@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ทานแล้วเป็น อัตถิทินนัง อย่างไร

รายละเอียด

ทีนี้ทานแล้ว นัตถิทินนังหรืออัตถิทินนัง 

ทินนัง คือทาน ทานแล้ว, นัตถิ คือไม่มีอานิสงส์ แต่อัตถิ คือมีอานิสงส์

อานิสงส์ตัวนี้ คือโลกุตระ ถ้าหากเหมาะสมที่ควรจะให้ ให้อาหารแก่คนที่ขาดแคลนอาหารต้องการอาหาร เขาควรได้อาหารก็ให้อาหารเขา ก็จบ คุณประโยชน์ก็เกิดทันทีจบแล้วสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เป็นเจ้าบุญนายคุณ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นวิมานเอาไว้กินชาติหน้า ปริภุญชิตสามีติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ตอน 1 วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2564 ขึ้น 2 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2564 ( 20:04:09 )

ทานแล้วได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ

รายละเอียด

ทีนี้ ทาน ที่ไม่เป็นของบาป ให้ข้าวให้น้ำเป็นต้น แต่คุณทานแล้ว นัตถิทินนัง ทานแล้วได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ ทานข้าวไม่ใช่ของมิจฉา 5 อย่างดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ทานปัจจัย 4 อันอื่นที่ไม่ถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัย ใช้ประโยชน์ได้ ก็ยังไม่บาป แต่นี่ดีเลย ทานปัจจัย 4 ทานข้าว ผ้า ยา ที่อยู่ 

คุณทานแล้วคุณทำใจในใจ ไม่เป็นอานิสงส์ไม่เป็นผลอะไร อาจทานแล้ว คุณก็ให้เขาด้วยจิตใจว่าให้ แต่คุณยังหวง ยังยึดเป็นของเรา เธอจะต้องเหมือนกับให้เขาแล้ว เขาจะต้องมาใช้หนี้เราคืน เราให้ 5 บาทคุณเอา 5 บาทมาคืน ดีไม่ดีให้ 5 บาทเอาไปออกดอกออกผลดอกเบี้ยต้องมาคืนรวมกัน เกินกว่า 5 บาท ยิ่งราคามากขึ้นก็ยิ่งตะกละตะกรามยังมีความโลภยังมีความเป็นตัวตน ทั้งโลภ ทั้งมีตัวตนไม่ปล่อยไม่ขาดยังไม่ว่างไม่วางจากตัวตน ทานแบบนี้พระพุทธเจ้าถือว่าทานแล้วไม่มีผล 

หรือแม้แต่แค่ทานแล้วหลงภพชาติ ทานแล้วจะได้ไปอยู่สวรรค์ ทานแล้ว จะเป็นสมบัติที่เราไปกินไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว ทานไปแล้วจะได้สะสมใส่คลังไว้เป็นของเราไปอีกนาน การคิดพวกนี้ยังไม่เป็นทานที่มีอานิสงส์สมบูรณ์ แม้แต่ทานแล้ว ส่งไปให้คนนั้นคนนี้ที่ตายไปแล้วเป็นเจ้าของ ส่งให้พ่อให้แม่ที่ตายไปแล้ว ให้ปู่ให้ย่าที่ตายไปแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นไม่มีคำสอนอย่างนี้ในคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไม่รู้เอามาจาก เดียรถีย์ ศาสนาอื่นที่สอนกันผิดๆ มาใส่ไว้เมื่อไหร่ไม่รู้แต่อาตมายืนยันว่าผิดเต็มสังคมศาสนาพุทธ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 พิธีน้อมกตัญญูบูชา วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2566 ( 19:33:48 )

ทานแล้วได้ความดีเป็นกุศล

รายละเอียด

การทานคือการให้ แต่หากให้อย่างมีสาเปกโข มีความหวังอยู่ ทานอย่างนี้ไม่มีอานิสงส์มาก แต่หากทานแล้วทำใจในใจไม่มีสาเปกโข อันนี้เป็นทานอย่างมีอานิสงส์ ลดกิเลสได้ คือ อัตถิทินนัง แต่ทุกวันนี้มีแต่ทานอย่างสาเปกโข นัตถิทินนัง คือ ทำทานแล้วกิเลสเพิ่มขึ้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2563 ( 11:47:00 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:22:51 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:00:44 )

ทานแล้วไม่มีอานิสงส์เพราะเหตุใด

รายละเอียด

ทางที่ว่าเป็นมรรคมีองค์ 8 เดี๋ยวนี้ปฏิบัติกันที่ไหนแต่ไปปฏิบัติหลับตา สัมมาทิฏฐิข้อแรกของมรรค 8 องค์ ก็เป็นมิจฉาแล้ว มิจฉาตั้งแต่คำว่า ทาน นัตถิทินนัง ทานแล้วไม่มีอานิสงส์ของศาสนาพุทธเลย เพราะว่าการทำทานนั้นเกิด สาเปกโข

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

 อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 16:01:42 )

ทานโดยไม่หวังจึงทำให้เศรษฐกิจดีจริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็น อาตมาความจริงอันนี้ไม่ใช่พูดปากเปล่า พูดแล้วพวกเราทำได้จริงไหม จริง เราก็ทำได้จริงด้วย อยู่ได้อย่างนี้ไปจะอีกกี่ชาติ มีแผ่นดินมีน้ำมีลมมีไฟเรามีความขยันมีปัญญาความรู้ของเราว่าจะทำอะไร พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละไม่ต้องไปเอาอะไรมาก เรื่องเกี่ยวกับสัตว์เราไม่เอามันมีวิบากร่วมกัน แต่พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้มันไม่มีวิบาก มันไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีวิบาก ที่จะจองเวรจองกรรม มันจะรักเรามันจะชังเรามันไม่มี แต่ว่าสัตว์ สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่ก็ตาม มันมีเวทนามันมีวิญญาณแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะจองเวรจองกรรมก็ได้ จะรักเราอย่างจี๋จ๋า รักผูกพันกับเราของข้าใครอย่าแตะเลยมันเป็นไปได้นะสัตว์เดรัจฉานมันเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่เอา ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ ให้มันอยู่ไปตามยถากรรม วิบากใครวิบากมัน เรามีแต่อยู่กับพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ ส่วนสัตว์นั้นเราก็เมตตา มันช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็ปล่อยไปตามวิบากของใครของมัน ก็เท่านี้ ในการปล่อยวางความเป็นสัตว์ในโลก อยู่กันอย่างเมตตาเขา ไม่ไปสร้างวิบากเพิ่ม แต่ถ้าจะทำอะไรช่วยเขาเป็นกุศลแล้วก็ทำได้ตามโอกาส ช่วยแล้วเราก็ไม่คิดจะไปยึดถือว่าสิ่งที่เราไปช่วยนี้เรามีบุญคุณกับแก เรามีบุญคุณกับเธอ ต้องมาทดแทนบุญคุณนะ เราก็ไม่ต้องไปจำบุญคุณ ไม่ต้องไปทวงบุญคุณอะไรใครหรอก เป็นจากสัตว์หรือจากคนก็ตาม เรามีแต่ให้เกิดมามีแต่ให้เป็นผู้ให้จบจริงๆอยู่ที่ผู้ให้ ในทานสูตร ที่ไม่มีสาเปกโข ปฏิพัทธจิตโต สันนิธิเปกโข ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ)  

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 15 พฤศจิกายน 2563 ( 11:20:27 )

ทานไม่มีผลเพราะตั้งจิตไว้ผิด

รายละเอียด

หมายความว่าเราจะต้องเป็นคนที่เข้าใจในทิฏฐิ มีความรู้แล้วอย่างสัมมาทิฏฐิ 10 เข้าใจแล้วว่าเวลาจะทำทาน ทินนัง เราจะทำทาน เราจะทำอย่างไร เราจึงจะมีมรรคมีผล ทำทานที่ไม่มีมรรคผลคือทานกันไปเสร็จแล้วก็สาธุขอให้ได้รวยล้าน ให้ได้วิมาน ให้ได้เป็นเศรษฐี ได้แฟนสวยๆ สารพัดที่จะตั้งจิตไว้ผิด ให้ทานแต่ไม่มีผล เรียกว่านัตถิทินนัง การทานแล้วไม่มีผลเพราะว่าตั้งจิตไว้ผิด ทานคือให้ ทานไม่ใช่เอา แต่กลับ แค่ให้แค่นี้ แต่จะเอาค้ากำไรนับไม่ถ้วน จิตมันตั้งไว้ผิดก็เลยไม่มีผลอะไร

ที่มา ที่ไป

เทศน์ทวช. วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:22:06 )

ทายก

รายละเอียด

ผู้ให้

หนังสืออ้างอิง

ป่ากับพุทธศาสนา หน้า 92


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2562 ( 08:42:35 )

เวลาบันทึก 23 กรกฎาคม 2563 ( 02:44:14 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:01:02 )

ทาสพระเจ้าก็อย่างหนึ่ง ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็อย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน

รายละเอียด

ก็เป็นผู้ไม่มี“อมตธรรม”

ที่จัดการ“การเกิด-การตาย”ให้แก่“วิญญาณ”ตนเองได้จริง 

เพราะไม่มี“ความรู้อื่น”ที่แตกต่างไปจาก“โลกียะ”ที่เป็น“เทฺวนิยม” 

ผู้มี“อัตตา”เป็นนิรันดร์  

และยังเป็น“ทาสพระเจ้า”อยู่ชั่วกาลนาน 

อยู่กับ“โลกีย์”โลกแห่งความลึกลับ

จึงสิ้นความ“ลึกลับ”ไม่ได้ 

ไม่มีวันที่จะ“มีโลก”อันเปิดเผยแจ้งกระจ่างสว่างชัด หมดสิ้นความลึกลับ 

และไม่มีวันที่จะ“ไม่มีอัตตา” พิสูจน์ความเป็น“อนัตตา” ถึงขั้น“นิพพาน”แน่นอน

เพราะไม่มี“ปัญญา”ที่เป็นโลกุตระ 

จัดการกับ“โลก”หรือ “ความวนเวียน”นี้แหละ 

ให้จบสิ้น“การวนเวียน”ให้แก่ตนได้เด็ดขาด 

ดับสิ้นความเป็น“โลกียธรรม”

หรือดับสิ้น“สุข-ทุกข์”ที่ไม่มีวัน“จบ”วันสิ้น 

ให้บรรลุการสิ้นสุดแห่ง“การวนเวียน”ได้แท้จริง

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 39 หน้า 65


เวลาบันทึก 13 มิถุนายน 2564 ( 16:20:18 )

ทาสโลก ทาสอัตตาคือไม่มีธรรมาธิปไตย

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ ไม่ได้เป็นกบในกะลาครอบ ไม่ออกไปไหน ไม่ใช่ ศาสนาพุทธ รู้โลก รู้อัตตา รู้ชีพ รู้โลกมีที่สุด ไม่มีที่สุด รู้อันตา เช่นอันตคาหิกทิฏฐิ 10 เป็นต้น จะรู้ครบ หากปฏิบัติไม่ถูกต้องจะไม่สามารถรู้โลกวิทู รู้รอบ ไม่รู้จัก อัตตาก็ไม่รู้ ก็เลยไม่พ้นโลกาธิปไตย อัตตาธิปไตยไม่มีธรรมาธิปไตย ถูกโลก อัตตา ครอบงำตลอด ผู้ที่ปฏิบัติไม่สมาธิก็จะไม่พ้นโลก ไม่พ้นอัตตา จะต้องเป็นทาสโลกทาสอัตตา อยู่ตลอดกาลนาน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 09:58:36 )

ทาสโลกธรรม

รายละเอียด

คือ ยังเป็น ทาสลาภ ยศ สรรเสริญ สุขนี้ 1 นี่ทาสโลกแท้ๆและยังไม่มีอิสระ

หนังสืออ้างอิง

 “คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 224


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2562 ( 15:57:50 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:07 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:01:26 )

ทำ 2 ให้เป็น 1 ต้องอาศัยมนสิการ!

รายละเอียด

“มนสิการ”เป็น“แดนเกิด(สัมภวะ)”ตามข้อ 2 ของ“มูลสูตร”ก็

ไม่มี(พระไตรปิฎก เล่ม 24 ข้อ 58)  

“มูลสูตร 10 ข้อ”นี้สำคัญมาก เป็น“มูลเหตุ”ของ“ธรรม

ทั้งปวง”ตั้งแต่“ต้น”จน“ปลายสุด”แท้ๆทีเดียว 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 136 หน้า 125


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 04:31:48 )

ทำกายนอก ทำกายใน ทำนิโรธ!

รายละเอียด

ซึ่ง“นิโรธ”หมายถึง “ดับ”หรือ“ความไม่ปรากฏ”ภาวะนั้น

นักปฏิบัติธรรมจึงต้องมี“ความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาทิฏฐิ)”ในภาวะที่เป็น“ความไม่ปรากฏกายในกาย”ของ“เทฺว(เทฺว = ภาวะ 2)”

อันเป็นภาวะของ“นิโรธ” 

หรือภาวะ“วิหาร(การอยู่,การเป็นเครื่องอยู่)ของ“เวทนาในเวทนา” หรือของ“จิตในจิต” หรือของ“ธรรมในธรรม” 

ที่ไม่มี“กายในกาย”ส่วนหนึ่ง แต่ยัง“มีอยู่”ส่วนหนึ่ง

จึงจะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอาการของ“นิโรธ” ซึ่งเป็น “การดับกิเลส”สำเร็จ(ดับเฉพาะกิเลสนะ!) 

ที่มีผลทำให้แก่“กายในกาย”และ“จิตในจิต”ของตน 

หรือเจาะละเอียดลงไปถึง“ดับกิเลส”อันเป็น“เหตุ” ให้มี“การดับเวทนาในเวทนา” 

ตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ดูกรอานนท์ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง ด้วยประการฉะนี้ (เทฺว ธัมมา  ทฺวเยนะ เวทายะ เอกสโมสรณา ภวันติ)” 

ดูได้จากพระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 60

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 422 หน้า 306


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 14:04:27 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:29:25 )

ทำกายให้ไม่เป็นกายหรือทำลายวิญญาณได้อย่างไร

รายละเอียด

แล้วสามารถที่จะจัดการทำให้กายนี้ ไม่เป็นกาย ไม่รวมตัวกันอีกไม่เหลือคู่นี้ 

คำว่า กาย มันต่างกันกับจิต กายมันเป็นธาตุรู้ไม่มีวิญญาณธาตุไม่ได้เลยทำให้กายที่มันเป็นตัวจิตครอบงำครอบครอง กายนี้จะมีจิตเป็นตัวประธานที่จริงร่างนี้มีจิตวิญญาณเป็นประธาน ในขณะมันเป็นกายจะมี 2 ๆๆๆๆเสมอ พอมันทำให้เข้าใจผิดทำผิด ทำให้มันเป็น 1 ไม่เป็น 2 แค่นั้นก็ไม่เกิดความฉลาดที่เป็นจิตนิยามแล้วกลายเป็นพีชะ กลายเป็นพืช 

ความฉลาดซ้อนของพระพุทธเจ้าจึงอาศัยจิตนิยามแยก ทำให้เป็นพืชอาศัย แยก 2 เป็น 1 ได้ แล้วแยก 1 ให้เป็น 2 ได้อีก คือ ได้ 1 กับ 0 สุดจบเลย 

ทีนี้ รูปเป็น 0 เวทนาเป็น 0 สัญญาเป็น 0 สังขารเป็น 0 วิญญาณเป็น 0 

อย่างนี้เอง ศาสนาพุทธถึงทำลายวิญญาณ ให้เป็นดินน้ำไฟลมได้ มันไม่จับตัวเป็น 2 ทำให้เป็น 1 เรียกว่ายังเป็นชีวะไว้อาศัย ทำให้เป็น 0 ได้ ก็ขออาศัย 1 ยังไม่ดับชีวะจริงๆ แต่มีความสามารถเริ่มเป็น อรหัตตผล ทำให้มัน 0 ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:50:59 )

ทำกายไม่ให้มีจิตได้อย่างไร

รายละเอียด

กายไม่มีจิตไม่ได้ แต่ต้องทำกายไม่ให้มีจิต โดยแยกกายแยกจิตให้ชัด แยกให้เป็นอาการของความรู้สึกคือเวทนาจะเป็นเครื่องตัดสิน ถ้าคุณทำความรู้สึกเวทนาให้ไม่มีความรู้สึกชนิดแบบจิต มีแต่ความรู้สึกชนิดพืชเท่านั้น ไม่เจ็บไม่ปวดไม่รักไม่ชังไม่ดูดไม่ผลัก ไม่บาปไม่บุญ มีแต่แค่สัญญากับสังขารไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ นี่แหละเป็นฐานที่คุณจะทำจิตให้เป็นเช่นนี้ให้ได้คุณก็จะได้ฐานอรหันต์ อาศัยว่าหมดความสุขความทุกข์ หมดบาปหมดบุญ หมดพยาบาท หมดดึงดูดผูกพัน หมด เป็นพลังงานเฉพาะตัว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:41:56 )

ทำการประยุทธ์

รายละเอียด

คือ ทำสงคราม ทำการรบ ทำการต่อสู้

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 15


เวลาบันทึก 02 พฤศจิกายน 2562 ( 12:12:06 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:53:24 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:01:48 )

ทำกาละคือการตายของกิเลส

รายละเอียด

ท่านแปลคำว่า“ทำกาละ”ว่า “ตาย”

“ทำกาละ” จึงไม่ได้หมายความว่า “การตาย”ของร่างกาย แต่เป็น“การตายของกิเลส”  ผู้“ทำกาละ(ตาย)”จึงได้แก่ “อรหันต์”

“กิเลส”ตายนั้น จะไม่ใช่ร่างกายตาย และก็ไม่ใช่“จิตทั้งหมด”ตายสิ้นเกลี้ยงไปไม่มีความเป็น“จิต”หรือไม่มี“ธาตุรู้”

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดาร วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 04:55:34 )

ทำกาละให้ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเรา

รายละเอียด

วันนี้วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ก็ครึ่ง Merry Christmas แล้วก็กำลังจะไปสู่ปีใหม่ของสากลเลย 1 มกราคม อีกไม่กี่วันอีก 5 วันก็จะหมดปีขึ้นปีใหม่ ซึ่งทุกคนก็มีความเข้าใจมีปฏิภาณที่รู้ว่า กาละ วันคืนวนเวียนวนเวียนไป รอบแล้วรอบเล่าๆ ตั้งแต่เราเจริญวัยขึ้นหรือเสื่อมลงไป มันก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดกาลนาน 

แต่ทีนี้เมื่อเวลาที่มันผ่านไปตาม กาละ โดยไม่เคยหยุด กาละไม่มีใครทำให้พักหรือหยุด หรือทำให้กาละถอยหลัง ไม่มี มีแต่เดินหน้าไป ตาพึด เพราะฉะนั้นคนใดที่รู้จักความสำคัญของ กาละแล้วทำกาละให้มัน เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเรา ที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจะ 1. เจริญขึ้น 2. มีประโยชน์ต่อโลก และเราตายไปจากโลก ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร มันจึงจะเจริญไปในโลก และมีประโยชน์ต่อโลก ต่อโลกคือต่อสังคมทั้งหมด ไม่ว่าจะต่อดินน้ำไฟลม พืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่อสัตว์ทั้งหลาย ต่อมนุษยชาติ อย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 มกราคม 2566 ( 13:05:18 )

