นี้ถูกฆ่าโดยคน เธอมีความรังเกียจว่าสัตว์นี้ถูกฆ่าด้วยคน
ไม่ได้ยาวยืดไปถึงว่า สัตว์ที่ฆ่าเพื่อระบุบุคคล เพราะฉะนั้นจะระบุใครก็แล้วแต่ คนนั้นแหละกินเนื้อนี้ไม่ได้ ความเข้าใจแบบนี้ผิด…
เนื้อที่ควรบริโภคนั้นจะต้องไม่ถูกฆ่าโดยคน เนื้อที่จะกินได้มี ปวัตตมังสะ
เนื้อที่ไม่บริสุทธิ์คือเห็นว่าสัตว์ถูกฆ่าด้วยคน ได้ยินว่าคนฆ่ามา หรือไม่ได้เห็นไม่ได้ยินหรือรังเกียจว่า สัตว์ถูกฆ่าด้วยคน ท่านก็ไม่ฉัน แต่ถ้าท่านจะฉันก็ต้อง ปวัตตมังสะคือเนื้อที่ตายเองกับเดนสัตว์กิน
เป็นเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยส่วน 3 กับเนื้อที่ไม่บริสุทธิ์ด้วยส่วนสามนั้นไม่ฉัน
อุทิสมังสะกับปวัตตมังสะนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตั้งมาเองมันมีอยู่แล้วในอินเดีย มีทั้งพวกที่ฉันเนื้อสัตว์กับไม่ฉันเนื้อสัตว์ เขาก็ขัดแย้งกันมาตั้งแต่ไหนต่อไหน มีลัทธิที่ฉันเนื้อสัตว์และไม่ฉันเนื้อสัตว์ เมื่อพระพุทธเจ้าประกาศศาสนา จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์มาตั้งแต่กำเนิดแล้วเพราะเป็นพราหมณ์ชั้นสูง เพราะฉะนั้นเมื่อมาบวช ก็ยังอยู่ในหลักเกณฑ์ของศาสนาว่า ถ้าฉันแล้วต้องอยู่ในเกณฑ์ของศาสนาที่เขานับถือกัน เราก็จะฉันเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยส่วน 3 คือเนื้อสัตว์ที่เป็นปวัตตมังสะเท่านั้น แม้จะเป็นสัตว์ที่ถูกฆ่าด้วยคนแม้จะระบุชื่อว่าคนนี้หรือไม่ก็ตาม
ต่อมาอีก ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ
ทำบุญได้บาปด้วยเหตุ 5 ประการ
[60] ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการ คือ ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา ดังนี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 1 นี้
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ได้เสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 2 นี้
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 3 นี้ สัตว์นั้นเมื่อกำลังเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์ โทมนัส ชื่อว่า
ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 4 นี้
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุประการที่ 5 นี้
ดูกรชีวก ผู้ใดฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก ด้วยเหตุ 5 ประการนี้.
ต่อมาสีหสูตร...สีหเสนาบดี นิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน แล้วไปให้บริวารไปซื้อเนื้อสัตว์มาให้ฉันที่บ้าน ไม่ได้เจาะจงเลยว่าให้ฆ่าสัตว์เพื่อเฉพาะเจาะจงให้พระพุทธเจ้าฉัน..แต่พวกอเจลกะ ไปโพนทะนาว่า พระพุทธเจ้า สมณโคดมนี้ฉันเนื้อสัตว์ ทั้งที่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้มาฉันเลย ประเด็นนี้อาตมาเอามา ตีความกันให้ดี
ถ้าสมมุติว่า พระพุทธเจ้าท่านฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ คนพวกนั้นไปตะโกนโหวกเหวก ว่า เจ้าข้าเอ๋ย พระสมณโคดมฉันเนื้อสัตว์แล้วไม่ควรเคารพ หากว่า พระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติจะไปตะโกนเพื่อดิสเครดิตทำไม เขาจะได้คะแนนได้อย่างไร เขาก็ไม่ได้คะแนนอะไรเลย เขาจะไปตะโกนร้องป่าวทำไม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าปกติแล้วไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์แม้จะเจาะจงหรือไม่เจาะจง ท่านก็ไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์เป็นธรรมดา พวกอเจลกะไปตะโกนโหวกเหวก จึงจะได้คะแนน เพราะว่าท่านไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ว่าเจาะจงหรือไม่ เพราะฉะนั้นพวกนั้นไปตะโกนบอกว่า แม้รู้อยู่ว่าฆ่าเฉพาะ ก็คือว่าทำไม่ได้ฉันเป็นปกติ จะมาฆ่าเพื่อเจาะจงหรือไม่เจาะจง จะมาตะโกนเพื่อหาสวรรค์วิมานอะไร จะได้คะแนนอะไรกับการตะโกนเหล่านี้ ให้พระพุทธเจ้าเสียเครดิต ถ้าหากพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ
จริงอยู่ว่าท่านรับนิมนต์ เขาจะอังคาสด้วยอาหารเนื้อสัตว์ แต่ว่าท่านจะฉันข้าวเปล่าก็จะเป็นอย่างไรไป แต่ยังไม่ถึงเวลาฉันเลย เขาก็ไปตะโกนร้องป่าวแล้ว ก็ได้วิเคราะห์ให้ฟังแล้ว ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ที่ระบุบุคคลหรือไม่ก็ตาม จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าหากท่านได้ฉันเนื้อสัตว์เป็นปกติ หรือแม้แต่ท่านฉันเนื้อสัตว์ระบุบุคคล ก็ถ้าว่า ถ้าเนื้อสัตว์นั้นเอามาจากตลาดไม่ได้ระบุบุคคล ท่านก็ฉันได้สิ แล้วจะไปได้แต้มอะไร เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าท่านไม่ได้ผิด เพราะฉะนั้นจะระบุบุคคลหรือไม่ได้ระบุบุคคลท่านก็ไม่ได้ฉันทุกประตู
สู่แดนธรรมว่า...ผมเคยบวชในเถระสมาคม ในพระสูตรนี้ ชีวกสูตร เขาตีความกันว่า พระพุทธเจ้าสอนว่าเนื้อที่ไม่ควรกินนั้น ได้แก่เนื้อที่ตัวเองฆ่า เขาก็เลยตีความว่า ต้องฆ่าเองถึงจะกินไม่ได้ ผมไปค้นหา คำว่า เห็นนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ใช้คำว่าทัสนา แต่ใช้คำว่าทิฏฐิ แสดงว่าทิฏฐิที่จะนำตนออกไปนั้นไม่ควรกิน
พ่อครูว่า...อันนั้นเป็นรายละเอียดในพยัญชนะต่างๆอีกมันต่างกันมากเลยในความหมายของพยัญชนะบาลีแต่ละคำ ทุกวันนี้ คำว่าบุญคำว่ากายนี้ยังหยาบอยู่นะ ซึ่งเขาไม่ได้สอนกันแล้วเดี๋ยวนี้ มีหลักฐานพยัญชนะคำว่ากายและบุญ เอาไปยืนยันต่างๆนานา จะไปพูดทำไม เดี๋ยวนี้มันเสื่อมกัน อาตมายืนยันได้ว่าในศาสนาพุทธทุกกรณีไม่มีศีลมีแต่วินัย ไปถามใครก็ได้ ว่า
พระของศาสนาพุทธนี้ไปถามเลยว่ามีศีลเท่าไหร่ เขาก็จะบอกว่ามี 227 ข้อ เห็นไหม ธรรมวินัยกับศีลเขาก็แยกไม่ออกไม่รู้เรื่องแล้ว โดยเฉพาะวินัย 227 ก็ไปตีความว่าเป็นศีล เขาก็ไปยึดถืออันนั้น แล้วอาตมาบอกว่าศีลนั่นมีจุลศีลมัชฌิมศีลมหาศีล เขาก็งงเลย
อาตมานำศีลมาขยาย ยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่มีศีลโดยเฉพาะมหาศีล เป็นศีลของศาสนา ที่ห้ามไว้ในมหาศีลนั้นศาสนาพุทธจะไม่มี ในสิ่งที่เป็นเดรัจฉานวิชาเหล่านี้ เมื่อมาถึงยุคนี้มันได้เสื่อมไปหมดแล้วเพราะไม่มีศีล เดรัจฉานวิชาในมหาศีลจึงได้มีกันหมด มาออกอากาศกัน พระรักษาไข้รักษาญาติโยม ก็บอกว่าทำได้ ที่เอามาถกกันนี้วิตถาร หยาบแล้ว แค่รักษาก็ไม่ได้ใส่ยาชะแผลก็ไม่ได้
[120] 7. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตาปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล
แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.
พ่อครูว่า..ศาสนาพุทธนี้มีสมาธิแบบลืมตา supraconcentration เป็นสมาธิที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ทำอาชีพทำกัมมันตะทำการพูดทำการคิดก็มีสมาธิ เพราะว่าจิตใจไม่มีนิวรณ์ 5 ขณะทำกรรมการงาน เรียนไปปฏิบัติไป ก็ทำตามความเป็นจริงว่า เราทำอาชีพอยู่นะถ้ามีกิเลสก็ฆ่ากิเลส จนกระทั่งกิเลสมันไม่มีในการงานอาชีพ จึงจะเห็นกิเลสจริงและฆ่ากิเลสจริงในการงาน ไปนั่งหลับตาแล้วกิเลสมันเกิดเมื่อใด มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยให้มันเกิดกิเลส ไม่รู้เรื่องเลย
แล้วกิเลสมันเกิดจากข้าวของอะไร เกิดเพราะส้มโอเกิดเพราะอะไรอย่างนี้ ในตาหูจมูกลิ้นกาย รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่รู้เรื่องไปนั่งหลับตาปฏิบัติ สมาธิแบบนั้นไม่ใช่ของพุทธ
สมณะฟ้าไทว่า...ตลาดนัดบุญนิยมพรุ่งนี้จะเปิดมีแม่ค้า 4 รายมีอาหารพื้นบ้านข้าวต้มมัดเป็นต้น มีการจำหน่ายตะกร้าพลาสติก ร้านน้ำแข็งใสแจกฟรีตั้งแต่ 10 โมงครึ่งเป็นต้นไป
พ่อครูว่า...อาคาร บวร ที่สร้างขึ้นมานี้ด้านล่างจะเป็นตลาด ไม่ได้สร้างเพื่อชาวอโศกเท่านั้น คนทั่วไปมีสินค้าจะเอามาขายก็เชิญเอามาขายได้ที่นี่ เป็นตลาดที่สร้างให้คนเอาสินค้ามาขายได้ ไม่ได้สร้างตลาดมาหาเงิน ชาวอโศกก็จะไปขายบ้างเท่านั้นแหละมีที่เยอะ ขอเชิญผู้ที่มีสินค้าจะขายก็มาแจ้ง แล้วเราก็จะให้ขาย เราก็ต้องดูบ้างว่าเป็นใครมาอย่างไร ไม่ได้เก็บเงินเก็บทองเลย
สมณะฟ้าไทว่า...การตลาดของคนจน ให้รัฐบาลมีนโยบายให้เลิกรวย มาเป็นคนจน จะเป็นคนจนได้ต้องมีศีล ถึงจะเป็นคนจนได้ ถ้าหากไม่มีศีลก็เป็นคนจนไม่ได้ จากที่พระพุทธเจ้าพาทำพ่อครูพาทำ จะเป็นคนจนที่สำราญเบิกบานใจ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:54:01 )
รายละเอียด
601124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัมประสิทธิ์มิตรดีพาให้หนีพ้นอสุรกาย
สมณะเดินดินว่า...วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรราชธานีอโศก อากาศหนาวแถมมีพัดลม เป่าลมให้ด้วย ต้องคนที่แข็งแรง ถึงจะสดชื่น พ่อครูเป็นผู้ที่มีความแข็งแรง มีความรับผิดชอบต่อศาสนา เคยไปกับพ่อครู ที่ดอยอินทนนท์ อากาศหนาว แถมฝนยังตกอีก อาตมานอนขดอย่างไรก็ยังหนาว แต่พ่อครูยังลุกขึ้นมาจุดเทียน เขียนหนังสือทางเอกอีก เรานอนยังหนาว แต่พ่อครูลุกขึ้นมาจุดเทียน เขียนหนังสือ อย่างสบายเลย ในความรับผิดชอบนั้น ก็อยู่ความเหนือ หนาว ร้อน
ก่อนขึ้นศาลา อาตมาเจอพวกเรา ว่า เขาไม่รู้จะมาทำไมที่ศาลา แต่ก็ยังรู้เหมือนกันว่ากำลังต่อสู้กับ ความรังเกียจ และความขี้เกียจ แต่เขาก็ว่าไม่เป็นไร ชาติหน้าค่อยสู้กันต่อ แล้วถามเขาว่า ทุกวันนี้ทำอะไรหรือเปล่า เขาก็บอกว่า ผมเป็นหน่วยอิสระ ไม่มีใครมากำหนดชีวิตผม อยากจะทำก็ทำ เหนื่อยแล้วก็มาพัก ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดได้อย่างผมหรือเปล่า เขารู้สึกว่า มันเป็นชีวิตอิสระเสรี แต่อาตมาเห็นว่า ชีวิตอิสระเสรี แต่มันไม่มีความรับผิดชอบอะไรเลย ก็จะค่อนข้างไปทางฮิปปี้ตามกิเลสไปเรื่อยๆ แต่เขาก็รู้สึกเหมือนกันว่า กิเลสมันบังคับเขา ไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้า ก็คงจะบังคับต่อ
ในทิศทางตรงนี้ เราเห็นพ่อครูเป็นตัวอย่าง ของพลังในการรับผิดชอบต่อมนุษย์ และศาสนา คนมีวิญญาณรับผิดชอบ ก็จะมีพลัง ปกติอาตมาไม่ถนัด ที่จะมาเทศน์ ไม่ค่อยชอบ คือรู้สึกว่า มันเป็นนิสัย แต่ถ้าให้เขียนหนังสือหรือไปดู ก็จะถนัด แต่ว่า ตอนหลัง มันก็เป็นการบังคับ ก่อนจะมาเทศน์ ก็ต้องออกกำลังกาย ไม่งั้นมานั่งหลับแน่ ถ้านั่งเขียนหนังสือก็ไม่รู้ จะมีที่จบตรงไหน ออกมาเทศน์ อย่างน้อย พยาบาลก็กำลังดูว่า เราหน้าตาวันนี้ดูไม่ได้เลย เราก็จะได้ประโยชน์ ให้เกิดประโยชน์แก่ตัว อาตมาก็คิดว่า ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อครูก็ต้องออกรายการ เราก็ต้องคอยดูแล ไม่ให้ทรุดโทรมในตัวเอง หรือบางทีพ่อครูอ่านพระไตรปิฎก ชีวกสูตร การฆ่าสัตว์ ศีลข้อที่ 1 หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง เราก็เข้าใจอยู่ แต่ก็ยังตำหนิตัวเองได้มากๆ พอเราไปเจอญาติโยมยังกินเนื้อสัตว์อีก แล้วพอจะดึงเอาศีลมาบอก ก็จำไม่ค่อยได้อีก จึงเห็นประโยชน์ของการอ่านย้ำซ้ำ จึงเห็นวิญญาณของพ่อครู ที่มีความรับผิดชอบ ต่อมนุษยชาติต่อศาสนา ทำให้มีพลังไม่มีที่สิ้นสุด
ก็เห็นถึงพลังของวิญญาณพระโพธิสัตว์ อาตมามาทางสายเถรวาท ไม่ค่อยคิดถึงผู้อื่น พลังก็มีแค่ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครคิดถึงผู้อื่นด้วย ก็จะเป็นรถที่เดินได้อย่างเต็มกำลัง ใครคิดถึงแต่ตัวเอง ก็เหมือนกับญาติธรรมที่บอกว่า ศาลาไม่รู้จะมาทำไม ถามเขาว่า ต้องต่อสู้ความขี้เกียจความรังเกียจไหม เขาก็บอกว่าไม่ต้องต่อสู้หรอก แต่ก็รู้ว่ากิเลสมันจะลากเขาไป ทั้งชาตินี้และชาติหน้า องค์ประกอบของมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ที่จะทำให้ชีวิตการปฏิบัติธรรมของเรา มีความสมบูรณ์ วันนี้เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ตั้งใจสดับตรับฟังสัจธรรม จากพ่อครูต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6) ตอน สัมประสิทธิ์ของมิตรดีสหายดี
พ่อครูว่า...คุณพูดมาถึงคำว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ในประโยคนี้ประโยคเดียว มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสูงที่สุด คำว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มันไม่ได้หมายถึง อัตตา
มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ได้หมายถึง อัตตา ชัดเจนนะ
เพราะฉะนั้น ศาสนาทั้งหมด คือ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
แล้วในสังคมนี้ มีเราร่วมเป็น อัตตา อยู่ด้วยในนั้น เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปใหญ่ ข่มเบ่งใคร แต่หมายถึงว่า เราเป็นเจ้าของตัวเอง ที่จะรู้ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หมดนิเวศวิทยาที่แวดล้อมทั้งหมด เป็นสังคมองค์รวม เราจะต้องรู้อันนี้ให้รอบ รู้ให้ครบ แน่นอน เราค่อยๆรู้เป็นส่วนๆไป จะไปรู้ให้มากหมดครบ ไม่ได้หรอก มันเกินความสามารถ เราต้องค่อยๆรู้ ทีละกรอบ ที่จะไม่ตกหล่น ไม่ออกจากที่เรารู้ ในแวดวงเราไปเรื่อยๆ มันต้องไล่เก็บไปอย่างนั้น จะมาอวดดี ตะกละตะกรามอย่างประมาท อวดดีไม่ได้ แต่คนประมาทอวดดีมีเยอะ ไม่ไล่เรียงไปตามลำดับ
การไล่เรียงไปตามลำดับนั้น ยากมาก ซึ่งมันไม่ตายตัวด้วย ตอนนี้อาตมากำลังลำดับ วิชชาของพระพุทธเจ้า เป็นลำดับ นี่เพิ่งทำได้หมวดหมู่เดียว ก็คิดว่าจะทำไว้สัก 3 หมวดหมู่ จะเอาหมวดหมู่ไหน มาใช้ก็ได้ บรรลุอรหันต์ทั้งนั้น สมบูรณ์แบบแน่ ข้ามไปถึงพระโพธิสัตว์ด้วย คิดว่าอย่างนั้นเป็นต้น
สรุปลงที่คำว่า Coefficient สัมประสิทธิ์ เป็นคำที่ Advance ที่สุด ขออภัย อาตมาว่า Advance กว่าของไอน์สไตน์ อาตมาว่า อาตมามีนามธรรม ก้าวหน้ากว่าไอสไตน์ ก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไอน์สไตน์เป็นเรื่องของสสาร และพลังงาน แต่ของอาตมา มีทั้ง m c และ A ที่เป็นนามธรรม
แม้แต่ mc2 +A นามธรรม ไอน์สไตน์ก็ยังไม่ได้ คลี่คลายออกมา ไอน์สไตน์ก็ไม่เข้าใจนามธรรมมาก เป็นต้นว่า Bomb of love รู้แต่ว่าเป็นลักษณะเช่นนี้รำไร ก็ค่อยให้ดูต่อไป แต่อาตมารู้ว่า Bomb of love ที่เป็นนามธรรม อาตมาเขียนความรัก 10 มิติเอาไว้
นามธรรมมีความละเอียดลึกซึ้ง และเป็นชีวิตชีวา แต่ของไอน์สไตน์ไม่มีชีวิตชีวา มีแต่แรงเอาไปใช้ทางอุตุนิยาม พีชนิยาม ก็ยังไม่ได้ เป็นไบโอโลจี ระดับต้น แต่แม้แต่จิตนิยามระดับต้น ก็ยังไม่ถึง ขออภัยที่เหมือนยกตนข่มไอน์สไตน์ แต่อาตมาไม่มีจิตใจริษยาอวดเบ่ง ยกตนข่มท่านเลย อาตมารู้ว่านามธรรม ความเป็นจิตยกตนข่มท่าน จิตสาเฐยจิตเป็นอย่างไร
ส่วนคนอื่นจะอ่านตามอาการอาตมา แล้วเดาว่ามี มันก็มีสิทธิ์ที่จะคิดได้ ห้ามไม่ได้ แต่อาตมารู้ว่าไม่มี ก็พูดความจริง ถ้าอาตมามีอกุศลจิตที่ว่า สาเฐยจิตหรืออกุศลอื่น ถ้ามันมีในตัวอาตมา แล้วอาตมาก็พูดว่าไม่มี ก็เป็นการหลอกคนอื่นต่ออีก ก็ต้องมีวิบากแน่นอน อาตมารู้กรรมวิบากเป็นของจริง ซื่อสัตย์ ถูกก็ถูก ผิดก็ผิด กรรมเป็นตัวตัดสิน ไม่มีใครจะตัดสินกรรมของใคร ไม่มีใครไปตัดสินได้ แม้แต่ผู้พิพากษา คนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ เท่าที่ภูมิจะถึง
สรุปคือ สัมปวังโก คือสิ่งที่รวมทั้งรูปและนาม รูปคือสิ่งที่รวมทั้งหลายแหล่ นามคือตัวรู้ที่เป็นเจ้าของเป็นประธาน ประธานไม่ใช่ไปเบ่งข่ม แต่เป็นตัวรู้ที่รู้ให้ยอด แล้วรู้ให้ไม่มีกิเลสเบ่งใหญ่ ไปทับถมคนอื่น ยังเป็นอุปกิเลส 16 ก็ต้องเข้าใจ ค่อยๆเรียนไป ปฏิบัติไปให้รู้สภาวะนั้น แล้วจะเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ แม้จะรู้แต่บางทีก็อธิบายได้ยาก อาตมาอธิบายสิ่งที่พอจะอธิบายได้ แต่สิ่งที่อธิบายยังไม่ได้ มันยากก็มีอีกเยอะ ซึ่งใครจะมายุให้อธิบาย ก็อธิบายไม่ได้ ยุอย่างไรก็ไม่ขึ้น อธิบายไปก็ผิดๆถูกๆ มันก็เป็นเวรภัยพิบัติของเรา โง่ซ้ำซ้อน เราก็ไม่ได้อยากได้ลาภยศสรรเสริญอะไร แล้วจะทำไปทำไม ใช่ไหม
อ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 (พ่อครู: บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกเป็นคนจนที่มีรายได้เป็น0
6963เรียนพ่อครูที่เคารพ ผมทราบความหมายที่ ดร.สมคิดพูดครับ คือว่าเขามีตัวเลขมาตรฐานว่า รายได้/ปีเท่านี้ๆ ถือว่าเป็นคนจน สูงกว่านี้ถือว่าพ้นจนแล้ว.... ผมยังค้นตัวเลขไม่ได้ครับ จำได้แต่ว่าที่ว่าพ้นจนก็ยังต่ำ
พ่อครูว่า...ชาวอโศก มีรายได้ น้อยกว่ามาตรฐานกลาง ที่ดร.สมคิดตั้งไว้ เราจะบอกว่า มาตรฐานของดร.สมคิดตั้งไว้ กับคนจนของอโศก จนกว่ามาตรฐานของ ดร.สมคิดบ้างไหม ตกลงใครเป็นคนจนหรือคนรวย เพราะว่ามาตรฐานของ ดร.สมคิด ถือว่าเป็นคนรวย เมื่อเทียบกับชาวอโศก เพราะชาวอโศกนั้น รายได้ 0 บาทต่อเดือน รายได้ 0 บาทต่อปี ถ้าจะเปรียบเทียบอย่างไร ใครจะมาเก่งกว่านี้ไม่มี ถ้ารายได้ติดลบ มันก็ซวย เพราะ 0 บาทนี้จบแล้วสูงสุดแล้ว ไม่มีใครได้มีรายได้ เก่งกว่านี้อีกแล้ว 0 บาท ไม่มีหรอก 0 เป็นตัวจบ แล้ว 0 อยู่ได้ไหม มาเลยพิสูจน์ เอาสมองความเฉลียวฉลาดสุดยอดอัจฉริยะ มาพิสูจน์ โดยเข้ามาทำวิจัย อยากได้วิจัยอันนั้นจัง จะได้อธิบาย นักวิจัยดีๆ อาตมามันลูกทุ่งไม่เก่ง ก็ขอยอมรับ
มันมีคนจนกว่ามาตรฐานดร.สมคิดตั้งไว้ แล้วไม่ใช่คนเดียวด้วย จะถือว่าพวกนี้ ไม่ใช่มนุษย์ ก็ไม่ใช่ ชาวอโศกมีเป็นร้อย เป็นพันเป็นหมื่น ไม่ใช่คนเดียวนะ มันเป็นสากล ขยายได้นะ ใครจะมาทำตามก็ได้อีก ถึงไม่ใช่สิ่งที่ตายแล้วจบแล้วได้แค่นี้อโศก ขยายต่อไปไม่ได้ อย่ามาเสียเวลาแรงงานพูดต่อเลย ไม่ใช่ ไม่จริง
ยังขยายได้อีก คนยังกำลังศึกษา อยากจะได้สิ่งพิเศษสูงสุดนี้อีกมีอยู่ กำลังแสวงหายังไม่พบ ยังไม่ได้มาปฏิบัติประพฤติ เพื่อให้ตนได้ มีอีกเยอะแยะ เข้ามาสิ แล้วปฏิบัติ อย่าดูถูกตัวเอง ว่า เราทำไม่ได้หรอก อย่าประมาท ให้มาเลย มาพิสูจน์ดู อะไรที่ไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่ดี มาแล้วก็จะรู้ว่า ตกลงเราได้หรือไม่ กลายเป็นชาวอโศกเสียแล้ว ลองดูนะ
ดูเหมือนว่ามีคนมาบริจาค แต่ที่บริจาคมานี้ก็ อาตมาไม่เคยเอามาเป็นของส่วนตัว ใช้เป็นของส่วนตัว บอกแล้ว แม้ว่าอาตมาจะตาย เพราะจะต้องใช้เงินที่เขามาให้ เป็นสิทธิ์ของอาตมา อาตมาจะใช้สำหรับซื้อยา รักษาตัวเอง ไม่ให้ตาย อาตมาก็จะไม่ใช้เงินนี้ ถ้าไม่มีใครสงเคราะห์ ไม่มีใครอุปถัมภ์ เขาก็จ่ายเงินของเขา เอามาเป็นสิทธิอาตมา อาตมาก็จะไม่ใช้เงินนี้ แม้จะตายก็ตาม แม้จะไม่กินก็ต้องตาย ก็จะตายเพราะไม่กิน ถ้าไม่มีใครให้ นี่อาตมาตั้งใจอย่างนี้จริงๆ จะดูสิว่าอาตมาทำงานให้คนอื่น แค่นี้จะให้หรือไม่ ให้เรากินเราอยู่ ถ้ารักษาเราให้เราอยู่กิน ก็รักษาเราได้ ถ้าเขาไม่มีให้ ก็ตายเสีย
สมณะเดินดินว่า… ดูเหมือนว่า ยิ่งพ่อท่านไม่ต้องการจะเอา เขาก็ยิ่งต้องการจะให้
พ่อครูว่า...อันนี้เป็นสัจจะ ไม่ต้องลองมันเป็นของจริง หรือจะลองก็ได้ ยิ่งไม่อยากได้ก็ยิ่งได้ ยิ่งได้มาก็ยิ่งให้คนอื่นไป เขาก็ยิ่งอยากให้เรา
_3867พ่อครูอย่าประมาทคนรวยแห่งโลกธ.อาจทำให้คนจนหายจริง! อาจหายลับไปจากโลกของคนรวย ที่อาจมิใช่หายจากความยากจนได้จริงไม่จริง? ดูตกผลึกสังคม ..
พ่อครูว่า…เราอยากจน แล้วปฏิบัติตน จนมีความจนสำเร็จ เราก็เป็นคนจน เป็นคนยากจนสำเร็จ
_4492กราบพ่อท่าน ที่มีเมตตาบัวใต้น้ำ เป็นธรรมดาของโลก
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน เนื้อสัตว์เป็นของไม่ควรยินดี(อกัปปิยะ)
_8866ที่พ่อท่านเทศน์ ภิกษุฉันเนื้อเป็นกัปปิยะ กัปปิยะนี่ เหมือนเป็นอาบัติวัตถุด้วยใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า...กัปปิยะ เป็นอาบัติวัตถุใช่ กัปปิยะ หมายความว่า ให้เกิดความยินดี อกัปปิยะก็คือ ไม่ให้เกิดความยินดี ไม่ควรให้เกิดความยินดีนั้น
คุณยินดีด้วยเนื้อมันไม่ถูกต้อง อย่าไปยินดีที่ได้กินเนื้อ กินเนื้อและเป็นความยินดีนั้นไม่ถูก เพราะฉะนั้น ใครที่เอาเนื้อไปถวายพระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้านั้นเป็น อกัปปิยะ ไม่น่าทำ มันไม่น่ายินดีที่จะไปทำ เพราะฉะนั้นอย่าทำ อาตมาก็บอกภาษาแค่นี้
แค่เอาเนื้อมาถวายตถาคตกับสาวกตถาคต มันเป็น อกัปปิยะ มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ จะให้ท่านยินดี หรือว่าคุณยินดีที่จะทำ ก็ไม่ถูกทั้งสองฝ่าย ทั้งเราและเขา ไม่ใช่เป็นกรรมที่ควรทำ ไปถวายให้ท่านยินดี หรือเรายินดีถวายท่าน ก็ผิดทั้งคู่ เอาเนื้อสัตว์ไปถวายตถาคต หรือสาวกตถาคต เป็นสิ่งที่ไม่น่าทำ ไม่น่ายินดี เป็นสิ่งที่น่ายินร้าย ไม่ควรทำ ไม่น่ายินดี น่าปฏิเสธ ไม่น่ากระทำ จบแล้ว ถ้าคุณไม่จบ ไม่มีคำพูดและไม่มีกรรม จะอธิบายอีก อาตมาจนด้วยเกล้า ที่จะพูดต่อ
เฟซบุ๊ก
_หยก · เคยเจอเมื่อ15ปีก่อน พ่อท่านไม่แก่ลงเลย
พ่อครูว่า...เอาน่ายอมรับ จบ จริงไม่จริงไม่รู้
_คนสุพรรณ · พี่แป้ง พยายามจะพูดถึงคำว่า เห็น กะคำว่า รู้ ผมว่าชัดเจนนะ
พ่อครูว่า...เห็นคือทัสสนา รู้คือทิฏฐิ
รู้นี่ จะใช้คำว่าความรู้ก็พอ แทนเป็นไวพจน์ได้ จะบอกว่า รู้นี้แปลว่าเห็น ก็ใช้แทนไวพจน์ได้ จะบอกว่าความเข้าใจ ก็ใช้เป็นไวพจน์ได้ ทิฏฐิ
แต่ทัสสนา นี้แต่ว่าต้องเห็นด้วยนะ ไม่ใช่แค่รู้ ก็ชัดเจน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน พุทธศาสนาเป็นปรากฏการณ์วิทยา
_คุณสงกรานต์ ภาคโชคดีส่งมาครับ… เผื่อพ่อท่านพิจารณาอ่าน..... 'พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาแห่งเหตุผล'
... คำว่า 'ศาสนา' ตามที่ใช้ทุกวันนี้ เป็นที่เข้าใจกันว่า..ใช้ตรงกับคำว่า 'religion' ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง คำสั่งสอนที่มาจากเบื้องบน (พ่อครูว่า...คือคำสอนจาก ผู้รู้สูงสุดสั่งมา ไม่ใช่ให้เรียนรู้แล้วปฏิบัติจะเป็นแบบนั้นได้เลย แต่สั่งมา ให้เป็นอย่างนี้ อย่าไปคิดจะแก้ไขหรือเห็นต่าง จริงๆแล้วไม่ใช่ 'religion' ถ้าแปล 'religion' ว่าเหตุผล มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันไม่ใช่เหตุผล พระเจ้าสั่งคนเดียวไม่ทำตามนี้ก็ไม่ใช่ เพราะเหตุอยู่ที่พระเจ้า ผลอยู่ที่คนทำตาม ถ้าไม่ทำตามไม่มีผล นั่นคือคำสั่ง ไม่ใช่ 'religion' ไม่ใช่ธรรมะสอง เป็นธรรมะ 1 เป็นคำสั่ง ไม่ใช่คำสอน จะไปแปล 'religion' ว่าคำสอนไม่ใช่ แต่เป็นคำสั่ง ไม่ใช่สอนให้ปฏิบัติ แล้วรู้ด้วยตัวเอง เป็นปัจจัตตัง ไม่ใช่ )
ส่วนวิธีการสั่งสอนก็คือ 'สั่ง' และ 'สอน' ให้ปฏิบัติ โดยถือว่าคำสั่งสอนนั้น มาจากเบื้องบน ยุติได้ว่า ถูกต้องเที่ยงแท้แล้ว จึงทำตามได้ทีเดียว
ถ้าว่าตามนี้...พระพุทธศาสนาก็ไม่เข้าหลักเป็นศาสนา เพราะเนื้อหาสาระ และกฏเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา เกิดขึ้นจาก 'การค้นหาความจริงของชีวิต' ด้วยปัญญามนุษย์
(พ่อครูว่า...ของชาวพุทธนั้น ไม่มีใครสั่งได้ จะให้ทำเอง ทำในปัจจุบันธรรม ที่เป็นสิ่งปรากฏเป็น phenomenon แต่พระเจ้าไม่เคยปรากฏเลย ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า แล้วมีคนเป็นประกาศก เอามาประกาศแทนพระเจ้า พระเจ้า จบที่ศาสดา ไม่เลยเถิดไปถึงสิ่งที่ลึกลับ ศาสนาพุทธถ้า 'religion' แปลว่า เหตุและผล ถ้าอย่างนั้น มันเป็นเพียง หนึ่งเดียว ไม่มีเหตุกับผล ไม่ใช่ฟีโนมีนอน
ซึ่ง ฟีโนมีนอน ต้องพิสูจน์ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ยิ่งมากก็ยิ่งพิสูจน์ได้ดีขึ้น เทียบเคียงได้ดียิ่งขึ้น เป็นล้านเลยก็ยิ่งชัดเจน ยิ่งมีผู้รับรอง ตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไป จนถึงมากๆ ก็ยิ่งเป็นสัจจะ ถ้าคนเดียวเป็นสัญญายนิจจานิ กำหนดรู้คนเดียว ไม่ใช่แบบของศาสนาพุทธ
คุณมีสิทธิ์คิดคนเดียว แต่ต้องเอามาพิสูจน์เป็นธรรมะ 2 ว่าตรงกันมั้ย สุดท้ายก็ยอมรับกัน ให้ตรงกันทุกอย่าง ไม่มีอะไรต่างกันเลย ก็เป็นสัจจะหนึ่งเดียว อย่างไรก็เหมือนกัน ตรงกันหมด แต่ บุคคลมีเพิ่มขึ้น สองคน สามคน ร้อยคนพันคน ก็ตรงกันหมด ยืนยันว่าเป็นสัจจะ ที่เป็นหนึ่งเดียว ยิ่งมีล้านๆๆๆ ตรงกันเป็นหนึ่งเดียว ก็ยิ่งเป็นสัจจะแน่ที่สุด
อาตมานำคำว่า ฟีโนมีนอน มาอธิบาย เป็นสิ่งที่เป็นสัจจะร่วมกัน แต่พระเจ้านั้น มีหนึ่งเดียว ถ้ามี 2 ก็มีพระเจ้ากับพระบุตร แล้วคนอื่น ก็ต้องตรงกับพระบุตร พระบุตรเป็น ฟีโนมีนอน อาตมาไม่ตรงกับพระบุตร เพราะอาตมา ไม่เอาพระเจ้าที่ใหญ่กว่า เขาบอกว่า พระเจ้าเป็นบิดา แต่อาตมาว่า บิดาเป็นตัวเรา พระศาสดาเป็นบิดา นอกนั้นเป็นมารดา ที่จะช่วยสร้างลูก บุตรจะเกิดจากมารดากับบิดา เป็น phenomenon เป็นสัจจะที่ปรากฏ ยืนยันกันได้ ตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรลึกลับ
ต่างตรงที่ว่า พระบุตรกับพระเจ้านั้น ตรงกัน แล้วคนที่สามที่สี่ ก็ต้องยอมรับด้วย แต่นี่บอกว่า พระเจ้าสูงสุด แต่ศาสนาพุทธ ไม่มี ไม่เอาสิ่งลึกลับแบบนั้น ที่รู้ได้ด้วยคนเดียว เป็นสัญญายนิจจานะ ไม่เอา แต่ถ้าคุณรู้ ก็พูดออกมาให้คนอื่นรับรู้ด้วย เมื่อรับรู้ตรงกัน ก็มี 2 แล้ว ศาสนาพุทธมีธาตุรู้ เป็นจิตนิยาม จะต้องมี 2 ธาตุ คือธรรมะ 2 แล้วยืนยันกันได้ว่า ตรงกัน ถ้าไม่มีธาตุรู้ มีแต่พีชะ ก็ยืนยันไม่เป็น ยิ่งอุตุนิยาม ยิ่งไม่มีธาตุรู้ ยิ่งล้มเหลว
เพราะธาตุรู้ เป็นจิตวิญญาณ ต้องมี 2 ยืนยัน ต้องเป็นรูปและนาม ต้องเป็นธรรมะ 2 ที่พิสูจน์กันได้ ตรงกันเป็นหนึ่ง
สิ่งที่ไม่มีคนไม่มีปรากฎในโลกไม่มีฟีโนมีน่า ไม่มีฟีโนมีนอน ไม่รับ ศาสนาพุทธไม่รับ เพราะคุณจะคิดคนเดียว และบอกคนเดียวว่านี้ชัดเจนสูงสุด คุณพิสูจน์ไม่ได้เอง พระเจ้าพิสูจน์ไม่ได้เอง คุณก็อยู่กับพระเจ้าก็แล้วกัน เราไม่เอาอันนั้น
สมณะเดินดินว่า… น่าสงสารพวกธรรมกาย ที่ยอมรับแต่อาจารย์ของเขาคนเดียว
พ่อครูว่า...เขาก็เลยบอกว่า อาจารย์ของเขาเป็นพระพุทธเจ้า นั่นแหละ เป็นตัวอย่างของโลกปัจจุบันของธรรมกาย เชิญ แต่ของพุทธนั้นไม่ใช่ อย่างโพธิรักษ์ ไม่รวยไม่หล่อ เท่า แต่ธัมมชโยนั้น ยังเสริมหล่ออยู่นะ ขออภัย ที่พูดเหมือนข่มเขา)
พระพุทธศาสนาแสดงความจริงของชีวิต แสดงทางปฏิปทาที่จะให้บรรลุ ความสูงสุดของชีวิต มีวิธีการสั่งสอนที่ยึดหลักเหตุและผลว่า "ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ" ผู้ใดประกอบเหตุอย่างไร..เพียงใด ก็ได้ผลอย่างนั้น..เพียงนั้น
พ่อครูว่า...ปรัชญาเป็นภาษาสันสกฤต ปัญญาเป็นภาษาบาลี จะแยกแยะเอามาใช้ได้ เป็นทำไม 2 แต่ต้องเป็นฟีโนมีนอน เป็นสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ไม่ปรากฏ อยู่ในหัวของคุณคนเดียว คุณรู้อยู่คนเดียว ไม่ปรากฏให้คนที่ 2 รู้ สิ่งนั้นไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ปัญญา หรือจะเรียกว่า ปัญญาเป็นความรู้ความเห็นความจริงก็ได้ ถ้าใช้พยัญชนะเป็นปรัชญา ถ้าเป็นสอง มีเหตุและผลปรากฏ
ธรรมะธรรมะ 2 ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 60 จำไว้ศึกษาตรงนี้แหละ คือหัวใจที่สุดของศาสนา ธรรมะสองแล้วทำให้เป็นหนึ่ง แล้ว 1 อะไร ก็ไม่เท่ากับเวทนาเป็นหนึ่ง
สัญญาเป็นตัวช่วยกำหนดรู้ สังขารเป็นเรื่องปรุงแต่ง ยิ่งสังขารจะมี 3 ขึ้นไป เพราะจะมีเวทนาและสัญญาด้วย สังขารต้องเป็นท่านเปา ที่มีหวังเฉาและหม่าฮั่น
นิวเคลียส จะต้องมีทั้งบวกและลบ รับเป็นวงกลมเป็นประธาน แต่ว่านิวเคลียส เป็นอุตุนิยาม ไม่มีประธานตามพลังงานบวกลบ จิตนิยามนั้น เป็นประธานตัวเอง จะไปด้านบวกด้านลบ ก็อยู่ที่ตัวเอง แต่พีชะมันไม่มีผู้อื่น มันมีแต่ตัวของมันเอง ISH มันไม่มีอย่างอื่น กูไม่รู้ พีชะนี้กูไม่รู้อื่น กูมีแต่กู
แต่ถ้ามีแต่กู แล้วมีบทบาทไปกระทบผู้อื่น มันก็ชิบหาย แต่พืชนี้มีแต่สร้างตัวมันเองให้ดีที่สุด พืชมีทั้งพืชที่เป็นพิษและไม่เป็นพิษ คนที่มีธาตุรู้ ก็อย่าเอาพืชที่เป็นพิษมาใช้ เอาแต่พืชที่ไม่เป็นพิษมาใช้ ก็จบแล้ว
สมณะเดินดินว่า..หนึ่ง ที่สำคัญที่สุด คือเวทนา แล้วสอง คืออะไรครับ
พ่อครูว่า...สองคือปัญญา เป็นตัวประธาน สองคือสัญญากับเวทนา ถ้าอีกอันหนึ่งเป็นสาม ก็เป็นสังขาร อย่างพีชะก็มีสังขาร แต่มันไม่มีเวทนา มีสัญญารู้ว่า อันไหนเป็นตัวกู ก็เอามา อันไหนไม่ใช่ ก็ไม่เอา มีตัวมันอยู่ได้ก็ว่าไป ใครมาทำลายตัวมัน มันก็ไม่โกรธ มันไม่สู้ พอมันไม่พอไม่ครบตัวมัน มันก็สลายไม่มีเหลือ เป็นตัวของมันเองไม่ได้ มันต้องครบตัว มันต้องมีส่วนของมัน อันนั้นอันนี้ รายละเอียดเท่าไหร่ ก็ของมันเอง มันจึงเป็นตัวมัน ถ้ามันพิการจนไม่เต็ม จนจับตัวไม่ติด มันก็หายไป เหตุปัจจัยไม่ครบตัวมัน แล้วมันก็ไม่เป็น
กล้วย ไม่ครบเหตุปัจจัยที่เป็นตัวมันเอง มันก็ไม่เป็นกล้วย มันกลายเป็นกลวง หรือ อื่นไป
หากจะถามว่า... พระพุทธศาสนาเป็นอะไร ก็ต้องตอบว่า โดยเนื้อหาที่เป็นเรื่องความจริงของชีวิต
พระพุทธศาสนาเป็น 'ปรัชญา' โดยวิธีการสอนที่ 'ยึดหลักเหตุผล'
พระพุทธศาสนาเป็น 'ศาสตร์' หรือพูดให้ชัดลงไปอีกก็เป็น 'วิทยาศาสตร์'
เพราะฉะนั้น...ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า "การสอนพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง คือ การสอนให้คนสามารถพิจารณา.. ขุดค้นหาหลักธรรมะจากชีวิต.. และนำหลักธรรมะนั้น มาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์"
พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานในการเสด็จฯ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513
_SMS วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 (สมณะ สิกขมาตุ : บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ยอมเสียเปรียบได้ก็ทำให้สังคมสงบสุข
_ธราพงศ์ วิเศษถวัลย์ · จนแบบนี้เรียก คนไร้บ้าน คนชายขอบ คือ คนที่ถูกเอาเปรียบ ถูกทอดทิ้งจากระบบสังคม อย่างสุดขีด รัฐที่มีสวัสดิการ จะไม่ยอมให้มีสิ่งนี้ เพราะ เท่ากับ ย่ำยีความเป็นมนุษย์ของทั้งสังคมเอง
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ที่ไม่ใช่หนึ่งเดียว หรือรวมกันเป็นสังคม ตัวอย่างเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ มีการเคารพกันตามลำดับ รู้ว่าคนนี้สูงกว่าเราจริงๆ คนสูงก็จะไม่ ข่มคนต่ำอีกจริงๆ รัฐบาลไม่ให้มีคนชายขอบ ไม่ให้มีคนไร้บ้านคนจน อย่างนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ตราบใดที่ยังไม่มีอรหันต์ทั้งหมด ทั้งโลกก็จะมีคนเอาเปรียบ อยู่ในนั้นแหละ ถ้าเป็นพระอรหันต์เท่ากันหมด ก็ไม่มีใครเอาเปรียบ แล้วคุณทำได้ไหม ให้สังคมใด มีพระอรหันต์ทั้งหมด คุณทำได้ไหม ทำไม่ได้ก็ต้องมีคนเอาเปรียบ อยู่ในนั้นแน่นอน อาตมาจำนนนะ แต่เรายินดีให้เขาเอาเปรียบ เรายินดีเสียเปรียบ แล้วเราก็ไม่ตาย แล้วเราก็ให้คุณเอาเปรียบ เสียให้เข็ด ขออภัยท้าทายด้วย เชิญเอาเปรียบเสียให้เข็ด จะเอาเปรียบ อีกกี่นานเท่าไหร่ วิบากจะกินหัวคุณ ในอนาคต ชาตินี้คุณรอด ไม่เป็นทุกข์ร้อนได้เปรียบ แต่ชาติต่อไป คุณจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน ขอยืนยัน คุณหนีไม่ได้หรอก กรรมวิบากคุณหนีไม่ได้ แต่คุณไม่เชื่อไม่เป็นไร เราจบแล้วเราไม่ทำ แต่คุณไม่เชื่อ จะทำก็แล้วแต่ คุณทำเราไม่ทำแล้ว ก็จบแล้วนี่ ไม่ได้เดือดร้อนกันแล้ว เช่นคุณทำ เอาเปรียบเรา เราก็ยอมให้เอา เราก็จบแล้ว เราก็ไม่เดือดร้อน ให้คนเอาเปรียบ เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเรามีแรงงานของเรา กินอยู่แล้วก็สร้างของเราชีวิตของเราไป พวกเราช่วยกันสร้างกินอยู่ ก็ยังมีเหลือ จะไปกลัวอะไร คุณจะกินเพชรและธนบัตรก็เชิญ พวกเราไม่มีเพชรและทอง ไม่มีธนบัตรตลอดตาย ก็อยู่รอด
สมณะเดินดินว่า...จะแก้ปัญหา ไม่ให้คนเอาเปรียบกันไม่ได้ จะแก้ด้วยการยอมให้คนเสียเปรียบกันได้ ก็จบ
พ่อครูว่า...เพราะฉะนั้น เราเป็นคนอยู่อย่างเสียเปรียบ แน่นอนว่า คนไม่อยากอยู่อย่างเสียเปรียบ แต่เรายอมได้ เราอยู่ร่วมกันเราพอได้ ต่างคนต่างมาเสียเปรียบให้แก่โลกแค่นี้ก็จบแล้ว เปรียบอย่างไรเราก็เสีย เปรียบอย่างไร เราก็เป็นคน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เปรียบอย่างไร เราก็เป็นผู้ให้ แล้วเราก็อยู่ได้ เราเป็นผู้ให้ เราอยู่ได้ เราช่วยกันให้ช่วยกันสร้าง อย่างมีความสุจริต สร้างโดยไม่เบียดเบียนใครเลย มีคนมาเบียดเบียนเราด้วยซ้ำไป ก็ไม่ว่า เราก็ยังเหลือพอ
_มณี ศรียงค์ · เพ้อเจ้อแบบไม่รู้จริงเรื่อง E=MCC+A อธิบายมั่ว นำมาข่มสาวกสร้างราคาให้ตนเอง 55555
พ่อครูว่า...ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร พวกคุณฟังแล้วมั่วหรือไม่ ...ไม่มั่ว ถ้าคุณมั่วมัวมืดก็ยังมั่ว แต่พวกนี้ เขาสร้างพลังงานนี้ได้ด้วย แล้วก็เสริมเป็น E=C(mc2+A) ด้วย แม้จะใช้พลังงานนี้ มาเสริมให้ตัวเองอายุยืนยาวไป ก็ทำได้ด้วย อาตมาพิสูจน์มาแล้ว 1 นักษัตร เกิน 72 ปีแล้ว กำลังจะพิสูจน์นักษัตรที่ 2 คุณมณีศรียงค์ อย่าเพิ่งตายนะ อยู่ให้ได้อย่างน้อยอีก 12 ปี จะได้เห็นว่าอาตมา พยายามไปได้อีก 1 นักษัตร ก็ไม่เลวนะ ถ้าอาตมาเพิ่มอีก 1 นักษัตร เป็นร้อยแปด คุณน่าจะจำนนนะ อยู่ให้ถึงอาตมาอายุ 108 ปีนะ อาตมาจะพยายาม กระเสือกกระสนไปให้ได้ ก็คือเพียรพยายาม ตามหลักวิชาของพระพุทธเจ้า ที่สอนอาตมานี่แหละ พูดไทยเป็นสำนวน ว่ามันต้องเพียรพยายามจริงๆ ต้องใช้แรงความพยายามอย่างนั้นจริงๆ
_มณี ศรียงค์ · อธิบายมั่ว เช่นวงโคจรดาวเทียมขายชาติ สาวกตกใจ แต่คนรู้จริงเค้าสมเพช
พ่อครูว่า...ของเราใช้ดาวเทียม ในการเป็นประโยชน์ช่วยคน ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีของดาวเทียม ไปหาอะไรมาเข้าตัวเอง เป็นรายได้ หรือผลประโยชน์เข้าแก่ตัวเอง เราไม่ได้ทำ งานที่ไปถ่ายทอดโทรทัศน์ ที่อาศัยดาวเทียม เราจ่ายค่าดาวเทียม ก็ไม่หารายได้ จากการที่ใช้ดาวเทียม นี่เลย คุณไม่เชื่อก็มาพิสูจน์ได้ เราไม่ได้เคยหารายได้ จากดาวเทียมนี้เลย ดาวเทียมนี้ เป็นการกระจายความรู้ให้คนอื่น แล้วมาเอาเปรียบเรา เราเอาดาวเทียมนี้กระจายความรู้ ให้รู้ว่าท่านทั้งหลาย มาเอาเปรียบพวกเราเถอะ เรามีส่วนเหลือให้พวกคุณเอาเปรียบ ขออภัยที่พูดชัดๆอย่างนี้ เราไม่มีแล้ว คุณเอาเปรียบเราไปจนหมดเกลี้ยงก็จบ แต่เรายังมีอยู่ คุณยังมาเอาเปรียบเราได้อยู่ แต่คุณอย่ามาทุจริต เราฟ้องร้องเลย ถ้าคนจะมาเอาเปรียบไปอย่างสุจริต มันมีการเอาเปรียบอย่างสุจริตด้วย เอาเปรียบอย่างพอได้ เราก็พอให้ได้ โดยเราไม่เดือดร้อนไม่ทุกข์ร้อน แต่ถ้าเอาเปรียบเราจนทุกข์ร้อน เราก็ฟ้องศาล
ทุกวันนี้เราอยู่ได้ด้วยการให้ ไม่ได้เอาของใคร นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เราทำสำเร็จ เรามีแต่ให้ เราไม่ใช่เป็นคนเอา ใครเอาจากเรา จนเราทุกข์ เราก็จะฟ้องศาล ใครมาเอาอย่างสุจริตได้ ก็มาเอา เอาเสียให้เข็ด ถ้าคุณมีความกตัญญู ก็เอามาตอบแทนร่วมกัน ไม่กตัญญูก็แล้วไป
_ฮ่องกงออสเตรเลียบอกมาซื้อชาติด้วยสัมปทานดาวเทียมของเค้าหน่อย เพราะดาวเทียมเพื่อธุรกิจ จะทำโจรกรรมแค่เพียงชั่วโมงเดียว ITUเค่ายิงตกน่าละอายต่างชาติคมช.ขึ้นมา ยังไม่เห็นซื้อดาวเทียมคืนเลย เพราะรู้ว่าเจ็กลิ้มหลอกลวง
พ่อครูว่า...อย่างคุณทักษิณหรือคุณธัมมชโย ที่ใช้ดาวเทียมในการเอาเปรียบคน ขี้โลภ และหลอกลวงโลกมนุษย์ ขอยืนยันนะ คุณศรัทธาคุณทักษิณคุณธัมมชโย ก็แล้วไป สองคนนั้นชั่ว ขอยืนยันอีก เอาดาวเทียมนี่แหละ เป็นเครื่องมือในการเอาเปรียบมนุษย์ ทำแล้วจนสะสมไปได้มากมายเลย ตอนนี้ก็ยังอาศัยดาวเทียมส่งข่าวคราวกับพวกเรา อยู่ไหนก็ไม่รู้ อาตมายังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน แต่ส่งข่าวคราวมา รูปภาพมีเสียงหลอกหลอนตลอดเวลา ก็จริงหลอกได้แต่คนโง่ๆ หลอกพวกเราไม่ได้
ขอยืนยันว่า เดี๋ยวนี้ทักษิณและธัมมชโย ก็ใช้ดาวเทียมขายชาติ ไม่เห็นตัวเลยนะ แต่ก็ยังใช้ดาวเทียมขายชาติ ขนาดผู้บริหาร ปิดดาวเทียมเขาแล้ว ก็ยังใช้ดาวเทียมได้อยู่
แล้วก็บอกว่า ที่พูดนี้ สาวกตกใจ แต่คนรู้จริงสมเพช...เอา จะสมเพชเรา ก็ไม่มีปัญหา
แล้วเดี๋ยวนี้ ดาวเทียมมีให้เช่าเยอะแยะไป จะไปซื้อทำไมให้โง่ ประเทศหลายประเทศ เขายินดีสร้างดาวเทียม และยินดีให้เช่า เราต้องมีเงินต่ออายุ เขาก็ต้องให้เช่าดาวเทียม เรารู้ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้ ก็ใช้ได้ คนไม่รู้ ก็วนอยู่ในกระบอกหรือรูของคุณ
ดาวเทียมสำหรับประเทศไทย ไม่ต้องซื้อ ให้เสียเวลาต้องเป็นภาระบริหาร ไปเช่าเขาก็ได้แล้ว บริหารแล้วขาดทุน จะซื้อมาทำหอกอะไร มีให้เช่านะ ต่างประเทศสร้างกัน ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อย่าไปซื้อ เช่าก็พอ ไม่มีใครรังเกียจหรอก หากเราทำดี คนนี้ทำประโยชน์แก่สังคม เขาจะมีปัญญารู้เขาให้เช่า ไปซื้อมาทำไม ให้ต้องเสียเวลาบริหาร ไม่อย่างนั้นขาดทุน แล้วดาวเทียม มันก็ไม่แหลมออกมาทำหอกไม่ได้
อาตมาพูดฝากไว้เลยว่า ผู้บริหารบ้านเมือง ไม่ต้องไปซื้อดาวเทียม เขามีให้เช่าแน่นอน ขอให้ทำดีเพื่อมวลมนุษย์โลก คนเขาเชื่อว่า เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลก จะต้องให้เช่า ดีไม่ดีเขาจะยกให้เลย ก็อย่าเอา เพราะบริหารได้ยาก อย่าตะกละ ให้เขายกดาวเทียมให้ 1 ลูก ก็อย่าเอามาเลย ถ้าซื้อมาก็ขาดทุน เช่าก็พอแล้ว ไม่มีใครเขาหยุดสร้างดาวเทียมหรอก ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ จบ คุณมณี ศรียงค์มีอะไรก็ว่ามาอีก ไม่ได้ท้าทายนะ
_บุญเลียบ · ถ้าเราไม่รู้จริงหรือมีจริงในตน จะอธิบายไม่ออก เชื่ออย่างนั้นค่ะ
_บุญเลียบ · น้อมกราบด้วยความเคารพนะคะ ตามความรู้สึกส่วนตัว คิดไปว่ารึว่าท่านถักบุญ เป็นจิตวิญญาณของไอสไตย์มาจุติ
พ่อครูว่า...อย่าหลงเพ้อก็แล้วกัน จะใช่หรือไม่ใช่ ก็แล้วแต่ เราทำประโยชน์ให้ได้ ก็แล้วกัน ใครจะมาเกิดหรือไม่เกิด ไม่มีปัญหา เราต่อเนื่องสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ให้ดีก็แล้วกัน อย่าให้เป็นภัยเป็นโทษ
_มณฑา แก้วบำรุง · ชอบฟังธรรมะเพราะใด้ประโยช์ ใด้ฟังในสิ่งทีดีคะ
_จากคุณแพรวค่ะ ผมคนหนึ่งที่ปฏิบัติจิตให้หลุดพ้นอยู่ แล้วยังฟังธรรมที่พ่อครูเทศนา มีความเข้าใจอีกด้วยครับ ทางสายกลางนี่เอง ไม่ตึงไม่หย่อนสบายๆ มีความรู้สึกว่าทางหลุดพ้นแห่งจิตอยู่ที่ปัญญา เมื่อเข้าสู่ความละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง หาอะไรมาประมาทไม่ได้เลย เมื่อไม่นินทาไม่อิจฉาไม่ริษยา ปล่อยวางแห่งจิตได้ ก็สำเร็จกิจที่ตั้งมั่นเอาจิงจังกับความปฎิบัติไปตามภูมิใช่.บอ.พ่อครู กราบนมัสการครับกระผม
_คุณอโศกสัมปวังโกว่า...
พ่อท่านได้เกริ่นไว้ว่า วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ จะขยายความรู้แบบคนจน และศาสตร์พระราชา ผมนึกถึงหนังสือดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาที่ยั่งยืน เขียนโดย ปอ.ปยุตโต
2. พุทธเกษตรกรรม เขียนโดยนายแพทย์ประเวศ วะสี
3. เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ เขียนโดยดร.อภิชัย จันทเสน
4. 7ขั้นบันไดสู่ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง เขียนโดยดร.สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง เป็นต้น
นักเขียนดังกล่าวที่พูดถึง เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในสังคม งานเขียนดังกล่าว เป็นงานเขียน ที่มีเนื้อหาพยายามเชื่อมโยง ให้เข้ากับศาสตร์พระราชา อันมีคำว่า แบบคนจน และ ขาดทุนคือกำไร เป็นต้น แต่การเชื่อมโยงแนวคิดของตน กับศาสตร์พระราชา ของบรรดานักเขียน ที่กล่าวมา ยังไม่กลมกลืน และแสดงอัจฉริยภาพ ของศาสตร์พระราชา ได้อย่างดีพอ เมื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎี เศรษฐศาสตร์บุญนิยม ที่เขียนขึ้นโดย พ่อท่าน
เป็นเพราะว่า ศาสตร์พระราชา เป็นศาสตร์ชั้นโลกุตระ แล้วจะต้องขยายความโดย ผู้มีภูมิขั้นโลกุตระ ใช่หรือไม่ (พ่อครูว่า...ถูกต้อง )
ผมมีความคิดว่า ถ้าบรรดานักเขียนดังกล่าว ได้มีโอกาสศึกษากับพ่อครู จะทำให้สามารถเลือกเขียนหนังสือ ได้ดีกว่านี้ น่าจะเป็นการแก้ปัญหาชาติได้ แล้วจะเป็นการแก้ปัญหา ที่คนไม่กล้าอ่าน งานเขียนของพ่อท่านของคนในสังคมอีกด้วย (พ่อครูว่า...จริง มีคนเขียนงานอื่นๆ ดังกล่าวนั้น มากกว่างานอาตมา คนนับถือ มากกว่าอาตมาในสังคม )
ทั้งสี่ท่านนี้ จะกล้าอ่านงานเขียนของอาตมารึ ถ้าทั้ง 4 ท่านอ่าน และนำไปขยายความศาสตร์พระราชา การขยายความ ศาสตร์พระราชา ของผู้ที่กล่าวนำมาสี่ท่าน ประชาชนในสังคมไทย จะได้ประโยชน์
เพื่อว่า สำนวนโวหาร ของพ่อครู จะได้ปรับเปลี่ยน เป็นสำนวนวิชาการ (พ่อครูว่า...ใช่ เพราะอาตมา มันลูกทุ่ง) ซึ่งถูกกับจริตนักศึกษา นักวิชาการของคนในยุคนี้ (พ่อครูว่า..ใช่)
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน ภูมิอสุรกาย 4
_คุณหายโง่ ให้ทบทวน ภูมิอสุรกาย 4
พ่อครูว่า...อสูรกาย 4 มี
1. อสูรกาย 2. เปรต 3. เดรัจฉาน 4. รวมหมดเลยคือรวมหมดเลย
มาขยายความคำว่า อสุระ กับคำว่า กาย คืออะไร ถ้าไม่เข้าใจก็จะมั่ว ก็ต้องนิยามให้ชัดเจนว่า อสุรกายคือ
อสุระคืออันหนึ่ง กายะคืออันหนึ่ง
กายะ คือผู้ที่มีปัญญารู้จัก รูปกับนาม เป็นธรรมะ 2 จับคู่ไป ตั้งแต่คู่ที่ 1 คู่ที่ 2 คู่ที่ 3 คู่ที่ 4 คู่ที่ 5 ไปเรื่อยๆ เรียกว่ากาย กายคือธรรมะ 2
ธรรมะสองก็คือ หนึ่ง รูป, สอง นาม
นามคือสิ่งที่เข้าไปรู้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้
อสุระคือสิ่งที่ไม่กล้าไม่เต็ม เช่น เอารูปธรรมก่อน อสุรกายคือคนพิการ คนพิการคือคนที่อาการ 32 ไม่ครบ ภายนอก ยิ่งรู้ง่าย แขนขาเนื้อตัว ปัญจสาขาไม่เต็มเต็ง ก็พิการสุดแล้ว ยิ่งเอาสูงขึ้นไปอีก เป็นคนที่มีดินน้ำไฟลม รวมกันเข้า เป็นธาตุชีวะ ขั้นจิตนิยามไม่เต็มเต็ง ตาบอดเป็นต้น หูหนวกเป็นต้น แสดงว่าที่มันสมบูรณ์เป็นอาการ 32 สมบูรณ์ของคน ไม่ครบ ก็เรียกว่าพิการ
แต่คนพิการพวกนี้ บางทีก็มีความสามารถ เท่าเทียมกับคนไม่พิการ ได้เหมือนกัน เป็นพิเศษ คนที่มีพิเศษนั้นเพราะว่า มีสัมประสิทธิ์ของเขา เป็น Coefficient สามารถมีอัตราเร่ง ตัวแปรพิเศษได้เท่าเทียมกับคนอื่น สามารถสร้างพลังงานนี้
คนที่ไม่พิการนี้ มันพิเศษตรงที่ สามารถสร้าง สัมประสิทธิ์ Coefficient เจริญขึ้นได้ จึงเป็นพลังงาน ที่เอามาใช้ก้าวหน้าคืบหน้า ยังไม่ยอมสูญ ยังไม่ยอมจบยอมเลิก ได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อสุรกายคือ ผู้ไม่มี Coefficient ไม่มีสัมประสิทธิ์นั่นเอง
สรุปแล้วนะ
สุรกายคือเจ้าของนั้น สามารถสร้าง สัมประสิทธิ์ Coefficient จึงมีการก้าวหน้า อย่างไม่จบสิ้นสักที ถ้าหาก Coefficient ของคุณหยุดลง หรือคุณตัดของคุณเอง แม้คุณจะสร้าง Coefficient นี้ไปได้อีก แต่คุณจะเลิก ก็เป็นสิทธิของคุณ อย่างพระพุทธเจ้า ยังไม่หมด Coefficient แต่ท่านพอแล้วจบ ให้ลูกๆรับผิดชอบศาสนาต่อ อาตมารับผิดชอบต่อ ก็หนักหนา
Axiom เป็นตัวสมบูรณ์ของมันเอง เป็นฐาน Axiom คือ Static กับ Dynamic หนึ่งคู่จบในตัวมันเอง จนไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ แม้มันจะมีสัมประสิทธิ์หรือไม่ แต่มันช่วยตัวมันเองได้สำเร็จแล้ว สมบูรณ์แล้ว Static กับ Dynamic แม้ไม่มีพลังงานตัวแปรพิเศษ กลายเป็น บวกกับลบ ที่ทำตัวเองได้สมดุล เพราะฉะนั้น จะไม่มี Coefficient สัมประสิทธิ์ที่เพิ่มก้าวหน้า เป็นอัตราคูณขึ้นไป แม้บวก ก็จะเสื่อม ก็จะชรตา แม้บวก
แต่ถ้าหากฮึด สร้าง Coefficient ขึ้นมาอีก อัตราก้าวหน้าปฏิภาคทวี ก็สามารถเพิ่มตัวตนขึ้นมาได้อีก ไม่สูญ หากปล่อยชรตาไม่มี Coefficient ได้อีก ก็ไปหาศูนย์แน่นอน แม้จะแค่บวก
แม้แค่บวก จึงไม่ใช่เครื่องรับประกัน ว่าคุณจะก้าวหน้าได้ แค่บวก ต้องคูณขึ้นไป จึงจะรับรองว่าก้าวหน้าแน่ ๆๆๆ ยิ่งยกกำลัง ยิ่งจะก้าวหน้าได้แน่นอน
Axiom ที่ก้าวหน้าได้ แต่ถ้า Axiom นี้ไม่เพิ่ม Coefficient มันเต็มตัวมันแล้ว แล้วไม่ต่อ Axiom ที่ไม่ต่อ Coefficient ก็จะมีความเสื่อมลงไป ชรตา ไม่สันตติ ไม่ตัดสูญสันตติเลยไม่ต่อ ก็เสื่อมไป ตัดจบสันตติ ไม่ต่อพลังงาน เลิกเลย ระเบิดตัวเองเลยสูญ นั่นคือ ตัด สันตติ
อุปจยะ สันตติ ชรตา สามเส้า สันตติเป็นตัวกลาง เป็นผู้ประธานสามารถจัดการอะไรได้ จะต่อหรือจะตัด ถ้าต่อก็อุปจยะ ถ้าทำอุปจยะให้เกิดขึ้นไป เป็นสัมประสิทธิ์ Coefficient ก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่จบหรอก นิรันดร ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ถ้าเผื่อว่า คุณเองไม่ต่อสันตติ ก็ชรตา อย่างน้อย เป็นโมเมนตัม ไปหาศูนย์
แม้คุณจะชรตา แต่ฮึดใหม่ ทำได้ มี Coefficient อย่างพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะทำก็ได้ แต่ท่านไม่เอาแล้ว สมัยเดียวก็เลิกแล้ว อาตมาก็จะเอาอย่างท่าน เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ตอนนั้น จะชื่ออะไรก็ไม่รู้ อาตมาก็พอแล้ว ส่วนใครจะเอา 2 สมัย มันเรื่องของเขา ไม่ใช่อาตมา ใครก็ช่าง มันเหนื่อยนะ ไม่ใช่ไม่เหนื่อย จะไปทำอีก มันก็เหมือนอย่างนี้แหละ ไม่มีอะไรอื่นต่างจากนี้หรอก ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน กว้างเกินกว่าคุณจะคิดถึง คนถึงแล้วจะพูดอย่างนี้ได้ เพราะอาตมาไม่มีความตั้งใจ จะเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัยเด็ดขาด
พระอวโลกิเตศวร ท่านยังไม่ยอมจบ ก็เป็นหนึ่งอันไว้ เป็นอุดมการณ์ จะมีองค์จริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ มันเป็นอุดมคติอุดมการณ์ ที่สร้างอันนี้เอาไว้ว่า จะช่วยคนทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ ให้นิพพานหมด จึงจะขอปรินิพพาน ก็นิมนต์ อาตมาไม่ไหว ก็อนุโมทนาสาธุเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดๆ ไม่มีอะไรเท่าแล้ว อวโลกิเตศวร จึงขยายไปเป็นมีทั้งระดับ ผู้หญิงผู้ชายอะไรอีกเยอะ มากมายมหาศาล ซึ่งมันเป็นความจริงด้วย ไม่มีปัญหา อาตมาจบ ไม่เอาอย่างนั้น มาเอาอย่างนี้ สุดท้ายมันก็อยู่ที่ความเชื่อ ของแต่ละคน เป็นความเห็นต่าง เป็นสิทธิส่วนตัวของแต่ละคน
อันสุดท้ายคือ ความเห็นของคุณกับความเห็นของเรา ต่างกันแล้ว ต่างคนก็อยู่เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าเบียดเบียนกันและกันเลย เท่านี้ก็จบ อาตมาทำอย่างที่ว่า ก็จบ ก็ไม่เบียดเบียนเขา ส่วนใครจะเบียดเบียนเรา เราก็เลี่ยงเอา เราเลี่ยงไม่ได้ ดีไม่ดีเขาเบียดเบียนจนเราตายเลย เหมือนพระโมคคัลลานะ ก็ต้องยอมตายเลย แต่คนที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ทำไป เราหลีกเลี่ยงโดยไม่ได้เบียดเบียนใคร เป็นความเก่งของคุณ ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็มีความเจ็บปวดทรมานสุดทาง มันเป็นวิบาก เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ วิปากทุกข์ หนึ่งในทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ทั้ง 6 อย่าง
พระโมคคัลลานะ ถ้าท่านยอมเสีย วิบากก็ลด ถ้าท่านจะปรินิพพาน เป็นปริโยสานก็จบ แต่ถ้าท่านจะเกิดมาอีก ชาติหน้าวิบากท่านก็ลด ท่านใช้วิบากหนักไปแล้ว ชาติต่อไปก็เบาขึ้น เหลืออีกก็ใช้ไปอีก จะไม่ทำอีก คุณทำเองคุณก็ต้องเจอ ถ้าคุณไม่ทำเอง มันก็ไม่มี ก็เท่านั้นเอง
สมณะเดินดินว่า...Coefficient เป็นของพระโพธิสัตว์ พวกสาวกนี้ จะทำตามได้ไหม
พ่อครูว่า...พยายามทำตาม ตามภูมิ พวกเรามีทำได้บ้าง ต้องคูณและยกกำลัง ก็จะไปลิ่ว แต่คูณนี่ก็ไม่ตกต่ำแล้ว
อาตมาว่ายังไม่เก่ง ยังขยายความ Coefficient ยังไม่สมบูรณ์ มันไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆเกิดนะ พระเจ้าประทานมาก็ไม่ใช่ มันต้องสร้างเอา พระเจ้าก็ไม่อธิบาย เพราะอธิบายไม่เป็น ศาสดาของสายเทวนิยม องค์ไหน จะอธิบายอย่างโพธิรักษ์ Coefficient ไปเอาตำราของศาสดาองค์ไหนมา ไปเอามาดูซิ มีความอยากแรงนะ ของพระศาสดาเทวนิยมองค์ไหนอธิบาย Coefficient เอามาดู ขออภัย พูดท้าทายสูงแรงไป แต่มันเป็นวิชาการ ในยุคนี้มันต้องใช้วิธีการ แสดงออกอย่างนี้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
องค์ประกอบที่จะทำ Coefficient จะต้องมีพลัง สูระ แข็งกล้าตรงพอมากเต็ม เต็มที่ เป็นพลังงานที่มีความ สุ คือดี ระ คือพลังงาน ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
ร คือพลังงานที่จะต่อ ถ้าไม่ตอบก็ไม่ไป ต้อง ล เป็น ย ร ล สามเส้า
จากนั้นเป็น ฬ ลอจุฬา รวมทั้ง ย ร ล ว ส ห ฬ ตัว ฬ เป็นตัวที่ 7 รวมสองเส้าสองอัน
ว ส ห ฬ ทำงานเข้า ฬ เป็นประธานของอันนี้ ก็เกิดเป็น สก ก็เดินเป็นตัวเราตัวแท้
สก ตัวที่เป็นแค่พีชะก็เป็นพีชะ ส่วน สก ของจิตนิยาม ก็เดินต่อได้ ส่วน สก ของพีชะก็จบแค่นั้น สามเส้า ISH ตัวประธานกับ บวกลบ มีเพศหญิงเพศชาย และตัวประธาน ประธานก็เป็นตัวควบคุม
อสุรกาย ท่านเอามาไว้แค่ 4
สุรกาย คือ องค์ประกอบของตัวผู้ใด ก็แล้วแต่ สามารถมีครบ ตั้งแต่อาการ 32 ที่เป็นธาตุ ที่ทำอาการในตัว ผมขนเล็บฟันหนัง น้ำเลือดน้ำเหลือง น้ำเหลืองเป็นพิเศษ จะแยกเป็น น้ำเหลืองเสียกับน้ำเหลืองดี จะแยกเป็นพลังงานเม็ดเลือดขาว ไปทำงาน ภาษาศัพท์ของพระพุทธเจ้า ก็ค่อยๆขยายความ
เม็ดเลือดขาว ก็คือพลังงานน้ำเหลืองที่ดี ถ้าเป็นน้ำเหลืองที่เสีย ก็เน่าเสีย ก็เป็นการทำลาย อย่างนี้เป็นต้น แล้วมันก็จะมีรวมตัวเข้าเป็นเสลด เป็นอะไรต่างๆนานา เสลดที่ยังไม่มีเชื้อ มันก็จะเป็น ล.15[803] "รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละ เป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม (ปัญจสาขา)
ฆนะ เป็นตัวก้อน แล้วก็จะเป็นส่วนที่ช่วยตัวเองได้ เป็นปัญจสาขา
มันคือเรื่องของธาตุตัวตนอวัยวะ เป็นรูปธรรม ส่วนนามธรรมซ้อนในนี้ เรียกว่าอาการ สุระคืออาการ 32 อาการของ ผมขนเล็บฟันหนัง ก็ทำงานเป็นเครื่องมือใช้ประโยชน์ ถ้ามันไม่ใช่กายของเราแล้ว มันก็ไม่มีเวทนา เป็นแค่ พีชะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นพีชะได้เลย มันไม่ใช่กายเราแล้ว เป็นพีชะหมด ถ้าตัดออกไปจากตัวเรา ก็เป็น อุตุไป
ทีนี้ในส่วนของสูระ ที่ไม่ใช่ ผมขนเล็บฟันหนัง อีก 27 อย่าง ตั้งแต่อะไรต่างๆนานา ที่ไปไล่อาการ 32 มา มันก็จะทำงาน ต่างคนต่างมีหน้าที่ ถ้ามันไม่พิการมันก็คือ สูระ พวกนั้นแหละ แม้แต่ผมขนเล็บฟันหนัง ถ้าหากพิการก็ใช้ได้ไม่เต็มที่ หรือใช้ไม่ได้เลย เช่นกัน
ที่เหลืออีก 27 อาการ ก็สูระ แข็งแรง ตับ ไต ลำไส้ ฯ ทุกอย่างที่เป็น ในร่างกายองคาพยพ อวัยวะ ชีวะ ในระดับมนุษย์ คน ต่างก็แข็งแรง สุรภาโว มันก็ทำงานได้สมบูรณ์
ของใครก็แล้วแต่ มีส่วนบกพร่องของแต่ละคน เป็นธรรมดา มันไม่เท่าเทียมกันหรอก ของใครของมัน
อาตมามันไม่แข็งแรง ตรงที่คอ เส้นเสียงต่างๆ มีกระเปราะในลำคอ ก็ดัน ก็ค้างอะไรในคอ ก็ไอก็ไอ เมื่อไหร่ กระเปราะ จะฟีบหายไปก็ไม่รู้ มีผู้คอยระวังให้ว่า อย่าให้มันโต แต่มันก็รู้สึกว่าจะทรง ไม่โต ทุกวันนี้ก็พยายาม ระมัดระวังไม่ให้โต มันก็ไม่โตขึ้น แต่มันยังไม่ค่อยลดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามต่อไป ยังหวังอยู่ว่า สเต็มเซลล์จะมาช่วย เผื่อว่าจะเป็นไปได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็อย่าให้มันโตขึ้น เท่าที่เราจะเก่ง มันก็เป็นไป
ที่ทำงานเดี๋ยวนี้ ก็ใช้คอใช้เส้นเสียงเป็นสำคัญ นอกนั้น ก็ไม่ได้มีอะไรมาก นอกนั้นก็ดีแข็งแรงอยู่ทุกอย่าง ในองคาพยพ กล้ามเนื้อ เนื้อหนังมังสา อะไรต่างๆนานา ตับไตไส้พุงส่วนอื่นๆก็ยังไม่มีอะไรมาก ยังไม่ถือว่าเป็นโรคในส่วนนั้นส่วนนี้อะไร ก็พอเป็นไป
สรุปก็คือ สุรภาโว ที่อวัยวะของเราทุกอย่าง มันแข็งแรง ไม่พิการ บริบูรณ์ดี หรือแม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีปัญหาอะไร มันก็ต้องมีเสื่อมบ้าง คนเราอายุมากขึ้น ถ้าหากมันเสื่อมเกิน ทำงานไม่ไหวก็บกพร่อง สุดท้ายก็ตาย แล้วค่อยมาใหม่ ถ้ายังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน สำหรับอรหันต์ที่นั่งอยู่นี่ ถ้าไม่อรหันต์ก็ต้องกลับมาเกิด แหง๋
ถ้าเป็นอรหันต์แล้ว จะไม่มาเกิดอีกก็แล้วแต่ แต่ถ้ายังเห็นใจมนุษย์ อยากจะมาช่วยมนุษย์ก็เชิญ อยากจะศึกษาต่อก็เชิญ เกิดมาอีกก็ช่วยกัน อาตมายังจะไม่จบ ยังจะเกิดอยู่ มันก็จะซับซ้อนอย่างนี้
เพราะฉะนั้น อสุระ คือความพิการไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าสุรภาโว สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส สามชื่อนี้คือ มนุษย์ชมพูทวีป
อวัยวะทั้งหลายแข็งแรงดี ครบสมบูรณ์ ไม่ดีอย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์ก็เยี่ยมแล้ว อย่างอาตมา 80% 90% ก็ไปได้อยู่
ถ้ามี สุรภาโว สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส อิธ คือโลกนี้ที่เห็นหน้าเห็นตาพร้อมกันอยู่นี่แหละ แล้วทำพรหมจรรย์ให้สมบูรณ์ ทำศาสนาให้ดี ทำพระธรรมวินัยให้ดี กว่าจะได้เป็นประโยชน์ แก่คนอื่นแก่ตัวเราเอง อย่างนี้แหละ อิธ พรหมจริยวาโส
สติมันโต...สติตัวนี้ฟังให้ดี คำว่าสตินี้ มีสติอยู่ 3 ประการ
1. สติของปุถุชน
2. สติของกัลยาณชน
3. สติของอาริยชน
สติของปุถุชน อย่าไปเอานิยายกับมันเลย มันผีเข้าผีออกอวิชชา ไม่ต้องอธิบายมาก มันมีผีเข้าผีออกได้ มันก็จะวนเวียนในนรกสวรรค์ของมัน อยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน สติของปุถุชน ก็วนเวียนสุขทุกข์ สมบัติผลัดกันชม ตลอดกาลนาน กูยังไม่เบื่อก็มาต่อ กูเบื่อแล้วก็พยายามหาทางออก สมมุติว่าเกิดมาในยุคนี้ อยากจะรวยที่สุด ใครจะรวยเกินกว่า บิลเกตส์บ้าง วอร์เรนบัฟเฟตต์
สติ แปลว่า ร้อย มีการตื่นร้อย คือตื่นลืมตามา ไม่ใช่สติในภวังค์ รู้นอกและใน สติที่มีอยู่แต่ภายใน จะเก่งอย่างไรก็มีแต่ตัวเอง ไม่ครบธรรมะ 2 ทั้งภายนอกและภายใน คุณจะเก่งอยู่ในภายใน ก็ไม่ทำอะไรได้มาก ไม่มีดินน้ำไฟลม หรือจะอยู่เฉพาะดิน มันก็เรื่องของคุณ คุณก็ทำอยู่แต่ข้างใน อยู่กับแค่ดินน้ำไฟลม อย่างเก่งก็อยู่กับพืช คุณไม่ทำกับสัตว์กับคน ก็ศีรษะใครศีรษะมัน ถ้าใครเห็นว่าทำร่วมกัน ก็จะได้ประโยชน์ร่วมกัน ก็ทำกับคน กับคนที่คุณจะช่วยเขาเท่านั้น เขาช่วยคุณไม่ได้ก็ได้ หรือ คุณช่วยเขาได้ด้วย เขาก็ช่วยคุณได้ด้วยก็ยิ่งดี
อย่างอาตมา ช่วยคนที่อาตมาช่วยเขาได้ และเขาก็ช่วยอาตมาได้ ก็เป็นอิสระเสรี อยากจะมาช่วยเท่าไหร่ ก็ไม่ได้กำหนด จะไม่ช่วยจะเป็นคนอกตัญญู ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้รังเกียจหรอก จะอกตัญญู อาตมาก็ไม่ทำจิต ให้รังเกียจเขา ให้อาตมาเศร้าหมองหรอก ทำงานแบบนั้นไม่สร้างสรรค์ เราจะสร้างแต่พลังงานที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องรังเกียจ ไม่ต้องไม่ชอบ ไม่ต้องผลัก
อาตมารับเท่าที่รับได้ ตามพลังงานที่เป็นกำแพงไร้สภาพ มีรังสีกั้นไว้เป็นอจินไตย อาตมาจะใช้ด้วยลีลา อาการต่างๆ อย่างอโศกนี้ คนร้ายๆเข้ามาทำงานได้ง่ายมาก แต่เขาไม่ทำ ถ้าพลังงานดีอันนั้น มีคุณสมบัติคุณภาพ พอที่จะทำให้เขาเกรงใจ เขาก็เลยไม่มาทำร้าย
ถ้าเราดีต่อคนย่านนี้ให้มาก คนย่านอื่นที่จะไม่มารักมาชอบเราเท่าไหร่ เราก็ช่วยคนใกล้ให้มากที่สุด จนเขาไม่ทำกับเราอีกแล้ว เขาไม่ทำเอง เขาสำนึกเอง เราไม่บังคับใคร
เราทำคุณงามความดี มากเท่าที่จะทำให้เขาได้ ก็พอแล้ว ถ้าเขาไม่พอจะทำร้ายเราเราก็ตายนะ แต่ถ้าเราตาย เขาก็ไม่ได้ประโยชน์ต่อ เขาก็มีปฏิภาณไม่ทำร้ายต่อ
ถ้าเขาจะเอาอย่างแรง แย่งอย่างแรง คนอื่นก็แย่งแรงด้วย คนอื่นก็จะตีกับคุณเอง คนมีปฏิภาณก็ไม่ทำ
คนที่ฉลาดแล้ว เขาจะไม่ทำร้ายคนที่ดี ที่เขาจำนนว่าคนนี้ดี ก็จบ หมดภาษาแล้ว เขาจะเอาเปรียบคนดีก็เอาไป แต่เขาจะไม่ทำร้ายคนดี ยิ่งฆ่าเลย ไม่โง่อย่างคนฆ่าห่านทองคำ ก็อดไข่ทองคำ คนเหล่านี้มีปัญญารู้ว่า ห่านนี้ไข่ทองคำให้ทุกวัน เขาไม่ฆ่าห่านตัวนี้ ห่านทำอะไรเขาไม่ได้ มีแต่จะไข่ทองคำให้ มันก็ได้แต่ร้อง
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเป็นตัวอย่าง และต้นคิดพลังสัมประสิทธิ์ เราก็คงต้องติดตาม ดูตัวอย่างจากพ่อครู
มีคนที่มีอัตตามาก มิตรเขาจะไม่ค่อยมี มีแต่มิดจีรี
พ่อครูไม่มีอัตตา จึงเป็นพลังงานของส่วนรวมของทุกคน เห็นประสิทธิภาพของพ่อครู ที่ทำคนเดียวให้เป็นหลายคน ทำหลายคนให้เป็นคนเดียว พาพวกเราไปแตะพระอาทิตย์ได้ ถ้ามีตัวอย่างที่พ่อครูทำจริงได้ แล้วพาพวกเราทำด้วย แต่ถ้าทั้งหมดนี้ อัตตาใหญ่ ก็ไร้มิตร ก็มิดจีรี บันไดขั้นแรก พ่อครูเน้นสุริยเปยยาล ก็ต้องมีมิตรดี สหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:55:48 )
รายละเอียด
601126_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ ชาวอโศก เป็น คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันพระ ก่อนวันพระก็มักจะไปวัดตอนเป็นเด็กๆเพราะว่ามีของกินเยอะ ฟังเทศน์ไม่รู้เรื่อง พระสวดแล้วเราก็ไปจัดอาหารให้พระ จะได้กินอาหารบิณฑบาต
วันนี้มีค่ายสัมมาอาริยมรรค เข้าค่ายครั้งที่ 23 มีคนมาเข้าค่าย 27 คน อาตมาว่า ศาสนาพุทธนี้ ที่มาเรียนรู้กับพ่อครูพาทำนี้ คนสายโลกุตระนี้ จะมีไม่มาก เพราะว่ารู้ก็ได้ยาก ทำตามก็ได้ยาก เป็นของที่สงบละเอียดลออรู้ได้เฉพาะบัณฑิตคนปุถุชนธรรมดาดูไม่ได้ คนที่จะมาจึงเป็นบัณฑิต ถ้าไม่ใช่บัณฑิตมาไม่ได้ ถ้าเป็นบัณฑิตระดับปริญญาตรีโทเอกอย่างเดียวนั้นยิ่งมาได้ยาก ต้องบัณฑิตที่รู้จักโลกุตระ มีอัญญะ อัญญา มีความรู้ มีญาณของตัวเอง ดูวิธีลดละกิเลสได้จึงจะมา
เมื่อวานนี้อาตมาไปอำเภอตระการพืชผลไปดูเรื่องข้าว ที่โรงสีของเราจะซื้อข้าวจากเกษตรกร ไปดูว่าเขาเก็บข้าวอย่างไร อำเภอตระการพืชผลนี้เป็นอำเภอที่ทำข้าวได้ดีที่สุดในประเทศ ได้พบเกษตรกรพบว่าเขาเป็นหนี้กันด้วย บางบ้านทำอย่างสะอาด บางบ้านทำไม่สะอาด คุณภาพข้าวก็แตกต่างกันไป คนจนๆนี่เขาว่าจน แต่ที่จริงแล้วเขาร่ำรวยมาก มีมะม่วงออกดอกเต็มเลย ผักเต็มเลย บางบ้านมีบ้านราคาเป็นล้านไว้เก็บข้าว ตัวเองไปอยู่เถียงนา บอกว่าสบายกว่ามีความสุข มีผักกิน ชีวิตคนจนนี้แสนสบาย ไม่เดือดร้อน ไม่มีโจรปล้น แต่เขาไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขามีอุปาทานว่าต้องรวย แต่พ่อครูพาเรามาจน กินน้อยใช้น้อยแล้วไม่สะสมอีก สุขภาพก็ดีมีความแข็ง
SMS วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 (พ่อครู บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน โยนิโสมนสิการให้พ้นอสุรกาย
_8498 ว่าด้วยอสุรกายคือพวกที่อายตนะกระทบแล้วเกิดทุกข์จึงกลัว ว่าด้วยเปรตคือพวกอายตนะกระทบแล้วเกิดสุขจึงเสพและรักษา ว่าด้วยพวกเดรัจฉานคือพวกกระทบแล้วเกิดอาการขวางๆเก้ๆกังๆเหมือนไบโพลาร์ รวมทุกข์ สุข ไม่สุขไม่ทุกข์ แบบโลกีย์ยะจึงรวมเป็นนรก เข้าใจแบบนี้พอได้ไหมครับ คือพวกนั่งหลับตามืด พวกปั้นสวรรค์ พวกขวางๆไม่ตัดสินใจ กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า...อสุระคือไม่กล้าแข็งไม่แข็งแรง ซึ่ง ความรู้นั้นต้องมีรูป นาม มีแต่รูปรู้เองไม่ได้ ต้องมีรูปและนามจึงครบ อสุรกายคือความไม่ลงตัวไม่ครบของรูปและนาม
อาตมาอธิบาย รูป 28 นาม 5 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฏิจจสมุปบาท แต่ที่อภิธรรมเขาเรียนอภิธรรม เจตสิก 89 121 เขาเรียนกันเก่งกันเยอะ แต่ไม่รู้เอาไปปฏิบัติได้หรือเปล่า
แค่รูป 28 นาม 5 นี้ ปฏิบัติไปเถอะจะได้เป็นพระอรหันต์
นาม 5 มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าเข้าใจ 5 ตัวนี้แล้ว ครบเครื่องลงตัวของการปฏิบัติธรรม
เวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ สัญญาเป็นตัวทำงานกำหนดรู้ ไปตลอดทั้งนอกและใน กำหนดรู้สัญญา เสร็จแล้วก็รู้เจตนา ที่จะรู้เจตนา ที่จะรู้สังขาร ที่จะรู้เวทนาเพราะว่ามีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาให้รู้ได้ ตามที่พระพุทธเจ้ายืนยันด้วยพรหมชาลสูตร ล. 9 ข.87 [87] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าใดมีทิฏฐิว่า นิพพานในปัจจุบัน ย่อมบัญญัติว่า นิพพานปัจจุบันเป็นธรรมอย่างยิ่งของสัตว์ผู้ปรากฏอยู่ด้วยเหตุ 5 ประการ เขาเหล่านั้นเว้นผัสสะแล้วจะรู้สึกได้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ศาสนาพุทธนั้นกลายเป็นศาสนาสมถะ หาอะไรมาเพ่งเป็นกสิณ รวมเป็นกสิณ 40 เอาอะไรมาเพ่งอีกก็ได้ เป็นการออกนอกรีตศาสนาพุทธ เป็นการสะกดจิตอยู่ที่กสิณ
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิปัสสนาไม่ใช่เป็นศาสนาแบบนั้น เป็นศาสนาธัมมวิจัยไม่ใช่ให้จิตหยุดคิด
คนที่ยังหลงสวรรค์จะต้องมีสวรรค์อยู่ ไม่มีทางหลุดพ้นได้ ต้องทำความเข้าใจว่าสวรรค์นั้นเป็นคู่ของนรก ต้องเข้าใจให้ได้ บทเรียนของศาสนาพุทธเรียกว่าอนุปุพพิกถา มี ทาน ศีล กามาทีนวะ อสังสัคคะ(สวรรค์) เนกขัมมะ
ในบทเรียน 5 คำนี้
ทาน ทานอย่างไรจึงจะเนกขัมมะ ปฏิบัติศีลอย่างไรจึงจะเนกขัมมะ กามาทีนวะ ทำอย่างไรถึงจะเห็นโทษของกาม เพราะไม่เห็นโทษของกามได้เสพกาม มันจึงมีสวรรค์ เพราะไม่รู้จักสวรรค์ เพราะฉะนั้นสำคัญคือตัวปฏิบัติจะต้องมีทานกับศีล ก็รู้ว่าจะต้องมี เห็นว่าเป็นโทษรู้ว่าเป็นโทษ สอง ให้รู้มันเป็นของไม่จริง สวรรค์ไม่มีจริง สวรรค์เป็นอุปทาน ใครอยากได้สวรรค์ได้นรกไปทันที เพราะสวรรค์กับนรกเป็นตัวเดียวกัน ใครอยากได้สวรรค์คือนั่นแหละกำลังมี ทุกข์อริยสัจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ภายนอกสวรรค์ภายใน เพราะฉะนั้นจึงต้องเนกขัมมะ จบแล้วศาสนาพุทธในจุดนี้ เริ่มต้นแล้วปฏิบัติตามที่ว่านี้จบแล้ว
เนกขัมมะออกได้หมด ก็เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นนิพพาน ไม่ว่าจะสัมผัสเกี่ยวข้องอะไรจิตเราก็ทำให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขานี้ได้ทุกตัว แจกปริญญาเป็นบัณฑิตอรหันต์ได้เลย ปฏิบัติได้แล้วก็เป็นในตัวเองไม่ต้องไปแจกให้หรอก
ทีนี้ที่ถามว่าอสุรกายที่สรุปมาก็ ok ใช้ได้
นามต่างๆที่อธิบายมาเข้าคร่าวๆ
มนสิการ คือการทำใจในใจนี่แหละ ตัวนี้แหละคือการทำสมาธิ ทำให้กิเลสลด ทำสมาธินี้คือทำให้กิเลสลด แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิที่จะอ่านอาการ ลิงค นิมิต อุเทศในจิตแล้วแยกแยะ วิตกวิจารวิจัยแยกกิเลส แล้วทำให้กิเลสลดไปจนหมดได้ สรุปเรียนแค่นี้แหละธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ทุกวันนี้ได้ผิดเพี้ยนไป กลายเป็น
มนสิการทำใจในใจไม่เป็น เป็นอโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจไม่ถูกต้องถ่องแท้ ออกนอกรีตนอกทาง อโยนิโสมนสิการ
คำว่าโยนิโสมนสิการ จึงเป็นหัวใจการปฏิบัติธรรม
แม้แต่ในสัมมาทิฏฐิก็ต้องรู้จักโยนิโสมนสิการ รู้จักสมณพราหมณ์ ฯ หรือสัตบุรุษ กว่าจะรู้จริงว่า โยนิโสมนสิการทำอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงต้องมีปรโตโฆษะ
ผู้ที่ยังไม่รู้ทำใจในใจไม่เป็นจะต้องได้ฟังจากสัตบุรุษ ในวุฒิ 4 จักร 4 หรืออวิชชาสูตร ตั้งแต่พบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ ฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ถึงจะโยนิโสมนสิการให้บริบูรณ์
หรือในปัญญาวุฒิหรือจักร 4 ก็ต้องพบสัตบุรุษแล้วฟังธรรม จะทำใจในใจได้ดี
พบสัตบุรุษ ได้ฟังธรรม โยนิโสมนสิการ แล้วมีธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ที่จะทำใจในใจโยนิโสมนสิการ
แต่ทุกวันนี้ไปแปล โยนิโสมนสิการว่าทำใจให้แยบคายเท่านั้น ไม่ได้ทำใจให้เปลี่ยนแปลงถึงที่เกิด มนสิการ นี่สำคัญ คือการทำใจในใจให้ได้ อย่างในมูลสูตร 10
ต้องมี
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย)
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา)
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ)
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ)
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) = สอุปาทิเสสนิพพาน
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
คำว่าโยนิโสมนสิการคือการพิจารณาในใจให้ถ่องแท้แยบคาย ก็เอาแต่คิด ไม่ได้พูดถึงมนสิการ คือการทำใจตามที่เรารู้ถ่องแท้นั่นแหละ ต้องทำใจในใจ ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่ได้ทำ จิตใจมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันก็เป็นอย่างเก่า ได้แต่รู้รู้รู้แล้วไม่ได้ทำที่ใจ เดี๋ยวนี้ผู้รู้ท่านแปลอย่างนั้น ผู้รู้เป็นยอดรู้ด้วยที่ยกเป็นหนึ่งในประเทศด้วยซ้ำ แปลอย่างนั้นก็เลยไปใหญ่ เพราะมันไม่ได้มนสิการ ต้องทำให้เกิดให้เปลี่ยนแปลงให้จิตใจเปลี่ยนแปลง โอปปาติกโยนิ
อสุรกายที่ไม่แข็งแรงในเรื่องนาม ก็คือไม่รู้นามธรรม ไม่แข็งแรงเพราะมันโง่ ไม่แข็งแรงของอสุรกายนี้มันมีอยู่
1. ทุกข์อย่างเดียว จิตมันทุกข์อย่างเดียวจะแข็งแรงได้อย่างไร พวกนี้เรียกว่าสัตว์นรก
2. โง่ อย่างเดียว พวกนี้เรียกว่าเดรัจฉาน
3. อยากอย่างเดียวพวกนี้เรียกว่าเปรต
ทั้งสามอย่างนี้แหละ รวมแล้วก็เป็นอสุรกาย คือความไม่แข็งแรงในส่วนใดส่วนหนึ่งหรือครบทั้ง 3 ส่วนเป็นอสุรกาย จิตใจไม่แข็งแรงมีความทุกข์ตะพึด อยากตะพึด ก็ต้องทุกข์ตลอดกาลนาน นี่เรียกว่า นาม ที่เราต้องเรียนรู้และแก้ไขปรับปรุง
จากเฟซบุ๊ค
_ปัญญา หิรัญ · สภาวะธรรมที่..ออกมาจากการปฏิบัตินั้นเป็นคำง่ายๆฟังแล้วเข้าใจทันที
พ่อครูว่า...ถูกต้อง เพราะไม่ได้เอาแต่พยัญชนะวิชาการมาพูด ขยายความด้วยภาษาที่เรารู้สภาวะ ขยายไปได้ละเอียดรอบด้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนของพระเวสสันดร
_ปรีชา ขำเพชร · กราบนมัสการพ่อครูครับ...ขอเรียนถามพ่อครูดังนี้ครับ
ใน Facebook ระยะนี้มีข้อความเสนอว่า..พระเวสสันดรนั้นเลวนัก...เพราะยกลูกเมียให้คนที่มาขออย่างไม่แยแส สาระแค่นี้ก็เห็นแล้วว่าพระเวสสันดรเลวหรือใครจะเถียงว่าเป็นคนดี!!!ก็ว่ามา
ในคอมเม็นต์ไม่มีใครโต้แย้งทั้งสิ้น..มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง...มหาเปรียญทั้งหลาย...ทั้งฆราวาสและสงฆ์...หรือองค์กรพุทธใดๆที่มักอ้างตนว่ารักพระศาสนาพุทธ
. จึงเรียนถามพ่อครูว่า...ประเด็นสั้นๆที่เขาเสนอมานั้น..ถ้าจะโต้ตอบที่สั้นๆไม่ยาวนักอย่างสัมมาทิฏฐิที่มีพลังควรใช้ตักกะวิตักกะใดครับ?
พ่อครูว่า…ลูกนั้นชูชกมาขอ เมียนั้นพระอินทร์ปลอมตัวมาขอ คนอย่างไรโง่นักให้ลูกให้เมีย คำตอบก็คือ เรื่องที่ว่านี้เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้ง ซ้อนชั้น ขึ้นไปสูงขึ้นได้เรื่อยๆ เป็นเรื่องของคัมภีราวภาโส เป็นสภาพกลับไปกลับมา เป็นสภาพที่เราไม่รู้ ก็เห็นได้แต่ว่ากลับไปกลับมา สลับกัน เหมือนทางซ้ายแล้วมาทางขวา ทางขวาก็มาทางซ้ายวกไปวกมา ความรู้ของคนที่ไม่มีความรู้ ซ้อนชั้นสูงก็จะวนอยู่ ซ้ายขวา ขวาซ้าย
เหมือนกับที่ท่านแปล ปุญญาภิสังขาร ว่าปรุงแต่งที่เป็นบุญ อปุญญาภิสังขารก็แปลว่า เป็นบาป การแปลไปมาซ้ายขวา ทั้งที่อปุญญาภิสังขารเป็นโลกุตระ แต่ท่านไม่รู้จักโลกุตระก็เลยแปลวนไปหาเป็นบาป
บุญนี่ล้างกิเลสได้ จนไม่ต้องล้างก็อปุญญา ปุญญปาปปริกขีโน ไม่มีบุญไม่มีบาปไม่ต้องล้างอีกแล้ว อันที่สามอเนญชาภิสังขาร สั่งสมความแข็งแรงตั้งมั่นไม่หวั่นไหว นี่คืออภิสังขาร 3 เป็นโลกุตระ
ผู้ที่ไม่เข้าใจโลกุตระก็เลยอธิบายไม่ได้ แต่แปลพยัญชนะสู่พยัญชนะ ก็เลยซ้ายไปขวาขวาไปซ้ายมันก็ไม่ใช่ ความจริงซ้ายไปขวาขวาไปซ้ายก็จริง แต่มันวนแล้วเหมือนก้นหอยสูงขึ้นสูงขึ้น ขวาไปซ้ายซ้ายไปขวา จนสุดท้ายวนไปจบแล้วถึงที่สุด ไม่มีชั้นหมุนรอบเชิงซ้อนแล้ว ไม่มีความรู้ในสภาวะธรรมจึงได้แต่พยัญชนะ
ในการทาน ขั้นทานบุตร ทานภรรยา ของพระเวสสันดรนี้ คนไม่มีภูมิปัญญาสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนอย่างที่ว่า ก็จะไม่เข้าใจ ลูกเป็นสิ่งที่รัก เมียเป็นสิ่งที่รัก ทั้งลูกและเมียเป็นสิ่งสุดยอดแล้วเอาไปให้เขาได้อย่างไร ก็เพราะว่าคุณยอดหวงแหน สุดที่รักก็ให้คนไม่ได้สิ แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ให้มาได้สูงสุดแล้ว จะต้องบริจาคในสิ่งที่สูงสุด คนไม่รู้ไม่มีภูมิสูงอย่างนี้ ก็เลยคิดว่ามันควรลงมาต่ำอย่างเก่า ของรักจะไปให้ใครทำไม ก็เลยไม่ต้องหมดเนื้อหมดตัว ก็นี่ท่านจะสละหมดเนื้อหมดตัวอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังไม่มีภูมิ อย่างที่ว่านี้ ยังมีความรู้แค่พยัญชนะจะเป็นอย่างนั้น
เช่นพวกเรา เราสามารถปฏิบัติสัจธรรม จนคนเราที่บอกว่าจะต้องไปรวยในโลกโลกีย์ เรากลับเห็นว่ารวยมันเลว คนไปตั้งหน้าตั้งตารวยนี้ไม่ดีมันเลว พูดความจริงนะ ให้เห็นความจริงว่าเป็นเช่นนี้
ในโลกนี้ที่มันเดือดร้อนทั้งโลกก็เพราะว่าคนตั้งหน้าตั้งตาจะไปรวย มันก็ซวย ก็มีคนจำนวนหนึ่งในโลกคือชาวอโศก มันดันมุ่งมาจน ตั้งใจมาจน มาเอาความจน ก็เลยเป็นคนดีอยู่กลุ่มเดียว นอกนั้นเป็นคนเลวหมด พูดไปก็เกรงใจ คนโดนกระทบก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้า เหมือนถูกด่าก็ต้องขออภัย เพราะความจริงคุณยังเป็นสิ่งที่คุณยังเป็นอยู่ พออาตมาพูดไปก็กระทบคุณเหมือนตบหน้าเป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้
ชาวอโศกนี้เป็นคนจนที่สุดสำราญเบิกบานใจ
ตอนนี้ขออ่านบทความ หนังสือพิมพ์แนวหน้า หน้า 3 บทความของที่นี่แนวหน้า
เลียบวิภาวดี 2561 ไร้คนจนหรือเตี้ยอุ้มค่อม
2561 ไร้คนจนหรือเตี้ยอุ้มค่อม
เรียน คุณวิภาวดีฯที่นับถือ
พ.ศ.2561 ประเทศไทยจะไร้คนจนหรือเป็นสังคมเตี้ยอุ้มค่อมกันแน่
พ.ศ.2560 มีคนไทย 13 ล้านคนครอบครองบัตรคนจน ซึ่งในปีหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของนาวาสามแป๊ะประกาศว่า“ประเทศไทยจะไม่มีคนจน” นั้น คาดว่าจะมีผู้ครอบครองบัตรคนจนเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 15 ล้านเพราะมีคนตกสำรวจเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้องตั้งปุจฉาว่า เมื่อผู้ครอบครองบัตรคนจนมากขนาดนี้ ยังจะบอกว่าไม่มีคนจนได้อย่างไร คุณวิภาวดีช่วยกรุณาวิสัชฉนาด้วยครับ
อีกเรื่องหนึ่งคือประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เพราะจะมีวุฒิสมาชิก หรือ สว. 250 คน และหนึ่งในห้าของประชากรก็เป็น “ซีนาย ซิติเซ้นต์” หมายความว่า จะมีผู้สูงวัยหรือ สว. 13 ล้านคน (อ้างอิงกับจำนวนประชากรไทย 65 ล้านคน) เมื่อรวมกับคนจนหรือผู้ครอบครองบัตรคนจน 15 ล้านคน จะเหลือประชากร 37 ล้านคน ในจำนวนนี้ก็ต้องมีเด็กที่ยังประกอบอาชีพไม่ได้, มีคนพิการที่ประสิทธิภาพไม่ถึง 100% รวมถึงพระภิกษุและนักบวชอีกจำนวนหนึ่ง ประมาณว่าอย่างน้อย 10 ล้านคน ทำให้เหลือประชากร 27 ล้านคน ที่ต้องหาเลี้ยง 65 ล้านคน หรือหนึ่งคนต้องหาเลี้ยง 2.5 คน
นั่นหมายความว่า ครอบครัวสามีภรรยาในวัยทำงานต้องเลี้ยงดูคนในครอบครัวเกือบ 5 คน เป็นภาระที่หนักอึ้ง โดยเฉพาะเมื่อค่าครองชีพเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเพราะรัฐไม่ควบคุม ทำให้ต้องตั้งปุจฉาว่า “ประเทศไทยจะไม่มีคนจนจริงหรือ” ถ้าไม่มีคนจนจริง ก็มิได้หมายความว่าประเทศไทยจะอุดมด้วยคนรวยจริงหรือ เพราะเมื่อมีคนรวยเพิ่มขึ้นหนึ่งคนก็หมายความว่า ต้องมีคนจนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยหรือเป็นพันคน ดังนั้นคำพูดหัวหน้าทีมเศรษฐกิจนาวาสามแป๊ะที่ประกาศก้องว่า “ประเทศไทยจะไม่มีคนจน” จึงเป็นเพียงส่วนเดียว พ.ศ.2561 ประเทศไทยจะไม่มีคนจน แต่จะมีคนไม่มีจะกินหรือกินไม่อิ่มท้องทั้งประเทศไทย เพราะจะมี “พยาธิการเมือง”สูบน้ำเลี้ยงมากขึ้นอีก
ดังนั้นพ.ศ.2561 ไทยจะเป็นสังคมเตี้ยอุ้มค่อม อัตราส่วนคนวัยทำงาน : ผู้สูงวัย+เด็กที่ยังไม่เข้าวัยใช้แรงงาน+ผู้พิการทุพพลภาพ+นักบวช+คนจนที่รัฐโอบอุ้ม = 1 : 2.5 มิใช่สังคมไร้คนจนเพราะรัฐให้บัตรคนจนที่มีมูลค่าเดือนละ 200 บาท ทำให้รัฐตีความว่า ได้ช่วยเหลือแล้ว จึงทำให้ไม่มีคนจนหลงเหลืออยู่ ทั้งที่ผู้ครอบครองบัตรคนจนบอกว่า “สินค้าร้านธงฟ้าที่มีมูลค่า 200 นั้น ไม่ทำให้เขาหายจนได้” นอกจากนั้น ยังมีประเด็นคนคนเดียวจะได้รับสวัสดิการทุกอย่างหรือไม่ เช่น เป็นทั้งคนจน คนพิการ คนชรา จะได้สวัสดิการครบทั้งสามหรือไม่ ถ้าได้ไม่ครบ น่าจะไม่เป็นธรรมเพราะคนชราที่พิการย่อมด้อยสมรรถนะกว่าคนชราที่ไม่พิการ และทั้งคนชราและคนพิการก็เป็นคนจนด้วยเช่นกัน ดังนั้นอาจจะเข้าข่ายแจกแต่แดง ไม่แจกเหลืองก็ได้นะครับ
นั่นคือผลงานทีมเศรษฐกิจเป็น “กระทงหลงทาง” หรือแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะประชานิยมนั้นเปรียบเสมือน “โปรยทานงานบวชหรือเทกระจาด” ซึ่งเป็นฝนตกไม่ทั่วฟ้า นอกจากนั้นยังเป็นนโยบายแอบแฝงเพราะเจตนาที่แท้จริงของประชานิยมก็คือ“เพื่อหวังผลในทางการเมือง”มากกว่าเพื่อแก้ปัญหา
เตี้ยอุ้มค่อมอีกเรื่องก็คือ การที่คุณสมชายแอ่นอกรับรองความประพฤติพี่น้องร่วมนาวาสามแป๊ะว่าเป็นคนดี ไม่โกง คงหวังว่าประชาชนที่ชื่นชอบตัวเอง จะเชื่อตาม แต่ปัญหาคือประชาชนส่วนใหญ่จะคล้อยตามหรือไม่เท่านั้น ถ้าส่วนใหญ่ไม่เชื่อถือ ก็เป็นเหมือน“เตี้ยอุ้มค่อม” เหมือนเช่นแบ่งประชาชนออกเป็นคนจนและคนไม่จนด้วยรายได้ปีละสามหมื่นบาท ทำให้คนไม่จนที่มีจำนวนน้อยกว่าหนึ่งคน ต้องแบกคนจนบนบ่าเกือบสามคน ซึ่งก็คงเดินไปได้กี่ก้าวก็ต้องล้ม
การกระทำของแป๊ะใหญ่หรือถ้ายอมรับว่าเป็นผลงานสามแป๊ะก็ได้ เรื่องเดียวที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับก็คือ การแต่งตั้งประธาน ป.ป.ช.ที่ทำให้ผลงาน ป.ป.ช.ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน แต่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูก ป.ป.ช.ชุดที่แล้วกล่าวหาซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับแป๊ะใหญ่ ถ้าแป๊ะเล็กเลือกที่จะอุ้มแป๊ะใหญ่ ไม่สนใจประชาชน ก็เปรียบได้กับเตี้ยอุ้มค่อมเช่นกัน จะอุ้มไปได้อีกนานเท่าใด เพราะการกระทำของป.ป.ช.เรื่องนี้ บ่งบอกว่า การใช้อำนาจแบบไร้ธรรมาภิบาลจะทำให้กลายเป็นศัตรูกับประชาชนเหมือนเช่นการใช้อำนาจของระบอบทรราช
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากยอมรับความชั่วเป็นความดี ยอมรับความผิดเป็นถูกเพราะผู้กระทำความผิดเป็นญาติพี่น้อง แบบตัวกูของกูต้องมาก่อนเสมอ ทำให้เกิดความขัดแย้งในสมาชิกไลน์ สมาชิกเฟซฯมาแล้วมากมาย
โกบักโกรก
ตอบ คุณโกบักโกรก
ผมคงวิสัชฉนาได้เลยว่า การประกาศ “ปีหน้าประเทศไทยจะไม่มีคนจน” เป็นเรื่อง “ขี้โม้ทั้งเพ” ซึ่งการโม้แบบนี้ ก็เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งชายหน้าเหลี่ยมบอกจะแก้ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯให้หมดไปภายใน 6 เดือน หรือเรื่องที่จิ๋วหวานเจี๊ยบก็เคยประกาศถ้าได้เป็นนายกฯ จะแก้ไขไม่ให้มีคนจนอีก แล้วผลเป็นไง โม้ไปก็มีแต่ทำลายเครดิตตัวเองเปล่าๆ
วิภาวดี หลักสี่
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศก เป็น คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
พ่อครูว่า...ดูเหมือนอาตมาคุยตัว ก็เพราะว่าอยากให้พวกคุณมาพิสูจน์ ในยุคนี้ทำไมเขาทำได้ว่าเป็นคนจนที่วิเศษ มันเป็นอย่างไรมาดูสิคนจนที่วิเศษ
อ่านให้เห็นให้รู้ว่าต่างคนต่างคิดต่างทำในสังคม ชาวอโศกนั้นทำในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าสมควรจะทำเข้าใจว่าดี ชาวอโศก เป็นคนที่มีความคิด ภูมิธรรม ปัญญาอีกแบบหนึ่งที่เป็นปัญญาโลกุตระ เป็นปัญญาที่มองทะลุความเป็นคน ที่มีจิตใจแบบโลกีย์ แล้วก็เข้าใจโลกีย์ ว่ามันวนเวียนอยู่ในสุขๆทุกข์ๆรวยๆจนๆอยากมีอยากเป็น ไม่อยากมีไม่อยากเป็น สองทิศวน ก็เลยมาเรียนรู้ตามหลักธรรมะพระพุทธเจ้าสอน ก็เลยเห็นว่า ความจนความรวยไม่ใช่ปัญหาชีวิต ความสุขความทุกข์ก็ไม่ใช่ปัญหาชีวิต แม้ที่สุดความผิดความถูกก็ไม่ใช่ปัญหาชีวิต
คนที่เข้าใจ ปรมัตถสัจจะทำใจในใจของตัวเองได้แล้ว ก็อยู่กับความผิดความทุกข์ของโลกด้วยความไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เป็นปฏิปักษ์ กับความผิดความถูก
ความผิดความถูกนั้นคือสมมุติ สมมุติอะไร สมมุติว่าประเทศไทยมีกฎหมายมีวัฒนธรรมอย่างนี้ว่าถูก นี่คือประเทศไทย ในประเทศหนึ่ง อย่างนี้ของเขาถือว่าถูกของเขามันตรงกันข้ามกับอันนี้ของประเทศนี้ อย่างนี้ถือว่าผิด ตรงกันข้ามกันเลย อย่างนี้คือสมมุติ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม มันไม่ได้ตรงกันหมด บางอันอาจตรงกันบ้าง แต่อันไม่ตรงกันก็มีไม่น้อย
เพราะฉะนั้นเราก็อยู่ตามสมมุติของโลก สมมุติว่าที่นี่อยู่อย่างนี้เราอยู่กับหมู่ใหญ่ ก็รู้จักอนุโลมปฏิโลม เราอยู่กับโลกได้อย่างดี สัจจะจริงๆนั้น มันไม่มีผิดไม่มีถูก ไม่มีดีไม่มีชั่วไม่มีต่ำไม่มีสูง ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ปฏิบัติธรรมสูงสุดแล้วมันไม่มีพวกนี้ รู้แต่ความจริงที่มันปรากฏ ที่เขานั้นยึดถือ แต่เรานั้นไม่ยึดถือแล้วก็ไม่มีปัญหา
เช่น จริงๆแล้วสังคมชาวอโศกนี้ ส่วนรวม จนหรือรวย สังคมชาวอโศกส่วนรวมนั้นรวย คุณจะตอบว่ารวยก็ถูก จะตอบว่าจนก็ถูก เห็นไหม ที่พูดอย่างนั้นถ้าเราอุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์นั้นจนหรือรวย ก็รวย เราไม่ได้ยากแค้นอะไร จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจอุดมสมบูรณ์
แต่เราไม่ได้สะสมกอบโกยทรัพย์สินเป็นของส่วนตัวไว้ อันนี้เขาเรียกว่าจน ชาวอโศกได้เข้าใจความจนอันนี้ จึงไม่สะสมเอาไว้เป็นของตัวของตน จึงไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคม เราจึงกลายเป็นคนที่อยู่ในสังคมโดยไม่แย่งชิงเงินส่วนกลางทรัพย์สินส่วนกลาง ที่เขาต่างคนต่างแย่งชิงกัน บางคนนี้มีมากชิบหายเลย มีมากเป็นแสนแสนล้าน ก็ยังกอบโกยเอาอีกเอาอีก นั่นแหละคือคนเลวในสังคม เพราะว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน คนที่ไม่เข้าใจอย่างชาวอโศกก็จะทุกข์ แต่ชาวอโศกนั้นไม่ทุกข์ คุณอยากได้ก็กอบโกยเอาไปให้เข็ด อยากเอาไปสะสมให้เข็ด แต่คุณไม่เข็ดเสียที อยากทำอยากรวยอยากได้มากก็ช่างคุณ ชาวอโศกไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ชาวอโศกมีพฤติกรรมชีวิต มีการกระทำกรรมการงาน อย่างมีความพอเพียงตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านได้ทรงตรัสไว้ ซึ่งพวกเราได้พิสูจน์ความจริงตรงตามพระพุทธเจ้าตรงตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้สอนไว้ เพราะว่าเป็นคนที่มีภูมิรู้ในระดับโลกุตรธรรม
คนโลกุตระจึงเป็นคนที่ช่วยสังคมอยู่ตลอดกาล พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) ไม่ใช่แค่ปากเปล่า
แต่คนไม่เข้าใจกัน อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ก็มีความเห็นสอดคล้องกับในหลวงและพระพุทธเจ้า แล้วก็พาพวกเรามาเป็นดังที่พูดนี้ ใช่ว่าได้แต่พูดแต่ไม่เป็น ของเรา ยถาวาที ตถาการี หรือ ยถาการี ตถาการี
ยถาวาที คือเราทำอย่างไร ก็ยถาวาที พูดอย่างนั้น เขาก็หาว่าเราอวดตัว ทั้งๆที่เราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ พูดอย่างไรทำอย่างนั้นทำอย่างไรพูดอย่างนั้น ถ้าเราทำอย่างนี้แล้วจะให้พูดอีกอย่างมันก็โง่ เป็นคนตลบแตลง ทำอีกอย่างหนึ่งแต่พูดอีกอย่างหนึ่ง
อาตมาว่า อาตมาพาพวกเราชาวอโศก มาปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติประพฤติตนสุขสำราญเบิกบานใจ
ชาวอโศกได้มาพิสูจน์ความเป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจได้สำเร็จ จนบางคนเปลี่ยนนามสกุลเป็นคนจนอะไรต่างๆมากมาย จนอีหลีอีหลอ จนตลอดชาติ พร้อมจน จนดีจริง มุ่งมาจน จนอย่างเป็นผู้มีปัญญา ชาวอโศกเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
มาอ่านบทความที่ได้เรียบเรียงไว้
ชาวอโศก เป็น“คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ”
ที่จะพูดต่อไปนี้ ต้องขออนุญาตท่านผู้ฟังอย่างมากยิ่ง เพราะจะเป็นการพูดที่“ยืนยันความจริง”ที่มี ที่เป็นอยู่จริง เกิดได้จริงในคนยุคนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีจริงๆ ประเสริฐจริงๆ เป็นความดีงามที่คนทั้งหลายพึงยกย่องกัน และการกล่าวครานี้จะเป็นการกล่าวถึงหมู่คณะ ที่หมายถึง“ตนเอง” มันก็เข้าข่าย“อวดตัวอวดตน” ก็ขอยืนยันว่า อาตมาไม่มี“สาเถยยจิต-จิตที่เป็นกิเลสตัวนั้นในจิตเลย”จริงๆ
ก็ขอบอกด้วยความจริงใจ ส่วนใครจะเชื่ออาตมาหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ อาตมาจริงใจสุดๆแล้ว
ที่จะพูดขึ้นนี้ เป็นการพูดถึง“คนดี-คนที่น่ายกย่อง” และมันก็เป็นตนเอง-หมู่พวกตนเอง คือ ชาวอโศก
ชาวอโศกคือ คนไทยกลุ่มหนึ่ง และน่าจะเป็นกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความเป็น“คนจน”กันดีที่สุด
และได้ทำตนให้เป็น“คนจน”สำเร็จจริง จึงจบปัญหาชีวิต เพราะมี“ปัญญา”เข้าใจใน“ความจน”ว่า ไม่ใช่“ปัญหา”ของการดำรงชีวิตอยู่อย่างประเสริฐ หรืออย่าง“อาริยะ” ที่จะดำเนินชีวิตหรือมีชีวิตอยู่กับการเป็น“คนจน” ด้วยความสุขสำราญเบิกบานใจ ไปจนตาย ชนิดที่มี“ปัญญา”อย่างลึกซึ้งเข้าใจ“ตนเอง” เข้าใจ“ความเป็นคน” และเข้าใจ“ความจน” ว่า “ความจน”ไม่ใช่“ปัญหา”ของชีวิต “ความจน”ไม่ใช่ความทุกข์ยากลำบากอะไรเลย “ความจน”เป็นเรื่องดีในความเป็นคน เพราะคนที่ทำ“ความจน”ให้ตนเองอย่างมี“ปัญญา”(มิใช่ฉลาดเฉลียวอย่างเฉโกนะ)นั้น รู้แจ้งรู้จริงว่า เป็น“คนจนอย่างมีปัญญาแท้”นี้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีเศรษฐกิจสูงสุดจริงๆ ยิ่งถึงขั้น“สาธารณโภคี”ก็ยิ่งยอดเยี่ยมสุด จึงเป็น“คนจน”ได้สำเร็จตามศาสตร์พระราชา ตามคำตรัสของพระเจ้าอยู่หัว ร.9 ที่จริงยิ่ง
เพราะตรงตาม“ความรู้”และ“ความจริง”อันสูงส่ง ยิ่งใหญ่ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “คนชั้นสูง”นั้น จะมาเป็น“คนมักน้อย(อัปปิจฉะ) มีน้อยๆก็พอ(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) เป็นคนไม่สะสมสมบัติ(อปจยะ)อีกแล้ว เป็นต้น
“คนจน”ที่อยู่ในสังคมที่ดำเนินชีวิตกันถึงขั้น“สาธารณโภคี”นั้น เป็นคนประสบผลสำเร็จของชีวิตแล้ว เพราะเป็นคนมีชีวิตดำเนินไปถึงที่สุดของ“เศรษฐศาสตร์”สูงสุดเท่าที่มนุษย์และสังคมมนุษย์จะพึงมีได้เป็นได้จริงแล้ว ไม่มีขั้นอื่นใดที่จะสูงสุดของ“เศรษฐศาสตร์”ไปมากกว่าขั้น“สาธารณโภคี”นี่แล้ว จึงชื่อว่าเป็นสังคมหรือ“คนชั้นสูง”แท้จริง
ในสังคมคนใดที่มีความเป็น“เศรษฐศาสตร์”สูงสุดถึงขั้น“สาธารณโภคี”ได้ ก็จะต้องเป็นคนที่มี“รัฐศาสตร์”หรือมีชีวิตที่ดำเนินความเป็น“การเมือง”ที่สูงสุดด้วย นั่นคือ สามารถดำเนินแบบสังคมนิยมหรือคอมมูนิสต์ก็สูงสุด เพราะเป็น“คอมมูน”ที่คนในสังคมนี้เสียภาษีให้แก่รัฐ 100 % นั่นเอง หรือแม้จะนับว่าดำเนินแบบประชาธิปไตยก็สูงสุดเสียภาษีให้แก่รัฐ 100 % เช่นเดียวกันนั้นแหละ
และแน่นอนที่สุด ไม่เป็นสังคม“เผด็จการ”แน่ๆ ไม่ว่าเศรษฐศาสตร์ หรือการเมือง ทั้ง 2 แบบ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า คนในสังคมประเทศใดก็ตาม ที่สามารถประพฤติปฏิบัติตนได้ถึงขั้น“สาธารณโภคี” นั้น เป็นการดำเนินชีวิตของคนในสังคมประเทศถึงขั้น“สูงสุด”ได้แล้ว ไม่ว่าจะเรียกด้วยภาษาว่า แบบคอมมูนิสต์ หรือแบบประชาธิปไตย
เพราะคนในสังคม“สาธารณโภคี”นี้มี“ปัญญา”เต็ม ที่เข้าใจ“ความเป็นอยู่ของชีวิต-การดำเนินอยู่ของชีวิต” ที่อยู่อย่าง“แบบคนจน” หรืออยู่อย่าง“ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา”นั้น เป็น“ชีวิต”ที่เจริญจริงๆ เป็น“อาริยชน-อาริยสังคม” ที่สูงสุดแล้วเท่าที่คนและสังคมจะพึงเป็นกันได้ในโลก จึงเรียกว่า“คนชั้นสูง”
“คนชั้นสูง”นี้ ตามภาษาของพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “คนมีวรรณะ” ซึ่งท่านตรัสไว้ว่า มี 9 ประการ
ส่วน“คนชั้นต่ำ”นั้น คือ “คนไม่มีวรรณะ” คือ คนที่ทำตัวเองให้น่าตำหนิ น่าติเตียน น่าว่า ไม่น่าชม ได้แก่ คนเลี้ยงยาก(ทุพภระ) บำรุงยาก(ทุปโปสะ) มักมาก(มหิจฉะ) ไม่สันโดษ ไม่พอเพียง ไม่รู้จักพอ(อสัตุฏฐิ) คลุกคลีหมู่“คนที่ไม่มีวรรณะ” คือ คนชั้นต่ำ หมายถึง ผู้ยังเป็นชาวโลกีย์ที่จัดจ้านอยู่เป็นต้น ผู้ไม่เป็นอยู่ตามคำสอนวรรณะ 9 ของพระศาสดาแห่งพุทธศาสนา(สังคณิกา) หรือเป็นคนเกียจคร้าน(โกสัชชะ)
ฉะนี้คือ “คนชั้นต่ำ” หรือ“คนไม่มีวรรณะ(อวัณณัง) 6 ประการ”ตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทีเดียว
“คนชั้นต่ำ”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนเลี้ยงยากก็ดี -บำรุงยากก็ดี เป็นคนมักมาก(ไม่มักน้อย-ไม่มักมีน้อยดีกว่ามีมาก)ก็ดี ไม่สันโดษ ไม่รู้จักพอ ไม่เพียงพอสักทีก็ดี ที่คลุกคลีอยู่แต่กับคนที่ “ไม่มีวรรณะ(อวัณณัง)” ซึ่งเป็นคนชั้นต่ำก็ดี เป็นคนเกียจคร้านก็ดี ซึ่งเป็นคนที่พระพุทธเจ้าว่าไม่น่าคบหา ไม่น่าคลุกคลีเกี่ยวข้อง(อสังคณิกา)ทั้งสิ้น เพราะเป็นคนที่ไม่เจริญแท้ๆ ยัง“อวิชชา” หรือยัง“โง่”ตามสามัญของคน“โลกีย์”อยู่นั่นเอง
ซึ่ง“คนชั้นต่ำ”นี้ ทำตนให้เป็น“คนเลี้ยงยาก(ทุพภระ)” เพราะเป็นคนเรื่องมาก กินก็ยาก อยู่ก็ยาก มีชีวิตเป็นอยู่อย่างยากๆ จึงจะให้เจริญเป็น“คนชั้นสูง”ได้ยากมาก(ทุปโปสะ) เช่น เป็นคน“มักมาก(มหิจฉะ) คือ จะต้องมีมากๆ จะต้องรวยเงินทอง จะต้องมีข้าวของต่างๆให้มาก จะต้องกอบโกย-แย่งชิง-ถึงขั้นทุจริต ถึงขั้นโหดร้าย ปานนั้นเลย เพราะต้องได้ ต้องมี ต้องยิ่งใหญ่ มากๆๆๆๆๆ โดยหลงว่าการจะเป็นเช่นที่ตน“หลงใหล”นี้มันจึงจะเป็นคน“ชั้นสูง” ซึ่งเป็น“ความหลงผิด” ที่ผิดไปจากสัจจะ คือ มันกลับกันกับสัจจะ คนละขั้วเลยและเป็นคนใจไม่เคย“พอ”(สันโดษ,สันตุฏฐิ) ใจมีแต่จะเอามาๆๆๆๆ เอามาให้ตนมากๆ
เพราะไม่รู้จัก“บัณฑิต”ซึ่งเป็นคนชั้นสูง รู้จักแต่“คนพาล”ซึ่งเป็น“คนชั้นต่ำ” จึงคลุกคลีเกี่ยวข้องอยู่แต่กับ“คนชั้นต่ำ” คือคนที่ไม่มีวรรณะ(อวัณณัง) หมายถึง ผู้ยังไม่เป็นชาวโลกุตระ ยังเป็นชาวโลกีย์ที่ยังจมดักดานอยู่แต่กับ“โลกียภูมิ” ถึงขั้นจัดจ้านไปด้วยการแย่งชิง“โลกียธรรม 8” อันได้แก่ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข-เสื่อมลาภ-เสื่อมยศ-นินทา-ทุกข์ อย่างไม่มีวันจะโงเงยออกมาจาก“โลกียภพ”นั้นได้เลย
เพราะยังเอาแต่คบกับ“คนชั้นต่ำ”หรือพระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า“พาลชน” ซึ่งหมายถึง คนที่ยังอ่อนเยาว์ต่อโลก โดยเฉพาะอ่อนเยาว์หรือโง่ดักดานอยู่แต่กับ“โลกีย์” ไม่รู้จัก“โลกุตระ” ไม่มี“ปัญญา”เห็นว่า“โลกุตระ”เป็นโลกที่ตนควรจะไขว่คว้าเอา ไม่หันทิศชีวิตไปสู่ความเป็น“โลกุตระ” ให้เป็น“อาริยชน”บ้างเลย จึงยังคงงมงาย-งมโข่งอยู่แต่กับกลุ่มหมู่คนโลกีย์(สังสัคคะ)นั้นไปตลอดกาล คลุกคลีเกี่ยวข้องอยู่แต่กับหมู่คนโลกีย์(สังสัคคะ) “คนโลกีย์คือ คนที่เป็นผู้“หลงสวรรค์”(สังสัคคะ) ผู้ยังจะ“ไขว่คว้าคลุกคลีอยู่แต่การจะเอาสวรรค์(สังสัคคะ)” สวรรค์กับนรกเป็นของคนโง่ ใครก็คงไม่อยากได้นรก อยากได้สวรรค์นั่นแหละคือนรกเป็นอย่างเดียวกัน จะไปแย่งสวรรค์ก็คือไปแย่งนรก คนที่ไม่รู้จักสวรรค์นรกหลงงมงายอยู่กับสวรรค์และนรก คนที่ไม่มีสวรรค์และนรกแล้ว จิตใจเป็นกลางอยู่กับความจนก็ได้อยู่กับความรวยก็ได้ สบาย
มันอยู่ที่เรา ถ้าเราเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมีสมรรถนะมีความขยันและไม่หลงกับโลก จะมาแบบน่าได้ น่ามี น่าเป็น หรูหรา ชั้นสูง อย่างนั้นอย่างนี้ แต่เรารู้จักปัจจัยชีวิต ปัจจัยชีวิตเรามีแล้ว สิ่งที่จะมาปรุงแต่งหลอกเราเรารู้ทัน คนอโศกใครจะมาโฆษณาหรือให้เราหลงใหลอะไรก็ไม่ได้กิน
ไม่หันมาคลุกคลีเกี่ยวข้องกับ“หมู่คนโลกุตระ”(อสังสัคคะ)บ้างเลย ซ้ำมิหนำกลับเห็นว่า“หมู่คนโลกุตระ”เป็น“หมู่ชนที่ไม่น่าคลุกคลีเกี่ยวข้อง”เอาเลย ไปโน่น
เนื้อแท้ของ“คนโลกีย์”ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสรู้นี้คือ ไม่ควรคลุกคลีเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง เพราะเป็น“คนชั้นต่ำ” คนผู้“ไม่มีวรรณะ” ที่พระพุทธตรัสเรียกว่า คน“อวัณณัง” เป็นหมู่คนที่ไม่ควรคบ ไม่ควรคลุกคลีเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง [ในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ สอนกัน เรียนกัน อย่างคลุมเครือ ไปเข้าใจสุดโต่งว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้คุลุกคลีเกี่ยวข้องกับ“ชนผู้เป็นหมู่-ชนที่เป็นสังคม” ก็เลยสุดโต่ง ปลีกแยกตนออกไปอยู่แต่ผู้เดียว แล้วหลงผิดว่า “นี่คือ คำสั่งสอนของพระศาสดา ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งพลอยพาให้ทิศทางการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนา ผิดทางไปคนละขั้ว “ขาวเป็นดำ”กันไปเลยทีเดียว] ทั้งๆที่ศาสนาพุทธเป็น“ศาสนาของความเป็นสังคมหมู่กลุ่มที่เจริญ” เป็นศาสนาที่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“คน” และความเป็น“สังคมที่เจริญแท้เป็นอาริยชน-อาริยสังคม”
หมู่ชนใดเป็นหมู่ชน“อาริยะ”ให้คบหมู่ชนนี้ หมู่ชนใดเป็นหมู่ชน“อนาริยะ”ไม่ควรคบหมู่ชนอย่างนั้น นั่นคือ หมู่ชนที่เป็น“อวรรณะ” ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า เป็นหมู่ชน“อวัณณัง 6”นั่นเอง
ส่วนคนที่ควรคบ ควรพบอย่างยิ่ง ควรคลุกคลีเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง คือ คนผู้มี“วรรณะ 9”ชื่อว่าบัณฑิต
แต่ผู้รู้ใน“เถรสมาคม”ท่านแปลคำสอนของพระพุทธเจ้า คำว่า“สังคณิกา” ซึ่งเป็นข้อ 1 ใน 6 ของ“คนชั้นต่ำ”นั้นว่า การคลุกคลีด้วยหมู่ หรือผู้ประกอบแล้วในหมู่ หรือการร่วมหมู่ เท่านั้น และแปลคำว่า“อสังคณิกา” ว่า การไม่คลุกคลีด้วยหมู่ หรือผู้ไม่ประกอบแล้วในหมู่ หรือไม่ร่วมหมู่ ไม่ร่วมกับใครๆ อยู่แต่ผู้เดียว
ความเข้าใจของผู้ศึกษาธรรมะ จึงเข้าใจผิดเลยเถิด ว่า พระพุทธเจ้าให้อยู่แต่ผู้เดียว หรือการปฏิบัติธรรมนั้น ต้องปลีกลี้ หนีไปเดี่ยวออกจากหมู่ ไปอยู่แต่ผู้เดียว ไม่เรียนรู้และไม่ปฏิบัติในขณะมี“การสัมผัสเป็นปัจจัย” เข้าใจผิดตรงนี้ จึงพาลพาให้ออกนอกแนวทางไปกันใหญ่ ดังผลที่เกิดขึ้นในสังคมศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ นิยมพระป่า ถือว่าการปฏิบัติธรรมที่จะไปนิพพาน ต้องออกไปอยู่ป่า ปลีกหนีจากสังคม จากการเกี่ยวข้องกับสังคมหมู่คน หนีไปไกลผู้คน อยู่คนเดียว ทำสมาธิหลับตาสะกดจิต คือ meditation อันเป็นสมาธิแบบสามัญทั่วไป ที่ทุกลัทธิรู้กันและทำกันเป็นสากล พุทธก็รู้ ว่า เป็นสมาธิชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่“สัมมาสมาธิอันเป็นอาริยะ”(อริโย สัมมาสมาธิ)ของพระพุทธเจ้า เพราะของพระพุทธเจ้านั้นคือ Supra concentration มีชีวิตลืมตาสามัญปกติคนธรรมดาๆ เป็นผู้ตื่นรู้(ชาคริยา) เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน(พุทธ) อันแตกต่างจาก meditation คนละขั้วเลย
ยุคนี้ศาสนาพุทธเสื่อมหนักถึงขนาด หลงทางกันจนสุดกู่ กู่ไม่กลับแล้ว น่าสงสารศาสนาพุทธอย่างยิ่ง
ซึ่งที่จริง ก็คือ น่าสงสาร คนผู้สนใจที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเพื่อจะได้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเลยแท้ๆ ที่พากันหลงทาง หลงผิด ไม่มี“ไตรสิกขา” ไม่ได้ปฏิบัติไปตาม“ไตรสิกขา”อย่างเป็นลำดับ เช่น บรรลุ“ศีล 5”เข้ากระแสเป็นโสดาบัน แล้วจึงปฏิบัติ“ศีล 8”และ“ศีล 10” มากสุดก็ไล่เรียงไปตามจุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 และบรรลุ“อธิจิตสิกขา”เป็นสัมมาสมาธิ มี“อธิปัญญา”ตาม“ญาณของโสดาบัน 7 ประการ”เป็นเบื้องต้น จนกระทั่งมี“วิมุตติญาณทัสสนะ”สูงสุดบริบูรณ์ ไปตามลำดับได้จริง.
“คุณสมบัติของความจนอันประเสริฐ(อรหันต์)”
“อรหันต์”นั้นมีสัจธรรมยืนยันความจริงว่า เป็น“คนจน” ที่มี“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจสุดประเสริฐ(อรหันต์)มีคุณค่ายิ่งในโลก”นั้น สังคมคนที่เป็นได้ด้วยตนเองจริง(สันทิฏฐิโก) ชนิดที่มีได้ไม่จำกัดยุคกาล(อกาลิโก) เป็นของสูงที่ควรเอื้อมเอามาให้ตน(โอปนายิโก) เชื้อเชิญให้ใครๆมาพิสูจน์ได้(เอหิปัสสิโก) ซึ่งเข้าถึงบรรลุจริงได้ด้วยตนเองรู้เองเห็นเอง(ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ) และเป็นไปได้อย่างถาวรยั่งยืน(ธุวัง) เที่ยงแท้(นิจจัง) ตลอดกาล(สัสสตัง) ไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่น(อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรหักล้างได้(อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง) อยู่แน่แท้
มิใช่ว่า“เป็นได้”เพียงแต่ละกาละชั่วครั้งชั่วคราว แล้ว
“ความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจที่ประเสริฐยิ่งมีคุณค่าอยู่ในสังคมที่เป็นคุณสมบัติของอรหันต์แล้ว”นี้ก็เปลี่ยนไปเป็น“มีทุกข์”แวบเข้ามาในใจได้อีก แม้นิดแม้น้อย
ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย ความสุขสำราญเบิกบานใจของคนจนผู้เป็นอรหันต์นี้จริงแล้ว จะ“เป็นความจนสุขสำราญเบิกบานใจ”ที่อยู่ในใจ“อรหันต์”ไปตลอดกาละ ไม่มีช่วงใดขาดตอนแม้แต่เศษเสี้ยววินาทีทีเดียว เป็นแล้วเป็นเลย
ไม่กลับไปเป็นอื่นอีก คือ ไม่กลับไปหา“ความไม่มีสุขที่ไม่สำราญเบิกบานใจ”อีกเลย แม้สักแวบเดียว จะมีแต่สุขสำราญเบิกบานใจถ่ายเดียวตลอดกาล จนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปเองด้วยตนเอง. 5 พ.ย. 2560 (1.33 น.)
พยายามเขียนชี้บ่งบอกความจริงพวกนี้ ความรู้สึกพวกนี้ ความเป็นคนอย่างนี้มันเยี่ยมยอดมันวิเศษมันดีมันควรอยากได้อยากมีอยากเป็นอย่างนี้นะ มาได้แล้วคุณก็ไม่ต้องอยากได้ จบความอยากได้ แต่ความอยากได้นี้มีคนเอาไปล้อเป็นปรัชญา เก๊ๆว่า คุณอยากได้ความเป็นนิพพานก็บ้าแล้วก็ไหนว่าไม่มีความอยากไง อยากได้นิพพานมันก็อยากแล้วไงพวกปรัชญาเก๊ๆ เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่า
_มีคำถามว่า...ดิฉันทอเสื่อที่ใช้ปูนอน มีคนบอกว่า ป้าทำขายบ้างสิ ดิฉันเลยบอกเขาว่า ถ้าฉันทำได้เดี๋ยวฉันจะให้ ส่วนใจเดี๋ยวนี้ให้ฟรี จะพอใจกว่าการขาย ถ้าขาย เขาบอกว่าขาย 200-300 บาทก็ได้แต่ไม่ขายจะให้ฟรี ขอถามพ่อท่านว่า อย่างนี้เรียกว่าจนไหม จากลูกที่ยังโง่อยู่ แต่อยากจน
พ่อครูว่า...จนแล้ว ไม่ได้อยากได้เงินทองอะไรมา ให้ไป อาตมาบรรยายธรรมะไปแล้วทำให้คนรู้สึกว่าอยากมาจน เกิดความรู้สึกเท่านี้ อาตมาก็ประสบผลสำเร็จแล้ว มา อยากจนก็มาเลย แล้วจะพาจนให้ได้ เราจนนี่แหละจะได้ช่วยเศรษฐกิจประเทศชาติอย่างสูง ทุกวันนี้ชาวโลกทั้งโลกเลย หลงความรวย แล้วมีความมุ่งมั่นมุ่งมากที่จะไปรวยมันเป็นความเข้าใจผิดมันเป็นความหลงทางอย่าง มหามหันต์เลย
คนที่ตั้งหลักได้แล้วคิดได้ว่า คิดอยากจะไปรวยนั้นมันเก่าคร่ำคร่า เขามาคิดใหม่แล้วว่ามาจนนี่มันสุดยอดเลย ใหม่ไม่มีเก่าเลยด้วยมาจนนี่ ไม่ว่ายุคไหน ในยุคของพระพุทธเจ้า 2600 กว่าปี ออกจากบัลลังก์ไปจน พาคนมาบวชก็จน พาคนจน มาถึงทุกวันนี้ก็ยังมาใหม่เอี่ยมอยู่เลยพาคนมาจน ไม่มีเก่าเลย ไม่มีวันขึ้นสนิมเลยยิ่งกว่าทองคำ ทองคำไม่มีขึ้นสนิมเลย แต่ทองคำของเจดีย์ชาวอโศกที่พระวิหารพันปีมีขึ้นสนิม บอกประกาศให้โลกรู้ด้วยว่ามันเป็นอย่างนี้แหละท่านผู้ชม ทองคำมันขึ้นสนิมไม่ได้ แต่เอาไปหุ้มเจดีย์ที่สันติอโศก ทุกวันนี้ดำปี๋เลย แต่เรารู้เหตุ เหตุเพราะอะไร ทองคำมันไม่ขึ้นสนิมหรอก แต่ที่ดำมันก็ดำ เพราะนิกเกิล ตอนเราหุ้มทองคำ เราซื้อเครื่องมือฉีดทองคำ เพราะเอานิกเกิลหุ้มทองเหลืองก่อนที่จะเอาทองคำพ่นลงไป เมื่อเราพ่นเสร็จแล้วมีคนหวังดีเอาน้ำยาอย่างดีมาขัด น้ำยาอย่างดีก็เลยกัด เราหุ้ม Gold Master ไม่ใช่ทองคำเปลว ที่ตีให้แน่น แต่นี่มันพ่น มีร่องมีรูเราพ่น เป็น Gold Master น้ำยาก็เลยเข้าไปทำปฏิกิริยากับนิกเกิลได้ใช้เป็นสนิมหุ้มทองคำ ทองคำเราเลยดำเพราะสนิมนิกเกิลมันทำปฏิกิริยากันเป็นสนิมออกมาดำออกมาหุ้มทองคำ
ขอย้ำอีกที อยากให้ดร.สมคิดฟัง คนที่มาเป็นคนจนไม่ต้องแย่งทรัพย์ศฤงคารกับใครขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสิ่งที่เป็นปัจจัยของชีวิต สังคม อย่าสร้างสิ่งที่เป็นพิษหรือมอมเมาในสังคม เราไม่สร้าง เดี๋ยวนี้เขาสร้างของที่เป็นพิษของที่มอมเมาเยอะแต่เขาไม่เข้าใจ
คนที่เข้าใจแล้วที่มาเป็นคนจน ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรให้แก่สังคมอย่างที่พวกเราทำ เป็นพวกที่ไม่ทำลายเศรษฐกิจ เป็นคนที่มีปัญญา เข้าใจสร้างสรรสิ่งที่อุดมสมบูรณ์ให้เพียงพอแล้วกระจาย ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจขายสดงดเชื่อเบื่อทวงปวดท้อง
หรือขายด้วยระบบบุญนิยม ขายในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุน แจกฟรี เป็นหลักการค้าของชาวอโศก อาตมากล้าพูดว่าพาพวกเราทำสำเร็จแม้จะได้ส่วนหนึ่ง จะได้เป็นความเที่ยงแท้ถาวรเป็นอย่างนี้ไปตลอดตาย
คนจนก็เป็นคนที่ยึดพื้นที่มีพฤติกรรม ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อสังคม
อาตมาว่าอาตมาทำงานกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศชาติได้อย่างถาวรในคนจำนวนหนึ่งแล้ว เป็นคนที่มีเศรษฐกิจชั้น 1 ได้แล้ว
เศรษฐกิจสาธารณโภคีคือเศรษฐกิจชั้น 1 ของโลก คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยก็สู้ไม่ได้ เผด็จการก็สู้ไม่ได้
_การปฏิบัติธรรมตามลำดับเป็นเรื่องอัศจรรย์เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ต้องทำสัมประสิทธิ์ให้แก่ตัวเองจะต้องทำอย่างไรให้ได้ในขั้นตอนแรก
พ่อครูว่า...อาตมาจะลำดับการปฏิบัติธรรมตามพระสูตรของพระพุทธเจ้าไว้ 3 หมวด
ลำดับ“วิชชา”ของพุทธ (ชุด 1)
1. อวิชชาสูตร
2. สุริยเปยยาลสูตร
3. ปฏิจจสมุปบาท
4. บารมี 10 ทัศ
5. มูลสูตร 10
6. สัมมาทิฏฐิ 10
7. ไตรสิกขา
8. จรณะ 15 (สำคัญที่ อปัณณกปฏิปทา) วิชชา 8
9. กาย 3 (จิต-มโน-วิญญาณ)
10.นาม 5 (เวทนา,สัญญา,เจตนา,ผัสสะ,มนสิการ)
11. รูป 28 (มหาภูต 4 อุปาทายรูป 24)
12. ทานสูตร และ กิมัตถิยสูตร(ศีลมีผลมีอานิสงส์)
13. ใจเป็นประธานสิ่งทั้งปวง
14. ทำสัจจะ 2 คือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เป็น 1
15. ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1
16. สัจจะแท้มี 1 เท่านั้น(สัจจะในโลกไม่มีอะไรจริง-มี‘ธรรม’เท่านั้น คืออัตตา)
17. ผู้ไม่กำจัดอัตตาก็มีอัตตา
18. ผู้ไม่ปล่อยวางโลกก็มีโลก
19. ปัจจัยที่เกิดสัมมาทิฏฐิ 2
20. ถูกกล่าวหา 2 [เมื่อไม่หวั่นไหว(อกุปปะ)ก็สงบปกติ-ความจริง(สัจจะ)ก็คงอยู่]
21. ปรโตโฆสะ(รับฟังจากสัตบุรุษเท่านั้น)
22. โยนิโสมนสิการ(จึงจะทำใจในใจเป็น-ถ้าไม่รับฟังจากสัตบุรุษ ก็ทำใจในใจไม่เป็น)
23. โลก มี 3 (กามโลก,รูปโลก,อรูปโลก)
24. อัตตา มี 3 (โอฬาริกอัตตา,มโนมยอัตตา,อรูปอัตตา)[สิ้นโลก-มีอัตตา]
25. อนุสัย ของปุถุชน“ยังอวิชชา(โง่=วนอยู่ในโลกียะไม่เลิก)”
26. อนุสัยของอาริยชน“มีปัญญา(รู้แจ้งดับวนสุดได้)”
27. อาหารเป็น 1 ในโลก (สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร หมดอาหาร ดับสิ้น อยู่ไม่ได้)
28. ความมี-ไม่มี
29. ดับ“เวทนา”ยังมี“สัญญา” ดับ“สัญญาหมด”ดับสิ้นทั้งปวง
30. ดับ“อายตนะ 2” คือ 2 สัญญาสุดท้าย
31. อัตตา คือ สย(สิ่งอาสัย) ก็มี..อาสัย,นิสัย,วิสัย,อนุสัย
32. ดับสิ้น“อนุสัย” ทุกอย่างก็ดับหมดสิ้นเกลี้ยง
33. อนุสัย ของโลกียะ ไม่มีจบสิ้น
34. อนุสัยของโลกุตระ ผู้ดับถึงขั้น“สิ้นอวิชชานุสัย”ได้คือผู้ดับสุดสูงสุด
35. อายตนะ 2 สุดท้ายคือ เนวสัญญานาสัญญยตนะ(กำหนดรู้หมดสิ้น ไม่ว่าสัญญาใดๆอื่นๆ) และ..
36. สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ กำหนดรู้แจ้งอารมณ์ว่า กิเลสดับสนิทหมดสิ้นเด็ดขาดแล้ว
ผู้มี“วิชชา”ดับสิ้น“อาสวะ”ได้ ไม่มีการเวียนกลับไปเกิด“โลกียธาตุ”อีกเด็ดขาดนับผู้นี้ว่าเป็นอรหันต์ 100 % ได้แล้ว(อรหันต์คือ ผู้ไม่ลึกลับแล้วในโลกและอัตตา) คือมี“ปัญญาวิมุติ” จึงช่วยโลกขั้นไหนก็ไม่ตกต่ำอีกแล้วเป็นธรรมดา แต่ยังเหลือ“อนุสัย”อยู่ในสุทธาวาส 5 [หรือโลก 33 คือโลกดาวดึงส์(มีอาการที่ 33 ได้อย่างวิเศษ) อันมีสติเป็นอำนาจใหญ่(อธิปไตย)และปัญญาเป็นตัวรู้ยิ่งอยู่เหนือโลกเหนืออัตตา(อุตตระ)อย่างสัมบูรณ์ ]
ส่วน“อรหันต์”ที่มี“อุภโตภาควิมุติ” ก็ยิ่งเป็นอรหันต์กว่า 100 % เพราะมี“อุภโตภาควิมุติ” คือ มี“วิมุติ”ได้หมดสิ้นครบทั้ง“เจโตวิมุติ”กับทั้ง“ปัญญาวิมุติ” (อุภโตภาค = ทั้ง 2 ส่วนคือ เจโตกับ ปัญญา)
หากเป็นผู้ยังไม่“ดับสูญสิ้นเป็น“ปริโยสาน” ก็จะยังโปรดสัตว์โลกอยู่ ช่วยอนุเคราะห์สัตว์โลกได้อยู่
ส่วนผู้มี“วิชชา”สูงไปถึงขั้นดับสิ้น“อนุสัย”ได้ ยิ่งไม่มีการเวียนกลับไปเกิดมี“โลกียธาตุ”อีกเด็ดขาดยิ่งกว่าผู้แค่“สิ้นดับอาสวะ” แต่จะสูญสนิทตัวตนของตนไปนั้นยังไม่สัมบูรณ์ จึงยังไม่หมดสิ้น“ภพสุทธาวาส”
ผู้ติด“ภพสุทธาวาส 5”จะหลงติดอยู่นานยิ่งกว่านานกันทีเดียว เพราะมันไม่มีอนูแห่งทุกข์ใดๆทั้งนั้น
จนกว่าท่านผู้หลงติดสุทธาวาสจะเลิกติดและกลับมาสู่“โลกสันนิวาส”จึงจะ“ดับสิ้นสนิทได้ในโลกนี้”(อยังโลโก)
ผู้มี“วิชชา”ดับสิ้น“อนุสัย”สุดท้ายเป็น“ปรินิพพานขั้นปริโยสาน”จึงจะ“อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ”สุดๆ นั่นคือ ไม่เหลือ“ธาตุ”ใดๆอีกแล้ว แม้แต่“นิพพานธาตุ”ก็ไม่เหลือให้เรียกขาน“ชื่อหรือนาม”ได้แล้ว(สิ้นอธิวจนะสัมผัสโส) ยิ่ง“สภาวะ”ก็ยิ่งไม่มีให้สัมผัสได้ด้วยทวารใดๆอีกเลย(สิ้นปฏิฆสัมผัสโส)แม้แต่ในภายในจิต-ในมโน.
จบสนิทแล้ว เท่าที่“ภูมิมี” ผู้รู้มากกว่านี้กรุณา ช่วยต่อภูมิให้อาตมาด้วยเทอญ.
จึงเป็นที่สิ้นสุดแห่งที่สุด ไม่มีอะไรเลยจะเปรียบกับอะไรได้อีกแล้ว “นัตถิ อุปมา”บริบูรณ์-สัมบูรณ์.
_แค่อยากจะบอกพ่อครูว่า เมื่อมาเจอพ่อครูก็อยากจนทันที จะพยายามมาพบเจอหน้าพ่อครูบ่อยๆ คือการมาค่ายสัมมาอาริยมรรค
สมณะฟ้าไทว่า...ความแข็งแรงของจิตวิญญาณคือ รูป นาม 5 ที่แข็งแรง
คนอยากรวยนี้พาทุกข์ คนจนที่สุดได้เป็นพระอรหันต์
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:57:32 )
รายละเอียด
601127_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ แบบคนจนตามลำดับวิชชาของพุทธ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ที่ราชธานีอโศก เป็นวันบวรของชาวบ้านราชฯ ในสังคมมีคดีของครูจอมทรัพย์ ที่แต่เดิมเขาดูเหมือนเป็นคนถูกตัดสินผิดต้องจำคุก ดูน่าสงสาร มีคนมาบริจาคเงินให้เขามาก แต่ต่อมามีการสอบสวนพบความจริงว่า ครูจอมทรัพย์เป็นครูแกะไม่ใช่ครูแพะ ตอนนี้ครูจอมทรัพย์ต้องไปติดคุกรอบที่ 2 ทางเรือนจำต้องประกบตัวไว้เลย เกรงว่าครูจอมทรัพย์จะฆ่าตัวตาย ตอนนี้ก็ติดคุกครั้งที่ 2 ทั้งที่พ้นคดีมาแล้ว ทั้งที่ไม่น่าจะต้องไปทำอย่างนั้นเลย เล่าเรื่องนี้ ให้พวกเราได้เห็นถึงกระแสโลกธรรม
การขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นเรื่องเสียเวลาชีวิตมากเลย พวกเราก็เคยผ่านมาแล้ว ขนาดพวกเรายังไม่ได้ติดคุกนะ คนจีนเขาบอกว่าใครมีเรื่องมีคดีไปกินขี้ดีกว่า มันเป็นเรื่องไม่ได้อะไร การที่เขาไปติดคุกมันก็น่าจะเข็ดหลาบ ไม่ควรทำผิดอีก แต่เขาก็กล้าที่จะทำอีก ตอนนี้จะโดนหนัก โดนคดีหลอกลวงประชาชนให้การเท็จอีก แต่ก่อนสังคมสงสาร ตอนนี้สังคมไม่สงสาร เล่าเรื่องนี้ก็ให้เห็นว่าไม่มีอย่างอื่น การที่เขาต้องโกหก ก็เพราะว่าเขาต้องการการยอมรับ ได้โลกธรรม ให้สังคมเห็นใจอีกครั้ง ก็เลยกล้าโกหก ยุคนี้เป็นยุคที่น่ากลัว ความอยากได้โลกธรรม อยากได้รับการสรรเสริญยอมรับก็เลยกล้าทำชั่ว ทั้งที่ไม่น่าจะทำได้ ตอนนี้ทางตำรวจขอจัดสอบสวนเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมคนไหนที่มีส่วนร่วมด้วย
อาตมาฟังรองปลัดที่เป็นคนเดินเรื่อง เขาก็ให้สัมภาษณ์ว่า พยานปากเอก นายสัป วาปี เอาไปเข้าเครื่องจับเท็จ เขาก็รู้ว่าเครื่องจับเท็จมันก็บอกว่าไม่จริง เขาก็บอกว่ารู้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเท็จ เขาก็ว่ารู้ว่าเท็จ เป็นเรื่องหนึ่ง การให้ความช่วยเหลือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นคำพูดที่สับสน เจ้าหน้าที่ที่รักษาความยุติธรรมกลับไปให้ความช่วยเหลือ เป็นเพราะอะไร ไม่คิดว่าเขาจะได้เงินได้ทอง แต่กระแสโลกธรรมที่เขาเป็นคนดัง ใครๆก็เชียร์ ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมไปกับกระแสโลกธรรม แทนที่จะยืนหยัดในความถูกต้อง สุดท้ายไม่สามารถพิทักษ์ความยุติธรรมได้ โอนเอนเอียงเอนไปตามกระแสที่มีขึ้นในตอนนั้น มาเล่าให้พวกเราฟัง ให้เห็นอันตรายของโลกธรรม
ชาวอโศกอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ อาจารย์ ส. ศิวรักษ์บอกว่า ถ้าอยากจะให้ชาวอโศกเติบโตก็ให้คำตำหนิ แต่ถ้าอยากให้ชาวอโศกพังก็ชมเข้าไป เราอยู่กันมา 30 40 ปี รู้สึกว่าได้รับคำชมน้อยก็เลยอยู่รอดปลอดภัย ไม่รู้ว่าวันไหนชาวอโศกได้รับคำชม อาตมาก็คิดว่าไม่รู้ว่าจะเป็นเหมือนครูจอมทรัพย์หรือไม่ ติดลมบนแล้ว จะไม่กล้ายอมรับความจริงไม่ยอมรับความบกพร่องเป็นเรื่องที่น่ากลัวของเรา แต่ก็คงสักวัน คิดว่าเรายืนหยัดยืนยันทำดีไปสังคมก็จะยอมรับ แต่ถ้าวันนี้เราไม่มีสาระแก่นสาร ทำงานจนไม่มีเวลาฟังธรรม ถึงวันนั้นก็น่าห่วง เราต้องมาเรียนรู้ ที่พ่อครูได้พาพวกเราปฏิบัติ ให้มีภูมิต้านทาน เมื่อถึงวันนั้นเราจะไม่ได้เป๋ไปเป๋มาเหมือนคนในสังคม
พ่อครูว่า..เจริญธรรมทุกคน หายใจเข้ายาวๆแล้วก็ตั้งใจสดับตรับฟังธรรมะ คนที่มีโอกาสได้มานั่งสดับตรับฟังธรรมะนี่ เป็นคนที่มีกุศล มีโชคดีที่ได้มา เวลาก็เคลื่อนไป ทุกคนก็อยู่กับเวลา แต่เจ้าตัวเอาตัวเองไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ไปเต้นไปดีด ไปสนุกสนาน ไปทำดีทำชั่วตรงไหนก็ไม่รู้ สรุปก็คือ ไม่ได้มานั่งต่อหน้าผู้ที่จะแสดงธรรมให้ฟัง ไม่ได้มาเป็นอย่างนั้น
ชีวิตชาวอโศกเรานี่ มีเวลาให้ฟังธรรมะทุกวัน นอกจากมีเวลาฟังธรรมทุกวันแล้ว สื่อสารเราก็มีโทรทัศน์ ถ่ายทอดรีรันบทธรรมะอะไรต่ออะไรอีกตลอดวัน แต่สดๆก็มีอย่างนี้แหละ อย่างน้อยก็ 6 โมงเย็น เราก็จะได้มีโอกาสมานั่งฟังธรรม นึกถึงคนข้างนอก คนที่มีชีวิตอยู่ข้างนอก อย่างอาตมาตอนที่มีชีวิตทำงานเลี้ยงชีพอยู่ข้างนอก ตั้งแต่หนุ่มๆอายุ 36 ปี ไม่มีโอกาสอย่างนี้หรอก ไม่มีโอกาสในการนั่งฟังธรรม ไม่มีเลยสักครั้งเดียวมั๊ง ไม่น้อยนะไม่รู้กี่วัน 36 ปีที่มีชีวิตอยู่ทั้งโลก คนอื่นๆก็ไม่เห็นเขาไปแสวงหา ก็มีคนที่ได้ยินได้เห็นเขาไป เขาไปฟังเทศน์ไปวัด ไปทำทาน อาตมาก็บอกได้เลยว่า ชีวิตนี้ไม่ได้ไปทำบุญทำทานวัดวาไหนเลย มีชีวิตเป็นฆราวาสไม่สนใจศาสนา จนกระทั่งปลายๆอายุ 36 สนใจปฏิบัติธรรมก็มองเข้าไปวัดวาก็แวะเข้าไป ไปดูว่าเขาทำกันอย่างไร ก็มีการเทศน์ อย่างที่เราเห็นกัน และก็มีสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่ วัดไหนๆก็สวดมนต์ อีกอย่างหนึ่งก็คือพานั่งสมาธิหลับตา นั่นแหละหนัก เขาว่าวัดนี้วัดที่พาปฏิบัติเดินจงกรมนั่งหลับตา นี่คือปฏิบัติ นอกนั้นก็ฟังเทศน์
มีการบรรยายบ้าง การเทศนาที่เป็นบรรยายไม่ใช่เทศนาไป ตามแบบที่เขาเทศน์กัน ตามพิธี การเทศนาที่จะมาเจาะให้ผู้ฟังได้รู้ธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ธรรมะที่เป็นการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาแล้วก็จะเกิดวิมุต วิมุตติญาณทัสสนะอย่างนี้ไม่เห็น
อาตมามาบรรยายธรรมะนี่ก็จะ 40 ปีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าใครเขาจะบรรยายธรรมะอย่างที่อาตมาบรรยาย บรรยายออกโทรทัศน์บรรยายในวัดป่าใดๆ อาตมาไม่เคยเข้าไปฟังธรรมะวัดอื่นเท่าไหร่ เคยได้ยินบ้างก็ไม่เหมือนอาตมาอธิบาย เขาบรรยายธรรมะของเขาอย่างไร
สมณะเดินดินว่า...ผมเคยฟังญาติธรรมว่า เมื่อพระเทศน์ก็นอนหลับไปสักตื่นนึง ก็นอนหลับไปตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนเดิม ไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงไม่เกิดข้อคิดอะไรขึ้นมา
พ่อครูว่า...บรรยายแบบโลกีย์คือ นี่ชั่วนี่ดีนะ ชั่วอย่าทำ ก็มีนัยอย่างชี้ดีชี้ชั่ว แต่ไม่ชี้ว่า นี่กิเลส
เช่น ปฏิบัติศีล ...ก่อนจะบรรยาย ศีลสมาธิปัญญา ก็อ่าน sms ก่อน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูผู้หมดบุญหมดบาป
SMS 25 พ.ย.60
0816963xxx กราบเรียนพ่อครูที่เคารพยิ่ง วิเคราะห์มณี ศรียงค์ ตอนแรกผมรู้สึกทึ่งที่มีนักรบนิรนามที่ไม่เคยมีผลงานใดๆมาก่อนมารำทวนท้ายอดขุนศึกแห่งกองทัพธรรมโลกโลกุตระ พอเห็นฝีมือซึ่งมีไม่เท่าไหร่แต่ไฉนบังอาจนัก
พอค้นหาดูผลงานในโลกออนไลน์ ก็พบว่า
1.นิรนามในโลกออนไลน์จริงๆ(มีเพื่อนเฟสบุคน้อยมาก เหมือนเปิดเฟสขึ้นมาเฉพาะกิจเพื่อภารกิจก่อกวนจริงๆ)
2.วิเคราะห์ความคิดทางการเมือง ไม่มีข้อความใดๆที่แสดงว่ามีความคิดและแนวทางการเมืองที่เด่นชัดแต่พอเห็นบ้างว่าไม่ชอบทหาร แสดงความนิยมชมชอบตัวอดีตผู้นำ ณแดนไกลว่าเป็นคนโกงที่คนส่วนใหญ่รัก แต่ถูกแก๊งค์คนดีลวงโลกใส่ร้าย และได้แสดงความเห็นใจน้องสาวอดีตผู้นำว่าจำเป็นต้องหนีคดี
3.ชอบโชว์รูปถ่ายอวดความสวยเซ็กซี่ ณ สถานที่ต่างๆ ผิดวิสัยผู้มีภูมิรู้ทางพุทธธรรมระดับปรมาจารย์ที่กล้ามาตีฝีปากกับพ่อครู
4.ดูโดยรวมแล้ว ผมว่าเขาเป็นแค่นักรบรับจ้างในสงครามออนไลน์เพื่อเข้ามาก่อกวนเท่านั้น อาจเป็นลูกจ้างคนพเนจร ณ แดนไกล
5.ดูรูป/ดูพฤติกรรมการแสดงออก ผมว่าเขาเหมือนเป็นหญิงเทียม แต่จะให้ชัวร์ถ้าได้ฟังเสียงด้วย รู้แน่นอนว่าเป็นหญิงแท้หรือเทียม .....ขอบพระคุณพ่อครูที่แสดงออกในเรื่องนี้อย่างสุขุมคัมภีรภาพ ไม่มีอารมณ์แม้เล็กน้อย ผมเห็นความเมตตาของพ่อครูต่อเขาชัดมากครับ ขอยึดไว้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติเมื่อเผชิญปัญหา
ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยใจจริง จากศิษย์นอกวัดครับ
พ่อครูว่า...อาตมาตั้งแต่ตัดสินใจชีวิตออกมาทางนี้ ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะหันกลับหรือว่าที่จะวอบแวบอะไรว่าเราจะต้องไปเป็นฆราวาสหรืออยู่กับโลกเขา ไม่เคย มาแล้วก็มาเลย มาแล้วตั้งแต่เริ่มตัดสินใจมา มาจนกระทั่งป่านนี้ อาตมาว่าถ้าจะเป็นการเดินทางไปในเส้นทางนี้ อาตมาว่าโอ้โห ไม่ได้หันหลัง นาคาวโลก
หันหลัง นาคาวโลกคือเหลียวหลังกลับไปดูทางเก่า คือนาค นาคา งูเหลียวหัวกลับไป
ได้เดินมาทางนี้เพื่อประกาศพุทธธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทุกวันนี้เขาปู้ยี่ปู้ยำเละแล้ว จึงพยายามพูดมาก ว่าอย่างนั้นมันผิดมันบาปมันชั่ว ว่าเพื่อให้เข้าใจให้รู้สึกตัว ไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดได้ชังเลย ไม่รู้จะไปโกรธไปเกลียดไปชังอย่างไรเพื่ออะไร อาตมาว่า อาตมาไม่มีความโกรธความเกลียดความชังที่ใจ มีแต่ความสงสารเมตตาเป็นหลัก อาตมาว่ามีจิตเช่นนี้ ตั้งแต่รู้จักธรรมะ แล้วตนเองบรรลุธรรม จิตใจก็ไม่มีอะไรเป็นโลกียะเลย
อาตมาอ่านจิตตัวเองเป็น ปฏิบัติธรรมก็อ่านจิตตัวเองเป็น รู้อาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทศ ตามอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า ตรวจสอบได้ชัดเจนว่าตัวเราเองตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ ยิ่งหอบพระไตรปิฎกมาอ่านมาตรวจสอบ ก็ยิ่งชัดเจน ยิ่งชัดเจน ยิ่งมั่นใจ ยิ่งแน่นอน
ยิ่งแน่นอนว่าเรานี่ถูกต้องๆ ก็ยิ่งเห็นความผิดของผู้ที่เขาพาออกนอกทาง พาผิดยิ่งละเอียดๆๆ ขึ้น ซึ่งความละเอียดนี้จะหมุนรอบเชิงซ้อน ที่คนเข้าใจได้ยาก ปฏินิสสัคคะ ปฏินิสสรณะ ปฏิแปลว่าย้อนกลับทวนกลับ เป็นเรื่องที่ยิ่งน่าเห็นใจว่าเขาจะรู้ต้นปลายได้อย่างไร มันสลับซับซ้อน
ต้นปลายคือต้นที่ถูกที่ผิด สลับไปมา จนไม่รู้ว่าต้นปลายรอบไหนคือถูกคือผิด อาตมาว่าเขาไม่รู้นะ เขาคลำไม่ถึงหรอกว่าอันนี้ถูกอันนี้ผิด มันสลับซับซ้อนผิดถูกถูกผิด จนเขาไม่รู้เลยว่าอันไหนผิดหรือถูกกันแน่
เช่นคำว่า บาปกับบุญ มันชัดมากจนอาตมายืนยันว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีคนเข้าใจคำว่าบุญอีก เข้าใจผิดกันทั้งนั้น เขาเข้าใจบุญนี่คือกุศล ซึ่งบุญไม่ใช่กุศลเลย บุญเป็นโลกุตระ 100% อย่างเดียว ถ่ายเดียว ไม่มีโลกียะเลย
ส่วนกุศลนั้น ไม่เป็นโลกุตระ กุศลเป็นโลกียะและมีอกุศลอยู่ในตัว
บุญนี่จะบอกว่าเป็นโลกุตระก็เป็นอย่างที่ว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรที่บอกได้ว่าบุญนี้คือโลกียะในเศษเสี้ยวใดๆเลย คือพลังงานหนึ่ง คือพลังงานชนิดหนึ่งเกิดในปัจจุบันเท่านั้น พลังงานที่คนสามารถสร้างขึ้นในจิตตัวเอง สร้างขึ้นในปัจจุบันที่มีเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยบุญไม่เกิด บุญจะเกิดเมื่อมีผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ผัสสะภายนอก ผัสสะภายในไม่ได้เพราะว่าบุญเป็นปัจจุบัน
บุญอยู่กับโลกียะ แต่ตัวบุญเป็นโลกุตระ ถ้าไม่มีโลกียะ บุญทำหน้าที่ไม่ได้
บุญมีหน้าที่หั่นฆ่าโลกียะหมดเลย เจอโลกียะที่ไหนฆ่าหมดเลย ฆ่าแล้วก็สูญจบ คนต้องสร้างพลังงานจิตตัวเองให้เป็นพลังงานที่เรียกได้ว่าบุญ แล้วจัดการปัจจุบันใดที่เห็นเป็นโลกียะในตน ตั้งแต่หยาบระดับอบายมุข หมดอบายเหลือกามภพก็ฆ่าต่อ จากกามภพหมด สัมผัสภายนอกเหลือเชื้อเป็น รูปภพภายใน แต่ต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย แต่ยังเกิดเชื้อเหลือโลกีย์เป็นรูปภพ ฆ่ารูปภพก็เหลืออรูปภพก็สัมผัสภายนอก ฆ่าอรูปภพอีกหมดเกลี้ยงเลยโลกียะ กามภพ รูปภพ อรูปภพหมดเลยบุญก็หมดไป ปุญญปาปปริกขีโณ สิ้นบุญสิ้นบาป ไม่มีบุญไม่มีบาป จบ
ความรู้อันนี้ไม่มีแล้วในวงการศาสนาพุทธ อาตมาว่าทั้งโลก ไม่มีความรู้ที่อาตมาพูดนี้กันแล้ว เป็นความรู้ศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลกที่มีอันนี้
คือมีเรื่องของบุญ
บุญเป็นคำเฉพาะของศาสนาพุทธเท่านั้น เป็นของศาสนาพุทธ ตราออกมา
เมื่อบุญหรือว่าเครื่องมือในการกำจัดกิเลส กุศลกำจัดกิเลสไม่ได้ มีแต่บุญกำจัดกิเลสหมด บาปก็หมดเกลี้ยงด้วย
พระอรหันต์ที่หมดบุญหมดบาปยังเหลือชีวิตเหลือกรรม กายกรรม วจีกรรมมโนกรรม ทุกกรรมของพระอรหันต์ ถ้ามีอาการขึ้นมาก็มีแต่กุศล เพราะเป็นพระอรหันต์แล้วไม่มีบุญแล้ว
อาการที่เกิดอยู่เป็นกายวาจาใจของพระอรหันต์ ไม่มีบุญเกิดแล้ว หมดบุญหมดบาปแล้ว เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป มีแต่กุศลอย่างเดียว สัพพะปาปัสสะ อกรณัง จะมีกรณีใด กรรมใด มีอาการใดกระทำขึ้นมา กายวาจาใจไม่มีบาปทั้งหมดแล้ว ปุญญปาปปริกขีโณ
อาการกายวาจาใจกระดิกขึ้นมา เป็นอาการทางกายวาจาใจเป็นกุศลทั้งสิ้น ซึ่งลึกซึ้งอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในโอวาทปาติโมกข์ที่ว่า
สัพพะปาปัสส อกรณัง กุสลสูปสัมปทา
กุสลสูปสัมปทาท่านไม่ได้บอกว่า กุสละกรณัง นะ
อย่างคำว่า อันต้นที่คำว่า บาป อกรณังไม่ทำ
อันที่สองทำแต่กุศล ทำไมท่านไม่บอกว่า กรณัง บาปอกรณะ แต่กุศลทำไมไม่บอกกรณะ เป็นนัยที่ลึกซึ้งมากเลย ถ้าไม่เข้าใจที่ไปที่มาของภาษาที่ชัดเจนลึกซึ้ง เข้าใจแม้แต่บาปกับอกุศล หรือบุญกับกุศล มันคนละเรื่องเลย
บุญกับบาปคู่กัน กุศลกับอกุศลเป็นคู่กัน
บาปคืออาการของกิเลสเกิด กิเลสเกิดเมื่อไหร่ก็คือบาป
ส่วนกุศลและอกุศลนั้นเป็นเรื่องของกรรม เป็นเรื่องการกระทำ แต่ว่าการกระทำนั้นเป็นโลกียะ กระทำและมีสภาพปรากฏ สั่งสมเป็นกัมมัสกะ กรรมเป็นของของตน ทุกกรรมเป็นกุศลอกุศลทั้งสิ้น
แต่บาป บุญไม่ได้เป็น กัมมัสกะ ไม่ได้มีกรรมเป็นของๆตน แต่เป็นอาการของพลังงานทุกปัจจุบัน บุญก็ดีบาปก็ดี บุญกับบาปคู่กัน ถ้าทำไม่ดีไม่สำเร็จก็เรียกบาป ถ้าทำสำเร็จก็เรียกว่าบุญ ทำสำเร็จคือกำจัดกิเลสได้ ก็เรียกว่าบุญ ถ้ากำจัดไม่ได้ก็เรียกว่าบาป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่อาตมาพูดไป คงมีคนเข้าใจไม่เข้าใจกันเยอะ
_เด็กๆเสนอให้มีจุดเล่นกีฬา ไม่ใช่กีฬาที่แข่งขันนะ
พ่อครูว่า...อาตมาขอต๊ะไว้ก่อน ตอนนี้กำลังพูดเรื่องธรรมะกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พ่อครูหมดบุญหมดบาปแล้วหรือไม่
_หนูอยากทราบว่า หลวงปู่หมดบุญหมดบาปหรือยัง
พ่อครูว่า...ดูคนนี้ตั้งคำถามเข้าเป้า ผู้ใหญ่บางคนจะรู้เรื่องอย่างนี้ไหมเนี่ย พระโพธิราช ท่านก็พูดว่า ท่านเป็นผู้หมดบุญหมดบาปแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าท่านเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว ตอนท่านเองกล่าวถึงอดีต ที่เป็นโชติปาลมานพ มีคำนี้อยู่ คำว่าสิ้นบุญสิ้นบาป หลวงปู่หมดแล้ว เป็นผู้หมดบุญหมดบาปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจว่าผู้หมดบุญหมดบาปคือคนในระดับไหน มันก็เป็นการบอกแจ้ง ในอุตริมนุสธรรมที่เรามีเราเป็นแท้ๆ
คนทุกวันนี้กลัวมากที่จะบอกอุตริมนุสธรรมแก่ใคร กลัวมาก กลัวจนทำให้ธรรมะพระพุทธเจ้าผิดเพี้ยนไป จนกลายเป็นว่า คนบรรลุธรรมไม่ควรจะบอกใคร บอกแล้วจะเป็นบาป ตามพระไตรปิฎกเล่ม 9 ในโลหิจจสูตร
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
จะเห็นได้ว่า ผู้บรรลุธรรมควรจะบอกผู้อื่น ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าศาสนามีมรรคผลหรือไม่ เพราะฉะนั้น ผ่านมาเกือบ 2600 ปีแล้ว จนป่านนี้ ก็เข้าใจอย่างนี้มาถึงวันนี้มันก็เลยมาไกลมากจนกระทั่งว่าบอกใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อบอกใครไม่ได้และก็ไม่มีใครบอกใครมา นานถึงหลายพันปีมาถึงป่านนี้ แล้วมันจะนึกออกหรือไม่ว่าคนบรรลุธรรมเป็นอย่างไร เพราะไม่บอกกันเลยว่าใครบรรลุธรรม และให้เดาเอาเองว่า คนไหนบรรลุ ต้องรู้เองดูเอง เอ๊องค์นี้อรหันต์นะ องค์นี้อนาคามี ต่างคนต่างเดา ศาสนาจึงฉิบหาย
สมณะเดินดินว่า..ผู้บรรลุธรรมแล้วไม่บอกใคร เหมือนเจ้าของแคว้นที่มีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ไม่แบ่งใครเลย ในโลหิจสูตรนี่แหละ
พ่อครูว่า...ยิ่งพูดอย่างนี้ทำให้เป็นการทำลายศาสนาพุทธ ให้เป็นศาสนาที่ เดาคลำ มืดมัว ดำปี๋ ไม่รู้ว่าศาสนาพุทธคืออะไร นี่คือความหลงผิด องศาที่ผิดนิดนึงมันไปไกลมาก จนวันนี้มา 2560 ไกลจากความจริงมาไกลจนไม่เห็นความจริง น่าสงสารจริงๆ น่าสงสารศาสนา
เอาล่ะ อาตมาวิจารณ์พูดย้ำแล้วย้ำอีก เพื่อให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังมีความรักในศาสนา สะดุดบ้างสะเทือนบ้างเอาไปไตร่ตรองบ้าง ว่าจริงอย่างที่อาตมาพูดไหม ถ้าหากเป็นจริงก็ควรจะทบทวนและแก้ไข ถ้าแก้กลับมาจนเกิดปฏิภาณความรู้ว่า
อย่างที่โพธิรักษ์พูดนี้มันถูก เป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธทั้งนั้น จะเกิดการเข้าใจมีปฏิภาณ เห็นอย่างนี้จริงๆเลย
อาตมากล้า ยืนยันตัวเองอย่างนี้จริงๆ ซึ่งอาตมาก็บอกตัวเองจนไม่รู้จะบอกยังไงแล้วจนกระทั่ง ว่าอาตมาเป็นใคร ก็มีคนเดาว่าอาตมาเผลอพูดลักษณะเขาก็เดาเอาว่าอาตมาเป็นใครมาเกิด เป็นใครมาทำงานนี้
อาตมาประกาศไปว่าอาตมาคือคนนี้ คนไหนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ในมหาจัตตารีสกสูตร อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง ปเวเทนตีติ แปลว่าประกาศให้แจ่มแจ้ง
ผู้ใด เข้าใจว่า สัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิข้อที่ 10 พระพุทธเจ้าท่านตรัสเพื่อเตือนนักการศาสนาทุกคน ว่า นัตถิโลเก ในโลกขณะนี้ นัตถิโลเก หรืออัตถิโลเก
ในโลกนี้ คุณว่า...สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ นัตถิ แปลว่าไม่มี อัตถิแปลว่ามี มีไหมในโลกนี้ขณะนี้. ..มี
แล้วมีอยู่ไหน ? ต้องหาให้เจอคนผู้นี้ต้องหาให้เจอ ถ้าหาไม่เจอแล้วไม่เข้าใจแล้วไม่เชื่อว่าผู้นี้คือผู้นี้ไม่ใช่ว่าผู้นี้เป็น สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
เป็นผู้รู้ชอบปฏิบัติชอบ ไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เชื่อ คนนั้น นัตถิโลเก เกิดมาในโลกนี้ก็ไม่รู้ไม่เห็นคนๆนี้มีไหม? ถ้าในโลกนี้มีคนประกาศ อย่างอาตมา แสดงตัวอย่างอาตมา คุณก็ต้องไปรู้คนนั้น แล้วเอาของคนนั้นมาเทียบกับของอาตมา ว่าอะไรเข้าร่องเข้ารอยกับพระไตรปิฎกบ้าง คนไหนจะสอดคล้องกับคําสอนพระพุทธเจ้า ลงกันกับคำสอนพระพุทธเจ้าอันนั้นก็เป็นธรรมวาที คนไหนอันไหนไม่ลงกับคำสอนพระพุทธเจ้าก็เป็น อธรรมวาที ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น
สมณะเดินดินว่า..ผมคิดว่า ผู้ที่เป็นสยัง อภิญญา จะตรวจสอบได้ ต้องมีคุณสมบัติ 2 ข้อ
ข้อ 1. คือถ้าท่านเป็นจริงก็ต้องประกาศให้คนอื่นรู้ได้ และข้อ 2. ก็คือว่า เมื่อประกาศสยัง อภิญญา ก็ต้องอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 1 ถึงข้อ 9 ได้
พ่อครูว่า...อธิบายมหาจัตตารีสกสูตร จนรวมเป็นสมาธิพุทธเล่ม 1 เล่ม 2 จนเล่ม 2 ไปไหนไม่รู้แล้ว พิมพ์มาแต่เล่ม 1 ก็ไม่เห็นมีใครเห็นความสำคัญดังนี้แล้วอธิบายแจกแจงเพื่อให้ปฏิบัติ เพราะว่าในมหาจัตตารีสกสูตรนี้สำคัญมาก ตั้งแต่ข้อ 252 ถึง 281 มีทั้งหมด 30 ข้อด้วยกัน
พระสูตรนี้เป็นพระสูตรที่ไขความถูกต้องชัดเจนว่า สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น หรือของตถาคตเอง ท่านตรัสว่าของตถาคต เป็นอริโยสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่เป็นสัมมา และเกิดอาริยธรรม อาริโยสัมมาสมาธิ ก็มีคำที่ชัดเจนทุกอย่าง นอกนั้นมันไม่ใช่ ต้องอย่างนี้ถึงจะใช่ อย่างเดียวด้วย ทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามีทางเดียวด้วย “มรรค มีองค์ 8” นั้นคือ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น"(เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล.25 ข.30
ทางปฏิบัติที่ถูกต้องมีอันนี้อันเดียวไม่มีสองด้วย ทางปฏิบัติที่สัมมามีทางเดียวมีสองทางไม่ได้ จนกระทั่งผิดเพี้ยนไปว่าทางปฏิบัติไปนิพพานไปทางไหนก็ได้ เหมือนจะไปที่ไหนก็เดินทาง มีทั้งทางรถทางน้ำทางอากาศ เขาก็บอกว่าทางไหนก็ได้ แต่เป้าหมายคือนิพพานซึ่งมันไม่ใช่ คําสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พูดนี้เลย
อาตมาเองอาตมายิ่งต้องประกาศตัว ยิ่งต้องประกาศความจริง ว่าอาตมามากอบกู้ศาสนา เอาความผิดพลาดจากธรรมะพระพุทธเจ้ากลับคืนมา แล้วก็ต้องบอกความจริงว่า อย่างนั้นมันผิด ถูกเป็นอย่างนี้ ก็พูดด้วยความจริงใจ ก็หาว่าไปดูถูกคนอื่น ก็เทียบทำไมว่าผิดนั้นมันเขาผิด มันก็ถูกแล้วที่อาตมาพูดนี้ถูก เขาก็หาว่าอาตมาอวดดี อาตมาพูดดีนะ ไปอวดดีนะทำไมไปอวดชั่วทำไม
อาตมาก็ว่า อวดสิ่งที่ดี ไม่ได้อวดชั่ว ใครจะอวดความชั่วก็อวดไปเถอะ แล้วก็หาว่าอวดดีของอาตมาเป็นสาเฐยจิต ใครคนไหนพูดว่าอาตมามีสาเฐยจิต อยากโชว์ดีนี้ อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่มีสาเฐยจิต ที่เป็นจิตอยากอวดว่า ตัวเองดีตัวเองรู้อย่างนั้นอาตมาไม่มีจิตเช่นนี้ เป็นการแสดงความจริง ไม่มีการอยากอวด
ถ้าบอกว่าอยากพูดนั้นมี อยากบรรยายอยากบอกมีเต็มๆเลย แต่อยากอวดโอ่โชว์ตัวว่า ฉันรู้ฉันมีฉันเป็นอย่างนี้ไม่มี ใครจะไม่เชื่อก็แน่นอนไม่มีปัญหา แต่ใครฟังอาตมาพูดความจริง ถ้าอาตมาโกหก อาตมาอาบัติปาราชิกนะ เพราะการอวดตัวว่าไม่มีกิเลสมันเป็นอุตตริมนุสสธรรม ถ้าตนเองไม่มี ความจริงที่พูดนั้นอวดตัวเองว่าไม่มีกิเลสก็ปาราชิก และพวกนักรู้ก็หาว่าอาตมาอวดบอกตัวเอง นั้น ถ้าจะอวดได้ต้องบอกกับอุปสัมบัน
ก็แย้งกันอีกว่า อุปสัมบันกับอนุปสัมบันต่างกันอย่างไร อาตมากล้าพูดว่าคนที่ฟังธรรมะอาตมาก็เป็นอุปสัมบันทั้งนั้น คนที่เป็นอนุปสัมบันไม่มาฟังอาตมาหรอก ส่วนใหญ่เป็นคนที่ฟังธรรมมะรู้เรื่องทั้งนั้น อุปสัมบันแปลว่าผู้ที่เข้าถึง แต่เขาไปแปลว่า ผู้ที่บวชเป็นพระคืออุปสัมบัน อนุปสัมบันคือฆราวาส แล้วอาตมาก็พูดกับฆราวาสเสียส่วนใหญ่ ก็ขอยืนยันว่าฆราวาสนี่แหละรู้ยิ่งกว่าพระอีก การบวชทีละแสนรูปคือการทำลายศาสนา เกณฑ์กันมาทำพิธีเล่นๆ นี่ธงชัยพระอรหันต์นะ จีวรนี่
ใครที่ผ่านพิธีบวชตามพระวินัยของพระพุทธเจ้าแล้ว คลุมนี้เข้าปั๊บ พ่อแม่ก็ต้องกราบต้องไหว้ ผู้ใหญ่ชั้นไหนๆก็ต้องไหว้ ครองผ้านี้แล้วนี่ มันเป็นของเล่นหรือ เอาไปปู้ยี่ปู้ยำเล่น เป็นเครื่องมูรธาภิเษกนะไม่ใช่ของเล่น ซึ่งบาปกินหัวกันไม่รู้เท่าไหร่ที่ทำเล่นทำหัวกัน หยุดเสียทีที่จะไปเกณฑ์คนมาบวช นั้นมันหาเงินหาชื่อเสียงโฆษณาตัวเอง เอาเรื่องมากๆ เกณฑ์คนมาแสดง มหัปปิจฉะ ฉันมีความใหญ่ มีแต่ความเบ่งความใหญ่ ตรงกันข้ามกับศาสนาพระพุทธเจ้าที่บอก พระธรรมใดวินัยใดมีแต่ความมากๆ ธรรมวินัยนั้นไม่ใช่ของเราตถาคต พระธรรมใดมีแต่ความมักน้อยอัปปิจฉะ พระธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต แต่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง ไปแสดงความใหญ่แล้วหลงกัน ก็เลยพาลให้คนโง่ด้วยกันหลงเข้าใจผิด เพราะคนโง่โลกียะหลงความใหญ่ความหรูหราอยู่แล้ว ก็เข้ากันกับกิเลสเป็นมวลใหญ่ แล้วคนก็หลงเถรสมาคมเป็นส่วนใหญ่ ว่าเป็นคนที่มีผลสำเร็จทางศาสนาไปถึงต่างประเทศ ที่จริงแล้วเอาอบายอเวจี ไปสร้างทั้งนั้นเลย ทำลายศาสนามาก ยิ่งมีมากยิ่งจะทำลายศาสนามาก
ยิ่งธัมมชโยไม่รู้จะตกนรกเท่าไหร่ คือความโง่ในตัวเองไม่รู้ความจริง นึกว่าใช่นึกว่าถูก แล้วเขาก็ยิ่งได้ลาภยศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย ยิ่งได้รับเกียรติสรรเสริญโลกียสุขมาก ยิ่งบ้าใหญ่เลย มันน่าสังเวช สงสารมาก ทำไมทำกับตัวเองอย่างนั้น ใครเตือนก็ไม่ฟัง เข้าหลักเดียวกันเลย
ยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ รับคำสั่งจากพี่ชาย ใครจะเตือนว่าอย่าทำต่อ แม้แต่พวกกันเองจะเตือนก็ไม่ฟังเลย ดันทุรังจะทำเหมือนกันเลย สุดท้ายหายไปเลยหาหัวไม่เจอ ทั้งสองหัว เหมือนกันเลย จุดสุดท้ายเหมือนกันเลย จะว่าลงรูก็หารูไม่เจอ ไม่รู้อยู่รูไหน ถึงขนาดนั้น มุดรูเงียบไม่ให้ใครเห็น สงสัยปิดปากรู สงสัยขาดใจตายไปแล้วก็ไม่รู้ อาตมาพูดเหมือนแดกดันยัดเยียด แต่พูดให้เกิดความชัดเจนให้เข้าใจ
ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ธรรมะหลักคือพุทธศาสนา เมื่อคนพาลพาศาสนา พาล แปลว่าโง่ไม่เดียงสา เกเร เป็นนักเลง สรุปคือเป็นคนโง่คนไม่รู้ความจริง แล้วเอาความไม่รู้ความจริง เอาความผิดมาปรุงรส มาเชิดชู เอาความผิดนี้มาให้ ประชาชนคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนรับรู้เรียนรู้และมาใช้ สังคมประเทศชาติจึงมีผลอย่างนี้ อย่างที่เป็น งมงายกันไปเกือบหมดไม่เหลือ อาตมาว่าเกือบ มันจมในก้นมหาสมุทร เกือบดึงขึ้นไม่ทัน
สมณะเดินดินว่า...แสดงว่าศาสนาอาการหนักกว่าชาติ แต่ก่อนเราไปชุมนุมกู้ชาติ แต่ไม่เคยมีใครพูดถึงกู้ศาสนา
พ่อครูว่า..ไปกู้ชาติก็เอาศาสนาไปกู้ชาติ เอาศาสนาไปกู้ อาตมาพาไป neoprotest
neo คือเป็นการประท้วงแบบที่เขาไม่เคยทำกัน เป็นการประท้วงแบบใหม่ ที่ใหม่คืออะไร ที่เอาไปประท้วงคือ เอาความสงบไปสยบความรุนแรง ให้มันเข้าร่องเข้ารอยให้เข้าที่ แล้วอาตมาก็เห็นผลว่า เอาความสงบสยบความรุนแรงได้สำเร็จ ซึ่งไม่เคยมีใครเขาทำกัน เขาประท้วงกันมีแต่ทำความเดือดร้อน ก็ไปประท้วงแล้วก็เกิดการปะทะ มีการตายเกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเราเป็นต้นเหตุ เกิดจากกรณีไปทางการเมือง เกิดจากเรื่องการเมือง แล้วไปครอบงำภิกษุฆราวาส ให้มาก่อเรื่องรุนแรง จนกระทั่งฆราวาสนั้นแหละมาทำรุนแรง ก็คือพวกที่ไม่ใช่เรื่องของศาสนา ไม่ใช่เรื่องของธรรมะ
อาตมาเอาธรรมะความสงบไปแสดงเป็นเดือนเป็นปี แสดงความสงบตลอดเวลา คำพูดแค่ว่าไปแสดงความสงบนี้ลึกซึ้ง เป็นภาวะ สภาวะธรรมที่มากลีลา ที่สุดแล้วที่ อาตมาพาไปทำ แม้แต่เราเคลื่อนไหวเคลื่อนตัวพากันเป็นหมู่กลุ่ม ก็อยู่ในครรลองความสงบทั้งสิ้น จนไปนั่งสมาธิหลับตานิ่ง แบบสะกดจิตสมถะ ก็ยิ่งเป็นความสงบรูปธรรมชัดๆ ก็ทำทั้งนั้น
จะมีการเคลื่อนไหวกระบวนการลีลาอย่างโน้นอย่างนี้ ถึงขั้นเข้าไปในทำเนียบ ก็เป็นความสงบทั้งนั้น แสดงอย่างสุภาพ มันจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น
มันซับซ้อนเราไปรักษาทำเนียบเอาไว้ก็หาว่าเราบุกทำเนียบ ขนาดนั้นยังทิ้งระเบิดเข้าไปในทำเนียบอีก นี่คือเรื่องจริง พวกตื้นๆก็บอกว่า เพราะเอ็งไปอยู่ในทำเนียบ เขาก็เลยโยนระเบิดเข้าไปยังไง แต่เราไม่เคยมีเครื่องมืออาวุธอะไรไปตอบโต้เลย เข้าไปนั่งสงบอยู่ในนั้น แสดงออกถึงขนาดว่า อย่าว่าแต่สงบเลย ปลูกข้าวทำนาในทำเนียบเลย ให้เห็นว่ามีความสงบสุภาพ มีชีวิต ทำนาทำไร่ ทำสัมมาอาชีพ
ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เขาเอาแก๊สน้ำตา เอากระสุนที่เขาว่าเป็นกระสุนปลอมเอามายิง แต่ที่ยิงลูกปลอมลูกจริง ไม่ใช่พวกเรา เราใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจริงๆ
สมณะเดินดินว่า...เขาเอาปืนอาวุธสงครามจ่อหัวญาติธรรมเรา เขาก็นั่งสงบ แกไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเขานั่งสมาธิอย่างเดียว ลูกๆที่อยู่ต่างจังหวัดดูแล้วก็ตกใจมาก
พ่อ่อครูว่า...แกนั่งสมาธิหลับตาสมาธิไม่รู้ข้างนอก เขาจะยิงหัวก็เฉย จนกระทั่งเขาถอยไปเอง สยบความรุนแรงได้แล้ว
ในตอนผู้การแต้ม เอาตำรวจจะมาไล่มาปราบเรา ก็เป็นคู่ต่อสู้กัน เราไปประท้วงด้วยความสงบ มีคำสั่งชัดว่า ถอนรื้อเต็นท์ให้เสร็จ แล้วมาตั้งแต่ตี 2 ตี 3 ตำรวจมามีเครื่องไม้เครื่องมือครบพร้อมทั้งเครื่องกลหนัก แบริเออร์ อาตมาก็พาลงนั่งบนถนน ทำความสงบนิ่งนั่งสมาธิกันประนมมือ ตั้งแต่ตีสองตีสามยันสว่าง เขาก็ไม่กล้าทำอะไร เพราะความสงบมีพลังงานความสงบ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไร ผู้การแต้มก็ไม่กล้าสั่งทำอะไร ทั้งที่เขามีครบหมด เอาแท่งคอนกรีตมากั้นๆๆไว้ เขาดันทำได้เลย แต่เขาไม่กล้ามารุกรานผู้สงบ เราไม่ได้ถอยหนีไปไหนเลยเราก็สงบนิ่ง นี่คือ ธัมโม หเว รักขติ ธรรมจารี ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม อธรรมทำอะไรไม่ได้ ไม่กล้าทำ ให้ว่าเขาจะทำได้ แสดงว่าผู้การแต้มมีธรรมะพอสมควร ไม่กล้าลงมือ ถอยกลับไปนี่เสียนะ ผู้การแต้มเสีย ทำงานไม่สำเร็จ เสียคะแนน แต่เพราะธรรมะในใจของผู้การแต้ม ที่ยอม ความรุนแรงให้กลับไป ให้ความสงบชนะ
อาตมาอธิบายขยายความให้ชัดๆ เป็นการแสดงออกให้ชัดเจนเป็นเหตุการณ์จริง ที่เป็นสงครามระหว่างความสงบกับความรุนแรง และความสงบชนะความรุนแรง อาตมาพูดไปนี้โมเมไหม เป็นการบอกอธิบายความจริงให้ฟัง ว่านี่คือธรรมาธรรมะสงครามที่สู้กัน เหมือนในหนังรามเกียรติ์ ความสงบสยบความรุนแรงมันงดงามเหมือนดอกไม้ความสงบชนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แบบคนจนที่มีสาธารณโภคี
สรุปว่าที่พาไปประท้วงนั้นเราชนะทุกงาน นี่คือสิ่งที่เป็นธรรมะที่มันซ้อนอยู่ในสังคม ซ้อนอยู่ในประเทศชาติ ว่า ประเทศชาติต้องมีธรรมะ ต้องใช้ธรรมะร่วมในการที่จะทำงานกับสังคมประเทศชาติ บริหารก็ดี พาประพฤติปฏิบัติชีวิตก็ดี ก็ต้องใช้ธรรมะทั้งนั้น ซึ่งอาตมาก็พาพวกเราปฏิบัติธรรมะแล้วก็มีชีวิต ทำงานอาชีพ ทำกัมมันตะ ทำวาจา ทำสังกัปปะ ซึ่งเป็นกรรมทั้งหมด กรรมทางความคิด สังกัปปะ วาจา การกระทำทางกายวาจาใจ จนถึงเป็นอาชีพเลี้ยงชีพ ไม่ให้เกิดมิจฉา ทั้ง มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
โดยมิจฉาอาชีวะ 5 อาตมาก็พาทำประสบผลสำเร็จจนสามารถครบ พ้นมิจฉาอาชีวะ 5
กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ชาวอโศกรู้หมดทั้งมิจฉาชีพ 5
กุหนา พวกเราไม่มีทำการโกง ลปนา โกหกตลบตะแลงตอแหลก็ไม่ทำ เนมิตกตา ปฏิบัติธรรมไปตามลำดับเราก็ทำ โดยปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ประสบผลสำเร็จจนมีกัมมันตะพ้นมิจฉา ได้มาเรื่อยๆ เป็นลำดับๆ แล้วได้แล้ว ก็ไม่ไปรับใช้ผู้ที่ผิด นิปเปสิกตา ยังตั้งหน้าตั้งตาปราบความผิดอยู่ตลอดเวลา ที่ไม่ผิดเราก็เลิกไปทำด้วย ไม่มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา
แม้ที่สุดเราต้องเลี้ยงชีพ ทำงานเลี้ยงชีพสูงสุดได้เลย คือไม่แลกเปลี่ยนอะไรกลับคืนมาเลย ทำงานฟรีได้สำเร็จ แม้จะมีบ้างที่แลกเปลี่ยนคืนมาแต่ไม่มอบตนในทางผิด
กุหนา ลปนา นั้นทุจริตแท้ เราไม่มีเลย เป็นมิจฉาชีพ จนกระทั่งเป็น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานฟรี จนเป็นสังคมกลุ่มที่ทำงานฟรี ทำงานแล้วเอาเข้าส่วนกลางทั้งหมด เป็นสาธารณโภคี จนเป็นหมู่บ้าน ทางนิตินัย แล้วหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านทำอาชีพอะไร อาชีพคนจน เพราะทำงานแล้วไม่มีรายได้เลย หมู่บ้านอื่นใดที่เขาไปสำรวจว่าเป็นหมู่บ้านคนจน เขามาสำรวจไม่รู้เรื่อง มาสำรวจว่าหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านคนจนลำดับที่ 5 ที่จริงแล้วควรเป็นลำดับที่ 1 แต่เขาสำรวจไม่เป็น ไม่รู้ว่าเขาสำรวจอย่างไรเข้าใจอย่างไร บอกว่าหมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นหมู่บ้านคนจนลำดับที่ 5 มันไม่จนได้อย่างไรเพราะว่าทำงานฟรีกันทั้งหมู่บ้าน ไม่มีรายได้เข้าส่วนตัวเลยเข้าส่วนกลางหมด จะทำงานจุดไหนก็แล้วแต่ เอาเงินเข้าส่วนกลางก็หมายความว่า คนนี้ไม่เอารายได้ไปให้แก่ตัวเองเลย ถ้าเป็นรัฐก็ทำงานให้รัฐโดยเสียภาษีหมด ทำงานให้รัฐไม่เอาค่าตอบแทนสักบาท เสียภาษีให้รัฐเต็มร้อยอยู่ในหมู่บ้าน เอาเข้าส่วนกลางของหมู่บ้านเต็มร้อย เราทำสำเร็จ
ค้านแย้งกับดร.สมคิด ที่บอกว่าจะทำให้คนจนหมดไปจากประเทศ เราบอกว่าจะทำให้คนจนในประเทศมากขึ้นๆ เป็นคนจนอันประเสริฐ เขาไม่เข้าใจคนจน
อาตมากำลังเขียนหนังสือ ...แบบคนจน ตอนนี้ก็เขียนต่ออีก ก็จะมีชื่อรองว่าศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
คนเราไม่เข้าใจความจนและกลัวความจน ถ้าหากสังคมใดเป็นสังคมแห่งปัญญาเป็นสังคมแห่งอาริยะแท้ สังคมนั้นจะไม่กลัวความจน แล้วก็จะพากันมาจน ไม่พากันไปรวย เพราะถ้าสังคมใดมีแนวคิดจะพากันให้รวย จะสร้างประเทศให้รวย จะสร้างสังคมให้เป็นคนรวยกันทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนจะทำให้ทุกคนในประเทศรวยทั้งหมดได้ มันไม่มี ที่ไม่ให้เกิดคนจน
ประเทศที่บอกว่าเก่งทางเศรษฐกิจ ประเทศใดก็แล้วแต่ก็มีขอทานทั้งนั้น มีคนอยู่กระต๊อบสลัมทั้งนั้น ตราบใดที่ยังมีคนกอบโกยไม่รู้จักพอมีอำนาจ ที่เป็นเบี้ยล่างไม่มีเรี่ยวแรงไม่มีอำนาจที่จะไปต่อสู้ได้ ก็ถูกเขากวาดไปหมด พวกนายทุนหน้าเลือดทั้งหลายกวาดไปหมดเพราะว่าไปหลงความรวย
ถ้ามีแนวคิดกระบวนทัศน์ว่าต้องสร้างให้คนรวย ต้องสร้างสังคมให้เป็นสังคมคนรวย เป็นความคิดที่ย้อนแย้งกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ขัดแย้งกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ท่านตรัสบอกว่าไม่เอาแบบคนรวย ต้องมาเอาแบบคนจน นักบริหารประเทศก็ไม่รู้เรื่อง ท่านตรัส แบบคนจนหรือแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็บอกว่าไม่ใช่ ในหลวงท่านตรัสแบบนี้ ทำไมพูดอย่างนั้นก็ต้องพูดอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ในหลวงเป็นโลกุตระบุคคลเป็นพระอาริยะ ชัดเจนทุกอย่างในการบริหารประเทศแล้วก็ คนก็บอกว่าเอาตามศาสตร์พระราชา และมีที่ไหนจะทำตามแบบนั้น บอกว่าศาสตร์พระราชาคือทำให้เป็นสังคมคนจน ถ้าหากตั้งหน้าตั้งตาทำให้เป็นสังคมคนรวยไม่มีทางสำเร็จ ไม่มี
แต่ถ้าจะทำให้เป็นคนจนนั้นทำสำเร็จทำอย่างไร ทำให้รู้ว่าชีวิตนี้มารู้จักพอชีวิตนี้พออยู่พอกินตามคำตรัสในหลวง พอเพียง อย่าไปตะกละอยากรวย ท่านตรัสชัดเจนว่า เราไม่ได้อยากรวยแต่เราก็พอกินพอใช้ ท่านก็ตรัสแบบคนจน (ที่เตรียมไว้ได้ไหม? เปิดฟังให้ชื่นใจได้ไหม ถ้าพร้อมบอก)...
ถ้าเข้าใจถึงกระบวนทัศน์กระบวนการ paradigm ไม่ได้ เช่น กระบวนทัศน์ที่จะพาไปรวยมันไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่าอย่าไปรวย ต้องมาทำอย่าง พระราชาอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส อย่าไปคิดรวย อย่าไปสร้างกระบวนทัศน์ให้จิตใจว่าอยากไปรวย อย่า นี่คือเดินตามรอยศาสตร์พระราชา ท่านผู้จบดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ แม้แต่ทางรัฐศาสตร์การเมืองก็ตาม น่าจะชัดเจนในกระบวนทัศน์ที่พระราชาบอกเอาไว้เป็นศาสตร์ และบอกว่าจะทำตามรอยพระยุคลบาท จะทำตามศาสตร์พระราชา ไม่เห็นจะตามตรงไหนเลย
"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534
ชัดเจนที่สุดแล้ว เรามีพระเจ้าอยู่หัวของประเทศ มีพระราชาทรงแสดงศาสตร์ แสดงความรู้ให้รู้ แต่ช่างกระไร อาตมาก็รู้อยู่ว่าบังคับให้คนมีปัญญา บังคับให้คนรู้ในสิ่งที่ควรรู้นั้นบังคับกันไม่ได้ ถ้าภูมิไม่ถึงก็ไม่ถึง สรุปแล้วภูมิไม่ถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็น่าเสียดายประเทศไทย ที่น่าจะศึกษาว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงแนะทรงบอก
แต่ไม่มีสถานีไหน อาตมาขอบอกว่า ไม่มีสถานีไหนกล้าเอาคลิปนี้หรือแม้แต่คลิปขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ที่เราออกในสถานีบุญนิยมเราตลอดทุกวัน ไม่มีสถานีไหนกล้าเอาไปออกของตัวเองเลย มันก็แปลกดี อย่าว่าแต่สถานีใดเลย ไม่มีนักวิชาการระดับยอด ยอดทางเศรษฐศาสตร์ด้วย ด้านการเมืองด้วย เอาอันนี้ไปหยิบอันนี้มาขยายผล หยิบอันนี้ขึ้นมาทำความเข้าใจกับประชาชน เอามานำเสนอกับประชาชน ว่าในหลวงเราตรัสแบบนี้ ช่วยกันทำความเข้าใจ ช่วยกันปฏิบัติตาม ให้เกิดกระบวนการแบบคนจน เกิดกระบวนการ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา บ้างสิ ขออภัยที่จะต้องพูดว่าก็มีชาวอโศกเท่านั้นแหละที่ปฏิบัติตาม และทำสำเร็จ มาทำแบบคนจน มาเป็นคนจนสำเร็จ มาขาดทุนของเราคือกำไรของเราสำเร็จ แล้วชาวอโศกก็เป็นอยู่สุข เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ อาตมาชี้ถึงขนาดนี้ ว่า
เป็นการบอกความจริงต่อโลกต่อสังคมว่าเราสำเร็จผลเป็นความจริงตามสัจธรรมความจริงชั้นสูง สัจธรรมที่เป็นโลกุตระ ในยุคนี้ก็ปฏิบัติธรรมที่เป็นโลกุตระนี้สำเร็จผล สำเร็จจนเป็นหมู่กลุ่มชุมชนไม่ได้สำเร็จแค่คนเดียว บรรลุมรรคผลเป็นกลุ่มเป็นสังคมกลุ่มหมู่บ้านชุมชน เกิดเป็นหมู่บ้านชุมชนสาธารณโภคี กระจายอยู่ในประเทศได้ ชาวอโศกอยู่ตรงไหนที่เป็นชุมชนชาวอโศกก็ตรงนั้น คือสาธารณโภคี เป็นสังคมที่เดินตามรอยพระยุคลบาท เดินตามศาสตร์พระราชาทั้งนั้น
อาตมาพูดนี่ ไม่ได้อวดดีไม่ได้อวดตัวอวดตนอะไร อยากจะให้ผู้มีหน้าที่บริหารประเทศอย่างสำคัญ หรือแม้แต่นักวิชาการต่างๆ ได้สะดุด ได้ฉุกคิดบ้าง ว่านี่คือ กระบวนทัศน์กระบวนการอันเยี่ยมยอดของสังคมประเทศ
กระบวนทัศน์ที่ว่าต้องเอาแบบคนจน อย่าพาคนไปรวย แล้วก็สร้างกระบวนการคนจนหรือไม่ไปรวย หรือว่าพาคนมาขาดทุนให้ได้ ขาดทุนแล้วทำอย่างไรจะอยู่ได้ เพราะว่าขาดทุนแล้วเราได้เสียสละตัวตน แต่อยู่ได้เพราะมีส่วนเกิน คืออย่างไร?
คนเรานี่ คำว่าทุน คือการคิด ต้นทุนจากวัตถุดิบต่างๆเลย ราคาเท่าไหร่ ตีราคาให้ชัด ทั้งค่าโสหุ้ยต่างๆ ก็เอามารวมเป็นทุน ที่สำคัญคือมีค่าแรงงานของเรารวมอยู่ในนั้นเป็นทุน ทุกๆทุน มีแรงงานหรือผลผลิตที่เกิดจากแรงงานของเรา มันมีค่าแรงงานของเราอยู่ในนั้น ทั้งค่าแรงงานทางความรู้ และทางกายกรรม อยู่ในนั้น
ถ้าค่าแรงงานของเราตีราคา 100 เราก็ลดราคาทุนตัวเรานี่จาก 100 ให้ลดลงมา เราไม่เอาค่าตัวเต็มร้อย ทั้งที่ค่าตัวจริงๆของเราตามอัตราเฉลี่ยของสังคมมีประมาณ 100 สมมุติเป็นสังขยาเลขนะ อย่างค่าตัวของอาตมาชั่วโมงหนึ่งเท่าไหร่ไม่รู้ล่ะ
เราคิดราคา 100 เราก็เอาให้ขาดทุน 20 30 มันก็เหลืออีกตั้งเท่าไหร่ ลดการเป็นตัวตนของตน ถ้าเรา 100 เรากินเราใช้ไม่หมดหรอก ทำตนเองให้อย่ากินเกินตัว ค่าตัวเราร้อยแล้วเราก็ดันใช้เกิน กินเกินร้อย มันก็อยู่ไม่รอดก็เป็นหนี้แหลกราญเท่านั้นเอง ค่าแรงงานเราได้แค่ 100 แล้วดันไปใช้จ่ายกินเกินร้อย จะอยู่ได้อย่างไร จะต้องกินใช้น้อยลงไม่ให้เกิน 100 จึงเรียกว่าอัปปิจฉะ มาน้อยลงมาพอเพียง
ตนเองมีค่าแรง 100 สูงสุดควรจะกิน 99 มากแล้ว กินสัก 80 70 ให้มันพอคือสันโดษ สันตุฏฐิ หากเรา กินใช้เกินก็เป็นหนี้แล้วบอกเศรษฐกิจไม่พอ
แต่ชาวอโศกประสบผลสำเร็จในการทำงาน ทำงานให้ฟรีเลย โดยไม่ได้บังคับแบบเผด็จการ ที่เราก็ไม่เอา ใครก็ไม่เอา มันง่าย แล้วไม่เข้าท่า สังคมยุคนี้เผด็จการอยู่ไม่ได้
คอมมิวนิสต์ไปเพ่งที่วัตถุนิยม ส่วนประชาธิปไตยไปเพ่งที่จิตนิยม พวกคอมมิวนิสต์จึงเรียกว่า materialist เพ่งที่รายได้ ต้องรีดเงินเข้าส่วนกลางจากใครๆต้องถูกตรวจสอบจากนายทุน พวกนายทุนจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อระบบคอมมิวนิสต์มากเลย พวกนายทุนจะต้องถูกเอาภาษีมาเข้าให้มาก พวกนายทุนที่มีรายได้มากนี่แหละต้องจ่ายภาษีให้มาก มันถึงจะสุจริต ถือว่าไม่ลักลั่น ออกกฎหมายประพฤติปฏิบัติ จะต้องตรวจนายทุนที่เอาเปรียบสังคม ขูดรีดสังคมเป็นหลัก เอาเงินรายได้เข้าส่วนกลางจากคนที่รวยให้มาก คนจนถึงจะค่อยยังชั่ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ให้คนรวยได้เปรียบมากเกิน มันก็เป็นการแก้ไขปัญหาของสังคม ก็ดีเหมือนกัน แต่ก็ใช้ระบบการบังคับเสียเยอะ คนก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นคอมมิวนิสต์จึงอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นการบังคับ คนเขาไม่ชอบบังคับไม่ว่าจะเป็นคนจนหรือคนรวย บังคับกันมากเกินเขาก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นคอมมิวนิสต์จึงไม่คำนึงถึงอิสระเสรีภาพ จะต้องคำนึงถึงเงินที่จะเข้ากองกลางเป็นหลัก
ส่วนประชาธิปไตยนั้นคำนึงถึงอิสระเสรีภาพ แล้วถือว่าเป็นสุจริต คนก็เก่งมาก เป็นผู้ที่ทำได้มากเป็นนายทุนก็ร่ำรวยก็ต้องให้เขา ออกกฎหมายดูแลกฎหมายควบคุมเขา ให้เขาเสียภาษีให้เต็ม เอาเงินเข้ารัฐให้ถูกต้องกฎเกณฑ์กฎหมายก็ทำอยู่อย่างนั้น นั่นเป็น 2 ระบบใหญ่คือประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์ ส่วนอีกอันไม่รู้จะเรียกชื่ออะไรก็เรียกว่าสาธารณโภคีแล้วกัน
ระบบสาธารณโภคีนี้เป็นยิ่งกว่าระบบประชาธิปไตย เป็นยิ่งกว่าระบบคอมมิวนิสต์ เพราะว่าเป็นระบบที่ให้เสรียิ่งกว่าประชาธิปไตย เป็นระบบที่เอาเข้าส่วนกลางยิ่งกว่าคอมมิวนิสต์
สาธารณโภคีนี้เป็นระบบที่ทำให้คน
1. อิสรเสรีภาพเต็มตามประชาธิปไตยที่เขาเน้นตรงนี้
2. เป็นไปตามคอมมิวนิสต์ที่เน้นให้เงินเข้าส่วนกลางให้มาก
ระบบสาธารณโภคีได้ทั้งคู่ เป็นทั้งคอมมิวนิสต์และประชาธิปไตยจึงเรียกว่า พ่อของระบบการบริหารประเทศ เป็นบิดาของการบริหารประเทศ เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านจบทุกศาสตร์ เศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ ก็จบ ท่านเรียน 18 วิชาจบหมด หมายความว่ามหาวิทยาลัยนั้นมีวิชาการ 18 คณะ พระพุทธเจ้าเรียนจบมาหมด ได้ปริญญามาทุกใบ ได้ด็อกเตอร์มาทุกใบด้วย 18 คณะ ตักศิลานั้น
สมณะเดินดินว่า...ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้รับรางวัลจากสหประชาชาติมากมาย
พ่อครูว่า...มันเป็นเรื่องสัจจะไม่เห็นประหลาดอะไร ถ้าเข้าใจความจริงที่เป็นสัจธรรมแล้ว ทุกอย่างที่ใช้อยู่ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ใดๆ มันเป็นเรื่องของมนุษย์กับสังคม ไม่มีอื่นหรอก
พระพุทธเจ้าท่านศึกษาความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม แล้วท่านก็รู้ทะลุปรุโปร่งว่าต้องใช้ความรู้ในแง่นี้ อาตมาก็เรียนรู้มาทางเดียวกับพระพุทธเจ้า พยายามจะรู้ให้หมดเท่าพระพุทธเจ้า จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาเป็นโพธิสัตว์มาจนถึงทุกวันนี้ ก็เปิดเผยว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7
อาตมาไม่ได้งมงายไม่ได้พูดผิด มีหลักฐานว่าระดับ 1 2 3 4 เป็นอย่างไร แม้แต่พวกมหายานก็ไม่มีใครอธิบายอย่างอาตมาได้หรอก โพธิสัตว์ 9 ระดับ สูงสุดเป็นระดับ 9 เป็นพระพุทธเจ้า ในฮินดูก็มี 9 ปาง เหมือนกัน มันก็เป็นความรู้ของโลก ไม่ได้ขัดแย้งกันหรอก เป็นแต่เพียงว่าเข้าใจไม่ได้ ถ้าเข้าใจเนื้อหาแท้คืออะไรก็เหมือนกันไม่มีผิดหรอก
ก็มาทำกับโลกกับสังคมกับมนุษย์ ด้วยความเห็นของอาตมา ด้วยกระบวนทัศน์ด้วยทิฐิของอาตมา แล้วก็ทำจนเกิดผลสำเร็จ เป็น impact ตามความรู้ของอาตมา สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ของมนุษยชาติ
พูดถึงเรื่องบริหาร อาตมาผู้บริหารชาวอโศก อาตมาก็ทำเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบที่อาตมาเข้าใจ มีกระบวนทัศน์แบบนี้เป็นกระบวนการอย่างนี้และก็มี Impact อย่างนี้ ซึ่งอาตมาประสบผลสำเร็จทุกอย่าง และก็มั่นใจว่าอธิบายได้เลยตามของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าในพระสูตรไหน
อาตมากำลังลำดับวิชชาของพระพุทธเจ้า พยายามจะลำดับออกมาสักสามหมวด หมวดที่สามจะถอดมาจากพระไตรปิฎกเล่ม 9 13 พระสูตร เอาที่ว่าท่านเน้นอะไรในแต่ละสูตร
อาตมาเรียบเรียงอย่างนี้ว่า
ลำดับ“วิชชา”ของพุทธ (ชุด 1)
1. อวิชชาสูตร
2. สุริยเปยยาลสูตร
3. ปฏิจจสมุปบาท
4. บารมี 10 ทัศ
5. มูลสูตร 10
6. สัมมาทิฏฐิ 10
7. ไตรสิกขา
8. จรณะ 15 (สำคัญที่ อปัณณกปฏิปทา) วิชชา 8
9. กาย 3 (จิต-มโน-วิญญาณ)
10.นาม 5 (เวทนา,สัญญา,เจตนา,ผัสสะ,มนสิการ)
11. รูป 28 (มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24)
12. ทานสูตร และ กิมัตถิยสูตร(ศีลมีผลมีอานิสงส์)
13. ใจเป็นประธานสิ่งทั้งปวง
14. ทำสัจจะ 2 คือสมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ให้เป็น 1
15. ทำธรรมะ 2 ให้เป็น 1
16. สัจจะแท้มี 1 เท่านั้น(สัจจะในโลกไม่มีอะไรจริง-มี‘ธรรม’เท่านั้น คืออัตตา)
17. ผู้ไม่กำจัดอัตตาก็มีอัตตา
18. ผู้ไม่ปล่อยวางโลกก็มีโลก
19. ปัจจัยที่เกิดสัมมาทิฏฐิ 2
20. ถูกกล่าวหา 2 [เมื่อไม่หวั่นไหว(อกุปปะ)ก็สงบปกติ-ความจริง(สัจจะ)ก็คงอยู่]
21. ปรโตโฆสะ(รับฟังจากสัตบุรุษเท่านั้น)
22. โยนิโสมนสิการ(จึงจะทำใจในใจเป็น-ถ้าไม่รับฟังจากสัตบุรุษ ก็ทำใจในใจไม่เป็น)
23. โลก มี 3 (กามโลก,รูปโลก,อรูปโลก)
24. อัตตา มี 3 (โอฬาริกอัตตา,มโนมยอัตตา,อรูปอัตตา)[สิ้นโลก-มีอัตตา]
25. อนุสัย ของปุถุชน“ยังอวิชชา(โง่=วนอยู่ในโลกียะไม่เลิก)”
26. อนุสัยของอาริยชน“มีปัญญา(รู้แจ้งดับวนสุดได้)”
27. อาหารเป็นหนึ่งในโลก (สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร หมดอาหาร ดับสิ้น อยู่ไม่ได้)
28. ความมี-ไม่มี
29. ดับ“เวทนา”ยังมี“สัญญา” ดับ“สัญญาหมด”ดับสิ้นทั้งปวง
30. ดับ“อายตนะ 2” คือ 2 สัญญาสุดท้าย
31. อัตตา คือ สย(สิ่งอาสัย) ก็มี..อาสัย,นิสัย,วิสัย,อนุสัย
32. ดับสิ้น“อนุสัย” ทุกอย่างก็ดับหมดสิ้นเกลี้ยง
33. อนุสัย ของโลกียะ ไม่มีจบสิ้น
34. อนุสัยของโลกุตระ ผู้ดับถึงขั้น“สิ้นอวิชชานุสัย”ได้คือผู้ดับสุดสูงสุด
35. อายตนะ 2 สุดท้ายคือ เนวสัญญานาสัญญยตนะ(กำหนดรู้หมดสิ้น ไม่ว่าสัญญาใดๆอื่นๆ) และ..
36. สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ กำหนดรู้แจ้งอารมณ์ว่า กิเลสดับสนิทหมดสิ้นเด็ดขาดแล้ว
ผู้มี“วิชชา”ดับสิ้น“อาสวะ”ได้ ไม่มีการเวียนกลับไปเกิด“โลกียธาตุ”อีกเด็ดขาด นับผู้นี้ว่าเป็นอรหันต์ 100 % ได้แล้ว(อรหันต์คือ ผู้ไม่ลึกลับแล้วในโลกและอัตตา) คือมี“ปัญญาวิมุติ” จึงช่วยโลกขั้นไหนก็ไม่ตกต่ำอีกแล้วเป็นธรรมดา แต่ยังเหลือ“อนุสัย”อยู่ในสุทธาวาส 5 [หรือโลก 33 คือโลกดาวดึงส์(มีอาการที่ 33 ได้อย่างวิเศษ) อันมีสติเป็นอำนาจใหญ่(อธิปไตย)และปัญญาเป็นตัวรู้ยิ่งอยู่เหนือโลกเหนืออัตตา(อุตตระ)อย่างสัมบูรณ์ ]
ส่วน“อรหันต์”ที่มี“อุภโตภาควิมุติ” ก็ยิ่งเป็นอรหันต์กว่า 100% เพราะมี“อุภโตภาควิมุติ” คือ มี“วิมุติ”ได้หมดสิ้นครบทั้ง“เจโตวิมุติ”กับทั้ง“ปัญญาวิมุติ” (อุภโตภาค = ทั้ง 2 ส่วนคือ เจโตกับ ปัญญา)
หากเป็นผู้ยังไม่“ดับสูญสิ้นเป็น“ปริโยสาน” ก็จะยังโปรดสัตว์โลกอยู่ ช่วยอนุเคราะห์สัตว์โลกได้อยู่
ส่วนผู้มี“วิชชา”สูงไปถึงขั้นดับสิ้น“อนุสัย”ได้ ยิ่งไม่มีการเวียนกลับไปเกิดมี“โลกียธาตุ”อีกเด็ดขาดยิ่งกว่าผู้แค่“สิ้นดับอาสวะ” แต่จะสูญสนิทตัวตนของตนไปนั้นยังไม่สัมบูรณ์ จึงยังไม่หมดสิ้น“ภพสุทธาวาส”
ผู้ติด“ภพสุทธาวาส 5”จะหลงติดอยู่นานยิ่งกว่านานกันทีเดียว เพราะมันไม่มีอนูแห่งทุกข์ใดๆทั้งนั้น
จนกว่าท่านผู้หลงติดสุทธาวาสจะเลิกติดและกลับมาสู่“โลกสันนิวาส”จึงจะ“ดับสิ้นสนิทได้ในโลกนี้”(อยังโลโก)
ผู้มี“วิชชา”ดับสิ้น“อนุสัย”สุดท้ายเป็น“ปรินิพพานขั้นปริโยสาน”จึงจะ“อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ”สุดๆ นั่นคือ ไม่เหลือ“ธาตุ”ใดๆอีกแล้ว แม้แต่“นิพพานธาตุ”ก็ไม่เหลือให้เรียกขาน“ชื่อหรือนาม”ได้แล้ว(สิ้นอธิวจนะสัมผัสโส) ยิ่ง“สภาวะ”ก็ยิ่งไม่มีให้สัมผัสได้ด้วยทวารใดๆอีกเลย(สิ้นปฏิฆสัมผัสโส)แม้แต่ในภายในจิต-ในมโน.
จบสนิทแล้ว เท่าที่“ภูมิมี” ผู้รู้มากกว่านี้กรุณา ช่วยต่อภูมิให้อาตมาด้วยเทอญ.
จึงเป็นที่สิ้นสุดแห่งที่สุด ไม่มีอะไรเลยจะเปรียบกับอะไรได้อีกแล้ว “นัตถิ อุปมา”บริบูรณ์-สัมบูรณ์.
พระสมณโคดม ไม่อาศัยค้างในสุทธาวาส ท่านตายแล้วเกิด แล้วมาดำเนินสิ่งที่ควรเกิดต่อไป พระโพธิสัตว์ตายแล้วเกิดทันที จะไม่ค้าง พวกตายแล้วยังไม่มาเกิดคือไปแช่อยู่ในสุทธาวาส ซึ่งจะติดภพติดสุทธาวาส พระสมณะโคดมท่านเป็นปัญญาธิกะจะไม่ค้างเติ่งเสพโลกในสุทธาวาส เสียเวลา
สมณะเดินดินว่า..ถ้าอย่างนี้ในหลวงก็เกิดแล้ว
พ่อครูว่า...รู้จริงเลยเนี่ย
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:58:34 )
รายละเอียด
601129_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ลำดับวิชชาของพุทธ ตอน1(อวิชชาสูตร)
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันที่ 29 เดือนพฤศจิกายน 2560 ทุกวันนี้ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงฤดูหนาว ที่เบื้องหน้านี้ก็มีแตงกวา และที่นี่กะหล่ำปลีที่กำลังงาม แต่ที่ไม่ใช่กะหล่ำพอกันคือหญ้า ใครจะมาช่วยถอนหญ้าก็ดีนะ มีควายที่เข้ามากินหญ้าด้วย
เหตุการณ์สังคมในปัจจุบันของนายกรัฐมนตรีตอนนี้ สามารถแบบนายกนี่เป็นได้ยากเพราะว่าทำผิดนิดเดียวก็โดนซะเละตุ้มเป๊ะ เป็นผู้ใหญ่เป็นผู้นำก็ต้องอดทน
เมื่อวันก่อนพ่อครูเคยพูดให้ฟังว่า ในชีวิตของท่านไม่เคยได้ไปฟังธรรมเลย อาตมาก็เคยฟังเทศน์ที่วัดอื่นๆ ฟังแล้วโยมก็นั่งหลับกัน ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง พ่อครูเปรียบว่า การฟังธรรมที่ท่านแสดงธรรมนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยาก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเราเป็นมิตรดีสหายดีของเธอ พ่อครูก็เป็นมิตรดีที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลเราตลอดเวลา ให้พ้นกิเลส ท่านเป็นผู้ที่พ้นจากกิเลสแล้วเป็นผู้รื้อขนสัตว์ เราฟังแล้วก็ยังยากที่จะฟังจะไปปฏิบัติก็ยิ่งยากขึ้นอีก มีหนังสือรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรให้อ่าน เป็นหนังสือที่มีรายละเอียดในการปฏิบัติธรรมมาก
วันนี้พ่อครูจะมาแสดงทำให้เราได้ฟังกัน แม้ท่านจะอายุยาวแล้วก็ตาม แต่ก็จะยาวกว่านี้ต่อไปอีก จนกว่าจะถึง 151 ปี
พ่อครูว่า...เหลืออีก 67 ปี
_หนังสือพระโสดาบันเป็นคนเช่นไร หน้า 35 ความว่า ข้อ 2 คนผู้นั้นเป็นคนที่ไม่หนีหน้า เหตุที่มันจะเกิดกิเลส ต้องทำให้เจริญทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ คือมีรูปนามขันธ์ 5 นี้ ในทฤษฎีนี้ความเข้าใจนี้จะเป็นผู้ที่มี อาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมมัง
ก็เลยถามว่า คำว่า อาเสวนา ต่างจากอเสวนาในมงคล 38 หรือไม่ มีอเสวนาจพาลานัง คือการไม่คบคนพาลหรือไม่อย่างไรคะ
พ่อครูว่า...แน่นอน ต่างกัน ที่ถามว่า อาเสวนาต่างจากอเสวนา คำว่าอา นี่หมายความว่าเสพคบคุ้นคบค้า แต่ถ้า อเสวนา แปลว่าไม่คบคุ้นไม่คบค้า
อเสวนา แปลว่าไม่คบคบพาล ขึ้นต้นเลย มีคบบัณฑิตก็เป็นเสวนา บัณฑิตานัญจเสวนา หรืออาเสวนา คำว่า อาแปลว่าคบคุ้นคบค้า ซ่องเสพหรือเป็นการปฏิบัติเลย
สื่อธรรมพ่อครู(ไอน์สไตน์) ตอน ตอบคุณอัมพรเรื่องสูตรสัมพัทธภาพ
_ของคุณดั้นเมฆ(อัมพร)...ช่วงที่รอลำดับวิชชาที่ 1 ก็ขอสังขาร ขอปรุงเรื่องของ C ใหญ่ คือ Coefficient ต่อ เท่าที่จะจินตนาไปได้
พ่อครูว่า...E หมายถึง พระอรหันต์
(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...สูตรไอน์สไตน์ E=mc2 แต่ของพ่อครู คือ E=C(mc2+A) สุดของพระโพธิสัตว์คือเหมือนกับขับรถแล้วเอาเบรคออกเหยียบคันเร่ง ใครยังไม่ถึงโพธิสัตว์ก็ต้องมีเบรคไว้
พ่อครูว่า...E หมายถึง พระอรหันต์ จิตวิญญาณเป็นพลังงานที่ละเอียดกว่าทางวัตถุก็เอามาเทียบเคียงอธิบายขยายความ ผู้มีพื้นทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เป็นแต่เพียงว่าเราไม่พาซื่อ จนกระทั่งว่า (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พวกที่เรียนวิทยาศาสตร์จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น อาตมาก็คอยเทียบว่า E=mc2 คือกำลังขนาดนี้ กำลังของเรายังไม่ถึงขนาดก็ต้องค่อยๆไป ตัว static ของเรามีเท่าไหร่ และตัวเคลื่อนของเรามีเท่าไหร่ พ่อครูว่าให้เราคอยประเมินกรรม ว่า ให้พอดีกับกำลังของเรา ถ้าเกินไปจะเสียมากกว่า ท่านจึงบอกว่า ช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง แต่พวกเราเป็นแพะ เป็นสัตว์เล็กๆที่คอยเดินตาม เราก็ทำตัวเองให้เหมาะสมที่จะทำ
พ่อครูว่า...คุณดั้นเมฆ(อัมพร) เขียนมาว่า E หมายถึง พระอรหันต์ คือพลังงานของพระอรหันต์คือพลังงานทางจิต
E= ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร)2 +อปุญญาภิสังขาร
คุณอัมพรตีรวม E=C(mc2+A) คือ E= ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร)2 +อปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขารบอกว่าเป็น A
ส่วน E= ∞ (002+1)
ถ้าจะให้ไขความมันก็ไม่ผิดหรอก ที่เราจะเอามาทำความเข้าใจและเอามาใช้ตามควร จริงๆแล้ว ความเป็นพลังงานทางจิตนั้นมันละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน หมุนวน ซับซ้อนกลับไปกลับมาเรียกว่าปฏินิสสัคคะ มันวนกลับ เป็นเรื่องที่ยาก มันเดินทางแล้วเป็นทางโค้ง จิตวิญญาณจะเดินทางแบบ ปรุงแต่ง เป็นวงของสังขารก็จะโค้งทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ทางนี้ ปรุงแต่งมาทางนี้ แล้วมันก็จะวนกลับมาทางนี้ แล้วก็วนไปอีก ทีนี้การวนของพลังงาน มันมีการสะสมต้นทุน ส่วนพลังงานฟิสิกส์ ถ้าไม่มีที่เก็บ พอทำงานปรุงแต่งเสร็จมันก็แตกกระจายหายไป
ที่ทำงานเป็นพลังงานบวกลบทั้งคู่ ไอน์สไตน์ค้นพบว่ามันเกิดปฏิกิริยา 2 อย่าง อย่างหนึ่งมันทำงานแล้วมันก็รวมตัว อีกอย่างเป็นเศษแตกออกไป จริงๆแล้วมันจะรวมตัวกันหมดแต่ว่ามันรวมกันไม่ได้ การรวมเซลล์เรียกว่านิวเคลียร์ฟิวชั่น ส่วนที่รวมกันไม่ได้เป็นพลังงานแตกตัวออกไป เรียกว่าเป็นนิวเคลียร์ฟิชชัน เป็นลักษณะอย่างนั้นเท่าที่ไอน์สไตน์ค้นพบในตัวพลังงานของโลก พลังงานทางฟิสิกส์ จิตวิญญาณก็เหมือนกัน จิตวิญญาณก็เป็นสังขารที่รวมในตัวเองเหมือนกัน แล้วมันก็กระจายออกไป ท่านก็ว่า มีลักษณะของความฟุ้งซ่านกับการเกาะกลุ่ม ถีนมิทธะกับอุทธัจจะ ท่านเรียกว่า สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง
ผู้ที่ฟังธรรมะอาตมา อธิบายภาษาวิทยาศาสตร์เทียบเคียงประกอบก็อธิบายอย่างนี้มา อย่าเพิ่งอธิบายกว้างไปเลยมันจะขยายความยาวไปทุกที
คุณอัมพรต่อว่า...E= ∞ (002+1) ถ้าดับ อนุสยะได้ อยู่กับ อนุสยะ สะสมอนุสยะ และใช้อนุสยะทำงานจนเกิด จนเป็น “วิสยะ” เจริญมากขึ้นก็เป็น “สยังอภิญญา”
พูดอีกแง่มุมหนึ่งคือ เมื่อ E มากพอแน่นพอ ก็ดำเนินไปเองได้ (เหมือนดาวฤกษ์ เหมือนดวงอาทิตย์ ที่มีแสงสว่างในตัวเอง) การเป็นเองได้ ก็คือ เกิดเองได้ เกิดเป็น “สยังอภิญญา”
เมื่อ สยะ เป็น วิสยะ เป็น สยัง ก็ไม่ตกต่ำอีกแล้ว จึงเป็นผู้สั่งเกิด (อุปจยะ) ให้สืบต่อ(สันตติ) และให้ตาย (ชรตา) รู้จัด จัดเจนจิต ถึงความเป็นอนิจตา
เมื่อ จับต้องพลังงาน “อนุสยะ” ได้ (ย เป็นพลังงานเร่ิมต้น เป็นรากเหง้าก่อเกิดพลังงาน) จึงสร้าง C ได้สูงมาก เพราะประกอบพลังงาน ขั้น “เป็นเอง” ได้แล้ว แล้วก็เติม เข้าไปอีก จึงเป็นขั้นทวีระดับยกกำลัง
ค่าC ที่สูงมากๆนี้ ตามหลัก สัมพัทธภาพ ถือว่า เวลา หยุดนิ่ง เมื่อเรามีความเร็วเท่ากับสิ่งสัมพัทธ์ ความเร็วก็เป็น0 หรือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนเรายืนนิ่งๆอย่บนโลก หมุนไปพร้อมกับโลก ด้วยความเร็วที่เท่ากัน จึงเหมือนเราหยุดนิ่งอยู่ เมื่อสัมพัทธ์กับโลกที่ความเร็วเท่ากัน….
พ่อครูว่า...
A หมายความว่าเป็นพลังงานที่ ถ้าคุณเองสามารถค้นหรือเอามาเติมได้ ถ้าคุณไม่สามารถเติมได้ก็ได้แค่ mc2 เพราะฉะนั้นถ้าเติมได้เต็มลักษณะก็เท่ากับ mc2+mc2+mc2+mc2+mc2+ไปเรื่อยๆ คือ+A แล้วถ้า C ทำไปคุณก็จะยิ่งมีพลังงานมากมาย
ดั้นเมฆว่า...ค่า C ที่สูงมากๆ ตามหลักสัมพัทธภาพถือว่าเวลาหยุดนิ่ง เมื่อเรามีความเร็วเท่ากับสิ่งสัมพัทธ์ ความเร็ว ก็เท่ากับ 0 หรือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง หรือเหมือนเราอยู่นิ่งๆอยู่บนโลก โลกมันหมุนไป เราอยู่บนโลก ก็เหมือนโลกไม่หมุน
พ่อครูว่า... เราหมุนไปพร้อมกับโลกด้วยความเร็วที่เท่ากัน
ดั้นเมฆว่า... จึงเหมือนว่าโลกนี้หยุดนิ่งอยู่
พ่อครูว่า...จิตของเราจะต้องมีความเร็วเท่ากับการหมุนของโลก ไม่อย่างนั้นหัวหมุนเลย
ดั้นเมฆว่า...เมื่อสัมผัสกับโลกที่มีความเร็วเท่ากันด้วยการสร้าง C จึงอยู่เหนือกาลเวลาได้ เพราะฉะนั้นค่า C จึงเป็นหลักในเรื่องของการขยายอายุขัยหรือเรื่องของเวลา และเหตุปัจจัยอื่นจึงน่าจะมีด้วย งานที่โหลดมากไปน่าจะมีด้วย สรีระกายกรรมวิบากเท่าที่เห็นจากพ่อครู ประมวลได้เท่านี้ครับ ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่
พ่อครูว่า...C ∞ 2n A
2n คืออัตราการก้าวหน้า คือพลังงานอิทธิบาท สูงสุดก็เป็นอัตโนมัติขั้นอานาปานสติ
พ่อครูว่า….คุณหมายถึงอานาปานสติแบบที่อาตมาพูดไม่ใช่เหมือนที่เขาทำกัน
แบบอาตมาเป็นอย่างไร คือชีวิตของเราทุกเวลาเรามีอานาปานะ แล้วเราก็มีสติ อานา อาปานะ คือลมหายใจเข้าหายใจออก ทุกลมหายใจเข้าหายใจออกแล้วก็มีอานาปานสติ นี่คือของอาตมา ไม่ได้หมายความว่าไปนั่งหลับตาสะกดจิตดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกเฉยๆ
ที่บอกว่า ดูลมหายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาวสั้นก็รู้ว่าสั้น อย่างนั้นเป็นสมถะ
(พ่อครูพักฉันยา) …
C ∞ 2n A ตัว 2n คืออัตราการก้าวหน้า คือพลังงานอิทธิบาท สูงสุดก็เป็นอัตโนมัติขั้นอานาปานสติ กราบนมัสการครับได้เห็นได้รู้การขยายอายุขัยไป 1 รอบ เป็นปรากฏการณ์ฟิโนมีน่าจริงชัดเจน
พ่อครูว่า...มายืนยันว่า ขยายอายุขัยไปอีกรอบ ยืนยันเอง คนอื่นจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่อาตมาก็ว่าได้ขยายอายุขัยมารอบหนึ่งนักษัตรแล้ว คุณอัมพร ฟังธรรมอาตมาแล้วก็เข้าใจถึงเห็นเป็นฟิโนมีน่า ก็เห็นจริงว่าอาตมายังสังขาร ฝืนอายุไขมาได้ 1 นักษัตรแล้ว ก็คงจะมีความรู้ในเรื่องของ C(mc2+A) พลังงานก็คือ E คือ Energy
จะบอกว่าใช่ก็ใช่ ส่วนคนที่เขาเข้าใจไม่ได้ก็ไม่เชื่อ มีคนซักมา ก็ภูมิใจ..หลายคนว่าบ้าๆบอๆ เอาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์มาปนกันกับเรื่องของธรรมะที่เป็นปรมัตถ์ จิตเจตสิกรูปนิพพาน เขาก็หาว่าบ้าๆบอๆ เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่องเขาจับอะไรไม่ได้ ส่วนมีผู้ฟังรู้เรื่องอย่างคุณอัมพร ฟังรู้เรื่องเข้าใจแล้วเอาไปปฏิบัติประพฤติได้จริง ก็เลยเห็นความจริงแล้วก็เอามายืนยัน อาตมาก็ว่า อาตมาไม่ได้เสียเวลาเปล่า ไม่ใช่เป็นคนมาหลงผิด
จนกระทั่งเอาชีวิตมาทิ้งทางนี้ มาอธิบายสิ่งที่กำลังอธิบายย่างเข้า 48 ปีแล้ว ก็ยัง ฟิตเปรี๊ยะอยู่ แสดงธรรมไปอยู่อย่างไม่คิดท้อถอยหยุดอะไรเลย ก็จะตะลุยอธิบายไปเรื่อยๆ
เพราะว่า อาตมาเห็นว่า ชีวิตมันไม่มีอะไรดีเท่ากับการรู้จักธรรมะ แล้วเอาธรรมะมาปฏิบัติกับตัวเองให้ได้มรรคผล ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทิ้งงานการ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้เสียเวลาปฏิบัติโดยการปฏิบัติธรรมจะต้องมีเวลาเฉพาะ ไปอยู่กับการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เลย
ตรงนี้แหละเป็นความเห็นที่เสื่อมไปจากศาสนาพุทธอย่างมาก ว่า ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วจะต้องปลีกตัวเองออกจากงานออกไปปฏิบัติ การปฏิบัติของเขาก็คือ อย่างเก่งที่สุดที่เขาปฏิบัติได้มรรคผล ปฏิบัติให้เกิดนิพพานคือการทำให้เกิดสมาธิ
การจะทำให้เกิดสมาธิตามความเข้าใจของกระแสหลัก ของทั่วไป อาตมาว่า คงจะทั้งหมดไม่เหลือหรอก เข้าใจว่าการทำสมาธินี้จะต้องปลีกเวลามานั่ง สะกดจิตเข้าไป จึงจะได้สมาธิ จึงจะได้อธิจิตที่เรียกว่า สมาธิ
คือ นั่งหลับตาแล้วเขาจะทำให้กิเลสมันหมดหรือมันลด เมื่อกิเลสลดหรือหมด ก็ตกตะกอนตกผลึก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...มีคนตอบรับว่าเข้าใจที่พ่อครูพูดและปฏิบัติได้ ส่วนคนทั่วไปนั้นอาจจะไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและไปไกลมากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ เขาก็ต้องตามมาตั้งแต่เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายในการปฏิบัติ เขาเข้าใจผิดว่าที่ทำการไปนั่งสมาธิเป็นทางปฏิบัติ ถ้าอาตมาไม่มาเจอพ่อครูก็คงไปทำอย่างเขาด้วย
พ่อครูว่า...ก็คงไปอย่างว่า มันไม่มีสำนักไหนที่จะมาอธิบายอย่างที่ว่านี้ เอาแต่ละสูตรมาอธิบายขยายความเข้ากันได้หมด อาตมาว่า อาตมาเข้าใจได้อย่างที่ศาสนาพุทธทั้งหมดที่ คุณ ณวมพุทธ รวบรวม อยู่ในหนังสือที่ชื่อว่า ธรรมะพุทธสุดลึก มีทั้งหมวดต่างๆ ในพระสูตรทั้งหลายเอามาทำความเข้าใจแล้ว จะเข้าใจเห็นจริงลงกันได้ทุกอันอย่างไม่ขัดแย้ง ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีขัดแย้งกันทุกอัน มันจะลงกันได้หมดทุกสูตร เป็นแต่เพียงว่ามันจะต่อหรือเรียบเรียงจากอันนี้ไปเป็นผลอันนี้ อย่างไร เอามาเรียบเรียง อาตมาก็มาลำดับวิชชาของพุทธ
สมณะฟ้าไทว่า...แต่ปกติ เขาจะอธิบายจากต้นกลางปลาย แต่พ่อครูสามารถอนุโลมปฏิโลมต้นกลางปลายกลับไปกลับมาได้หมด
พ่อครูว่า...ในทุกวันนี้ อาตมาสงสารศาสนาพุทธ สงสาร ผู้ที่แสวงหา อยากจะได้มรรคผลของศาสนาพุทธ เมืองไทยมีศาสนิกชนอยู่ 95 เปอร์เซ็นต์ของประชากร ผู้ที่สนใจในศาสนาก็จะมีไม่ใช่น้อยแสวงหาอยู่ แล้วก็พยายามค้นหา
ค้นหาผู้เป็นครูบาอาจารย์ ค้นหา ไปปฏิบัติเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อที่ตนเองจะได้ธรรมะ ได้มรรคผลนั้นๆ ก็มีอยู่ส่วนหนึ่งไม่น้อยในจำนวนพุทธศาสนิกชน ส่วนคนที่เป็นพุทธแต่เพียงชื่อว่าเป็นพุทธ แต่ไม่ใส่ใจปฏิบัตินั้นมีมากกว่า ทำมาหากินไปตามประสาเลี้ยงชีวิตเรียกว่าโมฆะบุรุษ ไม่ได้อะไรมาเลย เกิดเป็นศาสนิกของศาสนาแท้
นอกจากไม่ได้แล้วถูกนำพา ถูกผู้ที่ดูแลศาสนาที่เรียกว่าภิกษุหรือในวงการศาสนา
ที่เป็นหมู่กลุ่มหรือเป็นครูอาจารย์นอกจากไม่ได้มรรคผลแล้ว ยังได้มิจฉาทิฐิใส่เข้าไปเรื่อยๆ ศาสนาก็เลยยิ่งเสื่อม เพราะการทำผิดของศาสนิกของศาสนาเอง กับครูบาอาจารย์ที่เป็นมิจฉาทิฐิเข้าใจผิดก็เลยทำให้ยึดถือ ยึดถือความรู้ จนกระทั่ง ยึดถือในผลที่ได้ที่เป็นมิจฉาผล แล้วหลงมิจฉาผล เช่น
หลงว่าเป็นพระอรหันต์ ได้สมาธิได้ปัญญาได้วิมุติ สิ่งเหล่านี้ อาตมาพูดไปแล้วเหมือนข่ม ดูถูกคนอื่นไปหาว่าคนอื่นผิด ตนเองถูกคนเดียว แล้วยิ่งใหญ่เสียด้วยไม่เห็นใครถูกเลยไม่กล่าวถึงคนถูกเลย
อาตมาขออภัยจริงๆที่จะต้องเป็นเช่นนั้นไม่กล่าวถึงคนถูกเลย แต่มีคนที่มีความรู้เฉียดศาสนาพุทธที่เป็นสัมมาบ้าง ก็เลยเอามายกตัวอย่างไม่ได้เพราะว่า บางคน จริงๆ อย่าว่าแต่บางคนเลย เกือบทั้งนั้นเลยที่บอกว่าศีลคืออย่างไร จะต้องปฏิบัติพร้อมไปกับสมาธิ ศีลต้องปฏิบัติไปให้เกิดสมาธิให้เกิดปัญญาให้เกิดวิมุติ แยกกันไม่ได้
อธิบายศีลแล้วจะไปปฏิบัติกับจิตใจอย่างไร ปฏิบัติอธิจิต แล้วเกิดปัญญาอย่างไร จะเกิดวิมุติอย่างไร ไม่เห็นมีใครเขาทำ ไม่เห็นมีใครเขามารวมอย่างนี้เลย ให้เกิดเป็น อิทัปปัจจยตาและปฏิจจสมุปบาท ต่อเนื่องเป็นเหตุปัจจัย เป็นเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย ผล
ซึ่งทั้งโลกเขาเรียนรู้ความรู้อันนี้ เขาก็มี System analysis
มี Input process output outcome impact คือ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แล้วก็ผล เหมือนกัน ก็เป็นหลักนี้ ท่านสอนมาตั้ง 2000 ปีแล้ว แต่วิทยาศาสตร์เพิ่งจะมี System analysis แน่นอนว่า เกิดมาที่หลังที่พระพุทธเจ้ารู้แน่นอน
จิตวิญญาณในศาสนาก็อันเดียวกัน มีเหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แล้วก็มีผลเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ศีลก็ดี สมาธิ ปัญญา วิมุติก็ดี วิมุติญาณทัศนะก็ดี เป็นเรื่องของ สูตร system ระบบของมันที่ต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผล จากสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ครบถ้วน
เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ทุกอย่างได้ผิดเพี้ยนไป ขาดหกตกหล่นขาดวิ่นไปหมดแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน ลำดับวิชชาของพุทธ
อาตมาต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ เอาล่ะ ตอนนี้ก็ขอเอาลำดับวิชชาของพุทธในหมวดแรก มาเริ่มต้นอธิบายแล้วก็ขยายความกันไป
อาตมานำหลักมาอธิบายตั้งแต่ 1-36 ถ้าคุณเข้าใจได้ดีเลย อาตมาไม่ต้องไปลำดับหมวดอื่นหรอก หรือเอาพระไตรปิฎกเล่ม 9 13 สูตร ข้อใดเรียงลำดับไปแล้วเหมือนกันได้ เอาที่อาตมาเรียงไว้ก่อนก็แล้วกัน
ลำดับ“วิชชา”ของพุทธ (ชุด 1)
1. อวิชชาสูตร
เริ่มต้นด้วยการคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ หรือท่านตรัสย้อนกลับว่า...อวิชชามีอาหารคือนิวรณ์ 5 แล้วนิวรณ์ 5 ก็มีอาหาร อาหารของนิวรณ์ 5 ก็คือ ทุจริต 3
เพราะว่าถ้าเผื่อว่า…ถ้าคนอวิชชาไม่รู้จักอาหารก็จะได้อาหารเป็นนิวรณ์ 5 ตลอดเวลา คนไม่ปฏิบัติธรรมก็จะมีนิวรณ์ 5 เป็นกิเลสทั้งหมด กิเลสท่านรวมไว้เป็นนิวรณ์ 5 กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
คนใดที่ไม่ได้มาศึกษาปฏิบัติตามอวิชชาสูตรนี้ พอท่านไล่อาหารไป คนที่จะรู้อาหาร ต้องอาศัยอย่างไร ก็ต้องถอยหลังตามอวิชชาสูตรไปอันสุดท้ายที่ว่า คบสัตบุรุษ
เพราะไม่ได้ฟังสัทธรรม เพราะไม่คบสัตบุรุษ จึงไม่มีอาหารที่บริบูรณ์ ไม่มีอาหารที่เกิดจากการได้ฟังสัทธรรม เพราะไม่คบสัตบุรุษ จึงไม่ได้ฟังสัทธรรม ศรัทธาของคุณจึงไม่บริบูรณ์เป็นความผิดเพี้ยน
ศรัทธาที่ผิดเพี้ยนและไม่บริบูรณ์ก็จะทำโยนิโสมนสิการไม่ได้ โยนิโสมนสิการไม่บริบูรณ์
เมื่อโยนิโสมนสิการไม่บริบูรณ์ก็มีการสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่บริบูรณ์
เมื่อสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่บริบูรณ์ ทุจริต 3 ก็เกิด สุจริต 3 ก็ไม่บริบูรณ์
เมื่ออย่างนี้แล้วคุณก็มีอวิชชามีนิวรณ์ 5 เต็ม เมื่อทุจริต 3 เต็มก็เกิดนิวรณ์
นิวรณ์ก็ทำให้เกิดอวิชชาอย่างหนาเป็นปุถุชน
ปุถุชนจะมีอาหารเป็นนิวรณ์ 5 อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าไม่รู้จักในทุจริต 3 เพราะไม่ได้สำรวมในอินทรีย์ทั้ง 6 เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ เพราะว่าโยนิโสมนสิการไม่เป็น เพราะว่าศรัทธาไม่ถูกต้อง ศรัทธาผิดเพี้ยนไป เป็นศรัทธาขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไปศรัทธาในสิ่งที่ไม่เป็นสัทธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะว่าไม่ได้ฟังสัทธรรมจากสัตบุรุษ
เพราะฉะนั้น พระสูตรนี้ที่หยิบขึ้นมาจึงสำคัญที่สุดอยู่ที่สัตบุรุษ ถ้าไม่มีสัตบุรุษ ทุกอย่างล้มเหลว ก็ย้อนไปที่ สัมมาทิฏฐิ 10 มีสัตบุรุษอยู่ข้อที่ 10
ถ้าหากคบสัตบุรุษก็จะรู้ว่าข้อที่ 1-9 มีสัมมาทิฏฐิอย่างไร
ข้อที่1 ทานอย่างไรถึงมีมรรคผล อาตมาก็พูดเลยว่าในบรรดาอาจารย์ศาสตราจารย์ทั้งหลายในเรื่องศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนทานให้เกิดมรรคผล ทานไม่ถูก ทานไม่ได้ผล
เอาทานสูตรมาอ่าน อธิบายไปแล้ว
ผู้ที่จะทำทานได้ผลจะต้องอ่านจิตเป็น แล้วต้องทำจิต ไม่ต้องให้เกิดความได้อะไรเลย ทานแล้วอย่าได้อะไรเลย ถ้าคุณจะทานแล้วได้อะไร ผิดเลย ไม่มีผล
เมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว ก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติทานให้เป็นอัตถิทินนัง ทานแล้วมีผลจะต้องอ่านจิตเป็น แล้วอย่าให้จิตมันไปอยากได้ แม้มันจะเกิดอาการอยากได้หวังอยู่ว่าจะได้ ก็อย่าให้มันไปทำงานเต็มที่ ถ้าคุณรู้จิตแล้วก็พยายามยับยั้งไว้ อันนั้น เป็นความรู้ที่คุณจะปฏิบัติธรรมได้ ถ้าไม่รู้อย่างนี้แล้ว คุณไปปฏิบัติการทาน
เขาว่า ปฏิบัติทานแล้วจะได้ผลเป็นสวรรค์เป็นอะไรก็ได้แล้วแต่ เมื่อทำจิตไว้เลยว่าขอให้ทานนี้มีผล ผลอย่างนั้นอย่างนี้แล้วสรุปว่า ขอให้ผลเป็นนิพพานด้วย เริ่มต้นด้วยความอยากได้แล้ว ซึ่งจะต้องไม่ตั้งความหวัง ไม่ตั้งความอยากได้อะไรเลยต่างหาก ถ้าคุณยังห้ามไม่ไหวอยู่ก็รู้ว่า ห้ามจิตจะให้มันไปอยากได้ แม้มันถ้าอยากได้ 100% ก็หักห้ามใจไว้ ก็มีส่วนบุญ
ส่วนบุญคือ คุณห้ามจิตไม่ให้มีความอยากต่างหาก ไม่มีความหวังในสวรรค์ต่างหากก็คือบุญ คุณห้ามไม่ให้มีได้ มันอยาก 100% แต่ห้ามได้ 10 ก็อยาก 90 ก็ยังมีส่วนบุญบ้าง
แต่ถ้าไปทำใจอยากได้ ทำทานแล้วคิดอยากได้ร่ำรวยอยากได้มรรคผล ได้สวรรค์นิพพานไปโน่น เป็นการตั้งจิตไว้ผิดยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร มันจะฆ่ากันตลอดกาลนานไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ แล้วมันก็จะมาฆ่ากันไปไม่รู้กี่ตลบ เพราะว่ามันไม่รู้เรื่องหรอกก็จะแก้แค้นกันตลอดเวลาเหมือนกับหนังจีน ก่อนตายก็บอกลููกไว้ว่า แก้แค้นแทนพ่อนะลูก แก้แค้น 100 ปียังไม่สายแค้นนี้ต้องชำระ แล้วเขาก็บอกว่า เป็นหนังที่จะต้องทำให้เกิดเป็นธรรมะ คือ เขาไม่มีความรู้เลยเรื่องนี้ ตั้งจิตไว้ผิดหมดเหมือนกับโจรฆ่าโจร
อวิชชาสูตรหรือสุริยเปยยาลสูตรก็ดี
2. สุริยเปยยาลสูตร...ต้องมีการทำความรู้เบื้องต้นยิ่งกว่าในสัมมาทิฏฐิ 10 คือเป็นหลักใหญ่
1 คุณจะต้องพบกับมิตรดีสหายดี มิตรดีสหายดีคือใคร คือสัตบุรุษ ถ้าไปคบมิตรที่ไม่เป็นสัตบุรุษ ไปคบไปศึกษาด้วยเป็นอาจารย์ แต่เป็นผู้ที่ไม่เป็นความรู้สัมมาทิฏฐิ ก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว เริ่มต้นจะต้องให้มีมิตรที่เป็นสัตบุรุษ ที่เป็นผู้ที่มีความเป็นสัมมาทิฏฐิอย่างแท้จริง
ในอวิชชาสูตรแล้วก็เลื่อนมาเป็นสุริยเปยยาลสูตรก็ยิ่งชัด ชัดที่ว่า ถ้าอวิชชาสูตรนี้เริ่มปฏิบัติ เป็นวิธีปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างไร
ปฏิบัติจะต้องพบสัตบุรุษ แล้วจะได้ฟังสัทธรรม หรือธรรมะที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะได้ปฏิบัติโยนิโสมนสิการทำใจในใจได้อย่างบริบูรณ์
โยนิโสมนสิการบริบูรณ์เพราะว่าคุณทำสติสัมปชัญญะได้บริบูรณ์ถูกต้อง แล้วมีสติสัมปชัญญะได้ไปสำรวมอินทรีย์ 6 ที่อย่างบริบูรณ์
เมื่อมีการสำรวมอินทรีย์ 6 บริบูรณ์ก็จะเกิดการควบคุมกรรม 3 ได้ เกิดเป็นสุจริต 3
สุจริต 3 เกิดได้เพราะว่าคุณจะต้องมีสติปัฏฐาน 4 จัดการ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมได้ คุณก็จะสามารถ เมื่อมีสติปัฏฐาน 4 เกิด มันก็จะเข้าล็อคของโพชฌงค์ 7 ซึ่งมีสติสัมโพชฌงค์
สติสัมปชัญญะของคุณสมบูรณ์ดี พิจารณากายเวทนาจิตธรรม พิจารณาสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์
ก็สามารถแยกแยะกิเลสในสังกัปปะ 7 ขจัดกิเลสออกและกำจัดกิเลส วิจัยจิตเจตสิกตั้งแต่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ แยกกิเลสได้ก็แยกเอากามวิตก พยาบาทวิตกออกได้
อภิสังขารแล้วจัดการเป็นปุญญาภิสังขาร ปุญญะคือการชำระกิเลส คือพลังงานที่คุณสร้าง การเรียนรู้แล้วทำพลังงานจิต Coefficient เป็นพลังงานที่เก่ง สามารถจับกิเลสและมีพลัง กำจัดกิเลสได้ เรื่อยๆ แล้วเกิดอาการเจริญด้วยความมีอัตราการก้าวหน้า
Coefficient อัตราการก้าวหน้า รู้จักรูปรู้จักนาม m คือรูป c คือนาม แล้วรู้ตัวแปรของมันก็คือกิเลส ทำได้แล้วก็เป็น A ส่งผลเป็น c ก็ยิ่งเป็นปฏิภาคทวี ยิ่งเก่ง c คือพลังงานของจิต ผลได้ของจิตก็จะยิ่งเก่งขึ้นทับทวี
สมณะฟ้าไทว่า...ตัว A คืออาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง คือทำให้มากทำให้บ่อยให้ได้ผลมากขึ้น
พ่อครูว่า... ที่สุริยเปยยาลสูตร จะต้องมาก่อนในการปฏิบัติธรรม อวิชชาสูตรนี้เป็นพระสูตรที่สู่การปฏิบัติแล้ว ด้วยการคบสัตบุรุษให้บริบูรณ์ แล้วได้ฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ แล้วก็จะมีความรู้ มีความเข้าใจ มีความศรัทธาเชื่อถือ บริบูรณ์ สามข้อนี้ คุณก็เอาไปปฏิบัติได้ ปฏิบัติด้วยการโยนิโสมนสิการ มีสติสัมปชัญญะ มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
ตัวปฏิบัติในอวิชชาสูตรก็คือโยนิโสมนสิการ มีสติสัมปชัญญะ และ สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 เสร็จแล้ว คุณก็จะรู้ทุจริต 3 กรรม 3 กาย จะมีตัวไหนที่ทำให้กิเลสเกิด วาจามีตัวไหนให้กิเลสเกิด สังกัปปะ มีตัวไหนให้กิเลสเกิด ก็กำจัดกิเลสด้วยสติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 วิชชาและวิมุติบริบูรณ์
ในสุริยเปยยาลสูตร อาตมาเป็นมิตรดี 2.ต้องมีศีล 3.ต้องมีฉันทะ
คุณเองพบกับสัตบุรุษ แต่ถ้าคุณไม่มีฉันทะ แม้คุณจะพบสัตบุรุษ แล้วคุณก็ไปมีศีล แต่คุณไม่มีฉันทะที่จะทำอะไรต่อ ไม่มีอิทธิบาท ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาไม่เดินเครื่อง มันก็ไปไม่ออก เพราะฉะนั้นคุณมาฟังมิตรดีสหายดี หรืออาจารย์ผู้เป็นสัตบุรุษสอน จะให้ปฏิบัติสำคัญอย่างไร
ศีลนั้น ไม่ได้ขาดจากสมาธิหรือปัญญา หรือไม่ได้ขาดจากอธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ ไม่ได้ขาดเลย ศีลอยู่ที่ไหน จะต้องมีพลังงานนี้ ศีลไม่ใช่ทิ้งขว้าง เป็นบัญญัติใช้เฉยๆก็ไม่มีอะไร แต่ต้องรู้ว่าศีลคือหลักเกณฑ์ปฏิบัติ แล้วคุณต้องปฏิบัติ คนต้องอยู่กับศีล ศีลต้องอยู่กับคน ตอไม้ตอไร่เพชรนิลจินดาไม่มีศีลได้ ธนบัตร ดอลล่าร์ มันไม่มีศีลอะไร
ดอลล่าร์ทุกวันนี้เป็นเศษกระดาษที่พิมพ์ขึ้นมา ขอแวะหน่อย
โลกทุกวันนี้ล่มสลาย ยอมให้อเมริกาปั๊มดอลลาร์ไปอาละวาดเต็มไปหมด เขาจะพิมพ์เท่าไหร่ก็พิมพ์ขึ้นมา โดยไม่มีหลักประกันเลยในประเทศ มันเป็นตัวแลกค่าของสมบัติ นะ ธนบัตรนี่
ใครมีดอลล่าร์นี้เอาไปยื่นที่อเมริกาพร้อมกัน เอาสิ่งที่มีค่าราคาเท่านั้นเท่านี้ เอามาแลกกัน จะเป็นทอง เป็นเพชร ข้าว น้ำ แตงกวา ฟักทอง ก็ตีราคามา อเมริกาจะมีให้เขาไหมนี่ แต่ว่าโลกมันโง่ไปทั้งโลก ยอมให้อเมริกาปั๊มกระดาษเศษเปื้อนหมึกมาเป็นดอลล่าร์ บอกว่าเอามาขึ้นเงินเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วก็ใช้เป็นคูปองกันเต็มโลก
อาตมามาในชีวิตนี้ ไม่เคยใช้เงินดอลล่าร์เลยสักดอลล่าร์เดียว ไม่เคยผ่านมือบ้างก็เอาไปให้เขาเปลี่ยน ไม่เคยเอาไปใช้และใช้ไม่เป็นในชีวิตนี้ ไม่กี่ที ที่จะมี ตั้งแต่เป็นฆราวาส ยิ่งเป็นสมณะก็ยิ่งไม่ ถ้าใครก็ตามไม่ได้พบสัตบุรุษผู้ที่เป็นอาจารย์ที่แท้จริงที่สัมมาทิฏฐิก็หมดเลยศาสนาพุทธที่จะปฏิบัติได้
เห็นได้ว่าความล้มเหลวของศาสนาพุทธในสุริยเปยยาลสูตร ข้อที่หนึ่งในคบกับมิตรดีสหายดี เขาไม่คบมิตรดี ก็เลยไม่รู้จักศีล แม้แต่เป็นพระภิกษุก็ไม่รู้จักศีล
จะไปอ่านจากตำราก็ไม่ใช่มิตรดี พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสว่า ตำราคือมิตรดี มิตรดีต้องเป็นคน
ทุกวันนี้ดีที่ยังรู้จักศีล 5 ถึงเหลือเศษของศาสนาพุทธอยู่บ้าง ยังรู้จักศีล 8 ศีล 10
ศีล 10 นี้อยู่ในจุลศีล 26 ที่เป็นตัวปฏิบัติ แต่เขาไม่ได้สำคัญมั่นหมายชัดเจนว่านี่คือศีลโดยเฉพาะพระภิกษุ พระภิกษุภิกษุณีไม่มีศีล มีแต่พระวินัย ถามว่ามีศีลเท่าไหร่ ก็บอกว่า 227 ส่วนจุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 ก็ไม่รู้เรื่อง
เคยมีคนไปถามว่าศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่าเป็นอาริยวินัย ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องหรอก เป็นหลักเกณฑ์ของพระอาริยะ คือไม่แตะต้องแล้วศีล ก็เลยไม่รู้เรื่อง
ศีลข้อที่ 1 2 3 4 เป็นของภิกษุหรือเปล่า พระภิกษุมาบวชก็ต้องเริ่มต้นศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 5 เป็นพระโสดาบัน ศีล 8 เป็นพระสกิทาคามี ศีล10 ก็เป็นพระอนาคามี
แต่ทุกวันนี้เขาท่องบ่นธรรมะพระพุทธเจ้ากันข้ามวันข้ามคืน ท่องธรรมบท 1 ล้านเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระจริงๆ เสียเวลาแรงงาน เสียทุนรอนเปล่าๆ การจะท่องไว้นั้นดี ไม่ผิดหรอก แต่ไม่ถูกเลยในการท่อง ถ้าไม่เข้าใจว่า การจะไปท่องคือได้กุศลได้อะไรก็ไม่รู้ การท่องไว้นั้นเพื่อให้จดจำคำสอนพระพุทธเจ้าได้แล้ว เอาคำสอนนั้นมาทำความเข้าใจปฏิบัติตามคำสอน คำว่า จะเป็นพระสูตรไหนก็แล้วแต่ หรือแม้แต่การท่องปาฏิโมกข์ ก็ท่องไป เพื่อจดจำ แต่ทุกวันนี้มีเครื่องบันทึกแล้วสบาย มีหนังสือเป็นเครื่องบันทึก บันทึกในมือถือก็มีพระไตรปิฎกอยู่ในนั้นหมด จะดูในพระสูตรไหนก็มีเต็มไปหมด ก็ทำความเข้าใจแล้วมาปฏิบัติ
แต่ไม่หรอก ท่องจำเพื่อให้รู้ว่า 1 ข้าเก่งที่ท่องได้ 2 ท่องแล้วให้คนทราบ เขาก็จะถือว่าเป็นผู้รักษาทำหน้าที่เป็นผู้มีธรรมะแล้ว ไปท่องพระสูตรต่างๆ ไปที่บ้านไหนก็เอาไปท่อง พระพุทธเจ้าท่านได้ห้ามแล้วในพระวินัย ทำไมเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้าไปท่องต่อหน้าฆราวาส สวดที่ไหนๆนอกจากในหมู่สงฆ์ เพราะฉะนั้นจะท่องตั้งแต่พระหรือสมณะ 2 รูปขึ้นไปท่องพร้อมกัน จะเป็น 3 รูป 4 รูป 5 รูป นี่เขาจะเอาอะไรไม่รู้มาสวดพร้อมกัน อาบัติกินหัวหนักตั้งแต่สองรูปแล้ว สวดพร้อมกันต่อหน้าฆราวาส
ถ้าจะท่องพร้อมกันเพื่อจำ สังคีติ ในหมู่สงฆ์สมัยพระพุทธเจ้าที่ท่องจำไว้ก็มีคณะที่ท่องจำ ก็ท่องไป เหมือนท่องสูตรคูณ อาขยาน ท่องเพื่อให้จำได้ แต่อย่าเอาไปท่องพร้อมกัน 2 รูปต่อหน้าฆราวาสเป็นอาบัติ ทุกวันนี้นั่งสวดกันก็เป็นอาบัติตลอดเวลาที่ออกไปสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ให้ไปคนเดียวพูดคนเดียวจะท่องขึ้นมาหรือจะอธิบาย คุณก็ต้องมีคนเดียว ท่านบัญญัติหลักเกณฑ์ของท่านไว้รัดรอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สูงสุดไม่เสียประโยชน์
เขาก็ว่าทำแล้วไม่อาบัติหนัก เป็นปาจิตตีย์ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ผิด ก็ยังทำการสวดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นอันไหน เช่นงานศพ ก็ต้องสวดพร้อมกันสี่องค์ขึ้นไป ห้าองค์ แปดองค์ ล้านองค์ยิ่งดี ที่เขาทำกัน แล้วจะออกไปสวดที่ไหนมาบวชพร้อมกันล้านคนในประเทศไทยยังไม่มีเลย อยากจะบวชเล่นกันขึ้นมาเล่นลิเกเลย เอาคนไม่รู้เรื่องมาบวช (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...ในสังคมปัจจุบันก็นิยมบวชกันตั้งแต่เป็นเณรฤดูร้อน แล้วก็นักเรียนมาเรียนมัธยม เห็นไปบิณฑบาต เรียนแล้วไม่เสียตังค์และได้เงินด้วยไม่ต้องทำอะไร
พ่อครูว่า... เขาว่า เป็นกิจกรรมรักษาศาสนาสืบทอดศาสนา จะทำอย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย ที่จริงแล้วคุณจะมาบวชต้องเต็มใจ ซักถามให้หมด นัตถิ 5 อามะ 8 ก่อน เหลือเท่านี้ ก็ท่องให้ได้ก็แล้วกัน แต่ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจกันเลยว่าคืออะไร ผู้จะบวชก็ไม่รู้เรื่อง มันเป็นวิบัติไปหมดแล้ว อาตมาว่า ทุกวันนี้แล้วมันไม่เหลืออะไรแล้วในศาสนา ขออภัย
ที่พูดนี้เหมือนถล่ม แต่ถล่มสิ่งผิด อยากให้เขาสำนึกแก้ไข หยุดเสียที จะไปดันทุรังทำแล้วบอกว่าแก้ไม่ได้แล้ว คุณก็อย่าไปร่วมทำสิ ยอม ผิดก็ผิดก็ทำ ก็เลยฉิบหายก็ฉิบหาย หมดเลย น่าสงสารธรรมะพระพุทธเจ้ามากที่สุด พูดไปแล้วมันอวดดี แต่เลี่ยงไม่ออก
สุริยเปยยาล พบมิตรดี แล้วจะปฏิบัติศีลได้ถูกต้อง หรือจะต้องมีปัญญาด้วย
เช่นศีล 5 ตากระทบรูป ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของ
สัมผัสแล้ว ศีลข้อที่ 1 เมื่อสัมผัสกับสัตว์ อย่าให้มีจิตคิดร้าย ศีลข้อที่ 1
พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา
มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่.
นอกจากจะไม่ฆ่าแล้ว ยังบอกรายละเอียดว่าจะทำจิตใจอย่างไร วางอาวุธวางสิ่งที่จะไปทำร้ายและมีความละอายในจิตของเรา เมื่อคุณสัมผัสกับสัตว์ไป ก็ต้องอ่านจิตของคุณ
สัมผัสสัตว์ใด คุณถือศีลข้อ 1 สัมผัสกับจิตใจแล้วมันร้ายต่อสัตว์เท่านี้ สัตว์มันมากัดเท่านี้ ยุง แหมหน้าเขียวเลย มือเบ้อเริ่มเลย เปรี้ยงไปก็แบนเลย เลือดกระจาย ไม่ละอายต่อสัตว์ที่จะไปฆ่าเขา ฆ่าเขาทำไม เขากินเลือดเป็นอาหารของเขา เป็นคนถ้าจะปล่อยให้ยุงกิน ก็เป็นเรื่องของมัน
สมณะฟ้าไทว่า...เขากลัวเชื้อโรค
พ่อครูว่า...ก็ไล่มันไปอย่าไปฆ่ามัน หวังประโยชน์ต่อมันบ้าง เราก็ชีวิต เขาก็ชีวิต อย่าไปทำร้ายกัน ไม่มีความกรุณา ไม่มีความเอ็นดู ต้องอ่านจิตใจตัวเองว่า
1. เรามีจิตคิดร้ายจะฆ่าไหม ดีไม่ดีหาอาวุธจะฆ่า ไม่เคยนึกละอายเลยว่าอย่าไปรังแกเบียดเบียนกัน มีความกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ สัตว์เซลล์เดียวเกิดขึ้นมาคุณก็ต้องเอ็นดูสัตว์ตัวนั้นแล้ว ยิ่งสัตว์หลายเซลล์ เขาก็เกิดมาเพื่อเกิดประโยชน์ต่อชีวิตเขาอย่าไปตัดรอน อย่าไปฆ่าเขา อย่าไปทำร้ายชีวิตใดๆ
เริ่มต้น ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว สัตว์นี้อาจจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้ ไปตัดรอนเขาทำไม สรุปแล้ว
คุณสัมผัสสัตว์แล้ว ในศีลข้อ 1 คุณอย่าไปทำร้าย ต้องมีจิตเอ็นดูกรุณาต่อทุกสัตว์เล็กน้อยใหญ่อะไรก็แล้วแต่ แต่เราก็ไม่ใช่เกินไป เดินทางไปสัมผัสสัตว์ร้ายเลวเพื่อที่จะพิสูจน์ศีล จะบ้าหรือ มันก็อยู่ในชีวิตสามัญ สัตว์ทั้งหลายก็อยู่ในที่ที่มันอยู่ สัตว์ร้ายก็อยู่ในที่ร้ายๆ
สัตว์ที่ดีก็มีความเอ็นดูเอามาเลี้ยงใช้ประโยชน์เอามาเลี้ยงทำงานบ้างดีไม่ดี เอาสัตว์มาเลี้ยงอย่างลูกหลานเลยมีความเอ็นดูก็เอาล่ะ ไม่ได้ไปห้ามถึงว่าฆราวาสอย่าเลี้ยงสัตว์ แต่เป็นพระภิกษุนี้ห้ามหมดเลยไม่ให้เลี้ยงสัตว์ในศีลห้ามไว้ ในจุลศีล
18. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.
19. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.
20. พระสมณโคดม เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.
แพะแกะ ก็คือสัตว์หมู่หนึ่งที่อาศัย นมหรือขนมัน
ส่วนสัตว์ปีก ไก่และสุกร ก็อาศัยเนื้อมัน
ส่วนช้าง โค ม้า และลาก็เอาไว้ใช้แรงงาน
เป็นตัวอย่างที่เป็นสัตว์เชิงนี้ ว่าอย่าเอามาเลี้ยงมารับไว้ ก็พวกสัตว์หมวดลักษณะต่างๆ เราก็รู้จักเจตนาของศีล ส่วนช้าง โค ม้า ลาก็ใช้แรงงาน ห้ามรับเลี้ยงห้ามมี แต่ก็ไม่รู้
เอ็นดูสัตว์ มันก็เกิดมาตามวิบาก นอกจากไม่คิดร้ายยังมีความเอ็นดูมีความกรุณา หวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่
ไม่ใช่ว่าไปแผ่เมตตาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ขี้หมาแน่ะ! นี่แหละ คนกำลังสร้างเมตตาเมื่อสัมผัสกับสัตว์ ปฏิบัติศีลแล้วจิตใจก็ต้องสำรวม อย่าให้เกิดอาการจิตคิดร้าย ให้เกิดอาการเอ็นดูกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งหลาย แม้แต่สัตว์ร้ายต่างๆ มันจะทำร้ายเราก็ตาม อย่าไปทำร้ายมันตอบ หลบเลี่ยงมันแล้ว พยายามให้อยู่ห่างมัน เป็นคนหลีกไม่ได้ก็ตายให้สัตว์มันฆ่าให้ตายสิ มันโง่นัก
คุณอู๊ดว่า..เฉพาะตัวเองก็ทำได้แต่ว่า เพื่อหมู่มวลหมู่ เช่นปลวกกินศาลาเป็นต้น
พ่อครูว่า...มีคนถามมา ก็เป็นเรื่องที่ยากที่เราจะต้องละเอียดลงไป จะทำอย่างไร
ถ้าคุณเองจะใจดีอย่างนั้นให้ปลวกกินบ้านให้หมด ก็แล้วแต่สิ คุณจะรักษาปลวกยิ่งกว่าบ้านก็ไม่เป็นไร สละบ้านให้ปลวกกิน แต่ถ้าเกิดว่าจำเป็นจะต้องจัดการ แต่ก็ต้องมีวิบาก เพราะฉะนั้นจะให้ดีก็ต้องป้องกัน เวลาจะสร้างบ้านก็เอายาอะไรที่มันกั้นไม่ให้เข้ามา ทุกวันนี้มันมีแล้ว จะทำอย่างไรก็คือต้องพยายามป้องกันไว้ นอกนั้นสุดวิสัยก็ต้องจำนน หรือคุณจะต้องทำร้ายก็ต้องรับวิบาก คุณก็จะต้องจัดการปลวก
ถ้าคุณสามารถจับมันได้โดยไม่ให้มันตายแล้วเอาไปปล่อยที่ไหนก็ดี
คุณอู๊ดว่า...ถ้ามีผู้ใหญ่บอกให้ทำ
พ่อครูว่า...ผู้เสียสละนั้นมี เพราะช่วยกันไปก็เป็นวิบากซึ่งเป็นเรื่องละเอียดมาก เป็นประเด็นเล็กน้อย มีเจตนาดีมีใจกรุณาเอ็นดูหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ก็ดีแล้ว แม้จะต้องจำนนที่จะต้องทำ เอาออกไป ก็ต้องกำจัดออกไปบ้าง
จะถามให้ตอบเปรี้ยงๆสำหรับสิ่งละเอียดลึกซึ้งนั้นไม่ได้หรอก
กำลังอธิบายว่า แม้แต่ศีลข้อที่ 1
ศีลข้อที่ 2 สัมผัสกับของใดที่ไม่ใช่ของเราก็อย่าไปเอา อย่าเอาเป็นของเรา มันเป็นบาปเวร อกุศล ถ้าเป็นสิทธิของคุณก็ว่าไป แต่กระนั้นก็ดี คุณจะสัมผัสกับสัตว์กับของคุณก็อ่านใจของคุณ สรุปลงไปแล้วก็คือ สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายภายนอกแล้วกิเลสคุณเกิด มันคือเนื้อแท้อันนี้ เป็นรูปร่างตัวตนที่ต้องสัมผัสของที่มันใหญ่
แต่ความละเอียดก็คือจิตใจ คุณสัมผัสสิ่งเหล่านี้แล้วเกิด กาม พยาบาท
คุณก็จะต้องรู้ว่าสัมผัสแล้วเกิดกาม พยาบาท นั่นต่างหากที่คุณจะต้องรู้อันนี้ ทำจิตใจให้อย่าเป็นอกุศล อย่าให้กิเลสกินตัวมากขึ้น ให้กิเลสมันลด สัมผัสเมื่อไหร่ให้กิเลสมันลดลงไป นี่คืออธิจิตหรือสมาธิ
อย่างลืมตาปฏิบัติแล้วก็รู้ตัวว่าจิตเราเกิดกิเลส ยังลืมตานี่แหละ มีสติ มีธัมมวิจัย รู้ มีปัญญา สัมผัสแล้วรู้ว่ากิเลสเราเกิด นั่นคือปัญญารู้กิเลสเกิด แล้วก็ลดกิเลสได้ มีวิธี วิธีปฏิบัติคือพิจารณา ถ้ากดข่มไว้ก่อนคือสมถะ หากวิปัสสนา รู้เห็นเป็นปัญญารู้เห็นอย่างแท้จริง พิจารณาซ้อนลงไปว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยง เกิดอาการเกิดอารมณ์ไปที่เวทนา แล้วมีเหตุคืออกุศลจิตที่จะทำให้เกิดเวทนา
เวทนาคือปฏิบัติแล้วต้องอ่านที่เวทนา สัมผัสอะไรก็ต้องอ่านที่เวทนา เวทนาเป็นกรรมฐานเดียวของศาสนาพุทธ ไม่มีกรรมฐานอื่น
ศาสนามันเสื่อมไปว่าปฏิบัติสมาธิจะต้องไปเพ่งกสิณ 40 อย่าง อย่างนี้ผิด
สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่จะพิจารณา เรียกว่าฐานแห่งการปฏิบัติ ฐานแห่งการกระทำ จะทำอะไรปฏิบัติธรรมก็คือที่เวทนา แล้วเวทนาท่านก็แยกไว้ 108 เวทนา 2 3 5 6 18 36 108
ถ้าเข้าใจอาการของจิตเจตสิก ในลักษณะเวทนา 108 แล้วทำให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะตรงที่ทำได้ก็คืออ่านเวทนาเป็น แล้วรู้องค์รวมของเวทนาเรียกว่า มันปรุงแต่งเป็นวิจารหรือปวิจาร หรือเรียกว่ามโนปวิจาร 18 ปรุงเป็นเคหสิตเวทนา 18 ถ้ามันเกิดจากตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ 6 ทวาร สมใจทวารใดก็จะเกิดความสุข เวทนาสุขทุกเวทนา หรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้
ความสุขความทุกข์ก็คือเกิดจากจิตที่เป็นอกุศล เกิดจากกามพยาบาท ก็วิจัยในจิต จิตที่มันทำให้เกิดอารมณ์อาการความรู้สึกที่เรียกว่าเวทนา ก็จะวิจัยลงไปว่ามีอกุศลตัวไหนเกิดก็กำจัดเหตุตัวนี้
เมื่อกำจัดได้ด้วยวิปัสสนา หรือสมถะ จิตจางคลายลดลงได้ ถ้ากำจัดปล่อยให้มันเกิดอาการก็ชั่วคราวเป็นสมถะกดข่มไว้ แต่ถ้าพิจารณาแล้วมันเกิดปัญญาว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เราสัมผัสแล้วเกิดอาการ กาม พยาบาท
กามก็ไม่เที่ยง พยาบาทก็ไม่เที่ยง จริงๆแล้วมันไม่มีตัวตนของกามและพยาบาท เป็นอรหันต์แล้วตัวตนของกามและพยาบาทมันไม่เกิด
พระอรหันต์สัมผัสอะไรก็แล้วแต่ สัมผัสสัตว์ก็ไม่เกิดพยาบาท กาม หรือวิหิงสาใดๆ กิเลสที่ละเอียดขึ้นไปอีกเป็นวิหิงสา หมดกาม พยาบาทก็เหลือวิหิงสา เป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ก็กำจัดกิเลสเหล่านั้น
ปัญญาก็รู้รอบรู้แจ้งรู้จริงทุกอาการทุกสภาพสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นเวทนา องค์ประชุมของรูปนาม เรียกว่ากาย เรียกว่าเวทนา เรียกว่าจิต แล้วก็จัดการให้มันทรงไว้ซึ่งธรรมะที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเกิดอีก จิตใจเราก็เป็นจิตที่ทรงไว้ คือจิตสะอาด เป็นอรหันต์คือมีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ทรงไว้ทรงอยู่ สิ่งที่มันไม่ใช่ธรรมะทรงได้อย่างสะอาดที่เป็นกิเลสไม่เกิดอีก
คนที่ยังเปิดอยู่ก็ต้องรู้ว่าจิตใจเรามีเหลือเศษ ก็ต้องกำจัดให้หมดจนกระทั่งแข็งแรง อเนญชา มันไม่เกิดอีกแล้ว ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ตลอดเวลาตลอดกาลเป็นเนกขัมมะสิตอุเบกขา
ปริสุทธาบริสุทธิ์ ปริโยทาตา กระแทกกระทบสัมผัสก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4
ปฏิบัติด้วยแล้วก็ยิ่งเก่ง แววไว มุทุ ทั้งเก่งในการรู้ทัน อาการเกิดในใจเป็นกายเวทนา จิต ธรรม ยิ่งทำให้มันไม่เกิดอย่างถาวร ไม่มีกิเลสตลอดกาลแล้วก็ยิ่งชัดเจน สัมผัสก็ไม่เกิดกิเลส เป็นเองเรียกว่าตถตา มันเป็นเองเลย ไม่ต้องไปมีสติสัมปชัญญะอะไร ในตัว ก็ชัดเจนในสติมันรู้ทันหมด กิเลสเข้าไม่ได้เลยเป็นอัตโนมัติ เรียกว่าตถตา
ที่อธิบายไปตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ท่านตรัสเป็นภาษาบาลีอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาหยิบมาขยายความ มันเป็นความรู้ที่อาตมามีมาแต่เดิม ทำความเข้าใจของอาตมาก็ได้อธิบายขยายความไป ตามที่อาตมาเข้าใจอย่างจริงใจ ว่าอย่างนี้ไม่ผิด ที่เขาทำกันนั้นผิด ก็พูดตรงๆในความถูกผิด
สิ่งที่ผิดมันมีเยอะ ที่ว่าผิดนั้นผิดจริงๆ แล้วสิ่งที่ถูกก็ว่าถูกคุณด้วยความจริงใจ ถ้าอาตมาบอกในสิ่งที่ผิดเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นกรรมวิบากของอาตมา แล้วอาตมาจะมาทำบาปใส่ตัวเองตลอดเวลาได้อย่างไร อาตมาว่าจะไม่พูด แม้ผิดทีหนึ่งก็เป็นบาปทีหนึ่ง เป็นอกุศลอยู่ในจิตของเรา ก็เป็นวิบากของเราไป เราก็ต้องรับผลของเรา
ในสุริยเปยยาลสูตร ท่านบอกว่า ถ้าไม่รู้จัก 7 อันนี้ได้อย่างถูกต้อง ก่อนแล้วจึงได้ไปปฏิบัติธรรมเป็นมรรคมีองค์ 8 เป็นทางเอกทางเดียวไม่ใช่เป็นอื่น แล้วก็ไม่ใช่หลับตาปฏิบัติแต่ปฏิบัติอย่าง มรรค 7 องค์แล้วจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่หลับตาแล้วเกิดเป็นสัมมาสมาธินั้นไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า สมาธิเกิดจากหลับตาทิ้งองค์ 7 ไม่ได้ แต่
ปฏิบัติ ด้วยสัมมาทิฏฐิ มีการคิด พูด ทำ ทำอาชีพ อย่างสัมมาทิฏฐิ
ทำสัมมาอาชีวะพ้นวิชาชีวะ 5 พ้น มิจฉากัมมันตะ 3 พ้นมิจฉาวาจา 4 พ้นมิจฉาสังกัปปะ 3 ปฏิบัติได้ครบหมดก็ไม่มีบุญไม่มีบาป
อาตมาบอกว่า บุญนี่เป็นพลังงานปัจจุบัน เป็นพลังงานที่คนทำพลังงานบุญนี้ให้เกิด ให้เป็นเครื่องมือเป็นพลังงานที่จะ เป็นอุณหธาตุมีอินทรีย์มีพลัง (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย สุริยเปยยาลสูตร
พ่อครูว่า...สัตบุรุษก็คือจะมาก็จะได้ฟังสัทธรรม ฟังแล้วก็จะได้รู้ศีล แล้วจะเกิดฉันทะ เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้ปฏิบัติตาม คุณก็เชื่อถือขึ้น แล้วก็จะเข้าใจตอนนั้นเป็นองค์ที่ 4 ของสุริยเปยยาล คืออัตตา จะรู้ว่าอัตตาเป็นเช่นนี้ อ่านจิตตนออก ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา กระทบสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบกับสัตว์ กระทบกับของ คุณก็เกิดกาม เกิดพยาบาท แล้วคุณก็จัดการ
เมื่อกระทบนั่นแหละจะเกิดของจริงเป็นปัจจุบัน คุณก็สร้างพลังงานบุญ เรียกว่าปุญญาภิสังขาร ให้มันชำระกิเลสนั้นให้ได้ เพราะบุญมีหน้าที่ชำระกิเลสอย่างเดียว กิเลสในสันดาน ล้างให้หมด สันตานังปุนาติ วิโสเทติ
บุญมีหน้าที่ชำระกิเลสจากสันดานให้บริสุทธิ์หมดจดทั้งนั้น
แต่บุญนี่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธไม่เข้าใจกันแล้วในพลังงานบุญ ไม่รู้จักกันแล้ว จะไปเข้าใจว่าบุญคือกุศลคือความดีงาม แต่ไม่ใช่ บุญไม่ใช่ความดีงาม แต่บุญคืออาวุธร้าย เป็นพลังงานเท่านั้น เกิดในปัจจุบัน คนทำพลังงานให้เป็นบุญ นั่นแหละคือคนปฏิบัติธรรม
พอเกิดพลังงานนี้เป็นอุณหธาตุที่มีพลังงานสูงกว่าไฟราคะโทสะโมหะ จึงสามารถจัดการไฟราคะโทสะโมหะ เป็นพลังงานที่เป็นไฟกองใหญ่มีพลังงานร้อนแรง เป็นฌาน ฌานคือไฟกองใหญ่ เผา ฌาปนกิจ เผากิเลส กิเลสตายบุญก็หมดหน้าที่
การไม่เข้าใจคำว่า บุญ จึงไม่เข้าใจส่วนบุญ ทำบุญจนได้เป็นส่วนๆ ได้บุญเป็นส่วนๆนั้นคือเราเสียเป็นส่วนๆ ได้นั่นแหละคือเราเสีย เสียนั่นแหละคือเราได้ กำจัดกิเลสออกไปส่วนหนึ่ง เป็นเสขบุคคล กิเลสมี 100 เราชนะกิเลสได้ 20 ได้ 50 อันนั้นคือเราเป็นบุญ บุญไม่ได้ได้อะไรมาเลย ไม่ได้สะสม มีแต่เอาออก มีแต่ทำร้ายกิเลส กิเลสหมดก็หมดหน้าที่ของบุญ พระอรหันต์ทุกคน ไม่ใช่เป็นผู้มีบุญเลย ถ้ายังมีบุญอยู่ไม่ใช่ผู้ที่เป็นอรหันต์
คำว่าบุญ อาตมามีหลักฐานในพระบาลีว่า
1. คำว่าบุญโดยตรง คือเครื่องชำระ เขาก็เข้าใจผิดแล้ว
เมื่อสร้างบุญให้มาทำหน้าที่ ให้เป็นพลังงานที่จะไปกำจัดกิเลส จัดการกิเลสเรียกว่าอภิสังขารเพื่อให้เกิดบุญ กำจัดกิเลสหมดเป็นอปุญญาภิสังขาร สัมผัสต่อไปก็จะมีแต่สั่งสมอเนญชาภิสังขาร สั่งสมความแข็งแรงตั้งมั่นเป็นอเนญชาของอุเบกขา 5
ถ้าไม่เข้าใจบุญแล้วก็อธิบายอภิสังขารผิด เช่น อธิบาย อปุญญาภิสังขารว่าเป็นบาปทั้งที่หมายถึงไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว บุญมีหน้าที่กำจัดบาป เมื่อบาปหมดแล้วก็ไม่ต้องทำบุญอีก เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ถูกต้องไม่เป็นอภิธรรม ไม่เป็นปรมัตถ์ไม่เป็นธรรมะที่ถูก ก็จะอธิบายไม่เหมือนอาตมา
2. เมื่ออภิสังขารทำได้ส่วนๆ เป็นปุญญภาคิยา ปุญญภาค เมื่อเข้าใจบุญไม่ถูกต้องก็เลยเข้าใจว่าส่วนของบุญคือกุศล ปฏิบัติแล้วเกิดผลเป็นคุณงามความดีอย่างนั้น ไม่ใช่ การเข้าใจส่วนบุญเป็นอย่างนี้ เลยแบ่งกันได้ บุญกลายเป็นสมบัติเป็นข้าวของ
มี ญาติธรรมว่า...จะขออธิบายพลังงานบุญเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้เตรียมไมค์ไว้
พ่อครูว่า...เมื่อเข้าใจบุญไม่ถูก ก็จะเข้าใจสัพพะปาปัสสะอะกะระณังไม่ถูก ในโอวาทปาติโมกข์ 3 ข้อนี้ เป็นธรรมะที่บรรลุสมบูรณ์แบบแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว
เมื่อสมบูรณ์ บุญก็ไม่มี บาปก็ไม่มี ถ้ายังมีขันธ์ 5 ยังไม่ตายก็จะมีแต่กุศล ก็เข้าใจไม่ได้แล้ว เข้าใจบุญไม่ได้ ผู้ที่ สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ก็คือผู้ที่สิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
คำว่า ปุญญปาปปริกขีโณ เขาเข้าใจไม่ได้เลยคำว่าสิ้นบุญสิ้นบาป เขาจะอธิบายกันเละเลยบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย มันจะสิ้นบุญสิ้นบาปอย่างไร ก็แสดงว่าอรหันต์ไม่มีบุญ แต่เขาก็จะว่า เป็นอย่างไร? เขาจะงง ตัวเขาเอง
ยิ่งถ้าเป็นโพธิสัตว์เขาจะยิ่งไม่เข้าใจ โพธิสัตว์ที่พ้นระดับ 4 แล้วเป็นอรหันต์ขึ้นไป ก็ไม่มีบุญแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้ฟังไปจะเป็นเรื่องที่แปลกหูไม่เคยได้ยิน มันล้มล้างกับที่คนอื่นเขาพูด เขาก็บอกว่าตำราไหน ก็ขอยืนยันว่าเป็นตำราพระพุทธเจ้า ถ้าอธิบายไม่ตรงกับอาตมา คนนั้นอธิบายผิด พูดอย่างนี้จะหมั่นไส้ก็ขออภัย
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ได้ฟังธรรมะอันลึกซึ้งที่พระครูได้อธิบาย อวิชชาสูตร และสุริยเปยยาลสูตร ที่สำคัญคือต้องคบกับพ่อครู แล้วปฏิบัติธรรมได้บรรลุธรรมลดละกิเลสได้แน่นอน เพราะคบคนอื่นก็ไม่เห็นมีใครประกาศว่าลดกิเลสจนบรรลุธรรมได้ แน่ๆก็ไม่พูดก็ไม่รู้ขึ้นใจเป็นศาสนาเดา
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 19:59:56 )
รายละเอียด
601201_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชธานีฯ คนจนที่โลกต้องการเป็นเช่นไร
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 ที่ราชธานีอโศก เป็นวันใหม่ของเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี 2560 เป็นวันขึ้น 13 ค่ำเดือนอ้าย อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 5 ธันวาคม ก็เป็นวันสำคัญของแผ่นดิน เป็นทั้งวันพ่อเป็นทั้งวันชาติ และสหประชาชาติก็กำหนดให้เป็นวันดินโลกด้วย เพราะว่าเขาได้ทำงานที่ในหลวงได้พยายามช่วย ฟื้นฟูดินแก้ปัญหาเรื่องดินต่างๆ ก็เลยกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมเป็นวันดินเพื่อมนุษยธรรม ในหลวงได้ทรงงานมาเพื่อมนุษยชาติ
วันที่ 5 ปีนี้ที่บ้านราชฯ จะมีกิจกรรม ปีนี้เราจะลดโรงบุญฯลงเล็กน้อย เพราะเราจะไปช่วยกันที่อุทยานบุญนิยม ก็จะมีเปิดโรงบุญฯ และเป็นวันที่เราจะเปิดตัวตลาดประชารัฐ เป็นประเภท Green Market ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยบายเปิดตลาดประชารัฐ ที่จะมาช่วยคนฐานราก คนรายได้น้อยให้ทำมาหากินและสร้างเนื้อสร้างตัวได้
ที่อุทยานบุญนิยมของเราก็เป็นที่ให้ชาวไร่ชาวนาได้มาขายพืชผักผลไม้ไร้สารพิษมาหลายปีแล้ว เราได้ทำมาก่อนรัฐบาลเสียอีก เราจะมีตลาดประชารัฐ 2 แห่งคือที่อุทยานบุญนิยมและที่ เฮือนบวร ซึ่งจะเปิดตัวที่อุทยานบุญนิยมในวันที่ 5 ธันวาคม จะเปิดตัวตลาดประชารัฐที่เฮือนบวรวันที่ 31 และในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 จะมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คืออ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร จะมาเปิดงานเพื่อฟ้าดิน
โครงการตลาดประชารัฐก็เป็นโครงการเพื่อประชาชนก็คิดตรงกันกับรัฐบาล พ่อครูให้สร้างอาคารใหญ่ถึง 11 ไร่ ก็เพื่อช่วยเหลือประชาชนเช่นเดียวกับรัฐบาล อย่างไรวันที่5 ธันวาฯ เราจะไปช่วยกันอุดหนุนตลาดประชารัฐ ที่อุบลฯก็มีอยู่ 10 กว่าแห่ง
วันนี้พ่อครูก็เร่งงานจนอาการจะเป็นหวัด
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สัมประสิทธิ์อายุยืนของพ่อครู
พ่อครูว่า...อาตมาเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ อาตมากำลังพิสูจน์หรือสร้างพลังงาน Coefficient พลังงานสัมประสิทธิ์ ที่เป็นพลังงานของจิตของอาตมา อาตมาเข้าใจเรื่องทางจิตมากกว่าทางรูปธรรม ทางรูปธรรมทางไอน์สไตน์ทางวิทยาศาสตร์เขาทำกัน แต่ทางจิตนั้นอาตมาทำ แต่โครงสร้างมันล้อเลียนกันได้ เอามาใช้ร่วมกันได้ มาจนถึงวันนี้ก็คงพอเข้าใจและทำได้ตาม
อาตมาพยายามที่จะเพิ่มพลังงานสัมประสิทธิ์หรือ Coefficient เพื่อจะต่ออายุไขของตัวเองให้พัฒนาไป ก็มีคนคอยติดตามคอยสังเกต ดูความจริงนี้จะเป็นไปได้แค่ไหน อาตมาก็ทำมาจนถึงวันนี้แล้ว ทุกคนก็พอรู้พอเห็นผ่านปีมาอายุ 84 แล้ว ที่อาตมาบอกว่า อายุขัยอาตมา 72 ตอนนี้ผ่านมา 12 ปีก็เป็นอีกหนึ่งนักษัตร ก็จะไปอีก ถ้าเผื่อว่าอาตมาอายุมากไปได้อีกจะเห็นอีก 12 ปีข้างหน้า อีกนักษัตร ถ้าเผื่อว่าอาตมาทำได้จริง อาตมาน่าจะแข็งแรงมากกว่านี้หนุ่มมากกว่านี้ เพราะว่า Coefficient เป็นอัตราการก้าวหน้าตั้งแต่ระดับคูณเป็นต้นไป ระดับบวกไม่ใช่อัตราการก้าวหน้าของ Coefficient
ถ้าเป็นเหตุปัจจัยของ E=C(mc2+A) อันนั้นคือเหตุปัจจัยส่วนประกอบองค์ประกอบของ Coefficient แม้องค์ประกอบจะเป็น +A แต่ตัว c เล็กนี้ยกกำลัง แม้ตัว C เป็นตัวคูณ
มีเงื่อนไขของพลังงานสัมประสิทธิ์ coefficient นั้น จะต้องมีเงื่อนไขหลักเลยว่าต้องเป็นตัวเร่ง หรือตัวแปรมีน้ำหนักระดับคูณขึ้นไป ไม่ใช่แค่บวก
บวก คูณ ยกกำลัง การคูณ เป็นปฏิภาคทวี ไม่ใช่แค่เสมอหรือไม่ใช่แค่บวก แต่เป็นคูณแล้วจะยกกำลัง มีน้ำหนักไปทางปฏิภาคทวี ไม่ใช่มาทาง ชรตา มาทางเสื่อมหรือลด หรือแค่บวก ที่ไปช้าๆก็ไม่ใช่ ถ้าพิสูจน์ได้ตอนอายุ 96 ก็ยิ่งดีกว่านี้ อีกนักษัตร ถ้าเป็นถึงร้อยยังแข็งแรงดี อย่างน้อยถ้าร้อยอาตมาก็ยังเท่านี้ได้ ประมาณนี้ แน่นอนอาตมาก็แข็งแรงแน่นอน ดีไม่ดี ที่มันรวนเรในตัวเอง ตามวิบาก ความเจ็บป่วยทางพยาธิ ก็ลดลงไปได้ แน่นอน จะพิสูจน์แบบนี้ได้ทีเดียว ดีไม่ดี Nobel prize ได้เลยนะ ว่า นี่เป็นความจริงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ยืนยันที่ เขาต้องยอมรับเลย
แม้คนเดียวก่อน พวกเราก็จะต้องตามมา ไม่ใช่แค่คนเดียว อาตมา ท่านองค์นี้ก็ถึงร้อยบ้าง อาตมาว่าโอ้โห คิดว่าตัวเองจะถึงร้อยไหม?
สมณะเดินดินว่า...อยู่แค่ถึง 60 ก็ดีแล้วครับ
พ่อครูว่า...แสดงว่าตอนนี้เก่งเหมือนกัน เลย 60 แล้วก็ใช้ได้
ก่อนจะได้เริ่ม ก็โอภาปราศรัยกับ sms
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน ธรรมะต้องเป็นจิตนิยามเป็นต้นไป
_Mongkol Nath · ทำไมพระพุทธเจ้า จึงไม่ทรงอนุญาต ให้พระภิกษุอวดอุตริมนุษยธรรม ทั้งมีจริงและไม่จริง ก็เพราะทรงให้รักษาพระศาสนา มากกว่ารักษาคน ถ้าพูดเรื่องการบรรลุธรรม ซึ่งเป็นค่านิยมสูงสุดในพระศาสนา จะทำให้คนมาสนใจที่ตัวบุคคล ไม่สนใจธรรมะ
สรายุทธ บุญญโก · Mongkol Nath ธรรมะคือรูปกับนามอันทรงไว้ในร่างกายอันกว้างศอก ยาววา หนาคืบ ของมนุษย์เรานี้ พูดถึงธรรมก็คือพูดถึงคน
พ่อครูว่า... ธรรมะคือรูปกับนามที่ทรงไว้ในร่างกายอันยาววาหนาคืบกว้างศอกร่างกายนี้ คำว่าธรรมะนี่ ต้องมีนามธรรม ต้องมีคน ธรรมะต้องอยู่ที่คน ธรรมะอยู่ที่แตงกวาหรือต้นไม้ ธรรมะอยู่ที่ดินหรืออยู่ที่อะไรไม่ได้ อุตุนิยาม หรือพีชนิยาม เป็นธรรมะไม่ได้
เพราะมันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่สังเคราะห์กันอยู่ โดยไม่ได้อยู่เหนือธาตุองค์ประกอบ สังขาร คุณต้องรู้องค์ประกอบเหล่านั้น และต้องสามารถรู้ทั้งจำนวนและคุณภาพ ถึงขั้นนามธรรม จิตนิยามที่คุณจะควบคุมได้ ถ้ายังคุมไม่ได้ มันทรงไว้ชั่วคราวแล้วเปลี่ยนแปลงไปมันก็ไม่ได้ทรงไว้ มันเป็นอนิจจัง แล้วมันก็จะไปหาศูนย์ หรือมันก็วนเวียน
อนิจจังแม้ไม่ 0 ก็วนเวียนมากน้อย น้อยมาก ต่ำๆสูงๆทุกข์ๆสุขๆอยู่ตลอด ถ้าเป็นจิตนิยาม จิตนิยามนี้จะไม่สามารถนิพพานเอง ถ้าเป็นอัตภาพแล้ว ธาตุความหลงที่มากกว่า พีชนิยามแล้ว จิตนิยาม ที่มีอัตตาแล้ว มันจะหลงตัวตน พีชะมันเริ่มมีตัวตนเป็นพลังงานที่มีตัวมันเอง ISH แต่มันจะไม่หลงตัวตน เหตุปัจจัยไม่ครบมันก็สลายไป แล้วมันก็ไม่มีตัวเชื่อมต่อข้ามชาติ ไม่มี ไม่มีกรรมไม่มีวิบากอะไร
แต่จิตนิยามขึ้นไป เป็นสัตว์มันไม่ยอมละลายตัวเอง มันจะมีตัวพยาบาทมันจะมีตัวรัก มีตัวตนที่จะต้อง ตอนแรก แน่นอนต้องโง่ก่อน จิตนิยามต่ำๆก็โง่อวิชชา มันไม่รู้มันก็รักตัวตนของมัน ไม่สามารถสลายได้เลย จนกระทั่งจำนน นั่นคือศาสนาเทวนิยมไม่สามารถสลายตัวเองได้ จิตวิญญาณเป็นนิรันดรอยู่กับพระเจ้า ทำให้ดีที่สุดสูงสุดก็ไปอยู่กับพระเจ้าแล้วก็จบ
บางศาสนาก็มีวนเวียน มีอวตาร มีลงมาเกิดในโลกมนุษย์ใหม่แล้วก็กลับไปอยู่กับพระเจ้า บางศาสนารู้รอบเดียว มาเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าทำคุณงามความดีได้ก็จะอยู่กับพระเจ้า แต่ถ้าทำไม่ดีพระเจ้าก็ไม่เอา ก็ส่งลงนรก ก็แล้วแต่ความรู้แต่ละศาสดา แต่ละศาสนามันจะมีอยู่ประมาณอย่างนี้
สรุป คำว่าธรรมะนั้น จะต้องหมายถึงจิตนิยาม ขึ้นไป โดยเฉพาะต้องมีคน จิตนิยามสัตว์ก็เป็น แต่ถ้าจะเป็นธรรมะที่จะพูดเรื่องธรรมะ อธรรมะ ต้องเป็นคน แม้เป็นคนที่ยังอเวไนยสัตว์ สัตว์ที่ยังรู้ธรรมะสอนธรรมะให้ไม่ได้ ถ้าเจริญก็มีได้ธรรมะแค่โลกียะ 1. ดีสูงสุดแล้ววนลงต่ำ เทวนิยม ไม่มีการสลายอัตตาได้
2. ควบคุมจิตวิญญาณตัวเอง มีความสามารถที่จะให้สูงให้ต่ำอนุโลมได้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างยิ่งได้
_สมถวิล บาลเวช มีอาการเบื่อๆเซ็งๆ ถามตัวเองเกิดอะไรขึ้น ติดแป้นใช่ไหม ไปไม่เป็นใช่ไหมเริ่มเดินต่อตรงไหนดี แล้วก็บอกตัวเองว่า เพิ่มอธิศีลดีไหมเอาข้อไหน ที่สุดเอาสังกัปปะ7
บวกศีล ตามกามกับโทสะ คิดคืนที่แล้ววันนี้ก็ยังเอาไม่ทันอยู่ พูดด้วยจิตปฏิฆะไม่เมตตาเท่าที่ควร
เสพความอร่อยในอาหารที่เป็นสักกายะ ส้มผัก หวงอาหารบางอย่างลวกผักนึ่ง
มันผิดหมดทั้งห้าข้อเลย จะเลื่อนออกจากแป้นไดัไหมนี่ ถามตัวเอง แต่ก็จะฝึกต่อไปค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูงแค่รายงานการปฏิบัติธรรมนะคะ
พ่อครูว่า...เอาน่าอย่าไปแข็งกร้าวกับมันนัก ดูๆมันไปก่อน ไม่ฝึกก็ต้องฝึกแล้วอายุ 67 แล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน ตัดรอบพระโสดาบันตรงไหน
_ฝากฟ้า . จากการตอบแบบสอบถาม เกณฑ์ตรวจสอบความเป็นพระโสดาบัน
ชุดที่ 1 เรื่อง ความเป็นผู้มีศีล 5 บริสุทธิ์
ชุดที่ 2 เรื่องญาณ 7 ของพระโสดาบัน
มีญาติธรรมหลายท่าน(รวมทั้งนักบวช) ปฏิบัติธรรมมานาน บางท่าน ทิ้งบ้านมาอยู่ในชุมชนกว่า 30 ปี เป็นคนขยัน มีความรับผิดชอบงานของหมู่กลุ่ม จิตมั่นคงต่อเส้นทางที่พ่อครูนำพาทำ รับผิดชอบงาน ความเป็นผู้มีศีล 5 บริสุทธิ์ ก็ไม่ต่ำกว่า 85 %
แต่พอมาตอบคำถาม ชุดที่ 2 เรื่องญาณ 7 ของพระโสดาบัน ตรงคำถามที่ว่า” รู้ตนว่ามีผล ได้บรรลุแล้ว (ระดับโสดาบัน)” ก็ไม่ยืนยัน 100% ว่าตนเองเป็นพระโสดาบัน
....กราบเรียนถามพ่อครูว่า เราจะตัดรอบความเป็นพระโสดาบัน ตรงไหนคะ?
