@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ผู้ที่เป็นอาริยะเป็นนักประชาธิปไตยทุกคน

รายละเอียด

อาจารย์ส.ศิวรักษ์ในเรื่องการเมืองเขาก็มีความรู้อย่างนั้น ส่วนอาตมาก็มีความรู้การเมืองของอาตมาอย่างนี้ อาจจะต่างกัน ในความหมายองค์รวมเช่นคำว่าประชาธิปไตยเป็นอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยอย่างของอาตมาอยู่กับร่องกับรอย แต่อาตมาว่าอาจารย์ส.ศิวรักษ์ยังไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยอยู่กับร่องกับรอยหรอกจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆเพราะยังไม่ลงตัว 

ไม่ใช่ง่ายนะ อาตมาว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นประชาธิปไตยในยุคของท่านซึ่งคนอื่นเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนผู้ที่เป็นอาริยะก็เป็นประชาธิปไตยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือเป็นพระอรหันต์ก็มีภูมิปัญญาเท่าที่เขามีภูมิปัญญา แต่เขาเข้าใจแล้วว่าประชาธิปไตยคืออะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:38:31 )

ผู้ที่เริ่มรับรัศมีของโลกุตระได้เริ่มเป็นรอยร้าวเขื่อน 

รายละเอียด

เป็นความรู้ของมนุษยชาติที่จะมาเข้าใจและจริงใจอย่างที่อาตมาพูดไป ขนาดรู้แล้วมันยังเป็นไปไม่ได้ง่ายๆเลย ใช่ไหม เป็นไม่ได้ทันที เป็นไม่ได้ง่ายๆ แต่พวกคุณนี้มีส่วนแล้วทำได้ ส่วนผู้ที่จะเริ่มฟังอาตมา เปิดจิตฟัง ถ้ายังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังเห็นว่าอาตมาผิดเป็นผู้ไม่รู้ คนนี้บ่มีไก๊ ไร้สาระ มิจฉาทิฏฐิ คนนี้ก็ปิดประตูเขา 

แต่อีกคนหนึ่งฟังแล้วรู้สึกว่ามีอะไรดีๆเหมือนกันนะโพธิรักษ์ แง้ม เปิดรับอาตมาไปบ้าง เขาก็จะค่อยๆได้ เริ่มเป็นรอยร้าวเขื่อน 

เขื่อนถ้ามีรอยร้าวจะพังในอนาคต แต่เมื่อไหร่ไม่รู้นะ นานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ เริ่มมีรอยร้าว 

ผู้ที่ชัดเจนว่าโพธิรักษ์เป็นผู้ที่มีอะไรพอฟังได้ แต่ด้วยความจริงใจนะ ไม่ใช่ถูกหลอก แสดงว่าเกิดจิตใจที่เต็มที่ เริ่มรับรัศมีของโลกุตระได้ เริ่มรับกัมมันตภาพรังสีของโลกุตระได้ ก็ค่อยๆเข้ามา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม คนจนโลกุตระมีประชาธิปไตยที่ดีสุดในโลก วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 เมษายน 2564 ( 19:24:02 )

ผู้ที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ

รายละเอียด

ถูกผู้ที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ย่อมทำตามความสำคัญที่ตัวเองเห็นตัวเองเข้าใจนั้น ผู้เห็นความสำคัญในความสำคัญ ผู้นั้นจะทำตามความสำคัญที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าสำคัญนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่เข้าใจคำว่าภาวนาผิดแล้ว ไปเข้าใจ สลับจากผลมาเป็นเหตุเท่านี้ก็กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว ก็หมดหวัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาฟังอาตมา เพราะอาตมาบอกชี้แล้วนะว่าจุดแรกสักกายทิฏฐิของคุณผิด แล้วอาตมาก็อธิบายไปแล้วคำว่า สัก คำว่า กายะ สักกายะ

สักกะ คือ ตัวเรา คืออัตตา กายะ คือ ความรู้ ความรู้ใน 2 สภาพ ภายนอกภายใน กายะมี 2 เสมอ ส่วน อัตตานั้นเป็น 1 และ 1 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ God ปรมัตตา หรือปรมาตมัน บรมตัวตน คือ ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ ประ กับ อัตตา อาตมัน ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของเทวนิยม เป็นปรมาตมัน มันจะไม่ยอมเห็นแก่ 2 ของใครมาแย้งไม่ได้ แย้งอย่างไร ฉันก็เชื่อของฉันหนึ่งเดียวของฉันนี่แหละไม่เปลี่ยนแปลง หัวไอ้เรืองเดียวๆ ถ้าคุณถูก คุณก็เป็นศาสดา แล้วก็เป็นศาสดาหัวไอ้เรือง แต่ถ้าคุณผิดแล้วคุณมาแก้ปั๊บคุณก็จะได้เป็นศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงกว่า อย่างน้อยก็ได้เป็นอย่างโพธิรักษ์ อย่างสำคัญที่สุดก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 47  วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ ที่บวรปฐมอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 14:49:13 )

ผู้ที่แยกกายแยกจิตได้

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถแยกธรรมนิยาม 5 ได้ แล้วทำกาย ทำจิตของตนให้เกิดอุตุธาตุ  พีชธาตุ  จากจิตธาตุของตนโดยกรรม  โดยธรรม หรือโดยสัจธรรม  โดยสัทธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจึงสามารถที่จะแยก  และทำให้เป็นไปตามที่แยกได้สมบูรณ์แบบ  พระอรหันต์คือผู้ที่แยกธานตุจิตของตัวเองให้เป็นอุตุธาตุได้แล้ว ถึงจะสามารถตาย แล้วไม่เกิดอีก  พอสามารถสลายจิตนิยาม ของตนเอง ให้เป็น  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  เป็นอุตุธาตุได้  ก็หมดความเป็นชีวะแม้แต่ พีชะ  อาตมาตั้งจิตต่อ  อุปณิหิตตัง จิตตัง  มาเป็นโพธิสัตว์ต่ออีก  กายนี้  พระพุทธเจ้าว่า  กายจะเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ ทำได้ง่าย แต่กายคือจิต มโน  วิญญาณนี้เบื่อหน่ายได้ยาก

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:31:32 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:19:33 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:43:06 )

ผู้ที่แสวงหาโดยไม่มีอคติก็จะได้อัญญาสิ วตโพโกญทัญโญ

รายละเอียด

ใช่ ชัดขึ้น วันนี้อธิบายลักษณะสัจธรรมชัดเจนขึ้นมาก ก็ถ้าเธอว่าผู้ใดตั้งใจ ได้ฟังก็จะเข้าใจว่าแตกต่างจากที่เคยได้ยินได้ฟัง โอ้ มีอัญญาสิ วตโพโกญทัญโญ แปลกนะ ไม่ได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย วันนี้อธิบายได้ลึกซึ้งซับซ้อนชัดเจนขึ้น ถ้าผู้ที่แสวงหาไม่มีอคติก็จะได้ อาตมาขอยืนยันว่าไม่ได้แกล้งไม่ได้เสแสร้ง ไม่ได้ทำตัวปกปิด ไม่ได้ควบคุม แต่เป็นไปดูอิสระเสรีจึงเป็นไปอย่างนี้แหละ เพราะอรหันต์เป็นคนจริงๆอย่างนี้แหละ สัญญา ของอาตมาเป็นอย่างนี้ เวทนาของอาตมาบริสุทธิ์แล้ว สังขารของอาตมาก็เป็นไปตามที่เข้าใจในการมีนัจจะคีตะวาทิตะ นัจจะคือท่าทาง คีตะคือสำเนียงเสียง วาทิตะคือ ภาษาที่เลือกออกไป นี่คือ นัจจะคีตะวาทิตะ ของพระอรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 19 พฤศจิกายน 2563 ( 12:21:17 )

ผู้ที่โกหกทั้งๆที่รู้นั้นเลวที่สุด

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่ชัดที่สุดและก็จริงที่สุด ผู้ที่โกหกทั้งๆที่รู้ ตนก็รู้ว่าคำนี้เป็นการโกหก  แล้วก็โกหกมันออกไป โกหกผู้อื่นทั้งๆที่รู้ว่าตนเองโกหก ไม่แก้กลับ ยังดันทุรังโกหกต่อไปให้คนอื่นเข้าใจผิดอย่างนั้น คนนี้เลวหาที่สุดไม่ได้ เสื่อมหาที่สุดไม่ได้ มันเป็นเช่นนั้น น่ากลัวสัจธรรมนี่ ฟังสัจธรรมดีๆ ที่อาตมาหมาย (พตปฎ ล.25 ข้อ 203 สัมปชานมุสาวาทสูตร การกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศนารายการ ปรับทุกข์ปลุกธรรม พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 24 มกราคม 2567 ( 15:11:59 )

ผู้ที่ไกลจากวิเวก

รายละเอียด

สมณะโพธิรักษ์อธิบายวนไปวนมา ผู้เอาร่างตัวเองออกป่าเข้าถ้ำ ไม่มีมิตรดีแล้วไปสะกดจิตตัวเองให้ไม่มีสัมผัสภายนอก ขาดจากภายนอก ก็เป็นปัจจุบันแบบมิจฉาทิฏฐิ  เป็นเดียรถีย์ แม้แต่อานาปานสติ พระพุทธเจ้าก็เตือนว่าให้เหลือลมหายใจอยู่เป็นสิ่งสุดท้ายอย่าให้ขาด พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะต้องสัมผัส  วิโมกข์  8 ด้วยกาย การไม่มีกายก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ไม่มีสิทธิ์จะบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าเลยอย่างนี้เป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 12:20:53 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:20:25 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 04:58:39 )

ผู้ที่ได้พากเพียรจริงๆ

รายละเอียด

อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาเข้าใจดี ซาบซึ้งความจริงอันนี้ ขนาดแค่อาตมาเป็นระดับ 7 นี่ก็ซาบซึ้ง พวกคุณจะซาบซึ้งเท่าอาตมาได้อย่างไร ที่อาตมาพูดไปเป็นแต่พูดความจริงว่าเราเป็นผู้ที่ได้พากเพียรจริงๆ

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เรียนอาหาร 4 ให้ถึงนาม รูป ทะลุสุภกิณหา วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 13:58:14 )

ผู้ที่ได้รับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว จะแบ่งเป็น 3 ลักษณะ

รายละเอียด

ในช่วงระยะใกล้ๆจะมีพระพุทธเจ้าเกิดมาในยุคเดียวกันซ้อนสององค์ก็ไม่เป็นฐานะ อฐานะที่จะเป็นได้ ต้องห่างกันพอสมควรจึงจะเกิดในแต่ละคราว ก็มีคนที่มีปัญญารู้ได้ ส่วนคนที่ไม่เชื่อ แน่นอนไปห้ามเขาไม่ได้ ดีไม่ดีจะหมั่นไส้ อ้วกด้วย ดีไม่ดีโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากได้ แต่คงไม่ถึงขั้นนั้น อาตมาจะมีวิบากได้ มีลักษณะ 3 อย่าง

1.ฟังแล้วเชื่อถือ 2.ฟังแล้วลาสิกขา 3.ฟังแล้วตาย โลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก

คนระดับที่ 2 ฟังแล้ว ภิกษุที่บวชร่วมกันอยู่ศึกษาไปด้วยกัน ไม่เอาแล้วลาสิกขาเลย ไปหาที่บวชใหม่ ไปหาสำนักใหม่ อันนี้ไม่เอา ก็คือลาสิกขา ส่วนอีกคนหนึ่งชัดเจน เข้าใจศรัทธา ก็เป็น 3 อย่าง พระพุทธเจ้ายกตัวอย่าง ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า พวกหนึ่งฟังแล้วศรัทธาเลื่อมใส 60 คน อีก 60 คน ฟังแล้วไม่เอาแล้วขอลาสึก หนีไปเลย อีก 60 คน โลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก อาตมาคงไม่แสดงธรรมจนคนเป็นจิวยี่รากเลือด อย่างดีคุณก็หมั่นไส้ไม่เอากับเอ็งก็เท่านั้นอย่างแรงอาตมาว่า อย่างมากก็หมั่นไส้เต็มที่ บางทีฟังแล้วสึกก็มี หมั่นไส้เต็มที่ไม่เอา ดีไม่ดีจะอ้วก นั่นก็แรงไม่ชอบแรง ปฏิเสธแรง อีกพวกหนึ่งลาสึก ก็อย่างนี้เป็นต้น ส่วนพวกที่ศรัทธาน้อยหรือไม่ก็แล้วแต่จะยิ่งศรัทธายิ่งเข้าใจ นี่คือคำสอนพระพุทธเจ้า พออาตมาเอามาอ้างอิงยืนยันว่าแต่ละสิ่งที่เราพูดอธิบายอ้างอิงได้ ก็มีตัวตนเหตุการณ์จริงมีตำนานมีประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบข้อมูล ที่มันสอดคล้องมีหลักฐานอ้างอิงยืนยันได้ อาตมาก็พอมีสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่หมายความว่าเป็นสิ่งลึกลับ เป็นสิ่งที่มันไม่มีหลักฐานยืนยันเลยเอามาพิสูจน์ไม่ได้ คือเป็นอีกพวกหนึ่งมันไม่ใช่

ที่มา ที่ไป

เอื้อไออุ่นแพทย์วิถีธรรม วันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561


เวลาบันทึก 13 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:09:23 )

ผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติ

รายละเอียด

ผู้ที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัตินั้นไม่ได้ทำ อปัณณกปฏิปทาเลย ซึ่งเป็นความเสื่อมเป็นความผิด ไปทำฌานแบบไม่มี 3 ข้อนี้ ก็เป็นสมาธิ เป็นปัญญาที่มิจฉาทิฏฐิ อาตมาพูดไปเมื่อไหร่พวกที่นั่งหลับตาจะรู้สึกสักที ใช้หอกแทงไปไม่รู้กี่รอบแล้วไม่สะดุ้งสักทีเลย  พระราชา ให้เอาไปฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มเช้ากลางวันเย็น เขาก็ยังไม่ตาย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 09:21:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:21:09 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:02:33 )

ผู้ที่ไปเอาอาจารย์ออกป่ามันเสื่อมทั้งหมดทั้ง 4 ข้อ

รายละเอียด

ในสมัยนั้นคนเขาเข้าใจว่าอาจารย์ที่มีวิชชาจรณะจะต้องอยู่ป่า พวกนั้นบอกว่าแบบนั้นจะพาบรรลุนิพพาน เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ ศาสนาพุทธเพิ่งเริ่มต้นนะ พระพุทธเจ้าก็พยากรณ์ไว้ก่อนว่าออกมานั่นแหละเสื่อม ข้อนี้ยังรักษาวินัยพระพุทธเจ้าอยู่นะยังไม่ได้พรากพืชเป็นหัวหน้านรกเลย ข้อที่ 1 นี้ยังดีที่มีพระวินัย นี่เป็นความเสื่อมแต่ยังก็ส่อรอยไรๆ เห็นว่าจะเสื่อมยังไงก็ยังกินมังสวิรัติ ไม่ใช่ไปหาลูกศร หาหอกหาดาบเข้าป่าไปด้วย งั้นก็ไปล่าสัตว์กิน..ดีนะยังไม่มี ที่จริงแล้วคำว่าบำเรอท่านผู้ถึงพร้อม อาตมาก็ว่า สภาวะไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น มันน่าจะแปลว่าผู้ที่หลงไปอย่างนี้ไปเจอใครเขาก็จะรู้ว่าเป็นผู้ที่มีจรณะแล้วก็มอบตนเป็นลูกศิษย์ เจอใครในป่าก็นึกว่าเป็นผู้ที่มีจรณะสมบัติวิชชาสมบัติและมอบตนเป็นลูกศิษย์ นี่คือทางเสื่อมข้อที่ 2 อย่าลืมว่าสำคัญคือพระพุทธอย่างนี้คือความเสื่อมเพราะฉะนั้นอย่างนี้คือออกป่าทั้งนั้นออกมาหมดทั้ง 4 ข้อเลย ออกจากป่าแต่ไปสร้างเรือนไฟ คือการใช้อัคคียันต์ ใช้ไฟเป็นสื่อ แสดงว่าผู้ที่เข้าไปหาอาจารย์ในป่าแล้วไปบำเรอผู้ใดก็แล้วแต่ ไปมุบมิบว่า ผู้นั้นคือมีวิชชาจรณะแน่นอน ผู้ที่ไปเอาอาจารย์ออกป่ามันเสื่อมทั้งหมดทั้ง 4 ข้อ ประเด็นอยู่ที่เป็นพระป่า อาตมาเห็นใจพระพุทธเจ้ามากเพราะท่านเองต้องเข้าป่าแล้วไปสอนพระในป่า แล้วในยุคนั้นผู้ปฏิบัติก็อยู่ในป่ากัน เป็นยุคที่ยังไม่เจริญอะไรหรอก พระราชวังกับภูเขาคิชฌกูฏก็อยู่ใกล้กัน ที่พระเจ้าอชาตศัตรู บอกว่าไม่สบายใจ ก็เลยให้หมอชีวกโกมารภัจจ์พาไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนนั้นมืดแล้ว ก็เลยยกทัพไปเลยช้าง 500 ม้า 500 ไปถึงก็บอกว่าไหนพระพุทธเจ้านั่งอยู่ไหน เห็นแต่ภิกษุนั่งอยู่ เสมอกันหมด ก็เลยระแวงว่าถูกหลอกมาฆ่าหรือเปล่า องค์ประกอบบริบทต่างๆผู้ที่มีปฏิภาณจะเข้าใจว่า เป็นความหมายอะไร ไม่ได้ไกลจากป่าเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 07 กรกฎาคม 2563 ( 09:10:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:27:49 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:42:37 )

ผู้ที่ไม่ติดสุขติดทุกข์จะเป็นคนที่มีปัญญาเปิดโลกอย่างไร

รายละเอียด

ผู้ที่ชัดเจนเข้าใจอย่างนี้จริงๆ ก็เรียนรู้อารมณ์ของตัวเองที่เป็นเวทนา ว่ามันยังติดในความสุขความทุกข์ คุณก็ไม่จบ ถ้าหมดจริงๆอ่านอาการแล้วทำอาการของจิตให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้จริงๆเลย เป็นสภาวธรรมที่ละเอียดลออบางเบาสูงสุด ทำได้แล้วมันก็จบในความเป็นจริงของสัตว์โลก

คนที่ไม่ติดสุขติดทุกข์เท่านั้นแหละ จะเป็นคนที่มีปัญญาเปิดโลก เปิดเอกภพ เปิดมหาจักรวาลเลย จะรู้ทุกอย่างเลย จะเข้าใจว่ามนุษย์อยู่ด้วยการปรุงแต่งตั้งแต่ 2 หน่วย 3 หน่วย 4 หน่วย 5 หน่วยเป็นสังขาร เป็นวิญญาณ เป็นนามรูป เป็นอายตนะ เป็นผัสสะ เป็นตัณหา ตัวแส่หาทั้งหลายแหล่ ไม่เคยหยุดหย่อนเลย เสร็จแล้วพักหยุดบ้าง แต่เวลาพักก็ไม่ได้หยุดสนิท พักก็ยังปรุงอยู่นั่นแหละเป็นอุปาทาน สุดท้ายก็เลย ศัพท์เรียก ภพ ชาติ ภพคือแดน ชาติคือตัวเกิด เป็นคู่สุดท้าย ดับภพก็ดับชาติ ดับชาติก็ดับภพ ดับอุปทานก็ดับตัณหา ดับตัณหาก็ดับอุปาทาน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 20:08:01 )

ผู้ที่ไม่ทำแล้วคือผู้ที่เลิกโง่ 

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นถ้าคนเข้าใจสัจธรรมอันนี้ แล้วมาทำความดีงามอย่างนี้มากกว่าคนเอาเปรียบ สังคมก็สบาย สังคมก็แย่งกันน้อยลง 

แต่ความจริงแล้วคนไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังอันนี้ มันขี้โลภไม่มีจบมันโลภไม่มีพอ แล้วมันก็แย่งกัน แย่งกันอย่างร้ายแรงจนกระทั่งฆ่าแกงกัน ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาหรือฆ่ามันแล้วเอาสมบัติมันมาเลย รุกรานกันในระดับประเทศ ในโลก ทำอยู่ เพราะเขายังโง่อยู่ ผู้ที่ไม่ทำแล้วคือผู้ที่เลิกโง่ 

ผู้ที่มาช่วยสังคมช่วยมนุษยชาติอย่างที่อธิบายไป ตรงตามสัจธรรมที่ว่าจริงๆ จึงเป็นผู้ที่อนุเคราะห์โลก ช่วยโลกไม่ให้เกิดแย่งชิงฆ่าแกง ให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้สงบสบาย 

เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะทำกับสังคมกลุ่ม แต่ละกลุ่มแล้วก็ขยายกลุ่มให้คนอื่นได้เข้าใจแบบนี้แล้วก็มาทำตาม คือผู้ช่วยโลก ผู้ช่วยเศรษฐกิจโลกหรือช่วยรัฐกิจ ช่วยการบริหารการดูแล บริหารปกครองกันในโลก เป็นการช่วยสังคม สรุปแล้ว เศรษฐกิจ รัฐกิจ สังคมกิจ 3 พฤติกรรมนี้ไม่ได้แยกกัน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #18 ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณมนุษย์ และอภิวัฒน์สังคม วันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2566 แรม 12 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 09 พฤษภาคม 2566 ( 15:56:05 )

ผู้ที่ไม่มีหิริโอตตัปปะจะจมอยู่ในอวิชชา

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ก็จะจมอยู่ในอวิชชา สัทธรรม 7 ของจรณะ 15 ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา ถ้าศรัทธาไม่เปลี่ยนแปลง กับมิจฉาทิฏฐิ ที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็จะไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะขึ้นได้เลย ไม่มี ถ้าเข้าใจถูกต้องเลย ใครก็ตาม ที่ได้ซัดอาตมา  จ้วงจาบอาตมาไปแล้วอย่างแรง ก็จะ หิริโอตตัปปะ ว่าไปว่าสัตบุรุษ ทั้งที่ตัวเราเองเป็นอสัตบุรุษ จะละอายเลย ถ้ารู้ตัวจะเกรงกลัวอาตมาเลย นี่สัจจะเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นเทวธรรมอันนี้จะเกิดได้ ไม่ง่าย คนที่จะสำนึกจะรู้ตัวว่าตัวเองผิด โดยเฉพาะตอนยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันนี้ โอ้โห.. อัตตามานะอะไรต่ออะไร มันค้ำคอ ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขมันค้ำคอ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ โฮมแฮงกันซัดหอกเพื่อฆ่าโจรทำลายศาสนา วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2564 ( 11:18:55 )

ผู้ที่ไม่เอาอะไรแล้ว เต็มแล้วคือศูนย์

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่เอาอะไรแล้ว ถึงเขาจะมาตอบแทนด้วยเงิน ด้วยแรงงาน ตอบแทนด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราก็ทำเพื่อผู้อื่นต่อ เพราะว่าเราเป็นคนจบ เป็นคนพอ เป็นคนไม่ต้องมีอะไรอีกเราก็เต็มแล้ว เต็มอยู่ที่ไหนเต็มอยู่ที่ 0 เลย มีอะไรมาก็อยู่กับปัจจุบัน มีข้าวให้กินก็กินข้าว มีวัตถุมาให้ใช้ก็ใช้ตามควร มีงานมาให้ทำก็ทำงาน

