@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ปฏิบัติตามสังโยชน์ 3 ได้เป็นโสดาบัน

รายละเอียด

เอาละ เอาอย่างนี้ ตอบให้ชัดๆ คุณอย่าไปมองคนอื่นเลยอาตมาว่าคุณชักจะเลอะไปมองคนอื่นหันมามองตัวเอง ดูตัวเอง โสดาบันท่านจะมีสังโยชน์ 3 

1.รู้จัก กาย กายคืออะไร แล้วกาย ต้องเอาที่อาการของตัวเอง อย่าไปเอาของคนอื่นเห็นกายของคนอื่นรูปนามของคนอื่น แต่ให้ดูรูปนามของตัวเอง หรือกาย ภายนอกภายใน สิ่งภายนอกกระทบสัมผัสแล้วมีใจสัมพันธ์กันสังขารกันขึ้นมา อันนี้เป็นสภาวะของกาย หรือกายสังขาร แล้วก็จับคำว่า กาย นี้ พยายามเรียนรู้คำว่ากาย คำเดียวให้แม่นเสียก่อน ถ้าคำเดียวนี้แม่น ได้รู้ว่ากายคืออย่างนี้ แล้วจับได้ว่าเรามีอาการ 2 เรียกว่า กาย ภายนอกกับภายในปรุงแต่งกันอยู่ ทางกาย 

ไปกระทบสัมผัสกับสัตว์หรือคนนี่แหละเป็นสัตว์ เราก็ยังไปโกรธ ไปโลภ ไปหลงอยู่  ชักจะรู้แล้วเอารู้แค่นี้แหละใช้ได้ เป็นกายแล้ว รู้แค่นี้ แล้วที่หลังลดกิเลสได้ก็เป็นโสดาบันเต็มรูป รู้ได้ก็จะพ้นวิจิกิจฉา แล้วจะมีวิธีปฏิบัติศีลพรตให้ลดละอย่างนั้นอย่างนี้ คุณก็ปฏิบัติตามเรื่อยๆ ถ้าปฏิบัติตามสังโยชน์ 3 นี้ได้คุณก็เป็นโสดาบัน ได้น้อยหนึ่งก็เป็นโสดาบันนิดนึง ได้มากขึ้นก็เป็นโสดาบันมากขึ้น ได้ชัดเจนในเรื่องนี้เลย รู้แล้ว ปฏิบัติแบบนี้จะไม่ผลักไม่ดูดสำหรับเรื่องนี้คนนี้เรื่องนี้ สำหรับเราเอาของเราเองอย่าไปมองคนนั้นคนนี้เขา ไม่ต้อง เอาของคุณให้ชัดๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:21:51 )

ปฏิบัติต้องมีสติสัมปชัญญะสัมผัสภายนอกภายใน

รายละเอียด

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกรอัมพัฏฐะภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยวการลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับการตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.

เขาไปปฏิบัติธรรมพาซื่อ เอาแต่มีสติในการทำกิริยาอาการต่างๆนี้ ก้าว ถอย มอง เหลียว คู้ เหยียด การฉัน การดื่ม เคี้ยว ฯลฯ ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในความรู้สึกเหล่านั้น มีสติ รู้กรรมกิริยาอาการ ที่สัมผัส ต้องรู้ตัวทั่วพร้อม สัมผัสทั้งภายนอกภายใน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเหลือแต่ลมหายใจสั้นหายใจยาวหายใจเข้าหายใจออก นอกนั้นไม่รู้เรื่องเลย มันตัดลัดธรรมะพระพุทธเจ้าทิ้งหมดเลย สั้นจุ๊ดจู๋กุดอยู่แค่นั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 14:25:31 )

ปฏิบัติที่กายกับเวทนา

รายละเอียด

แล้วก็มาปฏิบัติ การปฏิบัติจะต้องปฏิบัติที่กายกับเวทนา โดยเฉพาะกายคือ บอกสภาวะของสภาพสอง สภาพนอก สภาพใน สภาพหยาบ สภาพละเอียด สภาพที่ต่างกัน แต่คุณจะต้องไปปฏิบัติที่เวทนา ตัวความรู้สึกที่ละคู่ๆ อาตมาถึงบอกว่าหัวใจของศาสนาพุทธอยู่ที่พระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:06:29 )

ปฏิบัติที่ตนก่อนหยุดสอนผู้อื่น

รายละเอียด

ก็หยุดสอนเขาก็แล้วกัน แล้วก็ทำตัวเองไปเรื่อยๆจนมีอินทรีย์พละมีกำลังแห่งปัญญา กำลังแห่งเจโต สูงขึ้นพอจะมีปฏิภาณปัญญาพูดกับเขาได้บ้าง ตอนนี้ยังไม่ได้ก็ปฏิบัติที่ตนก็แล้วกันไม่ต้องไปพูดไม่ต้องไปอยากให้เขาบรรลุให้เขาได้รู้ เอาตนก่อน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม พระอรหันต์มาตอบปัญหาประชาธิปไตยแท้ วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:45:07 )

ปฏิบัติที่รสทางลิ้นลึกซึ้งที่สุด

รายละเอียด

ตัวที่ยากมากก็คือ 2 เมื่อเทวะแยกละเอียดมาที่คู่ก็ปฏิบัติที่ กาย เป็น 2 กับสัญญาเป็นตัว 1

จะปฏิบัติที่ กาย กับ สัญญา แล้วเอาที่ปัจจุบันเป็นวิญญาณฐิติ ไปหลับตาอยู่นอกปัจจุบันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายเกิดภาวะ 2 ตาเป็นที่ตั้งของรูป หูเป็นที่ตั้งของเสียง จมูกเป็นที่ตั้งของกลิ่น ลิ้นเป็นที่ตั้งของรส และทางสัมผ้ส และที่ตั้งของรสทางลิ้นนี่แหละ ลึกซึ้งที่สุด ถ้าปฏิบัติตัว รสทางลิ้นนี่ ได้ดี คุณจะเข้าใจหมดเลย นอกนั้น ทางตาทางหู ทางจมูก ทางสัมผัส ตัวลิ้นนี่แหละ สัมผัสก็สัมผัสทั้งตัวเลยคือโผฏฐัพพะทั้งนั้น แต่ลิ้นนี่เป็นภายในละเอียด แล้วไม่เปิดข้างนอกหรอก แต่ข้างในที่คุณสามารถเปิดได้ง่ายก็คือจิต

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

กามโทษ กามาทีนวะไม่ใช่ให้เสพกามคุณ


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 20:26:42 )

ปฏิบัติธรรม

รายละเอียด

ปฏิบัติแล้วเราต้องอ่านจิตของเรา กระทบสัมผัสแล้วเราต้องอ่านจิตในจิต แล้วทำจิตในจิตของตน ให้จิตมีมุทุภูตธาตุ สัมผัสรู้แล้วแยกแยะได้เร็ว มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เร็ว แยกกิเลสได้จัดการกิเลสทันที จัดการกิเลสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กิเลสลดลงได้ด้วยปัญญา การกดข่มมันเป็นอัตโนมัติของแต่ละคนทุกคน ถ้าไม่กดข่มกิเลสรับรองเรี่ยราด ไม่ว่าขี้โลภอยากได้ราคะ หรือโกรธ มันออกมาประจานเต็ม คนกดข่มตามธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันไม่สงวนท่าที ก็เอาออกมาก็เรื่องของสัตว์ แต่คนยังมีองค์ประกอบต่างๆ ไม่ได้ปล่อยออกมาหมดหรอก ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความโลภหรือราคะ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 16:04:07 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:40:01 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:29:03 )

ปฏิบัติธรรม ต้อง เปิดตา เปิดหู ....

รายละเอียด

คือ การเจริญอินทรีย์ภาวนาของพระอริยะอันไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่ามันย่อมต่างกันกับลัทธิอื่นดังที่พระพุทธเจ้าท่านมีในพระสูตรนี้ ดูกรอุตตระ  ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่าฯ  

อุตตระ: แสดงพระโคดมผู้เจริญฯ

พระพุทธเจ้า : ดูกร อุตตระ แสดงอย่างใด  ด้วยประการใดฯ

อุตตระ: ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญในเรื่องนี้ท่านปาราสิริยพราหมณ์  แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสตฯ

พระพุทธเจ้า: ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้  คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหรมณ์ต้องเป็นคนตาบอด  ต้องเป็นคนหูหนวก  เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ  คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วอย่างนี้อุตตรมานพ  ศิษย์ปาราสิริยาพราหมณ์นั่งนิ่ง  เก้อเขิน  คอตก  ก้มหน้า ซบเซา  หมดปฏิภาณ

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 14 ข้อ 854

ธรรมาธิบายพ่อครู จากรายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กันยายน 2562 ( 14:04:31 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:41:09 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:29:26 )

ปฏิบัติธรรม 

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรม  คือ ต้องใช้รูป 28 และนาม 5

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 12:59:10 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:41:47 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:29:42 )

ปฏิบัติธรรมกับเรื่องกินสำคัญมาก

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าถึงได้ตั้งหลักโภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ให้มาปฏิบัติธรรมกับเรื่องอาหาร มีกิเลสรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เรียนได้จนเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นอรหันต์แล้วก็ต้องกินอาหาร แต่หลายอย่างเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ต้องยุ่งกับมันเลยก็ได้ห่างมันไปไกล แต่กินนี่ทิ้งไม่ได้พระพุทธเจ้ายังต้องกิน

ยิ่งคนจะเอาอาหารประณีตสุดยอดเยี่ยมมาให้ เหมือนกับยั่วยวนพระพุทธเจ้าผู้ปฏิบัติธรรมเสมอๆ จะเป็นอย่างนี้แหละ คุณจะได้ไม่ต้องห่วง หัดเรื่องกินนี่แหละสำคัญมาก

อาตมาเคยพูด นึกถึง พันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ เขาว่า อะไรปฏิบัติธรรมไม่มานั่งหลับตา มาพูดแต่เรื่องกินเรื่องกินเรื่องกิน ตะกละ แกว่าอาตมา ว่าพวกบ้ากินหลงกิน ไม่ไปนั่งหลับตา พูดกันอยู่จนหนวกหู พูดแต่เรื่องกินไม่ได้ปฏิบัติธรรม แกว่า แต่พูดไปก็ยังนึกถึงสงสารแก เราไม่เคยโกรธไม่เคยเกลียด แกติดคุกเราก็ส่งอาหารให้ แกก็เขียนจดหมายถึงอาตมาว่า “ข้าวของท่านมียาง” ใช้สำนวนเหลือร้ายเลยนะ ก็ขอระลึกถึงขอบคุณ แต่มีอัตตามากไม่ขอบคุณง่ายๆ เราส่งข้าวน้ำแกตอนแกติดคุก

ที่มา ที่ไป

สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน กินมากจนแน่นท้องทุกวันเป็นสักกายะไหม

วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:37:03 )

ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่บรรลุธรรม มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆคือ... 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในการศึกษาของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่บรรลุธรรม มีอยู่ 2 พวกใหญ่ๆ 

พวกที่ 1 คือ พวกหลับตาปฏิบัติ พวกนี้แค่พูดว่าหลับตาปฏิบัตินี้ตัดประเด็นไปได้เลย พวกนี้ใหญ่มาก มีพวกไม่ใช่น้อย แล้วก็หลับตาแล้วพากันมืดบอดไป เสียชาติเกิดแล้วก็ซวย งมงาย เพราะมันยิ่งมืดยิ่งบอด ยิ่งไม่รู้เรื่อง จมหายไปในภพ ในภวังค์ ไปนานเหมือนอาฬาร ดาบส อุทกดาบส ตายไปแล้วจะได้กลับมาได้ร่างคนกลับมาเกิดอีกนานมาก จนพระพุทธเจ้าอุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอ อาฬารดาบส อุทกดาบส เอ๋ย 

คนไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกตรงนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานว่าตายๆๆ ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ แล้วก็สะกดจิตเอา สะกดจิตเอา จนกระทั่งได้เอารูปฌาน 7 8 คือทำตัวเองให้ฉิบหายอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุทาน มันเสียเวลาไปนานเป็นกัปๆเลย ไม่รู้กี่ล้านปี จม อยู่ในนรกหมกไหม้ที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจมนรกอย่างไร เพราะว่าจิตไม่ได้ตั้งอยู่กับฐาน ตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสัมภเวสี มันไม่มีใครจะบอกใครได้หรอกว่า เอ็งจะลงนรก เพราะเหมือนกับคนนอนฝัน นั่นแหละเหมือนคนตายแล้วก็จิตไปอยู่ในภวังค์ มันก็มีเรื่องมีราว แม้มันจะเงียบได้มันก็ต้องฟื้นขึ้นมารู้ เพราะคนเราธาตุรู้มันรู้มากกว่าไปดับ ไม่จบกิจ แล้วหมดฤทธิ์มันก็ตื่นขึ้นมารับเรื่องอะไรต่ออะไร 

แล้วจิตตัวเองอยู่ในสัมภเวสีมันก็มีแต่ดิ้นรน ดิ้นรนไปตามโลกีย์ที่ตัวเองถูกครอบงำ เป็นกิเลสทั้งนั้นเลย ไอ้หยุดก็กิเลสชนิดหนึ่ง การดับจิตมันเป็นการดับสัญญา อสัญญีสัตว์ ก็มีพลังที่จะสะกดไว้ได้อย่างหนึ่ง 

แล้วหมดความสะกดมันก็จะดิ้นเป็นโลกีย์ แล้วอยู่ในโลกีย์ที่ไม่มีโลกีย์ แล้วก็ไปหลงสร้างว่ามันเป็นโลกีย์ เป็นอุปาทานอยู่ในนรกหมกไหม้ 

อาตมาพูดเป็นภาษาอธิบายให้ฟังประมาณนี้ ซึ่งน่าสงสารมากพวกที่นั่งหลับตา อันนั้นก็แล้วไปเถอะ นั่งหลับตา อธิบายไปไม่ไหวกับเขา 

ส่วนพวกที่ยิ่งใหญ่พวกที่ 2 คือพวกที่เก่ง เก่งทางเปรียญ เก่งทางปริยัติ เก่งทางพระอภิธรรม เก่งทางเรียนบัญญัติ พยัญชนะ ภาษากับตรรกะ ความคิดฟุ้งซ่าน ความรู้ พวกนี้มีแต่ภาษาเป็นตรรกะเป็นเหตุเป็นผล มีเหตุมีผล มีผลต่อเหตุ จ้อยๆๆเลยนะ มีเหตุมีผลมีผลมีเหตุจ้อยๆ 

แล้วในความคิดของคนเหล่านี้ต่างไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ เขามีเหตุมีผลนึกว่าเขาฉลาดแล้วนะ แล้วพวกนี้ไม่รู้จุดสำคัญคือ กาย

มีเหตุมีผลก็เป็นเหตุผลของบัญญัติภาษา เหตุผลของความคิด แต่ไม่รู้จักคำว่า กาย 

คนที่ไม่รู้จักคำว่ากายคือไม่เข้าถึงความเป็นจริงของชีวิต คุณจะจับเหตุผล เพ้อฝันเพ้อพก กับเรื่องหลักเกณฑ์วิธีการอะไรพวกนี้ ไม่เข้ามาสู่ชีวิตจริง 

ชีวิตจริงต้องมีกายคือมีความรู้สึก กับผัสสะ ตาหูจมูกลิ้นภายนอกเรียกว่า กายกับจิต ที่มี 5 คู่ มีกายแล้วคุณก็ยังอวิชชาอยู่ คุณก็จะมี กาม

คุณต้องมาเรียนรู้ กาม ตั้งแต่กามหยาบ ตั้งแต่อบายมุข พ้นอบายมุขก็ยังมีกิเลส กาม การปรุงแต่งด้วยรูปนาม ด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) สภาพคู่ของมัน กับ ตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กาย ใจ 

5 กิเลสนี้ ต้องเรียนรู้และมันเป็นของ หยาบคือเปลือก คุณจะเข้าไปถึงเนื้อ คุณต้องปล่อยหรือปอกเปลือกออกก่อน แต่คนที่เข้าใจผิดไปปอกเปลือกคือนึกว่าไปหาเนื้อ มันไม่ได้ มันเป็นความคิดที่ยังไม่เข้าท่า มันต้องปอกเปลือกได้แล้ว หมดเปลือกก็คือกิเลสภายนอกแล้วกิเลสที่เหลือ ก็เป็นกิเลสภายใน มันถึงจะเป็นความจริง 

ไปคิดเอาไม่ปอกเปลือกแล้วก็ ... เปลือกมันไม่ใช่เปลือกมันผลไม้แต่มันเปลือกเหล็กมันแข็งมันหนา คุณจะเข้าไปหาข้างในคุณจะต้องเอาเปลือกแข็งเปลือกที่เหมือนกันอยู่ข้างนอกออกให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะได้เข้าไปถึงสภาพกิเลสชั้นต่อไปนี้ได้ ถ้าไปคิดเอาง่ายๆว่า ฉันทำภายในเลย ไม่ต้องไปทำข้างนอก มันไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 20 คนที่ไม่รู้จักกายคือคนพิการ วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 12 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 พฤษภาคม 2566 ( 11:03:59 )

ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องมี 3 ข้อใด

รายละเอียด

อาตมาพยายามขยายและสรุปให้ฟังว่า ปฏิบัติศีล จะมีผลอย่างไร เพราะฟังเข้าใจได้ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ถ้าหากปฏิบัติธรรมไม่อยู่ในจรณะ 15 ไม่อยู่ในวิชชา 8 นี้ ไม่ใช่พุทธศาสนา ท่านสรุปไว้หากไม่มี สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา อยู่ในภาคปฏิบัติก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เป็นข้อปฏิบัติ นอกพุทธ ต้องมี 3 ข้อนี้ จึงเป็นการปฏิบัติของพุทธ หากปฏิบัติสำรวมอินทรีย์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับของกินของใช้ ไปนั่งหลับอยู่ภายใน มันไม่ใช่จะต้องมาชาคริยา ไม่มี 3 ข้อนี้โมฆะ เมื่อไหร่จะตื่นสักที 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 15:06:21 )

ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องมีปัจจุบันคืออย่างไร

รายละเอียด

อาตมาสอนธรรมะนี้รู้สึกว่าจะสุดจะหมดอธิบายจนจะไม่เหลืออะไรแล้ว ทางด้านจิตเจตสิกก็พูดไปหมดแล้ว หันมาหาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นปริยัติเพื่อขยายความให้มันครบทั้งความลึกและความกว้าง ทั้งความหยาบถึงละเอียด ละเอียดมาหาหยาบ วนไปวนมาเข้าออกเพื่อให้ครบ เอาอันนี้ พระไตรปิฎกเล่ม 1 พรหมชาลสูตร อาตมาจะผ่านไปที่ สามัญผลสูตร ในพรหมชาลสูตร เป็นพระสูตรแรกที่ควรรู้ เป็นสูตรที่บอกถึงลัทธิเดียรถีย์ต่างๆที่เป็นนั่งหลับตาคือเจโตสมาธิ ก็จะได้แต่เพียงอดีตกับอนาคต อดีต 18 อนาคต 44 ไม่มีปัจจุบัน ถ้าจะปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธต้องมีปัจจุบัน เรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมาเรียนรู้ กามและรูป อรูปอีก 4 เรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ซึ่งท่านก็ทิ้งไว้ตรงนั้น นอกนั้นก็ไปหลงอดีต อนาคตหมด ในการไปนั่งหลับตาจะมีแต่อดีตกับอนาคต ไม่มีปัจจุบัน ปัจจุบันคือคุณจะต้องลืมตา ปัจจุบันต้องมีภายนอก ปัจจุบันต้องมีสติสัมปชัญญะรู้จักนอกในรู้จักรูปนามหมด ท่านทิ้งท้ายว่า ไม่มีสัมผัสเป็นปัจจัยไม่มีฐานแห่งการปฏิบัติ ไม่มีเวทนาให้ปฏิบัติ เวทนาเป็นกรรมฐานของศาสนาพุทธ แต่ไปนอกรีต หลงสมถะ เป็นกสิณ 40 เลอะเทอะไปหมด สรุปแล้วในพรหมชาลสูตรท่านตีทิ้ง จึงมายืนยันปัจจุบันทำงานอาชีพ

ที่มา ที่ไป

เทศน์ ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:39:33 )

ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องลืมตาต้องเห็น

รายละเอียด

พวกนั่งหลับตาไม่มีรูป ปฏิบัติธรรมของพุทธต้องลืมตาต้องเห็น ตาไม่บอดทำไมไม่ลืมตามาเห็น จะโง่ไปถึงไหนกัน หลับตาไปปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการออกนอกรีตศาสนาพุทธ วิโมกข์ 8 ข้อที่ 1 ก็ไม่ผ่านแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วิโมกข์ 8 วันพุธที่ 17 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 เมษายน 2564 ( 16:19:45 )

ปฏิบัติธรรมคล้ายขึ้นบันไดต้องยึดให้มั่นไปทีละขั้นแล้วปล่อยวางในที่สุด

รายละเอียด

ใช่ เรายึดตรงนี้เหมือนเราขึ้นบันได ก็ยึดไปทีละขั้น หากไม่ยึดทีละขั้น คุณก็หกล้มสิมันต้องอาศัย ท่านจึงใช้คำว่าอย่ายึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ว่าไม่ยึดอะไร ยึด แล้วก็ทำไปตามลำดับเสร็จแล้วหมดทุกอย่างต้องไม่ยึด แม้แต่ความเป็นเราเป็นของเรานั่นเป็นตัวจบ ก็คงจะเคยได้ยิน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 33 ไม่มีความไม่จริงในสิ่งที่

พ่อครูพูดเรื่องโลกุตระ วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 28 มิถุนายน 2565 ( 15:34:16 )

ปฏิบัติธรรมควรเริ่มจากเรื่องใดก่อน

รายละเอียด

คุณถามมานี้กว้างเหลือเกิน เอาอย่างนี้คุณมาคุยกับพวกเราคนที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ บอกว่าปฏิบัติอย่างไร อาตมาจะไปแกล้งเป็นคนไม่ฉลาดมันก็ยาก ให้มาถามคนที่ไม่ฉลาดจริงๆ เขาจะมีหลักปฏิบัติ ซึ่งบอกคร่าวๆว่าคือการปฏิบัติศีล ศีล เป็นตัวตั้ง ตั้งแต่ศีล ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณไม่ต้องไปคิดหรอก เพราะมันกว้างเหลือเกินที่คุณพูดมา เป็นคนฟุ้งซ่านอย่างที่คุณว่ามา มันกว้างไปมันเด็กๆเกินไป มาเอาตัวนี้เลย อาตมาขอเกริ่นนำ 