พ่อครูว่า...จะวัดที่จิต เราวัดที่จิตเป็นสมาธิก็ต้องนับปัญญาและวิมุต เป็นเงื่อนไขหลัก สมาธิต้องมีปัญญาและวิมุต ถ้ามี ปัญญาและวิมุตตามฐานะของศีลอย่างไรแค่ไหน
โครงสร้างใหญ่ๆศีล 5 เป็นพระโสดาบัน ศีล 8 สกิทาคามี ศีล10 อนาคามี ศีล จุลศีล ถ้าดูคุณภาพแล้ว 20 ข้อได้ ก็น่าจะเป็นอรหันต์แล้ว ถ้าบรรลุทั้ง 26 จุลศีล เชื่อมั่นว่าบรรลุพระอรหันต์แน่ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโลก 26 ตัวนี้เกี่ยวข้องกับอะไรต่างๆนานาทั้งคนและสัตว์ที่ต้องสัมพันธ์เกี่ยวข้อง แล้วมันทำให้เราเกิด จิตที่ต้องเกิดทุกข์เกิดสุขหรือเกิดกิเลสไม่เกิดกิเลส
เพราะฉะนั้นมีผู้จะทำสิ่งที่เป็นเครื่องวัด เดี๋ยวนี้เก่งวิชาการหลักเกณฑ์ก็ใช้ได้
ถ้าไม่มีปัญญาอ่านอาการ ลิงค นิมิต ก็น่าเห็นใจ ระดับโสดาบันก็จะอ่านไม่ชัดเจน สกิทาก็ง่องแง่ง คนจะเป็นอนาคามีขึ้นไปถึงจะอ่านจิต เจตสิก รูป นิพพาน อ่านปรมัตถธรรมได้ชัดเจนกว่า มันก็ยาก ขนาดบรรลุอรหันต์สายเจโตก็ยังอ่านจิตตัวเองไม่เก่ง
อาตมาว่า สายเจโตมาเรียนรู้กับพวกเราได้ยาก ถ้าพวกเราเป็นสายเจโตเต็มๆจริงๆคนจะมากกว่านี้เยอะ แต่นี่สายปัญญา ยาก ยากๆมาก ถ้าเจโตนี้สองต่อเลย ถ้าตักกจริตวิตักกจริต ก็ 4 ต่อ ขึ้นไป
ก็ถามว่าจะตัดรอบความเป็นโสดาบันตรงไหน ก็เอาหลักการพระพุทธเจ้ามา
1. เอาศีล
2. สมาธิมันก็ไม่มีหลักการอะไร นอกจากจะรู้โครงสร้างของจิตเป็นสมาธินั้น คือจิตที่ไม่มีกิเลส ตัดตรงจิตไม่มีกิเลสชั่วคราว ไม่มีกิเลสถาวร ในเหตุปัจจัยต่างๆ เช่นผัสสะกับสัตว์ต่างๆ เราไม่มีโทสะโลภะ ไม่มีราคะอะไรกับสัตว์หรือข้าวของที่ไม่ใช่ของของเรา เราก็ไม่มี สำหรับพระโสดาบัน
คนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว จิตใจตัวเองเป็นจริงๆเลย ในโลกไม่มีภัยแม้แต่สัตว์ เพราะฉะนั้นพิษภัยต่อมนุษย์ก็ไม่มีแน่ ของที่ไม่ใช่ของของตน เราก็ไม่เป็นภัยแล้ว เพราะฉะนั้นคนๆนี้ปลอดภัย ไร้ภัยต่อสังคมโลกมนุษย์ จึงเป็นหลักประกันที่ชัดเจนมาก ก็คนอย่างนี้เป็นจริง กลับกลอกไม่ถือเป็นผู้บรรลุธรรม ของศาสนาพุทธต้องไม่กลับกำเริบได้แล้วได้ถาวรยั่งยืน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ก็วัดไปตามโครงสร้างศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หลุดพ้นหรือไม่
_SMS วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
_0015"แบบคนจน" มีหลักการและวิธีการปฏิบัติอย่างไรครับ
พ่อครูว่า..โปรดติดตามอย่ากระพริบตาเป็นเรื่องยาวเรื่องนี้เพราะคนจนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่และสังคมโลกกำลังเข้าใจ วันนี้จะพูดถึงเรื่องคนจนทั้งรายการ เดี๋ยวรอสักครู่
_3867 บุญที่พ่อครูสอนคือการขัดจิตเกลาใจชำระกิเลสให้จิตใจสะอาดสว่างสงบ พ่อครูบ่ได้สอนลำพังหมู่กลุ่มเดียว!มีพ่อหลวงฯสอนบุญคือการดับทุกข์ในจิตสร้างสุขในใจทรงสอนลูกไทยให้สงบสุขด้วยจิตไร้ทุกข์ใจไร้กิเลสตรงตามบุญถูกทางไปสู่ความสุขสงบสันติเหมือนกัน
พ่อครูว่า..จริง ท่านทรงทำเป็นรูปธรรมมาก ส่วนอาตมาทำทางนามธรรม
อาตมาเป็นผู้นำเรื่องโพธิสัตว์มาขยายในเมืองไทย เถรวาทไม่พูดถึงเรื่องโพธิสัตว์เพราะจะเอาแต่อรหันต์ เรื่องโพธิสัตว์ไม่รู้เรื่องประโยชน์ตนไม่พูดเรื่องประโยชน์ท่านซึ่งมันผิด อรหันต์ต้องมีความสมดุลประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ได้เป็นอรหันต์แล้วส่วนใครจะเป็นโพธิสัตว์ก็ได้
พระโสดาบันก็เป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 สกิทาคามีก็มีความเป็นจริงของฐานจิต Static เป็น status quo ของตน เป็นปัจจุบันของตนเป็นปรากฏการณ์ฟิโนมีน่า ไม่ใช่เอาแต่นึกเอาหรือไปขบคิดในภพ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน รับจำนำข้าวเปรียบกับขาดทุนคือกำไร
_0015 โครงการ"รับจำนำข้าว" ทำให้รัฐขาดทุน สามารถเข้ากันได้กับทฤษฎี"ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา" ได้บ้างไหมครับ
พ่อครูว่า..ประเด็นที่ว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเราเป็นเรื่องสำคัญ ในหลวงเป็นผู้ตรัส เป็นนัยที่ในหลวงทรงหมาย เคยตรัสไว้ ตรัสถึงว่า รัฐต้องขาดทุนให้ประชาชน นั่นคือกำไรของรัฐบาล รัฐคือทั้งประเทศ รัฐบาลคือคณะบริหาร แต่ละคณะๆ จะเป็นขนาดไหนก็คือรัฐบาลนั้นๆ มีใครเป็นหัวหน้า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลสมชาย รัฐบาลสมัคร อะไรก็ว่าไป
รัฐบาลต้องขาดทุนให้แก่ประชาชนนั่นคือกำไรของรัฐบาล แต่การกระทำ คือรัฐบาลเช่นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือ การปฏิบัติของรัฐบาล ที่ทำการขาดทุนนั้น คือการเอาเงินของรัฐ มาขาดทุนให้ประชาชนประมาณ สองแสนล้านห้าแสนล้าน แต่คนของรัฐบาลพากันขี้โกงไปเสียเป็นจำนวนมาก ไม่ไปถึงมือประชาชนที่บริสุทธิ์ เขาทำอย่างบริสุทธิ์ไม่เป็น เขาอม ตรงนี้ต่างหากเล่าคือความจริง
พิจารณาตัดสินเข้าคุกก็คือประเด็นตรงนี้ว่าคุณโกง คุณอม คุณกินเงินรัฐ ถ้าคุณเอาเงินรัฐ จะล้านๆ ก็เอามาให้ประชาชนหมดเลยก็ไม่เป็นไรไม่ผิดหรอก แน่นอนประเทศชาติกำไรรัฐบาลก็กำไรคุณทำถูก แต่นี่คุณ อาตมาขออภัย อ่านวจีสังขารเร็วหยาบ ขออภัยขอพูดให้ฟังว่าอาตมาเป็นคนหยาบไม่ใช่เล่น คุณเป็นคนยัดห่า หรือว่าคุณรับประทานไปเท่าไหร่ พวกนักการเมืองที่บริหารเงินนั้น นี่ต่างหากคือประเด็น เรื่องนี้คุณจะต้องละเอียดกว่านี้หน่อย อาตมาพอรู้ทันบ้าง
คุณกับอาตมาต่างชื่อมงคล เหมือนกัน แต่คนละเรื่องคนละอย่างกันแล้ว เข้าใจความละเอียดต่างกัน ก็เอาล่ะ มันเป็นความเข้าใจของคุณ คุณเข้าใจอย่างนั้น ถ้าคุณจริงจังก็เรื่องของคุณ อาตมาไม่เถียงกับคุณ อาตมาเข้าใจอย่างนี้ก็บอกความต่าง ต่างคนต่างเข้าใจต่างกัน
สมณะเดินดินว่า...ความจริงน่าจะบอกว่า การขี้โกงของเราเป็นคุกตะรางของเรา
พ่อครูว่า...ตอบย้อนได้ดีมาก ประเด็นที่คุณเข้าใจจึงเป็นประเด็นที่ทำความผิด ทำให้คนหนีหมายจับตอนนี้ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่หลายคน ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากการเอาเงินมาแล้วหลอกลวงประชาชนว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
สื่อธรรมะพ่อครู(อวดอุตริมนุสธรรม) ตอน อวดอุตริมนุสธรรมให้ทำได้ไหม
_Mongkol Nath · พระสงฆ์ห้ามพูดอุตริมนุษย์แก่อุปสัมบัน
พ่อครูว่า..แค่นี้ก็พลาดแล้วพระสงฆ์ไม่มีห้ามอวดกับอุปสัมบัน มีแต่ห้ามอวดกับอนุปสัมบัน
อาตมาแปลอนุปสัมบันคือผู้ไม่มีภูมิพอไม่เดียงสาจะรู้เรื่องได้ พูดไปเสียของไม่ดี ต้องพูดกับผู้ที่คุยรู้เรื่องได้ เป็นอุปสัมบัน แต่เขาก็แปลอุปสัมบัน คือผู้ที่บวชเป็นพระครองจีวรห่มเหลืองแล้ว แต่ฆราวาสคืออนุปสัมบัน ก็เข้าใจคนละเรื่องกับอาตมาแล้ว
อาตมาก็เข้าใจก็แล้วกันว่าคุณคงประสงค์ว่าห้ามอวดอุตตริมนุสสธรรม กับอนุปสัมบัน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ขอยืนยันว่าผิดอีก ถ้าสงฆ์จะพูดกับอุปสัมบันได้หมด คือผู้ที่มีภูมิรู้กันได้ แต่พระสงฆ์มีเงื่อนไขวินัย ไม่เอาวินัยไปใช้กับฆราวาส แต่พระสงฆ์มีรูปธรรมต้องถือวินัยข้อนี้ ไม่เช่นนั้นจะรักษาสถานะของศาสนาพุทธไม่ได้ พระสงฆ์ถ้าไม่มีวินัยเลยไม่ได้
ก็ขอยืนยันว่า พระสงฆ์อวดอุตตริมนุสสธรรมได้ ไปอ่านโลหิจสูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่ว่า
โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”
พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง
(พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358)
ในพระสูตรนี้ไม่ได้พูดถึง อนุปสัมบันหรืออุปสัมบันด้วยซ้ำ แค่ถ้าผู้ใดมีความเห็นว่าไม่ควรบอกผู้อื่น ก็มีคติไปเป็นเดรัจฉานหรือสัตว์นรก ไปทบทวนให้ดี แล้วยังมีเงื่อนไขว่าถ้าจะบอกก็ควรมีเงื่อนไขบ้าง ถ้าเป็นสมณะภิกษุท่านมีหลักอยู่ แต่ถ้าเป็นฆราวาสไม่มีเงื่อนไขนี้ เพราะว่าฆราวาสไม่ถือพระวินัย อย่างนี้เป็นต้น
เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องของการทำให้ศาสนากลายเป็นศาสนาเดา ว่าผู้บวชแล้ว เมื่อเป็นผู้บรรลุแล้วไม่ควรจะบอกใคร บอกไม่ได้ก็เลยเดากัน เพราะความเข้าใจผิดกันตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เลยกลายเป็นอาริยะ เดาหมด ไม่เป็นอาริยะที่ทุกคนประกาศได้ บอกตัวเองได้ยืนยันได้ มีหลักการประกาศไม่ได้เลย เพราะเมื่อไม่บอกก็ต้องพูดหลักการ ขยายความ อาจจะพูดได้บ้างสำหรับผู้ฉลาด สรุปแล้วเลยเป็นศาสนา ที่งมคลำเดา ต่างคนต่างประพฤติเอาก็แล้วกัน
ถ้าจะพูดโดยรวมก็เพราะว่า มันกั้นคนชั่วได้ดีมาก บรรลุแล้วอย่าบอกใคร แต่ไปกั้นความดีที่ใช้ไม่ได้เลย ถ้ากั้นคนชั่วก็กันได้ดีมาก แต่ไปเสียที่ไปกันคนดีด้วย เลยไม่รู้ว่าคนไหนดีจริงๆ ก็เลยกลายเป็นเดาเลอะไปหมด
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เถยยจิต กับ สาเฐยจิต ต่างกัน
_Mongkol Nath · เถยยจิต แปลว่าจิตคิดจะลักสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของตน ท่านเข้าใจผิดแล้ว
พ่อครูว่า...คำว่า สาเฐยยะ มันมีอาการจิตอยากโอ้อวด แม้มีจริงก็ยังมีอยาก อวดได้ไหม อวดได้แต่อย่าอยาก อวดโชว์แสดงอย่าอยาก ต้องอ่านอาการของความอยากให้ละเอียด มันอยากอวด ถ้ามันไม่อยากอวดมันต้องการให้คนอื่นรู้เท่านั้น เพราะฉะนั้น สาเฐยยจิต จิตอยากอวดคืออยากดัง อยากให้คนอื่นรู้ว่าตนเองมีอำนาจในความดีงาม มีความสูงส่ง อวดดีให้คนเข้าใจ แต่คนที่แสดงความดีนั้นให้คนอื่นรู้ อวดคือแสดงโชว์ แสดงออกไปแล้วจิตมันไม่มีความเป็นตนเหมือนกับการแสดง
คนฟังเขาจะชมเชยเราหรือไม่ ดีไม่ดีเขาติด้วย คนฟังเขาติเขาว่า อย่างอาตมาไม่ได้คำชม ได้แต่คำติ คำชมได้น้อย แต่อาตมาไม่ใช่ masochism ไม่ใช่ sadism สรุปคือจิตไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนมา แม้แต่คำชื่นชมสรรเสริญ หรือจะเอายศศักดิ์ฐานะก็เป็นสาเฐยจิต อยากได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
คำว่าเถยยะคือจิตคิดลักของ เป็นขโมย แต่ว่า คำว่า สาเฐย คือจิตอยากอวด คนละอย่างกัน
_ประภา ชุ่มมงคล · ถ้าดิฉันไม่เจอธรรมของพ่อครูชีวิตนี้คงจะดิ่งลงเหวและจมอยู่กับทุกข์หรืออาจจะอกแตกตายไปแล้วก็ได้ค่ะ ชีวิตดิฉันเจอแต่เรื่องหนักๆส่วนใหญ่คู่ครองดิฉันฟังและเข้าใจธรรมพ่อครูจึงมีสติยอมรับในชะตากรรมของตัวเองและพยายามไม่ทำบาปไม่ทำเลวไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะตัวเองเจ้าค่ะขอกราบขอบพระคุณคำสอนของพ่อครูมากเจ้าค่ะ.สาธุ.สาธุ.สาธุ
SMS วันที่ 28 พฤศจิกายน 2560
_8647 เมื่อก่อนจะใด้ยินคนเฒ่าคนแก่พูดว่าหมดบุญก็คือคนแก่ตาย ก็แย้งในใจตลอดว่าไม่ใช่เป็นเพียงการหมดอายุไขเท่านั้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าหมดบุญคืออะไร แต่พอมาฟังพ่อครูอธิบายจึงกระจ่างแจ้ง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน จะพบเจออาจารย์ที่สัมมาทิฏฐิได้อย่างไร
SMS วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560
_2166 นอกจากพ่อท่านแล้ว ท่านอาจารย์โกเอ็นก้า, หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ จะนับว่าเป็นสัตบุรษ หรือมิตรดี ได้ไหมครับ? ท่านโกเอ็นก้าท่านก็บอกว่าจะมาเป็นผู้กอบกู้พระพุทธศาสนา ท่านจึงได้กลับไปประเทศอินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดของบรรพบุรุษของท่าน ขอถามพ่อท่านว่ามีความเห็นอย่างไรครับ? เท่าที่ดูแล้วท่านโกเอ็นก้าอินเตอร์กว่าพ่อท่านนะครับ?
พ่อครูว่า..อาตมาไม่ได้ไปต่างประเทศเลย เคยไปแค่เชียงตุง ออกนอกประเทศก็เท่านั้นออกไปครั้งเดียวเอง อาตมาในจิตใจไม่คิดจะไปต่างประเทศเลย ไม่อยากไปต่างประเทศเลย เมื่อย เดินทางในประเทศเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยจะเดินทางแล้ว ถ้าไม่มีความจำเป็น ใครมีอะไรก็มา อย่าให้ไปเลย ขอรักษาตัว ถ้าอายุ 100 ดีกว่านี้ไป ถ้าไม่ดีขึ้นก็ขอทำ Coefficient ให้ตัวเองก่อน เดี๋ยวนี้แม้แต่นั่งรถยนต์ก็เวียนหัวแล้ว
ยกตัวอย่างท่านโกเอ็นก้า, หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ต่างก็มีความเป็นตนมีของตนไป แล้วเชื่อมั่นในของตน ก็เป็นธรรมดาของแต่ละคน แล้วต่างก็ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ต่อสังคม ที่จะให้ได้สิ่งที่ตนเชื่อว่าถูกต้องของตนให้แก่คนอื่น
จึงต่างเชื่อว่า ต่างคนต่างทำตามความถูกต้องของใครของมันให้คนในศาสนาได้เข้าใจในสิ่งที่ตนเชื่อมั่น มันก็เป็นลักษณะของแต่ละคนจริงๆ มันก็ต่างคนต่างรับได้และเห็นดีได้โอกาส ได้คบคุ้นคบหาเห็นด้วยเห็นดี ถ้าได้คบหาคนเดียวก็แน่นอนรับคนเดียว ถ้าสองคนก็เลือกดู อันไหนเป็นธรรมวาที จะฟังทั้ง โกเอ็นก้า, หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ หรือโพธิรักษ์ก็เลือก อ้อ ของติช นัท ฮันห์ ดีก็เลือก ฟังแล้วของท่านโพธิรักษ์เข้าท่าก็มาเอาหรือท่านโกเอ็นก้า ก็ดีก็เอา
ท่าน โกเอ็นก้า มีสติปัฏฐานแต่เน้นนั่งสมาธิหลับตา
ท่านติช นัท ฮันห์ นั้นจะมีนั่งสมาธิหลับตาแต่ก็มีสติปัฏฐานมากกว่า
ส่วนของอาตมานั้น ลืมตาทำสติมากกว่าไปนั่งหลับตา หรือ แม้แต่ไม่นั่งหลับตาเลย ก็บรรลุอรหันต์ได้ ของอาตมาไม่หลับตาเลยก็บรรลุอรหันต์ได้ แต่ถ้าสัมมาทิฏฐินั่งหลับตาก็เป็นอุปการะมากช่วยได้ เป็น status เป็นตัวฐานที่ทำให้จิตเรารวมตัวได้เก่งได้เร็ว เป็นฐานรับรองเป็นต้นทุนพลังงานบวกได้ดี ได้เร็วด้วย แข็งแรงมากด้วย เป็นอุปการะมาก ก็ควรจะทำ จริงๆแล้วคนไม่มีฐานตัวนี้เลยทำได้ยาก ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีฐานนั้นปฏิบัติได้ยาก ถ้ามีฐาน พลังบวกพลังนิ่งแข็งแรง เหมือนคุณหมุนลูกข่าง หากฐานไม่ดี ลูกข่างของคุณจะไม่มีวันหมุนแล้วนิ่ง เหมือนกินน้ำจั้น คือหมุนเร็วแล้วนิ่งอยู่กับที่ด้วย ภาษาอีสานเรียก กินน้ำจั้น ภาษาภาคกลางคือลูกข่าง นอนวัน
ต้องนิ่งแข็งแรง จึงกินน้ำจั้นได้ ที่จริงจะมีแรงเหวี่ยงมีตัวแปรตัวประกอบ ในแรงเหวี่ยง มีวงของมันใน protoplasm มีวงรังสีออกไป มีฐานดูดไว้แล้วห่างไปค่อยจางลงไป ตามต้นทุนที่มีแรงหมุน มีความดึงดูดของโลก ของแกนกลางโลกหมุน ไม่ว่าจะเป็นลูกโลกลูกไหน หรือแรงหมุนของอะไร
ทีนี้ ต่างคนต่างเข้าใจต่างเชื่อมั่น โกเอ็นก้า, หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ หรือแม้แต่คนไหนก็ไม่มีปัญหาอะไร มีหน้าที่ช่วยมนุษย์ก็ช่วยกันไป ให้มีสัมมาทิฏฐิมาก
คนที่ไปเชื่ออาจารย์ที่มีสัมมาทิฏฐิมากก็ดีไป คนที่มีสัมมาทิฏฐิน้อยกว่าก็ดีน้อยกว่า คนที่มีสัมมาทิฏฐิน้อยก็น้อยลงไปอีก หากไม่สัมมาทิฎฐิแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ซวยหน่อย เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ทุกคนก็มีปัญญาของตัวเอง บางคนอาจใช้คนอื่นแนะนำเชื่อคนอื่น ให้คนอื่นเป็นตัวนำก็ต่างไป บางคนก็เชื่อมั่นตัวเอง ดีนะ แต่ถ้ามันเชื่อผิดก็เสียเวลาเยอะ
จริงๆแล้วของใครที่ถูกแท้ตรงกับของพระพุทธเจ้าก็เอาตรงนี้ ที่ถูกแท้คือ ที่ตรงกับของพระพุทธเจ้า คนนั้นเรียกว่าสัตบุรุษ แล้วสัตบุรุษก็เป็นมิตรดีที่แท้
แล้วใครจะตัดสิน มีหลักอะไร ที่จะตัดสินว่าใครตรงกับของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาก็พึ่งพาพระไตรปิฎกตัดสิน พึ่งพาคนไม่ได้ สำหรับอาตมานะ อาตมาเอาพระไตรปิฎกเป็นหลักตัดสิน พระไตรปิฎกฉบับนี้แหละ ฉบับสยามรัฐ ที่มีอยู่ แปลเป็นไทย บาลี อาตมาก็แปลไม่เก่ง ท่านทั้งหลายที่แปลมานี่แหละ อาตมายังขอบคุณที่ท่านแปลพยัญชนะสู่พยัญชนะได้ดีมากเลย อาตมาได้ใช้มากเลย 80 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็มีน้อยมากเลยที่เห็นว่าไม่เข้าท่า อาตมาก็เอาพระไตรปิฎกเป็นตัวหลักเกณฑ์ที่ตัดสิน ตัวบุคคลอาตมาไม่เห็นว่าใครจะตัดสินได้ อย่างคุณเอาใครตัดสิน
อาตมามั่นใจ จะใช้พระไตรปิฎกฉบับนี้แหละไม่ใช้ฉบับอื่น ตลอดชีวิต 151 ปีนี้เพียงพอ ไม่ต้องไปเอาพระไตรปิฎกฉบับของจีนฉบับของอะไร ของจีนมีตั้ง 300 เล่ม นี่เรามี 45 เล่มเอง เอาแค่นี้ก่อน รับรองว่าบรรลุอรหันต์ อาตมายืนยันได้ว่าอระหันต์เป็นอย่างไร บรรลุ อ่านจิต เจตสิก รูป นิพพานออก อาการทุกข์สุขเวทนาเป็นอย่างไร มันมีอาการเป็นอย่างไรหรือมันไม่มี อย่างถาวรยั่งยืนตลอดกาล ต่อการผัสสะต่างๆ คือผัสสะอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณหลับตาจะรู้ได้อย่างไรว่าขึ้นหรือไม่ขึ้น ต้องผัสสะตลอดเวลาเป็นประจำ บางทีสะกดจิตตัวเองได้เป็นชั่วครั้งชั่วคราว ถ้ามันยังล้างกิเลสได้ไม่หมด มันก็ยังมี ดีไม่ดีระเบิดตูมเลย
ถ้าใครยังไม่ยอมรับพระไตรปิฎกฉบับนี้แหละ ต่างคนต่างเชื่อถือกันไป ก็อิสระเสรีภาพ เอาแต่พระไตรปิฎกเล่มนี้คุณเชื่อไหม ถ้าคุณไม่เชื่อ แล้วคุณเชื่ออะไร ไม่เชื่อที่อาตมายอมรับเป็นหลักใหญ่ ก็คงพูดกันไม่รู้เรื่อง
อาจารย์อื่นใดก็แทบทั้งนั้น มีทั้งอินเตอร์และเป็นที่ยอมรับต่างๆ อย่างท่านติช นัท ฮันห์ ก็อินเตอร์กว่าอาตมาเยอะ อาตมาก็อยู่ในเมืองไทยเท่านั้น อาตมาไม่คิดมาก ใหญ่ในคลองเท่านั้นไม่ต้องเป็นใหญ่ในทะเล อาตมาขอน้อยแค่นี้ได้แค่ใหญ่ในคลอง ทำแค่นี้อาตมาพอใจ คนอื่นจะอินเตอร์ น่ายอมรับ อาตมาก็ไม่ได้แปลกอะไรก็เข้าใจดีอยู่ เขายอมรับนับถือกันก็ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะของใครที่จะเป็นโลกียะมาก หรือเป็นโลกุตระมาก นี่ต่างหากเป็นสัจธรรม ก็ต้องมาศึกษาให้เห็น ความต่างของโลกียะกับโลกุตรธรรม
อาตมาเอาตรงโลกียธรรมกับโลกุตรธรรม โลกียะมีคนมากแน่นอน ส่วนโลกุตระนั้นมีคนน้อยกว่าแน่นอน อยู่ในประเทศไทยเป็นหลักนะ อาตมาไม่มีพลังงานไปต่างประเทศได้มาก ไม่ทำแบบเตี้ยอุ้มค่อม ขอช่วยแค่คนเตี้ยก่อน ส่วนคนค่อมก็ขอให้คนอื่นไปช่วยก่อน ช่วยทั้งเตี้ยและค่อมอาตมาทำไม่ไหว อาจจะดูเป็นคนใจแคบแต่ที่จริงแล้วเจียมตัว เพราะว่าเรื่องของศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องเอาจริง อาตมาเน้น Quality ไม่เน้น Quantity ไม่เอาปริมาณเป็นเอก เอาเนื้อแท้เป็นเอก
สมณะเดินดินว่า...เหตุผลที่ โลกียะมีมากเพราะไม่ทวนกระแส โลกุตระนี้ทวนกระแส
พ่อครูว่า...เอาง่ายๆ กำลังพูดเข้าสมัยเข้ายุค
โลกุตระนั้นกระแสต้องมาอยากจน มุ่งมาจน ตั้งใจจน เต็มใจจน มาจนกันจริงๆจังๆ มาจนกันอีหลีอีหลอ ใจมันจะชัดเจนเลยว่าไม่เอาหรอกไปรวย มันจะเลิกไปรวย จริงแล้วมันจะมีขีดความรวยความพอ เพราะฉะนั้นคนมาอยู่ในที่นี้ อาตมาว่าเลยนะ ว่าอย่างนี้ คนมาอยู่เป็นสมาชิกชุมชนชาวอโศก ไม่มีเศรษฐีพันล้านหมื่นล้านหรอก ใครจะแอบมีก็ไม่รู้นะ แต่อาตมาว่านะ ไม่มี
ถ้ามีก็ไม่อยู่เป็นสุขอะไรหรอก มีแต่เศษสวะ ไม่ใช่เศรษฐี มีน้อยกว่า ร้อยล้านนี่อาตมาก็ว่าจะมีสักกี่คนที่มาเห็นดีเห็นชอบแล้วมาช่วยเหลือเฟือฟาย ชาวอโศกจะไม่มีคนมีสตางค์มาเป็นแม่ยกพ่อยก ไม่หรอก คนร้อยล้านขึ้นไปนี่ไม่มี ชาวอโศกนี่ไม่มี มีแต่เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ทยอยมาแล้วก็ช่วยกันไป เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่พูดหาเสียงหลอกล่อ
อาตมาภูมิใจตัวเองที่อยู่กับคนจน แล้วเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านเก็บเล็กผสมน้อยเอามาทำงานได้ขนาดนี้ เรียกว่าพอกระทบไหล่ดาราก็ยังไม่ถึงดีหรอก กระทบเอวดาราได้
คนโลกีย์โลกๆ ถึงฟังอาตมาเข้าใจได้ยาก ไม่ค่อยศรัทธา ไม่ค่อยเชื่อ ไม่ค่อยซาบซึ้งใจอะไรหรอก เพราะมันสวนกระแสใจ ทวนกระแส เขายังเป็นโลกียะไม่หันกลับ ไม่มาเอา
ของเรานี่ทวนกระแสหันมาเอา โลกียะกับโลกุตระนั้นมีจุดแบ่ง นี่ไปโลกียะ นี่ไปโลกุตระ
เราพาไปโลกุตระ แม้คุณจะไปไกล เราค่อยๆทิ้งมา หรือคุณอยู่ทางนี้ก็ค่อยๆวางออกปล่อยออก อย่างนี้จริงๆ คุณต้องมาเดินกับเรามาอยู่กับเราจึงจะเดินกับเรา ไม่ได้บีบบังคับใครจะมีร้อยล้านพันล้านหมื่นล้านแสนล้านมาอยู่ร่วมกับเรา ก็มีคนมีร้อยล้านบ้าง แต่พันล้านก็แวบๆ เขาก็มาพยายามมา นั่นจิตเขามาแล้ว แต่เขาก็ยังรัก ตามภูมิก็เป็นของเขา แต่จิตใจรู้แล้วว่าจะต้องมาเอาจน แต่เขายังจนไม่ลง จนยังไม่หมดไม่มาก เขาก็พยายามมาจน มันเป็นสัจจะอย่างนั้นเลย เป็นความยินดีที่จะจน
คนที่ยินดีจะมาจนจะต้องมั่นใจในประเด็นสำคัญก็คือ มาจนแล้วนี่ 1. คุณจะอยู่รอดไหม 2. ถ้าคุณจะไม่ได้สิ่งที่คุณเสพเป็นสุข คุณจะยอมปล่อยไหม คุณจะหันกลับไปทุกข์อีกไหม ตอนนี้ก็พอทนได้ แต่คุณจะหันกลับไปทุกข์อีกไหม
เขาจะต้องตัดสินของเขาเอง เพราะว่าเรานี้บอกความจริงทุกอย่าง เป็นชาวอโศกหลายผู้คน เงินทองไม่มีติดตัวสักบาท บางคนมีติดตัว 10 บาท 20 บาท 100 บาทบางคนมี 1000 แต่ไม่ตกใจไม่เดือดร้อน เชื่อมั่นในหมู่กลุ่มเชื่อมั่นตัวเองว่ามีกินมีใช้เท่านั้นเท่านี้รอดอยู่รอด อยู่อย่างหมู่เขาอยู่นี่อยู่รอด
ผู้ที่มั่นใจแล้วว่ามาอยู่ทางนี้จะถูกคัดกรองฝึกฝนมาก ก็จะมารวม มาเป็นสมาชิกประจำ ก็จะมีสมาชิกประจำกับสมาชิกจรมาก ประจำน้อย จรมาก
ซึ่งมันมีความถาวรปึกแผ่นมั่นคง ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันแตก เป็นเอกีภาวะ รวมตัวกันเป็นกลุ่มของคนเหล่านี้จริง อยู่ได้ อาตมามั่นใจว่าตายไปแล้วพวกเราก็อยู่ เพราะพวกคุณเป็นจริงแล้ว Axiom เป็นของแท้แล้ว จริงแล้ว มันมีสัจจะของมันอย่างนั้น
ประเด็นของมันก็คือ ทวนกระแสหรือไม่ทวนกระแส ต้องอ่านสภาพนี้ให้ออก
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญา(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..พ่อครูว่า ให้เอาพระไตรปิฎกเป็นตัวตัดสิน เราจะเห็นได้ว่า อย่างของโกเอ็นก้าหรือติช นัท ฮันห์ แต่ละคนต่างมีอัตโนมัติของตัวเอง ไม่ได้เอาพระไตรปิฎกมาใช้ เพราะว่ามันใช้ยากเป็นเรื่องขัดเกลา การที่มีคนศรัทธานับถือพระดัง ๆ เพราะไม่ได้ขัดใจอะไรใครแต่สามารถสนองกิเลสเขาได้ บางคนบอกว่าอาจารย์คนนี้ดีเพราะตลกก็จะได้ไปฟังตลก อาจารย์คนนี้แจกดอกบัววิเศษ อยากได้ดอกบัวก็ไปกับอาจารย์นี้ หรือไปนั่งหลับตาจะได้สวรรค์ก็ไปกับอาจารย์นี้ แต่ถ้าถามว่ามากับชาวอโศกได้อะไร ก็บอกว่าไม่ได้อะไร
พ่อครูว่า...มีธรรมะโลกุตระนะ
สมณะเดินดินว่า...คนที่มาอยู่กับชาวอโศกนั้นไม่ได้คิดว่าจะได้อะไรกลับไป ชวนแบกปุ๋ย มาทวนกระแส แล้วการทวนกระแสนั้นสอดคล้องกับพระไตรปิฎกไหม พระพุทธเจ้าก็บอกหลักตัดสินพระธรรมวินัย 8 ประการ วรรณะ 9 กถาวัตถุ 10 มันสอดคล้องหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้ก็เป็นตัวตัดสินได้ว่า มันตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ไหม
พ่อครูว่า...ของอาตมาคนฟังส่วนใหญ่ เข้าใจไม่ค่อยได้ เพราะว่าเขายึดถือแล้ว เป็นความยึดถือแล้วของคนไทย ส่วนใหญ่เลย คนไทยทั้งหลายเขาได้ยึดถือแล้ว ในวงการของศาสนายุคนี้เขาก็มีอธิบาย ที่แต่ละความเห็นแต่ละทฤษฎีแต่ละอาจารย์ แต่ของอาตมานี่ มันเป็น ของอาตมา มันใหม่มันแปลก ไม่เหมือนกับอาจารย์ใดๆที่เขาศรัทธายึดถือกัน แต่อาตมามาแก้ความยึดถือกัน มาแก้มาคลาย มาเปลี่ยนความยึดถือแล้วของเขา อันนี้ยาก ไม่ง่ายเลย อาตมาต้องอุตสาหะมากเลย
ประเด็นความยึดถือแล้วของเขา อาตมาต้องแก้ตรงนี้ นั่นคืออุปทาน เป็นอภินิเวสายะ อาตมาแปลว่า ลงหลักปักแหล่ง สร้างบ้านเรือนเลย มีการลงเสาเข็มยาวใหญ่หนัก มีอาณาเขตกินพื้นที่มากเลย ใครเขาจะยอมรื้อบ้าน เขาลงหลักปักแหล่งความยึดถืออย่างแน่นหนาแล้ว อาตมาก็จะมาเปลี่ยนความยึดถือ มาคลายความยึดถือ มาแก้ความยึดถือ ให้ว่างปล่อย อันนี้แหละที่ยาก อย่างยิ่งเลย ไม่เอาตรงไหนมากหรอก เอาแต่คำว่าคนจน
มาจนนี้ดีกว่ามารวย
ลองอ่านบทความในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ของวันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม 2560 อยู่ในหน้า 10 บอกว่า รายได้พื้นฐานถ้วนหน้าแก้ปัญหาความยากจน
“รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า” แก้ปัญหาความยากจน (1)
เสรี พงศ์พิศwww.phongphit.com
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) เป็นแนวคิดที่กำลังมาแรงทั่วโลกวันนี้ อาจเรียกชื่ออื่น แต่โดยรวมแล้วหมายถึงการให้เงินฟรีๆ แก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (ต่อไปขอเรียกว่า รพถ. หรือ UBI) แตกต่างจากสวัสดิการที่รัฐให้ เพราะเป็นการให้เปล่าแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ยุ่งยาก ให้ทุกเดือน เช่น ประเทศไทยอาจจะโอนเงินเข้าบัญชีของคนไทยทุกคนหรือคนที่มีรายได้ต่ำกว่าการเสียภาษี ทุกเดือน 5,000 บาท หรือรูปแบบอื่น
ฟังดูอาจจะฝันเฟื่อง หรือไม่ก็เป็นการหาเสียงของนักการเมืองประชานิยมสุดโต่ง แต่ลองศึกษาหาข้อมูลและหลักฐานข้อเท็จจริง (ซึ่งมีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต) อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้
รพถ.ไม่ใช่เรื่องใหม่ โทมัส โมร์ (1478-1535) เมื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน โทมัส เพน (1737-1809) เมื่อสองร้อยปีก่อนพูดถึงส่วนแบ่งที่เป็นธรรมที่ราษฎรควรได้รับจากภาษีรายได้ของรัฐ
มิลตัน ฟรีดมัน (1912-2006) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล มาร์ติน ลูเธอร์ คิง อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐหลายคน จนถึงริชาร์ด นิกสัน ที่เกือบผ่านกฎหมาย UBI ในปี 1971 ผ่านสภาล่างและไปตกที่สภาบน กฎหมายที่ต้องการ “แจกเงิน” คนอเมริกันเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
เรื่องดูเหมือนเงียบไปหลายปี มาเริ่มพูดถึงกันอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องเพราะความกลัวว่า อนาคตคนจะตกงาน โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่โรงงานต่างก็ย้ายไปอยู่ประเทศกำลังพัฒนาที่แรงงานถูกกว่า และงานทุกระดับกำลังถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จนนักอนาคตวิทยาบางคนทำนายว่า 12 ปีข้างหน้า (2030) จะมีคนตกงาน 2,000 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงานงานวันนี้
ขณะเดียวกัน โปรแกรมสวัสดิการต่างๆ ของรัฐก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้จริง คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง ความเหลื่อมล้ำถ่างออกไปทุกที และเป็นเช่นนี้ทั่วโลก ไม่ว่าประเทศรวยหรือจน ภาพรวมของทั่วโลกดูน่ากลัว
จึงไม่แปลกที่คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้และแนวทางแก้ปัญหาด้วย รพถ.จะมีนักการเมืองทั้งซ้ายและขวา ทั้งสังคมนิยมและทุนนิยม รวมทั้งมาร์ก ซักเคอร์เบอร์กแห่งเฟสบุ๊ก และอีลอน มัสก์แห่งเทสลา และบรรดาผู้ประกอบการในซิลิคอน วัลเลย์
ที่สำคัญ มีงานวิจัยทดลองนำร่องในหลายประเทศ อย่างที่แคนาดาที่ทำการทดลองในเทศบาลแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อปี 1970 เศษ แต่วิจัยเสร็จไม่มีการนำผลมาวิเคราะห์เพราะเปลี่ยนรัฐบาลท้องถิ่น หลายปีที่ผ่านมามีการนำผลมาวิเคราะห์พบว่าได้ผลดี สุขภาพผู้คนดีขึ้น อาชญากรรมลดลง ความคิดริเริ่มและนวัตกรรมมีมากขึ้น และอื่นๆ
ที่แคนาดาจึงมีการทดลองอีกเมื่อไม่นานมานี้ในอีกบางพื้นที่ เช่นเดียวกับที่ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส อินเดีย นามีเบีย ยูกันดา เคนยา บราซิล และอีกหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการทดลองนำร่อง ประชากรเป้าหมาย 1,000-8,000 คน ระยะเวลาสองสามปีถึงสิบปี
มีหลายโครงการได้สรุปผลการทดลองในเบื้องต้นแล้วอย่างที่อินเดีย ที่เคนยา และหลายแห่งกำลังวางแผนทำการทดลอง ซึ่งธนาคารโลกเองก็ให้การสนับสนุนและได้ร่วมทำการวิจัยในหลายประเทศ แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ซึ่งงานวิจัยนำร่องต่างๆ ก็ให้คำตอบ เช่น
เป็นโครงการที่แพงมากก็จริง แต่มีหลายรูปแบบ ถ้าหากคำนวณให้ดี ก็จะพบว่าไม่ได้แพงเกินกว่าจะหางบได้ เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้ม เพราะลดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ปัญหาสังคม อาชญากรรม ทำให้คนมีการศึกษาดีขึ้น มีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น คนมีอิสรภาพมากขึ้น
หรือวิจารณ์ว่า คนจะขี้เกียจและไม่ทำงาน ซึ่งไม่จริง เพราะถ้ามีเงินดำรงชีพพื้นฐานคนก็จะมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกงานที่มีความหมายต่อชีวิตของตนเองมากขึ้น มีพลังสร้างสรรค์และมีความสุขมากขึ้น
หรือบอกว่ายากจะเกิดขึ้นได้เพราะเป็นการปฏิวัติโครงสร้างเลยทีเดียว ต้องเปลี่ยนระบบสวัสดิการ ลดงานสวัสดิการ แต่ก็เกือบเกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อปี 1971 และวันนี้กำลังเป็นที่สนใจของรัฐบาลหลายประเทศ
รพถ.เป็นการปรับกระบวนทัศน์เรื่องการแก้ปัญหาความยากจน ที่คนมีอำนาจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและสังคมมักคิดแทนประชาชน โดยเฉพาะคนยากคนจน คิดโครงการแก้ปัญหา เป็นสวัสดิการในรูปแบบต่างๆ เป็นร้อยเป็นพันอย่าง ตั้งเงื่อนไขมากมายให้คนปฏิบัติตาม
รพถ.ไม่ใช่สวัสดิการแบบสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นการให้เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ควรจะได้รับส่วนแบ่งอย่างยุติธรรมในมรดกที่บรรพบุรุษได้ทำไว้และส่งต่อมาให้เรา ระบบปัจจุบันทำให้คนรวยได้รางวัล คนจนถูกลงโทษ ซึ่งเป็นความอยุติธรรมทางสังคม
ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนเลวลง คนจนไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะไม่มีเงิน ไม่มีโอกาสได้พัฒนาตนมีผลงาน (productive) และหลุดพ้นจากความจน
สังคมไทยก็มีสวัสดิการมากมายหลายอย่างที่ใกล้เคียงกับแนวคิด รพถ. อย่างสวัสดิการผู้สูงอายุ “สุขภาพถ้วนหน้า” รักษาได้ทุกโรค แต่บางสวัสดิการดูเหมือนจะดีแต่มีเงื่อนไขและเงื่อนงำ ให้คูปองซื้อของในร้านที่กำหนด แทนที่จะให้เงินสดไปซื้อของในตลาดนัดหรือที่ไหนก็ได้
หรือว่าสวัสดิการส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ปัญหา แต่เป็นกับดักความยากจน ไม่ได้ช่วยปลดปล่อยศักยภาพคนจนให้ “ระเบิดจากข้างใน” ไปสู่ความเป็นไท ?
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อโศกเป็นคนจนแบบระเบิดจากภายใน
พ่อครูว่า...ชาวอโศกสร้างคนให้เป็นคนจน จนถึงจิตใจระเบิดออกจากภายใน ยังไงก็เป็นคนจนจริง เพราะว่ามี 1.ใจพอ 2. เราไม่คิดเอาเปรียบแรงงาน เอาเปรียบคนอื่นหรือเอาเปรียบใคร ต้องเป็นคนที่มาเสียสละ เป็นคนมีคุณภาพมีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ มีประโยชน์ต่อผู้อื่น อะไรเหล่านี้ ซึ่งเป็นปัญญาเป็นความเข้าใจ
คนที่มีความเข้าใจด้วยปัญญาจริงๆเลย ด้วยความเฉลียวฉลาดทางโลกุตระ ทางโลกุตระประเด็นหลักก็คือไม่ทำเพื่อตัวตน ไม่ทำอย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน ทำเพื่อผู้อื่นจริงๆ ตัวตนของตัวเองไม่มี ตัวเองให้ชีวิตไว้กับหมู่ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา ให้คนอื่นเลี้ยงไว้ ตัวเองมีหน้าที่ทำงานเพื่อผู้อื่นให้ดีที่สุด จบ นอกนั้นผู้อื่นเขาจะดูแลไว้เองตามที่เขามีความรู้ ว่าคนนี้ควรดูแลเอาไว้ช่วยเหลือเอาไว้ มีประโยชน์ต่อกลุ่มต่อชาวอโศก ต่อคนอื่นมากเขาไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวน้อย เพื่อผู้อื่นมาก คนนี้ต้องเลี้ยงไว้ คนจะมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจความจริงนี่เอง เป็นอิสระเสรีภาพที่สุด ความเป็นไท เป็นความคิดที่ชัดเจนของแต่ละคนจริงๆ
เพราะฉะนั้น บทความนี้ก็เป็นบทความคิดทันสมัยก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อาตมาว่าชาวอโศกก้าวหน้าไปไกลกว่าเขา ไม่ใช่แค่คิดวิจัยวิจารณ์ แล้วอยู่ในฐานะที่เอาเปรียบกว่าชาวอโศก รวยกว่าชาวอโศก เพราะว่าชาวอโศกมันจนที่สุดแล้ว คนจนที่สุดคือคนที่ 0 และไม่เป็นหนี้
มีสามเงื่อนไข
1. มีเงิน 0 สมบัติ 0 2. ไม่เป็นหนี้ 3. มีแรงงานคุ้มกินคุ้มใช้
คนที่มีคุณสมบัติ 3 ประการนี้อยู่กับชาวอโศกอย่างสบายมาก ปกติหายห่วงจริงๆ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อย่างจริงเลย นี่คือสัจจะ
ในทัศนคติหรือกระบวนทัศน์ของชาวอโศก จึงเป็นผู้ที่มีทัศนคติมีกระบวนทัศน์ของความคิด ตกผลึกแล้ว สำเร็จผลแล้ว ว่ามีจิต กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา
หรือ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ตามคำสอนพระพุทธเจ้าได้เป็นไปได้จริงๆสำเร็จผลแล้ว ที่กล่าวมานี้ เป็นสูตรของพระพุทธเจ้า ที่ท่านศึกษาเรื่องคนกับเรื่องสังคมมาล้านๆๆๆชาติ ท่านก็สรุปผล ตกผลึกเป็นทฤษฎีหลักสูตรต่างๆให้พวกเราศึกษา ใครจะไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าได้ศึกษาความเป็นคนกับความเป็นสังคมมาเป็นล้านๆชาติ จึงได้สรุปสูตรต่างๆระบบต่างๆออกมาให้คนไปปฏิบัติพิสูจน์ ซึ่งพวกเราก็มาปฏิบัติพิสูจน์ยืนยันผลได้
พวกเรานี่ถามหน่อยเถอะ เชื่อว่าความมีชีวิตการเป็นคนตามสูตรหลักสูตรทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี่ ทำให้พวกเราพ้นทุกข์จริงหรือเปล่า ...จริง ทำให้พวกเราเป็นคนประเสริฐจริงหรือเปล่า ...จริง ทำให้เราเป็นคนไม่มีโทษมีภัยแก่ใคร มีประโยชน์กับใครเขาจริงๆหรือเปล่า ...จริง
จริงๆนะ อาตมาเองมั่นใจในความเป็นคนที่ดีที่สุดแล้ว ที่พระพุทธเจ้าท่านประมวลเอาคุณงามความดีของคน เอามาให้สร้างตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณงามความดีสุดยอดประเสริฐ ไม่มีใครเก่งเท่า ตามที่ท่านตรัสว่าท่านมีพุทธคุณ 9 ท่านยืนยันว่าไม่มีใครเก่งเท่าท่าน ท่านเป็นผู้ที่สุดยอดแล้ว คนไหนที่ไม่เชื่อถือก็หาว่าคุยโม้โอ้อวดตัวตนก็ช่าง แต่อาตมาว่านั่นคือสัจจะ
พวกเราก็สืบทอดคำสอนพระพุทธเจ้าที่ท่านได้พิสูจน์มา ถ้าคุณฟังอาตมาเข้าใจ ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ศึกษาอะไรแต่ท่านศึกษาความเป็นคนกับความเป็นมนุษยชาติมาเป็นล้านๆชาติ จนตกผลึกความรู้นั้นได้ เอามาประกาศ
อาตมาเดินตามรอยเป็นพระโพธิสัตว์มาจนถึงวันนี้เข้าใจ จึงนำมาพูดย้ำต่อ ว่านี่คือของพระพุทธเจ้า อาตมาก็จะทำอันนี้ ก็จะขอยืนยันว่าตรงกับของพระพุทธเจ้ามาแล้วไม่น้อย ขอพูดอย่างอวดดีอีกนิดว่า นำหน้าใครๆในโลกขณะนี้ด้วย ขออภัย พูดอย่างมั่นใจเลย
กระแสของโลกกำลังเดินมาหาความเป็นคนจนแต่เขายังไม่กล้าเป็นคนจน ปฏิภาณลึกๆของเขานับถือคนจนที่มีพลังงานอยู่ในสังคมโลก เช่น ประธานาธิบดี อุรุกวัย เป็นคนจนปฏิบัติอย่างคนจนจริงๆอย่างไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ คนนับถือมาก เขาเข้าใจ จิตลึกๆมีปฏิภาณเข้าใจ แต่เขาไม่เชื่อว่า อย่างนั้นจะเป็นการสร้างให้เกิดเป็นคนจำนวนมากเป็นได้ ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของคนนิดน้อย ดี แต่ไม่สากลหรือว่ามากได้
ไม่เข้าใจว่าคนเรานี้มีจิตวิญญาณปรารถนาดีกันทุกคน ทางมหายานก็ถือว่าคนทุกคนมีพุทธะในตัวทุกคน คือ ความหมายของเขากว้างไกลมากคำว่าพุทธะ คือ มีความต้องการหรือมีความรู้ที่จะไปสู่จุดเดียวกันกับศาสนาพุทธทั้งนั้น แต่ความจริงยังไม่ได้ คนยังไม่เข้ากระแสมีอีกเยอะ จิตยังไม่ตกผลึกที่จะมีจิตใจมายินดีในความเป็นคนจน คนที่ไม่ต้องไปสะสมอะไร มีน้อยๆก็พอ ยังยากมาก เพราะเขายังตะกละความสุข ไอ้นั่นไอ้นี่ก็สุขก็จะต้องใช้เงินเป็นเครื่องเบิกทาง ใช้สมบัติเป็นเครื่องเบิกทาง ไม่มีเงินก็มีเพชรที่ราคาแพงๆที่โลกต้องการ เปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือมีอะไรก็แล้วแต่ที่มีค่าของทางโลก แม้แต่พระเครื่องราคาแพงๆก็ราคาสูง เอามาขายอาตมาบาทเดียวก็ไม่ซื้อ เพราะอาตมาชัดเจน อาตมาสร้างพระเครื่องบูชามาไม่ใช่น้อยตั้งแต่เป็นฆราวาส ขายถูกๆด้วย ก็มันกำไรเยอะ แม้จะทำถูกๆก็กำไรเยอะ เราเอาขี้ดินมาปั้นแค่นี้ เสร็จแล้วไม่ถึง 1 สตางค์ นำดินข้างส้วมมาทำ หล่อเป็นองค์พระ ดินเหนียวดีข้างส้วม แล้วหล่อเป็นพระ แล้วหลอกว่าดินนี้มาจากอินเดีย แต่อาตมาไม่เคยโกหกและทำอย่างที่พูด แต่เขาทำกัน เป็นเรื่องที่บาปกินหัวกันมหาศาล
สรุปเข้าเป้า อาตมาว่ากระแสเรื่องคนจนนี่แหละ เป็นเรื่องเด่นเรื่องใหญ่ยิ่งแล้วในกระแสสังคมโลก ตอนนี้ ยังมีเมืองไทย ยังงมโข่ง แต่เมืองไทยก็มีคนที่ชัดเจนในเรื่องความเป็นคนจนคือชาวอโศก จนก่อนใครเขา จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ จนอย่างมีปัญญารู้แจ้งชัดเจนเลยว่าไม่มีอะไรสงสัยเลยว่ามาเป็นคนจนอย่างไร จนอย่างนี้ตามหลักสูตรพระพุทธเจ้าทดสอบได้ หรือ จะมีพุทธวจนะ มีคำของพระพุทธเจ้าเป็น 7 อย่าง
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
นี่คือจิตเจตสิก 7 สภาพที่มีคุณสมบัติ
1. มีคนมีใจระลึกถึงผู้อื่น สรณียะ ไม่ใช่ระลึกถึงแต่ตัวเอง แต่จะไม่ระลึกถึงตัวเองเลยนึกถึงแต่ผู้อื่น
2. มีใจรัก ปิยกรณะ รักคนอื่น เป็นความรักมิติที่สูงส่งไม่ใช่ความรักมิติที่ต่ำ เป็นความรักมวลมนุษยชาติ รักอย่างสากลสูงสุดระดับ 9 ระดับ 10 สรุปรวมจบเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า จบแล้ว สูงกว่าระดับ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนระดับที่ 10 เป็น cyclic เลย
3. มีครุกรณะ รู้จักการคารวะเคารพ ไม่เป็นคนเบ่งใหญ่เบ่งโต ใครจะเบ่งไม่ว่า เราก็เคารพคนที่ควรเคารพ อยู่ในมงคล 38
4. มีสังคหะ ให้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือเป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ยิ่งใหญ่ ก็คือทานัง ปริจาคะ สังคหะ นี่แหละคือคุณสมบัติยิ่งใหญ่ของ ในบารมี 10 ทัศ ทานเป็นคุณสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นคนที่จบแล้วก็มีบารมีข้อที่ 9 กับ 10 คือเมตตากับอุเบกขา
5. อวิวาทะ อาตมานี่ คนหาว่าอาตมาเป็นคนที่ทำเกิดความแตกแยก ไม่ใช่เลย อาตมาเป็นคนที่พูดชัดพูดเน้น มีจิตใจที่จริงใจปรารถนาดีกับคนไม่เข้าใจ พวกเราชัดเจนแล้วไม่ถือสาใน นัจจะคีตะ วาทิตะของอาตมาก็เป็นไปอย่างสบาย อยู่อย่างไม่วิวาท เป็นองค์รวม
6. สามัคคียะ พร้อมเพรียง อุ้มชูดูแลกัน
7. เอกีภาวะ เป็นสังคมที่มี เอกีภาวะมีความเป็นปึกแผ่นอย่างแข็งแรง
สมณะเดินดินว่า...ทำอย่างไรพวกเราจะเป็นคนยังชีพครอบครัวว่าคือคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ แต่ทุกวันนี้ ทั่วโลก คนจนหรือไม่จนก็ดูที่ว่ามีความต้องการมากหรือว่ามีความต้องการน้อย แม้แต่พวกเราบอกว่าเป็นคนจน แต่เวลาคิดอะไรที่ 1 คิดแต่ใหญ่ๆ เล็กๆไม่ใหญ่ๆทำอย่างนี้ก็จนไม่ลง แต่เหตุการณ์หนึ่งแม้แต่รัฐบาลก็พยายามให้ รพฐ. คือรายได้พื้นฐาน รัฐมนตรีเศรษฐกิจก็มองว่าถ้าเอาเงินอัดฉีดให้แก่คนจนมีรายได้เพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้คนจนหมดไป แต่มาวันนี้ดูข่าว ลูกวัด ร้องเรียนเจ้าอาวาสอมเงิน แล้วจะไปร้องเรียนกับใคร เป็นเจ้าคณะอำเภอด้วย แม้แต่เจ้าอาวาสวัดสังฆทานก็เช่นกัน เจ้าอาวาสเอาเงินมูลนิธิไปทำอะไรไม่รู้ลูกวัดไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยฟ้องที่นายก จริงๆแล้วนี่ พระไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินทอง เรื่องความอยากได้เลย ถ้าเข้าใจเรื่องพอมีพอกินอย่างที่ในหลวงท่านได้เน้น แต่เอาเงินไป ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องพอมีพอกิน ให้ไปมากยิ่งต้องการมาก ในหลวงได้ตรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็เน้นเรื่องพอมีพอกินตลอด ถ้าคนไทยมีความพร้อมมีพอกินมีความสงบจะเกิดความมั่นคงขึ้นมา ก็น่าเสียดายว่าสิ่งที่ในหลวงได้ตรัสเอาไว้ ผ่านเลยไปแล้วก็ไม่ได้เอามาใช้กัน ก็เลยยุ่งวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้ ฆราวาสและพระก็ยุ่งกันไปหมด พวกเราเองนั่นแหละที่จะเป็นหลักอย่างที่พ่อครูบอกว่าเป็นตัวอย่างให้แก่สังคม ...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:01:03 )
รายละเอียด
601202_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ คนจนที่ถูกต้องตามหลักธรรมในพระไตรปิฎก
สมณะฟ้าไทว่า…พ่อครูมาแสดงธรรมในวันนี้ เนื่องจากวันพรุ่งนี้พ่อครูจะไม่ได้แสดงธรรม เพราะชาวราชธานีอโศกจะต้องมีกิจกรรม สีข้าว ต้องซื้อข้าวที่โรงสี และอีกหลายกิจกรรม อีกอย่างในวันที่ 5 ธันวาคมที่อุทยานบุญนิยมจะมีการเปิดตลาดประชารัฐ ของเราจะมี 2 แห่ง เป็น Green Market กับตลาดประชารัฐคุณธรรม
วันที่ 5 ธันวาคมจะเปิด Green market ที่อุทยานบุญนิยม วันที่ 30 ธันวาคมจะเปิดที่ เฮือน บวร
ชาวชุมชนราชธานีอโศก เต็มใจสนับสนุน ร่วมมือกับทางจังหวัดอุบลราชธานี เปิดตลาดประชารัฐ คุณธรรม (กรีน มาเก็ต) 2 แห่งด้วยกันคือ
1. ที่อุทยานบุญนิยม ใจกลางเมืองจังหวัดอุบล เปิดวันที่ 5 ธันวาคม 2560
โดยปกติจะมีตลาดนัดทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์
2. ที่อาคารบวร ณ ชุมชนราชธานีอโศก หมู่ 10 ต. บุ่งไหม อ. วารินชำราบ จะเปิดตลาดนัดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ถ้ามีคนขายพร้อมก็สามารถเปิดให้ขายได้ทุกวัน ในอาคารใหญ่ 11 ไร่
คุณสมบัติผู้ที่มาขายสินค้าตลาดประชารัฐ คุณธรรม (กรีนมาร์เก็ต)
1.ห้ามนำสินค้าที่เป็นสิ่งที่เสพติดมาขายเช่นเหล้า บุหรี่ น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลมมาขายเป็นต้น
2.ห้ามนำเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัตว์หรือแม้แต่ส่วนประกอบของไข่มาขาย
3.ห้ามนำผักผลไม้ที่มีปนเปื้อนสารเคมีมาขาย เมื่อตรวจแล้วต้องไม่พบสารพิษตกค้างปนเปื้อน (ต้องไม่ใช้ ปุ๋ยเคมี - ยาฆ่าแมลง - ยาฆ่าหญ้า ให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก มูลสัตว์ ฯลฯ )
4. ห้ามขายแพง ให้ขายราคาต่ำกว่าท้องตลาด
และอีกสามข้อที่ต้องทำ
1.ไม่ติดอบายมุขเช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เป็นต้น
2.ต้องนำอุปกรณ์ประกอบการขายมาเอง
3.เคารพวัฒนธรรมประเพณีของชุมชน
ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เชิญมาสัมผัสหมู่บ้านคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ด้วยวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
ในงาน “เพื่อฟ้าดินปีใหม่ 2561” ตั้งแต่ 31 ธค. ถึง 2 มค. 2561
วันที่ 31 ธค. 60 เวลา 09.00 น. รมช. วิวัฒน์ ศัลยกำธร เปิดงานเพื่อฟ้าดิน 61 เพื่อเทิดพระเกียรติศาสตร์พระราชาที่รักษ์ฟ้ารักษ์ดิน ให้ปวงประชาพอมีพอกินทั่วทุกถิ่นไทย
เวลา 9.30 น ผวจ.อุบลราชธานี นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ เปิดตลาดประชารัฐคุณธรรม
O ในงานนี้มีสินค้าจากหลายภาคมาจำหน่าย ในราคาบุญนิยม 4 ระดับ ( 1 ต่ำกว่าท้องตลาด - 2 เท่าทุน 3 ต่ำกว่าทุน 4แจกฟรี)
O มีนิทรรศการมีชีวิต จากผู้ผลิตสินค้ามาสาธิตให้เห็นๆ เพื่อจะได้นำกลับไปทำเองได้ เช่น การเก็บจุลินทรีย์ระดับ 1 เทพ 8 เซียน , กิจกรรมการดูแลสุขภาพทางเลือก , สาธิตการทำน้ำสมุนไพรพื้นบ้านเพื่อการพึ่งตนเอง, สาธิตการผสมพันธุ์ข้าว, และสาธิตการแปรรูปสมุนไพรต่างๆ
O พบกับปราชญ์ชาวบ้าน อาทิ โจน จันได ดร. แสวง รวยสูงเนิน คำนึง นวลมณีย์
O มีบริการตรวจสารพิษตกค้างในเลือด ให้กับผู้มาร่วมงาน
เมื่อวานพ่อครูพูดถึงคนมุ่งมาจนเป็นคนโลกุตระ คนที่เดินทางมาหาความเจริญ ส่วนโลกียะนั้นทางไปสู่ความรวยไปสู่ความหายนะ แม้จะเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ไปสู่ความหายนะทั้งสิ้น มนุษยชาติก็เดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม
การแก้ไขปัญหาสังคมนั้น ถ้าให้คนไปยากจนก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้ามาอยากจนก็จะแก้ได้ เป็นการกลับตาลปัตรกับชาวโลกีย์เลย มาจนแบบสุขสำราญเบิกบานใจ จนแบบสบายใจ จนแต่ไม่มีความเดือดร้อนไม่เป็นพิษภัยกับใคร พ่อครูบอกว่า คนจนที่สุดก็คือ
1. คนเป็น 0 คือ คนไม่มีกิเลส ไม่ว่าจะเป็นความสูงระดับใดก็ตาม
2. ไม่เป็นหนี้ พึ่งตนเองรอด ไม่เป็นหนี้ทั้งไม่เอาเปรียบคนอื่นด้วย
3. มีแรงงานทำผลผลิตทำให้คุ้มกินคุ้มใช้ของตนเอง และมีเหลือที่จะแจกจ่ายคนอื่นได้
นี่คือลักษณะคนจนที่พ่อครูพาทำ ก็ทำได้มาเรื่อยๆ จนพัฒนามาถึงเป็นชุมชน อาตมาว่ามันเป็นกระแสที่เห็นได้ชัดเจน ถามเด็กๆสัมมาสิกขา บอกว่า เขากลับไปบ้านก็มียาเสพติด บางคนบอกว่าพี่ชายผมก็ยังติดยา อยู่บ้านก็ไม่ปลอดภัย ทุกวันนี้ยาเสพติดมีเกือบทุกหัวระแหงในประเทศไทย หมู่บ้านเราสุดยอด ไม่มีสิ่งนี้ได้ ถือว่าพระโพธิสัตว์พามาพ้นภัยจริงๆ เดินสบายๆ เด็กเดินอย่างสนุกสนานรื่นเริง ศิษย์เก่านี้มาอยู่บ้านมีลูกก็ให้ห่างตัวไม่ได้เลย แต่มาบ้านราชฯนี้ปล่อยไปได้เลย มีความสุข จะเห็นได้ชัดว่าโพธิสัตว์พาให้ มนุษยชาติพ้นภัยจริงๆ ใครไม่มาอยู่ก็ช่างเขา เราก็อยู่ของเราแบบนี้ แต่ถ้าเขารู้แล้วแห่มาก็ตัวใครตัวมัน เขาค่อยๆทยอยมาก็ดีแล้ว พ่อครูก็มีกลยุทธ์ให้เขาค่อยๆมา สร้างสิ่งที่ดีสุด แต่ไม่ให้เขาขี้โลภมาเอา
พ่อครูว่า...อันนี้ขอยอมรับจริงๆว่าอาตมาพอใช้ได้ทีเดียว จะเรียกว่าเก่งก็ใช้ได้ ยังรู้สึกว่าบารมีที่ได้สั่งสมตามพระพุทธเจ้าก็ต้องเป็นอย่างนี้ ให้คนเกรง แต่ไม่กลัว ให้คนไม่กล้าที่จะตะกละตะกราม แต่เขาพยายามจะเอา
SMS 1ธ.ค.
_0893867 ผู้น้อยสงสัย(อีกล่ะ)ปลาติมิ,ปลาติมิงคลา,ปลาติมิรมิงคลาในปหาราทสูตรเป็นปลาอะไรมีลักษณะอย่างไร?
พ่อครูว่า...ไม่รู้ มันก็เป็นปลาโบราณที่มีชื่ออยู่แต่มาเดี๋ยวนี้อาจจะเรียกชื่ออื่นไปแล้ว ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันจะตรงกันอย่างไร ปลาพวกนี้ดึกดำบรรพ์ ไม่ต้องไปงงสงสัยอะไรมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(อบายมุข กามคุณ 5) ตอน ติดเฟสบุคติดไลน์เป็นอบายมุข
_0888647 การที่คนที่อยู่อโศกติดเฟชติดไลน์ก็ทราบคะว่าบ้างครั้งต้องส่งงานแต่หลายๆคนตอนนี้ติดงอมแงม ขอให้พ่อครูให้สติด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…จริง อาตมาก็เห็น หลายคนติดงอมแงม ใช้เวลาอยู่กับจอมากเกิน มันเอร็ดอร่อยมันสนุกสนานมันเป็นรสโลกีย์มันก็เสียเวลา คัดเลือกบ้าง บันยะบันยังบ้าง เอาอันที่เป็นสาระ ต้องคัดเลือก มันก็เป็นรสโลกีย์ หากเราไม่คัดเลือกว่าอันไหนสำคัญมากน้อยนะ ก็ไล่ไปเรื่อย ก็เลยเห็นว่าน่าได้น่ามีน่าเป็นไปหมด ก็เสร็จ เป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้
ที่ว่านี้อาตมาถือว่า มันเป็นอบายมุขเป็นเครื่องมอมเมา หนักมาก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...ได้เห็นว่าพ่อแม่พูดกับเด็กไม่รู้เรื่อง ต้องจัดการทำลายของเหล่านี้จากเด็กเลย
พ่อครูว่า...ยิ่งกว่ายาเสพติดเพราะถือว่าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย เป็นกันทั่วโลก สักวันหนึ่ง จะถูกกฎหมายมีมาตรการควบคุมพวกนี้ มันจะเป็นโรคภัยในอนาคต คอยดู ตายคาพวกนี้ก็มี ก็ให้สติ คนไหนไม่บันยะบันยังก็ระวังตัว
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน หลักฐานสมาธิพุทธไม่มีสอนนั่งหลับตา
_Sutus Soodsali....พท.โพธิรักษ์ น่าจะไปหาหมอจิตเวชบ้าง หมออาจจะช่วยให้หายได้นะ ดูๆแล้วอาการกำเริบไม่น้อย ถ้าปล่อยไว้อาการอาจมากจนแก้ไขไม่ได้ เห็นแก่มนุษยธรรมนะ เอาบุญก็แปลก แทบจะพูดได้ว่า มีความรู้ด้านธรรมอยู่หน่อยนึง คนก็หลงฟังอยู่ได้ ที่โจมตีสมาธิแบบหลับตา คงกลัวไม่มีคนทำงาน อยากรู้เหมือนกันว่า พระพุทธเจ้ากำหนดว่าสมาธิต้องมืนตา มีในพระไตรปิฎกเล่ม/หน้า/ข้อ อะไร เฮ้อ สงสารผู้พลัดหลงเข้ามาติดกับชาตินี้เสียเวลาไปชาติหนึ่งเปล่าๆ
พ่อครูว่า…ก็เป็นการให้สติเตือนอาตมา อาตมาก็ขอยืนยันว่าคุณเริ่มต้นอ่านพระไตรปิฎก ในพระสูตรเล่ม 1 หรือพระไตรปิฎกเล่ม 9 ตั้งแต่พรหมชาลสูตรไปเลยทุกสูตรไล่ไป จนถึงเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร คุณอ่านสักร้อยเที่ยว อ่านดีๆเลยว่าสัมมาสมาธิ อันเป็นอริยะของศาสนาพุทธ
ในพระไตรปิฎก ... 252] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิ
ของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมา-
*สมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า
ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[253] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมา-
*สมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล
เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=14&A=3724&Z=3923
ต้องให้มีสัมมาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิในสุริยเปยยาล 7 คุณต้องมีก่อน ต้องทิฏฐิสัมมาก่อน จึงจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ แล้วมรรคมีองค์ 8 ก็ไม่มีตรงไหนให้ไปนั่งหลับตาเลย คุณไปตีความสัมมาสมาธิเป็นการนั่งหลับตาเอาเอง ทั้งที่ไม่มี สัมมาสมาธิเป็นผลของการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ แต่พวกคุณไปนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าแล้ว เป็นผลสมาธิที่เป็นการสะกดจิต hypnotize ไม่ใช่ concentration ไม่ใช่ analysis ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ก็จำเป็นต้องพูดย้ำแล้วย้ำอีกก็เห็นใจและสงสาร
หลักฐานในการปฏิบัติลืมตานั่นมีทุกพระสูตร แต่ไม่มีคำว่าหลับตาในพระไตรปิฎกเอามาสักหนึ่งคำที่พระพุทธเจ้าสอนให้หลับตา อย่างนี้ต่างหาก แต่ลืมตามีสัมผัสภายนอกทั้ง 6 นั้นมีอยู่เต็มไปหมด ลืมตาด้วยจักษุสัมผัส
ส่วนเอกกัคคตาจิต ต้องเกิดจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ แต่ที่ปฏิบัตินั่งหลับตานั้น องค์เดียว เอาจิตจดจ่ออยู่กับกสิณ อาตมาก็ทำมาแล้วทำเป็นแต่อย่างที่อาตมาพาทำนี้สิ คุณลองมาทำดู อย่างที่ทำกันมานั้นเป็นเรื่องไม่พิเศษอะไร ขออภัยที่พูดเหมือนข่ม
ตั้งใจให้ดี อาตมาไม่ได้เป็นโรคจิตที่จะต้องไปหาหมอ
_มีโยมมาถาม...จากคำถามที่ถามพ่อครูเมื่อกี้นี่ เขาคงคิดว่า พระพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ว่า จะออกไป 3 เดือน คงจะไปนั่งหลับตา
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าหลีกเร้นไปเป็นคราวๆ เพราะว่า พระพุทธเจ้าทำงานหนักจึงต้องมีพักผ่อนบ้าง
สมณะฟ้าไทว่า...เขาว่าวิธีทำตามก็น่าสงสาร แต่ผมว่าหลับตาตามกับลืมตาตามผมเอาเรื่องลืมตาตามดีกว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนแต่มีสุขได้ ดีกว่ารวยแล้วมีสุข
_มณี ศรียงค์ ....ขอให้คำแนะนำลุงรักษ์เป็นธรรมทาน
จะได้มีสัมมาทิฐิ
เรื่องสุข-ทุกข์กับความจน!
สุข-ทุกข์ นั้นอยู่ขึ้นกับความคิดและจิตใจเมื่อกระทบผ่านอายตนะทั้ง 6. แล้วจะมี reaction แบบไหน
ถ้าเป็นชาวพุทธก็ใช้หลักพุทธธรรม ฉะนั้นสุข-ทุกข์จึงไม่ขึ้นกับรวย/จนเลยนะคะ
ปล.และพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสให้แยกโลกุตระกับโลกียะด้วยความรวย-จนเลย
แต่ทรงสอนให้แยกแยะด้วยกิเลสตัณหาคือลดละหมดกิเลสตามระดับชั้น
ฉะนั้นกลับมาสู่การเทศน์ด้วยสัมมาทิฐิด้วยหลักคำสอนถ้อยคำแก่นแท้ของพุทธธรรมเถอะค่ะ
พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่าสุข-ทุกข์ขึ้นกับความรวยความจน
จึงไม่ควรเพ้อเจ้อพาสาวกหลงผิดจมดิ่งกับความเพ้อของท่านเลย
อย่าเพิ่งdeadก่อนนะคะ
เดี๊ยนแฟนคลับค่ะ
อยากดูลีลาวาทะท่านพ่อครู
พ่อครูว่า...เรื่องสุข-ทุกข์กับความจน!
ที่ว่า...สุข-ทุกข์ นั้นอยู่ขึ้นกับความคิดและจิตใจเมื่อกระทบผ่านอายตนะทั้ง 6. แล้วจะมี reaction แบบไหน ถูกต้องแล้ว
ถ้าเป็นชาวพุทธก็ใช้หลักพุทธธรรม ฉะนั้นสุข-ทุกข์จึงไม่ขึ้นกับรวย/จนเลยนะคะ
ที่ว่านี้ถูกต้อง แต่คุณมณีศรียงค์ ถ้าจนแล้วจะสุขไหม? ถ้ายังทุกข์ นี้ก็ยังไม่ไปถึงไหน จนก็ทุกข์ได้รวยก็ทุกข์ได้ถ้าอวิชชาเสียอย่าง?
เราเข้าใจอันนี้ได้ และเชื่อมั่นว่ารวยแล้วก็เป็นสุข กับจนแล้วสุข เราก็เลือกเอามาจนแล้วเป็นสุขดีกว่า เพราะมันจะไม่ได้ไปแก่งแย่งเบียดเบียนคนอื่น ให้คนอื่นรวยเสียให้เข็ดคนที่ติดยึดมากๆ เราไม่อยากให้ใครรวยหรอก มาจนสิดี เศรษฐกิจแบบคนจนที่ยิ่งใหญ่
เราทำได้อย่างมีหลักฐานยืนยันว่าทำได้ ไม่ใช่แค่ชั่วคราว แต่ทำได้ยั่งยืนยืนนานเป็นสุขอันสงบจริงๆ เป็นคุณสมบัติของจิต จะต้องมีความพิเศษหลายด้านจึงจะอยู่อย่างนี้ได้
สู่แดนธรรมว่า...ทำให้นึกถึงคำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่า สุขโดยส่วนเดียว พระเจ้าพิมพิสารบอกว่า ต้องนอนบรรจถรณ์จึงจะมีความสุข แต่พระพุทธเจ้านอนได้ทั้งบรรจถรณ์บนเตียงก็มีความสุขนอนขอนไม้ก็มีความสุข จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับขอนไม้ไม่ได้ทุกๆต้องอยู่กับภายนอกด้วย
เขาบอกว่าสุขทุกข์ไม่เกี่ยวกับรวยหรือจนก็ไม่จริง ถ้าคุณมาจนได้แล้วไม่ทุกข์ คุณลองมาเป็นดู
พ่อครูว่า...เพราะฉะนั้นคนที่มาจนได้นี่แหละ เรากำลังไขคำว่าความจนหรือคนจนคือคนไม่สะสมวัตถุสมบัติ วัตถุสมบัติเป็นส่วนกลาง
วัตถุสมบัติเป็นสิ่งที่มีชิ้นมีอันมีตัวมีตน มีแท่งมีก้อน แล้วจำเป็นต้องใช้ สิ่งที่เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม วัตถุที่มันไม่มีชีวิตก็คืออุตุนิยาม มีชีวิตเริ่มต้นด้วย พีชนิยาม แต่มันยังไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา เป็นพลังงานธาตุรู้ แค่สัญญากับสังขาร ศึกษาให้ดีศึกษาให้ละเอียดแล้วจะรู้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันคืออาการอย่างไรของพลังงานจิตระดับไหน แล้วเราก็จะรู้ว่า พีชะมีแค่สัญญากับสังขาร ยังไม่มีเวทนายังไม่เป็นวิญญาณ ยังไม่มีธาตุที่มีวิญญาณครอง จึงยังไม่มีกรรมวิบาก จะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้นคนที่ชัดเจนแล้วในเรื่องรายละเอียดพวกนี้ดี จึงมาอยู่ข้างไม่สะสม เพราะสะสม ถ้ามีของมากจะต้องรักษาดูแล อะไรต่างๆนานาอีก เป็นภาระเยอะแยะ เพราะฉะนั้นมาอยู่ร่วมกันช่วยกันดูแล ทำให้เป็นระบบแบบสาธารณโภคี ติดตามไปเถอะ เราจึงพยายามอธิบายขยายและเป็นตัวอย่างที่เป็นจริง ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรเราทำอย่างนั้น ยกถาการี ตถาวาที เราทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น ตรวจสอบกันได้ด้วยความจริงกันได้
เพราะฉะนั้นเราจึงยึดถือเอาแนวทาง ไม่สะสมทรัพย์สินไว้กับตัวเองมากมาย คือมาจนดีกว่า โดยพยัญชนะพระพุทธเจ้าบอกว่า อัปปิจฉะไม่ใช่มหัปปิจฉะ ที่คือการสะสมแบบปลายเปิดมากไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนอัปปิจฉะนี้น้อยก็พอ จนไปหาศูนย์ มีที่จบที่สุด ส่วนมากๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปากกรวยออกไปนอกโลกมหาจักรวาลบานไปเรื่อยๆไม่จบ มหัปปิจฉะหรือมหิจฉะ เป็นพยัญชนะเดียวกัน
มหัป คือมาก อ คือไม่ เพราะฉะนั้น อัปปิจฉะคือคนไม่สะสม มากล้าจน ไม่มีมากไม่เอามาก อันนี้แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในสังคมมนุษย์ที่เรียกว่าเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์
เป็นเศรษฐศาสตร์คนจน คนที่มีภูมิปัญญามีปัญญาจริงๆอย่างเช่นในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ตรัสเปิดเผยกับโลกเลย ตรัสตรงๆเลย กับผู้บริหารประเทศ โดยหลักฐานคือ ตรัสกับรัฐมนตรีประเทศเกาหลี ท่านก็ตรัสว่าเอาแบบคนจน ในหลวงเราท่านพูดสั้นพูดน้อย
อาตมาก็เอามาขยายความสาธยายเยอะ แล้วก็ต้องยากเพราะเป็นนามธรรม ในหลวงทรงทางรูปธรรม อาตมานี่โดยจริงแล้วอาตมาจะต้อง ขออภัย พูดจริงๆใจ ว่า ก็มีอายุขัยเกินกว่าจะ 89 ปี ไม่เช่นนั้นไม่ถูกต้อง ตอนนี้ จะย่างเข้า 85 ปีแล้ว
คุณมณี บอกว่า..ฉะนั้นสุข-ทุกข์จึงไม่ขึ้นกับรวย/จนเลยนะคะ
พ่อครูว่า...ถูกต้องแล้ว ความสุขความทุกข์ไม่ขึ้นกับความรวยหรือความจน เราจึงเลือกเอาความจนด้วยความมีปัญญา จนอย่างมีปัญญา เราก็มีสุข ระหว่างไม่ขึ้นกับจนหรือรวย มีสุขเพราะเราจนจึงมีสุข อันนี้เอาไปคิดดีๆ คุณมณี ศรียงค์คุณจะมาเป็นบ้างไหม ถ้าจะมามีความสุขแบบจนก็มาเลย ยินดีต้อนรับ
แล้วบอกอีกว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่าสุข-ทุกข์ขึ้นกับความรวยความจน
จึงไม่ควรเพ้อเจ้อพาสาวกหลงผิดจมดิ่งกับความเพ้อของท่านเลย
พ่อครูว่า...ถ้าคุณเองไม่เข้าใจในนัยสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัส คุณก็บอกว่าไม่มี แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เอาหลักฐานนั้นมา ขอยืนยันว่า โลกียะกับโลกุตระนั้น ความมักมากหรือมักน้อยนั้นเกี่ยว
สู่แดนธรรมว่า ...พระพุทธเจ้าเคยประนามสาวกที่มักมากครับ
พ่อครูว่า...แล้วคุณบอกอีกว่า
อาตมาขอยืนยันว่าเกาะติดคำสอนพระพุทธเจ้าด้วยสัมมาทิฏฐิ แต่คุณ มณีศรียงค์บอกอีกว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าความสุขทุกข์เกี่ยวกับความรวยความจน
สู่แดนธรรมว่า ...พระพุทธเจ้าบอกว่าความยากจน และเป็นหนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
คุณมณี ศรียงค์บอกอีกว่า อย่าเพิ่งdeadก่อนนะคะ
เดี๊ยนแฟนคลับค่ะ
อยากดูลีลาวาทะท่านพ่อครู
พ่อครูว่า...คุณก็อย่าเพิ่งตายช่วยกันไปสงเคราะห์กันไป
_อันนี้ขึ้นหัวว่ารู้ทันพวกธรรมกาย
รู้ทันพวกธรรมกาย ...คุณมณี ศรียงค์คงไม่ใช่คนธรรมดา อาจจะเป็นพระตุ๊ดเณรแต๋วรึเปล่า.. มายั่วแย้งลักษณะเหมือนจะรู้ภาษาธรรมะ นิดๆหน่อยๆ ถ้าจะว่าเป็นการถาม ทักท้วง ติติง ก็ควรจะยกอ้างที่พ่อครูเทศน์ตอนไหน อย่างไร ผิดตรงไหน เอาหลักฐานมาแสดง ไม่ใช่มั่วๆหาเรื่อง พ่อครูอย่าเสียเวลาตอบเลยครับ
พ่อครูว่า..พ่อครูว่า สร้างมิตรไว้ก่อนดีกว่าอย่าสร้างศัตรูเลย ก็มีบางคนที่อาตมาบอกว่ามันเป็นความเห็นต่างกันแล้ว ก็นานาสังวาส ต่างคนต่างเห็นกันไปคนละทาง อันนี้ก็ให้โอกาสกันจนกว่าที่สุดแล้ว
พ่อครูว่า...ขออ่านบทความของสยามรัฐฉบับรายสัปดาห์อีก
“รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า” แก้ปัญหาความยากจน (1)
ชาวอโศกมีรายได้ 0 บาทต่อคน เราก็อยู่ในรายได้พื้นฐาน แต่ว่า เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่ารายได้มี 0 บาทแล้วจะอยู่รอดได้อย่างไร ถ้าอยู่คนเดียวก็ยาก ก็ต้องช่วยตัวเองอย่างสำคัญ แต่ถ้าเจ็บป่วย แก่ พิการ ก็ยาก แต่ถ้ายังไม่พิการก็ช่วยเหลือตัวเองไปจนตายก็ได้ ตายก่อนแก่ ตายก่อนพิการก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าแก่ไม่ไหว พิการด้วย เจ็บป่วยอะไรขึ้นมา ก็ยุ่งนะ ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่ศาสนาคนเดียว ปลีกเดี่ยว แต่เป็นศาสนาสังคมขอยืนยันพึ่งพากันช่วยเหลือกัน จนตัวเองไม่ต้องห่วงตัวเองเลย ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา ตัวเองไม่ต้องกังวลแล้วทำงานให้ส่วนรวม ให้คนอื่นดูแลตัวเองให้ ไม่เปลืองผลาญมาก เป็นคนเลี้ยงง่าย คนดูแลจะเห็นได้ว่าเป็นคนเลี้ยงง่ายไม่ยากไม่เรื่องมาก ไม่ลำบาก กินพออย่างมีปัจจัยสำคัญ รู้ มันมีรายละเอียดลึกซึ้ง ผู้ใดศึกษาให้ดีแล้วมาทดสอบก็จะเข้าใจ
เสรี พงศ์พิศ
www.phongphit.com
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) เป็นแนวคิดที่กำลังมาแรงทั่วโลกวันนี้ อาจเรียกชื่ออื่น แต่โดยรวมแล้วหมายถึงการให้เงินฟรีๆ แก่ประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข
รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (ต่อไปขอเรียกว่า รพถ. หรือ UBI) แตกต่างจากสวัสดิการที่รัฐให้ เพราะเป็นการให้เปล่าแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ยุ่งยาก ให้ทุกเดือน เช่น ประเทศไทยอาจจะโอนเงินเข้าบัญชีของคนไทยทุกคนหรือคนที่มีรายได้ต่ำกว่าการเสียภาษี ทุกเดือน 5,000 บาท หรือรูปแบบอื่น
ฟังดูอาจจะฝันเฟื่อง หรือไม่ก็เป็นการหาเสียงของนักการเมืองประชานิยมสุดโต่ง แต่ลองศึกษาหาข้อมูลและหลักฐานข้อเท็จจริง (ซึ่งมีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต) อาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้
รพถ.ไม่ใช่เรื่องใหม่ โทมัส โมร์ (1478-1535) เมื่อเกือบห้าร้อยปีก่อน โทมัส เพน (1737-1809) เมื่อสองร้อยปีก่อนพูดถึงส่วนแบ่งที่เป็นธรรมที่ราษฎรควรได้รับจากภาษีรายได้ของรัฐ
มิลตัน ฟรีดมัน (1912-2006) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล มาร์ติน ลูเธอร์ คิง อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐหลายคน จนถึงริชาร์ด นิกสัน ที่เกือบผ่านกฎหมาย UBI ในปี 1971 ผ่านสภาล่างและไปตกที่สภาบน กฎหมายที่ต้องการ “แจกเงิน” คนอเมริกันเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
เรื่องดูเหมือนเงียบไปหลายปี มาเริ่มพูดถึงกันอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องเพราะความกลัวว่า อนาคตคนจะตกงาน โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วที่โรงงานต่างก็ย้ายไปอยู่ประเทศกำลังพัฒนาที่แรงงานถูกกว่า และงานทุกระดับกำลังถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จนนักอนาคตวิทยาบางคนทำนายว่า 12 ปีข้างหน้า (2030) จะมีคนตกงาน 2,000 ล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของแรงงานงานวันนี้
ขณะเดียวกัน โปรแกรมสวัสดิการต่างๆ ของรัฐก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้จริง คนรวยก็รวยขึ้น คนจนก็จนลง ความเหลื่อมล้ำถ่างออกไปทุกที และเป็นเช่นนี้ทั่วโลก ไม่ว่าประเทศรวยหรือจน ภาพรวมของทั่วโลกดูน่ากลัว
จึงไม่แปลกที่คนที่ออกมาพูดเรื่องนี้และแนวทางแก้ปัญหาด้วย รพถ.จะมีนักการเมืองทั้งซ้ายและขวา ทั้งสังคมนิยมและทุนนิยม รวมทั้งมาร์ก ซักเคอร์เบอร์กแห่งเฟสบุ๊ก และอีลอน มัสก์แห่งเทสลา และบรรดาผู้ประกอบการในซิลิคอน วัลเลย์
ที่สำคัญ มีงานวิจัยทดลองนำร่องในหลายประเทศ อย่างที่แคนาดาที่ทำการทดลองในเทศบาลแห่งหนึ่งตั้งแต่เมื่อปี 1970 เศษ แต่วิจัยเสร็จไม่มีการนำผลมาวิเคราะห์เพราะเปลี่ยนรัฐบาลท้องถิ่น หลายปีที่ผ่านมามีการนำผลมาวิเคราะห์พบว่าได้ผลดี สุขภาพผู้คนดีขึ้น อาชญากรรมลดลง ความคิดริเริ่มและนวัตกรรมมีมากขึ้น และอื่นๆ
ที่แคนาดาจึงมีการทดลองอีกเมื่อไม่นานมานี้ในอีกบางพื้นที่ เช่นเดียวกับที่ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส อินเดีย นามีเบีย ยูกันดา เคนยา บราซิล และอีกหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นการทดลองนำร่อง ประชากรเป้าหมาย 1,000-8,000 คน ระยะเวลาสองสามปีถึงสิบปี
มีหลายโครงการได้สรุปผลการทดลองในเบื้องต้นแล้วอย่างที่อินเดีย ที่เคนยา และหลายแห่งกำลังวางแผนทำการทดลอง ซึ่งธนาคารโลกเองก็ให้การสนับสนุนและได้ร่วมทำการวิจัยในหลายประเทศ แต่มีการวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ซึ่งงานวิจัยนำร่องต่างๆ ก็ให้คำตอบ เช่น
เป็นโครงการที่แพงมากก็จริง แต่มีหลายรูปแบบ ถ้าหากคำนวณให้ดี ก็จะพบว่าไม่ได้แพงเกินกว่าจะหางบได้ เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้ม เพราะลดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ปัญหาสังคม อาชญากรรม ทำให้คนมีการศึกษาดีขึ้น มีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น คนมีอิสรภาพมากขึ้น
หรือวิจารณ์ว่า คนจะขี้เกียจและไม่ทำงาน ซึ่งไม่จริง เพราะถ้ามีเงินดำรงชีพพื้นฐานคนก็จะมีสิทธิเสรีภาพที่จะเลือกงานที่มีความหมายต่อชีวิตของตนเองมากขึ้น มีพลังสร้างสรรค์และมีความสุขมากขึ้น
หรือบอกว่ายากจะเกิดขึ้นได้เพราะเป็นการปฏิวัติโครงสร้างเลยทีเดียว ต้องเปลี่ยนระบบสวัสดิการ ลดงานสวัสดิการ แต่ก็เกือบเกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อปี 1971 และวันนี้กำลังเป็นที่สนใจของรัฐบาลหลายประเทศ
รพถ.เป็นการปรับกระบวนทัศน์เรื่องการแก้ปัญหาความยากจน ที่คนมีอำนาจทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและสังคมมักคิดแทนประชาชน โดยเฉพาะคนยากคนจน คิดโครงการแก้ปัญหา เป็นสวัสดิการในรูปแบบต่างๆ เป็นร้อยเป็นพันอย่าง ตั้งเงื่อนไขมากมายให้คนปฏิบัติตาม
รพถ.ไม่ใช่สวัสดิการแบบสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นการให้เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ควรจะได้รับส่วนแบ่งอย่างยุติธรรมในมรดกที่บรรพบุรุษได้ทำไว้และส่งต่อมาให้เรา ระบบปัจจุบันทำให้คนรวยได้รางวัล คนจนถูกลงโทษ ซึ่งเป็นความอยุติธรรมทางสังคม
ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนเลวลง คนจนไม่ใช่เพราะขี้เกียจ แต่เพราะไม่มีเงิน ไม่มีโอกาสได้พัฒนาตนมีผลงาน (productive) และหลุดพ้นจากความจน
สังคมไทยก็มีสวัสดิการมากมายหลายอย่างที่ใกล้เคียงกับแนวคิด รพถ. อย่างสวัสดิการผู้สูงอายุ “สุขภาพถ้วนหน้า” รักษาได้ทุกโรค แต่บางสวัสดิการดูเหมือนจะดีแต่มีเงื่อนไขและเงื่อนงำ ให้คูปองซื้อของในร้านที่กำหนด แทนที่จะให้เงินสดไปซื้อของในตลาดนัดหรือที่ไหนก็ได้
หรือว่าสวัสดิการส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ปัญหา แต่เป็นกับดักความยากจน ไม่ได้ช่วยปลดปล่อยศักยภาพคนจนให้ “ระเบิดจากข้างใน” ไปสู่ความเป็นไท ?
พ่อครูว่า...อ่านเน้นซ้ำอีกที บทความนี้ อาตมาไม่ใช่เป็นนักอ่านเท่าไหร่คว้าอะไรได้ก็เอามา ใครมีข้อมูลมากกว่านี้ก็ช่วยส่งให้อาตมาบ้าง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนตามกถาวัตถุ และวรรณะ 9
สรุปการมาเป็นคนจน มันเป็นนัยสำคัญอันลึกซึ้งยิ่ง เราจะต้องพูดกันไปอีกหลายปี กว่าจะเข้าใจชัดเจน เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณและภูมิปัญญา คนจะแก้ไขด้วยวัตถุหรือหลักการ No way ไม่มีทาง แก้ไขด้วยวัตถุและหลักการวิธีการ No way ขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นหลักวิธีที่จะมาให้เป็นคนจนได้ จะอยู่อย่างเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ และมีเศรษฐกิจที่ดีอุดมสมบูรณ์ เป็นคนประเสริฐเป็นคนมีประโยชน์ต่อสังคมโลก ด้วย ไม่ใช่เป็นภาระตัวถ่วงสังคม จะได้อย่างนี้จริงๆหากปฏิบัติตามหลักพระพุทธเจ้า
อาตมาทำงานมากับสังคมมนุษยชาติมาถึงวันนี้ ตอนนี้ Coefficient พลังงานกำลังขึ้น จริง
มันเห็นว่า โอ้โห เราควรจะต้องพยายามพากเพียรอยู่ พยายามพากเพียรแข็งแรงมีสุขภาพดีเพื่อที่จะทำงานอันนี้ ช่วยเหลือประชาชน ให้ประโยชน์แก่ประชาชนได้รับสิ่งที่ประเสริฐอันนี้ เป็นความรู้สาธารณะหรือเป็นความรู้ส่วนกลาง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ใครก็มีสิทธิ์ตรัสรู้ไม่ใช่สงวนลิขสิทธิ์ อาตมาก็พยายามศึกษาเอาตัวเอง แต่ละคนๆจะสามารถเข้าถึงความรู้นี้เข้าใจความรู้นี้ได้ ต้องเอาตนมาปฏิบัติที่สุดอย่างสำคัญจริงๆเลยถึงจะได้
ได้มาขนาดนี้อาตมาได้คนจนมาจนกระทั่งพวกเรา ทิ้งในบัญญัติไม่ติดยึดเลย ชื่อก็ดี นามสกุลก็ดี ทิ้งไป หลายคนก็ตั้งนามสกุลเองมาได้เยอะ เก็บมาได้
ดูเหมือน คุณร้อยแจ้ง จะใช้นามสกุล จนดี แล้วก็เลยได้นามสกุล จนดีจริง
นามสกุล จน
กว่าจะได้ นามสกุล มุ่งมาจน นายตายแน่ขอใช้เวลาพอสมควรต่อมา มีคนมาล้อเลียนเป็นจนแน่ มุ่งมาตาย อยู่ภูผา
ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องปัจจุบันนี้บ้างคือเรื่องตลาดประชารัฐ เป็นเรื่องที่รัฐกำลังจะใช้อันนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ว่า เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่ตลาดใหม่ รวมทั้งขยายพื้นที่ตลาดเดิม
อาคาร บวรของเรา เป็นอาคารที่มีพื้นที่ 11 ไร่ เป็นอาคาร 2 ชั้นมีหลังคามุงเรียบร้อย ต่อเนื่องกันเป็นผืนเดียวเลย 11 ไร่ โล่งสูงโปร่ง สองชั้น
อาคารนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยจริงๆ โดยให้มาใช้พื้นที่นี้เป็นตลาดเป็นที่ค้าขาย เชิญ ยินดีต้อนรับทุกคน แต่มีเงื่อนไขต้องตรวจสอบหน่อย มีหลักเกณฑ์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ารับเละทุกคน ก็จะมีข้อแม้บ้าง
เพราะเราตั้งใจให้มาค้าขายในที่นี้ โดยเราไม่เก็บค่าเช่าไม่เก็บรายได้อะไรเลย ไม่เก็บตลอดไปด้วยไม่ใช่ไม่เก็บแค่ช่วงนี้ แต่ต่อไปจะเก็บ ไม่ใช่ ไม่ได้อ่อยเหยื่ออย่างนั้นเลย
ถ้าคุณอยู่ได้ดี ไม่มีผิดหลักเกณฑ์ คุณก็ขายไปได้เลี้ยงตัวจนกว่าจะแก่ตายแต่ห้ามเซ้ง หมดคุณแล้วก็จบ จะเซ้งให้ลูกหลานอีกไม่ได้ นอกจาก ลูกหลานจะเข้าตากรรมการ กรรมการก็จะพิจารณาให้เอง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงใจที่เราเอาคุณค่าคุณงามความดีของคนเป็นหลัก
อาคารนี้มีเป้าหมายให้คนรายได้น้อยทุกคนเข้ามาขายได้อย่างเสรีเพื่อส่งเสริมคุณธรรมที่ผู้ขายและผู้ซื้อช่วยเหลือกันและกัน
ของเรามี สี่ห้าม สามต้อง
1.ห้ามนำสินค้าที่เป็นสิ่งที่เสพติดมาขายเช่นเหล้า บุหรี่ น้ำชา กาแฟ น้ำอัดลมมาขายเป็นต้น
2.ห้ามนำเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัตว์หรือแม้แต่ส่วนประกอบของไข่มาขาย
3.ห้ามนำผักผลไม้ที่มีปนเปื้อนสารเคมีมาขาย เมื่อตรวจแล้วต้องไม่พบสารพิษตกค้างปนเปื้อน (ต้องไม่ใช้ ปุ๋ยเคมี - ยาฆ่าแมลง - ยาฆ่าหญ้า ให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอก มูลสัตว์ ฯลฯ )
4. ห้ามขายแพง ให้ขายราคาต่ำกว่าท้องตลาด
เรามีหลักการค้าแบบบุญนิยม 4 ระดับคือ ต่ำกว่าท้องตลาด เท่าทุน ต่ำกว่าทุน แจกฟรี
เราขอเกณฑ์ต่ำสุด คือ ต่ำกว่าราคาตลาด ที่จริงเกินทุนก็ยังบาปอยู่ แต่ก็จำนน ให้ทำได้ แต่อย่างน้อยต่ำกว่าราคาตลาดให้มาก ต่ำกว่าได้มากเท่าใดก็เจริญขึ้นเท่านั้น ต่ำกว่าทุนมากๆๆ จนกระทั่ง 0 ให้ฟรีเลย ก็จบ
และอีกสามข้อที่ต้องทำ
1.ไม่ติดอบายมุขเช่น กินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เป็นต้น
2.ต้องนำอุปกรณ์ประกอบการขายมาเอง
3.เคารพวัฒนธรรมประเพณีของชุมชน
นี่คือตลาดประชารัฐของเรา ส่วนของรัฐบาลก็ว่ากันไป ส่วนของเราจะเข้มในมุมของเรา แต่ของเรานี้ยืนยันว่าฟรี แต่ของรัฐบาลก็ยังมีเงื่อนไขอีกว่า ให้ในตอนต้น แต่ตอนต่อไปก็คงจะเก็บเงิน แต่ของเรานี้ให้ตลอดไปเลย
ของเราทำไม่ขัดแย้งกับของรัฐบาล เป็นการให้โอกาสประชาชน แต่เราสะอาดบริสุทธิ์จริงใจให้ฟรีจริงๆ ไม่ได้ทำเบ่งแข่งกับรัฐบาล เราทำไม่ได้หรอก แต่รัฐบาลก็ต้องมีกฎเกณฑ์ของเขาก็เห็นใจที่ต้องทำ เขาเองไม่เหมือนเรา เราเองก็ทำกันในหมู่เล็ก ของรัฐบาลทำกับทั้งประเทศ เป็นคนละสถานะ คนละบริบท
มาเข้าสู่ ความจนกับคนจน และก็จะต้องอีกๆๆหลายปี เรื่องของความจนกับคนจน พวกเราชาวอโศก พยายามทำงานฝึกฝนตามธรรมะพระพุทธเจ้ามา อาตมาเอาหลักฐานตามพระไตรปิฎก
คำว่าอัปปิจฉะนี้จะควบคู่อีกหลายคำ
กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา
กถาวัตถุ คือการพูดสามัญนี่แหละ จะต้องพูดให้เข้าเกณฑ์ทั้ง 10 ประการ มีแนวโน้มไปสู่ อัปปิจฉะ คือมักน้อย กล้าจน มาจนนี่แหละดี ตัวนี้เป็นเงื่อนไขหลักคือมาจนได้นี่ดี รวยไม่ดีหรอก อาตมาเคยพูดแรง รวยนี่ไปอะไรต่างๆ รวยไม่ดีหรอก จริง
มาจน
1. อัปปิจฉกถา มาจนนี้ดี แล้วมีขีดของจิตให้พอ มีน้อยให้เป็น 0
2. สันตุฏฐิกถา ใจเท่านี้มันพอแล้ว กินอิ่มแล้วเต็มท้องก็พอ แต่คนตะกละเต็มท้องแต่ยังอยากอีก ก็กินจนท้องแตกตายเหมือนอย่างชูชก อย่างนี้เกินไป
3. ปวิเวกกถา จิตเย็น อุเบกขา ไม่ผลัก ไม่ดูด สงบ ไม่ใช่สงบอย่างไม่กระดุกกระดิก หนักเข้าไม่หายใจเลย มันมีแต่รูปธรรม แต่ของพุทธนั้นสงบคือกิเลสตัวร้ายไม่มีฤทธิ์อำนาจมาทำให้จิตปรุงอะไรขึ้นมาเลย อสังขาริกัง ไม่มายุ่งในจิต มีอภิสังขาร ปรุงแต่งอย่างไม่มีเชื้อให้เดือดร้อนดิ้นรนวุ่นวาย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูกำลังอธิบายเรื่องการมาจน ในกถาวัตถุ 10
พ่อครูว่า...ปวิเวกคือสงบด้วยกิเลสตัวกวนวุ่นยุ่ง nuisance มันหยุด ยิ่งกิเลสสงบหยุดดับ ยิ่งแข็งแรงตั้งมั่น อเนญชา จิตแคล่วคล่อง แข็งแรง มุทุภูตธาตุ เป็นคุณสมบัติของอุเบกขาตัวกลางเลย มุทุ ในอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
เป็นสภาวะที่อาตมามีแล้ว แต่ยังไม่เก่งที่พูดให้พวกคุณบรรลุได้เลย ทันที ก็ค่อยๆอธิบายไป สงบคือกิเลสตัว nuisance มันหายไปหมดไปเลย
4. อสังสัคคกถา อันนี้แหละยาก คนโลกีย์ เข้าใจไม่ได้ อ คือไม่ สังคือการปรุงแต่ง สัคคะคือสวรรค์ คือไม่ก่อสวรรค์ ไม่เอาสวรรค์ ไม่ให้สวรรค์เกิดอีก เขาแปลว่า ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องโดยหมู่ชน แปลผิดไปอย่างนี้ศาสนาพุทธก็เลย ห้วน ไปปลีกเดี่ยว อยู่แต่ผู้เดียวเดี๋ยวก็บรรลุธรรม หนีเข้าป่าเขาถ้ำ เป็นศาสนาเดียรถีย์ไปหมด
การไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง คือ ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกับกิเลส ไม่เกี่ยวข้องกับหมู่คนพาล คนที่ไม่ใช่มิตรดีสหายดี ไม่ใช่สัตบุรุษ ไม่ใช่บัณฑิต พวกคนโง่คนพาล คนมีกิเลสมาก พวกนั้นเราไม่ไปสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย เราต้องเจียมตัว เข้าไปแล้ว เหมือนสนามแม่เหล็ก ดูดเราไปเสีย เราก็ต้องดูตัวเรา ว่าเราเองเข้าไปแล้วมันจะมีอำนาจในตัวเราเพียงพอหรือไม่ คนที่จะมีพลังงาน คุ้มตัวเองได้ แล้วไปอยู่ในวงคนพาล คนมีอำนาจในทางที่ผิดที่ไม่ดี เราจะสามารถรักษาตัวเองรอดและจะมีพลังที่จะทำให้คนอื่นเขานั้นเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่
ถ้าไม่แล้วอย่าอวดดี ต้องดูตน ประมาณตนให้ดี มีอัตตัญญุตาให้ดี ถ้าไม่เช่นนั้นตายเปล่าๆ คนตายเพราะว่าอวดดีมีเยอะ ประมาทไม่ระมัดระวัง
สรุปแล้ว อสังสัคคะ ต้องเข้าใจ สัคคะคือสวรรค์ คือความเบิกบานใจ สวรรค์คือความสุข สวรรค์หยาบก็รู้ง่าย ได้ลาภยศสรรเสริญ ก็สุข ได้เสพ แม้เสพสิ่งที่ไม่ใช่ภายนอก เป็นในจิต เป็นอัตตา ภวตัณหา เราก็ลดลงๆ จากกามเนื่องจากข้างนอก กามราคะหมด ก็ทำรูปราคะ อรูปราคะหมดต่อไป ก็หมดสวรรค์ ไม่มีความฟูหรือแฟบ ไม่มีขึ้นไม่มีลงเลย
สวรรค์กับนรกมันอันเดียวกัน คุณไปหลงสวรรค์ก็ได้นรกทันที มันเป็นเหรียญ 2 ด้านแยกไม่ออกหรอกสวรรค์กับนรก ก็ต้องดับ พระพุทธเจ้าบอกว่าเรียนรู้ง่ายคืออาการทุกข์ อาการนรก ดับทุกข์หมด ถูกต้องสวรรค์ก็หมดไป
สวรรค์คือคนที่มองในแง่สวรรค์ แล้วไปงมงายในสวรรค์ โดยไม่ไปคิดถึงนรก นรกคือกิเลส คือสิ่งที่เป็นโทษภัยต่างๆ ก็เลยไปเอาอย่างสบายๆ สวรรค์บำเรอใจตัวเองไปไม่จบ บำเรอใจอย่างไรก็ไม่จบ ต้องมาทำทางด้านโทษ อาทีนวะ เป็นโทษจึงจะจบ ลดลงจนดูโอการัง สังกิเลสัง ต้องดูกิเลสที่ยังมีทำให้เกิดความมัวหมองด่างพร้อย ให้สุด
การออกจากกิเลสออกจากสวรรค์ ออกจากกามสุขขัลลิกะ มันจึงละเอียดจนเหลือภายใน ภายในคืออัตตา ภายนอกคือกาม นี่คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในครั้งแรก มีสองฝ่าย ฝ่ายนอกคือกาม ฝ่ายในคืออัตตา
ฝ่ายนอกจะหมดก่อน แม้อนาคามี มีอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ก็เหลือภพในภวราคะ แม้ในสังโยชน์ก็ต้องเรียนรู้ต่อ สังโยชน์ 10 กับอนุสัย 7 นั้นมีภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนที่กลับกันในลักษณะของตัวกิเลส ทิ้งไว้ก่อนวันนี้ยังไม่ขอลงลึกถึงขั้นสังโยชน์กับอนุสัย เพราะว่ามันจะลึกเกินไป วันนี้ขอผ่านไปก่อน
5. วิริยารัมภกถา ขยันทำดีไม่ใช่ขยันทำชั่ว คนที่ชั่วแล้วขยันทำชั่วก็เยอะเลยเละเลย ความขยันก็อย่างหนึ่ง ความชั่วความดีก็อย่างหนึ่ง ต้องแยกให้ออกลักษณะของกรรมกิริยาพวกนี้ ลักษณะของกรรมกิริยาความขยันกับลักษณะกรรมกิริยาความชั่วหรือดี ก็ต่างกัน
ขยันแต่ชั่วนี่ ไปใหญ่เลย ต้องมีเงื่อนไขว่า ขยันต้องเป็นคนดีทำดีนะ อย่าให้คนชั่วขยันเลย เราจึงยอมให้คนชั่วไม่ทำอะไรเลยดีกว่า ถ้ามันทำได้จะยุ่ง มีผลกระทบต่อผู้อื่นมันเป็นภัยไม่ดี นี่คือสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ต้องรู้สภาวะความจริง สภาวธรรมของสิ่งต่างๆนี้ให้ดี
ขอขยาย กถาวัตถุ 5 นี้ออกไปเป็นวรรณะ 9
1. สุภระ เป็นคนที่เลี้ยงง่าย เป็นคนไม่เรื่องมาก กินอยู่หลับนอนช่วยเหลือง่าย
2. สุโปสะ สอนง่าย ช่วยให้เจริญ ทำให้พัฒนา เจริญในทางกายวาจาใจ เจริญด้วยความรู้ เจริญทางภูมิธรรม เจริญในงาน ว่านอนสอนง่าย ส่วนสุภระเลี้ยงง่าย สุโปสะ เจริญง่าย
3. อัปปิจฉะ ตัวนี้คือกล้าจน เอาไว้น้อยจนขั้น 0 เลย
4. ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ในหลวงรัชกาลที่ 9 เราตรัสความพอเพียงก็มาจากคำว่าสันโดษ คำว่าสันโดษนี้จะมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก ในสามัญผลสูตร ท่านมีหลักเกณฑ์ 4อย่าง ศีล สำรวมอินทรีย์ สติสัมปชัญญะ สันโดษ ให้เป็นอาริยะ 4 อย่างนี้เป็นหลักเกณฑ์ขั้นต้น ในสามัญผลสูตร
5. ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) มีการขัดเกลา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มันหยาบมันไม่ดี ควรจะเลิก กายกรรมหยาบ วจีหยาบ มโนกรรมหยาบ อะไรก่อนหลังก็แล้วแต่ใครถนัด แต่ส่วนมากจะต้องข้างนอกก่อน ค่อยมาทำข้างในเป็นสามัญ แต่บางคนสลับซับซ้อนก็ทำที่ใจก่อนก็แล้วแต่
มีการขัดเกลา ขจัดส่วนได้ส่วนไม่ดีของเราเอง
6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลเคร่งอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) คือ ศีลเคร่ง เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ปฏิบัติได้ตามศีลที่สูงขึ้นแล้วก็สบาย ธูตะหรือองค์แห่งศีลเคร่งเรียกว่าธุตังคะ มาเป็นภาษาไทยเขียนเป็นคำว่าธุดงค์
ธุดงค์ มาเป็นภาษาไทย เป็นบาลีคือ ธูตะ แต่มาเป็นไทยกลายเป็น ธุดง ก็เลยกลายเป็นบุกตะลุยทะลุดงป่าเลย กลายเป็นว่าการธุดงค์คือ ออกป่า นั้นไม่ใช่
ธุดงค์ไม่ใช่แปลว่าออกป่า และธุดงค์ไม่ใช่แปลว่าการเดิน มันผิดเพี้ยนไปไกล จนกระทั่งไปยึดมั่นถือมั่นจริงๆว่าธุดงค์คือการออกป่า
ส่วนธุดงค์ที่พระมหากัสสปะสมาทานมี 13 ข้อ มีข้อหนึ่ง ที่ว่าจาริกธุดงค์ ซึ่งหมายถึงการเดินบิณฑบาตไปตามลำดับ ไม่ไขว้ไป ไขว้มา
คำว่าออกป่านี้เป็นลักษณะเด่นของพระมหากัสสปะ ท่านบำเพ็ญมาด้วยการติดป่ามาหนัก ทั้งพระกัสสปะ และภรรยา บำเพ็ญมาในป่าไม่รู้กี่ล้านชาติก็เลยเป็นวาสนา ก็เลยแก้ได้ยาก
พระกัสสปะเป็นต้นรากของเถรวาท การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกก็มีพระมหากัสสปะเป็นองค์ประธานมีอรหันต์ 500 จึงเอียงไปทางพระป่า ตามพระกัสสปะ อาตมากับกัสสปะรู้จักกันดี อาตมาไม่ใช่สายพระป่าก็เลยรู้ เอามาขยายความให้ฟัง ไม่ได้อวดดี แต่ขยายความจริงให้ฟัง ใครจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่มีปัญหา
สรุปว่า ธุตังคะ ไม่ได้แปลว่าออกป่า แต่ว่าคือศีลเคร่ง แต่ทำได้ปกติแล้วไม่เคร่งหรอก เช่นเรามาอยู่เป็นคนจน ไม่มีเงินผ่านมือสักบาทเลยเป็นเดือนเป็นปีก็สบาย แต่คนเห็นว่าไม่ได้เคร่งไป ไม่กินเนื้อสัตว์เคร่งเกินไป แต่เราทำได้อย่างสบายมากปกติ หายห่วงจริงๆไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อย่างนี้เป็นต้น สิ่งที่ทำได้แล้วเป็นปกติ ศีลแปลว่าปกติ สำหรับคนไม่ได้ถือว่ายาก มีความเคร่ง แต่คนทำได้แล้วก็ปกติ นี่คือ สภาวะเหล่านี้ไม่ง่ายที่จะเข้าใจถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ทำได้แล้วไม่ต้องคุมเคร่ง ลึกเข้าไปคือเป็นเองได้เลยเป็นตถตา เป็นเช่นนั้นเอง ลักษณะธุดงค์ ธุตังคะ เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก แต่ทำตามศีลตามการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทำได้แล้วจะเป็นปกติ บรรลุเป็นธูตะ
ตัว ต.เต่าตั้งมั่น ธ นี้แข็งแรงทรงไว้ อะ อิ อุ จบ วังวนบริบูรณ์
7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) กายกรรมก็ดูดี พอเหมาะพอดี อย่างอาตมา กายกรรม นัจจะคีตะวาทิตะนี้น่าเลื่อมใสนะ แต่หลายคนบอกว่าไม่สงบ เขาก็จะว่า แต่อาตมาว่า คนที่เข้าใจผ่านพ้นการติดยึดที่อาตมา พูดเหมือนแก้ตัวว่าทำไมต้องทำท่าทางแรงอย่างนี้เสียงต้องดังเน้น ดังไปคอก็ไอ
8. ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) คือการไม่สะสมข้าวของเงินทอง บ้านช่องเรือนชานไม่สะสมเป็นของตน วัตถุสมบัติไม่สะสม อนาคามี และไม่สะสมกองกิเลสด้วย
วัตถุไม่สะสม นามธรรม ทรัพย์ทางจิต ก็ไม่สะสมกิเลส แต่จิตจะเจริญแข็งแรงดียิ่งขึ้นเป็นจิตกุศล ก็เอามาใช้งาน แต่จิตใจที่ไม่ดีไม่สะสมไม่เอา ที่ไม่ดีงามไม่เอา
ต้องรู้จักอาการของจิตที่ไม่ดีต่างๆ อปจยะ จึงเป็นตัวยืนยันการเป็นวรรณะชั้นที่ 8 สูง
นะ เกือบจะจบ วรรณะ 9 คนไม่สะสมนี่คือคนสุดยอด คนจนที่จะต้องกราบไหว้บูชาเคารพ
9. ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ท่านเจ้าคุณประยุทธ์แปลว่าระดมความเพียร อาตมาแปลว่าขยันเสมอ ขยันต่อเนื่อง ขยันไม่วาง แต่ต้องวรรคบ้าง รู้พักรู้เพียร อปัตติถัง อนายูหัง เราไม่พักเราไม่เพียร เราจึงข้ามโอฆสงสารได้
วรรณะนี้คือผู้สูงส่งด้วยฐานะ วรรณะนี้ไม่ใช่ วรรณะ 4 ของสังคมแบบพราหมณ์ ต้องฝึกฝนเอาจริงจะได้เป็นของตัวเอง
ตัวที่ 8 อปจยะ เป็นตัวหลักฐานยืนยันว่านี่แหละคือศาสนาพุทธ ส่งเสริมให้คนมาจน คนไม่สะสมมาเป็นของตนนี่แหละ ไม่สะสมวัตถุไม่สะสมกิเลส แม้แต่วัตถุที่จะต้องอาศัยเพราะว่ามีขันธ์ 5 จะต้อง มีชีวิตอยู่ หรือปัจจัยทำงานเป็นเครื่องอาศัย
เครื่องอาศัยที่จะต้องใช้สอยอยู่กินทำงาน ท่านเรียกว่าอาหารปริเยติทุกข์
อาศัยร่างกายขันธ์ 5 ก็เป็นภาระ ทุกข์ขันธ์
อาหาร แปลว่าเครื่องอาศัย อาหารที่ต้องใช้ ปริ ต้องใช้อาศัยตั้้งอยู่ มันเป็นทุกข์แต่ต้องอาศัยที่จะใช้เพื่อการทำงาน อาศัยอาหารคำข้าว อาหารปัจจัย เครื่องใช้ ที่จะใช้ทำประโยชน์ แต่ไม่ใช่ประโยชน์ที่จะมาให้แก่ตัวเอง อันนี้ก็ซ้อนลงไป ว่าเราอาศัยใช้สอย
ความซับซ้อนละเอียดลออพวกนี้ ตนเองจะมีปัญญามีความเฉลียวฉลาดที่จะหยั่งรู้อย่างสะอาดบริสุทธิ์ซื่อสัตย์
อาตมาได้พูดแม้ที่สุดว่า อาตมาภูมิใจที่ทำงานศาสนามาจนถึงวันนี้ไม่เรี่ยไร อย่างเก่งก็บอกบุญกับผู้ใกล้ชิดแล้วช่วยกัน นี่สูงสุดแล้ว แล้วก็นานๆจำเป็นถึงบอก เรี่ยไรไม่เคยทำตลอดชีวิต นอกนั้นอาศัยบารมี มีคนสนับสนุนเกื้อกูลเอง จนป่านนี้ก็ทำงานอันนี้มา จะ 50 ปีแล้ว มาบวชแล้วอยู่ในวินัยอยู่ในหลักเกณฑ์พวกนี้ ไม่สะสมสมบัติ ทำงานด้วยความซื่อสัตย์จริงใจขยันอุตสาหะไป ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา ให้คนอื่นเลี้ยงดูไว้อนุเคราะห์สนับสนุนไว้
สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าเรี่ยไรนี้ เขาจำเป็นต้องทำ ไม่ใช่ตั้งใจทำเองเลย เราไปเรี่ยไรคือเราไปบีบบังคับเขา
พ่อครูว่า...เขาก็เกรงใจเรี่ยไร หรือบางคนเต็มใจให้ก็มี แต่ออกปากมีนัยแวดล้อม ใช้วิธีการ โป้งฆ้อนทองคำ โป้งรวยๆ ได้แล้วจะไปมีสวรรค์อยู่ที่ดุสิตบุรี เฟส 3 เฟส 4 หาวิธีหลอกล่อสารพัด
ในสุดท้ายสุดยอด ข้อ 2 ข้อท้ายนี้ ไม่สะสมอะไรแต่มีความขยัน วิริยารัมภะ
ขยันอย่างมีปัญญาด้วยนะไม่ใช่ขยันทำชั่ว ก็บรรลัยจักรเลย ขยันแต่โง่ขยันแต่ชั่ว ขยันแต่โง่ทำอย่างโง่แต่ขยันจัง บรรลัยหมด หรือว่าขยันแต่ชั่ว ทำชั่วแต่ขยันจังเลยทำชั่ว ตายเลยไม่เอา
ขยันต้องดี ต้องมีความฉลาดเป็นปัญญา ไม่ใช่ฉลาดแบบเฉโก อย่างนั้นแย่ ปัญญานี้โลกุตระ ส่วนเฉโกนี้โลกียะ มีความฉลาดเฉลียวแต่พาให้โลกบรรลัย
สรุปแล้ว เน้นอีกที เรามาพูดในขั้นสูงแล้ว เราพูดถึงความจน คนจนแต่ขยัน
เพราะธรรมดาคนไม่ขยันนั้นมันไม่รวยหรอก มันจน แต่นี่จน ขยันๆแล้วก็ไม่เอาไว้เป็นของตัว จนขยันสร้างสรรค์ทำแต่สิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ดี
เพราะฉะนั้นในเหตุปัจจัยเหตุผลต่างๆคำต่างๆ จึงมีนัยซับซ้อนว่าเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีมาทั้งนั้น ถ้ามันมีให้เลือก เป็นธรรมะ 2 ก็ต้องเลือกเอาสิ่งที่ดี แต่ทำเป็นธรรมะเดียว เอกังสวาทีก็มีอีก เช่นว่า บุญหรือปัญญาก็เป็นเอกังสวาที
ปัญญาไม่ใช่เฉโก ที่เป็นโลกียะ ปัญญาเป็นโลกุตระ เป็นความเฉลียวฉลาดลดกิเลสที่คู่กับบุญ
ปุญญะหรือบุญเป็นเอกังสะ ไม่ใช่ธรรมะ 2 ไม่ใช่ธรรมะคู่ ธรรมะเดียวนี่แหละที่ไม่พูดกันในสังคม แม้แต่ธรรมะ 2 ยังไม่พูดเลย ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้พ่อครูพูดถึงเรื่องมาจน เราแต่ละคนก็แสดงตัวมาจนแล้ว ส่วนสำคัญที่จะมาจนได้จริงๆ จะต้องมีคุณธรรมเป็นคนวรรณะ 9 และหากเราทำดีแล้วถ้าขัดเกลาไม่ได้ก็เป็นจุดตายของชาวอโศก ก็ต้องแยกตัวไป มันต้องมาเป็นคนที่ไม่สะสมกิเลสอัตตาตัวตน อปจยะ ถ้าสะสมอัตตาตัวตนก็ไปไม่รอด
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:02:01 )
รายละเอียด
601204_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตลาดประชารัฐแบบคนจนตลาดแห่งการให้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ตลาดประชารัฐบุญนิยม
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันที่ 4 ธันวาคม 2560 พรุ่งนี้เป็นวันที่ 5 ธันวาคมถือว่าเป็นวันชาติ เป็นวันพ่อแห่งชาติ วันดินแห่งโลก สหประชาชาติให้เป็นวันดินแห่งโลกเพื่อระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงช่วยเหลือมนุษยโลก ทางรัฐบาลถือว่าเป็นวัน kick off ตลาดประชารัฐทั่วประเทศมีหลายร้อยตลาด เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการที่เดือดร้อนจากการที่ไม่มีสถานที่ขายสินค้า
พ่อครูว่า...พูดถึงตรงนี้เลยเราไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดคำว่าตลาดประชารัฐ คิดขึ้นมาอย่างไร มันมาตรงกับที่เราคิดและเราทำ เราก็สร้างอาคารตลาด อาคาร บวร ขึ้นมาเพื่อจะให้เป็นแหล่งที่จะให้คนมาขายของ คนที่ไม่มีที่จะขายสินค้าขายผลผลิต โดยเฉพาะผลผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร ซึ่งเราไม่ได้ขายเนื้อสัตว์ นอกนั้นก็เป็นสินค้าอื่นๆ ตั้งใจจะให้เป็นตลาดของแห้งครึ่งหนึ่งตลาดสดครึ่งหนึ่ง เจตนาให้เป็นตลาดจริงๆเพื่อคนจะได้มา ใครก็แล้วแต่ ถ้าถือว่าไม่เป็นคนสำมะเลเทเมา เป็นคนไม่มีศีลธรรมเลย ก็ควรจะมีศีลธรรมอยู่บ้าง ไม่ได้คิดจะทำตลาดเพื่อหาเงินหาทอง หรือเก็บค่าเช่าเลย
อาตมาก็ได้ยินเปรยๆกันว่า ตลาดประชารัฐที่เขาจะเปิด เขาก็บอกไปว่า ตอนแรกยังไม่เก็บเงิน แสดงว่าตอนต่อไปจะเก็บเงิน แต่เรานี่ไม่เก็บเงินเลยตลอดไป
รัฐบาลก็คงจะต้องมีรายจ่าย อาจจะเป็นธรรมะหรือคุณธรรมว่าคงจะไม่ให้คนเห็นแก่ตัวเกินไป เราเองก็จะว่าไป เหมือนส่งเสริมให้คนเห็นแก่ตัวไหม อาตมาว่า มองในแง่ต่างๆก็มองกันไปได้ แต่เราไม่มีเจตนาอย่างนั้น จะเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัวเราก็พยายามให้คนได้พัฒนาตัวเอง ช่วยเหลือผู้คนว่ากันไป นี่คือการขยายความในใจที่จะทำซึ่งจะถือว่า อาตมาคุยอวดอ้าง ทำเพื่อประชาชนก็อาจจะเป็นไปได้ ก็ขออภัยที่อาจทำให้เห็นไม่ดี อย่าไปคิดอย่างนั้นเลยถ้ามันเป็นแง่ลบ อาตมาไม่มีจิตใจอยากโอ้อวดสาเฐยจิต ว่าได้ช่วยเหลือมนุษยชาติประชาชนหรือไม่
ที่อาตมาต้องพูดบ่อย บอกว่าตัวเองทำเพื่อสังคมเสียสละเพื่อประเทศชาติ ที่พูดบ่อยก็เพราะว่า อาตมาอยากจะบอกความจริงให้รู้ว่า ความมีจิตใจบริสุทธิ์ มีความจริงใจ ที่เสียสละ โดยไม่คิดสิ่งตอบแทน ไม่คิดจะเอาสิ่งตอบแทนจะไปหาชื่อเสียงหาลาภยศ ไม่มี
แปลกที่ในคนยุคนี้ก็ยังมีคนเสียสละต่อประเทศชาติเป็นการเสียสละที่จริง อย่าคิดว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั้นทําให้คนหมดกิเลส คนเสียสละโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก อยากจะให้ล้มความคิดนี้ ซึ่งอาตมาตนเองมั่นใจว่าอาตมาไม่ได้มีจิต สาเฐยจิต จิตใจอย่างโอ้อวดอะไรหรอก หรือจะทำงานเพื่อให้ได้สิ่งตอบแทนอะไรกลับมาเลย เพื่อจะได้ชัดเจนว่าธรรมะพระพุทธเจ้านั้น ทำให้คนไม่มีกิเลสสรุปชัดๆ
ทำงานเพื่อสังคมมนุษยชาติแท้ๆได้ และไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวชด้วย เป็นฆราวาสนี่แหละทำได้ อาตมาถึงมั่นใจที่จะทำให้ฆราวาสนี่แหละ จะได้ออกไปเป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการ จะออกไปทำงานกับประชาชน ให้เป็นนักการเมืองมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ข้าราชการนั่นแหละคือนักการเมืองประจำ คือเป็นผู้รับใช้ประชาชนอยู่แล้ว แต่เขาก็ถือว่า เขาเป็นใหญ่ เขาเป็นผู้คุมอำนาจ กำหนดกฎเกณฑ์ อำนาจ คุณจะต้องมาพึ่งพาฉัน ทั้งๆที่ข้าราชการคือผู้รับใช้ประชาชน คุณพึ่งประชาชนนะ คนรับใช้ประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยประชาชนเป็นเจ้านายของคุณ แต่เขาไม่ได้สำนึกเช่นนี้ เขาสำนึกว่าตนเองเป็นเจ้านายประชาชน คุณจะต้องบริการประชาชนต่างหาก ประชาชนเขาไม่รู้จริงๆ แต่คุณไปรับหน้าที่ราชการ เขาใช้คุณเพื่อทำหน้าที่รับใช้ประชาชน คุณต้องมีความรู้เพื่อรับใช้ประชาชนตามหน้าที่ กระทรวงกรมกองต่างๆ คุณต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆเขาก็บรรจุคุณเป็นคนรับใช้ประชาชน ข้าราชการ ประชาชนเขาไม่รู้จริงๆ คุณก็ต้องรับใช้เขาทำหน้าที่รับใช้ ไม่ใช่ว่าคุณมีความรู้แล้ว คุณจะต้องข่มประชาชน ให้ประชาชนเป็นเบี้ยล่าง นี่คือความหลงผิดของมนุษยชาติ หลงผิดของนักการเมืองและข้าราชการ ในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอสอนข้าราชการ สอนนักประชาธิปไตยนักการเมืองเอาไว้
สมณะเดินดินว่า...ไม่รู้ว่าพวกสายการบินจะสอนข้าราชการได้หรือไม่ เพราะว่าดูข่าวทุกวันนี้พวกดารา ไปเป็นแอร์โฮสเตสกันตามๆ เลิกเป็นดารา ตอนเราขึ้นเครื่องบินจะเห็นว่าแอร์โฮสเตสมาอ่อนน้อมถ่อมตนรับใช้ประชาชน อำนาจเงินก็ทำให้คนที่แม้จะแข็งกระด้างอย่างไร ก็ต้องมาเป็นผู้รับใช้ อ่อนน้อมถ่อมตน
พ่อครูว่า ถ้าเขาอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ไปได้ตลอดเลย เป็นคนอย่างนี้ไปตลอดเลยก็จะยอดเยี่ยมเป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต
สมณะเดินดินว่า...สิ่งที่พ่อครูพูดมีคนข้างนอกอาจจะไม่เข้าใจ แต่พวกเราเข้าใจให้ได้ก่อนก็แล้วกัน กรรมของมนุษย์ที่ได้ทำไปแล้วโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มันสามารถทำได้ และฆราวาสก็สามารถทำได้ พ่อครูเคยพูดถึงในหลวงว่าตลอด 70 ปีของในหลวงก็จะเป็นตัวอย่างที่ทรงงานมาโดย ไม่ได้หวังจะได้ผลตอบแทนอะไร มั่นคงสม่ำเสมอ ยังเดินตลอดไม่เปลี่ยนแปลง
เหมือนตลาดประชารัฐ จริงๆก็มีเทปวิดีโอ เก็บที่พ่อครูพูดไว้ ก่อนที่รัฐบาลจะทำตลาดประชารัฐเสียอีก ว่าจะทำอาคารนี้เพื่อให้ประชาชนมาใช้งาน คนทางโลกก็อาจจะไม่เข้าใจ ก็จะมองว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังซับซ้อนหรือเปล่า จะเอามาหาผลประโยชน์อะไร แต่เราอยู่กับพ่อครูมานาน จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รับใช้ช่วยเหลือประชาชน แต่แปลกที่สิ่งที่พ่อครูพูดก็ตรงกับที่รัฐบาลคิด และเมื่อไปคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ว่าฯ ก็รับตรงกันเลย เป็นเรื่องสอดคล้องตรงกัน ก็ยังไม่ได้อธิบายเลยว่าเราจะทำอะไรยังไงกัน ผู้ว่าฯเข้าใจหมดเลย ผู้ว่าฯก็ไปที่อุทยานบุญนิยมอยู่แล้ว มองเห็นรูปแบบที่เราให้เกษตรกรมาขายของโดยไม่เก็บค่าเช่า ผู้ว่าฯก็เข้าใจ
พรุ่งนี้เป็นห่วงว่า พ่อค้าแม่ค้าจะมาเยอะหรือเปล่า อย่างที่อุทยานบุญนิยม ก็เปิดโรงบุญด้วย
ตอนเช้า จะมีบิณฑบาต 7 โมงครึ่ง เราก็พอเข้าใจว่า วันที่ 5 เป็นวันสำคัญราชการก็คงจะไม่ค่อยว่าง ก็เลยนิมนต์พ่อครูไปเปิดงานพรุ่งนี้
พ่อครูก็ย้ำตลอดว่า เรื่องของการให้เป็นสิ่งที่สำคัญ ในหมวดต่างๆเรื่องของทาน และท่านก็ย้ำอีกว่า ทานอย่างไรไม่ต้องตั้งจิตหวังว่าจะได้อะไรกลับคืนมา แม้แค่ความปลื้มใจ อย่างที่ธรรมกายเขาเน้น
มนุษย์ผู้ใดที่สามารถให้แล้วโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลย คนนั้นคือเอกบุรุษหรือสุดยอดมนุษย์ผู้ประเสริฐ ถ้าให้โดยตลอดเวลาโดยไม่หวังอะไรตอบแทนคือพระอรหันต์ ถ้าหวังผลตอบแทน แต่ไม่หวังตอบแทนมากกว่าก็เป็นพระอนาคามี ถ้าน้อยกว่านั้นก็เป็นพระสกิทาคามีเป็นพระโสดาบัน ถ้าเอาอยู่ตลอดเวลาก็ปุถุชน
พ่อครูว่า..ที่ท่านเดินดินพูดเรื่องการให้นี้เป็นที่สุดแห่งที่สุด ของการปฏิบัติธรรม ในบารมี 10 ทัศ ก็คือทาน
มีทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา
ก็คือทาน ทำอย่างไรจิตใจของเราจึงจะเป็นจิตใจที่มีแต่ให้ ในหลวงของเราก็รู้จุดที่จบของการมีธรรมะสุดยอด ก็ถึงบอกว่าเราเสียนี่แหละคือเราได้ เสียสละเพื่อให้นั่นแหละจบ ได้ ก็จบแล้ว ก็เป็นผู้ที่เกิดมาเป็นผู้ที่ได้ทุกอย่างแล้ว ก็เป็นผู้ให้ได้ทุกอย่างให้ได้เสมอ เป็นผู้ให้ผู้เสียสละอยู่เสมอ นั่นแหละคือผู้จบ ในความเป็นมนุษย์แล้ว พระอรหันต์ทุกท่านทุกองค์ไม่มีตัวตน
หมายความว่าท่านไม่ทำอะไรเพิ่มมาไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวตน มีแต่ทำเพื่อให้ผู้อื่น แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอยู่ยังไง เป็นอย่างไร จะกินอย่างไร เมื่อไหร่จะได้กินไม่ต้องกังวล ปรปฏิพัทธาเมชีวิกาไม่ต้องกังวล ให้คนอื่นเลี้ยงตนเองไว้ ถ้าเราไม่เป็นผู้ให้จริงเขาไม่เลี้ยงไว้ก็ควรตาย ถ้าหากเราเองไม่มีคุณค่าที่ยังเป็นผู้ให้ผู้อื่นได้อยู่ คนที่เป็นผู้ให้ผู้อื่นเขาก็จะเลี้ยงไว้เพราะเขาเห็นคุณค่า แต่ถ้าเขาเห็นคนๆนี้ไม่ได้ให้ใคร ไม่มีใครอยากเลี้ยงไว้หรอก
ถ้าเป็นพระอรหันต์หรือเป็นผู้ที่ตั้งจิตไม่สะสมไม่มีสมบัติส่วนตัวไม่มีอะไร เมื่อใครไม่เลี้ยงไว้ไม่มีใครให้ก็ตาย เพราะฉะนั้นต้องทำให้ผู้อื่นให้ให้ได้ ถ้าเราทำให้ผู้อื่นให้ แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มีใครเอามาให้กินก็ตาย มันเป็นข้อบังคับไปในตัวเหมือนกัน
สรุปอีกที ให้ นี่แหละ เป็นคุณสมบัติพิเศษของมนุษย์มีใจเผื่อแผ่ ให้เสียสละอยู่เสมอและก็มีกรรมกิริยามีพฤติกรรมประจำตนเอง เป็นผู้สร้างสรรค์ ไม่ใช่ไปเอาของคนอื่นมาให้นะ เอาของที่เป็นสิทธิของตัวเองเราสร้างขึ้นมา เป็นสิทธิในสิ่งของนานๆแล้วเราก็ให้สิ่งของนั้นให้ผู้อื่นได้
จะเห็นได้ว่าพวกเรานี้ อุดมสมบูรณ์ มันเป็นเครื่องชี้บ่งให้เห็นว่าพวกเราอุดมสมบูรณ์นี้ เป็นเครื่องชี้บ่ง ว่าพวกเรามีเหลือเฟือ และมีเหลือเฟือนี้ เอาไปตีราคาแพงๆ เหมือนไดเรคเซลล์หาทางครอบงำให้คนหลงเชื่อว่านี่ของดีของแพงจะได้เอาตังค์มาแลกเปลี่ยน เปล่าเลย! อยากจะให้ฟรีได้ทั้งหมดถ้าหากเราไม่ต้องการแลกเปลี่ยนเอามาไว้ใช้บ้าง อย่างนั้นด้วยซ้ำไป นี่เป็นใจจริงๆ ขยายความให้ฟังดูเหมือนยิ่งใหญ่แล้วจะเป็นจริงได้หรือเปล่า ถ้าเป็นจริงไม่ได้ก็ขายหน้า
สมณะเดินดินว่า...เลขาฯผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมาตอน 8 โมง ที่อุทยานบุญนิยม บิณฑบาต 07.30 น.
เรามีตลาดประชารัฐ 2 แห่งคือที่อุทยานบุญนิยมเป็นสาขา 1 ที่อาคาร บวร เป็นสาขาที่ 2
พ่อครูว่า…
SMS 2 ธ.ค.
_0851614xxx ภาระใดๆหนักแค่ไหนถ้ามีวิธีแบ่งกันรับภาระอย่างเข้าใจเป็นระบบแม้จะเล็กอย่างก้านไม้ขีดก็มีวิธีวางตำแหน่งให้สมดุลย์ งานหนักก็ช่วยกันแบกรับได้ อย่างเป็นระบบ เหมือนดังมวลหมู่ชาวโศก/น้อมดิน ทยาธรรม
_คำถามจากพลเรือตรีมินท์ กลกิจกำจร ถามพ่อครูว่า...
1 ถ้าช้าง เสือ ควาย ขังอยู่ในคอกเดียวกัน สัตว์ตัวไหนจะตายก่อนและตายทีหลัง เพราะเหตุใดครับ
พ่อครูว่า...อาตมาตอบไม่ได้นะ ว่าใครจะตายก่อนกันเพราะเหตุใดยิ่งตอบไม่ได้ใหญ่ มันให้เขาคิดอะไรไหมที่ถามมา เปรียบเทียบคนที่มีนิสัยเหมือนสัตว์ต่างๆที่ว่านี้ ถ้ามาอยู่รวมกันแล้วใครจะตายก่อน จะเปรียบเทียบอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่คิดเปรียบเทียบแล้วถามทำไม ไม่ได้ประโยชน์อะไร ฟุ้งซ่านไม่มีอะไรทำหรือไง
ถ้าถามวิสัยของสัตว์ของเสือ ของคน ยังพอจะได้ปัญญาหน่อย
2 มีคำทำนายจากบุคคลนิรนามกล่าวว่า เศรษฐกิจและสังคมไทยนั้น ปี 2560 เปรียบดังการเผาศพหลอก ปี 2561 เปรียบดังการเผาศพจริง ปี 2562 เปรียบดังการเก็บกระดูก พ่อครูมีความเห็นอย่างไรในประเด็นนี้ครับผม
พ่อครูว่า...เสร็จ สังคมเศรษฐกิจไทยตายแน่ๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญได้เสร็จเป็นความสำเร็จของชีวิต
เศรษฐกิจ ชาวอโศก ขอยืนยันว่า ประพฤติปฏิบัติตนเป็นนักเศรษฐกิจนักเศรษฐศาสตร์เบอร์ 1 ในโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น คุยมันให้เต็มที่เลย อย่างนี้มันต้องใหญ่แน่ เพราะว่าชาวอโศกทำเศรษฐกิจได้ถึงสาธารณโภคี สาธารณโภคีคืออะไร ชาวอโศกก็เป็นชาวไทยกลุ่มหนึ่งที่อยู่เป็นหมู่บ้าน จะมีกี่หมู่บ้านชุมชนก็เท่ากับ อาตมาเอง บริหารคนไทย นี่ไม่ใช่เล่านิทาน แต่เป็นเรื่องจริงทำมากับมือ ชุมชนชาวอโศกทำมากับมือก็ตามก็อยู่ในระบบสาธารณโภคีหมดทุกชุมชน ขณะนี้ในประเทศไทย ชุมชนชาวอโศกทุกชุมชน เดี๋ยวนี้ก้าวหน้า เป็นบวร มีระบบสาธารณโภคีทั้งสิ้น
สาธารณโภคีหมายความว่าเป็นนักเศรษฐกิจนักเศรษฐศาสตร์ เป็นคนอยู่ในสังคมนั้นๆ ทำงานให้แก่ส่วนกลาง ทั้งหมด ฟรี ซึ่งระบบประชาธิปไตยก็ทำไม่ได้ คอมมิวนิสต์ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเผด็จการก็ทำไม่ได้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจที่ชาวอโศกทำได้จึงเหนือกว่าทุกระบบ ระบอบเผด็จการ ระบอบคอมมิวนิสต์ ระบอบประชาธิปไตย ขออภัยหากคนรู้สึกหมั่นไส้ เพราะอาตมามั่นใจภูมิใจ ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เอามาให้คนศึกษาปฏิบัติตามจนก่อสังคมกลุ่มชุมชนชาวอโศกขึ้นมา อยู่รวมกันแล้วปฏิบัติเศรษฐศาสตร์ระบบของพระพุทธเจ้าที่สูงสุดสำเร็จ เป็นเศรษฐศาสตร์อันนี้ที่สำเร็จแล้ว
ตอนแรก นี่อาตมาไม่รู้จักว่าเป็น มันอะไร นี่หัวมันมือเสือหรือ? ทำไปทำมาเขาบอกว่าเป็นหัวบุก เนื้อนี่อย่างกับเนื้อวัวโกเบ
เศรษฐกิจที่เราทำนั้น อาตมานั้นทำอยู่ทำกินเป็นปัจจัย 4 เน้น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พัก ยารักษาโรค
เดี๋ยวนี้สังคมเป็นสังคมวัวลืมตีน ไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นรากเหง้าของชีวิตของสังคม ไปหลงงาน สร้างทำอะไรเห็นแก่เงินเห็นแก่ความโด่งดัง เห็นแก่อะไรต่ออะไรเป็นวัวลืมตีน
เป็นวัวที่ทิ้งตีนตัวเอง เป็นอย่างนี้จะไปไหนรอด อาตมาเห็นแล้วก็น่าสงสาร จึงพาพวกเรามาสู่ความเป็นคน คนสร้างสิ่งที่อยู่ที่กินเรียกว่าหากิน คุณกินเพชรพลอยทองคำไม่ได้ ไปกินเสื้อแบรนด์เนม กินลิปสติก กินขี้หมูราขี้หมาแห้ง ขี้หมาทาสีมาขาย คือมันงมงายกัน มันไปไกลมาก ไกลจนถึง กลายเป็นเครื่องมือหากิน แจ็คหม่าใช้เป็นเครื่องมือหากินก็รวยมาก แล้วไปหลงว่าดีที่ได้เงิน
อาตมาก็ว่าอย่าไปหลงพวกนี้เลยปล่อยให้เขารวยไป เราก็มาสร้างสิ่งที่ให้ตัวเองอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกิน แล้วก็ขายให้ถูกๆ ไล่แจกเลย คุณจะมีชีวิตอยู่ได้จนตายไหม ...ได้
คนเราเป็นวัวลืมตีนกันไปไกลมาก ไปหลงอาชีพจนไกลไป อาตมานับอาชีพเหล่านั้น คือมิจฉาชีพ หลงผิดเป็นอาชีพวัวลืมตีน ไปไกล แล้วหันกลับมาดูถูกพวกวัวควาย หรือพวกที่ทำอยู่ทำกินทำอะไรอย่างนี้ เป็นพวกที่สร้างอาหาร ปัจจัย 4 หรือไม่ก็แปรรูปปรุงแต่งเล็กๆน้อยๆ อาตมานึกถึงตัวเอง ที่พาพวกเราทำ สร้างสังคมหมู่กลุ่มเป็นชุมชนหมู่บ้าน จนเดี๋ยวนี้รัฐบาลเห็นว่าควรเป็นหมู่บ้านก็ยกให้เป็นหมู่บ้านนิตินัย อย่างราชธานีอโศก ก็เป็นหมู่บ้านหนึ่งในตำบลในอำเภอ เราก็อยู่กันไป เป็นหมู่บ้านบริหารกันไปตามประสาอย่างเรา อาตมาว่าเป็นผลสำเร็จ สังคมหมู่บ้านเราเป็นสาธารณโภคีสุดยอดทางเศรษฐกิจ
แม้รัฐกิจ อย่าว่าแต่เศรษฐกิจ รัฐกิจเราก็บริหารกันได้อย่างสบาย สบายคือ ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้ทำงานอะไร ทำงานเอกสารเป็นหลัก นอกนั้นไม่ต้องจู้จี้ ว่าชาวบ้านเขาจะอยู่เป็นอย่างไร ก็ทำหน้าที่บริการลูกบ้านไปติดต่อราชการ ไม่ต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชเพราะว่าที่นี่มีคนบริหารให้เสร็จสรรพ ผู้ใหญ่บ้านไม่ต้องมาบริหารเลย นักรัฐศาสตร์เข้าใจไหมนี่ เราสำเร็จแม้กระทั่งการบริหารจนไม่ต้องบริหาร เพราะทุกอย่างลงตัวรู้หน้าที่ของประชากรสมาชิกของสังคม อยู่กันอย่างทำงานมีความรับผิดชอบ โดยรับผิดชอบถึงขั้นทุกคนรู้หน้าที่และทำงานอย่างไม่มีรายได้เลย นอกจากไม่มีรายได้แล้วคนก็ได้สมบัติที่คนทำ เปล่า? ทำแล้วก็เอาเข้ากองกลาง มันอะไรกันนักกันหนาเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน นักรัฐศาสตร์ทำไหวไหม คอมมิวนิสต์ก็ทำไม่ได้
สังคมนี้ สมมุติว่าอโศกนี่ หมู่บ้านราชธานีอโศกเป็นประเทศหนึ่งมีประชากรคือสมาชิกสังคมนี้ แล้ว สมาชิกในประเทศนี้ทำงานและเสียภาษี 100% เข้ากองกลาง กองกลางก็มีคณะบริหาร คอมมิวนิสต์เขาก็ทำไม่ได้ประชาธิปไตยก็ทำไม่ได้เผด็จการก็ทำไม่ได้ เราก็ช่วยบริหารกันอย่างให้อุดมสมบูรณ์ นี่พวกนี้ใครจะเอาไปกินก็กินได้ ของกองกลางทั้งนั้น นักรัฐศาสตร์น่าจะสนใจว่าประเทศไทยมีคนกลุ่มไหนเอาทฤษฎีอะไรมาสอน เอาทฤษฎีอะไรมาศึกษา เอาทฤษฎีอะไรมาปฏิบัติจนกลายเป็นสังคมแบบนี้ มีวัฒนธรรมแบบนี้มีพฤติกรรมแบบนี้เป็นอยู่กันอย่างนี้ นักรัฐศาสตร์ฟัง เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ก็อยู่ในนี้เสร็จ พอจะฟัง พอจะ get ไหม
อาตมาภูมิใจทฤษฎีพระพุทธเจ้า แม้ว่าในยุคนี้จะเป็นยุคที่คนเห็นแก่ตัวจัดจริงๆตัวใครตัวมัน หมู่ใครหมู่มัน แต่ก็มีคนเห็นว่าอย่าไปยึดถือตัวตน ยึดถือกลุ่มเลย มาทำเพื่อส่วนรวม (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...สาธารณโภคีนั้น บารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทำให้เกิดท้องสนามหลวงกลายเป็นสาธารณโภคีได้เป็นปี มีแต่คนมาให้กัน
พ่อครูว่า...สนามหลวงคือสาธารณโภคี พฤติกรรมอย่างนั้น ที่ความเข้าใจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ได้ตรัสไว้ นั่นแหละ ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ของพระพุทธเจ้าก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้นตรงกันหมด อาตมาจึงเห็นว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ เพราะว่าแนวคิด ตรงกันกับของพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แล้วท่านก็ทรงพระจริยวัตรแบบนั้นมาตลอดแต่คนอ่านไม่ออก ข้าราชการผู้บริหารปกครองอ่านไม่ออก เข้าใจไม่ได้ ท่านอุตส่าห์ตรัสว่า แบบคนจน เศรษฐกิจพอเพียง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่ตีความหมายความจริงไม่ออก ว่า แบบคนจนคืออะไร
แบบคนจนก็คือ ชื่อว่าเศรษฐศาสตร์อย่าไปรวย เศรษฐศาสตร์อย่าไปตั้งเป้าว่าจะต้องรวย ต้องเป็นเศรษฐศาสตร์ตั้งเป้าว่าจะไปจน แล้วต้องเข้าใจว่าคนจนจะอยู่อย่างไรทำอย่างไรคนจนจะอยู่รวมกันเป็นสังคมที่สงบเรียบร้อย จนไม่กัดกัน ให้เหมือนไก่ในสุ่มที่จิกกันตาย ไม่แย่งกัน แล้วจนแต่เอื้อเฟื้อแบ่งปันกันอะลุ่มอล่วย อย่างที่ในหลวงตรัสทุกอย่าง เตรียมคลิปแบบคนจนที่ในหลวงตรัส...ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้สัญญาณเลย ตอนนี้แบบคนจนขึ้นสมอง
"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก แล้วไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534
ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534
พ่อครูว่า...พระราชดำรัสของในหลวงที่ได้ตรัสไว้อาตมาก็นำมาออกซ้ำซากอยู่ในโทรทัศน์ช่องบุญนิยมนี้ ตลอดเวลา จนหลายคนก็คงจะเบื่อ คงจะเห็นว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอก เอามาพูดซ้ำซาก อาตมาขอยืนยันว่ามันเป็นไปได้ ก็ชาวอโศกเป็นไปได้แล้วไง
จริง จะทำให้คนทั้งประเทศจนทั้งหมดไม่ได้หรอก มันก็ต้องมีคนรวยอยู่บ้าง แต่ต้องมีทฤษฎี หรือมีอุดมการณ์ มีความตั้งใจหรือมีความสำนึก ว่าอย่าไปรวยเลย มันจะอยากรวยสนองกิเลสบ้าง แต่ก็มีสำนึกอยู่
ถ้าคนเรามีความเข้าใจความจนไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียด ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ความจนเป็นสิ่งที่น่าเผชิญ ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว น่าร้าย แต่น่าเผชิญ น่าเป็นให้ได้ เพราะฉะนั้นคนที่มาเป็นคนจนสำเร็จ และก็อยู่ในระบบใดระบบหนึ่ง อาจจะไม่ต้องถึงเป็นชุมชนชาวอโศกร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นสาธารณโภคีมาเป็นคนจนรายได้เป็น 0
ชาวอโศกที่เป็นผู้ไม่อยู่ในชุมชนก็ประพฤติ มีสำนึกสำเหนียก ไม่ไปกอบโกยเอารัดเอาเปรียบและมีอยู่จำนวนหนึ่ง ที่เขาได้ศึกษาได้เรียนธรรมะของพระพุทธเจ้าที่อาตมาเอามาประกาศอธิบายให้ฟัง เป็นคนที่มีกุศล อย่าเห็นแก่ได้อย่าเห็นแก่ตัว อย่าไปมีกิเลสขี้โลภสะสมกอบโกย เอาธรรมะเอาหลักฐานพระพุทธเจ้า มายืนยัน กถาวัตถุ10 วรรณะ 9 โคตมีสูตร 8 เครื่องตรวจสอบธรรมวินัย ก็ยืนยัน อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ อปจยะ ก็ยืนยันหลักการมีทั้งนั้นเลย ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนา
เราจะอยู่อย่างไร ศาสนาพุทธนั้นไม่ใช่คนปลีกเดี่ยว คนจะเป็นคนจนนั้นอยู่คนเดียวได้ยากเป็นได้ยากและไม่ถาวร ไม่มีหมู่พวก แต่ถ้าเผื่อว่าอยู่เป็นหมู่เป็นสังคมเป็นหมู่บ้านเป็นชุมชน แน่นอน เราก็อยู่อย่างชุมชนหมู่บ้านเป็นหน่วยเล็ก หลายหมู่บ้าน เป็นตำบลและเป็นอำเภอเป็นจังหวัด จากจังหวัดเป็นประเทศ ก็เป็นลักษณะธรรมดาของสังคมกลุ่มก็ย่อมจะเป็นอย่างนี้ไป สืบสานอยู่เป็นเครือแห ไม่เป็นเครือข่าย เพราะมีเนื้อในที่สานกันอยู่ จะมีระบบระเบียบที่ดี โยงใยถึงกัน อย่างเช่นชุมชนชาวอโศกก็อยู่ร่วมกันช่วยเหลือกัน ลงแข
กกัน มาสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์เป็นครั้งคราว เป็นคนที่มี ปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
One For All All for one จากอาตมาคนเดียวมาเป็นหมู่กลุ่มที่เหมือนกันเอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ นี่คือ ความหมาย ท่านแปลอันนี้ ไม่มีคำว่า คน แต่ท่านไปใส่คนเอง เอโกแปลว่าหนึ่ง หนึ่งให้เป็นพหุทาคือหลาย แล้วทำหลายให้เป็นหนึ่ง
นี่คือ สิ่งที่เป็นทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า เป็นอิทธิวิธี เป็นความเก่ง เป็นวิธีการที่เก่ง ถ้าทำให้เกิดอิทธิฤทธิ์อย่างนี้ได้ คือคนมาอยู่รวมกัน เป็นเอกีภาวะ เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
อันนี้เป็นสุดยอดของเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ อาตมาว่า ชาตินี้ทำสำเร็จผล เอาของพระพุทธเจ้ามาให้ศึกษาและทำได้แม้จะได้เท่านี้ สังคมชาวอโศกที่ประพฤติดำเนินชีวิตกันจริงแบบนี้ อยู่ในชุมชนแต่ละที่ไม่อยากรวย อยู่กันอย่างพออยู่พอกินตลอดมา ช่วยกันสร้างช่วยกันกินช่วยกันใช้อยู่ไป ไม่ต้องรวยดังที่ในหลวงท่านตรัส อยู่อย่างอะลุ่มอล่วย จะไปได้ตลอดไม่มีจบ ไม่มีการทะเลาะวิวาทอย่างที่เราเป็น ไม่มีการทะเลาะวิวาทไม่เป็นเรื่องเป็นราว อยู่กันอย่างเป็นสุข มีอะไรก็เอามาแบ่งกันกิน ส่วนกลาง รวย ส่วนกลางก็มีวัตถุดิบ มา เดี๋ยวมันเน่าเสียก็รีบมาช่วยกันถนอมอาหาร ช่วยกันทำช่วยกันเด็ด พูดไปก็อยากให้คนอื่นอิจฉาจังเลย อิจฉาบ้างไหมเล่า ท่านทั้งหลายที่เดือดร้อนดิ้นรนกัน เรานี่สบาย เป็นคนจน ยืนยันว่าพวกเราเป็นคนจนไม่เป็นคนสะสมไม่มีเงินทอง อยู่กันอย่างนี้สำเร็จแล้วตามที่ในหลวงตรัส เราทำสำเร็จ ผู้บริหารมาตรวจสอบได้ มาทำความเข้าใจได้ว่าพวกเราได้สนองพระราชดำรัสในหลวง สำเร็จตรง เป็นจริง อยู่อย่างคนจนอยู่อย่างสามัคคี อะลุ่มอล่วย พออยู่พอกิน ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคมอื่นด้วย เกื้อกูลผู้อื่น สังคหะ แก่หมู่บ้านอื่นด้วย
อย่างอาตมาสร้างอาคารตลาด คุณจะเอาประชารัฐมาเรียกก็นี่แหละคือตลาดประชารัฐ เป็นสถานที่ที่คนที่ไม่มีที่จะขาย ก็ให้มาค้าขายได้ ไม่เก็บเงินเก็บทอง ช่วยกันดูแลรักษาปัดกวาดให้ดีๆ เลี้ยงชีพไป จะเอาอะไรมาขายก็มา แต่อย่าเห็นแก่ตัวกันเกินไป ถ้าจัดเกินก็ควรให้ออกไป เพราะว่าเรามีสิทธิ์ดูแล ถ้าไม่เชื่อเข้ามาโดยไม่อนุญาต เราก็บอกว่าบุกรุกได้ เพราะเราเป็นเจ้าของก็เอาตำรวจมาจัดการได้ แต่ถ้าอยู่กันให้ดี รับรองว่าอาศัยพึ่งพากันไปจนตาย ทำให้อาศัย ไม่ได้ทำมาเพื่อค้าขาย หรือเพื่อเก็บไว้ได้จากผู้ใดก็แล้วแต่ ไม่
ถ้าจะว่าจริงๆแล้ว เราคิดและเราทำมาก่อนรัฐบาล ขออภัยที่พูดเกินหน้ารัฐบาลก็เกรงใจอยู่ รู้สึกเขินๆอยู่หรอก เราทำเพราะว่าเราเห็นว่าคงต้องทำ อย่างนี้ก็ต้องช่วยกัน ในสังคมประเทศชาติ แต่มันจะเป็นตลาดที่คนนิยมมาหรือไม่ เราก็พยายามทำไป ทำให้แล้ว เราก็พยายาม อาจจะไม่อยู่กลางชุมชนข้างใน มาอยู่ตรงนี้ เราก็พยายามจะสร้างคมนาคมไปมาให้สะดวกขึ้น เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเราไม่มีที่จะอยู่ในเมือง เราไม่มีบารมีถึงขนาดนั้น บารมีของเราก็อย่างนี้ บารมีชายเฟือย พวกคนชายขอบ เราทำได้แค่นี้
อื่นๆใดๆเหมือนกัน อาตมาว่าอาตมาเข้าใจว่าเร็จความสำของชีวิตคืออะไร ความสำเร็จของชีวิตก็คือทำอย่างไรจึงจะเป็นคนที่ช่วยผู้อื่น ให้คนอื่นเพื่อผู้อื่นได้ นั่นคือความสำเร็จของชีวิต คนไม่ต้องเอาอะไรมาให้แก่ตัวเอง คุณปล่อยชีวิตคุณให้ช่วยคนอื่นอย่างเดียวแล้วคนอื่นเขาจะเลี้ยงเราไว้
จริง พวกเรานี้ก็อยู่อย่างนี้แหละ ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ เรามีหน้าที่การงานก็ทำไป หน้าที่คนจะทำครัวก็ทำมาให้กิน คนมีหน้าที่เก็บผักก็เก็บ เรามีหน้าที่ก็ทำไปให้ดี เป็นสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะทั้งนั้น เราก็ช่วยกันทำช่วยกันรังสรรค์อยู่ไป
ใครเบื่อบ้างอยู่ในสังคมนี้ยกมือ ถ้าเขาเบื่อเขาก็ออกไปดีกว่า ไม่มีเงื่อนไขว่าออกไปจะต้องชดใช้อะไร มาอยู่ก็มา มาอยู่ก็อย่าเอาพฤติกรรมเกเรไม่มีศีล ทำอะไรมาอยู่ในนี้ก็แล้วกัน ถ้ามีศีลธรรมตามกฎเกณฑ์ พื้นฐานแค่ศีล 5 ไม่มีอบายมุข แค่นั้นจบ เป็นพื้นฐาน สูงกว่านั้นก็ยิ่งดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ก็อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้ อาตมาก็ขยายชุมชนชาวอโศกไปให้มากๆ เราก็ช่างกันเองมีที่ดินก็เอามา อยากจะให้เกิดชุมชน หลายแห่งไม่รู้จะทำยังไงมันก็ไม่ขึ้น คนไม่มีพอจะไปบริหาร คนที่จะไปสมัครใจมา มีผู้คนมีสถานที่ พฤติกรรมพวกเราได้แล้ว ประชาชนชาวอโศก รู้แล้วว่าดำเนินชีวิตแบบนี้ สาธารณโภคีแบบนี้ แล้วคุณก็เข้าไปในสถานที่นั้น ก็มีอยู่สถานที่ ร้อยไร่ 50 ไร่ 30 ไร่ 20 ไร่ก็ทำเป็นชุมชนได้ หลายร้อยไร่ก็มีเอามาให้แก่ส่วนกลาง
อยากจะไปเกิดชุมชนไหนก็ทำช่วยกัน ไปหาคนมาสิ แล้วก็มาอยู่กันแบบนี้ ชุมชนชาวอโศกไม่ได้ก่อเรื่องราวให้ได้ลำบากใจแก่ผู้บริหารประเทศ ไม่หนักใจจนกระทั่งน้ำท่วมก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้หรอก ที่นี่เขาสบาย เขารู้จักวิธีเอาตัวรอด
มีนายอำเภอคนหนึ่งเอาของยังชีพตอนน้ำท่วมมาแจก มาถึงพวกเราก็บอกว่าเอาไปแจกคนอื่นเถอะ จริง ถุงยังชีพของรัฐบาลที่เอามาแจกหมู่บ้านน้ำท่วม พวกเราก็น้ำท่วมทุกปี ท่วมมากหรือน้อยแค่นั้น พอมาหมู่บ้านนี้ เขาก็เอามากองทิ้งไว้เราก็ต้องเอาไปแจกหมู่บ้านอื่นๆ เพราะพวกเรามีเหลือเฟือไม่ได้เดือดร้อนอะไร จริงๆ จนกระทั่งเป็นที่รู้ นายอำเภอของวารินฯก็จะเข้าใจ ที่นี่น้ำท่วมเขาไม่ต้องการอะไร ต้องการน้ำมันอย่างเดียวเอามาให้ที่นี่เขารับเลย อย่างอื่นไม่มีปัญหา จะต้องเอาน้ำมันมาใส่เครื่องเรือ นั่นตรงเป้า เราปลงภาระให้ผู้บริหารประเทศไม่ให้เดือดร้อนยุ่งยาก เป็นคนช่วยเหลือตัวเองได้หรอก ไม่โวยวายไปแย่งชิงเรียกร้องให้รัฐจะเอาอะไรมาให้
แม้ที่สุด รัฐบาลบอกว่าใครที่เป็นคนจนมาลงทะเบียนและจัดให้ พวกเราชาวอโศกก็ยังอุตส่าห์ ไปลงทะเบียนบางคน เราก็ต้องบอกว่าจะไปลงทำไมเราเดือดร้อนอะไร ไปแย่งเขาทำไม? เห็นแก่ได้ไม่เข้าเรื่อง แต่เอาล่ะ พวกเราก็เถอะก็มีนี่ก็พูดปรามไป ให้รู้ให้เข้าใจ
เราทำกันจนกระทั่งคนไม่ค่อยเข้าใจหมั่นไส้ว่า เราทำโชว์ทำเด่นเสียสละ การเสียสละนี่ตอนนี้คนลึกซึ้งในการเสียสละ ในพฤติกรรมสังคมขณะนี้ก็คือ พฤติกรรมของนายตูน Bodyslam เป็นคนเสียสละคือเอาตัวเองเข้ามาแสดงออกถึงการ อดทน เหน็ดเหนื่อย แล้วได้อะไร คนมาบริจาค บริจาคแล้วนายตูนไม่เอามาเป็นของตน เอาไปทำประโยชน์ อย่างเป็นรูปธรรม เอาไปบริจาคช่วยโรงพยาบาลต่างๆ ก็เลยเกิดเป็นพฤติกรรมสังคมคือการให้ แจกผู้อื่น เป็นการที่ไม่ทำเพื่อตัวเอง พฤติกรรมนี้กำลังเด่นดังมากในสังคมขณะนี้
จนมีการกล่าวกันว่า ตูน Bodyslam อาจจะได้เหรียญตรา ถึงขั้นนั้นเลย ยกขึ้นเป็นโมเดลของสังคม มันเข้ากับยุคพอดี คนกำลังรับได้ มันดีมันทำให้สังคมดีขึ้น เป็นเครื่องชี้บ่งว่าสังคมเห็นคุณค่าพฤติกรรมมนุษย์ ให้มีใจทำไปตลอดไม่ใช่ชั่วคราว ถ้าคนมีน้ำใจอย่างนี้จบเลย สบาย อยู่กันอย่างเป็นสุข อาจจะยิ่งกว่าสวิตเซอร์แลนด์
สงบสุข เย็น สวิตเซอร์แลนด์นี้ก็แปลก เขาไม่เคยมีเรื่องวุ่นวาย เป็นประเทศที่สงบ เป็นไปได้จนกระทั่งไม่น่าเชื่อเลยว่า เป็นประเทศที่มีระบบพฤติกรรมสังคมมีวัฒนธรรม อะไรต่ออะไรที่สงบเย็น เป็นที่พึ่งของแต่ละชาติ แม้ที่สุด เงินไม่มีที่ฝากเงิน ก็เลยเอาไปฝากที่สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นที่ฟอกเงิน ตอนหลังเขาว่า เขาบริหารธนาคารที่สวิตเซอร์แลนด์อย่างไร ก็ไม่น่าจะบริหารแบบทุนนิยมทีเดียว ถ้าบริหารแบบทุนนิยม คนก็คงไม่นิยมไปฝาก เลยกลายเป็นแหล่งที่มีเงินทองอาศัยใช้สอย เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เป็นแหล่งที่ไว้ใจได้ เป็นประเทศสงบไม่มีความเดือดร้อนไว้ใจได้ มีคุณค่าประหลาดในโลก มีสนามแม่เหล็กแบบนั้น เป็นวัฒนธรรมพฤติกรรมสังคมแบบนั้น เมืองไทยเป็นอย่างนั้นให้ได้ก็สุดยอด ประเทศอื่นไว้ใจ ไม่เหมือน ที่เขาเอาเงินไปฝาก
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ผ่าอุปกิเลส 16
อาตมานำเอาทฤษฎีของพุทธเจ้ามาทำให้เกิดเป็นสังคมแบบนี้เศรษฐกิจแบบนี้ เป็นหน้าที่ที่ได้ทำสำเร็จ ที่ได้ช่วยสังคมประเทศไทย ช่วยให้คนได้เกิดแบบนี้ได้จำนวนหนึ่ง ชีวิตนี้ไม่เสียหลายประสบความสำเร็จ ไม่มีใครจ้าง ทำเอง แล้วก็พวกเราเข้าใจ มาเป็นคนที่นี่อย่างนี้ ซึ่งคนที่อื่นๆ เขาไม่เข้าใจว่ามาอย่างนี้มันดีอย่างไร เขาไม่เข้าใจ มันสูงเกินเกณฑ์ที่เขาจะเข้าใจได้ สังคมแบบนี้ มันเป็นโลกุตระ มันเป็นสังคมอีกโลกหนึ่ง ไม่ใช่โลกที่แย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่เป็นโลกที่ไม่แย่งลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นโลกที่สร้างลาภยศสรรเสริญโลกียสุขออก มาเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน แล้วอาศัยใช้กินกัน เหลือก็เผื่อแผ่ไปข้างนอก เป็นอย่างนั้นอย่างแท้จริง เป็นความสำเร็จของกิจมนุษย์ ใครอยากจะมาเป็นพลเมือง มาเป็นสมาชิกชาวอโศกก็มา การทดลองมาอยู่ก็อยู่อย่างนี้ไป หลายครอบครัว หอบครอบครัวมาอยู่ จนกระทั่งพ่อแม่มาแก่ตายก็ทิ้งไว้ตรงนี้
มีลูกมีหลานเกิดมาอยู่ในนี้ เด็กเล็กๆวิ่งเล่นอยู่ในนี้ก็เป็นคนในนี้ เห็นแล้วพวกนี้มีกุศลมีบารมี ได้เกิดในสังคมแวดล้อมแบบนี้ พวกเราไม่ต้องหวาดระแวงว่าลูกจะไปไหนรีบวิ่งเข้าบ้าน ไม่ต้องเลย เย็นๆควรจะกลับบ้านก็เรียก กลับบ้านได้แล้ว ไม่เช่นนั้นเด็กก็กลับเอง
อยู่กันอย่างปลอดภัยสงบ มีที่เล่นที่กินอยู่ในห้องสมุด อยู่ในห้องสมุดเล่น อ่านหนังสือ น่าเอ็นดู และปลอดภัย เป็นสิ่งที่สบายใจ ถ้าสังคมประเทศไทยมีแบบนี้ๆ ได้อาตมาว่าเยี่ยมยอดเลย อาตมาขอพูดใหญ่ๆหน่อย
นักบริหารต่างๆ น่าจะไม่ไปแคร์คำประกาศของเถรสมาคม เพราะอโศกนี่ไม่ใช่สังคมน่ารังเกียจ พฤติกรรมทฤษฎีก็ไม่ใช่เรื่องนอกรีตพระพุทธเจ้า แต่นี่แหละคือตัวเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้า รู้เองได้บ้างไหม ผู้บริหาร เพราะถูกมหาเถรสมาคมครอบงำความคิด จนเชื่อว่าเป็นพวกนอกรีต แต่นี่แหละคือตัวเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ ขออภัยที่พูดใหญ่อวดดี ต้องขออภัยไป เพราะเบ่งยกตนข่มท่าน ไปดูถูกผู้อื่น ยกตัวเองขึ้นสูง เป็นสัจจะที่เลี่ยงไม่ได้ จะต้องพูดตรงความเป็นจริง เป็นความจริงใจเป็นความเข้าใจเห็นจริง และจิตจะเบ่งข่มในอุปกิเลส16 นั้นไม่มีจริงๆ ไม่มีแม้ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นรายละเอียดของกิเลสที่เป็นคนประมาทอวดดี อาตมาไม่มี
ตั้งแต่
1. อภิชฌาวิสมโลภะ (เพ่งเล็งอยากได้)
2. พยาปาทะ (ปองร้ายเขา)
3. โกธะ (โกรธ)
ใครจะมาทำร้ายเรา เราก็ดีกับเขาทั้งนั้นเราไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลย เราไม่โกรธไม่ผูกโกรธ ไม่จำไว้เลย ใครจะมาอะไรทำร้ายก็ไม่จำ ไม่ไปลบหลู่ใคร ไม่ยกตนเทียบเท่า ไม่ริสยา ไม่ใช่อิจฉา คนไทยพูดไม่ถูกแต่คนอีสานพูดถูกว่าอิสสา
4. อุปนาหะ (ผูกโกรธ)
5. มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)
6. ปฬาสะ (ยกตนเทียบเท่า, ตีเสมอท่าน)
7. อิสสายะ (ริษยา ไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดี)
8. มัจฉริยะ (ตระหนี่)
ตรวจสอบจิตใจของแต่ละคนว่ามันตระหนี่ถี่เหนียวหวงแหนมากไป อย่างนี้ไม่ไหว เราไม่มีแม้อิสสาริษยา ตระหนี่ถี่เหนียว
9. มายายะ (มารยา, มารยาทเสแสร้ง) อยากได้ แต่ทำทีไม่อยากได้ จ้องจะเอาของคน แต่ก็บอกว่าไม่อยากได้นะ โกรธแต่ก็บอกว่าฉันไม่ได้โกรธคุณ แต่ก็ไม่ควรแสดงออกที่น่าเกลียดไป
10. สาเฐยยะ (โอ้อวด, การโอ่แสดง) ท่าทีลีลาอาตมาเหมือนสาเฐย เหมือนชอบโชว์ เป็นผู้รู้อยู่คนเดียว คนหมั่นไส้ได้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะความจริงมันก็เป็นอย่างนี้ อาตมา ดันเป็นผู้รู้ก็เลยแสดงความรู้ก็เลยเป็นอย่างนี้ ตถตา มันเป็นอย่างนั้นเองของมันมันก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรเลี่ยงไม่ออก
11. ถัมภะ (หัวดื้อ, เชื่อมั่นหัวตัวเองมาก) อาตมามีความหมาย 2 คำ ว่าดึงดันดื้อด้านหรือ ยืนยันสัจจะความจริง อาตมาไม่ได้ดึงดันดื้อด้าน แต่อาตมายืนยันสัจธรรมความจริง อาตมาไม่ได้เป็นคนถัมภะ ดึงดันดื้อด้าน
เป็นคนที่เข้าใจว่าทำงานเพื่ออะไร ก็ยัดเยียดอยู่นี่ ดึงดันดันทุรัง เขาไม่เอาเอง อย่างไรก็ไม่เอา ก็ไม่เป็นไรคุณไม่เอาก็ไม่เป็นไร
12. สารัมภะ (แข่งดี, เอาชนะคะคาน) ไม่ได้แข่งดีแข่งเด่นกันใคร มันไม่ดีก็แสดงความดี แล้วยกอ้างว่าอันนี้ถูกหรือไม่ถูก อวดเบ่งอยากเห็นอยากโชว์ มีความรู้มากกว่าเขาฟังแล้วเหมือนใกล้เคียง เลี่ยงไม่ออก
13. มานะ (ถือดี-ยึดดี จนถือสา) แล้วก็ไม่ยอมปล่อยวางยุติ ถือดี และก็ว่ายึดอีก แต่อาตมาไม่ได้มีจิตใจยึดมั่นถือมั่น ใครว่าไม่ได้ แต่อาตมาเขาก็ว่าอยู่ อาตมาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเขา ไม่ได้ถือสาเขาเข้าใจไม่ได้ก็ว่าผิดๆ ใครว่าอาตมาผิดก็กรรมของเขาเอง ใครท้วงอาตมาผิด ถ้าเป็นความไม่ถูกต้องของเขา เป็นกรรมวิบากบาปอกุศลเขา อาตมาเข้าใจสัจจะด้วยกรรมวิบาก
14. อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) นอกจากถือดีแล้วหมิ่นคนอื่นต่อ
15. มทะ (มัวเมา) เลอะเทอะเลย มัวเมา อาตมาไม่มี
16. ปมาทะ (ประมาทเลินเล่อ) อันนี้ก็ไม่มี ระมัดระวังอยู่
(พตปฎ.เล่ม 12 ข้อ 93)
เราทำงานกันมาจนกระทั่ง ทำถึงขั้น มีร้านอาหาร แล้วก็มีมุมให้มากินฟรีได้ ร้านขายอาหาร แต่มีมุมกินฟรีได้ เราทำกันมา ไม่ได้เจตนาอวด ไม่ได้ล่อให้คนมาเข้าร้าน แต่จริงใจ ใครเดือดร้อนจะมากินบ้างก็ได้ หรือไม่เดือดร้อนจะมากินฟรีเราก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว 0 บาทก็กินได้ เชียงใหม่เขาตั้งอย่างนั้น จนกระทั่ง อ.คามิน เลิศชัยประเสริฐ (ศิลปิน) นำไปเขียนไว้ว่า
"0 บาทก็ทานได้" ในทัศนะของอ.คามิน เลิศชัยประเสริฐ (ศิลปิน)
http://31century.org/0-bath-u-can-eat-th/
0 บาทก็ทานได้
ผมมักจะทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำและแวะไปทานที่ชมรมมังสวิรัติเชียงใหม่ ครั้งแรกที่ผมไป ผมรู้สึกงงมาก เมื่อเห็นป้ายเขียนว่า 0 บาทก็ทานได้ (ข้าวและกับหนึ่งอย่าง ทานฟรี) ผมรู้สึกแปลกกับความคิดนี้เพราะทุกวันนี้แทบจะไม่มีคำว่าฟรีในสังคมปัจจุบัน
ผมคิดเล่นๆว่า ถ้ามีร้านแบบนี้ทั่วโลก ปัญหาใหญ่ของชีวิตหลายอย่างก็คงจะลดน้อยลง อย่างน้อยก็ไม่มีคนอดตาย ถ้ามีสวัสดิการแบบนี้ทั่วโลก หรือมีทางเลือกแบบนี้ในสาขาอาชีพอื่นๆ ด้วย โลกนี้ก็คงจะน่ารัก สังคมจะได้เปิดโอกาสให้คนด้อยโอกาสมากขึ้น สำหรับคนให้แล้วก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ละสาขาอาชีพก็ให้เท่าที่มีกำลังให้ได้ ตัวอย่างเช่น ทุกสาขาอาชีพอาจจะแบ่งปันการบริการสังคมขั้นพื้นฐาน 5–10% เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ สมมุติถ้าเราเข้าไปในร้านอาหารทุกร้าน จะมีส่วนบริการอาหารฟรี เป็นอาหารที่ปรุงง่ายๆ ไว้บริการเป็นทางเลือกสำหรับผู้ไม่มีรายได้ ส่วนผู้ที่มีรายได้ก็สามารถซื้อกินเป็นปกติ และถ้าทุกสายอาชีพมีการปฏิบัติเช่นนี้ เราลองคิดเล่นๆกันว่าสภาพสังคมจะเกิดอะไร...
ช่วงนี้ที่ชมร.เชียงใหม่มีศิลปินมาดูงานหลายท่านค่ะ ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก อ.คามินเล่าให้ฟังว่า เคยมีเพื่อนศิลปินกลุ่ม Super Flex เคยมาทานข้าวที่ชมร.ค่ะ และเค้าประทับใจแนวคิด 0 บาทก็ทานได้ จึงนำไปใช้ในวันแสดงงานที่ Mori Museum ญี่ปุ่น โดยใช้ร้านเซเว่นใกล้ๆ ให้คนที่มาดูงานหยิบสินค้าฟรี (โดยที่จะไม่บอกล่วงหน้า) ทำวันละ 1 ชม.เป็นเวลา1เดือนค่ะ ทางผู้จัดจะจ่ายเงินให้เซเว่นเองค่ะ
รบกวนกราบเรียนพ่อท่านค่ะ
(อุ๋มนึกถึงคำพ่อท่านว่า อโศกเพื่อมนุษยชาติคงใกล้ความจริงแล้วค่ะ)
อุ๋ม รอยใบไม้ มุณีเวช
พ่อครูว่า...แนวคิดนี้กระจายไปก็ดีแสดงความเสียสละแสดงความเอื้อเฟื้อเจือจาน ไม่ได้หมายความว่ามุมนั้นอาหารกระจอกหรอก ก็เป็นอาหารอย่างเดียวกันกับในร้าน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ความจนอันประเสริฐ
คนไปกลัวความจนทำไม ไม่ต้องกลัวความจน เมืองไทยเรานี่ประเสริฐจริงๆที่มีในหลวงพระองค์นี้ทรงเข้าใจและยินดี และก็เอามาประกาศเพื่อให้ข้าราชบริพาร ผู้บริหารเอาไปศึกษาเอาไปกระจายวิธีการ การกระทำให้คนเข้าใจว่าอย่าไปมุ่งรวย ไปมุ่งจนกันเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก
ให้คนมีความตั้งใจมุ่งไปเป็นคนจน อย่าไปมุ่งเป็นคนรวย แต่เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร เป็นคนจนที่เพราะไม่สะสม เอาไว้เป็นของตนมากนั่นเองจึงเป็นคนจน ทำได้ ขยันหมั่นเพียรเหลือกินเหลือใช้ พอกินพอใช้เป็นของตนจริง เหลือกินเหลือใช้นั้นเอาไปบริการแจกจ่ายผู้อื่น แจกฟรีได้ ทำอย่างนี้จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลก ของประเทศของสังคมได้อย่างชาวอโศก แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ
สำเร็จจนกระทั่งถึงขั้นสาธารณโภคี ซึ่งเป็นยอดแห่งเศรษฐกิจของมนุษยชาติ ขอเชิญนักเศรษฐศาสตร์จบโพสต์ด็อกเตอร์ 10 ใบ มาศึกษา อยากอวดนะ มันเป็นของดีที่ควรอวดดี อาตมาพูดอย่างเป็นนายภาษานะ พูดสัจจะโดยไม่มีกิเลส แต่ละคำที่เอามาพูดนี้ไม่ได้เป็นการมีกิเลสอวด อ้างอวดดีอะไร พูดสัจจะสภาวะ ขอยืนยันว่าอาตมาพูดนี้เป็นนายภาษา พูดอันนี้ก็คืออันนี้บอกตรงๆ
สู่แดนธรรมว่า...ผมนึกถึงผลไม้ที่มันไม่ได้อยากโอ้อวดอะไร มันก็ให้เลย มันกลัวสัตว์ไม่มากินก็เลยส่งกลิ่น
พ่อครูว่าเราทำอาคาร บวรนี่ ยังไม่เสร็จดีเท่าไหร่เพราะว่าเป็นคนจน ค่อยๆทยอยทำอยากให้มันเสร็จเรียบร้อย ไม่เรียบร้อยตอนนี้แต่ก็เปิดขายได้ ทำตลาดนัดได้ แต่ที่จริงจะมาขายตลอดก็ได้ มีมุมที่เสร็จแล้วคนจะมาขายก็มาได้ ไม่ว่าจะเป็นของแห้งหรือของสด อย่าเพิ่งตะกละ เราก็จะแบ่งให้ ถ้าคุณดีจะขยายให้ เป็นการค้าขายที่ดี เราก็จะให้ขายไปเลย เราไม่ได้คิดเก็บเงิน ไม่ได้คิดค่าที่ หรือขึ้นราคา เราขอยืนยันว่าไม่มีใจอำมหิตโหดร้าย เราไม่เคยมีความคิดแบบที่จะล่อลวงให้มาทำก่อนแล้วเก็บเงินแพงทีหลัง ตั้งใจจะให้ขายฟรีไปตลอด ให้คนเป็นคนดีของประเทศของสังคมประเทศชาติ อันนั้นแหละเป็นจุดมุ่งหมาย ทำอาชีพค้าขายไปตลอดได้ แล้วอย่าเพิ่งถือเป็นสิทธิ ผ่องถ่ายให้ลูกหลาน ก็ขอให้เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ลูกหลานจะมาช่วยกันในขณะที่คุณมีอายุอยู่ก็ได้ แต่เสร็จแล้วคุณตายแล้วจะบอกว่าเป็นของลูกหลานไม่ได้ เป็นมรดกไม่ได้ เพราะเราไม่มั่นใจว่าลูกหลานหลานคุณจะดี อยากให้ลูกหลานคุณดีเหมือนพ่อแม่ หรือดีกว่าพ่อแม่ก็เชิญเลยอยู่ต่อไปเราไม่ว่า
เราทำเพื่อต้องการให้เป็นแหล่งที่คุณจะมาอาศัยค้าขายอยู่ได้ ไม่ได้ตั้งโรงเรียนเพื่อเอามาหาเงิน บอกตรงๆว่าไม่ได้คิด ต้องการให้เป็นแหล่งที่คุณจะมาใช้ค้าขาย เรามีที่ก็พยายามกระเสือกกระสนสร้างโรงเรือนขึ้นมา ข้างบน จะเป็นที่การศึกษา ตอนนี้อาตมาก็ไม่ไหวแล้ว จะว่าท้อก็ท้อ เลิกแล้วการศึกษาที่จะต้องไปสร้างวิทยาลัย ดูแลแค่โรงเรียนก็พอ มีวิทยาลัยอาชีวะก็พอ ไม่ดิ้นรนจะเป็นมหาวิทยาลัย ไม่เอาแล้ว พอ เจียมตัว ตัวเราก็เท่านี้ สูงส่งเยี่ยมยอดแล้วพอ
อาคารข้างบนก็เลยเป็นที่ทำงาน ห้องวิจัย สิ่งที่ใช้งานประโยชน์อะไรก็ค่อยๆคิดค่อยๆทำไป มันเป็นโรงเรือน ให้คนอาศัยได้ใช้งาน ไม่ได้สร้างมาหาเงิน สรุปอีก ก็เท่านั้นเอง
อาตมาก็เทศน์อะไร ปกิณกะ ผสมกันไป มาถึง ที่อาตมาตั้งใจจะพูดก็คือคนจน
คำว่าคนจนนี้ อยากให้คนได้เข้าใจและศึกษาดีๆ ถ้าทำตนเป็นคนจนมีชีวิตอยู่อย่างคนจน เข้าใจแล้ว เข้าใจกันเป็นทั่ว เป็นมวลปริมาณมากๆเข้าใจว่าคนเราไม่ต้องไปรวย
คำว่าคนเราอยากรวยอยากมีมาก ก็พยายามหาทางเอาเปรียบเอารัด หาทางแย่งชิง นั่นแหละสังคมประเทศชาติเดือดร้อนทันที แต่ถ้าต่างคนต่างเป็นไปตามธรรม มีลาภธัมมิกา แล้วก็เอาเข้าส่วนกลางให้ผู้บริหารส่วนกลางทำ มั่นใจในผู้บริหารส่วนกลาง ถ้าที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องเอาเข้าส่วนกลางบริหารเป็น ก็บริหารเองไม่ใช่แบบทุนนิยม แต่เป็นแบบบุญนิยม
บริหารแบบบุญนิยมคืออย่างไร
บริหารแบบเผื่อแผ่เกื้อกูลแจกจ่าย
1. เริ่มต้นคุณไม่เป็นหนี้ อย่าไปเป็นหนี้เป็นอันขาด เกิดชาติใดชาติใดก็ได้จำใส่หัวไว้เลย ว่าอย่าไปทำตนให้เป็นหนี้ อย่าก่อหนี้ใส่ตน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการเป็นหนี้เป็นทุกข์สารพัด เพราะฉะนั้นรอดตัวเลยถ้าไม่เป็นหนี้
2. ทำมาหากินสร้างสรรค์ มีแรงงานมีความรู้ความสามารถทำให้พออยู่พอกิน
3. ทำให้เหลือกินเกินใช้ของตน
4. สะพัดแจกจ่าย
ถ้าจะขายก็ขายต่ำกว่าราคาตลาด ก็เลวที่สุดแล้ว ขายราคาต่ำได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ต่ำกว่าราคาตลาดได้มากขึ้นๆจนขายเท่าทุนได้ ดี
ขายต่ำกว่าทุนให้ได้ ยิ่งดีเลย ถือว่าบุญนิยมชัดๆ ถ้าเข้าเกณฑ์ขายต่ำกว่าทุนได้คุณคือผู้ที่อยู่ในระบบทุนนิยมได้ถูกต้อง เพราะขายต่ำกว่าทุน ขายต่ำกว่าทุนแล้วอยู่ได้ไหม ก็อยู่ได้เพราะเราลดค่าแรงงานของเราตามความเหมาะสม
สมมุติว่า ค่าแรงงานของเรา 100 บาท ลูกฟักนี้จะขาย 50 บาท คุณก็ลดค่าแรงงานคุณ ราคาตลาด 50 คุณก็ขายสัก 40 บาท ค่าแรงงาน 50 ลดให้ตั้ง 10 บาทก็เหลืออีกตั้ง 40 บาท ก็พอกินพอใช้ กินใช้ 40 บาทก็ยังเหลือเลย เรากินแค่ 20 เองก็ลดได้อีก ลดต้นทุนลงไป ก็ถือว่าเป็นบุญนิยมแท้ๆ ถ้ายิ่งลดลงกระทั่งแจกฟรีได้
ระบบจะแจกฟรีได้ มันแจกตลอดกาลนานไม่ได้ ก็จะต้องแจกเป็นครั้งคราว แล้วจะรวมกลุ่มกันแจกเป็นครั้งคราวได้นั่นแหละ มีระบบของแจกก็มี ขายต่ำกว่าทุนก็มี ขายเท่าทุนก็มี ขายต่ำกว่าราคาตลาดก็มี
นี่แหละคือระบบบุญนิยม นักเศรษฐศาสตร์โปรดศึกษาและเอาไปปฏิบัติให้ได้ สังคมจะได้สบาย
เช่น ตลาดโลกขายราคาเท่านี้เราขายต่ำกว่าราคาโลกให้ได้ ของดีราคาถูกซื่อสัตย์มีน้ำใจขายสดงดเชื่อเบื่อทวง ใครไม่ซื้อก็ตามใจ
นี่คือความสำเร็จของการจัดสรรประเทศให้เกิดเศรษฐกิจ เกิดรัฐศาสตร์แบบนี้ สูตรเศรษฐศาสตร์นี้เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความคิดของอาตมาหรอก อาตมาไม่ได้เก่งกาจ รู้เยี่ยมยอด เรียนมาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้นที่เอามาพูดอย่างนี้ แล้วอาตมาก็ดีใจ ที่คำพูดของอาตมาหรือทฤษฎีนี้มันตรงกับของในหลวง ดีใจจริง
สมณะเดินดินว่า...ความจริง ตลาดอาริยะเราเกือบๆแจกฟรีเลย ค่าแรงไม่มี ต้นทุนสินค้า ซื้อมา 10 บาท ไม่ได้คิดค่าโสหุ้ยเลย
พ่อครูว่า..เราซื้อมา แล้วขายราคาเท่าทุนโดยไม่คิดค่าแรง ค่าโสหุ้ยก็ถือว่าขายขาดทุนแล้ว อีกหน่อย คนที่รู้จะไม่มาแย่งกันซื้อหัวแตกตายหรือ เขาไม่เชื่อก็ได้ เราทำไปบอกไปเขาไม่เชื่อก็ไม่ค่อยจะมา
การค้าขายคือการสะพัดสินค้าผลผลิต เป็นวิถีของมนุษย์โลก เราสร้างสรรค์แล้วก็มีการสะพัดแจกจ่าย เรากินใช้ทุกวันนี้เหลือเฟือ คุณมาดูสังคมชาวอโศกอุดมสมบูรณ์กินเหลือเฟือทำกันมาอยู่หลายสิบปี ไม่มีจนเลย เรามาอยากจน แต่คนเป็นเศรษฐีแสนล้านแต่ก็ยังอยากจะรวยอีก หาทางเอาเปรียบค้ากำไรไม่คิดเสียสละเลย คิดแต่เอาเงินเอากิจการไปหารายได้ เอาปันผลให้มากขึ้น เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลานเหลนโหลน อย่างนี้เป็นต้น ไม่เคยคิดจะเผื่อแผ่ผู้อื่นเขา ไม่เคยรู้จักพอ ไม่เคย ชีวิตนี้น่าสงสาร ไม่เคยลดความโลภ เมื่อไหร่เขาจะรู้สึกสำนึกว่าเราไม่ควรจะโลภมาก เราควรจะเสียสละ ควรจะบริจาคควรจะให้ เมื่อไหร่เขาจะคิดได้ แล้วประพฤติตัวเองตามที่สำนึก จะได้เป็นกุศล ถ้าสำนึกจริงละวางกิเลสได้ก็เป็นบุญ
สรุป คำว่า บุญและกุศล ต่างกันอย่างไร เข้าสาระของสัจธรรมพระพุทธศาสนา
ทุกวันนี้คนเข้าใจคำว่าบุญกับกุศลผิดเพี้ยนไป
บุญเป็นโลกุตระ กุศลเป็นแค่โลกียะ
บุญคือพลังงานทางใจ คือการสร้างพลังงานทางใจนี้ ให้เป็นเครื่องมือให้เป็นอาวุธ กำจัดกิเลส กิเลสโลภ กิเลสโกรธด้วย
แต่กิเลสโลภ นี้แหละตัวสำคัญ ถ้าสามารถรู้จิตใจตัวเองว่ามันกำลังโลภ อย่าให้มันโลภเต็มที่ มันอยากจะเอา 200 ก็อย่าให้มันเอา 200 ลดให้เหลือ 150 มันอยากจะเอา 100 ก็ลดเหลือ 50 คุณทำอย่างนี้ได้ก็คือทำบุญได้ บุญของคุณคือตัดกิเลสได้ลดกิเลสได้
มี100 ลดได้ 30 ส่วนที่ลดได้คือส่วนบุญ ลดได้แล้วบุญก็หมดหน้าที่ ถ้าลดได้ 100 ถาวรก็ไม่ต้องมีบุญ เป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาปในจิตใจ
พระอรหันต์ทุกองค์ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป ปุญญปาปปริกขีโณ
ถ้าบอกว่าพระอรหันต์เป็นคนที่มีบุญมาก คนนั้นไม่เข้าใจเนื้อแท้ของศาสนาพุทธ
ส่วนกุศลนั้นคือการทำดี ส่วนทำไม่ดีเป็นอกุศล เป็นสมบัติ สำหรับอาศัย คนเราอาศัยกุศล แต่มันมีอกุศลให้อาศัยก็เลยทุกข์ร้อนลำบากทรมาน อกุศลกับกุศล เป็นเครื่องอาศัย
ส่วนบุญ ไม่ใช่เครื่องอาศัย แต่เป็นเครื่องประหารกิเลส ปหานจบแล้วจบแลย หมดหน้าที่บุญก็หมดไปไม่มีบุญ คำนี้คำเดียวที่ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปแล้วก็ทำบุญไม่เป็น เลยทำบุญไม่เป็นแล้วเอาบุญมาหลอกล่อให้คนเห็นผิด กลับตาลปัตรกลายเป็นกุศล ทำบุญให้เป็นกุศลคนนั้นทำลายศาสนาพุทธ
ผู้ทำให้คำว่าบุญนี้กลายเป็นคำเดียวกันความหมายเดียวกันอย่างเดียวกันกับกุศล คนนั้นทำลายศาสนาพุทธอย่างแหลกราญ ใครก็ตามฟังไว้เลยนักการศาสนา ถ้าคุณเข้าใจตรงกับอาตมาก็อนุโมทนาสาธุ ก็ช่วยเปิดให้เข้าใจอย่างที่ว่ากัน
แต่ถ้าไม่ตรงกับที่เรามาพูด ก็โปรดตรวจสอบให้ดีว่า คำว่าบุญของศาสนาพุทธคืออะไร หมายความเฉพาะลงไปจริงๆก็คืออะไรอย่างไร ซึ่งเป็นคำที่ยอดที่ยากจะเข้าใจได้ง่ายๆ เข้าใจคำว่าบุญได้ดำเนินบุญได้สอนให้คนทำบุญได้ คุณทำบุญสำเร็จกุศลก็เกิดตามแต่ทำกุศลสำเร็จ บุญก็ไม่เกิด เพราะว่าบุญเป็นวิบัติกุศลเป็นสมบัติ
ถ้าใครเข้าใจก็ช่วยเปิดใจให้ถูกต้อง ศาสนาพุทธจะได้ยืนยาวต่อไป
สรุปแล้วคนเราถ้าเข้าใจคำว่าบุญคืออะไรบาปคืออะไร และเข้าใจความจน จนเป็นสถานะที่ควรเป็น อย่าไปเป็นคนรวย ความรวยไม่ใช่สถานะที่ควรจะเป็น ขอยืนยันจริงๆ
ใครคิดอยากจนนี้เป็นทางกุศลเป็นทั้งหมด ถ้าใครคิดอยากรวยนี้อกุศล แล้วจะวิ่งไปหาบาป
สมณะเดินดินว่า... เราควรจะมาเป็นคนจนที่ทำบุญ ไม่ใช่เป็นคนจนที่ทำกุศลอย่างเดียว
ตัวที่จะแยกออกว่าจนหรือไม่จนอยู่ที่ความโลภเป็นตัวสำคัญ แม้ว่าพวกเราจะไม่ใส่รองเท้า แต่งชุดม่อฮ่อม แต่เวลาอยากจะได้อะไรอีก อีกสักทีนึงก็น่ากลัวเหมือนกัน
ตอนเราอยู่ปฐมอโศก ช่วยแม่ค้าขายหมูแดง วันหลังก็ถามว่า เขาซื้อข้าวกล้องไปถุงหนึ่ง แล้วถามว่าทำไมเขาซื้อถุงเดียว เขาบอกว่ามันถูก เขาเกรงใจ ว่าซื้อมากไม่ดี เขายังเข้าถึงบุญได้บ้างเหมือนกัน แต่พวกเราเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วอันนี้ก็ถูกสเปคอันนี้ไร้สารพิษอันนั้นก็ดี ความโลภตรงนี้ เราจะตามไม่ทัน มันเป็นความโลภความอยากได้หรือเปล่า อย่างนั้น ตัวที่แยกคนจนได้ชัดเจนคือเราจะต้องมาเรียนรู้ความโลภ ที่บางที คนจนแต่ทำไมคิดจะจนแบบคิดเกินตัว เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันว่า จนอย่างรูปแบบไม่พอ ต้องลดความโลภด้วย
พ่อครูว่า อยากชวนให้คนมาขายของที่อาคาร บวร ทางโลกเขาต้องหาทางโปรโมท หาลิเกมาเล่น 7 วัน 7 คืน แต่พวกเราคงไม่มีใครมาดู คิดถึงว่า พวกเราจะเป็นพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพที่อิ่มตัวเขาก็จะรู้วิธีดีในการเรียกแขก แต่ถ้าเป็นคนที่ตั้งใจมาเสียสละ แล้วก็รู้วิธีการค้าด้วย อันนี้ก็คิดว่าน่าจะมาช่วยเรียกแขกกัน แม้ล้างมือในอ่างทองคำแล้วก็ควรจะเอามือมาช่วยพระโพธิสัตว์ทำงาน
พ่อครูบอกว่า ความสำเร็จของชีวิตเป็นอย่างไร ความสำเร็จของชีวิตคือทำอย่างไรจะทำเพื่อผู้อื่นให้ผู้อื่นได้นั่นคือความสำเร็จของชีวิต คนไม่ต้องเอาอะไรมาให้แก่ตัวเอง คุณปล่อยชีวิตให้ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเดียวแล้วคนอื่นจะเลี้ยงเราไว้ ประโยคนี้น่าท้าทายสำหรับคนจนที่น่าจะมาพิสูจน์สิว่า เรามีความสำเร็จของชีวิตหรือยัง ถ้าไม่มีใครเลี้ยงเราไว้ก็ถือว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ วางระเบิดไว้เต็มไปหมด แต่ถ้าเราช่วยผู้อื่นอย่างจริงใจจริงๆคนอื่นจะเลี้ยงเราไว้นี่เป็นความสำเร็จของชีวิต ...
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:03:19 )
รายละเอียด
601205_พ่อครูเทศน์เปิดงานตลาดประชารัฐ Green Market อุทยานบุญนิยม
5 ธันวาคม 2560 ปีนี้ ที่อุทยานบุญนิยม จัดโรงบุญ 5 ธันวาฯมหากุศล แจกอาหารมังสวิรัติฟรี และมีการเปิดงาน ตลาดประชารัฐ Green market พร้อมกับตลาดประชารัฐของรัฐบาลที่จะ kick off เปิดตัวพร้อมกันทั่วประเทศในวันนี้
โดยพ่อครูนำหมู่สมณะสิกขมาตุออกบิณฑบาต ตั้งแต่ 07.30 น.ที่หน้าอุทยานบุญนิยม จากนั้น พ่อครูได้เทศนาเปิดงาน ต่อด้วย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี คุณ นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ได้ให้เกียรติ มาเป็นประธานกล่าวเปิดตลาดประชารัฐ และลั่นระฆัง เปิดงาน
พ่อครูว่า...เป็นฤกษ์งามยามดีมาก ที่ทางราชการเอื้อมมือให้โอกาสชาวอโศก ได้มาทำตลาดประชารัฐ
ตลาดประชารัฐตามความเข้าใจของอาตมา ก็หมายความว่า เป็นตลาดคือสถานที่ ที่จะจำแนกแจกจ่าย โดยการซื้อขายข้าวของผลผลิตสินค้าต่างๆ ที่ขายผลิตขึ้นมา สร้างขึ้นมา แล้วต้องการที่จะกระจายเผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นในวิธีการแลกเปลี่ยน
แลกเปลี่ยนด้วยของด้วยของ บาร์เทอร์ หรือว่าจะแลกของด้วยตั๋วเงิน เรียกว่าธนบัตร หรือเรียกว่าเงินก็แล้วแต่เรียกกัน ปฏิบัติกันทั่วโล กเป็นวิธีจำแนกแจกจ่ายเกื้อกูลกัน โดยที่แลกกันไปแลกกันมา ภาษาบาลีเรียกว่าลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา แปลว่าลาภแลกลาภ หรือของแลกของ มีสองอย่าง ของกับของ เรียกว่าบาร์เทอร์ และแลกของกับเงิน เงินก็เป็นอัตราราคาเท่านั้นเท่านี้อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นวิธีการของความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ มนุษย์ก็สามารถคิดได้แล้วก็มาปฏิบัติกัน
ทีนี้มาถึงลมหายใจแบบนี้ ปัญญาของคนก็เข้าใจ แม้แต่ผู้บริหารของประเทศก็เข้าใจแล้วว่าการจะเชื่อมโยงกัน เพื่อจะให้เกิดตลาดสำหรับประชาชนกับรัฐบาล เรียกว่าประชารัฐ มีประชาชนกับรัฐบาล รัฐบาลเป็นตัวแทนของรัฐ ก็ได้มาเชื่อมโยงกับประชาชนหาโอกาสเปิดโอกาส หาสถานที่อำนวยความสะดวก แม้ที่สุดเติมเงิน
เพราะฉะนั้นตลาดประชารัฐ รัฐบาลยังแจกเงินให้แก่ประชาชนคนจนไปจำนวนนั้นจำนวนนี้ เป็นการแรกเริ่มแล้วก็เอาเงินนี้ใช้เป็นคูปองอะไรก็แล้วแต่ให้คนจนนำไปซื้อนำไปแลกเอาของที่ต้องการมา แล้วก็จะมีตลาดที่จะให้ผู้ค้าเรียกว่าพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาใช้อาคารสถานที่ ก็จัดตลาดของประชารัฐ เป็นสถานที่ แล้วก็ให้โอกาสของประชาชนเข้ามาขาย
แต่ว่ามันยังเพิ่งเริ่มต้น รัฐบาลเริ่มต้นก่อน ทำโดยมีเงื่อนไขมีข้อแม้ต่างๆอยู่บ้าง ก็ค่อยๆดำเนินไป อาตมาเอาใจช่วยเต็มที่เลย ส่วนชาวอโศกเราทำมานานแล้ว แต่คนเค้าไม่สนใจ เหมือนกับรัฐบาล รัฐบาลทำแล้วคนสนใจไว้ใจกว่า ส่วนเราทำตลาดประชารัฐเราให้ฟรีตลอดไม่มีเงื่อนไข แต่คนก็ยังไม่ค่อยเชื่อถือไม่ค่อยให้เครดิตเรา เราก็คัดเลือกบ้างคัดเลือกผู้ที่ดีพอสมควร ไม่เกะกะเกเรเท่านั้นเอง
ตอนนี้คนก็เข้าใจ แล้วก็เข้ามา อย่างเช่นว่า อุทยานบุญนิยมเราก็เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาใช้สถานที่นี้ เป็นตลาดมาขายฟรีเงื่อนไขก็เพียงแต่ว่า สินค้าที่เอามาขายนั้นอย่าเป็นสินค้ามีพิษ อย่าเป็นสินค้ามอมเมา ซึ่งพระพุทธเจ้าก็สอนไว้ในเรื่องของ วีสะกับมัชชะ เป็นของมีพิษกับมอมเมา ถ้าเป็นของไม่เป็นพิษ กับไม่มอมเมา พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ว่า การค้านี้ที่เป็นมิจฉาวณิชชามีห้าประการ
หนึ่ง อย่าค้าขายอาวุธ อาวุธนี้เป็นเครื่องมือฆ่าคน อย่าเอามาค้าขาย เราไม่เอา เราไม่สนับสนุน ไม่ส่งเสริม ถือว่าเป็นบาปมาก
สอง ไม่ค้าขายสัตว์เป็น ห้ามสัตว์เป็นอย่าเอาเข้ามาค้าขาย แม้แต่เอามาเลี้ยงพระพุทธเจ้าก็ห้าม พยายามอย่าทำ แต่การฆ่าสัตว์การเลี้ยงนี้มีนัยที่ต่างกว่ากันอยู่บ้างแต่ยังไม่มีเวลาลงรายละเอียดอธิบายก็เอาแต่แค่สั้นๆ สัตว์มันก็มีปากของมัน ชีวิตของมันก็มีหน้าที่ใช้วิบาก เราอย่าไปร่วมวิบากกับสัตว์ เราเองก็รักษาตัวเองเถอะ อย่าให้มีวิบากผูกพันทั้งทางรักและทางพยาบาท จะได้ปลดปล่อยจะได้นิพพานเร็วๆ
เพราะฉะนั้นจากห้ามค้าขายสัตว์เป็นมังสะวณิชชาท่านก็ห้าม
สาม ค้าขายเนื้อสัตว์ท่านก็ห้ามค้าขาย แต่ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนเอง หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ผู้สอน ก็ยังเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิทีเดียว เขายังสอนผิดก็ยังขาย ดีไม่ดีก็เป็นครูบาอาจารย์ผู้สอนก็ยังกินเนื้อสัตว์ให้เขาซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารประเคตอยู่ก็เลยไม่จบ ไม่ชัดเจนไม่เด็ดขาด
สรุปแล้วแม้แต่เนื้อสัตว์ก็ไม่เอาไม่ขาย
สี่ วีสวณิชชาหมายความว่า การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นพิษถึงขั้นกินเข้าไปแล้วตาย บาปแน่นอน เป็นพิษสั่งสมมันค่อยๆสะสม ไม่ตายทันที อย่างนี้ก็บาป
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นพิษค่อยๆสะสม ค่อยๆสะสม จะอ่อนขนาดไหนมันก็เป็นพิษก็อย่าเอาสินค้าหรือเอาผลผลิตอะไรที่มันเป็นพิษอย่างนี้มาให้คนบริโภคอุปโภค มันเป็นพิษเป็นภัย มันเป็นบาปมันเป็นสัจจะ
ห้ามัจฉาวณิชชา ความเมามีหลายขั้น เมาอย่างสุรานี้ แปลว่ากล้า ที่ว่ากล้าที่สุดนี้อย่าเอามาเสริมกัน อย่างเช่น ยาเสพติดรุนแรง น้ำเมาที่ดื่มเข้าไปแล้วเมาให้เห็นเลย คุมสติไม่ได้ ไม่รู้สติสตังอะไรแล้วอย่างนี้อย่าเอามาขายกัน หรือแม้แต่จะมอมเมากันช้าๆนานๆ มันก็คือเมา จะเมาอย่างน้ำเรียกว่าน้ำเมา จะเมากันอย่างที่เรียกว่ายาเสพติดก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมอมเมาทั้งนั้น
ทีนี้มอมเมาที่รู้ได้ยากซับซ้อน มอมเมาในทางรสชาติ มอมเมาในทางสวย มอมเมาในทางสนุก อันนี้ดูได้ยาก แล้วคนก็ติดเยอะด้วย ทุกวันนี้ก็ยังยากเลยที่จะต่อต้าน แล้วก็ปรุงแต่งหนักหน้าทุกวันเลย มอมเมากันให้รู้สึกว่า รสชาติอร่อย
รสชาติอร่อยมันเป็นเรื่องปลอม เป็นเรื่องอุปาทานทั้งนั้น ไม่รู้จักสิ่งที่มันเป็นเรื่องอุปทานคือเรื่องยึดถือไปของเก๊ๆ เป็นอารมณ์หลอกๆ เรียกว่าสุขอัลลิกะ เป็นสุขหลอกๆ สุขเก๊ๆ สุขไม่จริงเลย มันเป็นอุปาทานเป็นลมๆแล้งๆ แล้วคุณก็นึกว่ามันจริง
มันไม่จริงมันเป็นจิตที่ถูกหลอก ถูกครอบงำ สิ่งนี้ลึกซึ้ง เรื่องนี้เป็นปรมัตถธรรม ต้องมาศึกษาให้ดี มันถึงจะละล้างความยึดถือที่โง่เง่านี้ได้
เมระยะ มอมเมาอย่างกลาง มัชชะมอมเมาละเอียดอย่างลึกซึ้ง สุรานั้นเข้าใจง่ายเพราะมันหยาบแรง ส่วนเมระยะ มอมเมาอย่างละเอียด ตามลำดับลึกซึ้งไปเรื่อยๆ มอมเมาอย่างไม่ค่อยรู้ตัว มอมเมาอย่างดี เชิงหลอกล่ออ่อยเหยื่อ ยืดยาวให้นาน เลี้ยงต้อยไว้นานๆอะไรพวกนี้ นี่ก็คือสิ่งที่มันหลอกกัน มันไม่ใช่เรื่องจริง
เพราะฉะนั้นในระดับมอมเมาอย่างมัชชะ เป็นการมอมเมาอย่างสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้น ขั้นเมาสุดท้ายนี้ พระพุทธเจ้าก็ยังแยกเมาเอาไว้อีกชิ้นสุดท้ายจริงๆเลย คือมีพยัญชนะบอกว่า มัชชะ มทะ ปมาทะ มอมเมา ดีกว่ามอมเมาอย่างมัชชะ ถือว่าหยาบกว่า มทะ ถือว่าระดับกลาง หรือเมาเล็กน้อยแล้ว สุดท้ายปมาทะเป็นเรื่องที่แต่ละคนมีอิสรเสรีภาพ ในการที่จะมีปัญญามีความชาญฉลาดที่จะรู้ถึงว่า อ๋ออันนี้มันเป็นเรื่องที่เราหลงเป็นเหยื่อ ถูกหลอกเอาไว้แม้มันจะน้อยมากอย่างไร ผู้ที่มีปัญญาละเอียดลึกซึ้ง จะรู้ได้รู้ทันและไม่ถูกมอมเมากับสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง
ตอนนี้ความรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจะเข้าไปสู่ประชาชน โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนจะเข้าใจเรื่อยๆ อาตมาทำงานมาย่างเข้า 48 ปีแล้วกว่า จะค่อยค่อยเห็นผลมาพอสมควร นี้จะครึ่งศตวรรษแล้ว ก็ยังยินดีที่จะทำต่อไปอีก ให้เป็นศตวรรษ อาตมาไม่หยุด ตั้งใจจะพยายามต่อไป ได้หลาย 10 ปี เท่าที่อาตมาจะกระเสือกกระสนไปได้อย่างนั้นเถอะ ตอนนี้ก็คิดว่าสมควรแก่เวลาท่านผู้ที่มาร่วมงานแล้ว
ก็ขอแวะเข้าสู่กับตลาดประชารัฐเป็นตลาดที่จะเอื้อเกื้อกูลให้แก่ประชาชน อาตมาดีใจนะ ที่ผู้บริหารประเทศได้พยายาม ที่จะจัดโอกาสแก่ประชาชน ให้มีสถานที่ให้คนจนมาจำหน่าย ตอนแรกนี่ก็ตั้งใจให้มาใช้ฟรี ต่อไปก็ยังไม่แน่ที่จะขึ้นราคาไหม จะเก็บเงินไหม ก็ยังไม่แน่ พูดปลายเปิดไว้ แต่ก็ยังดี
แต่ของเราขอภัยนะที่พูดนี้ประเดี๋ยวจะหาว่าเราไปข่มรัฐบาล ของเรานี้เปิดเอาไว้ว่าให้มาขายฟรี มาเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรมา จะเป็นอุทยานบุญนิยมที่ไหนเมืองในอุบลเอง ที่อาตมากำลังนั่งพูดได้อยู่ก็ตาม หรือว่าจะเป็นที่ราชธานีอโศกอยู่อำเภอวารินชำราบก็ตามตอนนี้มีอาคารขนาด 11 ไร่จะทำเป็นตลาดสด ตลาดแห้ง
ตอนนี้ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจ ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไปยึดครอง หรือว่าไปจองสถานที่ ที่จะขายได้เลย ยังมีสถานที่อยู่ ยังไม่เต็มไปได้
ครึ่งหนึ่งของอาคารตลาดนี้จะเป็นร้านอาหารตลาดสด อีกครึ่งหนึ่งจะเป็นร้านตลาดอาหารแห้ง ก็ไปคุยไปดูรายละเอียด แล้วรีบไปจอง ประเดี๋ยวหมดแล้วไม่มีให้ นี่ก็คือสิ่งที่เราภาคภูมิใจว่า เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มวลประชาชนร่วมกัน ซึ่งมันตรงกันกับรัฐบาล เราก็ดีใจที่เราทำได้เหมือนรัฐบาลต้องการ เท่ากับเป็นการช่วยรัฐบาลไปในตัว
...จบ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:04:04 )
รายละเอียด
601206_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ลำดับของพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียง
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2560 ปลายปีนี้ก็จะมีงานเพื่อฟ้าดิน ก่อนงานก็จะมีเด็กนักเรียนสัมมาสิกขามาช่วยเตรียมงาน เป็นการเข้าค่ายไปด้วย ก่อนงานเพื่อฟ้าดินก็จะมีกิจกรรม สอบ ว.บบบ.ไปด้วย แล้วก็จะสอบในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 เวลา 18.00 น.ตอนค่ำ ใครที่จะมาร่วมกิจกรรมสอบก็มาได้เลย ไม่ต้องสมัคร แต่เอาตัวมาเลย ปีนี้ถือว่าเรารับสมัครแบบคนจนไม่ใช้เอกสาร มาถึงนี่ก็ลงทะเบียนเลย เข้ากลุ่มเลย ที่จะสอบก็คือ หนังสือเล่มนี้ หนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่มนี้ใครไม่อ่านก็เสียใจด้วยสอบไม่ได้แน่นอน เล่มนี้สามร้อยกว่าหน้า และข้อสอบก็จะออกในเนื้อหาที่พ่อครูได้เทศนาในช่วงเดือนธันวาคมนี้ด้วย
ส่วน 31 ธค. 60-2 มค. 61 ก็เป็นงานเพื่อฟ้าดิน
ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เชิญมาสัมผัสกับคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ด้วยวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง
ในงาน “เพื่อฟ้าดิน ปีใหม่ ปี 2561” ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค 2560 ถึง 2 ม.ค 2561 เพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงร.9 ที่ทรงพระราชทาน ศาสตร์พระราชา เป็นมรดกแก่ปวงชนชาวไทย ให้มีวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง ให้พึ่งตน จนเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ รักษ์ฟ้ารักษ์ดิน อยู่แบบคนจน ที่สุขสำราญเบิกบานใจ ณ หมู่บ้านราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
วันที่ 31 ธค 60 เวลา 09.00 น. ท่านรมช.ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออ.ยักษ์ ให้เกียรติมาเปิดงานเพื่อฟ้าดิน ปี 2561
เวลา 9.30 น. ผวจ.อุบลราชธานี นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ให้เกียรติมาเปิดตลาดประชารัฐคุณธรรม GREEN MARKET เป็น“ตลาดของประชาชน” โดยภาครัฐให้การสนับสนุน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และคนฐานราก ให้มีที่ยืนในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง
พบนิทรรศการมีชีวิต แปลงปลูกพืชผักไร้สารพิษ เช่นกะหล่ำปลีกว่าหมื่นหัว แตงกวา ถั่วฝักยาว บวบ ถั่วต่างๆ และพืชผักอื่นๆอีกมากมาย พร้อมปราชญ์ชาวบ้านมาให้องค์ความรู้ตลอดงาน
ในงานนี้มี มีสินค้าจากหลายภาคมาจำหน่าย ในราคาบุญนิยม 4 ระดับ ( 1 ต่ำกว่าท้องตลาด - 2 เท่าทุน 3 ต่ำกว่าทุน 4 แจกฟรี) ตามปรัชญาขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา ของในหลวงรัชกาลที่ 9
มีนิทรรศการมีชีวิต จากผู้ผลิตสินค้ามาสาธิตให้เห็นๆ เพื่อจะได้นำกลับไปทำเองได้ เช่น การเก็บจุลินทรีย์ระดับ 1 เทพ 8 เซียน , กิจกรรมการดูแลสุขภาพทางเลือก , สาธิตการทำน้ำสมุนไพรพื้นบ้านเพื่อการพึ่งตนเอง, สาธิตการผสมพันธุ์ข้าว, นิทรรศการ 3 อาชีพเพื่อมนุษยชาติ และสาธิตการแปรรูปสมุนไพรต่างๆ
พบกับปราชญ์ชาวบ้าน อาทิ โจน จันได ดร. แสวง รวยสูงเนิน คุณคำนึง นวลมณีย์
มีบริการตรวจสารพิษตกค้างในเลือด ให้กับผู้มาร่วมงาน
ปีใหม่นี้ 31 ธค. 2560 ถึง 2 มค. 2561 มารับสืบทอดศาสตร์พระราชาร่วมกัน ที่ แผ่นดินพุทธ ดินแดนแห่งคนจนมหัศจรรย์ ณ อาคารบวร บวรราชธานีอโศก ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
.....เพื่อฟ้าดิน สร้าง "คนจน" สุขสำราญเบิกบานใจ...
พ่อครูว่า...วันนี้วันที่ 6 ธันวาคม อีก 24 วันก็จะหมดปี เวลาก็ผ่านไปๆ อาตมาก็พยายามทวนกระแส พอดีจะหนุ่มขึ้นๆ เด็กลงๆ ตอนนี้รู้สึกมีผู้ที่เขามาแมะบอกว่า กำลังมีพลังเด็กอยู่ในสังขาร มันบอกไม่ได้ เป็นพลังงาน อย่างน้อย นี่นะ นอนมาก สู่แดนธรรมว่า ผิวพรรณจะโปร่งใส
ก็พยายามฝึกพลังงานของเรา เรารู้ในสภาพทวนกระแสกลับไปกลับมาปฏินิสสัคคะ หมุนรอบเชิงซ้อน อันนี้เราเข้าใจ แล้วก็ค่อยๆทำ
สมณะฟ้าไทว่า...แสดงว่าตอนอายุ 96 ปีจะเริ่มเป็นวัยรุ่น
พ่อครูว่า...คอยดู ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงจริงๆอีก 5 ถึง 6 ปี มันจะเห็น จะมีลักษณะที่ชัด ไว้ฉลองตอนนั้น
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อหนุ่ม ลูกแก่
พ่อครูว่า...จะไปแก่ทำไม หนุ่มตามกันสิ! อ่านดู sms
SMS วันที่ 4 ธันวาคม 2560 เฟซบุ๊ก
_มณี ศรียงค์ · เพียงแค่ขอความคิดเห็นไม่ได้ตำหนิท่านนะ
เพราะเห็นท่านอายุมากและไอมากๆ จึงกลัวท่านจะกระอักเลือดเสียก่อน เดี๋ยวจะอดฟังท่านเดี่ยวไมโครโฟน เห็นไหมคะว่า มณีมีจิตใจดีค่ะ
พ่อครูว่า...ดีก็ปรารถนาดีช่วยเหลือกันไป ไม่มีปัญหาหรอกจะกระทบกระทั่งกันบ้าง
_อำภา รื่นใจดี · ประเทศชาติต้องมีอาวุธยุทธโธประกรไว้ปกป้องแผ่นดิน การซื้ออาวุธก็ซื้อตามฐานะ ตามกำลังทรัพย์ของประเทศ ไม่แปลกหรอกถ้าประเทศไทยจะซื้อเรือดำน้ำไว้ปกป้องแผ่นดิน คุณมณีจะให้ซื้อเรือบดแทนหรือคะ
_แก้วลา ไชยวงค์ · พ่อครูเจ้าคะ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ทางธรรมจริงๆท่านได้เป็นพลังส่วนหนึ่งในแผ่นดิน ท่านได้ช่วยในหลวงได้มากๆเจ้าค่ะ
_สุลิน สายพันธุ์ · กราบนมัสการพ่อครูเป็นอย่างสูงค่ะ ซาบซึ้งในความจริงใจของพ่อครูในทุกเรื่องที่ทำค่ะ เวลาฟังการเมืองเครียด นโยบายเรื่องพลังงาน พวกกลุ่มทุนต่างๆเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านรู้สึกเศร้ามากค่ะ ได้ฟังธรรมของพ่อครูก็ทำให้ปล่อยวางคลายเครียดพอได้บ้าง อยากจะทำใจให้รับได้ทุกสถานการณ์ค่ะ
พ่อครูว่า…แน่นอนนายทุนก็ต้องทำเพราะเขาได้ชื่อว่านายทุน ก็ต้องเอาเปรียบให้ได้มากเป็นธรรมดาเราก็เข้าใจเขา ให้เขาเอาเปรียบเสียให้เข็ด เอาเข้าไป โลภโมโทสันเข้าไป เขามีจิตอยากมากขี้โลภก็ต้องทำ ใครรู้ทันก็ปล่อยเขาไป
สมณะฟ้าไทว่า...ความจนนี้มาหลอกไม่ได้
พ่อครูว่า..สบาย เพราะความจนนี่มันจบ มีความจนที่ประเสริฐมหัศจรรย์มีปัญญา ขอยืนยันว่า คนที่รวยนั้นไม่มีปัญญา มีแต่เฉโก ไม่มีธาตุปัญญา มันเป็นอย่างนั้นจริงๆศึกษาที่ดีแล้วจะเห็นชัดเจนว่า ธาตุสองธาตุนี้ ธาตุความเฉลียวฉลาดที่จริงใจที่ดี ต่างกับธาตุฉลาดเฉโก มันจะมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มาก
การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้านี้สุดยอด เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ยิ่งใหญ่มาก
สื่อธรรมะพ่อครู(นิยามชีวิต 5) ตอน มีความเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อแม้สัตว์เซลล์เดียว
_auunee เวลาเห็นคนเป็นมะเร็ง สงสารกันไหมคะ แต่จริงๆเราสงสารดีเลย์กันมากนะคะ น่าจะสงสารตั้งแต่เห็นคนกำลังตกปลา ฆ่าสัตว์
เพราะการกระทำเหล่านั้นนั่นแหละ นำมาซึ่งผล คือเจ็บป่วย อายุสั้น
ตอนเห็นเขาตกปลา เราเฉยๆกัน ไม่สงสาร ไปสงสารตอนที่เขาเจอผลของกรรมแล้ว
พ่อครูว่า..เป็นสภาพปัจยการ ต่อเนื่องกันไป แม้โทษภัยอันมีประมาณน้อยอย่าทำเสียเลย มันเป็นผลสั่งสมต่อเนื่องใหญ่ขึ้นๆ เป็นอย่างนั้น มันไม่มีอะไรไปหักลบสัจธรรมพวกนี้มันเป็นความจริงของความจริง เพราะฉะนั้นที่อาตมาพูดถึงว่าในศีลข้อที่ 1 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ไม่กี่คำ แต่ครบ ชัดเจนถ้าใครเข้าใจดังที่อาตมาได้พยายามชี้พยายามอธิบายพยายามไล่เรียงกันไปให้ฟังด้วยเรื่อยๆ ก็คิดว่าน่าจะชัดเจนซาบซึ้งขึ้นได้
พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
มันมีลำดับของมัน ที่ชัดเจนเลย ชัดเจนจนอาตมาบอกว่าแม้แต่สัตว์ที่เป็นจิตนิยามเซลล์เดียวก็ตาม เกิดมายังไม่ประสีประสา สัตว์เซลล์เดียว 2 เซลล์ 3 เซลล์จนไล่ขึ้นมา 3 เซลล์ก็เป็นวงวน หากเซลล์เดียวไปไม่รอด จะติดที่ตำแหน่งของห้องผนังของที่ว่าง ก็ติดแปะเหมือนพืช ออกไปไหนไม่ได้ สัตว์เซลล์เดียวเหมือนพืชที่ติดอยู่ ยิ่งกว่าพืช แต่เซลล์นี้ดิ้นได้คล่องขึ้น แม้แต่สองก็ขยับได้เป็นแนวระนาบ เมื่อมีสามก็ออกจากแนวระนาบ เป็นวงรีที่แบนราบก่อน พอองศามากขึ้นกว่าจะเป็นวงรีที่กลมมากขึ้น 4 5 6 7 ก็จะกลมมากขึ้น จนกลมดิ๊ก สมดุลย์ ก็จะอยู่ได้นาน อย่างนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาธรรมชาติของ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม ซึ่งประกอบด้วยพลังงานแบบฟิสิกส์ เส้น แสง เงาสี ความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า ก็จะเกิดสภาพสังเคราะห์สังขารกันขึ้นมาตามลำดับๆ ศึกษาดีๆ แล้วจะไม่สงสัยเลยว่า ทุกอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัส อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยามและธรรมนิยามนี้สุดยอด
อาตมาเห็นแล้ว คนธรรมดามาแยกนิยาม 5 นี้ไม่ได้ แล้วคุณจะเข้าใจนิยาม 5 นี้ลึกซึ้งเข้าไปมีปฏิสัมพัทธ์กันในนิยาม 5 นี้ เดาเอาไม่ได้ เป็นเรื่องอจินไตย
มีความขัดแย้ง มีการสังเคราะห์สังขารกันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ของทุกอย่างตั้งแต่วัตถุ อุตุนิยาม มาเป็นพีชนิยาม จนมาเป็น เซลล์ของสัตว์ชั้นต่ำ จนถึงอเวไนยสัตว์ เป็นมนุษย์โลกีย์ที่จะมีความฉลาดเฉโกที่ยาวนาน เห็นแก่ตัวเป็นวงวนที่ยาวนาน ไม่เข็ดหลาบง่ายๆ ลงนรก ขึ้นสวรรค์ หลงนรก หลงสวรรค์ ยังไม่ออกมาจากกรอบของโลกียะ ถึงหลงสูงๆต่ำๆ อร่อย ทรมาน สุขทุกข์หมุนอยู่อย่างนั้น ไม่เข็ดหลาบง่ายๆ มันหลอกล่อนานมากเลยโลกียะ
คนรวยคนที่เสพอะไรต่างๆนานา ก็ยากที่จะเข้าใจได้ง่ายๆ ทุกข์ทรมาน ช่วงที่เขาต้องชดใช้หนี้วนเวียนเขาไม่รู้ ตายไปแล้ววิบากก็ไปสังเคราะห์กันใหม่ แล้วใช้วิบากกันตามลำดับ อาตมายังไม่เก่งจะอธิบายได้ละเอียด มีความซับซ้อนในการใช้หนี้วิบากกันนานนับ ชาติ จึงมีชีวิตกันเป็นล้านๆชาติ ไม่ต้องงง เรื่องจริง ล้านๆๆๆชาติ
เพราะฉะนั้นในความเป็นโลกีย์มากชาติที่สุด เมื่อมาเป็นโลกุตระ ชาติจะลดลง มันไม่มีวันจะลดลงง่ายๆสำหรับโลกีย์ กว่าจะเข็ดหลาบก็จะเลิก เพราะมันตายแล้วก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ยิ่งไม่ได้ศึกษาธรรมะก็หลงงมงายวนเวียนตลอดเวลา บำเรอตัวเองยิ่งขึ้นๆๆ ก็เบียดเบียนผู้อื่นยิ่งขึ้น คุณบำเรอตนยิ่งขึ้นก็จะเบียดเบียนผู้อื่นยิ่งขึ้น มากขึ้นๆ มันเป็นอย่างนั้น
คุณไม่เบียดเบียนดิน พืช ก็จะเบียดเบียนสัตว์กับคน แล้วคนนี่มันซ้อนอัตตา เอาชนะคนดีกว่าเอาชนะสัตว์ มันซับซ้อน เอาชนะคนนี้มันเท่ห์กว่าเอาชนะสัตว์ เพราะคนฉลาดแกมโกงฉลาดโง่ เอาชนะคนนี่แหละเยี่ยมยอดกว่าเอาชนะสัตว์
ชนะช้างจะไปเก่งอะไร ต้องชนะคนนี้แหละ ยิ่งชนะคนเก่งๆนี่ล่ะวะ มันซับซ้อนกลับไปกลับมา ยิ่งคุณไปชนะคนเก่งก็นึกว่าคุณดี คุณจะไปเอาชนะเขา คุณเอาชนะสัตว์ก็อย่างง่าย
สมณะฟ้าไทว่า...ขนาดพระเทวทัตยังจะเอาชนะพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...มันเป็นความซับซ้อน เรียนให้ดี มันซ้อนเชิง อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็พอจะรู้ได้ สรุปแล้ว ความเป็น
เมื่อเริ่มต้นเป็นจิตนิยามขึ้นมา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่เถิด ซึ่งอาตมาก็ได้อธิบายจนสุดแล้ว เซลล์เดียวหรือสองเซลล์เป็นจิตนิยามนี้อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คุณหวังประโยชน์แก่เขาเถอะ อย่าไปทำกรรมตัดรอนเลย ถ้าเขาจะมีอนาคตจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คุณไม่รู้กรรมวิบากของเขา เริ่มเป็นสัตว์เซลล์เดียวนั้นบารมีเขามีหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่เขาเริ่มน่ะ คุณจะไปตัดรอนเขา คุณก็อาจจะไปตัดรอนพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มันจะบาปขนาดไหน คุณรู้หรือไม่รู้ แม้แต่อาตมาก็ไม่รู้เลยว่าจะไปเป็นไหม
สมณะฟ้าไทว่า...เซลล์เดียวนี้พวกมันจะหายไปเลยไหม
พ่อครูว่า...ก็อยู่ที่ความยึดถือของมัน เราจะไปรู้ด้วยได้ยาก อันนี้สุดท้ายเลย ถ้ามันมีความยึดมั่นถือมั่นไม่ยอม ถ้ามันยอมก็สลายได้ หรือแม้แต่เป็นอาริยะแล้ว เราไม่จองเวรจองกรรมอีก ก็สั้นลง แต่ทีนี้สัตว์ที่เพิ่งจะเกิดมามันจะยอมหรือไม่ ก็ไม่น่าจะยอม มันจะเริ่มฉลาด ปัญญามีไหม ก็ไม่ มันต้องเริ่มเฉโก มันจะอาฆาตพยาบาทขึ้นคุณก็มีศัตรูเพิ่มขึ้น
ในคำว่า สรณะ แปลกันว่าที่พึ่งนี้ มันไม่ใช่ที่พึ่งหรอกมันเป็นที่ทรมาน สรณะ นี้เป็นที่ทรมาน รณะ แปลว่า รบ ตะพึด สะ แปลว่าร่วม ก็ร่วมรบกัน จนกว่าคุณจะอรณะ คุณต้องมีมรณะกันตั้งเท่าไรวนเวียนกันไป คุณก็จะต้องทำ กรณะ ไม่เท่าไหร่ๆ ก็ชาตะมาเรื่อยๆ เกิดมาก็ อประ เรื่อยๆมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่เท่าไหร่
สมณะฟ้าไทว่า..เป็นโพธิสัตว์ก็ต้องมีสรณะ
พ่อครูว่า...ก็ต้องรู้ สรณะแปลโดยความหมายเท่านั้น โดยพยัญชนะไม่ได้แปลว่าที่พึ่งแต่แปลว่ารบ ตะพึด แล้วคุณก็ต้องรบอย่างมีปัญญา รบแพ้อย่างรู้ๆ ไม่ใช่แพ้โดยเสียรู้ หรือแพ้อย่างเสียรู้ แต่แพ้อย่างรู้ๆ ชัดเจนว่าเราแพ้เราไม่เอาชนะคุณหรอก แพ้ก็แพ้ชะตาทราม คุณยังเกิดอยู่ก็ต้องแพ้ไป แล้วก็ต้องเลิกเกิดๆ เราไม่แย่งการเกิดนี่เราชนะ
คุณชนะไปเลยให้เข็ด คุณชนะคุณจะเกิดก็เกิดไป เราจะไม่เกิดอีก เรารู้ทิศทางไปหาความดับไปหานิพพาน เรื่องอะไรจะไปแย่ง มันซับซ้อนสลับไปสลับมาอย่างน่างง
ก็มาขอสรุปลงตรงนี้ที่ว่า หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่เป็นสุดยอดคำตรัสของพระพุทธเจ้าในศีลข้อที่ 1 พระสมณโคดม ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่
ศาสตรานี้คืออาวุธส่วนหนึ่ง เป็นความรู้ส่วนหนึ่ง แต่ทัณฑะนี้คืออาวุธ หยาบ อย่างคิมจองอึนนี้ สร้างทัณฑะ แต่ศาสตรานี้ไม่เชิง อย่างมีดหั่นผักนี้เป็นศาสตราได้ แต่ที่จริงมันเอนเอียงมาข้างทำประโยชน์ จะบอกอีโต้ก็แรงกว่ามีดหั่นผัก ยิ่งเป็นดาบแหลมด้วยคมด้วย
ศาสตรานี้มีประโยชน์บ้าง แต่ทัณฑะนี้ไว้ห้ำหั่นสัตว์ทั้งหลาย ทำไมต้องวางทัณฑะวางศาสตรา อเมริกาก็ดีรัสเซียก็ดี เกาหลีก็ดี สร้างทัณฑะ ประเทศไทยนี้สร้างศาสตราไม่เก่งเลยในการสร้าง ทัณฑะ อย่าไปอิจฉาเขาเลย ส่วนเขาจะสร้างก็เรื่องของเขา เราก็รู้แล้วไม่ไปแย่งแข่งเขา
สมณะฟ้าไทว่า..เป็นกุศโลบายในการแพ้
อุบายคือการหลอกเขานะ เพื่อที่จะชนะเขา แต่นี่แพ้จริงๆ รู้อย่างดีไม่หลงใหลหลงผิดหลงตัวอะไร แพ้นี่ยอมแพ้จริงๆ แพ้สนิท ไม่เอาชนะอะไร มาแย่งอะไรใคร
สมณะฟ้าไทว่า..มาจนนี้ไม่มีใครมาแย่ง
พ่อครูว่า...มาเข้าสู่ความจน
จะต้องพูดกันน่าดูเลย…
แต่ละปีมี“กาล”กับ“กรรม”เท่านั้น
(1) มกราฯหกหนึ่งแล้ว ปีหมา
“กาล”ผ่าน..“เสีย”เวลา ฤ“ได้”
“กรรม”เล่า..เก่า-ใหม่พา “ดี-ชั่ว” ไฉนเอย
“กรรม”กับ“กาล”ใช่ให้ แต่ร้ายเลวเหลือ
(2) “อยู่เหนือกรรม”ยิ่งแกล้ว “ปัญญา” ไหมเออ
“อำนาจ”ใหญ่ด้วย“สติ”สา- มารถมั้ย
ได้“วิมุติ”พึ่งพา เป็น“แก่น” บ้างฤา
มีค่าคุณหรือไร้ ประโยชน์แล้ว“กรรม-กาล”
(3) ผ่าน“กาล”ไปก้อไม่ สะดุดเลย
“กรรม”ก็ไป่คำนึงเคย สำนึกรู้
แม้กรรม“ชั่ว-ดี”เฉย บ่พัฒ- นานา
“โลกุตร”ยิ่งอั้นตู้ ยากแท้มีธรรม
(4) ก็“กรรม”นี่แหละชี้ ชีวิต
ดีชั่ว“สมบัติ”ติด จิตแท้
แต่“บุญ”หากพิชิต กิเลสเสร็จ “วิบัติ”เลย
“บุญ”ก็“ไม่มี“แม้ เศษเสี้ยวธุลีธรรม
(5) “กรรม”ตนคือทรัพย์นี้ ห้าประเด็น เชียวพ่อ
“กัมมัสสกตา”เข็น ยากแท้
“กัมมทายาท”อีกเป็น มรดก “คน”เฮย
“กัมมโยนิ”นั้นแก้ ชีพให้แปรผัน
(6) “กัมมพันธุ”นี้ คือ“นาม- ธาตุ”แฮ
มิใช่“รูปธาตุ”ตาม ที่รู้
ซึ่งเพี้ยนสัจจ์เป็นความ- พลาดผิด มาตลอด
“กัมมปฏิสรณะ”สู้ รบแท้คือ“กรรม”
(7) ธรรมะถึงนิโรธได้ ด้วย“กรรม”
ไปกับ“กาล”ต้อง“ทำ” จึ่งได้
บรรลุสุดสูงสำ- เร็จเพราะ “กรรม”แล
ปีใหม่แล้วอย่าให้ เสื่อมด้วย“กรรม”เลย
“สไมย์ จำปาแพง” 6 ธ.ค. 2560
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 330 ประจำเดือนมกราคม 2561]
สื่อธรรมะพ่อครู(พระราชดำรัส ร.9) ตอน ลำดับของเศรษฐกิจพอเพียง
พ่อครูว่า...ปีใหม่แล้วอย่าให้เสื่อมด้วยกรรมเลย กรรมจึงเป็นทุกอย่างของพลังจิตที่มีอยู่ จะดีชั่ว กุศล อกุศล ทุจริต สุจริต หรือถึงขั้นเป็นบุญเป็นบาปก็อยู่ที่นี่ทั้งนั้นเลย
ทีนี้ ก็มาเข้าสู่ความจน
อ่านของในหลวงให้ชื่นใจหน่อย อันนี้ท่านก็สรุปของท่านเอง พระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ล้มเหลวเพราะทุ่มเทให้เศรษฐกิจเจริญขึ้นได้รวดเร็ว…
แนวทางเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานให้แก่พสกนิกรชาวไทยมีปรากฏอยู่ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทุกโครงการมาเป็นเวลาช้านาน ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2517 ความว่า...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้น
โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดและถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยเสริมสร้างความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป
พ่อครูว่า... อาตมาเชื่อว่า ทุกวันนี้ จิตวิญญาณของคนไทยไม่ให้ใครอดตาย ไม่ต้องรีบร้อนไปเอาร่ำรวยมาทำไม ไปตามลำดับเถอะ ให้เขาไปได้มากกว่านี้ก็ให้ แล้วก็จะทำให้ดีขึ้น แต่คนก็อย่างว่า ปัญญาคนนะ ก็มีเจตนาดี เขาเจตนาดี ต้องการให้เศรษฐกิจโตเร็วทั้งนั้น ซึ่งทุกวันนี้ อาตมาว่า เมืองไทย 4.0 นี้เหนือกว่าเขามากแล้ว ก็ไม่ต้องเร่งร้อนอะไรกัน ถ้าเร่งร้อนจะเป็นกรรมซ้อน การที่เราจะได้เป็นผู้ให้แก่เขา เราทำได้มากเราจะไล่ขายทั่วโลก ขายต่ำกว่าทุน ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ ราคาถูกกว่าทุกตลาดในโลก ดีไม่ดีต่ำกว่าทุน พวกราคาตลาดจ้างก็แข่งเราไม่ได้ เพราะว่าเราขายต่ำกว่าทุน ขายไปสิ หมดแล้วก็สร้างขึ้นมา เพราะเราไม่ได้เดือดร้อนอะไรเราสร้างขึ้นมาได้ เหลือแล้วเราจึงขาย เราพอกินพอใช้แล้ว อย่าไปตะกละผลาญพร่า แต่กินให้สมดุล ไม่เฟ้อ ผลาญพร่าสุรุ่ยสุร่าย ได้สัดส่วนที่พอเหมาะพอดี ปโหติ จะขายดีมาก
ประเทศเราไม่ได้เดือดร้อน มีน้ำใจเผื่อแผ่ คนรวยนี้เอาออกมาให้เสียบ้าง หลายบ้างก็ดี คนรวยประเทศไทยมีก็เยอะเอามาแชร์กันบ้าง นี่ยังโลภ ไม่รู้จักพออีกมันเป็นกรรมของคุณนะ คุณโลภกิเลสก็โตอ้วน แล้วโลภ มันก็พาให้คุณทุกข์ในอนาคต ตอนนี้มันสมโลภก็ดูเหมือนมีความสุข แต่คนที่ถูกคนเอาเปรียบไปมันจะมาแก้แค้นได้ จะไปรู้ได้อย่างไรถ้ามันอำมหิต
หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด (ในงานพระราชทานปริญญาบัตรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พุธ 18 ก.ค.2517)
... ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันมากเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้าน หรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก... “...มีเงินเดือนเท่าไร จะต้องใช้ภายในเงินเดือน...การทำแชร์นี้เท่ากับเป็นการกู้เงิน การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงิน และทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือนร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ... กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่น ไปทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์...” พระราชดำรัสในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2540 ปี 2541
…ในการพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อน ด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอควรแล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับต่อไป การถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ...ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2517 ปี 2540) “
'ยอดยิ่งยวด'...เพราะเราสงบและพออยู่พอกิน
"...ขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน...มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน...ตั้งปณิธานในทางนี้ที่จะให้เมืองไทย...
...'อยู่แบบพออยู่พอกิน' ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอดแต่ว่ามีความพออยู่พอกิน
...'มีความสงบ' เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้...เราก็จะ 'ยอดยิ่งยวด' ได้..."
(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2517)
“...ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก
หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก
แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคง มีความสงบได้
เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบ
ประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ
เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้
แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น
จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก
ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบายความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น
รู้สึกว่าจะไม่มีใครสู้เราได้...”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียน ที่ได้รับพระราชทานรางวัล ณ ศาลาดุสิดาลัย วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2524)
...ต้องทำแบบคนจน
ต้องแบบคนจน เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย เรามีพอสมควร พออยู่ได้แต่ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้น ที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า จะมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการบริหารที่เรียกว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไปทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็อยู่ได้ตลอดไป คนที่ทำงานตามวิชาการจะต้องพึ่งตำรา เมื่อพลิกไปถึงหน้าสุดท้ายแล้ว ในหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอก “อนาคตยังมี” แต่ไม่บอกว่าให้ทำอย่างไร ก็ต้องปิดเล่มคือปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ ปิดหน้าแรก ก็เริ่มต้นใหม่ ถอยหลังเข้าคลอง แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบคนจน ใช้ความอะลุ่มอล่วยกันตำรานั้นไม่จบ เราจะก้าวหน้า “เรื่อย ๆ “ ( พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนพรรษา 4 ธันวาคม 2534 )
พระราชดำรัสที่ทรงเรียบเรียง 4 ธ.ค. 2534
พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต
วันพุธ ที่ 4 ธันวาคม 2534
ขอขอบใจท่านนายกฯ (นายอานันท์ ปันยารชุน) ที่ได้อำนวยพรในนามของทุกๆ ท่านที่ได้มา
ในวันนี้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าแต่ก่อนนั้น เวลามีโอกาสเช่นนี้เมื่อ
ประมาณ 30 ปีก่อน แม้จะมีผู้เข้าพบจำนวนมากพอใช้ ก็ได้ทักทายทุกคณะ
เป็นอันว่าแต่ละคนๆ เขาได้ให้พร. แต่เดี๋ยวนี้ โดยที่จำนวนทวีขึ้นมาก ถ้าทำ
เช่นนั้น ก็ไม่มีทางที่จะเสร็จได้ภายในวันนี้. แต่ก่อนนี้ หลังจากพิธีในวัง ก็ได้
มาพบกับท่านที่มาให้พร. โดยมาก ก็ไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน
เพราะว่าต้องรับแขก ตั้งแต่เที่ยงจนถึงบ่ายสี่โมง แล้วบ่ายสี่โมงครึ่งก็ต้องไป
งานพิธีในวังอีก.
ก็แปลว่า ขาดทุน คือ เป็นการได้กำไรของเรา หรือการขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา ท่านนักเศรษฐกิจคงร้องว่า ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นไปอย่างนั้น ก็เห็นว่านักเศรษฐกิจก็ยิ้ม ยิ้ม ๆ ว่า อะไร ? พูดอย่างนี้ "การขาดทุนของเรา เป็นการได้กำไรของเรา" หรือเราได้กำไร แต่พูดภาษาอังกฤษมันสั้นกว่า งั้นก็ต้องขยายว่าภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร ? ภาษาอังกฤษ Our หมายความว่า ของเรา Our Loss .. Loss ก็การเสียหาย, การขาดทุน Our Loss Is .. Is ก็เป็น Our Loss Is Our .. Our ก็คือของเรา "Our Loss Is Our Gain" ..Gain ก็คือกำไรหรือที่ได้ ส่วนที่เป็นรายรับ ก็ตกลงบอกกับเขาว่า "Our Loss Is Our Gain" ขาดทุนของเราเป็นกำไรของเรา หรือว่า เราขาดทุน เราก็ ได้กำไร เวลาพูดไปแล้วเขาก็บอกว่า "ขอย้ำ ขอซ้ำอีกที" ก็พูดซ้ำอีกที เขาก็นั่งเฉยไปอีก ก็หมายความว่าต้องการ การอธิบาย เราก็อธิบาย อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นการกระทำแล้วก็เราเสีย แต่ในที่สุดก็ ไอ้ที่เราเสียนั้นมันเป็น "การได้"..
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
ทรงพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2534
(เสีย ในที่นี้ยังไม่ใช่เสียหายแต่มุ่งหมายถึงการกระทำที่เราได้เสียสละ ซึ่ง นัย ของการที่เราได้เสียสละออกไปนั่นแหละมันเป็นการได้ คือเธอทำความดีที่สุดแล้วในมนุษย์ใด ที่ทำการให้ ยิ่งการเสียสละด้วยการให้ใดๆออกไปแก่ผู้อื่นโดยไม่หวังหรืออยากได้อะไรตอบแทนเลย นั่นแหละคือสุดยอดมนุษย์ผู้ประเสริฐ ถ้าไม่ชัด ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร )
พ่อครูว่า...ยิ่งการเสียสละด้วยการให้ใดๆออกไปแก่ผู้อื่นโดยไม่หวัง ไม่มีจิตสาเปกโข ไม่มีอุปจยะ ไม่มีเส้นที่จะหวังว่าจะได้ออกไปเลย อุปจยะ คือ อาการจิตที่เริ่มเกิดใน ลักขณรูป 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
อุปจยะคือเริ่มเกิด มีนิดหน่อย แต่เริ่มเสื่อมนี้มีมากแล้วค่อยๆเสื่อมไป ถ้าตัดสันตติก็ไม่ต่ออีกก็จบ แต่ถ้าให้เกิดอีกโดยไม่ตัดสันตติก็ปล่อยตามสภาพก็จะชรตาไป แต่ในชรตานี้พระพุทธเจ้าเปิดไว้ที่ ตัวสุดท้ายคืออนิจจตาคือ ถ้ามันเสื่อมไปแต่คุณฮึดอีก เพิ่มเติมพลังงาน Coefficient มันก็มีตัวมีตนขึ้นมาใหม่ ถ้าคุณจะเสื่อมก็ปล่อยให้มันเสื่อมจริงๆ อย่าเล่นอีกก็ไปสูญ ยิ่งคุณทำ Coefficient เป็น คุณก็พรึบขึ้นมาอีก ขอเรียกว่าคุณตอแหล ก็ต้องชรตาเที่ยงไปหาสูญ แต่ถ้าคุณตลบอีก ใช้พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient มันก็ไม่จบ นี่มันจะชัดเจนไป
คุณธรรมข้อหนึ่งที่ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทยก็คือ การให้ การให้นี้ไม่ว่าจะให้สิ่งใด แก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม เป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญระหว่างบุคคลกับบุคคลและให้สังคมมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่นด้วยสามัคคีธรรม
(พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2545)
พ่อครูว่า… ถามพวกเราว่าทุกวันนี้ใครขาดทุนแล้วสบายใจบ้าง ...ก็ยังมีอยู่บ้างที่ยังทำใจไม่ได้ ดีแล้ว ไม่ต้องโกหก อยากได้หน้าอะไร เอาจริงๆ เราจะได้พัฒนาจิตใจของเราเอง มันก็จะเจริญอย่างที่เห็น
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน ธุดงค์ไม่ได้แปลว่าการเดินหรือออกป่า
ตอนนี้นึกถึงธรรมกาย จะฮึดขึ้นมาอีก อาตมาว่า ผีดิบซอมบี้ จะตายไม่ยอมตาย ฮึดขึ้นมาอีกคืนชีพขึ้นมาอีก จะเดินธุดงค์ จะหาเงินอีก นี่ทำแล้ว อาตมาก็ขอเอาคำว่าธุดงค์มาพูด คำว่าธูตะ หรือธุตะ ภาษาบาลีแปลว่าสิ่งที่ทรงอยู่ ธ กับ ุ คือสิ่งที่ทรงอยู่แล้วก็เป็นแกน ตัว ต. นี้ มันเป็นแกนที่ตั้งมั่น static ของธุ
ธุ เป็นอาการที่ดำเนิน ส่งอยู่แล้วก็ดำเนินไป ต นี้ตั้งเลย ในวรรค ต ถ
ตัว ถ นี้กำลังจะหยุด ท คือไม่หยุดคือพลังงาน ก็จะเสริมพลังงาน
ถ้าคุณ ต แล้ว ถ ก็จบ หยุดสงบ แต่ถ้าคุณไม่หยุด คุณเพิ่มพลังงาน Coefficient ก็ ท คือแกล้วกล้า ได้อีกก็สั่งสมเป็น ธ ทรงเข้าไป ถ้าทรงเข้าไปอีก ก็ไปตามหลัก Coefficient ก็จะเพิ่มไป แต่ถ้าไม่ ก็ ฒ น ก็เสื่อมจบไป
ธุตะหรือธูตะ ถ้าเผื่อว่าคุณเองทำอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดคุณสมบัติที่มันมี แล้วมันก็ตั้งขึ้น
คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าการเดิน ไม่ได้แปลว่าการออกป่า องคะ มาสมาสกับคำว่าธุตะ ก็เป็นธุดงค์ หรือธูตะ แปลว่าองค์แห่งการกำจัดกิเลส ไม่ได้แปลว่าเดินหรือป่า แต่มันได้เพี้ยนไป เป็นการแบกกลดเต๊ะท่าเดินบนดอกไม้ ปรุงแต่งหลอกคนโง่ ก็เลยได้พรรคพวกรวบรวมคนโง่ไปด้วยกัน
ธุตะหรือธูตะ ของท่านประยุทธ์ ปยุตโต ก็อธิบายว่า คือ องค์คุณเครื่องกำจัดกิเลส ชื่อ ข้อปฏิบัติวัตรปฏิบัติที่ผู้สมัครใจปฏิบัติสมาทาน อุบายขัดเกลากิเลส ส่งเสริมความมักน้อยสันโดษเป็นต้น เช่นธุดงควัตร 13 ข้อ ของพระมหากัสสปะ
ธุดงควัตร 13
ธุดงควัตร คือข้อปฏิบัติที่เข้มงวดเป็นพิเศษ เพื่อความขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้ภิกษุถือปฏิบัติ ใครจะปฏิบัติหรือไม่ก็ได้ ผู้ที่จะปฏิบัติธุดงควัตรนั้น สามารถเลือกได้เองตามความสมัครใจ ว่าจะปฏิบัติข้อใดบ้าง เป็นเวลานานเท่าใด เมื่อจะถือปฏิบัติก็เพียงแต่กล่าวคำสมาทานธุดงควัตรข้อที่ตนเลือก แล้วก็เริ่มปฏิบัติได้เลย ธุดงควัตรมี 13 ข้อ
หมวดเกี่ยวกับจีวร
1. การทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร (ปังสุกูลิกังคะ) “เรางดคฤหบดีจีวร สมาทานการทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร”
2. การทรงเพียงจีวรสามผืนเป็นวัตร ( เตจีวริกังคะ)“ข้าพเจ้างดจีวรผืนที่ 4 สมาทานการทรงเพียงจีวรสามผืนเป็นวัตร”
หมวดเกี่ยวกับบิณฑบาตและการฉัน
3. การเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ( ปิณฑปาติกังคะ)“ข้าพเจ้างดอติเรกลาภ สมาทานการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
4. การเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเป็นวัตร (สปทานจาริกังคะ) “ข้าพเจ้างดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทานการเที่ยวบิณฑบาตไป ตามลำดับเป็นวัตร
5. การนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร. (เอกาสนิกังคะ) คือฉันวันละมื้อเดียว ลุกจากที่แล้วไม่ฉันอีก “ข้าพเจ้างดการฉัน ณ ต่างอาสนะ สมาทานการ…”
6. การฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร (ปัตตปิณฑิกังคะ) คือ ไม่ใช้ภาชนะใส่อาหารเกิน 1 อย่างคือบาตร “ข้าพเจ้างดภาชนะที่สอง สมาทานการ…”
7. การห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร (ขลุปัจฉาภัตติกังคะ) คือเมื่อได้ปลงใจกำหนดอาหารที่เป็นส่วนของตน ซึ่งเรียกว่าห้ามภัต ด้วยการลงมือฉันเป็นต้นแล้ว ไม่รับอาหารที่เขานำมาถวายอีก แม้จะเป็นของประณีต คำสมาทานว่า “อติริตฺตโภชนํ ปฏิกฺขิปามิ, ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้างดโภชนะอันเกิดภายหลังปลงใจ สมาทานการ…”
หมวดเกี่ยวกับเสนาสนะ
8. การอยู่ป่าเป็นวัตร (อรารัญญิกังคะ) อยู่ห่างบ้านคนอย่างน้อย500 ชั่วธนู คือ 25 เส้น คำสมาทานว่า “คามนฺตเสนาสนํ ปฏิกฺขิปามิ, อารญฺญิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้างดเสนาสนะชายบ้าน สมาทานการ…”
9. การอยู่โคนไม้เป็นวัตร (รุกขมูลิกังคะ) คำสมาทานว่า “ฉนฺนํ ปฏิกฺขิปามิ, รุกฺขมูลิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้างดที่มุงบัง สมาทานการ…”
10. การถืออยู่ที่แจ้งเป็นวัตร (อัพโภกาสิกังคะ) คำสมาทานว่า “ฉนฺนญฺจ รุกฺขมูลญฺจ ปฏิกฺขิปามิ, อพฺโภกาสิกงฺคํ มาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้างดที่มุงบังและโคนไม้ สมาทานการ…”
11. การถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร (โสสานิกังคะ) คำสมาทานว่า “อสุสานํ ปฏิกฺขิปามิ, โสสานิกงฺคํ สมาทิยามิ“แปลว่า “ข้าพเจ้างดที่มิใช่ป่าช้า สมาทานการ…”
12. การถืออยู่ในเสนาสนะแล้วแต่เขาจัดให้ (ยถาสันถติกังคะ) คำสมาทานว่า “เสนาสน-โลลุปฺปํ ปฏิกฺขิปามิ, ยถาสนฺถติกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่า “ข้าพเจ้างดความอยากเอาแต่ใจในเสนาสนะ สมาทานการ…”
หมวดเกี่ยวกับความเพียร
13. การถือยืน เดิน นั่ง เป็นวัตร (เนสัชชิกังคะ) คือเว้นนอน อยู่ด้วยเพียง 3 อิริยาบถ คำสมาทานว่า “เสยฺยํ ปฏิกฺขิปามิ, เนสชฺชิกงฺคํ สมาทิยามิ”แปลว่า “ข้าพเจ้างดการนอน
พ่อครูว่า... ท่านกัสสปะกับเมียท่านบำเพ็ญ อยู่ป่ามานานหลายล้านชาติ ก็เลยเป็นวาสนาของท่าน มีอยู่องค์เดียวในสมัยพระพุทธเจ้าสมณโคดม
คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลอย่างผิดเพี้ยน แปลว่าออกดงออกป่าหรือเดิน ยิ่งคำว่าเดินนี่ยิ่งไม่มีในคำแปลเลย แต่คนได้ติดยึดแล้ว เดินเท่ห์ เราแต่ก่อนก็เคยเดิน คนนิยมชมชื่น แต่เดี๋ยวนี้ก็พอดีๆ แต่ไม่เละเทะ เดินอย่างธรรมชาติ แต่ก่อนนี้เต๊ะท่าสวยเลย เวลาออกบิณฑบาต พวกเราก็นิยมแบบนั้นติดมาได้หลายคน แต่เดี๋ยวนี้เป็นธรรมชาติมากกว่า แต่ก่อนนี้เดินสำรวม มองแค่ชั่วแอก ที่จริงมันก็ดี ได้ฝึกตัวเองสำรวมระวัง ต้องเข้าใจความเหมาะสมในกาละเวลา
ก็ตอนนี้พูดตีกันว่า ผีดิบกำลังจะขึ้นมาจากธรรมกาย จะเอาคำว่าธุดงค์หรืออะไรที่จะมาหลอก ก็ต้องเข้าใจสาระให้ถูกต้อง มันไม่ใช่อย่างที่เขาหลอกล่อกันเลย ศึกษาให้ดี ผู้ที่หลงงมงายโง่เง่าก็แล้วไปเถอะ แต่คนที่พอรู้ทันหรือพวกธรรมกายตื่นรู้ว่าถูกหลอกมานี่ เขาร้อยจมูกเอาไว้หาเงินให้เขาอย่างเดียว แล้วเงินเขาเอาไปทำอะไร ก็เอาไปสร้างอะไรมาหลอกคนซ้อนไปอีก ไม่ได้สอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ขออภัยเป็นเหล่าเทวทัตเศษเหลือมาเลย ในอนาคต พวกนี้จะเป็นเทวทัต ไม่รู้ว่า ธัมมชโยหรือว่าทัตตชีโวใครจะได้เป็นเทวทัตก่อนกัน
ทัตชีโวนี้เป็นหัวคิด แต่ธัมมชโยเป็นตัวแสดง ทัตชีโวเป็นคนออกแบบ ตอนนี้ตัวโชว์ถูกหั่น ก็เลยจะสร้างชื่อตัวอื่นมาแทน แต่มันยังไม่มีบารมีเท่า ก็เลยสร้างยาก ก็เลยไม่ค่อยขึ้นตอนนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องดีของประเทศไทย ที่ดันไม่ขึ้น คนไทยรู้ทัน แต่มีคนงมงายตาบอดอยู่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ได้ข่าวว่าลดลงเรื่อยๆ
เป็นเจตนาดีที่บอกว่าอย่าไปก่อกรรมชั่ว อย่าไปร่วมมือกับเขาในการทำชั่ว ต้องคบคุ้นกับคนที่ดีอย่าไปคบคนชั่ว ถ้าคบกับคนชั่วก็มีแต่จมกับจม
ต้องดูคนในมวลใหญ่ของประเทศให้ดี ถ้าเผื่อว่า ความเฉลียวฉลาด แค่จะนับมวลประชาชนคนไทย อยู่กับธรรมกายมาก หรืออยู่กับหมู่อื่น อโศกอย่าไปเทียบเลย มันซับซ้อนหลายชั้น แต่เทียบกับสงฆ์ส่วนกลาง ดีไม่ดี มีเดรัจฉานวิชชาก็มีมากกว่าด้วย ทางธรรมกายไม่มี แต่เดรัจฉานวิชามีแต่หลอกล่อด้วยอบายมุขนะ หลอกด้วยลาภยศสรรเสริญสุข เขาไม่มีอบายแต่ตัวเขาเองเป็นอบายมากเลย
หลอกด้วยความรวยมาก คืออบาย มหัปปิจฉะ หรืออภิบรมมหัปปิจฉะ คือตัวอบายของเขา คนรู้ทันเลิกมาเถอะ ดีแล้วล่ะประเทศไทยจะได้พัฒนารุ่งเรืองไป ศาสนาก็จะได้ดี แล้วตัวผู้ไปร่วมจะได้ไม่บาปมาก
หากคุณไปร่วมกับสำนักธรรมกาย ปัจจุบันก็บาป อาตมาพูดด้วยความเมตตาหวังดี ไม่ได้ดูถูกหรือพูดผิด ขอยืนยันว่านี่เป็นความจริง พยายามเถอะ อย่าไปเที่ยวได้เต๊ะท่า เป็นผู้อยู่สูงตีนไม่ติดดิน สวยหรู ทุกอย่างยิ่งใหญ่ ผ้าแพรจีวรจากอิตาลี หน้าตาก็เมคอัพ ดูให้ละเอียดอย่าไปหลงงมงายกับสิ่งซับซ้อนที่คุณยังมีเชื้อโลกีย์อยู่ ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสลาภยศสรรเสริญ สุขบำเรอกิเลสตัวเอง ศึกษาดีๆ ถ้าหวังจะไปทางโลกุตระ แต่ถ้าไม่หวังจะไปทางโลกุตระก็ตัวใครตัวมัน อาตมาไม่ได้ส่งเสริมหรอก คุณจะเจริญในโลกียะอาตมาก็ช่วยคนอย่างนั้นไม่ได้ อาตมาช่วยได้แต่คนมาโลกุตระ
นี่คือสิ่งที่ฝากไว้สำหรับปีใหม่ อย่าให้ผีดิบคืนชีพขึ้นมาอีก ประเทศไทยจะไปดีแล้ว คือมันอย่างนี้
ยิ่งคนส่วนใหญ่ หมู่ใหญ่เจริญ ตัวเองเป็นหมู่เล็ก แต่ก็ทำกรรมวิบากหลอกล่อ บาปยิ่งราคาแพง ยิ่งบาปจมบาปหนักบาปใหญ่บาปโต เพราะฉะนั้นอย่าทำ
ตัวอย่างของคนดีในประเทศไทยมีมากแล้ว ธรรมกายไม่ได้เหลือมากเลย ยังเหลือคนโง่เง่าไม่มาก ขอยืนยันไม่ได้พยากรณ์ แอ็คไม่ขึ้น เบ่งอย่างไรก็ไม่ขึ้น เพราะว่ามวลประชาชนรู้ทันผู้บริหารก็รู้ทัน แม้แต่มหาเถรสมาคมที่เคยเป็นลูกกระจ๊อกของธรรมกายก็รู้ตัวกันขึ้นมาเยอะแล้ว เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่าไม่รอดไม่รอดไม่รอด อาการน่าเป็นห่วง
เมื่อเกิดปัญญารู้ตื่นก็เปลี่ยนทิศทางเสีย อย่าไปจมอย่างนั้น เพราะการเจริญสูงสุดนั้นมันจะไม่เจริญด้วยโลกียะ การเจริญสูงสุดก็ควรจะเจริญด้วยโลกุตระ เดี๋ยวนี้โลกุตระ กำลังโตขึ้นมาพอสมควรแล้วเดียงสาแล้ว เกิน 7 ปีแล้ว ตอนนี้ 9 ขวบแล้ว อีกไม่นานก็จะ 10 ขวบ 20 ขวบไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นก็เชิญ
มีกลุ่มคนโลกุตระ ขออภัย ชาวอโศกเป็นชาวโลกุตระเป็นกลุ่มก้อน ไม่ได้พูดยกตัวเบ่งข่มใคร แต่พูดตามสัจจะ เชิญ สงสัยก็มาตรวจสอบมาดูได้ เราก็พัฒนาเพื่อจะช่วยมนุษยชาติไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ต่างประเทศเขาก็กำลังตื่นตัวแล้วอย่างมงายนานนัก ก็ให้รู้ตัวรู้ตน
สมณะฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์ก็มีความกรุณา อันหาประมาณมิได้ ที่เป็นห่วงมนุษยชาติว่าจะถูกหลอก เพราะว่าคนอยากรวยหลงสวรรค์นั้นก็มี แต่ถ้ามาแบบคนจนจะมีความสุขสำราญเบิกบานใจ ยิ่งโศลกธรรมงานเพื่อฟ้าดินว่า สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ แม้แต่ค่ายเด็กที่จะมาก็เรียกว่าค่ายสร้างคนจนกัน คนจนอย่างไรก็เป็นอยู่ผาสุก
ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=JZK5DgOUp-g
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:05:08 )
รายละเอียด
601208_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ถอดรหัสศาสตร์พระราชา 9 ข้อ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 ที่ บวรราชธานีอโศก ปลายปีเราก็จะมีงานสอบว.บบบ.และงานเพื่อฟ้าดิน การสอบปีนี้เราจะไม่มีการแจกเข็ม ก็จะเป็นปีแห่งการเข้าหาแก่นแท้ แม้ไม่มีเข็มแจก ก็จะดูว่าพวกเราจะสังวรและปฏิบัติกันได้ดีเหมือนเดิมไหม ก็จะมีการสอบด้วย ตอนนี้ก็คงจะติดต่อ อ่านหนังสือได้แล้วตามพุทธสถานต่างๆ หนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไร มีสมณะอ่านจบแล้ว อาตมาก็ไม่มีเวลาอ่านสักเท่าไหร่ แต่คิดว่าอ่านง่าย ข้อสอบก็จะมีในหนังสือเล่มนี้ และก็มีในที่พ่อครูเทศนาในแต่ละวันด้วย ฉันเห็นด้วยความเข้าใจมากกว่าความจำในการสอบ ก็จะสอบในวันที่ 30 ธ.ค. 2560 เวลา 18.00 น. ปีนี้ไม่ต้องสมัครมาก่อน ใครที่มางานก็ลงทะเบียนเลย แล้วก็สอบกันเลย
พ่อครูว่า…เจริญธรรมพวกเราทุกคน ก่อนอื่นก็มาดูที่ sms
_เพื่อศีล อธิศีล แน่นอนตามพ่อสอน เนื้อก็บาปมหันต์ ไข่ นมเนยก็แย่งลูกเขากิน น้ำท่วมปีนี้ ผู้ที่หนีขึ้นตึก เปลือกไข่เต็มกระป๋องขยะทุกวัน ตัวเองละเมิดศีลคนเดียวไม่พอ พาเพื่อนชี้แนะชักชวนกันกินไข่เป็นแฟชั่น เดี๋ยวนี้เดินผ่านบ้านส่งกลิ่นไข่เจียวคาวฟุ้ง หมอมิชชั่น รพ.ใหญ่ๆชี้แนะ ยามป่วย กินข้าวกับผัก โรคหายไวไม่มีโรคแทรกซ้อน เพราะส่วนใหญ่เป็นผู้ทรงศีลจริงๆ ในบรรดาหมอ เพราะดิฉันเคยไปป่วย ไปพักรักษาตัวมาแล้วในอดีต
ศีลที่หลุด เพราะความอยากของกิเลสตน ยังไม่เอาศีลเป็นหลักประกันของชีวิต อนาคต ดิฉันก็มั่นใจว่า ถ้าเตลิดเรื่องไข่ เรื่องเนื้อหยองๆก็ค่อยมีแอบกิน เช่นอดีตของวัดที่ดิฉันเคยอยู่มามังสวิรัติจนหมดอายุเจ้าสำนัก ก็ใช่มาเป็น ถ้าอนาคตไม่มีพ่อท่านล่ะ ขนาดพ่อท่านเทศน์ปาวๆ ปากก็บอกว่ารักพ่อท่านแต่พฤติกรรมการปฏิบัติใช่หรือ
พ่อครูว่า..ก็มีรายงานมา คนที่เคร่งๆ เคร่งที่ตนผ่อนปรนผู้อื่นก็ดี เคร่งที่ตนทักท้วงผู้อื่นบ้างก็ดี เอาพอท้วมๆ
SMS วันที่ 6 ธันวาคม 2560
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน ธรรมในธรรม คืออย่างไร
_อำภา รื่นใจดี · ดีจังเลยวันนี้หน้าเฟซบุญนิยมทีวีกระจ่างใสไร้เงามา รบกวนอารมณ์ ลูกก็กลับเข้าเรียนธรรมะที่ยังไม่เข้าใจต่อ จะขอกราบนมัสการถามท่านพ่อครู ดังนี้ค่ะ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต สามอย่างนี้คิดว่าพอจะเข้าใจบ้าง แต่ธรรมในธรรม ยังไม่เข้าใจ ลักษณะธรรมในธรรมเป็นอย่างไร ถ้าตาไปผัสสะกับผลไม้ที่อยู่ตรงหน้าท่านพ่อครู ตรงส่วนไหนที่เป็นธรรมในธรรมคะ ขอท่านพ่อครูช่วยให้คำนิยามคำว่าธรรมะ ด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า...ก็ไม่ต้องลงรายละเอียดของ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต แต่ข้องใจ ธรรมในธรรม
ตาไปกระทบรูปนี้แล้ว สมมุติผลไม้ที่เห็นนี้เลยนะ สัมผัสแล้ว ตาเราก็เห็นรูป ก็เรียกว่า รูป รูปนี่ก็อยู่ในกายในกาย แล้วก็มีนาม จิตเราก็รับรู้ รูปก็ถูกรู้ จิตเราเกิดอะไรกันบ้าง จิตมันก็เป็นนามจะเกิดอะไรบ้าง ก็มีเรื่องรูปกับนามนี่แหละกระทบกันเป็นธรรมะ 2 ตลอด
พอเกิด มันถูกรู้ขึ้นมานามก็มี เวทนาสัญญาสังขาร รูปกระทบแล้วเกิดนามมา ต่อ
เวทนา ในขณะที่มันเห็นรูปก็คือการทรงอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่เราอ่านเวทนาของเราอ่านอาการเวทนาของเรา ในปัจจุบันนี้ก็คือธรรมะ ที่หมายความว่าสิ่งที่ทรงอยู่ทรงไว้มีอยู่ ธรรมนี่ มันจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก มันทรงอยู่ ถ้าทรงอยู่ต่อเนื่องก็เป็นธรรมที่ต่อเนื่อง มันทรงอันนั้น ให้เราสัมผัส ให้เราเกิดทุกข์เกิดสุข ให้เราเกิดกิเลส ได้ปฏิบัติจนไม่มีกิเลส ก็ทรงสภาพให้เรารู้ทั้งนั้น อะไรที่ทรงให้เรารู้สัมผัสแล้วก่อเกิดสิ่งนั้นให้เรารู้ รู้ที่สิ่งที่เป็นรูป ธาตุรู้คือนาม สิ่งที่ทรงอยู่ในสิ่งเกิดหลัดๆ เป็นรูปธรรมก็คือ รูป เป็นนามธรรมก็อ่านสิ่งที่มันทรงอยู่ เกิดเวทนาก็ดีสัญญาก็ดีสังขารก็ดี คือสิ่งที่มีจริงเกิดจริงเป็นจริงให้เราได้เห็นของจริง
อาตมาก็ได้คำสรุปคำหนึ่งว่า ความจริงนั้นคืออะไร?
ความจริงนั้นคือ สิ่งที่เกิดอยู่หลัดๆ มีผัสสะ ทั้ง 6 สัมผัส อยู่หลัดๆขณะนี้ ตาก็เห็นรูป หูกระทบเสียง สรุปคือทางทวารภายนอกก็มีอยู่ เป็นภายนอกและเราก็มีนามไปสัมผัสรู้อยู่เป็นภายใน เป็นธรรมะ 2
ธรรมะ 1 กับธรรมะ 2 สัมผัสกันแล้วเราก็มีธาตุรู้ รวมแล้วเป็นสามเส้า อย่างนี้เรียกว่าครบความจริง
มีแต่จิต แล้วก็มีแต่สัญญา ไม่มีภายนอกไม่มีรูปข้างนอกให้ถูกรู้เลย ไม่มีภาวะกาย วาจา และใจ ไม่มีสามเส้าไม่ครบ มีแต่สองเส้าไม่ครบ ความเป็นจริง
ความเป็นจริงต้อง สามเส้าเสมอ จึงเป็นความจริงที่นับว่าเป็น สมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ สัจจะคือความจริง ที่มีทั้ง สมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ต้องมีทั้งภายนอกและภายในจึงได้ชื่อว่าความจริงที่บริบูรณ์
ถ้าสัญญาย นิจจานิ จะกำหนดรู้คนเดียว ไม่มีคนที่ 2 3 4 5 รู้ด้วยเลยก็ไม่ครบความเป็นสัจจะ ไม่นับเป็นสัจจะที่อยู่ในโลกกับใคร ไม่นับ ของคุณคนเดียวสัญญาย นิจจานิ พระพุทธเจ้าไม่นับเป็นสัจจะ ถ้าสัจจะต้องมี 2 อย่างครบ สมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะ ทั้งภายนอกและภายในจึงจะครบเป็นสัจจะ
ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไปนับเอาคนเดียว ไม่ถือเป็นสัจจะ เป็นสัญญา สัญญาไม่เที่ยง สัจจะเที่ยง หากสัจจะไม่เที่ยงก็ล้มเหลว สัจจะมีหนึ่งเดียว ถ้าไม่ครบ สามเส้า ไม่ใช่สัจจะ อย่างน้อยต้องมีคนอื่นร่วมรู้กับเรา เราคนเดียวไม่ถือเป็นสัจจะในโลก เป็นสัจจะในตนคนเดียว สัญญาย นิจจานิ เป็นอัตตา ไม่ใช่โลก
เพราะฉะนั้นอัตตาของเราก็มีแล้ว สัญญายนิจจานิก็ร่วมกับโลก ก็ต้องมี 2 โลกต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ต้องมีโลกและอัตตา เราไม่ได้ติดยึดทั้งความเป็นโลกและความเป็นตน เพียงอาศัยโลก เพียงอาศัยอัตตา ทำงานในโลก จนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเท่านั้นเอง
สรุปคือ ธรรมะคือสิ่งที่ทรงอยู่ ถ้ามันอยู่ในปัจจุบันแป๊บเดียว .000001 วินาทีก็อยู่แค่นั้น ถ้ามันมีผัสสะอยู่แล้วมันก็มีอยู่ทรงอยู่ มันอยู่ 1 นาทีอยู่ 1 ชั่วโมงต่อเนื่องกันไปสัมผัสต่อเนื่องกันไป ไม่ขาดสันตติ นั่นคือทรงอยู่ ทรงอยู่คือไม่ขาดสันตติ สันตติขาดแล้ววางแล้วไม่มีธรรมะ เอาตรงนี้เป็นเครื่องตัดสิน
สิ่งที่ไม่มี สัมผัส ตัดสัมผัส ตัดสันตติ มีธาตุเดียวไม่มีธาตุสอง ถือว่าอันนั้นไม่ใช่ความจริง ความจริงต้องมี 2 ทีนี้ มันจะยากที่เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมี 1 เดียวแล้วทำไมความจริงต้องมี 2 งงสิ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ความจริงมีหนึ่งเดียว แม้มีสอง เช่น คุณเห็นอันนี้เป็นอันนี้ คุณก็ต้องเห็นตรงกันกับเราว่าอันนี้คืออันนี้ เราสัมผัสอันนี้ สมมุติว่า สัมผัสรส แตะลิ้น คนนี้แตะแล้วรสเป็นอย่างนั้น คุณก็ต้องบอกได้ตรงกันกับรส เพราะลิ้นของใคร หากประสาทสัมผัสไม่เสียก็จะสัมผัสรสตรงกัน
เปรี้ยว เค็ม ก็ต้องบอกตรงกันได้ เป็นหนึ่งเดียวกัน กี่คนก็ตรงกัน 3 คน 4 คนก็ตรงกัน สัจจะที่เป็นสัจจะแท้ของสภาวะมีหนึ่งเดียว ตรงกันหมด อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือความซับซ้อนลึกซึ้งของสภาวะกับบัญญัติ
ตอนนี้อาตมากำลังอธิบายสภาวะกับบัญญัติภาษาที่เอามาเรียก ละเอียดมากจึงต้องเรียนให้ดีๆเข้าขั้นลึกซึ้งแล้ว ลึกจนกระทั่ง
คล้ายๆกับเขียนคำที่ศึกษาไปแล้วก็สรุปมา ตามที่อาตมาใช้ภาษาสื่อให้ฟัง คนนี้ก็เลยเขียนภาษาแบบนี้ให้อาตมาตรวจสอบ
_สมณะถักบุญ ขออนุญาตแทนค่า
ถ้าจะชื่อว่าเป็นอรหันต์ แม้ว่ามีกายสักขี มีรูปนามยืนยันเห็นได้ แต่ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายท่านก็ไม่ถือว่าเป็นอรหันต์ หรือว่ายังไม่สมบูรณ์เป็นบุคคลในระดับที่ 5 ในบุคคลระดับที่ 6 ปัญญาวิมุตินี้ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายแล้วทั้งนั้น ส่วนอุภโตภาควิมุตินั้นก็แน่นอนได้แล้ว
แทนค่าแล้วจะมีตัวเลข เป็นเหมือนพลังงานที่มีพลังงานเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ใช่เรื่องตลกนะเป็นเรื่องจริง
วงที่สามก้าวหน้า 104758 เท่า
เป็นสัจธรรมทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกว่านี้ก็จะมา แล้วก็จะรู้ว่าอันนี้คืออะไร แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ต้องมาคลุกวงในถึงรู้ ทางโน้นค่อยทำความเข้าใจเข้ามา แต่ถ้าไม่ถึงตรงนี้ก็รู้ไม่ได้เหมือนกัน จนกว่าจะ contact กันได้
ต่อมา
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน หทยรูปอยู่ไหน
_ขอความกรุณาพ่อครู ตรวจสอบ ความเข้าใจดังนี้
ภพ คือ ที่อยู่ของกิเลส หรือ หทยรูป
ชาติ คือ การเกิด-ดับของกิเลส
ภพชาติ จึงคือ การวนเกิด-ดับ ของกิเลส ในจิตของเรา จากความจำบ้าง จากสังขารบ้าง วนอย่างไม่มีที่จบสิ้น เพราะเราไม่มีบุญ หรือปัญญา ของพุทธ ที่แท้จริง
นมัสการขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า....เข้าท่า คนจะเข้าใจภพว่าคือที่อยู่ของกิเลสแล้วเรียกหทยรูปนี้ไม่ใช่ธรรมดา มันไม่มีที่อยู่ที่เกิดแต่ตรงที่คุณจับสภาพสภาวะมันได้ปัจจุบันนั้น นั่นแหละ but now ต้องตรงนั้นขณะนั้น นั่น สิ่งที่ถูกรู้อันนั้นเรียกว่า หทยรูป แล้วคุณก็จับตัวรู้นี้แหละ เป็นจิตเจตสิกที่คุณต้องวิจัยอันนี้ไป มันจะเป็นอาการ เป็นกิริยา คุณก็ต้องอ่านต้องศึกษากัน เป็นความรู้สึก หรือแม้ที่สุดไปเรียกว่าจิตก็ดี ต้องแยก 89 ดวง121 ดวง ก็ต้องเรียกอาการด้วยพยัญชนะบัญญัติมันเรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ต้องเข้าใจทั้งสภาวะและจัดการกับมันได้ จนเป็นผลสำเร็จ เราก็จะสามารถใช้ประโยชน์ในตัวเราได้อย่างแท้จริง แม้ที่สุด จะมาพยายามให้ตัวเองอายุยืนเหมือนอาตมากำลังทำอยู่นี่ ได้ หรือว่าทำให้จิตใจเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ทำสบายๆ สบายมากปกติหายห่วงอยู่แล้ว แต่จะทำให้อายุเรายืนไปอีกนี่ มีอนายูหัง อาตมาก็ต้องพยายามอยู่
อาตมาฝืนมา อย่างที่อาตมาว่า เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร อายุขัย ของอาตมา 72 ปี ตอนนี้ฝืนมาได้ 1 นักษัตร ก็พยายามใช้ Coefficient สัมประสิทธิ์ อิทธิบาท เพื่อทำให้เกิดผล เดี๋ยวต่อไปจาก 84 ไปอีก 1 นักษัตร ก็จะเป็น 96 ปี คงจะมีคนฉลองให้นะ
96 แล้วก็ 108 อีก สามเส้าเลยนะ สามนักษัตรเข้าไปอีก สามนักษัตรคือ 36 อาตมายังตั้งใจว่าจะต้องไปได้อีก 36 เป็น 144 แล้วก็ขอต่อดูบารมีตัวเองอีกสัก 7 ปี ก็เป็น 151 ปี
อาตมาไม่ได้เป็นคนตั้งตัวเลข 151 เองเลยมันมาตามธรรม มันมาตามเหตุปัจจัย พวกเราก็คงรู้อยู่ จะพิสูจน์ได้ไม่ได้ไม่มีปัญหาอะไร เรานักพิสูจน์ พิสูจน์เรื่องนี้ดี ดีกว่าเราจะไปพิสูจน์ว่าจะหาเงินให้ได้สักแสนล้าน พิสูจน์ความรู้ความสามารถเราจะต้องไป ล่าลาภยศ เลิกไม่เอา เบื่อ ผ่านมาไม่รู้กี่ชาติแล้วไม่เอา
มาอ่าน กวีของ อ.เป็นต้น นาประโคน
สิ้นวสันต์เหมันต์มา
•สิ้นวสันต์หยุดฟ้า หย่าฝน
ถึงรอบเหมันต์ดล อีกครั้ง
ธรรมชาติต่างเวียนวน โลกเปลี่ยน แปลงเฮย
ใครรึจะมารั้ง มิให้โลกหมุน
•บุบเพย้อนอดีตโพ้น อยู่ไพร
หนาวเหน็บเจ็บภายใน ร่างน้อย
มีผ้าห่มเพียงสไบ ผืนนิด หน่อยเฮย
หยาดหยดน้ำค้างย้อย อยู่เหย้า หนาวเย็น
•นอนเสื่อน้อยอยู่รอบ กองไฟ
เพลิงลุกแทนห่มสไบ อุ่นแท้
สยบเสียงหริ่งเรไร รายรอบ ไพรฤา
ม่อยหลับตลอดคืนแล้ ตื่นแล้วรับอรุณ
•น้ำค้างบนยอดหญ้า พร่างพราย
รอรับแสงอรุณฉาย อุ่นหล้า
ฝูงวิหคกรีดกราย บินโฉบ เฉี่ยวเฮย
หมดหยาดจากฟ้า ฝุ่นฟุ้งกระจาย
•รัฐบอกราษฎร์ให้ หายจน
ล้านชาติรวยสักหน แน่แล้ว
คนมั่งคั่งทุกคน เกินคิด คาดเฮย
ทรายจะเป็นเพ็ชรแพร้ว เพริดพริ้งเจียรนัย
•อีกเสียงหนึ่งบอกให้ มาจน
ทวนกระแสปวงชน แน่ไซร้
คนเสียสละช่วยคน เอาแต่ พอเพียง
พุทธจะต้องเป็นได้ ดั่งนี้แลพุทธ
•เกิดมาชาติหนึ่งนั้น เป็นมนุษย์
ทำแต่ดีที่สุด แน่แท้
ให้กับเป็นพุทธ ในโลก นี้แล
พุทธกลุ่มน้อยช่วยแก้ ก่อแก้ศาสนา
เป็นต้น นาประโคน
8 ธันวาคม 2560 07:07 นาฬิกา
สื่อธรรมะพ่อครู(ศิลปะโลกุตระ) ตอน ศิลปะต้องมีสองส่วน
พ่อครูว่า...ผู้ที่ติดในรสอร่อยอยู่ก็ใช้ภาษาฟรุ้งฟริ้งเยอะ ผู้ที่เข้าหาเนื้อหาสาระแล้วก็จะลดความอร่อยในรสลง ในศิลปะมีสุนทรียศิลป์และสารศิลป์ ต้องมีสิ่งชวนเชิญ ให้เข้าหาเนื้อหาสาระ แต่อย่าให้สุนทรีย์ไปกลบสาระ ถ้ามีแต่สาระอย่างเดียวเรียกว่าสารคดี มันก็แข็งโป๊กเลย ก็สำหรับผู้ที่สนใจในสาระจริงๆ ไม่ต้องใช้ศิลป์เลยก็ได้ คนที่เต็มใจสนใจ แต่ส่วนใหญ่มีกิเลสอยู่ก็ต้องอาศัยกระสัยสุนทรีย์ผสมไปบ้าง แต่ถ้ามากนักก็ไม่ดี มากจนกระทั่ง คนไม่เข้าถึงสาระ แอบเอาแต่ของอร่อย คนก็จะติดแต่ของประโลมส่วนใหญ่ ไม่เข้าถึงแก่นถึงเนื้อศิลปะทุกวันนี้เลยเป็นของปลอม เต็มไปด้วยเทคนิคสีสันรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นสุนทรีย์หมด หมดสาระ จนอาตมาเคยท้วง ที่เขาตัดสินภาพให้ได้เหรียญทอง แล้วคนก็ไปสัมภาษณ์เจ้าของภาพว่าอาจารย์ภาพนี้นี่ Interest point หรือสาระ ของภาพนี้คืออะไรเขาก็ตอบว่าไม่รู้หรอก อาตมาก็ว่านี่หรือเหรียญทอง จำว่าเป็นภาพเสื้อหรืออะไรนี่ คนอยู่ในวงการก็คงพอนึกออกว่าเป็นของใคร อาตมาก็ว่านี่ละเนอะ
คนเขียนศิลปะไม่รู้เรื่องเลย โมเมไป เข้าตากรรมการ กรรมการรู้เนื้อหาสาระแต่ว่าคนเขียนนั้นไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้จักศิลปะเอาลิงมาเหยียบย่ำมาขีดมาเขียนไปเอาช้างมาเขียน เอารถจักรยานชุบสีแล้วก็วิ่งไปบนแผ่นกระดาษ แผ่นพื้นผ้า แล้วก็กลายเป็น Abstract art
วิจารณ์เขามากเดี๋ยวหัวแตกเพราะว่าศิลปินส่วนมากนั้นมีอัตตาเยอะ ก็ไม่อยากจะไปแตะอะไรเขาหรอก วิจารณ์บ้างในฐานะที่เรารู้เรื่องศิลปะพอสมควร ก็เดี๋ยวแสดงออกบ้าง นี้มันน่าสงสารจริงจริงๆศิลปะกลายเป็นเรื่องมอมเมา ขี้หมูขี้หมาก็ได้ราคาเป็นร้อยล้านพันล้าน ในต่างประเทศ ถูกหลอกกันน่าดู
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ไขรหัสศาสตร์พระราชา 9 ข้อ
มาเข้าเรื่องคนจน
ก็เอา ของในหลวงมาเป็นหลักก่อน เพราะว่าในหลวงท่านทรง คนจะรู้จัก ของในหลวงก่อน แต่เขาก็ไม่ชัดเจนกัน อาตมาก็ค่อยเอามาย้ำ ก็ค่อยๆลึกซึ้งกันมาด้วยเรื่อยๆ
ธาตุรู้ของคนเดี๋ยวนี้ค่อยรู้กระแสโลกุตรธรรม โลกีย์คนต้องเอา มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมากมาย ยกย่องเชิดชูกัน พวกที่รู้ไม่ทันก็หลงไปกับสิ่งที่โลกธรรม มีลาภ เงินทองข้าวของ ทรัพย์ศฤงคารเยอะก็หลงตัวหลงตนจนกลายเป็นพฤติกรรมด้วยอำนาจของคนเป็นทาส ลาภยศสรรเสริญ ก็เอาอำนาจพวกนี้ไปเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงเป็นกรรมวิบาก เขาไม่รู้ความซ้อนพวกนี้ที่เป็นสัจธรรม เขาก็นึกว่าเขาได้เปรียบ ได้อำนาจ ได้ยศศักดิ์เสพส่วนตัวบำเรอความต้องการของตัณหาของตัวเอง
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของเรา ทรง อาตมาก็มั่นใจว่า อาตมาเป็นผู้ที่พูดเองว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมามั่นใจว่า อาตมาเป็นผู้กล่าวคนแรก เพราะอะไร เพราะคนไทยไม่ประสีประสาเรื่องพระโพธิสัตว์ ใครคือพระโพธิสัตว์ เป็นแต่เข้าใจหลวมๆว่า คือคนที่มีบารมีพระโพธิสัตว์เป็นผู้ที่ช่วยคน ก็แน่นอนในหลวงเป็นผู้ที่ช่วยคน ก็เหมาเลยว่านี่แหละผู้ที่ช่วยคนนั่นแหละคือพระโพธิสัตว์
คนหลายคนก็บอกว่าช่วยคน อย่างธัมมชโยก็บอกว่าเขาก็ช่วยคน นั่นก็สัตว์แท้ๆ ไม่ใช่โพธิสัตว์ คือสัตว์มันมีหลายอย่าง ต้องศึกษา อย่างน้อย พระพุทธเจ้าก็ให้ศึกษาสัตตาวาส 9 แล้วมันเลิกความเป็นสัตว์ทั้ง 9 ชนิด เป็นพรหมสัตว์ ก็มี สัตว์ก็หมายถึงทุกอย่างที่เป็นสัตวโลก เป็นแต่เพียงใครจะเข้าใจบัญญัตินั้นอย่างถูกต้อง ก็เอาบัญญัติมาให้รู้สภาวะ
ในหลวงท่านตรัส อาตมาก็ขออภัยในหลวงท่านเป็นสายเจโต ท่านไม่ค่อยตรัสมากเพราะว่าท่านเอง สาธยายสิ่งแทนพวกนี้ ท่านอยู่กับสภาวะเนื้อแท้สาระที่ท่านมีมากพอ ท่านก็ไม่ขยายความด้วย จนอาตมาว่าในหลวงปางนี้ บําเพ็ญเป็นปางเตมีย์ใบ้ ใบ้ยุคนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่พูดเลย ในหลวงก็ตรัสน้อย ท่านก็ตรัสตามที่ท่านเห็นควรที่จะตรัสเพราะว่าท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะพูดเยอะมากไม่ได้ เป็นเหตุปัจจัยองค์ประกอบของแต่ละคน ท่านตรัสน้อยแต่แก่นๆทั้งนั้น
อาตมาก็ขอสรุป ศาสตร์พระราชา ว่าเป็นความเจริญทางเศรษฐกิจ
1. ไม่เป็นหนี้
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
แต่ในหลวงท่านจะตรัสว่าอย่าเป็นหนี้อย่างโพธิรักษ์ไม่ได้ เพราะคนจนคนรวยคนเกเรคนดีก็เป็นลูกของท่าน คนประเสริฐก็เป็นลูกของท่าน ท่านจึงลำบากมากที่จะตรัส ท่านก็ต้องบำเพ็ญ
3. ทำให้เหลือกินเหลือใช้
4. เมื่อเหลือกินเหลือใช้ก็สะพัดเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
เผื่อแผ่แบบ ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
ขาดทุนตามวิธีคิดของทุนนิยมนี่แหละ ทุนนิยมเขาคิดค่าแรงงานของคน คนที่ประกอบผลผลิตนั้นๆ หรือคนที่จัดการค่าแรงงาน เขาก็ต้องมีค่าแรงงานค่าจัดการ ก็ต้องลดค่าแรงงานค่าจัดการของเราเท่าที่เรามีค่าของเรา ลดเท่าที่คุณอยู่ได้ แต่ขาดทุนแน่ เอาค่าแรงงานเราสละให้คนอื่น
ยิ่งมีความซับซ้อน อย่างอาตมาให้หมดเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่คิดค่าแรงงานตัวเองเลย แต่พวกคุณมาหนุนให้ ปรปฏิพัทธา เมชีวิกา พวกคุณมาเลี้ยงดูไว้ให้ จะใช้อะไรเปรยปรายหรือไม่ทันอ้าปากก็หาไว้ให้แล้ว พอเพียง
ขอให้คุณทำจนกระทั่งมีบารมี คนเห็นได้รู้ได้ คนที่จริงใจ คนมีภูมิปัญญา เขาไม่ทิ้งคนประเสริฐคนดีคนที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น และเป็นประโยชน์อย่างดีงาม เขาจะไม่ทิ้งไว้หรอก และมันมีเหตุปัจจัยเรื่องอจินไตยเรื่องธรรม ธัมโมหเวรักคติธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมะไม่ปล่อยให้ผู้มีธรรมะตาย ธรรมะจะเลี้ยงผู้ประพฤติ ธรรมจะรักษาผู้ประพฤติธรรม
1.ไม่เป็นหนี้
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. ให้เหลือกินเหลือใช้
4.เมื่อเหลือแล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
5. สะพัดออกโดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
6.ไม่ต้องอยากรวยเลย
7. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
8. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคีเป็นดีสุด
นี้คือศาสตร์ของพระพุทธเจ้าที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์รู้จริงและนำพาปฏิบัติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ดำเนินพระจริยวัตร อย่างนี้ อาตมาไม่ได้โมเมนะ
ในศาสตร์พระราชานี้ ถอดรูทออกมาได้อย่างนี้เลย 7- 8 ข้อนี้ ทวนอีกที หลายคนอาจไม่ทันโน้ตไว้
ถอดรหัสศาสตร์พระราชา 9 ข้อ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
1.ไม่เป็นหนี้(โดยเฉพาะหนี้ที่เสียดอกเบี้ย)
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. ให้เหลือกินเหลือใช้
4. เมื่อเหลือแล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น แบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
5. สะพัดออกโดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
6. ไม่ต้องอยากรวยเลย
7. เรียนรู้จิตอย่า สาเปกโข คืออย่าตั้งจิตให้แล้วอยากได้อะไรตอบแทน
8. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
9. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคีเป็นดีสุด
การบริหารทุกวันนี้อาตมาโยนให้พวกเราทำกัน ใครต่อใครก็ช่วยกัน อาตมาไม่ได้หนักเรื่องนี้แต่หนักเรื่องที่อธิบาย
ตอนนี้สื่อสาร ก็มีฆราวาสเป็นหลักหลายคน มีผู้อำนวยการหนึ่งพุทธ ใครต่อใครหลายคนช่วยกันที่สันติฯ มีดินนา มีหนึ่งพุทธ เก็บขยะอยู่ที่นั่น ใครไม่รู้หรอกว่าเป็นผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ใครก็ไม่นึกว่านี่คือผู้อำนวยการ หนึ่งพุทธ วิมุตินันท์
อยู่บ้านราชฯก็มี แต่สมณะมีน้อยที่มาช่วย ท่านหินมั่น ท่านใต้ดาว นอกนั้นก็มีฆราวาส ได้แรงงานเด็กเสียส่วนใหญ่ที่จบแล้วก็มาช่วย ที่บ้านราชฯก็มีอี๊ดเจมส์เป็นตัวหลักอยู่ เป็น floor manager วันนี้ดีนะมีช่างกล้องถึงสามคน หายไปไหนเมื่อกี้อยู่ครบ วันนี้เกินสาม นายชาติเมืองพุทธ ในศิลป์ เติมไพร เจริญ นายม่อนไปช่วยที่สันติฯ พวกเราก็แม้แต่มาช่วยตั้งวางเก้าอี้ จัดเวที เสร็จแล้วก็เก็บกัน คือพวกเรานี่มันอย่างนี้ flexible เคลื่อนไหวเร็ว
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ปทปรมะคือคนเช่นไร
พวกเราชาวอโศกนี้ขอรื้อฟื้น ไปที่ไหนไหนเรื่องเก็บขยะ เสร็จจากงานที่นั้นเหมือนเดิมหรือสะอาดกว่าเดิม ทั้งที่คนอยู่เป็นพันเป็นหมื่น เลิกงานภายในไม่กี่นาที ใครผ่านมาก็บอกว่าที่นี่เมื่อกี้นี้เขาชุมนุมกันอยู่เหรอ ไปแล้วที่นั่นสะอาดกว่าเก่าหรือเท่าเก่า วัฒนธรรมนี้ขอย้ำว่าพวกเราอย่าทิ้งนะ มันดูต่ำต้อย เก็บกวาดขยะ ขัดส้วมเป็นต้น มันเป็นเรื่องที่คนหลงหอคอยงาช้าง คนหลงวิมานลอยฟ้า แต่ กลายเป็นวัวลืมตีน เป็นคนที่ทิ้งสิ่งที่ตนเองต้องอยู่เป็นปัจจัย ต้องอาศัย ลืมไปหมดว่าเรามาจากดิน เรามาจากพื้น เรามาจากขี้โคลน เรามาจากน้ำ น้ำเน่าด้วยซ้ำ
สัตว์เดรัจฉานมันทำอย่างไม่มีวัฒนธรรมไม่มีความรู้ คนมาเป็นจิตนิยามในระดับอเวไนยสัตว์สอนไม่ได้ เป็นบัวใต้ตม เป็นบัวที่ห้า ปทปรมะ บัวปทปรมะ ขยายความ ซับซ้อนหมุนกลับ
ไม่ได้หมายถึงคนโง่เซ่อพิการอะไร แต่ว่าปทปรมะคือคนฉลาด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ปทปรมบุคคลคือคนที่รู้พุทธพจน์ก็มากทรงจำไว้ก็มากสอนคนก็มาก แต่ตนเองไม่บรรลุธรรมเลยในชาตินั้นๆ ฉลาด รู้มาก ฟังมาก เก่งและเรียนเยอะด้วย แต่เพราะเล่ห์เหลี่ยมเยอะฉลาดมากมันเป็นโลกีย์ มันเลยซับซ้อนหลอกคนอื่นเอาทางได้เปรียบทุกอย่าง อย่างที่มันเป็นอยู่ในโลก พวกที่ร่ำรวยมีมากมายไม่กล้าจน พวกอยู่ในข่ายนี้ทั้งนั้นเลย
ข่ายพวกเอาเปรียบสะสมกอบโกย ทั้งวัสดุ เสพรส โลกีย์ รสตั้งแต่ลาภมาก ยศมาก สรรเสริญมาก รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ ทั้งรสของการบำเรออัตตา
บำเรออัตตานี้รู้ยากกว่าการบำเรอ กามคุณ 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรพระพุทธเจ้าแยก กามกับอัตตาเป็นสองข้างสองฟาก
ทุกอย่างธรรมะทั้งหลายก็คือ กามกับอัตตา ถ้าเข้าใจแล้วก็คือธรรมะสองอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ต้องรู้ว่ากามคือภายนอก อัตตาคือภายใน เรียกหยาบๆว่ากามคือรูป ภายในก็คือนาม รูปกับนามแล้วก็ขยายรูปนามออกมา
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน หัวใจของศีลข้อที่ 1
อาตมาก็ขอเข้าสู่ที่ตั้งใจจะอธิบาย เข้าหาวิชาการของธรรมะคือไตรสิกขา
ศีล สมาธิ ปัญญา
พูดไปอธิบายแล้วๆเล่าๆก็ไม่ไปถึงไหนสักที ศีล สมาธิ ปัญญา การศึกษาของศาสนาพุทธทิ้งไม่ได้ ทิ้งศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะไม่ได้ 5 คำละเอียดนี้
ถ้าจะพูด ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นเรื่องเบื้องต้น ครบก็ต้องเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ
ทำไมต้องเริ่มต้นด้วยศีล ศีลเป็นเบื้องต้นเป็นเบื้องแรก เหมือนของต่ำ ต้องมีหลัก มีศีล หากคนไม่มีศีล ไม่มีหลักอะไรจะจับได้เลยว่าคุณเป็นคนหรือเปล่าเป็นมนุสโสหรือเปล่า?
