@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ตายแล้วยังมีกายหมายความว่าอย่างไร

รายละเอียด

หมายความว่าเขาโง่ อย่างพวกที่โง่ตายไปแล้วยังมีร่าง ยังยึดติดอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ากายคือ จิต มโน วิญญาณ  มันได้ผิดเพี้ยนไปนานแล้ว อาตมาเอาความจริงจากพระไตรปิฎกขึ้นมาพูด ที่บอกว่าตายไปแล้วยังมีกายก็คือเขาโง่เขายังยึดถือกาย เดรัจฉานมันยังรู้เลยว่าตายแล้วต้องทิ้งร่าง เขาคิดว่ากายในภาษาไทยคือร่างมันยึดติดผิด พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว และประกอบด้วยตัณหาใด เกิดขึ้นแล้ว อวิชชานั้นคนพาลยังละไม่ได้ และตัณหานั้นไม่ได้สิ้นไป เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ เหตุนั้น เมื่อตายไปแล้วคนพาลย่อมเข้าถึงกาย(กายูปโค สมาโน) เมื่อเขาเข้าถึงกายชื่อว่ายังไม่พ้นจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกปริเทวะทุกขโทมนัสและอุปายาส เรากล่าวว่ายังไม่พ้นไปจากทุกข์

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 14:11:34 )

ตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์เท่าขี้เล็บทิ่มลงไปในแผ่นดิน

รายละเอียด

จริงๆแล้วตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตายไปแล้วจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกหรือจะขึ้นสวรรค์ได้นั้นเป็นส่วนน้อย  ส่วนใหญ่แล้วลงนรก ที่เกิดเป็นสวรรค์นั้นเป็นมนุษย์เท่ากับขี้เล็บที่ทิ่มลงไปในแผ่นดินเท่านี้แหละ ที่ได้มาเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์มีเท่านี้ นอกนั้นในปฐพีนรกทั้งนั้นเลย แล้วนรกก็ไม่มีเต็ม นรกของใครของมัน อีกอย่างจิตวิญญาณไม่กินเนื้อที่ไม่ซ้อนกัน มันไม่มีที่อยู่ก็เลยไม่เต็ม สัตว์ที่จุติ*(เคลื่อน)จากมนุษย์แล้วกลับมาเกิดในภูมิแห่งมนุษย์ มีส่วนน้อย  ..ส่วนที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในภูมิเดียรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย (เปรต)  ย่อมมีมากกว่าโดยแท้ (*สัตว์ที่จุตินั้นหมายถึง โอปปาติกสัตว์) 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 20  ข้อ 206


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:58:10 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:18:20 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:13:37 )

ตายแล้วไปไหน

รายละเอียด

เมื่อตายร่างกายแตกดับไปแล้ว ก็ยิ่งจมลงไปมืดหลงอยู่เฉพาะกับจิตใจตนเท่านั้นที่เป็นอยู่จริงจัง เพราะตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกได้สลายสิ้นไปหมดแล้ว จึงจมโดดเดี่ยวเดียวแดอยู่ชนิดไม่มีหูให้โง ไม่มีหัวให้เงย คงมีแต่ดิ้นขลุกขลักอยู่กับ "อัตตาของจิต" ไปไหนไม่ได้อีกนานตามระยะเวลาแห่งวิบากบาป ซึ่งตนต้องใช้หนี้บาปตามความหนักและนานเท่าที่ "กรรม"ได้ทำมาจริง จนกว่าจะครบช่วงวาระของบาป ก็ได้ใช้หนี้เวรไป  ซึ่งดิ้นอยู่ในโลกหรือในภพของจิตเท่านั้นที่ "อวจร" (ซึ่งอยู่อาศัยท่องเที่ยวเป็นไป)ได้ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ "เอกจรัง" (เป็นไปอย่างเดี่ยวเดียวดาย) แม้จะเป็นการไปของตัวเองไกลแสนไกลถึงไหนต่อไหนได้ (ทูรังคมัง) ก็ไม่พ้น "เอกจรัง" คือ เที่ยวไปเป็นไปอย่างเดี่ยวเดียวดาย นั่นก็คือ ท่องเที่ยวไปหรืออาศัยอยู่ (อวจร)ในจิตตนเท่านั้น ดิ้นรนกระสันอยากร้อนเร่าเท่าที่กิเลสของใครมีมากน้อยจริงเท่าใด มันก็อัดแน่นดิ้นเป็นนรกอยู่  ไม่มีทางได้ระบายออกสู่ "กามาวจร" เลย กล่าวคือ กิเลสตัณหาอุปาทานที่มี และไม่ได้ระบาย มันก็อัดอั้นกลั้นดิ้นเร่าร้อน อยาก "เสพรสสุข" ด้วยการมีสัมผัสเสียดสีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ตามความหลงยึดที่อวิชชาว่าจริง อย่างที่เคยได้สัมผัสทางกายขันธ์ภายนอกเหมือนชีวิตเป็นๆ แล้วก็ยังงมงายติดยึดมันอยู่ ซึ่งในตอนมีร่างกายขันธ์ เป็นทางระบาย มันก็หลงเสพหลงติด ยึดไว้ด้วยอวิชชาว่าจริง สัญญาที่ยังมีอุปาทาน มันจึงสำคัญมั่นหมายไว้จริงๆว่า นั่นคือ สิ่งที่ควรได้ควรเสพ ควรยึดควรติด จึงยึดจึงติดอยู่ คนตายไปแล้วมีแต่ "จิต" ไม่มีร่างกาย ทวาร 5 ไม่มีแล้ว เมื่อมันไม่มีทวาร 5 ภายนอก ที่จะให้กิเลสออกมาสัมผัสกามคุณ 5 คือ ตาหูจมูกลิ้นกาย บำเรอกิเลสของตน ซึ่งมันยังอัดอั้นอยู่ในใจมีอยู่จริง มันก็ดิ้นรนเร่าร้อนเป็นนรกแท้ๆของผู้ดับกิเลสกามยังไม่สิ้นอนุสัยของกาม (กามานุสัย)

      "อนาคามี"ตายไปแล้วจึงไม่มี"นรก"เพราะดับนรกในกามภพได้จริง

ถ้าเป็นอนาคามีภูมิ ตายกายแตกดับไป อนาคามีทำ "นิโรธ"จากกิเลสกามตาม "ธรรมที่เป็นพุทธ" ซึ่งวิธีพุทธนั้นมีผัสสะเป็นปัจจัยจนกระทั่งสามารถดับกามกิเลสใน "กามาวจร" ได้อย่างสัมมาทิฏฐิ จึงไม่มีนรกจาก "กามภพ" ด้วยประการฉะนี้ แต่คนที่ยังไม่ถึงภูมิอนาคามีอย่างสัมมาทิฏฐิ เมื่อกายแตกตายไปแล้ว ตกอยู่ใน "รูปภพ-อรูปภพ" จะเหมือนเด็กไร้เดียงสา เพราะยังอวิชชาอยู่ เมื่ออยากเสพกาม เพราะกิเลสอัดอั้น คุณก็ดิ้นพราดๆอยากเร่าๆเหมือนเด็ก ที่กิเลสร้ายไร้เดียงสานั้นแหละ ดิ้นอาละวาดปั่นป่วนอยู่ในภพนั้น คนตกนรกเป็นจริง เพราะยังมีกิเลสจริง เช่นนี้เอง

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 177-180


เวลาบันทึก 04 กันยายน 2562 ( 16:20:19 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:42:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:45:42 )

ตายแล้วไปไหน

รายละเอียด

ส่วนตายแล้วไปไหน? คนที่ร่างกายตายแต่จิตวิญญาณยังมีกิเลสก็ดี หรือแม้แต่หมดกิเลสแล้วก็ตาม ตายแล้วก็ไปตามภูมิของตนเอง ภูมิของผู้ที่เป็นปุถุชนอวิชชาได้แล้วพวกนี้ก็ยังจะมีนรกเป็นที่ไป ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เขาก็ต้องไปนรกไปสู่ภูมิภพ ซึ่งภูมิภพนรกในที่ๆยังไม่ได้มีร่างกายอาศัยเป็นที่เกิด เรียกว่าสัมภเวสี 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 12:40:55 )

ตายไปแล้วความสามารถของเราจะตายตามไปด้วยไหม

รายละเอียด

ความสามารถของเราหากเราตายไปแล้วมันก็จะลดลง เรามาเกิดมันก็จะมีไม่เต็มความสามารถทีเดียว เราเกิดใหม่แต่ใช้ความสามารถเต็มที่นั้นไม่ได้เราจะต้องสร้างความสามารถของเราให้มากเกิน อย่างพระพุทธเจ้าท่านสร้างความสามารถ เพราะท่านไม่ได้มีเท่าที่ท่านสอนคน แต่ท่านมีไม้ทั้งป่าท่านสอนคนนั้นเพียงแค่ใบไม้กำมือเดียว หมายความว่าท่านจะสร้างความรู้ของท่านให้มากจนกระทั่งเทียบแล้วคนประมาณเปรียบเทียบเอาไม่ได้ เมื่อท่านมีความรู้เท่าทั้งป่าและท่านก็เอามาใช้กับคนแค่กำมือเดียว ท่านจะไม่เสียธรรมท่านจะไม่เสียถึงอย่างไรก็ไม่เสียธรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะไม่มีทางเสียท่า โพธิรักษ์นี้ยังเสียท่าอยู่เลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:46:01 )

ตายไปแล้วจิตไปอยู่ที่ใด

รายละเอียด

จริงๆแล้วพวกที่ตายไปแล้ว จิต จะเรียกให้ถูกก็คือไปอยู่ดุสิต จิตจะไปอยู่ในภพความสงบ มีท้าวสันตุฏฐิ เป็นเจ้าของแดนดุสิต คือแดนสงบ 

สงบแปลว่าอะไร คือความหยุด ถ้าหยุดอย่างสัมมาทิฏฐิก็คือพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นการหยุดอย่างพวกโง่พวกอวิชชา อย่างอุทกดาบส อาฬารดาบส เอาแต่นิ่งหยุด จนกระทั่งพระพุทธเจ้าอุทานว่าชิบหาย ไม่มีใครไปเจอใครได้ เป็นชาติใครชาติมันภพใครภพมัน เป็นสัมภเวสี ถ้าลืมตาจึงมาสัมพันธ์กันได้รู้เรื่องกัน ทางตาหูจมูกลิ้นกายสื่อกันได้ แต่ไปอยู่ภพใน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 04:38:48 )

ตายไปแล้วอนุสัยก็จะขึ้นมาทำงาน

รายละเอียด

เมื่อตายไปแล้วอนุสัยก็จะขึ้นมาทำงาน คุณยินดีกับมันแม้สิ่งที่เป็นความชั่ว เช่นยินดีกับการโกง แม้เสี่ยงติดคุก หรืออะไรต่างๆ แต่ก็ยังกล้าโกง แสดงว่า คุณอำมหิตมาก อนุสัยคุณแรงมากที่ต้องทำสิ่งชั่วร้ายนี้ ตายไปก็เหลือแต่อนุสัยก็คือชั่ว นรกติดคุณไป ก็ต้องตกในภาวะนั้น ซวยมาก เพราะตายไปไม่มีวัตถุเงินทองข้าวของให้คุณมาโกง จะไม่มีคนหรือวัตถุอันนั้น คุณก็จะโง่ มืดหน้ามัวตาเหมือนคนติดฝิ่น ไม่มีฝิ่นจริงก็จะดิ้นอยากสูบฝิ่น สุดท้ายก็ตาย คือตกนรกหมกไหม้ ไม่มีอะไรดึงคุณไว้เลยนะ คุณติดฝิ่นหนัก เสี้ยนนี่ เห็นได้ว่ามันทรมาน ฉันเดียวกัน คุณตกในอนุสัย คุณจะเป็นคนเหมือนติดฝิ่นติดเฮโรอีนแบบนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ตอบปัญหาการทำใจในใจให้ถึงแดนเกิด วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2561 ที่ บวร ราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เทวดา นรก สวรรค์) ตอน คนทุกศาสนาตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:55:45 )

ตายไปแล้วเกิดมาใหม่ทำไมจำอดีตไม่ได้

รายละเอียด

เราเกิดมาเป็นล้านชาติ หากเราจำได้หมดเป็นล้านชาตินั้นจะยุ่งไหม เราต้องมีคู่ผัวคู่เมียคู่พ่อคู่แม่อะไรอีกเป็นล้านๆคน จำได้หมดมันจะยุ่งไหม ตายเลย

อะไรที่ทำให้เราจำไม่ได้เพราะธรรมชาติมันทำให้ดีแล้วอย่าไปเอามันมาเลย อยากได้ไปทำไมสิ่งที่มันจะทำให้เราแย่ ขืนจำได้หมดเราก็จะแย่แล้วเอามาทำไม ธรรมชาติเขาจัดสรรไว้ดีแล้ว ธรรมชาตินี่ยิ่งใหญ่ที่สุด เคยกินตับยุงไหม ธรรมชาติหาตับยุงไม่ได้เลยสุดยอดเลย สัตว์ที่เล็กกว่ายุงมีไหม หยุดคิดดีกว่า ปล่อยธรรมชาติเขาไปเถอะ เรามาทำเฉพาะที่เราจัดสรรได้รู้ได้ แล้วก็ลดกิเลสของเราแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข  แล้วจะรู้ว่าตายอย่างปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นอย่างไร หรือยังไม่อยากตายจะอยู่ไปก็ได้ ยืนยาวไปเท่ากับพระอวโลกิเตศวร ที่ท่านยังไม่ยอมตาย เป็นพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่ที่สุดท่านก็ยังไม่ยอมตาย เพราะท่านมีปณิธานว่าท่านจะช่วยคนรื้อขนสัตว์ ให้คนอื่นปรินิพพานไปหมดก่อนตัวเองถึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:42:33 )

ตายไปแล้วเหลืออะไร

รายละเอียด

ตายไปแล้วเหลือแต่ความรู้ ให้ปฏิบัติตาม ความรู้ก็ยังอยู่ นอกจากจากความรู้เพี้ยนผิดไปเยอะ ทุกวันนี้มันเพี้ยนผิดไปเยอะ อาตมาก็นำความถูกกลับมาให้แก้ไขความผิดเสียให้ได้ก็เป็นเช่นนั้น คนที่รู้จริงๆเห็นจริงๆว่าอาตมานำพาความถูก มาแก้ไขความผิดได้ก็มาเอา คนที่ไม่เชื่อ เขาก็งมงายอย่างนั้น อยู่เป็นพญานาคไป สุดท้ายก็จะได้เป็นพญานาค หรืออีกพวกไม่เชื่อตามที่อาตมาบรรยายสอน ที่บอกเอาเนื้อแท้ของพระพุทธเจ้ามาอธิบายถูกแล้ว เขาก็แสวงหาความรู้อะไรอีกเยอะแยะ เป็นพญาครุฑมากมายไปไม่รู้จักจบจักหยุด ทั้งๆที่เนื้อแท้พระพุทธเจ้าก็สอนให้เรียนรู้หมดแล้ว แต่ก็ยังไปเก็บความรู้อื่นอีกเยอะที่เขาไปเก็บมา สะสมมา แล้วเมื่อไหร่จะปฏิบัติทำให้ตัวเองบรรลุสักที พญาครุฑเอ๋ย หมายถึงใครบ้างก็คิดเอาเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:15:34 )

ตาลยอดด้วนคือพวกปาราชิก

รายละเอียด

ตาลยอดด้วน เป็นการตำหนิที่แรง ตาลยอดด้วน หมายถึง พระปาราชิก ตาลที่ยอดด้วนแล้ว ตาลที่ถูกตัดยอดด้วนแล้ว ตายอย่างเดียว ไม่มีทางอื่นเลย เหมือนกับพระที่ทำปาราชิกแล้ว ชาตินั้นทั้งชาติตาย ชาตินั้นทั้งชาติสิ้น สิ้นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่จะต่อ ยอดด้วน ที่จะพัฒนาต่อ ที่จะได้เล่าเรียนต่อ ที่จะก้าวหน้าต่อ เพราะฉะนั้นแม้แต่คนที่จะประพฤติกับผู้ปาราชิก ก็ต้องไม่ให้มาคบคุ้นกับพวกเราพวกที่มีธรรมะ ส่วนตัวของเขามันเป็นเรื่องอิสระเราไปละลาบละล้วงไม่ได้ เขาจะไปคบกับใครต่อใครอื่น แต่ถ้ามาคบกับเราชาวพุทธทุกคน ชาวพุทธทุกคนตัด 

ปาราชิก มันมีโทษหนักกว่า พรหมทัณฑ์ โทษพรหมทัณฑ์ อนุญาตให้อยู่กับหมู่ชาวพุทธด้วยกันได้ คนๆ นี้เป็นโทษระดับพรหมทัณฑ์แล้ว จะไม่บอกไม่สอน ไม่แนะนำเขาเหมือนเขาไม่มีอยู่ในโลก เขามีอยู่ก็มีชีวิตเหมือนคนธรรมดา เรื่องธรรมะไม่เกี่ยวเลย นี่คือ เรียกว่า พรหมทัณฑ์ อยู่ร่วมด้วยได้ สัมผัสสัมพันธ์ได้ แต่ไม่มีใครเสริมเติมให้ธรรมะอะไรต่ออะไรได้ เขาจะขวนขวายเองอะไรๆ เป็นเรื่องของเขา แต่ปาราชิก ร้ายแรงกว่าพรหมทัณฑ์ คือ ให้ออกจากหมู่เลย อย่าให้มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ถ้าเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งใครเห็นใครรู้ว่า สมีเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่ง ให้คนไปเชิญออก อย่าให้เข้ามา ร้ายแรงถึงขนาดนั้น 

แต่ศาสนาพุทธมันเสื่อม จนกระทั่งไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ปาราชิกแล้วก็เอามาคลุกคลี ดีไม่ดีมีโทษแค่ไม่ให้กลับมาบวชได้อีก นี่ เสื่อมถึงขนาดนั้น ยังให้มาเป็นมัคนายก ดีไม่ดีเป็นผู้สอนธรรมะอีกได้ แต่ไม่ให้บวชอย่างเดียว นี่คือความเสื่อมมาก ไม่รู้จักของเน่าของดี ปนกันเละไปหมด นี่เป็นการยืนยันความเสื่อมที่แท้จริงได้ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 35 ที่สุดแห่งที่สุดที่จะเกื้อกูลโลกได้คือโลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2566 ( 12:21:22 )

ตาวติงสา คืออาการที่ 33

รายละเอียด

33 คืออะไร คือวิมานคนบ้า วิมานคนเมา เป็นแดนสวรรค์เป็นแดนที่มันไม่มี ธรรมดามนุษย์นั้นมีแค่ 32 มีทวัตติงสาการ มีแค่อาการ 32 อาการสมดุลของความเป็นอยู่ลักษณะอาการร่างกายทั้งหมดด้วย จิตใจควบคุมอยู่ มีอาการอยู่อย่างสมดุลกลางๆ 32 อาการ

เพราะฉะนั้นอาการที่ 33 คือมะเร็ง คือเนื้องอก มะเร็งพิษเป็นเนื้องอกพิษ ตั้งแต่จตุมหาราชิกาคือยักษ์คือมาร แล้วก็ไปเที่ยวไล่แย่งชิงโลกเขาโลกียะลาภยศสรรเสริญโลกียสุขบ้าๆบวมๆ ไปแย่งสวรรค์ แต่ที่จริง ตัวเองทำเหตุแห่งทุกข์ สวรรค์เป็นเหตุแห่งทุกข์ 

ฟังอาตมาอธิบายนี่ไม่เขยื้อนไม่รู้จักฟังไม่ขึ้นไม่เข้าใจก็คงหมดแล้วล่ะ อาตมาว่าพูดแรงแล้วนะ พูดจนแหลกละเอียดจนไม่รู้จะเอาหัวหางอันไหนมาอธิบายแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิบัติจรณะ 15 พาให้พ้นสวรรค์คนโง่ วันพุธที่ 3 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2564 ( 15:02:31 )

ตาวติงสา เป็นของเก๊ไม่มีจริง

รายละเอียด

ผมขนเล็บฟันหนังในมูลกรรมฐาน 5 ที่มันอยู่ข้างนอกเป็นอวัยวะองคาพยพ 32 นี้ ผมขนเล็บฟันหนัง นี่แหละองคาพยพ นอกนั้นมันไม่ใช่ มันแค่
ทวัตติงสาการ เป็นอาการ 32 แต่คนไปมีตาวติงสา ไปมีองค์ที่ 33 นั่นเป็นของปลอมเป็นดาวดึงส์หรือ ตาวติงสา นั่นมันเป็นของเก๊ มันไม่มีจริง เป็นลมๆแล้งๆ เพ้อฝันปั้นขึ้นมาเป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย ขึ้นมาเอง แล้วมันก็เป็นของแต่ละคน ต่างคนต่างไม่รู้ของใครหรอก เสพ เป็นอุปาทานหมู่เท่านั้น สัมโภคกายต่างคนต่างปั้นขึ้นมาเสพเป็นอุปาทานแท้ๆเลย 

เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดถือลมๆแล้งๆ มันไม่เข้าเรื่อง เวทนามี 1 เท่านั้น เมื่อเรายังมีธาตุรู้ ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานก็แยกธาตุเวทนาหมดเลย แยกเป็นอุตุ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมหมดเลย ไม่มีความรู้สึกเลย หรือไม่ก็แค่อาศัยไม่ถึงขั้นอุตุขั้นพีชะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 6 วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2564 ( 19:06:21 )

ตาเนื้อ ตาทิพย์ ตาปัญญา ในตรีตา

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่มี ตรีตา ตา 3 ตา ก็จะเห็นก็จะเข้าใจความเป็นจริงของนายทุนที่เขาทำกันอยู่ เห็นจริงเป็นตาเนื้อ คนทั่วไปก็เห็นด้วยกัน ผู้ที่มีปฏิภาณขึ้นมาเรียกว่า ตาทิพย์ มีปฏิภาณ มีความรู้ขึ้นมาก็มีตาทิพย์ 

ตาทิพย์นี้มี 2 ทิพย์ ทิพย์ขี้หลอก มิจฉาทิฏฐิ จะนั่งหลับตาหรือไม่นั่งหลับตา มีสัญญาวิปลาส มีการกำหนดรู้ที่เพี้ยนผิดไปจากสัจธรรม ก็เข้าใจไปอย่างหนึ่ง ส่วนตาทิพย์ของผู้ที่สามารถพอเข้าใจไปในทางสัมมาทิฏฐิบ้างก็เข้าใจไปอีกอย่าง 

ตาปัญญา สามารถรู้ทั้ง 3 อย่างเลย ตาเนื้อ ตาทิพย์ แม้ตาทิพย์ที่เขาแยกออกเป็น 2 คือ ตาทิพย์แบบเห็นไปในทางงมงายเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 16:49:57 )

ตำนานต่างๆ ของพญานาค

รายละเอียด

ปัญญา 8 ล. 1 น. 352 -เรื่องของพญานาค 

(144) ตำนานต่างๆ ของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้ 

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงถึงท่านอน-ท่าหลับ  เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมากครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ“หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาป เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่อย่างนี้

“อปัณณกปฏิปทา 3”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง“สำรวมอินทรีย์ 6”

เช่น ศีลข้อ 1 คนเกี่ยวข้องกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารเกี่ยวกับวัตถุ อาตมาถึงบอกว่าคุณจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์ทำไม มันก็อยู่ตามวิบากของมัน เกี่ยวข้องกับคนนี่แหละเป็นศัตรูร้ายเลยระมัดระวังแค่นี้ก็งานหนักงานหนาแล้ว เกี่ยวข้องกับคนอย่างมีรักมีชังกันอยู่นี่ ทำให้หมดรักหมดชัง เป็นมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีก็อยู่อย่างญาติพี่น้องพึ่งเกิดพึ่งแก่เจ็บตายกันให้ได้สิ สุดยอดเลย อย่างที่เราเป็นกันได้ จนสมบูรณ์ จนสุดท้ายชาวอโศกนี้มาเป็นคู่บางที มาปฏิบัติธรรมนี้แล้ว จบ เป็นพี่เป็นน้องกันอยู่ในนี้สบายเลย เลิกเกี่ยวข้องกันทางกาม เป็นพี่เป็นน้องกันเหมือนทุกๆ คน สบายไหม 

อปัณณกปฏิปทาข้อ[1] สำรวมอินทรีย์ 6 ที่มีสัมผัสทางตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจ ต้องเห็นรูปทางตา,ได้ยินเสียงทางหู,ได้กลิ่นทางจมูก,ได้รสทางลิ้น,ไ ด้กระทบสัมผัสทางกายภายนอก-ภายใน,ได้สัมผัสทางใจในใจขั้นรูป-ขั้นอรูป อยู่ตลอดการปฏิบัติ (อินทรียสังวร)

อปัณณกปฏิปทาข้อ[2] ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้ขณะกินขณะใช้นั้นๆ อย่าให้มีกิเลสมันเกิดในจิต ถ้ากิเลสเกิดก็กำจัดกิเลสนั้นๆ (โภชเนมัตตัญญุตา)อย่าให้เกิดกิเลส เมื่อคุณใช้ข้าวใช้ของ ..เคยเห็นคนขว้างตะหลิวมั้ย

อปัณณกปฏิปทาข้อ[3] ผู้ปฏิบัติต้องทำความมีสติตื่นรู้อยู่กับการปฏิบัติทั้งภายนอก-ภายในนั้นๆ อยู่เสมอ และมี “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”ไปตลอด (ชาคริยานุโยคะ) แต่ผู้หลงผิดก็มืดบอดจริงๆ ไป“หลับตา”ปฏิบัติกันการหลับตาปฏิบัติ มันก็ตรงกันข้ามกับ“อปัณณกปฏิปทา 3”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาถลกหนังพญานาคจอมหลับตา วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 22 พฤษภาคม 2565 ( 15:54:38 )

ตำนานถอนกิ่งหว้า

รายละเอียด

เอาตำนานถอนกิ่งหว้ามากล่าวถึงเลย ผู้ไม่รู้ตำนาน มาถอนกิ่งหว้า อันนี้หมายถึงอะไร ก็คงจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร คือหมายความว่าอย่างนี้ ถอนกิ่งหว้า คือ ในยุคพระพุทธเจ้า จะมีการถกปัญหาถกธรรมะกัน ผู้ที่อยากจะถกธรรมะกับใครก็เอากิ่งหว้านี้ไปหัก หักกิ่งหว้าไปปักไว้หน้าสำนักเขาเลย ท้าให้ออกมาโต้ ให้ออกมาถกเรื่องธรรมะกัน เขาจะอย่างนั้นเลย วิธีนี้ลัทธินี้เขามีอยู่ในธิเบต เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ยังเอาวิธีปักกิ่งหว้ากันอยู่ เขาถกกันจริงๆ โอ้โห! เอาหน้าดำหน้าแดง ถกกันแต่เขาไม่ได้โกรธกันนะ เอาเป็นเอาตายอย่างกับทะเลาะกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 10:28:11 )