ทำความดีมากแต่ไม่ได้เป็นอาริยะ เขาจะมีภาวะอะไรหลังตายไป

รายละเอียด

ทำไมไปเข้าใจว่า คนตายไปที่เป็นกัลยาณชนจะไม่มีนรก ซึ่งจะต้องมีนรกเพราะว่ามีสวรรค์ หากทำไปเพื่อจะเอาไว้อธิบายกับคนอื่นโดยไม่มีของจริงในตัวเองเดี๋ยวถูกเขาซักถามมันจะไปไม่เป็น มันเป็นแค่ความจําเป็นแค่การท่องจำเท่านั้น ไล่ไปตั้งแต่หยาบๆก่อน อบาย แปลว่านรก ชั่ว หยาบ หรือภาษาง่ายๆคือไม่สบาย ถ้าไม่สบายก็เรียก อบาย คำว่า ปายะ แปลว่าสบาย ประโยชน์อาศัยได้ดี ส่วน อปายะคืออาศัยได้ไม่ดี ส ก็เชิงดี อ ก็เชิงไม่ดีเท่านั้นเองคำว่า นรก หรือคำว่า อบาย เราเคยได้ยินมาว่า อบายมุข 4 อบายมุข 6 ก็ขออยายความจากต้นพื้นอันนี้ทุกวันนี้ คนที่เขาใจแล้วหลุดพ้นแล้ว แต่อบายกลับหนักกว่าเก่า เช่น การเมือง หรือนักทุนนิยมการค้า เขามีอบายภูมิต่ำหยาบหนักยิ่งกว่าอบายภูมิ 4 อบายภูมิ 6 เป็นอบายมุขลึก แต่เขากลับเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่น่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นขี้โลภจัด เล่ห์เหลี่ยมจัด มันยิ่งกว่านักเลงสามัญ เช่น นักเลงผู้หญิงนักเลงสุรานักเลงการพนันคนชั่ว เขาก็ติดอยู่อย่างนั้นแหละ ก็แล้วไป มันก็เห็นชัด ไปก็เห็นก็รู้ว่าไม่ดี แต่ก็วนเวียน เอาไปกู้หนี้ยืมสิน ก็พวกนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อผู้อื่นมากนักอย่างเก่งก็กระทบต่อครอบครัวเขา แต่พวกนายทุนพวกนักการเมือง กระทบต่อประชาชนสังคมมากมายมหาศาลนี่แหละคือมหาอบายมุข จะเป็นอบายภูมิ 4 อบายภูมิ 6 ที่อธิบายด้วยพยัญชนะสมัยโน้นสิ่งเหล่านี้ยังไม่มีพยัญชนะเหล่านี้หรอก แต่สมัยนี้มันซับซ้อน สมัยโน้นก็พาซื่อนักเลง นักโกง อำมหิตทื่อๆ แต่สมัยนี้นักอำมหิต คนที่เป็นเจ้าของจะกดระเบิดไม่มีใครรู้ กดแล้วก็ตายเป็นแสนไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนกด คนที่ไปทำก็รับหน้าไปแต่ตัวการใหญ่ไม่มีใครรู้ อันนี้ตัวร้ายแยกว่า เป็นความอำมหิตสุดยอดเลยใช้อำนาจซ้อนอำนาจบงการให้เขาทำ แต่คนทำนั้นพาซื่อ ทำแล้วก็ตายง่ายๆเพราะเขาเองเป็นลูกน้อง ทีนี้อยากทราบว่า ทำความดีมาก แต่ไม่ได้เป็นอาริยะเขาจะมีภาวะอะไรหลังตาย ทำดีมากก็เป็นกัลยาณชน สบายอย่างมีรส สุขอย่างมีรสจัดจ้านไป ฟังดีๆนะ อารมณ์อร่อยอัสสาทะ จัดจ้านไปไม่ว่าจะเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรือเป็นการแสดงออกทางกิริยา แสดงออกทางดนตรี rock จัดแรง มีการพนันอย่างไหนก็แล้วแต่ การพนันบิลเลียด มวย ทำแรงๆเหลี่ยมอย่างนี้ๆ อาตมาก็อธิบายไม่เก่งสรุปแล้วสบายของเขาคือรับรสจัดจ้าน แต่ในฝัน คุณก็เคยเกิดรสอย่างนั้นเรียกมโนมยอัตตา จิตที่สำเร็จเป็นอุปาทาน เหมือนคนเข้าทรง เขาจะเห็นเลยเป็นพญานาคเป็นเสือสิงห์เป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเห็นมีรูปร่างเลย ทีนี้พวกคุณนี่นะพวกเรานี่ ศึกษามา เพราะฉะนั้น อุปาทานอย่างนั้นพวกคุณเห็นแล้วก็ไม่ติดไม่มี แต่คนที่เขาไม่ได้มาถามอาตมาเขามี เขาปรุงเป็นของเขาเลยแล้วเขาก็บอกว่าอย่างนั้นของจริง เขาหนัก ตอนฝันก็มี แต่ตอนเป็นๆเขาก็มี หรือดีไม่ดีลืมตาเห็นนั่นเห็นนี่ เห็นเป็นเสือเป็นลิง เห็นเป็นผีเห็นเป็นเทวดาเห็นสัตว์นรก เป็นผีกองกอยเห็นผีกระสือ แม้กระทั่งปั้นเป็นหน้าคนแล้วมีไส้เป็นพวงลอยไปลอยมา ก็ปั้นหลอกกัน อย่างสายอาจารย์มั่นเห็นโครงกระดูกเดิน เห็นตัวเองนอนเน่าอยู่ต่อหน้า เข้าสมาธิแล้วจะเห็นอย่างนั้น แยกกายแยกจิต แล้วก็จะพิจารณาว่าเดี๋ยวตัวเองก็จะตายเดี๋ยวก็จะป่วยอุปาทานครอบงำความคิด พวกคุณแต่ก่อนเคยเป็นก็มี อย่าว่าแต่เป็นตอนนอนหลับเลย ตอนตื่นก็เป็นด้วยซ้ำ ใครยึดติดมากก็เอาไปนอนฝัน เพราะจิตมันยึดจริงจังไม่ว่าจะเป็นภาวะสบาย สวรรค์ อร่อยหรือภาวะรุนแรงเดือดร้อนก็เป็นทั้งนั้นเป็นจริง ที่ถามมา เราอย่าไปทุจริตใช้เล่ห์เหลี่ยมอยากได้อยากมีของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ทุจริตอย่างเล่ห์เหลี่ยม อย่างโกงหรืออย่างฉลาดซ้ำซ้อน ทุจริต จนเขารู้สึก ภาคภูมิดีใจด้วยนะ แต่คนที่ไม่ได้ทำ แต่เป็นคนใช้วิธีการให้คนอื่นทำแทน ให้คนอื่นชั่วด้วย ตนเองไม่ทำแต่หลอกล่อให้คนอื่นทำอย่างเช่นธัมมชโย หลอกโกงเขามาโลภมา อย่างคนที่ติดคุกไป ศุภชัย ตนเองตอนนี้ยังหายตัวอยู่เลย แต่ศุภชัยติดคุกไปแล้ว นั่นแหละสุดมหาอภิอบายมุขซับซ้อน ผู้ถามมานี้ อธิบายว่า อารมณ์นี้หลงสวรรค์ นรกกับสวรรค์เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ แต่มันเป็นเหรียญสองหน้า แล้วคุณก็มาเล่นอยู่หน้านี้เท่านั้นเอง หน้านี้คุณเสพสุขซับซ้อนเท่าไหร่ หน้าหลังนรกก็ซับซ้อนมากเท่านั้น เป็นแต่เพียงว่าดำกับขาวคุณทำขาวให้มากเลย ดำก็มากเลย เย็นมากเท่าไหร่ หรือว่า ชื่นใจมากเท่าไหร่ขมขื่นเร่าร้อนก็มากเท่านั้น อันเดียวกันแต่มันคนละหน้า ดีเท่าไหร่ชั่วเท่าไหร่ เป็นแต่เพียงภาวะ 2 ที่คุณเอาหน้าไหนมาใช้เป็นอุปาทาน อีกหน้าหนึ่งมันก็มีคุณไม่ใช้ นี่แหละคือนักเล่นกลที่เรียกว่ามายา แตกต่างกันกับสิริมหามายา พวกเราอาจสับสนว่าอันเดียวกัน สิรินี้ดีสุด แต่มายานี้เลวสุด คนที่ไม่เข้าใจจะเห็นว่า อาตมาพูดสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องเขาหาว่าอาตมาชั่ว อาตมาดีมาก เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ระดับ 7 เขาก็ยิ่งชั่วหนักไปอีกทางเลย เขาเห็นเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าจริงผู้เป็นสิริมหามายาแล้วไม่มีชั่วมีแต่ดีได้อย่างเดียว แต่มายานั้นมีสองด้าน แต่ดันมาหลอกเอาด้านหนึ่งมาโชว์แต่เอาอีกด้านมาให้ดู​มีสอง แต่สิริมหามายามีด้านเดียวหนึ่งเดียวจริงๆถูกต้องด้วย แต่คนที่ไม่เชื่อ ว่าดี เขาไม่เชื่อว่าดี เขากลับไปเชื่อว่าชั่ว เราดีระดับ 7 เขาเข้าใจว่าเราชั่วระดับ 14 เขามองเราอย่างมายา

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 09:35:40 )

ทำความดีแล้วยึดมั่นถือมั่นผิด?เข้าใจอนุปคัมมะไหม

รายละเอียด

ท่านพุทธทาส พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่อาตมาทำได้เกินกว่านั้น ที่ท่านพุทธทาสท่านว่า เพราะอาตมาไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น อาตมาเป็น อนุปคัมมะ เป็นผู้ที่ไม่เข้าไปใกล้สิ่งที่มีไม่เข้าไปใกล้ สิ่งที่ไม่มีก็ยืนยันอยู่อย่างนี้นี่มายึดถือแล้ว เข้าใจภาษา อนุปคัมมะ ไหมล่ะ

ยืนยันความจริงไง ยถาวาที ตถาการี ยถาการี ตถาวาที เราไม่ยึดถือเป็นของตัวเองแต่เป็นของส่วนกลางนี่แหละคือเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง ถ้าใครต่อใครไม่แบ่งออกจากส่วนกลางมารวมกับส่วนกลางทั้งหมด ส่วนกลางทั้งหมดมันก็เป็นกองโต แต่ของคนอื่นนั้นคนนั้นคนนี้ก็เอาไปคนละนิดคนละหน่อย กองกลางก็บางลงเล็กลง ดีไม่ดี ยื้อให้กองโต จนกองโตเป็นกองรกเลย ถือว่าเป็นของตัวเองเลยเกินกว่าที่มันมีกองโตนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เป็นสภาพสิริมหามายาเป็นความย้อนแย้ง วิภาษวิธี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ อภิภูผู้รู้จบสัตตาวาสและวิญญาณฐีติ

วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2565 ( 13:25:56 )

ทำความรู้ในแต่ละกรอบหรือปริเฉทให้ได้เป็นสามเส้า

รายละเอียด

สรุปไม่ลงว่าคุณ จะจบเมื่อไหร่ คุณจะรู้จักตัวเองเมื่อไหร่ คุณจะรู้จัก กาย จนทำกายไม่เหลือกายแล้ว คุณเข้าใจไหม ไม่มีกายแล้วตั้งแต่พีชะ อุตุ ยิ่งไม่มีกายใหญ่ ยังมีกายอยู่แต่จิตนิยาม หมดจากจิตไปไม่มีกายแล้วนะ

โอ้โห! กายของบักหุ่งลูกนี้ผ่องแผ้วจังเลย จะเป็นอย่างนั้นไหม มะละกอลูกนี้สีนวลผ่องแผ้วเลย หยิบมาดู โอ้โห ด้านนี้นวลสีเหลืองดี แต่ถ้าอีกด้านหนึ่งผิวขรุขระ คุณติดแต่เฉพาะเปลือกๆก็จะได้เฉพาะเปลือกๆ ผู้ที่สามารถรู้พยัญชนะ รู้กรอบ เรียกว่าปริเฉท แต่ละกรอบเราทำความรู้ในแต่ปริเฉทให้ได้ เป็นสามเส้า ก็จะเกิดวงวน ก็ลดวงวนโดยลดเหตุที่เกิด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ ปฏิจจสมุปบาทสลายอวิชชาให้สิ้นอาสวะอนุสัย 

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 มีนาคม 2564 ( 19:41:09 )

ทำความสำคัญมั่นหมายกับสิ่งที่พูดให้ดี

รายละเอียด

สนุกสนานดีพวกเราได้สาระดีด้วย  อย่าพูดปากเปล่านะ ให้ทำความสำคัญมั่นหมายกับสิ่งที่เราพูดด้วยว่าเราเป็นดังที่เราพูดหรือไม่ไม่อย่างนั้นพูดไปเปล่าๆเสียน้ำลายเฉยๆเสียกำลังเสียแคลอรี่เปล่าเปล่าๆไม่ได้เรื่อง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:22:43 )

ทำความเข้าใจ ศิลปะเป็นมงคลอันอุดมของพ่อครู

รายละเอียด

อาตมาเคยอธิบายถึงว่า อาตมาทำงาน อยู่ทางโลกเขาจริงๆ จบออกมาปี 5 ของสายศิลปะ เพาะช่าง จบแผนกวิจิตรศิลป์ แต่ไม่ได้ทำงานศิลปะ ทางเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีผลงานเหลือเลย เขียนแต่ในตอนเรียน จบเรียนมาแล้วไม่ได้เขียนเลย เขียนแต่ตอนที่เรียนมีผลงานตอนที่เรียนนั่นแหละ แล้วมันก็กระจัดกระจาย มีอยู่ชิ้นเดียวที่เขาเก็บเอามาได้ จากภาพที่ไปทำหน้าปกหนังสือพิมพ์ แล้วก็ได้หน้าปกหนังสือพิมพ์นั้นมาเป็น Copy ออกมา ตัวชิ้นงานเองไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว ก็ได้ภาพนั้นภาพเดียวโด่เด่ในชีวิตนี้ นอกนั้นไม่มีผลงานเลย Drawing มีบ้าง ที่ใช้อยู่ตอนนี้ ภาพสุญญตา อาตมาก็ใช้ Drawing นอกนั้นก็มีอะไรอีกนิดหน่อย 

นอกนั้นชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแต่ศิลปะ และได้มาทำความเข้าใจว่าทำไม สุญญตา ภาพนี้ นี่ ฝีมืออาตมามีเท่านี้ ซึ่งเด็กๆก็ทำได้ ไม่ใช่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย ไม่มีความสามารถความเก่งทั้งนั้นเลย แต่ในความเป็นศิลปะ อาตมามาเข้าใจโลกุตรธรรมในเรื่องศิลปะเพราะพระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ศิลปะนี้เป็นมงคลอันอุดม หมายความว่า ศิลปะ เป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ความสูงสุด เป็น     อุตตระ สรุปง่ายๆว่าเป็นอุตรธรรม ศิลปะเป็นอุตรธรรมหรือเป็นโลกุตระ เป็นโลกุตระธรรม เป็นสิ่งที่เหนือชั้นของโลกีย์ 

อาตมาก็ต้องมาพยายามทำความเข้าใจว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดมนี้อย่างชัดเจน จึงได้ชัดในเรื่องของโลกุตรธรรม ว่า อ๋อ.. ที่จริงอาตมาก็มีภูมิธรรมเรื่องโลกุตรธรรมมาแล้ว นี่ชัดเจนก็พูดกับ ดร.มโนเลยว่า ตั้งแต่ชาติปางก่อนมาแล้ว ความรู้นี้มีในตัวอาตมาแล้ว อาตมาจึงรู้จักตัวเองว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นสยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีอภิญญาของตัวเอง   สยังอภิญญาของตัวเองและไม่ต้องเอาจากใคร ไม่ต้องพึ่งใคร 

เพราะฉะนั้น อาตมามาเกิดในชาตินี้ถึงไม่มีครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะทางธรรมะทางโลกุตระ เพราะโลกุตระได้เสื่อมจนไม่มี สิ้นแล้วในประเทศไทย หรือในโลก อาตมาจึงนำขึ้นมาสถาปนาลงใหม่ให้แก่โลก อันนี้พูดแล้วก็อย่าเพิ่งหมั่นไส้ อย่าเพิ่งอาเจียนก็แล้วกัน รู้สึกว่าจะพูดใหญ่เหลือเกิน อาตมาก็พูดความจริง ไม่มีอะไรอยากโอ้อวดหรอก มันเป็นเรื่องจริงที่พูดสู่กันฟังเท่านั้น ใครจะรู้สึกหมั่นไส้ถึงขั้นไหนก็ขออภัย ถ้าใครฟังแล้วก็รู้สึกว่า เออ.. เข้าใจ พอเข้าใจไปได้ก็ดี อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 7 พ่อครูพบ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช เรื่อง บาปของทุนนิยม

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม 2565 แรม 11 ค่ำเดือน อ้าย ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2565 ( 18:46:35 )

ทำความเข้าใจความเป็นพุทธ 2 แบบ ให้ได้

รายละเอียด

คุณสนธิญาณมีศรัทธาในเรื่องของศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธ แต่ว่า ถ้าเผื่อว่า ทำความเข้าใจความเป็นพุทธ 2 แบบ แบบอาจารย์มั่นกับแบบโพธิรักษ์ ให้ได้ก็ดี หรือสายมหาบัว หรือสายอาจารย์มั่นกับแบบโพธิรักษ์ให้ดีๆ หรือจะรวมไปเลยว่า แบบอาจารย์มั่น แบบมหาบัว แบบเถรสมาคม เขาอันเดียวกัน จริงๆแล้วอันเดียวกัน แม้แต่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ หรือมหาประยุทธ์ ของคนไทยนะ ไม่ใช่ของลังกา ก็อันเดียวกันหมด ท่านพุทธโฆษาจารย์ก็คือแนวคิดของศาสนาพุทธที่แตกต่างกันกับโพธิรักษ์ ไปทำความเข้าใจอันนี้ให้ถ่องแท้ แยกให้ออกว่า มันต่างกันอย่างไร ให้ได้ แล้วมันมีคุณค่า มันต่างกัน มันมีคุณค่าที่ โอ้โห ยิ่งหย่อนกว่ากัน ยิ่งใหญ่กว่ากันมาก 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ศาสนาพุทธทางฝ่ายเถรสมาคมเป็นต้น เขาไม่ได้มาสอนให้คนเป็นคนจน แต่โพธิรักษ์นี้สอนให้คนมาจน ไม่ใช่สอนเล่นนะ สอนให้มาจนจริงๆด้วย มาเป็นคนจนจริงๆ ทุกวันนี้ก็เป็นคนจน เป็นคนจนแจกได้ แจกในงานตลาดอาริยะ 10 ล้าน เป็นคนจน ไม่ใช่ปล่อยเงินแบบคนที่มีเงินทางโลกอันนั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 13:03:00 )

ทำความเข้าใจประเด็นภายนอก-ภายในอีกที!

รายละเอียด

แม้“กิเลส”ดับสิ้นแล้ว 

“กาย”คือ“ภายนอก-ภายใน”ก็มีอยู่

และ“ธาตุรู้”ก็รู้จักรู้แจ้งรู้จริงทั้งภายนอก-ภายใน ตามปกติ

สามัญของคนทั้งหลาย 

เพียงแต่“กิเลส“ภายนอก”แค่นั้น“ดับ”

ถ้าภูมิ“อนาคามี”ก็กิเลสภายนอกเท่านั้น“ดับ” 

ยังมีเหลือกิเลสภายใน 

ก็ต้องกำจัดกิเลสภายในที่เหลือให้หมดสิ้น 

แต่ถ้า“อรหันต์”ขึ้นไป ก็“ดับ”ได้หมดทั้งกิเลสภายนอก-

กิเลสภายใน

และทั้งอนาคามี-อรหันต์ต่างก็มีความสัมผัสสัมพันธ์กับ

ความเป็น“กาย”

คือมีภายนอก-ภายในอยู่ปกติเป็นชีวิตสามัญ

มิใช่หลงผิดแค่ว่า เอาแต่“ภายใน” ภายนอกไม่เกี่ยวเลย 

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 148 หน้า 133


เวลาบันทึก 22 มิถุนายน 2564 ( 05:14:45 )

ทำความเข้าใจให้ดีถึงลักษณะของโยนิโสมนสิการ

รายละเอียด

ผู้ที่ไม่มีความรู้ความเห็นความเข้าใจได้ดีใน 7 ข้อนี้ก่อนไปปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ก็ล้มเหลวหมด ไม่พบแสงอรุณก็ไม่มีสิทธิ์เห็นพระอาทิตย์ ต้องทำความเข้าใจให้ดีถึงลักษณะของโยนิโสมนสิการ อยู่ในสัมมาทิฏฐิ 2 ข้อ ปรโตโฆษะ กับ โยนิโสมนสิการ ปรโตโฆษะต้องฟังผู้อื่น อย่าไปหยิ่งผยองว่าตัวเองรู้แล้วเจริญแล้วเข้าใจแล้วเป็นอาจารย์ใหญ่แล้ว ฟังบ้างว่าคนอื่นเขาพูดถึงโยนิโสมนสิการว่าอย่างไร ต้องฟัง ฟังให้ดีเลยจะได้เข้าใจว่าที่จริงเรายังทำโยนิโสมนสิการไม่ตรง ยังไม่ถูกต้องนะนี่ อาตมามองไปในบรรดาเถรสมาคม ในบรรดาอาจารย์ต่างๆมีเยอะที่ยังโยนิโสมนสิการไม่ได้ ยังทำไม่ถูกต้อง 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 08:26:25 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:55:52 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:02:16 )

ทำความเข้าใจให้แตกฉานในความหมายแบบคนจน

รายละเอียด

คนกล้าจนคือคนชอบเอาไว้น้อยๆ ไม่ชอบจะเอาไว้มาก น้อยก็พอไม่ลำบากยากเย็นด้วย แม้ที่สุด 0 ก็พอไม่ต้องแบกต้องหาม อยากใช้ก็ไปเบิกมา เหลือก็เอาไปคืน ไม่ต้องเก็บไว้เองด้วยสบาย เป็นคนมักน้อย ใจพอ เป็นคนรู้จักการขัดเกลา สัลเลขะ ขัดเกลา กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ธูตะมีศีล แต่ละข้อ เคร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเคร่งยิ่งไม่เคร่ง ได้แล้วยิ่งไม่เคร่ง ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์ได้แล้ว ยิ่งเป็นธรรมดาเป็นปกติ 

ปาสาทิกะ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม น่าเลื่อมใส ไม่สะสม อปจยะ มั่นใจตนเองไม่สะสมแล้วไม่กลัวตาย กองกลางพึ่งพาได้เหมือนกงสี ก็เอาเงินกองกลางใช้ในกงสี 

อยู่อย่างนี้ ไม่สะสม ยอดขยัน อปจยะ วิริยารัมภะ ขยันหมั่นเพียร ทำงานรายได้ 0 เข้ากองกลางหมด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ เป็นคนจนแบบเป็นไท จึงมีประชาธิปไตยดีสุด

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 มีนาคม 2564 ( 15:42:30 )

ทำความเป็นเทวะให้สูญ

รายละเอียด

ทำความเป็นเทวะได้สูญ ไม่ติดยึดในเทวะ แต่เราสามารถจัดการเทวะ สภาพ 2 นี้ให้เป็นอะไรก็ได้ สภาพ 2 ที่เป็นจิตนิยามปรุงแต่งกันอยู่เป็น 2 เป็นรูปนาม สภาพ 2 ที่เป็นพีชนิยาม ก็สามารถทำให้เป็น พีชนิยามได้จริงๆเลย สภาพ 2 ของพีชนิยาม ก็เป็นการปรุงแต่งสังขารของวัตถุที่เอามาปรุงแต่งมาเป็นตัวเองของพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วมันก็ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ เราก็รู้แล้วก็ทำใจในใจโยนิโสมนสิการเรา ให้เป็นอย่างนี้ เกิดความรู้สึกอย่างนี้ เวทนาอย่างที่มันเป็นพีชะ มันไม่สุขไม่ทุกข์ มันไม่มีคู่ 2 ไม่มีก่อบาปก่อบุญ มันมีแต่ตัวเองของมัน ทำแต่ตัวเอง ใครมารังแกถูกรังแก ไม่สู้ รักษาตัวรอดป้องกันตัวเองอย่างเดียว รักษาตัวรอดได้ก็ได้ รักษาตัวรอดไม่ได้ก็ตาย เสื่อม ตาย ก็แค่นั้น มันจึงไม่สร้างภัยสร้างพิษให้แก่ใคร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:08:07 )

ทำความไม่มีจากกิเลสได้อย่างไร

รายละเอียด

โลกอบาย สัตว์อบาย สัตว์นรกก็ตายจริงๆ สัตว์นรกตายแล้ว สัตว์ระดับตาหูจมูกลิ้นกาย เรียกว่ากามคุณ 5 ปรุงแต่งเป็นชีวิตชีวา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันมีชีวิตอยู่ เราก็ดับกิเลสระดับตาหูจมูกลิ้นกาย ระดับ กาม 

ฆ่าสัตว์ที่เป็นกามสัตว์ ชีวิตกามสัตว์ก็ตาม เมื่อไม่มี โลกกามแล้ว เราจะอยู่ในโลก กาม ผู้ที่มีจิตสะอาดแล้วมีพลังงานเหนือชั้นกว่ากาม เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เป็น กามสัตว์ทั้งหลายทำอะไรพระอรหันต์ไม่ได้ พระอนาคามีก็ไม่มี กามสัตว์ อนาคามียังมีรูป เหลือกิเลสระดับรูป อรูป ก็ไปเรียนรู้กิเลสระดับรูป แล้วดับรูปภพ เหลืออรูปภพ ก็ดับอีก ก็เป็นอรหันต์ ไม่เหลือสักสัตว์ ก็เป็นอรหันต์ อย่างนี้เป็นต้น 

สภาพเหล่านี้เป็นของจริงปฏิบัติได้ อย่างอาตมาอย่างหลวงปู่ปฏิบัติได้ ถึงได้เอามาพูดได้ละเอียดลออชัดๆไม่ได้เอาของใครมาพูด เอาของเรา เราผ่านมาจริง มันเคยมี แล้วหลวงปู่นี่ก็ทำให้มันหมดไปได้แล้ว ก็เอาความไม่มีจากกิเลสเป็นความไม่มีกิเลส มาพูดสู่ฟัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 10:51:58 )

ทำคุณสำคัญให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยสอนผู้อื่นจึงจะไม่มัวหมอง

รายละเอียด

เป็นผู้ที่ไม่ดูแลตัวเองเลยแสดงว่าไม่มีปฏิภาณ ของตัวเองอยู่แท้ๆก็ไม่เข้าใจปล่อยให้รกและอับทึบ บ้านตัวเองก็ไม่เข้าใจก็ไม่รู้แล้วจะไปทำความสะอาดความดีงามของบ้านคนอื่นที่อื่นมันจะเข้าท่าหรือ มันก็ต้องดูให้ถ้วนทั่วดูของเราดูของเขา ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทำคุณอันสมควรในตัวเองก่อนแล้วค่อยสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง เราจะไปสอนคนอื่นก็ควรทำตัวเองให้ได้ก่อนจะเป็นทำอะไรก็แล้วแต่ทำความสะอาดทำความดีงามทำคุณวิเศษอะไรให้แก่ตัวเองทำของตัวเองก่อนได้แล้วเราจึงไปเผื่อแผ่ไปสอนไปบอกไปแนะนำผู้อื่นมันก็จะเป็นของถูกต้องมันก็จะไม่เป็นการอวดดี เพราะว่ามันมีความดีไปแจกเขาจริงๆไม่ใช่แค่อวดดี มันควรจะเป็นเช่นนั้น 

 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 29 มีนาคม 2563 ( 15:13:51 )

เวลาบันทึก 21 กรกฎาคม 2563 ( 15:24:16 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:02:45 )

ทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

รายละเอียด

โพธิสัตว์ผู้เพื่อผู้อื่นจะมีความผิดอยู่ที่ว่าคนที่ตัวเองยังไม่มีคุณสมบัติ แล้วก็อวดดีไปเพื่อผู้อื่น อวดดีไปทำเพื่อผู้อื่น พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง เพราะฉะนั้นคนที่หลงตัวเอง ไม่เข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้า ก็ทำนอกคำสอน ไปสอนผู้อื่นโดยที่ตนเองยังไม่มี คุณจะไปแจกอะไรกับเขา จะไปให้อะไรแก่เขา คุณมีของตนเองแล้วหรือ คุณจะแจกเนื้อคุณมีเนื้อหรือยัง คุณจะเอาเนื้อมาจากไหนไปเอาเนื้อควายมาแจกเอาเนื้อวัวมาแจก คุณก็ต้องมีเนื้อของคุณเอง แล้วเนื้อของคุณดีหรือเปล่า เนื้อของคุณสะอาดบริสุทธิ์หรือเป็นเนื้อเน่า เป็นเนื้อที่มีพิษ 

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 11:09:54 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:56:17 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:03:12 )

ทำงานกับหมู่อย่างไรให้เป็นอัตตกิลมถานุโยค

รายละเอียด

ไปทำงานแล้วก่อให้เกิดเป็นภัย ร่างกายเจ็บปวด คุณก็ระวังสิ มันทำงานมากไปแล้วมันเจ็บปวด หรือมันถูกอะไรทิ่มแทง ก็ระวัง ถ้ามันเจ็บปวดมันไม่ปกติ มันเกิดแผล เกิดหนักเกินไป คุณก็พัก คุณก็อย่าไปทำให้มันเกิดอย่างนั้น ถ้าไปทำ ใครก็ไม่อยากให้ถึงกับเจ็บปวดเจ็บป่วย ต้องพยายามระมัดระวัง ถ้ามันเจ็บปวดจนจะต้องพักผ่อนก็ต้องพัก อันนั้นก็เป็นความต่อสู้อย่างทรมานตน ถือว่าเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการต่อสู้เพื่อความลำบากที่ไม่ได้สมสัดส่วน มันควรพักก็พัก มันควรเพียรก็เพียร พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างนั้น ควรพักก็พัก ควรเพียร ถ้ามันเห็นว่าไม่ควรจะเพียรต่อ ควรจะพักก็พัก เอาแต่พอเหมาะ เหนื่อยก็พัก อย่าให้มันเกินขอบเขต ถ้ามันเกินขอบเขตก็ถือว่า อัตตกิลมถานุโยค 

ถ้าหมู่ไม่เห็นด้วย เราไปยึดถืออยู่ก็ถือว่าเป็น อัตตา หมู่ส่วนรวมเขาไม่เห็นด้วย ในขณะนั้นเขามีเหตุผลว่าควรจะพักก็ควรจะพัก หรือมีงานอื่น เมื่อหมู่เขาหยุด แต่ถ้าเราเห็นว่าเรายังพอจะทำได้ แล้วหมู่เขาไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ขัดแย้งอะไร คุณก็ทำไป แต่ถ้าเห็นว่าหมู่หยุดแล้วเราก็ควรจะหยุดด้วย เราก็ไปทำอะไรร่วมกับหมู่อย่างอื่นต่อ หรือแม้แต่เขาจะพัก เราก็ไปพักบ้าง ถ้าเผื่อว่าเรายังเห็นว่าเรายังทำได้อยู่นะ ทำคนเดียวได้ก็ทำ หมู่เขาไปหมดแล้วเราทำคนเดียวก็ทำไป 

อันนี้สิ อาตมาว่า มันไม่ถูกหรอก วัดพึ่งพาอาศัยบารมีของวัดด้วย​ ถ้ามีบารมี เงินเข้าวัดก็มีพอเป็นไป มันก็มีอยู่แล้วแต่ละคนๆ มีความพยายามอยู่คนละนิด คนละหน่อย ไม่ถึงกับต้องปลีกตัวเองไปทำงานหาเงินมาเข้าวัด ไม่ต้องหรอก อันนี้ก็ตอบได้แล้วก็ มีความคิดเห็นอย่างนั้นก็ทำไปตามควร จะไปหาเงินบ้างก็แล้วแต่ แต่อย่าไปทำโด่เด่ๆคนเดียว เอากับหมู่บ้าง ชี้แนะมาตลอดทางแล้วจบแค่นี้ 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #35 ที่สุดแห่งที่สุดที่จะเกื้อกูลโลกได้คือโลกุตรธรรม วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 8(2) ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 สิงหาคม 2566 ( 11:47:17 )

ทำงานการเมืองให้แก่ประเทศชาติ

รายละเอียด

อาตมาเกิดมาในชาตินี้ อาตมาถึงภาคภูมิใจ อาตมาไม่ใช่เพิ่งทำได้ แต่ทำได้กับพวกเราชาวอโศกมานานแล้ว จนสามารถพาพวกเราไปกู้ประเทศชาติ ไปเผยแพร่ลัทธิ ทำกินทำแจก ไปทำแจกอยู่กลางถนนเป็นปี ใครมาก็ให้กิน กินแล้วก็หนีก็ไม่ว่า ให้อยู่ร่วมเป็นมวลประชุมประท้วงก็มี กินแล้วหนีไปเฉยๆก็มีเยอะไป ก็ไม่เป็นไร แล้วเราก็มาทำงานให้แก่ประเทศชาติมาประท้วง จนสำเร็จในด้านการเมือง คือประท้วงอย่างถูกกฎหมาย ประท้วงด้วยความสงบ ประท้วงด้วยการไม่มีอาวุธ ประท้วงด้วยความสงบ สยบความเคลื่อนไหว รัฐบาลไม่มีสิทธิ์จะทำงานต่อไปได้เสร็จไปหลายรัฐบาล ด้วยความสงบสยบความเคลื่อนไหวนั้นเป็นผลสำเร็จ นี่คือนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราไม่ได้ใช้อาวุธเลย ไม่ผิดกฎหมายสากล ใช้ความสงบใช้ความจริง ออกมายืนยันประกาศว่าเอ็งผิด ๆๆ ด่าจัดเลยเก่งมาก ด่าเขาสู้แต่ว่าเขาสู้ไม่ได้ สู้ความสงบไม่ได้ สู้ความจริงที่ยืนยันความจริงไม่ได้ ประกาศให้ประชาชนรู้และเข้าใจ ประชาชนก็มีพลังกายวาจาใจมาร่วม จนเกิดพลังรวมที่ยิ่งใหญ่เป็นความสงบเรียบร้อย ราบรื่น พลังความสงบ ขจัดและหยุดพฤติกรรมพวกนั้นสำเร็จไปได้ แต่ก็ยังตีท้ายครัว ยังสะสมอาวุธก็ต้องลอบตามจับกันอยู่ เป็นพวกเศษกากที่เหลือ มันยังไม่ยอมจบเพราะมันยังมีหัวเชื้อมาร ยังมีการให้น้ำเลี้ยงและสร้างอิทธิพลแผ่อิทธิพลมาอยู่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:49:25 )

ทำงานครบ 50 ปี

รายละเอียด

8 พ.ย.63 ถึงจะทำงานครบ 50 ปี

ทำงานมาจนป่านนี้แล้วก็มีคนที่พอเข้าใจรู้ได้แล้วก็เป็นตัวจริงของจริง สิ่งนี้เขาควรสะดุดใจ อาตมาสอนโลกุตรธรรมมาเพียง 40-50 ปีก็ยังมีมนุษย์โลกุตระแต่ละบุคคลจริง  มีอาริยบุคคลจริง มันมีคนลดกิเลสได้จริง กิเลสคือการไม่หลงโลกียะ ละเว้นปล่อยโลกียะ โลกียะคือ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ทิ้งลาภยศสรรเสริญมาจริงๆ วางมา ปล่อยมา ลดมา ไม่ได้มุ่งหน้าไปร่ำรวยแย่งชิงเอาพลังงานในชีวิตเรามามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกคน

แต่ก่อนนี้ 24 ชั่วโมงเป็นฟืนเป็นไฟที่จะไปล่าลาภยศสรรเสริญ แต่ก่อนตื่นเช้ามาจะไปเอาที่ไหนดี ไปหาทางได้ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แต่บัดนี้ สบายๆ ศึกษาไปลดไปเรื่อยๆ แล้วมันก็เกิดความจริงความรู้ที่ลึกซึ้งซับซ้อน แต่ละคนก็ได้มาตามลำดับ แต่ก่อนนี้ลดไม่ได้พร่องไม่ได้ จะต้องเต็มจะต้องรวยด้วยลาภยศสรรเสริญทุกวินาที แต่เดี๋ยวนี้เห็นความหยุดความวางความสงบเป็นความพอดี สำหรับชีวิตนี้มีเหตุปัจจัยที่พอเหมาะพอดี จึงวางไปได้แล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่ม ที่เป็นหมู่กลุ่มที่มีทัศนคติหรือมีสัมมาทิฏฐิ เป็นทิฏฐิสามัญตา ตรงกันร่วมกันก็มา จนกระทั่งมารวมหมู่รวมกลุ่ม มากผู้มากคน ขอฝากชีวิตไว้กับคนกลุ่มนี้ ที่อื่นก็สัมพันธ์ด้วยข้างนอก เราก็สัมพันธ์เราไม่ตัดสัมพันธ์ แต่ชีวิตที่สำคัญอยู่ที่นี่ เป็นตายฝากชีวิตไว้กับคนกลุ่มนี้ จิตจริงๆ มันเป็นอย่างนั้นเลย ...เคยเป็นอย่างนั้นบ้าง (ยกมือครบเลย) ขอบคุณที่ยกมือบอกความจริง คนที่ไม่อยากยกเพราะขี้เกียจมาก หรือ อัตตาใหญ่ ถามหน่อยยกให้ก็ไม่ได้ ขี้เกียจจนกระทั่งระวังเถอะ ระวังแก้วตาขึ้นขนนะ อาตมายังขยัน ยังไม่ขี้เกียจ ยังเต็มใจ ยังสมัครใจ พากเพียร เพื่อที่จะสาธยายธรรมะ แม้ว่าอายุจะมากขึ้นก็ยังไม่อยากจะจบ ยังจะต่ออายุไปอีกเพื่อจะได้สาธยาย เพราะรู้สึกว่ายังน้อยไป โลกุตรธรรมที่ได้พยายามแจกแจง แจกยากจริงๆ หรือไม่ก็แจกหวยเสียเลย  หรือแจกกระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ก็มาเอาแน่เลย อาตมาก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ไปแจก เป็นความซับซ้อนลึกซึ้งที่เป็นสิริมหามายา

ที่มา ที่ไป

วิถีอาริยธรรม บ้านราช จรณะวิชชาที่พาเป็นคนจนอยู่เหนือคนรวย วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 04 พฤศจิกายน 2562 ( 20:25:28 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:59:07 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:04:28 )

ทำงานด้วยความจริงใจ 

รายละเอียด

คือทำงานให้จริงใจ เราเข้าใจยังไง ถูกผิดอย่างไร ผิดเราไม่ทำ เราทำที่ถูก ที่ดี ที่ควร ไม่ต้องประชด อาตมาพูดนี้เป็นปรมัตถ์ เป็นเรื่องจิตเจตสิกที่ละเอียดลึกซึ้ง ในระดับโลกุตระ ไม่งั้นมันจะไม่แล้ว ประชดมันจะเป็นกิเลสเสริม มันไม่สมบูรณ์แบบ มันต้องทำหลายที ถ้าไม่ประชดแล้วทำทีเดียวจบ ทำด้วยความจริงใจ 

1.ไม่ประชด 2. ทำแล้วไม่ต้องไปติดใจ เรามีความสามารถเท่านี้ทำไปได้อย่างนี้ แน่นอนผลก็ต้องออกมาตามความเป็นจริง จะมากหรือจะน้อยมันก็ต้องจริงตามที่เราทำ เพราะฉะนั้นก็ตามจริงเรานี่แหละ ถ้าไปประชดแล้ว การประชดเท่ากับการมีความสะท้อน ความสะท้อนนี้มันไม่จบเลย มันไม่หยุด มันไม่เป็นหนึ่ง มันมี 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 ไปโน่น ซึ่งมันละเอียดขึ้นไปอีก แล้วไอ้ความสะท้อนมันคือความไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าทำไม่ประชด มันจบเป็นหนึ่งเดียวเลย หนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่งคูณหนึ่งเป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่งหนึ่ง หนึ่ง มันจบเลยมันก็คือหนึ่ง สำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาผ่าการเลือกตั้ง 2566  วันพุธที่ 19 เมษายน 2566 แรม 14 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 พฤษภาคม 2566 ( 12:30:27 )

ทำงานด้วยฟังธรรมด้วยทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง

รายละเอียด

เห็นใจมันไม่ง่าย คนที่จะมีปฏิภาณแววไว รู้ทั้งภายนอกภายในพร้อมกันนี้ ไม่ง่าย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ

วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 13:51:28 )

ทำงานด้านนามธรรมเหนื่อยและยากกว่าด้านรูปธรรม

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่า ถ้าจะท้อใจ ก็ขอเลยนะว่า อย่าท้อเลยนะ พลเอกประยุทธ์ อย่างไรอย่างไรก็เห็นแก่บ้านเมือง เห็นแก่สถาบัน เห็นแก่ชาติ แม้แต่ศาสนาพระมหากษัตริย์ก็ต้องเห็นแก่ประชาชนคนไทยดีๆเถิด ทำไปอีก ต้องเหนื่อย พูดจริงๆแล้ว อาตมาว่าพลเอกประยุทธ์ เหนื่อย คุณว่าอาตมาเหนื่อยไหม อาตมาก็เหนื่อยนะ ไม่ได้เหนื่อยน้อยกว่าคุณหรอก แต่อาตมาไม่ได้ไปเหนื่อยอย่างคุณที่เป็นรูปธรรมชัดเจน อาตมาก็มีรูปธรรมอยู่นะ แต่ว่ามันเหนื่อยมากกว่าเพราะนามธรรมนั้นมันยาก มันโควิดขึ้นคอเลยนะ หืดขึ้นคอก็หนัก มะเร็งขึ้นคอก็ยาก แต่นี่โควิดขึ้นคอเลยนะ สู้ไปเถิด ในชีวิตของคนมันต้องต่อสู้กับสัมภาระวิบาก 

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:07:30 )

ทำงานภายในอโศกห้ามนำของมาขาย

รายละเอียด

ชาวอโศกไม่ใช่ว่าทุกคนต่างทำแล้วเอารายได้เข้าส่วนกลางหมดก็ไม่ใช่ ชาวอโศกที่อยู่ข้างนอกก็มี หรือว่ามีตัวอยู่ภายนอกแต่มีบ้านอยู่ภายในก็มี เป็นเครือแห แต่หากมาทำงานภายในมีข้อห้ามนำของมาขาย คุณอยากจะทำของขายต้องไปอยู่นอกอโศก ไปทำที่บ้านของคุณ ถ้าหากจะมารับใช้ภายใน แล้วก็บอกว่าเอาของเข้าไปขายซ้อนไม่ได้ มันเสียทางจิตวิญญาณ หากบอกว่าตัวเองทำฟรีในนี้ แล้วก็ถ้าต่างคนต่างเอาของๆตนมาขาย ใครก็อยากขายของตนเองมันก็จะไม่สงบ มันเป็นสงครามทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ถ้ามาทำในที่นี้ก็ทำให้สมบูรณ์ดี ใครไม่ทำอย่างนี้ก็ไปอยู่ภายนอก ดีไม่ดีอยู่ข้างนอกทำข้างนอกแล้วเอามาฝากขายชาวอโศกได้ แต่คนมาทำงานทุ่มเทตัวตนในนี้ แต่มีเวลาว่างแวะไปทำของตัวเองแล้วเอามาตั้งขาย ทำไมทีคนข้างนอกรับฝากขายได้ เขาก็บอกว่าทำไมชาวอโศกจะบ้าหรืออย่างไร เห็นไหม เป็นเรื่องเข้าใจยาก ถ้าหากเป็นลูกหลานของคนภายในจะเอามาฝากขายก็ยังไม่ได้เลย นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่คิดได้ยาก นี่ขนาดชาวอโศก ถ้าไม่ใช่ชาวอโศกมันจะไหวหรือ มันก็ต้องมีกฎเกณฑ์มีอำนาจบาตรใหญ่ไปควบคุม เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น คนของเราไม่เหมือนกับทางโลก ทางโลกนั้นขึ้นราคาใครชนะได้ก็มาเอา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราชฯ GDP แบบโลกียะกับแบบโลกุตระ วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 04 เมษายน 2564 ( 06:15:59 )

ทำงานมา 40 50 ปีวัดค่าในชาวอโศกมีความสงบสบาย

รายละเอียด

ตอนนี้ดูท่าทีสังคมประเทศชาติ หรือของจังหวัดอุบลฯ เราก็พยายามพัฒนาเพื่อประชาชน เราขอบอกด้วยความจริงใจ ว่าเรามีความสะอาดในจิตใจเพียงพอ ที่จะไม่มีการล่อหลอก ไม่มี Potential ไม่มีอะไรแฝง ซ่อนซ้อนในใจหรอก ไม่มี มันเป็นเรื่องจริงเต็ม ความแท้ถูกต้อง จบแล้วเป็น axiom ที่สมบูรณ์แล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องหลอก ทำได้แค่นี้ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปไม่ใจร้อน แต่ไม่เฉื่อย มีอัตราเร่งแต่ไม่ให้สุขภาพเสีย ทำงานมา 40 50 ปีวัดค่าในชาวอโศกมีความสงบสบายไม่ต้องพิพากษา ไม่ตีรันฟันแทงทะเลาะวิวาท อยู่กันอย่างดี ต่างคนต่างช่วยงานกันไปคนละอย่าง รับหน้าที่กันไป เป็นไปได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบอโศก วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 20:56:41 )

ทำงานรับใช้ ไม่ใช่รับจ้าง

รายละเอียด

คุณเหนือกว่าคุณก็ต้องเสียสละช่วยเหลือสิ แต่คุณกลับไปข่มเขาเอาเปรียบเขา  ดีไม่ดีฆ่าเขาเลย อย่างสงครามที่เห็นๆกันอยู่ในสงครามทุกวันนี้ ฆ่า แล้วไอ้ที่เป็นนายซ้อนกันอยู่ในหมู่ของเขา สั่งการ ให้ลูกน้อง ลูกน้องนั่นแหละกลายเป็นทาส นายคือนายทาส ให้ลูกน้องไปตาย ไอ้นายอยู่ 

อาตมาพูดให้ผิดไหม และมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะ ฉะนั้นผู้ที่สูงกว่าเหนือกว่าต้องมาทำงานรับใช้ ไม่ใช่รับจ้างนะ อาตมาพยายามแยกศัพท์คำนี้อยู่ ไม่ใช่ไปรับจ้าง เอาสิ่งตอบแทนจากคนที่เราไปทำงานให้เขา ไม่ใช่ เสียสละจริงๆเลยเพราะมันเป็นสัจจะ คนเหนือกว่า เก่งกว่า รู้กว่า ฉลาดกว่า อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วยคนที่เขาด้อยกว่า ไม่ใช่ไปข่มไปเบ่งดีไม่ดีเอาเปรียบไปฆ่าทิ้งเลย ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 23 เมษายน 2566 ( 19:10:16 )

ทำงานศาสนาตั้งแต่อายุ 36 ปียังมีฉันทะเต็มที่

รายละเอียด

อาตมาเกิดมาชาตินี้ตั้งแต่อายุ 36 ปี ออกมาทำงานทางนี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ทำงานทางธรรมะ ทางศาสนา จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังมีกำลังใจหรือมีความยินดีเต็มๆ มีฉันทะเต็มที่ จะทำงานนี้ไปอีกตามสังขารร่างกายมันจะอำนวยให้ทำ ได้แค่ไหนก็ทำกันเต็มที่ จนกว่าจะไม่มีกำลัง พอ 5 มิถุนายน ก็จะเต็ม 87 ปีขึ้น 88 ปี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 18:46:35 )

ทำงานศาสนาต้องมีสภาวะจริง

รายละเอียด

อาตมาว่าอาตมามาทำงานศาสนา อาตมามีสภาวะจริงตามที่พูดอธิบายไป อาตมาอธิบายจากสภาวะที่มี ไม่ได้ไปอาศัย ก็อาศัยบ้างเป็นการอาศัยสื่อกลางพยัญชนะที่ท่านแปลกันมา แต่อาตมาก็อาศัยอันนั้นเท่านั้น แต่ขยายความ สาธยายความหมายต่างๆ อธิบายความหมายต่างๆไปตามที่อาตมารู้สภาวะจริงของมันเป็นเช่นใด แล้วก็ขยายสู่กันฟัง พวกเราจึงสามารถที่จะเรียนรู้แล้วก็ปฏิบัติได้ความจริง ถูกสภาวะของจริง ที่เป็นกิเลสของคนนี้แหละ รู้จริงปฏิบัติจริงได้ จึงลดกิเลสได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ชาวอโศกคือชุมชนบุญนิยมที่มีมรรคผลจริง

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่สันติอโศก


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:01:19 )

ทำงานศาสนามาเกือบ 50 ปี ผลยังไม่มีฤทธิ์เท่าโควิดเลย

รายละเอียด

พฤติการณ์ต่างๆที่เราเป็นมาแล้วมีเหตุการณ์โควิดเข้ามาเป็นตัวแปร อาตมาว่าได้ทำงานทางศาสนามาเกือบ 50​ ปีแล้ว ผลยังไม่มีฤทธิ์เท่าโควิดเลยที่มันมาชั่วคราวมีฤทธิ์มากเพียงไม่กี่เดือน ทำให้เห็นถึงสภาพที่อธิบายเก่ง ทำให้สังคมรู้สึกตัว สังคมได้ฉุกคิดต่างๆ ว่าอะไรสำคัญที่สุด ทำให้เตือนให้รู้ว่าสุขภาพกับอิสระจะเอาอะไร เขาเอาความอิสระจนกระทั่งสุขภาพจะตาย(ห่า) ก็ช่างมัน ขอเอาอิสระ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ทำให้เห็นว่าคนมีความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้แสดงออกให้เห็น

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 20 มิถุนายน 2563 ( 13:25:32 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:57:10 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:04:57 )

ทำงานหลายอย่างโดยให้มีสติสัมโพชฌงค์ต้องทำอย่างไร

รายละเอียด

อีกอย่างหนึ่งประเด็นที่คุณถามก็คือ เมื่อมีงานหลายอย่างสติตกไป อันนี้ก็คือจะต้องกำหนดให้เป็นหนึ่ง กับสิ่งที่เรากำลังมีเจตนามุ่ง สัมพันธ์กับสิ่งใด สัมพันธ์กับสิ่งนั้น มีเจตนากับสิ่งนั้น กำลังจะประกอบการ กำลังจะปรุงแต่ง กำลังจะทำงาน เป็นกรรมกิริยานั้นๆ อย่าให้อันอื่นมากวนมากมาย อย่ากระจายฟุ้งซ่านไปกับอันอื่นมาก บางทีเขาเรียกว่า รวบรวมสมาธิ สมาธิก็ หมายความว่า ให้เป็นหนึ่ง ในความหมายที่เขาพูดกัน ที่จริงสมาธินั้นมีความหมายอีกเยอะ สมะ กับอธิ ก็เป็นสมาธิ สมะคือความเหมาะสมที่สุด อธิคือเจริญที่สุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 31 ที่สันติอโศก

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม 2564 ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 21:02:29 )