มนุสโส คือผู้ที่มีจิตสูง จิตสูงจะวัดได้ เอาศีลข้อ1 มาวัด ศีลข้อ1 คือความเป็นสัตว์ ความเป็น ชีวะ ชีวะในระดับจิตนิยามคือสัตว์
ชีวะในระดับไม่เป็นจิตนิยามคือพืช ผู้ที่สามารถเรียนรู้เข้าใจถึงนิยามชีวิตทั้ง 5 ไปถึง กรรมนิยาม กรรมคือพระเจ้า คือ God เป็นอำนาจใหญ่ คนที่จัดการกรรม ทำกรรมได้ จนกระทั่งสามารถที่จะสังขารกรรมนี้ ตกแต่งกรรมให้เป็นโลกุตรธรรมได้ นั่นแหละคือ ขีดของอาริยบุคคล
มาเข้าสู่หลักวิชชา ขีดของบุคคล ศีลข้อ 1 คุณจะต้องสำคัญที่ความเป็นสัตว์ พืชพรรณธัญญาหาร ดินน้ำไฟลม มันต้องสู้ ต้องระวัง ความเป็นสัตว์ สำคัญกว่า เพราะดินน้ำไฟลมมันไม่มีทุกข์ร้อนอะไร ตัวมันเองก็ไม่เป็นตัวมัน ปล่อยมันไปเถอะ มันจะไปเป็นเบี้ยล่าง ไปตามลมเพลมพัดอำนาจอื่นๆบังคับมันหมด
ส่วนมาเป็นพีชะมันมีตัวของมันเพิ่มขึ้นมีเชื้อของมัน แต่ไม่มีพยาบาทไม่มีรักไม่มีชัง มีแต่ตัวของมันเอง ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณไม่มีความรู้สึก ไม่มีความรู้เกินกว่าที่มันรู้ของมัน คือสามเส้าเป็นประธาน แล้วเอาพลังงานบวกลบเข้ามาทำการดูดให้เกิดพลังงานไฟแม่เหล็กรวมตัวกับปล่อยกระจายออก เอาออกสิ่งที่เป็นขยะ ในตัวมันเองไม่ไปเบียดเบียนใคร อย่างเหล็กมันก็ทิ้งสนิม เป็นต้น
พลังงานที่เราจะต้องคำนึง ก็ต้องสัตว์ขึ้นไป ฟังดีๆนะ อาตมาถึงบอกว่า เริ่มต้นตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว ต้องหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เห็นไหมว่าต้องคำนึงขนาดไหน จริงๆแล้วสัตว์เซลล์เดียว ราคามันสู้วัตถุไม่ได้ตั้งเยอะ สัตว์เซลล์เดียวไร้ค่าไร้ราคาไม่มีประโยชน์อะไรมากมาย ดีไม่ดีจะเป็นโทษด้วยซ้ำไปแบคทีเรีย ไวรัส เป็นต้น มันเป็นโทษด้วยซ้ำไปสำหรับสัตว์ แต่มันก็มีประโยชน์ตรงทำพลังงานของมัน
สรุปแล้ว ความเป็นสัตว์สำคัญ ที่คุณจะต้องคำนึงถึงในศีลข้อที่ 1 คนที่จะนับว่าเป็นคนเป็นมนุสโส เป็นผู้ที่มีจิตสูงคุณจะต้องไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง แม้แต่สัตว์น้อยเซลล์
ศีลข้อที่ 2 นี้เป็นเรื่องของข้าวของไม่ใช่เรื่องของสัตว์ สัตว์มันก็มีตัวมันเองเป็นเจ้าของตัวมันเอง มันก็อยากอยู่ต่อ มันไม่อยากให้ใครมาทำร้ายมันเอง ใครมาทำร้ายมันมันก็พยาบาท ใครไปทำมันบาดเจ็บมันตายมันก็จำ ใส่สัญญาของมัน สัตว์มันมีสัญญาแล้ว พืชก็มีสัญญา พืชมีสัญญากับสังขาร จำธาตุนี้มาใส่ตัวเอง เช่นฟัก ก็รู้ว่าเอาธาตุที่มันจำได้มาสังเคราะห์ตัวมันเองไม่ไปแย่งชิงกับใคร ดึงดูดเอามาได้ก็เอามาสร้างตัวเอง เอามาได้ไม่พอน้อยไปตัวมันเองก็ตาย นี่คือธรรมชาติของพืช
ความรู้เหล่านี้ ไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้ แต่อาตมาก็ได้มาจากความรู้ที่สั่งสมมาหลายๆชาติ ก็นำมาให้พวกคุณรู้
สรุปเข้าเป้า ความเป็นสัตว์จึงสำคัญกว่าของ สำคัญกว่าอุตุ แล้วสัตว์ก็ต้องสำคัญกว่าพืช ต้องรู้ลำดับ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ขั้นที่ 1 2 3 ความเป็นลำดับนี้จึงสุดยอด เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ทำให้ได้ลำดับส่วนสัด
เริ่มนับอาริยบุคคล นับตรงไหน นับตรงศีล พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนจะชมเราต้องชมเราว่าเรามีศีลแต่อย่างต่ำนัก
จะชมมนุษย์ชมใครก็แล้วแต่ ต้องชมว่าคนนี้มีศีล
หนึ่ง ไม่ทำลายสัตว์ใดเลย แต่ต่ำกว่าสัตว์เป็นพืชก็เอามาสังเคราะห์ตัวเอง แต่สัตว์ที่เป็นปวัตตมังสะก็กินได้ แต่สัตว์ที่ไม่ใช่ปวัตตมังสะ ก็ไม่กิน แม้ทุกวันนี้ ปวัตตมังสะมาอาตมาก็ไม่กิน มันมีอย่างอื่นให้กินตั้งเยอะ ใครที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ยังฆ่าสัตว์อยู่ จะสะดุ้งไหม อย่างที่พวกเราเขียนไล่เรียงมา ยังกินไข่อยู่เป็นต้น แต่ก็อย่าซีเรียส
สมณะเดินดินว่า...มีบางคนที่เจ็บป่วยอยู่หมอก็ต้องให้กินไข่อยู่
พ่อครูว่า...ในพระวินัย ก็มีที่ต้องกินเลือดด้วยเพื่อรักษา กินก็เป็นวิบากเขา รับไปแต่เขาต้องการมีชีวิตอยู่ต่อ และเขาก็สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ทำประโยชน์ต่อไปได้ เราก็ต้องคบหากัน ส่วนคนที่ไม่ต้องคบหากัน เขาจะกินหรือไม่กินก็ไม่ต้องดูดำดูดีอะไรมากมาย ก็เป็นธรรมชาติของการสัมพันธ์ การเกี่ยวข้อง เป็นไปตามธรรม
ทีนี้มาขยายความ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ
ศีลข้อที่ 1 เมื่อสัมผัสกับสัตว์ใดๆแล้วอ่านจิตตัวเอง 1. จิตตนเองอ่านโทสะก่อน โทสมูล มันอยากฆ่า หยาบหรือละเอียด ...หยาบแล้ว จงจัดการกับจิตใจตัวร้ายของคุณให้ได้ นี่สำหรับศีลข้อ 1 นะ การแผ่เมตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เจ็บก็เรื่องของเอ็ง ข้าสุข เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายก็พูดไปเถอะไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราวเข้าเนื้อหาอะไรเลย เปล่าดาย ...ต้องมาสำนึกต้องมาปฏิบัติอ่าน กายวาจาใจ แล้วก็ค่อยได้ เราก็ปฏิบัติของเราเองหากจิตใจเรามี โทสมูล ยังอยากจะทำร้ายเขา
คุณจะทำร้ายเขาด้วยหลง หลงอะไร หลงว่ามันเป็นอาหาร
หลงว่า ถ้ากินอันนี้แล้วจะเหาะได้ กินอันนี้แล้วจะสวย กินอันนี้แล้วจะอย่างโน้นอย่างนี้ มีเป็นล้านเหตุผล คนที่รู้ทันแล้ว เอาอันอื่นแทนได้อันนี้ไม่ต้อง กินพืชผักก็อยู่ได้แล้วอายุจะยืนกว่าคนกินสัตว์ด้วย ขอยืนยันมาพิสูจน์ได้
คนอยู่ขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ หนาวไม่มีพืชผักอะไร ก็ได้แต่เนื้อสัตว์ อยู่ในย่านนั้นเอาไว้กิน คนพวกนี้โดยธรรมชาติของเขา เขาสำรวจมาหมดแล้ว ทำสถิติมาหมดแล้ว อายุสูงสุด 40 ปี สามสิบกว่าปี ชาวเอสกิโมพวกนี้ พวกอยู่บ้าน อิกลู อยู่บ้านน้ำแข็ง อายุสูงสุดเท่านั้น แต่คนที่อยู่เขาอยู่ป่าอายุร้อยอายุ 200 เป็นธรรมชาติธรรมดาเฉลี่ยแล้ว พวกนั้นเขากินพืชผัก นานๆกินเนื้อสัตว์ มันไม่มีเนื้อสัตว์มันมีน้อยแล้วเขาก็ไม่ได้นิยมกินด้วย แต่คนที่อยู่ป่า มันกินแต่เนื้อสัตว์ก็ล่าสัตว์กินก็ไม่กินพืชผักก็มีเหมือนกัน แต่คนสามัญที่เขาอยู่ป่าก็กินพืชมากกว่าสัตว์ เพราะว่าสัตว์กินล่าสัตว์ยากกว่าเอาพืชผักกิน
สรุปอีกที คุณสัมผัสกับสัตว์และมีโทสมูลหรือไม่ ถ้าคุณมีแล้วบำบำเรอโทสะ ต้องการฆ่าก็ฆ่าเลยจะฆ่ามากินเดี๋ยวฆ่าเล่น พวกนักล่าสัตว์ มันไปฆ่าสนุกสนาน เท่ห์ก็เวรจริงๆ ฆ่ามากินก็พอสงสาร เขาต้องกิน ก็ไม่ว่ากัน แต่นี่ฆ่าเล่นฆ่าเบ่งอำนาจ นี่แหละพวกนี้แหละ มานึกถึงคนชนิดนี้ ฆ่าเล่น ฆ่าเบ่งอำนาจ หรือฆ่าเพื่อแย่งทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชาน แย่งประเทศนี่กำลังจะฆ่ากันแย่งประเทศ อะไรพวกนี้
สรุปแล้ว คนตายเกิดนี่เป็นเรื่องธรรมชาติไม่ต้องห่วงหรอก แม้คุณอ้างว่า จะต้องฆ่าเขาเพราะเขาจะมาฆ่าเรา ไม่ต้องอ้างเลย อาตมานี่ ใครจะฆ่าอาตมา อาตมาไม่ฆ่าเขาหรอกใครจะฆ่าก็ให้ฆ่า ฆ่าแล้วอย่างพระโมคคัลลานะ ฟื้นตัวได้แต่หลายทีมันฆ่าไม่ถอย ท่านก็ตรวจอนันตริยกรรม ไม่เสร็จหรอก มันไม่ฆ่าตอนนี้ก็ฆ่าตอนต่อไป ท่านก็ยอมแพ้อนันตริยกรรม ไปก็หักลบกลบหนี้ ถ้าคือเรายอมใช้หนี้วิบาก ราคาค่าใช้หนี้นี้สูง แต่เราไม่ยอมสู้มันสุดท้าย คุณสู้มันไม่ได้อยู่ดี กับคุณยอม ไม่มีจิตใจเลยก็มีราคาสูงกว่า ลดหนี้วิบากยวบเลย เป็นเรื่องอจินไตย
คุณเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่ปรินิพพาน จะเกิดอีกก็เกิดได้ ถ้าถ้าจะไม่เกิดอีกเป็นปรินิพพานไปเลย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพพาน นิพพานโดยไม่ตั้งจิตอะไรเลย ไม่ตั้งจิตหยั่งลงอีกเลย ไม่ยึดนิมิตอะไรเลย ถ้ายึดพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นนิมิตอีก คุณก็มาเกิดอีก กับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แต่ถ้าคุณไม่นิมิตเลย ไม่ตั้งจิตต่อสุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพานก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่เหลืออัตภาพจะมาวนเวียนในวัฏสงสารอีกเลย พระอรหันต์ทุกพระองค์จะเข้าใจและทำใจในใจของตนเองได้จึงจะสูญ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่สูญ เพราะพลังงานพวกนี้มันมีแรง แม่เหล็ก เป็นธรรมชาติอยู่ ถ้าคุณไม่ใช้พลังงาน อันเป็นพลังงานไฟ พลังงานฌาน พลังงานวิมุติ วิมุติ เป็นพลังงานอันยิ่งใหญ่กว่าฌาน ทำให้สลายไปตามธรรม
ผู้ใดสามารถอ่าน ตั้งแต่โทสมูล แล้วอ่านกามต่อ ในคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านสอนใน อนุปุพพิกถา ท่านไม่ได้สอนเรื่องโทสะ แต่สอนเรื่องกาม แต่โทสะนี้ต้องเอาออกก่อน เรื่องกามยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ต้องอาศัยอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน์เลย เอาออกไปเลยไม่ต้องให้มีในจิตใจเรา ไม่ต้องให้มีลีลาอะไรเลย คือโทสะ
ถ้าคุณไม่เข้าใจเบื้องต้น เอาตามสูตรพระพุทธเจ้าคือสังโยชน์ 3
ต้องมีความเข้าใจ ทิฏฐิ รู้สักกายะคืออะไร คือรูปนามคือธรรมะ 2 คุณสัมผัสกับสัตว์ตัวนี้แล้วคุณเกิดโทสะมูลหรือราคมูล
เมื่อกี้นี้พูดถึงกามาทีนวะ มันมีโทษสารพัดโทษจนกว่าคุณจะหมดมัน กามก็มีขีดขั้น กามภายนอก สัมผัสด้วยทวารทั้ง 5 เป็นกามคุณ 5 ถ้าคุณอยู่เหนือกามคุณ 5 สัมผัสอย่างไรกิเลสมันก็ไม่เกิด ไม่ผลักไม่ดูด แต่มันเหลือพริ้วพรายเป็น รูปราคะ อรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา ก็อ่านอาการมันมีนิวรณ์อีกไหม
พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกาม โทสะไม่สอน แต่โทสะนี้หยาบกว่ากาม อุปกิเลส 16 ท่านสอน อภิชาวิสมโลภะ เป็นอันที่ 1 อันที่ 2 พยาบาท
ส่วนโกรธ คือการไม่ชอบใจที่แรง แต่พยาบาทนี้ผูกโกรธ
พยาบาทนี้ผูกโกรธหยาบ แต่ผูกโกรธอีกคำคืออุปนาหะ
อภิชาวิสมโลภะ พยาปาทะ โกธะ อุปนาหะ คือ 4 ตัวแรกของอุปกิเลส 16
สามตัว ตระกูลเดียวกันหมด พยาปาทะ โกธะ อุปนาหะ
พยาบาทผูกโกรธอย่างหยาบ แก้แค้นอีกสิบชาติไม่สาย เป็นต้น ไม่รู้เรื่องเลยในหนังจีนแล้วบอกว่าหนังคุณธรรม อย่างนี้เป็นต้น
ใน สี่ข้อของหมวดแรก มีเชิงโทสะสามอัน อันหนึ่งจะเป็นประธานแต่อีกสองอันมวลใหญ่นะ เราต้องเข้าใจความซับซ้อนอะไรก่อนหลัง เราต้องรู้ว่าตอนนี้อยู่ในภาวะใด อะไรเป็นตัวตั้งหรือตัวรอง ตรวจสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ที่ซับซ้อน ทำให้คนสับสนยากที่จะเข้าใจได้ เป็นอจินไตย
เมื่อเจอสัตว์นี่แหละ สำคัญกว่าวัตถุกับพืชต้องคำนึง จะชมคนก็ต้องชมคนที่เกี่ยวกับสัตว์ อย่างพวกเราไม่เบียดเบียนสัตว์ หยาบ กลาง ละเอียด อย่างเรื่องกินนี่ก็ขั้นกลาง
ยิ่งไปฆ่าเขานี่หยาบแล้ว ยังกินอยู่ก็ขั้นกลาง ต้องรู้หยาบ กลาง ละเอียด ของเราสัมผัสกับสัตว์ สมมุติว่าคุณกินเนื้อสัตว์อยู่ก็ไม่ฆ่าก็ได้ระดับหนึ่ง มันจะมีรายละเอียด
ในสีหสูตร มี เป็นบาปไม่ใช่บุญเลย ห้าประการ
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข. 60
อาตมาขยายความมาถึงตรงนี้แล้ว นี่เรื่องสัตว์เรื่องศีลข้อ1 นะ ยังจะมีตอนต่อไป อีก
สมณะเดินดินว่า...วันนี้อยากเน้นเรื่อง สัญญา ย นิจจานิ ความจริงต้องเป็นปัจจุบันมีภาษาที่เกิดขึ้นมีทั้งสมมติภายนอกและสมมติภายใน ไม่ใช่มีแต่สัญญากำหนดหมายว่าถูกของตนเองอย่างเดียว อาตมาคิดว่า ตอนนี้เรากำลังเปิดตัว จะมีคนภายนอกเข้ามา อาตมารู้สึกว่า เราจะต้องระมัดระวังไม่สรุปว่าอะไรผิดอะไรถูกไว้ก่อน แม้จะเห็นว่าอย่างนี้ไม่ถูก แต่ควรจะไปถามก่อนว่ามีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง อาตมาเคยพลาด แต่ก่อนอยู่ปฐมอโศก แล้วเจอคนนอนกลางศาลาแต่พอปลุกเขาคุย ก็พบว่าเขามาตามหาภรรยา เหนื่อยอ่อนก็เลยมานอนกลางศาลา ตอนนี้เรามีเหตุปัจจัยเชื่อมโยงกับอีกหลายอย่าง เราเห็นปุ๊บ ไม่อยากให้ฟันธงเลยว่าอย่างนี้ผิดหรือถูก หรือเชื่อว่าตัวเองถูกไว้ก่อนแล้วจัดการ จะทำให้เกิดความผิดพลาดได้อย่างมาก เกณฑ์การตัดสินโดยใช้มิติ สัญญายนิจจานิ ว่าผิดตามที่เรากำหนดหมาย แต่เรายังไม่ได้ฟังเหตุปัจจัยอื่นอีก เช่นแต่ก่อนเราไม่ใช้มูลสัตว์เลย ให้บริสุทธิ์ แต่ดูแล้วมันไปไม่รอด และในความเป็นจริง พ่อครูว่าขี้กับคน นี้อยู่ร่วมกันมายาวนานแล้วปฏิเสธไม่ได้
สิ่งที่เราเคยคิดว่าผิดตอนนี้ก็ถูกแล้ว แทนที่เราจะยึดถือแบบเดิม เราก็ยึดถือของเราคนเดียวทั้งที่โลกสมมุติเขาเปลี่ยนไปแล้ว คนที่ยึดถืออยู่อย่างเดียวนั้นไม่เปลี่ยนแปลงจะมีปัญหาพอสมควร ...จบ
ยูทูป https://youtu.be/k8DXjgmzsHE
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:06:53 )
รายละเอียด
601210_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สวดมนต์มีสามแบบ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2560 เป็นวันรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทย แต่รัฐธรรมนูญไหนก็ไม่ดีเท่ากับธรรมนูญของพุทธ คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ที่ใช้ไปได้ตลอดกาล
วันนี้ที่ภาคใต้ที่ควรธรรมก็มีตลาดอาริยะ เวลา 9 นาฬิกาถึง 15.00 น. ที่ อ.หลังสวน ที่วังน้ำเขียวก็มีงานชุมนุมถึงสื่อถึงคน ที่ศีรษะอโศกก็มีการรวมตัวของศิษย์เก่า
ที่ธรรมกายก็มีการรวมตัวกันสวดมนต์ 777 จบ เพื่อฉลองอาจารย์ของเขา ท่านทัตตชีโยอายุ 77 ปี ก็ฟังสวดมนต์ 777 จบ
ของเราไม่เน้นการสวดมนต์ แต่นิยมทำคุณธรรมของเราให้สูงขึ้น ปลายปีเราจะมีงานเพื่อฟ้าดินที่อาคาร บวร
ปีหน้าข้าวสารจะแพง เพราะว่าปีนี้เรารับซื้อข้าวได้น้อยมาก มีคนอื่นไปรับกว้านซื้อจากชาวบ้านถึงที่เลย อาตมามองเห็นว่าบริษัทใหญ่กว้านซื้อข้าวในราคาที่สูง ชาวอโศกต่อไปนี้ก็คงกินข้าวเหลือกันไม่ได้แล้ว มีสัญญาณบอกว่าจะมีความขาดแคลนจะเกิดขึ้น ข้าวจะไม่พอกิน
ที่บ้านราชฯใช้ข้าวสำหรับบริโภคในหมู่บ้าน 55 ตันต่อปี สำหรับการขายก็คงจะมีน้อยลง ชาวนาเขาขายไปกับนายทุนเสียแล้ว อนาคตก็ควรจะกินข้าวมื้อเดียวต่อวันกันทุกคน ใครไม่กินข้าวมื้อเดียวต่อวันแสดงว่าล้าสมัย ใครกินข้าวมื้อเดียวตั้งแต่วันนี้ก็ล้ำสมัย เพราะว่าโลกนี้จะขาดแคลนทรัพยากร เราควรจะมาทำตนเองให้กินน้อยใช้น้อยแบบคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ
พ่อครูว่า...เริ่มต้นด้วยการดู sms
SMS วันที่ 8 ธันวาคม 2560 (พ่อครู: บวรราชธานีอโศก)
_30750พ่อครูน่าจะเอาหนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไรอ่านแจกแจงอธิบายให้พวกเราจะทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
พ่อครูว่า…จะอธิบายไปอยู่แล้ว
เฟซบุ๊ก
_ปรัชญา ปารมี · (3)ความเห็นส่วนตัวนะ เราเห็นว่าท่านยังไม่ได้"บรรลุอรหันต์อย่างจบสิ้นเด็ดขาด?"หรอก?.. แต่ที่ชัดๆคือเราเห็นว่าท่านเป็น"นักจิตวิทยา"(ในเชิง"อ่านรู้เท่าทันสภาวะจิต"และ"การบริหารคน")และ"ขึ้นขี่หลังเสือแล้วไม่อยากยอมลงจากหลังเสือโดยดี?"นั่นต่างหาก?...
_ธราพงศ์ วิเศษถวัลย์ · มุ่งมาจน หมายถึง ลดทอนการปรุงแต่งให้ถึงที่สุด เข้าสู่ภาวะเอกฐานอันเป็นจุดเริ่มแรกของกำเนิดชีวิต ดังนั้น จนแง่นี้คือบริสุทธิ์เช่นเด็กเล็กๆ มีพลังชีวิตสดใหม่ เห็นธรรมโดยง่าย เพราะเป็นเช่นธรรมในตัวเอง
พ่อครูว่า…
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา
_ขอเรียนถามทรรศนะนิพพานเป็น _อัตตา _อนัตตา _ไม่เป็นทั้ง อัตตา อนัตตา
พ่อครูว่า...นิพพานเป็นอัตตา นั้นก็เข้าใจพยัญชนะและเนื้อแท้ผิด อาตมาขอใช้คำตอบเช่นนี้ คนที่เข้าใจว่านิพพานเป็นอัตตานั้นผิด ถ้าเข้าใจนิพพานเป็นอัตตาแล้วจะไปไม่ออกไปไม่รอด เพราะว่าความเป็นอัตตานั้นเป็นความเป็นตัวตน เป็นกิเลสเป็นสิ่งที่มีอยู่ อัตตาหรืออาตมันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ในสายเทวนิยม ก็จะมีอัตตาอยู่ตลอดกาลนาน ถ้าขืนคุณยึดว่านิพพานเป็นอัตตาก็จะอยู่อย่างนั้นนิรันดร
อัตตามันตรงกันข้ามกับอนัตตา อนัตตามันคือสูญ อนัตตาเป็นไวพจน์ของศูนย์ หมด นัตถิ ไม่เหลือ มันเลิกไปเลยในโลกมหาจักรวาลนี้ ซึ่งมีอยู่ตลอดกาลนาน เลิกไปเลยกับมีอยู่ตลอดกาลนั้นตรงกันข้ามกัน
อนัตตาหรือสูญนั้นไม่มีตลอดไปเลยนิรันดร ส่วนอัตตาอาตมันปรมาตมันนั้น มีอยู่ตลอดนิรันดร ถ้าไม่เข้าใจสภาวะอย่างนี้ เมาบัญญัติภาษาแน่ เพี้ยน เป็นเรื่องที่ผิดฝาผิดตัวกัน สรุปว่านิพพานเป็นอัตตานั้นคะแนน 0
นิพพานเป็นอนัตตานั้นคะแนนเต็ม
ส่วนนิพพานไม่เป็นทั้ง อัตตา อนัตตา เป็นไปได้หลายนัย
นัยหนึ่งคือ คุณไม่รู้เรื่องเลยไม่เข้าใจว่านิพพานเป็น อัตตาหรืออนัตตาคือโง่นิรันดร
สอง คนที่ยังสับสน ยังไม่ชัดเจนยังไม่รู้แท้ ก็บอกว่า มันก็เป็นได้ เป็นอัตตาก็ได้อนัตตาก็ได้ บางคนก็ว่าก็จะจบก็ไม่ได้นิรันดรเสถียรก็ไม่ได้ พวกนี้วิตักกจริต แกว่งไปตลอดจะจบอย่างมั่นคงก็ไม่ได้ จะนิรันดรก็ไม่ได้ อย่างนี้เมื่อไหร่คุณจะมีหรือไม่มี ก็ยาวนานไปอีกนิรันดรเหมือนกัน
สรุปแล้วนิพพานเป็นอัตตา ผิด ได้ 0
นิพพานเป็นอนัตตา คะแนนเต็ม
ถ้านิพพานไม่เป็นทั้งนั้น ทั้งอัตตาและอนัตตาคุณต้องไปเรียนรู้ใหม่ ฝึกฝนใหม่เอาจริงๆให้ได้ ไม่เข้าใจเลยว่า เป็นอนัตตา คนมีปฏิภาณ ก็พอรู้ว่าอัตตา คือมี อนัตตาคือไม่มี
แต่สภาวะละเอียดลออคือธาตุรู้จิตวิญญาณ มันไม่รู้ตั้งแต่ดีชั่ว โลกียะ ถ้าดีก็เอาแต่ดีนิรันดรไม่เอาชั่วเลยเป็นเทวนิยม เป็นไปได้ยากจะต้องวนเวียนกลับมาดีและชั่ว เพราะว่ามันไม่เที่ยง อันนี้เป็นหลักตายตัวเลย ถ้ามีแล้วอนิจจัง ไม่เที่ยงอย่างไรก็ไม่เที่ยง ให้มันเที่ยงก็สะกดไว้ ให้มันยาวนาน ธรรมดาธรรมชาติคนก็ทำอยู่มันก็ไม่เสร็จ หมดพลังงานกดข่มไว้ มันก็กลับมาอย่างเก่า
สามประเด็นง่ายๆ นิพพานเป็น _อัตตา _อนัตตา _ไม่เป็นทั้ง อัตตา อนัตตา
นิพพาน ไม่เป็นทั้ง อัตตา อนัตตา อันนี้น่าสงสาร นิพพานเป็นอัตตาก็ยังมีเวลาพัก แต่นิพพานเป็นอนัตตานั้น ถ้าเข้าใจอนัตตาไม่ได้จริงๆ แน่นอนคุณก็ไม่มีทางบรรลุธรรม
นิพพานนั้นทุกอย่างแยกธาตุไปหมดแล้ว ที่จะมาเป็นพีชนิยาม จิตนิยามไม่ได้อีกแล้ว เหลือแต่อุตุนิยาม มันเป็นตัวของมันเองไม่ได้จนกว่าจะมีเหตุปัจจัยครบ ต้องศึกษาให้ดีในนิยามชีวิต 5
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน การสวดมนต์ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
_การสวดมนต์หรือมนตรานี้คุณคนนี้แสดงกระทู้ว่ากันกระทบกันในเว็บพันทิพ
การสวดมนต์....(มันตรา) มีมาแต่เดิม
ก่อนพระพุทธเจ้าโคดมเกิด (พ่อครูว่า...แต่ก่อนนี้ไม่มีวิธีการบันทึกตัวอักษร ก็ใช้วิธีการสวด เพื่อท่องจำกัน แต่มันก็จะผิดพลาดกันก็เลยมีการท่องสวดแบบสังคีติ คือ คนสวดพร้อมกันเพื่อให้ตรงกัน แต่อีกแบบคือสวดแบบสังคายนาคือ มีคนสวด 1 คน ส่วนคนอื่นก็ฟังว่าถูกหรือไม่ถ้าผิดก็ทักท้วงกัน เป็นการวิเคราะห์วิจัยตรวจสอบให้สมบูรณ์ อะไรที่บกพร่องก็ตรวจสอบเป็นมติใหม่ไปเรื่อยๆ ยึดถืออันที่เป็นมติหมู่ ที่ต่างคนต่างเห็นว่าพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
การสวดมนต์ที่ผิดเพี้ยนไปเพราะว่าไปคิดว่าการสวดนั้นจะบันดาลให้เกิดอะไรขึ้น ได้สวรรค์วิมานอะไรก็ได้ แต่ถ้าสวดเพื่อรักษาสิ่งที่ดีเอาไว้มันก็ดีอยู่แล้ว ถ้าจะท่องจำสวดไว้ให้ดีแล้วเอาไว้ใช้กับตัวเองหรือเอามาเผยแพร่ ให้คนอื่นใช้มันก็ดี แต่ทีนี้เอาบทมนต์มานี่
1. เอาอย่างแย่คือเอามาสวดหากิน เอามาสวดเป็นสินค้า เพื่อให้ได้สิ่งแลกเปลี่ยนออกมา ได้เงินทองลาภ ได้ข้าวของ นั่นหยาบสุดแล้ว
2.ได้คนนับถือชั้นยศว่าคนนี้เก่งสวดจำได้เก่ง ยกย่อง
3. เอาไปทำเป็นของขลัง สวดแล้วจะมีฤทธิ์เดช มีอำนาจบันดาลให้เราได้ อันโน้นอันนี้ในอนาคต สวดไปจะเกิดพลังศักดิ์สิทธิ์ อันนี้เละเทะเลย ปั้นเองฟุ้งซ่าน มันไม่เกิดอย่างนั้นได้หรอก สวดแล้วจะได้เกิดฤทธิ์เดชอะไร มันไม่มี คนที่เพ้อเจ้อสวดแล้วจะได้กุศลได้บุญได้ขึ้นสวรรค์ ได้เป็นอันนั้นอันนี้ในอนาคต เละเทะหมดเลย
เพราะฉะนั้นในประเด็น ที่จะหลอกล่อให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนธรรมกายเขาหลอกล่อนี่ เละเทะหมดเลย เป็นการปู้ยี่ปู้ยำความจริง สิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐให้ฉิบหายและเข้าใจผิดกัน หมดเลย ผู้ที่ทำสิ่งที่ดี บทมนต์คำสอนที่ดีของพระพุทธเจ้าของพระศาสดา จะต้องศึกษาไว้จำไว้ แล้วเอามาปฏิบัติมาฝึกฝนให้เป็นไปตามนั้น ความเป็นคนก็จะรักษาสิ่งประเสริฐเอาไว้ได้ แต่ถ้าเอามาฟุ้งซ่านเพ้อพก จะได้รูปธรรมนามธรรมอะไร เป็นวิมานเป็นผลประโยชน์อะไรที่เป็นอนาคตซึ่งมันไม่เกิดหรอก แต่เขาหลอกว่ามันจะเกิดก็หลงนึกว่ามันจะเกิดอย่างนั้นจริงๆ ได้ไปเกิดในสวรรค์วิมานได้สมบัติพัสถาน ทำให้เราเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคตอย่างนั้นอย่างนี้ เอาสิ่งที่จะมาบำเรอความอยากได้ มาเป็นของตัวตนทั้งนั้น เอามาหลอกล่อคนที่มีแต่กิเลสตัณหา มีความอยากได้มาให้เป็นตัวเป็นตน อยากได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุขวิมานหลอกหล่ออะไร แม้ที่สุด อยากได้นิพพานเป็นภาษาบัญญัติ นิพพานคือไม่มีอะไร อยากได้แต่หลอกเราว่ามันจะได้ เป็นบัญญัติซับซ้อนเละเทะอย่างนี้ตลอด กาลนาน
ผู้ใดที่ทำให้มันผิดเพี้ยนขึ้นไปอย่างนี้ทั้งชั่วและเลว
ชั่วกับเลวต่างกันอย่างไร ไม่มีอะไรอื่นมากไปกว่าชั่วกับเลวในภาษาไทย
ภาษาไทยมาจากบาลี ภาษาไทยมาขยายบาลีเพื่อให้มาเป็นไทยให้เข้าใจครบถ้วนลึกซึ้งเท่านั้นเอง แต่ของบาลีก็ครบแล้วหากรู้ชัดเจน แต่ไทยนี้เอามาขยายเพิ่มเติมจากบาลี เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแบบไทย ถ้ายังเป็นภาษาบาลีภาษาอื่นก็เข้าใจได้เพียงเท่านั้น มันไม่พอ ก็เลยเอาภาษาไทยมาให้ นำพาให้ไปสู่ความลึก นั่นคือสิ่งที่ผู้รู้ได้ทำมา ภาษาบาลีก็เติมเป็นภาษาไทยขึ้นมา
ในภาษาบาลีไม่มีซโซ่ แต่ไทยก็บัญญัติเป็น ซ โซ่ เสริมมาจาก ช ช้างเป็นต้น
คนไทยก็เข้าใจใช้อันนี้เพิ่มขึ้นมา ที่จริง ซ โซ่ก็คล้ายๆกับ ส เสือ สร้างแล้วก็มาซ้ำๆ ซ โซ่ก็ซ้ำ ส เสือก็สร้าง ส เสือมันซ้ำไม่ได้ สะกดอย่างไรก็ไม่ได้ มันได้แต่ ส่าง ส้าง ส๊างก็ซ้ำกับ ซ โซ่แล้ว ในบัญญัติภาษาวรรณยุกต์ต่างๆเป็นเครื่องหมายที่สื่อให้เข้าใจ ผู้ที่บัญญัติขึ้นมาก็เอามาใช้ก็รู้ได้เข้าใจกัน
คำว่าชั่วนี้คือ ชัว กับ ไม้เอก ภาษาไทยมีวรรณยุกต์ แต่ภาษาอื่นไม่มี
ชัว ชั่ว ชั๊ว ชั๋ว ในวรรค ช.คือ วรรค จ ฉ ช ฌ ย
จ คือการรู้แจ้งเข้าใจรู้กระจ่าง ช.ก็รู้แจ้ง
ฉ นี้ แปลว่า 6 จากทวาร 6 รู้ครบเต็มทวาร 6 คือ ฉ รู้ครบทวาร 6 ไม่มีอะไรจะรู้เกินกว่านี้แล้ว เพราะมนุษย์มีแค่ 6 ทวารนี้
ฌ คือภาวะของทำให้รู้ ล้างความโง่ เผาตัวเหตุที่ทำให้โง่ ฌ กระเฌอ คือภาวะอุณหธาตุ พลังงานไฟเผาสลายสิ่งที่ไม่สะอาด ที่ทำให้โง่มัวหมองหรือมืด ก็ต้องล้างพวกนี้ให้ออก ใช้ ฌ
พอหมดแล้วก็ ญ ญ ผู้หญิงคือตัวรู้จบ
วรรค จ ฉ ช ฌ ย เป็นวรรครู้ทั้งนั้น จนครบถ้วน
รู้จัก คือเริ่มรู้แบบ จัก แล้วค่อยๆรู้แจ้งสว่างมากขึ้น จากรู้อย่างมืดก็รู้แบบสว่างมากขึ้น รู้จักรู้แจ้ง เป็นความจริงที่ครบมากขึ้น อาตมาถึงเอารู้จักรู้แจ้งรู้จริง ครบสามเส้าแล้ว
ชั่วนี้คือรู้ ส่วน เลว
ล ลิงคือเศษวรรค ยังไม่รู้หรอก แต่จะเริ่มเป็นธาตุมี ล คือตัวที่สามของเศษวรรค
ย ล ร ว ส ห ฬ อ
เศษวรรคคือ เก็บเล็กผสมน้อย ให้ครบ
ล นี้ถ้าใช้ สระ ละ ลา ลิ ลี ลุ ลู ภาษาบาลีไม่มี ฤ ฤา สันสกฤตก็มีแต่ ฤ ภาษาไทยมาเติม ฤา
สรุปแล้ว ล ลิงเป็น การเริ่มรู้ รู้ว่านี้ดีแล้วก็เป็นดี รู้ว่านี่ไม่ดี แต่ไปหลงว่าดีก็คือไม่รู้ โง่ ไปหลงสิ่งที่ไม่ดีว่าดี แล้วไปหลงว่าดี แต่มันไม่ดี แล้วคุณก็เป็น
คนที่หลงสิ่งดีว่าดี ก็เป็นอุปกิเลสแล้ว แต่หลงสิ่งไม่ดีว่าดีคือโง่แท้โง่เบ็ดเสร็จ
เริ่มรู้เศษวรรค หลงสิ่งที่ไม่ดีมาดี ก็ ละ ลา ลิ ลี ลุ ลู ไป แล้วก็ เล ต่อไปอีก ยังเอาต่อไปอีก ยังไม่รู้ เละ เล ไม่พอก็เอา ว แหวนมาอีก
ย ร ล ว ตัว ว นี้ไปเป็น ส ห รวมเป็นหกตัว เป็นตัวที่ 7 คือ ฬ
สามเส้านี้พอมาเป็นตัวที่ 4 ถ้าสามเส้ามันนิ่งไม่มีลีลา เหมือนลูกข่างกินน้ำจั้นหรือนอนวัน นิ่งเลย หมุนวนนิ่งเป็น cyclic order หมุนนิ่งสมดุล แต่ถ้ามีองศาเกิดเป็นอันที่ 4 ก็จะเริ่มแกว่ง ตัว ว นี้เพิ่มไปอีก ส ห ตัว ห นี้เป็นความเป็นจริง มันก็จะ สห เลย คือตัวจริง จาก ว นี้มากอีกเป็น 6 มีสองเส้ารวม 6 ก็มี 7 เป็น Coefficient ตัวแท้
Coefficient เป็นพลังงานซับซ้อนที่ก้าวหน้าระดับคูณเลขยกกำลัง ฬ นี้ยอดคูณยอดยกกำลังเลย
ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ที่อาตมาได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆมา จนมาถึงปางนี้ก็ไม่มีใครพูดให้คุณฟัง ไม่มีตำราเล่มไหนสอนหรอก ไม่มีหลักฐาน มีที่อาตมาเท่านั้น คนเดียว ถ้าหากใครเจอหลักฐานว่ามีคนบรรยายไว้ก็เอามายืนยัน อาจจะมีเหมือนกัน ก็มาดูกัน อาจจะเป็นผู้พี่ที่บรรยายหรือเป็นผู้น้องก็ตรงกัน
สมณะฟ้าไทว่า… ย ร ล คือเกิดที่จิตของเราไม่ออกไปภายนอก
พ่อครูว่า...ใช่เป็นอยู่ในจิตเรา ลูกข่างนอนวัน แต่มาเป็น ส ก็เพิ่มอีก เช่น สะใจ สวะ สะสม สั่งสม
สมณะฟ้าไทว่า...พอมากเพิ่มมากๆเป็น ฬ
พ่อครูว่า...สะสมเป็น 8 เป็น 9 ก็ไปหาความสูญบริบูรณ์ ถ้าไม่เต็มก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเพิ่มมี ว มี สห มี ฬ อ คือสูญเริ่มต้น อ เล็กนิดเดียว แต่เป็นตัวการ วงวนมันหมุนไปใหญ่ไม่มีหยุดหมุน ถ้ากำหนดไม่ได้ก็ไปใหญ่เลย ถ้าเป็นอย่างอวิชชาก็ตัวใครตัวมัน ถ้าเป็นอย่างวิชชากำหนดก็ดี
สมณะฟ้าไทว่า..คำว่า ว คือ เอาละวะ
พ่อครูว่า...ถ้าเอาละวะอย่างมีปัญญาก็ดี ถ้าเป็นอวิชชาก็ไปกันใหญ่
สำหรับเป็นภาษาอื่นก็อธิบายกันได้ถ้ารู้พื้นของภาษา
สรุปตรงนี้ก่อนว่าชั่วกับเลว เลวนี้มันโง่หนักกว่าชั่ว ชั่วนี้เป็นตัวตน เป็นเจโต เลวนี้คือความฉลาดเฉโก คือ ฉลาดไปใหญ่เลยไม่มีที่ยับยั้ง โดยไม่มีกรอบขอบเขตขั้นตอน เพราะว่ามันโง่
เลวคือ พลังงานที่หลงผิด แล้วสะสมตัวเองเข้าไปเรื่อยๆ
จาก ล ว ไม่หยุดเป็น สห
ย ร ล ขยายเป็น ว ไม่พอก็ ส ห รวมเป็นใหญ่ เป็นพหูพจน์ ส่วน ว เป็นเอกพจน์ แต่ถ้าไม่หยุดก็ สห สห สห แล้วก็หลง สห ถ้าเป็นอวิชชา คุณก็มี สห แล้วหลง สห เป็นประโยชน์ก็เป็นสหาย อายะ แปลว่าประโยชน์
สห ที่หลงว่า เป็นประโยชน์ ก็คือสหาย ที่เป็นเพื่อนซี้เพื่อนตายกอดคอกันเลวก็คือสหาย แต่ถ้าเป็นวิชชาก็กอดคอกันดี มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี
มิตรดีคือจิต สหายคือผู้ร่วมประโยชน์
สังคมสิ่งแวดล้อมทั้งหมดรวมเหมาเข่ง มีอะไรขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญ่ก็คือ เป็นสัมปวังโก สั่งให้เป็น วงใหญ่ กลาง เล็กก็อยู่ในสัมปวังโก
มาพูดเรื่องสวดมนต์ต่อ...พระพุทธเจ้านั้นอุบัติขึ้นมาเขาก็มีการสวดมนต์กัน ท่านก็ค่อยสอนให้คนที่หลงผิดมาเข้าใจให้ถูกต้อง ที่สวดจะได้สวรรค์วิมานอิทธิฤทธิ์อะไรได้ลาภสรรเสริญโลกียสุข ท่านก็ว่าสวดมีแต่สังคีติกับสังคายนา พระพุทธเจ้าก็ตั้งกฎเกณฑ์เลยว่าอย่าเอาบทสวดบทธรรมะ ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งหรือทุกองค์ ไปสวดนอกจากสังคีติหรือสังคายนา
ถ้าจะไปสวดก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจ เป็นการสาธยาย เรียกว่าสังสาธยาย คืออธิบายอย่างปากบอกไป อย่างอาตมานี้สวดอย่างสังสาธยาย นี่สวดแบบอธิบายขยายความทำความเข้าใจไป ก็สวดคนเดียว คุณจะมาพูดเหมือนกันหมดได้อย่างไร คุณก็ต้องท่องให้เหมือนกันแล้วก็สวดไป เท่านั้นเอง คุณจะมาท่องคนเดียวและอีกคนไม่ได้ท่อง แล้วจะสวดตรงกันคำความเดียวกันได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นในวินัย ปาจิตตีย์ ...ไม่มีสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 องค์ต่อหน้าญาติโยมหรอก แต่เดี๋ยวนี้ก็สวดหากินไปแล้ว สวดต่อหน้ามีแต่สังสาธยาย คือสวดแล้วก็อธิบายประกอบ แล้วก็สาธยายคนเดียวด้วย ส่วนสังคายนาก็สวดคนเดียวและคนรู้ร่วมกันก็ตรวจสอบ ส่วนสังคีติ คือสวดเป็นหมู่แต่อย่ามาสวดต่อหน้าญาติโยมตั้งแต่ 2 คนเป็นต้องไปเป็นร้อยคนพันคนเหมือนท่องสูตรคูณอาขยาน ก็เพื่อจดจำ แต่อย่าเอามาโชว์ โดยเฉพาะเอามาโชว์หากินเอามาอวดอ้าง แล้วพลิกแพลงอีกว่า สวดแล้วจะได้อำนาจศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ได้วิมาน ได้ความร่ำรวย สวดแล้วจะเจริญงอกงามอะไรก็แล้วแต่
เห็นเขาทำผิดมันก็เป็นวิบากของเขา อาตมาเห็นแล้วก็ทำอย่างไรจะแก้ไข ทำอย่างไรจะช่วยให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เห็นคนสวดอย่างมิจฉาทิฏฐิ
ในยุคของพระพุทธเจ้าสมณโคดม และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็มาบอกว่า อย่าเอาไปสวดตั้งแต่ 2 คนพร้อมกันขึ้นไปต่อหน้าฆราวาสญาติโยม แต่สวดสังคีติ สวดพร้อมกันได้แต่อย่าไปสวดให้ญาติโยมฟัง แต่ถ้าทำความเข้าใจก็สวดสังสาธยายอย่างนี้ได้ สวดคนเดียว สวดพร้อมกันสองคนเป็นไปไม่ได้ ใครเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้าสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้ญาติโยมฟังก็อาบัติ ก็ไม่รู้จะปรับอาบัติอย่างไรก็ทำกันเยอะแยะเหลือเกิน ถ้าบอกว่าเข้าคุก 50 ปี ก็เยอะแยะเกินไป เขาอดไม่ได้หรอก ต้องสวดกัน ตามไปจับเข้าคุกไม่ไหว แต่ยังธัมมชโยหนีรอดไปเอาตามเข้ามาเข้าคุกไม่ได้
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาก็เจอการสวดที่มิจฉาทิฐิเหล่านี้ ท่านก็มาสอนใหม่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในศาสนาของท่านไม่มีการสวดแบบนี้ สรุป การสวดมีสามอย่าง
1. สังคีติ สวดกันเป็นหมู่ตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไปเพื่อการจดจำ แต่ว่าอย่าให้คนอื่นได้ยินหรือ ให้ฆราวาสญาติโยมได้ยิน ถ้าใครได้ยินถือว่าผิด เป็นการสวดเพื่ออวดอ้าง สวดหาเงินยิ่งผิดใหญ่ สวดอวดอ้างว่าฉันจำได้ฉันเก่ง ดีไม่ดีก็ใส่ทำนองเละเทะใหญ่
2. สวดแบบสังคายนา
3. สวดแบบ สังสาธยาย
นอกจากนั้นไปสวดพร้อมกัน 2 คนต่อหน้าญาติโยมเป็นการอาบัติหมด กรรมเป็นอันทำ เขาจะมีหนี้วิบากอันนี้ต้องไปใช้ไปอีกไม่รู้กี่ชาติ ยิ่งสวดเพื่อให้ได้ลาภยศเงินทอง ก็ยิ่งเป็นหนี้ซ้ำซ้อน น่ากลัวนะ ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว เพราะกรรมวิบากจะยาวยืดไปอีกเท่าไหร่ แล้วบอกจะเอานิพพานๆ จะไปได้ที่ไหน
นี่คือ บริภาษ คือพูดให้ครบ ไม่ใช่ด่า พูดแรงให้ครบก็ต้องหนัก
พระพุทธเจ้าสมณโคดมอุบัติขึ้นมาเห็นท่องกันเละ ก็เลยตัดเลย แล้วออกกฏวินัยนี้ทันที สมัยพระพุทธเจ้าจึงไม่มี การสวด 2 คนต่อหน้าญาติโยมเอาไปหากินนี้ไม่มี สะอาดบริสุทธิ์
แม้ในยุคต้นๆของศาสนาพุทธก็ยังบริสุทธิ์ เสร็จแล้ว มาถึงบัดนี้สองพันกว่าปีก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว อาตมาพูดนี้เขาหาว่าบ้าบอ ทั้งที่ตนเองโง่หนักเละหนักก็ไม่รู้เรื่อง
_มาพูดถึงคุณนี้ที่เขียนมาในพันทิพต่อ
การสวดมนต์....(มันตรา) มีมาแต่เดิม
ก่อนพระพุทธเจ้าโคดมเกิด
1 ด้วยความเชื่อว่า จะมีผู้ที่มีอำนาจจะพอใจและบันดาลอะไรที่อยากได้ให้ตามความประสงค์...นั้นหนึ่ง
2 ด้วยเป็นพิธีกรรมที่ต้องกระทำของ อาชีพผู้เป็นเป็นเจ้าพิธีกรรม อันต้องรักษามนตราในลัทธิของตนไว้...หนึ่ง
3 ด้วยความเชื่อว่า มนตราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้ท่องบ่นแล้วจะเกิดพลังอำนาจ ตามที่คิดตริตรึกเอา...หนึ่ง
สามหลักใหญ่ๆนี้ เป็นมาแต่เดิมทั้งสิ้น
พ่อครูว่า...แถมว่า ถ้าสวดเพื่อได้เงินทอง นี่คือ สาเปกโข ยิ่งหวังว่า สวดดีเพราะขลังค่าตัวของการสวดก็จะแพงขึ้นอีก ก็ซ้อนในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เลยเละเทะ สรุปว่า การสวดมนต์ในยุคนี้เสื่อมกว่าโบราณไปเยอะ พลิกแพลงประเล้าประโลม มีการโปรโมชั่นหลอกล่อว่าสวดแล้วจะได้อย่างนั้นอย่างนี้
ก็อย่างธัมมชโยนี้เป็นสำนักที่โปรโมทการสวดมนต์อย่างถึงขีด อาตมาก็เพิ่งจะได้ยินว่ามีคนสวดมนต์กันขนาดนี้ สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร 7 ล้านเที่ยว เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินสำนักนี้ทำอย่างนี้โง่ขนาด เสียเวลาเสียแรงงาน เขานับกันอย่างไร โอ้ย
สมณะฟ้าไทว่า...ทำไมไม่สวดให้เป็นพระอรหันต์
พ่อครูว่า..เขาทำนะ แล้วเขาจะได้เป็นพระอรหันต์หรือไม่
แต่เดิมคนสวดคนนี้ก็ว่ามีสามข้อนี้แหละ ใหญ่ๆ
จริงๆแล้วแม้จะมีสาเปกโข จิตของคุณยังอยากได้อะไรตอบแทน การสวดมนต์
คุณเอาของไปให้ผู้อื่นก็ต้องได้สิ่งตอบแทน คุณออกแรงงานก็ต้องการค่าตอบแทนคุณออกความคิดความรู้เขาก็ให้ค่าตอบแทนนี่คือสิ่งที่คุณมี
แต่ถ้าทำการสวดอันนี้ คุณจะได้สิ่งตอบแทนคือสาเปกโข อันนี้แหละพวกงมงายธัมมชโยนี้ มีเต็มบ้องเลย เป็นตัวใหญ่เลย มันเป็นฤทธิ์เดชอภินิหารอะไรสักอย่างของเขายิ่งใหญ่มากเลย เป็นแก้วเนรมิต ถ้าได้อันนี้แล้วทุกอย่างได้หมด
เรื่องใหญ่ๆคืออยากได้พิเศษอำนาจ อยากได้ค่าสวดแพงๆ ซึ่งมันไม่มีหรอก สวดมีแต่สามอย่างนี้
1. สังคีติ สวดกันเป็นหมู่ตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไปเพื่อการจดจำ
2. สวดแบบสังคายนา
3. สวดแบบ สังสาธยาย
มีเท่านี้
พ่อครูว่า...สวดเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อันใด บันดาลได้แต่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลแต่เชื่อเหตุเชื่อผลที่เกิดในปัจจุบันนี้ ยืนยันได้ตั้งแต่ 2 คนเป็นต้นไปจนถึงล้านคนนี้เป็นความจริง ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ร่วมกันแล้วยืนยันได้ตรงกันนี่คือความจริงของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ไม่ใช่ท้าทาย แต่คุณมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์อะไรก็เชิญทำเอา
_ในปัจจุบัน...ลัทธิสวดมนต์เพื่อให้เกิดพลังอำนาจดลบันดาลผลใดใดให้ กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง
หลังจากที่พระสมณธโคดมบรมครู ได้ทำลายให้สิ้นซากไปจากบรรดาสาวกของพระองค์
พระองค์สอนให้เชื่อ กรรมและวิบาก กรรมเป็นเหตุ วิบากเป็นผล
ทำอย่างไรได้อย่างนั้น..จะทำอย่างหนึ่งและได้ผลอีกอย่างหนึ่งย่อมมิใช่ฐานะอันพึงเป็นได้...เช่น
ท่านตรัสสอนว่า บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
พ่อครูว่า...ทำดีย่อมได้ดี ทำดีแล้วได้ดี๊ ไม่ได้ ทำดีแล้วจะได้ดู ก็ไม่ได้ ทำดีแล้วจะดา ไม่ได้ ทำดีได้ดี ทำโง่ได้โง่ ทำโลกุตระก็ได้โลกุตระ
การสวด บริกรรมใดใด หาใช่เหตุแห่งการพ้นจากทุกข์ไม่
หิวข้าวต้องกินข้าว หากหิวข้าวแล้วนั่งบริกรรมว่า อิ่ม อิ่ม อิ่ม..จะอิ่มได้อย่างไร
พ่อครูว่า...มันมีเหตุก็เกิดผล มี 123 456 789 เป็น cyclic ถ้ามีแค่ 2 ก็เป็นระนาบวิ่งวนไปมาเท่านั้น ถ้าสามก็เป็นวงกลม ถ้ามี 4 ก็เริ่มเป็นองศาเพิ่มอีก เกิดวงรี ซึ่ง วงรีไม่นิ่งหรอก แต่ถ้าวงกลมก็จะนิ่ง ในโลกทุกโลกในดวงดาวทุกดวงดาวไม่มีกลมดิ๊กหรอก
ถ้าวงกลม ดวงดาวดวงไหนเป็นมวล แล้ววงได้สนิทสมดุลมากเลย อันนั้นเรียกว่าหลุมดำหรือเรียกว่าจุดขาว สองภาษาเท่านั้นที่เรียก หลุมดำคือไม่มีแสงสะท้อนออกมาได้เลย แต่หลุมขาวคือสะท้อนออกมามาก จนขาวโพลนไปหมด ไม่มีสีอะไร แยกสีไม่ได้ เหมือนคุณเอาสีต่างๆมารวมกันหมดก็ได้สีดำ การเอาสีมารวมหมุนกันก็เป็นสีขาว ถ้าแสงเป็นสีขาว แต่สีจะเป็นสีดำ เอาสีต่างๆมาผสมกันเป็นขาวไม่ได้
มีสาวกในยุคหลังๆ สอนนอกแนว เอาความเชื่อของลัทธิเดิมเข้ามาสอนตามความเชื่อของตน
ทำให้ผู้ไม่ศึกษา ศึกษาน้อย หรือศึกษาไม่รอบด้าน เข้าใจผิดในสาระสำคัญของปรัชญาพุทธ
คิดว่าพิธีกรรมของเดียรถีย์นอกพรหมจารรย์นั้น เป็นสิ่งที่ควรกระทำ..เป็นความวิปลาสโดยแท้
หากเริ่มต้นที่ มิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดจากที่ควรเห็น ไม่รู้จักทุกข์ที่แท้ ก็ย่อมไม่รู้สมุทัย และลามไปถึง
การใช้วิธีแก้ที่ผิด ดังที่ลัทธิสวดมนต์ทำกันอยู่
ในอริยมรรคนั้น ไม่มีข้อไหนเป็นเรื่องสวดมนต์เลย...นอกแนวทั้งนั้น
สาวกผู้ใดเอามาสอน ก็สอนผิด และชี้ทางผิด.....ระวังกันบ้างหรือไม่
หากปากเป็นเครื่องมือสำคัญของชีวิตขนาดนั้น(ใช้สวด)
สิ่งที่พระศาสดาทรงตรัสสอนมากมาย ย่อมใช้ไม่ได้
ย่อมผิด และไม่เกิดผล
พ่อครูว่า...คนอีสานว่า ปากสวดปากยาว คนสวดมากปากเลยยาว
ลูกศิษย์เก่งกว่าศาสดาเชียวหรือ
พ่อครูว่า...ถ้าสวดแล้วบันดาลอะไรได้ อาตมาก็ไม่ต้องเมื่อยสาธยายอธิบายความเข้าใจอย่างนี้หรอก ต้องเอาคำพูดภาษามาร้อยเรียงปฏิสัมพัทธ์ให้ดีอย่างนี้
นั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีปัญญา มีแต่สัญญา จะได้ครบสัญญาก็ยังยากเลย นั่งหลับตาแล้วระลึกก็ไม่ครบ สัญญาก็อย่างหนึ่ง ปัญญาก็อย่างหนึ่ง แล้วไปโมเมสัญญาว่าเป็นปัญญาอีก
สมณะฟ้าไทว่า..อย่างพ่อครูดึงสัญญามาใช้
พ่อครูว่า...อาตมาเองขอยืนยันว่า อาตมาไม่มีปัญญา อาตมามีปัญญามาแต่เก่า ชาตินี้อาตมาไม่มีปัญญา ชาติเก่าๆนี้เป็นสัญญาที่เป็นปัญญาอยู่เก่าก่อน ชาตินี้อาตมาดึงสัญญาที่เป็นปัญญามาใช้ยังไม่หมดเลย จะไปเติมอะไรให้เมื่อย
เอาปัญญาที่เป็นสัญญาเก่ามาใช้ ไม่ได้สร้างปัญญาใหม่เลย
ที่เอามาใช้นี้มันต้องเทียบกับพยัญชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกด้วยเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่เชื่อ หาว่าคิดเอง ผมจึงไม่กล้าเอาปัญญาของตนเอง ในชาตินี้อาตมาบัญญัติคำใหม่สองคำ ชีรานุปาทิ กับ ชีวานุปาทิ อาตมาไม่เคยเจอหลักฐานที่บอกว่าพระพุทธเจ้าได้บัญญัติ 2 คำนี้ไว้ หรือค้นไม่เจอ
อาตมาก็ว่ามันต้องมีสองคำนี้ไว้คือ ชีวา คือเกิด ชีราก็คือเสื่อม นอกนั้นก็เอามาจากของพระพุทธเจ้าตรัสไปทั้งนั้น ต้องยืนยันด้วยว่า ตรงกับพระไตรปิฎกเล่มไหนหน้าไหน
จะสวดอะไร....ดูเจตนาเป็นตัวตั้ง รู้เรื่องไหม เข้าใจไหม แทงตลอดได้ไหม ธรรมวิจัยเกิดไหม
สวดแล้ว ราคะ โทสะ โมหะ เบาลงไหม หายไปไหม พ้นทุกขสัจจ์ไหม...ถามตัวเองดู
พ่อครูว่า...มันพ้นชั่วคราว แต่ถ้ามีธัมมวิจัย ในเวทนา 108 ได้ จนครบอดีต ปัจจุบัน เป็นกิเลส 0 อนาคตก็กิเลส 0 แน่นอน
ถ้าเรามีพลังงานนิวเคลียสนี้เหนือคนอื่นทั้งปวงแล้ว คนอื่นจะมาอย่างไรก็ไม่มีปัญหา
ไม่อย่างนั้น..ก็เป็นได้แค่นกแก้วนกขุนทอง ที่พูดจ้อยๆ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไร...
จะสวดอะไร กี่จบ บวกเท่าไหร่ แล้วชีวิตดีขึ้น....ดีขึ้นอย่างไร
เกิดจากการสวดมนต์แบบไร้ปัญญา) จริงไหม......
ถามตัวเองดู อย่ามามัวโกรธและตอบโต้ หรือเถียงออกไปข้างๆ คูๆ เลย
หัดศึกษาพระไตรปิฎกบ้าง สนทนากับสมณะผู้มีปัญญาบ้าง.....จะรู้เอง
เอวัง… จากเตาฟืน
พ่อครูว่า...จะสวดมนต์แบบไร้ปัญญา สวดกันแบบธรรมกาย สมองหายไปจากหัวเกลี้ยงแล้ว
มีความเห็นต่อจากคุณเตาฟืนว่า…
_สวดพุทธมนต์ ไม่มีในสมัย 45 พรรษา ----- ต่างจาก สังคีติ + มุขปาฐะ สมัยปฐมสังคายนา มั๊ง
_"ลัทธิสวดมนต์" แหม่ชื่อกระทู้ ตั้งมาเหน็บแนมชัดๆ ให้คนเลิกสวดมนต์ ห้ามคนทำความดี บาปนะ
เบื่อพวกเหมือนจะรู้มาก แต่ศึกษาไม่ครบทุกบริบท แล้วมาขยันโชว์พาว มาเหน็บแนม
ในพุทธจริงๆเรียกว่า สาธยายพุทธคุณ (คนไทยเรียกเองสั้นๆ ว่าสวดมนต์) ใครที่สวดอยู่แล้วสวดไปเถิดครับ เป็นสมถะภาวนาอย่างนึง
การสาธยายพุทธคุณ หรือ แผ่เมตตา สร้างกุศลจิตมีอานิสงส์แน่นอน การเจริญเมตตาก็มีในพระไตรปิฎก พุทธานุสติก็อยู่ในกรรมฐาน40
การสวดมนต์ก็มีกันในทุกศาสนา
พ่อครูว่า...การสวดที่เป็นประณามคาถา เป็นการสวดคำยกย่องพระรัตนตรัย ทำได้ ไม่ผิดอะไร คำว่าประณามแปลว่า คำยกย่องเชิดชู แต่ทุกวันนี้ความหมายได้ผิดเพี้ยนไปกลายเป็นว่าคำตำหนิ คำด่า
ประณามคาถาก็คือคำยกย่องบูชา สวดพร้อมกันได้ไม่อาบัติ
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เรื่องสวด
ยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=Xsf5B_69Tdw
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:08:09 )
รายละเอียด
601211 พ่อครูพบศิษย์เก่าศีรษะอโศก ที่มาช่วยทำ 5ส. อาคาร บวร ราชธานีอโศก
วันนี้วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2560 พ่อครูพบกับศิษย์เก่าศีรษะอโศก ภายหลังจากบิณฑบาต ที่ศาลาเฮือน 00 เวลา 09.00 น.
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ดีที่สุดคือไม่บำเรอกิเลส
พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคนๆ วันเวลามันหมุนไปเรื่อยๆ พวกเราก็เห็นหน้ากันแล้วรู้สึกเห็นตาก็แก่ลงเรื่อยๆนะ แต่ก่อนเห็นตัวเล็กตัวน้อย แต่เดี๋ยวนี้มันโตจนไม่โตต่อแล้วก็มีแต่จะเหี่ยวลงๆ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แต่สำคัญคือเวลามันผ่านไปแต่ละวินาทีๆ เราต้องสำคัญแต่ละกาละเวลา วินาที คนเราก็เกิดมาอยู่กับเวลาจะกว่าเราจะหมดเวลาไป
ยังไม่หมดเวลาเราก็อยู่กับเวลาไป ช่วงระยะเวลาที่เรายังไม่หมดไปจากเวลา นี่แหละเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องใช้ธรรม ใช้ทำที่ว่านี้คือธรรมะ ใช้ธรรมะนี้ทำให้เป็นประโยชน์ทำให้เป็นคุณค่าประโยชน์ ประโยชน์ของมนุษยชาตินี้ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดีที่สุดความเป็นประโยชน์ที่จะได้มากและดีด้วย คำว่าดี ดีที่สุดคืออะไร ดีที่สุดนั่นคือไม่บำเรอกิเลสไม่เห็นแก่ตัว และในการไม่บำเรอกิเลสตัวเอง นี้ต้องมีสติปัญญาเป็นตัวพิจารณามีปัญญาเข้าไปเป็นตัวจัดการ เลือกสรรสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่จะทำได้
อาตมากำลังบรรยายธรรมมะ เกี่ยวกับการใช้ความหมายบัญญัติภาษาที่บัญญัติใช้เรียกสภาวะต่างๆ สภาวะใดควรทำ สภาวะใดไม่ควรทำ ถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจจริงๆ เราก็จะพยายามไม่ทำให้เรามีความเข้าใจมีปัญญาสร้างจริงๆในความหมายของคำว่าปัญญาทั้งหมดปัญญาจริงๆแล้วเป็นภาษาของศาสนาพุทธเท่านั้นซึ่งหมายถึงความฉลาดคำว่าฉลาดนี่คือความรู้ทางทวารทั้ง 6 ซึ่งมาจากคำว่า ฉฬายตนะ มันกร่อนไปเป็นภาษาไทยเป็นคำว่าฉลาดรู้จักตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็วิจารณญาณ พิจารณามีการวิจัยมีปัญญา มีความฉลาดแบบปัญญาไม่ใช่เฉโก ฉลาดของคนทั่วไปนั้นไม่ใช่ปัญญาเลยภาษาบาลีเรียกว่าเฉโก อันนั้คือความเพี้ยนเสื่อมไปจากความจริงก็เลยใช้ผิดไปเยอะ อาตมามาแก้ไขความผิดของภาษา ซึ่งทั้งยากเยอะแหละหนักแต่จะเข้าใจให้ถูกก็ยากแล้ว จะให้คนมาเปลี่ยนจากคนไม่ดีไม่เจริญมาเป็นคนดีคนเจริญก็ยิ่งยาก แต่ไม่คิดว่างานไหนจะดีกว่างานนี้ นี่เป็นงานที่ดีที่สุด งานบอกความจริง อะไรผิดอะไรถูก ผู้ใดรู้อย่างลึกซึ้งก็เอาไปแก้ไขปฏิบัติ อาตมาสอนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เขาก็ไม่มา ก็เลยตั้งโรงเรียนขึ้นมาให้พวกเรามาอยู่ ให้ได้ดูแลด้านจิตใจเด็กๆของพวกเราได้มากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ทำมาหากินไม่เข้ามา แต่เมื่อผู้ใหญ่ที่เข้าใจแล้วก็จะมา มาอยู่กับหมู่บัณฑิตที่มีปัญญาไม่ใช่เฉกา
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ผลสำเร็จของพ่อครูคือสาธารณโภคี
อาตมาอายุย่างเข้า 84 ปีแล้วอาตมาว่าอาตมาทำงานได้ผล เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผยให้คนปฏิบัติคนเข้าใจได้แล้วก็เปลี่ยนแปลงชีวิต มาเป็นอย่างทุกวันนี้เมื่ออยู่ในนี้ อาตมาขอพูดกับพวกเราว่าอาตมามีผลสำเร็จยิ่งกว่าเถรสมาคม ยิ่งกว่าใช่ไหม ให้คนมาเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ลดละกิเลส โลภ แย่งชิงน้อย มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีคนไม่เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น แบบที่ทุกคนก็ต้องการเป็นแบบนี้ นอกจากไม่เห็นแก่ตัวไม่ทำร้ายใครก็เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรสิ่งที่ดีมีคุณค่ามีประโยชน์ แล้วก็เผื่อแผ่กินกัน ไม่ใช่เอาไปค้าขายเอารัดเอาเปรียบแบบทุนนิยม สร้างอะไรขึ้นมาได้ก็บอกว่าของข้าดีราคาดีต้องตั้งราคาให้สูงให้แพง ไม่ใช่ เรามาทำอะไรขึ้นมาดีๆแล้วก็แบ่งกันแชร์กันเกื้อกูลช่วยเหลือกัน นับถึงวันนี้แล้วอาตมาได้พาคนให้มีความรู้มีปัญญาได้เห็นจึงเป็นจริงแล้วมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหมู่เป็นสังคมสังคมชุมชนชาวอโศก ก็สำเร็จถึงขั้นสาธารณโภคี
สาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นักเศรษฐศาสตร์ในโลกยังเข้าใจไม่ได้ยังเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นสังคมที่มีสาธารณโภคีเป็นเศรษฐศาสตร์ขั้นสาธารณโภคี สังคมนั้นไม่ต้องจ่ายภาษี ทุกคนทำงานฟรีทำงานเอาเข้ากองกลางหมดเลย เราก็แบ่งกันกินกันใช้เป็นสังคมเศรษฐศาสตร์ที่สุดยอด แต่คนไม่เห็นค่า นักเศรษฐศาสตร์เขามองไม่เห็น นักเศรษฐศาสตร์ก็น่าจะรู้นะ สังคมแบบนี้ทำได้ไหม น่าจะมาวิจัยตรวจสอบ สังคมคอมมิวนิสต์เขาเป็นอย่างนี้ไม่ได้เพราะเขาใช้วิธีบังคับขูดรีด มาให้แก่กองกลางให้มาก คนที่ทำได้มากเขาก็เอามามาก คนก็ไม่ชอบ เราก็เป็นระบอบที่เหนือกว่าประชาธิปไตยเหนือกว่าระบอบคอมมิวนิสต์สุดยอดแล้ว เหนือกว่าเผด็จการด้วยก็ยิ่งแน่นอนอยู่แล้วเผด็จการเป็นเรื่องของการบังคับเขายิ่งไม่ต้องการให้ แต่เผด็จการมีอำนาจไม่ให้ก็ฆ่าได้ เขาก็จำนนซึ่งไม่ดี ดีต้องให้อิสรเสรีภาพ
ชีวิต นั้นพระพุทธเจ้าเป็นผู้ศึกษาชีวิตกับสังคม พบความเจริญสูงสุดของมนุษย์และสังคม ให้คนได้เรียนรู้ปฏิบัติตาม ในศาสตร์ทั้งหลายที่มีในโลกนี้มีทั้งเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์สังคมศาสตร์อะไรอย่างนี้ ถ้าทำความเข้าใจศาสนาพุทธเนื้อแท้ให้ถูกต้องนี้มันจบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ทุกศาสตร์อยู่ในนี้หมด
อาตมาว่าอาตมาฉลาดที่รู้อะไรดีที่สุดของมนุษยชาติ เพราะอาตมาเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า ก็พาทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าพาทำที่สุดดีที่สุดแล้ว ยิ่งทำมานาน นานจะได้ครึ่งศตวรรษแล้ว ก็ยิ่งเห็นจริงว่าพระพุทธเจ้านี้เข้าใจถูก เราเลือกไม่ผิดหรอก เรามาทำงานที่ดีที่สุดแล้ว ที่ควรจะทำพัฒนา ให้พวกเราศึกษาช่วยให้รู้ความเป็นจริงนี้ให้ชัดเจน อันนี้เมื่อชัดเจนแล้วผู้เข้าใจที่เห็นว่าอันนี้ดีที่สุด ก็มาร่วมกันทำ
อยู่ข้างนอกคุณเข้าไปแย่ง แย่งสมโลภ สมโกรธ สมหลง บําบัดความโลภความโกรธความหลงตัวเองมีมากหรือน้อยก็แล้วแต่ เสร็จแล้วก็ต้องเป็นหนี้ เป็นวิบากโลภ โกรธ หลงของแต่ละคน เพราะกรรมเป็นอันทำ กรรมเป็นของของตนกรรมเป็นทายาทธรรมของตนเองทำเป็นที่กำเนิดของตัวเอง กรรมเป็นเชื้อเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง กรรมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของตัวเอง กัมมปฏิสรโณแปลว่าการพึ่งพาสงคราม รณะ คือสงคราม ส คือเป็นการประกอบการกระทำการปรุงแต่งขึ้นเพื่อเหตุคือสงคราม(พอครูไอ ตัดออกด้วย)
อาตมาก็ยังหวังว่าพวกเราจะเกิดปัญญาเกิดความเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ควรทำ สถานที่เข้ามีหมู่กลุ่มก็มี มีโอกาสที่จะให้ทำด้วย เพราะความมารวมกันแล้วจะทำอะไร ก็เพื่อทำประโยชน์ให้คนอื่นอย่างน้อยให้เขารู้ความจริง ให้เขารู้ความประเสริฐพวกนี้ แล้วก็พาเขาทำอย่างอิสระเสรีภาพ เราไม่บังคับ แล้วเราก็มีชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ดำเนินชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อาตมาได้บรรยายและสอนพวกเราไปหมดแล้ว วันนี้ก็มาเตือนความจำพวกเราเท่านั้น นานๆก็มีเวลาก็มารวมกันก็มาย้ำเตือนย้ำเตือน อยากให้มารวมกันถ้าเรามารวมกันเป็นกลุ่มมีความ แน่นหนามีปริมาณมากก็จะเป็นพลังงานสร้างสรรศาสนา สร้างสรรวัฒนธรรม สร้างสรรพฤติกรรม สร้างสรรพลังงานที่จะทำออกไปสู่สังคมโลก ให้เป็นพลังงานที่ดีให้เกิดจากการประกอบการออกไปสู่มนุษยชาติให้แก่มนุษยชาติ อาตมาว่าได้ประสบความสำเร็จแล้ว โดยที่ไม่ต้องยึดถือเป็นเราเป็นของเรา อยู่ร่วมกันเราก็พอกินพอใช้ชีวิตของเราไปรอด ไม่ต้องกังวลว่าจะกินอะไรจะมีอะไรใช้ โดยเฉพาะไม่ต้องใช้ดอกเบี้ย ไม่มีการเป็นหนี้ที่จะต้องเสียดอกเบี้ย
อาตมาว่าพวกเรารู้หมดแล้วแล้วแต่จะทำหรือไม่ พวกเราความรู้ความเข้าใจและต้องเอาความจริงมาตอบก็ได้ว่าควรจะมาทางโลกุตระหรือโลกียะ สถานที่ในเมืองตอนนี้มันออกไปทางกว้างไม่ได้แล้ว มันเข้าแข่งกันสูงสร้างตึกสูงๆ ลงใต้ดินก็มี อยากจะให้พวกเราทบทวนดูว่าสิ่งที่อาตมาเรียกร้องนี้ควรหรือเปล่า มารวมกันนี่ ราชธานีอโศกต้องการให้คนมาอยู่สัก 1000 คนจนป่านนี้ปาเข้าไป 30 ปีแล้วยังไม่ได้คน 1000 คนเลย ไม่ใช่พันคือหลังคาเรือนนะแค่ 1000 คน หลังคาโดยหนึ่งอาจจะมี 2 คน 3 คน 5 คนก็แล้วแต่ ตอนนี้คน 1000 คนยังไม่ได้เลยมันไม่ง่ายนะ ทำไมเสน่ห์ของโลกีย์มันแรงจังเลย ไปหลงโลกีย์กันจัง เสน่ห์อะไรกันนักกันหนา อาตมาว่านี่มันน่าจะเป็นเสน่ห์ กลิ่นของศีล สมาธิ ปัญญา หอมหวลยิ่งกว่าอะไรดี แหม? กลิ่นสวะต่างๆ มันเน่า กลิ่นไม่ได้น่าหอมหวล ทำไมไม่มาเอากลิ่นของศีลสมาธิปัญญาวิมุติอันหอมหวล คนเรานั้นมันโง่หรือฉลาดนะ ...ตอบได้ไม่อายกันเลยนะเข้าใจเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอะไรมากมาแล้วพูดไปก็เข้าใจกันแล้วแต่ไม่ทำก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจนป่านนี้แล้วเมื่อยแล้ว ไม่เข้าใจก็เชิญเถียงมาเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ทำไมต้องใกล้ชิดธรรมะ
มีอะไรจะถามก็ถามมาเลย
_ศิษย์เก่า นาย..ถามว่า เมื่อเช้านี้นั่งรถมา เกิดความสงสัยเกี่ยวกับคำว่า ธรรม มีคำว่าใกล้ชิดธรรม แล้วธรรมคำนี้คืออะไร ทำไมเราต้องใกล้ชิดธรรม
พ่อครูว่า...ธรรมะนี้คืออะไร ธรรมะนี้คือไม่ใช่โรคเอดส์ไม่ใช่ขี้กลาก ไม่ใช่น้ำเน่าธรรมะนี้ไม่ใช่อาวุธร้ายนะ ธรรมะนี้ไม่ใช่ของน่าเกลียดน่าชัง เป็นของน่ารักเป็นของน่าได้น่ามีน่าเป็น จริงๆในพยัญชนะมันแปลว่าสิ่งที่ทรงไว้ คำว่าสิ่งที่ทรงไว้คือธรรมะ มันมีทั้งธรรมะที่ดีและธรรมะไม่ดี ถ้าไม่ดีก็เรียก อธรรม หรือให้เต็มคืออกุศลธรรม หรือทุจริตธรรมเป็นต้นก็เป็นสิ่งทรงไว้ซึ่งไม่ดีไม่ถูกต้อง สิ่งดีคือสุจริตหรือ ธรรมะเองก็คือส่ิงดีแล้ว
ทีนี้ความดีนั้นมี 2 ขั้น มีดีแบบโลกียะ กับโลกุตระ คนมีปัญญาจะแยกได้ โลกียะกับโลกียธรรม มันมีความแตกต่าง มันมีทางแยกโลกีย์กับโลกุตระตรงไหน
ธรรมะโลกุตระนั้น หนึ่งรู้จักกิเลสตน สองทำให้กิเลสตนเองตายไปได้ นั่นคือโลกุตรธรรม ส่วนโลกียธรรมไม่สามารถทำให้กิเลสตายไป อย่างดีก็ทำให้แค่สลบ ส่วนโลกุตระนั้นทำให้กิเลสตายจริง ตายอย่างสนิทไม่เกิดอีกเลย พูดได้เลยว่าศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธทำไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธทำให้กิเลสตายสนิทจากชีวิตผู้นั้นตลอดไปเลย อรหันต์นั้นคือผู้ที่เกิดกิเลสไม่เกิดอีกเลยตลอดไปเลย นิรันดร ตลอดไป Forever มีศาสนาพุทธเท่านั้นแหละที่ทำได้ เขาจะว่าเรายังเข้าข้างศาสนาพุทธก็ได้ มันเป็นสุดยอดของมนุษย์ที่ทำได้แล้วดีที่สุด ธรรมะที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นเป็นยอดของสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งที่คุณจะทรงไว้ในตัวเราไว้เรียกวาธรรมะ ทำให้อธรรมนั้นเราทำให้หมดไปเลยไม่มีอีกเลย ตั้งแต่ต้นทางของจิตเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง มันไม่มีพลังงานไม่มีการเคลื่อนของอธรรม ว่ามันไม่ทรงอยู่อีกแล้วไม่มีการเกิดอีกแล้ว ก็คงเหลือปรับพฤติกรรมที่ดี ส่ิงไม่ดีได้ตายไปสนิทได้ถูกอาวุธที่เรียกว่าบุญฆ่า
คำว่าบุญคำว่ากาย คนได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมากแล้ว คำว่าบุญสุดลึกซึ้ง เป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว คนเอาไปใช้ผิดๆ แม้แต่ในศาสนาพุทธเอง ยังทำบุญไม่ถูกต้อง คำว่าบุญไม่เป็นกุศ, ในตัวมันเองไม่มีคำว่าเป็นสมบัติเลยมีแต่วิบัติ ในตัวบุญเองไม่มีคุณสมบัติ มีแต่โทษสมบัติ มีแต่ฆ่า ไม่มีการสะสมเลยแล้วฆ่าแต่กิเลสไม่ฆ่าอย่างอื่นเลยนอกจากโจรคือกิเลสอย่างเดียว แล้วบุญนี้มีปัญญาร่วมอยู่ตลอด ปัญญาเลือกเฟ้นรู้จักกิเลสชัดเจน ทำลายกิเลสหมดถ้าหมดหน้าที่แล้วมันก็หายไป
บุญเป็นพลังงานที่เหมือนระเบิดนิวเคลียร์ ประกอบระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดนิวเคลียร์ทำงานเสร็จระเบิดระเบิดนิวเคลียร์อันนั้นก็หายไปไม่มีอีก บุญ ไม่มีอีกไม่เป็นสมบัติไม่เหลืออะไรเลยนี่คือความเข้าใจแต่เขาหลอกกันไปว่าต้องสะสมบุญเพราะเขาไม่สามารถประกอบบุญสร้างระเบิดนิวเคลียร์ได้ก็เลยกิเลสไม่ตาย ระเบิดอันยิ่งใหญ่ที่จะต้องมีประสิทธิภาพฆ่ากิเลสได้อย่างดีอันนี้แหละ เพราะฉะนั้นพวกเรานี้ที่นี่คือสำนักงานสร้างอาวุธสุดประเสริฐที่สุดในโลก คิมจองอึนก็สู้ไม่ได้ โดนัลด์ทรัมป์ก็สู้ไม่ได้รัสเซียก็สู้ไม่ได้ ปูตินก็สู้ไม่ได้ ไม่มีใครสู้ได้หรอก ต้องสร้างระเบิดนิวเคลียร์ที่ชื่อว่าบุญนี้เอาไว้ล้างกิเลสปราบกิเลสอย่างเดียวปราบกิเลสได้ทุกอย่างสำเร็จจบสิ้นเสร็จ เป็นความจริงที่สุดยอดไม่ต้องมีอะไรพิจารณาอีกเป็นaxiom เป็นความแท้จริงที่ไม่ต้องพิสูจน์อีกแล้วจบในตัวมันเองนี่แหละเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมของมนุษยชาติและในสังคม พวกเรามาสมัครเป็นข้าราชการของกระทรวงโลกุตระนี้ กันเถอะ ถ้าจะทำให้สังคมในยุคนี้ดีขึ้น ชีวิตนี้เราเกิดมาก็ต้องตาย อย่าเสียเวลากับโลกียะเลยมาร่วมมือกับทางนี้ดีกว่า ถ้าหากว่าราชธานีอโศกมีคน 1000 จึงจะดีมากเลย ตอนนี้ 500 คนเข้ายังไม่เข้าถึงเลย 39 ปีมาแล้วราชธานีอโศกนี้ตั้งขึ้นมา ตั้งแต่พ. ศ. 2537 มาถึงวันนี้ 23 ปีแล้ว
ตอนนี้เรามีอาคาร บวร มีเนื้อที่ 11 ไร่มี 2 ชั้นจะให้เป็นศาลาเอนกประสงค์ ถ้าไม่มีที่ค้าขายก็มา ไม่มีที่จะศึกษา ไม่มีที่จะทำงานวิจัย ชั้นบนจะให้เป็นการศึกษาการวิจัยและเป็นการสัมมนา อยู่ไม่เก็บเงินเก็บทอง พูดเลย ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อหารายได้ ถึงบอกไปคนก็ไม่ค่อยเข้าใจ คนทั่วไปก็สามารถมาค้าขายได้ขอ แต่เพียงว่าให้มีนิสัยดีหน่อยถ้านิสัยไม่ดีก็ออกไปก่อนเถอะ ถ้าหากนิสัยดีก็ให้สถานที่นี้เป็นที่เลี้ยงชีพได้ แต่จะทำเป็นโรงงานเป็นที่ปลูกพืชผักก็คงไม่ได้ ให้เป็นแหล่งขาย ชั้นบนให้เป็นการศึกษาจะตั้งห้องแล็บให้เป็นห้องวิจัยอะไรก็ได้ ให้มาแสดงเลย ต่างจังหวัดก็ยังไม่รู้เลยว่าเราสร้างอาคารนี้ทำไม ทั้งที่เราสร้างไว้เป็นขายของเป็นตลาดประชารัฐมาก่อนด้วยซ้ำและจะทำเป็นการศึกษาด้วยที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อสังคมประเทศชาติไม่เกี่ยง
ถ้าหากว่าทางจังหวัดจะมาใช้งานบ้างก็ยินดีเนื้อที่ 11 ไร่ก็ไม่น้อยที่จะทำงาน มันก็ดูใหญ่เหมือนกันนะ แต่คนเขาไม่ค่อยเชื่อน้ำหน้า ไม่เชื่อว่าอาตมาจะมีความคิดช่วยเหลือเขาแบบนี้ ก็ไม่เป็นไรคนเชื่อก็มารับบริการพวกเราเองเข้าใจอยู่แล้วก็ช่วยกัน ตอนนี้ก็มีศิษย์เก่าเข้าไปจองห้องไม่ได้เสียค่าอะไรสักบาท คนอื่นไม่มากันเดี๋ยวมันเต็มแล้วก็อย่ามาร้องนะ ตอนนี้ก็มีศิษย์เก่าหลายคนมาช่วยกันทำบางคนจะจอง 2 ห้องซึ่งมันก็ยาวมากเลยนะ นี่ก็บอกให้ทราบว่าได้เห็นว่าเราน่าจะมาทำบ้าง ก็รีบมาจองไม่อย่างนั้นคนข้างนอกหรือตัวมาเอาก่อนไม่เหลือนะ
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน จะสืบทอดระบบบุญนิยมได้อย่างไร
_มีคำถามว่าจะสืบต่อระบบนี้ได้อย่างไร ไม่ให้ผิดเพี้ยนไป
พ่อครูว่า...ก็พวกเรานี่ไงมาสืบทอดต่อไปแล้วก็อย่าทำให้ผิดเพี้ยนนอกระบบออกไป แต่คนอาจจะมีกิเลสอยู่บ้างแบบนี้ แบบนั้น แต่ก็จะไม่รุนแรงเท่าไหร่ ขอให้มีความรู้ความเข้าใจและประพฤติตามที่รู้ได้สำเร็จสำเร็จจริงๆ ทุกวันนี้คนอาจบอกว่าประเมินผลเร็วเกินไปว่าอาตมาประสบความสำเร็จในการทำชุมชนชาวอโศก ทำสังคมมนุษยชาติที่มารวมกันเป็นสาธารณโภคีได้ ซึ่งไม่ใช่ความรู้ของอาตมาแต่เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ให้คนเข้าใจและคนเข้ามาเองเป็นอิสรเสรีภาพ ไม่ได้หลอกล่อไม่ได้บังคับเลย ทุกคนมานี้โดยสมัครใจเองจริงๆแล้วก็ไม่รวมกันอยู่เป็นสาธารณโภคี กินอยู่กันในนี้ทำงานขยันขันแข็ง จะมีเกียจแอบแฝงก็อยู่ไป ให้ขยันขันแข็งเต็มที่ก็ทำไปก็เข้าใจกัน ถ้าคิดแอบแฝงก็รู้อยู่บ้าง ที่มันเกิดผิดใจกันบ้างมีทะเลาะกันบ้าง แต่พออยู่กันได้ก็ อยู่กันไปตามฐานะของแต่ละคนแล้วก็พออยู่พอกินอุดมสมบูรณ์ด้วย มันไม่มีของเป็นพิษด้วย ของที่คุณใช้อยู่ในสังคมชาวอโศกไม่มีสิ่งเป็นพิษมีแต่สิ่งใช้อาศัยอยู่กินสบาย สถานที่ทำให้ตอนตายก็มีไม่ต้องบอกแล้วว่าตายไม่ลงต้องไปจ้างเขาเผา สำหรับที่นี่ตายแล้วก็เผาให้ฟรี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความต่อเนื่องของการตายการเกิด
_ถามว่า เคยได้ยินคนพูดว่าตายปุ๊บเกิดปั๊บหรือเปล่า หรือว่าตายไปสู่สวรรคาลัยหรือตายแล้วจะมีภพเป็นช่วงพักไหมหรือเปล่า หรือเป็นแบบพระพุทธเจ้า เสด็จจากสวรรค์ขั้นดุสิต หรืออย่างไร
พ่อครูว่า...จิตวิญญาณเป็นอัตภาพพลังงานเกาะกุมตัวแยะสลายไม่ได้ง่ายๆ คนไหนได้จิตนิยามเป็นพลังงานจับตัวกัน มีคุณสมบัติถึงขั้นเป็นสัตว์ พอตายปุ๊บ ตัวอัตภาพนี้ก็จะไปตามกรรมที่สร้างวิบากเอาไว้ เกิดปุ๊บก็มี แต่ว่าคำว่าตายกับเกิดนี้ ถ้าไม่ได้สลายอัตภาพมันก็ต่อเนื่องกันทันที เป็นสันตติ
แต่ว่าอัตภาพของแต่ละคนมีวิบาก ตายปุ๊บจะเกิดมามีร่างเลยก็มีตามเหตุปัจจัย ตายแล้วไม่เกิดทันทีก็มี ต้องไปที่เรียกว่านรกหรือสวรรค์ นรกไม่ใช่วัตถุดินน้ำไฟลม สถานที่สวรรค์ก็ไม่ใช่วัตถุดินน้ำไฟลมสถานที่
นรกสวรรค์ก็คืออุปาทานคือสิ่งที่จิตเราโง่ไปหลงยึดว่ามันมี แล้วมันก็มีจริงๆเหมือนกับเรายึดถือว่ามันมีจริงๆ โอ๊ อันนี้เป็นความสวยอันนี้เป็นความสนุก มันไม่มีหรอกความสวยความสนุก แต่คุณเกิดรสอันนั้นในจิต ความอร่อยก็ไม่มีแต่คุณอร่อย สร้างเองบ้าบอลมๆแล้งๆ
เช่นอันนี้กล้วยคนก็กินเนื้อมัน เมื่อเอาเข้าไปแตะที่ลิ้นแล้วรสมันก็อย่างไร คุณจะเป็นชาติไทยชาติลาวชัดเขมรเป็นแขกฝรั่งจีน ก็รับรสเหมือนกัน คือความจริงของรสของมัน แต่มีภาษาเรียกต่างกันเท่านั้น หนึ่งจะเป็นรสเค็มหวานเปรี้ยวขมก็แล้วแต่ อันนั้นคือรสจริงแต่มีรสชาติที่ปลอมแปลงออกมาคือรสที่ชอบกับไม่ชอบ ที่คนหนึ่งบอกว่าพอใจชอบ อีกคนหนึ่งบอกว่าไม่ชอบไม่พอใจ นั่นคือตัวปลอมแท้ๆ ทั้งที่ของจริงมันก็เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นคนที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าจึงรู้สิ่งที่จริง ระหว่างสัตว์ทั้งหลาย สัมผัสทวาร6 เหมือนกันหมด ความจริงเป็นส่ิงหนึ่งเดียว แต่ที่มันชอบไม่ชอบผลักหรือดูดรุนแรง ดูดเอามาเป็นของเราหนักเท่านั้นเองที่เป็นพิษภัยหนัก เรียนรู้อันนี้แล้วอย่าไปโง่เท่านั้นเอง เอาความจริงตามความเป็นจริงเป็นรสชาติเดียวเหมือนกันหมดจบ นี่คืออรหันต์
เพราะฉะนั้นคนที่ตายไปแล้วมีสวรรค์หรือนรก ก็คืออุปาทานพลังยึดติดว่ามันมีจริงแล้วมันก็มีจริงๆ เหมือนอย่างบอกว่าอร่อย อร่อยมีที่ไหน ไม่มีอร่อยหรอก กล้วยก็รสอย่างนี้แหละ สีก็อย่างนี้ สีนี้สวยก็ไม่มี คุณสมมุติกันทั้งนั้นแหละ คนหนึ่งก็ว่าสวยอีกคนหนึ่งก็ว่าไม่สวย คนหนึ่งบอกว่าไม่อร่อย อีกคนหนึ่งก็ว่าอร่อยเท่านั้นเอง คนนึงพอใจก็อีกคนหนึ่งไม่พอใจ ก็ตัวใครๆโง่ก็เท่านั้นมันก็อย่างนั้น จะพอใจหรือไม่พอใจ ถ้าคุณต้องกินก็กินเข้าไปก็เท่านั้น ถ้ามันมีประโยชน์ต่อร่างกาย
สวรรค์นรกก็คุณยึดถือตั้งแต่เป็นๆโง่ด้วยภพนั้น คุณตายไปก็ยึดติดอยู่อย่างนั้น มันยึดอยู่นาน มันก็เป็นภพจะเป็นสวรรค์กับนรก ความทุกข์ ก็แล้วแต่ แต่สัจจะความจริงมีอยู่ว่าสวรรค์นั้นมันไม่เกิดนาน สวรรค์มันเร็ว แต่นรกมันนาน เพราะฉะนั้นจะอยู่อีกนานไหม...นาน
เพราะคุณยึดถือว่านรกเป็นสวรรค์ คนไหนที่ยึดถือสวรรค์ อยากอยู่กับสวรรค์นานๆๆๆๆ นั่นคือคุณมีนรกนานๆๆๆๆ เท่าที่คุณยึด
แล้วคุณก็อยากได้สวรรค์ สวรรค์กับนรก สวรรค์กับนรกไม่มี มันเป็นอันเดียวกัน คุณก็นึกว่านี่เป็นสวรรค์ๆๆๆ คนที่ยึดถือสวรรค์ประเภทซาดิสม์ ก็คือยึดถือสวรรค์ที่เห็นคนอื่นทรมานด้วยความรุนแรงโหดร้ายชอบ หรือสวรรค์แบบมาโซคิสให้กู ตัวเองเจ็บปวด นั่นคือสุดแห่งที่สุด คือชอบใจกับไม่ชอบใจ ชอบใจที่เห็นคนอื่นทุกข์คือซาดิสม์ กับชอบใจที่กูทุกข์ๆ เรียกว่ามาโซคิสเท่านั้นเองไม่มีเลย
ทั้งที่มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปสวรรค์คือของหลอกแล้วคนก็ไม่เข้าใจ ไขว่คว้าหาสวรรค์ สวรรค์ 6 ชั้นขี้หมาทั้งนั้น ไม่มีเลย ไม่จริงเลย มีแต่ นรกเท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
เพราะฉะนั้นสวรรค์หรือนรกก็คืออุปาทานของจิต เกิดสวรรค์นั้นไม่นาน สวรรค์นั้นหมดไปเร็ว แต่ความอยากได้นี้ยืนอยู่ยาว เรียกว่า ยามะ คือเวลาหรือยามหรือกาล อยากให้มันอยู่ยาวนาน แต่มันไม่ได้หรอก มันก็ต้องหยุด ดุสิตก็คือที่ที่พัก มันเย็นหยุด แต่ไม่พอหรอกมันจะต่อไป
คุณจะไปมีสวรรค์นรกก็คือสร้างเอง เหมือนกับคุณเป็นๆนี่ (พ่อครูหยิบกล้วยมาดู) แล้วบอกว่า ไอ้นี่อร่อยจริงๆเลย กล้วยอันนี้อร่อยจริงๆเลย อร่อยนั่นแหละคือสวรรค์ ไม่มีจริงเลย มันมีแต่ส่ิงจริงที่จะเข้าไปเป็นธาตุเลี้ยงร่างกาย ตามควร คุณชอบหรือไม่ชอบก็คือหลอกตัวเองทั้งนั้น
สวรรค์ นรก ก็คืออุปาทาน ถ้าคุณยังมีว่า รสอร่อยคุณชอบใจ สวรรค์ของคุณก็มี แต่มันไม่นานบอกแล้ว แต่จริงๆนั้นคือโง่ ไปยึดว่ามันมี นรกมันก็ไม่มีสวรรค์มันก็ไม่มี เมื่อไม่ยึดแล้วก็มีแต่ความจริงตามความเป็นจริงอยู่ในขณะมีผัสสะ6 หมดผัสสะ 6 ไม่มีอะไรสวรรค์ไม่มีนรกไม่มี
เพระอรหันต์เกิดปุ๊บ ถ้าท่านจะต่อจิต อรหันต์นี้จะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกก็ได้ถ้าจะเกิดอีกก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ถ้าจะเกิดก็เกิดมาสืบต่อศาสนา กตัญญูกตเวทีต่อศษสนา ก็มาช่วยคนอื่นต่อพระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว เราก็ไม่ใช่คนต่อถ้าเราจะปรินิพพานไปเหมือนพระพุทธเจ้าก็ทำได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7) ตอน ทำอย่างไรเมล็ดพันธุ์อโศกจะไม่กลายพันธุ์
_ศิษย์เก่าดวงถามว่า...ถ้าเปรียบเทียบเหล่าศิษย์เก่าก็คือเมล็ดพันธุ์ของชาวอโศก ดุดังเมล็ดพันธุ์ข้าวถูกพัดพาไปไกลถูกนกกาจิกกินไปบ้าง บางเมล็ดพันธุ์ตกอยู่ใต้ต้นโพธิ์ แต่ละเมล็ดก็ไปเกิดในแต่ละที่ ก็อยากถามว่าเมล็ดพันธุ์ที่เกิดตามแต่ละที่ แต่ละจุด ทำอย่างไรไม่ให้มันกลายพันธุ์ เพราะบางตอน บางอย่าง ก็เริ่มกลายพันธุ์หรือกลายพันธุ์ไปแล้ว ทำอย่างไรจะเชื่อมโยงเมล็ดพันธุ์ที่กระจายไปให้กลับคืนมาเต็มเมล็ดพันธุ์ที่แท้ได้บ้าง
พ่อครูว่า...คำถามนี้เป็นคำถามที่ยิ่งใหญ่ ทำอย่างไรจะไม่กลายพันธุ์ คุณจะต้องมีพลังงานเป็นอรหันต์ พลังงานจิตคุณเป็นอรหันต์แล้วไม่กลายพันธุ์ แต่ถ้าไม่เป็นอรหันต์ เป็นอนาคามีไม่กลายพันธ์ุหรอก อนาคามีจะกลายพันธุ์ในจิต เป็นรูปภพอรูปภพ แต่หากประมาทไม่สำรวม ปล่อยปละละเลยตัวเองปู้ยี่ปู้ยำตัวเองอนาคามีก็ตกต่ำเป็นกามเป็นอบายมุขได้แต่ว่าจะมีคุณภาพดีกว่า สกิทาคามี
ถ้าคุณได้คุณสมบัติคุณวิเศษนี้จริง คุณมาศึกษาฝึกฝนจนจิตคุณได้จริงก็เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ จริง ไม่กลายพันธุ์แต่ถ้าเผื่อว่าคุณไม่สึกษาให้จิตวิญญาณเป็นมรรคผลคุณก็ต้องกลายพันธุ์ ไม่ใช่หลอกล่อให้ปฏิบัตินะ คุณเชื่อหรือไม่เชื่อก็ศีรษะใครศีรษะมัน!
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีเท่านี้ เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกวว่าเรียกบอกแต่บังคับไม่ได้ ให้มารวมกันที่นี่ คุณแน่ใจหรือว่าคุณจะไม่กลายพันธุ์ ทุกวันนี้ถาม?...ตอบตัวเองสินี่ กลายไป คลายออกไปจากอยู่ที่นี่เท่าไหร่ เกือบหมดหรือยัง...มีเกินกว่าเก่าด้วย?
แต่ ขนาดนั้นก็ยังมี ก็ยังดีก็มีบางคนจะสามารถประคองเอาไว้ได้ รักษาไว้ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามาอยู่กับมวลมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี อาตมาก็บังคับไม่ได้ มาอยู่ด้วยความจริงด้วยปัญญา
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:09:36 )
รายละเอียด
601211_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ต้องโลกุตระจึงแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2560 ที่บวร ราชธานีอโศก ตอนนี้ เขาว่าข่าวทั่วไปมีแต่ข่าวที่ไม่ดี จะมีข่าวที่ดีอยู่บ้างก็คือข่าวของตูน Bodyslam มีมุมมองของว.วชิรเมธีบอกว่า จดหมายจากท่าน ว.วชิรเมธี... #ก้าวคนละก้าว #ก้าวนี้เพื่อหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคน” สำหรับเนื้อหาของจดหมายที่ท่าน ว.วชิรเมธี เขียนถึง ตูน ระบุว่า อาตมา รู้จัก ตูน และ ก้อย มาหลายปีฐานะนักร้อง
"ตูนไม่ได้วิ่งจากเบตงถึงแม่สายเท่านั้น แต่ตูนได้วิ่งเข้าไปในหัวใจคนไทยทั้ง 70 ล้านดวงด้วยอย่างสง่างาม"
การวิ่งของตูนนั้นยิ่งใหญ่มาก
ตูนต้องวางชีวิตลงเป็นเดิมพันเพื่อการนี้ สิ่งที่ทำก็เป็นปรากฎการณ์ระดับโลกไม่ลืม
แต่ตูน ก้อย และทีมงานก็น่ารักเหลือเกิน เพราะแม้จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ตูน ก้อย และทุกคนกลับอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง ตูนทำตัวต่ำติดเส้นดินเส้นหญ้า ตูนทำเหมือนกับว่า
ตูนไม่สำคัญอะไรเลย
"ความอ่อนน้อมถ่อมตน" และ
"การทำดีโดยไม่มีตัวตน" อย่างนี้นี่เองคือสิ่งที่ทำให้ "ก้าวคนละก้าว" ไม่ใช่โครงการของใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป หากแต่โครงการนี้ได้กลายเป็นโครงการของคนไทยทุกคนไปแล้ว
เป็นสิ่งที่น่าคิดว่า ตูนทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้คิดว่าตัวเองสำคัญ มีคนพยายามบอกว่าเขาคือฮีโร่ แต่เขาบอกว่าตัวเองไม่ใช่ฮีโร่ ฮีโร่ที่แท้จริงคือหมอและพยาบาลที่จะต้องวิ่งอีกยาวนาน แม้จะมีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาทำแบบคนโง่ๆแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ก็มีคนไปสัมภาษณ์เขา ถามว่าได้ฟังสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์หรือเปล่า เขาก็บอกว่าได้เห็น ก็ถามต่อว่าท้อใจหรือไม่ เขาก็บอกว่าไม่ท้อใจ คิดถึงเป้าหมายมากกว่า คิดถึงว่าคนที่โรงพยาบาลน่าจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ส่วนสิ่งที่เขาจะต้องจัดการ ก็คืออารมณ์ของเขาเอง นี่คือเขารู้สึกว่าเขาต้องจัดการกับอารมณ์ของเขามากกว่า อาตมารู้สึกว่า เมื่อเขาคิดอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมกับเพื่อนร่วมโลก ก็ทำให้เขาเกิดปัญญามีความฉลาดขึ้นมา ที่จะทำให้กรรมดีขึ้น
ในเราคิดอะไร เล่มต่อไป พ่อครูเขียนว่า ถ้ากรรมใด สามารถทำให้บริสุทธิ์สะอาดมากขึ้นเท่าใดก็เป็นสิ่งที่มีค่ามากขึ้นเท่านั้น ก็ดูว่า แม้เขาไม่ได้เรียนรู้ธรรมะปฏิบัติธรรม แต่เขาก็สามารถทำกรรมของเขาได้อย่างน่าชื่นชม ใครๆก็มองเห็นว่า เขาจะทำโดยไม่ได้คิดว่ากรรมนี้จะเป็นของเขา เขาไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ก็ทำให้คนร่วมคิดว่าเป็นโครงการของคนไทยทั้งประเทศที่จะให้การสนับสนุนเขา ก็มองว่าสิ่งที่เขาทำ มันเป็นการทำอย่างไม่มีตัวตน การลดตัวลดตนลงได้ อาตมาคิดว่าโครงการอะไรก็สำเร็จได้ เราก็คงต้องมาศึกษาเรื่องของกรรมกันต่อ ว่า
เรื่องของกรรมมีรายละเอียดว่าเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้กรรมของเราที่ทำไปเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ได้อย่างสูงสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ต้องใจเพชร จึงกล้าจน
พ่อครูว่า...อาตมาคงจะต้องพูดถึงเรื่องความจนหรือว่าการมาเป็นคนจน อีกนานพอสมควรเลยทีเดียว ในโลกขนาดนี้ยุคนี้ทุนนิยมจัดจ้านมาก ครอบงำความคิดของคน ให้คนหลงความรวย จนโง่ หลงความรวย จนเข้าใจยากมาก ว่าความรวยความจนมัน จริงๆแล้วมันไม่ใช่คุณสมบัติ หรือโทษสมบัติกับใครเลย ความจนหรือความรวย ไม่ใช่โทษสมบัติหรือคุณสมบัติของไทยและ
ถ้าจะต้องนิยามกันว่าคนจนคืออะไร คนรวยคืออะไร มันต้องนิยามกันให้ชัดเจน
คำว่าคนจนมันก็คือ คนที่ไม่สะสมวัตถุสมบัติ ไม่สะสมเอาไว้เป็นของตัวของตน ไม่เป็นของตัวของตัว ถ้ามันจะต้องมีบ้าง มันเป็นส่วนรวมอุดมสมบูรณ์ ก็ควรอุดมสมบูรณ์แล้วสะพัด เป็นต้นทุนที่จะใช้ทำงาน ยิ่งงานใหญ่กว้างก็ยิ่งต้องใช้ทุนมาก ใช้แล้วก็ทำงานให้มันเกิดผลผลิต ให้มันเกิดผลได้ขึ้นมามากขึ้นๆ แล้วนำผลได้ที่มากนั้น ออกไปสะพัดต่อผู้คน ส่วนตนเองนั้น แต่ละบุคคล มันไม่ต้องมากเพิ่มเลย
มีปัจจัย 4 แล้วมีบริขาร ยุคนี้มันไม่ใช่แค่บริขาร 8 ที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดให้ภิกษุเท่านั้น บริขารคือเครื่องใช้เป็นปัจจัยชีวิตจำเป็น ในยุคของพระพุทธเจ้ากำหนดให้ภิกษุมี 8 ชนิดเท่านั้น ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตที่ตั้งอยู่เท่านั้นเอง แต่ทุกวันนี้เท่าที่ตั้งอยู่มันไม่พอ มันต้องช่วยสร้างสรร กับมนุษยชาติ ยิ่งมีความรู้ความสามารถในการที่จะทำงานอาชีพ ทำกัมมันตะ เพื่อให้เกิดผลผลิต เพื่อให้เกิดสินค้า ให้เกิดสิ่งที่จะต้องเอาไปกินไปใช้ ของมนุษยชาติที่จำเป็น มันก็จะต้องมีพอสมควร แล้วก็สะพัด เกิดผลแล้วสะพัด เกื้อกูลกัน
เพราะฉะนั้นตัวบุคคลแต่ละบุคคลนั้น จึงเป็นคนที่ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวมาก ไม่มีรายได้ผลตอบแทนมาให้แก่ตนเองมาก ที่อาตมาพูดยืนยัน เอาตัวเองเข้าอ้างอิง เปรียบเทียบ เอาคณะหมู่อโศกไปยืนยันเปรียบเทียบ ซึ่งมันต่างจากตูน Bodyslam
คนที่เข้าใจอยู่ว่าแนวคิดที่จะไปตั้งตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่นนั้นมันต่ำ ต้องอ้างตัวเองต่ำกว่าคนอื่น แล้วตัวเองจะสูงกว่าคนอื่น นั่นอย่างนี้ก็เข้าใจกัน แต่ว่าอาตมาพูดความจริง ยิ่งเป็นความจริงที่จริงๆ เป็นความจริงที่ซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาเองขอแวะบอกตรงนี้
อาตมาเองไม่กลัวนะว่า ความจริงที่อาตมาเสนอ แสดง ประกาศอยู่นี่ อย่างที่อาตมาเป็นและหมู่อโศกเป็นและพาทำให้เป็น
ความจริงพวกนี้อาตมาไม่กลัวว่าคนจะไม่เข้าใจในอนาคต อาตมามั่นใจว่าคนจะเข้าใจในอนาคต เพราะว่าคนยุคนี้แสวงหาความจริงที่ลึกซึ้ง ซับซ้อนหลายชั้น ซึ่งคนเข้าใจยาก
ของอาตมาที่ทำ เป็นความจริงลึกซึ้งซับซ้อนหลายชั้น อย่างตูน Bodyslam นั้นไม่มากชั้นเท่าไหร่ มันพอเข้าใจได้ มันเป็นเรื่องของโลกีย์ธรรมดา แล้วมันก็เป็นเรื่องของการเข้ากับยุคสมัย ที่เป็นผู้ที่เสียสละเป็นผู้ให้นี้ใครก็ชอบใครก็ยินดี มันเป็นโลกียะ แต่ถ้าจะเป็นโลกุตระแล้วการให้นั้น คนให้ต้องให้แล้วกิเลสตนเองลดลงๆ จนไม่มีกิเลส การให้ทุกที ต้องกิเลสลดลง จนไม่มีกิเลส
แต่คนที่ให้ แล้วกดข่มจิตตัวเองได้ อ่านจิตไม่เป็น โดยเฉพาะไม่รู้จักตัวกิเลสสักกายะ ยังไม่เข้าข่ายโลกุตระ ตั้งแต่สังโยชน์ตัวแรก ต้องรู้สักกายะต้องรู้รูปนามของตัวเองเป็นธรรมะ 2
อาตมาพูดไปนี้เป็นภาษาธรรมะ ชั้นโลกุตระ เป็นบัญญัติที่ต้องใช้ ถ้าไม่ใช้ก็ต้องอธิบายขยายความมันจะยาววุ่นวายมาก ก็จำเป็นจะต้องพูดให้ลัดให้สั้น ตัดๆอย่างนี้ซึ่งก็จำเป็น คนก็เข้าใจยังไม่ค่อยได้แต่ก็จำเป็นจะต้องพูดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
อาตมาก็ชัดเจนตัวเองว่าโลกกำลังต้องการความฉลาดแบบโลกุตระ ความฉลาดและปัญญาไม่ใช่ความฉลาดแบบเฉโก แล้วเขาก็เดินทางเข้ามาเรื่อยๆ
อาตมาดีใจที่ตูน Bodyslam แสดงออกมันเป็นระดับความดีงามที่ชัดที่ดี สมัยนี้มันเห็นแก่ตัวจัดจ้านแล้ว ไม่ค่อยเฉลี่ยออกมาเลย องค์ประกอบที่ตูนแสดง มันเป็นเกี่ยวกับเรื่องความตาย เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของคน ตูนเอง เสียสละกำลังกายของตัวเองอดทนมากใช้สุขภาพตัวเองให้แข็งแรง ลำบากลำบนมากมาย ทรมานทรกรรมเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมาก แสดงออกและมีสิ่งตอบแทน ก็ไม่เอาเข้าตัวเองอีกก็เป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนเป็นการตอบแทนที่ชัด ซึ่งเป็นโลกียะธรรมดา ว่าคนไม่เอาไม่เห็นแก่ตัวพูดง่ายๆนี้ มันเป็นรูปธรรมที่ชัด แม้ใจจะมีกิเลสอยากได้ลึกซึ้งซับซ้อนหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้าจะละลาบละล้วงไปล้วงเข้าไป เพราะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมาก เหมาะสมกับยุคสมัย จึงเป็นที่ยอมรับของคนในประเทศไทย แม้แต่ต่างประเทศเขาก็ปฏิเสธข่าวคราวนี้ไม่ได้ ปฏิเสธสัจจะความจริงที่ตูนทำอยู่ตรงนี้ไม่ได้
แต่คนที่ให้ แล้วกดข่มจิตตัวเองได้ อ่านจิตไม่เป็น โดยเฉพาะไม่รู้จักตัวกิเลสสักกายะ ยังไม่เข้าข่ายโลกุตระ ตั้งแต่สังโยชน์ตัวแรก ต้องรู้สักกายะ ต้องรู้รูปนามของตัวเองเป็นธรรมะ 2 การให้ที่เข้าถึงโลกุตระนั้น คนให้ต้องให้แล้วกิเลสตนเองลดลง ๆ จนไม่มีกิเลส การให้ทุกที ทุกครั้ง ต้องกิเลสลดลง จนไม่มีกิเลส
ในความซับซ้อนตรงนี้ อาตมาก็ทำไปอย่างที่เห็น อาตมาก็เข้าใจ ทำไมไม่ลดลงไปทำไมจะต้องแข็งต้องยึดไว้ให้จัดจ้านจะต้องมาเป็นคนจน อะไรที่จะต้องดูเคร่งดูเหมือนเป็นความลำบาก อาตมาก็จำเป็นจะต้องยืนหยัดยืนยันอันนี้
เพราะแม้แต่ในประเทศไทย ผู้บริหารประเทศผู้ที่ดำเนินเรื่องราวที่จะใช้ปฏิภาณความรู้ ในเรื่องที่จะต้องบริหารเศรษฐกิจเป็นต้น ก็ยังบริหารเศรษฐกิจ ยังไม่มั่นใจ ยังเข้าใจไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว ต้องดำเนินตามศาสตร์พระราชา ต้องมาจน ต้องทำแบบคนจน ไม่ใช่คนจนที่ไม่ดี แต่เป็นจิตที่ต้องมีปัญญาความเฉลียวฉลาดโลกุตระ ว่า เป็นความฉลาดที่ไม่เหมือนโลกีย์ มันฉลาดกันอย่างมีความรู้ ความแน่ใจ ความมั่นใจ ความเห็นจริง และความเป็นจริง จิตใจมันเป็นจริง มันจะต้องมาจนจริงๆ แล้วก็รู้ยอมรับว่ากิเลสเรายังไม่หมดยังสั่งสม อยากรวยอยากมี ไม่กล้าจน มันยังมีอยู่ ถ้าไม่กล้ามาจนจริงๆ ถึงใจ ใจเพชรจริงๆ ไม่ใจเพชรจริงๆไม่มากล้าจน
ถ้ามีใจเพชร แล้วมีใจแข็งใจจริงใจยินดีมีปัญญาชัดเจนฉลาดก็พยายามที่จะทำให้ตัวเองจนได้จริงๆ ไม่ปล่อยให้กิเลสแฝงในตัวเองซับซ้อนหลอกคนอื่นต่อ ทุกวันนี้มีเยอะ ทำตัวเป็นคนรู้คนเข้าใจ แต่ความเป็นจริงยังไม่ถึงขั้นนั้น ถ้าคนรู้และเข้าใจจริง จะมารวมกันกับชาวอโศก ที่พาฝึก คนจะไม่กลัวชาวอโศก คนที่มาอยู่กับชาวอโศกนี้ อยู่กันอย่างสบายใจแม้แต่จะปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา คือปฏิบัติธรรมได้ยาก ตัวเองนั้นฝืนมาก ทวนกระแสโลกียะเข้าสู่กระแสโลกุตระไม่ค่อยได้ อดทนเอา แต่มันมีปฏิภาณปัญญาเข้าใจว่าอันนี้มันดีจริงๆ ตายก็ตายวะ มันเอาจริงๆ นั่นเรียกว่าศรัทธาแรง แต่ตัวปัญญาที่จะเป็นพลังงานที่ไปลดกิเลสมันยังไม่พอ พลังงานที่จะเป็นพลังงานทางปัญญาที่จะมีประสิทธิภาพ มีอุณหธาตุที่มีฤทธิ์มีประสิทธิภาพ ลด ไฟ ราคะ โทสะ มันไม่พอ อาตมาก็จำเป็นต้องพูดภาษานี้ ไม่เก่งที่จะอธิบายให้ละเอียดให้เข้าใจง่ายๆกว่านี้ ใช้ศัพท์ภาษาไทยง่ายกว่านี้ อาตมายังคงต้องใช้ภาษาบาลีใช้ศัพท์วิชาการ ไม่รู้จะทำอย่างไรให้มันเก่งกว่านี้
แต่อย่างไรๆเสียอาตมาก็ไม่เบลอ ไม่เผลอไม่เล่น ชัดเจนจริงๆมั่นใจจริงๆว่า ที่อาตมาเข้าใจนั้นและมุ่งหมายนั้น มันไม่ผิด พูดอย่างนี้ก็เหมือนกับดันทุรังอวดดี มันดูซับซ้อน คนไม่ชอบหน้าก็จะบอกว่ายึดมั่นถือมั่นตัวเอง ความเห็นตัวเอง ความเห็นคนอื่นไม่ถูกต้องเอาของตัวเอง ยืนยันว่า อาตมาไม่เปลี่ยนแปลงความเห็นเลย จะบอกว่านี่คือความยึดมั่นถือมั่น แต่มันคือความยืนหยัดยืนยันไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น
ความยืนหยัดยืนยันนั้นไม่ใช่ความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ความดันทุรัง นี่ไม่ได้พูดแก้ตัวแต่พูดด้วยความเข้าใจ มีปัญญาอันชัดเจน ไม่ได้มีสาเฐยจิต หรืออยากอวดโอ่อะไร พูดอย่างกระจ่างชัดเจน
ดร.สมคิด มีบทความว่า...ทิศทางเศรษฐกิจในเมือง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แนวทางประชารัฐ
การมอบหมายและมอบอำนาจให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีใน
1. กระทรวงการคลัง 1 กระทรวงการต่างประเทศ 1 กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 1 กระทรวงคมนาคม 1 กระทรวงพาณิชย์ 1 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1 กระทรวงอุตสาหกรรม 1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 1 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและ 1 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและงานนิทรรศการ องค์กรมหาชน
รวม 8 กระทรวง 3 สำนักงานสำคัญอันอยู่ในกรอบและขอบข่ายอันเรียกว่ากระทรวงและหน่วยงานทางเศรษฐกิจ
ถือว่าสำคัญอย่างยิ่งทั้งในทางการเมืองและในทางเศรษฐกิจ
ไม่เพียงแต่สะท้อนทิศทางใหม่ของรัฐบาล 58 ที่สำคัญเป็นอย่างมากยังสะท้อนถึงการยอมรับความเป็นจริงในเชิงการบริหารจัดการอันทรงความหมายยิ่ง
โดยเฉพาะจากคสช.และจากทหาร
บทบาทความหมายแนวทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าการปรับครมจะมีจุดเริ่มมาจากกระทรวงแรงงานนั้นถือว่าเป็นกระทรวงในทางสังคม แต่การปรับครมก็สะท้อนให้เห็นจุดเด่นเป็นอย่างมากที่เน้นไปยังกระทรวงในทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะกระทรวงในทางเศรษฐกิจนั้นถือว่าเป็นปัญหา
นั่นก็คือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นั่นก็คือกระทรวงพาณิชย์ และนั่นก็คือกระทรวงพลังงานที่มีส่วนฉุดดึงและทำให้การขับเคลื่อนในทางเศรษฐกิจของประเทศต้องสะดุดหยุดลง
สะท้อนให้เห็นว่าคสช.และรัฐบาลยอมรับความเป็นจริง
นั่นก็คือความเป็นจริงที่แม้รัฐบาลจากประยุทธ์ 1 มายังประยุทธ์ 4 จะสามารถก่อให้เกิดความสงบอย่างชนิดที่เรียกว่าราบคาบได้ในขอบเขตทั่วประเทศ แต่จุดอ่อนอย่างสำคัญที่ไม่สามารถอวดอ้างได้ด้วยความภาคภูมิยังเป็นเรื่องในทางเศรษฐกิจ
แม้จะทุ่มเม็ดเงินไปจำนวนหลายแสนล้านบาทใช้มาตรการภาษีครั้งแล้วครั้งเล่าทั้งลดแลกแจกแถม แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาได้
เสียงสะท้อนอันเป็นความเรียกร้องร่วมก็คือ อยากให้ปรับครม.เน้นทางด้านเศรษฐกิจ
การที่ครม.ประยุทธ์ 5 พุ่งความสนใจไปในทางเศรษฐกิจและมอบความหมายรับผิดชอบให้อยู่บนบ่าของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์จึงเท่ากับยอมรับความเป็นจริง
1 ยอมรับในทิศทางของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 1 ยอมรับในความผิดพลาดของตนเอง
บริหารจัดการแบ่งแยกปกครอง
บทเรียนไม่ว่าจะจากครม.ประยุทธ์ 1 มายังครม.ประยุทธ์ 4 แม้จะมีการเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีจาก หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล มาเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
แต่ก็ต้องยอมรับว่าข้อสังเกตจาก หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุลก็ยังดำรงอยู่
นั่นก็คือ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นรองนายกรัฐมนตรีและเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็จริง แต่ไม่ได้รับการมอบหมายให้กำกับดูแลบางกระทรวงอย่างเช่นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
นั่นก็คือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็จริง แต่ไม่ได้รับการมอบหมายให้กำกับดูแลบางกระทรวงอย่างเช่นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
ตรงกันข้าม มีรองนายกรัฐมนตรีอื่นไปกำกับดูแล หรือไม่ก็เป็นหน่วยงานในสังกัดหน่วยขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ตรงนี้แหละที่ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล สรุปว่า เป็นแบ่งแยกแล้วปกครอง
ซึ่งไม่เพียงแต่เกิดการลักลั่นในการบริหารจัดการระหว่างรองนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีขาใหญ่ในบางกระทรวงเท่านั้น หากแต่ยังทำให้ทิศทางการบริหารจัดการนโยบายเศรษฐกิจไม่ดำเนินไปอย่างเป็นเอกภาพและมีพลังอย่างแท้จริง
ผลก็คือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในฐานะกำกับงานทางด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นจริง
ครม.ประยุทธ์ 5 สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
การแบ่งงานให้รองนายกรัฐมนตรีโดยนายกรัฐมนตรีต่อครม.ประยุทธ์ 5 จึงเท่ากับเป็นการเริ่มมิติใหม่ที่งานทางด้านเศรษฐกิจอยู่ในความรับผิดชอบของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์อย่างแท้จริง
รูปธรรมก็คือรัฐมนตรีสายทหารถอยออก ไม่เพียงแต่ถอยออกจากกระทรวงเศรษฐกิจไปอยู่กับกระทรวงทางด้านสังคม หากแต่ที่เคยมอบหมายงานในลักษณะแบ่งแยกแล้วปกครองก็เปลี่ยนสะท้อนให้เห็นความไว้วางใจในแนวทางของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์เป็นอย่างสูง
เพราะแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็เปิดทางให้แนวทางเศรษฐกิจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ได้เบ่งบานอย่างเต็มที่
นั่นก็คือต้องการให้แนวทางประชารัฐไปเอาชนะแนวทางประชานิยม
นี่ก็คือการนำเอาจุดแข็งของพรรคไทยรักไทยมาปรับประสานให้เป็นประโยชน์ในทางความเป็นจริงด้วยการบริหารผ่านนโยบาย แปรนามธรรมแห่งความคิดให้เป็นรูปธรรมทางการปฏิบัติ
พ่อครูว่า...ก็เป็นการมองความซับซ้อนของกิริยาอาการลีลาของบทบาททางสังคม ของประเทศ อาตมาก็มองต่อไปว่า แนวคิดของ คุณสมคิด อาตมายังไม่อยากจะไป วิจารณ์ลงลึกมากนัก ตัว ดร.สมคิดเองก็เผยว่า ในหลวงรับสั่งให้รัฐบาลและครมดูแลคนจน ...
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 ธ.ค. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางมอบนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังคณะรัฐมนตรี ประยุทธ์ 5 เข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยในการประชุมครั้งนี้มีนายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรฯ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) ซึ่งหลังการรับฟังปัญหาและให้แนวทางแก้ปัญหาแก่เกษตรกร เพื่อปรับการทำงานแก้ปัญหาใหม่ ยึดศาสตร์พระราชาเป็นตัวตั้ง และตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม
นายสมคิด กล่าวหลังการมอบนโยบายว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 รับสั่งให้รัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดูแลประชาชนโดยเฉพาะคนจนผู้มีรายได้น้อย 30 ล้านคน ในฐานะรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในการดูแลภาคเกษตรฯ จึงดึงหลายหน่วยงานมาร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ แก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรอย่างครบวงจร ดังนั้นการมาครั้งนี้ไม่ได้มาล้วงลูกไม่ได้มาแทรกแซงการทำงาน แต่จะมาร่วมกับภาคเกษตรบูรณาการการทำงาน ทั้งภาคผลิต และฝ่ายการตลาดโดยกระทรวงพาณิชย์ มาร่วมผลักดันให้กลุ่มเกษตรกรมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น
กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส. และมหาดไทย จะบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งด้านการผลิต การตลาดของสินค้าเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพ โดยนายกฯ สั่งการให้ ปี 2561 ทุกภาคส่วนต้องกระจายรายได้ลงสู่รากหญ้าโดยเร่งผลักดันมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรระหว่างรอการเก็บเกี่ยว เพื่ออัดเงินลงสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด
“ธนาคารโลกออกรายงานว่า ปัญหาความยากจนของไทยเริ่มดีขึ้น และเริ่มเติบโตอย่างยั่งยืน (พ่อครูว่า...เพราะมีกลุ่มชาวอโศกมีรูปธรรมชัดเจน ปัญหาคนยากจนนี้หมดไปแน่นอน เริ่มเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย ในโลกนี้แม้แต่ธนาคารโลกไม่กล้าจะพูดหรอกว่าคนจะต้องมาเป็นคนจน แต่ถ้าจิตไม่ลดกิเลสได้จริง ก็ทำได้แค่ชั่วคราว ถ้าไม่ถึงแก่นถึงราก root ของตัวปัญหาคือกิเลสแล้วไม่ทำลายกิเลสจริง ถ้าทำลายกิเลสจริง ปัญญาจะเกิด ถ้าทำลายกิเลสตัวโง่ได้ อวิชชาลด วิชชาก็เกิด มันคู่กันเหมือนเหรียญสองด้าน อวิชชาลด วิชชาก็เกิด โดยไม่ต้องไปทำอะไรมัน ลดเหตุแห่งทุกข์ได้ สุขก็หมดไปตาม ไม่ต้องทำอะไรความสุขหรอก ต้นเหตุคือความทุกข์) จึงทำให้ช่องว่างทางเศรษฐกิจของไทยกับอาเซียนเช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ขณะนี้สัดส่วนมูลค่าการเกษตรของไทยมีสัดส่วนประมาณ 8-9% ของจีดีพีของประเทศ หากเทียบจำนวนเกษตรกรถือว่าน้อยมาก จึงต้องเร่งอุดช่องว่างนี้ ผลักดันให้กลุ่มเกษตรกรมีส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งด้านการผลิต การตลาดของสินค้าเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนภาคเกษตรมีรายได้สูงขึ้นส่งผลให้สัดส่วนภาคเกษตรในจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นได้”
นายสมคิด กล่าวว่า รัฐบาลต้องการดึงกระทรวงด้านเศรษฐกิจมาบูรณาการร่วมกัน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายใน ช่วยเหลือด้านการตลาด การผลิต ร่วมกับ ธ.ก.ส. โดยกระทรวงเกษตรฯกับ ธ.ก.ส.ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และดึงกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มาส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในชนบท เพราะเกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพของไทย เห็นได้จากจีนได้นำเทคโนโลยีมาพัฒนาด้านเกษตรฯ จึงผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดจำนวนมาก และทำให้แข่งขันตลาดได้ราคาถูก ขณะที่ไทยยังเผชิญกับต้นทุนสูง จึงต้องบริหารจัดการหลายด้าน
“ที่ว่างจากการเก็บเกี่ยว รอผลผลิตรอบใหม่ เกษตรกรจะต้องมีรายได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรจะเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับรายชื่อเกษตรกรที่ไปขึ้นทะเบียนคนจน เพื่อแก้ปัญหาเป็นรายครัวเรือน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะต้องเข้ามาช่วยเรื่องการตลาด ไม่ใช่ปลูกมาแล้วไม่รู้จะขายใคร ต้องดึงภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคส่งออกเข้าร่วมสู้กับปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำด้วย ที่ผ่านมาปัญหาภาคเกษตรที่สำคัญคือการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งไม่มีเจ้าภาพที่ชัดเจน จึงได้ให้นโยบายไปว่าพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และผลไม้จะต้องมีเจ้าภาพที่ระบุตัวบุคคลได้”
โดยเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการ คือ ปัญหายาง หลักการคือ ปัญหายางพาราเป็นปัญหาที่สะสมกันมา 15 ปีที่แล้ว ปลูกยางเฉพาะที่ภาคใต้ เสร็จแล้วก็ขยายไปปลูกภาคเหนือและอีสาน เพราะราคายางสูง ไม่มีสินค้าทดแทน ซึ่งเกษตรกรก็มีรายได้เพิ่มเติม แต่ 15 ปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันลด ผลผลิตล้นตลาด แต่ไม่เคยมีการคิดเพิ่มมูลค่าให้กับยาง ดังนั้นต้องแก้ไขปัญหา คือ ในระยะสั้น ถ้าจะประคองให้ราคานั้นอยู่ในภาวะที่เหมาะสม สมเหตุสมผลได้อย่างไร เรารู้ว่าต้นทุนการผลิตยางอยู่ที่เท่าไหร่ การที่ราคายางพารานั้นต่ำกว่าต้นทุนไม่ควรอยู่แล้ว ตอนนี้กระทรวงเกษตรฯ ก็กำลังหารือกับผู้ประกอบการ ส่วนในระยะยาว ในการทำราคายางให้เหมาะสม เพิ่มมูลค่ามากขึ้น
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ลดกิเลสได้นั้นยอดกว่าการเพิ่มเงินให้คน
พ่อครูว่า...ก็ขอสรุปเข้าเป้าว่าจะทำอย่างไร ก็ต้องทำอย่างโลกุตระ ทำอย่างไรอย่างไรคุณก็แข่งกับเขาตลอดเวลาแล้วก็สมบัติผลัดกันชม โลกียะไม่มีอะไรอย่างอื่นหรอก ก็เป็นสมบัติผลัดกันชม ใครมีมากก็ได้สบาย แต่ถ้าเผื่อมาลดกิเลส หมดความเห็นแก่ตัวหมดความโลภหมดความเห็นแก่ได้ แล้วจิตก็จะสบาย ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองทรัพย์สินอะไรมาก ลดอันนี้ให้จริง การลดกิเลสของคนได้จริงนี่นะ มันดียิ่งกว่า การเพิ่มเงินให้แก่คน ล้านๆๆๆเท่า
การลดกิเลสคนได้จริง มันยอดเยี่ยมกว่าการไปเพิ่มเงินให้คนล้านๆๆๆเท่า แล้วมันจะขี้โลภเพิ่มขึ้นๆ ไม่มีทางเบาไม่มีทางง่าย มีแต่ทางหนักหน้า
อาตมาว่าเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เถิด ศึกษาให้ดีๆ
ทำอย่างไรจะเรียกว่าทำแบบคนจน หรือมาขาดทุนคือเราได้กำไร ซึ่งจะต้องไม่ได้กลับมาเกินทุน ช่วยกสิกรก็ต้องได้กลับมาเกินทุน อย่างนี้ไม่จบ
เกษตรกรจะต้องมีเงินได้ต่ำกว่าทุนให้มีชีวิตรอด แหม ถ้ามาก็เห็นใจเขานะ เพราะจะทำให้เกษตรกรเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ก็จะต้องทำอย่างทฤษฎีพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เราเป็นอย่างนี้ได้เพราะทฤษฎีพระพุทธเจ้า ของในหลวงก็ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มันไม่มีอย่างอื่นเลยไม่มีทางเลือกอื่นเลย
ศาสตร์พระราชา พระราชดำรัสเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เคยอ่านไปแล้วแต่ขออ่านซ้ำ
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันที่ 18 กรกฎาคม 2517
“.....การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้.....”
(ปัจจุบันนี้ประชากรไม่พอกินพอใช้เพราะวิถีชีวิตเปลี่ยนไปเป็นซื้อกินซื้อใช้ ไม่ทำกินทำใช้ เลยมีผลให้หนี้สินท่วม ทั่วหน้ากัน)
พ่อครูว่า...พอกินพอใช้คือสันตุฏฐีธรรม เท่านี้เราพอ เกินกว่านี้เราสะพัดออก เท่านี้ก็คือเศรษฐกิจที่หมดความเห็นแก่ตัวแล้วด้วยพยัญชนะภาษา ตัวเองมีแค่นี้พอ ไม่เห็นแก่ตัว อาจจะมีความเห็นแก่ตัวอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เกินกว่านี้ไม่เอาแล้ว นี่คือขีดสันโดษ แล้วทำให้ตัวเองกินน้อยใช้น้อยลงก็พอกินพอใช้ แม้น้อยลง สุขภาพไม่เสีย แต่มีการสร้างสรรการพัฒนา ได้เงินมาก็เอามาพัฒนาต่อได้ มีการหมุนเวียน มีสมรรถนะมีปัญญาที่จะทำให้เจริญสูงขึ้นได้
พูดไปแล้วก็มามองวนมาถึงชาวอโศก มีอัตราก้าวหน้าขึ้นไป ใช้ทุนน้อยลง ใช้ค่าโสหุ้ยน้อยลง ประสิทธิภาพเกษตรดีมากขึ้นกล้วยลูกใหญ่ขึ้น ส้มโอลูกใหญ่ขึ้น ฟักแฟงลูกใหญ่ขึ้น มันเป็นผลจากประสิทธิภาพและความรู้ของเรา เราอุดมสมบูรณ์ พวกนี้จะเป็นไปตามที่เราทำอย่างถูกต้อง มันเกิดเองไม่ได้หรอกพวกนี้ เราช่วยมันให้ได้สัดส่วน ว่าเจริญ ของก็ดีขึ้น เอาไปขาย ก็ถูกลง ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวงปวดท้อง เอาไปท่องเลยสูตรนี้ เจริญถ่ายเดียว
คำว่าเศรษฐกิจเจริญคือความเป็นมนุษย์ วรรณะ 9
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
“.....การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป.....”
"...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่ พอมี พอกิน และขอให้ทุกคน มีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่ พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่ จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศ อื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้..." พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ 4 ธันวาคม 2517
..ประเทศไทยเราอาจไม่เป็นประเทศที่รุ่งเรืองที่สุดในโลก หรือรวยที่สุดในโลก หรือฟู่ฟ่าที่สุดในโลก แต่ก็ขอให้เมืองไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงมีความสงบได้ เพราะว่าในโลกนี้หายากแล้ว เราทำเป็นประเทศที่สงบประเทศที่มีคนที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันจริงๆ เราจะเป็นที่หนึ่งในโลกในข้อนี้...
...แล้วรู้สึกว่าที่หนึ่งในโลกในข้อนี้จะดีกว่าผู้อื่น จะดีกว่าคนที่รวยที่สุดในโลก จะดีกว่าคนที่เก่งในทางอะไรก็ตามที่สุดในโลก. ถ้าเรามีความสงบ แล้วมีความสบายความมั่นคงที่สุดในโลกนั้น รู้สึกจะไม่มีใครสู้เราได้...
พ่อครูว่า...ยอดเยี่ยมเลย อาตมาก็พยายามรักษาชีวิตให้มีชีวิตยืนยาวไปอีก
เพราะว่า ตอนนี้ ในโลกนี้มีของจริงเป็นจริงได้แล้ว โดยเฉพาะในเมืองไทย มันเป็นไปได้แล้ว ที่อาตมาประกาศไปแล้วว่านี่คือ ชมพูทวีป ที่พระพุทธเจ้าที่ตรัสเรียกว่าชมพูทวีป คือทวีปที่มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส
สุรภาโวคือ มีอาการแข็งแรงทั้ง 32 อาการ มีสติมันโต มีความรู้ตัวทั่วพร้อมต่อสัมผัสข้างนอก และรู้ตัวทั่วพร้อมไปถึงภายในที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ สัมพันธ์กันอยู่อย่างได้สัดส่วน มีปฏิภาณ รู้จักการสังเคราะห์สังขารกันอย่างได้สัดส่วนเสมอ สติ มีสัมปชัญญะ ปัญญาอะไรต่อไปอีกเยอะแยะ มีปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตาเป็นลูกโซ่ต่อไปอีก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า..เมื่อกี้นี้ พูดถึงเรื่องคนจน นึกถึงว่าที่นี่บ้านราชฯ แต่ก่อนนายกทักษิณมาเปิดโครงการพักชำระหนี้ ประกาศให้เราอบรมเกษตรกร ให้เราเป็นหมู่บ้านโมเดลเลย แล้วมีหมู่บ้านหินแห่ มาอบรมกลุ่มแรก เขาก็ประสบความสำเร็จ ชาวบ้านไปลดละอบายมุข มีนักข่าวไปทำข่าว แต่ตอนหลังไปทำข่าว ปรากฏว่าความสำเร็จที่ชาวบ้านเลิกละอบายมุข ธกส.กลับให้เงินกู้มากกว่าเก่า เอาไปเอามาชาวบ้านกลับเป็นหนี้มากกว่าเก่า นี่คือ เขาไม่มีภูมิต้านทานเพียงพอ พอประสบความสำเร็จแล้วรัฐบาลก็ให้เงิน บอกว่าอย่างนี้คือชาวนาที่มีคุณภาพ ก็ให้เงินกู้มากกว่าเก่า ก็เลยเป็นหนี้มากกว่าเก่า จึงเป็นทิศทางที่พ่อครูว่าเอาเงินมาแก้มันทำไม่ได้ ต้องเน้นการพอมีพอกิน
พ่อครูว่า..มาพูดซ้ำอีก เรื่องคนจน เรื่องขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
คนจนที่ประเสริฐอย่างพวกเรา พูดไปเหนียมๆเหมือนกัน แต่อาตมาไม่มีสาเฐยจิต อาตมายกตัวอย่างอ้างอิงความเป็นจริงที่เป็นไปได้ ที่ยกนี้ เพราะว่ามันเป็นไปได้แล้ว แล้วก็มีกลุ่มพวกเราที่แข็งแรง ก็ไม่รู้จะไปยกใคร อาตมาก็ไม่เห็นกลุ่มใดที่เหนือกว่าพวกเรา ถ้ามีก็เชิญมาพบกันหน่อยน่า อาตมาก็จะได้เห็นว่ากลุ่มไหนที่ไหนในไทยหรือเมืองนอก ถ้ามันมีดีกว่ากลุ่มนี้ ก็จะได้ตามไปศึกษา เราขาดตกบกพร่องก็เลยไม่แข็งแรงเจริญเท่าเขา ไม่ริษยาหรอก เพราะมนุษย์มีความเจริญก็ดีทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครมาแสดงออก อาตมาก็ไม่มีเวลาไปแสวงหา ว่าอยู่ที่ไหน พยายามต่ออายุขันธ์ไปก็เหลือแหล่แล้ว
ในหลวงตรัสว่า ถ้าใช้ตำราแบบคนจน แบบอะลุ่มอล่วย ตำรานั้นไม่จบเราจะก้าวหน้าตลอดไป และในหลวงตรัสเรื่อง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา Our loss is Our gain ขาดทุนคือเรากำไร เราเสียคือเราได้ เป็นสภาวะธรรมที่เจริญสูงสุด ไม่ใช่ภาษาพูดเล่นลิ้น ขาดทุนเราได้กำไร พูดไปแล้วเขาก็ว่าให้พูดซ้ำอีกที เขาก็นิ่งเฉยไป ก็หมายถึงว่าต้องการคำอธิบายอีก เราก็อธิบายว่า ถ้าเราทำอะไรแล้วเป็นการกระทำที่เราเสีย เสียคือเสียสละคือให้ แต่ในที่สุดก็ที่เราเสียนั้นแหละมันเป็นการได้ ท่านก็เป็นคนตรัสสั้นๆ ชัด ถ้าเข้าใจแล้วก็ชัด
เสียในที่นี้ย่อมไม่ใช่เสียหาย แต่มุ่งหมายถึงการกระทำที่เราไม่เสียสละ ซึ่งนัยที่เราได้เสียสละออกไปนั่นแหละมันเป็นการได้ อย่างนี้ไม่ชัดอีกหรือ คือได้ทำความดีที่สุดแล้วในมนุษย์
มนุษย์ใดที่ทำการให้ ยิ่งการเสียสละหรือการให้ใดๆออกไปแก่ผู้อื่น โดยไม่หวัง อะไรตอบแทนเลย ตรงกับพระพุทธเจ้าตรัสว่ายังมีจิต สาเปกโข ต้องอ่านอาการจิตตัวเองออกว่าต้องการจะได้อะไรกลับมา รู้อาการนี้แล้วหยุด อย่าให้มันเกิด ต้องทำจริงๆต้องสละจริงๆ ว่า จิตมันผิดไป ให้ก็ให้ เสียสละก็เสียสละ จิตอย่าไปหวังอะไรตอบแทน เห็นอาการจิตที่เราอยากจะได้อะไรตอบแทน สาเปกโขก็อย่าให้มันเกิด สาเปกโขคือหวัง เราก็ต้องไม่หวัง สาเปกโขคือ เป็นการทำเกินกว่าหนึ่ง สาเปกโขคือ กำลังกระทำการให้มากกว่าหนึ่ง
โข คือว่าง แต่ไม่ทำให้ว่าง คือทำมากกว่าหนึ่ง ป คือการกระทำ ป ผ พ ภ ม คือเจริญทั้งนั้น เอกคือหนึ่ง อาตมาแปลบาลีตามสภาวะ ต้นทางเลย ไม่ได้แปลตามพยัญชนะ ซึ่งคนเชื่อยาก อาตมาก็เห็นใจ เพราะว่ามันไม่มีหลักฐานอะไรรองรับ ถ้าจะพิสูจน์ก็ต้องติดตามมา ตามมาให้ดีๆจะเห็นถึงที่ได้ขยายความร้อยเรียงสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งตั้งแต่สูตรเล็กสูตรน้อยจนถึงสูตรใหญ่
มนุษย์ใดที่ให้ เสียสละได้ให้แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังหรืออยากได้อะไรตอบแทนเลย นั่นคือสุดยอดมนุษย์ผู้ประเสริฐ ต่อมาบอกว่า
สังคมมีความสามัคคีมั่นคงเป็นปึกแผ่นได้ด้วยการให้
“...ข้าพเจ้าเองก็มีความปีติเต็มตื้นใจ ที่ได้เห็นน้ำใจของทุกคนเช่นนี้ เพราะเป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นถึงคุณธรรมข้อหนึ่ง ที่ยังมีอยู่อย่างบริบูรณ์ในจิตใจของคนไทย ก็คือ การให้ การให้นี้ ไม่ว่าจะให้สิ่งใดแก่ผู้ใด โดยสถานใดก็ตาม ส่วนที่เป็นสิ่งที่พึงประสงค์อย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องประสานไมตรีอย่างสำคัญ ระหว่างบุคคลกับบุคคล และทำให้สังคม มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น ด้วยสามัคคีธรรม
นอกจากนั้น การให้ ยังเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขอีกด้วย กล่าวคือ ผู้ให้ก็มีความสุข มีความอิ่มเอิบใจ ผู้รับก็มีความสุข มีกำลังใจ สังคมส่วนรวม ตลอดถึงประเทศชาติ ก็มีความผาสุก มีความร่มเย็น ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะเห็นชาวไทย มีความสุขถ้วนหน้ากัน ด้วยการให้ คือ ให้ความรัก ความเมตตากัน ให้น้ำใจไมตรีกัน ให้อภัยไม่ถือโทษ โกรธเคืองกัน ให้การสงเคราะห์ อนุเคราะห์กัน โดยมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจ…” (พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 31 ธ.ค.2545)
ความเจริญทางเศรษฐกิจนั้นยึดหลัก 10 ข้อนี้
ถอดรหัสศาสตร์พระราชา 10 ข้อ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
1.ไม่เป็นหนี้(โดยเฉพาะหนี้ที่เสียดอกเบี้ย)
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. ให้เหลือกินเหลือใช้
4. เมื่อเหลือแล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น
5. สะพัดแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
6. สะพัดออก โดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
7. ไม่ต้องอยากรวยเลย
8. เรียนรู้จิตอย่า สาเปกโข คืออย่าตั้งจิตให้แล้วอยากได้อะไรตอบแทน
9. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
10. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคีเป็นดีสุด
ดังนั้น หากยังมีคอนเซพท์ มีกระบวนทัศน์ มีวิธีการ จะให้คนพากันมารวยอยู่ละก็ขอยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ การแก้ปัญหาสังคมให้เศรษฐกิจเป็นคนรวยอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีวันสำเร็จ จะได้ก็เพียง“สมบัติผลัดกันชม” คือ จะมีคนรวย-คนจนสลับกันไปมา ไม่มีจบ เพราะคนจะแย่งกัน“รวย”อยู่ตลอดกาล “ทีใคร-ทีมัน” หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป นิรันดร ตราบที่คนยังอยากเป็น“คนรวย” ไม่หยุดคิดจะรวย ไม่เห็นจริงว่า รวยนั้นไม่ดีเท่าจนอย่างมีปัญญาจริง การจะปัญหาเศรษฐกิจให้มีคนรวยที่ยั่งยืนตลอดกาลนั้น ไม่เกิดผลสำเร็จหรอก ขออภัยนะ ..เพ้อเจ้อแน่นอน
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ศีล 8 ในจุลศีล
เรื่องนี้เป็นศาสตร์พระราชา ทีนี้ศาสตร์พระพุทธเจ้า บ้าง
ศาสตร์พระพุทธเจ้าก็พูดถึงรากฐานว่าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ได้ด้วยการปฏิบัติไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา แม้ว่า จะเรียกกัน ไตรสิกขา อีกอันหนึ่งว่า ทาน ศีล ภาวนา
ถ้าทาน ศีล ภาวนา ถ้าไม่มีความรู้ไตรสิกขาปฏิบัติจนเกิดปัญญา จนเกิดความจริงที่รู้รอบ คุณไปทำทาน ศีล ภาวนานี้ มันเป็นผลสรุป ถ้าทำศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นเหตุ สร้างเหตุเจริญแล้วก็จะเป็นผู้ที่ให้ทาน ศีล ภาวนา ไปตามลำดับ ก็จะเกิดการทาน ปฏิบัติไปตามศีล ทานแล้วทำใจ ฝึกฝนศีล ตั้งแต่ศีล 5 ศีล 8 ศีล10 ไปตามลำดับ ศีล 9 ศีล 10 เป็นหลักใหญ่
ในจุลศีลมีซอยไว้ ทางกายวาจา ซึ่งถ้าสามารถเข้าใจหลักสูตรพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว อาตมาว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตั้งแต่เกิดประเทศไทย แล้วของเก่าแต่เดิม ของศาสนาพุทธ ก็เป็นของจริงที่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ เสร็จแล้วมาเพี้ยนเป็นมิจฉาทิฐิจนทุกวันนี้ จนอาตมาดึงกลับกู้กลับ ขออภัยที่พูดเหมือนใหญ่ แล้วพระผู้เจริญบางจำพวกท่านไม่รู้อย่างอาตมาหรือ ถ้าท่านรู้ก็ทำหรือช่วยกันทำ จะไม่แยกไป จะสัมพันธ์และช่วยกันทำ จะให้อาตมาไปร่วมก็ทำไม่ได้ เรากลุ่มน้อยไปรวมกับกลุ่มใหญ่กลุ่มน้อยก็จะถูกกลืนไม่เหลือ กลุ่มใหญ่อย่างไรก็ไม่มาทั้งกลุ่มหรอก ไม่มา ก็ทยอยมาก็แล้วกัน คนไหนแน่ชัดก็มารวมกัน จริงๆแล้วมารวมกันทั้งหมู่ใหญ่เราก็ไม่รับเหมือนกัน วิ่งหนี ถ้าเถรสมาคมขอมาร่วมกับเรา เราก็ว่าอย่าเพิ่งเลย จริงๆนะไม่ได้หยิ่งผยอง แต่เป็นสัจจะ
ทาน ศีล ภาวนา และศีล สมาธิ ปัญญา ต่างกันอย่างไร
ทาน ศีล ภาวนา เป็นผลจากการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ได้แล้ว
ปฏิบัติต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาให้เจริญในศีล เรียกว่าอธิศีล เจริญจิต เรียกอธิจิต แล้วตกผลึกตั้งมั่น เราก็เรียกอันนั้นว่าสมาธิ โดยมีปัญญา ความฉลาด ที่ไม่ใช่เฉโก โลกีย์ เป็นตัวร่วมรู้ตลอดกาล ขาดปัญญาไม่ได้ ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น แม้แต่ทำให้ลดละจับกิเลสได้ สร้างปัญญา พลังงานไฟ เรียกว่าฌาน สร้างพลังงานนั้น ขึ้นให้สำเร็จเรียกว่า ไฟฌาน แล้วมาจากทำลาย ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะไปตามลำดับ
เมื่อทำได้ตามลำดับ ศีลก็ค่อยก้าวศีล 5 เป็นศีล 8 ความเจริญของอธิจิตก็เพิ่มขึ้น ความเจริญของปัญญาก็เพิ่มขึ้น ความเจริญของวิมุติก็เพิ่มขึ้น ความเจริญของวิมุตติญาณทัสสนะก็ตามไป ก็เป็นศีล 10 ก้าวจากศีล 8 ซึ่งมียาว
นัจจะ คีตะวาทิตะ มาลาคันธวิเลปนา
ศีล 8
มีตั้ง 10 ตัว กองพูนเลย
นัจจะ คือท่าทีลีลา กายวิญญัติ แสดงออกทางกายวิญญัติ
กายวิญญัติหมายถึงองค์รวมของท่าทีลีลาทางกาย และองค์รวมของวาจา องค์รวมของจิตที่ได้เป็นสัมมาหมด เป็นองค์รวม ขึ้นมานั้นเรียกว่ากายทั้งหมด
ต่อมา วจีวิญญัติ คือไม่มีท่าทีลีลาอะไร นั่งนิ่งๆมีแต่เสียงพูด จะใช้เสียงหนักเสียงเบาเสียงแรงเสียงนิ่มนวลอย่างไรก็แล้วแต่ เสียงเน้นเสียงไม่เน้นอะไรก็แล้วแต่ ก็คือเฉพาะ วจีกับมโน เป็น วจีวิญญัติ เอาเฉพาะวาจา
วาจาก็มี คีตะวาทิตะ วาทิตะคือภาษาที่คัดเลือกมาพูด เป็นร้อยกรองไม่ใช่ร้อยแก้ว กับสุ้มเสียงสำเนียงจะให้ดังให้เบา จะให้สั้นหรือยาว คือคีตะ สุ้มเสียงสำเนียงต่างๆ เรียกเป็นเสียงเพลงเสียงดนตรี ก็คือคีตะ มีทั้งสั้นทั้งยาว สูงหรือต่ำ หนักหรือเบาต่างๆนานา เสียงสารพัด หลายมิติ ก็จัดให้พอเหมาะ
วจีวิญญัติ จึงมีวจีกับภาษาที่คัดเลือกมาใช้ ไม่ใช่ภาษาทั่วไป คัดเลือกที่เหมาะมาใช้ มีคีตะกับวาทิตะเรียกว่าวจีวิญญัติ มีมโนเป็นตัวประธานเลือกสรรมาใช้ ประมาณการใช้
ส่วนมโนนั้น บางทีก็เรียกว่า มโนวิญญัติ คือการปรุงแต่งของมโน การจัดสรรของจิต การจัดการของจิต คือจิตของผู้ที่ปฏิบัติก็พยายามทำจิตของตนเอง มนสิกโรติ ทำจิตจัดสรรให้มีทั้งประธาน บวกลบ มีอิตถีภาวะ ปุริสภาวะ สามเส้านี้ บวกลบคูณหารกันให้ได้สัดส่วน มีพลังงานบวกลบ รับกับตัวประธาน
สามเส้านี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่าง พลังงานที่ทำ สามเส้านี้ถือว่าหนึ่ง จนเป็นล้านๆๆๆเอกภพเลย จะเป็นความปฏิภาคทวีหมุนรอบเชิงซ้อนเป็นระบบ ไม่ใช่ chaos คนถึงเข้าใจได้ยาก เหมือนกลุ่มไหมกลุ่มด้ายที่พันกันแยกไม่ออก เลยต้องทำไปทีละส่วน อธิศีล อธิจิต
เมื่อเกิดศีล 8 มาลา คือของสวย คันธะ คือของหอม
วิเลปนะ คือสิ่งที่ประดับผิวพอกทา
ธารณะ แปลว่าสิ่งที่ทรงไว้
มัณฑนะ คือ ประดิดประดอยตกแต่งเพิ่ม
วิภูสนัฏฐานา คือ ใหญ่ คือฐานที่ตั้งสูงขึ้นใหญ่ขึ้น
สรุปง่ายๆด้วยความเข้าใจก็คือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ท่านเอาแค่ มาลาคันธคือรูปกับกลิ่น มาลาคือรูปสวย คันธคือกลิ่น วิเลปนะคือสัมผัสเสียดสีพอกทา สัมผัสติดกับร่างกายเลย แล้วก็ตกแต่งเพิ่ม มัณฑนะ create สั่งเพิ่มขึ้นไปอีกไม่หยุดหย่อน มันก็ใหญ่ วิภูสนัฏฐานา คือสถานที่ตั้งกองใหญ่ขึ้นๆ ถ้ากองใหญ่ขึ้นๆ ถ้าโลกียะก็เอาปลายแหลมปิรามิดตั้งไว้นิดเดียว ถ้าโลกุตระจะเป็นฐานใหญ่ แล้วขึ้นมาหาปลาย
ฐานกว้างแล้วปลายค่อยสูงขึ้น เสริมฐาน ปลายก็เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ
แต่ปลายของโลกียะจิ้มอยู่ข้างล่าง แต่ฐานอยู่บนแล้วเพิ่มฐานขึ้นได้เรื่อยๆ มันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร มันก็หัวหกก้นขวิด
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้โมเมพูดเล่น แม้จะเอาอะไรมายกตัวอย่างเปรียบเทียบให้ฟัง มันก็เป็นสัจจะทั้งนั้น
จากศีล 8 มาศีล 9 ยกไว้ในฐานที่เข้าใจ ท่านขึ้นศีล 10 เลย มันเป็นความใหญ่
อุจจาสยน มหาสยนา คือเลิกใหญ่ ไม่ว่าจะใหญ่ด้านไหนมุมไหนมิติไหน หรือมาก ปุถุนี้แปลว่ามากอ้วนใหญ่โตหนา ทั้งนั้น ทุกมิติเลย ที่มันยิ่งขึ้นๆ ทั้งอ้วนใหญ่โตหนามาก ทุกมิติ
สรุปแล้ว อุจจาสยน มหาสยนา คืออย่าหลงใหญ่หลงมาก จะต้องเลิกความใหญ่ความมากมีเงินมากมาก ลาภมากๆ ยศมากๆ สุขมากๆ มีอัตตามากๆ ก็สรุปเข้าเป้าก็บรรลัย
ถ้าเราทำได้ ศีล 8 แล้วก็ให้มันเกิดแบบ ศีล 10 ก็ทำให้มันเกิดแบบนี้ได้ ขยายเป็นจุลศีล เราก็ไล่มาเรื่อยๆ
พ่อครูว่า...การกระทำอะไรที่เป็นข้าศึกแก่กุศล ก็ผิดศีล อย่าไปตัดเลยหมดก็ไม่ได้ ฟ้อนรำ การละเล่นอะไรก็ไม่ได้ ก็ตายกันพอดี และเน่าง่ายด้วย
ทุกวันนี้อาตมาก็ภาคภูมิใจ โต๊ะตั้งอะไรให้มา อันไหนดูหรูหรา ก็ผ่องถ่ายให้คนอื่นไป มีสิ่งที่อาตมาใช้ของแพงก็คือเก้าอี้ ใช้มาหลายปีเพื่อสุขภาพ สั่งมาจากอเมริกา ผู้อนุเคราะห์เขาก็ส่งเสริม อาตมามีไม่รู้กี่ตัว
สมณะเดินดินว่า...การพัฒนาถ้าไม่มีโลกุตระก็จะไม่ยั่งยืน และถอยหลังอย่างน่ากลัว โลกุตระนี้จะเกิดได้เพราะเราลดกิเลส วันๆหนึ่งเรามีผัสสะมากมาย เราเคยทบทวนหรือเปล่าว่ากิเลสเราลดหรือเพิ่ม…
ยูทูป https://youtu.be/K9yQq_6iA4I
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:12:07 )
รายละเอียด
601213_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตามภูมิโพธิรักษ์คิด
สมณะฟ้าไทว่า…มีวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก ทุกวันนี้สังคมวุ่นวายเดือดร้อน แต่ก่อนมีแต่กระดานชนวนจับดินสอหิน เวลาไปเรียน ก็สนุก แต่ทุกวันนี้แบกกันหลังแอ่น
เมื่อครั้งที่ผ่านมา พ่อครูให้หลักการในการเศรษฐกิจไว้ ประมาณ 10 หลัก เป็นต้นว่า
1.ไม่เป็นหนี้(โดยเฉพาะหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ย)
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. ให้เหลือกินเหลือใช้
4. เมื่อเหลือแล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น
5. สะพัดแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
6. สะพัดออก โดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
7. ไม่ต้องอยากรวยเลย
8. เรียนรู้จิตอย่ามีสาเปกโข คืออย่ามีความหวังทุกครั้งที่เรามี“การให้” หรือ“ทาน”แล้ว อย่าอยากได้อะไรตอบแทน
9. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
10. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคีเป็นดีสุด
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า...ก็มาพูดถึงเรื่องที่ซ้ำซากวนเวียน เพราะต้องพูดกันให้ชัดเจนเป็นหนึ่งเดียวกัน เอาให้ชัด ขออภัยต้องกล่าวถึง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เพราะว่าเป็นหัวหน้าที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านก็เรียกแนวทางของท่านว่า ประชารัฐ ซึ่งก็มีผู้ที่สรุปมาลงในสื่อ อาตมาหยิบของมติชนสุดสัปดาห์ เคยเอามาพูดแล้ว วันนี้ก็เอามายืนยันอีกทีหนึ่ง
อาตมาเข้าใจนะ อาตมาเห็นว่าแนวคิดของ ท่านสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังมี Concept หรือว่ามีวิธีการที่ ยังมุ่งจะให้คนไปรวย เท่าที่อาตมารู้สึกเชื่อ เห็นจริงว่า จิตใจของท่านไม่เชื่อ จะมาโน้มน้อมให้คนมาจน ยังเชื่อมั่นว่าไม่ได้หรอก โน้มทำให้เกิด trend ให้จิตคนมาจนนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้หรอก ผิดถูกอาตมารับผิดชอบที่พูดไป ถ้าท่านสมคิด คิดเห็นอย่างไรได้ฟังก็ช่วยตอบมาด้วย ดอกเตอร์ระดับปัญญาชนเช่นนี้ก็ไม่น่าจะเข้าใจยาก อาตมาก็ขอสาธยายตามภูมิปัญญาของอาตมาที่ได้เรียบเรียงมาว่า
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ
ตามภูมิโพธิรักษ์คิด ส่วนใครจะทำ ให้สมคิดก็แล้วแต่
ข้อที่ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง อย่างน้อย ก็มีชาวอโศกที่ ไม่มีทางรวย และยอมจนอยู่อย่างนี้ไม่ขอเปลี่ยนแปลง เหนียมๆหน่อยที่จะพูดว่า เป็นคนจนผู้ประเสริฐ ขอยืนยันนะ
ข้อที่ 2. และการจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในประเด็นเช่นนี้
ข้อที่ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า เราจะทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่ากาละใดๆ พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น
ข้อ 4. ไม่มีใครหรอกในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศหายจนไปทุกคนได้หมด มันเป็นไปไม่ได้เลย ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกให้เป็น ไม่ได้ แม้แต่พระเจ้าก็เสกให้คนนั้นประเทศนี้เศรษฐกิจดีขึ้นไม่ได้
ข้อ 5. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการให้คนทั้งหลายรู้แจ้งรู้จริงว่า คนที่เข้าใจ“ความจน” และคนผู้นั้นตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”ในสังคมให้ได้จริงๆ ด้วยความมี
ปัญญา(ไม่ใช่เฉโก) นั้นประเสริฐจริง
ข้อ 6. ปัญญาที่ว่านั้นคือ ต้องเป็น“คนจน”ที่เข้าใจจริงๆ ว่า เราเป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออก ผู้อื่นที่แร้นแค้นจะได้รับไป หายขาดแคลน เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้
ข้อ 7. คนที่แข็งแรง คนที่มีความรู้ มีสมรรถนะ คนที่ขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ ย่อมพึ่งตนเองได้จริง ไม่มีวันขาดแคลนง่ายๆเลย จึงควรเป็น“คนจน”เสียเอง จะได้ไม่กักตุนไว้ที่ตน กระจายออกไปสู่คนที่ควรได้ควรมี ควรรับไปใช้ไปกินบ้าง เป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง
ข้อ 8. ควรให้คนที่ไม่แข็งแรง คนที่ไม่มีความรู้ คนไม่มีสมรรถนะ หรือคนที่จำเป็นต้องช่วยเหลืออนุเคราะห์ เช่น เด็ก คนเจ็บป่วย คนแก่เฒ่าแล้วช่วยตนเองไม่ไหวแล้ว คนพิการกาย คนพิการสมอง คนที่ต้องทำงานช่วยคนอื่นช่วยประชาชนส่วนใหญ่อยู่ตามหน้าที่ต้องรับผิดชอบจริง คนสุดวิสัยต่างๆที่จำนนต้องช่วย
ข้อ 9. ปราบคนขี้เกียจ และคนขี้โกง ให้เด็ดขาด อย่าไว้หน้า อย่าละเว้น เพราะเขาทำบาปให้ตนเองจริงๆ ไม่ดีเลย อย่าปล่อยให้เขาทำบาป เขาน่าสงสารแท้เพราะโง่ อย่ายกเว้นแม้แต่พี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เขาจะมีแต่ได้สะสมอกุศลวิบากใส่ตน
ข้อ 10. ผู้มีปัญญาจริงนั้น เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจแท้จริงอยู่เสมอตลอดกาล อาตมาอยากให้คนมามีจิตสุขสำราญเบิกบานตลอดกาล ใครได้ลิ้มรสนี้บ้าง…(ยกมือกันส่วนใหญ่)
พวกคุณมานั่งแอบรวยอยู่ที่นี่ไหม? ...ก็เป็นคนจนกันนี่ แล้วไม่สุขสำราญเบิกบานใจหรือยังไรมันยังฝืนยังลำบากอยู่หรือไง ถ้ามันยังไม่ดีก็ยังไม่กล้ายกมือก็มี
ข้อ 11. ผู้มีปัญญานั้นรู้แจ้งจริงว่า “ความจน”ไม่ใช่ความน่าเกลียด ไม่ใช่ความน่ากลัว ไม่ใช่ความต่ำต้อย ไม่ใช่ความน้อยหน้า ไม่ใช่ความมีเศรษฐกิจเสื่อมถอย ไม่ใช่การเบียดเบียนคนอื่นประเทศอื่น ไม่ใช่ความเดือดร้อนยุ่งยากตนเองแต่อย่างใด แต่ชัดเจนชัดแจ้งแท้จริงว่า “ความจน” นั้นมันยิ่งเบากายสบายใจต่างหาก ไม่มีภาระ ภาระเบามากๆ
แต่ทำงานมันก็ต้องมีเหนื่อยมียาก ใครว่าอาตมาทำงานยากไหม? ยากสาหัสเลย
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าง่ายอาตมาก็ช่วยทำได้ไม่ต้องให้พ่อครูเหนื่อยมากหรอก
ข้อ 12. ความจนอันประเสริฐ ไม่ใช่เรื่องที่คนจะต้องวิ่งหนี แต่เป็นสภาพที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ น่าได้ น่ามี น่าเป็น ที่พูดนี้เป็นสภาวะจริง มีเป็นชุมชนหมู่บ้านเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นคน
ข้อ 13. คนจนผู้ประเสริฐ คือ ผู้มีปัญญาจริง ไม่ใช่ยังมีแต่เฉโก จึงเข้าใจจริงๆว่า การเป็น “คนจนผู้ประเสริฐ” นั้นดีแท้ๆจริงๆ เพราะทั้งปลอดภัย ทั้งไม่เบียดเบียดผู้อื่น ไม่ทำร้ายผู้อื่น ทั้งได้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ จึงเป็นคนมีประโยชน์แท้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นจริง
เพราะตนก็ไม่เบียดเบียนตน และทั้งไม่เบียดเบียนผู้อื่น เนื่องจากตนเป็นผู้มีความรู้มีสมรรถนะสร้างสรรขยันพากเพียรอยู่แท้ จึงมีผลผลิตมากอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอไม่ขาด มีมากมีล้นเกินอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ จึงมีเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นแท้
ข้อ 14. แต่เป็นผู้ทำตนให้เป็น“คนจน”ด้วยตัวเอง ด้วยความตั้งใจจน เต็มใจจน และตนมุ่งมั่นมีไว้แต่น้อย(อัปปิจฉะ) จึงเป็น“ความจน”ที่ตนพอมีพอกิน เพียงแต่ตนมี “ใจพอ” (สันโดษ,สันตุฏฐิ) ตนไม่เดือดร้อนดิ้นรนกอบโกยมาสะสมอีก พอแล้วก็หยุดแค่นี้ จึงชื่อว่าสงบอยู่(ปวิเวก) เพราะตั้งใจมีแค่นี้ไม่สะสม(อปจยะ)ไว้ที่ตนมากกว่านี้ แต่ขยันยิ่งอยู่เสมอ(วิริยารัมภะ) เมื่อเป็นคน“เอาไว้แต่น้อย,มักน้อย(อัปปิจฉะ) จึงจน จึงเป็นคนจนจริงๆ แต่ไม่สะสมไว้ที่ตน จึงแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นแก่สังคมส่วนรวมจริง
ข้อ 15. ตนจึงเป็น “คนจน” เสมออยู่จริงตลอด
ข้อ 16. การเป็น“คนจน”ที่อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนผู้ประเสริฐดังว่านี้ จึงทำให้สังคมทรงอยู่ได้ ดำเนินไปได้ แม้คนอื่นจะขี้เกียจและขี้โกง กอบโกยหนัก รวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ไม่มีจบสิ้น ก็ยังชื่อว่า เราเป็นส่วนที่ช่วยอุดหนุนจุนเจือสังคมอยู่แท้ พอบรรเทาทำให้สังคมไปได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งยากแค้น แก่งแย่ง กระชากชิง ทำร้ายกันกว่านี้
ข้อ 17. จึงเห็นจริงว่า ต้องมี“คนจน”ที่เสียสละอย่างนี้ เพราะคนที่เขาไม่ยอมจน เขาไม่ยอมจริงๆ เราจึงต้องมาเป็น“คนจน” ไม่เช่นนั้น ไม่มีส่วนใดที่จะช่วยสังคมอยู่ ถ้าไม่มีลักษณะของคนในสังคมเช่นที่ว่านี้
ข้อ 18. แม้เป็น“คนจน”แต่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถขยันสร้างสรรอยู่จึงมีมากอยู่เสมอ อุดมสมบูรณ์ มีเหลือมีเกินอยู่เสมอ และได้สะพัดเผื่อแผ่ผู้อื่นอยู่ตลอดอย่างสุขใจจริง และสะพัดชนิดที่“ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา”อีกด้วย เรียกคนเช่นนี้ว่า คนจนที่มีความประเสริฐ(ตามคำตรัสของในหลวง ร.9 ตรงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า)
ข้อ 19. นี่คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แล้ว เป็นจริงแล้ว สำเร็จแล้ว ต้องมี“กตญาณ” ไม่ใช่ไม่มีที่จบ ไม่มีการจบกันสักที
เมื่อไม่รู้“ความเป็นไปได้ที่ควรเป็นอย่างแท้จริง” และไม่รู้“ความจบ” หรือไม่มีที่จบ ก็ต้องร้อนใจอยู่ตลอด เพราะไม่รู้แล้ว ไม่รู้จบ จึงมีทุกข์ไม่มีจบสิ้นได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
โลกนี้ก็มีความมีกับความไม่มีนี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พระไตรปิฎกล. 16 ข. 43
[43] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน 2 อย่าง คือ ความมี 1 ความไม่มี 1 ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก(โลกสมุทัย)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก นตฺถิตา สา น โหติฯ) เมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลก(โลกนิโรธ)ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี(โลเก อตฺถิตา สา น โหติฯ)
ข้อ 20. ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจใน“มิติ”ที่หมายเอาแค่ว่า จะทำให้ประเทศไม่มีคนจน ทำให้คนหายจนให้ได้มากที่สุดนั้น จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดี ที่ประเสริฐเลย
เพราะวิธีที่ไปตั้งใจ หรือตั้งความคิด ว่าจะรวยๆๆๆ แล้วหวังจะให้คนในประเทศของเราต่างก็จะให้มีความร่ำรวยกันทั้งประเทศนั้น ถ้าตนก็มีผลผลิตเท่าที่ตนมี ตนก็สามารถเท่านี้ แต่อยากได้มากกว่านี้ จึงมีแต่จะเอาเพิ่ม จากที่“ตนมีได้จริง” เมื่ออยากได้มากกว่านี้ ก็ต้องแย่งจากผู้อื่นเท่านั้น
ฉะนั้น การจะทำให้คนในประเทศเราร่ำรวยขึ้นได้มากจริงดังว่า ก็คือ ต้องแย่งเงินทองจากประเทศอื่นมาให้แก่ประเทศตน โดยการเอาเปรียบ หรือขูดรีดด้วยการขายผลผลิตของเราราคาสูงมาให้ตนเอง ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ตามปกติสามัญของคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว
เมื่อทำได้ ก็ดีใจ ชอบใจ ด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น
ตั้ง“แนวคิด”อย่างนี้ทำไม?
มันไม่ดีเลย มันเห็นแก่ตัว มันมีแต่ขี้โลภ เห็นแก่ได้ มันไม่คิดจะเสียสละเพื่อผู้อื่นเลย
ข้อ 21. เกิดเป็นคนควรจะเป็นผู้เสียสละมากกว่าเป็นผู้ได้เปรียบ หรือเป็นผู้เอาเปรียบนะ
ข้อ 22. เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่ควรคิดเป็นผู้ได้เปรียบ ไม่ควรเป็นผู้เอาเปรียบ เพราะมันกลายเป็นคนไม่มีประโยชน์ เป็นคนไร้ค่า เป็นคนขาดคุณ เป็นคนว่างเปล่าจากธรรมที่“คนดี-คนประเสริฐ”ควรมี ควรได้ ควรเป็น
ข้อ 23. การแก้ปัญหา ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะ“หายจน” หรือทำอย่างไรปัญหา“ความจน”จึงจะจบลงได้สนิท ก็คือ เราก็เป็น“คนจน”เสียเองเลย จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะมีความรู้ มีความสามารถ และขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอตลอด เราไม่พัก(อัปปติฎฐัง)อยู่ เราไม่เพียร(อนายูหัง)อยู่(พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 2) จึงเป็น“คนจน” ที่“จน”อย่างไม่ขาดแคลน
โดยมีหลักการ ประมาณ 10 หลัก เป็นต้นว่า
1.ไม่เป็นหนี้(โดยเฉพาะหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ย)
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. ให้เหลือกินเหลือใช้
4. เมื่อเหลือแล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น
5. สะพัดแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
6. สะพัดออก โดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
7. ไม่ต้องอยากรวยเลย
8. เรียนรู้จิตอย่ามีสาเปกโข คืออย่ามีความหวังทุกครั้งที่เรามี“การให้” หรือ“ทาน”แล้ว อย่าอยากได้อะไรตอบแทน มันอยากได้ความสบายความสะดวกความชอบอะไรก็คือภพชาติ ก็ต้องมี นรก
ก เป็นการขยาย นร เป็นเจ้าของ นร จริงๆคุณต้องไม่ ต้อง น แต่คุณยังมี ร ยังมีพลังงานที่จะไปอีกนะ ใน ยรล วงวนสามเส้านี้ ถ้า ยร ก็ก้าวหน้าแล้ว นรก ต้องเรียนรู้ น ให้จริง อย่าให้ถึง นรก ถ้าคุณ ย นี้ยังยั้งได้หยุดได้ ย ได้ แต่ ร นี้รุก รบ
แม้ว่าอาตมาจะไม่ได้เป็นผู้สร้างภาษาบาลี แต่อาตมาก็รู้ต้นรากบาลี อย่างจริง ไม่ได้พูดเล่นๆ มันเป็นบัญญัติที่ใช้เรียกสภาวะต่างๆซึ่งลึกซึ้งมาก อาตมาจึงยืนยันว่าอธิบายบาลี ไม่ได้อธิบายตามไวยากรณ์ ที่ท่านเรียนกันเป็นหลักสูตร... ไม่ใช่ ..อาตมาหยั่งลงไปถึงสภาวะเลย ก่อนที่จะมีไวยากรณ์บัญญัติ แต่สภาวะนี้เป็นตัวแทนตัวจริงเลย สภาวะเกิดก่อนไวยากรณ์
9. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
10. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคีเป็นดีสุด ดังนั้น หากยังมีคอนเซพท์ มีกระบวนทัศน์ มีวิธีการ จะให้คนพากันมารวยอยู่ละก็ขอยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ การแก้ปัญหาสังคมให้เศรษฐกิจเป็นคนรวยอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีวันสำเร็จ จะได้ก็เพียง“สมบัติผลัดกันชม” คือ จะมีคนรวย-คนจนสลับกันไปมา ไม่มีจบ เพราะคนจะแย่งกัน“รวย”อยู่ตลอดกาล “ทีใคร-ทีมัน” หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป นิรันดร ตราบที่คนยังอยากเป็น“คนรวย” ไม่หยุดคิดจะรวย ไม่เห็นจริงว่า รวยนั้นไม่ดีเท่าจนอย่างมีปัญญาจริง การจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้มีคนรวยที่ยั่งยืนตลอดกาลนั้น ไม่เกิดผลสำเร็จหรอก ขออภัยนะ ..เพ้อเจ้อแน่นอน
_มีญาติธรรมถามว่า ในหลวงตรัสแบบพอเพียง แบบคนจน แล้วพ่อครูก็สอนทฤษฎีแบบพอเพียงแบบคนจน ถ้าวันข้างหน้ามีนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐบาล ประกาศใช้ทฤษฎีนี้อย่างจริงจัง ผลที่ตามมา ประชาชน ที่ยังไม่เข้าใจจะมาลดกิเลสแบบคนจน ถ้ามีราคาสินค้าตกต่ำ อย่างยางพารา ประชาชนจะไม่มาประท้วงหรืออย่างไร
พ่อครูว่า...ประท้วงไปเราก็ไม่ได้สะสมยางพารา อย่างดีก็ตัดคอเราไปเท่านั้นเอง อย่าไปคิดแทนเขาเลย มันมีเชิงจะคิดไปได้เยอะ แต่อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยกำลังเป็นประเทศที่รุ่งเรืองด้วยปัญญามีความเฉลียวฉลาดเป็นโลกุตระ กำลังก้าวหน้ากำลังพัฒนาขึ้น เห็นได้ชัด ในเหตุการณ์ตูน Bodyslam
ลึกๆแล้ว ความรู้สึกของคนนี้รู้สึกว่าการเสียสละ เจ็บป่วยปวดเมื่อยอย่างไรก็ทนสู้เพื่อจะได้มาเสียสละๆ ขอเตือนไว้นะ กองที่ดูแลรายได้ เขาบริจาค อย่างุบงิบ ระวังเขาจับได้ไล่เบี้ยที่หลังจะหนักกว่า พลเอกประวิตรที่เจออยู่นะ เพราะเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องหยาบแต่นี่เป็นเรื่องจิตวิญญาณลึกซึ้ง ระวังให้ดีขอให้สติ
ข้อ 24. ที่ว่าเป็น“คนจน”เพราะเป็นคนไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานเป็นของตัวของตน เป็นอนาคาริกชนจริง อยู่กันอย่าง“สาธารณโภคี” ทรัพย์สินช่วยกันสร้างช่วยกันทำอย่างสัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ ม่ีลาภมาโดยธรรม(ลาภธัมมิกา) ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง แล้วบริหารกันอย่างเป็นธรรม อยู่กันอย่างเป็นสุข
ข้อ 25. ขออภัยที่จะต้องยกคนจริงจริง สังคมหมู่บ้านหรือชุมชนที่มี“ความจริง”ที่เกิดได้จริงเป็นได้จริง มายืนยัน อ้างอิง ประกอบความปรากฏอยู่จริงได้จริง(phenomenal) ที่ยืนยันเชิญให้ไปสัมผัสของจริง พิสูจน์ได้จริง(เอหิปัสสิโก)
26. ชุมชนตัวอย่างที่ว่านี้ เป็นชาวพุทธที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติกระทั่งเกิดผลจริง เป็นชุมชนที่พูดได้เต็มปากแล้วว่า ชุมชนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ“ความยากจน”
เพราะทำ“แบบคนจน” หรือ“ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา” ตามศาสตร์พระราชา หรือจริงๆก็ตามรอยพระยุคลบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง จนกระทั่งบรรลุผล เป็นหมู่ชนที่มี“วรรณะ 9” และมีสาราณียธรรม 6 ได้อย่างแท้จริง เพราะจิตเกิดคุณสมบัติมีความเป็นไปตาม“พุทธวจนะ 7” ได้แก่ สาราณียะ-ปิยกรณะ-ครุกรณะ-สังคหะ-
อวิวาทะ-สามัคคียะ-เอกีภาวะ
คนในสังคมชุมชนหมู่บ้านที่ว่านี้ เป็น“คนจน”จริงๆ เชิญมาวัดค่า“ความจน”ของ“คนจน”พวกนี้ได้ จะได้“ค่าเฉลี่ยแห่งความจน”ออกมายืนยันได้แท้จริงว่า เป็น“คนจน”ที่มีคุณภาพ เป็น“คนจน”ที่มีประโยชน์ เป็น“คนจน”ที่ไม่เบียดเบียนสังคมอื่น เป็น“คนจน”ที่มีน้ำใจต่อสังคมอื่นช่วยผู้อื่นจริงๆ ไม่เสแสร้ง ไม่กดดัน ไม่หลอกลวงแน่นอนเด็ดขาด เพราะเป็นคนซื่อสัตย์แท้จริง มีศีลมั่นคงแท้ มีธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง ตามที่ได้สาธยายมา และมีชีวิตจริง อยู่เป็นคนมีศีลมีธรรมจริง มากันเป็นหมู่กลุ่มชุมชนชาวอโศกมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ท้อถอย ยังไม่ลดอัตราการก้าวหน้า ยังดำเนินหมู่ชนให้สัมผัสได้จริง
ต้องขออภัยอย่างมากที่พูดความจริง ยกตนเองจริง
~~~~~~~~~~~~
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน ชุมชนวรรณะ 9
เป็นชุมชนที่มีวรรณะ 9 ถ้าในประเทศอินเดียก็ถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขาถือวรรณะอีกอย่างเป็นศักดินา วรรณะทุนรอน ความรู้อะไรต่างๆ วรรณะคือชนชั้นต่างๆ
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
1 เป็นคนเลี้ยงง่าย แต่ไม่ใช่เหมือนวัวควายหมูหมา เป็นคนไม่เรื่องมาก อยู่ง่ายกินง่ายไปง่ายมาง่ายนอนง่าย พอเป็นพอไป นี่คือสุภระเลี้ยงง่าย
2 บำรุงง่าย ทำให้เจริญงอกงามทำให้ดีขึ้นได้ง่าย สุโปสะ ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อดึงแม้จะไม่ฉลาดก็พยายามพากเพียรก็เจริญได้ง่าย
3 มักน้อยหรือกล้าจน หรือมีไว้น้อยๆ เอาไว้น้อยๆเสมอๆ นี่แหละ อัปปิจฉะ มักน้อยหรือกล้าจน เป็นคนที่เข้าใจแล้วเอาไว้น้อยๆ จะสัมพันธ์กับข้อ ปวิเวกะ ซึ่งในกถาวัตถุ 10 มี
อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ศีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา วิมุตติกถา วิมุตติญาณทัสสนกถา คำว่า อสังสัคคะ ไม่ได้แปลว่าไปเดี่ยวๆไม่เกี่ยวกับใคร ซึ่งค้านแย้งกับหลักการของศาสนาพุทธที่ให้อยู่เป็นหมู่กลุ่ม อสังสัคคะคือให้อยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อย่าไปอยู่กับคนพาล คนเกเร คนพาล กิเลสมากอย่าไปคลุกคลีเกี่ยวข้องกับพวกนั้น อย่าไปคลุกคลีกับกองกิเลส ทำกิเลสของตนเองให้หมดจนแข็งแรงแล้วค่อยไปช่วยเขา ปฏินิสสัคคะ ถ้ายังไม่อยู่เหนือ สติ เป็นอธิปไตย ปัญญาเป็นอุตระไม่พอก็อย่าเพิ่ง สวรรค์นี้มีแต่ของหลอก
ต้องเห็นโทษภัยของสวรรค์ แต่พระพุทธเจ้าอนุโลม สำหรับคนที่ติดสวรรค์ก็ต้องเลิกมาเป็นลำดับ ต้องอสังสัคคะ แต่เป็นคน วิริยารัมภะ เป็นคนขยันพากเพียรเสมอ แล้วก็เอาไว้น้อย ใจก็พอ
4 ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5 ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส
6 มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) ธูตะคือองค์คุณแห่งผู้ทำลายกิเลสได้ มีศีลไปตามลำดับ จนจิตเป็นปกติ แข็งแรงถือว่าผู้มีศีล สัมผัสอยู่จิตก็เฉยสบายไม่เดือดร้อน ไม่ต้องทำอะไร เป็นอัตโนมัติ
องค์คุณหน่วยแห่งการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ตั้งแต่จุลศีล 26 ทำให้เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาหลุดพ้นได้เป็นอธิวิมุติ ได้ตามศีลตามลำดับ เป็นไตรสิกขา ซึ่งรวมของศาสนาพุทธไว้หมดแล้ว
การปฏิบัติให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ขาดศีลไม่ได้ ศีลไล่ไปตามลำดับ อาตมาถึงได้สงสารพวกที่นั่งหลับตาให้สงบหยุด ให้จิตแข็งแรง แล้วหลงสัญญาว่าเป็นปัญญา แล้วก็เพ้อพก สร้างวิมานอีกเยอะแยะ ไม่รู้ตัว อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่สงสาร ก็เลยเผยแพร่กระจายธรรมะ หลายทาง อาตมาก็เลยต้องเป็นภาระ จัดการแก้ไขปรับปรุง
7 มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8 อปจยะ คืออักษรสามเส้า ป จ ย
จ รู้ ป ทำ ย คือเศษวรรค ย คือพลังงานตัวแรกของวรรคใหม่ ถ้า จ ป นี้ไม่มีพลังงานใหม่ได้ร่วมเลย มีแต่ จ ป ก็มีแต่ชรตา ถ้าไม่มีตัวแปรไม่มีพลังงานใหม่เข้าไป แม้แต่ตัวแปรแค่บวก ไม่มีพลังงานสูงเท่าไหร่ก็ไปไม่รอด แต่ก็ต้องใช้ ใช้ไปถึงขั้นที่คูณได้ เลิกบวก เอามาคูณเลย
อ นี้เป็นตัวสระแรกเลย อะ อา อิ อี อุ อู ตัว อ เป็นตัวเสริมเป็นกษัยเป็นน้ำ ปจย เป็นเนื้อ ถ้าเนื้อไม่มีน้ำมาช่วยเลยก็แห้ง ถ้า ป จ ไม่มี ย มาร่วมก็ไปไม่รอด
ใครจะหาว่าอธิบายมั่ว แต่ถ้าอธิบายได้เนื้อหาสอดคล้องคนเอาไปปฏิบัติได้ผลดีก็เป็นผลดี อาตมามั่นใจว่าถูกจึงทำ
เมื่อไม่สะสม ทั้งวัตถุและกองกิเลส อปจยะ จึงเป็นตัวสำคัญมาก
เมื่อคุณไม่สะสม
9 ขยันเสมอ ระดมความเพียร วิริยารัมภะ และไม่ใช่ขยันแต่โง่ แต่ขยันอย่างมีปัญญา ก็จะเกิดผลผลิตสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่าอยู่เสมอๆ
ในวรรณะ 9 ข้อนี้เป็นคนที่เจริญ เป็นคนที่ท่านเรียกว่าวรรณะ ซึ่งมีวรรณะที่ได้ผิดเพี้ยนไป เป็นวรรณะ 4 ในอินเดีย หรือในบางประเทศก็มีวรรณะทางทุนรอน ศักดินา สีผิว อะไรก็แล้วแต่ที่ยึดถือกันสารพัด อย่างนั้นไม่ใช่
ต้องทำความเข้าใจว่าวรรณะของพระพุทธเจ้าเป็นคุณสมบัติเป็นคุณธรรม เป็นคุณวิเศษ ในมนุษย์ที่เจริญ ที่มีคุณสมบัติ คุณธรรม ตามพยัญชนะ 9 ตัวนี้
ย้อนไปที่คำว่าธูตะหรือธุดงค์นี้
ขอย้ำอีก ที่เข้าใจว่าธุดงค์คือการเดิน มันผิด ในคำว่าธุดงค์ไม่มีคำไหนบอกว่าเป็นการเดินหรือการออกป่าให้ไปอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มี แต่ก็ไปไม่เข้าใจความละเอียดลออ ว่า ในคนที่วาสนาอย่างพระมหากัสสปะ ก็เป็นวาสนาที่ไปติดยึดป่า ไม่รู้กี่ล้านชาติ ล้างไม่ออก แต่ท่านกัสสปะท่านเข้าใจแล้วก็เลยขออนุญาต อยู่ป่ามีคนเดียว ไม่ออกมาจากป่าเลยตลอดชีวิต จึงถือว่าเป็นธุดงควัตร เป็นองค์คุณที่ยกเว้นให้พระกัสสปะรูปเดียว เอารูปเดียวไปตีกินว่าอยู่ป่า แต่คำว่าเดินนั้น ไม่มีในธุดงควัตรข้อใดเลย
ขณะนี้ธรรมกายกำลัง ปลุกธุดงค์ธรรมชัย กำลังจะพากันเดินก็จะบ้ากันไปใหญ่ ดันทุรัง เขาไม่มีทางออกแล้วจะตายชักแล้ว ก็สร้างหลอกล่อคนโง่ต่อไป คนที่งมงายก็จะเอาเงินมาถวายมาบริจาค ยินดีชื่นใจแล้วหลงงมงายกัน เขาจะเอาเงินคุณ จะตายชักอยู่แล้วไม่รู้ค่าไฟค่าน้ำนี้จะพอไหม ดิ้นรนจะตายนี่ ถ้าอาตมาทักถูกนี่หยุดสิ แต่จ้างก็ไม่หยุด
ศาสนาพุทธนั้นสอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์โขลง แต่สัตว์โขลงไม่ใช่แบบเสือที่ฆ่ากัน หมาก็ไม่ใช่ ช้างม้า สัตว์มีฟันกราม มีเล็บ nail ไม่ใช้เขี้ยว canine
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธกำลังชัดเจนนี่ไปเรื่อยๆ ก็ขอให้พยายามช่วยกันขจัดสิ่งที่เป็นเสี้ยนหนามสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่เป็นของปลอมของไม่ถูกต้องของไม่เจริญ พยายามช่วยกัน ขจัดให้เด็ดขาด เพราะว่าพวกนี้เป็นเชื้อโรค ถ้าขืนปล่อยปละละเลย หรือว่าทำเป็นประมาทไม่ได้หรอก ไวรัส ตัวน้อย มันจำศีลกบดานได้เป็นล้านๆปี เสร็จแล้วไม่ตาย เขายังสามารถชุบชีวิตกำลังมาได้ ชุบชีวิตไดโนเสาร์ได้ ไม่รู้จะไปอุตริปลุกขึ้นมาทำไม คนเราอวดดีอวดเก่ง
พุทธพจน์ 7 มีสาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
เป็นคุณสมบัติแห่งความจบ สังคมที่มีคุณสมบัติ 7 ประการนี้ เยี่ยม ขออภัย ดูชาวอโศกเป็นตัวอย่าง
1. ระลึกถึงกัน ระลึกถึงกัน ไม่ใช่เพื่อจะไปเอาของใคร เอาเปรียบใคร แต่ระลึกถึงเพื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตื่นเช้าขึ้นมาก็จะไปโปรดใครดี อย่างนี้เสมอ
2. ปิยกรณะ มีความรักกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีปรารถนาดีต่อกัน ไม่ใช่รักอย่างกามดูดดึงผูกพันติดยึด ต้องศึกษาความรัก 10 มิติ
3. คุรุกรณะ มีความเคารพกัน ตามวัยวุฒิ คุณวุฒิ หรือตามสายญาติ เป็นต้น ก็รู้จักการเคารพคารวะกัน ลูกเคารพพ่อแม่ พ่อแม่เคารพปู่ย่าตายาย แม้แต่ว่าพ่อแม่จะไม่ฉลาดหรือเลว เราก็ต้องเคารพในฐานะพ่อแม่
4. สังคหะ คือการช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ผู้อื่นเกื้อกูลผู้อื่น ขาดไม่ได้เลย สังคหะในสังคม การสงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่มีการขาดตอน ต้องมีตลอดเวลาเสมอ มากหรือน้อย ถ้าจำเป็นก็ต้องมาก ถ้าไม่จำเป็นก็พอเหมาะพอควร อย่างน้อยต้องมีอยู่เสมอ สังคหะ ใครที่มีก็ตามมีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้อื่นคนนั้นคนนี้ตลอด ด้วยแรงงาน วัตถุสมบัติอะไรก็แล้วแต่ สังคหะนี้คุ้มครองโลก อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็แพ้สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังช่วยเหลือกันอยู่ คนเราไม่ช่วยเหลือกันก็จบเห่
5. อวิวาทะ ไม่วิวาท แตกแยกกัน วาทะคือเรื่องราว คำพูด แม้แต่ลัทธิก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือกเฟ้นภาษาที่ควร ก็ต้องเรียน วาจา 4 มุสา นี่ไม่เอาเลยไม่มีเลย แม้แต่จะเป็นคำหยาบ โดยการยึดติดกัน อย่างอาตมาบางทีพูด เขาก็บอกว่าหยาบ แต่ที่จริงไม่หยาบ คำส่อเสียด พูดคำที่ทำให้คนทะเลาะกันอย่างนี้ส่อเสียด คือพูดให้ข้างนี้ข้างโน้นฟังแล้วเกิดทะเลาะกัน คำเพ้อเจ้อ เป็นคำสุดท้ายในมิจฉาวาจา 4 เพ้อเจ้อคือไม่ได้อะไร พูดเสียน้ำลายเปล่า แม้จะพูดธรรมะสูงส่งโลกุตรธรรม แต่คนฟังไม่รู้เรื่องเป็นอนุปสัมบันหมดคุณก็พูดเพ้อเจ้อ ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ฟัง เขาไม่มีภูมิพอ เป็นอนุปสัมบันอย่างนี้เพ้อเจ้อ แต่ถ้าพูดไปแล้วคนฟังรับได้มีจำนวนหนึ่ง อย่างอาตมานี้พูดออกไปออกอากาศเขาก็ว่ามีอนุปสัมบัน จะเอาอาบัติ อาตมาก็ว่า เขาไม่ฟังหรอก ถ้าเขาไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันยากมาก และโดนกิเลสเขาด้วย เขาไม่ฟังหรอก นอกจากคนที่ยอมให้เขกให้โขก เพราะว่าได้ประโยชน์ก็จะมีจำนวนไม่มาก ถ้ามากก็ดีใจสิ
เพราะฉะนั้นคำว่าวิวาทะ มีคำซ้อน อ ก็แปลว่า ไม่ วิก็แปลว่า ไม่ หรือมากที่สุด เป็นคำซ้อนเป็นสามเส้า อวิวาทะ วาทะ เป็นคำที่พูด ถ้าวาทิตะ เป็นคำที่เลือกมา คำใดก็แล้วแต่คนที่มีความรู้ถึงขั้น วิ เช่น วิเศษ วิมุติ คนมีความรู้ถึงขั้น วิ ก็ต้องรู้ว่าคำพูดไม่ควรหรือไม่ควร อวิวาทะ พูดให้ไม่เกิดทะเลาะวิวาท ก็เป็นความหมายเบื้องต้น
แต่พูดให้ดูดดึงเกินไปก็ไม่ควรทำ อวิวาทะ เช่นสมณะไม่ควรส่งเสริมให้คนแต่งงานกัน เพราะส่งเสริมให้คนไปหาทุกข์ คุณอยู่เฉยๆก็สิ้นเรื่องแล้วอย่าไปร่วมไม้ร่วมมือส่งเสริมกัน ไปอวยพรเขาก็อาบัติ แม้แต่อย่างนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน ไปส่งเสริมงานแต่งงานอย่างนี้ก็อาบัติกันอยู่ประจำ
8. สามัคคียะ คือพร้อมเพรียงกัน มีพลังงานรวมกันอยู่อย่างยิ่งใหญ่ มากๆพร้อมเพรียงกันดี
9. เอกีภาวะ เหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวเป็นปึกแผ่น ตกผลึกแข็งแรงเป็นหนึ่งเดียวกันมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่างดีอย่างแน่นหนา
นี่คือ พระพุทธพจน์ 7 เป็นคุณธรรมคุณสมบัติสิ่งประเสริฐเกิดในจิตใจของคน ตามความหมาย 7 คำนี้ ได้ครบมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจะเจริญมากขึ้นเท่านั้น
สรุปรวมเลย 7 พยัญชนะนี้ จากคำสอนของพระพุทธเจ้านี้สุดยอด
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าวันนี้ ที่พ่อครูอธิบาย ดร.สมคิดได้ไปฟังไปทบทวนก็น่าจะดีมาก แล้วที่พ่อครูสอนวันนี้ มีคนทำได้ขนาดไหน ถ้าเขาศึกษาตรงนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีในโลกที่เขาทำกัน ไม่มีใครจะพาทำได้อย่างนี้
ที่สำคัญคือพ่อครูว่าทำอะไรก็อย่าให้มีหวัง คือคนหมดภพ สวรรค์นรกก็หมด ถ้ายังมีหวังก็มีนรกสวรรค์อยู่
อ่านทั้งหมด หรือดาวนฺโหลดที่...
https://docs.google.com/document/d/1Wzt19gRTtvp8jVZFHzVFLZjJrkv3ObM6sn62eOj0Vhs
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:13:17 )
รายละเอียด
601215_พุทธศาสนาตามภูมิ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตามภูมิโพธิรักษ์คิด ตอน 2
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะถึงงาน ว.บบบ.และงานเพื่อฟ้าดินก็แจ้งวันสอบ ว.บบบ. ข้อเขียน ว่าจะสอบเลื่อนจากวันที่ 30 ธ.ค. มาเป็นวันที่ 29 ธ.ค. 2560 แทน
พ่อครูว่า...ก็มาดู sms
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เมื่อถูกเขาทำร้ายต้องทำใจอย่างไร
_Chaiporn Anuwutnawin....กราบเรียนถามพ่อท่าน
เมื่อเราประสบกับเหตุการณ์ที่ถูกผู้อื่นที่ประกอบกิจการแล้วมาเบียดเบียนกิจการของเราจนเราไม่สามารถประกอบกิจการได้จนถึงขั้นจะต้องปิดกิจการแล้ว ผู้ที่มาเบียดเบียนเป็นผู้มีอิทธิพลสูง มีอำนาจจนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องเกรงใจ ใช้อำนาจนั้นข่มเหงเหยียบย่ำน้ำใจเราทุกวัน เราจะเดือดร้อนเสียหายอย่างไรเขารู้แต่ก็เขาไม่สน เขาเห็นเราเป็นตอไม้ที่ตายแล้ว เหยียบย่ำน้ำใจกันทุกวัน
ใจหนึ่งอยากต่อสู้เพราะเราได้รับกับความอยุติธรรม แต่อีกใจก็กลัวกรรม กลัวจะเป็นวิบากลากยาวไปอีกครับ ที่อดทนกับการถูกเบียดเบียนข่มเหงมานานกว่าสิบปีได้นี้ก็เพราะใจอันหลังนี่ล่ะครับ
แต่เขาไม่มีลดละมีแต่จะกระทำหนักขึ้นทุกวัน ปรับใจปรับธรรมอย่างไรครับ
ผมอยากฟังธรรมจากพ่อท่านให้เป็นยาใจ ลดความไม่ยอมกับความอยุติธรรมที่เขายัดเยียดให้นี้
พ่อท่านโปรดเมตตา เทศนาให้ใจตัวนี้มันลงได้มากกว่านี้เถิดครับ
กราบขอบพระคุณพ่อท่านด้วยความเคารพยิ่ง
พ่อครูว่า...ก็น่าเห็นใจเน๊าะ อาตมาก็ไม่มีความเห็น ที่จะดีกว่าที่จะพูดต่อไปนี้คือเราก็ยอมให้ถึงที่สุด ก็อย่าไปยึดติดว่าเขาไปทำร้ายเรา อย่างพระโมคคัลลานะ เขาจะฆ่ารุนแรง ท่านก็ไม่เคยถือสาเขา ท่านก็ฟื้นตัวเองตลอดเวลา แล้วก็ไม่ได้ต่อความอาฆาตพยาบาทเลย สุดท้ายไม่ไหว ก็ต้องยอมตาย เป็นอนันตริยกรรมที่ได้ทำไว้ ก็เลยมีคนมาฆ่า ท่านก็ตรวจอนันตริยกรรม ท่านมีท่านก็ยอมตาย มันสุดที่สุดน่ะ ศาสนาพุทธสอนให้คนยอมคน ให้คนเอาเปรียบได้ เราเสียเปรียบได้ดีที่สุด ทนการเสียเปรียบได้มากที่สุดคือการเจริญ ด้วยการทำดีกับเขา เขาจะร้ายอย่างไรเราก็ดีอย่างจริงใจ ไม่มีอย่างอื่น เราไม่คิดจะชนะหรอก แต่เราไม่มีทางเลือก สุดท้ายต้องตายเหมือนท่านโมคคัลลานะ
ถ้ายังไม่ตายเราไม่ไหวจริงๆก็จะพอหลีกก็เริ่มห่างไกลได้ก็อย่าไปใกล้ชิด ก็ทำ มันสุดทางสุดวิสัยก็ต้องทำเช่นนั้น มันสุดวิสัยไปไหนไม่ได้แล้ว จะทำความดี เข้าใจความงามความดีอย่างจริงใจ เราก็ต้องดี ดีอยู่ที่เรา เราเชื่อกรรมวิบากอยู่แล้ว ไม่มีทางอื่นดีกว่านี้ คุณไม่มีทางรู้จักตัวเองได้หมด เราไม่ได้ทำร้ายตอบเขาเลย แต่เขาทำได้ทำเอา โดยที่เขาไม่รู้สึก เราก็ถือว่าเราได้ใช้วิบากคุณได้มาทวงหนี้วิบาก อาตมาก็ว่ามีทางออกทางเดียว ทางอื่นไม่มี
แยกได้เป็นสองคำตอบ 1.คุณก็ต้องทำดี 2.ทนไม่ได้ก็ต้องหาทางไปให้ไกลห่างอย่ามาใกล้ชิด เขาก็แกล้งได้ ห่างกันจนเขาแกล้งไม่ได้ แต่ถ้ามันไปไม่ไหว คุณไม่มีทางจะไปจำนนก็มีทางเดียว ก็ต้องทำดีที่สุด ต่อ ถือว่าใช้หนี้ไปสักชาติละกัน อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร นอกนั้นไม่จบ นี่เป็นทางจบ ทางอื่นเลี้ยวไปมา
อย่างอาตมาขอยกตัวอย่างตัวเอง อย่างเถรสมาคมทำกับอาตมา ทำสารพัด อาตมาก็ไม่เคยมีจิตใจรังเกียจโกรธเคือง ไม่คิดจะตอบโต้ ไม่คิดจะไป แย้งย้อนอะไร บอกความจริงเท่านั้น ความจริงมันจะแย้งตัวความจริงเท่านั้นเอง ท่านว่ามันผิดเราก็ตอบไปอย่างถูกมันก็ย้อนแย้ง ไม่ได้เจตนาจะไปเถียง ไปโต้ตอบ มันไม่ทางเลี่ยงแล้ว จะให้เราพูด อย่างยอมว่าผิดเราก็ว่าถูก ก็ไม่ได้ บางอย่างจำนนก็ไม่ต้องพูด ก็นิ่งบ้าง แต่จะนิ่งไปทุกอย่างเขาก็จะนึกว่าเราผิดหมด แต่แท้จริงเราก็บอกสิ่งที่ถูก
พระพุทธเจ้าสอนเราในสูตรแรกเลย พรหมชาลสูตร เขาว่าเรามา ผิดหรือถูกเราก็บอกไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่โต้ตอบอะไรเลยก็ไม่ เราก็บอกความจริง สุดท้ายต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำ เพราะว่าความเห็นมันขัดแย้งกันก็เป็นนานาสังวาส นี่คือที่สุด
_ธัมมิกา ที่ดื้อรั้นต่อความชั่ว.....จากที่ฟังเทศน์พ่อครูท่านสมณะสิกขมาตดูรายการช่องบุญนิยมทีวีเกิดความคิดว่าชาวอโศกไม่ใช่คนจนเลยค่ะ แต่เป็นคนรวยความดีงาม รวยความเมตตา รวยความสุข รวยความแบ่งปัน รวยความเสียสละมากๆค่ะ
พ่อครูว่า...คนนี้ต้องชมว่าฉลาด รู้ความจริงได้ อาตมาก็ว่า ชมความจริงของเรานั้นดูได้ยากอีกนะ คุณคนนี้รู้ได้
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน การช่วยคนแบบโดยไม่ให้กิเลสเขาเพิ่มจะทำอย่างไร
_Gusara tamma ...ถ้าช่วยคน มารับใช้ ให้เขามีกิเลสเพิ่มขึ้น ไม่ควรช่วย
ช่วยคน ให้ลดกิเลส รู้เท่าทัน สร้างสรรค์... ควรให้คนเช่นนี้
ขอคำอธิบายเพิ่มด้วย ว่าต่างกัน เพราะติดในการช่วย...จาก รวมเล่มเราคิดอะไร
อ่านเจอ แล้วไม่รู้ทำตัวอย่างไร ให้เหมาะสม
พ่อครูว่า...อาตมาว่าเราได้พิสูจน์ เราจัดตลาดอาริยะ เราช่วยเขา เขารู้ ที่เป็นคือ คนเขาสำนึกเหมือนกัน เราเกรงคนจะมาเอาเปรียบเหมือนกันตอนแรก แต่พอคนเยอะๆนี้เขารู้สึก เพราะว่า เราได้เสียสละให้เห็นจริง เรายอมขาดทุนของเราคือกำไรของเรา จนเขาเห็นได้ชัด มาแออัดยัดเยียด ตอนปีใหม่ไทย เราจัดมา 38 ปีแล้ว ปีต่อไปก็ครั้งที่ 39
เราก็ให้เท่าที่เราเสียสละได้ เราก็ไม่ได้เสียสละจนตัวเองขาดแคลน ก็ไม่ใช่เช่นนั้น อาตมาก็ว่าไม่มีทางใด อย่างไรคุณเสียสละก็เป็นคุณธรรมของคุณแน่นอน แต่ถ้าใครทำร้ายเอาเปรียบเรา เราก็มีใจต้าน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...เราจะมีตลาดอาริยะในเดือนเมษายน และช่วงงานเพื่อฟ้าดิน จะเป็นตลาดอีกอย่างที่เรียกว่า ตลาดในระบบบุญนิยม มีการขายของราคาสี่ระดับ ต่ำกว่าราคาตลาด เท่าทุน ขาดทุน แจกฟรี ปีใหม่สากลที่จะถึงจะเป็นตลาดบุญนิยม ปีใหม่ไทยเป็นตลาดอาริยะ เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น น้ำตาล น้ำมัน ข้าว เป็นต้น
พ่อครูว่า...การที่เราทำมาตั้งแต่เริ่มต้น อาตมาพาชาวอโศกทำมา การให้นี้เป็นสิ่งประเสริฐสุดแล้ว ทานัง ในบารมี 10 ทัศ อะไรก็แล้วแต่จบที่การให้ แม้แต่ที่สุดให้ชีวิตอย่างพระโมคคัลลานะก็จบแล้ว ท่านไม่ได้ให้แต่คนเท่านั้น เพราะสุดๆจริงๆคือวิบากของท่าน สุดท้ายแล้ววิบากมาทวงเอา ก็จำนน ไม่มีใครจะเลี่ยงได้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หลีกเลี่ยงวิบากไม่ได้ คนไม่เข้าใจ วิบากจะหมดหรือไม่ วิบากไม่หมดง่ายๆหรอก
เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่มีวิบาก แม้แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมองค์นี้ พระเทวทัตมาทวงหนี้กลิ้งหินมาทับพระบาท นั่นเป็นเศษวิบากหนี้วิบากของท่าน ที่ท่านไปได้เคยฆ่าน้องชาย ต่างมารดา เอาหลอกไปในถ้ำแล้วเอาหินทุบตาย เลยกลายเป็นเศษวิบากมาในชาตินี้ ส่วนอีกเรื่องคือ ท่านต้องไปทรมานในป่า 6 ปีซึ่งเป็นทางผิด ไปทำทุกรกิริยา นอกรีตหมด เป็นการไปใช้หนี้วิบาก ท่านอดทนได้เก่งกว่าเขาทั้งหมด
เราเป็นผู้ชื่อว่า โชติปาละ ได้เคยกล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ว่า “การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จาก โพธิมณฑลที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง” ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลา6ปี เราถูกบุรพกรรมตักเตือนแล้ว (ปุพพกัมเมนะ โจทิโต) จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น บัดนี้เราเป็นผู้สิ้นบุญสิ้นบาป(ปุญญปาปปริกขีโณ)(ล.32 ข.392)
คุณgusara tamma ว่า...ถ้าช่วยคน มารับใช้ ให้เขามีกิเลสเพิ่มขึ้น ไม่ควรช่วย
ช่วยคน ให้ลดกิเลส รู้เท่าทัน สร้างสรรค์... ควรให้คนเช่นนี้
ขอคำอธิบายเพิ่มด้วย ว่าต่างกัน เพราะติดในการช่วย...ก็ช่วยไปเถอะ ก็ต้องทำ ช่วยไปเลย ช่วยใครได้ก็ช่วย อย่างอาตมานี่ ช่วยอย่างที่ ขอพูดคำดุๆว่า ช่วยอย่างสิ้นหวังเลย ช่วยเถรสมาคม อาตมาช่วย ช่วยด้วยเมตตาสงสาร พยายาม เผื่อฟลุ๊ค อาจจะมีคนที่มีจิตใจเข้าใจได้ ก็ไม่มีทางเลือกเพราะต้องช่วย ขนาดช่วยอย่างสิ้นหวัง แต่เอาอาตมาตายเลย ฟ้องร้อง เราต้องไปขึ้นศาลไม่รู้กี่จังหวัด ร่วมสิบปี เสร็จแล้วถูกตัดสินแพ้อีก ดีแต่มีบารมีหน่อย รอดคุก ให้รอลงอาญาสองปี อาตมาว่าเป็นบารมีจากคุณค่าคุณงามความดีที่ได้ทำไว้ เราไม่ได้ต่อต้าน เรายอมแพ้ทุกอย่าง จะเอาอย่างไรก็เอา ปู้ยี่ปู้ยำก็ยอม มีแต่พูดความจริงเท่านั้น ที่อาตมาพูดความจริงดูเหมือนว่าเราย่ำยีเขา แต่อาตมาต้องอธิบายสัจธรรมความจริงต้องพูดอะไรผิดอะไรถูก เมื่อพูดสิ่งที่ผิดมันก็ไปถูกเขา มาพูดสิ่งที่ถูก ก็ตีหน้าแงตัวเอง พูดดีถูกตัว พูดชั่วถูกเขา มันเป็นความจริง ก็เลยต้องพูดสิ่งชั่วมาหน่อย ให้รู้ว่าอันไหนชั่ว ไม่ค่อยพูดสิ่งที่ถูกคนจะหาว่ายกยอตัวเอง ไม่มีทางไป อาตมาสุดแล้วจนตรอกแล้ว ไม่รู้จะพูดอย่างไร
_คุณดั้นเมฆ...ความวนของพลังงาน
จับประเด็นที่พ่อครูบอกว่าพลังงานคือความวน รวบรวมเรียบเรียงได้อย่างนี้ครับ
1. จากพฤติกรรมหยาบในวรรคแล้วมีส่วนแล้วเศษเป็นพฤติกรรมละเอียดในเศษวรรค การทำงานของเศษวรรครวมตัวกันขึ้นเกิดเป็นประธาน (ฬ) มีความยิ่งใหญ่โอฬารมีพฤติกรรมเพิ่มก็เป็น โอฬาริ เพิ่มอีกเป็น โอฬาริกะ จาก (ก.) ก็กลับเข้าสู่วรรคแรก (ก ข ค ฆ ง) ต่อไปจากหยาบ ลดมาเป็นละเอียดกลับไปหาหยาบอีก ก็วนอยู่อย่างนี้ (ถ้าทำได้ถึง อํ ก็จะปล่อยให้เกิดแบบ อนุโลม อยู่ในการควบคุม หรือจะไม่ให้เกิด (ปฏิโลม) ก็ได้)
2. เมื่อ ปสาทรูป ทำงานกับ โคจรรูป สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาทันทีคือ ภาวะรูป 2 เกิดเลยคือ อิตถีภาวะ ปฏิบัติเป็นก็เกิด ปุริสภาวะ ผู้เลยปุริสภาวะ แล้วจะใช้งานได้ทั้งสองสภาวะ ฉะนั้นตัวประธานจึงเดินทางไป อิตถีภาวะ(ซ้าย) แล้ววนมา ปุริสภาวะ(ขวา) สลับไปสลับมา วนอยู่ดังนี้(พ่อครูว่า ถูกแล้ว ผู้ที่ถึงก็ใช้ได้ทั้งสองสภาวะ วนได้แต่วนไม่ทุกข์ วนได้ประโยชน์เท่าบารมีของผู้ที่อยู่เหนือ มีอธิปไตยเป็นอุตระ มีสติเป็นอำนาจ มีปัญญาอยู่เหนือได้)
3. วิญญาณ(ธาตุรู้) เกิดจาก เจตสิก 3 เวทนา สัญญา สังขาร เมื่อครบสามแล้ว ทำงานร่วมกัน ก็เกิดวงกลม เป็นความวน
4. จากพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 57 ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ มีการวนกลับเมื่อไปถึงวิญญาณ
นามรูป เป็นปัจจัยของวิญญาณ
วิญญาณ เป็นปัจจัยของ นามรูป
การเป็นเหตุให้แก่กันและกันก็คือความวน
5. รูป นาม สลับไปสลับมา
ยกตัวอย่าง เราถูกตีทำให้เจ็บ
ถูกตี เป็น รูป
เจ็บ เป็น นาม
เมื่อเวลาผ่านไประลึกถึงการถูกตีครั้งนั้น ตัวอาการที่เคยเจ็บ กลายมาเป็นรูปให้ถูกรู้ได้ ตัวระลึกรู้เข้าไป เป็น นาม เข้าไปรับรู้
รูป นาม จึงสลับไปสลับมาแม้สภาพที่ละเอียดสูงขึ้น ก็จะวนลักษณะเดียวกัน เจโต-ปัญญา จึงเป็นสิ่งที่สลับกันได้ (จึงควรชื่นชมกันและกัน) ไม่มีอะไรเหนือกว่าอะไรโดยสัจจะ
การสลับไปสลับมาดังนี้ วิญญาณในข้อที่ 4 จึงแทรกตัวอยู่ในนี้
ในรูป ของ “สัญญา” โกดังเก็บตัวแรกและตัวสุดท้ายของอัตภาพ
ถูก ผิด อย่างไร? ยังไม่ชัดเจน ครับ
พ่อครูว่า...เจโตต้องพยายามเพิ่มปัญญา ปัญญาต้องพยายามเพิ่มเจโต ...ถูกแล้ว
อันนี้อาตมาให้คะแนนเต็ม ถูกต้อง
อาตมาก็ดีใจอยู่บ้าง ว่าบรรยายธรรมะพวกนี้คนเข้าใจได้ แม้จะเป็นเรื่องโลกุตระที่ลึกซึ้งมาก เป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน ในระดับขออภัย ต้องพูดว่า ไม่มีใครสอนอย่างอาตมาหรอก อาตมาสอนนี่ มันไม่มี ยิ่งยุคนี้ก็ยิ่งไม่มีใคร ยุคก่อน โบราณจารย์ที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่เก่งๆ ก็มีอยู่ อาตมาก็มาเป็นผู้หนึ่งเท่านั้นเอง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ 2
ทีนี้พอ ในที่ว่ามาทั้งหมดที่เขาส่งมา มาเข้าเรื่องที่จะพูดวันนี้คือ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ
ตามภูมิโพธิรักษ์คิด ส่วนใครจะทำ ให้สมคิดก็แล้วแต่
ข้อ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง
ข้อ 2. และการจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารอย่างนี้
ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า เราจะทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าใครจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”
ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้
ข้อ 4. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศหายจนไปทุกคนได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกให้คนทั้งประเทศหายจนไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือให้สังคมรวยขึ้นอย่างมาก จนถึงขั้นรวยๆๆๆชนิดไม่มีขีดความพอ ที่เรียกว่า“พอเพียง”นั่นเอง คนเราคนๆหนึ่งจะมีเงินถึงหมื่นล้านนี่ก็อยู่รอดแล้วไหมในสังคมนี้ มันเกินพอแน่นอน
เราจัดตลาดอาริยะ คอยดู จะมีแต่คนจนที่มาใช้บริการพวกเรา คนรวยไม่มาหรอก และเราสร้างอาคาร บวร นี้ขอปวารณากับทางจังหวัดว่า ให้มาใช้บริการได้ฟรีเลย มีเงื่อนไขอยู่ว่าคนนั้นหรืองานไหนควรจัดได้ไหม ยิ่งพระนี้จะไปส่งเสริมการแต่งงานไม่ได้ เป็นอาบัติ มีในพระวินัย แต่ท่านที่ไม่รู้ก็ไปงานแต่ง ไปรดน้ำมนต์เขา
ข้อ 5. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการให้คนทั้งหลายรู้แจ้งรู้จริง มีความเข้าใจใน“ความจน” และคนผู้นั้นตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”ในสังคมให้ได้จริงๆ ด้วยความมี
ปัญญา(ไม่ใช่เฉโก) นั้นประเสริฐจริง
ข้อ 6. ปัญญาที่ว่านั้นคือ ต้องเป็น“คนจน”ที่เข้าใจจริงๆ ว่า เราเป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออก ผู้อื่นที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้
ข้อ 7. คนที่แข็งแรง คนที่มีความรู้ มีสมรรถนะ คนที่ขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ ย่อมพึ่งตนเองได้จริง ไม่มีวันขาดแคลนง่ายๆเลย จึงควรเป็น“คนจน”เสียเอง จะได้ไม่กักตุนไว้ที่ตน กระจายออกไปสู่คนที่ควรได้ควรมี ควรรับไปใช้ไปกินบ้าง ชื่อว่าเป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง
ข้อ 8. เพราะคนในสังคม ที่จำเป็นต้องช่วย ต้องให้ความอนุเคราะห์ คือ คนที่ไม่แข็งแรง คนที่ไม่มีความรู้ คนไม่มีสมรรถนะ หรือคนที่จำเป็นต้องช่วยเหลือมันเป็นเรื่องสุดวิสัยแล้วเขาช่วยตนเองไม่ได้จริงๆ เช่น เด็ก คนเจ็บป่วย คนแก่เฒ่าแล้วช่วยตนเองไม่ไหวแล้ว คนพิการกาย คนพิการสมอง คนที่ต้องทำงานช่วยคนอื่นช่วยประชาชนส่วนใหญ่อยู่ตามหน้าที่ต้องรับผิดชอบจริงจนไม่มีโอกาสช่วยตนเองได้ จึงอยู่ในวิสัยที่ต้องช่วย
ข้อ 9. ปราบคนขี้เกียจ และคนขี้โกง ให้เด็ดขาด อย่าไว้หน้า อย่าละเว้น เพราะเขาทำบาปให้ตนเองจริงๆ ไม่ดีเลย อย่าปล่อยให้เขาทำบาป เขาน่าสงสารแท้เพราะโง่ อย่ายกเว้นแม้แต่พี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เขาจะมีแต่ได้สะสมอกุศลวิบากใส่ตน ในการขี้เกียจและการโกง
ข้อ 10. ผู้มีปัญญาจริงนั้น เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจแท้จริงอยู่เสมอตลอดกาล ไม่เชื่อก็ไปถามพระอรหันต์ทุกพระองค์ ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังจนแหละ แม้แต่พวกเราเป็นอาริยะพอสมควร ก็อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ระวังเถอะ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บฯ ระวัง คุณมาอยู่ในนี้ให้คนอื่นเขาบริการคุณอย่างเดียว คุณไม่ขยันก็ต้องเป็นหนี้ คุณมากินแรงคนบุญคนดีคนอาริยะ มันบาปยกกำลังนะ ไม่ใช่บาปแค่คูณ คุณกินแรงพระพุทธเจ้าเป็นไง คุณกินแรงพระอรหันต์เป็นไง บาปมันเป็นสัจจะ
ข้อ 11. ผู้มีปัญญานั้นรู้แจ้งจริงว่า “ความจน”ไม่ใช่ความน่าเกลียด ไม่ใช่ความน่ากลัว ไม่ใช่ความต่ำต้อย ไม่ใช่ความน้อยหน้า ไม่ใช่ความมีเศรษฐกิจเสื่อมถอย ไม่ใช่การเบียดเบียนคนอื่นประเทศอื่น ไม่ใช่ความเดือดร้อนยุ่งยากตนเองแต่อย่างใด แต่ชัดเจนชัดแจ้งแท้จริงว่า “ความจน” นั้นมันยิ่งเบากายสบายใจต่างหาก ไม่มีภาระ ภาระเบามากๆ และเป็นการช่วยที่แท้ ที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมดีขึ้นต่างหาก
ข้อ 12. ความจนอันประเสริฐ ไม่ใช่เรื่องที่คนจะต้องวิ่งหนี แต่เป็นสภาพที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ น่าได้ น่ามี น่าเป็น
ข้อ 13. คนจนผู้ประเสริฐ คือ ผู้มีปัญญาจริง ไม่ใช่ยังมีแต่เฉโก จึงเข้าใจจริงๆว่า การเป็น“คนจนผู้ประเสริฐ”นั้นดีแท้ๆจริงๆ เพราะทั้งปลอดภัย ทั้งไม่เบียดเบียดผู้อื่น ไม่แก่งแย่งผู้อื่น ทั้งได้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ จึงเป็นคนมีประโยชน์แท้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นจริง
เพราะตนก็ไม่เบียดเบียนตน และทั้งไม่เบียดเบียนผู้อื่น เนื่องจากตนเป็นผู้มีความรู้มีสมรรถนะสร้างสรรขยันพากเพียรอยู่แท้ จึงมีผลผลิตมากอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอไม่ขาด
มีมากมีล้นเกินอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ จึงมีเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ผู้อื่นแท้จริง
ข้อ 14. แต่เป็นผู้ทำตนให้เป็น“คนจน”ด้วยตัวเอง ด้วยความตั้งใจจน เต็มใจจน และตนมุ่งมั่นมีไว้แต่น้อย(อัปปิจฉะ) จึงเป็น“ความจน”ที่ตนพอมีพอกิน เพียงแต่ตนมี“ใจพอ” (สันโดษ,สันตุฏฐิ) ตนสบายใจไม่โลภมากกอบโกยมาสะสมอีก ตนรู้จักพอ จึงหยุดเอาไว้เป็นของตนแค่นี้ จึงชื่อว่าสงบอยู่(ปวิเวก) ทำให้สังคมสงบ
เพราะการตั้งใจมีแค่นี้ ไม่สะสม(อปจยะ)ไว้ที่ตนมาก กว่านี้ แต่ขยันยิ่งอยู่เสมอ(วิริยารัมภะ) เมื่อเป็นคน“เอาไว้แต่น้อย,มักน้อย(อัปปิจฉะ) จึงจน จึงเป็นคนจนจริงๆ แต่ไม่สะสมไว้ที่ตนมาก จึงแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นแก่สังคมส่วนรวมจริง
ข้อ 15. ตนจึงเป็น“คนจน”เสมออยู่จริงตลอด เป็นนักเศรษฐกิจที่มีคุณธรรมประเสริฐแท้
ข้อ 16. เป็นนักเศรษฐกิจที่“จน”ทว่ามีความอุดมสมบูรณ์ เพราะสามารถสร้างสรรเลี้ยงตนเองได้พออยู่พอกิน และทำให้เหลือให้เกินที่ตนกินตนใช้บ้าง ด้วยความรู้ด้วยสมรรถนะของตน
ข้อ 17. คนจนเช่นนี้จึงเป็น“คนจนผู้ประเสริฐ” ทำให้สังคมทรงอยู่ได้ ดำเนินไปได้ แม้คนอื่นจะขี้เกียจและขี้โกง กอบโกยหนัก รวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ไม่มีจบสิ้น ก็ยังชื่อว่า เราเป็นส่วนที่ช่วยอุดหนุนจุนเจือสังคมอยู่แท้ พอบรรเทาทำให้สังคมไปได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งยากแค้น แก่งแย่ง คนที่รวยไม่รู้จักพอกระชากชิงไปไม่หยุด ก็จะทำร้ายกันกว่านี้
ข้อ 18. จึงเห็นจริงว่า ต้องมี“คนจน”ที่เสียสละอย่างนี้ เพราะคนที่เขาไม่ยอมจน เขาไม่ยอมจริงๆ เราจึงต้องมาเป็น“คนจน” ไม่เช่นนั้น ไม่มีส่วนใดในสังคมนั้นที่จะช่วยสังคมอยู่ ถ้าไม่มีลักษณะของคนในสังคมเช่นที่ว่านี้
ข้อ 19. ซึ่งเป็น“คนจน”แต่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ขยันสร้างสรรอยู่ แม้จะได้สะพัดเผื่อแผ่ผู้อื่นอยู่ตลอด อย่างสุขใจจริง และสะพัดชนิดที่“ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา”อีกด้วย จึงมีมากอยู่เสมอ อุดมสมบูรณ์ มีเหลือมีเกินอยู่ได้ คนเช่นนี้จึงต้องเรียกว่า คนจนที่มีความประเสริฐ(ตามคำตรัสของในหลวง ร.9 ตรงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า)
ข้อ 20. คนที่ทำตนได้เช่นนี้ คือ ผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แล้ว เป็นจริงแล้ว สำเร็จแล้ว ชนิดที่มี“กตญาณ(ความรู้ของผู้รู้จักความสำเร็จที่ตนทำจบแล้ว)”
ควรรู้จักความจบที่สุดวิสัยแล้วสำหรับตนเอง
หากไม่รู้ “ความเป็นไปได้ที่ควรเป็นอย่างแท้จริง” และไม่รู้“ความจบ” หรือมีที่จบ ก็ต้องร้อนใจอยู่ตลอด เพราะไม่รู้เสร็จ ไม่รู้จบ จึงมีทุกข์ไม่มีจบสิ้นได้
ข้อ 21. ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจใน“มิติ”ที่หมายเอาแค่ว่า จะทำให้ประเทศไม่มีคนจน ทำให้คนหายจนให้ได้มากที่สุดนั้น จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดี ที่ประเสริฐเลย
เพราะวิธีที่ไปตั้งใจ หรือตั้งความคิด ว่าจะรวยๆๆๆ แล้วหวังจะให้คนในประเทศของเราต่างก็จะให้มีความร่ำรวยกันทั้งประเทศนั้น ถ้าตนก็สามารถเท่านี้ ตนก็มีผลผลิตเท่าที่ตนมี แต่อยากได้มากกว่านี้ จึงมีแต่ใจจะเอาเพิ่มจากที่“ตนมีได้จริง” เมื่ออยากได้มากกว่านี้ ก็ต้องแย่งจากผู้อื่นเท่านั้น
คนเช่นนี้จึงใช้ความฉลาดแกมโกง ฉลาดอย่างมีกิเลส คือ เฉโก คิดหาวิธีที่ตนจะ“มีมากๆๆๆๆ” แล้วก็ทำการโกงด้วยวิธีโกงนั้นกันเต็มสังคม ตั้งแต่น้อยนิดจนถึงขั้นแรงสุด
ข้อ 22. วิธีการโกงในสังคมที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยคนที่มีคอนเซพท์อยู่แต่ว่าคนต้องรวย ประเทศต้องรวย จึงเป็นแนวคิดที่ “คนมีแต่อยากรวย” ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ไม่มี “จบ” แก้ไม่เสร็จ ตลอดกาลนาน
ข้อ 23. ฉะนั้น การจะทำให้คนในประเทศเราร่ำรวยขึ้นได้มากจริงดังว่า ก็คือ ต้องแย่งเงินทองจากประเทศอื่นมาให้ประเทศแก่ตน โดยการเอาเปรียบ หรือขูดรีดด้วยการขายผลผลิตของตนราคาสูงมาให้ตนเอง ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ตามปกติสามัญของคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว
เมื่อทำได้ ก็ดีใจ ชอบใจ ด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น
ตั้ง“แนวคิด”อย่างนี้ทำไม?
มันไม่ดีเลย มันเห็นแก่ตัว มันมีแต่ขี้โลภ เห็นแก่ได้ มันไม่คิดจะเสียสละเพื่อผู้อื่นเลย
ข้อ 24. เกิดเป็นคนควรจะเป็นผู้เสียสละมากกว่า เป็นผู้ได้เปรียบ หรือเป็นผู้เอาเปรียบ สามัญสำนึกก็คงพอรู้
ข้อ 25. เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่ควรคิดเป็นผู้ได้เปรียบ ไม่ควรเป็นผู้เอาเปรียบ เพราะมันกลายเป็นคนไม่มี “ประโยชน์” เป็นคนไร้“ค่า” เป็นคนขาด“คุณ” เป็นคนไม่มีธรรม “คนไม่ดี-คนไม่ประเสริฐ” ซึ่งไม่ควรมี ไม่ควรได้ ไม่ควรเป็นเลย
ข้อ 26. เกิดมาเป็นคนแล้ว จึงควรคิดเป็นผู้เสียเปรียบ ควรเป็นผู้เสียสละ เพราะมันเป็นคนมี“ประโยชน์”แท้ เป็นคนมี“ค่า”จริง เป็นคนมี“คุณ”แน่ เป็นคนไม่ว่างเปล่าจากธรรมที่“คนดี-คนประเสริฐ”ควรมี ควรได้ ควรเป็น
ข้อ 27. การแก้ปัญหา ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะ“หายจน” หรือทำอย่างไรปัญหา“ความจน”จึงจะจบลงได้สนิท ก็ขอไขความลับนี้ เราก็เป็น“คนจน”เสียเองเลย จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ จนอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะมีความรู้ มีความสามารถ และขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอตลอด เราไม่พัก(อัปปติฎฐัง)อยู่ เราไม่เพียร(อนายูหัง)อยู่(พตปฎ. เล่ม 15 ข้อ 2) จึงเป็น“คนจน” ที่“จน”อย่างไม่ขาดแคลน
โดยมีหลักการ ประมาณ 10 หลัก เป็นต้นว่า
1.ไม่เป็นหนี้(โดยเฉพาะหนี้ที่ต้องเสียดอกเบี้ย ในระบบทุนนิยม)
2. ทำกินทำใช้พอเพียงให้ได้สำหรับตน
3. สร้างให้เกินที่ตนกินตนใช้อยู่เสมอ
4. เมื่อตนเหลือกินเหลือใช้แล้วก็สะพัดออกเผื่อแผ่ผู้อื่น
5. สะพัดแบบขาดทุนของเราคือกำไรของเราได้ เพราะมีเกิน
6. สะพัดออก โดยไม่ต้องกักตุนไว้มาก มีไว้เพียงพอที่จะใช้จะหมุนทำงานไม่ขาดขั้นขาดตอน แต่ไว้แต่น้อยๆ คนมีไว้แต่น้อยๆ จึงคือ คนจน
7. ไม่ต้องอยากรวยเลย ในชีวิต
8. เรียนรู้จิตอย่ามีสาเปกโข คืออย่ามีความหวังทุกครั้งที่เรามี“การให้” หรือ“ทาน”แล้ว อย่าอยากได้อะไรตอบแทน จึงเจริญครบสัจจะทั้งทางโลกีย์ และทั้งทางโลกุตระ
9. ขยันสร้างสรรเช่นนี้ เสมอๆ อย่าเกียจคร้าน
10. ถ้ามีหมู่กลุ่มรวมกันอยู่ ก็จัดสรรโดยวิธีสาธารณโภคี หากทำได้สำเร็จจริง ก็เป็นเศรษฐกิจที่ดีสุดสูงสุด
ข้อ 28. ดังนั้น หากยังมีคอนเซพท์ มีกระบวนทัศน์ มีวิธีการ จะให้คนพากันมารวยอยู่ละก็ขอยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้ การแก้ปัญหาสังคมให้เศรษฐกิจเป็นคนรวยอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีวันสำเร็จ จะได้ก็เพียง“สมบัติผลัดกันชม” คือ จะมีคนรวย-คนจนสลับกันไปมา ไม่มีจบ เพราะคนจะแย่งกัน“รวย”อยู่ตลอดกาล “ทีใคร-ทีมัน” หมุนเวียนเปลี่ยนกันไป นิรันดร ตราบที่คนยังอยากเป็น“คนรวย” ไม่หยุดคิดจะรวย ไม่เห็นจริงว่า รวยนั้นไม่ดีเท่าจนอย่างมีปัญญาจริง การจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้มีคนรวยที่ยั่งยืนตลอดกาลนั้น ไม่เกิดผลสำเร็จหรอก ขออภัยนะ ..เพ้อเจ้อชั่วนิรันดร์แน่นอน
ข้อ 29. ที่ว่าเป็น“คนจน” เพราะเป็นคนไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารเงินทองบ้านช่องเรือนชานเป็นของตัวของตน เป็นอนาคาริกชนจริง อยู่กันอย่าง“สาธารณโภคี” ทรัพย์สินช่วยกันสร้างช่วยกันทำอย่างสัมมาทิฏฐิ-สัมมาปฏิบัติ มีลาภมาโดยธรรม(ลาภธัมมิกา) ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง แล้วบริหารกันอย่างเป็นธรรม กินใช้ร่วมกัน อยู่กันอย่างเป็นสุข
ข้อ 30. เศรษฐศาสตร์ทฤษฎีนี้ เป็นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อาตมาคิดเอาเอง ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ สุดโต่ง ที่เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ในสังคมโลก ไม่มีทฤษฎียิ่งใหญ่ที่จะสอนคนให้ปฏิบัติลดละกิเลส จนสามารถศาสนิกบรรลุธรรมเป็น“คนจน”ดังว่านี้ได้จริง อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
ข้อ 31. ขออภัยที่จะต้องยกคนจริงๆ สังคมหมู่บ้านหรือชุมชนที่มี“ความจริง”ที่เกิดได้จริงเป็นได้จริง มายืนยัน อ้างอิง ประกอบความปรากฏอยู่จริงได้จริง(phenomenal) ที่ยืนยันเชิญให้ไปสัมผัสของจริง พิสูจน์ได้จริง(เอหิปัสสิโก)ขึ้นในที่นี้ ได้แก่ สังคมคนอโศก หรือชาวอโศก หรือที่คนไทยทั่วไปมักเรียกว่า พวกสันติอโศก นั่นเอง
ที่รวมตัวกันเป็นสังคมชุมชน หมู่บ้าน กระจายอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ก็ไม่มากมายกี่เปอร์เซ็นต์หรอก เพราะมันไม่ง่ายเลย ในต่างประเทศนั้น คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเศรษฐศาสตร์ขั้น“สาธารณโภคี”นี้เป็นของพุทธศาสนาศาสนาเดียวในโลก แม้ในยุคพระพุทธเจ้าก็เป็นได้แค่ในกลุ่มสงฆ์ภิกษุเท่านั้น ในสังคมฆราวาสยังเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุมีเงื่อนไขทางสังคมยุคนั้น มันเป็นยุคทาส ยุคสมบูรณาญาสิทธิราช และคนก็ยังไม่มีความรู้ใน“สิทธิ”ต่างๆอันคนพึงมีกันเลยทั้งโลก ซึ่งแตกต่างจากสังคมยุคนี้ที่เลิกทาส มีความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชน คนละขั้วแล้ว
ข้อ 32. ชุมชนตัวอย่างในประเทศไทยที่ว่านี้ เป็นชาวพุทธที่นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติกระทั่งเกิดผลจริง เป็นชุมชนที่พูดได้เต็มปากแล้วว่า ชุมชนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ“ความยากจน”
ข้อ 33. เพราะทำ“แบบคนจน” หรือ“ขาดทุนของเราคือ กำไรของเรา” ตามศาสตร์พระราชา หรือจริงๆก็ตามรอยพระยุคลบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง จนกระทั่งบรรลุผล เป็นหมู่ชนที่มี“วรรณะ 9” มี“กถาวัตถุ 10” เป็นไปตาม“หลักเกณฑ์ตัดสินพระธรรมวินัย 8” และมี“สาราณียธรรม 6” ได้อย่างแท้จริง เพราะจิตเกิดคุณสมบัติมีความเป็นไปตาม“พุทธวจนะ 7” ได้แก่ สาราณียะ-ปิยกรณะ-ครุกรณะ-สังคหะ-อวิวาทะ-สามัคคียะ-เอกีภาวะ
ข้อ 34. คนในสังคมชุมชนหมู่บ้านที่ว่านี้ เป็น“คนจน” จริงๆ เชิญมาวัดค่า“ความจน”ของ“คนจน”พวกนี้ได้ จะได้“ค่าเฉลี่ยแห่งความจน”ออกมายืนยันได้แท้จริงว่า เป็น“คน
จน”ที่แต่ละคนมีรายได้“สูญ” คือ ทำงานอยู่ในสังคมฟรี ช่วยกันสร้างผลผลิต มีผลผลิตเอาเข้ากองกลางทั้งหมด แล้วกินใช้ร่วมกันในกองกลางนั้น และพยายามช่วยกันสะพัดออกไปช่วยเผื่อแผ่สังคมภายนอก อย่างไม่เอาเปรียบ เป็นการเสียสละให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
จึงเป็นคนจนที่มีคุณภาพ เป็น“คนจน”ที่มีประโยชน์ เป็น“คนจน”ที่ไม่เบียดเบียนสังคมอื่น เป็น“คนจน”ที่มีน้ำใจต่อสังคมอื่นช่วยผู้อื่นจริงๆ ไม่เสแสร้ง ไม่กดดัน ไม่หลอกลวงแน่นอนเด็ดขาด เพราะเป็นคนซื่อสัตย์แท้จริง มีศีลมั่นคงแท้ มีธรรมะของพระพุทธเจ้าจริง ตามที่ได้สาธยายมา และมีชีวิตจริง อยู่เป็นคนมีศีลมีธรรมจริง มารวมกันเป็นหมู่กลุ่มชุมชนชาวอโศกจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ท้อถอย ยังไม่ลดอัตราการก้าวหน้า ยังดำเนินหมู่ชนให้สัมผัสได้จริง
ต้องขออภัยอย่างมากที่พูดความจริง ยกตนเองจริง.
~~~~~~~~~~~~
ก็ยกจริงไม่ได้พูดเล่น ยกจริงๆยืนยันจริง
หลักความจนของพระพุทธเจ้านั้น มีใน“วรรณะ 9” มี“กถาวัตถุ 10” เป็นไปตาม“หลักเกณฑ์ตัดสินพระธรรมวินัย 8” และมี“สาราณียธรรม 6”
วรรณะ 9 คือ
1 เลี้ยงง่าย (สุภระ) ไปง่ายมาง่าย อยู่ง่าย กินง่าย ใครเคยดูในหลวงเสวย ก็เสวยง่ายๆ เป็นคนไม่ใช่มักง่ายนะ แต่สบายๆ
2 บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)
3 มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) คือเป็นคนกล้าจน ชอบจะมีน้อยๆ
4 ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)
5 ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เป็นการขัดเกลาฝึกฝนตนเอง เป็นไปตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา จนศีลเคร่งได้
6 เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) สำเร็จเป็นวิมุติ วิมุติญาณทัสนะได้ จนเป็นปกติ ที่ใครเห็นก็ว่าเคร่ง แต่คนปฏิบัติได้แล้วเป็นปกติ สามัญปกติชีวิต อย่างพวกเรากินมื้อเดียวก็ธรรมดา วันๆไม่มีรายได้ก็ธรรมดา ไม่เห็นต้องฝืนต้องลำบากหรือทรมานอะไรก็สบายๆ ถือศีลขนาดนี้
7 มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)
8 ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ)
ธูตะหรือองค์แห่งศีลเคร่ง เขาเข้าใจผิดทั้งประเทศว่าการธุดงค์หมายถึงการเดินหรือการออกป่า แม้ว่าจะเอาธุดงค์ของพระมหากัสสปะเป็นตัวอย่าง ก็ได้ ธุดงควัตร 13 ข้อ ก็มี
หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับจีวร)
1.) ปังสุกูลิกังคะ การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งไว้ไม่มีเจ้าของ ใช้แต่ผ้าเก่าที่คนเขาทิ้งเอาไว้ตามกองขยะบ้าง ข้างถนนบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง นำผ้าเหล่านั้นมาซัก ย้อมสี เย็บต่อกันจนเป็นผืนใหญ่แล้วนำมาใช้ งดเว้นจากการใช้ผ้าใหม่ทุกชนิด (บังสุกุล = คลุกฝุ่น) และจะรับผ้าจากทายกถวายไม่ได้
2.) เตจีวริกังคะ การถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร คือการใช้ผ้าเฉพาะที่จำเป็นเพียงสามผืนเท่านั้น เกินกว่านั้นใช้ไม่ได้อันได้แก่ สบง(ผ้านุ่ง) จีวร(ผ้าห่ม) สังฆาฏิ(ผ้าสารพัดประโยชน์ เช่น คลุมกันหนาว ปูนั่ง ปูนอน ปัดฝุ่น ใช้แทนสบง หรือจีวรเพื่อซักผ้าเหล่านั้น ปัจจุบันภิกษุไทยมักใช้พาดบ่าเมื่อประกอบพิธีกรรม)
หมวดที่ 2 ปิณฑปาตปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับบิณฑบาต )
3.) ปิณฑปาติกังคะ คือการถือบิณฑบาตเป็นวัตร บริโภคอาหารเฉพาะที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น ไม่บริโภคอาหารที่คนเขานิมนต์ไปฉันตามบ้าน
4.) สปทานจาริกังคะ เดินบิณฑบาตแต่เฉพาะทางที่กำหนดไว้ทางเดียวเท่านั้น ถือการบิณฑบาตตามลำดับบ้านเป็นวัตร คือจะรับบิณฑบาตโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยคนจน ไม่เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มีใครใส่บาตรก็รับไปตามลำดับ ไม่ข้ามบ้านที่ไม่ถูกใจไป
5.) เอกาสนิกังคะ ฉันมื้อเดียว(ต่อวัน) ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียว เมื่อนั่งแล้วก็ฉันจนเสร็จ หลังจากนั้นก็จะไม่บริโภคอาหารอะไรอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม
6.) ปัตตปิณฑิกังคะ ฉันสำรวมโดยนำอาหารเทรวมกันในบาตรถือการฉันในบาตรเป็นวัตร คือจะนำอาหารทุกชนิดที่จะบริโภคในมื้อนั้น มารวมกันในบาตร แล้วจึงฉันอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร
7.) ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ลงมือฉันแล้วไม่รับเพิ่มทีหลัง ถือการห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อรับอาหารมามากพอแล้ว ตัดสินใจว่าจะไม่รับอะไรเพิ่มอีกแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้มีใครนำอะไรมาถวายเพิ่มอีก ก็จะไม่รับอะไรเพิ่มอีกเลย ถึงแม้อาหารนั้นจะถูกใจเพียงใดก็ตาม
หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับเสนาสนะ )
8.) อารัญญิกังคะ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส
9.) รุกขมูลิกังคะ ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง
10.) อัพโภกาสิกังคะ ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร อยู่กลางแจ้ง เช่น ตามท้องทุ่งนา คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุงบังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัย
11.) โสสานิกังคะ ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไปอาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท
12.) ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร อยู่ในที่พักที่เขาจัดให้โดยไม่เลือก คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันที
13.) เนสัชชิกังคะ ถือการนั่งเป็นวัตร อาศัยอิริยาบถนั่งอย่างเดียว คืองดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ในอิริยาบถ 3 เท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลย ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน
เป็นวาสนาสำหรับพระกัสสปะ ต้องอยู่ป่า ถ้าไม่อยู่ป่า มาอยู่เมืองนี้สรีระท่านรับไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ยอมให้อยู่ป่า
ธุดงค์ไม่ใช่การจัดให้ไปเดินเป็นแถว เอาดอกไม้มาโรยแล้วเดินบนดอกไม้เป็นดรามาติก มันออกนอกความรู้ความคิดของพุทธ
แม้แต่ส่วนใหญ่ของเถรสมาคม ก็เข้าใจผิดว่าธุดงค์คือการเดิน แม้แต่จะบิณฑบาตเป็นแถวก็ไม่ได้หมายความว่าไปเดินออกป่า การอยู่ป่าก็มีแต่พระกัสสปะที่พระพุทธเจ้าจำนนเป็นวาสนาของท่าน เป็นสัจจะที่เพี้ยนไปและยึดถือกัน
อาตมามาแก้ไข เช่นคำว่าสมาธิ สมาธิของศาสนาพุทธไม่ใช่นั่งสงบเป็น Meditation อย่างเดียว ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 ในพรหมชาลสูตร ท่านบอกว่านั่งอย่างไรให้ตายก็ได้แต่มิจฉาทิฏฐิ 62 เป็นอดีตกับอนาคต นั่งหลับตามันไม่มีปัจจุบัน ศาสนาพุทธต้องปฏิบัติปัจจุบันมีผัสสะเป็นปัจจัย อาตมาพูดไปเขาก็ไม่เชื่อหรอก แต่อาตมาก็ต้องพูดสัจธรรม
ทุกวันนี้ยากมากที่มาทำงานนี้แต่ไม่มีทางเลือกต้องทำ เพราะอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้องมาทำงานนี้ ใครจะไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา อาตมาไม่ได้ทำงานเพื่อให้คนมาเชื่อ แต่คนเข้าใจก็มาเชื่อเอง เขาจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไม่เชื่อแล้วอาตมาจะเป็นจะตายอาตมาไม่บ้าอย่างนั้นหรอก อาตมามีแต่เปิดเผยสัจธรรม คนที่เห็นคนที่ว่าจะเอาก็มาเอา
การทำงานอย่างนี้อาตมาถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของชีวิตมนุษย์ที่ควรทำ อาตมาถึงได้เลือกทำงานนี้มาตั้งแต่ 47 48 ปีที่แล้ว เลือกงานนี้ด้วยความมั่นใจรู้จริงว่าต้องมาทำงานนี้ แล้วจนถึงวันนี้ก็มั่นใจว่าจะทำงานนี้งานเดียว จนกว่าจะทำไม่ไหวก็ต้องหยุด ไม่ใช่ให้เขาหามไปทำงานนี้หน่อย ก็พอแล้ว ถ้ามันทำไม่ไหว
สมณะเดินดินว่า...ได้เห็นเกจิต่างๆ เคาะหัวไม่ไหวแล้วลูกศิษย์ก็หามไปอีก พ่อครูคงไม่อยู่ในสภาพนั้น พ่อครูเทศน์เรื่องจน พวกเราคงซาบซึ้งมากกว่าภายนอก แต่ไม่เข้าใจว่า พวกเรามีอยู่อย่างนี้แล้วจะคิดรวยไปทำไม ข้าวมีกิน ดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ก็น่าจะมาทำงานให้มีประสิทธิภาพมีประโยชน์คุณค่าได้มากขึ้น แต่เมื่อเรามีสิ่งพะรุงพะรังกับชีวิตมาก เราก็ทำงานได้น้อย มีความกังวลมากเป็นต้น …
Youtube https://youtu.be/5dGiZP5QtAo
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:16:06 )
รายละเอียด
601217_วิถีอาริยธรรม การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตามภูมิโพธิรักษ์คิด ตอน 3
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก เมื่อเปิดดูทีวีจะพบว่ามีการโฆษณาเสมอๆ บอกว่าให้รวยให้รวยถ้าได้บูชาวัตถุมงคลอะไรต่างๆ เราก็ดูเป็นเรื่องตลก แต่คนทั่วไป คงจะมีคนเชื่อ จนมีข่าวหลอกลวงกันเป็นเรื่องเป็นราว คนก็มักจะพูดกันแต่เรื่องหวย
แต่เราก็จะจัดงานเพื่อฟ้าดิน วิทยากรที่จะจัดมาให้สอดคล้องกับชีวิตที่มาจน เพราะทุกวันนี้คนเราดิ้นรนอยากจะไปรวยอยากจะร่ำรวยก็เลยเดือดร้อน พ่อครูก็พยายามทำความเข้าใจกับสังคม ต้นฉบับพวกเราให้รับรู้ก่อนว่าทิศทางแบบนั้นเป็นทิศทางแห่งความหายนะ เราก็เห็นในสังคมมีพวกที่ รวยแย่ รวยจะแย่ ตรงข้ามกับคำว่าจนแล้วจนรอด จนสำเร็จ จนทุกชาติ อีกด้วย เป็นทิศทางที่จะมาทำให้ ที่พ่อครูบอกว่า สังคมกำลังมีความตื่นตัวเรื่องโลกุตระ เห็นดีเห็นงามกับการให้ ตอนนี้กระแสของตูนก็ดีมาก กำลังลุ้นกันจะว่าจะถึง 1,000 ล้านหรือไม่ แต่จะให้สมบูรณ์ต้องให้อย่างไม่ปรารถนาจะได้อะไรกลับคืนมา ไม่หวังไม่ปรารถนาอะไรตอบแทน ให้รวยมากขึ้น แต่ต้องมาให้อย่างโลกุตระไม่มีตัวตนอย่างในหลวงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
พ่อครูว่า...มาดู sms ก่อน
_SMS วันที่ 15 ธันวาคม 2560 (พ่อครู บวรราชธานีอโศก)
_0750เสียงเดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบาอย่าปรับบ่อยสิครับ
_0015ถ้าเรา "จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ" ในชาตินี้ หนีไม่พ้นที่จะ"รวยอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ" ในชาติหน้าเช่นกัน
พ่อครูว่า...อย่างธรรมกายบอกว่าปิดบัญชีโลก เปิดบัญชีสวรรค์ รวยๆๆๆ เอาอนันต์อัศวโภคินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เขาก็รวยเละ เพราะเขาเหมาก่อสร้างในนั้นหมด
_0015ในปีนี้ตั้งใจว่าจะซื้อของในตลาดอาริยะ แล้วนำมาขายลดราคาลงอีกในตลาดอาริยะเช่นกัน ทำแบบนี้จะได้ไหมครับ
พ่อครูว่า..ใครที่จะมาตั้งใจ ลดละ มาจน มาเสียสละ อย่างนี้เราสนับสนุน แต่อย่าทรมานตน จะมีความเสียสละลดตัวลดตน ลดความมีของตัวเองออกไปให้ผู้อื่นได้ มันเป็นสิ่งที่ดี
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับวิถีชีวิตคนจนแบบโลกียชนทุกข์เข็ญท่วมหนี้จมอบายไร้ศรัทธาธ.,ไม่ละอายต่อบาป,ไม่เกรงกลัวเวรกรรม,ไม่มีปัญญาในกุศลธ.วิถีธ.คนจนแบบโลกุตระชนสุขเพียงพอกินอยู่ง่าย,ใจพอ,มักน้อย,กล้าจนทวนกระแสโลกธ.ด้วยศีลเต็ม,ไม่สะสม,ขยันทุกกิจการงาน สาธุธ.คนจนที่รวยด้วยอาริยะทรัพย์แท้ตามรอยล้น(9)เกล้าฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน นิยามคนจนผู้ประเสริฐมีวรรณะ
_3867ศก.คนจนในโลกนี้ไม่มีใคร ทำได้นอกจากอาริยะชนคนใจพอ(เพียง)!
พ่อครูว่า..อาตมาคงต้องพูดแล้วพูดอีก ในเรื่องของความจนเพราะว่าเป็นเรื่องเดียวในโลกที่คนยัง งง หรือโง่อยู่ ยังงุ่มง่าม ยังเข้าใจไม่ได้ว่าความจนหรือคนจน มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว น่าขยะแขยงเป็นเรื่องต่ำต้อย เป็นเรื่องเสื่อม ซึ่งมันไม่ใช่เลย
คำว่าคนจน นิยามชัดๆ คือ คนจนคือคนไม่มีสมบัติมาก คนไม่มีสมบัติมากเขาเรียกว่าคนจน ไม่ได้หมายความว่าคนจนเป็นคนโง่ ที่จริงแล้วคนจนนั้นสุดฉลาด คนที่เขาอยากรวย แต่คนที่จนแล้วไม่อยากรวยจึงเรียกว่าคนจน ถ้าคนยังอยากรวยอยู่ ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อยถ้ายังอยากรวยอยู่ก็คือคนจนทั้งนั้น ถ้ามีเงินพันล้านหมื่นล้านแสนล้านก็ยังอยากรวยอยู่ก็คือ ยังอยากได้อีก ไม่รู้จักอิ่มจักเต็มจักพอ ตะกละยิ่งกว่าเปรต ยัดใส่เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ เขาได้เขียนรูปเอาไว้ท้องโตปากเล็ก เป็นการแสดงออกจิตใจที่ขี้โลภมักได้มากๆ
และคนอย่างนี้ จะไปแก้ไขได้อย่างไร เสร็จแล้วอะไรไม่อะไร รัฐบาลก็ดี ผู้บริหารประเทศ แม้แต่ผู้รู้นักวิชาการ ก็จะแก้ปัญหาให้คนไปรวยไปอีก สร้างคอนเซ็ป สร้างกระบวนทัศน์ในชีวิตของคน ให้ต้องรวยๆ สร้าง paradigm ให้รวยๆๆ ยัดเยียด ความเข้าใจความรู้แบบนี้ ยัดเยียดความต้องการความฉลาดแบบนี้ให้แก่คน มันไม่ใช่ฉลาด ที่แท้จริงมันเป็นความโง่ ไปยัดเยียดความอยากรวย
มันต้องมาอธิบายว่าความจนคืออะไร และการเป็นคนจนอันประเสริฐ หรือเป็นคนเลวหรือคนชั่ว คนที่ตั้งตนเป็นคนรวยและได้พากเพียรปฏิบัติให้รวยนั้นเป็นคนเสื่อมทราม ไม่ใช่คนประเสริฐ เพราะว่าคนประเสริฐจริงๆแล้ว ต้องทำตนให้เป็นคนจนแต่เป็นคนฉลาดเป็นคนมีปัญญา เป็นคนรู้จักกินรู้จักใช้เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนใคร สร้างสรรค์ได้มากๆแล้วก็สละออก ลดตัวตนไม่มีทรัพย์ศฤงคารอะไรมากมาย เสร็จแล้วก็มีชีวิตสบาย เป็นคนจนมีชีวิตที่ประเสริฐ ได้เป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นคนดีมีคุณค่า
ที่อาตมาพูดอย่างภาษาธรรมดาและสอดคล้อง ไปเอาศัพท์ของพระพุทธเจ้ามาประกอบด้วยก็ยิ่งชัดเจน เช่นว่า
คนที่เป็นคนชั้นสูงเป็นคนมีวรรณะเป็นคนประเสริฐ จะเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายให้เป็นคนกล้าจน มักน้อย สันโดษ มีความพอใจพอ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว มีไม่มาก แล้วก็อยู่อย่างสงบ ปวิเวกะ พอ มีการขัดเกลาตนเอง ธูตะ ปฏิบัติศีลได้เคร่งขึ้น คำว่าธูตะหรือธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดินหรือออกป่า แต่เป็นคนมีศีลเคร่งขัดเกลา จนเป็นปกติเป็นคนที่น่าเลื่อมใสเป็นคนที่น่านับถือ ปาสาธิกะ ปฏิบัติประพฤติอย่างนี้ในสังคม เป็นคนที่น่านับถือ เป็นคนไม่สะสม อปจยะ จริงๆแล้วคนที่มีน้อยที่สุดนั่นคือคนที่เป็น 0 ไม่มีตัวมีตนไม่มีทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชาน เป็นอนาคาริกชน ไม่สะสม อปจยะ แต่มีวิริยารัมภะ ขยันเสมอปรารภความเพียร สร้างสรรค์ แล้วก็มีการสะพัดออก สร้างสรรค์อะไรได้เป็นผลผลิตมีเหลือ ให้มากๆแต่ไม่สะสมเอาไว้ สะสมเอาไว้จะกลายเป็นคนรวยไม่เป็นคนจน เราก็ต้องแจกจ่ายเจือจานคนอื่นไป คนที่จะไม่ควรได้มี 2 คนในโลกคือคนขี้เกียจกับคนขี้โกง พวกนี้ฉลาดแกมโกงเก่ง ไม่ควรจะได้แต่ก็ต้องได้ไป
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อาตมาก็ว่าทำไมผู้บริหารประเทศไม่เข้าใจให้พูดตรงๆ การแก้ปัญหาอย่าพยายามไปพูดว่าให้ทุกคนไปรวย เพราะมันจะแย่งชิงกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ 3
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ
ตามภูมิโพธิรักษ์คิด ส่วนใครจะทำ ให้สมคิดก็แล้วแต่
ข้อ 1. การจะทำให้คนทั้งประเทศ ไม่มีคนจนนั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด โดยความแท้จริง
ข้อ 2. และยิ่งจะทำให้คนทั้งประเทศเป็นคนรวยไปทั้งหมด มันก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จึงไม่ควรคิด และไม่ควรพูดเลยในโวหารอย่างนี้
ข้อ 3. การพูดออกไปต่อสาธารณชนว่า คุณจะเป็นผู้ทำให้คนทั้งประเทศหายจนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยในโลก ไม่ว่าคุณจะเก่งปานใด พูดเช่นนั้นจึงเป็นการคุยโต “สร้างราคา”ให้แก่ตนเอง เท่านั้น เพราะไม่มีใครหรอกในโลกทำได้ แม้แต่พระเจ้าก็มิบังอาจจะบันดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้
การให้คนเห็นว่ามาจนนี้ดีกว่าไปรวย นี้เป็นอัญญะ เป็นความรู้ความเห็นใหม่
เรื่องนี้อาตมาไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ไม่ได้พูดไปก็โก้ๆ แต่เป็นเรื่องจริง แล้วจริงในยุคสมัยนี้ที่คนหลงรวยโลกธรรมหนัก แต่อาตมาก็สามารถทำให้คนเข้าใจในความจริงนี้ได้ และทำให้คนมาเป็นคนจนได้อย่างเช่นชาวอโศก เข้าใจความจริงนี้ได้ และพอใจที่จะมาเป็นคนจน เป็นคนจนสำเร็จแล้วลงตัวได้สบาย
อาตมาขอถามด้วยความจริงใจ พวกคุณนี้รวยหรือจน ...จน แล้วสบายหรือไม่สบาย...สบาย
ข้อ 4. ไม่มีใครเลยในโลกที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยทำให้คนทุกคนในประเทศหายจนไปทุกคนได้หมด มันเป็นไปไม่ได้ตามความเป็นจริง ใครๆก็เสกหรือบันดาลให้คนทั้งประเทศหายจนไม่ได้ และการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนหรือของสังคมให้ดีขึ้น ก็ไม่ควรแก้ด้วยการทำให้ตนหรือให้สังคมรวยขึ้นอย่างมาก จนถึงขั้นรวยๆๆๆชนิดไม่มีขีด
ความพอ ที่เรียกว่า“พอเพียง”นั่นเอง
อาตมาไม่ได้นัดแนะคำตอบนะ ถามสดๆ หรือว่าพวกคุณตอบตามปฏิภาณให้สนองความต้องการคำตอบตรงใจอาตมาหรือ?...ก็ไม่ใช่ มันเป็นความจริงตามที่เป็น
เป็นความเข้าใจอย่างจริงใจ เป็นปฏิภาณปัญญารู้ว่ามันต่างจากสามัญชนทั่วไปเข้าใจ ที่ไม่มีความหยุดที่จะอยากรวย แต่เรามาใจพอ หยุดเถอะ ทั้งที่ไม่ได้มีพันล้านแสนล้านก็พอหยุดได้ ไม่มีเงินสักล้านมีแต่หัวล้านก็หยุด
ยิ่งอยู่กับสังคมสาธารณโภคี มีทรัพย์สินเป็นส่วนกลาง ข้าวของเครื่องใช้เครื่องกิน ใช้ร่วมกัน ต่างคนต่างทำและหาและสร้าง โดยสุจริตธรรม ลาภธัมมิกา ได้ลาภโดยธรรมก็แบ่งกินใช้ ไม่ตะกละ ลดละกิเลสที่หลงโลภ อันนี้สวยก็อยากได้มากๆ อร่อยก็อยากกินมากๆ หลอกกันเต็มไปหมด ดาวเทียมไม่รู้กี่ดวง เปิดช่องไหนก็มีแต่โฆษณาชี้ชวนเต็มไปหมด มีอยู่ช่องเดียวที่แหกโผ ช่องนี้ช่องเดียวแต่ไม่ใช่ธรรมกาย พาให้มาจนไม่ต้องไปแย่งชิงกับใคร นอกนั้นไม่มีใครจะกล้าพูดแบบนี้ แม้แต่ที่บอกว่าช่องทางศาสนาช่องทางธรรมะก็ยังบอกให้ไปรวยลาภยศสรรเสริญให้เอามาบริจาคเยอะๆ แต่ที่นี่ไม่เคยกล่าวเรี่ยไรเลย มีแต่เสาะไม้ปลูกเอง ปลูกไม้กินเอง ไม่ใช่อย่างโคลงโลกนิติ โซก็เสาะใส่ท้องจับเนื้อกินเอง เราก็โซก็เสาะใส่ท้องปลูกไม้กินเอง
ข้อ 5. ควรแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนทั้งหลายเกิดปัญญารู้แจ้งจริง มีความเข้าใจใน“ความจน” และคนผู้นั้นตั้งใจทำตนให้เป็น“คนจน”ที่มีปัญญามีสมรรถนะอยู่ในสังคมให้ได้จริงๆ ความมีปัญญานั้นเป็นความฉลาดที่ประเสริฐจริง เป็นความฉลาดของอาริยชน “ปัญญา”เป็นบัญญัติของพระพุทธเจ้าใช้เรียกความฉลาดแบบอื่น(อัญญะ)ที่แตกต่างจากความฉลาดของปุถุชน อันคือ“เฉโก”
เป็น spiritual innovate มันแก้ไปจากความเข้าใจเดิม เป็นความรู้สึกความคิดแบบใหม่ คือธาตุรู้ของจิตเปลี่ยนไป เรียกว่า เป็นความรู้ความคิดความเข้าใจใหม่ คนที่ว่าต้องไปรวยมันไม่ใช่ เราเห็นว่ามาจนดีกว่า เป็นความเห็นที่แตกต่างจากโลกียะ
พระพุทธเจ้าตรัสในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อนัตตลักขณสูตร จิตของโกณทัญญะเปลี่ยนเลย เป็นความเห็นใหม่ พระพุทธเจ้าเป็นผู้หยั่งรู้จิตใจของคนได้ ก็บอกว่าอัญญาสิ เป็นอื่นแล้วคนนี้จิตเปลี่ยนเป็นอื่นแล้ว อัญญาสิ วตโพโกญทัญโญ เป็นความคิดความเห็นที่แตกต่างไปจากเดิม ที่โลกโลกียสามัญปุถุชนเขาเป็นกันเต็ม แต่นี่มีความคิดใหม่ เกิดขึ้น จิตใจของคนท่านจะเปลี่ยนใหม่แล้ว ใน 5 คนฟังพร้อมกัน มีอัญญาโกณฑัญญะองค์เดียวที่เกิด ที่ขยายความนี้จากตำนานให้เข้าใจว่ามีทั้งพยัญชนะและสภาวะ ปัญญานั้นต้องเป็นจริงว่าเป็นคนจนดีกว่าคนรวย เป็นคนมักน้อยหรือว่ากล้าจน
ข้อ 6. “ปัญญา”ที่ว่านั้นจะเห็นจริง เข้าใจจริงๆว่า ต้องเป็น“คนจน”ดีกว่าเป็นคนรวย เป็นคนมักน้อย หรือกล้าจน หรือมีทรัพย์สินไว้ที่ตนน้อยๆ(อัปปิจฉะ) เพียงพอกินพอใช้(สันโดษหรือสันตุฏฐิ) ส่วนที่เหลือที่เกินก็รีบสะพัดออก ผู้อื่นที่แร้นแค้นจะได้รับไป เขาจะได้หายขาดแคลน เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้ เพราะเกิดการสะพัดออกไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่การกอบโกยเข้ามาเป็นของตัวไม่รู้จบ
ความรู้สมรรถนะความสามารถความขยันหมั่นเพียรเป็นทรัพย์ที่ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ แต่ถ้ามีความรู้ความสามารถแต่ว่าขี้เกียจก็ไม่ได้หรอก แต่คนขี้เกียจนั่น ความขี้เกียจจึงเป็นเรื่องเลวร้ายชัดๆ
ข้อ 7. คนที่แข็งแรง คนที่มีความรู้ มีสมรรถนะ คนที่ขยันหมั่นเพียรอยู่เสมอ ย่อมพึ่งตนเองได้จริง ไม่มีวันขาดแคลนง่ายๆเลย จึงควรเป็น“คนจน”เสียเอง จะได้ไม่กักตุนไว้ที่ตน กระจายออกไปสู่คนที่ควรได้ควรมี ควรรับไปใช้ไปกินบ้าง สังคมก็จะได้รับการเผื่อแผ่แจกจ่าย มีกินมีใช้ด้วยกัน ผู้สละออกชื่อว่าเป็นคนมีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง เป็นสังคมอาริยะ เป็นสังคมศิวิไลซ์ สังคมเจริญแท้จริง
ข้อ 8. เพราะคนในสังคม ที่จำเป็นต้องช่วย ต้องให้ความอนุเคราะห์ คือ คนที่ไม่แข็งแรง คนที่ไม่มีความรู้ คนไม่มีสมรรถนะ คนที่จำเป็นต้องช่วยเหลือ ซึ่งเป็นเรื่องสุดวิสัยแล้วเขาช่วยตนเองไม่ได้จริงๆ เช่น เด็ก คนเจ็บป่วย คนแก่เฒ่าแล้ว ช่วยตนเองไม่ไหวแล้ว คนพิการกาย คนพิการสมอง แม้แต่คนที่เขาทำงานช่วยคนอื่นช่วยประชาชนส่วนใหญ่อยู่ ตามหน้าที่ต้องรับผิดชอบจริง จนไม่มีโอกาสช่วยตนเองได้ จึงอยู่ในวิสัยที่ต้องช่วยคนเช่นนี้อย่างสำคัญ
ข้อ 9. ปราบคนขี้เกียจ และคนขี้โกง ให้เด็ดขาด อย่าไว้หน้า อย่าละเว้น เพราะคนขี้เกียจ และคนขี้โกงนี้เขาทำบาปให้ตนเองจริงๆ ไม่ดีเลย อย่าปล่อยให้เขาทำบาป เขาน่าสงสารแท้ เพราะโง่ อย่ายกเว้นแม้แต่พี่น้อง ญาติ มิตร สหาย เขาจะมีแต่ได้สะสมอกุศลวิบากใส่ตน ในการขี้เกียจและการโกง
ที่ต้องปราบเพราะคนพวกนี้อวิชชา สอนอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องง่ายๆ เพราะโง่ ไม่มี“ปัญญา” มีแต่“เฉโก” และคนพวกนี้จะรวย และรวยมากๆด้วยนะ เพราะเขาโง่ไม่หาย
โลภไม่ลด โลภไม่มีวันจบ จึงต้องปราบ ถ้าปราบได้ด้วยวิธีให้เกิดปัญญารู้“ความจริง”ตามสัจธรรมจะเป็นการดีสุด
ข้อ 10. สังคมที่แย่งกันรวยนั้นเป็นสังคมคนทุกข์ แต่สังคมที่เข้าใจความจนดีและไม่แย่งกันรวย เต็มใจเป็นคนจนอย่างมีปัญญาจริง จึงเป็นสังคมสุข ที่สงบอบอุ่น
ยกตัวอย่างชาวอโศก เป็นสังคมสงบอบอุ่นสบาย พูดความจริงไม่ได้อวดโอ่ เชิญให้มาพิสูจน์ได้
ข้อ 11. ผู้มีปัญญาจริงนั้น เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจแท้จริงอยู่เสมอตลอดกาล
ข้อ 12. ผู้มีปัญญานั้นรู้แจ้งจริงว่า “ความจน”ไม่ใช่ความน่าเกลียด ไม่ใช่ความน่ากลัว ไม่ใช่ความต่ำต้อย ไม่ใช่ความน้อยหน้า ไม่ใช่ความมีเศรษฐกิจเสื่อมถอย ไม่ใช่การเบียดเบียนคนอื่นประเทศอื่น ไม่ใช่ความเดือดร้อนยุ่งยากตนเองแต่อย่างใด แต่ชัดเจนชัดแจ้งแท้จริงว่า “ความจน“นั้นมันยิ่งเบากายสบายใจต่างหาก ไม่มีภาระ ภาระเบามากๆ และเป็นการช่วยสังคมที่แท้ ช่วยทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมดีขึ้นโดยสัจธรรมต่างหาก
ข้อ 13. ความจนอันประเสริฐ ไม่ใช่เรื่องที่คนจะต้องวิ่งหนี แต่เป็นสภาพที่น่ายินดี น่าอภิรมย์ น่าได้ น่ามี น่าเป็นสำหรับอาริยบุคคลแท้จริง อาริยะแปลว่าความประเสริฐ
ข้อ 14. คนจนผู้ประเสริฐ คือ ผู้มีปัญญาจริง ไม่ใช่ยังมีแต่เฉโก จึงเข้าใจจริงๆว่า การเป็น“คนจนผู้ประเสริฐ”นั้นดีแท้ๆจริงๆ เพราะทั้งปลอดภัย ทั้งไม่เบียดเบียดผู้อื่น ไม่แก่งแย่งผู้อื่น ทั้งได้ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ จึงเป็นคนมีประโยชน์แท้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นจริง
เพราะตนก็ไม่เบียดเบียนตน และทั้งไม่เบียดเบียนผู้อื่น เนื่องจากตนเป็นผู้มีความรู้มีสมรรถนะสร้างสรรขยันพากเพียรอยู่แท้ จึงมีผลผลิตมากอุดมสมบูรณ์อยู่เสมอไม่ขาด มีมากมีล้นเกินอย่างแท้จริงด้วยซ้ำ จึงมีเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ผู้อื่นได้อย่างสุจริตแท้จริง
ข้อ 15. ผู้มีปัญญาเป็นผู้ทำตนให้เป็น“คนจน”ด้วยตัวเอง ด้วยความตั้งใจจน เต็มใจจน และตนมุ่งมั่นมีไว้แต่น้อย(อัปปิจฉะ) จึงเป็น“ความจน”ที่ตนพอมีพอกิน เพียงแต่
ตนมี“ใจพอ”(สันโดษ,สันตุฏฐิ) ตนสบายใจไม่โลภมากกอบโกยมาสะสมอีก ตนรู้จักพอ จึงหยุดเอาไว้เป็นของตนเพียงน้อย ไม่มีมากก็พอ จึงเป็นคนพอเพียง อย่างนี้คือผู้สันโดษ(สันตุฏฐิ) ผู้สงบอยู่(ปวิเวก) ทำให้สังคมสงบอย่างเป็นจริง ยั่งยืนถาวร
เพราะการตั้งใจมีแค่นี้ ไม่สะสม(อปจยะ)ไว้ที่ตนมาก กว่านี้ แต่ขยันยิ่งอยู่เสมอ(วิริยารัมภะ) เมื่อเป็นคน“เอาไว้แต่น้อย,มักน้อย(อัปปิจฉะ) จึงจน จึงเป็นคนจนจริงๆ แต่ไม่สะสมไว้ที่ตนมาก จึงแจกจ่ายออกไปแก่ผู้อื่นแก่สังคมส่วนรวมจริง สังคมได้รับการสะพัดแท้ เศรษฐกิจก็ดีแน่นอน
ข้อ 16. ตนจึงเป็น“คนจน”เสมออยู่จริงตลอด เป็นนักเศรษฐกิจที่มีคุณธรรมประเสริฐแท้
ข้อ 17. เป็นนักเศรษฐกิจที่“จน”ทว่ามีความอุดมสมบูรณ์ เพราะสามารถสร้างสรรเลี้ยงตนเองได้พออยู่พอกิน และทำให้เหลือให้เกินที่ตนกินตนใช้ได้ด้วย เป็นผู้รู้ เป็นผู้มีสมรรถนะสร้างสรรค์ เผื่อแผ่สังคมอยู่ตลอดไป
ข้อ 18. คนจนเช่นนี้จึงเป็น“คนจนผู้ประเสริฐ” ทำให้สังคมทรงอยู่ได้ ดำเนินไปได้ แม้คนอื่นจะขี้เกียจและขี้โกง กอบโกยหนัก รวยเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ ไม่มีจบสิ้น ก็ยังชื่อว่า เราเป็นส่วนที่ช่วยอุดหนุนจุนเจือสังคมอยู่แท้ พอบรรเทาทำให้สังคมไปได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งยากแค้น แก่งแย่ง เพราะคนที่รวยไม่รู้จักพอกระชากชิงไปไม่หยุด ยิ่งรวยก็ยิ่งเอาไปได้มากขึ้นๆ สังคมก็จะทำร้ายกันมากมายรุนแรงกว่านี้ เพราะคนรวยเป็นเหตุอยู่อย่างนี้แหละ “คนรวย”จึงคือ ภัยของสังคมโดยแท้ แม้จะรวยอย่างสุจริต แต่ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักเพลา มีแต่กอบโกยเอา ไม่มีขีดความพอเลย
ข้อ 19. จึงเห็นจริงว่า ต้องมี“คนจน”ที่เสียสละอย่างแท้จริง เพราะ“คนรวย”ที่เขาไม่ยอมจน เขาไม่ยอมจริงๆ เราจึงต้องมาเป็น“คนจน” ไม่เช่นนั้น ไม่มีส่วนใดในสังคมนั้นที่จะช่วยสังคมอยู่ ถ้าไม่มีลักษณะของคนในสังคมเช่นที่ว่านี้
ข้อ 20. ซึ่งเป็น“คนจน”แต่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ขยันสร้างสรรค์อยู่ และสะพัดส่วนที่ตนมีมากมีเกินตนกินตนใช้แล้ว ก็เผื่อแผ่ผู้อื่นอยู่ตลอด อย่างสุขใจจริง แถมยิ่งสะพัดชนิดที่“ขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา”อีกด้วย จึงเป็นคนมี“คุณ”มาก มี“ประโยชน์”มากอยู่เสมอต่อสังคม คนเช่นนี้จึงต้องเรียกว่า คนจนที่มีความประเสริฐ เป็นคน“พอเพียง” (ตามคำตรัสของในหลวง ร.9 ตรงตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า)
ข้อ 21. คนที่ทำตนได้เช่นนี้ คือ ผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจของตนได้แล้ว เป็นจริงแล้ว สำเร็จแล้ว ชนิดที่มี“กตญาณ(ความรู้ของผู้รู้จักความสำเร็จที่ตนทำจบแล้ว)” ว่า ตนไม่ได้มีส่วนทำลายเศรษฐกิจเลย มีแต่ช่วยเศรษฐกิจให้ดียิ่งๆขึ้น
เพราะรู้จักความจบที่สุดวิสัยแล้วสำหรับตนเอง
หากไม่รู้“ความเป็นไปได้ที่ควรเป็นอย่างแท้จริง” และไม่รู้“ความจบ” หรือไม่มีที่จบ ก็ต้องร้อนใจอยู่ตลอด เพราะไม่รู้เสร็จ ไม่รู้จบ จึงมีทุกข์ไม่มีจบสิ้นได้
ข้อ 22. ดังนั้น การแก้ปัญหาเศรษฐกิจใน“มิติ”ที่หมายเอาแค่ว่า จะทำให้ประเทศไม่มีคนจน มีคอนเซพท์ มีกระบวนทัศน์จะทำให้คนหายจนให้ได้มากที่สุดนั้น จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ดี ที่ประเสริฐเลย
เพราะวิธีที่ไปตั้งใจ หรือตั้งความคิด ว่าจะรวยๆๆๆ แล้วหวังจะให้คนในประเทศของเราต่างก็จะให้มีความร่ำรวยกันทั้งประเทศนั้น ถ้าตนก็สามารถเท่านี้ ตนก็มีผลผลิตเท่าที่ตนมี แต่อยากได้มากกว่านี้ จึงมีแต่ใจจะเอาเพิ่มจากที่“ตนมีได้จริง” เมื่ออยากได้มากกว่านี้ ก็ต้องแย่งจากผู้อื่นเท่านั้น
แล้วสังคมจะหยุดการแก่งแย่งกันได้อย่างไร? ความสงบในประเทศ จะเกิดได้หรือ? นอกจากจะใช้อำนาจของกฏหมายบังคับเอาให้สงบ
ข้อ 23. ในโลกที่หลง“ความรวย”ไม่รู้จักความจริง ก็จะมีแต่คนใช้ความฉลาดแกมโกง ฉลาดอย่างมีกิเลส คือ เฉโก คิดหาวิธีที่ตนจะ“มีมากๆๆๆๆ” แล้วก็ทำการโกงด้วยวิธีโกงนั้นกันเต็มสังคม ตั้งแต่น้อยนิดจนถึงขั้นแรงสุด เพื่อให้“ตนรวย”ทั้งนั้น ความสงบที่หยุดแย่ง ความเอื้อเฟื้อเจือจานช่วยเหลือกัน ก็มีไม่ได้ตลอดโลกแตก
ข้อ 24. คนที่มีคอนเซพท์ มีกระบวนทัศน์อยู่แต่จะหาวิธีการให้คนรวย คนต้องรวย ประเทศต้องรวย แล้วก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการให้คนรวย ให้สังคมรวย จึงเป็นแนวคิดที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่มีวันเป็นไปได้เลย ซึ่งมันแก้ไม่ได้ ไม่มี“จบ” แก้ไม่เสร็จ ตลอดกาลนาน
ตราบที่ใน“จิตใจ”ของคนในสังคมนั้นๆ ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงว่า “ความจน”ไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ
“ความโง่”ต่างหากเป็นปัญหาเศรษฐกิจ
“ความอยากรวย”ต่างหากเป็นปัญหาเศรษฐกิจ
แท้ๆก็คือ “ความโลภ”ไม่มี“ความเพียงพอ”นั่นแหละคือ ตัวการร้ายของปัญหาในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ข้อ 25. พระเจ้าอยู่หัวของไทย รัชกาลที่ 9 จึงตรัสให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยพระวจนะอันยิ่งใหญ่ในโลกว่า ให้บริหารประเทศ“แบบคนจน” และ“การขาดทุนของเรา คือกำไรของเรา” ชัดเจนที่สุด
แต่นักบริหารบ้านเมืองยัง“ไม่เข้าถึงหรือเข้าใจได้จริงแท้ลึกซึ้งพอ”ในพระราชดำรัสนี้
ข้อ 26. ฉะนั้น การจะทำให้คนรวย ในประเทศเราร่ำรวยขึ้นได้มากจริงดังว่า ก็คือการแย่งกันรวย ก็แย่งกันเองในประเทศ เมื่อแย่งกันก็ยังไม่พอก็ต้องแย่งเงินทองจากประเทศอื่นมาให้ประเทศแก่ตน
“การแย่งกัน” ไม่มีวันหยุด ไม่มีวันเสร็จ ไม่มีวันจบ
ก็แค่“ได้สมบัติผลัดกันชม” แย่งกันไป แย่งกันมา
การแย่งที่จะรวยได้มากยิ่งขึ้นๆ ก็โดยการเอาเปรียบ หรือขูดรีดด้วยการขายผลผลิตของตนราคาสูงมาให้ตนเอง ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ตามปกติสามัญของคนเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว
เมื่อแย่งได้ ก็ดีใจ ชอบใจ ด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น
ตั้ง“แนวคิด”อย่างนี้ทำไม?