ตำนานถาดทองคำของพระพุทธเจ้าสื่อถึงอะไร

รายละเอียด

ถ้าไม่มี“ตำนาน”ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า ที่แต่ละพระองค์ลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วไปหยุด ณ ที่แห่งเดียวกัน ตรงกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วจมลงไปกระทบกับถาดทองคำของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีเสียงดัง“ด้วยเสียงของถาดทองคำ”นั้น ซึ่งหมายถึงเสียงสุดวิเศษแห่ง“โลกุตรธรรม” อันไม่มีธรรมใดของศาสนาใดในเทฺวนิยมมีกันได้เลย กระนั้นก็ยังทำให้“พญานาค”รู้ได้ว่าเป็นเสียงของ“ถาดทองคำของพระพุทธเจ้า”ได้อย่างเดียวเท่านี้ เท่านั้น นอกนั้น“ไม่รู้”อย่างอื่นอะไรเลยสักนิดทั้งสิ้นทั้งนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 20:16:52 )

ตำนานพญานาค

รายละเอียด

ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่าหลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ เพราะพุทธที่“สัมมาทิฏฐิ”นั้นจะมีหลักปฏิบัติแท้ๆคือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมี“อปัณณกปฏิปทา 3”ยืนยันการเป็นศาสนาพุทธที่แท้จริงถูกต้อง มีหลักธรรมชัดเจนอยู่โต้งๆ

ถ้าการปฏิบัติใดไม่มี“อปัณณกปฏิปทา 3”การปฏิบัตินั้นก็“ผิด”ไปจากศาสนาพุทธ ก็ชัดแจ้งแดงแจ๋อย่างนี้ หรือถ้าผู้ใดยืนยันยึดมั่นถือมั่น ว่า “การหลับตาปฏิบัติ”นี่แหละเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิด (อปัณณกปฏิปทา)”ของศาสนาพุทธ ผู้นั้นก็คือ “มิจฉาทิฏฐิ”ตัวแท้ ซึ่งมีความคิดปฏิปักษ์ต่อศาสนาพุทธอยู่โทนโท่ แท้ๆ ชัดๆ “อปัณณกปฏิปทา 3 (ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ)”ก็คือ การปฏิบัติที่มี“ศีล”เป็นหัวข้อแต่ละข้อ ให้ปฏิบัติ แล้วจะต้อง “สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ” อันเป็น“ข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดของพุทธ 3 ข้อ”ที่มียืนยันอยู่อ้างอิงได้ใน“พุทธคุณ 9”ของพระพุทธเจ้า”แท้ๆชัดๆ ใครจะบังอาจปฏิเสธ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พญานาคเดียรถีย์ลัทธิหลับตาทำลายศาสนาพุทธ วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤษภาคม 2565 ( 11:55:18 )

ตำนานพญานาค 7 ระดับเป็นอย่างไร

รายละเอียด

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ 

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่

3. ผู้นำวิธี“หลับตา”มาใช้ในศาสนาพุทธจึงเป็น“นาค” หรือ“งู”ปลอมเข้ามาเผยแผ่ลัทธิวิชาของเดียรถีย์ ในพุทธ 

เมื่อ“ปลอมตัว”เข้ามาอยู่ในศาสนาพุทธแล้วก็พยายามที่จะไม่ทำตนเป็น“งู” ก็ยังพยายามไม่ให้แสดงหลับ ไม่ให้แสดงนอน เดี๋ยวจะจับได้ว่า เป็นเดียรถีย์คือ“งู” จนที่สุดนาคที่ปลอมเข้ามาบวชในศาสนาพุทธก็ต้องเผย“ธาตุแท้”ออกมาจนได้ คือ ตอนมาขอบวชนั้นปลอมตัวเป็นคน  แต่เผลอนอน เผลอหลับให้จับได้ นั่นคือ ร่างที่ปลอมเป็นคนมานั้นมันกลับคืนไปเป็นงู ตอนเผลอนอนหลับอยู่ในกุฏิ หางโผล่ออกมานอกประตู มีผู้พบเห็นก็จับได้ว่าเป็น“นาค”ปลอมตัวเข้ามาบวช จึงจับสึก ไล่ออกไป  

แต่นาคก็อ้อนวอนขอให้เห็นใจ คนผู้รักศาสนาพุทธ ศรัทธาศาสนาพุทธ อยากเป็นพุทธ จึงขอให้เรียกผู้ที่จะได้บวชเป็น“ภิกษุ”ในศาสนาพุทธ โดยใช้คำว่า “นาค”เป็นอนุสรณ์ จึงมีคำว่า “นาค”เรียกผู้เตรียมบวชก่อนเป็นภิกษุ

4. เมื่อ“นาค”พยายามซึมแทรกเข้ามาบวชในศาสนาพุทธได้ ก็พยายามจะไม่ให้“ความเป็นนาค”บังเกิดออกมาอย่างยิ่ง อย่างใหญ่อย่างมหายิ่งมหาใหญ่ จนต้องเรียกว่า “พญา”ผู้ยิ่งใหญ่ ที่รักศรัทธาศาสนาพุทธ ก็พากเพียรที่จะ“ไม่ให้ตนเป็นนาค” ก็เท่ากับผู้เฝ้ารักษาความเป็นพุทธอย่างยิ่งใหญ่ จึงมีสัญลักษณ์เป็น“นาคปรก 7 เศียร” นั่นหมายถึงผู้รู้ว่า ตัวเป็น“นาค”ผู้มีรากฐานมาจากงู แต่รักศรัทธาศาสนาพุทธสุดชีวิต จึงคอยปกป้องรักษาศาสนาพุทธจริงจังเต็มที่ แล้วปณิธานของตนก็จะเป็นพุทธสุดยอดให้ได้ ถึงพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ก็แสดงถึงความเป็น“นิยตะ” ซึ่ง“ปุคคลาธิษฐาน”ก็คือ “พญานาค 7 ตัว 7 หัว”ปกปักรักษาพระพุทธ 

นั่นคือ มี“ความปรารถนาเจตสิก”เข้าขั้นยินดีในพุทธแล้วแน่นอน ไม่มีเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา 

จึงนับเข้าขั้นผู้รู้ดีในความเป็น“นาค”อย่างยิ่ง และจะออกจากความเป็นนาคให้ได้เด็ดขาดจริงแท้ด้วย จึงนับเข้าขั้นเป็นผู้รู้ทันคนปลอมตัวมาบวชในศาสนาพุทธ ก็กลายเป็นทั้งมือปราบคนปลอมตัวมานอน มาหลับ มาซุกตัวเผยแพร่“ความเป็นงู-ความเป็นนาค”ทั้งตนก็ยังเป็น“นาค”อย่างยิ่งอยู่ ที่มาเผยแพร่ลัทธิงูลัทธินาคในพุทธเสียเลย ซึ่งเป็น“ภาวะมายา” คือ “ภาวะ 2”ซ้อนอยู่ใน“ภาวะ 1” โดยตนก็“อวิชชา”อยู่ตลอด

5. ซึ่ง“อนุสัย”ของ“นาค”ก็ยังมี“อัตตา”จอมยึดเก่งยอดจนได้ชื่อว่า เป็นจอมนาคหรือพญานาคเข้ามาเผยแพร่ลัทธิหลับ ลัทธินอนของตนจนได้ เป็นยอดงู ยอดนาค จนศิลปินต้องยกฐานะให้เป็น“พญางู”ก็ตกแต่งหน้าตา หูหัว สัดส่วนรูปร่าง“งู”ให้มีรูปร่าง มีหงอน มีแง่ แต่งองค์ทรงเครื่อง มีลายกนกตกแต่งเป็นลวดลายพิเศษให้เป็น“งู”ยิ่งใหญ่ ที่เขื่องโก้ หรูหรา มโหฬาร แตกต่างจาก“งู”สามัญ เป็น“พญางู-พญานาค”  มีรูปโฉมดังที่เห็นกันอยู่ตามจินตนาการศิลปะไทยนั่นเอง

6. “ธาตุแท้”ของตนก็คือลัทธิ“หลับ” เมื่อยิ่ง“ หลับ”ก็ยิ่งไม่ตื่น-ไม่รู้โลก ทับทวีหนาหนักซับซ้อนนับไม่ถ้วน ก็ยิ่งคือ “ผู้สั่งสมอวิชชา”เป็น“พญานาค”ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งมโหฬาร ลงบาดาลลึกๆๆๆ ก็ยิ่ง“อวิชชามืดดำ”ยิ่งขึ้นๆๆๆๆๆไปอีก

7. สุดท้ายแห่งสุดท้ายก็หมดท่าแห่งความตื่น สิ้นสภาพผู้ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน จึงกลายเป็น“พญานาค”ที่ “หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น”สาหัสสากรรจ์นานหนัก อาการถึงขั้น“ไม่มีการตื่น”มารู้เห็นอะไรกันเลยตลอดระยะแห่งกาลที่ยังไม่มี “พระพุทธเจ้า”อุบัติขึ้นมาในโลกแต่ละพระองค์ จะรู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่งก็แค่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกองค์หนึ่ง รู้แค่นั้นจากนั้นก็หลับต่อ“หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น“เฝ้าถาดทองคำที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์อุบัติขึ้นมาในโลกอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทรสุดลึกนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้อะไรที่เป็นพุทธเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 19:20:58 )

ตำนานพญานาคข้อที่ 1-2

รายละเอียด

ตำนานต่างๆของ“พญานาค”เท่าที่อาตมาพอรู้  

มาพูดถึง“ตำนานพญานาค”กันเท่าที่อาตมาพอรู้นะ

1. นาค คือ งู ที่มีภาวะ สื่อแสดงท่านอน-ท่าหลับ เป็นลักษณะสำคัญ ดังนั้น ลัทธิยึดท่า“หลับ”คือ “หลับตา”ปฏิบัติจึง“มีจริง” ซึ่งเป็นลัทธิหลับตา ก็คือ ศาสนาหรือลัทธิเดียรถีย์ ที่เป็นลัทธินอกพุทธนั่นแหละ  ยังมีมาก ครองโลกอยู่ด้วยซ้ำ

2. นาค มาปลอมบวช ในศาสนาพุทธหมายความว่า ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาที่มีการ“หลับตา”ปฏิบัติ ผู้นำการ “หลับตา”ปฏิบัติมาใส่ลงไปในศาสนาพุทธ จึงเป็นคนผิด คนปลอม ที่เอา“ของปลอม”เข้ามาในศาสนาพุทธ ก็ได้บาปแน่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:14:02 )

ตำรวจชั้น 1

รายละเอียด

ชาวโลกุตระมีภูมิปัญญาแยกความผิดความถูก เพราะฉะนั้นชาวอโศกรู้ความผิดความถูกได้ละเอียดกว่าชาวโลกียะ พวกเราผิดเล็กผิดน้อยเดี๋ยวเจอ ตำรวจในชาวอโศกเป็นตำรวจชั้น 1 ตำรวจตาแหลม ตำรวจมีปัญญา ไม่ใช่ตำรวจแบบพื้นๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 36 แยกกายแยกจิตอย่างไรให้ถึงอรหันต์ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2565 ( 14:50:02 )

ตำรวจทหารต้องฆ่าโจรเขาต้องรับวิบากจากการผิดศีลข้อ 1 หรือไม่

รายละเอียด

รับ มีกรรมมีวิบาก เดี๋ยวอธิบายได้ ขยายต่อไป 

ตำรวจต้องฆ่าคน เป็นวิบากของตำรวจ แต่ผลดีเป็นกุศล กุศลคือผลดี ผลดีของตำรวจคือช่วยสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยการปราบคนร้าย ปราบคนทุจริต มันก็มีกุศล 

กุศลมีทั้งดีทั้งชั่วคู่กัน ดี-ชั่วคู่กันนี้ แตกต่างจากสุขกับทุกข์ สุข-ทุกข์เป็นโลกุตระ ดี-ชั่วเป็นโลกียะ โลกียะเป็นสิ่งอาศัย สุข-ทุกข์เป็นของไม่ต้องอาศัยเลย พระอรหันต์ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ ไม่ต้องอาศัยสุข-ทุกข์ จิตกลางๆ แล้วก็จบกิจเลย 

ต่อของคุณช่อทิพ อีกว่า คนที่ยังวนอยู่ในวงวัฏฏะ ต้องไปเป็นทหาร เป็นตำรวจ ต้องฆ่าโจร เขาได้กุศล แต่ไม่รับวิบากไม่ได้ มีวิบาก เพราะฉะนั้น คุณยังชอบอาชีพ คุณยังอยู่ในกรรมวิบากในภารกิจที่คุณเป็นจริงอย่างนั้น..คุณต้องทำ เพราะฉะนั้น ผู้รู้แล้วไม่ไปเป็น ไม่ไปเป็นตำรวจ ไม่ไปเป็นทหาร รู้ตั้งแต่ไม่ไปเป็นชาวประมง ไม่ไปเป็นชาวปศุสัตว์ที่ต้องฆ่าสัตว์ ต้องฆ่าปลา..ไม่ไปเป็น ไม่ไปทำอาชีพอย่างนั้น เพราะเรารู้กรรม รู้วิบาก ผู้ที่รู้กรรมรู้วิบากแล้ว จะรู้ว่า งานอื่นเบากว่า การฆ่าสัตว์ ฆ่าปลานั้นหนักกว่า ปลูกผักปลูกพืชไม่มีบาป ไม่มีกรรม ไม่มีวิบากอะไร มันยากกว่ากัน ไอ้อย่างนู้น..มันยาก ซึ่งอะไรหลายๆ อย่างอาตมาไม่ลงรายละเอียด 

เพราะฉะนั้น สรุปตรงที่ว่า มีประโยชน์ไหม ตำรวจ ทหาร มีประโยชน์ ยิ่งอยู่ในสังคมของคนร้ายๆ เลวๆ ตำรวจ ทหารยิ่งมีประโยชน์มาก เพราะฉะนั้นสังคมที่ร้ายเลวลดลง ตำรวจ ทหารก็มีความจำเป็นน้อยลง จนสุดท้ายไม่ต้องมีตำรวจ ทหาร ก็คือสังคมที่ ไม่มีคนที่จำเป็นจะต้องใช้ตำรวจ ทหารแล้ว ร้ายเลว ร้ายแรงไม่มี..เป็นสังคมเจริญ อย่างสังคมชาวอโศกไม่ต้องมีตำรวจ ทหาร ก็มีนะตำรวจเขาให้ตำแหน่งมา แต่เราไม่ได้รับ ตำรวจเราก็เป็นอย่างนั้น ไม่รู้จะทำหน้าที่อะไร ตำรวจจริงมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำหน้าที่อะไร นอกจากมาเป็นจราจร มาอะไรนิดหน่อย มันไม่มีความจำเป็น มันก็ต้องเลิก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 42 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2567 ( 19:41:39 )

ตำราที่โลกมีก็มีเท่านี้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นตำราหรือความรู้ที่ในหลวง ร. 9 ท่านตรัสไว้ ว่าตำราที่เขาว่าเป็นผู้เจริญก้าวหน้าแล้วก้าวหน้าอย่างมาก ก็ก้าวหน้าอย่างที่โลกตะวันตกที่โลกเทวนิยมเขารู้ก็มีตำราเท่าที่มันมี ในหลวงท่านเรียนจากตำราอันนั้นอย่างที่พวกนักบริหารทั้งหลายเรียน ตำรามีเท่านี้เล่มสุดท้ายพอหน้าสุดท้ายแล้ว มันก็มีเท่าที่มีกัน แต่ท่านมาตรัสในเรื่องของความจน เรื่องของขาดทุนคือกำไรของเรา กับพวกนักบริหารของประเทศอื่นกับชาวเกาหลี พวกรัฐมนตรีเกาหลี เขาก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่รู้โลกุตรธรรม ท่านก็ถึงได้ตรัสสั้นๆตามประสาของท่านตามภูมิของท่านในหลวง ท่านก็บอก พูดไปเขาก็ได้แต่งงๆ 

แล้วตำราที่โลกมีก็มีเท่านี้ เรียนกันในตำรานี้เสร็จแล้วสุดท้ายมันก็เอามาใช้ได้เท่าที่มันมีตำรา มันก็หน้าสุดท้าย ก็เปิดดูใหม่อีกมันก็มีอยู่เท่าที่มีในตำรา ไม่มาเรียนตำราของพระพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้งซับซ้อนมาก ไม่มีตำราพระพุทธเจ้าก็เลยไม่รู้เรื่อง ผู้ที่เก็บกักเงินคงคลังของตัวเองมากๆเป็นพวกทำลายเศรษฐกิจพวกคนรวยนี้เป็นพวกชิบหายทำลายเศรษฐกิจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3  วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2566 ( 20:36:48 )

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1

รายละเอียด

(พ่อครูอ่าน)ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร เป็นสูตรที่ว่าด้วยความคิด ความเห็น วาทะของคน เกิดจากอะไร อะไรคือที่ตั้งของทิฏฐินั้น มีที่มาที่ไปแบบไหน นำพาชีวิตเราให้ดำเนินไปอย่างไร 

พ่อครูว่า ความคิดความเห็นหรือวาทะ จนกระทั่งเอามาเป็นคำพูดของคนนั้นเกิดจากอะไร แล้วมันออกมามีอิทธิพล มันมีที่มาที่ไปอย่างไร มันนำพาชีวิตของเราให้ดำเนินไปอย่างไร 

ทำให้เราได้รู้ว่า อะไรคือศัตรูตัวร้ายกาจของเรา แล้วเราจะมีกลยุทธ์ กลอุบายอย่างไรในการต่อสู้ให้รอดพ้นออกมาได้อย่างมีอิสรเสรี ยิ่งกว่าเอกราชทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงพระสูตรนี้ว่าคือ ตำราพิชัยสงครามอันยอดเยี่ยม 

พ่อครูว่า เป็นพระสูตรแรกในพระไตรปิฎกเล่มที่ 9 คือเล่มที่เริ่มพระสูตร เล่มที่ 1 ถึง 8 นั้น เป็นพระวินัย เล่มที่ 9 พรหมชาลสูตร เป็นสูตรแรก 

_เมื่อปุถุชนจะกล่าวชมตถาคต ชมได้เล็กน้อยเพียงเรื่องศีลเท่านั้น (ปุถุชนไม่มีปัญญามากพอที่จะรับรู้ความรู้ลึกซึ้งละเอียดลออ พอจะรับรู้ได้ก็เรื่องความดีของศีลเท่านั้น) 

เรื่องของศีลก็จะมี  จุลศีล 26 ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ 

พ่อครูว่า นี้คือ ศีล คือรากฐานของศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธ ภิกษุทั้งหลายไม่มีแล้วเรื่องศีล นี่ไม่ได้ใส่ความ เป็นเรื่องจริง ไม่มีความรู้ ไม่เอาถ่านกับเรื่องศีล ไปมีวินัย 227 เพราะฉะนั้นไปถามภิกษุเถอะ..”ภิกษุท่านถือศีลเท่าไหร่?” ท่านจะตอบว่าอย่างไร ก็ตอบว่า “227 ข้อ” เขาเอาวินัย 227 มาตอบ นี่คือหลักฐานชัดเจนยืนยันว่า ภิกษุทุกวันนี้เสื่อมถึงขั้นไม่มีศีลของพระพุทธเจ้า แต่เขายังมีวินัย ถ้าวินัยปาราชิก 4 เขายังดีอยู่ สังฆาทิเสส 13 ก็ยังดีอยู่ ก็ยังพอทำเนานะ แต่เดี๋ยวนี้เละหมดเลย ปาราชิก 4 ก็เละ สังฆาทิเสส 13 ก็เละ ไม่ต้องไปพูดถึงอาบัติปาจิตตีย์ หรืออาบัติอื่นๆ ที่อ่อนแรงกว่านั้น  โอ้โห ถือว่ากันว่าเป็นเรื่องปกติ ถือเป็นเรื่องละเมิดได้ปกติ 

หรือไปมีเอาสิ่งที่มันผิดในเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นศีลในมหาศีล ข้อห้ามในมหาศีล ว่าด้วยเรื่องเดรัจฉานวิชา   เขาไม่รู้เรื่องเลย เอามาใส่ไปหมด เต็มไปหมดเลย เป็นพิธีการ เป็นระบบระเบียบอย่างโน้นอย่างนี้ นั่นแหละแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่แตกฉานในเรื่องของคำความของพระพุทธเจ้าอธิบายในมหาศีล เดรัจฉานกถา เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด 

เดรัจฉานคืออะไร คือมันขวางทางนิพพาน เดรัจฉานวิชาก็คือความรู้ที่มันขวางทางนิพพาน เดรัจฉานกถาคือคำพูดที่ขวางทางนิพพาน กลายเป็นคำพูดก็ขวางทางนิพพาน คำบรรยายก็ขวางทางนิพพาน คำอธิบายธรรมะก็ขวางทางนิพพาน เป็นเดรัจฉานกถาไปหมด การรู้การปฏิบัติประพฤติทุกอย่างเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นความรู้รวมแล้วไม่มีทางไปนิพพานเลย 

มหาศีลของเขานี้มีเต็มไปหมดที่ขวางทางนิพพานอยู่ พิธีการต่างๆ ไสยศาสตร์ต่างๆ เต็มไปหมด นี่คือความเสื่อมที่น่าสงสารมาก 

อาตมาถึงต้องลาออกมาจากเถรสมาคม เพราะมันสุดจะแก้ ไปแก้ไม่ได้เลย แตะตรงไหนก็เละไปหมดเลย สร้างใหม่ดีกว่า อาตมาถึงต้องลาออกตามธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ลาอย่างถูกต้องต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ที่วัดหนองกระทุ่ม อาตมาก็ประกาศลาออกมาเรียบร้อย ตั้งแต่ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 เสร็จแล้วก็ออกมาเป็นนานาสังวาสตั้งแต่บัดโน้น 

วันร้ายคืนร้าย พ.ศ.2532 มหาประยุทธ์ก็เขียนหนังสือขึ้นมา 3 เล่ม ซัดอาตมา พวกคณะสงฆ์ก็ซัดเล่นงานอาตมาไป โอ้โห ลากกันจนต้องขึ้นศาล ให้ฆราวาสมาตัดสินอะไรต่ออะไร เละไปหมดเลย ผิดธรรมวินัยอะไรกันไปหมด เอาละพอ อาตมาก็ไม่กล่าวต่อ นี่ก็คือเรื่องวิบากของอาตมา มันเป็นจริงที่อาตมาต้องทำงาน อาตมาก็ไม่ได้ท้อแท้ แต่เหนื่อยจังเลย แต่ก็เป็นไปได้ ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจาริงฺ  เป็นไปได้จนถึงวันนี้ 

ต่อของคุณทำมาด้วยใจ... 

(พ่อครูอ่านต่อ)

_เรื่องของศีลก็จะมี จุลศีล 26  ข้อ มัชฌิมศีล 10 ข้อ มหาศีล 7 ข้อ  ธรรมะอย่างอื่นที่มีความลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต ละเอียด คาดคะเนเอาไม่ได้ เป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะบัณฑิต 

พ่อครูว่า…ที่อ่านไปน้้น พยัญชนะบาลีมีว่าอะไรเอ่ย? 

คัมภีรา ทุททัสสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา

คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

_ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง 

พ่อครูว่า นี่ล่ะ ไม่ว่าจะ คัมภีรา-ลึกซึ้ง ไม่ว่าจะ เห็นตามได้ยาก- ทุททัสสา ไม่ว่าจะ รู้ได้ยาก-ทุรนุโพธา  สงบปานใด-สันตา ประณีตอย่างไร-ปณีตา ละเอียดถึงขั้นนิปุณา ละเอียดถึงขั้นนิพพาน จะคาดคะเนเอาไม่ได้ นี้คืออตักกาวจรา และ ปัณฑิตเวทนียา-รู้ได้เฉพาะบัณฑิตแท้ 

บัณฑิตแท้ ไม่ใช่บัณฑิตที่ไปสอบมาจากตำรา อาจารย์ให้คะแนนมาเป็นบัณฑิตสอบ ไม่ใช่ แต่เป็นบัณฑิตที่เกิดจากสภาวะจริง บัณฑิตอย่างอาตมานี้ สภาวะจริง อาตมาไม่ได้ไปสอบ ไม่มีเปรียญ ไม่มีใครให้ปริญญากิตติมศักดิ์ด้วย  แค่ปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ยังไม่มีสักใบเลย อย่าไปว่าแต่กิตติมศักดิ์ปริญญาเอกเลย ปริญญาตรียังไม่มีเลย แม้แต่ปริญญาจัตวาก็ยังไม่มี 

อย่างท่านประยุทธ์นี้มีปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากทั้งในและต่างประเทศ เยอะ  ปริญญากิตติมศักดิ์ทางศาสนาพุทธ นอกประเทศให้ พวกเทวนิยมให้ มันจะไปมีความรู้เรื่องโลกุตรธรรมอะไร เอา ก็เถอะ เขาก็เข้าใจเห็นว่ามีค่ามีราคา มีสิ่งที่ละเอียดลออ ก็ดีแล้วเริ่มต้น 

_ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง 

พ่อครูว่า นี้ สำนวนอันนี้ซาบซึ้งสุดลึกเลย พระพุทธเจ้าคือตถาคต ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง อันยิ่งเองคือของพระองค์เอง 

_ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนให้ผู้อื่นรู้แจ้ง นี้เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตพูดถูกต้องตามความเป็นจริงโดยชอบ 

พ่อครูว่า เพราะฉะนั้นจะชมก็ชมตรงปัญญา ไม่ใช่ชมเพียงที่ศีลเท่านั้น ปัญญาที่พระพุทธเจ้าทำให้แจ้งด้วยพระองค์เองนี้ มันยิ่งกว่าศีล นะ สรุปตรงนี้ 

_ธรรมเหล่านั้นคือ ทิฏฐิ 62 ประกอบด้วยอดีต 18 อนาคต 44 ซึ่งเป็นดุจดังตาข่ายปกคลุมเอาไว้ เมื่อโผล่ก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้ ติดอยู่ในตาข่ายนี้ เปรียบเหมือนชาวประมงผู้ชำนาญ ใช้แหตาถี่ทอดลงหนองน้ำเล็กๆ (พ่อครูว่า แหตาถี่ด้วยนะ แทบจะติดไข่ปลามาด้วยเลยนะ) บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำนี้ทั้งหมดถูกครอบเอาไว้ มันก็ตกอยู่ในข่ายนั้น ผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้ ติดอยู่ในแหนี้ (พ่อครูว่า นี่แหละคือพวกติดอยู่ในโลกียะ) 

_พระพุทธองค์รู้ชัด ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ และการเกิดขึ้นของทิฏฐินั้น ว่ามีมูลเหตุมาจากอะไร จะมีวิธีทำให้ความเกิดนั้น มันดับด้วยกลวิธีอย่างไร ซึ่งการเกิดทิฏฐิ 62 นั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งหมด (เป็นคุกขังสัตว์ ที่แข็งแกร่งที่สุด )

เมื่อพุทธะเกิด อาริยสัจ 4 จึงถูกเปิดเผย อาริยบุคคล 4 จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ (พ่อครูว่า อาริยบุคคล 4 คือโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จึงจะสามารถเกิดขึ้นได้) 