ข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ข้อที่ 2 เกี่ยวกับของและพืช ข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส 

เท่าที่อาตมาพูดไปนี้พยัญชนะภาษาและการปฏิบัติ แค่นี้หยาบๆตื้นๆก่อน แล้วคุณจะค่อยๆมีพื้นฐานที่ดี พื้นฐานดี ปฏิบัติต่อไปมันจะเป็นลำดับอย่างดี จะไปได้เร็ว ได้ราบรื่น ไม่กลับไปกลับมาวุ่นวายสับสน แต่มันจะเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม  อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:44:46 )

ปฏิบัติธรรมคือกรรม

รายละเอียด

ที่เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อมจนเข้าใจไม่ได้ในธรรมนิยาม 5 ที่จะรู้จักอาการของพลังงาน พลังงานระดับอุตุนิยาม ตัดกรอบแค่ไหน พลังงานขนาดพีชะ ตัดกรอบแค่ไหน พลังงานระดับจิตนิยามก็เป็นพลังงานระดับสัตว์เต็มๆตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว จนถึงสัตว์มนุษย์ จนกระทั่งจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้านั่นแหละ เจริญสุด ซึ่งเจริญได้ด้วยการประพฤติ มีการกระทำเรียกว่า กรรม มีการสั่งสมลง ทรงไว้ หรือว่า ธรรม ธรรมะ การกระทำคือกรรม กรรมกับธรรมะ 2 อันนี้ ก็เป็นตัวเหตุและรูปนาม หรือตัว 2 ตัวคู่ที่จะต้องปฏิบัติ เทวฺ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมคือกรรม คือสภาพของกิริยาอาการ ธรรมะคือสิ่งที่สะสมแล้วก็ตกผลึก เป็นกองทุนสะสมธรรมะ ให้มันสมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ นำปฏิญาณศีล 8 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 ราชธานีอโศก วันพุธที่ 5 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 05:53:48 )

ปฏิบัติธรรมด้วยการกินอาหารเป็นไฉน

รายละเอียด

เอาแต่เรื่องการกินอาหารก่อน
คนปฏิบัติธรรมด้วยการกินอาหารแล้วก็เรียนรู้จากอาหาร ให้รู้จักการกินอาหารอย่างหยาบที่สุด เรากินอาหารให้เป็นมื้อเป็นคราว จะกินเลอะเทอะกินทุกอย่างที่ขวางหน้ากินแหลกกินไม่ยั้งกินจุบกินจิบ อย่างนี้ตายง่ายเลยคนนี้ หรือไม่ก็สุขภาพเสีย อ้วนฉุเละเทะ ดีไม่ดีเป็นโรค กินเข้าไปมากๆอย่านึกว่าไม่เป็นโรคนะ อย่างน้อยก็เป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือดตาย เห็นไหมบางคนกินมากจนกระทั่ง นอนคาเตียงเบะ น้ำหนัก 200-300 กก. ควรให้เขาฝึกหัดอดกินบ้าง เขาหยุดไม่ได้... หรือกินแล้วไม่พิจารณาเห็นโทษเห็นภัย อะไรที่เป็นโทษ เช่น ให้รู้จักโภชเนมัตตัญญุตา อะไรไม่เป็นประโยชน์ไม่ควรกิน 

สูงขึ้นไปเรารู้ว่าเรากินสิ่งที่ชอบ ชอบในรสในกลิ่นของมัน ชอบในสัมผัสของมัน กินแล้วเหนียวดี เคี้ยวแล้วอร่อย หรือกินแล้วกรอบดี ของทอดนี่ หรือของเหนียวก็ชวนให้เคี้ยว เคี้ยวแล้วมันเหนียวพอเหมาะ เคี้ยวดีเหมือนพวกชอบเคี้ยวหมากฝรั่ง ต่างๆนานาพวกนี้ 

สรุปแล้วให้เรียนรู้เรื่องกินอาหาร อย่าไปกินเละเทะ ศึกษากับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่บอกว่าอันนี้ควรกินอันนี้ไม่ควรกินอันนี้เป็นโทษ ผู้ใหญ่ที่อยู่กับพวกเราพอมีความรู้ก็ค่อยๆเรียนรู้ไปและเราก็จะมีปฏิภาณปัญญารู้ของเราเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์รายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 22 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 20:37:54 )

ปฏิบัติธรรมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้านั้น ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ไปตามลำดับอันน่าอัศจรรย์จะสำเร็จอย่างบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกพระอุบาลีไว้ว่า ถ้าคุณไม่มีจิตเป็นสมาธิไปอยู่ในป่า ป่าจะเอาหัวใจของคุณไปเสียแน่ สมาธิตัวนี้คือสมาหิโต ไม่ใช่มิจฉาสมาธิที่ไปนั่ง

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 13 กันยายน 2563 ( 12:51:15 )

ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุผลสาระสำคัญของชีวิต

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกชาวอโศกนี่ อาตมาจึงเห็นว่า มันบริบูรณ์ด้วยเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ที่เป็นสิ่งที่อาศัยใช้สอยในชีวิต ที่สำคัญเป็นหนึ่งในโลกอยู่รอด อาหารเป็นหนึ่งในโลก เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ ยารักษาโรค ก็เป็นรองลงไป  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่ได้ขาดแคลน

ปฏิบัติธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วพวกเราก็บรรลุผลสาระสำคัญของชีวิตก็อุดมสมบูรณ์  แล้วเราก็ยิ่งเข้าใจต่อไปเลยว่า  ความไปหลงว่า เพชรนิลจินดา เครื่องประดับเครื่องพอก เครื่องทา หลงอบายมุขมันเป็นสิ่งที่จะต้องไปเสียเวลาทุนรอนแรงงานกับมันเราก็เลิกมาได้เรื่อยๆ แต่ก่อนนี้ไร้สาระมากเรานี้โง่เดี๋ยวนี้เลิก

นี่แหละคือวิมุติ  คือความหลุดพ้น ที่ยืนยันได้ตามพระอนุสาสนีตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่หลุดพ้นแล้วจิตก็เป็นเทวดา เป็นทิพย์ หลุดพ้นอย่างนู้นอย่างนี้ มันไม่ใช่ มันมีรูปมีนาม มีภาวะปรากฏการณ์ มีพฤติกรรมในชีวิต  หลุดพ้นมาจากโลกอบาย หลุดพ้นมาจากโลกกามารมณ์ กามคุณ ที่ไปติดยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส       

กามคุณ 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราสัมผัสแล้วแต่ก่อนจี๋จ๋า รูปสวยต้องสัมผัสๆ เสพรสสวย เสียงก็ต้องได้รับสัมผัสๆกับเสียง ไม่ได้ยินเสียงไม่มีเสียงที่เราติดเรายึดไม่อร่อยก็รู้สึกว่ามันขาดอะไร จิตไม่มีชีวิตชีวา จิตขาดสิ่งที่เราต้องการก็ลดลงๆ เรื่องกลิ่นก็ไม่กระไร เรื่องรสทางลิ้น โอ้โห..มาก รสทางลิ้น ติดนาน ติดละเอียดติดหลายแบบหลายมุมหลายแง่กว่าจะหลุดพ้น จะรู้สึกว่ารสพวกนี้มันก็เป็นอย่างที่มันเป็น เปรี้ยวก็เปรี้ยว เค็มก็เค็ม หวานก็หวาน ขมก็ขม มันก็เป็นรสของมันอย่างนั้น แล้วเราก็ไม่ได้ไปชื่นใจ ไปผลักไปดูดกับมัน รู้ความจริงตามความเป็นจริง รู้ว่ามันจำเป็นสำคัญมันขมหน่อยก็กิน มันเป็นธาตุที่จำเป็นที่ควรจะต้องกินหรือว่าจะต้องกิน เขาเอามาให้ไม่มีอะไร มีแต่อาหารขมๆก็ต้องกินมันทั้งขมๆนี่แหละ มีแต่อาหารจืดๆก็กินมันทั้งจืดๆ มีแต่อาหารหวานๆก็กินมันทั้งหวานๆนี่แหละ แต่มันก็มีหลายอย่างอยู่หรอก ไม่ใช่มีอย่างเดียวทีเดียว 

เราก็ไม่ได้ไปเลือก เห็นความสำคัญในความสำคัญว่า กินอาหารอันนี้ จะเค็ม จะเปรี้ยว จะหวานก็แล้วแต่ มันมีธาตุที่ควรจะต้องได้รับเข้าไปในร่างกาย เราก็รู้ก็เข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 45 วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 เมษายน 2566 ( 12:16:13 )

ปฏิบัติธรรมต้องมีทิฐธรรมนิพพานทิฏฐิเป็นปัจจุบันกาล

รายละเอียด

ฟังความนี้ให้ดี ผู้ที่นั่งหลับตาปฏิบัติ กิเลสกาม กิเลสรองลงมา ที่เป็นขั้นต้นขั้นกลางคุณไม่ทำ คุณไปนั่งหลับตาแล้วไปสร้างภพใหม่ เพราะฉะนั้นคุณไม่ได้ล้าง กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่ได้ล้างเลย แต่คุณไปสร้างภพใหม่เป็นอุปาทาน เป็นมโนมยอัตตา เป็นนิรมาณกาย คุณก็เห็นว่ามันมีความดิ้น จริง หลับตามันเป็นความดิ้นออกมาหากาม ปฏิฆะ ซึ่งมันเป็นความจำนะ ไม่ใช่ของจริงนะ สัญญามันจำแล้วมันก็ดิ้นตามที่มันดิ้น มีกามมีพยาบาท มันก็ดิ้น แต่ไม่ใช่ของจริงที่ตาคุณกระทบรูปหูกระทบเสียง อย่างนั้นไม่ใช่ของจริง ของจริงมันต้องเป็นปัจจุบัน ทิฏฐธรรม ปฏิบัติธรรมต้องมีทิฐธรรมนิพพานทิฏฐิ เป็นปัจจุบัน กาล ปัจจุบันชาติ คือทิฏฐธรรมเป็นกาละที่แสงสว่างมีการเปิดตาหูจมูกลิ้นกาย นิพพานที่เขาว่าของเขาไป ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ในการหลับตาปฏิบัติ มีกาม และอีก 4 คือฌาน 4 รวมกันเป็น 5 เป็นทิฎฐรรมนิพพานทิฐิ เข้าไปนั่งหลับตาปฏิบัติแล้วหลงนึกว่าเป็นปัจจุบัน แต่เขาไม่มีแสงสว่างไม่มีการลืมตาไม่มี กามภพ เขาก็งมงายอยู่อย่างนั้น เขาไม่มีความรู้เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายไม่มี กามภพ รูปภพอรูปภพที่ได้ล้างแล้วไม่มี แต่เขาไปนั่งหลับตาอยู่ในภพสร้าง ภพซ้อนเข้าไปอีก ซึ่งจะมากเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งอย่างอาจารย์มั่นที่สอน เขาก็นึกว่าเขาเก่ง สอนวิญญาณต่างๆ เสร็จแล้ววิญญาณต่างๆก็มาเรียนรู้กับอาจารย์มั่น มีเทวดาจากเยอรมัน จำได้ที่มหาบัวเขียนไว้ เป็นเรื่องของสัมภเวสีเป็นอวิชชา ได้แต่ฟุ้งซ่านไปปั้นน้ำเป็นตัว ปั้นอากาศเป็นตัว แล้วทำอย่างไรก็ได้ คิดอย่างไรก็ได้ เป็นจินตนาการเอาเอง ปั้นขึ้นมาเอง ลมๆแล้งๆ ซึ่งมันไม่มีที่รองรับ ไม่มีความจริงเลยที่น่าสงสารมาก แล้วก็สอนกันอยู่อย่างนั้นเป็นการยึดมั่นครูบาอาจารย์ ฟังอาตมาบ้าง ปรโตฆษะ ไม่เหมือนที่อาจารย์คุณสอน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2563 ( 11:01:17 )

ปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะ

รายละเอียด

แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาถ้าเผื่อว่าเราปฏิบัติธรรม เราศึกษาธรรม มีผัสสะ มีอุปสรรค มีข้อที่เราจะต้องให้เกิดแก้ไขปรับปรุงจัดการ นี่คือความเจริญ ถ้าเรารู้ เราไม่กลัวอุปสรรค เราไม่กลัวผัสสะ เราไม่กลัวอะไร เพราะว่ายิ่งมีผัสสะมาก หรือผัสสะแรง มีประสิทธิภาพสูง เราก็ยิ่งต้องแก้ไข จะต้องเก่งขึ้น ได้ประโยชน์ ถ้าเราเข้าใจนะ แต่อาตมา อาตมากำไรเยอะเพราะว่า ผัสสะมาจากเถรสมาคมเขาให้ได้โจทย์ โอ้โห หนักหนาสาหัส อาตมากำไรเยอะแยะเลย

ที่มา ที่ไป

สื่อธรรมะพ่อครู(ปกิณกะ) ตอน ชีวิตต้องมีอุปสรรค ถึงเจริญ

วันที่ 14 กรกฎาคม 2561


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 16:18:13 )

ปฏิบัติธรรมต้องมีมาตรวัดของจิตคือ เจโตปริยญาณ 16 

รายละเอียด

พยายามทำความเข้าใจ อาตมาก็ฟังเข้าใจที่คุณพูดก็น่าเห็นใจ เพราะอาตมาขอยืนยันว่า อาตมาพูดคำสอนนี่มันเป็นโลกุตรธรรม มันไม่ง่ายนัก ก็พยายาม อาตมาก็เข้าใจให้คุณรู้ตัว ฟังบ่อยอยู่แต่ว่าไม่ถึงจิต 

คำพูดของคุณนี่ คุณบอกว่าคุณเข้าใจคำสอนอาตมา ฟังเข้าใจ แต่ไม่ถึงจิต อันนี้เป็นความรู้ของคุณแล้ว เพราะฉะนั้นพยายามศึกษาเรียนรู้ให้ดีว่า เมื่อคุณเองมีปัญญาหรือปฏิภาณหรือสัญญากำหนดอ่านเข้าไปถึงจิตในจิต โดยเฉพาะจิตในจิตนี้ เจโตปริยญาณ 16 ไปถึงจิตในจิต รู้จักอาการของจิต แล้วก็แยกอาการของจิตได้ 

เจโตปริยญาณ 16

คือความรู้รอบถ้วนในสภาวะต่างๆของจิต

คือการกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ขั้น-ต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) รู้บุคคลขั้นต่ำ-สูงอื่นๆ ในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์

1. สราคจิต (จิตมีราคะแล้ว ก็รู้ว่าจิตมีราคะ) 

2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะแล้ว ก็รู้ว่าจิตไม่มีราคะ) 

3. สโทสจิต (จิตมีโทสะแล้ว ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ) 

4. วิตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะแล้ว ก็รู้ว่าจิตไม่มีโทสะ) 

5. สโมหจิต (จิตมีโมหะแล้ว ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ) 

6. วิตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะแล้ว ก็รู้ว่าจิตไม่มีโมหะ) 

7. สังขิตตจิต (จิตหดหู ก็รู้ว่าจิตหดหู จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) 

8. วิกขิตตจิต (จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 

9. มหัคคตจิต (จิตสูงขึ้น รู้ว่าจิตเจริญยิ่งใหญ่สูงขึ้นแล้ว) 

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่สูงขึ้น รู้ว่าจิตไม่สูงขึ้น) 

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีอื่นยิ่งกว่า รู้ว่ายังมีดียิ่งกว่านี้) 

12.อนุตตรจิต (จิตไม่มีดีอื่นยิ่งกว่า รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่านี้แล้ว) 

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่น รู้ว่าจิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว - สมาธิของพุทธ) 

14. อสมาหิตจิต (จิตไม่ตั้งมั่น รู้ว่าจิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว) 

16. อวิมุตตจิต (จิตไม่หลุดพ้น รู้ว่าจิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) 

(พระไตรปิฎก เล่ม 9 “อัมพัฏฏสูตร” ข้อ 163)

เจโตปริยญาณ 16  สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วคุณฟังธรรมไป แล้วคุณสามารถทำ อปัณณกปฏิปทา 3 มีวิธีข้อปฏิบัติ ที่มัน “เออ! มันทำให้กิเลสลดได้”  คุณก็รู้ว่า “โอ้..เราพอทำให้กิเลสลดได้แม้ปัจจุบันนี้ทำนี่  โอ้! ลดลงได้บ้าง ลดได้เห็น” อ่านอาการจิตในจิตออก อย่างนี้ ก็เห็น สราคะ มาเป็น วีตราคะ หรือเห็นโกรธ สโทสะ คุณก็เห็น “เออ! มันลดโทสะได้ วีตโทสะ เออ! “ คุณเห็นจิตในจิต อ่านจิตในจิตอย่างนี้แหละ ได้ เพราะฉะนั้นพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต พอไปถึงจิตในจิตมันจะมีสูตรของ เจโตปริยญาณ 16 จะรู้จิตตัวเอง ลดราคะ โทสะ โมหะ ได้

มันได้หรือมันยังไม่ได้ แต่มันกลายเป็น “สังขิตฺตํจิตตํ” หรือ “วิกขิตฺตํจิตตํ” ตามตระกูลจิตของคุณ ได้อยู่แต่มันยังไม่ดี ยังไม่ดียังทำอยู่ ฮื้อ! ยังไม่กระจัดกระจาย สังขิตฺตํจิตตํ ถ้าวิกขิตฺตํจิตตํ นี้กระจัดกระจาย จับไม่ติด มันคนละแบบ พอรู้ตัวเองว่า ยังจับเนื้อ จับหนัง จับสัจจะยังไม่เป็น ยังไม่ได้รายละเอียด สรุปง่ายๆ สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ ไม่ได้ คุณก็ต้องศึกษาให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้น “มหัคคต” มหะ+อัคคะ ทั้งมาก ทั้งอัคคะ-เลิศยอด ทำให้มันได้ ให้มันมหัคคตะ   ทำไม่ได้มันก็ยังเป็น”อมหัคคตะ”อยู่นั้นแหละ คุณก็ต้องทำ จนมันได้ จนมันเป็น มหัคคตะ ขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นๆ ไป ก็เรียกด้วยศัพท์ว่า สอุตรังจิตตัง เป็นจิตที่ดีเจริญขึ้นๆ เรื่อยๆ แต่เราจะรู้จิตของเราเองว่า ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่จบ ยังไม่เป็น อนุตตรังจิตตัง นี่ก็คือเป็นมาตรวัดของการปฏิบัติธรรม 

ถ้าคุณเข้าใจอย่างที่อาตมาอธิบายมาถึง 12 ตัวแล้วนี้ อนุตตรังจิตตัง คุณมีหวังเป็นอรหันต์ ปฏิบัติไปเถอะ ถ้าคุณทำแล้วก็รู้จิตตัวเองมาถึงขนาด “โอ้! จิตดีแล้วนะนี่ สอุตรังจิตตัง แล้ว แต่ยังไม่ อนุตตรังจิตตัง ยังไม่สูงสุดก็ทำต่อจากที่คุณเคยทำมานี้ จนกว่ามันจะบริบูรณ์ เป็นสมาหิตะ เป็นวิมุติ วิมุตตังจิตตัง หรือสมาหิตังจิตตัง คือตั้งมั่นเป็นสายเจโตสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์จิตสะอาด ตั้งมั่น แข็งแรง วิมุติหลุดพ้นด้วยปัญญาและเจโต เป็นอุภโตภาควิมุติ 

นี่แหละคือ มาตรวัดเจโตปริยญาณ 16 ถ้าใครไม่มีมาตรวัดอันนี้ ไม่รู้รายละเอียดเหล่านี้ เอาล่ะ คุณอาจจะไม่รู้รายละเอียดเหมือนอย่างที่อาตมาพูด เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นพยัญชนะไว้ให้เป็นพระสูตรเลย ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ  อาตมานี่สายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรงก็เลยเข้าใจหมด อธิบายให้ฟังโดยละเอียดๆได้ (ปฏิสัมภิทาญาณคือความรู้แตกฉาน 4 ด้าน อัตถะ, ธรรมะ, นิรุตติ, ปฏิภาณ)

ผู้ที่มีอยู่ มีความรู้ ญาณปัญญา เจโตปริยญาณ 16 ได้ แต่จับมาแยกแยะเป็นชิ้นๆๆๆ เหมือนอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ แต่เข้าใจอยู่ถูกตัวของแต่ละตัว แต่ละตัวอยู่เหมือนกัน ก็ได้ แล้วเยอะด้วย ที่จะรู้อย่างอาตมาน้อย ที่จะแยกแยะได้ชัดเจนอย่างนี้ น้อย 

นี่อาตมาไม่ได้คุยตัวเองนะ อาตมาไม่ได้โม้ไม่ได้หลงตัวเองอาตมาพูดสัจจะให้ฟัง ว่าให้ศึกษาดีๆ แล้วจะรู้อย่างที่อาตมารู้กัน 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สำนึกรู้เพื่อเข้าสู่โลกที่ดีที่สุด คือโลกโลกุตระ วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2566 แรม 14 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 15:39:28 )

ปฏิบัติธรรมต้องรู้จักการทำใจในใจ(มนสิการ) ต้องรู้จักอาการของรูป-นาม!

