@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

อาศัย sms ในการสื่อสารกับโลกภายนอก

รายละเอียด

อาตมาบรรยายธรรมะปรมัตถ์ ดิ่งลึกไปมากๆเข้าก็จะตัดขาดจากโลกภายนอก จะได้แต่พวกเราเพียงกระจุกเดียว ก็จะอาศัย sms ในการสื่อสารกับข้างนอกบ้าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาตีทิ้งการนั่งหลับตาปฏิบัติ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ 


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:15:01 )

อาศัย นิสัย วิสัย มีลำดับเป็นอย่างไร 

รายละเอียด

คำว่าวิสัยนี้ลึกซึ้งมาก วิสัย มันมีอาศัยก่อน แล้วค่อยมีนิสัย แล้วจึงเป็นวิสัย แล้วลึกสุดเป็น อนุสัย 

อาศัย นิสัย วิสัย เป็น cyclic order ที่ยาก ที่จะต้องรู้ว่ามันมีลำดับ 

อาศัย คือเริ่มต้น มีอยู่นิดหน่อยไม่มากมายอะไร แต่เมื่ออาศัยแล้วได้มากขึ้น มีคุณภาพ มีความเป็นตัวเป็นตนหรือเป็นสิ่งที่ได้ ที่เป็น ที่มี สย คือรูป มากขึ้น เป็นตัวกลางของ อาศัย นิสัย จนกระทั่งถึง วิสัย ก็เริ่มรู้ขึ้นไปเรื่อยๆ 

ถ้าคุณไม่ได้เรียน คุณก็จะมีนิสัย แต่ก่อนคุณแค่อาศัย เสร็จแล้วอาศัยก็ไม่เท่าไหร่ แต่ ตัวจริงของคุณเป็นนิสัย แต่คุณไม่รู้จักนิสัย คนมาเรียนรู้การอาศัย แต่กลับกลายเป็น นิสัยของเรา เราใช้นิสัยโดยอวิชชา โดยไม่รู้ว่ามันมาจากไหน มันเป็นอย่างไร ขนาดไหน 

ก็ต้องเรียนรู้ด้วยวิชชาให้ยิ่งก็รู้นิสัยเป็น วิสัย เกิดฌานวิสัย เกิดญาณวิสัย รู้ความจริงเพิ่มขึ้น ๆๆ จนกระทั่งรู้ครบ รู้ละเอียดในวิสัยหมด ว่ามันเป็นกิเลสออกจากจิตแท้ ทำให้กิเลสดับไปหมดเหลือแต่จิตที่สะอาด ก็รู้จบ มีจิตสะอาดแล้วจากกิเลสอาสวะหมดอาสวะสิ้นแล้ว 

ก็แล้วแต่จะสะอาดที่ตกผลึกลงเป็น อนุสัย อันนี้เป็นตัวดีนะ 

สยะ ตัวน้อย อนุ เหลือ สยะ เอาไว้ เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักอนุสัยต้องดับอาสวะสิ้น เกิดปัญญาแท้ๆ เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ จึงจะกำหนดตัว สย ตัวนี้จนหมด สว เป็นตัว สย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบรูป 28 สู่เรือนาวาบุญนิยมพาพ้นไฟโลกีย์ วันพุธที่ 3 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 21:42:59 )

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

รายละเอียด

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย

สัย คือ สยะ ตัว สย อันนี้คือตัวต้นของ ส คืออักษรตัวที่ 5 ของเศษวรรค ย ร ล ว ส 

ย คือตัวแรกของเศษวรรค ตัวนี้เป็นตัวเล็กที่สุด ตัวน้อยที่สุด จึงเรียกว่าตัว อนุ เป็น อนุสัย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 1 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันจันทร์ที่ 5 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 11:41:54 )

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 

รายละเอียด

มาอธิบายคำว่า อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย อา เป็นตัวภาคเสธ เป็นตัวคู่ จับกันอยู่อาศัย

ผู้ที่สามารถเกิด อภิปัญญาขั้นอุภโตภาควิมุติ ดับอาสวะ อนุสัยสิ้นได้ มีแต่ปัญญาเป็นอภิปัญญา เป็นตัวจบ คุณก็มาอยู่ที่อาศัย พึ่งพาอยู่อาศัยตัวนี้ อยู่ไปด้วยอาศัยก็เป็นประโยชน์ ตัวตนไม่มี 

อาศัยแล้วคุณสั่งสม สย จนรู้จัก สย ดี หรือไม่รู้ นิ ถ้าคุณรู้ สยะ ดี คุณก็จัดการมันได้ ถ้าคุณไม่รู้ มันก็จัดการคุณ 

นิ แปลว่าไม่มันไม่ ส่วนมากมันก็จะโต่งมาทางไม่รู้ 

พอ วิสัย มันจะโต่งไปทางรู้ รู้มาก รู้ไปหมดเลย วิ ในส่วนของความเป็น นิ ในตัว ความเป็นไม่ แต่มันเป็นตัวที่มียิ่งๆ วิ ตัวนี้จึงเป็นสภาพคู่ เป็นหัวก็ได้เป็นท้ายก็ได้อยู่ในตัวเอง มีมุทุภูตธาตุ หรือสิริมหามายาที่มีปัญญาคุม จัดการ ต้องการใช้ด้านไหน ใน 2 นี้ได้อย่างเก่งเรียกว่า วิสัย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ผู้ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ทั้งหมด ผู้รู้ทั้งหมด รู้ตัวเอง วันศุกร์ที่ 16 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 11:40:33 )

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 

รายละเอียด

อาตมาเคยอธิบาย เป็น 4 คำ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 

อาศัย ก็คือ สิ่งที่เราต้องอยู่กับมัน อยู่ด้วยกันกับมันนั่นแหละ อย่างไรยังไงก็ต้องอยู่กับมัน เรียกว่าอาศัย อาศัยอยู่กับมันอยู่อย่างนี้แหละ 

จนกระทั่งสิ่งที่เป็นเรา สย คือเป็นเรา เป็นจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ เรียกว่า นิสัย ความเป็นเราอย่างไร เราเป็นคนอย่างไร ก็คือ เรามีนิสัยอย่างนั้น

เป็นภาษาที่เราคงเข้าใจคือสิ่งที่เราเป็นนั่นแหละ พฤติกรรมของเรา ความเก่งความไม่เก่งของเรา จะดีหรือจะเลว ก็เป็นนิสัยแบบนี้แหละ นิสัยเลว นิสัยดี อะไรก็แล้วแต่ เป็นอย่างนั้น 

ส่วน วิสัย นั้นก็คือ เป็นได้เก่งกว่านิสัย เลือกเฟ้นและฝึกตน วิ แปลว่า ไม่ ก็ได้ แปลว่า วิเศษ แปลว่า เจริญมากขึ้น ก็ได้ คำว่า วิ นี่ แปลว่า ไม่ ไม่ดี ก็ได้ แปลว่า ดี ดีเยี่ยมก็ได้ 

เพราะฉะนั้นคนควรจะทำสิ่งที่ดีเยี่ยม ไม่ใช่ไปเอาสิ่งที่ไม่ดีเยี่ยม ใช่ไหม วิสัย ต้องทำให้ดีเยี่ยมได้ จึงเรียกว่า วิสัย สูงกว่านิสัย 

วิสัยสูงกว่านิสัย จนเป็นอัตโนมัติ เป็นอัตโนมัติยิ่งขึ้นๆ จนเป็นเองเลย เรียกว่าเป็น ตถตา ก็คือ อนุสัย 

อนุ แปลว่า ตาม ก็ตามที่ตัวเองสั่งสมมาทั้งหมด จะเรียกว่าอาศัยอยู่ มีนิสัยอย่างนี้อยู่ มีวิสัยนี้อยู่ ก็คืออนุสัยนี้แหละ มันตามตัวเราไปตลอด จนกว่าเราจะปล่อยมัน  

อนุ ไม่ได้ เป็นเจ้านายเรา อนุสัย ไม่ใช่เจ้านายเรา มันเป็นตัวน้อยๆ อยู่กับเรา มันตามเราอยู่ มันไม่ไดเมีอำนาจเหนือเราเป็นอนุสัย เป็นตัวเราที่เรายังอนุโลม เอา อนุโลม มาใช้ก็ได้  เป็นตัวเราที่ยังอนุโลมให้มันมีตัวเราอยู่ อนุโลมอยู่กับตัวเราก็ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2565 ( 05:18:12 )

อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย 4 สัยเป็นไฉน

รายละเอียด

อาศัย เป็นเรื่องของสัตว์โลก เดรัจฉาน เกิดมาเป็นจิตนิยาม ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลล์มาจนกระทั่งเป็นสัตว์เซลล์เดียวมันยังไม่เป็นอะไร 2 เซลล์ขึ้นไปจึงเป็นปฏิกิริยา ขึ้นไป เป็น 3 ก็เป็น Cyclic เจริญขึ้นไปเป็นลำดับเป็น 4 5 6 7 ไป ก็อาศัยสภาวะ 

ถ้าเป็นจิตนิยามก็เกิดพลังงาน ระดับจิต พืชก็เป็นพลังงานในระดับพืช พีชนิยาม อุตุนิยามก็เป็นพลังงานในดินน้ำไฟลมซึ่งเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ทางโลกเขารู้ดี เขาศึกษา พีชนิยาม เขาก็ศึกษาชีวิตของพืชตามความหมาย แต่เขาจะไม่เข้าใจละเอียดลออเหมือนของพุทธที่แยกพลังงานอุตุ ตัดขาดพลังงานของอุตุตัดขาดกันตรงไหน 

อุตุนิยามไม่มีชีวะ เป็นพลังงานต่างๆ แสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้า ยังไม่เกิดอาการของชีวะขึ้นมา ในพลังงานพระอาทิตย์ พลังงานของเนบูลา พลังงานใน Galaxy ต่างๆเป็นพลังงานรวมที่ยิ่งใหญ่มาก ชีวะอยู่ไม่ได้มันไม่เกิดชีวะได้ Big Bang แตกพลังงานด้านนอกมาจับตัวใหม่ เป็นวงจรที่มีการเคลื่อนที่ ในตัวของมันเองขึ้นไปอีก ซ้อน จนกระทั่งมันเย็นลงจนกระทั่งอยู่ในระดับอุณหภูมิที่มีน้ำได้ มันผสมส่วนอยู่ในความร้อนที่มันร้อนจัดขนาดไหน อย่างเช่นพระอาทิตย์ก็จับตัวเป็นก้อนอยู่ได้ แต่ในนั้นมีแต่พลังงาน ไม่รู้ว่าคำนวณได้กี่ล้านองศาในพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ดวงที่เรารู้จักนี้ ซึ่งพระอาทิตย์ในจักรวาลอื่นก็มีอีก หลากหลายต่างๆ พลังงานขนาดก็ต่างๆกัน องค์รวมของมันก็อยู่ในนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาศัย ก็อาศัยตามองค์ประกอบของแต่ละสถานะ 

อาศัย นิสัย แล้วก็มาวิสัย แล้วจึงจะ อนุสัย

อาศัย จบไปแล้ว เราจะต้องอาศัยอยู่ แล้วก็พัฒนาให้เจริญขึ้นมา สิ่งที่มันเป็นโลกุตระสิ่งที่จะต้องให้ได้ยืนนาน คุณก็สั่งสม อาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง ทำซ้ำ repeat ทำซ้ำๆๆ ให้มันสะสมขึ้นไปเป็นนิสัย อาศัย สั่งสมเข้าไปจนกระทั่งเป็นนิสัย นิ แปลว่า ไม่ สย คือตัวตน

ประมาทไม่ได้คุณจะต้องทำให้ดี ให้เยี่ยม จนกระทั่งมันเยี่ยม ผ่านนิสัยขึ้นไปเป็นวิสัย ถ้าเราแบ่งเป็น 4 

1 2 3 4 ขั้นที่ 1 นี้แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ = 25%, ขั้นที่ 2 = 50%, ขั้นที่ 3 = 75%, ขั้นที่ 4 = เต็ม100% 

เพราะฉะนั้นอาศัยอยู่ที่ 25%, นิสัยอยู่ที่ 50%, วิสัยอยู่ที่ 75%, เป็นควอเตอร์ที่ 3 ถ้าแบ่งเป็น 4 ส่วน มันก็จะได้ส่วนที่ 3 เป็น วิสัย จากวิสัยแล้ว 

ถ้านิสัย อาจจะตกต่ำ แต่ไม่หลุดหรอก แต่ถ้าอาศัยนี้หลุดได้ วนเวียนได้ ไปสู่โลกโลกีย์ได้ อาศัย แต่ถ้าถึงขั้นวิสัย ไม่หลุดหรอก แต่ตกต่ำสูงๆต่ำๆสูงๆได้ ไม่ถึงกับหลุดหรอก อยู่นานเหมือนนางวิสาขา อยู่อย่างนั้นนานจะนานอีกเท่าไหร่ไม่รู้ ได้ เสพสุขหลงแช่อยู่ตรงนั้นเป็นเทวดาติดแป้น เป็นเมถุนสังโยคข้อที่ 7 ติดอยู่อย่างนั้น

แยกแยะระหว่าง นิสัย กับวิสัย มันก็เป็นขั้นตอน 

นิสัย มันประมาทไม่ได้ มันไม่ขึ้นสูงก็จะช้าอยู่ในนั้นจมอยู่ในนิสัย สยะ ตัวตน ตัวตนที่สมบูรณ์แบบก็คือ อนุสยะ อนุสัย อนุ แปลว่าเล็ก น้อย หรือต่ำ ก็มีประสาของความเป็นตนตามที่มีไปเท่านั้นเอง ผู้ที่มีตัวตน อาศัยตัวตนอยู่ พระอรหันต์ขึ้นไปเป็นต้น สามารถทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ก็อาศัยตัวตนไปจนกว่าจะหมดชีวิต ดับ ถ้าพระอรหันต์ที่ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ ไม่ต่อภูมิต่อภพ ตายแล้ว กายสเภทาปรัมปรณา แยกธาตุเป็นอุตุนิยามไปหมด ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน แต่ถ้าจะต่อก็ตั้งจิต ตั้ง สยะ อันนี้แหละเป็นวิสัยของผู้ที่ตั้งจิตเป็น สยะแปลว่าตัวเรา วิแปลว่ายิ่ง ทำตัวยิ่งตัวนี้ได้ ยังไม่ตาย ก็จะต่อจิตต่อสภาวะตัวเองไปต่อ พัฒนาพากเพียรบารมีบำเพ็ญ เป็นโพธิสัตว์ต่อไป 

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ได้เรียนรู้ทางโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้เรียนรู้โพธิสัตว์ ก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ แล้วเป็นพระอรหันต์ก็ไม่จบง่ายด้วย เป็นผู้ที่เรียนอรหันต์แบบครึ่งแบบส่วนเดียวจะเอาแต่อรหันต์ไม่เอาโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ง่ายจะเป็นโพธิสัตว์ก็ไม่รู้เรื่อง 

 

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 10:49:23 )

อาศัย อนุปาทินกสังขารเมื่อไร

รายละเอียด

จิตนิยามปัจจุบัน เราเป็นคน เราเป็นสัตว์โอปปาติกะที่ยังมีจิตนิยาม มีพลังงานธาตุรู้ที่เจริญด้วย ไม่ใช่ธาตุรู้ที่ไม่มีแรง แต่เป็นธาตุรู้ที่เจริญอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงสามารถทำให้พลังงาน ไม่ว่าส่วนใดๆของจิต ทำให้เป็นพลังงานอุตุได้ เป็นพีชะได้ เป็นพลังงานไม่มีกาย เป็นสังขารที่ไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิญญาณครอง ไม่มีเวทนา เป็นอนุปาทินกสังขาร ก็อาศัยอันนี้อยู่ 

อาศัย พลังงานสระอะ สระอา คุณเอาหัวอะ ออก เอาหัว อ.อ่างออกก็คือ 0 นี่คือรูปธรรมของภาษา ไม่ได้โมเมนะที่พูด เรื่องสัญลักษณ์ต่างๆของพยัญชนะ คือสภาวะที่ผู้รู้มาตั้งพยัญชนะขึ้น ก็เอาจากสภาวะทั้งนั้นแหละมาตั้ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2564 ( 15:19:08 )

อาศัยกันเกิดเป็นผล 4

รายละเอียด

ทุกสิ่งอาศัย 4 อย่างนี้เกิดเป็นผล

1. เหตุ (เค้ามูล) มีผัสสะกระทบ

2. นิทาน (เรื่องราว) มีการพิจารณาปรุงแต่ง

3. สมุทัย (ก่อเกิด) มีปฏิกิริยาตอบสนอง

4. ปัจจัย (ผลสืบต่อ) มีผลเป็นไป

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 10"มหานิทานสูตร"  ข้อ 58

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 13:04:22 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 12:35:36 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:14:36 )

อาศัยกันเกิดเป็นผล 4

รายละเอียด

ทุกสิ่งอาศัย 4 อย่างนี้เกิดเป็นผล

1. เหตุ (เค้ามูล) มีผัสสะกระทบ

2. นิทาน (เรื่องราว) มีการพิจารณาปรุงแต่ง

3. สมุทัย (ก่อเกิด) มีปฏิกิริยาตอบสนอง

4. ปัจจัย ผลสืบต่อ) มีผลเป็นไป

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 10 “มหานิทานสูตร” ข้อ 58


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 12:43:22 )

อาศัยความจริงใจที่จะเสียสละแม้จะมีวิบากกรรมก็ต้องยอม 

รายละเอียด

ที่อาตมาอธิบายแยกแยะเทวนิยมกับอเทวนิยมมันก็ล่อแหลมเสี่ยงข่มเทวนิยม เทวนิยมที่ถือตัวถือดีก็จะเพ่งอาตมา อาตมาต้องมีวิบาก ไปห้ามเขาไม่ได้ เขาก็ติดใจชิงชังเกิดพยาบาท อาตมาก็จำนนต้องอธิบายสัจธรรม ไม่พูดก็อมพะนำ เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นเราเป็นไงก็เป็นกันอาตมาจึงต้องยอมแม้ว่าจะมีวิบากกรรมอะไรก็ต้องอาศัยความจริงใจที่จะเสียสละ 

ความซับซ้อนอจินไตยนี้พระเยซูก็เสียสละ อาตมาก็เสียสละ แต่อาตมาจะเป็นอย่างพระเยซูหรือไม่นี่มันจะซับซ้อน ถ้าหากอาตมาไปพูดอย่างนี้ในดินแดนโน้นนั้นเป็นแน่ อยู่ที่ในแดนอิสลามยิ่งเสร็จ ทางด้านคริสต์ก็อาจยาวยืนหน่อย อยู่ในพุทธนี่ก็พอรอดตัว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาแยกแยะนามรูปได้เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2564 ( 21:47:11 )

