@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก
@หลักสูตรพุทธปัญญาตรี,โท,เอก @ไม่มีสอนในโรงเรียน @ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัย @เป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาของมนุษย์ที่ประเสริฐและครอบคลุมความจริงสูงสุด @คือความไม่รู้เหตุแห่งทุกข์และความไม่รู้ทางออกจากทุกข์ @สัจจะนี้เป็นวิทยาศาสตร์ @มีลำดับ มีต้น มีกลาง มีปลาย @ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา @ไม่ขึ้นอยู่กับภาษา @ไม่ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ @ไม่ขึ้นอยู่กับการนับถือใดๆ @ไม่ขึ้นอยู่กับสถานที่ใดๆในโลก @สิ่งนั้นเรียกว่า "จิต" เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง @เชื้อเชิญให้มาพิสูจน์ @มีความลุ่มลึกยิ่งกว่านิยายยูโทเปีย UTOPIA แต่เกิดจริง มีจริง แล้วในโลก

อภิธานศัพท์ (Glossary) จัดเป็นฐานข้อมูลด้านโลกุตระที่สมบูรณ์ที่สุดที่คัดมาจากหนังสือ คำเทศน์ ฯ

คู่มือการค้นหาอภิธานศัพท์อโศก หรือ ห้องสมุดโลกุตระ 50 ปี

เอกสาร : https://docs.google.com/document/d/1HLGedxqTAOTOTQKGbO6M4qMremQ8K1jBWKRYDDt6MRQ/edit

วีดีโอ Loom 2 : https://www.loom.com/share/e824e62ec1eb4567848e94af124a7ed5

วีดีโอ Loom 1https://www.loom.com/share/2445744a08e74bca95d2f1d2a0526044

วีดีโอ YouTube : https://youtu.be/QyXcGmzhLmk

 

 

อภิธานศัพท์ (ทั้งหมด) พบ 28,074 รายการ

ฌานลืมตามีปัญญากำกับ

รายละเอียด

ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาไม่ใช่คนมีฌาน คนมีเฉโก มีฌานโลกีย์เดียรถีย์ ที่ออกป่านั่งหลับตา แต่พระพุทธเจ้ามาประกาศของท่านไม่ต้องหลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตาปฏิบัติ มีฌานลืมตา มีปัญญากำกับ ไม่ใช่เฉกากำกับ ตอนนี้เอาหลักฐานจรณะ 15 วิชชา 8 อธิบาย

สรุปแล้ว พุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้คือ วิชชาจรณสัมปันโน

วิชชาจรณะ คือ พุทธคุณแท้ๆ หรือเนื้อแท้ของแก่นพุทธศาสนา

อัมพัฏฐะคือ ลูกศิษย์พราหมณ์ เรียนจรณะ 15 วิชชา 8 แต่มันเพี้ยนไป

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 07 พฤษภาคม 2564 ( 19:42:18 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

ผู้จะมีฌานวิสัย จึงคิดเอาไม่ได้ ผู้มีฌานจะไม่ใช่แค่คิดเอาเดาเอาด้วยเหตุผล แต่จะเป็นผู้พ้นจากความเป็นฌาน ไม่ต้องไปคำนึงไม่ต้องไปกังวลอะไร จริงๆแล้วจะแปล วิสัย ว่า มันเป็นไป เป็นไปได้แล้วเลิกแล้วจบแล้ว มันจบแล้วเรื่องฌาน คำว่า ฌาน ขออธิบายแทรกเลย คำว่าฌาน เป็นเรื่องที่คนคิดเอาไม่ได้ เป็นเรื่องเหนือกว่าการคาดคิด จึงเป็นเรื่อง อจินไตย ผู้ที่มีฌานที่เป็นแบบพุทธ เพราะฌานนี้เป็นภาษาโลกๆ แต่สภาวะของมัน มันเป็นสภาวะโลกุตระ แต่ฌานเป็นภาษาโลกๆ ชาวโลกโลกียวิสัยก็เข้าใจ ฌาน อย่างนั้นทั่วไปเลย ส่วนผู้เข้าใจ ฌาน ได้แล้วมี ฌานจริง อย่างอาตมามีฌาน อาตมาจึงได้พยายามอธิบายความเป็นฌาน แก่พวกเราฟัง อาตมาเป็นคนมีฌานอยู่ตลอดเวลาเป็นฌานแบบพุทธ แต่ฌานแบบโลกีย์ต้องไปนั่งหลับตาแล้วเข้าฌานออกฌาน ของพุทธไม่มีเข้าไม่มีออก มันเป็น วิสัย มันสุดวิสัยทั้งปลายทั้งต้นแล้ว มันเป็นในตัวเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา เป็นฌานที่ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4อยู่ตลอดเวลา 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช ฌานวิสัยของอรหันต์และโพธิสัตว์ ศุกร์ที่ 13ธันวาคม 2562


เวลาบันทึก 18 ธันวาคม 2562 ( 15:41:49 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:03:06 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:31:32 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

คือ จึงสูงส่งมากกว่า คนที่มี“พลังงานอุณห ธาตุหรือไฟธาตุ” แค่อาสัย แค่นิสัย ..ชัดเจนมั้ย? “ฌานวิสัย”นั้นเป็น“ฌานโลกียะ”ก็ได้ เป็น“ฌาน โลกุตระ”ก็ได้ แล้วแต่“ทิฏฐิ”ของใคร ถ้าใครเข้าใจความเป็น“ฌาน”ได้แค่“โลกียะ”ก็จัด อยู่ในพวก“มิจฉาทิฏฐิ”ซึ่งจะได้แต่“ฌาน”แบบที่ไม่ใช่พุทธ แต่ถ้าใครเข้าใจความเป็น“ฌาน”เข้าขั้น“โลกุตระ”จึงจะจัด อยู่ในพวก“สัมมาทิฏฐิ”ที่เป็นแบบพุทธ

หนังสืออ้างอิง

 คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 495


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 16:43:22 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:10:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:30:59 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

ซึ่งวิสัยเป็นตนที่ยิ่งที่สามัญมนุษย์เป็นไม่ได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ได้ แต่หากมีผู้รู้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องอจินไตยสำหรับคนนั้น เพราะอาตมามีฌานวิสัย มีอย่างอัตโนมัติ เป็น ภาษาบอกสภาวะ ภาษาที่ไม่ใช่พูดเล่นเสแสร้ง คนมีแล้วจึงพูดอย่างเป็นเป็นของตัวเองมีความเชื่อของตัวเองแล้วจึงเอามาพูด อจินไตยเป็นวิสัยสำหรับผู้ที่เข้าถึงได้ คนไหนมีความรู้จัก พุทธวิสัย ฌานวิสัย รู้จักวิบากกรรม รู้จักโลกจินตา ก็ไม่ใช่อจินไตยสำหรับผู้นั้น

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 13:56:40 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:55:43 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:30:33 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

ฌานวิสัย ของชาวอโศก คือ

ฌาน นี่หมายความว่าพลังงานจิต ที่กำจัดกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ความโลภ ความต้องการ ถูกพลังงานฌาน เผาละลาย จนเป็นคนที่ไม่ต้องการมาให้แก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ มีความใจพอมีความสันโดษไม่เอาเงินก็พอมันสบายอย่างนี้เป็นต้น เป็นสภาวะจิตของชาวอโศก สบาย อย่างไม่ได้ทรมาน ไม่ได้กดข่ม เป็นความเป็นไปได้และเป็นสบาย เป็นอยู่ก็สบายอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินมีใช้ นอนหลับ กินได้สมบูรณ์ ทำงานทำการทุกอย่างสะดวกสบายทุกอย่างเลย ถ้าจะใช้ภาษาทางโลกก็คือมันเป็นแดนสวรรค์ ซึ่งคนเข้าใจยากมาก

(631019)

ที่มา ที่ไป

(631019) พ่อครูเทศน์รายการโสเหล่โลกุตระออนไลน์ ครั้งที่ 13 วันจันทร์ ที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2563 ( 16:11:04 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

ฌานวิสัย ของชาวอโศก คือ

ฌาน นี่หมายความว่าพลังงานจิต ที่กำจัดกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ความโลภ ความต้องการ ถูกพลังงานฌาน เผาละลาย จนเป็นคนที่ไม่ต้องการมาให้แก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ มีความใจพอมีความสันโดษไม่เอาเงินก็พอมันสบายอย่างนี้เป็นต้น เป็นสภาวะจิตของชาวอโศก สบาย อย่างไม่ได้ทรมาน ไม่ได้กดข่ม เป็นความเป็นไปได้และเป็นสบาย เป็นอยู่ก็สบายอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินมีใช้ นอนหลับ กินได้สมบูรณ์ ทำงานทำการทุกอย่างสะดวกสบายทุกอย่างเลย ถ้าจะใช้ภาษาทางโลกก็คือมันเป็นแดนสวรรค์ ซึ่งคนเข้าใจยากมาก

(631019)

ที่มา ที่ไป

(631019) พ่อครูเทศน์รายการโสเหล่โลกุตระออนไลน์ วันจันทร์ ที่ 10 ตุลาคม 2563 ที่บ้านราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 พฤศจิกายน 2563 ( 16:16:11 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

ใครสร้างพลังงานฌานได้จนเป็นฌานวิสัย คือ เป็นวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่เป็นอจินไตย เราเข้าใจวิสัยโลกีย์ ฌานวิสัยโลกีย์ เราก็เข้าใจเราทำได้ไม่มีปัญหาเลย อาตมาทำได้ วิสัยฌานหลับตาทำจนฉ่ำเลย แต่ทุกวันนี้อาตมาไม่ค่อยได้ฝึกก็เลยเรื้อ 

เพราะฉะนั้นฌานโลกีย์ของอาตมาจึงไม่ได้อยู่ในอนุสัยเท่าไร เพราะอาตมาไม่ได้เก็บเลี้ยงมัน มันค่อยๆ เลือนลางจางไป เลยไม่มีในอนุสัยเท่าไหร่ ทำเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเก่งขึ้นมาเท่าเก่า แต่ก่อนทำได้เก่ง ทำฌาน แล้วมีฤทธิ์เดชได้ด้วย มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่เก่ง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:49:35 )

ฌานวิสัย

รายละเอียด

คนอมตะก็มีฌานได้โดยไม่ยากได้โดยไม่ลำบากซึ่ง ฌาน ทั้ง 4 ฌาน ก็เป็นพลังงาน พลังงานที่จะทำให้เย็นก็ได้ทำให้ร้อนก็ได้ ฌานทั้ง 4 มีขนาด 1 2 3 4 เป็นผู้ใช้ ฌาน ตลอดเวลาเรียกว่า ฌานวิสัย คือทำอย่างชำนาญทำอย่างไม่ยากไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 จะใช้ระดับ 1 2 3 4 ก็ได้ทั้งนั้น เป็น อัตโนมัติเลย เร็วจนไม่สามารถที่จะจับได้ว่าเมื่อไหร่เมื่อใด 1 2 3 4 แต่ทำ เพราะเป็นผู้ได้ ฌาน 

ฌาน นั้น พระพุทธเจ้าว่าเป็นปัญญา ฌานไม่มีปัญญาไม่มี แล้วอาตมา ก็ขยายความแล้วว่า ปัญญาไม่ใช่เฉโก ปัญญาเป็นความเฉลียวฉลาดโลกุตระ จึงสามารถอยู่กับพลัง ฌาน ตนเองทำให้ตนเองเรียบร้อยก็ใช้ ฌาน นี่แหละมาช่วยคนอื่นให้มีปัญญา มารู้จัก ทำพลังงาน ฌาน ให้แก่ตัวเองให้ได้ เผากิเลสในตนนั่นแหละตั้งแต่หยาบก่อน

ชั้นที่รู้ง่ายล้างกิเลสนี้ได้แล้วจะรู้ว่ากิเลสมันหมดเป็นอย่างนี้เอง อบายมุขหมด กามหมด หมดลงไปๆ อีก โอ้! มันเป็นอย่างนี้เอง หมดกามแล้วเหลือข้างในมีแต่ รูป อรูป ลดจนหมด จบ ก็เลยกลายเป็นคนอมตะ เป็นคนที่จะตายอยู่ในสังสารวัฏนี้ หรือ จะอยู่ในสังสารวัฏนี้ต่อไปอีก นานเท่านาน ก็เป็นมนุษย์ที่ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่มีสิ่งร้ายจากคนพวกนี้อีกแล้ว มีหลักประกันยืนยันยั่งยืนถาวรเด็ดขาด 

ถ้าจะอยู่เป็นมนุษยชาตินี่แหละสมบูรณ์แบบ ก็เป็นคนที่ทำแต่ดี ไม่มีชั่วเลย และเป็นผู้ที่เป็นคนที่จะเลิกความเป็นคน ทำลายจิต อัตภาพตัวเองให้เป็นดินน้ำไฟลมเลยก็ได้ มันจบแล้ว จบในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นี้ จบเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นคนที่ยังงมงายในเรื่องดีชั่วอยู่ ยังไม่ได้มาศึกษาสุขทุกข์ที่จริง ก็ติดสุข เรียกว่าสุขนิยม เกลียดทุกข์ ไม่รู้จักทุกข์อริยสัจไม่มาเรียนด้วย สร้างแต่สุขให้ตัวเอง ก็เลยสรุปเข้าไปอยู่ที่ดีกับชั่ว ถ้าได้ดีก็สุขถ้าชั่วก็รู้สึกตัวว่าไม่ดี นอกจากไปวิปริตไปหลงว่าชั่วนี้แหละดีไอ้ชั่วน่ะสุข ก็เป็นได้ สำหรับคนวิปริต คนวิปริตวิตถารไม่สอดคล้องกับสากลโลก มันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะ 15 พัฒนาปัญญา 8 ประการ วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 พฤษภาคม 2565 ( 15:01:17 )

ฌานวิสัย คืออย่างไร

รายละเอียด

ฌานวิสัย คือ พลังงานที่ไปกำจัดกิเลสออก เมื่อกำจัดกิเลสออกจากจิตได้ จิตใจก็สะอาด ด้วยจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เป็นฐานอุเบกขา ปริสุทธา แล้วปฏิบัติอีก มันก็จะเกิดยิ่งเจริญเป็นปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นองค์ธรรม เป็นคุณธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ชัดเจน แยกแยะไว้ให้เห็นว่าเป็นเจตสิกต่างๆ ปริสุทธา บริสุทธิ์ ปริโยทาตา บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น มุทุ ก็เก่งทั้งรู้และทำได้และสั่งสมเป็นฐาน static ตั้งมั่น กับปฏิกิริยาตัวการงาน เป็นกัมมัญญา เป็นฐานแน่นและแคล่วคล่องเป็นสองธาตุ จะทำงานอีกก็ยิ่งผ่องแผ้วประภัสสร 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563


เวลาบันทึก 19 กันยายน 2563 ( 15:03:26 )

ฌานวิสัย ต้องมีปัญญาที่ทำปรมัตถธรรม

รายละเอียด

อาตมาเป็นผู้ที่มีภูมิบางอย่างอธิบายได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นไม่ได้ก็มีหลายอัน ซึ่งเป็นวิสัย ขึ้นไปหาพุทธวิสัยที่อาตมาก็มี ฌานวิสัย

ฌานนี่ไม่ได้แปลว่า แค่ นั่งหลับตาตื้นๆง่ายๆ เข้าไปอยู่ในภพ ไม่ใช่ แต่ฌานนี้คือ ปัญญา ฌาน อยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นเริ่มมีปัญญาที่ทำปรมัตถธรรม รู้จักกิเลสทำให้กิเลสลดลง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า 

นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ ปัญญา นัตถิ อฌายโต 

ยัมหิ ฌานัญจะ ปัญญา จ ส เว นิพพานสันติเก 

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ.เล่ม 25 ข้อ 35)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ อภิภู คือผู้นำพาคนไปสู่ความจนอันประเสริฐ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 ธันวาคม 2564 ( 15:37:36 )

ฌานวิสัย หรือพุทธวิสัยของพ่อครู

รายละเอียด

ขออภัยพูดสัจจะอธิบายเป็นวิชาการ ไม่ได้อวดตัวอวดตนไปยกตนข่มท่าน ไม่ได้มีสาเฐยจิต อาตมาจะไม่พูดความไม่จริง เพราะความไม่จริงเป็นบาป เป็นอกุศลจิต เป็นกิเลส เป็นบาป อาตมาเป็นผู้เรียนรู้เรื่องบาป อกุศล บุญ กุศล จนเอามาอธิบายกุศล อกุศลอธิบายบาปกับบุญ มีนัยยะต่างกันซึ่งมันเป็นโลกุตระ ส่วนกุศลกับอกุศลเป็นโลกียะ ก็เป็นความรู้อจินไตยของอาตมา เป็นวิสัยของอาตมา เป็นฌานวิสัย หรือเป็นพุทธวิสัยที่อาตมายังไม่ถึงพุทธวิสัยเต็มตัว แต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่จะเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้ว ได้แล้ว อาตมาสอบได้แล้ว รับเรียบร้อยแล้ว และอาตมาไม่ตกต่ำที่จะทำผิด เพราะไม่ทำบาปทำชั่วอีกแล้ว จนมีหลักประกันว่า อาตมาจะไม่ทำชั่วให้ตัวเองตกต่ำอีกแล้ว เป็นแต่เพียงสูงมีแต่สู่ที่สุดที่สูงถ่ายเดียว

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาด้วยปัญญามุทุภูเตของพ่อครู วันพุธที่ 24 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 28 มีนาคม 2564 ( 17:09:50 )

ฌานวิสัย เป็นอจินไตย 1 ใน 4 

รายละเอียด

ฌาน ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอจินไตย ไม่ใช่เรื่องที่คิดคะเนเอา แต่ฌานนี้ เทวนิยม อเทวนิยมก็ใช้คำนี้ มันต้องยอม มันเอาคืนไม่ได้หรอก เพราะมันมีตั้งแต่ก่อนศาสนาพระพุทธเจ้าเกิด จนศาสนาพระพุทธเจ้ามี แล้วก็เป็นคำที่พระพุทธเจ้าท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องใช้คำ ซ้ำนี้ จะไปตั้งคำพิเศษขึ้นมาอีกก็ไม่ได้ เพราะเป็นคำที่จำนนแล้ว เหมือนคำว่าสุขกับทุกข์ จะไปตั้งว่าสุขกับทุกข์เป็นคำใหม่ก็ไม่ได้ เป็นคำเดียวก็ไม่ได้ ก็ต้องใช้พยัญชนะแทนว่า สุข ทุกข์ ก็คือ เทว 

เทวะ พยัญชนะก็แปลว่า 2  สุขกับทุกข์นี่แหละ คู่สำคัญที่สุด ดีชั่ว รูปนาม กายจิต ก็คือสองคือเทวะ ก็ต้องเรียน 2 คำว่าเทวะ ยิ่งใหญ่ที่สุด 

อาตมาไปเรียกคำว่า ฌานว่า พลังงาน แต่แท้จริง พลังงานที่เป็น ฌาน มันมีจิตวิญญาณเป็นตัวประธานบงการ มันไม่ใช่พลังงานของพลังงานมันจัดการกันเอง และพลังงานระดับฌาน ไม่ใช่พลังงานระดับพืชด้วย พืชทำฌานไม่ได้

เพราะฉะนั้น ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้านั้นจึงเป็น ฌาน ที่เกิดจากมโน ไม่ใช่เกิดจากแค่วาจาหรือแค่กาย สรุปเข้ามาแล้วนะ ดินน้ำไฟลมไม่ต้องพูด ความร้อนแสงเสียงไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด พวกนั้นเป็นเรื่องของอุตุนิยามหมด แม้แต่พีชนิยาม ก็ทำฌานวิสัยไม่ได้ แม้แต่มาเป็นคนเป็นสัตว์แล้ว สัตว์เดรัจฉานก็ทำฌานไม่เป็น มาเป็นคน มาเป็นมนุษย์ มีมนุษย์ที่หัดทำฌาน แม้แต่ทำฌานโลกีย์ ในโลก มนุษย์ 7 พันล้านนี่ จะหัดฝึกทำฌานโลกีย์ จะถึงครึ่งมั้ย จาก 7 พันล้าน ..ไม่ถึง เขาไม่มานั่งทำฌานโลกีย์หรอก เขาก็ไปกับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขไม่มานั่งทำฌานหรอก ฌานโลกีย์ด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งเป็น ฌานโลกุตระ จะเหลือเท่าไหร่ 