มันไม่ดีเลย มันเห็นแก่ตัว มันมีแต่ขี้โลภ เห็นแก่ได้ มันไม่คิดจะเสียสละเพื่อผู้อื่นเลย
ข้อ 27. เกิดเป็นคนควรจะเป็นผู้เสียสละมากกว่า เป็นผู้ได้เปรียบหรือเป็นผู้เอาเปรียบ สามัญสำนึกก็คงพอรู้ ทำไมไม่เป็น“คนที่ควรเป็น”
ข้อ 28. เกิดมาเป็นคนแล้ว ไม่ควรคิดเป็นผู้ได้เปรียบ ไม่ควรเป็นผู้เอาเปรียบ เพราะมันกลายเป็นคนไม่มี “ประโยชน์” เป็นคนไร้“ค่า” เป็นคนขาด“คุณ” เป็นคนไม่มีธรรม “คนไม่ดี-คนไม่ประเสริฐ” ซึ่งไม่ควรมี ไม่ควรได้ ไม่ควรเป็นเลย
(พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า... ตอนนี้ พรรคการเมือง เขาจะมีกฎหมาย ให้หาสมาชิกพรรค สาขาละอย่างน้อยห้าร้อยคน พรรคเล็กๆนี้ก็จะอยู่ยาก แต่พรรคใหญ่ๆไม่มีปัญหา ตอนนี้ พรรคใหญ่สองพรรคที่เคยเป็นศัตรูกันก็เหมือนไปด้วยกัน มารุมกัดคุณไพบูลย์ หาว่าคิดจะล้มล้างประชาธิปไตย
พ่อครูว่า...อาตมาสงสารประเทศมากที่มีในหลวงเป็นนักปราชญ์เป็นพระโพธิสัตว์แต่ประชาชนรับสนองพระราชดำรัสไม่ได้ ท่านบอกว่าให้บริหารแบบคนจน ต้องมาขาดทุนคือกำไร ก็ควรจะต้องศึกษาว่าคนจนคืออย่างไร ถ้าเป็นคนจน เศรษฐกิจจะไปอย่างไรจะอยู่ได้อย่างไร มาทำปัญญามาทำความเข้าใจวิจัยวิจารณ์ให้ลึกซึ้ง ว่าการมาเป็นคนจนนี้ จะต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์และเปลี่ยนภาษาด้วย คนจนคืออะไร เป็นคนจนจะอยู่รอดได้อย่างไร จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างไร ขอเจาะลึกเข้าตรงนี้เลย
ในหลวงท่านได้ทรงแนะแนวทางแต่ไม่มีใครกระเตื้องว่าจะต้องเปลี่ยนทิศทางเป็นความเข้าใจ แล้วบอกว่าแบบคนจนนี้ คนทั้งหลายในประเทศถ้าอ้างในหลวงตรัส คนก็ไม่กล้าท้วงติงหรอก ก็ต้องทำความเข้าใจให้ประชาชนให้เขารู้ว่าคนจนคืออย่างไร
คนจนคือคนไม่โลภเอามาให้แก่ตัวมาก คนจนไม่ได้หมายถึงคนขี้เกียจ ไม่ได้หมายถึงคนไม่มีความรู้ คนจนไม่ได้หมายความว่าเป็นคนไม่มีความสามารถไม่มีสมรรถนะ แต่คนจนมีสมรรถนะได้ ไม่ได้กีดกันไม่ได้รังเกียจ คนจนสามารถมีความรู้สามารถได้จะจบดอกเตอร์กี่ชั้นได้ขอให้ไปเรียนเถอะ แต่ว่าส่วนมากเรียนในระบบทุนนิยม คนจนก็ไม่ค่อยได้เรียนมากเท่ากับคนรวย รวยนี่ไม่มีสมองแต่เป็นดอกเตอร์เยอะ แต่คนจนฉลาดเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยเป็นด็อกเตอร์ได้หรอก เดี๋ยวนี้เขาจ่ายครบจบแน่
สังคมที่ยังไม่มีความสุจริตอย่างที่เป็นอยู่นี้ มันถึงต้องมีคนไปทำความเข้าใจกันให้จริงๆ ถ้าแก้ปัญหา แบบคนรวยนี้หมดสิทธิ์จะไปแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาด ต้องแก้ปัญหาให้มาแบบคนจน ให้เข้าใจความขาดทุน คนเรานี้ขาดทุนได้ไหม จะอยู่ได้ไหม ขาดทุนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร อยู่ได้
การคิดต้นทุน … เขาคิดค่าข้าวของวัตถุดิบ โสหุ้ย พร้อมค่าแรงงานของคนด้วย ก็ว่า ค่าแรงงานของคุณนั่นแหละ ให้ลดค่าแรงงานของคุณลงมา ถ้าเข้าใจเสร็จแล้วต่างคนต่างลดค่าแรงงานของตัวเองลงมา นั่นแหละคือการขาดทุนของเรา ตามราคาอัตราของโลกของสังคม คุณได้คิดค่าแรงงานอย่างไรก็เหมือนกับของสังคมนั่นแหละ แต่เราก็เอาน้อยกว่านั้น แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว จนลง อย่าไปเอามากนัก แค่นี้ก็แก้ได้แล้ว จริง
คนที่แก้ปัญหาอยู่ยังมีฐานะดีมีความรวยมีความรู้พออยู่แล้ว อย่าเอามากสิ เอาค่าตัวลดลง แต่ยิ่งจะไปเพิ่มค่าตัวมากขึ้น ทำงานมาก มีความรู้ความสามารถก็จะเกิดผลผลิตมากอยู่แล้วคุณก็ได้มากอยู่แล้ว คุณควรจะลดลงไปอีก ทำไมถึงวิ่งไปโลภมาก มันย้อนแย้งกัน
สมณะเดินดินว่า...คนเขาทำก็บอกว่ามีความสามารถความรู้อย่างนี้ ก็จะเพิ่มเงินเดือนให้แก่ตัวเองมากกว่าเก่า ตีราคาข้าวของมากกว่าเก่าอีก
พ่อครูว่า...ก็ตนเองมีความรู้มีความสามารถก็ต้องเกิดผลผลิตที่ได้เร็วได้มาก ก็เมื่อคุณมีมากแล้วกินใช้ก็พอแล้ว จะไปตะกละขึ้นราคาอีกทำไม ก็มีผลผลิตมากก็ควรเอาไปแจกจ่าย แต่ความคิดเห็นก็ได้ มันพรางความเฉลียวฉลาดไป ความเห็นแก่ได้ความขี้โลภทำให้คนโง่ลง แทนที่จะรู้ความจริงก็กลับตาลปัตรกัน
ถ้าให้คนมาจน โดยลด ค่าแรงงานของตัวเองให้น้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับสังคม เราก็คือขาดทุนของเราคือเราได้แล้วได้เสียสละออกไป เราก็เป็นคนดีที่ได้เสียสละให้แก่สังคม เราเสียนั่นแหละคือเราได้ เราได้ความดีงาม หรือเราได้เป็นคนดีมีประโยชน์ต่อสังคมต่อผู้อื่น ไม่ใช่เป็นโทษภัยต่อสังคมต่อผู้อื่น เป็นคนมีประโยชน์ นั่นคือสิ่งที่เราควรได้ไม่ใช่เอาวัตถุมาวัด จะได้สิ่งที่มีคุณค่าพฤติกรรมประโยชน์ในสังคม
ในความเข้าใจความรู้เหล่านี้เป็นความลึกซึ้งของภูมิปัญญา ซึ่งยากมากเลย ยาก ที่อาตมาพยายามพากเพียรทำสิ่งนี้ต้องใช้ความอุตสาหะ ในการแจกแจงความจริงที่ละเอียดพวกนี้ให้เห็นความซับซ้อนของความเข้าใจผิด ที่เข้าใจลึกซึ้งไม่ได้ เพราะว่าคุณยังทะลุความซับซ้อนความเข้าใจผิดตอนนี้ไม่ได้ ก็ต้องเห็นความผิดเป็นความถูกอยู่ อาตมาก็พยายามมาแก้ไข คลี่คลายความซับซ้อนให้เห็นความจริงซับซ้อนหลายชั้น
ต้องพยายามที่จะให้เกิด ความโง่ เปลี่ยนแปลง ให้เกิดความเข้าใจในความซับซ้อนยิ่งขึ้น ให้ถูกเหลี่ยมมุมสัจธรรม ไม่สับสนกลับไปกลับมา
ความยากอันนี้ เป็นสิ่งที่อาตมา เหน็ดเหนื่อยมาก เป็นความพยายามที่ต้องใช้พลังงานความรู้ การอธิบาย การหาหลักฐาน มายืนยันชี้แจงให้คนเข้าใจได้ อาตมาต้องใช้พลังงานที่เรียกว่า Coefficient หนักมาก
สมณะเดินดินว่า...เป็นผม ผมก็ไม่คิดหรอกครับเพราะว่าโลกทั้งโลกเขาเป็นอย่างนี้
พ่อครูว่า..แต่ผมไม่จำนน มีคนบอกว่าอาตมาพูดความจริงที่จริงเกินไป
ญาติธรรมว่า...ถ้าบอกว่าอย่ารวยเข้ามานะ แต่ถ้าเข้ามาแล้วก็ค่อยบอกว่าให้มาจนลงๆ จะง่ายกว่า ..เพราะถ้าจริงเกินไปเขารับไม่ได้
พ่อครูว่า...ก็ยอมรับ ไม่รู้จะทำอย่างไร คืออาตมาเห็นว่าพวกเรานี้เป็นความรู้ซับซ้อน ที่ต้องมาไขความจริงนี้ออกให้มันจริง จะเรียกว่าจริงเกินไปก็ไม่เป็นไร ไม่มีทางเลือกที่จะต้องทำความจริงนี้ให้จริง จริงเกินไป มันเลยที่เขาเองจะรู้ อาตมาก็ต้องจำนนที่พวกคุณโง่ อาตมาเอาความจริงมาให้รู้ไม่ได้ อาตมาไม่จำนน อาตมาว่า พวกคุณไม่โง่นักหรอก รู้ได้น่า
อาตมาไม่เชื่อว่า คนจะโง่เกินไป อาตมาพูดไปแม้จะจริงขนาดไหนคนก็จะรับรู้ได้
ญาติธรรมว่า..ที่พ่อครูพูดนี้เหมือนพูดว่าอย่ากินเนื้อสัตว์ แต่คนเขารู้แค่ว่าอย่าฆ่าสัตว์ ก็เลยไม่รู้
พ่อครูว่า...ก็อย่าฆ่าแล้วจะเอาที่ไหนมากิน คือถ้าไม่กินก็ไม่ฆ่าไง อาตมาพูดถึงเหตุที่คุณต้องฆ่าก็คือกินไง อาตมาว่าอาตมารู้จุดสำคัญ
อันนี้ก็คล้ายกัน ถ้าคุณไม่อยากรวยคุณก็มาจน ไม่แย้งกัน แก้ปัญหาก็จบ แล้วไม่รวยมาจนแล้วทำไง ก็ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ผลผลิต ให้มีกินมีใช้ได้อย่าเอาไปผลาญพร่าทำลาย เอาไปเช่น
อาตมาว่าถึงขั้นศิลปะ เช่น มีแตงกวามากิน คนเข้าไปแกะสลักให้เนื้อมันเสียไปแล้วบอกว่านี่เป็นศิลปะ เอาไปแกงแล้วเอาไปกิน เสียเวลา จะโง่หรือฉลาดก็ไม่รู้แล้วเรียกว่าศิลปะ แล้วขายแพงอีกต่างหาก
ญาติธรรมว่า..คนบางคนต้องใช้กฏหมาย
พ่อครูว่า...บางคนไม่ใช้กฎหมายก็หยุดเขาไม่ได้ แต่อาตมาพูดเรื่องสัจจะ กฎหมายก็ทำอยู่แล้วอาตมาไม่ได้ไปค้านแย้ง แต่อาตมาขยายความให้กับสังคม
ปัญหาสังคมที่อาตมาเห็นอีกอย่างว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่สู้ความจริง เช่น ไปประเหลาะว่ารวยนะๆๆ ไม่จบ ต้องมาพูดว่าให้มาจนลง อย่าไปสร้างกระบวนคิด วิธีคิดที่จะให้ไปรวย ไม่เสร็จหรอก จะบอกว่าคุณรวยแล้วมาจนลงเสียบ้าง ก็พอได้ แต่อาตมาพูดให้ลงไปอีกว่าให้มาจน ในหลวงท่านตรัสเป็นขั้นตอน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา แต่ผู้บริหารไม่เข้าใจ ไม่เอาไปทำ ท่านตรัสตรงๆว่าบริหารประเทศอย่างไร กับรัฐมนตรีเกาหลี มาถามการบริหารประเทศบอกว่า ประธานาธิบดีเกาหลีที่เป็นเพื่อนกันฝากมาถาม ว่าจะบริหารประเทศแบบไหน ในหลวงท่านก็ว่าประเทศท่านดีแล้วเจริญแล้ว เขาก็เซ้าซี้ให้บอก ในหลวงท่านก็บอกว่า เอ้า บอกก็บอกได้ บอกแล้วจะหูหักก็ไม่รู้ ให้บริหารแบบคนจนเขาบอกแล้วเขาก็นิ่งไป แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ จะฟังได้ไหม นักเศรษฐศาสตร์ฟังแล้วก็บอกว่าพูดไม่รู้เรื่อง พูดอย่างนั้นได้อย่างไร เราก็ต้องให้คำอธิบาย ท่านก็อธิบายแบบตีหัวเข้าบ้าน
"แบบที่เรียกว่า ทำ "แบบคนจน" คือทำวิธีการแบบคนจน ไม่ได้มีการลงทุนมากหลายอย่างของเขาเราก็ทำไป ก็เลยบอกว่าถ้าจะแนะนำ ก็แนะนำได้ "ทำแบบคนจน" เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศที่รวย เราก็รวยพอสมควร อยู่ได้ แต่ไม่ใช่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก เราไม่อยากจะเป็นประเทศอย่างก้าวหน้าอย่างมาก เพราะว่าถ้าเราเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก มีแต่.. มีแต่ถอยหลัง ประเทศเหล่านั้นที่เขามีอุตสาหกรรมสูงมีแต่ถอยหลัง และถอยหลังอย่างน่ากลัว แต่ถ้าเรามีการปกครองแบบ แบบว่า แบบคนจน แบบที่ไม่ติดกับตำรามากเกินไป ทำอย่างมีสามัคคีนี่แหละ มีเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป ไม่เหมือนคนที่ทำตามวิชาการ แล้วก็วิชาการนั้นก็เราดูตำราแล้วพลิกไปถึงหน้าสุดท้าย หนึ่งหน้าสุดท้ายนั้นเขาบอกว่า"อนาคตยังมี" แต่ไม่บอกว่าเป็นอย่างไร เวลาปิดเล่มแล้วมันก็ปิดตำรา ปิดตำราแล้วไม่รู้จะทำอะไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกใหม่ เปิดหน้าแรกก็เริ่มต้นใหม่ "ถอยหลังเข้าคลอง"แต่ถ้าเราใช้ตำราแบบที่เราอะลุ่มอล่วยกัน ตำรานั้นไม่จบ"
ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสนี้เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2534
นี่เป็นพระปัญญาธิคุณของในหลวง ท่านตรัสคำที่เป็นสัจธรรม แต่คนเข้าไม่ถึง
ตำราในโลกนี้ไม่มีตำราแบบคนจนเลย อาตมาก็จะทำตำราแบบคนจนสักเล่มหนึ่ง
อาตมามาทำงานแก้ปัญหามนุษยชาติแล้วอาตมาประสบผลสำเร็จ ไม่มีใครให้คะแนน อาตมาให้คะแนนตัวเอง ธรรมะช่วยแก้ปัญหาสังคม เป็นการแก้ปัญหาสังคมแบบอิสระเสรี คนมาให้อาตมาแก้ปัญหาให้ มาเอง อิสระเสรีภาพไม่ได้หลอกล่อไม่ได้ propaganda ไม่อ่อยให้มา ไม่เอาบุญเอาสวรรคฺ์มาล่อ ให้มากินน้อยใช้น้อยสร้างสรรค์ มีเหลือจุนเจือสังคม อาตมาประสบผลสำเร็จมากเลย ทำสำเร็จถึงขั้นเกิด บวร
คนที่มาศึกษาตามที่อาตมาพยายามบอกความจริงแล้วเข้าใจได้ ก็มารวมตัวกันเป็นหมู่บ้านเกิดสังคม เป็นชุมชน บวร แล้วก็มีธรรมะเรียกว่า วัด แล้วก็มีการศึกษาอยู่ในตัวตลอดเวลา เรียกว่าโรงเรียนหรือการศึกษา
เกิดสังคม บวร
ในต้นทุนของคน ที่อยู่ในสังคมแต่ละคน มีต้นทุนเป็นคนจน มีต้นทุนเป็นคนไม่แย่งใคร มีต้นทุนเป็นคนใจพอ มีต้นทุน เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีต้นทุน เป็นคนมีปัญญารู้จักเหตุปัจจัย อะไรควรสร้างไม่ควรสร้าง กระทำแต่สิ่งที่ควร จึงเป็นสังคมที่บริบูรณ์
บวรบริบูรณ์ด้วย บ้าน บริบูรณ์ด้วยวัด บริบูรณ์ด้วยโรงเรียน สามเส้า
การบริบูรณ์ด้วยต้นทุนนี้ บ้านก็เจริญ ธรรมะหรือวัดก็เจริญ โรงเรียนก็เจริญ จนเกิดการไหลซึมลึกเข้าหากัน คนใหม่มาคนเก่ามา อันนี้เหมือนสนามแม่เหล็ก โมเลกุลข้างนอกตกเข้ามาก็จะถูกอำนาจของสนามแม่เหล็กนี้ จับให้หันทิศทาง มาในทิศทางอย่างนี้ มาเอาแบบคนจน มาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาเป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ให้เหลือพอเกินกินเกินใช้ สะพัดออกให้ผู้อื่น ขาดทุนของเราคือกำไรของเราอย่างแท้จริงอย่างนี้
ทั้งในด้านนอก ด้านหยาบ ทั้งในด้านกลาง ทั้งในด้านปลาย ทั้ง Osmosis ตลอดเวลามีความซึมไหลเข้าหากันเรียกว่า Osmosis ไหลเวียนกันทางนามธรรม มันมีองค์ประกอบ ในองค์รวม ทางด้านวัตถุพฤติกรรมทางด้านจิตวิญญาณ
เป็นทิศทางเดียวความเป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียรเป็นคนจนที่ประเสริฐ เพราะฉะนั้นเป็นสังคมที่สำเร็จแล้วที่อาตมาพาทำ เป็นตัวอย่างที่
ขออภัยที่ต้องพูดถึงผู้บริหารประเทศชาติควรจะมาสำรวจ ดูในสังคมชาวอโศก ว่ามันเป็นอยู่อย่างไร มันมีอาชีพอย่างไร มีกัมมันตะการกระทำอย่างไร จะพูดกันอย่างไรคนแถวนี้ เช่น คนชาวอโศกไม่พูดคำว่า กู้ ศัพท์คำว่ากู้ ต้องเอาออกจากพจนานุกรม ชาวอโศกมีแต่คำว่าเกื้อ ไม่มีคำว่าหนี้ มีแต่หนุน เกื้อกูลกัน เป็นสัมมาวาจาที่พูดกันอย่างนี้ เขาพูดอย่างไร ทำอย่างไร คิดเป็นอย่างไร ระบบความคิดของเขาเป็นอย่างไร แนวคิดของเขาเป็นอย่างไร
เขามีแนวคิดแก้ปัญหาให้คนมาจน เป็นคนจนที่เป็นคนจนสำเร็จผล จะมีความอยู่ดีกินดีอุดมสมบูรณ์ จนอย่างมีความสุขสำราญเบิกบานใจ ภาษาที่พูดนี้เป็นภาษาความจริงไม่ใช่หลอกล่อ ประโลมโลก
สุขสำราญเบิกบานใจนี้ เพิ่งมาตั้งให้พวกเรานะ แต่ก่อนนี้ตั้งมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ได้มานั่งอุปโลกหลอกล่อ แต่ผู้บริหารประเทศไม่เคยมาเหลียวแล เพราะมันซวยที่ว่า เถรสมาคมไปครอบงำความคิดเขาว่าอย่ามายุ่งกับพวกอโศก พวกนี้เป็นพวกสกั๊งค์ของสังคม เป็นพวกที่มาทำลายศาสนามาทำลายสังคม จนกระทั่งมีการฟ้องร้อง จับเข้าคุก เราก็ยอมทุกอย่าง จนกระทั่งสู้ทางกฎหมายก็ผิดก็แพ้ แพ้ก็ต้องติดคุก ก็ยังดีที่ยังปรานีให้อยู่นอกคุก ให้รอลงอาญาสองปี ให้คนมาคุมประพฤติ คนคุมก็มาดูสองครั้งก็ไม่มาอีก จนคนคุมก็มากินมังสวิรัติด้วย ตอนหลังก็ไม่มาอีกแล้ว
ประเทศไทยนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่แต่ถูกเถรสมาคมผู้นำเอาศาสนาที่ผิดมาสอน เจริญไปด้วยดอกผลใบ ที่เรียกว่าโลกธรรม ไม่มีแม้แต่ สะเก็ด ไม่มีแม้แต่เปลือก ไม่มีแม้กระพี้ แก่นไม่ต้องพูดถึงเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า สะเก็ดเท่ากับศีล เปลือกเท่ากับสมาธิ กระพี้เท่ากับปัญญา แก่น เท่ากับวิมุติ ส่วนลาภยศสรรเสริญคือใบดอกผล ศาสนาทุกวันนี้มีแต่ใบดอกผล โลกธรรมธรรม เต็มบริบูรณ์ สะเก็ดคือศีลไม่มีแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลไม่รู้จักกันแล้ว ไม่รู้จริงๆ บอกว่ามีศีลเท่าไหรก็บอกว่า 227 นั่นมันพระวินัย ไม่ใช่ศีล ศีลกับพระวินัยต่างกันอย่างไรก็ไม่ทราบแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่านี่คือศีลของเธอประการหนึ่ง ในจุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีลอีก 7 ข้อ นี่คือศีลของเธอประการหนึ่งก็ไม่รู้แล้ว 227 ไอ้นั่นมันพระวินัย ทุกวันนี้ไปถามพระภิกษุก็จะบอกว่ามีศีล 227 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เขาก็ไม่รู้ไม่มี
สะเก็ดคือศีลก็ไม่มี สมาธิคือเปลือกก็ไม่มี ไปเอาสมาธิหลับตาสะกดจิตเป็น Meditation มาใช้ มันไม่ใช่ของศาสนาพุทธ ของศาสนาพุทธเป็น Supra Concentration เป็นสมาธิพิเศษอย่างเดียวของโลกเลย ศาสนาอื่นไม่มีหรอกสมาธิแบบนี้ สมาธิที่หยั่งเข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
โดยเฉพาะรู้จักเวทนาในเวทนา แจกแจงเวทนาไปถึง 108 ลึกถึง เคหสิตเวทนา 18 เนกขัมสิตเวทนา 18 นี่คือออกจากโลกโลกีย์ มาเป็นโลกุตระ เขาก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องก็จะไปปฏิบัติอย่างไร ก็เลยไม่มีผล ศาสนาเลยไม่เหลือ สมาธิก็ไม่มี
ปัญญาอย่างที่อาตมาพูดนี้เขารู้ที่ไหน ไม่ใช่ปัญญาเป็นเฉโก เป็นความรู้โลกียะเป็นดอกใบผลหมดเลย ไม่มีเลยตั้งแต่สะเก็ด จนกระทั่งแก่นสารไม่เหลือ
ศีลก็ไม่มี สมาธิออกนอกรีต ปัญญานั้นก็เป็นเฉกา ไม่ใช่อัญญาปัญญาเลย
น่าสงสาร เมืองไทยเป็นเมืองศาสนาพุทธ พูดไปแล้วก็เหมือนอวดดี เหมือนรู้อยู่คนเดียว เหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งโลก รู้อยู่คนเดียวเก่งอยู่คนเดียว เอ็งเป็นใครมาจากไหน อาตมาก็บอกว่าคือสยังอภิญญา เขาก็หมั่นไส้หาว่าอวดอุตริมนุสธรรม จะปรับอาบัติปาราชิกเลย ก็สุดทางแล้ว
สมณะเดินดินว่า...เมื่อกี้นี้พวกเราบอกว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้เหมือนต้นคริสต์มาส เป็นต้นไม้ปลอมอีก ศาสนาในโลกทุกวันนี้มีอยู่ 2 ศาสนาเท่านั้นคือศาสนาพูดกับศาสนาคิด
ทุกวันนี้คนมีหนี้สินมีจำนวน 96 เปอร์เซ็นต์ของประเทศหนี้สินครัวเรือนคนละ 200,000 ถ้าตั้งโจทย์บอกว่าคนมีหนี้ 96% นี้ การจะไปทำให้รวยเป็นไปได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าทำให้จนแบบหมดปัญหาทางเศรษฐกิจก็ยังพอจะมีความเป็นไปได้ คนจะให้ไปรวยหมดเป็นไปไม่ได้นับวันนี้จะเพิ่มขึ้นอีก จะต้องรักษาโรคให้ถูก
Youtube https://youtu.be/0-ytX4DznBQ
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:17:46 )
รายละเอียด
601218_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ บวร คือการซึมซับอย่างลึกซึ้ง
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้เป็นวันบวร พ่อครูตั้งใจให้สถานที่ชาวอโศกเป็นบวรกันทุกแห่ง ให้มีการซึมซับคุณธรรมอันดีงาม บ้าน วัด โรงเรียนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นสนามแม่เหล็กที่ทำให้วิญญาณของแต่ละคน เด็กนักเรียนแต่ละคน ได้เติบโตเป็นต้นกล้าที่ดีแก่ประเทศชาติ
วันนี้หลวงปู่ก็คงมีหลายเรื่องที่จะพูด หลายเรื่องเด็กๆน่าจะยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่มีอะไรออกนอกไปจากสิ่งที่จะทำให้เราเจริญขึ้น วิถีชีวิตของพวกเราเสื่อมแต่ละคนเสื่อมเพราะว่ามีความโลภอยากได้มาก อยากร่ำรวย ก็ทำให้คนทุกข์ทรมาน พอเราดูข่าว คนถูกหลอกก็เพราะว่าอยากจะรวย ปัญหาที่ตำรวจปวดหัวมากตอนนี้คือ ล็อตเตอรี่ซื้อแล้วถูกรางวัลแต่ไม่รู้เป็นของใคร เพราะความโลภทำให้ยุ่งวุ่นวายกันไปหมด คนโกหกอย่างหน้าแข็งๆกันเลย ความโลภของคนทำให้มีเรื่องนิดหน่อยก็จะเข่นฆ่ากันได้ มีเรื่องนิดเดียวแต่ก็ทำให้ฆ่ากันได้ มีคู่รักกัน พยายามจะขอคืนดี แต่ฝ่ายชายเป็นคนที่รุนแรง เอาน้ำกรดราดใส่ผู้หญิง แล้วหนีไป แล้วไปซื้อยาฆ่าแมลงกิน แล้วขอให้ตำรวจจับแล้วราดน้ำกรดใส่ตัวเองอีก นี่เป็นเพราะอะไร เพราะว่า โลภมากก็ทรมาน รักมากก็ทรมาน โกรธก็ทรมาน
เราฟังธรรมะหลวงปู่ก็ฟังกันว่า ทำอย่างไรความโลภโกรธหลงของเราจะได้ลดลง
พ่อครูว่า...ก็พยายามเอาที่มันเบาๆหน่อย ที่ตั้งใจนี้ก็อาจจะลดลง วันนี้ไม่นึกว่าจะเป็นวันบวร ก็ตอบ ไลน์ที่ส่งมากัน
ก็วันนี้มีเด็กนักเรียนมาฟัง วิธีให้นักเรียนมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้ซึมซับสิ่งที่ดี ให้เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องเป็นสายเลือดกันจริงๆ ปรารถนาดีต่อกันจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นจริง เป็นไปได้ ที่ได้นำเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาใช้จนเกิดมรรคผล ทุกวันนี้ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งประเสริฐ พูดไปก็เหมือนยกยอตัวเอง แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าทำให้เกิดสิ่งนี้ได้จริงๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(นานาสังวาส) ตอน สามัคคีกับนานาสังวาส
_มนุษย์ อินเตอร์เน็ต....คำว่านานาสังวาสผมเชื่อแน่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงไม่อยากให้มีแน่เพราะคำว่านานาสังวาสมันทำให้สงฆ์ต้องแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย....จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้านั้นท่านทรงให้สงฆ์สามัคคีกันอยู่แล้ว นานาสังวาสนี้ถ้าพระพุทธเจ้าท่านทรงอยู่ท่านใม่อนุญาตแน่ สามัคคีคุณธรรมชั้นต้น ความพร้อมเพียงความปรองดองความกลมเกลียว.พระพุทธเจ้า.ท่านทรงอยากให้สงฆ์.เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว..ดังนั้น...คำว่านานาสังวาส...ใม่ใช่พุทธประสงค์ของท่านแน่ๆ..จาก..อานันทสังฆสามัคคีสูตร
พ่อครูว่า...สามัคคี นี้แค่หัวชื่อของสูตร สามัคคีก็แน่นอนตรงกันข้ามกับสังฆเภทหรือนานาสังวาส กับอสังวาส
การแตกแยกนั้นแตกแยกได้สารพัด นานาสังวาสพระการแตกแยกอย่างหนึ่ง อานันทสังฆสามัคคีสูตร เป็นสูตรแห่งความพร้อมเพรียง
สามัคคี เป็นเพียงโลกียธรรม ความสามัคคีเป็นสมมติสัจจะ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ ทุกวันนี้สังคมประเทศไทยสามัคคีกันดี แต่สามัคคีของประชาชนคนไทยสามัคคีไทยไม่มีเรื่องวุ่นวายอะไรมากเลย เพราะว่าถูกม.44 คุมไว้ ก็เลยต้องสงบ ไม่ทะเลาะอะไรกันมาก
แต่มันเป็นโลกียะ แม้ว่าจิตใจจะไม่ยอมแต่ก็ต้องยอม เพราะแย้งไม่ได้ ดีไม่ดีไม่ใช่แค่ม.44 จะถูกประหารชีวิตได้
อานันทสังฆสามัคคีสูตร ล.24
[39] ท่านพระอานนท์ทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่าสังฆสามัคคี สังฆสามัคคี ดังนี้สงฆ์จะเป็นผู้พร้อมเพรียงกันด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมว่าไม่ใช่ธรรมย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม ... ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ว่าตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตได้บัญญัติไว้ ภิกษุเหล่านั้นย่อมไม่ทอดทิ้งกัน ไม่แยกจากกัน ไม่ทำสังฆกรรมแยกกันไม่สวดปาติโมกข์แยกกัน ด้วยวัตถุ 10 ประการนี้ ดูกรอานนท์สงฆ์ย่อมเป็นผู้พร้อมเพรียงกันด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ฯ
[40] อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญก็บุคคลผู้สมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกัน จะประสพผลอะไร พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์บุคคลผู้ที่ทำสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกันนั้นจะประสพบุญอันประเสริฐ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญบุญอันประเสริฐคืออะไร พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอานนท์บุคคลผู้สมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้พร้อมเพรียงกันนั้นจะบันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัปหนึ่ง ฯ
ความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ เป็นเหตุให้เกิดความสุข และบุคคลผู้อนุเคราะห์สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันแล้ว ผู้ยินดีแล้วในความพร้อมเพรียงกัน ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่พลาดจากธรรมเป็นแดนเกษมจากโยคะ ย่อมบันเทิงอยู่ในสวรรค์ตลอดกัปหนึ่ง เพราะสมานสงฆ์ให้พร้อมเพรียงกัน ฯ
พ่อครูว่า...แม้ว่าจะแตกแยกแต่ว่าถูกจับมารวมกันด้วยหลักเกณฑ์ด้วยการบังคับ ไม่ใช่เป็นอิสระเสรีภาพ คำว่าอิสรเสรีภาพนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด
นานาสังวาส คือหลักเกณฑ์สุดยอด สุดเลยนะ หลักเกณฑ์ค่าสูงสุดเลย ของบัญญัติที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่แสดงถึงอิสระเสรีภาพขั้นสูงสุด สุดวิสัยเลย มันสุดวิสัยแล้วจริงๆถึงยอมให้นานาสังวาส เพราะว่าต่างคนต่างมีอิสระเสรีภาพ ไม่สามารถจะทำอย่างไรได้แล้วก็ต่างมีสัญญายนิจจานิ หรือว่าต่างคนต่างมีอุปาทาน อภินิเวสายะ คือยึดมั่นถือมั่น
แต่สัญญายนิจจานิ เป็นกิเลสก็ได้เป็นโลกุตระก็ได้ ถ้าเป็นโลกุตระ สัญญายนิจจานิ ก็จะไม่มีการยึดมั่นถือมั่นแต่เพียงยึดอาศัยเท่านั้น จะไม่มีการเดือดร้อนใจเลย
ส่วนสัญญายนิจจานิ ของผู้ที่มีกิเลสมีอุปาทาน เช่น พวกที่นั่งหลับตาสมาธิที่มีแต่สัญญา ยึดอันนี้ว่าเที่ยง ไม่ใช่เป็นปัญญา เพราะว่านั่งอยู่ในภพตัว เอง คนอื่นไม่รู้ด้วยไม่ร่วมด้วยสักคนเดียว แต่ถ้ามีคนอื่นร่วมด้วย ทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตสัจจะ เป็นสัจจะตรงกันหมดรับรองร่วมกันอันนั้น เรียกว่าสัจจะได้ไม่ใช่สัญญา รวมกันเป็นสัจจะได้ แม้จะเป็นสองอัน แต่สัจจะนั้นเป็นหนึ่งเดียว ที่จริง สัจจะทั้งหลายไม่มีในโลกสัจจะหนึ่งเดียว นอกนั้น เป็นสัญญายนิจจานิ
สามตัวนี้ในจูฬวิยูหสูตร ซึ่งเป็นเรื่องของสัจจะที่เข้าใจไม่ได้ง่ายๆเลย
1. สัจจะไม่มีเลยในโลก
2 สัจจะมีหนึ่งเดียว
ฟังสองอันนี้แล้วเหมือนขัดแย้งกัน ก็แล้วแต่ความยึด แล้วก็ยึดของใครของมันเป็นอุปาทาน ถ้าจะยอมอนุโลม หรือแย้งกัน โดยโลกีย์ไม่ใช่โลกุตระ ถ้าจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ก็ตกลงกันว่าอันนี้สมมุติอันนี้ปรมัตถ์
คนที่ยอมกันได้ จิตสัญญายนิจจานิก็สิทธิ์ของแต่ละคน อัตตาของใครของมัน สัญญายนิจจานิ ยึดตัวเอง ของข้าก็อย่างหนึ่ง ของเขาก็อย่างหนึ่งไม่รวมกันสนิท อย่างพวกเรามันรวมกันจริง และรวมกันอย่าง โสดาฯเสมอโสดาฯ สกิทาฯเสมอสกิทาฯ ฯลฯ
รู้ความจริงว่าท่านสูงหรือต่ำหรือเสมอเรา ก็ยอมเพราะว่ารู้ความจริงไม่ใช่ยอมเพราะว่าถูกบังคับ ไม่ใช่เรื่องที่รู้ง่ายๆที่เราต้องศึกษา
แค่อาตมาบอกว่า คำว่าสามัคคีมันก็เป็นภาษาโลกีย์เท่านั้น ไม่ใช่ปรมัตถ์ มันเกิดจากคนสองคนขึ้นไป ปรมัตถ์จริงๆของเราเอง สามัคคีต้องเกิดสองคนขึ้นไป ถ้าสองคนนี้ตรงกันหมดทุกอย่างก็เป็นโลกุตระ ถ้าสองคนนี้ไม่ตรงกันทุกอย่างก็เป็นโลกียะ แต่ยอมกันได้เรียกว่าสามัคคี เป็นโลกียะอยู่
ความรู้เกี่ยวกับโลกุตระสูงสุดจึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เดาเอาได้ จะต้องมีภูมิถึงขั้นแยกโลกียะแยกโลกุตระได้ แม้จะแยกได้ก็มีเป็นขั้นตอน
ขั้นโสดาบัน ก็แยกโลกียะโลกุตระได้ภูมิแค่นั้น
ถ้าเป็นสกิทาคามี ก็เป็นเรื่อง สุดวิสัยที่โสดาบันจะรู้ได้แยกได้
ต้องถึงสกิทาฯจึงจะเป็นตัวแท้ อนาคาก็ยิ่งเป็นขั้นๆ อรหันต์ก็เป็นขั้นๆ เป็นต้น นี่คือสัจจะ
เพราะฉะนั้น ความรู้แค่สามัคคีคือโลกียะกับโลกุตระก็รู้ไม่ได้ก็ต้องค่อยศึกษา จึงจะมีความรู้ไปตามลำดับ
สรุปอีกทีว่า นานาสังวาส จึงเป็นหลักเกณฑ์ของศาสนาพุทธศาสนาเดียว เป็นขั้นสูงสุดของอิสระเสรีภาพ แห่งมนุษย์แต่ละคน ไม่ใช่ขั้นต้น
อิสรเสรีภาพสูงสุดคือนานาสังวาส มีในศาสนาพุทธศาสนาเดียว
มาเข้าเรื่องที่จะต้องพูดกันให้เข้าใจคือเรื่องของบวร
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ความลึกซึ้งของประชาธิปไตยสองขา
อาตมานำมาให้ช่วยกันทำความเข้าใจก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บวร มีสามเส้า บ้าน วัดโรงเรียน มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม ทุกวันนี้ประเทศไทยของเรา อยู่กันอย่างสงบ มีรูปธรรมอันสงบมาก จนกระทั่ง มีการปฏิวัติยึดอำนาจ การเมือง หัวเรือใหญ่ของโลก สหรัฐอเมริกาชี้เลยว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย การยึดอำนาจรัฐประหารนี้ ด้วยหลักเกณฑ์บัญญัตินิยามที่รู้กันทั่วโลก ถือว่าไม่ใช่ประชาธิปไตย หัวเรือใหญ่ประชาธิปไตยในโลกคืออเมริกาก็ไม่รับ แต่พลเอกประยุทธ์ได้แสดงประสิทธิภาพ เข้าตาประชาโลก เข้าตาประเทศต่างๆ พลเมืองโลก จนกระทั่งสุดท้ายอเมริกาก็ยอมรับ
ประชาธิปไตยขาเดียวมีแต่รูปไม่มีนาม มีแต่เรื่องรูปธรรม
ถ้าเข้าใจ จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แต่ประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีหลักเกณฑ์ของจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบ มีจิตวิญญาณแต่เป็นจิตวิญญาณโลกีย์ หลวมๆ ไม่มีรูปแบบไม่มีกฎมณเฑียรบาลที่สืบทอดกันมา เหมือนกับการสืบทอด DNA ไม่มี relative อย่างลึกซึ้ง เป็นความสืบทอดที่ต่อเนื่องไม่มี หั่นวิ่นไปหมด
ประธานาธิบดีคือผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศได้มาอย่างไรก็ได้มาจากการเลือกตั้ง ใครก็ได้ ใครจะมาเป็นองค์ประกอบยุกนี้ เงินหนาอย่างเดียวก็เป็นได้ อำนาจบาตรใหญ่อย่างเดียว หรือยุคนี้มีทั้งอำนาจบาตรใหญ่และเงินทองก็ได้เป็นประธานาธิบดีอย่างที่เป็นกัน
สรุปแล้วเรื่องเหล่านี้ จิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง แล้วต้องเป็นจิตวิญญาณโลกุตระ เป็นจิตวิญญาณที่ประเสริฐ เป็นจิตวิญญาณอาริยะ เป็นจิตวิญญาณที่มีความลึกซึ้งสูง 2 มีคุณธรรมยอด แต่ประชาธิปไตยขาเดียวไม่ได้สืบสานสิ่งเหล่านี้ ผู้บริหารที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ ยังประเทศที่มีking มีกฎมณเฑียรบาลมี DNA สืบทอดกันมา ทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็น สืบทอดสันตติวงศ์ จะสันตติวงศ์ของประเทศไหน ก็ทุกพระประยูรญาติก็ต้องอยู่ในกฎมณเฑียรบาล ผู้ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และผู้ที่รองลงมาเป็นโอรสเป็นพระธิดา จนสายพระญาติต่างๆ มีแยกย่อยเยอะแยะ ก็มีขั้นตอนลำดับทั้งนั้นเลย ก็ต้องฝึกตน ให้อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ ถ้าไม่อยู่ในหลักเกณฑ์นี้ก็ต้องถูกคัดออก เขาก็มีการคัดออกตลอดเวลา มันมีอะไรลึกซึ้งทางด้านจิตวิญญาณ ต่อทอดกันมาตลอดกาลนาน ด้วยคำว่ากฎมณเฑียรบาล เป็นกฎหมายสำหรับราชวงศ์ ทุกประเทศมีกฎหมายสำหรับราชวงศ์ทั้งนั้น เขาก็สืบทอดมาบริหารประเทศ ประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินทุกประเทศดำเนินด้วยกฎมณเฑียรบาล แล้วทุกพระประยูรญาติ ทำตามขั้นตอนต้องอยู่ในกฎหลักเกณฑ์เหล่านี้ ผู้ที่เตรียมพร้อมจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินคนสำคัญ ผู้ที่รองลงมาก็มีอีก เพราะฉะนั้นจะต้องถูกขัดเกลา ถูกฝึกฝนอบรมให้ศึกษา ทุกอย่างจะต้องพร้อมดีที่สุด คัดเอาคนที่ดีที่สุดขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ในแต่ละครั้งๆ แต่ประชาธิปไตยขาเดียวมีที่ไหน ปนกันเละ
ประชาธิปไตยขาเดียวนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ใครจะมาเป็นใหญ่มีอำนาจก็ไม่รู้ แม้ยุคนี้อเมริกาถือว่าเป็นตัวอย่างประชาธิปไตยขาเดียวตัวใหญ่
ประชาธิปไตยขาเดียวกับสองขานี้ อาตมายังไม่เก่งอธิบาย อธิบายได้เท่านี้ มันลึกซึ้งหลากหลายซับซ้อนเยอะ อาตมายังไม่เก่งคลี่ขยาย
สื่อธรรมะพ่อครู(นานาสังวาส) ตอน หลักเกณฑ์ของนานาสังวาส
นานาสังวาสเป็นหลักเกณฑ์อิสระเสรีภาพสูงสุดวิสัยของมนุษยชาติ ท่านจึงได้ยอมให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น คุณมนุษย์อินเตอร์เน็ต ยังเข้าใจ ต้นกับปลายผิดกันไป ว่านานาสังวาสนี้เบื้องต้น แต่ที่จริงคือสิ่งสูงมาก แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีเรื่องของการแย่งน้ำกัน ก็เลยเอาอันนี้มาตั้งเป็นหลักเกณฑ์นานาสังวาส เพื่อเป็นประโยชน์ต่อศาสนามาถึงทุกวันนี้ ตอนพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรมาก ก็แค่นั้น แม้แต่พระเทวทัต ท่านก็ประกาศนานาสังวาสกับพระเทวทัต ไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์อะไรมาก จึงไม่ได้มีตัวอย่างที่ท่านตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้้มากนัก ก็เลยใช้กันไม่เป็น
เช่นยกตัวอย่าง นานาสังวาส อนุญาตให้ปฏิกโกสนาได้
ปฏิกโกสนา หมายความว่า ว่ากันอย่างแรงต้านอย่างแรง ค้านอย่างแรง ว่าหนักๆเลย ชัดๆเต็มว่าอันนี้ผิดหรือไม่ อย่าไปทำอุกโกฏนา อย่าผิดเพี้ยนไปจากความจริง ให้ปฏิกโกฏนาได้แต่ไม่ให้อุกโกฏนา
สัจจะของธรรมวินัย นานาสังวาสของพระพุทธเจ้า ก็คอยจะได้พูดกันอีกในอนาคต ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เหตุแห่งนานาสังวาสนั้น เกิดจากอะไรบ้าง
สังฆกรรมบางอย่างภิกษุนานาสังวาสร่วมกันได้ บางอย่างร่วมกันไม่ได้ เช่น มีพระภิกษุเถรสมาคมมาร่วมอยู่กับเรา อย่างสังฆเภท นั้น ถ้าจะมาบวชกับอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องฝึกก่อนถึงจะบวชได้ แต่ถ้าเป็นนานาสังวาสนั้นไม่ต้องสึกก่อน
แต่ถ้าอสังวาสนั้น ตลอดชาติห้ามเข้าร่วมกันเลย ต่างจากสมานสังวาสที่รวมกันโดยหลักเกณฑ์ต่างๆ
1.ศีลไม่เสมอสมาน 2.ประพฤติปฏิบัติ กรรมต่างกัน 3.อุเทส คำอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าต่างกัน
ศีลต่างกันอย่างพวกเรามี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แต่ทางโน้นเอาศีล 227
แม้ศีลไม่เสมอสมาน เช่น ทางโน้นไม่ถือมหาศีล เขาทำมีเดรัจฉานวิชชาเต็มไปหมด แต่เราถือว่าเรื่องใหญ่ ชาวอโศกจึงเป็นหมู่ที่ถือมหาศีลทั้งสมณะและฆราวาส แต่ของเถรสมาคม แม้เขาจะชื่อว่าพุทธเขาก็ไปทำเดรัจฉานวิชชาเองที่บ้าน แต่ว่าถ้าเข้าไปในวัด ถ้าที่วัดไม่ทำ เขาก็ต้องไม่ทำ แต่นี่ภิกษุเป็นเจ้าพิธีเองเลย เป็นตัวตั้งตัวตีทำเดรัจฉานวิชาก็เลยเจ๊งเลย
ส่วน จุลศีลคือศีลที่ปฏิบัติแล้วขัดเกลากิเลสตัวเองไปตามลำดับ มี 26 เรื่อง แค่26 เรื่องนี้ ทำแล้วเป็นพระอรหันต์ได้เด็ดขาด แม้ศีล 5 ก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าทำอย่างถูกต้อง มีอธิศีลอย่างไร ศีล10 ก็เป็นอรหันต์เด็ดขาด ก็ต้องลึกซึ้งเอง สูงสุดแล้ว ขีดศีลธรรมดา ในหลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติ ขั้นพื้นฐาน จนถึงศีล26 พระพุทธเจ้า เผื่อพอไว้แล้ว (พ่อครูไอ ช่วยตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...นานาสังวาส เป็นอิสระเสรีภาพสูงสุด แม้ภิกษุรูปเดียวก็ทำอิสระเสรีภาพได้ ถ้าความเห็นต่างจนกระทั่งอยู่ร่วมกันไม่ได้ หมู่นี้ไม่เห็นด้วยเราก็ประกาศออกไปได้ อิสระเสรี ในอดีต สมัยพระพุทธเจ้ามีการขัดแย้งกัน แค่น้ำในกะลา พระพุทธเจ้าจะตัดสินเองก็ตัดสินได้แต่ก็ไม่ทรงตัดสิน
พ่อครูว่า...ท่านเจตนาจะถือเป็นเหตุบัญญัตินานาสังวาส ซึ่งจะไม่มีใครบัญญัติหลักเกณฑ์ได้อย่างสูงสุดอย่างนี้ได้
สมณะเดินดินว่า...ในสองฝ่ายท่านก็ให้อิสระเสรีภาพว่า ให้ฟังว่าทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างไร ฝ่ายไหนเป็นธรรมะวาที ฝ่ายไหนอธรรมวาที ก็เลือกเอาเองเป็นอิสระเสรีภาพ แต่ของเรา ให้ศาลตัดสิน อย่างเราถือกินมังฯ แต่ทางโน้นจะถือไม่กินมังฯ แล้วจะให้ศาลตัดสินได้อย่างไร
พ่อครูว่า..ให้ฆราวาสมาตัดสินพระภิกษุไม่ได้หรอก แต่เราก็ต้องยอมให้เขาทำไป จะไปแย้งได้อย่างไร ฆราวาส ส่วนพระไม่มีน้ำยาไปตัดสินได้ก็เลยอาศัยฆราวาส เสียเหลี่ยมพระไหม เถรสมาคมทั้งสมาคมตัดสินไม่ได้ ให้ฆราวาสตัดสินก็ตัดสินกฎหมาย ไม่ได้ตัดสินธรรมวินัย อาตมาก็ว่ายอมเสียดีกว่า เสียเวลา ไม่แย้ง
ทนายทองใบ บอกว่าสู้ อาตมาสู้ไปถึงศาลอุทธรณ์ ก็คิดต่อไปว่าไม่ได้เรื่องหรอก ใครว่าให้สู้ อาตมาก็ว่ายอมดีกว่า อาตมาไม่เซ็นให้สู้เลย แค่อุทธรณ์ก็จบ อาตมาก็ยอมรับผิด รอลงอาญาไปอีกกี่ปีก็ยอมทุกอย่างเพราะอาตมาคิดอยู่แล้วว่าให้ฆราวาสมาตัดสิน
เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของนานาสังวาส ฆราวาสจะไปตัดสินได้อย่างไร แต่เกิดในยุคนี้ก็ต้องจำนน เรียกว่าขี้หมาลอยตามน้ำ
สมณะเดินดินว่า...ไม่เข้าใจเรื่องนานาสังวาสว่าเป็นอิสระเสรีภาพสูงสุดของศาสนาก็เลยตัดสินไม่ได้ตัดสินผิด
พ่อครูว่า...มาพูดถึงเรื่อง บวรต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) ตอน บวรที่เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์
บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน
บ้านก็คือสังคม วิธีการอยู่ร่วมกัน มีอะไรก็เกี่ยวเนื่องกัน ในโลกก็มีหมู่บ้าน ก็แบ่งกันไปเป็นตำบล เพื่อจะได้ช่วยดูแลจัดสรรกันได้อย่างเรียบร้อย อย่างเรานี่อยู่หมู่ที่ 10 ต.บุ่งไหม ในหมู่10 มี 12 หมู่บ้าน ก็อยู่รวมกันเป็นตำบลบุ่งไหมก็ดูแลกัน
ชาวอโศกเป็นหนึ่งในหมู่บ้านในต.บุ่งไหม อยู่อย่างสงบ เอื้อเฟื้อเจือจานเป็นหมู่บ้าน เป็นตำบล งานการเมืองคืองานเอื้อเฟื้อเจือจานช่วยเหลือกัน อยู่กันอย่างพี่น้อง สงบ คนไหนมีสมรรถนะสูงเก่งมากก็ช่วยคนไม่เก่ง คนรู้มากก็ช่วยแบ่งแจกความรู้ให้คนรู้น้อย คนมีทรัพย์ศฤงคารมากก็แบ่งให้คนทรัพย์ศฤงคารน้อย อยู่กันเหมือนพี่เหมือนน้องแบ่งกัน
ชาวบ้านราชฯเป็นนักการเมืองตัวสำคัญ ช่วยหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ อย่างหมู่บ้านคำกลางเขาก็ไม่ให้ช่วยเลยเพราะว่าเขาเป็นคริสต์ ส่วนหมู่บ้านอื่นเป็นพุทธอย่างกุดระงุม ใกล้ชิดกันมากก็ช่วยมาก แต่ห่างไปหน่อยอย่างท่ากกเสียวก็ช่วยน้อยกว่า อย่างกุดระงุมบอกไฟฟ้าเสียก็ให้ช่วยหน่อย น้ำท่าเราก็คิดจะทำประปาให้อยู่ แต่เราไม่มีเงิน ชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่ ขยายงาน แต่เฮือน อาคาร บวร นี่ก็หัวล้านไปเยอะแล้ว
หมู่ชาวอโศกมีเงินแบ่งเป็นหลายกอง กองสงฆ์กองพาณิชย์กองศึก เป็นต้น เป็นสาธารณโภคี เป็นเรื่องสุดยอดแล้วต้องกราบเคารพพระพุทธเจ้า ที่ให้หลักเกณฑ์ธรรมวินัยนี้ไว้ คือทรัพย์สินศฤงคารทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง แล้วจะใช้ร่วมกันกินร่วมกัน จิตวิญญาณในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านต้องสูงจริงๆ คุณจะร่วมกันเป็นสาธารณโภคีอย่างสงบอบอุ่น เราทำมาได้ 30 40 ปีก็ไม่มีปัญหา ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดการแย่งชิงกัน เพราะใครก็มีสิทธิ์ แม้กงสีของญาติโกโยติกาของจีนก็แย่งกันฆ่ากันเลย แต่นี่เราจริงๆบางทีก็คนนี้เชื้อลาวคนนี้เชื้อจีนมากหน่อย เขมรมากหน่อย ก็อยู่เป็นพี่เป็นน้องกัน มาจากคนละ DNA แต่เป็นญาติพี่น้องกันจริงๆ ทางจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง อยู่กันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลเลี้ยงดูกัน
อาตมาภาคภูมิใจว่าเด็กๆมีตั้งแต่ตัวเล็กๆ เลี้ยงกันไปจนกระทั่งโต โตก็รวมมายากแล้ว อีกหน่อย อาตมาว่า ที่วิ่งออกไปอีกหน่อย อายุ 60-70 ก็ค่อยเห็นหน้า บอกไว้ก่อนเลย ตราหน้าไว้ ตอนนี้ก็ทำไป เป็นธรรมชาติของกิเลส แต่ค่อยๆเจริญ เขาก็ค่อยๆรู้ เพราะอะไร เขามีลูกเต้า มันไว้ใจไม่ได้ ข้างนอก ลูกหลานของเขาสุดวิสัยกันแล้วก็เอามาอยู่ข้างใน มาอยู่ที่นี่สนามแม่เหล็กก็จะช่วยลูกหลานได้ ไม่เดือดร้อนเลยในนี้ แต่ถ้าอยู่ภายนอก ก็ยากเลย สังคมมันอยู่ยากเขาจะรู้เอง ฝากไว้ก่อนโอฬาร
มาขยายความต่อ
บ้านก็มีบ้านเรือนต่างๆเป็นสาธารณโภคี จะไปนอนบ้านนั้นบ้านนี้ก็ได้ เรื่องกินไม่ต้องกลัวหรอกเรามีกองกลางให้กิน บ้านนั้นบ้านนี้แอบทำก็น้อย ก็อย่างนี้ กินอยู่หลับนอน กินใช้อยู่กับกองกลางทั้งนั้น โดยเฉพาะกองขยะวิทยาด้วยหัวใจของเรา ถือว่าเป็น Supermarket สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ อยากได้อะไรไปเลือกดูให้ดี เอามาใช้สอยได้ สบายอย่างนี้เป็นต้น
ช่วยกันจัดสรรช่วยกันดูแลไป อาตมายังนึกไปข้างหน้าในอนาคต ลัทธิจะเรียกว่าลัทธิที่จริง ศาสนาสาธารณโภคี มันจะเจริญต่อไปในอนาคต ชาวอโศกเป็นได้ก่อน เรื่องลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ทำปฏิกิริยามีทั้งปัญญาที่เข้าใจและมันก็จริงใจ กิเลสมันน้อย หรือแม้แต่น้อยก็ตาม บางคนมีกิเลสไม่น้อย แต่จำนนต่อสภาพซ้อน องค์รวมประกันสังคมที่เขาไม่กล้าแสดงออกหยาบคาย หรือทำแรงๆตามที่ตนเองมีกิเลส จะเรียกว่าครอบงำก็ได้ หยาบหน่อย แต่จริงๆคืออำนาจของคุณธรรม อำนาจของความดีงาม ทำให้เขาแอ๊คไม่ได้ทำไม่ออก อยากทำก็ทำไม่ได้ มันเหมือนสนามแม่เหล็กคุมไว้หมด เพราะฉะนั้น โมเลกุลภายนอกตกมาภายในนี้ก็ถูกปรับไปเลย ไม่มีแรงต่อต้านหรอก แรงที่นี่ปรับไปหมด เหล็กอ่อนตกมาก็หันทิศเลย เข้าทิศเหนือใต้ออกตก ตามสนามแม่เหล็กนี้เลย
คนเข้ามาในนี้ จะถูกอำนาจของสนามแม่เหล็ก ถ้าเรายินดี เป็นอิสระเสรีภาพ คุณเอาตัวของคุณเข้ามาในนี้ เป็นอิสระเสรีภาพ จะไม่เข้ามาก็ไม่ว่าอะไร จะอยู่ที่ไหนคุณก็อยู่ของคุณไป แต่ถ้าคุณมาอยู่ในหมู่ชาวอโศก เขาก็มีกฎเกณฑ์วัฒนธรรม คุณสมัครใจเอง เข้ามาปุ๊บ แม้คุณจะมีกิเลสก็ถูกอำนาจสนามแม่เหล็กของคุณธรรมชาวอโศก ทำให้คุณทำอะไรไม่ค่อยออก นอกจากกิเลสหยาบแรงเกินไป ก็ไม่ค่อยเกิดนะ เพราะว่าคนจะเข้ามาในนี้ละเอียดสูงพอ หยาบๆนี้เขาไม่เอา หยาบๆนี้ ในอโศกเขาจะไม่ยินดีมา หยาบเข้ากันไม่ได้ ไม่ต้องเอาอะไรมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่นี่ไม่ให้ใช้ตังค์ไม่ให้มีเงิน จะอยู่อย่างไร อยู่ในนี้กินข้าวมื้อเดียวไม่เอา อยู่นี่ไม่ให้เล่นฮาร์ดร็อค เขาก็ไม่เอา ไม่อยู่หรอก จะมาแต่งตัวมากๆก็ไม่เอา ใครทาลิปสติกก็ว่า….ใครกล้าบ้าง ขนาดเล่นละครเวทียังไม่มีเลย จะมาแต่งได้อย่างไร คือวัฒนธรรมมันสูง ขั้นโลกีย์มาไม่ได้
สมณะเดินดินว่า...ที่นี่มีปลาตัวอ้วนๆใหญ่ๆ ถ้าไม่เกรงใจก็คงจะเสร็จหมดแล้ว
พ่อครูว่า...มันเป็นคุณธรรมที่แท้จริงต้องคัดเลือก ทีนี่บอกแล้ว ว่าที่นี่เป็นดินแดนอิสระเสรีภาพใครจะเข้ามาก็สมัครใจมาเอง เพราะฉะนั้น ในสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น เขาก็มีตัวตนของเขาเขาจะไม่กล้าเข้ามาในนี้เองหรอก เขาก็ว่ามาในนี้มันไม่ไหวหรอก มันเชื่อมไม่ติด เข้ากันไม่ได้ เขาก็จะรู้ตัวเองของเขาว่าเขาเข้ามาไม่ได้ เขาจะรู้ว่าเขาหยาบขนาดนี้ ไม่ไหวหรอก ยาก ละเอียด มันไม่ไหว เขาไม่เข้า เราไม่ได้รังเกียจเขาแต่เขารู้ตัวเขาเองว่าเขาเข้ามาในนี้ไม่ได้
ไม่ต้องอะไรหรอก ก็พวกศิษย์เก่านี่ ไม่มีใครบังคับเขาไม่ให้เข้ามา กิเลสเขาเองบังคับไม่ให้เขาเข้ามา เราอยากจะให้เขาเข้ามาด้วยซ้ำไป แต่เขาเข้ามาก็จะรู้ว่าเขาจะทำหยาบอย่างที่เขาเป็นไม่ได้แล้ว เขาก็รู้เขาเอง ตัดสินของเขาเองว่าไม่ได้มาอยู่ที่นี่
พูดให้อีกว่า ที่นี่เป็นสนามของหมาหัวดี มันจะปีหมาอยู่แล้ว แต่เขาหมาหัวเน่าจะเข้ามาไม่ได้ กลิ่นหึ่งเลย เขาไม่กล้าเอากลิ่นของเขาเข้ามาหรอก ที่นี่หมาหัวดีทั้งนั้น ไม่ต้องทำอะไร มาเดินก็กลิ่นทั่วแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ยกรูปธรรมหยาบๆ ที่นี่ดินแดนอิสรเสรีภาพ เป็นไปโดยธรรม มันจึงไม่มีการกดดันบังคับ บริหารโดยไม่บริหาร บริหารกันอย่างสบายๆ ไม่ต้องกดขี่บังคับสอดส่องกันระมัดระวังแจ มันเมื่อย ต่างคนต่างเป็นคนมีคุณภาพ
สรุปแล้วเหมือนยกย่องตนเองเพิ่ม ต้องขออภัยที่เอาความจริงมาประกาศมายืนยัน มันเป็นความจริงของความจริง ไม่ใช่อยากอวดโอ่ ไม่มีสาเฐยจิตใดๆ เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ใจ
สังคมอย่างที่เราทำนี้ เราอยู่ในหลักเกณฑ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช้ทฤษฎีของท่านคำสอนของท่านทั้งหมด มาปฏิบัติประพฤติ สอนอบรมแล้วเราก็ทำได้ มันจึงเป็นองค์รวมของประชาชนสังคมบ้าน พร้อมกันนั้น ในสามเส้า บ้าน วัด โรงเรียน
แต่ละคนที่เป็นหน่วยของสังคมบ้านวัดโรงเรียน แต่ละคนก็มีธรรมะ หรือมีวัตรอยู่ แต่ละคนมีธรรมะขั้นโลกุตรธรรมกันด้วย แต่ละคนๆ ก็เป็นวัดในตัว อยู่รวมกัน เข้ามาแล้วก็มีความตั้งใจเจตนา สอน ถ่ายทอดความรู้กันเรียกว่าโรงเรียน สอนกันโดยปริยายหรือโดยตั้งใจสอน อย่างอาตมาตั้งใจสอน แล้วคนก็เข้าใจ อาตมาเป็นหัวเรือใหญ่ของการสอนธรรมะ แน่นอน พวกเราก็สอนกันต่อไปเป็นลำดับ เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ บางทีก็ลัดขั้นตอนบ้างสลับซับซ้อนหมุนรอบเชิงซ้อนได้
จึงมีสามเส้า บ้านวัดโรงเรียน หรือมีสังคมมีธรรมะมีการศึกษา
การศึกษาในทางการศึกษาวิชาการทางโลก ขอยืนยันว่า การศึกษาวิชาการทางโลกเราไม่เก่งเหมือนเขา เขามีเยอะกว้าง ของเราเก่งแบบของเรา เด็กเอาค่าเฉลี่ยเด็กข้างนอก รับรองว่า เกี่ยวข้าวสู้เด็กอโศกไม่ได้ รับรองเลย ไม่ต้องเอาอะไรมาก เด็กข้างนอกขัดส้วมสู้เด็กอโศกไม่ได้ แต่เขาก็บอกว่าของชั้นต่ำ ทำไร่ทำนาขัดส้วมแบกหาม ขุดดินฟันหญ้าอะไรพวกนี้ มันเป็นเรื่องชั้นต่ำ แต่ว่า ไปดูชีวิตในโลกนี้ก็อาศัยชีวิตชั้นต่ำจากดินกับหญ้า
คุณอยู่ฟ้า แต่กินอากาศเวหาหรือ? กินน้ำค้างหรือ? ไม่ได้หรอก อยู่ไม่รอดหรอก ชีวิตคุณ จะมีชีวิตอยู่ต้องพึ่งพา พวกเราต้องพึ่งพาดินน้ำไฟลมนี่และพืชพันธุ์ธัญญหาร ขี้คนนี่แหละ ปุ๋ยดีที่สุดคือขี้คน
พยายามอยู่ ปุ๋ยพวกเรา แต่ยังไม่ได้ใส่นะ จะมาหาว่าปุ๋ยบ้านราชใส่ขี้คน แต่ขี้ดีสุด คือขี้ของคนมังสวิรัติและไร้สารพิษอีกต่างหาก มันจะเป็นปุ๋ยชั้นหนึ่งขนาดไหน แต่พูดไปแล้วปุ๋ยเรายังไม่ผสมขี้คนนะ เขาจะรังเกียจได้ ติดยึด แต่ที่จริงมันสะอาดกว่าขี้ไก่เป็นไหนๆ ขี้ไก่เหม็นมาก จีนเขาใช้ขี้คนมาแต่ไหน จีนนี้ฉลาด เป็นที่หนึ่งในโลกนี้ พูดได้เลยว่า มีเจโตกับปัญญา คือฉลาดกับทึ่มก็มี จีนกับอินเดียสองฟาก
จีนใช้ขี้คน ผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารมาเป็นร้อยเป็นพันปี แต่อินเดียนี้ขี้ไปทั่ว เดินเหยียบกันเลย ในทุ่งนา ไม่ใช่ทุ่งนาก็ปล่อย
พลังงานในโลกนี้ เริ่มต้นเริ่มแรกเซลล์เดียว สมัยก่อนจากที่ตั้งหลักแหล่งเหมือนพืช จะต้องติดกับหลักแหล่ง เป็นต้นตอ แต่สัตว์ลอยตัวไม่ติดกับพื้นแล้ว แต่เซลล์ๆแรกนี้ เริ่มต้น แล้วจะมีพลังงานออกมาอีก เป็นแนวระนาบก่อน จะไม่เกิดวงวน แม้จะไม่มีมุม จนกว่าจะมีมุมออกไปแล้ว เซลล์เหล่านั้นเชื่อมเป็นสามเหลี่ยมเป็นสามเส้า พอสามเส้าจะเกิดวงวน เป็นวงรีก่อนแล้วเป็นกลมขึ้นๆ เชื่อมกันระหว่างวงนอกกับ protoplasm เป็นวงนอก จะหมุนรอบ เกิดการเคลื่อนตัวทางระนาบ มาๆไปๆ ขึ้นลงๆ พอมาเชื่อมกันก็เกิดพลังงาน เกิดแกน มันจึงจะอิสระ ถ้าไม่เกิดแกนกลางแล้วหมุนรอบแกนกลางก็จะไม่เป็นตัวเอง จะเป็นเหมือนอุกกาบาต ถูกแรงของจักรวาลน้อยใหญ่ดูดไป นี่เป็นเรื่องฟิสิกส์ทั้งหมด
สรุปแล้วจะเกิดวงวน ถ้าไม่สัดส่วน 45 องศาจะไม่กลมดิ๊ก จะเป็นวงรีไม่สมดุลไปก่อน แล้วจะจัดวงรีของมันเท่าที่จะวนได้ มันจะหมุน แล้วเมื่อเกิดหมุนก็จะหมุนรอบแกนกลาง แต่ไม่สมดุล asymmetry ไม่ใช่แบบ 45 องศาที่ symmetry ซึ่งถ้าไม่สมดุลก็จะเป๋ไปมา จะเป็นวงรี เส้นทางโคจรจะวงรี ยิ่งอุกกาบาตไม่มีเส้นทางแน่นอนเลย แล้วแต่ถูกดึงดูดไป เป็นเรื่องของแสงสีเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า อุตุนิยาม พลังงานสสาร
เมื่อมีชีวะ ก็จะเกิดพลังงานในตัวเองเป็นประธาน พอเริ่มมีชีวะ อย่างพืชนี้มีประธานแต่ประธานเห็นแก่ตัวเอง อันอื่นไม่เกี่ยวไม่ไปทำร้ายใคร พลังงานพืชเป็นพลังงานที่ปลอดภัยที่สุด ปลอดภัยกว่าอุตุนิยามที่มันระเบิดได้ แต่มันก็ไม่รู้เรื่องหรอก แต่พีชนิยามนี้ไม่ทำร้ายใคร เป็นฐานของความบริสุทธิ์สะอาด มีแต่ป้องกันตัวเองรักษาตัวเองให้มีชีวิตอยู่รอด พีชนิยามเป็นฐานของอะไรๆ แต่เป็นจิตนิยามนี้เกเรน่าดูเบ่งอำนาจ จน 1.ไม่สามารถเบ่งได้เพราะถูกคนอื่นต้านไว้ 2.รู้ตัวว่าไม่ควรไปเบียดเบียนคนอื่น 3.มีความรู้ความสามารถทำให้ตัวเองไม่เบียดเบียนใคร นอกจากไม่เปลี่ยนเป็นใครแล้วก็ช่วยเหลือผู้อื่นนั่นแหละดีที่สุด มีปัญญาครบรอบ ตนเองเป็นสามเส้า
1. ตนเองช่วยตนเองให้รอด
2. เมื่อช่วยเหลือตัวเองรอดก็ทำให้มากทำให้เกินให้เหลือ
3. มีผลผลิตมากเกินก็ไปช่วยคนอื่น ก็ครบสามเส้าที่สูงสุดแล้ว
แต่ถ้ามากเหลือเกินแล้วไปช่วยเหลือคนอื่นมันก็เป็นของคุณนั่นแหละ มันไม่มากไม่เกินไม่พอใช้ แต่เอาไปให้คนอื่นมันก็ตายได้ ชักเนื้อตัวเอง
1. ช่วยตัวเองให้รอด 2.ทำให้เหลือทำให้เกิน 3.เอาไปช่วยเหลือคนอื่น
เราก็ทำช่วยกันเป็นหมู่จึงได้ผลดี
ในอนาคตพวกเราจะแข็งแรงขึ้นอีก อาตมาสร้างอาคาร บวร เพื่อจะช่วยเหลือคนอื่นเราไม่ได้สร้างเพื่อค้าขายเอาเปรียบเอารัด ขูดรีดคนอื่น มีแต่สร้างให้คนอื่นไว้อาศัยทำมาหากิน พูดไปนี้ไม่ใช่อวดใหญ่โต พูดไปนี้เราไม่ตลบหลังคุณหรอก มีแต่ช่วยเหลือคุณไป คุณสามารถอาศัยได้ตลอดตายเลย แต่ถ้าเกเรมากเราก็ถือสิทธิ์เป็นเจ้าของขอให้คุณออกได้ คุณไม่ออกก็ต้องใช้อำนาจของรัฐ เจ้าหน้าที่เอาคุณออกไป
แต่ถ้าอยู่กันได้เราเจตนา ที่เห็นอาคาร มีพื้นที่ถึง 11 ไร่ โดยเฉพาะข้างล่าง เป็นพื้นที่ค้าขาย ด้านหนึ่งขายของแห้งอีกด้านหนึ่งขายของสด ใครที่จะจองจะใช้อาศัยอาคารนี้เลี้ยงชีพยังชีวิตอยู่ก็เชิญ ตอนนี้มีพื้นที่ให้จับจองได้ ไม่ต้องเสียภาษีเบี้ยอะไร มาช่วยกันดูแล อย่างเก่งก็เสียค่าน้ำค่าไฟเอง แต่ถ้าน้ำเราฟรีก็ไม่ต้องเสีย แต่ไฟตอนนี้เราจะทำโซล่าเซลล์ก็ยังไม่ได้อะไรเท่าไหร่ เราไม่มีเงินถุงเงินถังไปจ้าง ก็ให้พวกเรามีน้ำใจก็มาช่วยกันทำ ก็จะได้ครบบริบูรณ์น้ำไฟ
เจตนาให้อยู่ร่วมกันอย่างดีและพัฒนาเป็นโรงเรียนเป็นสถานที่ศึกษา มีคุณธรรมมีวัฒนธรรมมีการศึกษา เจตนาทำให้มนุษย์พัฒนาเจริญขึ้น พึ่งกินพึ่งอยู่กันไป จนกระทั่งกลายมาเป็นญาติสนิทเป็นมิตรสหาย เป็นญาติจริงก็มาอยู่ในนี้เลย ของเราเจตนาเปิดรับอย่างนี้เลย สร้างบ้านตัวเองได้เลย พวกเราให้อยู่เลือกได้เลย
เราทำนี่เพื่อมวลมนุษยชาติ ช่วยเหลือเกื้อกูลมวลมนุษยชาติโดยเอาคุณธรรมเป็นหลัก เอาศีลธรรมคุณธรรมเป็นหลัก
เมื่อเกิดความเป็นศีล ศีลทำให้เกิดคุณธรรม คุณธรรมไปถึงโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมต่างจากโลกียธรรมคือคุณสามารถลดกิเลสได้ คุณรู้จักกิเลสเรียกว่าสักกายะแล้วก็มีวิธีเรียกว่าศีลพรต ชัดเจน ไมใช่โมเมนะ อย่าไปเอาพลังงานจิตที่ดีไปทำลาย เอาแต่พลังงานส่วนที่ชั่วส่วนที่เสีย พ้นวิจิกิจฉาพ้นสงสัย ไม่ใช่ปนเปเสียของนะ เอาแต่ของที่หยาบๆไปทำลายก่อน ไม่สงสัยว่านี่กิเลสทั้งแท่งของจริง หยาบ อย่างกลางละเอียดไม่ต้องไปทำก่อน พอทำได้ค่อยไปเชื่อมต่อ ตัวกลางตัวปลาย แต่เอาแค่หยาบๆก่อน แล้วคุณจะมีความรู้ กิเลสหยาบหมดไปก่อน ก็จะมีความรู้เลือกหยาบ กลาง ละเอียดๆไป ญาณปัญญาคุณจะรู้จักหน้าตาลักษณะท่าทางของกิเลส อย่างมีของจริง คุณพอจะทำได้เป็นลำดับๆๆ ไม่ให้เสียของเลย เป็นลำดับอย่างได้สัดส่วน ถ้าไปเอาเนื้อของดีมา หรือปนเปของดีของเสียไปหมด เมื่อไหร่คุณจะสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์เสียที ไม่เข้าท่า
ความเป็นลำดับ นี้พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นลำดับอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ จะเป็นการลดไปได้อย่างเป็นลำดับ ไม่เป็นของเสีย หยาบ กลาง ละเอียด อย่างเป็นลำดับและมีปัญญารู้ขั้นตอนความเป็นจริง หยาบ กลาง ละเอียด อย่างแท้จริง เพราะว่าเราทำจริง นี่คือลำดับอันน่าอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ไม่ซ้ำอันเสียหาย หยาบ กลาง ละเอียด สามขั้นตอน อย่างมีปัญญามีความฉลาดรู้บหยาบกลางละเอียดเป็นขั้นตอนอย่างแท้จริง แล้วเลือกหยาบออกไปได้เรื่อยๆ ความรู้ของเราก็จะรู้ความหยาบไปเรื่อยๆ พอละเอียดก็จะคือหยาบในขั้นกลาง หยาบ ในขั้นละเอียด พูดสองสามชั้น แต่มันจะมีความละเอียดได้มาก ชัดกว่านี้อีก
ดูกร ปหาราทะ ล.23
[109] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่นเฬรุ-*ยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูกรปหาราทะพวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูรกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทร ฯ
พ. ดูกรปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสัก
เท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์ ฯ
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่
เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
พ. มี 8 ประการ ปหาราทะ 8 ประการเป็นไฉน ดูกรปหาราทะ
มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับมีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง(พ่อครูว่า ไม่ใช่ได้โดยลัด แต่โดยตรงนี้คือเส้นที่สั้นที่สุดคือเส้นตรง)
ดูกรปหาราทะข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่า
อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ 1 ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
สรุปแล้ว บวร มี osmosis แปลว่า ความซึมลึก จะซึมลึกได้ ต้องมีพลัง พลังสูงจะซึมหาพลังน้อยกว่า
พลังสูง มีความรู้แน่นข้นก็จะกระจายสู่ความรู้จางกว่า เพราะว่า ความรู้ของอริยบุคคลจะมีผลผลิตอะไร ที่ไม่หวงแหน นอกจากไม่หวงแหนแล้วก็จะมีพลังงานความรู้ความปรารถนาดี ไม่หวงแหนแล้วก็ละเอียดจะไหลซึม ถ้ามันมีความเข้มข้นสูง มีพลังงานความถี่สูง มันก็ยิ่งมีแรงกระจายซึ่งไปหาได้อีกเยอะ ถ้าพลังงานน้อยๆเบาๆ ถูกพลังงานอื่นครอบงำไหลไม่ออกด้วย นอกจากไหลไม่ออกแล้ว พลังงานตัวเองถูกบีบหลายด้านหมุนเละไม่เป็นส่ำเลย ยิ่งแย่
ถ้าของตนเองมีแกนกลาง พลังงาน dynamic มีรังสีออกไปได้สูง มันก็จะเกิดการไหลซึมลึกโดยตัวมันเอง เพราะตัวเองไม่หวง มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่แล้วก็จะออกมาตามธรรมชาติ
คนที่มีความรู้มาก มีอะไรมากก็แล้วแต่ แต่ว่าถ้าคุณหวงแหน อย่างไรก็ไม่ออก เพราะพลังงานความขี้เหนียวหวงแหนก็ไม่ออก เช่นมะเขือเทศนี้ มันก็เอาแต่ตัวมันเองสุดวิสัยก็ค่อยออก ใครไปทำลายมันไม่ได้ อย่างนี้ลูกกลมๆของมัน ถ้าอะไรมาทำลายก็บิดเบี้ยว แต่ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่บิดเบี้ยวเป็นรูปร่างของมัน แต่ที่มันไม่ได้รูปร่างเพราะว่ามีอะไรบังคับมัน ผลไม้บางอย่างผิวขรุขระ
บ้านวัดโรงเรียนมีสามเส้าสมบูรณ์แบบ เป็นเส้าหลัก หรือ สังคม ธรรมะ การศึกษา
สังคมของเราอยู่กันอย่างอิสระเสรี อยู่กันอย่างพอใจ อยู่ร่วมกันแล้วจะคัดเลือกกัน เข้มข้น ชาวอโศกนี้เข้มข้น เมื่อมาอยู่ร่วมกันก็มีธรรมะ คนเข้ามาอยู่ในนี้ก็มีธรรมะในตัวพอสมควร ถ้าไม่มีธรรมะมาอยู่ในนี้ยาก เป็นสนามแม่เหล็กขัดเกลา คัดเลือกให้ขยะออกไปเยอะ จะมีพลังงานขจัดในตัวออกไป อยู่ไม่ได้หรอก เสร็จแล้วก็แถมให้ เผื่อแผ่ในตัวอยู่แล้วเราก็มาจัดระบบระเบียบการศึกษาเรียกว่า การศึกษา ก็เกิดระบบระเบียบวิธี ต้องมาเข้าโรงเรียนมาถึงเวลาก็มาเอาความรู้อะไรบ้าง น่าเอ็นดูทำงานส่วนนั้นส่วนนี้ หนักๆ ตอนนี้ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ หลังคาทำแผ่นดินพุทธ ทั้งลมทั้งแดด
พูดไปก็ดูคุยโต มันเป็นตัวอย่างของมนุษยชาติที่สมบูรณ์ ถือว่าสมบูรณ์เท่าที่มันมีมากกว่าสังคมใดๆ อาตมาถึงบอกว่าชาวอโศกเป็นชมพูทวีป
สามเส้านี้เป็นพลังงานปฏิกิริยา ถ้าสองมันจะมีแต่แนวระนาบ แม้จะสามเส้าที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมด้านเท่า ถ้าไม่เกิดหมุน จะไม่พิสดาร มันก็จะเกิดหมุนจนได้สัดส่วน
สรุป เราจัดสามเส้าของ บ้านวัดโรงเรียน หรือสังคม ธรรมะ การศึกษา เราจัดได้สัดส่วน แม้ธรรมะก็เป็นโลกุตระ การศึกษาก็เป็นแบบทุนนิยม โลกุตระคือจัดการศึกษาถึงบุญนิยม ขัดเกลากิเลสอย่างเป็นลำดับ เราทำได้ครบ คุณธรรม เราทำได้ตามธรรมดาธรรมชาติของสิ่งที่มีอยู่ในมนุษยชาติ ยิ่งกว่าพืชหรือสัตว์จะทำได้ คนในระดับปุถุชนก็ทำไม่ครบ
โลกุตระชนทำได้ ได้รับมาจากพระพุทธเจ้า สิ่งที่แตกต่างระหว่างโลกียะกับโลกุตระคือสามารถลดตัวตน จนไม่เห็นแก่ตัวตน อาจจะมีพลังงานชีวะที่เต็มในแต่ละคน แล้วชีวะนี้ก็อยู่เพื่ออะไร ก็เป็นการช่วยดินน้ำลมไฟ และชีวะ
ประโยชน์ของสัตว์โลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือมนุษย์ มนุษย์โลกุตระ จึงเป็นมนุษย์ที่ไม่เห็นแก่ตัว พลังงานมีเต็ม ความรู้มีเต็มก็ไม่มีตัวเอง แล้วจึงรับใช้ประชาชน แล้วประชาชนที่มีภูมิปัญญาก็จะอนุเคราะห์กันไปเป็นระดับ คนที่ทำงานเพื่อประชาชนอย่างไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตนเลย คนอื่นก็จะช่วยไว้ เรายังมีตัวตนอยู่ก็ช่วยคนที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตนไว้ให้ดียิ่งขึ้น ขอให้จริงเถอะ แล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่มที่มีปัญญาจริงอย่างชาวอโศกไม่มีตาย ถ้าหากว่าคุณทำความดีโลกุตระนี้ให้ชัดเจนให้จริง รับรองว่าอยู่ได้ เจริญงอกงามพากเพียรไปเถอะ แล้วคุณจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ แก่โลก จะเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกอย่างมากเลย ทั้งดินน้ำไฟลม แต่เราก็รู้ขั้นตอนว่า เราควรจะช่วยมนุษย์ก่อน
มนุษย์ที่พัฒนาแล้วจะไปช่วยผู้อื่นต่อไป คนนี้เขาสูง ถ้าช่วยคนอื่นต่อก็จะช่วยคนอื่นต่อได้อีก ก็คนไหนช่วยได้ก่อนก็ช่วย ง่ายกว่าก็ช่วย จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนต่อไป
เป็นมนุษย์ที่ช่วยเหลือสรรพสิ่งได้ แต่ต้องรู้เป็นลำดับ ก็จะช่วยจะสอนอะไรกับใคร ก็ต้องช่วยมนุษย์ก่อน แล้วมนุษย์จะช่วยกันต่อไป จนกระทั่ง สมมุติ มนุษย์ช่วยตัวเองได้หมดแล้วก็ไปช่วยสัตว์ต่อ กว่าจะถึงเวลานั้น อาตมาว่าคุณเกิดแล้วตายอีกกี่รอบกว่าจะถึงเวลานั้น มวลสัตว์โลกมีเยอะเหลือเกิน แม้แต่ในโลกลูกนี้ ก็มีสัตว์มนุษย์เกิดมา ในโลกลูกอื่นก็ยังไม่มีชีวะเป็นมนุษย์ ไม่ต้องไปคิดหรอก อันนี้ทุกอย่างก็เหมือนกันหมด ทุกอย่างถึงขั้นนั้นขั้นนี้ โลกลูกนี้มีอะไรถึงขั้นไหนๆแล้ว อาตมาพูดไปก็อยากพูดให้นาซ่าว่า อย่าไปเดาไปเสียเวลาหรอก ในดาวนพเคราะห์นี้ สุริยจักรวาลนี้คือ เก้าดวงนี้เป็น วง cytoplams อยู่ในรอบนอก ภายในคือ protoplasm สูงสุดก็มีดาวเก้าดวง หรือแปดดวง ถ้าไม่ครบเก้าดวงก็ไม่เป็น cyclic order ถ้าเหลือแปดดวงจะเป็นวงรี
บ้านวัดโรงเรียนนี้ เรานำหน้าที่อื่นในโลก เราสร้างสังคมมนุษยชาติบวรให้มีคุณภาพคุณธรรม ให้เป็นมนุษย์ประเสริฐ ไม่ได้ทำความเสียหายต่อโลกเลย มีแต่ประโยชน์ต่อโลก ทั้งมนุษย์สัตว์พืชดินน้ำไฟลม เป็นมนุษย์ประเสริฐ การสร้างเช่นนี้ เป็นเรื่องสุดยอดแล้ว ทำตัวเราเองก่อน แล้วมารวมกับหมู่กลุ่ม ก็จะช่วยกันทำคนละไม้คนละมืออย่างที่เป็นชาวอโศกเป็น
อาตมาจึงเรียกชาวอโศกว่าเป็นชมพูทวีป คือเป็นทวีปที่มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส คือ เป็นทวีปที่มีสัตว์โลกมีมนุษย์ที่มีองคาพยพ มีอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟันหนังตับไตไส้พุงอวัยวะน้อยใหญ่ครบ แม้แต่น้ำเลือดน้ำหนอง อะไรต่างๆนานา รวมแล้ว 32 อาการ
อยู่รวมกันเพื่อทำหน้าที่แล้วก็เกิดองคาพยพของชีวิตสัตว์โลกชีวิตมนุษย์สมบูรณ์
อยากแวะนิดหนี่ง มนุษย์ต่างดาวที่คุณเดาเอาว่ามีแขนขาลีบหัวโตนั้นมันยังไม่เต็มเต็งเป็นมนุษย์หัวโต เขาจึงสร้าง Concept บ้าพวกนี้มันฉลาดมนุษย์ต่างดาวมันฉลาด มันมาถึงโลกนี้ได้ มนุษย์โลกยังไปต่างดาวได้ยาก ก็เลยนึกว่ามนุษย์ต่างดาวต้องฉลาดมากจึงวาดภาพมนุษย์ต่างดาวให้หัวโตๆ แขนขาลีบ มันก็เป็นการคาดคะเน มนุษย์ ET รูปร่างพิการหัวโตๆ อย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้ว ดวงดาวของแต่ละดวงก็อยู่ได้อย่างสัดส่วน เป็นไปตามฟิสิกส์ จนกระทั่งเป็นชีวะ เมื่อเกิดชีวะก็เกิดมาเป็นตัวรวมโลกแต่ละโลก โลกที่มีชีวะก่อนโลกที่ไม่มีชีวะ โดยเฉพาะโลกที่มีมนุษย์นั้นจะพังไปก่อนโลกที่ไม่มีมนุษย์ มนุษย์เป็นตัวสร้างหรือตัวทำลายได้สูงสุด มนุษย์นี้จึงเป็นได้ทั้งพระเจ้าและซาตาน
ตั้งชื่อไว้สูงว่า มนุษย์คือผู้ที่มีใจสูงแต่ที่จริงคือต่ำ มนุษย์ไม่มีพลังงาน พลังงานที่เหนือกว่าแสง ความร้อนแม่เหล็กไฟฟ้าเร็วกว่าแสง เร็วกว่าอะไรอื่นๆ สร้างมุทุธาตุ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ให้มาสร้าง มุทุธาตุทั้งเร็วแรง เฉลียวฉลาด มุทุคือจิตหัวอ่อน ไม่ใช่อ่อนแอนะ ปรับปรุงได้ง่ายทั้งเจโตและปัญญาไหวพริบ แปรไวเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก เร็วจนคนนึกไม่ถึง เปลี่ยนได้เร็ว ทุกวันนี้ เขาพยายามทำหุ่นยนต์ เขาพยายามให้มันมีความเร็วทางประสาท แต่มันก็เร็วสู้มนุษย์ไม่ได้หรอก มันเป็นไปได้ยาก แต่เขาก็พยายามกัน เหมือนกับที่พยายามวิ่งหาดวงดาวที่จะไปสร้างที่อาศัยอีก ดวงดาวแต่ละดวงจะไปหยั่งลงได้ง่ายๆที่ไหน อุณหภูมิต่างๆกัน บวกลบเป็นร้อยองศาก็ตายได้แล้ว นี่ -40 องศาก็ไม่ได้แล้ว ร้อนเกิน 38ไปอีก 40 องศาก็ตายแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ฝากคำว่า osmosis ให้นักเรียนไปคิดว่าคืออะไร...คือซึมลึก ไหลเวียนจากความเข้มข้นมากไปหาความเข้มข้นเจือจาง ทุกวันนี้ ธรรมะที่เข้มข้นอยู่ที่หลวงปู่และมันจะไหลไปหาพวกเธอหรือเปล่า
พ่อครูว่า...ไหลไปหาเหมือนกันแต่ผลักออก
สมณะเดินดินว่า...ถ้าจะไม่เข้าก็เพราะว่าเรามีความเป็นตัวของตัวเองสูงเราเอาแต่ใจตัวเองสูง เราค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวเองมาก พลังงานของหลวงปู่ที่จะไหลไปหาคนเหล่านี้พวกเราจึงไม่เข้า ถ้ามันจะเข้าได้ก็ต้องสังเกตดูว่า ธรรมะหลวงปู่คือมีสาราณียธรรม ท่านอยู่กับพวกเราก็มีความระลึกถึง สาราณียะ ครุกรณะ มีความรัก มีความเคารพ มีการอ่อนน้อม มีการช่วยเหลือกัน สิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่ามวลสารธรรมะที่มากจะไหลไปหาพวกเรา พ่อเราก็เป็นแท่งที่ออสโมซิสแท่งเล็กใหญ่ที่ซึมซับธรรมะหลวงปู่ไปได้ รวมกันก็เป็นสังคมบวรที่มีทั้งการศึกษา ทั้งบ้านก็เป็นสาธารณโภคี การศึกษาก็เป็นการศึกษาที่บุญนิยม เน้นเรื่องการลดละกิเลส ธรรมะก็เป็นโลกุตระ หลวงปู่ก็บอกว่า ชุมชนบวรของพวกเราจะเป็นประสิทธิภาพสูงที่จะช่วยสังคมได้ พวกเราอยู่ในองค์ประกอบบวรที่มีบ้านวัดโรงเรียนที่ดี พวกเราก็อย่าหนีออกไปก็แล้วกัน
youtube
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:19:30 )
รายละเอียด
601220_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อ่านเวทนา108 ให้พ้นสังโยชน์
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 13 ค่ำเดือนยี่ปีระกา ตอนนี้ใกล้งานเพื่อฟ้าดินเข้าไปทุกที เราจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2560 วันนี้เริ่มต้นเข้าค่ายเด็กม.3
งาน ว.บบบ. เป็นงาน บำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม นึกถึงตอนน้ำท่วมปี 54 พ่อครูก็พูดเรื่อง ว.บบบ. แต่ใจพวกเราห่วงอยู่กับเรื่องนำ้ท่วม (พ่อครูว่าตอนนี้ ผมปลดเกษียณเรื่อง ว.บบบ.แล้ว พวกคุณทำกันนะ) เราจะมีการสอบด้วย แต่ก่อนจะมีใบสมัคร สายวิชญ์ สายชาญ ก็ทำเอามึนหัว ชื่อสกุลไม่ตรงกันบ้าง แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว ให้มาสมัครที่ราชธานีอโศกเลย 23-26 ธ.ค. 2560 ไปลงทะเบียนเลย ว่าตนเองอยู่กลุ่มไหน
เชิญร่วมปฏิบัติธรรมข้ามปี ทำชีวิตให้พ้นภัย 5 กับการบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรมเพื่อฟ้าดิน
และสอบ ว.บบบ. ครั้งที่ 5 ปี 2560 ในช่วงเวลา วันที่ 27-30 ธันวาคม 2560 ต่อด้วยงานเพื่อฟ้าดิน 31 ธ.ค. 2560- 2 ม.ค. 2561
_ไม่มีการส่งใบสมัครก่อน ให้มาสมัครในงานเลย โดยจะมีการตั้งโต๊ะรับสมัคร นิสิต ว.บบบ.รุ่นที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 23-26 ธันวาคม 2560 ที่ใต้เฮือนศูนย์สูญ เวลา 07.00-09.00 และ 13.00-16.00น.
_อังคาร 26 ธ.ค. 2560 เวลา 18.00-20.00 มีปฐมนิเทศ ว.บบบ. พบสมณะ สิกขมาตุประจำกลุ่ม
_ วันที่ 27-29 ธ.ค. 256 บำเพ็ญคุณ-บำเพ็ญธรรม เพื่อฟ้าดิน พบกับเทศนาธรรมชุดพิเศษจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ “เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ”
มีการบำเพ็ญคุณเพื่อเตรียมงานเพื่อฟ้าดิน
_เสาร์ที่ 30 ธ.ค. 2560 สอบ ข้อเขียน ว.บบบ. เวลา 04.00-06.00 น. ที่เฮือนศูนย์สูญ
_31 ธ.ค. 2560 -2 ม.ค.2561 งานเพื่อฟ้าดิน
_ปีนี้ ไม่มีการแจกเข็ม จะมีแต่เพียงการสอบเพื่อวัดผลคะแนนจริงเท่านั้น ถือว่าเป็นรุ่นพิเศษ แบบคนจน ทำแบบปิดทองหลังพระตามในหลวงรัชกาลที่ 9
_ข้อสอบ จะออกจากเนื้อหาหนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 1 และจากที่พ่อครูเทศน์ในช่วงปลายปี 2560
ตอนนี้ใครจะมาบ้านราชฯ อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาตลอด แต่ที่บ้านราชฯ พิเศษ มีพัดลมขนาดใหญ่เป่าด้วย วิธีที่คลายหนาวดีคือ เอาเต็นท์มากางด้วย
งานนี้เป็นงานคนจนจัด คนจนไม่ใช่ไม่มีอะไรจะขาย แต่มีของขายอยู่แม้ไม่มากเท่ากับตลาดอาริยะแต่ก็มีมากอยู่
พ่อครูก็จะมาเทศน์ตั้งแต่ตีสี่ ให้พวกเราฟัง
พ่อครูว่า...เทศน์ข้ามปี มีในศาสนาพระพุทธเจ้า แต่สวดมนต์ข้ามปีไม่มีในศาสนาพระพุทธเจ้า เขางมงายทำกันเอง คือสวดแล้วก็เห็นว่าจะเป็นศิริมงคล เป็นบุญกุศลอะไรต่างๆ โมเมไปว่าจะมีฤทธิ์เดช จะมีประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความฉลาดของภิกษุในยุคนี้ เละเทะไปหมด พูดแล้วก็น่าสงสาร แวะบอกให้เขาได้ยินได้ฟังจะได้ระงับไปบ้าง
สมณะฟ้าไทว่า...ข้อสอบจะออกจากหนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 1 และจากที่พ่อครูเทศน์ในช่วงปลายปี 2560 อ่านให้ดีจะทำให้บรรลุธรรมก็ได้
พ่อครูว่า...เริ่มต้นก็โอภาปราศัยกับ Facebook และ line ซึ่งอาตมาใช้พวกนี้ไม่เป็นเลย มีแต่คนเอามาให้พูดหรือดูก็เท่านั้น
_SMS 19 ธ.ค. 60
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติตามพระเทวทัตขอ
_8498 ถ้าหากว่าสมณะอโศกฉันมังสวิรัติ์แล้วเข้าข่ายเป็นพวกเดียวกับเทวทัต ก็จะเป็นเทวทัตวันละหนึ่งครั้งเพราะฉันวันละมื้อ 24 ชั่วโมงเป็นเทวทัตหนึ่งรอบ แต่พระบางวัดในเถรสมาคม ที่ต้องไปสวดศพถือเอาผ้าบังสกุลที่หน้าศพวันหนึ่งมี 3-4 ศพ หรืองาน แสดงว่าใกล้พระเทวทัตบ่อยมากกว่าสมณะอโศก ที่ร้ายกว่าเทวทัตคือมีวัตถุอนามาสแบงค์สีต่างๆล่อใจอยู่ จนเทวทัตแอบตบมือรัวๆให้เลยว่า ..เย้มีคนตกนรกลึกมากกว่าเราแล้ววววว..
พ่อครูว่า…ช่างคิดช่างมองกันนะ ขอพูดเสริมเติมความเห็นอันนี้ ในเนื้อหาก็คงพอเข้าใจแต่ก็ขอเสริมเป็นความรู้พิเศษ
ที่บอกว่า ถ้าหากว่าสมณะอโศกฉันมังสวิรัติ์แล้วเข้าข่ายเป็นพวกเดียวกับเทวทัต อันนี้ถูก ที่บอกว่าฉันมังสวิรัติ อย่าว่าแต่เทวทัตเลย พระพุทธเจ้าก็ฉันมังสวิรัติ สงฆ์สาวกฉันมังสวิรัติเป็นส่วนใหญ่เป็นเหตุผลที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติอย่างที่พระเทวทัตขอ ที่บอกว่าให้พระทุกรูปต้องฉันอาหารมังสวิรัติ ก็ชัดเจนว่าพระส่วนใหญ่หมู่ใหญ่ฉันมังสวิรัติ มีพระเก็บตกที่เหลือไม่เท่าไหร่ที่ไม่ฉันมังสวิรัติจึงให้พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้ชัดเจนเสีย ว่าให้พระทุกรูปต้องฉันมังสวิรัติ แนะนำให้พระพุทธเจ้า ออกกฎระเบียบอย่างนั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า
ถ้าพระพุทธเจ้าฉันเนื้อสัตว์ไม่ฉันมังสวิรัติ ถ้าพระเทวทัตไปขอว่าให้ออกกฎวินัยบัญญัติว่า พระทุกรูปต้องฉันมังสวิรัติ พระพุทธเจ้า ก็บอกว่า พระเทวทัตจะบังคับได้อย่างไรแม้แต่เราเองยังไม่ฉันมังสวิรัติเลย แสดงว่าพระพุทธเจ้าฉันมังสวิรัติท่านถึงโต้พระเทวทัตตรงนี้ไม่ได้ แต่พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า ว่าหมู่ใหญ่เขาได้ฉันมังสวิรัติแล้วจะไปบังคับได้อย่างไร มันดีอยู่แล้ว ก็เลยเป็นช่องว่างของการอนุโลม ซึ่ง ศาสนาพุทธนั้นมีการอนุโลม มีบันไดให้ขึ้นอยู่แล้วเป็นธรรมดาธรรมชาติ แบบนี้เป็นต้น
นี่คือถ้าเข้าใจ ส่วนอาตมาไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าฉันมังสวิรัติหรือไม่ ไม่ได้สงสัยเลย ในส่วนตัวลึกๆก็ไม่ได้สงสัย แม้แต่เหตุผลต่างๆมันก็ชัดเจนหมด เอามาพูด คนที่กินเนื้อสัตว์นั้นอย่างไรก็จะหาเรื่องจะกิน หาเหตุผลอะไรต่างๆเบี้ยวบาลี อะไรไปสารพัด เพื่อที่จะกินเนื้อสัตว์ แต่ส่วนใหญ่นั้นเข้าใจและรู้ดี
ทีนี้ขยายความไปว่า อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวของคุณคนนี้ว่าเป็นบาป นรกลึกต่างๆก็เอาเถอะ เขาว่า...ที่ร้ายกว่าเทวทัตคือมีวัตถุอนามาสแบงค์สีต่างๆล่อใจอยู่ จนเทวทัตแอบตบมือรัวๆให้เลยว่า ..เย้มีคนตกนรกลึกมากกว่าเราแล้ววววว..
อันนี้ต้องวิจารณ์ทั่วไปถึงศาสนาพุทธทุกวันนี้ มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง คือไม่เชื่อว่า การไม่ถือเงินถือทอง มันเป็นการช่วยฐานะของภิกษุ ช่วยฐานะของตัวเอง ถ้าไม่มีเงินในมือก็ยาก พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบว่าเงินเหมือนกับอสรพิษ ที่มันฉกกัดได้ตายได้ แต่คนเขาฟังไม่ขึ้น ว่ามันถึงขั้นเป็นงูเห่าเป็นพิษร้ายอย่างไร เงินนี่ เอามาไว้ในตัว
เขาไม่รู้ว่ามันร้ายแรงก็ไม่เห็นโทษภัย ศาสนาพระพุทธเจ้านั้น เป็นศาสนาที่รู้คุณรู้โทษ แม้แต่คุณโทษแค่นี้ก็รู้ไม่ได้แล้วนั่นคือผู้ล้มเหลวในการปฏิบัติศาสนาของพระพุทธเจ้า พากันล้มเหลวจนเห็นได้ว่าศาสนาล้มเหลวทั้งหมดเลยคือ พระมีเงินกันหมด นอกจากมีเงินไม่พอ ตั้งเงินเดือนให้กัน พระก็รับเงินเดือนกันอย่างหน้าชื่นตาบาน เห็นแล้วน่าสังเวชใจ
เอาเรื่องเงินทองเรื่องเดียว ความเป็นสมณะนักบวช ความเป็นผู้ปรารถนามาปฏิบัติธรรม ออกมาบวช เวลาจะบวช ท่านบอกว่ามาบวชนี้คือ
1. มาอย่าพกทรัพย์ศฤงคารมา โภคขันธาปหายะ
2. อย่าพกพาความเป็นญาติมา เรียกว่า ญาติปริวัตตังปหายะ ตัดขาดญาติมิตรมา มาแต่ตัวคนเดียวไม่เกี่ยวกับญาติ
โภคขันธาปหายะ ตัดขาดเรื่องทรัพย์สินเงินทองบ้านช่องเรือนชานมาเป็นอย่างนั้นสำหรับผู้มาบวช แต่ทุกวันนี้ไม่ได้รู้สึกรู้สาให้ความสำคัญเรื่องพวกนี้เลย เพราะฉะนั้น
อาตมาจึงนำศาสนามาให้พาทำ แม้แต่เป็นนักบวชหญิง สิกขมาตุ ก็ยังประพฤติตามพระธรรมวินัยได้ แม้แต่เรื่องเงินเรื่องเดียว สิกขมาตุเราถือศีล 10 ก็ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเป็นของๆตนแล้ว ก่อนบวชก็ให้เซ็นออกก่อนบวชแล้ว
จนทุกวันนี้อาตมาทำทางด้านศาสนามาเกือบ 50 ปีแล้วปฏิบัติตามได้ อาตมาภูมิใจว่า สมณะเราก็ดีสิกขมาตุเราก็ดีที่มาบวชนั้นปฏิบัติได้ ยืนยันได้ เจริญก้าวหน้าดีจนกระทั่งทุกวันนี้ ทั้งสิกขมาตุ ภิกษุเรา เรื่องเงินเรื่องทอง แทบจะไม่รู้เรื่องแล้วไม่ใช้มาตลอด 30 ปี 40 ปี
นี่เป็นการยืนยันสัจธรรมของพระพุทธเจ้าได้อย่างดี จึงมีนักบวชชาวอโศกนี้ เป็นอาริยะ ถึงขั้นอรหันต์ก็มี ซึ่งอาตมาได้เคยประกาศไปแล้วด้วย
ทุกวันนี้ศาสนาไม่เข้าใจว่า โสดาบันเป็นอย่างไร สกิทาคามีเป็นอย่างไร อนาคามีเป็นอย่างไร อรหันต์เป็นอย่างไร
อย่างมีไลน์ส่งคำถามมา
จากกลุ่มพระโสดาบันเป็นคนเช่นไร พระสมัยนี้ก็ไม่รู้เรื่องพระโสดาบันเป็นคนเช่นไร
ก็ขอขยายความอันนี้เป็นเนื้อหาสาระ
พระโสดาบันเป็นเช่นไร ก็ขออ่านเฟสบุคนี้ต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน มัชฌิมาปฏิปทาคือทางสู่จิตเป็นกลาง
_3867คนเหยียบเรือ2แคมเปรียบดังคนที่ยืนค้างคาตรงกลางระหว่างทางนาลมริยากับทางอลมริยาฤาเปล่า?สณ.สม.ฯจำพ่อครูสอนความเป็นกลางสู่มัชฌิมาถูกตรงต้องไปทางแคบลงสู่อลมริยา!ผู้น้อยจำถูกไหม?
พ่อครูว่า…หมายถึงเรือ 2 ลำนะไม่ใช่เรือลำเดียว คนเหยียบเรือสองแคม 2 ลำนั้นตกน้ำทุกคน
แต่ที่ว่า คนเหยียบเรือ2แคม เปรียบดังคนที่ยืนค้างคาตรงกลางระหว่างทางนาลมริยากับทางอลมริยาฤาเปล่า?นั้น ไม่ใช่
สมณะ สิกขมาตุ จำพ่อครูสอนความเป็นกลางสู่มัชฌิมาถูกตรง ต้องไปทางแคบลงสู่อลมริยา! ผู้น้อยจำถูกไหม? อันนี้ถูกต้อง
เพราะว่าความเป็นกลาง เหยีบบเรือสองแคมคือความเป็นกลางระหว่างบวกลบหรือนรกสวรรค์นั้นไม่ใช่
ความเป็นกลางที่เรียกว่ามัชฌิมา ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา ปฏิปทาแปลว่าวิธีปฏิบัติ มัชฌิมาแปลว่ากลาง ความเป็นกลาง ตรงกลาง ท่ามกลาง
มัชฌิมาแปลว่าความเป็นลักษณะนั้นแล้ว จิตเป็นกลาง เป็นอุเบกขา ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติไปสู่ จิตอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน ใครปฏิบัติและอ่านจิตใจตัวเองเป็น
แล้วอ่าน เคหสิตเวทนา เนกขัมมะสิต แล้วแยกแยะ โสมนัส โทมนัส อ่านรู้ จนจิตเป็นอุเบกขา ก็เป็นฐานนิพพาน ปฏิบัติให้ได้อุเบกขาทั้งหมด นั่นคือกลาง คืออุเบกขา คือจิตเป็นกลาง ไม่ใช่ว่าแบ่งกันระหว่างสองส่วนหารครึ่ง เป็นนิพพาน ไม่ใช่
นิพพานไม่ใช่แบ่งเค้กเป็น 2 ก้อนคนละครึ่ง ยังไม่เข้าใจลักษณะของโลกุตระ อธิบายไม่ได้กัน ทุกวันนี้มัชฌิมาปฏิปทา ก็เลยอธิบายออกนอกความหมายไกลลิบ
นาลมริยาคือ ทางปฏิบัติที่ไม่ไปสู่นิพพาน คือ นาล กับ อ คือ อลมริยา
ส่วน อลมริยา คือ ทางที่ไปสู่ อรหันต์ ทางบรรลุธรรม
ส่วนนาลมริยาคือทางไปนรกโลกีย์ ส่วนอลมริยาคือทางไปโลกุตระ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน กายของโอปปาติกะคืออะไร
จากเฟสบุ๊ค
_สรารัตน์ วงศ์สุภานันท์ ...กราบนมัสการด้วยความเคารพคะ
โอปาติกะเป็นส่วนดีหรือไม่ดีคะในกายตน และคืออะไรด้วยคะ ฟังพ่อท่านคิดไม่ทันคะ
พ่อครูว่า…มันไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆต้องตั้งใจฟังติดตามไปบ่อยๆฟังให้เสมอๆ คำว่า โอปปาติกะ แปลว่าจิตวิญญาณดวงหนึ่ง คือความเป็นจิตวิญญาณ ที่มันเกิดอยู่ โอปปาติกะ มีความเกิด เรียกเต็มๆว่าโอปปาติกโยนิ
เมื่อเกิดโอปปาติกโยนิ เมื่อเกิดแล้วก็เป็น สัตตาโอปปาติกา ผู้ที่สามารถเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ
สัมมาทิฏฐิข้อที่ 9 คือ ผู้ที่มีปัญญารู้ว่า สัตว์ ที่เป็นโอปปาติกะ ความเป็นสัตว์ทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่สัตว์ทางกาย ไม่ใช่สัตว์ทางรูปร่าง แต่โอปปาติกะ มีความเป็นกาย คือมีทั้งรูปและนาม คำว่า กาย ไม่ได้หมายถึงแต่รูปหรือนาม ถ้ามีแต่นามก็ยังเข้าเค้ากว่า การไปเห็นว่ากายมีแต่ดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป นั้นสุญโญ
โอปปาติกสัตว์ต้องมีกาย มีทั้งรูปและนาม ถ้าไม่มีนามไม่เป็นกายเลย ถ้ามีนามบ้าง รูปนอกไม่มีก็เป็นโอปปาติกสัตว์ก็ยังเป็นกายได้อยู่
คำว่ากาย พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาแยกกายแยกจิตในมูลกรรมฐาน 5 ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง ท่านให้พิจารณารู้ในความเป็นกาย
ขนก็ดี ผมก็ดี เล็บก็ดี ฟันก็ดี หนังก็ดี เมื่อใดในฐานะไม่เป็นกายแล้วในตัวเราหรือไม่อยู่ในตัวเรา
ผมยาวๆ ส่วนไหนที่ไม่ใช่กาย ส่วนไหนที่เรียกว่า กาย
ผมที่ติดในตัวเรา เรียกว่า กายทั้งนั้น ถ้าตัดออกแน่นอนส่วนนั้นไม่ใช่กายแน่นอน แม้ยังไม่ตัดอยู่ที่ร่างเราไม่ขาดจากตัวเรา ส่วนที่ยังไม่ตัดส่วนไหนที่ไม่ใช่กาย
ส่วนที่แม้อยู่กับร่างเราแต่ไม่เป็นกายคือ ส่วนที่ไม่มีความรู้สึกร่วม เช่นผมที่ยาวออกมา ฟันที่ยาวออกมา กรอได้ไม่เสียวอะไร ไม่ใช่กาย ถ้าเป็นกายต้องมีความรู้สึก มีนาม
ผู้ที่ยังพิจารณา ผมขนเล็บฟันหนัง ว่า ส่วนใดเป็นกาย ส่วนใดเป็นจิต แยกไม่ออก แค่นี้ไม่ต้องไปเรียนธรรมะพระพุทธเจ้า
ถ้าเข้าใจชัดเจนมีความเข้าใจชัดในตัวเองเลยว่า กาย คือส่วนที่เป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีนามธรรมอยู่ร่วมก็ผิดเลย ไปไม่รอด
จะเป็นการพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตอะไร ซึ่งเป็นบทแรกในการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ต้องศึกษากายให้ถูก เมื่อเริ่มต้นศึกษาผิดแล้วก็คงจะเข้าใจผิดไปทั้งหมด และคุณไม่เคยเห็นความเข้าใจในความเป็นกาย ก็จะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้ แม้จะนั่งสมาธิได้เก่ง ดับจิตนิโรธเก่งก็เป็นโมฆะบุรุษทั้งชาติ ต้องเข้าใจความเป็นสภาวะของการเกิดเวทนา จิตคืออะไร ธรรมคืออะไร
และพิจารณาเรียนรู้กิเลส กิเลสอยู่ในกาย กิเลสอยู่ในเวทนา กิเลสอยู่ในจิต กิเลสอยู่ในธรรม แล้วอ่านกิเลสใน กายเวทนาจิตธรรม แล้วตัดให้ได้
เห็นความจางคลายได้ วิราคานุปัสสี ทำให้ดับได้ นิโรธานุปัสสี ทำได้ซ้ำวนเวียนปฏินิสสัคคานุปัสสี จนเราเจตนาให้วนเวียนมา แต่จิตใจเราอยู่เหนือมันแล้ว มีจิตใจมีปัญญาเหนือกว่าแล้ว มีอุตระ มีสติมีอำนาจ เป็นอธิปไตยอยู่ในกิเลสพวกนี้ได้ ก็อยู่กับกิเลสสัมผัสอยู่กับกิเลสแต่เราอยู่เหนือกิเลส นั่นคือผู้ที่บรรลุธรรม ไม่ต้องหนีกิเลส กิเลสมันจะเข้าเรา ให้มันมาเที่ยวในจิตใจเราได้ด้วยกิเลส แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ มันตกเป็นทาสเราเลย เราอยู่เหนือมัน เอามันมาเป็นข้ารับใช้ได้
กิเลสมันก็เป็นพลังงานหนึ่ง เอามันมาเป็นข้ารับใช้ได้
โอปปาติกะ ส่วนดีและไม่ดี ในกายตน แสดงว่า ไม่เข้าใจคำว่าโอปปาติกะคืออะไร ก็เลยถามมา
โอปปาติกะคืออาการของจิตที่เป็นสภาวะหนึ่ง แล้วจิตใจนี้มันเป็น ชีวิตินทรีย์ ไม่ใช่จิต มันตายไม่มีความรู้สึกแล้ว ก็เป็นภาวะดินน้ำไฟลม มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้
อธิบายเพิ่มเติมตรงที่คนที่ไม่รู้โอปปาติกะไม่รู้จักจิตวิญญาณ จิตมันไม่ใช่กายเราแล้ว ก็ยังยึด เช่นคนที่ตายแล้วไม่เน่า คือคนที่ยึดติดกับตัวเองว่าเป็นตัวกูของกู ยิ่งไปหลงเขาเรียกว่าเป็นผู้มีบารมีทางธรรมะสูง ตายแล้วไม่เน่า นั่นแหละคือคนที่ล้มเหลวในทางธรรมะพระพุทธเจ้า ยึดติดร่างเป็นตัวของเรา ตายแล้วก็ยังให้จิตวิญญาณดึงดูดไปเป็นของเราเอง มันก็เลยต้องมีพลังงานไปเลี้ยงไว้ก็เลยยังไม่เน่าเสีย
คนธรรมดาเมื่อตายแล้ว จิตใจก็ต้องทิ้งร่างไป ร่างกายก็เน่าไป แต่นี่ตายแล้วไม่เน่าเสียก็เพราะว่าอุปาทานมันเยอะ ยึดร่างว่าเป็นตัวกูของกู จนตายแล้วก็ไม่ยอมวาง เป็นมนุษย์พืช ที่จิตวิญญาณไม่ฟื้นแล้ว ก็เป็นพีชนิยาม จิตวิญญาณไม่มีแล้วแต่เลี้ยงเอาไว้ ทั้งที่ควรจะปล่อยเขาได้แล้วไม่บาป ถ้าหากแน่ใจเขาเป็นมนุษย์พืชแล้ว จิตใจเขา drop ขั้นไม่สามารถฟื้นมาได้แล้ว หากคุณถอดสายอาหาร สายออกซิเจนไปก็ไม่บาป เพราะมันเป็นพืช พีชนิยาม
พีชนิยามไม่มีจิตใจพยาบาทม่มีบ่อปูนไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ เป็นพลังงานสัญญากับสังขารเท่านั้นไม่ใช่จิตวิญญาณ
คําสอนพระพุทธเจ้า อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม เขาไม่รู้เรื่องกันแล้วทุกวันนี้ในศาสนาพุทธ
เรื่องของปรมัตถ์นั้นไม่บาป แต่เป็นเรื่องของสังคมศาสตร์บอกว่าใจร้าย เขายังไม่ตาย ทั้งที่เขาตายแล้ว แต่ตายในระดับพีชนิยาม เขาก็ไปเกิด แล้วต่างคนต่างหลงเสพอะไรที่ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เรื่องงมงายดึงกันไว้ ความหลงทุกวันนี้ งมงายทางการแพทย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ทำให้ซวยๆคนตายแล้วก็ไม่ตาย ขังเขาไว้ให้ทรมานตนเองต้องดูแลเป็นภาระ คนจะตายไปก็ไม่ให้ตาย เพราะไม่เข้าใจเรื่องสัตว์โอปปาติกะ เป็นมิจฉาทิฐิข้อที่ 10 เดี๋ยวนี้ไม่ได้เรียนสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ
ไม่มีสุริยเปยยาลข้อที่ 5 ทิฏฐิ
เพราะฉะนั้น ทิฏฐิ 10 ไม่เข้าใจ จะไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็เป็นโมฆะ
โดยเฉพาะทิฏฐิ 10 ไม่รู้ ทาน เป็นอย่างไร จึงจะปฏิบัติธรรมได้ ปฏิบัติศีลอย่างไรจะให้จิตใจเกิดเป็น อัตถิหุตัง แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติธรรมกันอย่างงมงาย ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีแต่ไปนั่งหลับตาเหมือนฤาษีเดียรถีย์เหมือนยุคพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดในยุคนั้นเลย แถมเอาธรรมะพระพุทธเจ้า ตีไข่ใส่สี ธรรมะพระพุทธเจ้า เละไปหมด พูดไปเหมือนถล่มทลาย แต่พูดความจริงให้ฟัง ก็พยายามตื่นมาเรียนรู้ตรวจสอบ คุณไม่เชื่อไม่ฟังอาตมาไม่เป็นไรให้ทบทวน
ตั้งแต่พระสูตรแรก พรหมชาลสูตร พุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ในประดาศาสนาที่เกิดอยู่ในยุคของท่าน มันเป็นชาละ คือข่าย ตีกันยุ่งเละเทะ รวมทิฏฐิ 62 ไม่มีในศาสนาพุทธเลยทั้ง 62 เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดจากอะไร?
มิจฉาทิฏฐิทั้ง 62 เกิดจากการทำเจโตสมาธิ ไม่ใช่ปฏิบัติสมาธิแบบสัมมาสมาธิ ทำให้เกิดเป็นเจโตสมาธิเท่านั้น การปฏิบัติที่ไม่เป็นสัมมาสมาธินั้น ทั้งหมดจึงมีทิฏฐิ 62
ที่เป็นทิฏฐิ 62 เพราะว่าจิตของเขานั้นอยู่ อฌานตัง อปัสสตัง คือจิตใจอยู่กับความไม่รู้ความไม่เห็น เป็นเพียงความแส่หาดิ้นรนของตัณหาเท่านั้น ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธมีแต่ความแส่หาดิ้นรนของตัณหา ไม่มีสัมมาทิฏฐิ
_มีผู้ถามว่า ฆราวาส ไม่ต้องการพ้นทุกข์ ต้องการแค่คลายเท่านั้น แล้วพระกระแสหลักสอนแบบนี้
พ่อครูว่า...ถูกต้อง เพราะว่ากระแสหลักไม่รู้ว่าจะเอาสัจจธรรมสิ่งใดของพระพุทธเจ้าไปให้ฆราวาส พระก็อาศัยฆราวาสเลี้ยงชีพ ก็เลยต้องเอาใจฆราวาส
คลายทุกข์กับดับทุกข์ ไม่ใช่นิโรธ คลายทุกข์นี้ จริง มันมีสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
คลายทุกข์ก็มีสัมมาทิฏฐิ บรรเทาลงเรื่อยๆ แต่มิจฉาทิฏฐิคือเอามาบำบัดกิเลส กิเลสเมื่อทุกข์บำบัดบำเรอกิเลสก็คลายทุกข์ลงแต่กิเลสก็อ้วนขึ้น เลยกลายเป็นปุถุชนที่กิเลสหนามากขึ้น แต่รู้สึกว่าดูเหมือนเราบรรเทาทุกข์ คุณไม่ได้บรรเทาทุกข์ แต่คุณกำลังหลงสุขกับทุกข์ คุณนึกว่าได้รับการบำบัดกิเลสนั้นเป็นสุข กิเลสก็เลยยิ่งมากขึ้นทุกระดับต่ำขึ้นที่พระพุทธเจ้าใช้ศัพท์ว่า ไม่ควรทำให้ทุกข์ทับถมทุกข์ที่มีอยู่แล้ว มันก็ยิ่งจะมีแต่หนา เพราะว่าทุกข์กับสุขนั้นตัวเดียวกัน คุณเอาสุขบำเรอสุข ศาสนาพุทธไม่มีสุข มีแต่สุขตอแหล ความสุขไม่มีในศาสนาพุทธ สวรรค์ไม่มีในศาสนาพุทธ สุข กับทุกข์ อันเดียว นรกกับสวรรค์อันเดียวกัน
คุณจะทำทานก็ดี ถือศีลก็ดี ต้องสะกิดใจไม่ให้มีสาเปกโข ไม่ต้องการแม้แต่สวรรค์ไม่ต้องการแม้แต่นรกนั่นคือเข้าทางธรรมพระพุทธเจ้า ฝึกอย่างนี้ไปตลอด จิตใจของคุณถึงจะลดหน่ายจางคลายเบาบาง คลายกิเลสได้ ดับกิเลสได้ แต่ถ้าไปบำเรอกิเลสก็มีแต่ทุกข์หนาขึ้นกิเลสหนาขึ้น คุณสุข ซึ่งมันเป็นทุกข์นั้นเอง สุขมันเป็นตัวหลอกเป็นการโกหกแต่คนนึกว่ามันมีจริง สุขมันไม่มีจริง มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
ถ้าเข้าใจตรงนี้ มันมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ความสุขนั้นเป็นเท็จ สุขขัลลิกะ มันไม่มี
การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ลัดนะ ตรง ปฏิบัติจิตไม่ให้มีแม้แต่ สาเปกโข ไม่ให้มีสวรรค์ไม่มีนรกตลอดเสมอนั่นแหละจะเป็นทางตรง ถ้ายังอยากได้สวรรค์อยากได้สุขอยู่ บางคนบอกว่าต้องให้เป็นไปตามลำดับ มีการบรรเทาคุณได้หรือ ทำไปตามลำดับ บรรเทาให้เขาได้สุขบ้าง อย่างไรอย่างไร แม้คุณจะปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะ ใช้ปัญญาใช้ความรู้ เพื่อที่จะทำใจในใจ เรียกว่า มนสิกโรติ หรือว่าโยนิโสมนสิการ เป็นการทำใจในใจของตน
ทำก็คือ ควบคุมมัน อย่าให้มันเกิดอาการอารมณ์ อ่านอาการของจิตให้ได้ จัดการหรือทำให้มันไม่มีอาการอารมณ์ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรกให้ได้
ใครสามารถทำจิตให้มีสวรรค์ไม่มีนรกได้ แวบหนึ่งแม้ชั่วไก่ปรบปีก งูกระดิกหางก็ใช่เลย ไม่ใช่ไปติดสุข ต้องให้โยนิโสมนสิการให้ถูก
_โยมถามว่าอยู่กรุงเทพรถติด ก็เลยกดโทรศัพท์เล่นบรรเทาทุกข์
พ่อครูว่าหลบเลี่ยงบรรเทาทุกข์ สรุปตอนนี้นิดหนึ่ง โอปปาติกะเป็นตัวสำคัญที่คุณจะต้องผ่านในจิตให้ได้
โอปปาติกะ ถ้ามันมีตัวนี้เมื่อไหร่ก็ชัดเจนว่ามันเกิดมันมีความเป็นสัตว์ เป็นอาการอยู่ในจิต แต่โอปปาติกะ เมื่อคุณสามารถอยู่เหนือความเป็นสัตว์ คุณมีจิตใจ โอปปาติกะ เป็นอุเบกขา เป็นความเป็นสัตว์ที่เรียกว่า พรหม เป็นสัตว์โอปปาติกะ ที่จิตใจบริสุทธิ์เป็นวิสุทธิเทพ จิตใจสะอาดบริสุทธิ์อย่างถาวร อยู่เหนือกิเลส เป็นพรหมสัตว์ เป็นสัตว์ที่สะอาดบริสุทธิ์ คืออรหันต์ คือประพฤติพรหมจรรย์จบแล้ว นี่ก็เรียกว่าโอปปาติกสัตว์ที่สูงแล้ว แต่ก็ใช้เป็นการเกิดอยู่ โอปปา คืออุบัติ นั่นเอง
_พระดี ..ขอเรียนถามว่า การที่พระสงฆ์รู้ดีว่า ฉันมังสวิรัติดีกว่า แต่ตนเองไม่ปฏิบัติ (เช่นเดียวกับการไม่รับเงิน,การเคร่งครัดวินัย,หรือรักษาศีล) เพราะมีสมณะและชาวอโศกปฏิบัติอยู่ก่อน ..ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า อะไร ครับ
พ่อครูว่า...แสดงว่าอัตตามานะยิ่งใหญ่มาก ถือดีถือตัว มีอุปกิเลส 16 ครบเลย โอ้ ถ้าหากคุณคิดเช่นนี้ เรียกว่าเปรต 16 ขุม ตั้งแต่อภิชาวิสมโลภะ พยาปาทะ โกรธ อุปนาหะ มักขะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเฐย ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็นสัตว์นรกทั้ง 16 ขุมเลย
พูดไปแล้วเหมือนย่ำยี ถล่มทลาย เขาไม่เข้าใจอย่างอาตมา แล้วก็ปฏิบัติผิดไปหมด ที่พูดนี่พูดด้วยเมตตาด้วยความปรารถนาดีให้ฟัง ให้ถูก ว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด แทนที่จะรู้สึกอย่างนั้น ก็หาว่าด่าเอาทุกวันๆ ก็ไม่ทำให้ดีสิ จะได้ชม อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ชมไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่มีอะไรจะให้ชม พอชมก็จะชมพวกอโศกเอง เมื่อชมสิ่งดีสิ่งถูกก็ถูกตัวเอง บอกว่ายกตนข่มท่าน ขี้บนน้ำก็ผิด ขี้บนอากาศก็ผิด ขี้บนอากาศมันก็ตกมาอีก
_โยมว่า มีพระบางรูปจะฉันมังสะวิรัติก็หาว่าปฏิบัติแบบชาวอโศกอีก
พ่อครูว่า... สิ่งดีงามอย่าไปกลัวเลย หาว่าเหมือนกับโพธิรักษ์เหมือนพวกอโศก นั่นคือเป็นเวรภัยของเถรสมาคม
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระโสดาบันคือผู้พ้นสังโยชน์ 3
ตอบคำถามที่ว่า โสดาบันเป็นคนเช่นไร...
โสดาบันเป็นผู้พ้นสังโยชน์ 3
สังโยชน์ 3 คืออะไร
ก็คือ 1.พ้นสักกายทิฏฐิ ความเห็นความรู้เรียกว่าทิฏฐิ ความเป็นสักกายะ พ้นสังโยชน์ 3 จะรู้จักความจริงนี้ได้ เป็นสักกายเรียกว่าอย่างไร ทิฏฐิที่ได้รู้คือความเข้าใจ เท่านั้นนะ ว่าสักกายะหมายถึงเช่นนี้
2. พ้น วิจิกิจฉา เข้าใจอย่างไม่สงสัยเลยว่า สักกายะ คืออะไร เข้าใจอย่างพ้นลังเลสงสัยเลย
3. พ้นสีลัพพตปรามาส เข้าใจศีลพรต
เช่นศีลข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อ2ไม่ลักทรัพย์ ข้อ 3 ไม่ประพฤติผิดในกาม คือละราคะไม่ไปหลงในอารมณ์กามราคะ รูปรสกลิ่นเสียงทางทวารเรียกว่ากามคุณ 5 คุณก็ต้องอ่านจิตของคุณ ว่ามี เห็นรูปแล้วอย่างไร อยากมีอยากเป็น ได้ยินเสียงแล้วเป็นอย่างไร ต้องปฏิบัติที่ตัวปฏิบัติคือศีลข้อ 1 2 3
ศีลข้อ 2 ปฏิบัติกับสิ่งของ สัตว์มันก็อยู่ของเขาเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย อย่าไปทำร้ายทำลายเขา เมตตาเอ็นดูหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง ของที่เป็นของเขา อย่าไปอยากได้ด้วยทุจริต อยากได้ก็ต้องสร้างด้วยความสุจริต
เช่นอยากได้มะเขือเทศมีสีสันน่ากิน ถ้าอยากได้ก็สร้างขึ้นปลูกขึ้น ถ้าไม่ได้ปลูกเองก็หาเงินมาซื้อ ถ้าอยากได้ลูกนี้ก็ต้องมาซื้อที่ราชธานีเพราะว่าลูกนี้มันอยู่บนโต๊ะนี้ เอาเงินมาซื้อเองที่นี่ ให้ได้ อนุเคราะห์ได้ ถ้าอยากได้จริงๆ ไม่ได้กินจะชักดิ้นชักงอ
ทีนี้ก็ขออธิบาย ตามหลักธรรม อาตมาเขียนอยู่ในหนังสือเราคิดอะไร เล่ม 230 ในคอลัมน์ เปิดยุคบุญนิยม
บอกว่า เราได้พูดถึงผลการปฏิบัติไตรสิกขา คือตามศีลแต่ละข้อ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิจริง ก็ตามไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือฆราวาส บวชแล้วก็ปฏิบัติศีล ศีลข้อ1 เริ่มต้นไปได้ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือภิกษุ ไม่ใช่ว่าเป็นภิกษุแล้วก็ไปถือแต่วินัย 227 ข้อ ที่เป็นพระวินัย ก็ดี ที่ปฏิบัติด้วย รูป คือกายกับวาจา แต่ผู้ปฏิบัติศีล จะต้องสังวรระวัง
ปฏิบัติศีลคือปฏิบัติจิต ท่านบอกว่าอย่าฆ่าสัตว์ ทางกายไม่ฆ่า วจีไม่ฆ่า จิตต่างหากต้องสังวรระวัง กายก็ดี จิตก็ดี คุณจะฆ่าก็มีจิตใจเป็นประธาน คุณจะพูดก็มีจิตใจเป็นประธาน ปฏิบัติศีลต้องปฏิบัติที่จิต ผู้ที่รู้จักการปฏิบัติจิต กระทบสัมผัสอะไรแล้วเป็นจริง ถ้าคุณไม่ได้กระทบสัมผัสอะไร หลับตาปฏิบัติ คุณไม่ได้ปฏิบัติศีล คุณไม่ได้ปฏิบัติสมาธิพระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติปัญญาพระพุทธเจ้า การนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีศีลสมาธิปัญญาของพุทธ
ปฏิบัติศีลจะต้องมีผัสสะ 5 แล้วมีจิตร่วม มีปสาทรูป โคจรรูป เมื่อเกิดสัมผัสจึงเกิด ภาวะรูป 2 ปฏิบัติธรรมต้องอ่าน รูป 28 อุปาทายรูป 24 มหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม เป็นพลังงานลักษณะต่างๆ มันก็อยู่ร่วมกัน เราก็พยายามสัมผัสสิ่งที่เราสัมผัสแล้ว อันนี้เกี่ยวกับสิ่งที่มี ชีวะ เป็นสัตว์ หรือเป็นวัตถุ หรือเป็นพีชนิยาม พืชนี้ถือว่าเป็นแค่ขั้นศีลข้อที่ 2 เป็นของชนิดหนึ่งไม่ใช่สัตว์
เมื่อสัมผัสแล้วกิเลสคุณเกิดขึ้นก็อ่านอาการกิเลสออก จิตใจมันเริ่มมี กามวิตกหรือพยาบาทวิตก สัมผัสแล้วมันผลักหรือดูด ถ้าคุณไม่ผลักหรือดูดก็เป็นอุเบกขา แต่ถ้ามันมีอาการไหว ผลักหรือดูดคุณก็ต้องทำให้เป็นอุเบกขาคือกลางๆ การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้
การจัดการจิตคือการจัดการสังขารกับการปรับปรุงจิตของเราด้วยมนสิการ เรียกว่าอภิสังขาร แต่ถ้าที่ทำให้จิตเกิดอุเบกขาเฉยๆ สะกดจิตไว้ไม่ให้เกิดอาการเช่นนี้ มันก็เป็น เคหสิตอุเบกขา เป็นการทำ ใจในใจสมถะไม่บวกไม่ลบชั่วคราว ทำได้เก่งก็ทำได้ชำนาญเป็นสมถะนะ ยังไม่เข้าเนื้อของศาสนา
ศาสนาทำให้รู้จักกิเลส กิเลสมันไม่ใช่ของจริงมันเป็นตัวหลอก มันไม่มีตัวตนมันเป็น อาคันตุเก เราโง่เองให้มันมาเป็นนายของจิตเรา มันเป็นเหตุให้เราเป็นทุกข์ มันไม่เที่ยง เดี๋ยวมันก็มีมากเดี๋ยวมันก็มีน้อยเดี๋ยวมันก็มีแรงมีเบา บางทีก็มาแรงมันไม่เที่ยงไม่ได้อยู่ตลอดกาล อนิจจังทุกขังอนัตตาทั้งนั้น พิจารณาไตรลักษณ์อย่างนี้เสมอ ให้เห็นว่ากิเลสมันเป็นเช่นนี้
เมื่อมันเป็นไตรลักษณ์ มันเป็นของไม่เที่ยงมันไม่มีตัวจริงแต่มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ก็อย่าให้มันมีอาการ ไม่ว่าจะเป็นความผลักหรือความดูด ให้เป็นอุเบกขาฐานเสมอ ถ้าหากกดข่มก็เป็นสมถะวิธี ให้รู้ด้วยปัญญาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์จริงๆมันไม่มีตัวตน มันคือปัญญา
ปัญญาจะเกิดความชัดเจน ชัดเจนในเบื้องต้นว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์มันไม่มีตัวตน ทำให้มันจางคลายด้วยปัญญาเรียกว่า วิราคานุปัสสี ให้มันลดละจางคลาย ไม่ใช่กดข่มแต่เข้าใจด้วยปัญญา เป็นวิปัสสนา สัมผัสแล้ว กดข่มยังไม่ใช่ แต่กดข่มเก่งเร็วไวขึ้นมันใกล้กับวิปัสสนา แต่ทุกวันนี้สัมผัสแล้ว สะกดจิตหยุด สายสมถะลืมตาทำทีอุเบกขาเฉยๆ ไม่ได้เกิดปัญญา เข้าใจว่าอาการจะเกิดทุกข์เกิดสุขเกิดจากเราโง่เอง มันมาจากอวิชชาคือคุณโง่ คุณเห็นมะเขือเทศลูกนี้ผิวสวยดีน่ากิน มันก็เป็นลักษณะของมันเอง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ ตถตา เป็นความจริงของมันเช่นนี้ แต่คุณสัมผัสแล้วเกิดความชอบไม่ชอบความสวยหรือไม่สวย ความรักหรือความดูด คุณก็เป็นบ้าของคุณเอง มันไม่รู้เรื่องของมันนะมะเขือเทศมันไม่รู้เลย คุณไปสมมติกับมันด้วยว่าไปบวกไปลบกับมัน ไปผลักไปดูดกับมัน ถ้านี้เป็นอาหาร ให้รู้ว่าเป็นอาหาร มีความรู้ทางโภชนาการ นั่นคือเนื้อหาสาระ ไม่ใช่ว่าเพราะว่าอะไรเพราะว่ากลิ่นหอมเพราะว่าสวยงาม ไม่ใช่ ไม่ใช่เปลือกๆผิวๆอย่างนั้นมันต้องอยู่ที่สาระ
คุณสามารถทำจิตในจิตใจว่าสังขาร ปรุงแต่งหรือว่าทำจิตในจิต คุณจัดการทำจิต ของคุณให้อยู่กับอภิสังขาร จนกระทั่งถึงขั้น ปุญญาภิสังขาร ปุญญะแปลว่า การชำระกิเลส บุญแปลว่าการชำระกิเลส แต่เดี๋ยวนี้ได้ผิดเพี้ยนไปไกลมาก แปลว่าคือกุศลเป็นสมบัติ อันนี้เละเลย ตัวเดียวนี้สับสนไปหมด บุญหรือกุศล เพราะเข้าใจคำว่าบุญไม่ได้ บุญก็เลยกลายเป็นกุศล กุศลเป็นสมบัติ บุญเป็นวิบัติ
บุญมีหน้าที่เดียวคือเจอกิเลสแล้วกำจัดกิเลส กําจัดได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา กำจัดกิเลสได้หมดเรียกว่า ปุญญปาปปริกขีโณ
มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ทำบุญเป็น รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทสคือที่อาตมาได้บอกไป ได้แสดงไปนี้
แต่ทุกวันนี้ศาสนากระแสหลักใช้ตรรกะ หรือกดข่ม อย่างคอลัมนิสต์ต่างๆที่เขียนในหนังสือพิมพ์ อธิบายไป ก็น่าสงสาร ท่านเหน็ดเหนื่อยแต่ได้มอมเมาให้คนอื่นเชื่ออีก ทางไทยโพสต์ก็สนับสนุนเผยแพร่มิจฉาทิฐิอย่างนี้ไป ศาสนาจึงได้เสื่อม
ท่านอธิบายถึงจิตเดิมแท้ อาตมาก็อ่านอยู่ น่าสนใจ เพราะว่าท่านได้ทำสิ่งที่ผิดไปไกลจะได้รู้ว่าถึงไหนแล้ว อ่านด้วยความสนใจ แล้วก็สงสาร ไม่ได้ข่มเบ่ง
การนั่งสมาธิแล้วจิตว่างไม่นึกคิด ไม่มีธัมมวิจัย แต่ทำให้จิตเฉย ๆ โจ๊โล๊ ภาษาอีสานคือ ไม่มีความรู้สึก เฉยๆ แบบนี้ บางทีเอามือไปปัดหน้า ตาลืมอยู่แต่ไม่รู้ ทำให้ประสาทดับ จิตไม่ทำงาน จิตไม่รับรู้ ทำให้อยู่เฉยๆกลางๆแล้วเขาบอกว่าเป็นจิตเดิมแท้เป็นฐานนิพพาน ซึ่งทำได้ ฝึกก็ชำนาญเก่ง แต่ได้เสีย calorie เสียกำลังงานไปยังออกนอกทาง เสียเวลาเสียพลังงานไปเปล่าๆ ได้แต่ความเก่งในสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ คุณได้เสีย ทุนรอนแรงงาน ทางกาย ทางสมองไป
เอาความสูญเสียของข้าคืนมา คือ1.เวลา 2.แรงกาย แรงใจ 3.ทุนรอน เป็นความฉิบหายอันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ เอาความสูญเสียเหล่านั้นคืนมาอย่าไปสูญเสียเลย
ดูเหมือนว่า อาจารย์บูรพา จะไม่ได้ฟัง แต่อาตมาก็พูดไป เผื่อว่า จะมีอะไรต่อเนื่องไปถึงอาจารย์บูรพาบ้าง อ๋อ ว่าโพธิรักษ์ด่าเช่นนี้หรือ?
คนที่พูดด้วยความไม่มีราคะโทสะโมหะนี้ไม่ใช่เป็นอกุศลเลย
ถือศีลข้อ1 ก็อ่านจิต จิตเกิดอะไรเมื่อสัมผัสสัตว์ จิตก็จะปรุงแต่ง 1.ชอบ 2.ชัง มันเป็นอะไรก็คือ โลภะหรือราคะ ถ้าชังก็โทสะหรือพยาบาท คุณก็อ่านจิต ตักกะ เริ่มตัวแรกในส้งกัปปะ 7 ในการพิจารณาสังกัปปะคือฐานปรุงแต่งความคิดทั้ง 7
ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขาร
สามตัวแรกเป็นวิปัสสนาหรือDynamic สามอันหลังเป็น Static หรือเจโต
เมื่อ ตักกะ เริ่มสัมผัสแล้วรู้ แล้ววิเคราะห์วิจัยเรียกว่า วิตักกะ จนเห็นการปรุงแต่งของจิตเรียกว่าสังกัปปะ ความนึกคิดของจิต แต่หากไปดับความนึกคิดของจิต ลัดไปเอาอุเบกขาจึงล้มเหลวหมด คือจะได้อุเบกขา ที่มีเคหสิตอุเบกขา ไม่ได้เนกขัมสิตอุเบกขา ตามฤาษีชีไพรเขาได้สอนกันมาไม่ใช่เนกขัมมะ เนกขัมมะกันคนละทางคนละเรื่องเลย มีอุเบกขาเหมือนกัน อาจจะว่างจากกิเลสแบบที่ลืมกดข่ม จะเป็นวิธีแบบโลกียะ ของพุทธศาสนาเป็นวิธีแบบโลกุตระ มันคนละเรื่องกันเลย อันนี้รู้กิเลสแล้วเอากิเลสออกไป
เปรียบเหมือนแก้วน้ำมีฝุ่น วิธีที่เขาทำการคือให้มันอยู่นิ่งๆให้มันตกตะกอน หรือกดข่มให้น้ำตกตะกอนได้น้ำใส แต่ตะกอนจมเแน่นข้นในแก้วน้ำ
แต่ว่า ของพุทธนั้น กวนให้ขึ้น เอากิเลสออกไป จากหยาบก่อน หยิบตะกอนออกไปหมด น้ำมันใสแล้วจะกวนอย่างไรมันก็ไม่ขุ่น เป็นน้ำใสที่บริบูรณ์ที่สะอาดที่จบ วิธีของศาสนาพุทธคือวิธีนี้ ไม่ใช่วิธีให้มันตกตะกอน หรือช่วยกดข่มให้ตกตะกอนให้น้ำใสก็หลอกตัวเอง อุเบกขาเคหสิตะอย่างนั้น แต่เนกขัมมสิตะ คือกวนให้ขุ่นให้ฟุ้ง จับหยาบเอาหยาบออกก่อน ต่อมาเอากลางออก เอาละเอียดออกในที่สุด เสร็จจบหมด น้ำในแก้วนี้ใสตลอดนิรันดร ไม่มีการขุ่นอีกเพราะมีปัญญามีตัวจริงมีความรู้บริบูรณ์ นี่คือวิธีของศาสนาพุทธ วิธีของเขาไม่ใช่พุทธ
ยกตัวอย่างง่ายสุดชัดที่สุด
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ได้ผิดเพี้ยนไปเป็นเดียรถีย์เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ที่พระพุทธเจ้า ไปเจออาจารย์ที่ผิด คือโอฬาร อาจารย์นี้ใหญ่มาก นั่งได้ฌาน7 ส่วนอุทกดาบสนั่งได้ฌาน 8 พระพุทธเจ้าก็ไปปฏิบัติด้วย ถือว่าเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้านะ
แต่ในมหาจัตตารีสกสูตร บอกไว้ว่าการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ สั่งสมเป็น สัมมาสมาธิมรรคองค์ที่ 8 แต่เขาไม่ฟัง ไปฟังอาจารย์ที่จบเปรียญ 9 เป็นดอกเตอร์ทางศาสนาต่างๆนานาสารพัด พระโพธิรักษ์พูดนี้ไม่เหมือนอาจารย์ไหนๆ ถ้าเหมือนอาตมาก็สบายสิ มีสักร้อยคนพันคนศาสนาไม่เสื่อม แต่นี่พูดไปก็หาไม่ได้สักราย แสดงว่าศาสนาพุทธได้เสื่อมไปแล้วไม่เหลืออะไรเลยในความเป็นศาสนาพุทธที่ถูกต้อง มันเป็นกลองอานกะที่ไม่เหลือซากเก่าแล้ว ชื่อว่ากลองอานกะ แต่เนื้อไม้หนังไม่เป็นเนื้อเดิมแล้วแต่บอกว่าเหมือนกลลองเก่า แต่แท้จริงเป็นของปลอมเป็นของพิษ เป็นไม้พิษหนังพิษด้วย เละเทะไปหมด
การทำใจในใจเรียกว่าสังขารก็ได้ เรียกว่ามนสิการก็ได้ การปฏิบัติธรรมตามหลักเรียกว่า รากฐานของการปฏิบัติ เรียกว่ามูล
มูล การปฏิบัติธรรม 10 ข้อ ในมูลสูตร สมบูรณ์แบบจบเลย ตั้งแต่ต้นจนจบ
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา) . .
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) . . . .
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) หากผู้ใดปฏิบัติธรรมไม่มีผัสสะอ จึงไม่มีเหตุแห่งการปฏิบัติธรรม ผลก็ไม่เกิด จึงมีแต่ความดิ้นรนแส่หาของตัณหา ทั้งนั้น เพราะไม่มีผัสสะ เป็นความไม่รู้เป็นความไม่เห็น อชานโต อปัสสโต เพราะไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย หากการนั่งหลับตาทำสมาธิไม่มีผัสสะ ผิดตั้งแต่ต้นทาง เมื่อไหร่จะตื่น ฟื้นจากความงมงายผิดเสียทีในวงการศาสนาพุทธ
ศาสนาสายหลับตาหมดเลยจมอยู่กับความผิดของการนั่งหลับตา แม้แต่สายบ้านก็ถือว่านั่งหลับตาเป็นการปฏิบัติเหมือนกัน ไม่ใช่ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ต้องปฏิบัติมรรค 7 องค์ปฏิบัติการงานอาชีพในกัมมันตะ วาจา สังกัปปะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์แยกแยะให้ออกพิจารณา กายเวทนาจิตธรรม วิจัยวิตกวิจาร ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ วิตกวิจารต้องมีเหตุปัจจัยจากทวารทั้ง 6 เปิดรับ
เมื่อไม่มีผัสสะก็ไม่มีเวทนา เป็นความประชุมลง
4. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) ตามพรหมชาลสูตร เมื่อไม่มีเวทนาก็ไม่มีกรรมฐานในการปฏิบัติ กรรมฐานของศาสนาพุทธมีเวทนาอันเดียว ไปหลงทิศหลงทางก็ไปเอากสิณดินน้ำไฟลมอะไรแล้วแต่ มารวมกันเป็นกสิณ 40 แล้วยึดติดกันเลยว่า คือทางของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่มีผัสสะไม่มีเวทนาก็ไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ ต้องรู้การประชุมลงที่เวทนา ต้องมาแยกแยะเวทนา 108
5. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) . . .
6. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) . . . .
7. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) . กัปตันรู้ยิ่งยอด
8. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . หลุดพ้นสุดยอดที่จะรู้ยิ่ง
9. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา). = สอุปาทิเสสนิพพาน.
10. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) = อนุปาทิเสสนิพพาน
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 58)
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เวทนา 108 คือกรรมฐานของพุทธ
เวทนา 108
(แบ่งเป็น 2 เวทนา ได้แก่..)
เป็นอาการอารมณ์ที่เกิดจากจิตหรือกาย เนื่องจากกายคือการสัมผัสภายนอก เนื่องมาหาภายในจิต
แยกเป็น 3 เวทนา ได้แก่..
ต้องรู้อาหารสามอย่างนี้ จิตปรุงเป็นสุข ทุกข์ หรืออุเบกขา มีสาม
(รู้กำลังของเวทนาทั้ง 5 ได้แก่)
แล้วมันมีมากหรือน้อยเท่าไหร่ สุข ทุกข์ หรือโสมนัส หรือโทมนัส ก็รู้ดีกรีของมัน น้ำหนัก เบา แรง กลาง หรือหยาบ กลาง ละเอียด ขนาดไหน
(แยกเป็น 6 เวทนา ได้แก่)
ได้แก่ มโนปวิจาร 18 (คือ เวทนา 3 ร่วมกับอายตนะ 6)
เคหสิตะเป็นฐานที่ว่างแบบโลกีย์อย่างอาจารย์บูรพาทำใจว่างๆ นั่งสมาธิแล้วจิตว่างไม่ใช่จิตว่างแบบทำกิเลสออก เอาฝุ่นออกจากน้ำในแก้วจนน้ำใส ทำได้ก็รักษาผล ภาวนา คือการเกิดผล แล้วอนุรักขณาปธาน มีอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง มีการเกิดผล แล้วอนุรักขณาปธานคือทำให้เกิดอเนญชาภิสังขารของอุเบกขา 5
หากปหานโดยการกดข่ม ไม่ใช่ ต้องปหานโดยการเกิดไฟฌาน คือปัญญา มีพลังงานพิเศษที่เหนือกว่าไฟราคะโทสะโมหะ สามารถสลายมันได้ ถ้าคุณปรุงอภิสังขารเป็นธาตุบุญธาตุไฟฌาน ธาตุนี้มีพลังสลายกิเลสได้ หากคุณทำอภิสังขารเป็นปุญญาภิสังขาร มีพลังงานที่เท่าไหร่ก็สลายได้เร็วได้ไว โดยเด็ดขาด ถึงยากที่จะสร้างให้เกิด อภิสังขาร เข้าไปจัดการกับพลังงานกิเลสราคะโทสะโมหะ
คนที่สามารถทำให้กิเลสลดได้เรียกว่าเนกขัมมะ
เนกขัมมะฐานแรกยังไม่เต็มไม่สมบูรณ์ ยังลำบากอยู่เรียกว่าเนกขัมสิตโทมนัส ยังลำบากอยู่ต้องอดทนข่มฝืน พร้อมกันนั้นจิตคุณก็มีโสมนัสเวทนา ดีใจที่กิเลสลดได้และมีสัมมาทิฏฐิด้วย มีปีติ ปัสสัทธิ ต่อ
เนกขัมมะจึงมีโสมนัสและโทมนัส จากทวาร 6 เป็นกิเลส18 หรือทำให้เนกขัมมะจนกลางได้จิตไม่มีผลักหรือดูด ได้ชั่วคราวตทังคปหาน ได้ดีขึ้นมากขึ้นเรียกว่าสงบ ปัสสัทธิ ยังไม่ถึงปัสสัทธิทีเดียว ถึงอุเบกขาเรียกว่าสมุเฉทปหานไม่ผลักไม่ดูด วางได้ชั่วคราวก็ตาม ส่วนกดข่มก็รู้ แต่ไม่กดข่มได้อย่างวิปัสสนาด้วยญาณด้วยเหตุผล ปัญญาด้วยการเกิดฌาน ไฟฌาน ฌานคือญาณ ฌานอยู่ที่ไหนญาณหรือปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาหรือญาณก็ต้องมีอยู่กับฌาน คุณทำให้เกิดไฟฌานอย่างลืมตาเปิด อาการของโทสะราคะจางลง บางเบาลง คุณมีวิปัสสนาญาณ อ่านจิตคุณได้ คุณทำอย่างนี้จิตมีพลังอำนาจของสติ
ความมีอุตระของปัญญา มีความเหนือ ปัญญาเป็นพลังงานจิตที่เหนือกว่ากิเลส เป็นอุตระ สตินำก่อน สติเป็นอำนาจที่จะไปจัดการกิเลส ถ้ามันเป็นจริงเป็นปัญญาจริง กิเลสจะลดจริง แค่สติกิเลสไม่ลด ต้องปัญญากิเลสถึงลด ต้องมีสติ สัมปชัญญะ สัมปาเทติ สัมปัชลติ ขยายไปได้อีกมาก…
สัมปชลติแปลว่าโหมไหม้สว่างขึ้นไปเรืองรอง คือยิ่งใสสะอาดขึ้นกิเลสหมดไปจิตก็ใสสะอาด
พลังงานจิตถ้าเข้าใจถูก พูดไปแล้วเหมือนยกย่องตัวเองอยู่นั่นแหละ คนก็เลยหมั่นไส้
ที่ต้องยืนยันตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นผู้ที่มากอบกู้ศาสนาได้ ใครรับรองโพธิรักษ์ ปริญญาจัตวาก็ไม่มี อย่าว่าแต่ปริญญาตรีเลย นักธรรมเอกโทตรีก็ไม่มี ไม่มีใครรับรองเลยในโลกนี้ ก็เพราะว่าไม่มีใครรับรองก็จำต้องรับรองตัวเอง
_ญาติธรรมเขาว่ามีผู้มองว่า ไม่สามารถเหนือกว่ามนุษย์ด้วยกันเองได้ก็เลยมองว่ามีสิ่งเหนือมนุษย์คือพระเจ้า กระแสหลักเขาก็ตี
พ่อครูว่า...อันไหนไม่ดีเราก็ติก็ว่า มันก็จำเป็นต้องพูดสิ่งไม่ดี ที่เขาเป็น แต่สิ่งดีนั้นมีอยู่มันก็ดีแล้ว แต่สิ่งไม่ดีที่มีอยู่ควรรีบเอาออก
_มันหนักที่ทุนนิยมไปด้วยกัน เขาไปทำงานจันทร์ถึงศุกร์แล้วใช้เวลาวันเสาร์วันอาทิตย์มานั่งหลับตาทำสมาธิ อย่างพ่อครูนี้เขาทำได้ยากทำไม่ได้
พ่อครูว่า...ทำได้สิ แล้วก็ต้องให้สัมมาทิฏฐิด้วย
_ต้องแก้ทุนนิยมก่อน ให้มาจนก่อนครับ
พ่อครูว่า...อาตมาก็แก้ปัญหาตามที่พระเจ้าแผ่นดินไทยให้มากับคำตรัสแก้ปัญหาด้วยความจนเอาแบบคนจนไม่ใช่เอาแบบคนรวย อาตมาก็ว่าเป็นข้าราชการรับใช้ทำไมถึงดื้อดึงดันต่อคำตรัสของพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเขามีอวิชชา อาตมาว่าเขาฟังที่ในหลวงตรัสลึกๆเขาก็ว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร
_เสี่ยซีพีฟังแล้วก็น่าจะบอกว่าไอ๊หยาเลย
พ่อครูว่า...มาเวทนา 36 ต่อ
เวทนา 36
เคหสิตโสมนัส 6 ทวาร
เคหสิตโทมนัส 6 ทวาร
เคหสิตอุเบกขา 6 ทวาร
เนกขัมมสิตโสมนัส 6 ทวาร
เนกขัมมสิตโทมนัส 6 ทวาร
เนกขัมมสิตอุเบกขา 6 ทวาร
พ่อครูว่า...ตัวนี้ เป็นตัวหลักของศาสนาพุทธ หากใครไม่เรียนรู้ ก็ไม่ได้เรื่อง
รู้เคหสิตะ18 รู้เนกขัมสิต18 แล้วทำเคหสิตะเป็นเนกขัมมะ ให้ได้ ทำทุกปัจจุบัน ก็ทำที่ 36 เวทนานี้แหละ แล้วทำให้เกิดอุเบกขา เป็นเนกขัมสิตะให้ได้
และเวทนา 108 คือ เวทนา 36 ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
ทำทุกปัจจุบัน36 สั่งสมเป็นอดีต 36 ทำมโนปวิจาร 36 นี้แหละทำให้เป็นเนกขัมสิตอุเบกขา 36 ทุกปัจจุบันสั่งสมเป็นอดีต 36 ที่แข็งแรง เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ได้ static ที่แข็งแรง จะมี dynamic ที่เร็วไวได้ ต้องมีแรงเพิ่มเรียก Coefficientสัมประสิทธิ์ที่เป็นตัวแปรที่จะทำให้เกิดทั้ง static และ dynamic
เป็นอัตราการก้าวหน้าระดับคูณที่เรียกว่าสัมประสิทธิ์ ถ้าเป็นการยกกำลังก็ยิ่งแจ๋ว
ถ้าถึงคูณก็เป็น Coefficient มีสูตร E=C(mc2+A) ของอาตมาที่ต่อยอดจากไอน์สไตน์ไม่ได้พูดมาข่มไอน์สไตน์นะ แต่ของอาตมาเป็นเรื่องนามธรรม ของไอน์สไตน์เป็นทางวัตถุ
จิตวิญญาณนั้นเร็วกว่าแสง อย่างนีล อาร์มสตรองแกจะไปดวงจันทร์ที่แกเคยไป ใครไปถามว่าที่เหยียบดวงจันทร์เป็นอย่างไร แกก็ระลึกได้เลยทันที ส่งจิตไปได้เร็วกว่าแสง ส่งจิตไปตรงนั้นได้เลย ไวกว่าแสง
สมณะฟ้าไทว่า...หมดเวลาแล้วครับ เวลาไวมาก
วันนี้พ่อครูพูด จะเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร ก็ต้องปฏิบัติ ศีล พ้นสังโยชน์แล้วพ่อครูอธิบายมูลสูตร 10 แล้วอธิบาย เวทนา 108 ทำทุกปัจจุบันซึ่งยาก พ่อครูพาทำตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด
https://youtu.be/rY4GrnszTj8
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:23:03 )
รายละเอียด
601222_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วิปัสสนาอาหาร 4 นี้ให้ถึงนิพพาน
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2560 ที่บวรราชธานีอโศก ก็ใกล้จะถึงงานที่เราจะจัด การจัดงานเป็นการเพิ่มสัมประสิทธิ์อย่างหนึ่ง วันนี้อากาศลดความหนาวลง พวกเราที่จะมาร่วมงานเพื่อฟ้าดิน ถ้าเป็นไปได้นำเสื้อกันหนาวมาด้วย
_ไม่มีการส่งใบสมัครก่อน ให้มาสมัครในงานเลย โดยจะมีการตั้งโต๊ะรับสมัคร นิสิต ว.บบบ.รุ่นที่ 5 ตั้งแต่วันที่ 23-26 ธันวาคม 2560 ที่ใต้เฮือนศูนย์สูญ เวลา 07.00-09.00 และ 13.00-16.00น.
_อังคาร 26 ธ.ค. 2560 เวลา 18.00-20.00 มีปฐมนิเทศ ว.บบบ. พบสมณะ สิกขมาตุประจำกลุ่ม
_ วันที่ 27-29 ธ.ค. 256 บำเพ็ญคุณ-บำเพ็ญธรรม เพื่อฟ้าดิน พบกับเทศนาธรรมชุดพิเศษจากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ “เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ”
มีการบำเพ็ญคุณเพื่อเตรียมงานเพื่อฟ้าดิน
_เสาร์ที่ 30 ธ.ค. 2560 สอบ ข้อเขียน ว.บบบ. เวลา 04.00-06.00 น. ที่เฮือน 00
_31 ธ.ค. 2560 -2 ม.ค.2561 งานเพื่อฟ้าดิน
_ปีนี้ ไม่มีการแจกเข็ม จะมีแต่เพียงการสอบเพื่อวัดผลคะแนนจริงเท่านั้น ถือว่าเป็นรุ่นพิเศษ แบบคนจน ทำแบบปิดทองหลังพระตามในหลวงรัชกาลที่ 9
_ข้อสอบ จะออกจากเนื้อหาหนังสือ รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่ม 1 และจากที่พ่อครูเทศน์ในช่วงปลายปี ...
งานช่วงปลายปี จะมีปีใหม่สากล ปีใหม่ของคริสต์ คือวันที่25 วันเกิดพระเยซู มีการประดับไฟตามสถานที่ต่างๆ แต่พระพุทธเจ้าตรัส ไฟใดก็ไม่ประเสริฐเท่าไฟปัญญา นัตถิ ปัญญา สมาอาภา เราก็ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับไฟอื่นๆ มาแสวงหาไฟปัญญากันดีกว่า
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน วัดของศาสนาพุทธไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟ
พ่อครูว่า...ก็ต่อเนื่องจากที่ท่านเดินดินพูด เราจะมีงาน “เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ”
งานนี้ วันที่ 31 รายการภาคค่ำของงาน 18.00-20.00 น.
คืออาตมารู้สึกมานานแล้วว่าทำไม ประชาชนไปวัดนั้นวัดนี้ไปกันเยอะ วันนักขัตฤกษ์ ไปแสวงหาสิ่งดีๆของชีวิตกัน แต่วัดของชาวอโศกไม่ค่อยมากัน เราก็ยินดีต้อนรับคนภายนอกกัน แต่ไม่ค่อยมา มันอย่างไร มันน่าเกลียดน่าชังหรืออย่างไร หรือมาแล้วโดนดุ
มีคนบอกว่ามาแล้ว ไม่เหมือนที่เขารู้สึกว่ามาวัด ไม่ได้จุดธูปเทียน สวดมนต์ พูดสองคำนี้ 1.ไม่จุดธูปเทียน 2.ไม่สวดมนต์ ก็ขอพูดให้ฟังเลยว่า
วัดของพุทธนี่นะ จะไม่มีการจุดธูปเทียน เพราะว่า ศาสนาพุทธไม่มีบูชาเทียน ไม่มีสิญจนยันต์ พระพุทธเจ้าล้มล้างเลย ท่านได้สร้างศาสนาของท่านด้วยศีลสมาธิปัญญา แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธได้เสื่อมจนไม่มีศีลแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีลไม่รู้แล้ว ศาสนาพุทธเลยไม่มีศีลมีแต่วินัย 227 ถามว่าพระถือศีลเท่าไหร่ก็ 227 ซึ่งเป็นวินัย วินัยเป็นกฎหมายอาญาที่มีโทษ แต่ศีลนี่ไม่มีโทษ ผิดก็ไม่ลงโทษ แต่เป็นอกุศลมูลของแต่ละคนเอง ผิดศีลเป็นบาปติดตัวตนเองไป วินัยนี้ บางอันก็ไม่เป็นโทษหนัก แต่ถูกลงโทษ ก็ต่างกัน
วินัย เป็นรั้วของศาสนา แต่ศีลเป็นแก่นสารเป็นเนื้อหาของศาสนา เมื่อปฏิบัติศีลและบรรลุ ก็จะเป็นแก่นสารของศาสนา เป็นวิมุติเลย
ไม่จุดธูปเทียนนี้ชาวอโศกไม่ทำจริงๆ เพราะมันไม่ถูก อีกอย่างคือสวดมนต์ ศาสนาพุทธ ที่เอาบทมนต์ไปสวดท่องต่อหน้าสาธารณะ สวดท่องพร้อมกันสองรูปเป็นต้นไป เป็นร้อยรูปก็ตามต่อหน้าประชาชนต่อหน้าฆราวาส อาบัติ ผิดวินัยเลย สวดไม่ได้
ถ้าเอาธรรมบทมาสวดพร้อมกันต่อหน้าฆราวาสตั้งแต่ 2 รูปก็ผิดเลย แต่ถ้าเอาประณามคาถาสวดสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เช่น บทพาหุงฯ เป็นคำแต่งขึ้นคำยกย่องเชิดชูพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แต่งภายหลังเป็นมหากาฯหรือพาหุงฯ 8 ที่สวดยกย่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ใช่เอาพระสูตรของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันให้ญาติโยมได้ยินก็อาบัติ ก็เสื่อมกันจนไม่ทราบแล้ว ก็ทำอาบัติกันตลอดเวลา เป็นเรื่องเหลวไหล
ศาสนาลัทธิอื่นก็มีสวดมนต์เช่นนี้ แต่ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นไม่มีการไปเอาพระไปสวดที่บ้านต่อหน้าธารกำนัลเป็นหมู่นี้ ไม่ได้ ถ้าจะสวดได้ต้องสวดพร้อมกันลับหลังฆราวาส ก็สวดได้ เป็นสังคีตะ สวดเพื่อให้ท่องจำได้ เหมือนท่องสูตรคูณ ท่องอาขยาน
2.สวดสังคายนา ก็สวดปาติโมกข์ มีผู้รู้สวดขึ้นมารูปหนึ่ง แล้วรูปอื่นก็ฟังเพื่อตรวจสอบว่า ถูกต้องหรือไม่ ถ้าผิดก็ทักท้วงกัน เรียกว่าตรวจสอบคำสอนไว้ รักษาไว้
หรือส้งคายนาเพื่อตรวจสอบพระไตรปิฎก เวลาจะทำสังคายนาก็มีผู้สวดพระธรรมวินัยเป็นบทยาวเลย เรียกว่าสังคายนาใหญ่ สังคายนาครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 เป็นต้น
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สะกดจิตไปก็ไม่มีทางพ้นทุกข์
ทีนี้ พูดถึงข้อบกพร่องอันนี้แล้วก็พูดถึงองค์รวม ศาสนาพุทธทุกวันนี้ อาตมาสงสารศาสนาพุทธมากเลย ตายไม่ลง ทุกวันนี้พยายามต่ออายุตนเอง พยายามรักษาชีวิตพิสูจน์ไป พยายามใช้สัมประสิทธิ์ Coefficient เพื่อให้เกิดพลังงานนี้เป็นตัวแปรก้าวหน้า ที่เกิดพลังงานเพิ่ม เติมขึ้นเสมอ เป็นอัตราคูณเลย เสมอๆ คืออาตมาใช้วิทยาศาสตร์เข้ามา เป็นสูตรที่ว่า E=C(mc2+A) นี่คือสูตรเท่าที่อาตมารู้ได้ เอามาใช้
พลังงานทางวัตถุ ไอน์สไตน์ว่าไว้ E=mc2
แต่ E=C(mc2+A) พลังงาน นั้นมี c คือการเดินทางของจิต ความเร็วของจิต ส่วน A คือเหมือนบวก mc2 ไปเรื่อยๆ เท่าที่จะสามารถบวกไปจนทบทวีเป็นคูณได้
อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ตามภูมิ ไม่ได้โมเม ถ้าโมเมไปเสียหาย บาปกินหัว ไม่มีประโยชน์เป็นโทษได้ก็จะไม่ทำ อาตมาจะทำต้องแน่ใจว่าถูกต้องหรือเป็นไปด้วยดี
อาตมาพูดไปก็มีผู้ที่เรียนวิศวกรมาเรียบเรียงคำสอนว่ามา อย่างคุณดั้นเมฆ
ว่าพลังงานที่เราเข้าใจ เป็นพลังงานการสังขารปรุงแต่งหมุนวนของพลังงาน
...พลังงานคือความวน รวบรวมได้ว่า
จากพฤติกรรมหยาบ ในวรรค แล้วมีส่วนเหลือเศษวรรค การทำงานของเศษวรรค รวมกันเป็น ฬ มีความยิ่งใหญ่ โอฬาร มีพฤติกรรมเพิ่มเป็นโอฬาริก เพิ่มอีกเป็นโอฬาริกอัตตา
1. ก็มาเข้าสู่วรรคแรก ก ข ค ฆ ง จากหยาบมาละเอียดก็หยาบอีกก็วนอยู่อย่างนี้ (ถ้าทำได้ถึง อํ ก็จะปล่อยให้เกิดแบบอนุโลมอยู่ในการควบคุมหรือจะไม่ให้เกิด อนุโลมก็ได้
2. เมื่อปสาทรูป ทำงานกับโคจรรูป ในรูป 28 สิ่งที่เกิดตามมาทันทีคือ ภาวรูปสอง คืออิตถีภาวะ ปฏิบัติเป็นก็เกิดปุริสภาวะ
ผู้เลยปุริสาภวะแล้วจะใช้งานได้ทั้งสองสภาวะ
ฉะนั้นตัวประธานจึงเดินทางไปอิตถีภาวะซ้ายแล้ววนมาปุริสภาวะขวา
3. วิญญาณ ธาตุรู้เกิดจาก เวทนา สัญญา สังขาร เมื่อทำงานครบสามเส้าจะเกิดความวน
4. ปฏิจจสมุปบาทมีการวนกลับเมื่อไปถึงวิญญาณ
5. รูปนามสลับไปมา เช่นเราถูกตี ถูกตีเป็นรูป เจ็บเป็นนามเมื่อเวลาผ่านไป
เจโตปัญญาจึงเป็นสิ่งสลับกันได้ไม่มีอะไรเหนือกว่าอะไรโดยสัจจะ
การสลับไปสลับมา วิญญาณจึงแทรกตัวในรูปของสัญญา โกดังเก็บ ตัวแรกและตัวสุดท้ายของอัตภาพ
พ่อครูว่า...เรียบเรียงได้อย่างนี้ก็ใช้ได้แล้ว อาตมาพูดตรงๆเลยว่าไม่เคยเห็นศาสนาพุทธสำนักไหนสอนแบบที่อาตมาพาสอนพาบรรยายเอาไปใช้งานได้ถึงขั้นอภิธรรม
ก็เห็นใจเขา สอนแต่เรื่องอย่าทำชั่วทำแต่ดีไป ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ศาสนาเขาก็สอน สามัญที่ไหนๆก็สอน หรือศาสนาทุกศาสนาก็สอน แต่สิ่งพิเศษของศาสนาพุทธคือรู้จักกิเลสแล้วดับกิเลสได้จริงคือแก่นสารของศาสนาพุทธ แล้วเราจะพ้นทุกข์
ถ้าไม่ถึงตรงนี้ ไม่รู้จิตเจตสิกจับอาการมันไม่ได้ ไม่มีทางพ้นทุกข์ จะสามารถระงับได้ด้วยวิธีสะกดจิตแบบฤาษีก็ได้ แล้วมันก็กลับวนเวียนมาอีก
เหมือนแก้วน้ำที่คุณมีตะกอนอยู่ในนี้เยอะแยะ คือกิเลส
วิธีที่ทำอยู่การนั่งสะกดจิต = ทำให้น้ำ มันไม่มีฝุ่น มันก็ตกตะกอน หรือจะกดฝุ่นในน้ำลงไปจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่ ให้ฝุ่นมันตกตะกอนยิ่งแข็ง คือกิเลสจะยิ่งเป็นก้อนแข็งจับตัวเป็นอนุสัยอยู่ในจิต แกะยาก แล้วหลงผิดไปตลอดกาลนาน เป็นการซ้ำเติมให้กิเลสตัวเองแน่นหนาหนักขึ้น วิธีนั่งสะกดหรือหลับตานี่
อาตมาพูดโทษภัยของการนั่งหลับตาสะกดจิตนี่ ถ้าคนมีสัมมาทิฏฐิจะสามารถใช้เป็นอุปการะได้ นั่งเพื่อพักจิต นั่งเพื่อศึกษาจิต อ่านนิวรณ์ 5 ได้ในภวังค์ ก็อ่านศึกษา กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา นั่งเพื่อเตวิชโช นั่งเพื่อทำอิทธิปาฏิหาริย์ ศาสนาไหนก็ทำได้แบบนี้ แต่ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ สามารถรู้จักอาการจิตที่เป็นอกุศลจิตเป็น ด้วยอาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาการจิตเป็นสิ่งที่จะต้องจัดการ ปหาน ด้วยปหาน 5 (วิกขัมภนปหาน ตทังคปหาน สมุจเฉทปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน นิสรณปหาน ) ถ้าคุณทำได้ก็หมดกิเลส เป็นพระอรหันต์ได้ แต่เดี๋ยวนี้ห่างไกลไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย
SMS 20 ธ.ค.60
_2166 พ่อท่านก็ประกาศมาทุกอย่างแล้ว เหลือแต่ยังไม่ได้ปักกิ่งหว้า ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผไปเลยครับ??? ! ...คนกล้าเท่านั้นที่มีศัตรู (จากอโศกมหาราช)
พ่อครูว่า...ของพระพุทธเจ้าเป็นวิปัสสนา ใช้เวทนาเป็นกรรมฐาน ไม่ใช่ไปทำกสิณให้จิตหยุดนิ่ง เวทนาจะไม่ใช่กสิณแต่เป็นฐานในการปฏิบัติ ต้องตามรู้เวทนาในเวทนา เวทนา108 หากเข้าใจเวทนา108 แล้วอ่านเวทนาเป็น
การพิจารณาโลกุตระ โพธิปักขิยธรรม 37 คือโลกุตระ 37
เริ่มต้นกายในกาย แต่ทุกวันนี้เข้าใจกายผิด ไปเข้าใจว่ากายคือ แค่ ดินน้ำไฟลม แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
ต้องรู้รูปกับนาม นามคือกาย ต้องอ่าน ต่อไปเป็นเวทนาในเวทนา ก็จะอ่านลึกลงไปเป็น จิตในจิต กำจัดกิเลสในจิตนี่แหละ ถ้าจัดการได้ก็เป็นธรรมในธรรม ลดกิเลสได้เรื่อยๆ ไม่ช้าไม่นานก็เป็นพระอรหันต์ อาตมาประกาศเปิดเผยตนเองมาแล้วก็ไม่ได้เหนียมได้อายแต่อย่างใด อาตมาว่าอาตมาไม่ปาจิตตีย์ เพราะค่าเฉลี่ยที่มาฟังอาตมาคืออุปสัมบัน อาตมาก็ไม่ไปเทศน์วัดนั้นวัดนี้ หรือบ้านนั้นบ้านนี้แต่อย่างใด ไม่เหมือนท่านเพาะพุทธ อาตมาเทศน์ในหมู่จำกัด ก็เทศน์ออกโทรทัศน์ในหมู่ชาวอโศก เราไม่เหมาะจะไปเทศน์แบบนั้น หนึ่งรับไม่ได้ เพราะว่าจะมากจนไม่ได้ทำอย่างอื่น
_3867 ดูบุญนิยมฟังธรรมบ้านราชมาซะตั้งนานเพิ่งเห็นฉากหลังพ่อครูสว่างจ้าด้วยหลวงปู่วิชิตอวิชชาแจ่มแจ้งผัสสะสดใสสบายลูกกะตาส๋าธุ!
เกิดมาในโลกของคนเป็น!สุขทุกข์108เวทนาจากสารพัดผัสสะเยอะนิ!ไม่เหมือนโลกของคนตาย(วิญญาณ)ที่พ้นสุขสิ้นทุกข์เพราะบ่มีลูกกะตา,ช่องหู,รูจมูก,ลิ้นติด รส,กายร้อนหนาวให้สัมผัส(ยกเว้นวิญญาณบาปติดวิบาก)ปลงอนิจจังหน๊อ!
พ่อครูว่า…ไม่ผิด ก็ใช้ได้
_6956 อยากให้พ่อครูอธิบายเรื่องกินเนื้อลูก ความหมายทางธรรมแปลว่าอะไรครับ กทม
พ่อครูว่า…
ต้องเปิดตำรา ปุตตมังสสูตร ล.16 ข.[240] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร 4อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิดอาหาร 4 อย่างนั้นคือ 1. กวฬีการาหาร หยาบบ้างละเอียดบ้าง 2. ผัสสาหาร 3. มโนสัญเจตนาหาร 4. วิญญาณาหาร ภิกษุทั้งหลาย
อาหาร 4 อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด ฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(อัตตา) ตอน ยืนหยัดกับเอาแต่ใจต่างกันอย่างไร
ฝั่งบุญ ....กราบเรียนถามค่ะ เอาแต่ใจตนเอง กับยืนยัด ยืนยันปฏิบัติตามสมควร แยกกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า... คุณต้องรู้ละเอียด รู้ว่าใจตนเองจะเอาให้ได้ดั่งใจตนเองอย่างไร อีกอันคือยืนหยัดยืนยัน นี้เราไม่ได้เอาแต่ใจตนเอง เราเห็นว่า ต้องทำอย่างนี้ ต้องอ่านอาการลิงค นิมิต อุเทส คุณต้องอ่านอัตตา เรียนรู้อัตตา3 แล้วรู้อัตตาหยาบ โอฬาริกอัตตา ลดได้ก็เหลือ มโนมยอัตตา เหลือในจิตไม่แรงไม่จัดอะไร แต่มันก็เป็นอีกระดับหนึ่งต้องรู้ระดับกลาง เมื่อล้างได้อีก อย่าไปยึดอย่างนั้นเหลือเศษสุดท้าย อรูปอัตตาก็ต้องล้างอีกเหลือเศษสุดท้ายให้หมดเกลี้ยงอัตตา
คือการยึดที่จะเอาแต่ใจต้องได้ดั่งใจตนเองการยืนหยัดคือ เราเห็นถูกควรจะทำ แต่ไม่ได้ยึดเป็นตัวเป็นตน จะกับใครก็แล้วแต่เราก็อธิบายได้แล้วทำในสิ่งควรเป็นมหาปเทส 4 เป็นหลักตัดสินโดยพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรืออนุญาต แต่ขณะนี้มีเหตุการณ์ที่เกินกว่าที่พระพุทธเจ้าห้ามหรืออนุญาตไว้เราก็ต้องใช้ ปฏิภาณตัวเองตัดสิน ว่าเหมาะสมกับกาละเวลา องค์ประกอบ หากเห็นว่าไม่ควรก็หยุดไป เป็นต้น
คุณก็ทำตามที่เห็นว่าควรหรือไม่ควร ยืนหยัดยืนยัน โดยแม้ใครจะแย้งก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายึดเอาแต่ใจบางทีมันเถียง ดีไม่ดีถึงขั้นฆ่ากันเลย ก็ต่างกัน
การทำตามควรกับยึดถือตัวเองมันต่างกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(พระสูตรอื่นๆที่สำคัญ) ตอน วิปัสสนาอาหาร 4 นี้ให้ถึงนิพพาน
มาเข้าสู่อาหาร 4 อาตมาว่าครบแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสการปฏิบัติที่ไม่ผิด มี 3 อย่างนี้หากปฏิบัตินอกจากนี้ แล้วไม่มี 3 อย่างนี้ก็เป็นการผิดธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่มี 3 อย่างนี้อยู่ในการปฏิบัติธรรม
1. อินทรีย์สังวรคือต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ทวาร 6 เปิดรับสัมผัสทั้งนอก ให้สํารวมอินทรีย์ อยู่ในสัมมัปปธาน 4 สัววรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน สัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กายเกิดกิเลส ก็จัดการฆ่ากิเลส สำเร็จเป็น ภาวนาปธาน สำเร็จแล้วรักษาผล เป็นอนุรักขณาปธาน คือสัมมัปปธาน 4 ใน โพธิปักขิยธรรม 37
เราจะต้องเรียนรู้อาหาร อย่างใน อปัณกปฏิปทาคือ ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด คือต้องมีการสํารวมอินทรีย์ 6 ตลอดเวลา ถ้าไม่มีทวาร 6 นี้ผิดไปจากการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
ไม่มีทวาร 6 เมื่อไหร่ เมื่อนั้นไม่ใช่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ไม่มีสัมผัส นั่งหลับตาสมาธิเป็นเรื่องนอกรีต ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเลย พูดไปแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเกรงใจก็เกรงใจ แต่เขายึดติดกัน ก็ต้องตีแรง ขนาดนั้นยังไม่ค่อยสะเทือน ดีไม่ดีด่ากลับด้วย อาตมายกอ้างคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง
ถ้าไม่มีสามอย่างนี้ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้า เป็นปัณกปฏิปทา คือการปฏิบัติที่ผิด
1.สํารวมอินทรีย์
2.โภชเนมัตตัญญุตา หรือมัตตัญญุตาจ ภัตสมิง ต้องมีอาหารในการปฏิบัติ ภัตตะ แปลว่าอาหาร จงพยายามประมาณหรือสังวร เรียนรู้เรื่องอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค
ให้มัตตัญญุตา จ ภัตสมิง คือให้เรียนรู้ระมัดระวัง กิเลสมันอยู่กับอาหาร บริโภคพวกนี้แหละ 2 สิ่งที่คุณมีผัสสะอาศัยเป็นอาหาร
1.ตั้งแต่ อาหารคือคำข้าว กวฬีการาหาร 2.ผัสสาหาร คือ ทางทวาร 6 แล้วเกิด มโนสัญเจตนาหาร ซึ่งอยู่ในนาม 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติกับ รูป 28 กับนาม 5 ในปฏิจจสมุปบาท ก็สอนไว้
อาตมาอ้างอิงหลักฐาน ไม่อย่างนั้นเขาก็หาว่าพูดเอาเอง ไม่มีในตำราไหน อาตมาเป็นสยังอภิญญาในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10
ในอาหาร 4 กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร รวมแล้วมโนสัญเจตนาหาร เครื่องอาศัย 4 อย่างนี้แหละจะศึกษาให้สูงสุดได้ ทำให้ดี โภชเนมัตตัญญุตาคือกวฬีการาหารแล้วมีผัสสะทางทวาร 6 จิตสงบเป็นมโนสัญเจตนาที่มีสามประการ
มโนสัญเจตนาคือ กาม ภวตัณหา วิภวตัณหา
หากผัสสะแล้วเกิดกามตัณหาก็กำจัดกาม หมดแล้วเหลือภวตัณหาก็ดับต่อ โดยไม่ต้องไปหลับตาเลย ก็จะเกิดกามราคะ ปฏิฆะ เป็นอุทธัมภาคิยสังโยขน์ ก็ทำต่อ โดยไม่ต้องหลับตาปฏิบัติเลย หากหลับตาปฏิบัติก็เป็นการปฏิบัติผิดหลักการของศาสนาพุทธอปัณกปฏิปทา ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีการตื่นคือชาคริยานุโยคะ คือตื่นทั้งนอกและใน
เขาปฏิบัติกันผิดก็น่าสงสาร อาตมาพยายามให้คนเข้าใจ ให้คนเชื่อยอมรับฟังอาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ ยืนยันหลักฐาน หรืออวดตัวตนก็แล้วก็ยิ่งหมั่นไส้อีกก็หมดท่าแล้ว
อาตมาไม่ได้มาหาบริวาร เป็นแต่เพียงแสดงสัจธรรม ไม่ได้หาบริวาร ไม่ได้บรรยายธรรมเพื่อหาบริวาร หรือเพื่อให้คนยกย่องได้ลาภสักการะ หรือให้คนยกย่องว่าเป็นผู้วิเศษไม่ใช่ ไม่ได้มาสร้างลัทธิใหม่แต่อย่างใด หรือเป็นเจ้าลัทธิเพื่อค้านลัทธิอื่นๆ แต่พูดความจริงเท่านั้น พูดสิ่งถูกก็เข้าตัว พูดสิ่งผิดก็เข้าเขา แต่พูดเพื่อให้เกิดความละหน่ายคลายดับสนิทของกิเลส
อาหาร 4 นี้ไม่ได้แยกกันเลย เป็นเครื่องอาศัยทั้งสี่อย่าง คุณกินข้าวอาหาร สัมผัสบริโภค ภายนอก ปัจจัย 4 ทุกอย่าง แม้แต่โทรศัพท์มือถืออุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆกับเครื่องกินคือบริโภค ก็สามารถมีผัสสะ
อาหารเป็นเรื่องใหญ่ ปฏิบัติอาหารอย่างเดียวนี่รับรองเป็นพระอรหันต์ได้
ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะ การปฏิบัตินั่งหลับตาเป็นหลักเป็นการทำลายศาสนาพุทธ เป็นบาป ศาสนาพุทธทุกวันนี้ มีแต่ใบดอกผลคือ ลาภยศสรรเสริญสักการะ ไม่มีแก่นกระพี้หรือเปลือกเลย
อาหาร 4 อย่างนี้ที่ถามมา เรื่องทำไมต้องกินเนื้อลูก…
ล.16 ข้อ [241] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี 2 คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดารเขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคนกำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไปไม่ได้ ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของเราทั้งสองอันใดแลมีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทางกันดารนี้ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกันฆ่าบุตรน้อยๆคนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตรจะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่ ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจนั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอกพลางรำพันว่า
ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย
ดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขาได้บริโภคเนื้อบุตรที่เป็นอาหารเพื่อความคะนองหรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหารเพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า
ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ
พ่อครูว่า...ก็ให้เข้าใจเช่นนั้นว่า กินเพื่อรักษาร่างกายหรือเพื่อให้เดินทางได้พ้นทางกันดาร ถ้าเผื่อว่าคุณจะเดินทางไปสู่นิพพานก็ต้องพิจารณาถึงการได้อาหารเลี้ยงชีพเพื่อจะไปหานิพพาน ต้องพิจารณา 1.เราหลงในเบญจกามคุณหรือไม่? เรายินดีในกามแค่ไหนก็ต้องเอาออกให้หมด
2. กำหนดรู้เวทนาทั้ง 3 คือสุข ทุกข์ อทุกขมสุข
3. คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
4.คือ รู้รูปนาม คือรู้วิญญาณ
ที่ถามว่า ทำไมเทียบกับการกินเนื้อลูก คือมันอวิชชาทั้งโง่ทั้งบ้า ก็กินเนื้ออยู่หยกๆ แล้วถามว่า ลูกหายไปไหน มันยิ่งกว่าคนโง่และบ้า ทั้งขี้ลืมเป็นโทษภัยมาก พระพุทธเจ้าสุดยอดเปรียบเทียบ มนุษย์อะไรเลวร้ายถึงขนาดนี้ เห็นแก่สิ่งที่เราจะทำ ว่าทางนี้ยิ่งใหญ่กันดารมาก ต้องปฏิบัติ แต่เสร็จแล้วคุณก็ทำลาย สิ่งที่จะเป็นเครื่องช่วยเดินทาง ไปสู่จุดหมายนี้ ทั้งโง่ บ้า ขี้ลืมหมดเลย ไม่สมควรอย่างยิ่งเลย
คนเรานี้ลูกก็แสนรัก ลูกน่ารักนะ แล้วทำไมมันลืมโง่ จนเห็นแก่ตัว จัดขนาดนี้ นี่คือ ความหลง โมหะว่าต้องไปนิพพาน เริ่มต้นตั้งแต่แค่นี้ ยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย
กวฬีการาหาร มีตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัส จะมีกิเลสทางกาม เป็นอันกำหนดรู้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ความยินดีซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวกให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี ฯ
แต่นี่ไม่รู้เลยว่าได้ฆ่าลูกกิน ไม่รู้ตั้งแต่ต้นเลย ในโภชเนมัตตัญญุตา ข้อแรกเริ่มต้นไม่รู้เลย ยิ่งไม่เรียนรู้ผัสสาหาร อันนี้ยิ่งหนักเลย ชาวพุทธทั้งหลาย คุณปฏิบัติธรรมทุกวันนี้ คุณไม่ได้เรียนรู้ภายนอกที่มีการสัมผัสเป็นปัจจัย มีทวาร 5 กามคุณ 5 ได้เรียนรู้แต่เบื้องต้นคุณไม่รู้เลย ก็ไปนั่งหลับตา
การหลับตาก็เหมือนกับคุณเองเหมือนโคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม สัมผัสกับอะไรคุณก็แสบไปหมด เพราะคุณไม่เรียนรู้เรื่องการสัมผัสภายนอกเลย คุณยังลอกหนังออกหมด นี่ข้อ 2
ข้อ1เทียบกับกินเนื้อลูก เหมือนกับข้อ 2นี้ผัสสาหารไม่มี เหมือนปฏิบัติธรรมเป็นวัวแม่ลูกอ่อน ลอกหนังออกหมดแสบไปหมด ปฏิบัติธรรมไม่ได้ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่ชัดเจนที่สุด
พระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัด แต่อ่านไม่แตก กินเนื้อลูกก็ไม่รู้กาม ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อจะรู้กาม แล้วดันไปปฏิบัติธรรมแบบไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัย สัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ปฏิบัติธรรมเหมือนโคแม่ลูกอ่อนไม่มีหนังหุ้ม
[242] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนม
ที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและ กัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนมตัวนั้นที่ไร้หนังหุ้มจะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในสถานที่นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไปข้อนี้ฉันใดเรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหารฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวกพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว ฯ
เรียนรู้อันนี้แล้วก็ล้างเวทนาให้หมดสุขทุกข์เป็นเนกขัมมสิตเวทนา เป็นอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นอเนญชาที่สมบูรณ์ ก็จบ ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าแค่นี้ก็จบแล้ว เอ้าเก็บ …
ฟังธรรมะแล้วได้อานิสงส์ 5 ประการ คือ ได้ฟังสิ่งใหม่ เข้าใจสิ่งเก่า ได้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น
มาต่อที่ ผัสสาหาร เหมือนวัวแม่ลูกอ่อน ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ก็จะถูกพวกตัวสัตว์อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิงต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ที่อาศัยน้ำตอดและ กัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน
สู่แดนธรรมว่า... การปฏิบัติกับผัสสาหารคือให้รู้สึกเหมือนแสบ แต่เขาปฏิบัติเหมือนไม่รับรู้สึกอะไร ผมเคยปฏิบัติกับพระสายวัดป่า เขาบอกว่าหลวงปู่ที่ปฏิบัติได้สุดยอดคือจะไม่เสวยเวทนา
พ่อครูว่า..ถ้ารับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็จะมีเวทนา ก็เลยไปอยู่แต่ในจิตดับไม่รับรู้ก็จะไม่เสวยเวทนาคือ ทำตามความรู้ของตัวเองผิดๆ แล้วเอามาสอนกันจนถึงทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้ตีทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป แต่นี่ได้หลงผิดอย่างงมงาย อาตมาพูดอย่างไรก็เฉย เหมือนคนกินเนื้อลูกทั้งโง่บ้า ขี้ลืม
เขาก็ว่าปฏิบัติธรรมต้องนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่เสวยเวทนาสิ เป็นเรื่องที่น่าสงสารจริงๆ พาซื่อหลงคำสอนผิด ใครจะพูดอย่างไรก็ไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่ฟังอีกแล้ว กูว่าอย่างนี้ถูกแล้ว อาจารย์ที่สอนมาก็จบปริญ 9 เป็นด็อกเตอร์ ได้รับการยกย่องเป็นอาจารย์ทางโลก แล้วโพธิรักษ์เป็นใครมาจากไหน นี่เป็นคำพูดของพระ ที่เป็นเจ้าคุณ ชื่อเจ้าคุณ ตอนนี้เป็นเจ้าคุณ ขั้นต้น เจ้าคุณโสภณคณาภรณ์ ชื่อจริงคือระแบบ นามสกุลเดียวกันกับจตุพร พรหมพันธุ์ ตอนนี้ตายแล้ว เขาก็ว่า เป็นหัวเรือใหญ่จัดการอาตมา จะเอาอาตมาติดคุกเลย เป็นคนนำเรื่องไปให้พระสังฆราชเซ็นสั่งให้อาตมาสึก ตามกฎหมายที่บัญญัติเอง ซึ่งไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ที่ว่าผู้จะสึกนั้นก็มี ปาราชิกไม่ต้องสึกแต่ขาดจากพระธรรมวินัยแล้ว แม้สังฆาทิเสสก็สั่งสึกไม่ได้หรือว่า มีผู้ที่ผิดปกติ 11 ข้อ รู้ภายหลังก็สั่งสึกได้ อาตมาไม่ได้อยู่ในข่ายทั้งหมดนี้ เขาก็ออกกฎหมายให้สังฆราชสั่งให้สึกได้ใน 7 วัน เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก กฎหมายนี้โมฆะนะ ในกฎหมายนี้ มีบอกไว้ว่า ถ้ากฎหมายขัดแย้งกับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นโมฆะ
สู่แดนธรรมว่า เขาก็เลยเลือกกฎหมายที่บอกว่าไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งมาจัดการกับพ่อท่าน
พ่อครูว่า...ทั้งที่พระพุทธเจ้าให้เป็นอนาคาริก ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่มีบ้านช่องเรือนชาน เขาก็บัญญัติกฎหมายค้านแย้งกับพระธรรมวินัย ซึ่งพระก็เลยสะสมทรัพย์สมบัติ ในบ้านในกุฏิ มีคนเคยไปเปิดห้องของพระรูปหนึ่ง ปรากฏว่าธนบัตรไหลออกมาเต็มเลย เป็นห้องเก็บเงินเลย
มีผู้บอกว่าอาตมาไปทำลายสวรรค์นรกของเขาที่เอาสวรรค์ 6 ชั้นนี้มาล่อก็โกหกทั้งนั้น เป็นของศาสนาเก่าที่ผิดเพี้ยนไป แล้วก็เอามาใส่ในศาสนาพุทธ มีนรกสวรรค์วนเวียน พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ดูอาการ ภพชาติ สวรรค์นรก อย่าไปวนเวียนกับมัน แต่เขาก็สร้างมาหลอกกันเต็มไปหมด
สววรค์กับนรกเป็นธรรมะคู่ มีอะไรมันก็มีอีกอัน ผู้ที่ไม่มีสุขก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีทุกข์ก็ไม่มีสุขเป็นอุเบกขาเป็น เนกขัมมสิตอุเบกขา ให้เรียนรู้ตั้งแต่มีสัมผัสเป็นปัจจัย
เบญจกามคุณเป็นอันแรก เป็นเบื้องต้นหยาบ
กามตัณหา ไปเรียกเป็นอบายคือ ไปยินดีในกามที่หยาบมากเลย รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ไปหลงของหยาบ ติดหนักหนา จนไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นโลกอบายทั้งนั้น พอมาบวชแล้วเราก็จะต้องได้ตำแหน่งยศศักดิ์ ได้รับการยอมรับนับถือ ได้สรรเสริญ พระปฏิบัติไม่พยายามที่จะมีสิ่งเหล่านี้ รู้ก็เลยไปสะกดจิตหลับตา ก็ออกนอกรีต เพราะไม่มีการเริ่มต้นเลย นั่งหลับตาคือปฏิบัติทิ้งทั้งยวงของศาสนาพุทธ ไม่มี เบื้องต้นท่ามกลาง บั้นปลาย
ปฏิบัติของศาสนาพุทธนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วล้างกามคุณ แล้วเหลือภายในเป็นรูปราคะ มานะอุทธัจจะ อวิชชา โดยไม่ต้องไปปฏิบัตินั่งหลับตา โดยที่กามคุณมีอยู่ที่ไหน คุณก็เหนือมาแล้ว อุตระ เหนือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ มันเหลือแต่ภายในคุณก็ล้างต่อ ไม่มีตรงไหนในศาสนาพุทธที่พาไปนั่งหลับตา ต้องมีสัมผัส 6 ต้องมีสัมผัสภายนอก มีกวฬีการาหาร ต้องมีผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจและจะมี มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
หากไม่ผัสสะก็ไม่มีเวทนาเป็นปัจจัย ก็ไม่มีตัวปฏิบัติ ตามพรหมชาลสูตร และในมูลสูตร มีผัสสะเป็นเหตุแห่งการปฏิบัติ มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง เมื่อไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ ถึงจะเกิดสมาธิเป็นประมุข เอาสูตรไหนมาปฏิบัติก็ผิดหมดเลยที่ปฏิบัติธรรมกันทุกวันนี้ โดยคำว่าไม่มีผัสสะอย่างเดียว ตั้งแต่พรหมชาลสูตร ในพระสูตรอื่นๆก็ได้ยืนยันว่า ปฏิบัติธรรมหลับตามันไม่ใช่ อาตมาเสียเวลามากที่ต้องยืนยันล้มล้างการนั่งหลับตา
มหาจัตตารีสกสูตร ...ล.14
[252] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ มีองค์ประกอบ แก่เธอทั้งหลาย พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ
[253] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
พูดอยู่นี่แหละ มีอาการกายกรรม วจีกรรมครบนี่แหละ แล้วงานอาชีพเลี้ยงชีพ ทั้งหมดนี้ มิจฉาชีพ 5 เขาก็ไม่รู้เรื่อง มิจฉากัมมันตะ 3 ก็ไม่รู้ มิจฉาวาจา 4 ก็ไม่รู้ มิจฉาสังกัปปะก็ไม่รู้
เริ่มต้นให้พ้นมิจฉาชีพ 5 ระดับ
กุหนา หยาบที่สุด นักโกงบ้านโกงเมือง 5 แสนล้าน พวกนี้เป็นมิจฉาชีพหนัก เดี๋ยวนี้ก็ยังโกงกันอยู่
ลปนาคือหลอกลวง อย่างธัมมชโย ทั้งกุหนาและลปนานี้รวมกันเลย ตอนนี้ก็หาไม่เจอ สงสัยไปเรียนวิชาฤาษีหายตัว
สมณะเดินดินว่า...DSI แอบไปค้นก็ไม่เจอ
พ่อครูว่า…อาตมามองข้างหน้านี้ หัวบีทรูท...ทำไมหัวใหญ่ขนาดนี้
[254] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์ทั้ง 7 นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือ ภิกษุรู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิรู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ ฯ
[255] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มีบิดาไม่มี สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มีสมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ ฯ
อาหารคือเครื่องอาศัยในการปฏิบัติธรรม โภชเนมัตตัญญุตา มัตตัญญุตาจภัตสมิงคือการปฏิบัติกับอาหาร กิเลสอยู่กับอาหารนี่แหละ รูป รส กลิ่น เสียง ตั้งแต่เขาทอดฉ่า ต้มเดือดปุดๆ กลิ่นฉุยแตะจมูกเลย เอามาแตะลิ้น หรือบางทีสัมผัสทั้งตัว มันเป็นกิเลสอยู่ในอาหาร จึงเรียกว่ากามคุณ 5 สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย
ผัสสาหาร มันต้องรู้จักกิเลสด้วยการผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยไม่มีฐานปฏิบัติไม่มีกรรมฐานไม่มีเวทนา ที่เป็นที่ประชุมลง ไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ แล้วก็ไปเพี้ยนบอกกรรมฐาน 40 ดินน้ำไฟลม อะไร ไปเอาจิตจดจ่อ มันไม่มีในคำสอนพระพุทธเจ้า มีอยู่ไหนอรรถกถาจารย์ ก็เลยถือกันแบบนั้น
เมื่อไม่มีผัสสะก็ไม่รู้มโนสัญเจตนา ในนี้มีธรรมะสองจะมีจิตในจิตในเวทนามีเจตสิกพิจารณาเข้าไปจะเจอกิเลส อารมณ์สุขทุกข์มันมีเหตุที่เกิดสุขกับทุกข์ มันก็คือความอยากก็คือตัณหาอุปทาน ก็ต้องอ่านอาการตรงนี้ให้ออก แล้วตัวพวกนี้เป็นสมุทัยเป็นเหตุ คือตัณหา 3 กามตัณหา ภวตัณหาวิภวตัณหา ต้องอ่านอาการพวกนี้ออกและมีวิธีการกำจัด
ด้วยการลืมตา มีโพธิปักขิยธรรม 37 ด้วยการพิจารณาว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์มันไม่ใช่ตัวใช่ตน เป็นอนัตตา ด้วยความเป็นไตรลักษณ์จริงๆ จนมันปหานได้ เห็นว่ามันไม่เที่ยงจริงๆ เพราะมันจางคลายได้ ลดได้นะกิเลส ไม่ใช่ว่ามันมีอยู่ตลอดไป ทำอะไรมันไม่ได้หรอก มันไม่จริง ลดได้ พิจารณาได้ก็มีปัญญา เมื่อมีธาตุรู้ที่มีพลังรู้ชัดเจน ว่ามันเป็นไตรลักษณ์ ไม่มีตัวตน มันไม่เที่ยง มันพาให้เราทุกข์ เจอตัวเหตุมัน มันพาทุกข์ตลอดกาลนาน ก็ทำตัวเหตุให้เบาบางลง ทำให้มันลดลงด้วยปัญญา ว่าเราไปยึดถือมันในเรื่องที่ไม่จริง
เวทนามีสอง
1.เวทนาแท้ 2.เวทนาเทียม
ตาคุณสัมผัสรูป อื่นๆ ก็เช่นกันในกามคุณ 5
เกิดตากระทบรูปแล้วก็เกิดความสุข น่ากินจัง คุณก็อ่านออกว่าจริงๆแล้วคุณสัมผัสอันนั้นคือรูป คือสี มันไม่ได้น่ากินอะไรหรอก อาการน่ากินนี้ มันเป็นเวทนาเทียม รูปนี่ก็สีเหลืองสีแสดแดง รูปกลมเบี้ยวของมัน เสียงก็มีแค่นี้ ของจริงก็คือเวทนาจริง แต่คุณเองกลับพอใจไม่พอใจ ชอบใจไม่ชอบใจ เป็นทุกข์เป็นสุข ตัวนั้นเป็นตัวเวทนาเก๊
ก็ต้องจัดการเวทนาเก๊ ต้องทำ การอ่านเวทนาสองให้ออก แยกเป็นภาวะสอง อิตถีภาวะ ทำให้เกิด ปุริสภาวะ รู้ว่ามันไม่เที่ยง รู้ว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์จนมันไม่เหลือตัวตน มันไม่เหลืออาการของกิเลสเลย หยาบกลางละเอียดไม่มีตัวตนของกิเลส
คำว่าตัวตนคือตัวตนของกิเลส กิเลสตั้งแต่ตัวนี้ ผัสสะใด ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หมดทางภายนอก แล้วเหลือแต่ภายในก็รูปราคะ อรูปราคะ ก็กิเลส ก็ต้องรู้สภาวะ ลดมันลงไป จนไม่เป็นราคะ แต่ถือดีอยู่ ก็ลดกามทั้งภายนอกภายใน ลดภวราคะก็เหลือถือดี มานะอุทธัจจะ อวิชชาก็ล้างตัวถือดีถือตัวอวดดี หมดมานะ เหลือเศษธุลีละอองอุธัจจะก็ล้าง จนไม่เหลือเศษธุลีละออง รู้จนจบจนหมดทั้งอวิชชาสวะ ก็หลักธรรมมีอย่างนั้น วิธีปฏิบัติถ้าเป็นอย่างนั้น ทำได้ก็เป็นอรหันต์ได้
คําสอนพระพุทธเจ้าคงที่อยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ต่างไปเลย
วิญญาณาหารก็อ่านนามรูป คุณจะต้องมีปัญญา มีธาตุรู้ที่เป็นตัวนำไปรู้ผัสสะ หยาบ กลาง ละเอียด ข้างนอกข้างในมีการวิจัยมีสติสัมโพขฌงค์ มีโพชฌงค์คู่กับมรรคมีองค์ 8 มีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ แล้วก็ทำสัมมัปปธาน ปหานกิเลสไป นั่นคือวิธีปฏิบัตินั่นคือธรรมะพระพุทธเจ้า แต่มันได้ผิดเพี้ยนกลายกลับเป็นอย่างเก่า เป็นนั่งหลับตาสะกดจิตเป็นฤาษีอย่างเก่า อาตมาพูดไว้นี้ เอาพระสูตรมาพูดเต็มไปหมด ทักว่านั่งหลับตาสะกดจิตแล้ว พระสายนั่งหลับตาสะกดจิต อาจารย์เขาจะบอกเลยว่าอย่าไปมัวอ่านตำราอยู่ ให้ปิดตำรามานั่งอย่างเดียวอย่าไปเสียเวลา แหมน่าสงสารอาจารย์ครับพวกนี้
ถ้าไปนั่งสมาธิแล้วบรรลุอรหันต์ พระพุทธเจ้าจะตัดให้มันเมื่อยทำไมตั้งเยอะแยะ ก็พานั่งหลับตาก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านตรัสไว้จน 45 พรรษา แล้วบันทึกเป็นพระไตรปิฎกถึง 45 เล่ม จะตรัสทำไมเสียเวลาเสียน้ำลาย
พ่อครูว่า...คุณไปนั่งหลับตาแล้วก็เสพภพ ในขณะเป็นๆ จิตมันจะวิ่งออกไปทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เขาเก่งสะกดไว้ แต่ถ้าตายแล้ว ไม่ต้องไปหลับหูหลับตาปฏิบัติเพราะว่าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว ก็อยู่แต่ในจิตสบายเลยก็เลยนึกว่าเป็นนิโรธ ก็นึกว่าทำได้ตายแล้วก็ทำได้ นั่นแหละ อาฬารดาบส อุทกดาบสทำได้ เป็นฌานที่ 7 ฌานที่ 8 ฉิบหายแล้วหนอ ทั้งสองคน ก็ฉิบหาย แล้วจะไปงมงายอยู่ทำไม
พระพุทธเจ้าออกไปในป่าไปหาอาจารย์ ก็มี 2 อาจารย์นี้ ก็ได้อรูปฌาน ท่านก็ไปนั่งแบบเขาด้วย มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าการนั่งหลับตา รูปฌาน อรูปฌาน มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าก็ทิ้งมาแล้ว แต่เขายังกลับมายึดถือว่าเป็นยอดของการปฏิบัติ จะไม่ให้พูดว่างมงาย ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว มันโง่งมงายกันจริงๆ
อาตมาพูดตรง จริงใจ ว่าโง่งมงาย ให้เลิกเถิด เอาของเน่ามาใส่ศาสนาพระพุทธเจ้าทำไม พระพุทธเจ้าตีทิ้งแล้ว แล้วไปหลงอีกว่าเป็นหัวใจศาสนาพุทธ มันยิ่งกว่าฆ่าลูกกิน แล้วบอกว่าลูกอันน่ารักของเราอยู่ไหน ทั้งบ้าเมาโง่และขี้ลืม
สมณะเดินดินว่า...พระพุทธเจ้าสอนอานาปานสติ
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน 4 และอานาปานสติ ในสติปัฏฐาน4ก็มีอานาปานสติอยู่ในนั้น สติลืมตา แม้ว่าคุณจะมีลมหายใจเข้าออกก็ต้องมีกาย กายคือมีภายนอกด้วย ปฏิบัติธรรมรู้ลมหายใจเข้าออก จะขาดกายไม่ได้ ต้องรู้ภายนอกด้วย แต่ถ้าดับไม่รู้ลมหายใจเลย เขาว่าสุดยอดเลย
เข้าใจผิดหลงแปลกๆเยอะเลย คือมันมีอยู่แล้วพระพุทธเจ้าก็เลยอนุโลม แต่ให้รู้ตัวทั่วพร้อม อยู่ในอิริยาบถต่างๆ เป็นพระภิกษุไม่ได้ไปทำอาชีพอะไรก็ให้อยู่ในอิริยาบถให้รู้ตัว ยืนเดินนั่งนอน เป็นต้น แต่เขาก็เข้าใจผิดไป อาตมามาบรรยายเหมือนถล่มเขาว่าผิดหมด ไม่ได้พูดดีๆเลย
พูดดีๆ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้านั้นปฏิบัติตามศีลแล้วเกิดสมาธิ แล้วก็จะมีปัญญาประกอบไปด้วยในการบรรลุศีล เกิดอธิจิต
อธิจิตคือ รู้กาย เวทนา จิต ธรรม มีองค์ประกอบรูปนาม เมื่อมันปรุงแต่งก็ต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์จับตัวกิเลสให้ออก ว่าเห็นตัวกิเลส แล้วกิเลสมันเคยเที่ยงไหม มันเกิดแล้วก็อยู่ไปตลอดกาลนานไม่ไปเลยไม่หายไป มันก็ไม่เคยเที่ยงแท้ แล้วมันก็เป็นเหตุแห่งความทุกข์ เป็นทุกข์อริยสัจ แต่คุณไปบอกว่าถ้าได้สมกิเลสก็สุข ก็เลยหลงอยู่ตลอด จริงๆแล้วอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ดับได้ก็อนัตตา พระอรหันต์ก็มีอนัตตาอยู่ตลอด นี่คือแก่นแท้ศาสนาพระพุทธเจ้า
แต่เสร็จแล้วเขาเข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐิ ออกนอกรีตกัน ก็เลยมีพวกที่สัมมาทิฏฐิมาปฏิบัติก็คือชาวอโศก ก็มาเข้าใจสัมมาทิฏฐิ ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ 10 ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติก็เข้าใจ แล้วก็เลยพากันปฏิบัติ ก็เลยเกิดสังคมพุทธอยู่ในแผ่นดินพุทธ มีตัวหนังสือขึ้นตัวเบ้อเร่อ ก็ได้มรรคผลของศาสนา มาเป็นคนจน ผู้ที่สุขสำราญเบิกบานใจ จนกระทั่งสำเร็จผลของศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นสังคมสาธารณโภคี ในยุคของพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงการของพระภิกษุสงฆ์ ในฆราวาสธรรมไม่ได้ เพราะว่าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคของทาสสังคมทาส มีนายทาสมีลูกทาส เป็นสังคมที่ไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน สิทธิอะไรต่างๆเขาไม่รู้จัก สิทธิในการแสดงออก เขาไม่รู้จัก จึงไม่สามารถทำในฆราวาสได้ นายทาสไม่ยอมหรอก หรือเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดินหมด สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระพุทธเจ้าไม่ประสงค์จะทำด้วย แต่ท่านสามารถนำเอาลัทธิระบบของท่าน ไปในแคว้นไหนๆ พระเจ้าแผ่นดินแต่ละแคว้นยอมรับให้เผยแพร่ลัทธิของท่าน แม้แต่คนในแคว้นของกษัตริย์แต่ละแคว้น จะมาเข้ารีตศาสนาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแผ่นดินในทุกแคว้นก็ยอม พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ท่านไปที่แคว้นไหน กษัตริย์ทุกที่ยอมหมดทุกแห่ง สอนลัทธิแล้วคนเข้ารีตก็อนุโมทนาสาธุหมด
อย่างพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นลูกของพระเจ้าพิมพิสารเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าถามในสามัญญผลสูตรว่า ถ้าคนหรือทาสของท่าน มาพบพระพุทธเจ้าแล้วเกิดความศรัทธาเอาตัวเองมาปฏิบัติ ก็เลยมาขอบวช ท่านจะเอาคนของท่านกลับไปหมด พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าไม่เอากลับคืนไปหรอกอนุโมทนาด้วย ด้วยซ้ำ
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูให้เราสำคัญใน การกินอาหาร โดยที่ไม่กำหนดรู้กามคุณ ก็เหมือนเรากินเนื้อของลูก การไม่ได้กำหนดรู้ ผัสสะก็เหมือนวัวที่ไม่มีหนังแสบไปหมด
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:24:39 )
รายละเอียด
601224_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ คนจนเป็นศูนย์ที่สุขสำราญเบิกบานใจ
สมณะเดินดินว่า....วันนี้วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2560 พรุ่งนี้เป็นวันคริสต์มาส เขาบอกว่าศาสนาคริสต์จะเน้นเรื่องความรัก แต่ทุกวันนี้ เขาก็พูดถึงเรื่องความรักและเป็นความรักที่เป็นฆาตกร รักต้องฆ่า มีคำถามที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ นายเก่งเป็นคนที่ทำเรื่องไม่ดี มีดีเจเก่งก็ถอยรถไปชนเขาแล้วก็ไปต่อว่าเขา แต่นายเก่งคนนี้ ไปเป็นคู่รักกับหมอฟันแล้วก็ฆ่าหมอฟัน สุดท้ายเขาก็เขียนจดหมายมาสารภาพว่า ไม่ได้คิดจะฆ่า ไม่ได้วางแผนจะฆ่า สารภาพกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง แต่เขาทำไปด้วยความอึดอัด เหมือนกับบอกว่าทนไม่ได้กับความหึงหวงของฝ่ายหญิง
ก็ถ้าคุณไม่ชอบก็เลิกไปก็ได้ แต่ทำไมต้องไปฆ่า มีสิ่งหนึ่งที่ค้านแย้งกับสิ่งที่เขาพูด เวลาคนไหนฆ่าคน ก็จะรู้เหมือนกันว่า ถ้าเจตนาฆ่า วางแผนฆ่า ความผิดหรือโทษก็จะร้ายแรงกว่าไม่ได้เจตนาฆ่า แต่นี่ทั้งใส่หมวกไอ้โม่งเข้าไปพกปืนเข้าไป ถ้าคนรู้จักกันทำไมต้องใส่หมวกไอ้โม่งเข้าไปพกปืนเข้าไป มันก็ย้อนแย้งกับเหตุผลที่เขาชี้แจงออกมา แล้วกิ๊กของเขาก็จะเดือดร้อนไปด้วย ตอนนี้เขาก็โยนกันไปมาให้ความผิดเป็นของคนอื่น ตอนนี้ก็เครียดกันทั้งคู่ พ่อแม่มาเยี่ยมเสร็จก็ต้องรีบกลับไป เพราะค่ารถแพงเหมารถมา ทำให้เครียดไปทั้งหมด (พ่อครูว่า ถ้าอย่างนั้นต้องเปิดร้านขายเครียด ก็มีความเครียดเยอะ ) ก็เพราะว่าคนไม่รู้จักจากความจริง เพราะสะสมโลภ โกรธ หลงมาถึงที่จุดหนึ่ง ก็เลยไม่รู้ว่าใครเป็นตัวเริ่ม แต่ก็เพราะว่าสะสมความโลภ โกรธ หลงมาถึงจุดหนึ่งจึงได้ฆ่ากัน
วันนี้ก็มีนักเรียนมาฟังด้วยพ่อครูเคยพูดถึงเรื่อง เราอยู่ในระบบบวร หรือ osmosis เป็นการไหลซึมถ่ายเทจากความเข้มข้นมากไปหาความเข้มข้นน้อย ก็เล่าให้ฟังว่าคนอยู่อย่างไม่มีธรรมะก็มีความทุกข์ทรมาน แค่คิดก็ทรมาน ไปทำก็ทรมาน ทำเสร็จแล้วก็ทรมานเพราะว่าเขาไม่มีปัญญาหรือมีอวิชชานั่นเอง แต่หลวงปู่ต้องการฝังชิป ฝังสัจธรรมความจริงฝังปัญญาให้พวกเรา ได้รู้เข้าใจชีวิตแล้วเมื่อเติบโตขึ้นไปเธอจะได้ไม่ทำอย่างคนที่เขาไม่มีปัญญาที่เขามีแต่อวิชชา ทำเสร็จแล้วก็ต้องมาโกหก ต้องไปอยู่ในคุกตารางโดยไม่จำเป็น วันนี้ัพวกเธอฟังไปก็จะเป็นสิ่งที่ฝังไว้ในจิตวิญญาณของเรา เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนั้นเราจะได้ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น
พ่อครูว่า...เจริญธรรมทุกคน เดี๋ยวอ่าน กวีของอาจารย์เป็นต้นก่อน
ความตายมาเตือน
โจรจู่โจมผ่อนแจ้ง เจ้าทรัพย์
ปล้นขณะที่นอนหลับ แน่ไซร้
เหมือนเชื้อโรคโถมทับ เรือนร่าง (เราเฮย)
มัจจุราชเตือนให้ อย่าได้เผลอตัว
อาหารเป็นหนึ่งนั้น ควรคนึง
พันธุ์พืชควรรำพึง พิษร้าย
สารพิษฤทธิ์รัดตรึง มากับ(ลิ้นแฮ)
ความอร่อยนั้นดูคล้าย มิตรแท้(แต่ลวง)
มัจจุราชผ่อนร้าย กับใคร
มีเกิดมีตายไป ทุกผู้
จะหลบเลี่ยงได้ไฉน ทั้งมนุษย์(สัตว์เฮย)
รักเกลียดบ่รับรู้ หมดสิ้น ทั้งสอง
เมื่อถึงคราวจะทิ้ง ร่างกาย
ลงจากเรือนเก่งหมาย มุ่งหน้า
มีเรือนใหม่คือภาย ในร่าง เราเฮย
เพียงเพื่อพึ่งขันธ์ห้า เฉกถ้ำ อาศัย
บ้านเคยอยู่อู่นั้น เคยนอน
ถึงแท่นที่บรรจถรณ์ สุขนั้น
ริมฟุตบาทเคยนอน มานัก(หนาเฮย)
แค่พักนอนเท่านั้น หลับแล้วเท่ากัน
_คุณตาเป็นต้น นาประโคน
พ่อครูว่า...การนอนหลับคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนนอนหลับแล้วเพ้อฝันร้ายก็มี อาตมาว่าธัมมชโยนี้นอนหลับทีไรก็ฝันร้ายแน่ แต่เก่งนะ ไม่รู้จะหลอกลูกศิษย์ลูกหาไว้หรือเปล่าว่าเขาสามารถหายตัวได้ หากจับได้ก็บอกว่ายอมให้เขาจับอีก ถ้ายังจับไม่ได้ก็คาค้างอยู่
SMS 23 ธ.ค.60
_9759 ขอขอบคุณธรรมะของชาวอโศก(โลกุตระ)ทำให้รู้การบำเพ็ญจิตธรรมที่ถูกต้อง
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ปฏิบัติลืมตาสมบูรณ์กว่าปฏิบัติหลับตา
_3867 ทุกข์ไม่เคยเกิดตอนหลับตา! ทุกข์เวทนาเกิดเพราะทุกผัสสะมากระทบทวาร5ทุกขณะที่ลืมตา! สมาธิหลับตาดับทุกข์บ่ได๊! ดับทุกข์ดับที่เวทนาทุกความรู้สึกทุกอารมณ์!ทุกขณะที่ลืมตาด้วย การหยุดสังขารธ.ผู้น้อยเข้าใจถูกไหม?
พ่อครูว่า..บางคนบอกว่านอนหลับตาไม่ทุกข์ก็ทุกข์ตอนลืมตา
ยิ่งคนที่เป็นอรหันต์แล้วหลับตาก็ไม่ทุกข์ลืมตาก็ไม่ทุกข์ หรือบางคนเก่งกดข่ม แค่ 12 ชั่วโมงก็สบาย กดข่มไว้ 12 ชั่วโมงมันไม่นานหรอก ทนได้ฝึกได้ คนฝึกแล้วก็เก่ง ฝึกจนกระทั่งนั่งมีสติลืมตาไม่นอนเลย เนสัชชิ มีสติทรงตัวให้แข็งแรง อยากให้ทรุดเสื่อมก็นิ่งได้ไม่เป็นไรทั้งภายนอกภายใน เพราะพลังงาน Static Dynamic เป็นหนึ่งเดียวเลย ทำได้เก่งมาก บางคนฝึกอย่างไรก็ได้อย่างนั้น
แต่ของพุทธนั้นลืมตาสัมผัสทั้งทวารทั้ง 6 สัมผัสอยู่ก็ครบทุกทวารมีความสมบูรณ์กว่าหลับตาปฏิบัติ ลืมตานั้นครบทั้ง 5 ทวาร มีทุกข์มาให้เราฝึก 5 ทวาร แต่หลับตามีเพียงทวารเดียวก็จะไปครบได้อย่างไร ถ้าลืมตาดับทุกข์ได้หมด มันก็ยังมีอยู่ในหลับตาอีก ก็ค่อยไปฝึกหลับตาแต่นี่เอาแต่หลับตา ไม่ครบกามภพ เอาแต่รูปภพอรูปภพ
_0750 ทราบว่าพ่อครูมีหยาดน้ำใจทองอีกมากในโอกาส 84ปีแจกสัก 84อันเริ่มปีใหม่ดีไหมครับเช่นให้อ.ยัก คุณโจน หมอเขียว อ.ไพศาล ป้าหญิง อ.ปานเทพ หมอมโน อื่นๆ
_1065 ขอบคุณบุญนิยมทีวี
พ่อครูว่า...อาตมามีไม่ถึงหรอก เขาทำให้ตอนอายุ 72 ปีบริบูรณ์ก็ 72 อัน แจกไปหลายอันแล้วก็เหลือไม่ถึง 72 ….ก็ดูความเหมาะควร ให้ด้วยเกียรติด้วยตั้งใจ เห็นว่าคนนี้ไม่สมควร เราศรัทธาเริ่มสายก็ขอให้อย่างนั้นจริงๆให้ไปหลายคนแล้ว ก็ไม่ต้องไปกล่าวนาม ได้รับไปแล้วได้รับความจริงใจจากอาตมาแล้ว ก็ยังมีชีวิตอยู่ เป็นอยู่ทำประโยชน์ให้สังคมตลอดเวลา บางท่านก็เสียไปแล้ว อย่างป้าอาตมา อาตมาให้เป็นคนแรกเลย ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ป้าก็เหมือนแม่อาตมา เลี้ยงอาตมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นลุงหมอประจำจังหวัด อาตมาก็ไปเป็นเหมือนลูกคนโต ลุงป้ายังไม่มีลูกของตัวเอง จนกระทั่งลุงป้ามีลูกของตัวเองอาตมาก็เลี้ยงน้อง
อาตมาเกิดปี 77 รุ่นเดียวกับอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งมีพ่อเป็นหมออยู่ที่จังหวัดหนองคายเหมือนกัน ไปเป็นหมออยู่ที่เดียวกัน โรงพยาบาลจังหวัดหนองคาย ก็เล่นด้วยกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ กับอาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ แต่ดูเหมือนจะอ่อนเดือนกว่าอาตมา พอโตมาก็แยกกันไป อาจารย์ปราโมทย์ไปเป็นดอกเตอร์ อาตมาก็อยู่ที่นี่ ปริญญาจัตวาก็ไม่ได้ ก็เลยต่างกัน นี่ก็เขาว่าคนที่เอาแต่เรื่องเก่ามาพูดเป็นคนแก่
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน วิปัสสนาชนะกิเลสได้ยั่งยืนกว่าสมถะ
ตอบปัญหาเด็กๆก่อน
_แผ่นแรกบอกว่า สมถะกับวิปัสสนาแตกต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า...ถามดี ตอบ สมถะ ตอบง่ายๆว่า คือการกดข่มให้มันนิ่งหยุดแล้วมันก็สงบ สมถะจึงแปลว่าสงบ สงบได้ด้วยการกดข่ม ส่วนวิปัสสนานั้น สงบได้ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ด้วยความจริง แล้วพลังงานปัญญา มันมีพลังงานทำให้พลังงานกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ยอมสยบหยุดนิ่ง ไม่ต่อสู้ ไม่เดือดร้อนสงบ ความสงบอันนี้จึงยากที่จะเข้าใจได้ง่าย สงบมีหลายมิติ หลายส่วน สงบแบบกดข่มนั้นมีมิติเดียวง่ายๆตื้นๆ
ส่วนของพระพุทธเจ้านั้นสงบอย่างวิปัสสนา รู้ละเอียดในเหตุปัจจัย แล้วมีพลังงานปัญญาทำให้สงบลงได้แล้ว มันถาวร ความสงบที่มีนัยสำคัญลึก เรียกว่า สงบจากกิเลส จากสิ่งที่มีแรงมากวน การสงบนั้นจึงไม่ได้หยุดนิ่งอยู่ในมิติเดียว อย่างเดียว ไม่ใช่
สงบเฉพาะตัวกวน ตัวกิเลสอกุศล ส่วนจิตมีอิสระเสรีภาพ คล่องแคล่วทำงานได้เร็วไว มุทุภูตธาตุ หรือมุทุธาตุ เป็นสภาพที่เร็วไวคล่องแคล่ว ทำได้อย่างปราศจากโทษภัย เพราะว่าเก่ง สามารถที่จะอยู่เหนือศัตรู อยู่เหนือคู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้ไม่สู้แล้ว เป็นสิ่งที่ปลอดภัยด้วย แล้วก็อยู่อย่างดีด้วย อยู่อย่างชนะอยู่อย่างเหนือ แต่ไม่เบ่งข่ม ถ้ายังเบ่งข่มก็จะมีศัตรูต่อต้านก็ไม่สงบ ไม่เบ่งข่ม มีแต่จะเกื้อกูลผู้ที่เราชนะแล้ว ใจมีเมตตา เอื้อเฟื้อเจือจานจึงไม่ก่อศัตรู ไม่มีศัตรูใหม่
ไม่พยายามจะไปหาเรื่อง ให้เขามีจิตไม่ดี แคะไค้ให้เขาก่อความโกรธความไม่ชอบใจเพิ่มขึ้นอีก จึงเป็นความสงบสงัด
สมณะเดินดินว่า...อย่างเด็กมีหัวใจสีชมพูจะวิปัสสนาอย่างไร?
พ่อครูว่า...ต้องพิจารณาความจริงเข้าหาคำสอนพระพุทธเจ้า เรื่องอันนั้น เป็นเรื่องของ..พูดให้ชัดๆ ท่านเรียกว่าสิ่งที่เป็นคู่ ซึ่งมันไม่เป็นอิสระแล้วมันก็จะก่อวิบาก ก่ออะไรอีกนาน ต้องพิจารณาให้ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องทุกข์ มันเป็นเรื่องก่อทุกข์ที่ต่อเนื่องยืดยาวไปอีกนานนับกัปป์กาล ต้องเห็นทุกข์ในปัจจุบันให้ได้ว่า เดี๋ยวก็งอนกัน โกรธกัน ทะเลาะกันไม่ลงกัน ดีไม่ดีมันก็ไม่สนใจกันอย่างนั้นอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ไม่สุข นี่แค่เล็กน้อย แต่เขามีเรื่องฆ่ากันเลย ฆ่ากันอย่างไตร่ตรองหรือไม่ไตร่ตรอง โกหกบาปซ้ำซ้อนอีก
อย่าไปก่อวิบาก เป็นทุกข์ภัยที่เกิดแล้วเกิดอีกซ้ำซ้อนอีกหลายชาติ น่ากลัว
ความรัก เป็นตัวมาร ที่มาในรูปของความหลอกลวงแปลงตัวมา เป็นสิ่งที่จะให้ความสุขความดีงามความพิเศษความประเสริฐอะไรสารพัด เพราะฉะนั้นมันไม่จบ มันมีแต่จะเกิดเรื่องไม่เที่ยง ทรมานทรกรรมต่อไป เรื่อยๆ...เรื่อยๆ
ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงพระอาริยะพระอรหันต์ที่ท่านหมดแล้วเรื่องคู่เรื่องไม่ดีท่านไม่เอาแล้ว ก็สบาย รักตัวเอง จบเลย แต่นี่ไม่จบ ตัวเองแก้ไม่ได้ก็ต้องมาถามคนนั้นคนนี้ วุ่น จะแก้ไขได้ต้องเลิกเลยไม่มีทางอื่น แก้ได้คือเลิกเลยหยุด เรื่องนี้ปิดฉาก นั่นแหละแก้
ใช้ภาษาไทยภาษาง่ายๆตอบมันน่าจะเข้าใจนะ ไม่น่าจะคิดมากเหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่พูดไปแล้วก็ยังวนเวียนคิดมาก แต่นี้พูดกับเด็กๆก็น่าจะง่ายกว่านะ
_ต่อมาคำถามจาก สส.ภ. แบบคนจนนั้น เป็นศิลปะแบบโลกุตระหรือไม่อย่างไรครับ?
ตอบ...แบบคนจนนี่แหละเป็นศิลปะแบบโลกุตระ อย่างไร? ติดตามฟังอย่ากระพริบตา หลวงปู่จะอธิบายต่อ งานปีใหม่ก็จะอธิบายเรื่องนี้ให้มาก ซับซ้อนไชลึกเข้าไป
_ศิลปะแบบโลกุตระแล้วสามารถทำให้เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจได้อย่างไร
ตอบ...นั่นแหละติดตามฟังจะได้รู้ไปได้เรื่อยๆ แสดงว่ามีปฏิภาณดูไปได้เรื่อยๆ
_หลวงปู่จำวัดกี่โมงครับ
พ่อครูว่า...จำวัดคือนอนพักผ่อน หลวงปู่นี่เขาจะให้นอน 2 ทุ่มเป็นหลัก แต่มันไม่ได้เพราะเทศน์จบก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว เมื่อเทศน์เสร็จก็ต้องพยายามให้นอนหลับไว ก็บางทีก็เลยไปอีกหลายนาทีอยู่ก็ช่วง 2 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม ไม่พยายามให้เกิน 3 ทุ่ม เกินมีบ้างแต่น้อย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน วิบากกรรมของการทำผิดศีล 5
_ผมสงสัยอยู่ข้อหนึ่งครับ ถ้าทำผิดศีล 5 ศีลแต่ละข้อมีวิบากต่อชาติหน้าได้อย่างไร
พ่อครูว่า...ถ้าจะให้ไล่ไปแต่ละข้อ
ข้อ 1. เรียกเกี่ยวกับสัตว์ ข้อ 2. เรื่องเกี่ยวกับข้าวของ ข้อ 3. เรื่องเกี่ยวกับกามรส 5 สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย
วิบากมันก็เกี่ยวกับอันนี้แหละ
หากเราผิดศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์มันก็มีวิบากกับสัตว์ ที่มีวิบากแก่กันและกัน มันก็เลยมีคู่กับอีกอัน
2. มีวิบากกับชอบของ แล้วของที่ไม่มีเจ้าของหรือเป็นสิทธิ์ของเราก็ไม่มีปัญหา แต่เป็นของที่เป็นสิทธิ์ของคนอื่นมีเจ้าของ แล้วเราก็จะไปอยากได้แล้วไปแย่งชิงปล้นที่ไปโกงอะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นวิบากเกี่ยวกับของ
3. เรื่องรสชาติ การสัมผัสแตะต้อง แล้วเกิดสิ่งปลอมมายึดถือว่าเป็นจริง คืออารมณ์ชอบรสสัมผัส จะสัมผัสตั้งแต่รูปเสียงกลิ่นรสอะไรก็ได้ หรือสัมผัสเรื่องเพศผู้หญิงผู้ชายเป็นองค์รวม เราก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้งในรสสัมผัส กามคุณ5 นี้
สามข้อนี้แหละเป็น สัตว์ สิ่งของ สัมผัสทวาร 5 เรียน 3 ข้อนี้ให้จบ
ส่วนข้อที่ 4 นั้นเกี่ยวกับเรื่องของคำพูด ภาษา
ข้อ 5 เกี่ยวกับใจ ลงมาหา วิบากองค์รวมด้วย
เราปฏิบัติลดละเพียงภายนอกก็ได้ชั่วคราว แต่ถ้าทำที่ใจ ได้ถาวร พระพุทธเจ้าให้พิจารณาในสังกัปปะ 7 เป็นต้นราก เกิดดำริแล้ววิจัย ในกามหรือความใคร่อยากหรือพยาบาท แล้วล้าง กามพยาบาท ให้หยาบหมดก่อนแล้วไปกลาง หมดกลางไปละเอียด หมดละเอียด เหลือเศษธุลีละออง ก็ให้หมดเกลี้ยง ไม่ให้ประมาทเลย ให้สิ้นซาก
หยาบนี่แหละ เราทำเสร็จแล้วก็จะมีความรู้ในชั้นกลางที่เหลือ ถ้าไม่ทำหยาบก่อน แล้วจะไปรู้ชั้นละเอียดมันก็รู้ได้ สามารถรู้ได้ แต่คุณเอง ที่หยาบแท้ๆนี้คุณไม่รู้ได้ไง มันทำร้ายอยู่ คุณไปทำละเอียดก็ได้ไม้จิ้มฟันมาแต่เรือรบภายนอก คุณไม่ได้จัดการก่อน ไปจัดการไม้จิ้มฟันแล้วจะได้แรงอะไรมาจัดการเรือรบ
คุณทำเรือรบแล้วจะไปทำกลางและความละเอียดต่อไปได้ง่ายมาก ทำหยาบ กลางละเอียดไป แต่ถ้าไปทำจากละเอียดไปหาหยาบพระพุทธเจ้าไม่สอน
_กลุ่ม OHANA ถามว่า เลข 13 ทำไมคนไทยจึงเชื่อกันว่าเป็นเลขผีและมีความหมายว่าอย่างไร
พ่อครูว่า...คนไทยไม่ได้ติดยึดในเลข 13 เลข 13 นี้เป็นเลขของชาวคริสต์ถือว่าเป็นเลขที่เป็นผลเสีย เขาถือนิมิตว่า พระเยซูมีลูกศิษย์ 12 คน เป็นการถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ก่อนจะสิ้นพระชนม์มีลูกศิษย์ 12 คน ส่วน 13 คือพระองค์เอง
ก็เลยไปเห็นว่า เลข 13 นี้ดีหรือไม่ดี ถ้าไม่ดีก็คือ พระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็จะเหลือ 12
แต่ถ้า 13 พระเยซูมีคุณค่ายิ่งใหญ่อยู่ร่วมด้วย มันก็ครบ 13 มันก็ดี
จากสามเส้า 123 มีสามอันสามเส้า รวมเป็น 9 แล้วเป็น 10 เป็น 11 เป็น 12 ก็จะมีอะไรอีกมากที่จะอธิบาย เท่าที่ขนาดหลวงปู่มีภูมิธรรมพอรู้ได้ แล้วพระพุทธเจ้ามีความรู้มากกว่าอย่างนับไม่ได้เลย ต้องศึกษาติดตามให้ดีๆ
_ทำอย่างไรคะให้มีความสุข
พ่อครูว่า...จะตอบอย่างไร ศาสนาพุทธให้ล้างความสุขความทุกข์ออกไปให้หมดเลย แล้วนี่มาถามว่าจะเอาความสุข แล้วหลวงปู่จะว่าอย่างไร
ก็ลดความทุกข์ไปเรื่อยๆก็จะเหลือแต่ความสุข เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน
เอาอย่างนี้ดีกว่า อยู่กับหมู่กลุ่มชาวอโศกไปได้เรื่อยๆอย่าไปไหน นั่นแหละทำอย่างนั้นแหละจะลดได้ จะมีสุขแล้วสูงขึ้นจนไม่ต้องมีสุขทุกข์ สอนให้หมดสุขหมดทุกข์
มีสุขทุกข์อย่างมาก มาลดเหลือมีสุขทุกข์อย่างน้อย จนหมดความสุขความทุกข์เลยเป็น ปรมังสุขังคือยิ่งกว่าสุข เหนือกว่าสุข มันไม่ต้องสุขหรอก นั้นมันถูกต้มจนสุกต่างหาก
_หลวงปู่ครับ คนที่ผมชอบเขา เขาก็ไม่ชอบผม แต่คนที่ชอบผมผมก็ไม่ชอบเขา ผมโง่หรือเปล่าครับ หรือไม่มีแฟนดีที่สุดครับ ถ้ามีแฟนอยู่โง่หรือเปล่า
พ่อครูว่า...เอารู้นี่ ไม่มีแฟนดีที่สุด ถ้ามีแฟนอยู่ ก็โง่อยู่ใช่เลย
_ทำไมคนเราต้องมีแฟน แล้วต้องทะเลาะกันครับ
พ่อครูว่า...นั่นแหละไม่ต้องมีแฟนสิ แล้วจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน
_ผมมีความโกรธในตัว มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ดี ทำอย่างไรดีครับ
พ่อครูว่า...ใช่แล้วมันมีความโกรธก็ยังไม่ดี ทำให้ความโกรธมันหายไปจากจิตทำอย่างไรดีก็ให้ติดตาม
ขอพูดอย่างนี้เลยว่า ที่อื่นไม่เหมือนที่นี่ ที่นี่ทำให้ล้างความโลภโกรธหลงได้จริงๆอ ย่าหนีไปไหนล่ะ แต่ลดความอ้วนลงหน่อย มาวินถามมา มาวิน น้ำหนักร้อยกว่า มาที่นี่ตอนแรก ตอนนี้อายุมากขึ้น ก็ลดลงได้บ้าง แล้วก็ขึ้นอยู่บ้าง กำลังต่อสู้ คือคนเราบางทีก็เป็นสรีระ ก็สู้กันไป
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ทำอย่างไรจะจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ
_ทำอย่างไร ผมจะเป็นคนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจคะ
พ่อครูว่า...ก็ตอบวนเวียนซ้ำไป ทำอย่างที่ชาวอโศกเราพาทำ ไม่มีที่อื่นจะมีความจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจเหมือนชาวอโศก คือจิตใจมันจะมีปัญญา เข้าใจว่าความจนคนจนคืออะไร แล้วจนแล้วเรามีชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ อยู่อย่างสบายสงบสบายเลี้ยงตัวเองรอดมีความสงบอบอุ่น ไม่เดือดไม่ร้อนอะไร นั่นแหละ อยู่อย่างนี้ไม่เดือดร้อนอะไรเลยเพราะว่า
พวกเราก็ไม่แสวงหาข้างนอกมากอะไรแล้ว อยู่ข้างในมีการกระทบกระทั่งกันบ้างมีวิบากบ้าง เราก็เรียนรู้ลดลง ใครกระทบเราๆก็ไม่มีปัญหาอะไรเราก็นิ่ง เราก็เฉยๆไม่ถือสา ก็รู้ว่าเขาก็ชอบเราอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนตบมือข้างเดียว เขาก็ตบไปเราก็เฉยๆ รู้ว่าเขาตบแรงคนนี้ คนนี้ตบเบา เราก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีการศึกษาแค่นั้นแหละ ทำให้จริง เกิดปัญญา หรือทนได้ก่อน เสร็จแล้วต่อไปก็รู้ว่า
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น บางทีเราบังคับเขาไม่ได้ เราก็หาทางหลีกเลี่ยง อย่าไปสัมผัสเกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น ถ้าเกี่ยวข้องกับเขาแล้วเขาเองจะขึ้น หากเราจำเป็นต้องพรากห่างจากกันก่อนก็ต้องทำ ถ้าจำเป็นต้องเผชิญหน้ากันก็หลีกเลี่ยงเอา อย่าไปเผชิญกันบ่อยมากนัก ถ้าจำนน
จะมากระทบแรงมากหนักหนาสาหัสอย่างไรเราก็ทนได้ หรือไม่ต้องทนเลยสบายสบาย แล้วจะมี ซ้อนอีกอันคือ บารมี
บารมี เป็นเรื่องลึกซึ้งอจินไตยมาก ผู้มีบารมีจะไม่มีใครกล้ามากระทบ อย่างพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครกล้าจะกระทบอะไรง่ายๆ ทุกคนเกรง มันเป็นบารมี ผู้รองลงมาจะมีบารมี แม้อาตมาถ้าจะมีที่ไม่กล้ามากระทบ แม้แต่คนใกล้ตัวก็จะคอยช่วย เป็นความเข้าใจที่เป็นปฏิภาณปัญญารู้กันอยู่
การจะเกิดความระหองระแหงกระทบกระทั่งกันแรงๆก็ไม่มี แสดงว่าพวกเรา
เมื่อกระทบกระทั่งกันแรงก็เข้าใจแล้วไม่ติดใจ มันเป็นความซับซ้อนลึกซึ้งและได้ประโยชน์ได้ความร่วมมือ จึงอยู่กันอย่างสงบ ทุกคนก็บันยะบันยังของแต่ละคน
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระโสดาบันเป็นอย่างไร
_พระโสดาบันเป็นอย่างไร
พ่อครูว่า..
เอาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
1.รู้จักกายรู้จักรูปนามสิ่งที่สัมผัสกับสิ่งอื่นกระทบอยู่
2. รู้ กาย รู้รูปนาม รู้ธรรมะสองว่า มันจะต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้เขาเป็นอย่างนี้เขามีความแรง ก็มันแรงอย่างนี้เราก็ทนได้หรือไม่ทนได้ก็ทน หลบเลี่ยงอย่าให้กระทบกัน สุดวิสัยกับเท่ากันก็ทนเอา ถ้าเรามีความฉลาด สามารถให้เขารู้ตัว ทำไมไปเบียดเบียนคนอื่นเขา คนอื่นเขาลำบากใจ กายนะ อาจสามารถที่จะย้อนศรกลับ ถ้าเขารู้สึกตัวแล้วเขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็ทำ ถ้าไม่ได้ก็จำนนก็ต้องเฉย ไม่อยู่ในฐานะที่ต้องสอนเขา ก็เฉยไว้ มีความลึกซึ้งซับซ้อนอีกเยอะว่าเราจะทำได้แค่ไหน เราก็จะรู้ ใช้สำนวนไทยๆว่า รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง เราจะรู้วิธีหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลุกลามหรือว่ามากขึ้นกว่าเก่า
คนที่รู้ด้วยปัญญาคนที่ทนได้ ก็จบ
คนที่ทนได้ แม้ไม่มีปัญญาเราก็ต้องทน
คนที่มีปัญญาจริงๆเลย ไม่ทนหรอกไม่ต้องทนเลย ปัญญาจะมีพลังสูงสุด ไปละลาย ไม่ต้องทำอะไรปัญญามันก็รู้ชัด ตถตา มันเป็นเช่นนี้เอง
ไม่ทำร้ายเราจนเกินไปกว่านี้หรอก เช่นพระโมคคัลลาถูกฆ่าๆๆๆ แล้วชุบตัวเองได้มันก็ฆ่าอีกๆๆ จนสุดท้ายก็จำนน ต้องยอมตายไม่งั้นไม่จบ เพราะคนพยาบาทนี้มันไม่ถือว่ามันชนะก็ไม่หยุดหรอก เราก็เสียสละ จบ ตาย คนนี้เขาก็ว่าเขาชนะแล้ว ต่อไปเมื่อวิบากจบกันแล้ว มันไม่เกิดมา มีวิบากต่อกันอีก หรือแม้เกิดมามันก็จบ ถ้าเกิดในร่างใหม่ชาติใหม่ ชาตินี้พระโมคคัลลานะจึงยอมจำนน ตายไป มันเป็นเรื่องสุดวิสัยอย่างนี้เป็นต้น
1.รู้กาย รู้องค์ประกอบที่กระทบสัมผัสกัน
2.รู้อย่างครบไม่มีวิจิกิจฉา ไม่สงสัย มันต้องอย่างนี้ สรุปรวมต้องใช้คำว่าตถตา สุดวิสัยที่เราจะไปจัดการมันได้
3. มีหลักเกณฑ์ศีลพรต ศีลพรต เรารู้หลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง ไม่ใช่อย่างเป็นมิจฉานะ สังโยชน์ข้อที่ 3 นี้ลึกซึ้งมาก คือ มีวิธีการ ศีลพรต วิธีการประพฤติปฏิบัติเพื่อที่จะให้สำเร็จ กิจ จบเรื่อง บรรลุธรรมสูงสุดเลย แต่ไม่ทำน่ะ ยังเล่นๆหัวๆ ยังผัดวันประกันพรุ่ง เรื่อยๆเรียงๆ ลูบๆคลำๆ เหลาะๆแหละๆ ไม่เอาจริง ไม่จัดการไม่ใช้บทปฏิบัติที่รู้ดีแล้วเอาจริงๆ คนอย่างนี้อาตมาว่า ประมาทมากๆ
หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมาก เป็นการประมาทมากที่สุด ทำได้แต่ปล่อยมันทำไม ถ้าทำได้ 3 ข้อนี้นี่แหละคือพระโสดาบัน
และยังจะแถมมีญาณ 7 เป็นตัวที่รู้รอบในสิ่งนี้ ก็ขอพักไม่ขยายความญาณ 7 วันนี้ เป็นความรู้ที่รอบครบที่สมบูรณ์ นอกจากนั้นก็จะมีแต่ ไม่มีอะไรทำได้มากกว่านี้อีกแล้วเป็นเลข 7 แล้วมีอิสระเสรีภาพ อย่างไรๆก็คิดถึงที่สุดแห่งที่สุด
สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน ทำไมคนเราถึงอยากมีความรัก
_ทำไมคนเราถึงอยากมีความรักครับ
พ่อครูว่า...ก็จะวนเวียนอยู่อย่างนั้น เพราะว่ายังโง่อยู่ เลิกโง่เสียทีได้ไหมโดยเฉพาะความรักเรื่องกามเรื่องเพศ มันไม่เป็นปัญญาเลย ยังเป็นอวิชชาอยู่ หยุดมันเลยด้วยเหตุผลทั้งปวง หยุดเรื่องเพศ แม้กดข่มเฉยๆก็เถอะ กดข่มแล้วจะรู้ว่า หยุดไปนี่มันก็ไม่มีอะไรไม่สบายมันก็สบายดี
หากกดข่มได้ แล้วเราไม่มีปัญญาหรือ ปัญญาก็รู้ว่ามันสบายดีแล้วไปมีมันทำไม ให้ไม่สบาย ก็จะตอบด้วยภาษาก็มีภาษาอื่นแล้วนอกจากพออย่างเดียว มันเป็นความทุกข์ที่ไม่รู้จักเสร็จเสียที แล้วไปมีมันทำไม หยุดมีสิ พลังงานปัญญาจะชัดเจนแข็งแรงขึ้น มันก็จะมีพลัง จนเพิ่มสัมประสิทธิ์ Coefficient ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำไปเรื่อยๆสักวันมันจะมีประสิทธิภาพที่เป็นสัมประสิทธิ์
สมณะเดินดินว่า...ไม่แน่ใจว่านักเรียนเวลาไปมีความรักแล้วรู้สึกสบายดีกว่า หรือว่าตอนมีความรักแล้วสบายดีกว่า
พ่อครูว่า..มันว่างเบากว่าไหม แล้วไปมีไปทำไม เป็นเพื่อนกันเป็นพี่น้องกันเกื้อกูลกันดีกว่าเยอะ
_มาวิน..ทุกวินาทีของชาวอโศกเป็นวินาทีแห่งบุญ แล้วทุกวินาทีของธรรมกายเป็นวินาทีแห่งอะไรครับ
พ่อครูว่า...ก็เป็นทุกวินาทีแห่งบาปนะสิ ทุกวันนี้เขาก็หนีไป ไม่กล้าให้เห็นหน้า หลบไป เขาจะจับเข้าคุกต้องมาว่าความต้องมาพิพากษา ยังมีข้อหา ยังมีชนักติดหลังอีก ที่มีไปแล้วตั้งข้อหาไปแล้ว ยังไม่ได้ว่าความตัดสินอีกจะเข้าคุกกี่ปีไม่รู้ ยังมีอีกที่ไม่ได้ว่าความ เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องหลบไปจนตาย ซวยไหม เกิดมาเป็นคนเอาหน้ามาให้คนเห็นไม่ได้ แล้วทำหน้าหล่อด้วยนะ พยายามปรับปรุงหน้าให้หล่อ เสร็จแล้วเอามาให้ใครเห็นไม่ได้ มันอาภัพอัปภาคย์ขนาดไหน ต้องหลบไปตลอดกาลให้ใครเห็นไม่ได้ ไปเมืองนอกก็เถอะ คนเห็นก็ต้องรีบหลบ อย่าให้รู้ว่าเป็นใครนะ เดี๋ยวใครรู้ว่าเป็นใคร เดี๋ยวส่งข่าวมาทางเมืองไทย ตามไปจับเขาอีก ก็ต้องหลบอยู่ที่ไหนๆก็หลบหมดเลย เพราะฉะนั้นคนเดือดร้อนอย่างนี้ มันมีภาวะต้องหลบลี้หนีหน้า มันเป็นคู่เปรียบเทียบกับ ความเป็นโสดาบัน
โสดาบันนี้
หนึ่ง ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์คาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยใดๆในโลกทั้งปวง นี่พระโสดาบันมีคุณสมบัติคนอันประเสริฐ พอได้หลุดพ้นอันนี้แล้ว เป็นเอกราช independence จะไปอยู่ไหนก็อยู่เหนือหมดเลย เหนือสิ่งที่เราเหนือ โสดาบันก็อยู่เหนือสิ่งที่เป็นอบายมุข ถ้าได้แล้ว
อาตมายกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เช่นเราไม่เล่นการพนันได้แล้ว เราจะไปมาเก๊าไปเขมรหรือจะไปที่ไหนๆในโลก มันจะใหญ่ยั่วยวนอย่างไร เราก็อยู่เหนือมันได้สบายๆ ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์คาลัย อาศัยบัญญัติสวรรค์ สวรรค์ไหนๆก็ไม่เท่าเทียมอันนี้มันสบายจริงๆ มีอำนาจอธิปไตยเหนือทุกอย่างที่เราเหนือได้ ในสิ่งที่ตนเองมีเงื่อนไขว่า สิ่งนี้เป็นระดับอบาย ระดับต่ำสุดของมนุษย์ที่ถือค่ารวมว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ต่ำสุด เช่น การพนัน สิ่งเสพติดมอมเมาเป็นต้น
_ผมทำให้เพื่อนผิดหวังแล้วเพื่อนก็พร้อมให้โอกาสผม ผมควรจะทำอย่างไรครับ
พ่อครูว่า...ดีแล้วที่รู้ ก็หยุดอย่าไปทำให้เพื่อนผิดหวังอีก เขาให้โอกาสแล้ว ก็จงทำอย่าให้เพื่อนผิดหวังอีกต่อไปก็จบ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนเป็นศูนย์ที่สุขสำราญเบิกบานใจ
ก็มาพูดถ้าถึงเรื่องที่อาตมาจะพูด ในงานนี้สำคัญทีเดียว แต่ว่า ตอนนี้ก็ขอเกริ่นนำไปก่อน
เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธ ตั้งหัวข้อให้อาตมาบรรยาย เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ
ประเทศไทยกำลังมีปัญญารู้การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ในหลวงตรัสไว้
แก้ปัญหา เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจคืออะไร เศรษฐกิจ โดยความหมายไม่ใช่เป็นหลักวิชา แต่เป็นความหมายง่ายๆพื้นๆที่คนจะเข้าใจ เศรษฐกิจคือสิ่งที่เราอาศัยร่วมกัน อย่างไม่เดือดร้อนขาดแคลน ขัดเขินอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากินใช้อาศัยร่วมกันอยู่ มันกระจายทั่วกันได้อย่างพอเพียง ไม่ขัดสนไม่ลำบากไม่แก่งแย่งทะเลาะวิวาท อยู่กันอย่างสงบสุข อยู่กันอย่างพอเป็นไปได้อย่างดี เรียบร้อยในสังคมเลย จะมีอะไร มีสิ่งที่ต้องอาศัยกินใช้ กินก็มีกิเลส ของใช้ก็มีกิเลส ยิ่งไปหลงของใช้นี่ ก็ของกินก็หลอกกันบ้าบออะไรไม่รู้ น่าได้น่ากินน่าเอร็ดอร่อย มีทั้งกินอร่อย กินแล้วมีเกียรติ กินแล้วเท่ระเบิดสารพัดที่จะมี ไม่รู้กี่มิติ เอามาปั้น ให้คนเกิดอุปาทานหลงยึดติดกันไปไม่หาสาระที่ว่า กินเพื่ออะไร
กินนี่ ที่จริงแล้วมีกิเลสมากกว่าของใช้ ของใช้นี่จะสารพัดปรุงแต่งไปเยอะ ซึ่งเราก็ต้องอาศัยบ้าน แต่มันไม่มี ขีดตัดเขตได้ง่ายเลย แต่กินนี่ กินเราใช้ภาษาว่าบริโภค ใช้เราใช้ภาษาว่าอุปโภค
กินนั้นคืออาหารคำข้าว ธาตุอาหารที่กินเข้าไปสังเคราะห์ร่างกาย ให้ใช้มาปรุงแต่งร่างกายเรา เป็นธาตุอาหารวิตามินสาระ น้ำมันคาร์โบไฮเดรตอะไรต่างๆ ที่ร่างกายต้องการนักโภชนาการจะรู้ดี มันก็มีจำกัด มันไม่เกินไปกว่านั้น เขาจำกัดว่ามี 5 หมู่ ได้ครบแล้ว ก็พอ ไม่ต้องเอาอะไรมาเกิน แต่นี่มันหลอกมากเกินกว่า 5 หมู่ แปลงกายไปย้ายออกไปเป็นล้าน ห้าหมู่นี้แปลงกายเป็นล้าน เราก็รู้ทัน ตั้งแต่หยาบ ตัดออกให้เหลือสาระแท้
ยิ่งอยู่กับหมู่กลุ่มที่ไม่เอาอาหารพิษอาหารเฟ้อเกินมา เราก็ช่วยการคัดเลือกอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีเข้ามาง่ายๆหรอก อยู่ที่นี่ไม่ต้องพิจารณามาก กินเข้าไปเถอะไม่มีสารพิษอะไรที่จะทำร้ายร่างกายหรอก ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาด้วย บนโต๊ะนี่กินได้ ระวังท้องแตกอย่างเดียว มันเยอะ
เพราะว่ามันเป็นการรู้ พวกเราคัดเลือกคัดเฟ้น ไม่ให้หยาบๆพวกนี้มา ละเอียดๆมา กว่าจะมาถึงพวกเรานี่ อยู่นอกเขตเทศบาล เข้ามาไม่ได้ง่ายๆ
การสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราก็ต้องเข้าใจภาษาสื่อสภาวะพวกนี้อย่างดี แล้วรู้ความจริงว่าอันนี้หมายถึงอันนี้ หมายถึงรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แล้วเราไปรับอะไรเกินกว่าความจริงตามความเป็นจริง เราก็โง่อยู่ตลอด เราก็มาลดสิ่งไร้สาระลง ก็น้อยลง แค่เราทำสิ่งที่จำเป็นสำคัญ มาอุปโภค บริโภค มันก็มีขีดความพอแล้ว ใครที่มีขีดความพอคุณก็สบายแล้ว แม้จะน้อยหน่อย เราก็สร้างเสริมขึ้นมาเพราะว่ายังไม่พอ ถ้าเราพอแล้วลดความพอลงไปอีก ถ้ามันเกินไป มากไปแล้ว เราก็น้อยมาแล้วก็พอ ๆ อธิบายพยัญชนะ ที่เรียกว่า
อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา ถ้าคำนี้ครบเลยสวรรค์นรกหมดเกลี้ยง วิริยารัมภะ แสดงว่าเราไม่ได้มากินแรงใคร เรามาขยันหมั่นเพียรสร้างสรรเสียสละ เราไม่เป็นภาระใคร
ต่อมาอีกสี่อัน
สวรรค์เราก็หมด ลดได้ อสังสัคคะ แล้วก็สงบหยุด เพราะอะไรเพราะเราเข้าใจความมีน้อย น้อยนี่มีขีดที่ความไม่เดือดร้อนทรมานเราก็พอ
สันตุฏฐิหรือสันโดษคือน้อยเท่านี้ก็พอ
อัปปิจฉะกับสันตุฏฐิจึงเป็นตัวไขความทุกอย่าง น้อยก็พอ แต่สังขารร่างกายจิตใจไม่เสื่อมไม่ทรุดไม่เสีย จบ เรารู้ความพอดีความพอเพียงความพอเหมาะ มันเป็นความรู้ในความจริงตามความเป็นจริง ก็จบ
คำว่าความจนนี้เขากลัวกันนัก จนถึงที่สุดแล้วเป็น 0 จนที่สุดคือเป็น 0
0 คืออะไร ศูนย์มีเงื่อนไขชัดเจนคือว่า สิ่งที่เราอาศัยเป็นปัจจัยชีวิต เครื่องใช้ เป็นปัจจัยในการทำงาน มีพอใช้ สะดวก คนดีแล้วทำงานเต็มที่ ดีไม่ดีของเกินเฟ้อด้วย เราใช้ไม่หมดหรอก ก็ทำงานเต็มที่แล้ว ของที่มีอยู่เหลือนั้น มันเหลือมือเราอีก แบ่งให้คนอื่นใช้ก็ยังได้เลย ไม่ได้ขาดแคลนนะ ดีไม่ดีใช้เกิน บางทีมีประสิทธิภาพเยอะแยะ อาตมายังใช้คอมพิวเตอร์ไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนร้อยของประสิทธิภาพมัน เป็นต้น อะไรอื่นๆอีกมาก สรุปแล้ว เราควรทำงานให้มันเต็ม ก็ทำประสิทธิภาพเต็ม
และการใช้ผลผลิตรายได้คุณไม่ได้กินใช้ ตามที่ผลผลิตแรงงานคุณออกไป คุณยังมีส่วนเหลือ คิดตามความรู้ทางโลกเลย ยังมีส่วนเหลือส่วนเกิน ไม่เป็นหนี้ทั้งทางธรรมและทางโลก ก็มีส่วนเกินให้คนอื่นไปตลอดคุณเป็นเจ้าหนี้ด้วยถ้าจะว่ากันไป แต่ว่าไม่ต้องไปจำเลย สัจจะมันก็ทำงานของมันเอง เราไม่ต้องไปวุ่นวายกับสัจจะ เราก็ทำสัจจะของเราให้ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ ไปยุ่งไปกวนให้โง่ทำไมสัจจะไม่ไปโกรธใครไม่ไปบังคับใคร
สรุปแล้ว คนจนนี้มีที่จบเป็นศูนย์ แต่คนที่ตั้งจิตไปรวยนี้มันไม่มีที่จบ มันเหมือนปากกรวย แต่คนที่มุ่งมาจนมีศูนย์เป็นที่จะ เป็นก้นกรวย 0
เมื่อคนใดที่รู้ว่าจิตใจตัวเองมีความพอ โดยมีเหตุปัจจัยที่พอใช้เรียกว่า บริขาร
สิ่งที่เราต้องอาศัย ทำงาน ถ้าจะพูดไปแล้วจะลงพยัญชนะ ปร คือรอบ ถ้วน ขาร คือสิ่ง ข.คือว่าง 0 ส่วน ร.นี้มี คือเราอาศัยให้มีใช้อาศัยพอเหมาะ คือมันมี
อะ อา อิ สามเส้าเป็นลำดับ แต่ถ้าเอาคี่คู่ก็ อะ อิ อุ ถ้า อา อี โอ ก็เอาคู่
เรายืนอยู่ในฐานของศูนย์ของความจน มันไม่มีที่ไปแล้วมันเป็นความจบ อาตมาอ่านสภาวะพวกเรามีที่จบแล้ว แม้จะมีกิเลสเหลือ แต่อยู่ในนี้เรามีระบบความสูญ คุณอยู่ในนี้จึงมีความจำนน อย่างไรก็ต้องสูญ แต่ที่นี่มีระบบสาธารณโภคี คุณต้องไม่มีกิเลสส่วนตัวที่จะไปบุกรุกทรัพย์สินส่วนกลาง จะใช้เท่าไหร่ก็ตามบารมี แต่เป็นหมาหัวเน่าเขาก็ไม่ค่อยอยากให้ แต่ถ้าเป็นคนดีขอเท่าไหร่เขาก็ให้ แล้วคนดีก็ไม่ได้อยากได้มากมายอะไรเกิน มันซ้อนไปเรื่อย เพราะฉะนั้นจึงมีอยู่อย่างเพียงพอ เราควรสร้างสรรค์ขยันหมั่นเพียร มันมีมากพอมาเหลือเฟือ ไปเกื้อกูลข้างนอกได้
อย่างเราสร้างอาคาร บวร สร้างเพื่อเพื่อคนภายนอกแท้ๆ ไม่เดือดร้อน ไม่ต้องมาเสียดอกเบี้ย ของพวกเรานี้ก็ยังมีเหลือยักไว้ ถ้ามันเดือดร้อนก็ขอขูดเพิ่ม ตอนนี้ก็ยังพอไปได้
สรุปว่าคนที่มีปัญญาชัดเจน มีความเฉลียวฉลาด มาเป็นคนจนคือไม่มีอะไรมาก เรามายึดถือเป็นเราเป็นของเรามาก ของส่วนรวมจะอุดมสมบูรณ์ก็เป็นของส่วนรวม ผู้บริหารร่วมกัน แม้แต่องค์รวมของเรา เราก็ไม่พยายามกักตุนไว้ ถ้าหากสะพัดได้ก็รีบสะพัดออก จึงเป็นความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ที่ลึกซึ้งที่สุดวิเศษที่สุด ไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่พวกไม่เห็นแก่ส่วนรวมของเราด้วย จัดสรรไว้ให้พอเหมาะพอดีพอควร แล้วเราไม่หยุดในการพัฒนาตัวเองที่จะมีทั้งคุณภาพได้ทั้งสิ่งดี ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ
ไม่เอาระบบสินเชื่อ ระบบสินเชื่อเป็นระบบที่ออกฤทธิ์เลวร้ายมากตอนนี้ เราล้มล้างระบบนี้ไปได้เลย มาเอาทำจิตใจให้เป็นอย่างนี้กัน อาตมาว่าเราได้ตั้งหลัก ตั้งฐาน ฐานของบุคคลมีความจริงเกิดเป็นฐาน มันมีจริงแล้ว เป็นสเตตัส ทุกวันนี้ก็สามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นจริงมีจริง status quo แปลว่าสถานะที่มีในปัจจุบันนี้ ทนโท่เลย
สิ่งที่มันมีจริงหรือนี่ยืนยันปัจจุบันนี้ คุณมายืนยันได้ ในความจริงตามความเป็นจริงแล้วแม้แต่ status quo มันก็ไม่เที่ยง มันมีอยู่ในขณะนี้ ถ้ามันแย่อนาคตก็เสื่อมลงไปกว่านี้เพราะมันไม่เที่ยง แต่ถ้ามันไม่แย่มันจะเดินอนาคตมันก็เจริญกว่านี้ มันก็ไม่ใช่อันนี้แล้วไม่ใช่ status quo ที่เป็นปัจจุบันนี้แล้ว เราเจริญเพิ่มขึ้นตามเวลามันก็เจริญไปอีก
ถ้าหากพวกเราเข้าใจแล้วทุกลมหายใจเข้าออก แต่ละคนมีสัมประสิทธิ์ coeficient พลังงานแรงงานที่สร้างสรรค์ก้าวหน้า สัมประสิทธิ์แปลว่าอัตราการก้าวหน้า ที่ก้าวหน้าในระดับคูณเป็นต้นไปด้วย ต่างจากบวก
ต้องดูซ้ำซ้อนว่า ต่างกันอย่างไร บวก คูณ ยกกำลัง สามเส้านี้ ยังมีมิติในการยกกำลังมากมายอีก ระดับคูณก็เป็นชั้นๆ รู้จักอัตราส่วน สังขยาพวกนี้ แล้วสภาวะที่เราจะวัดด้วยสังขยาเลข เราก็เข้าใจกัน
เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ในระบบสาธารณโภคี หรือระบบที่พระพุทธเจ้าค้นพบแล้วเอามาเปิดเผยนี้ อาตมาก็ยังมั่นใจที่สุดเลยว่า เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีนี้ มันไม่มีดีกว่านี้อีกแล้ว
ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว แม้แต่ระบบคอมมิวนิสต์ก็ต้องการแบบนี้ ระบอบประชาธิปไตยก็ต้องการแบบนี้ แม้ที่สุดระบอบเผด็จการ และผู้ที่เผด็จการก็มีจิตใจไม่มีตัวตน เป็นพระราชาที่มีทศพิธราชธรรมเป็นต้น หรือไม่ใช่พระราชา พระเจ้าแผ่นดินก็เป็นผู้บริหารที่สุดยอดมีทศพิธราชธรรมเหมือนกัน ก็จะอยู่ในบริบทนี้ไปหมดเป็นอื่นไปไม่ได้ สุดยอดแห่งเศรษฐกิจของมนุษยชาติของโลกไม่ว่าในยุคไหน มันไม่มีอะไรสูงกว่านี้หรอกพระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบแล้วก็ ตราไว้ มีหลักฐานในสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
มันสุดยอด แห่งทฤษฎีความรู้ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ยืนยันได้ในโลก อาตมามั่นใจ
พวกเราพากเพียรศึกษาปฏิบัติเถอะ จะได้เป็นเนื้อแท้เป็นหน่วยของมวลแห่งสังคม สาธารณโภคี หรือระบบบุญนิยมหรือสังคมพุทธศาสนาที่เป็นเนื้อแท้ 100% ดำเนินไปให้มนุษย์โลกได้รู้ ซึ่งเขาก็ต้องการ แต่เขายังไม่เข้าใจไม่รู้ว่าต้องเป็นอย่างนี้หรือ เพราะเขายังไม่เชื่อ
หนึ่งไม่เชื่อว่าทฤษฎีนี้จะดีกว่าทฤษฎีที่เขายึดถือ ทฤษฎีที่เขาถืออยู่ เขาเชื่อว่าดีกว่า หรือทิฏฐิตามภาษาบาลี ถ้าทฤษฎี เป็นภาษาสันสกฤต ความหมายอันเดียวกัน
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจสภาวะ สุดยอด ยอดสุด และยอดสุดๆ อันนี้สุดๆยอดแล้วไม่มียอดกว่านี้อีก นี่มันสุดยอดแล้วตอนนี้ยอดมันสุดๆแล้วไม่มีอื่นอีกแล้วจะ
ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญาแล้วจะมีอานิสงส์ 5 ประการในการฟังธรรม เข้าหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำได้รวบรวมไว้หมดแล้วพระพุทธเจ้า ไม่ต้องห่วงเลย ยิ่งพูดยิ่งเห็นจริง ว่าเรานี่มาทางถูกแล้วนะ แล้วก็มองไปในสังคมโลกก็น่าสงสาร ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลปาเลสไตน์ ไม่ว่าจะเป็นทางเกาหลีเหนือ อเมริกา อะไรก็แล้วแต่ เห็นแล้วก็ ธรรมะ 2
ธรรมะ 2 ระหว่างปาเลสไตน์ กับอิสราเอล ธรรมะ 2 ระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนือ หรือซ้อนในแต่ละประเทศของเขาไม่มีความรู้เท่าไหร่ กำลังแย่งอำนาจกันอยู่ มีไม่รู้กี่ประเทศตอนนี้ แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังมีการแย่งอำนาจกัน แต่ใครๆก็รู้ว่า ตอนนี้ใครอยู่เหนือ เหนือนี้ไม่ได้เบ่งข่มนะ
มีคนเสนอว่า.. เปรียบสังคมเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีไวรัสติดในฮาร์ดดิสก์ ต้องใช้โปรแกรมบุญจัดการ
พ่อครูว่า..สรุปแล้วบุญไปทำลายสิ่งเลวร้าย ในฮาร์ดดิสในคอมพิวเตอร์ ต้องทำรายสิ่งที่ตัวเป็นภัยคือไวรัส ไม่จัดการมันไม่ได้ มันเล่นงานเราเมื่อไหร่ อาตมาบางทีทำงานอยู่ แต่ก่อนทำงานอยู่มันล้มของเราไปหมด เราไม่เก่งต้องอาศัยคนมากู้ หลายอย่างต้องเริ่มต้นใหม่ ทรมานทรกรรม หลายคนคงมีประสบการณ์
สรุปอีกทีหนึ่งว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบพุทธนั้น ถ้าเราศึกษาสัจธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว อาตมาเป็นผู้ที่เขายืนยันว่า อาตมาเคยพูดที่บอกว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานี้เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วอาตมาก็มีนัยละเอียดกว่านั้น แต่ยังไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ แล้วก็มาแสดงตน ปรากฏการณ์จริง แล้วมีพระจริยวัตรทรงงานไปตั้ง 70 ปี อยู่ในหน้าที่ของพระองค์ก็ทำได้อย่างอิสระเสรีบริบูรณ์ไม่มีใครต้าน คนละขั้วกับโพธิรักษ์เลย ทำอะไรก็ถูกต้าน มันไม่เหมือนกันเป็นคนละฟากฟ้า อาตมาพูดไปแล้วไม่ได้หมายความว่าท้อถอยหรือน้อยใจ มันเป็นเรื่องจริงที่ต้องพิสูจน์กันอย่างแท้จริง เป็นเรื่องซับซ้อนที่ไม่ได้เข้าใจได้ง่ายๆ อาตมาก็ไม่มีเลยน้ำหนักในใจตนเองที่จะเป็นน้ำหนักที่จะท้อถอย ท้อแท้น้อยใจเสียใจเว้าใจแหว่งไม่มี อย่างไรก็สู้ๆ อาตมาไม่มีถอยหลัง อาตมาก็ชัดเจนในตัวเองว่าไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่มีใครบาดเจ็บ คุณยังโง่เอง กระทบทางใจเท่านั้นเอง อย่างเก่งก็ หอกอาตมาไปปัก มุขสตีเท่านั้น ทั้งได้กายกรรมไม่เคยไปทำร้ายใครเลยไม่เคยตบใครสักครั้งเลย เตะก็เคยเตะ ไม่เคยกระทบกระเทือนใคร อาตมาแม้แต่ทุบโต๊ะก็ไม่เคย มีปัญญามากกว่าสามัญอยู่ คนไม่มีปัญญาไปทุบโต๊ะแล้วมือใครเจ็บ พลังงานอาตมาแรงอย่างมากก็ปากหอก
เขาก็ว่าปากหอกไปจะมีศัตรูไม่ใช่หรือจะไปทำทำไม แต่ขนาดนี้ เขายังไม่หยุดเลย เขาไม่รู้ความดื้อด้านดันทุรังของมนุษย์มีเท่าไหร่ในยุคนี้ แรงสูงมาก ดื้อด้านดันทุรัง อาตมมาไม่บอกจุดสำคัญหรอกว่าทำไมอาตมายังทำอย่างนี้อยู่ อาตมาบอกจุดสำคัญคุณรู้ไต๋ก็เสร็จ อาตมาเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เล่นเผเป็นนะ บอกไปก็หมดตัวสิ อาตมาทำงานจะต้องมีตัวตน แต่ตัวตนของอาตมาไม่ทำร้ายใคร เป็นตัวตนที่เหมือนพืชมีแต่ให้ประโยชน์ผู้อื่น จะใช้ปากหอกทิ่มแทงผู้อื่น ก็เพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ไม่ได้ทิ่มแทงให้เลวร้ายมากขึ้น หรือถึงตายไม่มี คุณไปอุปาทานเองว่าอาตมาทิ่มแทง หากคุณไม่มีแผลก็แทงไม่เข้า หยิกไม่เข้าฟันไม่ออก คุณไม่มีปัญหาหรอก อาตมาจะยิงระเบิดหรือเอาปังตอเอาง้าว 80 ชั่งไปฟัน คุณก็ไม่กระเทือนไม่เดือดร้อนหรอก รับรองว่าคุณหนังเหนียวกว่ากัน คำว่าหนังเหนียวคือด้าน
มันหนาอย่างนั้น หนาด้านๆก็ต้องใช้อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นไม่เกิดผลก็จะทำอย่างเสียแรงเสียเวลาเปล่าๆได้ดีกว่าเลิก แต่ถ้าทำต้องทำขั้นนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่เข้า ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่รู้สึกรู้สาอะไร ขนาดนี้ยังรู้สึกรู้สากันเท่าไรขณะนี้ ทำไมมันถึงได้หนังเหนียวจัง
คุณอู๊ดบอก...ผมรู้ว่า พ่อครูจะเปิดอะไร
พ่อครูว่า...อย่าอยากโชว์เลย คือถ้าคุณอวดดี ถ้าถูกอาตมาก็เสียงาน สองถ้าคุณอวดดีผิดก็ขายหน้า อาตมาไม่ต้องการเปิดเผย อาตมาเคยเปิดเหมือนกัน ก็ต้องผ่านๆ เขาจับไม่ทัน คุณทันก็ดีแล้ว ของจริงเปิดทั้งหมดได้อย่างไร คุณรู้ของจริงแล้วก็เดินเปิดเปลือยกายโทงๆบ้าหรือ ปิดไปก่อน ให้มันรู้จักสังคมบ้าง ถ้าในยุคโบราณก็เดินเปลือยกายได้ แต่ในยุคนี้ไม่ได้ ในยุคนี้กิเลสไม่เหมือนพันปีที่แล้ว ที่ไม่มียึดถือสมมุติอะไร 2000 ปีที่ผ่านมา ในยุคของพระพุทธเจ้าก็มีการนุ่งห่ม ห้าพันหรือหมื่นปีที่แล้วก็ได้แต่ในยุคนี้ไม่ได้ ต้องรู้กาละเทศะ
คำว่าเศรษฐศาสตร์หรือคนจนเป็นคนจนที่เป็น 0 และเขาเต็มใจจนตั้งใจจนได้แล้ว ก็เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เขาไม่ได้แกล้งทำหรอก ถ้าหากแกล้งทำจะไม่นาน อดทนเอาเสแสร้งเอา จะต้องบังคับตนเอง แต่นี่ไม่ต้องมาเคร่งอะไร มันก็เป็นอย่างนี้เป็นไปตามจริง มันมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว ก็มีเท่าที่เรามีแล้ว มันสมบูรณ์มันสบายและ แล้วก็ทำงานให้เต็มที่แข็งแรงสุขสำราญเบิกบานใจ มีแต่อายุจะยืนยาวไปถ้าหากเพิ่ม Coefficient สัมประสิทธิ์ของตัวเองก็จะอายุยืนยาวไป
อาตมาทำมาได้1 นักษัตรแล้ว จะเพิ่มอีก 1 นักษัตร อายุก็จะเป็น 96 ปี ถ้านักษัตรที่ 3 ถ้าเป็น 108 อาตมาก็จะยังไม่พอ จาก 108 ก็เป็น120 จาก120 เพิ่มเป็น 132 ,144 เอาให้มันชัดเจนลงไปเลยว่ะ พิสูจน์กันว่าอันนี้สามารถเพิ่ม สัมประสิทธิ์ของตน ถ้าหากทำได้ 151 ปี ถ้าได้144 แล้วก็แถมเพิ่มบารมีตัวเองอีกสัก 7 ปี ค่อยไป
สมณะเดินดินว่า...เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวแอร์โฮสเตสอายุ 81 ปียังทำงานได้อยู่
พ่อครูว่า..ด้วยหลักการนี้มั่นใจว่าไม่ผิดหรอก เป็นแต่เพียงว่าอาตมาจะมีบารมีพอไหมเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็พยายามสร้างบารมีทับทวีขึ้นไป มันอยู่ที่กรรม อยู่ที่จิตกับกรรมของเรา เราจัดสรรกรรมเราให้สมดุล มากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็เสื่อม ต้องรักษาสมดุลให้ดี แน่นอนว่ามันมีสิ่งที่ โอเวอร์แลปบ้าง มีแลบเลียส่วนนั้นส่วนนี้ จะเป๊ะไม่ได้
มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ด้วยเพราะจะต้องมีสภาพเกินล้ำหน้า เกริ่นนำหน้า เหลื่อมล้ำหน้าไปได้เรื่อยๆ อาตมาจึงมีลักษณะ คนมอง เป็นสุดโต่งหรือเกินไป อยู่เสมอเลย เพราะเขาไม่รู้ว่าอาตมาสร้างพลังงานยกกำลังของสัมประสิทธิ์ อาตมาต้องเติมยกกำลังของสัมประสิทธิ์
อาตมายกกำลัง 2 ได้แล้ว ก็ต้องพยายามยกกำลัง 3 ยกกำลัง 4 ถ้าไมเช่นนั้นอาตมาไม่มีอัตราการก้าวหน้า คุณจะให้อาตมาเบาลงมา อาตมาจะต้องเพิ่ม แล้วคุณจะให้อาตมามาเบา อาตมาจะเดินไปถึงจุดหมายได้อย่างไร 151 ปี มันขัดแย้งกับความเป็นจริง
ต้องชัดเจนจริงๆว่าคนจนนี่คือ 0 แล้วคนจนมีประสิทธิภาพที่เป็นสัมประสิทธิ์สร้างสรรค์เพิ่มได้มากมีปฏิภาคทวีขึ้นเรื่อยๆ เป็นบวก เป็นคูณ เป็นยกกำลัง นี่คืออัตราคำว่าก้าวหน้า progression ratio
อาตมาก็ไม่ได้ไปขึ้นๆลงๆ กับคนพูดคนท้วงคนติงมาก ฟังเขาแล้วก็รู้ว่าตนเองทำผิดหรือไม่อย่างไร อาตมาไม่ได้ทำผิด ทำในสิ่งที่ตนเองตั้งใจอยู่แล้วก็จบ ในการฟังคนตำหนิ ก็ขอบคุณ ติงติมาเถอะ อาตมายินดีรับ แล้วอาตมาเชื่อว่าอาตมารับได้จะติติงมาอย่างไร
ถ้าติติงมาอย่างไร้ความรู้ก็จะรู้ ติติงมาอย่างสาดเสียเทเสียก็รู้ หรือแม้ติติงมาด้วยความโกรธ หรือติติงมาด้วยความโลภของคุณหรือติติงมาด้วยโมหะ คนไม่เต็มหลงเลอะก็จะรู้ เราก็ต้องดูตามความจริงที่ว่านั้น เลือกเอา แม้คนติมาด้วยความโกรธแต่เข้าท่า
ในความโกรธนั้นของเขาแต่มีสาระที่ดี อาตมาก็ยังขอบคุณเลย จะติมาด้วยความโกรธก็ตาม ความรักตัวเอง เป็นความปรารถนาเป็นปัญหาของตัวเองต้องการจะด่า ก็ตาม
ดีไม่ดี บางคน ด่ามาก็อร่อยดี ด่ามันดี สะใจถ้าเป็นเรื่องของคุณ อาตมาไม่ได้เสียคุณเป็นคนเสีย อาตมายังไม่ขึ้นไม่ลงกับอำนาจภายนอก จะบอกว่าหน้าด้าน ก็ไม่มีปัญหาอาตมาไม่เป็นคนหน้าด้าน แต่เป็นคนยืนหยัดยืนยันในหน้าที่ในสิ่งที่อาตมาจะทำ เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เรื่องเพื่อตัวเองของอาตมาแต่อย่างใด อาตมาก็ตั้งใจทำไป
ประเด็นแค่ว่า ถ้าไปบอกคนให้พยายามปฏิบัติอย่างที่ในหลวงเราได้ตรัสไว้ ทำแบบคนจน ให้มาเข้าใจความจน ชีวิตจนคืออะไร คือไม่ต้องสะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานของเรามาก มีน้อยๆ แต่สูญ ก็จบแล้ว แล้วก็มาอยู่กับหมู่กลุ่มชุมชน เพื่อนที่มี0นี้เยอะในชาวอโศก เพื่อนที่มี0นี้เยอะ
อย่างอาตมายกตัวอย่างสมณะของเรา ไม่มีสมบัติพัสถานอะไร 30 ถึง 40 ปีมาแล้ว นี่ไม่อยากเอาคืนจากน้องบ้างหรือ สมบัติพ่อแม่มีเยอะแยะ ตอนนี้พี่สาวก็ไม่เอาแล้ว ไม่แย่ง ตัวเขาก็ต้องยกให้น้องสาวหมด คิดจะไปเอาบ้างหรือไม่
สมณะเดินดินว่า...ไม่มีครับ
พ่อครูว่า...อาตมาก็มีน้อง ก็ไม่ได้คิดจะไปเอาอะไรของใคร แม้น้องก็ไม่เคยไปบอกอะไรมากมาย ก็พูดบ้างว่ารู้จักสละออกบ้าง แต่ไม่ได้บอกว่ามาให้ตัวเองหรอกนะ ไม่เคยไปบังคับใช้อำนาจบาตรใหญ่ว่าเราเป็นพี่ก็ไม่ได้ทำ ให้เขารู้ตัวเอง ให้เขาเข้าใจเอง ให้ทำของเขาเอง ถึงประโยชน์ของเขาอย่างนี้เป็นต้น
เขาก็อยู่ของเขาได้รอดมีเหลือด้วยซ้ำ เขาจะไม่ทำก็ไม่เป็นไรไม่มีปัญหา ไม่ได้ไปถึงหน้าตัดใจว่าเราเป็นพี่ ดีไม่ดีเป็นพี่ที่เลี้ยงเขามาทุกคน อาตมาพูดได้เต็มปากตามสัจจะ เอาที่อาตมาว่า ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาว่าอย่างไรๆอาตมาไม่ไปปักกิ่งหว้าหรอก แต่ใครจะมาปักกิ่งหว้า ท้าดีเบตก็ไม่มีปัญหา
ญาติธรรมว่า…ก็ต้องพิสูจน์กันว่าอันไหนถูกผิดกันชัดๆ
พ่อครูว่า...อาตมาก็ทำอยู่แต่คนที่ถูกว่าก็หาว่าข่มเบ่งยกตนข่มท่าน แต่ประมาณว่าก็เป็นธรรมชาติดีนะไม่เน้นมากกว่านี้ ถ้าจะเน้นข่มมากกว่านี้ แม้จะมีตัวตน ถ้าจะข่มเบ่งก็จับมาตัวต่อตัวไล่ไปว่า อาตมาเหนือกว่าตรงไหน อาตมาว่าทำได้แต่ไม่ทำ อาตมาว่ามันไม่น่าดูหรอก มันน่าเกลียดก็ไม่คิดจะทำ กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นด้วยซ้ำไป ถ้าจะทำนี่อาตมาเปิดมาเมื่อไหร่ ก็ได้ แต่มันรู้อยู่เข้าใจอยู่ ก็พาดพิงบ้างก็ขออภัยที่ยกตัวอย่างประกอบ บางท่านตายไปแล้วก็หยิบไปว่า ก็ต้องขออภัย
ถ้าศาสนาพุทธในประเทศไทยปรับตัวขึ้นมาสัก 25 เปอร์เซ็นต์หรือ 50 เปอร์เซ็นต์เลย อาตมาจะพูดได้สวยได้เบาได้สุภาพงดงามกว่านี้เยอะเลย แต่ทุกวันนี้ จำเป็นต้องปากจัด อาตมาโทษพวกคุณนะไม่ได้โทษตัวเอง นี่พูดตรงๆ ปรับเปลี่ยนท่าที ได้ไหมเล่าถ้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ว่าเข้าใจแล้ว จะเปลี่ยนท่าทีแล้ว จะหยุดแล้วที่ทำ สองจะพูดยอมรับคำพูดอาตมา แต่นี่ไม่แอ๊ะอะไรเลย นี่ก็ทำอยู่อย่างเก่านั่นแหละ จะให้ทำอย่างไรก็ต้องกระตุก
มีคนว่า_เขาหูไม่กระดิก อุดหูแล้วขโมยกระดิ่งไปอีก
พ่อครูว่า…เปรียบเทียบอย่างนี้ก็ดี
ไปทำความเข้าใจกับความจนให้ดี ความจนเป็นสิ่งที่ประเสริฐ จนอย่างมีปัญญาอุดมสมบูรณ์มหัศจรรย์ มีประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่นต่อสังคม คนจนอย่างนี้ มันไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ถ้าจะพูดมากกว่านี้ว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องด้วยซ้ำไป พวกคุณเองต่างหากที่ยังไม่ยอมปลดปล่อย มีกันคนละมากมายมหาศาลให้ลดละลงมาเฉลี่ยและสละออกไปบ้าง แต่นี่กอบโกย ไปร่วมกันกอบโกยอยู่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ตัวเองก็ยังกอบโกยแล้วไปชวนเพื่อนให้กอบโกยอีก
เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธมีแต่ให้สละออกมา น้อยลงแล้วอยู่ได้ น้อยลงและให้อยู่ได้ ในหลวงท่านได้ใช้ศัพท์ว่าพอเพียง สมบูรณ์แล้วจบแล้ว เศรษฐศาสตร์พอเพียง แต่นี่เขาไม่พอเสียที เพียงนี้ ยังไม่พอหรือไง เพียงนี้พอเสียทีเถอะ เพียงคือขีด เพียงนี้ พอเสียที มันลดกว่านี้ได้อีกนะ แต่เพียงนี้ยังไม่พอเสียที ยิ่งใหญ่นะ ศัพท์คำว่าเพียงกับพอ เราเพียงนี้ พอแล้วก็ลดขีดเพียงลงไปอีกให้ต่ำลงได้อีก
สมณะเดินดินว่า...ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราขีดเส้นความเพียงความพอให้กับตัวเองได้หรือยัง อยู่กับชาวอโศกได้ทบทวนว่าอยู่มากี่ปี 5 ปี 10 ปี 20 ปี เราขีดเส้นนี้ได้หรือยัง เมื่อขีดเส้นได้แล้ว ก็ต้องมีทิศทางลดลงไปอีก ไปหาทิศทางความสูญลงอีก พ่อครู พูดมา 30 40 ปีทำให้เราเห็นความจนความสูงว่าเป็นความสุดยอด มีความสุขสำราญเบิกบานใจ
พ่อครูว่า สุขสำราญเบิกบานใจน่ารักๆอบอุ่น ต่อให้อีก
สมณะเดินดินว่า...แต่ก่อนนี้พ่อครูพูด กำไรและขาดทุนของอาริยชน ญาติธรรมพ่อค้าว่ารับไม่ได้ยอมไม่ได้ ดีว่าเขาตายไปแล้ว ถ้ายังไม่ตายก็คงจะทำความเข้าใจในประเด็นนี้ได้ ก็จะเห็นถึงความสำคัญอย่างหนึ่งว่า ทิศทางของความจน จนไปสู่ความสูญ เรายิ่งจนเท่าไหร่ ความสมบูรณ์พูนสุขก็ยิ่งมี เหมือนนักเล่นกายกรรมจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ยังมีฟูกรองรับ สาธารณโภคี ถ้าเราจนมากเท่าไหร่ กองกลางก็จะมีมากเท่านั้น เราจะไปเสียเวลาสะสมทำไม เราจะขับรถก็มีรถไม่รู้กี่คันมีคนขับให้ด้วย อาหารการกินก็มีให้เรากิน เจ็บปวดก็มีคนรักษา แล้วจะไปเสียเวลาหอบหวงให้เป็น ปลิโพธทำไม จนอย่างอุดมสมบูรณ์พูนสุข มีความมั่งมีความปลอดภัยในชีวิต มีญาติพี่น้องมิตรสหายมากมายก่ายกอง เป็นระบบที่ประชาธิปไตยเขาต้องการเผด็จการก็ต้องการ เป็นระบบสูงสุดของมนุษยชาติ ที่จะพึงเข้าถึงได้ แต่พ่อครูก็บอกว่า เรายังไม่รู้ถึงความวิเศษ ว่าเราอยู่อย่างนี้มีความวิเศษอย่างไร พี่น้องมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขสมรรถภาพก็เพิ่มอยู่ตลอดเวลา มันเหมือนกับลมที่พัดไปพัดมา แต่คนไม่รู้คุณค่าว่ามันทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนอยู่ในโลกนี้ ฟังวันนี้แล้ว พวกเราก็คงจะอยากจะเป็นคนจนมากขึ้นจนไปสู่ความสูญต่อไป
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:29:26 )
รายละเอียด
601225_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สัมประสิทธิ์จากมิตรดีสหายดีสิ่งแวดล้อมดี
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน คำว่า การให้ต่างจากการเสียสละอย่างไร
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 บวรราชธานี วันนี้เป็นวันเข้าเส้นชัยของพี่ตูน ดูเหมือนโทรทัศน์ทุกช่องก็ให้ความสนใจ กับชัยชนะที่เป็นการวิ่ง 2000 กว่ากิโลเมตร ด้วยความอดทน ซึ่งเขาบอกว่า ถ้าเป็นตัวเขาเองคงทำด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ที่ทำได้เพราะว่าพลังของประชาชน คนที่ให้กำลังใจเขา ทำให้เขารู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ทำสิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ส่วนยอดทะลุ แต่ก่อนยังรู้สึกว่า 700 ล้านจะได้ยังไง แต่ตอนนี้ทะลุไป พันกว่าล้านแล้ว 1200 ล้านแล้ว ตัวเลขก็ยังวิ่งขึ้นตลอดเวลา
พ่อครูว่า...จิตใจอย่างนี้มีความหมายที่คำว่าเสียสละหรือให้ มีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ 2 คำนี้ เสียสละ กับ ให้ นี่ก็มีคำถามจาก กุสลาธัมมา ถามมาพอดีว่า
การให้ทานกับการเสียสละต่างกันไหม ถ้าไม่ใยดีในสิ่งของแล้วให้ไป กับยังหวงสิ่งนั้นอยู่ อานิสงส์จะต่างกันไหม?
พ่อครูว่า...ถ้าไม่ใยดีสิ่งของแล้วก็ให้ไป ให้นี้ตรงกับภาษาไทยชัดๆว่าคำว่าทาน ส่วนอีกคำหนึ่งเป็นภาษาไทยเหมือนกันคือคำว่าเสียสละ เสียสละมีสองพยางค์ เสียคำหนึ่ง สละคำหนึ่ง
ตอบอันนี้ก่อนว่าไม่ใยดีสิ่งของแล้วก็ให้ไป กับมีหวงแหนสิ่งนั้นอยู่ มีอานิสงส์ต่างกันไหม
การให้อย่างหวงแหน คือยังมีตัวกูของกู การไม่ใยดี มันหมายถึงเราไม่มีตัวกูของกูอะไรก็ได้ หรือมองว่าเป็นการไม่ชอบแล้ว ชังแล้วก็ตาม แต่มันก็หมายถึงการสละออกหลุดพ้นไปจากตัวตนจากเรา เพราะฉะนั้น น้ำหนักของการไม่หวงเลย แม้จะอยู่ในมุมไม่พอใจไม่ชอบใจ ก็ยังมีน้ำหนักสูงกว่ายังหวงยังเป็นตัวตน แต่ออกไปแล้ว ไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ละเอียดลึกซึ้งในจิตวิญญาณ
สายเจโตนี่ จะให้ไปโดยที่ว่า ไม่ดูด สละแล้วจะไม่ดูดเอามากๆ สุดท้ายจะเร็วกว่า นั่นคือความหมดตัวตนที่ดี
แต่สายที่ยังหวงแหน มีนัยซับซ้อนว่า หวงไว้เพื่อตนจริงๆ หรือหวงไว้เพื่อใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์นั้นจะเป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นอีก ไม่ใช่เพื่อตัวตนชัดๆ มันเป็นความเสียสละ ซ้อน มันเป็นนามธรรม ถ้าพูดด้วยภาษาที่อาตมาใช้ขณะนี้คือค่าสัมประสิทธิ์ ที่สูงขึ้นไปอีก เพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์มากขึ้นอีก ใช้ปัญญาเพิ่มขึ้น ถ้าบริสุทธิ์อย่างนี้สูงกว่า การไม่ใยดีต่ำกว่า
อาตมาจะอธิบายตอนนี้สู่ฟัง หรือไม่อธิบายก็ดี ผู้ที่ศึกษาลึกซึ้งละเอียด จะรู้จักแรงบวกลบการผลักการดูด จะมีตัวตนอยู่กับแรงผลักแรงดูดอย่างไรหรือไม่ เราจะมีญาณปัญญาเข้าใจเอง รู้เอง
แต่ทีนี้ อธิบายการเสียสละกับการให้ทานต่างกันไหม
คำว่า ให้ นี้ แปลตรงๆว่าการทาน
ให้ เป็นภาษาไทยแท้ๆ แต่ทาน เป็นภาษาบาลี เราก็เอามาใช้จนเป็นภาษาไทย จนคนที่ไม่ได้ศึกษาตามไม่ได้ว่ามาจากต้นรากอะไร ให้
เสียสละ มีสองพยางค์ คำว่าเสียนี่ไม่ค่อยดี คำว่าสละนี่เป็นความดี
เสียมีนัย เสียของ เลวร้ายได้ แต่ สละ นี่คือ ให้ การเสียสละ กับการให้
เสียสละ มีนัยสองอย่าง ส่วน ให้ มีนัยเดียวเลย
การเสียสละจึงยังหยาบกว่าการให้ การให้กับการทาน จึงเป็นตัวสูงสุดในบารมีสิบทัศ ให้นี่สูงสุดเลย
_มีผู้รู้บอกมาอีกว่า สละคือมีปฏินิสสัคคะ มี Action Reaction แรงงานสอง แต่ให้นี่มีแรงงานเดียวเลย ผู้ให้อย่างไม่ใยดีก็อาจมีผลัก มีชัง ผลักมีปฏิกิริยา Action Reaction ยังไม่จบ
สมณะเดินดินว่า...แต่ถ้าดูคนส่วนใหญ่คนที่เขาให้กรณีตูน แต่ผมรู้สึกว่า การให้เพราะ จิตใจเขาจะมีการอยากได้อะไรตอบแทนอยู่ แต่การให้กับตูนนี้จะไม่ใยดีเท่าไหร่
พ่อครูว่า...การให้กับตูนนี้ คนมีปัญญาว่าตูนไม่ได้เอาไปเป็นของเขา ตูนเอาไปเป็นของคนอื่นต่อ ตูนก็มีตัวตนเป็นคนดีซ้อน ถ้าตูนชัดเจนว่าไม่ได้ทำเพื่อความดีอะไรแต่ทำเพื่อให้ตัวเดียว อันนี้มันละเอียดลึกซึ้งสูงสุด แต่ถึงอย่างไรเป็นรูปธรรม การแสดงออกเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนและคนไทยตื่นตัว แล้วก็มีความชื่นชมสูงส่งขณะนี้ ก็ถือว่าดีแล้ว ดีมากๆแล้ว
ปฏินิสฺสัฏฐะ คือสละ ละเลิก สลัดทิ้งไป ก็ฝังพยัญชนะใส่ไว้ใน harddisk ไว้
สรุปแล้ว สละนี่มีพยัญชนะสองตัว ถ้าให้มีพยัญชนะตัวเดียว ถ้าสองกับหนึ่ง นี่หนึ่งก็สะอาดขาดกว่า
สมณะเดินดินว่า...แล้วเธออยากจะฟังพวกเราที่จะมาร่วมงานเพื่อฟ้าดินฟ้าว่า อากาศที่นี่ค่อนข้างไม่ใช่หนาวอย่างเดียว มีพัดลมเปิดจากแม่น้ำตลอดเวลา ผู้ที่เดินทางมาควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาให้ครบพร้อม
พรุ่งนี้เวลา 6 โมงเย็นเราก็จะมีการปฐมนิเทศ เข้าสู่การบำเพ็ญคุณบำเพ็ญธรรม งานนี้เป็น ว.บบบ.ที่เชื่อมโยงเข้าหาสังคม งานเพื่อฟ้าดิน เป็นงานที่สอดคล้องกับ รัฐที่จะส่งเสริม ตลาดประชารัฐ ก็จะเป็นงานที่ เป็น ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน เป็นงานที่ให้สอดคล้องประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน ใครจะมาก็เตรียมเครื่องกันหนาวให้ครบพร้อมก็แล้วกัน
พ่อครูว่า…
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ศิลปะโลกุตระกับแบบคนจน
_มีคำถามเด็กๆ จาก สสภ.ถามมาว่าแบบคนจนนั้นเป็นศิลปะแบบโลกุตระ หรือไม่อย่างไรครับ และถามอีกว่า ศิลปะแบบโลกุตระสามารถนำไปปฏิบัติให้ตนเองเป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจได้อย่างไรครับ
พ่อครูว่า...คนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ เป็นโลกุตระจริงๆ และถามอีกว่า จะสุขสำราญเบิกบานใจได้อย่างไร ก็อธิบายตอนนี้คร่าวๆ
คนจนนั้นเป็นศิลปะแบบโลกุตระ แน่นอน ในความหมายหนึ่ง แต่คนจนที่ไม่เป็นศิลปะ ไม่เป็นโลกุตระ ใครๆก็เข้าใจได้ แบบปุถุชน คนจนที่ไม่มีคุณสมบัติดี คนจนที่พฤติกรรมไม่ดี ประพฤติไม่ดี ก็ลึกซึ้งกว่า นอกจากคนจนที่ประพฤติไม่ดีก็ต้องได้รับวิบากไป มีความทุกข์ทรมาน
ทีนี้ คนจนแบบที่ไม่ได้ประพฤติไม่ดี คนจนแต่ประพฤติดี ก็ยังจน ก็มีสองนัย
นัยหนึ่งนั้น จนแต่ประพฤติดี ก็เป็นคนเสียเปรียบอยู่ในสังคม เสียสละอยู่ในสังคม ที่อยู่ในสังคมต้องจน เพราะถูกเอาเปรียบจากคนในสังคม จากผู้มีอำนาจผู้มีความฉลาดกว่า ก็เอาเปรียบไปก็ได้เปรียบไป ก็เลยต้องจน ผู้ที่จนแบบนี้ถือว่าเป็นวิบากของเขา หรือจริงๆแล้ว เขาก็อยากสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ วิบากเขาอย่างหนึ่งอีกอย่างหนึ่งเขาก็สู้ไม่ได้ก็หมายความว่า เขาไม่มีความรู้ความสามารถที่จะสู้ มันก็ต้องแพ้ภัย แต่ใจเขายังอยากสู้อยู่แต่เขาต้องแพ้เพราะสู้ไม่ได้จริงๆ จนอย่างจำนน อย่างพ่ายแพ้ในสังคมโลกีย์ก็มีเช่นนี้
แต่สังคมโลกุตระ คนจนที่พ่ายแพ้ ก็ไม่สู้ ยิ่งคนที่ชนะเราเขาไม่ซื่อสัตย์ไม่สุจริตเท่าที่เราเห็น ไม่ซื่อตรงเลย ก็ปล่อยให้เขารับวิบากไป เราจะสู้กับเขาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนสิ้นสุดพลังงานความซื่อสัตย์สุจริต เราก็แพ้อีกก็จบ อย่างอาตมาใช้แบบนี้ สู้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนในที่สุดแพ้ก็ไม่มีปัญหา เป็นโลกุตระที่ดีที่สุด แพ้ก็แพ้ ขอให้เรารักษาความบริสุทธิ์ดีงามให้สูงสุด
โศลกที่อาตมาให้ไว้ ความบริสุทธิ์ เท่านั้น ที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
เราจะมีปัญญารู้ความบริสุทธิ์ของเราเท่าไหร่ก็ตามก็จริงใจที่สุด บริสุทธิ์สูงสุดก็ใช้ได้ ตรวจอ่านให้ดีอย่าทำลวกๆ ถ้าทำลวกๆ ก็เสียเอง ตั้งใจทำอย่างละเอียดลออจริงๆมีความแหลมคม ปัญญาของเราเองตรวจให้จริง ก็จบที่ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ถ้าตรวจลวกๆ ความจริง ก็มีความไม่บริสุทธิ์ซุกซ่อน วิบากซ้อนลงไปอีก ยิ่งประมาทยิ่งซับซ้อนทับถมไปอีก ก็อาจเข้าใจได้ยากอยู่
ศิลปะโลกุตระนั้นสามารถนำไปปฏิบัติให้เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจได้อย่างไร
อันนี้ อโศกเราพาทำอยู่ จนกระทั่งประกาศความจริง คนจนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เป็นปัจจัตตัง เป็นความรู้จริงเห็นจริงของเราเอง ว่า เราอยู่กับความจนอยู่กับความจนขณะนี้ แม้เราเองก็รู้ว่า ถ้ามีความจนอย่างบริสุทธิ์ ไม่แฝงไม่ยักยอก จนจนถึงที่สุดเป็น 0 เราก็อยู่ได้จริงๆ ไม่มีปัญหาอะไร จะไม่กระดี๊กระด๊าในจิตจริง ถึงวาระควรจะได้มีมา เสร็จแล้วก็หมด เราก็อยู่กับความสูญ อย่างใช้เวลาขณะครั้งมากมายก่ายกอง เป็นหลักฐานยืนยันว่าเราอยู่กับศูนย์ได้อย่างสบาย ไม่ได้เดือดร้อน แฝงอะไรเลย เราจะมีญาณปัญญาตรวจสอบตนเองได้อย่างชัดเจน
ผู้ใดที่มีความรู้ในความจน ความไม่มี ความสูญ กาละเวลา กับสิ่งที่ประกอบในชีวิตเรา เราก็จะมีข้อมูลหลักฐานพวกนี้ ยืนยันตัวเราเองว่า เราอยู่ในข่ายของความจน เพราะอยู่กับส่วนกลาง สาธารณโภคีมีความปลอดภัยอยู่ได้ ไม่ต้องห่วงจริงๆเลย สังคมสิ่งแวดล้อมดี มิตรดีสหายดี สุดยอดแล้ว ไม่มีอะไรอื่นแล้ว เราจะมีปัญญาความรู้ชัดเจน
เราก็ไม่ต้องห่วงกังวล เบิกบานใจสบายๆปกติหายห่วงจริงๆ
_คนนี้ก็ถามมาอีก ผมขอโอกาสเรียนถาม
1. ธุตังคะหรือธุดงค์หมายความว่าอย่างไร
2. คาถาธรรมบท หรือประณามคาถาต่างกันอย่างไร ทำไมถึงสวดธรรมคาถาต่อหน้าบรรพชิตไม่ได้
พ่อครูว่า...คาถาธรรมบทคือคำสอนจากพระพุทธเจ้าจากพระโอษฐ์ ได้บันทึกมาด้วยความธรรมบท เป็นบทภาษาธรรมศาสตร์ ส่วนประณามคาถาเป็นคาถาที่คนแต่งขึ้น เพื่อยกย่องบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ต่างกันแล้ว อันหนึ่งเป็นของพระพุทธเจ้า อีกอันหนึ่งเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่งขึ้น
อันหนึ่งของธรรมบทเป็นคำสอนแท้ๆของพระพุทธเจ้า ส่วนประณามคาถาเป็นคำยกย่องเชิดชูสิ่งที่เรายกย่องคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคำสรรเสริญเยินยอ แต่ตอนนี้กลับกัน ประณาม แปลว่าดูถูก
สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน คำว่า น้ำปานะ คืออย่างไร
3. คำว่า ปานะ นั้นคืออย่างไร ทำไมพระพุทธเจ้าจึงได้อนุญาตให้พระภิกษุฉันน้ำปานะได้
พ่อครูว่า...ปานะแปลว่าไม่ใช่น้ำเปล่า อาจผสมอะไรเข้าไป น้ำผลไม้น้ำอื่นๆที่ผสมกับอื่นๆไม่ใช่น้ำบริสุทธิ์ เรียกว่าน้ำปานะ พระพุทธเจ้าก็อนุญาตให้ดื่มได้โดยประมาณ ถ้าเป็นน้ำบริสุทธิ์ไม่ใช่น้ำปานะก็สะอาดกว่า เพราะว่าน้ำปานะก็มีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นกิเลสผสมอยู่ คนที่ไม่ติดก็ไม่ต้องดื่มน้ำ ที่มีสิ่งเหล่านี้ นอกจากร่างกายเราธาตุไม่พอก็ต้องดื่มน้ำปานะที่มีธาตุหล่อเลี้ยงร่างกาย พระพุทธเจ้าจึงได้อนุญาต เพราะว่าน้ำปานะเป็นธาตุอื่นที่ไม่บริสุทธิ์ ที่บางทีร่างกายต้องใช้ ยิ่งป่วยก็ต้องใช้ อนุโลมตามควร
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน คำว่า ธุดงค์หรือธูตะคืออย่างไร
ธุตังคะหรือธุดงค์ ธูตะหรือธุตะ มันแปลว่า ศีลเคร่ง ปฏิบัติได้แล้ว หลุดพ้นแล้ว ไม่มีกิเลสแล้ว ตามศีลที่เป็นลำดับ ไม่มีความติดยึดเป็นปกติ ปฏิบัติแล้วเราสบาย มีสัตว์ในโลกเราก็ไม่ไปตอบโต้ทำร้ายจริงๆ จิตใจเรามีความปกติ ไม่มีกิเลส ไม่มีภาวจิตตอบโต้อะไร สบายๆ ไม่เคร่ง แต่คนที่ติดยึดอยู่ เขายังมีกิเลสอยู่ก็ทนไม่ได้ที่จะไม่โต้ตอบ
หรือศีลข้อ 2 ของที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปอยากได้ของเขา วิธีปฏิบัติศีลข้อ 2 ได้ดีแล้ว ไม่ได้อยากได้อะไร ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีสิทธิ์เราไม่มีใจอยากได้ของเขาเลย ก็ปกติ จิตเฉยๆ สามัญปกติ เรียกว่า มีศีลบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ง่าย แต่คนที่ติดอยู่อดใจไม่ได้ต้องเอาๆ ก็เลยต้องไปปฏิบัติ ก็ไปชมเชยยกย่องว่า คนที่เฉยๆนี้ เคร่งๆ เพราะเราทำต้องเคร่งครัดอย่าไปเอาของเขานะๆ มันต้องฝืนใจจังเลย ต้องเคร่ง ทำไมเขาทำได้ เรานี่ต้องเคร่ง แต่คนที่ทำได้แล้วเขาไม่เคร่ง ผู้ที่ทำได้แล้วในสิ่งที่ทำยากนั่นแหละเรียกว่า ธูตะ ได้จริงๆเลย จิตสบาย ผู้ที่บรรลุศีลเคร่ง
ธุดงค์ มาเป็นภาษาไทย ที่จริงภาษาบาลีไม่มี ด.เด็ก บาลีไม่มีแม่กง ถ้าจะสะกด ก็ต้องธุตังคะ ก็คือองค์หรือหน่วย ศีลข้อนี้ ไม่ว่าข้อไหนก็แล้วแต่ แล้วศีลข้อนี้แหละที่เขาทำได้บริสุทธิ์แล้วเป็นธุตังคะ หน่วยหนึ่งองค์หนึ่ง หลายหน่วยก็อย่างพระกัสสปะ มีธุดงค์ 13 หน่วย เป็นตัวอย่าง ก็ทำได้ยาก แต่พระกัสสปะท่านทำได้อย่างสบายๆใน 13 ข้อนี้
เช่นกินมื้อเดียว เขาก็ทนไม่ได้ คนไม่กินเนื้อสัตว์ คนก็ทนไม่ได้แต่คนทำได้แล้วไม่เคร่ง มีธูตะ หรือธุดงค์แล้ว เฉยๆธรรมดาไม่เห็นอยากกินอะไร ไม่ผลักไม่ดูดเลย หากคนยังรู้สึกผลักดูด ก็ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่ผลักไม่ดูดเฉยๆธรรมดา จึงเรียกว่าไม่มีพลังงานผลักดูด กลางๆ อุเบกขาได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากในศีลข้อนี้สบายเป็นปกติ นั่นคือสภาวะจิตของเราเป็นธุดงค์ ธุตังคะ
ธุดงค์ไม่ได้แปลว่าเดิน ธุดงค์ไม่ได้แปลว่า ออกดงออกป่า สำทับให้ชัด
ผู้ที่ยังงมงาย โง่ไม่ชัดเจนไม่ฉลาดพอ ก็ไปตีกินว่าธุดงค์คือออกดง หรือธุดงค์คือการเดินคือยังงุ่มง่ามงมงาย ขออภัยพูดชัด แต่แยกแยะให้ชัดเจน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...เด็กๆลองสำรวจดูว่า มีธุดงค์ข้อไหน เวลายุงกัดแล้วใครมีจิตใจที่ไม่คิดอยากจะฆ่าเลย ใครรู้สึกสบายแล้วมีบ้างไหม (มีบ้าง)
พ่อครูว่า...ไม่อยากได้เงินของคนอื่นเลย แม้แต่เงินแม่ก็ต้องขอ เรายังต้องใช้ก็ว่ากันไป (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...อย่างนี้เด็กๆก็ปฏิบัติได้ เราเห็นของคนอื่นก็ไม่อยากจะได้เลย ตอนอาตมาเป็นเด็กที่บ้านขายของ อาตมาไปเล่นใต้ถุนบ้าน แล้วเห็นของตกลงมา เราก็บอกว่าของที่เป็นสมบัติของเรา เราเก็บได้ ก็เลยเอาไปแลกของมากิน แล้วไปเล่าให้แม่ฟังอีก แม่ก็ให้รางวัลเป็นตีด้วยด้ามไม้กวาด 3 ที หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปเอาอีกเลย ทำให้เราถือศีลบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้ว
พ่อครูว่า...เข้าใจคำว่าธุดงค์กันนะ ถ้าใครเอาคำว่าธุดงค์มาเป็นการเดินเป็นทิวแถวแบบธรรมกายวันนี้คือการหลอกลวงไม่เข้าใจชัดเจน คนยังโง่อยู่ก็ถูกหลอกไป ชื่นชมยินดีอะไรต่างๆ เป็นการเล่นละคร dramatic ประดิดประดอย อาศัยคนไม่เข้าใจให้ถูกหลอก บาปมหาศาล เป็นเรื่องที่พลิกแพลง โป้ปดมดเท็จในเรื่องคำว่าธุดงค์ เอาไปหลอกคนอื่น ปรุงแต่งด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ดอกไม้ท่าทางให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปรุงแต่งให้คนหลงติด ให้คนเคารพอยากจะมานับถือ
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) คำว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐานคืออย่างไร
_คุณบัวบางใบ ณ อุบล กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงครับ ขอให้พ่อครูช่วยอธิบายคำว่า "กายานุปัสสนาสติปัฎฐาน" โดยละเอียดด้วยครับ เพราะฟังจากอาจารย์หลายสำนักก็อธิบายไปคนละอย่าง กราบนมัสการครับ
พ่อครูว่า_กายานุปัสสนา เป็นธรรมะสอง รูปกับนาม เรื่องจิตกับกาย เรื่องภายนอกกับภายใน ให้วิปัสสนา หรือทำสติปัฏฐานให้มีสติแล้วเรียนรู้สิ่งที่เราสัมผัส ตั้งแต่อันใดอันหนึ่งหยาบๆที่เราเรียนรู้ได้แล้วรู้ใจเรา ใจเรามีกิเลสกับสิ่งนั้น เราก็ล้างกิเลสนั้นออกไป นั่นก็เป็นการปฏิบัติตามธรรมะ 2 เรียกว่ากาย
โดยมีสติเป็นที่ตั้ง สติปัฏฐาน มีสติเป็นฐานปฏิบัติ แล้วก็เรียนรู้วิปัสสนา เรียนรู้ปัสสะ ให้เห็นตามอนุปัสสะ ตามธรรมะสองมีรูปกับนาม
รูปกับนามหยาบสุด มากลาง มาละเอียด 3 ข้อนี้แต่นับเป็นล้านๆ ละเอียดเข้าไป ก็ทำไปทีละอย่างไร มันก็จะค่อยๆเข้าใจชัดเจน จากระดับหยาบ
ตัวอย่างระดับหยาบ เข่นพระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ จุลศีล 26 ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ที่จริงมีเป็นล้านๆ แต่ตัวอย่างมีแค่ 26 ตัวอย่าง จุลศีล
ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจตามลำดับ ตั้งแต่หยาบไป กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเบื้องต้นมีรูปกับนามเป็นสำคัญ แล้วมีสติสัมโพชฌงค์ ทำวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ การปฏิบัติคู่ไปกับมรรคมีองค์ 8 แล้วมีสติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม ซ้อนไปอีก ล้างอกุศลจิต สูญก็เป็นนิพพานธรรม นิโรธธรรม นี่คือกาย เวทนา จิต ธรรม
ถามมาเป็นเรื่องตั้งต้นจนจบเป็นอรหันต์เลยที่ถามมา
_suda jaidee ....กราบนมัสการค่ะ กราบเรียนถามพ่อครู เรื่อง ข่าวปลอม หรือข่าวลวง(Fake News) ขอพ่อครูกรุณาไขความกระจ่างเกี่ยวกับการสื่อสารทางศาสนา ของธรรมกาย และธัมมชโย เป็นข่าว ปลอมหรือไม่อย่างไร ..และกรณี คดีสันติอโศกเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับข่าวปลอมของพุทธกระแสหลักด้วย หรือไม่อย่างไรคะ ..ปัจจุบันข่าวปลอม(Fake News) กำลังเป็นวิกฤติการณ์การสื่อสารของโลก
พ่อครูว่า...เดี๋ยวนี้เขาจงใจสร้างหลอกกันมากจริงๆ
ข่าวที่บอกว่าธัมมชโยไม่อยู่ในประเทศไทยแล้วก็ดี ข่าวที่บอกว่า DSI เข้าไปค้นแล้วไม่เจอก็ดี มันเป็นข่าวปลอม ถ้าธรรมกายทำ fake news เพื่อให้ DSI ถูกดิสเครดิต ก็เป็นข่าวลวงได้ แต่จริงๆแล้ว DSI เข้าไปค้นแล้วก็คว้าน้ำเหลวอีกก็ทำ ไม่ใช่เรื่องที่ทำขึ้นมา เราก็รู้ไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าอะไรจริงหรือปลอม
ตอนนี้ค้นไม่พบ ทางธัมมชโยก็เลยใช้บอกว่า เป็นฤทธิ์เดชหายตัวได้ แต่อาตมาคิดว่าเขาจะหายตัวได้จริงๆเหรอ ก็ตอบไม่ได้ตอนนี้ว่า ข่าวจริงหรือข่าวปลอม แต่ DSI เข้าไปตรวจจริง
ส่วนก่อนโน้นก็มีข่าว ที่เป็น fake news เราเองก็ได้เป็นอย่างที่เถรสมาคมเขาพูด แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เกี่ยวกับข่าวปลอมเกี่ยวกับสันติอโศกตอนนี้ไม่มีแล้ว หรือว่ามีนิดๆหน่อยๆแต่เราไม่รู้ได้ เถรสมาคมมีคนเยอะหลายล้าน ก็มีอยู่บ้างที่รู้สึกว่าไปใส่ความอโศกเป็น fake news บ้าง แต่ถึงอย่างไรโดยค่ารวม ทุกวันนี้น้ำหนักความเชื่อถือของชาวอโศก อาตมาว่าสูงพอสมควร
สมณะเดินดินว่า..ผมว่าอย่างมากตอนนี้เขาพูดเฉียดๆ
พ่อครูว่า...มันเป็นสัจจะที่เราก็ไม่ได้หยิ่งผยองอะไร ที่พูดไปนี้ก็ไม่ได้ประมาท ถ้ามีมาเราก็ต้องดูและแก้ไขไป
_Trend Micro ผู้ให้บริการด้านความมั่นคงปลอดภัยแบบครบวงจร ออกมาเปิดเผยถึงภัยคุกคามไซเบอร์รูปแบบใหม่ ซึ่งให้บริการในรูปของ Fake News-as-a-Service พร้อมสร้างข่าวเท็จ สร้างภาพให้ดูดี รวมไปถึงสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งและประชามติ ในราคาเพียง $400,000 หรือประมาณ 13.6 ล้านบาทเท่านั้น
Trend Micro ระบุว่า การสร้างภาพและสร้างความน่าเชื่อถือปลอมๆ เริ่มกลายเป็นธุรกิจที่นับวันจะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกออนไลน์ที่มีอัตราการเผยแพร่ข้อมูลด้วยความเร็วสูง และประชาชนยังขาดความตระหนักเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ซึ่ง Fake News-as-a-Service เป็นบริการสร้างข้อมูลเท็จ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโปรไฟล์ปลอมบน Social Media หรือการสร้างข่าวปลอมๆ แล้วแพร่กระจายผ่านการกดไลค์ การรีทวีต รวมไปถึงทำเป็นเว็บไซต์ข่าวที่ดูดี มีความน่าเชื่อถือ บางแห่งถึงขั้นมีการแลกเปลี่ยนโพสต์ระหว่างกันเพื่อกระจายข่าวเท็จและทำให้ผู้อ่านคิดว่าเป็นข่าวจริงที่มีความถูกต้อง เหล่านี้ มีจุดประสงค์เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบุคคลหรือองค์กรต่างๆ ให้เพิ่มสูงขึ้น
ที่น่าตกใจคือ บางแห่งสัญญากับผู้ใช้บริการว่า การสร้างภาพเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผลคะแนนเลือกตั้ง การทำประชามติ หรือการบรรลุข้อตกลงการค้าอีกด้วย ซึ่งคิดค่าแคมเปญเพียง $400,000 เท่านั้น และดำเนินการให้นาน 12 เดือน ในขณะที่บางแห่งอ้างว่า สามารถปลุกม็อบได้ในราคา $200,000 ลดความน่าเชื่อถือของนักข่าวในราคา $55,000 และสร้างภาพให้กลายเป็นเซเลปที่มีผู้ติดตามมากกว่า 300,000 คนในราคา $2,600
ประเทศจีนเองก็มีบริการลักษณะแบบนี้เช่นเดียวกัน โดยการสร้างข่าวปลอมกระจายไปยัง WeChat มีราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 100 หยวน (ประมาณ 500 บาท) ในขณะที่การสร้างวิดีโอข่าวปลอม 2 นาทีบน YouTube ในรัสเซียมีราคา 35,000 รูเบิล (ประมาณ 21,000 บาท)
“Fake News-as-a-Service ช่วยให้การโปรโมตข่าวสารข้อความต่างๆ ไปยังโลก Social Network ทำได้อย่างรวดเร็ว และมีราคาถูก เพียงแค่ $1,000 ก็สามารถสร้างยอดคนดูบน YouTube ได้ถึงหลักล้านครั้ง ในขณะที่แคมเปญเพื่อหวังผลการเลือกตั้งระยะเวลา 12 เดือนมีราคาเพียง $400,000 การปกป้องตนเองจากการตกเป็นเหยื่อของข้อมูลเท็จเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ควรต้องเสียเวลาอ่านและวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะปักใจว่าข่าวสารที่ตนได้รับนั้นเป็นเรื่องจริง”
พ่อครูว่า...มันแย่เลยนะทุกวันนี้ รับจ้างทำความหลอก แล้วมีคนจ้างด้วยนะ ความไม่บริสุทธิ์มันเฟื่องฟู รู้ทั้งรู้ว่ามันหลอก แต่ก็จ้างมาหลอกกันอีก กุหนานี้หลอกตรงๆ แต่ลปนาคือหลอกซ้อนอีก ทุกวันนี้เป็นมาก
ของเราไม่หลอก ใครจะมาอยู่กับเราก็อยู่ได้แต่เราก็มีกฎระเบียบของเรา ใครอยู่ได้ก็อยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(บวร) คำว่า สัมประสิทธิ์จากมิตรดีสหายดีสิ่งแวดล้อมดี
สมณะเดินดินว่า...ผมเคยถูกข่าวพวกนี้หลอก มีเศรษฐีคนหนึ่งบอกว่าอายุ 80 กว่าแล้วดูแข็งแรงมากมีกล้ามเนื้อ ก็จะเอามาดูกัน แต่ว่าภายหลังมีค้นข้อมูลว่าคนนี้ไม่ได้อายุถึง 80 กว่าหรอ ที่จริงอายุ 40 กว่าเอง แล้วหลอกคนว่าอายุมาก
พ่อครูว่า...เราตรงกันข้ามกับเขาเลย เราของจริง อายุมากแล้วแต่คนก็ดูว่าอายุยังไม่มาก ต่างจากเขาที่ อายุน้อยแต่บอกว่าตัว
อาตมา ในการสร้างความรู้สร้างความเป็นจริงของตัวเอง ไม่ได้อยู่เฉยๆ สร้างพลังงานสัมประสิทธิ์ ในองคาพยพร่างกายอาการ 32 ของอาตมา อาตมาก็ช่วยตัวเอง คนอื่นก็ช่วยด้วย เพื่อให้อาตมาพิสูจน์ เพราะเขาก็รู้กันว่า ถ้าไม่ช่วยต่อ อาตมาไม่ยาวยืน แต่อาตมาก็รู้ว่าใจสั่งสัมประสิทธิ์ ได้ละเอียดเพิ่มขึ้นได้
ว่า E=C(mc2+A) ตัว C เป็นพลังงานตัวแปรแห่งความก้าวหน้า ไม่ใช่พลังงาน static ของไอน์สไตน์ E=mc2 เป็น Static แล้ว แต่ของอาตมา จะเพิ่มพลังงาน Kinetic ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอีกเรียกว่าสัมประสิทธิ์ สูงขึ้นไปถึงขั้น Coefficient คืออัตราการก้าวหน้า แบบคูณเป็นต้นไป ไม่ใช่แค่ระดับบวก ในสามเส้า บวก คูณ ยกกำลัง ต้องระดับคูณหรือยกกำลัง จะเป็น สัมประสิทธิ์
ถ้าอาตมาพิสูจน์ตัวเองได้ถึง 100 ปี อีกแค่ 16 ปี อาตมาว่าพวกเราจะฉลองแน่นอน อาตมาว่าไม่ถึง 100หรอก แค่ 90 นี่ก็เผลอๆจะฉลองให้อยู่นะ ยิ่ง 96 เป็นเท่าไหร่ล่ะ 8 รอบ 8 นักษัตร รับรองว่าฉลองแน่นอน ถึง100นี่ มันหน่วย0 ฉลองแน่เลย ถ้าไป 108 ครบนักษัตร จะมีฉลองไม่รู้กี่เที่ยว ก็พยายามที่สุดเพื่อจะสร้างพลังงานทางจิตวิญญาณ อาตมาว่าได้ใช้พลังงานทางจิตวิญญาณจริงๆ ยิ่งอาตมา 151 ปี รับรองว่าสูตรนี้จะยิ่งใหญ่ในโลก
E=C(mc2+A) จะเป็นสูตรที่ ทางจิตด้วย ถ้าทางจิตพิสูจน์ได้ แน่นอนทางวัตถุที่เป็นสสารก็พิสูจน์ได้ เขาก็จะเอาไปใช้ได้เลย ตอนนี้เขาก็ยังไม่เชื่อ ไอน์สไตน์เอง ก็ได้อธิบายต่อลูกว่าต่อไปคนจะรู้ แต่ตอนนี้อธิบายยังไม่ได้
อาตมาเองมั่นใจว่าจะเป็นสูตรในอนาคต จะเป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่ในนามธรรม เมื่อได้นามธรรมนี้ก็จะเอาไปใช้รูปธรรมได้
สมณะเดินดินว่า...ของไอน์สไตน์ เกิดจากการแตกสลายของ m ให้เล็กที่สุด เป็นปรมาณู แต่ถ้าทางด้านจิตใจ สามารถทำให้ละเอียดถึงขั้นไม่มีตัวตนได้แล้ว
พ่อครูว่า..C ถ้าไม่สมดุล ก็ทำมวลให้เคลื่อนไม่ได้ มันจะต้องได้สมดุล ได้มวลที่มีแรง ในตัวมันเองทำ m คือ Static c คือ Dynamic จะเสริมเป็น Coefficient ซ้อนตั้งแต่ m กับ c มันถึงจะก้าวหน้าเป็นส่วนเกิน A พอครบหน่วยเป็น mc2 เมื่อยังไม่ถึง mc2 แต่ถ้าถึงแล้วก็จะได้ระดับ +ไป อีก mc2 ถ้าครบสามเส้า ก็เพิ่มไปได้ ถ้าสามเส้า สองอันก็ยกกำลังสองเลย
เป็นความรู้ในระดับที่ยังไม่มีเลยในโลก โดยเฉพาะ Coefficient ทางนามธรรม ใช้คำว่าปัญญา เป็นความรู้ที่ใหม่ในโลก เป็นวงวนพลังงานใหม่ๆ ทำให้เกิดได้จริง จิตเรามีพลังงานปัญญา เป็นพลังงานหมุนในจิต ตั้งแต่ เริ่มเป็นอริยบุคคล พระโสดาบัน จนถึงอรหันต์ก็รอบ 10 อรหันต์เพิ่มเป็นอนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์เป็นสามเส้าโดยแกนของอรหันต์ เลยสามเส้าเป็นเลข 7 เป็นพลังงานซับซ้อน หมุนซ้อน เกินสองเส้าแล้วเป็นเส้าที่สาม 8 9 ก็เป็นเศษของมันอีก พอครบ 9 จะต่อหรือไม่ต่อก็ได้ ถ้าไม่ต่อก็วงวนสูงสุด
เหมือนไอน์สไตน์ค้นพบ mc2 ก็ได้เท่านั้น ไม่สร้าง A หรือ mc2 เพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง แต่อาตมาพยายามทำเพิ่ม เป็นพลังงานทับทวีมากกว่านั้นได้อีก
ถ้าทางจิตพิสูจน์ได้ เอาไปใช้ในทางวัตถุก็สบาย จะมีปรมาณูที่สูงกว่า คิมจองอึน
ปรมาณูนี้จะแรงกว่า คิมจองอึน มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ทีนี้คนจะได้ความรู้พวกนี้เป็นความละเอียด หรือยิ่งด้านนามธรรม
จะได้จากไหน ต้องมีคนที่นำหน้า คนที่คิดค้นได้ก่อน
อย่างอาตมายังไม่ได้เป็นคนที่ค้นพบก่อน พลังงานเหล่านี้พระพุทธเจ้าค้นพบมาก่อนแล้ว อาตมายังไม่ถือว่าเป็นเจ้าของธรรมะ ในหลักสูตรทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพุทธวิสัย อาตมาไม่บังอาจว่า ตอนนี้จะมีพุทธพิสัยอย่างนั้นไม่ได้ พูดอย่างจริงใจ แม้อาตมาตอนนี้ระดับ 7 อาตมาจะเสริมพลังงานเป็นระดับ 8 ก็เป็นสัจจะที่เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ แต่จะถึงขีดระดับ 8 เต็ม แล้วจะเสริมเป็น 9ไปเรื่อยๆ ซ้อนๆๆ เหลื่อมไปเรื่อยๆ เป็นลำดับจนกว่าจะเต็มรอบ 7 เต็มรอบ 8 9 ถ้าจะตัดก็เอาแค่10 แต่จะต่อก็ 11 12 13 ต่อไปอีก
จะได้อย่างนี้ ผู้ที่ยังไม่มีเชื้อ ความรู้ปัญญาที่เป็น DNA ทางด้านนามธรรม ถ้าคุณไม่มีต้องมาอยู่กับหมู่ พระพุทธเจ้าองค์ไหนก็รู้เองไม่ได้ ต้องเอามาจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน เป็นแต่เพียงว่าองค์ไหนมันยังหาต้นธาตุต้นทางองค์นั้นไม่เจอ หาไม่ได้ องค์แรกองค์ไหนหาไม่ได้เราก็ไม่ต้องไปเรียน เราก็มาเรียน นิยาม 5 นี้ ของชีวิต อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม เราก็เรียนรู้ทำให้ชีวิตเราเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะได้รู้ แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดม ก็ยังไม่รู้ชื่อต้นว่าพระพุทธเจ้าองค์แรกเกิดตอนไหน แต่ท่านไม่ต่อภพภูมิอีก ท่านเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียวก็จบ ท่านตรัสเองว่า ถ้าผู้ใดรู้เห็นเรา ณ บัดนี้ เมื่อเราตายไป จะเหมือนกับพวงมะม่วง ตกมาแตกกระจาย ไม่รวมตัวกันอีก ท่านตรัสไว้เองว่าท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานแน่นอน ท่านไม่ต่อ อาตมาก็จะเอาแค่นั้นเหมือนกัน ส่วนใครจะต่อก็ได้นะ เป็นพระพุทธเจ้าสมัยที่ 2 มีอีกชื่อหนึ่ง แม้จะมาจากเชื้อเดิม แต่ผมก็ต้องใช้เวลาหลายล้านๆปีอยู่นะ อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องสัจจะรอบขยาย
ใครจะได้ต้นธาตุต้นธรรมเป็นเชื้อโลกุตระอันนี้ต้องมาอยู่ในหมู่หรือต้องได้จากสัตบุรุษ หากออกไปคนเดียวก็ไปไม่ได้ไกล ต้องมาอยู่กับหมู่อยู่ดี เพราะว่าเป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี
มิตรดีหมายความถึงจิตวิญญาณ เป็นที่ตั้งของจิต ม คือจิต ต คือตั้ง
ผู้ที่เป็นมิตร แล้วก็มีมิตรใหม่ สหายใหม่ เป็นผู้รวมประโยชน์ สห + อายะ ก็ร่วมตั้งแต่ 2 คน 3 คน สามเส้าสี่เส้า เป็นองค์ประกอบพร้อม มีสัปปายะครบ อาหาร สถานที่ บุคคล ธรรมะ เป็นองค์ประกอบสัมปวังโก อีก
อย่างอโศกเราก็มีหลากหลายพอสมควร หากต้องการเจริญเร็วก็มาอยู่กับหมู่ หากต้องการเจริญช้าก็อยู่นอกหมู่กลุ่ม และหลายอย่างเป็นไปไม่ได้ด้วย ต้องได้จากสัตบุรุษ หากไม่มีอัตตามากก็มาอยู่กับหมู่ แต่ถ้าจะไปคนเดียวสุดท้ายต้องมาหาหมู่อยู่ดี
พลังงาน อุตุ พีชะ จิต สามเส้านี้ ถ้าเข้าใจสามอย่างนี้จนมาเป็นกรรมนิยามตัวที่ 4 Dynamic แล้วสั่งสมเป็น ธรรมนิยาม Static
ก็ต้องเรียนรู้พลังงาน ตั้งแต่อุตุนิยาม ไม่ต้องเอาพลังงานนี้มาจากผู้ที่มีต้นธาตุ พลังงาน พลังงานอุตุนิยามก็จะมีมวลสะสมได้ จนเยอะ เรียกภาษา biology ก็เป็น protoplasm กับ cytoplasm
protoplasm คือเปลือกของนิวเคลียสที่มีพฤติกรรมแต่ละหน่วยอยู่ในนั้น คือ cytoplasm ที่มีความหลากหลายอยู่ในนั้นอีก ก็จะโตจนเปลือกprotoplasm แตก cytoplasm ก็จะแตกกระจายออก ถ้าเป็นไปตามธรรมชาติก็จะใช้เวลานาน แต่ถ้ารู้แล้ว
ก็สามารถทำให้เร็วขึ้นได้ เป็น Coefficient เป็นพลังงานก้าวหน้าในตัวมันเองแล้วแตกไปเป็น ตัวใหม่ที่เป็นพีชนิยาม ก็อีกนานกว่าจะ protoplasm แตกอีก ก็นานมาก แต่ถ้าเป็นจิตนิยามก็ไม่ต้องรอธรรมชาติอย่างนั้น คุณจะศึกษาให้มันจบอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม คุณจะไปโง่รอธรรมชาติทำไม ก็เอาอันนี้มาคุณก็ทำได้
ทุกอย่างเกิดแล้วในสังคมโลกนี้ มีมนุษย์ชมพูทวีปอยู่ในเมืองไทย อยู่ในกลุ่มอโศกเป็นตัวหลัก พูดมาหลายครั้งแล้ว เขาก็อาจจะไม่เชื่อก็มี แต่อาตมามั่นใจว่าให้ความรู้ในไหว ถ้าผิดก็วิบากอาตมาเอง แต่อาตมาไม่สร้างวิบากให้ตัวเองหรอก เพราะว่าไม่ได้เอาเพื่อลาภยศสรรเสริญอะไร
สรุปว่าต้องมาอยู่กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นสามเส้า
มิตรคือจิต สหายคือเริ่มสองแล้วมีผู้ร่วมประโยชน์ ตั้งแต่สอง จนองค์ประกอบของ มวลรวม มีหลากหลาย เป็นสัปปายะต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นๆไปเรื่อยๆ คือสัมปวังโก ซับซ้อนกันไป
มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี สามเส้าของพลังงานที่จะมากขึ้น มิตรดีสหายดี เป็นธรรมะ 2 พัฒนาเป็น สัมปวังโก มีพลังงานซับซ้อน Coefficient ในสัมปวังโกเพิ่มขึ้น จนกว่าจะแยก เราต้องกำหนดรู้มีจิตที่แยกได้ดี แต่ถ้าพีชะมันจะแยกเป็นอันใหม่ไม่ง่าย มันไม่รู้ตัวมัน แต่ถ้ามีจิตวิญญาณรู้แล้วมีความรู้พอก็จะแยกได้เร็ว ไม่ต้องรอธรรมชาติ
เพราะในนั้นมันมีเยอะอยู่ มีองค์รวมหลากหลายที่จะแยก species ออกไปมาก ถ้าให้อาตมา breed พันธุ์พืชอาตมาจะทำได้มากหลากหลายเลย ทำขายรวยเลยแต่อาตมาไม่ได้ยินดียินร้ายกับพวกนี้ ก็ไม่ไปทำ
สิ่งต่างๆที่มารวมกันเราเรียกว่าเป็นสนามแม่เหล็ก ตอนแรกเรียกว่า สนามแม่เหล็กแห่งพลังงานปกป้องตัวเอง อย่างพีชะมีพลังงานปกป้องตัวเอง แต่มันไม่ได้เบียดเบียนใคร มีพลังงานดูดตัวเองสร้างตัวเองเท่าที่มันช่วยตัวมันได้ มี ish ใครจะมาเบียดเบียนจนมันแพ้มันก็สลายไป ไม่มีกรรมวิบาก ธาตุที่เหลือก็แปลงไป ถ้ามีเหลือพันธุ์ก็ต่อไป
ผู้ที่สามารถปกป้องตัวเองแล้วช่วยคนอื่น สามารถปกป้องคนอื่นด้วยก็เป็นพลังงานเกื้อกูลกัน เป็นจิตนิยาม พีชนิยามเกื้อกูลคนอื่นไม่ได้ แต่คนอื่นเอามันไปใช้ ตัวพีชะไม่ไปช่วยหรือทำลายคนอื่น แม้สัตว์เซลล์เดียวหรือน้อยเซลล์แรกๆ มันไม่มีสิทธิ์จะไปช่วยคนอื่นเท่าไหร่ ดีไม่ดีมันทำลายคนอื่นด้วย อย่างเช่นแบคทีเรียหรือไวรัส พวกเชื้อโรค มันไม่รู้ตัวมันหรอก มันจะทำตัวมันเองเหมือนกันพวกนี้ มาเป็นจิตนิยามแล้ว มันก็มีความซับซ้อนตลอดมา
หนึ่งพืชมันปกป้องตัวเองไม่ทำร้ายใคร ถ้าเป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ทำร้ายคนอื่นได้บ้าง ไปรุกรานตนเองได้บ้าง แต่มันก็ปกป้องตัวเองได้เก่ง โดยสัตว์จะสามารถเคลื่อนที่จากที่ที่มา ส่วนพืชก็จะเกาะอยู่ หากใหม่ๆก็เกาะอยู่กับที่ แต่ถ้ามันมีเซลล์ที่แตกออกไปก็จะหลุดออกมาได้ง่าย ออกมา cytoplasm แล้วก็พัฒนาตัวเองอีก จนหลุดจาก protoplasm ถ้าจะมีรู้ออกไป หรือตัวเองสร้างตัวเองจนดิ้นออกไปได้ คือมันรู้จักแรงเหวี่ยงของมัน มันเต็มที่แล้วก็จะเป็นไปได้ของมันเอง
สรุปแล้วอาตมาว่า ถ้าผู้ใดไม่ถือดีถือตัวเกินไป มาอยู่กับหมู่กลุ่มที่เป็นพลังงานแม่เหล็กอย่างชาวอโศกเป็นวงกลมที่ครบบริบูรณ์ในหมู่เล็ก แต่มันมีความบริบูรณ์ครบส่วนที่จะพาให้เจริญไปสู่โลกุตรธรรม ยืนยันว่า เป็นมวลของโลกุตรธรรม ตอนนี้ก็ก้าวช้าอยู่ อาตมารู้ว่าจะต้องประคองอยู่จึงไม่อยากจะตายง่ายๆ ก็จะต้องพิสูจน์พลังงาน Coefficient พลังงานสัมประสิทธิ์ที่เป็นสากลนี้ ไปด้วย จะได้ยืนยันและประกาศว่านี่มันเป็นจริงนะ ประกาศให้โลกรู้ ในอนาคตลูกหลานจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ ส่วนใครจะเอาไปทำให้เกิดโทษมันก็เป็นวิบากของใครของมัน แต่เป็นประโยชน์ก็เอาไปใช้ได้ เป็นต้น
อาตมาก็จะพิสูจน์ให้มันก้าวหน้าในฐานะที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ก็ต้องพิสูจน์สิ่งที่ก้าวหน้านี้ออกไปไว้ให้แก่โลกสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จริงๆแล้วมันก็น่าเบื่อนะ ซ้ำซากแล้วก็ทำไมต้องลงทุนลงแรงหนัก น่าเบื่อ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราตั้งปณิธานไปอย่างนี้แล้วเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ประโยชน์ตนคือเราเองได้รู้ เป็นวิภวตัณหา ตัณหาที่มีความจบอยู่ในตัวได้แล้ว แต่เรายังไม่จบตัวเองเท่านั้นเอง เราจะตัดภพชาติก็ได้แต่เราไม่ตัด ก็เป็นประโยชน์ตนที่จะได้รู้ต่อ รู้แล้วไม่ได้เอาไปแลกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร มันถึงไม่มีบำเรอตัวตน ได้ ลาภยศสรรเสริญก็ดีใจ ได้สุญญตาก็ดีใจ ไม่ได้ดีใจอะไร แต่ว่าเพื่อรู้เท่านั้นเอง และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
รู้เพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์ตน ตัวตนเป็นศูนย์แล้วจะรู้เพื่ออะไร ถ้าไม่ทำประโยชน์ต่อคนอื่นก็ตายไปเสีย มีตัวอย่างของพระพุทธเจ้าท่านก็ได้ทำไว้ อย่างน้อยเท่ากับพระพุทธเจ้าที่ท่านใดรู้ก็พอแล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็พอแล้ว ไม่แน่นะ เมื่อได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะก็ไม่เอาแล้ว เป็นแค่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พอแล้ว มันยังไม่แน่ไม่นอนหรอกตรงโน้น ใครจะมารู้ด้วยกับอาตมา แม้แต่ตอนนี้ก็ยังแน่ เป็นเรื่องอจินไตย
อาตมาอยากจะเติมอีกอันว่า ในหมู่กลุ่มพวกเรามีทั้ง Static Dynamic Kinetic
Static สถานที่ตั้งพลังงานบวก Dynamic พลังงานเคลื่อนไหวในพลังงานลบ จากควบคู่กันอยู่แล้วมีพลังงานเพิ่มขึ้นอีก พลังงานเพิ่มขึ้นเป็นตัวแปร จะไม่เรียกตัวแปรที่เป็นCoefficient แต่เป็นพลังงานที่เพิ่มขึ้นมา ถ้าไม่มีการต่อไปก็จะ ชรตา อนิจจตา
ถ้าไม่มีต่อ มีแต่อุปจยะ สันตติ ชรตา ถ้าไม่สันตติไม่ต่อก็ชรตาแล้วก็สูญ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จนกว่าจะหมดแรงของมัน หมด โมเมนตัม แต่ถ้าอนิจจาไม่เอา ก็ฮึด มี Coefficient มาใช้ คุณก็จะเกิดพลังงานใหม่ขึ้นมา เห็นไหม สามเส้าก็จะเป็น 5 6 7 8 9 เท่าที่จะสามารถไปได้ ตามวิสัย ของแต่ละตัวตน อย่างนี้เป็นต้น เป็นความซับซ้อนไปเรื่อยๆ
ที่พูดนี้จะให้รู้การต่อหรือตัด คนที่มีธาตุรู้ชัดเจนจะตัดหรือต่อสันตติได้ แต่ผู้ที่อยากจะเจริญก็ควรจะมีอยู่กับ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อย่าไปอวดดี ได้ แต่ช้านาน เป็นล้านๆชาติ ที่พูดนี้ไม่ได้หลอกว่าให้มาอยู่ในอโศก แต่พูดด้วยวิชาการความจริง
ถ้าอยากจะก้าวหน้าได้สัจจะพวกนี้ มาเลยที่นี่ราคาถูกไม่เสียค่าสมัครไม่เสียค่าลงทะเบียน มาช่วยกันมาสร้างสรรค์ คุณอยู่ในฐานะที่ไม่เกินเกณฑ์ไม่แย่กว่าเกณฑ์ก็พัฒนาไปได้ตลอด แต่ถ้าคุณอยู่ต่ำกว่าแน่นอน คุณถูกขจัด ด้วยลีลาร้ายกาจ อโศกนี้ลีลาร้ายกาจ ถ้าจัดการไม่ได้ก็ไปบอกตำรวจวัดให้เอาออกเท่านั้นเอง หลายลีลา
ถ้าเผื่อว่าเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่ม สนามแม่เหล็กของอโศก จะมี Static มี Dynamicที่สมดุล และมี Coefficient ที่มีอัตราการก้าวหน้าในระดับคูณหรือยกกำลัง จึงเป็นพลังงานก้าวหน้าที่มีอยู่จริง ในหมู่นี้
ถ้าใครเข้ามาแล้ว แกนฐานของ Static Dynamic แล้วมี Kinetic เป็น พลังงานแฝง ที่เป็น Coefficient ก้าวหน้า คุณเข้ามาอยู่แล้วมีแกนหลักอันนี้จะเกิดการออสโมซิส
เพราะเป็นฐานที่มีพลังงานเพิ่มสูงพอ คุณยิ่งเป็นอณูเล็กน้อยก็จะซึมเข้าหาคุณอย่างได้ฟรีเลย คุณเป็นโมเลกุลเล็กๆ เข้ามาในหน่วยใหญ่ที่มีพลังงานเยอะแยะ จะเปล่งรัศมีเข้าหาคุณ เป็นวิธีลัด ถ้าอยากได้อยู่ในนี้จะเร็ว จะอวดดีไปทำคนเดียวก็นาน จนกว่าคุณจะเป็นพลังงาน cytoplasm ที่แตกออกเอง เพราะว่า protoplasm มีรอยแยก ถ้าไม่มีหน่วยแยกคุณก็ไม่มีสิทธิ์จะออก
_มีคนถาม_ออกไปก็เป็นดาวฤกษ์ได้ไหม?