อาศัยความมีกับความไม่มีเป็นอุบายเครื่องศึกษาได้อย่างไร

รายละเอียด

วิชาขี้หมูราขี้หมาแห้งที่เขาเห็นมันสำคัญมากในชีวิตของเขา เขาชำนาญวิชาใดเขาเก่งวิชาใดก็แล้วแต่ มันก็ภูมิใจในวิชาของเขา ซึ่งพระพุทธเจ้ามีทั้งนั้น ท่านก็ไม่เอา จบ มาเอาศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่รู้จักชีวิต จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะรู้อะไรเกิดอะไรดับ อะไรมีอะไรไม่มีอยู่ในโลก สุดสูงสุดแล้ว 

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนเรานี้จะศึกษาก็อาศัยอุบายเรื่องความมีกับความไม่มี เป็นอุบายเครื่องศึกษา ที่จะรู้ว่า อภินิเวสคืออะไร อาศัยความมีกับความไม่มี เท่านั้น 2 ภาษา นัตถิกับอัตถิ หรือโหติกับนโหติ เป็นเครื่องศึกษา สองคำนี้หรือสภาพ 2 คำว่าสภาพ 2 หรือภาวะ 2 จึงยิ่งใหญ่ที่สุด 

เมื่อสภาวะ 2 อย่างมาเปรียบเทียบกันแล้วเราจะรู้ว่าอันนี้คืออันนี้อันนี้คืออันนี้ รู้ 2 อย่างนี้เปรียบเทียบแล้วว่ามันไม่เหมือนกันนะ จบ รู้แล้วก็ ถ้าเราเกิดเป็นคนเราจะรู้ 2 อย่าง คนที่รู้ 2 อย่างแล้วก็คือคนที่ไม่มีตัวตนแล้ว แต่อาศัย 2 อย่างนี้อยู่ก็เท่านั้น เป็นสังขารธรรม ปรุงแต่งกันอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พญานาคมีจริง พญานาคไม่มีจริง วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 ธันวาคม 2564 ( 20:40:08 )

อาศัยความมีเพื่อจัดการความไม่มี

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคุณรู้แล้วสภาวะมันเป็นอย่างนี้ พยัญชนะมันเป็นอย่างนี้ พยัญชนะก็เหมือนกับมันมี แต่ตัวสภาวะจริงมันไม่มีหรอก คุณก็ไม่สงสัย คุณก็ไม่งง ว่าอาศัยความมี เพื่อจัดการความไม่มี ที่เป็นสภาวธรรม ที่เป็น  0 ที่จบแท้ คุณก็ทำสูญได้ คุณก็อาศัยสิ่งที่ให้มันมี โดยที่คุณจะไม่สงสัย คุณก็อาศัยมันไป อาตมาก็เคยอธิบาย อาศัย

อาสย จะเป็นอาศัย ก็ได้ ซึ่งมันเป็น ส รวมกันอยู่ ประชุมกันอยู่ ร่วมกันอยู่ ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นไปกับสิ่งนั้นสิ่งนี้เรียกว่า ส กับพลังงาน ย พลังงานตัวต้นของเศษวรรคเลย ซึ่งมันเล็กละเอียดเล็กน้อยกว่า ก กับ ว 

สย สว สก มันต่างกันอย่างไร แล้วไม่ต้องไปขยาย ส อย่างอื่นอีกเยอะแยะเลย มันก็ขยายความเป็นสภาวะสมมุติได้อีกเยอะแยะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 05:03:36 )

อาศัยฐานปรุงแต่งแค่พีชะสร้างความจบ

รายละเอียด

แล้วก็สร้างพลังงาน ขยายพลังงาน กระจายพลังงานสังขาร พีชะ ยังเป็นสังขาร ยังเป็นสัญญากำหนดรู้ มันก็ต้องเรียนรู้สังขาร เป็นวิชชา รู้จักสังขาร เป็นวิญญาณหรือไม่ใช่วิญญาณ ถ้ายังเป็นวิญญาณอยู่ มันก็ไปเป็น สัตว์ ถ้าทำแค่ไม่เป็นวิญญาณ มันเป็นแค่สัญญาและสังขารปรุงแต่งกันเป็นแค่ พีชะ แค่พืช ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีเวรมีภัยต่อ ไม่ก่อวิบากอะไรอีก ก็อาศัยฐานนี้เป็นฐานสำคัญ สร้างความจบ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ หรือทำอัตตสัมมาปณิธิ ก็ทำตัวเราให้หยั่งลงตั้งลงให้ถูกสัมมา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนสัมมาไว้หมด เยอะแยะ สัมมา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:17:04 )

อาศัยพระศาสดา หรือครูจึงเกิดหิริ โอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป

รายละเอียด

คือเพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพพระศาสดา เคารพอย่างแรงกล้า มีความรักย่างแรงกล้านับถืออย่างแรงกล้านี่เป็นข้อที่ 1  ปัญญามันจะมีคุณสมบัติแบบนี้  อาศัยพระศาสดา  สอนแล้วก็จะรู้จักว่าอะไร คือสิ่งที่เป็นบางสิ่งที่ผิดเราก็ละอายเราก็กลัว  ตัวอย่างที่แรงกล้าเลย นี่เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ 1  เป็นความจริงเข้าใจความจริงด้วยว่า ปัญญา ว่าสิ่งนี้ไม่ดี  แล้วเราอย่าไปแตะต้องอย่าไปเอาหากแตะแล้วเราต้องรีบถอน  ปัญญาของพระโสดาบันก็เหมือนกัน อาศัยพระศาสดา หรือ ครูจึงจะเกิดหิริโอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 13:09:42 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:44:03 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:15:17 )

อาศัยพระศาสดา หรือครูจึงเกิดหิริ โอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่เคารพพระศาสดา เคารพอย่างแรงกล้า มีความรักย่างแรงกล้านับถืออย่างแรงกล้านี่เป็นข้อที่ 1  ปัญญามันจะมีคุณสมบัติแบบนี้  อาศัยพระศาสดา  สอนแล้วก็จะรู้จักว่าอะไร คือสิ่งที่เป็นบางสิ่งที่ผิดเราก็ละอายเราก็กลัว  ตัวอย่างที่แรงกล้าเลย นี่เป็นเหตุปัจจัยข้อที่ 1  เป็นความจริงเข้าใจความจริงด้วยว่า ปัญญา ว่าสิ่งนี้ไม่ดี  แล้วเราอย่าไปแตะต้องอย่าไปเอาหากแตะแล้วเราต้องรีบถอน  ปัญญาของพระโสดาบันก็เหมือนกัน อาศัยพระศาสดา หรือ ครูจึงจะเกิดหิริโอตตัปปะ ความละอายเกรงกลัวต่อบาป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก  วันอาทิตย์ที่  17 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 17:44:38 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:42:57 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:15:55 )

อาศัยหรือหรือมี 1 ไม่เป็น 2 แล้วชีวิตก็สงบ

รายละเอียด

อาตมาสรุปไปแล้ว สวรรค์นรกคือภาวะของคนโง่ที่ไปหลงว่ามีความสุขมีความทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นอาการของคนโง่ ถ้าหากเข้าใจภาษาที่อาตมาพูดอย่างลัดคัดสั้น

ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็สามารถจบได้เลยเราอยู่อย่างที่เป็น 0 หรือเป็น 1 ไม่เป็น 2 แล้ว 1ก็เป็นสภาวะที่เป็นอย่างนั้น อาศัยหรือมี 1 คือ ชีวิตยังอยู่ยังไม่ตายก็ต้องมีอาศัย เราก็อาศัยอย่าไปเรื่องมากให้มีสอง มี 2 มันก็เกิดสงคราม เกิดความบวกความลบเกิดความดูดความผลัก เป็นอย่างโน้นอย่างนี้อีก ก็ใช้แค่อาศัยจะกินจะใช้อย่างไรก็เป็นหนึ่งไม่ไปทะเลาะอะไรกับใครไม่เป็นศัตรูอะไรกับใคร ไม่มีเรื่องราวอะไรมากมาย

การปฏิบัติดังนี้ปฏิบัติง่ายๆชีวิตก็สงบ เข้าใจทำได้ก็สงบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 19 วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2561

ที่ปฐมอโศก สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน สวรรค์คือภพชาติของคนโง่


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:51:55 )

อาศัยอัตตาแต่ไม่ติดอัตตาเป็นอย่างไร

รายละเอียด

รู้เท่าทัน อัตตา โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อาศัยอยู่เท่านั้นเองแต่ไม่มีกิเลสแล้ว ธรรมชาติธรรมดาโลกเขามี กาม แต่เราไม่มี โลกเขามีรูปแต่เราไม่มี เราร่วมกับเขาแต่ไม่ได้มีรส ไม่ได้ไปเสพติด ไม่ได้ไปแสวงหา ไม่ต้องไปอยากเสพอะไร มีก็อาศัยอยู่กับเขาเท่านั้นเองตัวเองไม่ต้องมี 

ความหมายของคุณ อัตตา 2 คุณหมายถึงอะไร เราอธิบายอัตตา 3 อยู่นี่ 

ฉะนั้นความเป็น อัตตา ถ้าคุณไม่เข้าใจ ตั้งแต่สุริยเปยยาล ข้อที่ 4 รู้จัก อัตตา จากการเรียนรู้ข้อที่1พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ในมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี และพระพุทธเจ้า สอนศีล ข้อ 2 ข้อที่ 3 เรียนรู้เรื่อง ยินดี ฉันทะ ข้อที่ 4 เรียนรู้เรื่อง อัตตา 

อัตตามี 3 คือ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา ลอกคราบแล้วไม่เหลือทิ้งอะไรไว้ แล้วก็เป็นธรรมะเป็นจิตที่สะอาดใส มุทุภูตธาตุ ที่ยิ่งใหญ่แข็งแรง มีอำนาจเหนือสิ่งเหล่านี้ เป็น วสวัตตี ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ หรือ อภิภุยยะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:54:41 )

อาศัยเกิดแล้วละเสีย 4

รายละเอียด

1. กายนี้เกิดขึ้นด้วย อาหาร อาศัยอาหารแล้ว พึงละอาหารเสีย

2. กายนี้เกิดขึ้นด้วย ตัณหา (ความดิ้นรนปรารถนา) อาศัยตัณหาแล้ว พึงละตัณหาเสีย

3. กายนี้เกิดขึ้นด้วย มานะ (ความถือดี) อาศัยมานะแล้ว พึงละมานะเสีย

4. กายนี้เกิดขึ้นด้วย เมถุน ควรละเมถุนเสีย การละเมถุนเรียกว่า เสตุฆาต (การฆ่ากิเลสด้วยอาริยมรรค)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 21 "อินทรียวรรค" ข้อ 159

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 13:10:35 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 19:20:32 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:19:48 )

อาศัยเกิดแล้วละเสีย 4

รายละเอียด

1. กายนี้เกิดขึ้นด้วยอาหาร อาศัยอาหารแล้ว พึงละอาหารเสีย

2. กายนี้เกิดขึ้นด้วยตัณหา (ความดิ้นรนปรารถนา)อาศัยตัณหาแล้ว พึงละตัณหาเสีย

3. กายนี้เกิดขึ้นด้วยมานะ (ความถือดี)อาศัยมานะแล้ว พึงละมานะเสีย

4. กายนี้เกิดขึ้นด้วยเมถุน ควรละเมถุนเสีย การละเมถุนเรียกว่า เสตุฆาต (การฆ่ากิเลส ด้วยอาริยมรรค)

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 21 “อินทรียวรรค” ข้อ 159


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 12:51:22 )

อาศัย“สัมผัส”เป็นตัวกระตุ้น ถ้าไม่มีสัมผัสมันก็เป็นได้แค่จินตนาการ!

รายละเอียด

คนทั้งหลายจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”จริงๆ ไม่ว่า “เทฺว”เล็ก“เทฺว”ใหญ่ อันคือ“วิญญาณ”หรือ“พระเจ้า”ที่เป็นอัตตา-อาตมัน  ที่สุดถึงขั้น

“ปรมาตมัน”หรือ“พระเจ้า”ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น จึงต้องศึกษาจากการ“สัมผัส”ภาวะนั้นๆ ทั้งภายนอก-ภายใน จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”นั้นได้บริบูรณ์สัมบูรณ์ถ้วนครบกันจริงๆ

แต่“เทฺวนิยม”นั้นไม่ได้“สัมผัส”ส่วนใดเลย ไม่ว่า“ภายนอก”หรือไม่ว่า“ภายใน” มีแต่ภาวะของ“จินตนาการ”กันเอาเองทั้งนั้น! 

หรือ“หลับตา”ปฏิบัติก็เท่ากันกับผู้ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น “เทฺว”

หรือไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า” คือ ไม่มี“สัมผัสกาย”ได้เลย

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 333 หน้า 248


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:32:32 )

อาสวนํ ขย

รายละเอียด

ผู้ถึงความดับของอาสวะ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 161


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:33:00 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:38:28 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:16:15 )

อาสวปริยาทาน

รายละเอียด

ผู้มีความสิ้นสุดของอาสวะ

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 261


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:32:24 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:39:15 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:17:36 )

อาสวสูตร

รายละเอียด

อาสวสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อสิ้นอาสวะ

 [123] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อความสิ้นอาสวะ ฯลฯ  จบ สูตรที่ 5

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 15:56:52 )

อาสวะ

รายละเอียด

1. อัตตาขั้นปลายสุดท้าย

2. น้ำดอง

3. สิ่งที่ไหลออกหรือสู่ , น้ำหมักดอง , กิเลสหมักดอง ซึ่งต่างหมายถึงว่าภาวะนั้นหยาบใหญ่ขึ้นถึงขั้นเป็นธาตุน้ำ[จากอากาศเริ่มเป็นอาโป]กันแล้ว แต่ก็ยังเกี่ยวกับภาวะสำคัญในตัวคน เป็นพลังงานออกฤทธิ์กับตนเองนั่นเอง

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 21 ,ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 136

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 77 – 78


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:31:41 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:40:36 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:16:51 )

อาสวะ

รายละเอียด

“อาสวะ”คือ กิเลสที่นอนเนื่องในจิตฝังสันดานอยู่

      จึงต้องชำระละล้าง“กิเลส”ออกไปจากจิตให้หมดสิ้น“อาสวะ” จะได้หมด“โง่”งมงาย หายซมซาน อยู่กับ“สุข” 

      “กิจ”ยิ่งใหญ่สำคัญในความเป็นคนคือ สิ่งนี้

      “อวิชชา”ซึ่งเป็น“ความไม่รู้”ที่พระพุทธเจ้าทรงแยก แยะไว้ คือ  (1)ไม่รู้ทุกข์  (2)ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์  (3)ไม่รู้
ความดับทุกข์  (4)ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
(5)ไม่รู้ในส่วนอดีต (6)ไม่รู้ในส่วนอนาคต (7)ไม่รู้ทั้งในส่วนอดีตและอนาคต (8)ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท ว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

      ถ้า“ดับเหตุให้เกิดทุกข์”ไปหมดสิ้น“อวิชชาสวะ 8”ได้ก็ถือว่า “จบกิจ”แล้วสำหรับเรื่อง“โง่”งมงายสำหรับมนุษย์

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 20:12:47 )

อาสวะ 4

รายละเอียด

อาสวะ 4 คือ กิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน, กิเลสเนื่องแตกตัวในก้นบึ้งจิต (เมื่อพ้นอาสวะจะเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ) 

1. กามาสวะ (กามที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

2. ภวาสวะ (ภพที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

3. ทิฏฐาสวะ (ความเห็นผิดที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

4. อวิชชาสวะ (ความหลงผิดที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 35  "จตุกกนิทเทส"  ข้อ 961, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 13:01:20 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 19:19:41 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:17:19 )

อาสวะ 4

รายละเอียด

อาสวะหยาบกว่าอนุสัย

อาสวะ มี 4 ข้อ

1.  กามาสวะ

2.  ภวาสวะ

3.  ทิฏฐาสวะ

4.  อวิชชาสวะ

(พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 961)

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ปฐมอโศก ครั้งที่ 30 วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน จนอย่างสุขสำราญเบิกบานใจ


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 17:01:43 )

อาสวะ 4

รายละเอียด

คือกิเลสที่หมักหมมอยู่ในสันดาน

1. กามาสวะ (กามที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

2. ภวาสวะ (ภพที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

3. ทิฏฐาสวะ (ความเห็นผิดที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

4. อวิชชาสวะ (ความหลงผิดที่หมักหมมอยู่ในสันดาน)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 35 “จตุกกนิทเทส” ข้อ 961


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 12:41:50 )

อาสวะ คือ

รายละเอียด

“อาสวะ”คือ จิตที่ยังมี“เชื้อ”ของ“ตัวตนขั้น“สวะ” อยู่ “เชื้อ”ที่เรียกว่า “อุปาทิ” 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ประกาศธัมมิกราษฎร์ต้องมีองค์ประกอบครบ


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2566 ( 11:20:59 )

อาสวะ สาสวะ อนาสวะ

รายละเอียด

อาสวะคือการหมักหมมกิเลส ตกตะกอนยิ่งเน่ายิ่งหมักดองเหมือนตัวจุลินทรีย์ กิเลสมันเล็กละเอียดกว่าจุลินทรีย์ สะสมหมักดองเน่าในเป็นอาสวะ 

สาสวะคือ ผู้ที่เริ่มมีสัมมาทิฏฐิแล้วเริ่มปฏิบัติธรรมลดอาสวะมาได้เรื่อยๆเป็นเสขบุคคลเรียกว่า สาสวะ ทำให้กิเลสหมักดองลดลง แต่เหลืออาสวะอยู่ ได้บางส่วนเรียกว่า เป็นผู้ที่มีส่วนแห่งบุญ เป็นผู้ลดกิเลสได้บางส่วนแห่งบุญ บุญกำจัดอาสวะได้บางส่วน ได้ส่วนแห่งบุญคือเสียกิเลสไป 

อนาสวะคือหมดอาสวะ สาสวะเป็นตัวกลาง อาสวะคือกิเลสเต็มๆ ก็เท่านั้นเองสามขั้นตอน แต่มีรายละเอียดจะเหลือมากเหลือน้อยอย่างไรก็เป็นรายละเอียดของสาสวะ เหลือมากเหลือน้อยหรือลดกิเลสได้มากกิเลสน้อยลงๆ จนไม่เหลือกิเลส หมดอนาสวะไม่มีอาสวะแล้วสิ้น
 

ที่มา ที่ไป

630313


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 03:44:59 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:45:10 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:18:20 )

อาสวะ เดียรถีย์

รายละเอียด

จึงไม่หนี ไม่ต้องไปเต๊ะท่า ทำงานเป็นปกติสามัญเลย แล้วมีจิตแววไว มีจิตเป็น มุทุภูตธาตุ มีจิตเป็นลหุตา สามารถที่จะจับสภาวะกิเลส สภาวะทำงานของจิต กำจัดกิเลสได้ หมดสิ้นสะอาด จนรู้ถึงความสะอาดของจิต และเป็น 0 ไม่มีแล้ว จบกิจตรงที่ 0 แล้ว ยังไม่ตายก็อาศัย ก็ต้องมีธาตุรู้ที่สะอาดที่จิตสะอาด เพราะฉะนั้นจิตสะอาดที่เป็นจิตตกผลึกเป็น จิตสมาหิตะ จึงไม่เหมือนสมาธิทั่วไป ที่สะอาดหรือไม่สะอาดไม่รู้ อาสวะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ 