เพราะฉะนั้นเมื่อมันไม่เป็นจรณะ 15 ก็หมดสิทธิ์ ที่จะเป็นฌานวิสัย ที่เป็นอจินไตยของพระพุทธเจ้า ก็ต้องอยู่กับ ฌานโลกีย์ ไปตลอดกาล เมื่อมาเป็นโลกุตระ ก็ต้องมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าปฏิบัติศีล ปฏิบัติ อปันกธรรม 3 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯ  ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน  อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:35:18 )

ฌานวิสัยของคนในแดนแผ่นดินพุทธ

รายละเอียด

ที่อาตมาพูดที่หลวงปู่พูดนี้ เด็กๆ ฟังแล้ว ไม่ใช่มาพูดเล่น แต่พูดถึงความจริงทั้งนั้น เป็นความจริงทั้งนั้น พวกเราได้มาอยู่นี่ก็ได้อดได้ทน แต่ก็ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง 4 นี่เป็นภาษาของพระพุทธเจ้า เด็กๆพวกนี้แหละมีฌาน มีฌานแบบพุทธ เป็นฌานวิสัยที่เป็นแบบพุทธ ฌานที่ได้แล้วนี่นะ มันเป็นปัญญา ที่สามารถรู้โลก สามารถรู้อบายมุข สามารถรู้สิ่งที่ปรุงแต่งในโลก ที่เป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส 

ที่นี่ไม่ได้ปิดหูปิดตา โทรทัศน์มันมีทุกอย่าง มันเรียกร้องหาลูกค้า อบายมุขเต็มไปหมดเห็นอยู่ทุกอย่าง แต่เด็กๆเขาก็อยู่ได้ อยู่ได้โดยไม่ยากโดยไม่ลำบาก นี่แหละคือมีฌานทั้ง 4

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 31 วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 01 มิถุนายน 2565 ( 12:09:15 )

ฌานวิสัยของชาวอโศก

รายละเอียด

คนส่วนใหญ่ในชุมชนชาวอโศกทำงานฟรีไม่รับรายไม่มีรายได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่มันเป็น อจินไตย เป็นเรื่องสุดวิสัย เป็นเรื่องวิสัยที่ถ้าจะเรียกด้วยศัพท์วิชาการก็คือเรียกว่าเป็น ฌานวิสัย ของชาวอโศก ฌาน นี่หมายความว่าพลังงานจิต ที่กำจัดกิเลส ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ความโลภ ความต้องการ ถูกพลังงานฌาน เผาละลาย จนเป็นคนที่ไม่ต้องการมาให้แก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ มีความใจพอมีความสันโดษไม่เอาเงินก็พอมันสบายอย่างนี้เป็นต้น เป็นสภาวะจิตของชาวอโศก สบาย อย่างไม่ได้ทรมาน ไม่ได้กดข่ม เป็นความเป็นไปได้และเป็นสบาย เป็นอยู่ก็สบายอุดมสมบูรณ์มีอยู่มีกินมีใช้ นอนหลับ กินได้สมบูรณ์ ทำงานทำการทุกอย่างสะดวกสบายทุกอย่างเลย ถ้าจะใช้ภาษาทางโลกก็คือมันเป็นแดนสวรรค์ ซึ่งคนเข้าใจยากมาก 

ที่มา ที่ไป

รายการโสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 20 พฤศจิกายน 2563 ( 12:31:40 )

ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นเรื่องของ อจินไตย ที่อาตมามีจริงๆ ในเรื่องนี้ รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอธิปไตยต่างๆนั้น แล้วก็นำมาเปิดเผย เช่น เปิดเผย ฌานวิสัย อันเป็นของพระพุทธเจ้า ต้องวงเล็บนะว่าเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ฌานแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าก็เป็นสิ่งที่ต่างจาก ฌานฤาษี ซึ่งเป็นเรื่อง อจินไตย ในอจินไตย 4 กรรมวิบาก โดยเน้นธรรมะที่มีวิบากอย่างสัมมาทิฏฐิ วิบากคือผล ผลของกรรมที่ทำให้สัมมาทิฏฐิ ยืนยันโดยเอาตัวเองมาเป็นตัวหลักเลยมายืนยัน อ้างอิงหลักฐานคำสอนพระพุทธเจ้า อ้างอิงตำนาน อ้างอิง ตัวบุคคลอ้างอิงพระไตรปิฎก แล้วก็แก้ไขการอธิบายบาลี

ที่ใช้คำว่าแก้ไขอธิบายบาลีคือ ท่านได้อธิบายเบี้ยวบาลีไป หรืออธิบายบาลีผิดๆกันมา ท่านอธิบายมา อาตมานั้นพูดเองและยืนยันเองว่าท่านอธิบายมาผิด ท่านก็เข้าใจว่าท่านถูกท่านอธิบายมาถูก แต่อาตมามาพูดจริงๆด้วยความจริงยืนยันว่านั่นแหละผิด อย่างอาตมาอธิบายยืนยันนี้ถูก ท่านก็ต้องแย้งผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง ของอาจารย์ ของสิ่งที่ท่านยึดถือกันมาในกระแสหลักในขบวนนักพระพุทธศาสนาด้วยกัน 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นวันแรม 10 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 11 เมษายน 2566 ( 20:08:45 )

ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าคือเช่นไร

รายละเอียด

เพราะฉะนั้นคำว่า ฌานวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่สัมมาทิฏฐิคือ ฌานลืมตาที่เต็มไปด้วยสติแววไวไม่เคยหรี่ไม่เคยหลับไม่เคยตก จะรู้ความจริงว่าคุณหลับตา คุณจะนอน คือนิทรา คุณก็จะหลับ หลับคุณก็จะปิดไม่ให้สติที่มันทำงานกับความเป็นอาโลก มีปัญญา มีวิชชา มีญาณ รู้ร่วมอย่างเต็มที่อยู่ ตอนนี้พักยกก็รู้ความจริง เท่านั้นเอง ไม่ได้หลงใหลหลับใหลไม่ได้เลอะเทอะอะไร 

เพราะฉะนั้นการมี ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้านั้น คือเป็นผู้มีสติเต็ม เป็นผู้ที่มีฌาน มีปัญญา มีสติเต็มรู้แล้วปัญญาเต็มร้อย 

ตื่นเต็มรู้ มีปัญญาหรือมีความรู้ ธาตุรู้ เต็มร้อย เรียกว่าผู้มีสติเต็ม เป็นฌานวิสัย

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ปัญญา 8 ประการ 3 ข้อแรก โดยพิสดาร วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2565 ( 20:35:47 )

ฌานวิสัยของพุทธ ต่างจากฌานของเดียรถีย์อย่างไร

รายละเอียด

อาตมาก็ขอพูดตามความจริงตรงๆเลยนะ ว่า สายสะกดจิตหรือสายหลับตา สายออกป่า มันผิดหมด มันมิจฉาทิฏฐิ จะเรียกว่าเข้าข่ายเป็นอรหันต์ไหม มันหมดสิทธิ์ที่เป็นอาริยบุคคลเลย โสดาบันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่รู้เลย เริ่มตั้งแต่สังโยชน์ข้อที่ 1 

สักกายทิฎฐิ ยังไม่พ้นเลย กระดุมเม็ดแรกผิดไปเลย เพราะฉะนั้นมีแต่จะบานปลายออกไปใหญ่เลย เป็นปากกรวย ผิดซ้ำผิดซ้อนผิดมากไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารมากสายหลับตา พากันหลงทางจนกระทั่งบอกว่าเป็นอรหันต์ มันเพ้อลมๆแล้งๆ กัน น่าสงสารมาก 

อาตมาพูดด้วยความจริงใจ ในฐานะที่อาตมาเอง อาตมาทำงานจนถึงป่านนี้ ก็น่าจะฟังบ้าง 50 กว่าปีแล้ว อาตมาก็รักษาสถานะที่มีความรู้แนวนี้ สอนอย่างนี้จนกระทั่งเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน ที่อาตมาเอาพระไตรปิฎกมายืนยันอธิบาย ประกอบไปตลอดเวลา ยืนยันว่าสิ่งที่อาตมาพาทำนั้นเป็นการบรรลุตามอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปฏิบัติศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 จึงเกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4 เป็นฌานวิสัยของพุทธ ไม่ใช่ฌานของ เดียรถีย์ ที่มิจฉาทิฏฐิกัน เป็นมิจฉาฌาน ที่เขาไปติดไปยึดกันว่าเป็นจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 50 ตอบปัญหาผ่าปฏิจจสมุปบาท วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 12 กันยายน 2565 ( 13:47:23 )

ฌานวิสัยของพุทธสาวก

รายละเอียด

1."ฌาน" ของพุทธจะเกิดจะมีได้ต้องปฏิบัติด้วย "โพธิปักขิยธรรม 37" อันสัมมาทิฏฐิ ซึ่งไม่ใช่ฌานที่ "หลับตา" ข่มจิต สะกดจิตเข้าไปในภวังค์ เหมือน "ฌานโลกียะ"สามัญทั่วไปที่รู้กันที่ปฏิบัติกันเป็นสาธารณะดาษดื่นอยู่เต็มโลก ย้ำนะ! ไม่ใช่ "ฌานหลับตา"

2."ฌาน" ของพุทธเป็น "โลกุตรธรรม" เป็น "อาริยธรรม" ที่ผู้มีสัมมาทิฏฐิแล้ว กำลังปฏิบัติให้จิตตนออกจากความเป็น "ตัวตน" ออกจากความเห็นแก่ตัว-ออกจากกาม-ออกจากโลก ที่เป็นโลกียภูมิ" (เนกขัมมะ) จนกระทั่งจิตของตนเกิด "สัมมาสมาธิ" บรรลุ "วิมุติ" ที่เป็น "ความหลุดพ้น" ออกจาก "โลกียภูมิ" เข้าไปสู่ "โลกุตรภูมิ" ได้สำเร็จเต็มบริบูรณ์สัมบูรณ์ ผู้ "เข้าฌาน" หรือ "เข้า(อุปวสติ)สู่ความเป็นฌาน"ของพุทธจึงเป็นผู้ "ออกจาก(เนกขัมมะ)กาม-ออกจากความเห็นแก่ตัว-ออกจากโลกที่เป็นโลกียภูมิ" ซึ่งเป็น "เนกขัมมะที่มีสภาวะกันจริงๆได้แท้ ซึ่งไม่ใช่ "หลับตาเข้าฌาน" แค่นั้น นี่คือ "การเข้าฌานของพุทธ" คือเข้าถึง "สูญญธาตุ" ซึ่งเป็น "การออก" จากอกุศลธาตุ (ความมีสภาวะ) แล้ว "เข้าถึงโลกุตรธรรม"

ฌานของพุทธ ผู้ "เข้าฌาน" ได้สำเร็จจริงแล้ว จึงไม่มี "ออกจากฌาน" จะเป็นผู้มีความเป็น "ฌาน" อันได้แก่ "จิตที่ออกจากกาม-ออกจากความเห็นแก่ตัว-ออกจากความเป็นตัวตน-ออกจากโลกที่เป็นโลกียภูมิ" (เนกขัมมะ)ได้สำเร็จอย่างเที่ยงแท้ (นิจจัง) ยั่งยืน (ธุวัง) ตลอดกาล (สัสสตัง) ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น (อวิปริณามธัมมัง) ไม่มีอะไรมาหักล้างได้ (อสังหิรัง) ไม่กลับกำเริบ(อสังกุปปัง)

"ฌาน"ของพุทธจะไม่ใช่การปฏิบัติให้จิตของตน "เข้าไปอยู่ในภพ"...ซึ่งชาวพุทธทุกวันนี้ยิ่งพากันหลงผิดหนักจัดคือหันกลับ "เข้าไปข่มจิตให้แน่นหนึบ" อยู่ใน "รูปภพ" และใน "อรูปภพ"

3."ฌาน"ของพุทธเป็น "ฌาน"ที่มีในภาวะของคนผู้มีชีวิตสามัญ "ลืมตา" ทำอาชีพของตนอยู่ตามปกติ เพียงแต่พยายามให้เป็น

"สัมมาอาชีพ 5"

"สัมมากัมมันตะ 3"

"สัมมาวาจา 4"

"สัมมาสังกัปปะ 3"

4.คำว่า "ฌาน" เป็นภาษาที่ใช้เรียกภาวะความเป็นลักษณะของ "การกระทำในใจ(มนสิการ)" ให้เกิดขึ้น ผลสำเร็จของ "ฌาน" เรียกว่า "เอกัคคตา" ซึ่ง "เอกัคคตา" นี้แปลกันว่า "ความมีอารมณ์เป็นหนึ่ง"...

"กาย" (สังขารของความเป็นธรรม 2 ที่เป็นโลกีย์)

"กายคต" (สิ่งที่ดำเนินไปในกาย)

"กายกลิ" (สิ่งที่เป็นโทษในกายคือกิเลส)

"กายฑาห" (ความเร่าร้อนแห่งกายคือตัณหา)

"กายตปน" (การยังกายให้เร่าร้อน)

"กายทุกข" (ความเป็นทุกข์ของรูปและนาม)

"กายทุฏฺฐุลฺล" (ความประพฤติชั่วหยาบทางกาย)

"กายปโกป" (ความกำเริบไปทางผิดของกาย)

"กายวิปฺผนฺทน" (ความดิ้นรนทางกาย)

"กาย" ที่ยังไปในทางบาปทางอกุศล ที่จะต้องกำจัดธรรมะ 2 ให้เหลือหนึ่ง หรือเป็นหนึ่งคือเป็น "เอกัคคตา"...ทำบรรลุผลธรรมแล้ว รูปนามที่เหลือก็รวมตัวกันเป็น "กุศลจิต" เรียกว่า

"กายปัสสัทธิ" (ความสงบจากกิเลส ดับกิเลสออกไปจากจิตได้ จิตใจก็สงบ ก็เหลือรูปกับนาม (ธรรมะ 2) ที่สงบจากกิเลส)

ที่มา ที่ไป

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 207-212

หนังสืออ้างอิง

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 207-212


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2562 ( 18:10:25 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:26:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:28:52 )

ฌานวิสัยสร้างไฟเผากิเลส เกิดจิตสะอาดบริสุทธิ์ ก่อเกิดอุเบกขา 5!

รายละเอียด

“ฌานวิสัย”ของพระพุทธเจ้าจึงเป็น“คุณวิเศษ”ที่เจริญยิ่งๆ ขึ้น เพราะสามารถปฏิบัติ“จรณะ 15 วิชชา 8”สร้าง“ไฟ(ฌาน)

อันเป็น“ปัญญา”ทำการ“เผา(ฌาเปติ)”กิเลสอันได้แก่“ไฟราคะ-

ไฟโทสะ-ไฟโมหะ”ลงได้ เป็น“บุญ(ปุญญ)”สำเร็จหมดสิ้นจริง “จิตจึงสะอาดบริสุทธิ์เป็น“อุเบกขา 5”อันเป็น“การทรงไว้ซึ่งความเป็นพรหม”ที่แท้จริง เป็น“พระพรหม”หรือเป็น

“พระเจ้า”ในตัวคนจริง ที่เกิดได้ด้วย“กรรม”ของตนนี่แลแท้ๆ

ถึงที่สุดคือ“ดับสุข-ดับทุกข์” อันเป็น“เทฺว”หรือภาวะ“2”ลงได้ด้วย“กรรม”ของตนสำเร็จเสร็จจบหมดสิ้น ด้วย“ฌาน 1-2-3-4” จนกระทั่งถึงขั้นปลายครองสภาพ “อุเบกขา”ซึ่งเกิด “คุณวิเศษ 5” คือ ปริสุทธา-ปริโยทาตา-มุทุ-กัมมัญญา-ปภัสรา

ยืนหยัดความเป็น“ฌาน 4”ที่มีประสิทธิผลจากการปฏิบัติ

ตามกระบวนการ“เวทนา 108” เป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขา

เวทนา” เจริญด้วยคุณวิเศษ“อุเบกขา 5”นี้ไปได้ยิ่งขึ้นๆ เสมอ 

หนังสืออ้างอิง

หนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ข้อ 311 หน้า 236


เวลาบันทึก 02 สิงหาคม 2564 ( 14:50:42 )

ฌานวิสัยเป็นอจินไตย 

รายละเอียด

เรื่องราวที่เป็นอจินไตย เป็นวิสัยที่มาชำระสิ่งที่ควรชำระโลกีย์ออกได้ เรียกว่า ฌาน คือการเผากิเลส วิสัยผู้ที่ได้ชำระกิเลส ชำระกาย วาจา ใจ ชำระวาสนาอะไรพวกนี้ได้ไปแล้ว มันเป็น ฌานวิสัย เป็นวิสัยที่อจินไตยที่ไม่สามารถจะเดาได้ ก็เป็นอจินไตยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ฌานวิสัยเป็นอจินไตย 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ตอบปัญหาที่เลยปัญหาของคนหลงความรู้มาก วันพุธที่ 31 มีนาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 03 เมษายน 2564 ( 20:06:54 )

ฌานศาสนาพุทธเกิดจากศีลจากอปัณณกปฏิปทา 3

รายละเอียด

เข้าใจศีล ปฏิบัติอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิด สัทธรรม 7 คำว่าฌาน 1 2 3 4 ของศาสนาพุทธจึงเกิดจากศีล จากอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจิตพัฒนาเป็น สัทธรรม 7 ตามขั้นตอน เริ่มต้นได้เป็นฌาน 1 วิตกวิจาร รู้จิตในรูปนาม อ่านแล้วจัดการให้ได้ จนสามารถรู้กิเลส ทำกิเลสลดได้ วิตกรู้ดำริ แล้วมาจับพฤติต่างๆ ในมโนปวิจาร แยกกิเลสให้ออก แล้ว พิจารณาเห็นว่ากิเลสมันไม่เที่ยง มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตนอะไรเลย นี่คือการพิจารณาให้เห็น ไอ้การที่จะเห็น ปัญญาจะเห็นได้ว่ามันไม่เที่ยง อะไรเกิดมันก็ไม่เที่ยงหรอก แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ด้วย แท้จริงมันไม่ได้จับตัวกันเป็นตัวตนเลย มันชั่วคราวแล้วมันก็แยกกันไปเดี๋ยวมันก็จางคลาย เดี๋ยวมันก็ไปอยู่อย่างเก่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ 

เพราะฉะนั้นจะไปยึดมั่นถือมั่นเอาไม่ได้ อาตมาไม่ยึดมั่นถือมั่นเพราะเห็นของจริงอย่างนี้ที่พูดให้ฟัง อาตมาบรรลุอรหันต์ บรรลุโพธิสัตว์มาตั้งแต่ระดับ 7 อาตมาพูดอย่างสบายใจเปิดเผยหมดแล้ว เพราะทุกวันนี้คนจะไม่ค่อยรู้แล้ว อาตมาพูดไปแล้วก็ต้องอธิบายกำกับพระโพธิสัตว์รู้อย่างนี้ อรหันต์รู้อย่างนี้อธิบายได้อย่างนี้ ด้วยภาษาไทยภาษาที่คนเข้าใจกันได้  การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรม แล้วจะรู้โลกเรียกว่า โลกวิทู บรรลุแล้วจะรู้อัตตา ภาษาว่าอัตตาคือ รู้ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้เป็นรูปเป็นนาม แล้วก็ศึกษารูปนามเหล่านี้ เรียนรู้ตามลำดับ หลักธรรมพระพุทธเจ้า ปฏิจจสมุปบาทหรือโพธิปักขิยธรรม 37 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ วิชชาจรณสมบัติ และพรหม 20 ชั้นวันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2565 ( 15:12:19 )

ฌานสมาบัติ

รายละเอียด

ยังชีพไว้ด้วยอากัปกิริยาอย่างใด ๆ ก็ไม่มีกิเลสนิวรณ์ 5 จริง ๆ แท้ ๆ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 53


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:41:41 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:05:37 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:29:48 )

ฌานหรือไฟ

รายละเอียด

ฌานเป็นคำกลางๆ แล้วรู้กันอยู่ครองโลก ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นสายไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นสายฤาษีหรือสายตะวันออกกลาง สายจีน ญี่ปุ่น สายอินเดีย ฌานทั้งนั้น ใช้คำว่า ฌาน จนกระทั่งไม่สามารถจะหาคำอื่นมาใช้แทนไม่ได้ ก็เลยหาคำข้างเคียง 

ฌาน มีนัยยะ 2 อย่าง 1.เป็นพลังงาน อุณหธาตุ 2.มันทำให้กิเลสลดละจางคลายและดับได้จริงๆหมดเนื้อหมดตัวเผาผลาญ หายไปเลย ไม่เหลือเศษเหลือซาก ใช้พยัญชนะแบบรูปธรรมให้ทุกคนรู้ได้ 