รายละเอียด

การปฏิบัติธรรมของพุทธคือ “การทำใจในใจ(มนสิการ)” นั่นก็คือ การจัดการกำจัดกิเลส ซึ่งกิเลสก็อยู่ที่ใจ ไม่อยู่ที่อื่น​

เริ่มต้นจะมี“การทำใจในใจ”คือ“มนสิการ”ได้นั้นจะต้องมี“ผัสสะ”จึงจะเกิด“เวทนา”ให้เราปฏิบัติได้ แล้ว“สัญญา”ก็จะเข้าไปทำงาน“กำหนดรู้”รูป และ“กำหนดรู้”นามต่างๆปฏิบัติได้

การปฏิบัติธรรมของพุทธจึงต้องมี“นามรูป”หรือมี“กาย”หรือมี“เทฺว”เสมอตลอด ต้องมี“ภาวะที่ถูกรู้”คือ“รูป” และต้องมี“ภาวะของผู้รู้เอง”คือ“นาม” ขาด“ภาวะ 2”ปฏิบัติไม่สำเร็จ “นาม”ที่จะเข้าไปกำหนดรู้อย่างสำคัญก็คือ“เจตนา” ซึ่ง “เจตนา”ก็มี“3 ตัณหา” ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนืยม เล่ม 2 ข้อ 173 หน้า 152


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 12:45:34 )

ปฏิบัติธรรมต้องลืมตา หลับตาเป็นเตวิชโช

รายละเอียด

ถูกต้องแล้ว คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว เพราะว่า สมาธิก็ตาม ฌานก็ตาม การปฏิบัติธรรมของพุทธเจ้าต้องปฏิบัติธรรมแบบลืมตา การหลับตาใช้ในการตรวจสอบ ไม่ใช่ใช้ในการปฏิบัติธรรม เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรวจสอบการเกิดการดับที่ผ่านไปแล้ว หรือตรวจสอบว่าเราทำได้เท่าไหร่ มีกิเลสเหลืออยู่หรือไม่เหลืออยู่หรือสิ้นอาสวะแล้วอย่างนี้เป็นต้น ก็หลับตาไม่รับรู้ภายนอกไตร่ตรองภายในเป็นเตวิชโช ก็ใช้วิธีนั้น แต่ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม นัยยะละเอียดนะ การตรวจสอบเตวิชโช ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม แต่เป็นการตรวจสอบผลที่ทำผ่านมาแล้วบุพเพนิวาสานุสติญาณ กิเลสมันเกิดกิเลสมันดับตอนนี้มีกิเลสอยู่หรือไม่ ดับได้แล้วบางส่วนเรียกว่า ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์ บุญคือการกำจัด คือการชำระกิเลส ชำระไปกี่ส่วนแล้วหรือหมดแล้วเป็นอนาสวะ หากจัดการได้เป็นส่วนก็เป็น สาสวะ เป็นเสขบุคคล ดับได้หมดก็เป็นอนาสวะ เป็นอเสขบุคคล คนไม่เข้าใจก็สับสนปนเปเลอะเทอะ ก็สรุปอีกที การปฏิบัติธรรมะของพุทธเจ้าต้องลืมตาปฏิบัติ หลับตาปฏิบัติไม่ได้ อาตมาก็จำเป็นต้องย้ำ เพราะเขาหลงผิดไปไกล ที่พูดนี้คงไม่ได้แก้พวกที่จมอยู่ในความหลับตาลงอยู่อย่างนั้น คงแก้ไม่ได้แล้ว แต่พูดย้ำเพื่อคนที่จะไปหลงตาม ให้ได้รู้ ให้ได้ฟัง ให้ได้ยิน ให้ได้คิด จะได้สะดุดใจว่า ที่เขานิยมกันเยอะแยะมากมายทำไมว่าอย่างนี้ ของเราพวกน้อยก็ต้องย้ำต้องพูด ยืนยัน อธิบาย เอาหลักฐานในพระไตรปิฎกมาอ้างอิงยืนยันตลอดเวลา เขาก็ยังไม่กระดิก ยังจมอยู่กับความหลงอยู่อย่างนั้น ก็น่าเห็นใจ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:08:55 )

ปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต จริงหรือ

รายละเอียด

โยมบุญ เข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมคือการภาวนา และแปลการภาวนา ว่าเป็นการนั่งหลับตาสะกดจิต นั่งหลับตาทำสมาธิ โยมบุญ ใจอย่างนี้จริงๆด้วย สู่แดนธรรม พูดมานี้ทำให้อาตมานำเข้าไปสู่จุดลึกได้ 

โยมบุญเข้าใจว่าปฏิบัติธรรมต้องไปนั่งหลับตาสะกดจิต สายมหาบัว สายพระป่า สายปฏิบัติทุกวันนี้เป็นเทวนิยม นั่งสะกดจิตทั้งนั้น เป็นสมาธิหรือเป็นฌาน ผิด ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งสมาธิแล้วเกิดฌาน ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น ลืมตากระทบสัมผัส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ โดยมีศีลเป็นข้อต้น มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นหลักการในการปฏิบัติ 

คือมีการรู้ตัวอยู่ มีสติเต็ม ชาคริยานุโยคะ สัมผัสรู้เหตุปัจจัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะกินข้าว เป็นต้น แล้วก็จะมีครบเลยในทวารที่ไปรับรู้ทั้งหมด มีสติสัมปชัญญะพิจารณารอบถ้วน ให้รู้กรรมกิริยาที่เคี้ยวคำข้าว สัมผัสอาหาร ทุกอิริยาบถ รู้รูปนามทั้งหมด ว่ากามมันเกิดทางไหนบ้าง หรือปฏิฆะ เกิดทางไหนบ้าง แล้วรู้ทันกิเลสนั้น สร้างพลังงานปัญญา พลังงานฌานให้รู้เท่าทัน จนกิเลสนั้นไม่เกิดได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาโยมบุญ ให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 แรม 6 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 12:36:12 )

ปฏิบัติธรรมที่ผิด

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"เราชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกับพระสุคตเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณทลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด 6 ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด ฯ" พระองค์ก็ตรัสย้ำอีกว่า จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางผิด ท่านบอกชัดๆนะว่า อย่าไปแสวงหากันทางนั้น นั่นมัน "ทางผิด" และ ตรัสไว้ท้ายบทชัดอีกว่าตลอด 6 ปี เรามิได้บรรลุโพธิญาณสูงสุดด้วยหนทางนี้

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฏก เล่ม 32 ข้อ 392

หนังสืออ้างอิง

หนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 98


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2562 ( 14:18:58 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:34:26 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:30:08 )

ปฏิบัติธรรมที่ไม่มีมรรคมีองค์ 8

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมของเขาทุกวันนี้ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เขาได้ปฏิบัติอาชีพ 5 ที่ไหน ปฏิบัติกัมมันตะที่พ้นมิจฉา 3 ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร  เขาไม่ได้ปฏิบัติเลย เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาไม่ได้ปฏิบัติอาชีวะที่ให้พ้นมิจฉาชีพ 5 เขาก็กุหนา ลปนากันอย่างหลงงมงายเลย เกิดเรื่องเกิดราวสารพัดกัน ที่จริงเขาประนีประนอมซูเอี๋ยกัน ถ้าไม่ประนีประนอมกัน เขาปาราชิกกันไปเยอะแล้ว โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 11:28:37 )

ปฏิบัติธรรมผิด ทรมานในป่า

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า ท่านเองมีวิบาก คือในปางหนึ่ง ชาติปางก่อนท่านชื่อว่าโชติปาละ ท่านไปว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์นั้นชื่อพระกัสสปะนี่แหละ ตอนนั้นพระพุทธโคดมพระองค์นี้เป็นนายโชติปาละ นายโชติปาละไปละลาบละล้วงว่าพระพุทธเจ้ากัสสปะในปางโน้นว่า "จ้างก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าหรอก" ก็เลยบาป ท่านเล่าให้ฟังว่า เพราะเราไปว่าพระพุทธเจ้าองค์นั้น จึงมีเศษบาป มีวิบาก ต้องไปใช้หนี้บาปอยู่ในป่าถึง 6 ปี ที่พระพุทธโคดมต้องทรมานอยู่ในป่านั่นแหละ ไปปฏิบัติผิดๆหลงทางปฏิบัติผิดอยู่ 6 ปี ฟังให้ดีนะที่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญ 6 ปีในป่า นั่นคือเศษบาปที่ท่านต้องไปรับทุกข์ทรมานอยู่ในป่าถึง 6 ปี 6 ปีไม่ใช่ทางบรรลุ ท่านก็ทรงบอกไว้ชัด "เราไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณด้วยทางนั้น" การอยู่ป่า 6 ปีนั้นเป็น "ทางผิด" นี่ท่านตรัสไว้ เป็นการปฏิบัติหลงทางทั้งสิ้น ผู้สืบทอดศาสนาพุทธเข้าใจศาสนาพุทธผิดทางปฏิบัติก็ผิด แบบอย่างการดำเนินชีวิตก็ผิด เป็นคนไม่รู้จักเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ไม่รู้จักรัฐศาสตร์ ไม่รู้จักสังคมศาสตร์ ไม่รู้จักศึกษาศาสตร์ ...

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ สาธารณโภคีเศรษฐกิจชนิดใหม่ หน้า 126-127


เวลาบันทึก 22 กันยายน 2562 ( 16:51:31 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:37:25 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:30:37 )

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะรู้จักความสำคัญของชีวิต

รายละเอียด

ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอาริยะแล้วไม่สะสมเงินทองทรัพย์สินที่โลกเขา นิยมยกย่องให้เป็นคุณค่าแม้แต่ทองคำเราก็ไม่สะสม แต่รู้จักปัจจัยชีวิต คือข้าว ผ้า ยา บ้าน รู้จักความสำคัญของชีวิต ข้าว ผ้า ยา บ้านที่อุดมสมบูรณ์เท่านี้แหละ ให้ดี ให้อุดมสมบูรณ์จริงๆให้มากจนกระทั่งเผื่อแผ่ไปเป็นอำนาจโลก ไม่ใช่ไปเอาธนบัตรเป็นอำนาจ ไม่ใช่เอาอาวุธปืนเป็นอำนาจ แต่เอาอาหารเป็นอำนาจ เอาข้าว ผ้า ยา บ้านเป็นอำนาจ เผื่อแผ่คนอื่นให้เขา เป็นกองพลาธิการของโลก 

อันนี้จะชนะอย่างสงบ จะชนะอย่างอบอุ่น  จะชนะอย่างสะเด็ด จะชนะอย่างเด็ดขาด อย่าง Absolute เลย เพราะมันจะกินถึงจิตวิญญาณของมนุษยชาติ แล้วมนุษยชาติทุกคนที่จะพัฒนาไปสู่ความสูงสุดทางจิตวิญญาณ ก็จะมาหาโลกุตรธรรม

เพราะฉะนั้นเมืองไทยเป็นแกนของโลกุตรธรรมแล้ว ชมพูทวีปจากประเทศอินเดีย ก็ย้ายมาอยู่ที่ประเทศไทยแล้ว เมืองไทยมีโลกุตรธรรม

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 3 พ่อครูพบ ดร.สุริยะใส กตะศิลา

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 พฤศจิกายน 2565 ( 20:20:58 )

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าให้จับที่เวทนาเป็นหลัก

รายละเอียด

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจับเป้าเข้าที่เวทนา เป็น goal เป็นเป้า เป็นที่ที่จะต้องเข้าไปถึงจิตตรงนั้น ทำจุดตรงนั้นให้ทะลุเป็นศูนย์ ศูนย์กลางหรือ ศูนย์สูญเลย อยู่ที่เวทนา ในกระบวนการสติปัฏฐาน 4 พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ตัวพิจารณาจริงๆอยู่ที่เวทนาในเวทนา 

กายในกาย ก็เป็นองค์ประกอบข้างนอกข้างในจิตและเข้าใจในเวทนาข้างนอกข้างในจิต เรียนรู้ที่เวทนานี่แหละ เมื่อเรียนรู้ในกายในจิตได้ก็จะได้รู้จักเวทนา โดยเฉพาะลึกเข้าไปหาจิต ก็จะไปเรียนรู้เจโตปริยญาณ 16 คือจิตในจิต จนกระทั่งลดละกิเลสราคะโทสะโมหะตามลำดับรายละเอียดของกระบวนการจิตกับกิเลสลดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไป วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ไม่ให้เกิดกิเลสราคะโทสะโมหะแล้วเกิดเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตตังจิตตัง ...

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ใครคือผู้ถึงแก่น ใครเป็นผู้หลงกิ่งใบดอกผล วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2565 ( 15:11:29 )

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้สำเร็จจะเป็นคนเช่นไร

รายละเอียด

อาตมานี่ต่อให้แก่อายุ 100 กว่า ก็จะยอมให้เรียกแก่บ้าง แม้มีคนเห็นด้วยเท่านี้ก็ภูมิใจแล้ว ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นคนในสังคมโลกที่มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ มีจริงๆไม่ได้พูดเล่น ปฏิบัติได้เป็นจริงเลยพวกเรานี้มีสิ่งเหล่านี้ จึงเป็นคนอยู่ในสังคมในประเทศอยู่ในโลก ที่ไม่เบียดเบียนใครไม่เป็นภัยต่อใครมีแต่คุณค่าประโยชน์

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  กาลามสูตรและเตวิชชสูตร วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2561 ที่บวรสันติอโศก

 สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีที่ไหนในพระไตรปิฎก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:40:25 )

ปฏิบัติธรรมมรรคมีองค์ 8 คือหัวใจของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

ก็ต้องเห็นความจริงให้ได้ อะไรยังไม่ตายก็ทำที่เหลือที่เรายังไม่ตายนี้ควรจะเรียนรู้ธรรมะโลกุตระควรจะต้องให้จิตตัวนี้มันประเสริฐเป็นจิตที่เข้าถึงโลกุตระธรรมเป็นพระโสดาบันสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ ถ้าคุณเป็นพระอรหันต์แล้วก็ไม่ต้องมาให้อาตมาอธิบายหรอกแต่คุณยังไม่เป็นคุณก็จะต้องมาพยายามมาฟัง เพราะเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นคนเอาอันนี้ให้ดีที่สุด มาเรียนรู้ธรรมะให้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ดีที่สุดอย่างอื่นคุณจะทำไปเป็นชาติ แม้แต่ชาตินี้คุณจะเรียนรู้ให้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี คุณก็จะต้องทำมาหากินเหมือนคนอยู่ทางโลกต้องทำสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะสัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้แยกจากสิ่งเหล่านี้ การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ายังทำงานอาชีพยังทำกิริยาการงานอยู่ยังพูดจาคิดว่าอยู่ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตอยู่ที่ใดๆ  ศาสนาพุทธไม่เคยสอนอย่างนั้น การสอนอย่างนั้นเป็นเรื่องนอกรีต ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 คือหัวใจศาสนาพุทธ ปฏิบัติในขณะมีสัมมาอาชีพกัมมันตะ คือการกระทำต่างๆ วาจาคือการพูดอยู่ สังกัปปะคือการคิด แต่นี้ให้ไปหยุดคิด หยุดพูด หยุดการกระทำ หยุดการอาชีพ อันนั้นเป็นเรื่องนอกรีต อาตมาพูดแรงๆๆนี้ หอกอาตมาหักไม่รู้กี่ร้อยด้ามแล้วแต่ไม่รู้สึกเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:30:06 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:23 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:31:02 )

ปฏิบัติธรรมมี 2 แบบคืออย่างไร

รายละเอียด

คำถามคำเดียวนี้ คุณจะบรรลุธรรมได้อย่างไร มีหนังสือ 5 เล่ม ไปอ่านเอา จะปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้บรรลุธรรม 

ปฏิบัติธรรมมันมี 2 แบบ แบบหนึ่งคือปฏิบัติธรรมแบบโลกียะ ปฏิบัติแล้วเสวยผลต้องการผลมาเสวยแล้วก็เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอีกเกิดแล้วก็เสวยผล เกิดแล้วเกิดอีก ไม่จบ 

ส่วนโลกุตรธรรมนั้นปฏิบัติ มีปัญญาลึกซึ้ง ทำกุศลได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา เราจะต้องได้กินในชาติหน้า ยึดสะสมเป็นเรา เป็นของเรา ไม่จบ จิตของคุณก็ไม่รู้จักปล่อยวาง ไม่รู้จักจบ มันก็ไม่มีอรหันต์ อธิบายดูฟังง่ายๆ คิดให้ลึกซึ้ง ฟังให้ดีๆ เข้าใจให้แตกฉาน แล้วทำตามที่เข้าใจให้ได้ ที่อาตมาว่าแล้วก็จะบรรลุอรหันต์ 

ที่อาตมาตอบอย่างนี้ได้เพราะว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ได้ปฏิบัติสั่งสมแล้วก็รู้จักใจในใจรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน รู้รายละเอียดของอิทัปปัจจยตาของจิต จึงเอามาสรุปแล้วก็อธิบายสู่ฟัง ไม่ใช่ว่าพูดพล่อยๆไปอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 เล่ม 1 ตอนที่ 1 วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2565 ( 19:48:10 )

ปฏิบัติธรรมมีโลกุตระ

รายละเอียด

รู้จักเวทนา 108 นั่นก็ยิ่งดีใหญ่ เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมมีโลกุตระควรจะทำแยกเนกขัมมะกับเคหสิตะ 18 ได้ผล ทำงานสำเร็จเป็นอุเบกขา 7 ทำงานเป็น ปริโยธาตา สะอาดขึ้นเรื่อยๆ จิตมุทุภูเต ทำกรรม กายวาจาใจเหมาะควรมากยิ่งขึ้นจิตใจยิ่งประภัสสรยิ่งผ่องใส ยิ่งยินดี สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งเบิกบานร่าเริง เหมือนอย่างอาตมาเป็นจิตประภัสสรอยู่ตลอดเวลา ร่าเริงเบิกบานผ่องใสอยู่ตลอดเวลา อาตมา มันไม่มีความเศร้าหมอง อโศกะอย่างแท้จริงไม่มีหมอง มีแต่จิตประภัสสร สว่างสะอาด สงบเรียบร้อย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 21 วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:54:21 )

ปฏิบัติธรรมยังไงไม่เลอะเทอะ

รายละเอียด

นี่ก็ปฏิบัติธรรมไม่เลอะเทอะ ปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรม อ่านจิตอ่านเวทนาอ่านจิตเจตสิกต่างๆ ของตนได้ชัดเจน อย่างนี้เรียกว่าเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้าได้เข้าใจ แล้วก็เรียนรู้ว่าเราทำอย่างไรจะปฏิบัติอย่างไร แล้วก็เอามาบอกมาพูดเอามาอธิบายแจกแจงผู้อื่นให้ฟังได้เข้าใจด้วย ดีมาก 

หากเราไม่ได้แล้วเราบอกว่าได้นี่ซวย แต่หากเราได้แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราได้ก็ยังดี ต้องรู้ด้วยปัญญาวิมุติ เข้าใจด้วยปัญญา

ที่มา ที่ไป

ธรรมะรับอรุณปีใหม่โดยพ่อครู งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 8 วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2564 ( 09:29:10 )

ปฏิบัติธรรมย่อมได้ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน เหมือนแม่โคลูกอ่อน

รายละเอียด

อาริยสาวกถึงความขวนขวาย  ในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำอย่างไรของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้..  ถึงอย่างนั้น  ความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา

อธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาของอาริยสาวกนั้น  ก็มีอยู่   เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อน  ย่อมเล็มหญ้ากินด้วยชำเลืองดูลูกด้วย  ฉะนั้น 
 

ที่มา ที่ไป

พุทธพจน์  เล่ม 12  ข้อ 547


เวลาบันทึก 07 สิงหาคม 2562 ( 12:44:03 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:42:24 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:31:28 )

ปฏิบัติธรรมรื่นเริงในธรรม

รายละเอียด

สังเกตตัวเองเถอะ ถ้ามันไม่อยากฟังธรรมแล้ว มันเบื่อแล้ว คนนี้เริ่มตกแล้ว โดยเฉพาะมีผู้แสดงธรรมตั้งใจทำ เพื่อนฝูงที่มาร่วมกันทำ โอ้โหทำไมเขายังรื่นเริงในธรรม เขายังอยากมากัน เราไม่อยากมาแสดงว่าเราตกไหม เราตกหมู่แล้ว เราแย่กว่าหมู่แล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 แรม 9 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 มกราคม 2567 ( 13:58:27 )

ปฏิบัติธรรมหลับตามีแต่สัตตาวาสและอดีต 18 อนาคต 44

รายละเอียด

กายตั้งแต่สัตว์ตัวที่ 1 กายก็ไม่มี สัตว์ตัวที่ 2 กายก็ไม่มี มีแต่กายมิจฉาทิฏฐิ กายต่างกันสัญญาต่างกัน พอมาอันที่ 2 กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน ก็ผิดอีก

อันที่ 3 กายอย่างเดียวกันก็เป็นกายหลับตา เพราะปฏิบัติไม่มีวิญญาณฐีติ แต่ไปหลับตาก็เลยไม่มีกามไม่มีกาย ก็ไม่ได้ล้างกามออกก่อน คุณก็ไม่ได้เอาอะไรออกเลย

แต่คุณไปสร้างจิตใหม่ กามก็เป็นกามแห่งความจำ ไม่ใช่เป็นปัจจุบันชาติ 

ในพระไตรปิฎกเล่ม 9 สูตรที่ 1 การปฏิบัติของเดียรถีย์ ไปทำเจโตสมาธิหลับตา จึงได้แต่อดีต 18 ได้อนาคตฟุ้งซ่าน 44 ไม่มีปัจจุบันชาติจริงเลย แม้จะไปนั่งหลับตาอยู่ในปัจจุบันนั้น แต่คุณมีแต่อดีตกับอนาคตที่อยู่ในภพในความจำ มันมีความกำหนดรู้ของสัญญาเท่านั้นไม่มีปัญญา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 11:59:38 )

ปฏิบัติธรรมหลับตาหรือฝันไม่มีทางจะเกิดบุญบาป

รายละเอียด

ไม่บาปหรอก ความฝันอย่าเอามาเป็นสาระ มันไม่เกิดบาปเกิดผลอะไรหรอก โดยเฉพาะเรื่องบุญไม่เกิดใหญ่เลย ปฏิบัติธรรมหลับตาหรือฝันก็ตาม ไม่มีทางจะเกิดบุญเลย แม้แต่บาปก็ไม่ใช่บาปจริง เป็นความระลึกตามอดีตหรืออนาคตเท่านั้น มันไม่ใช่สภาวะจริง ก็เป็นไปมีแต่กิเลสจะหนาขึ้น กิเลสทิฏฐิมันจะเป็นไปตามความนึกคิดตามอดีตสั่งสมอนาคตเข้าไปเรื่อยๆ มันหนาแน่นก็ซวยเท่านั้นเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 33 วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 20:58:26 )

ปฏิบัติธรรมหลับตาไม่มีกามไม่มีกายจริง

รายละเอียด

คุณนั่งหลับตาไม่มี กาม ไม่มี กาย แต่คุณสร้างใหม่ทั้งนั้น สร้างความคิด สร้างการกำหนดรู้สัญญา สร้างภพชาติของคุณขึ้นมา คุณจะระลึกว่าเรายังมีกาม จำได้ นั่งหลับตาก็ยังคิดอาการของกาม อาการกามก็ยังติดอยู่ มันเป็นเรื่องของความจำทั้งนั้น มันไม่ใช่ความจริง ที่กามมันเกิดอยู่ภายนอก ทางกาย จากทวารทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นที่ตั้ง คุณไม่มีตั้งแต่ต้นเลย ความเข้าใจของกามคุณก็ไม่มี  คุณจะปฏิบัติวิญญาณฐีติก็ไม่ได้ แม้คุณจะดัดจริตไปปฏิบัติกายเป็นวิญญาณฐีติ กายของคุณก็ไม่มีกาม เพราะว่าคุณหลับตาไม่มีวิญญาณฐีติ วิญญาณฐีติต้องมีการลืมตากระทบรูปตั้งอยู่ แต่มันไม่มีวิญญาณฐีติ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมหลับตามีแต่สัตตาวาส มีกายไม่จริงเพราะกายไม่ได้ลืมตา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 4 วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม 2564 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2564 ( 11:57:19 )