เพราะฉะนั้นคำว่า อาสวะ จึงเป็นตัวตัดสิน ผู้ที่รู้อาสวะก็เพราะว่ารู้กาย รู้จิต รู้ธรรมะบริบูรณ์ ตามที่อาตมาเอา บุคคล 7 มาอธิบายให้ฟัง มี อุภโตภาควิมุติ ปัญญาวิมุติ  ทิฏฐิปัตตะ กายสักขี สัทธาวิมุติ สัทธานุสารี ธัมมานุสารี  บุคคล 7 ตั้งแต่ 2 ตระกูล ตระกูลศรัทธากับตระกูลปัญญา แต่ท่านไม่เรียกปัญญา ท่านเรียกว่า ตระกูลพุทธิจริต 2 ตระกูลใหญ่ จนกระทั่งสามารถทำ วิมุติได้ เป็นอันที่ 3 

ทีนี้ศรัทธาวิมุติ มันรู้ยากรู้ช้า แล้วก็ไปหลงติดยึดในศรัทธาวิมุติ ที่มันมิจฉา ซึ่งมันเป็นธรรมดาธรรมชาติของผู้ที่ไม่ใช่ว่าไปบังคับเขาไปข่มไปดูถูก แต่เขาต้องเป็น เขาจะไม่รู้ กว่าจะรู้ว่าวิมุติของพระพุทธเจ้าต้องลืมตา ต้องมีกาย แต่เดียรถีย์นั้นผิด ทิฏฐิปัตตะเป็นสาย ธัมมานุสารีจึงเป็นแก่นรู้ง่าย ปัตตะแปลว่าบรรลุตามทิฏฐิ ตามความเป็น ความเข้าใจจึงทำได้ ทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ 

เพราะฉะนั้น ทาง ศรัทธาวิมุติถ้าไม่รู้อริยสัจ 4 ทำให้อาสวะบางอย่างดับได้ เหตุแห่งทุกข์มันไม่รู้ดับไม่ได้ได้แต่สะกดจิตไม่ได้ดับเหตุ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ถ้าศรัทธาวิมุติสามารถมีปัญญาเข้ามาบ้าง จับกิเลสได้ดับสิ้นอาสวะได้ ก็จึงถึงจะขึ้นเป็น ทิฏฐิปัตตะ จากนั้น ถึงจะชัดเจนมีกายสักขี เพราะฉะนั้นผู้ที่มีกายสักขีก็จะสามารถทำให้อาสวะบางอย่าง หมดได้ ชัดเจนยิ่งขึ้นๆๆๆ เพราะฉะนั้นใน ทิฏฐิปัตตะ กับ กายสักขี นี่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเอาไว้ว่า จะไม่เหมือนกัน 

4. ทิฏฐิปัตตะ ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจถูกต้องแล้ว และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระผู้บรรลุโสดาปัตติผลขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตผลที่มีปัญญาและปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติจนเกิดปัญญาพละ

5. กายสักขี ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือผู้ประจักษ์กับตัวคือ ท่านที่ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาสวะบางส่วนก็สิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา  หมายเอาพระอาริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป  จนถึงเป็นผู้ยังปฏิบัติเพื่ออรหันต์ ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ ในงานพุทธาภิเษก คงจะได้อธิบายให้ละเอียดลออ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอธิบายจากพรหมชาลสูตรหรือว่าเอาจรณะ 15 วิชชา 8 มาอธิบาย ดูก่อนดูเหตุปัจจัยก่อน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2566 ( 14:40:38 )

อาสวะกับอนุสัย

รายละเอียด

ในทางกาม มันหยาบ เพราะฉะนั้น จะละได้ก่อน สัมผัสภายนอก ได้แล้วมันก็เหมือนมีภายนอกเหมือนกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ถ้าอยู่ข้างในเรียกว่า รูปราคะ ขั้นหยาบภายในก็ล้างอีก เรียก รูปราคะ หมดไปก็เหลือละเอียดเป็นอรูปราคะ คุณก็ลดล้างอีก เป็นอาสวะ ก็รูปราคะ อรูปราคะ ลดได้ก็จะมีมานะ ถือดี เราเองดี เป็นตัวตน ดีไม่ดีก็เป็น มานะ อติมานะ เป็นอุปกิเลส คุณก็จะติดอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าคุณลดลงได้อีก ก็จะเหลือเศษเล็กเศษน้อยธุลีละอองเป็นอุทธัจจะ ฟุ้งฝอย ละเอียดลอออยู่ อาสวะก็เป็นของที่รู้ในระดับนอกเลย  อนุสัยก็จะเป็นเรื่องภายในเลยเป็นเรื่องซับซ้อน อนุสัยมี 7 

  1. กามราคานุสัย (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) 

  2. ปฏิฆานุสัย (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด) 

คุณจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ รู้ว่ามีของลึกๆภายใน อนุ ตัวตนน้อยๆอยู่ภายใน เป็นตัวตน สยะ (สก สว สยะ) สยะ เป็นตัวต้นที่สุดเลย ย ร ล ว (ตัว ว คือ ปรุงแต่งออกมาจาก 3 ตัวแรก) ว ตัวนี้ไม่ใช่ สกะ สกะยิ่งหยาบ แต่สยะ นี้ตัวเล็กตัวเริ่มหมดอนุสยะ คือหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สยะ ตัวเล็กสุดเรียกอนุสัย หมดตัวนี้จบเลย เมื่อเหลืออนุสัย 7 ต้องมีทิฏฐิที่สมบูรณ์ หากไม่สมบูรณ์จะต้องทำให้สมบูรณ์ให้ได้ จนพ้นวิจิกิจฉานุสัย 

  1. ทิฏฐานุสัย (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) 

  2. วิจิกิจฉานุสัย (ความลังเลสงสัย ทำให้เนิ่นช้า)  ก็เรียนรู้ มานานุสัย ตัวตนที่ละเอียดลึกลงไป กลับตัว ภว คือรูปที่ละเอียดกว่ารูปราคะ อรูปราคะ 

  3. มานานุสัย (ความถือตัวทั้งหลาย)

  4. ภวราคานุสัย (ความใคร่อยากในภพละเอียด) เป็นรากฐานของราคะ ราคะมันรวมทั้งปฏิฆะเลย มันเป็นตัวผลักตัวดูดเลย ภวราคานุสัยหากหมดก็หมดอวิชชานุสัย ก็สิ้นสุด

  5. อวิชชานุสัย (ความไม่แจ้งในอริยสัจ)(พตปฎ. เล่ม 23   ข้อ 11)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 20:05:49 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 08:02:22 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:19:01 )

อาสวะคืออะไร

รายละเอียด

อาสวะคืออะไร ท่านเรียกว่ากิเลสหมักดองเหมือนน้ำหมักดองมีเชื้อยีสต์ ตัวพลังงานของความหมักดอง ถ้ามันมีสัตว์ก็เป็นตัวยีสต์ ถ้าเป็นนามธรรม มันก็เหมือนมีตัวเชื้อของมันอยู่ในนามธรรม แตกตัวอยู่ในนั้น เรียกว่าเชื้อ สังเสทชโยนิ แตกตัวเองอยู่ในโอปปาติกะ  

เชื้ออยู่ในจิตทั้งไร้สำนึกและใต้สำนึกทั้ง subconcious และ unconcious ถ้าคนที่ไม่มีบารมีควบคุมจิตไร้สำนึกไม่ได้ อาจจะควบคุมจิตใต้สำนึกได้ คนอินทรีย์พละอ่อนควบคุมจิตใต้สำนึกก็ไม่ได้ ควบคุมได้แต่จิตสำนึกว่า concious ธรรมดา คนที่อ่อนแอคนนั้นแม้แต่ concious ธรรมดา สำนึกสามัญธรรมดาเขาก็ควบคุมไม่ได้ กิเลสมันเหนือชั้นกว่า กิเลสมันก็ชนะควบคุมสำนึกของตัวเองไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นอาสวะก็คือสิ่งที่มันเป็นตัวไม่ดี ตัวตนที่ไม่ดี กิเลสาสวะ เป็นอกุศลจิตสั่งสมลงไปเรียกว่าอาสวะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:31:21 )

อาสวะต้องตัดจบด้วยตัวเอง ส่วนอนุสยะต้องระดับโพธิสัตว์

รายละเอียด

อาสวะ ยืดยาดกว่า อนุสยะ 

อนุสยะ จบ แล้วจบอย่างปลายเปิด นี่คือ เรื่องของพยัญชนะต่างๆ ยังมีอะไรค่อยๆแถมไปอีกทีละเล็กละน้อย 

อาสวะต้องจบด้วยตัวเองเป็นปลายปิด ส่วน อนุสยะ เป็นพระโพธิสัตว์ จะปิดหรือเปิดก็เป็นอมตบุคคล แต่อาสวะคุณต้องตัดจบเองนะ ถ้ามันเหลือเศษก็เป็นโมเมนตัมอย่างที่อธิบายไปแล้ว มีแรงเฉื่อยที่กว่าจะสูญเอง เป็นเหมือนอนาคามี 

ถ้าใครไปอยู่ที่ภพอนาคามีภูมิ คุณไม่เกิดอีกก็ได้ แต่มันยังไม่หมดทีเดียวนะ อีกตั้ง 5 อย่างในอนาคต อยู่ที่บารมีของแต่ละคน คนเร็วที่สุดก็เป็น อกนิษฐา ไม่เร็วสุดก็ไล่เป็น 

สุทธัสสา สุทธัสสี หรือไล่เป็น อันตราปรินิพพายี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 3 

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 สิงหาคม 2564 ( 07:47:16 )

อาสวะบางส่วน ย่อมสิ้นไปในที่ไหน

รายละเอียด

คำว่า อาสวะ   ความว่าอาสวะเหล่านั้นเป็นไฉน  อาสวะเหล่านั้นคือ  กามาสวะ  ภวาสวะ  ทิฏฐาสวะ  อวิชชาสวะ .    อาสวะเหล่านั้นย่อมสิ้นไป ณ ที่ไหน ทิฏฐาสวะทั้งสิ้นอันเป็น..  กามาสวะอันเป็น..  ภวาสวะอันเป็น..  อวิชชาสวะอันเป็นเหตุให้ไปสู่อบาย  ย่อมสิ้นไปเพราะโสดาปัตติ-มรรค  อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะโสดาปัตติมรรคนี้ กามาสวะส่วนหยาบซึ่ง..  ภวาสวะซึ่ง..  อวิชชาสวะซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น  ย่อมสิ้นไปเพราะสกทาคามิมรรค  อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะสกทาคามิมรรคนี้ กามาสวะทั้งสิ้น  ภวาสวะ  อวิชชาสวะ ซึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับกามาสวะนั้น  ย่อมสิ้นไปเพราะอนาคามิมรรค  อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอนาคามิมรรคนี้ ภวาสวะ อวิชชาสวะทั้งสิ้น ย่อมสิ้นไปเพราะอรหัตตมรรค อาสวะเหล่านี้ย่อมสิ้นไปในขณะอรหัตตมรรคนี้ ฯ ชื่อว่าญาณเพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น  ชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถว่ารู้ชัด  เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า  ปัญญาในความเป็นผู้มีความชำนาญในอินทรีย์ 3 ประการ  โดยอาการ 64 เป็นอาสวักขยญาณ ฯ 

ที่มา ที่ไป

เล่ม31/263 , เล่ม กุตระ/263)  ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 15:19:49 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:35 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:27:52 )

อาสวะเจริญและไม่เจริญ

รายละเอียด

ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ข้อ  [80] อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน ผู้ที่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ควรรังเกียจ @อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้ [81] อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวก เหล่าไหน ผู้ที่ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรรังเกียจ 1 ผู้ที่ประพฤติรังเกียจ สิ่งที่ควรรังเกียจ อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล 2 จำพวกเหล่านี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 17:36:18 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:48:43 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:19:26 )

อาสวะแตกต่างจากรูปภพ อรูปภพอย่างไร

รายละเอียด

กิเลสที่สั่งสมหมักดองไปเรื่อยๆเรียกว่า อาสวะ เหมือนหรือแตกต่างจากรูปภพอรูปภพ อาสวะ เป็นตัวชาติ ส่วนรูปภพอรูปภพ เป็นตัวภพอาสวะ เป็นตัวเกิดของจิตเจตสิกของตัวเราเองมาเกิด เกิดเป็นตัวอาสวะเจตสิก เมื่อเกิดแล้วภพกับชาติ มันเป็นคู่กัน ภพเป็นรูป ชาติเป็นนาม คู่กัน ก็จะไปด้วยกันแยกกันไม่ได้ ภพกับชาติแยกกันไม่ได้ มันเกิดไปด้วยกัน ภพกับชาติ เป็นสภาวะ 2 เป็นสภาวะคู่ เกิดด้วยกันไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นชาติหรือลักษณะเนื้อใน ภพคือ สิ่งที่ให้ชาติอาศัย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:33:41 )

อาสวะและอนุสัย

รายละเอียด

อาสวะนั่นก็แค่ระดับหนึ่งหมดอาสวะแล้วก็อยู่ในโลก หมดอาสวะแล้วเป็นอรหันต์ได้ และมีอนุสัยได้ ก็เคยอธิบายมาแล้ว อย่าไปบอกว่าพระอรหันต์หมดอนุสัย ไม่หมด ยังดำเนินอนุสัยได้ต่อ จนสุดท้ายเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังมีอนุสัย เป็นพระโพธิสัตว์แล้วก็ยังมีอนุสัย หรือจะบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังมีอนุสัย 

อนุสัยก็คือ สยะ ตัวตนที่มีตัวน้อยนิด หรือตามพระพุทธเจ้าตามพระโพธิสัตว์ที่อาศัยใช้ สยะ อันนี้เป็นสยะ อาศัย จึงเรียกว่าอนุสัย ใช้งานเท่านั้น  สลายเมื่อไหร่ก็ได้ สยะก็ดี สลายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะพ้นสวะไปแล้ว พ้นสักกะไปแล้ว เคยอธิบายสักกะ สวะ สยะ ต่างกันอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 14:30:47 )

อาสวะและอาสยะ ตัดได้กับอาศัยอยู่

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถรู้จัก 2 จิตที่ เป็น 2หน่วย ทำให้เป็น 1 หน่วย โดยไม่คิดระแวงว่า เทวฺ หรือจิต เป็นสิ่งลึกลับอะไร มันเป็นเหตุปัจจัยของกรรมกิริยาของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งมันเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของอะไรเลย มันเป็นพลังงาน 2 หน่วย 3 หน่วย สังเคราะห์กันเข้า จับตัวกันเข้าพีชะเป็นชีวะ พอรู้จิตนิยามเป็นพีชะ ก็ลดสุขลดทุกข์แล้ว ทำให้เป็นอุตุก็หมดไปเลยตอนเป็นๆนี่แหละ ทำให้จิตเป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมได้เลย มันมีก็มีไปเราไม่ได้ร่วมสังเคราะห์สังขารกับมันเลย มันจะดีหรือไม่ดี อร่อยไม่อร่อย ไม่มีค่าหรือมีค่า เราก็ตีทิ้งเลยว่ามันไม่มีค่าสำหรับเรา เราก็เห็นมันอยู่ไป คนที่ยังตกเป็นทาสมันต้องเกี่ยวข้องก็ไปเสียเวลากับมันอยู่ไม่เสร็จสิ้น นัยยะลึกซึ้งซับซ้อนพวกนี้ สามารถอาศัย ตัดได้กับอาศัยอยู่ เพียงแค่อาศัย ไม่ใช่ของเรา อาสยะ ไม่ใช่ทั้งอาสวะและอาสยะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ทุนนิยม‌คือ‌ ‌Infinity‌ ‌แต่‌บุญ‌นิยม‌​‌นี้‌ ‌0‌ ‌ยิ่ง‌กว่า‌ ‌0‌ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2565 ( 10:32:00 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

อาสวักขยญาณ คือ ต้องเป็นฌานที่ 4 ตั้งมั่น สะสมอเนญชาภิสังขาร หรืออนุรักขณาปธาน  จนจิตตั้งมั่น แข็งแรง เป็นสมาธิ ปัญญา สะสม อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา

คำอธิบาย

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก  วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก  วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 ตุลาคม 2562 ( 12:28:10 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:49:55 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:20:43 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:32:26 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:50:29 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:21:03 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

1. การลด หน่าย คลาย วาง จนสิ้นเกลี้ยงบริบูรณ์ไม่มีเหลือเศษ

2. ผู้มีญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

3. ญาณพิเศษสุดยอดที่มีเฉพาะในศาสนาพุทธที่เป็นสัมมาทิฏฐิมา-ตลอดสายจึงจะรู้ชัดตามที่มีที่เป็นจริงว่าอย่างนี้ ๆ ทุกข์  อย่างนี้ ๆ ทุกข์สมุทัย  อย่างนี้ ๆ นิโรธ  อย่างนี้ ๆ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(มรรคมีองค์- 8)  อย่างนี้ ๆ อาสวสมุทัย  อย่างนี้ ๆ อาสวนิโรธ  อย่างนี้ ๆ อาสวนิโรธ-คามินีปฏิปทา 

4. ญาณรู้จักรู้แจ้งเห็นจริงในความหมดสิ้นเหตุเชื้อสุดท้ายแห่งการเกิดคือกิเลสาสวะ

5. ความรู้การสิ้นไปของอาสวะ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 312 , คนคืออะไร? หน้า 261 , 279 , พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 23 , 40 , 90


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:29:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:44:06 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:23:35 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

ญาณที่รู้การหมดสิ้นอาสวะของตน

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 14:31:43 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:43:55 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:23:51 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

การระลึกถึง จุตูปปาตญาณ สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเก่าก็ตาม เราทำได้แล้วยัง ดับสนิทแล้ว หรือเหลือน้อย ก็ทำต่อ เพิ่งรู้ตัวจบ จบคือ สิ้นอาสวะ ก็ต้องรู้ว่าจิตที่เป็นกิเลส อาสวะ อาสวะ จริงๆนี้ก็คือ เครื่องที่ตกผลึกอยู่ในจิตเรา ท่านแปลว่าน้ำหมักดองในจิตเรา จะมีปฏิกิริยาของสิ่งหนึ่งที่มีแล้วจะมีเชื้อทำงานอยู่ มีน้ำเชื้อ อาสวะคือน้ำเชื้อ และเป็นน้ำเชื้อที่ดีที่เป็นโลกุตระที่ทำงานอยู่กับเรา เป็นตัวไวรัส เดี๋ยวนี้ก็เป็นโควิด