ทำงานเอารายได้ไม่พ้นมิจฉาชีพ

รายละเอียด

คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้วจะไม่ไปเป็นกระฎุมพี ที่จริงแล้วเศรษฐีเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่จะทำงานให้แก่สังคมแก่โลกอย่างเสียสละ ไม่เอามาให้แก่ตัวเองเลย สุดยอดเศรษฐี ชีวิตสูญ สูงสุดถึง ไม่เอาลาภแลกลาภ ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานแล้วไม่เอาสิ่งแลกเปลี่ยนเลย หากยังทำงานเอารายได้ไม่พ้นมิจฉาชีพ พระก็ไปเทศน์เอาเงินเอาค่าเทศน์เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561


เวลาบันทึก 30 ธันวาคม 2563 ( 17:30:18 )

ทำงานเอาเข้ากองกลางมุบมิบเป็นบาป

รายละเอียด

พวกเราบางคนก็ยังไม่เข้าใจแต่เราทำได้ อาตมาพามาทำได้สำเร็จแล้ว คือทุกคนมาทำงาน ล้วนรู้ดีว่า เอาเข้ากองกลาง ทุกคนไม่ได้รับส่วนได้ส่วนแบ่งอะไรเลย นอกจากใครจะมุบมิบก็เรื่องของใครของมัน ถ้ายิ่งมุบมิบเอาของส่วนกลางไปเป็นของส่วนตัวก็บาปใครบาปมัน เขาก็ทำไป ซึ่งก็คงจะมีบ้างแน่นอน ก็พ้นกรรมวิบากไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ ก็เป็นวิบากของใครของมันซึ่งไม่มีใครจะจัดสรรได้ นอกจากกรรมเป็นของตนเอง อันนี้ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย มันก็ต้องมี Error บ้าง แต่ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์อยู่ในนี้สบาย ทำงานเอาเข้ากองกลางแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แม้แต่เงินทองไม่ต้องใช้ ไปเบิกเขาให้บ้างไม่ให้บ้าง ได้เท่าไหร่ก็ใช้ ข้าวมีกินดินมีเดิน พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน ส่วนบุญต่างคนก็ทำให้สำเร็จของตน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯ  ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน สาธารณโภคี สิ่งมหามหัศจรรย์สูงสุดของมวลมนุษยชาติ


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 17:20:13 )

ทำงานแบบไม่มีปิติ

รายละเอียด

คุณไปช้า อืดเข็นอืด ไม่มีปิติ มันก็จะฝังรากอยู่ตรงนั้นเคลื่อนไม่ออก ปิติ เป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี 

ถ้าเผื่อว่าคุณไม่มีปิติขับเคลื่อน คุณทำอะไรก็ไม่ไปไม่เจริญ 

สติ ธัมมวิจัย วิริยะ  เป็นสามเส้า ที่คุณต้องพากเพียรแยกแยะให้ได้ แยกแยะได้ คุณก็จะเข้าใจ คุณก็จะเห็น คุณก็จะรู้ คุณก็จะเจริญ คุณก็จะมีความดีใจเป็นปิติ

ปิติ เป็นอาหารตัวที่จะกระตุ้นให้เกิดการเดินอยู่เสมอ 

คนที่แห้งเหี่ยว ไม่ตื่นเต้น ไม่มีปิติ ก็มีแต่จมกับจม จมมากเข้าก็เน่า ไม่เน่าก็แห้ง ๆ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 02 มกราคม 2563 ( 15:18:19 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:58:08 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:06:44 )

ทำงานแล้วละตัวตนอย่าเอาแต่ใจตัวเอง

รายละเอียด

ขณะนี้พวกเราอยู่ในหมู่ไม่ได้ออกไปไหน ทำแต่งานภายในเรา งานภายในเราก็มีไม่น้อยที่จะช่วยกันคนละไม้คนละมือ ส่วนนั้นส่วนนี้ ก็ขอบอกอย่างหนึ่งว่า พยายามทำงานแล้วละตัวตน ขอเตือนอย่างสำคัญเลย การเอาแต่ใจตัวเอง แหม! พวกเราก็ขี้เกรงใจกัน ใครจะเอาแต่ใจตัวเองก็ไม่กล้าจะไปบอกไปเตือนกันหรอก ก็ปล่อยกันทำไป แม้แต่อาตมาเองอาตมายังเกรงใจเลย เพราะคนมาทำงานในนี้ทำงานฟรี ทำงานให้แก่ส่วนกลางให้แก่หมู่ หรือ อาตมาร่วมอยู่ในนี้ด้วย ก็เกรงใจ เพราะเขาทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่มีรายได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม  จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:40:43 )

ทำงานโดยไม่ต้องมีตำแหน่งแต่ทำไปในระดับ born to be อย่าไปกดความจริงที่ดีไว้

รายละเอียด

อาตมาอธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าละเอียดลออมากมายไม่ใช่ธรรมดา ที่จะเป็นผู้อธิบายธรรมะละเอียดลอออย่างนี้ได้ นี่พูดด้วยความจริงและจริงใจ ซื่อๆด้วย ไม่ได้มาชมตัวเอง อะไร ใครจะหาว่าชมตัวเองก็แล้วแต่ จะไปกดความจริงที่ดีทำไม ก็โง่ตาย ความชั่วต่างหากต้องถูกข่ม ความดีจะไปข่มทำไม เพราะงั้นอาตมาก็แสดงธรรมไป พิสูจน์ตัวเองไป 

ศาสนาโลกีย์นั้นมีมากมาย แต่ศาสนาโลกุตระนั้นมีศาสนาเดียว มีพระพุทธเจ้าที่จะมาประกาศในแต่ละกัป พุทธกัป ของพระสมณโคดมนี้ก็จะมีอายุ 5,000 ปี มาถึง 2,500 ปีนี้เสื่อมชัดเจน ครึ่งพุทธศตวรรษ อาตมาต้องมาฟื้นคืน  ก็บอกชัดเจนว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา ก็ไม่มีใครกล้ามายืนยันว่าเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมานี่ อาตมาก็ไม่ได้เรียนจากสำนักนั้นสำนักนี้ มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง หรือมีครูบาอาจารย์ ก็ไม่ได้เรียนจากสำนักไหน อาตมาเป็นคนไม่มีสำนัก ไม่มีครูบาอาจารย์ แล้วอาตมาก็มาประกาศตนเอง 

ซึ่งอันนี้แหละในหนังกำลังภายในเขาก็ยากที่จะพูดได้ชัดเจน ว่า เป็นผู้ที่ สยังอภิญญา ไม่มีครูบาอาจารย์ หนังกำลังภายใน เขาก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอย่างที่อาตมาพูดแล้วแสดงตัวจริงๆ เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่มีสำนัก ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง  ไม่มีครูบาอาจารย์ เขาไม่มีศัพท์คำว่า  สยังอภิญญา ที่เป็นผู้รู้ด้วยตัวเองข้ามชาติมา คนสร้างหนังกำลังภายในยังไม่มีความรู้โลกุตระ

อาตมาทำได้ในระดับ born to be ในระดับอาตมา 

ในหลวงก็ทำได้ระดับ born to be ในระดับในหลวง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ

วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 13:45:42 )

ทำจรณะได้ก็เกิดจะเกิด ฌาน เกิดปัญญา ตกผลึกเป็นสมาธิ

รายละเอียด

ก็ทวนต่ออีก อาตมาอธิบายไปจนถึงอัมพัฏฐมานพ ทบทวนว่าไป ก็ลงที่ว่าจรณะและวิชชา เป็นอย่างไร ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุผู้ปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยจรณะบ้าง ผู้ถึงพร้อมด้วยทั้งวิชชาและจรณะบ้าง อันวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอย่างอื่น ซึ่งดียิ่งกว่าหรือประณีตกว่านี้ไม่มี.จรณะนั้น ผู้ที่ทำได้ก็เกิดจะเกิด ฌาน เกิดปัญญา ตกผลึกเป็นสมาธิ คนจะเข้าใจสมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ง่าย เข้าใจว่านั่งหลับตาทำสมาธิแบบนั้นสะกดจิต แบบนั้นเป็นสมาธิตื้นมาก แต่สมาธิ ของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แม้แต่ฌานก็เป็นเรื่อง อจินไตย สมาธิ เป็นเรื่องพุทธพิสัย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 15:02:12 )

ทำจิตของตนให้เป็นอย่างพืชได้สำเร็จ จึงไม่สร้างวิบากต่อไป

รายละเอียด

จิตที่เป็นจิตพืชไม่สามารถสร้างวิบากต่อไป ในรายละเอียดเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านสะอาดบริสุทธิ์รู้รอบถ้วนครบ จึงบอกแก่พวกเราผู้ที่ศึกษาตาม อาตมาเป็นโพธิสัตว์เข้าใจสิ่งเหล่านี้เอามาบอกให้ทราบ แล้วให้พวกเราไปเรียนรู้ถึงสภาวะจิต ที่มันมีอาการอย่างนี้ สภาพที่ต้องไปเกี่ยวข้องสภาพที่ไปดูดไปผลักต่างๆก็รู้ได้ด้วยตนเอง เราจึงสามารถที่จะรู้สภาวะของธาตุ อุตุ ธาตุพีชะที่มีดูดมีผลักบ้าง พีชะก็มีดูดมีผลักบ้าง แต่ไม่ได้รุนแรงเหมือนจิตนิยามก็รู้ขนาดของพืช จึงทำจิตของตนให้เป็นอย่างพืชได้สำเร็จ จึงไม่สร้างวิบากต่อไป จิตที่เป็นจิตพืชไม่สามารถสร้างวิบากต่อไป แต่จิตที่เหลือที่เป็นพลังงานจิตนิยามนั้นมันก็เลยมีแต่ความสะอาดประเสริฐ ก็ช่วยทำงานทำกรรมกิริยาเป็นประโยชน์ได้หมดเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 10:00:07 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 03:59:38 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:07:21 )

ทำจิตนิยามให้เป็น 0 เป็น 1 ได้อย่างไร

รายละเอียด

ทำให้สงสัยว่าปลูกแบบไหนหนอ เหมือนชาวอโศกอย่างไร นัยยะคำว่า ต่างกันหรือเหมือนกันนี่แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด เทวนิยมแตกต่างจากพุทธ หรือแตกต่างจาก อเทวนิยม อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นธรรมะ 2 อย่าง จะมีความไม่เหมือนกัน แม้แต่ปรมาณูเล็กนิดที่สุด 2 ปรมาณู 2 หน่วยก็ต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างในความต่างกัน แล้วทำให้เกิดปัญญา แล้วทำให้รู้ว่าทำอย่างไรมันจะลงเป็นหนึ่งเดียวกัน ความต่างกันมันต่างกันตรงไหน ขจัดความที่ไม่ลงกันไปให้ได้ จนลงกันเป็นหนึ่งเดียว นี่คือความหมายยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ พอเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วก็เป็นนิพพาน จบ 

เช่น สุขทุกข์มันเป็น 2 แต่ประเด็นของความยิ่งใหญ่ก็คือ สุขทุกข์นี้มันต้องต่างกันแน่สวรรค์กับนรก ต่างกันแน่ แต่มันเป็นมายาของจิต จิตนิยาม มันไม่ฉลาดพอ เห็น 2 ยังเป็น 2 อยู่ แต่ก็เลือกชอบ 1 คือชอบสุข ไม่ชอบทุกข์ แล้ว 2 นี้มันแยกไม่ออก แยกอย่างไรก็แยกไม่ออก ในความเกิด ความเกิดจะมี 2 ทั้งนั้น มีสรีระกับจิตวิญญาณ มีรูปกับนาม มีนามกับรูป เพราะมันจะมีธาตุรู้กับอีกสิ่งหนึ่งเป็นสังขาร ดินน้ำไฟลมปรุงแต่งกับธาตุรู้ที่เรียกว่ารูปกับนาม มันแยกไม่ออก ถ้าแยกออกก็ตายชั่วคราว ก็ไปหาเอา 2 ใหม่ ถ้ายังไม่ทำให้เป็น 1 ได้เด็ดขาดเป็นอรหันต์ ที่สุด 1 กับ 0 ก็เป็น 2 หน่วย 2 อย่าง ต่างกันนะ 1 กับ 0 ทำ 1 ให้เป็น 0 ได้อีก ตอนนี้เราก็เด็ดขาดเลย จบ เป็นอรหันต์เลย 

เพราะฉะนั้นถ้ายังมีอยู่ก็ยังเป็นหนึ่ง แต่ทำ 0 ให้กับตัวเองในจิตวิญญาณได้ เมื่อทำ 0 ได้แล้วก็สามารถแยกจิตนิยามให้เป็น 0 ได้เลย ถ้าแยกแล้วแยกเลยนะ แยกจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมเป็น 0 โดยการตายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายแล้วตายเลย ถ้าผู้นั้นตายไปเป็นปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ทำจิตนิยามให้เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 40 ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4 ประการ

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2565 ( 13:44:46 )

ทำจิตวิญญาณให้เป็นอนัตตาได้จริงๆ ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า!

รายละเอียด

ว่า“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”ไม่มีอยู่ในโลกในจักรวาลไหนๆ

กันอีกแล้ว 

“วิญญาณ”เป็น“อนัตตา”จริงๆ

“จิตวิญญาณ”หรือ“อัตตา”ของใคร “เจ้าของวิญญาณ”นั้น

ก็สามารถปฏิบัติจนสามารถสลาย“จิตวิญญาณ”ของตนให้สลาย

เป็น“อุตุธาตุ”

หมดความเป็น“ชีวะ” สิ้น

หมดแม้แค่ความเป็น“พีชนิยาม”ก็ไม่มี  

ไม่เหลือ“ธาตุที่เป็นชีวะ”อีกแล้ว 

แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมอากาศ“อุตุ”ไปหมดสิ้น 

“อัตตา”ของตนก็หมดสิ้นไป!

“จิตวิญญาณไม่ใช่“อัตตา” ไม่ใช่“อาตมัน” 

ไม่ต้องไปอยู่กับ“พระเจ้า”นิรันดร ดังที่“เทฺวนิยม”เชื่อกัน 

ซึ่งเขายังไม่สามารถรู้ว่า “จิตวิญญาณ”นั้นเป็น“อิสระ”ที่สุด เป็น“อนัตตา”แท้ๆ

หนังสืออ้างอิง

หนังสือรวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 205 หน้า 171


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2564 ( 11:01:53 )

ทำจิตอย่างไรไม่ให้เป็นกาย

รายละเอียด

ถ้าคุณเองยังไม่เข้าใจว่าเมื่อใดเป็นการเมื่อใดไม่ใช่กาย จะไม่เป็นกายคือ คุณต้องทำความไม่สุขไม่ทุกข์ไม่มีเวทนาสุขทุกข์ คุณเป็นอุเบกขาคุณมีจิตฐานนิพพาน จะไม่มีภาวะ 2 ไม่มีภาวะสุขทุกข์ ไม่มีภาวะชอบชัง ไม่มีภาวะผลักไม่มีดูด ไม่มีคู่เป็นภาวะเดียว อาศัยมันเฉยๆกลางกลางอุเบกขา ข แปลว่า ว่าง…สุ แปลว่าดี สุข แปลว่า ว่างนี่แหละดี อาตมาก็ขยาย อุเบกขามาก่อน แต่วันนี้ไม่ขยาย จะมากเรื่องไป

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 11:43:35 )

ทำจิตเจตสิกให้เป็นพีชะและอุตุได้ตั้งแต่เป็นๆ

รายละเอียด

ฉะนั้นทำจิตเจตสิกให้เป็น พีชะ มันจึงเป็นพลังงานธาตุรู้ที่ปลอดภัย ไม่ก่อเวรก่อภัย ไม่ก่อวิบากอะไรที่จะต้องอยู่ในวัฏฏสงสารอีก เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านครบบริบูรณ์อยู่ในนี้ 

จนสามารถแยก พีชะ ให้เป็นอุตุได้อีก ก็ยิ่งไม่เป็นชีวะเลย เป็นดินน้ำไฟลมไปได้จริงๆ ชัดเจน ตัวเองศึกษาฝึกฝนตั้งแต่เป็นๆ ที่เราไปยุ่งเกี่ยวกับโลก ไปวนอยู่กับ ไปเป็น ไปมี ไปเกิด ไปได้ อย่างที่เขาเป็นกัน อยู่ในองค์ประกอบนั้น เหตุปัจจัยนั้น ในโลกที่เป็นโลกต่ำๆโลกหยาบๆ โลกที่จะร่ำรวยเป็นต้น มันก็ต้องไปหาวิธีการแย่งเขาอย่างสุจริต ไปแย่งเขาอย่างทุจริตมันก็เลวๆๆ แล้วจะให้ได้มากด้วย มันก็ก่อกรรมก่อเวร จะเอาไปทำไมตายไปแล้วก็ 0 ถ้าชัดเจนตายแล้วเราจะปรินิพพาน สูญเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แล้วจะเอาไปทำไม ก่อเวรภัยก่อข้าศึก ก่อศัตรูผู้ที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ทั้งดูดทั้งผลัก ทั้งรักทั้งชังอยู่ตลอด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  วิธีจบนิยาม 5 จบนิยายของตนอย่างนิรันดร วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤษภาคม 2564 ( 05:10:02 )

ทำจิตเป็นพระพรหมอย่างไร

รายละเอียด

หากจะอยู่กับโลกเขาต่อไปเราก็ทำจิตเป็นพระพรหม มีเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา เป็นพรหม 4 หน้า

พรหมวิหาร 4 (ที่อยู่ของจิตพระเจ้า หรือ.. อัปปมัญญา 4)  

1. เมตตา (ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข) 

2. กรุณา (ลงมือสร้าง-ช่วยให้เขาพ้นทุกข์) 

3. มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี-พ้นทุกข์) 

4. อุเบกขา (เป็นฐานอาศัย วางใจเป็นกลาง  ไม่ติดยึดว่าเป็นความดีของเรา  หรือผลสำเร็จนั้นเกิดจากเรา)    (พตปฎ. เล่ม 35   ข้อ 741) 

 เมตตาเป็นอย่างไร กรุณาเป็นอย่างไร มุทิตาเป็นอย่างไร อุเบกขาเป็นอย่างไรพยัญชนะเรานั้นสภาวะเป็นอย่างไร ของอาการจิตเราก็เรียนรู้พลังงานอาการจิตต่างๆ จนทำถูกต้อง ทำเป็นทำได้ เราก็ทำตามภูมิรู้ไปตามลำดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:55:17 )

ทำจิตแบบเดียรถีย์ทำจิตผิดทาง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจกายที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เข้าใจการแยกกายแยกจิตเป็นธรรมนิยาม 5 จะไปปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เรียนรู้ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม มีแต่ภาษากับทำจิตแบบเดียรถีย์ทำจิตผิดทาง มนสิการแบบออกนอกลู่นอกทางหมด 

เพราะไม่เข้าใจว่ากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตนั้นไม่ได้แยกกันเลยนะ มันจะเป็นปฏิสัมพัทธ์ต่อเนื่องกันจากภายนอกแล้วเข้าไปภายใน เป็นภายในก็จะกลายเป็นตัวที่คุณจะรู้ต่อก็คือเวทนา แล้วเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา ก็คือจิตที่เราจะต้องแยกออกเป็นเจโตปริยญาณ 16 อ้อ..

จิตเจตสิกต่างๆ มันแบ่งมันแยกออกมาเป็นกิเลสปลอมตัวมา เหมือนมันมาเป็นเจตสิกแต่มันก็ไม่ใช่ เหมือนจะมาเป็นจิตแต่มันก็ไม่ใช่ แต่มันปลอมมาสนิทเนียนเหลือเกินเป็นกิเลสครอบครองตัวเรามาตั้งแต่เราอวิชชายังไม่ได้ศึกษาธรรมะ จนมาพอรู้ว่าอย่างนี้เอง 

แล้วก็เรียนรู้ตั้งแต่ตัวที่มันหยาบ รู้ง่าย ขจัดไปขจัดไป คุณก็จะได้บันได ในการที่จะเรียนรู้ตัวกิเลสในจิตสูงขึ้นๆ ตัวยิ่งเก่งยิ่งเล็กยิ่งละเอียดคุณก็จะจับมันได้ เอาตัวหยาบก่อน ตัวโตๆที่มันง่ายๆที่มันไม่เก่ง ไม่วิจิตร เอาตัวหยาบนี้ก่อนให้หมดไปหมดไปจนกระทั่งเจโตปริยญาน 16 

คุณทำได้คุณก็เกิดโลกุตรธรรมเป็นธรรมะในธรรม จากโลกียะเป็นโลกุตระ จากโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ไป หรือยิ่งแยกเป็นโพธิปักขิยธรรม ก็เป็นโลกุตรธรรมตามองค์ธรรม 37 องค์ประกอบแล้วก็มีขั้นมีชั้น แบ่งง่ายๆเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 วันนี้วันเสาร์ที่ 8 เมษายน 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2566 ( 13:23:35 )

ทำจิตในจิต มนสิการให้มันเป็นพืชให้ได้ให้เป็นอุตุให้ได้ ถ้าคุณทำไม่ได้คุณไม่ได้เป็นพระอรหันต์

รายละเอียด

คุณแยกกายที่เป็นอุตุ กายที่เป็นพีชะ กายที่เป็นจิตแล้ว คุณจะทำจิตคนที่นั่งทุกคนให้เป็นพืชหรือเป็น อุตุ ….เป็นจิตที่เราต้องเรียนรู้ จิตในจิต แล้วทำจิตในจิต มนสิการให้มันเป็นพืชให้ได้ให้เป็นอุตุให้ได้ ถ้าคุณทำไม่ได้คุณไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่เป็นความรู้ที่ย่นย่อสรุปเข้าเป้า การไปนั่งหลับตาไม่มีผัสสะพวกนี้น่าสงสารน่าเวทนา ออกนอกทิศทางศาสนาพุทธไปไกล พวกที่นั่งหลับตาจะสะดุ้งสะเทือนหรือไม่ อาตมาพูดก็แสนสงสาร ขอย้ำอีกที ตีหัวทิ้งเลย ไอ้นั่งหลับตานี้ ขออภัย มันชักเฟื่องว่าใช้ภาษาในใจว่า kick it out เลยนะ เรียกว่า ดีดออกไปได้เลย ดีดทิ้งไปได้เลยนั่งหลับตา ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนานั่งหลับตาเลย นั่งหลับตาก็หมดความเป็นกาย หากเข้าใจผิดอีกว่ากายคือภายนอกอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับจิตก็มิจฉาทิฏฐิสมบูรณ์แบบเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันอังคารที่่ 9 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 19 กรกฎาคม 2563 ( 09:59:23 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:00:03 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:07:52 )

ทำจิตให้มีอาการเป็นอุตุธาตุทำอย่างไร

รายละเอียด

เรื่องนิพพาน เพราะความเป็น“นิพพาน”นั้น ต้อง “ทำใจในใจ(มนสิกโรติ)” คำว่า มนสิกโรติเป็นคำกริยา มนสิการเป็นคำนาม คือการทำใจในใจ ก็คือ 

ต้องทำใจในใจของตนให้แยกเป็น“อุตุธาตุ”ได้จริง ต้องแยกจิตของเราเองในขณะที่ยังเป็นนี่แหละ แล้วเราก็ทำจิตของเรานี้ให้มันมีอาการเป็นอุตุธาตุเลยนะ 

อุตุ คือธาตุพลังงาน หรือสสาร วัตถุ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีเวทนา ย้ำ ไม่มีความรู้สึกและไม่มีเวทนา พอมาเป็นพีชะ ทำอีก ทำจิตในระดับเป็นพีชะ เป็นชีวะนะ ถ้ายังเป็นอุตุ ไม่เป็นชีวะ ถ้าเป็นพีชะ เป็นชีวะ กำหนดรู้ มีสัญญา มีสังขาร แต่ไม่มีความรู้สึก หรือเป็นจิตก็ครบเลย มีทั้งความรู้สึก มีทั้งความรู้ มีชีวะสมบูรณ์แบบนะ นี่คือทำได้ ทำกรรมได้ 