ชีวิตก็เท่านั้นวันๆคืนๆก็ทำงานถึงเวลากินก็กินถึงเวลาพักก็พัก ถึงเวลาพักผ่อนก็พักผ่อน ถึงเวลาพักหลับก็หลับ อย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องเสียเวลาเอาเวลาไปเล่นการพนัน เอาเวลาไปแต่งตัวเฉิดฉาย ดีไม่ดีเอาเวลาไปแย่งชิงคนอื่น เอาเวลาไปคิดถึงวิธีการเอาเปรียบมาให้ได้มาก ไม่ได้เข้าท่าไม่ได้เรื่องเลย ที่จะเกิดความเข้าใจอย่างที่อาตมาพูดคร่าวๆสรุปๆ อย่างที่พูดไปสั้นๆ ซึ่งจะยังขยายความอีกยาว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2564 ( 05:12:47 )

ผู้ที่ไม่ใส่ใจทุกข์เอาแต่สุขก็เป็นพวกวิปลาส

รายละเอียด

ผู้สามารถยึดความสุขได้มีแต่สุขมากๆไม่ทุกข์ก็คือเป็นพวกเทวดา ถือว่า ผู้ใดได้แต่สุขยิ่งใหญ่เป็นพระเจ้าแห่งสุขหรือว่าพระเจ้า พระเจ้า เจ้าแห่งสุขนิรันดรแล้วไม่เรียนรู้ความทุกข์ ความทุกข์คือซาตาน คือผีมาร ที่อยู่ร่วมกับพระเจ้าเป็นอันเดียวกันกับสุข แยกกันไม่ได้ ผู้ที่ไม่ใส่ใจทุกข์ไปใส่ใจแต่สุขก็เป็นพวกวิปลาส ไปเห็นทุกข์เป็นสุข เลยโง่นิรันดร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 19:15:40 )

ผู้นั่งหลับตา

รายละเอียด

พวกนั่งหลับตา เขาก็ทำใจในใจของเขา เราลืมตาปฏิบัติเป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ โดยมีผัสสะเป็นปัจจัย หลับตาเขาไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย มูลสูตรเขาแค่นี้เขาได้แค่ยินดีกับมนสิการ ผัสสะ ไม่มีแล้วพวกหลับตา เพราะฉะนั้นก็โมฆะไปเลย มูลสูตรอีก 8 ข้อ..ไม่มี ผัสสะ เวทนา เมื่อไม่มีผัสสะกับเวทนา ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ ปัญญาเขาก็อยู่ในภพในชาติหมด เพราะฉะนั้นวิมุติ อมตะ อะไรนี่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ต้องฝันถึงเลย ใช่ไหม อาตมาไม่ได้ไปว่าเขานะ ไม่ได้ไปลงโทษเขานะ น่าสงสารที่เขาเองมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหมมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสาร 

สรุปตรงนี้แล้วตีหัวตะปูย้ำ นั่งหลับตานั้น เข้าใจว่ามันมีอานิสงส์ แต่มันไม่ใช่หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุอาริยธรรม บรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่ มันมีอานิสงส์ช่วยอุปการะ ก็เคยอธิบายแล้ว 

1.พักผ่อน 2. ทบทวนธรรม 3. ทำเตวิชโช 4. เอาไปเล่นฤทธิ์เล่นเดช บ้าๆบอๆ อันที่ 4 ทิ้งไปเลย 3 อันแรกยังใช้ได้พักผ่อนทบทวนธรรม แล้วก็เต
วิชโช 3 อย่างนี้ ใช้การหลับตาเป็นอุปการะมาก อาตมาก็ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ 

พัก ทบทวนธรรรม เตวิชโช ทุกวันนี้อาตมาก็ยังใช้ เป็นอุปการะมาก ไม่ใช้แต่เรื่องเล่นฤทธิ์เดชอะไรต่างๆ ไม่ทำ ไม่ได้ก็ไม่เคยสงสัย เคยมีฤทธิ์เดชพวกนี้ เคยมีเคยเล่น เล่นมานิดหน่อยก็ชัดแล้ว อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้ว มันไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ในเรื่องฤทธิ์เดช ฟื้นขึ้นมาได้บ้างนิดๆหน่อยๆก็รู้แล้วว่า..ไม่ใช่ อาตมาเล่นไสยศาสตร์ 8 ปี กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ มันต้องสะสมพลังงานนะฤทธิ์เดชพวกนี้ พลังงานไม่พอไม่ได้ พลังงานทางจิต แล้วเสื่อมง่ายด้วย ไม่เที่ยง บางครั้งบางคราวก็พลาด เพราะฉะนั้นตายไปด้วยความอวดดีทางฤทธิ์เดชนี้เยอะ 

ก็ตามตำนานมีว่าฤาษีเหาะได้ เหาะผ่านสระอโนดาตของพระราชา เห็นนางสนมทั้งหลายแหล่โป๊เปลือยกัน กามขึ้นปั๊บ ก็ตกปุ๊บเลย ทีนี้เหาะไม่ได้เลย ต้องเดินกลับกุฏิ ใครเคยได้ยินไหมตำนานนี้มันเป็นจริง มันเป็นเรื่องจริง 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #40 พ่อครูเล่าความหลังเมื่อตอนอยู่ในวงการบันเทิง วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2566 แรม 11 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 มีนาคม 2567 ( 17:09:30 )

ผู้นั้นจบอภิภายตนะ 8 เป็น อภิภูต้องปฏิบัติอย่างไร

รายละเอียด

ไม่ใช่ไปหยุดนิ่งแข็งเฉย ไม่ใช่ แต่คล่องแคล่วมีปัญญาเข้าร่วมอย่างสำคัญเลย แล้วรู้ดีรู้ชั่วรู้โลกียะ โลกุตระ ชัดเจนหมด แล้วทำให้สุดยอดของโลกียะ สุดยอดของโลกุตระ สุดยอดเบื้องต้นคืออรหันต์ โพธิสัตว์ระดับ 4 อย่างนี้เป็นต้น  สูงกว่านั้นก็เจริญไปได้ จะต้องเกี่ยวข้องกับความกว้างของจิตที่แตกต่างของแต่ละคน คนคนหนึ่งก็มีแง่มีประเด็นเยอะด้วยและอีกหลายๆคนในโลกใบนี้นับไม่ถ้วนไม่มีวันจบง่ายๆ แต่ให้มากที่สุด 

เพราะฉะนั้นผู้ใดทำได้มากที่สุด ผู้นั้นจบอภิภายตนะ 8 เป็น อภิภู ที่อาตมากำลังอธิบายถึงตรงนี้ จนครอบงำสถานะพวกนั้นได้ มีอิทธิพลเหนือสถานะด้วยความมี อภิภุยฺยะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2564 ( 17:11:39 )

ผู้นำ

รายละเอียด

ผู้นำคือผู้ที่ทำในสิ่งที่ดีเห็นว่าดีแล้วนะ ได้แล้ว แล้วก็พาคนอื่นทำดีตามที่ตัวเองได้นี่คือ ผู้นำ  ผู้นำที่ไม่ดีแล้วจะนำผู้อื่นให้ดีมันไม่ทิ้ง  ไม่สำเร็จ  ผู้นำจริงๆ  คือ ต้องทำได้แล้ว  แล้วก็พาผู้อื่นให้ทำดี  ด้วยวิธีอย่างไร  นั่นคือผู้นำ  และสิ่งสำคัญที่ผู้นำตระหนักเพื่อที่จะนำลูกน้องไปสู่ความสำเร็จ คือย่าให้ผิดเพี้ยน  มีแต่ความจริง  ต้องตรวจสอบความจริง ทั้งการพาปฏิบัติ กับจุดหมายที่เป็นผลสำเร็จ  อย่าให้ผิดเพี้ยน จะให้มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้คนอื่นได้อีก  เป็นอำนาจของลาภ  ยศ สรรเสริญเป็นกิเลส อย่าให้เรามีกิเลส อย่าให้เหตุปัจจัยมาทำให้เราหลุด  หรือว่าเพี้ยนออกจากทางที่ถูกต้องและผลที่จริง

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่  11  พฤศจิกายน 2562                           


เวลาบันทึก 28 พฤศจิกายน 2562 ( 20:20:15 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:24:06 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:04:09 )

ผู้นำจะรักประชาชนตอนหมดอำนาจจริงหรือไม่

รายละเอียด

ที่ว่าแปลก ผู้นำประเทศไทยจะรักประชาชนตอนหมดอำนาจ ถามว่าเพราะอะไร 

ตอนมีอำนาจอยู่เขาไม่ได้รักประชาชนหรือ เขารักประชาชนนะ ผู้บริหารประเทศผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ ทุกคนก็ทำงานเพื่อประชาชน แต่คุณมองอย่างไร ว่าเขาไม่รักประชาชน 

แสดงว่า มันมีอะไรที่ทำให้คุณอัมพร กุล มองออกว่าเขาไม่รักประชาชนจริง เพราะเขาไม่รู้ว่า เขาจะรักประชาชนหรือรักตัวเอง รักสมบัติของตัวเอง รักยศเกียรติ ของตัวเอง รักตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง คนนั้นเขาไม่รู้ เจ้าหน้าที่หรือนักการเมืองเขาไม่รู้ แม้แต่ข้าราชการก็ตาม เขาไม่รู้ มีแต่ ประชาชน 100% ไม่ได้มีตำแหน่งหน้าที่อะไร จะรักตัวเองก็ไม่ได้ประหลาดอะไร เพราะไม่ได้มีสัญญาว่าจะรับใช้ประชาชน จะเป็นผู้แทนประชาชนจะมาทำงานเพื่อประชาชน เขาก็เลี้ยงชีพของเขาไป ก็ไม่ได้ไปสัญญา คนก็ไม่ได้บอกว่า คนนี้จะรับใช้ประชาชน เขาก็หากินอย่างยากลำบาก เพราะคนก็เอาไปกองไว้กับตัวเอง มากมายเป็นหมื่นล้านแสนล้านเสร็จแล้วก็เอาธนบัตรไปใช้ จะซื้อจะกินอะไรก็เอาไปใช้ แล้วคนจะตายอีกมากมายก็ไม่นึกถึง 

การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยการทำให้คนมารวย หรือคิดว่าจะต้องหาเงินให้รวยไม่สำเร็จ แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีตื้นตื้นแบบโลกียะ ที่จะทำให้คนรวยขึ้นมา นักเศรษฐศาสตร์ นักปรัชญา นักอะไรก็แล้วแต่ ยังเข้าใจไม่ได้ทั้งนั้น ว่า นัยยะสำคัญ ประเด็นที่ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็คือ จะต้องทำให้คนรวยขึ้นมาในสังคม ไม่มีทางทำสำเร็จเด็ดขาด นอกจากคุณจะหลงตัวเองว่าคุณแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ เหมือนกับประเทศจีนขณะนี้ เหมือนกับว่าเขาแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:06:14 )

ผู้นำที่บริหารแบบไม่ได้บริหาร

รายละเอียด

คือ  ชาวอโศกมีความเป็นประชาธิปไตยมาก มีคนห่วงว่าชาวอโศก ค่อนข้างจะยึดตัวบุคคลมากไป ก็จะเป็นปัญหากับสังคมบ้านเมืองถ้ามาอยู่กับชาวอโศกจะรู้ว่า พ่อครูจะเป็นผู้นำเหมือนกัน แต่เป็นผู้นำที่บริหารแบบไม่ได้บริหารปกครอง โดยไม่ได้ปกครองทุกวันนี้พ่อครูก็วางมือหมด จากการบริหาร เหลือแต่เพียงว่ามาทำงานเรื่องธรรมะ ส่วนเรื่องการทำงานเป็นเรื่องของหมู่สงฆ์ เป็นเรื่องของคณะกรรมการที่จะพิจารณา ถ้าอยู่ใกล้กับพ่อครูจะรู้ว่าครูเป็นคนที่ว่าง่ายมาก (สมณะเดินดิน)

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 12:43:30 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:12 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:04:48 )

ผู้นำที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่น

รายละเอียด

นักข่าวสัมภาษณ์ท่านดาไลลามะ  ผู้นำทางจิตวิญญาณของธิเบต ว่า  "คิดว่า.. ผู้นำ  หรือใครที่เป็นตัวแทนเพื่อการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น ?”

ดาไลลามะตอบว่า   "ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กเพิ่งหัดเดินไปเลย   กับสิ่งที่คนผู้นี้ทำให้กับคนของเขาด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งนี้ อย่างเต็มเปี่ยม" 

นักข่าวถามต่อว่า  "คนผู้นี้คือใคร”   

ดาไลลามะตอบเพียงสั้นๆ ว่า  "มหาราชาภูมิพล"

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 30 กรกฎาคม 2562 ( 19:47:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:26:42 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:05:19 )

ผู้นี้คือ“สอุปาทิเสสนิพพาน”!

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติได้เช่นนี้ก็นับว่า มันทำส่วนที่“ไม่ใช่กาย”ในจิตได้แล้ว 

นั่นคือ ส่วนที่“ดับ”ได้แล้วนี้

“ชีวะ”ก็“ไม่เป็นแล้ว-หมดสภาพชีวะแล้ว” 

จึงเป็น“วัตถุธาตุ”ที่ไม่มี“เวทนา” ไม่มี“วิญญาณ” เรียกโดยศัพท์วิชาการว่า “อนุปาทินนกสังขาร”

คือ สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง หรือสังขารที่ไม่มีใจครอง

หรือเรียกเต็มๆในพระอรหันต์ที่บรรลุ“นิพพาน”นี้ว่า ผู้“สอุปาทิเสสนิพพาน(นิพพานยังมีอุปาทิเหลือ,ดับกิเลสแต่ยังมีขันธ์ 5 เหลือ)”  

เพราะตน“ทำใจในใจ”ของตนด้วยการทำ“อภิสังขาร(การจัดการปรุงแต่งได้อย่างยิ่งเป็นโลกุตระ)”ถึงขั้น“ปุญญาภิสังขาร(การปรุงแต่งถึงขั้นชำระกิเลสด้วยความสามารถ เรียกได้ว่าจัดการกับจิตสำเร็จ“บุญ”)”ก็อย่างนี้ 

ผลสำเร็จของภาวะ“บุญ”[ไม่ใช่“ได้บุญ”ดอกนะ! แต่เป็นภาวะของพลังงานจิตมีประสิทธิภาพถึงขั้น“ชำระกิเลสสำเร็จ”เรียกด้วยภาษาว่า“บุญ”] ซึ่งในจิตเรา

“ไม่สุข-ไม่ทุกข์(อุเบกขาเวทนา)”ได้แล้วจริง 

เป็น“การพ้นทุกขอาริยสัจ”ของพุทธ เพราะ“ดับกิเลสที่เป็นเหตุ”ได้ ด้วยพลังงาน“ปัญญา”แท้ๆ

 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อที่ 426 หน้า 309


เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 14:31:51 )

เวลาบันทึก 12 มิถุนายน 2564 ( 20:28:59 )

ผู้นี้เป็นผู้ที่เจริญ เป็นคนประเสริฐ

รายละเอียด

คนที่เห็นความสำคัญของการฟังธรรมเป็นคนที่เจริญมากเลย นี่ไม่ได้พูดยกยอ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นจริงอย่างนั้นที่จะมีโอกาสได้ฟังธรรมจากผู้ที่รู้ แล้วเราก็ได้ฟังแล้วเราก็ไปทำให้เกิดผลกับเรา ผู้นี้เป็นผู้ที่เจริญ เป็นคนประเสริฐ

ที่มา ที่ไป

รายการเอื้อไออุ่นออนไลน์ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563


เวลาบันทึก 30 มิถุนายน 2563 ( 16:48:47 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:27:17 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:05:45 )

ผู้บรรลุความสุขความทุกข์

รายละเอียด

 คือ ผู้ที่พูดกันเข้าใจความสุขความทุกข์นั้น  ผู้ที่บรรลุแล้วเห็นจริง  แม้ว่าในโลกมีอบายที่คนในสังคมต้องเกี่ยวข้องถึงจะมีความสุข  แต่พวกคุณไม่ต้องเกี่ยวข้องวุ่นวายเลย  มันมีอยู่ในโลก  เดี๋ยวนี้โลกอบายมีเยอะเลย  ปรุงแต่งหลอกกันยิ่งขึ้น  แต่ผู้หลุดพ้นเรื่องนี้แล้วไม่เป็นเหยื่อ  เดี๋ยวนี้เราก็มีจิตเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์กับโลกอบายแล้ว  เมื่อหลุดพ้นอบายภูมิพวกนี้แล้วในโลกก็มีอยู่จัดจ้าน  อย่างที่เราก็ไม่ได้ไปติดยึด  มันก็มีอยู่กับโลก ผู้ที่ชัดเจนในจิต  เจตสิก  ทำความหลุดพ้น  ถูกต้องตามสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าจะรู้โลกของอบาย  กามคุณ  โลกธรรม  อัตตา  มีสภาวธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมจริง

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ตุลาคม 2562 ( 16:05:36 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:28:32 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:06:26 )

ผู้บรรลุที่แท้จริงท้าให้มาพิสูจน์

รายละเอียด

ขึ้นเตวิชชสูตร ล.9

จะไม่ขยายความในบางจุดที่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ

ในปัจจุบันนี้ไม่มีอาจารย์คนไหนบอกว่าตนเองบรรลุและพาคนอื่นบรรลุ แถมว่า ผู้ใดบอกว่าตัวเองบรรลุก็คือผู้ไม่บรรลุอย่างนั้นอีกด้วย ก็เหมือนกับตัวเองไม่เห็นพรหม แต่พวกเราก็บอกว่าเห็นพรหม แล้วมีทางพาไปด้วยซึ่งมันขัดแย้งกับทางของท่าน

เราบอกว่าเราเห็นและพาไปทางที่เห็นได้ด้วย ในขณะที่เป็นเป็นด้วย ท้าให้มาดูด้วย

พูดไปแล้วอาตมาเหมือนคนอวดเก่งอวดดี เหมือนท้าทาย แม้ว่าจะท้าทายก็ยังไม่มา พูดหนักขนาดนี้แล้วนะ ไม่ใช่อะไรหรอกต่อไปอายุมากขึ้นก็พูดแรงอย่างนี้ไม่ได้แล้ว ตอนนี้มีแรงอยู่ก็เลยขอพูดแรงหน่อย ใครทนแรงได้ก็มาเพราะรู้ว่าอาตมาพูดแรงแต่ใจดี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ เตวิชชสูตร ตอน1 วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 กุมภาพันธ์ 2564 ( 10:22:16 )

ผู้บรรลุธรรม

รายละเอียด

“อนัตตา”จึงเป็นสภาวะเป้าหมายแท้

ผู้บรรลุธรรมสูงสุดก็คือ ผู้ทำ“อนัตตา”ให้เกิดในจิตตนสำเร็จ แล้วเห็นด้วย“ปัญญา”

ผู้นี้ก็คือ ผู้บรรลุธรรม“สูงสุด” จบกิจ

ผู้เข้าถึง“อนัตตา”แล้ว จะเรียกว่าเป็นผู้บรรลุธรรม บรรลุนิพพาน บรรลุวิมุติ บรรลุนิโรธ บรรลุสุญญตา บรรลุทุกสรรพสิ่ง บรรลุอรหัตตผล บรรลุเป็นอรหันต์ เป็นผู้พ้นทุกขอาริยสัจ ฯลฯ อะไรต่างๆก็ว่าไป ก็คือผู้จบกิจ

พยัญชนะนั้น เรียนกันจบตำรา จบนักธรรม จบปริญญา กันมากมายเท่าไรก็ได้

คนนั้น ติดอยู่ที่พยัญชนะ หรือติดอยู่ที่ภาษา หรือติดอยู่ที่บัญญัติ กันมากเหลือเกิน

ศึกษากันหัวผุหัวพัง จบปริญญาเอก จบเปรียญ 9 กันมาก แต่ไม่มีผลลึกลงไปถึง“สภาวะ” หรือไม่มีผลลึกลงไปถึง “เนื้อแท้ของสัจธรรม” นั้นๆกันสักเท่าไหร่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2562


เวลาบันทึก 12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 18:03:28 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:29:14 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:39:21 )

ผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าคือครูจริงๆ

รายละเอียด

ผู้ที่เป็นครูจริงๆ  ไม่ใช่ครูเก๊  ต้องเป็นผู้ที่บรรลุธรรมพระพุทธเจ้า  อย่างน้อยเป็นครูอนุบาล  เรียกว่าพระโสดาบัน  ครูชั้นประถมคือพระสกิทาคามี  ครูที่เป็นชั้นมัธยม  ก็เป็นพระอนาคามี  ครูอุดมศึกษา ก็คือ  พระอรหันต์  อย่างนี้เป็นต้น  ต้องอาศัยนะ  ถ้าไม่อาศัยพระศาสดา    ไม่อาศัยครูที่เป็นครูจริงๆ  ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย  รู้ว่าคนนี้เป็นครูแล้ว  รู้ว่าเราเองมีกิเลสเต็มตัว  ก็เข้าไปหาครู  ไปตั้งความละอายไม่ใช่ไปตั้งความอวดดี เพราะตัวเอง กิเลสเต็มตัว  อรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว หรือแม้แต่พระโสดาบัน  ก็ถือว่าเป็นครูเป็นผู้รู้กิเลสระดับหนึ่งแล้ว  สกิทาคามี ก็เป็นครู  สูงขึ้นไป  ก็เข้าไปตั้งความละอาย  คนที่มีความละอาย  คือมีเทวธรรม  คือเป็นเทวดา  คนที่ไม่ละอายต่อกิเลส ผู้ที่ไม่มีกิเลส เราเป็นผู้ที่มีกิเลสเราก็ต้องละอายต่อท่าน  พระโสดาบันก็ละอาย   พระสกิทาคามี ก็ละอายมาก  พระอนาคามี ก็ละอายยิ่งกว่า พระอรหันต์ ก็ละอายอย่างมาก  เข้าไปตั้งความละอาย  ความเกรงกลัว ความรัก ซึ่งคำว่า  ความรัก ไม่ใช่ความรักมิติตื้นๆ   คือ  ความรักและความเคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างเคารพบูชา  ไม่ใช่ความรักอย่างขี้หมา  ตื้นๆ  ความรัก มิติที่ 1 2 ที่ 3  เป็นความรักที่สูง  ระดับ 7 ขึ้นไป  หมายความว่าปัจจัยที่ 1 นี้จะต้องไปอาศัย  พระศาสดา  อาศัยเพื่อนพรหมจรรย์ที่ตั้งอยู่ในฐานะครู ด้วยจิตใจเรา ต้องไปอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่กับคนที่ฐานะมีกิเลสน้อย ถ้าเป็นพระอรหันต์  ก็ยิ่งต้องละอายต่อท่าน เป็นความเกรงกลัวความรัก และ เคารพ อย่างแรงกล้า เคารพอย่างเต็มๆ  หากจะเคารพเป็นครูอาจารย์  ต้องเคารพอย่างเต็ม  ข้อสำคัญว่า อาจารย์นั้นแน่หรือเปล่า  เป็นอาจารย์ที่คุณแน่ใจหรือเปล่าจริงหรือเปล่า  เราเลือกแล้ว หรือว่าเราเลือกเพราะรู้ว่า อันนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ อาจารย์กลาง  อาจารย์น้อย ก็เลือกตามความจริง  ปัจจัยข้อที่ 1  นี้ ยืนยันว่า คุณจะได้ปัญญา  ปัญญา  เป็นธาตุรู้ที่เป็นของพระอาริยะ หรือโลกุตระของพระพุทธเจ้า