_มาดูกันว่าพราหมณ์ต่างๆ (พ่อครูว่า ในยุคพระพุทธองค์นั้น พราหมณ์ต่างๆ ก็คือพระต่างๆในสมัยนี้นี่แหละ พราหมณ์ต่างๆ ก็คือผู้เสื่อมจากจรณะ 15 วิชชา 8 นั่นเอง ไปอ่านดีๆ ในพรหมชาลสูตรนี้แหละแล้วจะรู้ พราหมณ์ก็คือพระ พระก็คือพราหมณ์ ศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์มันสลับกันไปสลับกันมา พราหมณ์เสื่อม พุทธขึ้น  พุทธเสื่อม พราหมณ์ก็ขึ้น วนกันอยู่นี่เป็นภาวะ 2)

_มาดูกันว่าพราหมณ์ต่างๆ เข้าถึงทิฏฐิ 62 นั้นอย่างไร ละเอียดลออขั้นไหน พระพุทธองค์รู้ได้อย่างไร มีวิธีแก้ไขอย่างไร เราทำตามได้ไหม การสรรเสริญคุณจะถูกต้องมากน้อย ตามที่เราปฏิบัติได้เข้าถึงได้ เกิดจริงที่เรามากขึ้นมากขึ้นไปตามลำดับ 

พ่อครูว่า…มาเริ่มต้นที่ อดีต 18  (ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18)

_สมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต ด้วยเหตุ 18 ประการ  

พ่อครูว่า อดีต ก็จะมีเหตุ 18 ประการ หมวดที่ 1 สัสสตทิฏฐิ 4

_สัสสตทิฏฐิ 4 เห็นว่า อัตตาและโลกเที่ยง 

พ่อครูว่า มี 2 อย่าง อัตตาอย่างหนึ่งและโลกอย่างหนึ่ง เห็นว่าอัตตาและโลกเที่ยง ไม่มีสูญหาย ไม่มีสูญสิ้นทั้งอัตตาและโลก พวกนี้ พวกสัสสตทิฏฐิ  

คำว่า สัสสต แปลว่า ตลอดกาล forever (ฟอร์เอฟ'เวอะ) หรืออีกคำ eternity (อีเทอ'นิที) นิรันดร ถ้า infinity (อินฟิน'นิที) หมายถึง จำนวน คือจำนวนนับไม่รู้จบ 

(พ่อครูอ่านต่อ)

_สัสสต อัตตาและโลกเที่ยง อาศัยอะไร  ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ คือ

1. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ  แล้วระลึกชาติได้ ชาติหนึ่งบ้าง หรือหลายแสนชาติบ้าง   (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

พ่อครูว่า เจโตสมาธิ คือ สมาธินั่งหลับตา แล้วก็สะกดจิตเข้าไป แล้วก็ระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง ลิบชาติบ้าง จนกระทั่งถึงร้อย หรือหลายร้อย หลายพัน หมื่นแสนชาติ นี้อย่างหนึ่ง 

อาศัยระลึกตามขันธ์ 5 ของเรา ขันธ์ที่เคยอยู่ เคยอาศัย อดีตขันธ์เคยอยู่ ขันธ์ที่เราเคยอยู่นั้น มันก็จะมีสัญญา ใช่ไหม มีความจำอยู่ในนั้น หยั่งกันไปตามสัญญาระลึก

2. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ  แล้วระลึกชาติได้ สังวัฏฏ วิวัฏฏกัป หนึ่งบ้าง … ถึงสิบสังวัฏฏ วิวัฏฏกัป บ้าง

พ่อครูว่า มันก็มากกว่าชาติหนึ่งถึงหลายแสนชาติ ก็มาสรุปเป็นภาษาว่า สังวัฏฏ คือมีวัฏฏ คำว่า วิวัฏฏ คือไม่มีวัฏฏ หรือไม่รู้วัฏฏ มันมีแต่ไม่รู้ก็วิวัฏฏ หรือสังวัฏฏ มันมี รู้ รู้ในวัฏฏที่มันวนเวียนอยู่ร้อยชาติ พัน หมื่น แสน หลายแสน หลายล้านชาติ แต่ก่อนนี้ไม่มีคำว่าล้าน เขามีแต่คำว่ากัป ก็สังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป นั้นเอง มีแต่กัป กัปหนึ่งบ้าง รวบทั้งสังวัฏฏ ทั้งวิวัฏฏ หนึ่งรอบ  ถึงสิบสังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัปบ้าง รวมขั้นรอบสิบ  

3. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ  แล้วระลึกชาติได้ มากกว่าในข้อ 2 จาก 10 ถึง 40 สังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป บ้าง

พ่อครูว่า มันมากขึ้น เพิ่มขึ้น สรุปง่ายๆ 

4. อาศัยการเป็นนักตรึก นักค้นคิด  กล่าวแสดงปฏิภาณของตนว่า อัตตาและโลกเที่ยง 

พ่อครูว่า ไอ้นั้น(ข้อก่อน) เป็นนิรันดร์ forever ไป จนกระทั่งไม่ต้องนับแล้ว สังวัฏฏกัป วิวัฏฏกัป เท่าไร ไม่มีที่สิ้นสุดก็แล้วกัน 

ทีนี้มาข้อ 4 อาศัยการเป็นนักตรึก …. ว่า อัตตาและโลกเที่ยง 

อย่าลืมว่า ที่ขึ้นต้นหัวข้อมานี้ อัตตาและโลกเที่ยงนะ ทั้งอัตตาและความเป็นโลก ยึดว่ามันเที่ยง อัตตาก็เที่ยง โลกก็เที่ยง 

จากข้อ 1 ถึง ข้อ 3 เมื่อระลึกชาติได้ก็จะเห็นการเกิดแล้วก็ตายไป แล้วก็เกิดใหม่อีก แล้วๆ เล่าๆ เป็นอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง จึงบัญญัติอัตตาและโลกเที่ยง 

พ่อครูว่า เขามีกรอบความรู้เท่านั้น ระลึกได้เท่าที่เขาระลึกได้ ที่เขามีสัญญาของตนเอง จำ แล้วเขาก็ระลึกขึ้นมาจากขันธ์เก่า สัญญาขันธ์เก่า แล้วเขาก็สรุป เพราะเขาไม่มีภูมิมากกว่านั้น เห็นว่ายังเกิด ยังเป็นโลกอยู่อย่างนั้น แต่ตัวเองก็ยังมีอัตตาอยู่นั้นแหละ ใช่ไหม? คุณก็ต้องสรุปว่าเป็นอย่างนี้นะสิ เพราะคุณยังไม่มีบรรลุนิพพาน คุณก็ยังมีอัตตา แล้วคุณก็ยังวนเวียนอยู่ในโลก เท่าที่คุณระลึกได้ กี่สังวัฏฏกัป กี่วิวัฏฏกัป ใช่ไหม 

(ย่อหน้าถัดไป พ่อครูอธิบายต่อ)

จากเนื้อความจากพระไตรปิฎก 

ก. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ 18

[27] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงกำหนดขันธ์ส่วนอดีต มีความเห็นไปตามขันธ์ส่วนอดีต ปรารภขันธ์ส่วนอดีต กล่าวคำแสดงทิฏฐิหลายชนิดด้วยเหตุ 18 ประการ.

สัสสตทิฏฐิ 4

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

ปุพเพนิวาสานุสสติ

1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ

นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

สัสสตทิฏฐิ 4

[28] 2. อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? 

…ฯลฯ…

[29] 3. อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.

[30] 4. อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคน

จบภาณวารที่หนึ่ง. 

<ไปย่อหน้าที่พ่อครูอธิบาย อดีต 18>

พ่อครูว่า ต่อมาทีนี้ เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ  (เนื้อความใน พตปฎ.)

คำว่า เอกัจจ คำนี้คือ บ้าง บางอย่าง บางคราว บางอัน ส่วนคำว่า สัสสติกะก็คือ สัสสตะ นั้นแหละ ทิฏฐิอันนี้ก็มี 4 เห็นว่า อัตตาและโลกบางอย่าง เอกัจจะ นี่คือบางอย่าง ไม่ทั้งหมดแล้วตอนนี้

(พ่อครูอ่านต่อ) 

เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4 เห็นว่า อัตตาและโลกบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง อาศัยอะไร ปรารภอะไร มีทิฏฐิอย่างไร มาจากมูลเหตุ 4 อย่าง …

พ่อครูว่า ก่อนหน้าอันแรกนั้น เหมาเข่งว่าเที่ยงหมดเลย เท่าที่ตัวระลึกได้ สัญญามี  มาอันที่ 2 นี้ บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง  มาจากมูลเหตุ 4 อย่าง 4 อย่างเหมือน 

มาจากมูลเหตุ 4 อย่างคือ

1. มหาพรหม 

พ่อครูว่า มหาพรหมคือพระเจ้านี้แหละ  พระเจ้า ผู้สร้างโลก 

(พ่อครูอ่านต่อ)

ผู้เกิดก่อน มีความคิดเห็นว่า เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ (พ่อครูว่า นี้พาดพิงไปถึงเทวนิยม พระเจ้า) เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ  เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ที่เป็นแล้ว (พ่อครูว่า เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายนี่ เป็นพระบิดาหมด ) และกำลังจะเป็น (พ่อครูว่า ขี้ตู่ เอาหมด ขี้ตู่ว่าตัวเองเป็นผู้สร้างทั้งหมด) ผู้เกิดทีหลังก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน 

พ่อครูว่า เพราะฉะนั้น ใครที่เชื่อตามพระเจ้า เกิดมาอีกทีหลังก็เชื่อตามนี้หมด 

เมื่อจุติจากขั้นนั้นมา มาอาศัยเจโตสมาธิ (พ่อครูว่า คนที่เชื่ออย่างนี้นะ เมื่อจุติก็คือ เลื่อนไปเกิดใหม่ แล้วมาอาศัย นั่งระลึก ระลึกขันธ์ในอดีต เอาอีกแล้ว นั่งเจโตสมาธิระลึกขันธ์อดีต)

 มาอาศัยเจโตสมาธิ ก็เห็นว่า มหาพรหม เป็นผู้เที่ยง

พ่อครูว่า ไปเห็นว่ามีพลังใหญ่ ก็มันเคยคิดอย่างนี้ เคยเชื่ออย่างนี้ มีครอบแห่งความเชื่อว่า มันมีพระเจ้า มีพระพรหม มีพระมหาพรหม ยิ่งใหยญ่เที่ยงแท้ เป็นเจ้าโลก สร้างโลก สร้างทุกอย่าง อะไรเกิดมาเป็นของพระพรหมหมด (เป็นของพระเจ้าหมด) สมัยโบราณ สมัยพระพุทธเจ้าก็เรียกพระพรหม เทวนิยมก็เรียกพระเจ้า เรียก ก๊อด(God) นี่แหละ  อันเดียวกันนั้นแหละ ยิ่งทางเทวนิยมเขายิ่งไม่รู้ใหญ่เลย ส่วนทางฮินดูหรือพราหมณ์ ก็ พระพรหม มหาพรหม อันนี้ล่ะมาหาพุทธบ้าง แต่เทวนิยมทางซึกโลกตะวันตกนั้น ยังไม่ได้เกี่ยวทางพุทธเลย ก๊อดแท้ๆ พระเจ้าแท้ๆ นี้ยังยิ่งยาก นี้พูดความจริงนะ ขออภัย ไม่ได้ไปข่มไปเบ่งข่มอะไรเขาหรอก 

พอระลึกถึงขันธ์ในอดีต (พ่อครูอ่านต่อ) ก็เห็นว่า มหาพรหมเป็นผู้เที่ยง เพราะเป็นบิดา เป็นผู้เนรมิต  ส่วนพวกเรานี้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน อายุน้อย  (นี้แหละ)บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นเราไม่เที่ยง แต่พระพรหมเที่ยง นี้สรุปตรงนี้ให้ฟัง 

พวกเรานี้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน อายุน้อย ยังต้องจุติเป็นอย่างนี้  ก็อาศัย และปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า อัตตาและโลกบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง 

พ่อครูว่า บางอย่างเที่ยง ก็คือ พระพรหม มหาพรหม บางอย่างไม่เที่ยงก็คือเรา ใช่ไหม?

ทีนี้ต่อไป 2 เทวดา…(ย่อหน้าถัดไป)

 (เนื้อความจากพระไตรปิฎก)

เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4

[31] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีทิฏฐิว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง จึงบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ

ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่าง ไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการ?

5. (1) ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน

บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ  เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง

เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น

ที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้นเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้

เช่นนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง.

(ย้อนกลับไป - พ่อครูอธิบาย เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ 4)

 

 

ทีนี้ต่อไป ข้อ (2) เทวดา… (เนื้อความใน พตปฎ. [32] 6.(2))

(พ่อครูอ่าน)

2. เทวดา ขิฑฑาปโทสิกะ ผู้มีโทษเพราะหลงระเริง 

พ่อครูว่า หรือว่าไอ้ความหลงระเริงนั้น เป็นโทษต่อตัวเอง “ขิฑฑา” กับคำว่า “ปโทสิกะ” แปลว่า เป็นโทษ เป็นผู้มีโทษเพราะความระเริงหลง 

เดี๋ยวจะอธิบายไปก่อน ถึงเทวดา มโนปโทสิกะ จบแล้ว อาตมาจะสรุปอันนี้ให้ฟัง  

ขิฑฑาปโทสิกะ ผู้มีโทษเพราะหลงระเริง 

(ขิฑฑา = หลงเสวย, หลงเสวยความระเริง, ปโทสิกะ แปลว่า เป็นโทษ)

พ่อครูว่า เสวย หรือเสพ หรือลิ้มรสนั้นแหละ ลิ้มรสอยู่ หลงลิ้มรสความระเริง ความสนุก รื่นเริง เพลิดเพลิน ทั้งนั้นแหละ เรียกว่าทางโรแมนติกอิซึ่ม (Romanticism) ทั้งนั้น โรแมนติกอิซึ่ม ระเริงหลง

ขิฑฑาปโทสิกะ เมื่อจุติจากชั้นนั้นแล้ว มาเพียรได้บรรลุเจโตสมถะ (พ่อครูว่า บรรลุนั่งหลับตานี่แหละ ) ระลึกขันธ์ในอดีต เห็นผู้ที่มิใช่ขิฑฑาปโทสิกะเป็นผู้เที่ยง ส่วนพวกเราเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน อายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ 

พ่อครูว่า ก็มีมหาพรหมนะ ผู้ไม่ระเริงแล้ว เที่ยง ส่วนพวกเรา พวกระเริงอยู่ เป็นพวกไม่เที่ยง เชื่อว่าพระเจ้านี้สูงสุด เก่ง มีความเที่ยง ทั้งๆ ที่พระเจ้านี้เขาไม่เคยสัมผัส ไม่เคยรู้ ในสายเทวนิยม อาตมาวิจัย-วิจารณ์ไปหมดแล้ว 

[32] 6. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา

[33] 7. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่ามโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกันจึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์

ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

ทีนี้ เทวดามโน เมื่อกี้ ขิฑฑาปโทสิกะ อันนี้ มโนปโทสิกะ  คำว่า มโน คือใจนี้เอง  

(พ่อครูอ่าน)

3. เทวดา มโนปโทสิกะ ได้ดีแล้วเพ่งโทษคนอื่น  (เป็นโทษเพราะจิตติดอยู่ในระดับใดระดับหนึ่ง) เมื่อจุติจากชั้นนั้นแล้ว มาได้เจโตสมาธิ  

พ่อครูว่า จุติก็คือเลื่อนไปจากชั้นเดิมแล้ว หรือเกิดใหม่ก็ได้ เลื่อนก็ได้ หมุนเวียนมา มาได้เจโตสมถะ ก็ได้เคยทำเจโต เชื่อว่า  ไอ้เรื่องประพฤติให้มันเกิดความรู้ เกิดบรรลุธรรม ก็คือนั่งสมาธิ สรุปง่ายๆ ทำเจโตสมาธิ 

เมื่อจุติจากชั้นนั้นแล้ว มาได้เจโตสมาธิ  เห็นผู้ที่มิใช่มโนปโทสิกะ  เป็นผู้เที่ยง  (พ่อครูว่า ผู้ที่ไม่มีจิตเป็นโทษ เที่ยง ก็คือมหาพรหม ) ส่วนพวกเราเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน อายุน้อย ยังต้องมา จุติเป็นอย่างนี้  

พ่อครูว่า ก็แยกเป็น 2 ยกให้พระเจ้า ยกให้พระพรหม มหาพรหม เป็นใหญ่ แล้วก็เรานี้เป็นพวกที่ยังไม่เที่ยง ยังจะต้องเป็นอย่างนี้แหละ แบ่งเป็น 2 บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง 

อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิ (พ่อครูว่า อาศัยอันนี้ แล้วก็เลยปรารมภ์ปรารภกันขึ้น อ๋อ! มาสรุปผลกัน ก็เลยสรุปทิฏฐิได้ว่า) อัตตาและโลกบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง  

พ่อครูว่า อุตส่าห์ยกเว้นไม่กล่าวคำว่าพระเจ้า ไม่กล่าวคำว่า ก๊อด (God) ไม่กล่าวคำว่าหมาพรหม กล่าวเป็นกลางๆ ว่า บางอย่างเที่ยง สิ่งที่เที่ยงยกให้มาหพรหม จะมีกี่องค์ก็ไม่รู้ล่ะ แต่ถ้าเป็นมหาพรหมคือพวกเที่ยง พวกเราทั้งหลายแหล่เนี่ยยังไม่เที่ยง 

(พ่อครูอ่าน) ต่อไป 4 …(ดูเนื้อความในพระไตรปิฎก)

4. อาศัยเป็นนักตรึก นักค้นคิด (พ่อครูว่า ขบคิดอย่างเดียว) จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง 

พ่อครูว่า สิ่งที่มันจากทางตาปรุงแต่งกันขึ้น  โสตะ ทางเสียงปรุงแต่งขึ้น ฆานะ กลิ่น ปรุงแต่งกันขึ้น ชิวหา รส ปรุงแต่งรส ผัสสะ สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง เกิดขึ้น นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง แปรผันเป็นธรรมดา 

ส่วนจิตหรือวิญญาณ นี้ชื่ออัตตา นั้นเที่ยง คงทนไม่แผรผัน 

พ่อครูว่า แยกพยัญชนะเป็นว่า จิต หรือวิญญาณ จิตหรือวิญญาณ อันชื่อว่าอัตตา อันนั้นเที่ยง จิตหรืออัตตาเที่ยง ไม่แปรผัน 

จึงมีทิฏฐิและบัญญัติว่า อัตตาและโลกบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง 

พ่อครูว่า อันนี้ไปเอาจิตเอาวิญญาณ เที่ยง ไม่เอามหาพรหมแล้ว ซึ่งจริงๆ มหาพรหมก็คือจิตคือวิญญาณ แต่แยกพยัญชนะมาเป็นจิต มาเป็นวิญญาณ ก็ยึดว่าอันนั้นเที่ยง นะ ตัวเรายังไม่เก่ง ก็ยังไม่เที่ยง 

จากข้อ 1ถึงข้อ 3 จากการระลึกชาติได้ แล้วไปเห็นมหาพรหม เห็นเทวดาที่ไม่ใช่ขิฑฑาปโทสิกะ เห็นเทวดาที่ไม่ใช่มโนปโทสิกะ ซึ่งจริยาวัตรสูงกว่าตน อายุยืนกว่าตน ยังคงที่เดิม จึงว่าสิ่งนี้เที่ยง เพราะระลึกไปแล้วยังเห็นอยู่ที่เดิม (ต่อจากนั้นระลึกไม่ได้)

พ่อครูว่า เขามีความรู้แค่นั้น ระลึกไปได้แค่นั้น  อาศัยขันธ์ที่ระลึกไปได้แค่นั้น

ส่วนตัวเองเป็นพวกตรงกันข้าม ทำไม่ได้ ต้องไปเกิดเป้นอย่างอื่น จึงเป็นผู้ไม่เที่ยง จึงบัญยัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง 

(พ่อครูอธิบาย ย่อหน้าถัดไป)

(เนื้อความในพระไตรปิฎก)

[34] 8. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง? ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิดกล่าวแสดงปฏิภาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้ อย่างนี้ว่า สิ่งที่เรียกว่าจักษุก็ดี โสตะก็ดีฆานะก็ดี ชิวหาก็ดี กายก็ดี นี้ได้ชื่อว่าอัตตา เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอันแปรผันเป็นธรรมดา ส่วนสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือใจหรือวิญญาณ นี้ชื่อว่าอัตตา เป็นของเที่ยงยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย

นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยงย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีทิฏฐิว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง จะบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

พ่อครูว่า... พอพูดถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ว่า พระเจ้ามีบัลลังก์อยู่กับที่ เที่ยง  พวกที่ไม่เที่ยงก็วนเกิดวนตายไม่เที่ยง แล้วไปอยู่กับพระเจ้าที่เที่ยงอยู่กับที่ พระเจ้านี่เที่ยง นิ่ง  ไม่เกิดไม่ตาย ไม่ไปไม่มา ก็เป็นสมมุติชนิดหนึ่ง สมมุติว่าผู้เป็นใหญ่ เป็นผู้บัญชา เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้สร้างทุกอย่าง ถ้าคุณยังเป็นทาส ยังเป็นผู้ไปเชื่อพระเจ้าว่า เป็นผู้บัญชาและเที่ยงอยู่อย่างนี้ คุณจะเที่ยงตลอดกาลนานไหม คุณเที่ยงสิ คุณเที่ยงตามพระเจ้าไง เชื่อตามพระเจ้าว่าเที่ยง คุณก็จะต้องมีทิฏฐิหรือลัทธิว่าเที่ยง ตามพระเจ้าและคุณก็ไม่แปรเป็นอื่น ไม่ได้คุณสูญไม่ได้ แต่คุณต้องวนเวียน พระเจ้าอยู่กับที่ แต่คุณนั่นแหละวนเวียน หมาหอบแดด พระเจ้าเล่นไม่ต้องเป็นหมาหอบแดดด้วย อยู่อย่างนี้ ก็เลยอยากเป็นพระเจ้าบ้าง แล้วจะเป็นได้ไหม ไม่ได้ จะเป็นผู้เที่ยงอย่างนี้และเป็นผู้เที่ยงอย่างยังมีอยู่นะ ไม่ใช่เที่ยงสูญหายนะ ได้ อาฬารดาบส หรือ อุทกดาบส เป็นต้น 

ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่มี แต่เขาเชื่อว่ามี สรุปลงไปที่คำว่า มีและคำว่าไม่มี ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า โลกนิโรธกับคำว่าโลกสมุทัย ในพระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43 

ทีนี้มา อันตานันติกทิฏฐิ 4 อันนี้ก็มี 4 (เนื้อความในพระไตรปิฎก ดูประกอบ)

(พ่อครูอ่าน) อันตานันติกทิฏฐิ 4 เห็นว่าโลกมีที่สุดและโลกหาที่สุดมิได้  (พ่อครูว่า เมื่อกี้นี้อัตตา ตอนนี้โลก) อาศัยอะไร ปรารภอะไร มีทิฏฐิอย่างไร มาจากมูลเหตุ 4 อย่าง คือ 

1. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ (พ่อครูว่า เจโตสมถะอีกแหละ) มีฤทธิ์ทางใจ ทำให้เห็น ให้รู้ ให้เข้าใจตามที่เห็นว่า โลกกลม (พ่อครูว่า ตอนนี้ว่าเป็นโลกนะ) โลกกลมโดยรอบ จึงมีทิฏฐิและบัญญัติว่า โลกมีที่สุด  (พ่อครูว่า ก็โลกมันกม มันก็มาชนที่เดิม ใช่ไหม) (ฐานะที่ 1 ข้อที่ 1) 

พ่อครูว่า นี้ฐานะที่ 1 ของข้อที่ 1 นะ นี้เจโตสมถะที่รู้อันนี้ ยึดอันนี้ โลกมีที่สุดและโลกหาที่สุดไม่ได้ นี้อันที่ 1 มันหาที่สุดไม่ได้ มันวนอยู่ที่นี้ หาที่จบไม่ได้ มันวนอยู่อย่างนี้ มันไม่มีที่ต่อ มันก็วนอยู่อย่างนี้  เฮ้ย! ส้นอยู่ไหน ปลายอยู่ไหน ต้นอยู่ไหนเนี่ย

ทีนี้อันที่ 2 หาที่สุดไม่ได้ ฐานะที่ 2 ข้อที่ 2 

(พ่อครูอ่าน) 

2. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ (พ่อครูว่า อีกแหละ ก็บรรลุสมาธิเจโตอีกอย่างเก่า) บอกว่า ความเห็นในข้อที่ 1 นั้นเป็นเท็จ (พ่อครูว่า นั้นแน่ แย้งเขาเลย แย้งข้อ 1) ที่ถูกต้องคือ โลกนี้หาที่สุดมิได้ เป็นฐานะที่ 2 คือ (มีฤทธิ์ทางใจที่มากกว่าข้อ 1 รู้เห็นโลกอื่น และอื่นอีก) 

พ่อครูว่า ที่นี้เห็นที่โลกอื่น ไม่ใช่อยู่โลกเดียว โลกเก่า โลกของตนโลกเดียว มันมีอื่นไปอีก 

อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุด และโลกหาที่สุดมิได้ 

พ่อครูว่า เพราะรู้แต่ของตนเองว่า มีที่วนนี้ มันมีที่สุด เป็นโลกอยู่ที่โลกหนึ่ง อยู่อย่างนี้ แต่หาที่สุดหรือหาที่ต่อที่จบไม่ได้  อีกอันหนึ่งหมายถึงหาที่สุดมิได้คือมันไปเลยเนี่ย อาจจะเป็นเส้นตรงเลยก็ได้ โลกโค้งนิดเดียวก็ได้ โค้งนี้ได้แหละไป… โอ้โห! กว่ามันจะโค้งมาถึงที่ หาส้นไม่เจอเลย หาที่จบหาที่ต่อไม่ได้ จึงเรียกว่า หาที่สุดมิได้  นี่ก็เป็นโลกอีกชนิดหนึ่งที่แตกต่างจากตัวเองรู้อันก่อน นะ

อาศัยอันนี้ อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว จึงมีทิฏฐิว่า โลกหาที่สุดมิได้ 1 และหาที่สุดมิได้ 2 

พ่อครูว่า มันมีหาที่สุดมิได้ เพราะว่ามันต่อกันไปหมด กับหาที่สุดมิได้ เพราะมันไม่รู้มันไปจบตรงไหน ใช่ไหม 2 

(พ่อครูอธิบาย ย่อหน้าถัดไป)

(เนื้อความในพระไตรปิฎก)

อันตานันติกทิฏฐิ 4

[35] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์ผู้เจริญพวกนั้นอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ บัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการ.

