@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

บริสุทธิ์ ปริโยทาตา คือไม่มีกิเลสอย่างไร?

รายละเอียด

พอดับได้เป็นฌานที่ 4 สุขไม่มีแต่เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่เอกัคคตา จิตเก่งจิตอัคคะ เขานึกว่าจิตเก่งแล้วแต่เขา ทำ อสัญญีสัตว์ จากที่เขาได้ เอกัคคตา แต่เป็นเอกัคคตาของกิณหา ดับดำมืด ของอสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้นในตัวเอกัคคตาที่เป็นกิณหา คือผู้ที่รู้กายและสัญญา วิญญาณฐีติในข้อที่ 4 ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิก็รู้คุณเป็น กิณหา คุณได้แค่ กิณหา เป็น อสัญญีสัตว์ 

ส่วนผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็รู้ว่า กิณหา เป็นความดำความมืดมันจะยากอะไรแค่หลับตามันก็ดำก็มืดแล้ว แล้วก็จะรู้ว่ามันมืดมันดับอย่างมีความถูกต้อง จะรู้ความเป็นมิจฉาทิฐิที่เป็นความมืดด้วย รู้อย่างสัมมาทิฏฐิก็เป็นความมืดที่ถูกต้อง มืดดำคือกิณหา ของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีความเป็น กิณหา แต่รู้จัก กิณหา รู้จักความมืดความดำ ต่างจากความหมดกิเลสสิ้นสูญ ไม่มี ก็จะไปจบที่ดำที่มืด แต่พวกมิจฉาทิฐิจะไปจบที่ สุภกิณหา แล้วไปหลงว่า กิณหาคือดี สุภะ มิจฉาทิฏฐิจะไปหลงว่าดี แต่ผู้ที่สัมมาทิฏฐิจะรู้ว่าพวกนี้ยัง มีกิณหา อยู่กับความดำความมืด มันไม่ได้ทำให้กิเลสหายไป 

แล้วกิเลสหายไปนี่คือสว่าง ไม่ใช่สว่างอย่างอาภัสราด้วย สว่างอย่าง สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับอย่าง เวทนาทำงานเคล้าเคลียอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบครบ 108 

เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้จักเวทนาทำงานเคล้าเคลียอารมณ์ เจาะ ทะลุหมดครบ 108 อาการ 

ถ้าจะขยายความ เวลาเหลือแค่ 40 วินาทีแล้ว ไม่ได้ ก็ขอพูดค้างๆไว้ว่า ถ้าสามารถรู้จักความเป็นเวทนา 108 แยก เคหสิตะ 18 เป็นเนกขัมสิตะ 18 จบที่ฐานเนกขัมสิตอุเบกขาเวทนาได้ เคหสิตะ เขาก็ทำอุเบกขา เคหสิตอุเบกขาเวทนา เขาก็ทำของเขาได้แต่ไม่ได้ดับกิเลส เขาดับสัญญา เป็นอุเบกขาอย่างสัญญา อาตมาเคยพูดด้วยศัพท์ของอาตมาว่าอุเบกขาเก เป็นอุเบกขาพิการ ไม่ใช่อุเบกขาที่บริสุทธิ์ผุดผ่องจากกิเลส อุเบกขามี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ซึ่งอาตมาก็เอาอ้างอิงได้ ยืนยันได้ ยืนยันพระไตรปิฎกเล่มไหนข้อไหนก็ได้ 

บริสุทธิ์คือไม่มีกิเลส ปริโยทาตา ก็คือไม่มีกิเลสอย่างยิ่ง มุทุคือจิตมีทั้ง เจโตและมีปัญญา หรือมีทั้งรูปทั้งนาม มีทั้งศรัทธา ปัญญา ครบ มี 2 สภาพเทวะอยู่ในนี้ คล่อง สะอาดบริสุทธิ์เต็ม สองธาตุที่ สะอาดบริสุทธิ์คือ มุทุ ทั้งเจโตและปัญญา เพราะฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่กัมมัญญา อยู่เหนือกรรม ทำกรรมอย่างไรก็ได้ดีได้เหมาะได้ควร ไม่มีพลาดมีแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว กัมมัญญา จิต ถึงจะผ่านอะไรอีก  จะปรุงแต่งอย่างไร จะอภิสังขารอย่างไร ก็มีความประภัสสร บริสุทธิ์สะอาดผ่องใสอยู่ตลอดกาลนาน อธิบายไปได้คร่าวๆพอสมควรแล้ว 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 10 ออกจากกาละได้โดยใช้ มูลสูตร10 และวิญญาณฐีติ 7 วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:41:56 )

บริสุทธิ์ใจทั้งผู้ให้บริสุทธิ์ใจทั้งผู้รับ 

รายละเอียด

แน่นอนเป็นเรื่องลึกซึ้งเป็นเรื่องยากคนเข้าใจไม่ได้มาก มีจำนวนน้อยก็จริงอีก แล้วจำนวนน้อยนี้เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมหรือมันเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง...เป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง 

พวกคุณเข้าใจพวกคุณรู้เอง จริง คนอื่นไม่ได้เข้าใจอย่างคุณ คุณเข้าใจเอาเองนี่แหละคือความอิสรเสรี คุณเข้าใจเอาเอง อาตมาบังคับคุณหรือเปล่า หลอกล่อคุณเหรือเปล่า ประเล้าประโลมคุณหรือเปล่า ผ่า อย่างกับอะไรดีและคุณก็เห็นได้ด้วยภูมิปัญญามา เลือกเองแล้วก็มาเอง ได้แล้วคุณก็รู้ว่าชีวิตอยู่แบบนี้แหละ ดีอย่างนี้เอาแบบนี้ใช่ไหม ก็พวกคุณเองทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นใครมาบังคับหรือมาหลอกล่อใครมาประเล้าประโลม..ไม่มี.. มันบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ใจทั้งผู้ให้ บริสุทธิ์ใจทั้งผู้รับ 

ผู้รับก็รับด้วยบริสุทธิ์ใจเพราะว่าอาตมาให้อย่างบริสุทธิ์ใจแล้วก็ความบริสุทธิ์ สะอาดไม่ได้เจือไปด้วยยาพิษ ไม่ได้เจือไปด้วยสิ่งมอมเมา ไม่ได้เจือไปด้วยสิ่งที่หุ้มห่อด้วยโลกียะ คุณมาทำอย่างนี้จะได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ หมดสุขหมดทุกข์ด้วย อาตมาพาทำ ถึงขนาดนั้น 

ซึ่งอาตมาว่าไม่มีใครในยุคนี้สอนนะ ไม่มีศาสนาไหนหรือแม้แต่ในวงการศาสนาพุทธ จะมาเน้นอย่างนี้ทั้งๆที่เขาก็รู้ว่า อทุกขมสุข มีภาษายืนยันว่าศาสนาพุทธนี้สอนความไม่สุขไม่ทุกข์ หมดสุขหมดทุกข์ แต่ความเสื่อมของคนไม่เข้าใจไม่เชื่อว่า มาไม่มีสุขได้อย่างไรวะ เขาก็เข้าใจความสุขเพี้ยนๆว่า สุขสงบแบบนั่งหยุดนั่งนิ่งๆ ซึ่งเป็นความสุขอย่างโลกีย์ธรรมดาธรรมดา นั่งหยุดๆนิ่งๆสะกดจิตไป ไม่ได้เกิดประโยชน์โทษภัย ไม่ได้เกิดอะไรยืนยันว่าไม่ใช่ สุขของพระพุทธเจ้านั้นสุขอย่างร่าเริงเบิกบานสุขอย่าง ปาคุญญตา มีกายกรรมแคล่วคล่อง วจีกรรมแคล่วคล่อง แต่กิเลสไม่มี กิเลสเข้าไม่ได้ กิเลสมันถูกทำลาย กิเลสหมดฤทธิ์ มีแต่อำนาจปัญญา กิเลสมันมาเจอปัญญาวิ่งหนีหูตูบหมดเลย นี่พูดโดยสำนวนแบบอาตมา เป็นอย่างนั้นจริง

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 16:14:35 )

บริหาร

รายละเอียด

การจะบริหารสังคม คำว่าการบริหาร เราก็เรียกว่า อภิบาล บริหารคือการจัดการไปหมดเลย บริ คือรอบ หาร คือเอาออก เอาอะไรออก ผู้ที่เอาสิ่งไม่ดีงามออกได้หมดก็มีแต่ประพฤติสิ่งที่ดีงาม หรือแปลว่าแบ่งออก หรือแบ่งให้รอบให้ทั่วถึง บริหาร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 42  ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน อธิปไตย จักเกิดจาก ธรรมาภิบาล  


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:40:35 )

บริหารกับอภิบาลสภาวะต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้บริหาร หรือผู้อภิบาล พยัญชนะพวกนี้เราต้องเข้าใจสภาวะที่ชัดเจน อภิบาลก็หมายถึงความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง กว่าคำว่าบริหาร บริหารคลุมกว้าง แต่อภิบาลนั้นมีลักษณะเลี้ยงดูอุ้มชูช่วยเหลือ บริหารนั้นบางทีก็มีความแข็ง บางทีต้องใช้อำนาจ เป็นต้น นี่คือผู้ปฏิบัติผู้บริหารปกครอง แล้วก็ใช้บทบาทการอภิบาล ก็ต้องเข้าใจสภาวะ พฤติกรรม พวกนี้ละเอียดลออ และคุณจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ก่อนฉัน ที่โรงเรียนผู้นำ จ.กาญจนบุรี สัปปายะ 4 ที่มีสัมประสิทธิ์ วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:26:56 )

บริหารบ้านเมืองยากมาก

รายละเอียด

อาตมาขอวิจารณ์ พวกที่อวดดีอยากจะมาบริหารบ้านเมือง อาตมาก็รู้สึกว่า การบริหารบ้านเมืองในขณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย …ยากมากเลย มีทั้งภัยธรรมชาติมีทั้งหมด ภัยกระแสโลกกระแสอำนาจที่มีความซับซ้อนร้ายกาจ กินลึก หยาบนิ่ม เนียน ยากจริงๆเลย ทุกวันนี้

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 11:50:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:01 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:40:46 )

บริหารประเทศแบบทักษิณคือทำให้คนไทยโง่

รายละเอียด

บริหารประเทศแบบทักษิณคือทำให้คนไทยโง่  ดี ครอบคลุมพฤติกรรมของคนโดยเฉพาะนักการเมือง ดังที่พูดมานี้เห็นชัด นักการเมืองเก่าก็จะคุยโม้ให้ประชาชนนิยม เชื่อว่าเขานี่แหละเป็นนักบันดาล เป็นนักจะให้ เป็นผู้ที่มีความสามารถ เป็นผู้ที่จะทำให้คุณพ้นทุกข์ได้เป็นสุข เป็นอยู่ดี จะร่ำจะรวย แบบโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็จะอุดมสมบูรณ์พร้อมกันทั้งประเทศเลย จะไม่มีคนจนทั้งประเทศ จะไม่มีคนเป็นทุกข์ทั้งประเทศ จะมีกินมีอยู่ทั้งประเทศ ขี้หมาแน่ะครับ มันทำไม่ได้

เพราะฉะนั้นประเด็นนี้แหละ จะให้มีทั้งประเทศก็ต้องให้มีมากๆ อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะต้องขี้โลภ เพราะตัวผู้นำก็ขี้โลภ แล้วเขาเข้าใจว่าให้มีขี้โลภนี่แหละ ความขี้โลภ มันจะค้านแย้งกับการแจกการให้ คนพูดเองนั้นไม่ค่อยแจกหรอก ขี้โลภแล้วก็เป็นคนรวยแล้วก็เป็นตัวอย่างทำให้คนอยากจะรวยแบบคนที่ขี้โลภ มันซ้อนเห็นไหม เพราะฉะนั้น คนที่รวยแล้ว แล้วมาเป็นผู้บริหาร บอกว่า ผมรวยแล้วผมไม่โกงหรอกอย่างทักษิณ เสร็จแล้วเขาก็ไม่หยุดนะ ถ้าเขาอยู่ต่อเขาจะโกงอีกไม่หยุดหรอก เขาได้แต่พูด โก้ๆ พูดกับเสนาะว่า ผมพอแล้วพี่ แบ่งให้ลูกให้เมียก็พอแล้ว ผมก็จะมาช่วยประชาชน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาไม่ดับสัญญาแต่ดับกิเลส วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 ตุลาคม 2565 ( 13:03:04 )

บริหารพัฒนาสังคมด้วยเศรษฐศาสตร์พระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เรื่องเศรษฐกิจ อาตมาเข้าใจความเป็นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ ตามความรู้ของอาตมาที่มีมาจากพระพุทธเจ้า จริง อาตมาเป็นนักศึกษาเศรษฐศาสตร์ของคณะเศรษฐศาสตร์แต่ไม่ได้ปริญญาสักใบมาเลย ก็ไม่ได้ถือว่า ได้เรียนได้ใบอะไรรับรองมา แต่อาตมาได้จากของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาใช้จริง เอามาบริหารพัฒนาสังคม จนเกิดชุมชนชาวอโศกให้ประชาชนอยู่ในแต่ละชุมชน คือ เศรษฐกิจที่ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นเศรษฐกิจที่สูงสุดแล้วในกระบวนของมนุษยชาติ พ้น มิจฉาชีพ 5 กัมมันตะ 3 สังกัปปะ 3 วาจา 4 โดยเฉพาะคนมิจฉาชีพ 5 และอยู่กันอย่าง พ้นกุหนา ไม่มีโกง ไม่ลปนา ไม่หลอกลวง เนมิตกตา เสี่ยงบาปเสี่ยงบุญเสี่ยงกุศลอกุศลอยู่ ก็ไม่มี แม้จะไม่เสี่ยงแต่นิปเปสิกตา มอบตนในทางที่ผิดยังไปรับใช้คนที่ขี้โกง ที่เอาเปรียบเอารัดอยู่ทางโลกอยู่วันนี้ก็ไม่มี พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 4 ข้อที่ 5 นี่สุดยอดเลยถือว่าทำอาชีพอย่างที่ว่ามีรายได้ทำงานแล้วยังมีเอาค่าตัวให้แก่ตัวเองหรือไม่ นี่ก็ยังเป็นมิจฉาชีพเลยของพระพุทธเจ้า พวกเราไม่เป็นมิจฉาชีพแม้แต่ข้อที่ 5 ไม่มีการใช้ลาภแลกลาภเลย ทำงานฟรี ให้แก่กองกลาง ซึ่งอาตมาว่าทำได้ยอดเยี่ยมแล้วที่อื่นทำไม่ได้แต่ว่าอาตมาทำได้จึงภาคภูมิมากว่า ธรรมะพระพุทธเจ้ามีประสิทธิภาพในยุคนี้เป็นยุคของความเสื่อมของศาสนาหนักเละจัด จนกระทั่งมันจะไม่เหลือเชื้อแล้ว ก็ยังสามารถที่จะพิสูจน์ได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งเป็นขั้นที่สูงสุดแล้ว สูงสุดจนกระทั่งในโลก ประเทศไหนก็แล้วแต่ เขาทำไม่ได้อย่างชาวอโศก หรือประเทศไทย มีเศรษฐกิจถึงขั้นทำงานให้แก่ส่วนกลาง 100% ทำงานเสียภาษี 100% รายได้ของตัวเองเอาเข้ากองกลางหมด 100% เลย พูดไปเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่เมื่อนั้น พูดแล้วเขาก็จะหาว่าอวดโอ่น่าหมั่นไส้ แต่มันเป็นของดีน่าจะบอกให้รู้กันทั่วโลก ให้มนุษย์มาศึกษาให้ดีๆจะได้เกิดการขัดเกลาให้เกิดการไม่เห็นแก่ได้ไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่งมาเป็นคนแบบนี้ สร้างสรร เสียสละ แล้วอาศัยอยู่อาศัยกิน ในแต่ละวันแต่ละวันก็ขาดทุนให้แก่สังคม แล้วก็เข้าใจตามที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ตรัสไว้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 05 เมษายน 2563 ( 10:44:51 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:03:53 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:41:44 )

บริหารเข้าตาประชาชน

รายละเอียด

เมื่อพลเอกประยุทธ์มารับช่วงบริหารก็ทำตัวเองบริหารเข้าตาประชาชน ประชาชนก็ไม่ออกไปประท้วง อาตมาก็ไม่ออกไปประท้วงแต่กลับเชียร์ด้วย ส่งเสริมด้วย แล้วพลเอกประยุทธ์ก็ทำมาได้ถึง 2 สมัย สมัยแรกถือว่าเป็นเผด็จการเพราะยังไม่ได้รับอนุมัติจากผู้แทน พอสมัยอีก 4 ปีหลัง สภาผู้แทนส.ส.ก็โหวตกันเอาพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกอีก จึงเป็นนายกต่อมาอีก 8 ปี แล้วบอกว่ากฎหมายเป็นมาได้ 8 ปีแล้วไม่ได้แล้ว อะไรก็แล้วแต่มันซับซ้อนอยู่ เพราะฉะนั้นก็จะแก้กฎหมายกันตรงนี้ อะไรก็แล้วแต่ อาตมาไม่ห่วงหรอกไม่เกี่ยงหรอก ไม่ห่วงและไม่เกี่ยงจนกระทั่งมีภาวะโรคแทรกซ้อน มีพลเอกป้อมขึ้นมา เป็นภาวะโรคแทรกซ้อน 

อุ๊งอิ๊งแล้วยังมีพลเอกประวิตรขึ้นมาอีก มันเป็นเหตุการณ์ที่สวยงาม มันเป็นเหตุการณ์ที่บอกว่า ผู้ที่ใจใจผู้ที่เป็นแชมป์จริงๆนั้น รองแชมป์ต้องไล่มาเรื่อยๆจะต้องมารุมรองแชมป์ทั้งนั้น ถือว่ารองแชมป์อุ้งอิ้งรองแชมป์ พลเอกป้อมก็รองแชมป์ ยิ่งใหญ่ทั้งนั้นเลยนะ อุ๊งอิ๊งก็เป็นตัวแทนของประชาธิปไตย ยิ่งใหญ่ประเภทที่เรียกว่าข้านี่แหละประชาธิปไตย ๆๆ พวกที่ไม่ใช่ข้าไม่ใช่ประชาธิปไตย พวกวาทกรรมพวกปากมาก พวกยึดเอาคำว่าประชาธิปไตยไปเป็นของตนแต่เนื้อแท้นั้น ไม่มีเลยในความเป็นประชาธิปไตย มีแต่ตัวกูของกู ของพรรคพวกกู โกงแล้วมาแบ่งกัน โกงไม่ว่าแต่เอามาแบ่งกันอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นขณะนี้ของจริง เอาเถอะพลเอกประวิตรหรือพลเอกป้อม ก็ในระดับหนึ่ง ก็ยังมีอะไรต่ออะไรอยู่ แม้แต่ความซับซ้อนบอกว่าพลเอกป้อมก็เป็นพี่ของพลเอกประยุทธ์ นี่ก็ซับซ้อน “พี่จะฆ่าน้องหรือน้องจะฆ่าพี่”  อ้าว.. อาตมาใช้คำนี้ เอาไปคิด หรือไม่ต้องใช้คำแรงอย่างนี้ก็ได้ ใช้คำว่า “พี่จะแย่งน้องหรือน้องจะแย่งพี่” คำนี้ก็ได้ 

ใครว่าพี่จะแย่งน้องหรือน้องจะแย่งพี่ ... ส่วนใหญ่บอกว่าพี่จะแย่งน้อง และมันควรไหมล่ะพี่แย่งน้อง ... ไม่ควร แค่นี้ก็เป็นคุณธรรมที่พวกเราพอรู้แล้ว พี่ไม่ควรจะแย่งน้อง และน้องจะไปแย่งพี่ได้ยังไง แต่พี่นั่นแหละมันจะต้องช่วยน้องได้ และพี่จะต้องไปแย่งน้องทำไม มีแต่น้องมันจะแย่งพี่ ตอนนี้เขาเป็นน้องที่เขาไม่แย่งพี่แล้ว ฟังดีๆนะ นี่คือปรากฏการณ์ phenomenon ของประชาธิปไตยตัวอย่างของโลก นี่แหละ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานอัฏฐาริยสัจจายุ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 3  วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มีนาคม 2566 ( 12:22:31 )

บริหารแบบคนจน

รายละเอียด

บริหารแบบคนจน คือให้มีชีวิตอยู่แบบคนจน แล้วเราจะเป็นผู้ที่สบายเจริญที่กล่าวไว้คือในหลวง ร.9 และสมณะโพธิรักษ์

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต  สันติอโศก ครั้งที่ 69 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 08:54:29 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:41:16 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 06:58:26 )

บริหารแบบคนจน

รายละเอียด

มีตำนานว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัสเรื่องแบบคนจนกับพระโอษฐ์ ทุกวันนี้เราก็เอามายืนยัน ท่านตรัส ก่อนที่จะเอามาบอกมาเปิดในโทรทัศน์ที่เป็นคลิป คลิปนี้ อัดวันที่ 4 ธันวาคม 2534 ท่านท้าวความที่มาที่ไป คือ มีรัฐมนตรีเกาหลีที่เป็นเพื่อนกับประธานาธิบดีเกาหลี แล้วเขาก็บอกว่าเพื่อนฝากถามในหลวงรัชกาลที่ 9 มา ฝากทูลถามว่า จะบริหารประเทศแบบใดแบบไหน เซ้าซี้ท่าน ว่า จะเอาแบบใดดีมีวิธีอย่างไรที่จะบริหารก็เขาศรัทธาเขาเข้าใจว่ามันดี เสร็จแล้วในหลวงท่านก็ตรัสว่า เอาแบบคนจน เขาก็งง ท่านก็ตรัสอธิบายแล้วเขาก็งง ก็คงต้องการคำอธิบาย “เราเลยบอกว่า ถ้าจะแนะนำได้ ต้องทำ “แบบคนจน” เราไม่เป็นประเทศร่ำรวย  เรามีพอสมควร  พออยู่ได้  แต่.. ไม่เป็นประเทศที่ก้าวหน้าอย่างมาก  เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้าเราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็ จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง ! ประเทศเหล่านั้นที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า  จ ะ มี แ ต่ ถ อ ย ห ลั ง  และถอยหลังอย่างน่ากลัว !  แต่ถ้าเริ่มมีการบริหารที่เรียกว่า “แบบคนจน” แบบที่ไม่ติดกับตํารามากเกินไป ทําอยางมีสามัคคีนี่แหละ คือ เมตตากัน  ก็จะอยู่ได้ตลอดไป…”

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 14:24:39 )

บริหารแบบคนจน ชาวอโศกชัด

รายละเอียด

คนที่จนแล้ว จนอย่างพอดี จนอย่างสบายแล้ว ไม่มีผู้ที่เป็นรัฐฐาธิปัตย์ ยิ่งใหญ่มีอำนาจรัฐ พระเจ้าแผ่นดินหรือประธานาธิบดีประเทศไหนหรอกที่พูดที่ตรัสเหมือนกับประเทศไทย ที่บอกว่าต้องบริหารแบบคนจน ต้องอยู่ในฐานที่มาขาดทุน เราเสียนี่แหละคือเราได้เป็นเครื่องบ่งชี้พระปรีชาญาณของผู้นำประเทศ แต่คนก็อาจเข้าใจไม่ชัด ในหลวงตรัสอย่างนี้แต่ข้าราชบริพาร นักบริหาร พอรู้ แต่ไม่มีทฤษฎีที่จะมาทำตนเองให้เป็นอย่างนี้ เราจะต้องมาจน เป็นอย่างที่ในหลวงตรัส เขาไม่ชัด แต่ชาวอโศกเราชัด ทำจนสำเร็จได้ด้วย จนพ้นมิจฉาชีพ 5 ได้แท้จริง ทำงานไม่ต้องมีรายได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อนะว่าเป็นไปได้หรือ เป็นได้ทำได้ ไม่ใช่แค่ 1คน2 คน5 คน แต่ทำเป็นสังคม ให้มีวัฒนธรรมสังคมเขาทำไม่ได้หรอก เราก็เป็นคนเหมือนคุณทุกคน แต่ทำได้ ในยุคเดียวกันด้วย มีวัตถุดิบร่วมกันในสังคม globalization เหมือนกันหมด คุณอยากได้เนื้อหมีขาวจากขั้วโลกเหนือมากินก็ได้ ถ้าคุณกินเนื้อนะ หรืออยากกินผักของชาวอโศกก็สั่งมาได้เราจะส่งให้