เพราะฉะนั้นคำว่าไฟ ภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่า เตโชธาตุ ไฟ พอบอกว่าเตโชธาตุหรือไฟ ก็ไหม้แหลกเลย เปลี่ยนแปลงธาตุ อุณหภูมิเท่านี้มันยังไม่สลายก็เพิ่มอุณหภูมิเข้าไปอีกเรื่อยๆสูงขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านองศา ก็หมดจนได้ เห็นไหม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 19 พฤษภาคม 2564 ( 20:46:17 )

ฌานหลับตากับฌานลืมตาต่างกันอย่างไร

รายละเอียด

ฌานหลับตาได้แค่สงัด ฌานลืมตาได้สงบที่กิเลสตาย 

“ฌานหลับตา”อย่างเก่ง จึงได้แค่“วิเวก 3” แค่“สงัด”

แต่“ฌานลืมตา”นั้นมีได้เป็นได้ทั้ง“วิเวก 3”และได้ทั้ง “ปัสสัทธิ” บริบูรณ์ คือ“สงบ”แท้ เพราะ“กิเลสตายจากจิตจริง” 

นี่สงบตรงนี้ ตัวที่ชี้ชัดคือ เพราะกิเลสมันสงบจริงๆ ไม่ใช่แค่สงัดด้วยนะ ดีไม่ดีเรียกว่ากิเลสมันตายเลย ไม่ใช่แค่สงบเท่านั้น 

กิเลสตายด้วยการ“แยกธาตุ”ที่เป็น“จิตนิยาม” ออกได้ แล้วจัดการทำให้“สิ้นสภาพจากการเป็นพลังงานขั้นจิต”ให้เหลือแค่“พลังงานพีช”บ้าง ให้หมดไปเป็น“พลังงานอุตุ”บ้าง ไม่มีเวทนาแล้ว แต่มีสัญญา มีสังขารแค่พืช อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็อธิบายแถม 

(ทวน)ให้เหลือแค่“พลังงานพีช”บ้าง ให้หมดไปเป็น“พลังงานอุตุ”บ้าง  นี่ทำได้ อันไหนต้องการให้เป็นอุตุ อย่างเช่นที่เราไปปรุงไปแต่งไปวุ่นายอยู่กับอบายมุข เราก็ไม่เอาแล้ว 

เพราะฉะนั้นจิตที่เราทำได้เลย หมดเลย จึงเกิดปัญญาอันยิ่ง สบาย เพราะไม่เอา เห็นอยู่ในโลก เขาก็มีของเขา เขาปรุงแต่งกันจัดจ้านอยู่ เราไม่เอาแล้ว เราก็ เออ น่าสงสารเขานะ และเราไม่เข้าไปพยายามที่จะหาทางเกี่ยวข้องเลย ถ้าเขายิ่งจัดจ้าน เรายิ่งหลบไกล ให้ห่าง เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่อง แล้วเดี๋ยวเขาหาว่าเราไปเป็นส่วนกีดขวางเขาอีก ทั้งที่เราต้องกีดขวางเขาแน่ เพราะเรามันคนละขั้วกับความเข้าใจของเขา มันก็จะเป็นภัยต่อตนเอง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้าหลีกช้าง หลีกม้า ที่มันอะไรดุๆ ต้องหลีกให้ไกล อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่

“การทำฌานโลกีย์”ต้องอาศัย“ความสงัด”ทางภายนอก (นี้ขยายความย่อหน้าข้างบน ) แล้วจึงจะทำความสงบ ซึ่งก็จะได้“ความสงัด”ภายใน เป็นการทำ“วิเวก”อีกที นี่คือ“การปฏิบัติฌาน”ของ“ฌานโลกีย์”ที่ทำกันอยู่ทั่วไปเป็นแบบสามัญ [เพราะปฏิบัติให้เกิดความสงบ(ปัสสัทธิ)ไม่ได้]

กล่าวคือ โลกียะจะทำ“ฌาน”ได้ก็ต่อเมื่อต้องมี“วิเวก”ที่เป็น“กายภายนอก”ก่อน แล้วเรียกว่า“กายวิเวก” แล้วจึงจะทำ“ฌาน”ขั้นที่ 2 คือ “จิตตวิเวก”กันได้

โลกียะ จะทำฌานได้ก็ต่อเมื่อต้องมีวิเวกก่อน เรียกกายวิเวก แต่ฌานของพุทธ ไม่ต้องมีสถานที่วิเวก ไม่ต้องปลีก ไม่ต้องไปไหนเลย  

เพราะคำว่า “กาย”ของชาวโลกีย์นั้น มิจฉาทิฏฐิกันไปแล้วว่า หมายถึง“ภายนอก”อย่างเดียว ไม่มี“จิต”ร่วมด้วย 

การปฏิบัติ“ฌานโลกีย์”จึงต้องหนีเร้นไปอยู่ในที่ลับกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 16:23:10 )

ฌานหลับตาแบบเดียรถีย์ผิดตั้งแต่ต้นทาง

รายละเอียด

แต่เขาเข้าใจวิโมกข์ได้จากการทำฌานหลับตา ไปนั่งหลับตาปิดหู ผิดตั้งแต่ต้นทางเลย  ก็เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสถามพราหมณ์ว่าอาจารย์ท่านสอนอย่างไร 1.อินทริยภาวนาสูตร (152) [845] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯพ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯอุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการ เจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงดัง  พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรมบ้านราช วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 30 มกราคม 2563 ( 18:06:35 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:14:45 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:29:27 )

ฌานหลับตาในภพ 

รายละเอียด

ฌานหลับตาในภพ  คือ  ผู้มีธาตุรู้ที่ยังเป็นเฉโก  ก็คือ  ผู้ยังไม่มีธาตุรู้ที่เรียกว่า “ปัญญา”  ยังไม่มีฌานแบบพุทธมีแต่ฌานหลับตาในภพ  ไม่ใช่ฌานที่เดินทางสู่ “ชาครณะ” ที่เป็นความตื่นแต่เป็นฌานที่เดินทางเข้าสู่ “เสยยะ”  ที่เป็นการนอน  ก็ยิ่งเป็นการปฏิบัติเพื่อเดินทางเข้าสู่ความหลับซึ่งไม่ใช่ฌานที่เกิดจาก จรณะ15  วิชชา8  อันเป็นพุทธคุณของพระพุทธเจ้า  จึงไม่ใช่ฌานที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าอยู่ชัดๆ  ซึ่งเป็นฌานนอกศาสนาพุทธจึงไม่มีปัญญาที่พ้นสักกายทิฏฐิได้

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:24:04 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:20:27 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:27:53 )

ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ

รายละเอียด

ญาณหยั่งรู้กิเลส รู้ฌานตามที่เป็นจริง

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 51


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:42:31 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:06:07 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:34:24 )

ฌานเกิดจากจรณะ 15

รายละเอียด

ฌานเกิดจากจรณะ 15เป็นวิชชาจรณสัมปันโนของพระพุทธเจ้าที่ออกมาประกาศสิ่งที่เป็นการขัดแย้งกับเดียรถีย์ แต่ไหนแต่ไร ถ้าหากพระพุทธเจ้าไม่เกิดไม่มีวิชชาจรณะเกิด ไม่มีฌานของพุทธเกิด เมื่อ 2500 กว่าปีผ่านไปมีความเสื่อมของศาสนาพุทธจนกระทั่ง ฌานโลกุตระหมดไป แยกไม่ออกว่าฌานโลกุตระกับฌานโลกียะต่างกันอย่างไร

อาตมาก็ต้องนำมาฟื้นประกาศ ดีที่มีวิชชาจรณะ 15อยู่ ตั้งแต่ สังวรศีลสำรวมอินทรีย์โภชเนมัตตัญญุตาชาคริยานุโยคะ เกิดสัทธรรม 7ฌาน 4วิชชา 8เกิดเป็นฤทธิ์อำนาจทางจิต มโนมยิทธิ สามารถทำให้กิเลสละอายหรือเราละอายต่อกิเลส กิเลสของเราละอายต่อปัญญาของเรากิเลสก็หลีกไปเลยหรือเกรงกลัว ไม่มาเลย ห่างไกลเลย มันจะเกิดคุณสมบัติอย่างนั้นจริงๆเลย เป็นฌาน อย่างลืมตา ด้วยจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่ยิ่งฝึกยิ่งนิ่งยิ่งไม่รู้อะไรยิ่งขึ้น แต่ของพุทธนั้นยิ่งฝึกยิ่งคล่องแคล่ว ว่องไว รู้เร็วปรับเร็วเหมาะควรแก่การงาน อย่างสุขุม ละเอียดลึกซึ้งทำลายกิเลสได้จริง ไม่ใช่ไปทำให้เกิดความซื่อบื้อความทื่อในจิต 

ที่มา ที่ไป

พุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 28สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 29 พฤศจิกายน 2562 ( 14:40:18 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:56:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:27:20 )

ฌานเกิดได้อย่างไร

รายละเอียด

ตัวนี้จึงยาก เพราะคำว่าบุญไม่มีในจรณะ 15 แต่มีคำว่าฌาน และความเป็นฌานของศาสนาพุทธก็ต้องเกิดแบบตามกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าไม่รู้จริงๆว่า จรณะ 15 วิชชา 8 คืออะไรบ้างและปฏิบัติถูกต้องครบกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ฌาน มันก็ไม่เกิดสมบูรณ์ มันเป็นฌานนอกรีตทางศาสนาพระพุทธเจ้าไปเลย
ฌานวิสัย เป็นเรื่อง อจินไตยในอจินไตย 4

1. พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย 

2. ฌานวิสัยของผู้ได้ฌาน

3. วิบากแห่งกรรม 

4. ความคิดเรื่องโลก (จักรวาล เอกภพ) 

(พตปฎ. เล่ม 21  ข้อ 77)

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สุภกิณหาอย่างพุทธดับสุดสิ้นอาสวะ วันพุธที่ 2 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 31 มกราคม 2564 ( 14:27:46 )

ฌานเข้าใจกันยาก เพราะไปหลงเชื่อว่าเกิดจากการหลับตาปฏิบัติ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ฌาน ของพระพุทธเจ้าจึงยากที่จะเข้าใจ ที่อาตมาพยายามอธิบาย เพราะเขาไปหลงผิด ไปหลงเชื่อว่า ฌานต้องทำการหลับตา มันแน่นนานจนไม่มีใครขยายความ เชื่อกันมาจนเป็นพันปีแล้ว มันเสื่อมมาเกินกว่าพันปีแล้วมาถึง 2,000 กว่าปีแล้ว อาตมาก็ต้องมากอบกู้ มาช่วยเหลือ มาเอาความถูกต้องของพระพุทธเจ้าคืนมาใหม่ 

ซึ่งคนก็ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆหรอก เพราะว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ต้องมาพิสูจน์ตัวเอง ว่าตัวเองไม่ได้เป็นลูกศิษย์ใคร ไม่ได้มีสำนักเรียน ไม่ได้มีครูบาอาจารย์ ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง โผล่ออกมาแล้วบอกว่าตัวเองเอาของตัวเองมาเก่า ที่เป็นของเก่าแต่ชาติก่อน เขาก็ตามไปรู้ชาติก่อนๆของอาตมาไม่ได้ ซึ่งมันก็น่าเห็นใจ แต่อาตมาพูดความจริง แล้วมันก็เป็นความจริง 

ความจริง จริงๆก็คือ ที่อาตมาพูดนั้นมันเป็นไปได้ไหม อาตมาพูดตอนแรกๆนั้นไม่เป็นไปได้ เขาไม่เชื่อกันหรอก มีคนที่มีบารมีอย่างพวกเรา เมื่อสัมผัสก็จะรู้ว่าใช่ ควรมา ถึงได้มากัน แล้วก็มาได้เพราะมีบารมีเก่า อาตมาก็เสริมช่วยกันได้เพิ่มขึ้นอีก จนบรรลุต่อเป็นพระอรหันต์กันไปเยอะแยะ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 13:30:11 )

ฌานเดียรถีย์ทำให้หยุดๆ นิ่งๆ แล้วตั้งมั่น ส่วนฌานพุทธทำอย่างไร

รายละเอียด

อันหนึ่งมีอย่างเดียวคือทำให้หยุดๆ นิ่งๆ แล้วตั้งมั่น แต่อีกอันหนึ่งทำให้กิเลสออกๆๆๆ จิตก็ยิ่ง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ปริสุทธาคือจิตจะสะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส บริสุทธิ์สะอาดจากกิเลสนี่แหละคือ สะอาดจากกิเลสขั้นอาสวะด้วย สะอาดจากกิเลสาสวะ 

จิตบริสุทธิ์จากอาสวะ ปริโยทาตา ยิ่งบริสุทธิ์ตั้งมั่นสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ตั้งมั่นยิ่งขึ้นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่หยุดอีก ยิ่งคล่องแคล่วขึ้นเป็นมุทุธาตุ มุทุภูเต คล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียว เป็น กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา พร้อมกันเลยทั้งภายนอกภายในคล่องแคล่ว ซึ่งมันตรงกันข้ามกันกับทาง เดียรถีย์ ทางโลกียะเขาไปหมด นอกจากจะ มุทุภูตธาตุ ทั้งแน่นก็อยู่ในนี้ ทั้งคล่องแคล่วแววไว ปราดเปรียวยิ่งขึ้นๆ ก็อยู่ในนี้ เป็น 2 สภาพที่เป็นสภาวะจิตทั้ง เจโตและปัญญา เจริญขึ้นไปควบแน่นอยู่ในจิตหนึ่งเดียว 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 25 สิงหาคม 2565 ( 14:27:17 )

ฌานเป็นคู่หูของบุญ

รายละเอียด

ฌาน ก็เริ่มต้นเป็นพลังงานแท้ๆเป็นคู่หูของบุญ เป็นคู่กัน ตั้งแต่ฌาน 1 ก็เรามีฝีมือรู้จักกิเลสกำจัดกิเลสไปได้ส่วนหนึ่ง ฌาน 2 ก็เพิ่มขึ้นอีก ฌาน 3 ก็เพิ่มขึ้นอีก ฌาน 4 ก็หมดกิเลส จะเรียกเป็นฌาน 5 ตัวจัดการอีก เป็นบุญเป็นตัวตัดอีก ให้ตายแน่นอน ถ้าไม่ตาย ก็เป็นหน้าที่ของบุญทำให้มันไม่รอดเลยนะ ไม่ใช่บุญเก๊ ถ้าเป็นบุญจริงๆ แล้วตัด เป็นพลังงานบุญจริงแล้วเด็ดขาดต้องตาย ไม่เชื่อถามโยมหน่อย(ต้องตาย)สิ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 46 จรณะและวิชชาคือพุทธคุณภาคปฏิบัติ วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 14 พฤษภาคม 2565 ( 19:11:34 )

ฌานเป็นพลังงานที่สร้างขึ้นแล้าเผากิเลส

รายละเอียด

แม้แต่ฌานหากไม่เกิดฌาน บุญก็ไม่มี บุญเป็นพลังงานที่รวมผลของฌาน ฌานเป็นพลังงานที่สร้างขึ้นแล้วเผากิเลส เผาเสร็จก็เรียกว่าบุญ เผาเสร็จก็เรียกว่าบุญ เมื่อหมดกิเลส บุญก็หายไป บุญไม่มี ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจ ไม่ง่าย แต่เข้าใจไหม?…เก่งจัง เข้าใจสิ่งที่ไม่ง่ายได้ เขาก็วนบุญกับบาปอีก ไม่เข้าใจความจบไม่มีนิพพานไม่มีสูญ ไม่มีดับเด็ดขาด บุญไม่มีคู่ เอกังสะ one way traffic ไม่มีโค้งงอก ไม่มีองศากลับ ไปเดี่ยวๆ ไปตรงเลย นิวเคลียร์ฟิชชั่น ตรงหายไปเลย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 13:54:10 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:57:14 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:26:21 )

ฌานเป็นพลังงานอจินไตย

รายละเอียด

ฌาน เป็นพลังงานที่จะใช้อยู่ในชีวิต แม้เป็นอรหันต์แล้ว เป็นโพธิสัตว์อยู่ก็ต้องใช้ฌานตลอด แต่บุญนั้นแค่เป็นอรหันต์ก็ไม่มีแล้ว ไม่ต้องใช้แล้วบุญ หมดกิเลสแล้ว เป็นอรหันต์แล้วบุญก็จบ แต่ฌานนั้นพระอรหันต์โพธิสัตว์ต้องใช้ตลอดกาล แม้ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังใช้ฌาน เพราะฉะนั้นคำว่า ฌาน จึงเป็นพลังงานอจินไตย ฌานวิสัย

ฌานวิสัยของศาสนาพุทธ จึงไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆเลย มันไม่ต้องไปนั่งเข้านั่งออก มันมีตลอดในการใช้งาน เพราะฌานคือ ปัญญาปัญญาคือฌาน เมื่อบุญฆ่ากิเลสหมดแล้ว อาสวะสิ้นแล้ว ก็จบกิจแล้วนี่ เพราะฉะนั้นพลังงานฌานก็ยังใช้อยู่ อาศัยอยู่ มีนิสัย เป็นวิสัยของฌาน เป็นอนุสัย ฌานอยู่ในอนุสัยของพระอรหันต์หรือของโพธิสัตว์นั่นเอง เป็นพลังงานที่จะต้องใช้ในความฉลาด และต้องใช้เรียนรู้ 

เมื่อเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ1 ได้แล้ว จะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 เป็นอรหันต์ระดับ 2 ขึ้นไปอีก คุณก็จะต้องเรียนรู้จากการที่จะใช้ฌานหรือใช้ปัญญา 

ปัญญากับกิเลส เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วกิเลสมีมั้ย? จะมีแต่กิเลสอยู่ที่อื่น กิเลสอยู่ข้างนอก พอกิเลสมันวิ่งมาเจอปัญญา มันวิ่งหนีหูตูบ พระอรหันต์ขึ้นไปจึงไม่จำเป็นต้องไปใช้เรี่ยวแรงอะไรกับกิเลสอีก แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ชั้นสูง เป็นอนุโพธิสัตว์ แน่นอนกิเลสมันก็ตอแยกับคุณบ้าง ใช่ไหม คุณยังไม่เก่งจนกระทั่งมีรังสี มีรัศมีอย่างอาตมาพูดที่บอกว่า กิเลสหรือมารมันมาเจอหน้าปัญญานี่มันวิ่งหนีหูตูบเลยนะ มันหมายความว่า ผู้นี้ต้องมี ภูมิธรรมสูงในระดับอย่างน้อยก็ระดับนิยตโพธิสัตว์ขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงนิยตโพธิสัตว์ กิเลสมันก็ตอแยกับคุณบ้าง เป็นอนุโพธิสัตว์ก็ตอแยมากหน่อย พอเป็นอนิยตโพธิสัตว์กิเลสก็ไม่ค่อยกล้า ยิ่งเป็นนิยตโพธิสัตว์ กิเลสก็ยิ่งน้อย ไม่กล้าตอแย มหาโพธิสัตว์ก็ยิ่งไม่เข้าใกล้เลย ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยิ่งสุดยอด 

สรุปอีกทีหนึ่งว่า บุญมีวันหมด แต่ฌานไม่มีวันหมด เห็นไหม เป็นฌานวิสัย เป็นอจินไตยที่เข้าใจยาก บุญมีวันหมด แต่ฌานไม่มีวันหมด  เป็นพลังงานจิตทั้งคู่ แต่บุญนี้เป็นพลังงานจิตที่เป็นเพชฌฆาต ส่วนฌานนั้นเป็นเพชฌฆาตด้วย แล้วเป็นเทวดาด้วย ฌานเป็นเพชฌฆาตและเป็นเทวดาด้วย แต่พอเป็นเพชฌฆาตมาถึงฌานที่ 4 แล้ว ยกหน้าที่ให้บุญ บุญเป็นผู้รับหน้าไปนะ ว่าไอ้ที่ไปฆ่าเขาตายนั้นฌานไม่เกี่ยวนะจ๊ะ บุญเป็นคนฆ่านะจ๊ะ เหมาให้บุญรับไป เห็นไหมนี่มันมีความลึกซึ้งซับซ้อนอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นฌานจึงเป็นตัวดี ดูดี แต่บุญไม่ดี บุญดูแล้วเป็นนักฆ่าอำมหิต แต่ไม่อำมหิตระรานอะไรใครหรอก กิเลสตัวมารตัวเดียวผีตัวเดียว กิเลสเท่านั้น บุญฆ่าแต่กิเลส ไม่ฆ่าอย่างอื่น เพราะฉะนั้นบุญจึงจะต้องมีความฉลาดมากเลยนะ อย่าไปฆ่ากิเลสผิดนะ ถ้าฆ่ากิเลสผิด กิเลสคือตัวโง่ คุณก็โง่วนเข้าไปคุณฆ่ากิเลสคุณไปโง่ คุณไปฆ่าโง่เข้าไปอีก ไม่ใช่คนฉลาดขึ้นนะ คุณไปฆ่าโง่ของคุณอีก คุณฉลาดขึ้นหรือคุณโง่มากขึ้น เห็นไหมความซับซ้อนของสิริมหามายา คุณไปฆ่าโง่ ไม่ใช่คุณฆ่าโง่ที่มันโง่ มันไม่รู้กิเลสไม่รู้อะไร แล้วคุณไปฆ่าไอ้ตัวนี้อีก มันไม่มีปัญญา แล้วคุณก็ไปฆ่าเอง คุณก็ยิ่งอับปัญญา คุณก็ยิ่งไม่มีปัญญาซับซ้อน อันนี้ไม่มีพยัญชนะจะอธิบายแล้ว ภาษาอธิบายได้แค่นี้ มันซับซ้อนจน มันเป็นอะไรกันแน่ 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 20:05:07 )