9. (1) บรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ย่อมมีความสำคัญในโลกว่ามีที่สุด เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

[36] 10. (2) อนึ่ง ในฐานะที่ 2 สมณพราหมณ์พวกที่พูดว่า โลกนี้มีที่สุดกลมโดยรอบนั้นเท็จโลกนี้ไม่มีที่สุด  หาที่สุดรอบมิได้ (มีฤทธิ์ทางใจสูงกว่าข้อแรก) ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ไม่มีที่สุด หาที่สุดรอบมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้วปรารภแล้วมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

พ่อครูว่า... ก็แสดงว่า มันมีโลกอยู่ลูกหนึ่งที่คุณหาที่สุดมันเองไม่ได้ กับมันไม่ได้อีกโลก ที่มันไปไกลเหลือเกิน มันโค้ง .0001 องศา แล้วก็ไป มันมีองศาโค้ง  โอ้โห! กว่าจะมาจบตรงนี้อีกกี่ล้านล้านปี กว่าจะมาชนตรงนี้ มันหาไม่ได้ นี่พูดให้มันชัดๆ ส่วนจริงแล้วมันเท่าไร คุณจะมีฤทธิ์ที่จะตามมันไปเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่คุณก็ยังตามมาไม่สุดอยู่นั้นเอง สรุปก็คือหาที่สุดไม่ได้ ประเภทที่มีที่สุดกลับหาที่สุดไม่ได้กับประเภทที่หาที่สุดไม่ได้  

สับสนไหม? อ๋อ สับสนเหมือนกันเหรอ ประเภทที่มันวนกันมาบรรจบเป็นกลมเลย แล้วหาที่ต่อ หาที่ต้นไม่ได้เลย มันกลม หาที่สุดไม่ได้  ก็มันไปไกล จน เอ๊! อันนี้ส้นมันอยู่ไหนเว้ย! รู้จักต้นแต่ไม่รู้จักที่ปลาย 2 อัน 

(พ่อครูอ่าน)

3. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ 

พ่อครูว่า อีกแหละ ท่านผู้ฟัง เจโตสมาธิอย่างเดียว ไม่มาปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 มันก็ไปอาศัยเจโตสมาธิ 

พวกนั่งหลับตาทั้งหลายฟังบ้างนะ เจโตสมาธิ จะได้รู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ อธิบายไว้ แล้วคุณเองไม่แตกฉาน อาตมาก็พยายามอธิบายให้ฟัง ที่ว่าอาตมาพูดนี่มันเดา มันด้น มันเลอะเทอะหรือเปล่า หรือมันเข้าหลักเข้าเกณฑ์ ฟังดีๆ 

(พ่อครูอ่าน)

3. อาศัยการบรรลุเจโตสมาธิ ด้วยกำลังของจิตที่เป็นสมาธิ (พ่อครูว่า ก็สมาธิของเจโตสมาธินั้นแหละ เท่าที่ตัวเองสามารถ) เห็นว่าโลกด้านบน (พ่อครูว่า ตอนนี้มีด้านบน ด้านล่าง มีมิติใหม่แล้วนะ อีกมิติหนึ่ง) เห็นว่าโลกด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้  (พ่อครูว่า นั่น ตอนนี้แยกมิติแล้ว มีหลายเหลี่ยมแล้ว) ส่วนความเห็นที่ 1 และที่ 2 นั้นเป็นเท็จ จึงมีทิฏฐิและบัญญัติว่า โลกมีที่สุดกับหาที่สุดมิได้  (พ่อครูว่า นะ มี 2 อย่าง ไม่ต้องอธิบายต่อนะ )

(พ่อครูอธิบาย ย่อหน้าถัดไป)

(เนื้อความในพระไตรปิฎก)

[37] 11. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 บรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต จึงมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางหาที่สุดมิได้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด สมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่าโลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิตย่อมมีความสำคัญในโลกว่า ด้านบนด้านล่างมีที่สุด ด้านขวางไม่มีที่สุด ด้วยการบรรลุคุณวิเศษนี้

ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า

โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

(พ่อครูอ่าน)

4. อาศัยเป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด 

พ่อครูว่า นี่ก็เยอะ พวกอาศยขบคิด นี่ ขออภัยอย่างท่านประยุทธ์ ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ นี้ เป็นนักตรึก นักค้นคิด 

_อาศัยเป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด มีความเห็นว่า โลกนี้มีที่สุด มิใช่ ไม่มีที่สุด ก็มิใช่  (พ่อครูว่า ปฏิเสธทั้ง 2 อย่างเลย ) 

_ส่วนความเห็นข้อที่ 3 ข้อที่ผ่านมาเป็นเท็จทั้งหมด (พ่อครูว่า ก็ไปเหมาเขา ว่ามันมีที่สุด ก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุด ก็ไม่ใช่ พวกเนวสัญญานาสัญญาฯ) 

จึงมีทิฏฐิว่า โลกนี้มีที่สุดและหาที่สุดมิได้ (พ่อครูว่า เหมา 2 อย่างเลย มีที่สุด กับหาที่สุดมิได้ สุดก็ไม่ใช่ ไม่สุดก็ไม่ใช่ คือเห็นทั้ง 2 แบบนั้น ผสมผเสกันไป  ปนปนเปเปเลยเละเลย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไอ้นี่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ อะไรก็ไม่รู้ ) 

_คุณสู่แดนธรรมว่า ถ้าเนวสัญญาฯ นี่ ก็ยังมีความสามารถนะครับ คนๆ นี้ยังไม่มีความสามารถถึงขั้น เนวสัญญาฯ ด้วยซ้ำไป เป็นแค่นักคิด

พ่อครูว่า ใช่ นักคิด นักตรึกเท่านั้น 

(พ่อครูอธิบาย ย่อหน้าถัดไป)

 

(เนื้อความในพระไตรปิฎก)

[38] 12. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 เป็นนักตรึก เป็นนักค้นคิด กล่าวแสดงปฏิญาณของตนตามที่ตรึกได้ ตามที่ค้นคิดได้อย่างนี้ว่า โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ สมณพราหมณ์พวก ที่กล่าวว่า โลกนี้มีที่สุด กลมโดยรอบ นั้นเท็จ ถึงสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ไม่มีที่สุดหาที่สุดรอบมิได้ นั้นก็เท็จ ทั้งสมณพราหมณ์พวกที่กล่าวว่า โลกนี้ทั้งมีที่สุดทั้งไม่มีที่สุดนั้นเท็จ โลกนี้มีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 4 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่าโลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ ด้วยเหตุ 4 ประการนี้แล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง มีทิฏฐิว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ จะบัญญัติว่า โลกมีที่สุดและหาที่สุดมิได้ สมณพราหมณ์พวกนั้นทั้งหมด ย่อมบัญญัติ

ทีนี้อีกอันหนึ่ง อันนี้พวกปลาไหล อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4  ไม่ต้องไปจำมันหรอก พวกบาลีนี้ อาตมาก็ไม่ได้จำ แต่ก็พอกำหนดรู้ พอสัมผัสก็พอรู้ แต่จำไม่ได้ อมราฯ พวกปลาไหล ตัวลื่นตะพรึด (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

(พ่อครูอ่าน)

_อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว (หลบเลี่ยง ไม่แน่นอน)  

พ่อครูว่า  นี้พวกปลาไหลใส่สเก๊ต ทาจารบี วิ่งบนลานน้ำแข็ง อาตมาเคยอธิบายว่า พวกนี้มันดิ้นไม่หยุดอยู่บนนั้นทั้งนั้น พวกปาไหล แล้วมันใส่สเก๊ตด้วยนะ ทาจารบี(หล่อลื่น)ด้วยนะ ไหลเลื่อนบนสเก๊ตวิ่งบนลานน้ำแข็งอีก โฮ! เจ้าปะคุณ พวกสไลด์ใส่สเก๊ต ปลาไหลใส่สเก๊ต 

 _อาศัยอะไร ปรารภอะไร มีทิฏฐิอย่างไร มาจากมูลเหตุ 4 อย่างคือ 

1. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพยากรณ์ก็จะเป็นคำเท็จ (พ่อครูว่า คือมันไม่รู้อ่ะ จึงว่า เฮ้ย! ไอ้นี่มันเท็จ หรืออันนี้กุศลหรือไม่ใช่กุศลวะ จะพยากรณ์อะไรก็ไม่ได้ พยากรณ์ก็จะเป็นคำเท็จ ) 

_จะเป็นความเดือดร้อน จะเป็นอันตรายแก่เรา เพราะความกลัวการกล่าวเท็จ เกลียดการกล่าวเท็จ จึงกล่าววาจาที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว ว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ก็ไม่ใช่ จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว (พ่อครูว่า อ้าว แล้วอะไรจะใช่สักอย่างล่ะ อะไรก็ไม่ใช่หมดเลย นี้พวกปลาไหลใส่สเก๊ต) (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

2. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล  ถ้าพยากรณ์แล้ว ความพอใจ ความเคืองใจ ขัดใจ จะเป็นอุปาทานของเรา (พ่อครูว่า เกิดทั้งความพอใจก็ได้ ความขัดเคืองใจก็ได้) 

_เพราะว่าความกลัว เกลียดอุปาทาน จึงกล่าววาจาที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว (พ่อครูว่า ก็เลยไม่ระบุลงไปว่า ใช่อันนี้ ไม่ใช่อันนี้ เออ ใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ เช่น พวกสญชัย เวลัฏบุตร) (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

3. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล  ถ้าพยากรณ์แล้ว มีบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะเป็นดุจคนแม่นธนู มาซักไซร้สอบสวน เราจะตอบโต้ไม่ได้ เพราะกลัวการซักถาม จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว (พ่อครูว่า ก็ดิ้นได้ไป ไม่ตอบอะไร มันใกล้ๆ กับคำว่าอะไรนะที่อาตมาพูด “ไม่ขอตอบใดๆ” มันใกล้ๆ กันแล้วกับคำนี้) (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

4. เป็นคนเขลา งมงาย (พ่อครูว่า อันนี้ชัดแท้แล้ว เขลา งมงาย) เพราะเขลาและงมงาย ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่าตามเขาไปอย่างนั้น (พ่อครูว่า อันนี้ โอ้โห! ขี้หมาลอยตามน้ำ เขาว่าอย่างไรก็ไปตามเขาไปหมด) จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว (พ่อครูว่า ก็ไม่มีความรู้ของตัวเองเลย ใครว่าอย่างไรก็ เออๆ ใช่ๆ ใครโมเมอย่างไรก็ว่าใช่) (เนื้อความในพระไตรปิฎก)

อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4

[39] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีทิฏฐิ ดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ ก็สมณพราหมณ์

ผู้เจริญพวกนั้น อาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆย่อมกล่าววาจา ดิ้นได้ไม่ตายตัวด้วยเหตุ 4 ประการ?

13. (1) ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล ก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล คำพยากรณ์นั้นของเราจะพึงเป็นคำเท็จ คำเท็จของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา

เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การกล่าวเท็จเพราะเกลียดการกล่าวเท็จ เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ จึงกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 1 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[40] 14. (2) อนึ่งในฐานะที่ 2 ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศลนี้เป็นอกุศล ความพอใจ ความติดใจ หรือความเคืองใจ ความขัดใจในข้อนั้น พึงมีแก่เราข้อที่มีความพอใจ ความติดใจหรือความเคืองใจ ความขัดใจนั้น จะพึงเป็นอุปาทานของเรา

อุปาทานของเรานั้นจะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เรา ความเดือดร้อนของเรานั้นจะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่อุปาทาน

เพราะเกลียดอุปาทาน เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราว่า อย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 2 ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[41] 15. (3) อนึ่ง ในฐานะที่ 3 ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เขามีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศลก็ถ้าเราไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล จะพึงพยากรณ์ว่า นี้เป็นกุศล หรือนี้เป็นอกุศล

ก็สมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะเป็นดุจคนแม่นธนูมีอยู่แลแม้ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวทำลายทิฏฐิด้วยปัญญา เขาจะพึงซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนเราในข้อนั้น เราไม่อาจโต้ตอบเขาได้ การที่โต้ตอบเขาไม่ได้นั้น จะพึงเป็นความเดือดร้อนแก่เราความเดือดร้อนของเรานั้น จะพึงเป็นอันตรายแก่เรา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่กล้าพยากรณ์ว่านี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล เพราะกลัวแต่การซักถาม เพราะเกลียดแต่การซักถาม เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัวว่า ความเห็นของเราอย่างนี้ก็มิใช่ อย่างนั้นก็มิใช่ อย่างอื่นก็มิใช่ ไม่ใช่ก็มิใช่ มิใช่ไม่ใช่ก็มิใช่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ 3ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้ว มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ ย่อมกล่าววาจาดิ้นได้ไม่ตายตัว.

[42] 16. (4) อนึ่ง ในฐานะที่ 4 เป็นคนเขลา งมงาย เพราะเขลา เพราะงมงาย เมื่อถูกถามปัญหาในข้อนั้นๆ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 07 มกราคม 2567 ( 09:33:21 )

ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 2

รายละเอียด

อาตมาเอาของคุณ นามปากกาว่า “ทำมาด้วยใจ ใต้ร่มโพธิ์” อ่านมาได้หน่อยหนึ่งแล้วหลายหน้า ซึ่งได้วิเคราะห์วิจัย พรหมชาลสูตร อ่านมาจนมาถึงหัวข้อ อมราวิกเขปิกทิฏฐิ ซึ่งมี 4 

(พ่อครูอ่านทวนข้อความตอนก่อน)

อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4 มีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว (หลบเลี่ยง ไม่แน่นอน)  

1. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล จะพยากรณ์ก็จะเป็นคำเท็จ  จะเป็นความเดือดร้อน จะเป็นอันตรายแก่เขา ….ฯลฯ

2. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง… ฯ …  จะเป็นอุปาทานของเรา …ฯลฯ .. ของเราเองพิจารณาผิด  เพราะว่าความกลัว เกลียดอุปาทาน จึงกล่าววาจาที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว 

นี้เป็นความละเอียดลออที่พระพุทธเจ้าท่านเอามาแยกแยะทั้งหมด ที่เป็นทิฏฐิต่างๆ พวกนี้  มันละเอียดลออจริงๆ เลย เพราะฉะนั้น  พวกเราก็ฟังผ่านไป ก็ไม่ต้องไปห่วงกังวลมาก ถ้ามีภูมิพอที่จะรู้ความละเอียดพวกนี้และเป็นประโยชน์แก่ตน ก็สนใจศึกษาเอา อ่านพิจารณา ถ้ายังไม่ถึงภูมิ หากอ่านแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ก็ไม่ต้องไปกังวลมาก 

3. ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล  ถ้าพยากรณ์แล้ว มีบัณฑิต มีปัญญาละเอียด ชำนาญการโต้วาทะเป็นดุจคนแม่นธนู มาซักไซร้สอบสวน เราจะตอบโต้ไม่ได้ เพราะกลัวการซักถาม จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว

อันนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ครบ อันนี้สรุปมา นี่พวกอมราฯ นะ พวกปลาไหล ดิ้นได้ไปเรื่อยๆ นะ อมราวิกเขปิกะ เป็นทิฏฐิความเห็นอย่างปลาไหลดิ้นได้ 

4. เป็นคนเขลา งมงาย  เพราะเขลาและงมงาย ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่าตามเขาไปอย่างนั้น จึงมีทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว 

พ่อครูว่า เหล่านี้นี่ความดิ้นได้ทั้งหมด 4 ประการ… (ย่อหน้าถัดไป)

(สรุปสั้นๆ พอสังเขป ดังนี้)

(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4)

13. เกรงว่าจะพูดปด //จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่ 

14. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1

15. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 ไม่รู้ชัดว่านี่กุศลหรืออกุศล ถ้าพยากรณ์ชำนาญการโต้ ถ้าหากมีบัณฑิตผู้เข้าใจวาทะ โต้เหมือนกับลูกธนู เราก็จะตอบโต้ไม่ได้ ก็เลยพูดปฏิเสธ 

16. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามเขาอย่างนั้น จึงมีความเห็นดิ้นได้ ไม่ตายตัว 

เหล่านี้นี่ความดิ้นได้ทั้งหมด 4 ประการ เป็นความเห็นแบบปลาไหลใส่สเก็ต-ทาจารบี-วิ่งบนลานน้ำแข็งลื่นและไม่หกล้มด้วยนะ 

ทีนี้ต่อมา อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ มี 2 นะ

(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) มี 2 อย่าง เห็นว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ อาศัยอะไร? ปรารภอะไร? มีทิฏฐิอย่างไร? มาจากมูลเหตุ 2 อย่าง คือ

17. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์  พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ ได้จุติ(เคลื่อน)เข้ามา หรือเคลื่อนออกไป จุติ เพื่อออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดออกจากสัญญา พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้นดับเป็น อสัญญีสัตว์ ได้แล้ว 

พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์  ฟังแล้วเราก็ต้องเข้าใจแล้วนะ พูดผ่านมาตัวนี้บ่อยๆ 

อสัญญีสัตว์ พวกสัตว์ไม่มี อสัญญี เพราะฉะนั้นดับเป็นอสัญญีสัตว์ ได้แล้ว ได้เสร็จ คุณก็จุติใหม่ ก็เคลื่อน ออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดของสัญญา สัญญาคุณไม่ดับหรอก สัญญาคุณไม่หมดหรอก แต่คุณดับสัญญา มันก็มีสัญญาอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นสัญญาเมื่อบรรลุเจโตสมาธิ เมื่อจิตมันตั้งมั่น สะกดแน่แน่นเข้าไปแล้ว สัญญาตามระลึกความเกิดแห่งสัญญา สัญญาก็จะทำงานตามระลึกถึงความเกิดของสัญญา มันเป็นความจำ  มันเป็นความกำหนดรู้ นี่คือหน้าที่ของสัญญามันทำได้ 

เพราะฉะนั้นมันมีความจำ ใช่ไหม อีกเยอะแยะเลยที่มันจะไปกำหนดรู้ได้อีก 

_จึงกล่าวว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว 

เพราะ อสัญญีสัตว์ ดับไปไม่มีความรับรู้ แต่สัญญามันก็ไม่หยุด มันก็ปรุงแต่งขึ้นมาว่า โอ๊ ไม่มีนี่ อสัญญีสัตว์ โลกก็ไม่มี อัตตาก็ไม่มี 

แต่เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าก่อนนี้ก็ไม่มี ก็เดา แต่ตอนนี้เราก็ไม่มี อัตตาก็ไม่มี โลกก็ไม่มี  

_(ระลึกตามสัญญาลงไปแล้วไม่เจออะไร ไม่มีสัญญาใดๆ เป็น อสัญญี คือความดับดำมืด ระลึกได้ เท่าที่สามารถจะตามกำลังของจิต ต่อจากนั้นไประลึกไม่ได้)

เหมือน อาฬารดาบสก็ดี อุทกดาบส ก็ดี ทำหยุดแล้ว คือนั่งหลับตาสะกดจิต สุดท้ายมันจะไปจบ อสัญญีสัตว์ ทั้งนั้น เช่น สัตตาวาส 9 

ฌาน 1 2 3 4 เป็นมิจฉาฌาน พอไปถึงขั้นดับ อสัญญีสัตว์ เขาก็หลงว่า อสัญญีสัตว์ เป็นนิโรธ ดับความ ไม่คิด ไม่นึก ไม่รับ ไม่รู้ ไม่ปรุง ไม่แต่งอะไร  แต่สัญญามันยังมีอยู่ในจิต มันก็ทำงานพิเศษ เพราะฉะนั้น อรูปฌานอีก 4 ของ สัตตาวาส 9 จาก อสัญญีสัตว์ ตัวที่ 5  และยังมีอีก 4 อย่าง รวมเป็น 9 อันนี้จะมี คือ อากาศ(อากาสานัญจายตนะ) วิญญาณ(วิญญานัญจายตนะ) อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ อันนี้จะมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นตัวโง่ที่สุด อไรก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่ใช่ ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ใช่ จะรู้ก็ไม่รู้ จะไม่รู้ก็ไม่รู้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เนวะ ก็คือ คลุมๆ เครือๆ แล้วเนวะไปต่างๆ สารพัดเนวะ ก็คือ นานา สัญญาทำงานสารพัดก็คือ เนวสัญญา สัญญากำหนดไปสารพัด และกำหนดไปต่างๆ เละเทะหมด อะไรก็ไม่ใช่มั่ง ใช่มั่ง ไม่ใช่ไม่รู้เรื่องสักอย่าง พวกนี้เป็นพวกโง่สำมะปี๋ โง่มะล่ำมะล่อย โง่ทั่วทิศทั่วแดน โง่สมบูรณ์แบบ เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ เป็น สัตตาวาส ข้อที่ 9 โง่สมบูรณ์แบบ

เพราะฉะนั้นพวกระลึกไม่ได้อย่างนี้ ก็คือพวกนึกว่ามันเกิดอย่างลอยๆ

_แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามี (พ่อครูว่า เห็นไหมละ มันก็ยังมีตัวตน)

_แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามี (เมื่อหมดพลังกดข่ม สัญญาที่ดับไม่ถูกวิธี-ไม่ถูกตัว) (พ่อครูว่า เมื่อรู้ตัว) ก็คลี่คลายขยายตัว เกิดมีขึ้น 

เพราะไม่ได้น้อมไป เพื่อเป็นผู้สงบแล้ว (ไม่ได้ทำสมถะต่อเนื่อง หมดฤทธิ์การกดข่ม ) 

ข้อความของคุณทำใจมาด้วยใจ ที่อยู่ในวงเล็บคงเป็นความเห็นของเขา 

_จึงมีทิฏฐิและบัญญัติว่า อัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ (เพราะตามสัญญาลงไป มันดับไม่มีอะไรเลย แล้วอยู่ๆ มันเกิดมีขึ้น)

18. เป็นนักตรึก นักค้นคิด (พ่อครูว่า อันนี้แหละเป็นพวกฟุ้งซ่าน  เป็นพวกนักค้น นักคิด แสดงปฏิภาณตามที่ตรึกได้  พวกสญชัยเวลัฏฐบุตร) แล้วก็มีทิฏฐิ บัญญัติว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ 

นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี เป็นนักตรึกนักค้นคิด อันนี้แหละเป็นพวกฟุ้งซ่าน แสดงปฏิภาณตามที่ตรึกได้ พวกสญชัยเวลัฏฐบุตร แล้วมีทิฏฐิ บัญญัติว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ 

โอ๊ย! อนาคต อีก 44 นี่จะยาวเลยนะ 

อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก (อนาคตอีก 44)

อาตมาว่าใครที่สนใจส่วนตัว ก็ไปอ่านจากพระไตรปิฎกนะ แล้วก็ทำความเข้าใจเท่าที่ทำได้ สงสัยก็มาถามเอา แต่ละคนก็แล้วกัน 

เพราะว่า ถ้าอธิบายไปอีก อ่านไปอีก จะเข้าใจยาก อาตมาก็อธิบายไม่ง่าย ยากเหมือนกัน ต้องพยายามที่จะอธิบาย ก็จะเสียเวลาไปมาก เพราะมันเกินฐานปฏิบัติจริงของพวกเรา 

ผู้ที่จะรู้ทิฏฐิทั้งหมดครบ 62 อดีต 18 อนาคต 44 ก็พระอรหันต์ที่เป็นพระพุทธเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์ระดับที่ 6 

ขนาดอาตมาอรหันต์ลำดับที่ 4 ยังไม่ถึงอรหันต์ลำดับที่ 6 สับสนไหม อรหันต์ระดับที่ 1, 2, 3, …, 6 ไม่สับสนนะ ดีแล้ว พวกเราเรียนรู้ชัดเจน 

กำหนดบัญญัติ กำหนดสภาวะ แม้เราจะยังไม่ถึง แต่เราก็เข้าใจแล้วว่า อ๋อ มันมีขั้นชั้น เพราะฉะนั้น กล่าวคำว่าอรหันต์ มันจึงมีการหมุนรอบเชิงซ้อน 

ก็มีกับไม่มี เป็นหรือไม่เป็น กลับไปกลับมา อรหันต์แล้วทำไมจะต้องมามีเมีย ต้องมาแต่งงาน เป็นโพธิสัตว์ระดับสูงแล้ว จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้า เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าชาติที่เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องแต่งงานมีเมียมีลูกอีกเล่า นี่มันก็งง ใช่ไหม ก็สับสน เป็นไปได้ยังไง 

เป็นไปแล้วก็ต้องไม่มีสิ แต่เป็นได้สำหรับบางองค์ อย่างอาตมานี่เคยพูด ว่าอาตมาจะพยายามบำเพ็ญตน ให้เป็นปางสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะไม่มีการแต่งงาน จะไม่มีเมีย จะไม่มีพวกนี้ ตั้งจิตไว้อย่างนั้นเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ปางสุดท้าย มันทำให้คนงง แต่ที่จริงที่มีเมียนั้นสูงกว่าที่ไม่มีเมียนะ สูงกว่า ไม่มีเมียนี่มันง่าย มีเมียแล้ว ไปมีเมียแล้วก็มีเหตุปัจจัยที่จะต้องบริหารเนี่ย ยากกว่าที่ไม่มีเมีย ไม่มีเมียนี่บริหารง่าย คนเดียว มีเมียนี่ เราคนเดียวบริหารตนเองก็ยังไม่ง่าย แล้วไปเอาอีกคนมาเป็นคู่ชีวิตบริหาร เอาเถอะ ใครไม่รู้ก็มีก็แล้วกัน 

อ้าว อาตมาก็ขอผ่านอันนี้ไว้ อนาคต 44 นี้มันก็จะเยอะแยะ ไม่ใช่น้อยๆ  ก็ขอผ่านไปก็แล้วกัน 

นี่เขาก็วิจัยอะไรมาอีกแผ่นหนึ่ง ที่เป็นความคิดไปมากๆ เข้า มันจะกลายเป็น โลกยตศาสตร์ หรือจะเป็น โลกจินตา มากนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิสัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 08:19:22 )

ตำราแบบคนจน

รายละเอียด

คำว่า ตำรา นี้ก็สำคัญ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสเรื่องคำว่า ตำรา อาตมาก็นำมาขยายความอยู่ ท่านตรัสไว้ นัย มุมหนึ่ง มิติ 1 เอานัยยะมุมมองบริหารเศรษฐศาสตร์แบบคนจน ท่านตรัสแล้วก็บอกว่า ถ้าจะบริหารก็บริหารแบบนี้ ท่านอธิบายไปตามภูมิธรรมของท่านและท่านก็ว่าไป ว่าผู้ที่บริหารหรือผู้นำพาต้องทำแบบนี้เพราะผู้มาถามนั่นคือ ข้าราชการการเมืองเหมือนกัน เป็นรัฐมนตรีเพื่อนของนายกรัฐมนตรีชาวเกาหลีใต้ มาพูดมาทูลถามในหลวง ร. 9 ว่าควรจะบริหารปกครองอย่างไร 