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรมบ้านราช  เศรษฐกิจที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่ วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 13:02:23 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:46:16 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:42:21 )

บริหารแบบคนจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

รายละเอียด

อ่านแล้วมาดูหัวข้อที่ว่า “เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของไม่กี่คน” เราฟังความที่เขาพูดมาแล้ว แล้วหันกลับมาดูปรากฏการณ์จริงของพวกเรา อาตมาเป็นผู้พาทำบริหาร พวกเรายินดีที่จะเข้ามาอยู่ในชุมชนสังคมนี้ เพื่อให้อาตมาบริหารแล้วเป็นสังคมที่มีพฤติกรรมกลุ่ม เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมหรือความร่ำรวยของคนไม่กี่คน ...ส่วนรวม

คุณพูดได้อย่างสบายใจ พูดได้อย่างเต็มปากพูดได้อย่างจริง แล้วมันเป็นได้ไหม ...เป็นได้ สรุปว่าเราแก้ปัญหาคนจนแก้ปัญหาคนรวยสำเร็จ ทำไมหนอ รัฐบาลหรือคณะบริหารไม่มาดูอย่างนี้บ้าง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนจนจริงจึงทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมจริง วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(เศรษฐศาสตร์บุญนิยม) ตอน บริหารแบบคนจนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2564 ( 20:18:31 )

บริหารโดยไม่ต้องบริหาร

รายละเอียด

สรุปแล้วเราก็เกิดผลเป็นกลุ่มชุมชนสังคม ที่เรามีกันนี้ เป็นกลุ่มชุมชนที่เป็นสาธารณโภคี ทางเศรษฐศาสตร์ ก็ถึงขั้นเสียภาษี 100% สาธารณโภคีทางรัฐศาสตร์ ก็บริหารโดยไม่ต้องบริหาร รัฐบาลไม่ต้องบริหารพวกเราช่วยบริหารขัดแย้งกันนิดๆหน่อยๆตามลักษณะประชาธิปไตย ประชาธิปไตยคือการขัดแย้งกันพอเหมาะ พวกเราไม่ขัดแย้งรุนแรงเหมือนภายนอก ทุกวันนี้เมืองไทยจะมีตัวอย่างคนอย่างธนาธร หรือดร.ปิยบุตร  ก็ต้องขอบคุณที่เขาเสียสละเป็นตัวตลกเป็นตัวละครให้แก่สังคมทางการเมือง ก็ต้องขอบคุณเขาที่เขาเป็นตัวตลก ตัวกับแก้ของเวทีที่จัดแสดง จริงๆแล้วแสดงแบบธนาธรแบบปิยบุตร มันเป็นการแสดงถอดมาจากทักษิณนั่นแหละ ซึ่งทักษิณเขาก็เป็นหัวเรือใหญ่ มีสมัคร ยิ่งลักษณ์ ใช้ Woman touch

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2563 ( 09:42:34 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 16:04:47 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:42:46 )

บริหารโดยไม่ต้องบริหาร

รายละเอียด

อาตมาพาทำเรื่องรัฐศาสตร์ บริหารโดยไม่ต้องบริหาร มีการขัดแย้งกันพอเหมาะบ้าง ไม่ได้แรงเลย นิดนิดหน่อยหน่อยแล้วก็วินิจฉัยกันก็จบ ใครไม่ยอมก็ตัวใครตัวมัน ใครยอมก็จบ ยอมแต่ข้างนอกแต่ข้างในไม่ยอม ก็ของใคร ก็ของเอ็งไม่ใช่ของข้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 21:04:22 )

บริหารโดยไม่ต้องบริหาร

รายละเอียด

อาตมาได้อธิบายไปแล้วว่า สังคมศาสตร์ก็ดี เศรษฐศาสตร์ก็ดีของพระพุทธเจ้าที่อาตมาเอามาให้พวกเราปฏิบัติ ตามภูมิของอาตมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็ตาม พวกเราจบกิจของเศรษฐศาสตร์เลย ไม่มีปัญหาเลย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ คือแก้ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ จบ พวกเราไม่มีปัญหาเรื่องเศรษฐศาสตร์ 

สังคมศาสตร์ก็ไม่มีปัญหา การเมือง รัฐศาสตร์ก็ไม่มีปัญหา บริหารโดยไม่ต้องบริหารกัน  อยู่สบาย อาตมาเป็นผู้บริหารไม่ต้องบริหารอะไร หนักหนาสาหัส สบาย สบาย สงบ เรียบร้อย พูดกันรู้เรื่องไม่มีทะเลาะวิวาทอะไรกันเลย ต่างก็ช่วยกันไป เกื้อกูลกันไป มันเป็นสังคมสังคหะ สังคมช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตลอด 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม พ่อครูตอบปัญหาผู้ชมทางบ้าน วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 พฤศจิกายน 2565 ( 11:46:39 )

บริโภคใน

รายละเอียด

เครื่องชูช่วยชีวิตที่นำเข้าไปส่วนในของร่างกาย เป็นปัจจัยแห่งชีวิตแท้ ๆ ก็มีเพียงอาหารกับยารักษาโรค

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 182


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:04:29 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:17:23 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:43:06 )

บวชเป็นพระภิกษุได้ด้วยหมู่สงฆ์ไม่ใช่อุปัชฌาย์

รายละเอียด

อยู่ที่พระสงฆ์ไม่ใช่อยู่ที่อุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็มีน้ำใจช่วยเหลือเฟือฟายผู้เข้ามาบวชก็นำเข้ามา อุปัชฌาย์ถือว่าเป็นผู้นำเข้าหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์จะซักไซ้ไล่เรียง ถ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ยอมรับให้เป็นภิกษุได้สำเร็จเป็นพระภิกษุด้วยหมู่สงฆ์ ไม่ใช่ไปเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา เป็นคำตรัสของท่านว่าจงมาเป็นพระสงฆ์ได้ มีอยู่องค์เดียวคือพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะบวชด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา นอกนั้นพระสงฆ์อื่นใดจะบวชด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ทำไม่ได้ จะต้องมีหมู่สงฆ์เป็นผู้ที่อนุมัติให้มาเป็นพระสงฆ์ได้ นี่คือความผิดเพี้ยนหลงมีมานะอัตตาหลงยึดถืออุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์เองก็มาถึงขั้นขนาดเป็นปุถุชน ก็เลยหลงตัวเองฮุบเอาอำนาจ ตอนแรกก็อาจจะรู้ตอนหลังก็อาจจะเลอะเลือน ก็เลยถือว่าอุปชฌาย์เป็นผู้สำเร็จให้บวชได้ นอกนั้นเป็นพระอันดับมาประดับฉากเฉยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เพราะฉะนั้น อาตมานี่

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 05 กันยายน 2563 ( 08:33:46 )

บวชเพื่อรับใช้ช่วยคน ไม่ใช่รับจ้างมีอภิสิทธิ์

รายละเอียด

มันไม่มีอะไรเป็นสัมมาทิฏฐิเลย การบวชนั้นพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ แต่ไม่ให้ไปรับใช้ชาวบ้านหาเงินหาทอง ก็ทำด้วยให้ชีวิตยังอยู่ไปได้ ในสมัยพระพุทธเจ้า พระก็สร้างกุฏิวิหารทำงานต่างๆแต่ไม่ผิดวินัย ก็เหมือนชีวิตธรรมดาที่จะยังชีพ หรือ ช่วยคนได้ แต่ไม่ใช่รับใช้ การรับใช้ กับช่วยคน ..ต่างกัน รับใช้ก็ถือว่าไม่ผิดพระวินัยที่พอจะช่วยได้ก็ช่วย ตามความรู้ความสามารถ สำหรับสังคมประเทศชาติ สังคมที่อยู่ด้วย แต่ไม่ใช่ไปรับจ้างที่จะเอาสิ่งตอบแทนอะไรเป็นอันขาด ไม่รับใช้ จะว่ารับใช้ก็พอฟังได้ ที่จริงไม่ได้ไปรับใช้หรอก แต่ว่าไปช่วยเหลือไปสังคหะ เกื้อกูล เป็นต้น ซึ่งมันเป็นรายละเอียดที่ผิดเพี้ยนไปไกลหมดเลย เพราะฉะนั้นพระจึงไม่ได้มีประโยชน์คุณค่าอะไรในทุกวันนี้ ไม่เป็นประโยชน์แล้วก็ยังมีอภิสิทธิ์ได้เปรียบไม่รู้กี่ชนิด ในความเป็นภิกษุทุกวันนี้ มันก็เลยกลายเป็นเรื่องศักดินาชนิดนึง มาบวชเพื่อจะได้อภิสิทธิ์เหล่านี้ แล้วก็ได้เล่าได้เรียนเพื่อได้ศึกษา ได้โอกาส จนกระทั่งจบด็อกเตอร์แล้วก็สึกออกไปทำมาหากิน อย่างนี้ก็มีเยอะไม่ใช่น้อยเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังทำกันเยอะ Doctor เดี๋ยวก็เสร็จก็ไปทำมาหากินได้มีตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ สัจธรรมทุกวันนี้อาตมาพูดยังไม่ได้ใส่ร้ายเขา มันน่าสงสารที่สุดศาสนาพุทธ พูดแล้วก็เห็นใจเขาเหมือนกัน เหมือนกับเราอวดดีพูดถูกอยู่คนเดียว  ตีทิ้งกระแสหลักทั้งหมดเลย ซึ่งมันก็จริงอย่างนั้น อาตมาไม่ได้พูดเล่น  มันผิดไปทั้งหมด จริง หาถูกไม่ได้เลย ขออภัยที่ต้องพูดความจริง หาถูกไม่ได้เลย จะเอาอะไรล่ะ ศีลก็ไม่ถูก สมาธิก็ไม่ถูก ปัญญาคือความรู้ก็ไม่ถูก จารีตประเพณีก็ยิ่งเลอะใหญ่เลย เป็นเดรัจฉานวิชากลบ ศาสนา ตอบมาสิตอนนี้เราพานักเรียนทั้งหมด ออกมาแล้วนะเปิดไฟทางโน้นพูดเร็วเป็นใคร อาจารย์ไหนอ่ะ ได้ยินได้ยินได้ยินแล้ว ไปหมดเลย ถ้าไม่มีเดรัจฉานวิชชาให้ทำ ไม่รู้จะทำอะไร พูดไปแล้วมันน่าสังเวชใจ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 02 กันยายน 2563 ( 15:00:51 )

บวชเพื่ออะไร

รายละเอียด

ประเด็นที่ 1 บวชเพื่อตัดกิเลส ถามต่อมาว่าได้ตัดหรือเปล่า ก็ตอบว่าได้ ทำไมรู้ได้อย่างไรว่าได้ตัด อาตมาก็ต้องศึกษาตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้สิ มันเกิดธาตุรู้ที่เป็นปัญญา ธาตุรู้ที่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันรู้จริงๆรู้อาการของจิตคือเจตสิกต่างๆ แยกแยะออกเป็นสังขารเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตั้งแต่รูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณแล้วแยกรายละเอียดลงไปได้อีก แล้วไปที่กรรมฐานใหญ่คือเวทนา 108 ก็แยกได้ชัดแล้วแยกเป็นภาษาด้วยและเป็นสภาวะที่ตามภาษา บัญญัติพยัญชนะภาษา ระบุว่าอาการอย่างนี้เป็นอย่างนี้ อาการสุขเป็นอย่างนี้ อาการทุกข์เป็นอย่างนี้ อาการไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอย่างนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์แบบเดียรถีย์ก็ทำได้ รู้วิธี อาตมาทำได้ 

แล้วไม่สุขไม่ทุกข์แบบพระพุทธเจ้าแบบโลกุตระคือลืมตาเห็นเหตุปัจจัยทุกอย่างชัดเจน จิตใจก็ไม่ได้ติดใจ ไม่ผลัก ไม่ดูด ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอุเบกขา ชัดเจนเพราะว่าเรามีปัญญารอบ รู้รอบถ้วนทุกอย่างในจิตใจอย่างนั้นอย่างนี้ ทุกอย่างมันก็ตถตาเขาก็เป็นอย่างนั้น ก็อยู่ด้วยกันไปได้อันไหนพอร่วมกันได้ก็ร่วมกันไป อันไหนไม่ได้ ร่วมกันไม่ได้ก็ต่างคนต่างไป หนักๆก็เป็นนานาสังวาสต่างคนต่างทำตามที่ตัวเองเห็น 

มันมีที่จบมีที่ตัดสินได้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร อาตมาใช้ภาษาสื่อสภาวะพวกนี้มันละเอียดลออ คุณติดตามดู ศึกษาฝึกฝนตามที่อาตมาเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบาย จนกระทั่งได้มรรคผลจากการบวช บวชเพื่อได้มรรคผลแล้วก็ออกมาเป็นตัวจริงของอาตมา แล้วก็แสดงอยู่กับสังคมขณะนี้ คุณอาจจะเพิ่งมาพบอาตมาใหม่ๆดูต่อไปได้ ให้ศึกษาดีๆ อย่าเพิ่งตั้งข้อสังเกตเพ่งโทษไว้ อย่าเพ่งโทษ ทำใจกลางๆเหมือนกับถ้วยน้ำชาที่เทน้ำชาเก่าออก แล้วค่อยๆรับน้ำชาที่อาตมารินเข้าไป แล้วจะได้รู้ว่าเป็นน้ำชาดี น้ำชามอมเมา หรือน้ำชาพิษ

ข้อสำคัญคุณจะมีปฏิภาณปัญญาพอที่จะตัดสินว่า สิ่งที่อาตมาทำทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ประพฤติออกไป คุณสามารถรับได้จับได้ พิจารณาได้ ตัดสินได้หรือไม่เท่านั้นเอง ก็อยู่ด้วยกันอย่างนี้แหละ เป็นคน มันก็อยู่กันได้ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมพวกนี้ ก็ไม่น่ามีอะไรอื่นมากกว่านี้ที่สามารถรู้กันได้ เป็นกายกรรม วจีกรรม ศึกษาให้ดี 

สรุปยอดอีกที อาตมาบวชเพื่อล้างกิเลสให้หมดไป  คุณอาจจะไม่เคยได้ยินว่า อาตมาล้างได้หมดแล้ว อาตมาเป็นพระอรหันต์และเป็นพระโพธิสัตว์ อธิบายไปมากแล้วและอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ด้วย คุณจะได้มีอะไรใหม่ๆ ศึกษาตามให้ดี สิ่งที่อาตมาพูดไปนี้ไม่ใช่พูดพล่อย แต่เป็นความจริงทั้งนั้น ที่อาตมาพูดว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้เป็นต้น ติดตามดีๆแล้วจะได้ประโยชน์ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เก่งที่สุดกว่าทุกประเทศ คือเปรตแท้ วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2566 แรม 15 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 23 พฤษภาคม 2566 ( 20:48:00 )

บวชเพื่อเลี้ยงตนไม่ใช่บวชเพื่อนิพพาน

รายละเอียด

อุปัชฌาย์เดี๋ยวนี้ไม่มีความรู้เหล่านี้ กลายเป็นอุปัชฌาย์เป็ดอุปัชฌาย์เต่า ไม่มีภูมิ แยกไม่ได้ก็ไม่มีทางเป็นโลกุตระ เป็นนิพพาน บวชทุกวันนี้เพียงเลี้ยงตัวไม่ใช่เพื่อนิพพาน บวชแล้วได้เปรียญ ได้ดร. เอาไปใช้หากินเลี้ยงตน หรือไม่หากินโดยสึกออกไปก็อยู่ในฐานะของภิกษุ ใช้วุฒิของตัวเอง เลื่อนชั้นฐานะ เป็นโลกียะ มีพระที่พยายามปฏิบัติโดยไม่ไปเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเขา ตั้งใจเป็นพระปฏิบัติ เสร็จแล้วน่าสงสารที่อาจารย์สอนการปฏิบัติเหล่านี้กลายเป็นเดียรถีย์หมดแล้ว ตั้งแต่พาออกป่า เอากายไปทำกายวิเวก นำร่างกายออกป่า เพราะไม่รู้จักกาย เข้าใจว่ากายคือร่างคือสรีระ ไม่ได้เข้าใจว่ากายเป็นสิ่งที่เป็นจิตหรือไม่เป็นจิต

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:29:50 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:02:31 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:43:54 )

บวชแล้วต้องการนิพพานโดยต้องแยกกายแยกจิตได้

รายละเอียด

ศาสนาพุทธจะต้องรู้เรื่อง กาย วาจา ใจ ต้องรู้ความเป็น นามรูปนามรูปคือสองสภาพ คือ กาย หรือเทวะ ถ้าไม่มีความรู้ในนามรูป แยกกายแยกจิต แยกไม่ออก ไม่เข้าใจในความเป็นกายความเป็นจิต เมื่อมาบวชแล้วต้องการนิพพาน แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่กันแล้ว พูดไปก็อย่างนั้น ผู้สนใจตั้งใจแสวงหาศึกษาให้ดีจึงฟังอาตมาพูดหากแยกกายแยกจิตไม่เป็นไม่มีทางบรรลุธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าเลย ผู้มาบวช อุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน 5 พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ผมก็ยาวหน่อย ทั้ง 5 อย่างเป็นภายนอก ในอาการ 32 ส่วนอื่นๆเป็นอาการภายใน เอามาแยกกายแยกจิตไม่ได้ ส่วนข้างนอกเอามาแยกกายแยกจิต ให้แยกให้เข้าใจว่า เมื่อใดมันมีความเป็นกาย เมื่อไหร่มันไม่ใช่กาย แต่มันเป็นพีชะ เมื่อไหร่มันเป็นจิต ต้องแยกออก เรียกว่าแยกกายแยกจิตออก หากแยกไม่ออก คุณเรียนศาสนาพุทธให้ตายก็ไม่มีสิทธิ์บรรลุเป็นอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:28:12 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:04:15 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:44:20 )

บวร

รายละเอียด

คือ บ้านวัด-โรงเรียน”ครบ“3เส้า=บวร”จึงเป็นสังคมหมู่กลุ่มชุมชน ที่มีการเรียนรู้และมีการสังเคราะห์(การรับเอา,รวบรวมไว้)และ การสังขาร(การแยกแยะปรับปรุง)ที่บริบูรณ์สัมบูรณ์ได้แท้จริง สังคมชุมชน“บวร”นอกจากครบครันด้วยการศึกษา อย่างมีการจัดทำกันเองแล้ว ก็ยังมีการไหลแทรกซึมซับ (osmosis)ของ“ธรรมะ” ของ“การศึกษา”อยู่อย่างอัตโนมัติ แต่“ธรรมะ”หรือ“การศึกษา”ของสังคมนั้นต้องดีถึง ขั้นมีคุณภาพเข้มข้นสูงเพียงพอนะ จึงจะมีการไหลถ่ายเท ซึมซับแทรก(osmosis)ของ“ธรรมะ”ของ“การศึกษา”ที่ซึมลึก ได้ ถ้าไม่มีคุณภาพเข้มข้นสูงเพียงพอก็เกิดการถ่ายเท ไหลซึมซับแทรก(osmosis)ของ“ธรรมะ”ของ“การศึกษา”ไม่ได้ หรือถ้า“ธรรมะ”หรือ“การศึกษา”ของสังคมนั้นย่ำแย่ มีคุณภาพต่ำ ก็ยิ่งจะกลับเกิดการถ่ายเทไหลแทรกซึมซับ(osmosis)สู่กันในแบบเลวร้ายนั้นแหละหนักยิ่งขึ้นได้ เช่นกัน จึงต้องสร้าง“สังคมหมู่กลุ่ม”หรือประเทศให้เป็น สังคมหมู่กลุ่มที่เป็น“โลกุตระ”ให้ได้ จึงจะมี“ธรรมะ”ที่เป็น “โลกุตระ” ซึมซับ แทรกซอนมี osmosis ในสังคมนั้นๆจริง

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1  หน้า 449


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:09:45 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:07:11 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:44:55 )

บวร บ้านวัดโรงเรียน

รายละเอียด

วัดของเรานี่ ธรรมะ ของเรามี บวร บ้านวัดโรงเรียนร่วมกันอยู่อย่างแยกกันไม่ออก แต่ก็มีการแยกกันอยู่ในสัจจะ ก็สังคมพวกเราอยู่ด้วยกันนี่แหละเรียกว่าบ้าน ทั้งบ้านวัดโรงเรียนอยู่รวมกันในนี้หมดเลยเรียกว่าหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้าน วัดคือคุณธรรม โรงเรียนคือการศึกษา ทางการศึกษาคุณธรรมเทคโนโลยีเป็นเครื่องอาศัยที่จะเลี้ยงชีพ วัดคือเครื่องอาศัยที่จะให้คุณธรรมแก่ชีวิต ส่วนโรงเรียนคือศึกษาหาความรู้ที่จะเอามาใช้ทำงานเลี้ยงชีพ ก็เป็นคุณงามความดีของตัวเองอยู่ในตัวเป็นโลกียะ ส่วนวัด ความรู้ทางธรรมะเป็นนามธรรมเป็นการปฏิบัติลดกิเลส เผาด้วยฌาน จนไฟราคะโทสะโมหะ มอดหายไปเลยดับไปได้ มีพลังงานอย่างแท้จริง มีพลังงานที่เดาเอาไม่ได้ แต่ละคนจะรู้ ดับไฟราคะ ไฟกามได้ คุณก็จะรู้ตัวคุณเอง ดับโลกอบายได้ จนเหลือโลกกามก็ล้างต่อ เป็นพระโสดาบันชั้นสูงก็เป็นพระสกิทาคามีต่อไปจนหมดโลกกาม เรื่องโลกียสุขก็เฉยๆไม่มีแล้วเหลือแต่ข้างใน ดุ๊กดิ๊ก เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ข้างใน ไม่แสดงออกมาข้างนอกเพราะว่าเหลือพลังงานกิเลสข้างในน้อยเช่น รูปราคะ อรูปราคะ จะรู้ได้เป็นปัจจัตตังแต่ละคน ส่วนโรงเรียนเราก็สอนตั้งแต่ชั้น อนุบาล ประถม มัธยม อาชีวศึกษา ส่วนมหาวิทยาลัยเราไม่ค่อยอยากตั้งแล้ว ไปฝากที่อื่นเรียน เราไม่ต้องสอนเอง แต่ก่อนนี้พวกเราพยายามจะให้มีมหาวิทยาลัยของตัวเอง ก็ดูแล้วว่าหากเราไปเรียนวิชาทางโน้นวิชาทางโลกโลกีย์มันก็มีประโยชน์  เราให้ไปเรียนปริญญาตรีโทเอกต่ออีก เอาไปใช้เลี้ยงชีพ ซึ่งเรามีแกนของจิตแล้วไม่มีปัญหา เราก็เข็นกันให้ไปเรียนปริญญาโทเอก ก็ไม่ค่อยอยากจะไปเพราะเราก็เอามาทำงานฟรีอีก ไม่เหมือนกับทางโลกที่จะได้ลาภยศสรรเสริญ แต่ก็ควรทำ เพราะฉะนั้นหลายคนเข้าใจก็เลยไปเรียน ตอนนี้กำลังจะจบปริญญาเอกอีกคนหนึ่ง ปริญญาโทก็มีหลายคน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 08 สิงหาคม 2563 ( 11:21:37 )

บวร บ้านวัดโรงเรียน คืออะไร

รายละเอียด

บวร คือบ้านวัดโรงเรียน จริงๆแล้วคุณเกษม สันทองพูดว่า.."บวร เป็นคำที่เขาใช้กันมานานแล้วแต่ไม่เกิดเป็นรูปธรรมจริง" อาตมาก็ขอพูดว่า.. "จริงๆ บวร นี่ อาตมานี่แหละ เป็นคนนำขึ้นมาพูด แต่อาตมาไม่ได้พยายามที่จะยึดเป็นเจ้าของ ไม่ใช่คนอื่นพูดหรอก อาตมานี่แหละพูด ว่าสังคมไทยเป็นสังคมบริบูรณ์จะต้องมีบ้านวัดโรงเรียน อธิบายเป็นธรรมะไปตามหาคำอธิบายได้ อาตมาอาจจะไม่ได้เน้นย้ำมาก แต่หมายถึงบ้านวัดโรงเรียน ครบครัน ซึ่งอาตมานำมาขยายความทีหลัง"