พ่อครูว่า... คุณไม่มีแสงในตัวเอง ไม่มีสิทธิ์เป็นดาวฤกษ์หรอก ก็ไปเป็นดาวเคราะห์นั่นแหละ ก็แนะนำให้มาอยู่ในหมู่กลุ่มชาวอโศก อย่าอวดดีเลย แล้วจะได้รับประโยชน์ osmosis คือพลังงานแห่งการไหลเวียนของสนามแม่เหล็ก เป็นพลังงานโลกุตระ อาริยะด้วย มันจะไหลถ่ายซึมอย่างละเอียด โดยไม่รู้ตัวเข้าไปสู่จิตวิญญาณของเราได้จริง เพราะมีโลกุตระที่มีคุณสมบัติคุณภาพพอเพียง มันจะเกิดตามจริงนี้ได้
ถ้าเราเข้าใจ ธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม จิตนิยามจะควบคุม กรรมนิยาม ถ้าอาริยะจะควบคุมกรรมนิยมได้ดี ถ้าอรหันต์ได้สูงสุด ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยิ่งจะทำได้มากขึ้น เผื่อแผ่ได้มากขึ้น จัดการกับกรรมนิยามได้พิเศษเพิ่มขึ้น สั่งสมธรรมนิยามได้ตามลำดับเพิ่มขึ้นนี่คือสัจธรรม
_พ่อครูขอเวลาไปปัสสาวะ
สมณะเดินดินว่า...นี่เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ ปกิณกะทุกข์ ทุกข์จากการปวดอุจจาระปัสสาวะ แม้เป็นพระอรหันต์ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่แตกต่างกัน แต่พระอรหันต์ ไม่มีทุกข์ที่เกิดจากกิเลส สหคตทุกข์ที่เกิดจากการมีลาภเสื่อมลาภ ก็ไม่มีแล้ว
พ่อครูวันนี้ ได้เน้นให้ความสำคัญของการอยู่ในหมู่กลุ่ม มิตรดีสหายดีที่เป็นเรื่องสำคัญ พระอานนท์ไปพิจารณาถึงความสำคัญเรื่องนี้ ท่านเห็นความสำคัญ จนมาอุทานให้พระพุทธเจ้าฟังว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอานนท์อย่าพูดอย่างนั้น มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่ง
อย่างนั้นถ้าเราดู เราจะเห็นได้ว่าในหมู่กลุ่มของเรา เราจะเห็นพวกเรา คนที่แม้แต่เด็กๆมาอยู่กับเรา เด็กจะพัฒนาได้เร็วหรือช้า ถ้าเขาอยู่บ้านของเขา เป็นคุณหนูมาก่อน มีห้องส่วนตัวมีชีวิตส่วนตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร มาอยู่ในนี้ ก็ค่อนข้างจะมีปัญหาเยอะ shut in มาตั้งแต่ในบ้านจนมาถึงวัด หรือแม้แต่เป็นผู้ใหญ่ ถ้าอยู่ในมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีแต่ถ้าเป็นคนอยู่ในโลกส่วนตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร อยู่ในโลกตัวเอง แม้จะฟังธรรมะพ่อครูอยู่ตลอดเวลา แต่บอกว่าฟังเฉพาะพ่อครูคนเดียว อาหารสูตรเดียว แม้จะฟังอย่างมาก แต่ไม่ได้องค์ประกอบของมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่จะเป็นสัมปวังโก มีองค์ประกอบซับซ้อนหลายอย่าง ก็ไม่สามารถเข้าถึงทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ไม่สามารถทำให้เกิดสัมประสิทธิ์เกิดการชำระกิเลสได้
ในสมัยพุทธกาล มีนายฉันนะ ศรัทธาพระพุทธเจ้าตั้งแต่เป็น ผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า แล้วเป็นสหชาติ พาพระพุทธเจ้าออกบวช แต่ก็ไม่ฟังใคร แต่เมื่อพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็บอกว่าให้ลงพรหมทัณฑ์นายฉันนะ แม้จะเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าได้ปฏิบัติ แต่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จึงเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
พ่อครูว่า...เราได้พูดถึงอะไรต่ออะไร ก็เหลือเวลาอีก 15 นาที
อาตมาตอบปัญหาเด็กนักเรียนสัมมาสิกขาภูผาฟ้าน้ํา ข้อ2. ว่า
ศิลปะแบบโลกุตระ สามารถเอาไปปฏิบัติให้เป็นคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ได้อย่างไรครับ ยังไม่ค่อยดีพอ ก็ขอเติมอีกหน่อย แต่ก็คงละเอียดลออไม่ได้ในวันนี้หรอก
เรามาเป็นคนจนได้จริง จนที่สุด คนที่จนที่สุดคือ
1. มีรายได้เป็นศูนย์ ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่เป็นคนไม่ทำงานนะ แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียรทำงานดีมีความรู้ความสามารถแต่เราไม่เอารายได้มาเป็นของเราเลย นั่นคือคนมีรายได้ 0
2. เป็นคนไม่สะสมอะไรที่เป็นของตน นอกจาก ปัจจัยที่จะใช้จำเป็นในชีวิต และสิ่งที่จำเป็นที่จะใช้ ก็ไม่ใช่ใช้เพื่อบำเรออารมณ์ตนเองด้วย สิ่งที่จะใช้นั้น เป็นสิ่งที่จะเอามาใช้ทำงานเพื่อประโยชน์ผู้อื่นอีก จึงสูญ คือรายได้0 สะสมปัจจัยเครื่องใช้ตนเองแต่พอใช้
3. แม้จะมีปัจจัยเครื่องใช้ต่างๆมาทำงานก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อผู้อื่นหมด จึงสูญหมดทุกอย่างเป็นแต่เพียงว่า ปัจจัยที่จะใช้ในตัวเองเท่านั้นที่เป็นตัวจำกัดว่า เครื่องใช้ที่จำเป็นจริงๆ เพื่อจะยังชีพต่อไป เพื่อจะมีพลังงาน ด้วยสิ่งที่จะเสริมมาจากพลังงานที่เป็นเครื่องใช้ประกอบเป็นบริขาร ที่จะทำงานเพื่อผู้อื่นต่อไปแม้ทำงานก็ไม่ได้ทำเพื่อตน ทำเพื่อคนอื่นตลอดหมด นี่คือนิยามของคนจนหมดเนื้อหมดตัวจริง
คนจนที่เริ่มต้นไม่มีรายได้แล้ว อย่างชาวอโศกที่ไม่รับรายได้เป็นของตัวเองเลย อาจมีนิสัยสะสม พะรุงพะรังแต่ถ้าน้อยลงเท่าไหร่ คนนั้นก็หมดความเป็นตัวตนมากเท่านั้น แม้ที่สุดเครื่องมือเครื่องใช้ที่จะเอามาใช้งานจริงๆแล้วเอาไปใช้เพื่อประโยชน์ผู้อื่นทำไปเรื่อยๆ คุณก็ใช้อย่างรู้จักประหยัดรู้จักประโยชน์ ประโยชน์สูงประหยัดสุดได้จริง คนนั้นก็จะเป็นคนจน ที่รู้ว่าตนเองนี้เป็นคนไม่มีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนแล้ว เราจะอ่านจิตของเราออกว่า เราเกิดความอึดอัดขัดเคืองที่เรียกว่า มีรายละเอียดที่เป็นภาษาบาลีอีกเยอะ
มันเกิดความ ทุกข์โทมนัส อุปายาสะ แม้แต่โทมนัสก็ไม่มีเหลือแล้ว อุปายาสะก็ไม่มีเหลือแล้ว อุปายาสะ เป็นภาษาที่หยาบ แต่ ภาษาละเอียดคือ ทรถ
ท คือตัวแข็งแรง Static
ร คือพลังงานเสริม Dynamic
ตัว ถ คือ Coefficient
มันจะมีพลังงานตัวละเอียดเล็ก ของพระอรหันต์ จะรู้ว่ามันมีอยู่ในตัวเอง แต่เรารู้ว่าเราใช้งานมันไม่ได้ ทำความรำคาญก็ไม่ใช่ (ท่านแปลในตำราว่า กระวนกระวาย) อย่างนั้นมันหยาบแล้ว ที่จริงมันแค่เล็กๆน้อยๆ ไม่ได้เกิดความรำคาญอะไร คำว่ารำคาญก็หยาบ มันเป็นแค่ภาระ สิ่งที่จะต้องรู้มัน
แบบคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ถึงขีดขั้นนั้นก็เข้าใจเอง
_อยากทราบว่า จิต 89 52 121 เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...อาตมายังไม่ได้ลงลึก ใน จิต 89 แต่อาตมากำลังลงลึกในรูป 28
ตั้งแต่ มหาภูตรูป 4 และอุปาทยรูป 24
มหาภูตรูป 4 คือวัตถุแท้ๆ
อุปาทายรูป 24 คือนามธรรมตั้งแต่
ปสาทรูป ทำงานกับโคจรรูป เป็นพลังงานสอง ออกไปกระทบสัมผัสกับภายนอก ถ้าไม่มีภายนอก ปสาทรูปก็เป็นตัวใน โคจรรูปมันไม่เคลื่อน มันนิ่งภายใน มันมีตัวแต่ภายในไม่ออกมาภายนอก ไม่ โค คือมีการจรมาภายนอก โคจร หรือวิสยรูป มันจะต้องออกมามีวิสัยของสิ่งนี้ วิสัยของแต่ละระดับ มันต้องออกมาให้คนอื่นรับรู้ได้ด้วยจึงจะเรียกว่าเกิดปสาทรูป โคจรรูป จึงเกิด ภาวรูป 2
ภาวรูป 2 ก็เกิดความแตกต่างระหว่างเพศ มีเพศหญิงเพศชาย มีบวกมีลบ ต้องทำให้เป็นเอกธรรม ควบคุมได้ เป็นหนึ่งขึ้นมาได้อย่างสูงสุด เป็นเอกธรรม
คุณจะต้องจับ หทยรูป ชีวิตรูป อาหารรูป ปริเฉทรูป แล้วก็มารู้จักตัวสำคัญของ รายละเอียด จากแต่ละปริเฉท แต่ละกรอบๆ จนละเอียดลงไปถึง วิการรูป 5 แล้วมีลักขณรูป 4
แค่ขยายรูป 28 นี้ก็ยังละเอียดไม่พอเลย ก็ต้องใช้เจตสิก จิต 89 ก็ดี 52 ก็ดี แต่ที่พูดไปนี้ก็เกี่ยวข้องพวกนี้ทั้งนั้น กุศล อกุศล โสภณเจตสิก อโสภณเจตสิก ไปเรื่อยๆจะมีลักษณะ 3 ซ้อนไปด้วย เป็นสามเส้า ขยายเป็น 4 5 6 9 ไปเรื่อยๆ
รูปนั้นคืออะไร ก็ลักษณะที่คุณจับได้ตัวไหนก็คือรูป รูปคือจิตที่คุณจับได้ มันก็เป็นของนิ่งเลย แล้วคุณก็มีธรรมวิจัย อ่านเข้าไปในพลังงานที่มันเคลื่อนที่นี้ มันหมุนมันเร็ว แต่จิตของคุณ ปัญญาของคุณเร็วกว่าตัวนี้ก็สามารถจับมันได้ รู้ความแตกต่างมันได้ ถ้าคุณไม่เร็วกว่ามัน คุณไม่มีทางที่จะรู้มันได้ ถามมาถึง เจตสิกต่างๆก็ค่อยๆอธิบายไปอยู่แล้ว
เรากำลังจะมีงาน
อาตมาจะบรรยายในงานนี้ ต่อไป มีหัวข้อบรรยายว่า เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 เป็นต้นไป โปรดติดตามสำหรับวันนี้ ก็หมดโควต้าเวลาแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ตัวอย่างคนจนที่ไม่มีตัวตน ก็คือในหลวงของเรา ท่านใช้ดินสอ ท่านใช้รองเท้า ท่านใช้สบู่ ก็ใช้แบบที่คนธรรมดาก็หาได้ยากมากที่จะใช้แบบท่านได้ ท่านประหยัดมากจริงๆ ในหลวงจะใช้หลอดแบบทองคำก็ได้ แต่ก็ใช้แบบคนจนมากๆ
พ่อครูให้โศลกว่าสร้างบุญจงประณีต สร้างจารีตจงประหยัด เราจะเป็นคนจนที่หมดตัวหมดตน ต้องเน้นความประณีตความประหยัด มีในหลวงเป็นแบบอย่างที่เห็นได้ชัดเลยว่า เราต้องทำอีกมากที่จะมีทิศทางอย่างนั้น แต่เราก็เห็นได้ว่าเป็นทิศทางของการเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างมากเลย ที่จะให้เห็นถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับสังคมในขณะนี้ วันนี้ ต้องกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง ขออนุโมทนากับความตั้งใจของพวกเราทุกคน
ยูทูป
https://youtu.be/O5UViif_xTM
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:30:49 )
รายละเอียด
601228_ทวช.งานว.บบบ.ครั้งที่ 5 เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน1
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน อธิบาย ญาณ 7 พระโสดาบัน
พ่อครูว่า...วันนี้วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม 2560 วันนี้เป็นวันเริ่มต้น ที่จริงก็ผ่านมาวันหนึ่งแล้ว มันเลทไป แต่ก็ยังน่าชื่นใจ มีมา 502 คน ที่ลงทะเบียนสอบ เลย 500 ไปครึ่งพันได้ 2 คน พอถูไถ เรามันต้องพันกว่าน่า มหาปวารณาเราเคย 2000 กว่า ตอนนี้ก็ยอบแยบ มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ มันเคี่ยวข้น จะเหลือตะกอนหรือเนื้อ มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ดินน้ำไฟลมจะต้องเข้าหาแรงที่จะเข้มข้นสูงสุด
อาตมาก็ยังตั้งอกตั้งใจทำชีวิตให้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้นให้มีพลังงานทางจิตวิญญาณมีประสิทธิภาพที่ ยิ่งๆๆขึ้น มีความก้าวหน้า มีอัตราการก้าวหน้า ที่เป็นปฏิภาคทวี ทบทับทวีขึ้น ซ้อนๆๆ ขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ถ้าสามารถที่จะทำได้ ในความสามารถของคนในระดับหนึ่ง
เริ่มต้นของผู้ที่เข้ามาสู่ความเจริญ ของพระพุทธเจ้าก็ได้ว่า อาริยะ ต้องใช้ศัพท์คำว่า อาริยะ ให้มันต่างจากคำว่า อริยะที่ไปทางเจโต และต่างจากคำว่า อารยะที่ไปทางปัญญา ที่จริงแล้วไม่ใช่ปัญญาแท้ มันเป็นความเชื่อและฉลาดโลกๆโลกีย์ เรียกว่าเฉกา เฉโก แต่มันผิดเพี้ยนไปหลอกคนอื่นได้ว่าเป็นปัญญา พยัญชนะคำว่าปัญญามาเรียกความฉลาดแต่แท้จริงนั้นเป็น โลกีย์อยู่ ถ้ายังเป็นโลกีย์อยู่มันก็ไม่เข้ากระแส
ผู้ที่นับเป็นอาริยะของพระพุทธเจ้านั้น เรากำลังพยายามที่จะรวบรวมหลักฐานวิชาการอะไรต่างๆนานา เป็นหลักเกณฑ์ที่เขาใช้กันในสมัยใหม่ มีระบบระเบียบอะไรต่างๆนานา ให้พูดกันด้วยภาษาสามัญโลกๆ เอามาพูดกันยืนยันกันมีเหตุปัจจัยข้างนอก ยืนยันตัวบุคคลพฤติกรรมและมีภาษาชื่อเรียก อย่างนี้นะๆ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
กายคือภายนอกทั้งหมดเลย แต่มีนัยลึกซึ้งที่ไม่ขาดจากจิต ถ้ามีแต่ร่างข้างนอก ดินน้ำไฟลมเฉยๆไม่มีจิตเข้าไปร่วมด้วย จริงๆแล้วภาษาบัญญัติพระพุทธเจ้าที่เรียกว่ากายนั้นมันไม่ใช่ มันต้องมีจิตร่วมเสมอ ขาดจิตไม่เป็นกาย พระพุทธเจ้าท่านได้ให้หัดแยกกายแยกจิตให้ชัดๆพิจารณามูลกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง เป็นองคาพยพภายนอกของเราที่ไม่ได้ขาดไปจากกาย แต่อยู่ภายนอก จับต้องได้ ไม่ว่า ผมขนเล็บฟันหนัง ผิวหนังที่เป็นส่วนภายนอก
หนังนี่เจ็บที่สุดแล้วอธิบายยาก หนังกำพร้า กับหนังกำพลอยนี่มันติดกันจนแยกไม่ออก ถ้าจะไปเอาฟันมันก็ยาก ต้องหมอฟัน ต้องเจียเข้าไป ส่วนที่เป็นประสาทเข้าไปก็เป็นกาย แต่ถ้ายังไม่จี๊ด เข้าไปมันก็ยังไม่กลับ ส่วนที่ไม่มีความรู้สึกก็ไม่ใช่กาย
เล็บนี่ง่ายกว่าเพื่อนเห็นเลยว่าโด่มา ไม่ติดกับประสาท เราก็เอาที่ความรู้สึกถ้ามันเจ็บอยู่ก็ใช่กาย ถ้าไม่รู้สึกไม่เจ็บก็ไม่ใช่กาย
แต่ความรู้สึกของคนทั่วไป กาย นี้คือต้องไม่รู้สึกเจ็บ ถ้ายังรู้สึกเจ็บอยู่ ไม่ใช่กาย อย่างนี้เป็นต้น นี่คือความผิดพลาด เมื่อเข้าใจ กาย คำเดียวนี้ผิดก็พิจารณาความจริง มันกลับกันไปแล้ว จิตเป็นกาย กายเป็นจิต แต่นี่ไม่เอาอะไรแล้ว กายไม่เกี่ยวกับจิตเลยแล้วจะไปพิจารณาอะไรได้อย่างไร มันต้องพิจารณาอาการของจิต ต้องดูอาการของจิต ดิน น้ำ ไฟ ลมมันไม่มีทุกข์สุขหรอก จะร้ายหรือดีจะมีคนมีโทษก็อยู่ที่จิต ต้องจัดการกับการบงการจิตเราเอง เราต้องเป็นผู้บงการได้
เริ่มต้นคำว่ากายของตัวเองแท้ๆคำว่าสักกาย กาย แปลว่ารูปนาม สัก แปลว่าตัวตน ตัวเรานั่นแหละ
สักกายจึงเป็นสังโยชน์ตัวแรก หากอ่านสักกายไม่ออก ไม่เข้าเขตการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นข้อแรกเลย
สักกายคืออะไร คือจิตของเรา ตั้งแต่สัมผัสอาการของจิตออก อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส คือคำอธิบาย ที่อย่างอาตมาอธิบาย แล้วเอาไปอ่านอาการ มีเครื่องหมายนิมิต มันไม่มีตัวตนรูปร่างสีสัน แต่มันมีอาการเคลื่อนไหว อาการไหวไปไหวมา เคลื่อนไปมา มันไม่ได้นิ่งเลย เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมทำให้จิตใจนิ่งไปเลย แล้วไปลงอยู่ที่จิตนิ่งไม่มีธรรมะวิจัย นิ่งจบ นี่แหละคือสูงสุด นิโรธ ก็ไม่ได้เรียนดูอาการของจิตเลย จิตหมดอาการ ก็เลยออกนอกจากศาสนาพุทธไป มันก็ง่าย สะกดจิตอยู่เฉยๆ คนที่ฝึกฝนเรียนรู้มาพอสมควรทำจิตให้หยุดนิ่งมันไม่ยากอะไรหรอก นอกจากคนปุถุชนโลกโลกีย์ที่ไม่เคยฝึกอะไรเลย จะมาทำจิตให้หยุด เขาก็บอกว่าคิดเหมือนลิง ทำให้มันอยู่นิ่งไม่ได้ ถ้าใครจะกดให้มันอยู่นิ่งได้ก็ชนะ ก็เป็นเรื่องเบื้องต้นตื้นๆง่ายๆ หยุดได้เก่งก็ไปหลงว่านั่นแหละคือความสำเร็จ เสร็จแล้วเขาบอกว่าจะวิปัสสนาก็ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา และเป็นอย่างไร ก็นั่งหลับตาแล้วยกจิตขึ้นมาวิปัสสนา ให้จิตมันนิ่งไม่คิดอะไรเลย ให้มันคิดนิดหนึ่งเรียกว่ายกจิตขึ้นวิปัสสนาแต่อย่าไปคิดมากนะ เดี๋ยวมันเตลิดเปิดเปิงคุมไม่อยู่ก็ถูกของคุณ คุณยังไม่มีแรง ไม่มีประสิทธิภาพในจิตเลย ก็ทำอย่างนั้น อาตมาทำมาหมดที่เขาพูดกันทั้งหลาย อาจารย์ใดๆเขาพูดกัน คำอธิบาย กายแต่อาตมาทำมาหมดรู้หมดทุกอย่าง
เรามาเอาหลักการตามพระพุทธเจ้าโดยมีหลักเกณฑ์ตั้งแต่เบื้องนอก ต้องมีตั้งแต่เบื้องนอกเสมอ ไม่ใช่ไปเอาแต่อ่านจิต เล่นอยู่กับจิต มันละเอียดเกินไปมันข้ามขั้น มันไม่เป็นไปตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
เพราะฉะนั้นเริ่มต้นตั้งแต่ อาตมาอธิบายตามหลักวิชาเลย
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสเอาคำว่า ความรู้ อธิบายความรู้ธาตุรู้ ท่านบอกว่าต้องมีปัญญาหรือมีความรู้ ที่เรียกว่าเป็นอริยะต้องมีความรู้ 7 ประการนี้ เรียกว่า ญาณ 7
แล้ว ญาณ7 นี้จะไปอ่านอะไรหมดหรือไม่ ไม่ใช่ อ่านแค่องค์ประกอบของศีล 5
ศีล 5 นั้น 3 ข้อแรกเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบทางกาย
ข้อ 4 องค์ประกอบของ วจี คำพูด
ข้อ 5 คือจิต
ก็ต้องให้ชัดเจนก็ต้องมาพูดตัวอย่างประกอบคือกาย มี 1. สัตว์ 2. ของ 3.สัมผัสกับสัตว์กับของนี่แหละแล้วเกิดกิเลส กิเลสในการสัมผัสและเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ห้าทวาร
สัมผัสแล้วเกิดไปติดยึดในอารมณ์ที่สัมผัสนั้น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสเสียดสีเย็นร้อนอ่อนแข็ง นั่นแหละ เอาเท่านี้ก่อน
เพราะฉะนั้นเริ่มต้นมาเลย ตามศีล หยาบที่สุด ในการสัมผัสแล้ว หยาบที่สุด การสัมผัสแล้วท่านเรียกว่า อบาย
อบายภูมิ 6 เอาตามตำราเลย มีอะไรบ้าง
1. เสพของมึนเมาให้โทษ
2. เที่ยวกลางคืน
3. เที่ยวดูมหรสพการละเล่น
4. เล่นการพนัน
5. คบมิตรชั่ว
6. เกียจคร้าน
ถ้ายังมีเรื่องที่คุณยังไปติดอยู่ 6 อย่างนี้ถือว่าเป็นอะไร
หนึ่ง มึนเมา ธรรมดาจิตวิญญาณประสาทของคนเราก็เมาอยู่แล้ว ปุถุชน เมาในโลกีย์ เมาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เมากามคุณ 5 เมาอัตตา เมาอัตตาหยาบๆก็เอา กามคุณ 5 ต้องสวยระดับที่ 1 นะต้องไพเราะระดับที่ 1 นะ รสต้องเป็นชั้น 1 นะ แล้วแบ่งเกรด เป็นชั้นสูงชั้นกลางชั้นต่ำอะไรพวกนี้ เสียงก็ตาม รูปก็ตาม กลิ่นก็ตาม รสสัมผัสทางลิ้น ก็ตาม สัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง จัดจ้านหมด นี่เรียกว่า กาม
ทีนี้เมื่อจะต้องสัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เริ่มต้น เรื่องสัตว์ แตะต้องกับสัตว์ แล้ว สัตว์ทั้งหลายนี่ คุณจะต้องหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวง อย่าไปหวังมุ่งร้าย มีความเอ็นดูต่อสัตว์ทั้งปวง สัตว์ทุกตัวตั้งแต่เซลล์เดียวเขามีวิบากของเขา อันนี้ละเอียด เพราะว่าเราเองเราไม่ต้องไปเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์ตัวใด วิบากของใครของมัน เรามีแต่ฐานะที่จะช่วย เขายินดีให้ช่วยเราก็ช่วย ไม่ยินดีให้ช่วยเราก็อย่าไปยุ่งกับเขาเดี๋ยวจะเกิดวิบากซ้อน เขายินดีให้ช่วยก็ช่วย หว่านไปกลางๆ เขาจะแอบรับเอาก็ช่างเขาเถอะเขาได้สิ่งที่ดีแล้วก็ไม่เป็นไรไม่ต้องหวงแหนหรอก อย่างนี้เป็นต้น
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ใดๆ อย่าไปสร้างวิบากเชื่อมต่อ มันเป็นวิบากแก่กันและกันมาทั้งนั้น ที่มันเป็นวิบากแข่งกัน มันจะห่างไกลกันไม่เจอกันร้อยชาติพันชาติไม่เคยโคจรมาเจอกันเลย ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนอันหนึ่งเป็นดาวฤกษ์แล้ว อีกอันหนึ่งเป็นอุกกาบาตอยู่ มันจะไปเข้าใกล้กันได้อย่างไร มันก็ต้องอีกนาน ยังไม่เข้าวงโคจรไม่เข้าแรงดึงดูดอะไรเลย เดี๋ยวก็เข้าไปหาดาวดวงน้อยดวงนี้ ถูกถีบออก ถูกดูดไปหลงนึกว่าดี ก็เลยดึงดูดแรง พอรู้ว่าไม่ดีก็ถีบแรงออกไปเหมือนกัน มันผลักออกกับดูดแรง เป็นอยู่อย่างนี้
สรุปเข้ามาง่ายๆ กิเลส พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากิเลสเป็นภาษากลางๆ กิเลสรวมทั้งหมด ตกจมลงในกิเลสเรียกว่า วิติกมะ มันจมมันดักดานมันหยาบ ถูกครอบไว้ทุกๆวัน ถูกหลอกพราง หนาเปรอะเลย เป็นจิตขั้นหยาบที่สุด
ถูกหลอกไว้ตั้งแต่ขั้นที่หยาบที่สุด ท่านเรียกว่ามึนเมา คนเรานั้นสติจะต้องเต็มร้อย แต่ถ้าสติไม่เต็มก็เริ่มเมาแล้ว สติมี 99 ก็เริ่ม เมาสติ 90 ก็ไม่เต็มร้อย ร่วมกันอย่างชัดเจนในนอกนอกใน แต่นี่เอาแต่นอกไม่เอาในไม่ได้เรื่องเลย
พวกเอาแต่นอกไม่มีในไม่รู้จักจิตเลย พวกนี้พูดธรรมะไม่รู้เรื่อง ที่นี่เอาแต่ในเลยไม่มีนอก ยังพอพูดกันรู้เรื่อง ภาวะจิตมันเป็นประธาน เอาแต่นอกเลยไม่มีจิตนี้เป็นการออกนอกเขตเทศบาลพุทธ คนละเรื่องเลยพวกนี้ไม่ต้องพูดกัน เพราะฉะนั้นเอาจิตเป็นหลัก เมื่อมีจิตร่วม มีเหตุปัจจัยนอก เรื่องเกี่ยวกับความเป็นสัตว์ที่มีความรู้สึก มีจิตวิญญาณ มีเซลล์แห่งความรู้สึก แล้วมีจิตนิยามเริ่มต้นตรงนั้น ต่างคนต่างเป็นเพื่อนทุกข์
เกิดมานี่มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาตั้งแต่เป็นเซลล์เดียวก็มีวิบากต่อไป เราไม่มีเวลาพอ ที่จะไปช่วยสัตว์ในระดับเซลล์เดียว ล้านเซลล์ยังช่วยเขาไม่ได้เลย กี่ล้านเซลล์ในร่างกายคน กว่าจะเป็นเวไนยสัตว์ที่สอนกันรู้เรื่องแล้วระดับโลกุตรธรรมด้วย มันไม่รู้จะเอาเริ่มต้นที่ตรงไหนมันไกลมาก เพราะฉะนั้นก็มาเอาตามเขตของพระพุทธเจ้า
ว่า 1. สัตว์หมายถึงอย่างนี้ 2.ข้าวของวัตถุต่างๆที่มันเป็นวัตถุ ทั้งหลายนอกตัวคือข้าวของ 3. อยู่ที่ความยึดติดต่างๆในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส คุณก็จำต้องรู้เลยว่า มันดูดหรือผลัก ไม่ดูดไม่ผลักจึงจะเป็นกำลังกาย จึงต้องตั้งสติแล้วมีปัญญาที่จะมีธาตุรู้ไปทำอะไรได้ นั่นคือไม่เอา ก็ต้องให้มีสติเต็มร้อย รู้นอกรู้ใน ขนาดมีสติเต็มร้อยยังมีปัญญากันคนละขั้น
สติเต็มร้อย แต่ปัญญาความเฉลียวฉลาดก็ยังมีคนละระดับ ก็เอาระดับที่ 1 คือระดับความรู้ ธาตุรู้หรือเรียกว่าปัญญา ปัญญาเป็นภาษาพระพุทธเจ้าแล้ว เฉกา แปลว่าความรู้ ก็เอาภาษาไทยกลางๆ ความรู้ที่พ้นจาก วิติกมกิเลส เป็นความรู้ขั้นที่ 2 ได้ ปริยุฏฐาน
อันที่ 1 วิตกมกิเลส อันที่ 2 ปริยุฏฐาน อันที่ 3 อาสวะ อนุสัย อันที่ 3 นี้เอาไว้ตัดสินกันที่อนาคามีหรืออรหัตตมรรค เอาหยาบก่อน ละเอียดอย่าเพิ่งไปกังวลมัน เป็นลำดับหลังลำดับปลาย สรุปเรื่องเมาในโลกีย์
เมาในโลกีย์มีอะไรบ้าง
1.กุหนา ของอาชีพ 2.ลปนา ของอาชีพนี่หยาบสุดแล้ว
3.เนมิตกตา เป็นตัวกลางในวิชาอาชีพ 5
ส่วน นิปเปสิกตา แปลว่าบรรลุแล้วแต่ยังมอบตัวในทางที่ผิด หมายความว่าคุณหลุดพ้นของคุณได้แล้วแต่คุณยังไปรับใช้คนชั่ว คนดีไม่ให้ความร่วมมือร่วมงานอยู่ จะไปร่วมงานกับคนชั่วเรียกว่า นิปเปสิกตา ไม่ไปเสียแรงงานความคิดให้กับคนไม่ดี
ส่วน ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา สุดยอดเลยทำงานฟรีเราว่างแล้วไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย มี ชาวอโศกเรามีทั้งหมด คนมิจฉาชีพข้อที่ 5 นี้ด้วย ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตาแล้วไม่ยอมมอบตัวในทางที่ผิด ชาวอโศกเรามีเนื้อแท้ในนี้ ไม่ไปช่วยเขาหรอก จ้างอย่างไรก็ไม่ไปหรอก มันมีจริงแล้วรับรองว่าไม่ไปไหน
ส่วนเนมิตกตานั้นเป็นระดับกลางที่ต้องไปตามลำดับ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นขั้นตอนเรียกว่า เนมิตกตา สร้างไปตามลำดับ
ส่วน กุหนา นั้นชั่วหนัก หยาบหนัก เลวหนัก เช่น อบายมุข6 เมาหนัก
ตอนนี้เมาของหยาบ เมาในวัตถุที่ทำให้สติตก สัมปชัญญะไม่มี ยาเสพติด เหล้าที่ทำให้สติเราไม่เต็มร้อย เมื่อสติไม่เต็มร้อย อะไรที่ทำให้ประสาทมีสติไม่เต็มร้อยมันคืออบายมุขทั้งนั้น
สอง เที่ยวกลางคืน ยังมีใจไปสนุกกลางคืน กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน กลางวันเป็นเวลาทำงาน กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อนให้รู้พักรู้เพียร ตามธรรมชาติให้ร่างกายสมดุลได้สัดส่วน ซึ่งจริงๆแล้วคนไม่ต้องพักผ่อนถึง 12 ชั่วโมงหรอก ทำงาน 12 ชม.พัก 12 ชม.มันก็เกินไป คนเราไม่ต้องถึงขนาดนั้น คนสามัญธรรมดาพัก 6 ชม.ดีแล้ว 8 ชม.นี่สำหรับผู้มีอายุมากอนุโลมหน่อย 10 ชม.ก็มี ถ้า12 ชม.คุณจะต้องเรียกคืนในสภาวะซับซ้อนอีก ก็ว่าไป อย่างอาตมาต้องพักเติม 12 ชม.บ้าง ที่จริงไม่อยากจะอยู่ถึงหรอก แต่คนก็บอกว่าต้องเติม ดินน้ำไฟลมมันไม่รู้เรื่องกับเรา ต้องเติมให้สมดุลบ้าง
การเที่ยวกลางคืนชาวอโศกเราไม่มีใครไปเที่ยวงานกลางคืนหรอก ส่วนพวกเด็กเล็กๆคะนองไปบ้างก็โดนลงโทษบ้าง แต่เด็กที่ติดจริงๆเขาอยู่กับเราไม่รอดหรอก ผู้ใหญ่ก็ตาม ต้องไปเที่ยวกลางคืนอยู่ มาอยู่กับเราไม่ได้หรอก
อย่างอบายมุขให้ละเอียด เถิดเทิงเฮที่ไหนไปที่นั่น เราก็ไม่ต้องลงลึกถึงขนาดนั้นก็ได้
สรุปแล้วอบายมุขข้อที่ 2 อันหนึ่งเมา อันต่อมาเที่ยวกลางคืน สามจะดูมหรสพการละเล่น
การละเล่นมหรสพ ก็ต้องอธิบาย ขีดต่ำระหว่างที่ถือว่าไม่ชัด อบายมุขตรงไหน
การละเล่น ภาษาบาลีคือ กีฬา หรือกีฬะ ภาษาไทย มีการละเล่นต่อเข้าไปอีก คือการเล่น เล่นอะไร มีเกมมีกติกามีการเล่น ที่เรียกทุกวันนี้ว่ากีฬาทั้งหมดแหละ ไปเล่นอย่างมีความเสพติดเสพรสกีฬา ถ้าคุณอดไม่ได้ มันมอมเมามาก โปรโมทกันมาก ในมหรสพการบันเทิงเริงรมย์ ให้มอมเมาติดในรสชาติกามราคะ กามคุณ ส่วนกีฬานั้นเต็มไปด้วยการแข่งขันเอาชนะคะคาน รุนแรง แต่อันนี้ไปหาทางโรแมนติกรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเป็นกามคุณ 5
สองอันนี้จัดจ้าน มหรสพกับการละเล่น กีฬาการเล่นคือระดับซาดิสม์ มหรสพคือ โรแมนติก อันนี้เรื่องรักใคร่ อันนั้นเป็นเรื่องเอาชนะคะคานเอาพลังเข้าว่า สองอย่างนี้
หนึ่งถ้าจะเล่นเพื่อออกกำลังกายตามสรีระก็พอสมควรมากกว่านี้ไม่เอา คุณก็ใช้ให้พอเหมาะ ไม่ใช่ให้มันมากเกินจนเกินไป ถ้าเกินไปมันไม่ใช่แล้ว มันเป็นการผนวกการปรุงแต่งเพื่อจะเอาดีเด่นดังใหญ่โตโก้เก๋ ก็อยากจะแวะไปถึงคุณตูนว่ามันเกินไปแล้วก็ไม่อยากไปแตะ เพราะมันมีความเสียสละซับซ้อน มีการทานมีการเสียสละแล้วได้เงินมา เขาก็ไม่เอาอีก เอาเงินให้แก่โรงพยาบาลอีก มันซับซ้อนหลายชั้นมันเป็นคุณค่าหลายชั้น ก็ยังไม่อยากไปขยายความ ให้เขานิยมชมชอบอันนี้ไปก่อน แต่ถ้าลงลึกแล้ว เดี๋ยวหาว่าอาตมาไปเที่ยวริษยาคุณตูนอีก ถล่มเขาอีก ไม่ได้ถล่ม แต่เป็นวิชาการ
เริ่มต้นในประเทศไทยนี้เป็นการวัดค่า อาตมาใช้ตูนบอดี้สแลมเป็นเครื่องวัดค่า status quo เป็น เห็นอยู่หลัดๆ phenomenon ประเทศไทยชื่นชมอันนี้กัน ไม่ละเว้น ระดับตั้งแต่คนไม่มีความรู้หรือคนไม่รู้เรื่องอะไร ทุกคนไปถึงระดับสูง ร่วมรู้ร่วมรับรองร่วมเข้าใจกันได้หมด ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดอย่างนี้ไปแล้วค่อยๆเข้าใจค่อยๆรู้ ทำออกไป มันยังมีตัวประโลมโลกอีกเยอะ แต่ก็ค่อยๆไปตามลำดับ อาตมาก็ต้องรู้ตามน้ำ ถ้าไม่รู้ตามน้ำเราขวางน้ำอย่างเดียวจะอยู่รอดอะไร อาตมาก็ต้องรู้ตามน้ำบ้าง อันนี้ถือว่าเป็นกีฬา
มหรสพการบันเทิงเริงรมย์ เอาแต่รสชาติสนุกสนาน บันเทิงเริงรมย์ ซาบซึ้งประทับใจอะไร อร่อยสนุกสนาน ก็ไอ้พวกหนึ่ง เรียกว่า มหรสพ
ต้องเข้าใจมหรสพจัดจ้าน จัดจ้านด้วยอะไร เรื่องราคา ราคายิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเลวเท่านั้น ไม่ว่าจะราคาค่าตัวนักกีฬา ราคาค่าตัวดารา ยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งจัดจ้านเท่านั้น นั่นแหละ คือยิ่งเป็นมหรสพการละเล่นยิ่งเป็นอบายมุข มันต้องแสดง เชิงอิตถีภาวะ ราคะ ถ้าไม่แสดงราคะก็แสดงจัดจ้าน ไม่ใช่เป็นกีฬา แต่ต้องแรงต้องเป็น Hard Rock ตะโกนให้สุดเสียง ตีลังกาหกคะเมน เต้นให้เต็มที่ บอกว่าแสดงเก่ง เก่งชิบหาย ร้องเก่งคอแตกตาย เต้นหกคะเมนตีลังกาพลาดท่าคอหักได้ เก่งนะเก่งมาก อย่างนี้คือ การแสดงที่ทำได้ยาก แต่ไร้สาระ ถึงตายได้ จัดๆเรียกว่าอบาย
ต่อมาการพนันข้อที่สี่ พนันขันต่อ ไม่ต้องอธิบายมาก พวกเรานี่ไม่แล้ว ไม่พนันขันต่อ ไม่เสี่ยงทาย การเสี่ยงทายก็เป็นการพนันขันต่อ เล่นหุ้นก็เป็นพนันขันต่อ ซื้อลอตเตอรี่ เล่นหุ้น ประกันภัย แชร์ ไดเร็คเซล ไดเร็กเซลนี้หยาบมากเลย หยาบอย่างละเอียดมากเลย
หยาบอย่างหลอกสูงส่ง กินลึกมากซับซ้อน สูงระดับเพชรทอง เงินเยอะนะ เอาเปรียบเขาไม่รู้กี่ต่อ ใช้จิตวิทยาที่มาก คนที่ไปถูก direct sale หลอกนี้ โง่ซับซ้อนมาก โง่อย่างคนฉลาดที่ tripple โง่ การพนันก็คือเราต้องได้มากกว่าที่ลงทุน ลงทุน 1 แต่ได้หมื่นแสนล้าน เอาเปรียบกันชิบหายเลย ลงทุน 1 แต่จะเอาเปรียบได้เป็นแสนเป็นล้าน ตะกละตะกรามเกิน ขี้โลภเกิน มันเอาเปรียบเกินไป
เสียสละกับเอาเปรียบ คุณยืนอยู่ในมุมของเสียสละเถิด อย่าไปยืนอยู่ในมุมเอาเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว ให้มันได้เปรียบเลยคุณจะตายใหม ไม่เอาเปรียบจะตายไหม ก็ไม่ตาย มีแต่พิสูจน์กันแล้วว่า เสียสละนี่แหละยิ่งสบายไร้กังวล ไม่ต้องมีศัตรู เรามีแต่ให้ มีแต่เสียสละ พออยู่พอกิน ไม่เบียดเบียนใครพึ่งตัวเองได้รอดแล้วทำให้เหลือเกิน แบ่งแจก ทุกคนมีความสามารถ ทำวัฒนธรรมให้เกินกินเกินใช้ แล้วเอามารวมกันแบ่งแจกกัน แล้วก็ทำยังไม่ได้หยุด นอกจากเจ็บป่วยเจ็บ โอกาสต้องพักแล้ว รู้จักพักรู้จักเพียร ความหมายต่างๆของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ครบ
ห้า คบมิตรชั่ว มิตรชั่วไม่ใช่พวกชั่วจัดๆ มิตรชั่วคือมิตรที่ไม่มีศีล5 เป็นต้นไป กัลยาณมิตโต มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีในแวดวงคนศีล 5 ก็ต้องรู้ว่า จะไปคบกับใคร ต้องรู้ว่าคนนี้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตรแท้เรานะ
มิตรนี้ร่วมใจ สหายคือร่วมประโยชน์ สัมปวังโกคือในวงใหญ่ แล้วแต่จะจัดรอบเป็นประเทศเลยก็ได้ เราก็เอาตามที่เรากำหนดมา มิตรที่พามาในกรอบศีล5 นี่แหละ หากไม่อยู่ในกรอบอาจเรียกสหาย คือผู้ที่ร่วมประโยชน์ เช่นเราค้าขายกับพวกไม่มีศีล 5 เราก็ต้องร่วมประโยชน์ด้วย ถ้าจะบอกว่าไม่ไปร่วมขายกับพวกไม่มีศีล 5 ก็ขยายผลไม่ออก มีแต่พวกกันเองมันก็ไม่พอ มันก็ต้องร่วมกับคนที่ไม่มีศีล 5 ด้วยแต่ถ้ามากเกินเละเกินชั่วหนัก เราก็ไม่เอา
บางทีเงินพวกที่เลวจัด ยกตัวอย่าง ถือว่าเลว เขารวยเละ แต่รวยเขาไปทำร้ายคน เขารวยมากเลย แล้วเอาเงินก้อนนี้มายัดเยียดให้เราให้ฟรี เราก็รู้ว่าของคนนี้เราก็ไม่เอา ที่บอกให้นี้ไม่อยู่ตรงนี้หรอก รีดนาทาเร้นคนจนได้เป็นแสนล้านแล้วเอามาให้เรานึดนึง มาร่วมส่วนเรา เราก็ไม่เอา จะมาเอาเราไปเป็นพวก ซื้อเราแค่ห้าล้านแสนล้าน คุณเอามาหมดแสนล้านเลยสิเราก็จะเอา เพราะคุณมาหมดตัวแล้วมาอยู่กับเรา ถ้าไม่หมดยังงั้นไม่เอา ถ้าเอามาหมดเลยแสนล้านเลย หนอยนี่เอามาแค่ 5 ล้าน 2 ล้าน แล้วเอาเราไปเป็นพวก บอกว่าเป็นพวกเดียวกันนะ เอาเราไปอ้างอิงเพื่อจะหลอกคนต่อ นี่คือความซับซ้อน จะต้องมีความเฉลียวฉลาดที่จะรู้ทัน
ข้อเกียจคร้านทำงาน อบายมุข ตัวนี้ต้องพ้นก่อนอื่นเลย เริ่มเกียจคร้านตัวแรกก็ไม่ต้องทำมาหากิน ภาษาบาลีเรียกว่า กุสีตะ หรือโกสัชชะ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้วพวกเกียจคร้านนี่ มีความแข็งแรงก็ได้ ดีไม่ดีมีความรู้มีความเฉลียวฉลาด ดีไม่ดีมีสมรรถนะมีความสามารถอีกต่างหาก ทำได้ทำเป็นทำเก่ง มีความรู้และแข็งแรงด้วย แต่มันไม่ทำ แต่มันขี้เกียจ คนนี้เหมาะกับการเอาไปเผาแล้วไปฝังนะ เรียบร้อย หรือไม่อย่างนั้นก็ไปโยนให้เสือกิน มันไม่ได้เรื่องอะไร เป็นภาระสังคม หนักแผ่นดิน เสียดายลมที่มันต้องหายใจ ไม่งั้นมันก็ตาย เสียดายมันอยู่ทำไม เปลืองดินน้ำไฟเขา ส่วนพืชนี้มันก็ไม่ไปรุกรานใครเลย มันทำแต่ตัวมันเอง แต่มาเป็นสัตว์นี้ก็เริ่มเบียดเบียนคนอื่นได้ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์เดียว แต่มันก็ยังไม่รู้ตัวอะไร จนกว่าจะมารู้ตัวเองได้ สัตว์ในระดับที่ยังสอนไม่ได้ก็ปล่อยไปตามวิบากเขา อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย คนที่สอนไม่ได้ก็ปล่อยไปตามวิบากเขาเถิด สุดวิสัยแล้วสอนเขาไม่ได้จริงๆ เป็นบัวใต้ตมจริงๆ ก็หยุดนะ คนในระดับบัวใต้ตมนี้ คนบัวใต้ตมนี้มีความฉลาดมากก็ได้ แต่สอนไม่ได้ เป็นความฉลาดโลกีย์ หรือแม้แต่จำคำสอนพระพุทธเจ้าท่องทวนได้เก่งสาธบายเก่ง สอนคนได้ แต่ไม่สามารถทำให้ตนเองบรรลุธรรมได้เลยแม้แต่ชาติใดชาติหนึ่ง จิตเกิดบรรลุตัวที่ 1 มันยังทำไม่เป็นเลย มันยังไม่พ้น สีลัพพตปรามาสเลย มันรู้หมดแล้วแต่ยังไม่ทำ ปรามาสอยู่
ปรามาสนี้ละเอียดกว่าประมาท ประมาทคนอื่นยังเห็นด้วย แต่นี่ปรามาสนี้ตนเองเห็นด้วยตัวเองคนเดียวแต่มันไม่ทำ ถ้าตนเองทำแล้ว คือได้พร้อมหมดทุกอย่างแล้ว แต่ไม่ทำเสียที จะไปจับโจรแต่ก็เล่นอยู่กับโจรสนุกสนานกับโจรไป ไม่ทำอะไรโจรเสียที
1.ทำได้ 2.โจรไม่มีทางสู้ แต่ไม่ทำ ประหารโจรเสียเลยสิเอาไว้ทำไม เล่นหัวกับโจร ลูบๆคลำๆเหลาะๆแหละๆเล่นๆหัวๆกับโจรอยู่ คำนี้อยากจะบอกผู้บริหารประเทศว่าอย่าไปเล่นอยู่เลย เล่นกับหมา หมาเลียปาก ทำไปดีไปเถอะ ทำเป็นเล่นไปเถอะ ควรจัดการข้างตัว หอกข้างแคร่นี้ก็ดี อย่านึกว่าจะอาศัยหอกสำหรับใช้เขานะ แต่มันจะแทงตัวเอง คุณเผลอเมื่อไหร่หอกมันจะเอาคุณ ทำเป็นเล่นไป ขออภัยนะ ไม่ได้ยุส่งอะไร พูดให้ระวังตัว ให้คุณรีบจัดการไม่งั้นเสียเวลา เสียสิ่งที่ควรจะได้ดี มันก็จะเสียหาย
สรุปแล้วอบายมุข 6 นี้เป็นตัวอย่างที่เอามายืนยัน ผู้พ้นอบายคือโสดาบัน เอาหลักการพระพุทธเจ้ามา เดี๋ยวนี้อบายมุขมีเป็นล้าน ละไว้ในฐานที่เข้าใจ อธิบายในหลัก 6 อย่างนี้ก็พอ แต่อบายมุข 6 นี้มีเป็นล้านอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ลาภ ยศ มีลาภเท่าไหร่ควรพอ ถ้าคุณไม่อยู่ในหมู่ คุณจะมีเงินทองประมาณล้าน สองล้าน ห้าล้าน เท่าไหร่ คุณไม่อยู่กับหมู่ ไปอยู่ข้างนอก อาตมาประมาณไม่ถูกแล้วว่าต้องมีเท่าไหร่แต่ถ้าอยู่ในหมู่ไม่ต้องมีถึงล้านหรอก มีแสนมีห้าหมื่น นี่ก็ยังแอบมีกันเลย มันอยู่ที่ใจจริงของใคร ใจจริงของใครบอกว่าถึงอย่างไร เราก็ไม่เลวไปกว่านี้หรอก ถ้าไม่เลวไปกว่านี้ เรามั่นใจว่าดีกว่านี้ได้อีก เพื่อนเราก็ช่วยเหลือได้ เราก็ไม่ต้องมีเงินเอง ต้องไปเก็บรักษาดูแล ไปหากุญแจมาใส่ มันจะใช้ด้วยเรื่องอะไร ให้กองกลางดูแลไป ผู้มีหน้าที่เบิกจ่ายก็ดูแลกันไป เราก็ไม่ต้องไปใช้พลังงานแคลอรี่อะไรกับเรื่องนั้นเลย ทำงานอย่างอื่นเต็มที่สบาย นี่เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งละเอียดซับซ้อน แล้วเราจะรู้ว่า เราไม่ต้องไปดูแลรักษาอะไรส่วนตัว จะกินจะใช้อะไร ถ้ามันเหลือก็เก็บไว้ อะไรขาดเหลือก็ไปเบิกมาซื้อ เขาไม่ให้เราก็ทำเท่านั้น ขอใด้เท่าใดก็ทำเท่านั้น เราจะซื้อของนี้ 10,000 ได้มา 5,000 เราก็ไม่ต้องเอา ก็ต้องเอาแค่นั้น เรามาทำอะไร เอาข้าวของอุปกรณ์มาใช้ก็เพื่อทำส่วนรวม แต่เขาไม่เห็นด้วย เราก็ไม่ต้องทำ ทำแค่ไหนก็แค่นั้น มันจะยากอะไร
สรุปเข้าเป้า วิติกมกิเลส หยาบ ตัดไป ปริยุฏฐาน ระดับกลาง อนุสัยกิเลสระดับท้าย จัดสามขั้นนี้ โสดาปัตติผล วิติกมกิเลส ยังอยู่กับ ปริยุฏฐานกิเลส
ที่บอกว่า เรามีจิตปริยุฏฐานกิเลสใด กลุ้มรุมแล้ว
ทิฏฐิที่เป็นนิยยานิกธรรม
ล.4 [543] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิอันไกลจากกิเลสเป็นข้าศึก เป็นนิยยานิกธรรม นำออกซึ่งบุคคลผู้ทำตามนั้น เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนต้นไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้ มีอยู่หรือหนอ? หากมีอยู่ก็คือโสดาส่วนวิติกมกิเลสไม่มีแล้ว สัมผัสอย่างไรกิเลสหยาบเราก็ไม่มี เหลือขั้นที่สองขั้นกลาง แต่ถ้าไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงในกิเลสกลางนี้ก็เสร็จมัน แบ่งกันสามเส้า หยาบ กลาง ละเอียด แต่ละเอียดนี้คุณยังไม่ได้ตั้งศีลไว้เลยก็เอาแค่ศีล 5 ก่อน
ยกตัวอย่างคุณไม่ฆ่าสัตว์แต่ถ้าคุณกินที่เขาฆ่ามามันก็ยังหยาบ มันยังไปเกี่ยวข้อง แต่ถ้าแม้เขาจะฆ่ามามันไม่ได้ตายเองหรือแม้ตายเองไม่มีใครเจตนาฆ่า ไม่มีความมุ่งหมาย อุทิศ(มุ่งหมายเจตนาเจาะจง) ไม่มีใครเจาะจงเลยสัตว์นี้มันตายเองอย่างอุทิส แต่เขาไปเบี้ยวบาลีว่า เขาฆ่าเฉพาะเจาะจงคนๆนี้ ชื่อนี้ให้กิน เช่น ฆ่าให้เฉพาะนายก.กิน ดังนั้น นายก.ก็กินไม่ได้ เขากินเฉพาะคนเดียว แต่อย่างนี้ คนอื่นกินจะไม่บาปหรืออย่างไร
บาปคนอื่นกินเนื้อนี้ มันรู้เลยว่าคนนี้เจาะจงชื่อนี้ อย่าไปถือสาเขานะ มันจะไปรู้เรื่องได้อย่างไรพวกสัตว์ทั้งหลายนี้ สัตว์มันไม่รู้หรอกว่าฆ่าให้เฉพาะคนนี้กิน แล้วจะให้จองเวรเฉพาะคนนี้นะ คนอื่นไม่ได้ฆ่าให้เฉพาะ ไม่ต้องไปพยาบาท สัตว์มันก็ไม่รู้เรื่องหรอก อย่างนี้พูดเอาแต่ได้ เบี้ยวบาลี เปิดช่องให้กิน
เป็นเล่ห์เหลี่ยม จำเพาะคนเดียวนี้ไม่ได้กินก็ไม่เป็นไร คนอื่นไม่เกี่ยว กินได้จะได้กินได้มากๆ คุณตีความเพื่อที่ข้าจะได้ประโยชน์ แต่จิตใจของสัตว์มันไม่เอากับคุณหรอก
คุณมีเหลี่ยมก็หาเหลี่ยมมุมเอาประโยชน์ของคุณ แต่สัตว์เดรัจฉานมันไม่ได้คิดเหมือนคุณ คุณไปเซ็นสัญญาอะไร กับพวกสัตว์เดรัจฉานทุกตัว มันเป็น MOU ของเอ็ง แต่ไม่ใช่ MOU ของสัตว์ทั้งหลาย จะไปบอกว่า MOU ว่าจะพยาบาทเฉพาะชื่อคนนี้นะคนอื่นไม่พยาบาท ใครจะมีข้อตกลงแบบนี้กับคุณ เป็นเล่ห์เหลี่ยมของคุณที่เบี้ยวบาลีไป โดยสัจจะ คุณไปกินเนื้อของสัตว์เดรัจฉานมันก็พยาบาท
สรุปแล้ว ปัญญาข้อที่ 1 เข้าใจก้อนกิเลส เราอยู่ในฐานก้อนกลาง ที่จริงก้อนต้นที่สุดเรียกว่าอบาย แล้วเลื่อนมาเป็น กาม เป็นอัตตา
ปัญญาข้อที่1 จัดลำดับกิเลสหยาบของเราได้ ชาวอโศกนี้สูง ขออภัยพูดก่อน มันไม่ได้หยาบอย่างที่พูดนี้กันหรอก แต่มันสูงกว่านี้ เพราะว่าที่หยาบอย่างนี้ชาวอโศกไม่มีเลย ในวิติกมกิเลสนี้ไม่มีเลย ปริยุฏฐานก็สูง แล้ว แบ่งเป็นกิเลสได้อีกหลายชั้น
แต่อโศกนี้การละเล่นบันเทิงเริงรมย์ หนักๆไม่เอา เล่นแค่นี้แหละ เพลงก็เป็นศิลปะ เต้นรำก็แค่นี้มากกว่านี้ไม่ไหว ดัดจริตก็นี้เกินไม่ไหว อายแล้ว เหนื่อยเลย เสียเวลาแรงงานมากไปแล้ว เอามาซ้อมแสดงงานก็เรียกกันมาอยู่นั่นแล้ว คนไหนที่รักที่ชอบก็ซ้อมเก่ง คนไหนไม่ชอบก็ไม่ค่อยมา จะให้แต่งหน้าแต่งตาก็ไม่ค่อยจะทำหรอก หน้าตาดีๆ เอามาทาทำไม พวกเราไม่ต้องทา ดีไม่ดีผัดหน้าบ้าง บางคนก็ไม่ต้องทำ สบายๆ เอาผ้ามาพาดคอสักผืนนึงก็สวยแล้ว เต้นได้ทุกงาน ดีไม่ดี ก็ยังรุ่มร่ามเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุมีจิตอันกามราคะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันพยาบาทกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันถีนมิทธะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐาน
กิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันอุทธัจจกุกกุจจะกลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว มีจิตอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกนี้ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว เป็นผู้ขวนขวายในการคิดเรื่องโลกหน้า ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว และเกิดขัดใจ ทะเลาะ วิวาท ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ ก็ชื่อว่ามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุมแล้วเทียว
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เรามีจิตอันปริยุฏฐานกิเลสใดกลุ้มรุมแล้ว ไม่พึงรู้เห็นตามความเป็นจริง ปริยุฏฐานกิเลสในภายในนั้นที่เรายังละไม่ได้แล้ว มิได้มีเลย จิตเราตั้งไว้ดีแล้ว เพื่อตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย. นี้ญาณที่ 1 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวก
ปุถุชน อันภิกษุนั้นบรรลุแล้ว.
ล.4 [544] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเสพเจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความระงับเฉพาะตน ย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตนหรือหนอ?อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราเสพ เจริญ ทำให้มากซึ่งทิฏฐินี้ ย่อมได้ความระงับเฉพาะตนย่อมได้ความดับกิเลสเฉพาะตน. นี้ญาณที่ 2 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชนอันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
พ่อครูว่า...เสพคือสัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้อง แล้วกิเลสของคุณลดลงเรียกว่าการเจริญ ภาวนาเรียกว่าเจริญ เสวนา แปลว่า สัมผัสแตะต้องเกี่ยวข้องอยู่
อาเสวนา กับอเสวนา ตัว อเสวนาแปลว่าไม่คบคนเกี่ยวข้อง อาเสวนาแปลว่าคบอยู่แต่คบอยู่อย่างใช้เป็นผัสสะเพื่อละ คบอยู่แตะต้องอยู่ อ่านตัวเสพเสวยดูด ชอบไม่ชอบ ผลักหรือดูด มีอยู่หรือไม่ ยังไม่นิ่ง ต้องไม่มีอาการดูดอาการผลักเลย จึงเรียกว่า ภาวนา จึงเรียกว่าเกิดผล ต้องทำให้ไม่มีอาการผลักอาการดูด หากยังแตะต้องข้องเกี่ยว ก็จะไม่หนีไม่หลบหลับ สติเต็มเหมือนคนอื่นๆ สัมผัสอยู่แต่เราหลุดพ้น รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสวัตถุนั้น ไม่มีพลังงานอะไรแทรกเข้าไปในจิตใจเราได้ จิตใจเราเฉยเรากลาง รู้แต่ความเป็นจริง เหลืองก็รู้ว่าเหลือง แดงก็รู้ว่าแดงจริงๆ บิดเบี้ยวก็รู้ว่าบิดเบี้ยวจริงๆ ขมก็รู้ว่าความจริง สัมผัสทางลิ้นทางกลิ่นทางจมูกก็เหมือนกันหมด อันเดียวกันหมดเป็นอย่างเดียว ไม่มีอะไรต่างกันเลย ของตัวเองจะไปมีมากน้อยของตัวเองนั้น ตรวจสอบของตัวเอง ของใครก็ของมัน มีแต่ความจริงตามความเป็นจริงตรงกันทุกคน จะมองดูในมุมไหน รูปตรงกันหมด เสียงตรงกันหมด รสกลิ่นเสียงสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งตรงกันหมด คนทุกคนก็สัมผัสตรงกันหมด ภายในรับรู้อันนี้ตรงกันหมด ส่วนข้างในที่มีพิเศษตัวเอง แอบลิ้มเลียชอบรูปนี้รสนี้กลิ่นนี้เสียงนี้ ก็ตัวใครตัวมัน อันไหนเป็นของปลอมของใครของมัน มันยังไม่สะอาด ต้องให้สะอาด ทำได้ด้วยความภาวนา
แล้วก็ยัง เสว ส่วนคำว่า อา คือภาคเศษ ยังมีอยู่แต่มันไม่มี มัน 2 แต่มัน 1 มันเสพ แต่มันไม่เสพ มันสัมผัสแต่ไม่มีดูดไม่มีผลัก มันกลางๆเฉยๆ เรียกว่าอุเบกขาฐาน แล้วอุเบกขานี้มันเป็นโลกียะหรือโลกุตระ
คุณไปสะกดจิต ถ้าไม่มีความรู้สึกของตนเองเลย สะกดจิตไว้นิ่งก็เป็นเคหสิตอุเบกขานิ่ง เพราะคุณกดมันไว้ เหมือนฝุ่นในแก้วน้ำ คุณกดไว้นิ่งเห็นแต่น้ำใสข้างบน แต่ก้นบึ้งคุณกดไว้หมดเลย กดเก่งมันก็ไม่ขึ้นมาลอย แต่น้ำใสข้างบน แต่อาสวะอนุสัยคุณแน่นแข็งเต็มไปหมด แต่ของพุทธนั้นมันไม่ใช่ ต้องคุ้ยให้มันกระจายขึ้นมาแล้ว หยิบมันออกไปให้มันหายไปจากแก้วน้ำ แม้แต่ธุลีละอองก็ต้องเอาออกไปไม่ให้มีในแก้วน้ำเลย ให้มันเข้าไปไม่ได้เลย คุณทำอย่างนี้ต่างหากคือวิปัสสนาของพระพุทธเจ้า คุณเอาออกไปหมดทุกเม็ดทุกละอองธุลี คุณก็เป็นอรหันต์ แก้วน้ำของคุณก็ใสตลอดกาลนาน กวนอย่างไรคุณก็ไม่มีความขุ่น ก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ออกอีกแล้ว นี่คืออรหันต์
คุณสามารถรู้ให้ได้ว่าฝุ่นละอองธุลีเล็กน้อยมีอีกไหม คุณก็เอาออกให้หมด แม้จะเหลือฝุ่นละอองนิดๆ เรียกว่าอนุสัย เหลือเท่านี้ คุณก็ไม่เดือดร้อนอะไรแล้ว มันเบาบาง ดีไม่ดี อาศัยเป็นพาหะ ทำงานด้วย แต่อย่าประมาท เอาออกให้หมด อนุสยะคืออาศัยความว่าง ถ้าจะเอาพยัญชนะ ก็ สย คือเศษวรรค
ย ร ล ว ส ห ตัว ส เอาตัวที่ 5 ย เอาตัวที่ 1 มาใช้งาน พลังงาน 5 กับ 1
พลังงาน 5 นี่แรงกว่า 4 พลังงาน 4 นี้ออกนอกกรอบของ 3 จาก 4 มาเป็น 5 และมีสิทธิ์จะไปหา 6 ตัว 5 นี้เหนือกว่า 4 อย่างไร 3 แล้วมา 4 มาเป็น 5 เป็น 6 แล้วจึงจะไปถึง 7 ได้
ศึกษาไปก็จะได้รู้ไปตามลำดับโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์
อาเสวนา ยังเสพสัมผัสเกี่ยวข้องแต่ทำให้เกิดผล ภาวนา ทำอย่างนี้แหละให้มาก พหุลีกัมมังให้มันตกผลึกสั่งสมเป็น ฐาน ตั้ง status แน่นๆๆๆ แล้วจะมีแรงเคลื่อน จะต้องมีธรรมะคู่มี Static และ Dynamic มีตัวฐานและตัววิ่ง หากฐานแข็งแรงเท่าไหร่ก็วิ่งได้เร็วเท่านั้น ตามสัจจะ
สามเส้านี้จึงเป็นพลังงานที่ หนึ่งไม่หนีนะ สัมผัสอยู่กับสิ่งที่คุณจะต้องเหนือนี่แหละ ไม่หนีจะต้องอยู่กับมัน พวกที่นั่งหลับตาทำสมาธิไม่ออกมาเลย อยู่ในภพ ก็เก่งอยู่ในรูเท่านั้นเอง หากคุณออกมาจากรูก็ตาย ถูกอากาศก็ตายแล้ว เป็นวัวไม่มีหนังแล้วในอาหาร 4 คุณออกจากรูมาก็เป็นวัวไม่มีหนัง ถูกแก๊สอันไหนก็ตายแล้ว ถูกลม ไม่ต้องไปถูกไฟดินน้ำอะไรก็ตาย วัวไม่มีหนัง ถึงบอกว่ามันเป็นความซับซ้อนที่ละเอียดมากเลย
เสพ เจริญทำให้มาก สามเส้าสัมผัสอยู่แล้วทำให้เกิดผลสำเร็จ ชนะ แล้วทำให้มากเป็นแกนตั้งแข็งแรง
สาม อีกข้อหนึ่ง... [545] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มีอยู่หรือหนอ? อริยสาวกนั้นย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราประกอบด้วยทิฏฐิเช่นใด สมณะหรือพราหมณ์อื่นนอกธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยทิฏฐิเช่นนั้น มิได้มี นี้ญาณที่ 3 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
คำว่าทิฏฐิ จะว่าเป็นความลึกก็ลึก จะว่ากลางก็กลาง เป็นความเชื่อ ความเห็น ต้องมาปฏิบัติเอาให้เห็นเป็นจริงด้วยตน จะพูดให้ตายก็บอกว่าไม่มี เขาก็บอกว่าไม่รู้ จะรู้ก็ต่อเมื่อมันมี ถ้าไม่มีมันไม่มีทางรู้ ต้องมาเป็นมามีมาอยู่ให้ได้ จึงจะปัจจัตตังเอง ไม่อย่างนั้นไม่ได้ ปัจจัตตัง หรืออัตตากับปัจจะ ป เป็นตัวเป็น จ เป็นตัวรู้ ตัว ต คือตั้งมั่น ป คือตัวเป็น เป็นอะไร ก็ประกอบมาตั้งแต่ต้น จ ฉ ช ฌ ย ต ฏ ท ธ น ตัว วรรค ป เป็นตัวเป็น ตัว ต คือฐานเจริญ
ป มาเป็น ผ ตัว ผ เป็นผลิโผล่ ผลัด มาผัสสะก็รอบ
ป ผ พ ตัว พ เป็นพฤติกรรมร่วม โพธิ์ เจริญขึ้นอีก เป็น Coefficient แต่พลังงานจิต ภ เจริญเต็มที่ ม คือจิต พยัญชนะทุกตัว ปราชญ์เอกบัญญัติขึ้นมา บัญญัติขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้คนธรรมดาจะรู้ไปถึงรากฐานไม่ได้ง่ายๆ บาลีท่านตั้งขึ้นมาเรียบร้อย ใช้เท่านี้ไปคุณจะเป็นอรหันต์กี่รอบก็ใช้ได้ ใช้พยัญชนะภาษาสื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย แค่นี้เหลือพอไม่อย่างนั้นไม่มีอะไรเป็นเครื่องสื่อสาร
ตกลงทิฏฐิในข้อ 3 เป็นความรู้ความเห็นความเชื่อ ต่างๆแบบนี้แหละ สรุปตรงที่โลกุตรธรรม หรือเป็นอาริยะแบบพุทธ ใช้ภาษาคำว่า อาริยะ เป็นการเจริญแบบอาริยะเป็นโลกุตระ เฉลยอีกโลกหนึ่งที่เป็น อัญญะ อันอื่นจากโลกโลกีย์ ถ้ามีสภาวะเองก็จะเข้าใจได้ดี หากไม่มีสภาวะก็จะแยกอย่างไรระหว่างโลกียะกับโลกุตระ
ก็ขอลงรายละเอียดอธิบาย พยัญชนะที่จะอธิบายก็คือคำว่า วิตก วิจัย วิจาร
พยัญชนะ 3 คำ วิตัก ตัวตักกะ วิตักกะ คือตัวตริ ตัวเริ่มดำริ เริ่มมีอาการมีสภาวะ อาการของจิตเกิดขึ้นเรียกว่าตักกะ เสร็จแล้วคุณก็มาวิจัย วิจาร ถ้าไม่มีวิจัย
จัย คือ จย กับ วิ คือตัวรู้ที่วิเศษ หรือไม่รู้ ถ้ารู้ครบคือวิ ไม่รู้เลยก็คือ วิ
ย คือ ภาคเสธ ตัวต้นของเศษวรรค จ คือตัวต้นของธาตุรู้
ก ข ค ฆ ง คือตัวเริ่ม
ถ้า ญ ตัวนี้ ตัวเศษวรรค เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้ตัวท้ายตัวสมบูรณ์ โลกุตระตัวนี้คือ ญ ถ้าจะ ญาคือรู้เต็มเป็น ญา มีตัวสระเข้ามา อะอาอิ อะอิอู อาอีโอ
ทิฐิก็คือความรู้ความเห็นความเข้าใจความเชื่อที่เป็นความรู้ สรุปรวมความรู้แบบนี้ที่เรียกว่าแบบโลกุตระ ของอันอื่นมีไหม ไม่มี
ต่อมาข้อที่สี่ [546] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดา(ธรรมดา ภาษาบาลีว่า ธรรมตา คือ ความทรงอยู่ เช่นใด) เช่นนั้น.
พ่อครูว่า...ความรู้เรียกว่าทิฏฐิ ถ้าหากเราทำจิตให้มีสภาวะในจิตเกิดขึ้นทรงอยู่แล้วเรียกว่า ธรรมตาหรือธรรมดา คำว่าตาหรือดา คำที่เป็นปัจจัย เติมหลังคำว่าธรรมะ ทำให้คำว่าธรรมเป็นคำนาม เป็นคำที่กล่าวถึงได้แล้ว เป็นแล้วมีแล้ว เป็นคำนาม ผู้ที่สามารถมีญาณสัมผัสรู้ได้ คนก็จะรู้ได้ตรงกัน เช่น อันนี้ เรามีแล้วลูกเหลืองๆ คุณก็มาสัมผัสก็จะรู้เหมือนกัน เธอก็มีเหมือนกันเหรอ เราก็จะไปเหมือนกัน นี่ไงเราก็มีเธอก็มีเหมือนกัน เหมือนกันไหม เหมือนเปี๊ยบเลย เป็นแฝดเลย เราก็ทำได้มีเหมือนกัน ก็เป็นอันเดียวกัน แต่มัน 2 อันนะ มันเหมือนกันเลย เหมือนกันไม่มีที่ผิดเพี้ยน ก็เป็นอันเดียวกันสัจจะอันเดียวกัน แต่ของคุณก็อันนึงของเราก็อันนึง แต่มันอันเดียวกัน เป็นพระเจ้าอันเดียวกัน คุณก็มีพระเจ้านี้เราก็มีพระเจ้าในเรา ทำได้ พระเจ้านี้เราทำได้ ไม่ใช่ว่าต้องให้พระเจ้าเอามาให้อย่างเดียวแต่คนนี้แหละทำได้ด้วย เป็นไปตามลำดับ ในสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐสุดยอดสูงสุด
ตั้งแต่ส่วนที่ 1 ส่วนที่ 2 ส่วน 3 ส่วนที่ 4 ส่วนที่ 5 เพราะฉะนั้น ทิฏฐินี้ ศาสนานี้เท่านั้นที่มีที่อื่นไม่มี หยิบมาโชว์กันได้ จะต้องมีจริงๆ คนที่จะมีจริงๆต้องมีกระจกวิเศษ มีกล้องวิเศษส่องว่าตรงกัน สัมผัสรูปตรงกัน เป๊ะๆ
นี่เรียกว่าเธอมีทิฏฐิเช่นใด เราก็มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ ความออกจากอาบัติเช่นใด ย่อมปรากฏ อริยสาวกย่อมต้องอาบัติเช่นนั้นบ้างโดยแท้ ถึงอย่างนั้น อริยสาวกนั้นรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ตื้น ซึ่งอาบัตินั้น ในสำนักพระศาสดาหรือเพื่อนสพรหมจารีที่เป็นวิญญูชนทั้งหลาย ครั้นแสดงเปิดเผย ทำให้ตื้นแล้ว ก็ถึงความสำรวมต่อไป. เปรียบเหมือนกุมารที่อ่อนนอนหงาย ถูกถ่านไฟ ด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วพลัน ฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดา เช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ 4 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
พ่อครูว่า...เราเอาออกได้แล้วจะรู้เลยว่ามันเหมือนไฟ แม้แต่เด็กก็ยังรู้ว่ามันเป็นไฟแต่ต้องเข้าไปมันก็ทุกข์ มีปัญญารู้เลยว่ามันร้ายแรงเกินไปจะไปแตะต้องอีกเลย ปล่อยไปเลย ปล่อยเขาไปๆ เข็ดมันเสียบ้าง ถ้าเป็นคนก็ปล่อยเขาไปปล่อยเขาไป ถ้าเป็นสัตว์ก็ปล่อยมันไปปล่อยมันไป ถ้าเป็นข้าวของก็ปล่อยมันไปปล่อยมันไป ถ้าเป็นพฤติกรรมที่เขามีอยู่เยอะแยะในโลก แต่ก่อนเราก็เป็นและมีพฤติกรรมอยู่อย่างนั้นกับเขา เลิกเลยพฤติกรรมนั้น ปล่อยมันไปปล่อยมันไป อย่าไปข้องแวะกับมันเลย ใครจะไปคบใครเกี่ยวข้องอยู่ก็เรื่องของเขา เราเลิกแล้วเราไม่มีสิ่งนั้น เรา แทนที่จะทุกข์เรากลับเจริญ ทุกข์ก็ไม่ทุกข์แถมเจริญเอาไหม ถ้าไม่มีสิ่งนั้นทุกข์ก็ไม่ทุกข์ตกต่ำก็ไม่ตกต่ำแถมเจริญด้วยไม่เอาก็โง่ เราจะรู้จะเห็นอย่างนี้ เห็นจริงๆในความเป็นจริงเลย ตลอดชีวิตเราอยู่ไปตลอด สิ่งที่เราว่ามันต่ำแล้วเราไม่มีได้แล้วมันก็จริง ผ่านมา 1 วันมันก็เจริญ ผ่านมา 5 วันมันก็เจริญ ผ่านมาร้อยวัน 10 ปีหรือ 100 ปีก็ยิ่งจริง ไม่ต้องมีอะไรตลอดกาลนาน เราก็จะแน่ใจมั่นใจว่าไม่มี
ดีไม่ดีมันเป็นพิษภัยเป็นโทษ สิ่งที่เจริญเป็นประโยชน์คุ้มค่ามีอีกเยอะ ที่เราจะสร้างอีกก็สร้างยังไม่ทันเลย ยังสร้างไม่ทันไม่พอขาย ถ้ามันเป็น Demand สิ่งที่มันจะร้อนมันดีไหมความต้องการของโลกของสังคมมีเยอะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย แจกยังไม่พอแจก ขายราคาแพงก็อาจจะยังไม่พอขาย แต่เราไม่เอาขายแพงนั้นเป็นหนี้ ถ้าไปแจกเราก็เป็นเจ้าหนี้ เราแจกได้แจกดีกว่า ถ้าขายอยู่ก็เป็นลูกหนี้
อีกข้อหนึ่ง... [547] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดานี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไรของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ของอริยสาวกนั้นก็มีอยู่ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำเลืองดูลูกด้วยฉะนั้น. อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ชัดอยู่อย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยธรรมดาเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยธรรมดาเช่นนั้น. นี้ญาณที่ 5 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
พ่อครูว่า... คนๆนี้เป็นแค่โสดาบัน จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตามก็เอาเก่งแค่ศีล 5 ก่อน ให้มันได้ดีๆก่อน ทำที่ตนเอง เพ่งเล็งแค่ในอธิศีลของตน เท่าที่จะได้นะ ในอธิศีล แล้วจะเกิดอธิจิต เกิดอธิปัญญาให้จิตใจหลุดพ้น ไม่เกี่ยวเกาะติดยึด อยู่กับมันนะแต่ไม่ดูดไม่ผลัก กับสิ่งแวดล้อมอันเดิม แต่เราอยู่เหนือมันได้ ได้โดยไม่ยากไม่ลำบาก ในฌาน 4 ได้แล้วเฉยๆกลางๆไม่ต้องฝืน ต้องฝึกหากมีฌาน1 2 มีดีใจปีติอยู่ แต่ว่าเหมือนกับการขี่จักรยานใหม่ๆ ฌาน 1 ต้องระมัดระวังมาก ต้องวิจัยมากอะไรเป็นเหตุให้ไม่แข็งแรงไม่สะอาด อะไรทำให้บริบูรณ์ เอาธุลีเศษละอองออกให้ได้ ธรรมะวิจัย ต้องแยกได้รู้สภาวะจริง เอาสิ่งที่เป็นเหตุให้ไม่สมบูรณ์ไม่บริบูรณ์ไม่สะอาดไม่ดีสุด มันจะมีธุลีละอองสิ่งที่ยังไม่ดีก็เอาออกให้หมด ก็ดูเห็นจริงๆว่าสภาวะของเหตุคืออะไร สภาวะของการลดจางลงแล้วก็ได้
แล้วโสดาบันก็ไม่ต้องคำนึงให้มันตั้งมั่นแข็งแรง แต่ทำให้มันตกผลึกไปเรื่อยๆ ถ้าทำเหตุให้เป็นอาเสวนา ภาวนา ของพระโสดาบันก็จะเกิดสภาวะสั่งสมตกผลึกแข็งแรง เป็นฐานให้แก่ตัวเองตลอดเวลาเหมือนกัน
ข้อห้านี้เป็นในปัจจุบันที่ทำทั้งประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ข้อที่6 [548] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลายก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ทำให้มีประโยชน์ทำไว้ในใจ กำหนดด้วยจิตทั้งปวง เงี่ยโสตฟังธรรม. อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่าบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. นี้ญาณที่ 6 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
พละคือเต็มกำลัง ในอินทรีย์ 5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธา ความเชื่อมั่น เชื่อถือ เชื่อฟัง
วิริยะ คือความเพียร
สามเส้าคือ ศรัทธา วิริยะ สติ ก็สั่งสมลงไป สมาธิ พอหยั่งสมาธิตกผลึกตั้งมั่นไปเรื่อยๆ ต้องมีปัญญารู้ความจริงหมดทั้ง 4 อย่าง ศรัทธาเราก็รู้ วิริยะเราก็รู้ว่าเรากำลังพากเพียรอยู่ สติก็เต็มร้อย แต่ก่อนมันไม่เต็มร้อยมีแค่ 80 แต่ตอนนี้มันเต็ม มีสติสัมปชัญญะปัญญาไป มีสัมปาเทติสัมปัชลติไป สั่งสมตั้งมั่นเป็นสมาธิ เจโตที่ทำได้ตกผลึกลงไปเป็นเจโต ปัญญาก็รู้ครบรอบถ้วน ไม่ใช่เพ้อเจ้อหลงตัว ไม่ใช่ว่ามีก็บอกว่าไม่มี ไม่มีก็ไปปั้นให้มันมีอีก
อินทรีย์สั่งสมไป หยาบกลางละเอียด ต้นกลางปลาย เต็มพละเต็ม อินทรีย์ 5 พละ 5 อันเดียวกัน แต่น้ำหนักของอินทรีย์ ถือว่าในส่วนที่ทำยังไม่เต็มแรงยังไม่มาก พละนี้แรงมากขึ้นๆ จนครบเต็มพละสูงสุด ก็เอาคำว่าพละเป็นตัวจบ อินทรีย์พละ สะสมพลังงานเต็มที่เรียกว่าพละ ก็ต้องมีญาณรู้ตลอดในการทำงาน
หนึ่งคุณทำนี่เป็นสัจจะถูกต้อง สัจจะไม่มีผิดเพี้ยนอะไร หากมีความผิดเพี้ยนเขาต้องเอาออกไปให้มันจริงแท้ ทำไปให้เป็นสัจจะ
กิจญาณ ดูว่ามีอะไรไม่สะอาดก็ออก ให้สถานะตรงมั่นแน่น จนตรงเสร็จจบแล้วตั้งมั่นเป็นร้อยแปด 36 36 36 สามเส้า เป็นเวทนา 108 เอาที่อารมณ์จิต เอาที่อารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก พลังงานจิตความรู้สึกเป็นหลัก พลังงานความรู้เป็นหลัก ต้องมีปัญญารู้ เวทนา108 มาจากมโนปวิจาร คุณมีวิตกวิจาร
จาระคือพฤติกรรม จย คือวิจัยแยกแยะวิตักกะคือตัวก้อน มาแยกแยะเอาสิ่งที่มันจะทำลาย สิ่งที่ไม่ดีที่ผิดเอาออกให้เหลือแต่ผลดีสิ่งดี เต็มที่มาเรื่อยๆ กับตกผลึกเป็นจาร เป็นพฤติกรรม เป็นอาการ เป็นการเคลื่อนของเราเอง แล้วที่มันเคลื่อน การเคลื่อน การตั้ง เคลื่อนจนกระทั่งเป็นหนึ่งเดียว เป็นลูกข่างกินน้ำจั้น นอนวัน เร็วมากแต่นิ่ง เป็นพลังงาน Dynamic กับ Static อันเดียวกันเลย เป็นหนึ่งเลย เร็วมาก มีพลังงานในตัวเร็วจี๋ นิ่งพลังงาน 2 ทำให้เป็นหนึ่ง เร็วที่สุดจะมีแรงที่สุด มีรังสีมากที่สุด เป็นกัมมันตภาพรังสี เป็นรังสีนิวเคลียร์ เพราะแรงนิวเคลียร์ฟิวชั่น เป็นตัวตั้งที่แข็งแรงจึงมีนิวเคลียร์ฟิชชั่นที่แรงมากอย่างไอน์สไตน์คิดค้น หากแรงเกาะตัวมากๆแล้วแยกออกไประเบิด มี 2 ตัวบวกกับลบ จะออกไปแรงมากเลย คนที่ทำได้จะเกิด E=mc2 ยกกำลัง ก็คือตัวที่ทำได้เร็วได้มาก หากบวกก็เป็นแนวระนาบ 1-2 แต่ถ้ามี 3 แล้วก็จะ เป็นการหมุนได้ แล้วออกไปเป็น 4 5 6 ได้
อันต่อมา [549] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็น ดังนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละอย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละนี้ของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ คือ อริยสาวกนั้น เมื่อธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว อันบัณฑิตแสดงอยู่ ย่อมได้ความรู้อรรถ ย่อมได้ความรู้ธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม.อริยสาวกนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ประกอบด้วยพละเช่นใด ถึงเราก็ประกอบด้วยพละเช่นนั้น. นี้ญาณที่ 7 เป็นอริยะ เป็นโลกุตระ ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน อันอริยสาวกนั้นบรรลุแล้ว.
พ่อครูว่า....ในพระโสดาบันความปราโมทย์ปิติชูใจย่อมมีแน่นอน วันนี้เวลาหมดแล้ว
ยูทูป
https://youtu.be/W_TnT9UMvWs
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:32:06 )
รายละเอียด
601229_ทวช.งานว.บบบ.ครั้งที่ 5 เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน2
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน จำแนกพระอาริยะโดยสภาวะ
พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันที่ 3 ของ ว.บบบ.ก็รู้สึกว่าพวกเรามีจิตใจใฝ่ธรรมะกันอยู่ อาตมาทำงานศาสนามาเกือบ 50 ปีแล้ว ที่อาตมาทำงานศาสนาเป็นงานระดับแก่นสารระดับที่เข้าถึงวิมุติ เข้าถึงจุดสำคัญของศาสนา เป็นโลกุตรธรรม ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มี อาตมาพูดได้เต็มปากว่าในวงการศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มี ไม่มีที่ไหนที่เขาอยู่ในวงศ์ของความเป็นโลกุตรธรรมตลอดเวลา เขาจะแวะไประลึกถึงโลกุตรธรรม คนที่มีความรู้โลกุตรธรรม ก็แวบไปโลกุตรธรรมบ้างก็มี แต่จะอยู่กับบรรยากาศ หรือวงวน องค์ประกอบของความเป็นโลกุตรธรรมตลอดเวลาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากกิเลสของแต่ละคนเท่านั้น
โลกุตรธรรม บางคนก็บัญญัติว่า นั่นคือจบความเป็นอรหันต์เท่านั้นจึงจะเรียกว่าโลกุตรธรรม บางคนเขาก็ยึดถือเช่นนั้น แต่ความจริงสำหรับอาตมาไม่ได้เห็นเป็นเช่นนั้น โลกุตรธรรมนั้นเริ่มต้นตั้งแต่จิตที่เรามีแนวคิด มีสติ มีสัมปชัญญะแล้วก็ระลึกถึงความเป็นโลกโลกียะกับความเป็นโลกุตระได้ แล้วจิตของเราก็ มีกระแสมีแนวโน้มของมันมีความยินดีที่จะออกมาสู่โลกุตระ ออกมาหรือออกไปหรือออกจาก ภาษาบาลีคือเนกขัมมะ ออกจากกามออกจากโลกีย์ออกจากกิเลส พวกนี้คืออาการจิต ที่มีเนกขัมมะ มันเป็นจริง ถ้าจิตใจใครมีความเป็นจริงอย่างนี้
แค่ความอยากออกจาก แล้วเรามาพิจารณาเข้าถึงสภาวะจริงของจิตเรา ว่าจิตใจของเราจมในโลกียะ สัมผัสอันนี้แล้วอยากได้อยากมีอยากเป็นมาเป็นของเรา มาหาตัวเรามาหาอัตตา อัตตานียา น่าได้ได้น่ามีน่าเป็นไปหมด ไอ้นั่นเดี๋ยวดี ไอ้นี่เดี๋ยวเป็น อันนี้ไม่น่าเป็นเอาไปไกล ผลักออกไป มันก็มีพลังงานผลักและพลังงานดูดนี่แหละ
ผู้ใดอ่านจิตตัวเองเห็นอาการ เห็นลักษณะของมัน อาการของมัน เป็นอาการ เป็นอาการมโน อาการมันผลักหรือมันดูดมันไม่เป็นอาการกลางๆ ไม่เป็นอาการอุเบกขา จิตมันไม่ได้อยู่กลาง มันไม่ได้เป็นมัชฌิมา คำว่ามัชฌิมานี่คืออาการคือสภาวะ มัชฌิมาไม่ใช่แปลว่าทาง ทางนั้นคือปฏิปทา แปลว่าทาง แปลว่าวิธี หรือวิถี แปลว่า ลักษณะขององค์ประกอบ ในการไปใช้ปฏิบัติ เรียกว่าปฏิปทา คือมรรค
ส่วนมัชฌิมามันเป็นผล จิตของเราเป็นกลางแล้ว นี่คือนัยละเอียดที่คนไปผิดเพี้ยนบอกว่ามัชฌิมาปฏิปทาแปลว่าทางสายกลาง คำแปลว่าทางสายกลางนั้นเป็นการแปลที่ผิด เพราะมันเป็นคำ 2 ที่ทิ้งไปไม่ได้ ต้องแปลให้ชัด แปลว่าวิธีปฏิบัติให้สู่ความเป็นกลาง
ผู้ที่ไม่เป็นอรหันต์นั้นจิตใจยังไม่เป็นกลางหรอก คนที่เป็นอรหันต์แล้วจึงจะเป็นคนที่มีจิตเป็นกลาง จิตของคนเป็นกลาง ก็ไม่ใช่จะอยู่กับตัวกลางตลอดเวลา จิตไม่ไปทางโน้นจิตไม่คิดไปทางโน้น ไม่มุ่งไปทางโน้นทางนี้ไม่ว่าใคร ไม่ไปถล่มความไม่ดีความไม่ถูกต้อง จิตไม่ไปหลงยกย่องสรรเสริญความถูกต้อง นั่นมันไม่ใช่
จิตใจของผู้ที่เป็นอรหันต์หรือผู้ที่ถึงแล้ว จะต้องไม่ไปว่าใครไม่ว่าอะไรเฉยๆ ถึงว่าก็ไม่มีอารมณ์ ไม่มีแนวโน้ม จิตจะมีลักษณะดูดหรือผลัก มันก็พูดจืดๆ กลางๆ ซึ่งมัน สุดโต่งของความเข้าใจผิด ก็คือ คนที่รู้จักดำ รู้จักขาว รู้จักร้อน รู้จักเย็น
ร้อนในสามัญปกติ ถ้าไปแตะต้องมันก็ร้อน เราร่วมอยู่ด้วยก็รีบออกมา มันเย็นเกินไปก็ไม่ไหว ก็รีบถอยออกมา ไม่อยู่กลางๆ อาการที่ไปแตะความร้อนความเย็นเกินสามัญก็ต้องเคลื่อนไหวไปมา ก็ไปเห็นอาการของผู้ที่เจตนาที่จะไปแตะต้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรืออยู่ในภาวะที่ บรรยาย อธิบายความเข้าใจของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งความร้อนความเย็นทั้งความดีความชั่ว เมื่อพูดถึงชั่วก็ต้องถล่ม นิคหะ ต้องข่มต้องกด เมื่อพูดถึงดีก็ต้องยก มันเป็นธรรมชาติที่จะต้องทำเช่นนั้น เมื่อแสดงออกถึงการกด การข่ม ข่มสิ่งนั้นสิ่งนี้ดูถูกสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยกย่องเชิดชูสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาก็หาว่าเป็นคนที่ยังไม่เป็นกลาง เป็นคนที่ยังมี ชอบไม่ชอบ เป็นคนที่ยังไม่กลางๆ ซึ่งเขาไม่รู้ในภาวะที่คนทำงาน
โดยเฉพาะที่พูดที่อธิบายธรรมะก็ต้องบอกดีบอกชั่ว ถ้าบอกเฉยๆจืดๆก็ได้ ก็เป็นการฝึกจืดๆ เป็นการแสดงออกน้ำหนักที่ไม่ชัดเจนเพียงพอ ลักษณะท่าทางสุ้มเสียงสำเนียง ก็ดี ถ้าสำเนียงจืดๆ มันเบาเกินไป เขาก็หาว่าอันนี้สงบ ถ้าเบาๆสงบ เรียบๆ ไม่มีคลื่นอะไร สงบ มันก็ถูก มันก็ได้ แต่ว่าสื่อให้คนอื่นรับรู้สึกให้เข้าใจน้ำหนัก ลงน้ำหนัก สื่อให้รู้ว่าแรงร้อนนะ มันไม่เบานะ มันหนัก เราก็ต้องลงน้ำหนักให้รู้ให้เข้าใจ แล้วก็รู้สึกเร็วๆด้วย เวลาพูดนานๆช้าๆก็ไม่เป็นไร คนก็พอเข้าใจได้ แต่เมื่ออธิบายมากๆเร็วๆนานๆ ก็ค่อยๆชะลอไว้ค่อยๆเข้าใจ มันเร็วก็ต้องพูดให้หนักให้เร็ว ให้ผ่านเร็วๆ จะได้ลงน้ำหนักไปในตัว สิ่งเหล่านี้ ผู้ที่ไม่รู้รายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ ก็หยิบมาเป็นเหตุปัจจัยในการวิเคราะห์วิจัย แล้วก็ให้เหตุผลในการวิเคราะห์วิจัยต่างๆ มันก็ถูกทั้งนั้น ถูกต้อง
แต่เขาไม่เข้าใจ ปัจจุบันของการปรุงแต่ง เขาปรุงแต่งสิ่งนี้เหมาะสมกับปัจจุบันนี้ ทุกอย่างที่ปรุงแต่งผสมส่วน ให้มันได้น้ำหนักตามควร หนักเท่าที่ควร เบาเท่าที่ควร อย่างตอนนี้อาตมาพูดเบาๆ อีกสักเดี๋ยวก็จะค่อยๆแรงขึ้น ก็พูดไปคนเข้าจะค่อยๆเข้าใจเข้าใจแล้วก็จะค่อยๆ หรี่ลง ยิ่งตอนนี้เช้าๆตี 4 กว่า ก็จะยาก
เรามาต่อ อาตมาอธิบายเรื่องของ ญาณ 7
คำอธิบายธรรมะรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มากมาย จนกระทั่งคนอาจแยกไม่ออก แต่ถ้าสามารถแบ่ง เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายก็คงจะไม่สับสนอะไร มีผู้พยายามเอาภาระ แยกเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คือพระโสดาบันนั้นเป็นเช่นไร มันมีบ้างไหม ซึ่งตอนนี้ไปเน้นวิธีการกันมาก ที่เน้นมากก็คือการทำสมาธิ บางคนก็เน้นที่ปัญญา โดยไม่มีการเน้นศีลเป็นเบื้องต้นก่อนเลย ไปเน้นที่สมาธิ เน้นที่ปัญญา ถือว่าเป็นตัวสำคัญ ก็เลย กลายเป็นวัวลืมตีน วัวไม่มีตีนแล้ว ไปไม่ออกไปไหนไม่มีท่าเลย ตีนขาด ลืมศีล ลืมบาทฐานพื้นฐาน
โสดาบัน นั้น กำหนดโดยศีล 5 เป็นเบื้องต้น ศีล 5 นี้ครบกาย วาจา ใจ ศีล1 2 3 ก็กาย ศีล 4 วาจา ศีล 5 ใจ แล้วศีล 5 คุณได้บริสุทธิ์อยู่ไหม กาย วาจา แม้แต่ใจ ยังมีลักษณะของโลภโกรธหลงของใจ มันยังเกิดอยู่ในใจเรา มันจะออกมาข้างนอกบ้างก็ระดับของสกิทาคามี ออกมาข้างนอก ลักษณะสกิทาคามี แต่ถ้าอยู่ภายในสามารถระมัดระวังควบคุมได้เรียกว่าอนาคามี คุณก็อยู่ในลักษณะโสดาบันที่สมบูรณ์ดีบริบูรณ์ดี ทำได้ แต่คุณก็ต้องลดพลังที่มันจะออกมาแสดงออก หรือว่ามีพลังงานของความโลภ โกรธ หลง ในกรอบของศีล 5 ไม่ใช่ว่าได้ทุกอย่าง สัมผัสกับอะไรทุกอย่างไม่มีขั้นตอนเลย ไม่มีขีดก็จะไม่เกิดโกรธ โลภ หลงหมด ไม่ใช่
และในความหมายของศีล 5 จะต้องชัดเจนลงไปเลยว่า สัมผัสกับสัตว์ สัมผัสกับของ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ข้อ 3 แล้วคุณก็เกิด สังขาร ปรุงแต่งเป็นอารมณ์หรือเวทนา
เวทนาสุขทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์ หรือข้างในจิต ต้นที่มันจะเกิดเวทนาที่มีอาการอกุศลจิตเป็นเหตุ อยู่ในจิต คุณก็ต้องพิจารณาเลย ถ้าบุคคลที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้รู้จักจุดที่จะพิจารณา จุดพิจารณาคำว่ากาย คืออะไร จุดที่จะพิจารณาคำว่า เวทนาคืออะไร จุดที่จะพิจารณาความเป็นจิต คืออะไร ความเป็นธรรมคืออะไร คนที่เรียนรู้มายังไม่สมบูรณ์ ไม่ได้เรียนรู้อย่างถูกต้องว่าการพิจารณานี้แหละ ลืมตามีสัมผัสพิจารณา มีสติ มีธรรมวิจัย มีวิริยะมีโพชฌงค์ในการปฏิบัติ โพชฌงค์ในการปฏิบัติองค์สามองค์
สติองค์ที่ 1 ธรรมวิจัยองค์ที่ 2 วิริยะองค์ที่ 3 พากเพียรพยายามที่จะมีสติและมีวิจัย ในการประกอบอาชีพ มรรคมีองค์ 8 ในการกระทำกรรมกิริยาทุกอย่าง กัมมันตะ ในขณะที่พูด ในขณะที่คิด สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ นี่คือ ในองค์ประกอบของการจะปฏิบัติธรรม การจะศึกษาเรียนรู้ คุณจะต้องมีสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ปฏิบัติในอาชีพในการกระทำการงานกรรมกิริยาทุกอย่าง ในขณะพูดในขณะคิดมีสติแล้วก็วิจัยเมื่อผัสสะ
เมื่อมีผัสสะก่อเกิด ถ้าเผื่อว่า คุณไม่มีกาย ก็ไม่มีจิต กายก็คือจิต กาย ตถาคตเรียกว่าจิต มโน วิญญาณ กายต้องเน้นที่จิต แล้วจริงๆแล้วกายต้องมี 2 มีทั้งภายนอกและภายในต้องมีผัสสะ เป็นองค์ 3 ขึ้นมา ถึงจะเกิดสภาวะองค์รวมเรียกว่า กาย กายนี้คือองค์รวมของสภาวะธรรมะ 2 เทวธัมมา เมื่อสัมผัส เป็นองค์รวมแล้วต่อเนื่องจากกายสัมผัส ก็จะมีเวทนา
เวทนาคือความรู้สึกอารมณ์ เมื่อมีอวิชชาก็ปรุงแต่งเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์โดยมีจิตเป็นตัวกลาง อกุศลจิตเป็นตัวการทำให้เกิดความชอบไม่ชอบ ความสุขความทุกข์ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ต้องแยก ให้ออก คุณสามารถแยกออก ดูอาการ จนกระทั่งแยกได้จริงๆ แยกออกว่าอาการอย่างนี้เป็นตัวการเป็นเหตุ อาการต้องการ ต้องการผลักต้องการดูด มีพลังงานผลักดูดชอบหรือชัง
ยกตัวอย่างง่ายๆ เราเห็นสิ่งเหล่านี้ (บนโต๊ะมีผลไม้) สัมผัสแล้ว ใจเราก็เห็นว่ามันเหลืองนวลมันดูดี ดูงามสดใสดี แล้วก็จบอยู่ที่นั่น สดใสดี น่ากิน น่าอยากได้ น่าเอามาเป็นของกู มันเป็นความหมายที่อาตมาพูดแต่ละอย่าง ล้วนแล้วแต่มีกรรมกิริยาของความมีตัวตนเข้าไปร่วมทั้งนั้น
เริ่มต้นตั้งแต่ว่าสวย แล้วก็หนักเข้าไปอีก น่าได้ หนักเข้าไปอีก น่าจะเป็นของกู หนักเข้าไปอีก เอาซะเลย โดยไม่คิดเลยว่ามันของใคร เขาหวงไหมละลาบละล้วงได้หรือเปล่ามันไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว แม้แต่อยู่ในนี้บอกว่าเป็นสาธารณโภคีเป็นของทุกๆคน ควรจะหยิบไปไหม? มันไม่ควรจะยึดไปเป็นของเรา เพราะคนเอาไว้เขาก็มีเจตนาที่จะใช้ประโยชน์ ถ้ามันกองสุมอยู่ตรงโน้นเป็นของส่วนกลาง เราก็มีสิทธิ์แอบไปกินบ้าง ถ้ามีมารยาทก็บอกว่าใครดูแลอยู่ ใครอยู่ตรงนี้ จะขอไปกินหน่อยนะ ก็บอกกันด้วยมารยาทนิดหน่อยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าถือวิสาสะหยิบไปเลยก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร ไม่ได้หวงแหนอะไรมากมาย นอกจากของจะมีจำกัดมันน้อย ก็ต้องสงวนไว้หน่อย ผู้ที่เขาทำงานอยู่ เอาไปแล้วจะไม่พอเขาก็หวงกัน ก็เอาไว้ทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ ประเดี๋ยวมันจะไม่พอ
แต่ถ้าฉันอยากจะกินมาก ก็บอกว่าถ้าไม่กินฉันก็จะตาย เขาก็คงจะให้ ฉันอยากจะกินมากไม่ได้กิน ไปขอเถอะเขาก็คงจะต้องให้ อย่างนี้เป็นต้น อธิบายเป็นตัวเนื้อหาที่เกิดจากจิตทั้งนั้น จิตที่มันมีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน คนจนที่ทำเพื่อฟ้าดิน
ทีนี้มาเข้าสู่หัวข้อประเด็น ตอนนี้หัวข้อที่อาตมาเทศน์ตอนนี้ระบุชื่อเรื่องให้อาตมาเทศน์เลยว่า เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ตั้งชื่อเอาไว้ซะไพเราะเพราะพริ้ง สะเทือนโลก เพื่อฟ้าดิน รวมหมดแล้วทั้งฟ้าและดินหมดแล้ว ใหญ่เหลือเกินนะ ทำเพื่อฟ้าดินทั้งหมดเลย จะสร้างอะไร สร้างคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ให้แก่ฟ้าให้แก่ดิน ไม่ใช่สร้างให้แก่ประเทศไทยเท่านั้นนะ ฟังให้ดี สร้างหมด ไม่ใช่หมดโลกเท่านั้น หมดรวมหมดเลยทั้งฟ้าทั้งดิน การเทศน์ ตั้งค่าให้เทศน์ใหญ่มาก อาตมาก็ไม่มีปัญหา เพราะอาตมามีปัญญา อาตมาไม่มีปัญหาแล้วอาตมาไม่เอาปัญหา อาตมาก็เอาปัญญากลบเลย อาตมามั่นใจรัฐบาลไม่มีปัญหาคุณจะมีปัญหาอะไรอาตมาก็เอาก็เอาปัญญากลบ ถ้าปัญหานั้นอาตมาไม่รู้ ก็มีปัญญาตอบอีกว่าไม่รู้ ก็ตอบความจริงก็จบ คุณจะเอามีดมาผ่า เอาสมองอาตมาออกมา มาค้นหาคำตอบมันไม่ได้รู้ หัวใจ หรือจะถามว่าไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ มันเป็นเรื่องของการตั้งขึ้นมาเท่านั้นเอง ว่าให้อันนี้เริ่มต้น ก.ไก่เริ่มต้น ข.ไข่ตามมา มันเป็นการสื่อเท่านั้น คุณจะไปยุ่งกับเขาทำไม ภาษาไทยเขาว่าไม่ดีนะ ไปยุ่งกับเขาเกินควร
เราได้พยายามอธิบายถึงคนจน ไม่ได้เป็นคนต่ำต้อย เป็นชาวอโศกมาเป็นคนจนได้สำเร็จ สำเร็จอย่างที่อาตมาภาคภูมิใจ เพราะพวกเราเป็นคนจนเพื่อฟ้าดิน เป็นคนจนที่มาอยู่กับดิน แน่นอน เราขึ้นสู่ฟ้าไม่ไหวหรอก แต่ว่าฟ้าก็เป็นของเราหมดแหละ เราอยู่กับดินก็สร้างสรรเป็นให้ดี ดินไม่ดีก็ทำให้ได้สัดส่วนเรียกว่าทำปุ๋ย ทำองค์ประกอบของดินให้มันดีให้มันเป็นประโยชน์คุณค่า ดินดีคือดินที่คนจะอยู่ด้วยก็ไม่เป็นพิษต่อคน คนอยู่ด้วย เป็นสัตว์เป็นพืช ก็ไม่เป็นพิษต่อพืช แถมยังเป็นประโยชน์ต่อพืชอย่างยิ่ง
เราอยู่กับดิน เราก็เป็นคนมีประโยชน์กับดิน ถ้าดินมันไม่มีอาหารให้พืช ดินมันก็เป็นดินอย่างเรา เอาไปใช้ให้เหมาะสมก็ถูกต้อง แต่ดินที่จะต้องใช้อย่างมีอาหารให้พืชอย่างเหมาะสมเราก็ต้องให้มี เราเป็นคนจัดสรรให้มันเกิด ก็เป็นประโยชน์ต่อดินต่อพืช
ก็สร้างผลผลิตสร้างสิ่งที่เกิดที่ดี อาตมาพาพวกเรามาทำ อาตมาว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก เรามาทำสิ่งที่เป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะอาหาร กวฬิงการาหาร เรากำหนดในอาหาร 4 กวฬิงการาหาร เราทำได้แล้วแต่ผัสสาหาร ศาสนาพุทธทุกวันนี้ก็ล้มเหลวเพราะไม่มีผัสสะเป็นอาหาร จึงสูญแล้ว ไม่มีมโนสัญเจตนาหารต่อก็ไม่ได้ ไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าไปฝันเลยว่าจะมีนามรูป หรือรูปนามที่เป็นวิญญาณาหาร ไม่มีความรู้ แม้แต่พยัญชนะ ไม่มีรูปนาม ในอายตนะ ผัสสะไม่มี อาหารต่อเนื่องไม่มี
แม้แต่อาหารคือคำข้าว ก็เพื่อเรียนรู้ภาษา เรียนรู้มโนสัญเจตนา คุณกินข้าวแตะต้องอาหารคือคำข้าว กวฬิงการาหาร กิเลสอยู่ในนั้น พรึ่บ แล้วก็เรียนรู้ ผัสสะ ในนั้นมีเจตนา
เจตนามีสามคือกาม ภวตัณหา วิภวตัณหา แน่นอนคุณไม่เป็นวิภวตัณหาแน่ จะมีกามกับภวตัณหา กามจะเป็นมโนสัญเจตนาหารตัวแรก ตักกะ วิตักกะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ให้รู้ว่าจิตของคุณสัมผัส ก็เป็นตักกะทันที ถ้าผู้ที่มีวิปัสสนา แปลว่าเห็นทันที อยากได้ทันที ธรรมะวิจัยทันที แล้วเห็นพฤติกรรม วิจารของ ตักกะ ของจิตที่ดำริมา
คุณมีวิจัย ธรรมะวิจัย ในตักกะแยกออก จิตของเราไม่บริสุทธิ์มีกามผสมมา ก็วิจัย กามในจิต ก็เป็นวิตักกะ เพราะคุณจับอาการ พฤติการณ์การเคลื่อนไหวของจิตออก แยกออกชัดเจนว่า มันไม่ใช่มีจิตบริสุทธิ์ มันมีจิตตัวจริง กับมีจิตตัวปลอม มันมีกี่ตัวปรุงแต่งเป็นกิเลสร่วมมาด้วย มันมี 2 มันมากับกิเลส มันไม่ใช่จิตมาตัวเดียว คุณก็แยกมันออก แยกจากวิจาร เมื่อตักกะคุณก็วิมัน คือวิจัย ตักกะ วิตกวิจาร คุณต้องเป็นประธานเป็นตัวเอง ที่ต้องวิจัย ถ้าคุณไม่มีวิจัย ก็มีแต่ตักกะ กับจาระ ตักกะคือจิตเริ่มต้นมาแล้วเป็นพฤติกรรม คือจาร
แต่ถ้าคุณไม่ได้มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ไม่ได้เลย ยังไม่เคยใช้แล้ว เอาแต่นั่งหลับตาสะกดจิต ไม่ให้กระดุกกระดิก ไปติทำไม ถ้าไม่ติก็ไม่มีใคร ติ ไม่มีใครเอาภาระ เมื่อไม่มีใครติ ไม่มีใครท้วงติง ก็จมกับสิ่งน้ัน จมไปกับสิ่งผิด ปล่อยให้คนตกน้ำอยู่นั่นแหละมันน่าสงสารไหม แล้วเราไม่ลงไปช่วย ก็น่าสงสารคนตกน้ำ คนถูกไฟไหม้หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เขาเป็นทุกข์อยู่ แล้วเขาไม่เจริญ ก็เห็นอยู่หลัดๆคาตา แล้วเราก็ผ่านไปช่างเขาเถอะวิบากของเขา จะเป็นอะไรก็ช่างศีรษะเขา คุณก็เป็นคนใจดำอำมหิต อาตมาไม่เป็นเช่นนั้นหรอก
โดยเฉพาะหัวใจของศาสนาพุทธ คนที่นำพาศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นผู้สอนผู้เผยแพร่เป็นผู้รู้แต่พูดผิดๆ เผยแพร่สิ่งที่เป็นผิดๆ สอนสิ่งที่ผิดๆนั้นคุณเป็นบาปนะ อาตมาว่าคุณอย่าทำมันบาปนะ มาศึกษาให้ถูกๆแล้วค่อยๆเผยแพร่สิ่งที่ถูก ก็ต้องทำ ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ นับถือ หรือไม่นับถือก็ต้องหยุด ให้เขาใช้วิจารณญาณ ใช้ญาณพิจารณาว่า คนนี้พูดถูกต้องไหมพูดดีไหม คนนี้มีประโยชน์ไหม ถ้าคนไหนฟังก็ได้ศึกษา คนไหนไม่เห็นประโยชน์ก็ไม่ศึกษา ก็บอกว่าเป็นเศษสวะ ไม่น่าสนใจเขาก็ไม่แยแส ก็เป็นธรรมดา อาตมาไม่ได้มีปัญหาอะไรเข้าใจสิ่งเหล่านั้น คนที่จะฟังอาตมาเห็นว่าเป็นสาระ เห็นเป็นประโยชน์ มาถึงจุดนี้บรรยายธรรมะมาเกือบ 50 ปี อาตมานำพาพวกเราไปสู่ความเป็นคนจน
ศาสนาพุทธนำพาไปสู่ความเป็นคนจนที่ประเสริฐ คือเป็นคนที่
1. เป็นคนประสบผลสำเร็จ คือ เป็นคนที่ไม่เบียดเบียนใคร ทำงาน เป็นคนมีความรู้มีความสามารถ ทำงาน แล้วรู้งานที่ควรทำ อนวัชชะ เป็นงานที่ควรทำ งานที่ควรทำอย่างยิ่ง คืองานอะไร คือสิ่งที่เป็นหนึ่ง สิ่งที่เป็นที่หนึ่ง อะไรเป็นที่หนึ่ง อาหารเป็นที่หนึ่ง ในอาหารนี่นะ ไม่มีอะไรที่จะเป็นอาหาร ขั้น 1 ในปัจจัย 4 ยารักษาโรค ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร อะไรมาก่อน ก็คืออาหารมาก่อน ในชีวิตคน อาหารต้องเป็นหนึ่งมาก่อน ถ้าไม่มีอาหาร คุณก็ไม่มีอยู่ในโลกแล้ว อย่างไรๆอาหารก็เป็นหนึ่ง
อาตมาพาพวกเรามาอยู่กับการสร้างอาหาร จนกระทั่งทุกวันนี้ เราสามารถทำอาหารไร้สารพิษ ไม่ใช่แค่ปลอดสารพิษ พวกเรานี้มีความเข้าใจชัด แม้แต่คำว่าปลอดสารพิษกับไร้สารพิษเราก็มีความรู้ ความชัดเจน ไร้สารพิษคือ เราปลูกสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร โดยไม่เอาสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาเกี่ยวข้องเลย คือไร้สารพิษ ถ้าปลอดสารพิษคือ คนจะใช้ธาตุที่เรียกว่า สารเคมีก็แล้วแต่หรือแม้แต่ยา จะรักษาสิ่งที่ควรรักษา เขายังใช้ยาใช้สารเคมีอะไรอยู่ แม้แต่ที่สุดใช้สารเคมีเพื่อเร่งเป็นอาหาร จัดไปมากไป ที่มากไปคือใช้สารเคมีเร่งเกินไปแล้วจะปรุงแต่งให้ได้ มันไม่สมบูรณ์หรอก มันเป็นการเร่งรัดเกินไป คนที่ใส่สารเคมีมากๆ ให้มันโตเร็วใหญ่ เร็วอะไรก็แล้วแต่ มันพวกจำบ่ม เร่งรัดให้เร็ว แต่มันไม่สมบูรณ์ ถ้าเข้าใจคำว่าจำบ่มคืออะไร โอ้โห เร่งนะ สุกเหลืองเลย แต่ไม่ได้รสชาติ ไม่ได้วิตามินสมบูรณ์ ไม่ได้เนื้อหนังสมบูรณ์ เป็นของธรรมดา เป็นสัจจะของมัน
สรุปแล้ว อาตมาพาพวกเรามาหาที่หนึ่งสำเร็จ มาสร้างอาหาร อาหารไร้สารพิษอาหารปลอดสารพิษ จนเจริญ พูดไปแล้วเหมือนเราไป ฮุบเอาว่าเรานี่แหละเป็นเจ้าแห่งการทำอาหารไร้สารพิษ จนหาวิธีการจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เป็นตัวตั้งต้นทำ ไม่คล้ายหรอก จะเป็นความจริง เราทำอย่างเอาจริงเอาจังมีความรู้ จนมีผลสำเร็จ เราไม่ต้องใส่ปุ๋ยมันก็งอกงาม งอกงามจนผิดสังเกต งอกงามและสะอาดบริสุทธิ์ มีเนื้อหาทั้งดอกใบผลสมบูรณ์ไปหมด
ถ้าจะพูดถึงอจินไตย พวกเราเป็นหมู่เดียวกันกับชาวพุทธที่ตรงกันเป็นสาระสำคัญ ถ้ามารวมมันก็มาหมดเอง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของอจินไตย มันต้องมา ไม่มาก็ไม่ใช่ ที่มาก็ใช่เท่านั้นเองไม่มีอะไร พูดชัดๆก็ต้องมา มาหาพุทธ น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมันเป็นของจริงโดยธรรมชาติ จึงรวมครบครัน
ไม่ว่าจะทำอะไรในด้านสังคมศาสตร์ พวกเราก็เป็นสังคมกลุ่มชาวอโศก ที่เป็นกลุ่มสังคมที่อาตมาว่า สงบสุขสันติสุข อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ เป็นสังคมที่ครบแล้วมี 5 ภาพนี้ สงบสุขสมบูรณ์ ทั้งในระดับของเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์สมบูรณ์แล้ว ทั้งห้าภาพนี้
เศรษฐศาสตร์ก็สมบูรณ์ มีอยู่ มีกิน มีใช้ มีอาศัย อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน จนเฟ้อเกินสุรุ่ยสุร่าย ใครว่าชาวอโศกนี้สุรุ่ยสุร่ายไหม ใช่ ทิ้งขว้างเพราะเหลือเฟือ จนเด็กๆ นิสัยเสียเพราะผู้ใหญ่ไม่นำพาเท่าไหร่ สอนเขาดีๆ กินแล้วรู้จักเก็บรักษา ข้าวของภาชนะอะไรทิ้งขว้างไปหมด มันพอมันเหลือ เยอะๆ มันก็เลยขี้เกียจดูแลเก็บงำ ทำทิ้งๆ มักง่าย นิสัยเสียหมด ก็ต้องช่วยกันดูแลฝึกฝนอบรมเด็กๆ แม้แต่ตัวผู้ใหญ่ก็อย่าเป็นคนเช่นนั้นเสียล่ะ ควรเป็นคนที่ดีหน่อย ดูแลเก็บงำอะไรต่างๆบ้าง ซึ่งอาตมาไม่ต้องพูดหรอก มันเป็นความรู้ที่จะช่วยกันได้ สำหรับอาตมาขอสงวนเวลาแรงงานไว้พูดเรื่องสัจธรรมลึกๆก็แล้วกัน พูดเปรยๆบอกกันไป
ในความหมายของเศรษฐศาสตร์ สิ่งที่อาศัยใช้สอยเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน พวกเราคือผู้สัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ สะพัดให้ผู้อื่นได้ โดยไม่หวงแหน ไม่ขี้เหนียว สะพัดอย่างเจือจานแจกจ่ายเกื้อกูล แต่ไม่มีจิตใจเจตนาเอาเปรียบเอารัดมากมาย แม้จะขายบ้าง จนกลายเป็นคนทุนนิยม ทุนนิยมน้ำเน่า ไม่อยากชมเชยหรอก มันครบครัน ทั้งความตะกละตะกราม ความโลภ ความรุนแรง ครบครัน ตะกละตะกรามเต็มที่ จิตไม่ได้ศึกษามันจะเป็นเช่นนั้น
พวกเรา ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็สามารถสมบูรณ์แบบ กลุ่มชาวอโศกมีเศรษฐกิจดีที่สุด จะเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็ดีที่สุดในความพอเพียง จะเรียกว่าเศรษฐกิจที่อุดมสมบูรณ์ก็เหลือเฟืออุดมสมบูรณ์จริงๆ ขาดแคลนไม่มีเลย เศรษฐกิจของชาวอโศกไม่มีขาดแคลน แล้วเป็นเศรษฐกิจแบบคนจน อาตมาว่าดร.สมคิดฟังแล้ว หูหักแน่
เศรษฐกิจคนจน การที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจแล้วก็ไปสร้าง Concept สร้าง paradigm เป็นความคิดองค์รวมเรียกว่าConcept เป็นกระบวนทัศน์เรียกว่า paradigm เป็นองค์ประกอบของความคิด เรียกว่า แก้ปัญหาเศรษฐกิจจะต้องพาคนไปรวย อะไรก็แล้วแต่ในโลกนี้ไม่มีทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ ถ้าจะบอกว่าคุณต้องสร้าง Concept ต้องสร้าง paradigm ไม่ไปรวย คุณใส่อันนี้เข้าไปในจิตของคน ปั๊บ ...แต่คุณเอง ตั้งเขื่อนอะไรที่ทำอะไรไม่ได้ แข็งหนาใหญ่คุณตั้งกำแพงนี้กันคุณเองเลย คุณแก้ปัญหาไม่ตกหรอก คุณใส่ Concept ใส่ paradigm ว่าจะต้องรวย เราจะต้องทำให้คนรวยทั้งประเทศ แสดงถึงความไม่รู้จักสัจธรรมจริงๆ แก้ไม่ได้ ต้องให้คนมาจน โดยเฉพาะคนรวยมากๆ นั้นให้มาจนสิวะ จะได้แก้ปัญหาสำเร็จ นั่นต่างหากเล่า การให้คนจนไปเป็นคนรวยนั้นมันแก้ไม่ได้ คนรวยมันมีแล้วออกมามันง่ายจะตาย คนจนมันจะออกมามันยาก มันฝืนสัจธรรมมันเป็นไปไม่ได้ มันจะต้องสลายกำแพงคนรวยเข้ามาหา คุณไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาคิดคนเดียว ไม่ได้สักคนจน เมื่อเห็นคนจนก็เหมือนเข็นเขาขึ้นครกมันไม่ได้
อย่างในหลวงท่านบอกว่าให้พอเพียงมันมากไปแล้วนะ ท่านเป็นในหลวงก็ตรัสเช่นนั้น อาตมาก็ต้องพูดอย่างอาตมา พูดทุกมุม ต้องดึงคนรวยลงมา ในจำนวนพวกเรานี้สามารถมีสมรรถนะไปแย่งเอาความร่ำรวยในสังคม เอาเศรษฐกิจเอาข้าวของได้ พวกเรามีประสิทธิภาพแบ่งแย่งเอามาได้ แต่อาตมาดึงคนลงมา มาพอเพียง น้อยๆก็ได้ จนหลายคน ไม่ต้องไปคิดค่าแรงงานเลยทำงานอยู่ฟรี ในนี้สบาย อาตมาทำสำเร็จ พวกเราก็มาทำสำเร็จแล้ว
นี่คืออาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศไทยหรือของโลกเลย วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ คือมันสงบแล้วมันหยุดแล้ว แล้วเป็นภราดรภาพ สันติภาพ แล้วอิสรภาพเสรีภาพ ด้วยความเข้าใจของตนเอง คุณมาด้วยปัญญา คนเข้ามาในอโศกใช้ปัญญาด้วยตัวเอง อิสระเสรีภาพ อาตมาไม่หลอกล่อ ไม่และเล็มเลียบเคียง ที่มานี้พูดสัจจะทั้งนั้น มีแต่บอกความจริง มันอาจจะน่าเกลียดเลยบอกว่าความจนมาจน ถ้าจะพูดกันด้วยภาษาเป็นสิ่งที่น่าเกลียด จริงๆแล้วมันไม่น่าเกลียดหรอกมันน่าศรัทธาด้วยซ้ำ
ในด้านเศรษฐกิจรอบก็สำเร็จ ในด้านของการเมืองเราก็สำเร็จ ความเป็นประชาธิปไตยของชาวอโศกนี้ 100% ความเป็น คอมมูนก็สาธารณโภคีเลย ความเป็นเผด็จการก็เรียบร้อยเลย ไม่มีใครจัดการได้ แม้แต่อาตมาก็เผด็จการไม่ได้ อาตมาใหญ่ที่สุดในนี้แต่อาตมาเผด็จการไม่ได้ พวกคุณจะยอมหรือ? จริงๆอาตมาว่า อาตมาเผด็จการ อาตมาสั่งให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คุณยอมได้แต่อาตมาไม่ทำต่างหาก อาตมาไม่เป็นจอมเผด็จการ แต่อาตมาเป็นจอมเผด็จการที่ประสบผลสำเร็จ ถ้าอาตมาว่าขอสั่งให้ทำอย่างนี้คุณก็ทำตามหมด เพราะว่ามีความศรัทธา อาตมารู้แต่อาตมาย่อมไม่ทำ ไม่ทำแน่นอน ถ้ามันเป็นความเลวความไม่ดี อาตมาไม่เป็นจอมเผด็จการแล้ว ทั้งๆที่อาตมาเป็นจอมเผด็จการที่สำเร็จ แต่อาตมาย่อมไม่ทำ นี่คือจอมเผด็จการที่สุดยอด คอมมิวนิสต์หรือสาธารณโภคีหรือประชาธิปไตย ที่เป็นอิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ บูรณภาพ
5 ภาพนี้อาตมาเป็นคนบัญญัติตั้งขึ้นมาเอง อาตมาว่าครบครันแล้ว มนุษยชาติ
ที่ฝรั่งเศส เขามีสามภาพ มีภราดรภาพ อิสระเสรีภาพ เสมอภาพ independence
อิสรเสรีภาพ (Independent) มีอิสรภาพพ้นอำนาจกิเลส
ภราดรภาพ มีภาวะแห่งรักกว้างออกไปดุจดั่งญาติ
สันติภาพ มีภาวะสงบแท้ ไม่มีตัวเหตุเบียดเบียน
สมรรถภาพ มีความสามารถสรรสร้างประโยชน์สุข
บูรณภาพ ปรับปรุงพัฒนาให้เจริญ ให้เต็มบริบูรณ์
อาตมาทำงานเพื่อให้เกิด 5 ภาพนี้แหละ ในมวลชน แล้วอาตมาว่า อาตมาประสบผลสำเร็จแล้ว ชาวอโศกได้ทำสำเร็จ อาตมาจึงไม่ได้ไปวุ่นวายข้างนอก คุณจะมาก็มาเองนะ มาดูแล้วจะรู้สึกว่าอบอุ่น ไม่ได้เป็นศัตรูวุ่นวายกัน ลูกหลานก็ดูแลช่วยกัน เป็นสังคมที่ภราดรภาพสมบูรณ์แบบ คนเฒ่าคนแก่ก็ช่วยกัน ไม่เหมือนคนเฒ่าคน งกๆเงิ่นๆ ไม่ค่อยถนัด คุณจะรู้สึกอย่างไร? ก็ต้องไปช่วยเหลือ ไม่เหมือนข้างนอกหรอก ถ้ามาง่อกๆแง่กๆ พ่อใครแม่ใครก็ช่างหัว แต่ที่นี่ไม่ใช่ ช่วยเหลือกันเสมอ หรือช่วยมากจนกลายเป็นตำรวจจับเกินไปก็เหมือนกัน เด็กมันจะเล่นบ้างก็ไม่ได้ ว้ากๆๆ ก็บันยะบันยังบ้าง ตำรวจเอ๋ย ตำรวจไม่ได้จ้าง พวกเราก็มีภาวะนั้น ก็ปรามๆกันไป โดยเฉพาะเรื่องการเมือง
เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจของเราสมบูรณ์แบบ อุดมสมบูรณ์อยู่กันอย่างสบาย ไม่อดไม่อยาก เผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจานกันครอบครองลักษณะเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ไม่หวงแหน ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเลย แม้แต่เงินแต่ทองก็ตามก็แบ่งแจกกันพอสมควร ก็หวงบ้าง ก็เป็นธรรมชาติธรรมดา
ทางด้านการเมือง การเมืองอย่างไรเป็นการเมืองที่สมบูรณ์ การเมืองที่สมบูรณ์ก็คือคนรับใช้ประชาชน คนรับใช้ผู้อื่นนั่นคือการเมืองสมบูรณ์ รับใช้อย่างประชาธิปไตยรับใช้อย่างเต็มใจ รับใช้จริงๆ แล้วรับใช้อย่างสูงสุดไม่เอาสิ่งตอบแทน รับใช้ไม่หลงว่าตัวเองใหญ่ ตัวเองมีอำนาจ ตัวเองมีความรู้ ตัวเองมีแต่งาน ตัวเองเป็นผู้ทำประโยชน์ให้เขา ไม่ทวงบุญคุณอะไรเลย รับใช้โดยไม่มี สาเปกโข รับใช้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน รับใช้โดยไม่มีภพมีชาติ ชาวอโศกเป็นนักการเมืองที่รับใช้ประชาชน เป็นคนรับใช้ประชาชนอย่างไม่หวังอะไรตอบแทนสักอย่าง ไม่มีสาเปกโข จะเป็นลาภยศสรรเสริญเยินยอไม่ต้องสุขต้องทุกข์ จะรู้ว่าลงทุนลงแรงอะไร เราทำได้ยากลำบากก็อยู่กับทุกข์อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ เพราะว่าทุกวันไม่มี มีแต่สูญๆ อันนี้มันลำบากแล้วก็รู้ เป็นอุปายานะนะ เป็นความลำบาก ทรถ มันเป็นความยากที่จะช่วยเขา ยากลำบากไม่ใช่ง่ายๆ หนัก แต่เราก็เต็มใจที่จะช่วยเขา มันร้อนนะ นี่มันหนักนะนี่ มันยากนะนี่ เราก็สมควรจะช่วยเราก็ช่วย เราก็ทำอย่างเต็มใจ ทั้งที่ยากลำบากนะ อีกนัยคือทุกข์ แต่เราพอใจจะช่วย หนักหนาเหน็ดเหนื่อย เหงื่อไหลไคลย้อย บางทีบาดเจ็บนิดหน่อยแต่ก็ช่วย
เป็นคนเสียสละ
การเมืองคืออะไร การเมืองคือผู้รับใช้ รับใช้ผู้อื่น จบเลย การเมืองนี่ พระอรหันต์คือใคร คือผู้รับใช้ประชาชน พระอรหันต์คือนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
คนที่ไม่เข้าใจอะไร ไม่เข้าใจสัจธรรมไม่เข้าใจธรรมะ เอาการเมืองออกจากธรรมะเอาธรรมะออกจากการเมือง อย่าไปยุ่งไปอะไร ..ถูก ..เขากันคนไม่ประสีประสาหากเข้าไปก็เป็นเหยื่อเขาหมด วัดต่างๆเจ้าอาวาส ถูกนักการเมืองครอบงำหมด นักการเมืองพรรคพวกเขี้ยวลากดินลิ้น 8 แฉก อย่าไปคบกับมัน เขาก็เลยยกพระเอาไว้ว่า แยกธรรมะกับการเมือง นี่พูดอย่างยก แต่ว่าพระอย่าอวดดีกับนักการเมืองมันเขี้ยวลากดินลิ้น 8 แฉก เขาก็เลยต้องแยกออกจากกัน แต่เขาแยกอย่างให้เกียรติพระอย่าไปยุ่งกับการเมือง พูดเพราะ แต่ที่จริงก็จะบอกว่า โง่อยู่ส่วนโง่ ฉลาดเฉโกให้มันอยู่กับพวกมัน สู้มันไม่ได้นะ
แต่ผู้ที่มีภูมิปัญญาพอ อาตมาควรเป็นนักการเมือง พวกลิ้น 8 แฉกเอามาทำต้มยำเลย เอามาต้มสตูว์ลิ้นเลยไปกลัวมันทำไม เพราะว่าเราเป็นนักการเมืองเองเลย นักการเมืองคือผู้บริสุทธิ์ใจที่จะรับใช้ประชาชน นี่สูงสุดแล้ว ถ้าเราเป็นเผด็จการก็ต้องเบ่งอำนาจตัวเอง คอมมิวนิสต์กูต้องมีอำนาจเบ่ง แต่ประชาธิปไตยไม่เอา อำนาจเบ่ง แต่มันก็ยังไม่รู้ตัว ทำให้ตัวเองเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ไม่ได้
ในหลวงของเรา ทรงพระจริยวัตร ของพระองค์เป็นนักการเมืองที่สวยงามที่สุด ไม่ไปว่าใคร ไม่ไปเบ่งทับใครเลย แนะนำเท่านั้น สอนแนะนำเท่านั้น ทีนี้ อาตมาพูดก็เหมือนไปว่าท่านๆไม่จ้ำจี้จ้ำไช แล้วคนทุกวันนี้มันด้านดื้อ ไม่จำจี้จ้ำไชไม่ได้ผล ท่านมีอำนาจถ้าจะทำก็ได้ ทำให้ช้า ท่านให้เกียรติทุกคน ท่านไม่ได้เป็นนักจ้ำจี้จ้ำไช บอกแล้วไม่ทำก็แล้วไป ก็เลยได้เท่านี้ ส่วนอาตมาเห็นว่าพร่องก็ต้องเติม เติมหนักเติมมากด้วย ก็เลยเหมือน ครูไหวใจร้าย ในยุคนี้มันขาดแคลน ไม่อย่างนั้นมันไม่ทันมันจมน้ำตายถูกสึนามิกวาดไปก่อนไม่ไหวไม่รอด เป็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ขณะนี้เมืองไทยเรากำลังเก็บเอาสิ่งที่ ไม่เฉลียวฉลาด ไม่เหมาะไม่ควรอะไรขึ้นมาได้มากขึ้น ถ้าจะให้อาตมา วัด วัดค่าแล้วก็ให้คะแนน ว่าประเทศไทยกับประเทศอื่นๆ ในโลกในด้านการเมืองประเทศไทยดีที่สุด ดีกว่าอเมริกา ดีกว่าเกาหลีเหนือนั้นแน่นอนที่สุดอยู่แล้ว ดีกว่าแม้แต่อเมริกาที่เขาประกาศเป็นเมืองประชาธิปไตย
อเมริกาเป็นประชาธิปไตยขี้หมา เป็นประชาธิปไตยที่ เบ่งอำนาจ ฉันเก่งฉันใหญ่ฉันรวย โดยเบื้องหลัง เอ็งเก่งสร้างอาวุธฆ่าคน มีอันนี้จริง อาตมาขอถามหน่อย อเมริกา ซุกซ่อนระเบิดนิวเคลียร์อยู่ไหม แล้วก็เป็นนายตำรวจใหญ่ไม่ให้ใครสร้างระเบิดนิวเคลียร์ นี่เป็นเรื่องจริง เกินไป คุณไม่ให้ใครสร้างคุณก็อย่าสร้างสิ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นสัจจะ เป็นเรื่องเลวร้าย อเมริกานี่ถามจริงๆ คนที่พอรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์
อเมริกาทุกวันนี้รวยหรือจน ดอลล่าร์ เศษกระดาษที่อเมริกาปั๊มออกมาทุกวันนี้ ไม่มีหลักประกันอะไรเลยในอเมริกา ถ้าคนทั้งโลก เอาดอลลาร์ทุกใบคืนอเมริกา เอาสิ่งที่เป็นสาระแลกเปลี่ยนกลับมา ผลไม้ลูกหนึ่ง เข็มเล่มหนึ่ง อย่าไปว่าถึงทองคำเลย อเมริกามีแลกคืนไหม ไม่พอหรอก ให้แก้ผ้าล่อนจ้อนหมดทั้งประเทศมาแลกคืนก็ไม่พอ มันปั๊ม เศษกระดาษออกไปทั่วโลกเป็นใหญ่ แล้วมันเก่งสร้างค่าของดอลลาร์ได้ เก่งชิบหายแล้วคนก็ยอมทั้งโลก ก็ต้องเรียกว่ามาเฟียของโลก เบ่งกล้าม อาตมามองอเมริกาอย่างนี้ นี่น้องชายก็บอกให้กลับมา แต่เขาฝังรกรากแล้ว มีลูก 3 คนเมียคนเดียว แล้วผัวอยู่ในอาณัติเมียด้วย น้องชายอาตมา
ถ้าเผื่อว่า ตอนนี้เขาจะทำลายแบงค์ดอลล่าร์ทั่วโลก แล้วจะออกแบงค์ใหม่ขึ้นมา ถ้าอเมริกาทำอย่างนั้นจริงๆสำเร็จ ประเทศทุกประเทศในโลกยกให้อเมริกาเถอะ แต่เป็นขี้ข้า อเมริกาให้หมด จีนก็ไม่ยอม รัสเซียก็ไม่ยอมหรอก ทำเบ่งไปเถอะ อาตมาว่า ถ้าอเมริกาไม่เจียมตัวไม่รู้ตัว ไม่ดูว่าตัวเราก็เท่านี้จริงๆ ทำออกมาเกินเหตุเกินการณ์ อเมริกาจะไร้เครดิตทุกอย่าง จะใช้ระเบิดนิวเคลียร์ ก็ต้องใช้สู้กับคิมน้อย
อาตมาถึงบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่ปลอดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ทุกอย่าง แต่ว่าก็ยังไม่พยายามที่จะทำให้มันเป็นเหมือนอย่างกับสวิตเซอร์แลนด์ ถ้าเมืองไทยทำตัวอย่างสวิตเซอร์แลนด์มันสุดยอดสบาย เรามีอยู่มีกิน อุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ ไม่มีระเบิดนิวเคลียร์แล้วไม่มีอาวุธสำคัญ ไม่ต้องไปทำเลย ทำตัวให้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ น่าจะมีนโยบายทำอย่างไรให้เหมือนสวิตเซอร์แลนด์ อย่าทำอย่างทุกวันนี้มันเหมือนไปไม่รอด เพราะแนวโน้มประเทศไทยมันไปทางนี้ ไม่ใช่แนวโน้ม ไม่ใช่แนวโน้มจะเข้าไปสู่สงคราม จะเป็นคู่ร่วมสงคราม คุณจะรบไปเราก็จะเป็นกองกำลังเสบียงกับกาชาด ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะสบาย ปลอดภัยแล้วก็สบาย อยู่กันอย่างสงบสบาย จะเป็นประเทศที่สุดยอด ถ้าผู้บริหารมีนโยบายที่จะทำให้เกิดเป็นประเทศแบบสวิตเซอร์แลนด์ สงบ ไม่ต้องมีทหารไม่ต้องมีอาวุธ มีแต่เศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ที่ปลอดภัย ถ้าเราทำประเทศเราได้อย่างนั้น ทุกประเทศในโลกเขาก็ไว้ใจว่าประเทศนี้ เขาเป็นประเทศที่จิตวิญญาณของเขาสงบเหมือนสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ไปรุกรานไม่ไปทำอะไร ขอเป็นวัฒนธรรมแล้วเป็นสนามแม่เหล็กที่สงบ สนามแม่เหล็กที่ไม่มีพลังงานออกไปเบียดเบียนใคร เป็นแหล่งพีชนิยามสูงสุด สร้างเนื้อสร้างตัวอยู่กินไปรักษาดูแลตัวเองไป ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น พืชพรรณธัญญาหารนี่มันสร้างตัวมันเอง มันมีแต่ประโยชน์ให้ผู้อื่น สร้างผล ดอก ใบ ต้น เพื่อจะให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์ ต้นไม้ บีเวอร์มันก็รู้ว่าเอามาทำเขื่อนได้ มันก็ไปตัดต้นไม้มา ลากมาทำเขื่อน เพื่อให้เป็นประโยชน์จะมาใช้อะไรยกตัวอย่างธรรมชาติขึ้นมา จะเป็นลูกผล อาหาร เพราะคนเราจะไปกินดินเหมือนสัตว์บางอย่างก็ไม่ได้ จะไปกินสัตว์มันก็ไม่ควร เพราะสัตว์มันมีพยาบาท มีรักมีชังมีวิบากแล้ว วิบากมาตั้งแต่มีอวิชชามา อย่าไปสร้างวิบากต่อเลย แต่ละคนๆ หยุดเถอะ เพราะฉะนั้นจะไปกินเนื้อสัตว์อยู่ คุณก็จะไปเชื่อมโยงกับวิบากต่อกับสัตว์ คุณอยู่กับพืชกินแต่พืชไม่มีวิบากต่อ เพราะว่าพืชมันไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณไม่มีรักไม่มีชัง ไม่มีวิบากเพราะสัตว์มันมี
คุณไม่ไปกินไวรัส แต่คุณก็ไปกินสัตว์ที่ยังมีรักชังมากกว่าไวรัส วิบากตัวตนมากแล้วอย่าไปสร้างวิบากเลย วิบากของคุณก็มาหาฉันแล้วไปจองเวรจองกรรมอีกทำไม
แต่คนที่ไม่รู้ติดรสเนื้อสัตว์ ก็ต้องไปกินไปฆ่ามัน แต่ถ้าคนไม่ติดและมีปัญญาพอ จะไปสร้างวิบากใส่จิตวิญญาณใส่อัตภาพเราทำไม ผู้ที่รู้ดีแล้วก็ไม่ไปกินเนื้อสัตว์ สุขสำราญเบิกบานใจ คนรู้ก็มาเอา คนไม่รู้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
คนจนมาสร้างชุมชน จนกระทั่ง มีจิตใจเป็นจิตใจอันเดียวกันเป็นญาติ ยิ่งกว่ามิตรสหาย เป็นญาติ เผื่อแผ่การมีน้ำใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเลี้ยงดูกัน เกื้อกูลกัน ถ้าจะให้วิจัยจริงๆแล้วสังคมอโศกนี้ ครบบริบูรณ์ของความเป็นสังคมที่งดงาม เป็นสังคมที่สำเร็จ สำเร็จสิ่งที่ประสงค์แล้ว กลุ่มสังคมของชาวอโศกแต่ละหมู่บ้านเป็นสังคมที่สำเร็จด้านเศรษฐกิจด้านสังคม ครบบริบูรณ์สมบูรณ์บริบูรณ์ พัฒนามาเป็นสังคมมนุษยชาติ เป็นองค์รวมของอิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
มีสมรรถภาพพึ่งพาตนเองรอด กินใช้อะไรเป็นเศรษฐกิจที่พอกินพอใช้เหลือกินเหลือใช้
มีบูรณภาพสร้างเสริมมีส่วนที่มากที่เกินที่เหลือเผื่อเผื่อแผ่แจกจ่ายเจือจานคนอื่นไป ทั้งแจกจ่ายในระดับขายถูกกว่าราคาตลาด ขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าราคาตลาด แจกฟรี นี่คือวิธีการจำหน่ายจ่ายแจกของชาวอโศก แน่นอนเราสร้างระเบิดนิวเคลียร์ไม่ได้ เราก็ไม่มีระเบิดนิวเคลียร์ขาย แต่ตอนนี้เรามีระเบิดกะหล่ำปลีมันก็ไม่ค่อยห่อ ลูกระเบิดกะหล่ำปลีมันก็ไม่ค่อยห่อ หนาวมาช้าไปนิด แต่ถ้าหนาวมาก่อนหน้านี้ก็คงห่อดีขึ้น
นี่บนโต๊ะมีแตงเมล่อน
พวกเรานี่เป็นคนจนที่สร้างชุมชน มาเป็นชุมชนที่เป็นญาติธรรม เห็นใจกันและกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่คนรวยนี่ เขาไปสร้างวิมาน แต่พวกเรามาสร้างหมู่บ้าน คนจนมาสร้างหมู่บ้าน สร้างชุมชน แล้วก็เป็นชุมชนหมู่บ้านที่เป็นสังคมที่อยู่กันอย่าง อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
ส่วนคนรวยนั้น ก่อสร้างวิมานกัน เฟส 2 เฟส 3 เฟส 4 คนรวยเขาสร้างวิมานเพ้อฝัน แล้วก็วิมานใครวิมานมัน นี่คนรวยเขาสร้างอย่างนั้น
คนจนมาร่วมกันสร้างหมู่บ้านแล้วก็ผลิต มีสมรรถนะ สร้างสิ่งที่เป็นปัจจัย โดยเฉพาะตั้งแต่ปัจจัย 4 แบ่งแจกที่อุดมสมบูรณ์ แล้วก็แบ่งแจกกันกิน ส่วนคนรวยนั้นสร้างวิมานใครวิมานมัน วิมานกู ก็แย่งกัน เบ่งข่มวิมานกัน นี่คือคนรวย เส้นทางของคนรวยก็เป็นอย่างนั้น ต่อให้เป็นคอมมิวนิสต์ก็ต้องเป็นแบบนั้น ได้ข่าวว่าหลานเหลนของเหมาเจอตุงเป็นมะเร็ง จะต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อรักษา บอกว่า ไปไม่ไหวหรอก เสียดายบ้านทองคำ อะไรวะ หัวหน้าคอมมิวนิสต์ปฏิวัติ แต่หลานมีบ้านทองคำ มันกบฎ ที่พูดไปนี้ฟังแล้วคนเรามันอะไร วนเวียนวกวนไม่เข้าเรื่อง
อย่างพวกเรามาเป็นคนจนสนิท เป็นคนจนที่จบบริบูรณ์ จนแล้วจนเลย จนแล้วจนรอด จนแล้วไม่ต้องไปนึกที่จะต้องอยากได้อะไรอีก อยู่สบายแล้ว อยู่อย่างคนจนสบายแล้วไม่ต้องไปรวย แต่เราจนอย่างอุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้ ดีไม่ดี สุรุ่ยสุร่ายอย่างที่ว่า ก็ต้องช่วยดูแลอย่างที่ว่า มันเป็น error สูญเสียได้ ทิ้งขว้าง แต่ต้องเก็บกันให้ดี
คนเราไม่เข้าใจ มันไปหลงถูกสร้าง ถูกครอบงำความคิด ให้บอกว่า องค์ประกอบชีวิตจะต้องเป็นเช่นนั้นๆ จะต้องมีบ้านหรูหรา ตัวประกอบมีอาณาบริเวณมีกำแพงยักษ์ แล้วก็ต้องมีวัสดุราคาแพงๆ เอาเพชรทำรั้ว เอาทองคำมาสร้างส้วม ไปสร้างค่านิยมบ้าบออย่างนั้นทำไม
พวกเรานี้แสนสบายแสนอารมณ์เบิกบาน สุขสําราญทุกอย่าง แล้วเรามาเข้าใจความจริงว่าเรามาเป็นผู้สร้าง สร้างไปทำไม สร้างไปกระจายเจือจานให้มนุษย์ไปกิน สร้างไปรับใช้มนุษยชาติ สร้างสิ่งที่ควรสร้าง เราไม่สร้างระเบิดหรอก เราไม่สร้างอาวุธไม่สร้างของเป็นพิษ ของที่มอมเมาหรอกก็ไม่สร้าง
วีสวณิชชา สร้างยาพิษ มัชชวณิชชา สร้างสิ่งมอมเมา มีความรู้ว่าเครื่องมอมคืออะไร โลกีย์ทั้งหลายเป็นเรื่องมอมเมาทั้งนั้น โลกีย์คือกามกับอัตตา สร้างสิ่งที่กระทบตาหูจมูกลิ้นกายแล้วอยากได้ขึ้นมา มันก็จะวนมา ว่าแปลว่าสร้างผลไม้ขึ้นมานี่คนอยากได้หรือเปล่า แต่มันไม่เป็นสิ่งที่เป็นพิษ เป็นอาหาร อยากได้เราก็ขายให้ถูกๆ ดีไม่ดีเราก็แจกฟรี มันก็ไม่ได้เกิดการทะเลาะวิวาทแย่งชิงอะไร เหลือเฟือแจกกันกินได้
เดี๋ยวนี้หมู่บ้านชาวอโศก เด็กๆมาเล่นน้ำบางทีรู้แกว เล่นน้ำเมื่อยก็มากินอาหาร เสร็จแล้วก็มานอนพัก เย็นก็กลับบ้าน สบาย เด็กบางคนรู้แกวมา ผู้ใหญ่บางคนก็รู้แต่ไม่ค่อยกล้าทำทีเดียว แต่มันก็มีไม่มากหรอก
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสถามพระราหุลบอกว่า จะเอาโลกียะหรือโลกุตระ ถ้าไม่ถามว่า โลกุตระหรือโลกียะ ท่านไม่ทิ้งทางโลกียะ ท่านก็ทิ้งโลกุตระไว้ เด็กก็ไม่รู้อะไรก็บอกว่าเอาโลกุตระ พระราหุลก็เลยเสร็จพระพุทธเจ้า ใช้ปฏิภาณทดสอบ มันเป็นการสอนไปในตัว หรือแม้แต่การใช้พยัญชนะภาษา คนเรามันก็ใช้อันที่ใกล้กว่า บางทีมันไม่รู้ ก็เอาอันที่ใกล้ มันเป็นเรื่องง่าย
ก่อนจะจบวาระสุดท้ายสามสิบนาทีท้าย ก็มันเข้าสู่ตัวเนื้อหาว่า เพื่อฟ้าดิน
ตอนนี้เรากำลังจะจัดงานเพื่อฟ้าดิน เริ่ม 31 ธ.ค. 1-2 ม.ค. ตอนนี้เราก็ทำอาคารเป็นอาคาร ใหญ่ของเรา แล้วเราก็สร้างขึ้นมาเพื่อให้ได้ใช้งานกัน ตั้งชื่อมาตั้งแต่อาคาร ส.ว.น. มาจากคำว่า สัมมาสิกขาวิชชารามนาวาบุญนิยม ยาวเลยย่อเป็น ส.ว.น. จนเดี๋ยวนี้มาเป็นชื่อว่า เฮือน บวร เป็นอาคารพื้นที่ 11 ไร่ คลุมหมด เป็นอาคารใหญ่ที่สุดที่ชาวอโศกไปสร้าง สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร เจตนาแรก อาตมาสร้างขึ้นมาเพื่อการค้าพาณิชย์ การศึกษา
ชั้นบนให้เป็นการศึกษา ชั้นล่างให้เป็นการค้าพาณิชย์ โดยพวกเรา ขาวอโศก เข้าไปอาศัยค้าขาย พวกเราก็อาศัยเป็นสถานที่ที่จะได้ใช้อาศัยทำการศึกษา แต่ถึงวันนี้การศึกษาที่จะต่อให้ถึงอุดมศึกษา ตัดสินใจแล้วว่าเลิกทำ เมื่อย แค่ทำให้ช่วยสังคมประเทศชาติแค่ระดับประถมมัธยม แล้วก็มีอาชีวะแถมมาหน่อย เขาให้มาจากที่เราทำอยู่ถึงปวส.ก็พอแล้ว ตามประสาเรา ข้างบนจะใช้การศึกษาหรืออย่างอื่นก็ว่ากัน
ข้างล่างจะเป็นแหล่งให้ผู้ที่มีสินค้ามีผลผลิตเอามาค้าขายได้ โดยชาวอโศกเองก็เอา มันเหลือจากชาวอโศกเอง ย่านนี้ก็ไม่ค่อยมีใครมาค้าขายมากเท่าไหร่ โดยเฉพาะของสดเป็นฟากซ้าย ฟากขวาก็เป็นร้านที่มีของแห้งประจำ ใครมาก็มาขาย ตามเวลาแล้วจะกลับ ขายเช้ากลับเย็นก็ตามใจ หรืออยากกลับเมื่อไหร่ก็ตามใจ โดยไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเก็บค่าเช่าค่ารายได้อะไรเลย สร้างขึ้นมาบอกประกาศไปทั่ว ประชาชนทั้งหลายทุกคน มีสิทธิ์ที่จะมาใช้อาคารนี้เป็นที่ตลาดค้า ของสดหรือของแห้ง แม้แต่ของแห้งก็ประกาศว่าใครจะมาค้าขายที่นี่ ไม่มีค่าเซ้งค่าเช่าค่าซื้ออะไร มีเงื่อนไขอยู่ว่าคุณต้องเป็นคนดี คนดีนั้นควรจะต้องมี 4 ห้าม 3 ต้องอะไรนั่นนะ เท่านั้นเอง ถ้าอยู่ในเงื่อนไขนี้ คนทำตามเงื่อนไขนี้ได้ คนเข้ามาเป็นผู้อาศัยอาคารนี้ เพื่อค้าขาย เป็นแหล่งที่สร้างขึ้นมาให้คนมาใช้ช่วยเหลือเกื้อกูลคน อยู่กรุงเทพจะหอบมาค้าขายที่นี่ก็เอา ถ้าคุณอยากจะลงทุนขนาดนั้น จะอยู่ในย่านนี้ใกล้ๆก็มาใช้เลย ประชาชนทั้งหลาย แต่คุณจะต้องอยู่ในเงื่อนไข 4 ห้าม 3 ต้อง
อาตมาคิดก่อนรัฐบาล เรียกว่า ตลาดประชารัฐ เพื่อให้เป็นแหล่งให้ผู้ผลิตหรือชาวไร่ชาวนา ได้มาเป็นแหล่งค้าขาย รัฐบาลคิดที่หลังเรา คิดทีหลังที่เราทำ ขออภัยที่พูไม่ได้ข่มแต่เป็นเรื่องสัจจะที่เป็นจริงที่พูดให้ฟัง เราเห็นว่าเป็นความจำเป็น เป็นสิ่งสำคัญของสังคม เราก็ทำขึ้นมา
ได้ข่าวว่ารัฐบาลเขาเก็บค่าเช่าเหมือนกันในการค้าขาย แต่ของเราไม่เก็บเลย เป็นแต่เพียง อยู่ไหนข่าย 4ห้าม 3 ต้อง ก็มาขายได้ ก็มาลงบัญชีไว้ ไม่งั้นจะแย่งกันเกินไป
แต่ถ้าจะมาขายแต่ละวัน หรือประจำ ก็ดูตามเหมาะสม ไม่ใช่มาจองไว้ แต่เดือนนึงมาขายที มันก็เสียของ ถ้าคุณไม่มาคนอื่นก็ต้องขายได้ จะมาวันไหนก็ขาย ถ้าจองก่อน ถ้าไม่จองก่อน เขามาก่อนก็ให้เขาขาย อย่างนี้เป็นต้น ต้องให้โอกาสคน ไม่ใช่ว่าเรามายึดถือ ใครมาเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไม่ได้ เปิดเป็นสาธารณะเป็นโอกาสของทุกคน อย่าเอาเปรียบกันอย่ามานั่งเบ่งเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แม้แต่เราเป็นเจ้าของก็ยังไม่เบ่งแน่นอน พวกเราก็ต้องพิจารณาคนภายในก่อน พวกคุณอยู่ภายนอกมาให้ใช้ก็ดีแล้ว
4 ห้าม 3 ต้อง
หากเราอยากจะมาค้าขายเราก็ผลิตที่ปลอดภัยไร้สารพิษ เลิกจากอาชีพที่เป็นพิษ ร่วมมือกับพวกเรา ในความจำกัดเท่านั้นเท่านี้ก็ช่วยกันไป สรุปแล้วพวกเราเป็นคนไม่ได้หมายความว่าจะมาหาทางรวยหรือเอาเปรียบ ทางการค้าขายเอาเปรียบ แม้แต่การค้าขายเราก็เสียสละ มาสอนมาฝึกปฏิบัติตนเป็นผู้รับใช้ประชาชน เป็นยอดนักการเมือง
นักการเมืองทำสู้เราไม่ได้หรอก เพราะการเมืองนี้ตอแหล เราทำช่วยเหลือเสียสละโดยเรารู้ว่าเราเสีย เราเสียนี่แหละคือเราได้ เราเป็นลูกพระเจ้าอยู่หัว เราไม่ได้สงสัยหรอก มันจบ นี่คุณเสียหรือคุณได้….ได้เสียสละ ต้องบอกว่าเราเสียมันถึงจะไม่ค้าง คนอื่นก็เข้าใจ แต่ถ้าบอกว่าเราได้...ก็จะค้าง แต่ถ้าบอกว่าเสียก็จบกว่า แล้วพวกคุณก็มาเสียก็พวกเดียวกันก็จบ พวกเรานี่พวกมาเสีย เสียคือเสียสละเราไม่งงไม่สงสัย เราไม่ดิ้นไปจากนี้
ทำไมต้องมาเป็นคนเสีย คนสละก็เพราะโลกมีแต่คนจะเอา ถ้าไม่มีคนสละจะอยู่ได้ไง ถึงรบกัน เราคือผู้ไม่สร้างสงคราม พวกเราคือพวกอรณะแต่พวกคุณคือพวกสรณะพวกทำสงคราม พวกคุณคือพวกมรณะเพราะทำกรณะอย่างสรณะอย่างรบ แต่พวกเราอย่างอรณะจึงไม่มีทั้งสรณะ กรณะ ไม่มีสรณะหรือมีหมด มรณะเราก็รู้ อรณะเราก็รู้ กรณะเราก็รู้ สรณะยังรบ กรณะคุณรู้ก็กรณะ ถ้าไม่รู้ก็กรณะยังรบ แต่ถ้ารู้ก็ไม่รบแต่ทำอย่างช่วย แต่จะรบหรือไม่รบก็ต้องมรณะ ในจิตชัดเจนทุกอย่าง
คนเกิดมามีชีวิตทุกคนต้องเกิดมารบ ผู้หยุดรบคืออรหันต์คืออรณะ คนที่ยังไม่เป็นอรณะยังจะต้องสรณะมากรณะแล้วก็มรณะ วนเวียนอยู่นั่นแหละไม่มีจบ จนกว่าคุณจะอรณะไม่รบ
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน พระโสดาบันกับสังโยชน์ 3
ก็อยากจะสรุปเรื่องโสดาบันก่อนจะจบ เหลือ 10 นาที
โสดาบันเป็นตัวตนของอาริยะภูมิ ของภูมิผู้เจริญ ปุถุชนนั้นยังเป็นคนไม่เจริญ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ความจริงอันเดียวกันหมด ยุคนี้ใช้ภาษาสื่ออันนี้
ผู้ที่เป็นอาริยะขั้นต้นเลย คือผู้รู้จักสักกายะคือความเป็นตัวตน
กายคือรูปกับนาม ตัวตนคือคนมีจิตนิยามเป็นนามธรรมหรือธาตุรู้ ธาตุรู้ต้องรู้องค์ประกอบ 2 ตั้งแต่ภายนอกจนกระทั่งถึงภายใน ที่เป็นตัวถูกรู้ ถ้าถูกรู้อยู่ภายในเราก็ได้รู้รูป และก็มีอรูป ถ้าข้างนอกก็เรียกกามรูป หรือรูปรูป หรือนามรูปก็ได้ มีสิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูปมีนามเป็นธาตุที่ไปสัมผัส ถ้าไม่มีสัมผัสมันก็เป็นของมันเอง รูปรูป กล้วยก็อยู่ของมันเอง ไม่มีธาตุรู้ ไม่มีสัตว์อะไรไปสัมผัส มันก็เป็นตัวของมันเอง มีรูปรูปของมันเองไม่มีตัวกูไม่มีวิญญาณอยู่กันตามประสา แม้แต่พืชหรือพีชะก็ตามแต่นี่มันตัดออกมาจากต้นแล้ว ขาดพีชะแล้ว ก็มีแต่จะชรตา เสื่อมไป เสื่อมเร็วมาก เพราะคนเอาไปกิน ปากเคี้ยวกลืนออกไปเป็นขี้ ถ้าปล่อยไปก็เสื่อมช้าหน่อย
โสดาบัน ท่านบอกว่าจะต้องพ้น สังโยชน์ 3 ข้อ
ของพระโสดาบันจะต้องอยู่ในกรอบของศีล 5 ไม่ใช่ สักกายะก็ไม่มีกรอบขอบเขต
สักกายะคือ จะต้องรู้ตัวเองไปเกี่ยวข้องอยู่กับ สามอย่าง พูดแล้วก็คือ ศีล 5 นี้
1.สัตว์ 2.ของ 3.สัมผัสแล้วเกิดกามคุณ 5 คุณจะต้องเรียนรู้ตอนนี้ เรื่องผัสสะแล้วมาเป็นเวทนาแล้วเกิดสุขทุกข์ ศาสนาพุทธให้เรียนสุขเรียนทุกข์ เรียนเหตุแห่งทุกข์ หมดเหตุแห่งทุกข์ถือว่าเป็นคนที่ดีที่สุดอยู่ในสังคมนี้ต่อไป เพราะตัวร้ายที่สุดของธาตุจิตวิญญาณคือกิเลส กิเลสนี่มันพาให้เกิด สังคมยุ่งเหยิงสังคมไม่เป็นสุข สังคมไม่เจริญ ก็เป็นเพราะกิเลสทั้งนั้น พระพุทธเจ้าถึงตรัสรู้สิ่งที่เป็น โจรใหญ่ ในตัวมนุษยชาติก็คือกิเลส ท่านถึงไม่ไปรบกับเกาหลีเหนือ ไม่ไปรบกับอเมริกา ไม่ไปรบกับทางไหนจังหวัดไหนก็แล้วแต่ รบกับศัตรูในจิตนี่คือกิเลส รบกับตัวนี้ ถ้าตัวนี้จบแล้วคุณจะเป็นพลเมืองของชาติไหนก็ตาม เป็นพลเมืองดีของทุกชาติได้หมด เป็นประโยชน์ของทุกชาติเลย
ในโลกๆหนึ่งมีดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มีอากาศ มีอุณหภูมิ จนกว่าจะถึงวันนั้นภูมิชีวะ ที่จิตนิยามอยู่ได้ พืชอยู่ได้ ชีวะอยู่ได้ ก็จะเป็นโลกที่มีองค์ประกอบของชีวะ โลกที่อุณหภูมิของชีวะอยู่ไม่ได้ บางที่ ชีวะระดับพืชอยู่ได้ แต่ระดับจิตอยู่ไม่ได้ แต่พืชก็เจริญใหญ่ไม่ได้ บางลูก อุณหภูมิมันยังไม่ไหว ต้องลดอุณหภูมิระดับหนึ่งจนกระทั่งชื่อว่าอยู่ได้ แล้วมีจิตนิยาม
จิตนิยามเกิดการเจริญขึ้นจนรู้ กรรมนิยาม เกิดธรรมนิยาม ธรรมเป็น static กรรมเป็น dynamic ก็ต้องรู้จัก 2 สภาพจัดการ 2 สภาพนี้ให้ได้ ทำให้มันดีที่สุด
จิตนิยาม ที่รู้จักกรรม ธรรมะจึงเจริญ จิตนิยามของปุถุชน ยังไม่สามารถควบคุมกรรม ทรงไว้ตามยถากรรม กรรมมันจะพาไปอย่างไร มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน แล้วก็เอามากองใส่ธรรมะ ใส่ทรงไว้ในจิต เรียกว่าอธรรม คือสิ่งที่ไม่ดี ก็ได้อันนั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่จะรู้เรื่องกรรมเรื่องธรรมะ คนที่มาศึกษา จัดการกรรมได้ แล้วทรงไว้ทรงอยู่ สิ่งที่เป็นคุณภาพ กรรมไม่มีอกุศลกรรมอีกเลยเป็นอรหันต์ ไม่มีบาปทั้งปวง เพราะบุญได้กำจัดบาปอกุศล กำจัดเสร็จ บุญก็หายไป ความรู้เรื่องบุญเป็นเครื่องมือกำจัดบาปอกุศล มีหน้าที่อย่างเดียว ไม่มีหน้าที่ตกค้างหรือสะสม ความรู้นี้ของศาสนาพุทธได้หมดไปแล้วหายไปแล้ว อาตมาแนะนำมาฟื้นคืนขึ้นมา บอกได้เลยว่า เป็นคนเดียวที่รู้ว่าบุญนี่คือเครื่องมือประหาร เป็น เอกังเสนะ คือมันมีหน้าที่เดียวถ่ายเดียว ทำหน้าที่เสร็จมันก็หมดหน้าที่ สูญหายไปเลยไม่ตกค้างเป็นบุญ เพราะฉะนั้นความรู้ศาสนาพุทธ ที่ไปสะสมบุญมีบุญมากๆ ก็เท่ากับกิเลสคุณมากสิ ถ้าคุณสร้างพลังงานเป็นส่วนบุญไม่ได้ สร้างให้เป็นบุญเป็นอาวุธประหารกิเลสไม่ได้ เป็นไฟ ตั้งแต่เรียกว่าไฟฌาน รู้ เป็นพลังงานที่เหนือไฟราคะโทสะโมหะ มันก็สามารถกำจัดไฟราคะโทสะโมหะได้ สร้างพลังงานไฟฌาน ไฟบุญได้ เป็นนามธรรมแต่มันเป็นจริง
โดยเฉพาะบุญนั้นมีปัญญาเป็นธาตุรู้ ที่มีคุณสมบัติสูงสุด อะ อิ อุ ไปลงสระคี่ สามเส้านี้จบ ปัญญะ เป็นอัญญะ ปัญญารู้จักโลกุตระ แล้วทำงานเป็นปริญญะหรือปริญญาแล้วมาเป็นปุญญะ เป็นภาษาสันสกฤต เป็นปรัชญา
ตัวความหมายพวกนี้มีสภาวะของมัน ถ้าทำ สัจธรรมที่เป็นพลังงานที่ได้จริงก็เป็นจริง ชาวอโศกสร้างพลังงานพวกนี้ได้แล้ว ทำลายกิเลสได้ เรียนไปฟังไปแล้ว เอาไปทำไปอ่านอาการจิตของเรา ….จบหมดเวลา
ยูทูป
https://youtu.be/tF8ebONDQzI
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:33:28 )
รายละเอียด
601231_ทวช.งานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน3
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อโศกกับพัฒนาการสามเส้า เศรษฐกิจการเมืองสังคม
พ่อครูว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2560 เรากำลังอยู่ในช่วงปีเก่าที่กำลังจะผ่านสู่ปีใหม่ ปีใหม่จะมีอะไร เรื่องที่จะพูดกันพอสมควรเลย ปี 2561 นี้ สำหรับอาตมามีความหมายนะ คนอื่นจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่ใครจะใครของแต่ละคน มีสิ่งที่เกี่ยวข้องจัดการสัมพันธ์มีวิบากร่วม จะสังขารปรุงแต่งตัวตามสัจธรรมธรรมชาติ
จริงๆก็คือผู้ที่มีปัญญามีธรรมชาติพลังงานของตน ที่มีทั้งสติและปัญญา สติเป็นใหญ่เป็นอำนาจคลุม และก็มีปัญญาเป็นอุตระ สติเป็นอธิปไตย เป็นอำนาจเป็นแรง เรียกโดยรูปนาม เรียกโดย อีกภาษาหนึ่ง สติเป็นบวก ปัญญาเป็นลบ
ความหมายของคำว่าสติเป็นความรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งหมด ส่วนปัญญาเป็นตัวจัดการ จำแนกแจกจัด สติเป็นตัวรวมอะไรๆเอาไว้หมด รู้รวมรู้รอบ ปัญญารู้ฉลาดรายละเอียด และปัญญานี้มีพลัง รวมทั้งอธิปไตยความอยู่เหนือ
ปัญญา มีพลัง อัญญะ อัญญา เป็นฌาน สามารถที่จะทำลายจัดการได้ สามารถที่จะสร้างหรือทำลายไปในตัว เป็นทั้งอำนาจสร้างหรือทำลาย
ในยุคนี้เป็นกาละที่ทำให้เกิดความสมบูรณ์ คนที่สามารถรู้ได้เข้าใจได้สร้างได้ และเอาพลังงานนั้นมาใช้อย่างพวกเราเป็นต้น สามารถจะเอาพลังงานมาทำมาสร้าง ในตัวเรา สามารถกำหนดมีสติปัญญามีอำนาจมีอธิปไตย แล้วมีตัวรู้ รู้ได้เกินกว่ามนุษย์โลกีย์ เป็นมนุษย์โลกุตระ และก็มีพลังที่สามารถเอาพลังงานที่เป็นนามธรรม โดยเฉพาะของตนเอง เอามารวมแล้วจัดการสร้าง เหมือนทางโลกีย์ สามารถเอาพลังงานความรู้พลังงานประดามีในโลก ซึ่งเป็นพลังงานนอกตัวไม่ใช่พลังงานตัวเองทางฟิสิกส์ เอามาทำงาน ทำปรมาณูหรือพลังงานอำนาจที่คนอื่นเอาไปใช้ ทำการแยกแยะ การกระจายแยกแยะและรวม อย่างเช่นพลังงานที่เป็นโทรทัศน์ ส่งภาพและเสียงไป มีทั้งที่แผ่กระจายและรวม ไม่ใช่เอาแต่ระเบิด ระเบิดก็คือกระจาย รวมก็คือแม่เหล็กดูด ง่ายๆ คือพลังงานแม่เหล็กกับพลังงานไฟฟ้า
หรือพลังงานของธาตุ เป็นพลังงานลมกับไฟ เริ่มต้น หยาบๆเรียกพลังงานลมพลังงานไฟ พลังงานจิตนั้น เร็วกว่าแสง จึงละเอียด แรงเร็ว เป็นมุทุภูตธาตุได้ละเอียดลออมาก
อาตมาพยายามใช้พยัญชนะภาษามาจากสภาวะ และนำมาขยายความอธิบายให้พวกเราฟัง พวกเราสมมุติเรียนรู้ตาม และเอามาจับ ถูกฝาถูกตัวสภาวะอะไร ละเอียดขนาดไหน ใช้พยัญชนะอะไร ใช้พยัญชนะของพระพุทธเจ้าก็เหลือกินแล้ว เป็นคำบาลี นอกนั้นก็ภาษาไทย
ภาษาไทยจะไปบอกความละเอียดของพลังงานเหล่านี้ภาษาไทยไม่มี ภาษาไทยมีไม่พอ เป็นภาษาบาลีได้ละเอียดกว่า พวกเราก็เก่งพอสมควร มีความรู้ภาษาบาลีพอสมควร ซึ่งเป็นภาษาบาลีแบบธรรมชาติแบบบ้านนอก ไม่ใช่ภาษาบาลีที่เขาเรียนจบปริญญามา จบด็อกเตอร์มา เรียนระบบไวยากรณ์ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ของเราไม่ใช่แบบนั้น ของเราจะรู้แบบภาษาจีนเป็นตัวๆแล้วรวมกัน ไม่เป็นระบบ
เพราะฉะนั้นในความหมายของภาษา ภาษาจีนกับภาษาอินเดีย อินเดียเป็นระบบ จีนไม่ค่อยเป็นระบบ ในแนวลึกๆที่ใช้ลักษณะของจีน ตัวสิ่งที่ใช้บัญญัติ จีนเป็นบวก อินเดียเป็นลบ พลังงานเคลื่อนเป็นลบ ส่วนจีน เป็นพลังงานหลักพลังงานคงที่ อย่างนี้เป็นต้น ลักษณะ 2 อย่างนี้ อาตมาพูดไป ใครเข้าใจได้ก็ดี บางคนอาจเข้าใจได้ยาก ก็เอาไว้ก่อนเรื่องนั้น
ชื่อเรื่องที่ให้พูดวันนี้คือเพื่อฟ้าดิน
เพื่อฟ้าดินความหมายง่ายๆชัดๆ คือเพื่อสิ่งที่จะเกิด อยู่ในสังคมโลก โดยเฉพาะมนุษย์ เจาะความหมายง่ายๆตื้นและละเอียดผสมกัน ก็เป็นเรื่องของสิ่งที่จะเป็นเครื่องอาศัยของชีวิต เพราะฉะนั้น เครื่องอาศัยสำคัญของชีวิตคือปัจจัย 4 แต่ตอนนี้เราเน้นอาหาร
อาหาร กับ อุปโภค กับเครื่องใช้บางอย่าง ซึ่งเครื่องใช้นั้นจะเกิดจากสิ่งที่เอามาปรุงแต่งขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยชัดเจน พวกเราจะชัดเจนอาหารในเรื่องของ กวฬีงการาหาร คือคำข้าวก่อน อโศกเราเน้นอันนี้ก่อน ก็ก้าวหน้าขึ้นพอสมควร กอบกู้ความบรรลัยจักรขึ้นพอสมควร
กอบกู้ความบรรลัยจักร ความเลวร้ายเป็นพิษเป็นภัย และเมา วีสะกับมัชชะ มอมเมาแม้แต่อาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสัตว์โลก มียาแต่มีแฝงยาเสพติดเข้าไปในยาอีกเยอะ เรามาเน้นอาหารเน้นสิ่งที่รับประทาน เข้าไปสังเคราะห์ร่างกาย เราสร้างสิ่งนี้เป็นผลสำเร็จพอสมควรในพวกเรา อาตมากล้าพูดได้ว่าชาวอโศกพัฒนาเรื่องอาหาร คือ กวฬิงการาหาร พืชพันธุ์ธัญญาหาร ไม่ต้องไปเน้นปศุสัตว์ อาหารปศุสัตว์ที่เขาจะทำก็เป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง เขาก็ทำไปตามวิบากของเขา หลายคนรู้แต่ว่าเขาไม่มีทางเลือก เขาก็เลยต้องทำอาชีพเลี้ยงสัตว์อยู่ พวกปาทาน ฆ่าวัวควาย พวกนี้ก็เป็นเรื่องสัจจะในโลกที่เป็นวิบาก อยู่ในกระแสของอจินไตย ที่อาตมาไม่อาจละลาบละล้วงอธิบาย บางทีเขาดิ้นไม่ออก พวกปาทานก็ดี ประมงก็ดี นอกนั้น ปศุสัตว์ที่ต้องเลี้ยงสัตว์ พวกเลี้ยงสัตว์เพื่ออาศัย ขนมัน อาศัยส่วนภายนอก แต่พวกเลี้ยงสัตว์ที่อาศัยเนื้อ ฆ่าตายก็อีกพวกหนึ่ง วิบากมันละเอียดแยกแยะไปแต่ละคน คนไหนที่เขาแข็งแรงก็ดิ้นหลุดมาได้ไม่เอาแล้ว เขารู้แล้ว ไม่เอาวิบากแบบนั้น
พวกที่มาอยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารจึงเป็นพวกที่ปลอดภัยกว่าพวกที่ยังเป็นปศุสัตว์ สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กจนถึงสัตว์เป็นปลา สัตว์น้ำ ก็เรื่องของเขา เป็นเรื่องจริง วิบากจัดสรร
ศาสนาพุทธมีเรื่องกรรมวิบากของตน ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ความเชื่อ 4 อย่างนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สำคัญมาก ที่เราเชื่อกรรมวิบาก และเรารู้กรรมนิยาม แล้วจัดสรรกรรมของเราเองได้ โดยเป็นผู้มีพลังที่จะอยู่เหนือกรรม เป็นอรหันต์เป็นผู้ที่อยู่เหนือกรรม จัดสรรกรรม พ้นอกุศลวิบากได้ รู้กรรมนี้สังเคราะห์รวมขึ้นมาเป็นอกุศลกรรม ไม่ได้ เราเป็นผู้มีอำนาจอยู่เหนือ เราไม่ทำ ไม่ทำเด็ดขาด ตั้งแต่หยาบภายนอก จนกระทั่งถึงมีอำนาจเหนือข้างนอก เรียกว่า กามภพ เราไม่ทำ มีอำนาจจริงไม่ทำเด็ดขาด เป็นตายร้ายดี ตายก็ตาย เราจะมีความรู้ลึกเข้าไปอีกว่าตายก็ไม่เป็นไร เพราะเราเองได้สั่งสมบารมีไว้ ตายแล้วพลังงานกรรมของเราตายก็มาเกิดได้สูงขึ้น เรารู้ชัดเจนมั่นใจ พวกนี้ตายไม่เศร้าหมองไม่กลัว ตายก็เปลี่ยนร่างเป็นโครงสร้างให้ดีกว่าเก่า ฉลาดกว่าเก่า แข็งแรงกว่าเก่า มีบารมีมากกว่าเก่า กลัวทำไม แต่อย่าไปฆ่าตัวตาย มันลดกุศลตนเองเยอะนะ อยากตายว่าจะได้ร่างใหม่ดีกว่าเก่าก็เป็นการคิดผิด
เพราะการฆ่าตัวตายนั้นมันอำมหิตมาก คนที่ฆ่าตัวเองตายนี้ซับซ้อน เอาความทุกข์ความเดือดร้อนข้างนอกมากลบ ว่าฆ่าตัวตายดีกว่ามันก็จะโง่ลง ตายขึ้นมาก็ลำบากมากกว่าเก่า เป็นไปตามกรรม แม้แต่จะลำบากด้วยวิบากก็ทนเอา ฝืนทรมานจนกระทั่งวางใจปล่อยตายได้ก็ดีกว่า อย่าไปฆ่าตัวเองตาย
เรามีพลังงานสามารถที่จะสร้างสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอาศัยที่จะยังชีวิต ยังชีพ เลี้ยงตน สร้างผลผลิตต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งไปแจกจ่ายเจือจาน อยู่ในหลักเศรษฐศาสตร์ คือหลักของการที่จะแบ่งแจก เกื้อกูลเฉลี่ยกระจายทุกสิ่งทุกอย่าง กระจายทั้งวัตถุแรงงานความรู้ แก่กันและกันอย่างมีจิตปรารถนาดี
คนที่หมดความปรารถนาร้ายแล้ว จะไม่มีความปรารถนาร้ายเลย แม้แต่กับศัตรูที่ร้ายที่สุด จะทำร้ายเราถึงขั้น อย่างศัตรูของพระโมคคัลลานะ เขาฆ่าเลย เขาไม่ฟังเสียงต่างๆเขาฆ่าอย่างเดียว พระโมคคัลลานะก็สู้ จนกระทั่งหมดทางสู้ อย่างไรๆเขาก็ฆ่า เอาชนะได้ช่วงหนึ่ง เขาก็ฆ่า เอาชนะได้อีกช่วงเขาก็ฆ่า หนักเข้าถ้าไม่ยอมตายเลย มันฆ่าอีก จะเป็นเวรภัยซับซ้อน ท่านรู้ว่าเป็นอนันตริยกรรมของท่าน เขาไม่ยอมหรอก คนที่เป็นอนันตริยกรรมนั้น ก็จะฆ่าต่อไป จะมีช่วงต่อเป็นแท่งเป็นก้อนอะไรเขาจะมีมา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องสุดวิสัยแล้วไม่ตายไม่ได้ ถ้าบอกขนาดนั้นก็ต้องยอมตายซะ เพื่อจะได้บวกลบคูณหาร เรายอมในลักษณะยิ่งพลังงานรุนแรง ถ้าเรามีใจอาฆาตตอบไม่ยอม มันจะเป็นพลังงานอย่างแรง Action Reaction โต้ตอบนานไปยาว เพราะฉะนั้นถ้าเราตัดเสีย เรายอมเสียมันก็สั้นขึ้น เหมือนกับตบมือสองข้าง เราชักของเราไม่ตบไม่ตอบ คุณตบอย่างไรเราก็หลบ ไม่ให้คุณตบมาถูกแรงนี้ไม่นานก็หมด แต่ถ้าตบไปตบมา แรงนี้จะชะลออยู่ในโลกอีกนาน ก็จะเกิด Action reaction ภาวะโต้ตอบกันอีกนานกว่าจะหมดแรง หรือใครชนะใครๆก็แล้วแต่ เขาจะแก้แค้นต่อไปอีก ลึกเข้าไปเป็นจิตใจที่พยาบาท ก่อเวรยิ่งช้า เพราะฉะนั้นใครยอมเสียได้รายนึง ยอมอย่างไม่มีการโต้ตอบเลย เพราะศาสดาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นอิสลามหรือคริสต์ก็ไม่ให้โต้ตอบ อย่าโต้ตอบเป็นดีที่สุด
แต่เราจะเห็นได้ว่า ถึงขนาดนั้นมันก็ยังมีการโต้ตอบ อย่าง 3 ศาสนานี้ อิสลาม คริสต์ พุทธ ใครจะเห็นได้ว่าใครมีแรงโต้ตอบ ยึดมั่นมากกว่ากัน เราก็ไม่ต้องพูด จบแค่นี้ ดูสภาพ phenomena แสดงออกให้เราเรียนรู้เป็นปรากฎการณ์จริงให้เราสัมผัสรู้ ไม่ใช่เดา ไม่ใช่คาดคะเน จินตนาการ แต่มันมีของจริงให้เราศึกษากรรมกิริยา สิ่งจริงของมนุษย์ กรรมกริยากับกาละเวลา 2 อย่างนี้ อาตมาสรุปได้ว่า Karma and time of continuum ของไอน์สไตน์เขามี space and time of continuum แต่ของอาตมานี้ Karma and time of continuum
อยู่กับปัจจุบัน จัดการกับปัจจุบันนั้นๆ เสร็จจบ มันก็เป็นอดีต ยังไม่มาใหม่เป็นอนาคต มาถึงเราก็เป็นปัจจุบัน ปัจจุบันขณะนี้แหละ คุณจะต้องสามารถรู้องค์ประกอบของสิ่งที่เป็นองค์ประกอบอยู่ คุณก็จัดการองค์ประกอบ composition อันนี้ จัดการสิ่งที่รวบรวมกันอยู่ เป็นคนจัด เป็น composer เป็นผู้จัดการเองเลย จะปรับปรุงจะทำลายจะจัดการอย่างไรก็มีสติมีอำนาจ มีปัญญาจัดการ ปัญญาเป็นแรงสุดที่จะสามารถจัดการให้เป็นอะไรก็ได้ ความเป็นปัญญา เป็นพลังงานสูงสุดของจิตวิญญาณ สามารถจัดการให้ ตายหรือเกิด อุปจยะหรือว่ามรณะ ได้เลย ให้ตายหรือให้เกิดได้
ในสังคมเขามีพยัญชนะ 3 อย่าง คือเศรษฐกิจ การเมือง สังคม
เศรษฐกิจ คือองค์รวมของสิ่งต่างๆที่จัดการ เป็นวัตถุธรรม เป็นบุคคลต่างๆ จัดการขึ้นมาเพื่ออาศัย แล้วก็เฉลี่ยแจกจ่ายเจือจานกัน ให้อยู่กันอย่างทั่วถึง ให้อยู่กันอย่างเพียงพอ ให้อยู่กัน ได้กินได้ใช้ เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค อย่างมากที่สุด ดีที่สุด เพียงพอสมบูรณ์ที่สุด บริบูรณ์หรือสมบูรณ์ที่สุด มันเป็นเรื่องของหลักเศรษฐกิจ
อีกคำหนึ่งคือรัฐกิจหรือการเมือง ก็คือการจัดการทางอำนาจ รัฐศาสตร์เขาจะเรียนรู้เรื่องอำนาจ และความเป็นอำนาจนั้นมีพลังอำนาจ ที่ตนเองเบ่ง กับอำนาจที่ประชาชนให้
อำนาจที่ตนเองเบ่งคืออำนาจเผด็จการ หรือเชิงคอมมิวนิสต์ ก็มีเผด็จการมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง อำนาจทางธรรม ใช้ธรรมเป็นอำนาจ สร้างธรรมะ และธรรมะจะมีอำนาจในตัวเอง เป็นธรรมาธิปไตย อำนาจในตัวเองนี้ โดยที่ตัวเองไม่ต้องมีตัวตน ตัวเองไม่ต้องออกแรง ตนเองสร้าง แต่เป็นผู้ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ผู้อื่นจะให้อำนาจตนเอง ผู้อื่นจะยกให้เราเป็นเจ้าเป็นนายเป็นผู้ใหญ่ ให้เราเป็นผู้ที่เคารพบูชาเชื่อถือสั่่งการ โดยผู้ได้อำนาจนั้นยิ่งจะไม่บังคับ กดขี่ เป็นคุณธรรมความดี ที่ยิ่งละเอียดสูงส่ง
เรายิ่งไม่เอา เรายิ่งให้เป็นผู้รับใช้ เป็นประโยชน์เพื่อผู้อื่นมาก โดยไม่ต้องไปนึกถึงประโยชน์ตน คนอื่นเขาจะเลี้ยงเรา เขาจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือเราไว้เองจริงๆ แล้วมันก็เป็นอจินไตย สำหรับคนแต่ละคน จะเป็นเจ้าคุณเจ้าบุญกัน เฉลี่ยมากหรือน้อย เจ้าบุญเจ้าคุณ และจะเป็นคนที่มีคุณธรรมกตัญญูกตเวทีในตัวเอง มากหรือน้อยก็แล้วแต่ละคน จึงเป็นการทดแทนกัน เป็นการสร้างเป็นการทดแทนกัน แต่ละคนๆ มีมากหรือน้อยแล้วแต่ ก็แสดงกิริยานั้นออกมา เมื่อเหตุการณ์มันเกิดจะต้องกตัญญูรู้คุณ โดยจะต้องให้ จะต้องจัดการ ที่จะเป็นประโยชน์คุณค่าแก่ผู้นั้นผู้นี้ เสร็จแล้วเราก็ได้บุญคุณ นี่ก็เรีียกศัพท์บุญคุณคือสิ่งที่จะต้องทดแทน กรรมวิบากต่างๆก็เกิดนัยเช่นนี้
คนที่รู้ทางวัตถุและกรรมกิริยาต่างๆ แสดงอำนาจทางวัตถุมากๆ ก็เป็นอำนาจทางการเมือง แสดงอำนาจทางธรรมมากๆ ก็เป็นอำนาจทางเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์นี้เป็นความเจริญ เสฏโฐ เศรษฐะ เป็นความเจริญ คนเข้าใจไม่ได้ไปนึกว่าเศรษฐศาสตร์คือความเจริญทางวัตถุ นักการเมืองที่ยังเข้าใจไม่ได้ ก็ไปเพ่งที่วัตถุ ไปเก่งที่วัตถุ ไปเก่งที่ตัวตน นักการเมืองที่ไม่มีปัญญา ก็ไปเก่งวัตถุกับตัวตน ก็เลยแสดงวัตถุมาเป็นอำนาจ มาเป็นรางวัล เป็นเหยื่อ เป็นของล่อ อามิส เป็นประชานิยม ซึ่งหยาบมาก คนที่รู้แล้วไม่ต้อง มันลึกถึงขั้นว่า คุณสามารถสร้างวัตถุแต่คุณไม่ต้องสร้างเองเลย อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 แนะนำให้คนอื่นไปสร้าง คนก็สร้างได้พอสมควร เสร็จแล้วแนวลึกของการสร้างนี้คือการให้ ก็ต้องมีผู้ช่วยขยายเรื่องให้ อาตมานี้มาขยายเรื่องให้ โดยนามธรรมลึก ในหลวงท่านนำสร้างเรื่องต่างๆ รู้จักดินน้ำลมไฟเยอะกว่าอาตมาเยอะ แต่นามธรรมอาตมารับผิดชอบ ซึ่งมันยากมาก
นามธรรมจะต้องรู้เรื่อง รูปด้วย ใช้รูปเป็นองค์ประกอบ รู้รูปนาม เรื่องวัตถุก็จะดูได้ชัดเจน แต่ก็ต้องอาศัยกัน ทุกอย่างจะเกิดความลงตัว ถึงขั้นที่เป็นสังคม เป็นองค์รวมของมนุษยชาติสังคมปัญญา หรือองค์รวมเฉกาหรือเฉโก
ในสังคมที่มีแต่ความรู้ความฉลาดโลกีย์คือเฉโก สังคมแต่ละประเทศมีมนุษย์ที่ยังอยู่ในสภาพเก่งแต่เฉโก มันก็จะฉลาดมาก ฉลาดจนมีอำนาจในโลก ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม America รัสเซียก็ตามมา จีนก็ตามมา แต่จีนมีพลเมืองคละกันเยอะ อเมริกาก็ยังไกลจากจีน
เทียบจีนอินเดีย อินเดียสงบกว่า อินเดียสงบนิ่งกว่ามาก เหมือนบื้อๆ ไม่ฉลาดเท่าจีน แต่ฉลาดดีลึกกว่าจีน มีแนวฉลาดลึกซึ้งสุภาพสงบสะอาดกว่าจีน จีนนี่ฉลาดแกมโกงมากกว่าอินเดีย เป็นความซับซ้อนละเอียดเยอะ
ต้องใช้สามเส้า เศรษฐกิจการเมืองสังคมให้ดี พูดไปแล้วก็ยังนึกถึงสวิตเซอร์แลนด์ เป็นตัวที่ยั่งยืน เป็นตัวที่รักษาสภาพให้อยู่ได้อย่างสงบเย็น มักน้อย ซื่อสัตย์แข็งแรง ทำสิ่งที่ละเอียด ทำนาฬิกา ทำเครื่องใช้กาละ กาละนี้ละเอียดกว่ากรรม
ไทยคือตัวกรรม สวิตเซอร์แลนด์คือตัวกาละ เพราะฉะนั้นนาฬิกาสวิส จะต้องดี ไทยทำนาฬิกายังไม่ได้หรอก ยังหยาบ ทำได้ แต่รับรองเดินไม่ค่อยตรงหรอก เป็นอจินไตย จะต้องคำนึงถึงการทำงานละเอียด เมืองไทยกับ สวิตเซอร์แลนด์ใจสงบเย็น เมืองไทยจะดูสนุกสนานสำราญปรุงแต่งไม่ใช่เล่น แต่ถึงอย่างไรไทยก็ไม่จัดจ้าน เหมือนกับอีกหลายประเทศ ที่หลงความจัดจ้าน
ความจัดจ้านเรื่องสนุกสนานเบิกบานใจมาก เช่น สนุกสนานทางมหรสพ ทางการละเล่นแข่งขัน ไทยสู้เขาไม่ได้ ตอนนี้ก็จะหลงไปกับเขาพอสมควร หลงยกย่องเชิดชูกีฬากับแรงงาน กับพวกบันเทิงเริงรมย์กับอารมณ์ ก็เอร็ดอร่อยทางอารมณ์ พวกกีฬาก็ใช้แรงงาน อดทน แรงใหญ่ จัดการตัว ม้วนเก่ง หายตัวเก่งแสดงว่าเก่ง เป็นต้น เขาก็เอาชนะคะคาน เอาเด่นดัง
ถ้าแต่ละคน เอาพลังงานมาสร้างสรร นักกีฬาก็ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ นักบันเทิงเริงรมย์ก็ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ พวกนั้นหยาบ ทำไม่เป็น พวกเราทำสิ่งที่ละเอียดเป็นคุณค่า เอาธาตุ ทำผิดอะไรมาเอาออกไป พวกเรามาทำงานสิ่งนั้นให้เยอะๆในมวลประชาชน แต่ทุกวันนี้ยังไม่เยอะเท่าไร พวกเรานี้จะต้องเป็นพวกกสิกรรม เกษตร การเกษตรเขาแบ่งเป็นปศุสัตว์ สัตว์น้ำสัตว์บก แต่ของเราไม่เอาปศุสัตว์เลย เอาแต่กสิกรรม เอาแต่เรื่องของพืชพันธุ์ธัญญาหาร เป็นสิ่งที่ปลอดภัยให้สมบูรณ์ได้
_ถามแทรกมาเรื่องบารมีกับวาสนาต่างกันอย่างไร แต่ขอยังไม่ตอบตอนนี้เป็นเรื่องนามธรรม
ตั้งแต่ด้านเศรษฐกิจเราก็ร่วมรู้ร่วมทำกับสังคมประเทศชาติ ด้านการเมืองเราก็ร่วมรู้ร่วมทำ การเมืองคือเรื่องรับใช้ประชาชน เป็นความหมายง่ายๆ รับใช้ประชาชนรับใช้เป็นฝ่ายไหน การเมืองมี 2 ฝั่ง ฝ่ายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมมาก กับฝ่ายที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมาก เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายที่ไม่ดี ก็มีสองฝ่ายง่ายๆ
ใครมีปัญญาความเฉลียวฉลาดรู้สัมมาทิฏฐิ ก็จะช่วยผู้ที่ควรช่วย ผู้ที่ฉลาดแท้จะทำได้ แม้แต่การเมือง ความเป็นกลางคือเข้าข้างคนที่ถูก คนที่ดี ถ้ามีปัญญาให้สิ่งดีสิ่งที่ถูกต้อง อยู่เหนือสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง อย่างนี้เป็นความฉลาดที่ถูกต้อง ถ้าไปเข้าใจความเป็นกลางว่าไม่ต้องเข้าข้างใครเลยไม่ว่าดีหรือชั่ว อันนั้นคืออัตตา เอาตัวรอด คนปล่อยให้คนดีคนชั่วเขาเข่นฆ่ากัน แทนที่จะไปช่วยให้เขาหยุดฆ่า ให้เขาอย่าฆ่า เปลี่ยนแปลงแล้วก็ไปชี้ถูกชี้ผิด ชี้ดีชั่วให้ชัดเจน คุณจึงเป็นคนเป็นกลางที่มีน้ำหนัก ทั้งสองฝ่ายจะเคารพนับถือคุณ แต่ถ้าคุณไม่ไปทำ คุณก็ได้อำนาจ อำนาจขี้โกง สองฝ่ายก็จะฆ่ากันตายเป็นคู่ได้เพราะมันเก่งทั้งคู่
เคยฟังไหม ให้สองฝ่ายถือปืน หันหลังชนกัน เดินออกจากกัน พอเป่านกหวีด ก็หันกลับมายิงกันเลย คนแม่นกว่าและเร็วกว่าก็จะชนะ และมันเร็วมันแม่นกันทั้งคู่เลย เพราะลูกปืนมันเร็วกว่าเสียง เร็วกว่าชีวของมนุษย์ เพราะฉะนั้น โป้งนี่ถูกทั้งคู่ ช้าเร็วกว่ากันไม่ถึงเศษเสี้ยววินาที มันปล่อยวัตถุไปแล้วคนหลบไม่ทัน โป้งตายทั้งคู่ คนฉลาดแกมโกงก็ปล่อยให้ทั้งคู่ตาย กูอยู่ อัตตาเห็นแก่ตัวหลอกให้เขาฆ่ากัน เป็นความอำมหิต เห็นแก่ตัวแล้วหลอกให้เขาฆ่ากัน ...ก็ต้องช่วยให้เขาอย่าฆ่ากัน ให้เขาเป็นมิตรกันสิ นั่นต่างหากคือความเจริญของความถูกต้อง
ถ้าแม้ว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอม เราก็เข้าข้างคนที่ถูกเลย จะเป็นอำนาจเป็นแรงให้ช่วยกัน จนอีกข้างหนึ่งก็ยอม โดยไม่ต้องฆ่า ถ้าหากฆ่ากันอยู่มันก็ไม่จบ ก็ต้องสอนเขาบอกเขาว่ามันเป็นวิบาก จะแก้แค้นไปกันอีกนานเท่าไหร่ ถ้าไม่มีคนไปบอกก็จะฆ่ากันอีกนานนับชาติ ไม่มีใครมาเตือนมาบอก ไม่มีใครเอาความรู้มาให้รู้ว่าหยุดเสีย เหมือนพระพุทธเจ้าห้ามองคุลีมาล เราหยุดแล้วแต่เธอสิยังไม่หยุด ก็มีปฏิภาณรู้ได้เลย
คุณจะถูกอาจารย์หลอกให้ฆ่าคนพันคน คนสุดท้ายแม้แต่แม่ก็จะฆ่า พระพุทธเจ้าเห็นว่าไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่หยั่งรู้ ท่านก็ไม่ไปห้ามหรอก ถ้าหากห้ามแล้วองคุลีมาลไม่ยอมก็จะหน้าแตก แต่พระพุทธเจ้ามีปัญญารู้ หากไปห้ามแล้วเสียก็ไม่ไปร่วมวิบาก เป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่ใช่ใจดำ
เข้าสู่ ความเป็นสามเส้า เศรษฐกิจการเมืองสังคม
ในสังคมจะมีการเมืองและเศรษฐกิจ สังคมคือองค์รวมของมนุษย์ มนุษย์ที่ได้รวมกันอย่างเช่นชาวอโศก ถูกคัดเลือกมาแล้ว คนมีเศรษฐกิจเช่นนี้ เปิดเอาตัวตั้งเป็นเศรษฐกิจขั้นสาธารณโภคี สูงสุดแล้ว ไม่มีอะไรสูงสุดยิ่งกว่าสาธารณโภคีอีกแล้ว
ความหมายของสาธารณโภคีหมายความว่ามีส่วนกลาง บริโภคร่วมกันกับของส่วนกลาง ไม่ถึงแยกส่วนกลางออกมาเป็นของตัวของตน ความรู้นี้เป็นความรู้ของทุกคนที่มาอยู่ร่วมในสังคมนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีทรัพย์ศฤงคาร ที่จะต้องกินใช้สำคัญและจำเป็น เราก็สร้างแล้วเอามารวมกัน กินใช้ร่วมกัน สร้างให้มันเหลือให้เกินกินเกินใช้ในหมู่เรา มากเท่าใดได้ก็ยิ่งดี เป็นของไร้สารพิษเป็นของมีประโยชน์คุณค่ามาก และเป็นความจำเป็นความต้องการของสังคมมนุษยชาติ เราก็รู้จัก Demand ของสังคม เราก็มี Supply ตาม demand ของสังคม เท่าที่เราจะมีเรี่ยวแรงความสามารถ วัตถุดิบทำได้ ก็ทำไป ด้วยความจริงใจไม่ประชด ไม่ให้อกุศลจิตแฝงมา ของใครๆ ล้างอกุศลจิตไปเรื่อยๆ ลดอกุศลจิตของตนเองไปด้วยในตัว ไม่ต้องแยกสถานที่เวลาบุคคล
มันจึงเป็นหมู่ของสังคมที่คัดเลือก มีระบบระเบียบกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม เข้ามาในนี้เราขอยืนยันว่าเราใช้กฎเกณฑ์เรานะ กฎเกณฑ์จึงเป็นตัวคัดสรร ผู้สมัครเข้ากรอบกฎเกณฑ์นี้ได้ คนที่เขาไม่สามารถ หยาบกว่านี้ก็เด้งออกไป สำหรับคนที่พยายาม คนที่ไม่พยายามก็อาจจะหายไปนานมาก จนจำไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็ระลึกได้ อาตมายังไม่เก่ง หายไปสิบชาติเพิ่งโผล่อย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้ว เสฏฐะ คือองค์รวมของสิ่งใช้สอย การเมืองคือการจัดการ การเมืองคือการจัดการมวลมนุษย์ ให้อยู่รวมกัน ให้อยู่กันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ให้อยู่กันอย่างสงบ อบอุ่น อยู่กันอย่างพอดี อาตมาไม่มีความสามารถบรรยายได้ดีกว่านี้ ขอยกตัวอย่างว่าอยู่อย่างชาวอโศกก็แล้วกัน มาดูสิ
อย่างชาวอโศกเข้าหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้า สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคคียะ เอกีภาวะ
พระพุทธเจ้าค้นพบหลักเกณฑ์ต่างๆอธิบายไว้แล้ว ไม่ยากเลย ยากสำหรับคนไม่เรียนรู้
สาราณียะ คือความระลึกถึงกันมีน้ำใจต่อกัน ไม่ใช่ระลึกถึงแต่ตัวกูไม่นึกถึงใครเลย อย่างเก่งก็มีกูสองคน ทำไมมันแคบจัง โลกนี้มีกู 2 คน มีเธอกับฉันเท่านั้น ต้องไปอ่านความรัก 10 มิติ ดีขึ้นก็มี 3 คนมีลูก ผัวเมียกับลูก ดีขึ้นอีกก็มี สี่ ญาติ ญาติหลายชั้นก็แล้วแต่ และมีมิตร แล้วก็สังคม สังคมแล้วเป็นองค์รวมประเทศ ชาติ จากนั้นเป็นโลก เป็นจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่าง ในความรัก 10 มิติ ก็อยู่ในเรื่องของ สาราณียะ ปิยกรณะ ปิยะอันเกี่ยวข้องกับความรักทั้งหลาย
คุรุกรณะ คือรู้จักการเคารพด้วยสมมุติด้วยปรมัตถ์ ต้องมีการให้เกียรติกันในฐานะของสมมุติ เราก็จะต้องใช้ ขณะนี้เราสัมพันธ์กับสังคม สัมพันธ์กับรัฐการเมือง ก็ต้องรู้สมมุติอะไรต่างๆนานา ต้องให้เกียรติกัน ผู้นี้เขามีเกียรติกัน ได้รับการแต่งตั้งกำหนดแล้วนะ ก็ต้องเข้าใจสมมติต่างๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จักจัดสรร ไม่รู้จักขั้นตอนของการคารวะ
คารวะด้วยวัยวุฒิ คนนี้เป็นพี่ป้าน้าอา คารวะตามสมมติ คนนี้เขาได้รับแต่งตั้งตามกฎหมายอะไรต่างๆ คารวะกันด้วย คุณธรรมคุณวุฒิ ความรู้ความดีงาม เคารพกันด้วยอาริยวุฒิ หรือปัญญาวุฒิที่ลึกซึ้งถึงขั้นปัญญา สุดยอดของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ต้องยกให้เป็นหนึ่งเลย ส่วนผู้ที่เป็นรองพระพุทธเจ้า คุณก็รู้ก็ยกให้ตามลำดับ
ถูกแนะนำคุณก็ยังไม่เชื่อ คุณเชื่อคุณก็เคารพ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เคารพ เป็นสัจจะ บังคับกันไม่ได้ ภายนอกอาจจะทำเป็นเคารพ ภายในไม่เคารพก็บังคับกันไม่ได้
ในสังคมสามเส้า
ทุกวันนี้เราสร้างสังคมก่อน แล้วเรามาให้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ขณะนี้ อาตมากำลังให้ความรู้ทางการเมืองเพิ่มขึ้น พอเชื่อมการเมืองได้ การเมืองเข้าใจมากขึ้น พวกเราก็จะครบสามเส้าในอนาคต ตอนนี้กำลังเริ่ม
แต่ก่อนนี้มีแต่สังคมอโศก มาสร้างเครื่องกินเครื่องอยู่เป็นเศรษฐศาสตร์ แจกแบ่งกันจนกว้าง ไปสู่ผู้อื่นเพิ่มขึ้น เสร็จแล้วก็จะเชื่อมกับการเมืองเชื่อมกับรัฐอำนาจรัฐมากขึ้นไปเรื่อยๆ จะทำอะไรได้กว้างขวางขึ้น
เรามีความบริสุทธิ์ใจมีความจริงใจ เราก็ทำตามความจริงใจ ไม่มีอะไรเสแสร้งซ่อนเร้น อกุศล ไม่มีอะไรปรารถนาร้ายแม้แต่เศษเสี้ยว เป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ทำได้เท่าไหร่ก็ทำ เพราะเรามีแกนของการพึ่งตนเองรอดแล้ว มีความเป็นปึกแผ่น เอกีภาวะหนึ่งเดียวแน่นหนา และมีพฤติกรรมเรียกว่า สามัคคียะ รวมกันแน่นเป็นพลังงาน Static มีพลังงานเคลื่อนไหวเป็น Dynamic
แรงงานเคลื่อนไหวประกอบด้วยพลังงานสร้างสรรและพลังงานปัญญา รู้จักอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรไม่เอาอะไรเอา ชัดเจน เลือกเฟ้นได้ เป็นหนึ่งเดียวกันตรงกัน ถ้ามันไม่ตรงกันก็จะขัดแย้งกัน ขัดแย้งก็มาอภิปราย เอามวลเป็นใหญ่ เยภุยสิกา โหวตกัน เราก็เชื่อใจกันไว้ใจกัน ให้เกียรติกัน และต่างคนต่างก็มีความฉลาด เราต้องให้เกียรติกันยอมรับกัน มันก็รวมกันได้อย่างสนิทเนียน เป็นพลังงานรวมที่สมบูรณ์แบบ มีครบครัน ซึ่งรวมกันยาก คัดเลือกร่วมกันก็ยากเพราะมีอำนาจอัตตา แต่เรามีวิธีการล้างอัตตากันจริงๆ ล้างการยึดตัวตน
ยึดตัวตน ตั้งแต่ความยังไม่รู้ จนรู้ จนไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความลังเลสงสัย และก็ไม่มีมานะ และไม่มีเศษเสี้ยวปลาย มานะ อุทธัจจะ ถ้าลึกในอนุสัยก็ไม่มีแม้รูปราคะ อรูปราคะ
ถ้าเป็นอาสวะ เป็นรูปราคาสวะ กับอรูปราคาสวะ กับ รูปานุสัย อรูปานุสัย
อนุสัยลึกว่า อาสวะยังหยาบกว่า รูปกับอรูป นั่นเอง
รูปกับอรูป อนุสัยละเอียดสุดท้าย ละเอียดกว่ามานะ แต่อาสวะ รูปราคะ อรูปราคะก็หยาบกว่ามานะ อันนี้รูปานุสัยกับอรูปานุสัยอยู่หลังมานะ ในอนุสัย 7 ซึ่งสลับกันแล้ว พยัญชนะเดียวกันแต่ว่าอาสวะกับอนุสัย อาสวะหยาบ แต่อนุสัยละเอียด เป็นต้น
ในสัจธรรมต่างๆ ศึกษาไปก็จะเข้าใจละเอียดขึ้น พระพุทธเจ้าตัด curve ตรงที่ปัญญาวิมุติเป็นอรหันต์ คือ คนจะไม่เจริญขึ้นกว่าอรหันต์ จะช้าเท่าไหร่ก็ได้ แต่ผู้ที่รักความเจริญ ก็ต้องสร้างความเจริญให้ตัวเอง จะได้ทำงานได้มีประโยชน์ได้มาก ก็เป็นนัยที่จะรู้ตัวเมื่อถึงภูมิของพระโพธิสัตว์
มาถึง สร้างคนจน เมื่อกี้นี้พูดถึงเรื่องสร้างดินน้ำไฟลม ฟ้าดิน สร้างอาหาร เราก็ทำมาพอสมควร สรุปว่าเราไม่มีปัญหาเลย เป็นเครื่องกินเครื่องใช้ ที่ไม่มีพิษภัย ทำให้ได้ดีให้ได้มากนี่แหละ จะเป็นใหญ่ในชาวอโศก เครื่องกินเครื่องใช้ ส่วนเครื่องใช้ที่เราพอจะทำได้ก็มี ทำช้อนทำจานต่างๆนานา ไปทำเครื่องกลเรายังไม่เก่ง ก็อาศัยคนอื่นก่อน เอาไปแลกมาใช้ ตอนนี้เราก็มีร้านขายเสียมขายพร้าขายมีด ทำกันมา ก็ได้แค่นี้โบราณจัง สู้คิมฯน้อยไม่ได้ แต่พวกนั้นสร้างแบบนี้สู้เราไม่ได้ เขาเก่งอย่างไรก็กินที่เขาทำมาไม่ได้หรอก
พวกเราเป็นฝ่ายพลาธิการกับกาชาด คนเขาไม่ทำลายกอง 2 กองนี้แหละ ตอนนี้สุขภาพร่างกายกับอาหาร รับรองว่า 2 อันนี้นำลิ่วเลย ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่ต้องไปแข่งกับเขาหรอก พวกจอมดวลกัน เราไม่ต้องไปแข่งกับเขา เจ็บมาทั้งคู่เราก็รักษาแล้วเอาอาหารให้กิน จะไปฆ่ากันอีกก็แล้วแต่ เราก็สอนด้วย ว่าอย่าไปฆ่ากันเลย หมดศัตรูในโลกเลย ไม่ว่าจะเกิดในโลกอีกกี่โลกก็อย่าไปมีศัตรูมีแต่มิตร แม้แต่ถึงที่สุดเขาจะถือว่าเราศัตรูเขาจะฆ่าเราก็ให้เขาฆ่าไม่ต้องไปฆ่าเขา ใครจะบอกว่าเราเป็นผู้แพ้ ใครจะฆ่าเรา เราก็เป็นผู้แพ้ แพ้ก็แพ้ชะตาทราม แต่ใจทรงความมั่นคง
เมื่อเราสามารถที่จะยืนอยู่ในเกณฑ์ องค์ประกอบที่เราจัดสรรได้ดีแล้ว รู้จะทำงานอะไร เราก็ทำอาหาร กวฬีงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ก็ยังไม่ได้ขยายความอาหาร 4 นี้ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ
กวฬีการาหาร เปรียบเหมือนฆ่าลูกกิน ผัสสาหาร เหมือนกับวัวไม่มีหนัง ก็จะไม่อธิบายตอนนี้
คนจนคือคนไม่ต้องสะสมทรัพย์ศฤงคารให้แก่ตัวเองมาก อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา เป็นกถาวัตถุ 5 คือสะสมไว้น้อยสิ่งจะสูญก็สูญ สิ่งที่จะต้องมีอาศัยให้กายอยู่ให้จิตอยู่ เป็นองค์ประกอบอาศัยก็ต้องมีอยู่ จนกระทั่งอยู่ได้ มีพลังแรงงานช่วยเหลือผู้อื่นได้ เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็สูงสุดแล้ว เรามีชีวิตพึ่งตัวเองรอดแล้วก็อยู่ต่อเพื่อผู้อื่นก็สูงสุด ประโยชน์น้อยประโยชน์มากก็ไม่เป็นไร เราไม่เป็นพิษภัยต่อใคร เราเป็นแต่ประโยชน์ต่อผู้อื่น จะน้อยจะมากก็ไม่เป็นไร มาร่วมกันสร้างสรรสิ่งเป็นประโยชน์ไม่เป็นโทษภัยแก่ใคร เป็นแต่ประโยชน์ หากมีประโยชน์น้อยก็เลิกไปก่อน ก็ค่อยๆมีประโยชน์ได้มากขึ้นมากขึ้น ก็เป็นความเจริญนี้เรียกว่าเศรษฐศาสตร์
สังคมที่รู้การรวมกันเรียกว่าสังคมเศรษฐะ เหลือการเมือง
การเมืองคือการบริหารคน การทำให้คนอยู่ร่วมรวมกันอย่างสงบ มีกินมีอยู่ดีมีความสงบ เรียบร้อย ด้วยการช่วยเหลือเขา ให้เขามีปัญญาให้เขารู้ว่าจะสงบอย่างไร ยกตัวอย่างในประเด็น ถ้าจะให้เขาอยู่ร่วมกันแล้วให้เขารวยด้วยกันทั้งหมด
อาตมาว่า ถ้าพูดถึงความรวยความจน เป็นเศรษฐศาสตร์ คุณจะไปยุแหย่ให้คนอยากรวย คนก็จะไปยึดมั่นถือมั่นในความรวย รวยคือการได้เปรียบ รวยคือการมีมากกว่า ถ้าคนเราจะเป็นคนเสียเปรียบ และเป็นคนมีน้อยกว่า คนที่ตัวตนน้อยลง หรือไม่มีตัวตน ก็จะเลือกเอาสภาพที่มีน้อยกว่า
แล้วสำหรับการได้เปรียบกับการเสียเปรียบ คุณจะเลือกอะไร … จริงๆก็ต้องเอาเสียเปรียบ ไปเอาได้เปรียบมาทำไม ก็เราพึ่งตนเองรอด เรามีส่วนเกิน เรามีส่วนเกินอยู่ เราก็เสียเปรียบได้ เราก็สละได้ เรามาอยู่ในด้านเสียหรือด้านเสียสละมาก แต่ละคนมารวมกันแล้ว ก็ต่างเหลือกินเหลือใช้ เหลือแจกจ่ายผู้อื่นด้วย และแต่ละคนไม่ต้องมีมาก มีส่วนกลาง เราจะเห็นการรวมเป็นคอมมูน เป็นสาธารณโภคีขึ้น เรื่องสูงสุดแล้วของมนุษยชาติ ไม่มีอย่างอื่นดีกว่านี้ ในยุคของพระพุทธเจ้านั้นยังทำไม่ได้กว้างกว่านี้ ทำได้แต่ในเฉพาะวงสงฆ์ในนักบวชที่ไปถือกฎหมายของพระพุทธเจ้าเท่านั้น กฎหมายโลกสังคมยังไม่นับเอา ยังไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชน เป็นยุคทาส นายทาสสามารถฆ่าได้ คนเหมือนวัตถุไม่มีติดคุกตะราง เป็นเหมือนข้าวของวัตถุชิ้นหนึ่งสำหรับยุคทาส สามารถซื้อขายได้เหมือนสัตว์สิ่งของ ยุคนั้นก็เลยยากที่จะเอามาเป็นมนุษย์
แม้แต่สัตว์เดรัจฉานสัตว์เซลล์เดียว 2เซลล์ พระพุทธเจ้าก็สอนไม่ให้ไปทำร้าย รู้จักจิตนิยาม พวกเราเรียนรู้ลึกถึงจิตนิยาม ไม่ไปทำร้ายจิตนิยาม เราก็ปลอดภัยไม่เป็นพิษภัยต่อความเป็นสัตว์แก่กันและกัน จึงเป็นสังคมคนที่เป็นสังคมปลอดภัยต่อสัตว์ อย่าว่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย คนที่มีความเฉลียวฉลาดพอมันก็รู้ นอกจากคนที่มีจิตไม่ดี จิตของเขายังไม่สามารถที่จะอยู่รวมกับความสงบเรียบร้อยถึงขนาดนี้ได้ จะเป็นเรื่องของเขาเองต้องการสิ่งที่มากด้วยวัตถุ มากไปด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มากด้วยอัตตาของเขา เขาก็เข้ากับเราไม่ได้ แต่ดีแล้วคุณจัดมากก็รวมกับเราลำบาก มันจะจัดสรรไปเอง เราไม่ต้องไปทำร้ายเขา ขอให้เรามารวมตัวกัน เราจะมีรังสีอำนาจแม่เหล็ก ที่โมเลกุลธาตุพวกนั้นจะอยู่ไม่ได้ เข้ามาในนี้จะร้อน ดิ้น ไม่กลมกลืนจะหลุดออกไป ไม่มีภาษาอธิบายมากกว่านี้แล้ว อาจมีที่มากหนักร้าย ก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่เขาบ้าง ก็ไม่เห็นค่อยมี นานๆทีจะมี ที่จะไปรบกวนตำรวจทหาร เป็นกำแพงไร้สภาพที่ไม่มีรูปร่าง Invisible ไม่มีอะไรให้เห็นได้ มันเป็นพลังงานบางเบา แต่มีฤทธิ์กั้นยิ่งกว่ารั้วเหล็กรั้วแสตนเลส มันละเอียดมาก
สรุปแล้วสามเส้าของเศรษฐศาสตร์การเมืองสังคม มันเป็นเรื่องของมวลมนุษย์จริงๆ พวกเราทำได้สำเร็จ จึงอยู่กันอย่างพอเพียง อยู่กันอย่างอุดมสมบูรณ์ อยู่กันอย่างมีมวล มีผลผลิตปริมาณ เผื่อแผ่คนอื่นได้ การมีส่วนเกิน เผื่อแผ่คนอื่นได้ ก็เป็นเครื่องป้องกันอย่างหนึ่ง ที่ให้คนเหล่านั้นไม่เข้ามาหาเรา เพราะคนเหล่านั้นเขาจะหลงสิ่งที่เรามีให้ เช่นสัตว์หลายชนิด มันดุนะ แต่เรามีสิ่งที่ให้มันกินแล้วมันชอบ เราหว่านให้มันกิน แล้วเราก็หนีรอด แต่ถ้าไม่มีให้มันกิน เราก็ไม่รอด เห็นไหม นี่เป็นธรรมดาธรรมชาติ ยกตัวอย่างหยาบๆ คนที่มันหลงอื่นๆเราก็เอาอันนั้นให้ไป เราเหลือเฟือพอเพียง ใช้ได้ เราไม่ได้ให้สิ่งที่เป็นอาวุธเป็นพิษสิ่งที่เป็นความมอมเมา
อาวุธร้ายหยาบที่สุด สิ่งที่เป็นพิษรองลงมา ความมอมเมาบางสุด เราไม่มีทั้งสามระดับเลย
เราจึงเป็นสังคมที่รู้จักรายละเอียดในสิ่งที่จะสร้างจะมีจะให้ ไม่ให้สิ่งที่มอมเมาเป็นพิษหรืออาวุธ แม้แต่สิ่งที่เป็นเรื่องมอมเมาเราก็ไม่ให้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่เป็นพิษหรือสิ่งที่เป็นอาวุธ อย่างพวกรัสเซียเกาหลีเหนือ สร้างอาวุธให้ร้ายแรงยิ่งกว่ากัน เชิญเขาทำไปเถอะ เราไม่เสียแคลอรี่ไปคิดทำพวกนี้สร้างพวกนี้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
เราไม่ต้องกังวลถึงความร้ายพวกนี้ เราก็อยู่กันอย่างดี มีกำแพงพลังงานคุณค่าความดีเป็นบัฟเฟอร์ เป็นต่อ กั้นให้เข้ามาไม่ถึงเรา อำนาจพวกนี้ แต่อย่าประมาท ต้องสร้างสิ่งที่ดี 1 และ 2 อย่าไปยั่วยวนเขามากเกิน หากคนไปยั่วยวนเขา เขาก็จะเข้ามา ไม่ไปสะกิดใจเขา
เราอยู่อย่างนี้ไม่มีอะไรมาเบียดเบียนวุ่นวาย เราจึงสดใสสำราญ เราจึงเป็นผู้แม้น้อยก็คุ้มตัว ช่วยเหลือผู้อื่น อยู่อย่างไม่มีอะไรมากวน ก็ใสสุขสำราญเบิกบานใจอยู่อย่างนี้ มีวัตถุธรรม รูปธรรมที่เห็นอยู่ และมีพฤติกรรมที่เห็นอยู่ มาจากจิตวิญญาณปัญญาที่ฉลาดและสร้างตามที่เราเข้าใจ สิ่งนี้จึงมีจริง เป็นสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงได้ เป็นปาตุภาวะ ตรวจจริงด้วยตัวเราเองให้มีสัดส่วนพอเหมาะ ไม่หยาบกว่านี้ละเอียดกว่านี้ ละเอียดเกินไปเล็กเกินไปมันก็ไม่พอ ใหญ่หยาบเกินไปก็ไม่ดี ต้องขนาดพอเหมาะ
ความเป็นกลางจึงไม่ใช่แค่เอาสองข้างมาบวกกันแล้วตัดครึ่ง มันไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นรูปธรรม อันนี้เป็นนามธรรม ต้องรู้ว่าอะไรควรจะรวมกัน 2 กับ 1 คุณควรรวมกับพวกไหน รวมกับพวก 1 คุณก็หนักนะ
สามเส้าจะมี 2 กับ 1 อย่างไรๆ พวกที่รู้กันดีจะเข้ากับ 2 พวกไม่รู้ก็จะไปรวมกับ1 ผู้รู้ดีก็จะรวมกันจับมือกันไปด้วยกัน จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน ก็เรากำหนดแล้วในสามเส้า ก็ต้องมี 2 กับ 1 ต้องเข้าขากัน จึงจับขากันได้ จึงจะไปด้วย 1 ก็จะเป็นหมาหัวเน่า เราก็ต้องช่วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวกันหมด แล้วจะมีพลังงานใหม่ขึ้นมา จะมี พลังงาน Coefficient เป็นตัวแปรให้เกิด สันตติ กว่าจะเป็นพลังงานเสริมถึงขั้น Coefficient ถึงคูณหรือยกกำลัง
เราสามารถที่จะมาอยู่ด้วยกันอย่างเป็นของจริง มีของจริงก็เป็นตัวอย่าง เป็นตัวอย่างของจริง แล้วตัวอย่างของจริงอันนี้ เป็นสาธารณโภคี เป็นความสงบ เป็นความพอกินพอใช้เหลือเฟือแจกจ่ายผู้อื่นได้ มีความอ้าขาผวาปีกช่วยผู้อื่นอยู่
เราช่วยผู้อื่น สร้างสิ่งที่พออยู่พอกิน ต้องกิน กวฬีงการาหาร ก็สร้างออกมาแจกจ่ายกัน ที่จะต้องขายบ้างก็ตามกำหนด กำหนดได้พอแล้วขนาดนี้ ได้แล้วสองพัน เกินสองพันก็แจก ส่วนคนที่คิดว่าเราควรจะเพิ่มขยายงานเพิ่ม เอาเกิน 2,000 แต่อย่าตะกละจนไม่มีที่จบ ตะกละอย่างไม่มีที่จบมันก็จะเคยตัวไปสู่ความมักมาก มากเข้า ย่ามใจ ไม่รู้จักพอไม่รู้จักหยุดและไม่รู้จักน้อยลง มันก็ไม่มาทิศทางน้อยลงจนถึงศูนย์ ก็ได้แต่ไปมากๆ ก็ดึงไม่อยู่
ใครรู้ตัวว่าพอ หยุด มาหาหมู่นี้ดีกว่า อย่าไปหาหมู่ใหญ่เลย
พูดถึงตรงนี้แล้วนึกถึงในหลวง ร.9 ท่านชัดเจน ท่านแม่นยำเรื่องมักมาก ท่านบอกว่าอย่าไปมักมาก ให้มามักน้อย เรารวยแต่พอสมควร เราไม่รวยอย่างมากเพราะมีแต่ถอยหลังอย่างน่ากลัว เราก็รวยพอสมควร ท่านตรัสแค่นี้ครบแล้ว เราไม่อ้าขาผวาปีกเกินตัว เรามีเหลือช่วยผู้อื่นเป็นตัวป้องกันเราแล้ว
ได้ชัดเจนแล้ว 1.ตัวเราเต็ม 2.เผื่อผู้อื่น 3.มีกระแสสะพัดสู่ผู้อื่น เขารู้ตัวเขาก็มา สำหรับผู้ที่เข้าใจ ก็จะค่อยๆเลื่อนไหลเข้ามาหาแก่นแกนของจริง จึงมีการเลื่อนไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไปตามสัดส่วน เราก็จะค่อยๆโต เป็นแก่น เป็นเนื้อแท้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเราสร้างได้เกิน จะเกิดการสะพัดเชื่อมโยง คือการพาณิชย์แจกจ่าย เราให้อย่างต่ำก็ต่ำกว่าราคาตลาด ก็อย่าไปคำนวณราคาตลาดให้มันมากเกิน ต้องเอาราคาเฉลี่ยที่แท้จริง ของราคาตลาดมา ราคาตลาดไม่เอาที่ตั้งสูงสุด แบบนี้ก็ฉลาดแกมโกง ต้องเอาค่าเฉลี่ยที่เขาหารมาแล้ว แล้วมาลดเกินกว่าค่าเฉลี่ย ก็เป็นความซ้อน
ถ้าเรามีส่วนที่ทำได้ทั้งหมด 1000 แล้วใช้ 200 แล้วเหลือส่วนเกินอีก 800 เอาไว้คงคลัง 300 อีก 500 เราสะพัดได้ เราก็อยู่เป็นองค์รวมหลายคน ก็มีส่วนเฉลี่ยที่เหลือเกินแน่นอน คนป่วยคนเจ็บคนที่ทำไม่ได้ก็จะน้อยกว่าแน่นอน มันเป็นไปไม่ได้ที่มีเด็กหรือคนป่วยคนไม่มีแรงมากกว่าคนที่ทำได้เกิน ไม่ต้องห่วงหรอก เราทำสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐอย่างเดียว แล้วมันจะอยู่กับหมู่นี้ ช่วยกันมันไม่มีทางแตกสลายง่ายๆ ไม่มีอะไรมาทำลายได้ง่ายๆเลย เราพิสูจน์กันมาแล้ว
ขณะนี้ ความรู้ความฉลาด นัยนี้ ซับซ้อนลึกซึ้งหลายชั้น ชาวอโศกนี้มีความซับซ้อนลึกซึ้งหลายชั้น แม้แต่โปรเฟสเซอร์เปรียญ 9 ก็เข้าหาเราไม่ติด เปรียญ 9 อยู่ในนี้ดูเหมือนไม่มีสักคน มีเปรียญ 8 วันนี้ไม่มา มีบุญแต่บุญยังหนาอยู่ คือต้องทำบุญอีกเยอะ คนหมดบุญแล้วต่างหากคือคนเจริญ คนที่มีบุญลดลงๆ คือคนเจริญ เขาป่วยอยู่ ก็บอกว่ามาป่วยที่นี่ก็ได้ ป่วยมากเราก็หามไปโรงพยาบาล ชื่อบุญหนา นามสกุลบุญมี แล้วเมื่อไหร่มันจะหมดบุญ เปรียญ 8 เรียนจบต่างประเทศมา เรานินทาแต่ไม่ได้ว่าร้ายนะ มาที่นี่เราจะรักษาดีๆกัน เราไม่เลี้ยงไข้หรอก หายก็หาย ไม่หายจะตายก็ตาย
เราพิสูจน์ยืนยันธรรมะพระพุทธเจ้า มั่นใจว่าความรู้นี้จะเจริญต่อไปอีกจริงๆ ทฤษฎีคำสอนพระพุทธเจ้ามา อีกหน่อยก็จะเข้าใจ เขาจะเชื่อเขาจะเห็น เป็นสัจจะ พระพุทธเจ้าเป็นคน ซึ่งต่างจากเทวนิยม เทวนิยมนี้ไม่มีตัวตน แต่ไม่ได้หมายความว่าพิสูจน์ได้ในโลกแต่ไม่มีตัวตนอย่างแตะไม่ติด อยู่อย่างพิเศษ แล้วจะส่งคนมาก็มาคนเดียว ศาสดาปกาศก เป็นเนื้อแท้คนเดียวมาโปรดมนุษย์ มนุษย์ไม่มีสิทธิ์จะเป็นพระศาสดาได้ พระบุตร พระศาสดาจะเป็นคนที่มีเนื้อหนังมังสามาคนหนึ่งแล้ว จำกัดว่าพระเจ้าจะส่งมา คนธรรมดาสามัญไม่มีสิทธิ์เป็นได้ อันนี้เป็นนัยต่างกันของเทวนิยมกับอเทวนิยม ส่วนอเทวนิยมทุกคนมีสิทธิ์จะพัฒนาไปเป็นศาสดาได้ แต่อันโน้นไม่มีสิทธิ์ อาจารย์จะต้องส่งมาเท่านั้น เป็นพระบุตร แม้ไม่ใช่พระบุตรไม่มี DNA ของพระเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์เป็น DNA พระพุทธเจ้า ตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ พิสูจน์ได้เป็นหลักการทางวิชาการทางวิทยาศาสตร์ได้เลย ของพุทธนี้
ศาสดาหมายถึงผู้ประกาศคำสอนของพระเจ้า ศาสดาคือ ถ้าของพุทธคือผู้ประกาศคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าของเรามีตัวตน คนจะเป็นพระพุทธเจ้าต้องมีเนื้อหนังมังสา ผู้ที่จะตรัสรู้ประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้า ต้องมามีเนื้อหนังมังสาและประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้าอย่างน้อย 1 ครั้ง เป็นเจ้าของศาสนาพุทธ องค์ใดองค์หนึ่ง หนึ่งสมัย อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น นัยสำคัญลึกซึ้งละเอียด จะจับประเด็นได้ว่าเทวนิยมกับอเทวนิยมแยกกันตรงไหน พระเจ้าสอน สร้างธาตุผู้หญิง Eve ต้องให้พระเจ้าเป็นผู้แยก พระเจ้าสร้าง Eve จากกระดูกซี่โครงซี่ที่ 7 คำว่าเลข 7 เป็นความหมาย Coefficient
ทำไมต้องเอาซี่โครงของ Adam มาสร้าง เขาก็เป็นสายเจโต อธิบายไม่ออก ได้แต่รูปธรรม แต่พวกเราอธิบายได้เป็นพลังงานระดับ 7 ถึงเป็นชีวะจิตนิยาม
เศรษฐศาสตร์การเมืองสังคม สามเส้า สังคมคือองค์รวมทุกอย่างของมนุษยชาติ ในสังคมแต่ละสังคมก็มีกรอบแต่ละกรอบ กรอบประชาธิปไตย กรอบคอมมิวนิสต์ กรอบเผด็จการ สามระดับ
เผด็จการเป็นตัวคนเดียวเลยอำนาจบาตรใหญ่เป็นฮิตเลอร์ เป็นต้น ทุกอย่างบงการได้ พอคอมมิวนิสน์ก็บอกว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ ก็แบ่งมาสู่คนอื่น รวมตัวเป็นคณะ แล้วไม่เลือก ไม่ให้ประชาชนมีสิทธิ์เสียงอะไรเลย อันนี้แหละ ประชาธิปไตยต้องมีเสียงของประชาชนเป็นผู้เลือกเอง อย่างเมืองไทยเลือกโดยไม่ต้องเลือกตั้งลงคะแนนเสียงก็มีเล่ห์เหลี่ยมโกงได้ ให้วิญญาณเลือก ขณะนี้ในประเทศไทยวิญญาณเลือก เลือกนายกฯ เลือกผู้ที่ทำหน้าที่ ตอนนี้ก็กำลังเลือก ประชาธิปไตยเมืองไทย ก็กำลังจะเลือกอยู่ตอนนี้
เลือกรัฐมนตรีคนหนึ่ง กำลังจะปรับออกหรือไม่ปรับออก โดยพลังของประชาชนนะ ถ้าพลังของประชาชนเพียงพอก็เป็นไปตามนั้น จะให้ออกหรือไม่ออกก็อยู่ที่พลังประชาชน แล้วก็เป็นสัจจะด้วย ไม่ใช่เรื่องความลำเอียง ทุจริต เป็นเรื่องสุจริต ที่ถูกต้องตามสัจธรรม พลังงานประชาชน จึงเป็นพลังงานที่สุดยอด พลังงานประชาชน เป็นนามธรรม อรูปที่ไม่เห็นไม่รู้ แต่เป็นพลังงานนามธรรม เป็นที่เป็นชั้นตั้งแต่หยาบยาวไกล เป็นพลังงานแรงละเอียดก็ได้ อาตมาทำมือ ให้ละเอียดมากๆ ไปไกลมากเลย จนคนไม่รู้ว่าตัวการของมันคืออะไร หากหยาบพอรู้ได้ จนมันไม่รู้เลย อโศกเป็นตัวการทำให้เกิดการปฏิวัติอย่างละเอียดเลย ถ้ายังงั้นผมขอยึดอำนาจ เท่านั้นแหละประเทศไทยยึดอำนาจได้เลย แล้วเขาไม่รู้ว่าเกิดความสงบ ประชาชนยินดีเลย เกิดจากอะไร เราไปต่อสู้ต้องมีตายไปบ้าง พวกอโศกเราไม่มีใครตาย แต่พวกที่ร่วมกับเราก็เป็นสัจจะ ก็เป็นวิบาก แล้วผู้นั้นที่เสียสละที่ตายไป ผู้นั้น ชาติต่อไปมาอโศกแน่
เราใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว จนประชาชนเข้าใจ ว่าความสงบต้องชนะความรุนแรง เพราะฉะนั้นคนไทยจึงไม่ยอมรุนแรง มีแต่สงบๆๆ สำเร็จ เมื่อสำเร็จ นักรบชื่อว่ายุทธ ยุทธนา แปลว่ารบ ก็มา.. ถ้าอย่างงั้นผมขอยึดอำนาจ ก็ทุกอย่างมาแต่เหตุ เพราะประชาชนสงบแล้วเขายอมเขารู้ เขาเข้าใจร่วมกันด้วย ถ้าหากประยุทธ์ไม่ใช่จันทร์โอชาก็ไม่ได้
ถ้าประยุทธ์ จันทร์ขื่นขม รับรองไม่ได้ ประยุทธ์ จันทร์เฝื่อนๆก็ไม่ได้ ต้องประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่คือความละเอียดลึกซึ้ง
ทำไมทักษิณชื่อใต้แต่ไปอยู่เหนือ ก็เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวจริง มันตัวปลอมตัวหลอก อยู่เมืองเหนือแต่ดันไปชื่อใต้ มันขี้โกง ทำไมไม่ชื่อเหนือแต่ไปชื่อใต้ ทำไมไม่ชื่อว่าอุดรแต่เป็นชื่อทักษิณ
สังคมองค์รวมของพวกเรามีพร้อมทั้งทางด้านเศรษฐกิจการเมือง เศรษฐกิจคือสิ่งที่อาศัยลึกกว่าการเมือง อาศัยใช้สอยใช้กิน ส่วนการเมืองนั้นคือการบริหาร การใช้ปัญญาใช้พฤติกรรม จะมีพฤติกรรมที่ประสานสมานสัมพันธ์ หรือว่า การเมืองต้องใช้ความฉลาดมากกว่าเศรษฐกิจ แต่ต้องใช้ความฉลาดที่บริสุทธิ์ความฉลาดที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่ความฉลาดแกมโกง ผู้ที่มีความฉลาดซื่อสัตย์บริสุทธิ์จึงชนะความฉลาดแกมโกง นักการเมืองที่ซื่อสัตย์สะอาดบริสุทธิ์ ชาวอโศกเป็นนักการเมือง รบกับคุณโดยไม่รบกับคุณ ไม่ปะทะกับคุณ คุณปะทะมาเราก็เป็นผู้รับ คุณปะทะไม่เข้าก็แพ้ภัยตัว หากเราไม่แข็งพอ คุณปะทะเราก็เข้า เราดีไม่ดีก็แตกสลาย ถ้าเราแข็งแรงพอ คุณปะทะเรา ก็จะถอยไป เป็นลูกเทนนิสตีเข้าผนังก็กระดอนกลับไป ดีไม่ดีเข้าหน้าแงตัวเองเลย มันเป็นเรื่องสัจธรรม สัจจะ
เราเองเราไม่ไปทำอะไรใคร เราเป็นตัวช่วยเหลือเฟือฟาย ให้ผลต่อทุกอย่างเท่าที่มันเป็นจริง คุณปะทะแรงก็เข้าหน้าคุณแรง คุณปะทะเบาก็เข้าหน้าคุณเบา คุณยืดหยุ่นอะลุ่มอล่วย เราก็อะลุ่มอล่วย
ตอนนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารของเรามีอย่างโอเค เรามีความสะอาดบริสุทธิ์สาระดีมาก ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อเบื่อทวง ไม่ปวดท้อง
มีกวฬีการาหาร ผัสสาหาร มี มโนสัญเจตนา
มโนสัญเจตนาหารคือเจตนาแบ่งเป็น 3 อย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ตัณหาคือต้องการความอยากความประสงค์ คุณประสงค์เป็นกาม หยาบที่สุด คุณต้องรู้ความหยาบเป็นจุดเริ่ม หยาบถึงอบายเขรอะก็จัดการก่อน หมดอบายก็จัดการกับกาม หมดกามเราก็หมดภัยต่อภายนอก ใครปะทะเราก็ไม่ปะทะตอบ อย่างไรเราก็ไม่รบกวนกับภายนอกเลย คือสิ้นกาม ภายนอกสงบ ภายในก็ต่อสู้
หากควบคุมรูป อรูป ก็คืออนาคามี ลดรูปที่หยาบกว่าอรูป เมื่อลดรูปได้ แต่ก็ยังสำพันธ์กับภายนอก ไม่ใช่หลบลี้หนีหายไม่สัมพันธ์กับภายนอก ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องมาหัดกระทบใหม่อีก วนเวียน เราทำมาแล้ว อยู่เหนือให้ได้ เหนืออบาย เหนือกาม เหนือรูป เหนืออรูปได้อีก ทีนี้อยู่เหนือหมดเลย หมดอรูปก็ครบ มีทั้งสติและปัญญาอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้จริงๆ เป็นอธิปไตย ไม่ลำเอียง ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่ถูกมอมเมา ทำให้คุณได้ชัดเจนกระจ่าง ไม่เมาไม่ผิด อยู่ที่คุณทำได้ก็แล้วกัน นี่คือคุณลักษณะที่ใช้ภาษาสื่อสภาวะให้ละเอียด
คนที่อยู่ในการช่วยกันให้เกิดความละเอียดเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ในระดับของอาหาร อาหารกินเลี้ยงขันธ์ร่าง ผัสสาหารก็รู้จัก เกิดเป็นอาการให้จัดการ คุณรู้สึกว่าคุณไม่มีความลำบากใจ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีผลักไม่มีดูด แต่ละคนก็เข้าใจมาได้เรื่อยๆ จนมาถึงเจตนา หากยังผลักหรือดูดอยู่ อันนี้เอาหรือไม่เอา แต่หากไม่มีความผลักและดูด อันไหนจะเอามันก็เข้ามาเอง อันไหนมันไม่เอามันก็จะออกไปเอง
คุณมีเจ้าหน้าที่จัดการ คุณไม่ต้องไปจัดการเองเลย อันไหนสัมผัสแล้วมันก็จัดการเองเลย คุณจะหมดกามหมดโลกข้างนอก เป็นวัวที่มีหนังหุ้มอย่างแข็งแรง ไม่เป็นวัวไม่มีหนัง วัวที่ไม่มีหนังอะไรมาแตะก็แสบ ลำบากทุกข์ เราก็ทำมาแล้ว ภายในจึงรวมกันอย่างอบอุ่นไม่มีแสบไม่มีร้อน สัมผัสภายนอกแล้วก็เป็นวัวมีหนังหุ้ม หากหนังบางก็ไม่ได้นะ ต้องหนาพอดีแต่ไม่ใช่หน้าหนานะ
สรุปแล้วเรามีเป็นตัวอย่าง เป็นได้แล้ว ในระดับตัวอย่างชัดเจนก็ไม่ทีเดียว เป็นตัวอย่างนิดๆหน่อยๆ เป็นตัวอย่างในขนาด Example หรือ Idol
Example กลางๆ ตัวอย่าง Idol เป็นตัวอย่างโชว์ออฟ อยากได้แบบนั้นแบบนี้ จนมาเป็นเองเรียกว่า Example จนกระทั่งละเอียด Specimen เป็นตัวอย่างเล็กละเอียด ชาวอโศกเป็น Specimen ไม่ถึง Example ไม่ถึง Idol ตัวอย่าง idolต้องเป็นอย่างเช่นตูน เป็นคนเดียวแต่หยาบใหญ่
วิภวตัณหาคือตัณหาที่ไม่มีภพ กามตัณหาคือตัณหาหยาบมาก จนหยาบขั้นอบายเลย ภวตัณหาคือภายใน ภายนอกเราเหนือแล้ว ภวตัณหาคือภายในเป็นรูป อรูป คือกิเลสภายใน มันดิ้นอยู่คนอื่นไม่รู้หรอก แต่ดิ้นดุ๊กดิ๊ก แต่ถ้าไม่ดิ้นมากแล้วเหลือน้อยคืออรูป อรูป คืออาสวะ อนุสัย ค่อยๆเรียนลึกไว้อีกที ในอรูปถึงไปเรียนอาสวะอนุสัย นี่คืออรูปฌาน ในอรูปฌานต้องมาไล่อนุสัย อนุสัยละเอียดกว่าอาสวะ คู่ของอาสวะอนุสัยคือรูปกับนาม อีกที ค่อยมาไล่เรียงอีกที
1. เศรษฐกิจ 2. การเมือง 3. สังคม สังคมดูเหมือนมันใหญ่ แต่มันละเอียดรวมหมด ก็มีเรื่องของเศรษฐกิจกับการเมือง การเมืองคืออำนาจบริหาร เศรษฐกิจคือสิ่งที่ต้องอาศัย นักการเมืองก็ต้องเฉลี่ยในเศรษฐกิจ นักการเมืองต้นๆง่ายๆ ก็ต้องจัดการสิ่งที่ กินใช้ อุปโภคบริโภคก่อน เรียกว่าสาธารณูปโภค นักการเมืองเบื้องต้น ก็จะแจก อิฐหินดินปูน จนกระทั่งแจกธนบัตรเลย เป็นเรื่องสารพัดนึก นักการเมืองหยาบๆตื้นๆ ก็แจกข้าวของ นักการเมืองสูงขึ้นมาก็รับใช้ด้วยพฤติกรรม ทำงานเถอะ นักการเมืองที่สูงสุด ก็ถึงขั้นนามธรรมจิตวิญญาณ รู้จักคุณค่าจิตวิญญาณความดีงาม จนเป็นความดีงามที่ช่วยเหลือทุกอย่าง เรื่องหยาบ กลาง ละเอียด ช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจ อะไรเป็นสิ่งที่ควร บางอย่างเป็นดินน้ำไฟลมสาธารณูปโภคก็ต้องช่วยกัน ช่วยทางละเอียดขึ้นมา เป็นพฤติกรรมเป็นการงาน เป็นแรงงานก็ช่วยกัน จนกระทั่งถึงภาวะความรู้ ภาวะทางจิต ทางด้านจิตวิญญาณ ผู้เป็นนักการเมืองสูงสุดก็จะช่วยเหลือตั้งแต่ หยาบ กลาง ละเอียดได้ แต่ที่ไม่สูงก็จะช่วยได้แต่หยาบๆ
ตัวอย่างบางคนเป็นนักการเมืองชั้นต่ำและหยาบก็ต้องเอา พวกนี้เป็นกรรมกรการเมือง อย่าไปดูถูก ไปข่มเขา เดี๋ยวเขาหนีเขาไม่ช่วย แล้วไม่ต้องไปจ้าง ให้เขาเห็นว่าเป็นสิ่งดีที่จะเดินก็มาช่วยอย่างเต็มใจ เขาจะรับใช้ก็จะได้เจริญขึ้นเป็นนักการเมืองชั้นสูงขึ้นตาม อย่าไปบังคับ ไปข่มไปดูถูก พยายามเข้าใจแล้วช่วยกันไว้ ก็จะเป็นชั้นละเอียดไปตลอดอย่างนี้ เศรษฐกิจการเมือง ซึ่งรวมกันอยู่เป็นสังคมที่รวม สามเส้า
สังคมคือประธานของบวกและลบ เศรษฐกิจกับการเมืองสลับกันได้ อย่างหนึ่งเป็นบวกอย่างหนึ่งเป็นลบ อย่างหนึ่งเป็นลบอย่างหนึ่งเป็นบวกสลับกันได้ จะเอาเศรษฐกิจข้าวของขึ้นกินใช้นำหน้า หรือจะเอาความรู้การเมืองความฉลาดซื่อสัตย์ ฉลาดเฉลียวจริงใจ สลับกันไปกันมาก็ได้ อันไหนมากไปก็เพิ่มอีกข้างหนึ่ง อย่าให้ใหญ่เกินไป ให้เกิดการเกื้อกูลกันได้และมีทศนิยม ถ้าไม่มีทศนิยมมันหยุดนิ่งมันก็จะเน่า แล้วมันก็จะสูญ เรายังไม่อยากสูญ จะต้องให้เป็นทศนิยมอย่างน้อยก็ .00001 เก่งขึ้นไปก็ไป .0001 ควบคุมได้ก็เป็น .01 มีอำนาจที่จะใช้แรงหมุนนี้ได้ ถ้าคุณมีตัวเร่งที่สำคัญและสูงให้มาแค่นี้เราก็ใช้เป็น Coefficient ที่สูงพอ เติมพลังงานทบหลายรอบ ….จบ
ยูทูป
https://youtu.be/mNGZA5N2gF0
เวลาบันทึก 18 มีนาคม 2563 ( 20:36:01 )
รายละเอียด
630106_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 85
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่ https://www.boonniyom.net/47518.html
_ฝั่งดาว...มีข้อสอบ จิตเริ่มเป็นโลกุตระตัวแรกตั้งแต่
ก. โสดาบัน ข. กัลยาณชน
ค. ปุถุชน ง. กึ่งโคตรปุถุชน
ข้อใดถูกต้อง
พ่อครูว่า...คำว่าโคตร เขามีศัพท์คำว่าข้ามโคตร กึ่งโคตรนี่ไม่เคยได้ยิน
มีในหนังสือคนจะมีธรรมะได้อย่างไรเล่ม 3 หน้า 134 …
โกณทัญญะคือคนโง่ อัญญาโกณฑัญญะคือคนโง่คนแรกที่เริ่มมีญาณปัญญาของพุทธ ซึ่งในพระพุทธเจ้านั้น ชื่อแต่ละคนๆ เป็นชื่อบอกสภาวะที่แท้จริง แม่ชื่อสิริมหามายา พ่อชื่อสิทธัตถะ ยโสธราพิมพา พระราหุล ชื่อต่างๆบอกสภาวะของสัจธรรม สภาวธรรม
คำว่า กึ่งโคตรปุถุชน ก็เป็นการขยายความเป็นการอธิบายสภาวะ ให้รู้ว่า เข้าใจความหมายให้ลึกๆเข้าไปว่าในเนื้อแท้ ถ้าเราพูดใช้ภาษาสมัยใหม่ก็แปลว่า DNA คือยีนคือตัวต้นตระกูลแท้รากเหง้ามันเริ่มจะเปลี่ยนตัว เริ่มจะมีสภาพคุณสมบัติคุณธรรมเข้าไปสู่ อาริยธรรม
พอบอกว่า กึ่ง คือเริ่มต้นเข้าไปไม่เต็มตัว แต่มีสภาพกึ่ง คืออัญญาแล้วอัญญะ ความรู้อื่นที่แตกต่างจากโลกโลกีย์ คนเรามีความรู้เป็นโลกีย เมื่อมีความรู้ใหม่อันอื่นขึ้นมา คืออัญญะ เต็มตัวก็คืออัญญา ความรู้อันนี้เต็มรูปเรียกว่า อัญญธาตุ หรือกึ่งโคตรปุถุชน อาริยชนครึ่งหนึ่ง โลกุตรชนครึ่งหนึ่ง
น่าจะเป็นข้อ ง ถูก เพราะว่ามันยาก มันต้องมีสภาวะ มันเริ่มเข้า คำถามว่าเริ่มเป็นอาริยะ โลกุตระ ถ้าเป็นโสดาบันก็เต็มตัว กัลยาณชนก็ไม่ใช่ ปุถุชนก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ มันละเอียด ก็ไม่เป็นไร อะไรที่ไม่ตรงนักก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปยึดถือ เข้าใจสภาวะธรรมแล้ว ถ้าเราทบทวนดูแล้ว แต่ก่อนเราก็รู้เท่านี้ เมื่อเราศึกษาไปมันละเอียดขึ้นสูงขึ้น อันเก่าแต่ละเอียดขึ้น
แต่ก่อนเราเข้าใจคำว่าบุญก็ได้กุศล แต่เดี๋ยวนี้อีกอย่างนึง ที่จริงคำว่ากุศลมันก็ไม่ผิดมันเป็นความดีงาม แต่ความดีงามที่เป็นโลกียะเท่านั้น
อาตมาเอามาอธิบายทุกวันนี้ไม่ใช่แค่กุศล แต่เป็นคนดีที่ยิ่งกว่าความดีมากมายมันไม่เป็นโลกีย์เลยมันเป็นโลกุตระเต็มรูปเพราะมันได้ครบ บุญแล้ว
พลังงานบุญคือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ มันเป็นพลังงานที่กำจัดกิเลสจากสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพราะฉะนั้น บุญ ถ้าพลังงานมันเกิดฌาน ฌานคือไฟโลกุตระ เป็นไฟที่จะมาฆ่าไฟโลกียะ ไฟราคะโทสะโมหะ อุณหธาตุ ไฟที่มีฤทธิ์สามารถกำจัดพลังงานราคะโทสะโมหะได้ เมื่อกำจัดได้หมด ก็คือบุญ บุญคือพลังงานพิชิตประหารกิเลสสำเร็จ เป็นนัยละเอียดที่รู้เพิ่ม หากว่ารู้ไม่เต็มไม่ครบบ้างก็ค่อยศึกษาไปให้รู้เพิ่มเติม
_จากลูกหนึ่งในเจ็ดร้อย..พ่อครูได้ทราบเรื่องที่บ้านราชฯจะมีการเลือกกรรมการชุมชน
พ่อครูว่า..แต่บอกได้เลยว่าอาตมาวางภาระเกือบจะหมดแล้วล่ะ ให้ช่วยกันดูแล อาตมาจะไม่ช่วยดูแล อาตมาจะปลดเกษียณ อาตมาจะสอนแต่ธรรมะบรรยายแต่ธรรมะ มันก็เลย 85 แล้ว อายุ ก็ต้องรู้จักตัวเองบ้างไม่เจียมแก่เสียเลยไม่ได้ นี่วันนี้ โยมยู้ก็อายุเท่ากันก็ไปแล้ว (มีศพโยมยู้ บุญงาม คำภิเดช) ไม่กินน้ำไม่กินอาหารอยู่เป็น 10 วัน จะไป-ไม่ไปหลายงวดแล้วแต่ไม่ยอมไปง่ายๆ มาคราวนี้ก็เลยบอกว่าเอาเถอะยอมไปก็ไปแล้ว พวกเราพูดถึงการตายการเป็นไม่ได้มีความโศกเศร้าอะไร พูดกันเฉยๆยิ้มแย้มเบิกบานร่าเริงธรรมดาเพราะเรารู้จักความตายความเกิดของชีวิต ความตายคือการเปลี่ยนร่าง ความตายคือการเปลี่ยนร่างถ้าไม่ตั้งจิต ตายอย่างสุญญตนิพพาน ตายอย่างสูญ อปณหิตะ ไม่ตั้งเครื่องหมายอะไรเลย อปณิหิตนิพพาน สูญวางปล่อยเฉย ไม่ตั้งจิตไปนั่นไปนี่ อยู่นั่นอยู่นี่ ไม่ตั้งเลย จบสูญไปเลย
ส่วนพระอริยะเจ้าเป็นพระอรหันต์ก็ตายด้วยสุญญตนิพพาน ตายอย่างสงบ แต่บางองค์ก็ตั้งนิมิตของท่าน นิมิตนิพพาน นิมิตคือเครื่องหมาย เพราะฉะนั้นผู้ที่มีฐานบุคคลหรือมีบารมีมีฐานะ อย่างอาตมาตั้งสร้างนิมิตเพื่อจะก้าวหน้าไปเป็นอย่างนี้ ก็ตั้งเพื่อจุดหมายก้าวไปแต่ละก้าวก็ตั้ง เป็นนัยละเอียด
หากว่ารู้ผิดนึกว่าตัวเป็นอรหันต์แต่ทำจิตผิด เป็นอรหันต์ผิดๆ อย่างที่อาตมาเคยบอกเป็นพระอรหันต์เก๊ แต่บอกว่าตัวเองเป็นชาติสุดท้าย แล้วก็จะเป็นไปตามสัจจะ
_สีเลน นิพพุติงยันติ คือคำนี้ศีลพาให้บรรลุนิพพาน
พ่อครูว่า...ไม่มีศีลบรรลุนิพพานไม่ได้ ศีลข้อที่ 1 คุณเกี่ยวข้องสัมผัสกับสัตว์ ก็ไม่ฆ่าวางอาวุธ วางศาสตรา มีจิตกรุณาเอ็นดู หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ หากคุณปฏิบัติอย่างนี้จริงๆ จิตของคุณก็เกิดพัฒนาการ สัมผัสกับสัตว์ต่างๆจะมีใจอย่างนี้เกิดขึ้น มีความเมตตากรุณามีความเอ็นดู จะช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างไม่มีความประสงค์ร้าย แม้เขาจะทำร้ายเรา ก็ไม่ทำร้ายตอบ หลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยง อย่างพระโมคคัลลานะก็ยอมให้ถูกฆ่าเพราะว่าเป็นวิบากเก่าของท่าน ท่านก็ยอมตาย
คนที่ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 จนกระทั่งสามารถอยู่กับสัตว์ อยู่กับคน จิตลึกซึ้ง มีคุณสมบัติคุณธรรมจนกระทั่ง จิตไม่มี โลภ โกรธ รัก ชัง ก็มีจิตบริสุทธิ์ในศีลช้อ 1 เป็นจิต เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
สมณะเดินดิน...พูดถึงเรื่องศีลข้อที่1 มีข่าวคนทะเลาะกันเรื่องปลา คนฆ่าเป็น พตท.เป็นรองผกก. ทะเลาะกันเรื่องปลา พอน้ำแห้ง ปลาไปรวมกันที่ตำรวจคนนี้ เสี่ยก็เรียกให้แม่มาเคลียร์ แต่ตำรวจนี้บอกว่าผมไม่สบายใจ หากให้ลูกมาเคลียร์ก็จะดีกว่า ลูกก็มาแต่ก็เอาตำรวจมาด้วย แต่มาถึงสถานที่ ตำรวจคนนี้ก็ถือปืนรอยิง มาถึงก็ยิงต่อหน้าตำรวจคนอื่นจนตาย
ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเขาคิดไม่ออก ไปยิงต่อหน้าตำรวจด้วยทำให้หมดอนาคต อาจเพราะว่าเบ่งจนเคยชิน ก่อนหน้านี้ก็เอาปืนจ่อหัวลูกน้องตอนทะเลาะกัน แต่เหตุการณ์นี้ก็เลยยิงโดยไม่คิดอะไร ตัวเองก็ต้องไปเข้าไปในคุกรับวิบาก คิดว่าเกิดจากการสะสมความโกรธ ความไม่ชอบใจ แล้วบันดาลใช้อำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็เลย ได้ฆ่าคนแบบสะใจ ตัวเองก็ต้องติดคุก อย่างนี้มันเจตนาจะฆ่าโดยตรง เสียอย่างเดียวว่าเขาไม่ได้ฟังเรื่องศีลข้อ 1 จากพ่อครู
พ่อครูว่า...