ปฏิบัติธรรมอยู่ในชีวิตปกติ

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมด้วยการทำเรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปนั่งหลับตาไม่ต้องไปหาสถานที่ ปฏิบัติธรรมที่จะต้องหยุดงานไม่ต้อง คุณอยู่ในชีวิตปกติเลย และคุณก็มีอินทรีย์ทั้ง 6 มีตาหูจมูกลิ้นกายใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อมันผัสสะ เมื่อมันกระทบกับอะไรๆ เรียกรวมๆว่า เครื่องกินเครื่องใช้ โภชนะ ท่านย่นย่อ เครื่องกินเครื่องใช้ ธนบัตรก็เครื่องใช้ อาหารการกินก็เครื่องกินเครื่องใช้ ยาก็เครื่องกินเครื่องใช้ บ้านเรือนก็เป็นเครื่องใช้เครื่องนุ่งห่มก็เป็นเครื่องใช้ ก็รวมอยู่เพียงเท่านี้ในโภชเนมัตตัญญุตา จงมีชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้สำคัญอยู่กับสิ่งเหล่านี้คุณอยู่กับมัน แล้วคุณต้องรู้จักใช้คำศัพท์ภาษาโบราณ ที่แปลว่ารู้จักประมาณในเครื่องอาศัย รู้จักประมาณในเครื่องกินเครื่องใช้ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:45:35 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:37:10 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:31:48 )

ปฏิบัติธรรมอย่างไรพิสูจน์ยืนยันเดี๋ยวนี้ได้

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าสติปัฏฐาน 4 เป็นตัวหลัก เพราะฉะนั้นคุณรู้จักรูป 28 รู้จัก ชีวิตรูป รู้จักอาหารรูป อาศัยอะไร อาศัยกามอาศัยพยาบาท คุณก็จับคู่ธรรมะ 2 แล้วปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมต้องมีรูปนามมีนามรูป จับคู่ เทวธัมมา คือธรรมะ 2 หากคุณปฏิบัติธรรมคุณมีธรรมะ 2 โดยเฉพาะเกิดจากเวทนาเสมอ เมื่อคุณกระทบสัมผัสเมื่อไหร่คุณก็เกิดเวทนา ถ้ามันเป็นเคหสิตะก็บื้อทือไม่เอา ต้องรู้ความจริงว่ามันเป็นโสมนัสหรือโทมนัส เคหสิตะ เป็นภายนอกภายใน ต้องทำให้เกิดเป็นฐานอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน สั่งสมตัวนี้ให้ได้ ในขณะที่มีผัสสะเป็นปัจจัยมีอาการจริง ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งหลับตา ไม่ต้องเสียแรงงาน ทุนรอน ไม่ต้องเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องเข้าต้องออก ไม่ต้องไปเสียเวลาเสียสถานที่ ไม่ต้องไปเสียการงานไม่ต้องเสียพลังงานไม่ต้องเสียทุนรอนทั้งนั้น ไม่บกพร่องทำสัมมาอาชีพ รู้จักโลกุตระรู้จักกิเลสทำกิเลสให้หมดได้เป็นจริงถาวร พิสูจน์ยืนยันเดี๋ยวนี้ได้เลย นี่คือของศาสนาพระพุทธเจ้าอย่างนี้ แต่เขาไม่มีการอธิบายได้อย่างนี้แล้วทั้งๆ ที่หลักฐานพระพุทธเจ้ามีไว้หมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครู เทศน์ ทวช.อโศกรำลึก ครั้งที่ 37 นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ

วันที่ 9 มิถุนายน 2561 ที่สันติอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(รูป 28) ตอน นาม 5 รูป 28 ให้ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:28:25 )

ปฏิบัติธรรมอย่างไรเป็นคนชั้นสูง

รายละเอียด

อาตมาพาพวกเราทำงานศาสนาทุกวันนี้มีที่จบมีที่สบาย มีที่พอแล้วมีใจพอแล้ว ชาวอโศกทุกวันนี้มีคนที่มีวรรณะ 9 ครบ วรรณะ 9 เลี้ยงง่าย  (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส  มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9  ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) มีอะไรให้ขัดเกลากันได้เสมอ ขนาดเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยังมีอะไรให้ขัดเกลา แล้วก็มีศีลสมาธิ ปัญญา มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มีธูตะ แล้วก็อยู่กันอย่างมีอาการน่าเลื่อมใสมีปาสาทิกะ อยู่อย่างอปยจะ ไม่ต้องสะสม ยิ่งกิเลสหมดแล้วไม่ต้องสะสม กิเลสวัตถุก็ไม่ต้องสะสม ชีวิตของพวกเรา อยู่กันอย่างสบายมีกินมีใช้เป็นส่วนกลาง จิตใจเราก็สงบไม่ต้องลำบากใจ อปจยะ แถมมาเป็นคน วิริยารัมภะ ปรารภความเพียรอยู่เสมอเป็นคนขยันรู้จักพักรู้จักเพียร ก็เป็นคนมีวรรณะ 9 อยู่อย่างนี้ เป็นคน The Classes อาตมาว่า พาปฏิบัติธรรมถูกต้องตามพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรนี้ วรรณะ 9 คนมีความเป็นคนชั้นสูง คือวรรณะ 9

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 10:51:56 )

ปฏิบัติธรรมอย่างไรให้เจริญทั้งความรู้และความจริง

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล เราก็มาเจริญความรู้มาเจริญความจริง ในความรู้นั้นมีความจริงได้ ในความรู้แต่ไม่มีความจริงก็ได้ ผู้ศึกษาได้แต่ความรู้ ไม่มีความจริงมีเยอะ เยอะ ความจริงที่ว่านี้คืออะไร ความจริงที่ว่านี้ก็คือ จิตเจตสิกรูปนิพพาน 

คือภายในจิตของเรามันยังไม่เป็น ยังไม่ได้ตามที่เรารู้ เช่นเรารู้แล้วว่าอรหันต์คืออะไร รู้เข้าใจว่าพยัญชนะบัญญัติภาษาเหตุผลชัดเจน แต่จิตของเรายังเป็นอรหันต์ไม่ได้ ยังเป็นอนาคามีไม่ได้ ยังเป็นสกิทาคามีไม่ได้ ยังเป็นโสดาบันไม่ได้เลย เพราะจริงๆแล้วยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะสามารถเข้าไปรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถึงขั้นอาสวะ ทำให้อาสวะหมดสิ้นได้ อันนี้ไม่ง่ายเลยที่คนจะรู้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มกราคม 2566 ( 11:35:41 )

ปฏิบัติธรรมะปฏิบัติกับรูป 28 กับ นาม 5

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมะปฏิบัติกับรูป 28 กับ นาม 5 คือ มีผัสสะจึงทำ มนสิการได้ เมื่อผัสสะ ก็จะเกิดเวทนาต้องใช้สัญญากำหนดรู้ เจตนาในจิต  หากเจตนาทางกามก็ให้มันลด  ลดได้แล้ว ก็ทำที่รูปภพ  อรูปภพ ต่อสำเร็จเป็นวิภวตัณหา  เป็นตัณหาของพระอรหันต์  เป็นตัณหาของพระพุทธเจ้า  คนไม่รู้สภาวะก็จะบอกว่าไปบอกว่าพระพุทธเจ้ามีตัณหาได้อย่างไร  พูดภาษาสิริมหามายาคนที่รู้สภาวะแล้ว  จะไม่สับสน  ต้องรู้ทั้ง 2 อย่าง  เช่น นิพพาน มันก็มี 2 อย่าง  แล้วก็ไม่มี 2 อย่าง นี่แหละ นิพพาน คือ ไม่มีความสุข ไม่มีความทุกข์  เวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ  มนสิการ  คือ นาม 5  ที่ต้องใช้ปฏิบัติ  ส่วนขันธ์มีรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ  มีบทบาทร่วมกับเวทนาที่เป็นกรรมฐาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันพุธที่ 16  ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 11:52:17 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:44:45 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:32:47 )

ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิ

รายละเอียด

จะได้ทำประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2562 ( 22:17:38 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:45:22 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:33:04 )

ปฏิบัติธรรมะไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นจะไปพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิดในจิต ธรรมในธรรม ซึ่งเป็นอิทัปปัจจยตาต่อ คุณทำต่อไม่ได้ ก็เมื่อกายคำต้นผิด จะไปพิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา ซึ่งเป็นกายที่ละเอียดตามเข้าไปหานามธรรมข้างในเรื่อยๆ จิตในจิต ธรรมในธรรม คุณผิดตั้งแต่ต้น กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมันก็ผิดไปหมด 

ก็จะพิจารณาเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ผิดไปด้วยไม่ออก เมื่อตั้งแต่กายพิจารณาไม่ได้แล้ว คุณจะปฏิบัติหลักเกณฑ์ใด ในทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่พิจารณากายในกาย สัมมาทิฏฐิ ได้แล้วเวทนาก็มีจิตลดกิเลสได้ ก็ยังต้องไปตรวจ ว่าคุณปฏิบัตินั้นจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไปตลอดหรือเปล่า 

คือปฏิบัติวิโมกข์ 8 มีกายไม่หลุดไม่หายไปด้วยตลอดหรือเปล่านะ เพราะฉะนั้นถ้าปฏิบัติธรรมะไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย คุณไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ เพราะฉะนั้นในบุคคล 7 ไปแปล น เหวโข ในปัญญาวิมุติ บุคคลที่ 6 ไปแปลว่าไม่ได้สัมผัส วิโมกข์ 8 ด้วยกายนั้นก็แปลผิด แท้จริง นเหวโข ไม่ได้แปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย เพราะผ่านระดับ 5 กายสักขี มีกายเป็นหลักฐานอยู่แล้ว ทำอาสวะสิ้นบางอย่างได้แล้ว พอเป็นบุคคลที่ 6 ปัญญาวิมุติ อาสวะสิ้นหมด นับเป็นอรหันต์ได้แล้ว 

สายปัญญาจะไปถึงปัญญาวิมุติ ก็จบกิจแล้วเป็นอรหันต์แล้ว ส่วนสายศรัทธาต้องเป็น อุภโตภาควิมุติ คือศรัทธา ทำได้แล้ว แต่ไม่มีปัญญารู้จบ ต้องไปมีปัญญาเสริมให้อีก 1 ตัวเป็น อุภโตแปลว่าสอง ต้องมีทั้งศรัทธาและปัญญาเติมเข้าไปเต็ม จึงจะเป็นผู้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายที่อาสวะสิ้น เป็นพระอรหันต์ สายศรัทธาจึงช้ากว่าสายปัญญา ปัญญาวิมุติเป็นบุคคลที่ 6 อุภโตภาควิมุติ เป็นบุคคลที่ 7 ต้องเติมปัญญา แต่บุคคลที่ 6 มีศรัทธาเป็นแกนแล้วพอแล้วรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ชัดเจนมาแล้วตั้งแต่ต้น พอมีปัญญาก็สรุปตัวเองได้หมด จบกิจก่อน รายละเอียดพวกนี้ไปเดาไม่ได้นะ เดาแล้วมืด วนเลย สับสนเลยนะ เดาไม่ได้ ต้องมีสภาวะจริงๆจะพูดได้จริง 

พระอรหันต์ที่ไม่รู้ละเอียดไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะอธิบายไม่ได้เหมือนอาตมา อาตมาเป็นสายปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง แล้วก็เรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้อธิบายรายละเอียดได้อย่างนี้แหละ ใครจะอธิบายได้อย่างอาตมาทุกวันนี้ สาธยายไปถึงขั้นเวทนา 108 แจกละเอียด อุปาทายรูป 24 รูป 28 เกี่ยวข้องกับนามธรรม 5 อย่างไร สังเคราะห์กันยังไง ถึงขั้นไหน อาตมาก็ไม่ได้อธิบายบ่อยๆ อธิบายขั้นต้นเมื่อไปถึงขั้นโน้นค่อยอธิบายอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566  วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 12:19:48 )

ปฏิบัติธรรมเดินมรรคมีองค์ 8 พยายามทำใจ ดูจิตตัวเองตลอดเวลาพอไหม

รายละเอียด

มีนัย ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ ที่พูดไปอย่างนี้มันก็ได้ จะได้พอมันยังมี นัย ละเอียดไปอีก มรรคมีองค์ 8 ก็เป็นองค์รวมทฤษฎีใหญ่ เรียกว่า มรรคมีองค์ 8 ก็ดูใจที่ปฏิบัติอยู่ ดูใจแค่นั้น ก็มีรายละเอียดในการดูใจว่าใจของเราเป็นอย่างไร ก็แยกแยะใจของเราได้ คำว่าใจมารวมกันหมดเลย  ที่จริงเป็นหลักธรรมพระพุทธเจ้า ท่านแยกแยะเอาไว้ เป็นโพธิปักขิยธรรม 37 แยก เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม นี่คือ 4 สภาวะ ที่มันจะต้องเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องกันสัมผัสกันอยู่ กายคือองค์รวมขององค์ประชุมต่างๆ  ทั้งภายนอก ภายใน ทั้งรูป ทั้งนาม เป็นสภาวะ 2 ที่เป็นองค์รวมเป็นองค์ประกอบกัน พร้อมกันหมด ขาดข้างนอกไม่ได้ แล้วต้องพิจารณาข้างนอกด้วยทั้งทวารทั้ง 5 หากละกิเลสภายนอกได้แล้วก็เลื่อนไปหาข้างใน แต่ถ้าข้างนอกเป็นวัตถุ เป็นสมบัติ เป็นอะไรต่ออะไรที่เป็นดินน้ำไฟลม เป็นตัวตนบุคคลเราเขา เป็นทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชานต่างๆนานาที่เรายังติดอยู่ ก็คือใจนี่แหละไปผูกพัน เราก็ต้องปฏิบัติกับข้างนอกเสร็จก่อนจนกระทั่งข้างนอกวางได้ ปล่อยได้ ไม่ดีดดิ้น ละวาง ปล่อยทิ้งไปได้เลย พวกเรานี้แสนดี ใครทิ้งข้างนอกหมดเลยมาอยู่กับอโศกเอาแต่ตัวกับหัวใจมา สบายไม่ต้องมีอะไรติดมาใครอยากได้ให้เขาไปหมดเลยอยากจะมาก็มาได้ทันทีเลย ไม่ต้องห่วง

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 16:47:32 )

ปฏิบัติธรรมแนวอโศกประดุจเกลียวเชือกที่แข็งแรง

รายละเอียด

พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์จริงแท้ เพราะในปาฏิหาริย์ 3 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นเลิศ จึงมีผู้เข้าถึงธรรมฟังรายการเมื่อคืน ทั้งนี้เพราะการปฏิบัติธรรมในแนวพ่อครู มีมรรค 8 องค์ ครบโดยเฉพาะสัมมาอาชีวะ เปรียบดุจเกลียวเชือกที่แข็งแรงสามารถฉุดดึงให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการบ้านราช เรื่องบุคคล 7 วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2563 ( 12:21:47 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:18:59 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:33:30 )

ปฏิบัติธรรมแบบนั่งหลับตา

รายละเอียด

เป็นการสะกดจิต แล้วก็นิ่งให้สงบหยุด อันนั้นมันเก่า โบร่ำโบราณ เป็นคนโบราณฝึกมา แต่ของพระพุทธเจ้าตรัสรู้มันเป็นของใหม่เป็นของประเสริฐวิเศษ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะคิดไม่ออก  

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:29:18 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:46:52 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:34:04 )

ปฏิบัติธรรมแบบมีวิญญาณฐิติจึงมีมรรคผล

รายละเอียด

กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน คือคำว่ากายนี่ มันหมายถึงภาวะ 2 นะ คำว่า “กาย” นี่คือสภาพ 2 มีสภาพภายนอกกับภายใน ไม่แยกกัน และแยกกันไม่ได้ด้วย ฟังดีๆนะ กายนี่ สัมมาทิฏฐิคำว่า “กาย” ก็คือ ต้องเข้าใจว่ากาย มันคือสภาพ 2 คือภายนอกและภายใน ไม่แยกกัน เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมจะต้องมีกาย และก็จะต้องมีใจไปด้วยตลอดเวลา เรียกว่าปฏิบัติธรรมแบบวิญญาณฐิติ จึงจะเกิดมรรคเกิดผล จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้สมบูรณ์แบบ 

เช่น วิญญาณฐิติ 7 ก็จะรู้ความจริงของทุกอย่าง ตั้งแต่วิญญาณฐิติ 1 อะไรๆ มันต่างกัน คนเขาเห็นต่างกัน เราก็รู้ตามเขาว่าเขาเห็นต่างกัน  (ข้อที่ 1 พวกมีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน)

อันที่ 2 สมมุติไปว่าเป็นปฐมฌานคือความไม่มีนิวรณ์ 5 เรียกว่ามันเป็นกายต่างกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน คือการกำหนดหมายสัญญา กำหนดหมายว่า จะไม่มีนิวรณ์ 5 เขาก็ทำได้อย่างเดียวกันไม่ต่างกัน แต่มิจฉาทิฏฐิเขาก็ได้ เขาได้นะ เขาได้ปฐมฌาน ไม่มีนิวรณ์ 5 เขาทำให้ไม่มี แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 ประเภทสะกดไว้ข่มไว้เฉยๆ เพราะฉะนั้นกายภายนอกเขาได้แต่ภายในหลับตาสะกดจิตไว้ ภายใน ดูเหมือนได้ แต่มันไม่จริงมันหลอก เพราะมันเป็น อสัญญีสัตว์ จริงๆมันเป็นแค่ อสัญญีสัตว์ หรืออย่างเก่งก็เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะฉะนั้นฌาน 1, 2, 3, 4 ของเขาผิดหมด หรือแม้แต่ยิ่งไปเป็นอรูปฌานอีก ผิดหมดอีกทั้งอรูปฌาน แถม อสัญญีสัตว์ ให้อีกตัวหนึ่งเลย กลายเป็น 9 นี่พวกหลับตาปฏิบัติจะได้ความเป็นสัตว์ทั้งหมดทั้ง 9 เลย อย่างนี้เป็นต้น 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ บทพิสูจน์สัจจะของโลกุตรธรรม ที่ครบครันทั้งรูปทั้งนาม วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 พฤศจิกายน 2566 ( 15:53:54 )

ปฏิบัติธรรมแบบลืมตามีการทำงานด้วย

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ามีการทำงานด้วย ไม่ทำงานมันซื่อเกินไป มันทื่อเกินไป มรรคมีองค์ 8 จะต้องมีการปฏิบัติธรรมฝึกให้เป็นฌาน เป็นสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ ด้วยการปฏิบัติไปกับการทำงานเลี้ยงชีพ ที่เป็นสัมมา ทำการกระทำทุกอย่างกัมมันตะ ก็ให้เป็นสัมมา พูดก็ให้เป็นสัมมา คิดก็ให้เป็นสัมมา ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเพื่อที่จะมีสติ เพื่อที่จะไปทำให้จิตมีกิเลสลด กิเลสจะลดในขณะทำงานนี่แหละ มีการสัมผัสสัมพันธ์ ไปนั่งหลับตานั้นมีแต่กิเลสเก๊ ไม่มีกิเลสจริง นั่งหลับตาคุณไม่มีปัจจุบัน คุณก็จมอยู่ในสัญญา จมอยู่ในความคิด เพราะฉะนั้นคุณจะรู้อะไรขึ้นมาในขณะคุณนั่งหลับตามันก็เป็นสภาวะของความรู้สึก ระลึกรู้มาจากสัญญา ซึ่งเป็นของอดีต แม้ว่าจะเป็นของปัจจุบัน แล้วก็เป็นอนาคต ก็เป็นการระลึกในขณะที่คุณไม่มีความรู้รอบครบ เป็นสามัญของมนุษย์มีตาหูจมูกลิ้นกาย ที่จะมีเหตุมีปัจจัยทำให้กิเลสคุณเกิด ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นทางกายอีกตั้ง 5 ทวารคุณไม่มีคุณปิด คุณก็ไปนั่งอยู่ในทวารเดียวมันก็มีแต่อดีตกับปัจจุบันของอดีต และปัจจุบันของอนาคต ที่มันอยู่ในภพเดียว มันไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายครบความเป็นมนุษย์ชาติ ความเป็นจิตนิยามสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นคุณก็นั่งปฏิบัติธรรมอยู่กับจิตนิดเดียว ดังนั้นจึงควรจะต้องเกี่ยวข้องอีกทั้ง 6 ทวาร แต่คุณตัดทิ้งไปตั้ง 5 ทวาร แล้วก็ไปปฏิบัติธรรมทวารเดียว แล้วมันจะได้อะไรสักเท่าไหร่ ถ้าได้ครบแล้วปฏิบัติกิเลสครบ มันจะมีพลังงานสูง แล้วรู้ความจริงได้ชัดเจน ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตาหมด แล้ว ปัญญาสติสัมปชัญญะแข็งแรงก็ทำให้ดียิ่งขึ้น รูปราคะ ก็ฆ่าอีก ไม่ต้องไปหลับตาเลยกระทบสัมผัสอยู่นั่นแหละ แต่กิเลสที่เหลือเป็น ภวตัณหา รูปราคะ ก็ล้างอีก เหลืออรูปราคะ เป็นพระอรหัตมรรคแล้ว ก็ทำให้หมดสิ้นอาสวะเป็นพระอรหันต์ พวกหลับตาออกมาเป็นโมฆะบุรุษทั้งนั้น เดี๋ยวนี้มันเสื่อมก็วนเวียนกลับไปสู่ความเสื่อมถึงที่ คือ เหมือนเดียรถีย์ ปฏิบัติในสมัยพระพุทธเจ้า อาตมาก็เอาความจริงมาฟื้นมาตีให้แตก โอ้โห แต่เหนียวยิ่งกว่าโจรร้ายที่ทำลายศาสนาอยู่ พระราชาก็คือพระพุทธเจ้าให้เอาไปฆ่าด้วยหอก 100 เล่ม อาตมาก็พยายามฆ่าด้วยหอกปาก เช้า กลางวันเย็นทีละ 100 เล่ม หมดอาตมาหอกหักหมด คนหอกหักแท้ๆเลย เมื่อไหร่จะสะดุ้งสะเทือนสักที 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:12:30 )

ปฏิบัติธรรมแบบหลับตาจะไม่มีวันเกิดธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระ!