บ้านก็คือสังคมที่อยู่ร่วมกันนี่แหละ 

วัด คนเข้ามาในชาวอโศก เขาจะบอกว่าวัดของชาวอโศกอยู่ที่ไหน พวกเราก็ตอบยาก บอกว่าวัดของเราก็อยู่ในนี้ แม้แต่โรงเรียน ก็ไม่เห็นมีอาคารอะไรที่บอกชัดเจน เราก็บอกว่าเรียนอยู่ในเหตุปัจจัยธรรมดาธรรมชาติในสังคมเรา บ้านวัดโรงเรียนเขาก็งง จนทุกวันนี้อาตมาอธิบายถึงขั้นว่า 

บ้าน วัด โรงเรียน มันเป็น 3 ใน 1 ทรีอินวัน มันจะเนียนเป็นออสโมซิส ไม่ใช่แค่ absorb แต่ osmosis มันเป็นการซึมซับเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว 

เพราะฉะนั้นอาตมาถึงบอกว่ามันจะเป็นรูปธรรมและเป็นหลักการในโลกให้เห็นตัวอย่างสังคมมนุษยชาติ อาตมาทำมาตั้ง 50 ปีแล้วไม่ใช่น้อยๆ ตั้งแต่แรกเลยนะ ทำมาก็พยายามมา เริ่มตั้งแต่แดนอโศกไล่มา จนกระทั่งมีสันติอโศก ศาลีอโศก ศีรษะอโศก ก็เป็นหมู่บ้านเมืองมาเรื่อยๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 17:04:51 )

บวร เป็นสังคมองค์รวมที่จะก่อเกิดการศึกษาของมนุษย์

รายละเอียด

เรามีโรงเรียน มี บ้าน มีวัด บ้านวัดโรงเรียนซึ่งเป็นสังคมองค์รวม จะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ของทุกอย่าง ของจิตวิญญาณและพลังงาน เมื่ออยู่รวมกันก็จะเกิดการสังเคราะห์สังขารรวมกัน ธรรมชาติของจิตวิญญาณนี้ละเอียด จะซึมซับ osmosis เข้าหากันอย่างสนิทเนียน

เพราะฉะนั้นเราจึงจัดสรรให้เกิดหมู่บ้าน เกิดการศึกษาเป็นโรงเรียนทางการศึกษาของเด็กทางการศึกษาของคนหนุ่มสาวของคนอายุมากเป็นองค์รวม

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสนทนากับท่าน Lopen Gembo Dorji แห่งภูฏาน

เรื่อง การพัฒนาโรงเรียนและการวางรากฐานพุทธศาสนาในระดับมัธยมศึกษาวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561 ที่ลานหินนั่งหน้าน้ำตกบวร สันติอโศก


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 20:00:42 )

บวรของชาวอโศกมีคุณวิเศษอย่างไร

รายละเอียด

เราอยู่อย่างผสมผสานกลมกลืน คนมาถึงที่ชาวอโศกก็จะถามว่าวัดอยู่ที่ไหน ที่จริงเราก็มีโบสถ์ ใช้เฉพาะสมณะ วัดอยู่ตรงไหนเขาก็ว่า บ้านเขาก็พอรู้โรงเรียนก็พอรู้แต่ว่าวัดอยู่ตรงไหน ที่อื่นวัดก็ต้องรู้เลยว่านี่คือวัด ดีไม่ดีมีกำแพงอย่างแข็งแรงเลยจะเข้าไปนี่ต้องตรวจสอบอะไรอีกเยอะแยะ ก็ต้องให้เขาอย่างนั้นเพราะเขาต้องระมัดระวัง แต่ของเรามันฟรีมันอิสระมันคุมตัวเองได้แล้วมันก็ไม่ไปละลาบละล้วง ไม่ไปทำให้ขาดหกตกหล่นอะไรซึ่งมันเจริญถึงขั้นว่า แม้แต่ภิกษุสมณะต่างๆของชาวอโศก ก็มีความแข็งแรง ไม่ไปละเมิดในสิ่งที่ผิด มีคุณภาพ มีคุณวิเศษคุณธรรมที่สมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่จำเป็นจะต้องตีกรอบ ไม่จำเป็นจะต้องไปจัดเขตวัดกำหนด มีกฎเกณฑ์อะไรจนเกินไป ให้ตัวเองเป็นผู้ดูแลตัวเองระมัดระวังตัวเอง เพราะฉะนั้นกิเลสมันไม่ละเมิด กิเลสมันไม่เกะกะเกเร จนไปละเมิดหรือไปแอบลักลอบ ทำสิ่งที่ไม่ดี ทำสิ่งที่ผิด มันจริงใจ มันเป็นตัวแข็งแรง เป็นตัวรู้ ไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือแม้แต่แค่สิกขมาตุ คุณสมบัติคุณวิเศษอันนี้ของชาวอโศกนี้แข็งแรงมาก แข็งแรงอย่างที่เรียกว่าอธิบายแล้วจะรู้ไม่ใช่คุยตัวเองไม่ใช่โม้ แล้วก็อย่าไปหลงระเริงอย่าไปหลงประมาทเป็นอันขาด ทุกคนจะต้องรู้ว่าประมาทไม่ได้ หลงระเริงไม่ได้ ถ้ารู้ตัวว่าเขาต้องให้ไปอยู่กับหมู่อยู่ในเขตจำกัดต้องไป หมู่เห็นว่าอันนี้ไม่ค่อยดีต้องระมัดระวังคนนี้ ต้องมีกฎระเบียบวินัยอะไรให้ มีเหตุปัจจัยมีข้อบังคับข้อจำกัดสำหรับคนคนนี้ พวกเราก็จะใช้อยู่เป็นแต่ละรายแต่ละเรื่องแต่ละกรณีของแต่ละบุคคล ก็ดูแลกันไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ผู้อยู่ป่าเป็นผู้เสื่อมผู้อยู่เมืองเป็นผู้เจริญ วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 เมษายน 2564 ( 21:10:57 )

บวรชาวอโศก ทำได้และเป็นจริง

รายละเอียด

สิ่งเหล่านี้จะเกิดเป็นบวร วัดนี้ก็คือคุณธรรม ใครเข้ามาในราชธานีอโศกเขาจะถามว่าวัดอยู่ที่ไหน พูดกันไปว่าเราจะเอาครอบครัวมาอยู่วัด เขาก็จะงง แต่ที่ราชธานีเอาครอบครัวมาอยู่วัดได้ เขาก็จะว่าพูดถูกหรือเปล่า แล้วจะอยู่อย่างไร แล้วพระจะอยู่อย่างไร มีผัวเมียมีคู่จะอยู่อย่างไร มันเป็นสังคมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่มาก บวร บ้าน วัด โรงเรียน ที่อื่นก็ใช้ภาษานี้นะ แต่เขาทำไม่ได้ละเอียดและเป็นจริงอย่างชาวอโศก บ้านคือสังคมกลุ่มที่อยู่ร่วมกัน วัดหมายถึงคุณธรรมหมายถึงศาสนา ก็อยู่แทรกไปในนี้ตลอดเวลาเลย เราสังวร ศีลสมาธิปัญญามีจรณะ 15 วิชชา 8 อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ทำเล่นเป็นครั้งคราวแต่ตลอดเวลาเท่าที่เราจะทำได้ แต่ละคนก็อยู่กันอย่าง osmosis จะซึมหากันอย่างละเอียด เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ โรงเรียนคือการศึกษาเราไม่ตกหล่นแม้หลักสูตรของทางกระทรวงเราก็เป็นรร.ตามนิตินัย เราทำได้แต่ ประถม มัธยม อาชีวะ เราก็ได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นนิตินัย แต่จริงๆเรามีการศึกษา อย่าว่าแต่นิตินัย แต่พฤตินัยที่เราศึกษาตลอดเวลาคือของจริง จะเป็นแบบ Home school พวกเราก็มีอยู่แล้ว การศึกษาพวกเราไม่ใช่ไปเอารับรองถึงขั้นปริญญาเอกคือตามที่โลกต้องการ การศึกษาไม่ต้องอย่างนั้นก็ได้ไม่มีใบรับรองเลยก็ได้ แต่เรามีคุณธรรมมีความสามารถมีสมรรถนะมีความรู้ความสามารถทำได้ การศึกษายกตัวอย่างเช่นกสิกรรม เป็นเกษตรศาสตร์บัณฑิต โยมเปลี่ยน เกษตรศาสตร์บัณฑิต พอให้ได้ไหม…ได้ ได้ไม่ได้ก็เก็บผลงานกินอยู่ทุกวันนี้จนไม่หมด หรือแม้แต่ใคร ก็แล้วแต่ อาจารย์ข้าดิน ไม่ได้มีปริญญาทางเกษตรศาสตร์ แต่ไปมีปริญญาทางการศึกษา แต่เรื่องของเกษตรศาสตร์ปลูกกะหล่ำปลีหัวใหญ่ได้ ปลูกคะน้าใบใหญ่โตได้ บล็อกโคลี่ดอกใหญ่โต อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือใครต่อใครพวกเราที่ไม่ได้กล่าวชื่อ เยอะแยะที่ทำกันในชาวอโศก ผู้ที่ทำอยู่ยังไม่วางเลย ตื่นเช้ามาก็ทำจนถึงเย็น เข้านอนแล้วตื่นเช้ามาทำอีก เป็นพืชพันธุ์ธัญญาหารจากผลจากดอกใบราก อุดมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรก็กิน ตาโก้ง เยอะแยะ ผักบุ้งผักตาโก้ง ผักป๊อบอายกินกัน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 21 มิถุนายน 2563 ( 09:38:08 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:26:30 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:45:38 )

บวรที่ได้มาตรฐาน

รายละเอียด

บ้าน วัด โรงเรียนที่ได้มาตรฐานก็จะต้องมีทั้ง สัปปายะ 4 มีทั้งบ้าน มีทั้งวัด มีทั้งโรงเรียน บ้าน วัด โรงเรียน ไม่ใช่มีแต่วัตถุ 

บ้าน คือ สังคม 

วัด คือ ธรรมะ 

โรงเรียน คือ การศึกษา 

“สังคม” คือ การอยู่ร่วมกันของหมู่คน มีชีวิตทั้งพึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน และมีชีวิตทั้งทำลายกันถึงขั้นเข่นฆ่ากัน 

“ธรรมะ” คือ คุณ หรือ โทษ ของกรรม ของพฤติการณ์ ของคนในสังคม 

“โรงเรียน” คือ การเรียนการสอนของคน การเรียนการสอนก็มีเรียนสอนกันแต่ความรู้ทางวิชาการ กับ การเรียนการสอนกัน ให้ทำงานเป็น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนแต่ความรู้วิชาการ มันจะมีแต่ความรู้แต่ทำงานไม่เป็น อันนี้มีเยอะเลย มหาวิทยาลัยก็ตาม ถ้าอาชีวะเขายังมีการทำงานฝึกงานบ้าง แต่ถ้ายิ่งเรียนมหาวิทยาลัยนั้นน้อยที่จะมีการทำงาน มีแต่เอาความรู้ ยกย่องกันแล้วนิยมชมชอบ อาชีวะนั้นไม่เท่าไหร่หรอก มันสู้ปริญญาไม่ได้สู้มหาวิทยาลัยไม่ได้ใช่ไหม ค่านิยมทั่วโลก 

ถ้าจะเรียนสอนกันที่อาตมานำพามาแล้วต้อง ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา แล้วก็เจริญขึ้นอีกเป็น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา

ยังไม่พอสูงสุดก็ถึงขั้น ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา

สิ่งที่ไม่เกิดผลสูงสุดถึง ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา หรือไม่ได้ถึงขั้น ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา แม้แต่ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา  ก็ไม่ได้นั้นเพราะอะไร

เพราะเขาหลงความรู้ ผู้ที่หลงความรู้นี้อาตมาเคยอธิบายไปบ้างแล้วถึงอุปาทาน 4 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน 5 วันพุธที่ 20 ธันวาคม 2566 ขึ้น 8 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 มกราคม 2567 ( 14:03:44 )

บวรราชธานีอโศก

รายละเอียด

เปิดเป็นสถานที่รับมนุษย์แล้ว ให้มนุษย์มาสัมผัส สิ่งที่ดีที่ควรเป็นเสนาสนะสัปปายะ เป็นบุคคลสัปปายะเป็นอาหารสัปปายะ เป็นธรรมะสัปปายะ ในสัปปายะ4

สถานที่ก็เป็นสถานที่ควรจะต้องมาสัมผัสมาอยู่กับสิ่งแวดล้อมดินน้ำไฟลมบ้านช่องเรือนชานมีนิเวศวิทยา เป็นสิ่งที่น่าอยู่ บุคคลก็เป็นคนที่น่าอยู่ร่วม บุคคลสัปปายะ มีสิ่งที่อาศัยตั้งแต่อาหารการกิน อาหารสัปปายะ นี่ก็คือ สิ่งบริโภคอุปโภค เรื่องของการอุปโภคเราไม่ค่อยเก่งเครื่องใช้ไม้สอยเสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องไม้เครื่องมือทางอุตสาหกรรมยังไม่เก่ง แต่ไม่เป็นไร มาเน้น บริโภค เน้นอาหารนี่แหละ เน้นเครื่องกิน เราไม่เก่งทางอุตสาหกรรมไม่เป็นไร อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่9ตรัสว่าเราไม่ต้องไปเก่งทางอุตสาหกรรมก้าวหน้ามาก

ในหลวงรัชกาลที่ 9 สร้างเรือใบลำหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายในเรื่องอุตสาหกรรมเครื่องมือ แต่ทำเรื่องกสิกรรมทำมากโดยเฉพาะในสวนจิตรลดา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช  วันศุกร์ที่ 11 มกราคม  2562


เวลาบันทึก 08 กุมภาพันธ์ 2563 ( 17:08:08 )

เวลาบันทึก 27 กรกฎาคม 2563 ( 15:46:36 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 06:59:28 )

บวรเรียนรู้แบบ osmosis ที่ยิ่งกว่า absorb

รายละเอียด

จะได้องค์รวมสามเส้า บ้านวัดโรงเรียนมันลึกซึ้ง ถ้ามันอยู่ด้วยกันซึมซับถ่ายเทหมุนเวียนที่ภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า ออสโมซิส มันละเอียดกว่าการแอฟสอบ

absorb คือการซึมซับ การออสโมซิสคือการไหลซึมเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว การ absorb นั้นยังต้องรู้ตัว แต่ osmosis นี้ละเอียดเนียนใน เมื่อมีองค์รวมสามเส้า บ้านวัดโรงเรียน

บ้านคือคนธรรมดาสามัญที่มีชีวิตอยู่ คนทำงานอาชีพอย่างนี้อย่างนี้ เด็กผู้ใหญ่คนแก่ สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ไม่ใช่ว่าวันๆหนึ่งไม่รู้จักใครรู้จักแต่เพื่อนอยู่โรงเรียน กลับมาบ้านก็รู้จักแต่พ่อแม่พี่ป้าน้าอาในบ้าน มันก็บกพร่องไม่เต็ม เพราะฉะนั้นอยู่ในนี้แหละ พี่ป้าน้าอาเราก็มีเยอะ พี่น้องเราก็มีเยอะสัมผัสสัมพันธ์ อยู่กันคนละนิสัย บุคลิกคนละอย่าง สิ่งเหล่านี้มันละเอียดเกินกว่าที่จะอธิบายได้หมด

สรุปแล้วการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคีเป็นองค์รวมที่มีการถ่ายเทซึมซับกัน ทั้งชีวิตการงานทั้งการเป็นอยู่ทั้งอุปนิสัยใจคอ อะไรต่างๆนานา มันมาก ภาษาไม่พอ

บ้านวัดโรงเรียน มีสังคมมีการศึกษามีธรรมะ การสังคมนั้นจะต้องมีหมู่กลุ่มที่เราอยู่ร่วมกันจริง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:07:22 )

บอกความจริงไม่ใช่ยกตัวตน

รายละเอียด

ขอบอกให้ในยุคนี้ถ้าไม่ใช่อาตมา เป็นสยังอภิญญามาขยายความไม่มีทางได้รู้กันหรอก พูดแล้วเหมือนกับยกตัวตนแต่มันไม่ใช่ อาตมาไม่ได้ยกตัวตน อาตมาบอกความจริงว่าอาตมาเป็นผู้นั้นเป็นอย่างนั้น มาทำความจริง มาทำความผิดของศาสนาที่พากันผิดให้ถูก มาทำกลับให้มันถูกอาตมามีหน้าที่อันนั้น ต้องย้ำยืนยันต้องบอก เพราะอาตมาเป็นผู้นำต้องทำอันนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:42:39 )

บอกด้วยเจตนาดี ให้รู้ความจริงเป็นสิ่งที่ควรเคารพ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นพวกที่เขาเป็นอยู่ก็ใช้ภาษาไทยว่า ผู้รู้ด้วยตาปัญญา อาตมานี่แหละที่รู้โดยตัวเองก็พยายามใช้ความรู้ตัวเองมาขยายมาแบ่งปันให้เรียนกัน ก็ขอให้รู้เจตนาของอาตมาด้วยว่าไม่ได้ต้องการไปว่าไปด่าไปทับถมไปทำร้าย แต่ต้องการให้เป็นวิชาการให้รู้ความจริงว่านายทุนมีลักษณะอย่างไร ศักดินามีลักษณะอย่างไร นักวิชา หรือจะเรียกเต็มๆว่านักวิชาการก็แล้วแต่ แต่อาตมาตัดคำว่าการออก เป็นนักวิชา แล้วก็ข้าราชการ แล้วก็พาลชน

ขยายความไปถ้าคุณไม่เป็นจริงอย่างที่อาตมาพูดก็ไม่ต้องเดือดร้อนแต่ถ้าคุณเป็นจริงด้วยนะเป็นจริงอย่างเลวร้ายด้วย ก็ต้องรู้สึกตัวรู้ความจริงให้ได้ว่าเราเลวร้ายขนาดนี้เชียวหรือ ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็แก้ไข ถ้าพวกคุณมีสำนึกดีๆ   คุณก็จะรู้ว่าอาตมานี้บอกด้วยเจตนาดี เป็นสิ่งที่ควรเคารพ ควรนับถือควรเกรงกลัวควรละอายอาตมา เพราะอาตมาบอกด้วยดี ถ้ารู้จักสัตบุรุษรู้จักผู้รู้ดีๆรู้จักพระพุทธเจ้าท่านจะพูดความจริง รู้ความจริงว่าเราเลวเหลวไหลขนาดนี้ คุณรู้สึกตัวสำนึกจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้าละอายอย่างเกรงกลัว เกรงกลัวอย่างแรงกล้าและคุณก็จะรักเคารพและนับถือไปศึกษาเปลี่ยนแปลงตัวเองซึ่งคนที่สำนึกก็จะเป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 16:57:52 )

บอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าเป็นจริง

รายละเอียด

แล้วคนเชื่อ เยอะด้วย คนจะเชื่อว่า ขณะนี้มหาบัว แม้จะสิ้นชีวิตไปแล้วก็เถอะ เขาก็อาจจะเคยพบ อาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหามหาบัวด้วย แล้วเขาก็ได้พบได้สัมผัส ได้เห็นได้รู้ว่ามีอีกคนคือโพธิรักษ์ รู้ 2 คน รู้ทั้งมหาบัวและโพธิรักษ์ มหาบัวก็พูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แต่ไม่กล้าพูด พูดเป็นนัยๆ  ไม่พูดตรงๆ แข็งๆ แรงๆ ชัดๆ อย่างไม่มี มังกุ อย่างอาจหาญแกล้วกล้าเหมือนอย่างโพธิรักษ์หรอก ว่าตัวเองเป็นอรหันต์ มหาบัวไม่กล้าพูดอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันไม่ใช่ ไม่ใช่อรหันต์ มันไม่กล้าหรอก ก็พูดเป็นนัยๆ ให้คนอื่นเขาเข้าใจว่า เกิดเป็นชาติสุดท้าย ใช้สำนวนนี้เป็นสำคัญ ไม่เกิดอีกแล้ว ชาตินี้ไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็อธิบายพลความแวดล้อมต่างๆ สารพัดเพื่อให้คนเข้าใจว่า เป็นคนหมดสิ้นกิเลสอะไรอย่างนี้ ซึ่งจะไม่กล้าที่จะบอก จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่เป็นจริง พูดความจริง มันไม่ใช่เรื่องยาก มันไม่ใช่เรื่องน่าอายด้วย ที่จะบอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย และก็ไม่ใช่เรื่องอยากอวด อรหันต์ไม่มีทั้งเรื่องน่าอายและไม่มีทั้งจิตอยากอวด อรหันต์จริงนะ เพราะฉะนั้นก็พูดเป็นปกติสามัญ แล้วก็รู้ความควรหรือความไม่ควร เท่านั้น 

อย่างอาตมานี้ไม่ได้พูดง่ายๆ ซึ่งก็พูดมาหลายทีแล้วอธิบายไปแล้ว อาตมาพูดว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ก่อน แต่โพธิสัตว์นี่แหละสำคัญ และก็ไม่ได้บอกว่าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ไม่ใช่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 4 เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมานิยตโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 7 ซึ่งอาตมารู้ความเป็นอรหันต์มาตั้งแต่ระดับ 1, 2, 3, 4, 5, 6

อรหันต์จริงๆนั้นมี 6 ขั้น ขั้นที่ 1 โสดาฯ สกิทาฯ อนาคามี และอรหันต์ นั้นอรหันต์ขั้นที่ 1. อรหันต์ขั้นที่ 2.อนุโพธิสัตว์, ขั้นที่ 3.อนิยตโพธิสัตว์, ขั้นที่ 4.นิยตโพธิสัตว์, ขั้นที่ 5.มหาโพธิสัตว์ และขั้นที่ 6.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเป็นอรหันต์ขั้นที่ 4  พระพุทธเจ้าท่านอรหันต์ขั้นที่ 6

ความเป็นอรหันต์ที่พูดนั้น มันไม่ใช่ขั้นเดียว แต่เขาไม่พูดกันหรอก แล้วอาตมาก็มีภูมิธรรมจริงๆ ไม่ใช่เอาความเพ้อเจ้อมาพูด ไม่เอาความเพ้อเจ้อมาพูด ไม่ได้หรอกเรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะ แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปหลงใหล เพราะเป็นอรหันต์แล้ว ไม่ไปหลงผิดอะไร  อรหันต์รู้จักโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ และไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องเดาสุ่ม มันเป็นเรื่องบอกความจริง จึงไล่ระดับได้ มันเป็นสัจจะ จึงเอามาพูดสู่ฟังทั้งนั้น 

แล้วอาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้เกลียดชังมหาบัว สงสาร โดยเฉพาะสงสารคนที่ไปหลงมหาบัวผิด ไปหลงผิดว่าเป็นอรหันต์ เป็นอาริยะ ซึ่งมันไม่ใช่ ยังหยาบๆ แค่เสพติดหมากพลูเป็นเรื่องหยาบต้นๆเลยเป็นสิ่งเสพติดของพื้นๆชาวบ้าน มนุษย์ง่ายๆ สิ่งเสพติดสามัญ ติดหมากพลู บุหรี่ สิ่งเสพติดอะไรต่ออะไรนี่ หยาบกว่า อาหารการกิน คุณติดน้ำหวาน คุณติดของหวาน มันยังลึกซึ้งกว่าไปติดหมากพลู ติดสิ่งเสพติด  ติดยาเสพติด มันต่ำมันหยาบกว่า แค่นี้ยังไม่มีปัญญารู้แล้วจะเป็นอรหันต์อรแหนอะไร มหาบัวนั้น 