มันจึงจะ“ดับ”ความเป็น‘ชีวะ”สิ้นไปจาก“จิตในจิต”และจาก“กายในกาย”ได้จริงแท้ตั้งแต่เรายังเป็นๆ หากทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุนิพพาน 

เพราะฉะนั้น ผู้ที่แยกกายเป็นอุตุได้จริงๆ  มันจึงจะดับ คือถ้าทำจิตให้เป็นอุตุได้เป็น(ทำได้ ทำเป็น) จึงดับความเป็นชีวะ ทำเป็นอุตุนี้ดับความเป็นชีวะสิ้นไปจากจิตในจิตของเรานี้ ทำธาตุจิตของเราเองนี้ให้มันเป็นอุตุธาตุ  ไม่เป็นชีวะ และสิ้นไปจาก“กายในกาย”ได้ ทำจิตอย่างนี้ จาก”กายในกาย” จากที่เรากำลังเกี่ยวข้อง “กาย มีภายนอก แล้วในกายมีภายใน” ในขณะที่มีทั้ง 2 สภาพนี้ มีอาการเวทนา-สัญญา-สังขาร แล้วเราก็ทำให้มันไม่มีเวทนา(เวทนาในเวทนา) หรือแม้ที่สุดเวทนาก็ไม่มี เป็นอุตุ เป็นพีชะ 

อุตุไม่มีเวทนา พีชะก็ไม่มีเวทนา เป็นจิตจึงจะมีเวทนา พีชะมีแต่แค่สังขารกับสัญญา อย่างนี้เป็นต้น หากทำไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุนิพพาน 

เห็นไหมว่านิพพานไม่ใช่ง่ายๆตื้นๆ ที่นั่งหลับตาสะกดจิตแล้ว ปึ๊ง เหมือนกับมหาบัว ไม่มีกาย แม้แต่กามก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังติดกามอยู่เบอะๆเลย อะไรอย่างนี้ หรือแม้แต่อัตตาก็ยัง โอ้โห! ตอนนี้เป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าเงินคงคลังของประเทศชาติไว้ อยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้พูดความจริงนะ อาตมาไม่ได้พูดเล่น 

เพราะฉะนั้น กาย หากทำไม่ได้ ทำไม่เป็นแล้ว ก็หมดสิทธิ์ที่จะบรรลุนิพพาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 16:11:04 )

ทำจิตให้หมดกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด จึงเป็นอุเบกขาแท้

รายละเอียด

ดี ถ้าคุณเชื่อว่า กิเลสมันไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยงของกิเลส ดี คุณจะได้ไม่กลัว จะได้มีกำลังใจ กิเลสมันไม่เที่ยงหรอก อย่าไปกลัวมัน เอาให้มันตายให้ได้ เอาให้มันหมดเกลี้ยงไปจากจิตเลย กิเลสมันไม่เที่ยงหรอก เป้าใหญ่เลย สุขทุกข์นี้ โลกุตระคือสุข-ทุกข์ คุณอ่านเวทนาให้ดีให้จริงเลย ทุกขเวทนา สุขเวทนา โสมนัสเวทนา โทมนัสเวทนาและอุเบกขาเวทนา อ่านอาการที่มันอยู่ในระดับ 5 นี้ให้ชัด จนกระทั่งจิตของคุณเป็นอุเบกขา จิตคุณไม่มีโสมนัส-โทมนัสเลย เที่ยงด้วย แข็งแรง ไม่แวบวาบ

หลับตาไม่รู้ความเป็นจริงของสุขของทุกข์ เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจโสมนัส โทมนัสที่ถูกต้องไม่ได้ ก็เดาทั้งนั้น สุขทุกข์มันเป็นตัวรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางทวารภายนอก แล้วไม่มาเรียนรู้ความจริงทางทวารภายนอก เพราะฉะนั้นก็หลงงมงายอยู่ ก็ไม่รู้ตัว จนกระทั่งรู้ตัวแล้ว แต่มันติดแล้ว ออกไม่ได้เหมือนอย่างมหาบัวติดหมากติดพลู 

อาตมาเคยพูดหลายทีแล้วว่ามหาบัว อาตมาไม่เชื่อว่าไม่รู้ว่าตัวเองเสพติด แต่มันติดจนกระทั่งไม่รู้จะทิ้งอย่างไร ก็ต้องหลอกคนอื่นต่อกลบเกลื่อนว่า มันเป็นเรื่องของธาตุขันธ์ มันไม่ได้เกี่ยวกับกิเลสอะไร กิเลสแค่นี้ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลสเสพติด คิดดู พวกคุณพอเข้าใจไหม แค่ติดสิ่งเสพติดขนาดนี้ ใครเคยกินหมากบ้าง ไม่ใช่เสพติดหรือเปล่า ไม่ได้เสพแต่ไปกินเล่น ไปกินลองเฉยๆก็ไม่มีปัญหา แต่เสพติดจนกระทั่งต้องเลิก ต้องละออก มันเป็นเป็นสิ่งเสพติดเหมือนคนเสพติดยาเสพติดทุกวันนี้ ไม่ใช่จะออกได้ง่ายๆนะ แต่นี่หลอกคนอื่นต่อเลย อาตมาถึงบอกว่าอาตมาไม่เชื่อว่ามหาบัวไม่รู้ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสของหมากพลูนี้เป็นสิ่งเสพติด อาตมาไม่เชื่อจริงๆ ไม่ใช่ไม่ฉลาดนะ มหาบัว ถ้าจะยืมคำว่าฉลาดไปใช้ อาตมาว่าจะอธิบายคำว่าฉลาดอยู่ แต่มหาบัว ไม่มีความฉลาด ฉลาดนี้ขอยืมไปใช้เฉยๆ เฉลียวก็ได้ ไม่ได้รู้ในทวาร 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในสิ่งเสพติดเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กามคุณ 5 ไม่รู้จักว่าเสพติดอยู่นี่ คือคนไม่ฉลาด คนไม่มี ฉฬายตนะ มีแต่จิตโง่ๆ เดี่ยวๆ เท่านั้น เหมือนเทวนิยมรู้หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่เรียนรู้ฉฬายตนะเลย

เพราะฉะนั้นความรู้เทวนิยม ทางตะวันตก ไม่มีความฉลาด มีแต่ ความรู้เฉกะ หนึ่ง เฉกะ เอา หกไปดองเค็มเป็น เอก เป็นเฉกะ ขี้โกง เทวนิยมนะ เหลือหนึ่งเดียวเป็น เอกะ เทวนิยมไม่มีฉฬายตนะ  แล้วเป็น เฉกะ แล้วเรื่องความสุขความทุกข์นี่แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ให้เข้าใจเลยว่ามันเป็นตัวมายา หลอก สุขมันไม่มี ทำจิตให้ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่เอร็ดอร่อย ไม่บวกไม่ลบ ไม่โสมนัสโทมนัสได้ 

ความสุขความทุกข์คืออันเดียวกัน เป็นผีหลอก มันเป็น 2 หน้า ที่จริงมันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นมายาผีหลอก เพราะฉะนั้นคุณเอามันออกหมดเลย ความสุขก็ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มี มันจึงจะเป็นผู้ที่ไม่มีสอง ไม่มีผี ไม่มี 2 หน้า ถ้าทำใจเป็นอุเบกขาแต่ไม่รู้จักกิเลสจริง มันก็ไม่บริสุทธิ์ ต้องทำใจให้ลดกิเลสที่เป็นเหตุ หยาบ กลาง ละเอียด หมดไป จิตมันจะเป็นอุเบกขา ไม่ใช่ไปทำอุเบกขาคือวางเฉยๆ เป็นกดข่ม แต่เรียนรู้จิตให้เป็นฌาน แล้วก็อ่านกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมดเลย จนกิเลสมันไม่มีแล้ว ละเอียดจนแม้แต่สุขทุกข์น้อยๆ โสมนัสโทมนัสน้อยๆ อาตมาเคยอธิบายว่า มันเกือบหมดแล้ว มันไม่มีกับมันมีนิดหนึ่ง มันต่างกันน้อยมาก มันยากที่จะแยกออกจากกันว่ามันมีน้อยกับหมด เห็นไหม มันเทียบ แล้วเราจะรู้ของเราเอง 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญาต้องเกิดในปัจจุบัน จึงรู้เท่าทันเทวทัตยุคดิจิตอล วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 ตุลาคม 2566 ( 17:31:29 )

ทำจิตให้อยู่เหนือประสาท

รายละเอียด

แต่ของพระพุทธเจ้านี้ชัดเจน เพราะฉะนั้น เมื่อฟันของคุณที่คุณฉลวยถามมา มันหลุดออกไปแล้วมันก็หมด มันไม่มีทุกข์แล้ว คุณทำให้เป็นอุตุไปเลยได้ แต่ถ้ามันยังไม่ออกไปมันยังอยู่ในประสาทยังเกี่ยวข้องกันอยู่ แต่เราทำจิตของเราให้อยู่เหนือประสาท สามารถทำความรู้สึกหรือจิตวิญญาณเหนือประสาท เหนือคือ แม้มันจะกระทบสัมผัสอยู่  มันอยู่ในประสาทนะ ยังอยู่ในชีวิตของเรานะ ฟันก็ตาม เล็บก็ตาม ขนก็ตาม หนังก็ตาม 

เมื่อกระทบสัมผัสอยู่แล้วมันก็ไม่รู้สึกเจ็บรู้สึกปวด ไม่รู้สึกทุกข์ไม่รู้สึกสุขอะไร กระทบสัมผัสก็เฉยๆกลางๆ จะกระทบสัมผัสเสียดสีอย่างไรก็เฉยๆกลางๆ กระทบแล้วก็เจ็บ กระทบเบาๆก็ไม่เป็นไร กระทบแรงๆมันก็เจ็บ ไม่ได้เจ็บที่เล็บหรือที่ฟัน ไม่ต้องพูดถึงผมไม่ต้องพูดถึงหนัง มันจะเยอะ ผมมันก็ง่ายเกิน มันยาว ยิ่งปลายๆ ยิ่งไม่รู้สึกแน่เลย ถ้าไม่กระตุกขึ้นมาไม่รู้สึกหรอกผม 

ถ้าเผื่อว่าไม่รู้สึกเลย กับไม่รู้สึกเจ็บ ถ้ารู้สึกเจ็บ มันก็กระเทือนไปถึงประสาท ถ้ารู้สึกเจ็บกระเทือนไปถึงประสาทก็ดี แต่คุณก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร รู้เหตุปัจจัยจริงๆ ว่า อ้อ มันกระแทกแรง ก็เลย มันก็บอกอาการ แรงมันก็เจ็บ เจ็บเพราะแรงกระแทก ไม่ได้เจ็บไม่ได้ปวดเพราะ เราชอบเราชังอะไรพวกนี้ ยึดมั่นถือมั่นเจ็บใจ เป็นต้น เพราะจิตเป็นอุปาทานว่า มันเจ็บ แต่ถ้ามันไม่กระเทือนถึงประสาท มันเป็นเรื่องของรูปธรรมเท่านั้น มันไม่มีนามธรรมอะไร กระเทือนมากก็เจ็บ ไม่กระเทือนมากก็กลางๆ กระเทือนธรรมดาก็รู้สึกว่ามีสิ่งกระทบสัมผัสเท่านั้น แล้วมันก็เฉยๆกลางๆ ไม่ว่าฟันหรือเล็บ 

ส่วนที่มันไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือมันกระทบแรงถึงประสาท มันก็กลางๆเฉยๆแต่รู้ว่ามันถูกสัมผัส หรือบางทีไม่รู้ถูกสัมผัส อย่างผมยาวๆไปสัมผัสปลายๆ ถ้าไม่กระตุกไม่ถึงประสาทไม่รู้สึกหรอก เล็บก็เหมือนกันถ้ามันยาวไปแล้วอะไรมากระทบกระเทือนถึงประสาทมันก็ไม่รู้สึกหรอก ถ้าหากกระเทือนถึงประสาทก็รู้สึก แล้วรู้สึกถ้ามันแรงมันก็เจ็บ คือมันไปถึงประสาทมากขึ้น ถ้ามันไม่แรงถึงประสาทมากขึ้นก็ไม่เจ็บ

ทีนี้ มนุษย์พืช กระทบสัมผัสภายนอก ไม่รู้สึกเลย แต่ถ้ากระทบสัมผัสแรงจริงๆเหมือนอย่างที่พูดนี้ เขาอาจจะรู้สึกได้ แต่ไม่มีใครไปลอง ไปทดลองมนุษย์พืช หรือว่าพวกที่เป็นพืชไปแล้ว แต่ว่ายังไม่ตาย ก็ไม่มีใครไปลอง เอาอะไรไปแทงว่าเขารู้สึกไหม ไม่มีใครไปทำเท่านั้นเอง แต่ถ้ามันแรงพอ มันก็จะกระทบถึงประสาท มันก็เจ็บลึกๆถึงข้างในได้ แล้วแต่ว่าผู้ที่เป็นพืชนั้น จิตจะตกไปยึดอยู่ในเบื้องลึกอนุสัยหรืออาสวะของจิตตนเอง ในก้นบึ้งของจิตมากหรือน้อย ถ้าไปยึดมากกระทบยังไงก็ไม่เจ็บ เหมือนพวกนั่งหลับตาทำสะกดจิต

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาโยมบุญ ให้รู้จักทำบุญอย่างถูกพุทธ

วันพุธที่ 14 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 6 ค่ำ   เดือนอ้าย ปีขาล


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2565 ( 11:36:37 )

ทำจิตให้อยู่ในฐานของพีชะ

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถทำจิตให้อยู่ในฐานของพีชะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสกับภายนอกสัมผัสกับพืชกับสัตว์ดินน้ำไฟลม สัมผัสแล้วก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงเห็นหมด ไม่รักไม่ชัง ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ผลักไม่ดูด ดูอะไรสมควรที่จะสัมพันธ์กันเกี่ยวข้องกันก็สัมพันธ์กันอย่างมีประโยชน์ เช่น คนกับคนสัมผัสอะไรที่ควรจะเป็นประโยชน์แก่กันและกันก็ทำ คนสัมผัสกับพืชมีอะไรจะช่วยเหลือกันก็ช่วย พืชไม่เป็นพิษภัยไม่มีพยาบาทไม่มีรักไม่มีชังไม่มีดูดไม่มีผลักทำลายกันได้ ในที่สุดอาศัยกันได้ เอามาเป็นอาหาร เอามาเป็นกวฬิงการาหาร เสร็จแล้วเราก็ อาศัยซึ่งกันและกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 17 กรกฎาคม 2563 ( 15:25:30 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:00:26 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:08:25 )

ทำจิตให้เป็นดินน้ำไฟลม คืออย่างไร

รายละเอียด

กายที่สามารถแยก เราไม่ไปแยกดินน้ำลมไฟหรอก แต่ในคำว่า กาย อันนี้ลึกซึ้ง ยังไงๆคุณก็จะต้องมี ในขณะที่คุณยังไม่ตาย กายแตก เพราะฉะนั้นคำว่า กายแตก กายัสเภทาปรัมมรณา หลังจากกายแตกไปแล้วนี่ ถ้ามันยังไม่ทิ้งกาย ยังไม่วางคำว่ากาย มันก็จะยังเกิดได้ มันก็จะยังมีจิตนิยาม มันก็จะเหลือธาตุรู้อยู่ เป็นแต่เพียงว่า 

เมื่อตายกายแตก จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไป เหลือสิ่งที่เป็นซากศพ ก็นั่นแหละคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่แท้ นั่นเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่ไม่มีจิตร่วมเลย และไม่เรียกว่ามีกาย มีแต่ซากศพ จะบอกว่าคนตายมีแต่ร่างกาย ผิด คนตายไม่มีกาย มีแต่ร่าง แต่คนที่ยังไม่ตาย ต้องมีกายอยู่เสมอ จะต้องมีทั้งดินน้ำไฟลมและจิต สังขารกันอยู่ ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ ไม่มีการแยก เพราะฉะนั้นคำว่ากายจึงไม่แยก 2 ต้องมี 2 เสมอ กาย มีอย่างเดียวไม่ได้ นี่คือสัมมาทิฏฐิ 

เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ 2,500 กว่าปี มิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้วในสังโยชน์ 10 ข้อที่ 1 ต้องให้สัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย และต้องรู้กายที่เป็น สักกะ ในตัวเรา ของตน จึงจะเป็นผู้ที่สังวร สำรวม ปฏิบัติธรรมใดๆได้ เพราะมีความสัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย แล้วตัวเองก็ปฏิบัติธรรม เพราะมีสัมมาทิฏฐิคำว่ากายจึงจะสามารถปฏิบัติธรรมของพุทธบรรลุธรรม ถ้าไม่มีความรู้สัมมาทิฏฐิอันนี้ โมฆะ 

เพราะฉะนั้น กาย จะต้องมีข้างนอกเสมอ กายต้องมีข้างนอกเสมอ เมื่อมีข้างนอกเสมอ จึงมีกามคุณ 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ต้องเรียนรู้กิเลสใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย จนหมดกิเลสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือเราอยู่เหนือมันได้ กามาวจร ข้างนอกเราอยู่เหนือมันหมด แล้วเป็นอนาคามีภูมิเป็นพระอนาคามีขึ้นไป เหลือแต่กิเลส รูปาวจร อรูปาวจร ข้างใน ก็สัมพันธ์สัมผัสข้างนอกนี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็รับรู้อะไรอยู่ แต่ข้างนอกกิเลสไม่ได้กินท่านแล้วอนาคามี กิเลสมันหมดไม่มีฤทธิ์กับท่านและท่านก็หมดกิเลสภายนอก 

เพราะฉะนั้น ดินน้ำไฟลมกับจิต มันต้องร่วมกันเป็นกายผสมกันอยู่​ แต่เรียนรู้นี้เรียนรู้จากปัญญา กำหนดรู้ด้วยสัญญา และตัวรู้ที่มันเป็นตัวรู้สึกจริงๆคือเวทนา สัญญาก็เป็นตัวกำหนดรู้จากเวทนาในเวทนา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาให้มีปัญญาผ่าสุขผ่าทุกข์ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2566 แรม 5 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 สิงหาคม 2566 ( 18:07:53 )

ทำจิตให้เป็นพลังงานไฟฌานอย่างไร

รายละเอียด

ผู้ที่จัดการทำการปรุงแต่งจิตของตน มนสิการ ให้จิตเป็นพลังงานไฟ พลังงานฌานได้ รู้จักบุญ เริ่มเป็น ฌาน 1 มีพลังงานความรู้จับกิเลสได้ กิเลสถูกเจ้าพลังงานฌาน มาจับตัว กิเลสนี้มันแพ้ฤทธิ์ปัญญา กิเลสจะหมดได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง สัมมัปปัญญา 

เริ่มต้นใช้ฌาน 1 ก็ เห้ย! ไอ้เจ้ากิเลส แหยมหน้าแล้วนะ ฌาน 1 

ฌาน 2 ก็บอกว่า ไป! อย่ามาตอแย อย่ามาอยู่กับฉัน แต่กิเลสมันก็เหนียวนะ ไม่ไปง่ายๆหรอก มันบอกเฮ้ย! ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้วนะ อย่ามาไล่ฉันง่ายๆได้ไง ก็เลยต้องรบกัน รบกันด้วยปัญญา ฌานหรือว่าการฆ่าหรือการทำลายกิเลสของพระพุทธเจ้าไม่รุนแรง ใช้ความรู้รบกันด้วยความรู้ รบกันด้วยความชนะแพ้ เอ็งแพ้เพราะเอ็งเป็นตัวร้าย เอ็งมาทำกรรมกิริยาของข้าฯให้เป็นกรรมกิริยาทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี โดยเฉพาะควบคุมใจเลย เอ็งมันตัว แนวที่ 5 เป็นโจรใหญ่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ 
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บ้านราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจด้วยฌานทั้ง 4


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 12:05:38 )

ทำจิตให้เป็นพีชะขณะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร

รายละเอียด

ไม่มีกาย แต่มีชีวะ คือพืช กายต้องมีจิต กายต้องมีเวทนาแต่พืชมันไม่มีเวทนามันไม่มีจิต มันไม่มีกายแล้ว แต่มีชีวะ ถ้ายังเป็นอยู่จิตของเราทำให้เป็นพืช มีชีวะ อยู่ แต่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีคู่ ไม่มี 2 ไม่มีเทวะ ไม่มีกาย ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีบาป ไม่มีบุญหรือไม่มีดีไม่มีชั่ว แต่อันนี้ก็ต้องศึกษากุศลหรือดี คุณมีชีวิตอยู่ไม่มีดีไม่มีชั่วสำหรับคุณใช่ แต่คุณต้องรู้ดีแล้วคุณต้องชัดเจนว่าคุณไม่ทำชั่ว คุณต้องมีจิตรู้ว่าชั่วคือชั่วดีคือดี แล้วก็ต้องทำดีอย่าไปทำชั่วเป็นอันขาด ประเด็นสำคัญคือกุศลหรือดีแล้วดีเอาไว้อาศัยสะสมได้พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราไม่สันโดษในกุศลไม่มีพอในกุศลนะว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังสร้างความดีๆ แต่บาปบุญนั้นหมดแล้วพระอรหันต์ทุกองค์ ไม่ต้องทำบาป ไม่ต้องทำบุญ เป็นอรหันต์ขี้กะโล้โท้ ขั้นที่ 1 ก็ไม่ทำบาปทำบุญแล้วเป็นพระพุทธเจ้าก็แน่นอน แต่พระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์แล้วเลือกแต่ทำดีๆไม่ทำชั่วเลย

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 26 ธันวาคม 2563 ( 11:08:42 )

ทำจิตให้เป็นพีชะได้ทั้งจบและวิเศษอย่างไร

รายละเอียด

จะชัดเจนอย่างนี้เอง ผู้ที่มาศึกษาปฏิบัติทำจิตของเราให้เป็นพีชะได้ก็จบ เป็นอุตุได้ก็บริบูรณ์เลย ทำจิตให้เป็นพีชะ พ้นทุกข์พ้นสุข พ้นบาปพ้นเวร แล้วคุณจะเกิดอีกกี่ชาติก็อยู่เป็นเพื่อนคุณก็เอาสิ หมุนเวียนอยู่นี่แหละ จิตเป็นจิตนิยามที่ทำพีชะได้นะ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายเป็นพีชะ แต่จิตนิยามของคุณนั้นเหนือกว่าพีชะ คุณก็เกิดมาเป็นจิตนิยามนี่แหละเจริญขึ้นได้ แต่อาศัยพีชะไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่บาปไม่มีเวรภัย ไม่ก่อบาปเวรภัย ที่ต้องอาฆาตมาดร้าย ต้องตอบแทนกันอีก ไม่มีมันก็เป็นประโยชน์ 

ซึ่งเป็นความหมายกลางของจิตนิยามที่ดีที่สุด ในมนุษยชาติ ยิ่งใหญ่นะ ผู้ที่เข้าใจแล้วก็ทำจิตให้เป็นพีชนิยามได้ เป็นชีวะชีวิต ไม่ใช่พีชะก็คือมนุษย์พืชทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ แต่มันมีจิตนิยามที่เป็นธาตุพลังงานเอามาใช้แล้วควบคุม พลังงานพีชะทำงานโดยที่ไม่ไปรุนแรงโหดร้ายโลภมาก หรืออำมหิตมากไม่มีแล้ว จิตนิยามที่เลวร้ายจัดจ้าน 2 นัย นั้นหมดแล้ว มีแต่เอ็นดูเอื้อเฟื้อเจือจาน 