ฌานเป็นพลังงานไม่ใช่ตัวตน

รายละเอียด

แล้วก็วิญญานัญจายตนะ มีจิตสงัดจากอากาสานัญจายตนสัญญา คุณไปยึดถือว่าเป็นฌานเป็นตัวตนเป็นเครื่องอาศัย ที่จริงฌานเป็นพลังงานอุณหธาตุ เป็นพลังงานเผา แต่ไปเข้าใจผิดว่าเป็นการเพ่งฌาน ไปเข้าใจผิดว่ามันเป็นตัวเก่ง คุณก็ได้ฌานที่เป็นตัวตนไป หากจะให้หมดความเป็นตัวตนคุณจะต้องรู้ว่าพลังงานที่สร้างเป็นฌาน คือพลังงานที่มันเผากิเลสเป็นพลังงานปัญญา ฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน พยัญชนะปัญญา คนเอาไปใช้เสียหายอีกเยอะ ปัญญาธาตุอาตมากำลังเขียนหนังสืออีก 1 เล่มเรื่องปัญญา 8 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 3 วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม 2564 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 08 กรกฎาคม 2564 ( 20:09:21 )

ฌานเป็นมรรค บุญเป็นผล

รายละเอียด

พลังงานที่มันจะทำงาน ฌานเป็นมรรค บุญเป็นผล ถ้าทำพลังงานที่เป็นฌาน จัดการกำจัดไฟราคะโทสะโมหะ มันจัดการเสร็จก็สำเร็จหน้าที่บุญ ต้องมีสิ่งที่เกิดให้ไปจัดการคือฌาน ผู้สร้างบุญคือสร้างฌาน เผากิเลสให้หายไปเหลือแต่จิตที่สะอาด จิตเป็นสิ่งมีสิ่งเป็นจิตเป็นกุศล สะอาดขึ้นตกผลึกสั่งสม ลงเป็นจิต ตั้งมั่นขึ้น แข็งแรงขึ้น เป็นกอบเป็นกองขึ้น เรียกว่าเป็นสมาธิ จิตที่ตั้งมั่นเรียกว่าสมาธิ ต้องรู้ขณะใดที่เป็นฌาน เหลี่ยมใดเป็นบุญ ต้องรู้ฌานรู้บุญ มันคนละเหลี่ยมกัน ไม่ใช่มิติเดียว

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561


เวลาบันทึก 31 ธันวาคม 2563 ( 12:29:53 )

ฌานเป็นมรรคบุญเป็นผล

รายละเอียด

บุญกับฌานก็ต้องมีมาด้วยกัน หากไม่มีฌานมาก่อนบุญไม่เกิด เพราะฌานเป็นพลังงานจิต คนที่สามารถเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า เรียนรู้จรณะ 15ถ้าเรียนรู้ไม่มีจรณะ 15ฌานไม่มี คนที่จะมีฌาน1 2 3 4  ของศาสนาพุทธ จะต้องมีจรณะ 11มีศีลเป็นข้อหลัก

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม สันติอโศก วันอาทิตย์ที่ 18สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2562 ( 03:18:48 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:35:00 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:26:44 )

ฌานเป็นอุณหธาตุทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้

รายละเอียด

บัดนี้ก็ได้ถึงเวลาที่จะได้ฌาปนกิจศพ ฌานคือไฟกองใหญ่ไฟที่ใช้เผาแต่มันมีความลึกซึ้งก็เป็นอุณหธาตุถ้าที่มีฤทธิ์เดชดับหรือทำลายไฟราคะ โทสะ โมหะได้ ที่เป็นอุณหธาตุเหมือนกันอันนี้เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นอาตมาศึกษาศาสตร์ของพระพุทธเจ้าก็รู้ตามมา ณ เวลานี้ก็จะได้เผาร่างนี้กลับคืนสู่ธรรมชาติ ณ บัดนี้

ที่มา ที่ไป

การแสดงธรรมก่อนประชุมเพลิงหน้าศพ วันที่ 3 มกราคม 2561


เวลาบันทึก 26 มีนาคม 2564 ( 20:57:38 )

ฌานเป็นเรื่องทวนกระแสโลกีย์

รายละเอียด

ฌาน คือ พลังงานความร้อน พลังงานไฟเผากิเลส ต้องสร้างได้ด้วยกระบวนการของจรณะ 15 วิชชา 8 ไปนั่งหลับตาเป็นของพื้นๆทั่วไปอยู่ในโลก ฌาน นั่งหลับตาเป็นของสามัญโลกีย์ปุถุชน สูงสุดของเทวนิยมตีธรรมะ 2 ไม่แตก เขาก็หันกลับไปเอา 1 การหันกลับทวนจริง มีทวนอย่างเป็นสัจจะกับทวนอย่างไม่เป็นสัจจะ 

ทวนอย่างไม่ใช่สัจจะก็เป็นอย่างนักมายากล หลอก ที่จริง ไม่จริงก็หลอก

ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ทวนกลับ สิ่งที่คุณเห็นไม่จริงแต่มันเป็นเรื่องจริง 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประชาธิปไตยไทยดีที่สุดเพราะมีโลกุตระ วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

บุญกับฌานเป็นเรื่องทวนกระแสโลกีย์


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 19:55:23 )

ฌานเป็นเหตุของสมาธิอย่างไร

รายละเอียด

ฌานเป็นเหตุของสมาธิ ไม่ใช่สมาธิเป็นเหตุของฌาน ไปนั่งหลับตา จะเริ่มต้นด้วยสมาธิแล้วจิตจะเกิดฌาน มันเป็นคนละทิศทางกันเลยคุณเอ๋ย ไปนั่งสมาธิจนกระทั่งจิตเป็นฌาน ฌานลืมตามันต้องมีทวารทั้ง 6 ครบ แล้วได้ผลฌานคือไฟ เป็นพลังงานที่ไปเผากิเลสเรียกว่าฌานที่ 1 2 3 4 อย่างรู้เห็นแจ้ง อย่างลืมตา อย่างมีปัญญา ฌานอยู่ที่ใดปัญญาก็อยู่ที่นั่น ฌานกับปัญญาแยกออกจากกันไม่ได้ คุณจะมีปัญญาก็ต้องมีพลังงานชำระกิเลส ปัญญาคือธาตุรู้ที่กิเลสลดได้จริง เพราะฉะนั้นฌานคืออาวุธสลายกิเลส เมื่อคุณทำอาวุธหรือเครื่องเผาคือฌานสำเร็จ กิเลสก็ถูกเผาลงสำเร็จเรียกว่าผลของฌาน ตกผลึก ทีละตัวๆ ให้มากเข้าแน่นเข้า เรียกตัวมากเข้าแน่นเข้าของจิตที่สั่งสมเป็นผลลงเรียกว่าเป็นสมาธิ ส่วน ฌานคือตัวทำตัวเผา สมาธิก็เป็นผลของจิตที่สะอาดสั่งสมลงไปเรื่อยๆ หากทำสมาธิแล้วไปทำฌาน มันจะได้มรรคผลอย่างไรกันได้

ที่มา ที่ไป

รายการวิถีอาริยธรรม บ้านราช วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2561


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2564 ( 11:11:21 )

ฌานเผากิเลสได้เสร็จถือว่าการเผากิเลสขาดไปเรียกว่าบุญ

รายละเอียด

เหมือนกับอธิบายคำว่าบุญ บุญไม่มีกลับมา บุญมันทำงานหน้าที่เดียว มันเป็นพลังงานของฌานที่ทำสำเร็จ เมื่อเผากิเลสสำเร็จได้หมดสิ้น แล้วเกิดในทุกปัจจุบัน ในปัจจุบันใดที่ผู้ปฏิบัติธรรมพลังงานที่เป็น ฌาน เผากิเลสได้เสร็จก็ถือว่าการเผากิเลสขาดไป เรียกว่าบุญ หากยังไม่ขาดก็นึกว่ายังเป็นเสขบุคคล ถ้าหมดเลยก็อเสขบุคคล อธิบายลักษณะพวกนี้บุญไม่มีภาวะ 2 บุญมีแต่เพียงภาวะเดียวทำหน้าที่เสร็จแล้วก็สูญ 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันพุธที่ 15 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2563 ( 11:30:05 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:05 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:25:57 )

ฌานเหมือน รปภ. ป้องกันตัวตลอดเวลา

รายละเอียด

เป็นผู้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4อาตมามีฌานในตัวทุกเวลา ผู้ที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ก็ต้องสร้าง ฌาน ทำใจในใจให้เป็นไฟฌาน กำจัดกิเลส ราคะโทสะโมหะ ต้องทำใจในใจให้ได้ให้เป็น จนกระทั่งได้โดยสบายๆเป็นอัตโนมัติ อาตมาผ่านมาหมดแล้ว ฌานทั้ง 4มีประจำตัวอัตโนมัติ ฌานนั้นเผากิเลสหมดแล้วด้วย เป็นพลังงานที่เหมือนกับที่เรามี รปภ.ป้องกันตัว พลังงานฌานไม่ให้ศัตรูราคะโทสะโมหะเข้ามาตอแย เป็นพลังงานที่อยู่ในตัวเลย พูดเป็นปุคลาธิษฐานที่จริงเป็นธรรมาธิษฐาน ผู้มีฌานแล้วก็ไม่ต้องเข้าไม่ต้องออก มีอยู่แล้ว แต่ผู้ที่จะต้องไปหลับตาแล้วทำฌานนั้นเป็นสิ่งที่ผิดไปจากพุทธ พลังงานไฟฌานคือพลังงานสลายราคะโทสะโมหะ ให้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่งฌานทั้ง 4

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิบ้านราช วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 26 มกราคม 2563 ( 16:16:45 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:39:28 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:25:34 )

ฌานแบบพุทธ

รายละเอียด

คือ พลังงานที่เป็นไฟหรืออุณหภูมิธาตุที่สามารถเผาหรือกำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ได้อย่างแท้ๆ กิเลส 3 กองนี้ จึงหมดสิ้นไปจากจิตสำเร็จจริงๆ

หนังสืออ้างอิง

 “คนจน” ที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 256


เวลาบันทึก 10 พฤศจิกายน 2562 ( 13:10:46 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:26:35 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:25:07 )

ฌานแบบพุทธ 

รายละเอียด

ฌานแบบพุทธ  คือ ฌานที่เกิดตามกระบวนการจรณะ 15ตั้งแต่เริ่มต้นคือมีศีลเป็นข้อกำหนดในแต่ละปริเฉทไป  เมื่อมีผลในหนึ่งปริเฉทจบศีลก็จบ ผลของศีลปริเฉทนั้นๆ  ทีละปริเฉท ศีลข้ออื่นก็จะมีผลขึ้นในปริเฉทใหม่อีกที  เป็นอธิศีล แต่ละข้อในแต่ละปริเฉทหนึ่งบริบูรณ์เป็นลำดับๆไปแต่ละขั้น ฌานลืมตาจึงเป็นฌานที่มีลำดับน่าอัศจรรย์ตามศีล

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:33:31 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:41:59 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:24:45 )

ฌานแบบพุทธต่างจากลืมตาสมาธิ

รายละเอียด

ทุกวันนี้แทบจะไม่มีแที่สัมมาทิฏฐิเลยในยุค 2,500 กว่าปีนี้ อาตมาก็มาเปิดเผยยืนยันเตือนสติให้ตรวจสอบ ว่าทำฌานกันนั้น จะลืมตาทำหรือหลับตาทำก็ตาม แต่ส่วนมากจะหลับตาทำ ลืมตาทำ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นฌานแบบพุทธหรอก อย่างท่านติชนัทฮันห์ หรืออย่างท่านพุทธทาส จะไปเรียกว่าลืมตาสมาธิ ไม่ใช่เรียกฌาน

ซึ่งฌานกับสมาธิก็ต่างกันไกล เพราะสมาธิเป็นผลของการทำใจกับการทำฌาน ฌานเป็นตัวกลางเท่านั้นเอง 

เพราะไปหลงว่านั่งหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นปึ๊งเลย ฌานของพระพุทธเจ้าต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะว่าฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปหลับตา ฌานของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในขณะทำงานอาชีพขณะทำการงานทุกอย่าง ขณะพูดอยู่กำลังคิดอยู่ เป็นการงานที่อยู่ในปัจจุบันตื่นเต็ม มีสติเต็มตื่นทั้งนอกทั้งใน แล้วก็เรียนรู้จัดการ เมื่อเกิดจิตสังขารอยู่ข้างในแล้วก็ต้องมาแยกธัมมวิจัย แยกกิเลสออกจากจิต แล้วก็จัดการใช้ปัญญาอันยิ่ง จนกิเลสมันสู้ไม่ได้ไม่อยู่เลย จนมีพลังงานของปัญญาทำให้กิเลสไม่กล้าเข้าใกล้และไม่เกิดอีกในจิต นั่นคือผลสูงสุด 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2 วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2564 ( 10:59:57 )

ฌานแบบสัมมาทิฏฐ

รายละเอียด

คือ ผู้ทำจิตเป็นพลังงาน“ไฟวิเศษ”ที่สามารถเผาไหม้“ไฟราคะ-ไฟโทสะ-ไฟ โมหะ”ได้อย่างรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“สภาวธรรม”

หนังสืออ้างอิง

คนจนที่มีแบบ ฉบับแก้แล้วไขอีก เล่ม 1 หน้า 299


เวลาบันทึก 29 ธันวาคม 2562 ( 13:36:14 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:44:20 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:24:20 )

ฌานแบบหลับตาเป็นรูปฌานโลกีย์

รายละเอียด

คุณก็ทำฌานแบบหลับตา เป็นรูปฌานโลกีย์ดับสัญญาแบบโง่ๆ สะกดจิตดับๆๆ เช่นอย่างที่อธิบาย ฌานที่ 1 มีวิตกวิจาร ปีติ สุข คุณจะรู้ต่อเมื่อเริ่มฌาน 3 จะรู้จักสุข ในหลับตานะ ยังหยาบอยู่ ที่วิตกวิจาร มีปีติ จนปีติเบาบางอ่อน หรือไม่มีก็จะรู้สุข มันยึดดียึดว่างเป็นตัวตน ก็เรียนรู้อันนี้ ยังยึดสุขอยู่ยึดทุกข์อยู่ ว่างนี่แหละดี สุขก็อย่าไปหลงสุข วางปล่อยสุข เมื่อสุขไม่มีก็เป็นอุเบกขา อาศัยบ้างไม่ติดยึด แล้วคุณจะมีธาตุรู้ปัญญาที่รู้ยิ่ง โลกุตระว่างอย่างนี้ แต่คุณจะอ่านอาการของจิต ที่ไม่มี อัสสาทะ ไม่มีรสของโลกีย์เลย คุณจะรู้ได้ด้วยตนเอง อาตมาอธิบายไปใช้แต่ภาษาสื่อสารไปคุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ว่า อาการว่างดี ที่เรานึกว่าสุขยังยึดว่าว่าง แต่มันไม่ว่างหรอก เพราะมันยังมีเนื้อของมันอยู่ที่คุณยังยินดีกับสิ่งเหล่านี้ จนกว่าคุณจะหมดยินดี หมดดูด ดูดนิดนึงก็ไม่มี แล้วก็อยู่กับสัมผัสมีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้วก็มีความเป็นกลางอุเบกขา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ชาติ 5 แยกวิญญาณฐีติ 7 สัตตาวาส 9 วันพุธที่ 27 มกราคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:20:46 )

ฌานแรกเป็นปัญญาที่รู้จักตัวกิเลส

รายละเอียด

ฌานแรก เป็นปัญญาที่รู้จักตัวกิเลส แล้วก็ทำ ปัญญาพยายามวิตกวิจาร พิจารณาความจริง จับกิเลสในตัววิตกได้ มีความโกรธปฏิฆะอยู่ในจิตก็แยกออกได้ แล้วบอกว่าเอ็งเป็นผีเป็นมารเป็นซาตานเป็นตัวปลอมตัวเก๊ ปัญญามันจะมีพลังอำนาจมีความรู้ จนพวกนี้มันอายมันหนี ยิ่งปัญญาแข็งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้พวกนี้กลัว หนีๆๆ เพราะฉะนั้นทำปัญญาให้แข็งแรง ทำปัญญาให้แจ้งจริง เพราะในจิตของเรา ปัญญาเป็นตัวอำนาจใหญ่ จับตัวกิเลสได้ปั๊บ กิเลสมันกลัวมันหายหนี ตายไป ตายไม่กลับมาเลย แต่ไม่เป็นอย่างนั้น 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน การทำบุญทำทานอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร


เวลาบันทึก 04 มีนาคม 2564 ( 11:09:02 )

ฌานและบุญคือตัวทำลายกิเลส

รายละเอียด

สรุปแล้วทั้งคำว่า ฌาน และบุญ ของชาวพุทธนี้ไม่มีคำไหนทำลายกิเลสเลย ทั้งๆ ที่ บุญก็ดี ฌานก็ดี มันคือตัวทำลายกิเลส แต่ที่เขาทำ ฌานก็ไม่ได้ทำลายกิเลส เย็นสงบ จิตเป็นหนึ่งเข้าสู่สมาธิ เขาก็บอกว่าทำจิตให้สงบเข้าถึงสมาธิแล้วจะเกิด ฌาน 1 2 3 4 ก็เป็นลักษณะอะไรไม่รู้ เป็นมโนมยอัตตา magical ตลก

ฌาน1 วิตกวิจารก็คือ มันไม่สงบดี ปีติ สุข ก็ยังไม่อุเบกขานะ ฌาน 1 เขาว่าอย่างนั้น พอฌาน 2 ก็วิตกวิจารหายไป ก็เหลือปีติกับสุขก็ไม่เรียกว่าอุเบกขา ต้องฌานที่ 3 ท่านถึงบอกว่าจึงจะเข้าสู่สภาวะที่บอกว่าสงบหรือเป็นกลาง อุเบกขา เมื่อเป็นฌานที่ 3 ก็เหลือสุข กับเป็นกลางหรืออุเบกขา ส่วนฌาน 4 ก็เหลืออุเบกขา อธิบายเป็นภพชาติสถานะไม่เป็นพลังงาน ไม่ได้เป็นกำลังที่เราจะต้องสร้างอภิสังขาร สร้างสังขารจิต ให้จิตมีพลังงานที่เกิดขึ้นมาเป็นลักษณะที่ยิ่งใหญ่ เรียกโดยศัพท์ว่าปุญญะ เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร หมายความว่าปรุงแต่งพลังงาน มีการทำใจในใจ มนสิกโรติ ให้มันมีคุณสมบัติของพลังงานนี้จนสามารถเป็นบุญ บุญต้องมีปัญญาร่วมด้วย บุญไม่มีปัญญา ไม่มี

เมื่อทำพลังงานนี้ขึ้นมาได้ต้องรู้ว่ากิเลสคือตัวไหนอะไรแค่ไหนอย่างไร เป็นพลังงานที่เลือกสรรได้อย่างสะอาด เอาตัวอกุศลราคะโทสะโมหะให้สลายไปได้ เป็นเรื่องลึกซึ้งมากเป็นวิธีวิชาการที่ใหญ่ที่สุดของศาสนาพุทธ ศาสนาอื่นใดไม่มีความรู้ชนิดนี้ มีแต่ในศาสนาพุทธเท่านั้น