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:01:02 )

อาสวักขยญาณ

รายละเอียด

ตรวจสอบ อาสวักขยญาณ ไม่ว่าจะอาสวะใน อบายมุข กามคุณ 5 หรืออัตตาก็ตาม คุณก็จะรู้เหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ,ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวข้องกับข้าวของ ,ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวข้องกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อย่างนี้เป็นต้น คุณก็รู้สภาวะที่เกี่ยวข้องกันสัมพันธ์กันทั้งนั้นเลยแล้วก็เกิดเป็นสภาวธรรมในจิต ซึ่งก็มีตัวจริงกับตัวปลอม ตัวดีกับตัวเก๊ เรียกว่าสิ่งที่มี 2 เทวะ คุณก็ล้างตัวเก๊ เหลือแต่ตัวจริงไว้อาศัย แม้ตัวจริงที่คุณได้อาศัยมันก็เป็นสิ่งที่จะกลับมาช่วยในสิ่งที่คุณจะอาศัยมัน เมื่อคุณรู้ว่าอาศัยไว้ได้ แล้วก็ใช้การอาศัยนั้นทำงานไปเท่านั้น โดยคุณเข้าใจแล้วไม่สงสัยเพราะมันหมด “อากังขา” กังขะแปลว่าสงสัย อากังขาสงสัยไปยึดมาเรียกว่าอากังขะ หมดสงสัยแล้ว ไม่มีการสงสัยมีแต่สยะ หรือ ลยะ โดยไม่มี อา มีแต่ ลยะ

ลยะ แยกพยัญขนะเป็น ละ กับ ยะ

ส่วน สยะ คือพยัญชนะ ส เป็นพลังงานในระดับที่ 5 ย ล ร ว ส ตัวที่ 5 เป็นตัวกลางของขั้วละ 4 ขั้วละ 4 

ยะ เป็นตัวแรกของเศษวรรค ย ร ล ว ส 

ย ร ล เป็น 3 ตัวแรก ลยะ นี้ ยังละเอียด แต่ สยะ นี้ หยาบกว่า ลยะ เป็นเศษวรรคเอามาใช้ ส นี่มันใหญ่หยาบกว่า ล ถ้า ส มันวง 5 ส่วน ล วงที่ 3 

ยิ่ง ส มาบวกกับ ย ก็หนาแน่นกว่า ล  ย มีตัวตนมากกว่า ล

นัยะละเอียดเหล่านี้อาตมาไม่ได้เดาแต่มันละเอียดมากที่จะเป็นสภาวะมาสื่อเป็นพยัญชนะ อธิบายให้ฟังนี้ก็ต้องดึงของเก่ามา ไม่มีในตำรานะในยุคนี้ อาตมาไม่ได้เรียนตำราแบบพวกคุณ แต่อาตมารู้ถึงรากเหง้า รู้ละเอียดกว่าพวกคุณ จนคุณไม่สามารถฟังอาตมารู้เรื่องมันละเอียดถึงปานนั้น แต่พวกคุณฟังได้นะ แล้วเลอะเทอะสับสนไหม? ..ไม่

พูดเอาใจอาตมาหรือเปล่า? ..เปล่า เข้าใจได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาพาตีทิ้งการนั่งหลับตาปฏิบัติ วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ 


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 22:09:54 )

อาสวักขยะ

รายละเอียด

ความสิ้นอาสวะ

หนังสืออ้างอิง

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 90


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:27:28 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:44:47 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:24:08 )

อาสวา ปริกฺขีณา

รายละเอียด

สิ้นอาสวะ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 35


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:26:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:45:35 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:24:27 )

อาสัย

รายละเอียด

1. ที่พัก , ที่พึ่ง , สภาพจิตที่นอนอยู่[รากศัพท์เหมือนอนุสัย] , กิเลสที่ไหลไป ซึ่งก็คือชีวิตที่ยังมีกิเลสพักอยู่กับตน และตนก็พึ่งอยู่ มันก็ย่อมพาเราเป็น พาเราไปกับมันอยู่นั่นแหละ

2. ที่เป็นอยู่ , เจตนา , ความมุ่งหมาย

3. ใช้จิตใจเป็นที่เป็นไป – อยู่ไป – ทำไป – สุขไป – ทุกข์ไป – พักไป ตามที่เรามุ่งหมาย

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 77 , 99,277

 


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:25:51 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:46:52 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:25:35 )

อาสโภ

รายละเอียด

กล้าหาญหนอๆ เป็นคำบาลีที่แปลว่าผู้ที่อาจหาญแก้วกล้าในสิ่งที่ยิ่งใหญ่

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:59:37 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:51:28 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:26:02 )

อาสโภ

รายละเอียด

คนที่ตำหนิผู้อื่นได้ ต้องมีปัญญา ต้องมีสัจจะมีความจริง ต้องมี อาสโภ มีความกล้าหาญ ความเข้าใจ ต้องมีความจริงที่มั่นใจ คนติคนอื่นแล้วโดนศอกกลับก็มีเยอะ อาตมาเดี๋ยวนี้ตอนนี้เขาก็เห็นเงียบไป ตอนแรกก็เห็นเถียง อาตมายืนยันด้วยพระไตรปิฎก ตอนนี้ก็เงียบเสียง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:45:18 )

อาสโภต่างกับมังกุ

รายละเอียด

คุณจะแก้ต่างให้มหาบัวที่อาตมาตำหนิ มหาบัวจะไปกล้ากล่าวว่าตัวเองเป็นอรหันต์ได้อย่างไร เพราะตัวเองไม่ได้เป็นอรหันต์ ไม่กล้า ไม่มีอาสโภพอหรอก แต่บอกเป็นนัยๆเหมือนกันว่า บอกเป็นนัยๆว่าพี่ไปหลายวัน ก็เป็นในนัยยะอย่างนั้น คือท่านมีความเป็น มังกุ ไม่กล้าประกาศ ไม่มีอาสโภ ฟังอาตมาให้ดี อาสโภ เป็นลักษณะความจริงของมนุษย์ มังกุ อุทธัจจะ ก็เป็นความจริงของมนุษย์อย่างนั้น 

เขาไม่มีความจริงในตัวของเขา ไม่มีความแกล้วกล้าอาจหาญเพราะไม่มีความจริงที่จะพูดออกมาอย่างนั้นได้ จริงๆเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะฉะนั้นเขาไม่กล้าพูดหรอก จริงๆหลอกคนอื่นอยู่ แต่ตัวเองหลงใหล หลงเลอะด้วย แล้วตัวเองก็เผลอไปด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลอกตัวเองด้วยไม่รู้ตัวเอง เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เอาอันนั้นมาตีราคาว่าตัวเองได้รับความยอมรับ ยินดี ถ้าไม่ได้รับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเป็นเครื่องประกัน เป็นเครื่องรับรอง จะไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็น ตัวเองมี ตัวเองได้หรอก 

เหมือนกับอาตมาไม่มี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มารับรองเลย แต่อาตมาไม่มีปัญหา เพราะอาตมาเป็น อาตมาเน้น ยืนยันด้วย ไม่ได้ไปน้อยใจ ไม่ได้ไปเสียใจ ไม่ได้ไปเห็นว่า เขาดูถูกดูแคลน  ไม่มี ชัดเจนด้วยซ้ำว่าเรายังทำให้เขาเข้าใจไม่ได้เนาะ ทำให้คุณเข้าใจได้ประมาณพวกเราพวกคุณนี้เข้าใจ นอกนั้นเขายังเข้าใจไม่ได้ เราก็รู้ว่าเราพยายามจะทำอย่างไรให้เขาเห็นความจริงให้ชัด ให้ลึก ให้เขาเกิดปฏิภาณปัญญาขึ้นมาเห็นความจริงเลยว่า ความจริงมันเป็นเช่นนี้ ซึ่งมันเป็นโลกุตรธรรมที่อาตมาชัดเจนอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2566 ( 19:19:21 )

อาสโภพูดอย่างแกล้วกล้าเรื่องบุญ

รายละเอียด

คนต้องการสิ้นบุญ คนที่ต้องการบุญมาใช้อยู่คือเป็นคนที่มีกิเลส คนที่ยังต้องการสร้างพลังงานบุญให้แก่ตัวเองสร้างกิโยตินตัดคอกิเลส คุณสร้างได้ก็ทำได้ คนทำไม่ได้ก็ไม่มีทางประหารกิเลส บุญพลังงานที่ยิ่งใหญ่แต่ไม่ใช่พลังงานที่เป็นคนสอนมันเป็นตัวร้ายมันเป็นตัวฆ่าเป็นนักฆ่า ฟังแล้วกระเทือนใจกันไหม ไปหลงสะสมบุญกันมานานเท่าไหร่แล้ว มีแต่อาตมามาพูดอย่างนี้ พูดอย่างอาสโภ อาจหาญแกล้วกล้า

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2563 ( 20:28:38 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 14:53:42 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:35:34 )

อาหาร

รายละเอียด

ธาตุแท้ ๆ ตรง ๆ ที่จะนำมาเป็นอุปกรณ์ที่จะปรุงแต่ง ประกอบการให้พลังงาน


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2562 ( 21:22:20 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 21:51:49 )

อาหาร 10

รายละเอียด

อาหาร 10 มี วิชชาวิมุติ อวิชชา มันเป็นอาหารที่เลวคืออวิชชา ผู้ที่เข้าใจอาหารคืออวิชชา แล้วมีอวิชชา ไม่รู้จักอวิชชาแล้วสั่งสมอวิชชาอย่างโง่ๆ คุณจึงมีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร เมื่อคุณมีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร คุณก็ได้ทุจริต 3 เป็นอาหาร เมื่อคุณมีทุจริต 3 เป็นอาหาร คุณก็มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ของคุณ ตามความทุจริตของคุณ ก็ได้สำรวมอินทรีย์ 6 โดยไม่สำรวมอย่างสัมมาทิฏฐิ สำรวมอย่างโลกๆที่มันหลอก เห็นตากระทบรูปก็ไปหลงตามตา ได้ยินเสียงที่หูก็หลงที่หูกระทบเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรสก็ทั้งนั้นเลยไปหลงตามโลก หรือไปหลงลาภยศสรรเสริญสุขตามโลกเขาไป 

อินทรีย์ของคุณที่คุณสำรวมแบบนั้น ไปแย่งชิงอะไรแบบนั้น สติสัมปชัญญะของคุณก็มีแบบสติคนที่อวิชชา สติคนชั่ว สติคนหลง เมื่อคุณมีสติสัมปชัญญะแบบคนหลง คุณก็ทำใจในใจอย่างโง่ๆ มนสิการอย่าง อโยนิโส มนสิการอย่างไม่ไปแก้ปัญหาคือกิเลส มีแต่ไปเสริมกิเลส อโยนิโสมนสิการ คุณก็ไปได้ผล และคุณก็ไปหลงศรัทธาเชื่อมั่นในผลที่ผิดๆนั้น อโยนิโสมนสิการ สั่งสมความไม่ดีทั้งนั้นมาหมด 

เพราะคุณฟังสัทธรรมไม่บริบูรณ์ คุณฟังอาตมาฟังไหม แล้วบอกว่ารู้แล้วไม่เอา เขาบอกว่ารู้แล้ว แม้ว่าจะน่าฟัง ฟังนิดนึงแต่ไม่เอา แม้จะฟังแล้วฟังอีก ไปปฏิบัติจนบรรลุจะรู้ว่าอีกเยอะนะ มันจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าฟังธรรมไม่บริบูรณ์ก็เลยไม่มีศรัทธาที่บริบูรณ์ ความเชื่อไม่บริบูรณ์ความเข้าใจไม่บริบูรณ์ เพราะไม่คบสัตบุรุษที่บริบูรณ์ อาตมาประกาศตนเป็นสัตบุรุษ เชอะ ไม่เชื่อ ไปเชื่อมหาบัวเป็นสัตบุรุษ ธัมมชโยเป็นสัตบุรุษโน่น แล้วยกย่องนับถือกันในระดับประเทศว่าเป็นสัตบุรุษ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาธรรมต้อนรับปีใหม่ 2566 งานตลาดอาริยะครั้งที่ 41 วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2566 ( 15:22:36 )

อาหาร 10 

รายละเอียด

อาหาร 10 

1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ.. การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง 

2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ.. ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ) 

3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ.. การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น) 

4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ . 

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น). .เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์ 

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต) 

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5 

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา 

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา 

(พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 62) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สันติอโศก ผลงาน 50 ปี ตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ของพ่อครู วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ปี 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2566 ( 11:46:55 )

อาหาร 4

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอาหาร 4 ถ้าคุณสำเร็จบรรลุในอาหาร 4 คุณจะบรรลุทั้งหมดเลย 

1. กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2. ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4. วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . 

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244) 

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรมบ้านราช เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563

หนังสืออ้างอิง

ปุตตมังสสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 241-244


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 13:09:03 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:15:00 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:28:33 )

อาหาร 4

รายละเอียด

อาหาร คือ เครื่องค้ำจุ้นชีวิต(เครื่องอาศัยของสัตว์ในโลก) 

1. กวฬิงการาหาร (คำข้าวเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต, อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) พึงกำหนดรู้ความยินดีในกามคุณ 5

2. ผัสสาหาร (ผัสสะเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต, อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) พึงกำหนดรู้ในเวทนา 3

3. มโนสัญเจตนาหาร (จิตเจตนาเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต, อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) พึงกำหนดรู้ในตัณหา 3

4. วิญญาณาหาร (ความรู้แจ้งอารมณ์เป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต, อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป   อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่  
มี/ไม่มีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์และความคับแค้นก็ได้) พึงกำหนดรู้ในนามรูป

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 16  "ปุตตมังสสูตร" ข้อ 240, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2562 ( 13:14:33 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 19:18:44 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:29:06 )

อาหาร 4

รายละเอียด

คือ 1.กวลิงการาหาร 2.ผัสสาหาร 3.มโนสัญเจตนาหาร 4.วิญญาณาหาร

หนังสืออ้างอิง

 “คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 269


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 14:36:27 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 19:17:06 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:29:34 )

อาหาร 4

รายละเอียด

1. กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2. ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) ท่านเปรียบว่าเหมือนวัวไม่มีหนัง มีแต่เนื้อกับน้ำเลี้ยงทั้งตัวเลย เดินไปแตะอะไรก็แสบ ถูกอะไรสัมผัสก็มีปฏิกิริยา คือผัสสาหารของคนที่อวิชชาแต่ไม่รู้ตัวว่ามีทุกข์ วัวที่ไม่มีหนังหุ้ม มีแต่น้ำเลี้ยง มันทุกข์ไหม? เหมือนคุณหนังถลอก ไปแตะอะไรก็แสบ คัน รับเชื้อได้เร็วมากเลย ทุกข์ทรมานขนาดนั้นแต่ไม่รู้ทุกข์ 

3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

4. วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . 

ทั้ง 4 อาหารคือคนอวิชชาทั้ง 4 ตัวเองทุกข์เจียนตายแต่ไม่รู้ตัวเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

 ปุตตมังสสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 241-244


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2562 ( 21:42:34 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 11:03:37 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:30:04 )

อาหาร 4

รายละเอียด

1.กวลิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

2.ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

3.มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) มีกามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นตัณหาที่ไม่มีภพ เป็นภาษาสิริมหามายา คือไม่มีแล้วซึ่ง กามภพ รูปภพอรูปภพ แต่อันนี้ กามตัณหาหมด ภวตัณหาหมด แต่วิภวตัณหานี่ ที่หมดก็หมดที่มีก็มีอย่างยิ่งคือตัณหาที่ไม่มีภพแล้ว แต่มีตัณหา อย่างพระพุทธเจ้า อรหันต์ทุกองค์ก็ใช้วิภวตัณหา ดับกามภพ รูปภพ อรูปภพแล้ว แต่ตัณหา วิภวตัณหายังมี มันลึกซึ้งซับซ้อน ตัณหาคือความอยาก อยากสอนเขาอยู่ อย่างอาตาใช้ตัณหาตลอด คนก็หาว่าไปอยากอะไรอีก อาตมาไม่มีกามภพ รูปภพ อรูปภพ เช่นอาตมาไม่เคยอยากกินข้าวไม่เคยอยากหิวน้ำ มีแต่ร่างกายโหยก็เท่านั้น ยิ่งน้ำนี่ไม่เคยกระหายเลย มีแต่คนเอามาให้ดื่ม ก็พูดความจริงให้ฟัง จิตไม่ได้อยาก ถึงเวลากินก็กิน มันแน่นท้องก็กินเข้าไปยาก ไม่แน่นท้องก็กินเข้าไปได้ไม่ได้อร่อย รสอร่อยโลกียรสอาตมาไม่มีแล้ว แต่ความอร่อยหรือไม่อร่อยคุณต้องดูอาการของความอร่อยกับที่มันไม่อร่อย หรือว่าที่อร่อยมากกับอร่อยน้อยก็ต่างกัน คุณก็ต้องลดลงมาให้เบาบางจนไม่อร่อยเลย มันกลางๆ หรือว่ามันไม่อร่อยเพราะว่ามันผลัก ผลักกับดูดคู่กันสองข้าง แต่นี่ไม่ผลัก อร่อยน้อยลงจนกลาง จะมีเปรี้ยวหวานมันเค็มอะไรก็ดูได้ แต่ว่ามันไม่มีอร่อย หวานก็หวาน เปรี้ยวก็เปรี้ยวเค็มก็เค็มเผ็ดก็เผ็ด อาตมาสู้รสเผ็ดไม่ค่อยได้ มันจะไอ นอกนั้นก็พอได้ หวานก็นิดหน่อยหวานพอสมควรได้หวานมากไม่ไหวกินไม่เข้า มันไม่ไอ แต่กินไม่เข้า เปรี้ยวมากก็ไม่ไหว เย็นมากก็ไม่ได้ ร้อนมากก็ไม่ได้ น้ำออกมาจากช่องฟรีซมาอาตมาดื่มไม่ได้ วิภวตัณหาจึงเป็นตัณหาอุดมการณ์ ได้ชื่อวิภวตัณหา เป็นความอยากเป็นความปรารถนาเป็นความต้องการแต่เป็นความปรารถนาเพื่อผู้อื่น จิตเราไม่ได้มีภพชาติแล้ว กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่เกิดอีก กามตัณหา ภวตัณหาไม่เกิดอีก ก็มีแต่วิภวตัณหา เป็นตัณหาเครื่องอาศัย ในมโนสัญเจตนาหาร  มีวิภวตัณหาซ้อนอยู่ มีนัยละเอียดลึกซึ้ง 

4.วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป . อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติชรามรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . 