ซึ่งเป็นคุณสมบัติคุณวิเศษอันยิ่งใหญ่ของสัตว์โลก คือมนุษยชาติจะพึงเป็นได้มีได้ แล้วคุ้มครองโลก โลกต้องอาศัยคุณสมบัติ คุณธรรม คุณวิเศษอันนี้ พิสูจน์ได้ยืนยันได้เลยยิ่งใหญ่

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:49:39 )

ทำจิตให้เป็นพีชะไม่มีเวทนาจึงรู้ความควรความไม่ควรได้

รายละเอียด

แยกออกไหม ความชอบ ทำตามชอบใจกับไม่ทำตามชอบใจ แต่ทำตามที่ควรจะทำ ต่างกันไหม เข้าใจให้ได้ เราไม่ทำตามที่เราชอบใจ หรือตามที่เราชัง แต่เราทำตามที่ควร บางทีเราไม่อยากทำหรอกแต่มันควรต้องทำ เราไม่ค่อยอยากทำหรอก  แต่มันควรทำ เราก็ต้องทำ ถ้าไม่ควร แหม มันอยากทำด้วยซ้ำไป แต่มันไม่ควรก็อย่าทำ แต่มันไม่อยากทำเลยแต่มันควร ควรจะทำนะ มันก็ต้องทำ เข้าใจไหม..เด็กๆก็ยังเข้าใจได้เลย 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมจากโสดาบัน 4 ไปถึงความมี ไม่มี และอภิภู รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 24 วันจันทร์ที่ 17 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 กุมภาพันธ์ 2565 ( 21:48:17 )

ทำจิตให้เป็นพืชได้บรรลุอรหันต์ได้

รายละเอียด

เวทนาที่ไม่มี นั่นคืออวิชชา แต่เวทนาที่สามารถศึกษาฝึกฝนทำจิตให้กลายเป็นพืชได้ มันไม่ง่ายแต่มันต้องทำถ้าไม่ทำก็บรรลุอรหันต์ไม่ได้ ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอีกเท่าไหร่ ถ้าจะมาเอาทางนี้ ก็ควรรู้ 

ธรรมนิยาม 5 คุณต้องรู้อาการของจิตว่า ตอนนี้เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลม ไม่มีความรู้สึกนะ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ เด็ดขาด พอมามีชีวะ ชีวะระดับพืชหรือที่คนเราก็รู้อยู่ว่า ผู้ที่เป็นมนุษย์พืช ภายนอกตาหูจมูกลิ้นกายผิวหนังถูกใครสัมผัสแตะต้องก็ไม่รับรู้ อยู่แต่ในจิตตนเอง อันนี้เขาเรียกมนุษย์พืช แต่พระพุทธเจ้า สอนให้เป็นมนุษย์พืชอย่างตื่นๆ กระทบทางจมูกลิ้นกายไม่รู้สึก แต่รู้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง ตาเห็นรูปก็รู้อันนี้กลม มะนาวนะ ก็รู้รูป รู้ภาพ รู้สีสันตามคุณลักษณะของตา ที่จะบอกได้ หูได้ยินเสียงเป็นเสียงอย่างนั้นอย่างนี้เสียงต่างๆสารพัดก็รู้ได้ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างไรก็รู้ อย่างนี้เป็นต้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล

วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 05:22:02 )

ทำจิตให้เป็นพืชได้ผู้นั้นบรรลุอรหันต์

รายละเอียด

ความแข็งแรงที่ว่าไม่ใช่กล้ามเนื้อแข็งแรง หมัดหนัก ชกปึงปังเลย ไม่ใช่! แต่แข็งแรงทางสุขภาพ สุขภาพกายสุขภาพร่างกาย ร่างกายที่มีรูปมีนาม ไม่ใช่เน้นแต่รูปแต่เน้นทางนามด้วยมันถึงจะครบความสมบูรณ์ความเป็นสัตว์ สัตว์ต้องมีรูปมีนามมีกายมีจิตเรียกว่ากายเพราะว่ามันต้องสัมพันธ์กัน มีวัตถุนั่นแหละแล้วก็มาเป็นกาย นามต้องมีสภาพวัตถุด้วยมีสภาพวัตถุดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูปวัตถุแท้ รวมกันแล้วสังเคราะห์สังขารเป็นพืช มีทั้งดินน้ำไฟลมมีทั้งพืชมีทั้งจิตอยู่ในมนุษย์ มนุษย์มีทั้ง 3 อย่างดินน้ำไฟลมก็มี พืชก็มี จิตก็มีทำจิตให้เป็นพืชนั่นแหละทำได้ ถ้าผู้ใดศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วทำจิตให้เป็นพืชได้ผู้นั้นบรรลุอรหันต์ พระอรหันต์จิตเป็นพืช แต่จิตเป็นพืชที่ซ่อนอยู่ในจิต มนุษย์พืชไม่มีความรู้สึก หรือรู้สึกก็รู้สึกอย่างเดียว รู้สึกเป็นเวทนาเดียวไม่มี 2 เวทนา นี่ลึกซึ้งละเอียด รู้สึกเวทนาที่เป็นความจริงตามความเป็นจริงไม่มีเวทนาเก๊ ไม่มีเวทนา 2 และก็อาศัยอันนี้แหละเป็นอรหันต์ อรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็เป็นผู้ที่อาศัยอันนี้ ไม่สุขไม่ทุกข์ไม่ผลักไม่ดูด มีปฏิภาณปัญญารู้อะไรควรอะไรไม่ควร อะไรควรสร้างอะไรควรทำอะไรควรให้ไม่ควรให้รู้ละเอียดหมด ถ้าหากเป็นอรหันต์ที่เก่ง อรหันต์ไม่เก่งอาจจะไม่ละเอียดพออาจจะผิดถูกบ้าง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 11:48:21 )

ทำจิตให้เป็นวรรณะ 9 อย่างไร

รายละเอียด

พวกเราสมณะสิกขมาตุที่มาบวชหรือว่าฆราวาสที่มาปฏิบัติธรรมที่ฟังอาตมาอธิบายธรรมะให้ฟังแล้วปฏิบัติได้ ก็จะมีจิตที่ ลาภยศสรรเสริญสุขก็เป็นเพียงสิ่งอาศัย  ทำจิตของเราให้เป็นวรรณะ 9 เป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายมักน้อยสันโดษไม่สะสม ขัดเกลากิเลสตัวเองไปให้หมด เสร็จแล้วก็เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมีศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติไปตามหลักเกณฑ์ได้ไปตามลำดับ เจริญไปเรื่อยๆมีอาการกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่น่าเลื่อมใส แล้วก็เป็นคนมีชีวิตอยู่ไม่ต้องสะสมอะไร แล้วก็เป็นคนขยัน วิริยารัมภะ อยู่กับหมู่กลุ่มมีสาธารณโภคีนี้สุดยอด ก็ยังอยู่เป็นสังคมที่สุดยอด เป็นสังคมสาราณียธรรม 6

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:25:10 )

ทำจิตให้เป็นอุตุ คือไม่ต้องไปมี ปฏินิสัคคะเลยได้ไหม

รายละเอียด

ถูกต้อง โดยพยัญชนะ ปฏินิสัคคะ แปลว่า มันไม่มีปฏิกริยา คือไม่มี Action-Reaction มันไม่มีแล้ว ปฏิ นี้คือ Action Reaction กระทบกันอยู่ แม้มันจะมีการกระทบสัมผัส กระแทกกระเทือนกันอยู่ มีปฏิกิริยา แต่อาการที่เรารับรู้สึกนี้ไม่มีสวรรค์ นิสัคคะ นิสัคคะ ไม่มีสวรรค์ คนเราต้องการสวรรค์ เมื่อคุณต้องการสวรรค์ คุณก็มีนรก อย่างที่อาตมาอธิบายไปเรื่องนรกสวรรค์อันเดียวกัน มันเป็นความยึดถือ แล้วคุณก็ปรุงแต่งเป็นนรกสวรรค์ สิ่งที่คุณชอบ คน “มาโซคิส” หรือ “ซาดิสม์” เห็นคนเขาฆ่ากัน ชอบ เขาก็เป็นสุข ทั้งๆที่มันทุกข์นะ การฆ่ากัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิคนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 11:50:31 )

ทำจิตให้เป็นอุตุตั้งแต่ตอนเป็นๆได้อย่างไร

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถทำจิตให้เป็นอุตุ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมได้ ตั้งแต่ตอนเป็นๆ โดยลำลอง โลกขั้นต่ำ โลกขั้นหยาบ ที่เราไปเกี่ยวข้องเรียกว่าอบายภูมินรก โลกขั้นต่ำหมุนเวียนอยู่อย่างนั้นเรียกว่า โลก 

เราก็เรียนรู้ที่มันยังปรุงแต่งให้เราไปติดยึด ต้องให้อาหาร สร้างโลกนี้อยู่ อันนี้ก็เป็นโลกปรุงแต่งของอบาย เป็นโลกนรกนะ แต่นรกของเรา เราต้องมีนรกที่จะต้องไปชื่นใจ แล้วก็โง่ๆๆ สร้างนรกอยู่ไม่ยอมเลิก ปรุงแต่งนรกให้แก่ตนอยู่นั่นแหละ ชื่นใจชื่นใจ ก็คือนรก 

ความโง่ของคนนั้นซับซ้อนลึกซึ้งมาก เมื่อเกิดปัญญารู้ชัดว่า อ๋อ.. นี่เราสร้างนรกอยู่เราก็เลิกให้อาหารมัน เมื่อเลิกให้อาหารแก่สัตว์ คือ ตัวสัตว์นรกก็คือตัวเรา ที่ปรุงแต่งนรกอยู่ เราไม่อยากให้ความเป็นสัตว์ ความเป็นกิเลสของเรา ไม่ให้มันมันก็ตาย มันก็ฝ่อลงตาย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์งานมหาปวารณาครั้งที่ 39 คุณธรรมยิ่งใหญ่กว่าอาวุธ 

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 พฤศจิกายน 2564 ( 10:50:29 )

ทำจิตให้เป็นอุตุเป็นพีชะก็คือจิตไม่มีกิเลส

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าไม่ละเอียดในการแยกกายแยกจิต การแยกกายแยกจิตเมื่อผู้มาบวชแล้วอุปัชฌาย์จะต้องสอนเรื่องการแยกกายแยกจิต แยกให้ว่าอาการอย่างไรเป็นอุตุ อาการอย่างไรเป็นพีชะ อาการอย่างไรเป็นจิต โดยที่คุณรู้ต้องปฏิบัติที่กรรม ปฏิบัติให้จิตของคุณเป็น พีชะหรืออุตุได้ ทรงไว้เป็นธรรมะให้จิตคุณเป็นอุตุหรือพีชะ แต่ไม่ได้หนีไปไหนจากโลก จิตคุณก็ไม่มีกิเลสร่วม เป็นจิตบริสุทธิ์มีประสิทธิภาพ จากที่ไปติดยึด ทำให้ตัวเองงมงายอยู่กับสิ่งที่ทำให้จิตเป็นตัวที่ไม่มี กาย ไม่มีเวทนา ที่มันเป็นทุกข์แต่มันไม่ทิ้งจากเวทนาที่เป็นจิตสะอาดปราศจากทุกข์ ต้องทำอันนี้ให้มันปราศจากกิเลส ทำจิตให้เป็นอุตุ เป็นพีชะ ก็คือจิตไม่มีกิเลส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 23 วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2564 ( 10:15:20 )

ทำจิตให้เป็นอุตุให้เป็นพีชะไม่ได้ ก็หมดสิ้นทางที่จะเป็นอรหันต์

รายละเอียด

มันลึกซึ้งจนอาตมาเอาภาษากับสภาวะมาแยกแยะให้ฟังตั้งแต่คำว่า กายะ เริ่มตั้งแต่สักกายะ คือสังโยชน์ข้อที่ 1 สักกายะต้องรู้คือต้องมีความรู้เรื่องกาย ต้องรู้ความเป็นกายกับจิต แยกกายแยกจิตให้ชัดเจน เมื่อใดเป็นการเมื่อใดไม่เป็นกายเป็นอุตุนิยามเมื่อใดไม่เป็นกายแต่ยังมีชีวะแล้วยังอยู่ในตัวเราได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขไม่มีบาปไม่มีบุญเป็นพีชนิยาม นี่ต้องรู้สภาพจริงของสิ่งนั้น มันมีอยู่ในตัวเรา เช่นเล็บมันเป็นพีชะ ชีวะ อยู่ในตัวเราแต่ไม่มีบาปไม่มีบุญมันก็อยู่ที่ตัวเรา เล็บข้างในเข้าไปอีก อันนั้นเป็นจิตเป็นชีวะแล้วนะเกินพีชะ แล้ว หรือเมื่อใดเล็บ จะทำให้เป็นอุตุนิยามเมื่อใด ซึ่งเป็นกรรมฐาน 5 ผมขนเล็บฟันหนัง ที่เมื่อมาบวชแล้วจะต้องเรียนรู้เรื่องนี้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ หากไม่เข้าใจถ่องแท้ไม่มีทางบรรลุนิพพานหรอก เพราะทำจิตให้เป็นอุตุให้เป็นพีชะไม่ได้ ก็หมดสิ้นทางที่จะเป็นอรหันต์ คำว่า กาย ไม่ใช่กาย มีชีวะไม่มีชีวะ เป็นพีชะหรือจิต แยกอุตุ พีชะ จิต กาย คำว่า กายมันมีเหลื่อมๆ มันมีชีวะกับไม่มีชีวะ ทุกวันนี้แต่เข้าใจคำว่ากายไม่มีชีวะเลยเป็นเพียงภายนอก กายไม่เกี่ยวกับจิตอะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คือเห็นไหมว่าทิฐิมันผิดแล้ว ถ้าคุณเข้าใจอย่างนั้นคุณจะทำจิตได้อย่างไร ว่า พระอรหันต์ยังไม่ตายแล้วมันมีจิตใจที่เป็นพีชะในตัวเรา แม้แต่บางอย่างมันเป็นอุตุในตัวเรา อย่างเล็บเราตัดออกเมื่อไหร่มันก็เป็นอุตุยังไม่ตัดออกมันก็เป็น พีชะ อย่างขี้ไคล มันอยู่ภายนอกเป็นคราบไคล คุณล้างออกไปคุณก็เฉยๆไม่มีปัญหาอะไร บางอย่างมันอยู่ใกล้ชิดติดเลยแต่มันล้างไม่ออกมันก็เป็นขี้ไคล หรือผิวหนังสิ่งที่ติดชิด ที่อาตมาเคยพูดกับพวกเราว่า น่าคิดนะว่าขี้ไคล มันขี้ของใครติดอยู่กับเรา ที่จริงมันขี้ของเราขี้ไคล คือสิ่งที่ต้องชำระ นี่ภาษามันลึกซึ้งแต่มันยังติดอยู่ที่เรา เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ออกมันเผลอไปด้วยขี้ไคลเต็มไปเลยก็แล้วไปไม่เอาออก ผู้ที่จะเอาออกก็เอาออก จริงๆมันเป็นของที่ควรจะทิ้งออกไปแล้ว มันเป็นอุตุด้วย เราไม่ต้องอาศัยแล้ว เป็นอบายหรือสิ่งที่ทิ้งไปได้ อย่างนี้เป็นต้นแล้วสิ่งที่จำเป็นต้องอาศัย เราไม่ยึดเป็นเรา แต่ต้องอาศัยแล้วอาศัยได้ด้วยเป็นประโยชน์ด้วยไม่เจ็บไม่ปวดแล้วก็ไม่มีวิบาก อาศัยได้ พีชะ เส้นทางนิพพาน เป็นฐานพระอรหันต์เป็นฐานที่พระพุทธเจ้าสอน คุณจะต้องสร้างจิตลักษณะของพีชะไว้อาศัยให้ได้ ถ้าหากอาศัยไม่ได้คุณไม่ได้เป็นหรอกพระอรหันต์ตัวนี้แหละสำคัญมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 17:29:19 )

เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2563 ( 07:13:00 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:09:19 )

ทำจิตให้เหลือแต่สัญญาและสังขารจึงจะเป็นอรหันต์ได้

รายละเอียด

ต้องเข้าใจสภาวธรรมจริงๆ ที่เป็นนามธรรมเป็นอรูป จนกระทั่งเป็นอรูปที่มันเป็นชีวะเข้าไปครอง จึงเรียกว่าวิญญาณ อุปาทินกสังขาร มีวิญญาณมีกรรมครอง มีวิญญาณ มีเวทนา ถ้ายังเป็นแค่พืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิต เป็นแค่สัญญากับสังขาร

ผู้ที่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าทำจิตให้เหลือแต่สัญญาและสังขารไม่ได้ ไม่มีทางเป็นอรหันต์ ไปปลุกวิญญาณของมหาบัวมาซักไซ้ไล่เลียง เขาก็ไม่รู้จักหรอก เป็นมหาเปรียญ 4 นะ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะทำลายวิญญาณ ไม่สามารถทำลายเวทนา วิญญาณไม่ต้องไปทำร้ายหรอกทำร้ายแต่เวทนาเท่านั้น จัดการแต่เวทนาจนเหลือแต่เวทนา 2 และทำให้เป็น 1 อาศัย 1 ทำงาน กับ 0 ก็แล้วแต่ว่า เวทนา 1 ถ้าจะเลิกก็เลิกเป็น 0 เลย ถ้าจะมีก็มี 1 ถาวร จึงเป็น 1 ถาวร นี่แหละคือพระเจ้าแท้ๆ 1 ถาวร 1 นิรันดร 1 เที่ยงแท้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก และบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ปี 2564

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 2564 แรม 10 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 กรกฎาคม 2564 ( 21:20:31 )

ทำจิตให้ไม่เกิดกิเลสถูกต้องได้จริงอย่างไร

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติทำจิตให้ไม่เกิดกิเลสถูกต้องได้จริง จิตที่ถูกต้องจะมีผลในกระบวนการ มีญาณที่รู้ด้วยเจโตปริยญาณ 16 ละลายกิเลส

เจโตปริยญาณ 16  จิตในจิต 

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) . 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์. 

1. สราคจิต       (จิตมีราคะ) 

2. วีตราคจิต     (จิตไม่มีราคะ) 

3. สโทสจิต       (จิตมีโทสะ) 

4. วีตโทสจิต     (จิตไม่มีโทสะ) 

5. สโมหจิต       (จิตมีโมหะ) 

6. วีตโมหจิต     (จิตไม่มีโมหะ) 

7. สังขิตฺตํจิตตํ   (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)  

8. วิกขิตฺตํจิตตํ   (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 

14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)  

16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) 

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135) 

ทำอย่างไรกิเลสก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 มกราคม 2564 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 14:35:52 )

ทำจิตให้ไม่เกิดกิเลสถูกต้องได้จริงอย่างไร

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติทำจิตให้ไม่เกิดกิเลสถูกต้องได้จริง จิตที่ถูกต้องจะมีผลในกระบวนการ มีญาณที่รู้ด้วยเจโตปริยญาณ 16 ละลายกิเลส

เจโตปริยญาณ 16  จิตในจิต 

คือ การกำหนดรู้ใจสัตว์อื่น (รู้สัตว์ชั้นต่ำสูงในจิตตน-ปรสัตตานัง) . 

รู้บุคคลชั้นต่ำ-สูงอื่นๆในจิตอาริยของตน(ปรปุคคลานัง) เป็นปรมัตถ์. 

1. สราคจิต       (จิตมีราคะ) 

2. วีตราคจิต     (จิตไม่มีราคะ) 

3. สโทสจิต       (จิตมีโทสะ) 

4. วีตโทสจิต     (จิตไม่มีโทสะ) 

5. สโมหจิต       (จิตมีโมหะ) 

6. วีตโมหจิต     (จิตไม่มีโมหะ) 

7. สังขิตฺตํจิตตํ   (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่)  

8. วิกขิตฺตํจิตตํ   (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)

9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น)  

10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 

11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 

12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 

13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 

14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 

15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น)  

16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) 

(พตปฎ. เล่ม 9   ข้อ 135) 

ทำอย่างไรกิเลสก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 17:10:39 )

ทำจิตให้ไม่เป็นกายขั้นอุตุ

รายละเอียด

คำว่า กายต้องมีภาวะความเป็น 2 ตลอดเวลา อุปัชฌาย์ต้องสอนภิกษุบวชใหม่เรื่องการแยกกายแยกจิต แยกว่าส่วนไหนเป็นกาย อันไหนไม่เป็นกาย ต้องทำจิตให้ไม่เป็นกายได้ขั้นอุตุเลย คือไม่มีความรู้สึกเป็นดินน้ำไฟลม เป็นมหาภูตรูปเลย ไม่มีชีวิต เพราะฉะนั้นถ้าคุณตัดเล็บออกไปขาดจากร่างของคุณส่วนของเล็บนั้นก็ไม่มีชีวิตแล้ว คุณทดสอบพิสูจน์ได้ เล็บที่ยาวออกมาตัดได้ไม่เกี่ยวกับประสาท คุณตัดก็ไม่เจ็บ ไม่มีเวทนา ไม่รู้สึกอะไร ที่ไม่มีเวทนานั่นแหละ แม้เป็นชีวะอยู่ก็ไม่เป็นกาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:01:47 )

ทำจิตไม่เกี่ยวเกาะเป็นอุตุ

รายละเอียด

 ฟังดีๆ นะ นี้มันลึกซึ้ง มันเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม ที่อาตมาอธิบายมันเป็นสภาวธรรม อุตุคือสภาวะดินน้ำไฟลม ในตัวเราเป็นสังขารปรุงแต่ง มีดินน้ำไฟลมร่วมปรุงแต่งกันอยู่ในนี้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาผม  ขน  เล็บ  ฟัน หนัง จะเป็นผมก็ตาม เป็นขนก็ตาม เป็นเล็บก็ตาม ไม่ต้องไปพูดถึงฟันถึงหนัง มันละเอียดเกินไป เอาแค่เล็บแค่ผม อาตมาถนัดที่อธิบายเรื่องเล็บ 

เล็บคน ถ้าอ่านพิจารณากรรมฐานนี้ได้ รู้จักเวทนาในสิ่งนี้ว่า มันเป็นกายเมื่อไร ไม่เป็นกายเมื่อไร หรือไม่เป็นกาย อธิบายแล้วอธิบายอีก ตอนนี้ก็ยังอธิบายอีก เล็บในคนนี้ ที่มันยังมีชีวะ ยังไม่ได้ตัดออกจากนิ้ว มันยังเป็นเล็บยาวพ้นปลายประสาทออกมา มันไม่มีเวทนา มันไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บ ไม่มี เส้นผมเส้นขนก็เหมือนกัน ปลายผมยาวออกมา มันไม่รู้สึกเจ็บอะไร ทุกคนเข้าใจใช่ไหม ตัดออกมา มันก็ขาดออกจากร่างกาย ไม่มีชีวะแล้ว มันกลายเป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว จะเอายาอะไรมาเชื่อมต่อเข้าไปอีก มันก็ไม่เป็นชีวะแล้ว ต่อไม่ได้ ไม่เหมือนเนื้อเหมือนหนัง เล็บหรือขนที่หลุดออกไปแล้วเอามาต่อไม่ติดหรอก ไม่มีความรู้สึก ไม่ใช่กาย ไม่มีเวทนา 

1. ตัดออกไปแล้วเป็นอุตุ แน่นอนไม่มีเวทนา มันเป็นอุตุ แม้ว่าตัดแล้วมันยังมีชีวะอยู่ก็ตาม มันก็ไม่รู้สึกเจ็บไม่ปวดอะไร มันไม่มีเวทนา แต่มันติดอยู่ที่ร่างกายเรายังเป็นชีวะนี่แหละ มันเป็นพืชเป็นชีวะ เข้าใจให้ดีนะเป็นพืชกับเป็นจิตนี่แหละ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้ว่า จิตทำให้เป็นพืชเป็นอย่างนี้ 