ท่านก็บอกว่า ถ้าจะใช้คำว่าตำรานำ ต้องเอาตำราแบบคนจนไม่ใช่ตำราของเทวนิยมรัฐศาสตร์ที่เรียนกันในตะวันตก เป็นตำราคนรวยเป็นตำราที่เป็นโลกียะจะต้องเอารวยเข้าว่ามีอำนาจมาก แต่อันนี้มันทั้งในความเป็นอำนาจหรืออธิปไตยก็ไม่ไปเบ่งข่มใคร มาจนมาน้อยไม่ใช่ไปมาก ไม่ใช่มักมากแต่ว่ามักน้อย อัปปิจฉะ ไม่ใช่ มหัปปิจฉะ ใช้ตำรานี้ใช้ความอะลุ่มอล่วยคือ compromise ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 10 เป็นผู้ที่ใช้อันนี้โดยใช้คำว่า compromise ประนีประนอมทำให้มันเหมาะสมไปเรื่อยๆต่อยอดอันนี้ยิ่งใหญ่ ในหลวง ร.10 ตอนนี้รู้ดีเรื่องนี้ท่านทรงรู้แล้วก็นำพา ถ้าใช้ตำราแบบคนจน ตำรานี้ไม่มีจบ Infinity จะพัฒนาเจริญขึ้นไม่มีจบเลย จะก้าวหน้าเรื่อยๆ นี่ก็เป็นคำตรัสรับรองของในหลวง ร.9 จะก้าวหน้าเรื่อยๆไม่ได้ถอยหลังไม่ได้อยู่กับที่เลย ไปเรื่อยๆเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่นเลย ไปอย่างเจริญไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2566 ( 19:41:05 )

ตำหนิ

รายละเอียด

แม้แต่คนชั่วเราก็ช่วยรับใช้เขาด้วยการด่า ตำหนิแรงๆก็ด่า นัยของภาษาเป็นอย่างนั้นไม่ได้ไปทำเรื่องเลวร้ายอะไร ดุแรงๆด่าแรงๆ โดนทุจริตโดนความชั่วอกุศลของใคร ถ้าสังคมมันมีคนชั่วคนผิดเป็นคนทุจริตอกุศลมาก พูดความจริงออกไปกระทบ มันพูดเบาๆก็แรง เพราะมันเยอะมันกระแทก ทีนี้พูดแรงก็กระทบแรงกระแทกให้หลุดได้ง่ายขึ้น ทุกวันนี้ทำไมอาตมาพูดแรง ตอบได้ไหม?…อาตมากำลังดี 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2563 ( 10:51:58 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:19:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:44:49 )

ตำหนิ ว่ากล่าว แล้วเขาเสียขวัญมาก ผิดข้อ “ปาณะ” ไหม

รายละเอียด

ประเด็นที่เสียขวัญมากไปว่ากล่าวกัน ดีแล้วล่ะแปลว่าเราไปตำหนิถือว่ามีข้อบกพร่องเราก็ตำหนิกันเป็นผู้ที่ช่วยกันแนะนำกัน ทีนี้มันมีประเด็นว่าแล้วเขามีอาการเสียขวัญมาก อย่างนี้เราทำผิดข้อ ปาณะ หรือไม่ โอ้โหละเอียดจังเลย 

ปาณะ หรือจิตวิญญาณความรู้สึกฐานะของจิตเจตสิกต่างๆอาตมาไล่ระดับให้ฟังแล้วตั้งแต่ มหาภูตรูปมา เริ่มมาเป็น อหิจฺฉตฺตกะ เป็นเห็ดจากเห็ดมาเป็นภูตคาม พีชคาม แล้วจึงเป็นเจตภูต ร่องรอยของชีวะถือว่าเป็นชีวะแล้วตั้งแต่พืช เจตภูตจึงเรียกว่าเป็นผีเป็นพลังงานล่องลอยออกจากดินแล้ว ส่วนแรกมันก็ติดกับดิน แต่เจตภูตนี้มันลอยออกมาแล้ว เจตภูตแล้วมาเป็นปาณะ

ปาณะ เรียกว่าถึงขั้นจะมีชีวะขั้นมีลมหายใจเข้าออก ปาณะ ส่วนเจตภูต ยังไม่เป็นลมหายใจเข้าออกอะไร พอเป็นปาณะ มันเหมือนจะมีชีวิตมีส่วนลมหายใจผ่านที่เป็นชีวะธาตุรู้มาแล้ว กระทั่งผ่าน ปาณะมาเป็นเจตสิก แล้วมาเป็นสัตตะแล้วมาเป็นจิตวิญญาณ บอกรายละเอียดให้ฟังพวกเราจะได้เข้าใจพยัญชนะพวกนี้ที่แทนสภาวะที่ละเอียดของชีววิทยาทางจิต ต้องใช้คำว่าทางจิตนะไม่ใช่ชีววิทยาทางรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ 

ถามว่า ทำผิด ปาณะไหม มันก็จะว่าผิดก็ว่าผิด ทำให้เขาเสียขวัญคำว่าเสียขวัญจะขนาดไหน ก็พยายามรู้กัน ระมัดระวังกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 14:07:48 )

ตำหนิคนที่ควรตำหนิไม่ได้มีกิเลสแต่อย่างใด

รายละเอียด

พูดเสียแรง อาตมาไม่เคยไปตีใคร นอกจากตอนเด็กเคยตีน้องชายคนเล็กด้วยไม้บรรทัดเพียงหนึ่งครั้งในชีวิต นอกนั้นไม่เคยตีใครเลย คำว่าตีของเขาคงหมายถึงการพูดกระทบ 

อาตมาตำหนินี้อาตมาเป็นบัณฑิตนะอาตมาไม่ใช่คนพาล และอาตมาไม่ได้ตำหนิใครไปทั่ว บางทีก็กล่าวชื่อคนที่รู้ว่ากระทำ ก็เป็นเพียงไม่กี่คน เพราะว่าคนทุกวันนี้มันผิดในทางตามกันไปกับคนที่อาตมาตำหนิ ทุกวันนี้คนไปเชื่อคนพาล อาตมาตำหนินี้ไม่ได้มีอคติเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการวิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:39:13 )

ตำหนิคนอื่นได้ต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยม

รายละเอียด

คือ คนที่จะตำหนิคนอื่นได้จะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยม คนที่ชมคนอื่นมากๆ  นั้นจะไปเก่งอะไร คนชมคนก็ชมได้ การตำหนิแล้ว เขาไม่มาทำร้าย ไม่มาฆ่าเราก็ดีแล้ว  ตำหนิแล้วเขาก็ยังนิ่งอยู่  ตอนนี้แล้วเขาก็ไม่ได้มาทำร้าย  เขายังนิ่งอยู่นี่เป็นฝีมือนะของอาตมา เรื่องตำหนิพูดไปแล้วเหมือนผ้าชุบน้ำมันไหม้ๆฟบนหัว ต้องรีบเอาออก ความผิดต้องรีบบอกกัน ทุกวันนี้เวลาน้อยมากเลย  ข้อจำกัดที่อาตมาจำเป็นจำนน  แต่ ธัมมชโย ไม่อาจหาญตำหนิหรอก คนละฟากฟ้า กับอาตมาเลย  สรุปแล้ว ต่างคนต่างก็มีความเห็นกันไปก็เลือกเอาที่ชอบ ที่ชอบกันเถอะ ส่วนใครจะมีฉันทะเอาอันไหนก็เป็นธรรมดาของมนุษย์โลก   พระพุทธเจ้านี้ ยกตัวอย่างขนาดเลย  แล้วก็บอก ผู้อื่นมีคติที่ไปไม่นรกก็เดียรัจฉาน จริงๆ   ก็เป็นเรื่องของความต่างกัน  ศึกษาแล้วก็บอกความต่างกันเท่านั้นเอง  ถ้าไม่ศรัทธา อาตมาก็ไม่เป็นไร  คุณก็ฟังอย่างแสลงไปเรื่อยๆ  เพราะมันจะไม่ตรงกับทิฏฐิของคุณ  แต่ถ้าฟังอาตมาด้วยดี  อย่ามีคติ คุณก็จะมีปัญญา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช ครั้งที่ 82 วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 04 ธันวาคม 2562 ( 14:32:12 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:23:09 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:14:36 )

ตำหนิผู้ที่ถูกต้องก็ต้องบาป

รายละเอียด

โดยสัจจะแปลว่าผู้ที่ถูกต้อง ตำหนิผู้ที่ถูกต้องก็ต้องบาป เพราะฉะนั้นโดยสัจจะ เพราะอาตมาถูกต้อง เขาก็ต้องบาป แต่ถ้าอาตมาผิดเขาว่าจะมาก็ถูกของเขาแล้วก็ไม่บาป อาตมาก็จะได้บาปต่อไป ส่วนความจริงจะเป็นเช่นไร อาตมาถูกหรือผิดคุณต้องศึกษาติดตามพิสูจน์ดู 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 10:56:16 )

ตำหนิพุทธนานาสังวาส

รายละเอียด

เราก็ไม่ได้ตำหนิศาสนาอื่น เราตำหนิในศาสนาพุทธแม้พุทธนอกรีต เดียรถีย์เราไม่ไปตอแยเขา แต่ตอแยกับพุทธนานาสังวาส เป็นพุทธร่วมกันแต่มีความเห็นต่างกันเราก็ตำหนิแล้วตำหนิอีก กับพวกที่เราถือว่าเป็นชาวพุทธร่วมกัน 

ส่วนท่านผู้ใดที่ไม่ได้ถือว่าเราเป็นพุทธเป็นนิกายคนละรูปนามคนละ 2ไม่แล้ว เขาอยู่กับพวกโน้นเลย เรามี 2นี้ไม่เอาพวก 2เขาเอาพวก 1เทวนิยม มีแต่กายไม่มีจิต แต่เขาตีกาย 2ไม่ออก แยกรูปนามไม่ออก แยกความเป็นเทวฺไม่ได้เลย เขาได้แต่ตามคำสอนของพระเจ้าคือเทวนิยมไม่หมดสุขหมดทุกข์ อย่างดีก็มีแต่ดีกับชั่ว แต่ดีไม่เที่ยงชั่วก็ไม่เที่ยง ท่านพุทธทาสท่านเข้าใจว่าชั่วและดีก็อัปรีย์ทั้งนั้น มันก็มากไป 

อัปรีย์ ปรียะ คือที่รักแต่มันไม่เป็นที่รักทั้งนั้นแหละความชั่วความดี คุณก็ไม่ต้องไปรับความชั่ว ความดีก็ต้องอาศัย เพราะในฐานะที่คุณมี คุณก็ต้องอย่างน้อยอยู่โลกียะคุณก็อยู่กับเขา คุณก็อยู่กับโลกียะของคนดี คนชั่วเราไม่เอาก็แล้วไป ก็มีขั้นตอน แต่ถ้าไม่มีขั้นตอนกันเลยชั่วและดีอัปรีย์ทั้งนั้นแล้วคุณจะอยู่กับใคร มันไม่เป็นขั้นตอนไม่เป็นลำดับ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:56:28 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:26:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:44:28 )

ตำหนิเป็นการช่วยเหลือ

รายละเอียด

โลกที่มีทั้งมนุษย์ มีทั้งคน และมีทั้งสังคม มีทั้งทุกๆอย่างเป็นองค์ประกอบที่มันปรุงแต่งกันอยู่ ยิ่งไม่มีตัวตนไม่เห็นแก่ตนจริงๆ ก็เห็นแต่ ผู้อื่น เห็นแต่แก่ผู้ที่มีทุกข์ ผู้ที่มีความผิดพลาด ผู้ที่มีความไม่ถูกตรง ก็จะตำหนิบ้าง ตำหนิเป็นการช่วยเหลือ 

การตำหนิคนไม่ใช่เป็นการไปทำร้ายทำลาย ตำหนิด้วยปัญญา ตำหนิด้วยความเห็นใจ เห็นใจเขาว่า เขายังมีความรู้มีความเข้าใจที่ไม่ถูก ก็เห็นใจเขาที่เข้าใจไม่ถูก ความรู้ยังผิด ดีไม่ดีมันไม่ใช่ผิดธรรมดา มันทำลายครอบงำทางความคิดของคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 2 

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 7 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2566 ( 12:20:30 )

ตำหนิโดยไม่มีอนูปวาโทคืออย่างไร

รายละเอียด

ในสิ่งเหล่านี้แหละ อาตมาจะค่อยๆอาศัยรูปธรรมหรือปุคคลาธิษฐานพวกนี้ เอามาขยายความเป็นธรรมาธิษฐานเป็นธรรมะให้เข้าใจธรรมะ แน่นอนอาตมาจะขยายความไม่เหมือนที่เขายึดถือผิด ก็ต้องตำหนิ ต้องว่าต้องดูถูก บอกไว้ก่อนนะ แต่อาตมาไม่ได้มีอนูปวาโท ไม่มีภาษาที่จะไป อุปวาทะอุปฆาตะ ไปฆ่าหรือทำร้ฟาย ไม่ใช่ ที่อาตมาพูดไม่ได้เป็นภาษาที่เอาไปประหารอะไรใครเลย แต่ให้เป็นความรู้ที่เอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 20 ธันวาคม 2563 ( 13:52:23 )

ตำแหน่งทุกวันนี้หมายถึงอะไร

รายละเอียด

ต้องเรียนรู้แล้วเลิกตั้งแต่ภายนอก เช่นโลภมาเป็นวัตถุ คือลาภ เนื่องกันด้วยวัตถุของตำแหน่งยศศักดิ์ มาจนกระทั่ง ทุกวันนี้ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ ตำแหน่งทุกวันนี้หมายถึง ลาภในตัว ยศในตัว สรรเสริญในตัว แล้วก็หลงเสพว่าเป็นสุข ลาภก็เป็นสุข ยศก็เป็นสุข สรรเสริญ ก็เป็นสุข 

สุขนี่แหละ เป็นตัวมหามายา ที่จริงไม่น่าจะเรียกมหามายา น่าจะเรียกยักษ์ขมูขีมายา รากษสมายา ไม่ควรจะเรียกมหามายา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาวันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 15:38:11 )

ติก

รายละเอียด

ประกอบด้วยสาม(3) 

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 2 หน้า 39


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:55:09 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:37:21 )

ติงเตือนพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติฌาน

รายละเอียด

คือ สมณะโพธิรักษ์ขอและบอกจริงเตือนพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติฌานตรงนี้คุณไปหลับตาปฏิบัติฌานนั้นโมฆะจากศาสนาพุทธเพราะไม่ได้อยู่ในวิชชาจะระณะสัมปันโน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 1พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:20:03 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:29:00 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:15:20 )

ติงเตือนพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติฌาน

รายละเอียด

สมณะโพธิรักษ์ขอ และบอกติงเตือนพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติฌานตรงนี้ คุณไปหลับตาปฏิบัติฌานนั้นโมฆะจากศาสนาพุทธ เพราะไม่ได้อยู่ในวิชชาจะระณะสัมปันโน

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 20:26:30 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:15:59 )

ติช นัทฮันห์ ยังเป็นมหายานอยู่อย่างไร

รายละเอียด

ติช นัทฮันห์ ยังเป็นมหายานอยู่ ยานโตงเตง คือยังไม่เข้าลึกถึงจิตวิญญาณ ยังอยู่แต่เรื่องสบายๆ ชีวิตสบายๆ คนก็ชอบ ก็ได้บริวาร อยู่สบายไม่ต้องอะไรมาก ทำอยู่ทำกินนิดๆหน่อยๆ มันก็คุ้มแล้ว ตัวบีเวอร์มันยังทำงานสร้างเขื่อนให้คนอื่นได้อาศัย แต่นี่คนอื่นไม่ได้อาศัยอะไรนักหรอก ขออภัยพูดชัดๆ กลุ่มของติช นัทฮันห์ ไม่ได้สร้างอาหารอะไรมาก ไม่ได้สร้างอุตสาหกรรมอะไรมาก อาหารก็ยังไม่ได้สร้างเผื่อแผ่ใครเลย 

กลุ่มติชนัทฮันห์ ต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ อาศัยคนศรัทธาบริจาคมาให้กินให้อยู่ คุณงามความดีของคนนี้มีราคา คนเห็นว่าคนมีคุณงามความดีก็ช่วยเหลือแล้วมนุษย์ ให้แล้ว ทานแล้ว บริจาคแล้ว อาศัยเท่านี้ ติช นัทฮันห์ ก็อยู่ได้ ยิ่งคนทำดีไม่เบียดเบียนใคร 

ติช นัทฮันห์ ไม่เบียดเบียนใคร คนก็นับถือแล้วพอแล้วกินอยู่พอแล้ว ตัวเองก็บำเรอขนาดของตน ยังมีการเล่นกีต้าร์ยังร้องยังเล่นรำอะไรบันเทิงเริงรมย์ สบายอะไรอีกเยอะ เทียบเคียงกับชาวอโศกได้ (มีคนแจ้งมาว่า ติช นัทฮันห์ ตายแล้ว ) 

ถึงแม้ยังอยู่บริวารก็ขนาดนั้น ขนาดอาจารย์ก็ขนาดนั้นบริวารก็ขนาดนั้น พูดไปเดี๋ยวจะไปข่ม ติช นัทฮันห์ ผู้นับถือเขาก็มีอีกเยอะ อาตมาก็เกรงใจอยู่บ้าง แต่ก็เกรงใจไม่มากเท่าไหร่หรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 11:38:32 )

ติฏฐาน

รายละเอียด

ความพัก ความหยุด

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 415


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:55:44 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:38:01 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:43:05 )

ติฏฐิ

รายละเอียด

พัก , การนอน

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 459


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:56:15 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:38:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:16:14 )

ติณณัง สังคติ ผัสโส

รายละเอียด

ความประชุมแห่งธรรม 3 ประการ เรียกได้อย่างสั้น ๆ ว่าผัสสะ 3

ได้แก่รูปหรือภาวะ นาม และวิญญาณ

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 229


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:56:45 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:39:46 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:16:31 )

ติด 0 ไม่ได้เพราะ 0 คือที่สุด

รายละเอียด

ใช่ จนกระทั่งมันไม่มีหรอกอร่อยหรือไม่อร่อย มันก็เหมือนเหมือนกันกับทุกๆอย่าง มันก็อารมณ์เดียวกัน เป็นแต่เพียง รู้ความจริงตามความเป็นจริง อันนี้มันเค็มอันนี้มันหวานอันนี้มันเปรี้ยว มันก็บอกฐานะบอกสภาวะความจริงของมัน มันหวาน เราก็ไม่ได้บอกว่าชอบหน่อย เค็มเราก็บอกว่าไม่ได้ชอบหน่อย มันไม่หรอก มันก็เท่ากัน แต่รู้ความจริงตามเป็นจริงของอันนั้นจะเป็นอย่างนี้อย่างไหน จะมากหรือจะน้อย จะแรงหรือจะเบา ถ้าเราไปแรงๆๆ มันเบาไม่ลงมันก็จะมีแต่ไปมากขึ้น แต่ถ้าเราเบาจนกระทั่งถึง 0 ได้แล้วเราจะอนุโลมเป็น 1แล้วกลับมาหา0 จะว่าติด 0 ก็ไม่ได้ติด แต่ 0 คือที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:01:25 )

ติดกาแฟหรือติดหมากพลูอันไหนหนักกว่า

รายละเอียด

หนักกว่ามหาบัวอีก ในมุมหนึ่ง แต่อีกมุมหนึ่ง มหาบัวหนักกว่า กาแฟ มันติดแล้วมันเนียน มันเป็นธาตุความอร่อย แต่ไม่รุนแรงเหมือนกับหมากพลู อาตมาเคี้ยวไม่ได้เลยนะมันยัน ทั้งหมาก ปูน ไม่รู้อะไรต่ออะไรใส่เข้าไป มันรสจัดนะ ยัน คนที่กินไม่ได้ก็กินไม่ได้เลยใส่เข้าไปในปากก็แย่แล้ว เอาปูนป้ายกับพลูแล้วก็กัด แถมอะไรต่ออะไรใส่เข้าไปสารพัดผสมก็ไป เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้ว คนติดกาแฟนี้เนียน แต่คนติดหมากพลูนี้หนักไม่ใช่เนียนแต่คนติดกาแฟเนียนคือมันกินลึก นิ่งๆ เชือดนิ่มๆให้ตาย แต่ติดหมากพลูนี้หนักหนา หยาบกว่าเยอะ แค่กามคุณ 5 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของหมากพลูลด มหาบัวยังไม่รู้จักเลยแล้วจะไปสอนให้คนลดละรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสได้อย่างไร แค่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสหยาบ แค่นี้มหาบัวยังไม่รู้เลย แล้วกลับบอกว่าไม่ใช่สิ่งเสพติดอีกมันก็เป็นเรื่องซับซ้อน ก็รู้ตัวเสียเถิดว่าถูกมหาบัวหลอกไม่รู้จักกี่ชั้นต่อกี่ชั้น ที่พูดนี่ไม่ได้ใส่ความ เป็นการพูดวิชาการสาระสัจจะ สายปฏิบัติธรรมนั่งหลับตาในที่มืดไม่มีทางรู้ได้ง่ายๆหรอก ต้องปฏิบัติธรรมอย่างสว่างลืมตามีผัสสะ จึงจะรู้ได้ง่าย พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จัก จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 28 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2563 ( 11:49:13 )

ติดขนมมากๆจะเลิกอย่างไร

รายละเอียด

อันนี้ปัญหาใหญ่มาก ติดขนมมาก จะเลิกได้ไหม เอาอย่างนี้ ต้องพยายามศึกษาดีๆ เรียกว่าขนมนี่ มันเป็นภัยต่อร่างกาย ขนม มันจะมีน้ำตาลมาก กินน้ำตาลทรายมากๆนี้ไม่ได้เลยนะ มันจะเป็นพิษเป็นภัย น้ำตาล เป็นพลังงานก็จริง ต้องใช้พอสมควร เพราะฉะนั้นคนเป็นโรคอย่างที่เรียกว่าโรคเบาหวาน น้ำตาลมันเยอะจนกระทั่งเก็บไม่อยู่ ก็ต้องออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะเท่าไหร่มีรสหวาน เพราะว่าน้ำตาลมันเก็บไว้ไม่ไหวแล้ว ก็เกิดเป็นพิษภัยมากเกิน พลังงานมันมากเกินก็แย่ร่างกาย 

อันนี้เป็นโรคภัยที่คงได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดนะว่าเป็นโรคเบาหวาน แต่ก่อนนี้ไม่มีทางรักษานะเป็นโรคเบาหวานจนตาย มีโรคข้างเคียงเกิดจากเบาหวานอีกเยอะแยะก็ไม่ดี เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่ามากินขนมนี้ คือเอาน้ำตาลเอาของหวานมาใส่ร่างกายมากเกินไป ผู้ใหญ่เขาจะระมัดระวังมากเลยเรื่องน้ำตาล เขารู้แล้วมีปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 28 วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2564 ( 21:18:15 )

ติดชิพรับเชื้อปัญญาแล้วต้องทำตาม

รายละเอียด

พวกเราหลายคนหลวงปู่ว่าได้รับเชื้อติดชิพไปแล้ว แต่เชื้ออ่อนๆก็ไปหลงโลกีย์เขาอยู่บ้าง พยายาม อย่างน้อยพวกเราได้ยินได้ฟัง เป็นปัญญาข้อที่ 1 ต้องขวนขวายให้เป็นปัญญาข้อที่ 2 พยายามเรียนรู้เพิ่มเติมทุกอย่าง ตามข้อที่ 2 ไม่เช่นนั้นไม่ได้ปัญญาเพิ่มขึ้น จะมีปัญญาเพิ่มขึ้นต้องทำตามพระพุทธเจ้าสอน เป็นปัญญา 8 ข้อ

ข้อที่ 3 เมื่อได้ไปแล้วจะรู้สึกว่าเรามีความสงบ ถ้าผู้ใดได้ปัญญาไป จะเกิดความสงบสองอย่าง สงบกายสงบจิต

ข้อที่ 4 ต้องพยายามศึกษาฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยหลักของศีล ให้เกิดสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุติญาณทัสนะ ปฏิบัติศีลให้มีผลมีอานิสงส์ก็เกิด อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติได้จริงๆ

เมื่อเกิดศีลเกิดผลสมาธิปัญญาวิมุติแล้วก็สั่งสมลง เป็นปัญญาเจริญขึ้นๆเป็นข้อที่ 5 

ข้อที่  5 เป็นพหูสูต เป็นผู้ที่มีความจริง สูตะ ของพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของ สตะ เป็นผู้รู้สตะ เป็นผู้รู้แจ้งรู้จบในความเป็น สตะ 

ปัญญาข้อที่ 6 ก็เป็นตัวใช้ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติศีล สั่งสมเป็นพหูสูต แล้วก็สั่งสมตกผลึก ซ้อนอยู่ในปัญญาของมนุษย์

ปัญญาข้อที่ 7 ผู้ที่ได้แล้วก็ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็อยู่กับหมู่กลุ่ม ผู้ที่เจริญสูงสุดแล้ว เจริญมีปัญญาตัวฉลาดจริงๆจะอยู่กับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี หรือหมู่บัณฑิต อย่าไปอยู่กับหมู่คนพาล มิตรร้าย สหายร้ายไม่ใช่ อันนั้นมันเป็นความชี้ชัดเป็นการบ่งบอกตัดสินแล้วว่าคนนี้มีปัญญา

นี่ก็พูดความจริงนะไม่ได้ทำเป็นใช้วาทกรรม ใช้ภาษาความหมายต่างๆมาพูดพ่นเพื่อครอบงำทางความคิดของเราไม่ใช่ แต่พูดความจริงทั้งนั้น ใครจะเข้าใจใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็มีสิทธิ์มีอิสรเสรีภาพแต่ละคน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 17:30:09 )

ติดตามพ่อครูดีๆก็แล้วกัน

รายละเอียด

อาตมาจะทำจะพิสูจน์ความจริงไป คุณติดตามอาตมาดีๆก็แล้วกัน อาตมาก็พยายามลากสังขาร ฝืนสังขาร เกินขันธ์ที่อาตมาจะตายมาหลายสิบปีแล้ว จะพยายามไปอีกแค่ได้อีก หลายๆ เรียกว่า เอาชนะวาสนาเดิมก็ได้ เอาชนะกำหนดขันธ์ เอาชนะอายุขัยของตนเอง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้วว่า เราจะอยู่เกินกว่ากัปป์ก็ได้ ก็พิสูจน์ความจริงอยู่ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่มีปัญหา อาตมาพิสูจน์จริง 

ที่สุดไปจนกระทั่งว่าทุกวันนี้คนก็เข้าใจว่าอายุเกินร้อยก็ยากแล้ว ยุคนี้ คนอายุ 100 ถือว่าเป็นคนอายุยืนแล้ว เกินร้อยไปยิ่งอายุยืนยาว เกินไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยืนยาวเท่านั้น อาตมาจะอยู่ให้เกินร้อย ทั้งๆที่ก็พูดไปแล้ว อาตมาอายุ 72 ก็จะไปแล้ว แต่ก็พยายามฝืน พยายามที่จะเอาชนะอายุขัย ผ่านมาได้ตอนนี้ 88 ปี 3 เดือน 7 วัน ก็จะไปต่อ…ลองดู 