อาตมายังต้องการเกิดเพื่อแสวงหาที่เกิดเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่คนไม่รู้ อวิชชาก็อยากเกิดอีกไม่อยากตาย ถึงอยากตาย ตายไปแต่ทำปรินิพพานเป็่นปริโยสานไม่ได้ไม่มีทางดับอัตภาพได้หรอก ปรินิพพานเป็นปริโยสานไม่ได้ ยิ่งหลงผิดเป็นอรหันต์เก๊ อาฬารดาบส อุทกดาบสดับตัวเองไปอยู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พระพุทธเจ้าทรงอุทานว่าชิบหายแล้วหนอจะช่วยอย่างไรได้ เขารู้ผิด ผู้ที่หลงตนว่าเป็นอรหันต์ หากมรรคผิด ผลก็ผิด อย่างไปนั่งหลับตาปฏิบัติ ยิ่งปั้นนิรมาณกาย มีเพื่อนร่วมเสวยความโมเม เป็นสัมโภคกาย พูดกันรู้เรื่องนึกว่าเข้าใจเหมือนกัน ก็เป็น อาทิสมาณกาย ต่างคนต่างไม่เห็นของกันของใครของมัน แต่พูดตรงกันว่าใช่ สัมโภคกาย เรียกว่าอุปาทานหมู่ มันยึดอันนี้ พูดไปแล้วเป็นภาษาอย่างหนึ่งนามธรรมละเอียด สื่อกันว่าใช่ แต่แท้จริงมันต่างกันมาก อย่างฝาแฝดยังชี้ได้ ได้ว่าตรงไหนต่างกัน แต่นามธรรมนี้จะชี้กันอย่างไรว่าต่างกัน เช่นใสๆๆ ต่างคนต่างใส เป็นน้ำแข็งใสหรือหัวใส สายดับอ.มั่น สายใสธัมมชโย สายดับดีกว่าสายใส สายดับอยู่คนเดียวก็ค่อยยังชั่วแต่ก็ชั่วอยู่ดี สายสุภกิณหา กิณหา แปลว่าดับดำมืดแต่ไปหลงว่าสุภะ ว่าดี ว่างาม เป็นวิปลาสอย่างหนึ่ง เห็นอสุภะเป็นสุภะ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 ธันวาคม 2562

หนังสืออ้างอิง

 ปุตตมังสสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 241-244


เวลาบันทึก 25 ธันวาคม 2562 ( 14:51:38 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:16:34 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:07:48 )

อาหาร 4

รายละเอียด

อาหาร 4 คือ

  1. กวฬิงการาหาร (อาหารคำข้าว  ให้รู้กิเลสเบญจกาม) . .

  2. ผัสสาหาร (อาหาร คือ  ผัสสะกระทบให้เกิดเวทนา) .

  3. มโนสัญเจตนาหาร (อาหารใจที่เจตนามุ่งกับตัณหา) . .

  4. วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ กำหนดรู้นาม-รูป  อันเป็นปัจจัยให้ตั้งอยู่แห่งสังขาร เพื่อการเกิดในภพใหม่ คือมีปัจจัยเกิดชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ และความคับแค้น) . 

(ปุตตมังสสูตร  พตปฎ. เล่ม 16 ข้อ 241-244)  

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563

หนังสืออ้างอิง

ปุตตมังสสูตร  พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 241-244


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 10:39:09 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:08:51 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:33:57 )

อาหาร 4

รายละเอียด

กวฬิงการาหาร เรียนรู้จากกามคุณ 5 ผัสสาหาร จะรู้จักเวทนา 3 ไปถึงมโนสัญเจตนาจะรู้ ตัณหา 3 กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา คุณเรียนรู้อยู่ในอาหาร 4 กวฬิงการาหาร จะอ่านเวทนา 2 ออกแล้วอ่านเวทนาตัวปลอมเอาออกไป ตัวเก๊ มีคู่สอง แยกออกมา แยกจากลิงคะ เป็นคู่ที่มีความต่าง กิเลสเป็นตัวสำคัญที่เราแยกออกมารู้ได้เราก็จะรู้ตัว กายกลิ ตัวที่เป็นโทษภัย ก็นี่แหละ อาการอย่างนี้ในจิต จะต้องจัดการให้มันจางคลายแล้วก็ทำให้มันปฏินิสสัคคะ ให้เป็น 0 ไป นิโรธานุปัสสี ถ้าเรียนรู้ไม่รู้จักตามภาษาที่พระพุทธเจ้าอธิบายแต่ไปเอาแต่นั่งหลับตา น่าสงสารจริงๆเลยไม่รู้จะทำอย่างไร มันก็มืดบอดไปเป็นฤาษีเดียรถีย์ไปตามเดิม ที่พระพุทธเจ้าท่านได้มาปลุกพวกนี้ขึ้นมาตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้า จนกระทั่งสร้างศาสนา 2,500 กว่าปี ผ่านไปก็กลับไปเสื่อมไปเอากสิณมาเป็นการปฏิบัติอีก ไปเข้าใจผิดอีก สถานีโทรทัศน์ไม่รู้กี่ช่อง พานั่งหลับตาทั้งหมด แม้แต่สำนักพุทธวจนเวลาปฏิบัติก็เข้าไปนั่งหลับตาอยู่นั่นแหละ ก็ทำไมไม่ทำตามพุทธพจน์พุทธวจนเล่าซึ่งไม่มีให้ไปนั่งหลับตา มันยังไงกัน จะดึงคืนมาสู่เวทนาได้ ความจริงมันไม่มีในลัทธิพระพุทธเจ้า การนั่งหลับตาปฏิบัติ ตื่นหมดเลยลืมตาเห็นแม้แต่จะหมดกามแล้วก็ลืมตาปฏิบัติต่อ มีแต่รูปภพ อรูปภพ ก็ลืมตาสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกายอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้หลับตาปฏิบัติเลย เป็นพระอนาคามีก็ลืมตาปฏิบัติ มีรูปาวจรก็ล้าง ปฏิบัติ เหลืออรูปาวจร ก็ปฏิบัติลืมตานั่นแหละ ก็สัมผัสเหตุปัจจัยทั้งหมด มีผัสสะ มีเจตนา3 รู้ตัณหา 3 วิญญาณาหาร 3 โดยการปฏิบัติรูปนาม เขาเป็นเช่นนี้มานานแล้วจนทับถมแน่นหนา ไปติดยึดความไม่รู้ จิตไม่เปลี่ยนแปลงคนอื่นได้เลย เมื่อเราไปกระทบกระเทือนเขาก็รู้สึกไม่ดี 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 12:13:31 )

อาหาร 4

รายละเอียด

นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ อวิชชา

ทุจริต 3 เป็นอาหารของนิวรณ์ 5

ทุจริต 3 ไม่ใช่ไม่มีอาหาร ทุจริต 3 กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตนี้เป็นนามธรรม เป็นธรรมะ ที่อาตมาจะเน้น หรือแม้ว่าที่ท่านตรัสถึงอาหารเป็นคำข้าว กวฬิงการาหาร อาหารที่กินไว้เลี้ยงขันธ์ร่างกาย ท่านตรัสไว้ถึง อาหาร 4 มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร 

ซึ่งความรู้ของพระพุทธเจ้าครอบคลุมครบพร้อมหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องของธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม อาตมาว่า โอ้โห ถ้าผู้รู้แจ้งรู้จบแล้วมันไม่มีปัญหา มีแต่ปัญญา มีแต่ปัญญาที่จะชัดเจน อะไรๆที่เป็นอยู่ในสังคมในโลกในพฤติกรรมมนุษย์ มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น มันไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดอะไร เพราะว่ากิเลสมันเป็นไปได้สารพัดบ้าๆบอๆ บางทีมันก็เป็นไปได้จนเรานึกไม่ถึงว่า เออเนาะ มันบ้าบอคอแตกกัน เหลือเกินเหลือกินจริงๆ ยิ่งยุคนี้ยิ่งวิตถารกัน สารพัดสารเพ รุนแรง เลอะเทอะ ร้ายแรงกันอย่างน่าเกลียด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรม‌ของ‌ศีล‌ข้อ‌ ‌1‌ ‌ที่‌ชาว‌อโศก‌ปฏิบัติ‌ได้‌ ‌วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:59:27 )

อาหาร 4

รายละเอียด

อาหารคือเครื่องค้ำจุนชีวิต

1. กวริงการาหาร (คําข้าวเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต)พึงกําหนดรู้ความยินดีในกามคุณ 5

2. ผัสสาหาร (ผัสสะเป็นเครื่องค้ําจุนชีวิต)พึงกําหนดรู้ในเวทนา ๆ

3. มในสัญเจตนาหาร (จิตเจตนาเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต) จึงกําหนดรู้ในตัณหา

4. วิญญาณาหาร (ความรู้แจ้งอารมณ์เป็นเครื่องค้ำจุนชีวิต) จึงกําหนดรู้ในนามรูป

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 16 “ปุตตมังสสูตร” ข้อ 240


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 12:55:20 )

อาหาร 4

รายละเอียด

ที่นี้มาพูดถึงอาหาร 4 ที่มี กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร  วิญญาณาหาร พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 241-244

อาหารที่กินเข้าไปในปาก มันจะกระทบลิ้น ลิ้นนี่แหละเป็นตัวสำคัญ รับรส ติดรสชาติ กลิ่นก็ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรามาศึกษาอาหาร 4 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ขอสรุปก่อนว่า

1. กวฬิงการาหาร อาหารที่เคี้ยวกินเข้าไปนี่แหละ มีกลิ่นก็ได้ ก็มีทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แต่ลิ้นมันตัวสำคัญ อย่างติดรสทางลิ้น แม้กลิ่นเสียงสัมผัสมันก็ติดได้ทั้งนั้น มีรูปก็ติดเห็นรูปน่ากิน ได้ยินเสียงน่ากิน ได้กลิ่นน่ากิน แตะรสน่ากิน สัมผัสเข้าไปเลยทั้งหมดทุกทวารน่ากินทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ พ่อครูฝืนตายฝืนกินอยู่ด้วยอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 พฤษภาคม 2565 ( 09:28:13 )

อาหาร 4

รายละเอียด

อาหาร 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เมื่อรู้รูปนามของวิญญาณแล้ว ถึงรู้จักในการพัฒนาตนด้วย กวฬิงการาหาร พัฒนาตน เมื่อมี ผัสสาหาร 

มีผัสสาหารก็จะเกิด มโนสัญเจตนาหาร คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจรูปนาม ด้วยวิชชาไม่ใช่อวิชชาอยู่ รู้ว่าวิญญาณนี้มันจะต้องเรียนรู้ด้วย กวฬิงการาหาร การกินอาหารนี่แหละ มันมีกิเลส อ่านกิเลสจากการกินอาหาร เมื่อคุณผัสสะ ในขณะการกินอาหาร เหมือนมหาบัว หากได้เรียนผัสสะ เอาหมากพลูเข้าปากเคี้ยว ก็รู้ว่านี่มันกามตัณหานะ เราก็มีเจตนามโนสัญเจตนาต้องการแต่กามๆๆหนอ

ถ้ามหาบัวได้ พิจารณาอย่างนี้เห็นอย่างนี้รู้อย่างนี้ว่านี่กามหรือ กามนี้ละก่อนนะ เป็นตัณหาหยาบเบื้องต้น เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์เลยนะ อ้อ เราติด เรายึดอยู่แค่นี้หรือ โลกนี้ มีสวรรค์อยู่แค่กินหมากพลูแค่นี้หรือ มหาบัวไม่รู้ ไม่ได้พิจารณา ถึงไม่รู้รูปนาม จึงไม่รู้จักวิญญาณ ผัสสะตลอดวันตลอดคืน กลางคืนนอนหลับ กลางวันก็เคี้ยวอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดปาก แล้วก็หลงสวรรค์ สุข อยู่อย่างนี้ สุขหนอๆๆ หลงสุข นิรันดรเป็นสุขนิยม ไม่รู้เรื่องสุขเรื่องทุกข์ ไม่รู้ว่า มันเป็นอริยสัจนะ ทุกข์กับสุขมันเป็นอันเดียวกัน 

เรียนรู้ทุกข์ มันง่ายกว่า พระพุทธเจ้าจึงให้เรียนรู้เรื่องทุกข์ให้มาเรียนรู้ได้ก็เป็นอาริยะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่ติดยึดเป็นอุปาทาน ขึ้นมาก็เป็นตัณหาเป็น Dynamic อุปาทานเป็น Static ใครเคยได้ฟังแล้วอาจจะฟังซ้ำซึ่งก็จะเข้าใจไปได้เรื่อยๆ มีความเจริญ 5 ประการจากการฟังธรรม ด้วยการได้รู้ได้ฟัง สิ่งใหม่ เข้าใจสิ่งเก่าเข้าใจได้เพิ่มขึ้นทิฏฐิก็เปลี่ยน จนกระทั่งหลุดพ้นได้เกิดปัญญาอย่างแท้จริง 

ผู้ที่สามารถพิจารณาอาหาร โดยเฉพาะพูดถึงอาหาร 4 แค่นี้แหละ ไม่ต้องไปเรียนรู้ไกล พระพุทธเจ้าย่อที่อาหารคือคำข้าว ก็เมื่อไหร่มันก็ต้องอยู่กับการกิน กิเลสมันก็อยู่ที่ปาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสครบ ถ้าไม่เรียนรู้รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสครบว่ากิเลสอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่จบ จะจบได้ต้องรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างนี้เอง มันเกิดจากตัวนี้ แล้วทุกคนต้องกิน พระพุทธเจ้าก็ต้องกินเป็นพระอรหันต์ก็ต้องกิน ถ้าไม่บรรลุก็ต้องเป็นทาสมันอยู่ตลอดกาล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 61 สลายพระเจ้าแห่งอวิชชาด้วยปัญญาจากสัตตบุรุษ วันจันทร์ที่ 31ตุลาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ธันวาคม 2565 ( 11:51:24 )

อาหาร 4

รายละเอียด

กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เมื่อคุณมิจฉาทิฏฐิในโภชเนมัตตัญญุตาหรือ กวฬิงการาหาร อาหารคือคำข้าวที่คุณใส่ปากเคี้ยวกินซึ่งคุณจะต้องยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมันแหละ มีอยู่ในนี้พร้อมสรรพในอาหาร คุณไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้สำรวมสังวร ไม่ได้เรียนรู้จากอันนี้ สติคุณก็พร่อง กินเข้าไปคุณก็ไม่ได้ครบสมบูรณ์ สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ได้พิจารณาจากอาหารที่คุณกินมันมีผัสสะเข้าไป คุณไม่ได้เรียนผัสสะ คุณก็ไม่ได้ล้าง กาม ปฏิฆะ คุณก็กินอย่างสะสม กาม สะสม ปฏิฆะ ของคุณตลอดเวลา โมหะ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้นภาษาของคุณ คุณไม่รู้เรื่อง คุณไม่ได้ลดละ กาม ปฏิฆะ หรือมันเฉยๆ กามก็ดี ปฏิฆะก็ดี คือ กินจนชินชาเฉยๆ อพยากฤต คุณก็บื้อสะสมกิเลสโดยที่เป็น กาม ไม่รู้ตัว ปฏิฆะ ไม่รู้ตัวชอบก็กินไม่ชอบก็ไม่กิน ดีไม่ดีเขวี้ยงทิ้งเลย ไม่ชอบไม่กิน ไม่ใช่เขวี้ยงทิ้งแต่ เขวี้ยงใส่หน้าคนเลย มีไหม ... มี โดยเฉพาะผัวเมีย ใครเคยเจอบ้าง ... มีคนยกมือ จริง ไม่รู้ตัวหรอกคุณก็สะสมกาม สะสมปฏิฆะไป เพราะฉะนั้นผัสสาหารของคุณไม่ได้สังวร ลึกเข้าไปถึงเจตนา มโนสัญเจตนา เจตนาว่าคุณกินอาหารนี้เพื่อการยังขันธ์ ไม่ได้กินอย่างที่ปัจจเวกข์กัน ปฏิสังขาโยนิโส บิณฑปาตัง ปฏิเสวามิ คุณไม่ได้รู้ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของมันเลยพยัญชนะก็ท่องไป จะกินก็ติดไป 

กินอาหารไม่ค่อยท้วงกันหรอก เพราะต่างคนมันต่างติดกันไม่รู้ตัว ที่แยังกันอย่างหยาบๆ จนหยาบ ไปถึงข้อสิ่งเสพติดก็ยังไม่รู้ว่าเราติดสิ่งเสพติดนี้เป็นอบายมุข เหมือนอย่างมหาบัวกินหมาก ซึ่งมันไม่ใช่อาหารด้วยนะหมากพลู กินเคี้ยวเอารสมันเท่านั้น เอากลิ่นเอารสเอาสัมผัสทั้ง 5 ไม่ได้เป็นอาหารอะไรเลย ติดผิวเผินมากก็ไม่รู้ว่าติดสิ่งเสพติดที่ตัวเองติดเสพ เพราะฉะนั้นก็ไม่ หยูกยาก็ยังดูดตุ๋ยๆอยู่ ดูดยานี้อาตมาไม่เห็นมากแต่เห็นกินหมากอยู่ตลอดปากแดง เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้แม้แต่เรื่องของสิ่งที่เราเสพแล้วเราติดและเรายึด อย่าว่าแต่หยาบอย่างมหาบัวติดเลย คนส่วนใหญ่พอเข้าใจแล้วไม่ติดเท่ามหาบัวหรอก ใช่ไหม พวกเรานี้ มีคนแก่หน่อยที่เหลือเท่านั้นเองที่เคยกินหมากติดหมาก พอรุ่นใหม่นี้ก็ไม่ได้กินหมากติดหมากกันแล้ว นี่เท่าที่เหลือก็นี่ ยกมือซิ ใครเคยติดหมากติดพลูมาแล้วบ้างยกมือ ไม่เหลือเลยสักคน ยังเหลือท้ายๆ แต่ในวงการมหาบัวยังกินกัน แม้แต่ภิกษุของมหาบัว ลูกศิษย์ของมหาบัวยังกินกันปากเปรอะอยู่เลย ยังยาก 

เพราะฉะนั้นขออภัยนะที่อาตมาต้องพาดพิงไปถึง เป็นความจริงยืนยันความจริงกันไม่ใช่อาตมาพูดเพ้อเจ้อ พูดไม่มีหลัก ไม่มีฐานอ้างอิง นี่พูดมีหลักมีฐานอ้างอิงก็ยืนยันเขาที่เป็นตัวอย่างยืนยันความไม่ถูกต้องให้ขอบคุณ มันต้องขออภัยที่จะว่า ขออภัยที่จะยกตัวอย่างก็ต้องขอบคุณเขาอีก อาตมานี่เนาะ จะยกตัวอย่างไอ้ที่ผิดของเขามาก็ต้องขอโทษขออภัยแล้วก็ต้องขอบคุณเขาอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:50:52 )

อาหาร 4 ก็ต้องมีนาม-รูป!