รายละเอียด

ปฏิบัติธรรมแบบหลับตาจะไม่มีวันเกิดธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระ!

เพราะการปฏิบัติธรรมแบบ“หลับตา”นั้น ไม่มี“สัมผัสด้วยทวาร 5 ภายนอก” จะไม่ทำให้เกิด“อัญญธาตุ(ธาตุรู้ชนิดอื่น)”ที่เป็นธาตุรู้ของสัตวโลกหรือ‘จิตนิยาม’ 

อันเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่แตกต่างกันคนละโลก คนละตระกูลกับ‘ความรู้-ความฉลาด’แบบ“คนโลกียะ”เกิดในจิตของคนผู้นั้นได้เป็นอันขาด

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 3 หน้า 46


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 12:16:30 )

ปฏิบัติธรรมแบบหลับตาจะไม่มีวันเกิดธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระ!

รายละเอียด

เพราะการปฏิบัติธรรมแบบ“หลับตา”นั้น ไม่มี“สัมผัสด้วยทวาร 5 ภายนอก” จะไม่ทำให้เกิด“อัญญธาตุ(ธาตุรู้ชนิดอื่น)”ที่เป็นธาตุรู้ของสัตวโลกหรือ‘จิตนิยาม’ 

อันเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่แตกต่างกันคนละโลก คนละตระกูลกับ‘ความรู้-ความฉลาด’แบบ“คนโลกียะ”เกิดในจิตของคนผู้นั้นได้เป็นอันขาด

ถ้ายังไม่มีอัญญธาตุ ก็จะไม่มีพวกนี้เลย อัญญธาตุ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามัญไม่เคยมีมาก่อน โกณฑัญญะเป็นคนแรกที่มี อัญญธาตุ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 11:09:47 )

ปฏิบัติธรรมแยกธรรมะ 2 เป็น 1 และ 0 จุดสุดยอดของศาสนาพุทธ

รายละเอียด

แล้วคนที่ไม่รู้จักอาหาร 4 อาหารอันที่ 4 คือไม่รู้จักวิญญาณ แยกนามรูปไม่ได้ แม้เป็นชาวพุทธมานั่งปฏิบัติธรรมก็ไม่ชัดเจน ไม่รู้ นามรูปเป็นภาวะ 2 เรียกว่าเป็นเทวดา แล้วเราก็ตีแตกแยกแยะภาวะ 2 ที่เป็นเทวดา จนสามารถทำให้ 2 นี้ให้เป็น 1 แล้วจาก 1 ทำให้เป็น 0 ได้สำเร็จ นี่คือ จุดสุดยอดเลยของศาสนาพุทธ ถ้าไม่อย่างนั้นไม่รู้นามรูปก็หมดทางที่จะปฏิบัติธรรมะเช่น ในเวทนา 2 แยกเป็นเคหสิตะกับเป็นเนกขัมมะ คู่หนึ่ง ในเวทนา 108 ทุกวันนี้ไม่รู้เรื่องกันหรอก พวกเราพอรู้เรื่องและบางคนก็ยังไม่แน่ชัดที่จะมีสภาวะ ชัดมั้ย ใครเมื่อพูดถึงเคหสิตเวทนากับเนกขัมสิตเวทนาแล้วแยกได้บ้าง …ยกมือ (โอ้โห! เยอะอย่างนั้น)  นี่คือจุดสำคัญของการปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าเรียกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60 อันนี้หัวใจศาสนาพุทธ ถ้าทำอันนี้ได้เป็นอรหันต์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:06:37 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:48:23 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:37:39 )

ปฏิบัติธรรมแล้วพิสูจน์ได้ว่าจิตเจริญอย่างไร

รายละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้าก็มีการพิสูจน์เยอะ อย่างมารวมกันอยู่นี่ทำงาน ต่างคนต่างไม่ยึดเป็นของตัว เสร็จแล้วไม่ได้สะสม มีน้อย แล้วทำไมไม่แย่งกันไม่ทะเลาะกัน มันมีนัยยะพิสูจน์ธรรมะเยอะเลย มันไม่เดือดร้อนวุ่นวาย

ก็จิตมันเจริญไง จิตมันดี จิตมันไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว แบบโลกๆ ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่อยากวิวาท  ไม่มีโทสะ ไม่ต้องไปขึ้น ไปทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน จิตมันชัดเจนไง จิตมันยืนยันความเป็นจริง

ที่มา ที่ไป

สื่อธรรมะพ่อครู(ปฏิจจสมุปบาท) ตอน การใช้นาม 5 ให้เกิดสัมประสิทธิ์

วันที่ 14 กรกฎาคม 2561


เวลาบันทึก 01 มีนาคม 2564 ( 15:08:57 )

ปฏิบัติธรรมแล้วมีผลให้ลดละหน่ายคลายอย่างไร

รายละเอียด

อย่างที่ชาวอโศกเข้ามาอยู่ในนี้ ลดละหน่ายคลายมาทั้งนั้น ไม่ไปกระเหี้ยนกระหือรือแย่งลาภยศสรรเสริญสุข อย่างที่เขาเป็นกัน แม้อยู่ในเถรสมาคม พระพุทธเจ้าทรงสอนจะไม่เหมือนเถรสมาคมเลย ยิ่งทั่วๆไปแล้วก็ไม่ต้องไปพูดถึงเลย ขนาดเถรสมาคม นี้พูดแล้ว คุณปฏิเสธมาสิ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่ไม่จริง ยังแบกลาภ หามยศ เอาละหลายคนลาภมันน่าเกลียดน่าอายมากหน่อย พอจะปฏิบัติแแบบพวกสายหลับตาก็จะเป็นพระไม่ค่อยมีลาภ ที่จริงมีลาภนะ แต่ว่าทำกลบเกลื่อนจับมาเป็นมุมมกลับที่ชูตัวเอง อย่างมหาบัวอย่างนี้ เลอเลิศ เชิดชูยกให้ตัวเองได้รับการนิยมชมชอบ นี่คือความฉลาดเฉโกของพวกที่ใช้วิธีพวกนี้ 

ลาภก็ดี ยศก็ดี อย่างพวกพระที่หลับตาออกป่า ไม่ค่อยไปแย่งลาภยศ แต่ทางพระเถรสมาคมยังแบกยศ เทิ่งๆๆ กันอยู่ สรรเสริญนั้นซ้อนลึก มีทั้งพระป่าและพระบ้านเต็มไปหมดแล้วก็ไม่รู้จักสุข ก็ยังเสพสุขกันอยู่เลย ไม่เข้าใจเรื่องสุข เลิกสุข ไม่มีสุขไม่มีทุกข์จริงๆ ก็พยายามศึกษาพยัญชนะ แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้ง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรม‌ของ‌ศีล‌ข้อ‌ ‌1‌ ‌ที่‌ชาว‌อโศก‌ปฏิบัติ‌ได้‌ ‌วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:21:19 )

ปฏิบัติธรรมในการกินอาหาร

รายละเอียด

เบญจกามคุณ หรือกามคุณ 5 เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตา ทุกคนก็ต้องกินอาหาร แล้วจะต้องมาปฏิบัติในการกินอาหาร ไม่ใช่ปฏิบัตินั่งหลับตา นั่งหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธ พูดอีกกี่ปีเขาถึงจะรู้เรื่อง กินอาหารนี่แหละถึงจะมีการให้คุณปฏิบัติ แล้วไปนั่งหลับตา ปิดทวารทั้ง 5 ตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่ได้ปฏิบัติ คุณอยู่นอกศาสนา ไม่ได้เดินอยู่ในรอบรั้วศาสนาพุทธนะ เดินอยู่คนละฟากฟ้า ห่างไกลจากวิเวกไกลแสนไกล หลับตา อาตมาไม่ได้ขี้ตู่หาเรื่อง พูดสัจจะให้ฟัง จะมีผู้ปฏิบัติการหลับตามาฟังอาตมาสักครึ่งคนไหมนี่ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2563 ( 13:27:31 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:19:36 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:38:00 )

ปฏิบัติธรรมในป่า

รายละเอียด

เมื่อพระอุบาลีทูลขอเข้าไปปฏิบัติในป่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า"ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่า และราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ ในการอยู่ผู้เดียว ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้ "สมาธิ" ไปเสีย ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้ "สมาธิ" จักสร้องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือฟุ้งซ่าน"

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่มที่ 24 ข้อ 99

หนังสืออ้างอิง

หนังสือธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 97


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2562 ( 12:59:28 )

เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 13:38:42 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:38:31 )

ปฏิบัติธรรมในอาชีพนายกรัฐมันตรีได้อย่างไร

รายละเอียด

นี่เป็นอาชีพนายกรัฐมนตรีก็ปฏิบัติธรรมไปพร้อม มีกรรมทุกกรรมกิริยาทุกกิริยา เป็นกัมมันตะ ทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมเรียกว่ากัมมันตะ ชัดเจนได้เรียนรู้หมดเลย แม้จะแยกเอาแต่เฉพาะว่าจีกรรมที่เป็นตัวสำคัญมาก ก็ได้ปฏิบัติ หรือได้แต่ความคิดสังกัปปะในมรรคมีองค์ 8 มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ สังกัปปะได้ข้อคิดวิจัยธรรมในธรรม จิตในจิตของเรา ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา วจีสังขารา เมื่อจิต วิตก ก็จับกิเลสได้ มันมีตัวกลางหรือพยาบาทก็จัดการมัน จัดการตามวิธีที่พระพุทธเจ้าให้กำจัด จัดการจนสำเร็จเรียบร้อย เป็น วิตักกะ จิตที่ดำริ เราสัมผัสแยกกิเลสได้เลย เอากิเลสออก ทำกิเลสออก จนกระทั่งชัดเจนในไตรลักษณ์ของมันด้วยปัญญาอันยิ่ง กิเลสก็ยอมสยบตายเกลี้ยง วิตักกะ ตักกะนั้นก็เหลือเป็นจิตแท้ๆ วิ แปลว่าไม่ แปลว่าวิเศษ สิ่งที่เป็นกิเลส เอาออกไปแล้วจากตักกะ ไม่ใช่แค่ตักกะที่เป็นความคิดนึกเฉยๆที่เขาเรียนกันข้างนอก ปริญญาเอก ปริญญาโท แต่อันนี้เป็นเนื้อแท้สภาวะได้ยอดเยี่ยม กิเลสออกไปได้อย่างวิเศษ ไม่มีก็คือ วิ ไม่มีแล้วกิเลสเป็นจิตวิเศษ จบ สัมมาสังกัปปะ ทำจนกระทั่งกิเลสหมด จิตตกผลึกลงไปเป็น อัปปนา แนบแน่น อัปปนาสมาธิ อัปปนา แน่วแน่ พยัปปนา แนบแน่น เจตโสอภินิโรปนา ปักใจมั่น ทำทวนทำซ้ำแล้วซ้ำอีก อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ทำอย่างที่เกิดผล ภาวนา สั่งสมเป็น อเนญชาภิสังขาร เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นอเนญชาภิสังขาร ที่สมบูรณ์แบบจาก อภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร เป็นการปรุงแต่งด้วยวิชชาสะอาดเรียบร้อยบริสุทธิ์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 10:38:21 )

ปฏิบัติธรรมได้ต้องมีปัญญาโลกุตระขึ้นไป

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติธรรม ต้องเป็นความจริงในเมื่อมีแสงสว่างแห่งโลกแล้วก็มีวัตถุมีชีวิต โดยเฉพาะชีวิตผู้จะเรียนรู้ได้คือเวไนยสัตว์ คือผู้ฉลาดที่มีภูมิรู้ในระดับ จะว่าจริงๆคือมีปัญญาโลกุตระขึ้นไปจึงจะเรียนรู้ในระดับโลกุตระนี้ได้ ถ้ายังไม่ถึงก็ยังไม่ถึง จะไปพูดอย่างไรก็คือมันเป็นคำพูด สภาวะก็คือสภาวะก็คือของจริง ถ้าไม่ถึงของจริงพูดอย่างไรมันก็ไม่ถึง ถ้าถึงของจริงแล้วไม่ต้องพูดก็เป็นจริงยิ่งรู้กันได้ตรงกันก็พูดกันรู้เรื่อง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 29 วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 20:13:19 )

ปฏิบัติธรรมได้สมบูรณ์เมื่อใช้วิญญาณฐีติ 7

รายละเอียด

คนที่สัมมาทิฏฐิก็จะเข้าใจ ว่าคนนั้นเขาเข้าใจต่างกับเรา เขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ บางทีเราก็เดาไม่ออกว่าเค้าคิดว่าเทวดาเป็นอย่างไร ได้สารพัด แต่ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ก็ต้องพวกวิญญาณฐีติ ก็ต้องรู้ว่า กาย ที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างนี้ สัญญาที่ถูกต้องอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างนี้ ก็ต้องกำหนดรู้ความจริงแล้วตัดสินได้ ปฏิบัติธรรมได้สมบูรณ์ เมื่อใช้วิญญาณฐีติ 7 ปฏิบัติ ก็จะจัดการความเป็นวิญญาณ หรือความเป็นกายเป็นจิต ความเป็นรูปเป็นนาม ความเป็นภาวะ 2 โดยใช้สัญญาเป็นตัวปฏิบัติสอดส่องเสมอ อ่านภาวะ 2 รูปนาม 

ซึ่งรูปนามหรือกาย เป็นกายกับจิต เป็นภาวะ 2 เป็นรูปภายนอกกับรูปภายใน เป็นรูปกับนามก็เป็นภาวะ 2 หรือเป็นความต่างในชนิดนั้นชนิดนี้ละเอียดไปตั้งแต่ วิโมกข์ 8 จนถึงอรูปฌานอีก 4 และสัญญาเวทยิตนิโรธ อีก 1 ใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้นิโรธแบบสัมมา

ถ้าหากสัญญากำหนดรูปแบบมิจฉาก็จะเป็นอีกแบบนึง ไม่ถูกต้อง อย่างถูกต้องก็เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ พวกมิจฉาทิฏฐิวิปลาสไปยึดถืออสัญญีสัตว์เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง หรือไปเอาสัตตาวาสทั้ง 9 เป็นนิโรธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาคุยกับเทวดาเอากิเลสล้างกิเลส วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กรกฎาคม 2564 ( 15:20:33 )

ปฏิบัติธรรมได้สัมมาทิฏฐิต้องมีอะไร

รายละเอียด

พูดแล้วเหมือนกับถล่มทลายก็เพราะว่าพูดในสิ่งที่เขาผิดก็เลยต้องถล่มทลายหรือจะให้มายกย่องเชิดชูบูชาได้อย่างไร มันก็ต้องถล่ม เกิดมาทำหน้าที่นี้ เลี่ยงสัจจะนี้ไม่ได้ก็ต้องพูด ขนาดนั้นก็ยังไม่กระเตื้อง ไม่สะดุ้ง ไม่สะเทือน ไม่ฉุกคิด ไม่มีปรโตฆษะ ยึดมั่นถือมั่นเลยเพราะฉะนั้นจึงอโยนิโสมนสิการ ไม่สามารถจะมีโยนิโสมนสิการ คือปฏิบัติธรรมให้ถึงขั้นตรงลงไปถึงที่เกิดเหตุ หรือปฏิบัติธรรมได้สัมมาทิฏฐิถ่องแท้ แยกกายวาจาเข้าไปถึงที่เกิดกายวาจา ถึงกาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติธรรมหลับตาเป็นการปฏิบัติผิดจะไปปฏิบัติกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมได้อย่างไร เขาก็ไปหลงผิดไปแล้วทำหลับตาได้ทิฏฐิ 62 อดีต 18 อนาคต 44 พระพุทธเจ้าประมวลมาหมดแล้ว เอาหลักฐานพวกนี้มายืนยันอ้างอิงอธิบาย เขาก็ไม่กระเตื้องเพราะว่ามันไม่มีพื้นฐานความรู้เลย ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 25 พฤศจิกายน 2563 ( 13:02:18 )

ปฏิบัติธรรมได้สำเร็จต้องเข้าใจความหมายที่เป็นปรมัตถธรรม

รายละเอียด

ฉะนั้นความรู้เรื่องสัมมาทิฏฐิ 10 ในมรรคมีองค์ 8 เป็นประธานของมรรคมีองค์ 8 ถ้ารู้ ความจริงความหมายอย่างถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิในการ ทาน 

ทานอย่างไรถึงจะรู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสลดลงได้ หรือศีล ปฏิบัติศีลอย่างไรหรือปฏิบัติวิธีปฏิบัติ (ยิตถัง) ที่ปฏิบัติแล้วศีลสมาธิปัญญาทำให้กิเลสลดได้จริง 

หุตัง เมื่อทำการปฏิบัติทั้งทานและศีลก็รู้ว่ากิเลสลดลงได้เป็นเช่นนี้ ผู้ใดที่รู้จริงๆเลยอาตมาอธิบายจากสภาวะ ในคำแปล เขาก็แปลตามภาษาโบราณบอกว่า สังเวยที่บวงสรวงแล้ว มีผล มันก็เลยคิดไปถึงพวกเทวนิยมหรือว่าพวกบวงสรวงของลัทธิศาสนาทั้งหลาย เป็นยัญพิธีต่างๆจนกระทั่งเป็นการไหว้เจ้า หรือแม้แต่ทางด้านโน้นเขา บวงสรวงกัน เอาโจนออฟอาร์คไปทำพิธีมัดบวงสรวงเผาทั้งเป็นโจนออฟอาร์คเลย อย่างนี้เป็นต้น 

เขาก็เข้าใจเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันไม่เข้าหาปรมัตถธรรม ก็เลยไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จ ไม่รู้ความหมายที่เป็นปรมัตถธรรม หมายถึงกิเลส หมายถึงการรู้จักกิเลสในนัยยะต่างๆของสภาพกิเลส มันเข้าใจไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:59:27 )

ปฏิบัติธรรมไม่พ้นสักกายทิฏฐิ

รายละเอียด

ปฏิบัติเมื่อไม่พ้น สักกายทิฏฐิ ก็ไปปฏิบัติธรรมโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ได้ โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านเริ่มต้นก็คือ พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม 

ฉะนั้นเมื่อเข้าใจกายในกายไม่ได้ ผิดไปแล้ว มันก็ไม่ต่อเนื่องไปถึงเวทนา ไม่ถึงจิต ไม่ถึงธรรม เพราะกายไปนึกว่าเป็นร่างเฉยๆ มีแต่กายภายนอก เข้าใจว่ากายคือร่างนี้ เข้าใจแต่กายภายนอกไม่มีจิตไปร่วมด้วยเลย แล้วมันจะไปเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา เข้าถึงจิตในจิต ธรรมในธรรมได้อย่างไร เมื่อมันแยกแล้ว 

ฉะนั้นเขาจึงหลับตาสบายมากปฏิบัติธรรมเพราะเขาไม่เอานี่ข้างนอก จึงไปหลับตาปฏิบัติธรรมเฉยๆ ก็เลยไม่ได้เรื่องเพราะการปฏิบัติธรรมไม่มีกายไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 มกราคม 2567 ( 15:24:52 )

ปฏิบัติธรรมไม่หาเงิน แต่ชอบยืมเงินแล้วไม่จ่ายหนี้ไม่ถูกต้อง

รายละเอียด

ก็ต้องทำความฉลาดทำความรู้ให้ได้ก่อนว่า ไอ้คิดแบบนี้ทำแบบนี้ มันจะเข้าท่าหรือ ไปยืมเงินแล้วก็เฉย ทำไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วไม่ใช้หนี้คืนด้วย จะทำได้ไง เพราะฉะนั้นก็ต้องทำความเข้าใจให้แจ้งว่า ที่ทำอยู่อย่างนั้นมันไม่ถูก ไม่ถูกต้อง ทำเข้าไปวันหนึ่ง ถ้าไปเจอเจ้าหนี้ที่โหดๆ..ตาย มันมาเอาตายเลย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่คืนแบบนี้นานเข้า มันก็เอาตายเท่านั้นเอง ก็ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่ามันไม่ถูกต้อง คิดอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่สอดคล้องแม้แต่สมมุติสัจจะของโลกก็ไม่ถูก ยิ่งปรมัตถ์แล้วยิ่งไม่จริงใหญ่เลยแบบนั้นเรียกว่า มันขี้โกงเขา ไปเอาของเขามาแล้วไม่ใช้คืน มันเป็นเรื่องของสามัญ สังคมโลกเขาง่ายๆ ตื้นๆ จะไปถือเป็นปรมัตถ์ ทุกอย่างไม่ใช่ของใคร ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งนั้นอะไรอย่างนี้ คุณจะตีกินแบบนั้นไม่ได้ มันจะซับซ้อนสลับสับสนวุ่นวายตาย ใช้ไม่ได้ 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566  วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 17:22:19 )

ปฏิบัติธรรมไม่เกิดพลังงานบุญก็จบไม่ลง

รายละเอียด

บุญไม่เกิดคือคุณจบไม่ลง เสร็จไม่ลง ไม่รู้เสร็จไม่รู้จบ อาตมาถึงเตือนพวกเราว่าพวกเรานี้ตรวจให้ละเอียด อะไรคืออะไร สภาวธรรมคืออะไร กิเลสคืออะไร กิเลสหยาบคือเรื่องนี้ อย่าเอาไปหลายเรื่อง อย่าไปนึกว่าตัวเองจะต่ำมันต่ำมันหยาบ แล้วมันหมดหรือยังสัมผัสสัมพันธ์มันอยู่ไหม ตรวจสอบดูให้จริงๆเลย ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้สัมผัสจริง ดูโทรทัศน์ดูที่กดดูในมือถือก็เห็นแล้วดูได้ เราสัมผัสอันนี้ยังมีจิตอยู่นะ ก็ดูของตัวเอง เปิดดูว่ามันมีอะไรให้ดูไงไอ้นั่นน่ะ เราก็ไม่มีนะ ดู ปล่อยจิตจริงๆ อย่าไปกดข่มมันไว้ ถ้าปล่อยจิตมันไม่กดข่ม มันดุ๊กดิ๊กอยู่ คุณก็น่าจะรู้ หรือมันขึ้นวูบๆ อาการนี้ปล่อยมันไม่ได้เลยนะ คุณก็จะรู้ ที่พูดนี้พอเข้าใจสภาวะไหม เดี๋ยวนี้ไม่ต้องลองของจริงหรอก ลองเปิดไอ้นี่ดูก็ได้ ไม่ต้องไปเสียเวลา แต่มันก็กินเงินหน่อย เดี๋ยวนี้มันก็ถูกลงมากแล้ว คุ้มกับการเรียนเรื่องกิเลส ไม่ต้องไปเสพอย่างอื่น โง่ตายเลย ขาดทุนตายเลย เปิดเสพ ถ้าเปิดเช็คตรวจกิเลสตัวเองไม่เป็นไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 08:11:11 )

ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด

รายละเอียด

อาตมาเองสบายใจมาทำงานศาสนาพุทธ พอมาทำงานศาสนาเขาก็เริ่มต้นบอกว่า ในวงการศาสนาพุทธนี่นะ ถ้าใครจะเอาศีลให้มาเอาที่อโศก ใครจะเอาสมาธิให้ไปเอาที่ธรรมกาย ใครจะเอาปัญญาให้ไปเอาที่สวนโมกข์ ท่านพุทธทาส ที่สวนโมกข ์ว่าอย่างนั้นเลยนะ อาตมาก็สบายใจที่เริ่มต้นทำงานศาสนา อาตมาเริ่มต้นถูกแล้ว แล้วอาตมาก็มาสอนสมาธิ สอนปัญญาไปเรื่อยๆ อาตมาก็ไม่ไปแย้งไม่ไปเถียงอะไรมากมายหรอกว่าอาตมาไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา จะมีแต่ศีล แต่พวกท่านนั้นเป็นพวกหัวกุด ศีลนี้เป็นหัว หัวกุดทั้งนั้นนะ สมาธิปัญญาของเขาไม่มีหัว แล้วมันจะไปเป็นคนเต็มคนได้ยังไง คนหัวขาด มันไม่ได้ 

ศีลนี้ยิ่งใหญ่ ศาสนาอื่นใดๆไม่มีศาสนาที่มีศีลเป็นหัว เป็นหลักการเหมือนศาสนาพระพุทธเจ้าหรอก แล้วก็มีอิทัปปัจจยตา ศีลสมาธิปัญญา ปฏิบัติกันอย่างเป็น จรณะ15 วิชชา 8 พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่าศาสนาอื่นใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 ศาสนานั้นไม่มีสมณะ 4 เหล่า คำว่าสมณะ 4 เหล่านี้แหละคืออาริยกะหรืออาริยบุคคล เป็นคนเจริญจริงๆ เจริญอย่างปฏิโสตัง เจริญอย่างทวนกระแสโลกีย์ ไม่ใช่เจริญอย่างโลกีย์ที่พาไปรวยด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข  ทวนว่ามีแต่หมด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หมดจริงๆ อย่างนี้ต่างหาก นี่คือสัจธรรมที่ยาก สัจธรรมที่มันเหมือนง่ายนะ ทวนกระแส ทำไมมันจะไม่เข้าใจคำว่าทวนกระแส ก็น่าจะเข้าใจนะ ทวนกระแส 

เอาง่ายๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลเป็นเบื้องต้น(ศีล) ปัญญาเป็นเบื้องปลาย(ปัญญา) แต่คนไปศรัทธาปัญญามากกว่ามาศรัทธาศีล เพราะมันกลายเป็นยอด เขาเอายอดไม่เอาต้น เพราะฉะนั้นพวกที่จะเอา มันต้องเอาทั้ง 3 ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ หรือเป็นพวกมุดเข้าป่าเข้าถ้ำ มันก็เลยไปใหญ่เลยใหญ่ เลอะใหญ่เลย มุดเข้าป่า ปัญญาเป็น ดร.เป็นเปรียญ 9 สมาธิก็นั่งหลับตา ไม่ว่าจะเป็นพระป่าที่นั่งหลับตาสมาธินี้ แม้แต่พระบ้านก็เชื่อว่าสมาธิต้องหลับตา ฌานก็ต้องนั่งหลับตา ว่ากันอย่างนั้น

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 34 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 หนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 สิงหาคม 2566 ( 11:42:54 )

ปฏิบัติธรรมไม่ได้ เป็นอวิชชาข้อที่ 8 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นปฏิบัติหลับตาไม่มีผัสสะไม่มีกายไม่มีทวารนอก ผิดหมด ไม่มี ปฏิจจสมุปบาท ปฏิบัติธรรมไม่ได้เลยเป็นอวิชชาข้อที่ 8 

อวิชชา 8 ข้อคือ 

1. ไม่รู้..ทุกข์  (ทุกฺเข อญฺญาณํ)

2. ไม่รู้..ทุกขสมุทัย  (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ) 

3. ไม่รู้..ทุกขนิโรธ  (ทุกฺขนิโรเธ  อญฺญาณํ)  

4. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (มรรคมีองค์ 8)   

5. ไม่รู้ในส่วนอดีต (ที่ไม่เที่ยง)   ปุพพันเต อัญญาณัง 

6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต (ที่ไม่เที่ยง)  อปรันเต อัญญาณัง 

7.ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต  (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว) (ปุพพันตาปรันเต  อัญญาณัง) . 

8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์  ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  (หรืออิทัปปัจจยตา) 

(พตปฎ. ล.34  ข.691  ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ) 

อาตมาเหมือนกับเก่งนะ จำบาลีพวกนี้ได้ก็ไม่ได้ท่อง ไม่ได้เป็นนักท่องจำเลย อาตมาไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักท่องจำแต่มันจำได้เพราะมันมีสภาวะรองรับ พอมาฟังพยัญชนะ ป้ายชื่อแปะๆเข้า เราก็พยายามจำ พยัญชนะไปแปะกับสภาวะ มันก็เลยจำง่ายขึ้น คนที่มีแต่พยัญชนะไม่มีสภาวะจะสับสนเรียงไม่ค่อยถูกหรอก แต่ผู้ที่มีสภาวะจะเรียงไม่สับสน อันนี้สังเกตได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิญญาณฐิติ 7 ปฏิจจสมุปบาท และวิชชา 8 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 วันแรม 14 ค่ำเดือนยี่ ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2566 ( 13:28:39 )

ปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลหากไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย

รายละเอียด

ถ้าไม่พ้นมิจฉาทิฏฐิ ข้อต้นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิที่ข้อต้นนี้ หมด ทั้งกระบวนไม่มีทางที่จะปฏิบัติธรรม ไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย คุณจะไปพิจารณากายในกายที่เป็นโพธิปักขิยธรรม คุณจะพิจารณาไม่ถูกเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 23 ความมหัศจรรย์ของการแยกกายแยกจิตได้ วันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มกราคม 2565 ( 20:39:17 )

ปฏิบัติประกอบด้วยมรรคทั้ง 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน

รายละเอียด

ซึ่งมีการลืมตาปฏิบัติประกอบด้วยมรรคทั้ง 7 องค์ มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธานต้องฟังให้เข้าใจ เป็นทิฏฐิเป็นความรู้ความเข้าใจแล้วก็ไปมีสติมีความพยายามสัมมาสติ สัมมาวายามะช่วยกันกับสัมมาทิฏฐิ เป็นพลังงานช่วยกัน เพื่อทำให้เกิดผลสัมมาสมาธิด้วย ขณะที่มีทำงานอาชีพ จะเป็นการปลูกผัก จะทำงานสื่อสาร ทำงานอะไรก็แล้วแต่ทำงานการเมืองทำงานทุกอย่างที่เป็นสัมมาอาชีพ ก็จะต้องมีสติมีความพยายาม อ่านกิเลสจากอาชีวะ การงานเลี้ยงชีพนั้น อ่านไปในการสัมผัส จะต้องใช้จิตนี้ไปทำงานตรวจสอบ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เมื่อจิตสัมผัสแล้วแยกแยะ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์จะทำงานไปด้วย มีสติแล้วต้องมีธรรมวิจัยประกอบพร้อมอยู่ ธรรมวิจัยทำงานร่วมไป วิจัยออก วิจัยอะไร วิจัยเอากิเลสออกไปจากจิต ที่มันเกิดๆๆอยู่ แล้วแยกกิเลสออกมา ทำลายกำจัดๆๆ ของพระพุทธเจ้ารู้หน้าตากิเลสให้รู้ นี้ตัวปลอม เหมือนกับตำรวจรู้ว่าตัวโจรอยู่ไหน จับโจรได้ก็จัดการ ตามกระบิลเมืองตามกฎหมาย

โจรร้ายถึงขั้นให้เอาเข้าคุกหรือว่าลงทัณฑ์ตามกฎเกณฑ์ของสังคม ก็ต้องจัดการ ไม่ทำอย่างเหลาะแหละ สีลัพพตปรามาส จับโจรได้ก็มาลูบหัวกับโจรเล่นกับโจร ไม่จัดการลงโทษมัน เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ไม่ได้ ต้องจัดการกับมันให้ทันที

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน การปฏิบัติอย่างมีลำดับของศีล 5


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:48:09 )

ปฏิบัติปหาน 5 ให้จบเป็นปกติธรรมดา

รายละเอียด

(ถาม)ผมเคยปฏิบัตินั่งหลับตามาก่อนบวชตอนเล่นไสยศาสตร์ ทำอยู่ 8 ปี จนมาบวช ตอนต้นๆก็มานั่งหลับตาอยู่บ้าง เป็นลิงลมอมข้าวพอง

(พ่อครูตอบ)คุณก็ปล่อยได้มาบ้างกระมังมันยังไม่หมด ราศี กัมมันตภาพรังสี ทุกวันนี้ไม่ต้องเรียน สมถะหรอก ให้เรียนปัสสัทธิเลยปัสสัทธิ เป็นความสงบยังมีสติสัมปชัญญะปัญญา ตื่น ชาคริยา ถ้าเข้าใจแล้วไม่ต้องทำการสมัครก็ได้ทำการปัสสัทธิ วิกขัมภนปหานก็ทำสมถะช่วยบ้าง ตทังคปหานก็ทำได้วิปัสสนาแล้ว ทำได้ดีเป็นสมุจเฉทปหาน ทำได้แล้วก็ทวนแล้วทวนเล่าปฏิปัสสัทธิ จนสูงสุดเป็นนิสรณปหาน คือไม่ต้องทำอีกแล้วสมบูรณ์แล้วจบแล้วทำได้เป็นปกติธรรมดา นิสรณะไม่ต้องรบอีก อาตมาแปลตามสภาวะ ไม่ได้แปลแต่ตามพยัญชนะ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 22 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2563 ( 20:19:46 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:39:09 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:40:14 )

ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 ทำให้เกิดสัมมาสมาธิ

รายละเอียด

สัมมาสมาธินั้นเกิดจากการปฏิบัติมากทั้ง 7 องค์ที่รวมไปแล้วทั้งหมดของชีวิตคุณจะต้องทำอาชีพทำกรรมกริยาต่างๆที่จะต้องพูด คุณจะต้องคิดรวมไปหมดแล้วเป็นแต่เพียงว่าคุณจะต้องรู้ว่าถ้าจะปฏิบัติเราก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ 10 เป็นตัวเงื่อนไขอะไรเงื่อนไขอันนี้แหละที่ยิ่งใหญ่สัมมาทิฏฐิ 10 เพราะฉะนั้นอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 อาตมาอธิบายทุกวันนี้บอกว่าเป็น สาสวะ 10 ก็ใช่ เพราะมาถึงตรงนี้แล้ว แต่ก่อนนี้พูดหัวข้อ มรรคองค์ 8 ปฏิบัติมรรค 7 องค์มีสัมมาทิฏฐิเป็นประธาน แล้วก็ต้องปฏิบัติในขณะทำงานอาชีพการกระทำ ขณะพูดขณะคิด แล้วก็ทำด้วยการมีสติและความเพียร เป็นองค์ประกอบที่ช่วยกับสัมมาสมาธิ โดยสติ โดยวายามะ ช่วยกันทำให้อาชีวะเป็นสัมมา ช่วยให้กัมมันตะเป็นสัมมา ช่วยให้วาจาเป็นสัมมาช่วยให้สังกัปปะเป็นสัมมา แล้วก็ได้ผล จิตสะอาดตกผลึกเป็นสัมมาสมาธิ

 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มีนาคม 2563 ( 09:57:25 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:20:33 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:40:33 )

ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์

รายละเอียด

ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้เป็นนั่งหลับตาปฏิบัติแต่ปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ การพูดการจาการคิดการทำอาชีพ มีไหวพริบปฏิภาณที่มีพลวัตของจิต มุทุภูตธาตุ จิตของเรามีปฏิภาณแววไว อ่านทันอ่านออก ถ้ามีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ว่ามันเป็นจิตที่มีกิเลสแยกกิเลสออกได้ แล้วก็รู้วิธีที่จะลดกิเลสด้วยปัญญาด้วยวิปัสสนา เห็นว่ามันจรมา มันไม่เที่ยง แล้วก็เป็นเหตุเป็นเหตุแห่งทุกข์และเป็นหลงว่าเป็นความสุข ปัญญานั้นมีประสิทธิภาพมีอินทรีย์พละเข้มข้นชนะสิ่งที่มันไม่จริง มันจะยืนยันความจริงให้ไปล้มล้างความยึดถือของความสุขความทุกข์ ผู้ที่ปฏิบัติเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติจะรู้ว่าจิตตัวเองสัมผัสด้วยความจริง จนกระทั่งมันหมดกิเลสอันนั้น จนมันตายอย่างลืมตานี่แหละ 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:14:06 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:50:37 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:40:55 )

ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8

รายละเอียด

ถ้าหากดีทิ้งสมณะโพธิรักษ์แล้ว จะปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ให้เกิดสัมมาสมาธิไม่ได้เพราะว่า สัมมาทิฏฐิเป็นประธาน ของมรรคมีองค์ 8  สมาธิจึงเป็นผลจากการปฏิบัติมรรคทั้ง 7 องค์ ในมหาจักรตารีสกสูตร  พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์ประธาน แล้วจะมีสัมมาสติ สัมมาวายามะ เป็นองค์ห้อมล้อมสัมมาทิฏฐิ เพื่อไปปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 15:54:21 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:51:37 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:41:26 )

ปฏิบัติมาแล้ว ทำได้แล้ว

รายละเอียด

หลักการของพระพุทธเจ้าครบหมดทุกอย่าง อาตมาปฏิบัติมาแล้ว ทำได้แล้วเอามาพูดมันจึงชัด ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้อวดตัวอวดตนอะไร อาตมาเอาความจริงมาพูดยืนยัน ที่อาตมาต้องเน้นตัวตนมากพูดแล้วพูดอีกบอกความจริงจริงใจ เพราะคนไม่เชื่อ คนไม่รู้ว่ามันมีคนปฏิบัติบรรลุธรรมได้จริง บรรลุอรหันต์จริงก็มายืนยันว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ไม่ใช่อรหันต์ธรรมดาแต่เป็นอรหันต์โพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย ยืนยันความจริงตามความจริง  อาตมาจะพูดไม่ผิด ถ้าพูดผิดมันเป็นบาป ยิ่งมาบอกอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน มันปาราชิกเลยนะ อาตมาก็รู้ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี อาตมาก็รู้ทั้งนั้น อาตมาไม่ทำ รู้กรรมรู้วิบากหมดแล้ว จะไปทำทำไม ทำมันเป็นจริงนะ กรรมมันเป็นของจริง คุณทำแล้วมันผิดแล้วคุณก็ไปโกหกต่อ โอ้โห คนรู้แล้วจะไปทำเหรอ คนทำคือคนไม่รู้หรือคนยังหน้าด้านเป็นอลัชชี รู้ตัวแล้วก็ไม่รับคือหน้าด้าน ส่วนลัชชีคือละอาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2566 ( 14:34:24 )

ปฏิบัติมีขั้นตอนเริ่มจากเบื้องต้น เบื้องกลาง แล้วค่อยเบื้องปลาย!

รายละเอียด

เพราะ“กายกลิ”อันเป็น“กิเลส”หยาบที่มาจาก“เหตุภาย

นอก”ซึ่งต้องกำจัดเป็นเบื้องต้น ก็ไม่ได้เริ่มต้น แล้วจะกำจัด“จิตต

กลิ”อันเป็นเบื้องกลาง-เบื้องปลายกันแบบไหน? ได้อย่างไร?

การหลับตาปฏิบัติจึงไม่มีผลสำเร็จเด็ดขาด เพราะมันไม่เริ่มจาก

“กาย”อันเป็นความหยาบใหญ่ภายนอกหรือ“เบื้องต้น”กันก่อน 

ตื่นจากความหลงงมงายอยู่กับวิธีปฏิบัติของเดียรถีย์กันเสียทีเถิด

ชาวพุทธทั้งหลายเอ๋ย หยุดพากันไปเป็นเดียรถีย์กันให้ได้เถอะ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 331 หน้า 247


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 15:21:09 )

ปฏิบัติลด ละ เลิกให้ได้เป็นโสดาบันจนถึงอรหันต์

รายละเอียด

ฐานโสดาบันนี่ มันไม่ใช่ฐานที่ใหญ่ที่โตอะไรเลย มันมีเนื้อแท้ของจิต 1. ยินดี ตามมูลสูตรข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ทำใจในใจเป็น มนสิการ  3. มีสัมมาทิฏฐิ ที่ต้องรู้ว่าตัวเองต้องผัสสะ เป็นมูลสูตรข้อที่ 3 ต้องมีผัสสะในการปฏิบัติธรรม (มูลสูตร 10 : พคปฎ. เล่ม 24 "มูลสูตร" ข้อ 58)

เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีฐานข้อที่ 1 2 3 นี้เป็นโสดาบันแล้ว ต่อจากนั้นคุณก็ปฏิบัติให้เพิ่มโสดาคุณ มากขึ้นด้วย มันก็จะเติมเวทนาให้เจริญขึ้นๆๆ เวทนาขึ้นได้ขีดหนึ่ง ก็เป็นสมาธิ 

สมาธิยิ่งแข็งแรงเป็นอินทรีย์ เป็นพละได้เท่าไหร่ สติปัญญาก็จะเจริญขึ้นเรื่อยๆ วิมุติ ก็เป็นผลตามมา 

เมื่อคุณถึงขั้นวิมุติ คุณก็เป็นอรหันต์ทุกคน เป็นอมตะบุคคล เป็นวิมุติจบแล้ว จบกิจ จิตหมดกิเลสวิมุติหลุดพ้นหมดกิเลส คุณก็เป็นอมตบุคคล เพราะฉะนั้นคุณจะเกิดหรือคุณจะดับคุณก็ทำได้เอง 

วิธีดับสูงสุดก็ดับอย่าง  ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ถือว่าจบกิจแล้วเบื้องต้น อรหันต์เบื้องต้นต้องปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ เพราะฉะนั้นคุณตาย..สุดท้ายคุณก็ตายด้วย นิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปปนิหิตตนิพพาน ทำสูญ จิตสูญ ไม่เกาะนิมิตใด ไม่ตั้งจิตใหม่อีกเลย..สูญ ธาตุจิตก็แยกไปหมด สลายกลายเป็นดินน้ำไฟลม นี่ก็อธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วก็รู้สภาวะ 

เราก็นึกถึงขณะเป็นๆ นี้แหละ ไอ้ที่เราแต่ก่อนนี้เคยวนเวียนไป อย่างผู้หญิงนี้มีเยอะ อบายมุข ฉัน โอ้โห เฟอะฟะต่างๆ ใช่ไหม อบายมุขแต่ก่อนนี้เลอะเทอะเยอะแยะผู้หญิง โอ้โห..แต่ก่อนนี้เราหลงมันว่าเลิศเลอ แต่เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว โธ่ เราไปติดไปยึดมันมาได้ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ไม่แล้ว 

ถ้าเราไม่แล้ว เราปล่อยวาง เราไม่ยินดีแล้วด้วย คุณอย่าไปยินร้ายกับคนที่เขาติดอยู่ อันนี้เป็นภาวะซ้อน มันน่าสงสารเขา เราอย่าไปยินร้ายกับเขา ถ้าบอกเขาได้ ปรารถนาดีกับเขา ก็บอกเขาบ้าง ช่วยเขาด้วย ไม่ใช่ไปยินร้าย แล้วก็ชิงชังผลักไสกัน..ไม่ใช่ ต้องเข้าใจเขาเห็นใจเขา ต้องรู้ว่าเราเองเราก็เคยเป็นอย่างนั้นมา ตอนนี้นี่เราไม่เป็นแล้ว 

ส่วนคนที่ไม่เคยเป็นอย่างนั้นมา ก็จะเข้าใจมันเกินกว่าที่เราเป็นนะ เกินกว่าที่เราเคยเป็นเคยมี เขาทนได้ยังไงนะ น่าสงสาร ไอ้อย่างนี้ก็ไม่กระไร แต่ถ้าเราเคยเป็นมา แล้วเราก็ไปเหยียดหยามเขา เธอทิ้งไม่ได้ ฉันยังทิ้งมาได้เลย มันก็ไม่ดีในลักษณะของจิต 

โสดาบันมันไม่มากไม่มาย ศีล 5 คุณได้สมบูรณ์แบบ ศีล 5 อย่างไม่ละเอียดอะไรมากมายหรอก ยังหยาบ คุณก็ไม่เป็นแล้ว หรือเมื่อกี้ก็บอกแล้ว 3 อย่าง อะไรบ้างล่ะ 

1. มีจิตยินดี แล้วก็ 2.ทำใจในใจได้ แล้ว 3. มีผัสสะ ในมูลสูตร 3 ข้อแรก อย่างนี้มันเป็น อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่ผิด คุณปฏิบัติมีความยินดี แล้วก็ทำใจในใจของคุณ 

พวกนั่งหลับตา เขาก็ทำใจในใจของเขา เราลืมตาปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย หลับตาเขาไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย มูลสูตรเขาแค่นี้เขาได้แค่ยินดีกับมนสิการ ผัสสะ ไม่มีแล้วพวกหลับตา เพราะฉะนั้นก็โมฆะไปเลย มูลสูตรอีก 8 ข้อ..ไม่มี ผัสสะ เวทนา เมื่อไม่มีผัสสะกับเวทนา ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาเขาก็อยู่ในภพในชาติหมด เพราะฉะนั้นวิมุติ อมตะ อะไรนี่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องฝันถึงเลย ใช่ไหม อาตมาไม่ได้ไปว่าเขานะ ไม่ได้ไปลงโทษเขานะ น่าสงสารที่เขาเองมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหมมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสาร 

สรุปตรงนี้แล้วตีหัวตะปูย้ำ นั่งหลับตานั้น เข้าใจว่ามันมีอานิสงส์ แต่มันไม่ใช่หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุอาริยธรรม บรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่ มันมีอานิสงส์ช่วยอุปการะ ก็เคยอธิบายแล้ว 

1.พักผ่อน 2. ทบทวนธรรม 3. ทำเตวิชโช 4. เอาไปเล่นฤทธิ์เล่นเดช บ้าๆบอๆ อันที่ 4 ทิ้งไปเลย 3 อันแรกยังใช้ได้ พักผ่อนทบทวนธรรม แล้วก็เตวิชโช 3 อย่างนี้ ใช้การหลับตาเป็นอุปการะมาก อาตมาก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ 

พัก ทบทวนธรรรม เตวิชโช ทุกวันนี้อาตมาก็ยังใช้ เป็นอุปการะมาก ไม่ใช้แต่เรื่องเล่นฤทธิ์เดชอะไรต่างๆ ไม่ทำ ไม่ได้ก็ไม่เคยสงสัย เคยมีฤทธิ์เดชพวกนี้ เคยมีเคยเล่น เล่นมานิดหน่อยก็ชัดแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว มันไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ในเรื่องฤทธิ์เดช ฟื้นขึ้นมาได้บ้างนิดๆหน่อยๆก็รู้แล้วว่า..ไม่ใช่ อาตมาเล่นไสยศาสตร์ 8 ปี กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ มันต้องสะสมพลังงานนะฤทธิ์เดชพวกนี้ พลังงานไม่พอไม่ได้ พลังงานทางจิต แล้วเสื่อมง่ายด้วย ไม่เที่ยง บางครั้งบางคราวก็พลาด เพราะฉะนั้นตายไปด้วยความอวดดีทางฤทธิ์เดชนี้เยอะ 

ก็ตามตำนานมีว่าฤาษีเหาะได้ เหาะผ่านสระอโนดาตของพระราชา เห็นนางสนมทั้งหลายแหล่โป๊เปลือยกัน กามขึ้นปั๊บ ก็ตกปุ๊บเลย ทีนี้เหาะไม่ได้เลย ต้องเดินกลับกุฏิ ใครเคยได้ยินไหมตำนานนี้ มันเป็นจริงมันเป็นเรื่องจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:45:22 )

ปฏิบัติลัดตัดความ มรรคผลก็ถูกลัดตัดตอน!