ขออภัยอาตมาพูดเหมือนดูถูก เหมือนเหยียบย่ำ แต่อาตมาก็ต้องข่มความผิด ความเข้าใจผิด ความไม่ถูกต้อง ยกสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจธรรม พูดสัจธรรม มันต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังดีๆ และยุคนี้เป็นยุคที่อาตมานำเอาโลกุตรธรรมหรือธรรมะที่สัมมาทิฏฐิ ธรรมะที่ถูกต้องเข้ามาสถาปนาลงไป เพราะศาสนามันเสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว ว่ามันจะเสื่อม ชื่อว่าพุทธนั่นแหละ แต่มันเสื่อมไปเป็นโลกียะ ซึ่งมันไม่ใช่ ศาสนาพุทธนั้นเป็นโลกุตระ เนื้อแท้คือโลกุตระ แต่โลกียะมัน เป็นศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ใครๆเขาก็สอนโลกียะ คือการละชั่ว ประพฤติดี ใครๆก็สอน 

แม้จะมีลึกซึ้งอยู่บ้างว่า ให้ละ ลาภยศสรรเสริญบ้าง เขาก็ไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูป นิพพานที่จะละลดจริง แต่มันไม่จริง เขากดข่มกัน อย่างพวกเชน กดข่ม จนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรเลย และเขาไม่อยากได้อะไรเลย มักน้อยสันโดษจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันไม่เป็นจิตที่สมบูรณ์แบบ อย่างพวกเชน เขาตายแล้วเวียนวนมาเกิดอีกนะ แล้วเวียนวนมาเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อีก หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็ติด เพราะมันไม่ได้รู้จักจิตเจตสิก ไม่ได้รู้จักอย่างเวทนา 108 แล้วต้องเห็นชัดเจนใน มโนปวิจาร 18 ของอย่างโลกีย์เขาเป็น เคหสิตะ 18 แล้วก็รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนี้ มันไปหลงสุขหลงทุกข์ จนกระทั่งหมดสุขหมดทุกข์แบบโลกุตระเนกขัมมสิตะ อีก 18 แล้วต้องทำจนละเอียดจนกระทั่งครบ ทั้งแน่ใจว่า อดีตเป็นฐานเต็ม 36 ปัจจุบันมาทุกตัว มีพลัง กิเลสทำอะไรไม่ได้

เพราะฉะนั้นจนแน่ใจว่า อนาคตอีก 36  และ 36 นี่ก็คือ มโนปวิจาร 18 นี้แหละ มี 2 อันก็เป็น 36 ทั้ง เคหสิตะ ทั้ง เนกขัมสิตะ ก็เป็น 36 รู้ดีในเรื่องของพฤติกรรมมโน มโนปวิจาร นี้ วิจาระ คือพฤติกรรมของมโนแบบโลกียะกับแบบโลกุตระ อาการของมันรู้ดีหมด มันเกิดอาการทางจิตแบบไหนแบบไหน จนกระทั่งผ่านเราไปแล้วเป็นอดีต ปัจจุบันนี้มันมา ก็รู้มันหมดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนปวิจาร 18 แล้วมันเป็นโลกียะก็รู้มันได้ ทำให้มันเป็นโลกุตระได้ อย่างชัดเจนหมดทุกอย่างเลย 

อาตมาว่าอาตมาอธิบายรายละเอียดของธรรมะ มันละเอียดจนกระทั่งเป็นภาษาง่ายๆนะ แม้จะมีภาษาวิชาการภาษาบาลีประกอบ อาตมาก็ขยายความเป็นภาษาไทยให้ละเอียดลงไป ไม่ได้พูดบาลีโก้ๆ แต่พูดบาลีเพื่อยืนยันอ้างอิงเท่านั้นเอง ค่อยๆเรียนไปนะ 

อาตมาก็ต้องพูดความจริง ว่าสายนั่งหลับตา มันผิดหมด มันไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ขนาดมี อปัณณกปฏิปทา 3 ผู้ปฏิบัติอยู่ แล้วมันจะไปลดได้ง่ายๆ ที่ไหน ผู้ปฏิบัติจริงแล้วจะรู้เลยว่าไม่ใช่ละกิเลสได้ง่ายๆ แล้วไปนั่งหลับตาอย่างนั้น ไม่รู้กี่ชาติ แล้วไปหลงแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส เสียเวลา อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ผ่านไปก็แล้วกัน มันน่าสงสาร เสียเวล่ำเวลา 

 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 สิงหาคม 2566 ( 17:24:40 )

บอกเล่าอาการอาพาธของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ปยุตโต)

รายละเอียด

เมื่อใกล้สิ้นปี พ.ศ. 2562 แพทย์วินิจฉัยว่าผู้อาพาธนี้ เป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จะต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาที่ยืดเยื้อยาวนาน คราวนั้น เมื่อถึงโอกาสมาที่วัดญาณเวศกวัน ในวันอุโบสถ หลังสวดปาติโมกข์ จึงได้บอกเล่าให้พระและโยมทราบเพื่อให้ทุกท่านรู้เข้าใจเหตุการณ์ในความเป็นไปของวัดหลังจากบอกเล่าเสร็จแล้ว บางท่านหรือหลายท่านอยากให้นำคำบอกเล่าเรื่องโรคนั้นมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ ทำเป็นประกาศหรือใบบอก จะได้อ่านให้รู้ชัดเจนทั่วถึง ผู้อาพาธนี้ก็คิดว่าจะทำใบบอกตามนั้น แต่พอดีว่าเมื่อขึ้นปีใหม่ 2563 แล้วไม่นาน ถึงวันทำบุญประจำปีอุทิศโยมที่สำคัญของวัดและของญาติ จึงคิดจะทำหนังสือธรรมะเพื่อแจกในวันที่ 5 และ 8 ก.พ. 2563 และตกลงว่าจะพิมพ์เรื่อง อย่าให้สวดมนต์ มาโค่นล้มสาธยาย แต่ถึงเวลานั้น ก็เป็นช่วงปลายเดือนมกราคมแล้ว ต้องไปนอนรับการรักษาในโรงพยาบาล และเริ่มทำหนังสือที่นั่น แต่ในที่สุด หนังสือไม่ทันวันงาน 8 ก.พ.ถึงแม้ไม่ทัน ก็เห็นว่าควรทำหนังสือนั้นให้เป็นธรรมทานตามหลังงาน จึงยิ่งต้องเร่งรัดระดมทางานนั้นเต็มแรงมากขึ้น ระหว่างนี้ก็ได้หยุดวางเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งจากวัดญาณเวศกวันและจากภายนอกทั้งหมด เอาเรื่องเหล่านั้นเข้าที่กักกันไว้ก่อน แต่ถึงตอนนั้น ทางด้าน รพ. การบำบัดโรคมะเร็ง ก็เข้าสู่ช่วงตอนสำคัญ ต้องเข้าไปนอนพักรับการฉายรังสีเต็มอัตรา ใน รพ. เกือบครึ่งเดือน จึงหมายมุ่งว่าในช่วงเวลานั้น จะทำงานหนังสือคู่เคียงไปกับการบำบัดรักษาใน รพ. และหนังสืออาจจะเสร็จใน รพ.นั่นแหละ แต่ถึงเวลาจริง ใน รพ. ก็ทำงานหนังสือได้ไม่เต็มที่ หนังสือได้แค่ใกล้จะเสร็จ ก็ต้องออกจาก รพ. ไปพักรับผลการฉายแสงในถิ่นไกล เร่งทำหนังสือต่อไป แล้วหลังออกจาก รพ.ได้ 4 วัน ต้นฉบับหนังสือจึงเสร็จในวันที่ 6 มีนาคม 2563 หลังงานทำบุญ 1 เดือนพอดี ตอนนั้นพอดีว่าโรค Covid-19 ที่เริ่มระบาดเกือบพร้อมกับที่ผู้อาพาธนี้เป็นมะเร็ง ได้เข้าสู่ระยะสำคัญของการแพร่กระจาย ประชาชนเริ่มระวังตัวจริงจัง ต้นฉบับเสร็จเข้าโรงพิมพ์ตอนกลางเดือนโดยเร่งจะให้เป็นหนังสือออกมา แต่แล้วโรงพิมพ์บอกว่า คนงานไม่มาทำงานเจ้าของ รพ. ต้องทำเล่มหนังสือเอง จึงช้าหน่อย ขอให้รอ จนกระทั่งวันนี้ 31 มี.ค. สิ้นเดือน หนังสือก็ยังไม่ออกมาจากโรงพิมพ์ แต่ถึงอย่างไร ก็คงรออีกไม่นาน “โรคมะเร็งต่อมลูกหมากนี้ สำหรับผู้ป่วยสูงอายุมากๆ โดยทั่วไปเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ร้ายแรง แต่คุณหมอบอกว่า มะเร็งในรายปกติทั่วไปนั้น เหมือนโจรสามัญที่ลักเล็กขโมยน้อย แต่มะเร็งในผู้ป่วยรายนี้ เป็นชนิดโจรร้ายชั้นฆาตกร เมื่อทำหนังสือเสร็จแล้ว (ตัดชื่อหนังสือสั้นลงว่า สวดมนต์ ต้องไม่โค่นสาธยาย) ก็หัน มาสะสางเรื่องราวคั่งค้างที่กักกันไว้ ทั้งที่มาจากวัดญาณเวศกวัน และจากที่อื่นภายนอก พอให้เบาลงแล้ว จึงได้โอกาสเขียนใบบอกอาการอาพาธนี้ ที่กลายเป็นเรื่องยืดยาว เป็นอันว่า ถึงเวลานี้ การรักษาตัวบำบัดโรคมะเร็งได้ดำเนินมาครึ่งปีแล้ว เริ่มทั้ง Scan ต่างๆ ตัดชิ้นเนื้อไปพิสูจน์ ฉีดยาฮอร์โมนเป็นช่วงๆ ตามเวลาที่กำหนด ฝังทอง การที่จะฉายรังสี จนถึงรับการฉายแสงเต็มอัตรา แล้วออกมาพักฟื้นรอการดูแลรักษา ของคุณหมอตามขั้นตอนต่อไป (ถ้าไม่เกิดมีอะไรผิดแผน) จนครบเวลา 3 ปี ปัจจุบันต่อหน้าขณะนี้ อยู่ในช่วงเวลารับผลการฉายรังสีและพักฟื้นดังที่ว่า มีอาการไม่สบายที่ยืดเยื้อไม่รู้วันหาย เช่น อ่อนเพลียคอยจะหวิวจะวูบ มองเห็นหรือจะฉันอาหารมีอาการพะอืดพะอม มีการขับถ่ายที่ยุ่งยาก และที่แปลกพิเศษ คือเจ็บอกเด่นชัดอย่างเป็นประจำ พร้อมด้วยอาการไอแรงๆ แถมมีน้ำมูกเหมือนเป็นหวัดอยู่เรื่อย ที่ว่าแปลกพิเศษคือ อาการเจ็บในอกและไอนี้ ไม่น่าจะสืบเนื่องมาจากหรือเกี่ยวข้องกับการฉายรังสี แต่เท่าที่จะคิดออกมาได้ก็คือ โรคเก่าที่มีเป็นพื้นประจำตัวตลอดเวลามาแต่เดิม คือสภาพปอดที่ชำรุดเสียหายใช้งานได้ไม่ถึง 1 ข้างนั่นเอง เมื่อร่างกายเสื่อมโทรมอ่อนแรงลงไป ไม่มีกำลังที่จะช่วยพยุง โรคเก่าที่เป็นพื้นอยู่นั้นก็ได้โอกาสแสดงอาการที่ส่อสภาพแท้จริงของมันออกมา มองย้อนหลังไปไม่นานนี้ ก่อนที่มะเร็งจะมา ร่างกายคงจะได้ปรับตัวเคยชินกับสภาพปอดที่พิการได้ดีพอสมควร ตัวผู้อาพาธนี้ได้ไปพักอยู่เงียบๆ ในชนบทถิ่นห่างไกลนานนักแล้ว ไม่ค่อยได้พบปะพูดจากับใคร ในช่วง 5-6 ปีหลังนี้ อาการเจ็บในอก เหนื่อยและไอ เงียบหายไปได้นานๆ ถึงแม้มีการพบปะพูดจาเพิ่มขึ้น เช่นมาที่วัดญาณเวศกวัน ในวันอุโบสถ บางทีพูดมากไปบ้าง กลับไปพักที่ถิ่นไกลในชนบท เกิดมีอาการเจ็บในอกเหนื่อย และไอรุนแรงขึ้นมา น้อยวันบ้าง มากวันบ้าง แล้วก็ฟื้นตัวได้ “แต่ในระยะสู้กับมะเร็งนี้ ทั้งที่พักฟื้นแทบเต็มที่ อาการของโรคปอดกลับแสดงออกมาชัดเจนไม่เว้นว่าง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตามเหตุผลที่ว่ามานั้น และก็เป็นการบอกด้วยในตัวว่า ถ้าสภาพร่างกายในระยะเวลาที่สู้กับมะเร็งนี้ยืดเยื้อยาวนานต่อไป โอกาสที่จะมีกำลังปอดพอจะไปพูดคุยกับพระกับโยมที่วัดปักษ์ละครั้ง ก็อาจต้องจบสิ้นการที่บอกเล่าสภาพซึ่งเป็นไปอย่างนี้ ก็เพื่อเป็นความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ท่านที่เกี่ยวข้องหรือสนใจ จะได้ทันต่อเรื่องราวเหตุการณ์ในความเป็นไปของวัดญาณเวศกวันดังได้ว่าแล้ว ขอให้ทุกท่านไม่ต้องห่วงใยการอาพาธ เพราะมองอย่างง่ายๆ ผู้อาพาธนี้มีสภาพเป็นเพราะอาพาธที่มีโรคมากมายอยู่แล้วเป็นปกติตลอดเวลาหลายสิบปีเรื่อยมาอยู่แล้ว การเป็นมะเร็งก็เป็นการได้โรคใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกรายการหนึ่ง โดยที่ว่าโรคที่ติดตัวเป็นพื้นมา แต่เดิมนั่นแหละยังเป็นผู้กำกับชีวิตยืนโรงต่อไป หาใช่มะเร็งไม่ และอาการไม่สบายมี ทุกขเวทนาต่างๆ อย่างที่เล่ามานั้น ผู้บอกเล่านี้ก็พบผ่านอาการที่หนักที่แรงกว่าที่ได้เล่า นั้นมาแล้วมากมาย ส่วนที่ห่วงว่าเข้า-ออกโรงพยาบาลบ่อยนักได้อย่างไร นี่ก็เป็นเรื่องปกติมาแล้วในสมัยก่อนโน้น ไม่น้อยกว่าสมัยนี้ จึงไม่เป็นข้อที่จะต้องห่วงใยอีกเช่นเดียวกันในที่สุด ข้อที่เป็นหลักยืนตัวก็คือ โรคาพาธทุกอย่างที่ได้มีได้เป็นมานี้ เกื้อหนุนหรือไปกันได้กับภารกิจของชีวิต คือ ช่วยให้มีเวลาทำงานทางธรรมอย่างสงบเงียบเต็มกำลังมากขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ขัดขวางงานทำหนังสือธรรมะแต่อย่างใด มะเร็งมาคราวนี้ ถ้าชีวิตยังยืดต่อไป ก็ต้องใช้เป็นโอกาสที่จะทำงานเขียนเรื่องธรรมะที่ค้างรออยู่มากมาย ให้เสร็จไปให้ได้มากที่สุด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2563 ( 11:53:05 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 07:22:07 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:48:21 )

บอกให้รู้ตัวไม่ใช่ให้เนรคุณ

รายละเอียด

ที่จริง อาตมาให้ตั้งนานแล้วนะ แต่ป่านนี้เขาจะรับไปหรือไม่ก็ไม่รู้ ที่พูดไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์ถ้ายังไม่ตาย ส่วนมหาบัวตายแล้วก็เอาละ แต่ก็ต้องอาศัยท่าน มหาบัวก็ตามที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านทำจริง แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็ยังไปงมงายยอมรับนับถืออยู่ มันผิดก็ต้องบอกให้รู้ตัว ไม่ใช่บอกให้เนรคุณอาจารย์นะ อาจารย์ก็เป็นอาจารย์แม้จะสอนผิดก็เป็นคุณค่าบุญคุณ ก็เราโง่เองเราไปติดไปยึด แต่เขาลงทุนลงแรงเขาช่วยเรา มันก็ต้องชัดเจนอย่างนี้เนรคุณไม่ถูกหรอก แม้คนที่สอนเราผิดมาเก่า จะไปเนรคุณท่านไม่ได้ คุณโง่ของคุณเองแล้วจะไปลงโทษคนอื่นได้อย่างไร แต่ท่านลงทุนสอนเราแนะนำเรา แม้ท่านผิดท่านก็จริงใจ เว้นแต่ว่า คนที่สอนเราผิดนั้นรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองสอนสิ่งผิด คนนี้แหละ แหม ทีหลังอย่าคบเลย แม้จะเคยเป็นครูบาอาจารย์ก็เข็ด แต่เราไม่ต้องไปทำอะไร  เขาจะไปตามวิบาก วิบากเขาทำเขาจะเป็นเอง เราไม่ต้องไปซ้ำเติมอะไรเลย คนจะชั่วหนักขนาดไหนก็อย่าไปซ้ำเติม เขาจะเป็นไปตามวิบาก คุณจะเข้าใจกรรมเข้าใจวิบากยิ่งขึ้นชัดขึ้นเลยว่า อ๋อ กรรมวิบากไปจัดการกันเองอย่างนี้ไม่ต้องอาศัยใคร เป็นเรื่องจริงของกรรมวิบาก เราก็ทำหน้าที่ของเราไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 14:43:06 )

บังคับใครไม่ได้มันต้องพิสูจน์

รายละเอียด

มันก็จะออกนอกทิศทางไป เอาเถอะ อาตมาก็ไปบังคับใครไม่ได้มันต้องพิสูจน์ อาตมาเกิดมาในปางนี้ต้องเป็นอย่างนี้ไม่มีอลังการอะไรเลย อาตมานี่แม้แต่หมอดูเขาก็บอกว่าอาตมาเกิดปีจอ เขาเรียกหมากลางตลาด ต้องหลบ เดี๋ยวก็เจอเท้า เดี๋ยวก็เจอปังตอ หรือเจอไม้หน้าสาม เขวี้ยง ทุบเอา หากินลำบาก เกิดมาชาตินี้ต้องเป็นอย่างนี้ปางนี้ หมาไม่มีเจ้าของ หมาเร่ร่อน หมากลางตลาด หมอดูเขาเคยดูตอนเด็กๆเกิดปีจอคนนี้เป็นหมากลางตลาด หากินซอกๆๆๆไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ที่สุดแห่งพุทธศาสนาคือปัญญาอันปราศจากกิเลส วันพุธที่ 26 ตุลาคม 2565 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 13 ธันวาคม 2565 ( 13:04:52 )

บังคับให้คนฉลาดไม่ได้

รายละเอียด

พวกเราก็มองเห็นความจริงอันนี้อยู่แต่เขาไม่รู้จักหรอก ต่างคนต่างเห็นไปบังคับความรู้ บังคับความเข้าใจ บังคับให้คนฉลาดไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 20 กันยายน 2563 ( 11:37:42 )

บัญญัติบุคคล 4 จำพวก

รายละเอียด

1. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ  แต่ไม่ได้โลกุตระ  

บุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมกล่าวคืออธิปัญญา เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป แต่ไม่ได้โลกุตรมรรค หรือโลกุตรผล บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า  เป็นผู้ได้ เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม กล่าวคือ อธิปัญญา

2. บุคคลผู้ได้โลกุตระ แต่ไม่ได้เจโตสมถะ 

บุคคลผู้ได้ปัญญาเห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายใน เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้โลกุตตรมรรคหรือโลกุตตรผล แต่ไม่ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป  หรือสหรคตด้วยอรูป   บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมกล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายใน

3. บุคคลผู้ได้เจโตสมถะ และได้ทั้งโลกุตระ

บุคคลผู้ได้เจโตสมถะเป็นภายในด้วย  ได้อธิปัญญาธัมม-วิปัสสนาด้วย เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้  เป็นผู้ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือ สหรคตด้วยอรูป เป็นผู้ได้โลกุตตรมรรค หรือโลกุตตรผล  บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า  เป็นผู้ได้เจโตสมถะเป็นภายในด้วย ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญาด้วย

4. บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะ และไม่ได้ทั้งโลกุตระ

บุคคลผู้ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายในด้วย ไม่ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญาด้วย เป็นไฉน  บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป ไม่เป็นผู้ได้โลกุตตรมรรค หรือโลกุตตรผล บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่ได้เจโตสมถะเป็นภายในด้วย ไม่ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญาด้วย 

 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 36  ข้อ 10,137,252 , ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 20:56:52 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:16:08 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:01:35 )

บัญญัติภาษา พยัญชนะกับสภาวะ

รายละเอียด

นี่เป็นบัญญัติภาษาพยัญชนะที่ได้รู้มา แต่ที่พูดกันนี้ คำว่าสังขาร วิญญาณ นามรูป แค่รู้นามรูปพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า คุณรู้นามรูป คุณรู้วิญญาณเลยนะ เท่ากับคุณจะรู้แยก เวทนา สัญญา สังขารขันธ์ เจตสิกสามอย่างนี้ได้แล้วไปรู้ เวทนาในเวทนา แล้วรู้สัญญาที่ต่างกันของคนที่ยึดถือ รู้สังขารที่ยึดถือต่างกันได้อีก รู้สภาพที่แตกต่างกันได้เรื่อยๆ ไม่ใช่พูดตามบัญญัติพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ค่อยๆรู้สภาวะและเอามาอธิบายได้เป็นคู่นั่นเรียกว่ารูปนามวิญญาณ แยกเจตสิกต่างๆได้ ไม่ต้องไปอธิบายเจตสิกอื่นใด มาแยกที่เวทนานี้ โดยเฉพาะแยก เคหสิตเวทนากับเนกขัมมะเวทนาได้ รู้จักความต่างระหว่างเนกขัมมะกับเคหสิตเวทนาได้ เป็นหัวใจยอด เหมือนกับแบ่งเขตระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มีนัยต่างกันจริงแล้วมีตัวรู้ รู้ได้แล้วอยู่ร่วมกันได้ แต่คนจะเห็นต่างได้ ต้องไม่กลัวเหนื่อย 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2563 ( 13:35:16 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:35 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:02:37 )

บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ

รายละเอียด

แล้วท่านก็บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ บัญญัติกฎหมายสงฆ์ 2505 บอกว่าให้พระสังฆราชสั่งให้สึกได้ ซึ่งเป็นบัญญัติที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เป็นบัญญัติเอาเอง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ซึ่งมันผิด มันใช้ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นในกฎหมาย 2505 มาตรา 18 บอกว่า ให้สิทธิสังฆราชสั่งสึกได้ ถ้าไม่สึกภายใน 7 วันก็ผิดกฎหมาย อาตมาก็ผิดกฎหมายข้อนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เมืองไทยเป็นเมืองของพระพุทธเจ้า-โลกุตรธรรมจะช่วยโลกได้ วันศุกร์ที่ 2 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 เมษายน 2564 ( 19:37:32 )

บัณฑิต

รายละเอียด

คือ ผู้มีภูมิธรรมปัญญาแท้ มีวิชชา ของพระพุทธเจ้า รู้ยิ่ง รู้จริงถึงปรมัตถธรรม สามารถวิเคราะห์ วิจัย แยกแยะ ความจริง ตามความเป็นจริง ของจิตเจตสิก ขั้นรูปนิพพานได้

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 475


เวลาบันทึก 02 พฤศจิกายน 2562 ( 11:31:00 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:06:52 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:03:01 )

บัณฑิตกับคนพาล

รายละเอียด

ท่าน สิริเตโช นี่ อ่านพระไตรปิฎกแล้วก็แยกแยะพระไตรปิฎก บัณฑิตกับคนพาล มาตั้งแต่โน้น มีหนังสือเล่มหนึ่งรวมพิมพ์ไว้ แยกบัณฑิตกับคนพาล บัณฑิตก็คือคนอย่างหนึ่งคนพาลก็คือคนอย่างนึง แบ่งไว้เป็นสองภาค ภาคบัณฑิตกับคนพาล คนก็ไม่ควรไปอยู่กับคนพาล ควรจะไปอยู่กับบัณฑิต แบ่งเป็น 2 อย่างง่ายๆอย่างนี้เป็นต้น 