รายละเอียด

“การปฏิบัติ”ที่ถูกต้องของพุทธ จึงไม่ใช่“หลับตา”ปฏิบัติอย่างเด็ดขาด ต้องมี“อาหาร 4” ได้แก่ “กวฬิงการาหาร-ผัสสาหาร-มโนสัญเจตนาหาร-วิญญาณาหาร”เป็น“เครื่องอาศัย” “เครื่องอาศัย”หรือ“อาหาร”ที่จะเรียนรู้นั้นคือ“เทฺว”หรือ“วิญญาณ”ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรียนรู้ได้ด้วย“นาม-รูป”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 175 หน้า 153


เวลาบันทึก 25 มิถุนายน 2564 ( 20:52:16 )

อาหาร 4 ข้อ 2 3 4 ต้องเรียนรู้รูปนาม

รายละเอียด

อันที่สองเกี่ยวกับผัสสะ อันที่สามเกี่ยวกับมโนสัญเจตนา สี่เกี่ยวกับวิญญาณาหาร ต้องเรียนรู้รูปนามผู้ที่รู้แล้วอาศัยสิ่งเหล่านี้ ใช้บัญญัติภาษาสื่อให้รู้ แม้แต่อาหาร 4 หรือศีลข้อ 1 2 3 ข้อ 4 วาจา 5 คือจิต หากเข้าใจสาระเนื้อแท้ที่อาตมาอธิบาย อาตมาใช้พยัญชนะสื่อเนื้อหาสาระอย่างนี้คู่ไปตลอดเวลา ไม่ใช่อธิบายแต่ภาษาพูด ไปจำเอามาจากครูบาอาจารย์ที่เขาสอนกันมา ภาษาสู่ภาษาไม่ใช่ แต่อาตมาอธิบายภาษาสู่ภาษา แล้วยังมีเนื้อหาสภาวธรรมประกอบไปเป็นคู่ๆเสมอๆ ฟังธรรมดีๆ ฟังแล้วจะได้ครบ แต่ทุกวันนี้ฟังกันเอาแต่ภาษา แม้จะเป็นสภาวะก็เป็นเรื่องที่เป็นเรื่องไม่รู้เรื่องเป็นเรื่องลึกลับเป็นโลกแห่งวิมาน อากาศ ปั้นเป็นสภาพโลกทิพย์กายทิพย์รูปทิพย์ เป็นนามธรรม เป็นสิ่งที่คนพูดก็ไม่รู้เรื่องไม่มี กาย ไม่มีภายนอก ไม่มีภายใน ไม่มีรูปนาม สื่อกันก็ไม่รู้เรื่อง

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:28:54 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:04:39 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:30:56 )

อาหาร 4 ข้อ 2 ผัสสะ

รายละเอียด

ในอาหาร 4 ข้อที่ 2 ผัสสะเหมือนวัวไม่มีหนัง ถูกสิ่งแวดล้อมทั้งแมลงสัมผัสแสบ ไม่มีหนังเลย จะแสบเผ็ดแสบร้อนขนาดไหน ถ้าไม่มีผัสสะคุณก็ไม่ได้ศึกษา เหมือนวัวที่ไม่ถูกลอกหนัง ก็ไม่เห็นทุกข์ แต่หากศึกษาเหมือนวัวถูกหนังลอก ทุกข์ มันแสบทุกเวลา ทุกโอกาสเลย หากคุณไม่มีจิตหมดปรุงแต่งกับกิเลสก็ต้องแสบไปตลอด หากเลิกปรุงแต่งกับกิเลสมันก็ไม่แสบร้อนแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:31:37 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:17:16 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:33:14 )

อาหาร 4 ที่สมบูรณ์ของชาวอโศก

รายละเอียด

คนที่รู้สัจจะความจริงที่จริงแล้ว อย่างพวกเราชาวอโศก ศึกษาตามพระพุทธเจ้าแล้วชีวิตมันมีที่จบ มันจบไปจนกระทั่งถึงขั้นปรมัตถ์ พวกเราจบโดยที่มี… มีถึงขั้นสัปปายะ 4

1. สถานที่ ที่เราอาศัย ของชาวอโศก คนอื่นก็มาอาศัยได้ แต่ก็ต้องรู้จักกฎระเบียบของที่นี่ ทำตนเองให้พออยู่ได้ ตามข้อหลักๆ

1.ไม่มีอบายมุข 

2.ไม่กินเนื้อสัตว์

3 มีศีล นี่เป็นพื้นฐาน ข้างนอกนั้นก็มาได้ เราไม่ได้ปิดกั้นอะไร

สถานที่ของเรา มีหมู่บ้านชุมชนชาวอโศก มีหมู่บ้านชุมชนชาวอโศก โอ้โห….ในประเทศไทยก็มีหลายสิบหมู่บ้าน บ้านเราจริงๆเลยนะ เราจะไปพักไปอยู่จะไปตายที่ไหนก็ได้ บ้านไหนก็ได้ ญาติพี่น้องก็มากมาย พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้จริงๆ ไม่ต้องกลัวเลยจะเจ็บป่วยก็พึ่งพากันได้ ช่วยกัน ไม่ปล่อยให้ตายหรอก ไม่ปล่อยให้เจ็บให้ปวดทรมานทรกรรมจนน่าสงสาร บางทีเราก็เอื้อมไปช่วย คนข้างนอกเขามากมายมันก็เยอะ ตามที่เขาเอามาออกข่าว แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงมันสุดเอื้อม เอื้อมเอื้อเกื้อกว้างได้เท่านี้ ในชีวิตของพวกเราก็เมื่อมีสถานที่และมีบุคคลก็คือพวกเรา สัปปายะ 1 และ 2 และก็มีเครื่องอาศัยคืออาหาร เครื่องอาศัยที่เป็นอาหาร กวฬิงการาหาร ก็ตาม แม้แต่เครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม เราก็อุดมสมบูรณ์ไม่ขาด ออกจะเฟ้อๆเกินๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่เราไม่ได้ใช้ไม่ได้ทำ มันก็กองทิ้งไว้เยอะไป 

หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่อะไร แต่ละหมู่บ้าน ราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดของชาวอโศกในทุกวันนี้ เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่กว่าสันติอโศกที่มีพื้นที่ขยายไม่ออกแล้ว สมาชิกที่สันติฯ ก็จำกัดอยู่แค่นั้น แต่ราชธานีนี้จะมีเพิ่มได้ ตอนนี้ยังไม่ถึง 500 ดีใช่ไหม อาตมาว่าอยากจะได้สัก 777 คน เป็นตัวเลขเคล็ดๆ งั้นแหละ 777 ยังไม่ถึงเลย มาอยู่ได้ มาแต่ตัวกับหัวใจ กับความตั้งใจที่จะปฏิบัติฝึกตน มาเลย เราไม่ได้ปิดให้คนข้างนอกที่จะมาอยู่นะ แต่คุณต้องรู้ว่าคุณจะอยู่ได้ไหมในที่นี้ ถ้าคุณอยู่ไม่ได้ก็ต้องถูกขจัดออก ถ้าคุณแน่ใจแล้วมาอยู่ได้เลย แม้แต่เป็นคนข้างนอกที่ไม่ใช่ชาวอโศก ก็มีเงื่อนไขที่จะมาอยู่ได้ เหมือนกับคุณจะไปในประเทศไหนเขาก็มีหลักเกณฑ์ กฎหมายของประเทศนั้นๆ เป็นเรื่องสากล 

เราต้องการนะ อยากได้มวลชนมากขึ้น ถ้ามากขึ้นเราก็จะทำงานได้มากขึ้น เพราะคนของพวกเรามีวรรณะ 9 แล้วก็อยู่กันสบาย อยู่กันอย่างเรียบง่าย พัฒนาให้เจริญก็ง่ายสุโปสะ เป็นคนมักน้อยแล้ว ยิ่งเป็นคนถึงขีด 0 ก็พอ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตหนอพออยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 แรม 10 ค่ำเดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2565 ( 20:56:40 )

อาหาร 4 ประกอบกับจรณะ 15

รายละเอียด

อาหารที่ 1 คืออาหารที่กินเข้าปากเลี้ยงกาย เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า กวฬิงการาหาร อาหารที่ 2 คือ ผัสสะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง โผฏฐัพพะ การกระทบสัมผัสเหล่านี้เรียกว่า ผัสสะ ซึ่ง ผู้ที่ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นอาหารก็ดี ผัสสะก็ดี ไม่ได้ศึกษาแล้วก็ไม่มีตัวเริ่มต้นพวกนี้ คุณก็จะไม่สามารถที่จะเรียนรู้ไปถึงเจตนา ที่เป็นกรรม มโนสัญเจตนา มโนสัญเจตนา จะไปแก้เจตนาที่มันมีกิเลส เจตนาด้วยกิเลสบังคับ กิเลสกาม แล้วก็เข้าไปภายในเป็น ภวตัณหา ต้องเรียนรู้แก้กิเลสตรงนี้เป็นจุดสำคัญและกำจัดกาม กามหมดแล้วก็เหลือภวะ เป็นรูป อรูป เป็นรูป ก็จัดการก่อนแล้วเหลืออรูป กำจัดให้หมดอีก ก็จะบรรลุสูงสุดของศาสนาพุทธ ตัวกิเลสหรือตัวตัณหา จะเป็นตัวประสมโรง หรือปรุงแต่งกันอยู่กับเวทนา จะต้องผัสสะมีเวทนา เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้จักการกิน เครื่องกินเครื่องใช้ ข้อที่ 1 กวฬิงการาหาร อาหารนี้ โภชนะ มันมีทั้งเครื่องกินเครื่องใช้ แต่เรื่องกินไม่เป็น เอาก่อน การกระทบสัมผัสอาหารการกินก็จะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสครบอยู่ในนั้น แล้วก็จะเกิดเวทนา เวทนาก็มีเจตนาภายใน ผู้ที่จะเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า จับหลักไม่ได้ ไปนั่งหลับตาเสีย ปิด หู ตา จมูก ลิ้น กายไปหมด ไปนั่งหลับตานี้ออกนอกทางไปเป็นเดียรถีย์หมด ไม่มีศาสนาพุทธให้คุณปฏิบัติเลย เพราะฉะนั้นคุณจะต้องมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในจรณะ 15 มีโภชเนมัตตัญญุตา การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ชาคริยานุโยคะ คุณต้องตื่น ทำความตื่น เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เราต้องมีตัวรู้เต็ม คุณก็รู้ไม่ครบ มะลำมะเลือง รู้อะไรไม่เต็ม จึงต้องตื่นแล้วก็สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ที่มันเกี่ยวข้องกันกับเครื่องกินเครื่องใช้ สัมผัสสัมพันธ์ การปฏิบัติธรรมจึงมี 3 อัน สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถ้าไม่มี 3 อันนี้ไม่ใช่ปฏิบัติศาสนาพุทธ อยู่นอกรีตเลย เรียกว่า อปันกปฏิปทา 3

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2563 ( 15:00:08 )

อาหาร 4 สอดคล้องกับสุขภาพองค์รวม  

รายละเอียด

คือ พระพุทธเจ้ายังสอนเรื่องอาหาร 4 ที่สอดคล้องกับสุขภาพองค์รวม 4 อย่าง ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้

1. กวฬิงการาหาร   คือ  สุขภาพ กาย

2. ผัสสาหาร    คือ  สุขภาพจิต

3. มโนสัญเจตนาหาร  ตรวจสุขภาพสังคม

4. วิญญาณอาหาร  คือ  สุขภาพทางจิตวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานมหาปวารณา ครั้งที่ 37 บ้านราช วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 14:19:07 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:06:03 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:36:14 )

อาหาร 4 สำคัญอย่างไร

รายละเอียด

ที่จริงอาหารมี 4 กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร กวฬิงการาหารนี่แหละเป็นที่หนึ่ง คนขาดอาหารไม่ตายทันทีก็ชะลอไปได้สักกี่วัน ก็ตายแน่ๆ ต่อมาผัสสาหาร เป็นสิ่งที่เราต้อง ผัสสะ กับสิ่งต่างๆ ถ้าคุณไม่รู้เท่าทัน ผัสสะ ไม่ได้เรียนรู้เท่าทันเวทนา คุณก็จะเกิดเวทนา ที่พูดนี้ศึกษาเวทนามันจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก ให้คุณได้เรียนรู้ถ้าคุณไม่เรียนรู้ไม่จัดการกับเวทนา ให้เป็นเวทนาที่ไม่มีพิษภัยให้เป็นเวทนาที่อาศัย เป็นเวทนาที่ไม่มีตัณหา ตัณหาคือมีเจตนา ซึ่งต่อจากอาหารข้อที่ 2 เป็นข้อที่ 3 คือ มโนสัญเจตนาหาร เจตนาทางกาม ทางภพ ทางวิภพ เจตนาที่จะต้อง ยังให้เกิดกามให้เกิดกามไม่รู้จบดีไม่ดีให้มันบานปลายให้มันงอกงามไพบูลย์ไปอีก หนักหนาสาหัสเลยต้องเรียนรู้แล้วเลิก หมดกามแล้ว หรือกามลดลง ลดแม้แต่รูปภพ อรูปภพ ข้างในที่เหลือก็ลดลงๆๆ พอหมดกามภพ เหลือรูป อรูป ก็ลดรูป รูปก็คืออันนั้นแหละตอนแรก กาม แต่เป็นกามที่เหลือน้อยจนเป็น รูป เป็นกามภายในเราไม่เรียกว่ากาม แต่เรียกว่า ราคะ ก็คือ กามราค เหลือกามที่ทยอยจัดการคือ รูป 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:39:08 )

อาหาร 4 อาหารสู่วิชชาและวิมุติ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องอาหาร เรามาลงรายละเอียดที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอาหารกัน อาหารอยู่ในอวิชชาสูตร

ตัณหาสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า 

1.การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของการไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง 

2.การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิดๆ) 

3.ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของการทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น) 

4.การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ.. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ . 

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น)เป็นอาหารของ.. ความไม่สำรวมอินทรีย์ 

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ.. ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต) 

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ.. นิวรณ์ 5 

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ.. อวิชชา 

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา 

(พตปฎ. เล่ม 24   ข้อ 62) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตหนอพออยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 แรม 10 ค่ำเดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2565 ( 20:58:45 )

อาหาร 4 เครื่องอาศัยในการปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

วิญญาณคือธาตุรู้ที่รวมเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณเหมือนรัฐมนตรีควบคุมเจ้ากรม ในหนังสือคนคืออะไรทำไมสำคัญนักที่เขียนตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่มีคนรู้ว่าเราปฏิบัติธรรม จนต่อมาคนรู้แล้ว ก็เลิกทิ้งงานทางโลกมาเลย ในปุตตมังสสูตร ตั้งแต่กวฬิงการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นเครื่องอาศัยในการปฏิบัติธรรม หากไม่มีก็ปฏิบัติล้มเหลวหมดตั้งแต่อาหารคือคำข้าว ท่านก็ตรัสไว้ในจรณะ 15 ต้องเรียนรู้โภชเนมัตตัญญุตา ประมาณในเครื่องกินเครื่องใช้ ในอาหารกินนี่มีกิเลสครบถ้วนเลย เพราะการกินนี่มีผัสสะทั้งหมดตาหูจมูกลิ้นกายใจ ต้องเรียนรู้กิเลสแล้วฆ่ากิเลส อาศัยการกินอาหารเพื่อเรียนรู้กิเลส 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:37:46 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:18:04 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:31:31 )

อาหาร 4 เป็นหนึ่งในโลก

รายละเอียด

ถ้าคิดถึงชีวิตจริงๆแล้ว อาหารเป็นของที่มีค่าที่สุด อะไร ๆ ก็ตาม เพชรนิลจินดา ทองคำก็ไม่มีค่าเท่ากับอาหาร หากจะพูดถึงวัตถุ ไม่ต้องไปพูดถึงอาวุธยุทธภัณฑ์ราคาแพง ตีกลับเลยมันยิ่งเลวร้าย แม้แต่จะเป็นเพชรนิลจินดาทองคำ เรื่องของโลกที่เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มันหายากเขาตีราคาสูง มันก็ยังสู้อาหารไม่ได้ สู้เมล็ดถั่ว สู้ยอดไม้สู้ยอดผักสวยๆ กินดีๆมีคุณสมบัติมีวิตามินมีธาตุอาหารดีๆ ให้กับชีวิตมนุษย์… สุดประเสริฐ อาตมาถึงบอกว่า ทำอย่างไรคนเราจึงจะเข้าใจที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลกนี้ มันสุดยอดจริงๆเลย แล้วอาตมาก็ อธิบายไม่เก่ง แต่ก็พยายามอธิบาย อาหารของพระพุทธเจ้ามีอาหาร 4 กวฬิงการาหารเป็นหนึ่งในโลกแล้ว ถ้ารวมอีก 3 อาหารก็เป็นหนึ่งในโลก ผัสสะ เป็นหนึ่งในโลก มโนสัญเจตนา เป็นหนึ่งในโลก วิญญาณเป็นหนึ่งในโลก ท่านรู้ว่ามันเป็นหนึ่งในโลก สำคัญทั้ง 4 อันเลย แล้วท่านก็เปรียบเทียบไว้ น่าจะเขียนหนังสือเขียนให้ดีๆ อุทาหรณ์ที่ท่านเปรียบเทียบ กวฬิงการาหาร เหมือนผัวเมียกับลูก เดินทางในที่กันดารจะหาสิ่งที่ดีที่สุด ตัวเองก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเดินอยู่ไหนที่กันดาร เสร็จแล้วก็เปรียบเทียบว่าไม่มีอาหารจะยังชีพ แล้วไม่รู้จะกินอะไร อยู่ในป่าพืชพันธุ์ธัญญาหารมีกินนะแต่กินไม่เป็น ต้องกินเนื้อลูก ฆ่าลูกกินเป็นอาหารทั้งๆที่กินผลไม้กินเมล็ดพืชก็อยู่ได้แต่มันไม่รู้จักกิน ต้องกินเนื้อลูก ความซับซ้อนอุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สุดยอดเลย เป็นคนที่โง่เง่าไม่รู้จักชีวิต กินก็ไม่รู้จักกิน พืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นหากินได้ง่ายกว่าไปกินเนื้อสัตว์ ซึ่งจับก็ยาก โอ้โห แย่จริงๆเลย แม้แต่ข้อ 2 ผัสสาหาร เหมือนกับวัวที่ไม่มีหนัง ทุกอย่างกระทบแสบไปหมดเลย ทวารทั้ง 5 คนจะต้องรู้สึกความทุกข์ได้จะต้องมีผัสสะ แต่เมื่อไม่มีผัสสะ คุณเหมือนด้านๆ ทั้งๆที่คุณเปิดหนังไปหมดเลย น่าจะแสบ แต่คุณก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย คุณยังโง่ดักดานจนกระทั่งไม่รู้จักผัสสะที่จะต้องศึกษา คุณทุกข์ อะไรที่มากระทบแสบ มโนสัญเจตนาหารก็ตาม เหมือนหลุมถ่านเพลิง มีเจตนาจะขึ้น แต่ก็ทวนอธิบายเป็น 2 นัย นัยทางโลกเขาจะดึงขึ้น หรือเหมือนโจรร้ายดึงลง คือ ไม่รู้จักว่าจิตตัวเองเกิดมามุ่งหมายจะเอาอะไร ถ้ารู้ว่าเจตนามีชีวิตเกิดมาจะเป็นอย่างไร ชาวอโศกนี้อาตมาอนุโมทนาสาธุเลย มีความคิดที่ดีว่าชีวิตของเราทั้งชีวิต จริงคนมารู้ตั้งแต่อายุยังน้อย มันสุดยอดเลย คนที่มาอายุมากแล้วมาเจอก็เอาเถอะ มันยังไม่รู้มาก่อน แต่รู้แล้วไม่มานี่สิพวกนี้ จะโง่ดักดานไปถึงไหน รู้แล้วพบแล้วแต่ไม่เอา ไปหลงระเริงอยู่ในโลกีย์ ไม่รู้จักว่าชีวิตเกิดมาจะเอาอะไร เอาความประเสริฐ เอาความสุดยอดในชีวิตอย่างไร ซึ่งอาตมาว่า อาตมาอธิบายไม่เก่ง พยายามพูดนี้ไม่รู้จะเข้าใจแค่ไหนพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ศึกษาอะไร ท่านศึกษาเรื่องคน ท่านศึกษาเรื่องสังคมมนุษยชาติ คนเกิดมาจะอยู่กับสังคมมนุษยชาติ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุดไม่มีอย่างอื่นมากกว่านี้เลย ถ้ารู้ความจริงอันนี้ได้แล้วสบายแล้ว มาปฏิบัติเป็นพระโสดาบันก็สบายระดับหนึ่งสกิทาก็สบายอันดับ 2 ยิ่งเป็นอรหันต์แล้ว ในโลกนี้ไม่มีปัญหาเลยมีแต่ปัญญา อยู่สบายหมดเลย ปัญหาอยู่กับคนอื่นหมดเลย เราก็เห็นว่าเราทำได้ดีอย่างชาวอโศกนี้ อะไรมาก็ไม่มีปัญหา ข้าวมีกิน  ดินมีเดิน  พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ …สุดยอดเลยถ้าเรียนจบ อาตมาว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ อาตมาสำเร็จผลทำงานสำเร็จผล พวกเราก็ช่วยกันเผยแพร่ อาตมาพักเถิดตอนนี้ แต่มันก็ยังไม่พักก็ทำได้อยู่ ก็ไม่มีปัญหาหรอกไม่เสียหายอะไร 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 15:13:44 )