รายละเอียด

แต่เพราะ“อวิชชา” คือ ไม่รู้แม้แต่ว่า “ภายนอก”คือ ลำดับต้นที่ต้อง

จัดการให้ได้กันก่อน แล้วจึงจะทำในขั้นต่อไป แค่นี้ก็ยังไม่รู้

ไปตัดลัดลำดับ ทิ้งความเป็น“ขั้นต้น”ไปเสีย “หลับตา”เข้าไปจัดการใน“ภายใน”อันเป็น“ขั้นกลาง-ขั้นปลาย”กันเลย

ขอยืนยันว่า มันเป็นไปไม่ได้ ในภาคปฏิบัติ ในภาคของความจริง

มันต้องเริ่มกันที่“ภายนอก”เป็นต้นไป คือ “กายกลิ”ก่อน  

กำจัด“กายกลิ”แล้ว จึงจะผ่านเข้าไปจัดการ“จิตตกลิ”ได้ต่อไป

ผู้มีธาตุรู้ถึงขั้น“ปัญญา”อันเป็น“โลกุตระ”จริงแท้จึงจะเชื่อมั่นว่า“กาม”

นั้นมันคือกิเลส เป็นโทษเป็นภัยแก่ชีวิตที่อยู่ในจิตใจคนจริงๆและยอมปฏิบัติตนอบรมฝึกฝน“ออกจากกาม”ก่อน“ภายใน” ซึ่งมันมีความเป็นลำดับ“นอก-ใน”อยู่จริง ก็ควรจัดการ“นอก”ก่อนตามลำดับ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 381 หน้า 277


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 12:39:38 )

ปฏิบัติลืมตาตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละ กิเลสจะหมดไปจริง

รายละเอียด

ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงๆแล้ว เมื่อกิเลสออกไปจากจิตจริงแล้วไม่ต้องไปนั่งหลับตาแล้วทำให้สติตื่นเต็มอยู่ในจิตหรอก ปฏิบัติลืมตาตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่แหละ กิเลสจะหมดไปจริง หมดไปจริง เมื่อกิเลสหมดไปจริงแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเป็นพระอรหันต์ 

พระอรหันต์มีสติในการหลับตากับสติในการลืมตาเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องไปปฏิบัตินั่งหลับตาทำให้สติตื่นเลย คนที่นั่งหลับตาสติเต็มร้อย ตื่นเต็มร้อยตามที่เขาหมาย เขาจะหมายถึงว่าสติเต็มร้อยแบบไหน ก็เป็นแบบที่หลับตาอยู่ในถ้ำ หลับตาอยู่ในเบอร์มิวด้า หลับตาอยู่ในแดนมืด เขาก็สว่างอยู่ในที่มืด 

จริงๆแล้วสว่างกับมืดมันอันเดียวกันไหม..ไม่ เพราะฉะนั้นเขาจึงสร้างความสว่างในที่มืดแบบสร้างนิรมานกายขึ้นมา เป็นอุปาทานทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นความจริงเลย เพราะฉะนั้นคนที่หลับตา ทำสมาธิหรือสร้างสติในการหลับตานั้น หลับตาเข้าแล้วไม่มืดจะมีแสงสว่าง เป็นแสงสว่างนิดๆหน่อยๆ วอบแวบๆ เป็นแสงสว่างสีเขียว สีม่วง สีแดงหรือถ้าไม่สว่างเป็นอาภัสรา สว่างในที่มืด เป็นเรื่องเก๊ทั้งนั้นเป็นอุปาทานสร้างขึ้นเอง คนหลับตาก็มืด คนลืมตาก็สว่าง ถ้าเป็นกลางวันมีแสงพระอาทิตย์ ถ้ากลางคืนมืดๆเดือนแรม 15 ค่ำด้วย หลับตามันก็มืดตึ๊ดตื๋อ มันไม่มีแสงอะไรแม้แต่แสงพระจันทร์ก็ไม่สะท้อนเข้ามา มันก็มืด เห็นความจริงตามความเป็นจริงแบบ สุภกิณหา กิณหา แปลว่าดำ แปลว่ามืด ผู้สัมมาทิฏฐิก็จะมี สุภะ รู้จักความจริงตามความเป็นจริง สัมมาทิฏฐิเข้าใจว่าความมืดก็คือความดำมืดของแสง นิโรธคือนิโรธ จะไม่หลงผิดว่าความดำมืดเป็นนิโรธ เพราะนิโรธเป็นการละกิเลส แต่ความดำมืดเป็นเรื่องของรูปธรรม เป็นเรื่องของวัตถุธรรมเท่านั้น ไม่ใช่จิตไม่ใช่กิเลส อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 21ตอบปัญหาใครคือเผด็จการใครคือประชาธิปไตย วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2566 แรม 4 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2566 ( 14:06:03 )

ปฏิบัติลืมตาที่เป็นปัจจุบันธรรม 

รายละเอียด

ปฏิบัติลืมตาที่เป็นปัจจุบันธรรม  คือ  การลืมตาปฏิบัติจึงรู้ชัดเจนอาการกิเลสที่เป็นนามธรรมแล้ว  เราก็รู้ว่าได้ปฏิบัติให้กิเลสลดลง  จนกิเลสมันตาย  มันหมด  ขณะที่สัมผัสอยู่กับปัจจุบันก็รู้เลยว่า  กิเลสไม่มี  ยังลืมตานี่แหละเป็นปัจจุบันธรรม  เป็นธรรมะที่จริงที่สุด  ยิ่งกว่าอดีต  ยิ่งกว่าอนาคต  ปฏิบัติลืมตาหลัดๆ นี่แหละ  แล้วก็ทำให้มันลดลงไปได้เลย  เป็นปัจจุบันทันสมัยที่สุด  เป็นความเจริญศิวิไลซ์หรืออาริยชนที่ได้คุณสมบัติเป็นธรรมะที่บรรลุเป็นความรู้สึกพ้น  เป็นนิพพาน  เป็นวิมุติ  จะเรียกด้วยบัญญัติภาษาก็ได้  นิพพานก็ได้  หลุดพ้นจากโลก หลุดพ้นจากอัตตา  โลกก็มี  กามภพ  รูปภพ  อรูปภพ  หรือเรียกโอฬาริกอัตตา  มโนมยมัตตา  อรูปอัตตา  ซึ่งบัญญัตินี้หมายถึงสภาวธรรมอย่างไร  ก็สามารถดับได้จนหมดเรียบร้อย

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:14:15 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:52:19 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:41:54 )

ปฏิบัติวิญญาณฐิติ 7 อย่างสัมมาจบเลย

รายละเอียด

เคยอธิบายแล้วว่าผู้ที่ปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิบริบูรณ์ตั้งแต่ 1 2 3 4 5 6 7 จบเลย เพราะผู้นี้ไม่มี 

ข้อ 1 ไม่ไปหลงอยู่ใน อสัญญีสัตว์

ข้อ 2 มีสัมมาทิฏฐิที่ครบถ้วนบริบูรณ์ สามารถมีสัญญากำหนดแม่นในอะไรต่างๆใน นานาสัญญา แม่นเพราะไม่มีเนวสัญญา เป็นสัญญาภาคเศษกึ่งๆกลาง แต่สัญญาคมชัดแม่นตรงเด็ดเดี่ยวชัดเจน เพราะฉะนั้นจึงปฏิบัติสัมมาทิฏฐิเรียงลำดับมาอย่างน่าอัศจรรย์ละเอียดลออ คุณก็บรรลุเหมือนฝั่งทะเลราบเรียบมาไม่มีอะไรสะดุด ครบ 7 ขั้นสบาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เรียนรู้วิญญาณฐิติ 7 ให้ถึงอรหันต์ 

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 15:13:20 )

ปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 อย่างสมบูรณ์แบบ

รายละเอียด

อาตมากำลังแยกอากาสานัญจายตนะกับวิญญานัญจายตนะ

นัญจายตนะคือรู้อันที่ไม่มี นัญจายตน ตัว น คือไม่ กับอัญจ คืออัญญะที่สว่าง 

อัญญาธาตุรู้โลกุตระเป็นอัญจะคือสว่าง จ ฉ ช ฌ ญ คือธาตุสว่างทั้งนั้นเลย รู้แจ้งเห็นจริงรู้หมด จ ฉ ฌ ช ญ คือธาตุรู้ธาตุสว่าง

เพราะฉะนั้นขณะที่มีอากาศก็มีอย่างที่รู้ๆขณะที่มีวิญญาณที่แยกอากาศคือรูปวิญญาณคือนาม วิญญาณก็คือวิญญาณอย่างรู้และสะอาดบริสุทธิ์หมดจดกิเลสไม่มีอากิญจัญญายตนะ อากาศก็เป็นอากาศที่ไม่มีอะไรเปื้อนใสสะอาดบริสุทธิ์หมดเลย วิญญาณก็ใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นวิญญาณเกลี้ยงเกลาไม่มีเศษธุลีละอองมัวหมองด้วยกิเลสอาสวะอนุสัยไม่มี ก็ตรวจแล้วตรวจอีกอากิญจัญญายตนะนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง ก็ไม่มี ก็จบด้วย 3 อย่างนี้ 

อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ จบหมดเกลี้ยง ปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 อย่างสมบูรณ์แบบ คุณหมดเลยสัตว์ทั้งหลายแหล่ไม่เหลือ ถูกดับหมด สัตโอปปาติกะ ไม่มีความเป็นสัตว์อีกแล้ว จะเรียกว่าเทวดาก็เป็นเทวดาชั้นจบ จะเรียกว่าพระพรหมก็เป็นพระพรหมที่สุดสะอาดบริสุทธิ์ จะเรียกพระพรหมหรือเทวดาก็ได้ก็เป็นเทวดาที่สุดยอดเทวดา ก็คือสภาพสอง ทั้งสภาวะจริงกับพยัญชนะทั้งคู่ เทวะทุกคู่ สมบูรณ์แบบทุกคู่รู้จบรู้จริงรู้เป็นสุดยอดหมดเลย อาตมาพยายามขยายความ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 21:09:14 )

ปฏิบัติวิโมกข์ 8

รายละเอียด

ต้องมีรูปและต้องรู้ 2 ต้องมีสัมผัสทั้งภายนอกถึงภายใน อัชฌัตตัง อรูปสัญญี พหิทารูปานิปัสสติ  ต้องมีสัญญากำหนดรู้ทั้งภายนอกและภายใน อัชฌัตตัง ตั้งแต่รูป จนถึงอรูป จบทั้งภพในและนอก กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ส่วนข้อที่ 3 คือสุภันเตว อธิมุตโต โหติ นี่เป็นวิโมกข์ข้อที่ 3 คือจิตปฏิบัติแล้วจะมีจิตโน้มน้อมไปหาวิมุติหรือวิโมกข์ เราก็อ่านจิตของเราว่าเข้ากระแสไปในกระแสที่โน้ม อธิมุติอธิโมกข์แปลว่าน้อมไปในวิมุติวิโมกข์ ต้องเรียนรู้ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ว่าจิตทวนกระแสเข้าไปสู่ความเจริญ เป็นสุภะ ควร เป็นสิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น ตามที่เรามีความฉลาดรู้ อ่าน อาการ ลิงคิ นิมิต ตามที่อาตมา อุเทศ แล้วไปจับอ่านอาการจึงเรียนรู้อาการ แล้วเรียนรู้ธรรมะ 2 อะไรควรไม่ควร อะไรจริงอะไรไม่จริง อะไรแท้อะไรเท็จ อะไรที่เป็นเท็จก็ทำลายออกให้หมด จนเหลือแต่แท้ๆ นั่นคือการปฏิบัติ นี่จบการพุทธาภิเษกแล้วนะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้างานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 2 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม 5 รูป 28


เวลาบันทึก 25 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:43:02 )

ปฏิบัติศีล 5 อย่างต่ำจึงจะเป็นชาวอโศก

รายละเอียด

คุณจะมาพบชาวอโศก เข้ามาที่นี่ต้องมีศีล 5 อย่างต่ำนะ ข้อที่ 1 ไม่กินเนื้อสัตว์นะ ข้อที่ 2 ไม่เอานะการลักขโมย ข้อที่ 3 เรื่องกามเรื่องเพศ อย่างน้อยก็ ผัวเดียวเมียเดียวนะ หรือ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ก็อย่าไปจัดจ้านนะ จะเห็นได้ว่ารูปก็ดี รสกลิ่นเสียงสัมผัส พวกเราไม่จัดจ้าน ก็มีบ้าง พอสมควร แต่ไม่จัดจ้าน  แล้วเมื่อปฏิบัติ ศีลด้วย คุณจะปฏิบัติทีละเล็กละน้อยก็ตาม คุณจะเกิดความเข้าใจความเห็นดีเห็นงาม ความยินดีพอใจ เป็นฉันทะ สุริยเปยยาล ข้อที่ 3 อ๋อ.. มันเกิดมรรคผลอย่างนี้นะ ก็จะเกิดความยินดี ฉันทะ ฉันทะ ไม่ใช่การเสแสร้ง แต่จิตเกิดจริง มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา มันจะแข็งแรงไปเลยอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้ เมื่อมีฉันทะ เรียนไป เขาก็จะสอนเรื่องอัตตาให้คุณ เรียนรู้อัตตา สภาวะที่ยึดตัวยึดตน ตัวตนในอะไรต่างๆที่ยึดถือ ยึด ผี ส้มโอ เป็นต้น คือคุณไปติดส้มโอ คุณไปติดอันไหน อันนั้นก็เป็นผี ทั้งหมดเลยแม้แต่อุปกิเลส ยิ่งหยาบก็ยิ่งชัดแท้ผีชัดๆ ไม่ได้ก็จะดิ้นตายเลย  เวลาไม่ได้แล้วดิ้นจะเอา เขาก็เรียกว่าผีเข้า ดุด้วยนะ ผี หากไม่ได้อะไรสมใจก็ดิ้นเมื่อคุณเข้าใจเรื่องอัตตาแล้ว คุณก็จะทำ สัมมาทิฏฐิ ให้ถูก สัมมาทิฏฐิ 10 หรือ สัมมาทิฏฐิ 2 ถ้าได้ขนาดนี้ คุณจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ 2 แล้ว สัมมาทิฏฐิ 2 คือ ฟังธรรมของสัตบุรุษเป็น ปรโตโฆษะ แล้วคุณก็เข้าใจ คุณก็จะมาปฏิบัติโยนิโสมนสิการได้ นี่คือสัมมาทิฏฐิ 2 แต่ถ้าคุณฟังอันนี้แล้วไม่เหมือนของเรา คุณก็จะไม่เอา คุณก็จะได้อย่างของคุณ ผู้ที่ไม่เข้าสัมมาทิฏฐิมันก็จะผิดอยู่อย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 29 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2563 ( 17:30:13 )

ปฏิบัติศีล 5 ให้มีสภาวะสูงไปเรื่อยๆ

รายละเอียด

ศีล 5 นั้นนะ ถ้าเข้าใจอย่างดีแล้ว ไม่ต้องอธิบายเป็นพยัญชนะ มีสภาวะไปเอง เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ อธิโมกข์ ไปเรื่อยๆๆๆ มันสุดยอดของมัน ขยายสภาวะไปเอง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:31:21 )

ปฏิบัติศีล และ อปัณณกปฏิปทา 3

รายละเอียด

บรรดาผู้ที่สอนกสิณ 40 และกสิณอะไรๆ อื่นๆที่ไปสอนให้เพ่งนี้..เลิกได้ มาศึกษา อปัณณกปฏิปทา 3 ให้ดีๆ ปฏิบัติศีล แล้วก็ อปัณณกปฏิปทา 3 คือ 4 ข้อนี้เป็นฐานหลักการปฏิบัติ 

ศีล และ อปัณณกปฏิปทา 3 โดยเฉพาะศีลเป็นหัวข้อหลัก แล้วก็ปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 ในศีลแต่ละข้อๆไป ก็จะเกิดผล สัทธรรม 7 ฌาน 4 ก็ขอผ่านไปก่อน ตอนนี้จะยังไม่ขยายความ สัทธรรม 7 ฌาน 4 

แล้วลืมตาปฏิบัติของพุทธไม่ต้องไปหลับตา ไม่ต้องไปหาสถานที่ ไม่ต้องไปเปลืองเวลาปลีกตัว ปฏิบัติไปทุกเวลาที่มีลมหายใจเข้าออก มีงานการ มีทุกอย่าง มีทั้งสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา ปฏิบัติธรรมโลกุตระ คิดก็ได้ พูดก็ได้ จะทำการงานกัมมันตะ จะทำอาชีพอีก นี่ก็จะขยายความให้ฟังให้ละเอียดๆ เตรียมไว้อยู่ จะขยายมรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 สัมมาทิฏฐิ 10 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 16:09:39 )

ปฏิบัติศีลกับวัตถุ กับพืช กับสัตว์ กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส

รายละเอียด

ขออภัยที่จะพูดว่าไม่มีใครจะมาขยายรายละเอียดอย่างที่อาตมาอธิบายหรอก แล้วพวกคุณรู้เรื่องไหม ปฏิบัติกับสิ่งที่อาตมาอธิบายนี้ไหม ไม่ใช่สิ่งเปล่าดายเพ้อเจ้อ จะเอาไปทำกับอะไรก็ทำกับวัตถุกับพืชกับสัตว์ทำกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นี่แหละ นี่คือหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็ตีหัวกบาลพวกหลับตาได้อีกที 

เมื่อไปนั่งหลับตาแล้วรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันไม่มี มันไม่มีให้คุณได้ศึกษาเลยคุณก็จมอยู่ในกะลาครอบอยู่อย่างเดิม มันไม่งอกงามอะไรขึ้นมาอีกหรอกพวกหลับตาเอ๋ย เมื่อยจริงๆ กับคนพวกนี้ จะบอกว่าเขาไม่มีปัญญาพอฟังรู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แต่มันยึด เอ็งเป็นใครนะ รูปก็ไม่หล่อพ่อก็ไม่รวย ยศศักดิ์ฐานะอะไรก็ไม่มี ปริญญาจัตวาปริญญาตรีโทเอกก็ไม่มี เปรียญ 1 เปรียญ 2 เปรียญ 3 ก็ไม่มี นักธรรมตรี โท เอก ก็ไม่มี มันก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกันไม่มีหลักฐานให้ยืนยันเลย 

อาตมามีหลักฐานอธิบายธรรมะพวกนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอน นั่นคือคุณเข้าใจไม่ได้ 2. คนอื่นที่เข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติมีผลธรรมปรากฏสำเร็จนี่ไง เขาก็ยังไม่เชื่อว่าสำเร็จก็ไม่ว่า ก็ใช่สิคุณจะเป็นแบบของคุณ บรรลุอรหันต์หลับตา ของเราอรหันต์ลืมตาจะไปเหมือนกันได้อย่างไร เป็นอรหันต์หลับตา กล้วยๆ หยุดนิ่งเฉย ไม่มีอะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 พาปฏิญาณศีล 8 วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 พฤษภาคม 2565 ( 12:10:17 )

ปฏิบัติศีลข้อ 1 ได้ ไม่เป็นตัวร้ายแต่เป็นตัวดี

รายละเอียด

ศีลข้อ 1 ถ้าผู้ใดยังไม่มีเลย ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเลย เป็นคนที่โหดร้าย เป็นคนฆ่าคนได้ คนที่ฆ่าคนได้นี้เลวสุดแล้วในคน เพราะฉะนั้นไปฆ่าสัตว์ก็เลวรองลงไป 

อาตมาเคยอธิบายไว้ เมื่อเกิดมาเป็นจิตนิยามเป็นสัตว์ แม้แต่จะเป็นสัตว์เซลล์เดียว สัตว์เซลล์เดียวอันนี้จะพัฒนาไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตก็ได้คุณอย่าไปทำร้ายเขา เขากว่าจะเกิดมาเป็นจิตนิยามได้ เริ่มเป็นเซลล์เดียว เริ่มเป็นสัตว์ก็ตาม มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดได้ง่ายๆที่จะมาเป็นสัตว์ ไม่ได้เกิดได้ง่าย ดิน น้ำ ไฟ ลม มันก็เกิดไปของมันอยู่ตลอดกาลนาน นับเวลานับกาละได้ที่ไหนเล่า แม้แต่มาเกิดยกระดับเป็นชีวะเป็นพืชแล้ว มันก็เป็นพืชอีกนานเท่าไหร่กว่าจะมาเป็นสัตว์ได้  นี่คือวิทยาศาสตร์ Biology ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เป็นชีววิทยาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางโลกจะไปสู้พระพุทธเจ้าได้ที่ไหน ท่านรู้ที่มาที่ไปที่เกิดของระดับพวกนี้ แยกให้เห็นเลย แล้วพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากสภาวะ 2 ปรุงแต่งกันเป็น เป็นอุตุ มันก็ปรุงแต่งกันไปจนกระทั่งเป็นปรมาณูใช้กันอยู่ทุกวันนี้ปรุงแต่งเป็นพืชก็ปรุงแต่งกันไป จนกระทั่งเป็นสถานะหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมนุษยชาติ ไม่อาศัยมันก็ประดับเป็นธรรมชาติของมันไป  มันก็ทำหน้าที่ของมัน จะกรองอากาศ จะหมุนเวียนอะไรของมันก็เป็นพืช เป็นคนนี่แหละ เป็นตัวร้ายหรือตัวดี เป็นคนนี่แหละคือตัวร้ายตัวดี

พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนสุดท้ายไม่เป็นแล้วตัวร้าย เป็นแต่ตัวดี แล้วจนกระทั่งสูงกว่า ไม่เป็นตัวร้ายเป็นแต่ตัวดีแล้ว รู้เลยว่า ถ้าเราจะอยู่เป็นชีวะ หลักประกันก็เป็นคนดีที่สุด เกิดมาอีกกี่ชาติ กี่ชาติ ไม่ชั่วเลย  มีแต่เป็นประโยชน์ในโลก เป็นหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ นี่คือศีลข้อที่ 1 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47  วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2566 ( 19:45:48 )

ปฏิบัติศีลข้อ 3 ตามลำดับจนหมดสังโยชน์

รายละเอียด

ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ 5 คุณต้องรู้ว่าตัวนี้เป็นตัวที่ทำให้จมอยู่ในโลกทั้งหลายที่เป็นโลกโลกียโลกของกามคุณ โลกกามารมณ์ กามฉันทะกามตัณหา เพราะฉะนั้นเป็นขั้นต้นขั้นที่หยาบ อันนี้ต้องให้ได้ก่อนแล้วคุณถึงจะรู้มีความรู้มีธาตุรู้มีรายละเอียดพวกนี้ หมดไป จบไป จึงจะเหลือแม้แต่เป็นรูปราคะเศษส่วนของกาม แต่มันไม่เอาแล้วข้างนอกภายนอกมันหมดรส หมดกามรส มันเฉย มันกลางไม่กระดี๊กระด๊า แต่ระริกระรี้อยู่ในภายใน จมกับสัญญา เป็นความเคยชินเป็นสัญชาตญาณเก่าๆ แต่สิ่งใหม่ที่กระทบสัมผัสอยู่กับปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นพระอนาคามี หมดกามภพ คุณสัมผัสคุณก็เฉยหมดสัมผัสเสียดสี นั่นคือพระอนาคามีแท้ มันก็เหลืออยู่แต่ของคุณเอง ปรุงกันนั่นแหละ อาตมาใช้ภาษาว่าขยำขี้ ปรุงเป็นรสของตนเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก นี่มันขาดจริงๆๆ จะเป็นอย่างนี้แล้วก็ไปล้าง รูปราคะ ที่ยังมีเสพไปเรื่อยๆ ได้แล้วก็มีมานะ นึกว่าตนเองได้ดี ไปเบ่งข่มผู้อื่น อวดอ้าง ก็ลดลงๆ หมดมานะเหลือเศษน้อยก็ล้างอุทธัจจะ หมดแล้วก็หมดอวิชชา ก็จะชัดเจนขึ้นไป หมดสังโยชน์ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 14:10:45 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 13:21:08 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:42:17 )

ปฏิบัติศีลข้อที่ 1

รายละเอียด

ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ พวกเราไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ไม่กินไม่เลี้ยง ได้เป็นสมาธิอย่างสูงเลยเป็นความตั้งมั่นของผล อธิ ขั้นวิมุติญาณทัสนะ พูดแล้วก็ชัดเจนพวกเราไม่มีจิตที่จะไปอะไรกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ ยิ่งสัตว์ใหญ่เราไม่เกี่ยวข้องได้เลย ไดโนเสาร์เราก็มีแต่รูปปั้น รูปปั้นช้างก็มีฮิปโปก็มี เราจะเกี่ยวกับจุลินทรีย์ มันกว่าจะพัฒนามาก็อีกไกล กว่ามันจะพัฒนามาเราก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว ไม่งั้นก็ไม่ได้ จะไปกินยาเข้าไปจะไปฆ่าเชื้อโรคฆ่าจุลินทรีย์ ไม่ได้ พยาธิก็ไม่ต้องถ่าย สัตว์จุลินทรีย์ก็ไม่ได้ นี่พวกเชนสุดโต่ง เขาไม่กินยาให้จุลินทรีย์มันฆ่าเราตายไปพร้อมกับมันเลยพวกเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:23:25 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:53:29 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:43:00 )

ปฏิบัติศีลข้อที่ 1

รายละเอียด

ศีลพรต เราปฏิบัติศีลข้อที่ 1 แล้วได้มรรคผลคุณจะรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพานจะรู้จักว่ากิเลสมันลด เออ..จิตของเราเกี่ยวกับสัตว์นี้เราเข้าใจเลยว่าต่างคนต่างอยู่ ชีวิตเกิดมาเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ที่พูดที่ท่องจำกันมา อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน อย่าไปสร้างวิบากร่วมกันอีกเลย คุณจะเข้าใจลึกซึ้งเลย การไม่สร้างวิบากร่วมกัน โดยเฉพาะคนที่มีวิบากร่วมกัน อันนี้แหละต้องมาศึกษา เพราะฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานนี้ ตัดไปเลย ไม่สร้างวิบากร่วมกัน ตั้งแต่เอามากินเอามาใช้เอามาเลี้ยง เอามา ทั้งผลักทั้งดูด เกี่ยวกับสัตว์เดรัจฉานเราไม่เกี่ยว เฉพาะกับคนต่างที่มีทั้งผลักและดูดนี้มันก็เหลือที่จะปฏิบัติแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 12 สิงหาคม 2563 ( 10:06:58 )

ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 ได้เป็นคนมหัศจรรย์ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในเรื่องคำสอนพระพุทธเจ้าเริ่มตั้งแต่ อาตมาให้ศึกษาตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์จนกระทั่งหวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ รายละเอียดลึกกว่านี้ก็ได้ แต่ขอพักไว้ตรงนี้ก่อน 

ศีลข้อที่ 2 เป็นต้น นี่เป็นคำสอนที่เป็นอนุสาสนี ผู้ทำตามได้นั่นแหละเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ไม่ฆ่าสัตว์นี่แหละ หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่นี่แหละ นี่แหละคือคนมหัศจรรย์ มีอยู่ในชุมชนชาวอโศกเยอะเลย เหมือนสัตว์ใหญ่อยู่ในมหาสมุทร มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ซึ่งรู้จักศีลข้อ 1 ดีแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ เด็ดขาด สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กไม่ฆ่าหมดเลย 

แม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่นี่ก็ไม่ฆ่าสัตว์รู้จักศีลข้อที่ 1 ปฏิบัติศีลข้อที่ 1 นี่แหละคือความมหัศจรรย์ 

ซึ่งคนไม่เห็นเป็นความมหัศจรรย์ คนไม่เชื่อ ไม่เข้าใจว่าจะเป็นความมหัศจรรย์ได้อย่างไรก็แค่ไม่ฆ่าสัตว์ เราไม่ฆ่าคนอื่นเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว เรื่องกินเนื้อสัตว์ (เขาก็อ้างว่า) เขาก็ไม่ได้ฆ่า ซึ่งมันมีรายละเอียดอาตมาจะไม่ลงรายละเอียดพวกนั้นอีก เพราะอธิบายไปหลายทีแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คนถือศีล 5 ได้ถือเป็นความมหัศจรรย์อย่างยิ่ง วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 มกราคม 2565 ( 14:47:29 )

ปฏิบัติศีลจนจิตเราเป็นสันโดษจะเบาสบาย

รายละเอียด

เราไปชุมนุม เราเป็นผู้ที่ปฏิบัติ ได้ปฏิบัติให้เกิดศีล เกิดสำรวมอินทรีย์ เกิดสติสัมปชัญญะ ไปสัมผัสกับอะไร จิตของเราก็เป็นสันโดษ ใจเราแข็งแรง ใจมันพอ มันมีอะไรมามันก็ไม่ได้ไปยินดียินร้ายกับมัน ไม่ได้อยากได้นั่นอยากได้นี่ใจมันพอมัน 0 ถึงแม้พวกเรายังไม่สูญทุกคน แต่ก็ลดละมาได้มีอาริยธรรมมีโลกุตรธรรมแล้ว ได้มากได้น้อย จึงไปสำรวมอินทรีย์สงบระงับ สงบ จนกระทั่งเสียงปืนเสียงระเบิด คนมันถือปืนถือระเบิดก็เฉย พวกนี้มันกินอะไรมานะ กินยาอะไรมาหรือเปล่า นั่นคือความสำเร็จ การมีสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ สังวรสำเร็จ มีสติสัมปชัญญะ มีสันโดษสำเร็จ อยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้แต่มีจิตที่แข็งแรง มีจิตใจที่ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งที่กระทบสัมผัส ต่อสิ่งที่คนอื่นกลัว แต่ของเราเฉยๆไม่กลัว เราก็ระมัดระวังในสิ่งที่จะทำให้คนเขาเกิดอกุศล มีปัญญากำกับ อย่างเป็นผู้เจริญจริงๆไม่เป็นผู้ที่ทำสิ่งรุนแรง ที่เป็นอกุศลที่ไม่ดีก็ไม่ทำ เราทำแต่สิ่งที่ดีแม้เขาจะร้ายกับเรา เราก็ไม่มีอะไรที่เป็นอกุศลตอบไปเลย มีแต่เขาร้ายมาเราดีตอบ เรามีแต่ให้ เราปรารถนาให้เขาดีตามที่เราเห็น แต่เขาไม่เอาอย่างไม่เอาตาม ให้เขารู้ตัวด้วยว่า อย่างนั้นมันไม่ดี เลิกเถอะมาทำสิ่งที่ดีอย่างนี้ 

ถึงอย่างนั้นเราไปแสดงตัวในสนามรบ สนามรบจริงๆกระทบสัมผัสรุนแรง ฆ่าแกงกัน เอากันถึงตายจริงๆ แล้วมีคนตายกันจริงๆ เพราะคนเราอยู่ในชาติเดียวกัน ยิ่งอย่างยูเครนไม่ต้องพูดถึง ส่งไปฆ่ากัน เพราะฉะนั้นแม้แต่ในของประเทศไทยเมืองพุทธ แล้วก็มีสงครามในประเทศ เราก็เอาความสงบ สยบความรุนแรงจนชนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ สติ สันโดษอันเป็นอาริยะ วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 18 สิงหาคม 2565 ( 14:42:35 )

ปฏิบัติศีลจนเป็นพระอรหันต์ปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

ปฏิบัติศีลก็ให้เป็นประโยชน์คือ รู้จักกิเลส ไม่ใช่ปฏิบัติศีลแล้วควบคุมแค่กาย วาจา นี่ก็คือความเสื่อมของคำสอน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนแค่นั้น แม้แต่ในศีล สีลสูตร ท่านก็ยังสอนว่า ปฏิบัติศีลนี้ จะล้างกิเลสออกจากจิตจนเป็นพระอรหันต์ ศีลไม่ใช่แค่กาย วาจา เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิตไม่ใช่แค่กาย วาจา อันนี้เขาก็สอนกันผิด จนกระทั่งหมด ศีล ก็เลยได้แค่นั้นไม่ได้ประโยชน์จากศีล 

ศีลนี่แหละ ตัวต้นทาง ต้นเหตุที่สำคัญที่สุดเลยที่จะต้องใช้หลักคำสอน ศีล คือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไปตามลำดับ เป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่มากในศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 ไม่ใช่สัตว์เป็นวัตถุกับพืช มันเป็นชีวะขั้นพืชเท่านั้น ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ มีแต่สัญญากับสังขาร ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญอะไร เพราะฉะนั้นก็ปฏิบัติกับวัตถุกับพืชนี้ ก็ปฏิบัติอย่าทุจริต 

สำหรับสัตว์นั้น เราต้องมีเมตตา ต้องมีความเกื้อกูล ต้องมีอะไรอีกเยอะ ที่เราจะต้องรู้ว่าเกี่ยวข้องกันอยู่ร่วมกันอย่างไร มันมีกรรมมีวิบาก มีอะไรอีกเยอะแยะ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาดีๆ มันจึงจะไม่เกิดกรรมเกิดวิบากอะไรต่ออะไรมากมาย เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจและไม่สนใจเรื่องสัตว์ ฆ่าแกงกันเป็นว่าเล่นเลย จนกระทั่งฆ่าคนด้วยกัน ฆ่ากันเฉยๆนี่แหละ แล้วก็สร้างอาวุธมาเพื่อจะฆ่าทีหนึ่ง ตายเป็นแสนๆ เหมือนอย่างที่ฆ่าคนที่ญี่ปุ่น ตูม!ตายกันเป็นแสนเลย มันก็วิบากมหาศาล 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 กันยายน 2565 ( 15:06:30 )

ปฏิบัติศีลต้องเป็นผลต่อจิตอย่างไร

รายละเอียด

จิตที่อาตมาไล่มา ตั้งแต่อวิปฏิสาร จิตไม่เดือดร้อน ไม่ร้อนใจ มันเย็น ปฏิบัติศีล มีคุณสมบัติ 10 ใน กิมัตถิยสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 24 ข้อ 1 กับข้อ 208 

เป็นคุณสมบัติเป็นประโยชน์ของผู้ปฏิบัติ ศีล แล้วจะได้อาการ 10 ระดับนี้ 

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ ศีล เป็นผลต่อจิต จิตจะเจริญ ไม่ใช่ปฏิบัติศีลแล้วจะเจริญทางกายวาจาเท่านั้น ซึ่งมันขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า ในพระสูตรนี้ 

คนที่สอนผิด ว่า ศีล ข้อปฏิบัติ ศีลอธิบาย สีลัพพตุปาทาน รับศีลไปแล้วไม่ได้ปฏิบัติถึงจิต ไม่เกิดศรัทธาเลย ไม่มีหิริ โอตตัปปะ ไม่เข้าใจไม่เข้าถึงไม่รู้สึกอาการของจิตเลย ที่จะเข้าถึงศรัทธาหิริโอตตัปปะในจรณะ 15 ผู้ที่ปฏิบัติธรรมะตามพระพุทธเจ้าแล้วจะได้สัทธรรม 7

ศีลข้อที่ 1 เราเกี่ยวข้องกับสัตว์แล้วจิตของเรามีอกุศลจิตเกิดหรือไม่ ถ้ามันเกิดเราก็จะละอาย หิริ เราต้องปรารถนาดีต่อสัตว์ การชังเขาก็ไม่ดี หมายร้ายกับเขา ดีไม่ดีฆ่ามันเลย สำเร็จผลทางวิบากก็เสร็จเลย ฆ่าเขา ไปฆ่ามาแค่กินก็ตาม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:31:02 )

ปฏิบัติศีลพรตให้ได้โลกุตระ

รายละเอียด

ต้องรู้ว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดผล เป็นปรมัตถ์เป็นโลกุตระ เป็นการละกิเลสและตัวตน ต้องรู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาปฏิบัติให้ชัดเจน รู้ว่าจิตของตนได้รับผล ว่าเป็นผลที่จิตของเราได้ลดกิเลส ปฏิบัติและจิตใจลดกิเลสจริง ทาน ศีล สะอาดจากกิเลส ได้ผลเป็นหุตัง เกิดผลเจริญในจิตใจเกิดจาก สุกตทุกฏานัง ทุกกรรมได้บันทึกผลเป็นวิบาก นี่คือสัมมาทิฏฐิข้อที่ 4

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:40:18 )

เวลาบันทึก 25 กรกฎาคม 2563 ( 07:55:20 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 08:43:24 )

ปฏิบัติศีลอย่างไร

รายละเอียด

ข้อที่ 1 คือสัตว์ ในโลกนี้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพื่อนทุกข์ สัตว์ทั้งหลายเกิดมามีวิบากของสัตว์แต่ละตัวอย่าไปยุ่งกับเขา เขาก็ปล่อยไปกับเขา จะเลิกเพื่อเกื้อกูลกันได้เล็กน้อยก็ทำไปถ้ามันถึงคราวจำเป็น เขาจะต้องไปทำมาหากินเช่นงูจะต้องกินเขียด จะไปดึงเขียดจากปากงูคุณจะไปร่วมวิบากกับมันทำไม ไม่ให้งูมันกินเขียดจะไปกินฟักทองได้อย่างไร จะให้มันไปกินหญ้า งูไม่ใช่ควาย ก็ต้องปล่อยมันไปจะไปฆ่าแกงกันก็เป็นวิบากของเขา บางทีเหมือนกับเราใจดำ ไม่ใช่ใจดำ มันมีวิบากของมัน มันไม่ไปกัดคุณก็บุญของคุณแล้ว บางทีสัตว์มันก็มาเอากับคุณเพราะมันมีวิบากต่อกัน

อาตมาเกิดมาชาตินี้นอกจากมดผึ้งอะไรก็มาต่อยนิดหน่อย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลย สัตว์ต่างๆไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราไม่ได้มีวิบากอะไรต่ออาตมามาก จะไปถูกสัตว์ทำร้ายอะไร หมาก็ไม่เคยถูกกัด สิ่งเหล่านี้เป็นสัจจะที่หลุดพ้นมาแล้วเป็นเรื่องอจินไตยที่ไม่มีวิบาก หากคุณเข้าใจแล้วสัตว์ก็คือสัตว์

 ต่อมาศีลข้อ 2 เกี่ยวกับข้าวของแม้แต่พืชก็เป็นข้าวของ คุณอย่าไปสร้างทุจริตต่อกัน ของใครก็ของมัน

ศีลข้อที่ 3 ข้อเกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เกี่ยวกับโลกธรรมเกี่ยวกับเวทนาของตน

ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 คุณเข้าใจแล้วคุณบริสุทธิ์แต่เรื่องสมบัติและข้าวของคุณก็ไม่มีการละเมิดแล้ว สัตว์คนก็ไม่ละเมิด คุณก็มาระมัดระวังโลกธรรมกับกามคุณ 5 การปฏิบัติธรรมของคุณก็เหลือน้อยลง นอกนั้นคุณเข้าใจแล้วก็อย่าไปละเมิด พยายามรู้ให้ได้ ไม่มีกิเลสในส่วนเหลือส่วนใดก็ปฏิบัติต่อ

พวกเราจะเข้าใจ กิเลสเรื่องเกี่ยวกับสัตว์นั้นไม่เดือดร้อนมากมายหรอก เรื่องของข้าวของอะไรก็ไม่มากมายแล้ว ก็เหลือเรื่องข้อ 3 มันเป็นภาระสำคัญมาก ...เวลาหมดก็ต้องหยุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ ที่บ้านราชฯ  

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน เลี้ยงลูกให้รู้จักโต วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:42:35 )

ปฏิบัติศีลอย่างไรให้เป็นอรหันต์

รายละเอียด

ถ้าคุณศึกษาศีล แล้วคุณกระทบ มีกระบวนการของศีลข้อที่ 1 ก็มีกระบวนการว่า เอาปัจจัยคือสัตว์ คุณกระทบแล้วก็ทำจิตของคุณได้ กระทบกับของ ที่ไม่ใช่สัตว์ จะเป็นพืชก็เป็นของ หรือสัตว์ดิ้นด๊อกแด๊ก จะกระทบสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ก็ไม่มีราคะโทสะโมหะ กระทบกับของก็ไม่มีราคะโทสะโมหะ กระทบกับตาหูจมูกลิ้นกาย ใจที่จะเป็นตัวสัมพันธ์ร่วมกับตาหูจมูกลิ้นกาย กระทบแล้วก็ไม่เกิดราคะโทสะโมหะตลอดเวลา มีทีท่าอย่างไรแตะต้องอย่างไรก็ได้ นี่ก็เป็นอรหันต์เลย ศาสนาพุทธมีเท่านี้ ถ้าคุณเข้าใจปฏิบัติศีลข้อที่ 1 2 3 รวมแล้วข้อใหญ่ๆ 3 ข้อนี้ ถ้าคุณไม่มีราคะโทสะโมหะทั้ง 3 ข้อนี้ คุณเป็นแล้วอรหันต์ อาตมาสรุปย่อลงได้อย่างนี้ สั้นลึกครบ กว้าง คลุมหมดเลย ก็ในโลกมีสัตว์ ของ แล้วคุณมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็หมดแล้ว ถ้าคุณเข้าใจแล้วทำใจของคุณได้ไม่ต้องให้เกิดเลย จะสัมผัสเกี่ยวข้องกัน สัตว์ ของ แล้วก็ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันไปสัมพันธ์ไปกระทบกระแทกกะเทือนกันเมื่อใดที่ไหนเมื่อไหร่ คุณก็ทำใจในใจของคุณไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้กิเลสเกิดเลยได้ คุณเป็นอรหันต์ทุกที่เลย

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:33:33 )

ปฏิบัติศีลแบบลืมตารับรู้เป็นปัจจุบัน

รายละเอียด

สิ่งที่เป็นโลกุตรธรรมที่เราทำกันอยู่นี้ เริ่มตั้งแต่สัตว์ แล้วก็ไปด้วยกัน จะเอาแต่สัตว์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันต้องเกี่ยวข้องกับชีวิต ต้องอุตุและพืชด้วย และทิ้งไม่ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อย่างที่พูดแล้ว สามเส้านี้ แล้วจะต้องปฏิบัติเปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องรับรู้เป็นปัจจุบันนี้ไปด้วยตลอดเวลา 

ไปหลับหูหลับตาบอกแล้ว ตีทิ้งไปเลย มันเป็นวิญญาณสัมภเวสี ไม่ใช่วิญญาณฐีติ ไม่ใช่มีวิญญาณมีที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางตากระทบรูปนี้คือวิญญาณ หูกระทบเสียงอยู่ในปัจจุบัน คือปัจจุบันชาติทิฏฐธรรม หรือทิฏฐกาล กาละปัจจุบันนี้ ตาก็ลืมตาสิ่งสัมผัสก็มีอยู่ทนโท่ รูปนามก็มีอยู่ครบ อันนี้เป็นความจริงของจริง หลับตามันหมดไม่มีของจริงไม่มีความจริง มีแต่สัญญากำหนดรู้ขบคิดอยู่ในจินตนาการ มันไม่มีองค์ประกอบสมบูรณ์แบบ ดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ บุคคลต่างๆ แล้วก็ประชุมกันอยู่ครบมันไม่ใช่ เพราะหลับตาปฏิบัติไม่มีวันที่จะบรรลุ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 14:30:20 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์