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ ปฐมอโศก วันพุธที่  20 พฤศจิกายน  2562


เวลาบันทึก 16 ธันวาคม 2562 ( 17:19:57 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:30:54 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:08:48 )

ผู้บรรลุธรรมของพุทธแล้วย่อมมีชีวิตเป็นไปเพื่อรับใช้มวลมนุษยชาติ คือ

รายละเอียด

พหุชนหิตายะ  เป็นประโยชน์แก่หมู่ชนทั้งหลาย 
พหุชนสุขายะ  เกิดเป็นสุขแท้แก่หมู่ชนทั้งหลาย 
โลกานุกัมปายะ เป็นไปเพื่อรับใช้อนุเคราะห์โลก 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง  ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็นของมนุษย์  
พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่มหาชน  (พหุชนหิตายะ)  เพื่อความสุขแก่มหาชน (พหุชนสุขายะ) เพื่ออนุเคราะห์เกื้อการุณต่อชาวโลก (โลกานุกมฺปายะ)  เพื่อประโยชน์ เกื้อกูล และความสุขแก่มวลมนุษย์       (อัตถายะ  หิตายะ  สุขายะ  เทวมนุสฺสานัง)  และ...
พวกเธออย่าได้ไปร่วมทางเดียวกันสองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ-ทั้งพยัญชนะ ให้ครบบริบูรณ์ บริสุทธิ์ สัตว์ทั้งหลายจำพวกที่มีธุลี  คือกิเลสในจักษุเหลือน้อย ยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อม ผู้รู้ทั่วถึงธรรมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม  เพื่อแสดงธรรม 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 4  ข้อ 32 

ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 04 สิงหาคม 2562 ( 21:32:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:31:46 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:38:35 )

ผู้บรรลุธรรมคือผู้เป็นสิริมหามายาอย่างไร

รายละเอียด

จนมีผู้บรรลุธรรมก็เป็นสิริมหามายา เป็นผู้รู้เท่าทันมายา เป็นผู้รู้ว่ามายานี้เป็นเรื่องโง่ก็เป็นเช่นนั้น พอฉลาดเสียแล้ว เมื่อมันเกิดแล้ว มีชีวิตแล้วก็อยู่กับมันให้ได้  อย่าให้ถูกมาร ถูกซาตานหลอก กดหัวเราไปตามใจมาร เราต้องชนะมาร 

จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อยู่เหนือมันได้เป็นปกติในปัจจุบันชาติ สุดท้ายแยกธาตุเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย ทำลายวิญญาณ ทำลายจิตนิยามของตนเอง หมดไปเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลม อัตตาก็สลายหายไป ชีวะของตัวเราหายไป สูญเลย กลัวไหม กลัวสูญหายไปไหม ...กลัวจะไม่ได้ กลัวจะทำไม่ได้ กลัวจะไม่บรรลุธรรม ผู้ที่เขาไม่บรรลุเขาไม่เอาหรอก  ยกตัวอย่างแต่ก่อนนี้ หัวหน้าอาตมา คุณจำนง   รังสิกุล บอกว่าคุณไปเถอะ คุณไปนิพพานผมยังไม่ไปหรอก ผมยังสนุกอยู่กับโลกนี่แหละ คุณจำนง ก็เสียชีวิตไปนานแล้ว 

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 03 สิงหาคม 2564 ( 20:38:19 )

ผู้บรรลุธรรมจริง ต้องกล้ายืนยัน "ความจริง"

รายละเอียด

มาไล่ดูอาริยบุคคลหรืออรหันต์ อรหันต์ก็จะต้องเป็นคนที่มีโลกุตรธรรมแท้ๆ ใช่ไหม ทีนี้ ผู้เป็นอาจารย์หรือเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ ในยุคที่ผิดเพี้ยนไปแล้วคือยุคนี้ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมต้องเอา “ตนเอง” นี้แหละ “ตัวแท้” ที่จะยืนยันเป็นหลักฐานแห่ง “ความจริง” มันสุดวิสัยแล้วจริงๆ ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะ “พระอาจารย์” หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว

จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น “อรหันต์เก๊” ว่าเป็น “อรหันต์” มันก็หลอกคนอยู่ ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้นครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม” ไม่ได้เป็นเด็ดขาด ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” ...บังอาจกันปานฉะนี้! 

ซึ่งมันค้านแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน โลหิจสูตร ว่า คนที่คิดแบบนี้คือผู้ที่มีคติไปนรกกับเดรัจฉานเท่านั้น เขาก็ตีความเข้าข้างตน อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้ “ตนเอง” นี้แหละเป็น “เป้าให้ยิง” กันเลย เพราะว่ามันต้องเอาตนเองเป็นตัวประกันเลย เขาจับตัวประกันก็เอามีดมาจ่อคอ เอาปืนจ่อหัว เอาตัวเองไปเป็นเป้า ถ้าอาตมา “เป็นของเก๊” อาตมาถูกยิงถล่มหนัก ร่างแหลกกระจุยแน่นอน ไม่เหลือซากมาจนป่านนี้แน่ ถ้าเขาสุดทนยิงเปรี้ยง อาตมาก็ตาย  ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา “ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน” แท้จริง อาตมาก็ตายสลายร่างแหลกไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่ยืนหยัดยิ่งยงหนังเหนียวอยู่กันถึงวันนี้ ถึงวินาทีนี้หรอก  อาตมายืนยันยืนหยัดตนเองว่า มี “ความจริง” เป็น “คนจริง” สาธยายและประพฤติตนเอง มาถึง พ.ศ. 2566 นี้อาตมาก็ทำงานศาสนามานานเกินครึ่ง 100 ปี คือ 53 กว่าปีมาแล้ว

มี “ความจริง" ปรากฏสภาพทั้งตัวอาตมาเอง ทั้งคนผู้เข้าใจ-เห็นดี-เห็นด้วย และมาปฏิบัติกระทั่งบรรลุมรรคผลจริง มี “อาริยบุคคล” เกิดได้จริง มี “โลกุตรธรรม” แท้ ยืนยันว่าในชาวอโศก มี พระอาริยบุคคลจริง มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง ที่คุณไม่เชื่อไม่เข้าใจและคุณไปหลงแต่ของเก๊ แต่ของจริงอุบัติเกิดขึ้นมาในชาตินี้ คุณก็ไม่เชื่ออีก อาตมาก็เห็นใจเขาจริงๆ

ถ้าเผื่อว่าความเสื่อมของศาสนาพุทธมาถึงยุคนี้ ยอมรับเถอะว่าเสื่อม ถ้าไม่มีคนเอาของจริงของแท้มาสถาปนาเข้าไปใหม่ แล้วมันจะมีต่อไปได้ไหม ก็ไม่ได้ ใครจะมากล้ายืนยันอย่างอาตมา นอกจากยืนยันแล้วสาธยายเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาพูดอธิบายให้เข้าใจ ถึงจิตเจตสิกรูปนิพพานต่างๆ เป็นอภิธรรมละเอียดลออทั้งภาษาและสภาวะ แล้วให้คุณมาศึกษาจนมีสภาวะอย่างนี้อย่างนั้นตามจริงขึ้นมา จนเกิดสังคมสาราณียธรรม 6 อาตมาทำได้ถึงขั้นนั้น ทำได้ถึงขั้น สาราณียธรรม 6  มาอยู่ด้วยกันเป็นชุมชนชาวอโศก อยู่กันอย่างสาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม เป็นสาธารณโภคี ลาภที่ได้โดยธรรม ก็เป็น ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา     จบกิจเรื่องเศรษฐกิจอย่างสบายเลยพวกเรา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  เกิดมาชาตินี้อาตมาจำเป็นต้องประกาศอรหันต์ วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 สิงหาคม 2566 ( 15:53:21 )

ผู้บรรลุธรรมพึงบอกผู้อื่น

รายละเอียด

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  .

         พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง

(พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 358)

อาตมากำลังพูดอยู่ตอนนี้ก็จิตว่าง คุณมีกล้องส่องดูได้เลยขยายดูกี่ล้านเท่า ว่าอาตมาจิตว่าง ส่วนจิตว่างกับความนึกคิดนั้นต่างกัน ยิ่งมีความนึกคิดได้รวดเร็วแววไวด้วย

ไปอ่านดูใหม่เลย พระอรหันต์หลายรูปก็บอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ อย่างพระพักกุละเป็นต้น

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2562

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่ม 9  ข้อ 358


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 15:52:21 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:34:00 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:37:12 )

ผู้บรรลุธรรมมีจิตเป็นสมาธิแล้วอยู่ไหนก็ไม่หวั่นไหวตกต่ำ

รายละเอียด

ผู้ที่จะออกป่า หากไม่มีสมาธิแข็งแรงออกป่าไม่จมก็ฟู ไม่จมดิ่งบาดาลก็ลอยออกไปนอกโลก ไม่จมก็ฟุ้งซ่าน เปรียบเหมือน กระต่าย เสือปลา มีรูปร่างเล็ก ไม่เหมาะลงน้ำ ผู้บรรลุธรรมมีจิตเป็นสมาธิแล้ว จะไปในป่าหรือเมืองก็มีจิต ไม่หวั่นไหวตกต่ำ จิตใจจะไม่เป็นอะไรเลย ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ ไม่ว่าจะเจอกับโลกธรรมในป่าหรือในเมืองคือจิตที่บรรลุธรรม เกิดผลจากการปฏิบัติ เกิดฌานและเกิดวิมุติ เป็นจิตที่ตั้งมั่นทำได้ก็ค่อยมีจิตเจริญขึ้น เป็นฌาน เป็นวิมุติสั่งสมตกผลึก ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้ที่มีสมาธิจึงไปป่าเขาถ้ำหรือไปที่ไหนก็ได้ ออกเมืองออกป่าไปที่ไหนได้หมด

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 21 กุมภาพันธ์ 2564 ( 15:24:34 )

ผู้บรรลุธรรมแบบโลกุตระมีในเมืองไทยเท่านั้น

รายละเอียด

คนที่มีภูมิปัญญา ท่านก็รู้ปัญหาอันไหนที่เกี่ยวกับท่าน ท่านช่วยเขาได้ก็ช่วย อันไหนไม่เกี่ยวหรือช่วยไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ช่วย ปัญหามันมีมากมาย ถ้าหากไม่บรรลุธรรมจริงๆ ทางโลกยิ่งเป็นโลกีย์ไม่ได้บรรลุธรรมแบบโลกุตระเลย ยิ่งไม่มีทางจะหมดปัญหาได้เลย ปัญหาเขาจะมากๆ 

แค่ประเด็นนี้ผู้ที่มีภูมิธรรมโลกุตตรธรรมแล้วปัญหาทางโลกนี้จะมีน้อย เมืองไทยเองเป็นเมืองพุทธ แล้วอาตมาขอยืนยันว่า ทุกวันนี้พุทธศาสนา มีเมืองไทยเท่านั้นที่มีโลกุตรธรรม ที่มีผลต่อมนุษย์จนปฏิบัติลดละกิเลสได้ ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ นอกนั้นไม่มี ประเทศไหนก็แล้วแต่ที่มีศาสนาพุทธแม้แต่ประเทศอินเดียเอง เพราะไม่รู้จักโลกุตรธรรมแล้ว ปฏิบัติลดกิเลสไม่ได้ ได้อย่างเก่งก็กดข่มกิเลส 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วันนี้พ่อครูบอกทางรอดของมนุษยชาติ วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 06 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:03:25 )

ผู้บรรลุธรรมแล้ว แยกรูปแยกนามอย่างไร

รายละเอียด

เข้าใจถูกแล้ว การเข้าใจที่แยกรูปแยกนามได้มันเป็นความสุดยอด ใน อาหาร 4 พระพุทธเจ้าก็ตรัสอาหารข้อสุดท้ายเรื่องวิญญาณ ผู้ที่สามารถเข้าใจรูปนาม แล้วก็สามารถที่จะแยกรูปแยกนาม และทำ ทำสำเร็จคือไม่สับสนปนเป ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่ง เรื่องของรูปก็คือรูป เรื่องของนามก็คือนาม และโดยเฉพาะจัดการเรื่องนาม และมีอิทธิพลเหนือรูป นามของเราก็เป็นประธาน นามของเราก็เป็น วสวัตตีโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ก็สูงสุด 

วสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ จนกระทั่งถึงขั้น 0 ถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์ ถึงขั้นเก่งสุดก็จบ นี่คือความเป็นจริง ผู้ปฏิบัติได้อย่างที่อาตมาอธิบายโดยเอาสภาวะของตัวเองเป็นสภาวะวสวัตตีโก อาตมามีอำนาจเหนือจิตอย่างนั้น เอามาอธิบายขยายด้วยภาษาไทยให้ฟังด้วยสำนวนของอาตมาเอง อ่านจากอาการจริงของอาตมาเอง นี่เป็นสิ่งที่จริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเรียนรู้ดีๆ แล้วจะเข้าใจได้ว่า คนที่บรรลุธรรมกับคนที่ไม่บรรลุธรรมพูดนี้ มันรู้ได้เลย มันไม่ยากหรอก คนไม่บรรลุธรรมจะพูดสับสนวนไปวนมา คนที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่สับสน จะจี้ลงไปที่สภาพรูปสภาพนามอะไรก็เสร็จ 

เพราะฉะนั้นอาหารข้อที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณกับรูปนามนี้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบเหมือนกับโจรร้ายที่ทำลายศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า มันไม่ตาย ฆ่าตอนกลางวันอีก 100 เล่ม มันก็ไม่ตาย ตอนเย็นอีก 100 เล่ม มันก็ไม่ตาย นี่คือพวกที่อวิชชาอยู่ ไม่รู้รูปนามนี่แหละ ไม่รู้วิญญาณจริงนี่แหละ อวิชชาไม่รู้การปรุงแต่งของวิญญาณที่เป็นสภาพ 2 รูป-นาม แล้วมันก็ไปรวมตัวเป็นอายตนะ จะรู้จริงเป็นสภาวะก็ต้องมีผัสสะจริง และก็เกิดเวทนาจริง แล้วก็แยก แยกรูปแยกนามแยกเป็นสภาวะ 2 ได้จริง แล้วจัดการตัวจริงกับตัวเก๊ จัดการตัวเก๊ให้มันออกไปให้เหลือแต่ตัวจริงอาศัยแล้วเราจะรู้ว่า จิตวิญญาณนั้นคือธาตุที่มาอาศัยอยู่ในชีวิตเราเท่านั้น ถ้าเรารู้จบแล้วว่ามันไม่ใช่อะไร มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอะไร รู้หน้ามันแล้วก็อยู่กับมันไปอนัตตา แล้วเราก็ตาย ตายก็ทำอนัตตาจริง นิพพานแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย 

ฟังดีๆที่อาตมาพูดนี้ คนมีปัญญาฟังดีๆจะเข้าใจว่าอาตมาพูดด้วยสภาวะอย่างไรแค่ไหน จะเป็นผู้บรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรม ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาฟังจะเข้าใจ สังเกตได้จะอ่านออกว่าคนไม่บรรลุธรรมพูดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคนบรรลุธรรมมีสภาวะจริงๆ พูดอย่างนี้คนไม่บรรลุธรรมพูดไม่ได้ จะสับสนวุ่นวาย มันจะเห็นขัดแย้งกันในตัว 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส  วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 สิงหาคม 2566 ( 18:13:38 )

ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่

รายละเอียด

ผู้ที่มีคติความเชื่อที่ว่าเป็นอรหันต์แล้วบอกใครไม่ได้คนนี้มีคติที่ไปไม่เป็นเดรัจฉานก็สัตว์นรก 

โลหิจจสูตร (ผู้บรรลุธรรมแล้วควรบอกผู้อื่นหรือไม่) 

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  . 

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง 

ถ้าคนอยากบอกผู้อื่นพระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญน่ะสิ แต่ถ้าไม่ได้อยาก แต่ควรบอกก็ต้องบอก ให้รู้กันเพื่อเป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นการอวดอ้าง ไม่มีอคติไม่มีสาเฐยจิต แต่ควรบอกเพื่อให้รู้ความจริง อย่างอาตมาบอกนี้ อาตมาไม่ได้บอกเล่นๆง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 20 วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม 2563
ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:43:23 )

ผู้บรรลุธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้าจะรู้สุขรู้ทุกข์

รายละเอียด

ในวงการของศาสนาพุทธ กระแสหลักหรือว่าในมหาเถรสมาคม ก็จมอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะไม่เข้าใจสุข สุข เพราะได้ลาภ แย่งชิง สะสม กันอยู่อย่างน่าเกลียด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แย่งชิงยศ น่าเกลียดอีกเหมือนกัน แย่งชิงสรรเสริญ สักการะ ความเคารพ อย่างน่าเกลียดอีกเหมือนกัน ยิ่งสุขแล้ว ลึกซึ้งที่สุด ผู้ที่จะรู้สุข รู้ทุกข์นั้น ต้องบรรลุธรรม บรรลุธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าเพราะ สุข-ทุกข์ เป็นเรื่องของโลกุตระไม่ใช่แค่ดีกับชั่ว ถ้าเข้าใจดี-ชั่ว สภาพคู่เป็นโลกีย์ แต่สุขกับทุกข์เป็นสภาพคู่ของโลกุตระ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 42 อรหันต์คือมนุษย์พืชที่มีกายแต่ไม่มีกาย วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2565 ( 12:11:18 )

ผู้บรรลุอย่างน้อยอนาคามีจะไม่เถียงกันแล้ว

รายละเอียด

ผู้ที่ศึกษาจริงๆ แล้วเกิดสัจธรรมจริงๆจึงจะพูดกันรู้เรื่องจริงๆ รู้มากเท่าไหร่ก็จะพูดกันรู้เรื่องมากเท่านั้น ไม่รู้เลยมันก็จะตื้ออยู่อย่างนั้นไปบังคับความรู้กันไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้ว่าสัจจะอันนี้เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ผู้ที่รู้ด้วยกันเท่านั้นถึงจะดูอันนี้ จึงเรียกว่าเป็นสัจจะเดียวกันในโลก ที่ผู้รู้ด้วยกันนั้นที่จะรู้ ผู้รู้อย่างอื่นนั้นเถียงกันได้หมดเลย อันนี้ผู้รู้ด้วยกันชัดเจนด้วยกันจะหมดการเถียงไม่เถียงกันเลย จึงเรียกว่าอันนี้เป็นสัจจะหนึ่งเดียวไม่เถียงกันแล้ว นอกนั้นเถียงกันหมด หมดของเทวนิยมทั้งหมด  ศาสดาเทวนิยมทั้งหมด แม้แต่ในสัญญาของเทวนิยมด้วยกันก็ต่างกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แย้งได้หมด ยิ่งมาเทียบกับโลกุตระก็ต้องมี 2 เป็นโลกียะนั้น 1 โลกียะ 1 ก็เป็น 2 ต้องมาเป็นโลกุตระ แล้ว ถ้าเป็นโลกุตระที่ไม่ถึงธาตุรู้ที่เป็นอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 รู้เฉยๆก็เริ่มรู้ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนจนกระทั่งตัวเองจะบรรลุ อย่างน้อยก็เป็นอนาคามีเป็นอย่างน้อยจะไม่เถียงกันแล้ว แต่ถ้ายังเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามีก็ยังจะเถียงกันเพราะยังไม่ครบถ้วนยังไม่ถึง 50% โสดาบัน 25% สกิทาคามี 50% มันต้องไป 75% เลยไปถึงอนาคามี มันชักจะเลย 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแล้ว ก็จะไม่เถียง มันก็จะชัดเจน จนกระทั่งจาก 75 ไปถึง 100 จึงจะสมบูรณ์แบบ จึงเรียกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 14 พฤศจิกายน 2563 ( 09:51:51 )

ผู้บรรลุอรหันต์ จะบอกได้ว่าตนเป็นอรหันต์อย่างไม่เก้อยาก

รายละเอียด

ไม่กล้ากล่าวคำว่าเราเป็นอะไร ไม่ง่ายนะ คนเราจะรู้คำว่าอรหันต์นี้ยิ่งใหญ่ ชาวพุทธเรารู้ว่ายิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นมันมีจิตตัวที่รู้มั่นใจ แน่ใจ ชัดเจนจริงๆ จึงจะกล้ากล่าว จึงจะมีอาสโภ แกล้วกล้าอาจหาญจะกล่าว จิตตัวนี้สำคัญมาก อาสโภ จะกล้ากล่าวว่าตัวเองเป็นอรหันต์และกล่าวอย่างไม่ มังกุ ไม่มีจิตไหว มีแต่แน่นิ่งแน่วจริงตรงเป๊ะไม่เคลื่อนไม่ไหวไม่มีอายเก้อเขินไม่มี มีแต่ความจริงใจ ตรงหนึ่งชัดเจนมั่นใจ เพราะฉะนั้น อรหันต์จริงจะกล้ากล่าว ต้องไปศึกษาคำสอนในพระไตรปิฎกดีๆ ใน ปัจเวกขณ์ 10 ถ้ามีผู้ถามว่าท่านบรรลุธรรมอะไรบ้าง เราจะตอบได้อย่างไม่มีมังกุ (เก้อยาก) ไม่มีจิตสะดุดที่จะลำบากที่จะตอบ ในนี้ในโลหิจสูตร แย้งกันว่า ผู้บรรลุย่อมไม่บอกใคร(มิจฉาทิฏฐิ) พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับ โลหิจจพราหมณ์

โลหิจจพราหมณ์ มีทิฏฐิลามก ว่า “ผู้บรรลุแล้วไม่พึงบอกแก่ผู้อื่น  เพราะคนอื่นจะทำอะไรแก่อีกคนหนึ่งได้ การบอกแก่คนอื่นจัดว่าเป็นความโลภที่เป็นบาป  เปรียบเหมือนคนตัดเครื่องพันธนาการเก่าออกแล้ว   กลับทำเครื่องพันธนาการใหม่... ฯลฯ ”  . 

พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ  ย่อมมีคติ 2 คือ นรกหรือกำเนิดเดียรัจฉาน  อย่างใดอย่างหนึ่ง (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 358) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 41 คนโง่ซวย รวยเด่น และเป็นกลาง วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 13 กรกฎาคม 2565 ( 14:39:48 )

ผู้บรรลุอรหันต์คือผู้ที่มีประชาธิปไตย 100%

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จนกระทั่งมาเป็น อยากจะพูดตรงนี้วันนี้ จนกระทั่งมาเป็นศาสนาหนึ่งในโลก ศาสนาในโลกของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้นี้ที่อาตมาอยากจะนำมาพูดก็มี วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 7 8 9 9 

จะได้นำมาขยายความ เคยพูดเกริ่นมาหลายทีแล้ว ก็ว่าจะใช้การอธิบายตอนนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนวันที่ 11-12-13 นั้น อาตมาเตรียม ประชาธิปไตยแบบไทย โดยเฉพาะ เรื่องประชาธิปไตยแบบไทย อยากจะใช้คำว่า หนึ่งเดียวด้วยซ้ำไป แต่ไม่อยากพูดเท่าไหร่ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ไม่ใช้คำว่าหนึ่งเดียวในโลกเพราะมันไม่ดีรู้สึกว่าจะเป็นอัตตาใหญ่เกินไป เอาแค่แบบไทยโดยเฉพาะนี่ก็ดีแล้ว ซึ่งมันก็ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนประชาธิปไตยใด โดยเฉพาะประชาธิปไตยของชาวเทวนิยม ประชาธิปไตยตะวันตก ประชาธิปไตยอเมริกา ไม่เหมือน แม้แต่ประชาธิปไตยอังกฤษ เพราะอังกฤษก็เป็นชาวเทวนิยม จะมีคนที่เป็นพุทธบ้างก็ไม่มีน้ำหนักอะไรเลย เป็นชาวศาสนาพระเจ้า อังกฤษก็ตาม ซึ่งเขาเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย 

ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นประชาธิปไตยมา จะว่าไปแล้วน่าจะก่อนประเทศอังกฤษด้วยซ้ำเพราะ 2,500 กว่าปีพระพุทธเจ้ามี เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยของพุทธก็แล้วกัน ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้าไม่เหมือนใคร เป็นยังไง อย่างไทยเป็นอยู่ ทุกวันนี้ไทยเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ ประชาธิปไตยแบบเฉพาะของไทยไม่เหมือนใครในโลก กำลังเจริญๆ ขึ้นอยู่ พูดอย่างนี้ขอพูดอย่างนี้ ประชาธิปไตยไทย ในไทยอโศก ประชาธิปไตยของชาวอโศกที่เป็นคนไทยจริงๆ ไม่หนีไปไหน และจะสถาปนาประชาธิปไตยไทยอยู่ในนี้แหละ 

ส่วนประชาธิปไตยในคณะบริหารประเทศ หรือในนักรัฐศาสตร์ไทย เขาก็เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยตามความรู้ของเขา นักรัฐศาสตร์หรือนักบริหารที่เขาเป็นนักการเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ เขาก็นำพาประชาธิปไตยตาม Concept ของแต่ละคนมีผู้ที่มีเต็ม 100% เช่น อาตมา เป็นต้น 100% ถือว่า ผู้บรรลุอรหันต์คือผู้ที่มีประชาธิปไตย 100% ก็ได้ เพราะเป็นอรหันต์แล้ว  จะมีคุณสมบัติที่อาตมาเคยพูดไปแล้วใช้บัญญัติภาษาไทยว่าผู้เป็นอรหันต์แล้ว อรหันต์ คือ 1.อิสระ 2. สบาย 3. สงบ 4. อบอุ่น 5. อิ่มเอม 6. เกษมใส  7. ใจเกื้อกูล 8. เพิ่มพูนความเสียสละ นี่คือคุณธรรมคุณวิเศษเลยของผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปสมบูรณ์แบบและมีแต่จะเจริญยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด

เป็นการเจริญไม่มีที่สิ้นสุดเลยในความเจริญของกุศล ไม่สันโดษในกุศล แม้แต่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเองท่านยังตรัสไว้ว่าท่านไม่สันโดษในกุศล หมายความว่าไม่พอ กุศลนี้ไม่มีวันพอ เพิ่มไปได้เรื่อยๆ ไม่ทำแล้วความไม่ใช่กุศล อกุศลไม่ทำ อกรณะ หรือเป็นบาปไม่ทำ สัพพปาปสอกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) เพราะฉะนั้นกรรมที่พระอรหันต์ทำขึ้นไปจึงมีแต่กรรมดี กรรมชั่วไม่ทำเด็ดขาด ไม่ทำแล้ว ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ อวินิปาตธรรม นิยตะ มีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สัมโพธิปรายนะ เรื่อยไปเลย สูงขึ้นอย่างไม่มีที่สุดที่สิ้น 

จะเกิดมาอีก สมมุติว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็จะสูงในการเป็นคนขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ท่านสูงจนไม่มีใครไล่ทันแล้ว ในประดาคนนี้ไม่มีใครจะสูงเท่าพระพุทธเจ้า ที่เป็นคนเป็นมนุษย์นะ ที่จะมีความเจริญสูงสุดยิ่งยอดยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ท่านเคยตรัสด้วย ผู้ที่จะใกล้พระพุทธองค์จะใกล้ตถาคต ก็ตามไม่ทัน ไม่มีใครใกล้ ในช่วงที่แค่จะใกล้ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ที่ตามมาอยู่นี้ ยังห่างๆๆ โพธิสัตว์จะใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ไล่ทันพระพุทธเจ้า นี่เป็นสัจจะที่เข้าใจก็ไม่ง่ายนักเนาะ คือเป็นคนที่นำหน้าเจริญนำหน้าแล้วไม่มีที่สิ้นสุดเลย ชั่วไม่ทำมีแต่ดี ไม่ต้องไปพูดถึงสุขทุกข์ สุขทุกข์นั้นหมดตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นี้หมดสุขหมดทุกข์ นอกนั้นยังมีความเป็นอยู่หรือมีชีวิตก็มีแต่ดีเป็นสมมุติสัจจะไปเรื่อยๆ ปรมัตถสัจจะสุดยอดคือสิ้นทุกข์สิ้นสุขแล้วสมบูรณ์แบบ อย่างถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อย่างนี้เป็นต้น 

ที่อาตมาเคยพูดซ้ำซากเอาบาลีมายืนยัน คำตรัสของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว อาตมาก็พิสูจน์ตามพระพุทธเจ้า อาตมาก็มีสิ่งเหล่านี้แล้วจึงพูดได้อย่างแรงแข็งขันมั่นคงไม่เหลาะแหละ ไม่หลุกหลิกเลยเต็มเหนี่ยวเต็มคำเต็มความเต็มที่เต็มใจ 

เพราะฉะนั้น สัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และเอามาสอนคนให้รู้ตาม และมีผู้ปฏิบัติตามได้มรรคได้ผล จึงเป็นสิ่งที่สุดยอดของความเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธที่มีธรรมะที่เป็นพุทธธรรมจึงเป็นธรรมะที่สุดยอด ในมวลมนุษยชาติแล้วไม่ว่าในยุคใดๆไหนๆ ถ้ายังมีศาสนาพุทธอยู่ ยอด จนกว่าศาสนาพุทธเอง คนเสื่อมจากศาสนาพุทธ ชาวพุทธเองเสื่อมไปจากศาสนาพุทธเองกลายเป็นศาสนาแก้ ศาสนาแปลง ศาสนาที่ไปเป็นแบบเทวนิยม ไปเป็นศาสนาที่เป็นเทวนิยม เป็นศาสนาที่เป็นไสยศาสตร์ เป็นศาสนาที่ไม่มีนิพพานแล้ว คือมีแต่เดรัจฉานวิชา เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่แปลว่า วิชาของสัตว์ แต่แปลว่า เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน เดรัจฉาน แปลว่าขวาง เป็นวิชาที่มันขวางทางนิพพาน มันต้านทางนิพพาน มันไม่ไปกับทางนิพพาน มันออกนอกทางนิพพานไปเลย จึงเรียกว่า เป็นวิชาที่พาออกนอกทาง นอกขอบเขตบุญ นอกขอบเขตพุทธ พุทธที่แท้ๆ มันนอกไปเรื่อยๆ จนไกล สุดท้ายมันตรงกันข้ามเลย 

ศาสนาพุทธนี้ เอาไปเอามา สุดท้ายมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพุทธเอง กลายเป็นผู้ทำลายศาสนาพุทธเอง จึงเป็นอนันตริยกรรม คนพวกนี้เป็นอนันตริยกรรม เป็นโจรปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตาย อาตมาอธิบายมาแล้ว แม้แต่โจรที่ปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านสมมุติว่า เหมือนพระราชาที่ครองบ้านเมืองแล้วมีโจรมาปล้น ปล้นบ้านปล้นเมืองหรือทำร้ายทำลายเมือง พระราชาก็ให้เอาโจรไปฆ่า ด้วยหอก 100 เล่มเช้าก็ไม่ตาย ถามเจ้าพนักงานว่าเป็นยังไงโจร ก็บอกว่ายังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็บอกว่าให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่มตอนกลางวัน เจ้าพนักงานก็เอาไปแทงด้วยหอก100 เล่มตอนกลางวันอีกก็ไม่ตาย กลับมาเย็นพระราชาพบเจ้าหน้าที่ ก็ตรัสถามอีก เจ้าหน้าที่ก็ทูลพระราชา บอกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า หอก 100 เล่มตอนเย็นก็ไม่ตาย แล้วพระพุทธเจ้าก็เปิดปลายทางเอาไว้ไม่อธิบายต่อ 

มาถึงในยุคนี้แบบนี้เลย พวกที่เป็นโจรทำลายศาสนา อาตมาฆ่าด้วยปากหอก หอกอาตมา 100 เล่มตอนเช้าตอนกลางวันตอนเย็น หมดหอกไปไม่รู้กี่ร้อยแล้ว ไม่รู้กี่พันแล้ว กี่หมื่นแล้ว หอกอาตมาหักหมด อาตมาก็เลยกลายเป็นคนหอกหัก โพธิรักษ์หอกหัก สมน้ำหน้าไปฆ่าโจรหนังเหนียว นี่เป็นอุทาหรณ์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สอน ลึกซึ้งมาก อาตมาก็จึงไม่หวังจากโจรทั้งหลาย ผู้ใดสมัครใจเป็นโจรก็ต้องเป็นโจรอยู่ ผู้ใดสนใจว่าจะออกจากความเป็นโจรก็เชิญมาฟัง อาตมาสอนคนให้พ้นจากความเป็นโจร โดยเฉพาะโจรปล้นมนุษยชาติ ปล้นชาติ ปล้นศาสนา และยังมีปล้นพระมหากษัตริย์ด้วย ทุกวันนี้ในเมืองไทยมีเห็นไหม มันเลวถึงอย่างนั้นน่ะคนน่ะ 

เพราะฉะนั้นอาตมาก็จึงมีใจจริง ตั้งใจจริงพยายามที่จะอธิบาย พยายามที่จะยกตัวอย่างนำพาให้ออกจากความเป็นโจร ออกจากความเป็นคนเลวร้าย ทุกวันนี้จอมโจรบัณฑิตมันเยอะมาก คำศัพท์จอมโจรบัณฑิตนี้หมายความว่าเป็นจอมโจรนะ แต่หลอกคนว่าเป็นบัณฑิต แต่ก่อนนี้เราพูดถึงจอมโจรบัณฑิตมาก เพลงจอมโจรบัณฑิต อาตมาเขียนไว้ถึง 10 หมายเลข ก็ไม่ได้ทวนผ่านไป 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 11วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 1 วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2566 ( 12:53:21 )

ผู้บรรลุอรหันต์จะต้องได้อรูปฌาน 4 หรือไม่

รายละเอียด

จบที่รูปฌาน 4 ก็ถึงอรหันต์แล้ว หากเอาอรูปฌานก็เอาเพิ่มอีก ความละเอียดลออ 

พอรูปฌาน จบได้ พอข้างในก็เป็นภพชาติ มีอากาศ สำหรับคนที่หยาบ แต่คนละเอียดก็เข้าไปอีก อย่างท้องฟ้าก็มีเมฆ แต่ถ้าไม่มีเมฆก็เป็นบรรยากาศสีฟ้า มันก็จะออกเป็นสีฟ้า สี Blue ตรงกัน ภาษาไทยเรียกว่าฟ้า สีฟ้า 

ก็ค่อยๆเป็นไปนะ คุณภาโว อรูปฌานก็มีรายละเอียดอีกเยอะที่จะต้องอธิบายกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเอกีภาวะประชาธิปไตยโลกุตระ วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 กุมภาพันธ์ 2564 ( 13:18:11 )

ผู้บรรลุเป็นผู้เข้าถึงเป็นผู้สำเร็จในความเป็นวิชชาและจรณะ

รายละเอียด

สรุปอีกทีว่าสาระแก่นสารของพุทธศาสนาแท้ๆเป็นเนื้อแท้ของคุณธรรมคุณวิเศษ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือข้อนี้แหละ อาตมาก็อธิบายแล้วในพุทธคุณ 9 ก็มีแค่นี้แสดงถึงเนื้อหาสาระ ของความเป็นเนื้อหาศาสนาพุทธแท้ นอกนั้นเป็นแต่เพียงศักติ เป็นอลังการ เป็นเครื่องประกอบ มันไม่ใช่แก่นแท้ เช่น อะระหะโตสุคะโตโลกะวิทูมันก็รู้โลกไม่ใช่ตัวเนื้อแก่นของวิชชาและจรณะ ผู้บรรลุเป็นผู้เข้าถึงเป็นผู้สำเร็จในความเป็นวิชชาและจรณะ ความประพฤติและความรู้ วิชชาก็คือความรู้จรณะคือความประพฤติสูงสุด ไล่ไปจนถึงผู้ที่จำแนกทำได้ไม่มีใครยิ่งกว่า ก็เป็นเครื่องประกอบ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์เปิดงานอโศกรำลึก วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563


เวลาบันทึก 11 กรกฎาคม 2563 ( 10:03:28 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:35:55 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:11:14 )

ผู้บริหารต้องมีความรู้มีการศึกษาโลกุตระ

รายละเอียด

สรุปอีกทีนึง ถ้าจะบริหารหรือให้การศึกษาเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ถ้าไม่ศึกษาโลกุตระ ไม่สอนการศึกษาที่เป็นโลกุตระกู้ประเทศไม่ได้ บริหารก็บริหารมีความรู้มีการศึกษา ยิ่งทีหลังการศึกษาด้วย การบริหาร ผู้ที่จะบริหารก็ต้องมีการศึกษา ไม่มีการศึกษาเลยจะบริหารได้เรื่องอะไร 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ การศึกษาที่ไม่ลดกิเลสกู้ประเทศไม่ได้ วันพุธที่ 6 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 29 มกราคม 2564 ( 12:26:05 )

ผู้บริหารที่ดี

รายละเอียด

เมื่อเอาขยะกองสุดท้ายที่เลวร้ายออกไปหมดแล้วประเทศไทยก็สะอาด ก็มีผู้บริหารที่ดีเข้ามา ผู้บริหารประเทศทุกวันนี้อาตมาเห็นว่านายกฯ พลเอกประยุทธ์นี้ บริหารได้ดีอยู่ โพลต่างๆว่าบริหารได้ดี เทียบกับนายกฯ 28 คน คนมีปัญญาไม่ได้อยากแย่งอำนาจ เพื่อตนเพื่อพรรคพวกตน ตนเองเคยบริหารแล้วก็สู้เขาไม่ได้ด้วย แล้วจะมาพูดโวยวายที่จะบริหารอีก ไม่ดูหน้าตัวเองเลย ไม่มีกระจกส่องดูหน้า ก็ไปที่ถ้ำนางนอน น้ำเยอะ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการวิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2561 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(การเมืองบุญนิยม) ตอน หัวใจประชาธิปไตยครบสูตร 2 หมวด 3 ประการ


เวลาบันทึก 28 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:36:26 )

ผู้บริหารบ้านเมืองควรทำตามคำสอนพ่อของในหลวง ร.9 อย่างไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงให้มาพอแค่นี้รู้จักเพียงรู้จักพอ อย่าไปไม่มีขีดคั่นมันเป็นความทุกข์แล้วมันก็อยู่ในสังคมไม่เจริญ ต้องเอาอันนี้ก็ยากที่จะเข้าใจแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์นักบริหารนักปกครอง ก็ยากที่จะเข้าใจความเป็นจริงอันนี้ เพราะอะไร ที่ต้องมาพูดนี้ เพราะตัวเองก็ไม่ได้ทำตนเป็นคนพอเพียงหรือมาสู่ความเป็นคนจนอย่างที่ในหลวงตรัส เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ตัวเองก่อนจะไปบริหารก็รวย พอไปบริหารแล้วชัดเจนในคำตอบของพระพุทธเจ้า แล้วขอพูดน่าจะทำตามคำสอนพ่อ เรียกในหลวงเป็นพ่ออย่างสนิทสนม แต่ไม่ได้ทำตามก็รวยกันอยู่อย่างนั้น ต้องจนลงมาจนให้เห็นชัดๆเลย มาเป็นคนจนเท่าเทียมกับชาวอโศกที่เป็นนี้ คนคนนั้นจะประเสริฐจะวิเศษเลย จะอยู่ในสังคมอย่างดี มีนายกรัฐมนตรีประธานาธิบดีอุรุกวัย ทำตัวเองเป็นคนจน มีอะไรใช้สอยตามที่รัฐบาลให้ ใช้รถโฟล์คเต่าเก่าๆ บ้านช่องที่อยู่ที่พักเขาก็มีให้ตามตำแหน่งประธานาธิบดี แล้วเขาก็อยู่อย่างมักน้อยสันโดษ ได้รับความนิยมชมชอบทั่วโลกเลยนะ ก็พอจะมีปฏิภาณรู้กันทั่วโลกแต่ไม่ทำ ถ้าจะบอกว่าทำเป็นดราม่า จะมาทำเป็นคนได้รับค่านิยม เป็นคนจนแล้วทำทีเป็นคนจนก็ช่างมันเถอะ ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างมันเถอะถ้าเรายิ่งจริงใจแล้วก็มาทำอย่างนี้จริงๆใครจะว่าก็ช่างปะไร แล้วเราก็ทำงานรับใช้ประเทศชาติ อย่างชาวอโศกเราอาตมาภาคภูมิใจ ไม่ไปแย่งชิงกับสังคมเขาพออยู่พอกินอะไรลดได้ก็ลดไป ใครลดยังไม่ได้ก็พยายามลดลงไปไม่ต้องไปตะกละมากมายอะไร  คนเรามันมีวาสนาบารมีมีวิบาก เพราะฉะนั้นบางคนก็เอา ต้องไปทรมานใช้วิบากคือจะต้องไปรวย

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:40:16 )

ผู้บริหารประเทศถ้าเข้าใจมาศึกษาเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

ผู้บริหารประเทศถ้าเข้าใจความเป็นคนจนและศึกษาเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้า สมณะโพธิรักษ์รู้จักความจนแล้วพาคนมาจน ถ้าหากผู้บริหารประเทศไทยเป็นพุทธศาสนิกชนเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าและพากันมาจนเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์แบบ สำเร็จด้วย  ท่านพูดแล้วสบายใจทำงานกับชาวอโศกประมาณนี้ ที่ฟังท่านไม่รู้เรื่องเข้าใจไม่ได้พูดให้ตายยังไงเขาก็ไม่มาเอาเขาปิดประตู นอกจากคนที่แสวงหาไม่ได้ปิดประตู ฟังท่านเข้าใจแล้วเข้ามาเป็นมวลอย่างชาวอโศก มีอีกได้จะเกิดได้บ้าง เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 20:19:30 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:37:58 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:12:13 )

ผู้บริหารประเทศที่ดี คือ จอมยุทธโลกุตระ

รายละเอียด

ผู้บริหารประเทศที่ดี คือ จอมยุทธโลกุตระ อาตมาก็ Rewrite ที่เขียนไปแล้วเติมแก้เข้าไปอีก 

2) ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ

ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ” ผู้มี“ปัญญา”กันจริง ก็จะมี“ความรู้-ความสามารถ”ระดับโลกุตระ ที่มี“เคล็ดวิชา 9 ประการ” ทำงานอยู่ในสังคมประเทศ เช่น 

1)ป้องกันตนเองได้  

2)ไม่ทำร้ายใคร  

3)ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย  

4)มีปฏิภาณปัญญาเป็นโลกุตระ(ที่สัมมาทิฏฐิ)  

5)เป็นคนผู้เสียสละอยู่เป็นปกติของชีวิต  

6)สำนักของจอมยุทธนี้ก็จะพาคนมาจน  

7)สำนักนี้อยู่กันอย่างสาธารณโภคี  

8)จอมยุทธจะพยายามพาคนให้มาเป็นกสิกร ทำอาชีพสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นหลักให้มากๆ จะโน้มนำให้คนที่มีอาชีพอื่นใดอยู่ก็มาเป็น“กสิกร”ควรแปรชีวิตมาเป็นกสิกร“ดีที่สุด” จะไม่พากันไปสร้างอาวุธเลย  

9)“จอมยุทธโลกุตระมือหนึ่งในยุทธจักร” คือ ผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ “เทฺว”ด้วย“ปัญญา 8” 

ผู้สำเร็จจบครบเคล็ดวิชาทั้ง 9 นี้ คือ คนผู้มี“พหุชนหิตายะ-พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เพราะเป็นผู้มีทั้ง“สมาธิ-สติ-ปัญญา”สามารถทำ“อธิปไตย”ได้เพราะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงรู้จบ“โลก-อัตตา-ธรรม”ครบถ้วนกระบวนการจึงอยู่เหนือ“โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย ธรรมาธิปไตย” 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:22:34 )

ผู้บริหารประเทศที่ดีคือจอมยุทธโลกุตระ มีเคล็ดวิชา 9 ประการจากนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ

รายละเอียด

ผู้บริหารประเทศที่ดีคือ “จอมยุทธ”โลกุตระ มีเคล็ดวิชา 9 ประการ

# 9 เคล็ดวิชา

1. รวมยอดสุดเก้าเคล็ด         วิชา

ชีวิตสังคมสา-                            มารถใช้

หลักปฏิบัติพึ่งพา                     กลุ่มหมู่ ประเทศเอย

โดยพ่อท่านสรุปไว้                 แจกให้โลกมนุษย์ ฯ

2. ที่สุดของโลกหล้า             คือทาน

เจือแจกด้วยวิญญาณ            เจตน์แจ้ง

สิ้นสาเปกโขปาน                         น้ำสะอาด พ่อเอย

ดื่มด่ำพร่ำพรมแล้ว                      ฉ่ำชื้นฤทัยปอง ฯ

3. ปกป้องตนรอดได้              ตลอดวัย

แลไม่ทำร้ายใคร                     แต่ให้

เสียสละอิ่มเอมใจ                    ตลอดชาติ  ชีพเอย

ด้วยทิฏฐิสัมมาได้                   แปดถ้วนปัญญา ฯ

4. จึ่งมาจนแบบให้                    สละทวี

ไม่คิดเป็น   กระฎุมพี                 แบบบ้า

คนจนแบบสูงศรี                     วรรณพุทธ  สุดลึก

เป็นกสิกรแกร่งกล้า                กอบกู้แก่นแกน ฯ

5. ดินแดนสงบสุขได้              ด้วยพลี

สร้างก่อกรรมด้วยดี               ยิ่งแล้

สาธารณโภคี                         เป็นเอก อุเอย

เศรษฐกิจแบบพุทธแท้          ถ่องถ้วนทวนกระแส ฯ

6. ดวงแดดีเด่นด้วย         โลกุตระ

อุ้มโอบโลกียะ                  ชุ่มชื้น

ปัญญาแปดย่อมชนะ            โลภโกรธ  หลงเฮย

เพียรเพ่งเร่งฟูฟื้น                  แก่นแท้พุทธธรรม ฯ

7. บำเพ็ญเพียรพรั่งพร้อม    ยินดี

ด้วยกสิกรรมท้นทวี              ประเทศไว้

ชีวิตกินอยู่ศรี                         เดินนั่ง  นอนเอย

ออกแดดแผดเผาให้            ชีพยั้งยั่งยืน ฯ

8. วันคืนจึ่งพรั่งพร้อม          น้อมธรรม

รู้จักรู้แจ้งกรรม                     ถ่องถ้วน

รู้จริงสิ่งควรทำ                     รู้จบ เจนเอย

รู้จิตรุ่งเรืองล้วน                    โรจน์แล้วแก้วสี ฯ

9. วิถีเทวะล้วน                 ไป่จบ

เป็นคู่สองครองภพ                ตลอดไซร้

ทางเอกพุทธครันครบ           ถ้วนรอบ ชอบเอย

ผุดผ่องเพริศแพร้วให้           สุดสิ้นสัมบูรณ์ ฯ

เป้า   ถักธรรม

แต่งได้ดี แต่งได้เป็นกวีที่เรียกว่าได้เรียนได้ฝึกมาสมควรทีเดียว มี Talent ใช้ได้แล้วก็มีความรู้ทางธรรมด้วย ความรู้ทางธรรมก็ดี ความรู้ทางกวีการก็ดี