อาหาร 5 ของถีนมิทธะ

รายละเอียด

1. ความไม่ยินดี (อรติ) 
2. ความเกียจคร้าน (ตันทิ) 
3. ความบิดขี้เกียจ (วิชัมภิกา) 
4. ความเมาอาหาร (ภัตตสัมมโท) 
5. ความที่ใจหดหู่ (เจตโส จ ลีนัตตัง) 
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 19   ข้อ 525


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 13:48:55 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:08:09 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:36:36 )

อาหาร 9 ลำดับ (ตัณหาสูตร)

รายละเอียด

1. การไม่คบสัปบุรุษ เป็นอาหารของ การไม่ได้ฟังสัทธรรมที่ถูกต้อง

2. การไม่ได้ฟังสัทธรรม เป็นอาหารของ ความไม่มีศรัทธา (หรือศรัทธาผิด ๆ)

3. ความไม่มีศรัทธา (ศรัทธาไม่บริบูรณ์) เป็นอาหารของ การทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย (กระทำใจไม่เป็น)

4. การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (หรือทำใจไม่เป็น) เป็นอาหารของ ความไม่มีสติสัมปชัญญะ

5. ความไม่มีสติสัมปชัญญะ (หรือทำสติไม่เป็น) เป็นอาหารของความไม่สำรวมอินทรีย์

6. การไม่สำรวมอินทรีย์ เป็นอาหารของ ทุจริต 3 (กาย,วาจา,ใจ ทุจริต)

7. ทุจริต 3 เป็นอาหารของ นิวรณ์ 5

8. นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของ อวิชชา

9. อวิชชา เป็นอาหารของ ภวตัณหา

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 24“ตัณหาสูตร”  ข้อ 62

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 17:19:53 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 04:16:27 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:08:34 )

อาหาร 9 ลำดับ (ที่ทำให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์)

รายละเอียด

1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ การฟังสัทธรรมบริบูรณ์

2. การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ ศรัทธาบริบูรณ์

3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ มนสิการโดยแยบคายบริบูรณ์ 

4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา

5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์ (คือ  กาย วาจา ใจ  เลิกทำการงานทุจริต)

6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สุจริต 3 บริบูรณ์ 

7สุจริต 3 ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์

8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์  

9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้ วิชชาและวิมุตติ บริบูรณ์         

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 24 “อวิชชาสูตร”  ข้อ 61

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 17:21:20 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 04:11:42 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:37:05 )

อาหารกับการลดกิเลส

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่าเรามาเข้าใจความสำคัญในเรื่องของชีวิตมนุษย์ทั้งโลก คืออาหารการกิน เพราะฉะนั้นในอาหารการกิน ที่ท่านเรียกว่า กวฬิงการาหาร จะมีสิ่งที่ประกอบด้วยองค์ประกอบเทียม มีผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร หากคุณกินอาหารแล้วไม่รู้จักการสัมผัสของคำข้าว มันจะมีครบเลยในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือกินอาหารอย่างมีศักดิ์ศรีมีชั้นวรรณะ ทั้งมีกิเลสกับอัตตาอยู่ในมันมีเยอะแยะ มันก็ดีนะ เนี่ย คุณต้องเรียนรู้กิเลสเหล่านี้ กิเลส กาม กับอัตตา อยู่ในอาหารนี้ก็นักหนามากมายมหาศาล แล้วคุณศึกษาคุณจะต้องไปมี ผัสสะจริง คุณไปคิดเอาตักกะ เอาไม่สำเร็จหรอก ศึกษาไปตั้งแต่เบื้องต้นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อัตตามานะก็ตาม ในอาหารนี่ เรียนให้ดี อัตตามานะของอาหาร มันจะนึกถึงไม่หยาบเหมือนกับกาม กามมันจะหยาบกว่า กามก็ลดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสให้ได้ก่อน หมดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็จะมีความติดในความจำ ตัวเคยชินก็ต้องค่อยๆลดลงไปอีกมันจะมีฐานความรู้ จาก กามาวจร อยู่เหนือกามาวจรได้ในกามภพ เราจะมีจิตร่วม อวจร สัมผัสร่วมแตะต้องด้วย เราจะล้างมันได้ จนหมดกามาวจร มันจะมีรูปาวจร หมดรูปาวจรก็มีอรูปาวจร มีอาการอยู่ในรูปและอรูปอีก เรียนรู้มันมีกิเลสเข้ามาผสมในอวจร ความเป็นไปมันยังมีอยู่นะ เราต้องมีญาณปัญญารู้ความจริง เรายังมีอะไรอยู่เหรอมันเป็นโลกธรรม ก็ล้างมัน มันจึงกลายเป็นเครื่องอาศัยที่สำคัญที่ได้ความจริงตามความเป็นจริงของธาตุวิตามินสิ่งที่ต้องเอามาสังเคราะห์สังขารร่างกายเท่านั้นเอง เรียกว่าอาหาร ในเรื่องเครื่องใช้นี้จะง่ายกว่า เรื่องอาหารมันจะต้องอาศัย คุณเป็นพระพุทธเจ้าคุณต้องกินอาหาร เครื่องใช้ก็มีเล็กน้อยไม่ต้องมีมากเลย แต่เราทำงานอย่างนี้เราจะต้องอาศัยเครื่องใช้ที่ไม่ใช่น้อย เราต้องสร้างภูเขาน้ำตกแม่น้ำลำธารสร้างต้นไม้ พวกนี้เราต้องทำต้องสร้าง ซึ่งเป็นธรรมชาติจะต้องอาศัย อย่างไม่หลงใหลที่เขาเป็นกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 14:50:16 )

อาหารกับยารักษาโรคเป็นหนึ่งที่สำคัญมากในปัจจัย 4

รายละเอียด

วัตถุที่อาศัยไม่สำคัญหรอก เป็นเครื่องเทคโนโลยี เป็นเครื่องกล เครื่องยนต์ เครื่องใช้ จานช้อนชาม บ้านเรือนเครื่องนุ่งห่มอะไรต่ออะไร มันไม่สำคัญมากแต่เป็นเครื่องรอง สิ่งที่สำคัญมากในปัจจัย 4 นั้นคือ อาหารกับยารักษาโรคเป็นที่หนึ่ง ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม เป็นรอง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 05 พฤษภาคม 2563 ( 12:05:49 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:44:13 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:37:30 )

อาหารกับอรหันต์

รายละเอียด

อรหันต์ ยิ่งใหญ่มาก ในเรื่องการสัมผัส สัมผัสทางกายนี่ข้างนอก ต่อมาแยกละเอียดไปเป็นทางตา ต่อมาแยกละเอียดไปทางหู ละเอียดขึ้นไปอีกเป็นทางกลิ่น ละเอียดลับๆเข้าไปเลยเป็นทางลิ้น แล้วอีกอันก็ไปทางใจเลย นี่จะดูดดึงสัมผัส สัมพันธ์ติดยึดกันอยู่พวกนี้ 

เพราะฉะนั้น คุณรู้หยาบตั้งแต่ภายนอกรวมทั้งหมดเลยตั้งแต่ โผฏฐัพพะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมทั้งหมดเป็น 5 แยกใจไว้เป็น 6 คุณก็เรียนรู้ความพวกนี้ 

ทีนี้ ลิ้นนี่ในสุด อาหารลิ้นนะเป็นหลัก รสอาหารนะ ใจก็ต้องมีกับลิ้น ใจก็ต้องมีกับกลิ่น ใจก็ต้องมีกับเสียง ใจก็ต้องมีกับตาแล้วก็มีการเกิดกิเลสในทุกทวาร 

เพราะฉะนั้นคุณเรียนรู้ลิ้น พอจะเข้าใจขึ้นไหม มันรวมหนัก เข้าไว้หมดเลยทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) กับใจ กายที่คุณอมไว้ที่ปาก พอแตะลิ้นแล้ว ครบทั้งภายนอกหมดเลย

เพราะฉะนั้นมาเรียนรู้ที่ลิ้นนี่แหละอาศัยลิ้น อาหารคือการอาศัยเรียนรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) ที่คุณติดคุณยึดคุณดูดคุณดึงไม่ยอมปล่อยมัน ถ้าคุณเลิกไม่ติดยึดทางนี้ได้หมด อรหันต์ 

เพราะฉะนั้นอาหารจึงเป็นหนึ่งในโลกทั้งที่จะทรงไว้ซึ่งร่างกายทั้งที่จะใช้ในการปฏิบัติธรรม อาหารนี่ ใช้ในการปฏิบัติธรรม อาหารคือ คำข้าว กวฬิงการาหารด้วย 

ไม่สุขไม่ทุกข์ในการกินการเคี้ยว อันนั้นก็เป็นรอบที่ 1 จบกิจ  หมดเวทนา สุข ทุกข์ ถือว่าจบกิจเป็นอรหันต์ตรงนี้ ลึกซึ้งเข้าไปอีกละเอียดถึงขั้นเป็นโพธิสัตว์ที่จะมีชั้นตอนของความจบกิจไปอีก กี่อย่างๆ จนกระทั่งสุดท้ายหมดรู้รอบ จบกิจอันสุดท้ายก็ทุกอย่างรู้แล้ว อยู่ในกาละ ยังไม่แยกไป ยังไม่จากไปแต่รู้ หรือคุณจะจากไปเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม จบกิจเป็นอรหันต์ขั้นที่ 1 คุณก็เลิกได้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าจบกิจจริงๆนี่ตรงอรหันต์ที่เลิกทำชีวิต แยกจิตธาตุ เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปได้ นี่คือจบกิจ ที่พระพุทธเจ้าตัดกรอบเอาไว้ให้เป็นอรหันต์ขั้นที่ 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ตอบปัญหาผ่ามิจฉาอาชีวะ 5 วันจันทร์ที่ 8 มกราคม 2567 แรม 12 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2567 ( 19:37:47 )

อาหารการกิน เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์

รายละเอียด

สิ่งเหล่านั้น มันซื้อด้วยเงิน เครื่องมือ เครื่องอาวุธ เครื่องกลไกต่างๆ กินไม่ได้ คุณจะขายราคาแพงเท่าไหร่ คุณขายไป ขายได้ทำได้ อาหารการกิน คุณขายแพงไม่ได้ ขายแพงแล้วมันทารุณคนจน คนจนตายหมดสิ ขายแพง เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นข้อจำกัด ที่อาหารการกิน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ สำคัญกว่าอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ หมด แต่คนหลงอาวุธยุทธภัณฑ์ 

คำตรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา ที่ท่านตรัสว่า เราไม่อยากก้าวหน้าอย่างโลกเขา ก้าวหน้าอย่างโลกนั้น มันจะถอยหลังอย่างเดียว คำตรัสเหล่านี้เป็นคำตรัสที่ลึกซึ้งละเอียดย้อนสภาพ เป็นสัจจะย้อนสภาพ ที่คนรู้ไม่ทัน ก้าวหน้ามีแต่ก้าวหน้าถอยหลัง ก็ภาษาว่าก้าวหน้า มันถอยหลังยังไงเล่า ในหลวงท่านตรัสอย่างนี้ ท่านไม่รู้ภาษาที่ท่านตรัสหรืออย่างไร ท่านตรัสได้ถูกแล้ว แต่ว่าคนเข้าใจไม่ได้ เป็นภาษาสิริมหามายา ก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ถอยหลัง ถอยหลังอย่างน่ากลัวด้วย เราไม่เอา เรามาเอาอย่างประนีประนอมกัน อย่างอะลุ่มอล่วยกัน อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม  เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม นี้จบ ท่านตรัสเข้าหาสาราณียธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์คือด้านมืดเจโต โพธิสัตว์คือด้านสว่างปัญญา วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 แรม 11 ค่ำ เดือน 11 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2565 ( 14:55:55 )

อาหารการกินพืชผักธัญญาหารอย่าขายแพง

รายละเอียด

มาเน้น ผักสวนครัว ทุกคนในคนไทย ถ้าเผื่อว่าคนไทยมีนิสัยปลูกฝังกันไปเลยว่าให้เป็นนักปลูกผักปลูกพืชเป็นกสิกรให้เป็นกสิกรให้เกียรติแก่กสิกรอาตมาเคยพูดแล้ว ชาวไร่ชาวสวนชาวนาควรจะต้องให้เหรียญตรา ให้เหรียญตราแก่ชาวไร่ชาวนาชาวสวนเป็นเกียรติยศแก่เขาเพราะเขาเป็นผู้ที่มีคุณค่าสำหรับมนุษยชาติกสิกรแข็งขลังเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ไม่ใช่แค่ของชาติแต่เป็นกระดูกสันหลังของโลกเลย เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่เด่นในเรื่องนี้ซึ่งอาตมามั่นใจว่าทำได้ถ้าหากว่าเป็นนโยบายแห่งชาติ รัฐบาลไหนมาก็ดำเนินเลยสนับสนุนส่งเสริมที่มันย้อนแย้งที่มันลำบากอยู่ก็คืออาตมาก็มีเงื่อนไขว่าอาหารการกินพืชผักธัญญาหารที่เอามากินนี้อย่าขายแพง นี่มันเป็นเงื่อนไขที่ควรจะต้องเข้าใจ เราเน้นสร้างคนให้เป็นคนจนในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ได้เน้นแล้วซึ่งเป็นคนจนแบบคนจนพิเศษ คนจนประเสริฐ  ไม่ใช่คนจนอย่างไม่มีสมรรถนะไม่ใช่   จะเป็นคนจนที่มีความรู้ความขยันหมั่นเพียร มีสมรรถนะทำงานมีความรู้ดี 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2563 ( 10:50:39 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:44:26 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:13:37 )

อาหารการกินสำคัญกว่าธนบัตร ทองคำ และเพชร

รายละเอียด

ทำอย่างนี้แหละพิสูจน์ให้ชาวโลกเขาเห็น นักเศรษฐศาสตร์จะได้รู้ว่า นี่ พวกนี้มันมีความรู้ในเรื่องปัจจัย 4 เพราะว่ามนุษย์มันเห็นความสำคัญของอันนี้มากกว่าธนบัตร กว่าทองคำ กว่าเพชรหรือ อันนี้แหละ อาหารการกินสำคัญกว่าพวกนั้นหรือ เขาจะเข้าใจเรื่องความสำคัญของชีวิตมากขึ้น 

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2563 ( 10:42:13 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 11:04:52 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:17:11 )

อาหารของกามฉันทะ

รายละเอียด

อะไรเล่าเป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศุภนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

ศุภนิมิตหมายความว่าเป็นเรื่องดีเป็นมูลเป็นเค้าเป็นเหตุ เป็นเครื่องหมายที่ดี มูล เค้า เหตุ ที่ดี ไปเห็นว่าดี หรือไม่เห็นว่าดี ขณะนี้เห็นว่าดีหรือเห็นว่าไม่ดี?...ไม่เห็นสิ อโยนิโสฯ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ 

อโยนิโสมนสิการ หมายถึงที่จุดเกิดเลย อโยนิโส ถ้าใครไม่เจอจุดนี้ จุด ณ หทยรูป จุด ที่คุณจะต้องมีรูปมีนาม หทยรูป แล้วคุณต้องมีนามต้องมีปัญญา เข้าไปสัมผัสถึงจุดนี้ ถ้าไม่มีปัญญาสัมผัสถึงจุดนี้ พลาด ไม่ถ่องแท้ ไม่ลงไปถึงที่เกิด ไม่แยบคาย ไม่ละเอียดลออพลาดผิดแน่นอน แล้วไปกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในศุภนิมิต 

ศุภนิมิตคือสิ่งที่ถูกต้องแต่คุณไม่เลย คุณ​อโยนิโส แล้วคุณก็ทำใจในใจของคุณ อโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจของคุณอย่าง อโยนิโส ไม่ถ่องแท้​ก็คือไม่ถูกต้องแล้วไปเข้าใจว่าศุภนิมิต 

ไปทำการ อโยนิโสมนสิการ ซ้อนในศุภนิมิตนั้น ขึ้นต้นว่าก็อะไรเล่าเป็นอาหาร ให้กามฉันทะที่เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว งอกงามไพบูลย์มากยิ่งขึ้น กามฉันทะเจริญ

ศุภนิมิตมีอยู่ ไปเห็นว่าเป็นนิมิตดี ใช่เลย หลงเลย ใช่แล้วใช่เลย การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ก็คือ คุณไม่ถูกต้อง ทำใจในใจไม่ถูกต้อง อโยนิโส แปลว่าไม่ถูกต้องถ่องแท้แยบคาย ไม่ลงไปถึงที่เกิด ในศุภนิมิต 