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาจริงๆ รู้ชัดเจนว่า อ๋อ เกิดมาเป็นคนอยู่กับภาคบัณฑิตนี่แหละ ภาคคนพาล เขาก็อยู่กับคนพาล คนพาลคือคนไม่เดียงสา คนโง่ คนเกเร เอาละไม่เกเร ก็เป็นคนไม่เดียงสาคือยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ชัดๆก็คือคนยังโง่อยู่ พาละ ยังโง่ ยังอวิชชาอยู่ อย่างแท้จริง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะหลุดพ้นอวิชชา หลุดพ้นความโง่อย่างนั้น จิตใจเห็นจริงๆว่าไม่เอาแล้ว เช่น ไปแย่งเงินแย่งทองแย่งลาภ ไปแย่งยศหลงยศ หลงตำแหน่ง หลงยศหลงลาภอยู่

เอาให้ลึกเลย หลงความสุข จนมาเป็นคนที่ไม่ต้องมีสุขมีทุกข์ ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์กับอะไรเลย กลางๆ อทุกขมสุข สบายๆ เพราะจิตเป็นอุเบกขา จิตบริสุทธิ์จากกิเลส เพราะฉะนั้นคนที่จิตบริสุทธิ์จากกิเลสแล้วคนนั้นก็จบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขก็จบ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่ใช่ไปกดข่ม ไม่ใช่ไปใช้วิธีทางโลกีย์ แต่ใช้วิธีทางโลกุตระ รู้จักเหตุแล้วกำจัดกิเลสจนบริสุทธิ์จริงๆ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์จากพ่อครูผู้ตามรอยบาทพระศาสดา วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤษภาคม 2565 ( 11:07:17 )

บัณฑิตที่จบปริญญาโลกุตระ 

รายละเอียด

อาตมาถึงซาบซึ้งธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ท่านบอกว่า  คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34) 

โอ๊ย.. พระพุทธเจ้าเอ๋ย จริงๆๆๆ ถูกต้องเหลือเกิน คัมภีรา ลึกซึ้งเห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบชนิดพิเศษ สันตา ไม่ใช่สงบอย่างเขา แต่เป็นการสงบพิเศษจริงๆ ประณีตสุขุมละเอียดจริงๆ เพราะฉะนั้นอาศัยตรรกะไม่ได้ อาศัยบัญญัติ อาศัยพยัญชนะ อาศัยแค่การขบคิด อาศัยแค่ผิวๆเผินๆ ไม่ได้ ต้องมาประพฤติปฏิบัติตนภายนอก กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจรเข้าไป ลดตั้งแต่หยาบก่อน หยาบมันต้องทำก่อน มันเป็นขั้นต้นของพรหมจรรย์ ยากเย็นแสนเข็นเหลือเกิน มันจึงเป็น นิปุณา ละเอียดจนเกินจะพูด นิปุนา บัณฑิตเวทนียา ไม่ใช่บัณฑิตที่จบปริญญาโลกียะมา แต่เป็นบัณฑิตที่จบปริญญาโลกุตระ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 13 มหาวิทยาลัยที่ประสาทปริญญาโลกุตระ วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ขึ้น 8 ค่ำ วันพระน้อย เดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มิถุนายน 2566 ( 13:54:25 )

บัณฑิตเวทนียา

รายละเอียด

1. บัณฑิตแท้ถึงจะรู้

2. รู้จริงได้เฉพาะบัณฑิตแท้เท่านั้น , รู้ได้เฉพาะบัณฑิตจริง

หนังสืออ้างอิง

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 22

พุทธเป็นอเทวนิยมอย่างนี้ หน้า 67,136


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:11:32 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:18:32 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:48:43 )

บัณฑิตเวทนียา

รายละเอียด

รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริง

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25สิงหาคม2562


เวลาบันทึก 16 พฤศจิกายน 2562 ( 19:25:18 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:49:12 )

บัณฑิตแท้เป็นอย่างไร

รายละเอียด

เมืองไทยเป็นเมืองที่มีความจริงที่ยืนยันความจริงนี้ชัด จิตวิญญาณเป็นประธานจึงรอดตัวมาได้ตลอดหมดเลย ไม่ได้เที่ยวรบไปทั่วเหมือน ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมาตลอด เหมือนกัน อย่างอังกฤษเขาเป็นต้นตำรับประชาธิปไตย มารวมกับของไทยก็ให้เป็น ประชาธิปไตยไทยๆภายหลังเหมือนกัน แต่มันต่างกันตรงที่อังกฤษนั้นเป็นศาสนาเทวนิยม เมืองไทยเป็นศาสนา อเทวนิยม เป็นศาสนาพุทธ อันนี้แหละเป็นเรื่องที่เข้าใจกันไม่ได้ ในเรื่องโลกุตรธรรม ที่อาตมาพยายามขยายความ นักรัฐศาสตร์ก็ยังไม่กระดิกหู เพราะยังไม่มีตำราเรียน 

รัฐศาสตร์เขาถือว่าเป็นของตะวันตกเป็นของศาสนาเทวนิยมขาเดียว ซึ่งมันไม่ได้เลย มันไม่เหมือนกันเลย มันมีความลึกซึ้งคัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่).ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ.เล่ม 9 ข้อ 34) ต้องเป็นบัณฑิตอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่ว่าบัณฑิตเทียมที่ศึกษาจากตะวันตกนั้นไม่ใช่ บัณฑิตจริงต้องจบของพระพุทธเจ้าคือเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปเป็นต้น ที่เป็นบัณฑิตแท้

อาตมาพูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ทุกวันนี้สบายใจเปิดเผยหมดแล้ว พูดไปจนกว่าจะตาย ยังไม่ยอมตายก็ไปเรื่อยๆ แต่บอกตรงๆว่า อาตมาก็ฝืนตลอดเวลา ฝืนที่จะยังไม่ยอมตาย แม้แต่ที่นั่งพูดอยู่ตรงนี้ มันก็พยายาม ซึ่งมันก็ไม่ถึงกับขนาดลำบากลำบนอะไรเกินเพราะมันได้อยู่ มีฌาน มีปัญญา ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4 อยู่ อาตมาก็ไม่ได้ยากอะไรใช้ปัญญาใช้ฌาน ใช้อุตสาหะวิริยะทำงาน นี่เขาก็ให้นอน นอนมาจนกระทั่ง 10 นาทีก่อนจะลงมา จะลุกก็ไม่ได้เขาให้นอน เขาก็ปรารถนาดีก็ไม่เป็นไร ช่วยกัน 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ศีลกับอปัณณกปฏิปทา 3 ในวิชชาจรณะ วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2566 ที่บวรสันติอโศก  


เวลาบันทึก 17 มกราคม 2566 ( 12:27:00 )

บัพพาชนียกรรม

รายละเอียด

คือ การขับออกจากหมู่

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 378


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 12:04:43 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:07:17 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:03:20 )

บัวมี 4 เหล่า

รายละเอียด

บัวมันมี 4 เหล่า หลวงปู่ก็ไม่เคยบอกว่า 5 เหล่า ใครเอามาใส่ให้หลวงปู่ มีอะไรนะ

1. อุคฆติตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้เพียงท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น) 

2. วิปัญจิตัญญู (ผู้บรรลุมรรคผลได้โดยการจำแนกเนื้อความให้พิสดาร) 

3. เนยยะ (ผู้บรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป  โดยอุทเทส (หัวข้อ)   โดยไต่ถาม  โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย  โดยการสมาคม  โดยคบหา โดยสนิมสนมกับกัลยาณมิตร)  

4. ปทปรมะ (ผู้ฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินี้เลย) พอเข้าใจโลกียธรรม แต่เป็น อเวไนยที่ไม่เข้าใจโลกุตระ  หรือเข้าถึงธรรมระดับโลกุตระได้ยาก (พตปฎ. ล.36/108) บัวที่ 5 พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้หรอก ถ้าจะพูดก็อธิบายไปเฉยๆไม่ได้ไปตั้งหรอก พระพุทธเจ้าก็ตั้งไว้แค่บัว 4 เหล่าตั้งเอง 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 13:13:20 )

บางคนทำได้แล้วแต่ยังวนอยู่ วนอะไร? 

รายละเอียด

ขนาดชาวพุทธด้วยกันมีอยู่ประจำโลกเขามีมาเลย ถ้าอาตมาไม่เกิดมา เขาจะไม่รู้ สิ่งที่อย่างพวกชาวอโศกหรือคนไทย ก่อนอาตมามาเกิด คือคนไทยชาวพุทธมีอยู่ แต่ไม่มีใครอธิบายสิ่งที่เป็นโลกุตระสิ่งที่เป็นของพระพุทธเจ้า อันนี้แหละ โลกุตระ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาให้คนเรียนรู้ แล้วรู้จนครบจนหมด จนสิ้นทุกข์สิ้นสุข จนรู้ว่าจิตวิญญาณคืออะไร จนรู้ว่าการดับจิตวิญญาณ แตกจิตวิญญาณสลายจิตวิญญาณตัวเอง ให้กลายเป็นดินน้ำไฟลม ตายแล้วแยกธาตุ เป็นดินน้ำไฟลมสลายไปเลย ไม่เหลือตัวเราเกิดอีกเลย ที่สมบูรณ์แบบได้ อาตมานำมาพูด อธิบาย ขยายอย่างชัดเจน ละเอียดหมดจดอย่างนี้ ผู้มีปฏิภาณดีๆฟังดีๆ แค่บัญญัติภาษานี้ก็ฟังชัดเจนหมดแล้ว แต่ยังทำไม่ได้เท่านั้น บางคน บางคนทำได้แล้วแต่ยังวนอยู่ มันวนอะไร? 

มันวนอยู่กับความจำ มันจำ แล้วเอาความจำมาคิดวน ความรู้จริงๆ นี่อาตมาสอนให้แนะนำให้ เรียนรู้จากผัสสะ จากการกระทบ กระทบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กระทบลาภ ยศสรรเสริญ โลกียสุข กระทบตั้งแต่ ความหยาบใหญ่ที่โลกเขาหลงกัน อบายมุข พวกเราก็ชัดเจนในเรื่อง อบายเรื่องหยาบของโลกเขาทุกข์เขาสุขกัน เราก็ไม่เป็นไร แม้แต่ใกล้เข้ามาหา เกี่ยวกับคนกับสัตว์หรือสัตว์ที่เป็นคน เราก็ไม่ไปดึงดูดคน ผูกพันกับคน เกี่ยวข้องกับคน ถ้าไม่มีความรู้ที่จะเชื่อมกัน เขาจะยึดแต่โลกีย์เขาก็ไป แต่เราไม่เอาแล้ว เราก็มาอยู่กับพวกโลกุตระ เป็นการคัดเลือกคนมา เพราะฉะนั้นจึงจะได้ชาวอโศก ที่มาเป็นชาวอโศกจริงๆ มาอยู่กับกลุ่มหมู่นี้ หนีจากพ่อแม่ หนีจากครอบครัวมา ก็เยอะ เอามาได้ทั้งครอบครัว บางทีก็เอามาไม่ได้ทั้งครอบครัว 

เอามาไม่ได้ทั้งครอบครัวแต่คนในครอบครัวก็เข้าใจและยินดีให้มา บางที เขาก็ยินดี เข้าใจ เขามายังไม่ได้ แต่มาศึกษา มาอยู่ร่วมบางครั้งบางคราว จนกระทั่งสืบทอดไปถึงลูกเต้าเหล่าหลานก็พยายามเอามา ผู้ที่เข้าใจเห็นว่าดีเขาก็พยายามเอาลูกเอาเต้ามา นี่อย่างที่มีอยู่นี่ แล้วมันก็เกิดการสัมพันธ์สืบทอดกันไป 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนา บำเพ็ญธรรมภาคค่ำ ว.บบบ. เตรียมงานตลาดอาริยะปีใหม่ 2566 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 มกราคม 2566 ( 11:04:31 )

บางคนที่เจ็บป่วยอยู่

รายละเอียด

คนที่ไม่ยึดว่าชีวิตนี้ก็ไม่ใช่เรา จะไม่เจ็บง่าย บางคนที่เจ็บป่วยอยู่ขนาดนี้ ฟังนะ ถ้าไม่ยึดถือเป็นเราเป็นของเรา จะไม่เจ็บปวดมาก และจะมีพลังด้วย ก็ขอสรุป หัวใจของน้องสาวคุณ ไม่ต้องไปพูดหรอกเขายังไม่ได้ศึกษาแม้แต่คุณเองก็อย่าถามเลยปัญหาไป เพราะฉะนั้นหัวใจนั้นยาก จะเป็นหรือไม่เป็นมันเป็นกรณีเป็นเรื่องที่เขาเอาหัวใจออกมามัน กรณีน้องสาวหรือของคุณมันมีน้อยนัก เพราะฉะนั้นเอาที่ทั่วๆไปมาพูดกันจะดีกว่านะ สรุปแล้ว เอาที่ข้างนอกที่ไปยึดลมๆแล้งๆ อย่าว่าแต่หัวใจเลย ดีไม่ดีไปยึดถือวัตถุภายนอกมาเป็นของเรา แม้มันเป็น พีชะแล้ว โดยเฉพาะ ผมขนเล็บฟันหนัง พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะให้ชัด ให้มาศึกษา คุณก็เข้าใจชัดว่า ขีดนี้มันไม่ใช่เรา ขีดนี้ไม่ใช่กาย

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:34:38 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:27:06 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 03:49:49 )

บางคนมาอยู่แบบน้อยที่สุดจนเป็น 0 ก็ได้

รายละเอียด

เข้าใจสภาวธรรมคำว่า เอ้อ.. มันพอ แล้วมันก็น้อยแล้วนะ ขนาดนี้ น้อยกว่านี้ได้อีกไหมถ้าได้ก็ทำ 0 โน่นแหละ น้อยที่สุด อะไร 0 ได้ก็ 0 อะไรมัน 0 ไม่ได้ เช่นไม่ต้องนุ่งผ้าเลย มันไม่ไหว 0 อย่างนี้ไม่ไหว มันมากไป เราก็รู้ความเหมาะความควร หรือแม้ว่า มีเสื้อผ้านี่แหละ มีชุดแค่นี้ พอไหม ขณะนี้ อย่างพวกเรา มีเสื้อผ้าที่ใช้แต่ละคน เท่าที่มีอยู่นี้ใช้ไปจนตายได้ไหม...ได้ แฟชั่นใหม่อะไรที่เขาจะมีเราก็เข้าใจ แล้วก็ไม่กระดี๊กระด๊าที่อยากจะไปมีอะไรอีกหรอก นี่คือ ปัจจัยสำคัญของชีวิตนะ เครื่องนุ่งห่ม 

เงินทองข้าวของนั้นยิ่งสบายกว่านี้เยอะเลย แต่ก่อนนี้โอ้โห มักได้ใคร่ดี อยากจะได้มากมาย อยากจะรวยมากๆ แต่ ผู้ที่หยุด แค่ ไม่ต้องไปวิ่งไล่ สะสมเงินทองกับใครอีกแล้วนี่ ชีวิต ตัดอันนี้ได้ แค่นี้ก็สุขสบายแล้ว นอกนั้นก็มีชีวิตอยู่กับประจำวัน วันๆ เราจะสร้างสรรอะไรมากินมาใช้มาอาศัยไป นี่มันเป็นความตั้งอยู่ เป็นเครื่องอาศัยของชีวิตเรา  พอดีแล้ว พอดี พอเพียง ศัพท์ในหลวงบอกพอเพียง แค่นี้ก็พอ พอดี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สังคมของคนที่ตายจากกิเลสจนเป็นพระอาริยะ วันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 ตุลาคม 2565 ( 10:28:05 )

บางคนมีทิฏฐธรรมนิพพานแล้ว แต่ไปหลงยึดอดีตก็มี

รายละเอียด

ปัจจุบันมีผัสสะแล้วกิเลสเราไม่มีหรอก  แต่สภาวะสัญญาความจำ มันกลับมาย้ำซ้ำซ้อนภาวะใหม่ ในปัจจุบันนี่

สัญญาเก่าที่คุณเคยสัมผัสอย่างนี้ เคยติด เคยยึดอะไรมา แต่ในปัจจุบันนี้ ที่จริงคุณก็ไม่เป็นปัญหา ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่โหยหาอาลัยอาวรณ์ แต่มันเหมือนมี ก็ไม่มีแล้วคุณจะไปมีมันทำไม ปัจจุบันเป็นตัวตัดสินนะ ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจที่ว่าตัวตัดสินคือปัจจุบันไม่ใช่อดีตหรืออนาคต แต่คุณไปงงหลงอดีต ในทิฏฐิ 62 ของพระพุทธเจ้า 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพระอานนท์ว่า  เรื่องสัญญา อดีต ความจำ เป็นเรื่องยากที่จะล้างในที่สุด มันยากจริงๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ วิสัยทัศน์ของพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ วันศุกร์ที่ 23 กันยายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 ตุลาคม 2565 ( 12:06:35 )

บางทีเราจะต้องเหลือสิ่งนี้ไว้ เราถึงจะทำสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้หมดไปได้ หากไปทำลายอันนี้ก่อน เรียกว่าขุดรากถอนโคนไม่ได้

รายละเอียด

ถ้าปล่อยปละละเลยรับรองฉิบหาย แต่นี่ก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลยหรอก เรื่องของเรื่องไม่ใช่จะปรับปรุงอะไรได้ทันทีเลย มันมีเหตุมีองค์ประกอบอะไรต่างๆนานาเยอะ มันมีความซับซ้อน บางทีเราจะต้องเหลือสิ่งนี้ไว้ เราถึงจะทำสิ่งที่ร้ายแรงกว่านี้หมดไปได้ หากไปทำลายอันนี้ก่อน เรียกว่าขุดรากถอนโคนไม่ได้ เราอย่างเพิ่งไปเที่ยวได้ด่ากราด ดูองค์รวมในการบริหาร อาตมาก็ยังเห็นว่านายกฯตู่ …29 นายกฯมาทำงานอยู่ทุกวันนี้อาตมาก็ยังให้คะแนนเหนือกว่านายกฯ 29 คน เท่าที่อาตมาเห็นมา อาตมาเกิดปี 2477 ก็เป็นเผด็จการอยู่หลายรุ่น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 12:18:29 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:27:44 )

บาป

รายละเอียด

1. ชั่ว

2. ตกนรก , ตายไปย่อมไปในทางเสื่อม ไม่ไปทางเจริญ

3. การกระทำที่เกิดจากกิเลส หรือกระทำลงไปแล้วกิเลสเกิดในจิตใจ[ทำชั่ว ทำผิดไม่บาปก็ได้ แต่ก็ไม่น่าจะทำถ้าเป็นผลเสียต่อผู้อื่น ต่อสังคม ต่อตนมากไปกว่าควร]

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 426

รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์ หน้า 216,218

 


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:13:38 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:19:37 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:04:25 )

บาป

รายละเอียด

คือ เป็น“จิตชั่ว” ซึ่งเป็น“กรรม”ที่จะ ทำเป็น“โยนทิ้งไปดื้อๆไม่ได้ เพราะมันเป็นโทษเป็นภัยที่ คนอื่นเขาเดือดร้อนเขาก็ยึดพยาบาทอยู่ที่เขาไม่ยอมทิ้ง

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม   หน้า492


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:39:56 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:36:52 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:04:47 )

บาป

รายละเอียด

จิตผู้นี้ได้ล้างกิเลสแล้วก็ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นในจิตเรา ทำให้จิตไม่ทำบาปไม่มีกิเลสเกิดอีกในจิตก็เป็นจิตพีชะ แต่จริงๆจิตเราเป็นจิตของสัตว์ จิตมนุษย์มันมีพลังงานวิจิตพิสดารมากกว่าพีชะ  มันรู้มากเข้าใจมากเฉลียวฉลาดกว่าเยอะ แต่พอมาล้างตัวพิษภัยกิเลสออกไปได้ จิตก็ทำงานได้มหาศาล อย่างที่ไม่มีโทษภัยกับใครอีกเลย ซึ่งเป็นจิตที่ประเสริฐ เป็นคนที่ประเสริฐแล้วรู้ดีรู้ชั่วตามสมมุติโลกเขาด้วย เพราะว่าความดีความชั่วเป็นสมมุติอยู่ในโลก ส่วนความสุขความทุกข์เป็นของจิต ไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้วคือสุดยอดในการสร้างจิตวิญญาณที่มันเกิดมาแล้ว มันอวิชชาให้เป็นพลังงานที่ประเสริฐสุด

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 01 กุมภาพันธ์ 2563 ( 12:22:57 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:38:37 )

บาป 5 ประการของการฆ่าสัตว์

รายละเอียด

บาป 5 ประการของการฆ่าสัตว์ คือ บาปจากน้อยไปหามาก จากหยาบไปหาละเอียด บาปมาตามลำดับ จนถึง คิดฆ่า ลงมือฆ่า ฆ่าตายสำเร็จ ตายเสร็จแล้วเอาเนื้อสัตว์นั้นนำไปทำอาหารถวายสาวกของพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้า เจตนาจะให้สาวกของพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ายินดีในเนื้อสัตว์ มีเจตนาร้ายแรงมากเลยเพราะฉะนั้น ข้อ5 จะมีความหนักของบาปมาก

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราชครั้งที่ 68 วันจันทร์ที่ 9 เดือนกันยายน2562


เวลาบันทึก 22 ตุลาคม 2562 ( 14:12:01 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:47:26 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:06:54 )

บาป ชั่ว กิเลส ต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

ผู้ที่เรียนละชั่วประพฤติดี สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง กุสลัสสูปสัมปทา ว่าละชั่วประพฤติดี ผิดหมด ไม่ใช่ เพราะชั่วไม่ใช่สัพพปาปัสสะอะกะระณัง ชั่วคำนี้หมายถึงบาปไม่ใช่ดีชั่วโลกีย์ บาป ไม่ใช่ชั่วสามัญของโลกีย์แต่บาปคือกิเลส ไม่มีบาปก็ไม่มีกิเลสไม่ใช่ไม่มีชั่ว 

ถ้าแยกบาปกับชั่วกับกิเลสไม่ออกว่าต่างกันอย่างไร ชั่วรวมโลกีย์หมดแต่ไม่รู้จักกิเลส ชั่วคือเลวต่ำ ไม่ดี ของโลกีย์ทั้งหมด แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุที่ทำให้เลวก็คือกิเลส เขาไม่ได้เรียนกิเลสเลย โลกียะไม่ได้เรียนรู้กิเลส เรียนก็มิจฉาทิฏฐิ เหมือนชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิก็เรียนรู้ไม่รู้จักกิเลส ไม่สามารถเข้าไปจับอาการจิต รูปจิต อรูปจิต รู้ตั้งแต่กามจิตก่อน ทำลายเลยกำจัดเปลือกข้างนอกของไม้ออกก่อน จากเปลือกก็จะเป็นกระพี้ของไม้ ก็มาเอากระพี้นี้ออกไปอีก เข้าไปจนเหลือแกนในคือแก่น ถึงจะเป็นไปตามลำดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรียนรู้อาหารให้บรรลุถึงอรหันต์ วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:13:34 )

บาป บุญ สิ้นบุญสิ้นบาป

รายละเอียด

มีพยัญชนะบาลีที่ว่า ปุญญปาปปริกขีโณ เอาบุญไปใช้เป็นกุศลทำให้ศาสนาพังไปหมดเลย มันไม่ใช่สัจจะสาระก็เลยเลอะเทอะ เลยไม่มาทำความเข้าใจว่าพลังงานจะเป็นบุญเป็นอย่างไร ไม่มาเรียนรู้แล้วสร้างพลังงานที่เป็นบุญ คือพลังงานที่ทำให้เกิดอุณหธาตุ เตโชธาตุที่แรง จะ ละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ เมื่อทำได้แล้วบุญก็หายไป บุญไม่ใช่สมบัติ บุญเป็นวิบัติ เกิดในปัจจุบันเท่านั้น ขณะที่สัมผัส รู้ว่านี่คือไฟบาปราคะโทสะโมหะเกิด เราก็สร้างพลังงานไฟบุญขึ้นมาสลายอันนี้ได้ สลายได้ส่วนหนึ่งเรียกว่าเป็นส่วนแห่งบุญ บาปมีร้อยสลายได้สามสิบคือ ได้คือเสีย เสียบาปไปบุญก็ไม่ได้ตกค้าง พลังงานนี้ไม่ตกค้างที่ไหนเลย