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ แสดงธรรมโดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ จอมยุทธ์โลกุตระจบกิจเศรษฐกิจ ด้วย 9 เคล็ดวิชา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 เมษายน 2566 ( 11:11:58 )

ผู้บริหารเองสามารถทำตนเป็นศูนย์ได้

รายละเอียด

แม้ที่สุดเป็น 0 ผู้บริหารเอง สามารถทำตนเป็น 0 ได้ ยกเว้น ถ้าไปบริหารอยู่ในระดับสูง หรือเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะไม่มีเงินเลยสักบาทเป็น 0 มันทำไม่ได้ อันนี้เป็นข้อจำกัด คล้ายๆกับว่าเงินคงคลังต้องมี ถ้าไม่มีเงินคงคลัง มันไว้ใจไม่ได้หรอก มันไม่เที่ยง ถ้าไม่มีเงินคงคลัง หมดเกลี้ยงเลย ทุกอย่างสูญสิ้นหมด ล้มละลายหมด มันเป็นไปไม่ได้ อันนี้ก็เป็นภาวะซับซ้อน 

เพราะฉะนั้นในฐานะถ้าเป็นในหลวงแล้ว ก็ต้องบริหารในระดับนั้น ต้องมาเป็นนักบวช อย่างพระพุทธเจ้าจะเป็นจอมจักรพรรดิ ก็คือเป็นพระเจ้าแผ่นดิน อยู่ได้ แต่ข้อจำกัดจะต้องมาทำงานถึงขั้น 0 ขั้นทำให้คนมาเป็น 0 ด้วยไม่ได้ เขาก็จะต้องเอาพระเจ้าแผ่นดินเป็นหลักพระเจ้าแผ่นดินจะต้องมีมากพอสมควร ถ้าไม่มากพอสมควร คนขาดแคลน คนที่จะต้องค่อยๆเสริมรัฐบาล เพราะฉะนั้นเมื่อรัฐบาลไม่ทัน พระเจ้าแผ่นดินจะต้องเสริม ต้องมีเงินกองกลางของพระเจ้าแผ่นดิน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 20 ความมหัศจรรย์กองกลางสาธารณโภคีของชาวอโศก วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ขึ้น 9 ค่ำเดือนอ้ายปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 ธันวาคม 2564 ( 21:45:14 )

ผู้บำเพ็ญตนถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รายละเอียด

  คือ  คนที่คิดและรู้สูงสุด คือ ผู้บำเพ็ญตนถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  สมณะโพธิรักษ์บำเพ็ญเพื่อไปเป็นระดับนั้น แต่ตอนนี้ระดับ7 จะไปให้ถึงระดับ 9  ท่านมีแค่นี้เกิดมายุคนี้เป็นสยังอภิญญาได้เอาความรู้  ความสามารถมาช่วยกันจนเกิดสังคมกลุ่มสาธารณโภคี  40 กว่าปีจนถึงทุกวันนี้

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 19 ตุลาคม 2562 ( 14:02:24 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:39:15 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:13:06 )

ผู้ปฏิบัติที่ไม่มี“อปัณณกปฏิปทา”ก็ไม่มี“พุทธคุณ” จึงมีแต่ “พุทธโทษ”

รายละเอียด

โดยเฉพาะ ไม่มี“จรณะ 15 วิชชา 8” แม้แต่“อปัณณกปฏิปทา”

ซึ่งเป็น“3 ข้อธรรม”

ที่ยืนยันว่า ผู้ปฏิบัติธรรมของพุทธหากแม้นไม่มี“3 ข้อ

(สำรวมอินทรีย์ 6-โภชเนมัตตัญญุตา-ชาคริยานุโยคะ)”นี้ในการปฏิบัติธรรมก็เป็นอัน“ปฏิบัติผิดไปจากศาสนาพุทธ”กันเลย

ดังนั้น เหล่าผู้ที่“หลับตา”ปฏิบัติทั้งหลายจึงปฏิบัติกันด้วย“มิจฉามรรค”

และได้“มิจฉาผล”กันไปหมด 

ซึ่งผู้“หลับตา”ปฏิบัตินั้นจะเกิดได้แค่“สัญญา”เท่านั้น 

เพราะ“ความรู้”มันไม่ครบกระบวนการของ“จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-อาโลก”ได้เป็นอันขาด ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ    

ชัดเจนชัดแจ้งขึ้นมั้ยว่า “กาย”มีความสำคัญอย่างยิ่งยอดปานใด

ในความเป็นศาสนาพุทธ 

และคำว่า“กาย”นี้เป็นภาษาบัญญัติของศาสนาพุทธโดยตรง

ที่พระพุทธเจ้าทรงมีคำจำกัดความ(นิยาม,deffiinition)ของพระองค์เอง

สำหรับศาสนาพุทธ “กาย”จึงเป็น“คำที่พิเศษมาก”

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ รวมเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 469 หน้า 349


เวลาบันทึก 24 มิถุนายน 2564 ( 08:32:24 )

ผู้ปฏิบัติธรรมขาดศีลไม่ได้ 

รายละเอียด

ถ้าเผื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีศีลเป็นตัวตั้ง ไม่มีศีลเป็นตัวหลักในการปฏิบัติให้ก้าวหน้าไม่มี อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ มีความเจริญของจิต ของปัญญา ของมุตะ หรือโมกโข ที่จะเจริญไปสู่จุดสูงสุด ถ้าคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้คุณก็โมฆะ วนเวียนอยู่ในกรอบต่ำขั้นไหนก็ต่ำขั้นนั้น เพราะฉะนั้นขาดศีลไม่ได้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ปฏิบัติศีลให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 14:10:11 )

ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีสัมผัสเป็นปัจจัย

รายละเอียด

นี่แหละคือผู้ปฏิบัติธรรม มีสัมผัสเป็นปัจจัย อ่านกิเลสในอิริยาบถทุกความจริง และเราก็เรียนรู้สร้างสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ เกิดขึ้นจริงๆเลย โพชฌงค์ 3 เกิดในปัจจุบันนั้นเลย มันจะมีธัมมวิจัยของมันในตัว วิจัย วิตก วิจาร วิจัยธรรมะ อันนี้กิเลส อันนี้ไม่เป็นกิเลส ก็จะเกิดภูมิปัญญาขึ้นเรื่อยๆจากโพชฌงค์ 7 จนกระทั่งปัญญามันเจริญเห็นกิเลส ดับกิเลส ได้ปัญญามีอิทธิฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์ระงับกิเลสได้ ก็เกิดปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ จนกระทั่งเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ 

เข้าใจคือมีสัมมาทิฏฐิ เข้าถึงคือลงมือปฏิบัติ พัฒนาก็คือการทบทวน หาข้อบกพร่องเพื่อพัฒนาต่อไป ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้ได้มาสัมผัสจริง ปฏิบัติเองจริง มีตัวเองเข้ามาเป็นผู้ที่เข้ามา เอาตัวเองเข้ามาปฏิบัติ จนกระทั่งได้มรรคได้ผลที่แท้จริง อาตมาจึงยืนยันว่าสัจธรรมของพระพุทธเจ้า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ชาวอโศก 

คนที่มาแล้วรู้จริงเองเป็นปัจจัตตัง เข้าใจเอง จะมีสภาวธรรมเอง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเดียวกันอย่างชาวอโศก น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มันแยกจากหมู่ที่ไม่ใช่ น้ำกับน้ำมันต้องแยกกัน เถรสมาคมจึงเป็นนานาสังวาสกับชาวอโศก จบแล้วด้วยหลักเกณฑ์ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นนานาสังวาส ต่างคนต่างเข้าใจธรรมวาทีของตนเอง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาให้ถึงปัญญาวิมุติ

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 มกราคม 2566 ( 12:03:46 )

ผู้ปฏิบัติผิด

รายละเอียด

ผู้ปฏิบัติผิด คือ พระพุทธเจ้าท่านว่าผู้ปฏิบัติผิดไปอยู่ในภพ  จะมีทิศไปสองทิศคือไม่จมก็ลอย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม  บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 26 ตุลาคม 2562 ( 17:02:19 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:40:03 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:14:00 )

ผู้ประพฤติธรรมจนได้อาริยะแล้วควรทำเช่นไรเมื่อถูกทำร้าย

รายละเอียด

หยุด อย่าไปตอบโต้ แม้พระโมคคัลลานะถูกคนฆ่าท่านก็ชุบร่างกายขึ้นมาอีก แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่สุดท่านก็ยอมตายไปในชาติหนึ่งเลย ทั้งที่ท่านชุบชีพตัวเองได้ นี่คือปาฏิหาริย์ของพระโมคคัลลานะที่ท่านมีสูงสุด แต่เสร็จแล้วก็ต้องยอมตายตามวิบากไม่ตอบโต้ ถ้าใครเข้าใจ พฤติบทอันนี้ พฤติบทของพระโมคคัลลานะอันนี้ ก็เขาฆ่าเรา เราจะไม่ตายก็ได้ แต่สุดท้ายก็ต้องยอม หากท่านจะชุบชีพสักสี่ห้าหกครั้ง เขาก็จะกลัวไม่มาฆ่าต่อได้ หรือแม้แต่สันติอโศก คนเอาปืนมายิงเข้าไปข้างใน ก็ยิงลูกปืนไม่ออก ก็เลยเลิกไปเลย ไม่มาย นี่ถ้าท่านฟื้นมาสักสามสี่ครั้ง คนมาฆ่าก็ต้องวิ่งหนีเลยแน่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 3 ตุลาคม 2561


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2563 ( 11:19:42 )

ผู้ประมาทย่อมอยู่เป็นทุกข์ 

รายละเอียด

เขามีความยินดี มีความดำริเต็มเปี่ยมในลาภและความสรรเสริญ เขาย่อมยกตนข่มผู้อื่นว่า เรามีลาภสักการะและความสรรเสริญ ส่วนภิกษุอื่นนอกนี้ไม่ปรากฏ มีศักดาน้อย.เขาย่อมมัวเมา ถึงความประมาท เพราะลาภสักการะและความสรรเสริญนั้น เมื่อเป็นผู้ประมาทแล้วย่อมอยู่เป็นทุกข์ 

เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการแก่นไม้แสวงหาแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นอยู่ เมื่อต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่ ละเลยแก่น ละเลยกระพี้ ละเลยเปลือก ละเลยสะเก็ดไปเสีย ตัดเอากิ่งและใบถือไป สำคัญว่าแก่น. 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 2 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 12:45:17 )

ผู้ประสบผลสำเร็จเศรษฐกิจส่วนตัวต้องเป็นอย่างนี้

รายละเอียด

1. ไม่เป็นหนี้ อาตมาพูดย้ำมาหลายทีแล้ว 

2. พึ่งตนเองรอด ทำกินทำใช้ตัวเองได้คุ้มตัว รอดตัว 

3. ทำให้เหลือทำให้เกิน ทำให้เหลือให้มากเกินที่เรากินเราใช้ 

4. แจกจ่ายเผื่อแผ่ แพร่ไปให้ผู้อื่นได้รับผล ออกไป

ผู้ประสบผลสำเร็จเศรษฐกิจส่วนตัวแต่ละคนอย่างนี้ 1 คน 2 คน 3 คน 4 คน และเศรษฐกิจของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคนขยันหมั่นเพียรด้วย เป็นคนรู้งาน ทำงานที่ควรทำ มันก็เกิดผลผลิต เกิดอะไรต่ออะไรขึ้นมา ก็อาศัยอยู่อาศัยกิน สบาย.. ชีวิตหนอ พออยู่ พอกิน ..เสร็จแล้วก็ยังมีส่วนที่เหลือ มีส่วนเกิน ส่วนที่จะแบ่งแจกผู้อื่นด้วย ก็ดูดี มีประโยชน์คุณค่าบ้างแต่อย่าไปหลงตัวหลงตน อย่าไปคิดว่าเราเป็นประโยชน์ เป็นอะไรต่ออะไร มันจะมากไป อย่าไปคิด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชีวิตหนอพออยู่พอกิน เพราะมีอาหาร 4 วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2565 แรม 10 ค่ำเดือน 12 ปีขาล ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2565 ( 20:21:21 )

ผู้ป่วยที่พยาบาลง่าย 5

รายละเอียด

1.ย่อมทำความสบาย (ไม่เบียดเบียนตน) 
2. รู้จักประมาณในสิ่งสบาย (พอดี) 
3. กินยา 
4. บอกอาการป่วยตามความเป็นจริง แก่ผู้พยาบาลที่ปรารถนาประโยชน์ 
5. เป็นผู้อดทนต่อทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 22   ข้อ 123, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 14:19:35 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:42:25 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:36:23 )

ผู้ป่วยโคม่าจิตยังไม่ใช่พีชะ

รายละเอียด

คนจะมีความรู้สึกจะใช้ศัพท์ว่าโคม่า จะใช้ศัพท์ว่าเป็นมนุษย์พืชก็ดี โคม่าจริงๆความหมายยังไม่ใช่มนุษย์พืชทีเดียว มันเป็นความหมายอีกนัยยะหนึ่ง จวนจะตายได้นะ แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตจะค่อยๆเสื่อมค่อยๆตกลงมาจนกลายเป็นมนุษย์พืช ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์พืชไม่ฟื้นขึ้นมาเป็นจิตนิยามอีกแล้ว ถ้าให้อาหารได้อากาศก็เหมือนพืชที่ได้อาหารได้อากาศ มันก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไปอีกเป็นปี 10 ปี 20 ปีได้เลย แต่โคม่านี้ชวนตาย มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันอีก อาตมาก็ไม่ได้รู้ศัพท์ทางแพทย์มากนักก็ขอตอบตามประสาอาตมาได้แค่นี้ก็แล้วกัน ค่อยๆเรียนรู้ อาตมาตอบให้ฟังได้เท่านี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ หนูตัวเล็กอย่างไทยจะช่วยราชสีห์ซาอุฯตัวใหญ่ได้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 กุมภาพันธ์ 2565 ( 19:11:38 )

ผู้พยาบาลที่ดี 5

รายละเอียด

1. ย่อมเป็นผู้สามารถเพื่อจัดยา
2. ทราบสิ่งสบาย และไม่สบาย นำสิ่งไม่สบายออกไปนำสิ่งสบายเข้ามาให้
3. มีเมตตาจิตพยาบาล ไม่เพ่งอามิสพยาบาล
4. ไม่รังเกียจเพื่อนำออกซึ่งอุจจาระ ปัสสาวะ อาเจียนหรือน้ำลาย
5. สามารถเพื่อชี้แจงให้ผู้ป่วยสมาทาน  อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา โดย  กาลอันสมควร

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 22   ข้อ 124, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 26 กรกฎาคม 2562 ( 14:20:45 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:44:39 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:14:32 )

ผู้พ้นทุกข์อาริยสัจ

รายละเอียด

ผู้พ้นทุกข์ที่แท้จริงตามที่พระพุทธเจ้าประทานความรู้ของพระองค์มาให้ ที่เป็นโลกุตระ

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 388


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:13:55 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:32:46 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 05:15:01 )

ผู้พ้นทุกข์โลกีย์

รายละเอียด

ผู้ได้บำบัดอารมณ์(เวทนา)ที่กิเลสมันต้องการ (ซึ่งก็คือบำเรอด้วยลาภ,ยศ,สรรเสริญ,โลกียสุข)

หนังสืออ้างอิง

ยอดนิยายของโลกที่ไขความเป็นมนุษย์ หน้า 388


เวลาบันทึก 15 กรกฎาคม 2562 ( 15:12:50 )

เวลาบันทึก 18 กรกฎาคม 2563 ( 16:33:31 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:36:01 )

ผู้มากอบกู้ต่อยอดศาสนาต้องรอบรู้

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมากอบกู้ ต่อยอดศาสนาพุทธได้ จึงต้องรอบรู้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มีสิ่งเหล่านั้นพอ มีสิ่งที่จะกอบกู้พอ อาตมาขยายความไว้ไม่หมด ทั้งเวลาและความรู้ก็ไม่พอ ก็ขยายความไว้ประมาณนี้ก็แล้วกัน 

อาตมาไม่ได้ถ่อมตน ไม่ได้ยักไม่ได้กักไว้เลย ทำเต็มที่ เท่าที่กาละ เทศะ ฐานะ อันควรจะทำมาเรื่อยๆ จนมาเกิดผล เกิดมรรคผลมาได้ขนาดนี้ก็ขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้ ที่มี ที่เป็น จากคนมาประพฤติบรรลุมรรคผล จนเกิดชุมชน เกิดสังคมสารานียธรรม 6 เพราะมีคุณธรรมของวรรณะ 9 หรือพุทธพจน์ 7 อย่างแท้จริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 07:02:33 )

ผู้มากอบกู้ศาสนาพุทธ

รายละเอียด

สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ไปดับหลับตาอย่างนั้น นั้นจะว่าเป็นอนุบาลก็ยังสูงไปต้องเป็นเตรียมอนุบาล นั่งหลับตาสมาธินั้นไม่ใช่ของพุทธ พูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ที่นั่งหลับตาสมาธิก็เป็นของเดียรถีย์ที่มันมีอยู่อย่างนั้นของเขา อาจจะยกให้เป็นมหาวิทยาลัยนั่งหลับตาเป็นการนั่งหลับตาสมาธิแต่มันก็ไม่ใช่ของพุทธเลย ของพุทธนั้นไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหลับตาเลย เป็นของแถมเท่านั้น แต่กลับว่าไปเอามาเป็นสาระ มันเป็นของเคียง ไม่ต้องก็ได้ แต่กลับเอามาเป็นแก่น เอามาทำเป็นความผิดเพี้ยนไกลลิบลับ ท่านผู้นั่งหลับตาเป็นหลักทั้งหลายเอ๋ยฟังอาตมาพูดแล้วจะสะเทือนสักนิดไหม จะสะดุ้งสักนิดนึงไหม ขอฝากไว้เอาไปตรวจสอบในพระไตรปิฎกให้ดี อ่านพระไตรปิฎกให้แตก เรามีหลักฐานอ้างอิงยืนยันจากพระไตรปิฎก อันอื่นคุณก็ไม่เชื่อนะ แต่มาบอกว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์ อาตมาเป็นผู้มากอบกู้ศาสนาคนก็จะยิ่งไม่เชื่อหมั่นไส้ ไม่เป็นไรก็ไปตรวจสอบกับพระไตรปิฎกตามที่อาตมาพูดให้ฟัง 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563


เวลาบันทึก 25 มีนาคม 2563 ( 10:04:01 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 14:12:58 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:35:34 )

ผู้มากอบกู้ศาสนาพุทธคือใคร

รายละเอียด

พออาตมาเอาของแท้ กลองแท้ของศาสนาพุทธขึ้นมา อาตมาพูดไปแล้วว่าเป็น สยังอภิญญา มากอบกู้ศาสนาพุทธ พูดไปถึงเป็นพระธรรมิกราช 1 ใน 2 ที่มากอบกู้ศาสนาพุทธ อีกองค์หนึ่งก็คือในหลวง เขาก็หาว่ายกตนเทียบเท่าในหลวงอีก อาตมาก็อ้างอิงหลักฐาน 

พวกเราเป็นสังคมโลกุตระที่เอาพระสูตรต่างๆไม่ว่าจะเป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 วรรณะ 9 เราก็ทำได้ตามพระอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ของพระพุทธเจ้า แต่ทางโน้นเขาไม่มีเลยทั้งกระแสหลักไม่มีเลย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แก้กรรมฐานให้ถูกพุทธ วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 07 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:52:08 )

ผู้มากอบกู้โลกุตรธรรมตามที่พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้ใน อาณีสูตร

รายละเอียด

อาตมาเลิกจากเป็นใหญ่มาก่อนนะ แล้วมาพยายามเข้าใจ ขิฑฑาปโทสิกะ มาอยู่กับฐานรื่นเริงบันเทิง ลดลงๆ หมดทั้ง มโนปโทสิกะ และ ขิฑฑาปโทสิกะ อาตมาทำให้หมดทุกอย่าง 

อาตมาทำให้หมดก็ได้แล้ว แต่ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็เลยมาอธิบายให้มนุษย์ฟังต่อจนกระทั่งละเอียดจบครบสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง นี่คือปณิธาน ตอนนี้ยังไม่ได้ถึงความเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็เลยเนื้อยยเหนื่อย แล้วมาเกิดในกลียุคนี้ ซึ่งความจริงโลกุตรธรรมมันสูญไปหมดแล้ว อาตมาต้องมากอบกู้ขึ้น ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้พยากรณ์ไว้ก่อนแล้วใน อาณีสูตร แล้วก็กู้ขึ้นมาได้บ้างแล้วตอนนี้ แล้วก็จะต้องมาทำให้มันเป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่งจะต้องให้คนนี่ใช้สอยโลกุตรธรรมไปให้ถึง 5,000 ปี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธ‌ศาสนา‌ตาม‌ภูมิ‌ ‌ชาติ‌ ‌5‌ ‌พา‌พ้น‌ขิฑฑาป‌โท‌สิ‌กะ‌และ‌มโน‌ป‌โท‌สิกะ‌ ‌วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 มกราคม 2565 ( 21:30:17 )

ผู้มาต่อโลกุตรธรรมในยุคนี้มีในหลวง ร.9 และพ่อครู

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นโลกุตรธรรมที่สถาปนาลงไปในโลก ในยุคนี้ มี 2 รูปที่จะนำมาเป็นต้นหลัก 

ในหลวงร.9 รับผิดชอบทางรูปธรรม อาตมารับผิดชอบในทางนามธรรม 

ในหลวงร.9 ท่านอยู่ในสายสัทธานุสารี อาตมาเป็นสายธัมมานุสารี มาบำเพ็ญทำงานต่อตามสัจจะความจริงของโลกที่จะต้องมีสิ่งนี้ ซึ่งในหลวงท่านก็ตรัสว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ มีพวกนักข่าวชาวต่างประเทศมาถามท่านก็ตรัสว่า ก็มัน บอนทูบี มันต้องเกิดมาเป็นอย่างนี้ก็เป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คำตอบอย่างนั้นก็เหมือนกับอาตมา  ทำไมอาตมาต้องมาทำอย่างนี้ นี่ก็ทำจนถึงอายุ 88 ปี ทำมาตั้ง 50 ปี 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ แผนผังการกอบกู้โลกุตระของพ่อครู วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 15 สิงหาคม 2565 ( 18:50:57 )

ผู้มาทำหน้าที่สืบทอดพุทธรรมให้ถึง 5000 ปี

รายละเอียด

ล่วงเลยยุคกึ่งพุทธกาล(2500 ปี)ไปแล้ว โลกจะไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแน่นอน มีก็แต่“พระโพธิสัตว์” หรือ “สัตตบุรุษ”เท่านั้นผู้มาทำหน้าที่สืบทอด“พุทธธรรม”ที่เป็น “โลกุตรธรรม”ของพระพุทธเจ้าตามหน้าที่อย่างสำคัญ 