ไปยึดถือกามฉันทะเป็นศุภนิมิต แล้วก็ยังไป อโยนิโส อีก ความซับซ้อนกลับไปกลับมา มันก็ยิ่งผนึกแน่นเข้าไปใหญ่แล้วไปหลงผิด หลงว่าเป็นสิ่งที่ถูกก็ผนึกเข้าไปอีก ผนึกเข้าไปแล้วก็นึกว่าถูกก็ผนึกเข้าไปอีกนึกว่าถูกอีกก็ผนึกเข้าไปเอง ก็เลยงอกงามไพบูลย์ ก็คืออวิชชางอกงามไพบูลย์   

สรุป นี้เป็นอาหารให้กามฉันทะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้นไม่รู้กี่ชั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 14:45:56 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:09:56 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:18:17 )

อาหารของคน

รายละเอียด

เอาพืชผักผลไม้ที่ทำด้วยพวกเรานี่แหละ เอามาโชว์เอามาประกอบฉาก เสร็จแล้วก็ค่อยๆทยอยขนไปเข้าครัว แล้วก็ทยอยเก็บมาอีกเอามากินเอามาโชว์ เอามาโชว์ส่วนหนึ่งส่วนกินก็กินไป อย่างนี้ 

ซึ่งจริงๆแล้วที่โชว์นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องการอวดอ้าง แต่ต้องการชักชวนให้คนออนซอน ให้คนส่วนใหญ่เห็นแล้วออนซอน แปลเป็นไทยว่าชื่นชม โสมนัส ยินดีด้วยมากๆยิ่งๆเลย ออนซอนเด๊ ว่ามันช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ 

อาตมาภาคภูมิใจที่พวกเราได้มารวมตัวกันแล้วมาเป็นคนชนิดนี้ แต่ก็ยังพยายามเร่งเร้าเร่งรัดให้พัฒนา พื้นที่ยังมีอีก ขยันทำให้มันมากกว่านี้แล้วแจก นี่เราก็แจกกันอยู่หรือขายให้ถูก ขายบ้าง บางคนเขามีศักดิ์ศรีเขาไม่รับแจกหรอกขายก็ขายถูกๆ เขาก็ซื้อกันไป จะได้อยู่ได้กินได้อาศัย 

นี่อย่างนี้สงสารนะพวกต่างประเทศขณะนี้ นี่ขณะนี้เขารายงานมา ที่เอามาจัดฉากวันนี้ มีมะเขือเทศที่สวนเพื่อฟ้าดิน ผักสลัดต่างๆสวนคุณปะดาวสู่แสงพุทธ กล้วยจากศีรษะอโศก มะเขือเทศข้างล่างจากบ้านคุรุปลากระพง ชมพู่จากสวนไวพลัง อย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่าง ยังมีพืชอื่นๆ อีกเยอะหลายอย่าง 

ซึ่งมันเป็นอาหาร อาหารของคน ไม่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ พืชนี้แหละกินไปเถอะรับรองว่าอยู่ได้อยู่ยงคงกระพัน อายุยืนยาวด้วย กินเนื้อสัตว์จะอายุสั้นลงไปด้วย กินเนื้อสัตว์นี่อายุจะทอนลงไป 

นี่บอกว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อังกฤษ จำกัดการซื้อผักผลไม้ หลังขาดตลาดหนัก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์แนวคิดเศรษฐกิจของชาวโศกที่ทำจริงมีผลสำเร็จจริง วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 เมษายน 2566 ( 18:22:16 )

อาหารของถีนมิทธะ

รายละเอียด

อะไรเล่า เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น

หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน

ความบิดขี้เกียจ ความเมาอาหาร ความที่ใจหดหู่มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในสิ่งเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

โดยเฉพาะเวลานอนลุกขึ้นมาก็บิดขี้เกียจ ใครยังมีบิดขี้เกียจอยู่? ปวดเมื่อยก็ไม่มีบิดขี้เกียจ เมื่อยก็นวด บิดขี้เกียจนี้เป็นการแฝง ภาษาไทยคำว่าบิดขี้เกียจเป็นอาการแฝงเป็นอุปกิเลส คุณเคยเห็นพวกหมาก็ดีพวกแมวก็ดีมันบิดขี้เกียจไหม 

คนที่ยังไม่ชาคริยา คนที่ยังไม่ตื่น คนที่ตื่นแล้วไม่มีการบิดขี้เกียจหรอก จะเจ็บจะปวดตรงนั้นตรงนี้ตรงไหนก็บีบนวด(มีคนถามว่า การยืดเส้นยืดสายเป็นอย่างไร) การยืดก็คือตังเมยางเหนียว กิเลสตัณหาเป็นยางเหนียว การเป็น 2 ชิ้นนี้ดูง่ายแต่ถ้าผนึกด้วยยางเหนียวเป็นหนึ่งนั้นมันยาก เป็นรูปธรรมก็คือการบิดขี้เกียจ ไม่ใช่เรื่องเล่นนะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ฝึกให้ดี ๆ

อาตมาพูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง ว่า ผู้ที่ตื่นปุ๊บก็สว่างเลย ไม่มีถีนมิทธะ การบิดขี้เกียจก็คือมีถีนมิทธะ 

จักรวาลน้อย มีดาวนพเคราะห์ 9 ดวง เราเมาจะเป็นเจ้าโลก เหมือนอย่างโดนัลด์ทรัมป์กำลังทำ ก็จะต้องเป็น the great ยิ่งใหญ่ในโลก นี่แหละจริงๆเลย ขออภัย โดนัลด์ทรัมป์ แต่แกไม่ประสีประสาไม่รู้เรื่องเลย แกจะแย่ยิ่งกว่าด.ช.ภูมิพุทธ ๆ จะฉลาดยิ่งกว่าโดนัลด์ทรัมป์ เรื่องที่แกเมา จะเป็นเจ้าโลก ขออภัยที่ต้องพูดความจริงไม่ได้ดูถูก แต่มันเป็นเรื่องผิดเรื่องบาป คำว่าดูถูกนี้สลับกันไป เป็นสิริมหามายา คือมันไม่มีราคา มันถูกมาก ดูถูกแต่มันผิด แต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าผิด

ขณะนี้กำลังพูดกันว่าอาหารของถีนมิทธะคือ ความไม่ยินดีความเกียจคร้าน แล้วไม่พอ ยังขายขี้หน้าตัวเอง บิดขี้เกียจให้คนอื่นเห็นอีก ก็ขี้ของคุณเกียจ ขี้คร้านของคุณ แล้วคุณก็มาบิดให้-หยดให้คนอื่นเห็นอีก ไม่ต้องอวดโชว์ว่าฉันมีขี้เกียจคือน้ำนี้ แต่เปล่า บิดออกมาเป็นทั้งน้ำทั้งก้อนเลย เพราะในโลกก็มีดินน้ำไฟลม ไฟลมคือ Dynamic ดินกับน้ำก็คือ Static เป็นคู่ อย่างนี้เป็นต้น

อาหารเป็นเครื่องอาศัย แต่นี่เกินกินมันเมา อาหารนี้เหมาเข่งหมดนะ

ใจหดหู่ มันเกาะแน่นเหนียว ยิ่งกว่าตังเม หดหู่มีอยู่ 

ความเมาอาหารนี้ เหมาอาหารหมดเลย อาหารยิ่งใหญ่มาก เป็นเครื่องอาศัย คุณยังไม่รู้ว่าคนเมาอะไรเป็นเครื่องอาศัยด้วยซ้ำ เหมาเข่งอาหาร คุณต้องอาศัยมันก่อนต้องมาแยกแยะ คุณเมาขี้ฝุ่น เมาอาหาร เราเมามหาจักรวาล เราเมาจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่

ถีนมิทธะคือ ก้อน จม คนยึดในทิศนี้ก็อันนี้ ต่อมามีทิศตรงกันข้าม

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 14:51:02 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 15:12:19 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:15:36 )

อาหารของถีนมิทธะ 5

รายละเอียด

อาหารของจิตหรี่ ง่วงซึม มี 5 อย่าง คือ

1. ความไม่ยินดี

2.ความเกียจคร้าน

3. ความบิดขี้เกียจ

4. ความเมาอาหาร

5. ความที่ใจหดหู่

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม  19 "อาหารสูตร"  ข้อ  525

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 26 มิถุนายน 2562 ( 21:09:29 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 19:12:29 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:31:14 )

อาหารของธัมมวิจยสัมโพชฌงค์

รายละเอียด

อะไรเล่า เป็นอาหารให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศลและอกุศล ที่มีโทษและไม่มีโทษ ที่เลวและประณีต ที่เป็นส่วนข้างดำและข้างขาว มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์.

ถ้าคุณจับคู่ไม่ถูก เอาเลวไปคู่กับส่วนที่ข้ามตระกูลก็จะงง ผู้ที่รู้ด้วยบริบทด้วยกรอบของมันเทียบกันอยู่ในวงกรอบของมัน เช่น 2 ชัดเจนแล้วก็จะไปเทียบ 3 4 8  ก็ต้องชัดเจน ในตัวใด ๆ กว่าจะเทียบถึง 8 ก็ต้องชัดเจนใน 7 ก่อน เอาไปเทียบทีละคู่แล้วก็จะชัดเจนทุกอย่าง แต่ถ้าไปหลงเทียบแล้วมันไม่ใช่ คุณจะเทียบกับ 3 ก็ต้องรู้ทั้ง 3 ตัวนี้ให้ชัดเจน คุณจะไปเทียบกับ 4 ก็ต้องรู้  4 นี้ให้ชัดเจน 

จะเอา 1 ไปเทียบกับ 2 จะเอาไปเทียบกับ 4 เอาไปเทียบกับ 3 คุณจะได้ไม่สับสน 

จากคู่ นี่คือเทียบเลขคู่ เลขคี่ก็เทียบเลขคี่ จากคู่จากคี่ต่อมาคู่ยกกำลังคู่ คี่ยกกำลังคี่ คุณก็ต้องรู้เป็นหมวดหมู่ไปอีก 

2 ถ้า 2 คู่มันเป็น 4 นะ ถ้า 3 คู่ 3 ก็เป็น 9 นะ 

แต่ถ้า 3 คู่ 2 ก็แค่ 6 ถ้า 3 ยกกำลัง 2 ก็เป็น 9

เอามุมเหลี่ยมเส้นแสงเรขาคณิตสังขยาเลขมาสื่ออธิบายสภาวะ ซึ่งมันไม่เป็นแท่งไม่เป็นเส้นไม่มีก้อนอย่างที่เราพูดกันนะที่เป็นสภาวะธรรมน่ะ แต่คุณจับตัวมันถูกใช่ไหมก็เข้าใจ ถ้าจับตัวไม่ถูกก็ไม่เข้าใจ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช  วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:15:06 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 14:19:01 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:22:57 )

อาหารของปัสสัทธิสัมโพชฌงค์

รายละเอียด

อะไรเล่า เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสงบกาย ความสงบจิต

มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในความสงบนี้ นี้เป็นอาหารให้ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญบริบูรณ์.

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:27:11 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:04:05 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 06:38:18 )

อาหารของปีติสัมโพชฌงค์

รายละเอียด

อะไรเล่าเป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเป็นที่ตั้งแห่งปีติ

สัมโพชฌงค์ มีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญบริบูรณ์.

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:25:27 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:06:00 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:22:02 )

อาหารของพยาบาท

รายละเอียด

อะไรเล่าเป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นหรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิตมีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในปฏิฆนิมิตนั้น นี้เป็นอาหารให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น.

อย่าลืมว่าความชอบหรือไม่ชอบเป็นเหรียญอันเดียวกัน แยกกันไม่ได้นะ 

ตกลงได้เหรียญมา 1 เหรียญด้านหนึ่งเป็นกามฉันทะอีกด้านหนึ่งเป็นพยาบาท ก็นึกว่าได้แล้วยอดทรัพย์ แล้วแม้แต่กามฉันทะกับพยาบาทก็ตีไม่แตกแยกไม่ออกว่าคุณหลงอะไร คุณเหมาหมดเลย โง่ในความสุข โง่ในความทุกข์ โง่ในชอบ โง่ในชัง โง่ในเทวะ 2 คุณตีไม่แตกว่าเป็นหนึ่งแล้วคิดว่าใครอย่ามาตีแตกนะถ้าตีแตกเอาตายรักษาเหรียญนี้ไว้ นี่แหละคือเทวะ เขาก็ได้อันนี้เป็นอาหาร 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 14:48:08 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:07:19 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:21:41 )

อาหารของพยาบาท

รายละเอียด

อาหารที่ทำให้พยาบาทที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้วให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งซับซ้อน ปฏินิสสัคคะ คือ ไม่มีสวรรค์ แต่คุณก็ไปหลงว่ามันมีก็ซับซ้อน สวรรค์แล้วสวรรค์อีก ทั้งๆที่มันไม่มีอะไรเป็นลมเป็นแล้งก็ปั้นเป็นตัวเป็นตนไป ยิ่งกว่าปั้นอากาศ ปั้นความอุปาทาน ปั้นความไม่มีตัวตน เป็นความยึดสิ่งที่ไม่มีนิรมาณกายเป็นกายที่มี แต่คุณเนรมิตเองสร้างขึ้นมาเอง ทั้งที่มันไม่มี เมื่อสร้างกันให้มีแล้วก็ชวนกันไปบริโภคเป็นสัมโภคกาย  คนที่โง่ด้วยกันก็ไปด้วยกันเป็นโลกียะ เป็นคนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้กันทั้งนั้นเลย คน 7 พันล้านคนในโลก คือ คนตาบอดจูงคนตาบอดไปดูหนังใบ้กัน พอฟังเข้าใจชัดเจนขึ้นไหม แต่ไม่ใช่หมดทั้งโลกมันยังมีคนที่เป็นโลกุตระอยู่จำนวนหนึ่ง 

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 14:52:18 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:13:17 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:27:16 )

อาหารของมนุษย์คือพืชเท่านั้น

รายละเอียด

สร้างแต่พืชพันธุ์ธัญญาหาร อันนี้แหละเราสร้างขึ้นมา มนุษย์ขั้วโลกเหนือก็กินพืชอยู่รอด  มนุษย์โลกใต้ อยู่ในทวีปไหนก็ต้องกินพืชได้ทั้งนั้น เขาจะกินปลากินเนื้อสัตว์ มันเกินมันเฟ้อ มันไม่ใช่อาหารของคน อันนี้ก็ไม่ขอพูดยาวแล้ว อาหารของคนจริงๆนั้นคือพืชเท่านั้น ไม่ใช่เนื้อสัตว์ ไม่ใช่เนื้อปลา ไม่ใช่เนื้อหมีเนื้อหมาอะไร ไม่ใช่ กินแต่พืชนี่มีอายุยืนยาว เป็นอาหารของมนุษยชาติ 

เราก็สร้างพืชนี่แหละ มาสร้างให้ล้นโลก มาสร้างให้ท่วมโลกเลย นี่เป็นภาษาใหญ่ Bigword ภาษาโม้ สร้างให้ท่วมโลก สร้างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งเป็นพืชที่จำเป็นที่จะใช้เป็นอาหาร ข้าว เป็นต้น ซึ่งมีวิตามิน มีธาตุอาหารที่สำคัญรวมอยู่ในข้าว เยอะมากเท่าที่พิจารณากันอย่างดีทั่วโลกแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 11:07:07 )

อาหารของมีนมิทธะ 5

รายละเอียด

อาหารของจิตหรี่ ง่วงซึม มี 5 อย่าง คือ

1. ความไม่ยินดี (อรติ)

2. ความเกียจคร้าน (ตันที่)

3. ความบิดขี้เกียจ (วิชัมภิกา)

4. ความเมาอาหาร (ภัตตสัมมโท)

5. ความที่ใจหดหู (เจตโส จ ลีนุตตัง)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 19 “อาหารสูตร” ข้อ 525


เวลาบันทึก 13 มีนาคม 2565 ( 19:35:11 )

อาหารของวิจิกิจฉา

รายละเอียด

อะไรเล่า เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่ง วิจิกิจฉามีอยู่ การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นอาหารให้วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น หรือที่เกิดแล้ว ให้เจริญไพบูลย์ยิ่งขึ้น. ใครที่ตีทั้ง 4 อันคือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่แตกอย่างละเอียด ไม่ออกก็ไม่จบ คุณก็จะอยู่ในวิจิกิจฉา คำว่าวิจิกิจฉาคือตัวรวมของความโง่ในทุกสิ่งทุกอย่าง กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ กามกับพยาบาทคือฝ่ายนอก ถีนมิทธะกับอุทธัจจะกุกกุจจะ ก็คือฝ่ายใน พวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติก็จะจมอยู่ใน ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ ส่วนพวกที่ไม่ได้ไปหลับตาปฏิบัติก็จะฟุ้งอยู่ใน กามกับพยาบาท ส่วนผู้ที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ก็จะหมดความเป็นทาสกามพยาบาทก่อน แล้วก็ปฏิบัติสิ่งที่ยังเหลืออยู่ภายใน ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ คือ 2 อย่าง ปฏิฆะ เทียบง่ายๆก็คือ เท่ากับตัว อุทธัจจะกุกกุจจะ กามฉันทะเทียบง่ายๆกับ ถีนมิทธะ มันดูดแน่นเกาะกุม ส่วนพยาบาท ทำให้กระจายทำให้สูญไป ถ้าใครสลับ เอาปฏิฆะมาจับคู่กับถีนมิทธะก็ไปกันใหญ่ สะสมปฏิฆะ ลงไปในถีนมิทธะ หรือเอากามฉันทะไปคู่กับอุทธัจจะก็ไปกันใหญ่เลยเหมือนกับพวกที่สร้างแสงสีเสียงไปกันใหญ่ พวกนักออกแบบพวกศิลปิน ศิลเปรอะ เอาขี้หมาทาสีก็ขายได้ราคาอะไรอย่างนี้จะไปกันใหญ่ อาหารของนิวรณ์ทั้ง 5 คือความโง่ครบเครื่อง มี 4 อย่างแล้วมีวิจิกิจฉาเป็นตัวสารถีที่พาทั้ง 4 ไป เป็นตัวหัวหน้าใหญ่นำขบวนเลย

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:02:13 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:15:06 )

เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2563 ( 16:24:02 )

อาหารของวิชชา

รายละเอียด

ฟังธรรมจากสัตบุรุษ เกิดศรัทธาเชื่อที่บริบูรณ์ เกิดโยนิโสนมสิการ เกิดสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 13:44:42 )

เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2563 ( 13:16:00 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:34:40 )

อาหารของวิชชา

รายละเอียด

ฟังธรรมจากสัตบุรุษ เกิดศรัทธาเชื่อที่บริบูรณ์ เกิดโยนิโสนมสิการ เกิดสติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 15:37:52 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 08:44:51 )

เวลาบันทึก 21 สิงหาคม 2563 ( 20:34:59 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์