ไม่มีใครมาอธิบายอย่างนี้ให้ฟังหรอก หาฟังได้ที่นี่แห่งเดียวในโลก จริง ต่อให้ดร.ทางศาสนาพุทธ เป็นฝรั่งเขาก็ไม่พูดอย่างอาตมาหรอก อย่าง Rhys Davids เป็นต้น

หากคุณไม่เข้าใจความรู้อันนี้พยัญชนะอันนี้สภาวะอันนี้ ว่าบุญกับบาป พลังงานนี้แยกไม่ออกเข้าใจไม่ได้ว่าจิตมีพลังงานอย่างไร พอรวมมาเป็นพลังงานสร้างขึ้นมาได้ที่เรียกโดยพยัญชนะ ว่าฌาน

ฌาน แปลว่า ไฟ แต่แปลว่าเพ่ง ก็ผิด ฌานคือพลังงานที่สร้างขึ้นได้จนสามารถละลายพลังงานราคะโทสะ เมื่อทำให้ละลายได้ก็คือเป็นบุญ ขณะที่คุณสร้างนั้นสร้างให้เป็นฌาน แล้วฌาน นี้ภาษาพยัญชนะ ว่า ชา แปลว่ารู้ แปลว่าปัญญา

ปุญญะคือปัญญา สร้างขึ้นมาและมีพลังงานละลายไฟราคะโทสะโมหะได้ ละลายได้ก็จบ เหมือนคุณจุดไฟมาเผาอันนี้สลายได้ ไฟก็หายไปด้วย ไปเก็บเอามาคืน เผาแล้วเอาพลังงานมาเก็บไว้ก็ไม่ได้ ฉันเดียวกัน บุญที่ทำงานเสร็จไปแล้วก็หมดไปจะไปเก็บมาไม่ได้ ยิ่งจะไปสะสมบุญยิ่งไม่ได้ บุญเกิดได้ในขณะนี้ปัจจุบันเท่านั้น แล้วก็ทำงาน ทำงานเสร็จก็สลายไปในตัว เป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่สร้างได้ในปัจจุบัน จะเรียกว่าวินาทีก็นานไป หายวับ สลายบาปให้หมดไป บุญก็หายไปด้วย การไปสะสมบุญเอาไปค้าขาย คำว่าบุญก็เลยเสียไปหมดเลย บุญนั้นเหมือน guillotine ที่เป็นอาวุธร้าย เป็นยอดอาวุธระเบิดนิวเคลียร์ มันมีหน้าที่ทำงานแล้วก็หายไป แต่ว่ากิโยตินยังอยู่นะ อันนี้มันเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดตูมแล้วก็สลายไปเสร็จ มันก็จบไปเลยระเบิดนิวเคลียร์ก็หายไปด้วย ฉันเดียวกัน การสร้างพลังงานแบบนี้ให้เกิดได้เป็นเรื่องสำคัญมาก

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 29 วันรัฐธรรมนูญ สื่อธรรมะพ่อครู(สัมมาทิฎฐิ 10) ตอน บาป บุญ สิ้นบุญสิ้นบาป วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:04:14 )

บาปกับบุญ

รายละเอียด

บาปกับบุญ เป็นโลกุตระสามารถหมดไปจากโลกได้ แต่กุศลอกุศลเป็นโลกียะไม่สามารถหมดไปได้จากโลก ทำบาปบุญหมดก็ปุญญปาปปริกขีโณ อรหัตตผลเด็ดขาดของพระโสดาบันในอบายมุขก็ตาม เด็ดขาดไม่มีเกิดอีกแน่นอนตายสนิทไม่มีวนเวียนมาอีกเลย อันนั้นก็เป็นของแท้ ที่คุณเป็นอรหันต์ ในอรหัตตผลของโสดาบัน เป็นผลที่ไม่ลึกลับแล้วสมบูรณ์แล้ว แต่มันยังไม่จบก็ยังไม่ใช่ อันตะ ไม่ถึงที่สุดได้ อรหัตตผล 

ที่มา ที่ไป

รายการกายนี้คือวิญญาณ วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2563 ( 11:03:48 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:49:17 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:07:16 )

บาปกับบุญต่างจากกุศลอกุศลอย่างไร

รายละเอียด

บาปกับบุญมันไม่ใช่กุศลกับอกุศล มันลึกซึ้งกว่ากุศลกับอกุศล มันเทียบกันพอได้เพราะบาปมันคืออกุศล บุญคือกุศลซึ่งไม่ถูก บุญไม่ใช่กุศล บาป กุศล เป็นโลกีย์ กุศลเป็นสมบัติ แต่บุญนี้มันเป็นวิบัติ อันนี้แหละมันยากมากเลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธนี้มีบุญมีบาปศาสนาอื่นไม่มีบุญไม่มีบาป ไม่รู้เรื่องของสภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ที่แท้จริงศาสนาอื่นใดก็ไม่มี คำว่าบุญกับบาปเป็นของพุทธ ของโลกีย์ทั้งหลายมีแต่กุศล อกุศลเท่านั้น คำว่าบาปกับบุญทุกวันนี้ จึง เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไม่มีความรู้จริง 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:36:26 )

บาปกับบุญลบล้างกันไม่ได้

รายละเอียด

คือเรื่องบาปเรื่องบุญหรือเรื่องกุศล อาตมาไม่ใช้คำว่าบุญคู่กับที่จะอธิบายนี้ ในเรื่องนี้ใช้คำว่าบาปกับกุศล ทำบุญก็ฆ่าบาป แล้วไม่เกิดบาปอีก ทางเดียว oneway ฆ่ากิเลสได้ อกุศลก็หมด กุศลกับอกุศลมันลบล้างกันได้แต่บาปกับบุญลบล้างกันไม่ได้ บาปจะมาฆ่าบุญให้เป็นบาปอีกไม่ได้ บาปไม่มีสิทธิ์จะฆ่าบุญ บาปมีหน้าที่ให้บุญฆ่าได้อย่างเดียว แต่บุญกับกุศลนี้สลับไปสลับมาพลิกไปพลิกมาได้ คุณทำอันนี้ดีแล้วก็กลับไปทำชั่วอีกคุณก็สามารถกลับแก้ไขตัวเองให้เป็นดีใหม่เป็นกุศลได้ แต่กิเลสของพระพุทธเจ้านั้นฆ่ากิเลสตายแล้วจะเกิดกิเลสอีกไม่ได้ กิเลสตัวนี้ฆ่าตายอย่างจริงจังแล้วจะเป็น นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) กิเลสตัวนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเกิดอีกเลยเพราะมันทำได้อย่างเป็น เจโตวิมุติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 16:15:07 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:28:32 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:07:40 )

บาปของคนไทย

รายละเอียด

คนไทยจะไปแพร่เมนูไปทั่วโลกเป็นบาปของคนไทย ตอนนี้ก็รวยเพราะไปหลอกเขาคนโง่ก็หลงติด ถูกหลอกในเมนูอาหารปรุงแต่งใหม่ๆ อาตมาสมัยเป็นฆราวาสทำกับข้าวเอง ดัดแปลงเก่ง ตั้งแต่เด็กๆรอดตัวมาก็เพราะทำกับข้าวนี่แหละ อยู่กรุงเทพฯเรียนหนังสือไปรอดเพราะไปทำกับข้าวให้เขาบ้างเลี้ยงลูกให้เขาบ้างเอาตัวรอดมาได้ทำหลายที่ด้วย อิเลเซซังตอนมีวิบาก ตอนนั้นเลี้ยงลูกของคุณล้วน เจ้าแหลม เจ้าหลิม ส่วนลูกพี่เล็กนายหมึกยังอยู่

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม2562


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2562 ( 16:05:06 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:40 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:08:13 )

บาปของทุนนิยม

รายละเอียด

เข้าสู่ประเด็นที่เราจะพูดเรื่องบาปของทุนนิยม เอาตัวตนเลย ธรรมะจะมีสายเจโต กับสายปัญญา สายเจโต คือสายอาจารย์มั่น สายปัญญาคือสายธัมมชโย แต่ไม่ใช่ปัญญา เป็นเฉโก เป็นปัญญาฉลาดแกมโกง 

2 สายนี้ยังมากอยู่ในประเทศไทย ที่อาตมาพยายามจะเอาตัวจริงที่ไม่ใช่ทั้งทางสาย เจโต สายอาจารย์มั่น สายมหาบัว และก็ไม่ใช่สายธัมมชโย หลวงพ่อสด ไม่ใช่ 2 อันนี้เลย อาตมาพูดต่อหน้าหลวงพ่อสด ต่อหน้าลูกศิษย์สายธัมมชโยนะนี่ คงพอฟังได้ น่าจะพอฟังได้แล้ว

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 19:28:46 )

บาปของนายทุนอย่างพระธัมมชโย

รายละเอียด

บาปต่างๆ ที่เราจะเอาเป็นเป้า เข้าสู่การพูดหรือว่าการสาธยาย อันมีตัวอย่าง มีฟีโนมีน่า มีปรากฏการณ์จริง มีสิ่งที่เป็นจริง เกิดอยู่จริง ก็อาจจะต้องพาดพิงถึงบุคคล ดร.มโน จะไหวไหม พาดพิงถึงทางด้านธัมมชโย ทุกคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า ดร.มโนกับธัมมชโยคืออย่างไรมาตลอด สังคมก็รู้ไม่ใช่ปกปิดกันเมื่อไหร่ ก็จะเป็นตัวอย่าง ฟีโนมีน่า จะเรียกว่าเป็นฟีโนมีนอน ก็ได้ เป็นตัวอย่างคนเดียว แต่มีพฤติกรรมเป็นฟีโนมีน่า แต่ตัวบุคคลคือฟีโนมีนอน แต่พฤติกรรมมันเป็นพหูพจน์ที่มากมายของธัมมชโย เอาความจริงเหล่านี้มาพูดให้กันฟังไม่ใช่ว่าพูดกันอย่างไม่มีหลักฐานยืนยัน ถ้ามีอะไรมีหลักฐานยืนยัน รายละเอียด ดร.มโน พวกเราฟัง ชั่วโมงครึ่งจะน้อยไปอาตมาว่า สะดวกใจจะเปิดเผยหรือจะพูดได้แค่ไหน 

ขออภัยอาตมาไม่ได้ใช้คำยกย่อง เพราะอาตมาชัดเจนว่า ธัมมชโย ปาราชิก 2 ตัว เป็นสมี 2 ตัว คือ 1. ขี้โกง ทรัพย์สินเงินทอง นั่นก็ปาราชิก 2. เรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม ก็ผิดเป็นปาราชิก 2 ตัวใหญ่ๆ เพราะฉะนั้นอาตมาก็จะเป็นผู้ที่พูดในเชิงที่ไม่ค่อยยกย่องเท่าไหร่ เพราะว่าก็ไม่รู้จะยกย่องอย่างไร ปาราชิกตั้ง 2 ตัว ปาราชิกตัวเดียวก็ยกย่องไม่ได้แล้วอาตมาก็เลยต้องทำตามความเป็นจริง ตามสัจธรรมอันนี้อยู่ ก็พูดกันไปแล้วอาตมาก็สงสารเขานะ ก็ต้องขอบคุณเขาที่ ขอบคุณไปตามภาษาสมมุติสัจจะ ตามโลกๆ ขอบคุณเหมือนกับขอบคุณเทวทัตที่เป็นตัวอย่างให้แก่ศาสนาพุทธ คล้ายๆกัน กับขอบคุณธัมมชโย ก็คล้ายๆกันอย่างนี้ล่ะ

ที่อาตมาเข้าใจว่าวิถีของทุนนิยม หรือวิธีของคนขี้โลภ พูดชัดๆง่ายๆแล้วโลภไม่เสร็จ ตะกละตะกลาม โลภโมโทสัน จนกระทั่งถึงขั้น หากลเม็ด หาวิธีการเอาเปรียบเอารัด จนกระทั่งถึงขั้นทุจริตหรือโกงเพื่อได้เปรียบมาให้แก่ตนเอง ด้วยวิธีการที่ซับซ้อน จนคนรู้ไม่ทัน แต่เป็นวิธีโกงที่ยิ่งใหญ่ คนก็รู้ยาก ซับซ้อนหลายชั้น เป็นความฉลาดแกมโกง 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 18:58:06 )

บาปซับซ้อนของมหาบัว

รายละเอียด

หากนอนแล้วยังมีชาคริยะ ตื่น ก็ไม่สมบูรณ์ ตื่นในภพ ยังไม่พอ ต้องมาตื่นทางภายนอกด้วย เรียกชาคริยะ ไปตื่นแต่ในจิตเฉยๆไม่พอ มันไม่สามารถที่จะมารับรู้ เมื่อไม่ได้ฝึกรับรู้ภายนอกเลย คุณจะรู้ได้อย่างไรว่ากามคุณ 5 คุณยังติดยึด ขออภัยอย่างมหาบัวติดหมากจนตาย ที่จริงแล้วมหาบัว อาตมาเคยได้ยิน ก็มีการสะดุดเหมือนกันว่ามันก็น่าเป็นสิ่งเสพติดก็ควรจะหยุดแล้ว ก็หัดหยุดเหมือนกันแต่หยุดไม่ได้ มันติดหนักก็เลยกลบเกลื่อนว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด โกหกลูกศิษย์และคนที่นับถือว่าไม่ใช่สิ่งเสพติดก็เลยเป็นบาปที่ซับซ้อนของมหาบัว รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นสิ่งเสพติดก็กลบเกลื่อนเลย บอกว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด ผู้ที่โกหกในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่โกหก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่าคนคนนี้จะทำชั่วใดๆอีกได้ทั้งนั้นทุกอย่าง ไว้ใจไม่ได้ นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2563 ( 13:46:46 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:44:58 )

บาปด้วยสัจจะ

รายละเอียด

ก็ถ้าเอาเรื่องบิดเบือนเอาเรื่องผิดมาเป็นเรื่องถูก มันก็ต้องเป็นสัจจะ กรรมเป็นอันทำ เมื่อกรรมใดที่เป็นเรื่องผิดตามสัจจะ มันก็ต้องบาปด้วยสัจจะ เรื่องกรรมเรื่องวิบากเป็นเรื่องใหญ่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นเรื่องใหญ่ ถ้ารู้เรื่องกรรมเรื่องวิบาก มันเป็นอจินไตย ที่ยากที่จะเข้าใจแต่เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงที่จริงที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คนธรรมดาไม่มีใครจะมารู้รากเหง้าหรือว่าความดำเนินไปของกรรมของวิบากที่เป็นสัจจะความจริงอย่างไรที่เป็นรายละเอียดอย่างสำคัญนี้ได้ ถ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า มันก็ไม่ง่ายเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 6 พ่อครูพบ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม 2565 แรม 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 ธันวาคม 2565 ( 12:45:57 )

บาปที่เกี่ยวกับสัตว์

รายละเอียด

สัตว์แต่ละตัวมันเป็น“เจ้าของชีวิต” เท่าเทียมกันกับ“คน”

ชีวิตที่เป็นสัตว์ จะเป็นสัตว์เซลล์เดียวก็ตาม มันก็คือชีวิต มันก็คือเจ้าของชีวิตมันมีสิทธิในความเป็นเจ้าของชีวิตไหม …มี เท่าเทียมกันกับคนเช่นกัน นี่นักสิทธิมนุษยชนฟังโพธิรักษ์ เพราะฉะนั้นชีวิตเจ้าของชีวิตเท่าเทียมกันกับสัตว์ทุกตัว 

เช่นกัน มันไม่ใช่“ทาส” มันมี“สิทธิ์”ในชีวิตของมัน คนถือ         “สิทธิ์” อะไรไปจับเอาสัตว์ที่มี“ชีวิต” อยู่นั้นมาเป็นของตน แล้วขาย “ชีวิตสัตว์”นั้นเป็น“สินค้า”ให้คนนำไปฆ่า ไปซื้อไปขาย หรือไปเป็นเจ้าของ ไปใช้แรงงาน ไปทรมาน ไปใช้ให้มันไข่มากินมาขาย ให้มันขี้มากินมาขาย เช่น ขี้ไก่ไง ดีไม่ดีกินขี้ไก่หรือเปล่าไม่รู้ ให้มันออกลูกมาเพื่อตนใช้มันเลี้ยงชีวิตตนต่อไป ตามที่โลกพาทำ พาเป็นกัน หรือริดรอนอิสระของมัน เป็นการเอาตนไปสร้างวิบากพัวพันกับสัตว์นั้นแท้ๆ ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ควรจะปลดปล่อยตัวเองจากสัตว์ทุกตัว

ล้วนเป็น“กรรม”ที่มี“วิบาก”อัน“บาป”อยู่ทั้งสิ้น ซึ่งความเป็น         “บาป”เกี่ยวกับ“สัตว์”นี้ พระพุทธเจ้าตรัส“บาป 5 ขั้น” ตรัสไว้ชัดเจนมากใน“ชีวกสูตร”(พระไตรปิฎก เล่ม 13 ข้อ 60) 

เริ่มตั้งแต่“จิต”ที่มี“ทิศมุ่ง(สัญจิจจะ)”ไปสู่“ความเกี่ยวเกาะกับสัตว์ใดๆ คือ เริ่ม“กล่าวชื่อสัตว์”ตามข้อ 1 ของ“บาป 5 ขั้น”นั้น ก็บาปแล้วเป็นอันมาก แค่จิตมี สัญจิจจะหรือมีอุทิสะ อุทิสะ จริงๆแล้วมีนัยยะหยาบแรงมากกว่า สัญจิจจะ ที่มีความเริ่มต้นตั้งแต่สัญญา อุทิสะมีจิตมุ่ง หรือท่านแปลว่า เจาะจงใจมุ่งไปมีเป้านำ 

เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มมีจิต มีเจตนามีจิตมุ่งไปสู่สัตว์ตัวใดตัวหนึ่ง   สัตว์ธรรมชาติมันก็อยู่ของมันไป คุณก็อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารคุณก็อยู่ได้แล้ว คุณจะต้องไปเกี่ยวอะไรกับสัตว์ของมัน จะเกี่ยวก็คือรู้ว่าเป็นสัตว์ร่วมโลกเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นตามที่คุณท่องก็ได้แล้วสิ คุณก็ปลง แต่นี่ไม่ มันมีจิต อารัพติหรือโวโรเปตุงหรือโวโรเปติ มันมีนัยยะเริ่มแฝงร้ายอยู่ในนั้นเริ่มแฝงร้ายนิดนึงก็จิตไม่ดี จิตจะไปเกี่ยวข้องกับอิสรเสรีภาพของสัตว์ 

แค่กล่าวชื่อ บาปแล้วเป็นอันมากข้อที่ 1 ฟังให้ละเอียดๆ เกือบจะถึงงานเจแล้ว

พิจารณาคำตรัสให้ดีๆว่า “บาปทั้ง 5”นั้น มันไม่ได้“บาป”กันตรงที่“ฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคต หรือสาวกตถาคต” นี่เขาก็เบี้ยวบาลีกันไป เขาเบี้ยวมาลีว่าถ้าไปเจาะจงบุคคล โดยเฉพาะเจาะจงพระพุทธเจ้าเจาะจงสาวกเจาะจงภิกษุ มันจะมีในข้อที่ 5 เขาก็เลยหยิบข้อนี้มากลบเกลื่อนข้ออื่นหมดว่า เจาะจงพระตถาคตหรือสาวกตถาคต อีก 4 ข้อนั้นก็ตีกินไม่เจาะจง เห็นไหมว่าเหลี่ยมคูของคน​ เรียนรู้อาชญวิทยานี้ให้ดีๆท่านกำลังจะจบอย่างด็อกเตอร์ทั้งหลาย เหลี่ยมคู มันเป็นอย่างนี้แหละเบี้ยวบาลีไป  

ฆ่าสัตว์ เขาเบี้ยวบาลีว่าบาป 5 นั้นมันได้บาปที่เจาะจงสาวกหรือตถาคต  หรือว่าเจาะจงให้คนคนใด แม้ไม่ใช่ภิกษุหรือพระพุทธเจ้าแต่เจาะจงคนคนใดก็ตาม เขาหมายอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอาตมาก็พยายามอธิบาย การเจาะจงบุคคลนั้นมันไม่ได้เป็นการเจาะจงบุคคลอย่างนั้น แต่มันบาปตรงที่เริ่มไปเกี่ยวข้องกับชีวิตสัตว์ ฟังดีๆตั้งใจดีๆที่อาตมากำลังอธิบาย

สัญจิจจะรหืออุทิสะ มันเป็นความเจาะจงที่ เจาะจงภิกษุและตถาคตก็ใช่ด้วย แต่เจาะจงเริ่มต้นตั้งแต่กล่าวชื่อสัตว์ไปจนกระทั่งถึงฆ่าสัตว์ 4 ข้อนั้นคุณเอาไปทิ้งที่ไหน 4 ข้อนี้บาปหรือเปล่า บาปเป็นอันมากทั้ง 4 ข้อใช่ไหมเห็นไหมพวกเบี้ยวบาลี มันบาปตั้งแต่กล่าวชื่อสัตว์แล้ว มีโวโรเปตุงหรืออารัพติ จิตไม่ดีกับสัตว์ เริ่มจิตที่มันมุ่งไม่ดีกับสัตว์ 

หรือเจาะจงให้แก่คนๆใดเท่านั้น มันไม่ได้อยู่ที่“การเจาะจงบุคคล” แต่มัน“บาป”ตรงที่เริ่มไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของ“สัตว์” หรือชัดๆก็คือ ไปสร้าง“วิบาก”กับสัตว์แค่กล่าวชื่อ“สัตว์”ก็เริ่ม“บาป”ตั้งแต่ข้อที่ 1 แล้ว ..ชัดมั้ย?   