แม้พระโพธิสัตว์หรือสัตตบุรุษ เกิดขึ้นมาในโลกทำหน้าที่สืบสาน“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้า “พญานาค”เขาก็ไม่รู้สึกรู้สาใดๆเลย แม้จะปลุก จะกระทุ้งกระแทกด้วยปากหอก (มุขสัตตี) จะแทงด้วยหอก 100 เล่ม เช้า-กลางวัน-เย็น จนหอกหักหมดเกลี้ยง “พญานาค”ก็ไม่รู้สึกตัวกันขึ้นมาได้

หากว่าไม่หมดยุคของพระพุทธเจ้าองค์นั้นแล้วจะไม่มีพระพุทธเจ้าอื่นมาอุบัติเกิด จะมีแต่พระโพธิสัตว์ใหญ่น้อยมาช่วยกันสืบสานศาสนา ในยุคนี้ก็มีอาตมากับในหลวง แล้วก็มี พระโพธิสัตว์องค์เล็กองค์งน้อยอีก กว่าจะไปถึง 5000 ปี นี่ อาตมาก็ว่า ยังไม่น่าไว้ใจเลย จะตายวันตายพรุ่งแล้ว แล้วมาเกิดใหม่อีกมันจะไปรอดถึง 5000 ปีไหมนี่ คุณว่าจะถึงไหม อาตมาก็ไม่ต้องเกิดมาอีกซิหากว่ามันจะถึง ตายชาตินี้ก็ไม่ต้องเกิดอีกเพราะว่ามันถึง ไปได้อีก 2500 ปี 

อาตมายังไม่ไว้ใจว่า ศาสนาพุทธนี้ ของพระพุทธเจ้าสมณโคดม จะไม่ถึง 5,000 ปี มันจะไม่ต่อ ถ้ามันไม่ต่อไปอาตมาผิดนะ อาตมารับปากพระพุทธเจ้ามาแล้วว่าจะต้องมาเป็นผู้รับผิดชอบ ที่จะต้องทำหน้าที่ต่อศาสนาพุทธให้ไปถึง 5,000 ปี พูดแล้วคนไม่ศรัทธาเลื่อมใสก็หมั่นไส้ ขออภัยอย่าเพิ่งอาเจียนเป็นโลหิตร้อนออกจากปาก 

ก็ทำต่อไป ขอสรุปแต่เพียงว่า งานนี้อาตมาก็ยังไม่ไว้ใจ จึงได้พยายามกระเสือกกระสนยังไม่ยอมตาย แต่มันก็ต้องสุดใจขาดดิ้นกันสักวันหนึ่ง ตอนไหนก็ตอนนั้น ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ฝืนไป พยายามทน พยายามทำ เพราะยังไงๆก็ต้องตาย ตายเป็นตาย!! 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาเปิดตาพญานาคลงสู่การเมืองไทย วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 พฤษภาคม 2565 ( 20:23:48 )

ผู้มาบำเพ็ญกอบกู้ศาสนามีคุณสมบัติอย่างไร

รายละเอียด

อาตมายืนยันว่าอาตมาจะมากอบกู้ คุณก็ถามอาตมาตรงๆนี่แหละ จะมีคุณสมบัติอย่างไร ตอบ มีคุณสมบัติอย่างโพธิรักษ์ ตอบอย่างกำปั้นทุบดินถูกแล้ว ก็ต้องขยายความกันต่อ แล้วโพธิรักษ์มีอะไรอย่างไรดูไม่ค่อยออก ก็ต้องบอกกันบ้าง 

ขยายความอีก โพธิรักษ์มีโลกุตรธรรม โลกุตรธรรมที่ไม่ใช่โลกียธรรมแล้ว โลกุตรธรรมซ้อนอยู่ในโลกียะ ซ้อนอยู่ในลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข ซ้อนอยู่ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่ได้หนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตากระทบรูปก็เห็น หูเปิดก็ได้ยินเสียง จมูกก็ได้รับกลิ่น ลิ้นกระทบรสก็รับรู้ เหมือนคนเป็นๆตอนตื่นๆ ไม่ได้หลับตาไม่ได้หนีโลก แต่มีคุณสมบัติไม่มีกิเลสแล้ว ในจิตใจไม่มีกิเลสมาร่วมปรุงแต่งกับสิ่งที่กระทบ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ไม่มีในจิต คนนี้เป็นพระอรหันต์แน่นอน เป็นพระโพธิสัตว์ 

ที่รู้กรอบรอบของความปรุงแต่งของตน และความปรุงแต่งของคนอื่นๆในโลก อย่างแท้จริง คือรู้ใบไม้กำมือเดียว เหมือนพระสมณโคดมท่านสอนแต่ เรื่องใบไม้กำมือเดียว คือ ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้นแล้วท่านก็อายุ 80 ปี ท่านปรินิพพานเป็นปริโยสานให้ผู้สืบสานสืบต่อมา อาตมาก็ต้องรับเต็มๆ เพราะอยู่ในยุคพระพุทธเจ้าก็อยู่ด้วย แล้วท่านก็เชิงมอบหมายให้ด้วย ว่าเธอไปเกิดเป็น สยังอภิญญา แล้วมากอบกู้มารับผิดชอบนะ พูดมาหลายทีก็ย้ำ คนเขาฟังที่ไม่เชื่อถือก็บอกว่าอวดดี ตัวเขาไม่รับรู้ ไม่มีปฏิภาณรับรู้ ไม่มีสัญชาตญาณไม่มีเจโตปริยญาณจะรับรู้ได้เลย เขาก็ไม่รู้ 

แต่คนที่รู้อย่างพวกเรารู้ แม้จะระลึก เป็นรูปธรรม เป็นบุคคล เป็นตัวตนไม่ได้ แต่ไม่มีปัญหาเพราะเข้าใจถึงสภาวธรรม ตั้งแต่ อรูปธรรม จนเป็นรูปธรรม จนเป็น มโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตาใหญ่โต เป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็ปรุงแต่งอยู่ แต่ว่าการอยู่เหนือการหลุดพ้นเป็นจริง อาตมาทำงานมา 50 ปี พวกคุณก็พิสูจน์มาว่า จริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงหรือเปล่า หลุดพ้นจริงคืออะไร อย่ามีเล่ห์เหลี่ยม อย่ามีการแอบเสพ (นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ) 

ไม่ต้องแต่งคิ้วแต่งปากแต่งผิวหนัง หมด หัวหลุดพ้น หน้าพลุดพ้น ปากคอคิ้วคางหลุดพ้น พวกเราพูดกันรู้เรื่องเข้าใจ ว่า มันหลุดพ้น มันอ่านไปถึงจิตของเราหลุดพ้น จิตเราไม่ได้ติดยึดในรูปโฉม รูปร่าง ติดยึดในสารพัดรส มันจะเป็นโลกียรสอย่างไรมันก็เข้าใจชัดเจน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ คุณสมบัติผู้กอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 05 สิงหาคม 2565 ( 06:45:06 )

ผู้มาพบพระพุทธเจ้า 180 คน

รายละเอียด

ไปเจาะรายละเอียดเพื่อจะรู้ประเด็นเท่านี้หรือ พระพุทธเจ้าท่านตรัส มีผู้มาพบพระพุทธเจ้า 180 คน ส่วนหนึ่งในสาม ฟังธรรมแล้ว บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อีกส่วนหนึ่ง บอกลาสิกขาอีกส่วนหนึ่งโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก ก็คือตาย

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2563 ( 08:21:08 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:45:53 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:34:37 )

ผู้มีกิจการค้าก็มีส่วนผสมโลกียะ

รายละเอียด

ผู้ที่มีกิจการค้าก็ใช้แบบชาวอโศกบ้างกับข้างนอกบ้างก็มีส่วนผสมโลกียะกับโลกุตระไป ก็อยู่ในพวกที่มอบตนในทางที่ผิดยังไม่สมบูรณ์ หากสมบูรณ์แล้วมาอยู่ในชาวอโศกทำงานฟรี ไม่เอาลาภแลกลาภ สุดลึกซึ้งเลย แล้วคนจะมีไหม มี ในชาวอโศก แม้ในยุคนี้ ยืนยัน พิสูจน์ได้เป็น phenomenon ไม่ใช่แค่ philosophy หรือ Epistemology เป็นปรากฏการณ์วิทยาเลย พิสูจน์จริงได้ เขาอาจจะบอกว่าเป็นแค่ลิเก มาทำดราม่า โก้ๆ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 14:44:23 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:46:26 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:34:07 )

ผู้มีกิเลสมากปิดบังเอาไว้

รายละเอียด

การรู้กิเลส เราจะต้องเข้าใจตั้งแต่ตอนเป็นๆ สามารถรู้ตั้งแต่โลกของ อบายมุข  ลองสัมผัสแล้วไม่ติดยึดเป็นความสุข ความทุกข์ ในสิ่งที่เกี่ยวพันอยู่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ข้องอยู่ ก็จะข้องอยู่อย่างนั้น ยิ่งไปข้องด้วยอวิชาเพราะมีกิเลสมากแล้วปิดบังไว้ คนมีกิเลสปิดบังทั้งนั้นไม่มี ใครเอากิเลสมาเปิดหรอก โดย

1. ไม่รู้กิเลสตัวเองก็เปิดไม่ได้ 

2. แม้จะรู้ว่ากิเลสตัวเองก็ทนได้คิดว่า ไม่มาก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าเป็นผู้มีกิเลสมากปิดบังเอาไว้แล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 07 พฤศจิกายน 2562 ( 14:16:17 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:47:20 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:33:27 )

ผู้มีความรู้โลกุตระจึงจะเป็นครูที่แท้จริง

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งตนเป็นครูโดยไม่มีความรู้โลกุตระ ในวงการศาสนาพุทธจึงมิใช่ครูที่แท้จริง ในเพื่อนพรหมจรรย์ ในศาสนาพุทธผู้ที่ไม่มีความรู้โลกุตระจริง จึงไม่ใช่ครูจริงๆ เป็นครูเก๊ เป็นครูปลอมๆ มันก็เป็นจริงได้ ก็มีอย่างนั้น 

ครูเก๊ คืออย่างไร คือสังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้สักกะ ไม่รู้กายะ 

ที่ว่า ไม่รู้สักกะ ไม่ใช่จะรู้ได้ง่าย สักกะคือตัวตน คือตัวเราเอง องค์ประกอบธาตุรู้ที่เป็นจิตนิยามเกิดขึ้นมา แล้วมันก็เกิดขึ้นมาด้วยอวิชชา มันก็ยึดไปหมด ยึดสังขาร นามรูป เป็นตัวตน โดยไม่มีปัญญาเจาะลงไปรู้ ไม่มีความแตกฉานที่จะสามารถแยกแยะรู้ได้ว่า ตัวตนมันต่างกับไม่ใช่ตัวตนอย่างนี้ นี่เริ่มจะอธิบายมาถึง ตัวตนกับไม่ใช่ตัวตนแล้ว คือ อัตตา กับ อนัตตา ภาษาไทยพูดไปถึง อัตตา และ อนัตตา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ เปิดยุคบุญนิยมระดม ปัญญา-อนัตตา ตอน 4 งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ 44  วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 12 เมษายน 2564 ( 18:21:28 )

ผู้มีคุณธรรม วรรณะ 9 เป็นไฉน

รายละเอียด

วรรณะ 9 ฟังดีๆนะ วรรณะ 9 เป็นขั้นชั้น the classes เป็นขั้นชั้นของมนุษย์จริงๆ เพราะถ้าเป็นผู้มีคุณธรรม 

วรรณะ 9

คือการทำตัวเป็นคนน่ายกย่องสรรเสริญ 9 อย่าง

1. เป็นคนเลี้ยงง่าย (สุภระ)

2. บำรุงง่าย ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)

3. มักน้อย กล้าจน (อัปปิจฉะ)

4. ลันโดษใจพอ เรียบง่าย (สันดุฏฐิ)

5. ขัดเกลากิเลส (สัลลเลขะ)

6. เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงเป็นปกติ (ธูตะม ธุดงค์)

7. มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)

8, ไม่สะสม กักตุน ไม่กักเก็บออม (อปจยะ)

9. ปรารภความเพียร ขยันเสมอ ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)

(พระไตรปีฎกเล่ม 1 "ปฐมปาราชิกกัณฑ์" ข้อ 20)

เริ่มตั้งแต่ เป็นคนเลี้ยงง่าย เลี้ยงได้ง่ายเลย เลี้ยงอย่างหมูอย่างไก่เลย ไม่อยากพูดว่าอย่างหมูอย่างหมา เลี้ยงง่าย มีอาหารให้กิน อยู่สบายๆ เรื่องไม่มาก แล้วก็สอน เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสอน สอนได้ง่าย สุโปสะ ตั้งใจฟัง อย่างที่พวกเราชาวอโศกนี้ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มานั่งฟัง เทศน์ทีนึง ก็มานั่งฟังกันเต็ม ก็เข้าใจ สุโปสะ ง่าย

แล้วก็มีจิตลึกที่จะมามักน้อย หรือแปลว่ากล้าจน ชอบที่จะเป็นคนจน อัปปิจฉะ กล้าจนหรือชอบที่จะเป็นคนจน ชอบจะมีน้อยๆ ไม่ชอบมีมาก อัปปิจฉะ เป็นจิตจริงของคนที่มีจิตตัวนี้ ไม่ใช่เสแสร้ง ไม่ใช่เล่นลิเก ไม่ใช่แฟชั่นอะไร แต่เป็นเรื่องจริง จิตมันเกิดจริงๆ เรียกว่า เป็นขั้นชั้นของจิตวิญญาณ เรียกว่าเป็นวรรณะที่เจริญ 

ถ้าใครยังไปอยากรวย ปรารถนาจะไปรวยอยู่ ยังไม่ทวนกระแส ยังไม่หันมาเข้ากระแสพุทธศาสนา ยังไม่เข้ากระแสโลกุตระ เป็น New Normal ตลอดของพระพุทธเจ้านี้ มันไม่เคยเก่าเลย อกาลิโก ตลอดกาล

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็ต้องมากำหนดตัวเองว่า เราเป็นคนมักมากไปเรื่อย ไม่รู้จักพอ ก็ต้องมีขอบเขตเรียกว่า สันตุฏฐิ รู้จักพอ ใจพอ หยุดแค่นี้นะ มีมากกว่านี้ไม่เอา ไม่เอาจริงๆ  สละออกจริงๆ เท่านี้ก็พอ เพราะฉะนั้นคนที่ใจพอสูงสุดก็คือ ศูนย์ก็พอ  แต่แท้จริงมันก็ต้องมีบริขารบ้าง ที่ต้องใช้ประกอบ เดี๋ยวนี้บริขารแม้แต่แว่นตา แม้แต่คอมพิวเตอร์ก็เป็นบริขาร ก็เคยอธิบายไปหมดแล้ว ที่มันจำเป็น ไม่ใช่เป็นการบำเรอบำรุง แต่เป็นการเอามาทำงาน อาศัยใช้ประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น ก็รู้จัก สันตุฏฐิ สันโดษหรือใจพอ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิธรรม‌ของ‌ศีล‌ข้อ‌ ‌1‌ ‌ที่‌ชาว‌อโศก‌ปฏิบัติ‌ได้‌ ‌วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 ขึ้น 12 ค่ำ เดือน2 ปีฉลู


เวลาบันทึก 09 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:40:53 )

ผู้มีดวงตาในระดับบริหารจริงๆ

รายละเอียด

จากวันนั้นพลเอกประยุทธ์ที่ตอนแรกยังไม่เข้าตาประชาชนเท่าไหร่ โดนไม่รู้กี่ทัวร์ลงไม่รู้กี่บัสต่อกี่บัส ไม่รู้เครื่องบินกี่เที่ยวบิน พลเอกประยุทธ์โดนทัวร์ลง จนกระทั่งปรับตัวได้แล้วก็ปรับปรุงตัวเองมาจนดีวันดีคืน อาตมาก็ต้องขอบคุณมากที่ได้มีน้ำอดน้ำทนดีมากเลยสำหรับพลเอกประยุทธ์ แล้วก็ปรับปรุงตัวเอง เพื่อที่จะทำงาน จนกระทั่งมีดวงตา อันนี้อาตมาถือว่า เป็นดวงตาของคนในระดับบริหารจริงๆ และก็กล้าพูด ถ้าผมไม่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วใครจะมาแทน คุณว่าใครควรจะมาแทน นายกประยุทธ์ถามคนที่มาพูด เขาก็ตอบไม่ได้ พลเอกประยุทธ์กับธนาธร สภาก็ลงคะแนนไม่เอาธนาธรเอาประยุทธ์ก็ชัดเจนแล้ว จะเอาใครอีกล่ะ จะเอาปิยบุตร ซึ่งไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ก็ไม่มีสิทธิ์ หรือจะเอาใครล่ะ มันไม่ใช่แค่หัวหน้าพรรคเท่านั้นมันซับซ้อนมากเลย

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 13:03:00 )

ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย

รายละเอียด

 นี่ก็รายงานพัฒนาการชีวิตขึ้นมาเรื่อยๆ มันเป็นผลสำเร็จของอาตมา ที่แสดงธรรมสอนธรรมะ อธิบายธรรมะแล้วถึงวันนี้มันมีผลต่อมนุษยชาติ มีผลจริงๆเลย อาตมาพูดหลายทีแล้ว ไม่เสียเปล่า เกิดมาชาตินี้ที่เอาธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้ามาสาธยายในยุคนี้ที่เป็นยุคเสื่อม เสื่อมมากๆเลย แต่ก็ยังมีคนพอรับได้ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ฟังรู้เรื่องเข้าใจแล้วเข้ามา มีจำนวนหนึ่งเป็นชาวอโศกนี่แหละ ซึ่งว่ากันแล้วห่างจากเถรสมาคมซึ่งเป็นพุทธศาสนากระแสหลัก หมู่ใหญ่ เพราะมันตัดเขตจากเขา มันเละเทะไปด้วยโลกียธรรม แม้แต่ภิกษุก็ หยำฉ่า อยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ยังทุจริตอะไรกันเละเทะด้วย ดูแล้วมันน่าสังเวชใจ น่าสงสาร มันสุดวิสัยที่จะช่วยเขาได้ ก็ได้แต่คัดเลือกผู้ที่มีวาสนาบารมีก็พอได้ ผู้ใดไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 9 พ่อครูพบ ญาติธรรมสันติอโศก 

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 แรม 10 ค่ำเดือน 2 ปีขาล ที่บวรสันติอโศก


เวลาบันทึก 28 มกราคม 2566 ( 18:31:01 )

ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยคือใคร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคนที่แสวงหา ที่ไม่มีอคติ เขาก็จะเห็นมีดวงตา คือ มีธุลีในดวงตาน้อยไม่มีอคติ อ้อ… พระโพธิรักษ์ พระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่มาสืบทอดสัจธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆนะ คนที่รู้จริงๆอย่างพวกคุณนี้ พวกคุณจะหมดกังขาหมดวิจิกิจฉา คุณได้มรรคได้ผลก็จบของคุณ  ไม่มีใครไปบังคับความเชื่อของคุณหรอก คุณเชื่อของคุณเอง พวกคุณเข้าใจแล้วมาทำจริงๆมันก็จริงได้จริง บรรลุผลจริง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ  อันนี้ไม่จำเป็นต้องบังคับใคร 

อาตมาก็พูดย้อนพูดวน ไม่ได้บังคับและเล็มเลียบเคียง เพราะอาตมาต้องการคัดเลือกด้วย คนที่ยังไม่มีปัญญาปฏิภาณพอยังไม่ต้องมาเลย เพราะเป็นภาระอาตมาสอนไม่ไหว ขนาดพวกคุณมีปฏิภาณปัญญาพอเข้าใจ คุณยังแบกกิเลสมาให้อาตมาขัดเกลากันขนาดนี้เลย แค่นี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ได้มากก็ดี แต่มันสุดวิสัยมันได้แค่นี้ จนอายุ 88 แล้ว จะลากขันธ์ไปได้อีกกี่ปียังไม่รู้เลย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 28 จะเป็นสาธารณโภคีต้องไม่มีพญานาค วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 กุมภาพันธ์ 2565 ( 20:07:17 )

ผู้มีบารมีมาฟังจะรับได้เข้าใจได้จนบรรลุธรรมไปเยอะแล้ว

รายละเอียด

ตอนนี้เป็นอดีตกรรม แค่นำมากล่าวขึ้นเป็นภาษาบอก ถ้าคุณไม่เชื่ออาตมาไม่นับถืออาตมา คุณก็ไม่ฟังหรอก เพราะมันยาก  มันเข้าใจยาก 

1. ถ้าคุณมีบารมีพอฟัง ก็บอกว่าฟังดูเข้าท่า 

2. คุณก็บอกว่าบุคคลผู้นี้น่าฟัง แสดงธรรมพูดธรรมะ เข้าท่าแฮะ คุณก็สนใจยินดีมาฟังก็ได้รับฟังได้รับรู้ไปเรื่อยๆ 

พวกคุณก็ตั้งใจฟัง ไตร่ตรองตามที่อาตมาพยายามพูดขยายความอธิบาย อธิบายไปเรื่อยๆจนมาถึงทุกวันนี้อาตมาว่าได้อธิบายลึกซึ้งมีมากมายโยงใย ละเอียดลออมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่รับได้ เข้าใจได้ก็บรรลุธรรมไปเยอะแล้ว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็มี พวกเราผ่านกันมาแล้ว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 20:00:16 )

ผู้มีบารมีหรือภูมิธรรมจึงจะมาเอาทฤษฎีแบบอโศก

รายละเอียด

ถ้าหากทฤษฎีนี้ผู้บริหารปกครองที่ไหนก็แล้วแต่ประเทศไทยก็ตามที่ไหนก็ตาม เข้าใจจริงๆแล้ว แล้วก็เห็นได้ว่าทฤษฎีนี้มันดีจริงๆนะมันน่าจะต้องเอามาใช้ยิ่งเป็นผู้บริหารสังคมประเทศน่าที่จะต้องเอามาใช้อย่างสำคัญ แล้วมันก็ไม่ใช่ของอาตมาด้วย แต่เป็นของพระพุทธเจ้า

อาตมาไม่ได้เสียหน้าเลยถ้าจะเอาไปใช่ไหม แต่ทำไมมองไม่เห็นกันเข้าใจกันไม่ได้ อันนี้อาตมารู้ รู้ว่าทำไมเขาไม่เห็นไม่เอาไป เพราะ (พูดชัดๆนะ).. บารมีเขายังไม่ถึง ภูมิธรรมเขายังไม่ถึงทั้งๆที่มีปรากฏการณ์เห็นอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่กลุ่มเล็กนะ และไม่ได้หมายความว่าปิดบัง แต่เราเปิดเผยประกาศออกไปทั่ว รู้กันด้วยไม่ใช่ไม่รู้ ก็รู้ว่าเขารู้กันด้วย คนไม่รู้ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน แต่จะไปเอานิยายอะไรกับคนหูหนวกตาบอด ทั้งๆที่ไม่ตาบอดหูหนวกแต่ก็เหมือน อันนั้นก็น่าเห็นใจเขาเหมือนกันคือว่าเขาไม่มีบารมีเลย บางทีเขาแย่มากเลยทั้งๆที่มีอยู่เปิดเผยโฆษณา จะว่าไปแล้วเขาหาว่าพวกเราโฆษณามากกว่าด้วยซ้ำ ที่จริงเปิดเผยเพื่อจะให้รู้ว่าของดีนะจ๊ะ กระจ๊องงองๆ เจ้าข้าเอ้ย ของดีมาแล้วจ้า 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 26 วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 18:49:08 )

ผู้มีปฏิภาณ 3 จำพวก

รายละเอียด

คำว่า มีปฏิภาณ ความว่า บุคคลมีปฏิภาณ 3 จำพวก คือ  บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริยัติ 1   บุคคลมีปฏิภาณเพราะปริปุจฉา1  บุคคลมีปฏิภาณเพราะอธิคม1

1. บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เล่าเรียนพระพุทธพจน์ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา ฯ  นี้ปฏิภาณเพราะปริยัติ

2. บุคคลบางคนในพระศาสนานี้ เป็นผู้ไต่ถามในประโยชน์ของตน  ในประโยชน์ที่ควรรู้  ในลักษณะ  ในเหตุ  ในฐานะและอฐานะ. ญาณของบุคคลนั้น ย่อมแจ่มแจ้งเพราะอาศัยการไต่ถามนั้น.  บุคคลนี้ชื่อว่า ผู้มีปฏิภาณเพราะปริปุจฉา.