โดย พลังงานเท่าที่ตัวเองมีอยู่นี้ อาตมาว่าพลังงานยังสังเคราะห์ สังขาร อวัยวะร่างกายต่างๆยังไปได้ ยังไม่มีส่วนไหนที่จะแย่เกิน นอกจากหลอดคอที่มันมีกระเปาะ มีเหตุปัจจัยที่ร้ายแรง ที่สร้างเสลดกวนร้ายกาจอยู่นี่ ก็ทำให้เกิดอาการขัดข้อง ไอ อย่างที่เห็นนี่แหละ มันก็สร้างเสลดขึ้นมา มันก็ตายได้เหมือนกัน ตายเพราะเสลดอุดตัน จนหายใจไม่ออกก็ตายได้ แต่ก็พยายามอยู่นี่ใครๆก็ช่วย หมอที่พยายามช่วยอยู่ก็ช่วยกัน ซึ่งก็ตรงกัน อาตมายังอยากจะอยู่ คนอื่นก็ไม่อยากให้ตายแล้วก็ทำงานไปได้ เพราะอย่างอื่นก็ไม่ขัดข้องเท่าไหร่ จะเมื่อยจะเพลียไปตามวัยอายุมากขึ้น เมื่อยเร็วบ้าง กำลังวังชาก็ไม่เหมือนหนุ่มๆ ก็ไม่เป็นไรก็พักผ่อนเอา ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปทำอย่างอื่นมากเท่าไหร่ เพียงแต่รักษาขันธ์ ออกกำลังกายให้มันมีการกระเตื้องสมดุล อย่าให้มันย่อหย่อน อะไรเกินไป มันก็พอเป็นไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 54 ผู้เป็นกลางคือผู้วางกามกับอัตตา วันจันทร์ที่ 12 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 ธันวาคม 2565 ( 14:21:14 )

ติดตามเนื้อหาสาระธรรมให้ดีนี่คือการขยายความสัจธรรม 

รายละเอียด

ดีที่มหาบัวตายไปไม่ถึง 100 ถ้าอยู่ไปถึง 100 เหมือนหลวงปู่แสงหรือเกินกว่าหลวงปู่แสง ไม่แน่จะประทุออกมา อย่างหนึ่งก็ได้ ขออภัยที่อาตมาพูดธรรมะชัดเจน บอกสาระเรื่องราวรูปเรื่องอะไรต่างๆ มันเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนหมด ไม่ได้ตั้งใจจะมาถล่มทลาย มาพูดให้มันดูหยาบคายอะไร แต่พูดถึงสัจธรรมสู่ฟัง 

เพราะฉะนั้นติดตามเนื้อหาสาระธรรมให้ดี อาตมาพูดบอกแล้วอีกที อาตมาไม่ได้เกลียดชังมหาบัว ไม่ได้เกลียดชังผู้ใดๆที่เขาทำผิด ยิ่งสงสาร เขาทำผิด มหาบัวก็ดี หลวงปู่แสงก็ดี องค์อื่นๆสายหลับตาก็ดี แม้แต่สายปัญญา อย่างมหาประยุทธ์ พระบ้านก็ตามที่ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่สัมมาทิฏฐิยังไม่บรรลุผล น่าสงสาร 

อาตมาอยากให้บรรลุเยอะๆ โดยเฉพาะคนไทยโดยเฉพาะผู้มีชื่อเสียงที่เป็นที่น่านับถือ มันมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ถ้าบรรลุจริงก็มีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ แต่ถ้าไม่บรรลุจริง ไปเข้าใจสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูก แล้วเอาสิ่งผิดนั้นมาขยายความว่าถูก มันก็ผิดไปหลายชั้น มันก็แย่กัน ศาสนาก็แย่ ตัวเองก็มีวิบากซับซ้อน ฟังดีๆที่อาตมาขยายความสัจธรรม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์แม้เป็นอัลไซเมอร์ก็ไม่มีพฤติกรรมกามเมถุน วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 05:17:08 )

ติดภพที่มืดหรือติดภพสว่างใส

รายละเอียด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 09:55:32 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:32 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:16:54 )

ติดภพสัมโภคกาย

รายละเอียด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 03 มิถุนายน 2563 ( 09:50:58 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:16:53 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:42:49 )

ติดยึด จะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ

รายละเอียด

สรุปลงที่สภาพ 2 เมื่อคุณยังมีจิตนิยาม คุณยังมีจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นคนมีจิตวิญญาณจึงมีธาตุรู้ที่รู้สภาพ 2 ถ้ายังไม่เข้าใจ คุณจะไปมากเรื่องติดยึด ไปหลงโลกโลกียะที่มันต้องมีใหญ่ๆ มีมากๆ มีอะไรต่ออะไรเป็นก้อนใหญ่ไป โอย.. คุณยังจะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ แล้วก็จะแย่งชิง มีกรรมวิบากอยู่ ต้องทุกข์ต้องสุข ต้องสุขต้องทุกข์อยู่ นานนนนนนนน จนหมดลมหายใจ นาน คุณลากเสียงไปเถอะ นานจนมันไม่มีอะไรจะเอามาวัดได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 12:23:45 )

ติดยึดแปลว่าอะไร

รายละเอียด

ติดยึด คือติดใจ ชอบ ไม่ยอมเลิกทางจิตใจง่ายๆ เช่น ติดขนมหวาน ก็ไม่ยอมเลิกกินขนมหวานง่ายๆ ถ้าเราไม่ได้ติดยึดขนมหวาน มีก็กินไม่มีก็แล้วไปไม่ได้ติดยึด

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:05:31 )

ติดยึดโดยที่เขาไม่รู้ตัว

รายละเอียด

ทำไมจะไม่ทราบได้ ก็เพราะว่าเขาติด เท่าที่เห็นอย่างมหาบัวกินหมากไม่ขาดปาก ก็เขาติดเขายึด โดยที่เขาไม่รู้เขาโง่งมงาย ก็ดูมันง่ายๆ เป็นเรื่องพื้นๆ แต่เป็นเรื่องลึก อย่างมหาบัวเป็นเรื่องลึกสำหรับเขาจนตายไป คนก็ยังหลงว่าเป็นอรหันต์ แล้วก็เชื่อถือกันอยู่ ก็ศึกษาไป เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คนเราจะไปบังคับความเชื่อความถือกันไม่ได้หรอก มันก็ต้องดูไป ปฏิบัติกันไปพิสูจน์กันไป ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:50:11 )

ติดรูปรส กลิ่น เสียง สัมผัส

รายละเอียด

ก็ถ้ารู้แล้ว  เพราะมันติดเนื้อสัตว์ มันติดในรูปรส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหมดนั่นแหละ ยิ่งทุกวันนี้ปรุงแต่งสารพัดเนื้อสัตว์อย่างนั้นอย่างนี้ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีวิธีการปรุงสารพัด ยังไม่พอยังใส่ผงชูรสอีก เนื้อสัตว์ยังไม่พอ ใส่พริก ชูรส ไม่พอ ก็ใส่มะนาว ไม่พอก็ใส่น้ำตาล ไม่พอใส่ขี้เพี้ย ใส่ขี้ด้วย อ้าว ลาบของอีสานใส่ขี้ด้วย ขี้ควาย ขี้อ่อน ขี้เพี้ย มันมีรสขม อาตมาก็เคยถูกหลอกให้กินมา ไม่รู้ประสีประสา เดี๋ยวนี้รู้ดีหมดแล้วไม่กินหรอก คนนี้เขียนมาอย่างนั้นก็จริง อาตมายังไม่ตายง่ายๆหรอก หนังเหนียวพอได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มาฝังชิปโลกุตระใส่จิตวิญญาณตนจนเป็นอรหันต์ วันพุธที่ 7 ธันวาคม 2565 วันขึ้น 14 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 ธันวาคม 2565 ( 12:24:45 )

ติดลาภยศสรรเสริญสุขหรือไม่

รายละเอียด

ก็ต้องยืนยันว่าลาภยศสรรเสริญคืออะไร ลาภ สิ่งที่ได้มาแล้วยังสุขทุกข์ ดีอกดีใจไม่ดีอกดีใจ เสื่อมไปเสียไปก็เสียใจ ได้มาก็ดีใจอะไรต่างๆนานา ลาภก็ตามยศก็ตามสรรเสริญก็ตามสุขก็ตาม ยังติดยังอยู่กับตัวท่านมันก็ยืนยันความจริงผู้ที่ไม่ติดในลาภยศสรรเสริญสุขแล้ว ในรูปธรรมก็พอดูได้ว่า เป็นผู้ที่ไม่แสวงหาลาภไม่พูดให้ได้ลาภยศสรรเสริญ ไม่มี พยัญชนะบอกเช่นนั้นแต่พฤติกรรมชีวิตที่ท่านเป็นอยู่มีไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของวรรณะ 9 วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:28:17 )

ติดสัด

รายละเอียด

ดวงวิญญาณจะเอาจากไหนมาเกิดขึ้นอย่าไปคิดเลย เริ่มต้นเป็นสัตว์เรียกว่าเป็นจิตนิยาม จะไม่จบไม่ตายไม่หมดอัตภาพง่ายๆมันจะสั่งสมวิบากวนเวียน ก็จะเป็นเดรัจฉาน หมุนเวียนขึ้นมาแล้วจะมีคู่วิบากกัดกันรักกัน แล้วก็จะมีการติดยึด จะติดอะไร ภาษาศัพท์ไทยเรียกชัดเจนว่า ติดสัด ติด กับ พยาบาท เรียกว่าติดสัดนี่แหละ มันจะติดเรื่องสมสู่ แล้วก็ต่อเผ่าพันธุ์ แล้วยึดถือลูกยึดถือตระกูลของตัวเองอีกมากมาย คุณอย่าไปนับเลยว่าเอามาจากไหน มันอยู่ในสิ่งที่ว่าง จิตวิญญาณมันไม่กินเนื้อที่ คุณจะไปนับมันทำไมว่ามาจากไหน จะมาจากไหนไม่รู้มาจากไหนก็ช่างหัวมัน คนมาเรียนรู้จิตวิญญาณของคุณนี่แหละไม่สำคัญ พระพุทธเจ้าสอนอย่าไปทำนาคนอื่น ให้ทำนาตนเอง ทำนาตนเองแล้วก็จบ นาของคนอื่นก็ของคนอื่นอย่าไปวุ่นวายกับนาของคนอื่น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 08:54:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 17:30:04 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:17:28 )

ติดหมากพลู

รายละเอียด

ติดหมากพลู  คือ เป็นกามเป็นของเสพติด ก็ไม่รู้ จึงไกลจากวิเวก 3 สุดกู่

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 23 กันยายน 2562 ( 07:56:04 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 03:42:35 )

ติดอบายมุขหยาบไม่ใช่อรหันต์

รายละเอียด

แต่นี่ไม่ได้ทำตามลำดับ เลยเอาแต่ในใจแต่ตัวเองก็ยังติดมากกินหมากอยู่ ไม่รู้ความติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเหล่านี้ แล้วก็บอกว่าไม่ใช่กิเลส แล้วคนก็บอกว่านี่คือพระอรหันต์ ตื้นแค่อบายมุขหยาบสิ่งเสพติดก็ยังไม่รู้ (ท่านว่าไม่ขวางกั้นนิพพานได้) พวกนี้ไม่ได้ใกล้จากวิเวกเลย มันไม่ได้ขวางหรอก แต่คนละแควเลย คนละทิศทางเลย เส้นทางนิพพานไปทาง 1อันนั้นมันเส้นทางไปนรก แล้วก็ไปหลงใหลได้ปลื้มว่าเป็นพระอรหันต์ศาสนาพุทธได้เสื่อมหนัก ในความรู้โลกุตระของพระพุทธเจ้า ติดสิ่งเสพติดง่ายๆอย่างนี้ แล้วไปหลับตาปฏิบัติอีก ไปปฏิบัติให้ตายยังไงก็ไม่มีทางบรรลุศาสนาพุทธ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 10:29:31 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 03:51:29 )

ติดอัตตาไม่มีปัญญาปล่อยวาง

รายละเอียด

พวกที่ติดอยู่กับอัตตาไม่มีปัญญาปล่อยวางก็เลยมีอยู่ ปัญญานั้นไม่มีประสิทธิภาพสามารถปรับปล่อยวางเลิกสูญได้ แต่ความเป็นปัญญาของเขาไม่เกิด พลังงานชนิดที่เป็นพลังงานปัญญามันไม่เกิดมันก็ไม่มีประสิทธิภาพ มาสลายหรือวางปล่อยมันไม่มี นอกจากไม่มีปัญญาแล้วยังหลงสร้างภพชาติใหม่ใส่จิตแล้วสร้างอย่างอาจารย์มั่น ที่จริงมีเยอะกว่าที่เอามาอ่านให้ฟังนะ มีเทวดาชนิดนั้นชนิดนี้ หรือแม้แต่เป็นพญายมอย่างที่เอามาอ่านให้ฟัง คุณเองตามพยายมอย่างนั้นได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ คนอื่นร่วมด้วยไม่ได้ แต่คนที่มีสัมโภคกาย สนุกสนานปั้นตัวตนมาก็ว่าใช่ แต่ต่างคนต่างนิมาณกายเนรมิตของตนเองทั้งนั้น แต่พูดกันรู้ เช่นธรรมกาย บอกว่าใสๆๆๆ ก็บอกกันว่าใช่ๆๆๆ แล้วบอกว่าตรงกันหมด แต่สัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายด้วยกันไม่ได้ เพราะไม่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง ความเป็นตัวตน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29มกราคม 2563


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:02:20 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 03:58:01 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:19:05 )

ติดอัตวาทุปาทานเป็นไฉน

รายละเอียด

ติดอัตวาทุปาทาน คนที่ติดอัตวาทุปาทานยังไกล ผู้ที่ติดอยู่ในอัตตวาทุปาทานมีอีกเยอะไม่รู้หลักเกณฑ์ที่จะมีศีลเอาไปปฏิบัติยังไม่มี ขออภัยพูดชัดๆสายเปรียญ 9 เป็นพยัญชนะวาทะทั้งนั้น ติดกันเป็นกระบุงโกยทั้งนั้น นึกว่าเก่งนึกว่ารู้ แล้วเอามาหากินได้เพราะรับรองว่าเป็นผู้รู้ รู้อะไรรู้พยัญชนะเป็นราชบัณฑิตกันเยอะ ได้เงินเดือนกินไป นานๆทีก็ประชุมกันที มันก็เป็นตัวอย่างให้ศึกษาขออภัยที่เอาทุกอย่างมาพูด ให้เป็นวิชาการให้รู้ว่าเป็นสาระอะไรบ้างมันได้ประโยชน์จะคุ้มกันไหม เงินเดือนได้ไปแล้วทำงานคุ้มเงินเดือนไหม น่าจะรู้ควรจะปรับให้เข้าเรื่อง ถ้าคุ้มมันก็ดี ราชบัณฑิตก็ทำงานคุ้มไหม ยกย่องกันสูงส่งนะ เงินเดือนเท่าไหร่อาตมาไม่รู้หรอก 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:44:09 )

ติดเครื่องประดับอยากจะตัดทำอย่างไร

รายละเอียด

ภาษา พระพุทธเจ้าตอนจบที่ว่ามันไม่เที่ยงมันเป็นเหตุแห่งทุกข์มันไม่ใช่ตัวตน ไปติดมันก็ทุกข์ไปอีกหลายชาติ ทิ้งเดี๋ยวนี้ก็หายทุกข์เดี๋ยวนี้ ต้องพิจารณาว่าจะต้องไปติดยึดมันทำไมมันเป็นเราเป็นของเรา ไปอีกนานเท่าไหร่ ปล่อยไปเถอะ สังคมสาธารณโภคีไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลย เครื่องประดับนี้มันหนักกว่าเงินเพราะมันจะยิ่งชั้นสูงมากขึ้นเรื่อยๆจะยิ่งแพงมากขึ้นด้วยเรื่อย มันหนักกว่าแบงค์ คนรักมันจนตายก็ไม่มีทางแก้ไขได้เสร็จ ยึดมั่นถือมั่น ก็รู้ตัวเองหมดทุกอย่างแล้วจะให้ทำอย่างไร ถามลึกไปมากกว่านั้น คุณสะสมไปนี่ตายแล้วจะทำอย่างไร ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอกไม่ต้องสงสารเขาหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงเขามากหรอก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2564 ( 11:56:00 )

ติดเค็มติดเผ็ดเป็นอุปาทานหรือไม่

รายละเอียด

แน่นอนติดยึดอุปาทาน ก็เห็นให้ได้ว่าตัวเองมันโง่ ไปยึดติดมันทำไม จริงๆแล้วมันมีโทษภัย ไปยึดจัด กิเลสเราก็จัดจ้านแล้วร่างกายเรารับรสเผ็ดจัดเค็มจัดมันก็เป็นโทษเป็นภัยไม่ใช่เรื่องดีอะไร ให้เห็นโทษเห็นภัยของมัน ถ้าเราพิจารณาลงไปว่าไม่ต้องเค็มมากพอดีพอดี หรือจะชัดๆก็คือเขาจะปรุงมาแบบจืดบ้างไม่ถึงกับพอดีเลยก็ช่างเถอะ มันก็พอได้ ถ้าเราไม่ขาดเกลือไม่ขาดธาตุพวกนี้ก็กินเข้าไป ถ้าเราขาดธาตุเกลือก็ขอเค็มหน่อย หรือเผ็ดนี่ อาตมาว่า ธาตุความเผ็ดจะขาดได้หรือไม่ได้อย่างไร ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่ได้กินเผ็ดมานานเต็มที ก็ไม่เห็นว่าสรีระร่างกายจะเป็นโรคภัยเพราะไม่ได้กินเผ็ด ก็ไม่นะ ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าความเผ็ดหรือที่มันเกิดจากความเผ็ดอย่างอื่นจากพริกก็แล้วแต่ พริกเป็นความเผ็ดเต็มรูป ส่วนอันอื่นก็มีความเผ็ดบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่มันก็ไม่รู้ว่าเผ็ดจะทำให้สรีระร่างกายขาดอะไรหรือเปล่า อาตมาไม่กินเผ็ดมาเป็น 10 กว่าปีแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร เราก็พิจารณาเห็นอย่างนี้ว่า มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอารสเผ็ดรสอะไร จนต้องติดได้รสเผ็ดหรือเค็มอะไร ปัญญามันจะเกิด

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 09:08:56 )

ติดแป้น

รายละเอียด

หากตัวเองเหมาะสมระดับไหนก็ทำไป แต่ถ้าติดแป้นไม่ไปไหนเลย คนติดแป้น พระพุทธเจ้าท่านยกตัวอย่างเป็นสำคัญที่สุดก็คือ นางวิสาขา เป็นโสดาบัน วัฏฏภิรตโสดาบัน เป็นพระโสดาบันที่ติดความสบาย ป่านนี้ยังไม่รู้จะโผล่เลย ต้องใช้วิบากอีกเยอะ เพราะเขารวย ขนาดคนใช้ของปู่นางวิสาขานี่ ก็เป็นเศรษฐีระดับ 6 ของคนในยุคนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 12 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 09:48:37 )

ติดในถ้ำคือหมากพลูแม้กามเบื้องต้นก็ไม่รู้

รายละเอียด

ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย ที่ทำไม่ได้เพราะกามอันเป็นเบื้องต้นไม่รู้ ไม่รู้จนกระทั่งติดหนักขนาดแต่ก็หลงตนเองว่าเป็นพระอรหันต์ อย่างเช่นมหาบัว ไม่รู้กาม อาจจะเข้าใจว่าเรื่องของกามคือเรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น ก็เลยรักษาเรื่องผู้หญิงผู้ชายให้ดีรอบตัว แต่กาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย กามคุณ 5 กิเลสที่ติดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ไปติดเรื่องผู้หญิง แต่ไปติดเรื่อง  รส สัมผัส โผฏฐัพพะก็ติด ติดไม่ขาดปากไปติดเอาเฉพาะหมากพลู ไม่รู้ตอนตายเขาเอาใส่โลงไปให้ด้วยหรือเปล่า (มีโยมว่าใส่) ก็น่าสงสาร มหาบัวกามแค่นี้ก็ไม่รู้จัก แล้วสายนี้ติดทั้งนั้น ติดในถ้ำคือหมากพลู แล้วก็ส่งเสริมกันว่าเป็นอรหันต์ ยังจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อีก

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 กรกฎาคม 2564 ( 18:58:30 )

ติดในสรรเสริญสุขจนไม่กล้าปล่อยวาง

รายละเอียด

พระเถระอยู่ในเถรสมาคมบางคนก็รู้สึกว่าไม่จมอยู่ใน ลาภ ยศ แต่ไม่รู้ตัวว่าตนติดในสรรเสริญ จริงไม่ติดในสุขหยาบ แต่ติดสุขที่เนียนกับความสงบ เขาสรรเสริญยกย่องเชิดชูเป็นเลิศเป็นยอดเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้อันดับ 1 ของประเทศ ชื่นชม คนประเคนรางวัลยกย่องอย่างโน้นอย่างนี้ขึ้นบอร์ด แม้ต่างประเทศก็ให้รางวัล มันเนียนในมาก สุขสงบมาก เพราะเข้าใจอยู่ว่าอาการของจิต ดีดดิ้นมาก แต่เนียน ไปยึดมั่นถือมั่นในสุข ไม่เคยกล้าปล่อยวางไม่เคยกล้าเลิกเรื่องนี้เลย

เพราะฉะนั้นก็จะจมอยู่ในความสุขที่เนียนในสรรเสริญ จึงอาจจะเห็นว่าองค์นี้ไม่ติดในลาภยศ แต่ก็ซ้อนอยู่ ยศก็ไม่ปล่อย เพราะเชิดชูกันสรรเสริญเนียนใน ไม่ได้ขาดจากสิ่งเหล่านี้ ลองมาสมบุกสมบันคือไม่มีสรรเสริญแต่ถูกด่าสิจะทนได้ไหม ไม่กล้าถูกด่าหรอก อาตมานี้พยายามด่า พยายามตำหนิท่าน ภาษาอันเดียวกันด่าหรือตำหนิ พูดให้สุภาพก็เป็นตำหนิพูดให้

อยาบก็คือด่า ตำหนิบอกสิ่งที่ท่านยึดถือผิดหลงผิด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2564 ( 12:41:00 )

ติผู้ควรติ ชมผู้ควรชม

รายละเอียด

บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม 4ประการ  เป็นบัณฑิตเฉียบแหลม  เป็นสัตบุรุษ   ย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ  เป็นผู้หาโทษมิได้  ทั้งนักปราชญ์ไม่ติเตียนและย่อมประสบบุญเป็นอันมาก   ธรรม 4ประการ เป็นไฉน คือ... 

1.ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว  กล่าวติเตียนผู้ที่ควร ติเตียน  (นิคคัณเห นิคคหารหัง

2.ใคร่ครวญสืบสวนรอบคอบแล้ว  กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ (ปัคคัณเห ปัคคหารหัง)

3.ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส

4.ใคร่ครวญ สืบสวนรอบคอบแล้ว  ยังความเลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ควรเลื่อมใส 

ที่มา ที่ไป

ขตสูตร  พระไตรปิฎก  เล่มที่ 13 ข้อที่ 3

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2562 ( 20:32:02 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 12:34:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:19:59 )

ติรัจฉานโยนิ

รายละเอียด

1. เดรัจฉานในร่างของคน 

2. ผู้ที่โง่เง่า , ผู้ที่หลงผิดในความฉลาด 

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 415 , 433

 


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:57:36 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:40:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:42:25 )

ติสรณะคมนังนิฐิตัง แปลว่าอะไร

รายละเอียด

ติสรณะคือ สรณะ 3 พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คมนังคือ เคารพ เราไหว้เสร็จก็บอกเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม ร้อยมาลัยพระอภิธรรมตามแบบพ่อครู วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2564 ( 17:20:14 )

ติสิ่งที่ควรติ ชมสิ่งที่ควรชม

รายละเอียด

คือให้แต่ละคนตัดสินเองว่าอะไรเป็น ธรรมวาที อะไรเป็น อธรรมวาที เหตุที่เขาไม่ติใคร นั้นคือ

1.ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเขาไม่มีปัญญารู้ว่าอันนี้ถูก อันนี้ผิด เขาก็รู้ว่าอันนี้แหละถูกแล้วเขาก็ยึดของเขา เขาไม่รู้อีกอันหนึ่งว่าถูกหรือผิด เขาก็ติไม่ได้

2.เพราะไม่กล้า ซึ่งเขาพอรู้อยู่ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด แต่เพราะกลัวเขาโกรธ ซึ่งโกรธเพราะเขาเสียลาภยศสรรเสริญ เราก็กลัวถูกว่า เราจะต้องเป็นคนที่ไม่มีใครว่า ต้องรักษามาดไว้ รักอัตตาตัวเอง โดยไปเข้าใจว่าอย่าไปว่าใคร

3.เพราะเป็นพวกเดียวกัน,เป็นอย่างเดียวกัน, เชื่ออย่างเดียวกัน, เห็นอย่างเดียวกัน แล้วจะไปว่าได้อย่างไรกัน 

4.เพราะรู้ว่ายังไม่สมควรจะติ ซึ่งเป็นคุณธรรมของผู้นั้น จะด้วยยังไม่มีข้อมูลหรืออะไรก็แล้วแต่   ถ้าจะติก็ต้องติด้วยศีล ติด้วยเมตตา พวกนี้สูงกว่าคนที่ไม่กล้าตำหนิ อันนี้ปราชญ์ไม่ตำหนิ(อนวัชชะ)

5.ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าให้ นิคคัณเหนิคหารหัง ปัคคัณเหปัคคาหารหัง (ตำหนิสิ่งที่ควรตำหนิ สรรเสริญในสิ่งที่ควรสรรเสริญ) หรือเผลอไป แม้เคยรู้มา แต่ว่าลืมไป เผลอไป และที่เขาว่าพ่อครูว่าไปติเขาทำไม่ ซึ่งเขาก็กำลังตำหนิอยู่นั่นเอง

ที่มา ที่ไป

560503


เวลาบันทึก 29 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:21:18 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:13:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:20:54 )

ติโรภาวะ

รายละเอียด

ทำให้หายไปก็ได้ หรือทำที่แจ้งให้เป็นที่กำบัง

หนังสืออ้างอิง

จากหนังสือทางเอก ภาค 3 หน้า 103


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:58:09 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:41:21 )

ติโลกะนาถัง อภิปูชะยามิ หมายถึงอะไร

รายละเอียด

คือการบูชาผู้ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ยิ่งใหญ่คือผู้ที่เป็นที่พึ่งของสามโลก ผู้ที่เป็นที่พึ่งของสามโลกคือใครรู้ไหม …พระพุทธเจ้าที่รู้จักโลกทั้ง 3 คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก แล้วให้เลิกวนในสามโลก แล้วก็หมดรสชาติ กลางๆเฉยๆ รู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นคำบูชายกย่องพระพุทธเจ้าที่รู้จักโลกทั้ง 3 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 11:20:32 )

ตี God คือตีเทวนิยมในพุทธ

รายละเอียด

คำว่า ศาสนา God เป็นเทวนิยม อาตมาก็ต้องตีพุทธที่เป็นเทวนิยม แต่มันมีนัยยะซับซ้อน เทวนิยมทั่วไป คือเป็นสายศรัทธา สายเจโต ไม่มีปัญญา อาตมาก็ต้องเติมปัญญาให้ ต้องทำอย่างนั้นอาตมาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะฉะนั้นคุณจะไปมองกว้างมากไป ก็เลยเหมือนกับอาตมาไปตีเทวนิยมหรือศาสนาที่เป็น God