ที่อาตมาพูดนี้อาตมามีสภาวะมาอธิบายเป็นภาษาทั่วไปง่ายๆ เอาศัพท์วิชาการที่ใช้แทนอ้างอิง ขยายเป็นภาษาง่ายๆ ไทยๆ ให้ฟัง

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ขั้นตอนการสร้างพลังงานบุญโดยพิสดารวันพุธที่ 14 มีนาคม 2561ที่บวรราชธานีอโศก
สื่อธรรมะพ่อครู(สมาธิพุทธ) ตอน บุญกับฌานอะไรเก่งกว่ากัน


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:06:50 )

ฌานและบุญเป็นเพชฌฆาตแต่บุญเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย

รายละเอียด

ฌานนั้นคือปัญญา ฌานก็เผา ฆ่าเหมือนกัน ฆ่า จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้าย เรียกว่าบุญ 

บุญคือ เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌาน คือ เพชฌฆาต 4 มือ หรือ 3 มือ ข้างต้น บุญคือ ฌาน คนที่ 4 หรือคนที่ 5 บางที พวกอภิธรรมแยกฌานเป็น 5 

ฆ่า เสร็จแล้วกิเลสตายไม่ฟื้นดับอาสวะสิ้น แล้วไม่มีเกิดอีก แล้วก็สั่งสมเป็น สมาหิโต เป็นจิตตั้งมั่น แน่นขึ้นไปเรื่อยๆ จิตเจโตหรือสมาธิยิ่งแน่น แต่มีปัญญาอยู่ร่วมด้วย  2 มีทั้งตัวกิเลสดับ และมีทั้งภูมิปัญญาปฏิภาณไหวพริบเร็ว คู่กันอีก 2 ใน 1 สุดยอดอย่างนี้ 

ที่อาตมาอธิบายไปนี่แหละ คุณสุรธัญ คือความรู้ของอรหันต์ สภาวะอย่างที่อาตมาอธิบายนี่แหละ และเป็นความจริงของจิตเอง อธิบายเอาของอาตมาอธิบาย อาตมาจึงคืออรหันต์ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ สภาวะ ฌาน สมาธิ ของพระอรหันต์เป็นเช่นไร วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 27 สิงหาคม 2565 ( 14:02:17 )

ฌานและปัญญาปราบกิเลสได้

รายละเอียด

ต้องใช้ความจริงให้ไปถึงปัญญา เรียนมาถึงขนาดนี้ก็จะรู้ว่า สิ่งที่จะปราบกิเลสได้คือปัญญาอันยิ่ง เป็นอธิปัญญาหรืออภิปัญญา ต้องเป็นปัญญาอันยิ่ง สัมมัปปัญญา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วไม่มีอะไรปราบมันได้นอกจากปัญญา ปัญญาเป็นอาวุธยิ่งใหญ่ ปัญญานี่คือตัวฌาน มันเป็นสิริมหามายา ฌานกับปัญญาคือสองหน้าในตัวเดียว one in two 

หน้าที่จะประหารคือฌาน แล้วหน้าที่เรียกอีกหน้าใช้ภาษาเรียกปัญญา พระพุทธเจ้าตรัส ฌานอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ใดฌานอยู่ที่นั้น ศาสนาอื่นฌานของเขาไม่เป็นปัญญา ฌานของศาสนาอื่นเป็นแค่ กดข่ม 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ โสเหล่โลกุตระ ออนไลน์ ครั้งที่ 34 วันจันทร์ที่ 12 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 16 เมษายน 2564 ( 21:02:31 )

ฌานโลกียะ กับฌานพุทธ 

รายละเอียด

อาตมาทำงานสอนศาสนาอยู่ แค่สาธยายกระจายขยายความเรื่องกรรมวิบากกับฌานวิสัย

ฌานมีแบบโลกียะกับฌานพุทธ 

ฌานพุทธ เป็นอจินไตยเดาไม่ได้ แต่ฌานฤาษีเดียรถีย์เขาเรียนกันทั่วโลกแล้วก็แตกแขนงกันไปอีกเยอะแยะ ฌานหลับตามีการเกิดภพชาติ เกิดนิรมาณกาย สร้างตัวตน สร้างวิมานสวรรค์ เทวดา มนุษย์ แล้วก็สัตว์นรกนับไม่ถ้วนเลย มันตั้งเอาอย่างไรก็ได้มันก็เลยเยอะไปหมด พูดถึงไม่หวาดไม่ไหว อธิบายไม่ไหว 

สิ่งที่มันเป็นจริงก็อธิบายได้ว่า มันก็คือคนนี่แหละมันเป็นคนสัตว์นรก แล้วมันก็ออกอาการของสัตว์นรกในร่างของคนนี่แหละ มันเป็นพิษเป็นภัย ไอ้ที่มันจะไปออกพฤติการณ์อยู่ในจินตนาการมันจะรบกันทางจินตนาการมันไม่มีหรอก มันไปนึกเอาหน้าคนนั้นคนนี้หมู่คนนั้นคนนี้สังคมนั้นสังคมนี้มาสู้กันในจิตวิญญาณมันก็มีแต่จิตรบกัน มีแต่การปั้นตัวตนอยู่ในจิตรบกัน เป็นสงครามโมเม ปั้นลมๆแล้งๆ มารบกัน จริงๆ แล้วไม่มี 

คนที่ยิ่งปั้นสงครามรบกัน มีผู้ชนะผู้แพ้ ส่วนมากสร้างเรื่องตัวเองต้องเป็นผู้ชนะ มันก็ยิ่งฮึกเหิม มันก็ยิ่งสร้างให้ตัวเองนั่นแหละยึดถือดีว่าตัวเองเก่งตัวเองดี มันยิ่งบ้าหนักเข้าไปใหญ่เลย ปั้นเอาอย่างไรก็ได้ ความซับซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องเลวร้ายเป็นเรื่องหลอก ผู้ที่ทำด้วยอวิชชา ยิ่งดิ่งลงนรกลึกไปใหญ่ 

ว่าจะเป็นการออกบทบาททางกายกรรม ทางรูปธรรม มาเจอกันมันก็เป็นอย่างที่เขายึดถือว่าอย่างนี้ยอด มันก็ยิ่งเลวร้ายยิ่งแรง มันก็ยิ่งซับซ้อนอย่างนี้

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 10 มิถุนายน 2564 ( 17:18:13 )

ฌานโลกีย์

รายละเอียด

ไม่เป็น"ไฟกองใหญ่ที่มีฤทธิ์"สลายอะไรลงไปได้เลย มันมีแต่นิ่งเย็น แน่นแข็งตัว หยุดทำงาน

ที่มา ที่ไป

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 190


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2562 ( 15:01:06 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:27:11 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:23:36 )

ฌานโลกีย์ กับฌานของพุทธ ต่างกันคนละขั้ว

รายละเอียด

เข้าสู่เนื้อหาต่อ ที่พูดต่อๆ ไว้คือเรื่อง ฌาน เป็นเรื่องที่ยากมาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ฌานเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่คนจะเข้าใจฌาน เพราะมันใช้คำว่าฌานเดียวกัน โลกียะหรือโลกๆ เดียรถีย์เขาก็ใช้คำว่า ฌาน แต่มันคนละเรื่องกันเลย มันคนละเรื่องกัน ที่พระพุทธเจ้าจำนนที่ต้องใช้คำว่า ฌาน ด้วย ก็เพราะว่าเป็นของเก่ามาแต่ไหนแต่ไร จะไปใช้คำอื่นซะ เขาก็จะบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องนี้มันก็ตัดทิ้ง เพราะฉะนั้นท่านก็เลยต้องใช้คำว่าฌานเหมือนกันกับที่เขาใช้ เขาจะได้ไม่ตัดทิ้ง แต่กว่าเขาจะรู้ได้ ยากมาก 

อาตมาอธิบายมาบ้างแล้วว่า ฌานของพระพุทธเจ้ามันเป็นโลกุตระ มันเป็นอจินไตย เพราะฉะนั้นจะมาเดาเอาไม่ได้ ผู้จะรู้อาการของฌานแบบพุทธจริงๆ นี้ มันต้องมีสภาวะในตนขึ้นมา เข้าใจแล้วก็เริ่มมีสภาวะ ถ้าไม่เริ่มมีสภาวะ จะไม่เข้าใจว่านี่เป็นฌาน สภาวะนั้นก็คือทำพลังงานจิต ฌานนี่ก็คือปัญญา ต้องมีความรู้ในขั้นปัญญา หรือญาณ หรือวิชชา เป็นความรู้ เพราะฉะนั้นจะบอกว่าฌานคือปัญญา ปัญญาคือฌาน 

ปัญญาเป็นโลกุตระ ฌานก็ต้องเป็นโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนที่เขาไปเข้าใจอยู่แต่ในกรอบของฌานโลกีย์ มันไม่เป็นโลกุตระ มันก็ไม่มีวันที่จะมีปัญญา เพราะปัญญามันเป็นฌานแบบโลกุตระ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ไปรู้ฌานที่ไม่เป็นโลกุตระ มันก็ได้แต่แค่ เฉโก เฉโก กับ ปัญญา แตกต่างกัน เฉโกไม่รู้จักกิเลส ไม่มีอัญญธาตุ ไม่มีธาตุที่จะรู้จักกิเลส 

กิเลสคืออะไร กิเลสก็คือ จิตเก๊ ไม่ใช่จิตเดิม ไม่ใช่จิตแท้ จิตเก๊ ไม่ใช่ธาตุรู้บริสุทธิ์ ธาตุรู้ที่ถูกมารมาครอบงำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนาแน่น กิเลสครอบงำ เพราะฉะนั้นชาวเทวนิยมแท้ๆ 100% ที่นับถือพระเจ้า เขายากที่จะมาเรียนรู้ศาสนาพุทธ ที่จะมาเรียนรู้โลกุตระ ยาก ต้องค่อยๆสะสม อัญญธาตุมาเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิน 50% มาถึง 75% จึงจะค่อยพูดรู้เรื่อง ถ้ายังไม่ถึง อัญญธาตุไม่ถึง75% เขาจะไม่เกิดความฉันทะ ไม่เกิดยินดี ถ้ายังไม่ฉันทะ ความวิริยะ อินทรีย์พละ ศรัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์  ปัญญินทรีย์ ไม่เกิด

พลังงานที่จะเติมให้เกิดศรัทธา วิริยะ คือจะต้องเพียรทำจริงๆ แล้วจึงจะมีสติ ฌานของพุทธ ลืมตา มีสติเต็มทั้งทางด้านกายกรรม สติเต็มทั้งทางด้านวจีกรรม สติเต็มทั้งมโนกรรมจึงจะเป็นฌานของพุทธได้ ต้องมีอายตนะ 6 ไปหลับตานั้นไม่มีฌานของพุทธ มีแต่ฌานฤาษี ไม่มีวันจะเป็นพุทธได้เลยพวกหลับตา เพราะฉะนั้นหลับตานั้นอย่าว่าจะไปเป็นอรหันต์เลย แค่ฌานมันก็ไม่เป็น สมาธิมันก็ไม่เป็น ไม่เป็น มันเป็นของฤาษี ของโลกียะ ของเฉโกอยู่ หลับตานั้นเลิกได้แล้ว มาเรียนรู้จรณะ 15 ฌานเกิดจากจรณะ 15 หลักสำคัญที่สุดของฌานคือจะต้องมี 4 ตัวเป็นหลัก 

ตัวที่ 1 คือศีล ตัวที่ 2 คือ รวมแล้ว 3 คือ อปัณณกปฏิปทา 3

อันที่ 4 นี้เป็นเครื่องยืนยันว่า คุณจะเกิดฌานได้ต้องมี อันที่ 4 นี้ ถ้าไม่มีอันที่ 4 นี้ไม่มีทางที่จะเกิดฌานของพุทธ โดยเฉพาะ อปัณณกปฏิปทา 3 จะต้องมาทำในขณะตื่นๆ ในขณะกินข้าว คุณไปหลับตาไม่ได้กินข้าวอะไรหรอก สัมผัสทั้ง 5 ทั้ง 6 ไม่มี มันก็จะไม่รู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่จริง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่จริง แล้วก็จะต้องมาเลิกจริงๆ กิเลสเกิดในขณะที่สัมผัสจริง ถ้าไม่มีสัมผัสจริง กิเลสมีแต่ความจำ กิเลสไอ้ตัวที่ไม่มีปัจจุบันชาติ ไม่มีขณะที่สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีอาโลก มีจักขุ มีปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก แสงสว่าง สัมผัสครบอย่างนี้ มันไม่จริง มันไม่เป็นทิฏฐธรรม ไม่เป็นปัจจุบันชาติ 

อาตมาต้องอาศัยพยัญชนะของพระพุทธเจ้าอธิบาย มันก็คิดว่ามันก็ไม่ยาก แต่ทำไมมันไม่ง่าย มันก็ง่ายๆ แต่ทำไมเข้าใจยากกันจังเลย อาตมาจะอธิบายออกไปจากนี้ก็ไม่ได้ มันก็ต้องอธิบายในสภาวะของพระพุทธเจ้าให้มันถูก ถูกอย่างนี้ จะพูดเลอะเทอะออกไปยิ่งเลอะ ก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นคำว่าฌานวิสัยของพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าเป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่จะรู้ยาก อาตมาพูดได้เลยนะว่า ฌาน ในศาสนาพุทธยุคนี้ ที่ไปนั่งหลับตา จนกระทั่งแม้แต่พวกที่เรียนเปรียญ 9 เรียน ดร. เขาก็ยังเชื่อว่าฌานต้องหลับตา ต้องเข้าๆ ออกๆ เข้าฌาน ออกฌาน ซึ่งไม่มีหรอก ศาสนาพุทธไม่เข้าไม่ออกฌาน 

ฌานลืมตาแล้วสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นปัจจุบันธรรม มีแสงสว่าง ตาก็ทำงาน หูก็ได้ยินเสียง ตื่นๆ เป็นชาคริยา เป็นชาคระ ตื่น ไม่ใช่ไปหลับ แค่หลับตาก็ไม่ใช่แล้ว ยิ่งไปหลับทำให้สติเข้าไปอยู่ในภพเลย ยิ่งผิดไปหมดเลย ต้องตื่นออกมาให้ครบ เข้าไปอยู่ในภพก็ไม่ได้ หลับตาก็ไม่เอา ลืมตารู้ให้มันเห็น ไปหลับตาทำไม หลับตาแล้วปิดหู ปิดอะไร เข้าไปอยู่ในภพ ไม่เอา ไม่ใช่ฌานของพุทธ ฌานของพุทธต้องลืมตา ต้องเปิดหู ต้องเปิดจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสรู้เต็มที่ ตื่นเต็ม มีสติเต็มร้อย มีสติเต็มร้อย มีการตื่นรู้เต็มร้อย แล้วสำรวมอินทรีย์ 6 อปัณณกปฏิปทา 3 สำรวมอินทรีย์ 6 ตื่นรู้ แล้วก็รู้ทุกอย่างเลย แม้กระทั่งสำคัญที่กินนี่แหละ มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ที่มันหลอกชัดง่ายหมดเลย ครบ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อยู่ในการกินนี่แหละ 

รูปน่ากิน กลิ่นน่ากิน รสน่ากิน ไอ้ข้างนอกเสียงมันไม่มีรส แต่กินนี่มีรสที่ลิ้น เสียงมันก็สัมผัสที่หู ตาก็สัมผัสแสง สัมผัสรูป กลิ่นก็สัมผัสเข้าไปในข้างใน แต่มันไม่ครบเหมือนกับลิ้น ยิ่งกายสัมผัสภายนอกหมดเลย แต่กายต้องมีธาตุรู้นะ กายต้องมีจิตภายใน เพราะฉะนั้นความรู้ของศาสนาพุทธ แม้แต่คำว่า กาย ซึ่งจะต้องมี 2 เสมอ แยกเป็น 1 ไม่ได้ อันนี้ก็เพี้ยน อันนี้ก็มิจฉาทิฎฐิกัน เพราะฉะนั้นสังโยชน์ข้อแรก สักกายทิฏฐิ ต้องรู้จักกาย สภาพ 2 นี้ เดี๋ยวนี้ก็ไปเข้าใจเป็นหนึ่ง กายคือเอาแต่ภายนอก ไม่เหลือภายใน อย่างนี้เป็นต้น มันก็ไปไม่ออกเลย แยกกายแยกจิตไม่ได้ก็แยกธรรมนิยาม 5 ไม่ได้ 

พระอรหันต์รู้กายและทำใจในใจให้ไม่มีกาย แต่มันก็ยาก ยากตรงที่ว่ามันไม่มีกาย แต่กายนี้มันก็ยังมีนะ นี่มันยากตรงนี้ แต่ทำใจให้รู้ว่า กายจริงๆคือสภาพ 2 ที่ปรุงแต่งกัน คืออาการอย่างไร ท่านก็สอนธรรมนิยาม 5 ว่าอย่างเช่นอุตุนี้ เป็นสภาพที่ไม่มีกาย เพราะมันไม่มีจิตเลย นี้อุตุ พอมาเป็นพีชะ เป็นชีวะแล้ว แต่มันก็ไม่มีจิต ไม่มีธาตุรู้ที่เป็นถึงจิต เป็นธาตุรู้แค่พีชธาตุ นี่แหละยาก เห็นไหม เพราะฉะนั้น (ถ้า)พระอรหันต์แยกธาตุอุตุไม่ได้ แยกธาตุพีชะไม่ได้ แยกธาตุจิตไม่ได้ ในจิตของตนเอง แล้วทำจิตให้เป็นอุตุเป็นพีชะไม่ได้ ไม่ได้ตรัสรู้หรอก เป็นอรหันต์ไม่ได้ พอทำจิตเป็นพืชได้ก็ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีบาปไม่มีบุญ แต่เป็นชีวะ นี่แหละมันยากมากอย่างนี้ 

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่าผู้ที่หลับตาปฏิบัติหลงงมงายและก็หลงว่าเป็นอรหันต์นั้นน่าสงสาร มันไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ ไม่มีทางหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีทางที่จะรู้แม้กระทั่งกามคุณ 5 เพราะฉะนั้นถึงได้ไปรับนับถือมหาบัวกินหมากปากเปรอะ รูปรสกินเสียงแค่นี้ เสพติดอยู่กินไม่ขาดปาก ก็ยังไม่รู้กัน ตัวเองก็ไม่รู้ ที่จริงอาตมาไม่เชื่อนะ ว่ามหาบัวไม่รู้ว่าตัวเองติด แต่ว่ามันติดจะไปบอกว่าตัวเองติด ติดกิเลสอยู่อย่างนี้ มันก็บอกไม่ได้ ก็เลยโกหก อาตมาพูดตรงๆ ก็แล้วกัน คนอื่นก็บอกว่า ไม่ได้ติด ไอ้นี่เป็นเรื่องรูปธาตุขันธ์ ไม่เกี่ยวกับกิเลส ไม่เกี่ยวกับความติด ไม่ติด หรือความอยาก ไม่อยาก 

ก็บางทีอธิบายให้ดูว่ามันใช่อะไรยังนี้ ให้คนอื่นเขาหลง มันอยู่ที่ภูมิปัญญาของคนที่จะเข้าใจได้ ว่า เอ๊! มันใช่หรือไม่ใช่  มันยากนะ จะไปบอก มันก็ตัวใครตัวมัน เพราะฉะนั้นคนจะรู้ว่า แค่ว่าหลับตาเป็นฌานหรือลืมตาเป็นฌานก็ไม่ง่ายแล้ว ยิ่งจะมาให้รู้จริงๆว่าฌานของพระพุทธเจ้าจริงๆเป็นอย่างไร แม้แต่บอกว่าฌานไม่ต้องเข้า ไม่ต้องออก แล้วมันจะเป็นฌานยังไง เขาก็คิดว่ามันต้องเข้าฌาน เข้าฌานมันต้องเป็นหนึ่ง แล้วลืมตาจะเป็นหนึ่งได้อย่างไร หูก็ไม่รับเสียง จมูกก็ไม่รับกลิ่น ดีไม่ดีกินอาหารก็เป็นฌาน เขาก็จะบอกว่า กินอาหารเป็นฌานได้ยังไง ฌานต้องหลับตา จะกินอาหารได้ยังไง 