ทีนี้คุณถามหนักไปถึงขั้นว่า อุตุในร่างกาย อุตุในร่างกายนั้น ขี้ไคลหรือแม้แต่อุจจาระที่มันออกไปแล้ว หรือแม้แต่เมนของผู้หญิงที่เรียกว่าระดู มันหมดชีวะแล้ว ไหลทิ้งออกมาเฉยๆ แถมให้ ไม่มีในพระไตรปิฎก  ขี้ไคล ระดูหรืออุจจาระที่มัน ไม่เหมือนระดู ออกไปแล้ว ทิ้งออกไป มันไม่มีเจ็บไม่มีปวด ทิ้งออกมันสบายด้วย 

ใช่ เขาหมายถึงอุตุที่จิตใจอย่างไร ก็อย่างที่อธิบายว่า เราสามารถที่จะทำความรู้สึก ความรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าความรู้สึกของคุณอันนี้เราไม่เกี่ยวเกาะ จิตของเราไม่เกี่ยวเกาะ ใช้ภาษาไทยถูกต้องแล้วตรงตามวิชาการ คำว่าไม่เกี่ยวเกาะ แม้แต่เราสัมผัสอยู่แต่เราไม่เกี่ยวเกาะ มันก็ไม่มีความรู้สึกใด ความรู้สึกที่ไม่มีนั้นมันยิ่งกว่าพืชยิ่งกว่าพีชะ มันเหมือนกับไม่ใช่เรา  มันไกลไปเป็นอุตุ มันก็เป็นวัตถุดินน้ำไฟลม ที่เราอาศัยในรูปธรรมก็มีอยู่แล้ว ร่างกายก็มีดินน้ำไฟลม มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ผสมส่วนปรุงแต่งกันอยู่ในร่างกายนี้มี ในจิตใจก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ทำความรู้สึกให้เข้าไปถึงความรู้สึก อ่านความรู้สึก แล้วก็อ่านในขณะที่มีการสัมผัส ถ้ามันไม่สัมผัส  เราก็เข้าใจว่าเป็นดินน้ำไฟลมอยู่ข้างนอก เหมือนเราตัดเล็บตัดผมตัดอะไรออกไป หลุดออกไปแล้ว มันก็ไม่รู้สึก มันก็ไม่ใช่เรา มันก็ไม่เป็นกายอย่างชัดเจนแล้ว แต่อ่านความรู้สึกแม้มันติดอยู่ที่ตัวเรา เราก็เห็นให้ได้ว่าเราไม่ไปเกี่ยวเกาะมัน จนถึงขั้นจะรู้สึกได้ มันไม่รู้สึกอยู่แล้วก็ยังจะไปทำเป็นความรู้สึก 

เช่น ผู้หญิงชอบเล็บของฉัน สวย ยาว ตอนนอนหลับมีคนมาตัดเล็บออกไป แกตื่นมาแกดิ้นแน่เลย เอาเล็บของฉันมา จะดิ้นตายแน่เพราะอาการเกี่ยวเกาะมันเป็นกิเลสโง่ (กลับกัน)มันไม่ใช่ของฉันแล้วตัดออกไปยิ่งไม่ใช่ของฉัน ก็ดีแล้วไม่ใช่ของฉัน ช่วยเอาออกไปดีแล้ว แต่มันเกี่ยวเกาะ เห็นไหม ความโง่ของคนมันโง่ได้ระดับไหม โง่ได้ระดับ ผู้หญิงจะเข้าใจดีพูดเรื่องเล็บเรื่องผม หรือเรื่องผิวต้องนวลต้องผ่องต้องเนียน เอาไว้โชว์ ก็เป็นการติดยึด ก็เป็นการนิยม ค่านิยมของคนเป็นเรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มันก็เป็นธรรมชาติของคนที่มีกิเลสที่ยังอวิชชา ยัง หลงใหลในสิ่งเหล่านั้นอยู่ 

อย่างพวกเรานี้ โอ้โฮ! กึ๊ดฮืดก๊าดฮาด หน้าตาบางทีไม่ค่อยล้างบ้างหรือเปล่ายังไม่รู้เลย ไม่ค่อยดูแลเลย อย่าว่าแต่ผัดหน้าทาแป้ง 3 ชั้น 5 ชั้นเลย พวกที่เคยมาแล้วนั่งอยู่นั่นแหละ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงเมื่อไหร่จะเสร็จสักที 

 

ที่ถามมา ทำสมาธิแบบฤาษี ที่ดับเจตสิก ดับความรับรู้ จนไม่รู้อะไรเลย จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ นั้นเป็นได้ หรือลืมตาเนี่ย อย่างเป็นอุตุอย่างที่ว่า เขาก็ทำ ทำจนกระทั่งชิน จนกระทั่งเป็นได้ มันเป็นสมถะวิธี (แต่)เข้าใจด้วยปัญญา แล้วเราก็ไม่เกี่ยวเกาะด้วยปัญญา

ไม่เกี่ยวเกาะด้วยปัญญากับไม่เกี่ยวเกาะด้วยสมถะ สมถะลืมตาก็อย่างหนึ่งเหมือนกัน (ที่ว่า)ปัญญาไม่เกี่ยวเกาะกับสมถะไม่เกี่ยวเกาะ มันก็ต่างกันนะ เพราะฉะนั้นต้องทำด้วยปัญญา แต่ที่จริงสมถะ เราก็ต้องอาศัยใช้มันเหมือนกันนะ บางทีต้องใช้ก่อน แต่ทำด้วยปัญญาจนกระทั่งไม่ต้องอาศัยสมถะหรอก จนเราไม่เกี่ยวเกาะได้ด้วยปัญญา จะทำด้วยปัญญาได้ในที่สุด เหมือนกับเราไม่เกี่ยวกับสิ่งในโลกที่เราวางแล้ว ที่เราปล่อยแล้ว อันนี้ไกลจากเราแล้ว เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวเกาะเลยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเลย มีหลายเรื่องใช่ไหมที่มันมีอยู่ในสังคมทุกวันนี้

เรามาเรียนรู้ธรรมะแล้วเราปฏิบัติธรรม เราจะเห้นเลย แต่ก่อนเราเกี่ยวเกาะนะ เห็นเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องน่ารู้ น่าเป็น น่ามี น่าได้ไปกับเขา พอตอนหลังเราเห็นแล้ว โอ้! ไร้สาระ เราจะเห็นว่า สาระสำคัญในสาระ มันงวดเข้างวดเข้า น้อยเข้าน้อยเข้า จนสุดท้ายนี้จะถึงขั้นมาเห็น สาระของชีวิตที่อาศัยนั้นก็มี อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นปัจจัยชีวิต เป็นเครื่องอาศัยอย่างปัจจัย 4 สุดท้ายเลย 

นอกนั้นก็เป็นเครื่องอาศัยเป็นบริขาร ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ตาย แต่ 4 ปัจจัยนี้สำคัญมาก หรืออาหารเป็นหนึ่ง อาหารสำคัญที่สุดในบรรดาปัจจัย 4 เครื่องนุ่งห่ม บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคไม่มีก็ยังไม่ตายทันที พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ละเอียดหมดแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาพาทำจิตเป็นอุตุไม่เกี่ยวเกาะ  วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2566 ( 20:20:37 )

ทำจิตไม่ให้มีกายได้ เวทนาจึงไม่เกิด “พุทธ”ทำได้ “เทฺว” ทำไม่เป็น!

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถทำ“จิต”ไม่ให้มี“กาย”ได้แล้วผู้นั้นก็ไม่มี“เวทนา”“ภาวะไม่มีเวทนา”นี่แหละคือ ภาวะหมดสุข-หมดทุกข์​ หรือหมดความเป็น“เทฺว” ที่ผู้ยังเป็น“เทฺวนิยม”ยังทำไม่ได้ ยังมีเวทนายังหมด“สิ้นทั้งสุข-ทั้งทุกข์”เป็นผู้มี“อุเบกขาเวทนา”ที่นิรันดรไม่ได้ แต่โลกีย์ก็มีวิธีทำ“ฌาน-สมาธิ”ให้เป็น“อุเบกขาแบบสมถะ”ได้แบบของเขา ก็เป็นแค่“เคหสิตอุเบกขา”เท่านั้น (ยังไม่ใช่“เนกขัมมสิตอุเบกขา”) ซึ่งมันไม่สามารถ“กำจัดกิเลส”ชนิดที่“เผากิเลส”ให้หมดสิ้นสูญสลายไปได้อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”ถูกต้องบริบูรณ์ตามแบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ที่มีกระบวนการ“จรณะ 15 วิชชา 8”อันวิเศษ“กิเลสาวะ”จึงไม่หมดสิ้นสัมบูรณ์จริงแบบที่มี“สัมมาทิฏฐิ”แท้

หนังสืออ้างอิง

เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 หน้า 446-447 ข้อที่ 615


เวลาบันทึก 14 มิถุนายน 2565 ( 14:51:35 )

ทำจิตไม่ให้เป็นกายขั้นพีชะ

รายละเอียด

จิตที่ทำให้ไม่เป็นกายต้องทำอย่างเล็บที่มันมีชีวะอยู่ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่เจ็บไม่ปวด  ไม่มีบาปไม่มีบุญให้มันเป็น พีชะ พืชไม่มีบาปไม่มีบุญไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณเป็นสังขารไม่มีวิญญาณครองเป็นสังขารไม่มีจิตครองไม่มีกรรมครอง มีการกระทำแต่การกระทำของมันไม่มีบาปไม่มีบุญ ก็ทำจิตของเราให้ไม่มีวิบาก แต่มีธาตุจิตที่สูงปัญญาฉลาดรู้ดี รู้คุณรู้โทษ รู้ดีรู้ชั่ว รู้สุขรู้ทุกข์ แล้วก็ต้องทำให้ดี เป็นความจริงใจของผู้บรรลุพระอรหันต์และไม่ทำชั่วเด็ดขาด สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง ทำกรรมทุกกรรมก็มีแต่กรรมดี กุสะลัสสูปะสัมปะทา ไม่มีเจตนาทำชั่วเลย ส่วนชั่วดีนั้นเป็นสมมุติ ก็ซ้อนอีก ไม่อธิบายต่อวันนี้ ฝากไว้ก่อน

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563


เวลาบันทึก 27 ธันวาคม 2563 ( 11:07:27 )

ทำชีวิตให้เป็นพลังงานในระดับพีขนิยามได้อย่างไร

รายละเอียด

ความที่ทำให้ 2 เป็น 1 ความทุกข์ความสุขก็เป็น 2 ทำให้เป็น 1 ได้ อันนี้แหละ อยู่ระหว่างกลางของความมี คุณยังไม่ตาย คุณยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณยังมีชีวิต จึงยังมีอยู่ เมื่อมีอยู่ก็อาศัย อาศัย 1 นี่คือไม่มีความทุกข์ อาศัย 1 อย่างที่เป็นพลังงานในระดับ พีชธาตุ พีชนิยาม พืชพันธุ์ธัญญาหารมันไม่มีความทุกข์ไม่มีความสุข ไม่มีกรรมไม่มีวิบาก ไม่มีความรักไม่มีความชัง นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 14:56:26 )

ทำฌานไม่ได้เพราะเป็นนักสะกดจิตอยู่ภายใน

รายละเอียด

อาตมาอธิบายคำว่า ไม่ทุกข์ไม่สุข กับ อุเบกขา มีนัยยะต่างกัน อย่างมีนัยยะสำคัญต่างกันอย่างละเอียด ทีนี้ทางโลกเขาแยกไม่ออก ก็ใช้แทนกันเลย ไม่สุขไม่ทุกข์ อาการสุขเขาก็หยาบ อาการทุกข์เขาก็หยาบ ทีนี้สุขที่ละเอียดเข้าไปเขาอ่านไม่ออกแล้วปนเปกันแยกไม่ได้มันก็เลยไปไม่ออก เขาก็ทำฌานไม่ได้ โดยเฉพาะเขาเป็นนักสะกดจิตอยู่ภายใน ไม่มีอาการนอกที่แรงเขาก็เลยไม่รู้ว่า มันจะมีตัวเปรียบเทียบที่ต่างกัน แรง แต่นี่ไม่มี กับเบา นี่ไม่มีแล้ว ข้างนอกนี้มันแรงแต่ข้างในมันไม่มีแล้ว แต่นี่มันไม่มีการเปรียบเทียบเลยไม่กระทบตาหูจมูกลิ้นกายนั่งหลับตาก็เลยไม่เข้าใจรายละเอียด มันก็ไม่รู้ได้ ก็ซวย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 04:37:43 )

ทำดีฉาบฉวยไม่ยาก

รายละเอียด

แต่เดี๋ยวก็กลับไปสู่ความจริง แต่คนที่พยายามทำดีต่อไปนั้นยาก อาตมาถึงบอกว่า มาทำเป็นดัดจริตดี อาตมาว่าดัดไปเถอะ ดัดอย่าให้ขาดวินาทีเลย ดัดให้ดี ตลอดจนตาย แต่แล้วก็เกิดมา ดัดต่ออีก จำไว้ ก็จะมีปัญหาอะไร จริงๆแล้วมันดีไหมล่ะ ดัดจริตอย่างนี้ มันสุจริตจริงๆ ทำไปสิ มันแปลกอะไร ก็ต้องพยายามรักษา อนุรักขณาปธาน รักษาผลสั่งสมอาเสวนาภาวนาพหุลีกัมมัง เกิดปัญญา สัญญาจะเป็นตัวตัดสิน มันดี ดีถาวรเลย ดีอย่างนี้แม้เผลอตัวไม่เผลอตัวก็ดี เป็นอัตโนมัติ ใครจะมาเปลี่ยนแปลงไม่ให้ดีมันก็ไม่ไป คนอื่นจะมีแรงกระแทกอะไรให้เปลี่ยนแปลงจากดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพูธที่ 20 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 23 มิถุนายน 2563 ( 09:13:01 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:00:55 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:09:46 )

ทำดีด้วยใจตำหนิด้วยความปรารถนาดี

รายละเอียด

ทำดีด้วยหัวใจมันมีความหมายในตัวมันลึกซึ้ง อาตมาเอาตัวเองเป็นหลักจะมาว่าอาตมาทำดีด้วยหัวใจ อาตมาก็ด่า ด่าด้วยความปรารถนาดี ตำหนิหนักๆ ให้เห็นสิ่งที่ไม่ดีสิ่งที่ทุจริต ที่เขาหลงงมงายตั้งแต่อายุ 36 ปีอาตมาก็รู้ตัวเองแล้วได้ออกมาและไม่เคยหันหลังกลับไม่เคยแวบ ออกมาแล้วเดินหน้ามาทางนี้จนถึงทุกวันนี้ตั้งแต่อายุ 36 จนถึงป่านนี้ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความจริงที่อาตมาเองอาตมามีมาตั้งแต่เดิม อาตมาจึงเชื่อกรรมวิบาก ก็จะพูดถึงเรื่องทำดีด้วยหัวใจ ตอนนี้กำลังขี่ม้ารอบค่าย พวกสามล้อสมัยก่อน เขาอยู่เฉลิมไทย จะไปสนามหลวงหรือจะไปโอเดียน เขาก็ต้องบอกว่าไปสนามหลวงก่อน ต้องไปตั้งหลักที่สนามหลวง ถ้าไม่อย่างนั้นไปไม่ถูก อาตมาก็คล้ายๆกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:06:13 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:01:14 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:11:24 )

ทำดีทำชั่วปรากฏจริงหรือไม่

รายละเอียด

ก็จริงสิ การทำดีทำชั่วไม่ปรากฏได้อย่างไร หากเราไปทำชั่วมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นความชั่ว เราเคยทำไหม บางทีเราก็รู้ว่ามันไม่ดีมันก็ยังบังคับไม่ได้ เราก็ยังไปทำไม่ดีทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ดีเราก็ยังทำเลย เห็นไหมว่ามันปรากฏจริงหรือเปล่า ก็จริงทุกคนเคยมีทั้งนั้น ต้องเรียนรู้และฝึกเลิก ทำจนกระทั่งหยุด หลวงปู่นี้ฝึกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ก็แน่นอน หลวงปู่ไม่ได้โกรธอะไรเลย อาการเศร้าในจิต อาการแค้นเคือง มันไม่เคยเป็น ไม่เคยมี ไม่เคยไปแค้นใคร ไม่เคยเคืองใคร ไม่เคยพยาบาทถือดีจองเวรใคร คนนี้ทำกับเราไม่ดีมาก่อนเราก็จะไปแก้แค้นอย่างนี้ ไม่เคยมี ในชีวิตหลวงปู่ตั้งแต่เป็นฆราวาสมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ตาม ก็ไม่เคย มีแต่พยายาม คนอื่นมาเคืองเรา เราก็มีแต่พยายามจะไปคุยกัน มีเรื่องอะไรที่จะถือสาเราว่าเราไม่ดีอย่างไร จึงมาคิดไม่ดีทำไม่ดี เพื่อนหลายคน เราก็ไม่เคยโกรธใคร ใครจะมาโกรธมาแกล้งเรา เราก็คิดว่ามาแกล้งว่าทำไม มีอะไรก็พูดกันดีๆได้ หลวงปู่ก็ใช้วิธีไปพูดกันดีๆ จนสุดท้ายเพื่อนที่เคยมีอาการอย่างนี้ก็หยุดเลย เขาก็ไม่ทำอะไรต่อร้ายแรงอะไร จนมาถึงชอบพอกันด้วย ตอนแรกก็มาโกรธเคืองถือสา หลวงปู่ก็พยายามประสาน พยายามแก้ไขให้เขาเข้าใจ จนเขาเลิก

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 18:13:19 )

ทำดียังไม่มากพอ

รายละเอียด

ทำแล้วหากยังไม่ออกผลคือเราทำดียังไม่มากพอ หากเราแน่ใจว่าทำดีนั้นเป็นดีแท้ๆก็ทำไป

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม 2563


เวลาบันทึก 11 สิงหาคม 2563 ( 14:07:11 )

ทำดีอะไรอย่าไปเรียกร้องเป็นอัตตาตัวกูของกู

รายละเอียด

ดีที่รู้ว่าตัวเองเกิดความรู้สึกน้อยใจ ที่ว่าเพื่อนไม่เห็นความสำคัญก็คือไม่เห็นความสำคัญของคุณ พูดให้ชัดเลยว่าไม่เห็นความสำคัญของตัวข้าเลย เอาให้หนักก็คือไม่เห็นความสำคัญในตัวกู มันเกิดตัวกูของกูขึ้นมาแล้ว 

อันนี้ตัวเองเข้าใจดีตลอด คุณพูดของคุณนะ เห็นไหมคุณเข้าใจตัวเองได้ตลอดมาทีเดียว ดีจังเลยเรียกว่าเต๊ะท่าข้างนอกครบพร้อมทุกอย่างแต่ในใจตัวเองอ่านใจตัวเองมีอาการไม่ค่อยจะบริบูรณ์ 

คุณรู้ของคุณทุกอย่างอย่างนี้ดีแล้ว มันเป็นความบกพร่องคุณก็เข้าใจในความบกพร่อง น้อยใจ นี่มันบกพร่องใช่ไหม 

คุณก็รู้ว่าคุณไร้ประโยชน์หรือมีประโยชน์ ไร้ค่าหรือมีค่า ที่ว่ามีอาการของการเรียกร้องสูง คุณก็รู้ว่าคุณเรียกร้องสูง ก็อย่าไปเรียกร้องสิ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าไม่มีตัวตน ทำอะไรอย่าไปเรียกร้องเอาอะไรมาให้ตัวเรา เราจะมีคุณค่า เราจะทำงานเก่ง เราจะมีประโยชน์อะไรแค่ไหน เราก็ให้ใครๆไป พระพุทธเจ้าก็สอนไว้จบแล้ว ไม่ต้องมี สาเปกโข ไม่ต้องมีอะไรจะไปคิดต่อว่า ให้ตนต่อว่าจะต้องอยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรให้แก่ตัวเอง นี่พูดตัดจบ 

ถ้าคุณคิดอยากจะมีอีก สาเปกโข ก็มี แล้วหวังจะมีอะไรต่อยังไม่พอ อาการหนักไปถึง ปฏิพัทจิตโต ตั้งกองจิตผูกพันว่าจะต้องได้อีกมีอีกมี หนักเข้าตั้งเป็นกองสะสม กองทุน กองคลัง สันนิธิเปกโขต่อไปอีก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทานสูตรมันก็ใหญ่เลย 

ยังไม่พอเป็นตัวของกู เกิดชาติหน้าจะมีกินมีใช้ของตัวเองไม่รู้จักจบ คุณก็ไม่มีทางจะสิ้นกิเลส ตัวกูของกูอัตตาของคุณจะต่อไปอีกไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้วจะไปกินไปอยู่ในสิ่งที่เป็นของคุณดี มันก็ซวย ไม่มีทางที่จะสิ้นกิเลส ไม่มีทางจบสุดได้เลย มันก็มีแต่อัตตาตัวตนตัวกูของกูไปยาวไม่รู้จักจบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรม รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #51ลดละจากมหามาสู่จุล เปลี่ยนจากไม่เห็นด้วยจนมาเห็นได้ วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567 ขึ้น 5 ค่ำเดือนยี่ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 20:02:00 )

ทำดีเพื่อตัวเองมันก็เห็นแก่ตัวกลายเป็นกิเลส

รายละเอียด

อยู่อย่างดีก็ดีได้ แต่ดีแล้วก็ดีแล้วก็เสื่อม พอตายแล้วก็ลืม ตายแล้วก็ไปรับวิบาก โดยไม่รู้วิบากบาปบุญอะไรมากมาย ไม่รู้จักความเป็นอัตตา ตัวตน เป็นอัตตานี่ เป็นสภาวะของรูปนามชนิดหนึ่ง คู่หนึ่ง มันยึดเป็นตัวเป็นตน ถึงอย่างไรอย่างไรก็เห็นแก่ตัว แม้จะรู้ดีแล้ว รู้กรรมดีอย่างไร ทำดีอย่างไร มันก็เห็นแก่ตัวอยู่นั่นแหละ ทำดีเพื่อตัวเอง มันก็เห็นแก่ตัว มันก็เลยไม่มีการจบได้ เอ๊ เห็นแก่ตัวมันก็กลายเป็นกิเลส สุดท้ายมันได้เปรียบจนกระทั่งคนยอมรับได้สูงสุด ก็เผินก็เผลอ สะสมความเห็นแก่ตัวมากเอาเปรียบเอารัด จนกระทั่งมันก็ตกต่ำอีก เอาเปรียบเอารัดมาก อัตตาก็เสื่อม ตกต่ำอีก ก็หมุนเวียนตกต่ำอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จบอย่างนี้แล้วแล้วเล่าๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 45 ออนไลน์
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สังขารกับการเวียนว่ายตายเกิด


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 14:45:23 )

ทำดีแบบมีหัวโขนเป็นอกุศลเป็นบาปอยู่

รายละเอียด

สามารถทำได้หรือไม่ เขาทำกันอยู่ เป็นบาปหรือไม่ ตอบซิ เป็นอกุศลอยู่ เป็นบาปอยู่ มันไม่ดีงามเท่าไหร่ ใช้ตำแหน่งหน้าที่แค่นั้น สังเกตนะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรามีตำแหน่งหน้าที่สูงสุด เป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศ แต่ท่านพยายามที่จะลง ใช้ศัพท์ไทยๆ ติดดิน เห็นไหม แต่ท่านปลด ตำแหน่งหน้าที่ ที่เป็นสมมุติโลก มัน born to be ท่านก็ต้องทำหน้าที่ตามตำแหน่งของท่าน ท่านยังอยู่ในฐานะที่ต้องอาศัยตำแหน่งหน้าที่บ้างตามนี้ ทำในฐานะของพระองค์ ที่เป็น พระโพธิสัตว์ระดับหนึ่งมาในยุคธรรมิกราช 2 รูปคือ ท่านกับอาตมานี่ นี่ก็พูดอย่างไม่ได้เก้อเขิน ไม่ได้มังกุ อุทธัจจะ เหนียมอายอะไร เหมือนหน้าด้านแต่ไม่ได้หน้าด้านหรอก พูดความจริง มันเป็นความจริง ใครจะเชื่อไม่เชื่อไม่มีปัญหาหรอก ยุคนี้ ผู้รู้เก่าๆ ท่านก็ทำนายไว้แล้วว่าจะมีธรรมิกราช 2 รูป ใครจะมาแย่งตำแหน่งกับอาตมาก็มาปรากฏตัวสิ ในหลวงร.9 ท่านแสดงพระองค์ไปแล้ว ใครจะยอมรับว่าท่านเป็นธรรมิกราชหรือไม่ก็แล้วแต่ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ

วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 13:30:19 )

ทำดีแล้วยังตั้ง “ความหวัง” มันก็ไม่พ้นนรก!