ศีลข้อที่ 1 ข้อเดียว ถ้าคนฟังเข้าใจซาบซึ้ง นอกจากมันเป็นเรื่องในปัจจุบัน มันจะต้องไปฆ่าคนจะต้องไปอะไรต่ออะไรมันก็ต้องติดคุก ดีไม่ดีต้องถูกฆ่าตกตายไปตามกันก็ได้ นี่เป็นปัจจุบันแล้วมันมีวิบาก ศาสนาพุทธนี้สอนลึกซึ้งไปถึงกรรมวิบาก ต่อไปไม่รู้กี่ชาติๆๆ ศาสนาเทวนิยมเขาไม่ได้เรียนรู้เรื่องกรรมวิบาก เขาไม่รู้จักชาตินี้ ชาติหน้า ศาสนาเทวนิยมตายแล้วเขาก็คิดว่าไปอยู่กับพระเจ้า แล้วจบแค่นั้น ความรู้อยู่แค่พระเจ้าเกิดชาติเดียว เขารู้จักความมีชีวิตแค่ชาติเดียว ชาติต่อไปจะมีกรรมวิบาก จะมีบาปบุญมีกุศลอกุศลอีกเยอะแยะ เขาไม่ได้เรียนกันเลยในศาสนาเทวนิยม เพราะฉะนั้นเขาจึงรู้เรื่องกรรม เรื่องการกระทำ น้อยมาก
เพราะเขาไม่รู้จักวิบาก ไม่รู้จักผลของกรรมก็เลยไม่เชื่อกรรมวิบาก เขาเชื่อแต่ว่าตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า อ้อนวอนประจบพระเจ้าไว้ ตายไปแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไปสวรรค์ นรกความทุกข์ร้อนจะเป็นอย่างไรเขาไม่รู้
ศาสนาเทวนิยมไม่สามารถทำให้สังคมสงบสุขให้เลิกเบียดเบียนกัน ให้มามีสังคมที่สร้างสรรช่วยเหลือมนุษยชาติอย่างไม่เบียดเบียนใครเลยไม่ได้ ขนาดพวกเราชาวอโศก อาตมาว่า ความเบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นน้อยที่สุดแล้วนะ ก็ยังเบียดเบียนน้ำใจกันเบียดเบียนด้วยวาจา กายกรรมไม่มีหยาบอะไรมากมาย หากศึกษาธรรมะให้ละเอียด พิสูจน์ยืนยันในปัจจุบันได้เลย ชาวอโศกศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วมันเป็นความสงบอบอุ่นเป็นความเกื้อกูลเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับโลกกับมนุษยชาติ ศาสนาพุทธในกระแสหลักหากสอนให้เข้าเป้า ให้คนเข้าใจ หากอาตมาไม่ถูกทางเถรสมาคมดิสเครดิต หาว่าไม่ใช่พุทธจะได้มวลมากกว่านี้ แต่เถรสมาคมสร้างบาปเสียเอง มาต้านอาตมา ก็เลยได้แค่นี้ก็เป็นวิบากของโลก ของสังคมไป ก็ไม่มีปัญหาอาตมาพอเข้าใจ เป็นเรื่องที่อาตมาต้องมาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้
เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า คนจะรับสัจจธรรมที่เป็นธรรมะของพุทธเจ้าแท้ๆนี้ได้หรือไม่ ยากแน่แต่ก็ต้องทำ อาตมาเป็นผู้ที่มาสืบทอดธรรมะพระพุทธเจ้าจริงๆ ใครจะหาว่าอวดดีก็ไม่เป็นไรเพราะเขาก็อวดความชั่วกันเยอะแยะ ถ้าจะมีความดีจะให้พวกชั่วเขาอวดอยู่ฝ่ายเดียวทำไม
ผิดศีลก็บาปลึกซึ้ง ผิดนัดก็ทางโลก เท่านั้นเอง
_รับปากคนอื่นแล้วมีเหตุไปตาม รับปากเลยไม่ได้ไป
_กิ่งธรรม...วันนี้อยากจะเล่าของดีเมืองอุบลฯ ขณะอยู่เวร ก็จะมีผู้อำนวยการ สำนักงานสนับสนุนบริการสาธารณสุข เขต 10 พาเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขมาเยี่ยมบ้านราชฯแวะมาโฮ่งปัว มาดูการทำงาน เขาบอกกับผอ.สำนักงานสนับสนุนของจังหวัดอุบลฯว่า ให้พามาดูของดีของจ.อุบลฯหน่อย แล้วเขาก็พามาที่บ้านราชฯ กลายเป็นว่าบ้านราชฯ เป็นของดีของจังหวัดอุบลฯ แต่ตัวเองบอกว่า จริงๆแล้วมันเป็นของดีของโลกมากกว่า เขามาก็ชื่นชมการทำงานของบ้านราชฯ ไปฐานอื่นๆด้วย เขาชื่นชมว่าพวกเราพึ่งพาตนเองได้ ให้พวกเราภาคภูมิใจ
พ่อครูว่า..จริง ถ้าคนที่ไม่มีอคติในจิต จิตไม่ชัง กลางๆ หรือจิตที่มีความเข้าใจและชื่นชอบ ก็มาจะเห็นว่าที่นี่มีของดีเยอะ ที่ว่าของดีนี้พูดอย่างเหมือนคุยตัวหลงตัว แต่ไม่ใช่ เป็นเรื่องจริงเพราะอาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาปลูกฝังให้พวกเราเรียนรู้ปฏิบัติมันก็เลยได้ จนกระทั่งเป็นพฤติกรรมสังคม (สม.กล้าข้ามฝันว่า..ควายยังชอบมากินหญ้าที่นี่เลย เขาว่าหญ้านิ่มดี)
เราไม่มีสารเคมี อย่านึกว่าสัตว์ไม่รู้ อย่านึกว่าวัวควายโง่นะ แต่มันจำนน ก็เลยต้องกินที่มีสารเคมี แต่ถ้ามันเลือกได้มันก็จะเลือก มันรู้นะ
_สมัยก่อนปฏิบัตินั่งหลับตา ครูอาจารย์จะสอนว่าเป็นการพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำก่อน พอมาศึกษากับพ่อท่านก็รู้ว่าเราพรากแต่แบบลืมตาใช่มั้ยคะ
พ่อครูว่า...ใช่ เรามีศีลเป็นตามลำดับ เหมือนไม้ที่ชุ่มด้วยยางสดๆ แช่อยู่ในน้ำ จะทำให้แห้ง จะไปสีไฟมันไม่ขึ้นไม่ได้ ต้องทำให้แห้งก่อน อย่างน้อยต้องเอาออกจากน้ำ มันจะสดไปนาน พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ เป็นรูปธรรมก่อน
สงัดกับปัสสัทธิต่างกันอย่างไร
_สงัดต่างจากปัสสัทธิอย่างไรคะ รูปราคะ อรูปราคะ กิเลสระริกระรี้ในจิตเกี่ยวกับภายนอกด้วยอธิบายด้วยค่ะ
พ่อครูว่า...สงัด ตรงกับภาษาบาลีว่า วิเวก ปัสสัทธิ จะแปลเป็นภาษาไทยว่า สงบ
ภาษาไทย สงัด คือ ห่างพราก จากสิ่งที่มันวุ่นวาย มันกวน กายวิเวกเขาเลยเอากายออกไป จิตวิเวกเขาก็ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่มีภายนอก ก็เลยไม่มีทางรู้กิเลสไม่รู้ขันธ์ 5 ทำอภิสังขารปุญญาภิสังขาร รู้กิเลสกำจัดกิเลสก็ไม่ได้ อุปธิวิเวกไม่มีเลย นิพพานไม่มี เพราะงั้นพวกนี้จึงไกลจากวิเวก แม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ไกลจากวิเวก เพราะเอากาย ร่างทั้งร่างออกไปป่า ก็เป็นความหลงผิดเหมือนกับพวก เดียรถีย์สมัยก่อน ศาสนาพุทธไม่ต้องเอาร่างออกจากหมู่บ้าน ไม่ต้อง แต่แปลกายวิเวก ว่าจิตสงัดจากกาม หากพรากออกจากการสัมผัสไม่ได้ปฏิบัติลดกิเลส สงัดจากกาม เอากายตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสสามัญในปกติชีวิตประจำวัน ไปอยู่ในป่าก็มีการปรุงแต่งน้อย ก็ไม่ได้มีการปฏิบัติจริงตามธรรมชาติ ผิดแล้วยังไม่พอไปนั่งหลับตาไม่มีภายนอกอีก จิตวิเวกก็แล้วยิ่งไปกันใหญ่
สงัดจากกามตัวแรกเริ่มต้น เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คุณก็ยังไม่มีเลย เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรถึงความที่เขาหลงผิดไปไกลแสนไกล ท่านจึงบอกว่าอันนี้คือความข้องอยู่ในถ้ำ ติดอยู่ในอันนี้ พูดอย่างไรก็ไม่กลับกันเลย ในอาหารข้อที่ 4 วิญญาณาหาร ปฏิบัติให้รู้จักรูปนาม แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติให้รู้รูปนามซึ่งเหมือนกับคุณ ที่พระราชาบอกคนเอาฆ่าให้ประหารด้วยหอกร้อยเล่มในตอนเช้ามันก็ยังไม่ตาย ตอนกลางวัน ก็ยังไม่ตาย เอาไปฆ่าอีกตอนเย็นก็ไม่ตายอีก เพราะฉะนั้นคุณจะมาลดกิเลสให้จิตมันสูญ มันดับ มันตาย ดับกิเลส ไม่มีทางเลย คุณไม่รู้จักนามรูป ไม่รู้จักวิญญาณ เพราะฉะนั้นไม่มีสิทธิ์จะตายแม้จะฆ่าด้วย หอก100 เล่มอีกกี่ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น หรือค่ำๆเอาไปฆ่าอีกละกัน
สงัด นี่เริ่มต้น สงัดจากกาม คุณไม่ได้เริ่มต้นไม่มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ของศาสนาพุทธ
ปัสสัทธิ แปลว่า สงบ, สงัด ก็คือทำให้เงียบไปห่างไปจากความวุ่นวาย อันนี้เป็นรูปธรรม ความจริงแล้วต้องสงัดจากกาม ต้องให้เพลาลงจากกาม จนกระทั่งถ้าเรียนรู้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิก็จะเกิดเป็นปัสสัทธิ จะสงบ ไม่ใช่แค่ สงัด มีนัยต่างกันพอสมควร ถ้ารู้รายละเอียด
เราก็เรียนรู้ สงัดจากกามแล้วลดกามลงมา ขั้นหยาบ แล้วมาลดรูปราคะอรูปราคะไปตามลำดับ ก็เข้าหาสงบปัสสัทธิไปตามลำดับ
รูปราคะอรูปราคะ กิเลสระริกระรี้ในจิตเกี่ยวกับภายนอกด้วยอธิบายด้วยค่ะ คือศาสนาพุทธนั้นไม่ได้หลับตาเลย คุณกระทบสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย คุณก็ทำสงบจากกิเลสได้แล้ว ก็เหลือภายในเป็นรูปราคะอรูปราคะ เรียกว่าภวตัณหาคุณก็ทำกิเลสที่เหลือ เรียนรู้กิเลสสัมผัส ไม่ได้ว่าปฏิบัติแบบไม่ลืมตากับทุกสัมผัส ลืมตากระทบสัมผัส แต่กิเลสกามมันไม่เกิดแล้ว หยาบอย่างนี้ไม่มี เหลือแต่ภายใน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ ลึกลงไป รูปราคะ อรูปราคะ เป็นพระอนาคามีก็ไม่ได้นั่งหลับตาปฏิบัติ กระทบสัมผัสเกี่ยวกับโลกสามัญนี่แหละ แต่กิเลสพวกนี้ไม่มีแล้วมันเล่นงานท่านไม่ได้แล้ว ก็เรียนรู้ภายในต่อไป ศาสนาพุทธจึงไม่มีโอกาสใดที่ปฏิบัติในตอนหลับตา เพราะว่าถ้าปฏิบัติลืมตาได้ หลับตามันก็ได้ไม่มีปัญหาอะไรหรอก มันยิ่งสบาย พระอรหันต์เมื่อหลับตาก็มืดอย่างเดียว แม้แต่หลับตาแล้วจะมีแสงสีอะไรมันก็ไม่ใช่ภาวะของพระอรหันต์ เป็นอุปาทาน เพราะหลับตาแล้วคือไม่มีแสงเข้าตา แต่คุณยังรู้สึกมีแสงสีสว่างภายใน เป็นอุปาทานทั้งนั้น
พวกหลับตาปฏิบัติ หลับตาไปแล้ว จะเกิดแสงสีแดง สีม่วง สีเขียว ขยายเล่นเลย หรือจะเป็นความใส แสงใสที่ใช้อย่างธัมมชโยสอน ก็เป็นอุปาทานทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่ https://www.boonniyom.net/4751
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 14:45:39 )
รายละเอียด
630120_รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชฯ ครั้งที่ 86
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่https://www.boonniyom.net/47639.html
_ลูกขี้สงสัย บุคคลที่บรรลุธรรมตั้งแต่ขั้นโสดาบันเป็นต้นไป เมื่ออายุมากขึ้นอาจมีภาวะสมองเสื่อมลง จำอะไรไม่ได้ หรือเป็นโรคทางจิตเช่นภาวะซึมเศร้า ความเป็นพระอริยะยังจะอยู่กับคนผู้นั้นหรือไม่ พระอริยะจะเป็นโรคทางจิตได้หรือไม่คะ คนที่เป็นโรคทางจิตเช่นซึมเศร้า ถึงขั้นเคยอยากฆ่าตัวตาย เมื่อพบแพทย์แล้วรับประทานยาเป็นประจำจะบรรลุธรรมได้ไหมคะ
พ่อครูว่า...ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นศึกษาให้ดีๆสัมมาทิฏฐิจริงจะไม่เป็น จะไม่เป็นโรคทางจิต คือจิตของอาริยะ เป็นสมณะ 4 เหล่าพระโสดาบันเป็นต้นไป จะไม่เป็นโรคจิต ที่ถามมาว่าเป็นโรคจิตนั้นก็คือยังไม่เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วไม่เป็นโรคจิต แต่ถ้าเพียงว่าเรามาศึกษาธรรมะ แล้วเราก็เข้าใจ น่าจะเข้าใจ ว่าภูมิของโสดาบันต้องปฏิบัติอย่างนี้เช่นต้องพ้นสังโยชน์ 3 เป็นต้น หรืออะไรที่เป็นบัญญัติ แต่ตัวเองไม่รู้จักจิตใจ ไม่ได้เรียนรู้ปฏิบัติจิตใจพ้นสังโยชน์ 3 ได้คุณธรรม 8 หรือรู้จักนรก 4 ขุม แล้วสามารถขึ้นจากนรก 4 ขุมนี้ได้ จนกระทั่งเข้ากระแสโสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เป็นโสดาบันอย่างที่ว่าจะไม่เป็นหรอก ที่เป็นก็ยังไม่ได้
สม.กล้าข้ามฝัน...มีข้อคิดให้เราได้คิดหลายอย่าง คุยกับโยมแก้ว ย่าของน้องคิน เขาว่าน้องคินดื้อมาก พอไปปลุก เขาไม่ตื่น ก็คิดว่าจะไปตี แต่เขาก็บอกว่าตัวนั้นมันตื่นแล้วแต่วิญญาณมันยังไม่ตื่น ...เขาก็คุยกับย่าภูมิพุทธ...เขาว่าภูมิเป็นนักร้องแล้วนะ ก็คือเขาว่า ย่าเป็นนักดนตรี เพราะย่าตีภูมิแล้วภูมิก็เป็นนักร้องไง คนที่พูดนี้อายุ 4 ขวบ มีมุขนะ เด็กพวกเราฉลาดมาก เด็กสมุนพระรามถามดูทุกคนอยากเรียนต่อบ้านราชฯหมด อยากถามพ่อครู วันนั้นมีโยมถามว่า การฟังธรรมเป็นอาชีพใช่ไหม พ่อครูตอบว่าการฟังธรรมสำคัญยิ่งกว่าอาชีพการงาน อยากให้พ่อครูเสริมเรื่องนี้
พ่อครูว่า...ที่ว่าการฟังธรรมสำคัญกว่าอาชีพก็เพราะว่า คนเราก็ต้องทำอาชีพเป็นธรรมดาสามัญ หากเราไม่ให้ความสำคัญของการฟังธรรมเราก็จะอยู่เหมือนคนทั้งหลายแหล่
ชีวิตเกิดมาชาติหนึ่งถ้าเราไม่เรียนรู้ธรรมะไม่มีธรรมะ จิตวิญญาณก็จะใฝ่ต่ำ จิตวิญญาณจะไม่รู้ทางที่เจริญ ไม่ว่าอยู่ในศาสนาไหนทั้งนั้น ก็พาให้พฤติกรรมให้จิตใจเจริญทั้งนั้น ศาสนาพุทธสอนให้ดีให้เจริญ ถ้าคนไม่ใส่ใจอันนี้เลย ได้แต่ทำมาหากินเป็นอาชีพแล้วมันจะไปได้อย่างไร ชาตินี้ก็ตายเปล่า คุณทำอาชีพด้วยกิเลสเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวติดเชื้อในโลก ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จมไปเรื่อย ชาติหนึ่งก็หนักเกิดมาให้กิเลสมันผลาญอย่างเดียว มันจึงเป็นความสัมพันธ์อย่างไรก็ต้องมาฟังธรรม หาทางเพิ่มภูมิไม่ให้เราจมไปกับกิเลส
เชื่อไหมว่าคนไม่ได้ศึกษาธรรมะแม้จะศึกษาธรรมะก็ยังไม่ง่ายเลย กิเลสมันเพิ่มตลอดเวลา อยากได้อยากมีอยากเป็น หรือไม่ก็โทสะ ราคะโทสะโมหะเจริญอยู่ตลอดทุกเวลามากหรือน้อย ขนาดมาศึกษาธรรมะแล้วก็ไม่ใช่หยุดง่ายๆเลย มาศึกษาดีๆจะรู้ว่าหากชีวิตไม่ได้ฟังธรรมก็ตกต่ำ เกิดมาชาติหนึ่งสะสมกิเลสตกนรก
พระพุทธเจ้าตรัสว่าคนเราเกิดมาแล้วตายไปจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนั้นยากกว่ายากส่วนมากแล้วตกนรก คนที่เกิดมาเป็นคนแล้วแต่ละชาติ ส่วนที่จะได้เกิดมาเป็นคนอีกเท่ากับมือที่จิ้มลงที่ดินแล้วติดเล็บมา นั่นคือจำนวนคนที่จะได้เกิดมาเป็นคนอีก นอกนั้นเหมือนกับแผ่นดินไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จะต้องไปใช้หนี้วิบาก ก็คือไปตกนรกนั่นแหละ ท่านตรัสไม่ได้เกินความจริง
อาตมาทำให้เกิดสังคมที่เป็นชุมชนมีชีวิตใฝ่ธรรมสำนึกในธรรมะตลอดมา พวกเราเตือนกันตลอดเวลาอันนี้ใช้ได้ ชีวิตไม่สูญเปล่า คนอยู่ข้างนอกจะจมไปกับโลกีย์ จมไปกับกิเลสตลอดเวลา อยู่ในนี้นั้นได้ประโยชน์ได้กำไร เพราะฉะนั้นถึงบอกว่ามาอยู่เถิด ใครที่พอจะมาอยู่ได้แล้ว ต้องมีศีลจึงมาอยู่กับเราได้ คนที่ยังไม่มีศีล ไม่ถือศีลก็มาอยู่กับเราได้ยาก
_กิ่งธรรม...อยากสืบเนื่องจาก sms เมื่อวานนี้ที่มีคนบอกว่า ไม่กล้ามาบ้านราชฯมีงานเยอะ อยากบอกว่าหากบ้านราชฯงานไม่เยอะ พวกเราก็ไม่มาเหมือนกัน พี่มาเพราะว่ามีงานเยอะจึงได้มาช่วยกันทำงานมีงานเยอะนี่สนุกมาก ทำให้กินอาหารได้ดี นอนก็หลับ ไม่ได้ขู่เข็นให้มาทำงาน ขอจิตอาสาทำ อย่าได้กลัว มาเถอะ
พ่อครูว่า...ขอเสริม สังคมบ้านราชฯ จะเป็นสังคมที่คนข้างนอกคิดไม่ถึงหรอก แม้แต่ผู้ที่ศึกษาอโศกยังรู้สึกเลยว่าเรายังเข้ามาได้ยาก คือไม่เข้าใจ ความเป็นจริงแล้วมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมันเป็น บวร ขั้นสาธารณโภคี ซึ่งมันไม่เหมือนกับที่คุณเคยอยู่ บรรยากาศอย่างนี้ไม่มี เป็นความจริงของโลกุตรธรรมที่เดาไม่ได้ อตักกาวจรา นิปุนา คิดเอาเดาเอาไม่ได้
อย่าเพิ่งกลัว ลองมาสัมผัส ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเกรงกลัวไปก่อนหรอก Descendants เดสเซนเป็นเรื่องละเอียดมาก นอกจากคนมีกิเลสมาก เข้ามาอยู่ในบ้านราชฯ ศีลก็ทำไม่ได้ คนที่ยังไม่มีศีล ยังไม่ได้มาก็อย่ามา คนที่ทำศีล 5 ได้เป็นพื้นฐาน หรือคนติดอบายมุขหยาบมาเลิกไม่ได้ก็อย่ามาเลย มีพื้นฐานไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย หากคุณยังติดกินเนื้อสัตว์มาหนักหนาสาหัสก็อยู่ไม่ได้ ถ้าคุณรู้ตัวว่า ไม่กินเนื้อสัตว์เราก็ทำได้ อยู่ข้างนอกเราก็ทำได้คือ ศีล 5 อยู่ข้างนอกก็ทำได้ อบายมุขก็ไม่มีได้ หากรู้ตัวว่าเป็นอย่างนั้นก็มาอยู่ได้ อย่ากลัว ที่คนกลัวว่างานมาก มันเป็นอัตตามานะของคุณ มันเป็นการถือดีถือตัว ถ้าหากเราต้องกลายเป็นคนที่เขาว่าเป็นคนขี้เกียจ ก็เลยกลัวไปก่อนมันถือดี ไม่อยากให้ใครมาว่าเราไม่ดี ไม่ต้องกลัว นายฝากถาม นามสกุลห้ามบอกใคร...มีบางคนในบ้านราชฯมีรถส่วนกลางครอบครองเป็นส่วนตัว จะขอยืมมาใช้บ้างก็อ้างโน่นอ้างนี่ รถไม่ดีบ้าง รวมทั้งรถคันที่เกิดอุบัติเหตุในวันนี้ด้วยรถสภาพดี ควรจะแบ่งให้คนอื่นก็ใช้ด้วย
พ่อครูว่า...แค่นี้ก็อยากจะเตือน อ้างว่าเป็นของส่วนกลางแต่เอาไปเป็นของส่วนตัว ของที่นี่แม้แต่เด็กๆมาใช้พังไปเยอะก็ไม่ต้องห่วงของหรอก เอาไปกองไว้เฉยๆมันก็พังรักษาไว้เฉยๆมันก็พัง เสื่อมไปตามธรรมชาติ มันหวงของขี้เหนียว มันต้องช่วยกันใช้แล้วช่วยกันดูแล
ขอเตือนเลย เรามีคณะดูแลรถส่วนกลาง แม้แต่สมณะก็เคยตั้งให้เป็นผู้ดูแล เสร็จแล้วเอาไปเป็นส่วนตัวแล้วหวงแหน ไม่รู้ว่าจะหวงแหนไปทำไม มันเป็นกิเลส คนมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่เขาก็ไม่เข้าใจว่าอะไร หากให้คุณหวงแหนเก็บไว้มันก็มีกิเลสนะขึ้นก็เสื่อม ของก็ไม่ได้ใช้ เสียคุณค่าเสียเศรษฐกิจต่างๆนานา กิเลสเราก็หนาขึ้นมันไม่ได้เกิดประโยชน์สักด้าน ของที่ควรจะได้ใช้ประโยชน์ก็ไม่ได้ใช้ก็เลยดับเบิ้ลโง่ คนไหนที่มีลักษณะพวกนี้ก็ช่วยกันบอกด้วย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่https://www.boonniyom.net/47639.html
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 15:42:36 )
รายละเอียด
610101_ทวช.งานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน4
อ่านต่อทั้งหมดและ ดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1huPw7DV3x3RxNIrDrxpmhmBdo2H8jOU8JlexuvwMtYQ
ดาวโหลดเสียงที่… https://drive.google.com/open?id=1s6ArqvBJH7nNoQ69HBk9OPIXPVsBH_Ty
ยูทูป
การที่จะทำโยนิโสมนสิการเป็น
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา พระพุทธเจ้าตรัสถึงโยนิโสมนสิการไว้ตรงไหนบ้าง
ในอวิชชาสูตร มีอยู่ใน ปัจจัย สองอันแรกเลยคือ ปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ
ผู้ที่ฟังธรรมะแล้วมี ปรโตโฆษะ อาตมาบอกว่าอาตมาคือผู้ที่อธิบายธรรมะให้คุณฟัง คุณเคยรู้ไหม ฟังแล้วมันมีแปลกมีใหม่จากที่เคยฟังมาไหม บอกว่าวิธีทำใจในใจคือทำอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตอย่างเดียว แต่ทำอย่างตื่นรู้ ชาคริยาแล้วมีธรรมะวิจัย แยกแยะ ในตักกะ แล้วแยกแยะกิเลส กาม พยาบาท มีสิ่งรู้ได้แยกแยะ อ่านหทยรูปแล้วเอาอาการอกุศลนี้ออกได้ ทำทีละปริเฉท ทีละกรอบตากระทบรูป หูกระทบเสียงก็ทำทีละอันให้แม่นๆก็ไม่สับสน แต่ถ้าทำอันนี้ยังไม่รู้ก็ทำอย่างอื่นแล้วไม่รู้เรื่องเสียที จับจนเลอะ กระทบตามีกิเลสไหม มีกิเลสก็ทำให้มันลด กระทบหูก็เช่นกัน
เช่น อันนี้ตากระทบแล้วเห็นว่าอยากได้อยากมีอยากกิน แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าต่อไปถ้ามองแล้วเฉยๆ ชินชา ไม่ได้หมายความว่าสำเร็จนะ แต่ถ้าบาลี ชินชา แปลว่าความรู้ที่ชนะแล้วสำเร็จแล้วนะ แต่ชินชาในภาษาไทย กลายเป็นว่าเฉยด้าน ถ้าเฉยเนกขัมสิตะ เป็นฐานนิพพาน เนกขัมมสิตอุเบกขาแต่ถ้าสัมผัสแล้วเฉยๆ เป็นเคหสิตอุเบกขา รู้แล้วชินชาแล้วที่จริงเอาไปแล้ว 1 ลูก ได้แล้วก็เฉยๆเป็นชินชาโง่ๆโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตระต้องล้างกิเลสแล้วได้ มีคุณสมบัติจิต ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ฟังทันไหม ฟังแล้วไม่ทันแต่มันจะทำสำเร็จก็ถือว่าดี
สัมผัสแล้วจิตเราก็เฉย คนที่ยังรู้สึกว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น เพราะเขามีผลัก ดูดอยู่ แต่คนที่ไม่มีเวทนา 2 รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีตัวอื่นมาผสม ปัญญาคือรู้ความจริงตามความเป็นจริงด้วยเวทนาเดียวก็เป็นปัญญา ปัญญามีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ถ้าเป็นเฉกา คือมีกิเลสมาผสมยังมีเพื่อน 2 ไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่เป็นเอกะ ถ้าหมดกิเลสเป็นหนึ่ง ทำแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง มีเวทนาเดียว ทำอย่างไรจึงจะเกิดเวทนาเดียว
คุณก็มาทำ
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ทำให้ความทุจริต เป็นสุจริตเสมอด้วยการมี
8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
นี่คืออวิชชาสูตรสมบูรณ์ พบสัตบุรุษ ที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
แต่เพราะอวิชชา จึงมีอาหารคือนิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา เพราะจิตเป็นทุจริต 3 เพราะอะไรเพราะไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สะเปะสะปะ ไม่มีความรู้เลยเป็นปุถุชน แม้มาเรียนเป็นเสขบุคคล รู้ในทางปฏิบัติ มีการสำรวมอินทรีย์มีการปฏิบัติก็ต้องพากเพียร สัมผัสให้รู้ ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์
เมื่อมีสัมผัสบริบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะ บริบูรณ์ ก็ทำใจในใจให้บริบูรณ์ คือมีสติสัมปชัญญะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีอินทรีย์ 5 พละ 5 เกิดเป็นผล
ศรัทธา ก็เกิด สัทธินทรีย์ สัทธาพละ บริบูรณ์ด้วย สติสมาธิปัญญา สัทธรรมก็บริบูรณ์ คุณก็สามารถเป็นสัตบุรุษที่บริบูรณ์เอง
ถ้าเผื่อว่า ไม่ได้พบสัตบุรุษ ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ สัตบุรุษ จึงเป็นตัวต้นเลย ถ้าไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรม ก็ไม่สามารถเจริญอะไรต่อไปได้อีกเลย
ทำอย่างไรจึงได้พบสัตบุรุษ กามนิตหนุ่มพยายามแสวงหาพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็มีโชคดีมากเลย ในโชคกลายเป็นเคราะห์ร้ายเพราะอวิชชา พบกับพระพุทธเจ้า โอภาปราศรัยกับพระพุทธเจ้าเจอกัน คุยกันทั้งคืนเลย เสร็จแล้วรุ่งเช้า ต่างคนต่างไป แยกย้ายกันไป มาเป็นกามนิตแบบนั้นเยอะเลย แต่ส่วนมาก ไม่เชื่อว่าเป็น มิตรควรคุย นึกว่าเป็นศัตรูด้วย มาพูดขวางหู พูดไม่เข้าหู ทำไมรู้ว่าไม่เข้าหู เพราะว่าได้ยินใช่ไหม ใช้สำนวนว่าไม่เข้าหูแปลว่าไม่ชอบ โกหก พูดไม่เข้าหู ไม่เข้าแต่ทำไมรู้เรื่อง
คนเราหากไม่รู้จักสัตบุรุษก็น่าสงสารมากเลย สัตบุรุษเกิดมา อัตถิโลเก ในโลกนี้มีไหมหนอ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
อาตมาเป็นผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้า คือโลกโลกุตระกับโลกโลกียะ มันต่างกันอย่างไร อาตมาอธิบายและพยายาม ผู้ที่ฟังรู้เรื่องเข้าใจก็มาสู่โลกโลกุตระโลกใหม่กัน จนกระทั่งเกิด อาตมาไม่ได้บอกว่าโลกนั้นมีอยู่ที่นี่ อาตมาประกาศว่าที่นี่เป็นชมพูทวีป ไม่ใช่แค่โลกเท่านั้นนะ อาตมาประกาศว่าชาวอโศกชุมชนชาวอโศกเป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส
ผู้ที่สามารถที่จะโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจได้อย่างถูกต้อง มีการจัดการจิตใจของเราได้อย่างรู้จัก รูป รู้จักนาม รู้จักสภาพ 1 รู้ สองสิ่งที่ถูกรู้ตั้งแต่ภายนอก สัตว์ ข้าวของ สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 แล้วก็รู้เท่าทันในกิเลสกามคุณ 5 สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย รู้ว่าสัมผัสกับสัตว์กับของ เข้าหลักเกณฑ์ของ 4 แล้วปฏิบัติ 3 ข้อนี้แหละ เป็นเรื่องใหญ่
1.สัมผัสกับของ 2.สัมผัสกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต อุตุนิยามพีชนิยาม รวมเข้าไปเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ที่จริง พืชมันมีชีวิต แต่พูดโดยอนุโลม คุณก็ไม่เกิดกิเลสอะไรกับสิ่งที่เป็น อุตุ ธนบัตร เพชรนิลจินดา ทองหยอง มันเป็นอุตุนิยาม สัมผัสแล้วคนก็เกิดกิเลสได้
ทีนี้สัมผัสกับสัตว์เดรัจฉาน หากว่าคุณอยากเอามากินเอามาเล่นเอามาเลี้ยง กับอยากจะฆ่าอยากจะทำร้ายทำลาย คุณสัมผัสกับคน คนก็คือสัตว์ สามารถทำให้เกิดกามพยาบาทได้ คุณก็ต้องเรียนรู้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติ มีประตูให้ปฏิบัติครบ เรามีทั้งหมดวิจัย โดยวิจัย จิตเจตสิก อาการของจิตให้ออก แล้วอาการมันทำให้เกิดความสุขความทุกข์คือเวทนา ทำให้มันเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา หากคุณไม่ทำมันเมื่อยมันก็พักยก เป็นเคหสิตอุเบกขาหรือหยุดนิ่ง เป็นแบบโลกีย์ แต่เนกขัมมะคือโลกุตระ ปฏิบัติออกจากกามพยาบาท โลกีย์ หากปฏิบัติไม่ถูกต้องไม่เข้าทางไม่สัมมามรรค ก็ไม่ได้ผล ก็ต้องได้เรียนรู้จากสัตบุรุษผู้ที่รู้มาก่อน ให้ออกจาก กาม พยาบาท เป็นเนกขัมมะให้ได้
คนที่ปฏิบัติจะรู้ว่าจิตใจเราออกจากกามและพยาบาทได้หรือไม่ ก็จะต้องอ่านเวทนาในเวทนาให้ได้ จะอ่านเวทนาได้ต้องรู้จักกาย ต้องรู้จักรูปและนาม ศาสนาพุทธตอนนี้น่าสงสารมาก กายก็ผิดเพี้ยนไปแล้ว กายมีแต่รูป อันนี้ผิด กายคือจิต ตามหลักฐานในพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่าคือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล.16 ข.230
คนในยุคนี้ ฟังอาตมาบอกว่า กายคือจิต พระพุทธเจ้าตรัสเอง ว่า กายคือ จิต มโนวิญญาณ แต่เดี๋ยวนี้คนเข้าใจว่า กายคือแต่ภายนอก ไม่ใช่ ต้องดูว่ากายก็คือองค์ประกอบทั้งภายในและภายนอก แต่ไม่ต้องไปพิจารณาภายนอกมาก กิเลสมันอยู่ภายในจิต ต้องพิจารณาภายในจิตให้ชัดเจน แค่อุตุไม่มีกิเลสในนั้น พีชะไม่มีกิเลสในนั้น แม้แต่ สัตว์แบบอเวไนยสัตว์ก็สอนไม่ได้ รู้ธรรมะไม่ได้
ขอถามหน่อยว่ามีเยอะไหม อเวไนยสัตว์ อย่างเป็นผู้รู้ศาสนาก็เยอะ มหาระแบบเคยบอกว่า โพธิรักษ์เป็นใครมาจากไหน ? พออาตมาบอกว่า เป็นใครมาจากไหนก็หาว่าอวด จะปรับอาบัติ บอกว่า อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตนจะปรับอาบัติปาราชิก อีก
เพราะฉะนั้น เอาปรโตโฆษะ อาตมาเป็นโฆษกะ มาประกาศ เทียบกับศาสนาเทวนิยมก็เป็นพระบุตร อาตมาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีสาระเรียกโดยภาษาว่า สารีปุตโต เขาก็หาว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิด จริงๆก็ใช่ อาตมานำสาระของพระพุทธเจ้ามาประกาศ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
ปเวเทนตีติ แปลว่าประกาศแล้วเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ คนที่ไม่รู้แล้วพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาเป็นสารีบุตรมาเกิด แต่อาตมาไม่ใช่สารีบุตร ถ้าใครว่าอาตมาเป็นสารีบุตร อาตมาว่า คุณดูถูกอาตมา อาตมาหากเป็นพระสารีบุตรมาแล้ว กว่าจะมาเกิดเป็นโพธิรักษ์ก็ต้องเกิดมาอีกหลายชาติ แล้วอาตมาก็พอรู้ว่า อาตมาพอรู้ว่าพูดเรื่องอจินไตยพวกนี้คนรู้ได้ยาก แต่ถ้าคุณฟังแล้วเอาไปปฏิบัติให้เกิดการลดกิเลสได้ ก็เอาอันนี้ อันนี้แหละ เข้าใจให้ได้ว่านี่คือกิเลสแท้ นี่คือราคะนี่คือโทสะ อ๋อ นี่คือ วิธีทำให้ ราคะโทสะลด ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้คือวิปัสสนา ทำอย่างนี้คือสมถะ
สมถะทำให้ลดได้ชั่วคราวไม่ถาวร คนธรรมดามันก็เกิดสมถะได้ เวลาเกิดกิเลสราคะโทสะก็ต้องสะกดใจเอาไว้ มากบ้างน้อยบ้าง สะกดได้ไม่หมดก็แสดงออกไป คุณอายก็ต้องกดข่มไว้ว่าไม่ให้เกิดกิเลส คนเรา กดข่มไว้ไม่ให้แสดงออกอยู่แล้ว
ก็ต้องมาเรียนรู้ พลังงานไฟฌาน คนสามารถสร้างได้จนถึงขั้นเป็นสัมประสิทธิ์ Coefficient ก็จะสามารถจัดการกับ ไฟ ราคะโทสะได้ เอาราคะโทสะก่อน วิหิงสาก็ค่อยลด ต้องรู้จักอาการ กาม พยาบาท แล้วทำสมถะก็อย่างนี้ ทำวิปัสสนาก็ได้ถาวร ทำด้วยปัญญา
ว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นพลังงานจริงแต่ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่อัตตาเอ็งเป็นแค่แขกเป็นอาคันตุกะ ไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์เป็นตัวร้ายอยู่แล้ว Kick it out เขี่ยมันให้กระเด็นออกไป แค่ get it out มันไม่ยอมออกหรอก เอามันออกเบาๆไม่ออก ต้อง Kick it out มันจะออกได้ อย่าไปประนีประนอมกับมัน มีปัญญามีวิธี ด้วยศีลตามลำดับ
ให้พ้น สีลัพพตปรามาส เล่นหัวกับมันอยู่ คนนี้ไม่พ้นสังโยชน์ 3 ไม่เข้ากระแสทำให้จิตเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ไม่ได้สักที คนไม่รู้ก็แล้วไป คนรู้แล้วไม่สงสัยว่ามันเป็นกิเลส แต่ก็เลี้ยงมันไว้ เป็นผู้ยินดีในความเนิ่นช้า ปปัญจรามตา
ก็ต้องมีปรโตโฆษะ โยนิโสมนสิการ จัดการกับกิเลสให้มันถึงที่เกิด ในคูหาสยังนี้ มันต้องปฏิบัติในขณะมันเกิดกิเลส ไม่หลับตาปฏิบัตินี้ ไม่ได้ อาตมาเหนื่อยที่จะแก้ปัญหา คนหลงผิด สงสารพระกรรมฐานธุดงค์ ภาษาก็ผิด สงสารพระบ้านที่หลับตา มาเรียนรู้ปฏิบัติ ส่วนหนึ่งก็พอเข้าใจ แต่ส่วนที่เข้าใจผิดก็ไปนั่งหลับตา ยังไม่ลืมตายังไม่ตื่นยังไม่รู้เรื่อง
อ่านต่อทั้งหมดและ ดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1huPw7DV3x3RxNIrDrxpmhmBdo2H8jOU8JlexuvwMtYQ
ดาวโหลดเสียงที่… https://drive.google.com/open?id=1s6ArqvBJH7nNoQ69HBk9OPIXPVsBH_Ty
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:25:37 )
รายละเอียด
610101_ทวช.งานเพื่อฟ้าดิน เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญฯ ตอน4
พ่อครูว่า….นายพันธุ์ กันธิยา(พ่อของคุรุฝั่งบุญ) ได้หาที่นอนไม่ตื่นอีกแล้ว อายุ 87 ปี เสียชีวิต 22.49 น.ที่โฮ่งปัว
ช่วยส่งแบบสอบถาม เพื่องานวิจัยครั้งนี้ งานเพื่อฟ้าดิน หลังทำวัตรเช้าแล้ว ก็เขียนแบบสอบถามส่งกัน ส่งพรุ่งนี้ก็ได้ ภายในวันที่ 2 มกราคม 2561 ส่งที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ ที่เฮือน 00 หรือเฮือนบวร ก็ได้ ส่วนท่านที่ถนัด สะดวกตอบแบบสอบถามทางไลน์ ก็สามารถ สแกนคิวอาร์โค้ด ที่หลังศาลา เราก็ต้องมีการศึกษาวิจัย ตรวจสอบวิจัยกัน เพิ่มความรู้
บทกวี จนแทบเท้า
ในโลกนี้ไม่มีอื่นที่จะยืนหยัดสู้มิรู้ถอย
จนกลายเป็นคนจนคนเลิศลอย
เพื่อจะคอยช่วยคนให้พ้นภัย
สุดเศียรสุดเกล้าแทบเท้าพ่อ
โพธิสัตว์สืบต่อพุทธสมัย
จนสุขจนสำราญเบิกบานใจ
สดุดีปีใหม่แทบเท้าเทอญ ...ไม้ร่ม
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน จะหยุดกิเลสต้องอ่านเวทนา อย่าดับจิต
เราก็มีงานปีใหม่ งานว.บบบ.และงานเพื่อฟ้าดิน ผนวกกันอยู่ อาตมาตั้งประเด็นไว้ เพื่อฟ้าดิน สร้างคนจนสุขสำราญเบิกบานใจ ใช้คำว่า จนสุขสำราญเบิกบานใจ เพราะมีความเป็นมาเป็นไป เพราะถ้ามาจนอย่างทุกข์ทรมาน เป็นคนยากเข็ญ ไม่มีคุณสมบัติเบิกบานสำราญใจ ไม่ใช่จนเพราะเราพยายามจะรวย แล้วเราไม่รวยสักที มีแค่ 2 แสนล้าน ไม่ถึง 3 แสนล้าน มันก็ยังจนอยู่ดี คนพวกนี้ทุกข์ไม่เสร็จ จนแล้วจนรอด จนไม่รู้จักจบจักเสร็จ เพราะจิตของเขาไม่มีหยุดแต่ในความพอเพียง นอกจากไม่หยุดแล้ว ก็ยังใช้กำลังงาน วัตถุของตนเอง กำลังงานร่างกาย ความคิด ใช้เพื่อที่จะรวมกัน เอาออกไป กระจายเป็นเครื่องมืออุปกรณ์ ในการหาเพิ่ม จากที่ตนเองมีอยู่แล้ว ไม่รู้จักจบจักพอ คนพวกนี้ เกิดมามีชีวิตอยู่ ไม่มีทางไปดี มีแต่ทางเติมกิเลสตนเองอยู่ ไม่รู้จักหยุดจักพอ
คนที่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า รู้จักความพอ หยุดกิเลสเราหยุดได้สนิท สมบูรณ์หยุดได้อย่างไม่เกิด ราคะ โทสะ โมหะอีกเลย ก็เป็นอรหันต์ หยุดได้เป็นครั้งคราว และหยุดได้ภายนอก เป็นอนาคามี คุณหยุดได้บ้าง ภายนอก หยุดได้มากขึ้นๆ เป็นสกิทาคามี เริ่มหยุดเป็น เริ่มหยุดได้ เป็นโสดาบัน
รู้จักวิธีหยุด ตามแบบพระพุทธเจ้าโดยตรง ตามฐานความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือจิตมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป โดยเฉพาะจิตที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส เรียกว่าจิต มโนปวิจาร ที่เป็นจิตโลกๆ เรียกภาษาวิชาการว่า เคหสิตะ เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นมา ก็เรียกว่า เวทนา
ความรู้สึกอย่างนั้น ผู้ที่เป็นโสดาบัน ผู้ที่อ่านจิตตัวเองออกว่า จิตมันเกิดแล้วนะ เป็นตักกะ เกิดมาแล้ว เราก็สังกัปปะด้วยราคะ โทสะ โมหะ เราสัมผัสจิตเราแล้ว ก็รู้ว่าจิตเรามีอาการของราคะ โทสะ โมหะ ร่วมปรุงแต่งอยู่ คนนั้นปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็น มีสติสัมปชัญญะ รู้จักการกระทบสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกาย หรือแม้แต่ใจปรุงแต่งตนเอง โดยเฉพาะเบื้องต้น กระทบตาหูจมูกลิ้นกายภายนอก แล้วเราก็มีสติรู้ทัน มีปัญญา หรือมีอัญญา วิเคราะห์วิจัย ทำวิจัยสัมโพชฌงค์ วิเคราะห์จิตของเราออก ว่าในสังกัปปะ มีกามสังกัปปะ เป็นกามวิตก หรือมีพยาปาทะ มีพยาบาทสังกัปปะ เป็นพยาบาทวิตก เกิดร่วมมาด้วย แล้วเราก็แยกให้ออก ต้องแยกนะ ไม่ใช่ไปดับจิตทั้งหมด พอเกิดจิตราคะก็ดับจิตให้หมด อย่างนักสะกดจิต เขาไม่รู้ เมื่อสัมผัสแล้วเกิดด้วยซ้ำไป เขาดับตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้จิตมันหยุดฟุ้งหยุดคิด หยุดจริงๆเลย แล้วเขาก็คิดว่า การหยุดคือ ไม่ให้ทุกข์สุข หรือ อุเบกขาคือให้มีสติ รู้จิตใจตัวเองอยู่ คนที่พอคิดได้ว่า ไม่ถึงขั้นดับจิต ไม่ให้จิตรับรู้อะไรเลย แล้วก็เลยเถิดเข้าใจว่า การดับจิตไม่ให้รู้อะไรเลยคือนิโรธ
แต่ถ้าพยายามจัดการจิต อย่าให้คิดไปในการพยาบาท ถีนมิทธ อุทธัจจะกุกกุจจะ หรือบางคนก็ลืมตาได้ แต่ทำจิตไม่ให้รับรู้ เรียกว่า เข้าสมาธิตาแข็ง สมัยอาตมาเล่นไสยศาสตร์ คนแบบนี้เขายกเป็นอาจารย์ใหญ่ด้วย ชั้นสูง มีญาติโกโหติกา เขายกให้เป็นอาจารย์ใหญ่เลย สมัยนั้นอาตมาก็ไปตามน้ำกับเขา อย่างนั่งสมาธิ ก็ตาแข็งเลย แต่ไม่รับรู้อะไร
ผู้ที่แยกแยะ เนกขัมมสิตเวทนา เคหสิตเวทนา อ่านกาม พยาบาท แล้วมีวิธี ทำจิตใจตัวเอง จะเป็นวิขัมภนปหาน เรียกว่า ลดแรง ลดอาการ ลดอินทรีย์ ของมันลงไป ในกามพยาบาท โดยไม่ต้องไปหลับตา ตาหูจมูกลิ้นกายใจรู้ดี แล้วจับจิตได้ เห็นอาการจิต รู้วิจัยออก มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ ทุกเมื่อ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ที่สามารถทำได้ รู้จักจิตตัวเอง แล้วก็มีอาการ กาม พยาบาท ปรุงแต่งร่วมในจิต แล้วก็ทำให้กาม พยาบาทลดลง
ลดลงด้วยการพิจารณาว่า มันเป็นตัวปลอมในพลังงาน กามพยาบาท เป็นอาคันตุกะ มันเกิดมา เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่น มันไม่เที่ยง ไอ้ตัวนี้แหละ มันเป็นตัวเหตุแห่งทุกข์ ตัวที่ต้องจัดการ ให้ไม่มีเหลือตัวสภาพนี้เลย เรียกว่า ไม่มีตัวตน นั่นคือ ความสำเร็จ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเห็นสภาวะนี้ ไม่ใช่ไปคิดเอา ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงคาถาพยัญชนะบัญญัติ เอามากล่อมให้เบาบาง ไม่ได้เกิดวิปัสสนา ไม่ได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เกิดปัญญา หรือธัมมวิจัย เห็นอาการมันไม่เที่ยง แล้วมีปัญญารู้ว่า เอ็งไม่ใช่ตัวตนของข้า เอ็งอย่ามาสะแหล๋น อยู่ในจิตข้า พลังปัญญา อินทรีย์พละ แล้วกิเลสมันจะกลัว ไม่กล้ามา มันจะมีพลังอำนาจชนะ ทำให้กิเลสลดลง วิราคานุปัสสี ให้กิเลสหมดได้ เป็นนิโรธานุปัสสี เมื่อทำได้ ก็ทำซ้ำซากด้วยว่า ปฏินิสสัคคานุปัสสี ทำซ้ำทำทวน ทำให้มาก อเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง แล้วทำการ สังวรปธาน ปหานปธาน กำจัดสิ่งที่ควรกำจัด ให้สำเร็จ สังวรปธาน ไม่ได้หลับตาเลย มีสติรู้ครบทวารทั้ง 6
ปีใหม่แล้ว ให้รู้ตัวเสียบ้าง ว่าศาสนาพุทธไม่เคยสอนนั่งหลับตาสะกดจิต มันเป็นของนอกรีต ตอนพระพุทธเจ้าเริ่มศึกษาปฏิบัติธรรม ออกป่า เป็นฤาษี ที่นั่งหลับตาสะกดจิต หกปีที่ออกป่าไปนั่งหลับตา มันไม่ใช่ทางบรรลุธรรม ท่านเป็นเพียงออกป่าใช้หนี้วิบากอกุศล ตอนเป็นโชติปาลมานพ ที่ไปลบหลู่พระพุทธเจ้ากัสสปะ เลยมีวิบากต้องมาชดใช้
พุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ปฏิบัติมรรค 7 องค์ แล้วจะสั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ ยังเหลือหลักฐานในพระไตรปิฎกอยู่ แต่อาจารย์ทั้งหลายแหล่ งมงายสั่งสอนสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นบาป ก็พาทำผิด ออกนอกลู่นอกทาง ทำลายศาสนาบาปไม่ใช่น้อย ขอบอกด้วยปรารถนาดีจริงใจต้อนรับปีใหม่ 2561
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน สุริยเปยยาล 7 อันสำคัญ
ผู้ที่สนใจศาสนา จะฟังอาตมาสักกี่คน ฟังด้วยดี มีปรโตโฆสะ ก็จะได้ปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ถูกต้อง การไปสะกดจิตก็เป็นการทำใจในใจ แต่ไม่ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ถ่องแท้แยบคาย ไม่มีทางเกิดมรรคผลแบบพุทธ ไม่สามารถที่จะไปถึงที่เกิด อโยนิโสฯ คำว่าโยนิโสฯ แปลว่า ไปถึงที่เกิด ไม่มีทางไปถึงสัมภวะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในมูลสูตรชัดเจน
_มีโยมถามว่า สมาธิกับสติ ต่างกันอย่างไร
พ่อครูว่า...เดี๋ยวจะตอบ เดี๋ยวค่อยว่ากัน อย่างนี้เรียกว่า ทะลุกลางปล้อง
ในมูลสูตรข้อที่ 1 มีฉันทะเป็นมูลกา ความยินดี ศาสนาพุทธ ถ้าไม่มีความยินดีในการปฏิบัติ ไม่มี 1 ใน 7 ของสุริยเปยยาล
1. มิตรดี ต้องพบมิตรที่บรรลุธรรมจริง ศาสนาพุทธ มองไปตอนนี้ไม่เห็นมีใครจะบรรลุธรรม ที่สามารถแยกแยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สามารถพูดแยกแยะได้ จนคนฟังแล้วสามารถปฏิบัติตาม บรรลุธรรมได้ ส่วนมากก็พูดกันไม่ถูก เพราะมิตรดีสหายดี สหายแปลว่าผู้ทำประโยชน์ มิตรดีคือผู้ร่วมพัฒนาทางจิต เป็นสัตบุรุษต้องเป็นผู้ที่มี สัมมัคตาปฏิปันนา มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมามรรค สัมมาผล เป็นอรหันต์เลย เป็นสัตบุรุษจริง ก็ต้องคบสัตบุรุษก่อน
2. มีศีล คบสัตบุรุษ แล้วต้องให้มามีศีล ไม่ใช่คบสัตบุรุษแล้ว พาให้นั่งหลับตา ปฏิบัติหลับตาจะไปมีศีลได้อย่างไร จะมีสิ่งที่ต้องปฏิบัติมีสัมผัสที่ 6 ปฏิบัติธรรมต้องมีสติ
สติ รู้ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายสัมผัส ปรุงแต่งภายในใจก็รู้ เมื่อรู้แล้วก็อ่านอาการ ลิงค นิมิต ออก มีศีล
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วรู้ อย่างที่อาตมาอธิบายตอนนี้ ก็จะเกิดความยินดี ฉันทะ ยินดีว่า เราได้พบมรรค ปฏิบัติแล้ว สามารถปฏิบัติต่อไปได้
แล้วก็จะอ่านตัวอัตตาออก ในสุริยเปยยาล ต้องได้ฟังสัตบุรุษอธิบาย ไม่อย่างนั้นปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้ ปฏิบัติศีลและเข้าใจ ยินดี มีฉันทะ ทำอัตตานี้ออกได้ เพราะว่ามีทิฏฐิเป็นสัมมา เช่น จิตทำทานก็จะไปเอาสวรรค์วิมาน ผิด ต้องให้จิตไม่เกิดอาการที่จะไปเอา จึงจะเกิดอัตถิทินนัง เกิดทำทานแล้วมีผล ถ้าทำทานแล้วจิตจะเอาสวรรค์วิมานไปใส่จิต ก็ผิด เป็น นัตถิ ทินนัง ทำทานแล้วไม่มีผล คือข้อที่ 1 ในสัมมาทิฏฐิ 10
นัตถิ ทินนัง ยิตถัง หุตัง สุกตทุกฎานัง กัมมานัง ผลังวิปาโก มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา ก็ไม่เกิดการบรรลุ เพราะไม่รู้จัก สัมมาปฏิปัณณา เย อิมญฺจ โลก ปรญฺจ โลก สย อภิญญา สจฺฉิกตฺวา ปเวเทนฺตีตี ไม่ได้คบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรม ไม่ได้รู้โลกนี้โลกหน้าที่ถูกต้อง ไม่เรียนรู้อัตตา
1. ต้องพบสัตบุรุษ 2. รู้แล้วต้องทำ พาปฏิบัติศีล ไม่ใช่พาไปปฏิบัติสมาธิ เมื่อกี้นี้บอกว่า ต้องมีสติ รู้ตาหูจมูกลิ้นกาย อ่านกิเลสได้แล้ว ทำให้กิเลสลดได้ อย่างมีปัญญา มีพลังฌาน ไม่ใช่สะกดจิต ให้จิตทื่อหยุดพลังงานจิต ไม่ใช่
กิเลสลด พลังงานจิตยิ่งเร็ว คล่องแคล่ว เรียกว่า มุทุภูตธาตุ หรือ ปายคุญญตา เวทนาก็ยิ่งคล่องแคล่ว สัญญาก็ยิ่งคล่องแคล่ว สังขารก็คล่องแคล่ว สมาธิของพระพุทธเจ้านั้น กิเลสยิ่งลด จิตยิ่งคล่องแคล่ว เพราะจิตเกิดอุเบกขา เกิด ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ขึ้นจริงๆ จิตจะบริสุทธิ์ขึ้นด้วยเรื่อย มุทุภูตธาตุ รับรู้ก็เร็ว กิเลสไม่มีได้ก็เร็ว ผลที่ทำได้ ธาตุจิตตกผลึก สั่งสมลงเป็นสมาธิ ตั้งมั่น ไม่ใช่เป็นนักสะกดจิต ให้จิตหยุดๆๆ นั่นมันตื้นๆ ง่ายๆพื้นๆ ไม่ได้ลึกซึ้ง ไม่ได้คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับ อย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) ปณีตา (สุขุมประณีต ไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดา มิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะ ผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริง เท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
สงบแบบของพุทธ ต่างจากของฤาษี ไม่มีประโยชน์อะไรต่อโลกต่อสังคม แย่ยิ่งกว่าสัตว์ นั่งหลับตาสะกดจิต เดรัจฉานมันก็ยังทำตามหน้าที่ของมัน แต่นี่ไม่ทำอะไรเลย เกิดมาก็นั่งจุมปุ๊กหนักแผ่นดิน เขาบอกว่าต้องนั่งหลับตาดับให้ได้นิโรธ 7 วัน ไม่ทำอะไรเลยแล้วบอกว่าเก่ง ทำให้ผู้คนพากันหลง พอออกจากนิโรธแล้ว ต้องเอาของมาเลี้ยงยกย่องกัน เป็นศาสนานอกรีต ของพุทธไม่ใช่แบบนี้เลย ที่พูดนี้ไม่ได้บังคับนะ แต่อนุโลมตามแล้วปฏิบัติตามนี้ให้ได้
อาตมาเกิดมาทำงานศาสนา เหมือนยกตัวเอง พูดว่าคนอื่นผิด ก็จำนนต้องพูดความจริง ถ้าไม่พูดความจริง ก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าอันนี้เป็นเรื่องที่ถูก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผิด ต้องเกิดมาเป็นผู้กอบกู้ศาสนา ดีนะไม่ได้บอกเป็นตัวตน ว่าเป็นใครมาเกิด แต่ก็บอกบ้าง บอกว่า อาตมาสืบทอดศาสนามา คนที่เพ่งโทษก็ถือสาได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับใคร ให้ฟังทั้งสองฝ่าย อะไรเป็นธรรมวาที อะไรเป็นอธรรมวาที ก็ตัดสินตามภูมิปัญญาตัวเอง มันมีธรรมชาติของนานาสังวาส สังวาสคือ เป็นพุทธร่วมกัน แต่นานาคือ แตกต่างกัน คุณเป็นคนกลาง เป็นพุทธศาสนิกชน ก็ตัดสินเลือกเอา อันไหนถูกก็มาเอา อันไหนผิดก็ไม่เอา
ก็มีผู้ที่รู้ว่าอาตมาพูดได้ถูก มีคนมาเอา ขนาด ว.บบบ.ก็มีคนประมาณนี้ ก็อบอุ่นพอสมควร เกือบเต็มศาลา น่าจะถึงหนึ่งพันคน ก็ประมาณนี้แหละคนมาฟังธรรมะอาตมา อย่างเก่งๆ สองพันก็หืดขึ้นคอ พันกว่านานๆจะมีสักครั้ง คือ งานปลุกเสกฯ หรือพุทธาภิเษกฯ เดี๋ยวนี้เหลือน้อยลง เพราะผู้ที่เป็นอรหันต์รู้หมดแล้วก็คงจะไม่ได้มา ...ทำไมหัวเราะกัน…ไม่นึกว่าไปรวมกับ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ก็ไปฟังธรรมเพิ่มเติมจากสัตบุรุษ เราก็รู้มาร่วมรับฟัง ก็จะได้ปฏิบัติศีล มีความยินดีเกิดขึ้น มีฉันทะ แล้วได้ลดอัตตา มีสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้นๆ ตามสัมโพชฌงค์ จะเกิดสัมมาทิฏฐิ ไล่เป็นปฏิจจสมุปบาทไปตามลำดับ
จนกระทั่ง พยายามไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท ก็ทำจิต โยนิโสมนสิการ ได้สำเร็จ
คำว่า โยนิโสมนสิการ อยู่ที่องค์ 7 ของสุริยเปยยาล คนไม่ได้ฟัง สุริยเปยยาลก่อน ซึ่งมีมิตรดี ศีล ฉันทะ อัตตา สัมมาทิฏฐิ คุณจึงจะสามารถ โยนิโสมนสิการ หากไม่ได้มีองค์ทั้ง 7 ตอนนี้ ก็ไม่เป็นไปตามลำดับ ที่พระพุทธเจ้าสอน ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 มีสุริยะ จะเห็นดวงอาทิตย์ได้ ต้องเห็นแสงอรุณก่อน ถ้าใครไม่รู้ไม่เห็นแสงอรุณก่อน แล้วดันเจอกับอาทิตย์ดวงโตเลย มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้
ต้องเข้าใจ สุริยเปยยาล 7 ข้อนี้ ตั้งแต่พบสัตบุรุษ แล้วจึงมีศีล
ศีลข้อ 1 คุณจะต้องปฏิบัติได้ มีศีล 5 เป็นเบื้องต้น รู้ว่าเกี่ยวข้องกับสัตว์ อยู่ในโลกนี้ก็ต้องสัมผัสกับสัตว์ ก็จะได้ปฏิบัติธรรม สัมผัสกับของในศีลข้อที่ 2 สัมผัสกับวัตถุที่ไม่ใช่ของๆเรา คุณก็อย่าไปละลาบละล้วงยึดมา ของเราก็ของเรา ของคนอื่นก็ของคนอื่น อย่าไปทำเป็นอกุศลให้เกิด
ศีลข้อที่ 3 เมื่อสัมผัสแล้ว ก็ลดกามคุณ 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสแล้วเกิดกาม เกิดพยาบาทด้วย กามคุณ 5 ก็มีพยาบาท 5 ด้วย พูดแต่กาม ก็อ่านจิตไม่ออก เลยไม่ต้องพูด
พยาปาทะ 5 ต้องลดโทสะก่อนด้วย มีผลัก จนกระทั่ง ไม่เกี่ยวกับ ตาหูจมูกลิ้นกาย ไปปิดทวาร พวกนี้น่าสงสารมาก หมดสิทธิ์ที่จะได้ศาสนาพุทธอย่างสิ้นเชิง นั่งหลับตาปฏิบัติธรรม หลับตานั่งสมาธิแล้วหลงว่าเป็นสมาธิที่เข้าใจว่าเป็นสมาธิของศาสนาพุทธ อริโยสัมมาสมาธิ ผิด 100% 1000% 10000%
สำนักพุทธที่ไหน ไม่นั่งหลับตาทำสมาธิ ถ้าบอกว่าสมาธิ ต้องนั่ง
สติ เป็นองค์ความรู้ศาสนาพุทธ คือ สติ ธรรมวิจัย วิริยะ เป็นสามองค์ ของโพชฌงค์ เป็นฐานที่ตั้ง ให้เกิดสมาธิ ความรู้ของศาสนาพุทธ
_เมื่อวานนี้ท่านบอกว่า สติเป็นตัวเป็นลบ สมาธิเป็นบวก
พ่อครูว่า...ถูกต้อง สติเป็นตัว dynamic เป็นลบ สมาธิเป็นบวก ปัญญาก็เป็นผลของสติ สมาธิ ทำให้ถูกต้อง ก็ได้ผล
อาจารย์ทั้งหลายแหล่ อธิบายบอกว่า ปัญญาจะเกิดในสมาธิ ก็ถูก ปัญญาจะเกิดในธรรมวิจัย เห็นกิเลส เราก็มีธรรมวิจัย ทำให้กิเลสลดได้ ก็มีปัญญาอ่านรู้ ธาตุรู้ที่เห็นรู้ตามอาการจิตต่างๆนี่ คือปัญญา
ผู้ที่ไม่รู้ จะอธิบายอย่างนี้ อย่างอิทัปปัจจยตานี้ ไม่ได้เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เอาอันใดมาร้อยกันได้ นี่ลูกโซ่เส้นนี้ๆ เขาจะอธิบายร้อยเรียงกันไม่ได้อย่างนี้ อย่างในหนังสือ ธรรมพุทธสุดลึก นี้ก็มีหมวดธรรมต่างๆ ไปตั้งแต่ 2 จนถึง 108
เวทนาคือ ฐานในการปฏิบัติ หากไปเอา ดินน้ำไฟลม กสิณ 40 เป็นเรื่องที่ออกนอกรีต ศาสนาพุทธ ในสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร ว่าไว้ว่า ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีการปฏิบัติได้ ผู้ที่รู้ฐานปฏิบัตินี้คือ ผู้ที่ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบ
(พ่อครูหันมาว่า คนฟังที่ทะลุกลางปล้อง ให้หยุดฟุ้งซ่านก่อน) ตัด ออกด้วย
ศาสนาพุทธ มีจุดสำคัญ คือจับกรรมฐานคือเวทนาได้ แล้วมาปฏิบัติ ทีละ 2 เรียกว่าเทวธัมมา แล้วก็ทำเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกัน กับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล. 10 ข. 60 นี่คือ การปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า เข้าเป้าเลย เป็นหนึ่ง มีทางเดียว “มรรค มีองค์ 8” นั้นคือ "ทางเอกทางเดียว ไม่มีทางอื่น" (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ล. 25 ข. 30
ทุกวันนี้ เอาอะไรมาผสมกันก็ไม่รู้ บอกว่าทางปฏิบัติของพุทธมีตั้งหลายทาง ก็บรรลุอรหันต์กันทั้งนั้นแหละ ค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า เอเสวมัคโค นัตถัญโญ คำว่า
นัตถัญโญ แปลว่าไม่มีทางอื่น แล้วก็มีสุริยเปยยาล 7 ก่อน แล้วจะโยนิโสมนสิการได้
หากโยนิโสมนสิการไม่เป็น ก็จะไปทำนั่งสมาธิหลับตา นั่นแหละเป็นทางที่ผิด ไม่ใช่ทางปฏิบัติของพระพุทธเจ้า จึงบอกว่าน่าสงสาร ศาสนาพุทธทุกวันนี้
สื่อธรรมะพ่อครู(อวิชชาสูตร) ตอน ปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการ
พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสถึง สัมมาทิฏฐิ อันแรกว่า ผู้ที่สัมมาทิฏฐิ คือผู้ที่สามารถฟัง ปรโตโฆสะ แล้วจะรู้ว่านี้ถูก อันนี้ดี ท่านสอนมนสิการ ทำใจในใจ ทำอย่างนี้หรือ คนนี้จะสามารถโยนิโสมนสิการเป็น เพราะคนนี้รู้จักสัตบุรุษจริง ว่าท่านสอน เป็นการทำใจในใจ ที่ถูกต้องจริง คุณก็จะหมดอวิชชา ในอวิชชาสูตร ใครจำได้
ได้พบสัตบุรุษ ที่บริบูรณ์ จึงได้ฟังสัทธรรม หากพบอสัตบุรุษ ก็ได้ฟังอสัทธรรม ยิ่งฟังมาก ก็ได้อสัทธรรมมาก สำคัญที่ต้นตอคือสัตบุรุษ
สัตบุรุษก็คือ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือเป็นผู้ที่ สัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 10 อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ก็จะสอนให้ทำทาน อย่างไม่สาเปกโข คือทำทานอย่างไม่ต้องการอะไรตอบแทน ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก ตั้งจิตให้เป็นอุเบกขา ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
ปริสุทธาคือ สัมผัสกับอะไร แล้วทำให้จิต ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ สัมผัสกับพืชพรรณธัญญาหาร จิตก็รู้ว่า อะไรคืออะไร หรือว่ามันเป็น สุภะ เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามีน่าเป็น ก็รู้ว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น แต่ต้องอ่านจิตเราว่า จิตเราเห็นแล้วน่ารับประทาน แล้วคุณก็หยุดแค่น่ารับประทาน เป็นสุภะ แต่อย่าไปทำจิตถึงอยากได้ ก็ถ้าสัมผัส และเป็นของคุณ อยากได้ ของคุณก็ต้องรู้มาก่อน แต่นี่ของใครนี่ แต่ถ้าเป็นของสาธารณโภคี คุณมีสิทธิ์ แต่แม้จะมีสิทธิ์ แต่เป็นของเขาเอามาประดับฉาก เราก็ไปหาอันอื่นได้ไหม ของแบบนี้ น่ากินแบบนี้ ของน่ากิน ก็ไปเอาที่อื่น คนก็ไม่ได้ถือวิสาสะ ให้รู้จักว่านี่ของประดับฉาก เขาใช้งานนี้ เขาเลิกงานแล้วเอาไปได้ ก็เอาไปได้ คุณมีสิทธิ์เอาได้ ก็คุณร่วมอยู่ในที่นี้ ที่นี่เป็นสาธารณโภคี หรือเขาจะเอาไว้ถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเสด็จมา คุณก็ต้องรู้ว่าเขาจะเอาไว้ถวายพระพุทธเจ้า ก็อย่าไปแย่งพระพุทธเจ้าเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องดูอะไรต่ออะไรบ้าง ไม่เช่นนั้นก็ถือวิสาสะ ละลาบละล้วงเกิน ไม่เข้าท่า
อันแรก จะเกิดสัมมาทิฏฐิ ต้องมีปรโตโฆสะ และโยนิโสมนสิการ
คู่นี้เท่านั้น ก็เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่คนทำไม่ถูกต้อง ไม่รู้จักผู้ที่จะอธิบาย ผู้ที่อธิบายนั้นก็คือ โฆษกะ ผู้โฆษณา โฆษก อาตมาเป็นโฆษกตอนนี้
ผู้ที่สามารถฟัง ฟังผู้ที่กล่าว คำที่อธิบายนั้นมันเป็นปรโตโฆสะ อธิบายออกมามันเป็นอื่นอย่างที่เราเคยเข้าใจ คุณเข้าใจมาอย่างอื่น มาฟังอันนี้รู้ว่าใหม่ แปลกไม่เหมือนอย่างมากเลยที่เราเคยเรียนมา เป็นใครหว่า? มาพูดอย่างนี้
แล้วอธิบายไป อธิบายการทำใจในใจ อธิบาย มนสิการ ก็ว่า เออ...ไม่เหมือนเรา เราเข้าใจ โยนิโสฯการทำใจในใจ อาจารย์อื่นสอนมาให้พิจารณาทำอย่างนี้ สอนให้นั่งหลับตาทำสมาธิ หยุดจิต แต่คนนี้ดันมาบอกให้ลืมตาปฏิบัติ มีสติธรรมวิจัย แยกแยะทำเคหสิตะให้เป็นเนกขัมมะให้ได้ มันก็แปลกจากที่เราเคยรู้มา คนละเรื่องเลย คุณก็ฟังด้วยดี แล้ววิจัยดีๆ จนเกิดความเข้าใจว่า อย่างนี้เป็นธรรมวาที ที่เราเคยรู้เคยจดจำและปฏิบัติตามมานานแล้วไม่เห็นจะเป็นโสดาบันซะที ไม่เป็นอรหันต์ซะที แล้วที่นี่ แบบว่าปฏิบัติแล้วจะได้เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มันจริงหรือเปล่า …(โยมตอบว่าจริง)
ที่นี่มั่นใจว่าเป็นจริง จริงๆเราก็เห็นใจอาจารย์ของแต่ละคน เขาก็มั่นใจของเขาทั้งนั้นว่าของเขาถูก ของคนอื่นผิด ก็ต้องอธิบายอย่างมั่นใจ ยิ่งอาจารย์ที่ยึดมั่นถือมั่น เป็นเจ้าสำนักเป็นเจ้าทิฐิ ความรู้ของฉันเท่านั้น ทิฐิของฉันเท่านั้น ของคนอื่นไม่เอาแล้ว คนนี้ก็หมด ปรโตโฆสะ ฟังธรรมะของสำนักอื่นไม่เข้า ฟังก็ฟังไปอย่างนั้น ฟังแล้วไม่ได้เปรียบเทียบกับของตัวเองว่า ก็สู้ของข้าไม่ได้ตลอดกาลไม่เปลี่ยนแปลง
ในความเป็นจริงของโลก พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา ก็เป็นผู้รู้ดีที่สุดของโลก เป็นเจ้าของธรรมะ เป็นธรรมสามีแน่นอน ต่อจากยุคพระพุทธเจ้า ก็มีสาวกพระพุทธเจ้ามาเกิด สืบทอด เป็นสัตบุรุษที่จะเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เอามาปฏิบัติสืบทอดศาสนาพุทธมาเรื่อย ผู้จริงคือผู้จริง ผู้ไม่จริงก็คือไม่จริง แต่ผู้ไม่จริงก็มักบอกว่า ตัวเองจริงเสมอ เช่น อาตมาเป็นต้น คนที่คิดว่าอาตมาก็ไม่จริง อาตมาก็ต้องบอกว่า อาตมาจริง เขาก็ต้องบอกว่าเขาจริง เป็นธรรมดาธรรมชาติ เป็นสิทธิที่ตัวของแต่ละคน ตัดสินเอง ต้องฟังธรรมะทั้งสองฝ่าย ก็มันแตกต่างกัน ฟังสองฝ่ายแล้ว พระพุทธเจ้าให้ตัดสินใจเอา ตัวใครตัวมัน ว่าไหนถูกก็มาเอา อันไหนผิดก็ไม่เอา ผิดทั้งหมดไม่เอาเลย ผิดบ้างถูกบ้างก็เอาบ้าง แต่มันน้อยเสียเวลา ก็มาเอาเวลาฟังสิ่งถูกมากดีกว่า คุณก็รู้ตัว ก็มาทางนี้มากกว่าทางนั้นน้อยกว่า หนักเข้าบอกว่าหาถูกได้น้อย ก็ไม่ไปแล้วทางโน้น ใครที่รู้สึกอย่างนี้บ้าง
ทำไมดูถูกเขานัก...ก็มันดูไม่ผิด จริง เป็นธรรมดาธรรมชาติ
อาตมาทำงานมา ย่างเข้าปีที่ 48 แล้ว ออกบวชตั้งแต่อายุ 36 ปี ตอนนึ้อายุก็ 84 ปีแล้วยังหนุ่มอยู่เลย 84 แล้วยังแจ๋วอยู่เลย
อาตมาไม่คิดว่า อาตมาทำงานได้ตามเกณฑ์ ควรได้มากกว่านี้ มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้อยู่ถึงขั้นโทรทัศน์ส่งไปได้ ผู้ที่รู้ก็ช่วยเผยแพร่ต่อไปอีก เพื่อจะสืบสานศาสนาให้ยืนยาว
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธา ให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการ โดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
การปฏิบัติศาสนาพุทธนั้น มีมนสิการเป็นแดนเกิด ในมูลสูตร 10 มีฉันทะเป็นมูล
1. มีฉันทะ เป็นมูล-รากเหง้า (มูลกา)
2. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ)
3. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) เป็นสมุทัยของมรรค ถึงจะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ได้ ถ้าหากไม่มีมูลสูตรนี้ก่อน เป็นแกนกลาง ที่จะเริ่มปฏิบัติธรรม
หนึ่ง คุณจะต้องยินดี ในการบรรยายในการฟังสัตบุรุษ อย่างอโศก ก็มาฟังอาตมา ก็จะรู้หลักการปฏิบัติ ศีลเป็นหลัก หากไปนั่งหลับตา ตัดทวารทั้ง 5 ไม่มีทางให้เกิดสัมมาสมาธิ หลับตาเป็นทางผิด อาตมาพูดหนัก ถึงขั้นต้องด่า เลิกเสียทีเถอะ
กัมมัฏฐานของศาสนาพุทธ คือเวทนา 108 มีเวทนา ยิ่งรู้ธรรมะ 2 คือ ต้องรู้จักกาย คือองค์ประชุมรูปนาม แต่ถ้าไม่รู้กายตรงนี้ก่อน ก็จะปฏิบัติผิดทาง ทุกวันนี้กลายเป็นศาสนาจารีตประเพณี เป็นกลองอานกะไปหมดแล้ว ไม่มีแก่นสาร ไม่มีเนื้อที่เหลือ มีแต่เรื่องนอก เกินเลย มีแต่ใบ ดอก ผล สะเก็ดคือศีลก็ไม่มี เขาบอกว่า พระมีศีล 227 ข้อ อันนี้ก็ผิดไปแล้ว
ศีลพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธมี 43 ข้อ
จุลศีล 26 มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7 นี่คือศีลของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศีล 227 แต่ทุกวันนี้ บอกว่าศีล 227 กัน ไม่มีแล้ว จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล
มหาศีล คือห้ามทำเดรัจฉานวิชา 7 ข้อ แต่ทุกวันนี้วัดทุกวัดของศาสนาพุทธมีเต็มไปหมดเลย นี่คือศาสนาพุทธที่ยืนยันชัดเจน ถึงปรากฏการณ์ ปาตุสัจจะ ว่าทุกวันนี้เสื่อมสูญไปหมด ก็ไม่รู้จะทำไง เพราะขาดปรโตโฆสะ
_ถามมาว่า น้อยใจภาษาบาลีคืออะไรครับ
พ่อครูว่า...จะเอาไปทำอะไร หรือว่าน้อยใจ คือใจไม่เต็ม จะเอาไปทำอะไร ใจเว้าใจแหว่ง ใจไม่เต็มอะไร น้อยใจคือลูกหมา หรือ? เขาถามภาษาบาลี…
เอาปรโตโฆสะ กับ โยนิโสมนสิการ ต่อ
อาตมาเป็นโฆษกะ ถ้าเป็นศาสนาคริสต์ เขาก็จะบอกว่าเป็นพระบุตร อาตมาเป็นพระบุตร เป็นประกาศก นำศาสนาของพระพุทธเจ้ามาประกาศ แต่อาตมาไม่ได้เป็นศาสดา แม้แต่อาจารย์ อาตมาก็ไม่พยายามจะเป็น ก็เลยให้เรียกว่าครูตั้งแต่ต้น ตอนนี้ก็เหลือ พ่อครู แต่ไม่ได้เป็นยศศักดิ์ทางเถรสมาคมนะ เป็นพ่อครู
พยายามที่จะบอก มนสิการ เป็นตัวหลัก ให้ถ่องแท้แยบคาย ให้ลงไปถึงที่เกิด คือ ปภวะ หรือสัมภวะ คือที่เกิด โยนิโสมนสิการ ใครที่ไม่รู้จัก หทยรูป ไม่รู้จักอาการของจิต จิตไม่รู้จักสถานที่ จิตอยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก มันอยู่ในคูหาสยังนี้ ไม่ได้อยู่ปลายผม อยู่ที่ไหน จับให้ได้ ถ้าใครอ่านอาการจิตออก มันจะมีการเคลื่อน จิตใจมันไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้เจาะจงที่ไหน เขาอธิบายจนกระทั่งจิตวิญญาณนั้นอยู่ที่หัวใจ หัวใจมี 4 ห้อง ก็บอกว่าอยู่ที่ห้องไหน แล้วมีน้ำเลี้ยงสีน้ำเงินประกอบ ช่างปรุงแต่งคำอธิบาย ไปใหญ่
หทยรูป ก็คือมันมีอาการเคลื่อน ในองคาพยพ อาการ 32 นี้จับได้แล้ว เมื่อตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส เป็น ปสาทรูป โคจรรูป เกิดกระทบแล้ว มีภาวรูป 2 แยกให้ได้ มันรวมกันปุ๊บเป็นเวทนา มันปรุงปุ๊บเป็นสังขาร
คนอวิชชา ไม่มีจิตที่แยกเวทนานี้ ก็จะมีกามมาปรุงแต่ง ปรุงแล้วสมในกามก็ชอบ ไม่พอใจก็ไม่ชอบ เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ตรงนั้น ผู้ที่สามารถอ่านอาการนี้ได้ และแยกแยะ รูปนาม นี้ออก ทุก หทยรูป แล้วก็สามารถอ่านตัวที่มัน โดยเฉพาะอาการของอกุศลเจตสิก คุณสามารถจับตัวมันได้ แยกแยะได้ มันยังไม่ตาย มีชีวิตอยู่ในจิตใจเรา เรียกว่าชีวิตรูป มีพลังงาน คือชีวิตินทรีย์ ต้องฆ่าตัวนี้ อกุศลเจตสิกตัวนี้ ไม่ใช่ไปสะกดจิต ไม่ให้มันรู้เรื่อง
ต้องวิจัยแยกแยะ มันเป็นพยาบาทหรือกาม แล้วระงับตัวนี้ ไม่ได้ต้องสะกดอย่างเดียว แต่รู้ได้ด้วยวิปัสสนา มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นแขกจร อาคันตุเก เรารับมันมาตลอด จนมาเป็นเรา คุณก็ต้องจัดการตัวมันนี้ มันมีอะไรเป็นอาหาร
กระทบ โภชเนมัตตัญญูตา กระทบสัมผัสอาหารเป็นคำข้าว มีผัสสะ ก็อ่านมโนสัญเจตนา ว่าเกิดกิเลสไหม ก็แยกแยะกิเลสได้ ทำการจัดการ กามตัณหา ภวตัณหาวิภวตัณหา จนหมด กำหนดรู้รูปนาม ในวิญญาณได้ นี่คืออาหาร 4 เป็นที่อาศัย ในการปฏิบัติ
คนที่เข้าใจการปฏิบัติไม่ผิด มีสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่คือฐานปฏิบัติ กระบวนการปฏิบัติของศาสนาพุทธที่ไม่ผิด คือคุณต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
ต้องมีสิ่งที่เป็น โภชนา อาหารก่อน อุปโภค กับบริโภค ก็ต้องเอาบริโภคก่อน กิเลสอยู่ในอาหาร มีมากที่สุด ตราบใดที่ไม่ได้หลับตา ชาคริยานุโยคะ คุณได้พากเพียร เป็นคนที่จะมีความตื่น มีสัมปชัญญะ มีสัมผัสเป็นปัจจัย ปฏิบัติธรรมอยู่ คนนี้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่ผิด เรียกว่า อปัณกปฏิปทา 3
การที่นั่งหลับตา การปฏิบัตินั้นผิดแล้ว ออกนอกรีต ไม่มีชาคริยา ไม่มีการตื่น มีแต่อยู่ในภวังค์ อปัณกปฏิปทา 3 ใครยังมี สํารวมอินทรีย์ มีสติสัมปชัญญะ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อ่านกิเลสแยกกิเลสออก ทำให้กิเลสลดได้ ตามหลักการพระพุทธเจ้า คือมรรคมีองค์ 8 หรือ ปฏิบัติมรรค 7 องค์ ในขณะทำกรรมการงานอาชีพ ในขณะทำกรรม 3 ทำวาจา ทำสังกัปปะ ไม่ได้ให้หลับตาปฏิบัติเลย แต่เขาปฏิบัติผิดจากหลักการศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่มีให้นั่งหลับตาสะกดจิต อาตมามาทำงาน ไม่ให้ไปนั่งหลับตาสะกดจิต มันได้ผลสำเร็จ ส่วนหนึ่งไหมนี่
อาตมาก็มาไล่ อวิชชาสูตร ครบสายดีกว่า
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการ โดยแยบคายให้บริบูรณ์ คุณมีโยนิโส แยบคาย ถ่องแท้ก็มีมนสิการ อย่างมีผัสสะเป็นปัจจัย มีเวทนาเป็นกรรมฐาน โดยไม่ต้องเสียเวลา หาลูกแก้วกลมๆ พระพุทธรูป หรือลูกไฟ มาสะกดจิต เหมือนคนนอกรีต ให้มีเวทนาเป็นกรรมฐาน ปฏิบัติให้ได้ ตั้งแต่เวทนา 2 กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา
เวทนา 3 เวทนา 5 รู้จักสุขทุกข์ภายในภายนอก รู้อินทรีย์ความเบาแรงของเวทนา
เวทนา 6 เกิดเวทนาได้ ทางทวารทั้ง 6
เวทนา 18 เวทนาทางทวารทั้ง 6 นั้น เกิดได้ทั้งสุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนา 36 ให้เราแยกแยะเวทนา 18 เกิดมีทั้งแบบ เนกขัมมะ และเคหสิตะ อันนี้แหละที่จะต้องอ่าน แยกแยะให้ออก มีวิตกวิจาร วิตกคือ เริ่มเกิดในจิต มีวิจารคือ ต้องแยกพฤติกรรมจิตให้ออก แยะว่าจิตมันตัวนี้ กิเลสมันตัวนี้ แล้วก็ทำให้กิเลสมันดับอย่างเดียว ไม่ใช่ไปดับปนเปกัน ให้แน่นไปอีก สะกดจิตให้แน่นไปอีก ด้วยความไม่รู้ อวิชชายิ่งจะหนาแข็ง แต่ถ้าแยกออกเป็นธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล. 10 ข. 60
ทำเวทนาให้เป็นหนึ่งได้ รวมลงเป็นเวทนาหนึ่งได้ ภวันติสำเร็จเรียบร้อย นี่คือวิธีการของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 นี้ นี่คือกรรมฐานหลัก ไปอ่านให้แตกฉาน ปฏิบัติให้ถูกต้องตามนี้ รับรองคุณบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ได้ ถ้าคุณทำไม่ถูกต้องตรงนี้ ก็เสียเวลาไปชาติ โมฆบุรุษเปล่าๆ สงสารน่าเสียดาย
การที่จะทำโยนิโสมนสิการเป็น
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . . สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา พระพุทธเจ้าตรัสถึง โยนิโสมนสิการ ไว้ตรงไหนบ้าง
ในอวิชชาสูตร มีอยู่ใน ปัจจัย สองอันแรกเลย คือ ปรโตโฆสะ กับ โยนิโสมนสิการ
ผู้ที่ฟังธรรมะแล้วมี ปรโตโฆสะ อาตมาบอกว่า อาตมาคือผู้ที่อธิบายธรรมะให้คุณฟัง คุณเคยรู้ไหม ฟังแล้วมันมีแปลกมีใหม่จากที่เคยฟังมาไหม บอกว่า วิธีทำใจในใจ คือทำอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตอย่างเดียว แต่ทำอย่างตื่นรู้ ชาคริยา แล้วมีธรรมวิจัย แยกแยะ ในตักกะ แล้วแยกแยะกิเลส กาม พยาบาท มีสิ่งรู้ได้แยกแยะ อ่านหทยรูป แล้วเอาอาการอกุศลนี้ออกได้ ทำทีละปริเฉท ทีละกรอบ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็ทำทีละอัน ให้แม่นๆ ก็ไม่สับสน แต่ถ้าทำอันนี้ยังไม่รู้ ก็ทำอย่างอื่น แล้วไม่รู้เรื่องเสียที จับจนเลอะ กระทบตามีกิเลสไหม มีกิเลสก็ทำให้มันลด กระทบหูก็เช่นกัน
เช่น อันนี้ตากระทบ แล้วเห็นว่าอยากได้ อยากมีอยากเป็น แต่ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าต่อไป ถ้ามองแล้วเฉยๆ ชินชา ไม่ได้หมายความว่าสำเร็จนะ แต่ถ้าบาลี ชินชา แปลว่า ความรู้ที่ชนะแล้ว สำเร็จแล้วนะ แต่ชินชาในภาษาไทย กลายเป็นว่าเฉยด้าน ถ้าเฉยเนกขัมสิตะ เป็นฐานนิพพาน เนกขัมมสิตอุเบกขา แต่ถ้าสัมผัสแล้วเฉยๆ เป็นเคหสิตอุเบกขา รู้แล้วชินชาแล้ว ที่จริงเอาไปแล้ว 1 ลูก ได้แล้วก็เฉยๆ เป็นชินชาโง่ๆโลกีย์ ถ้าเป็นโลกุตระ ต้องล้างกิเลสแล้วได้ มีคุณสมบัติจิต ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ฟังทันไหม ฟังแล้วทำไม่ทัน แต่มันจะทำสำเร็จ ก็ถือว่าดี
สัมผัสแล้วจิตเราก็เฉย คนที่ยังรู้สึกว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น เพราะเขามีผลัก ดูดอยู่ แต่คนที่ไม่มีเวทนา 2 รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีตัวอื่นมาผสม ปัญญาคือ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ด้วยเวทนาเดียวก็เป็นปัญญา ปัญญามีหนึ่งเดียวไม่มีสอง ถ้าเป็นเฉกา คือมีกิเลสมาผสม ยังมีเพื่อน 2 ไม่เป็นหนึ่งเดียว ไม่เป็นเอกะ ถ้าหมดกิเลสเป็นหนึ่ง ทำแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง มีเวทนาเดียว ทำอย่างไรจึงจะเกิดเวทนาเดียว
คุณก็มาทำ
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์ ทำให้ความทุจริต เป็นสุจริตเสมอด้วยการมี
8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์ (อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
นี่คือ อวิชชาสูตรสมบูรณ์ พบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
แต่เพราะอวิชชา จึงมีอาหารคือนิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา เพราะจิตเป็นทุจริต 3 เพราะอะไร เพราะไม่สำรวมอินทรีย์ 6 ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สะเปะสะปะ ไม่มีความรู้เลยเป็นปุถุชน แม้มาเรียนเป็นเสขบุคคล รู้ในทางปฏิบัติ มีการสำรวมอินทรีย์ มีการปฏิบัติก็ต้องพากเพียร สัมผัสให้รู้ ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์
เมื่อมีสัมผัสบริบูรณ์ มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ก็ทำใจในใจให้บริบูรณ์ คือมีสติสัมปชัญญะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีอินทรีย์ 5 พละ 5 เกิดเป็นผล
ศรัทธา ก็เกิด สัทธินทรีย์ สัทธาพละ บริบูรณ์ด้วย สติสมาธิปัญญา สัทธรรมก็บริบูรณ์ คุณก็สามารถเป็นสัตบุรุษที่บริบูรณ์เอง
ถ้าเผื่อว่าไม่ได้พบสัตบุรุษ ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ สัตบุรุษจึงเป็นตัวต้นเลย ถ้าไม่ได้พบสัตบุรุษ ไม่ได้ฟังสัทธรรม ก็ไม่สามารถเจริญอะไรต่อไปได้อีกเลย
ทำอย่างไร จึงได้พบสัตบุรุษ กามนิตหนุ่มพยายามแสวงหาพระพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็มีโชคดีมากเลย แต่โชคกลายเป็นเคราะห์ร้าย เพราะอวิชชา พบกับพระพุทธเจ้า โอภาปราศรัยกับพระพุทธเจ้า เจอกันคุยกันทั้งคืนเลย เสร็จแล้วรุ่งเช้าต่างคนต่างไป แยกย้ายกันไป เป็นกามนิตแบบนั้นเยอะเลย แต่ส่วนมากไม่เชื่อว่าเป็นมิตรควรคุย นึกว่าเป็นศัตรูด้วย มาพูดขวางหู พูดไม่เข้าหู ทำไมรู้ว่าไม่เข้าหู เพราะว่าได้ยินใช่ไหม ใช้สำนวนว่าไม่เข้าหู แปลว่าไม่ชอบ โกหก พูดไม่เข้าหู ไม่เข้าแต่ทำไมรู้เรื่อง
คนเราหากไม่รู้จักสัตบุรุษ ก็น่าสงสารมากเลย สัตบุรุษเกิดมา อัตถิ โลเก ในโลกนี้มีไหมหนอ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
อาตมาเป็นผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้า คือโลกโลกุตระ กับโลกโลกียะ มันต่างกันอย่างไร อาตมาอธิบาย และพยายาม ผู้ที่ฟังรู้เรื่องเข้าใจก็มาสู่โลกโลกุตระ โลกใหม่กัน จนกระทั่งเกิด อาตมาไม่ได้บอกว่าโลกนั้นมีอยู่ที่นี่ อาตมาประกาศว่า ที่นี่เป็นชมพูทวีป ไม่ใช่แค่โลกเท่านั้นนะ อาตมาประกาศว่า ชาวอโศกชุมชนชาวอโศกเป็นชมพูทวีป มีสุรภาโว สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส
ผู้ที่สามารถที่จะโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจได้อย่างถูกต้อง มีการจัดการจิตใจของเราได้อย่างรู้จักรูป รู้จักนาม รู้จักสภาพ 1.รู้ 2.สิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่ภายนอก สัตว์ ข้าวของ สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย กามคุณ 5 แล้วก็รู้เท่าทันในกิเลสกามคุณ 5 สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย รู้ว่าสัมผัสกับสัตว์ กับของ เข้าหลักเกณฑ์ของศีล แล้วปฏิบัติ 3 ข้อนี้แหละ เป็นเรื่องใหญ่
1.สัมผัสกับสัตว์ 2.สัมผัสกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต อุตุนิยาม พีชนิยาม รวมเข้าไปเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ที่จริงพืชมันมีชีวิต แต่พูดโดยอนุโลม คุณก็ไม่เกิดกิเลสอะไรกับสิ่งที่เป็น อุตุ ธนบัตร เพชรนิลจินดา ทองหยอง มันเป็นอุตุนิยาม สัมผัสแล้วคุณก็เกิดกิเลสได้
ทีนี้สัมผัสกับสัตว์เดรัจฉาน หากว่าคุณอยากเอามากิน เอามาเล่น เอามาเลี้ยง กับอยากจะฆ่า อยากจะทำร้ายทำลาย คุณสัมผัสกับคน คนก็คือสัตว์ สามารถทำให้เกิดกามพยาบาทได้ คุณก็ต้องเรียนรู้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติ มีประตูให้ปฏิบัติครบ เรามีธรรมวิจัย โดยวิจัย จิตเจตสิก อาการของจิตให้ออก แล้วอาการมันทำให้เกิดความสุขความทุกข์ คือเวทนา ทำให้มันเป็น เนกขัมสิตอุเบกขา หากคุณไม่ทำ มันเมื่อยมันก็พักยก เป็นเคหสิตอุเบกขา หรือหยุดนิ่ง เป็นแบบโลกีย์ แต่เนกขัมมะ คือโลกุตระ ปฏิบัติออกจากกามพยาบาท โลกีย์ หากปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่เข้าทาง ไม่สัมมามรรค ก็ไม่ได้ผล ก็ต้องได้เรียนรู้จากสัตบุรุษ ผู้ที่รู้มาก่อน ให้ออกจาก กาม พยาบาท เป็นเนกขัมมะให้ได้
คนที่ปฏิบัติ จะรู้ว่าจิตใจเราออกจากกามและพยาบาทได้หรือไม่ ก็จะต้องอ่านเวทนาในเวทนาให้ได้ จะอ่านเวทนาได้ ต้องรู้จักกาย ต้องรู้จักรูปและนาม ศาสนาพุทธตอนนี้น่าสงสารมาก กายก็ผิดเพี้ยนไปแล้ว กายมีแต่รูป อันนี้ผิด กายคือจิต ตามหลักฐานในพระไตรปิฎก ตถาคตเรียกกายว่า คือจิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง ล. 16 ข. 230
คนในยุคนี้ฟังอาตมาบอกว่า กายคือจิต พระพุทธเจ้าตรัสเองว่า กายคือ จิต มโนวิญญาณ แต่เดี๋ยวนี้คนเข้าใจว่ากายคือแต่ภายนอก ไม่ใช่ ต้องดูว่ากายก็คือองค์ประกอบทั้งภายในและภายนอก แต่ไม่ต้องไปพิจารณาภายนอกมาก กิเลสมันอยู่ภายในจิต ต้องพิจารณาภายในจิตให้ชัดเจน แค่อุตุไม่มีกิเลสในนั้น พีชะไม่มีกิเลสในนั้น แม้แต่สัตว์แบบอเวไนยสัตว์ก็สอนไม่ได้ รู้ธรรมะไม่ได้
ขอถามหน่อยว่า มีเยอะไหม อเวไนยสัตว์ อย่างเป็นผู้รู้ศาสนาก็เยอะ มหาระแบบ เคยบอกว่า โพธิรักษ์เป็นใคร มาจากไหน? พออาตมาบอกว่าเป็นใคร มาจากไหน ก็หาว่าอวด จะปรับอาบัติ บอกว่าอวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน จะปรับอาบัติปาราชิกอีก
เพราะฉะนั้น เอาปรโตโฆสะ อาตมาเป็นโฆษกะมาประกาศ เทียบกับศาสนาเทวนิยม ก็เป็นพระบุตร อาตมาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีสาระ เรียกโดยภาษาว่า สารีปุตโต เขาก็หาว่าอาตมาเป็นพระสารีบุตรมาเกิด จริงๆก็ใช่ อาตมานำสาระของพระพุทธเจ้า มาประกาศ อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
ปเวเทนตีติ แปลว่า ประกาศแล้ว เป็นคนอย่างนั้นจริงๆ คนที่ไม่รู้แล้วพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาเป็นสารีบุตรมาเกิด แต่อาตมาไม่ใช่สารีบุตร ถ้าใครว่าอาตมาเป็นสารีบุตร อาตมาว่าคุณดูถูกอาตมา อาตมาหากเป็นพระสารีบุตรมาแล้ว กว่าจะมาเกิดเป็นโพธิรักษ์ ก็ต้องเกิดมาอีกหลายชาติ แล้วอาตมาก็พอรู้ว่าเคยเกิดเป็นใครบ้าง พูดเรื่องอจินไตยพวกนี้ คนรู้ได้ยาก แต่ถ้าคุณฟังแล้วเอาไปปฏิบัติ ให้เกิดการลดกิเลสได้ ก็เอาอันนี้ อันนี้แหละ เข้าใจให้ได้ ว่านี่คือกิเลสแท้ นี่คือราคะ นี่คือโทสะ อ๋อ นี่คือวิธีทำให้ราคะโทสะลด ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้คือวิปัสสนา ทำอย่างนี้คือสมถะ
สมถะทำให้ลดได้ชั่วคราว ไม่ถาวร คนธรรมดามันก็เกิดสมถะได้ เวลาเกิดกิเลสราคะโทสะ ก็ต้องสะกดใจเอาไว้ มากบ้างน้อยบ้าง สะกดได้ไม่หมดก็แสดงออกไป คุณอายก็ต้องกดข่มไว้ว่าไม่ให้เกิดกิเลส คนเรากดข่มไว้ไม่ให้แสดงออกอยู่แล้ว
ก็ต้องมาเรียนรู้พลังงานไฟฌาน คุณสามารถสร้างได้จนถึงขั้นเป็นสัมประสิทธิ์ Coefficient ก็จะสามารถจัดการกับไฟราคะโทสะได้ เอาราคะโทสะก่อน วิหิงสาก็ค่อยลด ต้องรู้จักอาการกามพยาบาท แล้วทำสมถะก็อย่างนี้ ทำวิปัสสนาก็ได้ถาวร ทำด้วยปัญญา
ว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา มันเป็นพลังงานจริงแต่ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่อัตตา เอ็งเป็นแค่แขก เป็นอาคันตุกะ ไม่ใช่ตัวจริง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นตัวร้ายอยู่แล้ว Kick it out เขี่ยมันให้กระเด็นออกไป แค่ get it out มันไม่ยอมออกหรอก เอามันออกเบาๆ ไม่ออก ต้อง Kick it out มันจะออกได้ อย่าไปประนีประนอมกับมัน มีปัญญามีวิธี ด้วยศีล ตามลำดับ
ให้พ้น สีลัพพตปรามาส เล่นหัวกับมันอยู่ คนนี้ไม่พ้นสังโยชน์ 3 ไม่เข้ากระแส ทำให้จิตเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ไม่ได้สักที คนไม่รู้ก็แล้วไป คนรู้แล้วไม่สงสัยว่ามันเป็นกิเลส แต่ก็เลี้ยงมันไว้ เป็นผู้ยินดีในความเนิ่นช้า ปปัญจรามตา
ก็ต้องมีปรโตโฆสะ โยนิโสมนสิการ จัดการกับกิเลสให้มันถึงที่เกิด ในคูหาสยังนี้ มันต้องปฏิบัติในขณะมันเกิดกิเลส ไม่หลับตาปฏิบัตินี้ ไม่ได้ อาตมาเหนื่อยที่จะแก้ปัญหา คนหลงผิด สงสารพระกรรมฐานธุดงค์ ภาษาก็ผิด สงสารพระบ้านที่หลับตา มาเรียนรู้ปฏิบัติ ส่วนหนึ่งก็พอเข้าใจ แต่ส่วนที่เข้าใจผิด ก็ไปนั่งหลับตา ยังไม่ลืมตา ยังไม่ตื่น ยังไม่รู้เรื่อง
อาตมาเอาประเด็นใหญ่ มานั่งหลับตามันผิด พูดมา 48 ปี ยังไม่สะดุ้งสะเทือน ยังนั่งอยู่ มีมาแค่นี้ ถ้าเราจะไปนั่งหลับตาสะกดจิต เราก็ทำได้บ้าง หลับตามีประโยชน์อะไร
ประโยชน์ของการฝึกสมาธิ แบบสะกดจิตให้สงบ (เจโตสมถะ)
1. ได้พักผ่อนแบบสงบจิต มีอุปการะมาก
2. ศึกษาเพิ่มทักษะ ในเจโตสมถะ และใช้ตรวจอ่านภาวะจิตต่างๆ ในภวังค์
3. เอื้อให้ปฏิบัติเตวิชโช (ทบทวน) ได้อย่างดี บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ คุณต้องทบทวน กิเลสอันไหนเรากระทบแล้วเกิดกิเลส แต่ก่อนกระทบเธอกิเลสเกิด แต่ตอนนี้สามปีแล้ว กระทบแล้วไม่เกิดกิเลส เราอรหันต์เสียแล้ว
Happy new year. จบ
ยูทูป
https://youtu.be/p-y6NVQ00GA
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:28:00 )
รายละเอียด
610105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1mfFZDOnzvtJuVoM9_LN2aSOiI3JgphMbu4MwZWYfvAs
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1F7oNr7T8UsZoXaZILUC6dSSQHlPLd2Ie
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อยู่อย่างคนรวยนั้นเป็นบาป
_รถแห่ หาดใหญ่ 28 ธ.ค. 2560 ...ผมไม่ได้ยึดติดกับวัดใด ศึกษาจากภิกษุเฉพาะผู้ปฎิบัติดีทุกวัด แต่เมื่อมาเจอสมณะชาวอโศก ผมขอฟันธงเลยว่า
ไม่มีที่ใดในโลกที่จะปฎิบัติได้ดีเท่ากับชาวอโศก กุฎิเรียบง่ายไม่พกย่ามกางร่ม ไม่รับเงินไม่มีตู้บริจาค ฉันมังสะวิรัตวันละมื้อ อาหารที่ฉันนั้นฉันแบบไม่สนใจในรสชาติเพื่อดับกิเลสจริงๆ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน มีผู้ให้ร้ายสันติอโศกต่างๆนาๆและข่าวลือ หรือตัดต่อคลิปบางช่วงบางตอนมาให้ดู กล่าวหาว่า พ่อครูอวดอ้างเป็นอรหันต์ต้องปาราชิก
พ่อครูว่า... ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น อาตมาก็เป็นคนจริงไม่เป็นคนที่ปลอม เพราะศาสนาพุทธกระแสหลักเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผิดจริง อาตมาก็มาอธิบายว่าอย่างนั้นผิด มันก็เลยเกิดกระแสต่อต้านกัน อาตมาไม่มีอำนาจ ทางโน้นมีอัตตาธิปไตยโลกาธิปไตยเต็มเลยแต่อาตมามีแต่ธรรมาธิปไตย ธรรมรักษาอาตมาอยู่ ธัมโมหเวรักขติ ธรรมะจาริง ก็เลยอยู่ได้ ทำอย่างสบายๆ ทำได้ตรงๆ ตำหนิได้อย่างนิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ยกย่องสิ่งที่ควรยกย่อง ทางโน้นก็มีแต่สิ่งผิด เมื่อพูดก็เลยเหมือนว่าเขา พูดสิ่งที่ดีที่ถูก มันก็ตรงกับสิ่งที่เราเป็นอีก ก็ต้องเลือกพูดให้ใช้เวลาที่มีเท่าที่ได้ ก็มีคนจะให้อาตมาอายุ 200 ปีนะ อาตมาก็ว่าคงไม่ไหว วันนี้ให้หมอฟันตรวจเขาก็บอกว่าฟันอายุได้ถึง 150 แน่นอน แต่เหงือกไม่ค่อยดี บอกว่าสีฟันสะอาดดีครับ อาตมาได้คำชมจากหมอฟันมาหลายคนว่าสีฟันสะอาด มีหมอฟ้ารัก และอีกหลายคน บอกว่าทำอย่างไรรักษาฟันได้ดีอย่างนี้ วิธีของอาตมาก็ว่าคือกินอาหารมื้อเดียวและแปรงฟันทีเดียว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรทำให้ฟันไม่สะอาดอีก เหตุมันถูกต้องผลมันก็เลยเป็นอย่างนี้
ทีนี้เมืองไทยขณะนี้ด้วยภูมิธรรมอาตมา อาตมาว่า เมืองไทยดีที่สุดในโลก สงบและเจริญสูงสุดในโลก น่าสงสารอเมริกามาก ย่ำแย่ไปเรื่อยๆ ที่เขาบอกว่าเจริญๆ แม้แต่อังกฤษเขาสู้ประเทศไทยไม่ได้
ประเทศไทยอยู่สงบดีที่สุดเลย เศรษฐกิจก็ดี ที่เขาบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ fake เป็นการหาเรื่อง ข่าวลวง หาเรื่องทำข่าว ทำอะไรออกมาว่าเศรษฐกิจไม่ดี
เมืองไทยนี้เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจคืออะไร อาตมาก็ยังไม่รู้จะว่าอย่างไร ผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจท่านบอกว่า ให้ประเทศไทยจะรวยหมดไม่มีคนจนเลย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าจะให้คนรวย อาตมาว่าพูดทางนี้มันก็เป็น คอนเซ็ป หรือ paradigm ที่ใช้ไม่ได้แล้ว มันเป็นแนวคิดที่ พูดออกไปเต็มๆว่า เป็นความคิดองค์รวม ที่มันไม่ใช่
ธรรมชาติของคนนั้น ต้องอยากรวยกันทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาแต่รวยทุกคน แล้วคุณจะไปทำให้คนรวยทุกคนได้ไหมในโลก ...ไม่ได้
การจะรวยนั้นแต่ละประเทศเป็นบาป บาปคืออะไร แต่ละประเทศหาทางเอาเปรียบประเทศอื่นเพื่อสร้าง GDP ให้แก่ตัวเองทั้งนั้น นี่บาปแล้ว ประเทศสร้างเศรษฐกิจด้วยบาป ทุกประเทศ แม้แต่ประเทศเล็กน้อยก็อยากจะสร้างเศรษฐกิจแบบนั้น ก็บาปน้อย แต่ประเทศที่ได้เปรียบมาก ก็บาปมาก การตั้งใจเอาเปรียบเขา ตั้งใจโลภ ทำความโลภให้สมโลภ ก็บาปแล้ว กิเลสโลภก็หนาอ้วน แล้วชีวิตของคนไทยมีแนวคิดว่าจะให้กิเลสโต มันเจริญหรือไง พูดกันด้วยภาษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าก็ชัดเจนเช่นนี้
การจะแก้ปัญหาด้วยการให้คนไปรวย ไปสร้าง คอนเซ็ป กระบวนทัศน์ paradigm ให้คน หวังว่าจะรวยคิดจะรวยในอนาคต ไปสร้างกระบวนทัศน์อย่างนี้มันก็เจ๊งสิ ไม่ใช่มันต้องบอกให้คนลดลง อย่าไปคิดรวย ต้องคิดอยู่กับความน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
มาเป็นคนมักน้อย กล้าจน ความจนไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ อโศกมาเป็นคนจน พวกคุณมาเป็นชาวอโศกนี่รวยมากขึ้นหรือลดลง ก็ลดลง มันถึงจุดสันตุฏฐิ ไม่เหมือนก่อน พลังงานความอยาก กระสันแย่งชิงเอามามาก เอาเปรียบมาก เหมือนกับแต่ก่อนมันลดลงใช่ไหม นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องให้คนมาจนอย่างนี้ ในหลวงเราคือศาสตร์พระราชา
ต้องบริหารประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ ด้วยแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่คือ ปราชญ์พระองค์จริง พยายามเงี่ยโสตสดับพระราชดํารัส เอามาคิดพิจารณาให้ดี
อาตมาก็สงสารประเทศไทย ผู้ที่จะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ประกาศว่าต่อไปคนไทยจะก้าวหน้า จะรวยๆ ก็ผิด ประเทศไหนก็ตาม ถ้าทำคนในประเทศให้ลดน้อยลงมีน้อยลง จนลงๆ แต่อยู่ดีกินดีมีเลี้ยงตัวพอกินพอใช้ ตามศาสตร์พระราชา พอกินพอใช้พอเพียง รู้จักความพอเหมาะพอดีไหม มันคือสุดยอดของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ไม่ใช่ไปมีความต้องการ เป็นปากเปิดปากกรวย ไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ด้วย แล้วก็บ้าวิ่งไล่ตามเงา โดยไม่เป็นผลสำเร็จ เหน็ดเหนื่อย หมาหอบแดดตายเปล่าด้วย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงเป็นสมบัติผลัดกันชม คนนี้แย่งได้มากรวยคนนี้ได้น้อย แต่ก็ไม่ยอมหรอก จะต้องพยายามให้รวย พอได้รวยอีกคนก็จนลง ก็เป็นสมบัติผลัดกันชม พูดสั้นๆ แต่ที่จริงมีปฏิกิริยาลูกโซ่ยาวกว่านี้ อิทัปปัจจยตา แต่ก็จะเป็นทิศทางนี้
เพราะฉะนั้นคนไหนที่มาคิดให้ได้ คิดให้ได้ว่า ถ้าจะเป็นคนที่ไม่ต้องรวย จะบอกว่าจนเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีกินมีใช้ ..ไม่ใช่..ชาวอโศกที่เป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ดูสินี่กินได้ทั้งนั้น
เทคโนโลยีกินไม่ได้ ในหลวงของเราถึงได้ตรัสว่า เราไม่เอาหรอก ก้าวหน้าที่เป็นอุตสาหกรรม ก้าวหน้าแบบนั้นเราไม่เอา มันมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง เป็นพระราชดำรัสที่ลึกซึ้งมาก ผู้ที่จะเข้าใจตามพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเป็นชาวอาริยะเป็นชาวศิวิไลซ์แท้ๆ เป็นโลกุตรชน อาริยชนจริงๆ จึงจะเข้าใจพระราชดำรัสได้
ประเทศไทยเป็นผู้เจริญ มีแต่คนดูถูกเอาไปสร้างวัตถุ สร้างอาวุธเก่งสร้างเครื่องหลอก เทคโนโลยีหลอกคน จนกระทั่งทุกวันนี้ อันนี้ ตั้งแต่มันมีมา อาตมาไม่เคยรู้เรื่องไม่เคยมีสักอัน ไม่เคย ไม่เป็นด้วย ไม่รู้เรื่อง แต่ใครเขาจะมาเกี่ยวข้อง จะใช้ก็มา ให้ดูและใช้ตามอย่างนั้น แต่ตนเองไม่ต้องพึ่ง แต่มันมาให้เราเกี่ยวข้องก็ต้องร่วมไปกับโลก แต่ตนเองอาตมาว่าอาตมาไม่พึ่งอันนี้ มันทำให้คนมักง่ายใจเร็วด่วนได้ ทุกวันนี้คนเสื่อมไปไกล เห็นแก่ตัวไม่ยุ่งกับใคร จนจะเดินชนรถเขาพัง รถชนคนพวกนี้รถพังนะไม่ใช่คนพัง ก็คนมันด้านมันแข็งมาก
ต่อมา
_กันตวรรณ การเป็นผู้ให้ หรือเป็นผู้รับ เป็นทางเลือกสองทางคู่ขนานกันในดวงชาตาอย่างเดียวกัน
คุณจะป่วยเองรอคนมาช่วย หรือคุณจะไปช่วยผู้ป่วย คุณจะเป็นเจ้าหนี้ หรือเป็นลูกหนี้
คุณจะเป็นโจทย์ หรือจำเลย ฯลฯ เหล่านี้เรามีสิทธิ์เลือกเองได้ครับ
พ่อครูว่า...เราเลือกได้นะ ว่าจะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ เราเป็นผู้ให้ก็เป็นเจ้าหนี้ เราจะเป็นโจทก์หรือจำเลย ทุกวันนี้ ท้วงตู่เขาอยู่ทุกวันนี้ มีข้อหาให้แก่สังคมมนุษย์อื่นทุกวันนี้ เรามีสิทธิ์เลือกเองได้
SMS
_0499 หนูไม่ชอบฝรั่งตั้งแต่เกิด หนูเคยกินมังส.ฯ บริสุทธ์ 4 ปีครึ่ง วิบากมาเพียบเกือบตาย เกินฐาน ตอนนี้เริ่มทานมังส.ฯอนุบาล ทั้งที่ตอนนี้หนูเป็น สว.สอบตกอ่ะ
_6451 ตื่นตาตื่นใจไม่คิดว่าจะมีในประเทศนี้ผลประโยชน์เป็น0
พ่อครูว่า..ถ้าคนไทยคิดบ้าง อโศกอวดตัว แต่ก็จริงที่บอกสิ่งที่ตนเองเป็น ยถาวาทีตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาการี จะทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เราเป็นผู้ที่ ผลประโยชน์เป็นศูนย์ ถ้าทำได้ถึงแล้ว อย่างพวกเรามาทำงานในนี้ ไม่มีรายได้ไม่เอารายได้ มีชีวิตสบายไปแต่ละวัน อาตมาว่าแต่ละคนอยู่ในชุมชนก็สมบูรณ์แล้ว สำเร็จในการสร้างเศรษฐกิจ สังคมกิจ รัฐกิจ อยู่อย่างบริหารเป็นรัฐศาสตร์ เป็นสังคมที่สุขสบาย สงบ มีกินมีใช้พอเพียง ไม่ได้โลภ ไม่ได้ต้องการมากมายกว่านี้ มีความพอ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
เป็นคนมีน้อย อัปปิจฉะ ไม่ต้องมีมาก มีพอถาวร
ปวิเวกะ คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
ชาวอโศก ถ้าจะพูดถึงหลักเกณฑ์ ธรรมะแล้ว จบอรหันต์แล้ว สังคมอโศกเป็นสังคมอรหันต์ไปแล้ว คือมีกตญาณแล้วจบกิจแล้วรู้แล้วว่าเราจบแล้ว อยู่สบาย ก็ไม่ต้องคิดกังวลอะไรทั้งนั้น บริหารอยู่กันอย่างนี้ สบาย ไม่มาก สงบสบาย ไม่ต้องแย่งชิงใคร แล้วอย่างสร้างสรรค์ เหลือไปแจกจ่าย คนอยู่ที่นี่ทำแล้วไม่ต้องมีรายได้ส่วนตัว ทำได้ให้ส่วนกลางบริหารไปเลย เป็นเศรษฐกิจที่จัดสะพัดไปสู่ข้างนอก สร้างโรงเรือน อาคาร บวร อาคารที่จะให้เกิดการสะพัด ให้เป็นที่จะเรียกว่า การค้าสินค้าร้านค้าขาย ประชารัฐ เราก็ทำ ไม่ได้สร้างเพื่อหาเงินหาทองให้แก่ตัวเอง สร้างเพื่อเป็นอาคารให้แก่ประชาชน ประชาชนสามารถมาค้าขายได้ อาตมามีบารมีเท่านี้ ถ้ามีบารมีมากกว่านี้จะสร้างอาคารใหญ่ในเมือง แต่บารมีอาตมาได้แค่ชายขอบ ไกลหน่อย สร้างอาคารใหญ่ 11 ไร่ จะไปสร้าง 11 ไร่ในเมืองไม่มีเงินพอ ไปสร้างอาคารใหญ่อย่างนี้ยิ่งไม่ได้ ก็เลยมีที่ตรงนี้ สร้างตรงนี้ให้เป็นตลาด เป็นที่ค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นค้าขายสินค้า สินค้าแห้งหรือสินค้าสด ทำไว้สองข้าง ก็มาจองได้ เราก็จะคัดเลือกหน่อย ว่าจะเป็นผู้มาค้าขายอาศัย ที่นี่มีเงื่อนไขข้อแม้หลักเกณฑ์บ้างเท่านั้นเอง ก็เชิญมาติดต่อ หรือว่า มาค้าขายได้เลย เพราะเราทำอาคารที่ใช้ได้แล้ว
ส่วนตอนแรก ข้างล่างจะเป็นร้านค้า ข้างบนจะเป็นการศึกษา แต่ก่อนว่าจะสร้างมหาวิทยาลัย เป็นห้องวิจัย เป็นห้องแลป แต่ตอนนี้ก็ล้มเลิกเจตนานี้แล้ว ...พอ.. บารมีเราเท่านี้ ก็หยุด ก็เลยกลายเป็นที่กว้าง เชิญเลยทางจังหวัดจะมาใช้งานอะไรก็ได้เลย ไม่ใช่พูดอวดโต แต่มันมีมาแล้ว ก็เลยว่าจะมาใช้ก็เชิญเลย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ก็มาใช้ได้เลย ก็อยู่ในอำเภอวารินชำราบ ยินดีที่จะร่วมมือกับทางรัฐ หรือแม้แต่ประชาชน ก็เชิญมาร่วมใช้สอยทำประโยชน์ร่วมกันอาศัยสถานที่เพื่อเป็นอาคารใช้สอย เท่าที่รู้อยู่ก็มีแต่การศึกษากับการค้าขาย แต่ไม่ใช่ทำเพื่อพรรคการเมือง สมาชิกอาศัยยังไม่เอา ทำให้แต่ทางราชการกับประชาชนแค่นี้ก่อน นี่คือสิ่งที่อาตมาพูดเหมือนคุยตัว แต่ก็จริงใจผลประโยชน์เป็นศูนย์ ไม่เคยคิดว่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากอาคารนี้
_6242 ช้อบ..ชอบ..ฟาย3ตัว.. น่ารักอ่ะ!! ยิ้มน้อย..ยิ้มหญ่าย(มีลวดจัดฟันด้วย)..ยิ้มยากกก.. ฝากชื่นชม...ในความคิดสุดบรรเจิดของคนต้นคิด..ต้นเรื่อง..มีฝีมือปั้นระดับเทพ...ค่ะ อิอิ/ตุ๊กAS
พ่อครูว่า..คนปั้นเขาเรียนจบศิลปากรมาทั้งพี่ทั้งน้องไม่ว่าจะเป็นสัตว์ต่างๆในนี้
_จาก คนที่กำลังเห็นความเป็นฤาษีเริ่มผุดเกิดมีในใจ ... พระคุณท่านครับ ความทุกข์ที่เกิดในใจ จากการอยู่ร่วมในหมู่คณะที่เราเข้าไปเลือกอยู่ด้วยแล้วที่มันมีเรื่องให้ต้องต่อสู้ในใจ คือ ระหว่างความเห็นที่ไม่เสมอกัน เหตุหลัก ๆ คือ การไม่ค่อยจะเปิดใจฟังกันและกันให้จบครบกระบวนความแล้วก็โดนฟันธง สับทิ้ง ถูกปัดออกไปเลย หรือ ยิ่งเจอความเห็นที่ใหญ่กว่ากวาดทิ้ง กับ ความทุกข์ที่เกิดจากบุคคลมีศีลไม่เสมอสมานกันหากต้องมาอยู่ในที่เดียวกัน
ความทุกข์ด้านใด ? จะลึก หรือ มากกว่ากันครับ ? และ ทั้งสองด้านจะพิจารณาหาทางเอาหมวดธรรมข้อใด แนวปฏิบัติใด ? มาแก้ใจที่เป็นทุกข์ให้หมดไปได้ครับ
กราบขอบพระคุณครับผม
พ่อครูว่า…คุณถามรวมหมดเลย เท่ากับอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าไปหมดเลย อาตมาไม่ไหว นะ อธิบายให้ไม่ได้ ไม่เก่งพอ ก็ขอตอบว่า คุณเอาของคุณก็แล้วกัน คุณมีอันใดก็จัดการแก้ไขของตนเองอย่าไปคิดเผื่อกว้าง เอาอะไรมามากมาย คุณจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร ถึงเอาเรื่องมากๆนั้นมาใส่หัว เอาของคุณก่อนเถอะ นะ ขออภัยที่ตอบตรงๆสั้นๆ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1mfFZDOnzvtJuVoM9_LN2aSOiI3JgphMbu4MwZWYfvAs
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1F7oNr7T8UsZoXaZILUC6dSSQHlPLd2Ie
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:36:47 )
รายละเอียด
610105_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สุดยอดวรรณะกรรมโลกุตระของโลก
สมณะเดินดินว่า…วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 พวกเราก็เป็นผู้รอดชีวิต เพราะในปีใหม่นี้ก็มีผู้ที่เสียชีวิตไปหลายร้อยคน ในอุบัติเหตุ
ในช่วงที่ผ่านมาถือว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยขยับตัว มีพระผู้ใหญ่ ออกมาทำงาน ไม่ให้พระบวชเล่นๆ หรือว่า ขายพระเครื่อง แต่ก็มีพระที่ไปเสกกระเป๋าถือแทนพระเครื่อง ในขณะที่มีเรื่องดีๆก็มีเรื่องร้ายๆมาผสม นายกฯเปิดใจกับสื่อมวลชนเร็วๆนี้ ว่าตนเองไม่ใช่ทหารแล้ว ตนเองเป็นนักการเมือง ตั้งแต่เป็นนายกฯ ชีวิตหมดความเป็นส่วนตัว ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน กลางคืนพักผ่อนนอนก็ไม่เต็มตื่น มีเรื่องในหัวเยอะ มีงานต้องคิดต้องวางแผนตลอดเวลา อาหารก็กินได้น้อยลง แต่ไปตรวจสุขภาพหมอก็บอกว่าไม่เป็นไร คนที่ศรัทธาก็บอกว่าไม่มีนายกคนไหนทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้ แต่คนที่ไม่ศรัทธาก็บอกว่าใครมากำหนดชีวิตท่าน พวกนักการเมืองก็ยิ่งยำท่านใหญ่เลย บอกว่ากลืนน้ำลายตัวเอง บอกว่าตั้งใจจะสืบทอดอำนาจ ก็แล้วแต่มุมมอง แต่วันนี้เราคงจะได้ฟังธรรมะสองจะเป็นธรรมะ 1 ได้อย่างไรจาก พ่อครู
พ่อครูว่า...วันนี้ อาตมาคิดว่า น่าจะพูดถึงเรื่องของ การเมือง มากหน่อย อาตมาก็รู้สึกว่าประทับใจที่นายกตู่ กล้าอาจหาญกล่าวว่า ผมเป็นนักการเมือง อาตมารู้สึกสบายใจ ที่ประกาศต่อสาธารณชน โดยตนเองก็เป็นเบอร์ 1 ของประเทศขณะนี้ และกล่าวไปต่อสาธารณชน มันเป็นเรื่องที่จริงใจจริงจัง และเป็นเรื่องที่จะต้องทำงานนั้นให้ดี เท่ากับประกาศไปแล้วก็บอกว่า จะทำงานนี้ให้จริง และทำงานนี้ให้ดี อาตมาเข้าใจตามประสา อาตมานะ ผู้ที่เจตนาประกาศอย่างนี้ต่อสาธารณชน ในขณะที่ตนเองทำหน้าที่นี้อยู่จริง ไม่ต้องไปพูดเรื่องว่าเป็นทหารจำเป็นต้องมาเป็นนักการเมืองเท่านั้นนะ ไม่ต้องพูดเลย ตอนนี้พูดว่าผมเป็นนักการเมืองเลย อาตมาก็โล่งอก
แล้วอาตมาก็เข้าใจท่านประยุทธ์ ว่าเป็นผู้มีจิตใจอย่างไร ตามประสาอาตมา ท่านพูดกล่าวอย่างนี้ จึงเป็นคำที่อาตมาเห็นน้ำหนัก สื่อถึงความจริงใจตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติงาน ไปจากที่กล่าวไปแล้วเป็นต้นไป เพราะฉะนั้นก็เชื่อว่าประเทศไทยจะมีอะไรดีๆขึ้นมาอีก ไม่ใช่มาพูดเอาใจ แต่พูดกันอย่างจริงใจ อาตมาเห็นนายกมา เท่าที่อายุอาตมา อาตมาเกิด ปี 2477 ก็เห็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่มตั้งไข่มา ก็ 83 ปีกว่าแล้ว ก็เห็นนายกฯมา 29 คน
ในความจริงใจที่ทำประชาธิปไตย ทุกคนก็ทำตามเต็มที่ตนเอง ไม่ว่าจะนายกคนไหนก็แล้วแต่ ทำงานประชาธิปไตยเต็มที่ แต่ก็เป็นประชาธิปไตยตามภูมิปัญญาตามกิเลสแต่ละคนก็ได้แค่นี้นะ อย่างทักษิณเขาก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เขาก็หลงเพ้อพูดไป ทั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอะไรเลย ความรู้ทางสัจธรรม ก็ต่ำมาก นึกว่าตนเองสูงฉลาดในทางธรรมด้วย แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ ในทางโลก เข้าใจว่าตนเองเป็นประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ เป็นประชาธิปไตยเก๊แสนเก๊ ทางธรรมะก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง มันก็ยิ่งแย่ใหญ่ เหมือนกับธัมมชโย ทางธรรมก็ไม่รู้เรื่อง ทางโลกก็เละเทะ ไม่มีความรู้ทางธรรมะแต่แสดงตนเองว่ามีธรรมะ แล้วเอาไปใช้กับโลก เลยเอาโลกมาปนกับธรรมะเละเลย คนที่ไม่เข้าใจก็หลงไป มันเป็นเครื่องปรุงแต่ง โดยเอาอวิชชา เอาความโง่ของมนุษย์ มาปรุงแต่ง แล้วคนโง่ เป็นธาตุเดียวกับที่เขาปรุงแต่งมันก็ไปด้วยกัน
อย่างทักษิณก็ตอนนี้แน่จริงแล้วทำไมต้องหลบลี้หนีหาย ตนเองกลัวที่จะต้องมาเปิดเผย รับวิบากตนเอง แม้แต่ทางการเมืองก็ถูกพิพากษาลงโทษติดคุกไปแล้ว เหมือนกันเลยสำหรับเส้นทางพี่ชายและน้องสาว ทางด้านธัมมชโยก็เป็นรูปรอยเดียวกัน เป็นแต่เพียงเขาชะลอไว้เท่านั้นเอง ก็คงจะเกรงใจมากกว่าเห็นว่าเป็นพระเป็นเจ้า ที่จริงเป็นปาราชิกไปแล้ว โลกทุกวันนี้มันสับสนจริงๆ สิ่งที่มันไม่ถูกต้อง เละเทะ แล้วก็อยู่กับความเละเทะ อาตมาบอกตรงๆว่าสะอิดสะเอียนจริงๆ ก็เลยบวชแล้วอยู่ด้วยกับทางเถรสมาคมไม่ไหว ก็เพราะมันเน่า ก็เลยลาออกมาด้วยความจริงใจ อาตมารู้ตัวว่าไปทำอะไรในวงการศาสนากระแสหลักของเถรสมาคม อาตมาถ้าอยู่ต่อไปทำงานไม่ได้ มาบวชแล้วทำงานไปพอสมควร 4 ถึง 5 ปี บวช 2513 พอ พ.ศ.2518 ก็ประกาศแยกตัว เป็นนานาสังวาสแล้ว แต่เพราะความขี้โกงของเถรสมาคม ก็เลยฟ้องร้องเราทำให้เสียเวลาอีก แต่อาตมาก็ทำงานต่อสู้ไปด้วยสัจจะ เอาความจริงเข้าต่อสู้ จนกระทั่งทุกวันนี้ถือว่า สบายแล้ว ทำงานไปได้ตลอด จนกว่าจะตาย
อาตมามั่นใจว่า สูตร E=C(mc2+A) เป็นสูตร Coefficient ต่อจากไอน์สไตน์ เป็นนามธรรม เป็นพลังงานทับทวีก้าวหน้าเป็น Coefficient ที่สูงยิ่งกว่า ก็ขนาด สูตรของไอน์สไตน์คนก็ยังไม่ค่อยจะรู้ได้ง่ายๆ จนตายจากไปแล้ว อาตมาก็ว่ายิ่งยาก ละเอียดกว่าแต่ก็ต้องทำ เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมของโลกของมนุษยชาติ ทำงานมาจนถึงวันนี้ อายุก็ปูนนี้อาตมาก็ยังว่าอาตมามีพลังเต็ม ที่ตั้งใจทำงาน อย่างที่รู้ๆเห็นๆ คงไม่ได้ทำอย่างเสียไม่ได้.. ไม่นะ.. อาตมาว่า อาตมาตั้งใจทำเต็มที่ตลอดเวลา ไม่เหยาะแหยะ เพราะอาตมาเห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษยชาติ และใครจะเห็นว่าอาตมาหลงคลั่งไคล้พระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นไร อาตมาก็จะบอกว่าคลั่งไคล้ธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นไร อาตมารับเลยไม่เถียงไม่แย้ง อาตมาพอใจภาคภูมิใจสิ่งนี้ที่สุด และก็พยายามเอาสิ่งนี้สาธยายแจกจ่าย ให้คนเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์ ถ้าสามารถได้โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกอย่างสำเร็จหมดไม่ว่าจะเศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ ครบ อยู่ในนี้หมดเลย เรื่องของมนุษยชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ในตัว มีเหตุมีผลครบ
ทุกอย่างมาแต่เหตุ คำนี้ของพระพุทธเจ้าก็คือวิทยาศาสตร์ 100% ถ้าหากมนุษย์ได้องค์รวมความรู้ศาสตร์นี้แล้ว เขาจะอยู่กับมนุษยชาติอย่างไม่ถ่วงโลก มีแต่ทำให้โลกดีที่สุด
อาตมาพาพวกชาวอโศกทำ ไม่เหมือนชาวพุทธกระแสหลักจริงๆ เพราะนั่นยังเป็น โลกียะ นี่เป็นโลกุตระ ขออภัยไม่ได้พูดข่มยกตน แต่พูดสัจธรรม อาตมามั่นใจว่ามีผลสำเร็จ ในชาวอโศก มีผลได้จริง ไม่ใช่ว่าพูดแล้วไม่มีผลให้สัมผัส แต่ชาวโลกเขาไม่ค่อยเข้าใจ ศาสนาทั่วโลกมีศาสนาพุทธศาสนาเดียวที่เป็นโลกุตระ แต่ในเมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ได้ผิดเพี้ยนไปมากแล้ว ขนาดชาวไทยยังไม่ค่อยเข้าใจชาวอโศกเลย ไม่ต้องไปพูดถึงต่างประเทศ ที่เป็นเทวนิยม Deism กับ Atheism มันคนละทิศทางเลย เดินหันหลังชนกันแล้วเดินกันไปคนละข้าง
โลกุตระจึงเป็นธรรมคุ้มครองโลก เพราะไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตัว แต่สร้างสรรค์ขยันเพียร ทำสมรรถนะมีความสามารถสูง และไม่หวงแหน มีแต่เพื่อมวลประชาชน ถ้าผู้ที่สามารถปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าสำเร็จ บรรลุอรหันต์ แม้ไม่เป็นอรหันต์ ก็จะรู้แล้ว ผู้นั้นจะมีชีวิต โดยไม่ต้องสะสม มีชีวิตไม่ต้องมีอะไรเป็นของตัวเองเลย จะอยู่กับสังคมกับโลกได้ อยู่ได้อย่างสบาย ก็ไม่กังวลว่าจะอยู่ไม่รอด ทำงานให้กับผู้อื่นให้กับสังคมประเทศชาติอย่างเดียว ชีวิตให้ผู้อื่นดูแลเลี้ยงดูไว้ ปรปฏิพัทธาเมชีวิกา อย่างอาตมา จะนั่งนอนเดินกิน ก็มีผู้กำกับให้หมด อาตมาก็มีหน้าที่ทำงานเพื่อผู้อื่น เขาจะช่วยเหลือดูแลเลี้ยงดูไว้ เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด เป็นนักการเมืองหรือฆราวาสทำงานให้สังคมไปไม่ต้องกลัวว่าใครจะไม่ช่วยดูแลเลี้ยงดูไว้ ทำเพื่อประชาชนอย่างจริงใจจริงจัง ทุกคนจะพร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมช่วยเหลือ เกื้อกูลตลอดเวลาไม่ขาดไม่เกินหรอก จะได้ตามที่ บารมี องค์ประกอบจะมีได้ เป็นอย่างนั้นอย่างแท้จริง
ก็มาอ่าน sms
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อยู่อย่างคนรวยนั้นเป็นบาป
_รถแห่ หาดใหญ่ 28 ธ.ค. 2560 ...ผมไม่ได้ยึดติดกับวัดใด ศึกษาจากภิกษุเฉพาะผู้ปฎิบัติดีทุกวัด แต่เมื่อมาเจอสมณะชาวอโศก ผมขอฟันธงเลยว่า
ไม่มีที่ใดในโลกที่จะปฎิบัติได้ดีเท่ากับชาวอโศก กุฎิเรียบง่ายไม่พกย่ามกางร่ม ไม่รับเงินไม่มีตู้บริจาค ฉันมังสะวิรัตวันละมื้อ อาหารที่ฉันนั้นฉันแบบไม่สนใจในรสชาติเพื่อดับกิเลสจริงๆ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกัน มีผู้ให้ร้ายสันติอโศกต่างๆนาๆและข่าวลือ หรือตัดต่อคลิปบางช่วงบางตอนมาให้ดู กล่าวหาว่า พ่อครูอวดอ้างเป็นอรหันต์ต้องปาราชิก
พ่อครูว่า... ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น อาตมาก็เป็นคนจริงไม่เป็นคนที่ปลอม เพราะศาสนาพุทธกระแสหลักเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผิดจริง อาตมาก็มาอธิบายว่าอย่างนั้นผิด มันก็เลยเกิดกระแสต่อต้านกัน อาตมาไม่มีอำนาจ ทางโน้นมีอัตตาธิปไตยโลกาธิปไตยเต็มเลยแต่อาตมามีแต่ธรรมาธิปไตย ธรรมรักษาอาตมาอยู่ ธัมโมหเวรักขติ ธรรมะจาริง ก็เลยอยู่ได้ ทำอย่างสบายๆ ทำได้ตรงๆ ตำหนิได้อย่างนิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง ตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ ยกย่องสิ่งที่ควรยกย่อง ทางโน้นก็มีแต่สิ่งผิด เมื่อพูดก็เลยเหมือนว่าเขา พูดสิ่งที่ดีที่ถูก มันก็ตรงกับสิ่งที่เราเป็นอีก ก็ต้องเลือกพูดให้ใช้เวลาที่มีเท่าที่ได้ ก็มีคนจะให้อาตมาอายุ 200 ปีนะ อาตมาก็ว่าคงไม่ไหว วันนี้ให้หมอฟันตรวจเขาก็บอกว่าฟันอายุได้ถึง 150 แน่นอน แต่เหงือกไม่ค่อยดี บอกว่าสีฟันสะอาดดีครับ อาตมาได้คำชมจากหมอฟันมาหลายคนว่าสีฟันสะอาด มีหมอฟ้ารัก และอีกหลายคน บอกว่าทำอย่างไรรักษาฟันได้ดีอย่างนี้ วิธีของอาตมาก็ว่าคือกินอาหารมื้อเดียวและแปรงฟันทีเดียว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรทำให้ฟันไม่สะอาดอีก เหตุมันถูกต้องผลมันก็เลยเป็นอย่างนี้
ทีนี้เมืองไทยขณะนี้ด้วยภูมิธรรมอาตมา อาตมาว่า เมืองไทยดีที่สุดในโลก สงบและเจริญสูงสุดในโลก น่าสงสารอเมริกามาก ย่ำแย่ไปเรื่อยๆ ที่เขาบอกว่าเจริญๆ แม้แต่อังกฤษเขาสู้ประเทศไทยไม่ได้
ประเทศไทยอยู่สงบดีที่สุดเลย เศรษฐกิจก็ดี ที่เขาบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ก็ fake เป็นการหาเรื่อง ข่าวลวง หาเรื่องทำข่าว ทำอะไรออกมาว่าเศรษฐกิจไม่ดี
เมืองไทยนี้เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจคืออะไร อาตมาก็ยังไม่รู้จะว่าอย่างไร ผู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจท่านบอกว่า ให้ประเทศไทยจะรวยหมดไม่มีคนจนเลย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าจะให้คนรวย อาตมาว่าพูดทางนี้มันก็เป็น คอนเซ็ป หรือ paradigm ที่ใช้ไม่ได้แล้ว มันเป็นแนวคิดที่ พูดออกไปเต็มๆว่า เป็นความคิดองค์รวม ที่มันไม่ใช่
ธรรมชาติของคนนั้น ต้องอยากรวยกันทั้งนั้น ตั้งหน้าตั้งตาแต่รวยทุกคน แล้วคุณจะไปทำให้คนรวยทุกคนได้ไหมในโลก ...ไม่ได้
การจะรวยนั้นแต่ละประเทศเป็นบาป บาปคืออะไร แต่ละประเทศหาทางเอาเปรียบประเทศอื่นเพื่อสร้าง GDP ให้แก่ตัวเองทั้งนั้น นี่บาปแล้ว ประเทศสร้างเศรษฐกิจด้วยบาป ทุกประเทศ แม้แต่ประเทศเล็กน้อยก็อยากจะสร้างเศรษฐกิจแบบนั้น ก็บาปน้อย แต่ประเทศที่ได้เปรียบมาก ก็บาปมาก การตั้งใจเอาเปรียบเขา ตั้งใจโลภ ทำความโลภให้สมโลภ ก็บาปแล้ว กิเลสโลภก็หนาอ้วน แล้วชีวิตของคนไทยมีแนวคิดว่าจะให้กิเลสโต มันเจริญหรือไง พูดกันด้วยภาษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าก็ชัดเจนเช่นนี้
การจะแก้ปัญหาด้วยการให้คนไปรวย ไปสร้าง คอนเซ็ป กระบวนทัศน์ paradigm ให้คน หวังว่าจะรวยคิดจะรวยในอนาคต ไปสร้างกระบวนทัศน์อย่างนี้มันก็เจ๊งสิ ไม่ใช่มันต้องบอกให้คนลดลง อย่าไปคิดรวย ต้องคิดอยู่กับความน้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
มาเป็นคนมักน้อย กล้าจน ความจนไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ อโศกมาเป็นคนจน พวกคุณมาเป็นชาวอโศกนี่รวยมากขึ้นหรือลดลง ก็ลดลง มันถึงจุดสันตุฏฐิ ไม่เหมือนก่อน พลังงานความอยาก กระสันแย่งชิงเอามามาก เอาเปรียบมาก เหมือนกับแต่ก่อนมันลดลงใช่ไหม นี่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องให้คนมาจนอย่างนี้ ในหลวงเราคือศาสตร์พระราชา
ต้องบริหารประเทศ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ ด้วยแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา นี่คือ ปราชญ์พระองค์จริง พยายามเงี่ยโสตสดับพระราชดํารัส เอามาคิดพิจารณาให้ดี
อาตมาก็สงสารประเทศไทย ผู้ที่จะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ประกาศว่าต่อไปคนไทยจะก้าวหน้า จะรวยๆ ก็ผิด ประเทศไหนก็ตาม ถ้าทำคนในประเทศให้ลดน้อยลงมีน้อยลง จนลงๆ แต่อยู่ดีกินดีมีเลี้ยงตัวพอกินพอใช้ ตามศาสตร์พระราชา พอกินพอใช้พอเพียง รู้จักความพอเหมาะพอดีไหม มันคือสุดยอดของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
ไม่ใช่ไปมีความต้องการ เป็นปากเปิดปากกรวย ไม่รู้จักจบสิ้นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ด้วย แล้วก็บ้าวิ่งไล่ตามเงา โดยไม่เป็นผลสำเร็จ เหน็ดเหนื่อย หมาหอบแดดตายเปล่าด้วย การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จึงเป็นสมบัติผลัดกันชม คนนี้แย่งได้มากรวยคนนี้ได้น้อย แต่ก็ไม่ยอมหรอก จะต้องพยายามให้รวย พอได้รวยอีกคนก็จนลง ก็เป็นสมบัติผลัดกันชม พูดสั้นๆ แต่ที่จริงมีปฏิกิริยาลูกโซ่ยาวกว่านี้ อิทัปปัจจยตา แต่ก็จะเป็นทิศทางนี้
เพราะฉะนั้นคนไหนที่มาคิดให้ได้ คิดให้ได้ว่า ถ้าจะเป็นคนที่ไม่ต้องรวย จะบอกว่าจนเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกไม่มีกินมีใช้ ..ไม่ใช่..ชาวอโศกที่เป็นคนจน แต่เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ดูสินี่กินได้ทั้งนั้น
เทคโนโลยีกินไม่ได้ ในหลวงของเราถึงได้ตรัสว่า เราไม่เอาหรอก ก้าวหน้าที่เป็นอุตสาหกรรม ก้าวหน้าแบบนั้นเราไม่เอา มันมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง เป็นพระราชดำรัสที่ลึกซึ้งมาก ผู้ที่จะเข้าใจตามพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงเป็นชาวอาริยะเป็นชาวศิวิไลซ์แท้ๆ เป็นโลกุตรชน อาริยชนจริงๆ จึงจะเข้าใจพระราชดำรัสได้
ประเทศไทยเป็นผู้เจริญ มีแต่คนดูถูกเอาไปสร้างวัตถุ สร้างอาวุธเก่งสร้างเครื่องหลอก เทคโนโลยีหลอกคน จนกระทั่งทุกวันนี้ อันนี้ ตั้งแต่มันมีมา อาตมาไม่เคยรู้เรื่องไม่เคยมีสักอัน ไม่เคย ไม่เป็นด้วย ไม่รู้เรื่อง แต่ใครเขาจะมาเกี่ยวข้อง จะใช้ก็มา ให้ดูและใช้ตามอย่างนั้น แต่ตนเองไม่ต้องพึ่ง แต่มันมาให้เราเกี่ยวข้องก็ต้องร่วมไปกับโลก แต่ตนเองอาตมาว่าอาตมาไม่พึ่งอันนี้ มันทำให้คนมักง่ายใจเร็วด่วนได้ ทุกวันนี้คนเสื่อมไปไกล เห็นแก่ตัวไม่ยุ่งกับใคร จนจะเดินชนรถเขาพัง รถชนคนพวกนี้รถพังนะไม่ใช่คนพัง ก็คนมันด้านมันแข็งมาก
ต่อมา
_กันตวรรณ การเป็นผู้ให้ หรือเป็นผู้รับ เป็นทางเลือกสองทางคู่ขนานกันในดวงชาตาอย่างเดียวกัน
คุณจะป่วยเองรอคนมาช่วย หรือคุณจะไปช่วยผู้ป่วย คุณจะเป็นเจ้าหนี้ หรือเป็นลูกหนี้
คุณจะเป็นโจทย์ หรือจำเลย ฯลฯ เหล่านี้เรามีสิทธิ์เลือกเองได้ครับ
พ่อครูว่า...เราเลือกได้นะ ว่าจะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ เราเป็นผู้ให้ก็เป็นเจ้าหนี้ เราจะเป็นโจทก์หรือจำเลย ทุกวันนี้ ท้วงตู่เขาอยู่ทุกวันนี้ มีข้อหาให้แก่สังคมมนุษย์อื่นทุกวันนี้ เรามีสิทธิ์เลือกเองได้
SMS
_0499 หนูไม่ชอบฝรั่งตั้งแต่เกิด หนูเคยกินมังส.ฯ บริสุทธ์ 4 ปีครึ่ง วิบากมาเพียบเกือบตาย เกินฐาน ตอนนี้เริ่มทานมังส.ฯอนุบาล ทั้งที่ตอนนี้หนูเป็น สว.สอบตกอ่ะ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน อโศกบริหารเศรษฐกิจเพื่อสะพัดสู่สังคม
_6451 ตื่นตาตื่นใจไม่คิดว่าจะมีในประเทศนี้ผลประโยชน์เป็น0
พ่อครูว่า..ถ้าคนไทยคิดบ้าง อโศกอวดตัว แต่ก็จริงที่บอกสิ่งที่ตนเองเป็น ยถาวาทีตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาการี จะทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เราเป็นผู้ที่ ผลประโยชน์เป็นศูนย์ ถ้าทำได้ถึงแล้ว อย่างพวกเรามาทำงานในนี้ ไม่มีรายได้ไม่เอารายได้ มีชีวิตสบายไปแต่ละวัน อาตมาว่าแต่ละคนอยู่ในชุมชนก็สมบูรณ์แล้ว สำเร็จในการสร้างเศรษฐกิจ สังคมกิจ รัฐกิจ อยู่อย่างบริหารเป็นรัฐศาสตร์ เป็นสังคมที่สุขสบาย สงบ มีกินมีใช้พอเพียง ไม่ได้โลภ ไม่ได้ต้องการมากมายกว่านี้ มีความพอ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ
เป็นคนมีน้อย อัปปิจฉะ ไม่ต้องมีมาก มีพอถาวร สันตุฏฐิ
ปวิเวกะ คือกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
ชาวอโศก ถ้าจะพูดถึงหลักเกณฑ์ธรรมะแล้ว จบอรหันต์แล้ว สังคมอโศกเป็นสังคมอรหันต์ไปแล้ว คือมีกตญาณแล้ว จบกิจแล้ว รู้แล้วว่าเราจบแล้ว อยู่สบาย ก็ไม่ต้องคิดกังวลอะไรข้างหน้า บริหารอยู่กันอย่างนี้ สบาย ไม่มาก สงบสบาย ไม่ต้องแย่งชิงใคร แล้วสร้างสรรค์ เหลือไปแจกจ่าย คนอยู่ที่นี่ทำแล้วไม่ต้องมีรายได้ส่วนตัว ทำได้ให้ส่วนกลางบริหารไปเลย เป็นเศรษฐกิจที่จะสะพัดไปสู่ข้างนอก สร้างโรงเรือน อาคารบวร อาคารที่จะให้เกิดการสะพัด ให้เป็นที่จะเรียกว่า การค้าสินค้าร้านค้าขาย ประชารัฐ เราก็ทำ ไม่ได้สร้างเพื่อหาเงินหาทองให้แก่ตัวเอง สร้างเพื่อเป็นอาคารให้แก่ประชาชน ประชาชนสามารถมาค้าขายได้ อาตมามีบารมีเท่านี้ ถ้ามีบารมีมากกว่านี้จะสร้างอาคารใหญ่ในเมือง แต่บารมีอาตมาได้แค่ชายขอบ ไกลหน่อย สร้างอาคารใหญ่ 11 ไร่ จะไปสร้าง 11 ไร่ในเมืองไม่มีเงินพอ ไปสร้างอาคารใหญ่อย่างนี้ยิ่งไม่ได้ ก็เลยมีที่ตรงนี้ สร้างตรงนี้ให้เป็นตลาด เป็นที่ค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นค้าขายสินค้า สินค้าแห้งหรือสินค้าสด ทำไว้สองข้าง ก็มาจองได้ เราก็จะคัดเลือกหน่อย ว่าจะเป็นผู้มาค้าขายอาศัย ที่นี่มีเงื่อนไขข้อแม้หลักเกณฑ์บ้างเท่านั้นเอง ก็เชิญมาติดต่อ หรือว่า มาค้าขายได้เลย เพราะเราทำอาคารที่ใช้ได้แล้ว
ส่วนตอนแรก ข้างล่างจะเป็นร้านค้า ข้างบนจะเป็นการศึกษา แต่ก่อนว่าจะสร้างมหาวิทยาลัย เป็นห้องวิจัย เป็นห้องแลป แต่ตอนนี้ก็ล้มเลิกเจตนานี้แล้ว ...พอ.. บารมีเราเท่านี้ ก็หยุด ก็เลยกลายเป็นที่กว้าง เชิญเลยทางจังหวัดจะมาใช้งานอะไรก็ได้เลย ไม่ใช่พูดอวดโต แต่มันมีมาแล้ว ก็เลยว่าจะมาใช้ก็เชิญเลย ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ก็มาใช้ได้เลย ก็อยู่ในอำเภอวารินชำราบ ยินดีที่จะร่วมมือกับทางรัฐ หรือแม้แต่ประชาชน ก็เชิญมาร่วมใช้สอยทำประโยชน์ร่วมกันอาศัยสถานที่เพื่อเป็นอาคารใช้สอย เท่าที่รู้อยู่ก็มีแต่การศึกษากับการค้าขาย แต่ไม่ใช่ทำเพื่อพรรคการเมือง สมาชิกอาศัยยังไม่เอา ทำให้แต่ทางราชการกับประชาชนแค่นี้ก่อน นี่คือสิ่งที่อาตมาพูดเหมือนคุยตัว แต่ก็จริงใจ ผลประโยชน์เป็นศูนย์ ไม่เคยคิดว่าจะได้ผลประโยชน์อะไรจากอาคารนี้
_6242 ช้อบ..ชอบ..ฟาย3ตัว.. น่ารักอ่ะ!! ยิ้มน้อย..ยิ้มหญ่าย(มีลวดจัดฟันด้วย)..ยิ้มยากกก.. ฝากชื่นชม...ในความคิดสุดบรรเจิดของคนต้นคิด..ต้นเรื่อง..มีฝีมือปั้นระดับเทพ...ค่ะ อิอิ/ตุ๊กAS
พ่อครูว่า..คนปั้นเขาเรียนจบศิลปากรมาทั้งพี่ทั้งน้องไม่ว่าจะเป็นสัตว์ต่างๆในนี้
_จาก คนที่กำลังเห็นความเป็นฤาษีเริ่มผุดเกิดมีในใจ ... พระคุณท่านครับ ความทุกข์ที่เกิดในใจ จากการอยู่ร่วมในหมู่คณะที่เราเข้าไปเลือกอยู่ด้วยแล้วที่มันมีเรื่องให้ต้องต่อสู้ในใจ คือ ระหว่างความเห็นที่ไม่เสมอกัน เหตุหลัก ๆ คือ การไม่ค่อยจะเปิดใจฟังกันและกันให้จบครบกระบวนความแล้วก็โดนฟันธง สับทิ้ง ถูกปัดออกไปเลย หรือ ยิ่งเจอความเห็นที่ใหญ่กว่ากวาดทิ้ง กับ ความทุกข์ที่เกิดจากบุคคลมีศีลไม่เสมอสมานกันหากต้องมาอยู่ในที่เดียวกัน
ความทุกข์ด้านใด ? จะลึก หรือ มากกว่ากันครับ ? และ ทั้งสองด้านจะพิจารณาหาทางเอาหมวดธรรมข้อใด แนวปฏิบัติใด ? มาแก้ใจที่เป็นทุกข์ให้หมดไปได้ครับ
กราบขอบพระคุณครับผม
พ่อครูว่า…คุณถามรวมหมดเลย เท่ากับอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าไปหมดเลย อาตมาไม่ไหว นะ อธิบายให้ไม่ได้ ไม่เก่งพอ ก็ขอตอบว่า คุณเอาของคุณก็แล้วกัน คุณมีอันใดก็จัดการแก้ไขของตนเองอย่าไปคิดเผื่อกว้าง เอาอะไรมามากมาย คุณจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร ถึงเอาเรื่องมากๆนั้นมาใส่หัว เอาของคุณก่อนเถอะ นะ ขออภัยที่ตอบตรงๆสั้นๆ
SMS วันที่ 5 มกราคม 2561 (ช่วงฉายซ้ำ)
_0499พ่อต้องเป็นพุทธสาวกซ้ายหรือขวาแน่ๆ เพราะสร้างกลุ่มพุทธแท้ๆ(มาจน)มีศีลเคร่ง ทานมังสวิรัติ ฯลฯ หนูคงเกิดทันแต่เป็นจุลินทรีย์อ่ะ แหะๆๆๆ
สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน มหาภูตรูป 4 กับ อุปาทายรูป 24
ต่อมาเอาแผนยุทธศาสตร์ชาติมาอ่านให้ฟัง
ยุทธศาสตร์ชาติ สร้างความสามารถในการแข่งขัน ชู มหาอำนาจทางการเกษตร แม่เหล็กท่องเที่ยวโลก 4 ม.ค. 2561
พ่อครูว่า... ถูก ถ้าทำได้อย่างนี้สมบูรณ์ เป็นแต่เพียงว่า อย่างชาวอโศกทำอย่างนี้แหละ คือทำให้การเกษตรมีพลังอำนาจ เป็นแต่เพียงว่า ทำให้ก้าวหน้าอย่างมากแต่ไม่มีเชิงแข่งขันเอาชนะคะคานใคร จะเรียกว่าเป็นแม่เหล็กท่องเที่ยวโลก อาตมาว่าคนฉลาดจะมาท่องเที่ยวแดนอย่างนี้ คนไม่ฉลาดจะไปท่องเที่ยวแดน disneyland หรือ las vegas
ดูเหมือนว่าเขาประกาศแล้วว่าประเทศไทยเป็นสถานที่ที่มีผู้มาท่องเที่ยวเป็นสถานที่อันดับ 1 ของโลก
ประเทศไทยไม่ใช่ Disneyland หรือลาสเวกัส เพราะมันเป็นแดนอบายมุข เช่น เป็นแดนกีฬาดังมีนักกีฬาใหญ่ราคาแพง ไม่ใช่ หรือเป็นนักเต้นร้องรำอบายมุขดังใหญ่ระดับโลก ราคาค่าตัวสูง ไม่ใช่ เมืองไทยไม่ใช่อย่างนั้นสักอย่าง เมืองไทยมีนักท่องเที่ยวมามากแสดงถึงโลกมีปัญญา ประชากรโลกมีปัญญา รู้ว่า ควรจะไปเที่ยวที่ไหน
จริงๆแล้วอาตมารังเกียจคำว่าเที่ยว อาตมาไม่มีใจจะไปเที่ยวที่ไหนมานานแล้ว อาตมาว่าเที่ยวคือเรื่องเลว การท่องเที่ยวนี้มันเลว ภาษาไทยนี้นะ
คำว่าเที่ยวคือแย่ ผู้หญิงคนเที่ยว แปลว่าผู้หญิงไม่ดี มาเที่ยวนี้มันใช้ไม่ได้ ไม่รู้โลกดินน้ำไฟลม ไม่รู้ธรรมชาติ ยังต้องการไปเห็นว่ามันเป็นอย่างไร มันจะมีอะไร มหาภูตรูป ในมหาจักรวาล มีแค่ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24 ไม่มีอะไรจะรู้เกินนี้ ถ้าเข้าใจสมบูรณ์แบบ รูป 28 นี้ เท่านี้แหละไม่มีอะไรเลย ในดินน้ำลมไฟ มันก็ไม่อยากเที่ยว แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันยังไม่อยากเที่ยวเลย คนที่ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่ได้ถูกครอบงำความคิด ให้อยากไปเที่ยวตรงไหน ถ้ามันจำนน มันจน มันก็ไม่คิดอยากเที่ยวในหัว คนที่คิดอยากเที่ยวในหัว ถูกครอบงำความคิดว่าต้องไปเที่ยวกับคนที่มีเงินทองไม่รู้จะใช้อย่างไรก็ไปใช้ในการท่องเที่ยว เท่านั้นเอง
พระอาริยะระดับหนึ่งจบเที่ยวแล้ว ไม่ท่องเที่ยว เที่ยวไปตรงนั้นตรงนี้มันพอแล้วคือมันรู้ในมหาภูตรุปกับอุปาทายรูป ในชีวิต ตั้งแต่
ปสาทรูปกับโคจรรูป คนที่มีประสาท และก็ประสาททำงานไม่บกพร่อง ไปเกี่ยวข้องกับอะไรขึ้นมา คือโคจรรูปหรือวิสยรูป สัมผัสแล้วก็มี ภาวรูป 2 มีอิตถีภาวะกับปุริสภาวะ จาก 2 อย่างนี้ก็เกิดสภาพต่างๆเป็นธรรมะ 2 คนที่อวิชชาก็ปรุงแต่งกันจนเต็มโลกขึ้นมา
ผู้ที่เรียนรู้ รูป 24 ตั้งแต่จิตวิญญาณเป็นตัวตั้ง มันไม่มีสถานที่อยู่ที่ไหน อยู่ในคูหาสยังในร่างกายเรานี้ นอกจากนี้ก็อาศัยภายนอกสัมผัสจิตเรา คนที่จับหทยรุปได้ รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม คือ รวมหทยรูป
แล้วก็เรียนรู้ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม จากหทยรูป ของชีวะชีวิตก็มีชีวิตรูป มีชีวิตินทรีย์ กับชีวิตที่มันมีความปลอมชีวิตอวิชชาโง่ สุขทุกข์ ชีวิตจริงมันไม่มีสุขทุกข์อะไร กลางๆ มีธรรมะ 2 อาศัยธรรมะ 2 ทำงาน จิตใจพระอรหันต์ ไม่มีบวกมีลบไม่มีดูดมีผลักอะไร จากนั้นก็อาศัยปริเฉทรูป รู้กายวิญญัติ วจีวิญญญัติและวิการรูปอีก 5 จนสามารถทำให้วิการรูป เบาที่สุด ลหุตา เป็นจิตที่ดีที่สุด คล่องแคล่วที่สุดไวที่สุด
แล้วทำกรรมการงานกิริยาทุกอย่างกัมมัญญตาอยู่ในนี้ออกมาเป็นกายวิญญัติวจีวิญญัติ วิการรูป 5 สุดท้ายอยู่ที่ ลักขณรูป 4 คืออุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
อาตมาไม่ได้ท่องนะแต่ว่ามันเป็นสภาวะ จึงออกมาได้อย่างนี้ คนที่เป็นอรหันต์สูงสุดแล้วก็จะอยู่ที่ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
ถ้ายังไม่ปรินิพพานไม่สลายรูปนามนี้ ไม่สลาย H2O อรหันต์แยก H2O หมดเลย ไม่มีธาตุน้ำนี้แล้ว คนนี้คือธาตุน้ำ ไม่เหลือที่เป็นอัตภาพของคนจบแล้ว นั่นคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน ผู้ที่ยังไม่สุดตัวนี้แล้ว พระอรหันต์อยากจะให้อะไรเกิดอยู่ เป็นวิภวตัณหา เป็นความอยากที่ไม่มีภพ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์จะรู้ดี เพราะอาตมายังไม่คิดตัด คิดจะต่อสืบต่อศาสนาพระพุทธเจ้าต่อไป จะยังไม่คิดตัดสันตติ ไม่คิดจะตายแบบไม่ต่อภพชาติแล้ว ยังไม่หยุดยังไม่เลิก ยังจะทำงานอันนี้ต่อไปอีก
เพราะฉะนั้นจึงรู้จักสิ่งที่เกิด อุปจยะ แปลว่าพลังงานให้เกิด ถ้าไม่เกิดก็อยู่เฉยๆ อยู่เฉยๆจะอยู่ทำไม มีพลังงานมาแล้วก็ต้องทำงานสร้างสรรค์ให้เกิด ผู้ที่สามารถควบคุมพลังงานตนเอง จะให้อะไรมันเกิด จะให้อะไรไม่เกิดก็อยู่ที่สันตติ จะต่อให้เกิดหรือไม่ต่อให้เกิดอยู่เฉยๆ แม้ว่าพลังงานสุดท้ายของเรานี้ อุปจยะหรือสันตติ คุณจะไม่ทำอะไรแล้ว จบไม่คิดต่อ มันก็จะเสื่อมเป็นธรรมดา ชรตา นี่คือลักษณะรูปสุดท้าย ชรตา แต่ถ้าคุณฮึดมาอีกสักวาระไม่ปล่อยให้สูญสลาย ก็เติม พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient ต่อไปอีกได้
เพราะคุณสามารถควบคุมสัมประสิทธิ์ Coefficient เป็นพลังงานที่สามารถให้เกิดอะไรต่อไปอีกได้ไม่สลายไม่สูญจนหมดสิ้น มันก็จะทำงานของมันได้ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่จนกว่าจะหมดเป็น อนิจจตา เป็นตัวสุดท้ายของลักษณะรูป 4
ที่อธิบายนี้เป็นพลังงานแท้ๆ ไม่ใช่สสาร เป็นพลังงานนามธรรม พลังงานทางจิตไม่ใช่พลังงานทางวัตถุ อุตุพีชะ แต่เป็นพลังงานจิตนิยาม จะให้ควบคุมกรรมใด ๆ ก็ได้ เป็น กรรมนิยาม จะให้ธรรมใดทรงไว้=ธรรมนิยามเป็นธรรมะสุดยอดของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ใดๆที่จะค้นพบ มีแต่ศาสนาพุทธที่ค้นพบแบบนี้ นอกนั้นไม่สามารถค้นพบได้แบบนี้ พูดไปก็ขออภัย ที่เหมือนยกตนข่มท่าน
อ่านต่อ...
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกจนอย่างอุดมสมบูรณ์
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เปิดเผยในงานแถลงข่าว ณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ว่า คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้เสนอร่างยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาแล้ว ภายใต้วิสัยทัศน์ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
พ่อครูว่า...พูดถึงความมั่งคั่ง นั้นไม่ได้คำนึงถึงพระราชดำรัสในหลวงเลย
คุณจะมั่งคั่งซึ่งจะต้องหนึ่ง โลภมาก สอง ต้องลงทุนทางโกงจะทำการสุจริตไม่ได้ โกงไม่ได้ก็จี้ปล้น ปล้นไม่ได้ก็ฆ่าเลย เป็นลักษณะเลวร้ายมากความมั่งคั่ง อย่าไปเอาแบบความมั่งคั่ง ให้อ่านตามคำตรัสของในหลวงให้แตก เราไม่อยากรวย เราก็รวยพอสมควร คำนี้ก็หมายความว่า เราก็พออยู่พอกินของเรา ชาวอโศกพาให้คนมาจน เราไม่สะสม เราทำได้เยอะอยู่นะ แล้วเราก็พอมีพอกินพอใช้ เรามีสิทธิสิ่งที่สร้างเอง เราก็มีกิน เหลือกินเหลือใช้ แจกจ่ายอยู่ เราก็ขยันตลอดเวลา สร้างสรรค์ไม่ได้หยุดหย่อน มันก็ต้องมีกินมีใช้อยู่ตลอดเวลาเลย ยั่งยืน ตัวนี้ยั่งยืนที่แท้จริงแล้วไม่ต้องมั่งคั่ง เอาแบบคนจน มาเป็นคนจนอย่างนี้มาเป็นคนจน ถ้าเราเป็นคนจนแบบอุดมสมบูรณ์ไม่เบียดเบียนประเทศไหนไม่เบียดเบียนใคร GDP ของเราไม่ต้องการภายนอกเลย คุณบอกว่า D หมายถึงภายใน G คือผลได้ของชาวเราเอง แต่คุณดันไปเอาจากข้างนอกน่ะ ตลบแตลงในตัวเองเลย GDP
รายได้มวลรวมประชาชาติ แล้วเอามาได้ถือว่าเป็นของตัวเอง D คือ Domestic ทำให้เกิดอันนี้ เสร็จแล้วคุณก็ไปเที่ยวแย่งของคนอื่นมา เอามาจากต่างประเทศมา ถ้าเผื่อว่ารายได้มวลรวมของ G D จริงๆก็คือมวลรวมภายในของคุณจริงๆ รายได้คุณดี เพราะ Product ของคุณ แข็งแรงดี ก็ต้องสร้างแจกคนอื่น รายได้มวลรวมของคุณเหลือแล้วเอาไปแจกคนอื่น จึงเป็น GDP แท้ แต่นี้จะต้องเอาจากประเทศอื่น export จากคนอื่น แต่ถ้าคุณมีแต่จะ import จากประเทศอื่นมา การมีการฑูต ถ้าจะไปเอาจากคนอื่นเขา อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าเราจะมีอะไรที่จะเอาจากประเทศอื่นเขา มีทรัพย์สินทรัพยากรที่จะหาวิธีการล้วงตับกินไส้ประเทศไหนๆ พูดอย่างนี้มันเป็น ขี้ทูด ที่จริงแล้วการฑูตจะต้องไปเพื่อช่วยเหลือประเทศอื่นเขา จึงเป็นฑูตที่จะออกไปเพื่อช่วยคนอื่นเขา ไม่ใช่ไปเอาจากคนอื่นเขามา อย่างนั้นมันคิดไม่ดี คิดไปเอาเปรียบจากคนอื่นมันไม่ดี ต้องคิดให้
ถ้าเรามีไม่พอจะให้ก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปมีฑูตอะไรหรอก ถ้าเราไม่มีอะไรจะติดต่อไปให้เขา ไปติดต่อเพื่อมาให้ จะบอกว่าเพื่อสัมพันธ์ เราติดต่อประเทศนั้นประเทศนี้ก็ไปช่วยกันใช่ไหม ช่วยแล้วช่วยอะไร ก็ช่วยในสิ่งที่จะต้องช่วย ช่วยอะไรได้ มีอะไรก็ช่วยเขา คุณก็ไปมีการทูตกับประเทศนั้น แต่ถ้ายังไม่มีอะไรที่จะได้ แต่เป็นฑูตเพื่อจะเอาอะไรจากประเทศอื่นเขาก็อย่าไปทำเลย การฑูตแบบเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้จะไปเอาของคนอื่นมา คิดอย่างนี้ได้ไหม นี่เป็นแนวคิดของอาตมา จะค้านแย้ง กับความรู้ที่เขาเดินอย่างไรก็ช่าง นี่เป็นความคิดอาตมา อาตมาจะสร้างคนให้มีความคิดเช่นนี้ concept แบบนี้ มีกระบวนทัศน์แบบนี้ ไม่คิดหรอกแบบโน้น
ชาวอโศกจึงเป็นคนที่ พึ่งพาตนเองให้รอด สร้างปัจจัยสำคัญกับชีวิต อะไรที่ไม่เป็นเราไม่เก่ง เราไม่เก่งอุตสาหกรรม เราเก่งทางกสิกรรม เป็นปัจจัย 4 เราก็มีปัจจัย 4 นี้แหละ แล้วเราก็มองเห็นว่า โลกทั้งโลก ปัจจัยสี่เป็นสิ่งจำเป็นสำคัญต่อโลก ต้องสร้างให้อุดมสมบูรณ์ สร้างให้เป็นของดีราคาถูก แจกจ่ายเจือจานไป เท่านี้ก็เป็นมหาอำนาจแล้ว
มหาอำนาจไม่ใช่ว่าเป็นด้วยอาวุธหรืออำนาจอย่างอื่น มหาอำนาจ ที่เป็นธรรมาธิปไตย เขาให้เราเอง เคารพนับถือเราเองเพราะเรามีประโยชน์ต่อเขา มีเมตตาเกื้อกูลด้วย มีประโยชน์ด้วย และมีความซื่อสัตย์จริงใจด้วย อย่างนี้ต่างหาก เป็นสิ่งประเสริฐที่เราควรจะมี
อาตมาก็ติติง ว่าอย่าหลงรวยอย่าหลงมั่งคั่ง มันไม่มั่งคั่งเพราะอะไร เพราะสร้างสรรค์ได้มากเราก็ไม่เอาไว้มาก เมื่อมีน้อยก็เป็นคนจน คนจนที่เหลือเฟือแจกจ่ายคนอื่นได้ตลอดเวลา เป็นคนจนมหัศจรรย์ คนจนแปลก แต่มันเป็นจริงนะ แล้วไม่จำเป็นว่า จะไปตั้งชื่อว่าเราร่ำรวย แต่เราก็พอมีพอกิน เรามีเหลือเราก็แจก เรามั่นใจในทรัพย์ของคน คือสมรรถนะกับความขยัน มีความรู้ความสามารถกับความขยัน นี่คือทรัพย์ในตัวคน ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ใครมาปล้นก็ไม่ได้ เป็นสัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ในตัวคน เราก็ทำการงานอาชีพที่ควรทำ พูดจาหรือจะนึก สมบูรณ์แบบอยู่ในนี้ ไม่จำเป็นต้องชื่อว่าผู้ที่ร่ำรวยมั่งคั่งเลย ไม่ต้องไปกังวลเลย มาเป็นคนจน เข้าใจความจน เข้าใจสังคมคนจนให้ดี สังคมคนจน แต่อุดมสมบูรณ์ พึ่งพาตนเองรอด แบ่งแจกคนอื่นได้ ซื่อสัตย์มีน้ำใจ อันนี้จบ ไม่ต้องมั่งคั่ง เพราะว่าความจนคือไม่ต้องมีมาก เราไม่มีสิ่งที่เป็นพิษสิ่งที่มอมเมา แต่เรามีสิ่งที่เป็นสาระจำเป็นต่อชีวิต เป็นปัจจัย 4 หรือบริขาร เราทำให้อุดมสมบูรณ์และไม่กักตุน สร้างไว้มาก คนทำงานได้ทุกวัน ป่วยเจ็บหรือแก่ก็ไม่ไหวก็หยุดพัก เด็กทำไม่ไหวก็ไม่ทำ ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานก็ทำงานสร้างสรรค์ไป ถึงเวลาพักก็พัก ถึงเวลาทำงานก็ทำงาน มันก็มีเหลือกินเหลือใช้ เพราะเราเองศึกษาว่าเราไปเฟ้อ เปลืองผลาญอะไร เราก็เลิกทำสิ่งเหล่านั้น เราก็มีเหลือกินเหลือใช้ รู้จักเหตุปัจจัยที่จำเป็นของชีวิต เรามีปัจจัย 4 ของเราเองด้วย สร้างสรรค์เองด้วย เราทำให้เหลือด้วย สิ่งที่เกินที่เฟ้อเราก็ไม่เสียพลังงานไปเอา เราก็อยู่กับแก่นสารสาระตลอดเวลา
การจะมีชีวิตอย่าไปฝันถึงความมั่งคั่งถึงความรวย ให้มาเป็นคนจน ไปอ่านพระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้แตก ไม่ยาวมากหรอก เป็นเนื้อแท้อย่างที่เอาออกอากาศประจำอยู่ที่นี่ ท่านให้บริหารแบบคนจน แต่คนก็เข้าใจไม่ได้ ความจนไม่ใช่สิ่งที่ต่ำต้อยแต่เป็นสิ่งที่ประเสริฐด้วยซ้ำไป
คนจนคือไม่มีทรัพย์สินเงินทองมาก มีเท่าไหร่ก็สะพัดออก แต่มีเหลือกินเหลือใช้ เพราะว่ามีความขยันและสมรรถภาพ ไม่เอาเวลาไปสร้างสิ่งที่ไร้สาระ สร้างแต่สิ่งที่มีความจำเป็น แค่นี้ก็อุดมสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ปัจจัย 4 นี้แหละ รับรองว่าทั่วโลกจะต้องอาศัยเรา ไม่ต้องเก่งอะไรอย่างอื่น เก่งในการทำปัจจัย 4 มารับรองว่าทั่วโลกต้องอาศัยปัจจัย 4 ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนทุกชาติทุกภาษาต้องอาศัยปัจจัยสี่นี้
ทำอย่างนี้จะยั่งยืนสมบูรณ์ อย่างชาวอโศกเป็นวัฒนธรรมที่สมบูรณ์ยั่งยืน เพราะว่ามีพร้อมมีพลังงานหมุนเวียน สมบูรณ์แล้ว cyclic order
อ่านต่อ ….
ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ประเทศที่ด้อยพัฒนาที่เห็นเดี๋ยวนี้คืออเมริกา เขาไม่รู้ตัว เพราะว่ากลายเป็นประเทศกลวง เศษกระดาษที่พิมพ์ออกไปเป็นดอลลาร์นั้น ไม่มีค่าจริง หากประเทศอื่นเอาดอลลาร์ที่มีนั้นไปแลกคืนมาก็ไม่มีอะไรคืนให้เขา ตอนนี้ภายในประเทศอเมริกา กลวงขนาดหนัก แต่อยู่ได้นี่ก็เพราะสร้างอำนาจหลอกลวงให้คนยอมรับเงินดอลล่าร์ แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ตั๋วแลกเงินได้อะไรเลย มันแค่เป็นเศษกระดาษเปื้อนสีเท่านั้นเอง
มีคนว่า สร้างดอลล่าร์ไปให้คนอื่น คนอื่นก็เป็นเจ้าหนี้อเมริกาเลย ถ้าประเทศอื่นเอาไปคืนปั๊บ กระดูกอเมริกาก็ไม่เหลือ อย่าไปนึกว่า สร้างอาวุธไปขายทั่วโลก สร้างอุตสาหกรรมโก่งราคาให้แพง เก่งทางด้านเทคโนโลยี อย่านึกว่าจะพอนะ ถ้าหากประมาทแบบนี้ ไม่ได้เจียมตัว ไม่ได้ไปถึงธาตุแท้ความจริง สักวันหนึ่งก็จะถึงจุดนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึง
ตอนนี้เขาก็พยายามสร้างเงินสกุลอื่นขึ้นมา เงินหยวน bitcoin สร้างขึ้นมา ก็คือสร้างความเชื่อถือ ว่ากระดาษของฉัน เหรียญของฉัน คือสิ่งที่แลกทรัพย์สิน จากประเทศอื่นทั่วโลก (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
ถ้าหากว่าความหมุนเวียนนี้ออกไปเมื่อไหร่ไปหาเนื้อแท้พวกนี้ทั้งหมด ตายดิบๆเลย
ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
พ่อครูว่า...ถ้าหากว่าไปเอาความมั่งคั่งแล้วจะไม่สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงหรอก แบบนั้นมันไม่ใช่หรอกเป็นเศรษฐกิจทุนนิยม
และสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
พ่อครูว่า...แม้แต่สหประชาชาติเองก็ยังไม่ได้พัฒนายั่งยืนอย่างไร
ภายใต้บริบทของไทยที่สอดคล้องกับกติกาสากล ที่สำคัญคือความต่อเนื่องของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ควบคู่กับการสร้างและพัฒนา "คน” ซึ่งเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ต้องปรับเปลี่ยนการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบที่สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคม
ภายใต้ข้อจำกัดและความท้าทายต่างๆ ทั้งในประเทศและในเวทีโลก ในอนาคต 20 ปี ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันจึงมุ่งพัฒนาประเทศ บนฐานแนวคิดการ "ต่อยอดอดีต” โดยใช้ความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ อัตลักษณ์ไทย ทุนทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ทุนทางความคิดสร้างสรรค์ นำมาประยุกต์ผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล เพื่อ "ปรับปัจจุบัน” สู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ยกระดับภาคการผลิตและบริการที่เป็นฐานรายได้เดิมและอนาคตใหม่ที่ สร้างรายได้สูง และ "สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต” ด้วยการสร้างและเพิ่มศักยภาพนักรบเศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนในเวทีโลก ควบคู่ไปกับการยกระดับรายได้และการกินดีอยู่ดี รวมถึงการเพิ่มขึ้นของคนชั้นกลางและลดความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศได้ในคราวเดียวกัน
พ่อครูว่า...อโศกเป็นนวัตกรรมที่เก่าเอี่ยมเลย เป็นมาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าแล้ว นี่แหละเก่าเอี่ยม ใหม่เสมอไม่มีเก่าเลยของพระพุทธเจ้า เป็นนวัตกรรมแท้ เพราะทุนนิยมจะไล่ไม่ทัน เขาแข่งรวย เราจะแข่งจน ทุนนิยมก็งง มันไม่เอามาแข่งจน แล้วจะไปทำอย่างไรกับมัน มันไม่มาแย่งกับเราเลย ทำก็ไม่ได้ เขาไม่ทำอะไรกับคุณ ไม่ได้เป็นคู่แข่งอะไรกับคุณ เขาอยู่ของเขาดีๆ อุดมสมบูรณ์มีกินมีใช้ เผื่อคุณด้วย คุณตะกละไป ทุนนิยมรวยไม่รู้จบ โลภไม่รู้จบ
แล้วคนโลภไม่รู้จบอย่าง Bill Gates คนนี้จนไม่รู้จบ ป่านนี้แล้ว จะตายอยู่แล้ว ออกมาแจกสิ แจกไปให้เหลือแค่ 1 ใน 4 ก็ยังกินใช้ไปจนตายไม่หมด จะไปตะกละทำไมนักหนา คือเขาไม่เข้าใจ เสร็จแล้วก็สร้างวิมาน บ้านตัวเอง มีแต่ Digital Technology พร้อมเลย เพราะเงินมันเยอะ
คือความคิดของเขา พูดแล้วมันค้านแย้งในตัว ชาวอโศกทุกคนมีรายได้ 0 ก็ไม่มีเหลื่อมล้ำ แต่ของเขาพูดไปก็ลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงไม่ได้
อโศกไม่ต้องรายได้สูง ไม่ได้ไปแย่งคุณเลย
มหาอำนาจทางการเกษตร โดยมุ่งเน้นให้คนในภาคเกษตรกรที่มีกว่า 25 ล้านคน หรือร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ในปี 2558 มีรายได้สูงและอยู่ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งไทยเป็นผู้เล่นสำคัญด้านการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรในเวทีโลกด้วยพื้นฐานทางพืชเกษตรเขตร้อน และข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถพัฒนาต่อยอดโครงสร้างธุรกิจการเกษตรด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่ม เน้นเกษตรคุณภาพสูง และขับเคลื่อนการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพการผลิตทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า และความหลากหลายของสินค้าเกษตร เพื่อรักษาฐานรายได้เดิมและสร้างฐานอนาคตใหม่ที่สร้างรายได้สูง ทั้งเกษตรปลอดภัย ที่ควบคุมป้องกันอันตรายจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร (Farm to Fork) เกษตรชีวภาพ ซึ่งไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรในระดับโลก เกษตรอัตลักษณ์พื้นถิ่น เพื่อส่งเสริมการนำอัตลักษณ์พื้นถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เกษตรอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาเป็นฟาร์มอัจฉริยะ (Smart farm) ที่ใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นสูง ปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการส่งออกผลิตผลทางการเกษตรพรีเมียมสู่ตลาดโลก
พ่อครูว่า...หากรัฐบาลพัฒนาประชาชนมาเป็นแบบชาวอโศก ชาวอโศกไม่ได้เอาเงินเอารายได้มาเป็นตัวเร่ง แต่ชาวอโศกมีปัญญามีสำนึกมีความรู้ในตัวเอง ว่าเราควรขยันเราควรทำอะไร เขาก็ทำ ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช เขาก็ทำกันขยัน ยังไม่พอนะ คนยังน้อย หากมีชาวอโศกมากกว่านี้ เรามีพื้นที่เราก็จะทำได้สมบูรณ์กว่านี้ ถ้าหากทำได้มากพอ จะสามารถส่งออกนอกประเทศได้ เราจะส่งได้ราคาถูก ไม่ต้องการแย่งตลาด แต่มันมาก เราไม่อยากจะไปขายแพงรีดนาทาเร้น เราไม่ได้ตั้งใจกดราคา แต่เราขายถูก เพราะว่าเรามีเยอะ แล้วเราไม่ต้องการไปเอาเปรียบใครด้วย แนวคิดอย่างที่อาตมาพูด เป็นโลกุตรธรรม ที่คนโลกีย์คิดไม่ทันอย่างอาตมาพูด แม้เขาคิดทันรู้เข้าใจ แต่เขาก็จะยอมรับว่าทำตามนี้ไม่ได้ ถ้าหากเขาทำตามได้ก็จะมาร่วมกับอโศก คนที่เข้าใจทำตามได้ ก็มีพอควร แต่คนที่ไม่รู้เรื่องมีเยอะ
ที่เขาคิดเขาไม่คิดกลับกันว่าทำได้แล้วจะขายราคาต่ำได้เท่าไหร่เป็นความเจริญ ถ้าหากแจกฟรีได้ก็เป็นความเจริญสูงสุด
ฟังดูแนวคิดดี แต่ถ้าปรับปรุงแนวคิดอีกหน่อยก็จะได้ตามประสงค์ แต่ถ้ามีแนวคิดเช่นนี้จะไม่ได้ตามประสงค์ ขอยืนยัน เพราะว่ามันยังมีการเอาเปรียบ ในโลก ต่างคนต่างจะเอาเปรียบแข่งกันตลอดเวลา โลกจึงไม่สงบ แต่ถ้ามีคนจํานวนหนึ่ง ถ้าจำนวนนี้มากขึ้นด้วย เป็นพวกที่ไม่คิดจะเอาเปรียบ แต่เป็นคนที่คิดจะเสียเปรียบ คิดจะสร้างให้มาก คิดจะทำให้ได้มาก ตัวเองไม่ต้องสะสมอะไรเลย ไม่ต้องเอาเปรียบ ไม่ต้องกักตุน สะพัดไป ตัวเองไม่เป็นคนขี้เกียจ เป็นคนมีความขยัน สร้างสรรค์ตลอดเวลา ก็มีแต่ผลผลิตที่ดีออกมา เป็นสิ่งอาศัยใช้สอยได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน กีฬาอาชีพและดาราค่าตัวแพงคืออบาย
และอีกอย่างไม่ไปเสียพลังงานแคลอรี่ ให้กับสิ่งเฟ้อเกิน ที่เป็นอบายมุข เช่นเอาแรงไปเตะลูกฟุตบอล จนกระทั่งเด็กสงสาร คน 22 คน แย่งลูกฟุตบอล 1 ลูกอยู่ได้ เด็กก็เลยถือลูกฟุตบอลอีกลูกหนึ่งเอาไปให้ เพราะความสงสาร คิด ไปเสียกำลังงานพลังงานแคลอรี่อยู่ทำไม แล้วก็ไปสร้างดารา เก่งในการเตะเข้าโกลเก่งชิบหายเลย ให้ราคาค่าตัวมาก พวกนี้พวกอบายมุข
ราคาของอบายมุขตัวเอ้สูงขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ นั่นคือสังคมนั้นตกต่ำเสื่อมต่ำ ไปหลงสิ่งไร้สาระ เป็นอบายมุขการละเล่นมหรสพ การละเล่นก็คือกีฬา มหรสพการบันเทิงเริงรมย์
มันมีที่จะอาศัยออกกำลังกายบ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องของอาชีพ ทั้งที่มันเป็นเรื่องของ การหย่อนใจพักผ่อน บันเทิงบ้าง แต่ถ้าไปหลงว่าเป็นอาชีพเมื่อไหร่เสื่อมเมื่อนั้น สังคมใดก็แล้วแต่ ทุกวันนี้สังคมโลกเสื่อม เพราะพัฒนาพวกนี้ เป็นซีเกมส์เป็นโอลิมปิก สารพัด นั่นคือ เครื่องชี้บ่งชัดเจนว่า โลกกำลังเสื่อม เอาพลังงานพวกนี้ แจกไปเลย ถึงเอธิโอเปียนิวกินี เอาพลังงานมาเสียไม่เข้าเรื่อง แล้วบอกว่าออกกำลังกายซ้อมทั้งชาติ จ่ายพลังงานจ่ายเวลากำลังแรงงานไปทำไม ไม่มีอะไร อร่อยสนุกเพลิดเพลินชนะ ลมๆแล้งๆอุปาทาน ไปหลงสนุกสนานเพลิดเพลินเอาชนะคะคาน หลงในแทคติก เทคนิคต่างๆ เพื่อที่จะเก่ง เหนือเขา เท่านั้นเอง มันเป็นเทคนิค แล้วก็หลงเทคนิคของแต่ละคนที่ทำได้เยี่ยมยอด
มันก็เลยกลายเป็นสินค้าเอาไปเป็นตัวหาเงิน ให้คนโง่หลงเข้าไปได้เรื่อยๆไปนิยมชมชอบก็เป็นเหยื่อ กลายเป็นพรรคพวกคนโง่ไปตลอด ขออภัยที่ต้องพูดสัจจะไม่ได้ไปถล่ม
ผู้ที่รู้สาระเป็นสาระเป็นผู้ที่สร้างสาระอยู่ในโลก ผู้ไร้สาระก็เป็นผู้ไม่รู้จักสาระ ก็ได้เงินจากโลกที่หลงงมงายรวยมาก Elvis Presley พอดังขึ้นมาเงินก็มามาก ก็เลยว่า โลกนี้ทำไมเงินมันเยอะอย่างนี้ คือมันมีเงินมากมาย แกเป็นแค่คนขับรถโกดัง อาชีพเขา เมื่อมาขับร้องติดตลาดอบายมุข คนเห่อหนัก คือมาจากแหล่งอบายมุขใหญ่คือ อเมริกา ราคาค่าตัวดาราอเมริกา แพง แล้วสร้างให้คนนิยมดารา ไม่ว่า การละเล่นกีฬาหรือมหรสพ มันแสดงถึงความเสื่อมของประเทศ หากราคาค่าตัวของดารามหรสพการละเล่น ค่าตัวสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงถึงประเทศนั้นเสื่อมมากเท่านั้น เมืองไทยกำลังจะเอาอย่าง หยุดโง่ได้ไหมประเทศไทย
อาตมาพูดอย่างนี้ อาตมาไปบรรยายธรรมะที่ไม่ส่งเสริมเรื่องการกีฬาการละเล่น เพราะว่ามันเกินหรือมากแล้ว ไปบรรยายอยู่ที่ มหาวิทยาลัยของประวิช รัตนเพียร ใกล้สันติอโศก ตอนนั้นดาราฟุตบอลคนหนึ่ง อาตมาบรรยายไปว่านักกีฬาดาราดังทำให้โลกเสื่อม เป็นอบายมุข ตอนนั้นมีปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เขาฟังอยู่ ก็ตาเขียวใส่อาตมาเลย อาตมาว่าดูถูกการกีฬา อาตมาก็พูดด้วยความจริงใจ ไม่ต้องไปเสียเวลากับสิ่งไร้สาระเหล่านั้น เชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า การละเล่นมหรสพเป็นอบายมุข ถ้าเอาอบายมุขมาเป็นอาชีพเป็นตัวเด่นดังของชีวิตแล้วก็เป็นชีวิตไร้สาระ แล้วไปหลงเชิดชูส่งเสริมมากเข้า ก็เลยเป็นไปทั้งประเทศ
เอาพลังงานความรู้ความสามารถ มาปลูกผักพวกนี้ก็ใช้แรงงานเหมือนกัน จะไปซ้อมเช้าเย็นก็เชิญ จริง ซ้อมเช้าซ้อมเย็น อาตมาว่า เจริญแน่นอนรุ่งเรืองเลย และเป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์โลกเลย ไอ้นั่นมีอะไร มีแต่ลมๆแล้งๆ มีแต่เทคนิคแทคติก กับมันส์ อร่อยชนะ เล่ห์เหลี่ยมวิธีการ เก่งชิบเป๋ง มีแต่เทคนิคกับแทคติก
ฉันเดียวกันกับศิลปะเลย แข่งเทคนิคกับแทคติก นอกนั้นมีแต่การสร้างอุปาทานให้คนหลงเชื่อ ว่าอย่างนี้แนวใหม่คือศิลปะ คือก่อเทคนิคกับแท็กติกเท่านั้น แล้วก็อธิบายไป เป็น abstract คนหัวไม่ถึงคิดไม่ออกหรอกมันเป็นนามธรรม อาตมาเรียนศิลปะมาก็เลยถล่มศิลปะ คือมันเลอะ น่าสงสาร อาตมาใช้ศิลปะทำงานตลอดเวลา ศิลปะคือมงคลอันอุดม คือพาคนสู่โลกุตระ มงคลอันอุดมคืออุตมะคือทางไปสู่สิ่งสูงสุดคือนิพพาน
อาตมาพยายามแสดงศิลปะโลกุตระ ไม่ได้พูดข่มคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ เขาก็บอกว่า มีศิลปะโลกุตระหรือ? ทั้งที่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์เป็นนักภาษาศาสตร์รู้จักภาษาดีด้วยนะ คือ ไม่เข้าใจว่าศิลปะเป็นโลกุตระอย่างไร ศิลปะที่พาคนหมดกิเลส ไม่ใช่พาคนหลงเทคนิคแทคติกเท่านั้น ไม่ใช่ไปหลงลีลาเทคนิคแทคติกเท่านั้น
อย่างอาตมาแสดงศิลปะทุกวันนี้ อาตมาทำงานเทศน์คือสุดยอดวรรณกรรม เพราะวรรณกรรมระดับโลกุตระที่อาตมาบรรยาย พาคุณไปสู่โลกุตระ นิพพาน
คนที่เป็นอาริยะ เป็นพระอรหันต์ มีประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมสูงสุดไม่ใช่เป็นโทษต่อโลก
สมณะเดินดินว่า...วันนี้เราได้ฟังว่า พ่อครูว่า เมืองไทยดีที่สุดในโลก สงบและเจริญสูงสุดในโลก น่าสงสารอเมริกามาก เราก็มีนายกรัฐมนตรี ที่ดีที่สุด ตั้งแต่เจอนายกรัฐมนตรีมา นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นความหวังที่ประเทศไทยจะเจริญได้
พ่อครูว่า...อาตมาดีใจมากที่ท่านประกาศว่าตนเองเป็นนักการเมือง อาตมาเป็นนักการเมืองมาตั้งแต่ต้นเลยแต่คนไม่เข้าใจว่านักการเมืองคืออะไร
สมณะเดินดินว่า...ประเทศไทยมีต้นทุน ที่ในหลวง เป็นโลกุตระ ถ้าคนเรามีความคิดเห็นแก่ตัว อยากจะโลภ รวย เอาเปรียบ เป็นทิศทางที่ไปไม่รอด อเมริกาพิมพ์แบงค์ดอลล่าร์ออกมาเยอะแยะแต่เป็นหนี้สินที่สุดในโลก ก็รอวันหายนะ ...ในหลวงท่านได้สร้างทุนทางสังคมที่เป็นโลกุตระให้แก่ประเทศไทยไว้แล้วเราก็มาช่วยกันทำต่อ
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:38:02 )
รายละเอียด
610107_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1-Y0UjR8OCuhdkR-hWUOyjg1SHbjcwjyGHoqsSG0kkJI
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1PwUq2mCQQN0KKCCqG-a44Lt101QnJMw5
_คุณสบายดี แก่นหยก sabaydee kanyok มันไม่ง่ายเลยชีวิต กว่าจะผ่านมาได้เราต้องล้มและลุก แล้วต้องลุกให้ได้ !!!!!!!!! แม้ตอนล้มจะเจ็บจนทนไม่ไหว เราก็ต้องอดทน ทนจนไม่ต้องทนอีกต่อไป เรียนรู้อยู่กับมัน จะล้างมันให้หมดไป จากความรู้สึก ที่เมื่อมันมา กระทบใจเรา เราต้องจับอาการกิเลสให้ทัน ตอนนั้นแหละ ทันทีเลย แล้วทำการแยกให้ออก เหมือนเราแยกขยะ อันไหนช่วยได้เราก็ใช้มันอยู่ เพราะเราอาศัยมันอยู่ แต่อันไหนเป็นขยะติดเชื้อก็เผามันทิ้งเลยอย่าเอาไว้เด็ดขาด เอาไปฝังก็อันตราย เดี๋ยวมันจะกลับมาเล่นงานเราอีก ทำอย่างนี้บ่อยๆจนกว่าเราจะสบาย ว่างจากความโลภโกรธหลง ความรู้สึกถือสา ถือตัว ถือดี ทำใจอุเบกขา เหมือนมันเป็นอากาศ (พ่อครูว่า….ระวังจะเป็นสมถะมากเกินไปนะหรือแม้แต่ติชนัทฮันห์ หรือหลวงปู่พุทธทาส หรือแม้แต่หลวงอัตถ์ รู้นิ่งเฉย ก็เป็นสมถะ ก็มีการฝึกได้เร็วได้เก่งได้คล่องได้บ่อย จนเป็นอัตโนมัติเลยก็หลงว่าอัตโนมัตินั่นคือสำเร็จ แท้จริงบำบัดด้วยสมถะไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนามันจะต้องจับตัวมาเลย นามธรรมในอากาศวิญญาณ แล้วทำให้มันไม่มีให้ได้เรียกว่าอากิญจัญ สิ่งนั้นต้องจับอาการ รูปร่างตัวตนอาการมันยิ่งกว่าอากาศนะ จับมันให้ได้แล้วให้มันหมดจากอาการ
ผ่านการรับรู้แล้วผ่านไป ฝึกแม้ในขณะลืมตา(พ่อครูว่า...เป็นสมาธิแบบลืมตาก็ได้ต้องมีธัมมวิจัย แยกแยะกิเลสให้ออกจริงๆ แยกรูปนาม หรือเป็นกาย กายนี้เป็นจิตนะ ไม่ใช่เป็นวัตถุ กายนี้เป็นจิต มโน วิญญาณ อ่านอาการกาย จิต นี้แหละ หยาบ กลาง ละเอียด จะรู้ตามบารมีไปเรื่อยๆ ในขณะลืมตาเหมือนกัน แต่ลืมตาแบบสมถะก็มี ขออภัยท่านติช หรือท่านพุทธทาส ก็ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างมาอธิบาย สายอาจารย์มั่นเป็นสมถะแท้ มันง่ายคนก็เลยเยอะ ทางนี้ก็น้อยหน่อย ก็พยายาม ส่วนอาจารยืชานั้น มีสองอย่าง พยายามผนวกสมถะและวิปัสสนา กำลัง mixture อย่างสำคัญ พยายามให้ใช้ทั้งสองอย่างทั้งสมถะและวิปัสสนา)
ตัวเองปฏิบัติธรรมขณะลืมตาตลอดเวลา เท่านี้แหละชีวิตเด็กวัดของเราที่ต้องทำทุกๆวัน ปีเก่าผ่านไปปีใหม่เข้ามา เหมือนทุกปี(พ่อครูว่า...ลักษณะวนเวียนไม่เหมือน แต่ความละเอียดเนื้อในไม่เหมือนรายละเอียดต่างๆไม่เหมือน ปีใหม่เหมือนเก่า แต่มีอะไรประกอบใหม่อีกเยอะ) ปีนี้แตกต่าง (ยังมีปฏิภาณปัญญารู้นะ พูดไปใช้พยัญชนะอย่างเคยตัว ) ปีนี้แตกต่าง เพราะคนที่ฉันรักเคารพจากไปไม่มีวันกลับ คงเหลือไว้เพียงแบบอย่าง แนวทางที่ดีให้ฉันได้ก้าวตาม (พ่อครูว่า...ถูกต้อง) พ่อผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณสังขารกำลังจะเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งท่านมีความต้องการให้ลูก อย่างฉัน กลับมาสืบทอดเจตนาช่วยกันสร้างสังคมบุญนิยม ฉันคนเป็นลูก ไม่อยากให้พ่อจากไป โดยที่ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พ่อเลย ฉันผู้เป็นลูกต้องเคลียร์ตัวเองตัดรอบสัมภาระวิบากเพื่อมาอยู่เอาภาระช่วยพ่อ ดูแลกิจการต่อ พร้อมกับลดกิเลสของฉันไป (ญาณที่ 5 ของพระโสดาบัน เลี้ยงลูกไปแล้วก็เคี้ยวหญ้าตัวเองด้วย ) ความสุขของลูกคือ ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อ ฉันเติบโตขึ้นมาอีก 1 ปี ฉันมีความรับผิดชอบ เพิ่มขึ้นตามสัจจะอีก 1 อย่าง ในงานที่ฉันทำ !!!!!!! ฉันไม่ใช่คนเก่งอะไรหรอก เป็นเพียงคนที่เชื่อหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มเห็นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ฉันต้องร่วมด้วยช่วยกัน ฉันต้องทำ พร้อมไหม!!!!! อย่าถาม ถึงความพร้อม หากพูดถึงความพร้อมไม่พร้อมหรอก ? เพราะตัวฉันเองยังรักกิเลส! ยังชอบท่องเที่ยว ยังสนุกกับการได้ทำตามภพ แต่!!!!!! ทำไมต้องทำ (ใจหนึ่งคิด) คิดอยู่นาน คิดตลอด หาทางหลีกเลี่ยงให้ตัวเองรอดจากงานนี้ แต่อีกใจหนึ่งขอคิดสำคัญตนเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ !!!!!!! บางครั้งฉันก็ต้องเอาอัตตามาใช้ ให้มีแรงผลักดัน แต่สุดท้าย ฉันก็ต้องมาลดอัตตา (ถ้าเผื่อว่าจำนนจำเป็นจะต้องใช้ก็ต้องใช้อัตตา เอาสมถะมาช่วย มันมีธรรมะ 2 ธรรมะบวกกับธรรมะลบ นี่เอาธรรมะบวก มาช่วย)
เพราะเหตุการณ์ในการทำงาน จะทำให้ฉันเห็นอัตตาที่แสนน่ากลัว ฉันกลัวนะ แต่ตอนที่มันมาฉันก็บ้าบิ่นน่าดู ฉันตั้งใจสู้กับมัน งานที่ฉันทำต้องเสียสละแรงกายแรงใจเพื่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ เพื่อให้เกิดพลังรักที่ยิ่งใหญ่ กตัญญูต่อสถาบัน หลายครั้้งที่ถอดใจ หลายครั้งที่หมดหวัง ไม่มีพลังจะก้าวต่อไป เพราะ ความเอาแต่ใจฉันเอง !!!! เพราะตัวแปรที่มากระทบผัสสะแต่ละครั้ง เพราะกิเลสของฉัน !!!!! ยึดดีจนเกินไป คิดสำคัญตนมากไป แต่เพราะอะไร? ทำไมถึงทำได้ !!!!
เพราะฉันคิดว่า การแสวงหาความสบายส่วนตัว ความร่ำรวยส่วนตัว มันเกิดขึ้นได้ อยาก หากเราจะเอาสองทาง !!!!!!
1. สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อน พอรวยแล้วค่อยมาช่วยงานวัด (พ่อครูว่า...ยังมีคนคิดอย่างนี้เยอะ สร้างความร่ำรวยตัวเองก่อนแล้วก็ค่อยมาช่วยงานวัด คุณคงจะตายอีกหลายชาติคิดอย่างนี้ )
2. ให้พร้อมก่อนค่อยเข้ามาอยู่วัด
หากฉันรอพร้อมทั้ง 2 ข้อนี้ ทั้งชาติก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะอะไร !!!!!!
เพราะโลกโลกีย์ ไม่มีเติมเต็ม !!!!! ฉันจะต้องวิ่ง ช่วงชิง ความสุขหลอกๆเพื่อเอามาให้สมใจตัวเองตลอดเวลา หากทำเช่นนี้ฉันทำได้นะ
แต่ !!!!! มันไม่ใช่เส้นทางที่พ่อครูพาทำ คำสอนพ่อครูให้มาจน จนความรวย แค่ตัวเรา ! ให้เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ให้หมู่กลุ่ม จนกิเลส จนอบาย จนไม่มีโทษภัยแก่ผู้อื่น! แล้วเพิ่มการสร้างสรรเสียสละ (พ่อครูว่า..สร้างสรรไม่มีค.ควายการันต์หมายความว่ามีทั้งการสร้างและการคัดเลือกเฟ้น ส่วนสร้างสรรค์มี ค์ สร้างอย่างไม่เลือกเฟ้นไม่มีปัญญาได้ หรือจะสร้างสรรค์ คุณก็ต้องเลือกแล้วว่าใช่นะอันนี้ เลือกเฟ้นมาดีแล้วพ้นวิจิกิจฉา แล้วมี ทฤษฎี ศีลพรตแล้วก็เลือกแต่ไม่ปรามาส อันนี้สร้างสรรได้)
สร้างหมู่ สร้างกลุ่มให้สมบูรณ์ ฉะนั้นมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ! ฉันมีที่ปรึกษาที่ล้ำค่าคอยช่วยเหลือผลักดันคอยปรับทัศนคติให้ฉันทำในสิ่งที่หมดกิเลสหมดตัวตน แต่เพื่อกุศล เพื่อให้มีฐานเป็นตัวอาศัยในการปฏิบัติธรรมของฉัน ทุกครั้งที่ฉันท้อ ฉันจะคิดถึงคำสอนของ พ่อครู สมณะ สิกขมาตุ คุรุ พี่ๆน้องๆ ครอบครัวเล็ก แต่มีใจเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เพราะนี่คือบ้านหลังใหญ่ของฉัน บ้านที่แสนอบอุ่นปลอดภัย บ้านที่มีแต่ความจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ฉันรักบ้านของฉัน สำนึกดีปีใหม่ 2018
พ่อครูว่า...ใช้ได้เอาคะแนนเต็มไปคะแนนเต็ม 10 ให้ 11 ครึ่ง
ประเด็นที่ 1 หยุดที่ไปยุแหย่ให้คนรวย ไม่รู้จักความจน แม้คุณจะไม่จนมากแต่จนให้นิดหน่อยได้ ให้ได้ก่อน ให้รู้ว่าความจนไม่ใช่สิ่งน่าเกลียด ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีความสุข มีความสุขได้ในความจน สุขเป็นอุปาทานไม่มีจริงเป็นความหลอก
ทุกข์ ทำไมเรียกว่าอริยสัจ สุข ทำไมเรียกว่าหลอก อัลลิกะ
ทุกข์ ท่านเรียกว่าความจริงเป็นอริยสัจ ท่านไม่เรียกว่าทุกข์คือสัจจะอย่างเดียว ท่านเรียกว่าทุกขอาริยสัจ อาริยะคือผู้ประเสริฐที่แท้จริง อาริยะจะรู้จักสุขรู้จักทุกข์ ว่าสุขเป็นของหลอก ทุกข์เป็นของจริง เพราะตัวจริงคืออวิชชาคืออนุสัย สวรรค์ไม่มีอยู่ที่ตัวคุณหรอก จิตของคนไม่มีสวรรค์หรอก สวรรค์คือตัวจร คือการปรุงแต่งเพียงชั่วคราว อาจจะดึงสวรรค์ไปได้อีกไม่กี่วินาทีหรอก แต่เสร็จแล้ว ก็พรากกันไป สวรรค์ไม่ได้ทนทานอะไร อนุสัยอวิชชามันทนทาน ทนทานเหนือไวรัสต่างๆเป็นล้านๆๆปี
ท่านจึงเรียกว่า ทุกข์มันไม่มีประมาณ อัปปมัญญา ยาวนานไม่มีประมาณ ไม่เคยหยุดไม่เคยพอ มันอยู่กับตัวเรา ถ้าหากล้างตัวนี้หมด ทุกข์ก็ไม่มี แต่อวิชชากับอนุสัย มันอยู่กับคุณจริงๆ ต้องมาศึกษาล้างตัวนี้ให้ได้ ท่านถึงเรียกว่าอริยสัจ
แต่สวรรค์นี้รู้ได้ง่าย มันก็หลอกแวบไปแวบมา
ใครมีสวรรค์ที่ไม่มีทุกข์แทรกอยู่เลย นรกแทรกอยู่เลย เอ้ายกมือ???....แสดงว่าไม่มีอรหันต์ อรหันต์นี้ไม่มีทุกข์แทรก
สมณะฟ้าไทว่า...ธรรมชาติของจิตอวิชชา ก็เสพติด
พ่อครูว่า...เราไม่เสพแล้วเราก็ไม่ติด ตั้งแต่ก่อนนี้อาตมาให้โศลก ว่า เบิกบานแจ่มใสมัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ คือจุดหมายปลายทางของชาวอโศก
สุดท้ายไม่มีการเสพมีแต่สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีรสสวรรค์ไม่มีรสอร่อยไม่มีรสสุขไม่มีรสทุกข์ ล้างจิตให้เป็นกลาง สิ้นความเสพหมด หมดสวรรค์หมดอะไรต่ออะไร
ต้องอ่านจิต ว่ามีความ เบิกบานแจ่มใสมัธยัสถ์สุภาพสงบหมดความอยากสิ้นความเสพ อย่างไร
สุภาพคือภาวะที่ดี phenomenon เพื่อสิ่งปรากฏ ปาตุภาวะ แล้วปรากฏให้คุณเป็นสิ่งที่ดี คุณก็ต้องใช้ปัญญาความเฉลียวฉลาด เลือกเฟ้นว่าอะไรดีกับไม่ดีคืออะไร ก็เลือกเอาสิ่งที่ดีตามภูมิ ดีถึงขั้นโลกุตระหรือแค่โลกียะ โลกียะจะมีความวนเวียนอยู่ แต่โลกุตระจะไม่มีความวนเวียน โลกุตระนี้ดีก็น้อย จนไม่มีดีไม่มีชั่วเลย ชัดเจนว่าจะมีถึงแค่สภาพแบ่งรู้ของจิตเรียกว่าอรูปฌาน
รูปฌานจะรู้ว่า มีภาวะฟูฟองเรียกปีติ สภาพที่ยังสุขทุกข์อยู่บ้างเรียกวิตกวิจาร วิตกวิจารยังมีโทมนัสโสมนัสผสมอยู่ หรือแม้สุขทุกข์ก็ผสมอยู่ทั้งสี่ส่วน เมื่อทำให้อุเบกขา กลางๆ จนหมดอยากสุขทุกข์ภายนอก สุขทุกข์เป็นสวรรค์นรกภายนอก หยาบ กระทบดินน้ำไฟลมวัตถุภายนอกทั้งหมด ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ภายนอกหมดสุขหมดทุกข์จริงๆ วางสบาย ข้างนอกสบาย แต่ข้างในยังทุกข์ เราไม่เรียกทุกข์ เราเรียกโทมนัส ยังมีโสมนัสฟูใจ แต่คนกดข่มได้ ไม่ออกมาทางกายวาจาอย่างกับพระอรหันต์ แต่แท้จริงเป็นเพียงอนาคามี ไม่มีกายวิญญัติวจีวิญญัติ ไม่มีการเสพภายนอก มีแต่แอบเสพภายใน เป็น คนธรรพ์ แอบเป็นเล็น แฝงในขนพญาครุฑ แอบไปเสพ เอาเศษจากพญาครุฑไปเสพ
พญาครุฑไปเสพกามกับกากี คนธรรพ์ ก็ไปแอบเสพส่วนที่เหลือ เป็นเล็นเป็นหมัดอยู่ที่ขนพญาครุฑเรียกว่าคนธรรพ์แฝงอยู่ เป็นชีวิตที่แฝงทรงไว้ แอบเสพ มันแฝงในจิตเป็นรูปราคะ อรูปราคะ หมดรูปราคะอรูปราคะแล้ว ก็หมด หมดก็เหลือมานะอุทธัจจะอวิชชา สามสังโยชน์สุดท้าย แม้คุณจะดีแต่ถือดี เอาดีไปข่มเขา เอาดีนี่แหละไปหาสิ่งที่ซับซ้อนเพิ่มเติม เป็นอัตตาเสริมก็ไม่เอา จนหมดมานะเหลือเศษธุลีละออง อุทธัจจะก็ลดอีก เหลืออาสวะ ก็ดับอาสวะ 10 อีก ยังเหลืออนุสัยอีก 7
อนุสัย 7 ตัด อาสวะ สามอันแรก ต้องรู้จักโครงสร้างแรก คือกาย อย่างไม่สงสัย และมีศีลพรต อย่าไปเล่นหัวกับกิเลส จำเลยก็อยู่กับเราแท้ๆ แต่โจรไม่รู้ เราเป็นตำรวจ แล้วโจรไม่รู้ว่าเราเป็นตำรวจด้วย ฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่พ้นสีลัพพตปรามาสคือตรงนี้ รู้ตัวโจร มีทฤษฎีที่จะทำด้วย ไม่สงสัยแต่ไม่ลงมือทำสักที เล่นอยู่ได้เสียเวลา ของพระพุทธเจ้าชัดเจน แล้วมันยังอร่อยอยู่นะ ยังเพลิดเพลินกับกิเลส แอบแฝงเสพกิเลส อันนี้จริง ไม่เล่นหัวแอบเสพ ไม่มากไม่มาย พลังงานที่จะมากก้าวหน้าไม่มี แต่วนแค่นี้ แค่นี้ก็พอแล้ว พวกพอเพียง คุณจะล้างต่อไปในอนาคตยากขึ้นๆ ไม่เชื่อก็ศีรษะใครศีรษะมัน ปีติวิสัยของอานาคามี
อนาคามีก็ตาม โสดาบันก็ตามอย่างนางวิสาขาเป็นวัฏฏภิรตโสดาบัน พระโสดาบันที่ยังร่าเริงกับความอร่อย ยังมีรูปราคะ ก็แข็ง จะมีตัวอย่างในโลก ที่ไปนั่งหลับตา อาฬารดาบส อุทกดาบส หรืออีกอย่างหนึ่งคือเมถุนสังโยค ฐานที่ 7 คือเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ปรารถนาเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เสพรสสวรรค์ อยู่กับรสสวรรค์นี้ไม่ไปไหนหรอก ก็ไม่สร้าง Coefficient นี้ให้แรงก็เลยวนกลับนรก บวกบ้างลบบ้าง แต่ไม่ให้ลดไปกว่านี้ ลดความพอเพียงไว้ดีมาก พวกพอเพียงนิรันดรนี้น่าเขกกบาล
สรุปว่าสวรรค์นี้เป็นของหลอกทั้งนั้นพระพุทธเจ้าใช้พยัญชนะชัดเจนว่า สุขัลลิกะ ต้องมาดูเหตุที่มันพาลงนรกคือตัวผี เหตุคือตัวผี พาลงนรก ฆ่าผีให้เรียบร้อย ฆ่าซาตาน ไซตอน เรียกด้วยภาษาอีกเยอะแยะ ฆ่าด้วยพลังงานจิต ฆ่าให้มันตายดับสนิท ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา เป็นปกติธรรมดาสามัญ อย่างไรก็ไม่เกิดอีก เป็นหลักประกันได้เลย ยืนยันได้ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถ มีตัวอย่าง แล้วก็มาพิสูจน์ไปตามลำดับขั้น ตั้งแต่อบายมุข สวรรค์อบายมุข เสร็จแล้วก็ไปติดสวรรค์ในขั้นกาม แม้แต่กามไม่จัดจ้าน อ่อนๆ ไม่มากเท่าไหร่ เหมือนอย่างนางวิสาขา แต่ที่จริงกามในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอาจจะอ่อน แต่กามวัตถุไม่อ่อนนะ นางวิสาขานั้นรวยเละเลย ใช้อำนาจทางวัตถุบริวารทรัพย์ศฤงคารเยอะ แต่ตัวเองกามอ่อน แต่โลกียะ มหาศาล ต้องแยกกาม กามคือเสพรส โลกียะคือลาภยศสุขเพราะลาภยศ ส่วนกามนั้นสุขเพราะสัมผัสห้า อย่างนางวิสาขา สุขทางกามน้อยกว่า แต่สุขทางโลกียทรัพย์ลาภยศมหาศาลเลย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1-Y0UjR8OCuhdkR-hWUOyjg1SHbjcwjyGHoqsSG0kkJI
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1PwUq2mCQQN0KKCCqG-a44Lt101QnJMw5
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:41:08 )
รายละเอียด
610107_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ปีใหม่ 2561 เป็นปีที่สดใส ดูจากโต๊ะที่เขาประดับไปด้วยผักและผลไม้ สีสันสดใส สีเหลืองสีเขียวสีแดง สารพัดสี ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี เพราะว่างานเพื่อฟ้าดินปีนี้เป็นไปได้ด้วยดี แม้จะมีข้อบกพร่องแต่ผลรวมก็เป็นผลที่ดี ถือว่าใช้ได้ แต่ที่อาตมาเห็นว่าดีอย่างหนึ่งคือชาวอโศกมาทำงานแล้วมีข้อบกพร่องอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ว่าความขัดแย้งด้านจิตวิญญาณน้อยมาก ราบรื่นไปได้ด้วยดี แม้ว่างานจะวุ่นวายแต่ใจสงบ อาตมาว่า อันนี้น่าพึงพอใจอย่างยิ่งในการทำงานศาสนาในการทำงานเพื่อมนุษยชาติ ทำงานมากข้อบกพร่องก็มากไปเป็นธรรมดา แต่จิตใจสงบเรียบร้อย อันนี้เป็นผลสำเร็จในการทำงานศาสนาอย่างยิ่ง
พ่อครูก็พาคนมาจน แต่ไม่ใช่จนแต้ม แต่เป็นคนจนอย่างเต็มใจจนเข้าใจที่จะมาจนจนอย่างสมบูรณ์ เป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดประเสริฐที่สุดในชีวิต จนแบบนี้คือคนจนที่โลกโลกีย์ไม่มี แต่จนอย่างโลกุตระ เป็นความจนที่ประเสริฐสุดในชีวิต คนมาอยู่แล้วก็มีความเป็นอยู่ผาสุก พ่อครูเป็นครูชั้นเยี่ยมที่พาให้คนมาจนและมีความสงบ แต่ช่วยเหลือสังคมไปด้วย ทั้งที่ดูสังคมวุ่นวายแต่ก็สงบดี เหมือนเราทำข้อสอบ ว.บบบ. นี้ไม่เท่าไหร่แต่ข้อสอบที่อาคาร บวร คือของแท้ ใครผ่านก็เป็นจุดที่สำคัญในชีวิต พระโพธิสัตว์ก็ทำแบบฝึกหัดให้คนปฏิบัติธรรม ให้เป็นคนเสียสละให้แก่สังคม จนอยู่อย่างนี้แต่ร่มเย็น เป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่ไม่รู้ว่าคนเขาจะเห็นอย่างเราได้หรือไม่หนอ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่น่าศึกษาเรียนรู้
พ่อครูว่า…เจริญธรรมสำนึกดีปีใหม่
SMS วันที่ 5 และ 6 มกราคม 2561 (บวรราชธานีอโศก)
_0750 พ่อครูอายุมากแล้วลดเวลาเทศเหลือสักชั่วโมงครึ่งดีไหมครับ คนบ้านราชมีประมาณ300คนแต่มาฟังธรรมไม่ถึง100คน อาจเพราะนั่งฟังไม่ไหวนานไปคับ นั่งทรมาร
พ่อครูว่า...ก็มีเก้าอี้ให้นั่งก็ได้ นั่งพื้นก็ได้ คนเขาสมัครใจอยู่ที่จะมาหรือไม่มาเท่านั้นเอง เอาน่า วันละ 2 ชั่วโมงไม่ใช่มากมายอะไร วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง เทศนาแค่ 2 ชั่วโมง กำลังอาตมายังพอ จริงๆแล้วถ้าไปลดกำลังตัวเองมากเกินไป มันก็ไม่ทันนะ กำลังถ้าใช้น้อยไปก็ไม่เป็นอัตราเร่ง อย่างนี้เป็นต้น
คือจัดสัดส่วนให้ได้พลังงานที่ดี ในสังขยาเลข คำนวณตามคณิตศาสตร์ ก็ยังยากเลย จัด หรม. ครน. จะให้ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดีไม่ง่าย ยาก ยิ่งนามธรรมแล้ว ไม่ใช่เม็ดมะขาม มันมีตัว overlap ซ้อนกันอยู่ไม่รู้กี่ชั้นตอนกี่ชั้น ก็ไม่ใช่ง่ายต้องค่อยๆศึกษาไป มันจำนน ไม่รู้จะไปแบ่งอย่างไร อย่าง photon quantum บางคนบอกแสงเป็นก้อน หรือบางคนว่าไม่ใช่ มันเป็นคลื่น ทุกวันนี้ก็เถียงกันอยู่ มันถูกทั้งคู่ แต่ยึดทั้งคู่ ที่จริงแล้วมันเป็น 2 อย่างในตัวมันเองตามวาระ เช่นว่า กำแพงมันหนาเกินไป ที่กั้นมันหนาไป แสงมันไม่สามารถทะลุได้ก็เป็นก้อน แสงที่ทะลุไปได้มันก็กลายเป็นคลื่น
ได้ขนาดนี้ก็ไม่ โหรงเหรงไป ไม่เกิน 5 คนก็ดีแล้ว อย่างน้อยอาตมาว่า หลับตาสุ่มสี่สุ่มห้า ถ่ายทอดโทรทัศน์ไป ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย แม้จะไม่ล้านวิว แค่นี้เราก็พอใจแล้ว
_Huak Pornchai · คนจนโลกุตระ สุขสำราญเบิกบานใจ GDP ของเราคือ จน ดี พอ
พ่อครูว่า... เราชัดเจนสภาวะแล้วก็ใช้ได้ ในบัญญัติใดๆ
พูดถึง GDP แล้วเดี๋ยวค่อยต่อ
_3867 ธ.สณ.เดินดินกล่าวเหมือนธ .พระอ.ท่าน1ว่าอย่าสำคัญตัวว่าตัวสำคัญ!เพราะที่ ที่สำคัญไม่มีตัว(ตน)!
_แก้วลา ไชยวงค์ · ตอนนี้ทีวีที่บ้านเสีย ทุกวันจะเปิดทีวีฟังธรรมะพ่อหลังทำวัดเช้าทุกวัน ขอความกรุณาถ่ายสดลงเฟสให้ด้วย ขอบคุณค่ะ
_คุณสบายดี แก่นหยก sabaydee kanyok มันไม่ง่ายเลยชีวิต กว่าจะผ่านมาได้เราต้องล้มและลุก แล้วต้องลุกให้ได้ !!!!!!!!! แม้ตอนล้มจะเจ็บจนทนไม่ไหว เราก็ต้องอดทน ทนจนไม่ต้องทนอีกต่อไป เรียนรู้อยู่กับมัน จะล้างมันให้หมดไป จากความรู้สึก ที่เมื่อมันมา กระทบใจเรา เราต้องจับอาการกิเลสให้ทัน ตอนนั้นแหละ ทันทีเลย แล้วทำการแยกให้ออก เหมือนเราแยกขยะ อันไหนช่วยได้เราก็ใช้มันอยู่ เพราะเราอาศัยมันอยู่ แต่อันไหนเป็นขยะติดเชื้อก็เผามันทิ้งเลยอย่าเอาไว้เด็ดขาด เอาไปฝังก็อันตราย เดี๋ยวมันจะกลับมาเล่นงานเราอีก ทำอย่างนี้บ่อยๆจนกว่าเราจะสบาย ว่างจากความโลภโกรธหลง ความรู้สึกถือสา ถือตัว ถือดี ทำใจอุเบกขา เหมือนมันเป็นอากาศ (พ่อครูว่า….ระวังจะเป็นสมถะมากเกินไปนะหรือแม้แต่ติชนัทฮันห์ หรือหลวงปู่พุทธทาส หรือแม้แต่หลวงอัตถ์ รู้นิ่งเฉย ก็เป็นสมถะ ก็มีการฝึกได้เร็วได้เก่งได้คล่องได้บ่อย จนเป็นอัตโนมัติเลยก็หลงว่าอัตโนมัตินั่นคือสำเร็จ แท้จริงบำบัดด้วยสมถะไม่ใช่วิปัสสนา วิปัสสนามันจะต้องจับตัวมาเลย นามธรรมในอากาศวิญญาณ แล้วทำให้มันไม่มีให้ได้เรียกว่าอากิญจัญ สิ่งนั้นต้องจับอาการ รูปร่างตัวตนอาการมันยิ่งกว่าอากาศนะ จับมันให้ได้แล้วให้มันหมดจากอาการ
ผ่านการรับรู้แล้วผ่านไป ฝึกแม้ในขณะลืมตา (พ่อครูว่า...เป็นสมาธิแบบลืมตาก็ได้ต้องมีธัมมวิจัย แยกแยะกิเลสให้ออกจริงๆ แยกรูปนาม หรือเป็นกาย กายนี้เป็นจิตนะ ไม่ใช่เป็นวัตถุ กายนี้เป็นจิต มโน วิญญาณ อ่านอาการกาย จิต นี้แหละ หยาบ กลาง ละเอียด จะรู้ตามบารมีไปเรื่อยๆ ในขณะลืมตาเหมือนกัน แต่ลืมตาแบบสมถะก็มี ขออภัยท่านติช หรือท่านพุทธทาส ก็ขอบคุณที่เป็นตัวอย่างมาอธิบาย สายอาจารย์มั่นเป็นสมถะแท้ มันง่ายคนก็เลยเยอะ ทางนี้ก็น้อยหน่อย ก็พยายาม ส่วนอาจารยืชานั้น มีสองอย่าง พยายามผนวกสมถะและวิปัสสนา กำลัง mixture อย่างสำคัญ พยายามให้ใช้ทั้งสองอย่างทั้งสมถะและวิปัสสนา)
ตัวเองปฏิบัติธรรมขณะลืมตาตลอดเวลา เท่านี้แหละชีวิตเด็กวัดของเราที่ต้องทำทุกๆวัน ปีเก่าผ่านไปปีใหม่เข้ามา เหมือนทุกปี (พ่อครูว่า...ลักษณะวนเวียนไม่เหมือน แต่ความละเอียดเนื้อในไม่เหมือนรายละเอียดต่างๆไม่เหมือน ปีใหม่เหมือนเก่า แต่มีอะไรประกอบใหม่อีกเยอะ) ปีนี้แตกต่าง (ยังมีปฏิภาณปัญญารู้นะ พูดไปใช้พยัญชนะอย่างเคยตัว) ปีนี้แตกต่าง เพราะคนที่ฉันรักเคารพจากไปไม่มีวันกลับ คงเหลือไว้เพียงแบบอย่าง แนวทางที่ดีให้ฉันได้ก้าวตาม (พ่อครูว่า...ถูกต้อง) พ่อผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณสังขารกำลังจะเสื่อมไปตามกาลเวลา ซึ่งท่านมีความต้องการให้ลูก อย่างฉัน กลับมาสืบทอดเจตนาช่วยกันสร้างสังคมบุญนิยม ฉันคนเป็นลูก ไม่อยากให้พ่อจากไป โดยที่ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้พ่อเลย ฉันผู้เป็นลูกต้องเคลียร์ตัวเองตัดรอบสัมภาระวิบากเพื่อมาอยู่เอาภาระช่วยพ่อ ดูแลกิจการต่อ พร้อมกับลดกิเลสของฉันไป (ญาณที่ 5 ของพระโสดาบัน เลี้ยงลูกไปแล้วก็เคี้ยวหญ้าตัวเองด้วย ) ความสุขของลูกคือ ได้เห็นรอยยิ้มของพ่อ ฉันเติบโตขึ้นมาอีก 1 ปี ฉันมีความรับผิดชอบ เพิ่มขึ้นตามสัจจะอีก 1 อย่าง ในงานที่ฉันทำ !!!!!!! ฉันไม่ใช่คนเก่งอะไรหรอก เป็นเพียงคนที่เชื่อหมู่กลุ่ม หมู่กลุ่มเห็นว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ฉันต้องร่วมด้วยช่วยกัน ฉันต้องทำ พร้อมไหม!!!!! อย่าถาม ถึงความพร้อม หากพูดถึงความพร้อมไม่พร้อมหรอก ? เพราะตัวฉันเองยังรักกิเลส! ยังชอบท่องเที่ยว ยังสนุกกับการได้ทำตามภพ แต่!!!!!! ทำไมต้องทำ (ใจหนึ่งคิด) คิดอยู่นาน คิดตลอด หาทางหลีกเลี่ยงให้ตัวเองรอดจากงานนี้ แต่อีกใจหนึ่งขอคิดสำคัญตนเข้าข้างตัวเองว่า ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ !!!!!!! บางครั้งฉันก็ต้องเอาอัตตามาใช้ ให้มีแรงผลักดัน แต่สุดท้าย ฉันก็ต้องมาลดอัตตา (ถ้าเผื่อว่าจำนนจำเป็นจะต้องใช้ก็ต้องใช้อัตตา เอาสมถะมาช่วย มันมีธรรมะ 2 ธรรมะบวกกับธรรมะลบ นี่เอาธรรมะบวก มาช่วย)
เพราะเหตุการณ์ในการทำงาน จะทำให้ฉันเห็นอัตตาที่แสนน่ากลัว ฉันกลัวนะ แต่ตอนที่มันมาฉันก็บ้าบิ่นน่าดู ฉันตั้งใจสู้กับมัน งานที่ฉันทำต้องเสียสละแรงกายแรงใจเพื่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ เพื่อให้เกิดพลังรักที่ยิ่งใหญ่ กตัญญูต่อสถาบัน หลายครั้้งที่ถอดใจ หลายครั้งที่หมดหวัง ไม่มีพลังจะก้าวต่อไป เพราะ ความเอาแต่ใจฉันเอง !!!! เพราะตัวแปรที่มากระทบผัสสะแต่ละครั้ง เพราะกิเลสของฉัน !!!!! ยึดดีจนเกินไป คิดสำคัญตนมากไป แต่เพราะอะไร? ทำไมถึงทำได้ !!!!
เพราะฉันคิดว่า การแสวงหาความสบายส่วนตัว ความร่ำรวยส่วนตัว มันเกิดขึ้นได้ อยาก หากเราจะเอาสองทาง !!!!!!
1. สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองก่อน พอรวยแล้วค่อยมาช่วยงานวัด (พ่อครูว่า...ยังมีคนคิดอย่างนี้เยอะ สร้างความร่ำรวยตัวเองก่อนแล้วก็ค่อยมาช่วยงานวัด คุณคงจะตายอีกหลายชาติคิดอย่างนี้ )
2. ให้พร้อมก่อนค่อยเข้ามาอยู่วัด
หากฉันรอพร้อมทั้ง 2 ข้อนี้ ทั้งชาติก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะอะไร !!!!!!
เพราะโลกโลกีย์ ไม่มีเติมเต็ม !!!!! ฉันจะต้องวิ่ง ช่วงชิง ความสุขหลอกๆเพื่อเอามาให้สมใจตัวเองตลอดเวลา หากทำเช่นนี้ฉันทำได้นะ
แต่ !!!!! มันไม่ใช่เส้นทางที่พ่อครูพาทำ คำสอนพ่อครูให้มาจน จนความรวย แค่ตัวเรา ! ให้เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ให้หมู่กลุ่ม จนกิเลส จนอบาย จนไม่มีโทษภัยแก่ผู้อื่น! แล้วเพิ่มการสร้างสรรเสียสละ (พ่อครูว่า..สร้างสรรไม่มีค.ควายการันต์หมายความว่ามีทั้งการสร้างและการคัดเลือกเฟ้น ส่วนสร้างสรรค์มี ค์ สร้างอย่างไม่เลือกเฟ้นไม่มีปัญญาได้ หรือจะสร้างสรรค์ คุณก็ต้องเลือกแล้วว่าใช่นะอันนี้ เลือกเฟ้นมาดีแล้วพ้นวิจิกิจฉา แล้วมี ทฤษฎี ศีลพรตแล้วก็เลือกแต่ไม่ปรามาส อันนี้สร้างสรรได้)
สร้างหมู่ สร้างกลุ่มให้สมบูรณ์ ฉะนั้นมิตรดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ ! ฉันมีที่ปรึกษาที่ล้ำค่าคอยช่วยเหลือผลักดันคอยปรับทัศนคติให้ฉันทำในสิ่งที่หมดกิเลสหมดตัวตน แต่เพื่อกุศล เพื่อให้มีฐานเป็นตัวอาศัยในการปฏิบัติธรรมของฉัน ทุกครั้งที่ฉันท้อ ฉันจะคิดถึงคำสอนของ พ่อครู สมณะ สิกขมาตุ คุรุ พี่ๆน้องๆ ครอบครัวเล็ก แต่มีใจเสียสละที่ยิ่งใหญ่ เพราะนี่คือบ้านหลังใหญ่ของฉัน บ้านที่แสนอบอุ่นปลอดภัย บ้านที่มีแต่ความจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ฉันรักบ้านของฉัน สำนึกดีปีใหม่ 2018
พ่อครูว่า...ใช้ได้เอาคะแนนเต็มไปคะแนนเต็ม 10 ให้ 11 ครึ่ง
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ระบบทุนนิยมคือเศรษฐกิจฆ่าตัวตาย
เรามาพูดถึงปัจจุบันตอนนี้ เข้าหาการเมืองการเศรษฐกิจหน่อย เรามาพยายามฉีกชี้ การฆ่าตัวตายของเศรษฐกิจ Suicidal Economy เศรษฐกิจฆ่าตัวตาย หรืออัตวินิบาตกรรมเศรษฐกิจ ทุกวันนี้ทั่วโลกกำลังเป็นเศรษฐกิจฆ่าตัวตาย ด้วยเขาไม่รู้ว่ากำลังฆ่าตัวเองตายอย่างเลือดเย็น หลงผิดว่าตัวเองเจริญในเศรษฐกิจทุนนิยม แต่เขาไม่รู้ตัว ยังงุ่มง่ามงมงายกับของที่เก่าแล้ว เขามีของที่เก่าเอี่ยมกว่านั้น แต่เขาไปงมกับของเก่า ก็ต้องค่อยๆทำทำตัวอย่าง เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ โดยการมาแก้ปัญหาความพัฒนา
เราขอเป็นตัวอย่างน้อยๆ ไม่ถึงกับเรียกว่า Example แต่เป็น specimen หรือ idol เป็นตัวอย่างที่ ยังไม่ถึงขั้นเป็นตัวอย่างที่ใหญ่โต เป็นรูปร่างครบพร้อม เป็นตัวอย่างน้อยๆเป็นตัวอย่างเล็กๆพอมีรูปร่าง ก็มีลักษณะเต็มในตัว แต่ตัวน้อยอยู่ มีรูปร่างปัญจสาขาครบแต่ไม่เต็มที่ แขนก็นิดนึง ขาก็นิดนึง ออกมามีรูปร่างพอสมควร ครบสาขา แต่ว่ายังไม่มี detail สมบูรณ์แบบอะไร ก็ได้ลักษณะขึ้นมาบ้าง ซึ่งมันจำเป็นจะต้องอาศัยเวลาและการสร้างต่อไปอีก
การแก้ปัญหาสังคมเศรษฐกิจ ด้วยการเอาอย่างเก่า เอาน้ำโคลนมาล้างความสกปรกให้มันสะอาด ดีไม่ดีน้ำฝนนั้นทําให้ความสกปรกเพิ่มขึ้นกว่าเก่า หนักไปกว่าเก่าเขาก็ไม่รู้ตัว เขาไม่สามารถหาน้ำสะอาดได้ น้ำสะอาดเป็นจุดขาวในฟ้าดำมืดกว้างแสนกว้าง
เราก็เป็นเพียง จุดขาวในฟ้าดำมืดกว้างแสนกว้าง
เราก็ค่อยๆทำไป เราจะอยากกว้างใหญ่กว่านี้ไม่ได้มันต้องสร้างเอา มันมีอัตราก้าวหน้าก็ใช้ได้
ประเด็นที่อาตมาทักท้วงตอนนี้คือ เขาจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการไป build โด๊บ ยุ ให้คนไปรวย จะด้วยกรรมวิธี การพูด มุ่งมั่นสร้าง Concept ใส่คนให้คนไปรวย ปลุกเร้าให้คนเข้าใจอย่างนี้ ให้คนเข้าใจผิดๆว่า ทุกคนมารวยแล้วจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ มันเป็นการแก้ปัญหาที่เห็นแก่ตัว คุณรวย คนอื่นก็ต้องจน แค่นี้ก็ผิดแล้ว คือคุณสบายแล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้แล้ว แต่คุณไม่ต้องทำให้คนอื่นจนจะทำอย่างไร คุณก็ต้องทำเอง สร้างเองให้พอกินพอใช้ ดีไม่ดีให้เหลือให้เกินแล้วเอาไปเผื่อแผ่คนอื่นด้วย อย่างนี้ต่างหาก
ถ้าเผื่อแผ่ คุณได้ร้อยก็ให้เขาไปหนึ่งหรือสองแล้วก็ได้มาอีกร้อย ได้มาอีกร้อยก็ให้เพิ่มไปอีก 4- 5 แล้วก็ได้มาอีกร้อย ก็ให้เขาไปอีกหน่อยแต่คุณก็ได้มามากกว่าเก่าอยู่เรื่อยๆ คุณมีอัตราการช่วยสังคมน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา
อโศกเรา ขออภัยที่ต้องพูดความจริง อโศกเราหาได้ร้อย เราแบ่งสามส่วน
1. เป็นคงคลังที่ต้องใช้ตลอดเวลา
2. เป็นสิ่งที่ต้องใช้เคลื่อนไหวหมุนเวียนอีกส่วน
3. เป็นส่วนที่จัดการ เพื่อจะสะพัดขาดทุนให้แก่สังคม ส่วนนี้หมดไปทุกที อีกสองส่วนก็ดำเนินการ ถ้าต้นทุนคงคลังทวีมากขึ้น
คงคลังที่ทวีของสัจธรรม ไม่ใช่ธนบัตร แต่เป็นหลักฐาน ดินน้ำไฟลมสถานที่ ที่คุณจะเป็นแหล่งประกอบการสร้างสรรทำงานสร้างผลผลิต อันนี้ต่างหาก คุณมีที่ดินมีเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ก็จะสร้างสิ่งเหล่านี้แข็งแรงขึ้นมากขึ้นๆ อย่างชาวอโศกเรา มีแบคโฮ 800 ในเมืองไทยมีแค่ 2 ตัว อีกตัวหนึ่งอยู่ที่เมืองถ่านหินแม่เมาะ เราก็ได้มาจากที่นั่นแหละ เซ้งมา Secondhand 6 ล้านบาทเมื่อหลายสิบปีนะ สมัยนี้ไม่รู้กี่ล้าน 18 ล้าน มันสตาร์ททีนึงกินน้ำมันมาก ขาดแคลนแบคโฮ 200 มาแลก 2 ตัวก็ให้นะ แต่มันก็มีงานที่จำเป็นต้องใช้แบคโฮ 800 นี้นะ แบคโฮ 400 เราก็มีอยู่ นอกนั้นก็มี 200 150 ซื้อมาจากเป็นของ Second Hand ทั้งนั้น มีที่เป็นมือหนึ่งก็คือเครื่องรีดหลังคาโลหะ ราคา 6 ล้าน แต่ตอนนี้เราไม่ได้ใช้ราคาล้านเดียวเราก็ให้แล้ว มันยังใช้ได้ดีอยู่แต่เราเองไม่เก่ง ที่จะใช้
มาสู่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อาตมาพูดต่อ จากที่เขาสร้าง Concept ให้คิดจะมุ่งไปรวยนั้นผิด ต้องมุ่งมาพอ ลดลงให้น้อยลงหรือมาหาความจน มาจน
ความจนเป็นสิ่งที่ยั่งยืนแข็งแรงและประเสริฐสุด ในความเป็นมนุษย์และสังคม ในความจนจึงไม่ใช่จนเฉพาะตัวบุคคล อย่างชาวอโศก เป็นคนจนแน่ เพราะเราไม่สะสม มีแค่บริขารปัจจัยใช้สอยในชีวิต ส่วนเกินก็เอาเข้าส่วนกลาง
ส่วนตัวเรานั้น 0 นอกนั้นเราก็ไปเอาจากส่วนกลางมาใช้ ที่ขาดแคลน ไม่มีก็ให้กรรมการพิจารณาให้ซื้อได้ เขามีปัญญาก็จัดสรรได้ มันก็เจริญมา แต่ส่วนรวมเรามี จะเรียกว่าเราอุดมสมบูรณ์พอตัว ไม่ได้อุดมสมบูรณ์อย่างที่เขาสะสมจนมีเยอะมากเหลือเฟือ แต่ปฏิภาณปัญญา คนจะรู้ว่าการกักตุนเสียเศรษฐกิจ เราก็ไม่ทำ
แต่ชาวอโศกไม่เป็นหนี้ ไม่ไปกู้คนอื่นมา แต่เรามีแต่เงินเกื้อเงินหนุน เป็นการยืมกันภายในที่ไม่มีดอกเบี้ย เกื้อมาเท่าไหร่ก็คืนเท่านั้น จะคืนเพิ่มก็ไม่เป็นไร แต่เขาไม่เรียกร้อง
ลักษณะของประเทศก็เช่นกัน ในหลวงก็ตรัสไว้ชัดว่าเราก็มีพอสมควร พอกินพอใช้พอเพียง ไม่เหลือเฟือแต่ไม่ขาดแคลน เรามั่นใจมีขนาดนี้พอหมุนเวียน เรามั่นใจประสิทธิภาพของคน ไม่เห็นแก่ตัว ขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะ จำนวนคนที่มีมากพอและมีสมรรถนะพอมีจิตใจที่ดี ไม่มีทางตกต่ำ อาตมามั่นใจชาวอโศก ทำมาเกือบครึ่งศตวรรษแล้วได้ขนาดนี้พอใจ ไม่มีปัญหาเลย ตายตาหลับ ตายวันนี้พรุ่งนี้ก็ได้แต่ยังไม่ตายนะ ยังไม่มั่นใจทีเดียวว่า มันจะแข็งแรงจนไว้ใจได้จริงๆ ตายก็ตาหลับแบบว่าไม่ห่วงแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจก็ขอทำอีก ขอทำให้มันมั่นใจจริงๆ
เพราะงั้นโลกทั้งโลกตอนนี้ทุกวันนี้มันชัดเจนมากก็คือ เป็นเศรษฐกิจฆ่าตัวตาย suicidal economy อย่างประเทศดูไบ หรือแม้แต่อเมริกา อเมริกา กลวงยิ่งกว่าดูไบ น่าสงสารแต่เขาไม่รู้ตัว เขาต้องพยายามเบ่งไป เบ่งยิ่งกว่าทางตะวันออกกลาง จะเป็นเจ้าโลก อาตมาว่า ไม่ใช่แค่นั้น ดูบุคลิก อัตลักษณ์ของผู้นำเขา อาตมาเข้าใจแล้วว่าสถานที่นี้ได้ผู้นำแบบนี้ก็มาจากจิตวิญญาณประชาชนที่เลือกมา ภูมิประชาชนมีแค่นั้นก็ได้ผู้นั้นตามกลุ่มประชาชน ภูมิของผู้นำเท่าไหร่ก็บอกค่าของภูมิประชาชนของรัฐประเทศนั้น มันไม่ใช่เรื่องไปเอาอะไรอื่นมาได้ มันมีจากเหตุผล เป็นอย่างนั้นมันต้องได้อย่างนั้นไม่ใช่ของแปลกเลย
เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ขอพูดไว้เท่านี้ไม่พูดมากกว่านี้แล้วล่ะ suicidal economy เศรษฐกิจฆ่าตัวตาย เศรษฐกิจแบบอัตตวินิบาต เขาก็ฆ่าตัวตายทั้งที่เขาไม่รู้ว่าฆ่าตัวตายอยู่
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ปฎินิสสัคคะออกจากสวรรค์มาเป็นคนจนโลกุตระ
มาพูดถึงประเทศไทย ประเทศไทยกำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจก้าวหน้า แต่มันถูก fake news มันหลอกมนุษย์ว่า เศรษฐกิจตอนนี้ไม่ก้าวหน้า เศรษฐกิจเดินไปยาก... เมืองไทยบุกเบิก แบบไม่ใช้เทคนิคแทคติค ไม่ใช้ fake ไม่ใช้การหลอกลวง มันก็ไปได้ช้า เพราะเศรษฐกิจทุนนิยม มหาวินาศนี้มันเร่งเครื่องเต็มเหนี่ยว เพราะมีแรงที่จะมาต้านเรา เราก็พยายามไปได้ขนาดนี้อย่างไม่เดือดร้อน ไปได้ดี อาตมาว่าดูตามภูมิ อาตมาให้คะแนนนายกฯตู่นี้ทำไป เป็นแต่เพียงหาตัวดีๆ มาช่วยเศรษฐกิจหน่อย ตอนนี้พูดแค่นี้แหละ
จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้าง Concept ให้คนไปรวยไม่ได้ ต้องเปลี่ยน paradigm เปลี่ยนแนวคิดใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ ว่าอย่าไปใส่ความคิดให้คนต้องไปรวย แต่รู้จักพอ ให้รู้จักน้อยลงตามที่ในหลวงเรา ศาสตร์พระราชาให้มาอย่างดี ต้องพยายามให้เอาแบบคนจน ต้องตีให้แตก ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มาตีให้แตก ขาดทุนแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ไม่ต้องสอนจระเข้ว่ายน้ำหรอกนักเศรษฐศาสตร์ระดับนี้
ขาดทุนคืออะไรกำไรคืออะไรคุณคิดหมด ต้นทุนทุกอย่างตั้งแต่ถ้า วัตถุดิบแรงงาน โสหุ้ย ค่าแรงงาน แล้วก็ยังบวก Error อีก 5% แล้วต้นทุนมันจะขนาดไหน มันประมาทมากเลย เพราะฉะนั้น คุณมาคิดอย่างที่ชาวอโศกคิด เรามั่นใจในสมรรถนะความสามารถมวลชนเราแข็งแกร่งพอ มักน้อยสันโดษ ไม่หลงสวรรค์ ที่เขาครอบงำว่านี่ก็ใหญ่โตหรูหราน่าได้น่ามีน่าเป็น สวรรค์หลอกๆสร้างขึ้นมาปรุงแต่งมาหลอกกันทุกวันต่อหางหัวแข้งขา ออกไปบานเบิก หลอกคนไปมอมเมาคนไป ต้องเข้าหาแก่นหาเนื้อให้ดี
สรุปง่ายๆอีกทีว่า มาเอาลักษณะที่ลดลงตามหลักพระพุทธเจ้า กถาวัตถุ 10 อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวกกถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา
วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
ศึกษาให้ดีแล้วใช้ทิฏฐิหรือทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี้เลย เราใช้อันนี้ มีให้เราแล้วไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลา สรุปว่าสอนให้คนมาจน ขออภัยถ้าไม่ชัดเจน ก็ต้องมาดูที่อโศก ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนี้ เกรงใจจริงๆที่ต้องพูดอย่างนี้ มาดูว่าเป็นอย่างไร มันไม่ง่ายหรอกแต่มันก็ทำได้ก็ไม่ยากไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่มันก็เป็นไปได้ดำเนินไปได้ มีอัตราก้าวหน้าที่พอเป็นไป อัตราก้าวหน้า อธิบายถึงขั้น Coefficient พลังงานขนาดสัมประสิทธิ์ ไม่ง่าย อธิบายกว่าคนจะรู้ ขนาดสสารวัตถุของไอน์สไตน์ E=mc2 แกยังบ่นว่าอธิบายให้คนเข้าใจยังไม่ค่อยได้ มันยาก แต่อาตมานี้ E=C(mc2+A) อาตมาอธิบายยังไม่เก่ง พวกเราเก่งสามารถเข้าใจที่อาตมาพูดได้ก็ขอบคุณอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นเหมือนเพ้อเจ้อเป็นคนบ้า
ตอนนี้ดูท่าทีสังคมประเทศชาติ หรือของจังหวัดอุบลฯ เราก็พยายามพัฒนาเพื่อประชาชน เราขอบอกด้วยความจริงใจ ว่าเรามีความสะอาดในจิตใจเพียงพอ ที่จะไม่ใช่มีการล่อหลอก ไม่มี Potential ไม่มีอะไรแฝง ซ่อนซ้อนในใจหรอก ไม่มี มันเป็นเรื่องจริงเต็ม ความแท้ถูกต้อง จบแล้วเป็น axiom ที่สมบูรณ์แล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องหลอก ทำได้แค่นี้ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปไม่ใจร้อน แต่ไม่เฉื่อย มีอัตราเร่งแต่ไม่ให้สุขภาพเสีย ทำงานมา 40 50 ปีวัดค่าในชาวอโศกมีความสงบสบายไม่ต้องพิพากษา ไม่ตีรันฟันแทงทะเลาะวิวาท อยู่กันอย่างดี ต่างคนต่างช่วยงานกันไปคนละอย่าง รับหน้าที่กันไป เป็นไปได้
อะไรเป็นหลักสำคัญที่สุด กสิกรรมสำคัญที่สุด โลกทั้งโลกจะเก่งอย่างไรก็สู้กสิกรรมไม่ได้หรอก แล้วเราอยู่ในโซนนี้ โซนเอเชียนี่มันดีกว่าโซนตะวันตก โซนยุโรป ป่านนี้ก็น่าสงสาร ติดลบ 50 องศา ให้อาตมาไปอยู่ก็ตายแน่ๆ
อย่างนายกฯตู่นี้ทางคมนาคม ทางการค้าก็ทำงานได้ครบด้าน ขณะนี้มีพวกที่ fake news พยายามดิสเครดิตต่างๆนานา เอาน่า แม้แต่พลเอกเปรมจะเตือนหรือไม่ให้กำลังใจก็ตาม เตือนก็ได้นะว่า กองหนุนหมดแล้วนะ แต่ขอยืนยันว่า อโศกไม่มีแปรเปลี่ยน หนุนเต็มที่ตลอดเวลา ขอยืนยันว่า ไม่มีใครเป็นกองหนุน อโศกยังตั้งหลักตั้งมั่น หนุนนายกตู่ตลอดเวลา หนุนเต็มที่ ถ้าใครมาอะไรต่ออะไรบ้าง..อโศกพร้อม เราก็ต้องขู่ไว้ก่อน เรามีหลักฐาน มีฝีมือที่ฝากไว้ พอที่จะเอามาอ้างอิงได้บ้าง เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอก เราพร้อมจริง!
เพราะเรามองเห็นแล้วว่า มันได้สัดส่วนสมบูรณ์ถูกต้องดีแล้ว ขณะนี้ก็อายุแค่ 63-64 เองใช่ไหม ฟิตเปรี๊ยะ เอาถึง 75 80 เลย อีก 11 ปี
จัดสรรเศรษฐกิจ เปลี่ยนแนวคิดแก้ให้ดีๆก็ไม่เสียทีเดียว ว่าไปแล้วเศรษฐกิจก็ยังไม่ถึงขั้นที่ ตาม fake news เขาว่าไปเรื่อย มันพยายามดิสเครดิต เมืองไทยยังไม่ได้จนยากขาดแคลนเดือดร้อนหนักหนา พวกเราเฟ้ออยู่เลย พวกชาวอโศกนี่พูดไปไม่ได้ขาดแต่เฟ้ออยู่เลย กลุ่มอื่นถ้าเป็นเครือแหสานกันในประเทศไทย มีทฤษฎีแบบนี้วิธีการแบบมีวัฒนธรรมแบบมีจิตที่มีทั้งความรู้และเจตนาแบบนี้เป็นธรรมะ 2 แบบอโศก
อโศกทำอย่างนี้ได้อย่างไร อันนี้สิ กรุณามาดูให้ดี อโศกทำได้เพราะว่ามีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ขอยืนยันเลย ทำได้เพราะทฤษฎีของพระราชา ศาสตร์พระราชาซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ อันเดียวกับพระพุทธเจ้า แล้วก็ฝากไว้ในแผ่นดินแล้ว มาหาอโศกแล้วศึกษาศาสตร์ของพระเจ้าอยู่หัวให้ดีๆก็แล้วกัน ท่านทรงงานหนักอยู่องค์เดียว ข้างๆท่านก็เป็นบุคคลโลกีย์ หาโลกุตระได้ยากมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ทันที่ท่านทำ จึงเกิดได้แค่นี้
ขนาดท่านทำได้ ผู้สนับสนุนมีน้อยยังได้ขนาดนี้ ประชาชนตื่นตัวทั่วโลก สหประชาชาติก็มาทูลเกล้าถวายรางวัลท่าน ยอมรับว่าถูกแล้วขอเอาไปศึกษาต่อ ต่างชาติต่างประเทศก็อยากได้ เพราะฉะนั้นก็มาช่วยกัน อาตมาอบอุ่น เราทำอยู่ในขณะนี้เป็นจุดขาว ท่ามกลางฟ้าดำกว้างผืนใหญ่ ก็ยังมีคนเห็นแสงริบหรี่นี้ได้
ตอนนี้แม้แต่ข้าราชการ แม้แต่ในจังหวัดอุบลฯหรือกว้างออกไปก็ตาม ก็พอจะเห็น ว่าจะต้องสนับสนุนอันนี้ มาช่วยดูแลการสร้างสรรพัฒนานี้ให้ก้าวหน้าต่อไปก็เห็นอยู่ พูดนี้ไม่ได้โมเมนะ มีหลักฐานอ้างอิง มีของจริงยืนยันที่พูดนี้
ก็ขอเข้าสู่เนื้อหาแท้ๆของสาระว่า
มาเป็นคนจนนี้ไม่ได้แกล้งจน ซ่อนแฝงความรวยไว้ตรงนั้นตรงนี้ ไม่มีเลย จนคือมีทรัพย์วัตถุไม่มาก ไม่สะสมไว้มาก ไม่หลอก ของจริง มั่นใจในสมรรถนะความขยันความรู้ความสามารถของเราแต่ละคนกับความขยันของเรา นี่เป็นทรัพย์แท้ เพราะฉะนั้นวัตถุต่างๆ สิ่งที่จะต้องอาศัยเรานี้เราจึงไม่กลัว เพราะเรามีความรู้ความสามารถก่อสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปัจจัยสำคัญของที่กินเลี้ยงชีวิตของสัตว์โลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ เป็นอาหาร อาหารที่ดีสุดด้วย เป็นอาหารไร้สารพิษเป็นอาหารที่ถูกต้องของมนุษย์กิน ไม่ใช่ของมนุษย์ที่ยังหลงเลอะ ไปเบียดเบียนกันต่อ หรือหันไปหาสิ่งที่เป็นพิษและมอมเมาตัวเองต่อ แต่ของเราหมดทั้งพิษหมดทั้งมอมเมา เป็นธาตุแท้ของมนุษยชาติที่เจริญแล้ว พึ่งได้ให้อาศัยบริโภคเป็น กวฬีงการาหาร เป็นอาหารคือสิ่งที่กินเข้าไปสังเคราะห์ร่างกายตามธรรมชาติของมัน ก็ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากรักษาให้ครบอาการ 32 องคาพยพของเราทั้งหมด ให้มันทำงานได้แข็งแรงดีไม่บกพร่องเท่านั้นก็จบแล้ว รับรองว่าไปได้เรื่อยๆ
มันซับซ้อนในความรู้ความจริงตรงที่ว่า การได้อาหารที่ถูกต้องอย่างนี้ กับการมีสัมประสิทธิ์ Coefficient ที่ได้สัดส่วนกัน มันจะทำให้ชีวิตของเรายาวยืนต่อไป ชาวอโศกยังมีมาได้ไม่กี่ Generation 30 ถึง 40 ปี ถ้าถึง 100 ปี จะเห็นซ้อน รุ่นพวกนี้จะเกิดมาใหม่แล้วจะมาต่อเชื่อมมันจะชัดเจนขึ้นอีก ถ้าอาตมาอยู่ถึง 120 จะมีประมาณ 3-4 รุ่นซ้อนขึ้นมา จะมาสนับสนุนไม่ขาดตอน ยิ่งอาตมาอยู่ 151 อาตมาว่า ต่อลูกโซ่เครือแหนี้ได้อย่างแข็งแรง
ขอยืนยันว่าเราไม่มาหลอกว่าเราเป็นคนไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ไม่มีทรัพย์สินเงินทองสะสมวัตถุสมบัติ เรามีพลังงานกับจิตวิญญาณ เราสร้างสรรค์ให้เหลือกินเหลือใช้ เราย่อภาษาว่า ของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ เพราะระบบเงินเชื่อสินเชื่อเป็นระบบที่เลวร้ายที่สุดที่ทุนนิยมมาใช้ถึงวันนี้ เห็นความร้ายเลวของสินเชื่อหรือระบบเงินเชื่อไหม เป็นเรื่องสุดเลวร้ายเลย
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า อาวุธที่เลวร้ายที่สุดของสังคมคือเงินเชื่อ กับประกัน ประกันภัย กลัวโทษภัย ก็มาล่อเอาประกัน แต่ก็ล้วงตับกินไส้อยู่นั่นแหละ ซึ่งถ้าไม่รู้เท่าทันก็ถูกพวกนี้ล้วงตับกินไส้อยู่ต่อไป สิ่งเหล่านี้ต้องเปิดเผย ต้องบอกความจริง พูดไปด้วยความสงสารผู้ที่ยังหากินในทางนี้ หากินในระบอบทุนนิยมสามานย์ หากินในสิ่งซ่อนแฝงพวกนี้อยู่มันบาป อาตมาเชื่อกรรมวิบากที่เป็นสัจจะ อาจอยู่อุดมสมบูรณ์โดยใช้อำนาจเงินและทรัพย์สิน จริง แต่ด้วยสัจจะของกรรมวิบาก เขาไม่ได้จบแค่นี้
คุณศึกษาสัจจะพระพุทธเจ้าให้ดีว่ามีวัฏฏะความหมุนเวียน ไม่ใช่สั้นๆ แต่มันยาวนาน ถ้าไม่ได้ศึกษาอย่างแท้จริงแล้ว มันจะไม่รู้ได้ง่ายๆ เป็นเรื่องยากซับซ้อน ใช้ศัพท์ของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า ปฏินิสสัคคะ หรือคัมภีราวภาโส แปลว่า ความสว่างของความลึกซึ้ง อธิบายยากอยู่
แต่ปฏินิสสัคคะ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ซับซ้อน จนไม่รู้ต้นทาง ต้นเหตุไม่รู้เลย กันไว้ไม่รู้กี่ชั้นๆ ความซับซ้อนคือสวรรค์ เขาเอาสวรรค์มาหลอกไม่รู้กี่ชั้น มาทางนี้บอกว่านี่สวรรค์นะ แล้วตลบหลังว่านี่มีสวรรค์ทางนี้ยิ่งกว่านี้อีกนะ พอมาถึงตรงนี้ก็บอกว่ามีสวรรค์สูงกว่ากว้างกว่ายาวกว่า พอไปอีกก็ว่านี่สวรรค์นี้ยิ่งกว่าอีกนะ บานไปอีก
ข้ารู้ทันเอ็งแล้ว สิ่งที่เป็นสวรรค์หลอกวิมานเพ้อเจ้อ ไม่มีจริงหรอกเป็นอุปาทาน เป็นสิ่งลมๆแล้งๆ ไม่มีจริง เป็นเรื่องยากที่คนเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ สวรรค์หลอกสวรรค์ลวง สัคคะคือสวรรค์
เพราะฉะนั้นความสุขหรือสวรรค์มันเป็นของหลอกทั้งสิ้น ลดลงมาตามชั้นๆ อย่าเพิ่งมาพรวดพราดทีเดียว เป็นของหลอก จึงเรียกด้วยพยัญชนะของพระพุทธเจ้า สุขลิกะ สุขหรือสวรรค์ หลอกทั้งนั้น จึงต้องมาศึกษาด้วย ปฏินิสสัคคะ Action Reaction กระทบย้อนกลับไปกลับมา หมุนกลับไปกลับมา ถ้าเป็นโลกก็สวรรค์หลอกให้กว้างบานใหญ่ไปเรื่อยเรื่อยๆ ก็มาลดลงมาๆ สวรรค์น้อยอยู่ในวงฟ้อนรำมาเรื่อยๆ จึงใช้ศัพท์ว่า นิ แปลว่าไม่ สัคคะ คือสวรรค์ก็มีปฏิ คือเรียนรู้สวรรค์ที่หลอกไปหลอกมานี้ เราก็พาหลอกมาหลอกไปมาหา 0 เลย ดับสวรรค์มาเรื่อย ๆ สรุป ปฏินิสสัคคะแปลว่าล้างสวรรค์ ลดสวรรค์ ดับสวรรค์ลงมาเรื่อยๆ ตามขั้นตอน ให้รู้เหลี่ยมขั้นตอนว่าสวรรค์ที่หลอกคืออะไร กระเป๋าถือที่เมืองไทยสาน Versace เอามาหลอกขาย ใบละเท่าไหร่ ผ้าขาวม้า เอาไปขาย บวกราคา ตีกิน
แต่ก่อน Jim Thompson กับผ้าไหมไทย มาปักหลัก ก็รวยไปจนตายแล้ว ไหมไทย เมืองนอกตาโต อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพอ คุณไปหลอกชาวต่างประเทศก็ตาม ก็ไม่ใช่ชาติของเรา แต่เขาไม่ใช่คนหรืออย่างไร เขาไม่เป็นทุกข์ร้อนหรืออย่างไร ไปหลอกเขาทำไม ข้อสำคัญคนไม่รู้จักกรรม คุณไปหลอกนั้นเป็นบาปอกุศลกินหัว กินจิตวิญญาณเลย เป็นมะเร็งทางจิตวิญญาณไปเรื่อยๆ สะสมก้อนมะเร็งไปเรื่อยๆ โตขึ้นโตขึ้น มันก็ระเบิดเป็นพิษขึ้นมามีแรงระเบิด เป็นมะเร็งไม่รู้กี่เท่าไหร่ อย่างนี้เป็นต้น เป็นสัจจะที่เขาไม่รู้
เพราะฉะนั้นหยุดสักทีหนึ่ง เรามาทรงไว้เรียกว่าธรรมะ ธรรคือทรงไว้ เราทราบว่าจนเท่านี้เราอยู่ได้ใช่ไหม a รวยกว่านี้เราอยู่ได้ใช่ไหม เราเชื่อใคร ก็คนของเราที่ได้ศึกษาฝึกฝนแล้วเป็นคนมี status quo เป็นคนที่มีความตั้งมั่นคงที่แข็งแรง มีแกนบวก status Static แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ใช่มีแต่ static แต่เป็นธรรมะ 2 มี Dynamic ด้วย เป็นพลังงานบวกลบในโลก เป็นธรรมะ 2 เสร็จแล้วเราก็รู้จักสร้างพลังงานก้าวหน้าเป็น Coefficient พัฒนาขึ้น
Coefficient จะเป็นตัวแปรหลักประกันที่คุณจะไม่เสื่อมง่ายๆ เป็นตัวก้าวหน้า แล้วเราสามารถรู้การทำให้พลังงานของจิตนิยาม ของเรานี้ เพิ่มพลังงาน Coefficient ขึ้นได้ตามสัจจะที่ไม่เกินการ มันก็ ไม่ขาหัก Coefficient ไม่ขาหักกลางทางก็จะไปได้อย่างสมบูรณ์แบบสมบูรณ์ดี ตามการก้าวหน้า ไม่มีพังไม่มีเสีย จนกว่าเราจะรู้เขตความพอว่า เอาล่ะ เราจบเราพอเราหยุดแค่นี้ให้คนอื่นสร้างต่อ ถ้าไม่สร้างต่อก็ ชรตา จะทำลายระเบิดเลย หักดิบเลย สูญ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ศาสนาพุทธมีวิธีทำได้ โดยแยกธาตุ ชีวิตินทรีย์ รู้จักธาตุ ชีวิตินทรีย์เลย ว่าเป็นชีวะที่ผสมส่วนกัน เราเรียนรู้ตั้งแต่อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วเราเรียนรู้พลังงานที่สังขารขึ้นมาผสมให้ได้สัดส่วน ที่จะให้ก้าวหน้าต่อไป เป็นพลังงาน Coefficient หรือจะให้ลดลงก็ได้ ถ้าไม่สันตติ ก็ไปสู่ความเสื่อมไม่มีพลังงานเสริมต่อไปทศนิยม.000001 ไปอีก มันก็มีแต่เสื่อม ไปตามธรรมชาติ
ยกตัวอย่างเป็นวัตถุธาตุน้ำ H2O มีแก๊สสองอย่างคือ ไฮโดรเจนกับออกซิเจน เกาะตัวกัน มันก็เป็นลักษณะธาตุใหม่ จากแก๊สมาเป็นของเหลวคือน้ำ วิทยาศาสตร์รู้ดี แต่นี่เราแยกแล้ว ธาตุไฮโดรเจนกับออกซิเจนนี้จะมารวมตัวกันอีกเป็น H2O ก็ได้แต่มันยาก และได้สัดส่วนอีกตามพลังงานแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าตามธรรมชาติ
ของพุทธเรียน ทั้งฟิสิกส์ ไบโอโลจี จนเลยไปถึงจิตนิยามเลย ถึงกรรมนิยาม สามารถทำกรรมเป็นโลกียะ ตามประธานคือ จิต เป็นประธานสิ่งทั้งปวง ควบคุมได้ ว่าเราต้องการระดับไหน ระดับโลกีย์ก้าวหน้าแบบบวก แบบคูณ ก้าวหน้าแบบยกกำลังหรือสลายยอดเลย สลายอย่างระเบิดปรมาณู ตูม เดียว แยกธาตุ บวก ลบ พลังงานนั้นหายไป แตกตัว มีทั้งส่วนที่เกาะกันและแยกกัน พระพุทธเจ้ายกตัวอย่างเป็นพวงมะม่วงหล่นลงมาแตกกระจาย บางลูกก็กระจายไป บางส่วนก็ติดกันอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว หายไปก็มีเหลืออยู่บ้างก็มี มากที่สุดจับตัวก็ไม่เป็นเหมือนเดิมแล้ว
อธิบายอยู่นี้มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการตามพระพุทธเจ้าสมณโคดมพูดได้ไหม 1. ได้ฟังสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน 2. เข้าใจได้ยิ่งขึ้น 3. หายสงสัยข้องใจ 4. มีทิฐิที่ตรงขึ้น 5. จิตใจก็สุขสบายเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น นี่คืออานิสงส์ในการฟังธรรมเพิ่มขึ้น พวกเราถึงแน่น อาตมาอธิบายลึกยิ่งขึ้น พวกเรารู้ยิ่งขึ้น แต่คนไม่รู้ก็จับไม่ติด เห็นใจเขาเหมือนกัน แล้วก็ตีทิ้งอาตมา หาว่ามาหลอกอีก อาตมาว่าอาตมาจะไปทำทำไม ขนาดพวกคุณมีแค่นี้อาตมายังเหลือเฟือ ปฏิเสธในปัจจัยกินใช้อยู่ แต่เรื่ององค์ประกอบที่จะเอามาใช้งานสร้างให้แก่ผู้อื่นดีกว่านี้ แต่สำหรับตัวเอง เฟ้อเกิน เครื่องกินเครื่องอยู่ นี่ก็ขอปรามขอติงพวกเรา ผู้ที่ทำอาหารให้อาตมากิน ปรารถนาดีแต่อย่าไปซื้อของข้างนอกมาให้อาตมากิน ของข้างนอกนั้นไม่สะอาดบริสุทธิ์หรอก มีสารพิษอะไรแฝงมา อาตมาก็ไม่รู้ บางทีก็ทำปนกันมา อาตมาก็ปรามไว้ ปรารถนาดีอยากให้กินดีตามภูมิของตน แต่หยุดเลย อย่าเอาของข้างนอกมาให้กิน ถ้าในนี้ไม่มีอะไรกินอาตมาจะกินดิน ไม่ต้องไปซื้อของข้างนอกมา เอาแต่ของข้างในพวกเรานี้ก็พอ โดยเฉพาะอาหารที่จะให้อาตมา ไม่ต้องเอาของข้างนอก เอาแต่ของพวกเราก็พอ แล้วไม่ต้องแย่งเขามา เขาให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา
นี่ก็หัวบีทรูทก็มีนี่บนโต๊ะนี้
สมณะฟ้าไทว่า...เดี๋ยวนี้สารพิษแรงมาก หากเรามีแผลลงไปในท้องนาสารพิษจะเข้าเลย
พ่อครูว่า..พวกเราทำนี้ไม่มีสารพิษ แต่ก็อย่าประมาทเท่านั้นเอง
มาเข้าสู่เศรษฐกิจ ใหม่ นี่บานไปเรื่อย
ประเด็นที่ 1 หยุดที่ไปยุแหย่ให้คนรวย ให้รู้จักความจน แม้คุณจะไม่จนมากแต่จนให้นิดหน่อยได้ ให้ได้ก่อน ให้รู้ว่าความจนไม่ใช่สิ่งน่าเกลียด ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีความสุข มีความสุขได้ในความจน สุขเป็นอุปาทานไม่มีจริงเป็นความหลอก
ทุกข์ ทำไมเรียกว่าอริยสัจ สุข ทำไมเรียกว่าหลอก อัลลิกะ
ทุกข์ ท่านเรียกว่าความจริงเป็นอริยสัจ ท่านไม่เรียกว่าทุกข์คือสัจจะอย่างเดียว ท่านเรียกว่าทุกขอาริยสัจ อาริยะคือผู้ประเสริฐที่แท้จริง อาริยะจะรู้จักสุขรู้จักทุกข์ ว่าสุขเป็นของหลอก ทุกข์เป็นของจริง เพราะตัวจริงคืออวิชชาคืออนุสัย สวรรค์ไม่มีอยู่ที่ตัวคุณหรอก จิตของคนไม่มีสวรรค์หรอก สวรรค์คือตัวจร คือการปรุงแต่งเพียงชั่วคราว อาจจะดึงสวรรค์ไปได้อีกไม่กี่วินาทีหรอก แต่เสร็จแล้ว ก็พรากกันไป สวรรค์ไม่ได้ทนทานอะไร อนุสัยอวิชชามันทนทาน ทนทานเหนือไวรัสต่างๆเป็นล้านๆๆปี
ท่านจึงเรียกว่า ทุกข์มันไม่มีประมาณ อัปปมัญญา ยาวนานไม่มีประมาณ ไม่เคยหยุดไม่เคยพอ มันอยู่กับตัวเรา ถ้าหากล้างตัวนี้หมด ทุกข์ก็ไม่มี แต่อวิชชากับอนุสัย มันอยู่กับคุณจริงๆ ต้องมาศึกษาล้างตัวนี้ให้ได้ ท่านถึงเรียกว่าอริยสัจ
แต่สวรรค์นี้รู้ได้ง่าย มันก็หลอกแวบไปแวบมา
ใครมีสวรรค์ที่ไม่มีทุกข์แทรกอยู่เลย นรกแทรกอยู่เลย เอ้ายกมือ???....แสดงว่าไม่มีอรหันต์ อรหันต์นี้ไม่มีทุกข์แทรก
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...ธรรมชาติของจิตอวิชชา ก็เสพติด
พ่อครูว่า...เราไม่เสพแล้วเราก็ไม่ติด ตั้งแต่ก่อนนี้อาตมาให้โศลก ว่า เบิกบานแจ่มใสมัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ คือจุดหมายปลายทางของชาวอโศก
สุดท้ายไม่มีการเสพมีแต่สัมผัสแล้วรู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่มีรสสวรรค์ ไม่มีรสอร่อย ไม่มีรสสุขไม่มีรสทุกข์ ล้างจิตให้เป็นกลาง สิ้นความเสพหมด หมดสวรรค์หมดอะไรต่ออะไร
ต้องอ่านจิต ว่ามีความเบิกบานแจ่มใส มัธยัสถ์ สุภาพ สงบ หมดความอยาก สิ้นความเสพ อย่างไร
สุภาพคือภาวะที่ดี phenomenon เพื่อสิ่งปรากฏ ปาตุภาวะ แล้วปรากฏให้คุณเป็นสิ่งที่ดี คุณก็ต้องใช้ปัญญาความเฉลียวฉลาด เลือกเฟ้นว่าอะไรดีกับไม่ดีคืออะไร ก็เลือกเอาสิ่งที่ดีตามภูมิ ดีถึงขั้นโลกุตระหรือแค่โลกียะ โลกียะจะมีความวนเวียนอยู่ แต่โลกุตระจะไม่มีความวนเวียน โลกุตระนี้ดีก็น้อย จนไม่มีดีไม่มีชั่วเลย ชัดเจนว่าจะมีถึงแค่สภาพแบ่งรู้ของจิตเรียกว่าอรูปฌาน
รูปฌานจะรู้ว่า มีภาวะฟูฟองเรียกปีติ สภาพที่ยังสุขทุกข์อยู่บ้างเรียกวิตกวิจาร วิตกวิจารยังมีโทมนัสโสมนัสผสมอยู่ หรือแม้สุขทุกข์ก็ผสมอยู่ทั้งสี่ส่วน เมื่อทำให้อุเบกขา กลางๆ จนหมดอยากสุขทุกข์ภายนอก สุขทุกข์เป็นสวรรค์นรกภายนอก หยาบ กระทบดินน้ำไฟลมวัตถุภายนอกทั้งหมด ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ภายนอกหมดสุขหมดทุกข์จริงๆ วางสบาย ข้างนอกสบาย แต่ข้างในยังทุกข์ เราไม่เรียกทุกข์ เราเรียกโทมนัส ยังมีโสมนัสฟูใจ แต่คนกดข่มได้ ไม่ออกมาทางกายวาจาอย่างกับพระอรหันต์ แต่แท้จริงเป็นเพียงอนาคามี ไม่มีกายวิญญัติวจีวิญญัติ ไม่มีการเสพภายนอก มีแต่แอบเสพภายในเป็นคนธรรพ์ แอบเป็นเล็น แฝงในขนพญาครุฑ แอบไปเสพ เอาเศษจากพญาครุฑไปเสพ
พญาครุฑไปเสพกามกับกากี คนธรรพ์ก็ไปแอบเสพส่วนที่เหลือ เป็นเล็นเป็นหมัดอยู่ที่ขนพญาครุฑ เรียกว่าคนธรรพ์แฝงอยู่ เป็นชีวิตที่แฝงทรงไว้ แอบเสพ มันแฝงในจิตเป็นรูปราคะ อรูปราคะ หมดรูปราคะอรูปราคะแล้ว ก็หมด หมดก็เหลือ มานะอุทธัจจะอวิชชา สามสังโยชน์สุดท้าย แม้คุณจะดีแต่ถือดี เอาดีไปข่มเขา เอาดีนี่แหละไปหาสิ่งที่ซับซ้อนเพิ่มเติม เป็นอัตตาเสริมก็ไม่เอา จนหมดมานะเหลือเศษธุลีละออง อุทธัจจะก็ลดอีก เหลืออาสวะ ก็ดับอาสวะ 10 อีก ยังเหลืออนุสัยอีก 7
อนุสัย 7 ตัด อาสวะ สามอันแรก ต้องรู้จักโครงสร้างแรก คือกาย อย่างไม่สงสัย และมีศีลพรต อย่าไปเล่นหัวกับกิเลส จำเลยก็อยู่กับเราแท้ๆ แต่โจรไม่รู้ เราเป็นตำรวจ แล้วโจรไม่รู้ว่าเราเป็นตำรวจด้วย ฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่พ้นสีลัพพตปรามาสคือตรงนี้ รู้ตัวโจร มีทฤษฎีที่จะทำด้วย ไม่สงสัย แต่ไม่ลงมือทำสักที เล่นอยู่ได้เสียเวลา ของพระพุทธเจ้าชัดเจน แล้ว คือมันยังอร่อยอยู่นะ ยังเพลิดเพลินกับกิเลส แอบแฝงเสพกิเลส อันนี้จริง ไม่เล่นหัวแอบเสพ ไม่มากไม่มาย พลังงานที่จะมากก้าวหน้าไม่มี แต่วนแค่นี้ แค่นี้ก็พอแล้ว พวกพอเพียง คุณจะล้างต่อไปในอนาคตยากขึ้นๆ ไม่เชื่อก็ศีรษะใครศีรษะมัน ปีติวิสัยของอานาคามี
อนาคามีก็ตาม โสดาบันก็ตามอย่างนางวิสาขาเป็นวัฏฏภิรตโสดาบัน พระโสดาบันที่ยังร่าเริงกับความอร่อย ยังมีรูปราคะ ก็แข็ง จะมีตัวอย่างในโลก ที่ไปนั่งหลับตา อาฬารดาบส อุทกดาบส หรืออีกอย่างหนึ่งคือเมถุนสังโยค ฐานที่ 7 คือเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ปรารถนาเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง เสพรสสวรรค์ อยู่กับรสสวรรค์นี้ไม่ไปไหนหรอก ก็ไม่สร้าง Coefficient นี้ให้แรงก็เลยวนกลับนรก บวกบ้างลบบ้าง แต่ไม่ให้ลดไปกว่านี้ ลดความพอเพียงไว้ดีมาก พวกพอเพียงนิรันดรนี้น่าเขกกบาล
สรุปว่า สวรรค์นี้เป็นของหลอกทั้งนั้น พระพุทธเจ้าใช้พยัญชนะชัดเจนว่า สุขัลลิกะ ต้องมาดูเหตุที่มันพาลงนรกคือตัวผี เหตุคือตัวผี พาลงนรก ฆ่าผีให้เรียบร้อย ฆ่าซาตาน ไซตอน เรียกด้วยภาษาอีกเยอะแยะ ฆ่าด้วยพลังงานจิต ฆ่าให้มันตายดับสนิท ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา เป็นปกติธรรมดาสามัญ อย่างไรก็ไม่เกิดอีก เป็นหลักประกันได้เลย ยืนยันได้ เพราะฉะนั้นถ้าสามารถ มีตัวอย่าง แล้วก็มาพิสูจน์ไปตามลำดับขั้น ตั้งแต่อบายมุข สวรรค์อบายมุข เสร็จแล้วก็ไปติดสวรรค์ในขั้นกาม แม้แต่กามไม่จัดจ้าน อ่อนๆ ไม่มากเท่าไหร่ เหมือนอย่างนางวิสาขา แต่ที่จริงกามในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอาจจะอ่อน แต่กามวัตถุไม่อ่อนนะ นางวิสาขานั้นรวยเละเลย ใช้อำนาจทางวัตถุบริวารทรัพย์ศฤงคารเยอะ แต่ตัวเองกามอ่อน แต่โลกียะ มหาศาล ต้องแยกกาม กามคือเสพรส โลกียะคือลาภยศ สุขเพราะลาภยศ ส่วนกามนั้นสุขเพราะสัมผัสห้า อย่างนางวิสาขา สุขทางกามน้อยกว่า แต่สุขทางโลกียทรัพย์ลาภยศมหาศาลเลย
เพราะฉะนั้นเราต้องลดทั้งคู่ กามก็ลด โลกียะก็ลด โลกธรรมต่างๆก็ลด ยศ โดยธรรม กับยศ โดยโลก อำนาจ เบ่งข่ม อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ใช่บาทที่แปลว่าเท้านะ แต่คือบาตร คำว่าบาทนี้หยาบ เท้าใหญ่ แต่บาตรใหญ่ หมายความว่าตะกละ ใช้กันคนละเบอร์เท่าไหร่ ไปบิณฑบาตก็รับเละเลย หากบาตรใหญ่ จึงใช้คำว่าอำนาจบาตรใหญ่ แต่ถ้าบาทนี้ มันคือตีน ทึบเลย ดูหยาบกว่า จึงใช้ บาตร คนที่มีเทคนิคแทคติกมากก็ใช้บาตรใหญ่ คนไม่เล่นเทคนิคแทคติกก็ใช้บาตรน้อย
สรุปว่าเมืองไทยก็มีความดีขึ้นมาก มีผู้พาทำดี ศึกษาตามศาสตร์พระราชา ศาสตร์พระราชาคือศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้แตกฉานเลย อาตมาไม่บังอาจว่าไปศึกษาโพธิรักษ์ ไม่บังอาจหรอก แต่ศึกษาเถอะของพระพุทธเจ้าของในหลวง ศึกษาให้ดี ขนาดของในหลวง ร. 9 นี้ ก็ถือว่าเหลือใช้ เข้าใจในความรู้ที่ท่านตรัสเอาไว้ ก็ไม่ใช่น้อยๆ บันทึกไว้ไม่ใช่น้อย ศึกษาให้ดีๆ มันมีตัวตั้ง มันมีสิ่งที่เป็นเชื้อ DNA ของเศรษฐกิจ ไม่ใช่ทุนนิยม แต่ว่าเป็นบุญนิยม เป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้านี่แหละ
ใช้บุญนิยมเพื่อขยายคำว่าบุญ บุญนิยม
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญคืออาวุธทางจิต มีหน้าที่ฆ่ากิเลสเท่านั้น
เข้าสู่ตัวนี้เลย บุญนิยม
บุญคืออะไร? เพราะฉะนั้นผู้ที่ ผลของศีล ที่มีสัมมาทิฏฐิจริง จึงจะทำอภิสังขาร สัมมาปฏิบัติแท้ การเกิดมีภพชาติขึ้นมาในจิตก็รู้แท้ การเกิดคือชาติ ซึ่งเป็นการมีภพชาติในจิตก็รู้แท้ และการตายที่สิ้นภพจบชาติในจิต มันสำเร็จจริงๆดับจริงๆด้วยอาวุธพระพุทธเจ้าทรงค้นพบชื่อว่า บุญ บุญเป็นภาษาอธิวจนะที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นของศาสนาพุทธศาสนาเดียว แต่ทุกวันนี้แพร่หลายเอาไปใช้กันเละ ศาสนาอื่นก็เอาไปใช้เป็นชื่อนักบุญซึ่งมันไม่ใช่ ไม่ใช่เทวนิยมแต่เป็นอเทวนิยมเท่านั้น บุญ จึงเกิดคอลัมน์ เปิดยุคบุญนิยมขึ้นมา เพื่อจะขยายความคำว่าบุญ ลัทธิบุญ คือศาสนาพุทธ บุญไม่ใช่ของศาสนาอื่นเลย
บุญอันเป็นจิตตาวุธ เป็นอาวุธทางจิต เป็นหนึ่งเดียว ยอดสุดในโลก
ซึ่งคำว่า“บุญ”คำนี้แหละที่“มิจฉาทิฏฐิ”กันมาก เพราะหลงผิดกันเยอะ มันยากมาก
จริงๆ ที่จะเข้าใจคำว่า“บุญ”นี้ได้ จึงเป็น“อจินไตย”แท้ๆ จึงมีการเข้าใจผิดกันว่า“บุญ”นี้ถ้าทำแล้วจะมี“ผล”เป็น“สมบัติ”ในชาตินี้หรือในชาติหน้า เหมือนกับ“กุศล”
ประเด็นนี้แหละ “บุญเหมือนกุศล” นี้แหละ ที่มัน“ผิด”แท้ๆ “ผิด”จริงๆ“บุญ”ทำ“วิบัติ” แต่“กุศล”ทำ“สมบัติ”“ผิด”อย่างมหามหันต์เลย เนื่องจาก“บุญ” กับ“กุศล”นี้มันต่างกันสุดๆคนละขั้วเพราะ“กุศล”นั้นเกิด“ผล”เป็น“สมบัติ”ที่ได้มา หมายความว่า ถ้าใครมีการกระทำ คือกรรมขึ้นมา “ผล”สำเร็จของกรรมก็เรียกว่า“กุศล” ผู้นั้นจึงเกิดภาวะโดยภาษาว่า“มี” ซึ่งเป็น“การสะสมมาให้ตน”คือ“มีกุศล” หรือมี“อกุศล”ไง! คือมี“การสะสมมาให้ตน”“ใจ”ของตนผู้ปฏิบัตินั้นก็มี“สมบัติ” เป็น“ความมี”ซึ่งยิ่ง“ไม่มีทางสูญสิ้น”ไปได้ สะสมกุศลไปไม่มีจบ แม้พระพุทธเจ้าก็มีกุศลไปไม่รู้จบ นอกจากท่านปรินิพพาน พระอรหันต์ทุกพระองค์มีแต่กุศล ไม่มีแล้วอกุศล แต่บุญมีไม่ได้เลย บุญจะเกิดในปัจจุบันเท่านั้น ปรุงบุญขึ้นมาฆ่าอกุศลในปัจจุบันนี้ กิเลสมีร้อยส่วน ฆ่าได้สิบส่วนคือมีส่วนบุญสิบ ฆ่าต่ออีกเก้าสิบส่วนจนหมดกิเลส บุญก็หมดหน้าที่ บุญหายไปเลย เป็นบุญญาวุธ ฆ่ากิเลสหน้าที่เดียวแล้วจบ เป็นนิยามที่เล็ก ละเอียด ลึกซึ้ง แต่มาใช้บานตะโก้ เป็นกุศลนับไม่ถ้วน ผีบ้าผีบอก็รวมเป็นทรัพย์ แล้วเอาคำว่าบุญนี้เรียก
แต่“บุญ”นั้นเกิด“ผล”เป็น“วิบัติ”ที่ฉิบหายไป หมายความว่า ถ้าใครมีการกระทำ คือกรรมขึ้นมา “ผล”สำเร็จของกรรมที่เรียกว่า“บุญ” ผู้นั้นก็จะเกิดภาวะโดยภาษาว่า“ไม่มี” ซึ่งเป็น“การไม่สะสมมาให้ตน”คือ “ไม่มีอะไร” มันว่างเปล่า “ไม่เป็นการสะสมใดๆมาให้ตน” มันคนละทิศคนละทางกันเลยกับกุศล
สมณะฟ้าไทว่า…. จบ
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:42:39 )
รายละเอียด
610108_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1vknRsE_V0TC-vx7dSm4z2kAPVV9-_-c9R12Uj-50uFs
ดาวโหลดเสียงที่. . https://drive.google.com/open?id=11Cu15YijmUABTI6vkbBpHKG2UwB2ojeY
การเมืองทุกวันนี้เขาใช้กันมากกว่าคำว่าโลกุตระ ที่จริงคำว่าธรรมะโลกุตระคือการเมืองที่แท้ ก็ยากกว่าเอาคำว่าโลกุตระไปอธิบายยิ่งกว่าการเมือง
การเมืองสองแบบคือ แบบทักษิณกับแบบพลเอกประยุทธ์ สองอย่างหรืออย่างนี้ก็ได้ เอาอย่างทักษิณกับแบบศาสตร์พระราชา เท่ห์กว่าเนอะ แน่นอนว่า ทักษิณเขาไม่เอาสถาบันหรอก ชัดเจนอยู่แล้ว แม้จะทำ fake news ว่าเขายกย่องสถาบันอยู่ แต่ก็เป็นการโกหกตอแหล แต่แน่นอนไหมว่า ใครจะยกย่องเทิดทูนสถาบันมากกว่ากัน ของทักษิณก็คือทักษิณ ของพลเอกประยุทธ์ก็คือศาสตร์พระราชา ของทักษิณคือโลกีย์ 100% พันเปอร์เซ็นต์ ซับซ้อน หลอกกันเต็มที่ คนละขั้วกับศาสตร์พระราชา พระราชานี้เพื่อมวลประชาชน แต่อาตมาก็ไม่เก่ง ท่านทรงงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก ถ้าหากท่านไม่ทรงงานหนักจะอายุยืนกว่านี้ ถ้าประชาชนฉลาดไม่พอ ท่านก็เลยสิ้นพระชนม์ไปตามเวลา ถ้าหากประชาชนเข้าใจและฉลาดกว่านี้ ในหลวงจะอายุยืน อาตมาเข้าใจในหลวงอย่างไม่ธรรมดา อาตมาเคยพูดไปแล้วว่า อาตมาเป็นผู้พูดเองว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ไม่มีหลักฐานตรงนั้น ยังไม่ชัด
พระโพธิสัตว์ในความหมายอาตมาก็ไม่เหมือนกับคนอื่นเข้าใจด้วย พระโพธิสัตว์ 9 ลำดับมีอย่างไรคนก็ยังไม่เข้าใจ มหายาน มีพระโพธิสัตว์ไม่รู้กี่ประเภท ส่วนเถรวาทไม่ได้ศึกษาพระโพธิสัตว์ แต่อาตมาเข้าใจทั้งมหายานและเถรวาท เมืองไทยต้องเอามหายานมาแก้เถรวาทให้มีความเป็นมหายานเพิ่มขึ้น ทั้งสองอย่างก็มีข้อดี แต่มันเลยเถิดโต่งเกินไปกลายเป็นผิดเพี้ยน
ตอนนี้ก็มี 2 แบบที่ตั้งเอาไว้คือพลเอกประยุทธ์กับทักษิณ อย่างทักษิณเป็นแบบโลกียะร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนของแบบศาสตร์พระราชากับพลเอกประยุทธ์ดำเนินอยู่นี้ มันเป็นเรื่องของ โลกุตระ
ทีนี้ ขยายความต่อไป ให้ลึกรอบ ว่า
นัย เอาความเป็นเศรษฐกิจ มาไขโลกียะกับโลกุตระ
ทักษิณนั้น เศรษฐกิจเพื่อความรวย แต่ในหลวงนั้นเศรษฐกิจเพื่อความจน มีหลักฐานยืนยันด้วย ท่านยืนยันอย่างมีความสง่างามที่สุด แต่คนตามไม่ทันแม้แต่ข้าราชบริพารข้าราชการก็ตามไม่ได้ ขออภัยที่พูดเหมือนดูถูกข้าราชการ แต่พูดด้วยความจริงใจ ผิดถูกบาปเวรอาตมารับเอง ถ้าหากจะฟ้องร้องอาตมาก็ต้องผิด แต่จิตอาตมาไม่มีอุปกิเลส 16
อาตมาจะต้องพูดถึงเรื่องคนจนอีกมาก อีกนานทีเดียว ถึงบอกว่าตายไม่ลง เพราะมันยังไม่กระจ่าง ว่าคนจนจะไปสู้อะไรเขาได้ คอนเซ็ปต์เก่า บอกว่าคนจนเป็นเรื่องต่ำช้าขาดแคลนอดอยากปากแห้ง ซึ่งมันไม่ใช่ คนจนที่อุดมสมบูรณ์อย่างเช่นชาวอโศก มีความเฉลียวฉลาดไม่เอาเปรียบใคร เป็นคนสะสมน้อยก็จน แต่ไม่ขาดแคลน สร้างสรรค์ ไม่เป็นหนี้ เป็นคนจนมหัศจรรย์แปลกประหลาด จึงต้องพูดอีกมากเลยในเรื่องนี้ผู้ที่นำเศรษฐกิจแบบคนจนคือในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาก็พูดด้วยแต่คนจะไม่ให้น้ำหนัก
จะบริหารอย่างไรให้คนมาจนแล้วมันจะไปรอดหรือ ถ้าเข้าใจง่ายก็ฉลุย แล้วยิ่งบอกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรามันก็ยิ่งหนัก หากขาดทุนไปๆๆ มันก็ไม่เหลือสิ แต่ความจริงมันไม่ใช่ เราไม่ได้พูดเอาแต่ได้ ไม่ได้พูดโมเม เขาคิด ทุนคืออะไรตามสากล ไม่ได้ไปคิดเองว่าทุนคืออะไร คิดหมด ค่าวัตถุดิบ ค่าโสหุ้ย ค่าแรงงาน ทางร่างกาย ทางสมองความรู้ คิดหมด เราก็เอาแต่ค่าแรงงาน คนมีความรู้มาก ทำงานได้ผลมากได้ผลดีวิเศษ ค่าแรงงานก็ต้องแพงตามหลักเกณฑ์สากล ในสัจจะ ไม่ใช่ไปตั้งเอาเอง แต่เรามาเสียสละซะ เรามามักน้อยสันโดษเรามาเอาแต่น้อย
เอาง่ายๆอย่างดร.ต้อม เป็นตัวอย่างจริงทำมาจริง ก็ทำงานอยู่ในกระทรวง ออกไปต่างประเทศได้รับเงินเดือนตั้ง 500,000 รับเงินเดือนนี้ตกประมาณวันละ16,000 เฉลี่ยแล้ว
ทุกวันนี้ เจ้าต้อมลาออกมา อย่างไม่ได้มีความผิดอะไร แต่มันเบื่อหน่าย อ่อนแอสังคมโลกีย์ แพ้โลกีย์ก็เลยลาออกมาอยู่กับพวกเรา มาอยู่ก็ช่วยทำงานการ แล้วคิดเฉลี่ย ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย มีประชากรตัวเล็กตัวน้อย 407 คน นี่ล่าสุด 2 เดือนพฤศจิกายน 407 คนนี้ หาค่าเฉลี่ยแล้วทุกคน ได้ค่าตัว วันละ 34.20 บาท เขาไม่เอาวันละ16,000 มาเอาวันละ 34 บาท 20 สตางค์ แล้วทำงานเต็มที่ด้วยเพราะว่าเต็มใจกว่าด้วย มันต่างกันกับที่ทำแบบเดิม ที่จริงน่าจะได้มากกว่าวันละ16,000บาท เพราะว่าเต็มใจกว่า แต่กลับมาเอาแค่ วันละ 34.20 บาท คุณคิดดูว่า ซับซ้อนทางเศรษฐกิจกี่ชั้น จริงๆ แล้วค่าแรงต้องแพงกว่านี้อีก อธิบายยกตัวอย่างแค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว นี่คือคนจนที่ยิ่งใหญ่ คนจนมหัศจรรย์ เราไม่เอาเงินจากคนอื่นมาให้แก่เรา หรือเราเอาแต่น้อย เราไม่เอาให้แก่เราเลย เราก็อยู่กับหมู่ ชัดเจนในวัฒนธรรมหมู่ พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
ชาวอโศกจึงเป็นตัวอย่างของคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ต้องกังวลในความเป็นอยู่เลย เราก็ทำตอนเราอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ซื่งฌานทั้ง 4 ก็มีวิตกวิจารบ้าง วิตกคือยังกังวล วิจารคือ ยังหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง นี่เรียกว่าฌาน นะ
มันยังมีอัตตาเศษเหลืออุปกิเลสอยู่ จนกระทั่งเราเก่งและฉลาดขึ้น ความกังวลก็ลดลง วิจารหาเหตุผลให้แก่ตัวเองลดลง ขั้นมานะ อุทธัจจะ ลดลง จึงเป็นผู้เจริญด้วยฌาน 2 3 4 วิตกวิจารลด ทำได้ ดีใจ มีปีติ สุข ยังไม่เข้าขั้นอุเบกขา ฌาน 4 แต่เป็นฌาน 2
จนฌาน 3 ปีติลดลงเป็นสุขสงบ ถ้าถึงเริ่มนับเข้าสู่อุเบกขา อัตตาน้อยลงเหลือเศษอัตตาที่ติดสุข พริ้วพราย จนลดความสุขไปตามลำดับได้ จนกระทั่งเป็นความไม่ทุกข์ไม่สุข
ในความเป็นจริงของความเป็นกลางต้องมีญาณเพื่อรู้จักฌาน ฌาน 3 4 จะมีความลึกละเอียด ดูอาการของสุข อาการของทุกข์ ตั้งแต่ หยาบกลางละเอียด จะละเอียดไปรู้ ไม่รู้อีกกี่ชั้น ละเอียดถึงขั้นอนุสัยอาสวะ อนุสัยคือสิ่งที่อาศัยน้อยที่สุดแล้ว สุดยอดแล้ว อาสวะคือสิ่งที่ยึด สยะนี้ละเอียดกว่าสวะ เป็นเรื่องที่ สภาวธรรมสุดยอด
สรุปแล้ว เข้าใจแบบคนจน มาเป็นคนจนอย่างชัดเจนด้วยปัญญา เต็มใจมาเป็นคนจน ไม่ได้บีบบังคับเลย คุณจะมาจนก็เต็มใจมาเอง อยู่ไม่ได้ก็มา อยู่ไม่ได้ ก็กระเด็นไป มาโทษเราไม่ได้ด้วย
ทำไมโลกนี้ ต้องมีโพธิรักษ์ด้วย แล้วให้เขามาเชื่อ แล้วก็ทรมาน เขาก็อยู่ไม่รอด ไปข้างนอก แต่ลึกๆ เขาก็รู้ว่าดี แต่ทำไมทำไม่ได้ ลึกๆยอมรับ ทำไมโลกนี้ต้องให้โพธิรักษ์เกิด แล้วทำไมเราต้องมาพบโพธิรักษ์ ปฏิเสธความจริงไม่ได้ ภูมิปัญญาเขารู้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสูงกว่าแต่เรายังทำไม่ได้ และมีความถือตัวว่าอยู่ในนี้ก็ไม่ได้ อาย ก็เลยขอไปอยู่ที่อื่นก่อน ซุ่มซ่อนกว่า สักวันมันเหนือกว่าก็จะตั้งตนแข่ง ถ้าเหนือกว่าไม่ได้ก็ไม่มา แต่ลึกๆมีความสัมมาทิฏฐิ
และขอยืนยันว่า เศรษฐกิจแบบคนจนเป็นเศรษฐกิจยั่งยืน เพราะเราไม่แย่งใคร สร้างด้วยสมรรถนะ แต่ละคนของอโศก ที่เอาแบบคนจนมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า จะมีสมรรถนะ พลังงานการสร้างสรรค์ พลังงานการทำงาน จะมีพลังงานได้เกินกว่าที่ตัวเองกินใช้ จึงมีส่วนเหลือกันทุกคน
โสดาบันขึ้นไป ทำเกินกินเกินใช้ โสดาบันไม่มีขี้เกียจ ขี้เกียจอยู่ไม่ใช่โสดาบัน แต่จะขยันไม่มากเท่านั้นเอง แต่ถ้ายังขี้เกียจอยู่ไม่ใช่โสดาบัน ยังมีอบายมุข
โสดาบัน พึ่งพาตัวเองรอดแล้วมีส่วนเหลือให้แก่ผู้อื่น ถึงมีส่วนเกิน รวมกันร้อยคนพันเป็นหมื่นคนแสนคน ตัวเลขเทียบง่ายๆจาก ดร.ปรารถนาจน ดร.อเมริกานะคนนี้
ค่าของแรงงานชาวอาริยะโลกุตระ มีส่วนเหลือเกินมากพอยังไงก็ไม่ล่มจม มีพอมีเกินพึ่งตนเองรอด หากจะไม่พอ ทุกคนก็เสริมแรง ต้องช่วยกัน มันเป็นธรรมดาธรรมชาติสามัญไม่ต้องห่วง ถ้าหากสัจจะมีจริง ความไม่เห็นแก่ตัวก็มีจริง มันก็ไม่ปล่อยให้สังคมเราเสื่อม จะไปเป็นหนี้ ติดขัดอะไรมันไม่เอาเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงจะเป็นความจนที่ประเสริฐ
ไม่ใช่หลอกล่อแฝงซ่อน ดูไปเลย ชาวอโศกจะจนไปอีกร้อยปี จนกว่าจะเกิดกลียุค จากอโศกไปจนไปจนโลกแตก อย่างศาสนาคริสต์ก็น้ำท่วมโลก ศาสนาพุทธก็ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก คนที่มีบารมีเป็นโพธิสัตว์ก็จะรอด เป็นพระอริยะจะต้องสะสมบารมีอยู่รอด ผู้ที่อยู่ได้คือผู้ที่มีบารมี ไม่มีบารมีอยู่รอดไม่ได้ จะเหลือผู้มีบารมีต่อเชื้อดีเอ็นเออยู่ในโลก จนกว่าโลกนี้จะแตก เอกภพนี้จะเปลี่ยนตัว ไม่ต้องใช้ว่าแตก ถ้ามีการเคลื่อนตัวตลอดเวลาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะมีสัดส่วนของบางอย่างถูกต้อง
สรุปแล้ว “แบบคนจนที่ยั่งยืน แบบคนรวยนั้นสมบัติผลัดกันชม” ถ้ารวยก็จะแย่งกัน แต่คนจนนี้มี 0 เป็นหลักนี้ ไม่แย่งใครแล้ว 0 ไม่มีอะไรให้คุณแย่ง แต่เรามีสมรรถภาพ นอกนั้นคุณก็ฆ่าเราสิ เราไม่มีอะไรจะให้แล้วเป็น 0 แล้ว เหมือนคุณจะโง่ฆ่าไก่ เอาไข่หรือ คนที่ฉลาดจะไม่ฆ่าไก่ที่มีไข่ทองคำหรอก คนโง่จะฆ่าเอาไข่
สรุปแล้ว คนจนแบบนี้มีความยั่งยืน แต่คนรวยนี้เป็นสมบัติผลัดกันชม เห็นชัดไหม แบบนี้อยู่ได้นานยั่งยืนกว่า สมบัติผลัดกันชมก็ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แต่นี่เราสงบสบาย ช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นก็จะอุ้มชูไว้ เป็นความยั่งยืนกว่า
เศรษฐกิจคนจนนี่แหละที่ยั่งยืนและอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องรวยอย่างที่ในหลวงเราได้ตรัสไว้ เราไม่ได้รวยมากเราไม่ก้าวหน้าแบบนั้นจะถอยหลังอย่างน่ากลัว
อาตมาถึงขอย้ำว่า อย่าไปมอมเมาใส่ความคิดว่าจะต้องรวยทุกคนต้องรวย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สังคมพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ก็ทำให้คนรวยทั้งหมดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเป็นปุถุชนส่วนมากจะต้องรวยไม่เปลี่ยนแปลง แต่อาริยบุคคล ที่ยังไม่สูงก็ยัง ซ่อนแฝง สกิทาฯก็แฝงมีอยู่ อนาคาริกะ จึงจะไม่สะสมบ้านช่องเรือนชาน สกิทาคามีก็หลงมีแบงค์ติดกระเป๋าอยู่บ้าง ยังไม่ปิดบัญชี สกิทาคามีสูงขึ้น จะหมดตัวจากสมบัติภายนอก มั่นใจในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีขึ้นพาได้ ไม่จำเป็นมั้ยจะต้องมีของตัวเอง มันจะมั่นใจ มั่นใจเป็นอนาคามีจะมั่นใจสูงสุดไม่ต้องมีของตัวเองเลย นอกจากวิบาก เราเป็นหมาหัวเน่าไม่ค่อยถูกเกื้อกูล ก็รับวิบากไป แต่หากวิบากไม่มาก ก็พิสูจน์ไปในนี้เลย
แม้แต่ประเด็นของความยั่งยืนกับความไม่เที่ยง กับสมบัติผลัดกันชม เห็นประเด็นนี้ว่าต่างกันชัดขึ้นไหม พิสูจน์ได้ ทั้งโลกต้องการความยั่งยืน เศรษฐกิจยั่งยืน นี่แหละคือเศรษฐกิจยั่งยืนไม่ต้องไปรวยมากเกิน สรุปแล้วที่บอกว่า ศาสตร์พระราชาในหลวงได้ตรัสไว้ อันเดียวกับของพระพุทธเจ้า ชาวอโศกเราพอเพียงแค่นี้
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1vknRsE_V0TC-vx7dSm4z2kAPVV9-_-c9R12Uj-50uFs
ดาวโหลดเสียงที่. . https://drive.google.com/open?id=11Cu15YijmUABTI6vkbBpHKG2UwB2ojeY
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:43:45 )
รายละเอียด
610108_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ธรรมะสองของประชาธิปไตย
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2561 วันนี้เป็นวันบวร ของชาวราชธานีอโศก มีคนมาถามว่าปีนี้จะมีงานฉลองหนาวไหม ดูเหมือนว่า เราฉลองหนาวกันที่ราชธานีอโศกเป็นระยะๆ แต่งานฉลองหนาวประจำปีของชาวอโศก พ่อครูกำหนดให้จัดที่ภูผาฟ้าน้ำวันที่ 27-29 ม.ค. 2561 ปีนี้ก็ยังมีอยู่ มีคนอยากจะรู้ว่าจะมีกิจกรรมอะไร อาตมาถาม ท่านถิรจิตโต ก็บอกว่าเป็นช่วงวันพักผ่อนชาวอโศก อาจารย์ 1 ก็มีความเป็นห่วงว่า หนาวมากๆ หากไม่มีเครื่องมือป้องกันความหนาว อาจจะไม่ได้ฉลองเท่าไหร่ เป็นการทรมานร่างกายเหมือนกัน อย่างนั้นคนที่จะไป ก็คงต้องเตรียมอุปกรณ์ที่จะอยู่กับอากาศที่หนาวเย็น บางปีฝนก็ตกมาด้วย
ปีนี้พ่อครูบอกว่าจะไม่ไปฉลองหนาว อาจจะส่งเสียงไป เนื้อหางานฉลองหนาวก็คือให้ไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติที่หนาวเย็น ปีนี้ถ้าไปก็อาจจะมีตัวเลือกอีกตัวหนึ่ง คือที่ภูฟ้าผาธรรม ห่างจากภูผาฯ 12 กม. มีอาคารสถานที่ ที่ใครจะไปเลือกพักได้
ก่อนงานฉลองหนาวก็จะมีงาน"รำลึกถึงอาหมอฟากฟ้าหนึ่ง อโศกตระกูลครบรอบ 10 ปี ที่จากไป อาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2561 ที่ปฐมอโศก
มีอรรถกถา มีชาดกกล่าวถึงค้างคาวในถ้ำ ภิกษุก็ไปบำเพ็ญท่องอภิธรรมในถ้ำ อานิสงส์ของการผ่านหูทำให้มาเกิด เป็นภิกษุที่สนใจอภิธรรมกัน เด็กๆก็ลองตั้งใจฟัง น่าจะรับรู้ได้อานิสงส์มากกว่าค้างคาว
พ่อครูว่า...เด็กๆก็ตั้งใจฟังบ้าง หลวงปู่คงจะต้องพูดถึงเรื่องใหญ่ เรื่องการเมือง ก็ตั้งใจฟัง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ได้บันทึกไว้ ในจิตใจเรามันมีความพิเศษที่บันทึกไว้ตลอดเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ บางทีเราไม่รู้เรื่องเอาออกไปใช้ไม่เป็นแต่มันก็อยู่ในฮาร์ดดิสก์นั้น จนเมื่อเราโตขึ้นมา พอจะดึงขึ้นมาได้ หรือ เราจะรู้เส้นสายเส้นทางของสิ่งเหล่านี้ อยู่ในกระเป๋าไหน พอจะรู้เส้นทางที่จะดึงออกมาใช้ได้ในอนาคต อะไรทุกอย่างไม่มีอะไรอยู่โดดเดี่ยวมันจะมีสิ่งสัมพันธ์ ต่อเนื่องเป็นสายโซ่ สั้นบ้างยาวบ้าง ขาดช่วงบ้าง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ ก็ไม่เสียหายอะไร
ตอนนี้ หลวงปู่ก็พูดกับผู้ใหญ่ที่มีความเป็นปัจจุบัน กำลังมีอะไรควรจะต้องให้สัญญาณพอจะบอกกันให้รู้ให้เข้าใจได้เร็วๆไม่อย่างนั้นไม่ทันการ ทุกวันนี้อะไรก็เร็วไปหมด หากช้าไปเหตุการณ์บ้านเมืองจะลำบากมาก บางทีก็จำเป็นก็ต้องขอเวลา เด็กๆ มาอยู่ที่นี่ไม่ต้องห่วงหรอก พัฒนาไปให้ดีๆ เด็กก็ตามที่ได้มาอยู่ในที่นี้แล้ว เป็นเด็กที่มีบุญมากมีบารมีมีบุญมาก เข้ามาได้ เข้ามาอยู่ในที่นี้ สามารถจะได้ฟังสิ่งเหล่านี้ เด็กข้างนอกไม่มีโอกาสจะได้ฟังหรอก
เด็กของเราอาตมาชื่นชมว่ามีบารมีสำคัญแต่ละคน แต่ละเด็กแต่ละคน ได้มาอยู่ในหมู่กลุ่มสิ่งแวดล้อมมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ได้มาศึกษาในสถานที่ มีสิ่งประกอบ มีการกินการอยู่ ที่สะอาดบริสุทธิ์ทั้งหมดนี้แหละ เรียกว่า สัปปายะ ตามศัพท์ของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่ดีที่สบายที่เจริญสูงสุดแล้ว เพราะฉะนั้น พยายามให้ดีๆอดทนเอา สู้กิเลส แม้จะขัดแย้งไปไม่รอดก็พยายามเข้าใจให้ได้ว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้ว ตั้งใจให้ดีๆ ตั้งใจฟัง ตั้งใจรับรู้ไป
หลวงปู่วันนี้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องการเมือง ซึ่งพวกเราจะต้องรู้เรื่องการเมือง เพราะการเมืองนี้เป็นเรื่องของคน คนที่ไม่เอาการเมืองคือคนที่เข้าใจผิด เรียกว่ามิจฉาทิฎฐิ คนที่ไม่เอาการเมืองที่เข้าใจผิดเป็นมิจฉาทิฐินั้น คือคนที่ ได้ฟังคำพูด คำสอนของคนอีกชนิดหนึ่ง หนีจากสังคม มนุษย์หรือคน ไม่ได้เป็นสัตว์โขลงเล็กเหมือนเสือหรือสิงโต แยกเป็นกลุ่มเล็กๆ หรือตีกันทะเลาะกันแล้วแบ่งแยกกลุ่มไปเรื่อยๆ จะไม่เป็นกลุ่มใหญ่
ส่วนมนุษย์ที่เจริญแล้วอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มนุษย์มีพันกว่าล้านคน ประเทศที่มีมากที่สุด มีคนอยู่กันถึงประเทศละพันล้านคน ประเทศอินเดียหรือจีนเป็นต้น
ส่วนที่มาฟังอยู่นี้ก็น้อยนิด มีตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ มีน้องน้ำมนต์ น้องเพลง 6 ขวบเอง นอกนั้นก็สิบขวบกว่า ยังไม่ถึง 20 ก็เยอะ ก็ตั้งใจฟังดีๆ เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์สังคม มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ มนุษย์ที่หลงผิด ก็หนีไปอยู่กลุ่มเล็ก ปลีกตัวไปอยู่กลุ่มเล็ก กลายเป็นผีตองเหลืองคนป่า อยู่นานเป็นล้านๆชาติ พวกผีตองเหลืองหรือพวกคนป่า อยู่เป็นกลุ่มเล็กเท่านั้น
มนุษยชาติที่เจริญจะมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ความเจริญจะซับซ้อน ว่ามีความคิดเหมือนกันมีสิ่งที่เข้าใจตรงกัน จึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบอบอุ่นมีประโยชน์แก่กันและกัน สูงสุด ก็จะเป็นคนที่เห็นแก่มนุษย์ทุกคน ไม่รังเกียจรังงอน แม้จะมีความเห็นต่างจากเรามีความคิดต่างจากเรา ประพฤติต่างจากเรา รุนแรงกว่าเรา เราก็ไม่โกรธไม่ชิงชังเขา เพราะเขายังไม่เจริญ ยังมีนิสัยมีความประพฤติที่ไม่ดี เราก็สงสารเขา ถ้าหากว่าสอนเขาได้นำพาเขาได้ ให้เขาเปลี่ยนจากความไม่เจริญนั้นเป็นความเจริญได้ ก็ชวนให้เขาพัฒนาเจริญขึ้นมา
สังคมทุกวันนี้ทั้งโลกเข้าใจจุดสำคัญอันนี้แล้วว่า ความเจริญของมนุษย์ ผู้เจริญสูงสุดนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเป็นผู้ค้นพบความเจริญสูงสุด ก็ค่อยๆรวมคนขึ้นมา หลวงปู่เป็นผู้ที่สืบเชื้อพระพุทธเจ้ามา ก็เอาความจริงความรู้มาเปิดเผย ก็มีพวกเราที่มีเชื้อ เชื้อของศาสนาพุทธ เชื้อของความเจริญ ที่จะพัฒนาขึ้นมาตามลำดับๆ เข้าใจ ฟังรู้เรื่อง ก็เลยมารวมกันเป็นชุมชนชาวอโศก เป็นหมู่บ้านต่างๆ ในชาวอโศกเยอะ ในประเทศไทย แล้วก็จะเพิ่มขึ้นอีก หลวงปู่มั่นใจว่า พวกเราจะโตขึ้นไปแล้วรู้สิ่งที่หลวงปู่พูดไป แล้วคิดตามให้ดี สังเกตดูความจริงได้ว่าจริงหรือไม่ หลวงปู่มั่นใจว่าจะเดินขึ้นไปต่อ มันไม่ง่าย
ถึงอย่างนั้นความเจริญของสังคมทุกวันนี้ มันเจริญสูงสุด จึงมีความเสื่อมสูงสุดด้วย
ความเสื่อมสูงสุดคือ ร้ายเลวแรง แต่แฝงไปด้วยความหลอก
ขณะนี้ ความเป็นจริง ในเรื่องของ ความแรงที่สุดที่จะทำร้ายกัน เป็นพลังงานทำร้ายหรือเรียกว่า พลังงานที่เรียกว่า ระเบิดปรมาณู ระเบิดนิวเคลียร์ หรือระเบิดไฮโดรเจน เป็นเรื่องเล็กละเอียดเข้าไป แต่ระเบิดแรงมาก จึงเป็นภาวะซับซ้อน ขณะนี้ พลังงานที่สร้างสิ่งเหล่านี้ได้เป็นอาวุธฆ่าคน ระเบิดพวกนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าสัตว์ หรือทำประโยชน์อะไรอย่างอื่น แต่ได้สร้างมาฆ่าคนโดยตรง คนที่สร้างมาจึงเป็นบาปอย่างมาก
เมืองไทยไม่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ เมืองไทยจึงไม่มีบาป เมืองที่เขาสร้างอยู่ก็เป็นบาปตามสัจธรรมมีกรรมวิบากจริง คนที่พัฒนาให้มันเก่ง ระเบิดได้เก่งแรงมากฆ่าคนได้มาก นี่ต่างคนต่างมั่นใจว่าของตนเก่งกว่า ซุกซ่อนไว้ สุดท้ายเขาจะฆ่ากันเอง แต่พวกเรานี้เป็นพวกรอดได้เพราะจะไม่ไปร่วมมือในสิ่งเหล่านี้ ก็พยายามปลีกตนออกจากสงคราม ที่เขาจะฆ่ากันอย่างนี้ เราไม่มีสิ่งที่จะไปร่วมมือหรือแข่งขันกับเขา แล้วเราไม่เห็นดีที่ต้องไปทำร่วม เพราะว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรยิ่งใหญ่ คนไม่มีความรู้ก็นึกว่าเป็นประโยชน์ใหญ่ ตามภูมิของเขา ก็ต้องให้เขาทำไป ตามวิบากของเขา สิ่งนี้เป็นสิ่งลึกซึ้ง เป็นกรรมวิบาก พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ เป็นอจินไตยข้อที่ 3
อจินไตย 4 พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา
โลกจิตตาคือความซับซ้อนในความคิดของมนุษยชาติ เป็นความคิดที่เสื่อมที่เลวร้ายด้วยก็มีเยอะ เราก็ไม่จำเป็นที่ต้องไปดิ้นรนรู้ โลกจินตา ชาวปุถุชนทำ คิด เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ เขาทำไม่ดีหลายอย่างเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้หรอก เขาจะรุนแรงกับเราด้วย ฆ่าเราได้ด้วย
ก่อนจะพูดอะไรต่อก็ขอพูด sms
_อวิชชา จังเลย.... แม้บุญบารมีจะยังเป็นชาวอโศกไม่ได้เต็มตัวก็จะเพียรศึกษาปฏิบัติตามแนวทางของชาวอโศกให้ได้มากที่สุด พุทธที่จริงที่วิเศษจริงเห็นได้แต่ในชาวพุทธอโศกเท่านั้นในทุกวันนี้. เทศน์ธรรมะของท่านพ่อครูวิเศษลึกซึ้งไพเราะ มาก ขอกราบนอบน้อมนมัสการครับผม
พ่อครูว่า...ก็มีความเข้าใจได้ซาบซึ้งได้ สิ่งเหล่านี้บังคับกันไม่ได้ บางคนรู้แล้วซาบซึ้งเอาตาม เชื่อฟังแล้วทำตามปฏิบัติตาม เขาก็ได้ไปตามด้วย จนกระทั่งเข้ามาเป็นเนื้อใน ไปตามลำดับ แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะว่ายอดพีระมิดสิ้นสุดสูงที่สุด มันน้อยคน ก็จะเป็นไปตามลำดับ จะเอามากทันทีไม่ได้ ปลอมแปลงไม่ได้ สมมุติเล่นไม่ได้ ต้องเป็นไปตามจริง อาตมาเอง ไม่ได้ตื่นเต้นไม่ได้น้อยใจเสียใจ เข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี เข้าใจดี กำลังใจเต็มที่ไม่ได้ย่อหย่อน พยายามฝืนสังขารให้ไปถึง 151 ปี
ขอพูดนิดหนึ่ง พยายามลุ้นไปตามลำดับ ใช้พลังงาน Coefficient สัมประสิทธิ์ช่วยจริงๆ พยายามจัดการรูปนามให้ลงตัวสมดุล ให้มีพลังงานเสริม เป็นการพิสูจน์พลังงานสัมประสิทธิ์ ที่หลวงปู่เป็นผู้ชัดเจนแต่ยังอธิบายไม่เก่ง แต่จะมีคนเอาไปใช้ทางวัตถุก่อน พลังงานสัมประสิทธิ์ เหมือนไอน์สไตน์ เอาพลังงานไปใช้ทางวัตถุ เกิดรุนแรงได้ แต่นี่ไม่ใช่พลังงานรุนแรง รุนแรงทางอีกทางหนึ่งคือทางสร้างสรร ต่อความยั่งยืนของชีวภาพ ไม่ใช่วัตถุธาตุ แต่นี่ต่อความยาวยืนของ จิตภาพหรือชีวภาพ
พูดไว้ดักไว้เลย อาตมาไม่เจตนาให้เขาเอาไปทำ อย่างที่แบบไอน์สไตน์ค้นพบ E=mc2 ซึ่งเขารู้กันแล้วเรื่องแบบนี้ ว่าตอนนี้ไม่พยายามทำ เขารู้กันมาก แต่คนทำมีน้อยกว่า คนมิจฉาทิฏฐิ ก็จะสร้างไว้เพื่อป้องกันตัว เบอร์หนึ่งก็คือ เกาหลีเหนือที่ทำอยู่ นอกนั้นก็มีอีกหลายประเทศที่เขามีทุนรอน และมีความกลัวเพื่อป้องกันประเทศตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นภาวะเป็นจริงในมนุษยชาติสังคม ในความคิดของมนุษย์ เมืองไทยนี่แหละ ถ้าจะพูดแล้ว ในเมืองไทย หลวงปู่เคยพูดถึงสวิตเซอร์แลนด์ เป็นตัวอย่างของความสงบสุข ไม่สร้างความรุนแรงได้สนิทยิ่งกว่าประเทศไทย หลวงปู่ว่าอยากได้คุณสมบัติแบบนี้จังเลย แบบ Switzerland มาเป็นในเมืองไทย แต่อยากได้ก็ไม่ได้ ต้องเป็นไปตามสัจจะที่จะมีองค์ประกอบตามบารมี จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตถตา ทุกอย่าง ไม่บังคับหรือบีบคั้นไม่ได้เลย ในทุกกัปป์ทุกยุคสมัยในวัฏสงสารจะเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเป็นไปตามลำดับ
_โยมบุญหนา บุญมี ...กระผมขออนุญาตใช้ห้องนี้กราบถึงพ่อครูและท่านแสนดิน
ขอกราบแทบเท้าพ่อครูและหมู่สมณะด้วยความคารวะอย่างสูงยิ่ง กระผมได้ฟังพ่อครูย้อนหลังแล้ว ท่านเมตตาต่อกระผมตลอดมา พี่น้องก็เรียกหาเสมอ ท่านธัมมาก็อยากให้อยู่ฟ้าอภัย อาแซมดินก็โทรหา ท่านวินก็อยากให้มาช่วยสอนที่ศีรษะฯ พี่น้องลูกหลานทั้งหลายได้แสดงน้ำใจจะช่วยดูแล พอดีคุณหมอจุฬาภรณ์มีนัดมาก วันนี้ดูค่า PSA ในสามเดือนนี้ลดลงจาก 18.9 แต่วันนี้วัดได้ 15.50 วันที่ 8-10 มค. หมอไส้เลื่อน หมอฉายแสง และหมอมะเร็งต่อมลูกหมากจะประชุมวางแผนการรักษา หลังจากไ้ด้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ ได้ใช้เวชศาสตร์นิวเคลียร์และตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Nuclear Medicine, MRI)แล้ว ลูกๆ เขาช่วยดูแลรับส่ง ถ้ายังอยู่ในการดูแลของหมอที่กรุงเทพเขาก็ขอรับผิดชอบดูแลพ่อด้วย ช่วงนี้ก็พยายามให้มาอยู่สันติ แต่ในสามเดือนนี้หมอนัดถี่จริงๆ พวกลูกจึงพยายามให้อาหารแบบหมอเขียวให้มากที่สุด หรืออย่างน้อยก็อาหารชมร. กระผมขอกราบเรียนรายงานเท่านี้ก่อน ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง โยมบุญหนา
พ่อครูว่า... ก็เป็นภาวะ สาราณียธรรม 6 ที่ลงตัว
_มีคำถามของนักเรียน หลวงปู่คะ ลูกได้ยินข่าวแว่วๆมาว่า จะฉลองหนาวปีนี้ เป็นปีสุดท้ายหรือคะ
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ธรรมะสองของระบอบประชาธิปไตย
พ่อครูว่า...การเมืองตอนนี้กำลังร้อน แต่ก็ไม่ค่อยร้อนมากหรอกในเมืองไทย อยู่ในสภาพที่เป็นไปได้ หนาวก็ไม่หนาวมากร้อนก็ไม่ร้อนมาก ใช้ได้ หนาวขนาดนี้อาตมาว่ากำลังดีทีเดียว ยิ่งหน้าร้อนถ้าอากาศเป็นอย่างนี้ตลอดกาลก็เยี่ยมเลย แต่มันไม่ได้หรอก ใจปรารถนาเอามันไม่ได้ ต้องเป็นไปตามสัจธรรม
เรามาพูดถึงการเมือง อาตมาได้ประกาศตัวเองมานานว่าเป็นนักการเมือง ซึ่งอยู่ในร่างของสมณะนักบวชสมณะ ประกาศว่าเป็นนักการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เปิดตัวทำงานร่วมกันในการชุมนุม ในพ.ศ. 2549 เริ่มต้นมา ปัจจุบันนี้กี่ปีแล้ว ก็ครบนักษัตรแล้ว พลเมืองต้องมีการเมือง ต้องทำงานอย่างที่ในเมืองเขาทำกัน เพราะคนในเมืองเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นสังคมใหญ่ สังคมคนป่าเป็นสังคมที่ เป็นสังคมเล็ก ไม่มากหรอก อย่างไรๆก็ไม่มีมากเลยธรรมชาติสัจจะแล้ว คนปลีกเดี่ยวอยู่ป่าจับกลุ่มในป่าก็ตาม เป็นหมู่เล็ก แต่ถ้าเผื่อว่า ประชาชน คนมาอยู่ในเมือง มันได้ถึงพันล้านคนอย่างที่เห็น ในป่าอยู่พันล้านคนไม่ได้หรอก มันไม่เป็นป่าหรอกพันล้านคน ป่ามันไม่เหลือ ก็จะอยู่อย่างคนเมือง เราอยู่อย่างคนเมือง จึงเป็นคนเมืองที่ไม่ทิ้งธรรมชาติ เราได้พยายามสร้างต้นไม้แม่น้ำลำธารเป็นธรรมชาติขึ้นมา แต่จะมากอย่างไรก็ไม่เหมือนป่า อาตมาพาทำจนป่านนี้ สร้างให้เหมือนอย่างไรก็ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนป่าจริง เพราะมันต้องเป็นอย่างนั้น พยายามสร้างไปเถอะ จะไม่เปลี่ยนสภาพ เราเข้าใจจังหวะเวลา
อย่างราชธานีอโศก จะให้เป็นตัวอย่างของสังคมเมืองที่ไม่ใช่เมืองแบบป่าคอนกรีต แต่จะเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ ร่มเย็น สุขสําราญ มีธรรมชาติได้อาศัย ดินทำงานของมัน น้ำทำงานของมัน ไอน้ำอบอุ่น ตามธรรมชาติจะไม่ร้อนมาก ไม่เหมือนป่าคอนกรีต จะร้อนอย่างไรก็ไม่เหมือนป่าคอนกรีต
หลวงปู่ประกาศตนเองว่าเป็นนักการเมือง ต้องขยายความว่าการเมืองคืออะไร
ตอนนี้เหตุการณ์บ้านเมือง ใครได้ดูคลิปบ้าง คลิปผู้ใหญ่ลีของ หลุยส์ เคเนดี้
เพลงผู้ใหญ่ลี ...Louise Kennedy
เนื้อเพลง ผู้ใหญ่ลี - ไก่ พรรณนิภา
เพลง : ผู้ใหญ่ลี
พ.ศ.สองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม
มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด
สุกรนั้นไซร้ คือหมาน้อยธรรมดา หมาน้อยหมาน้อยธรรมดา หมาน้อยหมาน้อยธรรมดา ......
พ่อครูว่า...จากเนื้อร้องเดิม ของศักดิ์ศรี ศรีอักษร คนอุบลนี่แหละ อันนี้เป็นเรื่องที่เราสืบเนื่องจากเขามี อยากฟังต้นฉบับเก่าจริงๆ มีไหม...ร้องว่า
...สายัณห์ตะวันร้อนฉี่ ผู้ใหญ่ลีขี่ม้าบักจ้อน แดดฮ้อนๆใส่แว่นตาดำ ผู้ใหญ่ลีกลัวฝนจะตกฮำ ผู้ใหญ่ลีกลัวฝนจะตกฮำ ถอดแว่นตาดำ ฟ้าแจ้งจางปาง ฟ้าแจ้ง ฟ้าแจ้งจางปาง ฟ้าแจ้ง ฟ้าแจ้งจางปาง ...... คอกลมเหมือนดั่งคอช้าง เอวบางเหมือนยางรถยนต์ รูปหล่อเหมือนตอไฟลน หน้ามนเหมือนเขียงน้อยซอยซำ เขียงน้อย เขียงน้อยซอยซำ เขียงน้อย เขียงน้อยซอยซำ......
อันนี้ก็เป็นเรื่องเก่าที่เอามาให้เห็นว่า มันก็มีการสืบเนื่อง เป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ต่อกันมาเรื่อยๆ พิมพ์เพชรรุ้งก็เอามาออกรายการ เขาก็พูดถึง Louise Kennedy หลุยส์/ลูอิส เคนเนดี้ เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของสหรัฐในเมืองไทย ผู้ชื่นชอบเพลงนี้อย่างมาก จนได้บันทึกลงแผ่นซิงเกิลสปีด 45 และร้องออกรายการทางไทยทีวีช่อง 4 บางขุนพรหม
เธอบอกว่า เพลงนี้เป็น Thai protest Song หมายถึงเพลงในการประท้วง ในยุคนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังมุ่งหน้าพัฒนาประเทศตามแบบฝรั่ง สั่งการแบบบนลงล่าง โดยไม่ได้มีความเข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน นักพัฒนาเข้าไม่ถึงความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้าน จึงเป็นการพัฒนาที่ถอยหลังแบบหน้ากลัว อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงกล่าวไว้
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง มันจึงเป็นการพัฒนาแบบ หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา
เขาบอกว่า เป็นเพลงประท้วงแบบ folk คือพวกเพลงลูกทุ่ง หมายถึงว่า ทางการสั่งมา ผู้ใหญ่ลียังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย บอกว่าสุกรคือหมาน้อยธรรมดา
พ.ศ. 2504 หลวงปู่อายุเท่าไหร่? ศักดิ์ศรี อายุอ่อนกว่าอาตมานิดหน่อย แต่เขาแต่งงาน หลวงปู่ไม่ได้แต่งงาน เพลงนี้ดังมากในยุคนั้น เสร็จแล้วสุนทราภรณ์ก็เอามาทำใหม่ ฮิตอีก ตามแบบ pop song ก็ดัง
การเมืองประชาธิปไตยเป็นการเมืองสูงสุด เผด็จการสู้ไม่ได้ คอมมิวนิสต์สู้ไม่ได้ ยิ่งเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ แบบชาวอโศกนี้จะเป็นประชาธิปไตยที่จะเป็นการเมืองเยี่ยมยอดสุด เรียกว่าประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ทีนี้ ประชาธิปไตยก็มีผิดเพี้ยน ไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นประชาธิปไตยปลอม ผิดไปจากประชาธิปไตยจริง คือเดี๋ยวนี้เข้าใจกันทั่วโลกเลย ก็แบ่งเป็น 2 อย่างง่ายๆ
1. ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน
2. ประชาธิปไตยแบบส่วนร่วมหรือประชาธิปไตยส่วนรวม
ซึ่งเป็นอิสระเสรีภาพสูงสุด กับแบบมีผู้แทน ต้องมีเลือกตั้งเลือกผู้แทนมีประชุมสภา เป็นเผด็จการทางรัฐสภาได้อย่างที่ทักษิณเขาทำ ซึ่งเลวร้ายที่สุดเลย ทุกวันนี้คนก็ยังเข้าใจไม่ได้ โดยเฉพาะคนมีเลือดโลกีย์ชอบความรวยหรูหราได้มากๆ เป็นโลกียะตื้นๆ ทุกวันนี้ชาวอโศก ก็ยังไปหลงใหลการเมืองแบบนี้อยู่อีกไม่น้อย ยังพูดกันไม่รู้เรื่องก็มี ซึ่งมันมีอำนาจมาก ขนาดเป็นชาวอโศกแล้วนะ ก็ยังมีมิจฉาทิฏฐิแฝงอยู่ เพราะว่ามีเลือดโลกีย์ ชอบได้บำเรออัตตา บําเรอลาภยศสรรเสริญสุขทางทุนนิยม มีอยู่ไม่น้อย เดี๋ยวนี้ก็ยังแย้ง เป็นธรรมดา เราก็ไม่ไปติดใจมันเป็นธรรมดา
จำไว้ มีการเมือง 2 แบบนี้
ตอนนี้ สังคมไทยการเมืองไทย เป็นการบริหารประเทศด้วยคณะคสช. คณะคสช.ไม่ได้เลือกผู้แทน แต่คณะคสช.หรือคณะของพลเอกประยุทธ์ เป็นการเมืองแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่การเมืองแบบผู้แทน การเมืองแบบผู้แทนนั้นเป็นการเมืองขาเดียว ไม่ใช่การเมืองสองขา การเมืองที่มีส่วนร่วมนั้นเป็นการเมือง 2 ขา ส่วนการเมืองที่เป็นแบบผู้แทน เป็นการเมืองที่ ไม่มีใจ มีแต่กาย มีแต่ร่างตื้นๆภายนอก ภายในจิตวิญญาณไม่มี ไม่ลึกซึ้ง ภายในจิตวิญญาณไม่สมบูรณ์แบบ การเมืองขาเดียวนี่
อันนี้อาตมาพยายามยืนยันอธิบาย คนก็ยังไม่เข้าใจ แต่ไปบังคับความเข้าใจคนไม่ได้ เขาจะไม่ค่อยเข้าใจ ระหว่างประชาธิปไตย 2 ขากับประชาธิปไตยขาเดียว
มันเป็นจิตนิยาม มีกายกับใจ มีร่างกับใจ พีชนิยามมีร่างกับธาตุรู้แต่ไม่ใช่จิตนิยาม พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีอัตตา ISH มันสร้างตัวมันเองอย่างเดียว แต่ไม่ไปทำร้ายใคร ทำร้ายใครไม่เป็น แต่จิตนิยามเซลล์ชั้นต่ำ แม้ไม่เจตนาทำร้ายแต่มันทำร้าย เพราะว่ามันไม่รู้มันโง่ใครจะมาทำร้ายมัน มันก็ต้องป้องกันตัวเองฆ่าอันอื่นได้ แต่พืชนี้ไม่ไปทำร้ายอะไรตอบเลย พืชนี้ใครทำร้ายมันมันก็ไม่ตอบโต้ แต่ถ้าเป็นสัตว์แล้ว ใครไปทำร้ายมันๆก็ทำร้ายตอบได้ บางอย่างทำร้ายได้แรงมากเลย ไวรัสหรือเซลล์เล็กๆ มีพิษร้ายแรงมาก ความซับซ้อนพวกนี้ ความรู้ที่ศึกษาไปแล้ว จะรู้และเข้าใจ จะไปโทษมันทีเดียวไม่ได้ มันไม่รู้เรื่องหรอก แต่มันก็เป็นตัวมันเองแบบนั้นเป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์ชั้นสูงขึ้นมาก็จะเจริญรู้แล้วเห็นแก่ผู้อื่น มีความรัก 10 มิติที่สูงขึ้น ก็ค่อยๆศึกษาไป นั่นคือลักษณะแกนของความรู้ประชาธิปไตย แบบผู้แทน กับประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
เมืองไทยขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่ใช่แบบผู้แทนแน่นอน แต่เป็นประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมโดยปัญญา มีปัญญาเข้าใจในความเป็นประชาธิปไตยดี ดีกว่าทุกๆชาติ อาตมาขอพูดเช่นนั้นเลย เป็นความลึกซึ้งเช่นนั้น
ต่อมาขออธิบายให้ละเอียด โดยมีตัวอย่าง เป็นประชาธิปไตย 2 แบบ
ก็ขอยกตัวอย่าง คือแบบทักษิณ ชินวัตร กับแบบพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบทักษิณก็เห็นลายอยู่แล้ว พอมีของพลเอกประยุทธ์ขึ้นมา แม้จะไม่เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งอย่างที่ทักษิณ ชูป้ายเลย เป็นประชาธิปไตยขาเดียว เป็นศิษย์อเมริกา เป็นดอกเตอร์อเมริกา ก็เลยเป็นทาสความคิดแบบอเมริกา เต็มที่ สูงสุดได้แค่ทักษิณนี่แหละ
ทีนี้ พลเอกประยุทธ์ ก็เป็นอีกสายหนึ่ง เป็นประชาธิปไตย 2 ขา เป็นประชาธิปไตยที่รู้จักประชาธิปไตยดีกว่า โดยที่เรียกว่า ก็เข้าใจแบบเลือกตั้งมีผู้แทน ก็เข้าใจแต่ก็ยังเห็นว่า ตอนนี้ต้องทำแบบนี้ ยังไม่ใช่เวลาที่จะไปเลือกตั้ง ทำด้วยความมั่นใจตั้งใจที่จะช่วย แต่มันก็มีมวลประชาชน ที่ยังถือหาง จะต้องเลือกตั้ง เขาไม่ได้เป็นพวกของทักษิณ แต่เขายังมีความเอียงไปทางเลือกตั้ง ยังมีข้างโลกีย์ใช้อำนาจสภา จนกระทั่งฝ่ายนั้นจะเอียงไปทางฝ่ายสภา จนบอกว่าเป็นประชาธิปไตย คือ คุณชวน หลีกภัย บอกว่าประชาธิปไตยนอกสภาไม่มี ประชาธิปไตยต้องมีแต่ในสภา ถึงขนาดนั้นเลย
แล้วเข้าใจว่าประชาธิปไตยนั้น มีแต่ในสภา สภาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ก็ใช้สภาเป็นอำนาจใหญ่ เพราะฉะนั้นจะฟังเสียงประชาชนไม่ครบ เสียงประชาชนไม่ใช่เป็นใหญ่ แต่เขาก็ว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่เขาเอาสภาเป็นหลักไม่ได้เอาประชาชนเป็นหลัก แต่มันซ้อนที่ว่า ถ้าประชาชนยังไม่เข้าใจประชาธิปไตยพอก็ต้องใช้อำนาจรัฐมาบริหารก็ถูก ถ้าหากรัฐบาลหรือผู้บริหารนั้น ยังมีความเห็นแก่ตัวเห็นแก่พรรคพวกมีโลกียะมาก มันก็ล้มเหลวอย่างที่มันเป็น มันมีตัวอย่างมาหมดแล้ว
ประชาชนไทยเองเข้าใจมากขึ้นแล้วในยุคนี้ จึงเป็นมวล และทุนให้แก่พลเอกประยุทธ์ แม้จะมีคนที่ทำเป็นสู่รู้ว่า ตอนนี้ทุนของพลเอกประยุทธ์หมดแล้ว คือหมายถึงหมู่ประชาชนที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ เป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วย ต้องการให้ออก อาตมามั่นใจว่าเสียงในประชาชนในประเทศไทยขณะนี้ เกือบ 70 ล้านคน จะมีสิทธิ์ไปเลือกตั้งแค่ 40 ล้านก็ตาม เขาก็ไปตีความว่า เดาเอาว่า คนที่เห็นด้วยกับพลเอกประยุทธ์ มีจำนวนน้อยกว่าคนที่ต้องการให้ออกมาเลือกตั้งอีก
สำหรับอาตมานั้นชัดเจนว่า ถึงแม้จะเลือกใหม่ พลเอกประยุทธ์ก็จะได้ เพราะว่าประชาชนเข้าใจเกินกว่าความเข้าใจเดิมแล้ว เปลี่ยนวิสัยทัศน์แล้ว เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ เปลี่ยนความคิดองค์รวมแล้ว เป็นการวัดค่าประชาชนคนไทยตามที่อาตมามีเจโตปริยญาณ หยั่งรู้จิตมนุษย์เท่าที่พูดนี้อย่างบริสุทธิ์ใจ ที่พูดนี้ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับพลเอกประยุทธ์ อาตมาก็มีคณะประชาธิปไตยของอาตมาและเป็นประชาชนที่อยู่ในกลุ่มใหญ่ ไม่ได้ขาดไปจากสังคมโลก แม้จะเชื่อมต่อไปยังประชาธิปไตยโลกก็เชื่อมต่อ แม้จะเป็นกลุ่มเล็กของชาวอโศก ก็มีความบริสุทธิ์ใจ มันมีความซับซ้อนลึกซึ้ง
มันมีเชิงแฝงกลเกมการเมือง เป็นความไม่บริสุทธิ์
แล้วความบริสุทธิ์ที่สุดคืออะไร ก็คือความถูกตรงตามหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ที่อาตมาได้นิยามเอาไว้ เป็นนิยามข้นๆไว้ 10 ข้อ
1. งานการเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศลเพื่อมวลมนุษยชาติ
2. นักการเมืองต้อง “รู้จัก” ประชาธิปไตยที่แท้
3. นักการเมืองต้อง “สอน” หรือเผยแพร่ประชาธิปไตยให้กับประชาชน (ประชาชนก็ใส่ใจขวนขวายเรียนรู้ ไม่ใช่รู้แค่ว่าไปเลือกตั้งเท่านั้น) อาตมานี้สอนการเมืองประชาธิปไตย แต่ขอบอกไว้ว่าจะไม่ไปรับตำแหน่งอะไรแต่ทำงานร่วมกับรัฐบาลได้ ไม่เป็นข้าราชการด้วย ข้าราชการนั้นคือนักการเมืองประจำ นักทำงานรับใช้ประชาชนประจำ แต่ทุกวันนี้กลายเป็นศักดินาเบ่งใหญ่ นี่ก็ผิดอีก
4. นักการเมืองต้องเป็นผู้พึ่งตัวเองได้แล้ว
5. นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อยสันโดษ รู้พอไม่สะสม เป็นเครื่องชี้บ่งเลย ไม่จำเป็นจะต้องไปรวย ประชาชนเขารวย เขาจะอุดหนุนมา กระเป๋าของนักการเมืองใหญ่คือประชาชน คือสมบัติของประชาชน เขาอยากจะช่วยเลย ถ้าหากเราทำเพื่อประชาชน ประชาชนผู้มีปัญญาจะช่วยเต็มที่เลย มีเท่าไหร่ก็เอาให้หมดตัว อย่างนั้น นักการเมืองต้องเป็นผู้มักน้อย ใจพอ กล้าจน ไม่โลภ ไม่สะสม เราได้บทเรียนจาก “คนรวยแล้วไม่โกง”มาแล้ว เอาคำว่ารวยแล้วไม่โกงมาหลอก แต่มันโกงคนเดียวไม่พอ โกงทั้งตระกูลตั้ง 5 แสนล้าน
6. นักการเมืองต้องไม่ทำงานการเมืองเป็นอาชีพหากิน ไม่มอบตนในทางผิด
พ้นมิจฉาชีพ 5 1). การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง
2). การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง
3). การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
4). การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
5). การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
7. งานการเมืองต้องเป็นงานอาสาเสียสละ คือต้องเข้าไปเสนอตัว คืออาสา ขอทำงานนั้น โดยไม่ได้เรียกร้องเอาอะไรตอบแทน อาสาคือเราเป็นผู้เสนอตัวเข้าไปรับใช้ ไม่ใช่เต๊ะท่า ให้คนมาเชิญ อย่างอาตมาพาไปทำไม่มีใครเรียกร้อง เขาหาว่าบ้าบอยัดเยียดตัวเองเข้าไปด้วยซ้ำ แล้วก็ยังจะทำต่อไปอีก ตรวจสอบได้ จะเข้าไปเสนอตัว แล้วก็ทำงาน โดยไม่ต้องการเรียกร้องอะไรตอบแทน
8. นักการเมืองจะต้องไม่มีอคติ (ต้องพ้น อคติ 4)
9. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
10. งานการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชนทั้งมวล เพื่อผู้อื่นที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก “พรรค” ของตน
สิบข้อนี้อาตมานิยามเอาไว้ตั้งแต่ต้น ขยายความมากกว่านี้ได้ แต่สิบข้อนี้ทำให้สมบูรณ์แบบเถิด รับรองว่าไปโลด การเมืองประชาธิปไตย ไปรอดแน่
ในหนังสือที่อาตมาเขียนเอาไว้ ตั้งแต่พ.ศ. 2552 พิมพ์ครั้งแรก จำนวน 4000 เล่ม ขายเล่มละ 65 บาท ชื่อว่า ถ้าอย่างนี้ล่ะ การเมืองใหม่มั๊ย
อาตมาพาพวกเราเข้าสู่การเมืองพ.ศ. 2549 หนังสือเล่มนี้ เขียนขึ้นมาพิมพ์ออกไป 2552 ยังไม่ได้พิมพ์อีกเลย
การเมืองทุกวันนี้เขาใช้กันมากกว่าคำว่าโลกุตระ ที่จริงคำว่าธรรมะโลกุตระคือการเมืองที่แท้ ยากกว่า เอาคำว่าการเมืองไปอธิบายเอาไปปฎิบัติประพฤติก่อน คำว่าการเมืองจะง่ายกว่า
การเมืองสองแบบคือ แบบทักษิณกับแบบพลเอกประยุทธ์ สองอย่างหรืออย่างนี้ก็ได้ เอาอย่างทักษิณกับแบบศาสตร์พระราชา เท่ห์กว่าเนอะ แน่นอนว่า ทักษิณเขาไม่เอาสถาบันหรอก ชัดเจนอยู่แล้ว แม้จะทำ fake news ว่าเขายกย่องสถาบันอยู่ แต่ก็เป็นการโกหกตอแหล แต่แน่นอนไหมว่า ใครจะยกย่องเทิดทูนสถาบันมากกว่ากัน ของทักษิณก็คือทักษิณ ของพลเอกประยุทธ์ก็คือศาสตร์พระราชา ของทักษิณคือโลกีย์ 100% พันเปอร์เซ็นต์ ซับซ้อน หลอกกันเต็มที่ คนละขั้วกับศาสตร์พระราชา พระราชานี้เพื่อมวลประชาชน แต่อาตมาก็ไม่เก่ง ท่านทรงงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก ถ้าหากท่านไม่ทรงงานหนักจะอายุยืนกว่านี้ ประชาชนฉลาดไม่พอ ท่านก็เลยสิ้นพระชนม์ไปตามเวลา ถ้าหากประชาชนเข้าใจและฉลาดกว่านี้ ในหลวงจะอายุยืน อาตมาเข้าใจในหลวงอย่างไม่ธรรมดา อาตมาเคยพูดไปแล้วว่า อาตมาเป็นผู้พูดเองว่าในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ไม่มีหลักฐานตรงนั้น ยังไม่ชัด
พระโพธิสัตว์ในความหมายอาตมาก็ไม่เหมือนกับคนอื่นเข้าใจด้วย พระโพธิสัตว์ 9 ลำดับมีอย่างไรคนก็ยังไม่เข้าใจ มหายาน มีพระโพธิสัตว์ไม่รู้กี่ประเภท ส่วนเถรวาทไม่ได้ศึกษาพระโพธิสัตว์ แต่อาตมาเข้าใจทั้งมหายานและเถรวาท เมืองไทยต้องเอามหายานมาแก้เถรวาทให้มีความเป็นมหายานเพิ่มขึ้น ทั้งสองอย่างก็มีข้อดี แต่มันเลยเถิดโต่งเกินไปกลายเป็นผิดเพี้ยน
ตอนนี้ก็มี 2 แบบที่ตั้งเอาไว้คือพลเอกประยุทธ์กับทักษิณ อย่างทักษิณเป็นแบบโลกียะร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนของแบบศาสตร์พระราชากับพลเอกประยุทธ์ดำเนินอยู่นี้ มันเป็นเรื่องของ โลกุตระ
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ชาวอโศกจนอย่างยั่งยืนและมีปัญญา
ทีนี้ขยายความต่อไปให้ลึกรอบว่า
นัย เอาความเป็นเศรษฐกิจ มาไขโลกียะกับโลกุตระ
ทักษิณนั้น เศรษฐกิจเพื่อความรวย แต่ในหลวงนั้นเศรษฐกิจเพื่อความจน มีหลักฐานยืนยันด้วย ท่านยืนยันอย่างมีความสง่างามที่สุด แต่คนตามไม่ทันแม้แต่ข้าราชบริพารข้าราชการก็ตามไม่ได้ ขออภัยที่พูดเหมือนดูถูกข้าราชการ แต่พูดด้วยความจริงใจ ผิดถูกบาปเวรอาตมารับเอง ถ้าหากจะฟ้องร้องอาตมาก็ต้องผิด แต่จิตอาตมาไม่มีอุปกิเลส 16
อาตมาจะต้องพูดถึงเรื่องคนจนอีกมาก อีกนานทีเดียว ถึงบอกว่าตายไม่ลง เพราะมันยังไม่กระจ่าง ว่าคนจนจะไปสู้อะไรเขาได้ คอนเซ็ปต์เก่า บอกว่าคนจนเป็นเรื่องต่ำช้าขาดแคลนอดอยากปากแห้ง ซึ่งมันไม่ใช่
คนจนที่อุดมสมบูรณ์อย่างเช่นชาวอโศก มีความเฉลียวฉลาดไม่เอาเปรียบใคร เป็นคนสะสมน้อยก็จน แต่ไม่ขาดแคลน สร้างสรรค์ ไม่เป็นหนี้ เป็นคนจนมหัศจรรย์แปลกประหลาด จึงต้องพูดอีกมากเลยในเรื่องนี้ผู้ที่นำเศรษฐกิจแบบคนจนคือในหลวงรัชกาลที่ 9 อาตมาก็พูดด้วยแต่คนจะไม่ให้น้ำหนัก
จะบริหารอย่างไรให้คนมาจนแล้วมันจะไปรอดหรือ ถ้าเข้าใจง่ายก็ฉลุย แล้วยิ่งบอกว่าขาดทุนของเราคือกำไรของเรามันก็ยิ่งหนัก หากขาดทุนไปๆๆ มันก็ไม่เหลือสิ แต่ความจริงมันไม่ใช่ เราไม่ได้พูดเอาแต่ได้ ไม่ได้พูดโมเม เขาคิด ทุนคืออะไรตามสากล ไม่ได้ไปคิดเองว่าทุนคืออะไร คิดหมด ค่าวัตถุดิบ ค่าโสหุ้ย ค่าแรงงาน ทางร่างกาย ทางสมองความรู้ คิดหมด เราก็เอาแต่ค่าแรงงาน คนมีความรู้มาก ทำงานได้ผลมากได้ผลดีวิเศษ ค่าแรงงานก็ต้องแพงตามหลักเกณฑ์สากล ในสัจจะ ไม่ใช่ไปตั้งเอาเอง แต่เรามาเสียสละซะ เรามามักน้อยสันโดษเรามาเอาแต่น้อย
เอาง่ายๆอย่างดร.ต้อม เป็นตัวอย่างจริงทำมาจริง ก็ทำงานอยู่ในกระทรวง ออกไปต่างประเทศได้รับเงินเดือนตั้ง 500,000 รับเงินเดือนนี้ตกประมาณวันละ 16,000 เฉลี่ยแล้ว
ทุกวันนี้ เจ้าต้อมลาออกมา อย่างไม่ได้มีความผิดอะไร แต่มันเบื่อหน่าย อ่อนแอสังคมโลกีย์ แพ้โลกีย์ก็เลยลาออกมาอยู่กับพวกเรา มาอยู่ก็ช่วยทำงานการ แล้วคิดเฉลี่ย ไม่ว่าตัวเล็กตัวน้อย มีประชากรตัวเล็กตัวน้อย 407 คน นี่ล่าสุดของเดือนพฤศจิกายน 407 คนนี้ หาค่าเฉลี่ยแล้วทุกคนได้ค่าตัววันละ 34.20 บาท เขาไม่เอาวันละ 16,000 มาเอาวันละ 34 บาท 20 สตางค์ แล้วทำงานเต็มที่ด้วยเพราะว่าเต็มใจกว่าด้วย มันต่างกันกับที่ทำแบบเดิม ที่จริงน่าจะได้มากกว่าวันละ 16,000 บาท เพราะว่าเต็มใจกว่า แต่กลับมาเอาแค่วันละ 34.20 บาท คุณคิดดูว่าซับซ้อนทางเศรษฐกิจกี่ชั้น จริงๆ แล้วค่าแรงต้องแพงกว่านี้อีก อธิบายยกตัวอย่างแค่นี้ก็ชัดเจนแล้ว นี่คือคนจนที่ยิ่งใหญ่ คนจนมหัศจรรย์ เราไม่เอาเงินจากคนอื่นมาให้แก่เรา หรือเราเอาแต่น้อย เราไม่เอาให้แก่เราเลย เราก็อยู่กับหมู่ ชัดเจนในวัฒนธรรมหมู่ พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน บุญต่างคนต่างทำ
ชาวอโศกจึงเป็นตัวอย่างของคนจนที่สุขสำราญเบิกบานใจ ไม่ต้องกังวลในความเป็นอยู่เลย เราก็ทำตนเราอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก ซื่งฌานทั้ง 4 ก็มีวิตกวิจารบ้าง วิตกคือยังกังวล วิจารคือ ยังหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง นี่เรียกว่าฌาน 1 นะ
มันยังมีอัตตาเศษเหลืออุปกิเลสอยู่ จนกระทั่งเราเก่งและฉลาดขึ้น ความกังวลก็ลดลง วิจารหาเหตุผลให้แก่ตัวเองลดลง ขั้นมานะ อุทธัจจะ ลดลง จึงเป็นผู้เจริญด้วยฌาน 2 3 4 วิตกวิจารลด ทำได้ ดีใจ มีปีติ สุข ยังไม่เข้าขั้นอุเบกขา ฌาน 4 แต่เป็นฌาน 2
จนฌาน 3 ปีติลดลงเป็นสุขสงบ ถึงเริ่มนับเข้าสู่อุเบกขา อัตตาน้อยลงเหลือเศษอัตตาที่ติดสุข พริ้วพราย จนลดความสุขไปตามลำดับได้ จนกระทั่งเป็นความไม่ทุกข์ไม่สุข
ในความเป็นจริงของความเป็นกลางต้องมีญาณเพื่อรู้จักฌาน ฌาน 3 4 จะมีความลึกละเอียด ดูอาการของสุข อาการของทุกข์ ตั้งแต่ หยาบกลางละเอียด จะละเอียดไปไม่รู้อีกกี่ชั้น ละเอียดถึงขั้นอนุสัยอาสวะ อนุสัยคือสิ่งที่อาศัยน้อยที่สุดแล้ว สุดยอดแล้ว อาสวะคือสิ่งที่ยึด สยะนี้ละเอียดกว่าสวะ เป็นเรื่องที่ สภาวธรรมสุดยอด
สรุปแล้ว เข้าใจแบบคนจน มาเป็นคนจนอย่างชัดเจนด้วยปัญญา เต็มใจมาเป็นคนจน ไม่ได้บีบบังคับเลย คุณจะมาจนก็เต็มใจมาเอง อยู่ไม่ได้ก็มา อยู่ไม่ได้ ก็กระเด็นไป มาโทษเราไม่ได้ด้วย
ทำไมโลกนี้ ต้องมีโพธิรักษ์ด้วย แล้วให้เขามาเชื่อ แล้วก็ทรมาน เขาก็อยู่ไม่รอด ไปข้างนอก แต่ลึกๆ เขาก็รู้ว่าดี แต่ทำไมทำไม่ได้ ลึกๆยอมรับ ทำไมโลกนี้ต้องให้โพธิรักษ์เกิด แล้วทำไมเราต้องมาพบโพธิรักษ์ ปฏิเสธความจริงไม่ได้ ภูมิปัญญาเขารู้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสูงกว่าแต่เรายังทำไม่ได้ และมีความถือตัวว่าอยู่ในนี้ก็ไม่ได้ อาย ก็เลยขอไปอยู่ที่อื่นก่อน ซุ่มสร้างก่อน สักวันมันเหนือกว่าก็จะตั้งตนแข่ง ถ้าเหนือกว่าไม่ได้ก็ไม่มา แต่ลึกๆมีความสัมมาทิฏฐิ
และขอยืนยันว่า เศรษฐกิจแบบคนจนเป็นเศรษฐกิจยั่งยืน เพราะเราไม่แย่งใคร สร้างด้วยสมรรถนะ แต่ละคนของอโศกที่เอาแบบคนจนมหัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า จะมีสมรรถนะ พลังงานการสร้างสรรค์ พลังงานการทำงาน จะมีพลังงานสร้างงานได้เกินกว่าที่ตัวเองกินใช้ จึงมีส่วนเหลือกันทุกคน
โสดาบันขึ้นไป ทำเกินกินเกินใช้ โสดาบันไม่มีขี้เกียจ ขี้เกียจอยู่ไม่ใช่โสดาบัน แต่จะขยันไม่มากเท่านั้นเอง แต่ถ้ายังขี้เกียจอยู่ไม่ใช่โสดาบัน ยังมีอบายมุขข้อที่ 6
โสดาบัน พึ่งพาตัวเองรอดแล้วมีส่วนเหลือให้แก่ผู้อื่น จึงมีส่วนเกินรวมกันร้อยคนพันคนหมื่นคนแสนคน ตัวเลขเทียบง่ายๆจาก ดร.ปรารถนาจน ดร.อเมริกานะคนนี้
ค่าของแรงงานชาวอาริยะโลกุตระ มีส่วนเหลือเกินมากพอ ยังไงก็ไม่ล่มจม มีพอมีเกินพึ่งตนเองรอด หากจะไม่พอ ทุกคนก็เสริมแรง ต้องช่วยกัน มันเป็นธรรมดาธรรมชาติสามัญไม่ต้องห่วง ถ้าหากสัจจะมีจริง ความไม่เห็นแก่ตัวก็มีจริง มันก็ไม่ปล่อยให้สังคมเราเสื่อม จะไปเป็นหนี้ ติดขัดอะไรมันไม่เอาเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจึงจะเป็นความจนที่ประเสริฐ
ไม่ใช่หลอกล่อแฝงซ่อน ดูไปเลย ชาวอโศกจะจนไปอีกร้อยปี จนกว่าจะเกิดกลียุค อโศกจะจนไปจนโลกแตก อย่างศาสนาคริสต์ก็น้ำท่วมโลก ศาสนาพุทธก็ไฟประลัยกัลป์ล้างโลก คนที่มีบารมีเป็นโพธิสัตว์ก็จะรอด เป็นพระอาริยะจะต้องสะสมบารมีอยู่รอด ผู้ที่อยู่ได้คือผู้ที่มีบารมี ไม่มีบารมีอยู่รอดไม่ได้ จะเหลือผู้มีบารมีต่อเชื้อดีเอ็นเออยู่ในโลก จนกว่าโลกนี้จะแตก เอกภพนี้จะเปลี่ยนตัว ไม่ต้องใช้ว่าแตก ถ้ามีการเชื่อมต่อตลอดเวลาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะมีสัดส่วนของบางอย่างถูกต้อง
สรุปแล้ว “แบบคนจนสิยั่งยืน แบบคนรวยนั้นสมบัติผลัดกันชม” ถ้ารวยก็จะแย่งกัน แต่คนจนนี้มี 0 เป็นหลักนี้ ไม่แย่งใครแล้ว 0 ไม่มีอะไรให้คุณแย่ง แต่เรามีสมรรถภาพ นอกนั้นคุณก็ฆ่าเราสิ เราไม่มีอะไรจะให้แล้วเป็น 0 แล้ว เหมือนคุณจะโง่ฆ่าไก่ เอาไข่หรือ คนที่ฉลาดจะไม่ฆ่าไก่ที่มีไข่ทองคำหรอก คนโง่จะฆ่าเอาไข่
สรุปแล้ว คนจนแบบนี้มีความยั่งยืน แต่คนรวยนี้เป็นสมบัติผลัดกันชม เห็นชัดไหม แบบนี้อยู่ได้นานยั่งยืนกว่า สมบัติผลัดกันชมก็ฆ่ากันไปฆ่ากันมา แต่นี่เราสงบสบาย ช่วยเหลือคนอื่น คนอื่นก็จะอุ้มชูไว้ เป็นความยั่งยืนกว่า
เศรษฐกิจคนจนนี่แหละที่ยั่งยืนและอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องรวยอย่างที่ในหลวงเราได้ตรัสไว้ เราไม่ได้รวยมากเราไม่ก้าวหน้าแบบนั้นจะถอยหลังอย่างน่ากลัว
อาตมาถึงขอย้ำว่า อย่าไปมอมเมาใส่ความคิดว่าจะต้องรวยทุกคนต้องรวย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว สังคมพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งพระองค์ก็ทำให้คนรวยทั้งหมดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคนเป็นปุถุชนส่วนมากจะต้องรวยไม่เปลี่ยนแปลง แต่อาริยบุคคล ที่ยังไม่สูงก็ยัง ซ่อนแฝง สกิทาฯก็แฝงมีอยู่ อนาคาริกะ จึงจะไม่สะสมบ้านช่องเรือนชาน สกิทาคามีก็หลงมีแบงค์ติดกระเป๋าอยู่บ้าง ยังไม่ปิดบัญชี สกิทาคามีสูงขึ้นจะหมดตัวจากสมบัติภายนอก มั่นใจในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีพึ่งพาได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีของตัวเอง มันจะมั่นใจ มั่นใจเป็นอนาคามีจะมั่นใจสูงสุดไม่ต้องมีของตัวเองเลย นอกจากวิบาก เราเป็นหมาหัวเน่าไม่ค่อยถูกเกื้อกูล ก็รับวิบากไป แต่หากวิบากไม่มาก ก็พิสูจน์ไปในนี้เลย
แม้แต่ประเด็นของความยั่งยืนกับความไม่เที่ยง กับสมบัติผลัดกันชม เห็นประเด็นนี้ว่าต่างกันชัดขึ้นไหม พิสูจน์ได้ ทั้งโลกต้องการความยั่งยืน เศรษฐกิจยั่งยืน นี่แหละคือเศรษฐกิจยั่งยืนไม่ต้องไปรวยมากเกิน สรุปแล้วที่บอกว่า ศาสตร์พระราชาในหลวงได้ตรัสไว้ อันเดียวกับของพระพุทธเจ้า ชาวอโศกเราพอเพียงแค่นี้
จริงๆแล้วชาวอโศก ขอถาม? รวยเท่าสถาบันไหม? ..ไม่ แค่นี้ก็ง่ายๆ ไม่รวยเท่าหรอกแต่อโศกก็ไม่กลัว นี่อาตมาจะอธิบายต่อยาก สถาบัน เป็นสถานกลางของสังคมมนุษยชาติ ที่จะต้องมีสมบัติส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ผู้ที่เป็นพระราชามีทศพิธราชธรรมจะไม่เอามาใช้ส่วนตัว จะอาศัยบารมีของตัวเอง มีผู้มาให้ มีคนมาถวาย เหมือนกับนักบวช ยิ่งพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรม จะเต็มใจ โดยเสด็จพระราชกุศล จริงๆ
ถึงว่าสิ่งที่จริงซับซ้อนพวกนี้มันยืนยันได้ พิสูจน์ได้อย่างแท้จริง
สรุป ว่าในอุปกิเลส 16 อโศกไม่มี ไม่มีอวดตัวตนยกตนข่มท่าน ตีตัวเสมอท่าน ไม่มี มีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ อาตมารับรองตนเอง แต่พวกเราอาจมีส่วนเหลือบ้าง แต่อาตมาไม่ได้อวดเพื่อสาเฐยจิต แสดงตัวเองยังบริสุทธิ์จริงใจว่าไม่มี ไม่มีกิเลสเหล่านั้น อาตมาอ่านอาการจิต หยาบ กลาง ละเอียดถึงอนุสัย มีใครที่อธิบาย กิเลสคู่สุดท้าย แยกแยะ ความต่างของกิเลสอาสวะกับอนุสัย ไม่มีหรอก แต่มันเป็นสัจจะความจริง
อาตมาพูดบอก ยืนยันตัวเองว่าเป็นใคร มาทำงานนี้เพื่อสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า พระสมณโคดม ก็อันเดียวกับของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นไปตามเหตุปัจจัยองค์ประกอบยุคสมัย มันเล็กมันน้อย แต่พระพุทธเจ้าสมณโคดมก็ไม่ได้ตกต่ำกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น และองค์ประกอบมันน้อยกว่ายากกว่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆด้วย องค์กัสสปะ เป็นต้น บางองค์มีมาฆบูชาหลายครั้ง พระภิกษุเป็นล้านคนก็มี แต่คุณสมบัติคุณธรรมคุณวิเศษเท่ากันทุกพระองค์ แต่เหตุปัจจัยต่างๆองค์ประกอบต่างกันเท่านั้นเอง ทำอย่างนี้ก็ยากกว่า คนมากๆ เป็นคนมีกุศลบารมีเยอะ ง่ายกว่าเยอะเลย สะดวก บริวารมีมากก็ยิ่งง่าย บริวารมีน้อยก็ยิ่งยาก ซับซ้อน จึงไม่มีใครเข้าใจผิด อาตมานี้ แม้จะยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็เข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ยิ่งเข้าใจยิ่งกว่าอาตมา
อาตมายืนยันว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แค่นั้น อาจจะมี 8 บ้างก็ไม่ขอประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 8 ในชาตินี้
สรุปแล้ว การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในสังคมไทย เป็นอาริยะเป็นชมพูทวีป ไม่ต้องเกรงกลัวเลย ใช้โลกุตรธรรมได้ เอาแบบคนจนได้ ศึกษาให้ดี ผู้ที่ทำหน้าที่ อาตมาคงหมดหน้าที่ไปทำหน้าที่กับพวกท่านแล้ว เป็นข้าราชการไม่ได้ อายุก็มาก โอกาสไม่มี เป็นไปไม่ได้ ก็ขอทำหน้าที่นี้สมเหมาะสมควรที่สุด พยายามแข็งแรงต่อไป เพื่อที่จะสร้างสิ่งประเสริฐนี้ให้แก่โลก ตอนนี้โลกก็ตื่นขึ้นมาแล้วแม้จะไม่เต็มที่ มีสติสัมปชัญญะรับรู้ มีชาคริยานุโยคคะ ยังไม่ถึงขั้นเป็นพุทธะ แต่ก็เริ่มพัฒนาแล้ว
สมณะเดินดินว่า...ดูข่าวที่อเมริกา เขามีล๊อตเตอรี่ ถูกรางวัลแจ็คพ็อตได้หมื่นกว่าล้าน คนก็ไปซื้อทั้งเมือง เพราะคาดว่าจะได้เงิน ต่างคนต่างหวังว่าจะได้เงินหมื่นกว่าล้าน จะเห็นว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเช่นนี้คนก็ยิ่งจะทุกข์ร้อน วันนี้กระทรวงการคลังประกาศบอกว่า เงินที่กำลังใช้ในยุคดิจิตอล เงินบิทคอยน์ ไม่สามารถเอามาฟ้องร้องได้ชำระหนี้ได้ ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมมากเลย เขาเห็นว่าเงินนี้ มันเริ่มต้นไม่ถึง 1 สตางค์ แต่ทุกวันนี้เงิน 1 bitcoin ขึ้นไปถึงเกือบ 6 แสนบาท เป็นคนที่ปั่นขึ้นไป จนกระทั่งกระทรวงการคลังบอกว่าต้องระวังที่จะใช้ มันไม่สามารถเอามาชำระหนี้ได้
ลงทุนไม่ถึง 1 สตางค์ แต่ราคาขึ้นไปเกือบ 5 แสน ลงทุนไม่เท่าไหร่จะได้เป็นหมื่นล้าน แล้วจะบอกไปเท่าไหร่คนก็จะมีที่ไปทำแบบนั้นอยู่
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:45:20 )
รายละเอียด
610110_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1klfY1FIf0jQBykcuAtPp1vRPSVPpURrQcWc0jERn1OY
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1IvW4n1tvqIqKjxgHNJyji7bmgWqOtPPG
ยูทูป
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศกอากาศหนาว แต่ที่สหรัฐอเมริกาอากาศหนาวกว่ามาก ลบ 50 องศาเซลเซียส น้ำตกไนแองการ่ากลายเป็นน้ำแข็ง ที่ราชธานีอโศกปลูกกะหล่ำปลีกำลังงาม ปุ๋ยที่บ้านราชฯ ใช้ใหม่ๆจะไม่ชู๊ต แต่พอผ่านไประยะหนึ่งก็จะเขียวงามเลย
เรามาเป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจเสมอ เรามีการเมืองแบบคนจน พ่อครูพูดถึงการเมือง 2 ขากับขาเดียว การเมืองไทยขาเดียวเหมือนคนพิการ การเมือง 2 ขาคือการเมืองไม่พิการแบบมีส่วนร่วม การเมืองแบบผู้แทนคือแบบขาเดียวไม่มีจิตวิญญาณ (พ่อครูว่า...มีวิญญาณผู้เป็นโลกียะร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องรวยต้องมาก เบ่งอำนาจ อย่างอเมริกาชัดเจนที่สุด อย่างไรเขาก็ต้องรวยต้องใหญ่ ต้องมีอำนาจ)
พ่อครูก็พูดชัดเจน การเมืองแบบทักษิณกับแบบพลเอกประยุทธ์ แบบพลเอกประยุทธ์คือศรัทธาในศาสตร์พระราชาแบบในหลวงรัชกาลที่ 9 (พ่อครูว่า..ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์เป็นพระอาริยะที่แท้จริง โลกนี้ก็พอยอมรับได้แล้ว ไม่อย่างนั้นประเทศใหญ่ๆไม่ยอม) พ่อครูพูดชัดเจนถึงตัวบุคคลเลย ว่าพลเอกประยุทธ์ทำอะไรของใคร ทักษิณทำอะไรของใคร คนที่ยังสับสน คนดีที่ยึดถือยังไม่เป็นโลกุตระก็ตีกันเองจนตาย คนชั่วก็เลยได้มีอำนาจอีกได้ คนดีเราต้องมาช่วยส่งเสริมกันไม่เหยียบย่ำกันเอง ไม่เช่นนั้นคนชั่วก็จะมามีอำนาจอีกได้
พ่อครูว่า…. คนดีเขาก็รู้ว่าดีแต่กลัวจะเหลิง แสดงความสู่รู้ของผู้ติง แสดงความเป็นตัวตนว่า ฉันรู้ว่าคุณดี แต่ฉันต้องติงคุณไว้ แสร้งว่าฉันไม่อยากให้คุณไม่ดี เป็นการแสดงตัวตนว่าฉันรู้นะ แต่ฉันต้องแสดงออก ฉันต้องติง คนนั้นก็ถูกต้อง แต่เขาไม่รู้รอบลงไปว่า จริงๆ ประชาธิปไตยนั้นคือ มีการค้านอยู่ตลอดเวลาเสมอ แต่การค้านนั้นค้านได้ทั้งส่วนรวมและตัวบุคคลหมู่คณะ และการค้านคำพูดจะเอาชนะคะคาน กูขี้โกง เลวอย่างไรก็ค้านตะพึด อย่างที่มีคนชนิดนี้ทำอยู่ตอนนี้ เราก็ควรจะรู้ว่าคนชนิดนี้ที่จริงควรจะแพ้ไปแล้ว พูดชัดๆ ทักษิณควรจะลบไปแล้วแพ้ไปแล้ว แต่เขาดื้อด้านสุดกำลัง ไม่ยอมแพ้แล้วก็เล่นเล่ห์ แพ้ไปจนกระทั่งไม่รู้จะแพ้อย่างไรแล้ว เป็นนอมินีมาก็ถูกทำให้แพ้อีก ไม่ว่าจะเป็นสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ แพ้จนไม่มีหูรูดเลย แต่ถึงแพ้ก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่นั่นแหละเพราะเขาโกงเงินไปเยอะ เพราะเขามีแรงจึงดิ้นต่อไป จนกว่าจะตายไปก็คงจะหยุด
สรุปว่าใครจะมีความขัดแย้งจะมีแนวโน้มไปทางไหนก็ย่อมมีธรรมดา คนต่างคนต่างมีแนวโน้มของตัวเอง อันหนึ่งค้านอันหนึ่งก็สนับสนุน (มีคนลืมโทรศัพท์ไว้ที่น้ำตกเลยเอามาวางไว้ที่โต๊ะพ่อครูให้ประกาศ แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา)
เรื่องนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เรื่องของจิตวิญญาณเรื่องของปัญญา มันซับซ้อนทั้งโลกียะโลกุตระ
คนค้านเป็นเรื่องธรรมดาอย่างไรก็มีคนคัดค้าน คนค้านแบบโง่สุดๆ กูไม่ยอมแพ้เหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ เพราะฉะนั้นขนาดนี้ ประเทศเรา ทักษิณดำเนินการเป็นฝ่ายรัฐบาลได้หลายรัฐบาล เป็นฝ่ายบริหารตกค้าง ที่ควรเลิกตอแยได้แล้ว ถ้าอาตมาเป็นผู้บริหารปัจจุบัน จะเลิกตอแย แต่จะกวาดล้างให้ถึงที่สุด ทำการบริหารไปถ่ายเดียว ปิดบัญชีฏีกาเลย จบเรื่องทักษิณนี่เลวชั่วไม่มีทางแก้ไข ดื้อด้านไม่มีทางแก้ไข ขอพูดสักทีอาจจะแรงแต่เป็นความจริง เสียเวลาที่จะไปตอแย ปิดบัญชีเลย เก็บกวาดเศษเหลือของพวกลิ่วล้อให้เสร็จให้หมด เท่านั้นเองเรื่องของเรื่องที่ควรจะทำ
เพราะฉะนั้นขณะนี้ ที่พูดนี้ซับซ้อน ถือว่าทักษิณเป็นฝ่ายเสนอ ของบิ๊กตู่ที่กำลังทำงานอยู่นี้เป็นฝ่ายค้าน มันสลับไปมา เพราะฉะนั้นฝ่ายเสนอ ฝ่ายบริหารกับฝ่ายค้าน มันก็เป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้นปิดบัญชีได้เลย ฝ่ายทำงานเราเหมือนฝ่ายค้าน คนที่ยังโง่ค้านอยู่ ก็ยังตกอยู่กับฝ่ายเสนอหรือฝ่ายบริหารเก่า ฝ่ายค้านนี้จะเป็นส่วนน้อย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ ทั้งๆที่ขณะนี้ มีคนเห็นด้วยกับบิ๊กตู่ก็ชัดเจนขึ้นมา แต่ก็ยังคลุมเครืออยู่ แม้แต่พวกสื่อสาร
พวกสื่อสารเป็นพวกหาเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องมาเขียนเขาก็ขายไม่ได้ ก็ต้องแสดงออกว่าข้าไม่เข้าข้างฝ่ายใด ทั้งๆที่แท้ๆเขาควรจะรู้ว่ากาลเวลานี้ควรจะเข้าข้างใคร ผู้ที่เป็นกลาง คือผู้ที่เข้าข้างคนดีคนถูกต้อง ผู้ที่เป็นกลางไม่เข้าข้างคนดีคนถูก คือคนมิจฉาทิฐิ ที่คิดว่าการเป็นกลางต้องไม่เข้าข้างคนใด เป็นมิจฉาทิฐิข้อ 1
ข้อที่ 2 ความโง่ดักดาน แบบแก้ไม่ได้ เพราะว่าเราควรส่งเสริมความดีให้มันแข็งแรงใช่ไหม แต่คุณไม่เข้าข้างคนดีแล้วความดีมันจะแข็งแรงขึ้นไหม ทั้งๆที่คุณรู้ ถ้าหากว่าคนที่ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดใครดีใครชั่ว เขาก็เลยอยู่กลางๆเฉยๆ เขาไม่รู้ว่าใครผิดใครถูกก็แล้วไปเป็นคนโง่ ถ้าเขาไม่รู้ แต่ถ้าที่รู้อยู่ว่าอันไหนดีอันไหนชั่ว แต่กูไม่เข้าข้างคนไหน แล้วเอ็งจะอยู่อย่างไร เอ็งจะอยู่กับคนโง่หรือคนดี อยู่ในประเทศนี้เขาจะเอาคนดีให้เจริญให้แข็งแรงหรือจะเอาคนโง่ แล้วไม่เข้าข้างใคร นี่คือความโง่ 100% โง่แบบพัฒนาไม่ได้ โง่ดักดาน ไม่มีทางฉลาดได้ ถ้าโง่แบบนี้ตายเลย
คนเป็นกลางต้องเข้าข้างคนถูกต้องคนดีจริงๆ คุณมีปัญญาตัดสินหรือไม่ ถ้าคุณไม่มีปัญญาตัดสินก็ไม่ฉลาดก็ต้องจำนนว่าคุณไม่รู้ ว่าคนนั้นถูกต้องดีจริงหรือไม่ น้ำหนักมีมากหรือเปล่าคุณก็ไม่รู้ คุณแคร์หรือว่าคุณจะต้องเข้าข้างคนถูกต้องคนดี คุณแคร์ หรือคุณจะโง่ตกต่ำ จะเสียหายอะไร ทำไมไม่กล้า เพราะฉะนั้นสังคมมันช้าเพราะคนมีความโง่สลับซับซ้อนอย่างนี้ก็โง่ไม่เสร็จ ฉลาดไม่เป็น ฉลาดยังไม่สูงสุดเสียทีตัดสินไม่ได้
พวกสื่อสารจะต้องหาเรื่องบอกว่าคนชั่วคนดีทะเลาะกัน เขาก็ต้องมีเรื่องเขียน ถ้าไม่มีเรื่องเขียนเขาก็ไปไม่ได้ พวกสื่อสารพวกบรรณาธิการคือพวกหาเรื่อง ถ้าไม่มีเรื่องก็ไม่มีที่จะเขียน ถ้าจะเขียนโชว์ ก็โชว์ไป ให้รู้ว่าเป็นหนังสือที่เป็นกลางแล้วเข้าข้างคนดี ส่วนที่ไม่ดีก็จะถล่ม นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง จะยกย่องคนดีถล่มคนชั่ว
แล้วก็มีพวกสู่รู้กลัวว่าเขาจะเหลิง ก็เลยติงไว้ แล้วเอ็งใหญ่กว่าเขาหรือ เขาไม่รู้ตัวหรือว่าเขาเจริญหรือไม่เจริญ นั่นคือพวกสู่รู้ ทำเป็นสู่รู้อะไรมากมาย นายกฯ 29 คน
พ่อครูว่า…มีข้อมูลส่งมา
สรุปภาพรวมของประเทศไทยในปี 2017 ถึงต้นปี 2018
• ตลาดหุ้นไทยเตรียมปิดตัว 1,800 จุด มูลค่าการซื้อขายทะลุ 90,000 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดในรอบ 43 ปี
• เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยพุ่งแตะ 1.95 แสนล้านดอลลาร์ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
• คาดการณ์ GDP ปี 2017 ขยายตัวถึง 4.3%
• ส่งออกข้าวมากที่สุด อันดับ 1 ของโลก
• มูลค่าการส่งออกรวมของไทยอยู่อันดับ 8 ของเอเชีย และอันดับ 22 ของโลก
• ยอดนักท่องเที่ยวปี 2017 ทะลุ 35 ล้านคน
• ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุด อันดับ 3 ของโลก ประจำปี 2017
• กรุงเทพมหานคร คือ เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประจำปี 2017
• เชียงใหม่ ครองอันดับ 3 เมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประจำปี 2017
• ไทยครองอันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก จากรายงานของ US News
• ครองอันดับ 4 ประเทศที่การท่องเที่ยวโดดเด่นมากที่สุดในโลก
• ครองอันดับ 6 ประเทศที่มีการเติบโตโดยภาพรวมมากที่สุดในโลก
• ครองอันดับ 7 ประเทศที่มีวัฒนธรรมโดดเด่นมากที่สุดในโลก
• ครองอันดับ 7 ประเทศที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการประกอบธุรกิจ
• ครองอันดับ 13 ประเทศที่เปิดโอกาสทางธุรกิจมากที่สุดในโลก
• ครองอันดับ 17 ประเทศที่มีวัฒนธรรมทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
• ครองอันดับ 21 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำงาน
• ครองอันดับ 26 ประเทศที่ดีที่สุดในโลกในภาพรวม
• ครองอันดับ 29 ประเทศที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก
• สำนักข่าว Bloomberg จัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน
• ประเทศไทยมีสถานะเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ เช่นเดียวกับจีน มาเลเซียและบราซิล
• ธนาคารโลกชี้ ไทยกำลังหลุดพ้นจากความยากจนและก้าวขึ้นสู่ “ประเทศที่มั่งคั่ง” แล้ว
#ThailandSkyline
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่… https://drive.google.com/open?id=1klfY1FIf0jQBykcuAtPp1vRPSVPpURrQcWc0jERn1OY
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1IvW4n1tvqIqKjxgHNJyji7bmgWqOtPPG
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:46:54 )
รายละเอียด
610112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมรมประชาธิปไตย
...https://drive.google.com/open?id=1dm6j_6crIRdaM56jIMq1BNe5PZO4yIhKfWf0BXJn7Dc
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1kbR_-CebXmnStlLLI00X6q2Eb5KFlSO6
ยูทูป
https://www.youtube.com/watch?v=OgRzZAIb_yM
พ่อครูว่า...คืออาตมายังสนับสนุนนายกตู่อยู่นี่ก็เพราะว่า อาตมาก็ถามไปว่า
ขณะนี้ตัวบุคคลมีใครเหมาะสมเท่านายกฯตู่คนนี้ เอา status quo ตอนนี้ คุณพยายาม focus เข้ามาให้ดีๆโฟกัสให้คม ให้แม่นให้เล็กให้ชัดที่สุดให้ได้ มีใครคนไหนที่ยกตัวอย่างเป็น candidate ดู
อาตมาก็ประกาศไป คุณกล่าวนามประกาศตัวมาสิ ถ้าหาก popular(มีชื่อเสียงเป็นที่นิยม) พอมีความเป็นไปได้พอ เพราะเราก็ดู สังคมตอนนี้เราก็ตรวจสอบ เราก็มีหลายคนช่วยตรวจสอบ Popular Man หรือคนที่อยู่ในสังคมขณะนี้ ที่มี Activity อยู่ เราก็พอเห็นพอรู้ว่ามีใครบ้าง ส่วนผู้ที่กบดานอยู่ ยังไม่แสดงตัว คุณเสนอมาเลยเราไม่เห็น เราก็มีวิสัยทัศน์เราแค่นี้ ก็เท่าที่เรามีความสามารถที่จะเลือก Popular Man คนที่พอจะมี Activity อยู่ในสังคม ไม่ใช่ว่าเราไม่ดูกว้างเลย ว่าสังคมเขาเป็นอะไรอยู่ เพราะฉะนั้น เราไม่รู้จริงๆ คุณเสนอมาเราก็ขอบคุณ
หากเสนอมา เราอาจตกหล่นไป นึกว่าเขาไม่ใช่คนดี คนเก่ง หาก popular พอ และเราก็รู้ด้วย เราจะรู้ว่ามีคนนี้ด้วยหรือ
สมณะฟ้าไทว่า... เขาใช้คำว่าสืบทอดอำนาจมาหรือเปล่า?