เพราะฉะนั้น อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละเป็นการทำฌาน เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่สามารถรู้เรื่อง ฟังไม่เข้าใจที่อาตมาพูดนี้ เขาก็จะยึดอยู่อย่างนั้น เขาจะว่าอาตมาว่าโอ้โห.. ดูถูกดูแคลนอาตมามาก เพราะเขาผิด เขาเชื่อผิดๆ จนกว่าเขาจะเกิด รู้ เห็นจริง ว่า โอ้โห.. อย่างโพธิรักษ์นี่เหรอพูดถูก ตายๆๆๆ เมื่อเขารู้เมื่อไรแล้วเมื่อนั้น ความเชื่อจะเกิดขึ้น ศรัทธาจะเกิดขึ้นในสัทธรรม 7 เมื่อเขารู้ เมื่อนั้นเขาจะเกิดหิริ ละอาย ตายๆๆๆๆ อย่างโพธิรักษ์พูดถูกแล้ว แล้วเราก็เข้าใจว่านั้นไม่ใช่ แล้วเคยไปดูถูกดูแคลนข่มสารพัดสารเพด้วย ก็ต้องรู้สึกละอาย ต้องสำนึก ต้องรู้สึก ต้องละอาย พระพุทธเจ้าใช้คำว่า ละอายอย่างแรงกล้าด้วย (ปัญญาสูตร พตปฎ ล.23 ข้อ 92)

ติพพัง หิโรตัปปัง ก็หิริ-โอตัปปะ แล้วก็ ติพพัง กว่าคนที่นั่งหลับตาจะยอมรับอาตมาอย่างมีจิตเห็นจริงเลย ยอมเชื่อว่า อ๋อ อย่างโพธิรักษ์ถูกนะ แล้วเรานะผิด เข้าใจเริ่มเข้าใจ จะเกิดสำนึก เกิดละอาย ซึ่งกว่าจะเข้าใจกันได้ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า ละอาย แล้วละอายอย่างแรงกล้า เป็นโอตตัปปะ หิริโอตตัปปะนี่คือละอายเกรงกลัวอย่างแรงกล้า นั่นแหละคือคุณละอายได้เต็มที่ รู้ตัวเต็มที่ ถอดถอนตัวเองเต็มที่แล้ว จึงจะได้ปฏิบัติธรรมได้ เริ่มต้นปฏิบัติธรรมเข้าท่าเข้าทาง เกิดพหูสูต เกิดความรู้ที่เป็นพหูสูต และเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ได้จริง 

แล้วทีนี้คุณถึงจะรู้พอมี 4 คำนี้ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหูสูต แล้วจึง อ้อ..ถูกต้องอย่างนี้เหรอ แล้วก็ได้มีตัวอย่างที่เป็นพหูสูตมามากขึ้นๆ พหุ พหู คือมากขึ้น จนกระทั่งเห็นก็จึงจะเกิดพลังงานเสริม วิริยะ สติ ปัญญา อีกเป็นกระบวนการใหญ่ เพียรอย่างถูกต้อง สติก็จะมาเต็มที่อย่างถูกต้อง ฌานต้องมีสติเต็มทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจ ถ้าไม่งั้นคุณก็จะงมงาย ฌานก็คือสติมีแต่อยู่ในใจ กายก็ไม่รู้เรื่อง วาจาก็ไม่มีสติ กายก็ไม่มีสติ เหมือนคุณทำแต่แค่ใจ สติของคุณไม่เต็มหรอก ปัญญาก็ไม่มีสิทธิ์เกิด ไม่เกิด 

ปัญญาจะต้องเกิดในขณะลืมตา ปัญญาจะต้องเกิดในขณะ 1. สัมมาทิฏฐิ 2. มีธรรมวิจัย 3.มีมัคคังคะ ปฏิบัติเต็มที่กับมรรคมีองค์ 8 เพราะฉะนั้นต้องปฏิบัติทั้งมรรค 8 ทั้งทำงาน-อาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ ไปหลับตาอาชีวะการงานก็ไม่ได้ทำ วาจาไม่ได้พูด มีแต่จิตคิดอย่างเดียว ไม่มีมรรคมีองค์ 8 ก็ปิดประตูที่จะบรรลุธรรมไปหมดเลย 

 

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 41 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ กระต่าย ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 26 พฤศจิกายน 2566 ( 16:10:04 )

ฌานโลกีย์ กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร 

รายละเอียด

“ฌาน” เป็นเรื่องใหญ่มาก “ฌานวิสัย” เป็นอจินไตย ผู้ที่จะเข้าใจเรื่อง “ฌานของศาสนาพุทธ” ได้ ยากมาก เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่เข้าใจกันอยู่ทุกวันนี้ว่า ฌานคือต้องนั่งหลับตา แล้วเข้าไปอยู่ในภพนิ่งสงบ ไม่มีนิวรณ์ 5 ได้ นี่คือการที่จิตมีฌานแล้ว แต่หลับตานั่งสะกดจิตนะ แล้วอยู่ในภวังค์ อยู่ในภพข้างใน ไม่มีกาย ไม่มีกายสัมผัสรู้ข้างนอกเลย อันนี้โมฆะความเป็นฌานของพุทธ 100% 1,000% 10,000%100,000% ไม่ใช่ฌานของพุทธ 

เขาเรียกว่าฌานของเขา ก็ไม่รู้จะไปห้ามเขาได้อย่าไร ที่เขาเรียกว่านี่คือฌาน ใครทำได้เขาก็เรียกว่านี่คือฌานของเขา เพราะฉะนั้นต่างเข้าใจกัน เขาเข้าใจอย่างนั้นก็อย่างหนึ่งของเขา เขาก็ทำของเขาได้ แต่มันไม่ใช่ฌานของพุทธเลย 

ฌานของพุทธคือความปกติ ความสามัญ ฌานนี่เป็นประสิทธิภาพของพลังงานจิต จิตใจ จิตของเรานี้มีประสิทธิภาพ ฌานนี่มันเป็นประสิทธิภาพของจิตที่แต่ละคนมี แล้วก็ใช้พลังงานที่จิตแต่ละคนมีแล้วใช้ ค่อยๆ ฟังไปนะ มันละเอียด 

พลังงานที่จิตแต่ละคนมี ใช้อยู่กับชีวิตของตน ซึ่งพลังงานจิตนี้มันเป็นพลังงานจิตที่เกิดการเรียนรู้ ฌานนี่มีการเรียนรู้ในตัว 

มันเป็นพลังงานจิตที่มีการเรียนรู้ การเรียนรู้ก็ต้องสัมมาทิฏฐิแน่นอน ถ้ามิจฉาทิฏฐิก็ผิดไปล่ะ ต้องสัมมาทิฏฐิ เป็นการเรียนรู้และฝึกฝน ฝึกฝนอบรมตนจนเกิดพลังงานจิต เจริญขึ้น เจริญขึ้น ให้ตนได้ใช้ในชีวิตลืมตาสามัญปกติ ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือจรณะ 15 วิชชา 8 ปฏิบัติไปตามสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ หรือปฏิบัติ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา 

ผู้ที่ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ก็เกิดความเจริญขึ้นเป็นลำดับ ในชีวิตสามัญ ไม่ได้ไปหาวิธีการนั่งหลับตา หาที่เงียบที่สงบ ไม่เกี่ยวข้องอย่างอื่น ไม่ใช่ เป็นชีวิตสามัญที่อยู่กับคนทั่วไป ทำงานอยู่ มีอปัณณกปฏิปทา 3 แล้วก็เกิดสัทธรรม 7 จิตเราละอายต่อสิ่งที่ผิด แล้วเราก็เลิกๆๆ มีปัญญาขึ้นมาก็หยุดไอ้สิ่งที่เป็นนั้นได้ ละอายจนกระทั่งกลัว ไม่ทำแล้วสิ่งเหล่านั้น มันเป็นเรื่องไม่เข้าท่า ก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้รู้แล้วก็เลิกแล้วอย่างโน้น ก็เจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เป็นพลังงานจิตที่สูงขึ้นให้แก่เราเอง เราก็ได้อาศัยพลังงานนี้ใช้เป็นชีวิตสามัญ

ฌานมีทั้งกำลัง ฌานมีทั้งความฉลาดเฉลียว รอบรู้ มีทั้งเชิงเจโตและเชิงปัญญา สะสมไปก็จะยิ่งเป็น มุทุภูตธาตุ ที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งบริสุทธิ์จากกิเลสได้เท่าไหร่ ปริสุทธา ปริโยทาตา สะสมลงไปเป็นมุทุธาตุ ยิ่งเป็นฌานที่ทำกรรมอย่างดี อย่างเหมาะ อย่างควร อย่างไม่มีการขาดหกตกหล่น สิ่งไม่ดีไม่เกิด เกิดแต่สิ่งดี เป็นกัมมัญญาไปหมดเลย จิตก็ยิ่งจะใส ประภัสสรไปเรื่อยๆ นี่ฌาน มันก็จะเกิดมีคุณสมบัติอุเบกขา คือฌานที่ 4 เจริญขึ้น ยิ่งขึ้นๆๆ อย่างนี้

เพราะฉะนั้นในฌาน ถ้าเป็นฌานโลกียะก็อย่างที่เขาศึกษากันทั่วโลก แม้แต่ในศาสนาพุทธที่มิจฉาทิฏฐิ แล้วก็ไปนั่งหลับตาทำฌาน เขาก็ได้อย่างนั้นไป แล้วก็หลงงมงายมืดกันไปหนักไปเรื่อย กระทั่งไปใช้พลังงานจิตไปเล่นฤทธิ์เล่นเดช ไอ้นู่นไอ้นี่ มีทั้งอิทธิปาฏิหาริย์ มีทั้งอาเทศนาปาฏิหาริย์ ยิ่งไปกันใหญ่เลย ไม่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไม่ได้ออกจากทุกข์ มีแต่ภพแต่ชาติของความเก่ง ความวิเศษ ความรู้ 

แม้แต่มาลืมตา ศึกษาปริยัติ ศึกษาบาลี ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ เก่งยอด สาธยายได้เป็นฉันทลักษณ์ ว่ากลอนโคลง หลงระเริงไป แต่เนื้อหาที่ไม่ต้องเป็นโคลงเป็นกลอน เราพูดภาษาคนธรรมดาอย่างที่เข้าใจกันง่ายๆ อย่างที่อาตมาพูดนี้ พวกเขาไม่รู้สึกเป็นรส ต้องเล่นกลอนไป มันก็จะนานไป เหมือนอย่างท่านเพาะพุทธนี้ก็จะจม ติดไปอย่างนี้ ท่านติดมากพอได้นะท่านเพาะพุทธ ที่อื่นๆ ก็ไม่เห็นว่าจะติดมากขนาดนี้ แต่ท่านนี้ติดเอาหนัก ก็ขอฝากทิ้งไว้ โยนไปให้ท่านรับหน่อย จะรับไหวหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็คงจะรับไหว เพราะว่าเป็นการเตือนกันบอกกัน ท่านก็ไม่ค่อยมาใกล้อาตมาเท่าไหร่ ท่านก็ไปของท่านไป จะสร้างเวียงวังคลังนาของท่านไปเรื่อย ก็เอา ท่านก็ว่าของท่านไป 

ฉะนั้น คำว่าฌาน คำนี้ ค่อยๆ ศึกษาดีๆ ค่อยๆ เข้าใจ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 10 มีนาคม 2567 ( 15:55:05 )

ฌานโลกีย์ ลวงจิต ให้ติดจม ทุนนิยม ครอบงำ สัมปทาน

รายละเอียด

“ฌานโลกีย์ ลวงจิต ให้ติดจม ทุนนิยม ครอบงำ สัมปทาน”

โอ้! ยึดเป็นสัมปทานเลยเนาะ ทุนนิยมเป็นภาษาใหญ่ อาตมาก็ใช้เป็นคำคู่กับบุญนิยม เพื่อที่จะเอามาให้ศึกษา ทุนนิยมไม่รู้ใครเป็นคนตั้ง แล้วเขาก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร ทุนนิยมก็เป็นภาษาองค์รวมมีความหมายถึง สภาพไหน อะไรอย่างไร เขาก็รู้กันหมด เป็นคำนิยามของทุนนิยม นิยามลักษณะนั้น ยึดกันเลย ครอบงำกันไป ยึดเป็นสัมปทานไปเลย 

 

ที่มา ที่ไป

ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41 วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก 


เวลาบันทึก 15 กุมภาพันธ์ 2567 ( 16:19:17 )

ฌานโลกีย์ 

รายละเอียด

ฌานโลกีย์  คือ  ฌานที่ได้แต่กดข่มกิเลสไว้  หรือมีวิธีชะลอกิเลส  ไม่ให้มันออกฤทธิ์ชั่วระยะหนึ่งได้เร็วบ้าง  นานบ้างเท่านั้นแล้วหลงกันว่า  กิเลสหมดสิ้นหรือกิเลสดับสนิท  อาจกดข่มได้นานมากๆ จนถือว่านิรันดร์  คือ  กิเลสมีอยู่นิรันดร์เหมือนอาฬารดาบส  อุทกดาบส  ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่จะออกมา  เขาไม่ได้ล้างกิเลส  แต่กิเลสมีนิรันดร์  เขาหลงว่ามันไม่มีแต่มันมีไปนิรันดร์

 

ที่มา ที่ไป

ธรรมาธิบายพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ วันศุกร์ที่ 27กันยายน 2562


เวลาบันทึก 30 กันยายน 2562 ( 09:27:09 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 05:47:36 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:23:10 )

ฌานโลกีย์เป็นเรื่องเลอะเทอะ

รายละเอียด

แล้วทีนี้แวะไปถึงอภิญญา และ ฌานโลกีย์ อาตมาก็มี คือฌาน แบบที่คุณหมายคือแบบหลับตาเป็นฌานโลกียะ หลับตาเป็นฌาน อาตมาก็ทำมา อาตมาเล่นไสยศาสตร์มาถึง 8 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส ตอนอาตมาบวชนั้นไม่ได้ทำหรอกแบบนั้น เพราะเข้าใจแล้วว่ามันเป็นโลกีย์ เป็นเรื่องเลอะเทอะ เพราะฉะนั้น จะทำฌานแบบนั้นหรือมีอภิญญาแบบนั้น อาตมามี อภิญญาแบบอิทธิเดช อาเทสนาปาฏิหาริย์ มีคนไข้คนป่วยมาอย่างนั้นอย่างนี้ หยั่งรู้ อะไรต่างๆนานา อาเทสนา 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ ประสบการณ์พ่อครูในอิทธิปาฏิหาริย์และการออกป่า วันพุธที่ 22 มิถุนายน 2565 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 20 สิงหาคม 2565 ( 05:40:39 )

ฌานโลกุตระ

รายละเอียด

สภาวะจิตที่เกิดจากไตรสิกขาอันปฏิบัติอย่างเป็นองค์รวม , สภาวะจิตที่เกิดจากการปฏิบัติสัมมามรรคทั้ง 7 องค์

ภายใต้กรอบของศีลที่แต่ละคนกำหนดสมาทานตามฐานะของตน เจริญพัฒนาเป็นอธิจิต

แข็งแรงขึ้นตามลำดับสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ

หนังสืออ้างอิง

เปิดโลกเทวดา หน้า 56


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:40:57 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:06:38 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:21:26 )

ฌานโลกุตระ

รายละเอียด

นั้นมันยิ่งทำให้ "ก้อนกิเลสหรือกองกิเลส" ถูกละลายตัว แตกตัว สลายออกทีละส่วน ทีละชิ้น ซึ่งมันลดละ จางคลาย จนหายไป จนกระทั่งหมดสิ้นเกลี้ยง "ตัวตนของกิเลส" ไปบริบูรณ์สนิท

ที่มา ที่ไป

รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร ? หน้า 190


เวลาบันทึก 11 ธันวาคม 2562 ( 15:04:39 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:27:40 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:09:43 )

ฌานโลกุตระ

รายละเอียด

เพราะฉะนั้น ฌาน โลกุตระจะต้องรู้จักว่าเกิดจากการปฏิบัติ ศีล เป็นต้นต้องมี อปันกปฏิปทา 3 เป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้จึงจะสามารถรู้จักสัทธรรม 7 แล้วจึงจะสามารถจัดการทำให้เกิดเป็น ฌานได้ โดยมีธาตุรู้คือวิญญาณ

ที่มา ที่ไป

พ่อครูปฐมนิเทศ พาปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ปี 2564 ครั้งที่ 45 ออนไลน์วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน อจินไตยของฌานวิสัย


เวลาบันทึก 05 มีนาคม 2564 ( 20:59:15 )

ฌานโลกุตระทำไมเป็นอจินไตย

รายละเอียด

พระพุทธเจ้าท่านสมบูรณ์ด้วยอนุตตริยะ 6 นี้ไปแล้วพ้นไปแล้ว อีกอันหนึ่ง ฌานโลกุตระทำไมเป็นอจินไตย คำว่าอจินไตยคือคิดเอาเดาเอาไม่ได้ คนที่ไม่มีความรู้ถึงขั้นฌาน เรียกว่าฌานวิสัยก็จะเป็น อจินไตยอยู่ ขณะนี้ความรู้ของด้านพุทธ จะไม่มีความสามารถรู้ ฌานของพุทธ เพราะมันเป็นอจินไตย ส่วนฌานของโลกียะไม่ใช่อจินไตย เพราะใครก็ทำได้ นั่งสะกดจิตให้นิ่ง ตื้นๆ ใครก็เข้าใจ ศาสนาอื่นก็ทำกันได้ ฌานโลกุตระ เอาคำว่าโลกุตระมากำกับ ให้ชัดเจนว่าฌานโลกียะไม่ใช่อจินไตย ก็แค่ลืมตาปฏิบัติยังไม่เข้าใจกันเลย ทุกวันนี้อาตมาอธิบายไว้ดีมากแล้ว ฌานของพระพุทธเจ้านั้นเกิดจากจรณะ 15 วิชชา 8 ถ้าไม่มีจรณะ 15 เป็นเหตุ เป็นอุปนิโส เป็นปริขาโร เป็นเหตุเป็นองค์ประกอบแล้ว ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า ฌานของพระพุทธเจ้าจึงเป็นอจินไตย ที่เขารู้ไม่ได้ เพราะแม้แต่อปันกปฏิปทา 3 ซึ่งอยู่ในจรณะ 15 เขาก็เป็นผู้ที่ไม่ได้มีความถูกต้องนี้ของพุทธแล้ว หากไปปฏิบัติโดยไม่มีสำรวมอินทรีย์ 6 ไม่มีการปฏิบัติสำรวมอินทรีย์ ไม่มีการประมาณในการกินการใช้ ไม่มีการประกอบการตื่นมีสติอยู่ ก็ไปหลับตาเอาทำฌาน 1 2 3 4 ปิดหูปิดตา แล้วก็พากเพียรให้หลับลงไปไม่ใช่พากเพียรให้ตื่น เป็นทางตรงกันข้ามกับความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าหมดเลย เขาถึงไม่มี ฌานของพระพุทธเจ้า ที่บอกว่าฌานลืมตาเป็นของพระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ แม้จะฟังกันเข้าใจ อาตมาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังพูดได้ไม่เก่งไม่สมบูรณ์ยังบกพร่องอยู่เลย 

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ชีวิต บ้านราช วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563


เวลาบันทึก 29 เมษายน 2563 ( 13:47:03 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:57:41 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:10:30 )

ฌานไม่ใช่การเพ่งแต่เป็นเช่นใด

รายละเอียด

ฌานวิสัย เป็นอจินไตย เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก แต่ที่เขาพูดทำฌานกัน ไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้า เขาว่าฌานคือการเพ่ง แต่ที่จริงฌานต้องมีปัญญา ปัญญานั้นต้องมีพลังงานเผากิเลส ทำลายกิเลสได้ ไม่เอาไว้เลย เจอกิเลสเป็นเผาๆ 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม ตอบปัญหาผ่าวิญญาณฐีติ 7 วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 02 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:24:43 )

ฌานไม่ใช่ไปนั่งหลับตา

รายละเอียด

ฌาน ถึงไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วมีฌาน ไม่ใช่ แต่ฌานคือพลังงานวิเศษที่รู้จักกิเลส ฌานต้องมีปัญญา  ฌานที่ไม่มีปัญญาไม่ใช่ฌาน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น แล้วฌานนี้รู้จักกิเลส แล้วเผากิเลส กิเลสก็ตาย พอกิเลสถูกเผาคำว่าบุญก็เข้ามาเลย บุญนี่ต่อหาง เหมือนพลเอกประยุทธ์มาต่อหางประชาชนที่มีอำนาจให้สืบทอดมา พลเอกประยุทธ์เหมือนบุตร ฌาน เหมือนกับประชาชนที่มาปฏิบัติให้แล้วพลเอกประยุทธ์ก็มารับสืบทอด ก็เขาว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติ ซึ่งที่จริงแล้วพลเอกประยุทธ์ไม่ใช้อำนาจทหาร ไม่ใช้อำนาจกองทัพมารัฐประหาร จะดูรูปแบบ ด้วยสูตร Formula มันมีอยู่เท่านั้น 