3. บุคคลบางคนในพระศาสนานี้  เป็นผู้ได้บรรลุธรรมทั้งหลาย คือ  สติปัฏฐาน4  สัมมัปปธาน4  อิทธิบาท4   อินทรีย์5  พละ5 โพชฌงค์7  อริยมรรคมีองค์8   สามัญญผล4   ปฏิสัมภิทา4 อภิญญา6   บุคคลนั้นรู้อรรถ รู้ธรรม รู้นิรุติ  ฯลฯ 

  ญาณในอรรถในธรรมและในนิรุติทั้ง 3 นี้
  ชื่อว่า ปฏิภาณปฏิสัมภิทา 

บุคคลผู้ใดเข้าถึง เข้าถึงพร้อม ฯลฯ ประกอบแล้ว ด้วยปฏิภาณปฏิสัมภิทานี้ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้มีปฏิภาณ.   บุคคลใดไม่มีปริยัติ ไม่มีปริปุฉา ไม่มีอธิคม  ญาณอะไรเล่าจะแจ่มแจ้งแก่บุคคลนั้น.

ที่มา ที่ไป

เล่ม 29 ข้อ 406  ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 15:15:16 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:51:14 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:32:48 )

ผู้มีปฏิภาณปัญญากับคนตาบอดหูหนวก

รายละเอียด

ท่านอุตระมีปฏิภาณปัญญา ฟังพระพุทธเจ้าก็เข้าใจ สะดุ้งสุดตัวเลย เราเรียนมาผิดหรือ แต่ชาวเถรสมาคม สายพระป่า สายอาจารย์มั่นก็ตาม หรือสายหลับตาทั้งหลาย คอตกซบเซานั่งนิ่งที่ไหน ก็มีแต่แย้งว่า อรหันต์หรือ? ก็คนตาบอดหูหนวกจะไปเห็นพระอรหันต์ได้อย่างไร คนตาบอดไม่เห็นหรอกเมฆ แต่คนตาบอดสอดตาเห็นก็พากันมาชมเมฆกันใหญ่ บอกว่าสวยจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 11:21:49 )

ผู้มีปฏิภาณปัญญาฉลาดแท้ไม่หนีจากหมู่มิตรดี

รายละเอียด

คนที่ดีแล้วเขาไม่ไปมอบตนในทางที่ผิด ไม่ไปอยู่รับใช้ไปร่วมให้ประโยชน์แก่พวกโน้น เขาจะมาอยู่กับหมู่ ร่วมกันสร้างประโยชน์จะได้พลังมากมาย ตัวคนเดียวจะไปสร้างประโยชน์อะไรได้หรือได้ก็น้อย แล้วจะสู้เขาไหวหรือ ข้างนอกเขารวมหัวกัน เราก็เป็นหมาหัวเน่า เราก็ต้องมารวมหมู่กันเหมือนกัน นี่เป็นปฏิภาณปัญญา เป็นความเฉลียวฉลาด ฉลาดแท้ๆ ผู้ที่รู้แล้วไม่หนีจากหมู่ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ 

แม้พระอานนท์อุทานก่อนว่าโอ้โห ข้าพระพุทธเจ้ารู้แล้วว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เลยทีเดียว คือเริ่มฉลาดขึ้นมาแล้ว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:38:08 )

ผู้มีปฏิภาณปัญญาสูงจะถึงขั้นเกรงกลัวที่จะคลุกคลีกับกิเลส (บาป)

รายละเอียด

ใช่ อย่างพวกคุณฟังอาตมาแล้วรับได้เกิดศรัทธารู้ตัวว่า เราเคยโง่มาเก่า ทำไมถึงได้โง่มานาน ผู้ที่ยิ่งมี ปัญญาปฏิภาณสูงก็ยิ่งถึงขั้นเกรงกลัว ว่าเราไปคลุกคลีกับกิเลส ไปคลุกคลีกับบาป บาปคือกิเลส ไปคลุกคลีแล้วสนิทสนมไปกับมันมันโง่ มันจะเห็นว่า โธ่เอ๋ย ไอ้หน้าโง่ เราเองไอ้น่าโง่ ผู้ยิ่งพูดเอาเอง มันจะรู้สึกตัว จริงๆ ไม่ใช่เรื่องสร้างเอา แต่มันเป็นความรู้แล้วเกิดความรู้สึก มันถึงจะเป็นของแท้ มันรู้ความจริงตามความเป็นจริง 

โอ โอ้โห! ไปเสียเวลาไม่รู้กี่ล้านชาติ แล้วที่มันจะละอายมากก็คือ ถ้าผู้ใดที่เคยมาได้ดูถูกสัตบุรุษดูถูกผู้ที่เป็นครูที่สัมมาทิฏฐิ เหมือนอย่างอาตมา เขาได้มาดูถูกหรือดีไม่ดีมาซัดอาตมา ถ้าเขามีปฏิภาณปัญญานี้ขึ้นมาเมื่อไหร่เขาจะละอายจริงๆ เป็นสัจจะ ถ้าเขาไม่เกิดปัญญาก็ไม่มีทาง กำลังจะพูดว่าจ้างเขาก็ไม่กล้า ก็ไม่มีสตางค์ไม่จ้างหรอก เพราะเขาจะไม่มีทางรู้เลย เพราะอวิชชามันสิงสู่อยู่ที่เขาอย่างสนิท เขาก็จะจมอยู่กับไอ้ความอวิชชาความไม่รู้ ไม่งอกไม่เงย ยิ่งมีความรู้สึกว่า เอาชัดๆ รู้สึกในยุคนี้แหละ ใครยังรู้สึกว่าอาตมานี้ไม่ใช่โพธิสัตว์ ไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ผู้รู้ที่มากอบกู้ศาสนาพุทธเอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในศาสนาพุทธคืน เขาไม่รู้เขาไม่เชื่อเลยนี่นะ ปิดประตูเลย คนนี้ปิดประตูตาย เขาจะโง่ดักดานอวิชชาดักดานต่อไปอย่างนั้น นี่ไม่ได้ด่าไม่ได้ว่าเขา แต่สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นตลอด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 14:26:34 )

ผู้มีปัญญาคือผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง

รายละเอียด

เมื่อเราสามารถจัดการจิตใจเราได้ จิตใจเราก็จะทำให้เป็นประโยชน์ในการใช้งานได้ แต่ถ้าเราไม่สามารถควบคุมได้ ให้จิตใจ ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษ ถ้าทำไม่ได้ จิตมันก็เป็นนายเรา นั่นแหละเรียกว่าเป็นกิเลส เราจะต้องเป็นนายของจิต จะมีสติและมีปัญญา ปัญญาคือนายแท้ๆ ปัญญาเป็นผู้อยู่เหนือ เป็นอุตตระ สติเป็นอธิปไตยในมูลสูตร 10 ผู้มีปัญญาคือผู้อยู่เหนือกับสิ่งที่คุณอยู่ด้วย ไม่มีอะไรเป็นนายเราเพราะเรามีปัญญาอยู่เหนือ เราก็จะมีธัมมวิจัย ปัญญาคือธัมมวิจัย ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นการวิจัยอย่างมี โพธิเพื่อความตรัสรู้ วิจัยอย่างมีปัญญา องค์แห่งโพชฌงค์ 7 มีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ เป็นองค์ธรรมที่ใช้ทำงาน สติมีเสมอ รู้นอกในเสมอ  วิจัย คือเทียบคู่ สองอย่าง จะเทียบได้เร็วมุทุภูตธาตุ เทียบอะไรดีกว่าอะไร อะไรควรกว่าอะไร บางทีเราเรียกคำว่าดีกว่าเป็นภาษาโลก แต่ภาษาธรรมเรียกว่าควร อะไรควรกว่า ดีหรือชั่วขึ้นกับเหตุปัจจัยองค์ประกอบ มากไปอันนี้ยังไม่ดียังไม่ควร แต่มากขนาดนี้อันนี้ดีอันนี้ควร อย่างนี้เป็นต้น มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบมันไม่เที่ยง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในอันไหน นี่เป็นรายละเอียดที่ละเอียดมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการ ทำวัตรเช้า งานว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน ครั้งที่ 7 ผู้ข้องอยู่ในถ้ำอันไกลจากวิเวก วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 10 มกราคม 2563 ( 17:08:28 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:52:34 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 07:31:52 )

ผู้มีปัญญาจริงจะฉลาดรู้ว่าตัณหามันไม่ใช่ตัวจริง

รายละเอียด

สรุปแล้ว คุณรู้จักตัณหา รู้จักตัวเหตุสำคัญ จนกระทั่งรู้หน้าตามัน แม้แต่ว่ามันจะเป็นตัว ตัณหา จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่ตัวเรา มันก็ไม่ใช่ตัวจริง มันก็เป็นตัวไม่จริงหรอก คำว่า ไม่จริง นี่แหละ กับคำว่า จริง นี่แหละ คุณยืนยันว่า ยืนยันว่ามันมีจริงยืนหยัดว่ามันมีจริงมันก็มีจริงสำหรับกิเลส แต่คุณมีปัญญาจริงๆฉลาดรู้ว่าโธ่เอ๋ย เอ็งมันจรมา ประเดี๋ยวเดียวเอ็งก็มาทำให้ข้าเป็นอวิชชาข้าก็หลงไปกับเอ็ง ตอนนี้ข้ารู้แล้ว อย่าจรมาเสียให้ยาก ยิ่งประจำยิ่งไม่ได้เราไม่ให้เข้า เราเป็นเรา ตอนนี้เราเป็นรูปแล้วนะ นามเป็นตัวจรมา เราก็ไม่ให้เข้าก็จบ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ เจโตปริยญาณ 16 และ
ปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร วันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 เมษายน 2564 ( 05:09:24 )

ผู้มีปัญญาจริงจะเป็นเช่นไร

รายละเอียด

เมื่อพระพุทธเจ้าเอาความจริงที่ประเสริฐยิ่งใหญ่พวกนี้มากระจายขยาย ให้พวกเราได้รู้ ได้สร้างปัญญา ได้มีความจริง มีปัญญาจริงกัน ก็จะได้เป็นผู้ที่เจริญประเสริฐ หลุดพ้นจากบ่วงที่มันเวียนตายเวียนเกิด เวียนเกิดเวียนตายอยู่อย่างนี้ ทุกข์ๆสุขๆ ตกนรกขึ้นสวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องของอุปาทานลมๆแล้งๆในจิตเป็นเรื่องเก๊ ไม่มีในจิตเป็นอนัตตา แต่ก็หลงว่ามันมีจริง คำพูดง่ายๆ แต่สภาวะลึกซึ้งซับซ้อน ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นไม่ง่ายกว่าจะเข้าใจ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูให้โอวาทพิธีรับกลด นักเรียนสัมมาสิกขา ปีการศึกษา 2562-2563

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 20:29:57 )

ผู้มีปัญญาจะรู้เรื่องของสัตว์ในศีลข้อที่ 1 อย่างไร

รายละเอียด

ศีลข้อที่ 1 เรื่องของสัตว์ ผู้ที่รู้เรื่องสัตว์แล้วจะรู้จักวิบาก หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ แล้วจะเข้าใจว่าสัตว์คือเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกัน ในวิถีของการดำเนินชีวิตใดๆ แม้ที่สุดเราจะยังชีวิต เราก็ไม่ไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เอามาเป็นอาหารให้ตนเองกิน คนมีปัญญาจะรู้เรื่องสัตว์อย่างนั้นมันเป็นทุจริตกรรม มันเป็นวิบากกรรม ถึงขั้นอย่าว่าแต่ไปฆ่าเอามากินเลย มันจะมีปัญญา ที่รู้เลย รู้ว่าวิบากบาปคืออะไร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 21 ตอบปัญหาให้พ้นความสุขคือความโง่ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 24 ธันวาคม 2564 ( 20:41:56 )

ผู้มีปัญญาจึงจะเห็นสัตบุรุษหรือพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

คนผู้ใดก็ตามถ้าเริ่มเห็นคนผู้หนึ่งในโลก คนไหนก็ตามเริ่มเห็นคนผู้หนึ่ง ก็ลองนึกถึงตัวเองกันนะใครก็ตาม ถ้าเริ่มเห็นคนผู้หนึ่ง ในโลกปัจจุบันนี้แหละ ที่เราก็กำลังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยนี้แหละว่า เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นสัตบุรุษ เป็นคนที่คุณยอมรับว่าเป็นสัตบุรุษอยู่ในโลกขณะนี้ขณะที่คุณยังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยขณะนี้ ดังนี้แหละจึงจะนับว่าคุณมีปัญญา นอกนั้นยังไม่มีปัญญาหรอก พวกคุณจึงเป็นพวกที่มีปัญญา ปัญญา 8 นี้จึงลึกซึ้งไม่ใช่ปัญญาโลกียะ จึงจะนับว่ามีปัญญาหรือเริ่มเกิด อัญญธาตุในจิต เห็นสัตบุรุษ หรือเห็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้

ในยุคพระพุทธเจ้าก็มี ชื่ออะไรยังไม่รู้แต่ว่าในนิยายเขามาแต่งเป็นชื่อกามนิต ที่นอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่สัตบุรุษเลย ขนาดพบพระพุทธเจ้านอนคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนเขาก็ยังไม่รู้จักว่าคือพระพุทธเจ้า แต่พวกคุณแค่สัตบุรุษคุณก็รู้จักแล้วแสดงว่ามีบารมี

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม จักร 4 คือธรรมะของโลกุตรบุคคล

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 มิถุนายน 2564 ( 12:40:31 )

ผู้มีปัญญาทำจิตอุเบกขาได้ทั้งสองแบบ

รายละเอียด

ฟังชัดๆรู้ไหมว่าจิตที่เป็นอุเบกขาแบบเคหสิตะ เป็นแบบหนึ่ง  จิตที่เป็นอุเบกขาแบบเนกขัมมะก็อีกแบบหนึ่ง หรือจิตอุเบกขาแบบโลกุตระก็แบบหนึ่ง จิตที่เป็นอุเบกขาแบบโลกียะก็แบบหนึ่ง ความแตกต่างกัน 

ทีนี้ ผู้ที่มีปัญญาทำได้ทั้งสองอย่าง ทำได้ทั้งแบบเคหสิตะ หรือแบบโลกุตระก็ทำได้ แต่ผู้ไม่มีปัญญาทำแบบโลกุตระแบบเนกขัมมะไม่ได้ ก็ได้เป็นแบบโลกีย์อย่างเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม Neo protest ที่มีปัญญาและไม่มีตัวตน วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 23 มีนาคม 2564 ( 20:36:08 )

ผู้มีปัญญาและไม่มีตัวตนจะจบได้ทันที

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนที่ยังไม่รู้จักจบนี้ สัจจะไม่มีหนึ่งเดียวจะมี 2 ไปตลอดกาล สัจจะมีหนึ่งเดียวแล้วตรงกัน ตรงที่เป็นพระอรหันต์มีที่จบก็รู้จบ ถ้ายังไม่จบจะมี 2 ไปทั้งนั้นคุณเดชาเอ๋ย เอาละพอแล้ว เมื่อย 

อาตมาเคยสรุปตรงนี้ว่า สุดยอดคือจบด้วยที่ ปัญญาและไม่มีตัวตน 

ผู้มีปัญญาและไม่มีตัวตนจะจบอะไรได้ทันทีเลย แต่ผู้ใดยังมีตัวตนโดยเฉพาะปัญญายังเป็นตัณหามันจะไม่จบง่ายๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม หนึ่งเดียวในโลกคือประชาธิปไตยไทย วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 ที่บวรปฐมอโศก


เวลาบันทึก 21 มีนาคม 2564 ( 13:17:55 )

ผู้มีปัญญาโลกุตระจะได้ความสงบ 2 อย่าง

รายละเอียด

ปวิเวก แปลว่า ความสงบ เป็นผู้เข้าใจในเรื่องความสงบ ความสงบไม่ใช่เรื่องต้องลี้หนีไปจากบรรยากาศ หรือหนีจากสังคมผู้คน หนีจากสิ่งกระทบสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ใช่ 

ความสงบในปัญญาข้อที่ 3 ในปัญญา 8 ข้อที่เป็นผู้ที่ได้ความสงบ 2 อย่าง พระพุทธเจ้าท่านตรัส จะเกิดปฏิภาณปัญญาโลกุตระ ความรู้ความฉลาดแบบโลกุตระ จะรู้จักความสงบ 2 อย่าง ความสงบอย่างหนึ่ง ทั่วไปโลกียะที่เขารู้กัน ทุกวันนี้เขาเข้าใจความสงบแบบโลกียะเท่านั้น ผู้ศึกษาดีๆ ลึกซึ้งเท่านั้นที่จะเข้าใจความสงบอีกอย่างหนึ่ง ความสงบที่แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียว ทั้งกายวิญญัติ ทั้งวจีวิญญัติ จิตก็เป็นมุทุภูตธาตุ เป็นความสงบ สงบจากกิเลสมากวนจิต กิเลสมาเป็นตัวนิวแซน มาเป็นตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้ไม่คล่องแคล่ว ไม่เรียบร้อย มีแต่ตัวไม่เข้าท่า มารวน มากวน ทำให้จิตไม่สะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 11:03:23 )

ผู้มีภูมิธรรมขั้นวรรณะ 9 เป็นคนโลกุตระและจิตจะเกิดสาราณียธรรม

รายละเอียด

เพราะจิตของเขาเกิดสาราณียธรรม (สาราณียธรรม 6) สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ (พตปฎ.เล่ม 22 “สาราณิยสูตร” ข้อ 282) และเป็นคนที่มีภูมิธรรมขั้นวรรณะ 9 (พตปฎ.เล่ม 1 "ปฐมปาราชิกกัณฑ์" ข้อ 20) เกี่ยวข้องกันยังไง วรรณะ 9 เกี่ยวข้องกันมากเลย

เพราะจิตของผู้ที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าและเป็นโลกุตรธรรมแล้ว เป็นคนที่เป็นอยู่ง่าย สุภระ เป็นอยู่ง่าย เลี้ยงดูง่าย ปกครองง่าย บริหารง่าย อยู่กินกันง่ายๆ ไม่เป็นเรื่องลำบากเลย จะกินจะอยู่ จะเป็นจะไป จะไปจะมา จะอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นเรื่องอย่างนั้นขัดข้องอย่างนี้ ไม่ชอบใจ ไม่เลย 

เพราะจะรู้ถึงสถานะของสังคมที่ดี เป็นความเจริญชนิดที่สำคัญมาก วรรณะ 9 นี้คือ The Classes เป็นขั้นชั้นของคุณธรรมมนุษยชาติระดับโลกุตระ 

สุภระ สุโปสะ และเป็นคนที่ศึกษา มีวิสัยทัศน์ มีทัศนคติกว้าง เปิดรู้ รับรู้ว่า อ๋อ.. โลกเขาไม่ได้แคบเหมือนสมัยโบราณสมัยเก่า โลกทุกวันนี้กว้างหาที่สุดมิได้ ปานฉะนั้นทีเดียว สุโปสะ เพราะฉะนั้นพัฒนาให้เจริญได้ง่าย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ความมหัศจรรย์ 8 ประการในชาวอโศกบุญนิยม วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 มกราคม 2565 ( 10:39:33 )

ผู้มีภูมิธรรมสูงจะไม่หลงสวรรค์ โชคดีแล้วไม่ได้เกิดมารวย

รายละเอียด

คนเราไม่รู้ทันสวรรค์และหลงสวรรค์ ชีวิตต้องมีสวรรค์นั่นคือคนไม่สูง คนที่สูงแล้วก็จะรู้ว่าสวรรค์ก็เป็นภพ นรกก็เป็นภพ สวรรค์มันยังหลอก แต่เอาเถอะ ถ้าพอรู้ว่าสวรรค์ขั้นที่มันลำลองจะต้องอาศัยมันเป็นขั้นๆอันนี้ยังพอใช้ได้ แต่ไปหลงว่าสวรรค์คือสิ่งที่จะต้องได้ต้องเป็นต้องมีแบบเสพรสของสวรรค์ แบบนี้ยากที่จะปฏิบัติธรรมไปนิพพาน สุดท้ายสวรรค์ไม่มี นรกก็ไม่มี นรกสวรรค์คือภพชาติ คือความลวง คือสุขทุกข์นั่นเอง หมดสุขหมดทุกข์เป็นพระอรหันต์ เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้าหรือเรียนรู้ธรรมะจากอาตมาจะเป็นอย่างนี้ 

ส่วนเรื่องการกินของหลวง อาตมาไม่ค่อยมีประสบการณ์ ไม่รู้เรื่อง ชาตินี้อาตมามีกุศลจังเลย กุศลของอาตมาคือ 

1.ไม่ได้รับราชการเลยในชาตินี้ 

2. ไม่ได้มียศมีตำแหน่งราชการกับเขาเลย C1 C2 C3 C4 C5 ซี้เลี้ยวอะไรก็ไม่มี ไม่มีกับเขาเลย  เป็นคนเกิดมาโชคดีมาก ชาตินี้ นี่อย่างหนึ่ง 

3. อีกอย่างหนึ่งคือเกิดมาชาตินี้ไม่ได้เป็นคนร่ำคนรวย ไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะ มีเงินร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แหม โชคมันดีอะไรอย่างนั้น ในพระไตรปิฎกก็มีนะ เขาเกิดชาตินี้ไม่ได้มาเป็นกษัตริย์ ไม่ได้เป็นเศรษฐี แล้วเขาให้อธิษฐาน สาธุเกิดชาติต่อๆไปอย่าให้เป็นเศรษฐี อย่าให้เป็นกษัตริย์ ไปเป็นใหญ่เป็นโตอะไร อธิษฐานกัน ในพระไตรปิฎกมี 

อาตมาเคยบอกแล้วไงว่าอาตมาไม่ค่อยรู้เรื่อง ไปกินของหลวง อาตมาไม่เคยไปกินของหลวง อาตมาไม่รู้เรื่อง เขากินยังไง เขาใช้วิธีการยังไง ได้ยินได้ฟังวิธีการของเขา มันไม่ลึกซึ้ง อาตมาอธิบายไม่ค่อยได้ อย่างนั้นก็ได้หรือปรับตัวกลับใจปรับเปลี่ยนตัวเองไม่กินของหลวง ของหลวงนี่คือของประชาชน ของส่วนรวม ของกลางมีเจ้าของเจ้าของเยอะ