พ่อครูว่า..สืบทอดอำนาจของในหลวง ไม่ใช่สืบทอดอำนาจของทักษิณ ก็เคยวิเคราะห์ให้ฟังกันแล้วว่า นายกตู่ทำการเมืองสืบทอดในหลวงหรือสืบทอดทักษิณ? ก็ต้องเป็นแบบในหลวง ก็พยายามให้มีความคิดที่ชัดเจนเปรียบเทียบกัน ให้ชัดว่า มันมีความคล้ายหรือความต่าง ลักษณะคล้ายหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
ขณะนี้บ้านเมืองยังไม่มีการเลือกตั้ง อาตมาว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กๆของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง เรื่องการเลือกตั้งเป็นของการเมืองแบบขาเดียว เขาไม่มีทางเลือก การเมืองขาเดียวเขาก็เอาเลือกตั้งเป็นประเด็นเอก แต่การเมืองขาเดียว มันเป็นการเมืองขาหักขาเป๋ไม่สมบูรณ์ เป็นการเมืองพิการ การเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์จะต้องมีทั้ง 2 ขามีทั้งกายและวิญญาณ แต่การเมืองขาเดียว มันมีแต่กาย ไม่มีจิตวิญญาณ ไหนว่าจะมีจิตมนุษย์ร่วมแต่จิตมนุษย์เขาไม่สมบูรณ์ วิธีการขาเดียวไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการสืบทอดสันติวงศ์สืบต่อทาง DNA โดยเฉพาะ DNA ทางจิตวิญญาณมันไม่มี ฟังดีๆ เขาเข้าใจหนักไปทางรูป จะเป็นการเมืองขาเดียว คนที่เข้าใจทั้งรูปและนามจะเป็นการเมืองสองขา
การเมืองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ต้องมี 2 ขา หมายถึงมีทั้งรูปและนาม การเมืองขาเดียวมันไม่ใช่มนุษย์ เป็นการเมืองพิการ ศึกษาให้ดี เรื่องธรรมะสองของพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งจริงๆ
ตอนนี้เราพยายามให้เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่แบบเลือกตั้ง อะไรเป็นประชาธิปไตยที่แท้ไปคิดให้ตก ประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบผู้แทน กับประชาธิปไตยแบบที่มีส่วนร่วมของประชาชน อันไหนคือประชาธิปไตยกว่ากัน ไปคิดตรงนี้เป็นการบ้าน
ทีนี้ก็มาอ่าน เรื่องของสภาพจริงของสังคมไทย
ตอนนี้ก็ตอบคำถามก่อนเรื่องโยนหินถามทาง
อาตมาเป็นคนชนิดนี้ การแสดงธรรมของอาตมา อาตมาแสดงท่าทีแรง ใครก็เห็นอยู่แล้วบุคลิกอย่างนี้แน่นอน แสดงท่าทีแรงทั้งเป็นท่าทาง นัจจะ ทั้งสุ้มเสียงสำเนียง คีตะ ทั้งหาคำ เลือกสรรภาษาเอามาใช้ เรียกว่า วาทิตะ อาตมาก็ต้องเลือกอย่างนี้ทั้งสุ้มเสียงสำเนียงลีลา หาคำเหมาะสม ให้ชัดเจน
อาตมาแสดงธรรม มีท่าที แรง ทั้งท่าทาง(นัจจะ) ทั้งสุ้มเสียงสำเนียง(คีตะ) ทั้งหาคำเลือกสรรภาษา(วาทิตะ)ที่เหมาะสมให้ชัดเจน รู้ได้ดีแม่นยำ สั้นๆกระทัดรัด(concise)
ส่วนมากก็มักจะคิดขึ้นทันทีทันใดนั้นๆสดๆ ไม่ได้เตรียมมาก่อน(extempore) จึงเป็น“ความจริงและความรู้” แสดงออกมาอย่างที่เห็นกัน เป็นความตั้งใจของอาตมา
มันจึง extend คือ มันดูมีแรงกระจายกำลังออกไปอย่างสุดฝีมือ เป็นความตั้งใจของอาตมา เพื่อให้เกิด extend เป็นกระแสกระจายออกไป เป็นความตั้งใจ อาตมารู้ มันรวมทั้งรูปและนาม มีนามธรรมที่ลึกซึ้ง แต่ทำอย่างมีเหตุผล อธิบายได้ ไม่ใช่ทำอย่างไม่รู้
อาตมาถนัดการแสดงออกแบบนี้ ไม่ค่อยออมมือ ไม่ถนอม จึงไม่ดูนิ่มนวล ก็ดูแรงเสมอ ด้วยความจริงใจ ไม่อมพะนำ ไม่เหยาะๆแหยะๆ ไม่มีนิสัยแบบนั้น เขาให้ฉายาอาตมามีทั้งขวานจักตอก หรือผู้มีสายฟ้าในวาทะ อาตมาตั้งใจอย่างนี้เจตนาอย่างนี้ ตรงกับความจริงของอาตมา ตรงกับธรรมะสองหรือรูปนามที่อาตมาทำ อย่าให้อาตมาลอกเลียนแบบคนอื่นเลย อาตมาเป็นศิลปินนะ อาตมามีอัตลักษณ์ของอาตมา ก็ทำอย่างนี้
ผู้มีนิสัยแบบอ่อนๆ เบาๆ ไม่พูดให้ตรงกิเลส ถนัดแบบนี้ก็แสดงของท่านไป ต่างคนต่างถนัด
อาตมาจึงดูแตกต่างจากผู้ที่นิ่มนวล เบาๆ แล้วเห็นว่า อย่างเบาๆ ไม่ตรงเปรี้ยงๆลงไปที่กิเลส เป็นความ“สุภาพ” พูดเฉียดไปเฉียดมา กลัวคนว่า ไปว่าเขา ไปดูถูกเขา ก็เป็นธรรมดาของการแสดงออกแบบนั้น
เพราะท่านเห็นว่าแบบอาตมาแสดงออก“ไม่สุภาพ” เพราะมันแรงๆ มันตรงๆ ทิ่มเข้าไปในเป้าเสมอ โดยเฉพาะทิ่มถูกเป้าคือกิเลส มันจึงรู้สึกแรงแน่ๆ ท่านไม่เอาก็เป็นความเห็นจริงของท่าน ที่แตกต่างจากอาตมา
ก็ต้องขออภัยต่อผู้รู้สึกต่างและถนัดต่างกับอาตมา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆว่า การพูดกระทบกิเลสนั้นมันจะเกิดความรู้สึกเป็น“ความแรง”เสมอ
อาตมารู้ความเป็นจริงนี้ จึงไม่ได้ตกใจ แปลกใจอะไร
เพราะถ้ากิเลสมีในใคร แล้วใครมาพูดถูกกิเลสผู้นั้น หรือยิ่งตำหนิกิเลส ถล่มกิเลส ด่าว่ากิเลส แล้วมันตรงกับกิเลสของตน แน่นอนผู้มีกิเลสสะดุ้ง สะเทือนทันที
อาตมาต้องการพูดแล้วคนผู้ฟังรู้สึกว่ากระทบกิเลสของผู้ฟังทันที ไม่ออมมือ อาจจะไม่ขี้เกรงใจในเรื่องนี้
ใครจะว่าอาตมานิสัยไม่ดี นิสัยเสีย ที่เที่ยวได้ว่ากิเลสของคนไปทั่ว อาตมายอมรับว่าอาตมามีนิสัยแบบนี้ จะว่า“เสีย ก็“เสีย” ยอมรับว่าเป็นคนมีนิสัยแบบนี้
มันเสียเวลา ไม่พูดให้ใครรู้จักกิเลสของตนเสียที สักที แล้วอาตมาจะมาพาคนลดกิเลสได้ยังไง?
มารยาทอาตมาในเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ไม่ยินดีแบบนี้ก็อาจจะตำหนิอาตมาก็เป็นธรรมดา
ต้องขออภัย ก็ขออภัยจริงๆ ที่อาตมาเห็นว่าอย่างนี้ถูกแล้ว ดีแล้ว และก็ขอทำอย่างนี้ต่อไปจนตาย
คือ พูดให้กระทบกิเลสของคน เปรี้ยงๆนี่แหละ.
การกระทำแบบนี้คือศิลปะวิเศษที่จะช่วยมนุษยชาติ ก็ต้องมีคนโกรธบ้าง แต่การโกรธนั้น เราก็วัดค่าสังคม เพราะว่าสื่อสารทุกวันนี้กระจายไป หากกระทบเขา เขามีกิเลสก็ตอบโต้ ดีไม่ดีถืออาวุธมาใส่ด้วย แต่นี่ก็ไม่มีขนาดนั้น อาตมามี Action ก็ต้องวัด Reaction อยู่เหมือนกัน หาก Reaction แรงจนรับไม่ไหวก็ต้องหยุด หรือดู Responding อย่างไรอาตมาก็ต้องรู้ว่าขนาดนี้ไปได้ เอาแค่คนที่เขามีกิเลสรู้สึกอาการโกรธไม่มี แต่รู้สึกอายนี้มีก็ใช้ได้ แต่รู้สึกโกรธนี้ไม่ควรให้มี อาตมาว่าอาตมาฉลาดพอนะ เขาก็มีอาวุธโต้ตอบนะ เราอย่าไปถอนหนวดเสือ เราไม่เอากระต่ายไปสู้กับเสือหรอก เราก็สู้กับเสือปลอมไม่เอาเสือจริง เราก็ต้องดูว่าลายนี้ลายเสือจริงหรือปลอม เสือก็ต้องมีลาย ลายไม่จัด ลายปลอมๆเราก็สู้ได้แต่ถ้าเสือลายโคร่งเสือจริงเราก็อย่าไปแหย่ เอาแค่ประมาณที่อาตมาใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่เรียนมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า
อาตมาทำงานมาใช้เวลามามากยาวนาน ใกล้ 50 ปีแล้ว ยังจะกระเสือกกระสนรักษาขันธ์ต่อไปอีก ก็ต้องพยายาม พูดให้คนรู้จักกิเลสของตน รู้จักกิเลสตัวเองเสียที
อ่านทั้งหมดที่ หรือดาวโหลดเอกสารที่...https://drive.google.com/open?id=1dm6j_6crIRdaM56jIMq1BNe5PZO4yIhKfWf0BXJn7Dc
ดาวโหลดเสียงที่.. https://drive.google.com/open?id=1kbR_-CebXmnStlLLI00X6q2Eb5KFlSO6
ยูทูป
https://www.youtube.com/watch?v=OgRzZAIb_yM
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:49:47 )
รายละเอียด
610112_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ สมรมประชาธิปไตย
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ภาวะสังคมที่กำลังร้อนแรงคือ จะเอาพลเอกประยุทธ์หรือไม่เอา บางคนก็ว่าไม่เห็นพัฒนาอะไร บางคนก็บอกว่าเหมือนเก่า บางคนบอกว่ามีความซื่อสัตย์เป็นคนดี บางคนก็บอกว่าไม่มีการตรวจสอบ บางคนบอกว่าประชาชนสนับสนุน บางคนก็บอกว่าต้องเลือกตั้งดูก่อน บางคนบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ ก็มีข้อมูลแค่นี้ แต่ไม่ได้ลงลึกว่า 3 ปีก่อน บ้านเมืองเละเทะขนาดไหนมาก่อน จนบัดนี้ บ้านเมืองเป็นอยู่ผาสุกมากขึ้น แต่ก่อนออกไป เขาจะมีการกระทืบกันไหมจะมีการเผาบ้านเผาเมืองกันหรือไม่ แต่ทุกวันนี้ ไม่มีความวุ่นวายสับสนแบบนั้น มีแต่ความสงบเรียบร้อยดี
จริงแล้วตัวเราเองต่างหากไม่ได้เสียสละให้แก่สังคม ไม่ทำสิ่งใหม่ๆแก่สังคม เราไม่สละกิเลสออกไป ก็มีแต่กิเลสเก่าๆความเห็นเก่าๆความยึดถือเก่าๆอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ทำอะไรให้เกิดสิ่งใหม่ เสียสละมากขึ้นลดละตัวตนมากขึ้น ก็ไม่ทำก็เลยอยู่แบบเดิม
การเลือกตั้งนั้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นักการเมืองเก่าก็กลับมาเหมือนเดิมซื้อเสียงได้เหมือนเดิม ดีไม่ดี โกงเก่งกว่าเดิม ทุจริตมากกว่าเดิมอีก แล้วมันจะมีอะไรใหม่ (พ่อครูว่า ใหม่คือเอาหนักกว่าเดิม นึกไม่ออก เหมือนกันว่า ประเทศไทยจะมีการโกงกินทีละแสนล้าน นึกไม่ออกจริงๆ ถ้าปล่อยไปอีกไม่ช้านานก็โกงกันทีละล้านล้านเลย) หากไม่มีรากฐานเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประเทศไทยอยู่ไม่ได้แล้ว ทุกวันนี้คนจึงได้พึ่งพาตัวเองได้ อโศกก็อยู่ได้ด้วยตรงนี้ หากไม่มีจุดนี้ประเทศไทยอยู่ไม่รอดพังพินาศไปแล้ว ที่ยืนหยัดอยู่ได้ เพราะมีที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำเอาไว้และชาวอโศกก็เป็นส่วนหนึ่ง
พ่อครูว่า…
_SMS วันที่ 10 มกราคม 2561 (พ่อครู : บ้านราช)
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน ทำไมพ่อครูจึงสนับสนุนนายกตู่
_5788ลุงตู่พูดมากและมีสาระทั้งสิ้นครับ / เป็นกองหนุนของลุงตู่ครับ
_3867ตอนกบสิ้นโศกออกจากกะลามาเสริมทัพกปท.ของคณะท.แก่ไม่มีวันตายร่วมกับ บกทธ.ชาวอโศก!ลุงพลอ.ปรีชาเอี่ยมฯผู้มีเหรียญกล้าหาญมากที่สุดสอนมวลกบเดินทัพเรียงแถวเป็นระเบียบสงบเรียบร้อยเป็นประสบการณ์ชุมนุมที่มีวินัยดีที่สุด!ขอบคุณคุณลุงทุกท่าน!
_3867วันเก่าทำปชช.จนกรอบหนี้ท่วมเพราะสภานกกระสาโดยนายกคนในเลือกตั้ง!วันใหม่พาปชช.จนพอเพียง พ้นหนี้อบายเพราะสภากบอัปปิจฉะในอโศกนะว่าที่นายกคนนอกเลือกตั้ง!กบสิ้นโศก
_1599เป็นกำลังใจให้ลุงตู่ค่ะ ถ้าเป็นไปได้ อยู่ยาวไปเล้ย..ขี้เกียจไปไล่สัตว์ออกจากสภาอีก
_แก้วลา ไชยวงค์ พ่อครูเทศครั้งนี้ถูกใจลูกจริงๆเจ้าคะ ทั้งเข้าใจและกะจ่างแจ้งทางการเมืองเจ้าค่ะ
_Som Bat · น้อมกราบนมัสการพ่อครู ผมเชื่อมั่นในพ่อครู ครับ
_Jum Sumalee · พวกทุนนิยมพ่อครูพูดยังไงฯพวกเขาก็ไม่เข้าใจ
_Weerachai Wongthipphun · พลเอกประยุทธ์ควรลงเลือกตั้ง(เหมือนชาวบ้านเขา)อย่างยิ่ง
_อำภา รื่นใจดี ขอเป็นกำลังใจให้ท่านนายกประยุทธค่ะ เพราะได้เห็นถึงความปรารถนาดีต่อ ชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนการบริหารงานของท่านจะเป็นที่ถูกใจใครหรือไม่ถูกใจใคร ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีผู้นำคนไหนในโลกนี้ที่จะบริหารงานได้ถูกใจคนทั้งประเทศ แต่ความดีบวกความเพียรที่ทำงานให้กับประเทศชาติ ก็เป็นนายกที่คนไทยยกขึ้นมาอวดชาวโลกได้อย่างภาคภูมิใจ ท่านเดินทางไปสัมพันธไมตรีกับประเทศไหนก็ไม่ทำให้คนไทยต้องขายหน้า
_Prayong Nanet · มึงและโง่ไอ้ควาย
_ส.ลั่นผาส่งมาว่า คัดมาเฉพาะที่ไม่เห็นด้วย ส่วนที่เห็นด้วยก็เยอะครับ
_Katainam Tamnan เห็นต่างนะคะเรื่องนี้ ไม่ได้ดูไม่ได้ฟังข้อมูลด้านเดียวนะคะ พยายามมองหาความดีเพื่อให้โอกาสเขาทำงานแต่ดูจากผลงานที่ผ่านมา การแก้ปัญหาสิ่งที่ควรทำก่อนหลังไม่เร่งแก้ รัฐไม่มีความจริงใจหรือตั้งใจจะแก้ปัญหาเรื่องสำคัญๆ เห็นแก่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนมากเกินไป ออกนโยบายแต่ละอย่างเป็นประโยชน์ต่อนายทุน การเลือกและแต่งตั้งรัฐมนตรีเข้ามาทำงานแต่ละครั้งก็ไม่เหมาะกับงาน คนทำนโยบายให้ชาติเสียหายก็ไม่ปรับออก คนทำตัวไม่เหมาะสมก็อุ้มใว้ ใช้เงินงบประมาณมากเกินไป ประชานิยมยิ่งกว่ายุคทักษิณ ตอนที่ออกไปไล่ทักษิณประเทศไม่ได้แย่เท่านี้เลยนะคะ กลุ่มอโศกประกาศตัวเป็นชาวบุญนิยมแต่ไปสนับสนุนรัฐบาลที่เอื้อผลประโยชน์เพื่อเอาใจนายทุนมันไปด้วยกันได้หรือค่ะ ชาวบ้านทั่วไปเดือดร้อนน่าสงสารมากราคาผลผลิตภาคการเกษตรตกต่ำแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือหาตลาดภายในภายนอกประเทศกลับแก้ปัญหาด้วยการให้เปลี่ยนอาชีพ ชาวอโศกไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากเพราะพื้นฐานการสร้างอยู่สร้างกินแบบพอเพียงมั่นคงมากพึ่งพาตัวเองได้แต่โดยรวมของประเทศแย่ ที่แน่ๆผู้นำคนนี้ขาดธรรมาภิบาลไร้ความจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ควรทำ
นี่คือเท่าที่เห็นนะคะยังมีเบื้องหลังอีกหละ อยากให้มองภาพรวมของการบริหารประเทศ และมองภาพรวมของความเป็นจริงของประเทศชาติให้มากกว่านี้นะคะ การมองภาพรวมไม่ใช่การฟังข้อมูลนะคะแต่คือการสาวหาต้นเหตุของปัญหาแล้วมาวิเคราะห์ดู
นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ จะถูกผิดอย่างไรจะรับใว้ค่ะกราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...สองคนยลตามช่อง อาตมาว่า ประชานิยมน้อยกว่าตอนทักษิณมากมาย ก็ได้ตามภูมิ เขาก็ใช้วิจารณญาณตามแต่ละคน ก็ไปตัดสินเอาเองแต่ละคน
มันมีความเห็นหลากหลายอย่างนี้แหละดีแต่ไม่ผิดหรอก แต่คมชัดแม่นก็แล้วแต่คน คนนี้เอาทั้งมุมกว้างและมุมเนื้อในมาดี แต่ความคมชัด ของ status quo เราจะได้รู้ถึง gap ของความคมชัดในการแม่นยำใน ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำได้ชัดเจนดี หรือ gap มากขึ้น เกิดความยึดทางที่ผิดจากความเป็นจริงหรือใกล้ความเป็นจริงก็ใช้ภูมิปัญญาของแต่ละคนเอา
_Pichapat Karnchananitiphat ขอโบกมือลาขาดค่ะ
_Ratchanee Soonthornpakornkid พ่อท่านคงไม่ทราบข้อมูลที่ตู่ให้โอกาสกลุ่มทุนพลังงานให้เอาเปรียบประชาชน. ตามเอาเรื่องคนเทพา คนเหมืองถ่านหิน คนเหมืองทองเดือดร้อน ตู่กลับมาเอาเรื่องชาวบ้าน. กลุ่มทุนเอาเปรียบกลับไปสนับสนุน. พ่อท่านคิดใหม่ได้นะคะ. ไม่เอาตู่ค่ะ
พ่อครูว่า…ก็เป็นธรรมดาต่างคนต่างเลือก แต่อาตมาก็ขอยืนยันว่าเลือกคุณตู่
_ไพร จริยา 70%ไม่เห็นด้วยแต่...เอาใจช่วยอยู่ครับ...!!!(เป็นนายกทำไรใต้อำนาจทมิฬ) ในคณะบริหาร...คนชั่วมากกว่าคนดี..??? ผมไม่ได้ติดกับระบบระบอบ แต่ผมไม่ชอบการบริหาร ....เห็นพี่ดีกว่าประเทศชาติ ประชาชน
พ่อครูว่า...อันนี้แม้อาตมาก็คิดเช่นนี้ เห็นพี่ดีกว่าประชาชนแต่ก็อาจมีข้อมูลที่เราไม่รู้เขาก็คงอยากโชว์เท่านั้น เขาก็อาจมีประโยชน์อยู่บ้าง
_คุณพัชรี ปากช่องส่งมา ...เสียงจากนักข่าวอาวุโส สุทิน วรรณบวร เดี๋ยวจะได้อ่าน
_Hain Phu เหินภู มุมมองผมนะครับขนาดพ่อครูชมคนวัดคนไหน คนนั่นมักไม่ได้เรื่องครับด้วยความเคารพครับ ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า..เอาเถอะ อย่างไรอาตมาก็ชมคนวัด คนยังไม่เข้าวัดอาตมาก็ยังไม่ชมแน่ อาตมาว่าราคาต่างกันนะ
_หนูเล็ก ยาดี เห็นต่างเหมือนกันค่ะช่วงนี้ประชาชนเดือนร้อนมากโดยเฉพาะคนชั้นกลางค้าขายเงียบมากถ้าเป็นแบบนี้ไปแทนที่คนจนแน่เลยค่ะ...
พ่อครูว่า..เรากำลังพากันจนอยู่ ถ้ามีปฏิภาณปัญญาเข้าใจว่า คนมาจนคือคนเจริญจะไม่พูดอย่างนี้ คนจนคือคนเจริญกว่าคนรวย ถ้าคุณรู้เช่นนี้จะไม่พูดอย่างนี้ก็ให้ศึกษาต่อไป
_Katainam Tamnan มีความเข้าใจว่าพ่อครูโยนหินถามทางค่ะแต่โยนก้อนใหญ่ไปหน่อยเลยเกิดแรงกระเพื่อม
_ธารร่มธรรม กินแก่น แกนกลาง เรื่องนี้มีความเห็นเช่นเดียวกับอากระต่ายน้ำค่ะ
_Nongnuch Np เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณกระต่ายค่ะ
_เจ้าพ่อ อัตตา ผมก็มีความเห็นอย่างเดียวอากระต่ายครับ
_หวาน ธรรมแสงรุ่ง แล้วแต่หมู่ค่ะ
พ่อครูว่า..แบบนี้สบายดี ต้องเลือกหมู่ให้แม่น อย่างไรคนเราต้องใช้ปฏิภาณความฉลาดตัวเองเลือกตัดสินอยู่แล้ว ก็เป็นไปตามธรรมไม่มีปัญหา
_จตุพล จรรยา เรื่องค้าขายไม่ได้ไม่ดีอย่าโทษลุงตู่ครับ แต่อยากให้ไปดู ที่ไปรษณีย์ หรือ Kerry วิ่งส่งสินค้ากันหัวหมุน การค้าแบบเก่าๆนั่งกันเงียบซิครับ ธุรกิจออนไลน์กำลังเฟื่อง หากไม่ปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย ทันเหตุการณ์ ความเจ๊งมาเยือนแน่นอน
_เงียบง่าย ลูกอโศก ผมสนับสนุนพ่อครู...เพราะดูจากผู้คน..เด็ก วัยรุ่น ผญ.คนแก่ ต่างมีสำนึกในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เข้าใจ ความพอเพียงมากขึ้น กระแสเสียสละมีมากขึ้นในทุกวงการ มีปรากฎให้เห็น...พี่ตูนเป็นต้นสิ่งเหล่านี้ก็เป็นองค์รวมของประเทศ ที่มีผู้นำเป็นหนึ่งที่จะขยับ..และมีชาวอโศกเป็นตัวจุดประกายเพราะเป็นธาตุหนักจุดตั้งต้นเป็นปรมณูทางวิญญาณครับ
_เจ้าพ่อ อัตตา สิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนกับลุงตู่มากที่สุดคือยึดที่ดินคืนรัฐโดยใช้แผนบินปี 45 ซึ่งเวลาผ่านมา15 ปีแล้วประชาชนตาดําๆทําผิดเมื่อ15 ปีที่แล้วต้องหมดเนื้อหมดตัวกันไปเป็นแสนคนส่วนมากคนชั้นกลางและชั้นสูงได้ยินข่าวว่ายึดคืนรัฐก็พากันดีใจนึกว่ายึดของนายทุนนายทุนโดนไม่กี่คน ชาวบ้านโดนเต็มๆแล้วพวกโกงบ้านโกงเมืองเป็นแสนล้าน 15 ปีคดีหมดอายุความไปแล้วที่ท่อก๊าซไม่ยอมยึดคืนปล่อยจนหมดอายุความ แล้วจะให้ประชาชนบอกว่าดีได้ยังไงละครับเห็นกันชัดเลยว่าเข้าข้างนายทุนมันเป็นแบบนี้ครับท่านสมณะ
_เจ้าพ่อ อัตตา เราไปประท้วงกันแทบเอาชีวิตไปทิ้งกลางถนนหลายครั้งเพราะเราไม่ชอบนายกเอื้อประโยชย์นายทุนอุ้มพวกพ้องใช้อํานาจอย่างไม่ถูกต้อง
แล้วลุงตู่ดีกว่านี้หรือเปล่า เปล่าเลยครับ
พ่อครูว่า..มองดีๆ อย่านึกว่านายทุนเขาไม่มีอิทธิพลนะ ก็ต้องค่อยๆทำไป หักด้ามพร้าด้วยเข่า เข่าจะหักได้นะ ขอให้สติคุณแค่นี้ล่ะ
คุณพิพากษาลุงตู่ แต่อาตมาก็พิพากษาต่างจากคุณ เป็นการเห็นต่างกันได้
_Kamolphet Sittikulna ผมแนวร่วมพธม.เห็นด้วยในสิ่งที่เห็นร่วมกันเห็นต่างในส่วนที่เป็นมโนและเห็นแย้งเพราะยังดูไม่ออกบางอย่างสับขาหลอก กันอย่างชนิดสุดหยั่งถึง แต่เชื่อบางอย่างก็ต้องรอมันสุกคาต้นหล่นมาเอง เช่นไม่ยอมใช่ไหม ถ้างั้นผมยึดอำนาจเป็นต้น เท่าที่ฟัง และเข้าใจว่า การที่พ่อท่านฯ สนับสนุนลุงตู่ นั้นเป็นไปแบบมีหลักการและเหตุผลประกอบ และไม่มีอคติ
_Raweevan Ariyadech ข้าพเจ้า คนหนึ่งที่ ขอยกย่องคนกล้า คนจริงที่อดทนทำเพื่อส่วนรวม เวลานี้ต้องช่วยกันซ่อมบ้านสร้างประเทศ ปรับปรุงเมือง ช่วยงานถวายพระเจ้าอยู่หัว ทำประเทศไทยให้เข้มแข็ง น่าดูน่าอยู่ ต่อไป ท่านนายก ลุงตู่ ขอให้กำลังใจท่านสู้ ต่อ อย่าท้อ กับมาร
_ธัมมิกา ทึ่ดื้อรั้นต่อความชั่วร้าย จากที่ได้ติดตามข่าวจากเฟสจากทีวีเริ่มไม่ชอบนายกตู่ เหมือนกำลังแสดงละครในบทคนดีชอบสร้างภาพ หลงอำนาจ
จากที่ได้ฟังเทศน์พ่อครูก็เกิดข้อสงสัยในใจค่ะ แต่ก็ได้ถามญาติธรรมในเฟสและพิจารณาหลักคำสั่งสอนต่างๆที่พ่อครูเคยเทศน์ ก็ทำให้เข้าใจค่ะว่า ทำไมพ่อครูยังเลือกนายกตู่ เพราะพ่อครูมีประสบการณ์ทางธรรมในอดีตกาลและปัจจุบันและทางโลกเยอะมากๆ
ความดีที่บริสุทธิ์จะชนะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้ ยอม แพ้ ได้คือชนะ ไม่ยึดมั่นสิ่งดีและไม่ดี
จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ ด้วยสติและปัญญา ทำตามคำที่พ่อครูเทศน์ได้ก็จะอยู่ได้ในสภาวะที่มีนายกดีหรือชั่วค่ะ กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงค่ะ
_Pordee Pordee พ่อท่านเคยดูทักษิณผิดเลยนะ ด้วยความเคารพ และสื่อมีทั้งที่เขารู้และทำหน้าที่สื่อให้ความจริงกับประชาชนก็มี ไม่ใช่จะไม่มีเรื่องเขียน และปัจจุบันนี้ ประชาชนไม่ได้เชื่อถือสื่อเมื่อก่อนนี้แล้ว แต่ประชาชนแต่ละคนมีสื่อในมือตนทั้งสิ้น ถ้าเป็นข้อความใครจะเขียนอย่างไรเราต้องพิจารณามากว่าจะจริงหรือ ส่วนรูปถ่ายนี้ ก็ดูได้ว่าตัดต่อหรือไม่ เมื่อนายกไม่ปฏิเสธจะยิ่งแสดงความจริงว่า จับมือกับทุน และนักการเมืองกลุ่มทักษิณทั้งสิ้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านี้จะกลับตัวทำเพื่อบ้านเมือง
ครั้งนี้ พ่อท่านอาจติดตามข่าวสารน้อยกว่าประชาชนอีกจำนวนมาก ส่วนป๋าเปรม ท่านก็สนับสนุนและเตือนด้วยความหวังดี คนถ้าหากไม่มีใครเตือนได้ ถ้าดีก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ดี ไม่มีใครเตือนได้ ก็คงเพราะไม่มีใครสนใจแล้ว
อยากให้ท่านทบทวนการพูดเรื่องการเมือง เพราะจะเสียคนที่เขาจะฟังธรรม เหมือนพอดี พอดีนี้ ก็ศรัทธาอโศกและพ่อท่าน ยังนับถือและเคารพอย่างยิ่ง แต่การว่าตำหนิสื่อ อย่างเดียวอันนี้ดูจะไม่เป็นธรรมกับเขาในยุค เครื่องมือสื่อสาร มันสามารถทำให้ทุกคนทำหน้าที่สื่อได้ เหตุใด จึงนิ่งเฉยกับการฉ้อฉลของป้อม ประวิตร การไม่แสดงทรัพย์สินตามกฎหมาย มันผิดชัดเจน หรือจะบอกว่าฝ่ายเราไม่เป็นไรทำอะไรไม่ผิด ถ้าดี เด็ดขาดจริง ทำไมเฉยชากับความผิดที่ชัดขนาดนี้
พ่อครูว่า..ฟังไปและเอาไปคิด อาตมายังไม่ออกความเห็นร่วม เพราะไม่ได้ใกล้ชิดแล้วไม่มีอะไรไม่มีจิตวิญญาณร่วม คนที่มีจิตวิญญาณร่วมสนิทกว่าอาตมา ก็ยกประโยชน์ให้ดำเนินการ
_Aeamaua Lee ต้องให้พี่ตู่ปฎิรูปจัดระบบโครงสร้างทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อนนี่คือคำตอบที่ต้องเชียร์ต่อแต่ก็ต้องตรวจสอบด้วย ไม่ใช่เชียร์ตะพึด ยังไงพ่อครูก็คงไม่คิดจะออกมาถนนแล้ว เพราะงั้นจึงต้องร่วมมือช่วยกันให้สำเร็จจงได้
_พิมพ์เพชรรุ้ง การเผยแพร่เรื่องที่พ่อท่านฯหนุนลุงตู่ น่าจะมีข้อมูลสนับสนุน มาลงด้วย การสรุปสั้นๆ อาจทำให้คนที่ไม่หนุนลุงตู่ เข้าใจพ่อท่านฯแบบผิดๆ และสร้างบาปอกุศลต่อพระโพธิสัตว์ได้ค่ะ กราบขออภัยที่การแสดงความเห็นนี้อาจกระทบบางท่านค่ะ
พ่อครูว่า...คืออาตมายังสนับสนุนนายกตู่อยู่นี่ก็เพราะว่า อาตมาก็ถามไปว่า
ขณะนี้ตัวบุคคลมีใครเหมาะสมเท่านายกฯตู่คนนี้ เอา status quo ตอนนี้ คุณพยายาม focus เข้ามาให้ดีๆโฟกัสให้คม ให้แม่นให้เล็กให้ชัดที่สุดให้ได้ มีใครคนไหนที่ยกตัวอย่างเป็น candidate ดู
อาตมาก็ประกาศไป คุณกล่าวนามประกาศตัวมาสิ ถ้าหาก popular(มีชื่อเสียงเป็นที่นิยม) พอมีความเป็นไปได้พอ เพราะเราก็ดู สังคมตอนนี้เราก็ตรวจสอบ เราก็มีหลายคนช่วยตรวจสอบ Popular Man หรือคนที่อยู่ในสังคมขณะนี้ ที่มี Activity อยู่ เราก็พอเห็นพอรู้ว่ามีใครบ้าง ส่วนผู้ที่กบดานอยู่ ยังไม่แสดงตัว คุณเสนอมาเลยเราไม่เห็น เราก็มีวิสัยทัศน์เราแค่นี้ ก็เท่าที่เรามีความสามารถที่จะเลือก Popular Man คนที่พอจะมี Activity อยู่ในสังคม ไม่ใช่ว่าเราไม่ดูกว้างเลย ว่าสังคมเขาเป็นอะไรอยู่ เพราะฉะนั้น เราไม่รู้จริงๆ คุณเสนอมาเราก็ขอบคุณ
หากเสนอมา เราอาจตกหล่นไป นึกว่าเขาไม่ใช่คนดี คนเก่ง หาก popular พอ และเราก็รู้ด้วย เราจะรู้ว่ามีคนนี้ด้วยหรือ
สมณะฟ้าไทว่า... เขาใช้คำว่าสืบทอดอำนาจมาหรือเปล่า?
พ่อครูว่า..สืบทอดอำนาจของในหลวง ไม่ใช่สืบทอดอำนาจของทักษิณ ก็เคยวิเคราะห์ให้ฟังกันแล้วว่า นายกตู่ทำการเมืองสืบทอดในหลวงหรือสืบทอดทักษิณ? ก็ต้องเป็นแบบในหลวง ก็พยายามให้มีความคิดที่ชัดเจนเปรียบเทียบกัน ให้ชัดว่า มันมีความคล้ายหรือความต่าง ลักษณะคล้ายหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
ขณะนี้บ้านเมืองยังไม่มีการเลือกตั้ง อาตมาว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องเล็กๆของประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง เรื่องการเลือกตั้งเป็นของการเมืองแบบขาเดียว เขาไม่มีทางเลือก การเมืองขาเดียวเขาก็เอาเลือกตั้งเป็นประเด็นเอก แต่การเมืองขาเดียว มันเป็นการเมืองขาหักขาเป๋ไม่สมบูรณ์ เป็นการเมืองพิการ การเมืองเป็นเรื่องของมนุษย์จะต้องมีทั้ง 2 ขามีทั้งกายและวิญญาณ แต่การเมืองขาเดียว มันมีแต่กาย ไม่มีจิตวิญญาณ ไหนว่าจะมีจิตมนุษย์ร่วมแต่จิตมนุษย์เขาไม่สมบูรณ์ วิธีการขาเดียวไม่มีกฎมณเฑียรบาล ไม่มีการสืบทอดสันติวงศ์สืบต่อทาง DNA โดยเฉพาะ DNA ทางจิตวิญญาณมันไม่มี ฟังดีๆ เขาเข้าใจหนักไปทางรูป จะเป็นการเมืองขาเดียว คนที่เข้าใจทั้งรูปและนามจะเป็นการเมืองสองขา
การเมืองประชาธิปไตยเป็นเรื่องของมนุษย์ มนุษย์ต้องมี 2 ขา หมายถึงมีทั้งรูปและนาม การเมืองขาเดียวมันไม่ใช่มนุษย์ เป็นการเมืองพิการ ศึกษาให้ดี เรื่องธรรมะสองของพระพุทธเจ้า ลึกซึ้งจริงๆ
ตอนนี้เราพยายามให้เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่แบบเลือกตั้ง อะไรเป็นประชาธิปไตยที่แท้ไปคิดให้ตก ประชาธิปไตยเลือกตั้งแบบผู้แทน กับประชาธิปไตยแบบที่มีส่วนร่วมของประชาชน อันไหนคือประชาธิปไตยกว่ากัน ไปคิดตรงนี้เป็นการบ้าน
ทีนี้ก็มาอ่าน เรื่องของสภาพจริงของสังคมไทย
ตอนนี้ก็ตอบคำถามก่อนเรื่องโยนหินถามทาง
อาตมาเป็นคนชนิดนี้ การแสดงธรรมของอาตมา อาตมาแสดงท่าทีแรง ใครก็เห็นอยู่แล้วบุคลิกอย่างนี้แน่นอน แสดงท่าทีแรงทั้งเป็นท่าทาง นัจจะ ทั้งสุ้มเสียงสำเนียง คีตะ ทั้งหาคำ เลือกสรรภาษาเอามาใช้ เรียกว่า วาทิตะ อาตมาก็ต้องเลือกอย่างนี้ทั้งสุ้มเสียงสำเนียงลีลา หาคำเหมาะสม ให้ชัดเจน
อาตมาแสดงธรรม มีท่าที แรง ทั้งท่าทาง(นัจจะ) ทั้งสุ้มเสียงสำเนียง(คีตะ) ทั้งหาคำเลือกสรรภาษา(วาทิตะ)ที่เหมาะสมให้ชัดเจน รู้ได้ดีแม่นยำ สั้นๆกระทัดรัด(concise)
ส่วนมากก็มักจะคิดขึ้นทันทีทันใดนั้นๆสดๆ ไม่ได้เตรียมมาก่อน(extempore) จึงเป็น“ความจริงและความรู้” แสดงออกมาอย่างที่เห็นกัน เป็นความตั้งใจของอาตมา
มันจึง extend คือ มันดูมีแรงกระจายกำลังออกไปอย่างสุดฝีมือ เป็นความตั้งใจของอาตมา เพื่อให้เกิด extend เป็นกระแสกระจายออกไป เป็นความตั้งใจ อาตมารู้ มันรวมทั้งรูปและนาม มีนามธรรมที่ลึกซึ้ง แต่ทำอย่างมีเหตุผล อธิบายได้ ไม่ใช่ทำอย่างไม่รู้
อาตมาถนัดการแสดงออกแบบนี้ ไม่ค่อยออมมือ ไม่ถนอม จึงไม่ดูนิ่มนวล ก็ดูแรงเสมอ ด้วยความจริงใจ ไม่อมพะนำ ไม่เหยาะๆแหยะๆ ไม่มีนิสัยแบบนั้น เขาให้ฉายาอาตมามีทั้งขวานจักตอก หรือผู้มีสายฟ้าในวาทะ อาตมาตั้งใจอย่างนี้เจตนาอย่างนี้ ตรงกับความจริงของอาตมา ตรงกับธรรมะสองหรือรูปนามที่อาตมาทำ อย่าให้อาตมาลอกเลียนแบบคนอื่นเลย อาตมาเป็นศิลปินนะ อาตมามีอัตลักษณ์ของอาตมา ก็ทำอย่างนี้
ผู้มีนิสัยแบบอ่อนๆ เบาๆ ไม่พูดให้ตรงกิเลส ถนัดแบบนี้ก็แสดงของท่านไป ต่างคนต่างถนัด
อาตมาจึงดูแตกต่างจากผู้ที่นิ่มนวล เบาๆ แล้วเห็นว่า อย่างเบาๆ ไม่ตรงเปรี้ยงๆลงไปที่กิเลส เป็นความ“สุภาพ” พูดเฉียดไปเฉียดมา กลัวคนว่า ไปว่าเขา ไปดูถูกเขา ก็เป็นธรรมดาของการแสดงออกแบบนั้น
เพราะท่านเห็นว่าแบบอาตมาแสดงออก“ไม่สุภาพ” เพราะมันแรงๆ มันตรงๆ ทิ่มเข้าไปในเป้าเสมอ โดยเฉพาะทิ่มถูกเป้าคือกิเลส มันจึงรู้สึกแรงแน่ๆ ท่านไม่เอาก็เป็นความเห็นจริงของท่าน ที่แตกต่างจากอาตมา
ก็ต้องขออภัยต่อผู้รู้สึกต่างและถนัดต่างกับอาตมา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดๆว่า การพูดกระทบกิเลสนั้นมันจะเกิดความรู้สึกเป็น“ความแรง”เสมอ
อาตมารู้ความเป็นจริงนี้ จึงไม่ได้ตกใจ แปลกใจอะไร
เพราะถ้ากิเลสมีในใคร แล้วใครมาพูดถูกกิเลสผู้นั้น หรือยิ่งตำหนิกิเลส ถล่มกิเลส ด่าว่ากิเลส แล้วมันตรงกับกิเลสของตน แน่นอนผู้มีกิเลสสะดุ้ง สะเทือนทันที
อาตมาต้องการพูดแล้วคนผู้ฟังรู้สึกว่ากระทบกิเลสของผู้ฟังทันที ไม่ออมมือ อาจจะไม่ขี้เกรงใจในเรื่องนี้
ใครจะว่าอาตมานิสัยไม่ดี นิสัยเสีย ที่เที่ยวได้ว่ากิเลสของคนไปทั่ว อาตมายอมรับว่าอาตมามีนิสัยแบบนี้ จะว่า“เสีย ก็“เสีย” ยอมรับว่าเป็นคนมีนิสัยแบบนี้
มันเสียเวลา ไม่พูดให้ใครรู้จักกิเลสของตนเสียที สักที แล้วอาตมาจะมาพาคนลดกิเลสได้ยังไง?
มารยาทอาตมาในเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ ผู้ที่ไม่ยินดีแบบนี้ก็อาจจะตำหนิอาตมาก็เป็นธรรมดา
ต้องขออภัย ก็ขออภัยจริงๆ ที่อาตมาเห็นว่าอย่างนี้ถูกแล้ว ดีแล้ว และก็ขอทำอย่างนี้ต่อไปจนตาย
คือ พูดให้กระทบกิเลสของคน เปรี้ยงๆนี่แหละ.
การกระทำแบบนี้คือศิลปะวิเศษที่จะช่วยมนุษยชาติ ก็ต้องมีคนโกรธบ้าง แต่การโกรธนั้น เราก็วัดค่าสังคม เพราะว่าสื่อสารทุกวันนี้กระจายไป หากกระทบเขา เขามีกิเลสก็ตอบโต้ ดีไม่ดีถืออาวุธมาใส่ด้วย แต่นี่ก็ไม่มีขนาดนั้น อาตมามี Action ก็ต้องวัด Reaction อยู่เหมือนกัน หาก Reaction แรงจนรับไม่ไหวก็ต้องหยุด หรือดู Responding อย่างไรอาตมาก็ต้องรู้ว่าขนาดนี้ไปได้ เอาแค่คนที่เขามีกิเลสรู้สึกอาการโกรธไม่มี แต่รู้สึกอายนี้มีก็ใช้ได้ แต่รู้สึกโกรธนี้ไม่ควรให้มี อาตมาว่าอาตมาฉลาดพอนะ เขาก็มีอาวุธโต้ตอบนะ เราอย่าไปถอนหนวดเสือ เราไม่เอากระต่ายไปสู้กับเสือหรอก เราก็สู้กับเสือปลอมไม่เอาเสือจริง เราก็ต้องดูว่าลายนี้ลายเสือจริงหรือปลอม เสือก็ต้องมีลาย ลายไม่จัด ลายปลอมๆเราก็สู้ได้แต่ถ้าเสือลายโคร่งเสือจริงเราก็อย่าไปแหย่ เอาแค่ประมาณที่อาตมาใช้สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ที่เรียนมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า
อาตมาทำงานมาใช้เวลามามากยาวนาน ใกล้ 50 ปีแล้ว ยังจะกระเสือกกระสนรักษาขันธ์ต่อไปอีก ก็ต้องพยายาม พูดให้คนรู้จักกิเลสของตน รู้จักกิเลสตัวเองเสียที
มาอ่านบทความของคุณสิริอัญญา
สงครามกับความยากจน!
โดย สิริอัญญา
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
สัปดาห์ที่ผ่านมามีการพูดกันมากเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความยากจนให้กับประชาชน ถึงขนาดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแถลงว่าได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนภายใน 3 เดือน
ก่อนหน้านั้นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจก็เคยแสดงวิสัยทัศน์ว่าในปี 2561 นี้คนจนจะต้องหมดไปจากประเทศไทย
และหลังจากนั้นก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ เช่น การว่าจ้างให้งดการกรีดยางบ้าง ให้ยกเลิกการปลูกข้าวบ้าง การซื้อเรือประมงที่ผิดกฎหมายใช้ทำการประมงไม่ได้บ้าง กระทั่งมาตรการที่จะให้กู้ยืมเงินแก่คนจนเพื่อจัดซื้อบ้าน และล่าสุดก็ได้มีการพูดถึงความตั้งใจที่จะแก้ไขความยากจน โดยจะออกมาตรการชุดใหม่มาอีก
ก็ต้องขอสะกิดกันไว้เบาๆ ว่าอันยารักษาโรคทั้งหลายนั้น ถ้าหากถูกกับโรคแล้วเพียงขนานเดียวและไม่กี่มื้อกี่คราวก็จะรักษาโรคให้หายได้ฉันใด แต่ถ้าหากว่าออกมาตรการแล้วออกมาตรการเล่ามากมายหลายขนานแต่โรคก็ไม่หาย คนยังยากจนอยู่ต่อไปและยากจนมากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการให้ยาผิดฉันนั้น
ความจริงประเทศไทยไม่ได้ผุดเกิดขึ้นมาใหม่แต่ประการใด หากเป็นประเทศเอกราชที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของตนเอง ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความมั่งมีศรีสุขและทุกข์เข็ญมาแล้วทุกรูปแบบ ดังนั้นซึ่งจะคิดอ่านแก้ไขปัญหาใด ๆ ในชาติบ้านเมืองนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะนึกฝันหรือเพ้อเจ้อเอาตามอำเภอใจได้
หากพึงคิดใคร่ครวญให้จงหนักเพราะการแผ่นดินนั้นเป็นการใหญ่ ต้องคิดอ่านให้หนักหน่วงถูกต้องถ่องแท้เสียก่อนจึงทำ หาไม่แล้วไม่เพียงแต่จะแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่กลับจะเพิ่มพูนและสร้างปัญหาให้มากมายขึ้นกว่าเดิม กระทั่งอาจเกิดความเสียหายมากมายเพิ่มเติมมากขึ้นไปอีก
ที่สำคัญควรจะศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติว่ามียุคที่รุ่งเรืองประการใดบ้างหรือไม่ และในยุคนั้นมีนโยบายในการบริหารบ้านเมืองอย่างไร ซึ่งก็ต้องบอกว่าขอเพียงตั้งใจศึกษาทบทวนประวัติศาสตร์ของประเทศชาติให้ดี ก็จะมีบทเรียนและแบบอย่างที่จะนำมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองในยุคปัจจุบันได้
เอากันแค่ยุครัตนโกสินทร์นี้ก็กล่าวได้ว่ามียุคที่เจริญรุ่งเรืองมากถึงสี่ยุค
ยุคแรก แม้จะเป็นยุคที่ประเทศไทยเผชิญศึกสงครามและความไม่สงบเนื่องจากพระบรมราชจักรีวงศ์เพิ่งสถาปนาขึ้น และกรุงเทพมหานครก็เพิ่งจัดตั้งขึ้น แต่องค์พระปฐมบรมกษัตริย์ก็ทรงพระปรีชาสามารถตั้งพระบรมราชปณิธานแน่วแน่ว่า
“ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา
จะปกป้องขอบขัณฑสีมา จะบำรุงประชาและมนตรี”
ในยุคบ้านเมืองเพิ่งตั้งตัวเช่นนั้น ก็ทรงบำรุงขวัญประชาชนด้วยพระพุทธศาสนาและความมั่นคง จากนั้นก็พัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศ จึงเป็นยุคเริ่มต้นความรุ่งเรืองแห่งรัตนโกสินทร์ โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือลอกแบบต่างชาติมาเป็นแบบแต่ประการใด
ยุคที่สอง เป็นยุคที่ประเทศไทยเปิดการค้าขายระหว่างประเทศถึงสามเส้นทาง คือยุคสมัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงส่งเสริมการค้าขายภายในประเทศ ทั่วทั้งประเทศและยังทรงเปิดประเทศ เปิดการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างสยามกับบรรดาประเทศทั้งหลายในสุวรรณภูมิ และขยายไปจนถึงประเทศจีน และประเทศอื่น ๆ เท่าที่กองเรือพาณิชย์ที่ทรงจัดตั้งขึ้นจะเดินทางไปได้ จนกล่าวกันว่ายุคนั้นมีเงินล้นพระคลังหลวง
ยุคที่สาม เป็นยุคล่าอาณานิคมที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับศึกเหนือเสือใต้และปีศาจร้ายที่ล่าอาณานิคมทั่วทั้งภูมิภาคนี้ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงนำพาประเทศรอดปลอดภัยได้อย่างอัศจรรย์ ที่สำคัญ ทรงเปิดกว้างทางการค้าเสรีให้กับประเทศไทยเป็นครั้งแรก แค่ดูจากธนบัตรในยุคนั้นก็จะมีภาษาต่างประเทศถึง 5 ภาษา แล้วมาเทียบกันดูกับธนบัตรไทยในปัจจุบันนี้ว่าเทียบกันแล้วเป็นอย่างไร เพียงเท่านี้ก็เห็นความแตกแตกต่างของสติปัญญาต่างยุคสมัยได้ชัดเจน (พ่อครูว่า..ก็ถูก แต่ว่าจริงๆคุณโฟกัส status quo ให้แคบหน่อย จริงๆยุคนี้เร็ว คมชัดแน่นกว่านั้น status quo ของปัจจุบันนี้ไม่เล็กน้อย แต่ยิ่งใหญ่ เรื่องหนักหนา แน่นกว่านั้น)
ที่สำคัญ พระองค์ทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเป็นครั้งแรก และบริบูรณ์หลังจากเสด็จกลับจากยุโรปครั้งที่สอง สรุปได้ว่าทรงกำหนดยุทธศาสตร์ชาติเป็นสองแนวทางซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงของประเทศไทยและคนไทย
ยุทธศาสตร์แรกคือการสร้างชาติให้เป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม หรืออุตสาหกรรมแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร
ยุทธศาสตร์ที่สองคือการสร้างชาติให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งครอบคลุมถึงการท่องเที่ยวและกิจการครบวงจร
ธงชัยทางยุทธศาสตร์ทั้งสองผืนนี้ได้ทำให้สยามในยุคของพระองค์รุ่งเรืองไพบูลย์ที่สุดในเอเชีย ถึงขนาดที่ญี่ปุ่นในยุคพระจักรพรรดิเมจิต้องส่งคนมาดูงาน ถึงขนาดค่าเงินบาทมั่นคงแข็งแกร่งที่สุด คือ 1 บาทเท่ากับ 2 ปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ และมีความเจริญก้าวหน้าถึงขั้นพัฒนาการบริหารจัดการทั้งด้านการเงินการคลังอย่างเป็นแบบแผนที่ก้าวหน้าที่สุดแห่งยุค
ยุคที่สี่ คือยุคสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นยุคที่ประเทศไทยประสบปัญหาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศและจากภัยสงครามที่คุกรุ่นอยู่รอบประเทศ ชนิดที่เรียกว่าศึกเหนือเสือใต้คุกคามชาติบ้านเมืองเข้าสู่ขั้นวิกฤต กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายพื้นที่ปฏิบัติการถึง 45 จังหวัด
ในยุคนั้นทรงพระราชทานแนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้น้อมรับกระแสพระราชดำรินั้นมาดำเนินการอย่างจริงจัง นำพาประเทศเข้าสู่ยุคโชติช่วงชัชวาลย์ และแม้ว่าจะต้องลดค่าเงินบาทถึงสองครั้งสองคราวแต่ประเทศไทยก็จำเริญรุ่งเรืองไพบูลย์จนเงินล้นพระคลังหลวงเช่นเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นขื่อแปของบ้านเมืองมั่นคง ประชาชนมีคุณธรรมในใจ ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในสายตาต่างประเทศ (พ่อครูว่า..เหมือนขณะนี้ นายกตู่ทำให้ประเทศไทยมีศักดิ์ศรีในสายตาต่างประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้)
ในปีพุทธศักราช 2529 กองทัพไทยได้ประกาศยุทธศาสตร์พระราชทานที่ลานพระราชวังพระบรมรูปทรงม้า โดยสรุปหลักยุทธศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้คือ “ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง” และใช้กลยุทธ์หลักคือ “ทำสงครามกับความยากจน”
การสรุปและรวบรวมหลักยุทธศาสตร์พระราชทานในการทำสงครามกับความยากจนนั้นได้สรุปจากกระแสพระราชดำริจากห้วงเวลาปี 2514-2526 เป็นเวลาเกือบ 12 ปี ซึ่งกองทัพไทยได้ประกาศเรื่องนี้อย่างชัดเจนต่อหน้าทหารทุกเหล่าทัพ
ต่อมาหลักยุทธศาสตร์ดังกล่าวก็ได้ตกผลึกก่อตัวขึ้นเป็นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วโลก และประเทศมหาอำนาจอย่างน้อยสองประเทศก็ได้นำไปใช้ในการพัฒนาชาติบ้านเมือง
แล้วถามว่าประเทศไทยของเราได้ทำการศึกษา ได้ติดตามและคิดอ่านที่จะต่อยอดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ที่บรรพชนได้คิดอ่านสร้างสรรค์ทำแบบอย่างไว้มาปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผลหรือไม่เพียงใด
เพราะแค่ทบทวนศึกษาและต่อยอดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ และแบบอย่างการพัฒนาชาติบ้านเมืองที่บรรพชนได้ทำมาเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ประเทศไทยก็จะไม่ก้าวไปอย่างหลงทิศผิดทาง และย่อมสร้างความเจริญรุ่งเรืองครั้งใหม่ให้เกิดขึ้นได้
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และที่กำลังคิดอ่านแก้ไขความยากจนกันนั้น หากไม่ตั้งอยู่บนรากฐานความเป็นจริงของประเทศชาติ หากยังทอดทิ้งหลักยุทธศาสตร์และประสบการณ์ความสำเร็จของชาติดังพรรณนามา ก็อย่าได้หวังเลยว่าจะแก้ไขปัญหาความยากจนได้สำเร็จ
ประเทศไทยทุกวันนี้ถึงเวลาที่ต้องอัญเชิญหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติอย่างจริงจัง ถึงเวลาที่ต้องอัญเชิญยุทธศาสตร์สองแนวทางในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มาปฏิบัติอย่างจริงจังจึงจะสามารถกอบกู้ชาติบ้านเมืองให้พ้นจากวิกฤตและหายนะได้
เลิกลอกขี้ปากฝรั่งและหันกลับมาสู่ความเป็นจริงของบ้านเมืองของเราเถิดจะเกิดผล!
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน สมรมประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วม
พ่อครูว่า...ต่อมาเป็นบทความของคุณสุทิน เมื่อ พฤษภาคม 2560
เสียงจากอดีตผู้สื่อข่าวอาวุโส สุทิน วรรณบวร
เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีรัฐประหารคสช.
สามปีที่เกิดใหม่ในรัฐบาล คสช.
ครบรอบสามปี คสช. มีเสียงตำหนิวิจารณ์จากหลายฝ่าย ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหลายล้านคน ที่เรียกร้องให้ทหารเข้ากอบกู้ชาติที่กำลังจะล่มสลายกลายเป็น Failed State ย่อมมีสิทธิเล่าความในใจได้เหมือนคนทั่วไปว่า
สามปีภายใต้รัฐบาล คสช.เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ คำว่าตายแล้วเกิดใหม่ เพราะในช่วงเวลาวิกฤติ ถ้าทหารไม่มาทันเวลา เราอาจเป็นหนึ่งในหลายร้อยหลายพันรายที่ต้องล้มตาย เพราะถูกกลุ่มผู้ร้ายผู้ภายใต้อาณัติของทุนสามานย์ปล้นชาติ ล้อมฆ่าหมู่กลางเมือง เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐไทใหม่ ไทอีสาน ลานนา
คสช.ย่อมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทำหน้าที่ได้ตามนิยามที่ประกาศไว้แต่วันแรก กองกำลังเถื่อนที่เข่นฆ่าประชาชน ไปก่อนหน้า 28 ราย บาดเจ็บกว่า 800 คน ถูกปราบปรามจับกุมดำเนินคดี ไปพร้อมกับคนที่เป็นภัยต่อสถาบันและความมั่นคงของชาติ ประเทศชาติกลับเข้าสู่ภาวะปรกติปราศจากความวุ่นวาย
สามปีที่ผ่านมา คสช.ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการจัดระเบียบสังคม และปราบปรามทุจริตคิดมิชอบ
สามปีที่ผ่านมานักการเมือง ข้าราชการระดับสูง นายพลนายพัน นักธุรกิจ นายธนาคาร นักวิชาการที่ละเมิดกฎหมายติดคุกไปแล้วหลายราย จนพูดได้ว่าคุกไม่ได้มีไว้ขังคนจนเท่านั้น
สามปี คสช.สามารถยึดที่ดิน ที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน คืนมาจากผู้บุกรุกครอบครอง อย่างผิดกฎหมายได้แล้วกว่า 300,000 ไร่
จับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายพลนายพันเข้าคุกมาแล้วหลายราย
ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำได้ในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นักวิชาการ นักวิจารณ์ นักต่อต้าน นักร้องเรียน ฝ่ายค้าน ออกมาตำหนิเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ โดยไม่คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจโลก สมุนทุนสามานย์หลายรายพูดได้คำเดียวว่าล้มเหลว
แต่ถ้าพิจารณาด้วยความจริง ด้วยความเป็นธรรม จะพบว่าที่เศรษฐกิจไม่เปรี้ยงปร้าง หวือหวา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทา ที่คนได้เงินมาจากธุรกิจเหล่านั้นใช้จ่ายคล่องมือไม่ต้องบันยะบันยัง
เมื่อธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทาถูกปราบปรามกวาดล้างจนอยู่ในภาวะชะงักงัน เงินที่หมุนเวียนคล่องมือในบ่อนกาสิโน จากยาเสพติด จากการฟอกเงิน จากการเล่นแร่แปรธาตุในสหกรณ์ต่างๆ จากการนำที่สาธารณะมาเล่นแร่แปรธาตุ เงินปากถุงเสือนอนกินจากฉลากกินแบ่งรัฐบาล ถูก คสช.ง้างปากเอาคืนมา
ธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทาต่างๆเหล่านี้ คือที่มาของเงินแพร่สะพัด เมื่อเงินที่ได้มาง่ายๆจ่ายคล่องๆก็ชะงักไป จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเศรษฐกิจซบเซา พวกที่หากินกับธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทา เมื่อถูก คสช.ยับยั้ง จึงโวยวาย เกินจริง
ตัวอย่างง่ายๆแบบชาวบ้านเข้าใจ รถเมล์ 400 กว่าที่บริษัทคู่สัญญาของ ขสมก.อ้างว่านำเข้าจากมาเลเซีย ทั้งที่เป็นรถจากจีนเพื่อเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร แต่ในยุค คสช.ศุลกากรไม่ยอม สามารถป้องป้องผลประโยชน์ชาติได้เป็นหมื่นๆล้าน
หรือการอายัดทรัพย์สินที่มาจากการทุจริต เฉพาะโครงการจำนำข้าวเพียงรายการเดียว สามารถอายัดทรัพย์สินได้แล้วกว่า 13,000 ล้านบาท ที่ฟ้องให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินแล้วมูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท
ด้านปฏิรูป การประกาศใช้รัฐธรรมนูญถือว่าเป็นความคืบหน้าในการปฏิรูป เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงได้กำหนดกรอบเวลาของการปฏิรูปการเมือง ระบอบราชการ ความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมไว้ไว้ชัดเจน หมายความว่ารัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งต่อจากนี้ต้องปฏิรูปตามกรอบรัฐธรรมนูญ กำหนดไว้ ไม่ใช่ทึกทักให้รัฐบาล คสช.ปฏิรูปให้เสร็จสิ้นทุกอย่าง แล้วรัฐบาลที่เข้ามาจากการเลือกตั้งไม่ต้องทำอะไรเลย
วันนี้เขียนจากความรู้สึกของคนที่เป็นหนึ่งในหลายล้านคน ที่รอดพ้นจากการล้อมฆ่ามาได้ เพราะทหารตั้งด่านป้องกันไว้เจ็ดสิบกว่าจุด และรู้มาว่ากองกำลังเถื่อนนับพันคนถูกสั่งให้เคลื่อนกำลังเข้าสังหารหมู่ประชาชนในวันที่ 26 พ.ค. 2557 หรือ แม้แต่ก่อนยึดอำนาจไม่กี่ชั่วโมง ก็มีคำสั่งจากแดนไกลให้เคลื่อนกำลังเข้ามาเลย
จึงพูดได้เต็มปาก ว่านี่เป็นความเห็นของคนที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่
ส่งกำลังใจให้ คสช.ปฏิบัติหน้าที่เต็มกำลังต่อไป จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาต่อยอดปฏิรูปประเทศ
พ่อครูว่า...ยังมีอีกฉบับหนึ่งของคุณสุทิน
มิใช่เผด็จการอำนาจนิยม แต่เป็น‘สมรมประชาธิปไตย’
พลันที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เผยมธุรสวาจาว่า “ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” สื่อมวลชนนักการเมือง นักวิชาการ นักวิจารณ์การเมืองทั้งเทศ-ไทยวิจารณ์กันให้ขรมว่า เป็นสัญญาณสืบทอดอำนาจของ คสช. แถมยังวิเคราะห์กันต่อไปว่า ฝ่ายอำนาจนิยมสืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้ง ทั้งในประเทศไทยกัมพูชาและมาเลเซีย
นายโจชัว เคอร์แลนสติก โวว่าเป็นนักวิชาการเชี่ยวชาญการเมืองในเอเชียตะวันออกของสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ CFR ซึ่งเป็น think tank ของทุนนิยมสามานย์ในสหรัฐอเมริกาเสนอบทวิเคราะห์ว่า “2018 ปีแห่งการเลือกตั้งอันตรายที่ฝ่ายอำนาจนิยมเผด็จการคราบประชาธิปไตย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชาจะได้สืบทอดอำนาจต่อไป”
การจับแพะชนแกะเอาประเทศไทย ไปรวมกับการสืบทอดอำนาจนิยมในคราบประชาธิปไตยในมาเลเซียและกัมพูชา เป็นการวิเคราะห์ที่ไม่เป็นธรรมต่อประเทศไทยและไม่เข้าใจบริบทสังคมการเมืองว่า ประเทศไทยแตกต่างกับสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา อย่างไร โดยไม่ตระหนักว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของมาเลเซียและกัมพูชา ต่างก็ได้รับการปลูกฝังมาจากอดีตเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่สำคัญทั้งสองประเทศผ่านความขัดแย้งรุนแรง เมื่อผ่านสงครามกลางเมืองมาได้ สองประเทศก็ได้ร่วมกันสร้างการปกครองประชาธิปไตยและได้สร้างพรรคการเมืองไว้เป็นฐานรองรับการปกครองแบบประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคงถาวร
มาเลเซียมีพรรคอัมโน แปลงมาจาก United Malays National Organization องค์กรที่เคยต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากอังกฤษ อัมโนก่อตั้งเมื่อ 11 พ.ค.1946 ลงแข่งขันทางการเมืองตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งมี 12 พรรค เข้ามาอยู่ร่วมงานการเมืองกับอัมโนอย่างเหนียวแน่น ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พรรคอัมโนผูกขาดการครองอำนาจบริหารมาเลเซียตั้งแต่ยุคนายอับดุล ราซัก บิน ฮุเซน บิดานายราจิบ นาซัก นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 6 คนที่ผ่านมา ล้วนมาจากพรรคอัมโน ในจำนวนนี้มีมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ครองอำนาจตั้งแต่ปี 2522 ถึง 2546 ในห้วงเวลา 22 ปี มหาเธร์ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณอย่างเข้มข้น ทำให้ความนิยมในพรรคอัมโน ยังคงเหนียวแน่นโดยเฉพาะในหมู่คนมาเลย์ดั่งเดิม
นายราจิบ นาซัก นายกฯคนปัจจุบันที่มีปัญหารุมเร้าอันเนื่องมาจากเงินกองทุนพัฒนามาเลเซีย(1MDB) จำนวน 681 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 23,500 ล้านบาท ที่ตรวจพบความผิดปกติในบัญชีของเขา ข้อกล่าวหาว่านายราจิบคอร์รัปชั่นขยายจากมาเลเซียถึงอเมริกา เมื่อสหรัฐฯสั่งอายัดทรัพย์สินที่สงสัยว่า นำมาฟอกเงินและซุกซ่อนไว้ในรัฐต่างๆมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ แต่ถึงแม้จะมีปัญหารุมเร้าอย่างไร นายโจชัว ฟันธงว่า นายราจิบจะชนะการเลือกตั้งที่คาดหมายว่าจะมีขึ้นในเดือน ส.ค. 2561
จากมาเลเซียมาดูการเมืองกัมพูชา พรรคประชาชนกัมพูชา เปลี่ยนจากคำว่า กัมพูเชียน Kampuchean People Party (KPT)ในยุคปฏิวัติเขมรแดงในปี 2522 มาเป็นแคมโบเดียน Cambodian People Party (CPP) ในปี 2534 ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามกลางเมืองและมีเลือกตั้งทั่วไปในปี 2535 พรรคประชาชนกัมพูชาอยู่เคียงข้างชาวกัมพูชามาทั้งในยามทุกข์ ยามสงครามกลางเมือง ไม่เคยหนีไปออสเตรเลีย เยอรมัน ฝรั่งเศส หรืออเมริกา ความผูกพันของนายฮุนเซ็น กับชาวกัมพูชามีมาอย่างต่อเนื่องสี่ทศวรรษ
ประเทศที่ฟื้นฟูจากซากปรักหักพังสงครามต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ในการบริหารการฟื้นฟูประเทศที่ต้องใช้ความต่อเนื่องนี้ คงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาชนกัมพูชาชนะการเลือกตั้งตลอดมา KPT หรือ CPP อยู่เคียงข้างชาวกัมพูชามาตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง นายฮุนเซ็นเป็นนายกฯกัมพูชาตั้งแต่ปี 2527 ประกาศว่า จะเป็นนายกฯต่อไปอีก 10 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ มองจากทัศนะตะวันตก นายฮุนเซ็น เป็นนักการเมืองอำนาจนิยมเผด็จการในคราบประชาธิปไตย แต่ในสายตาชาวกัมพูชาส่วนใหญ่มองว่า นายฮุนเซ็น เป็นคนรักชาติที่ไม่ยอมให้ต่างประเทศเข้ามายุยงปลุกปั่นทำลายให้เขมรกลับไปสู่สงครามกลางเมืองอีก
มองการเมืองมาเลเซียกับกัมพูชา ถึงเวลาหันมาพิจารณาความจริงของการเมืองไทย ถ้ามองด้วยสายตาคนธรรมดาสามัญ จะพบว่าประเทศไทย เป็น “สมรม” (ผสมผสานปนเป) กันระหว่างอำนาจนิยมประชาธิปไตยและเผด็จการ ไม่ใช่มาจากทหารฝ่ายเดียว เผด็จการส่วนใหญ่มาจากพลเรือนทุนสามานย์ที่ใช้ทหารเป็นเครื่องมือ
การยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 คือก้าวแรกที่ทหารถูกพลเรือนหลอกให้นำกำลังออกมาปล้นพระราชอำนาจ ทันทีที่ยึดอำนาจได้ พลเรือนก็หลอกใช้ต่อไปด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ใส่แนวทางคอมมิวนิสต์สอดไส้ จนทหารอย่างพระยาทรงสุรเดชทนไม่ได้ ผรุสวาทว่า “คุณหลวงทำป่นปี้ฉิบหาย ตกลงกันไว้ว่าเขียนรัฐธรรมนูญแบบอังกฤษ ดันเขียนลัทธิคอมมิวนิสต์สอดไส้” ร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกจึงมิได้ลงพระปรมาภิไธยจนกว่าจะแก้ไข นั้นคือที่มาของความขัดแย้งระหว่างทหารบางกลุ่มกับพลเรือนผู้ร่างรัฐธรรมนูญ เป็นต้นเหตุให้คณะราษฎรแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ผลัดกันขบถ ผลัดกันยึดอำนาจ ผลัดกันแก้กฎหมาย ผลัดกันฆ่ากันตายทำให้ประเทศไทยเสียเวลา 25 ปี
นักวิชาการรัฐศาสตร์การปกครอง กล่าวว่า “พรรคการเมืองคือหัวใจ” ของการปกครองแบบประชาธิปไตย ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา นอกจากพรรคประชาธิปัตย์ ในประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองพรรคไหนที่เรียกได้ว่าเป็นสถาบันการเมือง เรามีแต่พรรคเฉพาะกิจเฉพาะกาลที่หัวหน้าพรรคตั้งขึ้นเพื่อเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่ง แล้วจะมีเวลาที่ไหนไปพัฒนาประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 เม.ย.2489 ในยุคแรกปชป.สู้กับเผด็จการทหารที่ใช้ตำรวจเป็นมือสังหารไล่ล่าฆ่าคู่แข่งทางการเมืองอยู่สิบปี พ.ศ.2498 ตำรวจทหารตั้งพรรคเสรีมนังคศิลาเพื่อรองรับ จอมพลป.พิบูลสงคราม แต่พรรคตำรวจทหารก็มีอายุได้แค่ 2 ปี 83 วัน ถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติ ยุบพรรคมนังคศิลา มารวมกับพรรคชาติสังคม
จอมพล.สฤษดิ์นายทหารบ้านนอกผู้รักชาติศาสน์ กษัตริย์ ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดพัฒนาประเทศด้วยคำขวัญ “ชาติปลอดภัย น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก” ประเทศไทยจึงได้เริ่มพัฒนาหลังจากเสียเวลา 25 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกประกาศใช้ตั้งแต่รัฐบาลนี้และที่สำคัญท่านเป็นผู้ที่ฟื้นฟูประเพณีถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จากการถูกข่มเหงรังแกคุกคามมาก่อนหน้า สิ้นจอมพลสฤษดิ์ พ.ศ.2507 จอมพลถนอม กิตติขจร ตั้งพรรคสหประชาไทยขึ้นมารองรับอำนาจเมื่อ 24 ธ.ค.2511 พรรคสหประชาไทยอยู่ได้ไม่ถึง 3 ปี วันที่ 14 ต.ค.2516 นักศึกษาประชาชนปฏิวัติประเทศไทยครั้งใหญ่ พรรคสหประชาไทยก็สูญหายไปจากโลก หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2517 พรรคการเมืองเกิดขึ้นมามากมาย และในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วไม่น้อยกว่า 300 พรรค และล้มหายตายจากไปหลังการเลือกเพียงครั้งเดียวกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
นี่คือเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยกับการเหมารวมว่า การเลือกตั้งปี 2561 คือการต่อเนื่องของอำนาจนิยม ในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะบริบทและวัฒนธรรมการเมืองแตกต่างกัน ประเทศมาเลเซียกับกัมพูชาได้วางรากฐานพรรคการเมืองและกระชับอำนาจอย่างเป็นระบบมายาวนาน แต่บ้านเรามีแต่พรรคเฉพาะกิจ พรรคหัวหน้าตั้งชั่วครั้งชั่วคราว คนไทยไม่ชอบทำงานการเมือง คนไทยนิยมเล่นการเมือง และพรรคการเมืองคือของเล่น ทุกครั้งที่เลือกตั้งจะมีพรรคการเมืองใหม่เกิดขึ้นหลายสิบพรรค นักวิชาการ นายทหาร นักเคลื่อนไหวทางการเมือง พอมีชื่อเสียงพอดังขึ้นมาจากสถานการณ์ใดหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อได้เป็นวีรบุรุษมีชื่อเสียงแล้ว สิ่งแรกที่นึกได้คือตั้งพรรคการเมือง ประเทศไทยจึงแทบไม่มีพรรคไหนอยู่รอดจนถึงการเลือกตั้งสมัยที่สอง
พรรคไทยรักไทย ก่อตั้ง 14 ก.ค. 2541 ถูกศาลสั่งยุบ 30 พ.ค. 2550 พรรคพลังประชาชน อยู่ได้ไม่ถึง 2 ปีก็ถูกยุบ พรรคเพื่อไทยอยู่มาได้ 4-5 ปี ไม่นานก็ต้องสลายตัวเพราะเจ้าของพรรคอยู่ในภาวะ “แพ้ญญ่าย พ่ายจะแจ” ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นบทเรียนแก่คนที่กำลังคิดตั้งพรรคเพื่อรองรับนายกฯคนต่อไป บอกให้ก็ได้ว่า ไม่ต้องตั้งพรรคใหม่ เพราะพรรคที่มีอยู่แล้วเขาพร้อมจะเป็นบันไดให้ลุงตู่ ได้ก้าวเหยียบเข้าทำเนียบต่อไป ทั้งนี้เพราะเมืองไทยไม่ใช่เผด็จการอำนาจนิยม แต่เป็น “สมรมประชาธิปไตย”
พ่อครูว่า...สมรมประชาธิปไตยสำนวนของคุณสุทินนี่ มันก็เท่ากับคือประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ใช่ประชาธิปไตยเลือกตั้ง แบบผู้แทน แต่เป็นความจริงใจของประชาชนที่เขามีปัญญาเขามีความใช้สิทธิเสรีภาพอิสระเสรีภาพของเขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างแท้จริง ขณะนี้เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นขณะนี้อาตมาว่านายก ทำงานอยู่นี่ได้ใจประชาชน แน่นอน พวกเสียงนกเสียงกาเสียงร้องเสียงดังอะไรมันเป็นธรรมดาธรรมชาติต้องเอาต้องมี ถ้าสังคมประชาธิปไตยไม่มีฝ่ายค้าน เสร็จเลย ไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องมีฝ่ายค้านตลอดกาลเสมอ อย่าเป็นทำทีว่ามีฝ่ายค้านเล่นๆ ต้องเป็นฝ่ายค้านที่จริงใจของประชาชน เพราะฉะนั้นแม้แต่ว่าฝ่ายค้านมีมวลมาก แต่อำนาจความถูกต้องดีงามเพื่อประชาชนได้แท้ๆ ที่เป็นความแข็งแรงไม่มากเท่าฝ่ายค้าน พวกทุนนิยม สามานย์ พวกอำนาจเถื่อนอะไรพวกนี้ พวกนี้สู้สัจธรรมไม่ได้หรอก ความบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด
สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมือง เมืองไทยโชคดีที่มีคนไทยที่เป็นคนดี คนดีต้องสนับสนุนคนดีให้ปกครองประเทศชาติ จะเป็นยุคที่ประเทศไทยเจริญทางการเมืองแน่นอน
ยูทูป
https://www.youtube.com/watch?v=OgRzZAIb_yM
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:51:04 )
รายละเอียด
610114_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ สูตรสมการสัมประสิทธิ์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
สมณะฟ้าไทว่า….วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้มีภัยพิบัติเกิดขึ้นในโลกหลายอย่าง เมืองไทยเรานั้นก็มีเรื่องการเมือง มีการนำวิสัยทัศน์ของอดีตนายกมาเทียบเคียงกันหลายคน แต่ท่านนายกฯประยุทธ์ เหมือนกับใช้อารมณ์รุนแรง เขาก็มองไปทางนั้น เขาไม่เอาสาระในการพูด แล้วนักข่าวมีปัญหาอะไร เขาก็ไม่ได้เอาประเด็นนั้น เอาแค่รูปลักษณ์มาวิจัยวิจาร
วันนี้พ่อครูจะพูดเรื่องธุดงค์ ตามหลักที่แปลไว้ใน Google แปลว่า ธุดงค์ (บาลี: ธุตงฺค, อังกฤษ: Dhutanga) เป็นวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ แต่ไม่มีการบังคับ แล้วแต่ผู้ใดจะสมัครใจปฏิบัติ[1] เป็นอุบายวิธีกำจัดขัดเกลากิเลส
แต่ในที่เขาแปลกันทั่วไปแปลว่าพระเดินแบกกลดเดินไปตามทาง เป็นคำแปลที่ผิดเพี้ยนไปคนละโยชน์แล้วอธิบายธุดงควัตร 13 ประการ ไม่เกี่ยวกับการเดินแบกกลดเลย คนเลยเข้าใจผิดไปว่า ธุดงค์แปลว่าการเดิน แสดงว่าการแปลภาษาใช้ภาษา ขึ้นอยู่กับคนที่กําหนดหมายแล้วเอาไปใช้กัน เช่นคำว่ากาย เอาไปใช้กันผิดทำให้ปฏิบัติผิด
สื่อธรรมะพ่อครู(ไอน์สไตน์) ตอน สูตรสมการสัมประสิทธิ์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า...เราก็มาเรียนรู้ตามประสาคนใฝ่ดีใฝ่รู้สิ่งที่ประเสริฐสุดที่ดีงามในมนุษย์ ใครได้เกิดมาในมนุษย์แล้วต้องพยายามพัฒนาตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็แล้วแต่ตัวใครตัวมัน พัฒนาก็ ไปตามสิ่งที่ผู้รู้ ผู้ที่พบก่อน ผู้ที่ท่านสามารถบรรลุได้ก่อนก็ว่าไปก็บอกมา เป็นความกรุณาปราณี ที่ทำเป็นได้แล้ว ท่านก็มาถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นได้ศึกษาตามเป็นตาม พวกเราก็เกิดมาเป็นอัตภาพแล้ว เรื่องนี้อาตมาก็ว่าได้เข้าใจชัดเจนแล้ว
พลังงานตั้งแต่เริ่มต้น จากอุตุนิยาม เป็นพลังงานที่แปรปรวนแล้วแต่เหตุปัจจัยไป ความเป็นพลังงานในระดับฟิสิกส์ ระดับอุตุนิยาม เป็นพลังงานที่เกิด ความร้อนแสงเสียง แม่เหล็กไฟฟ้าไปตามเรื่องของมันจริงๆ มันมีเหตุการณ์อะไรมากวน เปลี่ยนแปลงมันก็เปลี่ยนไป นับวาระไม่ถ้วนนับเวลาไม่ได้ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆๆปี มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นของมันไป พลังงานต่างๆก็เป็นอย่างนั้น วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วมาถึงวันนี้ ก็มีแต่ฟิสิกส์เคมี ก็เรียนรู้ แล้วเรียนรู้ไบโอโลจี ก็คือชีวะต่างๆ ชีวะต่างๆก็มีองค์ประกอบความรู้ในชีวะ เพราะว่าไบโอโลจี พัฒนาการเกี่ยวข้องกับชีวะอัตภาพ มันมีดีเลวร้ายอะไรเยอะแยะเลย แล้วมันมีความรู้สึกมีความรับรู้ด้วยนะ อันนี้แหละเป็นเรื่องสำคัญ เพราะฉะนั้นที่เราได้ความเป็นอัตภาพ ได้พลังงานที่เป็นตัวตน ใครก็แล้วแต่มีพลังงานจับตัวเข้าไปเป็นเซลล์ของชีวะ จนกระทั่งจะเป็นเซลล์ของชีวะในระดับพืช พีชนิยาม จะอยู่นานเท่าไหร่มันก็ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
จากพีชะสลายกลับเป็นอุตุมันก็วนเวียนได้ ไปตามเหตุปัจจัย ก็ไม่ต้องไปคำนึงอะไรมันมากหรอก มันไม่มีโทษอะไร อุตุนิยาม ไปโทษมันไม่ได้หรอกมันไม่รู้เรื่องเป็นไปตามเหตุปัจจัยอะไรไปเกี่ยวข้องกับมันแล้ว มันเป็นโทษก็เรื่องของคุณเอง คุณไม่ฉลาดเอง ไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ทำให้มันกลายเป็นพลังงานแม่เหล็ก มันก็ไม่เกี่ยวกับคุณ เมื่อเป็นพลังงานแม่เหล็กแล้ว เกี่ยวกับคุณมากๆเป็นพลังงานไฟฟ้าทำลายได้ ก็เป็นเหตุปัจจัยตามแต่มันจะเป็น ถึงจุดระเบิด ถึงจุดทำลายมันก็ระเบิดก็ทำลาย มันก็เป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น นานนับกัปป์กาล ไม่มีจบสิ้นเป็นเรื่องของวัตถุ
พอมาถึงพีชนิยาม ก็จะวนเวียน มันพยายามรักษาพันธุ์พืชของมัน เท่าที่มันจะดึงเอาไว้ได้ดูดเอาไว้ได้ หยุดไม่ได้ก็ต้องสลาย
พลังงานที่มีมากกว่านั้นเป็นจิตนิยาม ดูดดึงมาเป็นเจ้าของเป็นตัวกูของกู หนักหนาสาหัสเลย เป็นตัวทำลายเป็นตัวสร้าง สร้างก็ได้ทำลายก็ได้ จึงเกิดความรู้ระดับพระเจ้า เป็นผู้สร้างที่เป็นทุกอย่าง แต่เสร็จแล้วก็ไม่สามารถที่จะทำให้เกิดความเรียบร้อยทั้งหมดเลยได้ สู้กับซาตานไม่ได้ ตลอดกาลนาน สู้กันรบกันตลอดกาลและนานไม่มีวันจบ พระเจ้ากับซาตานรบกันไม่มีวันจบ
แต่ศาสนาพุทธนั้นมีจบมีเลิก ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย อัตภาพใดสามารถถึงที่สุดได้แล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นต้นไป สลายธาตุตัวเองได้หมดเลย รากเหง้าของธาตุคือ H กับ O เป็นน้ำ ความรู้นี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรียบร้อยหมด อาตมาก็เอามาขยายความให้ไปพิสูจน์ตามรู้ พัฒนาไปจนเราสามารถสลายสิ่งที่เป็นตัวเราของเราได้ทั้งหมด แม้จะสมบูรณ์เป็นอรหันต์แล้วจะสลายได้เมื่อไหร่ก็ได้ หากยังไม่สลายจะกตัญญูกตเวทีต่อศาสนา เอาความรู้มาเป็นประโยชน์ต่อก็ได้ ก็ทำไป แต่ถ้าเผื่อว่าคุณพอแล้ว เลิกแล้ว คุณจะแยกสลายอัตภาพของคุณก็ได้ก็จบ ศาสนาพุทธสรุปแล้วมันมีที่จบ หมดสงสัย พระเจ้าเราก็ไม่สงสัย สิ่งที่เรามั่นใจว่าสลายอัตภาพเราได้หมดเราก็ไม่สงสัย ทำได้สูงสุดเลย ใครจะมาบอกว่าไม่จริง มันก็อยู่ที่ตัวเอง จริงหรือไม่จริง ถ้าเราสามารถสลายได้จริง ก็จริง สลายได้ไม่จริงก็หลอกตัวเองและหลอกผู้อื่น ถ้าหากสลายตัวเองได้จริงมันก็จริง ไม่มีปัญหาอะไร ก็จบ
คนที่หลงตัวเองว่าตนเองสลายตัวเองได้ หลงตนเองว่าเป็นอรหันต์ได้ก็มีเยอะ แต่มันไม่จริงก็ต้องวนเวียนต่อไปในมหาจักรวาล ไม่เห็นเป็นไร พระพุทธเจ้าไม่ลงโทษคนที่หลงตัวเอง จะไปบังคับได้อย่างไร มันไม่รู้มันไม่มีเจตนาที่จะหลอกใครนะ เขาเชื่อมั่นว่าเขาทำได้ แต่มันไม่จริงเขาไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ยกประโยชน์ให้แก่จำเลยไป เพราะว่ามันหลงจริงๆ จะไปบังคับยังไงมันได้ ถ้ามันจริงมันก็จริงถ้ามันไม่จริงมันก็ไม่จริง ถ้าไม่จริงก็ต้องวนเวียน ถ้าจริงคุณก็จบไปเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อน สุดท้ายแล้วอาตมาว่า พวกคุณคงเข้าใจ ศึกษาให้จริง ใครจะยืนยันความจริงของใครเราก็ฟังเขา ก็พิสูจน์ไป หากพิสูจน์ไปแล้วพบว่าเป็นความหลง มันก็บอกยังไงก็ไม่รู้ แล้วอย่างนั้นจะไปบังคับได้อย่างไร มันมีที่สุด ศาสนาพระพุทธเจ้ารู้จักที่สุดของที่สุด และรู้จักที่ไม่มีที่สุด หาที่สุดมิได้ ก็รู้ ใครยังจะตามไปหาที่สุดไม่ได้ก็ยกมือ... ในเรื่องโลกและอัตตา ตั้งแต่ในพระไตรปิฎก พรหมชาลสูตรเล่ม 1 ก็เข้าไปอ่านได้ อาตมาเข้าใจ แต่บางอย่างยังไม่ถึงที่สุด อาตมาก็พูดเปิดเผยไปแล้ว อาตมายังจะพากเพียรพิสูจน์ต่อไปอีก สิ่งที่ไม่ต้องพิสูจน์ ปรินิพพานเป็นอย่างไร ปรินิพพานเป็นปริโยสานเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ว่าไม่สงสัยแล้ว ถ้าหลงผิดก็ต้องวนเวียนต่อไป เป็นจริงคือสัจจะ ใครจะเถียงอาตมาก็ไม่เถียงอะไรกับใครหรอก ถกได้เพื่อแยกดำขาวให้ดูดียิ่งขึ้น อันนี้ควรทำ แต่ถกเถียงเพื่อจะเอาชนะ อาตมาว่าให้คุณชนะไปเลย อาตมายกให้ชนะเลย อาตมาเป็นผู้แพ้ตลอดกาลได้ จะเอารางวัลมาให้ก็ไม่เอา ให้โลกๆนี้ทั้งหมดก็ไม่เอา
จากคำกล่าวของพ่อครูข้างต้น
เวทนา_สัญญา_สังขาร = วิญญาณ 4 อย่างนี้คือนามขันธ์
เวทนาก็คือความรับรู้ รับรู้สึกแล้วก็จดจำ ก็เป็นสัญญา แล้วกำหนดหมายเอาไว้ แล้วก็นำมาปรุงแต่ง เพิ่มเติมขึ้นไปอีก ก็เป็นสังขาร ว่าสิ่งนั้นน่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ตัวเองมีเจตนามีความรู้ น่าพอใจก็เอา ไม่น่าพอใจก็ไม่เอา ที่ไม่น่าพอใจก็หลายอย่าง บางทีมันคงไม่อยู่อย่างนี้ อนิจจังหรือมันต้องฝืนหนักเกินลำบากก็ตัดออก
ทีนี้ ตัวที่รับรู้รับรสพวกนี้มาจากที่มันปรุงแต่ง สังขาร ตัวรับรู้รับรสเป็นเวทนา จากการปรุงแต่ง เช่นว่าอันนี้พริก อันนี้บีทรูท เป็นต้น
ทีนี้ถ้าอวิชชา มันมีมากขึ้นหนาขึ้นก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน มีอัตราทวีขึ้นได้ ในระดับสูงขึ้น บวกขึ้น คูณ หรือยกกำลัง ก็เขียนเป็นสมการ น่าจะเป็นได้ว่า
E(ปุถุชน) = อวิชชา(อุปาทาน2+ตัณหา)
สูตรที่อาตมาใช้คือ E=C(mc2+A) อาตมาว่าสมบูรณ์ดีแล้ว ใครจะคิดได้ดีกว่าอาตมาก็ได้ แต่แค่นี้ก็มึนหัวแล้ว ใครเก่งกว่านี้อาตมาไม่มีปัญหา ช่วยกันเรียนรู้ไป
ทีนี้ สังขารจะเกิดขึ้นได้ต้องมีรูปกับนาม ต้องมีธรรมะ 2 สังขารนี้เกิดเองโดยมีหนึ่งเดียวไม่ได้ เหมือนกับตบมือในอากาศ แต่ที่จริงตบมือในอากาศยังมีอากาศตอบโต้ แต่ถ้าไปในที่ไม่มีอากาศเลย มันก็ไม่เกิดอะไร หรือแม้ละเอียดเกินไปที่มันเกิดก็เป็นได้
ธรรมะสองของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มี 1 และ 2 ทำปฏิกิริยากันเกิด 3 มันก็เกิดพัฒนาการ
สังขารเกิดได้ต้องมีรูปกับนาม และวิญญาณเกิดจากองค์ธรรม 3 พืชมีสังขาร แม้แต่ประธานของพืชไม่ยึดมั่นถือมั่น มันเป็น ISH ตัว I เป็นประธาน ส่วน S กับ H เป็นอิตถีเพศกับปุริสเพศ
รูปนาม กับผัสสะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จะเกิดเป็นวิญญาณ 6
หรือจะพูดอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป วิญญาณไม่มีอยู่เดี่ยว วิญญาณเป็นองค์ประกอบ อย่างน้อยก็มีเจตสิก 3 เป็นองค์รวมของเจตสิก 3 เรียกชื่อมันว่า อธิวจนะ เรียกมันว่าวิญญาณ เป็นองค์รวม 3 อย่างนี้
วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป สรุปสามตัวนี้คือนามรูป โดยมีประธาน เป็นปัจจัย เกิดจากสามอย่างนี้ เรียกรวมว่าวิญญาณ วิญญาณคือสามอย่างนี้แหละ และ 3 นี้แหละคือวิญญาณ
นามรูป เป็นปัจจัยของวิญญาณ เป็นชีวะมีความรู้สึก มีความรู้สึกขั้นจิตวิญญาณ พืชมีแต่สัญญากับสังขาร ไม่มีเวทนา ไม่เป็นสภาพที่มีวิญญาณครอง
วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ =สมการที่ 1
นามรูปเป็นปัจจัยของวิญญาณ หรือวิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป = สมการที่ 2
สมการที่ 1 กับสมการที่ 2 ไม่ขัดแย้งกัน
สังเกตในวัตถุต่างๆ จะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ร้อยเรียงกันอย่างสวยสดงดงาม จัดการได้ดี ของพระพุทธเจ้านี้อ่านแล้วถ้าใครมีภูมิถึง ไม่ต้องทำอะไรอ่านหนังสืออ่านตำราพระพุทธเจ้าไป ก็สบาย มีคนหุงข้าวให้กิน มีคนทำอะไรช่วยก็อ่านไป ก็ได้ แต่มันจะสูญเปล่าไม่มีประโยชน์มันเห็นแก่ตัวมากไป ก็เอามาขยายความให้คนอื่นฟังบ้าง ตัวเองรู้แล้วก็ให้คนอื่นเขารู้บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็ดักดานไม่รู้อะไร เพราะจริงๆลึกซึ้งถึงขั้นอจินไตยพวกนี้
ธาตุรู้ของคน มันไม่มีความรู้ถึงขั้นจะสลายตัวตนได้ จะไม่มีอันนี้มันทำไม่ได้ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียวในโลกที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง หายตัวได้สูญไปได้จริงๆ มีแต่ศาสนาพุทธศาสนาเดียว ในระดับจิต
พวกมหาภูตรูป มันขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นทั้งนั้น เป็นธรรมดาธรรมชาติของมหาจักรวาล มันแย่ก็ตรงที่เป็นชีวระดับมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ได้เดือดร้อนมาก ไม่ร้ายแรงอะไรมาก แต่มนุษย์นี่โอ้โห เลวร้ายหาอะไรเทียบไม่ได้แล้ว แต่ดีสุดก็ดีไม่มีอะไรเทียบได้เหมือนกัน นี่คือสุดเลวสุดดีอยู่ที่มนุษย์
ทีนี้มาเรียงลำดับดู
ถ้ามีจุดไหนขัดแย้งกัน ให้สันนิษฐานว่าเราผิด ถ้าเราดูแล้วเราถูกเราก็จะจบ แต่ถ้าหากสันนิษฐานว่าเราผิดเราก็จะต่อไปได้ ถ้ามันเกิดการขัดแย้งกัน เราสันนิษฐานว่าเราผิดไว้ก่อน แล้วก็ไปคบกับสัตบุรุษ ไปฟังสัทธรรม จนมีความเชื่อมั่นศรัทธา (นี่เป็นคนประมาณตนไม่อวดดี ) จนกว่าคบกับใครแล้วไม่มีใครรู้กว่าเราเลย ก็ค่อยๆตัดสิน
ในยุคๆหนึ่งอาตมาก็ว่า ยุคนี้ พูดออกไปก็เหนียมๆ แต่ก็พูดออกไปก็แล้วกัน อย่าเพิ่งโลหิตร้อนออกจากปากนะ
อาตมาก็ยังไม่เห็นว่าใครสูงสุดกว่าอาตมา อาตมาไม่ได้หลงตน ไม่ได้เชื่อว่าตัวเองสูงสุดหรอก แต่ก็เชื่อว่ายังไม่เห็นจะมีใครสูงสุดกว่าอาตมา เป็นภาษาไม่ใช่เล่นลิ้นแต่จริงใจ เชื่อว่าตัวเองสูงสุดอยู่ แต่ก็ยังเชื่อว่ามีคนจะสูงกว่าได้ อยู่ที่ไหนก็อยากจะพบเหมือนกัน เป็นความจริงไม่มีปัญหา ถ้าพิสูจน์แล้วจริงก็ต้องยอมรับ การเข้าข้างตัวเองเป็นเรื่องโง่แล้ว แล้วเราจะอวดดีทำไมว่าเราดีไม่มีใครเท่า พิสูจน์ไปเลยเราพิสูจน์แบบใจเป็นกลางว่าคนอื่นน่าจะดีกว่าเรา พิสูจน์แล้วมันก็ไม่ใช่ ไม่ต้องไปอวดดีว่าเราดีกว่าเค้าก่อน พิสูจน์ไปเถอะเราอยู่ด้วยกัน คนดีจะไม่ทำร้ายใคร ไม่ว่าจะคนดีกว่าหรือไม่ดีกว่า ถ้าเขารู้ว่าเป็นคนดีกว่าเขา จะไปทำร้ายเขาทำไม ดีกว่ามากๆเลย เยอะเลย เราก็จะได้เอาความดีจากเขาได้ ไปโง่ทำไม ริษยาเขาทำไม ฆ่าเขาตายมันก็เป็นวิบากกินหัว
สมณะฟ้าไทว่า...ถ้าหากฆ่าเขาเราก็ไม่ได้ดีอะไร เราเจอคนที่ดีกว่าก็ควรรักษาเขาไว้
พ่อครูว่า...ถ้าสามารถพัฒนาให้ดีกว่าได้ก็เชิญ จะไปริษยาทำไม
สมณะฟ้าไทว่า...แม้ดีเท่ากันก็จะได้ช่วยกันทำงานไป
พ่อครูว่า...ใครที่จะมาทำร้ายเรา เราก็ไม่ตอบโต้เลย เกิดได้ดับได้ จะสลายตัวเป็นปรินิพพานปริโยสานก็ทำได้
มาอ่านอันนี้ต่อ
ถ้ามีจุดไหนขัดแย้งกันให้สันนิษฐานว่าเราผิดก่อนเลย เราอย่าเพิ่งไปนึกว่าฉันถูกก่อนมันจะจบ ถ้าเราผิด แต่เราไปนึกว่าเราถูก สูงกว่าเขา ก็ซวย ซึ่งมันไม่ดี แต่ถ้าว่าเราผิดก็จะดีกว่า ถ้าไม่ใช่ก็แก้ไข
แล้วเราก็ไปคบกับผู้ที่สูงกว่าเรา คบสัตบุรุษ จนมีความเชื่อมั่น ชัดเจนเลย แล้วมากระทำที่ใจของเรา เมื่อเราได้อะไรเพิ่มเติมมา สร้างแกนจิตนิยาม สร้างใจเราให้มันเจริญ ภาษาศัพท์เท่ๆว่า โยนิโสมนสิการ
ทำใจในใจเราให้เด็ดขาด ถูกต้องถ่องแท้แน่นอนแก้ไขตรงจุดเกิดเลย โยนิโสมนสิการ ก็ทำตรงที่เป็นปัจจุบัน status quo ตัวที่จะต่อเป็นสัมปชัญญะ แล้วเป็นพลังงานที่จะเสริมสานกันต่อไปอีก เราจะรู้จักสภาวะต่างๆ เอาพยัญชนะมาเรียก มันเยอะมาก เป็นล้านๆๆ เรียงกัน มีไว้ ภาษาจะเรียกเพื่อให้ร่วมรู้กันได้ แต่ถ้าเผื่อว่ามามันไม่ต้องการพิสูจน์ต่อเอาแค่นี้ก็แล้วไป แต่มันจะช้า ไม่มีใครตรวจสอบ ไม่มีใครให้คะแนนร่วมไม่มีใครชี้แนะเพิ่ม คุณก็จะช้าอยู่นั่นแหละ ถ้ามันมีหมู่ฝูงมีเพื่อน ต่างๆ
สัมปชัญญะแล้วมาเป็นสัมปชานะ สัมปาเทติ มันมีรายละเอียดมากกว่านี้ สัมปฏิสังขาร สัมปัชลติ สัมปชลิตะ สัมปัชลติคือโหมไหม้ สัมปชลิตะคือโหมไหม้สำเร็จ สดใสสว่างรุ่งเรือง เหลือสิ่งที่สะอาด เข้าสู่สัมปันนะ สำเร็จไปเรื่อยๆ ตรวจสอบสัมปฏิเวทะ ทวนนอกในไม่มีเหลือเศษนะ ภาษาก็สื่อสภาวะต่างๆ เพื่อทำทุกอย่างที่เป็นสภาวะให้บริบูรณ์สัมบูรณ์
ถ้าเผื่อว่าเรามีสัตบุรุษ มีผู้ร่วมด้วยก็ช่วยกันเดินทางให้เร็วขึ้นได้ หาเหตุแท้ ทุกอย่างต้องหาเหตุแท้ จะเจริญหรือดับ ก็มีเหตุ เหตุที่ทำให้เจริญกับเหตุที่ทำให้ดับ มีแค่นี้
ขอแวะอีกว่า อาตมากำลังพิสูจน์สร้างพลังงานเหตุเพื่อให้เจริญ ไม่ยอมดับ ทั้งๆที่ควรดับแล้ว แต่อาตมาจะพิสูจน์สัมประสิทธิ์ พลังงานเสริมตัวแปร ที่เพิ่มได้ๆๆ อาตมาเพิ่มดันทุรังมาได้ 1 นักษัตร จาก 72 มา 84 ขยายจาก 84 เป็น 96 แล้วจะดันต่อไปอีก 96 เป็น 108 ครบ 3 นักษัตร ถ้าทำได้ พลังงาน Coefficient E=C(mc2+A) คนจะต้องเอาไปใช้ ไม่ต้องพูดถึงว่า Nobel prize ก็จะให้รางวัล แต่ถึงให้เราก็ไม่ไปรับ แต่ยอมรับไม่เกี่ยง ที่ไม่ไปมันเมื่อยและหนาวด้วย หากเอามาให้ที่นี่ก็เอา ก็เขาให้เกียรติ แต่ให้ไปก็ไม่ไป ไม่ใช่ว่ามันหยิ่งแต่มันหนาว ไปสวีเดนไม่ไหว พูดทำเท่ทำคุยโม้ไป พูดเป็นภาษาความหมาย ไม่ได้หลงตัวตน แต่สิ่งนี้มั่นใจว่าดีถูกต้องไม่เป็นโทษ ลีลาเหมือนคุยตัว ก็ต้องขออภัย แก้ไม่หาย
เราสามารถตรวจสอบเหตุแท้มันได้ เมื่อสามารถทำได้เราก็จะดำเนินต่อไปเริ่มต้นจาก สติ คือการตื่นรู้รอบ อะไรสัมผัสเราก็รู้ครบ ได้เท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น เก็บความรู้รอบที่มาเกี่ยวได้จากใกล้มาหาไกลเราก็รู้ depth ของมัน รู้จัก level ของมัน เราจะเข้าใจเห็นจริง ทำให้เราพัฒนาไปได้เรื่อยๆ
จาก
สัมปชัญญะ = ความรู้ตัว ต่อกับการมีสติระลึกรู้
สัมปชานะ = รู้สำนึกตัวในการปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่
สัมปาเทติ = เหตุไปสู่การละเลงเพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ = ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ = การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา = ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ = เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ = การเข้าบรรลุผล.(ในรอบนั้น)
สัมปฏิเวธะ = ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดในรอบนั้น
ปฏิสาเรสฺสามิ = จักทำให้เขาสำนึก
ปัจจเวกขันตัสสะ = ได้สำนึก)
จะมีลำดับขั้นตอน level มี adaptation ของมัน ผู้ที่เรียนรู้จะรู้ร่วมกันได้ จะเข้าใจต่างๆนานา สติสัมปชัญญะ เกิดมาจาก อินทรีย์ 6 เพราะว่าเป็นทางเข้ามารู้หรือทางเข้ามาทำลาย กิเลสมันเข้ามาจากทวารทั้ง 6 ใครจะมีมากกว่า 6 ทวารก็ยกมือ ก็ไม่มี จบแล้ว พระศาสดาก็ค้นพบเท่านี้ เป็นสูตรขยายจาก 6 ทวารนี้ ไม่มีอะไรเกินกว่านี้ แม้แต่ศาสนาเทวนิยมก็ไม่ได้รู้ 6 ทวารนี้เก่งเท่ากับศาสนาพุทธ เขาพอรู้ แต่ไม่ได้ขยาย 6 ทวารนี้เป็นตัวตั้ง จะขยายไปได้มหาศาล
เพราะว่าธาตุรู้ของคนนี้มันลึกซึ้ง จะไปให้เกินกว่า 6 ทวารนี้ไม่ได้ เกินกว่าพระเจ้าสร้างอีก มันจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์โลกอย่างไร ที่เรียกว่าจิตนิยาม ยิ่งใหญ่เกินกว่า 6 ทวารนี้ได้ พระเจ้าแน่จริงสร้างมาเลย
เมื่อ 6 ทวารก็มีอินทรีย์ 6 อินทรีย์คือพลังงาน เกิดการสะสมตั้งลงเป็น static มี dynamic เป็นคู่ จะมีตัวแปรที่เป็นทศนิยมเสมอ ตราบใดที่มี 2 ตัวนี้ทำงาน ไม่มีพลังงานตัวแปรที่เป็นตัวเพิ่ม แม้แต่ทศนิยม .000001 มันก็คือ 0 กับ ชรตา
0 ทรงตัวได้ระยะหนึ่ง เดี๋ยวมันก็เข้าไปหา ชรตา ถ้าไม่มีตัวแปรใหม่มากขึ้นอีก ถ้าคุณสามารถรู้และพัฒนาตัวแปรให้เป็น Coefficient สามารถพัฒนาให้ดีกว่าเก่าได้ เหมือนอย่างอาตมา สู้ฝืนสภาวะพวกนี้ เพื่อจะไม่ยอมตาย สร้างพลังงาน Coefficient สัมประสิทธิ์มีให้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่อวดดีแต่เป็นเชิงวิทยาศาสตร์ ยังพอได้ไม่ทรมานทรกรรมมากไป ไม่น่าทุเรศทุรังการเกินไป พอได้ไม่น่าเกลียดน่าชังไป อาตมาว่ามันน่าทำ คนไหนคิดว่าไม่น่าทำก็ต่างความคิด ก็หาทางออกจากนี้ไป แต่สำหรับอาตมาก็ขอทำ อนุญาตนะ
เมื่อมีอินทรีย์ 6 เป็นทางเข้าของกิเลสทางเข้าของความเจริญ มีทั้งเสริมสร้างและทำลาย เมื่อเรามีพลังงาน มีองค์ประกอบเหตุปัจจัยเหล่านี้ขึ้นมา เราก็จัดสรรไป เรียกวิญญาณฐีติ วิญญาณที่เป็นตัวตั้ง พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ 7 อย่าง ยังไม่ขอลงรายละเอียดตรงนี้
ก็ต้องศึกษาสัตตาวาส 9 จะมีคู่อีก 2 อันที่เป็นตัวจบ เนวสัญญานาสัญญายตนะกับอสัญญีสัตว์ มี 2 อันนี้ที่เพิ่มจากวิญญาณฐีติ 7 ถ้าสองอันนี้เข้าใจแล้วก็จะต่อหรือจบวิญญาณก็ได้ จบคือตัดสันตติ สองอันสุดท้ายนี้ อสัญญีสัตว์กับเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นพลังงานคู่สุดท้ายของอายตนะ 2 ในพลังงาน 6 นี้ อินทรีย์ 6 จะเกิดพลังงาน 6 สุดท้ายก็ คู่สุดท้ายคือพลังงาน 2 ธรรมะ 2 ก็จัดการธรรมะสองสุดท้าย หรือคุณจะต่อ อยู่เหนือได้เลย จะเกิดหรือจะดับก็ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแต่เป็นเรื่องสัจจะ เป็นเรื่องจริง
เมื่อคุณสามารถควบคุมวิญญาณฐิติ หรือทำให้สัตตาวาส 9 สูญได้ คุณก็ควบคุม การเกิดการดับได้ คุณจะควบคุมการเกิดดับได้ ก็ต้องสามารถทำ สุจริต 3 ให้เจริญก้าวหน้าพัฒนาอีกก็ได้ แต่แน่นอนว่าคุณเลิกทำทุจริตแน่ คุณรู้แล้วว่าทุจริตมันเป็นภัยทั้งตนและท่าน คุณจะไปทำหาอะไร ทำมันไปทำไม เพราะมันเป็นภัยต่อตนและท่าน สร้างขึ้นมาก็เป็นภัยต่อตัวเราเองอีก เราอยู่ร่วมจักรวาลกัน มันไม่ไปไหนก็ต้องมาถึงเราจนได้ หากเรายังไม่ยอมตายก่อน ไม่ปรินิพพานปริโยสาน แต่ถ้าคุณยังอยู่ สักวันมันก็ต้องมาถึงคุณ
ผู้ที่รู้จักสุจริตทุจริตแล้วก็จะหยุดเด็ดขาดเลยเลย ทุจริตไม่ทำ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็จะทำแต่สุจริตเท่านั้น ไม่มีใครบังคับหรอกมันเป็นปัญญา ปัญญาอันสูงสุด ถ้าหากยังทำทุจริตอยู่ก็ยังมีเศษแห่งความโง่ เราไม่ได้บอกว่ามีความโง่เต็มๆนะ ถ้าหากทำทุจริตอยู่ ตั้งแต่มีความโง่เต็มๆกับมีเศษสุดท้ายของความทุจริตความโง่ก็ยังทำทุจริตอยู่ ทำสุจริตก็มีประโยชน์คุณค่า ตนเองไม่ทุกข์ร้อนไม่มีภัยไม่มีโทษ มีแต่ความเกื้อกูล สนับสนุนกันอย่างดี คนที่รู้ที่จบจริงๆจะไม่ทำ นอกจากจะมีซาตานไปบังคับเรา ถ้าซาตานหมดฤทธิ์ มันบังคับเราไม่ได้อีกแล้ว เราอยู่เหนือมันได้จริงๆ แล้วจะมีอะไรบังคับ ปฏิภาณปัญญาก็รู้อะไรคือสิ่งที่ดี ไม่มีใครบังคับหรอก ตัวปัญญามันคือสุดยอดแห่งการตัดสิน เป็นตัวสุดยอดแห่งการบงการให้ทำอะไร
เมื่อมีสุจริต 3 จะเป็นอาหารของสติปัฏฐาน 4 ในอวิชชาสูตร
สุจริต 3 จะเป็นอาหารของสุจริต 4 ก็จะได้โพชฌงค์ 7 มาต่อ แล้วก็โพชฌงค์ 7 เป็นอาหารของวิชชาและวิมุตติ ในอวิชชาสูตร สูตรนี้ครบแล้วในการเกิดดับ ทวนหรือตามก็ได้
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์ คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์
(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
แต่ถ้าหากมีอวิชชามันก็เกิดตรงกันข้ามกันย้อนกันไปตามนั้น ตัณหาสูตร
1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง
2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ)
3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)
4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ
5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น).เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์
6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)
7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5
8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา
9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา
(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62)
สมการต่างๆที่นำมาสื่อให้รู้โดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ นำออกไปใช้ได้
ต่อมา
E(เสขบุคคล) = สติปัฏฐาน 4(สุจริต32 +สํารวมอินทรีย์6 )
เป็นไปตามลำดับของแต่ละคนกำหนดหมายได้แม่นยำถูกต้องอย่างไร พยัญชนะอย่างนี้ตรงกับสภาวะอย่างนี้ ก็ไปตรวจสอบกัน กับผู้รู้ที่ตรงกัน ผู้รู้มีหลายคน คนนี้เรานับถือให้คะแนนได้ถูกต้องด้วย มันก็เป็นการรับรองกันด้วยสัจจะ สัจจะสองอย่าง
สมมุติสัจจะกับปรมัตถสัจจะคือสัจจะที่สูงเฉพาะตัวคนเดียวแต่ใครไม่รับรองกับเราได้หรอก สามารถคิดไปเองได้ จะถูกหรือไม่ถูกไม่มีใครรับรอง แต่ถ้าคุณแน่จริงก็เปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ร่วม ให้เขาพิสูจน์ เขาก็มีความคิดความรู้เหมือนกัน เขาจะได้ช่วยตัดสิน ยิ่งหากเขามีความรู้มากกว่าคุณก็จะตัดสินได้ ความรู้ไม่มากกว่าคุณ คุณก็ตัดสินของคุณว่าแน่ แต่คนที่สูงลึกซึ้งแล้ว ไม่มีใครอยากจะรู้สิ่งที่ผิด ใช่ไหม อยากรู้สิ่งที่ดีที่ถูกจริงๆนั่นแหละคุณจะไปงมงายอะไรกับอยากรู้สิ่งที่ผิดมา อยากรู้มากแล้วเอาสิ่งที่ผิดมาใช้ด้วยมันก็เป็น trippleโง่ พอแล้วคนที่มีภูมิธรรมอย่างนี้ ไม่ต้องไปเสียเวลาให้สูญเสียเปล่าๆ
สรุปว่าเสขบุคคล
จะเข้าใจและพัฒนาด้วยสูตร E(อาริยชน) = วิชชา(อุเบกขา2+A)
A เหมือนปุญญาภิสังขาร อุเบกขาเหมือน C2
ปุญญาภิสังขาร เป็นตัวกำจัดทำลายเป็นเครื่องมือฆ่า
ในภาวะของการเป็นอยู่จะมี static dynamic และ kinetic เป็นตัวแปรเป็นพลังงานเคลื่อนที่ เราสามารถทำให้เกิด Coefficient โดย ควบคุมสัมประสิทธิ์นี้ได้ ให้ปฏิภาคทวีต่อไปได้หรือให้จบไม่ต่อก็ไม่ทำอะไร หากตัดสันตติก็เร็วไปหาเสื่อมสูญได้เร็ว
ตัวแปรสัมประสิทธิ์เป็นตัวแปรในขั้นสูง แต่คุณหยุดตัวสัมประสิทธิ์ ไม่พัฒนาต่อไปอีกคุณไม่มีการก้าวหน้าต่อไปอีก คุณได้หยุดมัน ยิ่งหยุดสันตติ แม้จะเพิ่ม.00001 ก็ไม่เพิ่มเพราะคุณหยุดมันได้เลย มันก็จะมีแต่เสื่อม เพราะคุณเก่งที่สุดในลักษณรูป 4 คือ อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา
ชรตา หากไม่มีอนิจจตาตบท้ายก็ 0 ตัดสันตติ ทุกอย่างก็จะมีแต่สูญไปโดยธรรมชาติ และก็จะไม่มี อนิจจตา ตบท้ายไม่ฮึดต่อก็จบ แต่ถ้าฮึด อนิจจตา อย่างอาตมามีสัมประสิทธิ์ต่อ ก็ไปได้อีก เพื่อที่จะพิสูจน์พลังงานในมหาจักรวาลว่ามันมีอย่างนี้ เป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่ง อุตุ มันทำไม่ได้ ไม่มีตัวประธาน แต่ที่เราทำไม่มีพิษภัยต่ออะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช มนุษย์ วัตถุ มีแต่รู้กับเอามาใช้ประโยชน์ มันจึงไม่สูญเสียไม่เสียหายอะไรเลย
ในสามอย่างนี้ 1. ปุถุชน 2. อาริยชน (เสขบุคคล) 3. อรหันต์
อรหันต์นี้หมดตัวตน ไม่มีปุญญะแล้ว ตนเองจบไม่ต่อ ปุญญะ จบ มีแต่ให้คนอื่นทำปุญญะต่อ เราหมดเครื่องมือปหานแล้ว เป็นสำนึกของผู้เจริญ แต่ไม่ทำร้ายใคร มีเครื่องมือที่สุดยอด ปุญญะ แต่ไม่ไปทำร้ายใคร จัดการแต่กิเลสตัวเอง เมื่อตัวเองหมดกิเลสแล้ว คนนี้ก็มีสำนึกดี ไม่ไปหาเรื่องเลวร้ายต่อเลย สะอาดจิตสะอาดใจจริงๆ ไม่มีเศษเสี้ยว
แต่ถ้าขัดแย้งมีเศษเสี้ยวอาฆาต ประชด มันก็ไม่จริง อรหันต์แบบนี้ไม่มีใครยอมรับ ยังมีเศษส่วนที่แฝงอยู่ มันต้องสะอาดจริง ไม่มีแฝงร้ายอะไร เศษนิดหน่อยอะไรไม่มี
พระอรหันต์มีความรู้สูง จนกระทั่งเก็บสิ่งที่สูญหรือไม่มีสิ่งที่สูญในตัวเองออกไปได้ อย่างแท้จริง ไม่แท้จริงมันก็ไม่ใช่ แต่ถ้าใช่ มันก็ไม่ผิด มันต้องเป็นอย่างนี้
ตกลงสมการ มันมีสมการปุถุชน จะเรียกว่าสัมประสิทธิ์มันก็เป็นสัมประสิทธิ์ในทางร้าย
อาริยชน ก็มีสัมประสิทธิ์ในทางที่ดี
ยิ่งอรหันต์เป็นต้นไปก็มีความรู้ในสัมประสิทธิ์ พัฒนาขึ้นไปเป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆ
อาตมากล่าวอธิบายขณะนี้เพราะว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปหา 8 โพธิสัตว์ระดับ 4 คืออรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 5 คืออนุโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 6 คือ อนิยตโพธิสัตว์ (อันนี้จะยาวจนไปถึงระดับ 7 นิยตโพธิสัตว์ อาตมาจะขึ้นไปในระดับ 8 มันจะเป็นจริงหรือไม่ พวกคนทั้งหลายแหล่ไม่มีภูมิรู้เท่าอาตมาในระดับ 7 จะไปพูดระดับ 8 คนก็จะไปรู้ได้อย่างไร จะโกหกก็ได้แต่อาตมาไม่บ้าโกหกหรอก กรรมเป็นอันทำ
จะมีหรือไม่มีมันก็เป็นสัจจะ ถ้ามีระดับ 8 ระดับ 9 ท่านก็มาบอกอาตมาได้ การขยายความต่อไปได้อีก อาตมาก็จะได้รู้เพิ่ม ท่านเป็นผู้ใหญ่ก็มาเพิ่มให้ มันก็ไม่มีปัญหาเลยมีแต่ปัญญา จริงๆ
มีคนเขาเอากระดาษมาส่ง เขียนว่า E=C(mc2+A) + xy + xx ขยายความไปยังไม่เหมาะ มันพูด XY ในวงแคบ เราพูดสูงกว่านี้แล้ว อันนี้อยู่แค่ขั้นโครโมโซม ขั้นเพศ xx หรือ xy เป็นเรื่องของเพศ ไบโอโลจี แต่นี่มันเกินกว่านั้นแล้ว เป็นพลังงานขั้นเกิดดับ ไม่ใช่แค่จะเป็น ชีวะ ไบโอโลจี อาตมาไม่ลงไปไม่ติดเรื่องเพศแล้ว อันนี้มันยังแค่เรื่องเพศ xx xy อันนี้มันพ้นเรื่องความเป็นเพศเรื่องของกามแล้ว เข้าใจนะ อย่าเอาอันนี้มาชักใบให้เรือเสีย
สรุป
สัมประสิทธิ์ ขั้นสมการที่เราแทนค่าด้วย +A
E=C(mc2+A) นี่เป็นสูตร E ของโพธิรักษ์ ไม่ใช่ของไอน์สไตน์นะ
ค่า A ผู้ที่ศึกษาตามก็ชัดเจนขึ้น มันบวกเข้าไปในสมการอย่างไร
A = mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 +mc2 ...บวกไปก็เป็น x หรือคูณ คูณมากๆก็เอาไปยกกำลัง เป็นวิธีทางคณิตศาสตร์ให้สรุปได้เข้าใจสั้น ไม่ต้องเขียนให้ยาว
เราบวก mc2 ประมาณหนึ่ง A เป็นตัวแทน บวกกันได้ระดับหนึ่งก็เป็นคูณ และเป็นยกกำลัง เช่น เป็น 9 อันก็เป็น 32
A จะพัฒนาเป็น C ได้อย่างไร ก็เพราะว่ามันคูณมากๆและเป็นยกกำลัง หากจะเอา mc2 คูณกันมาก ก็ทดไปเป็น C หากใครจะทำให้เป็นสูตรที่ละเอียดกว่านี้ได้เหมือนกัน แต่อาตมาเอาแค่นี้ พอแค่นี้ อาตมาว่า ตามการคาดคะเนของอาตมา สามารถทำให้เป็นสูตรที่ละเอียดกว่านี้ได้ C จาก mc2 +A นี้ก็ได้แต่อาตมาว่า เอาแค่นี้ เพราะต่อไปอีกก็เป็นการขยายทดไปอีกแค่นั้น อาตมาว่าแค่นี้ปรินิพพานปริโยสานได้
ถ้าจะสร้างเอกภพนี้ คุณยืดเอกภพนี้ให้โตไปอีกเท่านั้นจะรวม อุตุ พีช จิต นี้ เป็นกรรม (dynamic) ต่อไปในอนาคต แล้วเป็นธรรมะ (static) เท่านี้เองในมหาจักรวาลนี้ก็วนเวียนกันเท่านี้
C ที่อาตมาว่า เป็น Coefficient บอกได้เลยว่าเป็น E ของ โพธิรักษ์ ส่วน E ของไอน์สไตน์นั้นตายไปแล้ว แต่ก็ยังไม่จบหรอก ยังจะมาต่อไปอีก
SMS วันที่ 12 มกราคม 2561 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
_2166"คนกล้าเท่านั้นจึงมีศตรู" ครับ !!!
_3867นมัสการพ่อครูฯสมณะสิกขมาตุ!เจริญธรรมญาติธรรม ทุกบวรอโศก!กับทุกความเห็นสนับสนุนฤาต่อต้านลุงตู่เขียวผ่านบุญนิยมแสดงถึงปชช.สนใจการบ้านการเมืองมากขึ้นสาธุ
_3867มวลกบก็เข้าใจหัวอกคนเทพา!เห็นใจเหยื่อเหมืองพิษ!ห่วงใยราษฎรถูกไล่ที่เวณคืนโดยโครงการสวมตอเมกะโปรเจคจากผลปย.รบ.ยุคเก่าจนถึงยุครบ.ยุคใหม่แต่ยามนี้พ่อครูพูดถูกใครเหมาะเท่าลุงตู่!รบ.หน้าต่อให้ได้ นายกเหล้าเก่าในขวดใหม่มาก็ไม่มีทางแก้ปัญหาพลังงานแพงได้อยู่ดี!ปลงตก
พ่อครูว่า...ถ้าหากมีคนเสนอตัวมาแล้ว คุณแน่ ประชาชนก็เอากับคุณ แต่ถ้าประชาชนไม่เอาด้วยคุณก็ไม่ได้ แต่อาตมาขอทำการเมืองแบบไม่มีตำแหน่งอะไร ทำการเมืองภาคประชาชน ได้เท่าไหรก็เอาเท่าที่ได้ ตายไปแล้วก็กลับมาทำต่อ ยังไม่ล้มเลิก อาตมาเข้าใจกรรมวิบาก ทำแล้วเป็นหนี้ อาตมาทำแต่กุศลไม่มีหนี้ เกิดมาชาติหน้าหล่อกว่าเก่าแข็งแรงกว่าเก่ามีบารมีมากกว่าเก่า จะไปกลัวทำไม ใครจะมาห้ามไม่ได้หรอก จะเป็นพระเจ้ามาทำลายวิบากอาตมาไม่ได้ เป็นสัจจะ อาตมาทำมาถึงชาตินี้อาตมาสร้างตัวมาเองทั้งนั้น หากอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตน ไม่ทำเอาจะได้อะไร
_3867ไม่เลือกลุงตู่คสช.แล้วจะกลับไปเลือกเหล้าเก่าในขวดใหม่ที่มีสมาชิกพ.ผู้ดีเก่าแก่ ที่มีมากที่สุดล้านกว่าคนหวังให้เป็นรบ.ต่อไป!สมาชิกพ.นายใหญ่พ.อื่นๆหมื่นคนแสนคนก็ออกมาไล่กันเองอยู่ดี!ปัญหาค่าครองชีพก็ยังแย่ทุกรบ.!แต่ทุกโครงก.เมกะโปรเจคกลับราบรื่นทุกรบ.!ใครมาเป็นนายกคนต่อไปผลงานก็คงเครือๆกันไม่ต่างกันอยู่แล้ว!แต่อยู่กับลุงตู่แล้วมี4เหล่าทัพดูแลไม่ดีกว่าฤาพี่น้อง?
พ่อครูว่า...อาตมาจะพาไปไล่ก็จะมีคนไปกัน อาตมาก็ยังคึกคักอยู่ ขณะนี้ไม่เห็น ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับลุงตู่ อาตมาก็จะไม่ไปแข่ง จะหนุนช่วยอย่างนี้ อาตมาไม่ใช่ฐานะที่จะไปทำอย่างนั้น ถ้าลุงตู่ไม่ดี อาตมาติงแน่ติแน่ จะฆ่าอาตมาก็เชิญ อาตมายอมแพ้โดยไม่สู้รบต่อต้านอะไร เรายอมได้มันไม่ขาดทุนหรอก รู้ความจริง ว่าเรายอม ไม่เสียหายอะไร ก็ยอมแล้วก็ทำงานได้อยู่ นอกจากเรายอมแล้วไม่ทำงานต่อก็ปรินิพพานปริโยสานไป มันทำไปไม่สนุกแล้วก็ตายไป เอานักสู้คนใหม่มาลงสนาม เลือกได้ ชีวิตนี้เลือกได้ดีจัง อยากลงสนามที่สนุกอย่างไรก็ได้เลือกได้ สนามนี้ไม่ได้แล้วก็จบได้พอได้ ตายไปก่อน
สมณะฟ้าไทว่า...พระโพธิสัตว์เลือกได้แต่ปุถุชนไม่มีสิทธิ์เลือก
_3867กบสิ้นโศกไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคนกกระสาพันธุ์ใด!มีแต่หัวใจเปล่าๆที่ศรัทธาพ.การเมืองน้ำดีที่เหลืออยู่ในวงการเมืองไทยที่ปลอดอบายมุขอยู่พ.เดียวคือพ.เพื่อฟ้าดินที่มีแต่ชาวมังสะวิรัติเล่นการเมืองอยู่กับพืชผักผลล้วนๆ!กราบขอบคุณพ่อครู สาธุ
_เฟซบุ๊ก
_วาส ทองจันทร์ · กราบนมัสการพ่อครูเป็นอย่างสุง การที่ข้าน้อยแสดงอะไรออกไปผิดพลาดประการไดท่านคงไม่ถือสาคนรู้น้อยนะครับ แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังเชื่อมั่นในชาญปัญญาของพ่อครูอยู่ดีครับ
พ่อครู...ไม่ถือสาหรอก
_Jum Sumalee · เข้าใจธรรมะที่พ่อครูอธิบายได้ง่ายขึ้นมากเจ้าค่ะ
_อำภา รื่นใจดี · ประเทศไทยมีคนที่มีความรู้ ความสามารถ และเป็นคนดีมากมาย แต่ใจเขาไม่กล้าพอที่จะเข้ามารับผิดชอบต่อการบริหารประเทศ แต่ท่านนายกประยุทธมีความกล้าที่จะเข้ามารับปัญหาของประเทศที่คนเลวจากนักการเมืองทำทิ้งไว้ และพยายามที่จะแก้ไข ซึ่งการแก้ไขปัญหาประเทศชาติเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ มีผลกระทบทั้งบวกและลบกับผู้ที่มีผลประโยชน์ และผู้เสียผลประโยชน์ จะให้รวดเร็วทันใจของทุกคนทำได้ยาก และก็ไม่มีใครทำได้ด้วย แต่ทุกวันนี้
ที่ท่านเป็นผู้นำประเทศก็สามารถนำพาประเทศไทยให้มีศักดิ์ศรียืนอยู่บนเวทีโลก เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศได้อย่างภาคภูมิ คงพอสรุปได้ว่าในวาระนี้จะมีเลือกตั้ง หรือ ไม่มีเลือกตั้ง คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าท่านนายก ประยุทธ จันโอชา ขอให้กำลังใจและเป็นกองหนุนให้ท่านค่ะ
พ่อครูว่า...แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็เป็นประชาธิปไตยได้ เรายืนยันว่าปฏิวัติก็เป็นประชาธิปไตยขอให้จริงใจเถอะ เราพูดอย่างนี้ ประเทศไทยทำได้ เพราะประเทศไทยมีองค์รวม มีเหตุปัจจัย มันลงตัว มันถึงได้ ประเทศอื่นลอกเลียนยาก เพราะว่าประชากรของคุณยังไม่มีคุณภาพเท่ากับคนไทย ไม่ได้โมเม แล้วอย่าเหลิงที่เป็นคนไทย ดีกว่านี้ยังมีอีก อย่าไปทำเป็นหยิ่งผยอง อ่อนน้อมถ่อมตนไว้
ตอนนี้ปฏิวัติโดยกำลังทหาร ประเทศไหนๆๆ ก็ยังติดใจว่ามันยังไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่นายกตู่ทำสำเร็จแล้ว โดยอยู่ในคราบของเขาเห็นว่าเป็นนายทหาร แต่ไม่ได้ปฏิวัติอย่างกองทัพทหารเลย ปฏิวัติอย่างประชาชน แล้วเป็นประชาชนที่ปฏิวัติด้วยภาษาดอกไม้ งามที่สุดแล้วใช้คำแค่ 7 พยางค์เท่านั้น ปฏิวัติประเทศไทยสำเร็จ แต่ทุกวันนี้ปฏิวัติแล้วทำงานต่อมา ยังมีผู้ที่เห็นร่วมด้วย ยังมีมวลปริมาณที่เรียกว่า ก็คอยดู เลือกตั้งคราวนี้ก็ไม่นานหรอก ดูสิว่า 1 นายกตู่จะลงสมัครเลือกตั้งหรือไม่ 2 นายกตู่ไม่ลงสมัครเลือกตั้งแต่จะได้เป็นนายกคนนอกหรือไม่ อันนี้ตัดสินใจด้วยนายกตัวเอง ว่าจะลงพรรคใดพรรคหนึ่งหรือไม่ ที่จริงอาตมาไม่รู้นะว่ากฎหมายเลือกตั้งนี้ สมัครอิสระได้หรือไม่ ไม่มีพรรคไม่ได้ใช่ไหม แต่มันมีกฎหมายนายกคนนอกอยู่ แม้ไม่ได้ลงเลือกตั้งแต่ก็เป็นนายกได้ เพราะฉะนั้น จะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น โปรดติดตามอย่ากระพริบตา อาตมาขอยกให้เชียร์นายกตู่ ไม่ลงสมัครแข่ง บอกไว้ก่อน เพราะอาตมาแก่กว่ากำลังสู้ไม่ได้ องค์ประกอบต่างๆสู้ไม่ได้
รูปรู้สึกหล่อไม่เท่านะ รวยไม่เท่า ไม่มีทรัพย์สินในแบงค์เลยสักบาท มีแต่ทรัพย์สินส่วนกลางเขาจะให้ใช้หรือไม่ใช้ ก็แล้วแต่
ตกลงตอนนี้ เราก็ดูตามกฎเกณฑ์ของประเทศชาติว่าใครเหมาะสม ตอนนี้อาตมาก็ว่านายกประยุทธ์ จันทร์โอชาเหมาะสมที่จะเป็นนายกต่อไป และกำหนดยังไม่ได้เลย ยาวไปเลย เสื่อมทรุดเมื่อไหร่ อาตมาก็จะให้สัญญาณ
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน ป่ากับศาสนาพุทธ 1
มาพูดถึง ป่ากับศาสนาพุทธ
มาเข้าสู่เรื่องธรรมะ ที่เจตนาจะเอามาไขความเรื่องของป่ากับศาสนาพุทธ ขอยืนยันว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาคนป่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาคนเมือง ไม่ต้องพูดถึงคนป่าที่อยู่หลายเผ่าพันธุ์ ไม่ได้ดูถูก แต่เรารู้ว่าเป็นคนจำนวนน้อย ในโลกมนุษย์นี้ คนจำนวนมากอยู่ในเมือง รวมคนในป่าอย่างไรก็สู้คนในเมืองไม่ได้คนในเมืองมากกว่า แม้แต่สัตว์ในป่า เขายังรู้เลยว่า เสือดาวเหลือเท่าไหร่ เสือโคร่งเหลือเท่าไหร่ ช้างเหลือเท่าไหร่ ในโลกนี้เขาดูหมดแล้ว มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์
คนที่ออกบวชเป็นภิกษุในศาสนาพุทธแล้วออกบวชต้องเดินธุดงค์ เขาใช้ศัพท์นี้เลย นั่นคือผู้ปฏิบัติธรรมในศาสนาพุทธ ที่จะตั้งใจปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน ออกบวชเป็นนักบวชในศาสนาพุทธแล้ว ผู้ปฏิบัติที่จะไปถึงนิพพานจริงๆต้องเป็นพระธุดงค์ นั่นคือความเข้าใจที่ผิด ก็ขอตอบด้วยความมั่นใจว่า คุณไปเป็นพระธุดงค์จะไม่มีทางบรรลุนิพพาน นี่คือคำตอบ
หวังจะบรรลุอาริยะเป็นอรหันต์ด้วยคำว่าธุดงค์ แล้วเอาไปออกเดิน
1. ธุดงค์ 2. ออกเดิน นี่คือความผิดทั้งคู่
ศาสนาพุทธไม่บ้าเดิน และ ศาสนาพุทธไม่บ้าดง เป็นพยัญชนะสั้นๆ กระทัดรัด concise แต่มี extend และมี extempore
พระอรหันต์ไม่ใช่พระที่ต้องไปออกเดินธุดงค์ ไม่เดินและไม่บ้าดง เดินธุดงค์ไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ พระธุดงค์กับพระออกเดิน และแถมเป็นว่า เดินธุดงค์อีก คำว่าเดินก็ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ คำว่าธุดงค์ก็ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ
เรื่องที่ไม่ใช่ของศาสนาพุทธ และก็เป็นเรื่องที่ปนเข้ามาในทิฏฐิของชาวพุทธ เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ผิดตั้งแต่คำว่าธุดงค์นั้นคือการออกป่า ธุดงค์ไม่ได้หมายถึงการออกป่า ไปปฏิบัติธรรมในดงในป่า
พระธุดงค์คือพระที่ต้องไปปฏิบัติในดงในป่า นี่คือความหมายที่ 1 คอนเซปนี้เป็นทิฏฐิที่ผิดไปจากศาสนาพุทธ สองประเด็น
1.นักบวชในศาสนาพุทธที่จะปฏิบัติมุ่งนิพพานจริงๆคือต้องออกป่า ก็คือเข้าดง และ
2.ธุดงค์หมายถึงการเดิน แอ๊คท่าเดินแบกกลดเดินบนดอกไม้ หลอกคนหลงคนโง่แต่หลอกโพธิรักษ์และหมู่ที่เห็นอย่างโพธิรักษ์ไม่ได้
ดงกับเดิน สองคำนี้มาพูดกัน ธุดงค์หรือธุตังคะ
ไปตั้งทิศทางผิดไปจากศาสนาพุทธ บอกว่าผู้ที่จะบรรลุธรรมต้องปฏิบัติโดยเข้าป่า พวกนี้ถูกเสือกินไปเยอะแล้ว ที่รอดมาก็มาคุยโม้ว่ารอดจากเสือได้ ไม่ตาย แต่ที่ตายนั้นไม่ได้มาบอกไม่รู้กี่ศพ ถูกเสือมันกินไป ก็ไม่มีใครไปลงทะเบียนไว้ หายต๋อมไป เพราะไม่มีใครไปรู้เห็นชอบไปทำคนเดียวอยู่คนเดียว แต่เสือสิงห์มันก็ไม่รู้ มันหิวมันก็ต้องกิน
ความเข้าใจผิดว่า ดงคือต้องออกเดินป่า ตั้งต้นความเข้าใจผิดตรงนี้ก็ปรุงแต่งตอนนี้ขึ้นมา ปรุงเเต่งมิจฉาทิฏฐินี้ขึ้นมา ก็เริ่มออกนอกขอบเขตพุทธ มีเรื่องมิจฉาทิฐิออกแบบรูปร่างมาบอกคน ตกแต่งไป ให้ดูเหมือนอลังการ เขื่อง น่าได้น่ามีน่าเป็น คนโง่เหล่านั้นก็ไปนิยมชมชื่นว่าต้องออกป่า โดยเข้าใจว่าออกป่าจะบรรลุนิพพาน ตกแต่งเครื่องออกป่าอลังการขึ้นมามันก็ยิ่งชอบใจ ถูกหลอกใหญ่ เรียกว่าผิดไปตั้งแต่ต้นแล้ว ดูเท่ดูเก๋ รอดออกมาได้ก็มาโม้ แล้วพวกนี้ก็ไม่ได้บรรลุธรรม มาเล่าอย่างนี้อีก คนก็เข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ไม่รู้กี่ล้านๆชาติ ปฏิบัติศาสนาพุทธต้องอยู่ในเมือง มีองค์ประกอบหมุนเวียนครบ จึงจะบรรลุอรหันต์เป็นนิพพานได้ ถ้ายังเข้าใจไปว่าออกดงออกป่าจะบรรลุนิพพาน ก็อีกนาน ไม่มีทางหรอก ถ้าจะเข้าใจอย่างนี้มั่นใจเข้าใจอย่างนี้ว่า ต้องออกดงออกป่าหรือมั่นใจว่าต้องเดิน สองคำนี้แหละ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...เดี๋ยวนี้ ดง ก็ไม่มีแล้ว ป่า ก็ไม่มีมากแล้ว
ยูทูป
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 11:52:27 )
รายละเอียด
610115_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ป่ากับศาสนาพุทธ
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนก็ผ่านไปรวดเร็ว ปีใหม่สากลเสร็จ ก็จะเป็นวันเด็ก แล้วก็จะเป็นวันครู ก็จะเป็นงานฉลองหนาวต่อปลายเดือนนี้ และปลายเดือนกุมภาพันธ์ก็จะเข้างานพุทธาภิเษกฯ ปีนี้ เราจะจัดที่ปฐมอโศกเป็นปีที่ 2
ในช่วงนี้อากาศเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน ถ้าใครสุขภาพไม่แข็งแรง ก็จะเจ็บป่วยได้ง่าย วันนี้ที่ราชธานีอโศกก็มีการประชุมกลุ่มกสิกรรม เราต้องเตรียมตัวที่จะปรับภูมิทัศน์ ให้เข้างานตลาดอาริยะเดือนเมษายน ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบหน้าอาคารบวร ก็จะเตรียมปลูกทานตะวัน ตอนฤดูหนาวก็เขียว ฤดูร้อนก็จะเหลืองอร่าม การปลูกทานตะวันต้องมีระยะเวลา 59 วัน เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราจะกินกะหล่ำปลีกัน บร็อคโคลี่ด้วย เป็นผักฤดูหนาว เพื่อให้ทานตะวันมีพื้นที่เจริญ มีการปรับพื้นที่ริมมูล จะมีการปลูกแตงหลายชนิด ทำให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร ที่พ่อครูบอกว่า การปฏิบัติธรรมที่ลงตัวจะมีอาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ สถานที่สัปปายะ ธรรมะสัปปายะ เป็นคำของพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ สถานที่เราจะทำให้เป็นสถานที่น่ารื่นรมย์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า พระอรหันต์อยู่ที่ใดย่อมทำให้สถานที่นั้นเป็นที่รื่นรมย์ พระอรหันต์จะไม่มีจิตไปทำร้ายแม้แต่อุตุ พีชะ จิตก็ยิ่งระวังมาก ที่บ้านราชฯ แม้อินทรีย์วัตถุก็มีมากมาย อยู่ในน้ำก็มีผักน้ำ บนบกก็มีเยอะ ด้วยความที่เรามีต้นไม้ แค่กวาดใบไม้มากอง ผักก็งามได้ เป็นสิ่งแวดล้อมดี ที่สำคัญคือมีธรรมะดี ทำให้คนดำเนินชีวิตได้อย่างมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน
ตอนที่เราเกิดเรื่องกับศาสนากระแสหลัก มีคนบอกว่า เขาไม่รู้หรอกว่าธรรมะอันไหนดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด แต่เขาเชื่อว่าคนที่รักสิ่งแวดล้อมรักษาธรรมชาติน่าจะเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม เพราะจิตใจที่ดีจะทำให้สิ่งแวดล้อมดี อาหารดี บุคคลก็ดี จิตใจจะดีได้ต้องมีธรรมะที่สัมมาทิฏฐิจึงจะทำให้จิตใจดีได้อย่างยั่งยืนถาวร
พ่อครูว่า...ตอนนี้เราก็จะอ่าน sms ก่อน
SMS วันที่ 14 มกราคม 2561
_9919ขอเชียร์นายกตู่อยู่ให้ครบ 3 สมัยเลยค่า ทำเพื่อประชาชนและปราบคอร์รัปชั่นให้สิ้นซาก
_0207พ่อท่าน ช่วยพูดถึงนาฬิกาอื้อฉาวหน่อย.ประวิตรคอร์รัปชั่นนาฬิกาหรู. ประยุทธก็ช่วยเหลือกัน. พวกเขาเป็นคนไม่ดี ประยุทธ์จ้าวเล่ห์ทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง และเสพติดอำนาจ
พ่อครูว่า...อาตมาว่าคุณประวิตรน่าจะพักผ่อนจากการทำงานได้แล้ว แก่เกินแกงแล้ว ทั้งตัวเองและสิ่งแวดล้อมสร้างอำนาจให้แก่ตัวเองไว้ ทางทหารเขามี Seniority ไว้ ก็ยาก แต่ว่าควรต้องหยุดแล้ว เรื่องนาฬิกาจะคอร์รัปชั่นหรือไม่ เราไม่รู้ไม่มีรายละเอียด แต่จะเห็นได้ชัด ว่าเขาหลงใหลนาฬิกา ประสาร มฤคพิทักษ์บอกว่า มันจะมีนาฬิกาคนละทำไม 20 30 เรือน พูดทางสื่อ social media จนต้องบ่นออกมาว่า มันอะไรกันนักหนา เป็นนิสัยส่วนตัว เป็นคนคลั่งไคล้หลงใหลส่วนตัว ที่จริงมันก็แก้ยาก มันเป็นกิเลส ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะมาเป็นผู้บริหารประเทศ ทำให้ประเทศมีปม แสดงความหรูหรารวย โดยเฉพาะผู้บริหารจะถูกเพ่งเล็ง เป็นเรื่องที่สื่อให้เห็นว่า รวยอะไรกันนักกันหนา เอามันออกมาโชว์ทำไม ไม่ใช่สิ่งที่น่าจะโชว์ แต่เอาเถอะ ขอให้อาตมาพูดถึงเรื่องนี้ ก็ขอพูดเท่านี้แหละ เพราะว่าทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ควรจะมีสำนึก นอกจากการทำประชด เป็นมานะอัตตาก็เป็นเช่นนั้น
_Wiphop Ketmunin ผมมีข้อสงสัยปมในใจว่า อาริยบุคคลมีความเห็นและท่าทีต่อเรื่องทางโลก เช่นเรื่องการเมือง ผิดพลาดได้หรือไม่ และผมในฐานะที่เป็นผู้มีความเคารพศรัทธายึดเอาท่านเหล่านั้นเป็นสรณะแต่ไม่เห็นด้วยต่อเรื่องนี้ ควรมีท่าทีควรวางใจเช่นไร (ในการถามเช่นนี้ผมได้พยายามตรวจใจตัวเองไม่ให้ใช้ความรู้สึกชอบชังเพื่อบำเรอตนเป็นที่ตั้ง แต่อยากได้รับคำชี้แนะครับ)
พ่อครูว่า...คนนี้ใช้คำว่า อาริยะด้วย ซึ่งเป็นคำที่อาตมาใช้ แทนคำว่าอริยะ กับอารยะ คำว่า อารยะ เขาแปลว่า เจริญ แต่เป็นทางวัตถุ แต่อริยะ ก็เข้าใจเป็นเจริญแบบฤาษีดาบส ไม่ใช่ผู้เจริญแบบพุทธ อาตมาก็เลยไม่ใช้ทั้งสองคำ ทั้งอารยะและอริยะ อาตมาใช้คำว่าอาริยะ เอาทั้งสองคำบวกกันเลย คุณคนนี้เขียนมาว่า อาริยบุคคล ที่จริง สองคำนี้สมาสกันแล้วไม่ต้องมีสระอะ
ตอบคำถามนี้ว่า ได้ ผิดพลาดได้ อย่างอาตมาแสดงความเห็นทางการเมืองผิดพลาดได้ อาตมาไม่ได้ถือดีว่าแสดงออกไปไม่ผิดพลาดเลย แต่แสดงออกผิดพลาดได้
จะวางใจได้อย่างไร ก็จะเป็นประเด็นรายละเอียด ที่ท้วงมาไม่เห็นด้วย ก็ต่างความเห็นของอาตมา ก็ขออภัยที่ไม่เห็นด้วย บังคับกันไม่ได้หรอก แต่อาตมาเห็นว่าควรทำก็ต้องทำ ขออนุญาตก็แล้วกัน จะฟังไปตามประสาหรือไม่ฟังก็ได้ คุณมีสิทธิ์ แต่อาตมาก็ขอแสดงก็เห็นควรอย่างนี้ แต่คุณไม่เห็นด้วยก็แน่นอน มันก็เป็นความเห็นของสิทธิส่วนบุคคลเท่านั้นเองประกอบกันไป อาตมาก็ขอใช้สิทธิส่วนบุคคลของอาตมาก็แล้วกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน ความสำคัญของอุเบกขากับปุญญาภิสังขาร
_หากมีเวลาพอขอความกรุณาขยายความคำว่าอุเบกขากับปุญญาภิสังขาร
พ่อครูว่า... มันจะยาวนะ คำสองคำนี้เป็นคำที่เป็น key word ของศาสนาอย่างสำคัญ อุเบกขา เป็นภาษาที่บ่งบอกถึง ฐานนิพพาน ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมให้จิตเป็นอุเบกขา และเป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะ เนกขัมสิตอุเบกขาประพฤติทำให้จิตใจเป็นแบบนั้นได้ นั่นคือการสั่งสมจิตของนิพพาน ทำจิตใจตัวเองให้เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา
แต่โดยปกติคนก็มีอุเบกขาได้ แต่เป็นเคหสิตอุเบกขา หรือพวกมิจฉาทิฏฐิไปนั่งสมาธิหลับตา ก็เป็นอุเบกขาแบบมิจฉาทิฐิ ไม่ใช่เนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นเพียงการสร้างสมาธิแบบเดียรถีย์ ไม่ใช่สร้างสัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า
สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เกิดจากการนั่งหลับตาสะกดจิต แต่เกิดจากการปฏิบัติมรรค 7 องค์
พระไตรปิฎกเล่ม 14 ข้อ 252 เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าไขความชัดเจนว่า สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร แต่คนไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยเอาอันนี้มาพูด
[253] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะอันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่งประกอบแล้วด้วยองค์ 7 เหล่านี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ
ในองค์ 7 นี้บอกเลยว่า ปฏิบัติในขณะทำอาชีพ มีกัมมันตะ ประกอบสมาธิด้วยการพูดอยู่ การกระทำ การทำอาชีพ
การนั่งหลับตาทำสมาธิเป็นเรื่องที่ผิด อาตมาพูดมานานแล้วว่าโยนทิ้งได้เลย พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติแบบนั้นได้เพียงทิฎฐิ 62 ประการ มีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาปัจจุบัน จึงจะครบพร้อมทั้งสมมติสัจจะ ปรมัตถ์สัจจะ จึงจะถูกต้อง สร้างจิตได้เป็นนิพพาน ถ้าไปห่วงงมกับ อดีต 18 อนาคต 44 ก็ไม่ได้นิพพาน
ถ้าหากเข้าใจสัมมาสมาธิไม่ได้ ก็จะไปหลงนั่งหลับตาสมาธิ อาตมารู้ว่าแก้ยาก แต่มันก็ต้องแก้ เพราะมันผิด ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ต้องพูดไปจนกว่าจะตาย ไปเกิดใหม่อีกก็จะพูดอีก จากนั้นท่านก็อธิบายในมรรคทั้ง 7 องค์ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ไปตามลำดับ ให้เป็นบุญ
คำว่าปุญญาภิสังขาร เป็นการสังขารอย่างมีความรู้ เรียกว่าอภิสังขาร หากสังขารอย่างไม่มีวิชชาเป็นสามัญเรียกว่า สังขาร พาให้เกิดภพชาติ ชรา มรณะ โศก โทมนัส ทุกข์ อุปายาสะ ถ้าหากมีปัญญาก็จะเป็นสังขารที่เรียกว่า อภิสังขาร
ต้องรู้จักคำว่าบุญคืออะไร บุญเป็นโลกุตระถ่ายเดียว บุญไม่ใช่แค่กุศล กุศลยังมีกุศลอกุศล แต่บุญนี้เป็นพลังงานพิเศษ ที่ปรุงแต่งมากำจัดกิเลสได้ เป็นปุญญาภิสังขาร
ผู้ทำปุญญาภิสังขารได้ ผู้นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติจนกิเลสหมด บาปหมดอกุศลหมดจากจิตก็จบกิจ เป็นอปุญญาภิสังขาร คือบุญก็ไม่มีแล้ว บุญที่เป็นเครื่องมือกำจัดกิเลสก็ไม่ต้องใช้แล้วเลิกจบหมด ก็เป็นปุญญปาปปริกขีโณ พระอรหันต์เป็นคนที่หมดบุญหมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาปสมบูรณ์หมด
คำเหล่านี้บ่งบอกสภาวธรรมคนที่ถึงขั้นอปุญญาภิสังขาร จะปรุงอย่างไรก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เป็นบาป พระอรหันต์คือคนไม่มีบุญไม่มีบาปแล้ว สิ้นบุญสิ้นบาปแล้ว อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันยาก ถ้าเข้าใจสภาวะนี้ไม่ได้ คนจึงไปแปล อปุญญาภิสังขาร ว่าไม่เป็นบุญ เพราะฉะนั้นจึงเป็นบาป เป็นการแปลแบบพยัญชนะสื่อพยัญชนะ ไม่เป็นสภาวะก็เลยผิด ที่จริงแล้ว อปุญญาภิสังขาร แปลว่าไม่มีบุญอีกแล้ว จากนั้นก็เป็น อเนญชาภิสังขาร
ความรู้ความจริงความหมายที่สำคัญอย่างนี้ จึงไม่ใช่เรื่องพูดเล่น เดาไม่ได้ ผู้ไม่มีภูมิไม่รู้ได้ การจะกำจัดกิเลสได้เป็นฌานวิสัย ไม่ใช่เรื่องสามัญ
ผู้ไม่เข้าใจฌานวิสัยไม่ถูกก็ปฏิบัติฌานแบบพระพุทธเจ้าไม่ได้ จะไปปฏิบัติฌานแบบได้โลกียะเท่านั้น
อุเบกขา คือผลของจิต จิตที่ได้ปฏิบัติธรรมบริสุทธิ์ อุเบกขามีองค์คุณ 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ในพระไตรปิฎก ล.14 ข้อ 690
จิตจะมีความบริสุทธิ์และบริสุทธิ์แข็งแรง ปริโยทาตา บริสุทธิ์อยู่เสมอ จะมีการกระทบกระแทกกระเทือนสัมพันธ์อยู่กับสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดกิเลส ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ไม่เกิดกิเลส จิตใจก็คงที่ ขาวผ่องผุดผ่อง ประภัสสรอยู่ ขาวรอบแข็งแรง แม้ว่าจะมีผัสสะกระแทกกระทุ้งอย่างไรก็แข็งแรงอยู่
มุทุ แปลคุณสมบัติของจิต มุทุแปลว่าอ่อน แต่คุณสมบัติเรียกจิตมุทุธาตุ คือจิตแคล่วคล่อง จิตเป็นฌานวิมุติยิ่งคล่องแคล่วเร็วไวปรับง่าย ในเชิงปัญญาก็รู้ได้เร็วไว ในเชิงเจโตก็ดัดปรับได้เร็ว แข็งแรงทำได้ไว ทั้งเจโตและปัญญา คือมุทุธาตุ
กัมมัญญา เมื่อมีคุณสมบัติ 3 อย่างนี้ ทำกรรมการงานอะไรจึงประกอบกันด้วย อัญญา อัญญาคือปัญญา โลกุตระ
ปัญญาคือโลกุตระ ถ้าเฉกาหรือเฉกะคือความฉลาดโลกีย์ บาลีมีกำกับชัด แต่เวลาใช้ไม่เอามาใช้ ก็เลยเอาปัญญาไปเรียกโลกีย์ จนปัญญาเป็นคำปนเปกับเฉโก แยกไม่ออกว่าแล้วความฉลาดนี้เป็นโลกียะหรือโลกุตระ ทั้งที่บาลีแยกไว้ชัดว่าปัญญานั้นหมายถึงปัญญาโลกุตระอย่างเดียว แต่คนใช้ปนเปกันมาตั้งแต่สมัยก่อนจนมาถึงสมัยนี้ ตอนนี้พจนานุกรมก็มีแต่รากศัพท์ เฉโกหรือเฉกะ เป็นความฉลาดโลกีย์แต่ไม่มีใครมาใช้เรียกความฉลาดของคน ทั้งๆที่ปุถุชนมีแต่ความฉลาดเฉโกทั้งนั้น แต่ความฉลาดทางปัญญาจะสามารถกำจัดกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีปัญญาที่มีฤทธิ์อำนาจ ทำให้กิเลสลดละจางคลาย หรือดับไปได้ จึงเรียกว่า กัมมัญญา ทำกรรมใดๆก็มีปัญญาควบคุม กรรมนั้นย่อมไม่เป็นกิเลส กัมมัญญา ท่านก็แปลความหมายง่ายๆว่า การงานอันเหมาะควร
ปภัสสรา อย่างไรๆสุดท้ายก็ผ่องแผ้วสะอาดสะอ้านอยู่ตลอดกาลนาน นี่คือเนกขัมมะสิตอุเบกขา
แต่ถ้าเคหสิตอุเบกขาก็เป็นความรู้สึกและอารมณ์ อุเบกขาเวทนาแบบโลกๆ
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจะมีญาณปัญญาแยกจิตของตัวเองออก ว่านี่มันเกิดอาการของเคหสิตะ ทำกิเลสออกด้วยตัวเนกขัมมะ ทำจนกระทั่งกิเลสหมดใน status quo ในขณะปัจจุบันธรรมใดๆ ธรรมะนั้นที่ทำให้กิเลสออกได้ อันนั้นเป็นอุเบกขา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นอุเบกขาถึงขั้นทำกิเลสออกได้ เป็นแบบ ขุททกะ หรือ ขณิกะ
ในปัจจุบันนั้นเป็นแต่ละครั้งเรียกว่า ขุททกะ หรือทำออกได้ในปัจจุบันนั้นเรียกว่า ขณิกะ กาละนั้น status quo ทำกิเลสออกจากจิตได้ อุเบกขาจึงเป็นฐานนิพพาน ทำได้อย่างนี้เสมอ กิเลสของคุณก็ถูกกำจัดออกเป็นอุเบกขา สุดท้ายก็เป็นอุเบกขาถาวร อุเบกขาสมบูรณ์ โดยที่มีจิตว่างจากกิเลสถาวรสมบูรณ์ อยู่กับโลกเขาอย่างกระทบสัมผัสสัมพันธ์ โลกียะทุกอย่าง จิตก็อุเบกขาตลอดกาล อุเบกขาจึงแทนนิพพานได้ จิตอุเบกขาคือจิตนิพพาน
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน ป่ากับศาสนาพุทธ 2
ต่อมา อาตมากำลังอธิบายถึงเรื่องที่เข้าใจผิดกันในศาสนาพุทธมากเลย คือ เรื่องของ ภาษาสองคำ ภาษาไทยๆง่ายๆคือคำว่า ดง กับคำว่า เดิน
โดยเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้านั้นคำว่า ธุตังคะ ภาษาบาลีคือองค์แห่งธุตะ แล้วก็ไปเข้าใจตีความหมายคำว่า ธุตังคะ หมายถึงออกดงออกป่า หรือแปลว่าธุดงค์คือการเดิน ซึ่งไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ศาสนาพุทธไม่ได้วุ่นวายกับออกดงออกป่าหรือการเดิน
แต่ในอินเดียเดินมาก ภิกษุสมัยพระพุทธเจ้าออกบวชแล้วก็เดินตลอด เดินไปเดินมา ยิ่งยุคพระพุทธเจ้าไม่มีรถราอะไรมากมาย จึงได้แต่เดินไปเดินมา ไม่ได้ออกป่า แต่เป็นความจำนนที่ต้องเดินเท่านั้นเอง เดินเหยียบนาเหยียบข้าว ไม่ใช่ป่า จนกระทั่งชาวบ้านเดือดร้อนว่า พระของสมณโคดมเดินไปเหยียบข้าว ให้หยุดเสียบ้าง พระพุทธเจ้าจึงออกกฎระเบียบว่า ในเข้าพรรษาให้หยุดเดิน หน้าของการทำนา ฤดูฝน ก็แสดงว่า เดินในเมืองในนา ที่ไม่ใช่ป่า เดินเหยียบนาเหยียบข้าว ก็ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าจึงออกกฎระเบียบให้หยุดเดินออกไปในหน้าฝน จึงเรียกว่าจำพรรษาให้อยู่กับที่ ก็เป็นอย่างนี้ มีหลักฐานต่างๆในพระธรรมวินัย ยืนยันชัดเจน ว่ามันไม่ใช่เรื่องลึกลับ ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไร
ทีนี้ไปเข้าใจผิดว่าเดินเป็นเรื่องสำคัญมากของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องไม่จริง อยู่กับที่ได้ เดินก็ต้องเดิน ไม่ก็ขึ้นพาหนะ ไม่เห็นเป็นอะไร ไม่ใช้พาหนะเทียมกับสัตว์ ก็ไม่เบียดเบียนสัตว์ ใช้กลไกของเครื่องยนต์อุตุนิยาม จะขึ้นเครื่องบิน รถยนต์ จะขึ้นเรืออะไรก็ได้เป็นพาหนะสบาย
เพราะฉะนั้นก็อธิบายหรือว่าค้านแย้งให้เห็นว่า เรื่องเข้าใจผิดว่า นักบวชของศาสนาพุทธนั้นเมื่อบวชแล้วก็ต้องออกธุดงค์ บวชแล้วต้องเดินธุดงค์จึงจะถือว่าเป็นพระปฏิบัติ เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ก็ขอยืนยันว่ามันเป็นอวิชชา แปลเป็นไทยว่าโง่ เป็นความเข้าใจผิดอย่างโง่เป็นอวิชชา
เพราะฉะนั้นคุณจะปฏิบัติ ตามพระธรรมวินัย ถึงเวลาเดินก็เดิน ถึงเวลาไปก็ไป ถึงเวลามาก็มา ยิ่งทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทย ถ้าพระภิกษุไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็ผิดกฎของสงฆ์ในเมืองไทย ซึ่งจริงๆแล้วภิกษุในศาสนาพุทธเป็นผู้ที่ทิ้งบ้านช่องเรือนชานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะฉะนั้นก็นอนรุกขมูลโคนไม้ ตามแต่จะไปได้ ไม่ไปบุกรุกเรือนที่มีเจ้าของ เรือนที่ไม่มีเจ้าของก็พักได้ เป็นเรือนว่างเลยก็อาศัยเรือนว่างไป ปฏิบัติธรรมได้ จะเดินก็เดินจะไปจะมานอนใต้ต้นไม้ นอนกลางแจ้งอะไรก็ได้ ลอมฟาง สมัยโบราณก็มีนาไร่ มีสวนมีป่าเยอะ สมัยนี้จะมานอนข้างป่าคอนกรีต ข้างถนน ข้างตึกคอนกรีตก็ดูกระไร ก็นอนให้เหมาะสมหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ไปเดินบนดอกไม้ข้างถนนเดินเต๊ะท่าชะมัดเลย เห็นแล้วมันน่าสงสาร ทำอะไรอย่างไม่เดียงสาเลย ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาพุทธเลย เป็นวิภูสนัฏฐานา ประดับตกแต่ง เดินธุดงค์ทำก้าวย่างสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นรูปเป็นร่าง เป็นนักประดิษฐ์ ดูแล้วขออภัยเถอะ มันน่าเวทนา ที่จะต้องใช้ภาษาที่เป็นสมมติของคนว่าทุเรศ มันน่าเวทนาสงสารถึงขั้นต้องใช้ภาษาว่าทุเรศ เป็นความไม่เข้าใจ แต่จริงๆอารมณ์ของอาตมาว่าสงสารหรือเวทนา แต่ต้องใช้ภาษาว่าทุเรศคือไม่น่าจะทำอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดหยาบแต่อธิบายสัจธรรมนะ ใช้ภาษาสื่อสภาวะที่ต่ำที่สูง แต่สภาวะที่เขาทำมันต่ำเหลือเกิน ภาษามันไม่พอจึงจำเป็นต้องใช้ภาษาทางโลกให้ชัดๆ ว่ามันน่าทุเรศ น่าทุเรศทุรังการจริงๆ เขาไม่เข้าใจประสีประสาในเรื่องศาสนาพุทธเลย กลายเป็นศาสนาปรุงแต่งประดับประดา แม้แต่ศาสนาลัทธิที่เขามีมาในโลก ยังไม่เคยมีใครทำได้เท่านี้ ปรุงแต่งได้บ้าบอคอแตกขนาดนี้ อย่างที่ธัมมชโยทำ
ขออภัยที่เหมือนมองเขาไปในทางร้าย แต่ต้องขยายความสภาวธรรมที่หนักหนาสาหัส ของความเป็นสภาวะธรรมนั้นๆ ไม่ได้เกลียดชัง แต่สงสารเวทนาในความไม่รู้ในความโง่
ธุดงค์คือความเคร่งของศีล เคร่งแล้วปฏิบัติได้แล้วมันไม่เคร่ง มันก็สบาย ศีลที่เคร่ง ปฏิบัติได้เป็นปกติสามัญ ผู้ที่บรรลุ ธุดงค์ หรือธุตังคะแล้ว ใครเห็นก็จะบอกว่าเคร่ง แต่ท่านก็สบายๆ ที่ธัมมชโยทำเป็นการสร้างภาพตัวยงคนหลงงมงาย ติดเอาโลกีย์เยิ้มมาหลอก คนหลงโลกีย์ก็คลั่งไคล้จนถอดถอนไม่ได้ น่าสงสาร นี่คือตัวอย่างของความเสื่อมหนักของศาสนา เป็นการตีลังกากลับ เอาความสวยมากลบเกลื่อนความน่าทุเรศ สวยพริ้งคือการปรุงแต่ง ทุเรศ อภิมหาทุเรศ แล้วหลงผิดว่าเป็นสิ่งที่เลอเลิศประเสริฐหรู ที่เขาหลงใหลคลั่งไคล้ แม้แต่ตัวเจ้าลัทธิเองคือธัมมชโย กับลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย มันก็เลยเป็นภาระหนักของศาสนาพุทธในสังคมประเทศชาติยุคนี้ เป็นความเลวจัดของกลุ่มในศาสนาพุทธในยุคนี้
คำว่าธุดงค์ไม่ได้แปลว่าออกป่าหรือไปเดิน แปลแบบสองอย่างนี้เป็นการแปลที่ผิด แล้วธัมมชโย เอามาปรุงแต่ง เต๊ะท่าเดินบนถนนยาวๆ ขวางทางจราจรเพื่อสร้างเท่ห์ให้แก่ตัวเอง เอาอำนาจของคนหมู่มากมาทำจนกระทั่งเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงานเขาไม่กล้าทำอะไร เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีความรู้เรื่องศาสนาว่ามันเป็นเรื่องนอกรีตศาสนา จับได้เลย ปิดถนนบิณฑบาตหมื่นองค์ แต่เชื่อเถอะโกหกโลก ไม่ถึงหมื่นหรอก แสนรูป ล้านรูป อันนี้ ทั้งนั้นไม่ถึงทั้งนั้น แต่ขู่ด้วยตัวเลขโกหกหลอกลวงโลก นี่คือการกระทำของวัดธรรมกายธัมมชโย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องปราบให้สิ้นเสี้ยนหนามวันนี้เลยจริงๆ ล้มและปิดวัดพระธรรมกายเลย จึงจะถูกต้อง อย่าให้เหลือซาก ที่บอกว่าเป็นพระ เพราะพระเหล่านั้นคือพระโง่อยู่ในวัดธรรมกายคือพระอวิชชาทั้งนั้น จะไปบวชก็บวชวัดอื่น อย่ามางมงายอยู่กับเรื่องนรกอเวจีนี่เลย นี่มันหลุมนรกอเวจีที่มันหลอกลวง เป็นวิมานสวรรค์วิมานฟ้าอะไร เขาปรุงแต่งเป็นวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าหรูหราสวยงามอะไรของเขาไม่รู้ ชูเชิด แล้วบอกว่าที่นี่มีเปรียญ 9 มากที่สุด มี Doctor มีนักรู้ งดงาม เสื้อผ้าหรูหรา ไม่มีผ้าบังสุกุลเลย ผ้าเก่าผ้าหมองไม่มีเลย จะบอกว่าฟ้ากับเหวก็ยังไม่เท่า ห่างกันขนาดคนละ Galaxy เลย ไม่รู้กี่ล้านปีแสง
สู่แดนธรรมว่า...แม้คำว่าเดินจงกรมก็แปลผิด
พ่อครูว่า... ใช่ จงกรมแปลว่าการเดิน ไม่ใช่เดินแบบที่ทำกัน แต่เป็นการเดินธรรมดาอย่างศึกษาที่ต้องดูว่า มีกิเลสเข้าไปร่วมปรุงแต่งหรือไม่ แต่ถ้าเดินแล้วทำให้เกิดกิเลสเพิ่มขึ้นให้คนหลงยกย่องชมเชย มีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นโลกธรรม เดินให้สวยงดงามเลย ทั้งนั้นเลย เป็นมัณฑนายะทั้งนั้น ตกแต่ง ยกย่องให้เป็นวิภูสนัฏฐานา สวยงาม มันโลกีย์ล้านเปอร์เซ็นต์
จากการปรุงแต่งที่มิจฉาทิฏฐิ ศาสนาพุทธมีคำว่า ดงและเดิน ซึ่งออกนอกเขตศาสนาพุทธมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมิจฉาทิฏฐิในการออกป่าดง หรือความเข้าใจผิดคำว่าธุดงค์แปลว่าการเดิน การออกป่าออกดงผิดไปไกลเลย ซึ่งมันไม่มีในศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ออกป่าออกดง แม้แต่ผู้ที่จะปฏิบัติเชิงไปอยู่ในป่าบ้าง ท่านก็มีกำหนดว่าอย่าห่างจากหมู่บ้านไม่เกิน 2 กิโลเมตรหรืออย่างไร ท่านมีพระวินัยกำกับ ไม่อย่างนั้นก็จะเข้าใจผิด กลายเป็นออกป่าเขาถ้ำไปสู้กับเสือสิงห์ เอามาเล่ากันอีกต่อไป ว่าไปลูบหัวเสือมาแล้ว เป็นความน่าสงสารมากเป็นความไม่เดียงสา
สมัยนี้เดินก็เดินไปกิจธุระ ถ้าไม่มีกิจจะเดินจะไปเดินทำไม เถรสมาคมต้องออกกฎระเบียบให้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่ไปให้เที่ยววุ่นวายเดินไป เดินไปเหยียบข้าวนั้นมันสมัยพระพุทธเจ้า ก็เดินไปชนรถราเขาทั้งหมด เพราะคุณเหนียว คุณเป็นพระเก่งธุดงค์กรรมฐาน มีคาถา ชนรถราเขาพังหมด พูดประชดแดกดันไป ก็บอก ก็ว่าอยู่กันพอควร
อาตมาเคยพาพวกเราเดิน จากนครปฐมไปโคราช ค่ำไหนก็นอนนั่น โอ้โห ใช้เวลาเป็นเดือน ขากลับไปถึง ยังจำได้ ก่อนเข้าแดนอโศก ฝนมันมา โอ้โห ยังนึกถึง สิกขมาตุสดใส ร้องไห้เลย ทั้งฝนทั้งลม
พระไตรปิฎกเล่ม 8 ข้อ 1191
ธุดงควรรคที่ 6
ถืออยู่ป่าเป็นต้น
[1191] อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่านี้มี 5 จำพวก. 5 จำพวก อะไรบ้าง? คือ:
1. เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า
2. เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า
3. เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า
4. เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญ จึงถืออยู่ป่า
5. เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัย
ความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี 5 จำพวก นี้แล.
พ่อครูว่า…ใน 5 ข้อนี้ มีแต่ข้อ 5 เท่านั้น ที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง นอกนั้นผิดหมด แต่แม้แต่ข้อ 5 ความเงียบสงัด ความสันโดษ ขัดเกลา มักน้อย ไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่า เพราะว่า ป่า ตัวมันเองก็ไม่มีการปรุงแต่งโลกียะอะไรมาก มันเป็นธรรมชาติมันขัดเกลาตัวมันเองอยู่แล้ว เป็นความเงียบสงัด จากความเป็นโลกียะ ด้วยความเป็นกิเลส คำว่าเงียบสงัด ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีเสียง ไม่มีอะไร มันก็ใช่ ไม่มีเสียงโลกีย์ ไม่มีเสียงรถยนต์ผู้คนโวยวาย เถียงกันในเรื่องลาภยศสรรเสริญจนจะต้องอุดหู ก็อาศัยตรงนี้เหลือเศษเนื้อข้างเขียงเป็นสูตรที่ถูกต้อง แต่ที่จริงแล้วความสันโดษขัดเกลา มักน้อย เงียบสงัด เป็นความยิ่งใหญ่ที่ต้องปฏิบัติ ว่าคุณต้องเป็นคนมักน้อยท่ามกลางความมาก ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาก แต่คุณต้องมักน้อยได้ ต้องเป็นคนสันโดษ พอ แม้จะมีเยอะคุณก็ต้องหยุดได้ พอได้ ต้องสามารถขัดเกลากิเลสของคุณ คุณลดกิเลสลงหมด เงียบหยุด คำว่าสงัดหรือหมด ไม่ได้หมายความว่าต้องเงียบๆนิ่งๆออกป่า แต่นิ่งในใจ อย่างนั้นพาซื่อโง่ๆ เงียบสงัดหรือหยุดคือ จิตเงียบ อกุศลจิตไม่มี มีแต่ความแคล่วคล่องว่องไวของเวทนา สัญญา สังขาร เป็นกายปาคุญญตา กายกัมมัญญตา อยู่กับโลกอย่างคล่องแคล่วแข็งแรง ไม่ใช่อยู่กับโลกอย่างทื่อไม่มีอะไรกะดุกกะดิก
เรื่องหยาบๆจนละเอียด เลยอธิบายยาก มันหยาบมากจนละเอียดมาก อธิบายไปก็ยากเข้าใจกัน ผู้เข้าใจได้ก็ดี
ในห้าข้อแรกนี้ สามข้อแรกซวยหนัก 1.โง่เขลา 2.ลามก 3.บ้า 4.ไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าและสาวกพระพุทธเจ้าสรรเสริญการอยู่ป่า แท้จริงแล้ว ท่านไม่ได้สรรเสริญ แต่ท่านดูถูกการออกป่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ดี ไม่ได้ว่าคนอย่างโพธิรักษ์ จะชั่วอย่างไรก็ไม่ก่นด่า แต่อาตมาต้องจำนนที่ต้องทำ ต้องชี้ให้ชัด เพราะมันไม่รู้ ขนาดพูดชัดขนาดนี้ยังไม่กระเตื้องเลย ยังบอกว่า ตนเองหลงผิดก็หลงไป ฉันก็จะออกป่า ฉันก็จะเดินธุดงค์ จะทำไม พระพุทธเจ้าก็สอนกายคตาสติ จะเดินก็เดิน จะก้าวจะยืนจะนั่งจะนอน ให้ดูว่ามีกิเลสซ้อนในนั้นหรือไม่ แต่นี่ ที่ไปเดินอย่างมีกิเลสเต็มรูปเลย เดินอย่างประดับตกแต่งเหมือนธรรมกาย ไปเดินข้างถนนอย่างนั้น แล้วตกแต่งถนนเขาด้วยนะ
สมณะเดินดินว่า...เดี๋ยวนี้แม้แต่พระเขมรก็ยังรู้ว่าออกไปแต่งตัวแล้วไปเดินในถนนอย่างนั้นจะได้เงิน เพราะเป็นพระธุดงค์และคนจะถวายเงินทอง
พ่อครูว่า...เป็นความหลงโง่งมงาย ก็หลอกคนโง่ได้ โง่เขลางมงาย มีความปรารถนาลามก และถูกครอบงำด้วยความปรารถนาลามกนี้ ทั้งวิกลจริตจิตฟุ้งซ่าน และหรือข้อ 4. เข้าใจผิดว่าพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าสรรเสริญการอยู่ป่า ท่านสรรเสริญที่ไหน ต้องทำความเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าให้ดี แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นคนไปเบ่งข่ม ขนาดพระพุทธเจ้ายังไปหลงทำตามเลย ตอนออกบวชแรกๆก็ไปเข้าป่ากับเขา แล้วไปค้นพบว่ามันไม่ใช่ทาง พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ในอัมพัฏฐสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 9 ข้อ 163
ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4
ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่ 4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?
1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.
[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.
[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.
[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง 4 นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่ 4.
ดูกรอัมพัฏฐะ ทางเสื่อมแห่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้มีอยู่
พ่อครูว่า...การจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟเป็นเรื่องนอกรีตศาสนาพุทธ แต่เดี๋ยวนี้มีเต็มไปหมดทุกวันถ้าวันไหนไม่มีจุดธูปเทียนบูชาไฟถือว่าไม่ใช่ที่ของศาสนา อย่างอโศกนี่ มีพระพุทธรูปแล้วไม่มีที่จุดธูปเทียนบูชา เขาก็เลยเดินผ่านไปมาไม่กราบ เป็นพระองค์เบ้อเร่อ บางคนที่จะยกมือไหว้ น้อย นอกนั้นก็เดินดู ไม่มีธูปเทียนบูชาให้จุด ก็เลยบอกว่ามันเหมือนพระ เหมือนพระพุทธรูปแต่ถ้าไม่มีจุกกลางหัวแหลม นอกนั้นก็เหมือนนะ หูยาวๆ นั่งดูเหมือนพระพุทธรูปเหมือนกัน คนที่ถูกครอบงำความคิดแล้วก็เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว แทนที่ใครไปมาแม้แต่คนข้างนอกมาเป็นช่างอะไรในนี้ ไม่เคยกราบไม่เคยเคารพ พวกเราก็ไม่เคยกราบเคารพให้เขาเห็นด้วย พวกเรารู้ว่าเวลาที่ควรกราบ พวกทิเบตก็กราบจังกราบเกิน เกรงใจอยู่นะ แต่ไม่ปราบก็หลงงมงายกัน
การไปหลงออกป่าพอทำเนา ดันผ่าเอาสิญจนยัญ อัคคียัญมาใช้เสริมไปอีก นี่ไม่ได้ออกป่านะ เป็นแต่เพียงว่าเมื่อหาผลไม้กินไม่ได้เลยสร้างเรือนไฟล่อคน ดึงคนข้างป่านั้นแหละ
ผู้ใดผ่านมา เหมือนเป็นนักบวชผ่านมา ที่นี่ก็จะรับมาเลย แล้วมาทำพิธีบูชาไฟบูชาน้ำอะไรพวกนี้ไป ครบเครื่อง ทั้งหรูหรายิ่งใหญ่ เหมือนกับธรรมกายนี้ แล้วก็นั่งสวดมนต์กันเป็นล้านเที่ยว ปรุงแต่งกันทำไป แม้แต่เศษสะเก็ดของศาสนายังไม่มีเลย ได้แต่ดอกใบ
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบศาสนาพุทธ วิมุติเปรียบเหมือนแก่นไม้ ปัญญาเปรียบเหมือนกระพี้ไม้ สมาธิเปรียบเหมือนเปลือกไม้ ศีลเปรียบเหมือนสะเก็ดไม้ ส่วนลาภ ยศ สรรเสริญเปรียบเหมือนใบไม้ดอกไม้ที่อร่ามเรืองบนต้น
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ไม่มีสะเก็ดไม่มีเปลือก กระพี้คือปัญญา แก่นคือวิมุติไม่มีเลย มีแต่ดอกใบผล อยู่ข้างบนเท่านั้น นี่คือศาสนาพุทธที่เป็นอยู่ ลาภสักการะเสียงสรรเสริญเท่านั้น เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นพระพรหมเป็นสมเด็จ เต็มไปหมด มีอยู่เท่านั้น แต่ก็มีตำแหน่งหน้าที่มีลาภสักการะ มีเงินดาวน์เงินเดือน ชั้นสูงสุดเรียกว่านิตยภัต ซึ่งมันเป็นเรื่องออกนอกรีตศาสนาพุทธจนกระทั่งอาตมาเห็นแล้ว พูดไปก็มีแต่ไปว่า ไม่รู้จะทำอย่างไรเลี่ยงไม่ออก ได้แต่ตำหนิได้แต่เหมือนดูถูก ก็ต้องขออภัยด้วย ไม่ได้ทำเพื่อที่จะยกตนข่มใคร ไม่ได้ทำเพื่อลาภสักการะ ไม่ได้ทำเพื่อจะอวดดิบดี ว่าฉันนี่แหละเป็นผู้รู้ คุณจะต้องมาเคารพนับถือฉันนะ ฉันเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในศาสนานะ แต่ที่เขาทำนั้นไม่มีทางลดละกิเลสได้เลย บวชไปแล้วบริบูรณ์สมบูรณ์ที่สุดจะเป็นอย่างไร ได้เป็นพระผู้ยิ่งใหญ่ ตำแหน่งสูงสุด นั้นก็คือพระที่ส่วนใหญ่บริหารศาสนาอยู่
บางส่วนไปเป็นพระป่าก็ยังเอาตำแหน่งไปใส่ให้ท่านนะ พระที่นั่งสมาธินั้นได้อย่างเก่งก็เป็นขั้น เป็นสมเด็จแล้ว
อยากจะขยายความ ข้อที่ 5 พวกที่หลงยึดถือป่า ข้อที่ 1-4 ไม่ยาก
1. เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า
2. เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า
3. เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า
4. เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญ จึงถืออยู่ป่า
5. เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัย
ความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า
ที่จริงมีคำพูดว่าเรายินดีในป่า ยินดีในเรือนว่าง ยินดีในเสนาสนป่า ไม่ใช่บอกว่าหลงไปอยู่ป่า
ขอถามเอาอาตมาเป็นตัวยืนยัน อาตมาออกบวชแล้วไม่เคยบุกป่า แต่อาตมาพาสร้างป่าทุกแห่งที่ไปอยู่
แดนอโศกเป็นที่ของเขา พอมามีที่ของเราแห่งแรกคือปฐมอโศก อาตมาก็พาสร้างป่าจากนาเน่าๆ ถมที่ ปลูกต้นไม้ จนเดี๋ยวนี้ปฐมอโศกเป็นป่า สร้างพุทธสถานทุกแห่งก็เป็นป่า มาอยู่ที่ราชธานีอโศกเป็นดินแดนน้ำท่วม มีแต่ไม้พุ่ม ไม้ริมทาง เราก็พยายามสร้างปลูกต้นหมากรากไม้ ปลูกต้นไทรปลูกต้นฉำฉา ที่เป็นไม้เบญจพรรณ ตอนนี้ปลูกต้นยางเยอะ ต้นอะไรที่ควรปลูก เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดแต่ปาก พูดแล้วทำด้วย
ผู้ที่เข้าใจในสิ่งที่มันถูกต้องว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญป่า แต่มีใจยินดีในความเป็นป่า ซึ่งมันเป็นเรื่องอธิบายยาก พระสมัยพระพุทธเจ้ามีป่าเยอะ ขนาดวังก็ยังเป็นป่าเลย พระเจ้าอชาตศัตรูเดือดร้อนที่ตัวเองฆ่าพ่อ ต้องหาวิธีแก้ไขทุกข์นี้ ชีวกโกมารภัตก็เลยบอกว่า ไปพบพระพุทธเจ้าที่อยู่ข้างๆนี้ อยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ก็ยกขบวนไปม้า 500 ช้าง 500 ไปหาพระพุทธเจ้าตอนเกือบมืด เข้าไปหาพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งไม่ได้ไกลกันเลย ต่างๆนานาพวกนี้ มีทางประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์ ถ้าเข้าใจแล้วศาสนาพระพุทธเจ้านั้น
1 ไม่ได้มุ่งออกป่าแต่ก็ต้องยินดีในป่า สร้างป่าในเมือง เพราะฉะนั้นการสร้างป่าในเมืองก็คือสร้างวัดป่า ป่าอะไร ป่าคือสวน สวนเจ้าเชต สวนมะม่วง สวนไผ่ เวฬุวัน เชตวัน ก็มีหลักฐานยืนยัน แต่จิตใจมันมุ่งหมายผิด มีความปรารถนาลามก ก็เลยเห็นว่าต้องออกป่าดง
แม้ข้อ 5. สภาพของป่า มันมีคุณลักษณะพิเศษตรงที่มักน้อย สันโดษ ขัดเกลา เงียบสงัด เป็นคุณสมบัติอันวิเศษของมนุษย์ สร้างอันนี้ใส่ตนให้ได้ในจิต ถ้าหากจิตใจเรามักน้อยสันโดษดังกล่าว เงียบสงัดจากกิเลสต่างๆ เราก็เอาความดีงามนั้นมาให้แก่ตัวเอง ไม่ใช่ไปลงพื้นที่ภูมิศาสตร์ ที่มีความมักน้อยสันโดษเงียบสงัดขัดเกลา ที่เป็นคุณสมบัติของมันเอง ที่แปลจากบาลีว่า อิทมตฺถิตฺเว
จิตใจที่สงัดจากกิเลส จิตใจยิ่งไม่เงียบยิ่งแข็งแรงเร็วไวเสียงดัง ไม่ใช่เงียบ บื้อทื่อ
คุณสมบัติมักน้อยสันโดษขัดเกลาเป็นคุณสมบัติของจิต จิตใจที่มีความมักน้อยสันโดษขัดเกลาสงัดจากกิเลส จิตอย่างนี้เป็นจิตที่ยิ่งมีคุณสมบัติมักน้อย ยิ่งเป็นผู้ที่เป็นจอมเศรษฐศาสตร์ หรือสันโดษ เป็นจิตที่มีความเพียงพอ ใจพอสันโดษสุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์อยู่กับสังคมประเทศชาติ เป็นคนขัดเกลา ขัดเกลาความสุจริตกายวาจาใจหรืออกุศล ขัดเกลา เป็นคนที่มีจิตสงัดจากกิเลส ถ้าอย่างนี้คือคุณสมบัติอันวิเศษที่เป็นป่าหรือธรรมชาติ มันก็มีคุณสมบัติอันนี้อยู่ในธรรมชาติของมัน
เขาก็ไปเอาเศษเนื้อข้างเขียง อิทมตฺถิตฺเว นิสฺสาย อารฺโก คือมันเป็นเรื่องที่อาศัยสิ่งเหล่านี้ทำประโยชน์ ถ้าคนมีจิตมักน้อยสันโดษขัดเกลาสงบจากกิเลส คนนี้ก็อยู่ในเมือง แต่เป็นคนมีป่าในหัวใจเต็มเลย มีความมักน้อยสันโดษขัดเกลาสงัดจากกิเลส เต็มๆอยู่ในจิต แม้จะอยู่ในเมือง เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นการงานอันวิเศษที่ประเสริฐอยู่กับสังคมเลย เป็นการงานอันเหมาะสมควรไม่มากไม่น้อยไป ได้สัดส่วนพอเหมาะพอดี
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจความมักน้อยสันโดษขัดเกลาเงียบสงัดที่เป็นคุณสมบัติของธรรมชาติ ก็อาศัยอันนี้ เหมือนกับขอเศษเนื้อข้างเขียงของป่า ที่จริงไม่ใช่เศษเนื้อข้างเขียงแต่เป็นเนื้อแท้ความพิเศษของป่า มันมีความมักน้อยสันโดษขัดเกลา แต่คนกลายเป็นคนหลงป่าโง่เขลามันคนลามกฟุ้งซ่านคนบ้า หรือว่านึกว่าพระพุทธเจ้าสรรเสริญการออกป่า ก็เลยออกไป แต่ที่เก่งจริงๆคือจะเอาประโยชน์จากธรรมชาติของป่าได้ ถ้าไม่เก่งพอไม่ฉลาดพอจะกลายเป็นถูกป่าเอาใจเธอไปหมดเสียแน่ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอุปาลิสูตร
ล.24 ข้อ 99 อุปาลีสูตร...ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาเพื่อสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้สมาธิจักสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัดผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน
ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนมีห้วงน้ำใหญ่อยู่ มีช้างใหญ่สูง 7 ศอกหรือ 7 ศอกกึ่ง มาถึงเข้า ช้างตัวนั้นพึงคิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วพึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมากลับไปตามต้องการ ช้างนั้นลงสู่ห้วงน้ำนั้นแล้วพึงขัดถูหูเล่นบ้าง ขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบ ดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตามต้องการ
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าช้างนั้นเป็นสัตว์มีร่างกายใหญ่ ย่อมได้การลงในน้ำลึก ครั้นกระต่ายหรือเสือปลามาถึง (ห้วงน้ำนั้น) เข้า กระต่ายหรือเสือปลาพึงคิดอย่างนี้ว่าเราเป็นอะไรและช้างใหญ่เป็นอะไร ไฉนหนอ เราพึงลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วจึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตามต้องการ กระต่ายหรือเสือปลานั้นก็ลงสู่ห้วงน้ำนั้นโดยพลัน ไม่ทันได้พิจารณา
กระต่ายหรือเสือปลานั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือจักจมลงหรือจักลอยขึ้นข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่ากระต่ายหรือเสือปลานั้นเป็นสัตว์มีร่างกายเล็ก
พ่อครูว่า...ผู้ที่จะออกป่า หากไม่มีสมาธิแข็งแรงออกป่าไม่จมก็ฟู ไม่จมดิ่งบาดาลก็ลอยออกไปนอกโลก ไม่จมก็ฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือน กระต่าย เสือปลา มีรูปร่างเล็ก ไม่เหมาะลงน้ำ
ผู้บรรลุธรรมมีจิตเป็นสมาธิแล้ว จะไปในป่าหรือเมืองก็มีจิต ไม่หวั่นไหวตกต่ำ จิตใจจะไม่เป็นอะไรเลย ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ไม่ว่าจะเจอกับโลกธรรมในป่าหรือในเมืองคือจิตที่บรรลุธรรม
เกิดผลจากการปฏิบัติ เกิดฌานและเกิดวิมุติ เป็นจิตที่ตั้งมั่นทำได้ก็ค่อยมีจิตเจริญขึ้น เป็นฌาน เป็นวิมุติสั่งสมตกผลึก ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้ที่เป็นสมาธิจึงไปป่าเขาถ้ำหรือไปที่ไหนก็ได้ ออกเมืองออกป่าไปที่ไหนได้หมด สมาธิไม่ใช่การสะกดจิต แต่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ปฏิบัติลืมตาไปตามลำดับ สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอจินไตย
เป็นฌานวิสัย พุทธวิสัย เข้าใจยาก รู้ไม่ได้ง่ายๆสมาธิของพระพุทธเจ้า แต่สมาธิของฤาษีชีไพร โลกียะดูไม่ยากหรอก เข้าใจไม่ยากหรอกไม่เป็นอจินไตยเลย แต่สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่คิดเอา เดาเอาไม่ได้ คาดคะเนเอาไม่ได้ ผู้บรรลุความเป็นสัมมาสมาธิของศาสนาพุทธแล้ว จึงจะรู้ด้วยตัวเองเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นจะต้องปฏิบัติไปตามลำดับ
หนึ่ง ปฏิบัติศีลเบื้องต้น จากศีลก็มีกายวาจาใจ กายสามข้อ วจีหนึ่งข้อ ใจหนึ่งข้อ เรียกว่าศีล 5 ปฏิบัติศีล 5 นี้ให้จิตเป็นสมาธิ ก็เป็นโสดาบัน
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติสมาธินั่งหลับตาแล้วเป็นพระอรหันต์เลย ไม่ใช่ ต้องมีองค์ประกอบด้วยศีล ถ้าไม่มีองค์ประกอบด้วยศีลเป็นลำดับๆอย่างมหัศจรรย์ ไม่เป็นขั้นตอนเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ก็เละ สมาธิขั้นแรก จิตสงบจากกิเลส มีศีล 5 เป็นเบื้องต้น ก็เป็นโสดาบัน ศีล 8 เป็นสกิทาคามี ศีล 10 เป็นอนาคามี ศีลนอกนั้นไปเป็นศีล 26 เป็นพระอรหันต์ได้เลย
เคยได้ยินใครอธิบายศีลอย่างอาตมาไหม ถ้าศีลไม่ใช่เครื่องชี้บอกว่าคุณจะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ คุณพูดไม่ออกพูดไม่ได้ ทุกวันนี้บอกว่าโสดาบันเป็นอย่างไรประมาณหนึ่ง จิตไม่มีกิเลสระดับหนึ่งแบบนี้โมเมอยู่
จะต้องมีขนาดกำหนด มีกรอบ ปฏิบัติศีล 5 เป็นเครื่องชี้บ่ง ศีล 5 ทำให้จิตใจเป็นสมาธิเป็นวิมุติได้ เป็นสมาธิเป็นวิมุติ ต้องมีปัญญารู้ตลอดว่าศีลเป็นอย่างนี้ สมาธิเป็นอย่างนี้เป็นวิมุติอย่างนี้ ปัญญาจะเป็นตัวอธิปัญญา รู้แจ้งรู้จริงในการปฏิบัติตลอดเวลา ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วก็ไม่รู้เรื่อง เอาแต่นั่งหลับตาไปเป็นยังไงก็ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะวัดได้ วัดค่าอย่างนั้นอย่างนี้ได้
ศีล 5 นี้ ข้อ 1.เกี่ยวกับสัตว์ คุณอยู่ในโลกมีสัตว์กับของ 2.คือวัตถุสมบัติที่ไม่ใช่ของๆเรา คุณจะไปทุจริตจะไปทำร้าย อย่าไปละเมิด สัตว์เขาเป็นอิสรเสรีภาพส่วนตัวเขา อย่าไปละเมิดชีวิต เขาก็เป็นของเขา ไปจับเขามา เป็นบาป เป็นอันมาก
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)
2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภติ โส อิเมหิ ปญฺจหิ ฐาเนหิ พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
สมณะเดินดินว่า...สิ่งที่พ่อครูพูดวันนี้เรื่องสิ่งที่คนทำกันทั่วโลก พ่อครูแยกแยะคำว่ายินดีในการอยู่ป่า กับการติดป่า นั้นต่างกัน การไปเข้าใจผิดว่า การออกป่าจะบรรลุธรรมหรือไม่ยินดีในอาจารย์ที่อยู่ป่า ก็เป็นความเสื่อม แม้แค่ ได้ยินดีในการเก็บผลไม้แล้วไปอยู่ป่าก็คือเสื่อม
ยูทูป
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:09:33 )
รายละเอียด
610119_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ วางความหวัง แล้วทำแต่เหตุให้ถึงความหวังนั้น
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก
พ่อครูว่า...โลกนี้ก็มีการเคลื่อนตลอดเวลา แต่อันไหนที่สุดยอดแน่นไม่เปลี่ยน อันนั้นจะมีได้ในจิตคนที่ได้ตั้งแต่ หยาบๆ คืออบาย ได้แล้วก็ค่อยได้เพิ่มมาตามลำดับ จากอบายภูมิ มากามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิตามลำดับ เป็นวิมุตินิโรธ ของพุทธที่ดับกิเลสอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
สมณะเดินดินว่า…วันอาทิตย์นี้ก็จะมีงานรำลึกถึงหมอฟากฟ้าหนึ่งที่ปฐมอโศก ปลายเดือนจะมีงานฉลองหนาว ญาติธรรมที่จะไปก็เตรียมเครื่องกันหนาวไปด้วย จะมีภาวะความแปรปรวนของอากาศอาจมีหนาวมีฝนด้วย ต้องประเมินสุขภาพของตนเองให้ดี
ช่วงนี้พ่อครูจะเทศน์เรื่อง 2 ป คือ ป่า และประชาธิปไตย
เรื่องประชาธิปไตยมันง่ายกว่าเรื่องโลกุตระตั้งเยอะ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจ วันนี้ไปดูในสมัยยุคพลเอกเปรม ก่อนจะลงออกจากตำแหน่ง บอกว่าเป็นการก้าวลงอย่างสง่างาม ผลการเลือกตั้งออกมา พวกพรรคการเมืองทั้งหลาย ก็ไปเชิญท่านให้เป็นนายกฯต่อ แต่ท่านก็บอกว่าพอแล้วเอาแค่นี้แหละ สมัยนั้น อาตมาเป็นนักศึกษาอยู่ รู้สึกว่าค่านิยมของปัญญาชนในยุคนั้น เป็นยุคที่ใช้ไม่ได้ เป็นยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ โดนล้อเลียน ตอนนั้นหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ถือว่าเป็นเสาหลักประชาธิปไตย บอกว่าจะเขียนด่าพลเอกเปรมทุกวันจนกว่าพลเอกเปรมจะลาออก เราเองเป็นนักศึกษาก็ฟังแล้วมันส์มาก รู้สึกว่าเป็นคนที่ขัดขวางความเจริญ และเป็นผลเสีย ของประชาธิปไตย แต่เมื่อมีการปฏิวัติที่ไม่สำเร็จ ในหลวงก็ตั้งให้พลเอกเปรมเป็นรัฐบุรุษเลย เป็นประธานองคมนตรี ทำให้งงกันไปตามๆกัน
ผลงานของพลเอกเปรมนั้นเป็นคุณูปการต่อประเทศไทย เขาใช้คำว่า พหุคุณูปการ ตอนนั้นมีการต่อสู้ระหว่างคอมมิวนิสต์กับนักศึกษา ก็ใช้วิธีการประนีประนอม เศรษฐกิจก็มีการวิกฤตมาก ต้องลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้ง สุดท้ายก็สามารถแก้ไขได้ทำให้มีเงินคงคลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตอนที่อยู่นั้นใครก็มองว่าเป็นตัวถ่วงทำให้เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ พอมองสมัยนี้ ก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน คนไทยก็ยึดติดตำรา นักวิชาการยึดติดตำรา ในหลวงตรัสไว้ว่าอย่าไปยึดติดตำรามากเกินไป ฝรั่งบอกไว้ ฝังในหัว ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พลเอกประยุทธ์ก็บอกว่าให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยนิยม คนเขาก็ตีความไปว่าเป็นประชาธิปไตยแบบเอาตามใจตนเองหรือไม่?
คนไทยฉลาดมอง ติได้หมด แม้แต่พระพุทธรูปสวยงามขนาดไหนก็ติจนได้ พระพุทธรูปสวยหมด เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้ พระพุทธรูป ก็ยังสามารถหาข้อตำหนิได้
ส่วนเรื่องของป่านี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากกว่าอีก โลกทั้งโลกมีการนั่งหลับตา ปฏิบัติก็ไปในป่า พระพุทธเจ้าก็ไปตรัสรู้ในป่า พระพุทธเจ้ายังบอกอีกว่าท่านยินดีในการอยู่ป่า คำเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้หลงรักป่า ถ้าหากมาปฏิบัติธรรมแล้ว
สื่อธรรมะพ่อครู(วรรณะ 9) ตอน ป่ากับศาสนาพุทธ 4
พ่อครูว่า..ที่จริงแล้วท่านไม่ได้ยินดีในการอยู่ป่า ไปอ่านในที่อาตมาขยายความตอนนี้ ภิกษุไปติดอยู่ป่า ยินดีในความเป็นป่า อย่างผมนี่ยินดีในความเป็นป่า จะไปอยู่ที่ไหนก็สร้างป่า สันติอโศก ปฐมอโศก แม้จะเป็นท้องนาเน่าๆก็สร้างป่าได้
สมณะเดินดินว่า...พ่อครูเปรยๆว่า ขายภูผาฟ้าน้ำเสีย ก็คงจะหมดป่าให้พวกฤาษีอยู่
พ่อครูว่า...ก็มีป่าที่อื่นอยู่
สมณะเดินดินว่า...ก็จะได้ไม่เจอโรคร้ายที่มีในป่านั้น คนทั้งโลกเข้าใจอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าการเข้าใจประชาธิปไตยอีก เป็นภาษาอย่างนั้น ถ้าคนมีทิฏฐิอย่างนั้นก็จะเข้าใจอย่างนั้นเลย ย่อมจมไปเลย แม้ใจอาตมาเองลึกๆก็มีใจชอบอยู่ภูผาฟ้าน้ำ
พ่อครูว่า..จะขอประกาศไปว่าใครจะซื้อภูผาฟ้าน้ำ ก็มาได้นะ ขายแล้วขายเลย จริง เพราะว่า ถ้าจะอยู่เชียงใหม่ก็มีภูผาฟ้าน้ำ และมีภูฟ้าผาธรรม ห่างกันแค่ 10 กม. และมันพอเหมาะกับเรา ไม่ใหญ่โตอะไร ที่จะมีสถานที่ ภูมิประเทศทางโน้น อยู่สูงบนเขา เป็นธรรมชาติ เราก็ได้ธรรมชาตินี้มาตามบารมีของเรา อาตมาก็ว่า ช่วยกันดูแลช่วยกันทำ ตอนนี้จุ้ยก็หนักคนเดียว เป็นหลักใหญ่ คนอื่นก็ช่วยอยู่บ้าง อาตมาก็ถือว่าเป็นอันหนึ่งในสถานะของความเป็นป่าในชาวอโศกเรา เป็นรูปแบบประยุกต์ ไม่ได้เป็นแบบ โสกโดก ดิบๆที่เขายึดกัน
จะต้องเข้าใจสภาพธรรมะ 2 (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะเดินดินว่า...หากไม่มีภูผาฟ้าน้ำ ก็หมดภพฤาษี ตัวอาตมาเองภพฤาษีหมดแล้ว แต่ก่อนพอเราไปอยู่ภูผาฯ ก็อยากอยู่อย่างนั้นนิรันดร แต่ตอนนี้ หากขายไป ก็หมดภพแล้ว
พ่อครูว่า...สำนวนที่บอกว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจยินดีในความเป็นป่า ไม่ใช่ประโยคไปยินดีในความไปอยู่ป่า ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าท่านว่าแรง ในประเด็นที่ว่านี้ ในพระไตรปิฎกเล่ม 8 ในพระวินัยปิฎก
ธุดงควรรคที่ 6 ถืออยู่ป่าเป็นต้น
[1191] อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่านี้มี 5 จำพวก. 5 จำพวก อะไรบ้าง? คือ:
1. เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า
2. เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า
3. เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า
4. เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญ จึงถืออยู่ป่า
5. เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัย
ความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติตามนี้ จึงถืออยู่ป่า
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี 5 จำพวก นี้แล.
ข้อที่ 4 เหมือนพระกัสสปะต้องอนุโลมให้ เพราะเป็นคนเดียวในศาสนาพุทธเลย เป็นเรื่องวาสนาของพระกัสสปะ ที่เป็นเถรวาทเต็ม ต้องเรียกว่าเถรวาทสุดโต่งเต็มที่ แต่มีสัมมาทิฏฐิที่สามารถที่จะบรรลุหลุดพ้นได้ เท่านั้นเอง แต่ในด้านเจโตนี้สุดโต่งเป็นเทวนิยม หนักทางศรัทธา เจโต ปัญญาไม่เท่าไหร่ ไม่ได้อยู่ในอย่างปัญญา อยู่ในระดับเจโตเต็มขั้นแต่มีบารมีที่ได้บรรลุอรหันต์ เป็นตัวอย่างหนึ่งรูปในศาสนาพุทธพระสมณโคดม ไม่มีใครเทียบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปะ เทียบเท่าเราในด้านเจโต เพราะสุดแห่งที่สุดแล้วพระพุทธเจ้าก็มีเจโตอย่างพระกัสสปะแต่ท่านไม่ทำโต่งอย่างนั้น ที่ท่านตรัสว่า พระกัสสปะเทียบเท่าเรา หรือบอกว่าพระสารีบุตรเทียบเท่าเรา มันก็เป็นสองฝั่งของทางปัญญาและเจโต ผู้ที่เข้าใจไม่ได้ มีความเอียงไปทางเจโตดิ่งเลย
ข้อที่ 4 ที่หลงเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าและสาวกสรรเสริญการอยู่ป่า มีสำนวนว่า อยู่ป่าเป็นวัตร คือไม่ใช่ถืออยู่ป่า แต่อยู่ป่าเป็นวัตร วัตร แปลว่าการประพฤติปฏิบัติ หากจะประพฤติปฏิบัติอยู่ป่าบ้าง ผู้เอนเอียงอยู่ป่า ก็จะไปในป่ามากหน่อย แต่สุดท้ายแล้วศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาของคนอยู่ป่า เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ที่ผู้ใดไปหลงป่า เข้าใจว่าป่าเป็นที่ตั้งของศาสนาพุทธ อาจารย์ผู้ที่บรรลุจรณะ 15 วิชชา 8 ผู้บรรลุวิชชาสมบัติจรณะสมบัติบริบูรณ์แล้วจะอยู่ป่า ไม่มีในศาสนาพุทธ ผู้บรรลุวิชชาจรณะสัมปันโนแล้วจะต้องออกจากป่าทุกองค์ เพราะฉะนั้นการไปแสวงหาอาจารย์ในป่าจึงเริ่มเป็นความเสื่อม และเสื่อมหนักที่คิดว่า ผู้ที่บรรลุวิชชาและจรณะจะต้องอยู่ในป่า ซึ่งไม่มี
มีพระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ในป่า แต่ที่ท่านตรัสรู้ไม่ใช่ไปปฏิบัติ ท่านไประลึกของเก่าของท่าน ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณที่ได้บรรลุมาแล้ว ในปางที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะนั้นไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพุทธเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะท่านได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ลงมาอุบัติในโลกเป็นพระพุทธเจ้า แต่กว่าที่จะค่อยๆรู้ก็มีวิบาก
วิบากของพระสมณโคดม ต้องไปป่า แต่พระพุทธเจ้าบางองค์ไม่ได้ออกป่า ก็ตรัสรู้ในสวนในอุทยานของพระเจ้าแผ่นดิน ตรัสรู้ เวลาปฏิบัติก็ระลึกชาติเช่นกัน ไม่ได้ปฏิบัติอะไรมาก 7 วันเท่านั้นสูงสุด ก็ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ในอุทยานของกษัตริย์นั้น และอาศัยความสงบของป่า เรียกว่าวิเวกของป่า ซึ่งเป็นคุณธรรม ส่วนดี
คือ มักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด อยู่ในข้อที่ 5 ของพระสูตรนี้ ซึ่งเป็นส่วนน้อย ป่านี้มีโลกีย์น้อย ไม่มีลาภยศสรรเสริญอะไรให้สัมผัส ยศศักดิ์ไม่มี สุขก็ไม่มี เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ ไม่มีอัตตา มานะ หรือกามหรืออัตตาก็ไม่มี มันเป็นป่า แต่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์แย่งกัน ปุถุชนจะแย่งกัน ไม่มีในป่า
แต่ลึกๆส่วนหนึ่ง มนุษย์ต้องอาศัย จิตนิยามต้องอาศัยพีชนิยาม ส่วนดีเด่นของพีชนิยาม พีชนิยามไม่เห็นแก่ใครเลย เห็นแก่ตัวเองเท่านั้นแต่ไม่ไปทำร้ายใคร ไม่มีความโกรธไม่มีพยาบาท ไม่ชังใคร ใครทำลายมันได้ มันก็แพ้ก็สลายไป แล้วมันก็ไม่มีความจำที่ยึดถือเป็นพยาบาท ชังไม่มี มีแต่ตัวมัน รวบรัด เป็นพลังงานแม่เหล็ก ที่ยึดถือ สภาพเป็นตัวตนของ พีชะ นัยละเอียดพวกนี้ค่อยๆศึกษาไปแล้วจะเข้าใจพลังงานและระดับ แสง เสียงแม่เหล็กไฟฟ้า อุตุนิยามด้วย ซึ่งซ้อนในนั้น
อุตุนี้ มันเป็นของมันเอง จะเป็นภัยก็ไม่ใช่เป็นคุณก็ไม่ใช่ อย่างหลุมดำนี่ คุณก็ไปตกใส่มันเอง มันก็อยู่ของมัน
พ่อครูพูดถึง มหาระแบบ อาตมาเคยยิ้มให้แต่ท่านทำบึ้งๆ นี่คือ สัมผัสสุดท้าย ท่านเป็นผู้ตัวตั้งตัวตี รื้อฟื้นคดีอาตมา ตามมาตรา 18 ไปบัญญัติ ขึ้นมาใหม่ที่เป็นคนชงเรื่องให้สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเป็นผู้เซ็นสั่งให้พ่อครูสึกภายใน 7 วัน ตอนที่เกิดคดีสันติอโศก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกินกว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติ ผิดไปจากพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ว่าผู้ที่ผิดพระวินัย 11 ข้อ จึงจะสั่งให้สึกได้ แต่นี่สั่งมาขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะเรื่องวินัย ไปบัญญัติพระธรรมวินัยเองใหม่ไม่ได้ การสังคายนา เกิด ก็ว่าอย่างไรๆก็ไม่แก้ไข พระอานนท์ว่าไม่แก้ไข อาบัติเบาๆ นั้นพระพุทธเจ้าบอกว่า เพิกถอนได้ แต่สุดท้ายก็ไม่แก้ ซึ่งดีสุดแล้ว เพราะยุคนี้เป็น ยุคปลายภัทรกัปป์แล้ว ไม่มีใครฉลาดเกินกว่าพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้สู้พระพุทธเจ้าองค์ก่อนไม่ได้ พระพุทธเจ้ามีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันทุกองค์ แต่องค์ประกอบ ยุคสมัย ผู้คน ปริมาณคุณภาพไม่เท่าเทียมกันในของโลก ยุคของพระสมณโคดม กับพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ที่บางองค์มีพระภิกษุอรหันต์มารวมกันเป็นล้านองค์ในมาฆบูชา แต่ท่านก็ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันทุกพระองค์
SMS วันที่ 17 มกราคม 2561 (พ่อครู : บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อจินไตย) ตอน อจินไตยของพระเจ้าอโศกมหาราชและพ่อขุนรามคำแหง
พ่อครูว่า...SMS วันที่ 17 ฟังดีๆนะ ตั้งใจฟัง มีอจินไตยหลายๆอย่าง
_7630ผมว่าพ่อครูในอดีตชาติคือ..พระเจ้าอโศกมหาราช- พ่อขุุนรามคำแหง
พ่อครูว่า..คงลองใจอาตมา แหย่หนวดเสือ ว่าจะเป็นเสืองับเอาไหม ...อาตมาพูดด้วยความจริงใจ ว่าอาตมาคือพระเจ้าอโศกมหาราช คือพ่อขุนรามคำแหง ก็ไม่ผิด แต่ขณะนี้ปางนี้ อาตมาก็ระลึกได้ไม่มาก ในความเป็นพระเจ้าอโศก และพ่อขุนรามคำแหง ก็เลยนำสิ่งที่เราเองมีเก่ามาใช้ได้น้อย มาใช้บ้าง ถ้าใครเข้าใจในบัญญัติในสภาวธรรม ที่มีนัยสำคัญของพระเจ้าอโศก และของพ่อขุนราม มี ถ้าใครเข้าใจดี ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ก็ไม่ได้บัญญัติจากตำราไหนเป็นของเก่าอาตมา แล้วจะไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอันนั้นอันนี้มา อาตมาก็บ้า แล้วพวกคุณก็จะบ้ากว่าอีก สิ่งเหล่านั้นมันอาศัยการเกิดทั้งนั้น อาตมาก็รู้ว่า อาศัย พระเจ้าอโศก เราก็อาศัยเกิด พ่อขุนราม เราก็อาศัยเกิด แล้วก็ทำงานเพื่อจะพัฒนาอัตภาพนี้ของเราไป เท่านั้นเอง อาตมาไม่บ้ายึดมั่นถือมั่นอะไร ใครจะว่าใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่มีปัญหา
สมณะเดินดินว่า...เรื่องนี้พ่อครูไม่ได้ยึด แต่ถ้าพวกเราไปยึด ก็จะบ้า
พ่อครูว่า...ขนาดผมไปเกี่ยวก็ยังไม่ยึด แต่พวกคุณไม่เกี่ยวแล้วไปยึด ก็จะบ้ายกกำลังล้าน ก็จะเละไปใหญ่ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น
_3867 กายฤาจิตมโนวิญญาณจากธาตุรู้ที่เกิดจากองค์ประกอบของรูปนามยังความรู้เกิดขึ้นเพราะโผฏฐัพพะกระทบกายสาธุ ผิดถูกโปรดชี้แนะกบสิ้นโศก!
พ่อครูว่า...รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือสิ่งที่ไปรู้ ธรรมสองนี้ของแต่ละคนก็จะพัฒนาไป
_0207ขอบคุณพ่อท่านอีกครั้งที่ตอบ SMS ของผม ผมชื่นชมพ่อท่าน และไม่ได้ชื่นชมเถรสมาคม ผมเคารพหลายท่านในสันติอโศก แต่ทางการเมืองผมอาจมองอะไรผิวเผินไป แต่ผมขอเชียร์ท่านอภิสิทธื์ละกันครับ ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด ไม่ได้อยู่สีไหน หรือฝ่ายไหน. แต่จะดูเป็นเรี่องๆไป
พ่อครูว่า...สองคนยลตามช่องได้ เห็นต่างกันได้
_อำภา รื่นใจดี · คนมีปัญญาเท่านั้นที่จะเข้าใจประชาธิปไตยอย่างที่ท่านพ่อครูกล่าว แต่คนสมัยนี้เขามีแค่ความรู้ กับความฉลาด จึงมองไม่ออก เอาคนไปปนกับระบอบการปกครอง ระบอบการปกครองเป็นแค่สิ่งสมมุติ แต่มนุษย์มีจิตวิญญาณ ถ้าผู้นำเป็นคนดี มีความกล้า มีความเพียร อดทน จะมาด้วยระบอบการปกครองอะไรก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ
พ่อครูว่า...ระบอบการปกครองเป็นแค่สิ่งสมมุติใช่ไหม ใครจะตรากฎหมายรัฐธรรมนูญเลือกอะไรมาก็เป็นบัญญัติ กฎหมายหรือธรรมนูญที่บัญญัติขึ้นมา เป็นการบัญญัติขึ้นมาของผู้ที่ดูแลบริหารประเทศ เป็นธรรมชาติต้องทำอย่างนั้น ถ้าเป็นผู้ที่สูงมีภูมิธรรมก็บัญญัติได้ดี แต่ถ้าไม่สูงก็บัญญัติเละ เห็นแก่ตัวเห็นแก่พวกมากๆมักใหญ่ อย่างที่เคยเป็นมา ออกกฎหมายมารับรองตัวเอง วันเดียวเท่านั้นทักษิณ รองรับตัวเองวันเดียวว่าวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันเปิดทำการราชการ แล้วเอาเวลานั้นไปเซ็นเพื่อได้อะไรของเขา คนเราเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เป็นภาวะความไม่ดีที่หาที่สุดไม่ได้ ต่ำสุด ทำเห็นแก่ตัวอย่างโจ่งแจ้ง ก็ว่าไป เขาก็รับวิบากไปเรื่อยๆ วิบากอย่างที่เขารับไปเรื่อยๆ
มันเป็นวิบากซ้อน เหมือนกับเขาเองสุขสบาย เพราะมีอำนาจและลาภที่เหลือช้อนเขาไว้ แต่จิตเขาจะยิ่งจมในความยึดมั่นถือมั่นในความรู้ในอำนาจและเงิน ทักษิณจะเชื่อในอำนาจและเงินหนักเข้าไปอีก เพราะทุกวันนี้ ใครก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ ก็ยังเป็นเรื่องทำให้เขาเหลิงๆ เขายังเชื่อมั่นในอำนาจเงิน และอำนาจของอำนาจ มันซ้อนอยู่อย่างนี้ ก็เลยทำให้เขายิ่งช้านานซวยไปอีก จะมีวิบากอีกมาก เขาจะได้รับวิบากหนักซวยกว่านี้อีก ชาตินี้เขานึกว่าดี แต่ชาติต่อๆไปเขาจะยิ่งหนักอย่างทรมานหาที่สุดไม่ได้
ที่อาตมาพูดไม่ได้เกลียดชังทักษิณ แต่พูดให้เห็นว่าไม่ควรจะเอาอย่าง ให้เข้าใจว่ามันน่ากลัวขนาดนี้เหรอ ใครกลัวบ้างไหมพูดอย่างนี้ อย่าไปเอาอย่างเชียว
สมณะเดินดินว่า...เขาเชื่อในอำนาจและเงินเขาก็จะยิ่งกล้าทำบาป
พ่อครูว่า...และวิบากเก่าเขาก็ยังใช้ไม่หมดก็ทำวิบากใหม่อีก เป็นตัวอย่างในยุคนี้ ทำให้คนดูทั้งโลก
สมณะเดินดินว่า...บางคนถูกจับติดคุกก็ยังพอจะสำนึกได้บ้าง
พ่อครูว่า...ถ้าเขาถูกจับติดคุก ก็จะไม่ได้ใช้เงินและอำนาจทำวิบากให้แก่ตัวเองเพิ่มอีก ที่จริงเขาซวยนะ ที่ไม่ได้ติดคุก แต่หากติดคุกจะได้เห็นความจริงเพิ่มขึ้น แค่ 2 ปีเท่านั้นนะ คือความไม่รู้ของเขาเอง อวิชชาของเขาเองทำให้เป็นเช่นนั้น
พ่อครูว่า...พระพุทธเจ้าแผ่นดินในยุคนั้นเข้าใจพระพุทธเจ้าสมณโคดมจึงได้ยอม ไม่ว่าจะเป็นแคว้นใหญ่ใดๆ แคว้นมคธ โกศล แคว้นสักกะเป็นแคว้นเล็ก นิดเดียว แต่พระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่พวกนี้ หรือแคว้นต่างๆมีภูมิปัญญา เหมือนคนไทยมีภูมิปัญญา อาตมาพูดได้อย่างนี้ไม่เช่นนั้นตายไปแล้ว อาตมาว่าหนักนะ แต่อาตมาอยู่ได้เพราะว่าคนไทยมีปัญญา ถ้าคนไทยไม่มีปัญญาอาตมาอยู่ไม่ได้หรอก โดยเฉพาะคนไทยที่ชั้นสูง คนไทยเป็นคนชั้นสูงที่ดีมีทุนทางสังคม มีอำนาจมีฤทธิ์สั่งให้โพธิรักษ์เข้าคุกก็ได้ หรือทำให้อาตมาหยุดเลย เขาทำได้แต่เพราะว่าท่านเหล่านั้นมีปัญญาและจริงใจ เพราะถ้าขืนทำก็เป็นกรรมวิบาก ก็คงจะเชื่อกรรมวิบาก แต่แม้ไม่เชื่อก็เข้าใจในสิ่งที่ควรและไม่ควรอย่างแท้จริง ก็ไม่กล้าละลาบละล้วงกับสิ่งที่ควร
อย่างที่คุณอำภาว่า จะระบอบไหนก็ตาม ประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ หรือเผด็จการ ถ้ามีภูมิปัญญาที่แท้จริง ทำเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ อัตตาของท่านมีภูมิปัญญาก็ทำงานอย่างช่วยเหลือโลกอนุเคราะห์โลกอย่างแท้จริง
SMS วันที่ 18 มกราคม 2561 (สมณะ สิกขมาตุ : บวรราชธานีอโศก)
_5788สมณะ,สิกขมาตุ รวมทั้งญาติธรรมชาว อโศกคิดดีทำดี ผมคนนอกชื่นชมครับ
_2166 ชาวพ่อ-แม่-ครูบาอาจารย์ สายวัดป่าเขาก็ต้องบอกว่า หลวงปู่มั่น ชาวสวนโมกข์ก็ต้องยกให้หลวงปู่พุทธทาส ชาวหนองป่าพงก็ต้องเอาหลวงพ่อชา ชาวพุทธวจนก็ต้องพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ชาวอโศกแน่นอนต้องพ่อท่าน-พ่อครู จริงหรือเปล่าครับบบบบบบ????
พ่อครูว่า…พูดกำปั้นทุบดิน มันก็ไม่ถูกน้ำ มันก็ไม่ถูกฟ้า
_3867ในความเห็นต่างมีแต่คนหากินกับผลปย.เก่าแก่มานานนั้นแลที่เดือดร้อน!คนตัวเปล่าใจว่างเปล่าไม่มีผลปย.ใดๆให้ยึดติดจักทุกข์ร้อนตามคนมีผลปย.ที่หลงติดโลภโกรธหลงหวงแหนผลปย.คอยจุดชนวนขัดแย้งแตกแยกไปใยเล่า?กบเข็ดหม้อต้มยำกลียุค!
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน ทุกข์มีกี่อย่าง จะพ้นทุกข์ได้ถาวรหรือไม่
_ชญานิศวร์...อยากเรียนถามท่านว่า ทุกข์มีกี่อย่างคะ...แล้วเราจะพ้นทุกข์ได้ถาวรหรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ตอบ ข้อแรก ก็ยังต้องตอบข้อ 2 ก่อน แล้วมันจะเที่ยงแท้ถาวรไหม ทุกข์ ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ถาวร ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าพ้นทุกข์ได้ถาวร
ทีนี้ทุกข์มีกี่อย่าง?
ก็ตอบสั้นๆก่อน ที่อธิบายทุกวันนี้ก็อธิบายทุกข์ 2 อย่างนี้ ทุกข์โลกีย์กับทุกข์อาริยสัจ(ทุกข์โลกุตระ ทุกข์อาริยบุคคล) โลกคือรูป อาริยสัจเป็นนาม โลกคือองค์รวมทั้งหมด
สรุปว่าทุกข์มีสองอย่าง ทุกข์โลกีย์กับทุกข์อาริยสัจ
ทุกข์โลกีย์ไม่มีวันจบเป็นนิรันดร ใครจะศึกษาอย่างไรหากไม่เข้าสู่โลกุตรธรรมก็จะวนเวียน มีสุขกับทุกข์ นรกกับสวรรค์อย่างนั้น จะหนักหนาจะเบาจะอะไร ก็ตามเหตุปัจจัยทั้งนั้น ทุกข์อาริยสัจหรือทุกข์โลกุตระเท่านั้นที่ต้องเรียนรู้ให้จริง แล้วดับให้เป็นลำดับๆไป เป็นขั้นตอนไป เพราะว่าหมดทุกข์อันนี้แล้วหมดจริง ก็หมดในภพ กาม รูปภพ อรูปภพ ได้จริง
_เราเอานายกตู่พันเปอร์เซ็นต์ขอให้อยู่ยาวๆ นายกตู่บวกกับกำนันสุเทพ
_ขอให้มาอย่างสง่างาม ใครจะเป็นนายกคนต่อไป ก็ขอให้มาอย่างสง่างาม เปิดเผยโปร่งใส ไม่ใช่ชอบเอาเปรียบคนอื่น ใช้เล่ห์กลทางการเมืองต่างๆนานา มันยากที่จะรับได้
สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน จงวางความหวัง แล้วทำแต่เหตุให้ถึงหวังนั้น
_19 มกราคม 2561
จาก บ้านเล็กเมืองน้อย
กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพครับ
จากความสับสนของสภาวะที่เกิดขึ้นในจิต นำไปสู่แนวคิดดังนี้ ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่ กรุณาช่วยตรวจสอบการบ้านให้ด้วยครับ
ML
ความหวังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์ให้มีกำลังใจ(แรงฮึด) ให้ต่อสู้กับอุปสรรคในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ความหวังที่เป็นกิเลสหยาบๆในทางโลกีย์ ขอที่จะไม่พูดถึง แต่จะโฟกัสไปที่ความหวังในสิ่งที่ดีทางโลกุตระ โลกานุกัมปายะ เท่านั้น
เนื่องจากการจะสร้างแรงบันดาลใจหรือสร้างกำลังใจ(co-efficiency)ขึ้นมาได้นั้น ย่อมต้องมีความหวังเป็นตัวกระตุ้น(แม้แต่ความคาดหวังในสิ่งที่ดีแก่องค์กร ก็คือความหวัง) เป็นเหตุให้เกิดความยึดในผลได้ผลเสีย มากจนเกินไป จนเกิดแรงผลักดันให้สำเร็จ มากจนเกินไปตามมา กลายเป็นความอยากที่เป็นกิเลส แล้วยึดเป็นความถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว ความเห็นอื่น ที่ต่างไปจากนี้ รับไม่ได้เพราะเกรงว่าจะเป็นเหตุทำให้ไม่สำเร็จ มันจึงเป็นโมหะที่แยบยลซ่อนเงื่อน ให้หลงผิดไปได้ง่ายมาก โดยไม่รู้สึกตัว เช่น เป็นห่วงประเทศไทยมากจึงระแวงนายกประยุทธมาก หรือแสดงความไม่เห็นด้วยจนออกนอกหน้าต่อความเห็นของพ่อท่านที่ไม่ตรงกับตัวเอง
แม้กระทั่ง เกิด co-efficiency ลุกขึ้นมาทำดีเพื่อในหลวง ก็มีความหวังแฝงอยู่ แม้แต่หวังให้คนอื่นเข้าใจและรักในหลวงอย่างที่เราเป็น เพื่อจะได้ช่วยกันทำอย่างที่เราทำ มันก็มีความหวังเป็นตัวขับเคลื่อนอยู่
แต่เราก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธความหวังได้ ไม่งั้น co-efficiency จะไม่เกิด ดังนั้นจึงต้องมีขั้นตอนเพิ่ม ในการทำให้เกิดความพอประมาณในความหวังนั้นๆ(ตามระดับฐานของตน) โดยใช้ปัญญาให้เกิดปุญญาภิสังขาร ประหารความอยาก สลายความยึด ขจัดความต้องการ "ให้สมหวัง" ให้เบาบางจางลง(ให้เหลือเพียง เจตนาแต่อย่าอยาก) ก็จะไม่ถูกการคำนึงถึงผลได้ผลเสียครอบงำ ไม่กลัวการถูกเข้าใจผิด ไม่กระหายที่จะชี้แจงอธิบาย ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองใดๆ เป็นไปตามปัจจุบันขณะ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสัญญาเดิม เพียงแค่ "ได้ทำ"( ตามแรงบันดาลใจที่เกิด) ก็พอ ไม่จำเป็นต้อง "ทำได้"
ล้มเหลวหรือสำเร็จเป็นเพียงสมมุติ ขั้นตอนในการกระทำต่างหาก ที่ต้องดำรงให้อยู่ในความบริสุทธิ์ การทำco-efficiency นั้นๆ ก็จะมี เนกขัมมะสิตอุเบกขา คอยกำกับให้คงอยู่ในความบริสุทธิ์ได้ตลอดขั้นตอน
พ่อครูว่า…ขอตอบตรงนี้ก่อน “...แต่จะโฟกัสไปที่ความหวังในสิ่งที่ดีทางโลกุตระ โลกานุกัมปายะ เท่านั้น...” คุณจะได้โลกุตระคือจิต โลกานุกัมปายะคือพฤติกรรมของโลก ซึ่งผู้ที่มีโลกุตระจิตแล้ว ก็จะอนุเคราะห์โลกคือ โลกานุกัมปายะคือช่วยโลก คนที่จะช่วยโลกได้ก็ต้องมีโลกุตรจิตก่อน
คนที่จะมีโลกุตรจิตต้องหลุดพ้นจากโลกโลกีย์ มาให้ได้จริงๆ ตามลำดับ ตั้งแต่อบายโลก โลกโลกีย์มีต่ำสุดตั้งแต่อบายโลก คุณไม่ได้ไปเลอะอย่างที่เขาเป็น เป็นคนไม่เลอะมาก หรือเลอะมากก็หลุดมาแล้ว แต่สิ่งที่ต่ำสุดของคุณ มันก็คืออบาย
บางคนยังเลอะหยาบก็เรื่องของเขา เราเกิดมาในชาตินี้แม้จะเคยติดหรือไม่เคยติดก็ตาม แต่ก็ไม่ติดสิ่งเหล่านั้น แต่คุณยังมีที่เป็น status quo ของคุณก็ focus อันนั้น สิ่งที่คุณหลุดพ้นแล้วไม่มีผลักไม่มีดูดแล้ว ก็เป็นเรื่องของคนอื่นที่เขายังติด
คนที่มีโลกุตรจิต ก็ต้องรู้จักโลก โลกอบายของเขาไม่ใช่ของเรา หรือของเราเราก็ต้องเอาออก เมื่อเราสามารถหลุดพ้นโลกขั้นต้นของเรามาแล้วตั้งแต่โลกอบายโลกกาม ที่หยาบมาก ก็หลุดพ้น มาพ้นกาม ก็มาพ้นรูปโลก อรูปโลก
การพ้นโลกไม่ได้หนีโลก แต่โลกก็ยังอยู่แต่เราอยู่เหนือโลก มีโลกุตรจิตอยู่เหนือโลก โลกทำอะไรเราไม่ได้ เราก็จะช่วยเขาได้เพิ่มเติมขึ้น เราไม่ไปซ้ำเติมทำร้ายนะ แต่เราช่วยเขา เราเป็นผู้หลุดพ้นได้อย่างแท้จริง
ผู้ที่หลุดพ้นมาได้ตามลำดับตั้งแต่โลกอบาย เหนือมาก็ต้องแข็งแรงพอสมควรถึงจะไปช่วยเขาได้ ถ้าหากไม่แข็งแรงพอก็เหมือนเตี้ยอุ้มค่อม เรายังไม่แข็งแรงจะไปช่วยเขาอวดดี ระวังเถอะ เหมือนคนที่อาตมาเคยยกตัวอย่าง คนที่อยู่บนบ่อ เห็นคนตกน้ำ อวดดีจะไปช่วยเขา ตัวเองที่เกาะข้างบนยังไม่แข็งแรง คนที่กำลังจะตายก็จะคว้าเอา เราที่อยู่ข้างบน ที่ยังไม่แข็งแรงพอ จมลงไปทั้งคู่เลยตายด้วยกันทั้งคู่เลย เป็นการเตี้ยอุ้มค่อม เราก็ต้องมีของจริงที่แข็งแรง แต่ถ้าแข็งแรงมากๆๆแล้วไม่ไปช่วยเลยมันก็ใจดำเกินไป ถ้าหากไม่ใช่คนก็จะไม่รู้ โลกวิทูต่ออีก ก็อยู่แต่ในกรอบ มันต้องไปเจอกับความซับซ้อนความยากความง่ายต่างๆกันไปอีก ที่เป็นโลกียะอีกมาก แต่คุณไม่ทำ ก็ทำได้แต่ชอบที่คุณได้แล้วไม่ต่อ ก็หยุดอยู่ในนั้น เมื่อไม่กระทบกับโลก โลกไม่กระแทกคุณหลายอย่าง คุณเป็นฤาษีมาคุณได้สะกดมันไว้เยอะ หากไม่กระแทกอีก มันก็อยู่กับคุณอีกกี่ชาติ ไม่ออกมาให้คุณล้างหรอก
ของพระพุทธเจ้าชัดเจน ศาสนาพุทธต้องมีสัมผัส ถ้าไม่มีสัมผัส กิเลสมันไม่ออกมา นอกจากไม่ออกมาแล้วหลงผิดๆ ว่าจะต้องสะกดเข้าไป ทับเข้าไป ให้มันแน่นเข้าไปอีกหลงผิดอย่างนั้นอีกด้วย แล้วมันจะนานไหมนี่ ชัดไหม
หากเข้าใจสัมผัสก็ต้องรู้จักขอบเขตอย่าไปมากเกิน ก็ตายลูกเดียว เพราะฉะนั้นความเป็นลำดับ ขั้นตอนที่จะต้องให้ได้พอเหมาะ ปโหติ เป็นความพอเหมาะ จึงต้องมี ประมาณให้ดี มัตตัญญุตา จึงเป็นสิ่งสำคัญมากเป็นตัวกลางของสัปปุริสธรรม 7 การประมาณให้อย่างพอเหมาะ ซึ่งไม่ง่ายแต่ก็ทำไปเถอะ แล้วเราจะรู้ความพอเหมาะพอดี
เราจะบอกว่าความปานกลาง ความพอเหมาะพอดี ความเป็นกลาง พูดได้ พล่อยๆพูดได้ แต่ไม่ง่ายเลยที่จะรู้ความพอเหมาะพอดีสำหรับตัวเอง มันมักจะเข้าข้างกิเลสเสมอ ก็ต้องเผื่อพอไว้เสมอ
กิเลสของตัวเอง ดีไม่ดี ถูกกิเลสตัวเองซับซ้อนหลอกตัวเองให้อีกนาน ไม่รู้ตัว ศึกษากันอย่างให้สัมมาทิฏฐิ แล้วทำไปตามลำดับ
คุณคนนี้ตั้งประเด็นว่า ความหวังเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงใจไว้ก็จริง แต่ก็อย่ายึดมั่นในความหวังนั้น จงวางความหวังไว้ แล้วทำแต่เหตุให้ถึงความหวังนั้น... เพียงแต่รู้ ในจุดที่หวัง นี่พยายามใช้ภาษาสื่อสภาวะ
เขาว่า เมื่อรู้จุดที่หวังนั้นแล้วก็วาง คุณกำหนดหมายรู้แล้วก็จบ แล้วมาศึกษาเหตุ
เหตุที่จะทำให้เกิดผลตามที่หวัง หวังอะไร ก็ศึกษาเหตุที่จะทำให้เกิดผลใดๆ ให้ถูกต้อง เมื่อชัดเจนแล้วว่า ทำเหตุให้ชัด ศาสนาพุทธจึงสำคัญที่เหตุ สร้างเหตุ อย่างหยุดหวังเราก็วางความหวังนั้น ถ้าหวังว่าจะได้ๆ ก็จะต้องใช้พลังงานแคลอรี่ไปเป็นการสูญเสียไม่เข้าท่า แต่คนที่ยังไม่เก่ง ยังมีแวบๆๆบ้าง แต่ถ้ารู้อย่างนี้จะไม่ทุ่มพลังไปมาก มันก็จะไม่มีกำลังให้ชัดเจน มันมัว ไปที่ผลมากกว่าทำเหตุ ก็ไม่สำเร็จ
เพราะฉะนั้นก็วางความหวังเสีย ศึกษาเหตุที่จะทำให้เกิดผล ตามที่เราหวัง ศึกษาให้ดี พบเหตุแล้วสร้างเหตุ เลิกหวังเลย ถ้าเหตุนี้ถูกต้องปฏิบัติไปตามลำดับ จึงจะเกิดผลจากเหตุนั้นจริง ไม่ต้องไปหวัง รู้แล้วว่าเราหวังอะไร จะไม่เผลอ
เราอยากได้อันนี้ เป็นยอดที่คุณอยากได้มันไม่ลืมหรอก คุณสัญญาเอาไว้แล้วไม่ลืม ทำไปตามเหตุนั้นให้ถูกต้อง อย่าใจร้อนอย่าอยากมาก แต่ต้องจริง จริงใจ ทำจริงๆให้สัมมาปฏิบัติ ตามสัมมาทิฏฐิที่เราเข้าใจ ผลมันจะเติมเต็มไปตามลำดับๆ ตามสัจญาณ กิจญาณ สุดท้ายมีกตญาณจริงๆ จะเป็นไปตามสัจจะ แม้ว่าจะทำล้นไปเผื่อพอ คุณก็จะรู้เอง แต่ทำล้นไว้ดีกว่าขาด มันก็จะมีญาณรู้เองว่าสมบูรณ์ดีแล้วหรือยัง ก็ตั้งใจศึกษาตามที่ว่านี้
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ตั้งความหวัง สาเปกโขเลย ตั้งความหวังว่าจะได้สวรรค์มันก็คือนรก นั่นเอง
แต่คุณต้องอาศัยสมมุติ ที่ควรทำให้สำเร็จ ไม่ควรเอาที่ล้มเหลว ถ้าสองคำนี้ธรรมะสองคำนี้คุณต้องเอาสำเร็จ เอาล้มเหลวไม่ได้หรอก คุณต้องทำธรรมะ 2 นี้ให้เหลือแต่สำเร็จ สมมุติมีสองเสมอมีทั้งนอกและใน สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น
ที่เขียนมานี้ ก็มีปัญญาภาษาก็เหลื่อมไปบ้าง ก็ดี แต่ค่อยๆศึกษาไป เป็นเรื่องของสภาวะต่างๆที่เป็นธรรมะสองหมดและสภาวะที่ผสมผสานกัน
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องของการเมืองหรือธรรมะ...ใครจะเอาธรรมะหรือการเมืองช่วยยกมือด้วยสิ... ก็ยกมือพอๆกัน
สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) คนมีปัญญาหยุดแย่ง คนเฉกาแย่งไม่หยุด
เรื่องธรรมะกับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกัน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาการเมืองกับธรรมะก็คือความจน ใช่ไหม เดี๋ยวจะเข้าใจว่าใช่ ความจนนั้นคือการเมืองกับธรรมะ
ใครก็ตามจะเก่งยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตาม จะแก้ปัญหาความยากจนของคนในสังคมประเทศ ด้วยการจะทำให้คนรวย ขอยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้เลยจนโลกแตก หากไปสร้าง concept กระบวนทัศน์ paradigm ใส่เข้าไปในความคิดของคน ว่าให้รวยทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้ Concept ใหม่ paradigm ใหม่ว่าเอาแบบคนจน ต้องมาเอาพัฒนาเศรษฐกิจแบบคนจนอย่างที่ในหลวงเราตรัส คนที่ไม่ชัดเจนจะไม่กล้าเลยอย่างที่เป็นตอนนี้ อยู่ในประเภท ยังไม่กล้า ท่านต่างๆ เหล่านั้นเป็นด็อกเตอร์ด้วย อยู่ข้างๆในหลวงก็ยังไม่กล้า
คนที่ไม่ยินดีในความจน ไม่คิดอยากจะจนจริงๆ การแก้ปัญหาความจนของสังคมประเทศด้วยการจะทำให้คนรวย ไม่เข้าใจในความเป็นคนจนที่ประเสริฐ คนจนนี้ต้องเป็นคนจนที่ประเสริฐ ไม่ใช่คนจนที่กระจอกงอกง่อย เป็นคนจนที่มันต้องมีภูมิปัญญาจริงๆ เป็นคนจนที่ประเสริฐที่ดีแท้ โดยเฉพาะเป็นคนจนให้ดี เป็นโลกุตระบุคคล
ถ้าไม่ได้เราก็จะมีแต่คนรวย มันจะมีอยู่ในจิตเลยว่าไม่ได้หรอก ต้องให้คนรวย ถ้ามีแต่อย่างนี้ คุณจะแก้ปัญหาโลก ให้คนไปรวยๆ ก็จะได้แต่คนรวยที่แสนโง่แสนทรามเท่านั้นเกิดขึ้นในโลก จะแก้ปัญหาให้คนรวยอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงต้องให้คนมาลดความรวยหรือเป็นคนจน แก้ปัญหาให้คนจนลงมา มันก็จะเกิดความสมดุลได้
กิเลสธรรมดาธรรมชาติมันจะต้องรวยใช่ไหม มนุษย์ก่อนที่จะมาอยากจน จะมาเป็นคนจนมันต้องอยากรวยมาก่อนทั้งนั้น เดี๋ยวนี้ก็ยังอยากรวยไม่ถอดถอนทั้งนั้นทั้งโลก เพราะฉะนั้นเราพูดและอธิบายสอนวิชาการคนจนอยู่อย่างนี้ โลกทั้งโลกขนาดนี้ยังไม่มีโรงเรียนหรือสถานศึกษาเขาเรียนกันอย่างของเรา พวกคุณเป็นนักเรียนใช่ไหม เป็นนักเรียนคนจนนักเรียนแบบคนจน โรงเรียนที่จะเรียนแบบคนจนมีที่ไหน เถรสมาคม ไม่มี
แม้แต่เถรสมาคมของไทยไม่ใช่เลย แล้วจะเอาต่างประเทศทำไม ยังไม่มีหรอก เดี๋ยวอีกหน่อยเถอะ โรงเรียนเราจะมีนักเรียนเต็มห้อง ดีไม่ดีต่างชาติมีเยอะเลย อาตมาจะต้อง Spoke England ด้วย
เพราะฉะนั้นก็จะมีแต่คนรวยที่แสนโง่แสนทรามเท่านั้นเกิดขึ้นในโลก คนโง่ทุกคน ไม่ยอมหรือไม่อยากจน สักคนเดียว คนอวิชชา แต่ต้องจำนนทั้งนั้น จึงต้องยอมจน จนกว่าคุณจะมีปัญญามีความฉลาด ว่าความจนดีกว่ารวย ก็จะค่อยๆเดินทางมาได้อย่างพวกเราหลายๆคน คนที่จะเข้ามาก็ค่อยค่อยให้เขามาอย่างไม่ จำบ่ม
จะต้องมีคนที่เกิดปัญญาแท้ๆ เป็นความฉลาดจริงๆ เพราะความฉลาดในโลกุตรธรรมเท่านั้น หรือปัญญาเท่านั้นที่จะยอมจนหรืออยากจน เพราะเป็นคนพ้นจากความฉลาดที่เป็นโลกียธรรม หรือพ้นจากความเฉกะหรือเฉโก ทุกวันนี้อาตมาเป็นคนที่หยิบเอาคำว่าฉลาดอย่างปัญญากับเฉกา มาอธิบายว่าต่างกัน แล้วจะพาดีพาเจริญด้วย ไม่อย่างนั้นแก้ไขปัญหาไม่ได้เพราะมันมีแต่ฉลาดโกง
การเป็นคนจนอย่างผู้มีปัญญาที่ประเสริฐจึงเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหาสังคม แก้ปัญหาประเทศชาติแล้วมันก็จะสำเร็จ เมืองไทยก็เริ่มต้นแล้วไปเรื่อยๆ จะก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆ
การเป็นคนรวย ผู้มีเฉโก เฉกะ ไม่ประเสริฐจึงเป็นผู้แก้ปัญหาให้แก่สังคมประเทศชาติไม่ได้เลยจนโลกแตก คนนี้จะไม่มีทางช่วยแก้ปัญหาสังคมประเทศชาติได้เลย จนโลกแตก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะไปเอาคนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจที่จะต้องเข้าใจอย่างนี้ได้ เราก็ไม่มีปัญญาที่จะทำ ก็ต้องค่อยๆให้คนเกิดพลังงาน พลังงานพวกนี้จะค่อยๆเป็นพลังงาน พลังงานสังคมและประชาชนจะค่อยๆ บีบรัดเข้าไป คนๆนั้นจะต้องรู้ตัวและแก้กลับ ถ้าเขาไม่แก้กลับ ก็จะถูกพลังงานของประชาชนนี่แหละ บีบรัดเอา ในที่สุดก็อาจจะต้องถึงตาย หรือจะต้องกระเด็นออกไป ทั้งที่ไม่อยากกระเด็น แต่ต้องกระเด็น อย่างที่ขณะนี้กำลังมีภาวะการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นภาวะปัญญาของสังคม และความเอาจริงของสังคมทำหน้าที่ขณะนี้ เห็นไหม แต่กรณีชัดๆเด่นๆตอนนี้มี
จึงอย่าดันทุรังแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการทำให้คนในสังคมในประเทศของตนรวยขึ้นให้มากๆเป็นอันขาด ใครจะดันทุรังแก้ปัญหาความยากจนด้วยการจะทำให้คนในสังคม โดยให้คนรวยขึ้นนั้นอย่าทำ เพราะคนรวยนั้นไม่มีทางอยากจะหยุดรวย คุณคือผู้กอบโกย อยากจะรวยอยู่ตลอด แม้คนผู้นั้นจะรวยมาก รวยล้นฟ้าเท่าไหร่แล้วก็ตาม จนกว่า จะสู้คนที่สามารถแย่งเอาความรวยจากตนไปได้เท่านั้น ตนเองจึงจะต้องจนลงเพราะเป็นสมบัติผลัดกันชม คุณแน่ใจหรือไม่ว่าจะรวยไปตลอดนิรันดรไม่มีใครแย่งของคุณไป เศรษฐีในเมืองไทยก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐีเมืองนอกเลย ที่แน่ๆคือฉันไม่ยอมจนหรอกแล้วไม่คิดจนเลย แต่ถ้าเรายอมจนโดยเต็มใจ เท่กว่าไหม เท่กว่าการถูกคนเขาแย่งเอาไปอย่างจำนน อย่างนั้นมันสมน้ำหน้าจะได้เรื่องอะไร พูดอย่างนี้เขาจะสำนึกหรือไม่นะคนรวย เขาจะบอกว่าเหม็นกลิ่นคนจนไม่เอา เขาไม่มาใกล้หรอกคนจน ใครจะพูดเรื่องคนจนจะพาไปจน เขาไม่ฟังให้ระคายหูหรอก
การแก้ปัญหาคนจนด้วยการให้คนรวย จึงเป็นแค่การยื้อแย่งสมบัติผลัดกันชมไปไปมามา มามาไปไปไม่สิ้นสุดลงได้ นั่นคือ สรณะของคนโลกีย์หรือปุถุชน ความรวยคือสรณะของคนโลกีย์ปุถุชนที่เขาพึ่งอาศัย สรณะแปลว่าการรบ คุณจะดึงเอาความรวยมาให้แก่คุณเองได้จะต้องรบกับสังคม หยุดไม่ได้หรอก เหนื่อยชิบหาย อาตมาถึงบอกว่าโง่ฉิบหาย อาตมาเลยเลิกโง่ ไม่แย่งความรวยเลย ทุกวันนี้แค่นี้ก็สบายแล้ว ชาวอโศกยังกระเบียดกระเสียรอยู่นะ อาตมามีบารมีแค่นี้เราก็ทำไปเรื่อยๆ เราเป็นชาวดูไปไม่ใช่ดูไบ
จึงเป็นสงครามการยื้อแย่งสมบัติกันอยู่นิรันดร จะต้องมีคนมีปัญญาในสังคม ผู้ที่มีปัญญาแล้วก็หยุดแย่ง คนยังไม่มีปัญญาก็แย่งไม่หยุด คนมีปัญญาก็หยุดแย่ง ลดความแย่ง ซึ่งมันไม่ได้หยุดทันที มันค่อยๆลดลง หยุดอยากรวย ให้จริงคือมาเรียนตามพระพุทธเจ้าสอน อาชีพที่จะให้เรารวยก็เลิก
มิจฉาชีพ 5
กุหนา ลปนา เนมิตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา
กุหนาเป็นกายกรรม แต่ลปนาคือวาจา แต่วาจาที่เลวกว่าทางกายอีกก็มี โกงเก่งหลอกเก่งหลอกลึกกว่ากุหนาอีก แต่เอาเถอะ กายกรรมก็หยาบกว่าวจีกรรมอย่างโครงสร้างใหญ่ แต่โครงสร้างเล็กก็สลับไปมาได้
ถ้าเรารู้ ไม่ว่ากาย วจี ก็เลิกโกง นี่คือสัมมาอาชีพบทแรก
มา เนมิตกตา ปฏิบัติไปตามลำดับขั้น ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาจะได้ไปตามขีดขั้น แต่ถ้าหากทำไม่ถูกต้องก็เหมือนคนเสี่ยงโชค เนมิตกตา แปลว่าความเสี่ยงโชค แต่ถ้าทำไปตามลําดับจะไม่มีความเสี่ยง ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เกิดสมาธิ ปัญญา วิมุติ ไปตามลำดับ
บรรลุแล้วอย่ามอบตนในทางผิด ให้มาอยู่กับมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี จะได้ช่วยกันได้มาก อยู่อย่างปลีกเดี่ยว พลังงานจะไม่มาก ต้องมารวมตัวเป็นพลังงานที่รวม จึงจะช่วยสังคมได้ดี ทำได้เสร็จแล้ว นิปเปสิกตา ไม่มอบตนในทางผิดหรือไปรับใช้สังคมโลกีย์ ไม่เอา มาอยู่กับสังคมโลกุตระ หรือไปปลีกเดี่ยวไม่มีพลังหรอก พูดไปจะหาว่าอาตมาดึงมามาก ก็ไม่อยากทำ ให้มาเองอย่างได้ประโยชน์
สรุปคือ นิปเปสิกตาคือมิจฉาชีพข้อที่ 4
ข้อที่ 5 สุดยอด ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นผู้ทำงานฟรีไม่ใช้ลาภแลกลาภ แปลง่ายๆ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา เป็นคนทำงานขั้นสัมมาอาชีพ ขั้นสุดยอดแล้ว
ในชาวอโศกเรามีคนทำงานฟรีอยู่ไม่ใช่น้อย แม้จะมีใจอยากได้ บางคนกระมิดกระเมี้ยน สั่งสมของตนองไว้ ห้าบ้างสิบบ้างก็แล้วแต่ ยิ่งเอาไว้เยอะก็ไม่ดี แต่ถ้าทำได้จะเชื่อมั่นในส่วนกลาง เราสามารถกินใช้ร่วมกับส่วนกลางได้ ขึ้นอยู่กับบารมีของเราด้วย ถ้าเราเป็นหมาหัวเน่าในหมู่ แน่นอน เขาก็ไม่อยากจะให้คุณใช้อะไรมากมาย ให้คุณอยู่ก็ดีแล้ว หมาหัวเน่าต้องเจียมตัวให้มาก หากคุณเป็นหมาหัวเน่าหรือเป็นขี้กลาก เต็มไปด้วยขี้รังแค คุณก็ต้องเจียมตัวก็สมควร แต่ถ้าเผื่อว่าเราเองก็รู้ประมาณตนก็อยู่ไป
ขึ้นอยู่กับบารมีของคน วิบากกรรมของคน ซ้อนในคนนั้น เป็นเรื่องอจินไตย สุดวิสัยที่จะอธิบาย
ขอย้ำว่าโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า หยั่งลงเป็นหลักแหล่งแล้วในประเทศไทยแล้ว เป็นทวีปของโลกุตรธรรม เรียกภาษาว่า ชมพูทวีป อาตมาก็ไม่ค่อยได้ขยายความ มี อมรโคยาน อปรโคยาน อุตรกุรุทวีป
ดาวดึงส์ ชมพูทวีป อปรโคยาน(อมรโคยาน) อุตรกุรุทวีป มีสี่แดนนี้ ก็ค่อยอธิบายกันไป ซึ่งไม่ง่าย
เทวดา มีดาวดึงส์ ชมพูทวีป อุตรกุรุทวีป สามแดนนี้ ก็ชัดเจนแล้ว
ชมพูทวีป นั่นคือแดนที่จะไปสู่ความบริบูรณ์ เป็นอุตรกุรุทวีป เป็นทวีปของความเหนือโลก ส่วนโลกียะคือแดนดาวดึงส์แดนโลกีย์แดนสวรรค์ มีรูปทิพย์ รสทิพย์ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ พวกทิพย์ๆๆๆนี้ก็กำลังหลุดออกมา คือทิพย์เทวี ทิพย์วิมล เดี๋ยวคนชื่อทิพย์จะมาให้ตั้งชื่อใหม่ก็ไม่ต้องนะ ทิพย์หมายถึงดีก็ได้ พระพุทธเจ้าก็ใช้ว่าเรานั่งเรานอนที่ใดที่นั่นก็เป็นทิพย์ จะนอนที่บรรจถรณ์ หรือนอนที่โคนไม้ก็ล้วนแต่เป็นทิพย์
ก่อนจะจบ นี่พูดถึงธรรมะมาก ก็แถมการเมืองต่อท้ายนิดหน่อย …
การเมืองตอนนี้ สิ่งที่กำลังเด่นตอนนี้ ก็คือเรื่องของ นาฬิกาเป็นเหตุ มันเป็นตัวอย่างที่ง่ายมากที่จะอธิบาย หลงอะไรกับนาฬิกา ในชีวิตของอาตมามีนาฬิกาเรือนแรกของพี่ชายมันเสียแล้ว ใส่โก้ๆ มันเดินไม่ได้หรอก พี่ชายเป็นญาติใส่มาก่อน นาฬิกาที่ใช้ได้จริง เรือนแรกคือ นาฬิกา ยี่ห้อ Election อาตมาเคยมีเพื่อนชื่ออำนาจ เขามีนาฬิกา Technos เราก็จำได้ว่าเราน่าจะได้สักเรือนคงเท่ แต่อย่างไรก็ได้นาฬิกา Election มาเรือนแรก เป็นเหล็ก ก็ใช้นาฬิกาเรือนนี้มานาน แต่ต่อมานี้ก็ใช้นาฬิกาเรือนละร้อยสองร้อย
อาตมาว่าหลายอย่างต้องตัดใจนะ กระแสเสียงผู้ให้ความเห็นมาเยอะว่ามันจะพังทั้งยวง อาตมาก็เห็นด้วย ไม่ใช่รังเกียจรังงอน ก็สงสารเป็นวิบากของท่าน ท่านต้อง แม้ว่าท่านไม่รู้ว่าทำวิบากไว้ ขออภัยพูดนิดนึง ท่านคนนี้ มีกระแสหวดมาทางเราพอสมสมวร เช่น คนไทยเราถูกเขมรจับ ท่านก็บอกว่าที่ตรงนั้นเป็นของเขมร เป็นวิบากของท่านนะ อันนี้อาตมาขอยืนยันว่าเป็นวิบากท่าน อาตมามีหลักฐานว่าท่านพูดเช่นนั้นนะ มันเป็นวิบากกรรมของท่าน ท่านก็รับไปเถอะขอพูดด้วยเมตตา ไม่อย่างนั้นมันจะซับซ้อนแล้วจะยาวนานอีกหลายชาติ มันจะรุนแรงขึ้นไปด้วยตัวมันเอง ขนาดนี้ก็ดีมากแล้วอาตมาว่า ถ้าท่านรับเสีย คนจะสรรเสริญแซ่ซ้อง เพราะว่าคนไทยเราใจดีตอนนี้ ไม่ใจร้าย แต่ท่านมีอัตตาของท่านเท่านั้นเอง ถ้าท่านยอมลดอัตตาตัวนี้ มันเป็นคุณอันมหาศาลเยี่ยมยอด ลดอัตตา มันเป็นธรรมะอันยิ่งใหญ่ มันไม่ได้เลวร้าย ไม่ได้เสื่อมเสียอะไร การลดอัตตามานะ อย่าไปถือในศักดิ์ศรีอะไรอยู่เลย ขออภัยที่ต้องพูดความจริง
สมณะเดินดินว่า...คุณไม้ร่มใช้สำนวนว่า พวกเราทำงานไม่มีอัตราค่าจ้าง แต่บางทีทำงานให้อัตตาตัวเองเป็นราคาที่แพงกว่าค่าจ้าง คือไม่สามารถออกจากอาณาจักรของเทวนิยม ขอเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ในศาสนาพุทธเรียกว่าเทพนิกายใดนิกายหนึ่ง ไม่พ้นเมถุนสังโยชน์ ถ้าทำไปแล้วอัตตาไม่ได้ลด อยากจะให้เป็นอย่างใจเราต้องการก็ไม่บริสุทธิ์ก็มีส่วน มันก็คงจะต้องค่อยๆ ดูว่า ทำอย่างไรไม่เป็นอย่างที่ใจเราคิดก็ได้ อาตมาอยู่กับพ่อครูหลายเรื่องคิดไปคนละอย่าง จะได้ข้อสรุปที่ว่า สิ่งที่ไม่เป็นอย่างเราคิดออกมาแล้วก็อาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้
youtube
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:11:52 )
รายละเอียด
610121_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ(ปฐมฯ) รำลึกถึงอีกหนึ่งฟากฟ้าอรหันต์
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน รำลึกถึงอีกหนึ่งฟากฟ้าอรหันต์
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2561 วันนี้เป็นการจัดรายการพิเศษ อาตมาปกติได้อยู่กับพ่อครู แต่วันนี้อาตมาอยู่ที่ปฐมอโศก ส่วนพ่อครูอยู่ที่บ้านราช เป็นการใช้เทคโนโลยีจัดรายการพร้อมกัน
พ่อครูว่า...ถ้าหากผู้ฟังเข้าใจได้ รับฟังได้ก็ดีแล้ว เป็นการพิสูจน์ความสามารถคนทำงาน รับรองว่า ขณะที่ออกอากาศทำงานไปก็ปรับปรุงไป รับรองว่าใช้ได้ดี
วันนี้ก็เป็น ครบรอบวันเสียชีวิตวันที่ 30 ธันวาคม 2550 ก็เราก็ระลึกถึง เพราะว่าหมอฟากฟ้าหนึ่ง จะไม่พูดถึงประวัติเรื่องราว ผู้ต้องการรู้ประวัติก็ไปหาเอาหนังสืออนุสรณ์ ทันตแพทย์หญิงฟากฟ้าหนึ่ง อโศกตระกูลไปอ่าน ว่ามีความสำคัญเพราะว่าเป็นบรรพชนของชาวอโศกที่ร่วมบุกเบิกกันมา ปฐมอโศกเป็นชุมชนที่เป็นชุมชนที่เราสร้างให้เกิดชุมชนขึ้นมาจริงๆ สร้างให้เกิดชุมชนตามความคิดของอาตมานี่แหละ เป็นชุมชนที่มีบ้านวัดโรงเรียน ได้พยายามจะทำให้เกิดมหาวิทยาลัยและก็ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว สร้างปฐมอโศก 2527 ลงมือสร้างได้ปีสองปี
ที่จริงแล้วหมอรู้จักพวกเราตั้งแต่เรียนทันตแพทย์อยู่ปี 2 แล้วก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมจนเรียนจบ จบแล้วก็ไปรับราชการ ไม่ได้ทำเอกชน แม้รับราชการก็มาช่วยงานสันติอโศก แล้วมาทำงานอยู่กับชาวอโศก ลาออกมาเลย มาทำงานอยู่พลาภิบาล เป็นโรงเรือนรักษาพยาบาล สร้างเสร็จแล้วก็มีหมอฟากฟ้าหนึ่งไปทำงาน
จนมาถึงตอนนี้ราชธานีอโศก ถือว่าเป็นหมู่บ้านหลักน้องนุชสุดท้องของชาวอโศก ถือว่าในช่วงนี้ระยะกาลเวลาช่วงนี้ แต่จะยาวนานต่อไป จะมีหมู่บ้านใหญ่กว่านี้ กว้างกว่านี้มีอะไรครบกว่านี้ ก็อีกเรื่องหนึ่งในอนาคตยังไม่รู้ ไม่ได้มานั่งทางในรู้ แต่ทำปัจจุบันไป สรุปแล้ว หมอนี่ มันมีอจินไตยหลายอย่างที่อาตมาจะเล่า
หมอนี่มีปณิธานของตัวเอง เป็นไปตามบารมี หมอก็สามารถมีสัญญากำหนดรู้ ที่จริงหมอรู้ อาตมาว่าเป็นความจริงด้วย พิสูจน์ได้มีหลักฐานการยืนยันทั้งคำพูดและการกระทำและความเป็นจริงที่มันเกิดปรากฏขึ้นมาในโลก มันเป็นเรื่องสอดคล้องกันอย่างน้อย 3 จุด ไม่ใช่เรื่องโมเมไม่ครบสมบูรณ์ หนึ่งครบสมบูรณ์ สองมีระยะเวลายาวนานที่พิสูจน์กันเป็นสภาพจริงทรงสภาพอยู่ได้ ในความเป็นจริง หมอนี่ตามที่บันทึกประวัติกันมา เป็นคนที่ศึกษาพุทธศาสนาและเข้าใจถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ จะต้องเป็นคนจน จะต้องเป็นคนรับใช้ประชาชน จะต้องเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เอาใจใส่เอาจริงเอาจังต่างๆนานา เป็นอิสระเป็นเรื่องหลักที่หมอฟากฟ้าหนึ่ง ที่จริงเรียนเก่งจะเลือกเรียนอะไรก็ได้ จะเลือกเรียนแพทย์ก็ได้แต่ไม่เอา เอาหมอฟันนี่ เป็นอิสระดี เป็นเหตุผลส่วนตัว หมอฟันนี่อิสระดี ไม่ต้องผูกมัด คือทำแต่ฟัน ถ้าเป็นหมอนี่หลายอย่าง แม้จะเป็น Specialist ก็ต้องหลายอย่าง แต่จริงๆแล้วจิตใจตัวเองรักความเป็นชาวไร่ชาวสวนชาวนา รักกสิกรรม แม้จะเป็นหมอฟัน มาเป็นหมอที่จะช่วยดูแลรักษาทางโรคบ้าง แต่ก็ยังเอาเรื่องของพืชพรรณธัญญาหาร เป็นชาวนา ยังมั่นใจว่าเกิดมาอีกจะทำนา จะเป็นลูกชาวนา นี่เป็นการตั้งปณิธานเลย แต่คราวนี้มันไม่ได้เป็นลูกชาวนาทีเดียว ชาติหน้าจะเป็นลูกชาวนาสมใจหรือเปล่าไม่รู้
ผลงานที่สร้างก็คือทุ่งนาแรงรัก ที่จริงก็สิ้นชีวิตจากการเดินทางไปนาแรงรักแรงฝัน นั่นแหละ ชื่อนาอาตมาตั้งให้ อยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ก็เป็นผู้ที่บุกเบิกนาแรงรักแรงฝัน ต่อมาก็ซื้อที่ต่อไปเป็นเนินพอกิน มีทั้งสวนทั้งไร่ทั้งนาอยู่ด้วยกัน ส่วนนาแรงรักแรงฝันนี่ก็เป็นนาข้าว มีข้าวมากมายหลากหลายพันธุ์ ส่วนท่านเสียงศีลดูแลที่เนินพอกิน ทำคู่กันไป
สรุปแล้ว หมอฟากฟ้าหนึ่งเป็นหมอที่มีนิสัยใจคอ มีพฤติกรรมต่างๆนานา สอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้าตลอดหมดเลย มีคนอยากรู้เหมือนกันว่า เกณฑ์ของหมอนี้อยู่ในระดับไหนทางธรรม เป็นพระอาริยะในระดับไหน ซึ่งมันก็จริงๆก็รู้ได้ก็ดี เราอาศัยที่ได้สัมผัสของจริงพฤติกรรมจริง ของการเป็นอยู่ที่คนได้สัมผัสเรียนรู้ได้จากของจริง มันก็จริงกว่าที่เอาจากตำรา อาตมาก็พอบอกได้ตามภูมิว่า
หมอฟากฟ้าหนึ่งนี่เป็นอรหัตตมรรค ขึ้นสู่ระดับอรหัตตผล ส่วนจริงๆจะสูงกว่านั้นบ้างอาตมาไม่กล้าพยากรณ์ต่อไป แต่เป็นอรหัตตมรรค เดินทางเข้าสู่อรหัตตผลทีเดียว
รู้จักหมอมาจนสิ้นชีวิต ไม่เห็นว่าหมอจะมีเรื่องโลกีย์โลกๆอย่างไร ไม่ว่าจะอบายก็ไม่มีเลย เป็นผู้หญิงใส่รองเท้าผ้าใบสะพายถุงย่าม เป็นย่ามแบบผู้หญิงบ้าง เล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ฉูดฉาดเลย เป็นรูปแบบที่เข้าสู่โลกุตระอย่างชัดเจน ก็รู้แค่นี้ก็แล้วกันว่าหมอนับเป็นอรหัตตมรรค เข้าสู่อรหัตตผลได้ ส่วนจะมีสูงกว่านั้นก็ไปสืบสาวเอาเอง อาตมาก็ขอบอกเท่านี้ ไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เป็นเรื่องที่มั่นใจในการพูด สามารถชัดเจนในตัวเองแล้วก็บอก ไม่ใช่การพยากรณ์ พยากรณ์ยังมีการประเมินข้างหน้า แต่นี่วัดจากสิ่งที่มี status จริง เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ตามภูมิอาตมา ส่วนใครจะวัดแบบไหนก็เรื่องของใคร สำหรับอาตมาเป็นแบบนั้น
พูดถึงคุณค่าคุณประโยชน์คุณสมบัติที่หมอฟากฟ้าหนึ่งทำ สรุปได้ว่า
1. เป็นความอิสระเสรีภาพ
2. เป็นลักษณะของความเป็นประชาธิปไตย
3. เป็นเรื่องของประโยชน์เพื่อประชาชนหรือเพื่อผู้อื่น โดยยืนยันได้ว่ามันไม่มีเรื่องเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เพื่อตัวตนอะไรเลย จะมีเพื่อวงศ์วานหรือหมู่ฝูงบ้างก็เป็นเรื่องรอง แต่เรื่องเพื่อผู้อื่นนี้เป็นเอก ชัดเจนทุกอย่าง เพราะฉะนั้นคุณสมบัติคุณธรรมที่ควรจะเรียกว่าคุณวิเศษของหมอฟากฟ้าหนึ่ง จึงเป็นคุณธรรมอันเลิศที่โลกต้องการ โลกผู้มีปัญญามีความรู้ต้องการทั้งโลก เป็นแต่เพียงคนที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิที่จะรู้ได้เท่านั้นเอง หากรู้ได้เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว มวลมนุษยชาติความเป็นมนุษย์ อันนี้เป็นธรรมะ 2 ธรรมะเพื่อตัวเองและเพื่อมนุษยชาติ เป็นธรรมะ 2 ของมนุษย์และสังคม อย่างนี้เป็นเรื่องสุดยอดของความเป็นมนุษย์ และสุดยอดของความเป็นสังคม ไม่ว่าจะในสังคมไหนกัปป์ไหน ในวัฏจักรของความเป็นโลก ก็มีเท่านี้ เป็นแต่เพียงว่าแต่ในแต่ละยุคจะได้สมบูรณ์แบบเท่าไหร่ ในยุคนี้ เป็นยุคที่จะแสดงความสมบูรณ์แบบ แต่ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นเอง และสามารถพูดได้ว่า อโศกเป็นต้นแบบของความเป็นเลิศทางคุณธรรมที่เรียกว่าโลกุตรธรรมอันนี้ ขออภัยที่พูดเหมือนคุยเบ่ง แต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ พูดด้วยความจริงใจ และคนก็เข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยเรื่อยๆ ไม่ได้พูดอย่างอยากอวดหรือสาเฐยจิต เป็นแต่เพียงเน้นหนัก เพื่อให้คนไม่มั่นใจได้รู้สึกว่ามีน้ำหนักที่จะเชื่อถือมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าพูดแล้วให้คนมาเชื่อตาม แต่เขาก็มีภูมิปัญญาที่จะตัดสินของแต่ละคน มันก็เรื่องส่วนตัวแต่ละคนอยู่แล้ว อาตมาว่าอาตมาดูที่ตัวเองเท่านั้น ว่าอาตมาไม่มีอกุศลจิตแม้เพียงเศษเสี้ยวของตัวเองตามที่ซื่อสัตย์จริงใจ อาตมาก็จบ อาตมาก็แสดงออกตามความมั่นใจของอาตมา นี่คือสิ่งที่อาตมาทำอยู่ เป็นอยู่ แสดงอยู่ในโลก จนกว่าจะตาย ตายอีกเกิดอีก อาตมาก็จะทำอย่างนี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่าความบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะดี หรือชนะ เราก็รู้สิ่งแฝงของตน ว่าไม่มี แม้รู้น้อยไม่ครบก็ของแต่ละคน
หากใครยังไม่มั่นใจ หรือว่าอยากจะได้ตัวอย่าง ก็เอาหมอฟากฟ้าหนึ่งเป็นตัวอย่างได้เลย พยายามศึกษาชีวิตดีๆ มีของจริงให้ศึกษาตาม รายละเอียดในหนังสือนี้คนรวบรวมไว้ก็ยังไม่มากเท่าไหร่ หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วไม่ใช่เรื่องที่ใส่ไข่ ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดที่ยังเก็บไม่ครบด้วยซ้ำไป เป็นเรื่องปรากฏการณ์จริงของโลกของสังคมยุคนี้ สำหรับชาวอโศกเรา ก็มีตัวคนจริงอยู่หลายคนมาเรื่อยๆ แต่ละคนๆ ก็เสียชีวิตไปเราก็เอามาแฉเต็มที่ เพราะมีความเที่ยงแท้แล้ว แต่คนที่อยู่นี้ ไม่แน่ เดี๋ยวเสียทั้งคนถูกแฉ และคนที่แฉ แต่ตายไปแล้วก็เอาสิ่งที่เป็นจริงมายืนยัน อย่างไรก็มีของจริงให้เราได้พูด นี่คือสิ่งที่ยืนยันปรากฏการณ์จริง เป็นของจริงที่ axiom ที่ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ก็เอาตัวจริงที่แน่ใจแล้วที่ยืนยัน นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
ว่าเที่ยงแท้มั่นคงไม่เป็นอื่น ไม่แปรเปลี่ยน ตลอดกาล Forever นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นสัจจะเป็นสภาวะ ผู้ที่มีสภาวะยืนยันได้ก็ไม่ออกนอกไปจากนี้เลย โดยเฉพาะยืนยันในคนที่อยู่ในยุคของเราจริงๆ ก็เอามาศึกษาให้เกิดจริงเป็นจริง และอาตมาก็เข้าใจว่า ในโลกก็มีคนที่เป็นได้อย่างนี้ ในเอกภพ ไม่มีอื่นหรอก มีอันนี้ อาตมาว่าอาตมาทำงานจนป่านนี้แล้ว และก็จะทำต่ออีก ยืนหยัดยืนยัน อาตมาจะไปหลงใหลคลั่งไคล้ ถ้าไม่เป็นไปอย่างที่ว่า ในข้างหน้า อาตมาหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ เลยต้องตรวจสอบตัวเอง
นับเป็นบรรพชนของชาวอโศกได้ ในเรื่องโลกุตรธรรม ที่จะเอาไปเป็นแบบอย่างในการศึกษาปฏิบัติธรรมตาม นอกนั้นก็มีคนที่อยู่มีคุณธรรมขั้นนั้นขั้นนี้เป็นต้นไป ชาวอโศกก็มิใช่มีแต่อรหัตตมรรค หรืออรหัตตผล แต่มีโพธิสัตว์ต่อไปอีก
จบอรหันต์แล้วตัวเองสามารถที่จะรู้จักลักษณะสี่ของพลังงานจิตหรือพลังงานอัตภาพของตน สามารถที่จะตัดสันตติ พลังงานที่จะไม่ต่อ เป็นลักษณะรูป รูปแปลว่าสิ่งที่ถูกรู้ ในนามธรรม จิตเจตสิกของแต่ละคน ผู้มีญาณปัญญาสามารถหยั่งรู้ได้ รู้สภาวะอาการลิงค นิมิต อุเทศ ตามที่ได้รับคำสอน สามารถอ่านสภาวะ ว่านี่คืออาการ ไม่สันตติ หยุดไม่ต่อ จบ จบชั่วคราวหรือตลอด ผู้ที่จบแบบปรินิพพานเป็นปริโยสาน แบบที่พวงมะม่วงตกแตกกระจายเอาคืนไม่ได้เหมือนตาลยอดด้วน เหมือนกระเบื้องแตก เอามาต่อคืนมาไม่ได้เหมือนเดิมอีกแล้ว
สิ่งเหล่านี้เป็นการยืนยันความจริงที่ในโลกมนุษย์ไม่ว่าจะในยุคไหน ได้แล้วก็จะประเสริฐสูงสุดเป็นหนึ่งเดียว จะพิสูจน์ไปอีกจนกว่าโลกนี้จะแตก ล้างโลกไปเลย หากไม่แตกก็ใกล้กลียุคแล้ว คนที่ศึกษาตามจะรู้เรื่อง โลกกับอัตตา ถึงกาลโลกแตกก็แตกจริง ในศาสนาเทวนิยมก็ว่าน้ำท่วมโลก ส่วนอเทวนิยมจะเรียกน้ำท่วมโลกไม่มีปัญหา แต่ของอเทวนิยมหรือพุทธนี่สลายสภาพนี้ไปเลย เปลี่ยนจากโลกของจิตนิยาม ล้างจิตนิยามออกจากโลกลูกนี้ หรือโลกวิสัย โลกลูกนี้สภาพอย่างนี้ล้างไปเลย ใครจะต่อก็ไม่มาในโลกนี้ ยังเหลืออยู่ก็ไปหาโลกลูกใหม่ โลกลูกใหม่ พลังงานจิตวิญญาณวิ่งได้ยิ่งกว่าจรวด หรือยิ่งกว่าแสงอีก ยิ่งกว่าจรวด เร็วกว่าแสงอีก ไม่ต้องห่วงหรอก อัตภาพ ตายแล้ว หากหมดโลกแล้วจะสูญทันที จะสูญได้ก็ดีสิ แต่มันไม่ใช่ มันไม่ได้ คุณจะต้องอยู่ จะต้องไปอยู่โลกลูกนั้นลูกนี้ตามวิบากคุณจะต้องไปรับวิบากอีก มันไม่สูญหรอก มันจะสูญได้คุณจะต้องทำเอง มันจะต้องสลายตัวเอง ลักษณะ 4 นี้คุณจะต้องทำเอง เป็นอรหันต์ ตัดสันตติ ปิดอุปจยะ หากเป็นอนาคามีก็จะชรตา ก็จะอนิจจตา แต่ถ้าฮึดอีกก็มีพลังงานต่อได้ แต่มนุษย์พืชนี้ หากมีองคาพยพต่อติดมันก็ฟื้นได้อีก มนุษย์ตายแล้วฟื้นเป็นเรื่องไม่แปลก ดิ้นรนด้วยเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยครบมันก็ฟื้น แต่ถ้าเหตุปัจจัยไม่ครบก็ไม่ฟื้น อรหันต์ท่านจะปล่อยให้สูญทันที หรือสูญเป็นลำดับอย่างอนาคามีก็เรื่องของท่าน
สรุปแล้วคนจริงที่มีปณิธานจริงและก็มีการพัฒนาตัวเองจริง ในโลกที่เป็นโลกจริง มีมนุษย์ อุตุนิยาม พีชนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ตามคำสอนพระพุทธเจ้า อาตมาใช้บัญญัติของพระพุทธเจ้านี่ ต่อไปโลกจะมาศึกษา
ขณะนี้ นิยามชีวิต 5 นี้ โลกวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถตามทัน
จิตนิยามคือ biology แต่พืชก็ biology ระดับพีชนิยาม แต่ระดับจิตนิยามของเขาโลกียะก็ยังไม่ถ้วนรอบของโลกีย์เป็นกัลยาณชนก็ยังไม่ครบ สำหรับสายที่ไม่ใช่พุทธ แต่ถ้าสายพุทธสามารถที่จะเป็นกัลยาณธรรมได้สูง ก็จะมีตัวอย่างให้เราเรียนรู้ได้ อยู่ในคนจริง ในยุคสมัยมีตำนานมีประวัติศาสตร์ มีตัวตนบุคคลเราเขาให้ศึกษาได้จริงๆ เอาอันนั้นเป็นสมมติสัจจะยืนยันในแต่ละยุคสมัย เท่าที่มันจะมีตำนาน ไม่ใช่คิดเอา แบบตรรกะ ซึ่งในองค์ประกอบของสรรพสิ่งไม่ว่าอายุดวงดาว ภูเขาไฟ แม่น้ำ มันก็มีได้สูญได้ หรือแตกไปพร้อมโลกก็มีต่างๆนานา เราต้องรู้รอบ โลกวิทู รู้องค์ประกอบ สรุปแล้วพูดกว้างก็ไม่สามารถเอามาปฏิบัติได้หมด เรียกโลกจินตา คิดไปเท่าไหร่รู้เท่าไหร่ก็ได้ แต่ใช้ได้จริงๆจำนวนหนึ่ง คุณอยู่อเมริกา ก็เอาแต่เหตุปัจจัยองค์ประกอบของอเมริกา คุณอยู่ประเทศไทยก็ใช้แบบของประเทศไทย แล้วไม่สับสนในการรู้ ของเขาก็มีแบบนั้นเราก็รู้ แต่เราก็ไม่ได้ใช้หมด เราก็ใช้สิ่งที่เราได้ ใช้เฉพาะที่เราใช้ได้ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่ความเพ้อฝันความหวังความอยากความต้องการเฉยๆมันก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
ทีนี้มาเน้นที่หมอฟากฟ้าหนึ่ง มันเป็นเรื่องของตัวบุคคลอย่างที่ว่านี้แล้ว ทีนี้เอาหมอฟากฟ้าหนึ่งมีดีอะไร?