ที่มา ที่ไป

รายการพุทธศาสนาตามภูมิ บ้านราช วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563


เวลาบันทึก 21 พฤศจิกายน 2563 ( 09:47:52 )

ฌาปก

รายละเอียด

ผู้เผา  ผู้จุดไฟ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 339


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:43:24 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:07:06 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:10:46 )

ฌาม , ฌาปน

รายละเอียด

เผา

หนังสืออ้างอิง

ธรรมที่เป็นพุทธ หน้า 251


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:44:36 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:07:35 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:11:04 )

ฌาย

รายละเอียด

จงเผา จงเพ่ง จงตรึก จงก่อไฟ

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค3 หน้า 339


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:45:10 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:08:10 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:11:26 )

ฌายภ

รายละเอียด

นั่งฟังธรรมพระพุทธเจ้าพลางไตร่ตรอง เพ่งพินิจ เพ่งเผาไปด้วยในบัดเดี๋ยวนั้นแล้วก็บรรลุธรรม

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 3 หน้า 344


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:50:09 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:09:20 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:11:57 )

ฌาเปติ

รายละเอียด

เผา

หนังสืออ้างอิง

จากชีวิตนี้มีปัญหา / เราคิดอะไร ฉ.265


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 10:44:04 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:09:48 )

ญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา

รายละเอียด

คือ การบวช โดยที่มีคณะสงฆ์ เป็นผู้อนุมัติการบวช และการบวชวิธีนี้ พระอุปฌาย์หรือไม่มีอุปฌาย์ หากคณะสงฆ์รับรองก็เป็นการบวชที่ถูกต้อง

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 350


เวลาบันทึก 29 ตุลาคม 2562 ( 11:38:48 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:03 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:12:26 )

ญาณ

รายละเอียด

คือ ความรู้พิเศษ เป็นธรรมจักษุ ที่ลึกซึ้ง เป็นตาทิพย์ที่ต้องลึกซึ้งเข้าไปจริงๆและเอาความรู้นี้มาสอนให้เกิดญาณที่จะรู้โลกนรก โลกอบาย โลกธรรม โลกอัตตา เป็นอย่างไร

หนังสืออ้างอิง

 “สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4” “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า183


เวลาบันทึก 27 ตุลาคม 2562 ( 11:28:46 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:30 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:12:52 )

ญาณ

รายละเอียด

เป็นความรู้ที่รู้โดยมี “ของจริง” ที่เป็นสัจธรรม ไม่ใช่ภาษา ไม่ใช่การตีความ ไม่ใช่การสันนิษฐานออกมา

หนังสืออ้างอิง

“สัจจะชีวิต ของ สมณะโพธิรักษ์ ภาค 4”  “โพธิรักษ์”…“โพธิกิจ” หน้า 70


เวลาบันทึก 25 ตุลาคม 2562 ( 12:08:55 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:28:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:13:11 )

ญาณ

รายละเอียด

1. รู้แจ้ง เห็นแจ้งในสัตว์ทั้งตัวเองและผู้อื่น รู้ว่าหมุนอยู่ เวียนเกิด เวียนตายอยู่ เกิดๆดับๆอยู่ ต่อสู้ทุกข์อยู่อย่างไรด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงตามนัยนี้

2. รู้ คือสติปัฏฐาน

3. ผู้กำลังเปลี่ยนความเห็นเก่า เปลี่ยนความเชื่อเก่า หรือไม่ก็มีความเห็นเดิมแล้วก็มาเห็นแจ่มแจ้งชัดจริงยิ่งขึ้น

4. การรู้

5. มีญาณทัสสนะจริง เป็นสัมมาญาณะแท้

6. เกิดปัญญา เกิดฉลาด เกิดหายโง่ เกิดรู้ทันความหลงได้

7. ความรู้

หนังสืออ้างอิง

คนคืออะไร? หน้า 259 , 400

ทางเอก ภาค1 หน้า 43

ทางเอก ภาค 2 หน้า 18

ทางเอก ภาค 3 หน้า 113 , 156 ,193


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:26:12 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:08:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:13:59 )

ญาณ 3 (ปัญญารู้จริง) เป็นอาการ 12 กับ อริยสัจ 4

รายละเอียด

1. สัจจญาณ (หยั่งรู้สัจจะ กำหนดรู้ให้ครบ ปริญเญยยันติ)  
2. กิจจญาณ (หยั่งรู้กิจที่กำลังละล้างกิเลส ปหาตัพพันติ) 
3. กตญาณ  (รู้การจบกิจแจ่มแจ้งแล้ว สัจฉิกาตัพพันติ) 
 

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎก เล่ม 4 ข้อ 15 ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 13:00:26 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:58:43 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:14:22 )

ญาณ 3 กับความรัก 10 มิติ

รายละเอียด

สัจจะแปลว่าความจริง กิจจะแปลว่ากระทำงาน กตแปลว่าทำงานเสร็จแล้ว 

เพราะฉะนั้นคุณก็ตรวจสอบความจริงตามศีลเกี่ยวกับสัตว์ สัตว์คนนี่แหละ รักกัน ชอบกัน ชังกัน ดูดกัน ดูดหรือมันเกาะติดกันเกินไป ไม่พรากจากกันไม่เจือไปหาญาติ ซึ่งอาตมาอธิบายความรัก 10 มิติ ในโลกนี้มีเรา 2 คน คนอื่นไม่มีเลย แม้แต่ลูกคุณยังไม่เอา นี่มันแคบที่สุดแล้ว เอ้า เผื่อมาเอาที่ลูกบ้างสิ

ความรัก 10 มิติ 

1. กามนิยม (เมถุนนิยม) 

2. พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ) 

3. ญาตินิยม (โคตรนิยม) จากลูกก็มาเอาญาติบ้างสิ 

4. สังคมนิยม (ชุมชนนิยม) จากญาติก็มาเอาเพื่อนบ้าง ก็เอากรอบขอบเขตของมวลสังคม เพื่อนในสังคมรอบข้างมากขึ้น  

5. ชาตินิยม (รัฐนิยม) ชาติประเทศ

6. สากลนิยม (จักรวาลฯ) ทุกเชื้อชาติ

7. เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) ทุกอย่างในโลก หรือจักรวาลนิยม 

8. อาริยนิยม (อเทวนิยม) ใช้คำว่าอาริยะไม่ใช้คำว่าอริยะหรืออารยะ 

9. นิพพานนิยม (อรหันตฯ) อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ รหะ แปลว่าลึกลับ อรหะ คือ ลึกลับในการล้างกิเลสแล้ว 

10. พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม) 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ 45 ออนไลน์ วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 17 มีนาคม 2564 ( 08:16:31 )

ญาณ 5

รายละเอียด

1.สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน และมีความว่างดีเป็นวิบากต่อไป

2.สมาธิเป็นอาริยะ ปราศอามิส แม้แต่สุขโลกีย์

3.สมาธินี้อันคนเลวเสพไม่ได้

4.สมาธินี้ละเอียด ประณีตอันได้มาด้วยความสงบระงับ

5.เราย่อมมีสติเข้าสมาธินี้ได้ เรามีสติออกจากสมาธินี้ได้

 เธอทั้งหลายจงมีปัญญา
รักษาตน มีสติ เจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้เถิด เมื่อเธอทั้งหลายมีปัญญารักษาตน มีสติเจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้อยู่ ญาณ 5 อย่างนี้แล ย่อมเกิดขึ้นเฉพาะตน

หนังสืออ้างอิง

พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 ข้อ 27 หน้า 22 "สมาธิสูตร"


เวลาบันทึก 28 สิงหาคม 2562 ( 15:35:06 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:29:24 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:14:47 )

ญาณ 5 อย่าง

รายละเอียด

เกิดขึ้นเฉพาะตน เมื่อเจริญสมาธิอันหาประมาณมิได้

1.      สมาธินี้มีสุขในปัจจุบัน และมีความว่างดีเป็นวิบากต่อไป

2.      สมาธิ ที่จะมีสุข(แปลว่าว่างนี่แหละดี)  สมาธิเป็นอาริยะ ปราศอามิส แม้แต่สุขโลกีย์

3.      สมาธินี้อสัตบุรุษเสพไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์จะได้รับธรรมรสอันนี้

4.      สมาธินี้ละเอียด ประณีตอันได้มาด้วยความสงบรำงับและมิใช่บรรลุได้ด้วยการข่มธรรมะที่เป็นข้าศึกหรือห้ามกิเลสด้วยจิตที่เป็นสสังขาร

5.      เราย่อมมีสติเข้าสมาธินี้ได้ เรามีสติออกจากสมาธินี้ได้

การเข้าออกไม่ได้ไปหลับตาทำ แต่การเข้าออกคือจิตเข้าไปดูอารมณ์ที่เป็นสมาธิ ไม่ได้หลับตาปฏิบัติแต่ลืมตาปฏิบัติ เช่นอารมณ์อุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา เป็นฐานนิพพาน หลับตาสมาธินั้นเลิกไปเลยของศาสนาพุทธขอยืนยันเลยว่ามันไม่ใช่ของศาสนาพุทธเลย สมาธิของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 7ปฏิบัติทุกขณะการงานอาชีพการพูดการคิด ไม่ใช่ไม่ทำการงานอาชีพอะไรเลยไม่คิดไม่พูดเอาแต่นั่งสมาธิ

ที่มา ที่ไป

รายการสำมะปี๋ซี่วิต บ้านราช ครั้งที่ 66 วันจันทร์ที่ 26สิงหาคม 2562


เวลาบันทึก 27 พฤศจิกายน 2562 ( 19:03:16 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 16:59:15 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:15:11 )

ญาณ 7

รายละเอียด

ทำงานให้ได้มีผล ตั้งแต่ข้อที่ 1รู้จักกิเลส ทำกิเลสลด วิติกมกิเลสลดได้แล้ว เป็นตัวอย่างที่เราทำผ่านมาแล้วที่มันกลุ้มรุมเร้า กิเลสตัวเก่าออกไปแล้ว ก็มีกิเลสตัวใหม่ที่ยังทำไม่ได้ ก็รู้ตัวนี้ ก็รู้ว่าอ๋อ การปฏิบัติอย่างนี้ มันมีกิเลสอยู่ รู้กิเลสจริงทำให้กิเลสจางคลายลดลงไปได้จริง นี่คือความรู้ คือญาณ อธิบายไปอย่างนี้ใครเคยมีสภาวะบ้าง ผ่านสภาวะอย่างนี้ๆ พากเพียรปฏิบัติ อย่างนี้แหละเป็นการศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตไป น่าสงสารหลงผิดไป จนยึดถือกันอย่างนั้นทั่วบ้านทั่วเมือง กระแสหลักทั้งหมด ก็ยึดถืออย่างนี้หมด เป็นไปได้อย่างไร ในตำราพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ เพี้ยนไปได้อย่างไร นี่คือความเสื่อมของคน เสื่อมจากศาสนา เสื่อมจากธรรมะของพระศาสดา คำสอนก็อย่างเดิมแต่คนได้ผิดเพี้ยนไป คำสอนธรรมะพุทธเจ้า มีศีลแล้วก็เจริญ อธิจิต ทำให้จิตมันลดกิเลสลงไปด้วยการเกิด ญาณ 7 มันชัดเจน ญาณที่ 1ญาณที่ 2รู้ความจริงก็ลดลงไปอีก ทำให้มันควบแน่น อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง คำขึ้นไปขึ้นไปก็ยิ่งชัดเจน อย่างนี้เองไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่มาทำอย่างนี้กำจัดกิเลสทำให้กิเลสลดละจางคลายอย่างนี้ เราก็ทำซ้ำซ้อนอย่างนี้ เป็นการทำตามลำดับมีศีลข้อที่ 1เป็นต้น ก็สัมผัสกับสัตว์ เราก็เกิดจิต ไม่มีความมุ่งร้าย มีแต่ความหวังประโยชน์มีความเอ็นดูสัตว์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น แต่ก่อนนี้มันมาทำร้ายเรา เราฆ่ามันแน่ ดีไม่ดีเราจงใจเจตนาฆ่ามันเลย ฆ่ามันมากินเลย หรือฆ่ากินเล่นคะนองเลย นักฆ่ามือหนึ่ง แบกอาวุธใหญ่ล้มช้างได้ ถ้าเก่งก็ตัวต่อตัวสิเอาปืนไปทำไม มีปืนแรงร้ายมันก็ตายสิ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดสามารถที่จะเข้าใจ อธิบายญาณ 7ก็เข้าใจ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:35:14 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:00:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:15:56 )

ญาณ 7 ของพระโสดาบันใช้ตรวจสอบพระอาริยระดับใด

รายละเอียด

ใช้ตรวจสอบได้ทุกระดับ การพ้นสังโยชน์ 3 คือพ้นสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ผู้พันสังโยชน์ 3 จะเป็นชั้นใดๆ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็จะอาศัย 3 อันนี้ทำงานไปตลอด 

คือกาย ผู้ที่รู้จัก กายของตน คือสักกายะ คำว่า กาย คุณจะได้อ่านที่อาตมาเขียนสาธยายอีกเยอะ ในเปิดยุคบุญนิยมก็ตาม ในปัญญา 7 ปัญญา 8 ก็เขียนอยู่ นี่กำลังทวนเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ปาเข้าไป 700 กว่าหน้าแล้ว คงต้องแบ่งเป็นสองเล่ม

 

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ วิถีอาริยธรรม อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติปรากฏได้ในยุคโควิด วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 ที่บ้านราชฯ


เวลาบันทึก 05 กุมภาพันธ์ 2564 ( 16:42:55 )

ญาณ 7 หรือทิฐิที่นำบุคคลออก

รายละเอียด

1. รู้จักปริยุฏฐานกิเลสกลุ้มรุม คือกิเลสนิวรณ์5 (ยังวิวาทกันด้วยหอกคือปากอยู่)  แม้ยังละปริยุฏฐานกิเลสไม่ได้  ก็รู้  ไม่มีที่จะไม่รู้จักปริยุฏนั้น   และย่อมมีทิฐิตั้งปณิธานจิตไว้เพื่อไปสู่การตรัสรู้สัจจะทั้งหลาย 
2. อริยสาวกเมื่อได้ความระงับเฉพาะตน (ลภามิ ปัจจัตตัง สมถัง ลภามิ ปัจจัตตัง นิพพุตตินติ) ย่อมเสพคุ้น(อาเสวนา)  ทำให้มีผลเจริญ(ภาวนา) ย่อมทำให้มากในทิฐินี้(พหุลีกัมมัง)
3. อริยสาวกเชื่อมั่นในทิฐิเช่นนี้ ไม่ทั่วไปกับสาธารณะปุถุชน หรือไม่อาจหาทิฐิเช่นนี้ได้จากลัทธิอื่นนอกธรรมวินัยนี้เลย
4. อริยสาวกผู้ถึงพร้อมด้วยทิฐิ มีธรรมดาของผู้สำนึกรีบออกจากอาบัติ  เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงาย  ที่ถูกถ่านไฟด้วยมือหรือด้วยเท้าเข้าแล้ว ก็ชักหนีเร็วโดยฉับพลัน  นี้ญาณที่ 4 เป็นอริยะ  เป็นโลกุตระ  ไม่เป็นของดาษดื่นทั่วไปกับพวกปุถุชน .  
5. อริยสาวกถึงความขวนขวายในกิจใหญ่น้อยที่ควรทำ . ของเพื่อนสพรหมจารีโดยแท้อย่างไร   ถึงอย่างนั้นความเพ่งเล็งกล้าในอธิศีลสิกขา  อธิจิตสิกขา  และอธิปัญญาสิกขาของอาริยสาวกนั้นก็มีอยู่   เปรียบเหมือน  แม่โคลูกอ่อนย่อมเล็มหญ้ากินด้วย  ชำเลืองดูลูกด้วย  ฉันนั้น ฯลฯ  
6. มีพลัง (พลตายะ) ถึงพร้อมด้วยทิฐิ กระทำใจกำหนดด้วยจิตทั้งปวง (มนสิกตฺวา  สพฺพเจตโส)  เงี่ยโสตฟังธรรมวินัยของตถาคตอันบัณฑิตแสดงธรรมให้ได้ประโยชน์อยู่ . 
7. เข้าถึงพลังได้ความรู้อัตถะ ได้ความรู้ธรรมอย่างปราโมทย์ด้วยธรรม (คือ นิยายิกธรรม หรือเป็นทิฐิที่นำออกซึ่งบุคคลผู้กระทำตาม ให้ไกลจากข้าศึก (กิเลส) มีองค์ 7เพื่อตรวจสอบดีแล้วแก่ผู้แจ้งในผลโสดาบัน  
 

ที่มา ที่ไป

โกสัมพีสูตร เล่ม 12ข้อ 543– 550, ธรรมาธิบายจากพ่อครู รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 31 กรกฎาคม 2562 ( 14:05:57 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:01:02 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:16:29 )

ญาณกับปัญญา

รายละเอียด

แม้แต่“ญาณ”กับ“ปัญญา” ธรรมะ 2

คู่นี้ก็คือ “ความรู้”ขั้นโลกุตระ ที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ ว่าเป็น“คู่ทำงาน”ช่วยกัน สลับกันทำความเจริญ ซึ่งศาสนาพุทธเป็นต้นตอแท้ๆ

ความรู้ที่ช่วยกันให้เจริญขึ้นได้แล้วนี้เรียกว่า “ญาณ” [มาจาก“ธาตุอัญญะ”แล้วมาเป็น “ญาหรือญาณ”เป็นลำดับๆ] “ญา”ก็ร่วมกันกับ “ปัญญา” ทำงานสร้างความเจริญเพิ่มขึ้นไปได้อีกก็เรียกว่า “ญาณ” และได้รู้เจริญต่อไปอีกก็กลับไปเรียกว่า“ปัญญา” ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่า ใครสูงกว่าใคร เหมือนมือ 2 มือช่วยกันทำงานให้สำเร็จได้บริบูรณ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันใด “ญาณ”กับ“ปัญญา”ก็เจริญขึ้นฉันนั้น

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการพุทธศาสนาตามภูมิ  ตอบปัญหาอย่างนานาสังวาส
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 ที่บ้านราชฯ
สื่อธรรมะพ่อครู(จรณะ 15 วิชชา 8) ตอน ไฟฌานทำลายกิเลสได้อย่างไร


เวลาบันทึก 16 กุมภาพันธ์ 2564 ( 11:33:30 )

ญาณกับสมาธิอะไรเกิดก่อน

รายละเอียด

พระพุทธองค์ทรงเป็นไข้  เจ้ามหานามศากยะทูลถามว่า  “ญาณเกิดแก่ผู้มีใจเป็นสมาธิ หาเกิดแก่ผู้ที่มีใจไม่เป็นสมาธิไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สมาธิเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง หรือว่าญาณเกิดก่อน สมาธิเกิดทีหลัง”  พระอานนท์จึงจูงพระหัตถ์ออกไป และกล่าวกะเจ้ามหานามศากยะว่า 

ดูกรมหานามะ พระผู้มีพระภาคตรัสศีลที่เป็นของพระเสขะไว้ก็มี  ตรัสศีลที่เป็นของพระอเสขะไว้ก็มี  ตรัสสมาธิที่เป็นของพระเสขะไว้ก็มี  ตรัสสมาธิที่เป็นของพระอเสขะไว้ก็มี  ตรัสปัญญาที่เป็นของพระเสขะไว้ก็มี  ตรัสปัญญาที่เป็นของพระอเสขะไว้ก็มี 

ดูกรมหานามะ มีศีลที่เป็นของพระเสขะเป็นไฉน ดูกรมหานามะ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีลฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ดูกรมหานามะนี้เรียกว่า ศีลที่เป็นของพระเสขะ

ดูกรมหานามะ ก็สมาธิที่เป็นของพระเสขะเป็นไฉน ดูกรมหานามะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ  เข้าจตุตถฌานอยู่ ดูกรมหานามะ  นี้เรียกว่าสมาธิที่เป็นของพระเสขะ

ดูกรมหานามะ  ก็ปัญญาที่เป็นของพระเสขะเป็นไฉน  ดูกรมหานามะ  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ  นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ดูกรมหานามะนี้เรียกว่า ปัญญาที่เป็นของพระเสขะ ฯ 

ที่มา ที่ไป

สักกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม 20 ข้อ 512  ธรรมาธิบายจากพ่อครู  รายการพุทธศาสนาตามภูมิ