สัตว์ทุกตัว ล้วนมีกรรมมีวิบากเป็นของตน หรือเป็น“เจ้าของตนเอง”เช่นเดียวกันกับคนทุกคน เราไม่ไปเอา“คน”มาเป็นทาส หรือไม่เอา“คน”มาเป็นสินค้า ไม่เอา“คน”มาเป็นสมบัติของเรา หรือไม่กินเนื้อคนฉันใด เราก็ควรจะทำกับสัตว์ทุกตัว ดุจเดียวกัน เพราะสัตว์ก็มี “สิทธิ์”ในชีวิตของมันเท่ากันกับคนที่ถือ“สิทธิ์”ในชีวิตของคนเหมือนกัน 
วันนี้อาตมาเอากันอธิบายถึงเรื่องนัยยะของกรรมวิบากที่เป็นอจินไตยข้อหนึ่งในอจินไตย 4 กรรมวิบาก เป็นข้อ 1 มาขยายความให้ฟังละเอียดละเอียดไปตามลำดับ เห็นไหม พวกเรานี้รอดมาได้แล้ว อาตมาอาศัยพวกคุณ เป็นตัวประกันอธิบายให้คนเขาฟังเขาเข้าใจ ถ้าไม่มีพวกคุณเป็นตัวประกัน ปฏิบัติไม่ได้ เข้าใจไม่ได้        ทำไม่ได้ เป็นตัวประกัน อธิบายกับคนเขาก็จะบอกว่าใครทำได้อย่างที่ว่าบ้าง พวกคุณเป็นตัวประกันให้อาตมา ขอบคุณ ถ้าไม่มีอธิบาย ไม่ได้อ้างอิงไม่ได้ แต่นี่มันได้ 

เพราะฉะนั้น เขาอาจจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่เราเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่สุดวิสัยแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ดีด้วย นี่คือเราจะเข้าใจเรื่องสิทธิ เพราะฉะนั้นพวกองค์กรสิทธิมนุษยชน Human Right Watch มาฟังโพธิรักษ์พูดบ้าง แค่สิทธิมนุษยชาติยังหยาบ         จะตาย นี่คือสิทธิสัตว์ทั้งปวง อย่าไปละเมิดสิทธิของสัตว์มันเลย         มันบาป จะกระดิกหูไหมนี่ชาวเทวนิยม จะกระดิกหูมั้ยว่ามันบาป           เขาจะรู้ไหมว่าบาปคืออะไร มันเป็นกรรมเป็นวิบาก เป็นสิ่งจริงของมนุษยชาติที่อยู่ในวัฏสงสาร เทวนิยมเขาไม่ได้เรียนรู้ก็น่าสงสารอยู่แต่ก็ พุทธนี่แหละควรจะฟังให้เข้าใจดีๆ ชาวพุทธก็ยังล่อเนื้อสัตว์ปากเปรอะกันเต็มอยู่เลย 

นี้คือ “สิทธิสัตว์ทั้งปวง” อย่าไปละเมิด“สิทธิ”ของสัตว์มันเลย มัน“บาป”ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส“บาป”จริง 

ขึ้นชื่อว่า“สัตว์”ทุกชนิดทุกตัวมันยัง“อวิชชา”คือยัง“โง่”อยู่ทั้งนั้น คนผู้ที่ไม่มี“ความรู้”ขั้น“ปัญญา”ที่จะทำตนให้“หลุดพ้นไปจากกรรมวิบาก”อันต้องเกี่ยวเกาะกันเป็น “ปฏิสัมพันธ์(relation ถึง continuum)”กันเด็ดขาดไปได้หรอก เพราะฉะนั้นเมื่อไปเชื่อมไป       ต่อไปในทางร้าย ฆ่ากัน แกงกันเอาไปเป็นสมบัติขายใส่ตัวเอง        ได้เปรียบใส่อัตตาตัวเอง เพราะฉะนั้นถ้าไปเกี่ยวเกาะแบบนี้มันก็ไม่มีขาดไม่มีหลุดพ้นเป็นเวรานุเวรกันหรอก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องจบกิจทำกาละพ่อครูประกาศ Animal Right Watch วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2566 แรม 5 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 03 มีนาคม 2567 ( 15:17:55 )

บาปบุญ

รายละเอียด

เป็นคำที่ลึกซึ้งมากคำว่าบาปเอาไปใช้แทนสิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม แม้ที่สุดคำว่าบาปเป็นความไม่ดีงามที่ไม่รู้จักหมด แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นถึงขั้นจบเป็นพระอรหันต์จะไม่ทำบาปอีกเลย พระพุทธเจ้ามีบัญญัติไว้เลยว่าสัพพะปาปัสสะอะกะระณัง จะทำอย่างไรก็ไม่เกิดบาปอีกเลยสำหรับพระอรหันต์จริงๆแล้วจะเป็นเช่นนั้นจะมีประธานความรู้รอบกรรมกิริยาของตัวเอง ท่านมีใจเป็นประธานแล้ว ไม่มีอกุศลที่จะไปทำบาปอีกแล้วเลยในจิต เป็นสัจจะจริงถ้าไม่จริงก็ไม่ใช่สัจจะ ไม่ทำสิ่งชั่วออกมาเป็นกายกรรมวจีกรรมจริง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก ครั้งที่65 วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:17:13 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:46 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:09:03 )

บาปบุญ กรรมเก่ากรรมใหม่

รายละเอียด

บาปบุญ เป็นคำที่ลึกซึ้งมากคำว่าบาปเอาไปใช้แทนสิ่งไม่ดี ไม่งาม แม้ที่สุดคำว่าบาปเป็นความไม่ดีงามที่ไม่รู้จักหมด แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นถึงขั้นจบเป็นพระอรหันต์จะไม่ทำบาปอีกเลย พระพุทธเจ้ามีบัญญัติไว้เลยว่า สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำอย่างไรก็ไม่เกิดบาปอีกเลยสำหรับพระอรหันต์จริงๆแล้วจะเป็นเช่นนั้น จะมีประธานความรู้รอบกรรมกิริยาของตนเอง ท่านมีใจเป็นประธานแล้ว ไม่มีอกุศลที่จะไปทำบาปอีกแล้วเลยในจิต เป็นสัจจะจริงถ้าไม่จริงก็ไม่ใช่สัจจะ ไม่ทำสิ่งชั่วออกมาเป็นกายกรรม มโนกรรม จริง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซีวิต ที่บวรปฐมอโศก วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2562 ( 16:14:27 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 16:59:09 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:09:36 )

บาปบุญเป็นโลกุตระ กุศลกับอกุศลเป็นโลกียะ

รายละเอียด

ตกลงเมื่อไม่ทำบาปเลย ก็ได้ แล้วบาปนี่แหละ มันมีความหมายที่ลึกซึ้งมาก อกุศลคำหนึ่ง กับคำว่าบาป คำหนึ่ง ที่ใช้แทนกันเพราะเขาแยกไม่ออกว่า บาปกับอกุศล แยกกันอย่างไร บาปนี้คู่กับบุญ มันปนกันจนกระทั่งในศาสนาแยกไม่ออก ว่าบาปบุญคู่หนึ่ง กุศลกับอกุศลอีกคู่หนึ่ง 

กุศลกับอกุศลเป็นโลกียะ ส่วนบาปบุญเป็นโลกุตระ เป็นของศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า ที่บัญญัติ พระพุทธเจ้าองค์ต้นองค์ไหนไม่รู้ล่ะที่ท่านบัญญัติมา จนกระทั่งยาวนานมาไม่รู้ตั้งกี่ล้านปี พระพุทธเจ้าเกิดไม่รู้กี่องค์ จนมันปนเปกันไปไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร 

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะสามารถศึกษาตามพระพุทธเจ้าให้ดีแล้วจะแยกสภาวะออกว่า อ๋อ บาปกับอกุศลมันต่างกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า สังขารกับการเวียนว่ายตายเกิด งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหารย์แห่งพุทธ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

 


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 14:48:45 )

บาปภัยซับซ้อนลึกซึ้ง กรรมวิบากจึงเป็นเรื่องอจินไตย

รายละเอียด

อาตมาอธิบายถึงขั้นว่า สัตว์มันเกิดมาเริ่มตั้งแต่เซลล์เดียวอย่าไปข้องแวะอย่าไปทำร้ายเขาได้เป็นดีที่สุด คุณรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์เริ่มต้นเซลล์เดียวนี้ก็ตาม ในอนาคตอาจจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจะไปตัดรอนกันทำไม บาปภัยเหล่านี้ซับซ้อนลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พระพุทธเจ้าถึงได้จัดกรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตย ไม่ใช่เรื่องขบคิดกันได้ง่ายดาย กรรมวิบาก พุทธวิสัย ฌานวิสัย โลกจินตา กรรมวิบากไม่ใช่เรื่องธรรมดาผู้รู้ดีก็บอกเตือนอย่าไปทำบาป

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กุมภาพันธ์ 2564 ( 14:01:15 )

บาปมหาบาปของการทอดกฐินในยุคนี้ 

รายละเอียด

ที่จริงแล้วเรื่องนี้ อาตมาพูดมานานหลายทีแล้ว ว่า มันคงไม่จบลงได้หรอกเพราะว่า ตราบใดที่ยังมีคนและคนก็ยังมีอวิชชา โดยเฉพาะตัวพระ แม้แต่คนทั่วไป ประชากรชาวพุทธทั้งหลายก็ตาม ยังงมงายอยู่ ยังไม่มีปัญญา ยังไม่มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะรู้สัจจะความจริง ว่า กรรมกิริยา การกระทำ 

คำว่าศัพท์ว่า การทอดกฐิน มันเป็นศัพท์ แต่พฤติกรรมนั้นคือ การรวบรวมหาเงินมาให้พระ พระจะเป็นเจ้ากี้เจ้าการ หรือฆราวาสจะเป็นเจ้ากี้เจ้าการก็ตาม แล้วก็ระดม โดยเอาคำของพระพุทธเจ้าคือคำว่าทอดกฐิน เอามาเบี้ยวบาลี มาดัดแปลง มาปรับปรุง เละเทะหมดเลย 

ทอดกฐิน คือ มีผ้าไตรจีวรมาสักชุดหนึ่ง 3 ผืนเป็นต้น ก็ทอดได้แล้ว ไม่ต้องมีอะไรเลย มีผ้า 3 ผืนนี้แหละแล้วก็เอามาทอด 

ทอดกฐินก็หมายถึงว่าเอาผ้า 3 ผืนนี้มาถวายพระ ถวายภิกษุ ให้พระภิกษุได้ใช้ผ้าไตรจีวรนี้ เท่านั้น จบ. จบ แต่ทีนี้พวกที่มีกิเลสทั้งหลายแหล่ ก็นำมาประยุกต์ ปรับปรุง ตกแต่ง แต่งตัว งอกเป็นเนื้องอก เนื้อเน่า เป็นเรื่องพิเศษ ผิดๆอะไรออกมา จนกระทั่งกลายเป็นวิธีการสำเร็จผลของความเห็นแก่ได้ของความโลภ ก็หาเงินมา 

จะเป็นฆราวาส เป็นหัวเรือใหญ่ เป็นตัวการ จัดการหาเงินมาเพื่อทอดให้พระ เอามาให้พระ ให้วัดนั้นวัดนี้ก็ตาม ก็เป็นความผิด เป็นบาป นี่พูดอย่างชัดๆนะ พูดอย่างฟันธงลงไปหาสัจธรรม โดยไม่เกรงใจไม่ไว้หน้า ยิ่งพระเป็นตัวการเองเลย ยิ่งบาปมหาบาป ซับซ้อนเข้าไปอีก เพราะว่าเป็นผู้ที่เป็นพระ เป็นผู้ที่รู้ว่าควรจะห้าม ควรที่จะหยุดยั้งเขา แต่กลับส่งเสริมเพราะว่าตัวเองจะได้ ขี้โลภ ยิ่งเป็นตัวการใหญ่เลยด้วย  ยิ่งบาปซับบาปซ้อนหนักหนาเข้าไปอีก 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เรื่องง่ายที่แสนยากของการเพาะพันธุ์จิตอรหันต์ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 ธันวาคม 2565 ( 12:22:54 )

บาปมหาศาลที่ไม่มีการปลงอาบัติ

รายละเอียด

อย่างมหาบัว ก็เคยพูดไว้ว่าตัวเองก็จะเลิกสิ่งเสพติด แต่แล้วก็เลิกไม่ได้ก็เลยว่าไม่ใช่สิ่งเสพติด ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาติดตามคุณไปด้วย ก็เลยเป็นบาปมหาศาล คนนี้ก็คือคนที่โกหกทั้งๆที่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่จริง คนๆนี้ก็ทำความชั่วอะไรก็ได้ไม่มีความชั่วอะไรที่เขาทำไม่ได้นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ซึ่งแม้จะผิดอย่างไรก็ช่างมันกูเอาอัตตากูไว้นี่คือลักษณะมหาบัว ก็ทุกคำที่โกหกทุกคำที่ยืนยันต่อคนเป็นกรรมวิบากที่สั่งสมแก่อัตภาพตนไว้อย่างยิ่ง แม้ไม่ได้ย้ำด้วยวจีกรรม ย้ำด้วยกายกรรมหลงให้คนอื่นเขาว่าใช่ ก็ไม่ยอมเปิดเผยไม่ยอมรับว่าจะไม่ทำอีก คุณไม่มีการปลงอาบัติตก ศึกษาให้ดี เขาทำจนกระทั่งตายไปก็ไม่จบมีกิเลสมากปกปิดไว้แล้ว ตั้งอยู่ หยั่งลงในความหลงยิ่งขึ้น 

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 10:25:39 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:46:25 )

บาปสมาจาร

รายละเอียด

ลักษณะที่ห้ามหรือแนะนำให้งดเว้น

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 104


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:16:55 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:20:15 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:10:16 )

บาปสะสมแต้ม บุญสะสมศูนย์!

รายละเอียด

ส่วน“บาป”นั้นเป็นเรื่องของ“กิเลส” ใครทำลงไปทุกกรรม 

จะเกิดเป็น“วิบาก”(ผล)ทันที เป็น“สมบัติ”ที่สะสมไว้ในจิต-ในอัตตา

“บุญ”เท่านั้นที่ทำแล้วไม่มี“ผลสะสม”เลย 

ใครๆจึงสะสม“บุญ”ไม่ได้ ด้วยวิธีใดๆ

พิเศษสุดกว่าอื่นๆก็คือ“บุญ”นี่เองที่ไม่ใช่“สมบัติที่เป็น

อัตตา” 

เพราะ“บุญ”มีหน้าที่เป็นพลังงานชำระกิเลสเท่านั้น ทำ

ให้กิเลส“วิบัติ”สิ้นเกลี้ยงเด็ดขาดแล้ว ก็จบนิรันดร

ผู้ใด“ทำบุญ”เป็นผล ผู้นั้น“กิเลสก็สูญเสียไป”ตามลำดับ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 62 หน้า 79


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2564 ( 20:07:44 )

บาปหนักอย่างไรในผู้ไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5

รายละเอียด

คุณทำงานทำการกับหมู่กลุ่มแต่ก็ยังเอารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง คือยังไม่พ้น ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา ยังรับค่าแลกเปลี่ยนเป็นค่าแรงงานของตน ยังไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 แต่ชาวอโศกเป็นผู้พ้นมิจฉาชีพข้อ 5 เยอะ แต่ก็ยังมีผู้แฝงอยู่ก็ยังพอมี หาเล่ห์หาเหลี่ยมเอาให้แก่ตัวเองได้มากๆ พวกนี้ก็ยิ่งบาปหนัก เพราะว่ามาเอาจากผู้ที่ท่านบรรลุ ผู้ที่ท่านสูงส่ง ถ้าไปแย่งชิงจากผู้ที่ต่ำก็บาปไม่กระไร แต่นี่ไปแย่งชิงจากผู้ที่ท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ก็ยิ่งบาปหนักซับซ้อน เพราะฉะนั้นการมาทำแย่งรายได้ มาเบียดเบียนหรือแอบเอาจากในนี้มันบาปนะ ถ้าคุณจะเอารายได้ควรไปทำข้างนอก คุณมีความรู้ความสามารถอยากได้รายได้อยู่ก็ไป แต่ถ้ามาอยู่ในนี้ไม่ควรจะมาเอารายได้อยู่ในนี้  จะมาทำเพื่อปฏิบัติตนให้ตนเองเป็นหนี้ซ้ำซ้อนมาเอารายได้อยู่ในนี้มันบาปเยอะ นี่ก็พูดสัจธรรมให้ฟัง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 14:42:25 )

บาปหมุนรอบเชิงซ้อน

รายละเอียด

มันมีเรื่องซับซ้อนวิบากของเขาด้วยมีทั้งคนที่จะต้องทำกุศล หากใครทำกุศล จับเขามาให้เขาได้รับโทษภัยใช้หนี้บาป ให้เขาหยุดทำวิบากต่อ ขนาดนั้นเขาก็ยังไม่หยุดทำบาปซับซ้อนที่เขาหลอกคน อาตมาอธิบายไม่เก่งในความเป็นบาปหมุนรอบเชิงซ้อน หลงคนช่วยเป็นคนดี มันโง่หนักหากรู้จักคนดีคือคนดีก็ไม่โง่เท่าไหร่ ยิ่งรู้คนโลกุตระก็ยิ่งฉลาด แต่นี่รู้คนชั่วเป็นคนดี คนโง่เป็นคนดี ไม่ต้องพูดโลกุตระ ดีไม่ดีเขานึกว่าคนโลกุตระเป็นคนชั่วหนักเพราะด่าเขาด้วย อย่างโพธิรักษ์นี่ เขาเห็นที่ไหนทืบที่นั่นเลย เขาจะบอกอย่างนี้ด้วย ทำให้ตายก็ได้กุศลด้วยเพราะเป็นคนบาปเขาจะบอกอย่างนั้นด้วย เขาจะเก่งมากในเรื่องของ การโลภ ในกุศล ในทาน ในความดี ทีนี้เล่ห์เหลี่ยมวิธีการจะเก่งเพราะเขาโลภ ต้องการได้กุศลความดี แต่การทานจะทำใจในใจอย่างไรก็ไม่รู้ ทานโดยมีจิตคิดโลภ ถ้า 1 บาทจะตั้งจิตเอาแสนล้านพันล้าน จิตใจมันตะกละจริง คุณทำทาน 5 บาทแล้วจะเอาทั้งโลก จิตใจของคุณตั้งไว้จริง มันก็เกิดจริงตามที่คุณอธิษฐานคุณตั้งไว้แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทานในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้สรุปแล้ว เขาก็จึงรวย บาปและอกุศล

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 12:43:02 )

บาปหลายชั้นของประเทศที่ค้าขายอาวุธ

รายละเอียด

ถ้าเอาพลังงานนั้นมาใช้ทางสันติภาพเป็นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพมาสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แม้แต่คอมพิวเตอร์อะไรต่างๆนานา ทุกวันนี้ก็ใช้กันมันก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าหากเราใช้เป็นอาวุธ เป็นพลังงานเข่นฆ่าทำร้ายกันขนาดนี้ บาปมหาบาป เป็นบาปมหาศาลที่เขาไม่รู้จักความกลัว ความป้องกันตัวเองด้วยวิธีการยังไม่เจริญแบบเดรัจฉาน สร้างเขี้ยวงาสร้างพิษสงของตัวเองออกไปทำร้ายผู้อื่น พวกนี้ก็ยังสร้างบาปอยู่ 

เพราะฉะนั้น อาตมาเคยพูดว่า ประเทศที่คิดอาวุธได้เก่งแล้วก็ขายอาวุธเอาเปรียบเอารัดคนอื่นด้วย เอาอำนาจความมีฤทธิ์เดชของอาวุธเก่งไปขายแพงด้วย เป็นบาปหลายชั้น 

1. สร้างอำนาจอาวุธที่มันร้ายแรงไม่น่าทำมันก็มาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตมนุษย์ แล้วยังไปโก่งราคาขายคนอื่นอีก แถมเอาทั้ง 2 อย่างมีทั้งวัตถุที่สร้างได้กับโก่งราคาขึ้นให้มาก เอาเปรียบเขา คำว่า “เอาเปรียบ” คืออยู่ในสิ่งที่คุณสามารถทำอาวุธร้ายแรงได้ กับ คุณจะเอาเปรียบในราคาขาย ซึ่งเป็นเรื่องของสินทรัพย์ ลาภสักการะ ได้เปรียบต่างๆนานาทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ พ้นความโง่อวิชชากับปฏิจจสมุปบาท วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 19:35:12 )

บาปอกุศล

รายละเอียด

คำว่า บาป หมายถึง จิตที่มีกิเลส คำว่า อกุศล หมายความว่ากรรมกิริยา เป็นไปในทางโลกีย์เป็นสมมติ ส่วนคำว่าบาป ใครทำบาปคือสะสมกิเลส หากใครทำไม่ดีใครเห็นก็รู้ แต่บาปคนไม่ค่อยรู้รายละเอียดของจิต คนไม่ค่อยรู้ แต่อกุศลเป็นเรื่องรู้ง่ายคนรู้กันได้ง่าย บางทีไม่เหมือนกับความยึดถือของโลกด้วย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 20 มกราคม 2563 ( 19:04:48 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 17:00:11 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:10:55 )

บาปอกุศลไม่ต้องทำ เพราะทำแล้วล้างไม่ได้

รายละเอียด

คําสอนพระพุทธเจ้าละเอียดลออสุดยอดเลย เพราะฉะนั้นเว้นบาปไม่สร้างบาป บาปทำแล้วล้างไม่ได้ ไม่เหมือนศาสนาเทวนิยมที่ไปสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระเจ้าล้างบาปให้ยกบาปได้ ถ้าบาปบุญยกได้ก็สบาย โดยเฉพาะไปอ้อนวอนพระเจ้า ศาสนาอิสลามก็อ้อนวอนพระเจ้าละหมาดวันละ 5 ครั้ง อ้อนวอน ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่อ้อนวอนเลย เรียนรู้อาการกรรมกริยาต่างๆ แล้วอย่าทำสิ่งที่มันไม่ดี ตามภูมิธรรมของคุณที่คุณรู้ว่าสิ่งไม่ดีมันละเอียดขนาดไหนก็อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ชั่วสิ่งที่เลวสิ่งที่เรียกว่าบาปอกุศลไม่ต้องทำ 

ที่มา ที่ไป

พ่อ‌ครู‌เทศน์‌ ‌ทำวัตร‌เช้า‌ ‌ส่ง‌ท้าย‌ปี‌เก่า‌ ‌งาน‌ ‌ว‌.‌บบบ‌ ‌เพื่อ‌ฟ้า‌ดิน‌ ‌สวด‌อภิธรรม‌ส่ง‌

ท้าย‌ปี‌เก่า‌ให้‌เข้า‌ถึง‌นิพพาน‌ วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2565 ( 19:10:13 )

บาปเป็นอันมากมิใช่บุญเลยในชีวกสูตร

รายละเอียด

ทวน ชีวกสูตร 5 ประการ บาปเป็นอันมากมิใช่บุญเลย

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  เล่ม13   ข้อ60 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้ปัญญาคนไร้ศรัทธาต่ออโศก วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:58:51 )

บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย

รายละเอียด

อย่าว่าแต่ของควรกินเลย แม้แต่ใครที่เอาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ในชีวกสูตร ข้อที่ 5 เอาไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกก็เป็น อกัปปิยะ เป็นของไม่ควรทำ ไม่ควรเลย ใครก็ตาม เป็นบาปอันมากไม่ใช่บุญเลย ข้อที่ 5 

ทีนี้ย้อนอธิบาย ข้อ 

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) คุณต้องมีเจตนาแล้วบอกว่าให้ไปเอาทรัพย์นั้นมา เจาะจงคือเจตนาไปเอาสัตว์นั้นมาเป็นอุทิสมังสะ กล่าวชื่อมัน เช่นไปเอาปลาคอ มา ให้ได้ตัวใหญ่ๆไข่เต็มพุงยิ่งดี เอามา แค่นี้ก็บาปเป็นอันมาก มันมีเจตนาเจาะจงให้เอาปลาช่อนตัวนั้นมาคุณก็จะไปหาซื้อที่ตลาดหรือจับให้ได้ปลาช่อนตามที่คนที่เป็นนายนี้ระบุ ก็ต้องหากว่าจะได้ตัวอ้วนๆใหญ่ๆมีไข่เต็มพุงมา คุณก็ได้มา แค่ผู้ที่กล่าวให้ไปจับสัตว์นั้นโดยเจาะจง ก็บาปเป็นอันมากแล้ว บอกชื่อสัตว์นั้นให้ไปเอามาแม้จะยังไม่ได้ไปจับมา บาปข้อต้นแล้ว

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  ใส่เข่งใส่ของใส่กะละมังมาก็ตาม จับได้ผูกมา หรือใส่เครื่องใส่มา สัตว์นั้นถูกจับมาก็มีความโทมนัสของมัน ไปจับมันมามันก็ทุกข์ทั้งนั้น แล้วบางทีก็ไปหลอกมันเอาอาหารให้มันกินเลี้ยงมันจนเชื่อจนมันหลงจนมันเสียความเป็นสัตว์ ทำให้สัญชาตญาณสัตว์ โง่เง่า บาปหนา 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส 

5. ผู้นั้นยังตถาคตและสาวกตถาคต  ให้ยินดีไปด้วยเนื้อ   ย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา   ตถาคตสาวกํ  วา   อุทฺทิสฺส   ปาณํ   อารภติ   โส  อิเมหิ    ปญฺจหิ   ฐาเนหิ  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60 

ข้อที่ 5 นี้บาปยิ่งกว่าข้อที่ 1 2 3 4 มันลึกซึ้งละเอียดสูงสุด บาปมาตามลำดับ ข้อ 2 บาปเพิ่มขึ้นข้อ 3 บาปเพิ่มขึ้นข้อ 4 บาปเพิ่มขึ้น ข้อที่ 5 ต้องบาปมากที่สุดแน่นอนไม่ใช่ว่าบาปน้อยกว่าข้อที่ 1 มันไม่ใช่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฌานของพุทธต้องเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 วันพุธที่ 13 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 11:49:20 )

บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ชีวกสูตร

รายละเอียด

มันก็เป็นวิบากกรรมจริงๆ ตามจริงตามเจตนา เรื่องเจตนา อาตมาเอาจิตที่เริ่มมีเจตนา ในชีวกสูตร 5 ระดับ ทวนอีก ลองฟังดู มันลึกซึ้งสุดยอดจริงๆเลย สุดยอดตั้งแต่เริ่มยังไม่มีอะไรนะ เจตนา จนกระทั่งถึงขั้นมีเจตนา ขั้นสุดท้าย ฟังดีๆ พูดอีก ฟังอีกจะได้รับความรู้ใหม่เพิ่มขึ้น

1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น)  กล่าวชื่อสัตว์นั้น แล้วไปเอาสัตว์นั้นมา เท่านี้นะ ยังไม่มีคำว่าเจตนาอย่างไรกับสัตว์นั้น เป็นบาปประการที่ 1  สัตว์มันก็อิสระของมัน ไปจับมันมันก็ไม่มีอิสระ เมื่อมีใครมีเจตนา มีจุดตั้งใจมุ่งจะไปจับมันมา อาจจะบอกว่าไปจับปลาช่อนมา ระบุชื่อเท่านั้น ปลาช่อนตัวไหนก็ได้ ใช่ไหม ชื่อว่าปลาช่อน ตัวไหนมาเจอคนที่ไปจับมาก็เสร็จ คนนั้นวิบากแล้ว คนบอกนี่แหละต้องมีวิบากกรรมของเขา บาปเป็นของเขา บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย ซักกะนิด  

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส  คนไปจับมา ก็เป็นบาปข้อที่ 2 แล้ว  สัตว์มันถูกจับตัวมา มันก็เป็นทุกข์แลว เพราะมันต้องดิ้นรนแน่นอน สัตว์มันไม่อยากจะให้จับมันมาแน่นอน ทุกข์แล้ว 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส ทั้งคนสั่ง ทั้งคนฆ่า บาปด้วยกันทั้งคู่ 

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก  (ตถาคตํ   วา   ตถาคตสาวกํ  วา  อกปฺปิเยน  อสฺสาเทติ อิมินา   ปญฺจเมน   ฐาเนน  พหุง   อปุญฺญํ   ปสวตีติ)     ชีวกสูตร  ล.13   ข.60  

ข้อ 5 ดูเหมือนไม่น่าบาป แต่มันบาปยิ่งใหญ่ที่สุด มากที่สุดเลยนะ บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย ซักกะนิด  บาปเป็นอันมากที่สุดในข้อที่ 5 เพราะเป็นอกัปปิยะ กำกับด้วยคำนี้ด้วย เพราะไม่ใช่สิ่งที่สมควรเลย คนที่ฟังคำว่า ไม่ใช่สิ่งที่สมควรเลยที่มนุษย์จะทำ คำมันก็สมควรแล้วในตัว ที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระภิกษุ ปรุงเป็นอาหารอย่างประณีต อร่อยเลยนะ อย่างโลกๆ โลกีย์ไปถวายเลย เจตนาซ้อนๆว่าจะให้กินของอร่อย จะให้ภิกษุเสพติดอร่อยเข้าไปอีก มันซับซ้อน คือคนโง่เอาของอร่อยไปให้พระกิน ฟังดีๆนะ พระพวกนี้ตายๆๆ พวกเราก็เคยมาก่อน ทำตามประสา แต่ตอนนี้ก็ทำไปตามประสา แซ่บหรือไม่แซ่บก็ไม่มีปัญหา สมณะอโศก ท่านไม่บ่นหรอกว่า อร่อยหรือไม่อร่อย มันคาคอ

**อกัปปิยะ หมายถึงไม่ควร, ไม่สมควรแก่ภิกษุจะบริโภคใช้สอย คือ ต้องห้ามด้วยพระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้หรือฉัน, สิ่งที่ตรงข้ามกับ กัปปิยะ**

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมพุทธศาสนาตามภูมิ  Neo Protest ประชาชนปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 11:35:30 )

บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ทั้งผู้กินและผู้สั่งฆ่าสัตว์

รายละเอียด

 อาตมาก็ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่เรื่องนี้ เขียงหมูที่ขาย แล้วคนขายหมูบางคนไม่ได้ฆ่าเองหรอก รับมาจากคนอื่น ถ้าเอามาขาย ให้คนที่เขียงหมูขายแล้วคุณก็มาซื้อ ถ้าคุณไม่ไปซื้อ คุณไม่ไปกิน เขาจะฆ่ามาให้คุณกินไหม ไม่หรอก นี่คือสิ่งที่มันเป็นอิทัปปัจจยตา มันเป็นสิ่งที่ต่อเนื่องกัน  เพราะเหตุนี้ มันจึงมีเหตุนี้ คุณไม่ได้ขาดจากสายการฆ่าสัตว์เลย คนที่จะขาดจากสายการฆ่าสัตว์นี่ ลึกซึ้งมาก พระพุทธเจ้าสรุปไว้ใน ชีวกสูตร ไม่ต้องไปพูดเลยว่าคนนี้ฆ่า คนนี้ไม่ได้ฆ่า แล้วคนไม่ได้ฆ่านี้กินได้ไม่ผิด ไม่ผิดไม่ได้เพราะคุณเป็นเหตุให้เขาฆ่า 

ทีนี้ ขออธิบายละเอียดเท่านั้น เหตุที่ฆ่า เพราะ คุณนึกว่า พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกของพระพุทธเจ้าก็ดี ยินดีในอาหารเนื้อสัตว์ คุณนึกว่า คุณนึกเอาเอง ใครเอาอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ปรุงแต่งอย่างดีเลย เอร็ดอร่อยมากอย่างชั้น 1 ไปถวายพระพุทธเจ้าก็ดี นี่เป็นข้อที่ 5 ของชีวกสูตร ขอไล่จากข้อที่ 5 มา คนที่เข้าใจอย่างนี้บาปเป็นอันมากแล้วไม่ใช่บุญเลย ที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ปรุงอย่างดีปรุงแต่งอย่างเลิศยอดเอาไปถวายพระพุทธเจ้าหรือสาวกของพระพุทธเจ้าก็ดีเป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งที่ไม่ควร บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย แค่นี้บาปแล้ว จะเอาเนื้อสัตว์อะไรไปถวายพระพุทธเจ้า หรือถวายสาวกภิกษุของพระพุทธเจ้าก็บาปแล้ว 

ข้อที่ 4 คนฆ่าสัตว์ ลงมือฆ่าสัตว์ สัตว์มันก็พยาบาท ไม่มีจบ คนฆ่าสัตว์ สัตว์มันมีชีวิตหรือเป็นๆอยู่เลย เอ็งฆ่าข้า พระพุทธเจ้ายกเว้นไว้นิดหน่อยในปวัตตมังสะ

1.สัตว์มันตายเอง มันทิ้งร่างของมันแล้วร่างมันเป็นบังสุกุล

2.เดนสัตว์กิน ปวัตตมังสะ มี 2 อันเท่านี้ แล้วเดนสัตว์กิน คือ สัตว์มันรับผิดชอบการฆ่ากินของมันเอง สัตว์ที่มันตายมันจองเวรกับสัตว์ที่ไปฆ่ามันแล้ว แล้วเราไม่ไปแย่งสัตว์กินด้วย ไม่ได้ไปซื้อซาก จากสัตว์ตัวนี้ด้วย รับเอาเดนมันแล้ว เป็นบังสุกุลจากสัตว์ที่มันทิ้งแล้วมากิน ปวัตตมังสะ 2 ข้อนี้เท่านั้นที่กินได้ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีเวร นอกนั้นมีเวรภัยที่ต่อเนื่องกันหมด 

เพราะฉะนั้นข้อที่ 4 คนฆ่าบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย อย่าเอาไปถวายพระพุทธเจ้า บาปนะ แต่เอาไปถวายพระพุทธเจ้านั้นบาปหนักไม่ใช่บุญเลยยิ่งกว่าคนฆ่า คนที่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายพระพุทธเจ้าหรือถวายภิกษุ บาปกว่าคนฆ่าสัตว์ ข้อที่ 4 คนฆ่า ข้อที่ 3 สั่งฆ่า คนที่สั่งฆ่า บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นข้อที่ 3 ข้อที่ 2 ไปจับสัตว์ผูกมันมา บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย เป็นข้อที่ 2 ข้อที่ 1 กล่าวชื่อสัตว์ โดยมีเจตนาที่จะเกิด 2 3 4 5 นี่แหละ บาปเป็นอันมาก ไม่ใช่บุญเลย เพราะคุณไปกล่าวชื่อสัตว์นั้นๆโดยมีเจตนาให้นำสัตว์นั้นมาฆ่า แล้วเอามากินหรือเอาไปทำอาหารถวายพระพุทธเจ้า บาปหมดทั้ง 5 ข้อ 

ตั้งแต่เริ่มต้นกล่าวชื่อสัตว์ มีเจตนาข้อ 2 3 4 5 คนนี้แหละบาปไม่ใช่บุญ นี่คือบาป ฟังอันนี้เข้าใจแล้วคุณจะเห็นว่า จะไปกินเนื้อสัตว์ได้อย่างไร ไม่เห็นตรงไหนมันขาดเลย ว่าคุณกับสัตว์ที่ไปกินเนื้อสัตว์ มันจะขาดเวรภัยกันตรงไหน แค่เอาไปรับถวาย อาหารเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่าแกงต้มสุกมาแล้วนะ เอามาถวายให้ มันก็ยังบาปเป็นอันมากข้อที่ 5 นั่นแหละ ถ้าพูดขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอาตมาก็คงต้องจำนนก่อน อาตมาก็คงไม่มีความสามารถบังคับควายให้มันกินลูกชิ้น คงไม่ได้นะ 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาโยมบุญ ให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 แรม 6 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาลที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 13:10:57 )

บาปไหมถ้าไม่อยากให้ผู้อื่นได้บารมี

รายละเอียด

บาปๆ ไม่อยากให้ผู้อื่นได้บารมี บารมี หมายถึง คุณงามความดีที่สะสม ไม่อยากให้คนอื่นสะสมคุณงามความดีมันไม่เข้าท่า บาปแน่นอนเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรคิดอย่างนี้ ตัวเองถามมาเข้าใจบารมีหมายถึงอะไรไหม ตรงกับที่หลวงปู่ให้ความหมายบารมีไหมหรือ หนูเข้าใจว่าบารมีหมายถึงอะไร ไม่อยากให้เขาได้บารมี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:37:45 )

บายศรีเป็นวัฒนธรรมไทย

รายละเอียด

มันมีวัฒนธรรมของไทยที่ต้องเรียนรู้ ถ้ามันไม่ต้องมากมายได้ก็ดี พิธีกรรมพิธีการที่ฟุ่มเฟือยเลอะเทะมันมีมากไป จะบอกว่ามันเป็นสังคมสมานกับสังคม เป็นประเพณีเป็นจารีต ก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของสังคมศาสตร์ มีบ้าง อย่าให้มันมากนัก 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 19 มกราคม 2563 ( 16:25:31 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 06:29:03 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:11:21 )

บารมี

รายละเอียด

1. ผู้ที่มีสิ่งดีที่ได้สั่งสมจนมีในตัวจริง

2. การพอกพูนสิ่งดี คือกุศลกรรมไว้มากมายถึงขั้นออกฤทธิ์ออกเดช

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 306


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:18:25 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:44:53 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:11:46 )

บารมี

รายละเอียด

เป็นสิ่งที่ไม่เห็นตัวอย่างเช่นสมณะโพธิรักษ์มีบารมีช่วยตัวท่านเองสิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปคิดถึงจะอยากได้ถ้าหากคุณปฏิบัติจนถึงมีบารมีเองคุณก็จะได้ไม่ต้องไปอยากให้มีเลยคุณมีจริงมันก็ถึงจะช่วยแต่ถ้าคุณไม่มีจริงก็ไม่มีอะไรช่วย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:52:50 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 17:07:03 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:12:10 )

บารมี 10

รายละเอียด

คือ คุณความดียิ่งที่กระทำสั่งสมมา 10 อย่าง 

(อดีตชาติสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเรียกว่า พระเจ้า 10 ชาติ)

1. ทานบารมี (พระเวสสันดร)

2. ศีลบารมี (พระภูริทัตต์)

3. เนกขัมมะบารมี (พระเตมีย์)

4. ปัญญาบารมี (พระมโหสถ)

5. วิริยะบารมี (พระมหาชนก)

6. ขันติบารมี (พระจันทกุมาร)

7. สัจจะบารมี (พระวิธุระ)

8. อธิษฐานบารมี (พระเนมิราช)

9. เมตตาบารมี (พระสุวรรณสาม)

10. อุเบกขาบารมี (พระนารทะ)     

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 28 “มหานิบาตชาดก” ข้อ 394-1051

พระไตรปิฎกเล่ม 33 “สโมธานกถา” ข้อ 36

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2562 ( 17:47:10 )

เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2563 ( 07:08:06 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:12:29 )

บารมี 10

รายละเอียด

คือคุณความดียิ่งที่กระทําสั่งสมมา 10 อย่าง (อดีตชาติสําคัญที่พระพุทธเจ้าทรงบําเพ็ญ เรียกว่า พระเจ้า 10 ชาติ)

1. ทานบารมี (พระเวสสันดร)

2. ศีลบารมี (พระภูริทัตต์)

3. เนกขัมมะบารมี (พระเตมีย์)

4. ปัญญาบารมี (พระมโหสถ)

5. วิริยะบารมี (พระมหาชนก)

6. ขันติบารมี (พระจันทกุมาร)

7. สัจจะบารมี (พระวิธุระ)

8. อธิษฐานบารมี (พระเนมิราช)

9. เมตตาบารมี (พระสวรรณสาม)

10. อุเบกขาบารมี (พระนารทะ)

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 28 “มหานิบาตชาดก” ข้อ 394-1051 พระไตรปิฎกเล่ม 33 “สโมธานกถา” ข้อ 36


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2565 ( 03:39:32 )

บารมี 10 ทัศ

รายละเอียด

(1) ทานบารมี   (2) ศีลบารมี   (3) เนกขัมมบารมี   (4) ปัญญาบารมี   (5) วิริยบารมี   (6) ขันติบารมี   (7) สัจบารมี   (8) อธิษฐานบารมี   (9) เมตตาบารมี   (10) อุเบกขาบารมี

หนังสืออ้างอิง

สมาธิพุทธ หน้า 470


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2562 ( 12:19:52 )

เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2563 ( 13:46:20 )

เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 07:13:28 )

บารมี 10 ทัศคือหนทางการสู่อรหันต์หรือไม่

รายละเอียด

บารมี 10 ทัศมันก็เป็นทางบรรลุอรหันต์จริงๆแล้วก็เป็นทางบรรลุสู่พระพุทธเจ้าด้วย ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต ครั้งที่ 36 วันจันทร์ที่ 28 มกราคม 2562 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 11:06:34 )

บารมี 10 ทัศเริ่มต้นที่การทาน

รายละเอียด

ควรให้ทานแก่ผู้เหมาะสม ที่จริงแล้วทานเป็นเรื่องสูงสุด บารมี 10 ทัศเริ่มต้นที่การทาน ทานเป็นศีล ทานเป็นเนกขัมมะ ทานเป็นปัญญา ทานเป็นเรื่องเริ่มต้นและสุดท้าย ผู้มีจิตเป็นทานมีการให้ เพลง พี่นี้มีแต่ให้ ให้อย่างไม่สาเปกโข 

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:19:39 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 12:47:47 )

บารมีของพระโพธิสัตว์ที่จะช่วยปกป้องโลกไว้ทั้งโลกให้ภัยวิกฤติที่หนักเป็นเบา เป็นได้ไหม

รายละเอียด

ไม่ได้ อาตมาไม่มีฤทธิ์แบบนั้น อย่ามาโมเมเสียให้ยาก อย่ามาหลอกใช้ ไม่หลงลมหรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติ แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่เป็น อจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้ง ธรรมชาตินี่แหละมันจะลงตัวทีเดียว กับบารมีของบุคคล เช่น ธรรมชาติวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระพุทธเจ้าจะต้องประสูติ หรือตรัสรู้ หรือปรินิพพานในวันเดียวกันนั้น อันนี้เป็นเรื่องลงตัวที่จะลงตัวอย่างที่เรียกว่า คุณอยากได้คุณก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ได้ปฏิบัติให้มีบารมีลงตัวได้ ปฏิบัติได้แล้วจะเห็นได้ว่ามีเรื่องที่เกินคิดเป็นไปได้ปานฉะนี้ 

จึงทำให้คนที่ไม่รู้จักเหตุไม่รู้จักผล ก็เลยเป็นพวกยึดเป็น ฤทธิ์เป็นเดช เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสายศรัทธาที่ไม่มีปัญญาก็เลยไปหลง แต่มันเป็นจริง ผู้มีปัญญาก็จะรู้ว่าอันนี้มาแต่เหตุ ผู้ไม่มีปัญญาไม่รู้จักเหตุจึงเป็นไสยศาสตร์ สายศรัทธา แล้วก็ไปโมเมว่าตัวเองมีฤทธิ์เลอะเทอะใหญ่ ก็หลอกคนไปเยอะพวกสาย ศรัทธา โมเมว่า ฉันบันดาลได้ ยิ่งรู้ทางอุตุนิยมวิทยา ก็เอาความรู้ทางอุตุนิยมวิทยาทำนาย เลยแม่นใหญ่เลยอย่างโน้นอย่างนี้ คนรู้ตัวก็หนีทันใช่ไหม ธรรมชาติจะเป็นอย่างนี้คนรู้ก็จะหนีทัน ก็เลยเก่งใหญ่เลยวิเศษใหญ่เลย ไปรู้จักทางอุตุนิยมวิทยา 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน วันพุธที่ 26 เมษายน 2566 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 20:48:35 )

บารมีของพ่อครู

รายละเอียด

อาตมาไม่ได้ปวดเจ็บอะไรมันเป็นสังขารร่างกายที่มันก็แน่นอนอายุมากขึ้นมันก็เริ่มมีบ้าง มีบกพร่องบ้างส่วนนั้นส่วนนี้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไร เลือดลมมันขลุกขลักบ้างมีเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ก็พยายามปรับแต่งเลือดลมร่างกายนวดทุกวัน บางวันหลายครั้ง แล้วนักนวดของพวกเราก็มีเยอะด้วยนะ เป็นหมอนวดจริงๆด้วยนะไม่ใช่หมอนวดเล่นๆหมอนวดมีราคานะ หมอนวดจบจากมหาวิทยาลัยจริงๆนะ เรียนมาหลายสำนักเลย อย่างแผ่นฟ้า นี่ ไปเรียนมาไม่รู้กี่สำนัก นวดตอนนั่งทำงานก็ได้ ปรับปรุงสรีระร่างกายเนื้อหนังมังสาต่างๆ จริงๆนะอาตมาเคยสะดุดนิดนึงว่าทำไมเกิดมาชาตินี้ มีคนมาทำอะไรต่ออะไรให้ไม่ได้มาขอร้องเขามีน้ำใจ จนกระทั่งพวกเราช่วยกันด้วยซ้ำ คนนั้นคนนี้ก็อยากมาช่วย ก็ต้องกันไว้บ้างเพราะมันมากไปแล้ว เดี๋ยวมันจะล้นเกิน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า เป็นสัจจะนะไม่ได้พูดเล่น คือบารมี มันเป็นของจริงเป็นบารมี มันมีพร้อมหมดทุกอย่าง 

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 23 พฤศจิกายน 2563 ( 15:48:46 )

บารมีทางธรรมไม่เกี่ยวกับการศึกษา

รายละเอียด

ไม่ไปดูถูกเรื่องการศึกษาหรอก อาตมาไม่ว่าหรอก บารมีทางธรรมไม่เกี่ยวกับจบประถม 2 ประถม 5 ประถม 6 หรือไม่เรียนหนังสือเลยก็ไม่เกี่ยว ดีมากข้อสุดท้ายนี้ คุณเรียนรู้สำนักต่างๆ ให้มาเรียนรู้สำนักโพธิรักษ์บ้างนะ ขอแค่นี้แหละ 

ไปด้วยกัน มาด้วยกัน อร่อยอีกแล้ว อร่อยไปด้วยกันอีกแล้ว ก็ยังดี เรียนรู้ว่าอะไรควรกินก็กิน มันอร่อยหรือไม่อร่อยก็กินได้ ดีแล้วที่เรียนรู้ว่ามันอร่อย รู้ตัวเองว่ายังอร่อยอยู่ ให้เรียนรู้ว่ารสอร่อยมันเป็นความหลอก ภาษาบาลีว่า อัสสาทะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาโยมบุญ ให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 แรม 6 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 14:42:42 )

บารมีที่ได้แล้วกับความหลุดพ้น 

รายละเอียด

เป็นบารมีที่ได้แล้ว เราจึงรู้สึกว่าไม่ยากไม่ลำบาก ถ้าคน ที่เขาไม่มีบารมีถ้าจะต้องมาเลี้ยงง่าย มาจน มามีศีลธรรม มันยาก นั่นก็เป็นความจริงของเขามันยาก แต่เราได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบาก มันก็เป็นบารมีของเรา บารมีคือสิ่งที่ได้มาในตัวเราแล้ว เดี๋ยวนี้มันก็มีอยู่ มันจะได้มาก่อนหรือ เราปฏิบัติมาเพิ่งมาตรวจสอบตอนนี้ ว่ามันเป็นอย่างนี้ ก็ได้ มันพึ่งจะได้เต็ม มันถึงจะได้มีบารมี มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพที่เป็นคุณวิเศษได้ ในเมื่อเรายังตรวจสอบไม่ได้ทีเดียว ว่าเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ได้คุณภาพขนาดนี้ มันมีผล มีประสิทธิภาพสูง อินทรีย์พละขนาดนี้เริ่มมีตั้งแต่เมื่อไหร่ เราอาจจะกำหนดตรวจสอบไม่ได้ทีเดียวก็ไม่ต้องไปกังวลนะ เป็นแต่เพียงว่าตอนนี้เราได้แล้ว เราก็รู้ความจริงว่าเราได้แล้ว เราก็จะได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆแข็งแรงไปตลอดหรือไม่ ถ้าได้ต่อเนื่องแข็งแรงตลอดไปแสดงว่าอันนี้เป็นได้ถาวรแล้วยั่งยืน นิรันดร์ ยั่งยืนไปได้โดยไม่วอบแวบมาอีกเลย นาน โดยไม่ต้องไปหลบลี้ ไปหนีไปห่างเอา ให้มันห่างเหินแล้วก็มีพลังไปกดข่ม แต่อยู่เป็นชีวิตสามัญธรรมดาปกติ มีไปมีมามีมากมีน้อย มีผ่านไปผ่านมาได้อยู่ แต่จิตของเราก็ยังดับสนิทอยู่ มันก็ให้คำตอบได้ว่า มันหลุดพ้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 32 วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2564 ( 20:42:53 )

บารมีไม่ใช่บุญ

รายละเอียด

คำว่า บารมี ไม่ใช่บุญ แต่คำว่า บารมี นี่ เป็นเรื่องของผู้ที่สามารถเข้าใจบุญ และทำบุญ​มีผลสำเร็จ บุญ เป็นปัจจุบันธรรม เป็นพลังงานที่สร้างขึ้นได้ในปัจจุบันธรรม แล้วมีหน้าที่ล้างจิตวิญญาณตัว กลิ จิตวิญญาณที่เป็นตัวโทษตัวภัยในมนุษยชาติ ตั้งแต่ของตัวเองล้างหมดเป็นอรหันต์แล้ว ก็ให้คนอื่นรู้ตัวแล้วล้างของตนเอง ล้างให้กันไม่ได้ ไม่มีใครจะล้างกิเลสให้ใครได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:04:43 )

บำเพ็ญมานานจะทิ้งก็เสียดายแสดงว่ายังยึดมั่นถือมั่นอยู่หรือไม่

รายละเอียด

จะพูดอย่างนี้ก็ได้ คุณจะตัดแค่นี้คุณก็ทำสิ แต่คุณพูดคุณทำได้หรือยัง คุณจะจบหรือยัง หรือคุณเอากำปั้นมาทุบหัวอาตมาเล่นๆ อาตมาเคยคิดเคยทำอย่างคุณมา เคยซัดคนอื่นมาแล้ว ไม่มีปัญหา

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 10:36:04 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์