รายละเอียด

เพราะชัดเจนแล้วว่า “สวรรค์(สัคคะ)นั้น มันก็คือ“ภพ” ถ้าขืนยังมี

“ความหวัง”ที่จะได้“สวรรค์”มันก็คือ ยังมี“การสร้างภพ”ใส่จิตตนเองอยู่ ไม่ใช่“การดับภพ” ต้องมี“สัญญา”ต้องมี“ปัญญา”รู้ภาวะของ“อาการจิต”

ที่เป็น“ภพ”เป็น“ชาติ”เกิดขึ้นในใจของเราให้แน่แท้ ซึ่งเราได้เรียนรู้จาก

“อนุปุพพิกถา 5” ได้แก่ ทาน-ศีล-สัคคะ-กามาทีนวะ-เนกขัมมานิสังสา

(พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 27) 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 346 หน้า 255


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 11:00:15 )

ทำดีแล้วยังไม่ได้ดีคือทำดียังไม่มากพอ

รายละเอียด

คนที่ทำดีแล้วยังไม่ได้ดีนี่พูดภาษาโลกียะ คือทำดียังไม่มากพอ ทำดียังน้อยไปฉันเดียวกัน บุญคือการตัดกิเลส ผู้ที่ยังตัดกิเลสไม่มากพอ ต้องตัดกิเลสให้มากพอจนแน่ใจว่ากิเลสเราหมด ก็ยังไม่แน่ว่าเราจะหมดกิเลสจริง เพราะเราอาจจะตัดสินเราผิด ว่าเรานั้นหมดกิเลส แต่ที่จริงแล้วเหนือชั้นกว่านี้ยังมีอีก ทำให้กิเลสเราขึ้นได้ นึกว่าเราหมดแล้วนะ เฮ้ย นี่มาได้อย่างไร อันนี้มันจะต้องบอกเราว่า คุณจะต้องมีประสบการณ์จริงถูกกระทบกระแทกกระเทือนตามเหตุปัจจัย แล้วมันก็เฉย มันก็ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการสำมะปี๋ซี่วิต สันติอโศก ครั้งที่ 31 วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:47:59 )

ทำดีแล้วเป็นอัตตา จะละอัตตามานะได้อย่างไร

รายละเอียด

ทำดีแล้วเป็นอัตตา จะละอัตตามานะได้อย่างไร อัตตา ก็คือตัวตน มานะคือ ความหลงดี ยึดดี พอเราทำอะไรก็แล้วแต่ เราได้สิ่งที่ดีเกิดขึ้น มีตัวดี ดีจริงๆ เราไม่ต้องไปพูดถึงมิจฉาทิฏฐิ นี่พูดถึงสายสัมมาทิฏฐิเลย เราได้ดีขึ้นมาแล้วเราก็เข้าใจว่ามันดีจริงๆ มันก็จะมีธรรมชาติ ดีนี้ เราจะต้องเอาไว้นะ จะต้องยึดไว้นะ จะต้องรักมันนะ จะต้องมีในตัวเรานานๆ นะ

แรกๆ อวิชชาก็จะดูดดึงเต็ม เพราะฉะนั้นจึงเกิด ยึดดี มานะ ยึดดี เป็นอัตตาซ้อน จบคำอธิบายไว้แค่นี้ ถ้าต่อแล้วจะยาว แต่นี่ถ้าเข้าใจก็จบนะ มานะ ก็ยิ่งเป็น อัตตา ถ้ามันดีแล้วก็ดีจริงด้วยไม่ผิด แต่ทุกอย่างอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ยึดได้แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่น คุณยึดไว้ใช้นั้นถูกแล้ว อาศัย แต่อย่ายึดจนเป็นอนุสัย จบที่มานะ ดีแล้วอย่ายึดดี ใช้คำว่า อาศัย 

อาศัย ไม่ใช่ นิสัย วิสัย อนุสัย เป็นแต่เพียงอาศัย อาศัยไม่ใช่อาลัย อาศัยคุณจบในเรื่องอาศัยแล้วคุณอย่ามีอาลัย อาลัยแปลว่ายังอยู่ อาศัยแปลว่าปัจจุบันพยัญชนะทุกตัวอาตมาเข้าใจพยัญชนะ ก ข ค ฆ ง ฯ มันหมายถึงสภาวะอย่างไร อาตมาเอามาใช้ขยายความให้ฟังเป็นครั้งไป มันเป็นสภาวะกับการสื่อด้วยพยัญชนะ ที่มีสมมุติขึ้นมาเพื่อกำหนดรู้สภาวธรรมนั้น มันเป็นสัจจะ 2 อย่าง

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ความมีความไม่มี สิทธัตถะและสิริมหามายา

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 กันยายน 2565 ( 19:39:24 )

ทำดีไม่ต้องมีหัวโขนอย่างพ่อครู

รายละเอียด

การใช้ตำแหน่งยศศักดิ์ตำแหน่งที่แต่งตั้งขึ้นมา ดีจริงหรือไม่ ตอบคือได้ จริงไปตามสมมุติสัจจะโลก ดีได้ ถ้าทำให้บริสุทธิ์ใจ ตั้งใจตามภูมิธรรม แต่จิตผู้ที่ว่านี่ ยังเข้าใจว่าจะต้องอาศัย ตำแหน่งหน้าที่ เป็นเครื่องมืออย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ตัวเองจริงๆ มันยังแฝงไปด้วยตำแหน่งอำนาจหน้าที่ทางโลกที่เขาสวมมงกุฎสวมหัว สวมอำนาจสวมอะไรต่ออะไรให้ มันก็ยังไม่แน่จริง ขออภัย แน่จริงต้องโพธิรักษ์ ไม่มีหัวโขนเลย ดีไม่ดีเขาสวมหัวยักษ์หัวมารให้ด้วย แต่อาตมาไม่ได้เป็นยักษ์มาร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ หากเลิกหลับตาปฏิบัติได้ประเทศไทยเจริญ

วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2565 ( 13:24:47 )

ทำด้วยความสงบ

รายละเอียด

เข้าสู่จุดสำคัญเลย พอ พวกเราประชาชนเข้าไปร่วมประท้วงจนกระทั่งมีการรวมตัว จนกระทั่งคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นนักการเมืองมาตลอด เคยเป็นรองนายก เคยเป็นรัฐมนตรี คนเขาก็รู้จัก ก็เป็นนักการเมือง จึงมีมวลประชาชนมาก จนประชาชนออกกันไปเป็นล้านๆ จนกระทั่งหลังสุดสมทบกันถึงขั้น 10 ล้านคน ซึ่งไม่เคยมีประวัติศาสตร์ในโลก ที่มีมวลชนมากมายถึงขนาดนี้ ไปร่วมกันประท้วง ทำด้วยความสงบ ไม่มีอาวุธ ถูกกฎหมายสากลของโลกเขาทุกอย่าง 

เพราะว่ากองทัพธรรมเป็นตัวหลักอยู่ มีหมดหลักฐาน ยาวให้เป็นเย็นเรื่อยไป สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น เราเคยไปร่วมถวายฎีกา พลเอกปรีชาเป็นผู้นำกับพวกเราไปที่หน้าพระราชวัง ไปให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็งงๆ ว่ามันเป็นฎีกาอะไร ประชาชนปฏิวัติมันคือกบฏ ผู้ที่ปฏิวัติไม่สำเร็จก็คือกบฏ ผู้ปฏิวัติสำเร็จก็คือผู้เป็นผู้นำต่อไป มันก็มีอยู่ตรงนี้เป็นสิริมหามายา มันยังไม่เคยมีตัวอย่าง เจ้าหน้าที่รับฎีกา ก็คิดว่ามันเป็นฎีกาอะไร ถ้าหากในหลวงตรัสถาม หรือมันเป็นเรื่องระคายเคืองพระยุคลบาทก็กบฏ เพราะเขายังไม่รู้ว่า มาทำปฏิวัติหรือกบฏ เขาก็คงพอมีความรู้ หากมาไล่รัฐบาลมันเป็นกบฏ มันจะมาล้มรัฐบาลก็เป็นกบฏ แล้วมันยังไงมันซับซ้อนอย่างนี้ เขาก็ไม่กล้า ก็เลยถือกลับมาคืนมาให้แก่พลเอกปรีชา เราก็ต้องถือกลับมา มานั่งประท้วงกันต่อ เวรจริงๆเลย 

เราประท้วงเป็นแบบมีหลักการที่อาตมาได้ลงมือเขียนเองเลยนะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมพุทธศาสนาตามภูมิ  Neo Protest ประชาชนปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 12:27:43 )

ทำตนเหมือนทัพพีไม่รู้รสแกงคือเช่นไร 

รายละเอียด

เอ๊..ใครหนอ? ทำตนเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง เปรียบเทียบคนที่อยู่ข้างในนี้แล้วทำตัวเหมือนทัพพีไม่รับรู้รสแกง และเปรียบเทียบกับคนข้างนอก ที่เขารู้รสแกง เขาตั้งใจปฏิบัติ อยู่ข้างนอก 

คำว่า “เคร่ง” คำนี้หมายความว่า ปฏิบัติแบบอโศก ไม่ใช่เคร่งแบบเคร่งจารีตประเพณี แต่ถือศีลแล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 ยังไงดีกว่า ก็อย่างแบบอโศกนั้นดีกว่า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิสัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 มีนาคม 2567 ( 07:35:12 )

ทำตนให้มีคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่น คือปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม 

รายละเอียด

มันก็อยู่ที่ใจของเราทั้งนั้น ว่า การสอนคนนี้มันยาก ผู้จะสอนคนได้ดี ก็ต้องทำตนเองให้ได้ก่อนตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้.. “ทำตนให้มีคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง” คือปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม 

ถ้าเรามีคุณธรรมแล้วไปสอนคนมันจะไม่ยาก เพราะเอาความจริงของตนมาแสดงมาพูด อย่างน้อยพฤติกรรมทางกายกรรมเราก็เป็น มันก็สอนในทีอยู่แล้ว ยิ่งพยายามจะพูด มโนกรรมที่เรามีภูมิรู้เป็นมโนสังขาร มันก็จะทำให้เราพูดตามที่จิตของเรามันมีคุณธรรมพวกนั้น แล้วยิ่งมีความฉลาดเฉลียว มีขั้นตอน มีสิ่งที่ควรจะพูดก่อนหลัง ก็เป็นผู้ที่ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ เป็นคนที่จะเป็นตามพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าท่านเองเป็นผู้ที่ฝึกบุรุษผู้สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า แน่นอนพระพุทธเจ้าก็เป็นที่หนึ่งเป็นครูฝึกบุรุษที่สมควรฝึก คนที่ควรนะ คนที่ไม่ควรฝึกก็ไม่สามารถฝึกได้ อย่างพวกคุณมายินดีฝึก เต็มใจฝึก ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ก็ลดหลั่นไป พระพุทธเจ้าสุดยอดไม่มีใครยิ่งกว่า 

ส่วนสำหรับพวกเราก็ทำไปตามลำดับ ความเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นอย่ารังเกียจความเป็นครู อาตมาเกิดมาไม่อยากเป็นเลยครู ตั้งจิตแล้วว่าจะไม่เป็นครู แต่สุดท้ายก็มาหากินทางครู แม้แต่ในชีวิตที่เป็นฆราวาสก็ต้องสอน อาตมาเรียนทางศิลปะมา สอนทางศิลปะ เอาไปเอามาอาตมาต้องสอนศีลธรรม เป็นครูทางศีลธรรม ไปสอนโรงเรียนต่างๆ กลายเป็นครูสอนศีลธรรม สอนศิลปะนำไปก่อน แต่สุดท้ายก็สอนศีลธรรม เขาก็เห็นดีเห็นงาม เจ้าของโรงเรียนก็ให้สอน 

หรือแม้แต่โรงเรียนรัฐบาล เช่นโรงเรียนสตรีวิทย์ โรงเรียนเบญจมราชาลัยก็ให้ไปสอน แม้แต่อาจารย์กรองทองเป็นอาจารย์ใหญ่ แม่ของคุณปลอดประสพ ก็สอน จนเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนต่างๆอาตมาสอน เช่น โรงเรียนประสานมิตร เป็นต้น จนอาตมาน้องๆนุ่งๆ เข้าโรงเรียนเหล่านี้สบายไม่มีปัญหาบอกชื่อเขา 

น้องเขาไปสอบโรงเรียนประสานมิตร เขาสอบตก เข้าไม่ได้แล้วก็มาบอก ก็บอกว่าให้ช่วยเขาหน่อย อาตมาก็ไปบอกฝ่ายอาจารย์เขา เขาบอกว่าทำไมไม่มาบอกก่อนไปสอบตกแล้วค่อยมาบอก สอบตกแล้วเขาก็ประกาศแล้ว ทำไมไม่มาบอกก่อน แต่แกก็รับเข้า แต่ก็ต้องต่อว่า… คือ มีเครดิตในทางพวกนี้ เพราะฉะนั้นเข้าโรงเรียนไหน ลูกของลุงอาตมาฝากเข้าทุกคน ติ๋ม จุฬา ต้อย คนหนึ่งเข้าสตรีวิทย์ฯ ติ๋มต๋อมแต๋มเข้าประสานมิตรหมด มีที่ไปเรียนบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์) ก็บอกว่าดึงเข้าโรงเรียนรัฐ จนมีเครดิตทางด้านการศึกษาพวกนี้ ที่มีคนเกื้อกูลเพราะเราช่วยเขา เขาก็ตอบแทน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบ ญาติธรรมสันติอโศก 

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2566 ( 19:25:07 )

ทำตนให้มีคุณอันสมควรก่อนพร่ำสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง

รายละเอียด

 อาตมาก็ไม่รู้จะชี้อย่างไร จะให้แยกก็ไม่ถูก มันแต่งงานแล้ว อาตมาจะไปยุแหย่ให้หย่ามันก็ไม่ถูก คุณจะทำยังไง แม้จะอยู่คุณก็อยู่อย่างปรารถนาดี  ปฏิบัติดี ประพฤติดีให้สามีได้เจริญขึ้น พัฒนาขึ้นบ้าง มันสำคัญอยู่ที่ตัวเรา  ตัวเราต้องปฏิบัติตนก่อน แล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง ทำตนให้เจริญให้เป็นอาริยะที่ดี แล้วมันจะมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าควรทำเช่นนี้ เหมาะ พอสมควร เป็นกัมมัญญา 

ทีนี้ สามีจะเห็น เขาปฏิบัติธรรมนี้เจริญ เขาก็จะโน้มมาว่า อ๋อ ถ้าปฏิบัติธรรม แต่ก่อนผัวเมียอยู่ด้วยกันมา กิริยาคลุกคลีอยู่ด้วยกัน มันจะไม่โง่พอจะไม่รู้ว่า เจริญขึ้นหรือเลวลง นอกจากคุณซวยหน่อยได้สามีที่โง่ๆจนกระทั่งไม่รู้ความเจริญความพัฒนา ว่าดีขึ้นหรือเลวลง เขาไปทำดีก็เข้าใจผิดตรงกันข้ามก็ซวยมากหน่อย แต่ถ้าไม่ซวยมากมันก็จะพอมีปฏิภาณปัญญาสามัญ พอจะรู้ได้ เข้าใจ พอเข้าใจได้ในสิ่งที่ถูกที่ผิด 

สรุปแล้วก็คือเอาตัวเองก่อน ทำตัวเองให้พัฒนา ทำคุณอันสมควรก่อนแล้วก็ช่วยผู้อื่น สอนผู้อื่นในภายหลังจะไม่มัวหมอง คุณจะได้กลายเป็นสารถี ผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ในอนาคต เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างอาตมาเดินตามพระพุทธเจ้า ก็เป็นสารถีฝึกบุรุษผู้สมควรฝึก อย่างพวกคุณเป็นบุคคลที่สมควรฝึกอาตมาก็ฝึกได้ แต่ไม่ถึงขนาดเก่งเหมือนกับพระพุทธเจ้าที่ไม่มีใครยิ่งกว่า พระพุทธเจ้ายิ่งกว่า อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์ ทำได้คุณสมบัติเหล่านั้นตามพระพุทธเจ้ามาตามลำดับ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ฟังสาธยายธรรมจากคำถามของคนจริง

วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 4 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ


เวลาบันทึก 19 กุมภาพันธ์ 2566 ( 12:41:03 )

ทำตนให้เป็นเอกให้เจริญสูงสุดจนเป็นหนึ่ง

รายละเอียด

ตั้งแต่หยาบที่สุด ต่ำที่สุด หรือเลวที่สุด เทียบกับเลวรองลงมา เราก็ต้องมาเป็นรองให้ได้ เลวที่สุดไม่เอา มาเป็นรองให้ได้ และก็ได้แล้วก็เทียบกับตัวใหม่อีก ตัวที่จะเลว น้อยลงไปอีกรองลงไปอีก หาให้เจอ เกิดจากพฤติกรรมอย่างไร เกิดจากพฤติกรรมทางกาย พฤติกรรมทางจิตอย่างไร ที่มันจะเป็นทิศทางที่มันจะปรุงแต่งกันอยู่ แล้วมันจะเจริญ หาตัวที่เลวรองลงมา เลวรองมา เลวรองมาได้เรื่อยๆได้ จนกระทั่งไม่มีตัวที่จะรองแล้ว ไม่มีตัวที่จะเลวต่อไปอีกแล้ว สุดจบ เป็นเอกแล้ว หาตัวรองอีกไม่ได้แล้ว 

ถ้าในมวลมนุษยชาติด้วยกัน ก็จะเป็นคนที่เป็นเอก หาคนเป็นรองได้เยอะ จนกระทั่งเหนือชั้นกว่าความเป็นรองสูงขึ้น ไกลขึ้น ทิ้งช่องว่างมากขึ้นไกลขึ้น อย่างพระพุทธเจ้า เป็นเอกชนิดที่ สูงขึ้นสูงขึ้น จนกระทั่งไม่มีใครไล่ทัน ไม่มีใครไล่ติด 

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในช่วงกาละยุคที่จะมีคนทำตนให้เป็นเอก ให้เจริญสูงสุดจนเป็นหนึ่ง จนกระทั่งคนที่จะตามนี้ ตามไม่ทันได้ง่ายๆ ทั้งใช้เวลา ทั้งใช้สภาวธรรมแต่ละคนที่จะเกิดจะเป็นอารยธรรมของตนเองได้ ก็ไม่ตามทันได้ง่าย เพราะฉะนั้น คำตรัสของพระพุทธเจ้าจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครในยุคเดียวกัน ไม่มีใครสามารถเข้ามาเป็นเอกทันพระพุทธเจ้าได้ หรือแม้แต่ในระยะใกล้ ก็ยังไม่ใกล้ ผู้เป็นรองจริงๆยังไปไกลอีกมาก สำหรับพระพุทธเจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนากัณฑ์พิเศษ เริ่ม 53 ปี โพธิกิจ ยังเป็นรองต้องอุตสาหะ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 ธันวาคม 2565 ( 12:23:33 )

ทำตลาดอาริยะเพื่อให้มนุษยชาติได้อาศัย

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่ลึกซ้อนว่าเราทำตลาดอาริยะคืออะไร มันมีความเข้าใจเยอะหลายๆอย่างนะที่อยู่ในนี้ ไม่ใช่ว่าทำง่ายๆหรือว่าทำเปลือกๆเล่นๆ แต่มันลึกซึ้ง ซึ่งมนุษยชาติได้อาศัยเป็นปีๆ ถ้าเราทำทุกปี ทุกปี คนจะได้พึ่งเราจริงๆ พึ่งการแจกจ่ายเฉลี่ย ขายบ้างแต่ขายถูก เอาคืนมาน้อยๆ เสียสละให้จำนวนหนึ่ง เป็นวิธีขายขาดทุนคือกำไร ขาดทุนให้พวกเขา เราเป็นผู้ได้กำไร เป็นผู้ที่มีประโยชน์คุณค่าให้แก่เขา แล้วไม่ได้คิดว่าเราเองเป็นคนมีคุณค่า เป็นเจ้าบุญเจ้าคุณอะไร ไม่ใช่ เราก็ไม่ได้คิดอย่างนั้น เราทำงานแล้วก็ทิ้ง คืนให้ไปเลย ทำงานแล้วก็ไม่ได้คิดว่าเราเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณใคร 

ก็สรุปแล้ว แหม..ก็เป็นประโยชน์มาก  ที่คุณสนธิญาณได้มาเป็นผู้ร่วม ได้สาธยายวิเคราะห์ วิจัย ในการแจกแจงความเห็น เพื่อจะให้ขัดขาวหรือขัดแย้งกัน เพื่อที่จะให้รู้ดียิ่งขึ้นสะอาดยิ่งขึ้น ผู้ฟัง ก็จะได้รับประโยชน์ เห็นความขาวยิ่งขึ้น เห็นความสะอาดยิ่งขึ้นว่า  อ้อ ตกลง จุดสำเร็จของผลคืออย่างไรที่มันขาว อย่างไรคือมันสะอาด อย่างนี้เป็นต้น ก็จะได้เข้าใจ ได้ประโยชน์จากการสนทนาคราวนี้ ก็ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งเป็นอย่างยิ่งต่อคุณสนธิญาณวันนี้ 

 

 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 8 พ่อครูพบ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มกราคม 2566 ( 13:12:05 )

ทำตัวเองก่อนแล้วจึงค่อยสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง

รายละเอียด

คือ  ผู้ที่จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้  ที่สำคัญมาก  ผู้จะช่วยให้อาตมาแข็งแรงได้  คือ  คุณต้องทำสุขภาพของคุณเองให้แข็งแรง  เมื่อคุณสุขภาพแข็งแรง   คุณจะได้มาช่วยอาตมาไง  มันง่ายๆ  ไม่ได้ยากอะไร  หรืออย่างน้อย  คนทำให้ตัวเอง  สุขภาพแข็งแรง  จะได้รู้ว่าทำอย่างไร  ถึงจะแข็งแรง  จะได้มาบอกอาตมาไง  เพราะฉะนั้น  คำสอนของพระพุทธเจ้าบอกว่า  ทำตัวเองก่อนแล้วจึ่งสอนผู้อื่น  จะไม่มัวหมอง  ไม่มัวหมอง คือ ไม่เสียหาย ไม่เศร้าหมอง ไม่เปื้อนเปรอะ เลอะเทอะ ไม่ผิดเลย  เพราะฉะนั้น  ทำตัวเองให้ดีก่อน  แล้วจึงสอนผู้อื่นจึงไม่มัวหมอง การทำความผิดนี้  มันแย่กว่าความมัวหมองนะ  อย่าไปว่าถึงผิดเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2562 


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 12:22:38 )

เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2563 ( 14:55:51 )

เวลาบันทึก 10 สิงหาคม 2563 ( 07:12:19 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์