เวลาบันทึก 24 กรกฎาคม 2562 ( 15:23:54 )

เวลาบันทึก 22 กรกฎาคม 2563 ( 08:07:01 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:17:49 )

ญาณของพระโสดาบัน 7

รายละเอียด

หลังจากฆ่ากิเลสหยาบ (วีติกกมกิเลส) อบายภูมิ 4 แล้วเกิดญาณ (รู้แจ้งธรรม) ของพระโสดาบัน 7 อย่าง

1. รู้แล้วละ (ญาณที่ 1) คือ กำลังเรียนรู้กิเลสกลาง (ปริยุฎฐานกิเลส) นิวรณ์ 5 เพื่อละกิเลสนั้นแต่ยังมีทะเลาะวิวาทกันด้วยหอกปาก (มุขสัตติ) อยู่

2. ทำให้มาก (ญาณที่ 2) คือ เสพคุ้น (อาเสวนา) ทำให้เกิดผลเจริญ (ภาวนา) ทำให้มาก (พหุลีกัมมัง) กระทั่งระงับดับกิเลสตนได้

3. เชื่อมั่นธรรมวินัยนี้ (ญาณที่ 3) คือ ชัดเจนว่าการปฏิบัติอื่นนอกธรรมวินัยนี้ ไม่สามารถดับกิเลสสิ้นเกลี้ยง ไม่เป็นโลกุตระ

4. ผิดรีบแก้ (ญาณที่ 4) คือ รีบแก้ไขความผิดของตน เหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย มือเท้าถูกถ่านไฟเข้าแล้ว ก็รีบชักหนีเร็วพลัน

5. ทำกิจตน - กิจท่าน (ญาณที่ 5) คือ ทั้งศึกษาในอธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา ทั้งขวนขวายกิจใหญ่น้อยของเพื่อนเหมือนวัวแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้ากินด้วยชำเลืองดูลูกด้วย

6. มีกำลัง (ญาณที่ 6) คือ มีอำนาจในตน มีกำลังจิตแยกแยะถูกผิดได้ชัดรู้ตนว่ามีผล ได้บรรลุแล้ว

7. ปลื้มใจในผล (ญาณที่ 7) คือ ได้รู้ธรรม รู้แก่น ปลื้มใจในผลที่ตนได้ เห็นผลสุขที่จะมียิ่งขึ้น ยิ่งเข้าใจชัดสมบูรณ์

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 12  "โกสัมพิยสูตร"  ข้อ 543 - 549

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก 


เวลาบันทึก 05 กรกฎาคม 2562 ( 15:32:20 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:30:31 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:18:31 )

ญาณของพระโสดาบัน 7

รายละเอียด

หลังจากฆ่ากิเลสหยาบ(วีติกกมกิเลส)อบายภูมิ 4 แล้ว เกิดญาณ (รู้แจ้งธรรม) ของพระโสดาบัน 7 อย่าง

1. รู้แล้วละ (ญาณที่ 1)คือกําลังเรียนรู้กิเลสกลาง(ปริยุฎฐานกิเลส)นิวรณ์ 5 เพื่อละกิเลสนั้นแต่ยังมีทะเลาะวิวาทกันด้วยหอกปาก(มุขสัตติ)อยู่

2.ทําให้มาก (ญาณที่ 2)คือเสพคุ้น(อาเสวนา) ทําให้เกิดผลเจริญ (ภาวนา) ทําให้มาก(พหุลีกัมมัง) กระทั่งระงับดับกิเลสตนได้

3. เชื่อมั่นธรรมวินัยนี้ (ญาณที่ 3)คือชัดเจนว่าการปฏิบัติอื่นนอกธรรมวินัยนี้ ไม่สามารถดับกิเลสสิ้นเกลี้ยง ไม่เป็นโลกุตระ

4. ผิดรีบแก้ (ญาณที่ 4)คือรีบแก้ไขความผิดของตน เหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย มือเท้าถูกถ่านไฟเข้าแล้ว ก็รีบชักหนีเร็วพลัน

5. ทํากิจตน – กิจท่าน (ญาณที่ 5)คือทั้งศึกษาในอธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา ทั้งขวนขวายกิจใหญ่น้อยของเพื่อน เหมือนวัวแม่ลูกอ่อนเล็มหญ้ากินด้วย

ชําเลืองดูลูกด้วย

6. มีกําลัง (ญาณที่ )คือมีอํานาจในตน มีกําลังจิตแยกแยะถูกผิดได้ชัด รู้ตนว่ามีผล ได้บรรลุแล้ว

7. ปลื้มใจในผล (ญาณที่ 7)คือได้รู้ธรรม รู้แก่น ปลื้มใจในผลที่ตนได้ เห็นผลสุขที่จะมียิ่งขึ้น ยิ่งเข้าใจชัดสมบูรณ์

 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 12 “โกสัมพิยสูตร” ข้อ 543 - 549


เวลาบันทึก 14 มีนาคม 2565 ( 15:43:56 )

ญาณทัศนวิเศษ

รายละเอียด

ฌานคือปัญญารู้จักกิเลส แล้วก็รู้จักวิธีทำให้กิเลสหมด ฌานนี่ นอกจากทำให้กิเลสหมดแล้ว กิเลสหมดจริงๆ ดับแล้ว ดับสนิท  ดับอย่างถาวรนิรันดร ญาณทัศนวิเศษหรือปัญญา หรือฌาน ต้องรู้ความจริงอันนี้ให้ตลอด จึงจบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ สูงสุด จิตหมดกิเลสแล้ว ใช้วิมุตติญาณทัสนะหรือใช้ญาณทัศนะว่า มันหมดแล้วนะ หลุดพ้นกันที่แท้จริงแล้วนะ หลุดพ้นจากกิเลสที่แท้จริง ถาวร ยั่งยืน ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ไม่เกิดอีกอย่างไม่เหลือเชื้อ

ที่มา ที่ไป

รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 46 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 02 มีนาคม 2567 ( 19:25:30 )

ญาณทัสสน , ญาณทัสสนะ

รายละเอียด

1. มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอด

2. มีปัญญาเกิดขึ้นในจิตแล้วทีเดียว

3. ความรู้แจ้ง เห็นจริง ที่จะรู้ยิ่ง ๆ

4. ความรู้ยิ่ง เห็นจริง

5. ความรู้แจ้งเห็นจริง

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 287

ทางเอก ภาค 2 หน้า 206

ทางเอก ภาค 3 หน้า 79

สมาธิพุทธ หน้า 332

วิถีพุทธ หน้า 43


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:28:15 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:10:25 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:19:30 )

ญาณทัสสนสูตร

รายละเอียด

ญาณทัสสนสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อญาณทัสสนะ

 [125] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อญาณทัสสนะ ฯลฯ  จบ สูตรที่ 7

ที่มา ที่ไป

พ่อครูแสดงธรรมรายการ พุทธศาสนาตามภูมิ มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้น

จากอัญญเดียรถีย์ วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก


เวลาบันทึก 01 พฤษภาคม 2564 ( 15:58:31 )

ญาณทัสสนะ 3

รายละเอียด

คือปัญญาความรู้แจ้งเห็นตามเป็นจริงในอริยสัจ

1. สัจจญาณ (ปัญญาหยั่งรู้จริงในอาริยสัจ)

2. กิจจญาณ (ปัญญาหยั่งรู้กิจในอาริยสัจ)

3. กตญาณ (ปัญญาหยั่งรู้การทำกิจแล้วในอาริยสัจ)

ที่มา ที่ไป

พระไตรปิฎกเล่ม 5 "ธัมจักกัปปวัตตนสูตร" ข้อ 16

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก


เวลาบันทึก 15 มิถุนายน 2562 ( 15:01:33 )

เวลาบันทึก 29 กรกฎาคม 2563 ( 16:30:55 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:19:50 )

ญาณทัสสนะ 3

รายละเอียด

คือปัญญาที่รู้แจ้งเห็นตามเป็นจริงในอาริยสัจ

1. สัจจญาณ (ปัญญาหยั่งรู้จริงในอาริยสัจ)

2. กิจจญาณ (ปัญญาหยั่งรู้กิจในอาริยสัจ)

3. กตญาณ (ปัญญาหยั่งรู้การทํากิจแล้วในอาริยสัจ) 

หนังสืออ้างอิง

ธรรมพุทธสุดลึก,พระไตรปิฎกเล่ม 4 “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ข้อ 16


เวลาบันทึก 11 มีนาคม 2565 ( 20:52:55 )

ญาณทัสสนะวิสุทธิ

รายละเอียด

เป็นธาตุรู้ที่รู้ชอบ รู้แจ้งอย่างบริสุทธิ์ ซื่อตรง ผุดผ่อง เที่ยงธรรม ไม่เอนเอียง เบี่ยงเบนเข้าข้างใครเลยแม้ตัวเอง

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 2 หน้า 343


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:31:38 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:10:57 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:20:19 )

ญาณทัสสนะวิเศษ

รายละเอียด

ปัญญาขั้นพิเศษหรือปัญญาที่แทงทะลุสัจจะ

หนังสืออ้างอิง

อีคิวโลกุตระหน้า 250 , ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า128


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:29:31 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:11:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:20:55 )

ญาณทัสสนะอันมีปริวัฏฏ์ 3

รายละเอียด

1. สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน

2. ญาณทัสสนะที่รู้เห็นความเป็นจริงในอริยสัจ 4 ครบปริวัฏฏ์ 3 ได้แก่ ญาณ กิจจญาณ กตญาณ ด้วยอาการ 12

หนังสืออ้างอิง

ถอดรหัสอัตตา อนัตตา นิรัตตา หน้า 128

 


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:32:50 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:12:34 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:21:52 )

ญาณที่ 3

รายละเอียด

รู้ดีว่าเป็นสิ่งพิเศษไม่เหมือนใครเป็นของวิเศษ ลัทธิอื่นไม่มี ลัทธินี้แหละเป็นอาริยธรรม ลัทธินี้ชัดเจนกว่า ปัญญามันรู้ มันเห็นความแตกต่างมันมั่นใจเลยว่าอย่างที่เคยผ่านไปอย่างนี้ยังไม่ใช่

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช  วันอังคารที่ 1 มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:35:51 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:01:33 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:22:15 )

ญาณที่ 4

รายละเอียด

ผู้ที่สามารถที่กระทำได้ผ่านมาแล้วเป็นความรู้จริงแล้ว เป็นผู้ที่ได้ในตัวเองสามารถออกจากสิ่งที่ผิดพลาดไปเอาตัวเองออกจากอาบัติไม่ใช่แค่ปลงอาบัติสารภาพกราบแค่นั้น แต่ออกจากอาบัติหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน ความเป็นสุขปฏิบัติได้แล้ว พอได้แล้วก็เหมือนกับเด็ก ที่เอามือหรือเอาเท้าไปถูกถ่านไฟเข้า เด็กไม่เป็นประสาก็นอนดิ้น เปรียบเหมือนกุมารอ่อนนอนหงายเท้าถูกไฟเข้าก็ชักเท้าออก ไปทำผิดพลาดจากศีลจากสิ่งที่เราหลุดพ้นมาได้ไปเปื้อนมีกิเลสใหม่ ความสกปรกมาแตะเราเราก็จะรีบสลัดออก รู้จักคุณค่าความสะอาดของสิ่งที่เราได้กำจัดกิเลสออกไปได้ นี่คือ ญาณที่ 4ที่เป็นโลกุตระของพระพุทธเจ้าเป็นความรู้ที่เป็นของจริง ชัดเจน ไม่ทั่วไปกับพวกปุถุชน ปุถุชนนั้นไม่รู้เรื่อง พวกมิจฉาทิฏฐิก็ไม่รู้ไม่มีความจริงของญาณที่ 4ว่าเราเดี๋ยวนี้มีหิริโอตัปปะมีคุณสมบัติของจรณะ

ที่มา ที่ไป

รายการทำวัตรเช้า งาน ว.บบบ.เพื่อฟ้าดิน บ้านราช วันอังคารที่ 1มกราคม 2563


เวลาบันทึก 11 มกราคม 2563 ( 12:37:09 )

เวลาบันทึก 28 กรกฎาคม 2563 ( 17:02:26 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:22:42 )

ญาณปฏิโลม

รายละเอียด

การเพ่งรู้ การพยายามผลาญเผา ย้อนทวนกลับไปกลับมา

หนังสืออ้างอิง

ทางเอก ภาค 1 หน้า 235


เวลาบันทึก 10 กรกฎาคม 2562 ( 11:36:54 )

เวลาบันทึก 02 พฤษภาคม 2563 ( 18:13:42 )

เวลาบันทึก 09 สิงหาคม 2563 ( 18:23:57 )

ญาณพระโสดาบัน 7 ประการ

รายละเอียด

ญาณ 7 ก็ลองทวนดู

ญาณที่ 1 พอเรารู้แล้วว่าตัวนี้ควรละ เราก็ต้องละให้ได้ รู้แล้วละ พอละได้เป็นผลสำเร็จ นี่เป็นกระบวนการของญาณที่ 1 รู้ว่านี่เป็นกิเลส เรามีพลังงานมีอาวุธเป็นบุญมาจำกัดมัน ก็กำจัดมันได้ ได้แล้วท่านเรียกว่า วีติกมกิเลส ไม่ได้แปลว่าหยาบ แต่เป็นการล่วงไปแล้ว เป็นปัญญาความรู้ที่ไม่ใช่แค่สามัญ เป็นขั้น Advance เรารู้จักกิเลสแล้วทำให้กิเลสนั้นพ้นไปได้แล้ว นี่คือปัญญา เป็นผลของศีลสมาธิ ทำให้กิเลสลดได้ ปัญญาก็รู้ว่ามันเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ ถ้าเอาสามเส้านี้ขยายยาวเป็นวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นปัญญาเริ่มต้นของพระโสดาบันนะมีนัยละเอียด สายเจโตจะไม่ชัดเท่าสายปัญญา หากเรียนรู้เป็นสมาธิจะชัดเจน กิเลสของเราพ้นไปแล้ว พ้นวิติกมกิเลสแล้ว แล้วก็มี ปริยุฏฐานกิเลสที่เรากำลังทำอยู่ เป็นกิเลสขั้นที่ 2 ขั้นที่ 1 วิติกมกิเลสหมดแล้ว ขั้นที่สอง ปริยุฏฐานกิเลสนี้ยาวไกล กว่าจะถึงขั้นปลายสุดแล้ว ท้ายที่สุด อนุสัยกิเลส กิเลสสุดท้ายเหลือน้อย ทำให้จบแล้วจบแท้ๆ ทำให้เกิด อเนญชาภิสังขาร

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สามเส้าไตรสิกขา เกิดญาณ 7 โสดาบัน


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:10:10 )

ญาณพระโสดาบัน ข้อที่ 6

รายละเอียด

ญาณ ข้อที่ 6 มันจะมีพลัง มีความพลังแรง มันจะมีพลังงานเต็มบูรณาการ หากมันพร่องก็จะทำให้เต็มร้อย เรียกว่า Integrity เป็นการบูรณาการ Integrate อยู่เสมอๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ให้เต็มอยู่เรื่อย บูรณาการ หากพร่องก็รู้ทันทีและเติมทันที มีความขยันมีสมรรถนะทำงานอยู่ตลอดเวลา

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สามเส้าไตรสิกขา เกิดญาณ 7 โสดาบัน


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:20:52 )

ญาณพระโสดาบันข้อที่ 1

รายละเอียด

วันนี้เป็นวันที่ 3 ของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 42 วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 4 อีก 2 วันจะถึงวันมาฆบูชาแล้ว เราก็มาพูดกันต่อ งานนี้เราตั้งใจพูดกันถึงเรื่องความจนที่มีสัมประสิทธิ์กันจริงๆ แล้วเราปฏิบัติกันแล้ว เราเป็นคนจนกันแล้ว เรามีความจน ที่มีสัมประสิทธิ์กันแล้ว ซึ่งความจนที่มีสัมประสิทธิ์นี้เป็นความจนของอาริยบุคคล เป็นแบบโลกุตระ ซึ่งมันไม่ใช่ความจนทั่วไปของปุถุชนคนสามัญที่เขาเป็นกัน

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(พลังสัมประสิทธิ์) ตอน สัมประสิทธิ์สองทิศทางที่ต่างขั้ว


เวลาบันทึก 27 กุมภาพันธ์ 2564 ( 19:57:53 )

ญาณพระโสดาบันข้อที่ 3

รายละเอียด

ญาณข้อที่ 3 อันที่ 3 เราจะเกิดความแน่ใจเชื่อถือ ยิ่งแน่ใจมั่นใจ เชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำเราปฏิบัติมาในทฤษฎีนี้ ในธรรมวินัยนี้ ในความเป็นเช่นนี้ ที่ไม่เหมือนกับสาธารณะทั่วไป ไม่เหมือนปุถุชน ไม่เหมือนโลกีย์ที่เราก็เคยผ่านมาทุกคนมาก่อน เราจะมีปฏิภาณรู้ว่ามันไม่เหมือน สายปัญญาจะรู้ชัดขึ้น แล้วรู้ชัดว่าดี ว่า อ๋อ มันต่างกัน อันนั้นมันไม่ใช่ อันนี้มันใช่ มันจะมีการรู้ อ่าน ลิงคะ อ่านความต่างมีเพศ แยกออกว่าอันนี้ไม่ใช่อันนี้ถึงใช่ เพราะมันจะมีคู่เป็นสภาพ 2 ให้เปรียบเทียบได้รู้ชัด เพราะฉะนั้นก็เรียนรู้เปรียบเทียบจนกระทั่งน่าจะ จนกระทั่งเกิดความชัด นี่คือความรู้เป็นปัญญาอันที่ 3 ของพระโสดาบัน ถ้าไม่มีสิ่งที่เปรียบเทียบ หนึ่งไม่รู้มันไม่มีธรรมะ 2 เช่นการปฏิบัตินั่งหลับตามันไม่มีอะไรเปรียบเทียบไม่สมบูรณ์แบบไม่ครบ มันก็ไม่จบไม่จริง มันไม่ถึงความจริงสักที เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีคู่เปรียบเทียบ เมื่อเปรียบเทียบชัดเจนว่าอันนี้ใช่อันนี้ไม่ใช่ จนสุดท้ายไม่ต้องเปรียบแล้ว เป็น Axiom มันแท้จริงแล้วตอนนี้ไม่ต้องเปรียบเทียบ นัตถิอุปมา จบการเปรียบเทียบนี่ก็เป็นที่สุด

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สามเส้าไตรสิกขา เกิดญาณ 7 โสดาบัน


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:15:17 )

ญาณพระโสดาบันข้อที่ 4

รายละเอียด

ญาณข้อที่ 4 เพราะฉะนั้นในขณะตรวจสอบอยู่เรื่อยๆ มันบกพร่องแล้ว จะต้องรีบแก้กลับ อันนี้เป็นญาณข้อที่ 4 ของพระโสดาบัน อาริยบุคคลจะต้องไม่ ผัดวันประกันพรุ่งนี้เรื่องที่เลว ในเรื่องที่ตัวเองผิดบกพร่อง ต้องรีบ ท่านเปรียบเสมือนเด็กอ่อน มือถูกไฟร้อน ก็รีบชักกลับมาฉันใด เหมือนหนังควาย ถูกไฟก็หดออกมาปั๊บ เหมือนกับเส้นผมถูกไฟก็หดลงมาเลย แต่เด็กจับไฟก็ชัด หรือเอาก้อนไฟโยนใส่ตักของคุณก็รีบเอาออก นี่ปัญญาข้อที่ 4 จะรีบแก้ไขปรับปรุงไม่รอรั้ง ไม่เช่นนั้นมันช้า พวกคุณก็เข้าใจโดยปริยายไม่ได้ยากอะไร นี่เป็นคุณสมบัติคุณวิเศษของพระโสดาบัน อันที่ 4

ที่มา ที่ไป

พ่อครูเทศน์ทำวัตรเชัา พุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 42 ปฐมอโศก ความจนที่มีสัมประสิทธิ์ ตอน 3 วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่บวรปฐมอโศก

สื่อธรรมะพ่อครู(ศีล สมาธิ ปัญญา) ตอน สามเส้าไตรสิกขา เกิดญาณ 7 โสดาบัน


เวลาบันทึก 26 กุมภาพันธ์ 2564 ( 12:17:44 )

statistics

ติดต่อสอบถาม

Facebook : test

Youtube : Name

Twitter : Name

Line : Name

Telegram : Name

Wechat : Name

Skype : Name

Copyright © 2018 Borvornsocial.net all right are reserved. developer สงวนลิขสิทธิ์