อาตมาตีเทวนิยมในพุทธ เราชัดแต่เขายังไม่ตื่นกันเท่าไหร่เลย ว่าตกเป็นทาสเทวะอยู่ ก็ไม่รู้ตัว แต่ศาสนาพุทธนั้นรู้แจ้งความเป็นเทวะ แล้วสุดท้ายก็เลิกเทวะหมดเลย อาตมาก็พูดจนสิ้นหมดแล้ว 

จนเข้าใจว่า เทวะคืออย่างหนึ่งที่คนติดยึดเป็นภพชาติ เช่น เทวดา 6 ชั้น หรือพรหม 20 ช้ัน ก็กลายเป็นนิรมาณกายไป เป็นเทวดาคือสกปรกระดับหนึ่งแล้ว สกปรกในเรื่องภพชาติ แล้วเอาไปใส่พระพรหมอีก 20 ชั้น อาตมาก็ต้องพยายามแก้ไขสิ่งที่ยังมีภพมีชาติพวกนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 34 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 21:14:23 )

ตีกรอบความพอ แล้วก็อยู่ได้อย่างดี

รายละเอียด

จะเอากรอบไหน เราสามารถรวยได้ถึง 100 ล้าน เราไม่เอา เอาแค่ 10 ล้าน เราสามารถเป็นคนจนลงได้ ถ้าเราทำมากได้เกิน 10 ล้าน เรากระจายแจกจ่ายอย่างไม่หวงแหน ให้ฟรีได้ หรือไม่ให้ฟรีก็ลดลงไป ไม่ใช่ไปเอาดอกเอาผลประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก 

มีกรอบไปตามลำดับ สมรรถนะเราทำได้ถึง 1 ล้าน เกิน 1 ล้านเราก็กระจายได้ สมรรถนะเราทำได้ถึง 1 ล้านหรือ 5 ล้าน แต่ถ้าเกิน 1 ล้าน เราก็มีใจพอ ตีกรอบความพอ แล้วก็อยู่ได้ไหม อยู่ได้ ล้านหนึ่งก็เหลือแหล่แล้ว 

คนอยู่ได้แค่ 5 แสน เดือนละ 5 แสนบาท โอ้โห เกินนี้เหลือแหล่แล้ว ก็สะพัดให้ผู้อื่นออกไป แบ่งแจกจ่ายเลย ลดลงมา นี่คือการทำให้เศรษฐกิจเจริญ ทำให้คนก็เจริญ สังคมก็เจริญ สมรรถนะความสามารถ มีมากเกินกว่า ที่เราเอาไว้ใช้ 

1. เราสะสม กำหนดไว้มีของตน 2.เราทำการสะพัดออก นี่เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ทั้งนั้น และคนจะต้องเจริญแบบนี้ 

ถ้าไปบอกว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการจะให้คนรวย ทุกคนจะรวยมีแต่รวยพร้อมๆกันอย่างมั่งคั่งสมบูรณ์ รวยกันทั้งนั้น ไอ้หวังตายแน่ ตายแน่ไอ้หวัง ไม่มีหวังหรอก มันขี้โม้แหลก มันเป็นโทษสมบัติทั้งสิ้น 

แต่ทำให้คนจนได้นี่ วิเศษด้วย ประเสริฐด้วย แล้วเจริญจริงด้วย เจริญคืออะไร ไม่ทำความชั่ว เจริญคือ หมดสุขหมดทุกข์ที่จะไปแย่งให้มันได้มากแล้วเป็นสุข แต่มีน้อยก็สุข ไม่มีเลยยังสุขเลย สรุปลงไป นี่คือสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เอามาประกาศ ให้ศึกษาเป็นโลกุตรธรรม 

ในเมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดินทรงมีพระปัญญาธิคุณ รู้เรื่องนี้ดี แต่ท่านก็ทำเท่าที่กรอบขอบเขตของท่าน ท่านก็รู้ท่านก็ทำเท่าที่ท่านทำได้ แต่อาตมาพาทำได้สำเร็จจนกระทั่งเป็นรูปธรรม สำเร็จถึงขั้นเป็นวัฒนธรรม เป็นพฤติกรรมที่มีจริง เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนมีสาราณียธรรม 6 ยืนยันตามสัจจะ 

จึงเป็นเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ ซึ่งมันคล้ายกัน เศรษฐศาสตร์เป็นลักษณะของความรู้ รัฐศาสตร์คือลักษณะของการให้เรียนรู้และบริหาร แล้วก็ทำให้เกิดคุณภาพของเศรษฐศาสตร์อันนี้เศรษฐกิจอันนี้ พวกคุณก็เรียนรู้ง่าย สุโปสะ ศึกษาง่าย ปฏิบัติตนง่ายบริหารให้มันเกิดสังคม มีพฤติกรรมอย่างนี้ขึ้นได้ง่าย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 10:42:53 )

ตีตรา สามารถใช้ในทางที่สัมมาทิฏฐิได้หรือไม่

รายละเอียด

ได้ เป็นสัจจะที่เป็นอย่างเดียว ไม่ต้องดิ้นเลย ก็ตีตราตรงที่เป็นอรหันต์ตรงกันหมดอย่างเดียว แต่ถ้าไปแยกกันอยู่เลอะเทอะกันอยู่ จะไปตีตรากันได้อย่างไร แล้วไม่ยอมกันด้วยพวกนี้มีกิเลสอัตตามานะ แสตมป์กันคนละชาติ

คำที่พูดกันนี้มันก็ไม่มีลงตัว แย้งกันได้หมด จะพูดกันไปพูดเรื่องจบเรื่องเป็นอรหันต์ได้อย่างเดียวที่จะไม่ต้องต่อ นอกนั้นต่อกันได้หมด ขยายความด้วยลิ้นคารมพลิกแพลง ผู้ที่มีปฏิภาณมากก็ยิ่งไปได้เยอะแยะ แล้วตัวเองก็เมาไม่รู้จักจบรวมที่ลงไม่ได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อรหันต์ตีตราด้วยปัญญา 8 ประการ วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2564 ( 12:03:58 )

ตีตรา แบบมิจฉาทิฏฐิมีผลอย่างไร

รายละเอียด

ตีตรา เป็นเรื่องของมิจฉาทิฏฐิของผู้ที่อวิชชา เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีความรู้ มีความเข้าใจผิดในอภิธรรม ในปรมัตถ์ ในสิ่งที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็เลย ถูกสาป ถูกอสัจธรรมครอบงำเอา 

ตาแตก ตาบอด ตามืด ตาเพี้ยน ตาเลอะเทอะ ตามองเห็นสิ่งที่ถูกเป็นผิด แล้วก็ยังเห็นผิดเป็นผิดหนักๆๆ ผิดบานปลายไปใหญ่ มันกลายเป็นอย่างนั้น ก็เลยมีแต่อาการหนักดิ่งลงสู่นรกก็ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยที่ยิ่งหลงผิดด้วยนะ ยิ่งหลงผิด เห็นตัวเองนึกว่าตัวเองสูงแต่ที่จริงตัวเองยิ่งดิ่งลงหานรกอเวจีหนักเข้าไปอีกแต่หลงผิดนึกว่าตัวเองสูงขึ้นไปอีก เพราะว่าได้เปรียบมาเป็นเงินเป็นทองมาเป็นทรัพย์ศฤงคารเป็นวัตถุ เป็นอะไรอีกเยอะแยะมากมายไม่มีวันจบ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งยินดีมากมาย เรียกว่า นายทุน

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 16:46:06 )

ตีทิ้งบัญญัติภาษาหมดเลยก็ไม่มีทางบรรลุ

รายละเอียด

คุณจะต้องเข้าใจความหมายของภาษา ถ้าคุณจะไม่ใช้ไม่อาศัยพยัญชนะไม่ใช้ภาษาเลยอ่านเข้าไปที่อารมณ์เอง เข้าใจเองนั้น มันเป็นไปได้ยาก

เพราะฉะนั้นในคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงต้องมีคำตรัส ต้องมีคำพูดมีคำกล่าวสื่อเข้าไปถึงสภาวะ เพราะฉะนั้นคุณตีทิ้งคำตรัส คุณตีทิ้งคำพูดคุณตีทิ้งภาษา แม้แต่ภาษายังมีภาษาใบ้ภาษามือภาษาอาการ ไม่ได้ คุณไม่ใช้ภาษาไม่ใช้สื่อพวกนี้ไม่ได้ แต่สภาพ 2 ทิ้งไม่ได้ ต้องมีพยัญชนะและสภาวะธรรม 2 อย่าง เอาน่า อย่าไปตีทิ้ง ไม่เห็นน่าตีทิ้งตรงไหน ศึกษาดีๆอย่าไปตีทิ้ง 

ต้องมีอีกคุณจะศึกษาไปเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องมีภาษาบัญญัติเลยอย่าไปพูดสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไงกับคุณเอาสิ่งที่เป็นไปไม่ได้มาถามมันตอบไม่ได้ 

3. เพราะมีคำตรัสไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ๆมีอยู่แล้ว ตถาคตจะบังเกิดขึ้นหรือไม่บังขึ้นก็ตาม

สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วนั้นหมายความว่า พระพุทธเจ้ามีมาแล้ว สิ่งที่ตรัสรู้ต่างๆมีอยู่แล้ว เพราะฉันมีพระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสรู้อีกหรือไม่ตรัสรู้อีกสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมีมาแล้ว เพราะไม่มีใครสามารถรู้จักพระพุทธเจ้าองค์แรก ไม่มี แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะ ความจริง 

เอาอย่างนี้ คุณพยายามปฏิเสธภาษาด้วยอาตมาก็ต้องพยายามใช้ภาษาอีก คุณว่า 0 มีไหม 

คุณก็ต้องเข้าใจอาการของศูนย์ให้ได้คุณจะใช้ภาษาหรือตีทิ้งภาษาก็แล้วแต่แต่อาตมาจำเป็นต้องใช้ภาษาอธิบายว่า 0 ก็คือ 0 คุณทำอาการอารมณ์ของความ 0 ให้ได้ แล้ว คุณก็ต้องอ่านสภาวะด้วย สภาวะ 0 คือศูนย์อะไร 

0 เวิ้งว้าง มันก็ไม่ได้เรื่อง 0 จากกิเลส พระพุทธเจ้าสอนให้มีลำดับ กิเลสหยาบ คุณก็ 0 ได้แล้วแม้มันมีอยู่ในโลกนี่แหละคือธรรมชาติมันเกิดอยู่มันมีในโลกมันกระทบสัมผัสอะไรเราก็0 0 0 หยาบ ละเอียดยิ่งขึ้นคุณ 0ได้อีก 0 ได้อีกจนกระทั่งละเอียดสุดเลย เป็นอรูป ขั้นสุดท้ายคุณก็0ได้ คุณก็เป็นอรหันต์เอาแค่นี้ก็แล้วกันเดี๋ยวมันจะยาวไปอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:43:18 )

ตีทิ้งสภาวะไม่เรียนรู้จะจมอยู่ ในถ้ำนานแสนนาน

รายละเอียด

แล้วเรียกว่าตายเสียก่อนตาย (พ่อครูว่า..พยัญชนะมีเยอะ แต่สภาวะก็อีกเรื่องแล้วจะมีคนจมอยู่กับพยัญชนะอีกเยอะ) แต่ก็ยังดีกว่าคนตีทิ้งสภาวะไม่เรียนรู้เลยจะจมในถ้ำนานแสนนาน ไกลแสนไกลจากวิเวก อยู่ที่นานไกลและก็จมลงในที่หลงด้วย พูดให้ตกใจนะ จะตกใจบ้างไหมนี่ เสียดายหอกที่แทงไม่เข้า ทุกวันนี้ก็ไม่เสียดายหอก ยอมเสียสละ ยอมลงทุน)ชีวิตมนุษย์ดำรงอยู่ได้โดยอาศัยเหตุคืออวิชชา ความโง่ความอยากความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตน มีของๆตน และกระทำไปตามแรงแห่งอวิชชานั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:37:07 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:21:41 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:41:59 )

ตีรณปริญญา

รายละเอียด

1. ความรู้รอบในการพิจารณาวินิจฉัย ตัดสินให้ลึกลงไปอีกในรายละเอียดต่าง ๆ 

2. ความหยั่งรู้ถึงขั้นพิจารณา หรือได้วิจัยรู้ลึกละเอียดเข้าไปในธาตุรู้นั้น ๆ ยิ่งขึ้น 

3. รู้ตัวตนของกิเลสภายในจิต 

4. รู้รอบสิ่งที่ต้องแยกแยะ พิจารณาไตร่ตรองรู้และตัดสิน

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 50

อีคิวโลกุตระ หน้า 68

เปิดโลกเทวดา หน้า 56

ชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉบับ 265


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:59:45 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:42:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:40:29 )

ตีอัตตาตัวเองไม่แตก

รายละเอียด

เขาถูกสอนว่าเป็นคำสอนของพระเจ้า ห้ามสงสัย  2.รู้แต่ไม่ยอมเปิดเผย เพราะถ้าผิดก็ยกผิดให้พระเจ้า แต่ถ้าดีเป็นของฉัน ตัวเองตีอัตตาไม่แตกก็เลยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 02 เมษายน 2563 ( 13:14:21 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 14:53:02 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:21:16 )

ตือโป๊ยก่ายกับซุนหงอคง

รายละเอียด

ลักษณะต่างๆ เราไม่ต้องติดใจในตัวตนบุคคลเราเขา นามนั้นสำคัญไฉน ไม่ต้องติดใจอะไรพวกนั้นมากมาย เป็นก็ได้ ไม่เป็นก็ได้ ถ้าคุณมีข้อมูลหลักฐานพอก็จะรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าคุณไม่มีข้อมูลหลักฐาน แต่ธรรมะนัยยะสำคัญมันลงกันตรงกันอย่างนี้อย่างนี้ คนนี้เป็นสายพระโมคคัลลานะ คนนี้มาสายพระสารีบุตร ก็มีสายศรัทธากับสายปัญญา มีเทวะ 2สายเป็นหลัก กับอีกหลักหนึ่งก็คือ วิตกจริต สายนี้มั่วเลยวนไปวนมายาวนาน กว่าจะบรรลุธรรมสับสนไปมาไม่เรียงตามลำดับ ถ้าเรียงตามลำดับ คุณไม่ต้องสลับไปสลับมา

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 7มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 มกราคม 2563 ( 16:58:54 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 04:25:21 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:21:50 )

ตื่นจากความเป็นครุฑหรือนาคได้อย่างไร

รายละเอียด

ที่นี้ก็ตีเข้าเป้าหน่อย พญานาคก็ดีพญาครุฑก็ดี ยอมรับว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นพญาทั้งครุฑทั้งนาค คือโพธิรักษ์ ผู้นี้คือลูกพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาต่อยอด ถ้าหากพญานาคกับพญาครุฑนี้ เกิดดวงตาอันนี้ นั่นแหละคือผู้ตื่น ตื่นจากความเป็นครุฑ ตื่นจากความเป็นนาคด้วย เพราะว่าเป็นผู้ที่มืดบอดทั้งคู่ทั้งพญาครุฑพญานาค ไม่มีแสงสว่าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:59:29 )

ตื่นจากมาโซคิส และแก้ไขจิตซาดิสม์

รายละเอียด

ธรรมดาธรรมชาติมันเจ็บมันก็ไม่ชอบ แต่นี่ตัวเองเจ็บแล้วชอบ มันไม่รู้กี่ชั้น สลับที่ไปติดยึดหลงผิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยพวกมาโซคิส ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติกว่าจะสำนึก ตื่นจากมาโซคิส มาแค่รู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นเรื่องไม่ดีเป็นเรื่องทรมานไปหลงความเจ็บปวดดี ตัวเองเจ็บตัวเองปวดเท่าไหร่ชอบๆๆ มาโซคิสมันหนักขั้นนั้น เมื่อมาเป็นซาดิสม์ตัวเองจะไม่ชอบแล้วแต่ชอบให้คนอื่นเจ็บปวดหนักหนา พวกที่ชอบซาดิสม์ ชอบคนชกกัน ชอบคนฆ่ากันตีกันรุนแรง พวกนี้ยังต้องแก้ไขจิต จิตหลงผิดหลงชั่วเลวร้าย หากจะหายซาดิสม์ ไม่ต้องการให้คนเจ็บปวดทำร้ายทำลายกันก็จะต้องมีเมตตาขึ้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:11:52 )

ตื่นซะบ้าง

รายละเอียด

ขออภัยที่อาตมาพูดเพื่ออธิบายสัจธรรมให้ฟังว่า คุณอย่าเข้าใจผิดในสิ่งที่มันผิดจริงๆ ไปเข้าใจของผิดจริงๆว่าเป็นของถูก มันโง่นะ มันไม่ได้ฉลาดอะไร ตื่นซะบ้าง ชาคริยาขึ้นมาบ้าง อย่าไปงมงายจนกระทั่งอยู่ในอเวจีไม่เคยโงไม่เคยตื่นขึ้นมาเลย มันก็ไปไม่รอด อาตมาเอาของจริง  เอามหาบัว เอาพฤติกรรมแบบมหาบัว เอาคำอะไรต่างๆมาพูดมันเป็นสัจธรรมยืนยัน มันมีหลักฐาน มันมีเหตุผลมันเป็นสัจธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ออกมาทำงานศาสนา ท่านไม่เคยไปทำอย่างมหาบัวเลย ไม่ได้ไปทำอย่างที่พระเถรสมาคมทำเลย เป็นพระพุทธเจ้านะ 

 ท่านบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า บรรลุสูงสุดของศาสนาพุทธแล้วท่านก็ออกมาจากทรัพย์สินเงินทองยศศักดิ์อะไรต่างๆในโลก ออกมาเลย แล้วก็มาเป็นพระที่ปฏิบัติถูกทางด้วย ไม่ได้ออกไปเป็นพระป่า ที่เป็นพระหลงนั่งหลับตาเข้าฌาน กินลม กินวาตา ท่านไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย แต่ก็ไปเข้าใจแบบเดียร์ถีย์หลงผิด จนทุกวันนี้อาตมาก็กระตุกอยู่ให้ตื่นให้ตื่นขึ้นมา อย่าไปงมงายไปนั่งหลับตานี่ก็เป็นเรื่องทำลายศาสนาพุทธอย่างหนักอยู่แล้ว มันบาปนะ 

บาปขนาดไม่รู้รูปนาม ไม่รู้วิญญาณ กลายเป็นโจรปล้นศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสยกอุทาหรณ์ว่า พระราชาเห็นว่าไอ้นี่เป็นโจร แล้วพระราชาก็เลยให้เจ้าพนักงานเอาไปฆ่าให้ตาย ไอ้โจรนี่เอาหอก100 เล่มไปฆ่าตอนเช้า แล้วก็ไม่ตาย หนังเหนียว ยืนยันหน้าด้านคงทนเหมือนกัน พระราชาเจอเจ้าพนักงานก็ถามว่าตายหรือยัง ก็บอกว่าไม่ตาย ให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่ม ตอนกลางวัน เขาก็ไม่ตาย พอมาตอนเย็นพระราชาเจอเจ้าพนักงานถามว่าตายหรือยัง ก็บอกว่ายัง จึงให้เอาไปฆ่าด้วยหอกอีก 100 เล่มตอนเย็น แล้วท่านก็ทิ้งปลายเปิดเอาไว้ให้แค่นั้นว่า ไอ้พวกนี้มันไม่ตาย มันเปรียบเทียบชัดที่สุดเลยว่า จะพูดยังไงให้เปลี่ยนแปลงสภาพเป็นผู้เกิด ผู้ตื่น มันกลายเป็นผู้ตาย ตายอย่างเน่าๆเหม็นๆหมักๆหมมๆด้วย นี่แหละชาวพุทธ แล้วไปหลงที่ตายเน่าๆเหม็นๆหมักๆหมมๆเป็นอาสวะหมักหมม มันยิ่งเป็นแต่กิเลสหมักหมมโง่ซ้ำโง่ซ้อนโง่หมักโง่หมมโง่เน่า ขออภัยอาตมาใช้ภาษาถูกต้องแล้วดีที่สุดแล้วฟังให้ดีๆเถอะ 

มันไม่ได้เป็นความถูกต้อง มันไม่ได้เป็นความเจริญอะไรเลยของศาสนา แล้วคนไม่รู้ก็หาว่าอาตมาไปว่า อาตมาเอง อาตมาเกิดมาต้องมาตำหนิสิ่งผิด แล้วก็จะยืนยันสิ่งถูก สิ่งถูกคืออาตมาพาทำถูกสิ่งผิดคือผิดกันไปเกือบหมดเลย ดีนะอาตมาไม่ว่าหมดว่าเกือบหมด อาตมาจะต้องว่าสิ่งผิดตำหนิสิ่งผิด ยกสิ่งถูกตามคำสอนของสัจธรรมของพระพุทธเจ้า จะให้อาตมาหลีกเลี่ยงสัจจะพวกนี้ไปได้ยังไง อาตมาไม่มีทาง เกิดมาอาตมาต้องมาเปิดเผยสัจธรรม เพราะฉะนั้นอาตมาไม่มีงานอื่น อาตมาเลี่ยงไม่ออก อาตมาจำเป็น จำนน จำยอม ที่จะต้องบอกถูกเป็นถูก  ผิดเป็นผิด ย้ำหัวตะปูแล้วๆๆว่าผิด อานนท์ เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด

อย่างนั้นจริงๆอาตมาทำตามคำสั่งพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แต่คนก็ไม่รู้มันไม่รู้สารพัดสารเพ ไม่รู้จนกระทั่งเห็นถูกเป็นผิด เห็นผิดเป็นถูกมันก็สุดสงสารไม่รู้จะทำยังไง เพราะฉะนั้นอาตมาจำเป็นต้องแก้ความเห็นที่ผิดนี้ให้เห็นถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ฟังธรรมะดีๆตั้งอกตั้งใจดีๆไอ้ความเชื่อเก่าๆ คุณไปยึดถือเป็นสิ่งผิดปิดไปก่อนได้ไหม ปิดเลย คุณรู้จักไหมคำว่าปิดความเชื่อ ปิดความเห็น ปิดความเชื่อถือ ปิดความรู้เก่า มาฟังอาตมาใหม่ตั้งใจใหม่เหมือนเทน้ำ ที่ท่านโบราณาจารย์เปรียบเทียบไว้ น้ำชาเต็มถ้วยนี้เททิ้งหมดเลย มาค่อยๆรับน้ำชาใหม่ของอาตมา แล้วคุณฟังดีๆ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังดีๆค่อยๆฟังแล้วคุณจะค่อยๆเข้าใจ 

แต่ถ้าคุณไม่ปิดความรู้เก่ามานะ มีตัวแย้ง คุณไม่เข้าใจหรอก คุณจะยึดถืออันเก่าอยู่ คุณจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณต้องลืมอันเก่าเลย ฟังใหม่ ลืมทิ้งไปซะอันเก่า มาฟังจากอาตมาเริ่มต้นตั้งแต่อาตมาอธิบายศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วเกิดฌาน ไม่ใช่ ต้องปฏิบัติศีลแล้วจะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิคือ อปัณณกะ แปลว่า ศาสนาพุทธที่ไม่ผิด ที่ไม่ผิดศาสนาพุทธคือ 3 อย่างนี้ ถ้าไม่มี 3 อย่างนี้ ไปหลับตาไม่เป็นคนตื่น แล้วไม่ได้พิจารณาเลย ท่านก็สรุป โภชเนมัตตัญญุตา ให้รู้ตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสแล้วเกิดกิเลส กินอาหารตัวสำคัญนี่แหละ มันจะหลงอาหารเป็นรสอาหารติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อย่างแท้จริงเลย เมื่อคุณไม่เข้าใจแล้วคุณก็ไม่รู้อันนี้ คุณก็จมอยู่ในอันนี้ไปตลอดกาล มันก็ไม่เป็นพุทธไม่เข้า เกณฑ์ อปัณณกปฏิปทา 3 เลย เพราะฉะนั้นสัทธรรม 7 ไม่มี ไม่เกิดฌานหรอก 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #32 จรณะ 15 คือการยืนยันหลักปฏิบัติไม่ผิดของพุทธ วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8(8) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 สิงหาคม 2566 ( 11:23:56 )

ตื่นตัวเรื่องกสิกรรมทำอาหารให้เป็นหนึ่งในโลกได้แล้ว

รายละเอียด

แม้แต่อาตมาพยายามบอกว่าเมืองไทยเป็นเมืองโซนที่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดีที่สุดในประเทศหนึ่งในเอเชียอินโดจีนนี้ อยู่ในโซนนี้  

ถ้าหากมาตื่นตัวทั้งการบริหารทั้งการศึกษาต่างๆ และรวมกันให้ศึกษาอันนี้สุดยอดแล้วลงมือลุยกันเป็นนักกสิกรรม อาตมาพูดไปถึงขั้นว่า ชาวไร่ชาวนานี่ให้เหรียญตราเรียกว่าส่งเสริมกันอย่างให้สูงสุดยกย่องเชิดชูเลย แต่ค่อยๆทำไปอย่าให้เขาเหลิงให้เขาหลง อย่าให้ชาวไร่ชาวนาเขาเหลิงเขาหลง แต่ให้เขาเข้าใจว่าเป็นคุณค่าจริง แล้วก็ใช้วิธีการ อย่างการให้เหรียญตราได้ใบรับรองปริญญาปัญญาบัตร เกียรติคุณต่างๆนานา รับรองส่งเสริมให้เกียรติยศต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของจิตวิทยาขั้นสูง ต้องใช้ให้ดีๆเพื่อให้พัฒนาไปตามความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะให้มันเกิดเจริญงอกงาม 

อาหารเป็นหนึ่งในโลก และพระพุทธเจ้าขยายความ อาหารที่สำคัญที่สุดคือคำว่า กวฬิงการาหารคืออาหารคำข้าวที่ใส่ปากเคี้ยว ให้สังขารร่างกายเจริญได้ นี่แหละเป็นหนึ่งในโลก ไม่มีอะไรจะมาหักล้างความรู้ของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นอย่าไปกลัวเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 21:22:27 )

ตื่นรู้มีสติชาคริยาคืออย่างไร

รายละเอียด

เพราะตื่นรู้มีสติชาคริยา มีความตื่นเต็ม ความตื่นเต็มคืออย่างไร ตาหูจมูกลิ้นกายทำงานภายนอกตาก็ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ไปหลับอยู่ หูก็ตื่นขึ้นมารับรู้เสียงเต็มที่ สัตตะ แปลว่า ร้อย สติ คือ ร้อย ตาก็เห็นรูปเต็มร้อย ใครตาถั่วก็เห็นไม่เต็ม แต่คนมีสติก็เห็นเต็มร้อย แต่หากว่าตาของคนพิการก็เห็นถั่วๆ ก็เท่านั้น แต่ร้อย เป็นการเต็มร้อยของธาตุรู้ที่เป็นอธิปไตย มีสติเป็นอธิปไตยเต็มร้อย คุณจะพูดอยู่ก็เต็มร้อย กายก็เต็มร้อย พูดอยู่ก็เต็มร้อย คิดอยู่ก็เต็มร้อย นี่คือการตื่นเต็มเรียกว่ารู้ตัวทั่วพร้อม สติคือการตื่นเต็มรู้ตัวทั่วพร้อม ชาคริยาคือทำการตื่นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ทำความตื่นให้แก่กายกรรมวจีกรรม ความตื่นทางมโนนี่แหละเป็นตัวรู้ทั้งหมด นี่คือความตื่นเต็ม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนอัตถิราคสูตรให้หมดสุขหมดทุกข์แท้จริง วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:11:19 )