เพราะฉะนั้นมีเจ้าของเยอะจึงเป็นหนี้ประชากรเป็นล้านๆคน 1 บาทของหลวงคือมีคนเป็นเจ้าของ เป็นเงินภาษีของทุกคนเขามีส่วนร่วม เป็นเงินส่วนกลางของหลวง มันก็ไปกินภาษีของหลวง 1 บาท ไปโกงภาษีของหลวง 1 บาท คุณเป็นหนี้ประชาชนที่เขามีส่วนเป็นเจ้าของภาษีของเขาอยู่มากเพราะมันจึงบาปไม่ใช่น้อยที่ไปกินสินบาทสินบน ไปกินของหลวงที่ใช้ศัพท์ง่ายๆว่า กินของหลวง ชอบเอาเปรียบคนอื่น 

แม้แต่ศัพท์คำว่า ชอบเอาเปรียบคนอื่น นี่ก็เป็นความเลว คนที่เอาเปรียบคนอื่นนี่ก็เป็นความเลวที่แท้จริง ใช่ไหม คนใดที่เข้าใจลักษณะอาการของความเอาเปรียบ แล้วไม่ทำการเอาเปรียบ ฝึกตนเลยว่าอย่าไปทำการเอาเปรียบใคร เป็นคนเสียเปรียบนั่นแหละด้วยศัพท์ชัดๆ เสียเปรียบทั้งๆที่เรารู้ว่าเราเสียเปรียบไม่ใช่เสียรู้ เรารู้ว่าเราเสียเปรียบ ตั้งใจเสียเปรียบด้วย และมีปัญญาอีกว่า ควรเสียเปรียบให้คนนี้มากกว่าคนนี้ คนนี้ควรเสียเปรียบให้เขามากๆหน่อย เช่น ควรเสียเปรียบให้แก่พลเอกประยุทธ์  เพราะพลเอกประยุทธ์ทำงานได้ดี เพราะฉะนั้นจะมีอะไรไปเสียเปรียบให้แก่พลเอกประยุทธ์ ช่วยเหลือในส่วนนั้นส่วนนี้ อะไรที่ควรจะมีส่วนช่วยได้เสียให้ได้สละให้ อย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างง่ายๆชัดๆ นี่คือสิ่งประเสริฐ พวกเรารู้จักการเสียเปรียบและก็เป็นคนอยู่อย่างเสียเปรียบ สรุปอย่างในหลวงท่านตรัส ผู้เสียนั่นแหละคือผู้ได้ การเสียนั่นแหละคือการได้ ในหลวงท่านไม่ได้กระจายความมาก อาตมากระจายความให้ฟัง นี่เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ สิ่งประเสริฐเป็นอย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #28 สังคมอโศกคือสังคมสาราณียธรรมที่มีสภาวะจริง วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2566 แรม 1 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 สิงหาคม 2566 ( 14:40:22 )

ผู้มีภูมิธรรมเข้าเกณฑ์อนาคามี

รายละเอียด

เหลือข้อที่ 3 ผู้ที่มีภูมิธรรมอย่างนี้เข้าเกณฑ์อนาคามี ผู้ที่หลุดพ้นในศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 อย่างจริง จิตของคุณมีจริงๆ สัมผัสกับข้าวของที่ไม่ใช่ของของเราก็ไม่เกิดจิตอยากได้ของนั้นมาเป็นของเรา ถ้าอยากได้ก็ซื้อหามาตามสุจริต อย่างเก่งก็ต่อรองกัน ต่อรองได้ก็ซื้อ แม้ต่อรองคนที่ใจดีก็จะไม่เอาเปรียบ อย่างพวกเราไปซื้อของ คนที่อยากเอาเปรียบก็ต่อ อีกคนที่ไปด้วยมีจิตไม่เอาเปรียบก็บอกว่าไม่ควรจะต่อเขาเลย นี่คือของจริงสภาพจริงที่เกิด มันไม่ใช่เรื่องเสแสร้ง ไม่ใช่เรื่องดัดจริตอะไร มันเกิดอาการจริงจากจิตของเราจะเกิดเอ็นดูสงสาร เอื้อเฟื้อเจือจานไม่เอาเปรียบเอารัด จิตของคนชนิดนี้ต้องเรียนรู้และสร้าง ถ้าคนในสังคมในประเทศมีจิตใจเช่นนี้จะอยู่อย่างสบาย

เกิดมาชาตินี้อาตมาสอนวิชานี้เท่านั้น ก็เป็นการช่วยสังคมศาสตร์ช่วยรัฐศาสตร์ ถ้าคนมีจิตแบบนี้ในการปกครองบริหาร การอยู่ร่วมกัน มันก็ไม่เกิดการฆ่ากัน เป็นการช่วยเศรษฐศาสตร์ มีการเผื่อแผ่เกื้อกูลช่วยเหลือกันมีทานมีการให้ พวกเราเป็นดินแดนแห่งการให้ ใครเข้ามาเราก็ใจดี แจกให้ไม่ค่อยหวงแหน มันเป็นสัจจะจริงเป็นเรื่องจริง ส่วนตัวของใครจะหวงแหนบ้างก็เป็นส่วนตัวที่เหลือ ของเราเอามานี่ให้เขาไปแล้ว เราก็ยังมีเหลือกินเลย เป็นสัจจะยืนยันปรากฏจริงอ้างอิงยืนยันได้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน ไตรสิกขาของนาม5 รูป28


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 21:44:00 )

ผู้มีภูมิอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดได้อย่างไร

รายละเอียด

มีได้ 2 นัย นัยที่ 1 หมายความว่า การเกิดเอาที่รูปร่างร่างกายตัวตน คนที่เป็นอนาคามี ตายไปแล้วตั้งจิตตัวเองว่าจะไม่กลับมาเกิดในร่างกายเป็นมนุษย์อีกได้ นี่ก็เป็นนัยยะหนึ่ง อีกนัยยะหนึ่ง เป็นโลกุตระ คือ ปัจจุบันนี้แหละผู้ที่เป็นอนาคามี คือผู้ที่เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่เป็นกรรมกิริยา ภายนอก หรือโลกภายนอกหยาบๆ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นเรื่องความหยาบภายนอก โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา ลดโอฬาริกอัตตา ภายนอกมาเรื่อยๆก็เป็นสกิทาคามี แม้แต่รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสภายนอก เราอยู่กับมัน เราอยู่กับสิ่งเหล่านี้มีอยู่สิ่งเหล่านี้ในโลก เราก็เผชิญกับมันอยู่ แต่กิเลสของพระอนาคามีไม่ขึ้นแล้ว ไม่วูบวาบ สัมผัสกามก็ไม่เกิดกิเลส ถูกลาภยศสรรเสริญโลกียสุขกระตุ้นก็ไม่เกิดกิเลสไม่มาแย่งชิงไม่มีเรื่องราวพวกนี้แหละ มีแต่จิตอยู่ข้างในนี่คือโลกุตระ เรียนรู้ตัวเองเป็นอนาคามีได้อย่างนี้ 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563


เวลาบันทึก 13 พฤศจิกายน 2563 ( 11:15:57 )

ผู้มีภูมิอนิจจานุปัสสีแต่ยังไม่ได้วิราคานุปัสสีเป็นนาคอีกระดับหนึ่ง

รายละเอียด

ก็เป็นนาคอีกระดับหนึ่ง นาค ด้วยความหมายกว้างๆโดยความหมายชัดๆก็คือ เป็นผู้จม จมอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนที่ หลับไม่รู้คู้ไม่เห็น จมอยู่กับอันเก่า เท่ากับพวก สีลัพพตปรามาส หรือ สีลัพพตุปาทาน ไม่ได้พัฒนา งอกงามไพบูลย์ขึ้นไปตามลำดับ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:06:26 )

ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้

รายละเอียด

คือ  คนที่ไม่มีภูมิธรรมมาอยู่ที่นี่นิดๆหน่อยๆก็อยู่ไม่ได้ก็จะออก แล้วเขาก็ออกไปแล้วบางคนอยู่ไม่ได้ แต่คนที่อยู่ได้เพราะมีภูมิธรรม คนที่ทนไม่ได้อยู่ไม่ได้หรอกที่นี่ ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้ ไม่มีมรรคผลก็ทนอยู่ไม่ได้ เพราะเป็นดินแดนพระอริยะอยู่ คนที่ไม่มีภูมิอริยะที่แท้จริงอยู่ไม่ได้นี่ไม่ได้แปลว่าใครที่มีความจริงที่ใจเรารู้สึกจะอยู่ได้ ถึงยังไงก็จะอยู่ที่นี่จะถูกกระทบกระเทือนก็รู้สึกว่าตัวเราถูกว่าโดนกระทบอัตตามานะ โดนกระทบกิเลสแต่ก็ยังคิดว่าก็จะอยู่ พูดไปนี้คงถูกหลายคนบ้าง มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562


เวลาบันทึก 24 พฤศจิกายน 2562 ( 12:42:13 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 15:53:15 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:42:58 )

ผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้

รายละเอียด

คนที่จะอยู่ที่นี่(อโศก) ได้พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าผู้มีมรรคผลจะทนอยู่ได้  ผู้ที่ยังไม่มีมรรคผลก็จะทนขนาดว่าปฏิบัติธรรมมะ หน้านองน้ำตาอยู่อดทนไปแต่มีจิตสำนึกรู้ว่าที่นี่ดีจะร้องห่มร้องไห้หน้านองน้ำตา ต้องทนเอาถ้าคนมีความรู้ลึกมีเซนส์ลึกๆจะไปไหนก็ไม่ได้ แล้วที่นี่สุดยอดแล้วแม้แต่หน้านองน้ำตาอยู่ก็อยู่ได้ ส่วนคนที่มีฐานแข็งแรงไม่กินเนื้อสัตว์มีศีล 5 แค่นี้สบายแล้ว

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช  วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562


เวลาบันทึก 06 ธันวาคม 2562 ( 16:43:36 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 04:09:16 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:45:49 )

ผู้มีมรรคผลในศีลข้อ 1 จะเกิดสัจธรรมความเห็นแก่สัตว์โลกอย่างลึกซึ้งจนเลิกกินเนื้อสัตว์

รายละเอียด

 คำว่า กายหยาบของตน ว่า ไม่เป็นตนของเรา อย่าลืมว่าอันนี้เป็นกายหยาบนะ คำว่าชีวิตหรือขันธ์ ทั้ง 5 เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่ประกอบขึ้นเท่านั้น อันนี้เป็นความเข้าใจของผู้ที่มีวิชชาเต็ม ผู้ที่ยังไม่มีวิชชาเต็มจะไม่เข้าใจว่าขันธ์ 5 เป็นเพียงเหตุปัจจัยที่ประกอบขึ้นเท่านั้น คุณอ่านภาษาเข้าใจภาษาแต่ละคำ แต่ละความเอามาต่อเป็นวลี เป็นประโยค เข้าใจได้หมด คุณเข้าใจความหมายนั้นได้ แต่ความเข้าใจของคนมันมีขั้นมีชั้น ความเข้าใจขั้นต้นขั้นตื้นๆ เผินๆ อันนี้มีเยอะ จะเข้าใจลึกซึ้งถึงเนื้อหา เนื้อแท้จริงๆ มันยากมากเลย เรื่องนี้นี่อาตมา ถ้าจะพูดถึง เรื่องความเข้าใจหรือความยึดถือนั้นเรียกว่าอุปาทาน มันจะชัดเจนขึ้น อุปาทาน 4 ที่พระพุทธเจ้าแยกไว้ 

1. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ  บำเรอรูปรสฯ) .  

2. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ  เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน) 

3. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม) 

4. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ  แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . . 

(พตปฎ. เล่ม 11   ข้อ 262) 

กามุปาทาน ข้อที่ 1 หยาบ อัตวาทุปาทาน อันนี้ข้อที่ 4 มีหยาบผสมละเอียด ส่วนทิฏฐิ ความเข้าใจกับศีลพรต คือเรื่องความเข้าใจกับเรื่องของข้อปฏิบัติที่เอาไปทำกัน คนเราพยายามจะทำ อุปาทาน 4 ให้ชัดเจน ให้ตนรู้ตนเองว่ามันหนักใน กาม ทิฏฐิ ศีลพรต หรือใน อัตตวาทุปาทาน ถูกของคุณเหมือนกันที่จะต้องทำทิฏฐิให้เข้าใจก่อน แต่ทิฏฐินี้ ใครๆก็พูดกัน แต่เขาไม่รู้ความยึดถือของเขา คำว่าคำพูดมันก็พูดไปคนก็ฟัง ฟังก็เข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองยึดติดหนัก อุปาทานคือติดหนัก ติดเป็นอัตตวาทุปาทาน ติดทั้งอัตตา ติดทั้งเป็นวาทะ 

ก็แปลกันถูกอยู่ว่า อุปาทานข้อที่ 4 อัตตวาทุปาทาน คือ ยึดถือ คำพูดเป็น อัตตา วาทะคือคำพูด เป็นอัตตา แล้วเขาก็แปลถูก แต่เขาไม่เข้าใจสภาวธรรมที่เขาเองนั้นยึดได้แค่คำพูดเป็นอัตตาอยู่ เช่น ปราชญ์ทางศาสนาพุทธได้แต่วาทะ ได้แต่คำพูด จ้อยๆๆๆๆ นั่นแหละยึดได้แต่คำพูดเป็นอัตตาของเขา เขาเข้าใจ กาม แปลว่าอะไร ทิฏฐิ ศีลพรตคืออะไร เขาเข้าใจทุกอย่าง แต่ศีลพรต เขาก็ปฏิบัติอย่าง สีลัพพตุปาทาน คือ ปฏิบัติศีลพรตไปตามจารีตประเพณีที่มันได้ผิดเพี้ยนสืบทอดกันมาอย่างออกนอกรีตพระพุทธเจ้าเลย เป็นของเดียรถีย์เลย มีแค่นั้นศีลพรตของเขา ส่วนความเห็นของเขาก็เข้าใจตามที่เขายึด อัตตา ที่เขาพูด อัตตวาทุปาทาน ตามที่เขายึด อัตตา ที่เขาพูดนี่แหละ เขาได้เท่านี้ 

ส่วน กาม เขาก็เข้าใจว่า กาม นั่นมันคือเรื่อง จริงๆแล้วก็เข้าใจอย่างตื้นมาก กามนี่ เขาเข้าใจกามตื้นๆ แค่เพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นสายศึกษาบัญยญัติ อย่างเปรียญธรรม ที่เรียนทางบัญญัติเป็นพระเมืองพระบ้าน เขาก็เข้าใจ กาม เขาเข้าใจว่าคืออะไร คือไม่มีเมีย เขาก็บอกว่าเขาพ้นแล้วกามุปาทาน พระป่าก็เหมือนกัน เข้าใจว่ากามคืออะไร ก็คือไม่มีเมีย  นี่คือพ้นแล้วกามุปาทาน ส่วนพระป่านั้นได้สะกดจิตตัวเองเก่ง เรื่องนี้ก็เลยมีน้อย  ส่วนเรื่องของพระบ้านนั้นเละเลย แล้วหลอกคนตะพึด ทุกวันนี้ข่าวคราวออกมาไม่กี่วันนี้มีเยอะเลย แต่ละวัด แต่ละบ้านแต่ละพระแต่ละเจ้า เอาออกมาเปิดเผยกันหยำฉ่ากันในเรื่องของเพศสัมพันธ์ เลอะเทอะ ปาราชิกเน่าเหม็น 

พูดก็พูดเถอะอาตมามัน ขออภัยขอใช้ภาษา ร่วมไม่ได้ เพราะสะอิดสะเอียน ขออภัยต้องพูดความจริงที่บอกจากหัวใจจริงๆ อาตมารู้สึกอย่างนั้น อยู่ไม่ได้ มันรู้สึกสะอิดสะเอียนมาก มันเลอะ ไม่ว่าจะเป็นปาราชิกข้อ 1 ข้อ 2 เรื่องผู้หญิงผู้ชายและเรื่องเงิน 

ข้อ 1 เรื่องผู้หญิงผู้ชาย

ข้อ 2 เรื่องเงิน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เละนะ ปาราชิกกันอย่างไม่รู้เรื่องเลย ในข้อที่ 2 มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นความเสื่อมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าสัจธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตรธรรมนั้นหมายความว่ามันมีมรรคมีผลที่แท้จริง โลกุตระคือความมีมรรคมีผล รู้จักจิต เจตสิก รูปนิพพาน อ่านจิตเจตสิกของตัวเองได้ อ่านรูปได้ แยกรูปได้ แยกรูป 28 เป็นต้น แล้วก็มีนาม 5 เป็นต้นเอามาปฏิบัติ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ หรือมีโพธิปักขิยธรรม 37 สามารถที่จะจัดการกับจิตเจตสิกของตนเอง ลดละกิเลสได้จริงๆ 

มันไม่ได้เลย ไม่ว่าพระป่าหรือพระบ้าน ไม่ได้เลย ขออภัย แล้วก็ต้องไปดูถูกไปข่มเขาแต่อาตมาหลีกเลี่ยงความเป็นจริงไม่ได้จำเป็นต้องพูดความจริงนี้ อุปาทานทั้ง 4 นี้ อัตตวาทุปาทาน คือผู้รู้นักปราชญ์ทางศาสนาพุทธทุกวันนี้ จมหนักที่สุด แล้วเขาก็รู้สึกว่าเขาเองไม่ละเมิดเรื่องเพศ เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เขาก็พ้นกามแล้ว ที่จริงไม่ใช่เลย เขาไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 เขาไม่ได้ฝึกหัดตามหลักจรณะ 15 เริ่มตั้งแต่ศีลข้อ 1 2 3 เขาไม่ได้ปฏิบัติ  เมื่อไม่ได้ปฏิบัติ สัจธรรมที่จะเกิด 1.เห็นแก่มนุษย์หรือเห็นแก่ความเป็นสัตว์โลก ตั้งแต่ข้อที่ 1 เขาไม่มีรายละเอียดเรื่องพวกนี้ 

เพราะฉะนั้นไม่มีมรรคผลในเรื่องนี้ จึงไม่เกิดการปฏิบัติกับมวลมนุษยชาติหรือกับสัตว์ทั้งหลายแหล่ อย่างลึกซึ้ง เช่น พวกเรานี้ สัตว์ทั้งหลายแหล่เราลึกซึ้ง จนกระทั่งไม่กินสัตว์เป็นต้น แต่เขาดูถูกแล้วนะว่ามันจะเลอะเกินไป คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนั้น แต่ที่จริงมีชัดๆอย่างนั้นและลึกซึ้งกว่านี้ด้วยเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ซึ่งเป็นธาตุวิญญาณตั้งแต่ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกอาตมาพูดอย่างมีหลักฐานเขาไม่รู้เรื่องมันไกลห่าง 

พวกเราไม่กินเนื้อสัตว์นี่เขาก็ว่าแล้ว ที่จริงมันลึกกว่านั้น เราเอาเรื่องใน ชีวกสูตร ท่านแยกถึง สัญจิจจะ แยกถึงจิต ที่มีจุดมุ่ง สัญจิจจะ อาตมาแปลว่า อาการของจิตที่มีทิศมุ่งไปแล้ว สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง จิตที่มีทิศมุ่งไปสู่การทำให้ชีวิตตกต่ำ ถ้าจิต คนที่มีสัญญา มีจิตคิดมุ่งไปสู่จะทำลาย โวโรเปตุง แปลว่าจิตมุ่งไปทางร้าย จนทำลาย จนถึงการฆ่า ฆ่าอะไร ฆ่าชีวิตของความเป็น ปาณะ เพราะฉะนั้น ถ้าแยก สัตตะ ปาณะ ภูตะ คือความเป็นชีวะ ชีวะในระดับ สัตตะ ชีวะในระดับ ปาณะ ชีวะในระดับ ภูตะ

ถ้าสัตตะ แน่นอนคือสัตว์เต็มตัว ถ้าปาณะนี่นับเป็นส้ตว์แล้ว แต่ถ้าภูตะ ท่านยังแยกเป็น 3 เป็น มหาภูตะ อันนี้ไม่ใช่สัตว์เลย ภูตคาม เริ่มมีชีวะแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่สัตว์ เจตภูต เริ่มจะเข้าไปหาความเป็นสัตว์ความเป็น ปาณะ แต่ยังไม่ถึงสัตตะ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชีวกสูตรว่า จิตที่มุ่งมีทิศมุ่งไปสู่ความทำลาย โวโรเปตุง หรือ มุ่งหมายไปทางร้าย กับธาตุ ธาตุในระดับ ศีลข้อที่ 1 ท่านเอา ปาณะเป็นตัวตั้ง แน่นอนฆ่าสัตตะ มันเป็นสัตว์ยิ่งกว่า ปาณะ 

เพราะฉะนั้นถ้าก่ำๆกึ่งๆ สัตว์ที่เริ่มจะเป็นเจตภูติสูงกว่าภูตคาม เขาไม่สามารถที่จะรู้รายละเอียดเหล่านี้เลยว่าเขามี โวโรเปตุง เขามีบาป พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า บาป ใน 5 ข้อนี้ที่มี สัญจิจจะเป็นบาป มีจิตมุ่งไปสู่ข้อที่ 1 จิตเริ่ม สัญจิจจะ ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ  แค่มีจิตอย่างนี้ก็เป็นบาปเป็นอันมากแล้วไม่ใช่บุญเลย 

2. สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา  ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันนี้มันบาปเห็นชัดๆแล้วแค่กล่าวชื่อก็บาป แต่ไปจับมันมาจะเป็นบาปขนาดไหน 

3. ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า  “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”  อันนี้ลงไม้ลงมือเลย 

4. สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส  

5. ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก 

ข้อที่ 5 นี้ละเอียดสูงส่งกว่า 4 ข้อแรก เอาเนื้อสัตว์ที่ฆ่าแล้วเอาไปทำเป็นอาหารอันประณีต นำอาหารที่คุณมี สัญจิจจะ ที่ทั่วไปเขาแปลว่าเจาะจงชื่อบุคคล ถ้าบุคคลไหนถูกเจาะจงแล้วจะกินไม่ได้ แล้ว เอา 4 ข้อนั้นเอาทิ้งไปไหนจ๊ะ แล้วเอาไปทำอาหารถวาย พระพุทธเจ้า ก็บาปอย่างยิ่งแล้ว นี่ยังไม่ได้กินเองนะ นี่ยังไม่ได้กินเองนะ แค่ทำมาถวายก็เป็นบาปมากแล้วไม่ใช่บุญเลย จะไปพูดทำไมถึงกิน 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม ครั้งที่ 33  ถ้าไม่เรียนรู้สุขทุกข์ ก็สั่งสมบาปอยู่ทุกลมหายใจ วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8อ(2) ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2566 ( 18:05:02 )

ผู้มียศสูงทางโลกุตรธรรม

รายละเอียด

คือ ผู้เสียสละมากขึ้น ผู้มักน้อยยิ่งผู้หมดความเห็นแก่ตัวลงไปยิ่งเรื่อยๆ จนที่สุด หมดตัว หมดตน อย่างแท้จริง และคือผู้มีปัญญา ที่เที่ยงแท้ ไร้อคติใดๆ ช่วยปวงชนได้ ก่อความซื่อสัตย์แท้ให้แก่โลก

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 239


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 10:27:19 )

เวลาบันทึก 20 กรกฎาคม 2563 ( 03:58:50 )

เวลาบันทึก 13 สิงหาคม 2563 ( 06:46:25 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์