ดีของมนุษยชาตินี่ ดีที่สำคัญที่สุดคือ หนึ่ง ไม่มีตัวตน สอง เมื่อไม่มีตัวตนแล้วไม่ได้หมายความว่าไม่มีพลังงานไม่มีสมรรถนะไม่มีความรู้ความสามารถ นอกจากไม่มีตัวตนแล้ว ยังมีความรู้ความสามารถ และยังมีความขยัน มีความรู้ความสามารถในตัวคน แต่ถ้าหากมันขี้เกียจ แล้วไปมีไปทำไม มีไปมีประโยชน์อะไร มีเอาไว้คุยโม้ เอารายได้ตอบแทนอย่างนั้นหรือ ไม่เข้าท่า มีก็ต้องเอาไปทำ ทำเพื่อเป็นความเหมาะสมกับสถานการณ์เป็นประโยชน์ต่อบุคคล
ธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงสรุปลงที่ว่า เป็นประโยชน์ต่อมวลคนจำนวนมาก เราลงทุนน้อยแต่ได้ประโยชน์มาก โดยการคำนวณ หรม. ครน. เป็นการคำนวณสภาวะรอบๆ จะบอกว่าเป็นการเห็นแก่ตัวไปหากำไรลงทุนน้อยแต่ได้มาก ไม่ใช่ ลงทุนน้อยแต่ได้ประโยชน์มากประโยชน์สูงประหยัดสุด อย่างนั้นคือคนที่ฉลาด และทำได้ประโยชน์สูง และก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองด้วย
ศาสนาพุทธชัดเจน ครบครัน คนที่เป็นตัวจักรในการทำงานอยู่กับสังคม ไม่ต้องเป็นห่วงตัวเองเลย เมื่ออยู่ใน หมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีไม่ต้องกลัวไม่มีคนช่วยเหลือ อย่างที่พิสูจน์ในชาวอโศก คุณทำให้จริง ทำให้เป็นประโยชน์ต่อโลกต่อสังคมมากๆ คนอื่นเขาจะรู้จะมีปัญญาความเฉลียวฉลาดที่จะรู้ความจริงอันนี้ และก็สนับสนุนคุณแน่นอนไม่ต้องห่วงหรอก ทำจนหมดแรงตายคาสนามโดยไม่ต้องกลัว แต่ก็ไม่ได้ยุให้ตายคาสนามนะ แต่ให้พอเหมาะพอดีและทำไปได้นานๆ ความเจริญก็จะมากขึ้น ประโยชน์ก็จะได้สูง นี่เป็นลักษณะของสัจธรรมพระพุทธเจ้า
อาตมาต้องขอพาดพิงตัวเอง หมอฟากฟ้าหนึ่งมั่นใจในอาตมา ตั้งแต่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่เข้าอุดมศึกษาเลย ตั้งแต่เรียนเตรียมอุดมศึกษา จนเรียนทันตแพทย์จบ มาทำงานหาประสบการณ์ แล้วออกมาอยู่กับชาวอโศกจนสิ้นชีวิต หลายคนบันทึกเอาไว้ว่า หมอมั่นใจว่า ตายไปแล้วก็จะกลับมาอยู่กับพวกเรา เห็นบอกว่าให้สังเกตุเด็กหญิง ทำสัญญาณไว้ก่อนตายเลย อย่างนี้เป็นต้น แต่อาตมาว่าเกิดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อย่าไปโมเมชี้คนไหนๆ ให้มันเป็นจริงของแต่ละคนก็แล้วกัน ความจริงไม่สามารถบิดเบี้ยวได้ เราจะได้พิสูจน์ความเวียนว่ายตายเกิด ความหมุนเวียนของพลังงานอัตภาพของมนุษย์ เป็นเรื่องซับซ้อนที่ยิ่งใหญ่ เป็นจริงไม่บิดเบี้ยวในเรื่องของกรรม มีความดีและมีความดีมาก ดีน้อยก็ได้ อย่าประมาทเรื่องกรรมเป็นอันขาด พระพุทธเจ้าย้ำกรรมอกุศลกรรม บาป แม้มีประมาณน้อย เท่าที่เราจะสามารถหยั่งรู้ได้ก็อย่าไปทำมัน ทำแล้วบอกว่าไม่เอาไม่ได้ ให้คนอื่นก็ไม่ได้ ทำแล้วไม่ระเหิดระเหย แม้ชีวะ อย่างไวรัสก็อยู่ได้นานล้านๆปี แต่กรรมนี่ละเอียดกว่าอีก นานกว่าอีก
1.เรื่องกรรม 2.วิบาก 3.กรรมเป็นของๆตน 4.เชื่อเรื่องกรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วมาประกาศให้รู้ เรียกว่าเชื่อคำสอน เชื่อในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอันที่ 4
กรรมวิบากมีจริง วิบากเป็นผลแล้วมาแก้แค้นหรือส่งผลดีได้ตลอด และสำคัญคือกรรมเป็นของๆตน แบ่งให้ใครไม่ได้ แค่กุศลอกุศลก็ดี บาปบุญก็ตาม แบ่งให้ใครไม่ได้
กุศล อกุศล เป็นเรื่องโลกีย์ บาป บุญ เป็นเรื่องโลกุตระ
บาป นี่อันเดียวกับอกุศล พยัญชนะนี้สองอัน แต่สภาวะเดียว เป็น two in one
เป็นแต่เพียงว่าเอาบัญญัติเรียกบาปคู่กับบุญ
บาป บุญเป็นโลกุตระ บาป ถ้าหมดแล้วไม่เกิดอีกเลยได้ บุญก็เช่นเดียวกัน บุญเป็นพลังงานมีฤทธิ์อำนาจกำจัดบาป อกุศล เป็นวิบัติถ่ายเดียว ทำหน้าที่เสร็จ จบด้วยวิบัติ ไม่ได้จบด้วยสมบัติเลย ป + อัตตะหรืออัตติ ก็คือเกิด เกิด ที่จริงบุญคือพลังงานทำลาย เป็นยอดนักฆ่านะ อันนี้คนเปลี่ยนความรู้สึกได้ยาก บุญจะเป็นนักฆ่าได้อย่างไร เพราะว่าบุญเป็นสิ่งที่สูงส่งเหนือกุศลด้วย กุศลอกุศลฆ่ากิเลสไม่ได้ แต่ยับยั้งเป็นสมถะ แต่มันจะฟื้นได้อีก เป็นโลกีย์กุศล ยังกลับไปกลับมายังเป็นอื่นได้อีก
ก็ฟังเป็นธรรมะไปด้วย และมีตัวอย่างหลักที่เป็นตัวอย่างด้วย เพราะฉะนั้นใครยังข้องใจอาตมาว่า เอาหมอฟากฟ้าหนึ่งนี้เป็นตัวอย่างก็ได้ว่า คุณไม่เชื่อ คุณตามเข้ามาอยู่ในชาวอโศกเลย และคุณก็ค้นหาว่าตอนนี้หมอฟากฟ้าหนึ่งเกิดแล้ว จะอยู่ในชาวอโศกเป็นใคร คุณตามมาพิสูจน์ยืนยันเลยว่าเป็นใคร อาตมาก็จะได้หลักฐานยืนยัน และคุณดูเลยว่า มีคุณสมบัติต่างๆนานา ที่สืบสาวราวเรื่องได้ ตั้งแต่เป็นหมอฟากฟ้าหนึ่ง มันตรงกันใช่หรือเปล่า คุณจะไปเอาตํานานภาษาก็ไม่ใช่ ต้องเอาต่อพฤติกรรมจริง หากมาเกิดแล้วก็ต้องมีพฤติกรรมใหม่ แต่ก็ต้องมีรากฐานเก่า คุณก็ต้องศึกษาทางพฤติกรรมของหมอฟากฟ้าหนึ่ง เหมือนอาตมาพูดว่าอาตมาเคยเป็นใคร อาตมาไม่พูดโกหกหรอก ไม่พูดเพื่อลาภยศสรรเสริญ มันเป็นบาปเป็นวิบากอาตมา อาตมาจะโง่ทำไปทำไม อาตมาชัดเจนสิ่งนี้ไม่พูดเล่น
อาตมาถึงมั่นใจว่า คนเชื่ออาตมานี้มีจำนวนน้อย อาตมาถึงได้ฝืนสังขารที่จะอยู่ต่อ จริงๆแล้วเป็นความซับซ้อน อาตมาต้องระวังมากที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก ต้องระวัง ว่า ถ้าอาตมาสังขารองคาพยพ ไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ขี้ลืมมากขึ้น จะผิดพลาดมากขึ้นก็จะเป็นอกุศล เป็นมิจฉา เป็นอกุศลธรรมสั่งสม อาตมายังไม่จบอัตภาพ ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า มันก็ต้องมีผลต่ออาตมาในอนาคต อาตมาจะไปเติมมันทำไม อาตมาเข็ดมากแล้ว นี่มันซับซ้อน
อันนี้ดีแล้วเหมือนท้าทาย มาตามหาหมอฟากฟ้าหนึ่ง ถ้าเผื่อว่าคุณเจอก็จะได้น้ำหนักในการที่จะเชื่อ ก็แล้วแต่คนแต่ละคน คุณจะได้ให้คำตอบของคุณเองเป็นเรื่องอจินไตย มันต้องประสบเองด้วยตัวเอง ถึงจะรู้จริงๆมั่นใจจริงของตัวเอง คนอื่นมาพูดอย่างไรมันจะเชื่อได้อย่างไร ก็ต้องเชื่อของตัวเอง มีเหตุปัจจัยของตัวเองครบ ว่าเป็นอย่างนี้มันต้องขนาดนี้ เราถึงจะได้
นี่ก็คือสิ่งท้าทายอันหนึ่ง หมอฟากฟ้าหนึ่งเป็นสิ่งท้าทายอันหนึ่งที่อาตมาให้ไปคิด ไม่ใช่เล่ห์ แต่เป็นสิ่งที่ติดตามพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ความหลอกล่อ อันนี้เป็นสิ่งที่มีองค์ประกอบจริงของมนุษยชาติที่เป็นอาริยะ เป็นเรื่องจริงตามตำราพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกก็มี คุณเปิดพระไตรปิฎกศึกษาตามได้เลย ตรวจสอบได้เลย อาตมาท้าให้ พระไตรปิฎกอันนี้อาตมามั่นใจ จะถูกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ 98 เปอร์เซ็นต์ มีความผิดพลาดบ้างจริง แต่อาตมาไม่กล้าตัดสินในพระไตรปิฎกว่าผิด อย่างพระอภิธรรม บางอย่างเราจะบอกว่าไม่ถูกไม่ได้ก็ให้ประโยชน์ตามตำรา เพราะอภิธรรม อาตมาไม่กล้าตีทิ้ง ว่าผิด แต่ท่านพุทธทาสบอกว่าตัดทิ้งไป 60% ได้เลย อาตมาไม่กล้าเพราะรู้อยู่ว่ามันใช้ได้ จากภาษาของอภิธรรมนี่เราไม่รู้อีกตั้งเยอะ ก็ค่อยๆรู้เพิ่มเติมว่า อ๋อ
ขนาด รูป 28 ในอภิธรรมนี้คุณรู้ครบหรือไม่ ใช้ได้ครบหรือไม่
มหาภูตรูป 4 อันนั้นรู้ได้ง่าย แต่อุปาทายรูป 24 นี่รู้ครบไหม
เริ่มจากตาหูจมูกลิ้นกาย 5 กับภายในที่เป็นรูป เกิด ปสาทรูป 5 กับโคจรรูป 5 รวมกันเป็น 10 แล้วมีภาวรูป 2 ต้องจับให้แม่น มันเป็นนามธรรม อรูป แต่อรูปที่เป็นธรรมะ มีกายกับจิต อรูปที่มีรูปกับนาม แต่มันมีความเป็นจิต กายก็คือจิต และก็ตามศึกษาที่จิต ไม่ใช่ศึกษาที่กาย กายมันรู้แล้วเปลือกนอก เหมือนสภาพของอุตุนิยาม พีชะ ก็มี protoplasm กับ cytoplasm ใน protoplasm ก็แค่เปลือก ในนั้นมีสิ่งบรรจุอยู่มากมาย ก็ต้องตามศึกษาพวกนี้ไม่ใช่ศึกษาแต่เปลือก อยู่ในนั้นมีอีกมหาศาลที่ต้องศึกษา เหมือนกับคุณต้องทิ้งเปลือกหรือรูปแล้วมาตามที่จิต แต่กายมันขาดสองไม่ได้ ต้องมี protoplasm หุ้มอยู่ คือรูป ในนั้นก็มีนาม
พีชะก็มีเปลือกเป็นรูป แต่กลับกันคือ พีชนิยามมีแก่นหมุนเร็ว แต่ตัวนอก พยายามหยั่งลงผนึกไว้เป็น static เขาก็พยายาม ตัดต่อพันธุกรรมสัตว์ แต่ก็ยังทำไม่ได้มากเท่ากับที่เป็นพีชะ
สมณะเดินดินว่า...จะกลับมาเกิดก็มีสิ่งที่ให้รู้ได้ว่าเป็นหมอฟากฟ้าหนึ่ง จะจำได้
พ่อครูว่า..มันจะมีพฤติกรรมเดิมที่ยังไม่ทิ้งไปเป็นแกนของ static และมีพฤติกรรมพัฒนาใหม่อีก และอาจจะเป็นผู้หญิงต่อไปอีก บอกว่าจะใส่กระโปรงแดง ตั้งแต่ยังไม่ตายไปบอกไปอย่างนั้น หมอฟากฟ้าหนึ่งยังไม่คิดจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิงก็เป็นอรหันต์ได้ หมอฟากฟ้าหนึ่ง เป็นพระโพธิสัตว์ที่สูงจนจะเป็นผู้ชายได้
สมณะเดินดินว่า...ก็จะมาร่วมสร้างปฐมอโศกอีก พ่อครูยกหมอฟากฟ้าหนึ่งให้เป็นบรรพชนของปฐมอโศก
พ่อครูว่า..ก็ถือว่าเป็นบรรพชนแห่งชุมชนแรกของอโศก และตั้งหลักได้มั่นคงแล้ว ทุกวันนี้เลี้ยงตัวเองรอด และเลี้ยงน้องๆต่ออีก
สมณะเดินดินว่า...บ้านราชฯเป็นชุมชนสุดท้าย
พ่อครูว่า...เป็นชุมชนปลายน้ำไม่ใช่ชุมชนสุดท้าย ปฐมอโศกมีสภาพเป็นพ่อเป็นพี่ อย่างแท้จริง
สมณะเดินดินว่า..หมอฟากฟ้าหนึ่ง ขยัน ประหยัด เคร่งครัด เอื้ออาทร มีโอกาสก็ช่วยเหลือครอบครัวน้องๆ เป็นหลักให้ครอบครัวก็ได้ ประสานญาติธรรมก็ได้
พ่อครูว่า...อย่างผมเป็นหลักให้แก่ครอบครัว จนกระทั่งครอบครัวไม่ต้องพึ่งพาผมแล้ว ปล่อยให้ผมไปเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้ ครอบครัวยกผมให้แก่สังคมแล้ว พึ่งพาตัวเองได้แล้ว ผมไม่ต้องไปอะไรเลย เป็นคนสาธารณะได้เลย เขาตัดหางปล่อยวัด
สมณะเดินดินว่า...พวกเราข้องใจว่าพ่อครูพูดเหมือนท้อใจหรือเปล่า
พ่อครูว่า..ยังไม่ท้อใจ แต่เกือบจะท้อใจ ระวังตัดเกือบก็ท้อ จะเกือบจะเหลืออยู่หรือไม่เหลืออยู่ก็อยู่ที่พวกคุณ ถ้าหากพวกคุณช่วยผม จริงๆแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะช่วยไปตลอดกาล ผมจะพิสูจน์ Coefficient ถ้าพยายามพากเพียรเติมลักษณะ Coefficient เป็นพลังงานซับซ้อน หากตัวผมเอง ผ่าน 96 ไปได้ ตอนนี้ผ่าน 84 ก่อน หากผ่าน 84 ขึ้น 85 พลังงาน Coefficient จะเกิดพลังงานคูณ ถ้าไปถึง 96 มันจะเกิดพลังงานยกกำลัง ถ้าเผื่อว่าไปถึง 96 แล้ว ผมไปถึง 144 แน่เลย ผมกำลังพิสูจน์อันนี้อยู่ หากพวกคุณช่วยผมให้มันสมดุล ผมบอกได้แต่เพียงว่าขนาดนี้น้อยไปอยู่ พวกเรายังน้อยอยู่ หากว่าเราแข็งขันขยันเพียรมากขึ้นกว่านี้ เป็นพลังงานเสริมขึ้นมาให้ผม หรือแม้แต่ขณะนี้ พลังงานส่วนรวมข้างนอก ทางการก็ดี ทางรัฐบาลก็ดีทางจังหวัดก็ดี เขาเข้ามาอีกมาเสริม ถ้าเสริมได้จริงๆ ผมไปได้ ผมไปได้
แต่ทางจังหวัดทางรัฐบาลไปหวังเขาไม่ได้ พวกเราเป็นต้นทางก่อน เพราะถ้าเผื่อว่าพวกเราระดมกันเข้ามาสร้างแกนนี้เพิ่มขึ้น มันจะเป็นพลังงาน ดูดดึงเอาทางรัฐทางจังหวัดมาจริง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง มันจะเป็นสภาวะจริง
พ่อครูว่า..แทนที่ผมจะตายก่อน แต่ลูกสมควรตาย ปล่อยให้ผมตายได้อย่างไร
สมณะเดินดินว่า..ก็ขอกราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง เรามีสิทธิ์ลุ้นพ่อครู เป็นปีสำคัญของชาวอโศก ให้พ่อครูมีกำลังเพิ่มขึ้นให้ได้ เมื่อคืนประชุมสันติอโศก ว่าปีนี้เป็นปีพิเศษพ่อครูอายุครบ 84 ปี ก็ถ้าจัดที่สันติอโศกก็จะดูไม่พิเศษ ประกอบกับพ่อครูว่าเมื่อยแล้ว ก็ลองปรึกษาชาวสันติอโศก ก็ได้มติเอกฉันท์ว่า จะไปจัดอโศกรำลึกกันที่บ้านราชฯ เป็นทิฏฐิสามัญตาของพวกเรา
การทำงานของหมอฟากฟ้าหนึ่งคือการทำงานแบบไม่มีตัวไม่มีตน แม้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำงานสบายๆได้เป็นหมอฟัน แต่กลับมาทำงานทุกอย่าง แม้เรื่องเล็ก แม้เรื่องใหญ่ก็ทำได้ ถ้าจะฉลองก็น่าจะมี 4 วาระสำคัญคือ ตอน 84 เจ็ดนักษัตร หรือถ้าไปอีก 90 ปี พ่อครูไปได้ถึง ตอนนั้นก็หาคนมาประลองได้ยาก
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:12:55 )
รายละเอียด
610122_คำถามดุษฎีนิพนธ์ปริญญาเอก ม.มหิดล เรื่อง เกษตรอินทรีย์กับศาสนาพุทธ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เกษตรอินทรีย์กับวิถีพุทธ
นายไพฑูรย์ โกษีอำนวย นศ.ป.เอก ม.มหิดล มากราบเรียนขอสัมภาษณ์ ประกอบการทำดุษฎีนิพนธ์ เรื่องแรงจูงใจของศาสนากับการทำเกษตรอินทรีย์
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ต่อโลก ต่อสิ่งมีชีวิต ถึงได้เรียนรู้ สิ่งที่เป็นพิษและสิ่งที่มอมเมา ให้ชัดเจน ในสิ่งที่สร้างขึ้นมาคนไม่รู้ว่าเป็นพิษอย่างไร มอมเมาอย่างไร ความเป็นพิษก็พอรู้ได้ง่ายว่าเอาถึงตาย มอมเมานี้ที่จริงแล้วเอาถึงตายทั้งเป็น ไม่ใช่ตายอย่างหยาบ คนที่ไม่รู้ก็สร้างสิ่งที่เป็นพิษและมอมเมา ทั้งสองอย่าง ไม่ว่าจะการค้าขายการพาณิชย์
1. การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
2. การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
3. การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
4. การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
5. การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177)
การมอมเมานี่ เดี๋ยวนี้ยิ่งแรงยิ่งจัด มาก สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่เข้าใจก็แก้ปัญหาสังคมไม่ได้ ลุกลามไปถึงสิ่งที่ใช้อาศัยเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค บริโภคหรือเครื่องใช้ พวกที่มอมเมาด้วยความรูปสวยรูปงามรูปใหญ่โต การบริโภคการกิน การตกแต่งปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่างๆ กินเข้าไป มอมเมาเข้าไปหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นผักก็ต้องสวยๆใส่ยา บำรุงให้สวยให้งาม ให้กรอบเป็นยาเป็นพิษ ใส่สารเคมีเข้าไป สิ่งเหล่านี้เมื่อศึกษาธรรมะแล้วจึงรู้ว่าไม่ควรทำ
ที่หยาบๆตั้งแต่เป็นค้าวัตถุ ค้าสัตว์ค้าเนื้อสัตว์ค้าสิ่งเป็นพิษเราก็รู้ค้าสิ่งมอมเมาก็ไม่ทำ
จะทำเครื่องอุปโภคบริโภคก็อย่าให้มอมเมา ใส่ยาฆ่าสัตว์ฆ่าแมลง พืชมันก็ไม่รู้ ว่ามันเป็นภัยแต่คนที่ปลูกเองก็ถูกสารเคมีจนตาย ชาวอโศกรู้แล้วจึงพากันเลิก ไม่ว่าจะเป็นค้าขายสัตว์เป็นค้าขายเนื้อสัตว์ ก็ชัดเจนแล้วแม้แต่ สิ่งมอมเมาเป็นพิษ เครื่องอุปโภคบริโภคก็ดี มาถึงเครื่องบริโภคเครื่องกิน อาหารการกิน เราจึงเดินเข้าสู่ความเป็น คนรู้จักการปรุงแต่งที่ เป็นชีวิตินทรีย์
พืชเป็นพีชนิยาม ชีวะ เราอาศัยกินมัน เราจะสร้าง ช่วยมัน มันเป็นตัวพัฒนาขึ้นมาให้เราได้กินได้ใช้ ถ้าหากเราใส่ความเป็นพิษเข้าไปมันก็เป็นพิษภัย เราจึงรู้ในอินทรีย์ทั้งหลายของสิ่งเหล่านี้ เราก็ไม่ใส่
เราก็พยายามจะช่วยให้มันได้ตามธรรมชาติของมัน แม้แต่สารเคมีมันก็เป็นธรรมชาติแต่สกัดเข้ามาให้มันจัดให้มันแรง มันก็เลยเร็ว ก็กลายเป็นสิ่งตกค้างในพืช พืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆก็เป็นพิษภัยต่อคนบริโภค ทั้งนั้น เราเข้าใจความเป็นจริงพวกนี้จึงไม่ส่งเสริม จนถึงขั้นไปสร้างโรงปุ๋ยที่จะเป็นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้มันได้สัดส่วนไม่เอาสารเคมี กับการสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารให้ได้ธาตุ ที่เป็นสัดส่วนพอเหมาะ ไม่ใช่จัดจ้านจนต้องใส่สารเคมีเข้าไป เราจึงมีสัดส่วนลักษณะต่างๆให้เหมาะควร ไม่เอาสารเคมีที่มันจะ มาเสริมมากไปจัดไป
เราทำปุ๋ย ที่เราปรุงได้พอดีพอเหมาะไม่จัดจ้าน จึงเรียกว่า พืชพันธุ์ธัญญาหาร ในระดับ เกษตรอินทรีย์
นายไพฑูรย์ว่า...มีบางคนบอกว่า ไม่ใช้สารเคมีเพราะว่าผิดศีลข้อที่ 1 ทำลายสัตว์ สิ่งปนเปื้อนในอาหารที่ทำให้คนอื่นกินก็เหมือนกับการทำร้ายคนอื่น แล้วทีนี้ เท่าที่ผมศึกษามาในเครือแหของพ่อท่าน มีความมั่นคงในเรื่องศีล แต่ถ้าคนไม่มีศีลธรรม พ่อท่าน มันจะทำได้ไหม
พ่อครูว่า...เราไม่ได้ไปบังคับโดยใช้แค่กฎเกณฑ์เฉยๆ กฎเกณฑ์หากไม่รู้ในสาระความหมายและเหตุผลของมัน จะต้องมีปัญญาและเฉลียวฉลาด เอาอันนี้ไปเข้าร่างกายเราทำไม เราจึงหันมาทำเกษตรอินทรีย์และดูสวยงามด้วย อาตมายังพูดเลยว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารเหล่านี้มันออกมาประชดพวกเราหรือยังไง ดอกมันบานใหญ่
นายไพฑูรย์ว่า...ถ้าคนในเครือข่ายพ่อครูนี้ผมมั่นใจมากแม้ว่าจะไม่ได้รับตรามาตรฐานอินทรีย์อะไรอื่นๆ
พ่อครูว่า...ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาก็เกิดที่นั่นเหมือนล้างมือด้วยมือล้างเท้าด้วยเท้า ปฏิบัติธรรมะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ศีลจะขัดเกลากิเลสออกจากจิตและเกิดปัญญา จากการปฏิบัติศีล ทำให้จิตสะอาดปราศจากกิเลสแล้วจะเกิดปัญญารู้ เกิดปัญญานี้ไม่ได้เกิดจากโมเมหรือตำรา แต่ถ้าทำให้รู้ในเหตุในผลอย่างมีผลเกิดจริง เราไม่ใช่แค่ทำตามหลักเกณฑ์เท่านั้นแต่เข้าใจด้วยปัญญา จึงเต็มใจทำ ปฏิบัติธรรมเป็นโลกุตรธรรม ไม่หลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่หลงโลกธรรม และรู้ว่า ถ้าเป็นเกษตรอินทรีย์ไม่มีสารพิษมันก็ยิ่งดีเราก็มีความรักเรานี้จึงไม่ได้บังคับกันหรือล่อลวงด้วยลาภยศสรรเสริญหรือว่าทำแล้วจะได้บุญได้กุศลได้วิมานอะไรก็ไม่ใช่ แต่ทำด้วยปัญญาที่รู้จักเหตุปัจจัย
นายไพฑูรย์ว่า..วันนี้เป็นการสำรวจคร่าวๆ ถ้ามีข้อมูลจะศึกษาเพิ่มก็ต้องขออนุญาตพ่อท่านต่อ
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน เพราะกิเลสมันบ้าจิตเราจึงต้องเร็วยิ่งกว่าให้ได้
นายไพฑูรย์ว่า..ถามถึงเรื่องการสวดมนต์ และถามถึงเรื่องการนั่งทำสมาธิหลับตามันก็ช่วยให้เกิดสมาธิได้ดีขึ้นหรือไม่
พ่อครูว่า...มันช่วยแต่มันผิด ต้องปฏิบัติไปตามกรอบ ตั้งแต่ศีล5 ไป กำหนดกรอบ แค่พอที่จะปฏิบัติ
นายไพฑูรย์ว่า..เหมือนกับว่าให้เรามองขันธ์ 5 ในการเกิดไตรลักษณ์ มีอะไรกระทบและให้เรารู้ทันไม่ไปปรุงแต่ง
พ่อครูว่า..ฝึกแบบนั้นเป็นวิธีของฤาษีไม่เป็นไปตามขั้นตอน
นายไพฑูรย์ว่า..หากผมไม่เคยปฏิบัติเลยจะเริ่มจากอย่างไร
พ่อครูว่า...เริ่มจากปฏิบัติศีล 5
นายไพฑูรย์ว่า..เริ่มจากการเกี่ยวข้องกับสัตว์เกี่ยวข้องกับข้าวของ
พ่อครูว่า...เอา ศีล 5 แต่ที่นี่มีการ advance กว่าอีก
นายไพฑูรย์ว่า..ถ้าคนไม่เคยเลยหมายความว่าให้ระวังไม่ผิดศีลทีเดียวไหม
พ่อครู.ว่า..ศีลเป็นกรอบไปเป็นลำดับๆ
นายไพฑูรย์ว่า..แปลว่าพ่อท่านไม่ได้ใช้หลักของสมถะและวิปัสสนา
พ่อครูว่า...สมถะ เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างคุณลืมตานี้ แม้แต่คุณมี ราคะโทสะ คนก็ไม่ปล่อยให้มันออกมาหมดหรอกคุณก็เป็นสมถะอยู่แล้ว คุณไม่กล้าทำ ก็กดข่มไว้ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือคุณก็วิปัสสนาสิ
นายไพฑูรย์ว่า.วิปัสสนาทำอย่างไร
พ่อครูว่า...วิปัสสนาต้องอ่านอารมณ์ในเวทนา มันจะมีกิเลสผสมเป็นการปรุงแต่ง คุณก็ต้องวิจัย การปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าต้องไปดูให้ชัดเลยว่า ศีลสมาธิปัญญา ต่อการกระทบสัมผัสเหตุปัจจัยแล้วเกิดจิต มันปรุงแต่งเป็นเวทนาเป็นความรู้สึก แล้วจับเวทนา
เวทนาจึงเป็นกรรมฐานที่จะต้องวิจัยเวทนา พระพุทธเจ้าแบ่งเวทนา 108 กายิกเวทนา เจตสิกเวทนา เวทนาสอง จนถึง เวทนา 5 เวทนา 6 เวทนา 18 เวทนา 36 เป็นมโนปวิจาร 18 สองฝั่ง เคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนา จับกิเลสในนี้ให้ได้ ทำกิเลสในเคหสิตเวทนาให้ลดออกหมดไป เหลือเนกขัมสิตเวทนา
กิเลสมันหลอกมันไม่เกิดตลอดกาลเดี๋ยวมันก็หมดไป มันเป็นทุกข์ ทำให้มันลดลงไปได้จนมันหมดตัวตนเป็นสูญได้ ปฏิบัติตามลำดับไป เรียนรู้ เคหสิตเวทนา ให้มันลดกิเลสลง ออกจากกามและพยาบาท ออกจากโลกธรรม กิเลสลดลงๆได้ เขาก็ไม่ได้เรียนอย่างนี้จึงเรียนรู้เวทนาเป็นกรรมฐานไม่ได้ กรรมฐาน เป็นดินน้ำไฟลม ไปเรียนรู้ตามพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้ที่เขียนวิสุทธิมรรค
ในปฐมฌาน จนถึงจตุตถฌาน ก็เป็นอย่างไร
พ่อครูว่า...เป็นฌานลืมตาหมด ตั้งแต่วิตกวิจาร หรือมีธัมมวิจัยเอากิเลสออกไปให้ได้ วิตกคือตัวอาการ วิจารคือพฤติกรรมของมัน เราก็ต้องเอากาม พยาบาทออกไป
กิเลสมันไม่ใช่ของจริงมันไม่ใช่ตัวเรามันเป็นแค่เข้ามาในจิตเรา แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันมาเดี๋ยวมันก็ไปเดี๋ยวมันก็อยู่เดี๋ยวมันก็แรงเดี๋ยวมันก็เบา กดข่มไปมันก็หายไปได้ชั่วคราว
นายไพฑูรย์ว่า...ผมคิดว่า สัมมาสมาธิ เป็นสมถะ เพราะว่าไปเกี่ยวกับฌาน 4 ระดับ ส่วน สติปัฏฐานเป็นกายเวทนาจิตธรรมเป็นวิปัสสนา
พ่อครูว่า...ได้ ถ้าเข้าใจสภาวะ แต่ต้องแยกแยะกิเลสให้ออก กิเลสมันเป็นเหตุแห่งทุกข์อย่าไปดับทั้งจิตไปทั้งหมด แต่ต้องแยกเป็นธรรมะสอง จัดการแต่กิเลส แต่ทุกวันนี้สะกดจิตดับไปหมดทั้งจิตเลย
นายไพฑูรย์ว่า.ผมนึกว่า เป็นขั้นต้นของการฝึก บางคนเปรียบเทียบเหมือนเอาเชือกไปผูกวัวพันหลัก ให้มันนิ่งก่อน
พ่อครูว่า...แล้ว นิ่งเพื่ออะไร สมาธิของศาสนาพุทธ จิตยิ่งคล่องแคล่วปราดเปรียว มีกรรมการงานที่เหมาะควร ไม่ใช่นิ่งแข็งไม่ทำงานการอะไร ยิ่งเจริญ สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จิตใจจะยิ่งแข็งคือ แต่จะยิ่งรวดเร็วว่องไวคล่องแคล่ว
สมาธิของพุทธไม่ใช่จิตยิ่งนิ่งแข็งเฉื่อย แต่สมาธิของพุทธจิตยิ่งเร็วยิ่งคล่องแคล่ว
เพราะกิเลสมันเร็วอย่างบ้า จิตเราจึงต้องเร็วกว่า และต้องทำกิเลสออกให้ได้ ….
กายปัสสัทธิ คือเวทนาสัญญาสังขารยิ่งคล่องแคล่ว เพราะไปเข้าใจคำว่ากายนี้ผิดไป ไปเข้าใจว่ากายคือดินน้ำไฟลมมันก็ผิดไป กายอย่างเข้มที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้ตถาคตเรียกว่ามโนจิตวิญญาณ แต่ทุกวันนี้คำว่ากายในภาษาไทยแปลว่าดินน้ำไฟลมภายนอกไม่มีจิตเลย นี่คือความเสื่อมของศาสนาตั้งแต่คำว่ากายก็เข้าใจผิด
นายไพฑูรย์ว่า...พระกระแสหลัก ที่สอนให้ตรงมีไหม
พ่อครูว่า...ไม่มีตรงเลย พระพุทธเจ้าให้พิจารณามูลกรรมฐาน ผมขนเล็บฟันหนัง ให้พิจารณาแยกกายแยกจิต
เล็บคนนี่ ในขณะที่เล็บเรา เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันเป็นจิต
นี่แหละ ก็ไปพิจารณา ผมขนเล็บฟันหนัง ไม่เที่ยง มันไม่ใช่
นายไพฑูรย์ว่า...เขาให้พิจารณา มันไม่เที่ยง อนิจจังทุกขังอนัตตา
พ่อครูว่า...มูลกรรมฐาน 5 คือให้พิจารณาแยกกายแยกจิตให้ออก
เล็บนี่นะ ถ้ามันยังอยู่กับเรา ไม่ตัดออก แน่นอนพอตัดออก ส่วนนอกที่ไม่มีระบบประสาท ร่วม มันก็คือ อุตุ ไม่ใช่กายแล้วตัดออกไปได้ไม่เจ็บไม่ใช่กาย
จะต้องรู้ว่ากายคือองค์ประกอบของรูปกับนาม ผมนี่ส่วนไหนไม่ใช่กาย ส่วนไหนตัดออกได้ไม่เจ็บไม่ใช่กาย
youtube: https://www.youtube.com/watch?v=xhKeM7hBRPk
อ่านทั้งหมด หรือดาวน์โหลดที่…
https://docs.google.com/document/d/1Y9dt9uaGzKwG39yEhDRZjKuKp7g4Y-g5PC1KALhXAiM
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:14:06 )
รายละเอียด
610122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไตรสิกขาที่พาขยายอายุขัย
สมณะฟ้าไทว่า…วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็มีนักศึกษาราชภัฏจังหวัดอุบลราชธานี มาทำวิจัย คณะบริหารธุรกิจ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ต่ออายุขัยต้องใช้สมดุลสัมประสิทธิ์ระดับคูณ
พ่อครูว่า...คำถามที่คนถามมาวันนี้ ยาก ซึ่งวันนี้มีเด็กนักเรียนมาฟังด้วยก็คงจะฟังได้ยาก
อาตมาพูดไป อาตมาเจตนาจะพูดเอาไว้ อาตมาก็รู้เหมือนกันว่าพวกที่จะรับได้ มีพวกเราพอจะเข้าใจ ก็จำเป็นจะต้องพูดเอาไว้ เพราะในยุคครึ่งศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว มันเสื่อมไปจนกระทั่งจะหมดแล้ว อาตมาเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อจะประกาศออกไป ของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่ของอาตมา เอามาตราขึ้นอีก เพื่อให้ผู้ที่ใส่ใจศึกษาเรียนรู้ว่าจะได้ศึกษาต่อ เพราะฉะนั้นผู้รู้ที่รับได้ก็จะมีจำนวนน้อย ผู้ไม่รู้มีเยอะ เมื่อไม่รู้แล้วก็ยัง..ขออภัยพูดให้ชัดๆง่ายๆ ไม่รู้แล้วยังโง่อีก โง่ยังไม่พอ ยังดูถูกดูแคลนคนอื่นอีก หาว่าเป็นเรื่องบ้าบอ ตนเองมีภูมิไม่ถึงก็พูดอย่างนี้ ก็ทำให้เขาตกต่ำ แต่อาตมาจำเป็นที่จะต้องทำ มันก็เกิดผลตามนั้น
มาเอาที่ผู้เขียนอะไรมาหลายอย่าง
วันนี้ก็มีผู้ที่ทำปริญญาเอก ดุษฎีนิพนธ์ เกี่ยวกับเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา ศึกษาเพื่อทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง แรงจูงใจของศาสนากับการทำเกษตรอินทรีย์ ก็มาถามได้
อโศกเรามีความรู้หรือว่าเราทำงานกับมนุษยชาติ โดยใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าอันนี้ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็มีคนมาทำดุษฎีนิพนธ์ไม่น้อยแล้ว ปริญญาโทก็มากมาย เขาก็ทำไป เพราะอาตมาอาภัพ ทำไปแล้วเป็นของดี แต่เขาไม่ได้ศรัทธา ไม่ได้เอาไปทำต่อ แค่แต่ว่าผู้ที่ทำปริญญา ในสำนักอื่น จะอ้างอิงหลักฐาน จากดุษฎีนิพนธ์ หรือปริญญาโท ที่ทำวิทยานิพนธ์ไป เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าเขาไม่มีความศรัทธา เขาเห็นว่าสำนักนี้มันไม่ใช่
แต่แท้จริงแล้ว อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ใช่คนปลอม อาตมาเป็นคนจริง ที่นำศาสนาพุทธคืนกลับมา นำเอาแก่นแท้ของศาสนาพุทธมาปัดฝุ่น แต่ที่จริงมันจมหายไปไหนที่ไหนก็ไม่รู้ ขุดขึ้นมาก็จะแย่อยู่แล้ว มีหน้าที่ต้องรื้อฟื้นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ง่าย ทำมาจนเกือบ 50 ปีแล้ว ก็เห็นผลว่าได้ผลไม่เท่าที่ควรจะเป็น มันน้อยเหลือเกิน จึงได้พยายามที่จะอยู่ต่อไป ใช้พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เพื่อจะเติมอายุขัย อาตมาใช้จริงๆ
หลายอย่างที่ทำมา อาตมาก็ใช้ภาษาบาลี กำกับตัวสภาวะ พวกเราพอเข้าใจ ก็เอามาถาม อย่างอันนี้เรียบเรียงว่า
นกกระจอกหรือจะรู้สภาวะพญาอินทรีย์ นกกระจอกต้องพยายามศึกษาจากพญาอินทรีย์ ในชีวิตจริงของพญาอินทรีย์จะมีวิธียืดอายุของตัวเอง ถูกบ้างผิดบ้างท่านก็จะชี้แนะเราเอง พระอรหันต์ มีอุปจยะ มีสันตติ ก็คือ เป็นเรื่องของรูป ลักษณรูป 4 อันสุดท้าย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ในอุปาทายรูป 24
จาก ย คือย.ยักษ์ ถือเป็นต้นวรรคของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้เกิดได้ (นี่คนจะรู้ได้ต้องเคยฟังมาก่อนและรู้สภาวะกัน) คนฟังรู้เรื่องที่เป็นคนข้างนอกจะมีน้อย เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับอโศก จะยอมรับมหาเถรสมาคมมากกว่า ก็เลยเกิดความยาก อาตมารู้ว่าทำไมต้องมาทำงานยาก หากไม่ยากมันไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 จะมีโจทย์ที่ยากอย่างนี้แหละ อาตมาเข้าใจดี ก็ต้องทำงานศึกษาฝึกฝนตามที่ตัวเองมีโจทย์ คือโจทย์ให้ทำทั้งนั้น
บอกว่า ...มาถึง แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้ไปเกิดได้
จากเศษวรรค ก็เกิด โอปปาติกะ กะเป็นตัวท้าย แสดงเจ้าเข้าเจ้าของ จากนั้นก็สันตติ ที่อาตมาทำนี้ก็เท่ากับต่ออุปจยะ
วรรค 1 2 เป็น static แต่การเกิดของอัญญา เป็น dynamic ที่เร็วแรง รอบจัด มาวรรค 2 จ ฉ ช ฌ ย
ความเร็วของจิตเร็วไวกว่าแสง พลังงานแสงเร็วเท่าไหร่ ...อัตราเร็วแสงที่มีค่า 299,792,458 เมตร/วินาที แต่จิตมีความเร็วกว่าแสงมาก แสงเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ 1.3 วินาที แต่ใจของนีล อาร์มสตรอง เดินทางเร็วกว่า นึกไปก็ถึงทันที แต่คนที่ไม่เคยไปก็เดาเอา
พ่อครูมี ฌานวิสัยเป็นไปได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เกิดอยู่ตลอดเวลา และยังมีอัญญธาตุ เติมมาอีกเรื่อยๆ ก้าวหน้าเรื่อยๆ ความสว่างไสวก็เกิดขึ้นมากต่อมาก แม้ยามหลับพักผ่อน เทวดาก็มาพบอีก
_อยากทราบวิธีจัดสมดุลครับ
พ่อครูว่า...มันไม่มีหน่วยวัดไม่มีภาษาบอก ว่าอาตมาจะมี static dynamic อย่างไร และมี Coefficient ที่จะเพิ่มอีก ก็จัดสมดุลที่ตัวเอง ประมาณว่า เราปรุงแต่ง อภิสังขารขนาดนี้ สังขารเรารับไหวไหม ทั้ง static และ dynamic ที่เราจัดสรร Coefficient ให้เพิ่มขึ้นนี่ จะเป็นระดับคูณ ระดับยกกำลัง มันจะมากจนฐานนี้รับได้ไหม
จะเรียกว่านิวเคลียสจะรับไหวไหม ถ้ารับไม่ไหวมันจะละลาย ก็จะร้อน เราก็จะรู้ว่าอันนี้มันไม่ไหว เราก็ต้องเอาตามประมาณความรู้สึกเรา เวทนาเราวัดเอง ถ้ามันน้อยไปก็เสียเวลา จะเสียเวลาทำไม ก็ต้องปรุงให้เต็มที่ ถ้าน้อยไปเสียเวลา ถ้ามากไปมันทำลาย อธิบายได้แค่นี้ไม่มีหน่วยวัด
เวทนาจึงเป็นการอ่านพลังงานที่มีอาการ ลิงค นิมิต ตามที่รับฟังบรรยายมา
ลิงค คือความแตกต่างระหว่าง ความห่างความชิด ความมากความน้อย อาการลิงคะ แล้วจัดสรรเกิดภาพรวมเรียกว่านิมิต เป็นเครื่องหมายเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเราทำอภิสังขารเป็น ตรวจผลของการปรุงแต่ง รวมสามเส้า สรุปคือรูปกับนาม ที่เราปรุงแต่ง จิตเราเป็นประธาน เราปรุงผลที่ได้พอเหมาะพอดีไหม มากไปไม่ดี น้อยไปเสียผล น้อยไปมันไม่ควร
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเคยเขียนหนังสือ จนล้มลงไปเลย อย่างนั้นมากไป สังขารมากไป
พ่อครูว่า...มากไป ทำลายตัวเองได้ อาตมาเคยเขียนหนังสือจนเป็นลมหน้าห้องน้ำเลยเขียน EQ โลกุตระ
ต่อมา...การออกแรง ทางสรีระกาย จะมีส่วนเหลือของการบีบเค้นของเซลล์คือน้ำเหงื่อ ส่วนการออกแรงทางสมองหรือใจ เมื่อมีภาวะบีบเค้นทางอารมณ์ เสียใจมากดีใจมากมีปีติ ก็มีน้ำตาออก แสดงถึงความเชื่อมต่อของนามที่รูป
พ่อครูว่า...เราจะบอกว่าพลังงานถึงขั้นไฟ เรียกโดยภาษาอีกว่า อากาศ ลม ไฟ ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพ ให้รู้ได้ ถ้าไฟมีสองสภาวะของธาตุ สองตัวนี้จับตัวเป็นตัวที่สามคือ น้ำ H2O เมื่อทำงานร่วมกันเป็นธรรมะสองจับตัวได้ดีก็เกิดน้ำ ตั้งแต่ กลละ เป็นเชื้อก่อในมดลูก ล.15 [803] "รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
ต่อมา...หน้าที่ของน้ำน่าจะแบ่งได้อย่างนี้
1. ถ่ายเซลล์ที่เสียออกจากสรีระออกแรงมากเหงื่อก็ออกมาก
2. หล่อลื่นหล่อเลี้ยงเซลล์ รอบจัดมากปัสสาวะก็ออกมาก
3. เป็นสื่อถ่ายทอดพลังงานบ่มเพาะสร้างเซลล์ใหม่
ขอบอกคนเขียนมา คุณไปได้ไกลได้มาก ระวังจะหลงความรู้อย่าลืมตัวจริงตัวเองที่ปฏิบัติ ดูในฐานที่จริงของตัวเอง และที่เหลือของเรา อย่าไปเพลินกับความรู้พวกนี้ หลงวิปัสสนูปกิเลส จนลืมปฏิบัติให้แก่ตนเอง อย่าให้มันเสียผล
ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก (อาตมาปัสสาวะมากในกลางคืน) ส่วนเวลากลางวัน มี Action ร่างกายรองรับด้วย รวมแล้วสภาพเคลื่อนไหวและเป็นหลัก
อธิวจนสัมผัสโสจึงคือลูกข่างนอนวัน มีจุดหมุนเป็นตัวแกน และมี kinetic ที่เป็นตัวก้าวหน้า เป็น Coefficient ที่เป็นตัวแปรใหม่ ถ้าหากตัว static และ Dynamic ที่เป็นแกน มันไม่แข็งแรงมันไม่นิ่ง เหมือนลูกข่างนอนวัน มันก็จะไม่แข็งแรงไม่นิ่ง จะไม่อยู่ในจุดศูนย์กลางสมดุลกัน
คนหลงเพลิดไปกับการปรุง เป็นพลังงานใหม่ kinetic ใหม่ Coefficient ใหม่ที่มันแรงกว่าแกน static dynamic มันรับไม่ได้ก็จะเกิดการแกว่ง ก็เกิดการพัง ระบบความคิด นักปรุงแต่งจิต สายหลับตาเรียก กรรมมันแตก สายไม่หลับตาก็เรียกว่า บ้า จิตเภท
_คำถามที่ 2 การขยายอายุขัย รอบตัองจัดต้องเร็วขนาดไหน?
พ่อครูว่า...มันไม่มีตัววัด ของใครก็ของใคร จิตมันเร็วกว่าแสง ต้องได้สัดส่วนที่ดี ถ้ามากไปก็ทำลาย มีแต่อายุจะสั้นลง หรือไม่มีแรงพอก็ไม่เสริม อุปจยะ Coefficient ให้เกิด ต่อไปได้ สันตติต่อไปได้
อาตมาพูดไปนี้คนที่รับได้จะมีน้อย ยิ่งในยุคนี้มีความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธไปมากมายแล้ว มีที่ไหนสวดมนต์ข้ามปี อาตมาพูดไปเหมือนไปว่าเขา อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยวอย่างธรรมกายทำ นึกว่าเป็นประโยชน์
การท่องบทมนต์เพื่อให้จำได้ จำได้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เพราะสมัยพระพุทธเจ้าการบันทึกยังไม่มี ก็ต้องอาศัยท่องจำ
การสังคายนาคือคนหนึ่งท่องขึ้นแล้วให้คนอื่นฟังดูว่าผิดไหม หากสวดผิดก็ท้วงกัน ว่าอย่างไหนถูกกันแน่
การสวดมนต์ไม่ใช่สวดให้เกิดเป็นกุศลหรือมีฤทธิ์เดชอะไร บุญคือการลดกิเลส ส่วนกุศลคือสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลสั่งสมเป็นคุณความดี เป็นสมบัติ หากเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ดีก็คืออกุศล คุณทำกุศลอกุศลทำแล้วก็เป็นผลของคุณทันที แต่บุญชำระกิเลสเสร็จมันก็หายไปทันที
เข้าใจคำว่าบุญผิด เข้าใจคำว่ากายผิด ก็ปฏิบัติผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ คนฟังแล้วก็อาจคิดว่าพระพุทธเจ้าพูดผิด แต่ที่จริงแล้วคุณต่างหากที่เข้าใจผิด
กาย มีรูปกับนาม แต่การปฏิบัติต้องปฏิบัติที่นาม รูปเป็นสิ่งประกอบ แต่รูปก็มีฤทธิ์มีผลนะ พูดไปแล้วคนก็อาจเข้าใจได้ยาก แต่อาตมาพูดไปเป็นอิทัปจยตา คนฟังอย่างพวกคุณก็รับได้ แต่ถ้าพูดไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล คุณฟังดูก็จะรู้ได้
ศาสนาพุทธต้องรู้เหตุ จับเหตุได้ จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หากอภิสังขารได้ครบ รู้ลักษณรูป 4 ก็จัดการให้มันเกิดเท่าที่คุณกำหนดหมายได้ว่าอย่างนี้ อุปจยะ อย่างนี้สันตติ หรือ ชรตา หรืออนิจจตาได้ จะให้มันเกิดต่อหรือไม่ก็แล้วแต่
นี่คือสัจจะที่ผู้ฟังที่รับที่อาตมาสื่อได้แล้วก็เข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ แต่อาตมาไม่เก่งที่จะอธิบายไปถึงกลุ่มที่รู้ไม่ได้
ต่อมา ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก
ส่วนเวลากลางวันมี Action ทางกายรองรับ จึงมีทั้งจิตที่ตื่นรับวิถี และ dynamic ของสรีระ อธิวจนสัมผัสโสคือลูกข่างนอนวัน นอนก็พัก วันก็เคลื่อน ไม่ใช่เรื่องโมเมนะ
“การขยายอายุขัยรอบต้องจัดเท่าไหร่ครับ..”
ต้องรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิตของตน ว่ารอบมันเร็วมากจนร้อนไปไหม หรือว่าขนาดนี้กำลังได้การก้าวหน้าดี ผู้ที่ทำไม่ได้ก็จะเกินหรือขาด ขาดมันก็ไม่เร็วเท่าที่ควร แต่ถ้าได้สมดุลจะเร็วและมากที่สุด ต้องประมาณ หรม. ครน. ได้อย่างสัดส่วนดี
จากสมการ
E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 + อปุญญาภิสังขาร ) คือ coefficient
อเนญชาภิสังขารคือ c2 กับ mc เป็นหน่วยของการปรุงแต่งพลังงานทางธรรมะ
ทีนี้มาเพิ่ม C ( Coefficient ) mc คืออปุญญาภิสังขาร + A
ผู้สามารถเป็นอรหันต์แต่ละลำดับ ก็สามารถที่จะรวมแล้ว พลังงาน ฌานวิสัย เป็นการปรุงแต่งของพลังงานที่เรียกว่า ฌาน
ฌานคือพลังงานไฟ ภาษามหาภูตรูปคืออุณหธาตุ เป็นพลังงานที่แรงร้อน
ฌาน จึงแปลว่าไฟกองใหญ่ พจนานุกรมบาลีไทยก็แปลได้ บางพจนานุกรมเท่านั้น บางเจ้า ก็บอกว่า ฌานคือไฟ บางเจ้าก็บอกว่าคือไฟกองใหญ่
ไฟฌาน คือพลังงานบุญ สร้างพลังงานบุญขึ้นมา สร้างสำเร็จก็จะมีฤทธิ์อำนาจไปทำลาย ไฟราคะโทสะโมหะ เพราะไฟฌานมีฤทธิ์พลังงานพอจะไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะ
ต่อ...เมื่อ E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 +อปุญญาภิสังขาร)
ของไอน์สไตน์ มีสูตร E=mc2
แต่ของอาตมามีสูตร E=C(mc2+A) อาตมาเคยไปบรรยายที่ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาคุณคนนี้ก็อธิบายต่อ (คุณดั้นเมฆ) ...เมื่อมีอัญญธาตุ ธาตุใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนตอน อัญญาโกณทัญญะรู้ได้ตอนที่พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรก อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ
อัญญานี้เป็นความรู้ใหม่ ต่างจากเฉกา (อัญญาเป็นพหูพจน์ของอัญญะ) อัญญาไปสร้างเป็นสัญญาเป็นกัญญาจนเป็นปัญญา
ถ้าเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะเป็นเรื่องลึก ที่เป็นอุตริมนุสธรรม จำเป็นต้องพูด ปเวเทนตีติ ประกาศเอาไว้ ไม่เช่นนั้น ความรู้ของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมด คนที่เข้าใจได้รับได้ก็จะเอาไปทำต่อ ผู้ที่จะสามารถขยายความให้พิสดารกว่านี้ไปได้อีกเยอะ อาตมาพูดตัวหลักไว้ก่อนแต่ไม่มีเวลาขยาย พวกเราที่รู้ก็ขยายกันต่อ
ต่อมา...ต้องเพิ่มที่อปุญญาภิสังขาร คือ mc2+A
A คือพลังงาน ที่เป็นขั้นบวก ก็จะบวก mc2 + mc2 + mc2 จนเกิดสามเส้าแรก ต่อมาเกิดเพิ่มเป็นสามเส้าที่สอง ต้องเป็นสามเส้าที่สามจึงได้เก้า ได้สามยกกำลังสอง
จะไปเพิ่มอปุญญาภิสังขารที่เป็นพหุชนหิตายะ มีองค์ประกอบภายนอกมาเกี่ยวข้องซึ่งจัดการได้ยาก แต่เราจัดองค์ประกอบศิลป์ได้
พ่อครูว่า...อาตมาใช้ การจัดองค์ประกอบศิลป์คอมโพซิชั่น ต้องมีความรู้ในรูป 28 มหาภูตรูป อุตุนิยาม ใช้ทั้งพีชนิยาม ใช้ในการเกิด จิตนิยาม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์นี้เป็นตัวที่เป็นตัวแปรมาก ก็ต้องจัดการให้เกิดสภาพรวมตัวเรียกว่า ธรรมนิยาม กุศลธรรม หรือเป็นโลกุตรธรรม
ธรรมนิยามแบ่งได้สองคือกุศลอกุศล โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ผู้ที่ไม่สามารถแยกธรรมะเป็นสอง คือ โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ก็ไม่สามารถที่จะไปหานิพพานเป็นอาริยะที่แท้จริงได้ เช่น เดี๋ยวนี้ก็รู้แค่กุศลอกุศล อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยว เป็นต้น
แม้แต่การเอาบทมนต์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคน ต่อหน้าอนุปสัมบันก็อาบัติปาจิตตีย์
การสวดมนต์กลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าสวดแล้วจะได้สวรรค์วิมาน ได้ทุกอย่าง ที่ต้องการแม้แต่ธรรมกาย เถรสมาคมก็ทำ ไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกลายเป็นเทวนิยมหลงเมจิค เรื่องเพ้อเจ้อ ธรรมะที่เป็นสวรรค์วิมาน แต่เขาไม่คิดว่าได้นรกแต่เขาทำเหตุที่ไปนรก ยิ่งพาคนหลงทาง เป็นความเสื่อม เพราะชวนคนทำหลงทางก็เป็นบาปเป็นนรก
อาตมาก็มายับยั้งเขาก็หาว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง บอกว่าให้หยุดเถอะ การสะกดจิตสวดมนต์ เวลาเขาไปสวดมนต์ กันเป็นหมู่ เขาไม่กำหนดหมายเลยว่าติดปาก ขณะสวดไปจิตฟุ้งซ่านไปได้หมดเลย แล้วบอกว่าเป็นเรื่องสิริมงคลเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แท้จริงมันไม่ใช่ เป็นเรื่องปาจิตตีย์เป็นอาบัติหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แก้ไม่หาย จำเป็นต้องบอกความผิดความถูกสำหรับผู้มีภูมิปัญญาให้ลดให้เลิกเถอะ บางคนมีภูมิธรรมถึงก็บอกว่าเลิกเลย แม้แต่ในมหาเถรสมาคม หรือบางคนก็แม้รู้ว่าผิดแต่ตกกระไดพลอยโจน
ต่อมา...เมื่อเหตุสมบูรณ์ผลก็ตามมา ผนึกกำลังสร้างชุมชนต้นแบบให้แข็งแรงขึ้น เพื่อสะพัด กระจายเผยแพร่ให้มวลชนมาเอาเป็นแบบอย่าง เมื่อมีแรงดึงดูดมากพอทางราชการจะเห็นตามได้ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกัน อัตราการก้าวหน้าก็จะเกิด
พ่อครูว่า...I hope so!
ต่อมา...เมื่อนั้น C สัมประสิทธิ์ (อัญญธาตุ) พ่อครูก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 151 ปีจึงเป็นอันหวังได้
พ่อครูว่า...คนนี้หยั่งรู้ใจอาตมาจัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ไป
_คำถามที่สาม นี่คือการสร้างอัญญธาตุ มีแง่มุมอื่นอีกไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็แค่นี้คุณก็ตามให้ได้เถอะ ไม่ต้องไปอยากรู้มากๆกว่านี้
ต่อมา...ถึงกระนั้น จากสมการ C ฌานวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยอย่างยิ่ง นกกระจอก ก็ได้เห็นแค่เงาของพญาอินทรีย์ ไม่อาจก้าวล่วงได้มากกว่านี้(พญาอินทรีย์จึงยังเป็นพญาอินทรีย์อยู่ดังเดิม)
พ่อครูว่า...แล้วนกกระจอกจะไม่ได้มรรคผลบ้างหรือไง คุณรู้แล้วว่าอะไรคือพญาอินทรีย์ คุณก็พยายามเก็บเอา
_คำถามสุดท้าย C อาหาร(กวฬิงการาหาร) มีส่วนมากน้อยแค่ไหนครับ
พ่อครูว่า...มีส่วนมากตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทั้งหมดเลย อาหาร 4 กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
อาหาร 4 นี้สัมพันธ์กันหมด จะบอกว่า กวฬีการาหารเกี่ยวกับผัสสาหาร เกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร เกี่ยวกับวิญญาณาหาร
ถ้าคุณอ่านรูปนามไม่ได้ หรือว่านามที่เป็น มโนสัญเจตนา นามนี้จะเรียนนาม 4 ไม่ใช่เรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 มันเป็นเรื่องเรียบเรียง
แต่ที่ต้องเรียนคือรูป 28 กับนามอีก 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ ไม่ใช่ไปเรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121
ในพระไตรปิฎกว่า ก็นามรูปเป็นไฉน
รูปคือ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ
มหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 คืออุปาทายรูป 24 คือรูป นามห้า รูปอีก 28
นามและรูปดังพรรณามานี้เรียกว่า นามรูป พระไตรปิฎกข้อ 14 เล่ม 16 วิภังคสูตร
ท่านก็แจกนามต่อว่า ก็วิญญาณเป็นไฉน
วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
วิญญาณของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป แม้ว่าจะมีแสงกระทบตา แต่ว่าไม่มีจิตไปรับรู้ เช่น การนั่งเหม่อลอย นั่งตาแข็ง ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เกิดปัญญา คุณก็มีแต่สัญญา มีแต่ภพชาติในสัญญาฟุ้งของคุณ ข้างนอกตาลืม ภาพตกที่เรติน่า แต่ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้ตาม ไปหลงแต่ภายในมโนคือจิต ก็จะไม่รับรู้ข้างนอก ยิ่งหลับตาก็จะยิ่งไม่เปิดรับอะไร แม้ลืมตาแต่ตาแข็งก็ไม่รับรู้ได้
สรุปตรงนี้ว่า วิญญาณต้องเกิดจากการกระทบภายนอก และมีจิตวิญญาณภายในรับรู้ด้วย ต้องมีกาย คือธรรมะ 2 จึงจะเกิดวิญญาณ โดยเฉพาะต้องมีนามธรรม พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า กายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ
มีการกระทบทางตา จึงเกิดจักษุวิญญาณ เกิดทางหูก็เป็นโสตะวิญญาณ เกิดทางจมูกก็เป็นฆานวิญญาณ เกิดทางลิ้นก็เป็นชิวหาวิญญาณ เกิดทางสัมผัสก็เป็นโผฐัพพารมณ์
จิตไปสัมผัสจิตเองเรียกธัมมารมณ์ อย่างนี้คือวิญญาณ
แต่ภิกษุสาติเข้าใจผิด ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
สาติภิกษุไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นตัวตนบุคคลล่องลอยไปมาเหมือนพวกเทวนิยม พระพุทธเจ้าจึงว่า ใครสอนเธอ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
วิญญาณเป็นธาตุรู้ ขณะนี้ต้องมีปัจจุบันธรรม ไม่มีปัจจุบันธรรม วิญญาณไม่เกิด คุณหลับตาไม่มีจักษุวิญญาณ คุณปิดหู แก้วหูรับเสียงไม่ได้ก็ไม่มีโสตวิญญาณ จมูกไม่รับกลิ่นก็ไม่เกิดฆานวิญญาณ
วิญญาณคือธาตุรู้ เข้าใจวิญญาณ 6 ไม่ได้ ก็ไม่มีทางปฏิบัติศาสนาพุทธได้ ไม่มีทางบรรลุธรรม ไม่มีเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธินอกรีต กับ อริโยสัมมาสมาธิ
ยิ่งพวกนั่งหลับตาหมดทางเลย ปิดตาไม่พอนั่งสะกดจิตเข้าไปอย่าไปรับรู้อะไร แม้แต่ในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคุณเหลือแต่ภายนอกเป็นลมหายใจ เพียงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีอันนี้ไปอยู่ข้างในหมดเลยก็ศึกษารูปนามไม่ได้ ไม่มีธรรมะ 2 การนั่งหลับตาโดยไม่มีภายนอกเลย
อานาปานสติที่ยังเหลือแค่ลมหายใจ ก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมขณะมีลมหายใจ ถ้ามันหรี่ลงไปรับรู้แต่ลมหายใจแคบๆ เขาก็จะฝึกอย่างนั้น อย่าไปนึกคิดอะไร แล้วไปอธิบายว่าลมหายใจอ่อน เบา แรง เป็นมโนมยอัตตา ก็เล่นลมหายใจที่เป็นข้างใน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ บอกว่าลมเข้าออก ขยายได้เป็นนิมิต ไปไกลใกล้ได้ ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป
การนั่งหลับตาสะกดจิตที่ทั่วไปบอกว่าเป็นการสร้างสมาธิ ในศาสนาพุทธก็ตาม ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ มันเป็นสมาธินอกรีตของเดียรถีย์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็สอนกันว่าจะต้องเข้าป่านี่ก็ผิดแล้ว ไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ผิดอีก ซึ่งเป็นเดียรถีย์หมดเลย เป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย
พระพุทธเจ้าจะทำอย่างไร ก็เขาเข้าใจอย่างนี้ไปหมดว่าเป็นสมาธิ ท่านก็สอน สมาธิแบบนั้นท่านก็ไม่ปฏิเสธ เป็นสมาธิสะกดจิต มันก็เป็นหนึ่งได้ เป็นเอกธรรม แต่ไม่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพุทธ แต่มันเป็นเอกจิต เป็นเคหสิตอุเบกขา ฝึกฝนกันเขาก็ทำได้มากมาย มีอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นอาจารย์ใหญ่ในป่า พระพุทธเจ้าก็ไปตามหาอาจารย์ใหญ่ในป่านี้ ก็มีแค่นี้ ท่านก็ไปฝึกตาม ท่านก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเลย
นั่งหลับตาสะกดจิตจนได้อรูปฌาน 7 8 มันไม่ใช่ ผู้รู้ที่ดีแปลพระไตรปิฎกก็เรียบเรียงเอาไว้ใน พรหมชาลสูตร การนั่งหลับตาจะได้อดีต 18 กับอนาคตอีก 44 มีแค่นี้แหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 นี่คือการทำเจโตสมาธิได้แค่นี้ ก็อย่าไปทำ
สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิ เรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร พระสูตรนี้รวบรวมไว้ชัดว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะเป็นอย่างนี้มีอะไรเป็นเหตุ สอุปนิโส เป็นองค์ประกอบที่ให้เกิดสัมมาสมาธิ คือการปฏิบัติ มรรค 7 องค์
ปฏิบัติหลับตาสะกดจิตจะเกิดสัมมาสมาธิ มันไม่ใช่ อาตมามาแก้ไขนี้จนตาย ก็จะแก้ไขได้ประมาณหนึ่ง มีคนเข้าใจได้จำนวนน้อย แต่ก็จะได้สืบสานศาสนาพุทธไปถึง 5000 ปี ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถืออย่างนั้น
ถ้าจะพูดอจินไตยคือพวกนั้นเป็นเดียรถีย์มานาน มารับโพธิรักษ์ไม่ได้หรอก หาว่าอาตมามีอาจารย์ที่ไหน สำนักไหน อาตมาก็บอกว่าเป็นสยังอภิญญา เพราะว่าไม่มีสำนักที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งเถรสมาคมนั่นแหละ พูดหนักๆ แต่อย่าเพ่งโทษอาตมาเลย เอาไปไตร่ตรอง แล้วเอาคำสอนที่อาตมาสอนกับคำสอนของเถรสมาคมมาเทียบกันดีๆ แม้แต่พระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร พูดถึงทิฏฐิที่ผิดมีเท่านี้ ก็ตกในชาละคือข่ายแหที่เขาออกไม่ได้
อาตมาเอามาประกาศให้พวกคุณ พวกคุณก็ทำได้ ในพรหมชาลสูตรก็บอกไว้ ชัดเจนว่าทำแบบนั้นมันผิด ก็จะให้ทำอย่างไร ก็ทำอย่างสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างไร
มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะสันโดษอันเป็นอาริยะ ไปอ่านให้ดี สามัญญผลสูตร มีแต่การลืมตาปฏิบัติทั้งนั้นด้วยไตรสิกขา มีผัสสะเป็นปัจจัย
พระพุทธเจ้าไล่เรียงถึงการเกิดเป็นสมณะจะมีผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร พูดให้ พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ที่ท่านฟังแล้วก็ขอถือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมนูญของชีวิต พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าหากมีข้าราชบริพารของพระเจ้าอชาตศัตรูที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ท่านขาดคนนี้ไปก็จะลำบาก เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดตื่นก่อน นอนทีหลัง เป็นข้าราชบริพารที่เหมือนเป็นทหารเอก เหมือนนางสนองพระโอษฐ์ แล้วถ้าเขาเกิดความศรัทธาในธรรมะพระพุทธเจ้ามาเอาหลักธรรมนูญ ศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็นหลักของชีวิต แม้แต่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหากคนของพระองค์มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า ขอมาบวช มาเข้ารีต ท่านจะปล่อยให้มาไหม ถามพระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าต้องสนับสนุนเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วเป็นสิ่งที่เลิศยอด พระเจ้าอชาตศัตรูมีอนันตริยกรรม เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งสูงสุด พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก พระพุทธเจ้าปกครองคนในรัฐของตนเองได้ยิ่งกว่าแคว้นใดๆที่มีในแผ่นดิน พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมนูญเอากฎหมายของท่านเอาจารีตของท่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือเป็นธรรมนูญหลักของพระพุทธเจ้า จุลศีลเป็นบัญญัติที่ขัดเกลากิเลสเพื่อให้บรรลุธรรม มัชฌิมศีล ก็สูงขึ้นจากจุลศีล จุลศีล มัชฌิมศีลเอาใช้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ศีลไม่ใช่พระวินัย ไม่มีโทษ แต่มหาศีล เป็นศีลของศาสนา
แต่ทุกวันนี้เขาก็หาว่าศีลของพระภิกษุมี 227 ข้อซึ่งเป็นแค่วินัยไม่ใช่ศีล ยังดีมีพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ แค่นี้ก็เป็นเครื่องชี้บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีแล้วแม้แต่ศีลก็ไม่มี แม้แต่มาบวชเป็นภิกษุก็ได้แค่ศีล 10 เป็นศีลเณร อยู่ในจุลศีล ซึ่งที่จริงมี 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
แม้แต่สมาธิก็ไปเป็นสมาธิเดียรถีย์ เป็นสมาธิสะกดจิตหลับตาไม่มีสัมมาสมาธิ
ปัญญาไม่ต้องพูดเลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติศีลไปตามลำดับ
ศีล 5 ปฏิบัติศีลข้อ 1 จะมีปัญญารู้ว่าชีวิตคุณอยู่ในโลกสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย คุณเกิดอกุศลอย่างไร เกิดกิเลสอย่างไร ไม่เกิดกิเลสอย่างไร เกิดราคะอย่างไร เกิดโทสะอย่างไร เกิดโลภะอย่างไร โมหะมันอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติการสัมผัสกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 คือสัมผัสกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปเอามา อย่าไปทุจริตหรือถือวิสาสะเอามา
ศีลข้อที่ 3 เป็นการสัมผัสที่เกิดราคะ ก็เข้ามาสู่การพิจารณากิเลสกามคุณ 5
หนึ่งของรวมทั้งพีชะด้วย ส่วนสัตว์คือจิตนิยาม ก็เรียนรู้อันนี้เกิดจากผัสสะแล้วล้างกิเลส คุณหลับตาไม่ได้สัมผัสกับสัตว์กับของก็ปฏิบัติไม่ได้ ไม่เกิดความสุขความทุกข์ที่เป็นเวทนา ก็ไม่เรียนรู้เวทนา ที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธกรรมฐานเดียว ฐานแห่งการปฏิบัติศาสนาพุทธคือเวทนา การออกนอกรีต ไปปฏิบัติตามเดียรถีย์ ตามกสิณ 40 ของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็เป็นการสะกดจิตสมาธิ แล้วเอาอันนั้นเป็นเหตุปัจจัย เหมือนอาตมาเรียนสะกดจิต
หลับตา เอามือคุณ เพ่งที่มือ เดี๋ยวนิ้วจะกางออก ดึงไว้นะ ก็ต่อสู้กัน ให้คุณนิ่งให้ได้คุมให้นิ่ง เสร็จเลยถูกสะกดจิตสำเร็จ อาตมาเรียนสะกดจิตมา
เรื่องของ การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาเกิดมาในปางนี้เมื่อยมาก เมื่อยจนเปรยออกไป ซึ่งอาตมาก็จะยังไม่หยุดหรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ เหมือนพ่อแม่บ่นลูก
_หลวงปู่คะ งานอโศกระลึกปีนี้จะจัดที่ไหนคะ
ตอบ..บ้านราชฯ มาจัดที่นี่ไม่ได้เที่ยวกทม.
_ทีนี้ตอบอันนี้มา ของคุณหินไท ..เหตุเกิดที่วัดมหาธาตุ ตอนนั้นช่วงพ่อครูไปขึ้นศาลที่นั้นเพราะพระมาเป็นพยานเช่นท่านประยุตอื่นๆ ขณะก่อนศาลพิจารณาเมื่อคู่ความพร้อมหน้าผมเองในตอนนั้นทำหน้าที่ถ่ายรูปจึงทำการถ่ายรูปเป็นปกติทุกงานที่ผ่านมา วันนั้นทราบข่าวว่ามีกลุ่มต่อต้านพวกเรามาเชียทางเถรสมาคมเป็นกลุ่มอภิรักจักกรีของนายสมัคร มากันหลายคน ขณะกำลังถ่ายรูปไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีตามประสาช่างภาพก็มีหญิงกลางคนอ้วนนิดๆเข้ามาตบหน้าผมเลยหลังจากผมกดถ่ายรูปกลุ่มของพวกเธอไปแต่ผมไม่ได้โต้ตอบไรไม่พูดอะไรต่างคนต่างไปครับ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของผู้ที่อบรมจิตไปแล้ว อย่างศาสนาอื่นก็บอกเลยว่าเราไม่โต้ตอบ ตบหน้าก็เจ็บหน้า เราไม่ไปตอบโต้อะไร
SMS วันที่ 19 มกราคม 2561 (พ่อครู –บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไง
_8305กราบนมัสการครับ..สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไงครับ..ผมพยายามพากเพียรให้ชัดเจนอยู่ครับ..ที่ผ่านมาถ้ามีอะไรที่ผมทำผิดพลาดไปต่อพ่อครู ผมก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ เผื่อไว้ครับนิดนึงน้อยนึงก็จะไม่ให้มี.
พ่อครูว่า...สกิทาคามีมรรคคือฐานที่คุณกำลังปฏิบัติยังไม่เกิดผลสูงขึ้นไปจากโสดาปัตติผล มีตัวเหลื่อมกันอยู่เป็นมรรค
โสดาบันใช้กรอบศีล 5 พอสกิทาคามีมรรค ศีลละเอียดเป็นศีล 8 อธิศีลของศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ก็ต้องละเอียดขึ้น
พอเป็นอนาคามีขึ้นศีล 10 เหมือนสองข้อ จาก 8 9 ท่านขยายจากศีลข้อที่ 7 นัจจะคีตะวาทิตะ มาลาคันธะฯ มาเป็นอุจจาสยนะฯ มาเป็นชาตรูปรชตะ
สกิทาคามีคือผลของศีล 5 ได้ผลแล้ว บริบูรณ์ก็มีศีล 8 ที่ละเอียดขึ้นมา ได้บริบูรณ์ของศีล 5 แล้วก็เป็นศีล 8 ของสกิทาคามี จากสกิทาคามี ก็เหลื่อมเป็นศีล10 เป็นมรรคของอนาคามี จนสกิทาคามีจะช่วงยาวมาก มีสิ่งเยอะที่เราจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง
ผู้ที่สามารถปฏิบัติศีล 5 ของโสดาบันจะมีหลักสาม พ้นสักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
รู้องค์ประชุมของรูปนามกิเลสของตน ที่เป็นสักกายะ อ่านหทยรูปนี้ แยกเป็นภาวรูป แยกเป็นชีวิตินทรีย์ได้ ว่ามันมีชีวิต โดยเฉพาะแยกเป็นกิเลส
คุณจะต้องสามารถเข้าใจในสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว คุณได้มีตรรกะ มีกามวิตก มีพยาบาทผสมมาหรือไม่ แยกกามแยกพยาบาท กำจัดกามกำจัดพยาบาทให้ได้ เมื่อกำจัดได้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
จน ตาหูจมูกลิ้นกาย กามภพ คุณทำจนอยู่เหนือหมดแล้วกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสไม่เกิด กิเลสหยาบโอฬาริกอัตตาหรือมโนมยอัตตา
มโนมยอัตตาก็เป็นรูปที่เกิดในจิต ข้างนอกมันไม่มีรูปแล้ว ไม่มีรูปธรรม
พระอนาคามีขึ้นไปตัดกรอบความรู้สึกแล้วอ่านกิเลสเราให้ได้ ว่าถ้ากามนี้ไม่มีผลกับเราได้ แม้จะฝืนก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะมีความละอายไม่ละเมิดภายนอกแน่นอน อนาคามีจึงมีสภาพเหนือภายนอกได้อย่างชัดเจน
สกิทาคามีก็จะแข็งแรงพอจนเหลือภายใน ควบคุมเหนือรูปภพอรูปภพได้ก็เป็นอนาคามี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย คนที่ปฏิบัติศีลห้าได้แล้วก็จะเริ่มลดกามราคะ เข้าฐานสกิทาคามี ถ้าภายนอกไม่มีปัญหาแล้วก็เป็นอนาคามี
พ่อครูว่า...ข้างนอกไม่มีปัญหาหรอกอยู่ได้ไม่ต้องไปละเมิดเลย ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น ถือว่ากามภพเบาบาง เบาบางนี่มันยังระริกระรี้ เป็นรูปรส อรูปรส ต้องหมดรูปรส จึงเหลืออรูปรส มันมีอาการลิงคนิมิต
จับการเคลื่อนไหวของกิเลสขั้นอรูป มันก็ต้องเบาบางกว่าขั้นรูป คุณพ้นสกิทาคามี เป็นมรรคแล้วเป็นผลของอนาคามีมรรค หมดรูปภพอรูปภพจึงเป็นอรหัตตมรรค เป็นอรหัตตผลไปตามลำดับ ต้องลืมตาปฏิบัตินะ
ดับกิเลสกามภพได้หมดก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตานี่แหละแต่อยู่เหนือมัน กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย เรื่องกาม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นี่คือโลกธรรม คุณรู้ว่ากิเลสมันเกิดทั้งคู่คุณก็ล้างกิเลสนี้ ไล่ไปตามลำดับอย่างไม่ต้องหลับตาปฏิบัติเลย มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วอ่านรู้กิเลสออก หากไปหลับตาแล้วก็ปิดประตู ปฏิบัติ ถ้าหากคิดว่าจะต้องไปหยุดคิดหยุดพูด หยุดรู้สึก หนักเข้านั่งเป็นนิโรธ แข็งทื่อ เอาไฟไปจี้ก็ยังไม่รู้สึกเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางศาสนาพุทธ
_3867การเมืองไม่มีธรรม!จริยะธรรมาภิบาลที่ไหนจะดับวิกฤติกลียุคไม่ให้มิคสัญญีเกิดได้ขึ้นอีก?คงมีแต่การเมืองมีธรรมครบศีลธรรมคุณธรรมจริยะธรรมาภิบาลดับทุกวิกฤติทุกสภาวะโลกได้ใช่ไหม?กบฝันไกลเฮ้อ!
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับ อัญญาอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยปัญญารู้ตามความเป็นจริง!ยังกัญญาให้ยินดีใน ความจนพอเพียง!มีฆัญญา สิ้นมหัปปิจฉะ!รู้ทันในชัญญาทรงสัญญาเจริญกุศล ธรรมอัปปิจฉะตามรอยล้น(9)เกล้าสาธุ!กบ2แผ่นดินฯ ^o^
_Min Naing Naing · ขอให้พ่อเเสดงธรรมพระพุทธเจ้าเเบบพิเศส
_คำถามจากคุณฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า พ่อครูบอกว่าท่านนายกฯตู่มีวิธีการบริหารประเทศแบบพุทธ ซึ่งแตกต่างจากนายกฯ ในอดีต 28 คน ช่วยอธิบายขยายความประเด็นที่แตกต่างด้วยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ให้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา ลุงตู่นี้อาตมาบอกว่าการทำงานที่เข้าสู่แบบโลกุตระ คือตามศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราและแบบคนจน
การปรับเศรษฐกิจ แม้แต่นายกตู่บอกว่าจะต้องให้มั่งคั่ง มันไม่ใช่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการใส่ Concept กระบวนทัศน์ paradigm ของคน ให้ไปรวย แก้ปัญหาไม่มีทางสำเร็จ ต้องมาอธิบายบอกว่า คนไม่ต้องไปรวยไม่ต้องสะสมมากหรอก อยู่อย่างพอเหมาะพอดีเหมือนอย่างที่ในหลวงเราตรัส ต้องมีน้อยลง เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต
ต้องมาจนอย่างชาวอโศกจนเป็นแดนของคนจน
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเทศน์ถึงศีล
ยูทูป
อ่านต่อ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...
https://docs.google.com/document/d/1FNY-Qegc04M5Oo3fvcbrY2YNMkqtmEw1APmGNT5NGUk
vv
610122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไตรสิกขาที่พาขยายอายุขัย
สมณะฟ้าไทว่า…วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็มีนักศึกษาราชภัฏจังหวัดอุบลราชธานี มาทำวิจัย คณะบริหารธุรกิจ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ต่ออายุขัยต้องใช้สมดุลสัมประสิทธิ์ระดับคูณ
พ่อครูว่า...คำถามที่คนถามมาวันนี้ ยาก ซึ่งวันนี้มีเด็กนักเรียนมาฟังด้วยก็คงจะฟังได้ยาก
อาตมาพูดไป อาตมาเจตนาจะพูดเอาไว้ อาตมาก็รู้เหมือนกันว่าพวกที่จะรับได้ มีพวกเราพอจะเข้าใจ ก็จำเป็นจะต้องพูดเอาไว้ เพราะในยุคครึ่งศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว มันเสื่อมไปจนกระทั่งจะหมดแล้ว อาตมาเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อจะประกาศออกไป ของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่ของอาตมา เอามาตราขึ้นอีก เพื่อให้ผู้ที่ใส่ใจศึกษาเรียนรู้ว่าจะได้ศึกษาต่อ เพราะฉะนั้นผู้รู้ที่รับได้ก็จะมีจำนวนน้อย ผู้ไม่รู้มีเยอะ เมื่อไม่รู้แล้วก็ยัง..ขออภัยพูดให้ชัดๆง่ายๆ ไม่รู้แล้วยังโง่อีก โง่ยังไม่พอ ยังดูถูกดูแคลนคนอื่นอีก หาว่าเป็นเรื่องบ้าบอ ตนเองมีภูมิไม่ถึงก็พูดอย่างนี้ ก็ทำให้เขาตกต่ำ แต่อาตมาจำเป็นที่จะต้องทำ มันก็เกิดผลตามนั้น
มาเอาที่ผู้เขียนอะไรมาหลายอย่าง
วันนี้ก็มีผู้ที่ทำปริญญาเอก ดุษฎีนิพนธ์ เกี่ยวกับเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา ศึกษาเพื่อทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง แรงจูงใจของศาสนากับการทำเกษตรอินทรีย์ ก็มาถามได้
อโศกเรามีความรู้หรือว่าเราทำงานกับมนุษยชาติ โดยใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าอันนี้ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็มีคนมาทำดุษฎีนิพนธ์ไม่น้อยแล้ว ปริญญาโทก็มากมาย เขาก็ทำไป เพราะอาตมาอาภัพ ทำไปแล้วเป็นของดี แต่เขาไม่ได้ศรัทธา ไม่ได้เอาไปทำต่อ แค่แต่ว่าผู้ที่ทำปริญญา ในสำนักอื่น จะอ้างอิงหลักฐาน จากดุษฎีนิพนธ์ หรือปริญญาโท ที่ทำวิทยานิพนธ์ไป เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าเขาไม่มีความศรัทธา เขาเห็นว่าสำนักนี้มันไม่ใช่
แต่แท้จริงแล้ว อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ใช่คนปลอม อาตมาเป็นคนจริง ที่นำศาสนาพุทธคืนกลับมา นำเอาแก่นแท้ของศาสนาพุทธมาปัดฝุ่น แต่ที่จริงมันจมหายไปไหนที่ไหนก็ไม่รู้ ขุดขึ้นมาก็จะแย่อยู่แล้ว มีหน้าที่ต้องรื้อฟื้นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ง่าย ทำมาจนเกือบ 50 ปีแล้ว ก็เห็นผลว่าได้ผลไม่เท่าที่ควรจะเป็น มันน้อยเหลือเกิน จึงได้พยายามที่จะอยู่ต่อไป ใช้พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เพื่อจะเติมอายุขัย อาตมาใช้จริงๆ
หลายอย่างที่ทำมา อาตมาก็ใช้ภาษาบาลี กำกับตัวสภาวะ พวกเราพอเข้าใจ ก็เอามาถาม อย่างอันนี้เรียบเรียงว่า
นกกระจอกหรือจะรู้สภาวะพญาอินทรีย์ นกกระจอกต้องพยายามศึกษาจากพญาอินทรีย์ ในชีวิตจริงของพญาอินทรีย์จะมีวิธียืดอายุของตัวเอง ถูกบ้างผิดบ้างท่านก็จะชี้แนะเราเอง พระอรหันต์ มีอุปจยะ มีสันตติ ก็คือ เป็นเรื่องของรูป ลักษณรูป 4 อันสุดท้าย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ในอุปาทายรูป 24
จาก ย คือย.ยักษ์ ถือเป็นต้นวรรคของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้เกิดได้ (นี่คนจะรู้ได้ต้องเคยฟังมาก่อนและรู้สภาวะกัน) คนฟังรู้เรื่องที่เป็นคนข้างนอกจะมีน้อย เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับอโศก จะยอมรับมหาเถรสมาคมมากกว่า ก็เลยเกิดความยาก อาตมารู้ว่าทำไมต้องมาทำงานยาก หากไม่ยากมันไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 จะมีโจทย์ที่ยากอย่างนี้แหละ อาตมาเข้าใจดี ก็ต้องทำงานศึกษาฝึกฝนตามที่ตัวเองมีโจทย์ คือโจทย์ให้ทำทั้งนั้น
บอกว่า ...มาถึง แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้ไปเกิดได้
จากเศษวรรค ก็เกิด โอปปาติกะ กะเป็นตัวท้าย แสดงเจ้าเข้าเจ้าของ จากนั้นก็สันตติ ที่อาตมาทำนี้ก็เท่ากับต่ออุปจยะ
วรรค 1 2 เป็น static แต่การเกิดของอัญญา เป็น dynamic ที่เร็วแรง รอบจัด มาวรรค 2 จ ฉ ช ฌ ย
ความเร็วของจิตเร็วไวกว่าแสง พลังงานแสงเร็วเท่าไหร่ ...อัตราเร็วแสงที่มีค่า 299,792,458 เมตร/วินาที แต่จิตมีความเร็วกว่าแสงมาก แสงเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ 1.3 วินาที แต่ใจของนีล อาร์มสตรอง เดินทางเร็วกว่า นึกไปก็ถึงทันที แต่คนที่ไม่เคยไปก็เดาเอา
พ่อครูมี ฌานวิสัยเป็นไปได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เกิดอยู่ตลอดเวลา และยังมีอัญญธาตุ เติมมาอีกเรื่อยๆ ก้าวหน้าเรื่อยๆ ความสว่างไสวก็เกิดขึ้นมากต่อมาก แม้ยามหลับพักผ่อน เทวดาก็มาพบอีก
_อยากทราบวิธีจัดสมดุลครับ
พ่อครูว่า...มันไม่มีหน่วยวัดไม่มีภาษาบอก ว่าอาตมาจะมี static dynamic อย่างไร และมี Coefficient ที่จะเพิ่มอีก ก็จัดสมดุลที่ตัวเอง ประมาณว่า เราปรุงแต่ง อภิสังขารขนาดนี้ สังขารเรารับไหวไหม ทั้ง static และ dynamic ที่เราจัดสรร Coefficient ให้เพิ่มขึ้นนี่ จะเป็นระดับคูณ ระดับยกกำลัง มันจะมากจนฐานนี้รับได้ไหม
จะเรียกว่านิวเคลียสจะรับไหวไหม ถ้ารับไม่ไหวมันจะละลาย ก็จะร้อน เราก็จะรู้ว่าอันนี้มันไม่ไหว เราก็ต้องเอาตามประมาณความรู้สึกเรา เวทนาเราวัดเอง ถ้ามันน้อยไปก็เสียเวลา จะเสียเวลาทำไม ก็ต้องปรุงให้เต็มที่ ถ้าน้อยไปเสียเวลา ถ้ามากไปมันทำลาย อธิบายได้แค่นี้ไม่มีหน่วยวัด
เวทนาจึงเป็นการอ่านพลังงานที่มีอาการ ลิงค นิมิต ตามที่รับฟังบรรยายมา
ลิงค คือความแตกต่างระหว่าง ความห่างความชิด ความมากความน้อย อาการลิงคะ แล้วจัดสรรเกิดภาพรวมเรียกว่านิมิต เป็นเครื่องหมายเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเราทำอภิสังขารเป็น ตรวจผลของการปรุงแต่ง รวมสามเส้า สรุปคือรูปกับนาม ที่เราปรุงแต่ง จิตเราเป็นประธาน เราปรุงผลที่ได้พอเหมาะพอดีไหม มากไปไม่ดี น้อยไปเสียผล น้อยไปมันไม่ควร
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเคยเขียนหนังสือ จนล้มลงไปเลย อย่างนั้นมากไป สังขารมากไป
พ่อครูว่า...มากไป ทำลายตัวเองได้ อาตมาเคยเขียนหนังสือจนเป็นลมหน้าห้องน้ำเลยเขียน EQ โลกุตระ
ต่อมา...การออกแรง ทางสรีระกาย จะมีส่วนเหลือของการบีบเค้นของเซลล์คือน้ำเหงื่อ ส่วนการออกแรงทางสมองหรือใจ เมื่อมีภาวะบีบเค้นทางอารมณ์ เสียใจมากดีใจมากมีปีติ ก็มีน้ำตาออก แสดงถึงความเชื่อมต่อของนามที่รูป
พ่อครูว่า...เราจะบอกว่าพลังงานถึงขั้นไฟ เรียกโดยภาษาอีกว่า อากาศ ลม ไฟ ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพ ให้รู้ได้ ถ้าไฟมีสองสภาวะของธาตุ สองตัวนี้จับตัวเป็นตัวที่สามคือ น้ำ H2O เมื่อทำงานร่วมกันเป็นธรรมะสองจับตัวได้ดีก็เกิดน้ำ ตั้งแต่ กลละ เป็นเชื้อก่อในมดลูก ล.15 [803] "รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
ต่อมา...หน้าที่ของน้ำน่าจะแบ่งได้อย่างนี้
1. ถ่ายเซลล์ที่เสียออกจากสรีระออกแรงมากเหงื่อก็ออกมาก
2. หล่อลื่นหล่อเลี้ยงเซลล์ รอบจัดมากปัสสาวะก็ออกมาก
3. เป็นสื่อถ่ายทอดพลังงานบ่มเพาะสร้างเซลล์ใหม่
ขอบอกคนเขียนมา คุณไปได้ไกลได้มาก ระวังจะหลงความรู้อย่าลืมตัวจริงตัวเองที่ปฏิบัติ ดูในฐานที่จริงของตัวเอง และที่เหลือของเรา อย่าไปเพลินกับความรู้พวกนี้ หลงวิปัสสนูปกิเลส จนลืมปฏิบัติให้แก่ตนเอง อย่าให้มันเสียผล
ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก (อาตมาปัสสาวะมากในกลางคืน) ส่วนเวลากลางวัน มี Action ร่างกายรองรับด้วย รวมแล้วสภาพเคลื่อนไหวและเป็นหลัก
อธิวจนสัมผัสโสจึงคือลูกข่างนอนวัน มีจุดหมุนเป็นตัวแกน และมี kinetic ที่เป็นตัวก้าวหน้า เป็น Coefficient ที่เป็นตัวแปรใหม่ ถ้าหากตัว static และ Dynamic ที่เป็นแกน มันไม่แข็งแรงมันไม่นิ่ง เหมือนลูกข่างนอนวัน มันก็จะไม่แข็งแรงไม่นิ่ง จะไม่อยู่ในจุดศูนย์กลางสมดุลกัน
คนหลงเพลิดไปกับการปรุง เป็นพลังงานใหม่ kinetic ใหม่ Coefficient ใหม่ที่มันแรงกว่าแกน static dynamic มันรับไม่ได้ก็จะเกิดการแกว่ง ก็เกิดการพัง ระบบความคิด นักปรุงแต่งจิต สายหลับตาเรียก กรรมมันแตก สายไม่หลับตาก็เรียกว่า บ้า จิตเภท
_คำถามที่ 2 การขยายอายุขัย รอบตัองจัดต้องเร็วขนาดไหน?
พ่อครูว่า...มันไม่มีตัววัด ของใครก็ของใคร จิตมันเร็วกว่าแสง ต้องได้สัดส่วนที่ดี ถ้ามากไปก็ทำลาย มีแต่อายุจะสั้นลง หรือไม่มีแรงพอก็ไม่เสริม อุปจยะ Coefficient ให้เกิด ต่อไปได้ สันตติต่อไปได้
อาตมาพูดไปนี้คนที่รับได้จะมีน้อย ยิ่งในยุคนี้มีความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธไปมากมายแล้ว มีที่ไหนสวดมนต์ข้ามปี อาตมาพูดไปเหมือนไปว่าเขา อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยวอย่างธรรมกายทำ นึกว่าเป็นประโยชน์
การท่องบทมนต์เพื่อให้จำได้ จำได้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เพราะสมัยพระพุทธเจ้าการบันทึกยังไม่มี ก็ต้องอาศัยท่องจำ
การสังคายนาคือคนหนึ่งท่องขึ้นแล้วให้คนอื่นฟังดูว่าผิดไหม หากสวดผิดก็ท้วงกัน ว่าอย่างไหนถูกกันแน่
การสวดมนต์ไม่ใช่สวดให้เกิดเป็นกุศลหรือมีฤทธิ์เดชอะไร บุญคือการลดกิเลส ส่วนกุศลคือสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลสั่งสมเป็นคุณความดี เป็นสมบัติ หากเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ดีก็คืออกุศล คุณทำกุศลอกุศลทำแล้วก็เป็นผลของคุณทันที แต่บุญชำระกิเลสเสร็จมันก็หายไปทันที
เข้าใจคำว่าบุญผิด เข้าใจคำว่ากายผิด ก็ปฏิบัติผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ คนฟังแล้วก็อาจคิดว่าพระพุทธเจ้าพูดผิด แต่ที่จริงแล้วคุณต่างหากที่เข้าใจผิด
กาย มีรูปกับนาม แต่การปฏิบัติต้องปฏิบัติที่นาม รูปเป็นสิ่งประกอบ แต่รูปก็มีฤทธิ์มีผลนะ พูดไปแล้วคนก็อาจเข้าใจได้ยาก แต่อาตมาพูดไปเป็นอิทัปจยตา คนฟังอย่างพวกคุณก็รับได้ แต่ถ้าพูดไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล คุณฟังดูก็จะรู้ได้
ศาสนาพุทธต้องรู้เหตุ จับเหตุได้ จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หากอภิสังขารได้ครบ รู้ลักษณรูป 4 ก็จัดการให้มันเกิดเท่าที่คุณกำหนดหมายได้ว่าอย่างนี้ อุปจยะ อย่างนี้สันตติ หรือ ชรตา หรืออนิจจตาได้ จะให้มันเกิดต่อหรือไม่ก็แล้วแต่
นี่คือสัจจะที่ผู้ฟังที่รับที่อาตมาสื่อได้แล้วก็เข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ แต่อาตมาไม่เก่งที่จะอธิบายไปถึงกลุ่มที่รู้ไม่ได้
ต่อมา ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก
ส่วนเวลากลางวันมี Action ทางกายรองรับ จึงมีทั้งจิตที่ตื่นรับวิถี และ dynamic ของสรีระ อธิวจนสัมผัสโสคือลูกข่างนอนวัน นอนก็พัก วันก็เคลื่อน ไม่ใช่เรื่องโมเมนะ
“การขยายอายุขัยรอบต้องจัดเท่าไหร่ครับ..”
ต้องรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิตของตน ว่ารอบมันเร็วมากจนร้อนไปไหม หรือว่าขนาดนี้กำลังได้การก้าวหน้าดี ผู้ที่ทำไม่ได้ก็จะเกินหรือขาด ขาดมันก็ไม่เร็วเท่าที่ควร แต่ถ้าได้สมดุลจะเร็วและมากที่สุด ต้องประมาณ หรม. ครน. ได้อย่างสัดส่วนดี
จากสมการ
E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 + อปุญญาภิสังขาร ) คือ coefficient
อเนญชาภิสังขารคือ c2 กับ mc เป็นหน่วยของการปรุงแต่งพลังงานทางธรรมะ
ทีนี้มาเพิ่ม C ( Coefficient ) mc คืออปุญญาภิสังขาร + A
ผู้สามารถเป็นอรหันต์แต่ละลำดับ ก็สามารถที่จะรวมแล้ว พลังงาน ฌานวิสัย เป็นการปรุงแต่งของพลังงานที่เรียกว่า ฌาน
ฌานคือพลังงานไฟ ภาษามหาภูตรูปคืออุณหธาตุ เป็นพลังงานที่แรงร้อน
ฌาน จึงแปลว่าไฟกองใหญ่ พจนานุกรมบาลีไทยก็แปลได้ บางพจนานุกรมเท่านั้น บางเจ้า ก็บอกว่า ฌานคือไฟ บางเจ้าก็บอกว่าคือไฟกองใหญ่
ไฟฌาน คือพลังงานบุญ สร้างพลังงานบุญขึ้นมา สร้างสำเร็จก็จะมีฤทธิ์อำนาจไปทำลาย ไฟราคะโทสะโมหะ เพราะไฟฌานมีฤทธิ์พลังงานพอจะไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะ
ต่อ...เมื่อ E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 +อปุญญาภิสังขาร)
ของไอน์สไตน์ มีสูตร E=mc2
แต่ของอาตมามีสูตร E=C(mc2+A) อาตมาเคยไปบรรยายที่ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาคุณคนนี้ก็อธิบายต่อ (คุณดั้นเมฆ) ...เมื่อมีอัญญธาตุ ธาตุใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนตอน อัญญาโกณทัญญะรู้ได้ตอนที่พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรก อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ
อัญญานี้เป็นความรู้ใหม่ ต่างจากเฉกา (อัญญาเป็นพหูพจน์ของอัญญะ) อัญญาไปสร้างเป็นสัญญาเป็นกัญญาจนเป็นปัญญา
ถ้าเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะเป็นเรื่องลึก ที่เป็นอุตริมนุสธรรม จำเป็นต้องพูด ปเวเทนตีติ ประกาศเอาไว้ ไม่เช่นนั้น ความรู้ของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมด คนที่เข้าใจได้รับได้ก็จะเอาไปทำต่อ ผู้ที่จะสามารถขยายความให้พิสดารกว่านี้ไปได้อีกเยอะ อาตมาพูดตัวหลักไว้ก่อนแต่ไม่มีเวลาขยาย พวกเราที่รู้ก็ขยายกันต่อ
ต่อมา...ต้องเพิ่มที่อปุญญาภิสังขาร คือ mc2+A
A คือพลังงาน ที่เป็นขั้นบวก ก็จะบวก mc2 + mc2 + mc2 จนเกิดสามเส้าแรก ต่อมาเกิดเพิ่มเป็นสามเส้าที่สอง ต้องเป็นสามเส้าที่สามจึงได้เก้า ได้สามยกกำลังสอง
จะไปเพิ่มอปุญญาภิสังขารที่เป็นพหุชนหิตายะ มีองค์ประกอบภายนอกมาเกี่ยวข้องซึ่งจัดการได้ยาก แต่เราจัดองค์ประกอบศิลป์ได้
พ่อครูว่า...อาตมาใช้ การจัดองค์ประกอบศิลป์คอมโพซิชั่น ต้องมีความรู้ในรูป 28 มหาภูตรูป อุตุนิยาม ใช้ทั้งพีชนิยาม ใช้ในการเกิด จิตนิยาม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์นี้เป็นตัวที่เป็นตัวแปรมาก ก็ต้องจัดการให้เกิดสภาพรวมตัวเรียกว่า ธรรมนิยาม กุศลธรรม หรือเป็นโลกุตรธรรม
ธรรมนิยามแบ่งได้สองคือกุศลอกุศล โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ผู้ที่ไม่สามารถแยกธรรมะเป็นสอง คือ โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ก็ไม่สามารถที่จะไปหานิพพานเป็นอาริยะที่แท้จริงได้ เช่น เดี๋ยวนี้ก็รู้แค่กุศลอกุศล อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยว เป็นต้น
แม้แต่การเอาบทมนต์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคน ต่อหน้าอนุปสัมบันก็อาบัติปาจิตตีย์
การสวดมนต์กลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าสวดแล้วจะได้สวรรค์วิมาน ได้ทุกอย่าง ที่ต้องการแม้แต่ธรรมกาย เถรสมาคมก็ทำ ไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกลายเป็นเทวนิยมหลงเมจิค เรื่องเพ้อเจ้อ ธรรมะที่เป็นสวรรค์วิมาน แต่เขาไม่คิดว่าได้นรกแต่เขาทำเหตุที่ไปนรก ยิ่งพาคนหลงทาง เป็นความเสื่อม เพราะชวนคนทำหลงทางก็เป็นบาปเป็นนรก
อาตมาก็มายับยั้งเขาก็หาว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง บอกว่าให้หยุดเถอะ การสะกดจิตสวดมนต์ เวลาเขาไปสวดมนต์ กันเป็นหมู่ เขาไม่กำหนดหมายเลยว่าติดปาก ขณะสวดไปจิตฟุ้งซ่านไปได้หมดเลย แล้วบอกว่าเป็นเรื่องสิริมงคลเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แท้จริงมันไม่ใช่ เป็นเรื่องปาจิตตีย์เป็นอาบัติหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แก้ไม่หาย จำเป็นต้องบอกความผิดความถูกสำหรับผู้มีภูมิปัญญาให้ลดให้เลิกเถอะ บางคนมีภูมิธรรมถึงก็บอกว่าเลิกเลย แม้แต่ในมหาเถรสมาคม หรือบางคนก็แม้รู้ว่าผิดแต่ตกกระไดพลอยโจน
ต่อมา...เมื่อเหตุสมบูรณ์ผลก็ตามมา ผนึกกำลังสร้างชุมชนต้นแบบให้แข็งแรงขึ้น เพื่อสะพัด กระจายเผยแพร่ให้มวลชนมาเอาเป็นแบบอย่าง เมื่อมีแรงดึงดูดมากพอทางราชการจะเห็นตามได้ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกัน อัตราการก้าวหน้าก็จะเกิด
พ่อครูว่า...I hope so!
ต่อมา...เมื่อนั้น C สัมประสิทธิ์ (อัญญธาตุ) พ่อครูก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 151 ปีจึงเป็นอันหวังได้
พ่อครูว่า...คนนี้หยั่งรู้ใจอาตมาจัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ไป
_คำถามที่สาม นี่คือการสร้างอัญญธาตุ มีแง่มุมอื่นอีกไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็แค่นี้คุณก็ตามให้ได้เถอะ ไม่ต้องไปอยากรู้มากๆกว่านี้
ต่อมา...ถึงกระนั้น จากสมการ C ฌานวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยอย่างยิ่ง นกกระจอก ก็ได้เห็นแค่เงาของพญาอินทรีย์ ไม่อาจก้าวล่วงได้มากกว่านี้(พญาอินทรีย์จึงยังเป็นพญาอินทรีย์อยู่ดังเดิม)
พ่อครูว่า...แล้วนกกระจอกจะไม่ได้มรรคผลบ้างหรือไง คุณรู้แล้วว่าอะไรคือพญาอินทรีย์ คุณก็พยายามเก็บเอา
_คำถามสุดท้าย C อาหาร(กวฬิงการาหาร) มีส่วนมากน้อยแค่ไหนครับ
พ่อครูว่า...มีส่วนมากตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทั้งหมดเลย อาหาร 4 กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
อาหาร 4 นี้สัมพันธ์กันหมด จะบอกว่า กวฬีการาหารเกี่ยวกับผัสสาหาร เกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร เกี่ยวกับวิญญาณาหาร
ถ้าคุณอ่านรูปนามไม่ได้ หรือว่านามที่เป็น มโนสัญเจตนา นามนี้จะเรียนนาม 4 ไม่ใช่เรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 มันเป็นเรื่องเรียบเรียง
แต่ที่ต้องเรียนคือรูป 28 กับนามอีก 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ ไม่ใช่ไปเรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121
ในพระไตรปิฎกว่า ก็นามรูปเป็นไฉน
รูปคือ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ
มหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 คืออุปาทายรูป 24 คือรูป นามห้า รูปอีก 28
นามและรูปดังพรรณามานี้เรียกว่า นามรูป พระไตรปิฎกข้อ 14 เล่ม 16 วิภังคสูตร
ท่านก็แจกนามต่อว่า ก็วิญญาณเป็นไฉน
วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
วิญญาณของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป แม้ว่าจะมีแสงกระทบตา แต่ว่าไม่มีจิตไปรับรู้ เช่น การนั่งเหม่อลอย นั่งตาแข็ง ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เกิดปัญญา คุณก็มีแต่สัญญา มีแต่ภพชาติในสัญญาฟุ้งของคุณ ข้างนอกตาลืม ภาพตกที่เรติน่า แต่ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้ตาม ไปหลงแต่ภายในมโนคือจิต ก็จะไม่รับรู้ข้างนอก ยิ่งหลับตาก็จะยิ่งไม่เปิดรับอะไร แม้ลืมตาแต่ตาแข็งก็ไม่รับรู้ได้
สรุปตรงนี้ว่า วิญญาณต้องเกิดจากการกระทบภายนอก และมีจิตวิญญาณภายในรับรู้ด้วย ต้องมีกาย คือธรรมะ 2 จึงจะเกิดวิญญาณ โดยเฉพาะต้องมีนามธรรม พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า กายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ
มีการกระทบทางตา จึงเกิดจักษุวิญญาณ เกิดทางหูก็เป็นโสตะวิญญาณ เกิดทางจมูกก็เป็นฆานวิญญาณ เกิดทางลิ้นก็เป็นชิวหาวิญญาณ เกิดทางสัมผัสก็เป็นโผฐัพพารมณ์
จิตไปสัมผัสจิตเองเรียกธัมมารมณ์ อย่างนี้คือวิญญาณ
แต่ภิกษุสาติเข้าใจผิด ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
สาติภิกษุไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นตัวตนบุคคลล่องลอยไปมาเหมือนพวกเทวนิยม พระพุทธเจ้าจึงว่า ใครสอนเธอ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
วิญญาณเป็นธาตุรู้ ขณะนี้ต้องมีปัจจุบันธรรม ไม่มีปัจจุบันธรรม วิญญาณไม่เกิด คุณหลับตาไม่มีจักษุวิญญาณ คุณปิดหู แก้วหูรับเสียงไม่ได้ก็ไม่มีโสตวิญญาณ จมูกไม่รับกลิ่นก็ไม่เกิดฆานวิญญาณ
วิญญาณคือธาตุรู้ เข้าใจวิญญาณ 6 ไม่ได้ ก็ไม่มีทางปฏิบัติศาสนาพุทธได้ ไม่มีทางบรรลุธรรม ไม่มีเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธินอกรีต กับ อริโยสัมมาสมาธิ
ยิ่งพวกนั่งหลับตาหมดทางเลย ปิดตาไม่พอนั่งสะกดจิตเข้าไปอย่าไปรับรู้อะไร แม้แต่ในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคุณเหลือแต่ภายนอกเป็นลมหายใจ เพียงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีอันนี้ไปอยู่ข้างในหมดเลยก็ศึกษารูปนามไม่ได้ ไม่มีธรรมะ 2 การนั่งหลับตาโดยไม่มีภายนอกเลย
อานาปานสติที่ยังเหลือแค่ลมหายใจ ก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมขณะมีลมหายใจ ถ้ามันหรี่ลงไปรับรู้แต่ลมหายใจแคบๆ เขาก็จะฝึกอย่างนั้น อย่าไปนึกคิดอะไร แล้วไปอธิบายว่าลมหายใจอ่อน เบา แรง เป็นมโนมยอัตตา ก็เล่นลมหายใจที่เป็นข้างใน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ บอกว่าลมเข้าออก ขยายได้เป็นนิมิต ไปไกลใกล้ได้ ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป
การนั่งหลับตาสะกดจิตที่ทั่วไปบอกว่าเป็นการสร้างสมาธิ ในศาสนาพุทธก็ตาม ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ มันเป็นสมาธินอกรีตของเดียรถีย์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็สอนกันว่าจะต้องเข้าป่านี่ก็ผิดแล้ว ไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ผิดอีก ซึ่งเป็นเดียรถีย์หมดเลย เป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย
พระพุทธเจ้าจะทำอย่างไร ก็เขาเข้าใจอย่างนี้ไปหมดว่าเป็นสมาธิ ท่านก็สอน สมาธิแบบนั้นท่านก็ไม่ปฏิเสธ เป็นสมาธิสะกดจิต มันก็เป็นหนึ่งได้ เป็นเอกธรรม แต่ไม่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพุทธ แต่มันเป็นเอกจิต เป็นเคหสิตอุเบกขา ฝึกฝนกันเขาก็ทำได้มากมาย มีอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นอาจารย์ใหญ่ในป่า พระพุทธเจ้าก็ไปตามหาอาจารย์ใหญ่ในป่านี้ ก็มีแค่นี้ ท่านก็ไปฝึกตาม ท่านก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเลย
นั่งหลับตาสะกดจิตจนได้อรูปฌาน 7 8 มันไม่ใช่ ผู้รู้ที่ดีแปลพระไตรปิฎกก็เรียบเรียงเอาไว้ใน พรหมชาลสูตร การนั่งหลับตาจะได้อดีต 18 กับอนาคตอีก 44 มีแค่นี้แหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 นี่คือการทำเจโตสมาธิได้แค่นี้ ก็อย่าไปทำ
สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิ เรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร พระสูตรนี้รวบรวมไว้ชัดว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะเป็นอย่างนี้มีอะไรเป็นเหตุ สอุปนิโส เป็นองค์ประกอบที่ให้เกิดสัมมาสมาธิ คือการปฏิบัติ มรรค 7 องค์
ปฏิบัติหลับตาสะกดจิตจะเกิดสัมมาสมาธิ มันไม่ใช่ อาตมามาแก้ไขนี้จนตาย ก็จะแก้ไขได้ประมาณหนึ่ง มีคนเข้าใจได้จำนวนน้อย แต่ก็จะได้สืบสานศาสนาพุทธไปถึง 5000 ปี ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถืออย่างนั้น
ถ้าจะพูดอจินไตยคือพวกนั้นเป็นเดียรถีย์มานาน มารับโพธิรักษ์ไม่ได้หรอก หาว่าอาตมามีอาจารย์ที่ไหน สำนักไหน อาตมาก็บอกว่าเป็นสยังอภิญญา เพราะว่าไม่มีสำนักที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งเถรสมาคมนั่นแหละ พูดหนักๆ แต่อย่าเพ่งโทษอาตมาเลย เอาไปไตร่ตรอง แล้วเอาคำสอนที่อาตมาสอนกับคำสอนของเถรสมาคมมาเทียบกันดีๆ แม้แต่พระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร พูดถึงทิฏฐิที่ผิดมีเท่านี้ ก็ตกในชาละคือข่ายแหที่เขาออกไม่ได้
อาตมาเอามาประกาศให้พวกคุณ พวกคุณก็ทำได้ ในพรหมชาลสูตรก็บอกไว้ ชัดเจนว่าทำแบบนั้นมันผิด ก็จะให้ทำอย่างไร ก็ทำอย่างสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างไร
มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะสันโดษอันเป็นอาริยะ ไปอ่านให้ดี สามัญญผลสูตร มีแต่การลืมตาปฏิบัติทั้งนั้นด้วยไตรสิกขา มีผัสสะเป็นปัจจัย
พระพุทธเจ้าไล่เรียงถึงการเกิดเป็นสมณะจะมีผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร พูดให้ พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ที่ท่านฟังแล้วก็ขอถือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมนูญของชีวิต พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าหากมีข้าราชบริพารของพระเจ้าอชาตศัตรูที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ท่านขาดคนนี้ไปก็จะลำบาก เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดตื่นก่อน นอนทีหลัง เป็นข้าราชบริพารที่เหมือนเป็นทหารเอก เหมือนนางสนองพระโอษฐ์ แล้วถ้าเขาเกิดความศรัทธาในธรรมะพระพุทธเจ้ามาเอาหลักธรรมนูญ ศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็นหลักของชีวิต แม้แต่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหากคนของพระองค์มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า ขอมาบวช มาเข้ารีต ท่านจะปล่อยให้มาไหม ถามพระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าต้องสนับสนุนเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วเป็นสิ่งที่เลิศยอด พระเจ้าอชาตศัตรูมีอนันตริยกรรม เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งสูงสุด พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก พระพุทธเจ้าปกครองคนในรัฐของตนเองได้ยิ่งกว่าแคว้นใดๆที่มีในแผ่นดิน พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมนูญเอากฎหมายของท่านเอาจารีตของท่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือเป็นธรรมนูญหลักของพระพุทธเจ้า จุลศีลเป็นบัญญัติที่ขัดเกลากิเลสเพื่อให้บรรลุธรรม มัชฌิมศีล ก็สูงขึ้นจากจุลศีล จุลศีล มัชฌิมศีลเอาใช้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ศีลไม่ใช่พระวินัย ไม่มีโทษ แต่มหาศีล เป็นศีลของศาสนา
แต่ทุกวันนี้เขาก็หาว่าศีลของพระภิกษุมี 227 ข้อซึ่งเป็นแค่วินัยไม่ใช่ศีล ยังดีมีพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ แค่นี้ก็เป็นเครื่องชี้บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีแล้วแม้แต่ศีลก็ไม่มี แม้แต่มาบวชเป็นภิกษุก็ได้แค่ศีล 10 เป็นศีลเณร อยู่ในจุลศีล ซึ่งที่จริงมี 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
แม้แต่สมาธิก็ไปเป็นสมาธิเดียรถีย์ เป็นสมาธิสะกดจิตหลับตาไม่มีสัมมาสมาธิ
ปัญญาไม่ต้องพูดเลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติศีลไปตามลำดับ
ศีล 5 ปฏิบัติศีลข้อ 1 จะมีปัญญารู้ว่าชีวิตคุณอยู่ในโลกสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย คุณเกิดอกุศลอย่างไร เกิดกิเลสอย่างไร ไม่เกิดกิเลสอย่างไร เกิดราคะอย่างไร เกิดโทสะอย่างไร เกิดโลภะอย่างไร โมหะมันอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติการสัมผัสกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 คือสัมผัสกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปเอามา อย่าไปทุจริตหรือถือวิสาสะเอามา
ศีลข้อที่ 3 เป็นการสัมผัสที่เกิดราคะ ก็เข้ามาสู่การพิจารณากิเลสกามคุณ 5
หนึ่งของรวมทั้งพีชะด้วย ส่วนสัตว์คือจิตนิยาม ก็เรียนรู้อันนี้เกิดจากผัสสะแล้วล้างกิเลส คุณหลับตาไม่ได้สัมผัสกับสัตว์กับของก็ปฏิบัติไม่ได้ ไม่เกิดความสุขความทุกข์ที่เป็นเวทนา ก็ไม่เรียนรู้เวทนา ที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธกรรมฐานเดียว ฐานแห่งการปฏิบัติศาสนาพุทธคือเวทนา การออกนอกรีต ไปปฏิบัติตามเดียรถีย์ ตามกสิณ 40 ของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็เป็นการสะกดจิตสมาธิ แล้วเอาอันนั้นเป็นเหตุปัจจัย เหมือนอาตมาเรียนสะกดจิต
หลับตา เอามือคุณ เพ่งที่มือ เดี๋ยวนิ้วจะกางออก ดึงไว้นะ ก็ต่อสู้กัน ให้คุณนิ่งให้ได้คุมให้นิ่ง เสร็จเลยถูกสะกดจิตสำเร็จ อาตมาเรียนสะกดจิตมา
เรื่องของ การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาเกิดมาในปางนี้เมื่อยมาก เมื่อยจนเปรยออกไป ซึ่งอาตมาก็จะยังไม่หยุดหรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ เหมือนพ่อแม่บ่นลูก
_หลวงปู่คะ งานอโศกระลึกปีนี้จะจัดที่ไหนคะ
ตอบ..บ้านราชฯ มาจัดที่นี่ไม่ได้เที่ยวกทม.
_ทีนี้ตอบอันนี้มา ของคุณหินไท ..เหตุเกิดที่วัดมหาธาตุ ตอนนั้นช่วงพ่อครูไปขึ้นศาลที่นั้นเพราะพระมาเป็นพยานเช่นท่านประยุตอื่นๆ ขณะก่อนศาลพิจารณาเมื่อคู่ความพร้อมหน้าผมเองในตอนนั้นทำหน้าที่ถ่ายรูปจึงทำการถ่ายรูปเป็นปกติทุกงานที่ผ่านมา วันนั้นทราบข่าวว่ามีกลุ่มต่อต้านพวกเรามาเชียทางเถรสมาคมเป็นกลุ่มอภิรักจักกรีของนายสมัคร มากันหลายคน ขณะกำลังถ่ายรูปไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีตามประสาช่างภาพก็มีหญิงกลางคนอ้วนนิดๆเข้ามาตบหน้าผมเลยหลังจากผมกดถ่ายรูปกลุ่มของพวกเธอไปแต่ผมไม่ได้โต้ตอบไรไม่พูดอะไรต่างคนต่างไปครับ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของผู้ที่อบรมจิตไปแล้ว อย่างศาสนาอื่นก็บอกเลยว่าเราไม่โต้ตอบ ตบหน้าก็เจ็บหน้า เราไม่ไปตอบโต้อะไร
SMS วันที่ 19 มกราคม 2561 (พ่อครู –บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไง
_8305กราบนมัสการครับ..สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไงครับ..ผมพยายามพากเพียรให้ชัดเจนอยู่ครับ..ที่ผ่านมาถ้ามีอะไรที่ผมทำผิดพลาดไปต่อพ่อครู ผมก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ เผื่อไว้ครับนิดนึงน้อยนึงก็จะไม่ให้มี.
พ่อครูว่า...สกิทาคามีมรรคคือฐานที่คุณกำลังปฏิบัติยังไม่เกิดผลสูงขึ้นไปจากโสดาปัตติผล มีตัวเหลื่อมกันอยู่เป็นมรรค
โสดาบันใช้กรอบศีล 5 พอสกิทาคามีมรรค ศีลละเอียดเป็นศีล 8 อธิศีลของศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ก็ต้องละเอียดขึ้น
พอเป็นอนาคามีขึ้นศีล 10 เหมือนสองข้อ จาก 8 9 ท่านขยายจากศีลข้อที่ 7 นัจจะคีตะวาทิตะ มาลาคันธะฯ มาเป็นอุจจาสยนะฯ มาเป็นชาตรูปรชตะ
สกิทาคามีคือผลของศีล 5 ได้ผลแล้ว บริบูรณ์ก็มีศีล 8 ที่ละเอียดขึ้นมา ได้บริบูรณ์ของศีล 5 แล้วก็เป็นศีล 8 ของสกิทาคามี จากสกิทาคามี ก็เหลื่อมเป็นศีล10 เป็นมรรคของอนาคามี จนสกิทาคามีจะช่วงยาวมาก มีสิ่งเยอะที่เราจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง
ผู้ที่สามารถปฏิบัติศีล 5 ของโสดาบันจะมีหลักสาม พ้นสักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
รู้องค์ประชุมของรูปนามกิเลสของตน ที่เป็นสักกายะ อ่านหทยรูปนี้ แยกเป็นภาวรูป แยกเป็นชีวิตินทรีย์ได้ ว่ามันมีชีวิต โดยเฉพาะแยกเป็นกิเลส
คุณจะต้องสามารถเข้าใจในสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว คุณได้มีตรรกะ มีกามวิตก มีพยาบาทผสมมาหรือไม่ แยกกามแยกพยาบาท กำจัดกามกำจัดพยาบาทให้ได้ เมื่อกำจัดได้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
จน ตาหูจมูกลิ้นกาย กามภพ คุณทำจนอยู่เหนือหมดแล้วกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสไม่เกิด กิเลสหยาบโอฬาริกอัตตาหรือมโนมยอัตตา
มโนมยอัตตาก็เป็นรูปที่เกิดในจิต ข้างนอกมันไม่มีรูปแล้ว ไม่มีรูปธรรม
พระอนาคามีขึ้นไปตัดกรอบความรู้สึกแล้วอ่านกิเลสเราให้ได้ ว่าถ้ากามนี้ไม่มีผลกับเราได้ แม้จะฝืนก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะมีความละอายไม่ละเมิดภายนอกแน่นอน อนาคามีจึงมีสภาพเหนือภายนอกได้อย่างชัดเจน
สกิทาคามีก็จะแข็งแรงพอจนเหลือภายใน ควบคุมเหนือรูปภพอรูปภพได้ก็เป็นอนาคามี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย คนที่ปฏิบัติศีลห้าได้แล้วก็จะเริ่มลดกามราคะ เข้าฐานสกิทาคามี ถ้าภายนอกไม่มีปัญหาแล้วก็เป็นอนาคามี
พ่อครูว่า...ข้างนอกไม่มีปัญหาหรอกอยู่ได้ไม่ต้องไปละเมิดเลย ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น ถือว่ากามภพเบาบาง เบาบางนี่มันยังระริกระรี้ เป็นรูปรส อรูปรส ต้องหมดรูปรส จึงเหลืออรูปรส มันมีอาการลิงคนิมิต
จับการเคลื่อนไหวของกิเลสขั้นอรูป มันก็ต้องเบาบางกว่าขั้นรูป คุณพ้นสกิทาคามี เป็นมรรคแล้วเป็นผลของอนาคามีมรรค หมดรูปภพอรูปภพจึงเป็นอรหัตตมรรค เป็นอรหัตตผลไปตามลำดับ ต้องลืมตาปฏิบัตินะ
ดับกิเลสกามภพได้หมดก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตานี่แหละแต่อยู่เหนือมัน กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย เรื่องกาม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นี่คือโลกธรรม คุณรู้ว่ากิเลสมันเกิดทั้งคู่คุณก็ล้างกิเลสนี้ ไล่ไปตามลำดับอย่างไม่ต้องหลับตาปฏิบัติเลย มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วอ่านรู้กิเลสออก หากไปหลับตาแล้วก็ปิดประตู ปฏิบัติ ถ้าหากคิดว่าจะต้องไปหยุดคิดหยุดพูด หยุดรู้สึก หนักเข้านั่งเป็นนิโรธ แข็งทื่อ เอาไฟไปจี้ก็ยังไม่รู้สึกเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางศาสนาพุทธ
_3867การเมืองไม่มีธรรม!จริยะธรรมาภิบาลที่ไหนจะดับวิกฤติกลียุคไม่ให้มิคสัญญีเกิดได้ขึ้นอีก?คงมีแต่การเมืองมีธรรมครบศีลธรรมคุณธรรมจริยะธรรมาภิบาลดับทุกวิกฤติทุกสภาวะโลกได้ใช่ไหม?กบฝันไกลเฮ้อ!
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับ อัญญาอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยปัญญารู้ตามความเป็นจริง!ยังกัญญาให้ยินดีใน ความจนพอเพียง!มีฆัญญา สิ้นมหัปปิจฉะ!รู้ทันในชัญญาทรงสัญญาเจริญกุศล ธรรมอัปปิจฉะตามรอยล้น(9)เกล้าสาธุ!กบ2แผ่นดินฯ ^o^
_Min Naing Naing · ขอให้พ่อเเสดงธรรมพระพุทธเจ้าเเบบพิเศส
_คำถามจากคุณฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า พ่อครูบอกว่าท่านนายกฯตู่มีวิธีการบริหารประเทศแบบพุทธ ซึ่งแตกต่างจากนายกฯ ในอดีต 28 คน ช่วยอธิบายขยายความประเด็นที่แตกต่างด้วยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ให้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา ลุงตู่นี้อาตมาบอกว่าการทำงานที่เข้าสู่แบบโลกุตระ คือตามศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราและแบบคนจน
การปรับเศรษฐกิจ แม้แต่นายกตู่บอกว่าจะต้องให้มั่งคั่ง มันไม่ใช่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการใส่ Concept กระบวนทัศน์ paradigm ของคน ให้ไปรวย แก้ปัญหาไม่มีทางสำเร็จ ต้องมาอธิบายบอกว่า คนไม่ต้องไปรวยไม่ต้องสะสมมากหรอก อยู่อย่างพอเหมาะพอดีเหมือนอย่างที่ในหลวงเราตรัส ต้องมีน้อยลง เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต
ต้องมาจนอย่างชาวอโศกจนเป็นแดนของคนจน
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเทศน์ถึงศีล
ยูทูป
อ่านต่อ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...
https://docs.google.com/document/d/1FNY-Qegc04M5Oo3fvcbrY2YNMkqtmEw1APmGNT5NGUk
610122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไตรสิกขาที่พาขยายอายุขัย
สมณะฟ้าไทว่า…วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็มีนักศึกษาราชภัฏจังหวัดอุบลราชธานี มาทำวิจัย คณะบริหารธุรกิจ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ต่ออายุขัยต้องใช้สมดุลสัมประสิทธิ์ระดับคูณ
พ่อครูว่า...คำถามที่คนถามมาวันนี้ ยาก ซึ่งวันนี้มีเด็กนักเรียนมาฟังด้วยก็คงจะฟังได้ยาก
อาตมาพูดไป อาตมาเจตนาจะพูดเอาไว้ อาตมาก็รู้เหมือนกันว่าพวกที่จะรับได้ มีพวกเราพอจะเข้าใจ ก็จำเป็นจะต้องพูดเอาไว้ เพราะในยุคครึ่งศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว มันเสื่อมไปจนกระทั่งจะหมดแล้ว อาตมาเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อจะประกาศออกไป ของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่ของอาตมา เอามาตราขึ้นอีก เพื่อให้ผู้ที่ใส่ใจศึกษาเรียนรู้ว่าจะได้ศึกษาต่อ เพราะฉะนั้นผู้รู้ที่รับได้ก็จะมีจำนวนน้อย ผู้ไม่รู้มีเยอะ เมื่อไม่รู้แล้วก็ยัง..ขออภัยพูดให้ชัดๆง่ายๆ ไม่รู้แล้วยังโง่อีก โง่ยังไม่พอ ยังดูถูกดูแคลนคนอื่นอีก หาว่าเป็นเรื่องบ้าบอ ตนเองมีภูมิไม่ถึงก็พูดอย่างนี้ ก็ทำให้เขาตกต่ำ แต่อาตมาจำเป็นที่จะต้องทำ มันก็เกิดผลตามนั้น
มาเอาที่ผู้เขียนอะไรมาหลายอย่าง
วันนี้ก็มีผู้ที่ทำปริญญาเอก ดุษฎีนิพนธ์ เกี่ยวกับเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา ศึกษาเพื่อทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง แรงจูงใจของศาสนากับการทำเกษตรอินทรีย์ ก็มาถามได้
อโศกเรามีความรู้หรือว่าเราทำงานกับมนุษยชาติ โดยใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าอันนี้ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็มีคนมาทำดุษฎีนิพนธ์ไม่น้อยแล้ว ปริญญาโทก็มากมาย เขาก็ทำไป เพราะอาตมาอาภัพ ทำไปแล้วเป็นของดี แต่เขาไม่ได้ศรัทธา ไม่ได้เอาไปทำต่อ แค่แต่ว่าผู้ที่ทำปริญญา ในสำนักอื่น จะอ้างอิงหลักฐาน จากดุษฎีนิพนธ์ หรือปริญญาโท ที่ทำวิทยานิพนธ์ไป เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าเขาไม่มีความศรัทธา เขาเห็นว่าสำนักนี้มันไม่ใช่
แต่แท้จริงแล้ว อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ใช่คนปลอม อาตมาเป็นคนจริง ที่นำศาสนาพุทธคืนกลับมา นำเอาแก่นแท้ของศาสนาพุทธมาปัดฝุ่น แต่ที่จริงมันจมหายไปไหนที่ไหนก็ไม่รู้ ขุดขึ้นมาก็จะแย่อยู่แล้ว มีหน้าที่ต้องรื้อฟื้นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ง่าย ทำมาจนเกือบ 50 ปีแล้ว ก็เห็นผลว่าได้ผลไม่เท่าที่ควรจะเป็น มันน้อยเหลือเกิน จึงได้พยายามที่จะอยู่ต่อไป ใช้พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เพื่อจะเติมอายุขัย อาตมาใช้จริงๆ
หลายอย่างที่ทำมา อาตมาก็ใช้ภาษาบาลี กำกับตัวสภาวะ พวกเราพอเข้าใจ ก็เอามาถาม อย่างอันนี้เรียบเรียงว่า
นกกระจอกหรือจะรู้สภาวะพญาอินทรีย์ นกกระจอกต้องพยายามศึกษาจากพญาอินทรีย์ ในชีวิตจริงของพญาอินทรีย์จะมีวิธียืดอายุของตัวเอง ถูกบ้างผิดบ้างท่านก็จะชี้แนะเราเอง พระอรหันต์ มีอุปจยะ มีสันตติ ก็คือ เป็นเรื่องของรูป ลักษณรูป 4 อันสุดท้าย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ในอุปาทายรูป 24
จาก ย คือย.ยักษ์ ถือเป็นต้นวรรคของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้เกิดได้ (นี่คนจะรู้ได้ต้องเคยฟังมาก่อนและรู้สภาวะกัน) คนฟังรู้เรื่องที่เป็นคนข้างนอกจะมีน้อย เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับอโศก จะยอมรับมหาเถรสมาคมมากกว่า ก็เลยเกิดความยาก อาตมารู้ว่าทำไมต้องมาทำงานยาก หากไม่ยากมันไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 จะมีโจทย์ที่ยากอย่างนี้แหละ อาตมาเข้าใจดี ก็ต้องทำงานศึกษาฝึกฝนตามที่ตัวเองมีโจทย์ คือโจทย์ให้ทำทั้งนั้น
บอกว่า ...มาถึง แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้ไปเกิดได้
จากเศษวรรค ก็เกิด โอปปาติกะ กะเป็นตัวท้าย แสดงเจ้าเข้าเจ้าของ จากนั้นก็สันตติ ที่อาตมาทำนี้ก็เท่ากับต่ออุปจยะ
วรรค 1 2 เป็น static แต่การเกิดของอัญญา เป็น dynamic ที่เร็วแรง รอบจัด มาวรรค 2 จ ฉ ช ฌ ย
ความเร็วของจิตเร็วไวกว่าแสง พลังงานแสงเร็วเท่าไหร่ ...อัตราเร็วแสงที่มีค่า 299,792,458 เมตร/วินาที แต่จิตมีความเร็วกว่าแสงมาก แสงเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ 1.3 วินาที แต่ใจของนีล อาร์มสตรอง เดินทางเร็วกว่า นึกไปก็ถึงทันที แต่คนที่ไม่เคยไปก็เดาเอา
พ่อครูมี ฌานวิสัยเป็นไปได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เกิดอยู่ตลอดเวลา และยังมีอัญญธาตุ เติมมาอีกเรื่อยๆ ก้าวหน้าเรื่อยๆ ความสว่างไสวก็เกิดขึ้นมากต่อมาก แม้ยามหลับพักผ่อน เทวดาก็มาพบอีก
_อยากทราบวิธีจัดสมดุลครับ
พ่อครูว่า...มันไม่มีหน่วยวัดไม่มีภาษาบอก ว่าอาตมาจะมี static dynamic อย่างไร และมี Coefficient ที่จะเพิ่มอีก ก็จัดสมดุลที่ตัวเอง ประมาณว่า เราปรุงแต่ง อภิสังขารขนาดนี้ สังขารเรารับไหวไหม ทั้ง static และ dynamic ที่เราจัดสรร Coefficient ให้เพิ่มขึ้นนี่ จะเป็นระดับคูณ ระดับยกกำลัง มันจะมากจนฐานนี้รับได้ไหม
จะเรียกว่านิวเคลียสจะรับไหวไหม ถ้ารับไม่ไหวมันจะละลาย ก็จะร้อน เราก็จะรู้ว่าอันนี้มันไม่ไหว เราก็ต้องเอาตามประมาณความรู้สึกเรา เวทนาเราวัดเอง ถ้ามันน้อยไปก็เสียเวลา จะเสียเวลาทำไม ก็ต้องปรุงให้เต็มที่ ถ้าน้อยไปเสียเวลา ถ้ามากไปมันทำลาย อธิบายได้แค่นี้ไม่มีหน่วยวัด
เวทนาจึงเป็นการอ่านพลังงานที่มีอาการ ลิงค นิมิต ตามที่รับฟังบรรยายมา
ลิงค คือความแตกต่างระหว่าง ความห่างความชิด ความมากความน้อย อาการลิงคะ แล้วจัดสรรเกิดภาพรวมเรียกว่านิมิต เป็นเครื่องหมายเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเราทำอภิสังขารเป็น ตรวจผลของการปรุงแต่ง รวมสามเส้า สรุปคือรูปกับนาม ที่เราปรุงแต่ง จิตเราเป็นประธาน เราปรุงผลที่ได้พอเหมาะพอดีไหม มากไปไม่ดี น้อยไปเสียผล น้อยไปมันไม่ควร
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเคยเขียนหนังสือ จนล้มลงไปเลย อย่างนั้นมากไป สังขารมากไป
พ่อครูว่า...มากไป ทำลายตัวเองได้ อาตมาเคยเขียนหนังสือจนเป็นลมหน้าห้องน้ำเลยเขียน EQ โลกุตระ
ต่อมา...การออกแรง ทางสรีระกาย จะมีส่วนเหลือของการบีบเค้นของเซลล์คือน้ำเหงื่อ ส่วนการออกแรงทางสมองหรือใจ เมื่อมีภาวะบีบเค้นทางอารมณ์ เสียใจมากดีใจมากมีปีติ ก็มีน้ำตาออก แสดงถึงความเชื่อมต่อของนามที่รูป
พ่อครูว่า...เราจะบอกว่าพลังงานถึงขั้นไฟ เรียกโดยภาษาอีกว่า อากาศ ลม ไฟ ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพ ให้รู้ได้ ถ้าไฟมีสองสภาวะของธาตุ สองตัวนี้จับตัวเป็นตัวที่สามคือ น้ำ H2O เมื่อทำงานร่วมกันเป็นธรรมะสองจับตัวได้ดีก็เกิดน้ำ ตั้งแต่ กลละ เป็นเชื้อก่อในมดลูก ล.15 [803] "รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
ต่อมา...หน้าที่ของน้ำน่าจะแบ่งได้อย่างนี้
1. ถ่ายเซลล์ที่เสียออกจากสรีระออกแรงมากเหงื่อก็ออกมาก
2. หล่อลื่นหล่อเลี้ยงเซลล์ รอบจัดมากปัสสาวะก็ออกมาก
3. เป็นสื่อถ่ายทอดพลังงานบ่มเพาะสร้างเซลล์ใหม่
ขอบอกคนเขียนมา คุณไปได้ไกลได้มาก ระวังจะหลงความรู้อย่าลืมตัวจริงตัวเองที่ปฏิบัติ ดูในฐานที่จริงของตัวเอง และที่เหลือของเรา อย่าไปเพลินกับความรู้พวกนี้ หลงวิปัสสนูปกิเลส จนลืมปฏิบัติให้แก่ตนเอง อย่าให้มันเสียผล
ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก (อาตมาปัสสาวะมากในกลางคืน) ส่วนเวลากลางวัน มี Action ร่างกายรองรับด้วย รวมแล้วสภาพเคลื่อนไหวและเป็นหลัก
อธิวจนสัมผัสโสจึงคือลูกข่างนอนวัน มีจุดหมุนเป็นตัวแกน และมี kinetic ที่เป็นตัวก้าวหน้า เป็น Coefficient ที่เป็นตัวแปรใหม่ ถ้าหากตัว static และ Dynamic ที่เป็นแกน มันไม่แข็งแรงมันไม่นิ่ง เหมือนลูกข่างนอนวัน มันก็จะไม่แข็งแรงไม่นิ่ง จะไม่อยู่ในจุดศูนย์กลางสมดุลกัน
คนหลงเพลิดไปกับการปรุง เป็นพลังงานใหม่ kinetic ใหม่ Coefficient ใหม่ที่มันแรงกว่าแกน static dynamic มันรับไม่ได้ก็จะเกิดการแกว่ง ก็เกิดการพัง ระบบความคิด นักปรุงแต่งจิต สายหลับตาเรียก กรรมมันแตก สายไม่หลับตาก็เรียกว่า บ้า จิตเภท
_คำถามที่ 2 การขยายอายุขัย รอบตัองจัดต้องเร็วขนาดไหน?
พ่อครูว่า...มันไม่มีตัววัด ของใครก็ของใคร จิตมันเร็วกว่าแสง ต้องได้สัดส่วนที่ดี ถ้ามากไปก็ทำลาย มีแต่อายุจะสั้นลง หรือไม่มีแรงพอก็ไม่เสริม อุปจยะ Coefficient ให้เกิด ต่อไปได้ สันตติต่อไปได้
อาตมาพูดไปนี้คนที่รับได้จะมีน้อย ยิ่งในยุคนี้มีความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธไปมากมายแล้ว มีที่ไหนสวดมนต์ข้ามปี อาตมาพูดไปเหมือนไปว่าเขา อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยวอย่างธรรมกายทำ นึกว่าเป็นประโยชน์
การท่องบทมนต์เพื่อให้จำได้ จำได้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เพราะสมัยพระพุทธเจ้าการบันทึกยังไม่มี ก็ต้องอาศัยท่องจำ
การสังคายนาคือคนหนึ่งท่องขึ้นแล้วให้คนอื่นฟังดูว่าผิดไหม หากสวดผิดก็ท้วงกัน ว่าอย่างไหนถูกกันแน่
การสวดมนต์ไม่ใช่สวดให้เกิดเป็นกุศลหรือมีฤทธิ์เดชอะไร บุญคือการลดกิเลส ส่วนกุศลคือสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลสั่งสมเป็นคุณความดี เป็นสมบัติ หากเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ดีก็คืออกุศล คุณทำกุศลอกุศลทำแล้วก็เป็นผลของคุณทันที แต่บุญชำระกิเลสเสร็จมันก็หายไปทันที
เข้าใจคำว่าบุญผิด เข้าใจคำว่ากายผิด ก็ปฏิบัติผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ คนฟังแล้วก็อาจคิดว่าพระพุทธเจ้าพูดผิด แต่ที่จริงแล้วคุณต่างหากที่เข้าใจผิด
กาย มีรูปกับนาม แต่การปฏิบัติต้องปฏิบัติที่นาม รูปเป็นสิ่งประกอบ แต่รูปก็มีฤทธิ์มีผลนะ พูดไปแล้วคนก็อาจเข้าใจได้ยาก แต่อาตมาพูดไปเป็นอิทัปจยตา คนฟังอย่างพวกคุณก็รับได้ แต่ถ้าพูดไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล คุณฟังดูก็จะรู้ได้
ศาสนาพุทธต้องรู้เหตุ จับเหตุได้ จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หากอภิสังขารได้ครบ รู้ลักษณรูป 4 ก็จัดการให้มันเกิดเท่าที่คุณกำหนดหมายได้ว่าอย่างนี้ อุปจยะ อย่างนี้สันตติ หรือ ชรตา หรืออนิจจตาได้ จะให้มันเกิดต่อหรือไม่ก็แล้วแต่
นี่คือสัจจะที่ผู้ฟังที่รับที่อาตมาสื่อได้แล้วก็เข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ แต่อาตมาไม่เก่งที่จะอธิบายไปถึงกลุ่มที่รู้ไม่ได้
ต่อมา ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก
ส่วนเวลากลางวันมี Action ทางกายรองรับ จึงมีทั้งจิตที่ตื่นรับวิถี และ dynamic ของสรีระ อธิวจนสัมผัสโสคือลูกข่างนอนวัน นอนก็พัก วันก็เคลื่อน ไม่ใช่เรื่องโมเมนะ
“การขยายอายุขัยรอบต้องจัดเท่าไหร่ครับ..”
ต้องรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิตของตน ว่ารอบมันเร็วมากจนร้อนไปไหม หรือว่าขนาดนี้กำลังได้การก้าวหน้าดี ผู้ที่ทำไม่ได้ก็จะเกินหรือขาด ขาดมันก็ไม่เร็วเท่าที่ควร แต่ถ้าได้สมดุลจะเร็วและมากที่สุด ต้องประมาณ หรม. ครน. ได้อย่างสัดส่วนดี
จากสมการ
E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 + อปุญญาภิสังขาร ) คือ coefficient
อเนญชาภิสังขารคือ c2 กับ mc เป็นหน่วยของการปรุงแต่งพลังงานทางธรรมะ
ทีนี้มาเพิ่ม C ( Coefficient ) mc คืออปุญญาภิสังขาร + A
ผู้สามารถเป็นอรหันต์แต่ละลำดับ ก็สามารถที่จะรวมแล้ว พลังงาน ฌานวิสัย เป็นการปรุงแต่งของพลังงานที่เรียกว่า ฌาน
ฌานคือพลังงานไฟ ภาษามหาภูตรูปคืออุณหธาตุ เป็นพลังงานที่แรงร้อน
ฌาน จึงแปลว่าไฟกองใหญ่ พจนานุกรมบาลีไทยก็แปลได้ บางพจนานุกรมเท่านั้น บางเจ้า ก็บอกว่า ฌานคือไฟ บางเจ้าก็บอกว่าคือไฟกองใหญ่
ไฟฌาน คือพลังงานบุญ สร้างพลังงานบุญขึ้นมา สร้างสำเร็จก็จะมีฤทธิ์อำนาจไปทำลาย ไฟราคะโทสะโมหะ เพราะไฟฌานมีฤทธิ์พลังงานพอจะไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะ
ต่อ...เมื่อ E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 +อปุญญาภิสังขาร)
ของไอน์สไตน์ มีสูตร E=mc2
แต่ของอาตมามีสูตร E=C(mc2+A) อาตมาเคยไปบรรยายที่ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาคุณคนนี้ก็อธิบายต่อ (คุณดั้นเมฆ) ...เมื่อมีอัญญธาตุ ธาตุใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนตอน อัญญาโกณทัญญะรู้ได้ตอนที่พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรก อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ
อัญญานี้เป็นความรู้ใหม่ ต่างจากเฉกา (อัญญาเป็นพหูพจน์ของอัญญะ) อัญญาไปสร้างเป็นสัญญาเป็นกัญญาจนเป็นปัญญา
ถ้าเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะเป็นเรื่องลึก ที่เป็นอุตริมนุสธรรม จำเป็นต้องพูด ปเวเทนตีติ ประกาศเอาไว้ ไม่เช่นนั้น ความรู้ของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมด คนที่เข้าใจได้รับได้ก็จะเอาไปทำต่อ ผู้ที่จะสามารถขยายความให้พิสดารกว่านี้ไปได้อีกเยอะ อาตมาพูดตัวหลักไว้ก่อนแต่ไม่มีเวลาขยาย พวกเราที่รู้ก็ขยายกันต่อ
ต่อมา...ต้องเพิ่มที่อปุญญาภิสังขาร คือ mc2+A
A คือพลังงาน ที่เป็นขั้นบวก ก็จะบวก mc2 + mc2 + mc2 จนเกิดสามเส้าแรก ต่อมาเกิดเพิ่มเป็นสามเส้าที่สอง ต้องเป็นสามเส้าที่สามจึงได้เก้า ได้สามยกกำลังสอง
จะไปเพิ่มอปุญญาภิสังขารที่เป็นพหุชนหิตายะ มีองค์ประกอบภายนอกมาเกี่ยวข้องซึ่งจัดการได้ยาก แต่เราจัดองค์ประกอบศิลป์ได้
พ่อครูว่า...อาตมาใช้ การจัดองค์ประกอบศิลป์คอมโพซิชั่น ต้องมีความรู้ในรูป 28 มหาภูตรูป อุตุนิยาม ใช้ทั้งพีชนิยาม ใช้ในการเกิด จิตนิยาม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์นี้เป็นตัวที่เป็นตัวแปรมาก ก็ต้องจัดการให้เกิดสภาพรวมตัวเรียกว่า ธรรมนิยาม กุศลธรรม หรือเป็นโลกุตรธรรม
ธรรมนิยามแบ่งได้สองคือกุศลอกุศล โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ผู้ที่ไม่สามารถแยกธรรมะเป็นสอง คือ โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ก็ไม่สามารถที่จะไปหานิพพานเป็นอาริยะที่แท้จริงได้ เช่น เดี๋ยวนี้ก็รู้แค่กุศลอกุศล อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยว เป็นต้น
แม้แต่การเอาบทมนต์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคน ต่อหน้าอนุปสัมบันก็อาบัติปาจิตตีย์
การสวดมนต์กลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าสวดแล้วจะได้สวรรค์วิมาน ได้ทุกอย่าง ที่ต้องการแม้แต่ธรรมกาย เถรสมาคมก็ทำ ไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกลายเป็นเทวนิยมหลงเมจิค เรื่องเพ้อเจ้อ ธรรมะที่เป็นสวรรค์วิมาน แต่เขาไม่คิดว่าได้นรกแต่เขาทำเหตุที่ไปนรก ยิ่งพาคนหลงทาง เป็นความเสื่อม เพราะชวนคนทำหลงทางก็เป็นบาปเป็นนรก
อาตมาก็มายับยั้งเขาก็หาว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง บอกว่าให้หยุดเถอะ การสะกดจิตสวดมนต์ เวลาเขาไปสวดมนต์ กันเป็นหมู่ เขาไม่กำหนดหมายเลยว่าติดปาก ขณะสวดไปจิตฟุ้งซ่านไปได้หมดเลย แล้วบอกว่าเป็นเรื่องสิริมงคลเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แท้จริงมันไม่ใช่ เป็นเรื่องปาจิตตีย์เป็นอาบัติหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แก้ไม่หาย จำเป็นต้องบอกความผิดความถูกสำหรับผู้มีภูมิปัญญาให้ลดให้เลิกเถอะ บางคนมีภูมิธรรมถึงก็บอกว่าเลิกเลย แม้แต่ในมหาเถรสมาคม หรือบางคนก็แม้รู้ว่าผิดแต่ตกกระไดพลอยโจน
ต่อมา...เมื่อเหตุสมบูรณ์ผลก็ตามมา ผนึกกำลังสร้างชุมชนต้นแบบให้แข็งแรงขึ้น เพื่อสะพัด กระจายเผยแพร่ให้มวลชนมาเอาเป็นแบบอย่าง เมื่อมีแรงดึงดูดมากพอทางราชการจะเห็นตามได้ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกัน อัตราการก้าวหน้าก็จะเกิด
พ่อครูว่า...I hope so!
ต่อมา...เมื่อนั้น C สัมประสิทธิ์ (อัญญธาตุ) พ่อครูก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 151 ปีจึงเป็นอันหวังได้
พ่อครูว่า...คนนี้หยั่งรู้ใจอาตมาจัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ไป
_คำถามที่สาม นี่คือการสร้างอัญญธาตุ มีแง่มุมอื่นอีกไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็แค่นี้คุณก็ตามให้ได้เถอะ ไม่ต้องไปอยากรู้มากๆกว่านี้
ต่อมา...ถึงกระนั้น จากสมการ C ฌานวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยอย่างยิ่ง นกกระจอก ก็ได้เห็นแค่เงาของพญาอินทรีย์ ไม่อาจก้าวล่วงได้มากกว่านี้(พญาอินทรีย์จึงยังเป็นพญาอินทรีย์อยู่ดังเดิม)
พ่อครูว่า...แล้วนกกระจอกจะไม่ได้มรรคผลบ้างหรือไง คุณรู้แล้วว่าอะไรคือพญาอินทรีย์ คุณก็พยายามเก็บเอา
_คำถามสุดท้าย C อาหาร(กวฬิงการาหาร) มีส่วนมากน้อยแค่ไหนครับ
พ่อครูว่า...มีส่วนมากตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทั้งหมดเลย อาหาร 4 กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
อาหาร 4 นี้สัมพันธ์กันหมด จะบอกว่า กวฬีการาหารเกี่ยวกับผัสสาหาร เกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร เกี่ยวกับวิญญาณาหาร
ถ้าคุณอ่านรูปนามไม่ได้ หรือว่านามที่เป็น มโนสัญเจตนา นามนี้จะเรียนนาม 4 ไม่ใช่เรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 มันเป็นเรื่องเรียบเรียง
แต่ที่ต้องเรียนคือรูป 28 กับนามอีก 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ ไม่ใช่ไปเรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121
ในพระไตรปิฎกว่า ก็นามรูปเป็นไฉน
รูปคือ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ
มหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 คืออุปาทายรูป 24 คือรูป นามห้า รูปอีก 28
นามและรูปดังพรรณามานี้เรียกว่า นามรูป พระไตรปิฎกข้อ 14 เล่ม 16 วิภังคสูตร
ท่านก็แจกนามต่อว่า ก็วิญญาณเป็นไฉน
วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
วิญญาณของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป แม้ว่าจะมีแสงกระทบตา แต่ว่าไม่มีจิตไปรับรู้ เช่น การนั่งเหม่อลอย นั่งตาแข็ง ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เกิดปัญญา คุณก็มีแต่สัญญา มีแต่ภพชาติในสัญญาฟุ้งของคุณ ข้างนอกตาลืม ภาพตกที่เรติน่า แต่ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้ตาม ไปหลงแต่ภายในมโนคือจิต ก็จะไม่รับรู้ข้างนอก ยิ่งหลับตาก็จะยิ่งไม่เปิดรับอะไร แม้ลืมตาแต่ตาแข็งก็ไม่รับรู้ได้
สรุปตรงนี้ว่า วิญญาณต้องเกิดจากการกระทบภายนอก และมีจิตวิญญาณภายในรับรู้ด้วย ต้องมีกาย คือธรรมะ 2 จึงจะเกิดวิญญาณ โดยเฉพาะต้องมีนามธรรม พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า กายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ
มีการกระทบทางตา จึงเกิดจักษุวิญญาณ เกิดทางหูก็เป็นโสตะวิญญาณ เกิดทางจมูกก็เป็นฆานวิญญาณ เกิดทางลิ้นก็เป็นชิวหาวิญญาณ เกิดทางสัมผัสก็เป็นโผฐัพพารมณ์
จิตไปสัมผัสจิตเองเรียกธัมมารมณ์ อย่างนี้คือวิญญาณ
แต่ภิกษุสาติเข้าใจผิด ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
สาติภิกษุไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นตัวตนบุคคลล่องลอยไปมาเหมือนพวกเทวนิยม พระพุทธเจ้าจึงว่า ใครสอนเธอ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
วิญญาณเป็นธาตุรู้ ขณะนี้ต้องมีปัจจุบันธรรม ไม่มีปัจจุบันธรรม วิญญาณไม่เกิด คุณหลับตาไม่มีจักษุวิญญาณ คุณปิดหู แก้วหูรับเสียงไม่ได้ก็ไม่มีโสตวิญญาณ จมูกไม่รับกลิ่นก็ไม่เกิดฆานวิญญาณ
วิญญาณคือธาตุรู้ เข้าใจวิญญาณ 6 ไม่ได้ ก็ไม่มีทางปฏิบัติศาสนาพุทธได้ ไม่มีทางบรรลุธรรม ไม่มีเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธินอกรีต กับ อริโยสัมมาสมาธิ
ยิ่งพวกนั่งหลับตาหมดทางเลย ปิดตาไม่พอนั่งสะกดจิตเข้าไปอย่าไปรับรู้อะไร แม้แต่ในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคุณเหลือแต่ภายนอกเป็นลมหายใจ เพียงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีอันนี้ไปอยู่ข้างในหมดเลยก็ศึกษารูปนามไม่ได้ ไม่มีธรรมะ 2 การนั่งหลับตาโดยไม่มีภายนอกเลย
อานาปานสติที่ยังเหลือแค่ลมหายใจ ก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมขณะมีลมหายใจ ถ้ามันหรี่ลงไปรับรู้แต่ลมหายใจแคบๆ เขาก็จะฝึกอย่างนั้น อย่าไปนึกคิดอะไร แล้วไปอธิบายว่าลมหายใจอ่อน เบา แรง เป็นมโนมยอัตตา ก็เล่นลมหายใจที่เป็นข้างใน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ บอกว่าลมเข้าออก ขยายได้เป็นนิมิต ไปไกลใกล้ได้ ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป
การนั่งหลับตาสะกดจิตที่ทั่วไปบอกว่าเป็นการสร้างสมาธิ ในศาสนาพุทธก็ตาม ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ มันเป็นสมาธินอกรีตของเดียรถีย์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็สอนกันว่าจะต้องเข้าป่านี่ก็ผิดแล้ว ไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ผิดอีก ซึ่งเป็นเดียรถีย์หมดเลย เป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย
พระพุทธเจ้าจะทำอย่างไร ก็เขาเข้าใจอย่างนี้ไปหมดว่าเป็นสมาธิ ท่านก็สอน สมาธิแบบนั้นท่านก็ไม่ปฏิเสธ เป็นสมาธิสะกดจิต มันก็เป็นหนึ่งได้ เป็นเอกธรรม แต่ไม่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพุทธ แต่มันเป็นเอกจิต เป็นเคหสิตอุเบกขา ฝึกฝนกันเขาก็ทำได้มากมาย มีอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นอาจารย์ใหญ่ในป่า พระพุทธเจ้าก็ไปตามหาอาจารย์ใหญ่ในป่านี้ ก็มีแค่นี้ ท่านก็ไปฝึกตาม ท่านก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเลย
นั่งหลับตาสะกดจิตจนได้อรูปฌาน 7 8 มันไม่ใช่ ผู้รู้ที่ดีแปลพระไตรปิฎกก็เรียบเรียงเอาไว้ใน พรหมชาลสูตร การนั่งหลับตาจะได้อดีต 18 กับอนาคตอีก 44 มีแค่นี้แหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 นี่คือการทำเจโตสมาธิได้แค่นี้ ก็อย่าไปทำ
สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิ เรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร พระสูตรนี้รวบรวมไว้ชัดว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะเป็นอย่างนี้มีอะไรเป็นเหตุ สอุปนิโส เป็นองค์ประกอบที่ให้เกิดสัมมาสมาธิ คือการปฏิบัติ มรรค 7 องค์
ปฏิบัติหลับตาสะกดจิตจะเกิดสัมมาสมาธิ มันไม่ใช่ อาตมามาแก้ไขนี้จนตาย ก็จะแก้ไขได้ประมาณหนึ่ง มีคนเข้าใจได้จำนวนน้อย แต่ก็จะได้สืบสานศาสนาพุทธไปถึง 5000 ปี ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถืออย่างนั้น
ถ้าจะพูดอจินไตยคือพวกนั้นเป็นเดียรถีย์มานาน มารับโพธิรักษ์ไม่ได้หรอก หาว่าอาตมามีอาจารย์ที่ไหน สำนักไหน อาตมาก็บอกว่าเป็นสยังอภิญญา เพราะว่าไม่มีสำนักที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งเถรสมาคมนั่นแหละ พูดหนักๆ แต่อย่าเพ่งโทษอาตมาเลย เอาไปไตร่ตรอง แล้วเอาคำสอนที่อาตมาสอนกับคำสอนของเถรสมาคมมาเทียบกันดีๆ แม้แต่พระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร พูดถึงทิฏฐิที่ผิดมีเท่านี้ ก็ตกในชาละคือข่ายแหที่เขาออกไม่ได้
อาตมาเอามาประกาศให้พวกคุณ พวกคุณก็ทำได้ ในพรหมชาลสูตรก็บอกไว้ ชัดเจนว่าทำแบบนั้นมันผิด ก็จะให้ทำอย่างไร ก็ทำอย่างสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างไร
มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะสันโดษอันเป็นอาริยะ ไปอ่านให้ดี สามัญญผลสูตร มีแต่การลืมตาปฏิบัติทั้งนั้นด้วยไตรสิกขา มีผัสสะเป็นปัจจัย
พระพุทธเจ้าไล่เรียงถึงการเกิดเป็นสมณะจะมีผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร พูดให้ พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ที่ท่านฟังแล้วก็ขอถือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมนูญของชีวิต พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าหากมีข้าราชบริพารของพระเจ้าอชาตศัตรูที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ท่านขาดคนนี้ไปก็จะลำบาก เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดตื่นก่อน นอนทีหลัง เป็นข้าราชบริพารที่เหมือนเป็นทหารเอก เหมือนนางสนองพระโอษฐ์ แล้วถ้าเขาเกิดความศรัทธาในธรรมะพระพุทธเจ้ามาเอาหลักธรรมนูญ ศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็นหลักของชีวิต แม้แต่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหากคนของพระองค์มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า ขอมาบวช มาเข้ารีต ท่านจะปล่อยให้มาไหม ถามพระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าต้องสนับสนุนเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วเป็นสิ่งที่เลิศยอด พระเจ้าอชาตศัตรูมีอนันตริยกรรม เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งสูงสุด พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก พระพุทธเจ้าปกครองคนในรัฐของตนเองได้ยิ่งกว่าแคว้นใดๆที่มีในแผ่นดิน พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมนูญเอากฎหมายของท่านเอาจารีตของท่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือเป็นธรรมนูญหลักของพระพุทธเจ้า จุลศีลเป็นบัญญัติที่ขัดเกลากิเลสเพื่อให้บรรลุธรรม มัชฌิมศีล ก็สูงขึ้นจากจุลศีล จุลศีล มัชฌิมศีลเอาใช้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ศีลไม่ใช่พระวินัย ไม่มีโทษ แต่มหาศีล เป็นศีลของศาสนา
แต่ทุกวันนี้เขาก็หาว่าศีลของพระภิกษุมี 227 ข้อซึ่งเป็นแค่วินัยไม่ใช่ศีล ยังดีมีพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ แค่นี้ก็เป็นเครื่องชี้บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีแล้วแม้แต่ศีลก็ไม่มี แม้แต่มาบวชเป็นภิกษุก็ได้แค่ศีล 10 เป็นศีลเณร อยู่ในจุลศีล ซึ่งที่จริงมี 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
แม้แต่สมาธิก็ไปเป็นสมาธิเดียรถีย์ เป็นสมาธิสะกดจิตหลับตาไม่มีสัมมาสมาธิ
ปัญญาไม่ต้องพูดเลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติศีลไปตามลำดับ
ศีล 5 ปฏิบัติศีลข้อ 1 จะมีปัญญารู้ว่าชีวิตคุณอยู่ในโลกสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย คุณเกิดอกุศลอย่างไร เกิดกิเลสอย่างไร ไม่เกิดกิเลสอย่างไร เกิดราคะอย่างไร เกิดโทสะอย่างไร เกิดโลภะอย่างไร โมหะมันอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติการสัมผัสกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 คือสัมผัสกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปเอามา อย่าไปทุจริตหรือถือวิสาสะเอามา
ศีลข้อที่ 3 เป็นการสัมผัสที่เกิดราคะ ก็เข้ามาสู่การพิจารณากิเลสกามคุณ 5
หนึ่งของรวมทั้งพีชะด้วย ส่วนสัตว์คือจิตนิยาม ก็เรียนรู้อันนี้เกิดจากผัสสะแล้วล้างกิเลส คุณหลับตาไม่ได้สัมผัสกับสัตว์กับของก็ปฏิบัติไม่ได้ ไม่เกิดความสุขความทุกข์ที่เป็นเวทนา ก็ไม่เรียนรู้เวทนา ที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธกรรมฐานเดียว ฐานแห่งการปฏิบัติศาสนาพุทธคือเวทนา การออกนอกรีต ไปปฏิบัติตามเดียรถีย์ ตามกสิณ 40 ของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็เป็นการสะกดจิตสมาธิ แล้วเอาอันนั้นเป็นเหตุปัจจัย เหมือนอาตมาเรียนสะกดจิต
หลับตา เอามือคุณ เพ่งที่มือ เดี๋ยวนิ้วจะกางออก ดึงไว้นะ ก็ต่อสู้กัน ให้คุณนิ่งให้ได้คุมให้นิ่ง เสร็จเลยถูกสะกดจิตสำเร็จ อาตมาเรียนสะกดจิตมา
เรื่องของ การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาเกิดมาในปางนี้เมื่อยมาก เมื่อยจนเปรยออกไป ซึ่งอาตมาก็จะยังไม่หยุดหรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ เหมือนพ่อแม่บ่นลูก
_หลวงปู่คะ งานอโศกระลึกปีนี้จะจัดที่ไหนคะ
ตอบ..บ้านราชฯ มาจัดที่นี่ไม่ได้เที่ยวกทม.
_ทีนี้ตอบอันนี้มา ของคุณหินไท ..เหตุเกิดที่วัดมหาธาตุ ตอนนั้นช่วงพ่อครูไปขึ้นศาลที่นั้นเพราะพระมาเป็นพยานเช่นท่านประยุตอื่นๆ ขณะก่อนศาลพิจารณาเมื่อคู่ความพร้อมหน้าผมเองในตอนนั้นทำหน้าที่ถ่ายรูปจึงทำการถ่ายรูปเป็นปกติทุกงานที่ผ่านมา วันนั้นทราบข่าวว่ามีกลุ่มต่อต้านพวกเรามาเชียทางเถรสมาคมเป็นกลุ่มอภิรักจักกรีของนายสมัคร มากันหลายคน ขณะกำลังถ่ายรูปไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีตามประสาช่างภาพก็มีหญิงกลางคนอ้วนนิดๆเข้ามาตบหน้าผมเลยหลังจากผมกดถ่ายรูปกลุ่มของพวกเธอไปแต่ผมไม่ได้โต้ตอบไรไม่พูดอะไรต่างคนต่างไปครับ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของผู้ที่อบรมจิตไปแล้ว อย่างศาสนาอื่นก็บอกเลยว่าเราไม่โต้ตอบ ตบหน้าก็เจ็บหน้า เราไม่ไปตอบโต้อะไร
SMS วันที่ 19 มกราคม 2561 (พ่อครู –บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไง
_8305กราบนมัสการครับ..สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไงครับ..ผมพยายามพากเพียรให้ชัดเจนอยู่ครับ..ที่ผ่านมาถ้ามีอะไรที่ผมทำผิดพลาดไปต่อพ่อครู ผมก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ เผื่อไว้ครับนิดนึงน้อยนึงก็จะไม่ให้มี.
พ่อครูว่า...สกิทาคามีมรรคคือฐานที่คุณกำลังปฏิบัติยังไม่เกิดผลสูงขึ้นไปจากโสดาปัตติผล มีตัวเหลื่อมกันอยู่เป็นมรรค
โสดาบันใช้กรอบศีล 5 พอสกิทาคามีมรรค ศีลละเอียดเป็นศีล 8 อธิศีลของศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ก็ต้องละเอียดขึ้น
พอเป็นอนาคามีขึ้นศีล 10 เหมือนสองข้อ จาก 8 9 ท่านขยายจากศีลข้อที่ 7 นัจจะคีตะวาทิตะ มาลาคันธะฯ มาเป็นอุจจาสยนะฯ มาเป็นชาตรูปรชตะ
สกิทาคามีคือผลของศีล 5 ได้ผลแล้ว บริบูรณ์ก็มีศีล 8 ที่ละเอียดขึ้นมา ได้บริบูรณ์ของศีล 5 แล้วก็เป็นศีล 8 ของสกิทาคามี จากสกิทาคามี ก็เหลื่อมเป็นศีล10 เป็นมรรคของอนาคามี จนสกิทาคามีจะช่วงยาวมาก มีสิ่งเยอะที่เราจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง
ผู้ที่สามารถปฏิบัติศีล 5 ของโสดาบันจะมีหลักสาม พ้นสักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
รู้องค์ประชุมของรูปนามกิเลสของตน ที่เป็นสักกายะ อ่านหทยรูปนี้ แยกเป็นภาวรูป แยกเป็นชีวิตินทรีย์ได้ ว่ามันมีชีวิต โดยเฉพาะแยกเป็นกิเลส
คุณจะต้องสามารถเข้าใจในสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว คุณได้มีตรรกะ มีกามวิตก มีพยาบาทผสมมาหรือไม่ แยกกามแยกพยาบาท กำจัดกามกำจัดพยาบาทให้ได้ เมื่อกำจัดได้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
จน ตาหูจมูกลิ้นกาย กามภพ คุณทำจนอยู่เหนือหมดแล้วกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสไม่เกิด กิเลสหยาบโอฬาริกอัตตาหรือมโนมยอัตตา
มโนมยอัตตาก็เป็นรูปที่เกิดในจิต ข้างนอกมันไม่มีรูปแล้ว ไม่มีรูปธรรม
พระอนาคามีขึ้นไปตัดกรอบความรู้สึกแล้วอ่านกิเลสเราให้ได้ ว่าถ้ากามนี้ไม่มีผลกับเราได้ แม้จะฝืนก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะมีความละอายไม่ละเมิดภายนอกแน่นอน อนาคามีจึงมีสภาพเหนือภายนอกได้อย่างชัดเจน
สกิทาคามีก็จะแข็งแรงพอจนเหลือภายใน ควบคุมเหนือรูปภพอรูปภพได้ก็เป็นอนาคามี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย คนที่ปฏิบัติศีลห้าได้แล้วก็จะเริ่มลดกามราคะ เข้าฐานสกิทาคามี ถ้าภายนอกไม่มีปัญหาแล้วก็เป็นอนาคามี
พ่อครูว่า...ข้างนอกไม่มีปัญหาหรอกอยู่ได้ไม่ต้องไปละเมิดเลย ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น ถือว่ากามภพเบาบาง เบาบางนี่มันยังระริกระรี้ เป็นรูปรส อรูปรส ต้องหมดรูปรส จึงเหลืออรูปรส มันมีอาการลิงคนิมิต
จับการเคลื่อนไหวของกิเลสขั้นอรูป มันก็ต้องเบาบางกว่าขั้นรูป คุณพ้นสกิทาคามี เป็นมรรคแล้วเป็นผลของอนาคามีมรรค หมดรูปภพอรูปภพจึงเป็นอรหัตตมรรค เป็นอรหัตตผลไปตามลำดับ ต้องลืมตาปฏิบัตินะ
ดับกิเลสกามภพได้หมดก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตานี่แหละแต่อยู่เหนือมัน กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย เรื่องกาม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นี่คือโลกธรรม คุณรู้ว่ากิเลสมันเกิดทั้งคู่คุณก็ล้างกิเลสนี้ ไล่ไปตามลำดับอย่างไม่ต้องหลับตาปฏิบัติเลย มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วอ่านรู้กิเลสออก หากไปหลับตาแล้วก็ปิดประตู ปฏิบัติ ถ้าหากคิดว่าจะต้องไปหยุดคิดหยุดพูด หยุดรู้สึก หนักเข้านั่งเป็นนิโรธ แข็งทื่อ เอาไฟไปจี้ก็ยังไม่รู้สึกเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางศาสนาพุทธ
_3867การเมืองไม่มีธรรม!จริยะธรรมาภิบาลที่ไหนจะดับวิกฤติกลียุคไม่ให้มิคสัญญีเกิดได้ขึ้นอีก?คงมีแต่การเมืองมีธรรมครบศีลธรรมคุณธรรมจริยะธรรมาภิบาลดับทุกวิกฤติทุกสภาวะโลกได้ใช่ไหม?กบฝันไกลเฮ้อ!
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับ อัญญาอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยปัญญารู้ตามความเป็นจริง!ยังกัญญาให้ยินดีใน ความจนพอเพียง!มีฆัญญา สิ้นมหัปปิจฉะ!รู้ทันในชัญญาทรงสัญญาเจริญกุศล ธรรมอัปปิจฉะตามรอยล้น(9)เกล้าสาธุ!กบ2แผ่นดินฯ ^o^
_Min Naing Naing · ขอให้พ่อเเสดงธรรมพระพุทธเจ้าเเบบพิเศส
_คำถามจากคุณฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า พ่อครูบอกว่าท่านนายกฯตู่มีวิธีการบริหารประเทศแบบพุทธ ซึ่งแตกต่างจากนายกฯ ในอดีต 28 คน ช่วยอธิบายขยายความประเด็นที่แตกต่างด้วยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ให้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา ลุงตู่นี้อาตมาบอกว่าการทำงานที่เข้าสู่แบบโลกุตระ คือตามศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราและแบบคนจน
การปรับเศรษฐกิจ แม้แต่นายกตู่บอกว่าจะต้องให้มั่งคั่ง มันไม่ใช่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการใส่ Concept กระบวนทัศน์ paradigm ของคน ให้ไปรวย แก้ปัญหาไม่มีทางสำเร็จ ต้องมาอธิบายบอกว่า คนไม่ต้องไปรวยไม่ต้องสะสมมากหรอก อยู่อย่างพอเหมาะพอดีเหมือนอย่างที่ในหลวงเราตรัส ต้องมีน้อยลง เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต
ต้องมาจนอย่างชาวอโศกจนเป็นแดนของคนจน
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเทศน์ถึงศีล
ยูทูป
อ่านต่อ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...
https://docs.google.com/document/d/1FNY-Qegc04M5Oo3fvcbrY2YNMkqtmEw1APmGNT5NGUk
610122_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ไตรสิกขาที่พาขยายอายุขัย
สมณะฟ้าไทว่า…วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ก็มีนักศึกษาราชภัฏจังหวัดอุบลราชธานี มาทำวิจัย คณะบริหารธุรกิจ
สื่อธรรมะพ่อครู(สัมประสิทธิ์) ตอน ต่ออายุขัยต้องใช้สมดุลสัมประสิทธิ์ระดับคูณ
พ่อครูว่า...คำถามที่คนถามมาวันนี้ ยาก ซึ่งวันนี้มีเด็กนักเรียนมาฟังด้วยก็คงจะฟังได้ยาก
อาตมาพูดไป อาตมาเจตนาจะพูดเอาไว้ อาตมาก็รู้เหมือนกันว่าพวกที่จะรับได้ มีพวกเราพอจะเข้าใจ ก็จำเป็นจะต้องพูดเอาไว้ เพราะในยุคครึ่งศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมแล้ว มันเสื่อมไปจนกระทั่งจะหมดแล้ว อาตมาเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อจะประกาศออกไป ของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่ของอาตมา เอามาตราขึ้นอีก เพื่อให้ผู้ที่ใส่ใจศึกษาเรียนรู้ว่าจะได้ศึกษาต่อ เพราะฉะนั้นผู้รู้ที่รับได้ก็จะมีจำนวนน้อย ผู้ไม่รู้มีเยอะ เมื่อไม่รู้แล้วก็ยัง..ขออภัยพูดให้ชัดๆง่ายๆ ไม่รู้แล้วยังโง่อีก โง่ยังไม่พอ ยังดูถูกดูแคลนคนอื่นอีก หาว่าเป็นเรื่องบ้าบอ ตนเองมีภูมิไม่ถึงก็พูดอย่างนี้ ก็ทำให้เขาตกต่ำ แต่อาตมาจำเป็นที่จะต้องทำ มันก็เกิดผลตามนั้น
มาเอาที่ผู้เขียนอะไรมาหลายอย่าง
วันนี้ก็มีผู้ที่ทำปริญญาเอก ดุษฎีนิพนธ์ เกี่ยวกับเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา ศึกษาเพื่อทำดุษฎีนิพนธ์เรื่อง แรงจูงใจของศาสนากับการทำเกษตรอินทรีย์ ก็มาถามได้
อโศกเรามีความรู้หรือว่าเราทำงานกับมนุษยชาติ โดยใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าอันนี้ใช่ธรรมะพระพุทธเจ้า ก็มีคนมาทำดุษฎีนิพนธ์ไม่น้อยแล้ว ปริญญาโทก็มากมาย เขาก็ทำไป เพราะอาตมาอาภัพ ทำไปแล้วเป็นของดี แต่เขาไม่ได้ศรัทธา ไม่ได้เอาไปทำต่อ แค่แต่ว่าผู้ที่ทำปริญญา ในสำนักอื่น จะอ้างอิงหลักฐาน จากดุษฎีนิพนธ์ หรือปริญญาโท ที่ทำวิทยานิพนธ์ไป เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะว่าเขาไม่มีความศรัทธา เขาเห็นว่าสำนักนี้มันไม่ใช่
แต่แท้จริงแล้ว อาตมามั่นใจว่า อาตมาไม่ใช่คนปลอม อาตมาเป็นคนจริง ที่นำศาสนาพุทธคืนกลับมา นำเอาแก่นแท้ของศาสนาพุทธมาปัดฝุ่น แต่ที่จริงมันจมหายไปไหนที่ไหนก็ไม่รู้ ขุดขึ้นมาก็จะแย่อยู่แล้ว มีหน้าที่ต้องรื้อฟื้นธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ง่าย ทำมาจนเกือบ 50 ปีแล้ว ก็เห็นผลว่าได้ผลไม่เท่าที่ควรจะเป็น มันน้อยเหลือเกิน จึงได้พยายามที่จะอยู่ต่อไป ใช้พลังงานสัมประสิทธิ์ Coefficient เพื่อจะเติมอายุขัย อาตมาใช้จริงๆ
หลายอย่างที่ทำมา อาตมาก็ใช้ภาษาบาลี กำกับตัวสภาวะ พวกเราพอเข้าใจ ก็เอามาถาม อย่างอันนี้เรียบเรียงว่า
นกกระจอกหรือจะรู้สภาวะพญาอินทรีย์ นกกระจอกต้องพยายามศึกษาจากพญาอินทรีย์ ในชีวิตจริงของพญาอินทรีย์จะมีวิธียืดอายุของตัวเอง ถูกบ้างผิดบ้างท่านก็จะชี้แนะเราเอง พระอรหันต์ มีอุปจยะ มีสันตติ ก็คือ เป็นเรื่องของรูป ลักษณรูป 4 อันสุดท้าย อุปจยะ สันตติ ชรตา อนิจจตา ในอุปาทายรูป 24
จาก ย คือย.ยักษ์ ถือเป็นต้นวรรคของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ
แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้เกิดได้ (นี่คนจะรู้ได้ต้องเคยฟังมาก่อนและรู้สภาวะกัน) คนฟังรู้เรื่องที่เป็นคนข้างนอกจะมีน้อย เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับอโศก จะยอมรับมหาเถรสมาคมมากกว่า ก็เลยเกิดความยาก อาตมารู้ว่าทำไมต้องมาทำงานยาก หากไม่ยากมันไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 7 จะมีโจทย์ที่ยากอย่างนี้แหละ อาตมาเข้าใจดี ก็ต้องทำงานศึกษาฝึกฝนตามที่ตัวเองมีโจทย์ คือโจทย์ให้ทำทั้งนั้น
บอกว่า ...มาถึง แล้วก็มาที่ห้องขังแดนหนึ่งคือ อํ อนุโลมให้ไปเกิดได้
จากเศษวรรค ก็เกิด โอปปาติกะ กะเป็นตัวท้าย แสดงเจ้าเข้าเจ้าของ จากนั้นก็สันตติ ที่อาตมาทำนี้ก็เท่ากับต่ออุปจยะ
วรรค 1 2 เป็น static แต่การเกิดของอัญญา เป็น dynamic ที่เร็วแรง รอบจัด มาวรรค 2 จ ฉ ช ฌ ย
ความเร็วของจิตเร็วไวกว่าแสง พลังงานแสงเร็วเท่าไหร่ ...อัตราเร็วแสงที่มีค่า 299,792,458 เมตร/วินาที แต่จิตมีความเร็วกว่าแสงมาก แสงเดินทางจากโลกไปถึงดวงจันทร์ 1.3 วินาที แต่ใจของนีล อาร์มสตรอง เดินทางเร็วกว่า นึกไปก็ถึงทันที แต่คนที่ไม่เคยไปก็เดาเอา
พ่อครูมี ฌานวิสัยเป็นไปได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌาน 4 เกิดอยู่ตลอดเวลา และยังมีอัญญธาตุ เติมมาอีกเรื่อยๆ ก้าวหน้าเรื่อยๆ ความสว่างไสวก็เกิดขึ้นมากต่อมาก แม้ยามหลับพักผ่อน เทวดาก็มาพบอีก
_อยากทราบวิธีจัดสมดุลครับ
พ่อครูว่า...มันไม่มีหน่วยวัดไม่มีภาษาบอก ว่าอาตมาจะมี static dynamic อย่างไร และมี Coefficient ที่จะเพิ่มอีก ก็จัดสมดุลที่ตัวเอง ประมาณว่า เราปรุงแต่ง อภิสังขารขนาดนี้ สังขารเรารับไหวไหม ทั้ง static และ dynamic ที่เราจัดสรร Coefficient ให้เพิ่มขึ้นนี่ จะเป็นระดับคูณ ระดับยกกำลัง มันจะมากจนฐานนี้รับได้ไหม
จะเรียกว่านิวเคลียสจะรับไหวไหม ถ้ารับไม่ไหวมันจะละลาย ก็จะร้อน เราก็จะรู้ว่าอันนี้มันไม่ไหว เราก็ต้องเอาตามประมาณความรู้สึกเรา เวทนาเราวัดเอง ถ้ามันน้อยไปก็เสียเวลา จะเสียเวลาทำไม ก็ต้องปรุงให้เต็มที่ ถ้าน้อยไปเสียเวลา ถ้ามากไปมันทำลาย อธิบายได้แค่นี้ไม่มีหน่วยวัด
เวทนาจึงเป็นการอ่านพลังงานที่มีอาการ ลิงค นิมิต ตามที่รับฟังบรรยายมา
ลิงค คือความแตกต่างระหว่าง ความห่างความชิด ความมากความน้อย อาการลิงคะ แล้วจัดสรรเกิดภาพรวมเรียกว่านิมิต เป็นเครื่องหมายเท่านั้นเท่านี้ เมื่อเราทำอภิสังขารเป็น ตรวจผลของการปรุงแต่ง รวมสามเส้า สรุปคือรูปกับนาม ที่เราปรุงแต่ง จิตเราเป็นประธาน เราปรุงผลที่ได้พอเหมาะพอดีไหม มากไปไม่ดี น้อยไปเสียผล น้อยไปมันไม่ควร
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูเคยเขียนหนังสือ จนล้มลงไปเลย อย่างนั้นมากไป สังขารมากไป
พ่อครูว่า...มากไป ทำลายตัวเองได้ อาตมาเคยเขียนหนังสือจนเป็นลมหน้าห้องน้ำเลยเขียน EQ โลกุตระ
ต่อมา...การออกแรง ทางสรีระกาย จะมีส่วนเหลือของการบีบเค้นของเซลล์คือน้ำเหงื่อ ส่วนการออกแรงทางสมองหรือใจ เมื่อมีภาวะบีบเค้นทางอารมณ์ เสียใจมากดีใจมากมีปีติ ก็มีน้ำตาออก แสดงถึงความเชื่อมต่อของนามที่รูป
พ่อครูว่า...เราจะบอกว่าพลังงานถึงขั้นไฟ เรียกโดยภาษาอีกว่า อากาศ ลม ไฟ ไม่มีตัวตน แต่มีสภาพ ให้รู้ได้ ถ้าไฟมีสองสภาวะของธาตุ สองตัวนี้จับตัวเป็นตัวที่สามคือ น้ำ H2O เมื่อทำงานร่วมกันเป็นธรรมะสองจับตัวได้ดีก็เกิดน้ำ ตั้งแต่ กลละ เป็นเชื้อก่อในมดลูก ล.15 [803] "รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น 5 ปุ่ม(ปัญจสาขา)
ต่อมา...หน้าที่ของน้ำน่าจะแบ่งได้อย่างนี้
1. ถ่ายเซลล์ที่เสียออกจากสรีระออกแรงมากเหงื่อก็ออกมาก
2. หล่อลื่นหล่อเลี้ยงเซลล์ รอบจัดมากปัสสาวะก็ออกมาก
3. เป็นสื่อถ่ายทอดพลังงานบ่มเพาะสร้างเซลล์ใหม่
ขอบอกคนเขียนมา คุณไปได้ไกลได้มาก ระวังจะหลงความรู้อย่าลืมตัวจริงตัวเองที่ปฏิบัติ ดูในฐานที่จริงของตัวเอง และที่เหลือของเรา อย่าไปเพลินกับความรู้พวกนี้ หลงวิปัสสนูปกิเลส จนลืมปฏิบัติให้แก่ตนเอง อย่าให้มันเสียผล
ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก (อาตมาปัสสาวะมากในกลางคืน) ส่วนเวลากลางวัน มี Action ร่างกายรองรับด้วย รวมแล้วสภาพเคลื่อนไหวและเป็นหลัก
อธิวจนสัมผัสโสจึงคือลูกข่างนอนวัน มีจุดหมุนเป็นตัวแกน และมี kinetic ที่เป็นตัวก้าวหน้า เป็น Coefficient ที่เป็นตัวแปรใหม่ ถ้าหากตัว static และ Dynamic ที่เป็นแกน มันไม่แข็งแรงมันไม่นิ่ง เหมือนลูกข่างนอนวัน มันก็จะไม่แข็งแรงไม่นิ่ง จะไม่อยู่ในจุดศูนย์กลางสมดุลกัน
คนหลงเพลิดไปกับการปรุง เป็นพลังงานใหม่ kinetic ใหม่ Coefficient ใหม่ที่มันแรงกว่าแกน static dynamic มันรับไม่ได้ก็จะเกิดการแกว่ง ก็เกิดการพัง ระบบความคิด นักปรุงแต่งจิต สายหลับตาเรียก กรรมมันแตก สายไม่หลับตาก็เรียกว่า บ้า จิตเภท
_คำถามที่ 2 การขยายอายุขัย รอบตัองจัดต้องเร็วขนาดไหน?
พ่อครูว่า...มันไม่มีตัววัด ของใครก็ของใคร จิตมันเร็วกว่าแสง ต้องได้สัดส่วนที่ดี ถ้ามากไปก็ทำลาย มีแต่อายุจะสั้นลง หรือไม่มีแรงพอก็ไม่เสริม อุปจยะ Coefficient ให้เกิด ต่อไปได้ สันตติต่อไปได้
อาตมาพูดไปนี้คนที่รับได้จะมีน้อย ยิ่งในยุคนี้มีความผิดเพี้ยนของศาสนาพุทธไปมากมายแล้ว มีที่ไหนสวดมนต์ข้ามปี อาตมาพูดไปเหมือนไปว่าเขา อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยวอย่างธรรมกายทำ นึกว่าเป็นประโยชน์
การท่องบทมนต์เพื่อให้จำได้ จำได้แล้วก็เอาไปปฏิบัติ เพราะสมัยพระพุทธเจ้าการบันทึกยังไม่มี ก็ต้องอาศัยท่องจำ
การสังคายนาคือคนหนึ่งท่องขึ้นแล้วให้คนอื่นฟังดูว่าผิดไหม หากสวดผิดก็ท้วงกัน ว่าอย่างไหนถูกกันแน่
การสวดมนต์ไม่ใช่สวดให้เกิดเป็นกุศลหรือมีฤทธิ์เดชอะไร บุญคือการลดกิเลส ส่วนกุศลคือสิ่งที่ทำแล้วเกิดผลสั่งสมเป็นคุณความดี เป็นสมบัติ หากเป็นสิ่งไม่ถูกไม่ดีก็คืออกุศล คุณทำกุศลอกุศลทำแล้วก็เป็นผลของคุณทันที แต่บุญชำระกิเลสเสร็จมันก็หายไปทันที
เข้าใจคำว่าบุญผิด เข้าใจคำว่ากายผิด ก็ปฏิบัติผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กาย คือจิต มโน วิญญาณ คนฟังแล้วก็อาจคิดว่าพระพุทธเจ้าพูดผิด แต่ที่จริงแล้วคุณต่างหากที่เข้าใจผิด
กาย มีรูปกับนาม แต่การปฏิบัติต้องปฏิบัติที่นาม รูปเป็นสิ่งประกอบ แต่รูปก็มีฤทธิ์มีผลนะ พูดไปแล้วคนก็อาจเข้าใจได้ยาก แต่อาตมาพูดไปเป็นอิทัปจยตา คนฟังอย่างพวกคุณก็รับได้ แต่ถ้าพูดไปอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผล คุณฟังดูก็จะรู้ได้
ศาสนาพุทธต้องรู้เหตุ จับเหตุได้ จะให้เกิดหรือไม่เกิดก็ได้ หากอภิสังขารได้ครบ รู้ลักษณรูป 4 ก็จัดการให้มันเกิดเท่าที่คุณกำหนดหมายได้ว่าอย่างนี้ อุปจยะ อย่างนี้สันตติ หรือ ชรตา หรืออนิจจตาได้ จะให้มันเกิดต่อหรือไม่ก็แล้วแต่
นี่คือสัจจะที่ผู้ฟังที่รับที่อาตมาสื่อได้แล้วก็เข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ แต่อาตมาไม่เก่งที่จะอธิบายไปถึงกลุ่มที่รู้ไม่ได้
ต่อมา ต่อ...ในเวลากลางคืนสรีระพัก หากมีสังขาร กลางคืนจะมีรอบการปรุงในจิตที่มากกว่ากลางวัน เพราะมีแต่มโนวิญญาณเป็น dynamic ล้วนๆ ปัสสาวะจึงออกมามาก
ส่วนเวลากลางวันมี Action ทางกายรองรับ จึงมีทั้งจิตที่ตื่นรับวิถี และ dynamic ของสรีระ อธิวจนสัมผัสโสคือลูกข่างนอนวัน นอนก็พัก วันก็เคลื่อน ไม่ใช่เรื่องโมเมนะ
“การขยายอายุขัยรอบต้องจัดเท่าไหร่ครับ..”
ต้องรู้ด้วยอาการ ลิงค นิมิตของตน ว่ารอบมันเร็วมากจนร้อนไปไหม หรือว่าขนาดนี้กำลังได้การก้าวหน้าดี ผู้ที่ทำไม่ได้ก็จะเกินหรือขาด ขาดมันก็ไม่เร็วเท่าที่ควร แต่ถ้าได้สมดุลจะเร็วและมากที่สุด ต้องประมาณ หรม. ครน. ได้อย่างสัดส่วนดี
จากสมการ
E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 + อปุญญาภิสังขาร ) คือ coefficient
อเนญชาภิสังขารคือ c2 กับ mc เป็นหน่วยของการปรุงแต่งพลังงานทางธรรมะ
ทีนี้มาเพิ่ม C ( Coefficient ) mc คืออปุญญาภิสังขาร + A
ผู้สามารถเป็นอรหันต์แต่ละลำดับ ก็สามารถที่จะรวมแล้ว พลังงาน ฌานวิสัย เป็นการปรุงแต่งของพลังงานที่เรียกว่า ฌาน
ฌานคือพลังงานไฟ ภาษามหาภูตรูปคืออุณหธาตุ เป็นพลังงานที่แรงร้อน
ฌาน จึงแปลว่าไฟกองใหญ่ พจนานุกรมบาลีไทยก็แปลได้ บางพจนานุกรมเท่านั้น บางเจ้า ก็บอกว่า ฌานคือไฟ บางเจ้าก็บอกว่าคือไฟกองใหญ่
ไฟฌาน คือพลังงานบุญ สร้างพลังงานบุญขึ้นมา สร้างสำเร็จก็จะมีฤทธิ์อำนาจไปทำลาย ไฟราคะโทสะโมหะ เพราะไฟฌานมีฤทธิ์พลังงานพอจะไปกำจัด ไฟราคะโทสะโมหะ
ต่อ...เมื่อ E(ของพระอรหันต์) = ฌานวิสัย(อเนญชาภิสังขาร2 +อปุญญาภิสังขาร)
ของไอน์สไตน์ มีสูตร E=mc2
แต่ของอาตมามีสูตร E=C(mc2+A) อาตมาเคยไปบรรยายที่ คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ต่อมาคุณคนนี้ก็อธิบายต่อ (คุณดั้นเมฆ) ...เมื่อมีอัญญธาตุ ธาตุใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เหมือนตอน อัญญาโกณทัญญะรู้ได้ตอนที่พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรก อัญญาสิ วตโพ โกญทัญโญ
อัญญานี้เป็นความรู้ใหม่ ต่างจากเฉกา (อัญญาเป็นพหูพจน์ของอัญญะ) อัญญาไปสร้างเป็นสัญญาเป็นกัญญาจนเป็นปัญญา
ถ้าเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะเป็นเรื่องลึก ที่เป็นอุตริมนุสธรรม จำเป็นต้องพูด ปเวเทนตีติ ประกาศเอาไว้ ไม่เช่นนั้น ความรู้ของพระพุทธเจ้าจะสูญหายไปหมด คนที่เข้าใจได้รับได้ก็จะเอาไปทำต่อ ผู้ที่จะสามารถขยายความให้พิสดารกว่านี้ไปได้อีกเยอะ อาตมาพูดตัวหลักไว้ก่อนแต่ไม่มีเวลาขยาย พวกเราที่รู้ก็ขยายกันต่อ
ต่อมา...ต้องเพิ่มที่อปุญญาภิสังขาร คือ mc2+A
A คือพลังงาน ที่เป็นขั้นบวก ก็จะบวก mc2 + mc2 + mc2 จนเกิดสามเส้าแรก ต่อมาเกิดเพิ่มเป็นสามเส้าที่สอง ต้องเป็นสามเส้าที่สามจึงได้เก้า ได้สามยกกำลังสอง
จะไปเพิ่มอปุญญาภิสังขารที่เป็นพหุชนหิตายะ มีองค์ประกอบภายนอกมาเกี่ยวข้องซึ่งจัดการได้ยาก แต่เราจัดองค์ประกอบศิลป์ได้
พ่อครูว่า...อาตมาใช้ การจัดองค์ประกอบศิลป์คอมโพซิชั่น ต้องมีความรู้ในรูป 28 มหาภูตรูป อุตุนิยาม ใช้ทั้งพีชนิยาม ใช้ในการเกิด จิตนิยาม ทั้งพฤติกรรมของมนุษย์ พฤติกรรมของมนุษย์นี้เป็นตัวที่เป็นตัวแปรมาก ก็ต้องจัดการให้เกิดสภาพรวมตัวเรียกว่า ธรรมนิยาม กุศลธรรม หรือเป็นโลกุตรธรรม
ธรรมนิยามแบ่งได้สองคือกุศลอกุศล โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ผู้ที่ไม่สามารถแยกธรรมะเป็นสอง คือ โลกียธรรมกับโลกุตรธรรม ก็ไม่สามารถที่จะไปหานิพพานเป็นอาริยะที่แท้จริงได้ เช่น เดี๋ยวนี้ก็รู้แค่กุศลอกุศล อย่างสวดมนต์ล้านเที่ยว เป็นต้น
แม้แต่การเอาบทมนต์ของพระพุทธเจ้ามากล่าวพร้อมกันตั้งแต่สองคน ต่อหน้าอนุปสัมบันก็อาบัติปาจิตตีย์
การสวดมนต์กลายเป็นสิ่งที่เขาคิดว่าสวดแล้วจะได้สวรรค์วิมาน ได้ทุกอย่าง ที่ต้องการแม้แต่ธรรมกาย เถรสมาคมก็ทำ ไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งกลายเป็นเทวนิยมหลงเมจิค เรื่องเพ้อเจ้อ ธรรมะที่เป็นสวรรค์วิมาน แต่เขาไม่คิดว่าได้นรกแต่เขาทำเหตุที่ไปนรก ยิ่งพาคนหลงทาง เป็นความเสื่อม เพราะชวนคนทำหลงทางก็เป็นบาปเป็นนรก
อาตมาก็มายับยั้งเขาก็หาว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง บอกว่าให้หยุดเถอะ การสะกดจิตสวดมนต์ เวลาเขาไปสวดมนต์ กันเป็นหมู่ เขาไม่กำหนดหมายเลยว่าติดปาก ขณะสวดไปจิตฟุ้งซ่านไปได้หมดเลย แล้วบอกว่าเป็นเรื่องสิริมงคลเป็นเรื่องของศาสนาพุทธ แท้จริงมันไม่ใช่ เป็นเรื่องปาจิตตีย์เป็นอาบัติหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว แก้ไม่หาย จำเป็นต้องบอกความผิดความถูกสำหรับผู้มีภูมิปัญญาให้ลดให้เลิกเถอะ บางคนมีภูมิธรรมถึงก็บอกว่าเลิกเลย แม้แต่ในมหาเถรสมาคม หรือบางคนก็แม้รู้ว่าผิดแต่ตกกระไดพลอยโจน
ต่อมา...เมื่อเหตุสมบูรณ์ผลก็ตามมา ผนึกกำลังสร้างชุมชนต้นแบบให้แข็งแรงขึ้น เพื่อสะพัด กระจายเผยแพร่ให้มวลชนมาเอาเป็นแบบอย่าง เมื่อมีแรงดึงดูดมากพอทางราชการจะเห็นตามได้ก็จะมาร่วมด้วยช่วยกัน อัตราการก้าวหน้าก็จะเกิด
พ่อครูว่า...I hope so!
ต่อมา...เมื่อนั้น C สัมประสิทธิ์ (อัญญธาตุ) พ่อครูก็จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 151 ปีจึงเป็นอันหวังได้
พ่อครูว่า...คนนี้หยั่งรู้ใจอาตมาจัง ไม่อย่างนั้นก็ไม่ไป
_คำถามที่สาม นี่คือการสร้างอัญญธาตุ มีแง่มุมอื่นอีกไหมครับ
พ่อครูว่า...ก็แค่นี้คุณก็ตามให้ได้เถอะ ไม่ต้องไปอยากรู้มากๆกว่านี้
ต่อมา...ถึงกระนั้น จากสมการ C ฌานวิสัย ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยอย่างยิ่ง นกกระจอก ก็ได้เห็นแค่เงาของพญาอินทรีย์ ไม่อาจก้าวล่วงได้มากกว่านี้(พญาอินทรีย์จึงยังเป็นพญาอินทรีย์อยู่ดังเดิม)
พ่อครูว่า...แล้วนกกระจอกจะไม่ได้มรรคผลบ้างหรือไง คุณรู้แล้วว่าอะไรคือพญาอินทรีย์ คุณก็พยายามเก็บเอา
_คำถามสุดท้าย C อาหาร(กวฬิงการาหาร) มีส่วนมากน้อยแค่ไหนครับ
พ่อครูว่า...มีส่วนมากตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทั้งหมดเลย อาหาร 4 กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร
อาหาร 4 นี้สัมพันธ์กันหมด จะบอกว่า กวฬีการาหารเกี่ยวกับผัสสาหาร เกี่ยวกับมโนสัญเจตนาหาร เกี่ยวกับวิญญาณาหาร
ถ้าคุณอ่านรูปนามไม่ได้ หรือว่านามที่เป็น มโนสัญเจตนา นามนี้จะเรียนนาม 4 ไม่ใช่เรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121 มันเป็นเรื่องเรียบเรียง
แต่ที่ต้องเรียนคือรูป 28 กับนามอีก 5 คือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ ไม่ใช่ไปเรียนนามเจตสิก 52 จิต 89 หรือ 121
ในพระไตรปิฎกว่า ก็นามรูปเป็นไฉน
รูปคือ มหาภูตรูป 4 อุปาทายรูป 24
นามคือ เวทนา สัญญา เจตนา(มโนสัญเจตนา) ผัสสะ มนสิการ
มหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 คืออุปาทายรูป 24 คือรูป นามห้า รูปอีก 28
นามและรูปดังพรรณามานี้เรียกว่า นามรูป พระไตรปิฎกข้อ 14 เล่ม 16 วิภังคสูตร
ท่านก็แจกนามต่อว่า ก็วิญญาณเป็นไฉน
วิญญาณ 6 เหล่านี้คือ [15] ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ 6 หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ
ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
วิญญาณของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากการสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ตากระทบรูป แม้ว่าจะมีแสงกระทบตา แต่ว่าไม่มีจิตไปรับรู้ เช่น การนั่งเหม่อลอย นั่งตาแข็ง ไม่รู้เรื่อง ก็ไม่เกิดปัญญา คุณก็มีแต่สัญญา มีแต่ภพชาติในสัญญาฟุ้งของคุณ ข้างนอกตาลืม ภาพตกที่เรติน่า แต่ไม่มีสัญญาไปกำหนดรู้ตาม ไปหลงแต่ภายในมโนคือจิต ก็จะไม่รับรู้ข้างนอก ยิ่งหลับตาก็จะยิ่งไม่เปิดรับอะไร แม้ลืมตาแต่ตาแข็งก็ไม่รับรู้ได้
สรุปตรงนี้ว่า วิญญาณต้องเกิดจากการกระทบภายนอก และมีจิตวิญญาณภายในรับรู้ด้วย ต้องมีกาย คือธรรมะ 2 จึงจะเกิดวิญญาณ โดยเฉพาะต้องมีนามธรรม พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า กายนี้คือ จิต มโน วิญญาณ
มีการกระทบทางตา จึงเกิดจักษุวิญญาณ เกิดทางหูก็เป็นโสตะวิญญาณ เกิดทางจมูกก็เป็นฆานวิญญาณ เกิดทางลิ้นก็เป็นชิวหาวิญญาณ เกิดทางสัมผัสก็เป็นโผฐัพพารมณ์
จิตไปสัมผัสจิตเองเรียกธัมมารมณ์ อย่างนี้คือวิญญาณ
แต่ภิกษุสาติเข้าใจผิด ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า “เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น”
ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้ ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี. (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12 ข.440)
สาติภิกษุไปเข้าใจว่าวิญญาณเป็นตัวตนบุคคลล่องลอยไปมาเหมือนพวกเทวนิยม พระพุทธเจ้าจึงว่า ใครสอนเธอ กล่าวตู่เราด้วย ขุดตนเสียด้วย จะประสพบาป มิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
วิญญาณเป็นธาตุรู้ ขณะนี้ต้องมีปัจจุบันธรรม ไม่มีปัจจุบันธรรม วิญญาณไม่เกิด คุณหลับตาไม่มีจักษุวิญญาณ คุณปิดหู แก้วหูรับเสียงไม่ได้ก็ไม่มีโสตวิญญาณ จมูกไม่รับกลิ่นก็ไม่เกิดฆานวิญญาณ
วิญญาณคือธาตุรู้ เข้าใจวิญญาณ 6 ไม่ได้ ก็ไม่มีทางปฏิบัติศาสนาพุทธได้ ไม่มีทางบรรลุธรรม ไม่มีเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สมาธินอกรีต กับ อริโยสัมมาสมาธิ
ยิ่งพวกนั่งหลับตาหมดทางเลย ปิดตาไม่พอนั่งสะกดจิตเข้าไปอย่าไปรับรู้อะไร แม้แต่ในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าคุณเหลือแต่ภายนอกเป็นลมหายใจ เพียงเท่านั้น ถ้าหากไม่มีอันนี้ไปอยู่ข้างในหมดเลยก็ศึกษารูปนามไม่ได้ ไม่มีธรรมะ 2 การนั่งหลับตาโดยไม่มีภายนอกเลย
อานาปานสติที่ยังเหลือแค่ลมหายใจ ก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมขณะมีลมหายใจ ถ้ามันหรี่ลงไปรับรู้แต่ลมหายใจแคบๆ เขาก็จะฝึกอย่างนั้น อย่าไปนึกคิดอะไร แล้วไปอธิบายว่าลมหายใจอ่อน เบา แรง เป็นมโนมยอัตตา ก็เล่นลมหายใจที่เป็นข้างใน ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแบบนี้ บอกว่าลมเข้าออก ขยายได้เป็นนิมิต ไปไกลใกล้ได้ ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไป
การนั่งหลับตาสะกดจิตที่ทั่วไปบอกว่าเป็นการสร้างสมาธิ ในศาสนาพุทธก็ตาม ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ นั่งหลับตาสะกดจิตไม่ใช่วิธีสร้างสมาธิ มันเป็นสมาธินอกรีตของเดียรถีย์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา เขาก็สอนกันว่าจะต้องเข้าป่านี่ก็ผิดแล้ว ไปนั่งหลับตาสะกดจิตก็ผิดอีก ซึ่งเป็นเดียรถีย์หมดเลย เป็นเรื่องนอกรีตหมดเลย
พระพุทธเจ้าจะทำอย่างไร ก็เขาเข้าใจอย่างนี้ไปหมดว่าเป็นสมาธิ ท่านก็สอน สมาธิแบบนั้นท่านก็ไม่ปฏิเสธ เป็นสมาธิสะกดจิต มันก็เป็นหนึ่งได้ เป็นเอกธรรม แต่ไม่เป็นเอกัคคตาจิต ไม่ใช่เป็นหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แบบพุทธ แต่มันเป็นเอกจิต เป็นเคหสิตอุเบกขา ฝึกฝนกันเขาก็ทำได้มากมาย มีอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นอาจารย์ใหญ่ในป่า พระพุทธเจ้าก็ไปตามหาอาจารย์ใหญ่ในป่านี้ ก็มีแค่นี้ ท่านก็ไปฝึกตาม ท่านก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเลย
นั่งหลับตาสะกดจิตจนได้อรูปฌาน 7 8 มันไม่ใช่ ผู้รู้ที่ดีแปลพระไตรปิฎกก็เรียบเรียงเอาไว้ใน พรหมชาลสูตร การนั่งหลับตาจะได้อดีต 18 กับอนาคตอีก 44 มีแค่นี้แหละเป็นมิจฉาทิฏฐิ 62 นี่คือการทำเจโตสมาธิได้แค่นี้ ก็อย่าไปทำ
สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิ เรียกว่า อริโยสัมมาสมาธิ ในพระไตรปิฎกเล่ม 14 มหาจัตตารีสกสูตร พระสูตรนี้รวบรวมไว้ชัดว่าสัมมาสมาธิของพระอริยะเป็นอย่างนี้มีอะไรเป็นเหตุ สอุปนิโส เป็นองค์ประกอบที่ให้เกิดสัมมาสมาธิ คือการปฏิบัติ มรรค 7 องค์
ปฏิบัติหลับตาสะกดจิตจะเกิดสัมมาสมาธิ มันไม่ใช่ อาตมามาแก้ไขนี้จนตาย ก็จะแก้ไขได้ประมาณหนึ่ง มีคนเข้าใจได้จำนวนน้อย แต่ก็จะได้สืบสานศาสนาพุทธไปถึง 5000 ปี ไม่เช่นนั้นเขาก็จะถืออย่างนั้น
ถ้าจะพูดอจินไตยคือพวกนั้นเป็นเดียรถีย์มานาน มารับโพธิรักษ์ไม่ได้หรอก หาว่าอาตมามีอาจารย์ที่ไหน สำนักไหน อาตมาก็บอกว่าเป็นสยังอภิญญา เพราะว่าไม่มีสำนักที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งเถรสมาคมนั่นแหละ พูดหนักๆ แต่อย่าเพ่งโทษอาตมาเลย เอาไปไตร่ตรอง แล้วเอาคำสอนที่อาตมาสอนกับคำสอนของเถรสมาคมมาเทียบกันดีๆ แม้แต่พระสูตรที่ 1 พรหมชาลสูตร พูดถึงทิฏฐิที่ผิดมีเท่านี้ ก็ตกในชาละคือข่ายแหที่เขาออกไม่ได้
อาตมาเอามาประกาศให้พวกคุณ พวกคุณก็ทำได้ ในพรหมชาลสูตรก็บอกไว้ ชัดเจนว่าทำแบบนั้นมันผิด ก็จะให้ทำอย่างไร ก็ทำอย่างสามัญผลสูตร ปฏิบัติอย่างไร
มีศีลอันเป็นอาริยะ สำรวมอินทรีย์อันเป็นอาริยะ มีสติสัมปชัญญะอันเป็นอาริยะสันโดษอันเป็นอาริยะ ไปอ่านให้ดี สามัญญผลสูตร มีแต่การลืมตาปฏิบัติทั้งนั้นด้วยไตรสิกขา มีผัสสะเป็นปัจจัย
พระพุทธเจ้าไล่เรียงถึงการเกิดเป็นสมณะจะมีผลแห่งการปฏิบัติอย่างไร พูดให้ พระเจ้าอชาตศัตรูฟัง ที่ท่านฟังแล้วก็ขอถือธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมนูญของชีวิต พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าหากมีข้าราชบริพารของพระเจ้าอชาตศัตรูที่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ ซึ่งเป็นผู้ที่พระองค์ท่านขาดคนนี้ไปก็จะลำบาก เป็นข้าราชบริพารใกล้ชิดตื่นก่อน นอนทีหลัง เป็นข้าราชบริพารที่เหมือนเป็นทหารเอก เหมือนนางสนองพระโอษฐ์ แล้วถ้าเขาเกิดความศรัทธาในธรรมะพระพุทธเจ้ามาเอาหลักธรรมนูญ ศีล สมาธิ ปัญญา มาเป็นหลักของชีวิต แม้แต่ในสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถ้าหากคนของพระองค์มาเข้ารีตของพระพุทธเจ้า ขอมาบวช มาเข้ารีต ท่านจะปล่อยให้มาไหม ถามพระเจ้าอชาตศัตรู
พระเจ้าอชาตศัตรูก็บอกว่าต้องสนับสนุนเลย ท่านเข้าใจว่าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วเป็นสิ่งที่เลิศยอด พระเจ้าอชาตศัตรูมีอนันตริยกรรม เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งสูงสุด พระพุทธเจ้ามีบารมีมาก พระพุทธเจ้าปกครองคนในรัฐของตนเองได้ยิ่งกว่าแคว้นใดๆที่มีในแผ่นดิน พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมนูญเอากฎหมายของท่านเอาจารีตของท่าน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่คือเป็นธรรมนูญหลักของพระพุทธเจ้า จุลศีลเป็นบัญญัติที่ขัดเกลากิเลสเพื่อให้บรรลุธรรม มัชฌิมศีล ก็สูงขึ้นจากจุลศีล จุลศีล มัชฌิมศีลเอาใช้ปฏิบัติเพื่อบรรลุธรรม ศีลไม่ใช่พระวินัย ไม่มีโทษ แต่มหาศีล เป็นศีลของศาสนา
แต่ทุกวันนี้เขาก็หาว่าศีลของพระภิกษุมี 227 ข้อซึ่งเป็นแค่วินัยไม่ใช่ศีล ยังดีมีพระไตรปิฎกได้บัญญัติไว้ แค่นี้ก็เป็นเครื่องชี้บอกว่าศาสนาพุทธไม่มีแล้วแม้แต่ศีลก็ไม่มี แม้แต่มาบวชเป็นภิกษุก็ได้แค่ศีล 10 เป็นศีลเณร อยู่ในจุลศีล ซึ่งที่จริงมี 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 มหาศีล 7
แม้แต่สมาธิก็ไปเป็นสมาธิเดียรถีย์ เป็นสมาธิสะกดจิตหลับตาไม่มีสัมมาสมาธิ
ปัญญาไม่ต้องพูดเลย เพราะปัญญาจะเกิดจากการปฏิบัติศีลไปตามลำดับ
ศีล 5 ปฏิบัติศีลข้อ 1 จะมีปัญญารู้ว่าชีวิตคุณอยู่ในโลกสัมผัสกับสัตว์ทั้งหลาย คุณเกิดอกุศลอย่างไร เกิดกิเลสอย่างไร ไม่เกิดกิเลสอย่างไร เกิดราคะอย่างไร เกิดโทสะอย่างไร เกิดโลภะอย่างไร โมหะมันอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่ได้ปฏิบัติการสัมผัสกับสัตว์
ศีลข้อที่ 2 คือสัมผัสกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเราก็อย่าไปเอามา อย่าไปทุจริตหรือถือวิสาสะเอามา
ศีลข้อที่ 3 เป็นการสัมผัสที่เกิดราคะ ก็เข้ามาสู่การพิจารณากิเลสกามคุณ 5
หนึ่งของรวมทั้งพีชะด้วย ส่วนสัตว์คือจิตนิยาม ก็เรียนรู้อันนี้เกิดจากผัสสะแล้วล้างกิเลส คุณหลับตาไม่ได้สัมผัสกับสัตว์กับของก็ปฏิบัติไม่ได้ ไม่เกิดความสุขความทุกข์ที่เป็นเวทนา ก็ไม่เรียนรู้เวทนา ที่เป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธกรรมฐานเดียว ฐานแห่งการปฏิบัติศาสนาพุทธคือเวทนา การออกนอกรีต ไปปฏิบัติตามเดียรถีย์ ตามกสิณ 40 ของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็เป็นการสะกดจิตสมาธิ แล้วเอาอันนั้นเป็นเหตุปัจจัย เหมือนอาตมาเรียนสะกดจิต
หลับตา เอามือคุณ เพ่งที่มือ เดี๋ยวนิ้วจะกางออก ดึงไว้นะ ก็ต่อสู้กัน ให้คุณนิ่งให้ได้คุมให้นิ่ง เสร็จเลยถูกสะกดจิตสำเร็จ อาตมาเรียนสะกดจิตมา
เรื่องของ การศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาเกิดมาในปางนี้เมื่อยมาก เมื่อยจนเปรยออกไป ซึ่งอาตมาก็จะยังไม่หยุดหรอก บ่นไปอย่างนั้นแหละ เหมือนพ่อแม่บ่นลูก
_หลวงปู่คะ งานอโศกระลึกปีนี้จะจัดที่ไหนคะ
ตอบ..บ้านราชฯ มาจัดที่นี่ไม่ได้เที่ยวกทม.
_ทีนี้ตอบอันนี้มา ของคุณหินไท ..เหตุเกิดที่วัดมหาธาตุ ตอนนั้นช่วงพ่อครูไปขึ้นศาลที่นั้นเพราะพระมาเป็นพยานเช่นท่านประยุตอื่นๆ ขณะก่อนศาลพิจารณาเมื่อคู่ความพร้อมหน้าผมเองในตอนนั้นทำหน้าที่ถ่ายรูปจึงทำการถ่ายรูปเป็นปกติทุกงานที่ผ่านมา วันนั้นทราบข่าวว่ามีกลุ่มต่อต้านพวกเรามาเชียทางเถรสมาคมเป็นกลุ่มอภิรักจักกรีของนายสมัคร มากันหลายคน ขณะกำลังถ่ายรูปไปมุมนั้นทีมุมนี้ทีตามประสาช่างภาพก็มีหญิงกลางคนอ้วนนิดๆเข้ามาตบหน้าผมเลยหลังจากผมกดถ่ายรูปกลุ่มของพวกเธอไปแต่ผมไม่ได้โต้ตอบไรไม่พูดอะไรต่างคนต่างไปครับ
พ่อครูว่า...เป็นเรื่องของผู้ที่อบรมจิตไปแล้ว อย่างศาสนาอื่นก็บอกเลยว่าเราไม่โต้ตอบ ตบหน้าก็เจ็บหน้า เราไม่ไปตอบโต้อะไร
SMS วันที่ 19 มกราคม 2561 (พ่อครู –บวรราชธานีอโศก)
สื่อธรรมะพ่อครู(อาริยบุคคล) ตอน สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไง
_8305กราบนมัสการครับ..สกิทาคามีมรรคกับอนาคามีมรรคต่างกันยังไงครับ..ผมพยายามพากเพียรให้ชัดเจนอยู่ครับ..ที่ผ่านมาถ้ามีอะไรที่ผมทำผิดพลาดไปต่อพ่อครู ผมก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ เผื่อไว้ครับนิดนึงน้อยนึงก็จะไม่ให้มี.
พ่อครูว่า...สกิทาคามีมรรคคือฐานที่คุณกำลังปฏิบัติยังไม่เกิดผลสูงขึ้นไปจากโสดาปัตติผล มีตัวเหลื่อมกันอยู่เป็นมรรค
โสดาบันใช้กรอบศีล 5 พอสกิทาคามีมรรค ศีลละเอียดเป็นศีล 8 อธิศีลของศีลข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 ก็ต้องละเอียดขึ้น
พอเป็นอนาคามีขึ้นศีล 10 เหมือนสองข้อ จาก 8 9 ท่านขยายจากศีลข้อที่ 7 นัจจะคีตะวาทิตะ มาลาคันธะฯ มาเป็นอุจจาสยนะฯ มาเป็นชาตรูปรชตะ
สกิทาคามีคือผลของศีล 5 ได้ผลแล้ว บริบูรณ์ก็มีศีล 8 ที่ละเอียดขึ้นมา ได้บริบูรณ์ของศีล 5 แล้วก็เป็นศีล 8 ของสกิทาคามี จากสกิทาคามี ก็เหลื่อมเป็นศีล10 เป็นมรรคของอนาคามี จนสกิทาคามีจะช่วงยาวมาก มีสิ่งเยอะที่เราจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง
ผู้ที่สามารถปฏิบัติศีล 5 ของโสดาบันจะมีหลักสาม พ้นสักกายะทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
รู้องค์ประชุมของรูปนามกิเลสของตน ที่เป็นสักกายะ อ่านหทยรูปนี้ แยกเป็นภาวรูป แยกเป็นชีวิตินทรีย์ได้ ว่ามันมีชีวิต โดยเฉพาะแยกเป็นกิเลส
คุณจะต้องสามารถเข้าใจในสังกัปปะ 7 ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว คุณได้มีตรรกะ มีกามวิตก มีพยาบาทผสมมาหรือไม่ แยกกามแยกพยาบาท กำจัดกามกำจัดพยาบาทให้ได้ เมื่อกำจัดได้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า
จน ตาหูจมูกลิ้นกาย กามภพ คุณทำจนอยู่เหนือหมดแล้วกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสไม่เกิด กิเลสหยาบโอฬาริกอัตตาหรือมโนมยอัตตา
มโนมยอัตตาก็เป็นรูปที่เกิดในจิต ข้างนอกมันไม่มีรูปแล้ว ไม่มีรูปธรรม
พระอนาคามีขึ้นไปตัดกรอบความรู้สึกแล้วอ่านกิเลสเราให้ได้ ว่าถ้ากามนี้ไม่มีผลกับเราได้ แม้จะฝืนก็ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะมีความละอายไม่ละเมิดภายนอกแน่นอน อนาคามีจึงมีสภาพเหนือภายนอกได้อย่างชัดเจน
สกิทาคามีก็จะแข็งแรงพอจนเหลือภายใน ควบคุมเหนือรูปภพอรูปภพได้ก็เป็นอนาคามี (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูอธิบาย คนที่ปฏิบัติศีลห้าได้แล้วก็จะเริ่มลดกามราคะ เข้าฐานสกิทาคามี ถ้าภายนอกไม่มีปัญหาแล้วก็เป็นอนาคามี
พ่อครูว่า...ข้างนอกไม่มีปัญหาหรอกอยู่ได้ไม่ต้องไปละเมิดเลย ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น ถือว่ากามภพเบาบาง เบาบางนี่มันยังระริกระรี้ เป็นรูปรส อรูปรส ต้องหมดรูปรส จึงเหลืออรูปรส มันมีอาการลิงคนิมิต
จับการเคลื่อนไหวของกิเลสขั้นอรูป มันก็ต้องเบาบางกว่าขั้นรูป คุณพ้นสกิทาคามี เป็นมรรคแล้วเป็นผลของอนาคามีมรรค หมดรูปภพอรูปภพจึงเป็นอรหัตตมรรค เป็นอรหัตตผลไปตามลำดับ ต้องลืมตาปฏิบัตินะ
ดับกิเลสกามภพได้หมดก็ไม่ได้หลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตานี่แหละแต่อยู่เหนือมัน กระทบทางตาหูจมูกลิ้นกาย เรื่องกาม ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข นี่คือโลกธรรม คุณรู้ว่ากิเลสมันเกิดทั้งคู่คุณก็ล้างกิเลสนี้ ไล่ไปตามลำดับอย่างไม่ต้องหลับตาปฏิบัติเลย มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วอ่านรู้กิเลสออก หากไปหลับตาแล้วก็ปิดประตู ปฏิบัติ ถ้าหากคิดว่าจะต้องไปหยุดคิดหยุดพูด หยุดรู้สึก หนักเข้านั่งเป็นนิโรธ แข็งทื่อ เอาไฟไปจี้ก็ยังไม่รู้สึกเป็นเรื่องนอกรีตเป็นเดียรถีย์ออกนอกทางศาสนาพุทธ
_3867การเมืองไม่มีธรรม!จริยะธรรมาภิบาลที่ไหนจะดับวิกฤติกลียุคไม่ให้มิคสัญญีเกิดได้ขึ้นอีก?คงมีแต่การเมืองมีธรรมครบศีลธรรมคุณธรรมจริยะธรรมาภิบาลดับทุกวิกฤติทุกสภาวะโลกได้ใช่ไหม?กบฝันไกลเฮ้อ!
_3867กราบอนุโมทนาธ.พ่อครูกับ อัญญาอยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยปัญญารู้ตามความเป็นจริง!ยังกัญญาให้ยินดีใน ความจนพอเพียง!มีฆัญญา สิ้นมหัปปิจฉะ!รู้ทันในชัญญาทรงสัญญาเจริญกุศล ธรรมอัปปิจฉะตามรอยล้น(9)เกล้าสาธุ!กบ2แผ่นดินฯ ^o^
_Min Naing Naing · ขอให้พ่อเเสดงธรรมพระพุทธเจ้าเเบบพิเศส
_คำถามจากคุณฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า พ่อครูบอกว่าท่านนายกฯตู่มีวิธีการบริหารประเทศแบบพุทธ ซึ่งแตกต่างจากนายกฯ ในอดีต 28 คน ช่วยอธิบายขยายความประเด็นที่แตกต่างด้วยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า...ให้เดินตามรอยศาสตร์พระราชา ลุงตู่นี้อาตมาบอกว่าการทำงานที่เข้าสู่แบบโลกุตระ คือตามศาสตร์พระราชา ขาดทุนของเราคือกำไรของเราและแบบคนจน
การปรับเศรษฐกิจ แม้แต่นายกตู่บอกว่าจะต้องให้มั่งคั่ง มันไม่ใช่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยการใส่ Concept กระบวนทัศน์ paradigm ของคน ให้ไปรวย แก้ปัญหาไม่มีทางสำเร็จ ต้องมาอธิบายบอกว่า คนไม่ต้องไปรวยไม่ต้องสะสมมากหรอก อยู่อย่างพอเหมาะพอดีเหมือนอย่างที่ในหลวงเราตรัส ต้องมีน้อยลง เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมใดวินัยใดเป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต
ต้องมาจนอย่างชาวอโศกจนเป็นแดนของคนจน
สมณะฟ้าไทว่า..พ่อครูเทศน์ถึงศีล
ยูทูป
อ่านต่อ หรือดาวน์โหลดเอกสารที่...
https://docs.google.com/document/d/1FNY-Qegc04M5Oo3fvcbrY2YNMkqtmEw1APmGNT5NGUk
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:16:56 )
รายละเอียด
610124_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ การสวดมนต์มีกี่แบบ
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีมูลนิธิ Earth Safe มูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำมาช่วยบรรยายให้เกษตรกรฟัง ถึงมาตรฐานการเกษตรไร้สารพิษของคนไทย ซึ่งเป็นที่น่าเศร้า ว่าคนไทยไม่เชื่อถือกันเอง เหมือนกับศึกษานิเทศก์ เขามาดูการศึกษาของเราบอกว่า ทำไมเราต้องเอาการศึกษาตามต่างประเทศด้วย เราทำอย่างไรให้เด็กมีสุขภาพจิตดี แต่ทุกวันนี้เด็กสุขภาพจิตเสีย ครูก็เป็นผู้ที่สุขภาพจิตย่ำแย่ มีข่าวคราวไม่ดีเกี่ยวกับครู คนไทยเราควรยกย่องสิ่งที่ดีที่เราทำได้เอง
เขาบอกว่า มะระขี้นก หากเอาไปไว้ในห้างไม่มีคนหยิบ แต่พอบอกว่าเบิร์ดธงไชย แมคอินไตย์กินแล้วทำให้แก่ช้า คนก็มาแห่ซื้อกันหมดเลย
คนไทยมักไม่นิยมคนไทยด้วยกันเอง อย่างนายกฯที่ทำงานอยู่ตอนนี้ คนก็จะเอาให้ได้ดีอย่างที่ตนเองคิดไว้ ให้ดีแบบบริสุทธิ์เลย ซึ่งมันหาไม่ได้หรอก มันต้องมีการพัฒนาไปตามลำดับ ไม่อย่างนั้นจะมี อาริยบุคคล 8 ทำไม ก็ต้องมีลำดับให้เดิน เขาก็ทำ มีการพัฒนาการเพิ่มขึ้น เราก็นิยมของไทยนี่แหละ อาตมามั่นใจว่าประเทศไทยเรากำลังเจริญ การปกครอง แม้แต่การเกษตรไร้สารพิษก็มีคนส่งเสริมขนาดนี้ แม้แต่การศึกษาก็เจริญ การศาสนาก็จะเจริญ มีอาริยบุคคลเกิดได้ แต่ก่อนไม่มีใครมาบอก แต่ตอนนี้มีคนมาบอกเราแล้ว ว่าเจริญจนเป็นอาริยบุคคลได้ จนเป็นพระอรหันต์ อยู่กันเป็นกลุ่มชนอาริยะได้
มันน่าจะมาพิสูจน์และศึกษา หากเอาอย่างได้ ฆราวาสมีคุณธรรมอยู่มากขึ้นแค่ 10 % ประเทศไทยสว่างไสวเจริญรุ่งเรือง พ่อครูคงไม่ต้องเหนื่อยพูดแม้แค่เรื่องสวดมนต์ การทำสมาธิลืมตา
พ่อครูว่า...ก็ต่อที่ทิ้งประเด็นไว้ว่า ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิมาสอนมาบอก แต่ก็ยังรู้กันไม่ได้ มีผู้พาไปทำทิศทางที่ถูก แต่สังคมมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เจริญขึ้นก็เสื่อมได้ แม้คนไทยชาวพุทธ คนไทยก็เสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้าได้ตามอายุกาลเวลา คนที่อวิชชา ได้สร้างทำโน้มนำ ทำให้ผิดออกไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าอย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
อาตมาเองอาตมา มั่นใจว่าอาตมามากอบกู้ศาสนา เอาสัมมาทิฏฐิมาเปิดเผย นำพาทำมาจนกว่าจะตาย จะพยายามที่สุดเลยที่จะทำงานศาสนา ให้ถึงอายุ 100 ปี อาตมาบวชตั้งแต่อายุ 36 ปี ทำงานมา 44 ปีแล้ว ต้องทำไปจนถึงอายุ 136 ก็จะทำงานได้ 100 ปี บวชได้ 100 ปี
อาตมาเป็นโพธิสัตว์มากอบกู้ศาสนาจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นไม่ได้อวดดี ไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน ขอยืนยันว่าเป็นความแท้จริง แม้จะอ้างอิงในพระไตรปิฎก มหาจัตตารีสกสูตรว่า ผู้ที่เข้าใจสัมมาทิฏฐิ 10 ตั้งแต่ ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง กัมมานัง อยังโลโก ปโรโลโก มาตา ปิตา สัตตาโอปปาติกา และข้อที่ 10 อาตมาขอยืนยันว่าอาตมาเป็นผู้นั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
เป็นผู้ที่มีความรู้ของตัวเองมาแล้ว ความรู้ของอาตมาเป็นความรู้ที่มีมาตั้งแต่ปางก่อน มาในชาตินี้อาตมาไม่ได้ศึกษาธรรมะกับครูบาอาจารย์คนไหนเลย ไม่ได้ศึกษาจากสำนักไหนอาจารย์ไหนเลย
สมณะฟ้าไทว่า...เคยได้เรียนมาว่า ผู้ที่จะตรัสรู้เองมีแต่พระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า...ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าแต่ว่ามีสยังอภิญญา คือ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
เป็นสมณะพราหมณ์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมาก็เป็นสมณพราหมณ์ จนทุกวันนี้ลงร่องลงช่องหมดแล้ว เราก็เคยจะเป็นพระแต่เขาไม่ยอม ให้เราเป็นสมณพราหมณา ซึ่งมันก็ถูกต้องเลย เราพยายามให้เรียกเราว่าพระ เขาก็ว่าไม่ได้ ต้องให้เป็นสมณพราหมณ์ เราก็เลยได้จริง เป็นเรื่องจริงที่ลงตัวที่สุดที่เราจะต้องเป็น ไม่เป็นเขาก็ยัดเยียดให้เป็น ยกตัวอย่างสำคัญ เช่น เรายืนยันว่าสิ่งนี้ถูก เขาก็ยืนยันว่าเราผิด เพราะเขารู้จักถูกไม่ได้ เขารู้แต่ผิดเป็นถูก เขาไปยึดผิดเป็นถูกไปหมดแล้ว พอมาเจอถูก เขาก็รู้ไม่ได้ก็เลยว่าเราผิด เราก็เป็นอย่างเขาว่าไม่ได้ ยืนยันว่าเราถูกเพราะเราไม่ใช่ผู้ผิด ก็คงต้องพิสูจน์กันไปจนกว่า พระที่อายุยาวที่เคยต่อต้านอาตมาตั้งแต่บัดนั้นจนถึงวันนี้ก็คงจะตายไปหมดแล้ว เหลือแต่รุ่นหลังไม่รู้ว่าอาตมาถูกค้านแย้งจากพระองค์ก่อนๆ เรื่องมันเลือนไป เกิดตั้งแต่พศ.2532
อาตมาประกาศออกมาตั้งแต่ 2518 แต่เขาไม่ยอมรับนานาสังวาส คือศีลไม่เสมอกัน คำสอนคำอธิบายคนละอย่างกัน กรรมการประพฤติคนละอย่าง อันนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญของนานาสังวาส ของเราถือศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และพระวินัย แต่เขาไม่เอาจุลศีลมัชฌิมศีล มหาศีล เลย ซึ่งเป็นศีลธรรมนูญของพระพุทธเจ้า จึงเป็นความจริงที่ศาสนาพุทธกระแสหลักไม่มีศีลแล้ว มีแต่วินัย บอกว่ามีศีลเท่าไหร่เขาก็จะบอกว่าศีล 227 ยังเข้าใจสาระความแตกต่างระหว่างศีลกับวินัยไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราจะทำให้ตนเองมีอายุขัย ไปเกินกว่ากัปป์ก็ได้ เป็นจริงที่คนสามารถปรับพลังงานทั้งจิตและกาย ที่สามารถปรุงแต่ง อภิสังขาร พลังงานนี้ให้เป็นสัมประสิทธิ์ มีอัตราการก้าวหน้าตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่าอานนท์เราจะยังขันธ์ทำให้อายุขัยเราถึง100 ปีได้ เกินกว่า 100 ปีก็ได้ เกินกว่ากัปป์ ซึ่งก็มีพุทธสาวกหลายรูปอายุเกินกว่าร้อยปี
อาตมาก็จะอ่าน sms
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ธาตุรู้อัญญาคือวิปัสสนาญาณตัวเต็ม
_จากประดู่ เรียนถามพ่อครูว่า
1.อัญญะ คือธาตุรู้ที่เริ่มรู้ปรมัตถ์ของพุทธ ซึ่งตรงกับวิชชา 9 ข้อแรกคือ วิปัสสนาญาณ ส่วนอัญญา คือ ธาตุรู้ที่สามารถกำจัดกิเลสได้หรือที่เรียกว่า มโนมยิทธิญาณ ถูกต้องหรือไม่ ?
พ่อครูว่า...ถูกต้อง แยกได้ อัญญะเป็นธาตุรู้โลกุตระตัวแรก จะบอกว่าเป็นลักษณะของญาณ คือความรู้ที่เรียกชื่อต้นว่าวิปัสสนาญาณได้ไหม ส่วนอัญญาเอามาใช้งานแล้วเกิดผลเป็นมโนมยิทธิญาณก็ได้ ถูกต้อง
อัญญะหรืออัญญา คำว่าอัญญา ภาษาอีสาน ต้องออกเสียงขึ้นจมูก หมายถึง เป็นคำยกย่อง ผู้ที่ยกว่าสูง สูงในที่นี้หมายถึงผู้สูงในทางภูมิปัญญา หรือบางทีเป็นผู้สูงวัย เป็นผู้ที่มีผลงานช่วยสังคมมา ยกย่องเป็นผู้รู้ เรียก อัญญา เป็นผู้ใหญ่ผู้ที่ควรเคารพยกย่อง
โดยความจริงคือ ธาตุแท้ของความรู้ อัญญา เพราะฉะนั้น มันก็ยืนยันได้ว่าภาษาอีสานเข้าใจเนื้อหาศาสนาพุทธจากพยัญชนะคำว่าอัญญานี้ได้ ซาบซึ้งและเอาไปใช้กับบุคคลได้ คนสมัยเก่าจะได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ถูกเรียกว่าอัญญา คนที่ได้รับตำแหน่งอัญญาคนที่ได้รับการเคารพสูง แม้แต่คนหนุ่มสาว หากมีความรู้ของพุทธศาสนาถึงโลกุตระก็เรียกอัญญา แต่เขาไม่กล้าใช้กัน เพราะไม่รู้ว่าใช่ไหม ก็เลยเอาคนที่อายุมากทำงานสายธรรมะ ก็กลายเป็นว่า ความเป็นคนอายุมากแล้วเป็นคนอยู่ในศีลในธรรมก็เรียกอัญญา แต่ถ้าคนเกเร แก่เพราะกินข้าวเฒ่าเพราะอยู่นาน ไม่เป็นผู้ที่เคารพนับถือก็ไม่เรียก อัญญา
เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอีสานรู้จักคำว่า อัญญา ส่วนภาคอื่นไม่เห็นคนเรียกกัน ที่จะยกย่องเป็นฉายานามเลย
อาตมาแยกวิชชาโดยตัวต้น เป็น อัญญะ ข้อที่ 1 ใหม่ วิปัสสนาญาณ ส่วนมโนมยิทธิเป็นผลก็ได้ เข้าใจได้ถูก สภาวะใช่ อัญญาแปลว่าความรู้ อัญญะนี่แปลว่าอื่น
มโนมยิทธิคือฤทธิ์ทางใจที่สามารถกำจัดกิเลสได้สำเร็จ คือผลของศาสนาพุทธคือประสิทธิภาพของ อัญญา ปัญญา ไม่ใช่ความสำเร็จของจิตคือทำให้จิตมีฤทธิ์ เหาะเหินเดินน้ำดำดิน เป็นไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่ แต่เป็นความรู้ที่กำจัดกิเลสได้
ไม่ใช่เก่งทางเดรัจฉานวิชาไสยศาสตร์เทวนิยม มันไม่ได้เข้าแนวความรู้ที่สามารถกำจัดกิเลสได้เลย
เมื่อผู้สามารถบรรลุญาณที่เรียกอัญญาได้ มีวิปัสสนาญาณแล้วมาเป็นมโนมยิทธิ แล้วมาเป็นทิพยโสต มาเป็นเจโตปริยญาณ ห้าอย่างนี้ แล้วห้าอย่างนี้เรียกว่าญาณแท้ๆ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว เป็นญาณความรู้ที่กำจัดกิเลสได้
วิปัสสนาญาณนี้แยกเป็นอัญญาเป็นความรู้ตัวต้น แยกวิปัสสนาญาณเป็นตัวเริ่มต้น วิปัสสนาญาณตัวเต็มคืออัญญา แล้วเอามาปฏิบัติธรรมให้จิตละกิเลสได้เรียกว่ามีฤทธิ์ในทางจิต เรียกว่ามีผลสำเร็จทางจิต มโนมยิทธิ ผลสำเร็จคือ มีฤทธิ์แรงความเก่งทำให้กิเลสลดได้ มีความรู้ที่ทำให้กิเลสลดได้
แล้วก็มีวิธีที่ทำให้กิเลสลดได้มากขึ้น อิทธิวิธญาณ วิธะ แปลว่ามากมายหลากหลายวิธี ทำให้กิเลสลดได้หลากหลายวิธีมากขึ้น คือบรรลุอิทธิวิธีหลายประการ
ตั้งแต่เริ่มต้น ยกตัวอย่างเป็น เอโกปิ หุตฺวา พหุธา โหติ, พหุธาปิ หุตฺวา เอโก โหติ
ภาษาอังกฤษก็คือ One For all All for one ก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้หากเข้าใจเป็นตัวตนบุคคลเราเขา ก็เลยแปลว่า คนๆเดียวเนรมิตตัวเป็นหลายคน หรือคนหลายคนจับมาเนรมิตเป็นคนเดียว เนรมิตตัวเองนั่งเต็มห้องได้
อาตมาว่าอาตมารู้มาเองแต่ปางก่อนเขาก็ว่าอวดดีรู้เองได้ไง เขาฟังสยังอภิญญาไม่รู้ รู้มาแต่ปางก่อนแล้วประกาศโลกนี้โลกหน้าให้รู้ตัวตนอัตตา
ใน สัมมาทิฎฐิ 10 ข้อ ผู้ที่ไม่รับรองอาตมาคือผู้ไม่มีข้อที่ 10 นี้
แม้แต่ทานอย่างไรจะได้อานิสงส์ของพุทธ แต่ทุกวันนี้ทานไม่มีอานิสงส์ทำแต่มีภพชาติ เป็นเทวดา จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ซึ่งศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์นรก ศาสนาพุทธ ให้ล้างสวรรค์นรก อาจจะมีผู้มีภูมิธรรมที่บอกได้ แต่ยังไม่เคยเห็นคนไทยที่พูดไว้ว่า ศาสนาพุทธไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก หากมีสวรรค์มีนรกอยู่ก็ยังไม่เป็นพุทธ เป็นภพเป็นชาติ สวรรค์ก็เป็นภพ นรกก็เป็นภพ ผู้ไม่มีภพหมดนรกสวรรค์เพื่อบรรลุธรรมของศาสนาพุทธ
อาตมาต้องพูดเนื้อแท้เพราะอาตมามีอย่างนี้ ถึงพูดอย่างนี้ ยถาวาทีตถาการี ตถาการียถาวาที ทุกวันนี้ก็คงจะค่อยยังชั่ว คนที่ยึดมั่นถือมั่นว่า โพธิรักษ์เป็นคนบ้านอกรีต จะมาทำลายศาสนา ที่แท้เป็นผู้ที่จะมากอบกู้ศาสนาหรือ ก็มีคนพอเข้าใจคลายใจจากความยึดมั่นถือมั่นได้แล้ว จนทุกวันนี้อาตมาก็ไม่รู้ มีคำที่พระผู้ใหญ่ นักรู้ในสังคมประเทศ ท่านยังมีชีวิตอยู่ มีคนไปถามท่าน ผู้ที่ทำปริญญาเอกถามท่านว่า พระโพธิรักษ์เป็นอย่างไร แล้วท่านก็พูดว่า เออเรื่องนี้อาตมาพลาดไป อาตมาซาบซึ้งใจ อาตมาตีขลุมเองว่า อาตมาไม่ได้ผิดเหมือนที่ท่านลงโทษอาตมา ท่านเป็นหัวเรือใหญ่ในการถล่มทลายอาตมาเลย
สื่อธรรมะพ่อครู(โพธิปักขิยธรรม 37) ตอน เวทนาเป็นกรรมฐานของนักปฏิบัติธรรม
2.ที่พ่อครูบอกว่า Keyword ของศาสนาพุทธคือ อุเบกขากับเนกขัมมะนั้น เข้าใจว่า เมื่อเริ่มต้นปฏิบัติได้ผลและได้ผลไปเรื่อยๆ เรียกว่า “เนกขัมมะ” จนกระทั่งได้ผลสมบูรณ์ในเรื่องนั้นๆ จึงเรียกว่า “อุเบกขา” ถูกต้องหรือไม่ ?
พ่อครูว่า….ถูกต้องเข้าใจดีมากเลย เคหสิตะก็มี 18 เนกขัมมะก็มี 18 ต้องอ่านพฤติของจิตให้ดี 18 นี้มาจาก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ 6 ทวาร เมื่อสัมผัสก็จะเกิดอาการ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สามนัยนี้ เป็น 18 เวทนา นี่แหละคือคีย์เวิร์ด หรือว่าตัวบ่งชี้ความรู้ในศาสนาพุทธ เรียกว่าเวทนาเป็นกรรมฐานของนักปฏิบัติธรรม แต่เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจแล้ว เข้าใจกรรมฐานเป็นกรรมฐาน 40 ไปยึดเป็นที่พึ่ง แล้วทำจิตจดจ่อกับสิ่งนั้น ได้แต่สมถะจดจ่อเท่านั้น เขาถือว่าเป็นอย่างนี้เป็นของแท้ แม้ในตำราวิสุทธิมรรคของท่านพุทธโฆษาจารย์ก็เป็นเช่นนี้ หลงกสิณสมถะแบบนี้ ซึ่งพุทธไม่ใช่เลย ไม่ต้องไปสะกดจิตอย่างนั้น
เรียนรู้ตามลำดับตั้งแต่ศีล 5 แล้วปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิ จิตเป็นอธิจิต ปัญญาก็ต้องรู้ว่าเราสัมผัสกับสัตว์ก็ไม่เกิดอกุศล หรือมีอกุศลจิตเป็นกาม พยาบาทก็ต้องจัดการ สัมผัสกับข้าวของ อทินนาทาน จิตเราเกิดโลภหรือโทสะไหม ก็ต้องทำให้เป็นเนกขัมมะ
หากเข้าใจความแตกต่างระหว่างเนกขัมมะกับเคหสิตะ ถ้าจิตโน้มไปโลกีย์ก็เป็นเคหสิตะ ส่วนหากจิตโน้มไปทางอธิมุติ อธิโมกข์ ก็เป็นเนกขัมมะ แต่หากไม่เข้าใจที่ตั้งของจิต ที่โน้มไปทิศทางใด ผู้ใดสามารถพิจารณากรรมฐานคือเวทนาให้ครบ 108 ได้ คือ 18 +18 เป็น 36 รู้พฤติกรรมจิตคือวิจาร แล้วเริ่มต้นเรียกตั้งแต่ตักกะ เริ่มดำริแล้วมาต่อเป็นวิตักกะ เป็นสังกัปปะ มันมีกามหรือพยาบาท หรือวิหิงสามาร่วมหรือไม่ วิหิงสาเป็นขั้นปลาย แต่ตอนแรกจับกามพยาบาทก่อน แล้วก็จัดการในกามภพ เหลือรูปภพอรูปภพต่อก็จัดการต่อ จนหมดก็สมบูรณ์
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดมนต์มีกี่แบบ
ผู้ใดที่เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วไม่รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศคือสิ่งที่ยกขึ้นมาแสดงอธิบายให้ฟัง อย่างเช่นที่อาตมาพูดนี้ การขยายความให้ฟังท่านเรียกสังสาธยาย
สังสาธยายนี่ก็คือ อธิบายให้สำเร็จประโยชน์นั้นๆ หรือที่เรียกภาษาทับศัพท์ว่า สวด อาตมากำลังสวดแต่ต้องสวดคนเดียว ธรรมะพระพุทธเจ้านำสวดพร้อมกัน 2 คนในที่สาธารณะให้ใครต่อใครฟัง อนุปสัมบัน ให้สาธารณชนได้ยินเป็นอาบัติปาจิตตีย์ สวดพร้อมกันในที่สาธารณะเผยแพร่ไปก็อาบัติทุกคำสวด
พระภิกษุเอาธรรมบท คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไปสวดพร้อมกัน ตั้งแต่ 2 คนต่อหน้าประชาชน เป็นการสวดท่องบ่นติดปาก จะเป็นธรรมบท เช่น กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา เป็นอภิธรรม ไปสวดที่ไหนก็เป็นอาบัติทุกคำ ขออภัยที่พูดความจริง เลิกเสียทีเถอะ
พระพุทธเจ้าตั้งระเบียบตั้งวินัยไว้เพราะศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาท่องบ่นเหมือนเดียรถีย์ ให้เลิกเสีย ถ้าจะสวดก็เป็นการสาธยาย ให้เข้าใจชัดเจนในเรื่องนั้นเรื่องนั้น อย่าเอามาสวดพร้อมกัน ท่านได้ตั้งระเบียบเอาไว้ หากไปสวดพร้อมกันมันจะกลายเป็นไสยศาสตร์ หรือกลายเป็นสวดให้เก่ง อวดอ้างกัน ให้ยิ่งใหญ่ เป็นเรื่อง Magical ให้ได้ตามที่ปรารถนา ขอยืนยันว่าไม่มี
อาตมาก็ขอใช้โอกาสนี้อธิบายความรู้
สวดนี่ ถ้าสวดอันหนึ่งเรียกว่าสวด สรภัญญะ
ภัญญะคือลักษณะ ความเป็น ออกเสียงมา ความเป็นแห่งการกล่าวย่อมออกเสียง การสวดสรภัญญะ ก็ต้องใช้เสียงสระอันพอเหมาะ คือ สระมันมีเสียง อะ อา อิ อี อุ อู โอะ โอ ให้เสียงอันพอเหมาะ ไม่ใช่ลากเสียงยาว สระ เช่น อาก็ต้องอา แต่นี่ อาาาาาาาาาาา ไปถึงไหนกัน
สระ อิ ก็อ่าน อิ สระอีก็อ่าน อี อุก็อุ อูก็พอสมควร มันไม่ดังไม่มากไม่ยาวเยิ่นเย้อหรอก เอ โอ ก็ยาวหน่อย ไปสวดเสียงสระอันพอเหมาะ ต้องเข้าใจ แต่ถ้าไปลากเสียงอันยาวท่านปรับอาบัติเลย ทุกกฏ
ทุกวันนี้ นามัวตัสสะะะะ เป็นอาบัติทุกคำ นั่นคือสวดสรภัญญะ
ต่อมาสวดสังคหะ คือการสวดอย่างย่อ การช่วยเหลือ การได้ สังคหะคืออันย่อเข้าแล้ว แต่เขาก็สวดกันยาวๆ ยานคางไป เป็นความผิดเพี้ยนไปไกลจากศาสนาพุทธ
สวดสังคหะคือการเติมให้ช่วยเหลือ ทำให้พอเหมาะพอดี เป็นการได้ซึ่งท่านก็แปลตามบาลี หมายความว่าอันนั้นแหละ อันใด คำว่า นะโม เป็นต้น ก็คำว่านะโมก็อย่าสวด นาาาามัว…. ไม่ใช่ คำว่านะโมก็คือย่อมาแล้ว สังเขปเข้ามาแล้ว สวดสังคหะหมายถึงเช่นนั้น
แต่ทุกวันนี้สวดสังคหะ เป็นอย่างไร บางที เอิงเอยโหยหวนไปใหญ่ เหมือนกับประชดแดกดัน สวดยืดไป เป็นการบอกความจริงว่าไม่เข้าใจศาสนา กลับตาลปัตรไปหมด ที่ถูกเป็นผิด ที่ผิดเป็นถูก ให้สั้นดันยาว แต่ให้ยาวดันสั้น
การสวดสังคีติ ..เป็นข้อศึกษา ต่างจากการสวดสังคายนา แม้แต่พจนานุกรมก็แปลว่าสวดพร้อมกัน เป็นหมู่ เหมือนสวดสังคายนา สวดสังคีติคือสวดเป็นหมู่ แต่สวดสังคายนาคือสวดรูปเดียว อย่างลงปาติโมกข์ก็สวดคนเดียว หมู่ก็คอยตรวจสอบ ให้ว่าผิดหรือถูก ถ้าคนสวดคนเดียวนี้ สวดผิด คนถูกก็ท้วงหรือมีใครท้วงมาว่า ผิด ก็ตรวจสอบกันหรือของคนท้วงผิด หมู่ต้องช่วยกันจำ แต่ก่อนไม่มีบันทึกก็ต้องจำไว้ หมู่ส่วนใหญ่ถือว่าอย่างนี้ถูก ก็ต้องเอาตามส่วนใหญ่ เยภุยสิกา หรือท้วงมาคนเดียวแต่หมู่เขาถูกหมดคุณก็หน้าแหกคนเดียว
สังคีติท่านจะสวดเป็นหมู่ โดยไม่สวดให้ฆราวาสได้ยิน ไม่สวดในที่สาธารณะ สวดมนต์ท่องสูตรคูณอาขยานไปด้วยกันได้ สวดในที่ลับตาลับหู ไม่ให้ฆราวาสไม่ให้ใครได้ยินมีแต่พระภิกษุต้องรักษาคำสวดคำสอนเอาไว้ ตามธรรมบทของพระพุทธเจ้า
ส่วนประณามคาถาคือคำที่คนรุ่นใหม่แต่ง ยกตัวอย่าง ยะถาสัพพี
ยะถาสัพพี ผู้รู้สมัยโบราณก็สวดถูกต้อง ยะถาวาริวะหาปูราปะริปูเรนติสาคะรังเอวะเมวะอิโตทินนัง... คุณสวดคนเดียวถูกแล้วแม้จะสวดต่อหน้าสาธารณะก็ไม่ผิด แต่ถ้า สัพพีติโยวิวัชชันตุฯ นี้สวดพร้อมกันเป็นหมู่ได้ เพราะว่าเป็นคำสวดที่คนรุ่นใหม่แต่งขึ้น เอาของพระพุทธเจ้ามาปะหน้าไว้
แต่ถ้าสวดพร้อมกันต่อหน้าประชาชน ตั้งแต่ ยะถาวาริวะหาฯก็ผิดแน่ แต่ถ้าตั้งแต่ สัพพีติโยฯก็ได้ แต่ถ้าสวดยานคางก็ผิดอีก
สังคีติ คือสวดเพื่อจดจำ ไม่ใช่สวดเพื่อการอวดอ้าง เดี๋ยวนี้เขาสวดมนต์กันเป็นล้านเที่ยวเพื่อให้เกิดบันดาลอะไรได้ เป็นเรื่องฉิบหายผิดเพี้ยนไปหมด
สังคายนานี้ ต้องสวดคนเดียว ไม่ใช่สวดหลายคนที่เป็นสังคีติ สวดสังคีติ สวดเพื่อท่องจำไว้ ไม่ใช่สวดต่อหน้าอนุปสัมบัน ไม่ได้
นี่แค่สวดประณามคาถา ก็เข้าใจไม่ได้ อีกคำคือสวดสังสาธยาย คือ เอามาอธิบาย ก็ต้องคนเดียว อธิบายพร้อมกันสองคนจะไปได้อย่างไร อธิบายพร้อมกันต่างคนต่างจำมา มันเป็นคำแต่งขึ้นใหม่ เอาคำของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกันตรงกันเป๊ะๆเลยนี่ไม่ได้ ต่อหน้าฆราวาส แต่ถ้าสังสาธยายอย่างอาตมากำลังทำตอนนี้ก็ได้
สังวัธยาย อีกคำหนึ่ง จะท่องบ่นดังๆ เพื่อให้เข้าหูตนอีกทีหนึ่ง ก็ต้องคนเดียวนั่นแหละ จะได้จำได้ จะได้เสริมความจำ ท่องไปแล้วมันก็สะท้อนมาเข้าตัวเอง แต่เสียงมันเร็วๆนะ ท่องติดปากมันก็ได้ยินที่หูเลย
สรุปก็คือการสวดท่องทุกวันนี้มันผิดเพี้ยนไปจนไม่รู้เรื่องแล้ว การสวดพร้อมกันนั้น อาบัติทั้งนั้น ต่อหน้าฆราวาส ต่อหน้าอนุปสัมบัน
การสวดทุกวันนี้เป็นการสวดมนต์ด้วยสวดทำอะไรก็แล้วแต่ นอกจากสวดประณามคาถา คือคำที่แต่งขึ้นใหม่ แม้แต่ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณังคัจฉามิ ก็เป็นคำที่แต่งขึ้นมา สวดมหาการุณิโกนาโถ สวดพาหุง สวดเจ็ดตำนานสิบสองตำนาน อาตมาไม่ได้ทำอย่างเขาเลย ได้แค่พาหุง กับมหากาฯ และภวตุสัพฯก็ดีแล้ว เราก็เลยใช้ของเราแค่นี้เป็นประณามคาถามาตั้งแต่ต้น การสวดประณามคาถาก็มีแค่นั้นของเรา
สัพพีติโยฯ เขาถือว่าเป็นคำให้พร เป็นของพระพุทธเจ้า สวดสองคนพร้อมกันก็อาบัติ ส่วนสัพพีติโย เป็นคำประณามคาถาก็ท่องพร้อมกันได้ เขาก็ทำได้ถูกอยู่ นี่คือการขยายความเรื่องสวดมนต์
สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน ศาสตร์แท้พระราชากับประชาธิปไตยไทยนิยม
อาตมาเห็นคำนี้ของไทยโพสต์ ข่าวหน้าหนึ่ง ก็มีคำโปรยว่า ที่เมืองทองธานี นายกฯเผยตอนนี้ สวดมนต์ให้คสช.เอาตัวให้รอด คือนายกฯตู่ ก็คงไม่ได้เข้าใจรายละเอียด
อาตมาเอาคำมาใช้ หนึ่ง คำว่าสวดมนต์ สอง คำว่าแจงประชาธิปไตยไทยนิยม ไม่มุ่งหวังการเมือง ปัดสืบทอดอำนาจ ไม่เอา แล้วก็ขยายความไปว่าก็แค่อยากให้ประเทศหลุดพ้นความยากจน ความขัดแย้ง
อาตมาก็ว่ามีประเด็นในคำโปรยหัวข่าวไทยโพสต์ เอามาเป็นหัวข้อสาธยายธรรม
อันแรก สวดมนต์
อันที่สอง แจงประชาธิปไตยไทยนิยม นายกฯตู่เป็นคนพูดคำศัพท์นี้ วลีนี้ แล้วนายกตู่ก็ขยายความว่า คำพูดนี้ไม่ได้พูดเพื่อเล่นการเมืองหรือสืบทอดการเมือง หรือเป็นการสืบทอดอำนาจ ไม่ใช่ เป็นแค่อยากให้ประเทศหลุดพ้นจากความยากจน เป็นประเด็นที่ 3
ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากที่อาตมาจะต้องพูดถึงความยากจนนี้ไปอีกนาน ขอยืนยันว่าการบริหารประเทศนั้น บริหารประเทศให้ไปเป็นคนรวย บริหารอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เพราะว่าทุกประเทศในโลกบริหารจะให้คนไปรวย ทุกประเทศเป็นอย่างนั้น เป็น Concept ของทุกประเทศทุกผู้บริหาร ตามประสาเขา
แต่อาตมาเข้าใจตามในหลวงรัชกาลที่ 9 มี Concept ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามพระพุทธเจ้า แบบให้บริหารประเทศด้วยแบบคนรวย ทฤษฎีจะสร้างให้คนรวยแข่งกันรวย มันเมื่อย และมันเป็นไปไม่ได้ Impossible เป็นไปไม่ได้ด้วย
ถ้ามาสอนให้คนเข้าใจความจน แล้วก็พยายามทำให้เกิดความจน คนที่ทำความจนให้ตนเองสำเร็จแล้ว ขออภัยต้องยกตัวอย่างชาวอโศก ที่มุ่งมาจนตั้งใจมาจน มีความเข้าใจว่ามาจนนี้ดี ก็มาจน ตั้งใจจนเต็มใจจน จนจนสำเร็จเรียบร้อยได้ ก็เป็นคนจนที่ถาวรยั่งยืน เป็นคนจนที่มีความสุขสำราญเบิกบานใจ
แต่ก็เข้าใจกันไม่ได้ ความจนไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจน่าชิงชังหรือคนไม่ควรเข้ามาใกล้ เอาเถอะ มาเป็นคนจนผู้มหัศจรรย์ คนจนผู้วิเศษ เป็นคนจนผู้มีความสุข เป็นคนจนที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ เป็นคนจนที่ช่วยคนรวย อย่างนี้เป็นคนที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจและเป็นคนช่วยสังคมประเทศ ไม่ว่าประเทศไหนก็ตาม ก็ควรจะมาเข้าใจอย่างนี้ จะแก้ปัญหาความจนหรือความรวยได้
เพราะว่าคนนั้นมีความเป็นคนจน อย่างที่สมัครใจมาจน อย่างสบายใจสุขสำราญเบิกบานใจอย่างชาวอโศก 1. ใครคิดว่าตัวเองจะไม่ไปรวยกว่านี้อีกแล้วยกมือขึ้น (ยกมือถ่ายให้เป็นหลักฐาน ) 2. เมื่อมาจนได้แล้วสบายแล้ว ก็เป็นคนจนสุขสำราญเบิกบานใจยกมือขึ้น (ถ่ายไว้เป็นหลักฐานอันที่ 2 ) 3. เป็นคนจนที่จะกอบกู้เศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติ ใครเข้าใจอย่างนี้ได้บ้างยกมือ (ถ่ายไว้เป็นหลักฐานอันที่ 3 )
ชาวอโศกเข้าใจได้ก้าวหน้ากว่าคนทั้งโลก ขออภัยที่พูดใหญ่ เป็นคนที่เข้าใจก้าวหน้าไกลเกินกว่าความเข้าใจของคนทั้งโลก คนทั้งโลกไม่เข้าใจหรอกว่ามาเป็นคนจนที่มหัศจรรย์ เป็นคนจนที่ประเสริฐ เป็นคนจนที่รู้จักจน และเต็มใจจน จนจนสำเร็จ อย่างนี้จะเป็นคนที่จบแล้วในชีวิต เป็นคนที่บรรลุอรหันต์เลย จบ และจะเป็นคนที่ช่วยสังคมประเทศชาติได้ช่วยโลกด้วย
เพราะอาตมามั่นใจว่าคนทั้งโลก ไม่เข้าใจว่าให้มาเป็นคนจนนี้จะมีที่จบ เขาคิดว่าคนจนก็จะซวยอดอยากปากแห้งก็จะตาย ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็จะคิดอย่างนั้น แต่ผู้ที่มีปัญญาแล้วจะรู้ว่ามาเป็นคนจนที่ขยันหมั่นเพียร มีความรู้มีการสร้างสรร รู้จักสัมมากัมมันตะ รู้จักสัมมาอาชีพ รู้จักสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ก็กระทำการงาน การกระทำวจีกรรม โดยมีสัมมาสังกัปปะ ความคิดนึกเป็นประธาน ก็จะพูดอย่างสัมมาวาจา หรือประกอบอาชีพอยู่อย่างสัมมาอาชีพ เป็นผู้พ้นจากอาชีพที่เป็นมิจฉาชีพ
พ้นมิจฉาชีพ 5 พ้นอาชีพ 5 ที่ยากที่สุดคือ สัมมาอาชีพข้อสุดท้าย เรียกว่าลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา คือ ยังเป็นคนทำงานอาชีพที่จะต้องได้สิ่งแลกเปลี่ยนกลับในการทำกรรมของตัวเอง ทำการงานอะไรออกไปก็จะต้องได้รับคำยกย่องสรรเสริญ แต่ผู้ที่ไม่มีแล้วก็ทำงานเสียสละไป เขาก็จะยกย่องตามความจริง แต่เราไม่ต้องการ แต่เขาให้ก็ได้ ไม่ต้องถึงกับบอกว่าไม่ต้องมาชมฉัน แต่อย่ามาแกล้งยอฉัน เข้าใจให้เป็นไปตามความจริงถ้าทำดีก็ยกย่อง แต่ถ้าเราทำไม่ดีก็ควรตำหนิ อย่างอาตมาคนไม่รู้ว่าอาตมาดีเขาก็ตำหนิ แต่ถ้าคนรู้แล้วตำหนิอาตมานี้โง่ เพราะอาตมาไม่มีสาเฐยจิต แม้แต่จะแสดงการทำงาน ก็อยากให้คนมายกย่องชมเชย หรืออยากให้คนรู้ว่าตนเองเก่งตนเองวิเศษ ไม่เคยมีจิตแบบนั้น แลกลาภ ยศ หรือตัวตนอัตตาใดๆก็ไม่มี สาธยายธรรมเพื่อให้คนรู้ความถูกความผิดแล้วแก้ไขความผิดนั้น ไม่ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยนอะไร ระมัดระวังอย่าให้ผิด เมื่อทำได้ก็สบายแล้วจบ อาตมาแสดงธรรม งานของอาตมาคืองานสาธยายธรรม
อาตมาเกิดมาในชาตินี้ ตั้งแต่รู้ตัวมาอายุ 36 มาถึงบัดนี้อายุ 84 เข้านักษัตรที่ 2 อาตมาทำงานเลย 72 บวกไปอีก 1 นักษัตร เป็น 84 ปี และยังจะบืนไปอีก เป็น 96 เป็น 108 เป็น 120 เป็น 132 เป็น 144 และแถมอีก 7 เป็น 151
ตั้งปณิธานไว้ไม่ถึงก็ไม่มีปัญหา อาจจะตายก่อน 151 คนจะบอกว่าทำไมตายก่อน ใครจะว่าก็ว่าไปสิ อาตมาตั้ง โดยไม่ได้ตั้งเองหรอก ถ้าทำสำเร็จ รับรองว่าดังทั่วโลก แล้วถ้าอาตมาอยู่ถึง 151 ไม่ใช่ 151 แล้วเป็นใบ้ 90 แล้วก็เป็นใบ้แล้ว แล้วก็ยืนยาวไปถึง 151 เหมือนหลวงพ่อชาต้องเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไปอีก 11 ปี แล้วค่อยเสียชีวิต อาตมาว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่อยู่หรอก ถ้าอยู่ก็ต้องพูดได้บรรยายได้ และก็ทำงานได้ เพราะงานของอาตมาคือบรรยายธรรมะ ยืนยันธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง
นี่คือชาตินี้อาตมาเกิดมาเพื่อทำงานนี้ พูดเหมือนคุยตัว แต่พูดสัจจะความจริง ไม่ได้อยากใหญ่อยากให้คนเชื่อ แต่ละคนมีสิทธิ์จะเชื่อหรือไม่เชื่อบังคับกันไม่ได้หรอก
ประเด็นที่พูดไปจากโปรยหัวข่าว ไทยโพสต์ ประเด็นแรกเรื่องสวดมนต์พักไว้
แต่อีกประเด็นคือประชาธิปไตยไทยนิยม เป็นคำที่ดีมากเลย ใครจะมาวิจารณ์วิจัยอย่างไร ตีอย่างไร แต่คุณมีปัญญาพอจะตั้งคำ เพราะๆสวยๆนี้ไหม คำว่าประชาธิปไตยไทยนิยมนี้ ไพเราะ เพราะว่าคนไทยเป็นศาสนาพุทธมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นอเทวนิยม เป็นประชาธิปไตย 2 ขา นิยมแปลว่าลัทธิ ism ลัทธิประชาธิปไตยไทย
เป็นประชาธิปไตยอย่างไทยๆ เป็นอย่างนี้แหละ ใครบอกว่าเมืองไทยไม่เป็นประชาธิปไตย จงโง่ต่อไป อาตมาว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุดในโลก ไม่มีประชาธิปไตยเมืองไหนเท่า ถ้าจะว่า เป็นประชาธิปไตยเทียบเท่าอังกฤษที่เป็นต้นตอประชาธิปไตยก็ได้ ประชาธิปไตยของอังกฤษเป็นประชาธิปไตยสองขา แต่ประชาธิปไตย 2 ขาของประเทศอังกฤษนี้ ขอยืนยันว่า ประชาธิปไตยของอังกฤษนั้นมีพระราชินี จนอายุ 100 ปีแล้ว
แต่ในหลวงของอังกฤษคือพระราชินี ยังยกย่องในหลวงเรา ต้นแบบของประชาธิปไตยในโลกคืออยู่ที่อังกฤษ ส่วนประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นประชาธิปไตย ขาเก ขาเดียว ซึ่งไปได้ไม่นานหรอก ตอนนี้กำลังขาเกขาเป๋ อาตมาสาธยายยังไม่เก่งว่าสองขาเหนือกว่าขาเดียว
มาเข้าเป้าประชาธิปไตยไทย ขออภัยอาตมาว่าอาตมานี่แหละ เป็นนักประชาธิปไตย เข้าใจประชาธิปไตย แบบพุทธ ประชาธิปไตยที่ให้อิสระเสรีภาพ สร้างประชาธิปไตยให้เกิดภราดรภาพ
ภราดรภาพนี้มีสันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ชาวอโศกมีห้าภาพนี้
อิสรเสรีภาพ ชาวอโศกมี ใครจะเข้ามาอยู่ในชาวอโศก ก็เป็นอิสระ เมื่อเข้ามาอยู่แล้วก็ทำตามธรรมนูญ กฎระเบียบของชาวอโศกเป็นวัฒนธรรมชาวอโศก แล้วก็เป็นอย่างนี้เป็นพี่เป็นน้องกัน ภราดรภาพ Fraternity อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง คนจีนเขามีกงสี
กงสีนั้น เฉพาะครอบครัวตระกูลเดียว แต่ของชาวอโศกนี้เป็นครอบครัวเดียว แต่คนหลายตระกูลในนี้ เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสามัคคี มีสันติ ใครว่ากลุ่มชุมชนอโศกมีสันติมากไหม ก็มีมาก แล้วมีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถ ร่วมกันทำงานอาชีพ แทบไม่ต้องบริหาร ต่างคนต่างรู้หน้าที่การงาน ทำกันคนละไม้ละมือ สร้างช่วยกัน อาศัยกัน ใช้อยู่ใช้กินไป บรรลุเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ เป็นเศรษฐกิจสาธารณโภคี
อาตมาพูดไป ชาวนักเศรษฐศาสตร์ระดับดอกเตอร์ post-doctor ไม่เข้าถึงว่า เศรษฐกิจของพระพุทธเจ้าเหนือกว่าคอมมิวนิสต์ประชาธิปไตย เหนือกว่าโทมัส มอร์ที่สร้างยูโทเปีย มันเป็นความคาดหวังคาดฝันของโทมัส มอร์ แล้วก็มีคนพยายามทำชุมชน อิโตเอ็น คิปบุช สะมะเอินอุนดง อิโตเอ็น อามิช ซึ่งประชาธิปไตยนั้นเหนือกว่านั้น เพราะประชาธิปไตยเข้ากับสังคมได้ แต่อามิชนี้มีวัฒนธรรมแข็งแรง เขาปฏิเสธอะไรหลายอย่าง แต่ประชาธิปไตยแบบพุทธ ไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีต่างๆ ที่ควรจะเป็น มีอิสระเสรีภาพ แต่ก็มีกฎหมายมีข้อบังคับอะไรอยู่อย่างดี
เพราะฉะนั้นประเทศไทย เป็นประชาธิปไตยที่ชัดเจน เทคโนโลยีก็มีกฎหมายควบคุมประมาณหนึ่ง อะไรต่างๆนานา อาตมาก็ขอยืนยันว่าเมืองไทยนี้มีอิสระที่สุด ภราดรภาพสุด สันติภาพที่สุด สมรรถนะ มีบูรณภาพ สร้างความก้าวหน้าเจริญต่อเนื่องไปตามลำดับ อยู่ตลอดไป ซึ่งเป็นสังคมที่ อาตมาว่า เป็นตัวอย่างของโลก เป็นสังคมสมบูรณ์แบบ
สหประชาชาติ มองยอดของผู้ปกครองประเทศไทยคือในหลวงรัชกาลที่ 9 ยอมรับว่าเป็นผู้ปกครองที่เป็นประชาธิปไตยชั้น 1 ให้ถ้วยรางวัล อะไรอีกเยอะแยะ เพราะความเป็นจริง ตอนนี้เราก็พอเข้าใจลางๆว่า เอาศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้มากที่สุด ท่านทรงงาน 70 กว่าปี สมบูรณ์ พระจริยวัตรครบพร้อม พยายามเถิด ศึกษาศาสตร์พระราชาดีๆ ยอดของศาสตร์พระราชาท่านตรัสเอาไว้ ให้เอาแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา เป็นคำที่สั้นกระทัดรัด concise ทีเดียวคือ เศรษฐกิจพอเพียง ก็เข้าใจให้ดี อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาถึงสบายใจที่ทำงานสอดคล้องกับศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของโลก รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ครบพร้อม
ที่มีคนมาให้คะแนนประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีความสุข แต่ไม่เป็นที่ 1 แต่ประเทศไทยก็ได้ตำแหน่งเป็นประเทศที่มีความสุข ในหลวงของภูฏานเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องความสุข Gross National Happiness (GNH) แสดงว่าพระองค์ทรงเข้าใจ ในหลวงจิกมี ทรงเข้าใจเรื่องมนุษยชาติต้องการความสุขอย่างไร จึงเห็นจริงว่าประเทศไทยนี้ GNH หนึ่ง ก็ได้พยายามเอาอย่างศาสตร์พระราชา เศรษฐกิจพอเพียง ดำเนินตามรอยพระยุคลบาท แต่ประเทศเขามีคนน้อย เขาก็รู้ดีว่าถ้าปล่อยปละละเลยให้ประเทศอื่นไปท่องเที่ยวมาก ก็จะแย่ ก็เลยตั้งกรอบไว้ให้ดี ประเทศภูฏานก็จะอยู่ได้นาน ไม่ต้องไปอยากก้าวหน้าเหมือนเขา ในหลวงจิกมี่ก็ทรงเอาอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่บอกว่าไปก้าวหน้าแบบนั้นเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว
ถึงบอกว่านักบริหารนักวิชาการนักเศรษฐศาสตร์ของไทยเข้าใจศาสตร์พระราชาให้ดี ให้อยู่กันอย่างสามัคคีอะลุ่มอล่วยกันอย่างนี้ดีแล้ว รองนายกท่านจะชอบนาฬิกา ก็อนุโลมให้หน่อยมันเป็นรสนิยมของท่านเป็นพิเศษ มันจะอะไรกันนักกันหนา ท่านจะมีเป็นร้อยก็ของท่านอย่าไปทุจริตก็แล้วกัน ถ้าจะบอกว่ารองนายกฯป้อม ถ้าจะว่า บอกว่านาฬิกานี้มีมากมาย ท่านได้ทุจริตหรือเปล่า ได้มาโดยทุจริต ก็เปิดเผย เอาเป็นประเด็นมาตั้งข้อหาสิ มันก็จะได้จบๆกันสักที ว่านี่รวยนี้มีการแฝงคอรัปชั่นในการรวยนี้ ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาก็ตาม แต่ท่านก็บอกว่าไม่ได้รวย เพื่อนให้ยืมใส่ ก็เป็นรสนิยมของท่าน ก็จะไปเอาผิดท่านได้อย่างไร แล้วเป็นโชคดีของท่านที่เจ้าของนาฬิกาดันตายไปหมด จะเอาเรื่องท่านได้ไง จะตอแยท่านทำไม หากจะเอาเรื่องก็จับให้ได้ว่าท่านโกงอย่างไร เอานักกฎหมายไปจัดการเลย ก็ให้มันเสร็จๆไป นี่ยืดยาดอยู่หรือไม่ก็อนุโลมได้ไหม ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ก็เคยอนุโลมมามากมายมหาศาลเท่าไหร่ ขอพูดอีกนิดหนึ่ง
ก็เป็นวิบากของพล.อ.ป้อมที่ไปอุ้มน้องชาย ชัดๆ มันก็เลยคันหัวใจเขา นี่คือวิบาก ศึกษาผลของวิบากของมนุษย์ ก็รับวิบากไปเถอะ พลเอกป้อม นี่ก็ยังกลบเรื่องราวอยู่นะขณะนี้ ข้อหาไปขึ้นศาลอีกนะ ข้อหาของพลตำรวจเอกพัชรวาท
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดจากกรรม กัมมัสกะ กัมมาทายาโท กัมมพันธุ กัมมโยนิ กัมมปฏิสรโณ ศึกษาศาสนาพุทธให้ดี มันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด มันต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้อาตมาอยากให้พวกเราสื่อสารมวลชนก็ดี ประเทศไทยกำลังเดินไปได้พอสมควร อาตมาว่า พูดตามประสา ผิดถูกอาตมารับผิดชอบ
อาตมาว่า พลเอกป้อม ที่จริงนั้นก็อยากจะหยุด แต่สื่อตอแยมากก็เลยประชด ดีไม่ดีก็เลยไปถามว่า เพื่อนไหนมีนาฬิกาก็เลยใส่ประชดเลยหรือเปล่าไม่รู้ จบแล้วไม่ต่อ แค่นี้
มาเข้าสู่ ประชาธิปไตยแบบไทยนี่ยิ่งใหญ่มาก ประชาธิปไตยแบบไทย อย่างที่เป็นอยู่นี้ ไม่เอาตามตำรารัฐศาสตร์โลก เอาแบบไทยๆ วัฒนธรรมไทย แต่ประชาธิปไตยไทยนี้เอาแบบอย่างพระพุทธเจ้าและ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ท่านอะลุ่มอล่วย
ขอเปิดใจอาตมาให้ฟัง รัฐบาลทูลเกล้าฯ ถึงเรื่องรัฐมนตรีให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย อาตมาก็เห็นใจในหลวงจังเลยว่า ไอ้คนนี้เป็นรัฐมนตรีมันไม่น่าจะอนุมัติ ไม่น่าจะทรงลงพระปรมาภิไธยให้เป็นรัฐมนตรีเลย แต่ท่านก็ต้องอนุโลมอะลุ่มอล่วย ท่านก็จำนน ว่าขณะนี้เอาเท่านี้ ก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรเป็นรัฐมนตรี แต่คณะรัฐบาลทูลเกล้า นายกฯเอาเข้ามาเองก็รับวิบากไป ท่านก็ทรงลงพระปรมาภิไธยมา อาตมาเห็นใจในหลวงมาก
ขนาดอาตมายังรู้เลยว่าคนนี้ไม่ควรเป็นรัฐมนตรี เป็นภาระ ไม่ควรเอามาบริหาร แต่นายกฯ เป็นคนที่ทูลเกล้าเสนอเอง ท่านก็ต้องอะลุ่มอล่วย ผู้รับก็เป็นนายกฯเองจะทำอย่างไร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไทว่า...คนไทยมีจุดเสียเหมือนกันทั่วประเทศคือนิยมต่างชาติ นิยมของต่างชาติ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สหประชาชาติก็ยกย่องรองรับ ว่าในหลวงแก้ปัญหาความยากจนแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แต่ว่าคนไทยกลับไม่เอา ให้ต่างประเทศเอาก่อน แต่ตอนนี้มานิยมศาสตร์พระราชา ไม่ว่าจะมีวงการไหนก็นิยมศาสตร์พระราชา เขาเห็นว่าสัมมาสิกขาราชธานีอโศกเป็นต้นแบบศาสตร์พระราชา เป็นต้นแบบโรงเรียนมีคุณธรรมทั้งหมด อาตมาว่าทำจริงไหม ตอนนี้เขาให้เราเขียนมาตรฐานการศึกษาที่ดีที่สุดส่งไปให้ อาตมาก็แหย่ว่า เมื่อเห็นว่า การศึกษาที่นี่ดีที่สุด ทำไมไม่เอาผลการศึกษาของที่นี่ไปเป็นมาตรฐาน แต่ทำไมคิดมาตรฐานที่ไม่มีตัวอย่างชัดเจน แต่นี่มีตัวอย่างชัดเจน อาตมาพูดให้ฟังว่า ในศาสตร์พระราชานั้นตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้า เขาบอกว่าเป็นปรัชญา อาตมาว่าเป็นพระสัจธรรม
อาตมาเรียนปรัชญา มันเป็นเรื่องฟุ้งซ่าน ตอบอะไรก็ได้ อาจารย์ให้ถูกหมดให้คะแนนเต็ม ได้เกรดสี่แน่นอน แล้วแต่ปัญญาคนแต่ละคนคิด แต่ศาสตร์พระราชาเข้ากับคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วเขาบอกว่าบุญ แต่อาตมาอธิบายบุญว่าคือการชำระกิเลส ทำให้ถึงอนุสัยเลย เขาก็ถามว่าอนุสัยแปลว่าอะไร อาตมาก็ว่า สิ่งที่เราสั่งสมไว้เป็นสิ่งเล็กๆ แต่อยู่กับเราเป็นอัตโนมัติ แก้ยาก ถ้าไม่ศึกษาธรรมะพุทธเจ้าไม่มีทางแก้ตัวนี้ได้เลย หมดสิทธิ์แน่นอน เพราะทั่วไปก็กดข่มเป็นธรรมดา
พ่อครูอธิบายประชาธิปไตยไทยนิยม เมื่อเรามีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ดีที่สุดในโลกเราก็มีศาสนาพุทธที่ดี คนไทยในปัจจุบัน ยกตัวอย่างชายแดนไทยเขมร อาตมาเชื่อว่าคงแตกหักไปนานแล้ว แต่ประเทศไทยใจดีมากให้อยู่ได้ เราไปชุมนุมก็ไม่มีอะไรรุนแรงมาก มีความปลอดภัย จบแล้วจบเลย ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
พ่อครูว่า...อาตมาสรุปอีกทีว่า เมืองไทยคนไทยยังมีปัญญาดีมาก และนำพาประเทศไทยมาถึงวันนี้แล้ว ใครจะเข้าใจประชาธิปไตยแบบไหนก็แล้วแต่ แม้แต่เข้าใจประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ยิ่งอเมริกาเลย ยิ่งไปกันใหญ่ว่าประชาธิปไตยแบบอเมริกาคือประชาธิปไตยนักเลงโต จะต้องยิ่งใหญ่ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เบ่งอำนาจ ด้วยการสร้างอาวุธเป็นเขี้ยวเล็บ เหมือนสัตว์เดรัจฉานต้องมีเขี้ยวเล็บเจ๋งๆ ก็จะได้เป็นใหญ่ เขี้ยวเล็บคืออาวุธ และต้องสร้างอาวุธให้ยิ่งใหญ่ เหมือนกับเกาหลีเหนือ ก็มีแนวคิดเดียวกันกับโลกโลกีย์ ต้องมีอาวุธที่ดีเลิศขู่คนได้ถึงจะอยู่ได้ ก็จริงอยู่ได้แบบขู่ หากอาวุธของคนอื่นเหนือกว่าเขาก็เอาคุณลงได้ แต่เกาหลีเหนือนี้อาตมาก็เห็นใจ มันอยากจะโดดเดี่ยว เป็นคอมมิวนิสต์ โลกเขาเลิกหมดแล้ว ขัดแย้งกับโลก ดันทุรังต้องเอาลัทธินี้ ทั้งๆที่จนก็จน เอาเงินมาทำอาวุธอะไรมากมาย เขาดันทุรังอะไรได้ไม่นานก็จะแห้งตายเอง เขาต้องใหญ่เบ่งอาวุธ ในเชิงรัฐศาสตร์ก็เยอะ
สรุปแล้วเมืองไทยเป็นเมืองที่เยี่ยมยอดที่สุด อย่าไปคิดว่าเมืองไทยนั้นมีคนจนมาก คนจนจะทำให้คนจนในเมืองไทยนี่หมดไป ก็ขอบอกเลยว่า คุณทำไม่สำเร็จหรอก ประชาชนจะมาเป็นคนจน คุณจะมาพัฒนาอย่างไรชาวอโศกก็จะมาเป็นคนจน จนจนไม่มีรายได้ แต่ละคนไม่มีรายได้ รายได้ 0 แต่ละวันๆก็รายได้ศูนย์ตลอดทั้งปี แล้วอยู่ได้อย่างไร
0 อยู่ได้ด้วยสูตรศาสตร์พระราชาและสูตรของพระพุทธเจ้า เมืองไทยมีศาสตร์พระราชาสูตรของพระพุทธเจ้า ศึกษาให้ดี เพราะฉะนั้นถ้าแก้ปัญหาประเทศชาติ อย่าไปสร้าง Concept paradigm จะต้องให้คนไปเป็นคนรวย อย่าสร้าง Concept paradigm อันนี้ จะต้องมาสร้างว่า จะต้องมาเป็นคนจน กล้าไหม ดีกว่าจะต้องไปเป็นคนรวย
แก้“เศรษฐกิจ”ใช้ทิฏฐิ“แบบคนจน”
(1) เศรษฐกิจหากคิดแก้ ปัญหา
จักช่วยมวลประชา ชาติให้
“ร่ำรวย”ทั่วภารา มุ่งมั่น กันเลย
จ้าง..ไป่สำเร็จได้ อย่าเพ้อละเมอฝัน
(2) คนนั้นต่างละล้วน อยากรวย
หากพูดเสริมเอออวย ส่งซ้ำ
ผลคือยิ่งฉกฉวย ยื้อแย่ง หนักแฮ
จึงยากเพราะตอกย้ำ จิตให้กระหายเสริม
(3) เติมจิตใส่“ทิฏฐิ”ให้ ผิดทาง
“ความอยาก”บ่เจือจาง จัดซ้ำ
เพราะสัจจะถูกขวาง ตั้งแต่ เริ่มแล
กิเลสถูกกระตุ้นย้ำ ยิ่งร้ายโกงกิน
(4) “แย่ง”สินทรัพย์ไม่แก้ ปัญหา
“แบ่ง”ต่างหากจักพา สงบได้
ต้อง“ศาสตร์พระราชา” สิกข์สุด วิเศษเฮย
พร้อมครบทาน ศีลให้ ถูกแท้สัมมา
(5) ต้อง“ปัญญา”ฉลาดขั้น โลกุตระ
ซึ่งฉลาดแค่“เฉกะ” ไม่แก้
“เฉกะ” ฉลาด ไป่ละ กิเลสหรอก
ต้องฉลาด“อริยะ”แท้ ถูกต้นปัญหา
(6) พาลดความโลภได้ ในจิต
ขยันมากสร้างผลผลิต หลากล้น
“ของดี-แต่ถูก”ชนิด ขาย“ขาด-ทุน”เลย
เพราะวิสุทธิ์หลุดพ้น มักน้อยจริงใจ
(7) หากใครจบด้วย “แบบ-คนจน”
ผู้ฉลาดจึ่งเป็นคน สละได้
ผู้โง่ยิ่งพาตน ตกต่ำ แสวง“รวย”
แก้เศรษฐกิจต้องใช้ ศาสตร์แท้พระราชา
“สไมย์ จำปาแพง”
5 ม.ค. 2561
[นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ 331 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2561]
สมณะฟ้าไทว่า...พ่อครูจะแก้ปัญหาศาสนาได้ต้องอายุถึง 100 ปี พวกเราก็ต้องลดกิเลสถึงอยู่ไปได้จนถึงอรหันต์ แล้วจะได้ประชาธิปไตยไทยนิยมตามศาสตร์พระราชา ประเทศไทยจะเจริญก้าวหน้าในโลก
https://youtu.be/iMXf9_KQfP0
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:18:21 )
รายละเอียด
610125 นศ.ป.โทสัมภาษณ์พ่อครู
สามารถยืนยันความยั่งยืนได้คือผู้ที่มีปัญญา ที่ไม่ใข่เฉกะหรือเฉโก ที่เป็นความฉลาดและปุถุชนโลกีย มีคำกำจัดความชัดเจนว่า ความรู้ โลกีย์ไม่ใช่ความรู้แบบโลกุตระหรืออารยชนแบบพระพุทธเจ้าค้นพบ
เวลาจะตรัสรู้แล้วก็จะมีพระพุทธเจ้าที่รักพระองค์เท่านั้นเกิดขึ้นมาในโลกมี 2 องค์ซ้อนกันไม่ได้
โลกคือความหมุนวนของกำกับการะ ความรู้ของพระพุทธเจ้า สอนเรื่องกรรม หรือการกระทำ กรรมคือกรรมของสัตว์โลก โดยเฉพาะพฤติกรรมของความเป็นมนุสโส คือผู้ที่สูงและเจริญถึงขั้นอริยบุคคล
นิรันดรที่แปลว่าไม่ตายเลย นี่คือศาสนาพุทธที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ไม่ตายเลยนั้น ไม่มีใครพิสูจน์ได้ สุดา ไม่ยอมรับ บอกว่าพระเจ้ามีอยู่นิรันดรพระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ พิสูจน์ไม่ได้ การพิสูจน์ได้นั้นผู้พิสูจน์นั้น จะต้องยืนยันกับคนอีก 1 คน สองคนขึ้นไป ถ้าคุณว่าพิสูจน์ได้ แล้วคุณก็รู้คนเดียว ไม่ต้องมีคนอื่นรับรอง การพิสูจน์คนเดียว รับรองใครจะยอมรับคุณ ก็ไม่มี มันต้อง 2 คนขึ้นไป ยิ่งบางคนก็ยิ่งจริงเท่านั้นเป็นล้านๆคนก็ยิ่งจริงๆเท่านั้น
สัจจะพระพุทธเจ้าสรุปลงที่ทำมา 2 คือสิ่งที่มีชีวิต ที่เรียกว่า ขั้นจิตนิยาม ถ้าชีวิตแค่พืชก็ไม่มีความรู้หรอกอัตลักษณ์ แม้ปุถุชนกัลยาณชนก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ต้องเป็นอริยบุคคล
สมมุติว่าเหลือแค่ 2 คน ก็รู้ด้วยกันได้แต่สองคนนั้นน้อยไป ก็ต้องมีมากคนเป็นล้านคน พระพุทธเจ้ายืนยันได้อย่างน้อยพัน 250 คนร่วมกัน แล้วก็ขยายผลเป็น ล้านๆคนจนถึงทุกวันนี้ ยาวนานมาถึง 2600 ปีแล้ว ท่านบอกว่าของท่านจะอยู่ไป 5000 ปี แม้ไม่มีหลักฐานพระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่ผู้รู้ก็ยืนยันมั้ย ยืนยันว่าศาสนาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมมีใจเย็นชาไปอีกถึง 5000 ปี เพราะฉะนั้น 5000 ปีนี้เป็นความยั่งยืนที่สุดของศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์อื่นก็จะมียาวนานกว่า 5000 ปี อย่างน้อยมีโพธิรักษ์พิสูจน์อยู่ มีพระโพธิสัตว์รูปอื่นพิสูจน์อยู่อีก สัจจะมันจะลงกัน เราเปิดเผยมาถ้าจริงก็จริงๆ ถ้าไม่จริงมันก็ไม่จริง ความยั่งยืนนี้คือยาวนานกว่า อันอื่นๆ
ต้องมีผู้รู้มายืนยัน ถึงจะพิสูจน์ได้ คนเดี๋ยวไม่สามารถพิสูจน์ เป็นสัญญายนิจจานิ ไม่สามารถพิสูจน์กับใคร ต้องสองคนจนถึงล้านคนยิ่งจริง มีผู้ยอมรับมากก็เป็นการรับรองว่าตรงกัน แล้วแต่ แต่ละยุคสมัย ในยุคนี้อาตมาทำได้เท่านี้ เป็นการสืบทอดทั้งกรรมและกาละ เทียบได้ ปุถุชนกับอาริยชน ผู้ที่ได้อาริยะก็ยืนยันอาริยธรรมตรงกัน ผู้รู้จึงจะยืนยันด้วยกันได้
เช่น กฎหมายนี้ผู้พิพากษาจะยอมรับอย่างนี้ ยอมรับว่าผู้นี้เป็นผู้พิพากษา คณะบริหารประเทศองค์กรก็ยอมรับกันยืนยันฐานะอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อแล้วจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐานอ้างอิงยืนยัน พิสูจน์ มันก็ต้องมีสิ่งที่สุด ที่สูงสุดเท่านั้นเอง
ศิริกุล ถาม การทำกสิกรรมไร้สารพิษจากสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจบุญนิยม
พ่อครูว่า..อันนี้ต้องพิสูจน์ให้บริสุทธิ์ รู้ว่าสารพิษคืออะไร ธาตุทางวัตถุ ที่ผสมกับสังขารปรุงแต่งในพืช ในคน เราก็ไม่ต้องให้มีธาตุเป็นพิษที่มันเอามาสังเคราะห์และก็ไม่ให้มี สุดท้ายจบที่อุตุ พืชมันก็กำหนดรู้ว่าอันนี้เอาหรือไม่เอา เป็นพิษไม่เป็นพิษแต่มันก็ไม่สามารถหยุดได้ถ้าสารพิษจะมาแทรกเข้าหามัน แต่สัตว์หรือคนก็เช่นกันก็ต้องป้องกันไม่ให้สารพิษมาเข้าในเรา ว่าจะห้ามไม่ให้สารพิษไม่มีในโลกไม่ได้ เราต้องมีพลังงานที่ทั้งเอาออกได้ และป้องกันแข็งแรง เหมือนฐาน เหมือนกำแพง ที่กั้น ไม่ให้สารพิษเข้าได้ เป็นฐานหรือกำแพงที่เป็นนามธรรม แข็งแรง
การเกษตรไร้สารพิษที่เราทำนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจบุญนิยมหรือไม่
พ่อครูว่า…
มนุษย์ก็แบ่งเป็นคนที่รู้ธรรมะได้กับคนที่รู้ธรรมะไม่ได้ เป็นเวไนยสัตว์และอเวไนยสัตว์ ซึ่งก็แบ่งเป็นอาริยบุคคลขั้นต่างๆ จนถึงเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพพจ.อีก
ทำความคิดเห็นของพ่อครูว่า การทำกสิกรรมของพวกเราควรจะพัฒนาอะไรอีก
พ่อครูว่า...อาตมาไม่สามารถอธิบายล้ำหน้าในสิ่งที่เกิดได้ เพราะว่าอาตมาไม่ได้พยายามที่จะไปใช้พลังงานใช้ธาตุรู้ calory ไปเสียเวลารู้สิ่งเหล่านั้นมากเกินไป อาตมาใช้ในทางธรรมะ จะเผยแพร่ธรรมะ จะบอกว่าอาตมาไปรู้เรื่องกสิกรรม เรื่องพืช ที่จะทำให้พืชพีชะนี้ดี พวกเรารู้มากกว่าและทำได้ดี อาตมาว่าอาตมาให้รู้เรื่องพืชอาตมาก็ทำได้แต่ปางนี้ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่เรื่องของอาตมาที่จะเอาความรู้ไปยุ่งกับสิ่งเหล่านั้น มันก็เลยกลายเป็นผู้ไม่รู้ แต่ไม่ใช่อาตมาด้อยความเฉลียวฉลาดจนจะไปรู้เรื่องพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ได้ เพราะพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นความรู้ที่ตื้นกว่าเรื่องธรรมะ อาตมาทำหน้าที่ทุกวันนี้ เหมือนยกตัวเองว่า ไม่มีใครรู้เท่าอาตมา ก็ต้องทำให้ศาสนาพุทธเจริญขึ้นไปเป็นเครื่องอาศัยแก่ชาวโลก จะมารับผิดชอบพระพุทธเจ้า สมณโคดมให้ยืนยาวไปถึง 5000 ปี ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเป็นความผิดจะต้องมาเกิดแล้วเกิดอีกเพื่อมาชดใช้ รับปากแล้วไม่สำเร็จ ก็เท่านั้นเอง
ต่อมาคำถามของคุณสุดา ใจดี ทำวิจัยเรื่อง การศึกษา กับการใช้สื่อศิลปะโลกุตระ ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
1.สื่อศิลปะโลกุตระคืออะไร
พ่อครูว่า...ศิลปะโลกุตระ คืออะไร? สื่อศิลปะโลกุตระ คำว่าสื่อ คือสิ่งที่เป็นนำเสนอให้ผู้อื่นได้รับรู้ตาม สื่อนี่คือเครื่องมือ หรือ สิ่งที่นำไปเสนอ นำไปให้ผู้อื่น ได้รับสัมผัส แล้วก็รู้ตาม ทีนี้โลกุตระก็คือ สิ่งที่นำเสนอหรือเป็นภาระออกไป อาศัยสิ่งนั้น ไปให้ถึงผู้อื่น ผื่นสัมผัสแล้วรู้ตามได้ ที่มีคุณสมบัติหรือคุณค่าคุณธรรม ถึงขั้นคุณวิเศษถึงขั้นโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมถึงขั้นคุณณวิเศษคือเกินกว่าปุถุชนสามัญ เขารู้กันอยู่เรียกว่าโลกีย์ สิ่งที่เกินกว่าโลกีย์ หรือเกินกว่าสามัญปุถุชนจะรู้ได้ เขาจะวนในโลกีย์ไม่สามารถออกนอกกรอบโลกีย์มารู้โลกุตระได้ คือคำจำกัดความของปุถุชน
ทีนี้ ถ้าความรู้นั้นออกมาจากกรอบนั้น มาเป็นอีกอันนึง ในวงวนใหม่กรอบใหม่ กรอบอื่นจากที่เขาวนอยู่ในโลกระดับนั้น อันนั้นแหละที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่าอันอื่น อันอื่นจากโลกโลกีย์ แตกต่างกัน คนละขั้วคนละกระแส ทวนกระแส ปฏิโสตัง มันทวนกระแส คนละข้าง โลกเดินไปอีกทิศหนึ่ง โลกุตระเดินไปอีกทิศหนึ่ง
โรคเอาความรวยโลกุตระเอาความจน โลกไปเอาทุกข์ โลกุตระไปเอาสุข สุขที่สูงที่สุดก็คือไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นขั้นเร่ิมเต้นของโลกุตระเลยนะ ถ้าพูดถึงศุกร์โลกุตระกลางคืนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หมดสุขทุกข์ที่โลกิยะปุถุชนมีรส รสสุขทุกข์ จิตสุขทุกข์ต้องรู้ด้วยปัจจัตตัง
ขอยืมพนัญชนะ โลกีย์ที่เอาคำว่าสุขมาเรียก โดยพยัญชนะความสุข สุ แปลว่าดี ข คือว่าง ว่างนี่แหละดี แต่สุขของโลกิยะ ไม่ได้ว่าง จะต้องมีอารมณ์ หรือรสโลกียะ
คนที่รู้ความต่างของรสโลกียะ และรู้ความต่างของรสที่ว่างจากรสโลกียะได้จริงๆ แล้วว่างตัวอย่างทำออกโดยมีเจตนามีความรู้แล้วมันออกมาแล้วไม่กลับคืน ไม่มีรสนั้นเกิดอีกเลย อย่างยั่งยืนถาวร ในโลกที่มี กาละวนในนี้ ก็จะมีสิ่งต่างๆในโลก เป็นความวนของสังขารโลก เราก็สัมผัสกระทบสิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เกิดรสเดิมอีกเลย นี่เรียกว่า มันนาน มันยั่งยืน ได้อีก จนกว่าจะขยายกัปป์ไป ก็ต้องขยายความอีก ไม่ว่าจะกัปป์ในช่วงชีวิตคน ตายแล้วไม่เกิดอีกคนหนึ่งอาจจะไม่นานเท่าไหร่ ก็สูญได้ แต่อีกคนหนึ่งก็ต้องอีกกัปป์หนึ่งถึงได้เป็นต้น
อ.สุดาว่า...สื่อเฉพาะสื่อสิ่งแวดล้อมสื่อเฉพาะกิจเป็นศิลปะโลกุตระอย่างไร
พ่อครูว่า...อาตมาเผลอพูดกว้างไป สื่อบุคคลคือนักบวชชาวชุมชนหรือนักเรียน กำหนดมาตามโจทย์นี้ดีอยู่ในกรอบ ไม่อย่างนั้นก็มากเกินไป
นักบวช สื่อให้นักบวชชาวชุมชนรู้ ชาวชุมชนก็หมายความว่าเป็นคนกลุ่มหนึ่ง เกินกว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่ชุมชนนี้ นักเรียนคือนักเรียนที่จะเรียนอยู่กับชุมชน ถ้าเกินกว่าชุมชนนี้ เราก็ไม่รับผิดชอบ แต่ถ้าเผื่อว่าเรา ใช้ชื่อว่าชุมชนก็หมายถึงกรอบชุมชนนี้ สื่อเรารับผิดชอบเท่านี้
สื่อระหว่างนักบวช ในฐานะนักบวช หรือชุมชน นักเรียนก็เป็นนักศึกษา ศึกษาอยู่ในเกณฑ์ที่มีรายละเอียด ตั้งแต่ชั้นประถมมัธยมอุดมศึกษา จนกระทั่งเป็น อาริยะ อาริยะก็ยังมี ขีดขั้นอีก นักเรียนก็ยังมีอีกหลายระดับ ก็เอานักเรียนจำนวน 1 ไล่ขึ้นมา ในชุมชนก็มีลูกหลานมีชาวชุมชน มีคนอเวไนยสัตว์ด้วย เขาก็อยู่ตามวิบาก เราก็ต้องรู้ว่าซื้อของเราเอาเท่านี้นะ
ถ้าเกณฑ์ของคุณเอาอรหันต์ คุณเอาจบเขตแค่อรหันต์ แต่ถ้าเป็นโพธิสัตว์ ก็ต้องขยายไปอีก ก็ต้องมีกรอบบริบทของคุณว่าจะเอาเท่าไหร่ สรุปแล้ว นักบวชก็ดี ก็คือคนในชุมชน นักเรียนก็คือคนในชุมชน ที่คุณจะสื่อรับผิดชอบ ถ้านอกเกินกว่านั้นแล้ว สื่อของคุณจะสื่อไปถึงไหม คนนอกได้ไหม อธิบายกับเขาได้ให้เขาเข้ามา
อย่างอาตมาสื่ออาตมาอธิบายไปถึงคนข้างนอกได้แต่รับผิดชอบจริงๆก็คือชาวอโศก ก็ได้เท่าที่อาตมาจะมี บารมี ที่จะขยายได้อีก อันนั้นไม่ใช่สิ่งรับผิดชอบ แต่คนอื่นนั้นสมัครใจมาเอง แต่เรารับผิดชอบในกรอบของเรา เพราะฉะนั้นจึงเป็นเกณฑ์ของนักบวช ชุมชนนักเรียน ที่เราจะ สื่อ นักเรียนก็คือ ตั้งแต่คนไม่เดียงสาไม่รู้เรื่องจนกระทั่งผู้รู้เดียงสาชั้นประถมมัธยม ก็มีการสื่อให้รู้ มีขั้นตอนของการรู้เป็นนักเรียน
เกณฑ์ของนักบวชก็มีเกณฑ์ของนักบวช ถ้าเราเอาธรรมะกับศีล 5 เป็นเกณฑ์กำหนด นักบวช จะบอกว่าศีล 5 ก็มีรายละเอียดอีก
อ.สุดาถามว่า สื่ออุปกรณ์สื่อสิ่งแวดล้อมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปสู่โลกุตละอย่างไร
พ่อครูว่า...ที่แยกว่าเป็นธรรมชาติแท้กับธรรมชาติที่สร้างสรรค์ ธรรมชาติแท้ก็คือธรรมชาติที่เกิดโดยที่ มันเป็นอุตุ หรือว่ามันจะเป็นพืช มันก็ปรุงแต่งตามที่มันมีสัญญาของมัน อย่างวัตถุมันไม่มีเป็นสัญญา มันก็มีแรงดูดแรงผลักเป็นแม่เหล็กไฟฟ้า มันก็จะเกิดตามแรงดูดผลัก จะสลายหรือรวมเป็นนิวเคลียร์ฟิวชันหรือฟิชชัน
ธรรมชาติที่สร้างสรรค์ก็หมายถึง ธรรมชาติที่คนมีความรู้ ธรรมชาติที่เกิดโดยคน ที่สร้างสรรค์ก็หมายถึง ธรรมชาติสร้างสรร หรือเราจะมีความเร็วเกินกว่าสร้างสรร พลังงานสร้างสระ พลังงานอุตุ มีดินน้ำไฟลม รวมหรือสลายตัว เราก็กำหนดขอบเขตที่ว่า เอาที่ว่ามนุษย์สร้างสรร กับสิ่งที่ ไม่ใช่มนุษย์สร้าง แต่มันก็เกิดจากพลังงาน อุตุ พีชะ สัตว์ หรือคน ที่ยังไม่ใช่อาริยชน เป็นแค่ปุถุชน ผสมปนเปกับส่ิงที่ไม่ได้สัดส่วนหรือได้สัดส่วน
ผสมกันเป็นสื่อ คอมโพซิชั่น สื่อมีอะไรบ้างที่จะเป็นวัตถุ แม้แต่คน ที่จะมีความรู้รับเอาสิ่งที่เราถ่ายทอดให้ เอาไปเผยแพร่ต่อ ก็เรียกว่าสื่อโดยคน สื่อโดยธรรมชาติหรือสื่อโดยวัตถุดินน้ำไฟลม แต่เรากำหนดดินน้ำไฟลมยากกว่า สื่อให้คนแล้วคนก็จะไป สื่อต่อ เราจะสื่อสารธรรมชาติที่สร้างสรรค์ เราจึงสื่อสารให้คนรับไป ให้คนเป็นพาหะถ่ายทอดต่อเผยแพร่ต่อได้ดี เราไม่เก่งขนาด ให้ธรรมชาติเอาไปเผยแพร่ต่อมันไม่รู้เท่ากับคน
3.การศึกษาของนักเรียนสัมมาสิกขามีกระบวนการใช้สื่อโลกุตระในกระบวนการบวรอย่างไร
พ่อครูว่า...การศึกษาของโรงเรียนสัมมาสิกขาก็มีเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย อนุบาลประถมมัธยม สูงกว่ามัธยมเป็นอุดมศึกษา ก็ขยับเป็นสามก็เลื่อนจาก ประถมมัธยมอุดมศึกษา ก็ถ้าจะเลื่อนสูงไปอีกก็ไม่นับประถม ไปนับมัธยมอุดมศึกษา เป็นปริญญาตรีปริญญาโท ถ้าเลื่อนขึ้นไปอีกก็ไม่เอามัธยม เอาปริญญาตรีโทเอกก็เป็น 3 อย่างนี้เป็นต้น ก็จะเป็นเรื่องของ การศึกษา หรือว่าโรงเรียนหรือแหล่งศึกษา
กระบวนการหมายถึงองค์ประกอบ ถ้าเป็น 3 จะมีพลวัต cyclic ได้ ถ้า3 เป็นต้น ถ้าสองจะเป็นแนวระนาบไม่เป็นพลวัต cyclic ได้ ถ้าแนวระนาบ เราก็ยังไม่เอามาพูด เราก็เอาสิ่งที่ปรุงแต่งขั้น 3 ขึ้นไป จึงจะเกิดเป็นพลวัต Dynamic เกิดเป็นสภาวะอะไรอื่นๆต่อไปได้เรื่อยๆ แล้วก็จะขยายเป็น 4 5 6 เป็นสามเส้าของวงเล็ก จนเป็นสี่เส้า ห้าเส้า เป็นเจ็ด แปด เก้า เป็นวงใหญ่ไปอีกซ้อนกันอยู่ภายใน เกินกว่าจะขยายความแล้ว เบื้องต้นก็เอาแค่ว่า การศึกษาก็มีเขตกำหนดที่เราจะกำหนด เอาแค่ไหน เอาสามเส้า ประมาณนั้นจะเหลื่อมกัน อนุบาลประถมมัธยม ก็เหลื่อมกัน หรือประถมมัธยมอุดมศึกษา ก็เหลื่อมกัน เลยไปอีก ขาดจากล่างไปหาบนไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่นับชั้นประถมก็มัธยม ไปเป็นปริญญาตรีปริญญาโท หรือเอาปริญญาตรีโทเอก ก็ทิ้งด้านล่างไป อย่างนี้ก็เรียกว่าอยู่ในกรอบที่เราจะให้การศึกษา
คำว่าศิลปะ สื่อก็ตามหรืออะไรก็ตาม องค์ประกอบที่มันเป็นศิลปะ หรือสื่อ สื่อก็คือประกอบขึ้นมาแล้วก็สามารถขยายผลไปหาผู้อื่นได้ด้วยเรียกว่าสื่อ
มันอยู่กับตัวของมันเองเรียกว่าศิลปะโลกุตระ กับศิลปะโลกียะ
ศิลปะของโลกิยะ มันมีขั้น อาจจะเรียกว่าศิลปะก็ต้องแยกศิลปะออกไปอีก 5 ขั้น
1 ลามก 2 ราคะ 3 สาระ 4 ธรรมะ ค่าโลกุตระ
เพราะฉะนั้นในระดับของลามก กับราคะ เขาไม่เรียกว่าศิลปะ ถ้าจะศึกษาเป็นความรู้ เป็นลามก ราคะ สาระ เพราะฉะนั้นเราก็ศึกษาสาระ อันที่ลามก ราคะก็เอาออก เป็นธรรมะคู่ สูงไปกว่านั้นไม่เอาแค่ราคะ ลามก ก็ขยับไปเป็นธรรมะ เป็นสาระที่เรียกว่า ราคะ สาระธรรมะ เป็นสามเส้า ทีนี้ธรรมะก็มีกุศล อกุศล อกุศลไม่ใช่ธรรมะ เอากุศลเริ่มเป็นธรรมะ
อาตมาแบ่งศิลปะ5 ขั้นนี้ คุณทิ้งลามก ราคะ ก็เป็นสาระที่ไม่เป็นแล้วราคะ มาเป็นธรรมะคือขั้นดีๆ จนดีเป็นโลกุตระก็มีลำดับเป็นโสดาบันสกทาคามีอนาคามีอรหันต์
การแบ่งโดยมีหลัก พลวัตรของสามเส้า เป็นตัวจัดสรรได้ เรียกว่าบริบทหรือปริเฉทหนึ่ง
เราจะพัฒนาคุณธรรม สังคมบวรอย่างไร
สังคมบวรนี้หมายถึงมนุษย์ สังคมมนุษย์ สัตว์ มนุษย์นั่นแหละ สัตว์เราก็อยู่ด้วยแต่ต้องจัดสรรป้องกันตัวเองอย่าให้เป็นพิษภัยต่อเรา เราก็อยู่กับมนุษย์
เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2563 ( 12:20:50 )
รายละเอียด
610126_พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ประชาธิปไตยไทยนิยม
สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 10 ค่ำเดือน 3 ปีระกา อาตมาเพิ่งเดินทางไปประชุมที่สันติอโศกมา ก็ได้ปรารภเรื่องงานวันอโศกรำลึกปีนี้ เป็นปีที่ครบรอบ 84 ปีพ่อครู เขาก็ตกลงกันว่างานอโศกรำลึกปีนี้จะย้ายมาจัดที่ราชธานีอโศก ก็คงจะสอดรับกับภาวะการณ์
ตอนนี้ที่กรุงเทพฯฝุ่นหมอกควันในอากาศมีมาก ถ้าจะให้ดีควรจะอยู่ในบ้านมากกว่า
ไปที่ปฐมอโศก งานครบรอบ 10 ปีการจากไปของหมอฟากฟ้าหนึ่ง ใครได้ติดตามก็จะรู้ว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ทำอะไรเพื่อผู้อื่นได้มากมาย จนพ่อครูได้รับรองว่า เป็นผู้ที่เข้าถึงมรรคผลได้ระดับสูงทีเดียว ก็คงจะได้รวบรวมต่างๆเป็นม้วนวีดีโอพิเศษ ให้เป็นการศึกษา
จากนั้นก็ได้ไปร่วมสัมมนา ศูนย์อบรมต่างๆของชาวอโศกที่มีทั่วประเทศ ไปร่วมกันห้าสิบกว่าคน ต่อไปศูนย์อบรมของชาวอโศก ก็คงจะได้เตรียมตัว ที่จะเป็นศูนย์ขยายผลศาสตร์พระราชาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ ให้ประชาชนได้เกิดความรู้ความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้
ก็คิดว่าอยากจะฝากเรื่องนี้ ให้ชุมชนต่างๆ ศูนย์ต่างๆที่กระจัดกระจายแยกย้ายไป ได้เข้ามารวมตัวกัน มาช่วยกันทำ แต่ละศูนย์ที่เราเคยช่วยงานกัน ปีนี้เป็นปีสำคัญของชาวอโศก ที่เคยผิดพ้องหมองใจกัน ก็ให้มารวมกัน พ่อครูเคยให้โศลกว่า ถูกผิดไม่สำคัญเท่ากับความสามัคคี เหมือนประเทศไทยตอนนี้จะตีกันตาย แต่ไม่รู้ว่าใครดีหรือไม่ดี
อาตมาดูศิลปิน แต่ก่อนนี้สนับสนุนพวกนายกฯ แต่ตอนนี้ ไปสนับสนุนพวกประชาธิปไตยแล้ว
ในหลวงเน้นว่าประชาธิปไตย คือพอเหมาะพอดี อะลุ่มอล่วยกัน
อยากจะฝากข่าวไปถึงญาติธรรม ตอนนี้น่าจะเข้ามารวมตัวกัน ทำชุมชนให้มีความสัปปายะ ตามอาวาสถานต่างๆ เตรียมรับญาติพี่น้องที่จะได้เข้ามาศึกษา คิดว่าคนเข้าใจพวกเราเพิ่มขึ้น
อาตมากลับจากระยอง มาขึ้นเครื่องที่อู่ตะเภา เจอนายทหารบอกว่าถ้าเกษียณแล้วจะมาอยู่กับพวกเรา เมื่อวานยังฟังพ่อครูอยู่เลย ท่านเดินดิน ท่านบินบน เขารู้จักหมด
พ่อครูว่า...ธรรมะที่พวกเราทำ เหมือนจุดขาวท่ามกลางฟ้าสีดำกว้างใหญ่ เราก็มาทำให้คนได้รับรู้จุดขาวได้เพิ่มขึ้น
พ่อครูว่า...มันมีขาวเพิ่มขึ้นบ้างไหม หรือว่ามันยิ่งดำเข้าไปใหญ่ มันจะต้องขาวขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย
sms
_8574 ช่วงนี้ชีวิตสงบสุข เป็นบุญที่มีโอกาสได้ฟังพ่อครูสาธยายธรรมที่ทะเลธรรม จ.ตรัง ขอรับ
_3867 ที่พ่อครูบอกสวรรค์นรกไม่มีในศาสนาพุทธคงหมายถึงสวรรค์แก้ว วิมานทอง ปราสาทเพชรเทวดานางฟ้ากับนรกกะทะทองแดงต้นงิ้วยมฑูตพญายมบ่มี!แต่ที่มีสวรรค์ในอก ฤาจิตหลงวิมานจมภพในทิฏสวะ!นรกในใจหลงทางยึดชาติติดอวิชชาสวะ!มีแน่ในพุทธถึงแก่นฯกระมัง?
พ่อครูว่า...ศาสนาพุทธ ไม่มีสวรรค์หรือนรก ผู้ที่ไม่มีสวรรค์หรือนรกก็เป็นพระอรหันต์ นรกคือไม่มีทุกข์ไม่มีสุข พ้นเป็นเนกขัมสิตอุเบกขา นั่นเป็นจุดสำคัญของศาสนาพุทธ หากยังมีสวรรค์นรกอยู่ก็ยังคือผู้ที่ยังไม่ใช่พุทธสมบูรณ์
ดับสวรรค์นรกได้หมดสุขหมดทุกข์ ด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงไม่มีกลับกลอกอีก จะกระทบลาภเยอะแยะ ยศมากมาย สรรเสริญนินทาไม่วูบวาบไม่ทุกข์ไม่สุข อุเบกขาอย่างอเนญชา ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือฐานของศาสนาพุทธ
แม้อนาคามีก็มีสวรรค์อยู่ในอก คือรูปภพอรูปภพ แต่ถ้าหมดภวานุสัย หมดอวิชชานุสัยก็เป็นพระอรหันต์ที่ดับอวิชชาได้สูงสุด
_Somkiat Prom · ติดตามฟังธรรมเสมอ ฟังแล้วเอาไปทำครับ สาธุ สาธุ สาธุ
สื่อธรรมะพ่อครู(พิธีกรรม) ตอน สวดธรรมบทพร้อมกันเป็นอาบัติ
_Sarayut Bunyago · ธรรมจักรกัปปวัตตนะสูตร สวดพร้อมกันไม่ได้ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่แล้ว เอามาสวดพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปให้ฆราวาส(อนุปสัมบัน)ฟัง อาบัติทุกคำสวด เพราะการสวดลักษณะนั้น ในมุสาวาทวรรค 1 สิกขาบทข้อที่ 4 ภิกษุสอนธรรม(สวด) สงฆ์หรือภิกษุรูปใด จะเอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาพูดกับประชาชน ก็ต้องเอามาพูดเองทีละคน คนเดียวเอามาพูด จะเป็นพระสูตรคือธรรมบท ก็ได้อย่างอาตมาพูดอยู่นี้บ่อยไป อาตมาก็สาธยายคนเดียว อย่างนี้เรียก สังวัธยาย อธิบายไปให้คนเข้าใจ ให้คนรู้เรื่อง อย่างนี้ได้
แต่ถ้าเอามาสวดพร้อมกันตั้งแต่สององค์ขึ้นไป ถ้าว่าพร้อมกัน สอนธรรมว่าพร้อมกันทำอย่างไรก็ต้องท่องกันทั้งคู่ ต้องซ้อมมาก่อน แล้วจะอธิบายอย่างไร นี่พยายามแปลงคำสอนจากบาลีนะ เพราะเขาสะดุดเหมือนกันว่า อย่าเอาธรรมบทของพระพุทธเจ้ามาสวดพร้อมกัน ต่อหน้า อนุปสัมบัน อันนั้นเป็น ปาจิตตีย์ทุกคำ เขาก็สะดุด ว่าพระสวดกันเป็นหมู่ ไม่มีอะไรก็ไปสวดมนต์พร้อมกัน คือมันเสื่อม ไม่เข้าใจว่าศาสนาพุทธ เรื่องสวดนี้สำคัญ เพราะในพระวินัยห้ามไว้เลย ว่าอย่าทำ เป็นวัฒนธรรมประเพณี ศาสนาไหนๆเขาก็ทำ พระพุทธเจ้าสร้างศาสนาของท่าน ท่านก็ออกวินัยห้ามไว้ว่าอย่าทำ ในพระวินัย ก็มี
การสวดอย่างนั้น 1. มันไม่รู้เรื่อง 2. มันจะคิดผิดว่า สวดแล้วจะได้สิริมงคล ได้คุณงามความดี เป็นบุญกุศล พากันสวดแต่ไม่รู้เรื่องว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร เอาไปปฏิบัติอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง กลายเป็นเรื่องหากิน ไม่มีอะไรจะทำแล้วพระทุกวันนี้ก็เลยท่องบทมนต์ให้ได้ เจ็ดตำนานสิบสองตำนาน ท่องได้มากก็ถือว่าเป็นพระดี ไปสวดในงานต่างๆ งานพระราชพิธีก็สวด ที่มันไม่มีประโยชน์มีแต่โทษ ทำให้คนเข้าใจผิด เสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ไม่คุ้มกันเลย
ถ้าสวดสังสาธยาย หรือสังวัธยาย อย่างที่อาตมาสวดนี้ก็ควรทำได้ สวดแล้วทำให้ บทความเข้าใจอธิบายให้เกิดการขยายความทำความเข้าใจ อุเทศ นี่คือผู้สอนธรรม เอาธรรมบทสอนธรรมตามที่ว่าก็สอนคนเดียว ปาจิตตีย์ข้อนี้อย่าเอาคำสอนพระพุทธเจ้า ธรรมบทมาสวดต่อหน้าอุปสัมบันพร้อมกันสองคนขึ้นไป อย่าทำ ซึ่งพูดไปเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก ไม่รู้เรื่องแล้วทำเฉย โพธิรักษ์มาพูดก็ว่ามาจากไหน เป็นใคร อาตมาก็บอกแล้วว่าอาตมาเป็นใคร อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเก่าแล้วมาเกิดในยุคนี้ พูดสิ่งที่ถูกต้องว่าสิ่งที่ผิดให้เปลี่ยนแปลงแก้ไข
ปาจิตตีย์ข้อนี้ไม่รู้เรื่องกันก็เลยละเมิดเป็นอาบัติ ไม่มีพระองค์ไหนเป็นพระปกตัตตะเลย เพราะไม่ได้ปลงอาบัติ สวดตั้งแต่เริ่มบวชเลย สวดธรรมบท
ส่วนประณามคาถานี้สวดได้ เป็นคำสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคำที่แต่งขึ้นมาใหม่ ชมเชยคุณงามความดีของศาสนา ก็ว่าไป เช่นสมัยโบราณเขารู้ดี ท่านเอาส่วนของธรรมบทในศาสนามาแต่งขึ้น
ยถาสัพพี เป็นตัวอย่าง บทยถาฯ ท่านก็สวดเองคนเดียว ยะถาวาริวะหา ฯ ไปจนจบ ก็ไม่อาบัติ แต่พอสวดสัพพีติโยฯ ก็สวดพร้อมกันหลายคน เป็นประณามคาถา สวดพร้อมกันได้ ไม่อาบัติเช่นกัน
นอกจากจะสวดยะถาสัพพี สวดบทนี้กันที่พระสวดกันอยู่ พร้อมกัน บทนี้สวดคนเดียวไม่อาบัติ ส่วนอันอื่นที่ต่อมา สัพพีติโย อาจารย์รุ่นหลังแต่ง ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ก็สวดพร้อมกันได้
ส่วนพวกพาหุง 8 มหากาฯ ภวตุสัพฯ ก็สวดพร้อมกันได้เป็นหมู่ ไม่อาบัติ แต่ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นธรรมบทแท้ๆ แต่สวดกันพร้อมกันเป็นล้านเที่ยว ก็ได้อาบัติหลายล้านเที่ยว ถ้าไม่ปลงอาบัติก็เป็นพระอปกตัตตะกันไปตลอด นี่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น ไม่ต้องพูดอีกหลายเรื่องเยอะแยะมากมาย หัวข้อนี้น่าจะเข้าใจได้ง่ายแต่เข้าใจกันไม่ได้ อาตมาว่าเรียนกันไปทำไม เรียนจนจะเป็นเปรียญ 9 เป็นด็อกเตอร์ ทำไมท่านตีความ ความถูกต้องของวินัยบทนี้ไม่ได้ อาตมาจึงเหมือนพูดอยู่คนเดียว คนเขาก็ทำแบบนี้กันมานานแล้ว น่าคิดนะว่า ความรู้ของศาสนาพุทธได้เสื่อมไปนานแค่ไหนแล้ว
แม้แค่นี้อาตมาก็ต้องมาแก้ความเสื่อมของศาสนา แล้วยิ่งความเสื่อมของศีล สมาธิปัญญา ก็ต้องมาแก้ เมื่อยๆ ทำมา 48 ปีแล้ว เหนื่อยจังเลย แต่เหนื่อยก็ต้องยอมทน คิดว่าไม่ยอมตายง่ายๆ จะบืนไป เพื่อให้เกิดการแก้ไข มีผู้รู้ทำตามได้อย่างชาวอโศก เป็นอย่างน้อยแล้ว
_Laiead Meenuan · อยู่ฮ่องกงชัดเจนมาก
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ทำอย่างไรจะชนะกิเลสกินไม่เป็นมื้อ
_จักรพันธุ์ สินธุ ถามปัญหาค่ะ....
1. กิเลสเรื่องกิน มันรู้หมดว่าอะไรดีไม่ดี อะไรควรไม่ควรกิน ควรกินกี่มื้อจึงพอดีแก่ตนเอง (ตั้งตบะไว้ 2 มื้อ) แต่ในทางปฏิบัติจริงไม่สามารถเอาชนะกิเลสได้(แพ้มากกว่าชนะ เช่น 1 อาทิตย์ทำได้แค่ 2 วัน นอกนั้นแพ้กิเลสตลอด) ควรทำอย่างไรจึงชนะกิเลสได้
พ่อครูว่า…พากเพียรทำต่อไป ล้มแล้วลุกๆ จนกว่ามันจะล้มแล้วลุกไม่ขึ้น ทำต่อไปเพียรให้สำเร็จ ข้อสำคัญทำแล้วต้องอ่านใจตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าทำไมเราผิดพลาดละเมิดก็รู้ ทำไมเราละเมิด ไม่กินแล้วจะตายหรือเปล่า ต้องสู้ ปัญญาก็จะรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่า มันผิดหนอ มันควรแก้หนอ ตามที่เรารู้ว่า กิเลสมันเล่นงานเรา เราก็เอาชนะมัน เพราะเราเรียนรู้ว่ากิเลสไม่มีจริงไม่เที่ยง ต้องพยายามอย่าให้เกิดในตัวเรา ที่มันมีอยู่เพราะเรายึดถือ ยึดติดเป็นอุปาทาน เราก็ใช้ปัญญาด้วย กดข่มด้วยเป็นสัญชาตญาณ แต่ต้องให้เกิดปัญญาด้วย รู้ว่าทำไมกิเลสมันเก่งกว่าเราหรือ เราทำไมไม่มีธัมมาธิปไตย ไม่มีอำนาจเอาชนะกิเลสให้ได้ ปัญญาจะเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิเคราะห์เข้าไปกิเลสจะลดลงได้บ้าง คุณจะแข็งแรงขึ้นมีประสิทธิภาพของความมีปัญญาเพิ่มขึ้น เป็นอุณหธาตุ
ปัญญาเป็นไฟฌาน ก็จะไปกำจัด ไฟราคะ โทสะ ไฟกิเลสไปได้เรื่อยๆ มันจะทำได้แม้จะนานเท่าไหร่ก็ตาม ปัญญาจะค่อยๆเกิด มันจะทำได้ จนกระทั่งปัญญามีประสิทธิภาพสูงสุด กิเลสมันอยู่ไม่ถาวรหรอก มันไม่เที่ยง มันจะต้องดับสิ้นไปจนได้ ก็ต้องมีปฏิภาณปัญญารู้ไปเรื่อยๆ
จริงๆแล้ว ปัญญาจริง มันจะเกิดยากกว่ากิเลสมากด้วย คุณไปสั่งสมกิเลสมาแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ แล้วคุณกำลังมาสร้างพลังงานปัญญา เพื่อจะไปแก้ไขกิเลส ที่มันมีอำนาจมาก ให้ล้มล้างกิเลสได้ มันต้องทำ เมื่อรู้สัมมาทิฏฐิแล้วฝึกฝนไป วันหนึ่งก็ต้องชนะ ถ้ายิ่งเราเพียรมากๆ มีความเฉลียวฉลาดลึกซึ้งดีก็จะไว ถ้าจะทำได้สมบูรณ์ไม่มีทางอื่น
2.ในการถามปัญหาแต่ละครั้ง ผู้ถามรอฟังคำตอนช่วงเวลาใดคะ
พ่อครูว่า…ก็บอกไม่ได้ไม่แน่นอน ก็ตอบได้ว่าตามโอกาส ตอบตายตัวไม่ได้ต้องตามฟังเสมอๆแหละ
สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ประเด็นอ.อัจฉราวดีวิจารณ์พระไทย
_สุชาดา สรหงษ์ ...กราบนมัสการค่ะ อยากทราบความเห็นของพ่อท่านเกี่ยวกับอาจารย์อัจฉราวดีที่กำลังเป็นข่าวดังตอนนี้ค่ะ
พ่อครูว่า…ในเว็บของเขามีรูปเขาด้วย และเขามีคำความว่า พระค่อนประเทศมอมเมาประชาชน (พ่อครูว่า...อาตมาว่าหมดประเทศแล้ว)