ตื่นเถิดพวกนั่งหลับตาปฏิบัติทั้งหลาย

รายละเอียด

อาตมาเอาธรรมะมาขยายความเรียนรู้ดีๆ ที่พูดอยู่ทุกวันนี้พยายามจะจี้จะไชพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติให้ตื่นออก เรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ปฏิบัติให้ตรง ให้มีอปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่มีหรอกไปนั่งหลับตา ในจรณะ 15 ไม่มีไปนั่งหลับตา ไปตีขลุมเอาวิชชา 8 ไปนั่งหลับตายิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะอันนั้นมันเป็นผลที่เกิดจากนามธรรมทางจิตใจ ส่วนรูปธรรมนั้นเป็นจรณะ 15  พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติ ที่ไปหาวิธีที่ไม่มีวิญญาณฐีติ ไปปฏิบัติเข้าใจว่าวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณสัมภเวสี วิญญาณไม่เกิดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่ ไม่มีกามไม่มีกาย เป็นเรื่องโมฆะ เป็นเรื่องเดียรถีย์เป็นเรื่องสูญเปล่าจากศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 6 วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2564 ( 13:24:57 )

ตื่นเสียทีหยุดงมงายอยู่กับอุปาทานทั้ง 4 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในอาหาร 4 เรียนรู้จบโภชเนมัตตัญญุตา สำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตาตื่นเสียทีตื่นเสียทีชาคริยานุโยค เคยหลับใหลมานานพอตื่นขึ้นมาหลุดพ้นได้ก็หลุดออกมา แต่นี่ไม่ตื่นเสียทีงมงายอยู่อย่างนั้น งมงายอยู่กับอุปาทานทั้ง 4 

งมงายอยู่กับกามุปาทาน งมงายอยู่กับศีลพรต สีลัพพตุปาทาน งมงายกับทิฏฐุปาทาน ไม่รู้จบ มีแต่ตัวแท้คือ กาม ศีลพรต คือ วิธีปฏิบัติเพื่อออกจากกาม แต่เขาปฏิบัติไม่ได้ออก เสร็จแล้วเรียนรู้ หัวผุ หัวพังก็ได้แต่ทิฐิมาก็ยึดทิฐินั่นแหละ ว่าฉันรู้สิ่งต่างๆแต่ไม่ได้เรียนรู้ให้เลิกจากกามเลย เหมือนมหาบัวญาณสัมปันโน ขออภัยที่ต้องยกตัวอย่างเพื่อให้รู้ง่าย เสพกามหยาบๆก็ไม่รู้การนั่งหลับตาสะกดจิตก็ยิ่งทำให้มันผนึกแข็งแน่น เป็นกอบเป็นกองเป็นหมู่เป็นฝูงอยู่ในนั้น มันไม่ได้คลี่คลายขยายอะไรเลย สำหรับการนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่มีทางที่จะทำลายกิเลสตัวนี้เลย 

เมื่อเข้าใจไม่ได้ไปหลงทิฐิสุดท้ายก็เลยแย่ไปใหญ่ ได้แต่หลงวาทะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้ปฏิจจสมุปบาทที่ ชาติ ภพ ตัณหา วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:28:34 )

ตุจฉโต

รายละเอียด

1. มันไม่มีแก่นเที่ยงแกนแท้อะไรยืนยงจริงหรอก มันไร้แก่นสาร มันไม่ใช่สิ่งที่พึ่งนิรันดรอะไร อย่าไปหลงอยู่เป็นอันขาด

2. มันก็ล้วนไม่ใช่สิ่งที่จะหลงยึดเป็นแม่นมั่น เป็นแก่นเป็นก้อนที่นอนแน่ ๆ นิ่ง ๆ หาได้ไม่

3. เป็นของไร้ประโยชน์ 

4. ไม่มีแก่นสาร ไร้ประโยชน์จริง ๆ 

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 218

ทางเอก ภาค 2 หน้า 142

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 51

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 244


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:00:42 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:44:48 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:22:20 )

ตุลาการภิวัฒน์กับประชาชนช่วยกันเป็นอิทัปปัจจยตา

รายละเอียด

ตุลาการภิวัฒน์ ก็มีเหตุปัจจัยหนึ่งในการช่วยกัน ในสังคมไทย จะบอกว่าไม่ใช่ประชาชนไม่ได้ ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ แม้แต่ตัดสิน จนกระทั่งทักษิณไม่กล้าเข้าประเทศก็เป็นตุลาการ ตัดสินนอมินีสมัคร ก็เป็นตุลาการ แค่ประเด็นว่าไปทำผิดกฎหมายตามหลักกฎหมาย คุณก็ต้องออก ก็ต้องออกไปตามกฎหมาย ก็แค่ไปหาเงินเศษเล็กเศษน้อยจากโทรทัศน์ก็หลุดออกไป เขาก็ว่า ไม่เห็นเกี่ยวกับประชาชน แต่เพราะว่าเขาไม่รู้จัก relation ไม่รู้จักการปฏิสัมพันธ์ของสังคมทุกอย่าง มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักอิทัปปัจจยตา ไม่รู้จัก relation  relative สืบเนื่องกันปฏิสัมพันธ์กันต่อไป ต่างช่วยกันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันเข้าไปสู่จุดสำเร็จผล คนไม่เข้าใจ ก็งงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 14:57:20 )

ตู้ปันสุขเป็นพฤติกรรมกับกาลเทศะ

รายละเอียด

เรื่องตู้ปันสุข เป็นพฤติการณ์ของมนุษยชาติที่ได้เกิดการเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากระทำ พฤติกรรมอย่างนี้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมกับกาละเทศะ คนที่มีฐานะที่จะทำได้ขนาดที่เขาไม่ได้เป็นคนร่ำรวยไม่ได้เป็นคนที่เหลือเฟือก็มีกระจิตกระใจ คนบางคนไม่ได้ทำเอง แต่ก็เอาของไปร่วมด้วย มันเป็นเรื่องจิตใจที่ต้องช่วยกันอย่าให้อดตาย มันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากเลยจริงๆ พฤติกรรมอันนี้ของสังคมมนุษยชาติ อาตมาภาคภูมิใจที่เมืองไทยเรามีพฤติกรรมวันนี้ในประเทศไทย ต่างประเทศเขาเชื่อว่ามีน้อย ประเทศไทยนั้นออกไปจากจิตใจตัวเอง ไม่ว่าจะฐานะไม่ดีไม่ร่ำรวยเขาก็ทำ บางคนก็เอาโลงศพมาทำด้วย  มีแนวคิดเอาโลงศพทำตู้อาหารให้กินเพื่อให้เตือนว่าคนเราจะต้องตายนะ กินได้อยู่ได้ก็ต้องมีตายนะ ให้มีการศึกษาระลึกรู้ฉุกคิด เป็นพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเผื่อว่าเกิดพฤติกรรมอย่างนี้นานถึงปี มันจะติดนิสัยนะ จะกลายเป็นนิสัยเลยจะไปเป็นพฤติกรรมสังคมเลย ก็เลยทำไปอย่างชินเลย ทำไปทั้งปี คนสมัยพุทธกาลคนรวยหรือเศรษฐีเขาจะแสดงออกด้วยการสร้างโรงทาน มีการแบ่งปันนี่แหละคือการแสดงออกของเศรษฐีนี่แหละเกิดภาวะอย่างนี้มันดี นี่ดูสิตู้นี้เอาไปตั้งข้างถนนเลยทำง่ายๆ มันเป็นพฤติการณ์ที่น่าทึ่ง มันดีจริงๆ ประหลาดมีใจเผื่อแผ่ แบ่งกินใช้ไม่ให้อดตาย เมื่อเหตุการณ์ยังไม่เกิด จะมีคนเร่ร่อน คนอดอยาก คนขอทาน พอมาถึงในยุคนี้ คนในยุคนี้พวกนี้สบายเลยไม่ต้องเดือดร้อนเลย เพราะงั้นก็ไม่ต้องไปนึกถึงเลย คนที่มีศักดิ์ศรีไม่เหมือนคนเรานี้ก็ยิ่งต้องแบ่งปันกัน สุดยอด 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจนทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2563 ( 10:54:10 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:17:18 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:39:22 )

ตโต

รายละเอียด

ต่อจากนั้น

หนังสืออ้างอิง

ค้าบุญคือบาป หน้า 282


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 07:27:48 )

เวลาบันทึก 03 พฤษภาคม 2563 ( 15:45:29 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 19:22:38 )

ต่อข้อถามลืมตาทำให้อวิชชาสิ้นได้อย่างไร

รายละเอียด

สิ้นได้ เพราะมีจักษุ อาโลก แสงสว่าง ในการเห็นทั้งภายนอกภายในมันรู้โลก รู้อัตตา มันรู้ทั้งสอง โลกคือภายนอกทั้งหมด อาโลกคือแสงสว่าง มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์ มีนามรูปครบหมดเห็นครบหมด ไม่ใช่ไปหลับตามีแต่อัตตาอยู่ในภพในภวังค์เป็นสัมภเวสีไป นิมมานนรดี เนรมิตไปเองเป็น นิรมาณกาย มันไม่ใช่ อย่างนั้นมันฝันฟุ้ง ฝันเพ้อไปเองอย่างไรก็ได้ 

พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะ พรหมชาลสูตรว่า การหลับตาอาศัยขันธ์เดิมไปล่วงรู้อดีตอนาคต ได้แค่ 62 ความรู้เรียกว่า 62 ทิฐิ อดีตได้ 18 อนาคตไปได้ 44 ไปอ่านสัก 100 เที่ยวให้แตกฉาน พระพุทธเจ้าสรุปลงแค่นี้ แล้วคนก็จะอาศัยอื่นไม่ได้ ต้องอาศัยขันธ์ ที่ตัวเองเคยอาศัยมาแล้วแต่ชาติไหนก็แล้วแต่ เพราะว่าคุณจะรู้เท่าที่คุณเคยมีเคยเป็นฝังไว้ในสัญญา นอกสัญญาคุณก็เป็นความเพ้อเจ้อ 

เพราะฉะนั้นอดีตมันมีสัญญา ฝังเป็นความจำเก่า อนาคตมันมีด้วย แล้วมันก็คิดใหม่ คิดเพ้อเจ้อไปได้อีก มันจึงมีได้ถึง 44 พวกหลับตาจะไม่มีความรู้ เกิน 62 อดีต 18 กับอนาคต 44 ไม่มีความรู้เกินนี้เลย เพราะฉะนั้นจบสุดท้าย ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 มีกาม และ ฌาน 1 2 3 4 

คุณต้องมี ปัจจุบันชาติ ลืมตามารู้ทั้งหมดแล้ว คุณก็จะรู้ กาม แล้วรู้ฌาน 1 2 3 4 แบบลืมตา ฟังไว้พวกหลับตาทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิเป็นโจรปล้นศาสนา ที่พระราชาให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 300 เล่ม คุณก็ยังยอมเป็นโจรอยู่อย่างนั้น เมื่อไหร่จะหยุดเป็นโจรปล้นศาสนาสักทีล่ะ 

อาตมาขออภัยที่พูดชัดเจนและเน้นด้วย แรง ไอ้ที่เบาๆมา จนกระทั่งทุกวันนี้อาตมาแรงน้อยลงไปแล้ว ก็ยังจะต้องทำแรงอย่างนี้แหละ เพราะตีเบาๆเหมือนเอาสำลีไปเช็ดหนามทุเรียน สำลีพังหมดเลย เหมือนสายอ.มั่น อ.มหาบัว ไม่รู้ว่ากินหมาก สูบบุหรี่คือสิ่งเสพติด หลวงปู่แหวน ก็ใช้บุหรี่ขี้โยยาวๆ 

ขออภัยที่วิจัยวิจารณ์สายหลับตาทางมหาบัวและอาจารย์มั่น ตำหนิมานาน ก็ยังตำหนิอีกต่อไปเพราะมันผิดจะได้แก้ไข ขอยืนยันว่าอาตมาไม่ได้พูดผิด อาตมาพูดความผิดคือความผิด ความถูกคือความถูก อาตมายืนยันว่าพูดอย่างนั้นจริงๆ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:35:14 )

ต่อข้อที่เขาเสียดายที่ทำวัตรปฏิบัติที่ดีงามมาให้การรับรองรัฐบาล

รายละเอียด

ถ้าคนจำนวนมากเห็นอย่างดาวดินก็เป็นอย่างดาวดิน แต่ถ้าคนส่วนมากเห็นตามพลเอกประยุทธ์ก็มาทำอย่างพลเอกประยุทธ์ ตอนนี้นายกตู่ได้ฉายาลุงตู่ตลาดแตกแล้ว ไปตลาดแตกที่ปักษ์ใต้ซึ่งเป็นชาวมุสลิมส่วนใหญ่ ซึ่งชาวมุสลิมส่วนใหญ่ยังเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ง่ายๆหรอกขอพูดได้แค่นี้ 

ดาวดินทำไมตาบอด ทำไมไม่ลืมตาดู คุณกำลังเป็นเจ้าปัญหาเองขณะที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ คุณไม่รู้ ไขไม่ออก ตื้อของตัวเอง ไม่ทะลุทะลวงตามความเป็นจริงที่มนุษย์คนไทยเป็นกันได้จริงๆส่วนใหญ่เขา แม้แต่โพลต่างๆ แต่ดาวดินไม่เห็น แล้วก็หลงตัวเอง ตัวเองไม่เห็นก็หาว่าคนอื่นไม่เห็น หาว่า คนอื่นอยู่ในรูกระบอกครอบกะลาครอบ ไม่ออกจากกะลาครอบ ขออภัยที่จริงไม่ได้ไปว่าดาวดินเท่าไหร่ น่าสงสาร แม่ก็โอยๆ อยู่ที่นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นลูกชายคนเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 18:04:56 )

ต่อคนที่ตั้งความหวังจะรีบเข้ามาอยู่บ้านราชและคนที่ตั้งจิตทำดี

รายละเอียด

ก็มีเจตนามีความตั้งใจไว้ คนเราตั้งใจไปสู่จุดที่ดีขึ้นสูงขึ้นก็เป็นการดี ถูกต้อง เราก็จะทำอะไรได้ก่อนตาย ตายไปแล้วจะไปทำอะไรก็ไม่ได้ ต้องทำก่อนตายทั้งนั้นแหละ จะตั้งจิตและทำตามที่ตั้งจิตไว้ก็ทำไปได้เท่าไหร่เท่านั้น ก็จบลงที่ตาย ตายแล้วยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เกิดมาอีก ก็ทำต่อที่ตั้งไว้ จะเป็นเหตุปัจจัยให้เราเป็นไปได้เรื่อยๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 13:31:05 )

ต่อความรู้เรื่อง งู 7 ตัวที่แดนอโศก

รายละเอียด

คุณพูดถูกต้องหมด แม้แต่รู้ประวัติอันนี้ มีผู้ที่เสพเมถุนแล้วมีปาราชิก ก็ต้องออกมาเพราะเป็นที่ดินของเขา 

ชาวอโศกไม่ได้หมกมุ่น แต่เรียนนิมิตเป็นเครื่องหมายต่างๆเป็นการศึกษาให้รู้ งู 7 ตัวที่ว่าก็เป็นนิมิตที่ชาวอโศกใช้เป็นเครื่องหมายศึกษา เรารู้ทั้งเครื่องหมายบัญญัติกับสภาวธรรม เป็นเทวะเป็นธรรมะ 2 เรียนรู้คู่กันแล้วจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย แล้วการจะรู้ 2 เป็น 1  1 ใน 2 สลับไปสลับมาแยกกันไม่ได้เป็นอันขาด แต่เป็นเครื่องหมายที่ทดแทนกันได้อย่างสนิทเนียน ผู้จะรู้สิ่งนี้ได้ก็จะไม่พูดอย่างคุณเดชา แต่เพราะว่าคุณเดชายังไกลความรู้ ยังห่างความรู้ชนิดนี้ จึงยังพูดอย่างที่คุณเดชาพูดว่าไร้สาระ ไร้สาระคือ ยังไม่รู้อย่างที่อาตมารู้ สาระก็คือ สิ่งที่อาตมารู้เป็นสาระ แต่คุณยังไม่รู้เป็นสาระอย่างที่อาตมารู้ คุณจึงท้วงอาตมา ถ้าคุณรู้อย่างที่อาตมารู้ คุณจะไม่ท้วงอาตมาเลย 

ขออภัยที่พูดวันนี้ไม่ได้ไป ข่ม เบ่งทับคุณ ว่าคุณ ไม่ให้คุณว่ามา ก็พูดกันมาเลย อาตมาเห็นว่าคุณเดชาเป็นคนจริงใจเป็นคนน่าคบ แต่ก็น่าคัน คือมันยั่วให้คัน คันก็เกา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ของผู้มีอภิภายตนะ 8 วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 10:35:22 )

ต่อความเห็น coneept คนนอก พระอรหันต์เหนือธรรมดา

รายละเอียด

พิลึก ก็พิเศษกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว แต่เขาไม่เข้าใจ  ของเรานี่แหละพิเศษธรรมดา เอากันจริงๆเลยนะ ง่าย กับ ยาก อะไรมันควรทำกว่ากัน คุณตอบถูกแล้วล่ะ ที่จริงอาตมาจะบอกว่า ทำง่าย มันง่ายกว่ายาก แต่ เขาทำไม่ได้มันยาก เพราะกิเลสเขามากันเขาไว้ มันก็เลยยาก แต่คนที่ล้างกิเลสแล้วมันก็ง่าย มาจนก็ง่าย มากินง่ายเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายกินง่าย สุภระ นี่แหละตัวจริง นี่คือปาฏิหาริย์ปรากฏ เป็น สุภระแท้ สุโปสะ เจริญง่ายๆ สังคมเขาจะให้เป็นอย่างนี้ กฎหมายให้เป็นอย่างนี้ ตามโลก ก็ตามเขาได้ ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นทั้งกฎเกณฑ์หลักการอะไรแล้ว เป็นไปตามสิ่งที่สมมติสัจจะเขา ยึดว่าอันนี้จริง ก็จริงตามกันหมด 

นั่นแหละ ถ้าคุณไม่โกงซะอย่าง ชีวิตของคุณจะไม่เป็นอย่างนี้ มานั่งเสียดาย คุณก็จะได้ทำ แต่เพราะคุณโกงเขาก็เลยไม่ให้ทำ เพราะเขาไม่เชื่อน้ำมือ กลัวว่าคุณทำไปแล้วมันจะชิบหาย ขนาดปล่อยให้ทำขนาดนั้นก็ชิบหายไปเท่าไหร่แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปรียบเทียบนายกฯ พลเอกประยุทธ์กับคุณทักษิณ วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ตุลาคม 2565 ( 18:33:15 )

ต่อความเห็นการยึดอำนาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

รายละเอียด

ที่ดาวดินเขาบอกมา ก็เป็นการประเมินของเขาเอง เสรีภาพของคนไทย ทุกวันนี้ดีขึ้นมาก เพราะได้รับการปลดปล่อย เป็นประชาธิปไตยที่ดี ดีขึ้น ดีขึ้นกว่าทางสาย แม้แต่จีน จีนยังเป็นปัญญาและยังเป็น Command หรือคอมมิวนิสต์ จีนเป็นปัญญาที่เป็นคอมมิวนิสต์ 

แต่เพราะมันซ้อนตรงที่ว่า คนมันมาก ทำให้ขายใน ราคาถูก จนกระทั่งแพร่ออกมาตีตลาดโลก ราคาถูกหมดข้าวของ สินค้าของจีนตีตลาดหมด เพราะถูก และคุณภาพก็ไม่ด้อย คุณภาพก็ทำดีขึ้นเรื่อยๆทำมาแข่งกัน ก็ได้ทางด้านเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ปริมาณมวลคนมีมากมันก็ได้ทางปริมาณ ไปเลี้ยงประชาชนอยู่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:47:00 )

ต่อความเห็นที่ว่า ตอนลืมตากิเลสเข้ารบกวนจิตใจไม่สงบ

รายละเอียด

ถูกของเขา แต่ผิดจากของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่าผิดจากของพระพุทธเจ้า แต่ถูกของเขา เพราะหลับตาปฏิบัตินั้นมันเป็นเรื่องโลกีย์ มันเป็นภาวะ 2 แค่ภายนอกกับภายใน เป็นภาวะ 2 ภายนอกมันก็ไม่มีแล้วมันก็เป็นขาเดียวภายใน ธรรมะขาเดียวประชาธิปไตยขาเดียวเป็นผู้พิการ คนต้องมี 2 มีรูป นาม มีวิญญาณคือธาตุรู้ เริ่มต้นท่านก็ตรัสไว้ว่า ต้องอาศัยกันและกันเป็นอาหารอาศัยกัน 

วิญญาณต้องมีนามรูป จบในวิญญาณาหาร ของปุตตมังสสูตร วิญญาณาหาร จบ 

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่แตกฉานในคำตรัสของพระพุทธเจ้า ก็บื้องงว่าอะไร อาตมาก็ขยายความแล้วขยายความอีก คนที่ไม่รู้ในอาหารข้อที่ 4 

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันก็ต้องไม่รู้ ไม่รู้อย่างไร ไม่รู้เหมือนโจรที่เป็นนักโทษประหาร ทำไมต้องเป็นนักโทษประหารเพราะว่าอยู่ก็เป็นกบฏ ผู้ทำลายศาสนา อยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นทางโลกก็บอกว่าเป็นกบฏ พระราชาจึงให้เอาไปประหารเสียด้วยหอก 100 เล่มตอนเช้า ก็ยังดื้อด้านดึงดันทนเหลือเกินไม่ยอมตาย พระราชาถามตอนกลางวันว่าตายหรือยังก็ยังไม่ตายให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่ม ตกเย็นพระราชาก็ถามอีก พนักงาน ก็ตอบอีกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าค่ะ จบแค่นี้ก่อน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:27:40 )

ต่อความเห็นรายงานเรื่องการแสดงธรรมของพ่อครูสูงขึ้น

รายละเอียด

คุณแสงอรุณก็ได้รับทราบ ผู้ที่ติดตามฟังก็ได้ฟังด้วยกันด้วย ส่วนใครรู้สึกว่ายากก็มี  บางคนก็รู้สึกว่าไม่ยากเย็นอะไรก็มี แล้วแต่บารมีของคน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของ นาม 5 รูป 28 วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2565 ( 13:39:47 )

ต่อพวกหลับตาปฏิบัติที่เข้าใจว่าการลืมตาปฏิบัติเป็นอวิชชา

รายละเอียด

ตรรกะมันเป็นตรรกะพิการ เหตุผลมันฟังดูตลกไม่เข้าท่า เด๋อๆด๋าๆ โขลกๆเขลกๆ คุณก็เป็นนกกระจอกจะเป็นมนุษย์ที่เป็นอาริยชนได้อย่างไร ยังไกลมากเป็นแค่นกกระจอกเทศ มันง่ายจังปิดตาเหมือนคนตาบอดอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส ปิดตาปิดหูไปกดประสาทหูไม่ให้ได้ยิน คุณก็เหมือนกับคนหูหนวกตาบอด มีหลักฐานยืนยัน แต่เขาก็ศึกษาไม่ครบ ในพระไตรปิฎกมีครบ แม้แต่ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐของพระมหากัสสปะก็ตาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การปฏิวัติโดยประชาชนของไทย เป็น Soft Power วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 17:32:55 )

ต่อสู้กับกิเลส เป็นความเจริญ

รายละเอียด

 คนอยู่วัดในแบบที่ไม่ใช่ชาวอโศกเขาไม่ได้มีชีวิตแบบบวรเหมือนพวกเรา พวกเรานี้อยู่กันอย่างบ้าน วัด โรงเรียน อยู่กันอย่างที่มันสัมพันธ์กันอย่างสนิท เกื้อกูลกัน มีพฤติกรรมของชาวบ้าน ชาววัด ชาวโรงเรียน เป็นชีวิตสามัญปกติ เราก็ทำหน้าที่ของแต่ละคน คนที่มีหน้าที่ทางโรงเรียนมากหน่อย ก็รับผิดชอบก็ทำหน้าที่ทางโรงเรียนมาก คนที่ทำหน้าที่บ้านมากก็ทำไป คนที่ทำหน้าที่วัด เช่นนักบวช เป็นต้น ก็ทำทางธรรมะมากก็ทำไป ตามกำหนด ตามธรรมวินัย ตามหลักเกณฑ์ ตามวัฒนธรรม นี่แหละเป็นความประเสริฐ บ้าน วัด  โรงเรียนของชาวเรา 

ไม่เหมือนของเขาที่เขามีข้อจำกัด ซึ่งเขาต้องทำอย่างนั้นดีแล้วเพราะเขาไม่สามารถที่จะทำอย่างที่เราทำได้ เขาจำเป็นต้องมีหลัก มีเกณฑ์ มีขีด มีขั้น กั้นเอาไว้ไม่เช่นนั้นมันเลอะ เลอะเลย แต่ของเรามันมีจิตวิญญาณ มีภูมิธรรมที่สูง จึงอยู่กันอย่าง เหมือนบ้าน เหมือนสังคมครอบครัว ที่พูดย้อนซ้ำไปมาแล้วว่าเป็นกงสีใหญ่ เป็นองค์รวมที่อยู่กันอย่างเป็นญาติพี่น้องสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เหมือนบ้านเดียวกันทั้งหมดเลยของชุมชน อันนี้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เป็นหมู่กลุ่ม สังคมชุมชนที่ยิ่งใหญ่ ที่เจริญ อาตมาภาคภูมิใจในความเป็นจริงที่เกิดได้ มีรูปธรรม มีวัฒนธรรม มีปรากฏการณ์เป็นจริงยืนยันกับโลกเขา ไม่ใช่ทำเล่น แต่มันเกิดจริงเป็นจริงเป็นความจริงของมนุษยชาติ พูดไปแล้วยิ่งใหญ่ 

เหนื่อยกับกิเลสดีแล้วที่ได้ต่อสู้กับกิเลส เป็นความเจริญอย่างหนึ่งนะ คนข้างนอกเขารวยในลาภยศสรรเสริญ แม้แต่บวชเป็นพระเขาก็ไม่ได้มารู้สึกเหมือนที่คุณพูด  เหน็ดเหนื่อยกับการลดกิเลส เขาก็น้อยมีบ้าง อาจจะมีบ้างบางผู้บางท่าน พากเพียรเหนื่อยกับการลดกิเลส มีชีวิตที่จะเห็นอันนี้เป็นสำคัญแล้วก็เหน็ดเหนื่อยกับมัน เอาน่า เหนื่อยอะไรทางโลกก็เหนื่อยได้ แต่ไม่ดีเท่าเหนื่อยทางลดกิเลสหรอก

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #28 สังคมอโศกคือสังคมสาราณียธรรมที่มีสภาวะจริง วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2566 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 14:32:02 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์